พิมพ์หน้านี้ - ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: snowrabbit ที่ 03-12-2016 19:35:24

หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 03-12-2016 19:35:24
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

****************************************************

ปานตะวัน

สำหรับ 'ปานตะวัน' สิ่งมีชีวิตเดียวที่เขาไม่ชอบและรับมือไม่ได้คือ 'เด็ก' !
แต่ใครจะรู้ว่าการกลับมายังบ้านเก่าของเขาจะทำให้ปานตะวันได้มรดกเป็น
บ้าน ที่ดิน หลานชายและผู้ชายหน้าโหดบ้านตรงข้าม!

"ผมไม่เคยเลี้ยงเด็กนะ ไม่แน่ใจว่าจะเลี้ยงให้ดีได้ด้วย"
"ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ แล้วนายจะทำยังไง จะทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหรอ"
"ผม..."
"มีความรับผิดชอบได้แล้วปานตะวัน...ไม่ว่านายจะพูดยังไงสุดท้ายก็ต้องดูแลเด็กคนนี้อยู่ดี"
พอเห็นสีหน้าของเขา มือใหญ่ก็คว้าเอาปากกามา จดเบอร์ตัวเอง เฟซบุ๊ค และไอดีไลน์ลงบนมือของเขา
"แต่ถ้ามีอะไรอยากปรึกษาก็ติดต่อมาแล้วกัน"

********************************************************

สวัสดีค่า snowrabbit เองค่ะ!
นี่เป็นผลงานเรื่องที่สามที่เอาลงในเล้าแล้วค่ะ ก็ยังถือว่าเป็นมือใหม่อยู่นะคะ
เรื่องนี้ก็เป็นแนวฟีลกู๊ด อบอุ่นหัวใจเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาค่ะ (ยิ้มหวาน)
คนอ่านสามารถติชมและโปรยปรายความรักของท่านได้ตามใจชอบเลยนะคะ
ขอฝากเนื้อฝากตัว ฝากน้องปานตะวัน น้องเจียหลินและคุณพี่หน้าโหดบ้านตรงข้ามไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ

Facebook -> AzureDream (https://www.facebook.com/drawnindream/?fref=ts)

********************************************************
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 03-12-2016 19:51:01
ปานตะวัน
บทที่ ๑
เด็กชายกับเพื่อนบ้าน


        เสียงล้อรถบดลงกับถนนโรยกรวดและแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ทำให้ร่างซึ่งนอนขดตัวอยู่บนเบาะข้างคนขับค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ เป็นเวลาเดียวกับที่รถยนต์สีขาวจอดอยู่ตรงหน้าที่หมายพอดี ชายหนุ่มร่างสูงที่รับหน้าที่เป็นสารถีเขย่าปลุกคนข้างกายที่ทำท่าเหมือนจะกลับไปหลับอีกรอบด้วยแรงที่ไม่เบานัก
   
        “ไอ้ตะวัน  ตื่น ถึงบ้านมึงแล้ว”
   
        “อืม...ขออีกห้านาที”
   
        คนที่ถูกปลุกครางในลำคอก่อนจะพลิกตัวหนีฝ่ามือใหญ่แล้วขดกายซุกกับเบาะราวกับลูกแมวตัวน้อย เป็นเหตุให้ผู้ที่รับหน้าที่เป็นคนปลุกถึงกับคิ้วกระตุกด้วยความหงุดหงิด
   
        ป้าบ
   
        ชายหนุ่มเลยฟาดฝ่ามือใหญ่ของตัวเองลงที่กลางหลังไอ้คนนอนหลับไปแรงๆ พร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นรถ
   
        “ห้านาทีพ่อมึงสิ! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ปานตะวัน!”
   
         เท่านั้นเองชายหนุ่มเจ้าของนาม ‘ปานตะวัน’ ก็กระเด้งตัวลุกขึ้น เส้นผมที่ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลสว่างยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ดวงตากลมสีนิลฉายประกายหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มยกนิ้วกลางใส่หน้าอีกฝ่ายก่อนสบถออกมา
   
         “ตะโกนหาเตี่ยมึงเหรอเชี่ยกันต์ อยู่กันแค่นี้บอกดีๆ ก็ได้”
   
         “กูปลุกดีๆ มึงก็บอกอีกห้านาที กูเลยต้องตะโกน”
   
         ปานตะวันถลึงตาใส่เพื่อนสนิทอย่างหงุดหงิดก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เมื่อพบว่าจุดหมายของตนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็จัดเสื้อเชิ้ตสีดำที่ยับย่นของตนให้เรียบร้อยก่อนจะคว้ากระเป๋าใส่สัมภาระมาถือไว้เตรียมตัวจะลงจากรถ
   
         “ขอบคุณมากนะมึง อุตส่าห์ขับมาส่ง ไม่ค้างด้วยกันจริงๆ เหรอวะ”
   
         “ไม่ล่ะ กูไม่อยากรบกวนบ้านมึงเท่าไหร่”
   
         “ไม่หรอกน่า คิดมาก”
   
         “ไม่เป็นไร กูขับกลับได้ มึงนั่นแหละดูแลตัวเองดีๆ มีอะไรก็โทรหากูนะ”
   
         ปานตะวันพยักหน้ารับ โบกมือให้เพื่อนสนิทอย่าง ‘ชนกันต์’ ที่อุตส่าห์ขับรถมาส่ง ทั้งที่บ้านมันก็ห่างจากที่นี่พอสมควร ชายหนุ่มยืนมองจนรถของเพื่อนลับสายตาไปจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับ ‘บ้าน’ ของตัวเอง
   
         บ้าน...ที่ปานตะวันไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเยือนอีก
   
        บ้านที่ห่างหายไปนานเหลือเกินจนแทบจดจำถึงความอบอุ่นในอดีตไม่ได้เลยสักนิด
   
        ที่นี่ยังเหมือนเดิม คล้ายกับในความทรงจำของเขา

        บ้านเรือนไทยหลังน้อยซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ ต้นคูน ต้นมะม่วง ถูกปลูกไว้จนเต็มสวน บันไดทางขึ้นบ้านมีกระถางบัวตั้งอยู่สองฝั่งกับโอ่งมังกรที่ไว้ใช้ใส่น้ำสำหรับล้างมือล้างเท้าก่อนขึ้นบ้าน นอกจากนี้ในสวนยังมีสารพัดไม้ดอกที่พ่อและพี่สาวสรรหามาปลูก อย่างตอนนี้ปานตะวันก็ได้กลิ่นดอกราตรีโชยมาตามสายลม ถึงจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแต่ปานตะวันรู้ว่าตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม

         ตอนที่ปานตะวันยังเล็กครอบครัวของเขาอยู่กันพร้อมหน้าในบ้านหลังนี้ มีพ่อ มีแม่ มีพี่สาว แล้วก็เขา แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ขัดสน พวกเขาเป็นครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข แต่แล้ววันหนึ่งภาพความสุขเหล่านั้นก็สลายไปเมื่อแม่ของเขาตัดสินใจแยกทางกับพ่อเพื่อไปแต่งงานใหม่ ปานตะวันถูกแยกไปอยู่กับแม่ ส่วนพี่สาวซึ่งเป็นลูกติดของพ่อก็อยู่กับพ่อตามเดิมและนับตั้งแต่นั้นปานตะวันก็ไม่เคยได้กลับมาเหยียบเรือนไทยหลังนี้อีกเลย

         ตอนแรกเขาร่ำร้องอยากจะกลับมาแต่เมื่อโตขึ้นปานตะวันก็รู้ว่าทำไมแม่ถึงไม่เคยอนุญาต

         ที่แห่งนี้ไม่ต้องรับพวกเขาสองแม่ลูกอีกแล้ว...เพราะแม่ของเขา...นอกใจพ่อ

         แผ่นไม้กระดานลั่นเอี๊ยดใต้ฝ่าเท้ายามชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนบ้าน ภายในเปิดไฟสว่าง ญาติบางส่วนทางฝั่งพ่อยังไม่กลับไป คงจะรอพบเขาก่อน แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาของคนมากมายที่อยู่บนเรือนได้ ร่างเล็กยืนอิหลักอิเหลื่ออยู่ที่ปากกระตู ใจนึกอยากโทรเรียกไอ้กันต์เพื่อนรักให้กลับมารับไปเสียเดี๋ยวนั้น

          ก็สายตาของแต่ละคนที่มองเขาเนี่ยมันไม่ค่อยเป็นมิตรเลยน่ะสิให้ตาย!

          นอกจากจะหันมามองแล้วก็ยังมีการหันกลับไปซุบซิบกันต่อหน้า ไม่รู้ว่าจงใจให้เขาเห็นหรืออะไร แต่ถ้า ‘แอบนินทา’ ก็ถือว่าสอบตกอย่างแรง ปานตะวันเม้มริมฝีปากตอนที่บทสนทนาบางส่วนลอยมาเข้าหู มือที่กำกระเป๋าอยู่ชื้นเหงื่อ เขาอยากออกจากที่นี่แล้ว

          ในระหว่างที่เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นช่วยชีวิต “อ้าว ตะวันมาแล้วเหรอลูก เข้ามาเร็วๆ ไหนมาให้น้าดูใกล้ๆสิ” หญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งกระวีกระวาดเดินออกมาจากในครัว ใบหน้าอิ่มแต้มด้วยรอยยิ้มแต่กระนั้นปานตะวันก็ยังเห็นสายตาไม่ชอบใจที่โผล่ขึ้นมาแวบหนึ่งยามที่เธอมองเขาได้

          เอาเถอะ เขาชินแล้วล่ะ ญาติฝ่ายพ่อเขาก็ไม่ชอบเขากับแม่กันทั้งนั้น

          “สวัสดีครับน้าสายหยุด ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

          “ต๊าย จริงด้วย ตอนที่เห็นครั้งล่าสุดยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ อยู่เลย ดูตอนนี้สิ โตเป็นหนุ่มหล่อเชียว”

          ปานตะวันยิ้มให้น้าสาวของตน แม้น้าสายหยุดจะไม่ชอบเขากับแม่แต่ก็ไม่มากเท่าญาติคนอื่นหรืออาจจะมากแต่ไม่แสดงออก นับว่าเธอเก็บอาการได้เก่งทีเดียว เธอทำทีเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “แล้วนี่ตะวันกินข้าวมาหรือยังลูก”

          “กินแล้วครับ”

          “โอเคจ้ะ ตอนนี้เอาของไปเก็บก่อนไหมแล้วก็อาบน้ำพักผ่อน เดินทางมาเหนื่อยๆ”

          “ไว้ทีหลังก็ได้ครับ ตอนนี้ตะวันอยากไปไหว้พี่ก่อน”

          สิ้นประโยคนั้นใบหน้าแย้มยิ้มของคุณน้าสายหยุดก็เจื่อนลงเล็กน้อย หญิงสาวเดินนำปานตะวันไปที่ห้องพระซึ่งเก็บโกศบรรจุอัฐิของพี่สาวเขาเอาไว้ ปานตะวันทรุดตัวลงนั่งจุดธูปพลางเหม่อมองรูปของพี่...ใบหน้าของที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปี แต่ปานตะวันก็จำได้ดีถึงรอยยิ้มใจดีและน้ำเสียงอ่อนหวาน แม้พ่อกับแม่จะแยกทางกันแต่ปานตะวันก็ยังติดต่อกับพี่สาวเสมอ พวกเขารักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ

          และพี่ก็เป็นเหตุผลเดียวที่พาปานตะวันกลับมายังบ้านหลังนี้...เมื่อสองวันก่อนปานตะวันได้ข่าวจากน้าสายหยุดว่าพี่สาวของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ญาติๆ ทางฝั่งพ่อจัดการเรื่องงานศพและเผาศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกชายหนุ่มทั้งตกใจทั้งโกรธที่เขาไม่รู้เรื่องมาก่อน แต่พอมาคิดดูก็รู้ได้ว่าญาติทางฝั่งพ่อคงไม่อยากให้เขาโผล่หน้าไปงานศพเท่าไหร่นัก ส่วนแม่ก็ไม่ต้องการให้เขารู้เรื่องเพราะไม่ถูกกับทางบ้านของพ่ออยู่แล้ว มีเพียงคุณน้าสายหยุดเท่านั้นที่ส่งข่าวมาให้เขาแม้จะไม่เต็มใจเท่าใดนัก ไม่อย่างนั้นปานตะวันก็คงยังไม่รู้ว่าพี่ตัวเองตายไปแล้ว

          ชายหนุ่มถอนหายใจ มองรูปของพี่สาว ในรูปพี่ช่างดูอ่อนเยาว์และสดใส เขาได้แต่หวังว่าตอนนี้พี่จะได้ไปอยู่ในที่ที่ดีและได้พบกับพ่อ

          พี่...ตะวันขอโทษที่มาช้า...ตะวันขอโทษที่ไม่ได้มาส่งพี่

          ทั้งที่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้ แต่พอมาอยู่ต่อหน้ารูปของพี่สาวแบบนี้กระบอกตาของร่างเล็กก็ร้อนผ่าว ปานตะวันกัดริมฝีปาก กล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไป เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น

          “ตะวันจ๊ะ...ไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนเถอะนะ หนูเหนื่อยมามากแล้ววันนี้”

          “ครับ”

          โชคดีที่เสียงของเขาไม่ได้สั่น ปานตะวันเดินกลับออกไปนอกห้อง เขาพบว่าญาติส่วนใหญ่กลับกันไปเกือบหมดแล้ว ชายหนุ่มยกมือไหว้คนที่เหลืออยู่จากนั้นก็เดินตามน้าสายหยุดไปที่ห้องพักของตน ในระหว่างที่เดินนั้น จู่ๆหญิงสาวก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

           “น้าขอโทษนะจ๊ะที่บอกตะวันช้าไป ไม่อย่างนั้น...”

           “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันไม่ใช่ความผิดของน้าสักหน่อย”

            “มันก็มีหลายๆ เรื่องทำให้พูดกันยากน่ะนะ เอาเถอะ ตอนนี้พี่ยศกับหนูจันทร์ก็ไม่อยู่แล้ว ตะวันคงไม่ได้กลับมาที่นี่บ่อยๆ สินะ...ถ้ายังไงสนใจจะขายบ้านหลังนี้ไหมจ๊ะ ตอนแรกจันทร์จ้าวเขาเปิดเป็นร้านขนมไทย แต่มันก็ทำเงินได้ไม่เท่าไหร่ อย่างว่า เดี๋ยวนี้คนเขาไม่ค่อยกินกันแล้ว ตะวันเองก็ทำขนมไม่เป็นไม่ใช่เหรอ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

            สิ้นประโยคนั้นมุมปากของคนตัวเล็กก็ยกขึ้นทันที นี่สินะประโยคใจความหลักที่อยากจะพูดจริงๆ ปานตะวันอยากจะกลอกตา แม้เขาจะไม่ได้มาที่บ้านนี้บ่อยๆ แต่สำหรับปานตะวันที่นี่คือสถานที่ที่มีความทรงจำอันล้ำค่าอยู่ เขาไม่อยากปล่อยให้มันหายไป
 
            “ไม่ล่ะครับ ตะวันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องขายที่ขายบ้านอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ตะวันยังทำใจไม่ได้ คงต้องขอเวลานานกว่านี้อีกหน่อย ให้จัดการเรื่องของต่างๆ ในบ้านด้วย”

            นี่คืออีกเหตุผลที่หลังทราบข่าวปานตะวันต้องรีบกลับบ้านเรือนไทยทันที เพราะญาติพวกนี้หลายคนก็ไว้ใจไม่ได้ ตอนเขาไม่อยู่ก็ไม่รู้กวาดของไปเท่าไหร่แล้ว  ดูอย่างน้าสายหยุดสิ เจอหน้ากันไม่นานก็ตะล่อมให้ขายบ้ายแล้ว รู้หรอกว่าอยากได้ที่ดินตรงนี้ใจจะขาด...แต่ฝันไปเถอะ ปานตะวันไม่คิดจะขายมรดกชิ้นเดียวที่ได้จากพ่อและพี่แน่ๆ ญาติพวกนี้ก็เหลือเกิน จ้องจะฮุบของกันตาเป็นมัน แม้บ้านหลังนี้จะเก่าและไม่ได้มีของมีค่ามากนักแต่ของสะสมของคุณพ่อหลายชิ้นก็เป็นของเก่า ยังพอขายได้ราคา ถ้าไม่อยากโดนกวาดจนโล่งทั้งบ้านเขาก็ต้องจัดการให้ดีๆ

            “ไม่เป็นไรจ้ะ เอาตามที่ตะวันต้องการเลย แต่ถ้าอยากขายบ้านหรืออยากให้เช่าก็ติดต่อมาหาน้าได้นะ”
   
            คนตัวเล็กยิ้มให้น้าสายหยุดแทนคำตอบ ก่อนที่บทสนทนาของพวกเขาจะจบลงเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องนอนของปานตะวัน
   
           “ฝันดีนะจ๊ะตะวัน”
   
           “ขอบคุณครับ”
   
           แต่ในตอนที่ปานตะวันกำลังจะเดินเข้าห้องนั้นเอง เสียงของน้าสาวก็ทำให้มือที่กำลังจะบิดลูกบิดประตูชะงัก
   
           “จริงสิ คือว่า...”
   
           “ครับ?”
   
            ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด ปานตะวันก็แน่ใจว่าตัวเองเห็นร่องรอยของความไม่สบายใจและความกังวลปรากฏในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าแต่เพียงแวบเดียวมันก็เลือนหายไป
   
            “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
   
            “แน่ใจนะครับ”
   
            “แน่ใจจ้ะ ตะวันนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้จัดการอีกเยอะ เดี๋ยวน้าจะกลับแล้ว ฝากดูบ้านด้วยนะจ๊ะ แล้วจะมาใหม่พรุ่งนี้ คือ...มีเรื่องที่น้าต้องบอกตะวันด้วยแต่ไว้บอกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
   
            “ครับ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นน้อยๆแต่เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าไม่อยากพูดเขาจึงตามใจเธอ “ไปเถอะครับ น้าสายหยุดไม่ต้องห่วง”
   
            ตึง! โครม!
   
            แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าห้อง เสียงโครมครามเหมือนมีอะไรตกก็ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง รีบมองไปรอบๆ อย่างตกใจ
   
            “เมื่อกี้...เสียงอะไรน่ะครับ”
   
            คนตัวเล็กเสียงสั่น ปานตะวันไม่กลัวอะไรก็จริงแต่มีสิ่งเดียวที่เขาไม่คิดสู้...ก็คือผี...ไม่สิ ทุกสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งลี้ลับนั่นแหละ
   
            “อ๋อ คงเป็นหนูน่ะ สงสัยสามีน้าจะไล่จับหนูในครัวอีกแล้ว เดี๋ยวน้าจะเดินไปดูนะจ๊ะ”
   
           หนู...เออ ภาวนาให้มันเป็นหนูจริงแล้วกัน
   
           เสียงตึงตังโครมครามยังดังไม่หยุดจนน่ากลัวว่าจะมีคนมาเคาะประตูบ้านด่า ดวงตากลมสีดำหรี่ลงเล็กน้อยก่อนที่มือบางจะคว้ากระเป๋าสะพายแล้วผลุบหายเข้าห้องนอนไปโดยไม่บอกฝันดีกับคุณน้าอีกเลย
   
            ปานตะวันวางกระเป๋าก่อนกระโดดผลุงขึ้นเตียง เสียงโครมครามเงียบไปสักพักแล้ว ก่อนจะดังขึ้นมาใหม่ แน่ใจว่าไม่ใช่หนูแน่ๆ...ถ้าเป็นหนูก็คงมีเป็นกองทัพ จากตอนแรกที่คิดว่าจะไปอาบน้ำคนตัวเล็กก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยไป อาบพรุ่งนี้เช้าก็ได้ไม่ว่ากัน
   
           ก็เขาไม่อยากเดินออกไปห้องน้ำตอนนี้นี่นา น่ากลัวจะตายชัก!
   
           ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างห้องออกก่อนจะคว้าเอายาสีฟันมาบีบใส่แปรง โชคดีที่ในกระเป๋าเขามีน้ำอยู่หนึ่งขวดทำให้ไม่ต้องเดินออกไปนอกห้อง ตอนที่แปรงฟันอยู่เขาก็เห็นแสงไฟจากรถยนต์สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงรถแล่นออกไป คุณน้าสายหยุดกับสามีคงกลับไปแล้ว 

          หลังจากแปรงฟันเสร็จก็เปลี่ยนชุดแล้วรีบขึ้นมาสวดมนต์ไหว้พระ  แต่ขึ้นอะระหังไปได้แค่คำเดียวก็ต้องหยุดชะงักอีกหน ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงโครมครามแต่เป็นเสียงกุกกักเหมือนมีคนเดินอยู่ในบ้าน บ้านหลังนี้สร้างจากไม้ ดังนั้นเวลาเดินถ้าลงฝีเท้าก็จะได้ยินชัดเจน

         เอี๊ยด

         นั่นไง เสียงเหมือนคนเดินจริงด้วย!

         ปานตะวันปากคอสั่น สวดมนต์ก็สวดไม่จบ ตัดสินใจกราบหมอนแล้วล้มตัวลงนอน ไฟก็เปิดเอาไว้อย่างนั้นแหละ

          น้าสายหยุดกลับไปแล้ว...เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเดินในบ้าน เพราะที่นี่มีแต่เขา!

          หรือจะเป็นแค่ไม้กระดานลั่นกันนะ...เอาไงดี ออกไปดูดีไหม จะได้ถือโอกาสตรวจสอบด้วยว่าคุณน้าเขาล็อกประตูแน่นหนาดีหรือเปล่า

          เอี๊ยด

         เสียงไม้กระดานลั่นอีกหนทำให้คนกลัวผีแทบจะร้องไห้ ปานตะวันนึกด่าตัวเองที่ไม่ยอมกราบอ้อนวอนไอ้กันต์เพื่อนรักให้มานอนค้างด้วยกัน

         ตอนนี้สติของเขาก้ำกึ่งอยู่ระหว่าง ‘ออกไปดู’ กับ ‘ช่างแม่งแล้วหลับซะ’

         ปานตะวันนับหนึ่งถึงสิบ เขายังคงได้ยินเหมือนมีคนเดินประกอบกับเสียงลมที่ตีหน้าต่างดังตึงๆ เบาๆ ชวนให้ขวัญบินมากกว่าเดิมอีก ใจนึงก็อยากลุกออกไปดูให้แน่ๆ แต่อีกใจก็บอกว่าช่างมันเถอะ อย่าไปสอดรู้สอดเห็นจะดีที่สุด

          จะว่าไปพวกตัวละครในหนังผีส่วนใหญ่มันจะมีคนหนึ่งที่ตายเพราะความขี้สงสัยของตัวเอง ปานตะวันหลังตาปี๋ ตัดสินใจได้ในนาทีนั้น

         โบราณว่าได้ยินเสียงประหลาดตอนกลางคืนห้ามทักเพราะงั้น...ราตรีสวัสดิ์ก็แล้วกัน

          คนตัวเล็กเอาผ้าห่มขึ้นคลุมโปงแต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับเพราะเสียงกุกกักข้างนอกยังดังอยู่อย่างต่อเนื่องจนเป็นเขาเองที่ทนไม่ไหว

         “โว้ย อะไรกันนักหนาวะ!” ปานตะวันคำราม กระเด้งตัวลุกขึ้นมาหลังจากที่เสียงแปลกประหลาดยังดังอยู่เป็นระยะ ชายหนุ่มสะบัดผ้าห่มออก ไม่สนแล้วว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอกจะเป็นคน เป็นผี เป็นแมว หมา กา ไก่ หรือแม้แต่ขโมย! ถ้าเป็นขโมยเขาจะจับส่งตำรวจซะ ข้อหาบุกรุกและรบกวนเวลานอน!

          ปานตะวันเป็นคนอารมณ์ดี แต่เวลาที่เขาจะหงุดหงิดมากที่สุดคือตอนที่ง่วงนอนแล้วก็ตอนหิว พอโมโหแล้วก็อยากจะเหวี่ยง อยากจะพาลมันไปซะทุกเรื่อง แล้วก็อยากจะเอาข้าวสารเสกมาสาดใส่ไอ้ตัวที่เดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกด้วย อย่าให้จับได้นะ พ่อจะด่าให้หาทางออกจากบ้านไม่ถูกเลย!

         เพราะความโกรธทำให้ความกลัวลดไปกว่าครึ่ง ปานตะวันเลยกล้าหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋า มือหนึ่งถือไฟฉาย มือหนึ่งถือโทรศัพท์เดินออกจาห้องนอน ไฟตรงหน้าห้องเขาและหน้าห้องน้ำถูกเปิดไว้ทำให้เห็นภายในบ้านได้รางๆ เสียงลมหวีดหวิวนอกหน้าต่างพร้อมกับกลิ่นไอของดินและสายฝนถูกหอบเข้ามาทำให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก

         ปานตะวันกัดริมฝีปาก สืบเท้าไปข้างหน้าช้าๆ พยายามไม่ให้เกิดเสียง

          แกรก

         ชายหนุ่มสะดุ้งจนเกือบทำไฟฉายหล่น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าเสียงนั้นเป็นแค่เสียงกิ่งไม้ที่กระทบหน้าต่างเท่านั้น

         “คิดมากไปเองสินะ บ้าชะมัด”

         ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คนตัวเล็กก็ยังเดินออกไปที่ประตู ปานตะวันยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเปิดประตูแล้วยื่นหน้าออกไปสำรวจบริเวณชานบ้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงถอยหลังกลับเข้าบ้าน แต่แล้วทันใดนั้นเองร่างเล็กก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกอย่างแรงที่ด้านหลังทำเอาเขาเซไปข้างหน้า สะดุดขาล้มไปจูบพื้น

         “เฮ้ย อะไรวะ!”

          ปานตะวันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งแทรกตัวออกมานอกบ้านก่อนวิ่งลงบันไดหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเบิกตาโพลง วิ่งกระแทกเขาแบบนี้ได้...ไม่ใช่ผี ไม่ใช่หนู ไม่ใช่หมาแมวแล้ว

          ขโมย!

          ปานตะวันรีบวิ่งตามร่างนั้นไปทันที ไม่อยากให้อีกฝ่ายหนีหายไปได้ แม้จะมองเห็นไม่ค่อยชัดเพราะมันมืดแต่ก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ เขาไล่ตามเจ้าหัวขโมยนั่นไปจนถึงประตูรั้ว  ตอนนั้นเองที่ไฟถนนริมทางเดินส่องให้เห็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน

         ไวเท่าความคิด ไฟฉายกระบอกใหญ่ในมือถูกเขวี้ยงออกไปทันทีแถมยังกระแทกเข้ากลางหัวของร่างที่หน้าประตูได้อย่างแม่นยำสมฉายาปานตะวันนักยิงหนังสติ๊กประจำซอย

         “โอ๊ย”

         เสียงร้องที่ดังขึ้นทุ้มต่ำ ยิ่งวิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นถึงโครงร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่าย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ชาย

          ปานตะวันรีบพุ่งเข้าล็อกอีกฝ่ายจากด้านหลัง หัวขโมยนี่สูงกว่าเขามาก ถึงกับต้องเขย่งกันจนเท้าแทบลอยถึงสามารถล็อกคออีกฝ่ายได้

         “แค่ก เฮ้ย ปล่อย เล่นอะไรเนี่ย!”

         “จะไปโรงพักกับดีๆ หรือจะไปด้วยน้ำตา! โดนซ้อมสักทีก่อนไหมถึงจะยอมมอบตัว หา!”

         “แค่ก...บอกให้ปล่อยไงวะ!”

         “กล้ามากนะที่เข้ามาขโมยของในบ้าน โง่จริงๆ คิดว่าคนเขาจะไม่ได้ยินอะไรเลยเหรอ”
   
         ปานตะวันตะคอก  แต่แล้วในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงสบถก่อนที่หัวขโมยตัวใหญ่จะกระแทกส้นเข้าที่หลังเท้าเขาเต็มแรงแถมยังจงใจขยี้เท้าให้ปานตะวันเจ็บจนน้ำตาแทบร่วง จังหวะนั้นเองที่เขาเผลอปล่อยมือจากหัวขโมย เป็นเหตุให้มันหันกลับมาซัดหมัดหนักๆ เข้าเต็มๆ ที่แก้ม

        “โอ๊ย”

        รสคาวเลือดกระจายเต็มปาก ปานตะวันถลึงตาใส่ร่างสูงใหญ่ปานหมีที่ทำหน้าถมึงทึงไม่แพ้กันอย่างเอาเรื่อง เขาทำท่าจะพุ่งไปชกร่างสูงอีกรอบหากแต่คราวนี้กลับถูกคว้าคอเสื้อทุ่มลงบนพื้นอย่างไร้ความปราณี ปานตะวันร้องออกมาอีกหนเมื่อถูกจับพลิกคว่ำ มือแข็งแรงราวคีมเหล็กจับแขนเขาบิดไพล่ไปด้านหลังก่อนที่ร่างของหัวขโมยตัวโตจะตรึงเขาไว้ได้ในที่สุด
คนตัวเล็กกลืนน้ำลาย ตอนนี้เขาแพ้แล้ว...แล้ว...แล้วจะถูกฆ่าปิดปากไหมวะ!

        ปานตะวันหลับตาปี๋ หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก แต่เมื่อผ่านไปสองสามนาทีก็ไม่ยักมีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเสียงทุ้มของคนที่ตรึงเขาอยู่ดังขึ้นทำลายความเงียบ

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 03-12-2016 20:10:34
      “หายบ้าหรือยัง”

       ประโยคสั้นๆ แต่ทำเอาเส้นประสาทของคนตัวเล็กลั่นเปรี๊ยะ

       “มึงว่าใครเป็นบ้าวะ”

       “ขึ้นมึงขึ้นกูแถมตะคอกใส่คนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกแบบนี้...ไม่น่ารักเลย ที่บ้านสั่งสอนมายังไง”

       น้ำเสียงเรียบๆ กับถ้อยประโยคที่เสียดลึกในอกทำให้ความโกรธของชายหนุ่มร่างเล็กปะทุเหมือนภูเขาไฟระเบิด

       “เออ ที่บ้านไม่สั่งสอน ทำไม มีปัญหา? แล้วคนที่แอบเข้ามาขโมยของบ้านคนอื่นเนี่ยมารยาทดีนักหรือไง”

        “ขโมยของอะไรของนาย เห็นตะโกนปาวๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

        “ก็แกไม่ใช่เรอะที่แอบเข้ามาในบ้านแล้วก็ทำเสียงดังตึงตังๆ น่ะ โธ่ อยากจะเป็นขโมยก็ไปหัดวิชาย่องเบามาก่อนไป”

       ชายด้านบนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ในที่สุดก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะปล่อยปานตะวันให้เป็นอิสระ คนตัวเล็กรีบลุกขึ้นทันที เส้นผมสีน้ำตาลสว่างยุ่งเหยิง ดวงตากลมสีนิลวาววับจ้องเขาอย่างเอาเรื่องแต่กระนั้นไอ้ท่าทางที่กระโดดหนีไปตั้งหลักซะไกลเหมือนลูกแมวขี้ระแวงมันก็ชวนให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ

         นึกว่าจะแน่...ที่แท้ก็เด็กอวดเก่งนี่เอง

       “นี่ถามจริงๆ เถอะ ถ้าฉันเป็นขโมยจริงนายคิดว่าฉันจะยืนเฉยๆ อยู่หน้าบ้านให้จับได้งั้นเหรอ แล้วคิดว่าฉันจะยืนเฉยๆ โดยไม่หยิบอาวุธออกมาตีนายให้สลบหรือไม่ก็ฆ่าปิดปากไปซะ จะได้จบๆ ไป”

        ร่างตรงหน้าสะดุ้ง ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่กระนั้นก็ยังย่นจมูกใส่เขา ท่าทางไม่ยอมแพ้

        “แล้ว...แล้วมายืนหน้าบ้านคนอื่นตอนดึกดื่นทำไม มันน่าสงสัย!”

        “แล้วทำไมฉันจะยืนไม่ได้ในเมื่อฉันก็มาแบบนี้ของฉันทุกวัน นายนั่นแหละเป็นใคร”

        “ผมชื่อปานตะวัน เป็นน้องชายของพี่จันทร์”

        เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย พิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าให้ละเอียดขึ้น จริงด้วย โครงหน้าคล้ายจันทร์อยู่บ้าง ชายหนุ่มที่ชื่อปานตะวันสูงถึงแค่อกเขา เส้นผมสีน้ำตาลล้อมกรอบใบหน้า ดวงตากลมโตสีดำสนิท จมูกโด่งเล็กเชิดรั้น เป็นผู้ชายที่หน้าสวยไม่น้อยเลยทีเดียว...ขัดกับท่าทางห้าวๆ ที่เจ้าตัวแสดงออกเป็นที่สุด ดูอายุอานามแล้วก็คงจะเพิ่งยี่สิบต้นๆ อาจจะสักยี่สิบเอ็ดปี เขาเคยได้ยินจันทร์จ้าวเล่าว่าน้องชายเธอยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่

        “ฉันชื่อราเมศ เป็นเพื่อนบ้านแล้วก็เป็นเพื่อนสนิทกับจันทร์จ้าวพี่สาวของนายด้วยเรียกฉันว่าพี่เมศก็ได้”
 
       “พี่เมศเนี่ยนะ”

        ปานตะวันทำหน้าไม่อยากเชื่อและตอนนั้นเองที่ราเมศตัดสินใจว่าคนตรงหน้าเขานี่มันเด็กแสบดีๆ นี่เอง เขาเรียกอะไรนะ...พวกโตแต่ตัวใช่ไหม

        “คุณเป็นอะไรกับพี่จันทร์ แล้วมาทำอะไรหน้าบ้านผม”

       “ก็บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ส่วนที่ว่าฉันมาทำอะไรหน้าบ้านนาย...เพราะว่าหนูเจียโทรมาหาบอกว่ามีคนแปลกหน้ามาอยู่ในบ้านฉันก็เลยรีบมา นึกว่าขโมย ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด”

       “หนูเจีย?” ปานตะวันมองเขาอย่างงุนงง “หนูเจียคือใคร?”

       ชายหนุ่มร่างสูงยังไม่ทันได้ตอบอะไร ปานตะวันก็สังเกตเห็นบางสิ่งค่อยๆ ขยับออกจากมุมมืด เดินเตาะแตะมาทางพวกเขา

       “น้าเมศ”

        เจ้าของเสียงสั่นๆ นั้นเป็นเด็กชายคนหนึ่ง ดูแล้วอายุคงประมาณ 3-4 ขวบ ผิวขาว แก้มป่องตึงใส ดวงตากลมโตสีดำสนิท เส้นผมสีดำยาวระต้นคอ โครงหน้าติดจะหวานและดูคุ้นตาอย่างประหลาด  พอเด็กคนนั้นเห็นเขาเจ้าตัวก็ยืนนิ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี ขยับไปแอบหลังราเมศ

        ปานตะวันหรี่ตามองชายหนุ่มที่พอยืนจ้องอย่างตั้งใจแล้วก็พบว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีไม่น้อย แต่ไม่ได้ดูดีแบบฝรั่งหรือเกาหลี ราเมศเป็นชายหนุ่มที่หล่อคมแบบไทยแท้ ผิวออกเป็นสีแทน ตาคมดุ คิ้วเข้ม  จมูกโด่ง ทุกองค์ประกอบของเครื่องหน้านั้นปานตะวันมองปราดเดียวก็สรุปออกมาได้เป็นคำสั้นๆ ว่า ‘มันหล่อ’ ไม่หล่อธรรมดาแต่ยังหุ่นดีจนน่าอิจฉา ผิดกับเขาที่เตี้ยจนยืดไม่ขึ้น กินนมแทนข้าวก็ไม่สูง

        ราเมศคลี่ยิ้มเอ็นดูให้เด็กน้อยคนนั้นก่อนจะช้อนตัวอุ้มขึ้นมา หันมาประจันหน้ากับเขาพลันรอยยิ้มดูดีเมื่อครู่ก็เลือนหายไปเมื่อเห็นเขามองเด็กคนนั้นอย่างงุนงง “นั่นลูกคุณเหรอ”

       “ไม่ใช่....แต่คนที่ทำเสียงตึงตังในบ้านนายคงเป็นเด็กคนนี้”

       “คุณแน่ใจได้ยังไง”

       คิ้วเข้มเลิกขึ้น ดวงตาคมฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ปานตะวันรีบเสหลบ เผลอไขว่มือไว้ด้านหลัง เป็นท่าทางที่ทำประจำเวลาเจ้าตัวรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไป แต่หนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป...

       “นายไม่รู้จักเด็กคนนี้?” น้ำเสียงฉุนเฉียวนั้นทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้ง

       “ก็...ก็จะรู้ได้ยังไงล่ะ ลูกคุณ หลานคุณ ผมไม่รู้จักด้วยซะหน่อย”

        “ให้ตาย ฉันอยากจะบ้า เหอะ”

        ราเมศแค่นเสียงหัวเราะ “สาบานสิว่านายไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ทั้งที่เป็นน้องชายของจันทร์เนี่ยนะ”

        ปานตะวันสะอึก เขาส่ายหัว ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆอีกหน พอเงยหน้าก็พบกับสาตาที่เขาเกลียดแสนเกลียด...สายตาที่มองมาอย่างผิดหวัง ไม่พอใจ เหนื่อยหน่ายและ..ตำหนิ

        อะไรกันล่ะ เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสักหน่อย อีกฝ่ายพูดเหมือนกับว่าเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับพี่...แต่เขาก็ไม่ได้เจอหน้าพี่มานานแล้ว ส่งหากันแต่อีเมล  แชท แล้วก็มีโทรคุยกันบ้างเท่านั้น

         เดี๋ยวก่อนนะ...ถ้าเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับพี่...หรือว่า

         พอเห็นดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตระหนก ราเมศก็เผยยิ้มหยันออกมา นึกระอาชายหนุ่มตรงหน้าไม่น้อย ดูใช้ไม่ได้อย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย ไม่เห็นจะเหมือนที่จันทร์อวดไว้เลยสักนิด เนี่ยนะหรือครอบครัวที่เธอรักมาก น้องชายที่ไม่คิดแม้แต่จะมาเหลียวแลเธอ น้องชายที่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยเนี่ยนะ

         น้ำเสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ปานตะวันตัวชา ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

         “เด็กคนนี้ชื่อเจียหลิน เป็นลูกชายแท้ๆของจันทร์จ้าว...แล้วก็เป็นหลานชายของนาย”

         กึก

         สองเท้าพลันก้าวเท้าถอยหลัง ปานตะวันจ้องหน้าราเมศอย่างตกใจ ความจริงที่ถูกกระแทกกลางแสกหน้าทำให้เขาตกใจจนคิดอะไรไม่ออกนอกจากคำที่ว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันไม่จริง หรือว่านี่คือสาเหตุที่น้าสายหยุดมีท่าทีอึดอัดใจ เหมือนกับมีอะไรจะบอกเขาแต่ก็ไม่กล้า

        “ไม่จริง”

        “จริง”

        “ไม่...ก็พี่...พี่ไม่เห็นเคยบอก”
   
        ตลอดเวลาที่ติดต่อกันไม่เคยมีสักครั้งที่พี่จะเล่าเรื่องเด็กคนนี้ให้ฟัง
   
        “ถ้านายไม่เชื่อก็ลองไปดูในบ้านสิ มีใบสูติบัตรของเด็กคนนี้อยู่ ฉันเองก็ยืนยันได้ ฉันเห็นจันทร์มาตั้งแต่ตอนท้อง ไปเยี่ยมเธอหลังคลอดด้วยซ้ำ” คำพูดของราเมศคล้ายจะบอกว่า ขนาดเขาที่เป็นคนนอกยังรู้เรื่องแล้วปานตะวันที่เป็นครอบครัวแท้ๆ ทำไมถึงได้ไม่รู้อะไรเลย
   
        “จันทร์เลี้ยงลูกมาด้วยตัวคนเดียว ฉันยังสงสัยเลยว่าครอบครัวของเธอหายไปไหนกันหมด”
   
         ดวงตากลมของปานตะวันเลื่อนมาสบกับดวงตาของเด็กน้องที่กำลังแอบมองเขาอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเจียหลินมีแววของความหวาดกลัว พอเห็นเขามองอีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนี หันไปซุกอกราเมศ ปานตะวันที่เห็นดังนั้นก็รีบเดินกลับเข้าไปในบ้าน ไม่ว่ายังไงเขาก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นหลานของเขา!
   
        ลิ้นชักที่เก็บเอกสารถูกกระชากออก ข้าวของถูกรื้อออกมา ปานตะวันค้นไปจนถึงก้นลิ้นชักจนเจอแผ่นกระดาษที่เขาตามหา นัยน์ตาสีนิลกวาดอ่านอย่างรวดเร็วก่อนที่ใบสูติบัตรจะถูกปล่อยลงพื้นเพราะคนถือไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะทรงตัว
   
        แค่กลับมาบ้านนี้แค่ครั้งเดียว ทุกอย่างก็พลิกคว่ำพลิกหงายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
   
        “ทีนี้เชื่อหรือยัง”
   
         ราเมศมองปานตะวันที่หน้าซีดเผือดแล้วก็ให้นึกหงุดหงิด เด็กคนนี้ทำเหมือนไม่อยากยอมรับความจริง...เท่ากับว่าไม่อยากยอมรับเจียหลิน  ชายหนุ่มขมวดคิ้วรีบสลัดความคิดแง่ลบทิ้งไป อาจเป็นเขาที่คิดมากไปเอง ปานตะวันอาจแค่ตั้งตัวไม่ทัน...
   
        “แล้ว...แล้วพ่อของเด็กคนนี้ล่ะ”
   
        “เสียไปแล้ว...สองปีก่อน”
   
        หึ ปานตะวันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่สาวตัวเองมีสามี แม้จะไม่ได้แต่งงานแต่ก็จดทะเบียนกันถูกต้องตามกฎหมาย ชายหนุ่มมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างฉงน เขารู้เรื่องปานตะวันมาจากจันทร์บ้าง หญิงสาวเคยบอกเขาว่าน้องชายตัวเองเป็นคนน่ารัก ใจกว้าง อบอุ่น เป็นเด็กที่ใครเห็นก็หลงรัก เป็นคนที่มีรอยยิ้มสวยและเจิดจ้าเหมือนดวงตะวัน แต่เด็กตรงหน้าเขานั้นดูตรงข้ามกับคำบอกเล่าของจันทร์จ้าวอย่างที่สุด
   
        บางทีปานตะวันที่จันทร์จ้าวรู้จักอาจจะหายไปแล้วก็ได้
   
        “แล้วผม...ผมจะทำยังไง...ในเมื่อตอนนี้ผม...” ปานตะวันชะงักก่อนจะกล่าวต่อ “ผมจะดูแลเด็กคนนี้ได้ยังไง” เขาไม่ได้อยากได้ภาระอะไรมาแบกไว้ตอนนี้ ชายหนุ่มไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนและไม่แน่ใจว่าเลี้ยงได้  ตอนนี้ปานตะวันก็มีปัญหาแบกอยู่เต็มบ่า...ไม่มีใครหาทางออกให้เขาได้เลยสักคน แล้วตอนนี้ยังมีเจียหลินเข้ามาให้เขาปวดหัวเพิ่มอีก 

         ปานตะวันไม่มีปัญญาเลี้ยงเด็กคนนี้ได้เลย ถ้าคิดจะพาเด็กคนนี้เข้าบ้านเขาเชื่อว่าแม่ต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน
   
         เพราะแม่เกลียดพี่สาวของเขาจนเข้ากระดูกดำ
   
         “ถึงไม่อยากทำนายก็ต้องทำ”
   
        “ญาติคนอื่นล่ะ”
   
        “ญาติที่จันทร์จ้าวไว้ใจที่สุดก็มีแต่นาย เธอยกบ้านหลังนี้และทรัพย์สินในบ้านให้นายรวมถึงฝากลูกชายที่เธอรักที่สุดให้กับคนที่เธอเชื่อว่าจะดูแลได้ แต่นายจะผลักภาระทั้งหมดออกไปอย่างนั้นเหรอ” ราเมศมองปานตะวันอย่างประเมิน  ”ฉันเข้าใจนะว่าเรื่องทั้งหมดมันทำใจยาก แต่นายก็ไม่ควรแสดงท่าทีเหมือนไม่ต้องการเด็กคนนี้ออกมาโจ่งแจ้งแบบนี้”
   
         คำพูดนั้นเหมือนกับฝ่ามือที่ตบเขาจนหน้าหัน ปานตะวันอับอาย...ที่ถูกมองออกจนทะลุปรุโปร่ง
   
         “นายไม่ควรแสดงว่าเขาเป็นภาระ”
   
         “ผม...” เปล่า...อย่างนั้นหรือ? จะปฏิเสธก็ไม่กล้าในเมื่อเมื่อกี้เขาเองก็เผลอคิดไปว่าเจียหลินคือภาระ
   
        “เงยหน้าขึ้นแล้วมองเจียหลินสิ มองหลานชายแท้ๆ ของนาย”
   
         ปานตะวันไม่ได้เงยหน้า เขาไม่อยากแสดงสีหน้าสับสนของเขาให้ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นเห็น ใจหนึ่งปานตะวันก็อยากจะโกรธ อยากจะอาละวาด อีกฝ่ายเป็นใคร กล้าดียังไงมาสั่งสอนเขาทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันแค่วันเดียว ทำไมถึงเอาแต่ยัดเยียดภาระให้เขา แต่ถ้าหากลดทิฐิลงแล้วมองตามความจริงปานตะวันก็พบว่าราเมศพูดถูกทุกอย่าง
   
         อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าเขา ถ้าราเมศอายุเท่ากับพี่จันทร์ก็แปลว่าอีกฝ่ายห่างกับเขาถึงห้าปี คำที่พูดออกมาคือคำของผู้ใหญ่ที่เห็นโลกมามากกว่า
   
         ร่างสูงของราเมศก้าวมาประชิด อีกฝ่ายปล่อให้เจียหลินลงยืนที่พื้นก่อนจะก้มหน้ามามองเขาด้วยสายตาดุๆ
   
         “ไม่ว่าจะยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นหลานของนายปานตะวัน...นั่นคือสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
   
         น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่งหากแต่ปานตะวันกลับรู้สึกว่ามันแฝงแววของความโกรธเจืออยู่ในนั้น วันนี้มีแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด

         ได้รับโทรศัพท์ว่าพี่สาวเสียชีวิต กลับมาบ้านที่จากไปนานเป็นสิบปีเพื่อพบว่าตัวเองได้รับมรดกเป็นบ้าน ที่ดินและหลานชายหนึ่งคน ชีวิตนี้จะมีอะไรทำให้เขาแปลกใจได้มากกว่านี้อีกไหม

         เขากับราเมศยืนจ้องตากันด้วยท่าทางไม่ยอมแพ้ แต่ก่อนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้วางมวยกันเสียงเล็กๆ ก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

         “น้าเมศ”

         ทั้งปานตะวันและราเมศหันไปมองเด็กน้อยตัวเล็กที่ถูกลืมไปแทบจะพร้อมกัน เจียหลินก้มหน้างุด มือกำชายเสื้อราเมศไว้แน่น

         “หนูเจียง่วงแล้ว”

        “โอ๊ะ จริงด้วย ดึกป่านนี้แล้ว งั้นน้าเมศพาหนูเจียเข้านอนดีไหมครับ”
 
         ชายหนุ่มผมน้ำตาลมองผู้ชายใจยักษ์ที่แทบจะกินหัวเข้าเมื่อครู่อย่างไม่เชื่อสายตา

         ไอ้โหมดคุณพ่อนี้มันลงประทับมาตั้งแต่ตอนไหน!

         เจียหลินเหลือบมองปานตะวันแวบหนึ่งก่อนจะเริ่มเบะปาก  เบียดตัวเข้าหาราเมศ  “น้าเมศ อย่าทิ้งหนูเจีย หนูเจียกลัว”

         “ชู่ว์ ไม่ต้องกลัวนะครับ นี่น้าตะวัน เป็นน้องชายคุณแม่จันทร์ไง เป็นน้าชายแท้ๆ ของหนูเจียไงครับ”

          ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่ราเมศดูจะย้ำคำว่าน้าชายแท้ๆ เหลือเกิน ปานตะวันหน้างอ มองเจียหลินที่ทำท่ากลัวเขาแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ชายหนุ่มตัดสินใจพูดขึ้นอย่างน้อยก็แนะนำตัวก่อนก็ได้ จะได้ลดความห่างเหิน

         “ฉันปานตะวัน เรียกน้าตะวันก็ได้ ยังไงก็เป็นน้าชายของเธอนี่นะ ชื่ออะไร เจียหลินใช่ไหม”

          แต่แทนที่เด็กคนนั้นจะตอบรับ อีกฝ่ายกลับเบะปาก ดวงตากลมค่อยๆแดงก่ำก่อนที่หยดน้ำใสจะกลิ้งตัวผ่านแก้มป่อง
แล้วหลังจากนั้นเสียงร้องไห้จ้าก็แผดดังไปทั่วเรือนไทย

          “ฮึก...ฮือออ ไม่เอา หนูเจีย..ฮึก..ไม่เอาคนแปลกหน้า...ฮือ...แม่จันทร์ แม่จันทร์จ๋า หนูเจียกลัว มีแต่คนแปลกหน้าฮือออ” เจียหลินร้องไห้ เด็กตัวกลมตะกายซุกเข้าหาราเมศทำเอาคนเป็นหน้าแท้ๆ ถึงกับทำอะไรไม่ถูก

          “แม่จันทร์อยู่ที่ไหน ฮือออ”

          “ชู่ว์ เจีย...หนูเจีย...เงียบก่อนครับ”

          “ใช่ๆ เงียบก่อนนะ เดี๋ยวแม่จันทร์ไม่รักนะ”

          พอปานตะวันหลุดประโยคนั้นออกไปเสียงร้องไห้ก็แผดดังกว่าเดิม ราเมศถลึงตาใส่เขา คำรามลอดไรฟัน

          “นายมีจิตวิทยาในการพูดกับเด็กไหมฮะ!”

          “ไม่มี! เรียนนิเทศมาไม่ได้เรียนด้านจิตวิทยา!”

          “ประสาท”

          “อย่ามาว่าผมนะ ทำให้เด็กหยุดร้องที แสบแก้วหูจะแย่แล้ว”

          นัยน์ตาสีนิลถลึงใส่เขาก่อนที่ราเมศจะก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูเจียหลิน พลางลูบแผ่นหลังเล็กๆ นั้นไปด้วย ปลอบกันอยู่นานกว่าเสียงร้องจะเงียบหายไป

         ปานตะวันถอนหายใจอย่างโล่งอก ส่วนเจียหลินหลังจากร้องไห้จนเหนื่อยก็ค่อยๆ ผล็อยหลับคาอกราเมศไป

         “ฉันพอเดาได้นะว่านายเกลียดเด็ก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้ ขืนปล่อยให้นายดูหนูเจียคืนนี้หนูเจียได้ร้องไห้ทั้งคืนแน่”

         “ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นคืนนี้ก็เอาไปกล่อมนอนเองเลยสิ”

         สาบานได้ว่าที่พูดน่ะประชด แต่ไอ้คนตัวยักษ์นั่นดันทำหน้าเหมือนเขาไปชี้ทางสว่างอะไรให้ ก่อนที่รอยยิ้มแปลกประหลาดจะผุดขึ้นที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายแล้วเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

         “ดี...งั้นคืนนี้ฉันจะคอยนอนเฝ้าหนูเจียที่นี่เอง”

         “ฮะ!?”

         “ได้ยินแล้วนี้ คืนนี้ฉันจะค้างที่นี่ และนายก็ต้องมานอนกับหนูเจียด้วย”

         “ทำไมล่ะ ในเมื่อคุณก็อยู่!”

         “แต่นายเป็นน้า นายต้องหัดเอาไว้”

         เขาไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย อย่ามายัดเยียดนะ!

         แต่ถึงจะทำท่าเหมือนอยากฆ่าปาดคอคนตรงหน้ามากแค่ไหนราเมศก็หาได้สะทกสะท้านไม่ แถมยังทำท่าเหมือนกำลังสนุกที่ได้เอาคืนเขาอยู่อีกต่างหาก!

          “เอ้า ห้องนอนนายอยู่ไหน นำไปสิ คืนนี้ก็นอนด้วยกันหมดนี่แหละ ให้หนูเจียนอนตรงกลางนะ ถ้าเขาตื่นมากลางดึกนายจะต้องเป็นคนกล่อมให้เขาหลับ”

         “ถ้าทำไม่ได้ล่ะ”

        “ก็ต้องทำให้ได้ ไม่งั้นทั้งนายทั้งฉันก็ไม่ต้องนอนกันทั้งคู่”

         ว่าพลางเดินนำออกไปราวกับรู้ทางในบ้านเป็นอย่างดี แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เดินตามไป ชายหนุ่มผิวแทนก็หันมาเลิกคิ้วด้วยท่าทางกวนประสาทก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งหรือเรียกง่ายๆ ว่ากวนตีนหน้าตายนั่นแหละ “เอ้า ยังไม่มาอีก หรือคืนนี้อยากจะนอนข้างนอก” ว่าพลางยกยิ้มมุมปากทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเฉยเมยนั้นดูเจ้าเล่ห์ขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า “ถ้าอยากค้างข้างนอกพี่ก็ไม่ขัดหรอกนะครับ ดีซะอีกเตียงจะได้กว้างขึ้น ว่าไงครับคืนนี้จะนอนนอกห้องไหม น้องตะวัน

         นับตั้งแต่วินาทีนั้น ปานตะวันก็ร่ำร้องกับตัวเองในใจ...ว่าเขาเกลียดผู้ชายที่ชื่อราเมศที่สุด!

********************************************************

สวัสดีค่าทุกคนนน (กอดก่ายคนอ่าน) ยินดีต้อนรับแล้วก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
ในที่สุดก็ได้เขียนอะไรที่มันมุ้งมิ้งน่ารักสักที อยากเขียนนิยายที่มีเด็กน้อยตัวกลมน่าบีบมานานแล้วค่ะ ><
สำหรับนายเอกเรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างจากเรื่องอื่นพอสมควรเลย เพราะปานตะวัน 'เด็ก' มากๆ
เด็กในที่นี่ไม่ใช่อายุแต่เป็นความคิด ผิดกับเรื่องอื่นที่นายเอกจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ทางความคิดมากๆ
ทุกคนอย่าเพิ่งดีดปานตะวันออกนอกโลกนะคะ  :hao5: สำหรับนิยายเรื่องนี้ก็เป็นนิยายรายสัปดาห์(บ้าง)เช่นเคย
ฝากติดตามด้วยนะคะ สามารถติชมและแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่เลยค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ(โค้ง)

ปล.ตอนที่หนึ่งยาวมาก...
ปล. 2 พระเอกเรื่องนี้ดุกว่าที่ท่านคิดไว้
ปล. 3 ทุกคนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวนิยายและพูดคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 03-12-2016 20:50:03
ปานตะวันจะรับมือยังไงเนี่ยยยยยยยย  o22
คนนึงก็เป็นหลานแท้ๆ ส่วนอีกคนก็คนเลี้ยงหลาน(?) ใครน่าปวดหัวกว่ากัน 5555
รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-12-2016 22:10:47
น่าสนุกดีค่าาา      :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-12-2016 22:15:03
นิสัยเด็กไม่ว่า ขออย่างี่เง่าแล้วกัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 03-12-2016 22:16:49
ปูเสื่อ~
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-12-2016 07:39:25
จะว่าไปแล้ว ตะวันก็น่าสงสารนะ รู้ตัวอีกทีพี่สาวที่รักก็มาตายแล้วไหนเรื่องที่พี่สาวแต่งงานมีลูกก็ไม่ได้รู้เรื่องกับใครเขา มาถึงงานศพก็จัดเสร็จแล้ว แถมยังญาติๆ ที่หวังจะฮุบบ้านและที่ดิน ไหนจะหลาน ถ้าคิดดีๆ ตะวันก็แค่เด็กที่เพิ่งจะ 20 กว่าๆ จะมาจัดการอะไรแบบก็คงจะเกินตัวไปหน่อยนะ แต่ก็อย่างว่าล่ะไหนๆ เรื่องก็เป็นแบบนี้แล้วคงต้องให้เวลาตะวันจัดการกับตัวเองและปรับตัวให้ได้ตัวล่ะนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 04-12-2016 09:22:43
ราเมศนี่ทำให้รู้สึกว่า ไม่ใช่ตัวเองที่ต้องทำนี้จะพูดอะไรก็ได้อยู่แล้ว มากเลยค่ะ555 /ไทยสไตล์มากๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-12-2016 13:43:19
 :pig4: :L2: :L2:

แวะเข้ามาติดตามเรื่องใหม่จ้า :mc4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: zine ที่ 05-12-2016 04:01:01
เปิดเรื่องใหม่แล้ว ดีงาม จะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑ เด็กชายกับเพื่อนบ้าน (๓/๑๒/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-12-2016 10:43:39
จะว่าแต่ตะวันก็ไม่ได้นะ
แล้วพี่สาวเห็นน้องชายเป็นอะไร
เรื่องใหญ่ขนาดมีลูก ทำไมถึงไม่เล่าให้ฟังบ้าง
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 08-01-2017 18:49:25
ปานตะวัน
บทที่ ๒
เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด


        ปานตะวันกำลังฝัน...หรืออย่างน้อยเขาก็คิดว่าสิ่งที่เห็นอยู่เป็นความฝัน แต่ในตอนนี้ตัวเขาเองก็ชักไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นคือความจริงหรือภาพลวงตา
   
        ตอนนี้ปานตะวันกำลังนั่งอยู่ที่ชานเรือนของบ้านทรงไทยที่คุ้นตา  บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัดแต่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวแต่อย่างใด กลิ่นไม้หอมลอยมาตามสายลมทำให้ผ่อนคลาย ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น หัวใจเต้นถี่รัวด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ถูก
   
        มันเหมือนกับว่าเขาควรจะต้องอยู่ตรงนี้ รอคอยใครบางคนที่กำลังจะมา
   
        ตึก ตึก ตึก
   
        เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านหลัง ชายหนุ่มร่างเล็กหันไปมองช้าๆ ก่อนที่ดวงตากลมจะเป็นประกายด้วยความยินดี
   
        “พี่...พี่จันทร์!”
   
        น้ำเสียงใสละล่ำละลักออกมาอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนยิ้มอย่างสงบอยู่เบื้องหน้าคือใคร
   
        หญิงสาวตรงหน้าปานตะวันมีโครงหน้าหวานละมุน ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงอน ริมฝีปากอิ่ม คลี่รอยยิ้มหวานที่คุ้นตาส่งมาให้
   
        ไม่ผิดแน่...คนตรงหน้าเขาคือพี่จันทร์ไม่ผิดแน่!
   
        “พี่จันทร์....พี่จันทร์จริงๆ เหรอ”
   
        “ก็พี่จริงๆ น่ะสิจ๊ะ ไหน...มาใกล้ๆ หน่อยสิ มาให้พี่เห็นตะวันชัดๆ หน่อย”
   
        น้ำเสียงของพี่จันทร์อ่อนโยนหากแต่กลับดูแผ่วเบาคล้ายลอยมาจากที่ไกลแสนไกล
   
        ปานตะวันไม่รอช้ารีบขยับไปหาพี่สาวของตัวเองทันที มืออบอุ่นของพี่จันทร์ประคองสองแก้มเขาไว้พร้อมน้ำเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ย “เหนื่อยหน่อยนะตะวัน ขอโทษด้วยนะ”
   
        “พี่จันทร์จะขอโทษทำไม”
   
        “ขอโทษด้วย....ในหลายๆเรื่องน่ะจ้ะ”
   
        “พี่จันทร์ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จะขอโทษทำไมกัน”
   
        “ไม่หรอก พี่ผิดเต็มๆ เลยล่ะ แล้วก็มีเรื่องอีกตั้งเยอะที่พี่อยากคุยกับตะวัน”
   
        สองพี่น้องทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กันก่อนที่จันทร์จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนอีกครั้ง
   
        “แต่ก่อนอื่นพี่ต้องขอโทษ...ที่ไม่ได้บอกลา”
   
       สิ้นคำนั้นสิ่งที่เหลือมีเพียงความเงียบ ปานตะวันก้มหน้าลง จริงสินะ พี่จันทร์ตายไปแล้ว จากไปโดยไม่ได้บอกลา ถ้าอย่างนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาเผชิญอยู่ก็คงเป็นความฝัน
   
       ขอบตาของคนเป็นน้องร้อนผ่าวขึ้นช้าๆ
   
       อย่างน้อย...ได้บอกลากันในฝันก็ยังดี
   
       ก็ยังดี...
   
        “ตะวันเอง...ก็มีหลายอย่างที่อยากบอกพี่จันทร์เหมือนกัน ตะวันเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน”
   
        ขอโทษที่เขาละเลยพี่สาวของตัวเอง
   
        ขอโทษที่ไม่ได้มาหา ขอโทษที่ไม่ได้รับรู้ปัญหาของพี่ ขอโทษ...ที่ไม่รู้อะไรเลย
   
        “ตะวัน...ฮึก...ตะวันขอ...ขอโทษ”
   
         หยดน้ำใสๆ เอ่อคลอก่อนจะหยดแหมะ...ปานตะวันสะอื้นฮัก ยิ่งพยายามกลั้นสะอื้นหยดน้ำตายิ่งร่วงหล่น เขาขยี้ตาแรงๆ นึกหงุดหงิดที่ร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่แล้วอ้อมกอดอ่อนโยนก็โอบกอดเขาไว้  มือเรียวขาวลูบเส้นผมปานตะวันอย่างอ่อนโยนเหมือนในอดีต
   
        เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กน้อยปานตะวันที่มาร้องไห้งอแงกับพี่สาวทุกครั้ง
   
        “ไม่ร้องสิ เด็กดี เงียบเถอะนะ ตอนนี้พี่ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครคอยปลอบตะวันแบบนี้แล้วนะ”
   
        “พี่จันทร์ก็ไม่ต้องไปไหนสิ” อยู่กับตะวันตลอดไปไม่ได้เหรอ “อย่าไปเลยนะ”
   
        เพราะนอกจากพี่จันทร์...ตะวันก็ไม่เหลือใครแล้ว
   
        จันทร์จ้าวไม่ได้สัญญาว่าจะอยู่กับปานตะวันตลอดไป หญิงสาวยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ คล้ายกับไม่ได้ยินสิ่งที่ปานตะวันร้องขอ
   
        “ต่อไปนี้ตะวันต้องเข้มแข็งแล้วนะ ต้องดูแลตัวเองแล้วก็คนรอบข้างแล้วรู้ไหม”
   
        คำว่า ‘คนรอบข้าง’ ทำให้ปานตะวันชะงัก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวทันที
   
        “พี่จันทร์หมายถึงเจียหลินเหรอ”
   
        จบประโยคนั้นพี่สาวของเขาก็พยักหน้า ดวงตาคู่งามฉายแววเศร้าโศก
   
        “ขอโทษที่ผลักภาระให้ แต่พี่ก็ไม่มีใครนอกจากตะวัน พี่ฝากเจียหลินด้วยได้ไหม...ได้ไหมตะวัน รับปากพี่ ดูแลเจียหลินได้ไหม”
   
        “แต่...แต่ตะวันทำไม่ได้ ตะวันไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน”
   
        “ได้โปรดเถอะ” น้ำเสียงนั้นสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ “ได้โปรดดูแลเจียหลินด้วย”
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลทำท่าจะค้านแต่แล้วทันใดนั้นร่างทั้งร่างของปานตะวันพลันหนักอึ้ง ชายหนุ่มพยายามเปล่งเสียงแต่ก็ไม่ได้ผล ริมฝีปากของเขาขยับไม่ได้ ทำได้เพียงมองพี่สาวที่ส่งยิ้มทั้งน้ำตามาให้
   
        “พี่ฝากเจียหลินด้วยนะปานตะวัน...แล้วก็...ลาก่อนนะ”
   
        พลันสายลมมหาศาลก็พัดผ่านร่างของเขาแล้วจันทร์จ้าว ปานตะวันรู้สึกถึงแรงดึงมหาศาลกระชากเขาออกห่างจากพี่สาว ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่สำเร็จ ภาพของจันทร์จ้าวและบ้านเรือนไทยเลือนรางลงทุกที สิ่งสุดท้ายที่ปานตะวันได้ยินคือเสียงแผ่วเบาของพี่สาวที่ดังแว่วมา
   
        พี่รักตะวันนะ...ได้โปรดใช้ชีวิตและรักเจียหลินเผื่อในส่วนของพี่ด้วยนะจ๊ะ
   
        จากนั้นเขาก็ถูกกระชากออกจากความฝันด้วยเสียงร้องไห้ที่กรีดผ่านความเงียบสงัดยามราตรี
   
        ปานตะวันลืมตาโพลงในความมืด สมองสับสนระหว่างความฝันกับความจริง ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งชายหนุ่มถึงได้ตระหนักว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงในบ้านเรือนไทยและบนโลกนี้ไม่มีผู้หญิงที่ชื่อจันทร์จ้าวอีกแล้ว
   
        เจ้าของเรือนผมสีดำเม้มริมฝีปากก่อนจะหลุบตาลง ซ่อนแววไหวระริกไว้
   
        ใช่...พี่จันทร์ไม่อยู่แล้ว ต้องเข้มแข็งได้แล้ว จะมัวมาร้องไห้เป็นเด็กๆ ไม่ได้แล้ว
   
        จริงสิ...ร้องไห้ ตอนที่สะดุ้งตื่นก็ได้ยินเสียงเหมือนเด็กร้องไห้นี่นา
   
        คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียวหากแต่มีหลานชายหมาดๆ ของตนกับผู้ชายบ้านตรงข้ามมานอนค้างด้วย
   
        ปานตะวันสะบัดผ้าห่มออกก่อนเร่งฝีเท้าเดินไปยังห้องนอนของราเมศกับเจียหลิน ปานตะวันจัดให้ทั้งคู่นอนที่ห้องพักอีกห้องหนึ่งเพราะเตียงที่ห้องนอนเขาเล็กเกินกว่าที่ผู้ชายสองคนกับเด็กเล็กอีกหนึ่งจะมานอนเบียดกันได้ ส่วนที่เขาให้เจียหลินไปนอนกับราเมศเพราะอีกฝ่ายดูสนิทกับเด็กน้อยมากกว่าเขา เด็กเองก็ดูกลัวๆ ปานตะวันอยู่มาก อาจเพราะไม่คุ้น ดังนั้นคืนนี้ให้ไปนอนกับราเมศที่อีกฝ่ายคุ้นเคยมากกว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด
   
        ยิ่งเข้าใกล้ห้องนอนของทั้งคู่เสียงร้องไห้ยิ่งดังชัดเจน คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่ชายหนุ่มจะผลักประตูเปิดพร้อมกับพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”
   
        ราเมศที่นั่งกอดเจียหลินอยู่บนเตียงเงยหน้ามองปานตะวัน ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตว่าใบหน้าของชายหนุ่มเพื่อนบ้านดูอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก
   
       “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจียหลินร้องไห้แบบนั้น”
   
       ฝ่ามือใหญ่ของราเมศลูบหลังเด็กน้อยที่สะอื้นไม่หยุดเบาๆ ก่อนหันมาตอบว่า “เจียหลินหลับๆ ตื่นๆ มาสักพักแล้ว เห็นว่าคิดถึงแม่จันทร์ อยากให้แม่จันทร์มากล่อมนอน พอฉันลองกล่อมให้หลับสักพักก็สะดุ้งตื่นแล้วก็ร้องไห้ คงฝันร้ายน่ะ”
   
         ดวงตาสองคู่สบกันด้วยแววตาลำบากใจ ก่อนที่ปานตะวันจะยื่นมือไปข้างหน้าเป็นเชิงว่าขออุ้มหลานหน่อย ราเมศเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนจะดันตัวเจียหลินออกแล้วส่งให้คนตัวเล็กอุ้ม
   
         ปานตะวันไม่เคยเลี้ยงเด็กและพูดได้เต็มปากเลยว่าการต้องรับมือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กพวกนี้ไม่ได้อยู่ในความสามารถของเขาเลยแม้แต่น้อย ปานตะวันเป็นผู้ชายที่ห่างไกลจากคำว่าอ่อนโยนเสียด้วย ดังนั้นไอ้เรื่องเป็นพระเอกซีรีส์ที่ใจดีรักเด็กน่ะลืมไปได้เลย คุยกับเด็กปกติว่ายากแล้ว การปลอบเด็กที่งอแงตอนตีสองนี่ยากกว่าเดิม แต่ไม่ยังไงเขาก็ต้องลองดูสักตั้ง
   
        “เป็นอะไรไปเจียหลิน นอนไม่หลับเหรอ” คนตัวเล็กถามเด็กน้อยในอ้อมแขนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าอ่อนโยนใจดีที่สุด
   
        ดวงตากลมสีน้ำตาลทอดมองหลานชายที่ก้มหน้านิ่ง ปล่อยหยดน้ำตาให้ร่วงพรูอย่างอ่อนใจ ปานตะวันใช้ชายผ้าห่มซับน้ำตาเด็กน้อย พยายามเบามือที่สุด
   
        “ฝันร้ายเหรอครับ ฝันว่าอะไร บอกน้าตะวันได้ไหม”
   
        เจียหลินยังคงเงียบ เด็กน้อยก้มหน้าก้มตา จับชายเสื้อตัวเองแน่น ไม่พูดกับเขา พอมองแบบนี้แล้วเด็กน้อยตรงหน้าดูเหมือนกระต่ายตัวเล็กๆ ที่ขี้ตกใจไม่มีผิด
   
       “เจียหลิน ถ้าไม่บอกน้าตะวันก็ไม่รู้หรอกนะครับ” ปานตะวันถอนหายใจ “เป็นอะไรก็พูดสิ ร้องไห้ทำไม”
   
       “นี่ จะไปดุเด็กทำไมกัน แค่นี้หนูเจียก็ร้องไห้จะแย่แล้ว”
   
       เสียงห้าวขัดขึ้นเป็นเหตุให้ปานตะวันหันไปถลึงตาใส่ราเมศทันที
   
       “ก็เขาไม่พูดผมจะรู้ปัญหาไหมล่ะ เงียบแบบนี้ไม่รู้หรอกนะว่าอยากได้อะไร”
   
        “ก็พูดให้มันดีๆ หน่อยสิ”
   
        “โอ๋จริงๆ หลานตัวเองก็ไม่ใช่”
   
       “ไอ้เด็กปากเสียนี่ เดี๋ยวพ่อดีดออกนอกโลก”
   
        ปานตะวันขบฟันกรอด นึกอยากสาดคำด่าทั้งมวลที่นึกออกใส่ไอ้คนใจร้ายตรงหน้า แต่สถานการณ์ก็ไม่อำนวยโดยเฉพาะเมื่อเจียหลินเริ่มขยับตัว ตลกดีที่วินาทีที่เด็กคนนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ทั้งเขาและราเมศต่างพร้อมใจกันหยุดต่อล้อต่อเถียงแล้วจ้องเจียหลินตาเป๋งเพื่อรอว่าเด็กน้อยจะทำอะไรต่อไป
   
        มือเล็กๆ ที่ฝ่ามือของปานตะวันกุมได้มิดค่อยๆ เอื้อมมารั้งชายเสื้อของคนตัวเล็กเอาไว้ ก่อนที่น้ำเสียงสั่นเครือจะหลุดออกจากปากเจ้ากระต่ายตัวเล็ก
   
        “เจีย...ฮึก...หนูเจีย...คิดถึง...แม่จันทร์ แม่จันทร์อยู่ที่ไหนครับ ฮึก...เจียจะหาแม่จันทร์”
   
        ปานตะวันชะงัก เด็กน้อยตรงหน้าสะอื้นจนตัวโยน จะว่าไปสองสามวันที่ผ่านมา...หรืออาจจะเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาคงหนักหน่วงสำหรับเด็กวัยเท่านี้น่าดู
   
        บางทีเจียหลินอาจจะไม่รู้หรอกว่าจันทร์จ้าวตายแล้ว...แต่เด็กน้อยก็รับรู้ได้ว่าแม่จันทร์ของตนจะไม่อยู่ข้างกายอีกแล้ว
   
        ปานตะวันหลุบตาลง เอื้อมมือไปรั้งเอาร่างน้อยนุ่มนิ่มมากอดแนบอก ในตอนนั้นชายหนุ่มก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนเองก็เหลือเพียงเด็กคนนี้เช่นกัน
   
        ตอนที่โอบกอดร่างน้อยๆ นั้นไว้ ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์ที่เชื่องระหว่างตนกับเจียหลินเอาไว้ หากแต่ตอนนี้มันช่างบางเบานัก
   
        “น้าตะวันก็คิดถึงเหมือนกัน...คิดถึงแม่จันทร์เหมือนกัน”
   
       “แม่จันทร์...ฮึก...แม่จันทร์...ไปไหน”
   
       ปานตะวันนิ่งไป กดศีรษะเด็กน้อยให้ซุกลงกับบ่าเขา เจียหลินสะอื้นอย่างน่าสงสาร เรียกหาแต่แม่จันทร์ไม่หยุดจนคนเป็นน้าเองก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร  คำตอบเดียวที่นึกออกก็คือ
   
        “แม่จันทร์ไปอยู่บนฟ้าแล้วครับแล้วก็กำลังดูเจียหลินอยู่บนนั้นนะ”
   
        ดวงตากลมโตที่แวววาวด้วยหยดน้ำตาเหลือบขึ้นมอง ก่อนที่น้ำเสียงสั่นเครือจะเอ่ยถามขึ้น
   
         “แล้วบนฟ้า...ไกลไหมครับ”
   
         ปานตะวันยิ้ม หากแต่รอยยิ้มของเขาบิดเบี้ยวเหลือเกิน ขอบตาสองข้างร้อนผ่าว ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ “ไกลสิครับ ไกลมากๆ”
   
        “แล้วแม่จันทร์จะกลับมาไหมครับ”
   
        “มันไกลมาก แม่จันทร์กลับมาไม่ได้หรอกครับ”
   
        “แล้ว...ฮึก...แล้วหนูเจียจะอยู่...จะอยู่กับใคร”
   
         มือเรียวลูบศีรษะเด็กน้อยแผ่วเบา ปานตะวันซุกหน้าลงกับบ่าของเจียหลิน
   
         “อยู่กับน้าปานตะวันไงครับ ต่อจากนี้น้าตะวันจะดูแลหนูเจียเอง อย่าร้องไห้เลยนะ”
   
         แต่ถึงจะพูดว่าอย่าร้องไห้ แต่ในที่สุดหยดน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ร่วงพรูออกมาช้าๆ 
   
         วินาทีนั้นปานตะวันรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน
   
          หลังจากกอดกันและร้องไห้จนปวดตาไปหมดเจียหลินก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ปานตะวันค่อยๆ วางเด็กน้อยลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ในตอนนั้นเองที่ผ้าสีฟ้าผืนเล็กถูกยื่นมาให้
   
         “อะไร”
   
        “เช็ดหน้าซะ ดูไม่ได้เลย”
   
        “ผมไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้สักหน่อย”
   
        ราเมศมองเด็กหัวน้ำตาลที่ทำปากคว่ำแต่ก็ยังดึงผ้าเช็ดหน้าจากมือเขาไปถูๆ ที่ตากับจมูกแรงๆ ชายหนุ่มร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าออก ดุเบาๆ “เช็ดแรงแบบนั้นเดี๋ยวก็เจ็บตาหรอก” ว่าพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายเบาๆ
   
        พอมานั่งพิจารณาแบบนี้แล้วราเมศก็ตระหนักได้ว่าปานตะวันถูกจัดอยู่ในหมวดผู้ชายน่ารักได้อย่างไม่ต้องสงสัย
   
       ไม่...อีกฝ่ายไม่ได้ดูสาวหรือเหมือนผู้หญิงแต่อย่างใด ใบหน้าของคนตัวเล็กตรงหน้าเป็นโครงหน้าที่ติดหวานเหมือนผู้หญิงแต่ก็ยังมีเค้าโครงของความเป็นผู้ชายอยู่ บวกกับนิสัยห้าวๆ ที่ขัดกับหน้าตาเหลือแสนนั่นทำให้ปานตะวันเป็นเด็กที่ทั้งน่าเอ็นดูทั้งน่าโมโห และแน่นอนว่าสำหรับราเมศ น้ำหนักของความน่าโมโหมันมากกว่าเป็นร้อยเท่า
   
        “ขอบคุณครับ” อย่างน้อยเด็กนี่ก็มีมารยาทพอจะพูดคำว่าขอบคุณล่ะนะ
   
        “ตาบวมหมดแล้ว”
   
        “เดี๋ยวก็ยุบ”
   
        “เอาน้ำแข็งประคบไหม”
   
        “ไม่มีน้ำแข็ง”
   
        “มีในตู้เย็น”
   
        “ช่างเถอะครับ”
   
         เด็กตัวยุ่งพูดขึ้น ท่าทางเหนื่อยอ่อน ราเมศมองอีกฝ่ายขยับตัวไปพิงกำแพงโดยระวังไม่ให้เจียหลินตื่นก่อนจะเอาผ้านวมของเขามาพันรอบตัวแล้วก็นั่งเหม่อลอยอยู่แบบนั้น
   
        ระหว่างพวกเขาเหลือเพียงความเงียบจนในที่สุดราเมศก็ต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
   
        “นายโอเคนะ”
   
        “ตอนนี้เหรอ...ไม่เลยครับ”
   
         เขาสังเกตว่าคำพูดของปานตะวันดูสุภาพขึ้น น้ำเสียงที่ใช้ก็อ่อนลง ดูท่าเด็กตรงหน้าคงตัดสินใจได้แล้วว่าเขาไม่มีผิดมีภัยอะไรเลยลดปราการของตัวเองลงเล็กน้อย
   
         “ผมคิดถึงพี่จันทร์”
   
          “ฉันรู้” เขาเองก็คิดถึงจันทร์จ้าวเหมือนกัน
   
        “ตอนพี่อยู่ที่นี่...มีความสุขดีไหมครับ พักหลังผมแทบไม่ได้เจอกับพี่เลย”
   
         ดวงตากลมหันมาสบกับเขาอย่างรอคอยคำตอบ ราเมศขยับตัวอย่างอึดอัด “สบายดี” เขาเลียริมฝีปาก หลบสายตาคู่นั้น
   
         “งั้นเหรอครับ ดีจัง”
   
         ชายหนุ่มผิวแทนเบนสายตาไปมองเจียหลินที่นอนหลับอย่างสงบ พลันในใจรู้สึกหนักอึ้งเหมือนหินถ่วงขึ้นมาอีกครั้ง
   
        “ก่อนหน้านี้ผมฝันถึงพี่ด้วยนะ”
   
        “งั้นเหรอ”
   
        “อื้อ พี่มาบอกลา” ปานตะวันขยับเบียดเข้ามาใกล้อย่างไม่รู้ตัว คนตัวเล็กชันเข่า มองเหม่อไปอย่างไร้จุดหมาย  “พี่มาเข้าฝันคุณด้วยหรือเปล่า”
   
        ราเมศชะงักก่อนเหยียดยิ้มออกมา โชคดีที่ปานตะวันไม่เห็นรอยยิ้มของเขา เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นและบิดเบี้ยวเหลือเกิน
   
        “ไม่มาหรอก” เธอคงเกลียดฉันมากเกินกว่าจะมาหา แน่ล่ะว่าประโยคนี้เขาไม่ได้พูดออกไป

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 08-01-2017 19:11:21
        พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้งก่อนที่เสียงเล็กๆ จะค่อยๆ กระซิบขึ้น
   
        “นี่...ผมขอโทษนะ” ราเมศขมวดคิ้ว หันไปมองเด็กข้างตัวอย่างงุนงงแล้วก็พบว่าปานตะวันกำลังจ้องผ้าห่มอย่างเอาเป็นเอาตาย มือเล็กๆ คู่นั้นทั้งบีบทั้งขยี้ผ้าห่มเล่นเหมือนคนทำตัวไม่ถูก และถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด ใบหูเล็กๆ ของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยเช่นกัน
   
        “ขอโทษเรื่องอะไร”
   
        “ที่ก่อนหน้านี้ผมทำตัวไม่ดี”
   
         ริมฝีปากได้รูปยกยิ้ม รู้สึกสนุกที่เห็นคนเคยปากเก่งกำลังอุบอิบขอโทษเขาอยู่ พอเป็นแบบนี้แล้วชักอยากแกล้งขึ้นมานิดหน่อย
   
         “นายพูดอะไรนะฉันไม่ได้ยิน”
   
         เท่านั้นแหละเด็กแสบก็เงยหน้าขึ้น ถลึงตากลมๆ ใส่เขาแล้วตวัดเสียง “บอกว่าขอโทษที่ผมทำตัวไม่ดี ที่พูดจาไม่สุภาพ ทำตัวก้าวร้าว พอใจหรือยังครับ!” พูดจบก็ทำปากคว่ำฟึดฟัดใส่ ราเมศต้องกลั้นขำจนปวดแก้ม เขาแสร้งตีหน้าดุ ก่อนพูดว่า “อย่าเสียงดัง หนูเจียหลับอยู่”
   
        ปานตะวันสะดุ้ง เหลือบไปมองเด็กน้อยอย่างหวาดๆ ว่าเจ้าตัวจะตื่นมาอีกหน ชายหนุ่มผิวแทนยิ้มขำ “แล้วก็ได้ยินแล้วล่ะว่าสำนึกผิด เด็กดีๆ”
   
        “แกล้งผมเหรอ”
   
        “เปล่าสักหน่อย ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกัน”
   
        พอได้ยินแบบนั้นเด็กแสบก็เลิกอาละวาด ปานตะวันเอนตัวพิงผนังห้องอีกรอบก่อนจะอ้าปากหาว ราเมศจึงไล่อีกฝ่ายไปนอนแต่เด็กดื้อกลับส่ายหน้า
   
        “ไม่อยากนอนตอนนี้หรอกครับ”
   
        “แต่นายง่วงแล้ว”
   
        “ไม่อยากหลับนี่นา”
   
        “ทำไมล่ะ”
   
        ปานตะวันนิ่งไปครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร ราเมศเองก็ไม่อยากนอน อันที่จริงแล้วเขายังไม่ได้หลับเลยต่างหาก สมองของเขาวุ่นวายเกินกว่าจะข่มตานอน
   
        ดวงตาคมเหลือบมองเจียหลินที่หลับสนิทอยู่พลันความรู้สึกหนักอึ้งก็เข้าเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง
   
        ปานตะวันถามเขาว่าทำไมถึงได้โอ๋เจียหลินนัก หลานตัวเองก็ไม่ใช่ ราเมศรู้ตัวดีว่าเขาก้าวข้ามเส้นของคำว่าเพื่อนบ้านมามากแล้ว เขาเข้ามายุ่งวุ่นวายจนปานตะวันสงสัย แต่เขาปล่อยเจียหลินไปไม่ได้จริงๆ ราเมศรู้อยู่เต็มอกว่าเจียหลินเป็นความรับผิดชอบของเขา ยังไงก็ทิ้งไปไม่ได้
   
        บางทีถ้าจันทร์ยังอยู่เธออาจจะไม่ให้เขาเข้าใกล้เจียหลินขนาดนี้ก็ได้ ก็นะ...เขาทำกับเธอไว้ตั้งขนาดนั้น แต่ตอนนี้จันทร์จ้าวไม่อยู่แล้ว ราเมศไม่สามารถทำเมินเฉยกับเลือดเนื้อเพียงหนึ่งเดียวของหญิงสาวได้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาต้องรับผิดชอบเด็กคนนี้
   
        แม้ว่าจันทร์จ้าวจะไม่ต้องการก็ตาม
   
        ราเมศไม่คิดว่าปานตะวันจะดูแลเจียหลินได้ดี อีกฝ่ายไม่เคยเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลเด็กมาก่อนและดูเหลาะแหละเหมือนทำอะไรไม่เป็นเลย เขาไม่ไว้ใจให้หนูเจียอยู่ในความดูแลของปานตะวันแน่ๆ เพราะอย่างนั้นราเมศจะขออยู่ดูแลเจียหลินด้วย นี่คือสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้เพื่อจันทร์จ้าว เพื่อเจียหลินและเพื่อตัวเอง
   
        “นี่ คุณว่าผมจะดูแลเด็กได้ดีไหมนะ” น้ำเสียงสั่นไหวดึงเขาออกจากภวังค์ ชายหนุ่มเหลือบมองคนข้างกาย ตอบสั้นๆ “นั่นก็ขึ้นอยู่กับนาย”
   
       “คุณรู้ไหมว่าวันนี้มันหนักมากเลยสำหรับผม ต้องมาบ้านที่ไม่ได้กลับมานานเพื่อมาไหว้กระดูกของพี่ มาเจอเด็กที่เป็นลูกแถมยังต้องกลายมาเป็นผู้ปกครองของเด็กอีก ทั้งๆ ที่ไม่เคยเตรียมตัวกับอะไรแบบนี้มาก่อนเลยแท้ๆ” ปานตะวันถอนหายใจเบาๆ “ผมกลัวมากๆ เลยล่ะ”
   
        ราเมศไม่ได้ตอบอะไร เขานั่งเงียบ คนข้างตัวเองก็เงียบไป เนิ่นนานทีเดียว ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นบริเวณไหล่ซ้าย ปานตะวันเผลอหลับไปจนได้ เด็กน้อยนั่นเอนศีรษะมาซบเขา ใบหน้ายามหลับของชายหนุ่มตัวเล็กดูสงบนิ่งไร้พิษสง เปลี่ยนจากเด็กแสบตัวร้ายกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ หนึ่งตัว
   
       ชายหนุ่มลูบผมของปานตะวันเบาๆ เส้นผมของอีกฝ่ายนุ่มลื่นกว่าที่คิดไว้ เด็กน้อยครางเบาๆ ในลำคอก่อนเบียดซุกเข้ามา
   
       ราเมศถอนหายใจ มองปานตะวันก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเจียหลิน ดวงตาสีนิลฉายแววเศร้าสร้อยลึกล้ำ
   
        อะไรที่เป็นความลับก็ควรเป็นความลับต่อไปใช่ไหม ความจริงบางเรื่องไม่รู้เสียยังดีกว่า...ใช่ไหมจันทร์จ้าว
   
        เช้าวันต่อมาปานตะวันตื่นสาย คนตัวเล็กยันตัวลุกขึ้น ใช้มือขยี้ผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงของตนก่อนจะหันมองรอบตัวแล้วก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง คิ้วเรียวขมวดฉับก่อนจะค่อยๆ ไล่เรียงเหตุการณ์ในหัว เมื่อคืนเขาได้ยินเสียงเจียหลินร้องเลยเดินมาดู แล้วก็อยู่คุยกับราเมศต่อ จากนั้น...คงจะเผลอหลับไปสินะ
   
        คนตัวเล็กยกมือปิดหน้า รู้สึกได้ว่าสองแก้มร้อนผ่าว เมื่อวานเขาคงทำตัวอ่อนแอน่าสมเพชออกไปสินะ น่าอายชะมัด
   
        ว่าแต่ราเมศไม่อยู่ หายไปไหนกันนะ
   
        ปานตะวันมองไปข้างกายก็พบว่าข้างตัวเหลือเพียงเจียหลินที่หลับสนิทอยู่ แต่ราเมศนั้นหายไปแล้ว ช่างเถอะอาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้
   
        เขายักไหล่ก่อนจะขยับตัวลงจากเตียง การเคลื่อนไหวนั้นเองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงปรือตาขึ้นช้าๆ เจียหลินยันตัวลุกขึ้น มองไปรอบๆ อย่างมึนงงพลางใช้กำปั้นน้อยๆ ของตัวเองขยี้ตา
   
        ปานตะวันคลี่ยิ้มก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าเจียหลิน ลูบผมนุ่มๆ ของอีกฝ่าย
   
        “ตื่นแล้วเหรอครับ”
   
        แม้ว่าจะพยายามฉีกยิ้มเอาใจเด็กยังไงแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคืออาการนิ่ง เงียบ ใบหน้าน่ารักนั้นไม่แสดงสีหน้าอะไร เจียหลินหลบตา พยักหน้าหงึกหนึ่งที
   
        ปานตะวันกะพริบตาปริบ ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป จริงสิ...ตื่นมาแล้วก็ต้องอาบน้ำสินะ เจียหลินอาบน้ำเองได้หรือยังเนี่ย
   
        “เอ่อ...งั้นไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่าเนอะ”
   
        หงึก
   
        พยักหน้ากลับมาอีกหนึ่งที
   
        “เอ่อ ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าของเจียหลินอยู่ที่ไหนเอ่ย”
   
        สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ปานตะวันลองถามอีกสองสามรอบเจียหลินก็ยังคงเงียบ สิ่งที่ตอบสนองกลับมาคือการส่ายหน้ากับพยักหน้าเท่านั้น ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งคุยอยู่กับตุ๊กตาหัวสั่น
   
        สุดท้ายแล้วปานตะวันก็ต้องออกเดินไปไล่เปิดห้องต่างๆ ในบ้านเพื่อตาหาเสื้อผ้าของหลานชาย จนมาถึงห้องใหญ่สุดในบ้าน ห้องนั่งถูกใส่กุญแจไว้ ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปหยิบกุญแจมาไข เมื่อเปิดออกก็พบว่าห้องนั้นคือห้องของจันทร์จ้าวนั่นเอง
   
        ร่างเล็กหยุดนิ่งอยู่ที่กรอบประตู เหม่อมองข้าวของที่ยังวางอยู่เหมือนเดิม ห้อนี้มีกลิ่นอายของจันทร์จ้าวอยู่เต็มเปี่ยม ผ้าม่านลายลูกไม้สีส้มอ่อนแบบที่พี่สาวเขาชอบ เครื่องสำอาง เสื้อผ้าพับเป็นระเบียบ ตุ๊กตาสองสามตัวที่น่าจะเป็นของหลานชายวางอยู่บนเตียง กรอบรูปมากมายตั้งอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง ปานตะวันเดินเข้าไปใกล้ พินิจดูรูปเหล่านั้นด้วยดวงตาหลากหลาย
   
       รูปของพวกเขาตอนยังเด็ก รูปของพ่อ รูปของเจียหลินตอนแรกเกิด 
   
        ชายหนุ่มถอนหายใจ ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตว่าไม่มีรูปของพี่เขยตัวเองเลยสักรูปเดียว แม้จะสงสัยแต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ เขาหันหลังให้รูปเหล่านั้นก่อนจะเร่งมือหยิบเสื้อผ้าของเจียหลินกับผ้าเช็ดตัวลายการ์ตูนออกมา ชายหนุ่มรีบร้อนออกจากห้องนั้นเพราะหากอยู่นานกว่านั้นเขาจะต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ
   
        เมื่อกลับมาที่ห้องเดิมปานตะวันก็พบว่าเจียหลินนั่งอยู่ที่เดิม ก้มหน้าไม่พูดจาจนเขาชักสงสัยว่าเด็กคนนี้ปกติเป็นแบบนี้ตลอดหรือเป็นเฉพาะกับเขา แต่ตอนคุยกับราเมศก็ดูปกติดี
   
       บางทีเด็กอาจจะยังไม่คุ้นกับเขา
   
         พอคิดได้แบบนี้ปานตะวันจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปหาหลานชายของตน “น้าตะวันเอาเสื้อผ้ามาแล้ว ไปอาบน้ำกันเถอะครับ”
   
        ปานตะวันอุ้มเจียหลินออกจากห้อง ตรงไปที่ห้องน้ำ ชายหนุ่มบีบยาสีฟันให้เจียหลิน เด็กน้อยก็ก้มหน้าก้มตาแปรงฟัน สีหน้ายังคงนิ่งเรียบและไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามาคุยกับเขาแต่อย่างใด
   
       หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จปานตะวันก็จับเจียหลินอาบน้ำและสระผม เด็กน้อยนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาให้เขาทำตามใจ จนชายหนุ่มคลายใจว่าการเลี้ยงเจียหลินคงไม่ยากอย่างที่คิด
   
       จนกระทั่งมาถึงตอนใส่เสื้อน่ะนะ
   
          เสื้อที่ปานตะวันหยิบมาให้เจียหลินใส่เป็นเสื้อยืดสีเหลืองอ่อนลายลูกเจี๊ยบกับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ตอนหยิบมาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักจนกระทั่งเจียหลินจับเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่ด้วยสีหน้าแปลกๆ
   
         “เป็นอะไรไปครับ” ปานตะวันถามอย่างสงสัย เจียหลินกำชายเสื้อแน่นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “อยากใส่พี่หมี” ปานตะวันกระพริบตาปริบ พี่หมีคืออะไร อะไรคือพี่หมี...

         “เอ่อ น้าตะวันไม่เห็นเสื้อพี่หมีนะครับ น้องเจียใส่ตัวนี้ไปก่อนได้ไหม”

         “อยากใส่เสื้อพี่หมี” คิ้วเล็กๆ เริ่มขมวดหากัน “วันนี้วันเสาร์ ต้องใส่เสื้อพี่หมี”

         เอ้า มีใส่เสื้อตามวันด้วย  ไอ้ตะวันอยากสะบัดตีนก่ายหน้าผาก แต่พอเห็นหลานตัวน้อยเม้มปาก ทำท่าจะร้องไห้ได้แต่ยอม “โอเคๆ พี่หมีก็พี่หมี แล้วเสื้อพี่หมีเป็นยังไง บอกน้าตะวันได้ไหมครับ”

         สุดท้ายปานตะวันก็ต้องยอมเดินกลับไปคุ้ยหาเสื้อพี่หมีอะไรนั่นอีกครั้ง แต่สุดท้ายหลังจากรื้อเสื้อเด็กออกมาจนหมดลิ้นชักก็หาไม่เจอ ชายหนุ่มจึงเดินไปที่ห้องซักเสื้อผ้าที่ตั้งเครื่องซักผ้าเอาไว้ ในนั้นมีตะกร้าใส่ผ้ารอซักอยู่ตะกร้าหนึ่ง พอคุ้ยๆ ดูก็พบเสื้อแขนสั้นสีขาวแบบมีฮู้ดคลุมผมเป็นรูปหน้าหมีอยู่ตัวหนึ่ง

         แต่ถึงจะหาเจอก็เอาไปใส่ไม่ได้เพราะยังไม่ได้ซัก ทำยังไงล่ะทีนี้

         ปานตะวันถอนหายใจก่อนเดินย้อนกลับไปหาเจียหลิน

          “ขอโทษด้วยนะน้องเจีย เสื้อพี่หมียังไม่ได้ซักเลย วันนี้น้องเจียใส่พี่ลูกเจี๊ยบไปก่อนแล้วกันเนอะ เอาไว้วันนี้น้าตะวันจะซักพี่หมีให้แล้วค่อยใส่พรุ่งนี้เนอะ ดีไหมครับ”

         เจียหลินเม้มริมฝีปาก คิ้วเล็กขมวดมุ่นก่อนจะพยักหน้ารับ พอเห็นแบบนั้นปานตะวันก็แอบถอนหายใจ ดีที่เจียหลินไม่งอแง

        สองน้าหลานพากันเข้าไปในห้องครัว หลังจากก้มๆ เงยๆ ดูของสดในตู้อยู่พักหนึ่งปานตะวันก็ตัดสินใจหันมาหาเจียหลิน “น้องเจียอยากกินอะไรครับ” เจียหลินก้มหน้างุด ไม่ตอบ ปานตะวันจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เจียอยากกินอะไรครับ บอกน้าตะวันเร็ว น้าตะวันจะได้ทำให้กิน”
   
         สิ่งที่ได้รับกลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบ ปานตะวันได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สุดท้ายก็หยิบนมออกมากล่องหนึ่ง ค้นตู้กับข้าวไปมาก็เจอขนมปังแผ่น ดูแล้วยังไม่หมดอายุ ชายหนุ่มก็หยิบมาทาแยมที่ค้นเจอจากในตู้เย็น ทำเป็นแซนด์วิชง่ายๆ ก่อนวางใส่จานให้เด็กน้อย
   
         “เอ้า ทานเร็วครับ”
   
         เด็กน้อยแก้มป่องมีสีหน้าลังเลก่อนจะหยิบขนมปังขึ้นมากัด...จากนั้นก็เบะปากออกมา
   
         แล้วก็เริ่มร้องไห้
   
         ปานตะวันอ้าปากค้าง ยกมือกุมศีรษะแล้วกรีดร้องออกมา
   
         กูทำอะไรผิดอีกเนี่ย!
   
          ถอนคำพูด ขอถอนคำพูดว่าเจียหลินเลี้ยงง่าย ไอ้ตะวันเชื่อแล้วว่าเด็กที่ไหนแม่งก็ไม่มีคำว่าเลี้ยงง่ายทั้งนั้น โว้ย อยากจะบ้า
   
          “เจียเป็นอะไรครับ ไม่อร่อยเหรอ หรือแยมหมดอายุ” แต่ตะกี้ที่ดูทั้งแยมทั้งขนมปังก็ยังไม่หมดอายุนี่นา แล้วเด็กนี่เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย
   
        “ไม่ชอบ...ฮึก...เจีย...ไม่ชอบสตรอเบอรี่”
   
        เอ้าชิบหายละ แล้วก็ไม่พูดตั้งแต่แรก ไอ้เขาไม่รู้ก็ปาดแยมสตรอเบอรี่ไปเต็มที่เลยสิ
   
        “งั้นก็ไม่ต้องกินแล้วครับ แล้วหนูเจียอยากกินอะไรครับ บอกน้าตะวันสิ” เจียหลินปาดน้ำตาออกพลางตอบ “อยากกินข้าวต้มหมูสับครับ”
   
        แล้วถามว่าไอ้ตะวันทำเป็นไหม...คำตอบคือไม่
   
        “กินไข่ดาวแทนได้ไหมครับ”
   
        “น้องเจียอยากกินข้าวต้มหมูสับ”
   
         ไม่ว่าเปล่าแต่เด็กน้อยยังช้อนตาขึ้นมอง แม้สีหน้าจะเรียบนิ่งแต่ดวงตากลมคู่นั้นก็เต็มไปด้วยแววออดอ้อนจนคนมองใจอ่อนเป็นรอบที่ล้าน สุดท้ายเจียหลินก็ต้องเดินไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเปิดวิธีการต้มข้าวต้ม ก่อนจะเริ่มทำแบบช้าๆ แต่ด้วยความที่เขาทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากต้มมาม่า การทำข้าวต้มครั้งแรกให้ออกมากินได้คงเกินมือไปหน่อย หลังจากทำข้าวไหม้ติดก้นหม้อไปปานตะวันก็คิดว่าตนควรหยุดสร้างความหายนะให้ห้องครัวได้แล้ว
   
         ชายหนุ่มหันหน้าไปหาเจียหลินที่ขยับจมูกฟุดฟิดเพราได้กลิ่นไหม้ก่อนจะยิ้มแหยๆ ออกมา
   
        “น้าตะวันว่าวันนี้เราออกไปทานข้าวนอกบ้านกันดีกว่านะครับ” ให้เขาทำคงไม่ได้กินกันล่ะ “รอแป็ปนะ เดี๋ยวน้าตะวันอาบน้ำแต่งตัวก่อนแล้วเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน”
   
        “เจียอยากกินข้าวต้ม...ข้าวต้มฝีมือแม่จันทร์”
   
        ปานตะวันเม้มริมฝีปากก่อนจะพยายามยิ้มออกมา ลูบหัวเด็กน้อยไปหนึ่งที “เดี๋ยวน้าตะวันมานะครับ”
   
         ชายหนุ่มเดินไปหยิบเสื้อผ้าก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไป พรูลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะพลิกดูฝ่ามือที่แดงจากการถูกหม้อร้อนๆ เมื่อครู่ ชายหนุ่มยื่นมือไปรองใต้ก๊อกน้ำ ให้น้ำเย็นไหลผ่าน
   
        การเลี้ยงเด็กไม่ง่ายเลยจริงๆ
   
        หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จปานตะวันก็กลับมาในครัวอีกครั้งแต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเจียหลินไม่อยู่ในครัวแล้ว คนตัวเล็กรีบออกเดินตามหาตามห้องต่างๆ พลางตะโกนเรียกแต่ก็ไม่พบ ปานตะวันรีบวิ่งลงไปข้างล่าง ตามหาบริเวณสวนแต่ก็ไม่เจอ
   
         เจียหลินหายไปไหน!
   
         วินาทีนั้นความหวาดกลัวก็แล่นปราดไปทั่วร่าง บางทีเจียหลินอาจจะเดินออกจากบ้านไปไหนสักที่ แต่มันที่ไหนกันล่ะ แล้วทำไมถึงไม่บอกเขา  จู่ๆ ออกไปเฉยๆ ได้ยังไง
   
         ปานตะวันวิ่งพรวดออกจากบ้าน มองซ้ายมองขวาหาเงาของเจียหลิน แต่แล้วเขาก็ชะงัก เพ่งมองไปยังบ้านหลังตรงข้าม คนตัวเล็กเลิกคิ้วอย่างฉงนเมื่อเห็นราเมศยืนอยู่หลังประตูรั้วสีน้ำเงิน ชายหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้วเหมือนจะดุ กวักมือเรียกเขาให้เข้าไปหา
   
         “เจียหลินอยู่ในบ้าน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ “วิ่งมาหาเมื่อกี้ ขอให้ทำข้าวต้มให้กิน ฉันเลยทำให้ ตอนนี้กำลังกินอยู่” อีกฝ่ายกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “แล้วทำไมถึงปล่อยให้เจียหิวขนาดนี้ สิบโมงกว่าแล้วนะ”
   
         ปานตะวันเบนสายตาหลบ มือกำผ้าเช็ดผมผืนเล็กที่พาดคอไว้แน่น “ผมทำข้าวเช้าให้แล้วนะแต่เจียไม่กิน”
   
         “ทำอะไรให้”
   
         “แซนด์วิชกับนม แต่เจียไม่กินแยมสตอเบอรี่ เขาขอให้ผมทำข้าวต้มให้”
   
         “แล้วไงต่อ”
   
         “ผม...ทำไม่เป็น...ข้าวเลยไหม้ติดหม้อ...กินไม่ได้”
   
          ยิ่งพูดยิ่งอาย  ปานตะวันไม่เงยหน้ามองราเมศด้วยซ้ำคนผมน้ำตาลเอาแต่เพ่งพินิจรองเท้าตัวเองประหนึ่งจะหาลายแทง เงียบกันอยู่นานจนในที่สุดชายหนุ่มผิวแทนก็ถอนหายใจออกมา
   
          “เข้าใจล่ะ”
   
         เสียงเปิดประตูรั้วทำให้ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมองอย่างฉงน จากนั้นก็ร้องโวยวายออกมาเมื่อถูกลากเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มตัวเล็กถูกดึงเข้าไปในครัวก่อนจะถูกจับให้นั่งลงตรงข้ามกับเจียหลินที่นั่งกินข้าวต้มตุ้ยๆ เด็กน้อยพอเห็นเขาก็เบิกตากว้างก่อนจะรีบก้มหน้าหลบตา ไม่พูดอะไร
   
          ปานตะวันมองราเมศที่เดินตีหน้ายักษ์เข้ามาอย่างประหลาดใจปนหงุดหงิด ชายหนุ่มผิวแทนหันไปมองหลานชาย “หนูเจียอิ่มหรือยังครับ”
   
        “อิ่มแล้วครับ”
   
         เจียหลินพูดค่อยๆ ท่าทางเหมือนกลัวปานตะวันนักหนาทำเอาคนเป็นน้าแท้ๆ ต้องแค่นยิ้มออกมา ราเมศลูบหัวเด็กน้อยสองสามทีก่อนจะบอกเจียหลินเอาชามไปวางในอ่าง ล้างมือล้างปากให้เรียบร้อยแล้วก็หยิบนมมากินหนึ่งกล่องด้วย
   
         หลังหลานชายออกไปจากครัวแล้วราเมศก็ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเด็กแสบ กอดอกตีหน้าดุเหมือนกำลังสอบสวนผู้ร้าย
   
         “เอาล่ะปานตะวัน ฉันถามจริงๆ นะ นอกจากต้มมาม่าแล้วนายทำอะไรเป็นบ้าง”
   
         ปานตะวันเลิกคิ้วตอบออกไป “ไม่เป็นเลยสักอย่างเดียว” อายก็อายหรอกนะที่ทำกับข้าวไม่เป็น แต่แล้วยังไงล่ะ เพื่อนเขาอีกหลายคนก็ทำอาหารไม่เป็น เขาเป็นผู้ชายนะ นี่คือสิ่งที่ผู้ชายต้องรู้เหรอ!
   
         “อย่ามองผมแบบนั้นนะ ทำไมอ่ะ เพื่อนผู้หญิงหลายคนที่ผมรู้จักก็ทำกับข้าวไม่ได้ ผมไม่ผิดสักหน่อย”  ปานตะวันรีบพูดปกป้องตัวเองเมื่อราเมศมองเขาด้วยสายตาระอาใจ สายตาคู่นั้นเหมือนจะบอกว่าแค่ทำอาหารง่ายๆ ก็ทำไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ โตมาแบบไหนกัน
   
         “นายต้องหัดทำ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ถ้าวันนี้ฉันไม่อยู่บ้านนายจะทำยังไง ทำอะไรก็ไม่เป็นนอกจากมาม่าแบบนี้ จะพากันอดตายทั้งน้าทั้งหลานหรือไง”
   
        “แล้วข้าวกล่องอีซี่โกกับร้านอาหารมีไว้ทำไมล่ะครับ แหม่”
   
        “แล้วใจคอนายจะพาหลานไปกินข้าวนอกบ้านกับให้กินอาหารแช่แช็งที่ไม่มีประโยชน์กับสุขภาพไปตลอดเลยหรือไง” คนตัวโตพูดเสียงเข้ม “รู้อะไรไหม กินข้าวที่ไหนก็ไม่ดีเท่ากินฝีมือของคนที่บ้านหรอก”
   
        ปานตะวันเงียบไป ในใจก็เห็นด้วยกับคำพูดราเมศแม้จะไม่อยากยอมรับ
   
        เมื่อก่อนตอนเขายังเป็นเด็ก ทุกวันจะได้กลับจากโรงเรียนมาทานข้าวเย็นที่บ้าน พ่อของเขาทำอาหารเป็น แน่ล่ะว่ามันไม่ได้อร่อยเลิศที่สุดแต่ปานตะวันก็ชอบกับข้าวของพ่อมากที่สุด แม้รสชาติจะไม่ธรรมดาแต่ปานตะวันคิดว่าอร่อยมากกว่าตามร้านอาหารทุกที่และเขาก็กินจนหมดทุกครั้ง
   
        “ทำไม่เป็นก็ต้องหัด ไม่มีใครเก่งแต่เกิดหรอก”
   
        “ผมไม่มีปัญญาไปเข้าคอร์สทำอาหารหรอกนะ”
   
         ราเมศหรี่ตามองเขาก่อนจุดยิ้มมุมปาก ส่งให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นดูดีขึ้นไปอีก เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะราวกับจะกลั่นแกล้ง  “แล้วใครว่าฉันจะให้นายไปลงคอร์สทำอาหารกันล่ะ ฉันก็ทำอาหารได้ สอนให้นายทำเป็นคงไม่ได้ยากเกินความสามารถหรอก แต่นายต้องมาเรียนทำอาหารที่นี่ทุกวัน วันละอย่าง เข้าใจไหม”
   
        “นี่คุณเป็นพวกคอมมิวนิสต์หรือไง บังคับอยู่ได้!”
   
        “ก็นายมันดื้อ”  ดื้อจนน่าตี  “กับเด็กแบบนายต้องพูดแบบนี้แหละ”
   
        “แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณทำอร่อยจริง ไม่ใช่มาโม้ไปอย่างนั้น  อ้อแล้วก็ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนหรอกนะ”
   
         “ฉันไม่เก็บตังค์ ถือว่าทำเพื่อหลาน ส่วนที่ว่าฝีมือฉันอร่อยไม่อร่อย นายก็พิสูจน์ดูเองสิ”
   
         ว่าตบก็เดินไปที่หน้าเตาซึ่งมีหม้ออยู่หม้อหนึ่ง ราเมศเปิดฝาหม้อ ควันสีขาวลอยขึ้นพร้อมกลิ่นหอมของข้าวต้มลอยอวลไปทั่ว ชายหนุ่มผิวแทนตักข้าวต้มใส่ถ้วยก่อนวางลงตรงหน้าไอ้เด็กดื้อ
   
         “กินสิ”
   
         “อะไร”
   
        “ข้าวต้มฝีมือฉันเอง นายลองชิมสิ ยังไม่ได้ทานอะไรมาเหหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
   
         ปานตะวันย่นจมูกใส่ก่อนจะหันไปมองคนที่แสร้งเลิกคิ้วด้วยท่าทางหงุดหงิด แต่กระนั้นก็ยอมตักข้าวต้มเข้าปากแต่โดยดี
   
         อร่อย...อร่อยแฮะ ผิดจากที่คิดไว้เยอะเลย
   
         ราเมศอมยิ้มด้วยท่าทางเหนือกว่า “อร่อยล่ะสิ”
   
        “เปล่าสักหน่อย”
   
        “หน้านายมันฟ้อง”
   
       “ฮึ่ย!”   
   
         “อร่อยก็กินไปไม่ต้องวางฟอร์มหรอก มีอีกเยอะ ไม่พอเติมได้นะ” ราเมศวางขวดพริกไทยลงตรงหน้าคนผมน้ำตาล “เชื่อหรือยังล่ะว่าฉันมีฝีมือ ทีนี้นายก็ยอมมาเรียนทำอาหารกับเสียดีๆ”
   
        คนอายุน้อยกว่าได้ฮึดฮัดในใจก่อนจะพยักหน้ากลับไป “รู้แล้วน่า ย้ำจัง”
   
        ราเมศหัวเราะหึ เดินไปหยิบแก้วน้ำกับขวดน้ำมาวางไว้ไห้ จากนั้นก็เดินออกไปดูเจียหลิน เมื่อเห็นว่าหลานเปิดทีวีดูตาแป๋วก็กลับเข้ามาในครัวเพื่อจัดการคนเป็นน้าต่อ
   
        ราเมศเดินไปยืนอยู่ด้านหลังปานตะวัน มือใหญ่ดึงผ้าขนหนูที่พาดคอคนตัวเล็กมาไว้ในมือก่อนจะเช็ดผมให้อีกฝ่าย
   
        “เฮ้ ทำอะไรเนี่ย”
   
        “กินไปเถอะน่า” เขาดุ “ปล่อยผมเปียกแบบนี้ไม่ดีนะ นายนั่งกินไป เดี๋ยวเช็ดผมให้”
   
        เจ้าเด็กแสบบ้านตรงข้ามนิ่งไป ราเมศก้มมองก็เห็นใบหูเล็กๆ ของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกแล้ว เขาหัวเราะเสียงทุ้ม แกล้งโยกศีรษะอีกคนเบาๆ จากนั้นก็เช็ดผมให้ร่างเล็กต่อไปเรื่อยๆ 
   
        น้ำหนักพอดีที่กดลงมาบนศีรษะไม่ได้ทำให้เจ็บแต่อย่างใด ปานตะวันเม้มริมฝีปาก กินข้าวต้มไปก็นั่งบ่นผู้ชายใจร้ายด้านหลังไปด้วย
   
        คนอะไรเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดุเดี๋ยวทำดี
   
        ตามไม่ทันแล้ว
   
         ปานตะวันถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง  การเลี้ยงเด็กว่ายากแล้วแต่การรับมือพี่เลี้ยงเด็กบ้านตรงข้ามก็ไม่ได้ง่ายไปกว่ากันเท่าไหร่เลยจริงๆ


************************************************************

สวัสดีค่าาาา กลับมาแล้วหลังจากหยุดปีใหม่ไปนาน ลงตอนใหม่รับปีใหม่ได้แล้วในที่สุด
พอเขียนตอนนี้ก็รู้สึกว่า...ทำไมมันเหมือนจะดราม่าตั้งแต่ต้นเรื่องเลยหว่า 55555
อีกอย่างที่ชอบคือปานตะวันค่ะ ถึงจะทำอะไรไม่เป็นแต่ก็กำลังพยายาม จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นเด็กไม่ดี
แต่เป็นเด็กปากไม่ตรงกับใจต่างหาก ต้องให้พี่เมศง้างปากบ่อยๆ  :hao7:
ตอนนี้ไม่รู้จะเหนื่อยใจแทนใคร แทนปานตะวันที่ต้องรับมือทั้งหลานทั้งเพื่อนบ้านหรือแทนพี่เมศที่ต้องรับมือเด็กดื้อ
55555555
ตอนต่อไปจะมาอาทิตย์หน้านะคะ ไม่แน่ใจว่าเสาร์หรืออาทิตย์ แงงง
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อยากบอกอะไร อยากติชมตรงไหนบอกได้เต็มที่เลยค่ะ
พบกันตอนต่อไปนะคะ จุ๊บ

ปล. สามารถติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 08-01-2017 19:14:51
สนุกมาก ชอบ เขียนดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 08-01-2017 19:48:59
เรื่องใหม่ของคุณ snowrabbit  :mc4:
เริ่มเรื่องมาก็น่ารักปนเศร้าแล้ว แต่โทนคงแนวอบอุ่นไม่ดราม่ามาก ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 08-01-2017 20:01:00
ตามๆ น้องเจียยังไม่คุ้นสินะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-01-2017 20:15:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-01-2017 21:55:49
ทำไมราเมศถึงคิดว่าแม่ของเจียหลินเกลียดตัวเองล่ะ ที่แท้แล้วราเมศเป็นพ่อของเจียหลิน โดยการข่มเหงจันทร์จ้าวหรือเปล่า หรือว่าราเมศแอบรักเพื่อนตัวเองจนไปมีอะไรด้วยโดยวิธีใดวิธีหนึ่งเข้า (ขี้มโนเสียจริง)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-01-2017 06:47:27
ทำไมราเมศถึงคิดว่าแม่ของเจียหลินเกลียดตัวเองล่ะ ที่แท้แล้วราเมศเป็นพ่อของเจียหลิน โดยการข่มเหงจันทร์จ้าวหรือเปล่า หรือว่าราเมศแอบรักเพื่อนตัวเองจนไปมีอะไรด้วยโดยวิธีใดวิธีหนึ่งเข้า (ขี้มโนเสียจริง)

คิดเหมือนกันเลยว่าราเมศอาจจะเป็นพ่อเจียหลิน และแอบแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่มีรูปพ่อของเจียหลินเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 09-01-2017 21:37:32
 o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 09-01-2017 23:36:08
น้องเจียอยากใส่ชุดพี่หมี  แอร๊~~ น่าย้ากกกกกก   :ling1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 16-01-2017 19:47:10
 :z13:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 16-01-2017 20:20:50
สงสัยในตัวราเมศ? พ่อเจียหลินรึป่าว หรือพี่จันทร์ท้องกับคนอื่น

หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒ เพื่อนบ้านคือสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากที่สุด (๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 19-01-2017 19:07:50
แอบสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างราเมศกับจันทร์จ้าว ต้องมีอะไรในกอไผ่ไหมนะ :m28:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 21-01-2017 19:47:56
ปานตะวัน
บทที่ ๓
A little thing I can do



         หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว  บางทีอาจเป็นเพราะตลอดอาทิตย์ปานตะวันเอาแต่ยุ่งวุ่นวายกับเจียหลินและผู้ชายบ้านตรงข้ามก็ได้
   
         อยู่ร่วมบ้านกับหลานชายแท้ๆ มาได้หนึ่งสัปดาห์เต็มแต่เจียหลินก็ยังคงไม่พูดกับปานตะวัน เด็กน้อยจะแสดงความต้องการออกมาตรงๆ แค่บางครั้งเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือก็จะนั่งเงียบ  ตอนแรกปานตะวันคิดว่าเจียหลินอาจจะแค่ไม่คุ้นกับเขา แต่หลังจากเวลาผ่านไปเด็กน้อยก็ยังมีทีท่าไม่เปิดใจให้ คนเดียวที่เจียหลินยอมพูดด้วยคือราเมศ เห็นดังนั้นปานตะวันจึงได้รู้
   
        เจียหลินไม่ใช่ไม่คุ้นกับเขา
   
       แต่เด็กน้อยไม่เปิดใจต่างหาก
   
       เจียหลินยังคงเห็นปานตะวันเป็นคนแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา
   
        แต่เขาก็ไม่แปลกใจหรอก จิตใจของเด็กคนนี้ค่อนข้างเปราะบาง สิ่งเดียวที่ปานตะวันทำได้คือสร้างความคุ้นชินกับหลานชายไปเรื่อยๆ
   
        แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็แอบท้อเหมือนกันนะ แล้วก็...อิจฉาราเมศนิดหน่อยล่ะมั้ง
   
        “น้าตะวัน น้าตะวัน ตื่นได้แล้ว เจียสายแล้วนะ” เสียงเล็กดังขึ้นข้างหูพร้อมกับมือน้อยๆ พยายามเลิกผ้าห่มปานตะวันออก ทำเอาคนขี้เซาต้องปัดป้องด้วยความรำคาญ “ส่งเสียงดังอะไรแต่เช้าน้องเจีย น้าตะวันจะนอน”
   
        “แต่...แต่วันนี้เจียต้องไปโรงเรียนนะ น้าตะวันบอกว่าจะเป็นคนไปส่งเจียไม่ใช่หรือไง น้าตะวัน เจียสายแล้วนะ”
   
        คำว่า ‘ไปโรงเรียน’ ทำให้ปานตะวันถึงกับลืมตาโพล่ง กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างว่องไวประหนึ่งใครกดเปิดสวิตช์การทำงานของสมอง  ชายหนุ่มขยี้เส้นผมสีน้ำตาลอย่างงุนงงก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาดู
   
        ไอ้ชิบหาย เจ็ดโมงสิบห้า!!
   
        พอหันไปมองข้างเตียงก็เจอหนูเจียยืนหน้าตาตื่นอยู่ เด็กน้อยยังอยู่ในชุดนอนลายกล้วยหอมอยู่เลยด้วยซ้ำ “หนูเจีย ทำไมยังไม่อาบน้ำ!”
   
       เจียหลินตาโต ปากสั่นระริก ตอบตะกุกตะกัก “ก็...ก็...เจียรอน้าตะวัน...”
   
       เท่านี้ก็รู้แล้วว่าที่เด็กน้อยไม่ยอมอาบน้ำเป็นเพราะรอเขาตื่นมาอาบให้นั่นเอง  ปานตะวันสบถในใจอย่างบ้าคลั่ง ด่าตัวเองที่หลับลึกชนิดว่าตั้งนาฬิกาปลุกทุกสิบห้านาทีก็ยังตื่นสาย
   
        วันนี้เป็นวันแรกที่เจียหลินจะไปโรงเรียนหลังจากบรรดาญาติๆ ขอลาหยุดมาเพื่อจัดการงานศพของคุณแม่และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่ปานตะวันจะได้พาหลานไปโรงเรียนด้วยตัวเอง ตอนแรกราเมศอาสาจะไปส่งแต่ปานตะวันก็ดันอยากโชว์แมน แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาก็ดูแลเจียหลินได้ ดังนั้นเลยอาสาพาไปส่งด้วยตัวเอง
   
       แล้วเป็นไงล่ะ...สาย...สายสนิท นี่ถ้าไอ้พี่ยักษ์บ้านตรงข้ามมันรู้นะ ไอ้ตะวันโดนขบหัวไปเคี้ยวเล่นแน่ๆ
   
       โดนด่ายับแบบไม่ให้กลับบ้านถูกแหงๆ
   
       “โอ๊ยยย น้องเจีย น้าตะวันขอโทษนะ”
   
       ปานตะวันรีบคว้าผ้าเช็ดตัวพร้อมกับหิ้วตัวเจียหลินขึ้นมาก่อนจะติดสปีดเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มบีบยาสีฟันใส่แปรงสีฟ้าอันเล็กกับอันใหญ่ที่ใส่ไว้ในแก้วน้ำด้วยกัน อันเล็กเป็นของเจียหลิน ส่วนอันใหญ่เป็นของเขา เงาชายหนุ่มตัวโตกับเด็กชายตัวเล็กที่ยืนเขย่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อให้ตัวเองสูงถึงเหนือกระจกตรงอ่างล้างหน้าเป็นภาพที่น่ารักจนชวนให้จั๊กจี้หัวใจจริงๆ
   
       หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จปานตะวันก็ถอดชุดของเขากับหนูเจียออก อาบน้ำพร้อมกันไปทั้งคู่ จากนั้นก็รีบออกมาแต่งตัว

        ชุดนักเรียนอนุบาลของน้องเจียที่รีดเรียบร้อยถูกแขวนไว้ มันเป็นชุดเสื้อสีขาว มีกระเป๋าที่ปักตราโรงเรียนตรงอกซ้าย กางเกงนักเรียนของฝ่ายอนุบาลเป็นสีฟ้าอ่อน ปานตะวันรีบจนติดกระดุมให้หลานผิดๆ ถูกๆ  พอพลิกดูนาฬิกาข้อมืออีกทีก็พบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว
   
       “หนูเจีย ไปกินข้าวเช้าที่โรงเรียนได้ไหมครับ” ปานตะวันคิดว่าคุณครูคงไม่ใจร้ายเกินไปนัก อย่างน้อยๆ ก็คงอนุญาตให้เด็กอนุบาลที่ไม่ได้กินข้าวเช้ามาได้กินขนมปังกับนมแหละน่า
   
       เจียหลินมีสีหน้าไม่แน่ใจแต่ก็พยักหน้า รีบวิ่งไปหยิบกระเป๋านักเรียนตัวเองมาสะพายก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปรอที่รถมอเตอร์ไซค์สีฟ้าพร้อมกับหยิบหมวกนิรภัยมาสวมอย่างรู้หน้าที่ ปานตะวันหยิบนมกล่องกับแซนด์วิชที่ทำเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมาก่อนจะใส่ลงกระเป๋าให้หลานชาย จากนั้นจึงรีบบึ่งพาไปโรงเรียน
   
       ตอนที่พามาถึงยังเหลือเวลาอีกประมาณสิบนาทีก่อนเข้าแถว ปานตะวันอุ้มเจียหลินลงจากรถก่อนจะพาวิ่งไปที่ตึกเรียน เด็กน้อยในอ้อมแขนหัวสั่นหัวคลอน ชายหนุ่มผมน้ำตาลวิ่งหลบบรรดาพวกแม่ๆ และผู้ปกครองทั้งหลายก่อนจะเบรกเอี๊ยดลงที่หน้าห้องเรียนของน้องเจียได้ทันเวลา ควรค่าแก่การบันทึกเป็นสถิติโลก
   
       คุณครูประจำชั้นคนสวยที่เจียหลินบอกว่าชื่อ ‘น้ำมนต์’ ยืนยิ้มหวานรอต้อนรับอยู่แล้ว เธอรับไหว้เขาก่อนจะส่งก้มลงไปลูบศีรษะเจียหลินด้วยความเอ็นดู
   
       “สวัสดีค่ะน้องเจีย แล้วก็...”
   
       “ปานตะวันครับ ตอนนี้เป็นผู้ปกครองเจียหลิน”
   
        “อ๋อ” เธอรับคำ สีหน้าฉายแววเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ ปานตะวันยิ้มบางๆ ให้คุณครูน้ำมนต์ “ผมต้องขอฝากเจียหลินด้วยนะครับคุณครู ช่วงนี้แกยังซึมอยู่เลย”
   
        “ครูเข้าใจค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ทางเราจะดูแลน้องเจียให้ดีที่สุดค่ะ”
   
        ปานตะวันกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะย่อตัวลง ดึงเจียหลินมาหอมแก้มซ้าย แก้มขวาหลายๆ ที จากนั้นก็กอดแน่นๆ
   
        “เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนนะน้องเจีย แล้วตอนเย็นน้าตะวันจะมารับนะครับ”
   
        เจียหลินพยักหน้า ไม่พูดตอบ ไม่กอด ไม่หอม ปานตะวันยิ้มเจื่อนก่อนจะขยับตัวออกมา “ผมไปนะครับครู ขอบคุณมากครับ”
   
        “ค่ะ”
   
        “ไปนะน้องเจีย”
   
        ปานตะวันโบกมือให้เด็กน้อยที่ยืนก้มหน้าจ้องพื้นลายหินอ่อนตรงทางเดิน  บางครั้งเขาก็สงสัยเหมือนกันว่าเจียหลินคิดอะไรอยู่...อยากให้เจียหลินเปิดใจ อยากให้เด็กน้อยพูดออกมา
   
        จะต้องทำยังไงนะ ความเศร้าที่มีถึงจะคลายลงไปได้บ้าง
   
        บางทีตอนที่ยืนลากันเจียหลินอาจจะคิดถึงภาพตอนที่แม่จันทร์อุ้มตนมาส่งโรงเรียนก็ได้ บางทีตอนที่อาบน้ำให้หรือก่อนออกจากบ้านเจียหลินอาจจะคิดถึงตอนแม่จันทร์ทำอาหารอร่อยๆให้ทานหรือมาคอยปลุกไม่ให้ไปโรงเรียนสาย
   
        ถ้าเขาเป็นอย่างพี่จันทร์ได้ก็ดีสิ จะได้เลี้ยงเจียหลินให้มีความสุขได้ หลานจะได้ไม่ต้องคอยทำหน้าเศร้าแบบนี้
   
        ปานตะวันกอดลาเจียหลินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป แต่ในตอนนั้นเองที่แรงโถมเล็กๆ จากด้านหลังทำให้เขาเกือบสะดุด พอหันไปมองชายหนุ่มผมน้ำตาลก็ต้องอุทานขึ้นมาอย่างแปลกใจ
   
        “น้องเจีย!?”
   
         เจียหลินกอดขาขวาปานตะวันแน่น ซุกหน้าลงไม่มองเขา จนสุดท้ายคนโตกว่าก็ต้องย่อตัวลงไปเพื่อคุยกันให้ถนัด
   
         “ว่าไงครับน้องเจีย มีอะไรหรือเปล่า”
   
         เจียหลินส่ายหน้า
   
          “งั้นน้าตะวันไปแล้วนะ น้องเจียก็ไปเข้าห้องเรียนได้แล้วล่ะครับ เจอกันตอนเย็นนะ”
   
         เจียหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ปานตะวันเหลือบตาไปมองครูน้ำมนต์ที่ทำท่าจะเดินแยกเจียหลินออกจากผู้ปกครอง แต่แล้วทันใดนั้นร่างเล็กนุ่มนิ่มก็กระโดดกอดคอปานตะวัน ซุกกายเข้าหาเหมือนลูกสัตว์ตัวน้อย
   
         ปานตะวันนิ่งค้างไปครู่หนึ่งก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะผุดขึ้นที่ริมฝีปาก คนตัวเล็กโอบร่างเจียหลินแน่น หอมแก้มนุ่มนิ่มอีกหลายทีก่อนจะเดินตัวลอยๆ ออกจากโรงเรียน
   
         ตลอดทางผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็มองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง มองทำไมกันนักก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นคนยิ้มดีใจที่โดนหลานกอดหรือไง!
   
        พอเดินมาจนถึงรถของตัวเองปานตะวันก็ต้องรีบทรุดลงนั่งสงบจิตสงบใจก่อนหยิบโทรศัพท์มากดหาใครบางคนด้วยมือสั่นระริก รอไม่นานก็ได้ยินเสียงทุ้มดังออกมา
   
        [ว่าไงเด็กแสบ มีอะไร ได้ข่าวว่าไปส่งหลานสายเหรอ เห็นไหมฉันบอกแล้วว่าจะไปส่งให้ก็ไม่ฟัง]
   
        “นี่...นี่คุณ...ฟังนะ...คือว่าตอนก่อนจะออกมาอ่ะ จู่ๆ น้องเจียเขา...เขาก็เข้ามากอดผมด้วย ครั้งแรกเลยนะที่น้องเจียกอดผมก่อนอ่ะ!”
   
        ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เสียงหัวเราะเบาๆ จะลอดออกมา หากเป็นยามปกติปานตะวันคงแยกเขี้ยวโวยวาย แต่ตอนนี้เขาดีใจเกินกว่าจะอารมณ์เสียกับเรื่องเล็กน้อยเท่านี้
   
         [ดีใจใช่ไหมล่ะ]
   
         “อื้อ ดีใจสิ! ครั้งแรกเลยนะ โหย อยากเอากล้องมาถ่ายเก็บไว้จริงๆ”
   
         ก็น้องเจียของเขาน่ารักมากๆ เลยนี่นา!
   
         ปานตะวันยิ้มกว้าง แตะมือลงที่อกของตัวเอง
   
         ทีละเล็ก ทีละน้อย แต่เขาก็รับรู้มันได้...สิ่งที่เรียกว่า ‘สายสัมพันธ์’ กำลังถักทอขึ้นช้าๆ
   
          ตอนที่กลับมาถึงบ้านราเมศยังไม่กลับมา ถ้าเป็นตามปกติเวลานี้ปานตะวันจะไปคลุกอยู่บ้านอีกฝ่าย ให้คนตัวโตหน้าดุสอนทำอาหาร ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแต่ผู้ชายที่ดูจะไร้ความอ่อนโยนคนนั้นกลับทำอาหารออกมาได้อร่อยและใส่ใจทุกขั้นตอนการทำ แถมยังอดทนกับตัวเขาที่งุ่มง่ามเงอะงะได้อย่างน่ามหัศจรรย์ถึงแม้จะบ่นไปจิกกัดไปแต่ทุกครั้งที่ปานตะวันกะส่วนผสมผิดหรือทอดอะไรสักอย่างไหม้ ราเมศก็ไม่เคยที่จะทำสีหน้าหมดความอดทนเลยสักครั้ง นอกจากสอนทำอาหารแล้วอีกฝ่ายยังสอนเขาทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ด้วย
   
          หลังจากราเมศสละจานที่บ้านตัวเองไปครึ่งโหล อย่างน้อยตอนนี้ปานตะวันก็ล้างจานได้โดยไม่ทำจานแตกแล้ว
   
          หลังจากไปด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งปานตะวันก็ตัดสินใจไลน์ไปหาอีกฝ่าย
   
          TaWan : ไม่อยู่บ้านเหรอครับ
   
          ไม่ถึงสามนาทีอีกฝ่ายก็ตอบกลับ
   
          ราม : ไม่อยู่ วันนี้ฉันออกมาคุยงานกับลูกค้า โทษทีนะที่ไม่ได้บอกก่อน
   
         TaWan : ไม่เป็นไรครับ ถ้าวันนี้ไม่มีเรียนทำกับข้าวงั้นผมจะทำความสะอาดบ้านแล้วกัน ชักรกแล้ว
   
         ราม : อย่าพังบ้านนะ
   
        ปานตะวันกดส่งสติ๊กเกอร์หน้าตาโมโหไปหลายตัว ก่อนที่ราเมศจะส่งไลน์มาอีกรอบ เปล่าไม่ได้ขอโทษหรอก ไอ้มนุษย์ยักษ์นั่นส่งมาบอกว่า
   
        ราม : ฉันจะซื้อพลาสเตอร์ยากลับไปตุนไว้เยอะๆ แล้วกัน
   
       มันใช่เหรอวะ!
   
       ปานตะวันฮึดฮัด ก่อนจะยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋าแต่ไม่ทันไรก็ต้องหยิบขึ้นมาอีกรอบเมื่อโทรศัพท์ของเขาสั่นเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้ามา เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง จะว่าไปตั้งแต่มันขับรถมาส่งที่บ้านหนนั้นพวกเขาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย มันก็ยุ่งกับการเรียน ปานตะวันก็ยุ่งกับการเลี้ยงหลาน มีส่งไลน์ถามกันบ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่าคำว่าสบายดี  ชายหนุ่มกดรับสายจากนั้นก็ต้องรีบเหยียดโทรศัพท์ออกห่างให้มากที่สุดเพราะปลายสายมันดันตะโกนขึ้นมา
   
        [เชี่ยตะวัน!!]
   
        “โอ๊ย ตะโกนหาใครวะ พูดธรรมดาก็ได้ยิน”
   
        [มึงหายไปไหนมา ทำไมตอบไม่ตอบไลน์กู ล่าสุดส่งไปเมื่อวานก็ไม่อ่าน แล้วนี่ที่บ้านเป็นยังไงทำไมไม่เล่าให้ฟังเลย มึงสบายดีใช่ไหม]
   
       ปานตะวันหลุดยิ้มออกมา ไอ้หมอนี่จะกี่ปีก็ชอบทำตัวห่วงเกินจริง
   
       แต่ก็มีแค่มันนี่แหละ...ในวันที่เขาไม่เหลือใครเลย
   
       “ใจเย็นๆ ถามเยอะแบบนี้กูงงนะ”
   
       [อย่ามาเฉไฉ]
   
        “โอเคๆ งั้นเอางี้ วันนี้มึงว่างไหม ออกมาเจอกันไหมล่ะ หรือว่าจะเข้ามาหากูที่บ้าน”
   
       [เดี๋ยวกูเข้าไปหาที่บ้านก็ได้ ยังอยู่ที่เรือนไทยใช่ไหม]
   
       “ใช่”
   
        [งั้นเดี๋ยวไปหา เจอกัน]
   
        พูดจบก็ชิ่งวางสายไปเลย ทิ้งให้ปานตะวันมองโทรศัพท์ตาปริบๆ ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา ชายหนุ่มกลับเข้าบ้าน จัดการห้องรับแขกที่รกเป็นรังหนูให้พอดูได้ จากนั้นก็นั่งเล่นโทรศัพท์รอจนกระทั่งได้ยินเสียงรถ ชายหนุ่มจึงเดินไปชะโงกหน้าดู เมื่อพบว่าเป็นรถเพื่อนสนิทตัวเองก็รีบเดินลงบันไดไปรับ
   
        “เฮ้ย ว่าไงมึง”
   
        ชนกันต์มองเพื่อนสนิทตัวเล็กที่เดินหน้าระรื่นลงมาด้วยสายตาหลากหลายก่อนจะบุ้ยปากไปที่หลังรถ “กูซื้อข้าวมาด้วย”
   
        “ดีเลย กูยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าเนี่ย”
   
        “งั้นก็ไปช่วยหิ้วกับข้าวเลย หิวแล้ว เร็วๆ”
   
         ปานตะวันรับคำเสียงยานคาง ก่อนจะเดินไปหยิบถุงอาหารสองสามถุงจากเบาะหลัง เพื่อนสนิทของเขาพอเข้าบ้านได้ก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาทันที ทิ้งให้ปานตะวันจัดการเทกับข้าวลงจานแล้วจัดโต๊ะทานอาหารอยู่คนเดียว
   
         “เอ้า เสร็จแล้ว”
   
         ปานตะวันเรียกคนที่นอนอืดบนโซฟาให้มานั่งกินข้าว ชนกันต์เดินมา ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเขา ทั้งที่บ่นอยู่ตลอดว่าหิวมากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมลงมือทาน เอาแต่จ้องปานตะวันตาไม่กะพริบจนคนถูกมองทำตัวไม่ถูก
   
         “จ้องอะไรของมึง”
   
         “มึงจะเล่าให้กูฟังได้ยังว่าไปเจออะไรมา”
   
         “กินข้าวก่อนไม่ได้หรือไง”
   
         “ไม่ เล่ามา”
   
        ปานตะวันถอนหายใจกับคำพูดเอาแต่ใจของเพื่อน แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วงจากมันก็ทำให้เขาใจอ่อน สุดท้ายก็ยอมเล่าออกไป
   
        แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ชนกันต์ที่ยอมอยู่ข้างเขาไม่ว่าจะเป็นยามทุกข์หรือยามสุข อยู่ข้างๆ คอยดึงไม่ให้หลงทาง เขาสัญญาว่าจะไม่มีความลับกับมันและมันก็สัญญาว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหน
   
        “กูตัดสินใจจะอยู่ที่นี่สักพัก...กูเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีหลาน” ปานตะวันพูดจบก็งับริมฝีปากเงียบ รอดูปฏิกิริยาของเพื่อน ชนกันต์หรี่ตาลง
   
       “หลาน? หมายความยังไง?”
   
        “ลูกชายของพี่จันทร์ กูก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าพี่มีลูก มีครอบครัว พอพี่ตายหลานก็เหลือกูคนเดียว”
   
        “แล้วพ่อเด็กไปไหน ปู่ย่าเขาอีก แม่มึงรู้ไหมเนี่ย”
   
         พอพูดถึงตรงนี้ปานตะวันก็ส่ายหน้า “แม่ยังไม่รู้ กูไม่ได้บอก  ส่วนญาติฝั่งพ่อเด็กก็ไม่เห็นมีใครติดต่อมาสักคน” ตอนแรกชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่พอชนกันต์พูดเขาถึงฉุกใจคิดได้ว่าไม่เคยเจอญาติฝ่ายพ่อของเจียหลินเลย รวมถึงเรื่องที่ว่าไม่เคยเห็นหน้าพ่อของเจียหลินเลยสักครั้ง
   
        “กูว่ามันชักยังไงๆ แล้วนะ หลานกับลูกสะใภ้เสียทั้งคน ทำไมเขาไม่มาดูบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะรับหลานไปเลี้ยง แล้วเด็กคนนี้กี่ขวบแล้ว?”
   
        “สี่ อยู่อนุบาลสอง”
   
       “ไปกันใหญ่เลยทีนี้”
   
        ชนกันต์พ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ใช้ส้อมจิ้มหมูทอดในจานเสียงดัง  ปรายตามองปานตะวันดุๆ “แล้วมึงแน่ใจเหรอว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้”
   
       “ก็คงต้องลองดู”
   
       พอเขาตอบไปแบบนี้นายกันต์ก็ทำหน้าขรึม ประสานมือเข้าด้วยกันเหมือนทุกครั้งที่มันกำลังจะพูดเรื่องจริงจัง ทำให้ปานตะวันรู้ว่าหลังจากนี้ชนกันต์จะไม่พูดหรือทำท่าทีเล่นๆ อีกแล้ว
   
       “ฟังนะตะวัน กูรู้ว่ามึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ แต่เอาตรงๆ นะ...”
   
       “มึงในตอนนี้ไม่มีทางเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้ดีได้เลยเพราะขนาดตัวมึงเองยังเอาตัวไม่รอด”
   
       ปานตะวันก้มหน้า ไม่เถียง ไม่โต้ตอบ
   
       เพราะชนกันต์พูดถูกทุกอย่าง
   
        หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่พิสูจน์คำพูดของเพื่อนสนิทได้ เจียหลินยังไม่เปิดใจให้เขา และปานตะวันก็ยังไม่สามารถจัดการชีวิตที่เพิ่มหลานชายเข้ามาให้เข้าที่เข้าทางได้ ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงและสับสน
   
        “อย่างแรกที่กูจะพูดคือหนึ่ง มึงไม่เคยเลี้ยงเด็กและไม่เคยชอบเด็ก จากใจกูนะ ผู้ชายกับเด็ก...นอกจากคนเป็นพ่อแล้วก็ไม่ใช่อะไรที่จะเข้ากันได้ง่ายๆ เลย มึงแน่ใจเหรอว่าจะทำในส่วนที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้เขาได้ แน่ใจเหรอว่าจะร้องเพลงกล่อมนอน ทำอาหาร ซักผ้า รีดผ้า ทำงานบ้านได้อ่ะ มึงที่ตอนนี้ทำเป็นแค่ต้มมาม่าเนี่ยนะ”
   
        “ข...ของแบบนี้มันก็ฝึกกันได้ป่ะวะ”
   
       “เลี้ยงเด็กไม่เหมือนเลี้ยงหมาแมวนะไอ้ตะวัน แล้วไหนจะค่าเทอม ค่ากินค่าอยู่ มึงอย่าลืมว่ามึงยังแบมือขอเงินแม่มึงอยู่เลย”
   
       ปานตะวันกัดริมฝีปาก คำพูดของชนกันต์ทำให้ความพยายามตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาของเขากลายเป็นศูนย์ไปเลย
   
       “กูจะหางานทำ”
   
       “ถามหน่อยงานอะไร”
   
       “ยัง...ยังไม่ได้คิด”
   
       “แล้วเรื่องเรียนจะเอายังไง”
   
      “นั่นใช่ปัญหาเหรอ”
   
        ชายหนุ่มตัวโตมองเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าลำบากใจ สงสารก็สงสารแต่ก็ไม่อยากให้มันหาเรื่องมาใส่ตัวเพิ่ม “ตะวันมึงอย่าลืมสิ...มึงถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัย แล้วนะ” พอเขาพูดออกไปปานตะวันก็เงียบเสียง สีหน้าอมทุกข์จนเพื่อนสนิทรู้สึกเสียใจ แต่ก็ต้องพูดต่อ
   
        ชนกันต์ไม่ได้ต้องการตอกย้ำความผิดพลาด แต่เขาต้องการให้ปานตะวันคิดได้ คิด...ถึงอนาคตว่าตัวเองควรทำอะไร วางแผนชีวิตยังไง ไม่ใช่เอาแต่ทำตัวลอยชายไปวันๆ เหมือนที่ผ่านมา
   
       “มึงอาจจะไม่ชอบใจแต่นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่กูไม่อยากให้มึงหาภาระมาใส่ตัวเพิ่ม  มึงจำได้ไหมว่าตัวเองเหลวแหลกแค่ไหน มึงไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน ‘เลย’ สักวิชาเดียว มึงออกไปเที่ยว ผลาญเงินที่แม่มึงส่งให้ทุกเดือนไปกับค่าเหล้า ค่าผู้หญิง ตอนนี้สิ่งที่มึงควรทำคือตั้งสติแล้ววางแผนว่าจะเอายังไงกับชีวิตและเอาตรงๆ นะ กูไม่คิดว่ามึงที่เป็นแบบนี้จะเลี้ยงหลานได้หรอก”
   
        สิ้นคำทุกสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบ ปานตะวันหายใจติดขัด หน้าชาเหมือนถูกลากไปตบกลางสี่แยก

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A Little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 21-01-2017 20:02:15
         ความผิดพลาดพวกนั้นเกิดจากตัวเขา เขายอมรับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรหากมีคนเอาเรื่องนั้นมาพูดอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมันหลุดออกจากปากเพื่อนสนิทของตัวเอง
   
        “มึงคงโกรธกูแล้ว...กูขอโทษนะ แต่กูอยากให้มึงเก็บที่กูพูดไปคิดสักนิดก็ยังดี มึงควรติดต่อญาติทางพ่อของเด็กคนนี้ไม่ก็ไปฝากญาติสักคนของมึงเลี้ยงไว้ก็ได้ มึงตอนนี้ไม่พร้อมจริงๆ”
   
        ชายหนุ่มตัวเล็กรับรู้ได้ว่าเพื่อนสนิทลุกขึ้นยืน แต่เขาไม่ได้เงยหน้า สติที่เหลืออยู่จมจ่อมกับความคิดตัวเองจนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มของชนกันต์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
   
        “กูไปแล้วนะ อย่าลืมบอกแม่เรื่องหลานล่ะ”
   
        เสียงเล็กๆ ตอบกลับมาแค่คำว่าอืมในลำคอเท่านั้น หลังนั่งรอจนได้ยินเสียงรถแล่นไกลออกไปจากบริเวณบ้านปานตะวันก็เทกับข้าวทั้งหมดที่ชนกันต์ซื้อมาทิ้งลงถังขยะ ก่อนจะโยนจานโครมลงในอ่างล้างจาน ตอนนั้นเองที่แก้วใบหนึ่งถูกเขาปัดตกพื้นจนแตก ปานตะวันจึงนั่งลงตั้งใจว่าจะเก็บเศษแก้วไปทิ้งแต่ด้วยความหงุดหงิดทำให้ไม่ทันระวังตัว ปลายนิ้วชี้ของเขาจึงถูกคมของเศษแก้วบาดเอา  หยดเลือดซึมออกจากบาดแผลเรียกให้สติกลับคืนมา
   
        กลับมาพร้อมหยดน้ำตา
   
        ปานตะวันไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา แต่บางครั้ง ในวันแบบนี้...เขาก็เหนื่อยมากจริงๆ
   
       “มึงจำได้ไหมว่าตัวเองเหลวแหลกขนาดไหน”
   
        คำพูดของเพื่อนก้องสะท้อนอยู่ในหัว คนตัวเล็กกัดริมฝีปาก จำได้สิ ทำไมจะจำไม่ได้ เขาเป็นเด็กเหลวแหลก กินเหล้า เที่ยวผู้หญิง ไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน ทิ้งอนาคตและถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัยที่สอบเข้าไปด้วยความยากลำบากและครั้งหนึ่งเคยวาดฝันไว้ว่าอยากจะรับปริญญาที่นั่น
   
       ส่วนสาเหตุของมัน...คือสิ่งที่ปานตะวันไม่อยากนึกถึง
   
       มันเป็นความลับของเขา...ความลับที่ต่อให้ตายก็จะไม่พูด ไม่อยากบอกใคร ไม่อยากถูกมองด้วยสายตาแปลกประหลาด เป็นความลับที่มีแค่เขากับชนกันต์เท่านั้นที่รู้
   
       ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสว่างเก็บล้างจานและทำความสะอาดพื้นห้องครัวจนเรียบร้อย สายลมอบอุ่นพัดมาแต่คราบน้ำตาที่แก้มยังไม่หายไป เสียงโมบายที่แขวนไว้ตรงชานระเบียงดังเป็นจังหวะกังวานใส แต่ในใจของเจ้าของบ้านตอนนี้กลับจมดิ่งอยู่ในห้วงอดีตอันแสนปวดร้าว
   
       แผลเก่าที่ปิดไปแล้วกลับถูกฉีกกระชากออก เพราะคำพูดไม่กี่คำของเพื่อนพาให้ทุกสิ่งย้อนกลับคืนมา
   
       อดีต...ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเขาช่างสกปรกและไร้คุณค่าเหลือเกิน
   
        เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านหลังล้างจานเสร็จปานตะวันจึงเริ่มทำความสะอาดบ้าน เมื่อสักครู่ราเมศส่งข้อความมาบอกว่าตอนเย็นจะกลับมาทำอาหารให้เขากับหลานกินและจะแวะไปรับเจียหลินกลับบ้านด้วย ปานตะวันส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณไปให้อีกฝ่ายจากนั้นก็กลับไปจดจอกับการกวาดพื้นอีกครั้ง
   
        ชายหนุ่มทำงานบ้านไม่คล่องนักจึงใช้เวลาค่อนข้างนานในการปัดกวาดเช็ดถู หลังจากนั้นคนตัวเล็กก็รื้อเอาข้าวของอื่นๆ ของเจียหลินออกมา เขาตั้งใจว่าจะห้องของพี่จันทร์เอาไว้ก่อนหน้านี้เจียหลินนอนอยู่กับเขาก็จริงแต่ส่วนใหญ่เด็กน้อยมักแอบมาหลับไม่ก็มานั่งอยู่ในห้องนี้ คงอยากอยู่กับแม่จันทร์อีกครั้ง แต่ตอนนี้ปานตะวันตัดสินใจจะปิดห้องพี่จันทร์ เพื่อที่เจียหลินจะได้ใช้เวลาอยู่ในส่วนอื่นๆ ของบ้านให้มากขึ้น ใช้เวลากับเขาให้มากขึ้น
   
       คนตัวเล็กเก็บข้าวของไปจนกระทั่งดวงตากลมไปสะดุดกับบางสิ่งที่ตกอยู่ตรงหัวเตียง มันเป็นตุ๊กตากระต่ายตัวเก่าที่กลายเป็นสีตุ่น ชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินของเจ้ากระต่ายซีดลงจนกลายเป็นสีฟ้าอ่อนจาง ตรงแขนกับตรงพุงก็มีรอยขาด นุ่นทะลักออกมาเล็กน้อย ดูยังไงก็ของเก่าแล้วชัดๆ แถมยังเป็นตุ๊กตาอีก ดูยังไงก็ไม่น่าใช่ของที่เด็กผู้ชายชอบเล่น
   
       ตุบ
   
        ปานตะวันโยนตุ๊กตาตัวเก่าลงถุงขยะไป ก่อนจะเก็บพวกตุ๊กตาทหารกับรถของเล่นใส่กล่องพลาสติกใบใหญ่ไว้ เผื่อหนูเจียจะอยากหยิบมาเล่น
   
        ตอนที่เขาย้ายของเสร็จราเมศกับเจียหลินก็กลับมาพอดี ปานตะวันยิ้มพยายามยิ้มแม้ในใจจะอ่อนล้า เจียหลินยกมือไหว้เขา พูดเบาๆ ว่ากลับมาแล้ว
   
       “เป็นไงบ้างหนูเจีย เรียนสนุกไหมครับ”
   
        เด็กน้อยแก้มยุ้ยพยักหน้าหงึกเบาๆ
   
        “แล้วหิวไหมครับ”
   
        เจียหลินก็ยังคงพยักหน้าอีก ปานตะวันบีบแก้มนุ่มสองที “งั้นเอากระเป๋าไปเก็บเนอะ เสร็จแล้วมากินข้าวกัน อ้อ น้าตะวันล็อกห้องแม่จันทร์เอาไว้นะแต่ของอื่นๆ ของน้องเจียอยู่ในห้องน้าแล้ว อยากเล่นหรืออยากได้อะไรก็หยิบได้นะครับ”
   
       ดวงตากลมของเจียหลินวูบไหว สั่นระริก และชัดเจนจนปานตะวันสังเกตได้
   
        “ล็อกห้อง...”
   
       “อื้อ น้องเจียก็ย้ายมานอนห้องน้าตะวันนะ”
   
       เจียหลินกัดริมฝีปากก่อนจะหันหลังเดินเอากระเป๋าไปเก็บ  คนสองคนได้แต่ยืนมองร่างเล็กนั้นจนลับตา จากนั้นคนเป็นน้าก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา บนใบหน้าน่ารักฉายแววทุกข์ใจออกมาจนคนข้างกายอดเอ่ยทักไม่ได้
   
       “เป็นอะไร”
   
       “ครับ?”
   
      “เห็นถอนหายใจ”
   
       “ผม...ผมแค่เหนื่อยน่ะ” ปานตะวันงับริมฝีปากก่อนจะพรั่งพรูความในใจส่วนหนึ่งออกไป “เจียไม่เปิดใจให้ผมเลย ผมแทนที่พี่จันทร์ไม่ได้เลยสินะ ผมพยายามแล้ว ทั้งๆ ที่ผมแค่อยากจะเป็นครอบครัวที่ดีให้เขาเท่านั้นเอง”
   
        ทำไมตอนนี้มันมีแต่ความรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้กันนะ
   
       “ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา” ฝ่ามืออบอุ่นวางลงบนศีรษะของปานตะวัน ลูบไปมาอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้มันอาจจะยากแต่ก็นายก็กำลังพยายาม...เก่งมากๆ เลยนะ”
   
       พอเงยหน้ามองก็พบกับรอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ แม้จะแค่เล็กน้อย เป็นรอยยิ้มบางๆ แต่ปานตะวันกลับรู้สึกอบอุ่น หัวใจเต้นรัวขึ้นมาส่งให้เลือดสูบฉีดไปรวมที่พวงแก้มขาว แต้มสีแดงระเรื่อน่าเอ็นดู
   
       “อะ...อะไรเล่า พูดจาแบบนั้น”
   
       “เอ้า คนชมก็ไม่ชอบอีก”
   
       “ม...ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบนะ แค่รู้สึกแปลกๆ ปกติคุณเอาแต่ทำหน้ายักษ์ใส่นี่นา”
   
        ราเมศหัวเราะ โยกหัวเด็กตรงหน้าไปมา “ก็นายมันดื้อไง”
   
        “เปล่านะ”
   
        “ดื้อ ไอ้เด็กดื้อ”
   
        ปานตะวันแยกเขี้ยวขู่อีกฝ่าย แต่สุดท้ายผู้ชายหน้ายักษ์ก็เดินผิวปากหายเข้าไปในครัวแล้ว ทิ้งคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กดื้อให้ยืนแยกเขี้ยวคำรามแง่งๆ อยู่คนเดียว
   
       มื้อเย็นคืนนั้นผ่านไปอย่างเรียบง่าย หลังกินข้าวเสร็จเจียหลินก็รบเร้าให้น้าเมศอยู่ช่วยสอนการบ้านก่อน ปานตะวันที่เกรงใจจึงเอ่ยปากว่าตนสอนให้ก็ได้แต่เจียหลินกลับกอดสมุดการบ้านแน่น วิ่งไปอ้อนราเมศลูกเดียว จนชายหนุ่มต้องปล่อยเลยตามเลย ได้แต่หลบมุมมานั่งอยู่บนโซฟา มองน้าเมศกับน้องเจียคุยเล่นหงุงหงิงกันอยู่สองคน
   
      แอบน้อยใจนิดๆ แฮะ
   
        “ตะวัน” เสียงทุ้มเรียก ทำเอาคนที่กำลังแกล้งทำเป็นดูทีวีทั้งที่ใจลอยไปไหนต่อไหนสะดุ้งเฮือก “ค..ครับ ว่าไง?” ราเมศมองปานตะวันด้วยสายตาขบขัน
   
        “ขวัญอ่อนเหรอ โอ๋ๆ นะ”
   
       “อย่ามาแกล้งผมนะ” ปานตะวันแยกเขี้ยว “แล้วสอนการบ้านหลานเสร็จแล้วเหรอ”
   
        “เสร็จแล้วล่ะ ฉันเลยว่าจะพาหนูเจียไปอาบน้ำนอน นี่ก็ดึกแล้ว”
   
       ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง จริงด้วย สองทุ่มกว่าแล้ว ดึกไปสำหรับเด็กอย่างเจียหลิน
   
        “อาบด้วยกันไหม?”
   
         คำถามสั้นๆ แต่ไม่รู้ทำถึงได้ทำให้คนปากกล้าอย่างปานตะวันอ้าปากค้าง สมองที่ประมวลคำตอบเกิดการติดขัดไปต่อไม่เป็น  ใบหน้าน่ารักกลายเป็นสีแดงก่ำจนคนมองอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ยิ่งพอได้ยินคำตอบที่ไอ้เด็กแสบมันตอบกลับมาราเมศก็หัวเราะออกมาจนได้
   
        “จะบ้าเหรอ ใครจะไปอาบน้ำกับคุณ!”
   
        “โอ๊ย ฮ่าๆๆ แล้วใครว่าฉันชวนนายอาบน้ำด้วยกันเล่า ฉันหมายถึงจะมาช่วยฉันอาบน้ำเจียหลินไหม คิดไปถึงไหนเนี่ยไอ้เด็กลามก”
   
         “บ้าเหรอวะ ใครคิด ไม่มี๊ ป...ไปอาบน้ำหลานเลยนะ ไปเลย ไปสักทีสิ!”
   
         คนที่หน้าแตกยับเยินอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี พอทำอะไรไม่ได้ก็พาลเอากับตัวต้นเหตุมันซะเลย ราเมศหัวเราะตอนที่เจ้าลูกแมวปากกล้าดันหลังเขาไปทางห้องน้ำก่อนวิ่งจี๋ไปซุกตัวบนโซฟา ขู่ฟ่อใส่เหมือนแมวเวลาโกรธไม่มีผิด
   
         “ไม่อาบน้ำด้วยกันเหรอ”
   
          “ไม่อาบ!”
   
          “เหรอ น่าเสียดาย”
   
          “เลิกแกล้งผมสักที เมากาวเหรอครับ ไปอาบน้ำเลยนะ”
   
          ว่าจบคนตัวเล็กก็มุดเข้าไปในกองผ้าห่ม นอนนิ่งอยู่แบบนั้นเพื่อรอให้ใบหน้าหายร้อนและเพื่อให้เจ้าก้อนเนื้อที่เต้นถี่ในอกกลับมาเป็นปกติเสียที
   
        ครึ่งชั่วโมงต่อมาสองน้าหลานก็ออกจากห้องน้ำในสภาพตัวหอมฟุ้ง คนอาบน้ำน่ะมีเจียหลินคนเดียวแต่ราเมศที่เป็นคนอาบให้ก็ถูกเด็กน้อยสาดน้ำจนตัวเปียกโชก สุดท้ายก็ต้องร้องตะโกนให้ปานตะวันเดินไปหยิบเสื้อผ้าจากที่บ้านมาให้หน่อย
   
        “นึกว่าหลับคาห้องน้ำแล้ว”
   
         “โทษทีๆ” ราเมศตอบก่อนจะขยี้ผมปานตะวันเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
   
        “โอ๊ย เป็นอะไรของคุณเนี่ย อ๊ะ น้องเจียสระผมเหรอครับ มา เดี๋ยวน้าตะวันเช็ดผมให้” ท้ายประโยคหันไปพูดกับเด็กตัวเล็ก เจียหลินทำท่าลังเลเล็กน้อยแต่พอราเมศพยักหน้าให้ก็ยอมเดินไปหาปานตะวันแต่โดยดี ชายหนุ่มอุ้มหลานนั่งบนโซฟาก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้อย่างแผ่วเบา เด็กน้อยที่เริ่มผ่อนคลายก็เอนหลังพิงอกปานตะวันจนได้
   
         “สบายล่ะสิ” คนเป็นน้าอมยิ้ม เจียหลินหันมามองปานตะวันแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าหงึก “เจียชอบ ขอบคุณครับ” แค่คำสั้นๆ ที่หลุดออกจากปากก็ทำให้ปานตะวันยิ้มกว้างออกมาจนได้ และเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับเจียหลินนั่นเองทำให้ปานตะวันไม่ได้หันไปมองใครอีกคนที่กำลังยืนยิ้มและมองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนโยนอยู่ไม่ไกล
   
         อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ได้เวลาเข้านอนของเจีย ราเมศกับปานตะวันพาหนูน้อยนอนลงเตียงฝั่งที่ชิดผนัง ส่วนปานตะวันเป็นคนนอนด้านนอก แต่ตอนที่กำลังจะล้มตัวลงนอนนั่นเองเจียหลินก็มองซ้ายมองขวาก่อนหันมาพูดกับปานตะวัน
   
         “น้าตะวัน คุณกระต่ายของเจียล่ะ”
   
         “ครับ?”
   
         คนถูกถามทำหน้าเหลอหลา กระต่ายอะไรวะ
   
        “กระต่ายของเจีย ใส่เอี๊ยมสีฟ้า น้าตะวันเอาไว้ไหน เจียอยากกอดคุณกระต่าย”
   
        ปานตะวันขมวดคิ้วก็จะเหงื่อตก กระต่ายตัวนั้น...ตัวที่เขาโยนลงถุงขยะไปแล้วแน่เลย!
   
         “เอ่อ...น้าตะวันก็ไม่แน่ใจ เจียนอนโดยไม่มีคุณกระต่ายได้ไหมครับ เดี๋ยวน้าตะวันไปหาให้” แต่สิ่งที่หนักใจคือเจียหลินไม่ยอมนอนลงง่ายๆ เด็กน้อยลุกออกจากเตียงก่อนวิ่งไปที่ห้องของจันทร์จ้าวทันที “คุณกระต่ายตกอยู่ในห้องแน่เลย เดี๋ยวเจียไปหยิบเอง”
   
        “ไม่ได้ๆ คืนนี้น้องเจียต้องนอนแล้ว เดี๋ยวน้าตะวันหาเอง”
   
         “แต่เจียนอนไม่หลับ เจียอยากกอดคุณกระต่าย”
   
          “น้องเจียอย่าดื้อนะ น้าตะวันบอกให้ไปนอนก็นอนสิ”
   
          “แต่เจียอยากกอดคุณกระต่ายนี่นา”
   
          เจียหลินเบะปาก แผดเสียงร้องไห้ออกมา ปานตะวันจึงรีบก้มลงปลอบ แต่ไม่ว่าจะปลอบยังไงก็ไม่ได้ผล เจียหลินผลักเขาออกก่อนจะตะโกนขึ้นมาว่า
   
         “ถ้าเป็นแม่จันทร์จะต้องหาให้เจียแน่ๆ น้าตะวันใจร้าย ใจร้าย เจียไม่อยากอยู่กับน้าตะวัน เจียอยากอยู่กับแม่จันทร์ ฮึก...แม่จันทร์...แม่จันทร์ แงงง”
   
        อีกแล้ว...เขาผิดอีกแล้ว
   
        ทุกๆ อย่างที่ทำไป เอาชนะใจเด็กคนนี้ไม่ได้เลยใช่ไหม เจียหลินไม่ยอมรับเขาเลยใช่ไหม
   
        “ไม่มีหรอกตุ๊กตาน่ะ โตแล้วนะ เป็นเด็กผู้ชายด้วย ใครเขาเล่นตุ๊กตากัน น้าตะวันทิ้งไปแล้ว พอแล้วนะ กลับไปนอนเดี๋ยวนี้!”
   
        ปานตะวันเผลอขึ้นเสียงกับเจียหลิน แต่ทันทีที่ประโยคร้ายกาจนั่นหลุดออกไปเด็กน้อยก็หยุดโวยวาย หากแต่น้ำตายังไม่หยุดไหล ดวงตากลมของเจียหลินเบิกกว้างน้ำตาร่วงผล็อยไม่ขาดสายจนคนขึ้นเสียงรู้สึกผิด
   
       แต่พอจะเข้าไปปลอบ เด็กน้อยก็ถอยหนี
   
        “น้าตะวัน...ทิ้งทำไม” เจียหลินกระซิบเสียงสั่น ราเมศที่วิ่งตามมาเพราะได้ยินเสียงโวยวายรีบรวบตัวเจียหลินเข้าไปกอด เด็กน้อยสะอื้นแรงขึ้นเรื่อยๆ “น้าตะวันทิ้งคุณกระต่ายของน้องเจียทำไม! นั่นแม่จันทร์ให้มานะ แม่จันทร์ให้เจียมา ฮึก...ฮือ...เจีย...เจียโกรธน้าตะวันแล้ว ม...ไม่ต้องมาใกล้เจียนะ!”
   
         ลมหายใจของชายหนุ่มผมน้ำตาลสะดุดไป ของนั่นเป็นของจากพี่จันทร์งั้นเหรอ งั้นก็เท่ากับเป็นของดูต่างหน้า
   
          แล้วเขา...เขาทำอะไรลงไป
   
         “เจีย น้าตะวันขอโทษนะครับ เดี๋ยวน้าจะ...จะไปหาตัวใหม่มาให้”
   
         “เจียไม่เอา! เพราะ...ฮึก...เพราะตัวใหม่ไม่ใช่คุณกระต่ายของแม่จันทร์ เจียไม่เอา”
   
         ปานตะวันหันไปมองราเมศอย่างจนปัญญา สุดท้ายชายหนุ่มร่างสูงก็ทำปากเป็นคำว่าให้เขาออกไปก่อน จากนั้นก็อุ้มเจียหลินหายไป เหลือเพียงปานตะวันที่ยืนเคว้งอยู่ที่เดิม
   
         ปึง
   
        ราเมศงับประตูปิดก่อนวางเจ้าตัวน้อยที่สะอื้นฮักลงในบนเตียง เขาพาเจียหลินออกห่างจากปานตะวันโดยพากลับมาที่ห้องนอนแล้วขอให้ปานตะวันอยู่ข้างนอกไปก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าจะคุยกับเจียเสร็จ
   
         “หยุดร้องไห้เถอะ” ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน “ยกโทษให้น้าตะวันเถอะนะครับ หนูเจีย”
   
         “หนูเจียโกรธ ฮึก ทิ้งกระต่ายของแม่จันทร์ได้ยังไงกัน”
   
         “ก็น้าตะวันเขาไม่รู้นี่นา” ราเมศพูด ลูบศีรษะหลานชายก่อนจะโอบให้เขยิบมาใกล้ๆ “หนูเจียก็ไม่เห็นบอกน้าตะวันเลย” พอพูดแบบนี้เด็กตัวกลมก็ก้มหน้างุด ราเมศจึงเอ่ยต่อ
   
         “หนูเจียไม่เคยบอกน้าตะวันว่าชอบทานอะไร โรงเรียนเป็นยังไง อะไรที่ชอบ อะไรที่ไม่ชอบ ใช่ไหมครับ”
   
        “ใช่...ครับ”
   
         “ถ้าหนูเจียไม่บอก น้าตะวันจะรู้ได้ยังไง” ราเมศลูบศีรษะเด็กน้อย “เกลียดน้าตะวันเหรอครับ” คราวนี้เจียหลินส่ายหน้าอย่างแรง
   
        “เปล่านะครับ”
   
        เจียหลินไม่เคยเกลียดปานตะวัน กลับกัน ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เด็กน้อยกำลังชอบปานตะวันขึ้นมาทีละนิด
   
        “ถ้าอย่างนั้นหนูเจียขอโทษน้าตะวันได้ไหมครับแล้วก็หลังจากนี้มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน หนูเจียต้องบอกน้าตะวันนะว่าตัวเองอยากได้อะไรหรือน้าตะวันควรทำตัวยังไง นะครับ” ดวงตาสีนิลมองหลานชายตัวน้อยที่จับชายเสื้อตัวเอง  เจียหลินมีท่าทางลังเลครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าตอบรับข้อตกลง
   
        “เก่งมากครับ เด็กดี” ราเมศชม “ งั้นไปขอโทษน้าตะวันกันนะครับ” ว่าพลางเปิดประตูออกไป แต่เมื่อสองน้าหลานเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น ปรากฏว่าปานตะวันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
   
         เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะถี่เร็ว บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของเสียงกำลังวิ่งอย่างสุดกำลัง เงาร่างเล็กๆ เคลื่อนไหวไปหยุดลงตรงบริเวณถังขยะใต้เสาไฟ แสงไฟสลัวริมถนนเผยให้เห็นร่างชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีน้ำตาล ร่างนั้นชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดฝาถังขยะออกแล้วหยิบถุงดำที่อยู่ข้างในออกมา

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A Little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 21-01-2017 20:21:39
         ปานตะวันย่นจมูกลงเล็กน้อยกับกลิ่นไม่พึงประสงค์แต่กระนั้นเขาก็ไม่หยุด มือบางเปิดถุงดำถุงแล้วถุงเล่า เพื่อหาตุ๊กตากระต่ายที่ทิ้งลงไป นอกจากในถังแล้วที่พื้นข้างๆ ก็ยังมีถุงดำวางสุมทับกันอยู่อีกหลายถุง ปานตะวันกัดริมฝีปาก พยายามเพ่งมองหาตุ๊กตา เหงื่อไหลลงมาตามข้างขมับ
   
        ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้นะ...ทำไมเขาถึงยอมให้ตัวเองยุ่งยากขนาดนี้
   
        ถ้าเป็นเมื่อก่อน แค่เด็กหนึ่งคน โทรหาญาติก็สิ้นเรื่อง กับอีแค่ตุ๊กตาหนึ่งตัว ซื้อให้ใหม่ไปก็จบ
   
        แต่ในตอนนี้ เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ของที่เขาโยนทิ้งไปคือของดูต่างหน้าของพี่จันทร์ เป็นของสำคัญที่ไม่มีอะไรแทนได้ ปานตะวันรู้สึกเจ็บไปทั้งใจเมื่อนึกย้อนไปถึงสีหน้าและน้ำเสียงของเจียหลินที่บอกว่าโกรธเขาแค่ไหน บ่งบอกให้รู้ว่าเขามันเป็นน้าที่ไม่ได้เรื่องแค่ไหน
   
         บางทีอาจจะถูกของไอ้กันต์ก็ได้...เขาไม่มีทางเลี้ยงเด็กคนนี้ได้เลยและบางทีเจียหลินอาจไม่ได้ต้องการเขา
   
         แต่ถึงอย่างนั้นปานตะวันก็ยังอยากขอโทษ
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปาก ปลายจมูกแสบร้อนขึ้นมา ราเมศบอกว่าเขาเก่งที่พยายามมาได้ขนาดนี้แต่มันไม่จริงเลย ปานตะวันก็ยังเป็นปานตะวันที่ไม่ได้เรื่องอยู่เหมือนเดิม ถ้าเขาเก่งจริง เจียหลินคงเปิดใจให้เขาไปแล้ว
   
        “อ๊ะ อยู่นี่เอง” ปานตะวันพึมพำเมื่อค้นเจอตุ๊กตากระต่ายตัวนั้นจนได้ มันดูมอมแมมจนน่าสงสาร จะว่าไปก็เหมือนเขาตอนนี้เลย สกปรกแถมยังมีกลิ่นเหมือนขยะด้วย
   
        ปานตะวันเอานิ้วจิ้มนุ่นที่ทะลักออกมากลับเข้าไป จากนั้นก็เดินลากขากลับบ้าน ตอนที่เขาเข้าบ้านชายหนุ่มก็พบว่าเจียหลินกับราเมศไม่อยู่ พอเดินไปชะโงกดูบ้านฝั่งตรงข้ามก็พบว่าไฟเปิด ราเมศคงพาหลานไปที่บ้านของตัวเอง  ดีเหมือนกัน ให้เจียอยู่กับคนที่ตัวเองสบายใจไปจะดีกว่า
   
         “จะว่าไป...โกรธเราไปด้วยอีกคนหรือเปล่านะ” ผู้ชายหน้ายักษ์ที่เพิ่งชมเขาว่าเก่งไปเมื่อตอนกลางวัน ถ้ารู้ว่าเขาทำอะไรลงไป จะโกรธไหมนะ จะผิดหวังหรือเปล่า 
   
         ถ้ารู้ว่าจริงๆ แล้วปานตะวันก็ยังไม่เอาไหน จะรู้สึกเบื่อหรือเปล่านะ จะถอนคำพูดที่ว่าเขาเก่งหรือเปล่า
   
        ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย
   
        ไม่รู้ทำไมแค่คิดถึงสายตาผิดหวังของราเมศ ปานตะวันก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว
   
        ชายหนุ่มรีบอาบน้ำ ตอนแรกคิดว่าจะไปรับเจียหลินแต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะรู้ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นคงยังไม่อยากเจอหน้าเขา บางทีเขาควรไปขอโทษเด็กน้อยพร้อมกับคืนตุ๊กตาให้...ถ้าทำแบบนั้นเจียหลินอาจจะหายโกรธก็ได้
   
       ปานตะวันกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง วางกล่องอุปกรณ์ตัดเย็บลงบนเตียง ชายหนุ่มเห็นว่าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้มีแต่รอยขาด เขาจะเย็บซ่อมมัน เอาไปซักแล้วก็คืนให้น้องเจีย เขาไม่ถนัดงานเย็บผ้าอะไรแบบนี้หรอก แต่...ลองดูก็ไม่เสียหายนี่นา ตอนนี้เพื่อหลานชายคนเดียว ปานตะวันยอมทุกอย่างนั่นแหละ
   
        “โอ๊ย เชี่ย!”
   
        แต่หลังจากพยายามเย็บซ่อมมาเกือบยี่สิบนาทีร่างเล็กก็พบว่ามันไม่ง่ายเลยจริงๆ ปานตะวันสะบัดมือ จ้องรอยแดงจากการถูกเข็มทิ่มเขม็ง
   
        “รอบที่สิบแล้วมั้งเนี่ยให้ตายเหอะ” คนตัวเล็กบ่นอุบพลางพลิกตัวตุ๊กตาที่รอยขาดเกือบทั้งหมดถูกปิดไว้ด้วยด้ายขาว ฝีเข็มแม้จะบูดๆ เบี้ยวๆ น่าเกลียดแต่ก็ทำให้นุ่นไม่ทะลักออกมาได้ ปานตะวันถือว่าตัวเองผ่านล่ะนะ
   
        “เอ้า เอาใหม่” ว่าพลางค่อยๆ แทงเข็มลงไปในเนื้อผ้าอีกครั้ง บนตักและเสื้อนอนของปานตะวันมีแต่เศษด้ายเต็มไปหมดแถมนี่ก็เข็มเล่มที่สองแล้ว เพราะเล่มแรกปานตะวันเย็บตรงที่เนื้อผ้ามันหนาแล้วเขาออกแรงดันจนเข็มงอ ใช้งานไม่ได้
   
       ตอนแรกปานตะวันเสียเวลาสนเข็มไปเกือบสิบห้านาที มีช่วงหลังๆ ที่สนได้ไวขึ้น แต่การเย็บผ้าก็ไม่ได้ง่าย วิชาการงานอาชีพที่เคยให้เย็บกระดุมหรือเย็บรอยขาดก็ลืมไปหมดแล้ว อันที่จริงควรเรียกว่าไม่ได้ทำเองถึงจะถูก เพราะปานตะวันจ้างเพื่อนผู้หญิงในห้องทำ
   
        คิดๆ แล้ว...เหมือนกรรมตามสนองเลยแฮะ แถมงานของเขาตอนนี้ถ้าอาจารย์สมัยมัธยมมาเห็นคงริบเกรดสี่วิชาการงานอาชีพคืนแหง
   
        “เฮ้อ” ร่างเล็กถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ ริมฝีปากบางเม้มหากันแน่นตอนที่พยายามเย็บรอยขาดให้ปิดสนิท หลังโดนเข็มทิ่มไปอีกสี่ห้าทีภารกิจวันนี้ก็ลุล่วง ปานตะวันแทบโห่ร้องตอนที่ขมวดปมด้ายแล้วใช้กรรไกรตัดเป็นขั้นตอสุดท้าย เจ้ากระต่ายมีรอยปุปะไปทั่วตัวแต่ก็พร้อมจะลงเครื่องซักและกลับสู้อ้อมแขนเจียหลินแล้ว
   
        ปานตะวันยิ้มออกมาพลางก้มมองมือที่มีแต่รอยแดงของตัวเอง
   
        เจ็บไหม...เจ็บ แต่มันก็เล็กน้อยเท่านั้น เขาทนได้
   
       เพราะนี่คือสิ่งเล็กๆ เพียงสิ่งเดียวที่ปานตะวันสามารถทำให้เจียหลินได้
   
       ครืด ครืด ครืด
   
        ในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาสั่น พอเอื้อมไปหยิบมาดูเบอร์คนโทรเข้าก็ต้องขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีธุระอะไรตอนดึกดื่นแบบนี้
   
        “สวัสดีครับน้าสายหยุด” คนตัวเล็กขมวดคิ้วเมื่อได้ยินปลายสายตอบกลับมา “มีเรื่องจะคุยเหรอครับ...หืมเกี่ยวกับเจียหลิน??”
   
        [ใช่จ้ะ คือน้ากับสามีมาคิดๆ ดูแล้ว พวกเราจะรับเจียหลินมาเป็นลูกบุญธรรมจ้ะ]
   
        ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
   
        “คุณน้า...สะดวกเหรอครับ”
   
        [สะดวกสิจ๊ะ คือ น้ามาคิดดูแล้ว การทิ้งเด็กคนนั้นไว้กับตะวันดูจะเป็นการไร้ความรับผิดชอบเกินไปหน่อย เธอเองก็ยังเด็ก ยังต้องไปเรียน ดูแลหลานเล็กๆ ขนาดนั้นไม่ได้หรอกจริงไหม อีกอย่างตะวันไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนคงลำบากน่าดู น้ารับเจียหลินมาเลี้ยงแบบนี้คงดีกว่าเธอมากกว่า จริงไหมจ๊ะ]
   
        ยิ่งฟังสิ่งที่น้าสายหยุดพูดมากขึ้นเท่าไหร่ สีหน้าของปานตะวันก็ยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มกำโทรศัพท์แน่น พึมพำตอบกลับไป
   
        “ผมยังไม่แน่ใจเลยครับ ผมคงต้อง...จัดการหลายๆ อย่างก่อน ถ้ายังไงผมจะติดต่อไปอีกทีนะครับ”
   
         [จ้ะ น้าว่าเดี๋ยวเร็วๆ นี้จะไปหาที่บ้านเรือนไทยด้วยนะจ๊ะ]
   
        “ครับ แล้วเจอกันครับ”
   
        ตุบ
   
        ปานตะวันกดตัดสายก่อนโยนโทรศัพท์ลงไปบนเตียง แล้วทันใดนั้นเองเขาก็รับรู้ถึงการปรากฏตัวของใครบางคน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา
   
       “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ คุณเมศ”
   
       “ก็...ตั้งนานแล้ว นายมัวแต่คุยโทรศัพท์เลยไม่ได้ยิน”
   
       ดวงตากลมสีน้ำตาลจ้องร่างสูงใหญ่เขม็ง “ได้ยินหมดเลยสินะ” ราเมศนิ่งไปพักหนึ่งก่อนพยักหน้า “ก็เกือบทั้งหมด”
   
       ได้ยินดังนั้นปานตะวันจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หัวเราะออกมาทั้งที่ไม่ได้มีอะไรน่าตลกเลยสักนิด ร่างเล็กยกแขนปิดตาตัวเอง จะได้ไม่ต้องเห็นสีหน้าผิดหวังของเพื่อนบ้านตัวโต
   
        “ผมนี่มันแย่เนอะ เป็นน้องที่แย่ เป็นน้าที่แย่ เป็นลูกที่แย่ด้วย ดูสิ ขนาดเย็บผ้ายังแย่เลย”
   
        ไม่มีเสียงตอบกลับแต่เตียงข้างๆ เขายวบลง ลดแขนลงแล้วหันไปดูก็พบว่าอีกฝ่ายทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างกัน ปานตะวันมองลึกไปในดวงตาคู่สวยที่จ้องเขาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว นัยน์ตาของราเมศเป็นสีนิล ดูลึกล้ำและน่าค้นหา และบางคราก็รู้สึกเหมือนถูกอ่านทะลุปรุโปร่ง ในมือของราเมศมีตุ๊กตากระต่ายอยู่ในมือ ชายหนุ่มตัวโตพลิกมันไปมาก่อนจะเปรยขึ้น
   
        “นายเย็บผ้าแย่จริงๆ ด้วย”
   
        “ก็ครั้งแรกนี่นา”
   
        “แต่ก็ยังตั้งใจเย็บ”
   
         “อืม อยากขอโทษน้องเจีย ขอโทษคุณด้วย...ที่ทำให้ผิดหวัง”
   
         ปานตะวันพลิกตัวนอนตะแคง หันไปมองราเมศ อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มนิดๆ ย้อนกลับมาเสียงเรียบ “ทำอะไรให้ผิดหวังเหรอ”
   
        “ผมไม่ใช่น้าที่ดี เป็นเด็กไม่ได้เรื่องอย่างที่คุณว่าจริงๆ นั่นแหละ”
   
        ราเมศถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ฉุดให้ปานตะวันลุกตาม “แบมือ” สั่งเสียงเรียบก่อนหยิบเอาบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง พลาสเตอร์ยานั่นเอง...ไม่ใช่พลาสเตอร์ยาธรรมดาแต่ดันเป็นรูปการ์ตูนแมวจิ๋วหน้าตาน่าฟัด   
 
       “เลือกพลาสเตอร์ได้ขัดกับหน้าตาชะมัด”
   
       “ตอนจ่ายเงินพนักงานก็มองเหมือนกัน”
   
        ปานตะวันหัวเราะ เงียบเสียงลงเมื่อมือใหญ่อบอุ่นค่อยๆ แปะพลาสเตอร์ลงบนรอยแดงตามฝ่ามือเขาอย่างแผ่วเบา  หัวใจไม่รักดีเต้นถี่ขึ้นมาอีกเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยประโยคถัดมา “แต่คิดว่าคงเข้ากับหน้านาย”
   
        บ้าเอ๊ย เป็นอะไรไปเนี่ย เขาเป็นอะไรไป
   
        นี่ผู้ชายนะ...ผู้ชายตัวโต หน้ายักษ์ ปากร้าย ที่สำคัญใจเต้นกับผู้ชายไม่ตลกโว้ย!
   
        ปานตะวันสูดลมหายใจลึกๆ ระงับอาการฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่มองราเมศแปะพลาสเตอร์ให้จนเสร็จ จากนั้นก็กล่าวขอบคุณ
   
        แต่หลังจากนั้นฝ่ามือคู่นั้นก็ไม่ได้ละไปไหน ยังคงจับมือปานตะวันไว้เช่นเดิม
   
        “นี่ ปล่อยได้แล้วมั้ง”
   
        “เหนื่อยเหรอ”
   
        คำถามสั้นๆ ที่ออกจากปากราเมศทำให้ปานตะวันหยุดดึงมือออกจากมือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น สบตาคนอายุมากกว่า “เปล่าสักหน่อย”
   
        “นายเหนื่อย ฉันรู้”
   
        “รู้ดี”
   
         ถ้าเป็นตามปกติคงถูกด่าแล้วฐานพูดจาไม่เคารพผู้ใหญ่ แต่หนนี้ราเมศแค่ออกแรงเล็กน้อย ดึงเอาร่างของปานตะวันให้โน้มตัวไปพิงได้อย่างง่ายดาย หน้าผากมนแตะอยู่ที่บ่าแข็งแรง พออยู่ลักษณะนี้...ก็รู้สึกเหมือนที่สิ่งที่แบกเอาไว้จะเบาบางลงไปหน่อยหนึ่ง
   
       “เหนื่อยก็พักเถอะ วันนี้แย่ก็พัก ฉันอยู่ตรงนี้แหละ”
   
      “คุณไม่เหนื่อยเหรอ”
   
       “ไม่เหนื่อยหรอก นายน่ะ ถ้าเหนื่อยก็เลิกทำเป็นเข้มแข็งแล้วพักบ้างเถอะ”
   
       “ทีอย่างนี้ทำเป็นพูดจาดี ตอนแรกนะโวยวายใส่เขาจะเป็นจะตาย ดุอีก”
   
        “ก็น่าดุไหมล่ะ ลูกแมวปากดี”
   
        ปานตะวันหัวเราะ ขยับตัวให้นั่งสบายขึ้น ราเมศมองเจ้าแมวน้อยที่ยุกยิกไปมาก็ผ่อนลมหายใจออก วันนี้จะยอมให้วันหนึ่งก็แล้วกัน
   
       คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลนุ่มมือ มืออีกข้างก็ยังคงจับมือเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรอยแดงเอาไว้  ใช้ปลายนิ้วโป้งลูบไล้แผ่วเบาราวกับจะปลอบโยน
   
       ปานตะวันกับเจียหลินสมแล้วที่เป็นน้าหลานกัน ปากแข็งไม่ค่อยพูดแล้วก็ยังขี้แยเหมือนกันอีก ชอบตั้งกำแพงใส่คนแปลกหน้า แต่ถ้าหากทลายกำแพงนั้นลงได้ล่ะก็ อีกฝ่ายก็จะกลายเป็นแมวเชื่องๆ ทันที
   
       แต่เหมือนแมวตัวใหญ่จะรั้นแล้วก็น่าปวดหัวกว่าแมวตัวเล็กเยอะเลย
   
        “ผมไม่เหมาะกับการเลี้ยงเด็กจริงๆ ด้วยสินะ” คนที่ซุกหน้าอยู่กับบ่าเขาพูดอู้อี้ “ให้หนูเจียไปอยู่กับคนอื่นคงดีกว่า”
   
        “รู้ได้ยังไง”
   
        “คิดเอา”
   
        “แมวขี้มโน”
   
       “ผมไม่ใช่แมวนะ แล้วว่าใครขี้มโนวะ!”
   
         ราเมศกลอกตา หยิกแก้วขาวจนอีกคนร้องโอ๊ย “อย่ามาขึ้นวะขึ้นโว้ยกับพี่นะ”  เขาดุเสียงเข้ม อีกคนก็คงตกใจเลยยอมพยักหน้าแบบมึนๆ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า “คุณเรียกใครว่าพี่นะ”
   
        “ฉันไง อายุมากกว่านาย เป็นพี่ถูกแล้ว”
   
       “ลุงสิไม่ว่า”
   
        “ตะวัน” ราเมศเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงเนิบ “ปานตะวัน” เขาชอบชื่อนี้ ฟังแล้วอบอุ่น เหมือนดวงอาทิตย์ เขานึกชมคนตั้งชื่อให้ชายตรงหน้าอยู่ในใจ
   
        “อะ...อะไร”
   
        “เรียกพี่เมศสิ”
   
       “ไม่เอา”
   
        ปานตะวันส่ายหน้า พยายามหลบสายตาที่ทอดมองมา สายตาแบบที่ทำให้เขาฟุ้งซ่านจนหน้าแดงอีกรอบ แต่ราเมศก็ยังไม่หยุด อีกฝ่ายจับเขาให้หันไปมองหน้ากันตรงๆ น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาฟังดูอ่อนโยนจนใจสั่น
   
         “ปานตะวัน...เรียกพี่เมศสิครับ”
   
        “ม...” จะตอบว่าไม่ แต่ริมฝีปากก็สั่นจนพูดได้ไม่เป็นคำ สุดท้ายแล้วเจ้าลูกแมวแสนพยศก็ซุกหน้าเข้ากับบ่าร่างสูงอีกครั้งเพื่อซ่อนใบหน้าเขินอายของตัวเอง
   
       “ย...ยอม...ยอมเรียกก็ได้...พี่เมศ
   
       ยอมแพ้ แพ้แล้ว แพ้แบบหมดรูปเลยจริงๆ แต่...ฮึ่ย ปานตะวันยอมให้หนนี้หนเดียวหรอกนะ!
   
       “เด็กดี” ราเมศพูดยิ้มๆ “ฟังพี่นะ นายน่ะไม่ได้เลี้ยงเด็กไม่ได้หรอก ก็แค่ไม่ชินเท่านั้นเอง ของแบบนี้ต้องใช้เวลาเรียนรู้ อีกอย่างเรื่องที่เจียไปอยู่กับคนอื่นแล้วจะมีความสุขน่ะ อย่าไปคิดแทนหลานเลย นายควรไปถามเขาด้วยตัวเองนะว่าอยากไปหรืออยากอยู่กับนาย”
   
       “เจียโกรธผมอยู่นะ หลานไม่ให้ผมเข้าใกล้ด้วย”
   
       “เชื่อพี่เถอะ มีใครบางคนก็อยากขอโทษนายเหมือนกัน”
   
        ปานตะวันดันตัวเองออกจากอีกฝ่าย นัยน์ตาคู่สวยฉายแววงุนงง ราเมศยิ้ม ดึงมือคนตัวเล็กให้ลุกออกจากเตียง ไม่ลืมยัดตุ๊กตาใส่มือบางด้วย
   
       “พี่จะพาไปรับหลานกลับบ้าน”
   
       “คืนนี้ให้เขานอนกับพี่ก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก เจียคงสบายใจกว่า”
   
       “อย่ามโน”
   
        แมวเด็กทำท่าจะขู่ฟ่ออีกหน ราเมศจึงรีบยกมือยอมแพ้ เขาจูงมือปานตะวันออกไป อีกฝ่ายก็เดินตามมาแม้จะมีสีหน้าลังเล พอถึงหน้าบ้านเขาอีกฝ่ายก็กระตุกมือเป็นเชิงให้หยุด
   
      “ผมว่า ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า”
   
      “วันนี้แหละ”
   
       ราเมศไม่รอฟัง เขากระตุกมือ ดึงอีกฝ่ายให้เดินเขาเขตบ้านตนทันที ปานตะวันแอบอยู่ด้านหลังเขา เหมือนเจียหลินเวลาเจอคนแปลกหน้าไม่มีผิด เจ้าลูกแมวพวกนี้นี่...
   
       “ถ้าเจียไม่กลับกับผมล่ะ”
   
      “นายก็นอนกับเจียที่นี่ไง”
   
      “บ้า!”
   
       คนตัวเล็กตะโกนใส่ ใบหน้าน่ารักฉายแววหงุดหงิด ราเมศขยี้ผมปานตะวันอย่างหมั่นเขี้ยว นึกอยากหนีบปากเป็ดนั่นให้ยืดจริงๆ เขารังแกอีกฝ่ายจนพอใจจากนั้นก็โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหู ให้กำลังใจเป็นรอบสุดท้ายก่อนที่คุณน้ามือมือใหม่จะเข้าไปทำการง้อหลาน
   
       “เชื่อพี่เถอะ ไม่มีที่ไหนที่เจียหลินจะอยากอยู่มากไปกว่าบ้านของพวกนายหรอก”

**********************************************************

อันความเนียนของพี่เมศนั้น....5555555 คนนี้เนียนหน้านิ่งดัวยนะคะ คนก่อนๆ เขาเนียนหน้ายิ้มกันหมด ฮ่าๆ
ไม่ได้อัพซะนานเลย ขอโทษนะคะ ช่วงอาทิตย์ก่อนติดเขียนตอนพิเศษ พออาทิตย์นี้มีช่วงติดสอบ แง
จริงๆ ตอนนี้เขียนตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วลากยาวมาถึงปัจจุบัน ยาวมากค่ะประมาณ 22 หน้าA4 ได้ เขียนไปหลับไป
 :katai5:
การเขียนปานตะวันก็ยังเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกท้าทายมากๆ อยู่ โดยเฉพาะเจียหลินกับปานตะวัน
เป็นสองน้าหลานที่น่าปวดหัวจริงๆ หวังว่าคนเลี้ยงแมวอย่างพี่เมศจะเอาอยู่นะคะ ฮ่าๆ
เรื่องนี้มีแมวเล็ก แมวใหญ่กับคนเลี้ยงแมว หวังว่าครอบครัวนี้จะสงบสุข 5555

ปล. ถ้าเราอัพไม่ได้ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานเกินไป
มีแววว่าหนังสือจะเข้ามาทับถมอีกแล้วค่ะ (ร้องห่มร้องไห้)
ปล. 2 ติดตามข่าวสารการอัพและนิยายเรื่องอื่นๆ รวมถึงพูดคุยกับเราได้ทางเพจ AzureDream นะคะ <3
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A Little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-01-2017 20:29:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A Little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 21-01-2017 23:02:22
ชอบมากเลยค่ะ

ปานตะวันจะต้องเลี้ยงเจียหลินได้ดีไม่แพ้พี่จันทร์แน่นอน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A Little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-01-2017 01:42:34
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A Little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-01-2017 02:09:30
ฮือออ ชอบบบ

หนูเจียของป้า
ตะวันจะหาทางออกยังไงเนี่ย
ถูกไทร์ ไม่มีงานทำ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A Little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-01-2017 22:40:33
คนเลี้ยงแมวอบอุ่นจริง เข้าใจจิตใจทั้งแมวเล็กแมวใหญ่เลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๓ A Little thing I can do (๒๑/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-01-2017 00:54:47
ปานตะวันจะเลือกทางไหนหนอ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๔ แรกหลงรัก (๒๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 28-01-2017 20:26:14
ปานตะวัน
บทที่ ๔
แรกหลงรัก


         ตอนที่ปานตะวันเปิดประตูเข้าไปเจียหลินกำลังนอนวาดรูปอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มตัวเล็กซุกตัวหลบอยู่หลังราเมศ ไม่ยอมโผล่ออกไปจนคนตัวใหญ่ต้องดันตัวเขาให้กล้าออกไปเผชิญหน้ากับหลานตัวเอง
   
         “หนูเจียครับ ดูสิมีใครมาหา” เสียงทุ้มดึงความสนใจเด็กน้อยออกจากกระดาษสีขาว ดวงตากลมโตมองมาอย่างฉงนก่อนที่ร่างนุ่มนิ่มบนโซฟาจะสะดุ้งเฮือก จนทำสีเทียนหล่นจากมือ แท่งสีกลิ้งกลุกๆ มาหยุดแทบเท้าปานตะวัน
   
        ความเงียบโรยตัวปกคลุมคนทั้งสาม ราเมศถอยหลังออกไปช้าๆ เปิดโอกาสให้สองน้าหลานได้ปรับความเข้าใจกัน ส่วนตัวเองก็ไปทำหน้าที่เป็นผู้ชมที่ดีด้านข้างสนาม บรรยากาศเงียบสนิทจนชวนอึดอัด ในที่สุดปานตะวันก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว คนตัวเล็กก้มลงหยิบสีเทียนสีฟ้าขึ้นมาจากนั้นก็เดินไปหยุดตรงโซฟา ย่อตัวลงจนระดับสายตาของตนอยู่ใกล้เคียงกับเจียหลิน ราเมศเห็นมือของปานตะวันที่ถือตุ๊กตาไว้สั่นน้อยๆ ชายหนุ่มผมน้ำตาลซ่อนเจ้ากระต่ายซอมซ่อนั่นไว้ที่ด้านหลังของตน
   
        “นี่ครับ สีเทียนของน้องเจีย” เสียงแหบหวานของปานตะวันเอ่ยขึ้นพร้อมกับที่คนเป็นน้าชายมือใหม่ยื่นสีคืนให้เด็กน้อย รออยู่นานกว่าเจียหลินจะกล้ายื่นมือออกมารับ
   
        “ขอบคุณครับน้าตะวัน”
   
         “ไม่เป็นไรครับ”
   
         บทสนทนาของแมวเล็กและแมวใหญ่จบลงแค่นั้น ปานตะวันกับเจียหลินคงไม่รู้หรอกว่าพวกตนส่งสายตาของความช่วยเหลือมาทางเขาแทบจะพร้อมกัน และในฐานะพี่เลี้ยงที่ดี เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง
   
        ปานตะวันควรเรียนรู้ที่จะเข้าหาเจียหลินและอดทนมากกว่านี้ ส่วนเจียหลินก็ควรเรียนรู้ที่จะเปิดใจ
   
        พวกเขาต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง ราเมศไม่เข้าไปยุ่งเพราะอยากให้พวกลูกแมวได้หัดปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น
   
        ชายหนุ่มจึงยืนนิ่ง ทำเพียงส่งยิ้มให้กำลังใจทั้งสองฝ่าย สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคนหนึ่งทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ ส่วนอีกคนก็ถลึงตาใส่เหมือนอยากลุกมาบีบคอเขา ให้ตายเถอะ เจ้าพวกเอาใจยาก!
   
       “เจียครับ” ปานตะวันเอ่ยขึ้น ในที่สุดก็คิดได้ว่าราเมศคงจะยืนอยู่ตรงนั้นไปจนรากแก้วหยั่งลงดินและจะไม่ช่วยเขาเด็ดขาด ยังไงก็คงต้องหาทางแก้ด้วยตัวเองแล้วคราวนี้
   
        พอเห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเจียหลินมองสบมาแม้จะด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ แต่ปานตะวันก็ใจชื้นขึ้นเยอะ  ดีกว่าไม่ให้เข้าใกล้เลยล่ะนะ
   
        “น้าตะวันมีอะไรมาให้น้องเจียด้วยนะครับ”  เขาพูดก่อนจะเอาตุ๊กตากระต่ายที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา รอยยิ้มพึงพอใจผุดขึ้นที่ริมฝีปากเมื่อเห็นว่านัยน์ตาของเด็กน้อยเป็นประกายขึ้นมาด้วยความดีใจ  เจียหลินเงยหน้ามองเขา “น้าตะวันไปเอามาจากไหน”
   
         “นั่นสินะ...ดูเหมือนจะเข้าใจผิดล่ะ จริงๆ ไม่ได้เก็บไปทิ้งแต่เจอหล่นอยู่ที่ซอกตู้ต่างหาก ขอโทษนะครับที่ทำให้เจียร้องไห้”
   
         ขอโทษจากใจจริง...ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้
   
         ขอโทษที่ต้องโกหก
   
        ขอโทษที่เป็นครอบครัวที่ดีให้ไม่ได้ในตอนนี้
   
        เจียหลินมองเขาสลับกับตุ๊กตา ก่อนที่มือเล็กๆ นั้นจะยื่นมารับตุ๊กตาไปปานตะวันก็ชักมือกลับ “ยังให้ไม่ได้ครับ คุณกระต่ายเหม็นแล้ว น้าตะวันจะเอาไปซักนะ พอคุณกระต่ายตัวหอมก็จะเอามาคืน” จะให้เด็กน้อยอุ้มกลับไปตอนนี้ก็ดูใจร้ายไปหน่อยเพราะมันมีแต่กลิ่นขยะแถมเชื้อโรคอีกสารพัด ปานตะวันไม่ยอมให้เจียหลินจับอะไรที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคแน่(เขากับราเมศจับได้ ไม่เป็นไร โตแล้ว)
   
        “น้าตะวันจะเอาคุณกระต่ายไปซักเหรอครับ” เจียหลินเผยท่าทางลังเลออกมา คงกลัวว่าคุณกระต่ายจะหายไปอีก ปานตะวันจึงต้องรีบประกันความมั่นใจให้เด็กน้อย
   
        “ใช่ครับ แต่แป็ปเดียว วันสองวันเดี๋ยวน้องเจียก็จะได้กอดคุณกระต่ายแล้ว”
   
        “จริงเหรอครับ”
   
        “จริงครับ”
   
       “สัญญานะครับ”
   
         ดวงตากลมแป๋วที่ช้อนมองพร้อมกับนิ้วก้อยเล็กๆ ที่ยื่นมาตรงหน้าแทบทำให้ปานตะวันร้องไห้ น้องเจียไม่ได้โกรธเขาแล้ว!
   
        “สัญญาสิครับ สัญญาเลย!”
   
         ปานตะวันยิ้มกว้าง ยื่นนิ้วก้อยตนไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยเจียหลิน แกว่งไปมา “น้าตะวันไม่ผิดสัญญาแน่” สิ้นคำนั้นเจียหลินก็ยิ้ม...ยิ้มกว้างให้ปานตะวันเป็นครั้งแรก
   
        และเขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจันทร์จ้าวและราเมศถึงได้หลงรักเด็กคนนี้
   
        เจียหลินยิ้ม พวกแก้มกลมๆ แต้มสีชมพูระเรื่อ ดวงตาหยีลง เป็นยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบสว่างไสว ปานตะวันรู้สึกเหมือนเห็นดอกไม้บานประกอบฉากอยู่ด้วย
   
        “ขอบคุณครับ” เจ้าตัวเล็กพูดเสียงใส ทำท่าจะโผเข้าหาแต่แล้วก็ชะงัก ก้มหน้างุด สองมือดึงชายเสื้อตัวเองไปมา ปานตะวันเอียงคอมองอาการนั้น “น้องเจียปวดท้องเหรอครับ”
   
        “ม...ไม่ใช่ น...หนูเจีย...หนูเจีย”
   
        เด็กน้อยอึกอัก เหลือบตามองปานตะวันแล้วก็พึมพำออกมาเสียงเบา แต่โชคดีที่อยู่ใกล้ ปานตะวันจึงได้ยินชัดเจน
   
        “หนูเจียขอโทษ”
   
       “ครับ?” ปานตะวันถามย้ำ เผื่อเมื่อกี้จะหูฝาด
   
        “หนูเจียบอกว่า...หนูเจียขอโทษ ขอโทษน้าตะวัน หนูเจียไม่ได้ตั้งใจ” พูดไปเท่านั้นเจ้าเด็กน้อยก็น้ำตาร้องพรู จมูกเล็กแดงเรื่อ ทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดูไปพร้อมกัน “น้าตะวันอย่า...อย่าโกรธหนูเจียนานเลยนะ”
   
        ปานตะวันมองเด็กตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะวางตุ๊กตาลงบนพื้นแล้วเดินไปหาร่างสูงที่ยืนมองเหตุการณ์ต่างๆ อยู่อย่างเงียบเชียบ ราเมศดูงุนงงไม่น้อยเมื่อเขาเดินเข้ามาหาแล้วถามอย่างรวดเร็วว่า “พี่เมศ ห้องน้ำบ้านพี่ไปทางไหน”
   
        “หา?”
   
        “ไม่หาแล้ว เร็วสิ ห้องน้ำไปทางไหน”
   
         “เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย อยู่ถัดจากห้องนั่งเล่น”
   
        ปานตะวันเดินไปตามทางที่บอก สักพักก็กลับมา เท่านั้นแหละราเมศถึงกับหลุดหัวเราะก๊าก รู้เหตุผลทันทีว่าทำไมปานตะวันถึงถามหาห้องน้ำ
   
         มือเล็กของเจ้าตัวยังเปียกอยู่ ตะกี้จับกระต่ายเน่ามา สงสัยกลัวมือจะเหม็นเลยรีบไปล้างมือก่อนกลับมากอดเจียหลิน จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรทำนั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูน่าเอ็นดูนัก เจ้าแมวใหญ่ก็มีดีนี่นา
   
        ปานตะวันที่เช็ดมือกับเสื้อนอนตัวเองเรียบร้อยก็รีบเข้ามาหาเจียหลินทันที ดูเหมือนตอนที่เขาผลุนผลันออกไปล้างมือนั้นเจียหลินจะคิดไปว่าเขาโกรธจนไม่อยากพูดด้วยเลยสะอื้นหนักกว่าเก่า ผู้ชายใจยักษ์ตรงมุมห้องก็ยืนเฉยรอเขากลับมาปลอบหลาน ทีอย่างนี้ละทำนิ่งทีตอนปกติเห็นหลานร้องไห้นี่ก็แทบจะโดดขบหัว เอากับมันสิ
   
         “โอ๋ๆ นะหนูเจีย ไม่ร้องนะครับ” ปานตะวันเผลอเรียกหนูเจียตามราเมศและหลานชายที่แทนตัวเองว่าหนูเจียบ่อยๆ “น้าตะวันไม่โกรธแล้ว ไม่ร้องนะ จุ๊ๆ เงียบก่อนนะเด็กดี” ว่าพลางดึงร่างเล็กให้ซุกเข้ามาในอ้อมแขน เจียหลินกอดคอเขา ซุกใบหน้าเขาที่ไหล่
   
        เจียหลินไม่ได้สะอื้นหรือโวยวายจะเป็นจะตายแบบเด็กหลายคน ปานตะวันได้รู้วันนี้เองว่าหลานชายของเขาเป็นพวกร้องไห้เงียบๆ ร้องแป็บเดียวก็หยุด ไม่ต้องปลอบมากให้วุ่นวาย พอหยุดร้องเจ้าตัวเล็กก็ดันตัวออกมามองหน้าเขา ดวงตาคู่นั้นบอกปานตะวันว่าอีกฝ่ายสำนึกผิดแล้ว
   
          “น้าตะวันก็ขอโทษจะไม่ทำอีกแล้วครับ”
   
         “หนูเจียด้วย”
   
        “งั้นเราดีกันนะ จากนี้น้าตะวันจะพยายามเป็นน้าที่ดีของหนูเจียให้มากขึ้นนะครับ”
   
        พอได้ยินคำว่าดีกันนะ เด็กน้อยก็อมยิ้มจนแก้มพอง พยักหน้ารัว ปานตะวันถึงกับตาพร่าไปกับความน่ารักนั้น
   
        “หนูเจียก็จะเป็นเด็กดีของน้าตะวันกับน้าเมศครับ”
   
        เจียหลินไม่ใช่เด็กเก็บตัว แค่ปิดใจ แต่ถ้าลองได้เปิดใจกันแล้ว อีกฝ่ายก็เป็นเด็กที่น่ารักน่าหลงไม่น้อยเลยทีเดียว ปานตะวันกอดร่างนิ่มไว้ เข้าใจความรู้สึกของพี่จันทร์กับราเมศก็วันนี้
   
        ยิ่งพอคิดว่าตัวเองเป็นน้าชายของเด็กคนนี้ เป็นผู้ปกครอง ความคิดที่ว่าต้องปกป้องเด็กคนนี้ก็แวบเข้ามา ต้องปกป้อง ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เจียหลิน
   
       แม้ว่านั่นจะหมายถึงการแยกจากกันระหว่างเขากับหนูเจียก็ตาม
   

        แต่ในตอนนี้ ตอนที่เวลายังไม่หมดลง เขาจะขอใช้เวลาที่เหลืออยู่สร้างสายสัมพันธ์กับเจียหลินให้เต็มที่ อย่างน้อยก็หวังว่าเมื่อโตขึ้นและห่างกันไป เจียหลินจะได้ไม่ลืมเขา
   
        “หนูเจีย” ปานตะวันตัดสินใจแล้วว่าจะเรียกเจ้าตัวเล็กนี่ว่าหนูเจียตามราเมศ “กลับบ้านกันเถอะนะครับ”
   
        “ครับ!”
   
        “ดีกันแล้วสินะ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ปานตะวันสะดุ้งเบาๆ คนตัวเล็กหันขวับไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางเอาเรื่อง
   
        “เอ้า ขยับตัวได้แล้วเหรอ นึกว่ายืนตรงนั้นจนรากแก้วหยั่งไปถึงแกนโลกแล้ว”
   
        “ปากเก่งจริงๆ”
   
        “ขอบคุณที่ชมครับ”
   
        ราเมศส่ายหน้า นึกอยากเขกหัวไอ้เด็กแสบหลายๆ ที พอหายดราม่าก็ปากเก่งขึ้นมาเชียวทั้งที่ก่อนหน้ายังเป็นแมวซึมอยู่แท้ๆ
   
        “เถียงมากเดี๋ยวจะเอาตะกร้อครอบปาก”
   
        “ครอบปากคุณน่ะสิ ผู้ชายอะไรปากร้ายชะมัด หนูเจียโตขึ้นอย่าเอาอย่างน้าเมศนะครับ”
   
        เจียหลินทำตาโต ไม่เข้าใจ “ทำไมเอาอย่างน้าเมศไม่ได้ล่ะครับ” น้าเมศน่ะนะ ใจดี ซื้อขนมให้เจียตลอด ไปรับไปส่งเกือบทุกวัน อ่านนิทานให้ฟัง พาไปเที่ยวด้วย แถมยังให้ขี่คอบ่อยๆ “น้าเมศเท่จะตาย หนูเจียอยากเป็นแบบน้าเมศ”
   
        ราเมศเหยียดยิ้มแบบผู้กำชัยให้ปานตะวันที่ทำหน้าเหมือนอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตาย เขายักคิ้วให้ไอ้เด็กแสบ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเลี้ยงหนูเจียมา
   
        “เอ้า ดีกันแล้วก็กลับบ้านไปนอนกันได้แล้วไป ทั้งน้าทั้งหลานเลย” เขาจัดการรุนหลังปานตะวันออกจากห้อง แต่เจ้าตัวก็ร้องขึ้นว่า “เดี๋ยว ผมลืมคุณกระต่ายของหนูเจีย”
   
        “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันซักให้”
   
        “จริงเหรอครับ”
   
        “อืม เดี๋ยวพอใช้ได้แล้วจะเอาไปให้ที่บ้านนะ”
   
        ปานตะวันเอียงคอก่อนยิ้มให้พร้อมกล่าว “ขอบคุณครับ” ราเมศมองร่างเล็กๆ ที่เดินคุยกะหนุงกะหนิงกับหลานชายไปกันสองคนแล้วก็ยิ้มออกมา
   
        แม้แต่รอยยิ้มก็สมชื่อจริงๆ นะ...ปานตะวัน
   
        ราเมศเดินตามมาส่งอีกฝ่ายถึงหน้าบ้านแต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน เขาหอมแก้มเจียหลินหลายทีก่อนจะขยี้ผมปานตะวันอย่างหมั่นเขี้ยว เส้นผมสีน้ำตาลลื่นมือให้ความรู้สึกดีเวลาสัมผัส พอเจ้าของมันแยกเขี้ยวใส่ราเมศก็เปลี่ยนจากขยี้ผมมาเป็นลูบผมอีกฝ่าย
   
        “วันนี้ทำดีมากนะ”
   
       “ม...ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย”
   
        “ก็ทำดีจริงๆ นี่ ใครทำดีเราก็ต้องชมสิ”
   
       แสงไฟบริเวณทางเข้าบ้านเรือนไทยสว่างมากพอจะทำให้ราเมศเห็นว่าใบหูเล็กของปานตะวันเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาอมยิ้ม เลื่อนมือไปดึงแก้มขาวจนยืด
   
       “ฝันดีเด็กแสบ”
   
       “ฝันร้ายไปเลยไอ้พี่เมศ”
   
       ราเมศหัวเราะพลางโบกมือลาสองน้าหลานแล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไป วันนี้เขาแกล้งปานตะวันจนอารมณ์ดีแล้ว และคนอารมณ์ดีน่ะเขาไม่ฝันร้ายกันหรอกนะไอ้เด็กน้อย
   
       หลังจากเหตุการณ์ทะเลาะกับเจียหลินก็ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้ว ปานตะวันพยายามอย่างที่พูดเอาไว้ เขาพยายามตื่นเช้ามาทำอาหารให้เจียหลินทาน พยายามไปส่งเจียหลินให้ทันเวลาเข้าเรียนและพยายามไม่ไปรับช้า กลางวันก็เรียนทำอาหารกับราเมศ กลับมาทำงานบ้าน ตกเย็นก็สอนการบ้านหลานก่อนพากันอาบน้ำเข้านอน ชีวิตที่ยุ่งเหยิงค่อยๆ เข้าทางทีล่ะนิด
   
      เจียหลินเองก็ยังไม่ใช่เด็กพูดมากเหมือนเดิมแต่ตอนนี้ระหว่างปานตะวันกับเจียหลินก็ถือว่าความสัมพันธ์เริ่มดีขึ้นทีละน้อย เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้สนิทกันเหมือนรู้จักกันมาสักสิบปี ความกลัวและระแวงที่มีแต่แรกก็เริ่มหายไป กลายเป็นว่าบางวันที่ราเมศว่างและอนุญาตปานตะวันจะหายไปคลุกอยู่ที่บ้านอีกฝ่ายทั้งวัน ฝึกทำอาหารบ้างหรือไม่ก็นอนกลิ้งเล่นเฉยๆ บ้าง คุยไม่หยุดปากเป็นเพื่อนแก้เหงากันไป
   
       ปานตะวันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่าราเมศเปิดร้านอาหาร มีลูกพี่ลูกน้องอีกคนช่วยดูแล ร้านก็ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ขับรถไปก็ประมาณสิบห้านาที พอเห็นแบบนี้ก็ทำเอาอดชื่นชมไม่ได้ ชายหนุ่มเป็นคนขยันมากจนปานตะวันนึกอยากเป็นให้ได้แบบนั้นบ้าง
   
       เขายังไม่ได้บอกราเมศว่าเขาถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัยแถมตอนนี้ก็ไม่มีงานทำ ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้เพราะเงินในบัญชีที่แม่โอนเข้ามาให้ทุกเดือนทั้งนั้นแต่ปานตะวันคงอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้ ตอนนี้เขามีทางเลือกอยู่สองทาง คือ หนึ่งเลี้ยงเจียหลินต่อไปและหางานทำ แต่ปานตะวันก็ไม่รู้จะทำงานอะไรอยู่ดี บางทีอาจเริ่มจากงานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ หรือทางเลือกที่สอง ยกเจียหลินให้น้าสายหยุดเลี้ยงแล้วหาทางกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้ สำหรับคนอื่นตัวเลือกที่สองฟังดูเข้าท่าแต่สำหรับปานตะวันเขาชอบตัวเลือกแรกมากกว่า
   
       ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ปานตะวันเริ่มชอบเจียหลินและสนิทกับราเมศมากขึ้นเรื่อยๆ น้าสายหยุดเองก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลยนับแต่วันนั้น บางครั้งปานตะวันก็ภาวนาให้อีกฝ่ายลืมเรื่องที่เคยพูดว่าจะรับเจียหลินไปเลี้ยง เขาไม่อยากยกหลานชายให้ใครแล้ว
   
       แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าทางไหนดีที่สุดสำหรับเจียหลิน เพราะแบบนั้นหลายวันมานี้ปานตะวันเลยไม่สบายใจเท่าไหร่นักและคนจับสังเกตได้เป็นคนแรกคือราเมศ
   
       “กังวลอะไรอยู่หรือเปล่า” นั่นเป็นคำถามแรกที่อีกฝ่ายถามขึ้นเมื่อเจอหน้าเขาในวันนี้ ปานตะวันกะพริบตาปริบจากนั้นก็ส่ายหน้า เดินแทรกราเมศไปนั่งแหมะที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ท่าทางเซื่องซึมเหมือนแมวป่วย คนตัวโตเห็นดังนั้นก็เลยเดินมานั่งข้างๆ เงียบกันไปครู่หนึ่งราเมศถึงเอ่ยถาม
   
        “เป็นอะไร”
   
        “เปล่าครับ”
   
        “เปล่าได้ไงก็หน้ามันฟ้อง”
   
        ปานตะวันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไถลตัวไปนอนขดบนโซฟา “ผมกำลังคิดเรื่องที่น้าสายหยุดบอกว่าจะมารับเจียหลินไปเลี้ยง”
   
        ราเมศเลิกคิ้วนิดๆ เรื่องนั้นเอง
   
       “ทำไมเหรอ”
   
       “ผมไม่อยากให้หลานไป”
   
       “ก็ปฏิเสธไปสิ”
   
       “แต่ถ้าการให้เจียไปอยู่กับน้าสายหยุดคือทางที่ดีที่สุดสำหรับเขาล่ะ ถ้าอยู่กับผมแล้วมันแย่ล่ะ”
   
       “แย่ตรงไหน”
   
        “ก็ผม...” ปานตะวันชะงัก งับริมฝีปากทัน เกือบหลุดคำว่า ก็ผมน่ะไร้อนาคตสุดๆ ออกไปแล้ว เขาเบือนหน้าหนี พูดอู้อี้ “ก็ผมเป็นน้าที่ไม่ได้เรื่องใช่ไหมล่ะ”
   
        ราเมศมองคนตรงหน้านิ่ง ถ้าเป็นเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเขาก็จะเห็นด้วยกับความคิดนี้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วล่ะ  ปานตะวันพิสูจน์ให้เขาเห็น อย่างน้อยก็ความพยายามของเจ้าตัวนี่ล่ะที่นำโด่งมาเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้เลี้ยงหลานไม่ได้แล้วยังไง ในอนาคตคนคนนี้จะต้องเป็นครอบครัวที่ดีให้เจียหลินได้แน่ๆ ราเมศเชื่อ
   
       ฝ่ามือใหญ่ดึงใบหน้าน่ารักนั่นให้หันกลับมามองเขา นัยน์ตาสีนิลสองคู่สบกัน ไม่มีใครยอมละสายตาออกไปก่อน เสียงทุ้มของราเมศดังขึ้น เนิบนาบและชวนให้สบายใจ
   
      “ไม่เห็นจะจริงเลย”
   
      “พูดให้ผมสบายใจเฉยๆ ล่ะสิ”
   
        “งั้นเหรอ” ใบหน้าคมคายเคลื่อนเข้ามาใกล้ ดวงตาสีนิลราวกับราตรีกาลคู่นั้นทำให้ปานตะวันหายใจสะดุด เขาอยากจะหลบสายตาแต่ก็ทำไม่ได้ ราเมศเข้าใกล้มากพอ...ที่เขาจะเห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากนัยน์ตาคู่นั้นได้
   
       เกิด...อะไรขึ้นกับเขากันนะ
   
       ทำไมมันถึงได้...
   
       “น้าที่แย่จะไม่พยายามเรียนทำอาหารเพื่อทำให้หลานกิน น้าที่แย่จะไม่พยายามทำงานบ้านที่ตัวเองไม่ถนัดเพื่อหลาน น้าที่แย่จะไม่อดทนนั่งตอบข้อสงสัยของหลานซ้ำๆ น้าที่แย่จะไม่วิ่งไปคุ้ยกองขยะเพื่อหาตุ๊กตาที่ตัวเองโยนทิ้งไว้ น้าที่แย่จะไม่ยอมทนถูกเข็มทิ่มเกือบสิบครั้งเพื่อเย็บรอยขาดบนตุ๊กตาให้หลาน น้าที่แย่จะไม่กอดปลอบหลานตอนร้องไห้ และน้าที่แย่...จะไม่ใส่ความรักลงไปในทุกการกระทำของเขา ตอบพี่สิปานตะวัน นายไม่รักเจียหลินเหรอ”
   
        นานทีเดียวกว่าร่างเล็กจะหากล่องเสียงตัวเองเจอ
   
         “ผม...รักหนูเจีย เขาเป็นหลานของผม”
   
         “แล้วนายพยายามทำทุกอย่างเพื่อเจียหลินใช่ไหม”
   
         “ช...ใช่...ใช่ครับ”
   
         รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มอยู่บนริมฝีปากหยักได้รูปของผู้ชายตัวใหญ่ “งั้นนายก็ไม่ใช่น้าที่แย่หรอก มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”
   
         “อ....อื้อ รู้แล้ว ถอยออกไปได้แล้วครับ”
   
         ปานตะวันหลับตาปี๋ ผลักราเมศออก ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มตัวเล็กเห็นว่าพวกเขาอยู่ชิดกันขนาดไหน ปานตะวันไม่ใช่ผู้หญิงก็จริงแต่อยู่ใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกันแบบเมื่อครู่มันก็อันตรายกับหัวใจเขาเกินไป
   
         “แล้ววันนี้ไม่ไปที่ร้านเหรอครับ” เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของตัวเองปานตะวันจึงยกหมอนมาบังหน้าไว้แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
   
        “ไปแต่เป็นตอนเย็น ลูกค้าเยอะช่วงนั้น ต้องไปช่วย แต่เดี๋ยวจะกลับมาทำข้าวเย็นให้กิน”
   
        “ไม่เป็นไร ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ เกรงใจ”
   
        “ไม่หรอก ฉันอยากกินข้าวกับหนูเจียอยู่แล้วด้วยแค่นี้เรื่องเล็ก ว่าแต่ตอนเย็นอยากกินอะไร”
   
        ราเมศมองแมวตัวใหญ่เอียงคอทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วก็อดขำไม่ได้ ในที่สุดปานตะวันก็หันมาร้องตะแง้ว ใส่ว่าอยากกินแกงส้ม เขาเลยตามใจโดยบอกว่าจะไปหาซื้อวัตถุดิบมาทำแกงส้มให้
   
       พวกเขานั่งกันอยู่แบบนั้นเงียบๆ ราเมศไม่ได้บอกให้ปานตะวันลุกมาทำอาหารชายหนุ่มผมน้ำตาลเลยถือโอกาสแอบงีบจนสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปจริงๆ ราเมศเหลือบมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซุกซบอยู่กับหมอนนุ่มแล้วก็ยิ้ม พอหลับปานตะวันก็กลายเป็นเด็กไร้พิษสงทันที ชายหนุ่มหยิบเอาผ้าผืนบางมาก่อนจะคลุมลงบนตัวคนอ่อนวัยกว่า จากนั้นก็หยิบหนังสือมาอ่าน ช่วงเวลาเงียบสงบปกคลุมบ้านหลังน้อยอีกครั้ง แล้วช่วงเวลายามบ่ายก็ผ่านไปเช่นนี้
   
        ปานตะวันตื่นมาอีกครั้งตอนบ่ายสามโมง ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างมึนงง ขยี้หัวไปพลางอ้าปากหาวไปพลาง หลังนั่งรวบรวมสติอยู่ประมาณสามนาทีถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้านเรือนไทย ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด แสงแดดยามบ่ายส่องลอดหน้าต่างที่ติดม่านสีฟ้าเอาไว้ ในห้องนั่งเล่นเหลือแต่เขาคนเดียว คิ้วเรียวพลันขมวดมุ่นเมื่อไม่พบเจ้าของบ้าน
   
        ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟาก็สั่น ปานตะวันหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นราเมศที่ส่งข้อความมาเตือนว่าให้รีบออกไปรับหลานได้แล้ว ตอนนี้ชายหนุ่มตัวโตไปตลาดเพื่อซื้อของมาทำอาหารเย็นให้
   
        ‘ถ้าไปรับหลานช้าจะอดกินแกงส้มนะ’
   
        ริมฝีปากเล็กยู่ลงกับคำขู่เหมือนเด็กนั่นแต่ชายหนุ่มก็ยอมลุกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเตรียมตัวออกไปรับหลานชายแต่โดยดี  ตอนที่โผล่ออกไปนอกบ้าน เมฆครึ้มตั้งเค้ามาแต่ไกล ขณะที่แสงแดดก็อ่อนแรงลงไปมาก หวังว่าฝนจะไม่ตกระหว่างที่เขาไปรับเจียหลินนะ
   
       โชคดีของปานตะวันที่วันนี้รถไม่ติดมากนัก ชายหนุ่มเลือกนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปแทนที่จะขี่รถไปเองเพราะราเมศบอกมาในไลน์ว่าขอยืมรถไปตลาด ปานตะวันรีบจนไม่อยากรอสองแถวที่นานๆ จะผ่านมาสักคัน เขาไม่อยากไปรับหลานชายสายเพราะรู้ว่าถ้าวันไหนผิดเวลารับเจียหลินไปถึงจะแค่สิบนาทีแต่หนูน้อยเป็นต้องน้ำตาคลอทำท่าเหมือนจะปล่อยโฮ ทำเอารู้สึกผิดแทบตาย กว่าจะปลอบให้หยุดร้องได้เล่นเอาคนเป็นน้าแทบจะร้องไห้ตาม

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๔ แรกหลงรัก (๒๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 28-01-2017 20:52:26
        กลิ่นไอฝนพัดมาตามลมแรงทำให้ปานตะวันเร่งฝีเท้าไปที่ตึกเรียน แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นเด็กน้อยชะเง้อคอมองหาอยู่แล้ว
   
        “น้าตะวัน!”
   
        “ครับผม น้าตะวันมาแล้ว กลับบ้านกันเถอะหนูเจีย”
   
         เจียหลินหันไปยกมือไหว้ครูประจำชั้นก่อนจะวิ่งดุ๊กๆ มาหาปานตะวันที่ยืนรออยู่ เด็กน้อยแก้มยุ้ยโถมตัวกอดคุณน้าแน่นพลางพูดอุบอิบว่า “น้าตะวัน หนูเจียอยากกลับบ้านแล้ว กลับบ้านกันนะครับ”
   
        แต่แค่นั้นก็ทำเอาปานตะวันยิ้มแก้มแทบปริแล้ว
   
       “อื้ม ไปกันเถอะครับ”
   
       สองน้าหลานจูงมือกันออกจากโรงเรียน ระหว่างทางปานตะวันซื้อเครปให้เจียหลินด้วย ให้กินรองท้องไปก่อนเผื่อราเมศกลับมาช้าเด็กน้อยจะได้ไม่หิวมาก
   
      “วันนี้น้าเมศไม่มาเหรอครับ”
   
       “น้าเมศไปตลาดครับ ซื้อของมาทำข้าวเย็นให้หนูเจียกับน้าตะวันไงครับ”
   
       “เย้”
   
       ริมฝีปากบางยิ้มให้กับท่าทางดีใจสุดขีดของเด็กน้อย  คุณน้าพาหลานชายตัวกลมมายืนรอขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์และเพราะคนเยอะทำให้ปานตะวันต้องอุ้มเจียหลินขึ้น ร่างเล็กของคนทั้งสองถูกผู้คนมหาศาลตรงป้ายรถเมล์เบียดไปมาจนเซ จะขึ้นรถก็ไปไม่ทันคนอื่นเขา ได้แต่มองรถสองแถวกับรถเมล์ผ่านไปคันแล้วคันเล่า ปานตะวันมองท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างหนักใจ เขาไม่อยากให้เจียหลินเปียกฝนไม่อย่างนั้นเด็กน้อยจะไม่สบาย
   
       ครืน
   
       เสียงฟ้าคำรามทำให้ร่างน้อยสะดุ้งเฮือก เจียหลินยกมือปิดหู ซุกตัวเข้าหาปานตะวันทันที
   
       “หนูเจียเป็นอะไรไปครับ”
   
       หรือจะไม่ชอบฟ้าร้องกันนะ
   
       เจียหลินไม่ตอบแต่ยิ่งฟ้าร้องดังขึ้นเท่าไหร่เด็กน้อยก็ตัวสั่นมากขึ้นแถมยังซุกตัวเข้าหาเหมือนอยากจะมุดหนีไปในเสื้อปานตะวันอย่างไรอย่างนั้น
   
       “โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะครับ อีกเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว”
   
       “หนูเจีย...กลัว”
   
       “ไม่ร้องนะครับเจียหลิน น้าตะวันอยู่นี่ ไม่เป็นไรนะ” ชายหนุ่มร่างเล็กลูบแผ่นหลังของเจียหลินแผ่วเบาเป็นการปลอบประโลม
   
       เปรี้ยง!
   
       เสียงฟ้าแผดคำรามลั่นพร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจของเจียหลิน สิ้นเสียงฟ้าสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาประหนึ่งฟ้ารั่ว น้ำสาดเข้ามาในบริเวณป้ายรถเมล์จนรองเท้าผ้าใบกับเสื้อบางส่วนของปานตะวันเปียกชุ่ม ชายหนุ่มสบถในใจ ตัดสินใจหันหลังให้กับถนน หันตัวเข้าในป้ายรถเมล์เพื่อป้องกันไม่ให้เจียหลินโดนหยดน้ำแต่กระนั้นก็มีละอองฝนอยู่ดี
   
       “น้าตะวัน หนูเจียหนาวแล้ว”
   
       “น้าตะวันรู้ครับ อดทนอีกหน่อยนะ” ปานตะวันตอบพลางกระชับอ้อมแขน หนูเจียซุกตัวเข้าหาเขา เด็กน้อยอุดหูอยู่เกือบตลอด คงกลัวฟ้าจะร้องอีก
   
       ดวงตากลมเหลือบไปที่ถนนแต่ก็ยังไม่มีวี่แววรถเมล์ ให้ตายเถอะ ทีตอนอยากรีบกลับบ้านนี่ก็ไม่เห็นโผล่มาสักคัน
   
        พลันโทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้า พอเห็นหน้าจอปานตะวันก็แทบลงไปกราบเจ้าของเบอร์ที่โทรมาได้โคตรถูกเวลา
   
       “ฮัลโหลพี่เมศ”
   
       [อยู่ไหน]
   
        “ป้ายรถเมล์ตรงข้างโรงเรียนหนูเจีย ฝนตกหนักมากเลยพี่ รถเมล์ก็ไม่มี ตะวันอยากกลับบ้านแล้ว” ตอนนี้แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มทั้งหนาวทั้งเฉอะแฉะ
   
       [งั้นรออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวไปรับ]
   
       “ขอบคุณครับ จะระวังไม่ให้หลานเปียกฝนนะ”
   
        [อือ แต่นายก็ระวังตัวเองด้วยนะ เดี๋ยวไม่สบาย]
   
        พูดจบก็ตัดสายไปทิ้งให้ปานตะวันยืนอึ้งอยู่กับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ แก้มขาวแดงขึ้นเล็กน้อย
   
       ราเมศบอกให้เขาดูแลตัวเองด้วย...ถึงจะเป็นแค่ประโยคธรรมดาก็เถอะ น้ำเสียงก็ราบเรียบไม่ได้อ่อนหวานแต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเขาถึงได้เต้นผิดจังหวะไปแถมยัง...แถมยังรู้สึกอบอุ่นอีก
   
        สงสัยปานตะวันจะไม่สบายซะแล้วสิ
   
       ตอนที่ราเมศขับรถกระบะของตัวเองมาถึงทั้งแมวใหญ่และแมวเล็กก็เปียกกันถ้วนหน้า โชคดีที่เขาหยิบผ้าขนหนูใส่รถมาด้วย พอทั้งสองตะกายขึ้นรถมาได้สำเร็จราเมศก็ส่งผ้าให้ปานตะวันกับเจียหลินคนละผืน ปานตะวันรับผ้ามาจากราเมศแล้วเช็ดผมให้เจียหลินก่อนจากนั้นจึงค่อยเช็ดให้ตัวเอง  เห็นสภาพเหมือนแมวตกน้ำของทั้งคู่แล้วราเมศก็ได้แต่อมยิ้ม
   
       “ขอโทษนะพี่ รบกวนอีกจนได้ แถมทำรถพี่เปียกอีก”
   
       “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้” ราเมศกดเปิดวิทยุในรถ เสียงเพลงดังขึ้นทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย สองตาของชายหนุ่มไม่ละจากถนนแต่ปากก็ยังขยับคุยกับปานตะวันอยู่เรื่อยๆ
   
        “กลับบ้านไปก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะล่ะ ทั้งน้าทั้งหลานเลย เดี๋ยวได้ไม่สบายกันทั้งคู่”
   
        “คร้าบ”
   
         เมื่อถึงบ้านปานตะวันก็อุ้มเจียหลินเข้าห้องอาบน้ำทันทีส่วนราเมศก็รับเสื้อเปียกจากทั้งคู่ลงไปซัก จากนั้นถึงได้กลับขึ้นมาทำอาหารเย็น ชายหนุ่มทำแกงส้มแบบไม่เผ็ดมากให้ปานตะวันแล้วก็ทอดไข่เจียวให้เจียหลิน พอทั้งคู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มานั่งรอกันที่โต๊ะกินข้าว
   
       “ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง” ราเมศจ้องปานตะวันดุๆ หลังจากที่เห็นผมชายหนุ่มกับผมของหลานชายยังมีน้ำหยดติ๋งอยู่เลย คนถูกดุได้แต่ยิ้มแหย แก้ตัวเสียงอ่อย “ก็หิวนี่นา แต่งตัวเสร็จเลยรีบมากินข้าวเลย” ชายหนุ่มตัวโตยังมีสีหน้าดุอยู่ เห็นดังนั้นคนถูกดุเลยต้องรีบยิ้มเอาใจ
   
        “อาหารพี่เมศกลิ่นห๊อมหอมนี่นา ตะวันกับหลานหิวก็เลยรีบมา เนอะหนูเจียเนอะ”
   
        “ใช่ครับ น้าเมศ หนูเจียหิวแล้ว กินข้าวกันนะครับ นะๆๆ”
   
        “เฮ้อ รู้แล้วครับ” ลงท้ายคนแพ้ลูกอ้อนก็เป็นราเมศ พอทานอาหารเสร็จถึงได้จับตะวันให้นั่งบนโซฟาแล้วเช็ดผมให้อย่างเบามือ ปานตะวันก็นั่งเช็ดผมให้เจียหลินอีกต่อหนึ่ง พอผมเริ่มแห้งคนเป็นน้าก็บอกให้เจียหลินไปหยิบการบ้านมาทำให้เรียบร้อย
   
       โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กถูกจับจองโดยคนสามคน ราเมศนั่งอ่านหนังสือไปพลางเหลือบมองปานตะวันที่สอนการบ้านหลานชายไปพลาง เสียงแหบหวานของปานตะวันอ่านประโยคในหนังสือช้าๆ ตามด้วยเสียงใสของเจียหลิน จากนั้นคุณน้าชายก็สอนให้เด็กน้อยเขียนคำตอบลงไปในสมุดทีละประโยค
   
       “โอเค ข้อสุดท้าย มาลี...” ปานตะวันชะงัก หนูเจียก็ชะงัก เงยหน้ามองคุณครูจำเป็นที่ทำจมูกยุกยิกไม่หยุด “มาลี-- ฮ...ฮัดเช้ย”
   
       “หวา น้าตะวันนน”
   
       “อ่า ขอโทษครับหนูเจีย”
   
        ปลายจมูกรั้นแดงเรื่อ ราเมศลอบมองอีกฝ่ายจามอยู่สักพักก็ลุกขึ้นเดินไปในครัว หยิบเอายากับแก้วใส่น้ำไปให้ปานตะวันที่รับไปอย่างงงๆ
   
         “ทานยาเสียสิ นายไม่สบายแล้ว”
   
         “ผมเปล่านะ แข็งแรงจะตาย”
   
        “กินยา” ราเมศพูดเสียงเรียบ จ้องตาเด็กดื้อเป็นเชิงดุ กับคนคนนี้ต้องให้เล่นบทโหดอยู่เรื่อย พอถูกเขาดุเจ้าตัวก็ทำหน้ายุ่ง ยอมกินยาเข้าไปแต่โดยดี
   
         “ขอบคุณครั- - ฮัดชิ้ว” เสียงจามดังขึ้นจากคนตัวเล็ก แถมไม่ได้มาแค่รอบเดียว ราเมศกับหลานชายมองหน้ากัน  เจียหลินวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้ปานตะวัน แมวตัวเล็กดูกังวลที่เห็นผู้ปกครองตัวเองจามจนหน้าแดงจมูกแดง
   
       ฝ่ามือใหญ่ทาบเข้ากับหน้าผากมน คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ตัวอุ่นๆ ปานตะวันกำลังมีไข้
   
         “ไปนอนไป นายมีไข้แล้ว”
   
         “นิดหน่อยน่า ขอสอนการบ้านหลานให้เสร็จก่อน”
   
        “เดี๋ยวพี่สอนเอง ไปนอนไป”
   
        “แต่...”
   
        “ไม่เป็นไรหรอกครับน้าตะวัน” เจียหลินเอ่ยขึ้น ดวงตากลมแป๋วที่ฉายแววห่วงใยมองน้าตะวันสลับกับน้าเมศ “น้าตะวันไม่สบาย ต้องนอนพัก หนูเจียจะหัดทำการบ้านเอง”
   
        “แต่ว่าน้าอยากสอนให้นี่นา อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว”
   
        “น้าตะวัน นอนนะๆๆ”
   
        มือเล็กรุนหลังปานตะวันให้เดินไปทางห้องนอน ราเมศเองก็ร่วมมือกับหลานชายลากเขาขึ้นเตียงได้จนสำเร็จ จากนั้นทั้งคู่ก็ห่มผ้าให้เขาจนถึงคอ หนูเจียปีนขึ้นนั่งทับพุงปานตะวัน ยืนมือมาตรงหน้าเขาแล้วก็นอนหลับตาปี๋    
   
        “หือ หนูเจียทำอะไรน่ะ”
   
        “หนูเจียกำลังส่งพลังให้น้าตะวัน ฮึบ หายไวไวนะครับ”
   
         เรียวปากบางผุดรอยยิ้มอ่อนโยนให้หลานชาย ดึงเจ้าตัวน้อยมาจุ๊บเหม่งเสียหนึ่งทีแทนการขอบคุณ “ครับ อย่าลืมทำการบ้านให้เสร็จนะ” พอพูดจบคนตัวเล็กก็นึกขึ้นได้ คืนนี้หากเขาไม่สบาย หนูเจียจะติดหวัดถ้ามานอนเตียงเดียวกัน แล้วแบบนี้จะทำยังไงล่ะ
   
         “พี่แล้วคืนนี้หนูเจียนอนที่ไหน”
   
         “นอนกับพี่ก็ได้ นายทำความสะอาดห้องพักแขกไว้ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวพี่เอาฟูกไปปูนอนห้องนู้น”
   
         “คืนนี้ค้างที่นี่เหรอ”
   
         ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างแปลกใจ เห็นดังนั้นราเมศก็ยิ้มมุมปาก ดวงตาสีนิลฉายแววซุกซนเย้าแหย่
   
          “ไม่ได้เหรอ กลัวพี่ทำอะไรนายหรือไง”
   
          “ใครกลัว!! ประสาท จะค้างก็ค้างไปสิ ผมถามเฉยๆ หรอก!” คนป่วยแยกเขี้ยวขู่ แก้มขาวแดงจัด ไม่รู้เพราะเขินหรือเพราะพิษไข้ที่รุมเร้าทีละน้อย แต่ราเมศว่าคงจะเป็นอย่างหลังเพราะพอเสียงทุ้มหัวเราะดังขึ้นคนแก้มแดงก็มุดหน้าเข้ากับผ้าห่มหนีไปเลย
   
           ชายหนุ่มลูบหัวร่างเล็กบนเตียงอีกสองสามทีก่อนพาเจียหลินกลับไปทำการบ้านต่อ พอได้ยินเสียงประตูปิดปานตะวันถึงได้โผล่หน้าออกจากผ้าห่ม
   
          “บ้าชะมัด” คนตัวเล็กพึมพำ ร้อนวูบไปทั้งใบหน้า เขากัดริมฝีปาก นึกถึงสัมผัสอบอุ่นกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่ ต้องเป็นเพราะไข้ขึ้นแน่ๆ เขาถึงได้...พอ ไม่นึกถึงแล้ว!
   
         ปานตะวันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจหลับตา หวังว่าพอหลับแล้วความรู้สึกแปลกๆ ในอกจะหายไป แต่จนแล้วจนรอดรอยยิ้มของราเมศก็ติดอยู่ในหัวเขา วนเวียนอยู่แบบนั้น สลัดยังไงก็หลุดไปจากจิตใจไม่ได้เสียที
   
         แกรก
   
        เสียงเปิดประตูทำให้คนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงลืมตา ชายหนุ่มร่างเล็กหรี่ตามองเงาร่างสองร่างที่ค่อยๆ ย่องเจ้ามาในห้อง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคือราเมศกับเจียหลิน
   
        “ทำอะไรกันน่ะ” ปานตะวันถามพลางยันตัวลุกขึ้น เสียงของเขาแหบจนน่าตกใจแถมยังปวดหัวตุบๆ อีก ไม่สบายตัวเอาเสียเลย
   
        พอได้ยินเสียงถามร่างเตี้ยป้อมที่เดินย่องมาข้างเตียงก็ตกใจจนหลุดเสียงร้องออกมา ในขณะที่เงาร่างสูงใหญ่ของราเมศเคลื่อนไปเปิดไฟ ปานตะวันหรี่ตาหลบแสงไฟก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อดวงตาปรับสภาพได้แล้ว
   
       สิ่งที่เขาเห็นคือชายหนุ่มตัวใหญ่ที่ถือกะละมังพร้อมกับผ้าเข้ามา ข้างเตียงมีเด็กชายตัวเล็กแก้มป่องยืนกอดหนังสือนิทานอยู่ด้วยสีหน้าตกใจ
   
       “น...น้าตะวันตื่นแล้วเหรอครับ”
   
       ปานตะวันมองคนทั้งคู่อย่างงงๆ “ไม่ได้หลับหรอกครับ แล้วเข้ามาทำอะไรกัน” ว่าพลางเหลือบตามองนาฬิกา สองทุ่มครึ่งแล้ว “ดึกแล้วนะหนูเจีย ทำไมไม่นอนครับ”
   
        เจียหลินก้มมองเท้า ทำท่าเหมือนถูกดุ อีกอักอยู่พักหนึ่งถึงพูดออกมา “ก็หนูเจีย...เป็นห่วงน้าตะวัน แล้วน้าเมศก็บอกว่าจะมาเช็ดตัวให้ หนูเจียเลยตามมา”
   
        “ตามนั้นแหละ” ราเมศวางกะละมังใส่น้ำกับผ้าขนหนูผืนเล็กไว้ที่พื้นข้างเตียงขณะที่หนูเจียปีนมานั่งข้างกัน ราเมศบิดผ้าขนหนูก่อนจะพูดว่า “ถอดเสื้อ”
   
       “หา!?”
   
        “หาอะไร ถอดเสื้อสิ จะเช็ดตัวให้”
   
       ชายหนุ่มแอบหัวเราะขำในใจ พวงแก้มขาวของแมวขี้เขินเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อไปแล้ว
   
        “ไม่ถอด ไม่เอา”
   
        “เสื้อมันจะเปียก ถอดเร็ว จะเช็ดตัวให้”
   
        “ไม่เอานะ เฮ้ย”
   
          ปานตะวันร้องเสียงหลงเมื่อราเมศพุ่งมารวบตัวเขาไว้ สองมือก็ถอดเสื้อยืดเปื่อยๆ ออกจากตัวเขาอย่างว่องไว รู้ตัวอีกทีทั้งตัวก็เหลือแค่กางเกงนอน
   
         นักลอกคราบมืออาชีพเหรอวะ!
   
        “เอ้า นอนเฉยๆ”
   
       “พี่จะข่มขืนผมเรอะ”
   
          พูดจบก็อยากจะตบปากตัวเอง สาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจแต่ปากมันพลั้งไปเท่านั้นเอง! นัยน์ตาสีนิลฉายประกายประหลาดขึ้นมาวูบหนึ่งแต่พอราเมศกะพริบตามันก็หายไป ชายหนุ่มผิวเข้มยิ้มมุมปาก คว้าเขาแขนเรียวของเด็กแสบขึ้นมา ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดให้
   
        “วันนี้เหรอ ไม่หรอก แต่ถ้ายังไม่หยุดพูดก็ไม่แน่”
   
         ได้ผล เพราะพอจบประโยคนั้นเจ้าเด็กปากดีก็งับปากปิดสนิท ยอมนั่งเป็นเด็กดีให้เขาเช็ดตัวจนเสร็จ
   
          หลังเช็ดตัวเรียบร้อยราเมศก็หยิบเสื้อมาสวมให้คนที่ยังนั่งนิ่งเป็นหุ่นก่อนจะดัน อีกคนให้ขยับไปหน่อย ปานตะวันขมวดคิ้วเมื่อคนตัวโตทิ้งตัวลงนอนข้างเขา เตียงหลังนี้ไม่ได้แคบก็จริงแต่ราเมศเล่นมานอนเบียดกันแบบนี้ก็อึดอัดนะ
   
          “พี่จะมานอนเบียดทำไมเนี่ย”
   
       “หนูเจียให้ทำ หลานกลัวนายนอนไม่หลับ”
   
       ดวงตากลมหันไปมองหลานชายตัวเล็กก็พบว่าเจ้าเด็กแก้มป่องพยักหน้าขึ้นลงอย่างแข็งขัน เจียหลินพูดว่า “ตอนหนูเจียไม่สบาย แม่จันทร์จะอ่านนิทานให้ฟังแล้วก็นอนข้างกันแบบนี้ แม่จันทร์บอกว่าพอทำแล้วหนูเจียจะหายป่วยไวขึ้น”
   
        “งั้นเหรอ”
   
       “อื้ม เพราะงั้นหนูเจียจะโอ๋ๆ น้าตะวันบ้าง น้าตะวันได้หายป่วยเร็วๆ เนอะน้าเมศเนอะ”
   
        “ครับๆ”
   
        เจียหลินยิ้มกว้างจนตาหยี มือเล็กๆ พลิกเปิดหนังสือนิทานก่อนจะเริ่มอ่าน เสียงเล็กใสดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “กาลครั้งหนึ่งมีกระต่ายกับเต่า...อ๊ะ ใช่ๆ น้าเมศลูบผมน้าตะวันด้วยสิครับ”
   
         “หือ”
   
         คนถูกบอกให้ลูบหัวเลิกคิ้ว เจียหลินทำหน้าตาจริงจัง “แม่จันทร์ลูบผมหนูเจียด้วย น้าเมศก็ลูบผมน้าตะวันด้วยสิครับ”
   
         “โอเคครับ”
   
         ปานตะวันอยากจะเหลือกตาใส่ไอ้คนตามใจหลานไม่เลือกจริงๆ แต่เพราะเจ็บคอและเริ่มง่วงนอนเขาจึงปล่อยเลยตามเลย ราเมศเปิดไฟหัวเตียงแล้วลุกไปปิดไฟในห้องให้เพราะกลัวเขานอนไม่หลับ เมื่อชายหนุ่มกลับมาทิ้งตัวลงนอนข้างๆ เขาอีกครั้งเจียหลินก็เริ่มเล่านิทานต่อ
   
       ฝ่ามืออุ่นลูบเส้นผมนุ่มมืออย่างอ่อนโยน ปานตะวันหลับตา ซุกกายเข้าหากองผ้าห่มและร่างใหญ่ข้างกายอย่างเผลอไผล
   
        หนูเจียอ่านหนังสือคล่องมาก เสียงใสที่อ่านได้ลื่นไหลกล่อมให้ปานตะวันจมสู่ห้วงนิทราช้าๆ
   
       ก่อนจะหลับไปปานตะวันรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังฝัน ชายหนุ่มปรือตามองรอบด้าน ไม่มีราเมศ ไม่มีเจียหลิน มีแต่ตัวเขาที่นอนบนเตียงกับ...
   
         “พี่จันทร์”
   
        จันทร์จ้าวยิ้มหวานให้น้องชาย ฝ่ามือของเธอลูบไล้หลังมือปานตะวันอย่างอ่อนโยน
   
        “พี่จันทร์...ตะวันต้องป่วยแน่ๆ เลย”
   
        “งั้นเหรอ”
   
        เสียงของพี่กังวานใสและคล้ายว่าลอยมาจากที่ไกลแสนไกล ปานตะวันพยักหน้ารับคำถามของพี่
   
        “ตะวันรู้สึกแปลกๆ กับพี่เมศ...แล้วก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เจียหลินไปอยู่กับน้าสายหยุดเลยทั้งที่ตะวันเกลียดเด็กกับผู้ชายจู้จี้แท้ๆ”
   
        พี่สาวแตะปลายนิ้วเข้าที่ริมฝีปากเขาพร้อมกับพูดว่า
   
        “แบบนั้นน่ะ คือรักไม่ใช่เหรอ”
   
        รัก...ทั้งที่เพิ่งเจอกันเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้หรอก เขาคงเพ้อเจ้อไปเอง การที่ฝันเห็นพี่จันทร์บ่อยๆ แบบนี้ก็ด้วย เขาแค่คิดถึงมากไปจนเก็บมาฟุ้งซ่านเท่านั้นแหละ ปานตะวันถอนหายใจพร้อมหลับตาลง ไม่ว่านี่จะจริงหรือฝันก็ช่างมัน เขาไม่อยากรับรู้แล้ว รักหรือ...เวลาแค่สั้นๆ เนี่ยนะจะทำให้รักได้ ไม่ใช่หรอก
   
       “พี่จันทร์...มั่วแล้ว”
   
        เสียงอ่านนิทานหายไปเมื่อเห็นคนที่กำลังนอนหลับละเมอพูดอะไรบางอย่างออกมา เจียหลินชะงักแต่เมื่อหยุดมองสักครู่ก็พบว่าลมหายใจของคนป่วยสม่ำเสมออีกครั้ง ปานตะวันหลับสนิทไปแล้ว เจียหลินเงยหน้ามองราเมศที่ยกนิ้วแตะริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบ เจ้าตัวเล็กปิดหนังสือนิทานพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะก้มลงจุ๊บหน้าผากน้าชายของตัวเองพร้อมกับพูดว่า
   
       “ฝันดีน้า น้าตะวัน”
   
       เด็กน้อยเอานิ้วแตะแก้มปานตะวันแล้วหันไปมองราเมศ ชายหนุ่มร่างสูงก็ยิ้มให้กับหลานชาย ก่อนจะโน้มตัวลงจูบแก้มปานตะวันด้วยเช่นกัน
   
       “ฝันดีครับแมวดื้อ”
   
         เท่านั้นเองคิ้วที่ขมวดมุ่นของคนป่วยก็คลายออก มุมปากยกขึ้นราวกับว่ากำลังฝันดี
   
         ปานตะวันยังคงไม่รู้ตัวหรอกว่าในช่วงเวลานั้น เขาตกหลุมรักไปแล้ว หลงรักทั้งเจียหลิน...
   
         รวมถึงผู้ชายที่ชื่อราเมศด้วย

****************************************************

สวัสดีค่าทุกคนนน พาน้าตะวัน น้าเมศกับหนูเจียมาลงรับวันตรุษจีนค่า
รู้สึกได้ว่ายิ่งเขียนยิ่งหลงหนูเจียหนักมาก มีโมเม้นท์กับน้าตะวันมากกว่าราเมศอีกมั้ง 55555
เขียนไปก็อยากฟัดเจียหลินไป อยากฟัดปานตะวันด้วย จากตอนแรกที่เป็นคนดูไม่ได้เรื่องและติดจะก้าวร้าว
พอมาอ่านตอนนี้ก็รู้สึกได้ว่าปานตะวันเป็นเด็กซึนหนึ่งคนเท่านั้นเองค่ะ ฮ่าๆ เหมือนพยายามโวยวายกลบเกลื่อน
แต่ก็ไม่สำเร็จ  :katai5:

พักหลังๆ รู้สึกว่าเขียนได้ช้าลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการบ้าน การสอบต่างๆ หรืออะไร แต่จะพยายามลงให้ทุกสุดสัปดาห์นะคะ
อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรสามารถคอมเม้นท์ติชมได้เต็มที่เลยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆ เลยค่ะ

ปล. สามารถติดตามข่าวสารนิยายหรือพูดคุกับเราะ(ได้ตลอดเวลา)ที่ เพจ AzureDream นะคะ รักคนอ่านทุกคน
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๔ แรกหลงรัก (๒๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 28-01-2017 21:54:07
เพิ่งอ่านตอนที่แล้วจบ กดรีเฟซดู กรี๊ดดด ได้อ่านตอนใหม่เลย :katai2-1:
นับวันๆสามคนนี้จะเหมือนพ่อแม่ลูกไปทุกทีแล้วน้าา บรรยากาศฟุ้งไปด้วยคำว่าครอบครัว
พี่เมศจะทีเล่นทีจริงก็โปรดบอกนะ น้องปานตะวันแอบคิดไปไกลแล้ววว 555
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๔ แรกหลงรัก (๒๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-01-2017 23:01:41
คำสรรพนามของเจียหลินไม่น่าเป็น ชายหนุ่ม แต่ควรจะเป็น เด็กน้อย หรือ เด็กชาย (จำได้ว่าอายุยังน้อยนะ ยังไม่น่าจะเป็นเด็กหนุ่ม)
ที่จริงเรื่องของปานตะวันนั่นยังมีทางเลือกอื่นนี่นะ จะเลี้ยงหลานไปทำงานพิเศษ (กับราเมศ) ไป แล้วก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้นี่ (ถ้าไม่มีความฝันที่จะต้องเรียนอะไรแบบที่ต้องใช้เวลาเยอะน่ะนะ) ถ้าตะวันเอาจริงแม่ก็คงไม่ห้ามหรอก (มั้ง)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๔ แรกหลงรัก (๒๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 29-01-2017 18:34:53
คำสรรพนามของเจียหลินไม่น่าเป็น ชายหนุ่ม แต่ควรจะเป็น เด็กน้อย หรือ เด็กชาย (จำได้ว่าอายุยังน้อยนะ ยังไม่น่าจะเป็นเด็กหนุ่ม)
ที่จริงเรื่องของปานตะวันนั่นยังมีทางเลือกอื่นนี่นะ จะเลี้ยงหลานไปทำงานพิเศษ (กับราเมศ) ไป แล้วก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้นี่ (ถ้าไม่มีความฝันที่จะต้องเรียนอะไรแบบที่ต้องใช้เวลาเยอะน่ะนะ) ถ้าตะวันเอาจริงแม่ก็คงไม่ห้ามหรอก (มั้ง)

ขอบคุณที่ช่วยแก้ให้ค่ะ ฮือออ เบลอจนรอดสายตาอีกแล้ววว เราจะอ่านทวนแล้วก็ทำการแก้ไขให้นะคะ (น่าจะละเมอเขียนสรรพนามหนูเจียกับปานตะวันสลับกันเพราะแรกๆ ก็เบลอสลับปานตะวันกับเจียหลินบ่อยๆ 5555) ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยแก้ไขนะคะ (กอดรัด)  :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๔ แรกหลงรัก (๒๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-01-2017 20:13:55
น่ารักน่าเอ็นดูทั้งน้า   ทัังหลานเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๔ แรกหลงรัก (๒๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-01-2017 21:08:10
 :3123 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๔ แรกหลงรัก (๒๘/๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pedchara ที่ 31-01-2017 13:20:19
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นจังเลย ><
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 11-02-2017 20:20:14
ปานตะวัน
บทที่ ๕
ความเอยความรัก


         เช้าวันต่อมาอาการป่วยของปานตะวันก็ดีขึ้นแล้วแต่คนตัวเล็กยังคงต้องนอนอยู่บนเตียง แม้ว่าจะไม่มีไข้แต่ก็ยังเจ็บคอแล้วก็อ่อนเพลียอยู่ วันนั้นทั้งวันหน้าที่ดูแลเจียหลินจึงตกเป็นของราเมศซึ่งอีกคนก็ไม่ได้ไม่พอใจแต่อย่างใด กลับกันปานตะวันคิดว่าราเมศดูชอบใจด้วยซ้ำ
   
        หลังถูกปลุกให้ลุกมาทานข้าวและทานยาปานตะวันก็หลับต่อไปจนถึงเกือบเที่ยง พอตื่นมาอีกทีก็ได้กลิ่นหอมของอาหารเที่ยงแล้ว
   
        คนตัวเล็กลุกออกจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ เอาน้ำลูบหน้าให้สดชื่นก่อนจะเดินออกไปที่ห้องครัว ตอนที่เขาเข้าไปราเมศกำลังอุ่นข้าวต้มอยู่พอดี ชายหนุ่มผิวแทนหันมามองเขา คิ้วเข้มพลันขมวดฉับ
   
       “ลุกออกจากเตียงทำไม” บอกจากจะทำหน้าดุแล้วน้ำเสียงยังดุไม่แพ้หน้าตา แต่นี่ใคร ปานตะวันนะ ไอ้เรื่องกลัวราเมศนี่ฝันไปได้เลย
   
       “นอนทั้งวันน่าเบื่อจะตาย ผมอยากมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง”
   
       “แต่นายเป็นคนป่วย”
   
       “เป็นไข้หวัดนะครับไม่ใช่เป็นอัมพาต”
   
       “ฉันล่ะอยากตีปากนายจริงๆ ทำไมมันถึงได้ช่างเถียงขนาดนี้นะ”
   
        คนตัวเล็กยักไหล่ เดินมาหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว ฟุบลงแล้วใช้ดวงตากลมแป๋วมองราเมศที่ทำหน้าเหนื่อยใจจากนั้นก็ส่งยิ้มใสซื่อให้ เห็นแบบนั้นชายหนุ่มตัวโตก็ได้แต่ยอมแพ้
   
        คิดในแง่ดีการที่คนป่วยลุกมาเถียงเขาฉอดๆ แบบนี้ได้แปลว่าเจ้าตัวใกล้หายแล้ว แก้มขาวก็เริ่มกลับมามีสีสัน ใบหน้าซีดเซียวเมื่อวานกลับมาสดใส ยังไงก็ดีกว่าสภาพนอนซมไข้ขึ้นเมื่อคืนล่ะนะ
   
        “แต่ยังไงนายก็ยังต้องนอนพักนะ”
   
        “ทราบแล้วครับผม” ชายหนุ่มผมน้ำตาลทำท่าตะเบ๊ะพรับคำสั่งพร้อมรอยยิ้มซุกซน “แต่ว่าตะวันออกมาเดินเล่นนิดเดียวเอง ไม่เห็นเป็นไรเลย” ยังไม่วายอุบอิบเถียงเขา ราเมศเลยดีดเหม่งคนตรงหน้าไปทีหนึ่ง
   
        “คนป่วยน่ะควรนอนพักเขาใจไหม แล้วหายป่วยจะเดิน จะวิ่ง จะหมอบ จะคลานฉันก็ไม่ว่า”
   
        ปานตะวันร้องโอดโอยพลางกุมหน้าผากที่ถูกดีด จริงๆ มันก็ไม่ได้แรงขนาดนั้น เขาทำโอเวอร์ไปอย่างนั้นเอง “พี่เมศ หิวแล้ว”
   
        “ก็เดินไปตักกินสิ ข้าวต้มอยู่ในหม้อแน่ะ”
   
        “ใช้งานคนป่วยได้ไง”
   
        “ไหนเมื่อกี้บอกไม่ได้เป็นอัมพาต ลุกมาเถียงพี่ได้ตักข้าวต้มแค่นี้ทำไมทำไม่ได้”
   
        ปากก็ดุแต่ตัวก็เดินไปหยิบชามมาตักข้าวต้มให้ ควันสีขาวลอยเอื่อยจากถ้วย กลิ่นหอมของข้าวต้มหมูสับทำให้คนป่วยหูตั้งหางกระดิกทันที
   
        “ค่อยๆ กินนะ...มันร้อน”
   
        “โอ๊ย แค่กๆ”
   
        พูดยังไม่ทันขาดคำแมวตะกละก็งับช้อนไปคำโตแล้ว ผลคือข้าวต้มลวกปากลวกลิ้นจนราเมศต้องรีบวิ่งไปหยิบน้ำเปล่ามาเทให้ดื่ม ปานตะวันดื่มน้ำไปปาดน้ำตาไป ร่างเล็กตวัดค้อนวงโตให้ราเมศที่ขำจนตัวสั่น
   
        เอาข้าวต้มกรอกปากซะดีไหม!
   
        “ก็บอกแล้วว่ามันร้อน ค่อยๆ กิน”
   
        “คราวหลังเตือนก่อนที่ผมจะเอาข้าวเข้าปากสิ”
   
        “นาย...กินเร็วไปต่างหาก”
   
        จะเรียกตะกละก็เกรงใจ เปลี่ยนเป็นคำที่ดูซอฟต์ๆ ให้แล้วกัน
   
        “ว่าผมตะกละเหรอ!” รู้ทันอีกนะ
   
        ราเมศยิ้มบางๆ ดึงชามข้าวต้มเข้าหาตัวแล้วตักข้าวต้มพอดีคำขึ้นมา เป่าเบาๆ ให้พออุ่นแล้วยื่นไปจ่อปากคนป่วย เขา มองปานตะวันที่ทำตาโตด้วยความตกใจยิ้มๆ
   
        “เป็นอะไร ทานสิ” ชายหนุ่มแกล้งพูดด้วยสีหน้านิ่ง ในขณะที่คนป่วยกลับสะบัดหน้าไปมาแบบเอาเป็นเอาตาย ปานตะวันจะรู้ตัวไหมนะว่าตัวเองเป็นคนขี้เขินมากๆ เขาแหย่เล่นนิดเดียวก็แก้มแดงหูแดงไปหมด ตอนนี้ก็เหมือนกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลกลอกหลุกหลิกไปมา แก้มขาวๆ ก็แดงแจ๋
   
        น่าหยิกชะมัด
   
        “ตะ...ตะวันกิน...ตะวันกินเองได้”
   
        “เดี๋ยวก็เป็นแบบเมื่อกี้อีก”
   
        “ไม่เป็นแล้ว คราวนี้จะกินดีๆ ส..ส่งชามมาสิ เดี๋ยวกินเอง”
   
         เขาชอบเวลาเด็กแสบตรงหน้าแทนตัวเองด้วยชื่อ มันทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักแล้วก็น่าเอ็นดูขึ้นมากโข ชอบเวลาที่ปานตะวันเรียกเขาว่าพี่ด้วย
   
       “ขอดีๆ สิ”
   
        “ขอยังไงล่ะ ฮึ่ย อย่ามาแกล้งผมนะ”
   
        “พูดเพราะๆ เวลาขอของจากผู้ใหญ่ต้องทำไง”
   
        “ตะวันไม่ใช่เด็กนะ”
   
         ราเมศเลิกคิ้ว ถ้าหากปานตะวันเป็นเด็กเขาก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมถึงได้ชอบแกล้งคนตรงหน้านัก ปานตะวันขมวดคิ้ว ตวัดตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจก่อนจะตัดสินใจยื่นหน้าไปใกล้ๆ ดวงตาสองคู่สบกันก่อนที่เจ้าตัวแสบจะเป็นฝ่ายหลุบตาหนีก่อน อ้อมแอ้มเสียงเบา
   
        “ขอข้าวต้ม...นะครับ”
   
        ราเมศนิ่งค้าง สมองว่างเปล่าไปชั่วครู่ หัวใจเต้นถี่ขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งตอนที่เด็กแสบนั่นดึงชามข้าวต้มไปกินหน้าตาเฉย
   
        ชายหนุ่มผิวแทนลูบหน้า หัวใจยังเต้นถี่...ควบคุมไม่ได้
   
        บางทีเขาคงต้องหาทางบอกปานตะวันว่าอย่าเล่นแบบเมื่อกี้อีก
   
        ไม่ดีกับหัวใจอ่อนแอของเขาเลยจริงๆ
   
        เมื่อข้าวต้มหมดถ้วยปานตะวันก็เป็นฝ่ายช่วยเก็บล้าง เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนของเจียหลินชายหนุ่มทั้งสองก็ตกลงกันว่าจะไปรับหลานชายด้วยกัน ราเมศเอารถกระบะคันใหญ่ของตนออกไปรับ เพราะอีกฝ่ายบอกว่านอกจากรับเจียหลินแล้วก็อยากแวะไปซื้อของสดเข้าบ้านด้วย
   
         นับวันยิ่งเหมือนพ่อบ้านมากขึ้นทุกที...แต่เรื่องนี้ปานตะวันจะไม่พูดหรอกนะ
   
        เสียงเซ็งแซ่ของเด็กเล็กๆ ในช่วงหลังเลิกเรียนทำให้ปานตะวันมึนงงไม่น้อง ลูกเด็กเล็กแดงและผู้ปกครองเดินกันให้วุ่นวาย กว่าจะฝ่าไปถึงตึกเรียนของเด็กอนุบาลได้ก็ทำเอาคุณน้าหมาดๆ ถึงกับเหงื่อตก ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินสักที คงอีกนานกว่าจะปรับตัวได้
   
        ราเมศกับปานตะวันเดินไปถึงหน้าห้องเรียน เด็กๆกำลังนั่งสะพายกระเป๋าเรียงกันอยู่หน้าห้อง รอผู้ปกครองมารับ พอเห็นราเมศกับเขาหนูเจียก็ตะโกนขึ้นมา
   
       “น้าตะวัน น้าเมศ”
   
        เด็กน้อยโบกไม้โบกมืออย่างดีใจ คุณครูคนสวยก็ยิ้มหวานให้ชายหนุ่มทั้งสองทันทีก่อนจะเรียกให้เจียหลินวิ่งออกจากแถว เด็กชายแก้มป่องยกมือไหว้คุณครูจากนั้นก็ตรงดิ่งเข้ากอดคุณน้าทั้งสองทันที
   
        “ว่าไงครับคนเก่ง วันนี้สนุกหรือเปล่า” ปานตะวันถามพลางรวบร่างนุ่มนิ่มมาหอมซ้ายหอมขวา
   
        “สนุกครับ วันนี้หนูเจียได้ระบายสีคุณแมวด้วยนะ”
   
        “ไหนครับ พอถึงบ้านแล้วขอน้าตะวันดูหน่อยได้ไหม”
   
        เจียหลินพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปคุยกับน้าเมศของตัวเอง แขนป้อมๆ ชูขึ้น เสียงใสร้องออดอ้อน “น้าเมศ อุ้มน้า”
   
        “ครับผม”
   
         คนตัวโตอุ้มหลานชายขึ้นมา จากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินออกไป โดยไม่รู้เลยว่าในสายตาคนนอกแล้วพวกเขาเหมือนครอบครัวเดียวกันไม่ผิดเลย
   
         ขากลับบ้านราเมศพาพวกเขาแวะไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก่อนเพื่อซื้อของ พอเห็นรถเข็นหนูเจียก็ตาโตขอลงไปนั่งข้างใน พอเห็นแบบนั้นปานตะวันก็หัวเราะออกมา
   
        เหมือนเขาสมัยเด็กๆ ไม่ผิดเลย เมื่อก่อนตอนออกมาซื้อของกันทั้งครอบครัว พ่อจะเป็นคนเข็น ปานตะวันจะได้นั่งในรถเข็น มีพี่จันทร์จับมือเดินอยู่ข้างรถส่วนแม่จะเป็นคนหยิบของที่ต้องซื้อมาใส่รถ ปานตะวันชอบนั่งในรถเข็นมาก และที่ชอบมากที่สุดคือช่วงเวลาที่ได้ใช้กับครอบครัว
   
       มาวันนี้คนที่นั่งในรถไม่ใช่เขา ไม่มีพ่อเข็นรถตามแม่ ไม่มีพี่จันทร์จับมือข้างๆ
   
        วัยเยาว์เหล่านั้นไม่มีวันหวนคืนมา และเขาคงเป็นคนเดียวที่ทะนุถนอมช่วงเวลาล้ำค่านั้นไว้ในใจ
   
        พ่อไม่อยู่แล้ว...พี่ไม่อยู่แล้ว...และแม่คงไม่อยากจำ
   
        เหลือแต่เขาเท่านั้นที่ยังคิดถึงอดีต
   
        “ไหน ของที่ต้องซื้อมีอะไรบ้าง....ตะวัน....ตะวัน ได้ยินพี่ไหม ตะวัน”
   
        เสียงทุ้มที่ดังชิดริมหูพร้อมลมหายใจร้อนผ่าวที่รินรดทำให้ปานตะวันสะดุ้งเฮือก พอหันกลับไปมองก็ต้องตกใจจนสติเกือบบินอีกรอบเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ใกล้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลสว่างรีบก้าวถอยหลัง ละล่ำละลักพูดออกมาอย่างตกใจ
   
         “ว...ว่าไงครับ”
   
        ราเมศมองเขาอย่างแปลกใจ “เหม่ออะไรน่ะเรา พี่ถามว่ามีอะไรต้องซื้อบ้าง”
   
        “อ๋อ” คนตัวเล็กเรียกสติกลับมาได้ทันเวลา “มียาสระผม ผงซักฟอก ยาสีฟัน ของสดสำหรับทำกับข้าวแล้วก็นมกับขนมของเจียหลินครับ” ชายหนุ่มหยิบเอากระดาษที่จดรายการของที่ต้องซื้อขึ้นมา “พี่จะให้ผมหยิบของหรือจะให้เข็นรถ”
   
        “นายหยิบของก็ได้ เดี๋ยวพี่เข็นรถกับดูเจียหลินเอง”
   
       ปานตะวันพยักหน้ารับ แต่เขาไม่ค่อยได้มาซื้อของในห้างสักเท่าไหร่เลยไม่รู้ว่าจะเดินไปตรงไหนก่อน สุดท้ายก็ต้องถอยมาเดินข้างๆ ราเมศ ปล่อยให้ชายหนุ่มตัวโตเป็นคนเดินนำ  พอมาถึงชั้นวางแชมพูปานตะวันก็ตรงไปหยิบยี่ห้อที่ใช้ประจำขึ้นมาทันที จากนั้นก็ตรงไปยืนเลือกสบู่เหลว
   
        “พี่เมศว่ายี่ห้อไหนดี”
   
        “ หืม สบู่เหรอ ทำไมจะเปลี่ยนล่ะ”
   
       “อยากลองเปลี่ยนกลิ่นดูน่ะ อันเก่ามันไม่ถูกใจเท่าไหร่”
   
        ชายหนุ่มผิวแทนลอบมองเสี้ยวหน้าเอาจริงเอาจังของชายหนุ่มข้างกายแล้วก็ลอบยิ้ม โน้มตัวไปอุ้มเจียหลินที่นั่งกอดขวดแชมพูสระผมขึ้นมา ราเมศวางขวดแชมพูลงในรถเข็นก่อนจะหันมาถามหนูเจียของเขาว่า
   
        “หนูเจียอยากช่วยน้าเมศกับน้าตะวันเลือกสบู่ไหมครับ”
   
        ดวงตากลมแป๋วเป็นประกายขึ้นมาทันที เด็กน้อยพยักหน้าเร็วๆ ชูมือขึ้น “หนูเจียเลือกให้ๆ”
   
        ปานตะวันได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง “งั้นหนูเจียเลือกให้น้าตะวันหน่อยนะครับ” เขาหลบฉากออกไปเพื่อราเมศอุ้มหนูเจียไปยืนหน้าชั้นวางสบู่เหลวได้ถนัด เด็กน้อยกวาดตามองขวดมากมายที่เรียงรายอยู่แล้วก็ชี้ไปที่ขวดสีใสที่มีตัวการ์ตูนอยู่บนขวด “ขวดนั้นครับ”
   
       “หืม” ปานตะวันหยิบขวดสบู่ขึ้นมาแล้วก็เห็นตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่าเป็นสบู่สำหรับเด็ก เจ้าตัวหัวเราะออกมาเบาๆ หนูเจียคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองเลือกสบู่สำหรับเด็กมา เจ้าตัวน่าจะเลือกเพราะสีกับตัวการ์ตูนมากกว่า
   
       “เอาอันนี้น้า น้าตะวัน นะๆๆ”
   
       พอเห็นท่าทางออดอ้อนของหลานชายปานตะวันก็พยักหน้า ส่งขวดสบู่ไปให้หนูเจียที่พูดขอบคุณแล้วรับไปกอดทันที ส่วนตัวเองก็กลับไปยืนเลือกสบู่ใหม่อีกรอบ คราวนี้หันไปถามความเห็นคนตัวโตข้างๆ แทน
   
       “พี่เมศว่าอันไหนดี”
   
       “เอาที่นายชอบสิ”
   
       “ก็ชอบหลายยี่ห้อนะ” ว่าพลางหยิบขวดสบู่ขวดหนึ่งมาลองดมดู นึกชอบกลิ่นหอมอ่อนของสบู่ขวดนี้ ราเมศยื่นหน้าเข้ามาใกล้ปานตะวันเลยส่งขวดสบู่ให้อีกฝ่ายบ้าง
   
      “อันนี้ก็ดีนะ”
   
      “งั้นเอาอันนี้เนอะ”
   
        ราเมศอยากจะบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนใช้สบู่ขวดนี้เสียหน่อย เจ้าของบ้านอยากได้อะไรก็ซื้อไปสิ แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าตัวเองก็มาใช้บริการอาบน้ำที่บ้านเรือนไทยบ่อยไม่แพ้บ้านตัวเองเลยจึงเงียบไว้
   
        หลังซื้อของใช้เสร็จทั้งสามก็ไปเดินดูของกินต่อ  ราเมศค้นพบในตอนนั้นเองว่าปานตะวันชอบของหวานไม่ต่างจากหลานชายเลย ดวงตากลมสีนิลเป็นประกายทันทีที่เจอขนมวางเรียงรายอยู่บนชั้น เจ้าแมวใหญ่วิ่งไปตรงนู้นตรงนี้ เข้ากันดีกับแมวเล็กที่ร้องจะกินนู่นกินนี่จนราเมศต้องรีบปรามไว้
   
        “ซื้อมาเยอะ เดี๋ยวก็กินไม่หมด”
   
       “หมด ตะวันกินวันเดียวก็หมดแล้ว”
   
       “อยากฟันผุหรือไง”
   
       “แปรงฟันสิ ไม่ใช่เด็กนะ”
   
       “เดี๋ยวก็อ้วน”
   
       “กินก่อนค่อยเครียดทีหลัง”
   
       “ปานตะวัน....วางไอ้คุกกี้กล่องนั้นคืนที่เดี๋ยวนี้ พี่ให้โควตานายซื้อได้แค่กล่องเดียว”
   
       “แต่ว่า...”
   
       “กล่องใหญ่กล่องเดียว พอหมดแล้วค่อยมาซื้อใหม่”
   
       ว่าจบก็เดินไปหยิบกล่องคุกกี้ที่ปานตะวันกอดอยู่วางคืนชั้น ลากเจ้าตัวแสบออกห่างจากโซนขนม คนโดนขัดใจก็ซึมอยู่พักหนึ่งแล้วก็กลับมาดี๊ด๊าอีกครั้ง แหงล่ะก็ขนมที่ซื้อมานี่ก็เยอะจนจะเต็มรถแล้ว เห็นทีเขาต้องคุมแมวใหญ่กับแมวเล็กคู่นี้ให้ดีๆ ไม่งั้นคงมีใครสักคนไปนอนให้หมอฟันอุดฟันแน่ๆ
   
        พอถึงโซนของสดปานตะวันก็รับหน้าที่เป็นฝ่ายเฝ้ารถเข็น ปล่อยให้ราเมศไปเดินเลือกของแทน ชายหนุ่มยืนเล่นกับเจียหลินอยู่พักใหญ่ราเมศก็กลับมา พอเห็นทั้งผักทั้งเนื้อที่อีกฝ่ายซื้อมาคิ้วเรียวพลันขมวดมุ่น
   
       “ว่าแต่ตะวันว่าซื้อของเยอะ”
   
       “แล้วนายต้องกินข้าวหรือเปล่าล่ะ หรือจะกินขนมพวกนั้นแทนข้าวกัน”
   
        ปานตะวันถลึงตาใส่ เดินมาชกไหล่เขาหนึ่งทีก่อนจะแย่งถุงของสดไปถือเองบางส่วน “แล้วเย็นนี้พี่เมศจะทำอะไรอ่ะ”
   
        พอเป็นเรื่องของกินล่ะตาวาวเชียวนะ
   
        “กะจะทำสุกี้”
   
        “สุกี้ๆๆ หนูเจียชอบสุกี้”
   
       “อื้อ น้าตะวันก็ชอบ!”
   
         ลูกแมวสองตัวดีใจกันใหญ่ แค่เห็นรอยยิ้มของทั้งคู่ราเมศก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม...ยิ้มกว้างเสียด้วย เขาขยี้ผมปานตะวัน ลูบศีรษะเจียหลินแล้วก็พากันไปจ่ายเงิน
   
         เมื่อกลับถึงบ้านราเมศก็เข้าครัว ปานตะวันตามไปช่วยล้างผักหั่นผัก ของสดเช่นปลาหมึก เต้าหู้ปลา เต้าหู้ไข่ วุ้นเส้น หมู ไก่ ตับ ปูอัดและลูกชิ้นแบบอื่นถูกจัดใส่จาน ปานตะวันเตรียมจานชาม ทัพพีตักน้ำซุป และแก้วน้ำออกไปวางข้างนอก เพราะต้องตั้งหม้อสุกี้พวกเขาเลยตัดสินใจออกไปกินกันตรงชานระเบียงกว้าง เพราะกินกันตั้งแต่เย็นทำให้ยุงยังไม่เยอะ บรรยากาศนอกบ้านตอนนี้ดีทีเดียวแสงแดดอ่อนแรงลง กลิ่นหอมของดอกแก้วและดอกมะลิลอยอวลในอากาศ
   
         หนูเจียวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหา มือเล็กพยายามช่วยปานตะวันปูเสื่อ เป็นเวลาเดียวกับที่ราเมศถือหม้อสุกี้เข้ามา ปานตะวันช่วยอีกฝ่ายเตรียมน้ำซุป จากนั้นมื้อเย็นที่มีกันสามคนก็เริ่มขึ้น
   
        “หนูเจียกินแพนด้าไหมครับ”
   
       “กินครับ”
   
        เจียหลินแก้มพอง มองตามลูกชิ้นแพนด้าที่ปานตะวันหย่อนลงหม้อไป สักพักก็มานอนอยู่ในถ้วย ชายหนุ่มผมน้ำตาลหั่นลูกชิ้นและตักนู่นตักนี่ให้หลานชายไม่หยุด คอยหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดให้ตอนที่เจียหลินกินเลอะ ส่วนราเมศก็คอยตักอาหารใส่ถ้วยให้ปานตะวันจนชายหนุ่มต้องหันไปบอกให้ทานของตัวเองบ้างก็ได้ ไม่ต้องทำให้เขาเยอะ
   
        “เท่านี้ก็ล้นชามแล้วพี่ กินไม่ทัน—หวา หนูเจียค่อยๆ กินสิครับ”
   
        ปานตะวันหันกลับไปวุ่นวายกับหลานชายที่ทำน้ำซุปหกเลอะพื้น บนแก้มป่องนั่นมีเศษผักติดอยู่ด้วย ราเมศมองคนสองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ถ้าส่องกระจกเขาคงได้รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของตัวเองอ่อนโยนมากแค่ไหน
   
       ยี่สิบนาทีต่อมาเจียหลินก็อิ่ม ฟ้าเริ่มมืดลงช้าๆ ปานตะวันเลยเดินกลับไปเอาสเปรย์กันยุงมาฉีดให้หลานชายกับราเมศรวมไปถึงตัวเองด้วย พอเจียหลินอิ่มก็เป็นเวลาของผู้ใหญ่ทั้งสองที่จะได้กินอาหารอย่างเต็มที่ 
   
      “ไม่กินตับเหรอ” ราเมศถามเมื่อเห็นว่าปานตะวันไม่แตะตับที่ตนเองคีบใส่ถ้วยให้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว พอถูกถามคนที่กำลังทานอาหารก็พยักหน้ารับ “มันขมอ่ะพี่ ไม่ชอบ”
   
       “งั้นเอามานี่”
   
       “เฮ้ย จะดีเหรอ แต่มันอยู่ในชามผมแล้วนะ”

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 11-02-2017 20:56:40
       “ไม่เป็นไรพี่ไม่ถือ”
   
        พูดจบก็คีบตับในถ้วยปานตะวันไปกินเอง คนตัวเล็กกระแอมเบาๆ จากนั้นก็หันกลับมาสนใจถ้วยสุกี้ของตัวเองต่อ แต่สุดท้ายก็หันไปหาพี่ชายบ้านตรงข้ามจนได้
   
        “แล้วพี่เมศชอบกินอะไร”
   
        “หืม” ชายหนุ่มผมดำเอียงคอ “พี่เหรอ?”
   
        ปานตะวันกลอกตา ก็เรียกชื่อไปแล้วนะว่าพี่เมศ...ยังจะมาถามอีกว่าพี่เหรอ   
   
        “แถวนี้มีราเมศหลายคนหรือไง”
   
        “กวนประสาท”
   
        “ก็มันน่าไหมล่ะ”
   
       คนอายุมากกว่าส่ายหัว ยอมใจกับความช่างเถียงของไอ้เด็กแสบตรงหน้า ราเมศคีบเต้าหู้ปลาใส่ถ้วยอีกฝ่าย ปานตะวันน่าจะชอบเพราะเขาเห็นชายหนุ่มตัวเล็กเลือกกินเต้าหู้ปลาเป็นอันดับแรกๆ เสมอ แถมกินเยอะกว่าอาหารอย่างอื่นที่เขาตักให้ด้วย
   
       “เอาวุ้นเส้นอีกไหม”
   
        “พอแล้วครับ ขอบคุณ แล้วก็พี่ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย”
   
        “คำถาม อ๋อ ที่ว่าชอบกินอะไรน่ะนะ ก็กินได้หมดแหละ”
   
       “ไม่มีของที่ชอบเหรอ อย่างอื่นก็ได้ ขนม อาหารอย่างอื่น”
   
        ดวงตากลมแป๋วมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ ปานตะวันเป็นแบบนี้เสมอ หากเจ้าตัวสงสัยหรือกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่างก็จะมีท่าทีเอาจริงเอาจัง นัยน์ตาสีน้ำตาลจะเป็นประกายขึ้นมาทันที
   
        ราเมศยกตะเกียบแตะริมฝีปาก เขาไม่มีของกินที่ชอบเป็นพิเศษ เป็นพวกกินง่ายอยู่ง่าย อะไรที่รสชาติไม่แย่ไปนักก็กินได้ทั้งนั้น แต่ถ้าหากพูดถึงของที่ได้กินบ่อยกว่าอย่างอื่นล่ะก็...
   
       “ขนมไทย...ล่ะมั้ง”
   
       “ขนมไทย?”
   
        “อื้ม พวกขนมชั้น บัวลอย วุ้น ลูกชิด สาคูอะไรพวกนี้”
   
       “เห...”
   
        เห็นหน้าดุๆ ไม่คิดว่าจะกินอะไรติดหวานด้วย เป็นเรื่องใหม่ที่ได้รู้เลยนะเนี่ย และเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความคิดเขาราเมศเลยพูดขึ้นมาว่า “ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษแต่ก็ชอบน่ะ เมื่อก่อนจันทร์ทำมาให้กินบ่อยๆ”
   
        “อ๋อ จริงด้วย พี่จันทร์ทำขนมอร่อย” สมัยเด็กๆ พี่กับพ่อมักจะช่วยกันทำขนมโดยมีเขาเป็นคนลองชิม พี่เคยเล่าให้ฟังว่าคุณแม่ของพี่จันทร์มีหนังสือสูตรขนมไทยอยู่เล่มหนึ่ง ทำออกมาตามสูตรอร่อยทุกอย่างแน่นอน ความฝันของพี่จันทร์คืออยากเปิดร้านขนมเหมือนที่คุณแม่ของพี่เคยทำ
   
        “พี่จันทร์เคยเล่าให้ฟังว่าอยากเปิดร้านขนมไทยเป็นของตัวเอง”
   
        “ก็เคยเปิดนะ” ราเมศตอบ ปานตะวันสังเกตว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายอ่อนโยนลงจนเขารู้สึก...วูบโหวง “เมื่อก่อนจันทร์เคยจะปรับปรุงด้านหน้าเรือนไทยเป็นร้านขนมแบบให้คนมานั่งทานได้แต่ทุนไม่พอ เลยทำได้แค่ทำแล้วฝากพี่ไปขาย จันทร์ทำขนมอร่อย ใครๆ ก็ชอบ เขายังเคยบอกเลยว่าถ้าเก็บเงินได้พอเมื่อไหร่จะเปิดร้านขนมให้ได้”
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปาก ลอบมองดวงหน้าหล่อเหลาที่อ่อนโยนลง ในใจพลันรู้สึกหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
   
        เขารู้สึกได้...ว่าความรู้สึกของราเมศที่มีให้จันทร์จ้าวมากกว่าที่เจ้าตัวแสดงออกให้คนทั่วไปเห็น
   
        บางที...ราเมศอาจจะ...
   
         “งั้นตะวันจะทำให้บ้าง”
   
         “หือ”
   
         น้ำเสียงของปานตะวันตอนพูดประโยคนั้นแผ่วเบาจนราเมศไม่แน่ใจว่าตนได้ยินถูกต้องหรือไม่ คิ้วเข้มเลิกขึ้น “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
   
         “ตะวันบอกว่าตะวันจะลองทำให้บ้าง”
   
        “ทำขนมไทยเป็นหรือไง”
   
        “ไม่...ไม่เป็น” ปานตะวันกัดริมฝีปาก เงยหน้ามองราเมศด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง “แต่ก็ฝึกกันได้ไม่ใช่เหรอ”
   
        “บอกไว้ก่อนเลยนะว่าพี่ทำขนมไทยไม่เป็น” ราเมศถนัดทำแต่อาหารคาวเท่านั้น ถ้าเรื่องของหวานนี่คงสอนให้ไม่ได้
   
        “ตะวันไปเรียนกับคนอื่นก็ได้ ถ้าหาคนสอนไม่ได้ยูทูปกับอินเตอร์เน็ตก็มี”
   
        “โอเคๆ  อยากทำก็ฝึก พี่ไม่ได้ว่า แล้วจะทำหน้าเครียดทำไมเนี่ย”
   
        พอถูกทักคนตัวเล็กก็สะดุ้งเฮือก เบือนหน้าหนีทันที เขาไม่รู้สักนิดว่าเผลอขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งออกไป  ตอนนั้นเองที่เสียงเล็กๆ ของเจียหลินดังขึ้นพร้อมกับร่างนุ่มนิ่มปีนมานั่งบนตัก
   
        “เจียหลินกินด้วย นะๆๆๆ น้าตะวัน หนูเจียชอบบัวลอยยย”
   
        “โอ้โห อย่างนี้นายคงต้องไปหัดเรียนแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ จะได้ทำบัวลอยให้พี่กับหนูเจียกิน”
   
       “อื้ม...นั่นสินะ”
   
         ปานตะวันกอดเจียหลินไว้
   
         ไม่รู้ทำไมเมื่อครู่...ในใจมันถึงเกิดความรู้สึกอยากจะเอาชนะขึ้นมา รู้ดีว่าไม่ควรคิดแบบนี้ รู้ดีว่าเป็นสิ่งผิด แต่พอเห็นราเมศชมพี่สาวของเขาว่าทำขนมอร่อย ปานตะวันก็อยาก ‘ทำให้อร่อยกว่า’ เพื่อที่ว่า...ราเมศจะได้ชมเขาบ้าง
   
        จะมีสีหน้าอ่อนโยนให้เขา...เหมือนที่มีให้พี่จันทร์บ้าง
   
        ความรู้สึกในตอนนี้...อยากเอาชนะตัวตนของพี่ในใจของราเมศให้ได้...ความคิดแบบนี้ไม่ควรเลย ไม่ควรเลยจริงๆ
   
        “เอ้า ทำหน้ายุ่งอีกแล้ว” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นก่อนที่ปลายนิ้วจะนวดเบาๆ ให้ตรงหว่างคิ้ว ปานตะวันหันไปสบตาอีกฝ่าย รอยยิ้มใจดีที่พักนี้เห็นบ่อยขึ้นถูกส่งมาให้ “อย่าทำหน้ายุ่งสิ”
   
        มันเพราะใครกันล่ะ!
   
        “ตะวันอิ่มแล้ว” เมื่อทนไม่ไหวชายหนุ่มก็พูดออกมา ตัดสินใจรวบช้อนแล้วยกชามไปเก็บ จากนั้นก็คว้ากระเป๋าเงินขึ้นมา พอเห็นราเมศก็ร้องถาม “จะออกไปไหนน่ะ”
   
        “เซเว่น เอาอะไรไหม”
   
        “ไม่ล่ะ...เดินดีๆ นะ รีบกลับอย่าเถลไถลล่ะ”
   
        “คร้าบพ่อ”
   
       ปานตะวันขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่เซเว่นใกล้บ้าน ชายหนุ่มหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋องแล้วเดินไปจ่ายเงิน ตั้งแต่มาอยู่กับเจียหลินเขาก็ไม่ค่อยได้ดื่มเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังไม่อยากให้หลานเห็น แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมถึงนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากดื่ม แน่ล่ะว่าเบียร์สองกระป๋องไม่ทำให้เมา...แต่ก็ช่วยให้หยุดฟุ้งซ่านได้
   
        เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่เมศกับพี่จันทร์เป็นแบบไหน ทำไมอีกฝ่ายถึงดูใส่ใจเจียหลินมากเกินฐานะเพื่อนบ้าน จะว่าเป็นเพราะเป็นเพื่อนพี่จันทร์...ก็ยังดูทะแม่งๆ
   
        สัญชาตญาณของเขาบอกว่าสองคนนี้มีอะไรมากกว่านั้น
   
       ถ้าหาก...ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วราเมศเป็นพ่อที่แท้จริงของเจียหลินล่ะ จะว่าไปเขาไม่เคยเห็นหน้าพ่อแท้ๆ ของหนูเจียมาก่อน ญาติฝ่ายพ่อก็ไม่เคยมาดูหน้าหลาน  ถ้าเกิดว่าที่จริงแล้วราเมศเป็นพ่อเจียหลินแต่โกหกเขาว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านล่ะ
   
       “แต่ว่าทำไมถึงจะต้องโกหกด้วยนะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว เผลอพึมพำออกมาจนพนักงานที่กำลังคิดเงินมองเขาตาปริบ ปานตะวันยิ้มเจื่อน รีบส่งเงินให้แล้วคว้าถุงใส่เบียร์ออกมา
   
       เขาฟุ้งซ่านไปจริงๆ นั่นแหละ
   
       เห็นทีวันนี้คงต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักหน่อยแล้ว
   
        พอกลับมาถึงบ้านปานตะวันก็เอาเบียร์ไปแอบไว้ในตู้เย็น ราเมศเก็บล้างจานชามอยู่เขาเลยพาหนูเจียไปอาบน้ำแล้วส่งเข้านอน วันนี้เด็กชายนอนเร็วเพราะไม่มีการบ้าน หลังเจียหลินหลับปานตะวันจึงแอบย่องออกมา เดินไปหยิบเบียร์สองกระป๋องออกจากตู้เย็นแล้วย้ายตัวเองไปนั่งตรงชานบ้าน
   
       คืนนี้พระจันทร์สวย ดวงกลมโตสว่างอยู่กลางฟ้า
   
       สวย...เหมือนพี่จันทร์ของเขา
   
       ป๊อก
   
       เบียร์กระป๋องแรกถูกเปิดออก ชายหนุ่มผมน้ำตาลนั่งเหม่อลอย
   
       พักนี้เขารู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เหมือนว่าจะเขินง่าย แก้มแดงง่าย หัวใจก็เต้นถี่บ่อยเกินไป ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
   
       ไอ้อาการใจเต้นแล้วก็หวั่นไหวกับผู้ชายแบบนี้
   
        เขาเคยคิดว่าตัวเองชอบราเมศ ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวตอนที่ป่วยแล้วอีกคนเป็นฝ่ายมาดูแล...แต่พอฟื้นไข้ก็คิดไปว่าคงเป็นเพราะป่วยอารมณ์เลยฟุ้งซ่านแล้วก็อ่อนไหวง่ายกว่าปกติ แต่ตอนนี้คงพูดแบบนั้นไม่ได้แล้ว
   
        เขาเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองมาโดยตลอด ชอบก็ยอมรับว่าชอบ เกลียดก็ยอมรับว่าเกลียด
   
        ถ้าทบทวนความรู้สึกดู...กับราเมศ...จะใช่ชอบหรือเปล่านะ?
   
        ราเมศผู้ชายที่ตอนแรกเจอกันโคตรไม่ชอบหน้า ชอบมองเขาด้วยสายตาดูถูกแถมยังปรามาสว่าเขาดูแลเจียหลินไม่ได้ ตอนนั้นคิดไว้แล้วว่าผู้ชายคนนี้ต้องปากร้ายและหยิ่งรวมถึงหลงตัวเองขั้นโคม่าแน่ แต่พอมาอยู่ด้วยกันกลับไม่ใช่เลย พอเขาเริ่มเปิดใจ พอราเมศเริ่มเปิดใจถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายใจดี ช่างตามใจ และเป็นที่ปรึกษาที่ดี
   
        เป็นคนไม่ค่อยยิ้มแต่พอได้ยิ้มก็ทำเอารู้สึกว่าอยากมองไปนานๆ
   
        เป็นคนไม่ค่อยพูดแต่พอพูดก็ทำให้รู้สึกอบอุ่น(และอยากต่อยหน้าบ้างบางครั้ง)
   
        เป็นคนที่ให้คำปรึกษาได้ พึ่งพาได้
   
        เป็นคนแรกที่ลูบหัวเขา เป็นคนแรกที่ชมและบอกว่าปานตะวันเองก็เป็นคุณน้าที่ดีได้ เป็นคนแรกที่บอกว่าเขาเก่ง เป็นคนแรกที่ดูแล เอาใจใส่ ห่วงใย
   
        รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปอยู่ใกล้ๆ ชอบไปให้ดุ ให้บ่น ชอบให้อีกคนยิ้มให้เยอะๆ ชอบให้สอน ชอบให้ชม
   
        ชอบ
   
        ชอบ
   
        “ชอบ”
   
         วินาทีที่คำคำนั้นหลุดรอดริมฝีปากปานตะวันก็ยกมือตะครุบปากตัวเองทันที สองแก้มร้อนผ่าว ไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ หัวใจเองก็เต้นถี่ราวกับรัวกลอง
   
         “ชอบ...ชอบงั้นเหรอ”
   
        “ชอบใครเหรอ?”
   
        “เฮ้ย!!!”
   
        เสียงทุ้มที่ดังข้างตัวทำให้คนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองสะดุ้งเฮือก ปานตะวันตกใจประหนึ่งเห็นผี รีบถอยหลังไปหลายก้าว  ราเมศมองกิริยานั้นด้วยสายตากึ่งขบขันกึ่งแปลกใจ
   
        “ขวัญอ่อนจริงนะ”
   
       “แล้ว..แล้วใครใช้ให้เดินเข้ามาเงียบๆ เล่า”
   
       ได้ยินไปมากแค่ไหนก็ไม่รู้! ดีนะไม่ได้หลุดออกมาว่าชอบใคร
   
         “แล้วเมื่อกี้พูดว่าชอบ ชอบใครเหรอ”
   
         คนถูกถามสะดุ้งเฮือก ปานตะวันจะรู้ไหมหนอว่าตอนนี้หน้าตัวเองแดงก่ำไม่ต่างจากตำลึกสุกเลยสักนิด
   
         “ชอบอะไร...บ้า!”
   
         “อ้าว ก็นายเป็นคนพูดว่าชอบ”
   
        “เฮ้ย ละเมอ หูฝาด หูแว่วแล้ว ใครพูด ไม่มี”
   
         “อ้าวเหรอ สงสัยจะหูฝาดจริงๆ”
   
         ราเมศคิดว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดหรอก ได้ยินเต็มสองหูว่าอีกคนพูดว่าชอบ แต่ไม่รู้ว่าชอบใครหรืออะไร พอจะถามก็กลบเกลื่อนเป็นพัลวันแบบนี้แปลว่าไม่อยากให้รู้ เอาเถอะ ไม่อยากให้รู้เขาไม่ถามก็ได้
   
        ปานตะวันขยับกลับมายืนข้างราเมศอีกครั้ง ชายหนุ่มตัวสูงข้างๆ เงยหน้ามองพระจันทร์ ไม่รู้ว่าคิดเหมือนเขาหรือเปล่า
   
        “เบียร์ไหมครับ”
   
        “ขอบใจ”
   
         คนสองคนยืนข้างกันเงียบๆ จมอยู่ในความคิดตัวเอง สุดท้ายก็เป็นปานตะวันที่เอ่ยขึ้นมาก่อน
   
         “วันนี้หนูเจียดูร่าเริงดีนะ ผมคิดว่าหลานเปลี่ยนไปนิดๆ ล่ะ” เมื่อก่อนก้มหน้า ทำหน้าตาอมทุกข์ แต่ตอนนี้เด็กน้อยร่าเริงสดใสขึ้นมาก คนเป็นน้าเห็นก็ดีใจ  ราเมศพยักหน้าเห็นด้วย “แบบนี้ดีแล้วล่ะ จะว่าไปก็ไม่ได้เปลี่ยนหรอก เรียกกลับมาเป็นแบบเดิมดีกว่า เจียหลินน่ะเมื่อก่อนเป็นเด็กดี พูดเก่ง ร่าเริงสดใส แต่พอจันทร์เสียช่วงแรกคงเคว้ง ไม่คุ้นกับญาติ ไม่คุ้นกับนายเลยเงียบ ไม่พูด อมทุกข์ ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว”
   
         “แปลว่าหลานเปิดใจให้ผมแล้วสินะ” ไม่รู้ว่าเปิดเยอะแค่ไหน แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี “ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจแฮะ” คนตัวเล็กว่ายิ้มๆ จากนั้นระหว่างพวกเขาก็ไม่มีบทสนทนาใดขึ้นมาอีกจนกระทั่งปานตะวันทำลายความเงียบขึ้นมาอีกหน
   
         “คืนนี้...พระจันทร์สวยเนอะ”
   
         “อืม สวย”
   
         “ชอบไหม”
   
         “อะไร”
   
         “พระจันทร์”
   
          ใจจริงก็อยากจะถามไปว่า จันทร์จ้าวน่ะ...ชอบไหม แต่ไม่ถามดีกว่า
   
         “ชอบ” เห็นไหม แค่นี้เขารู้สึกแน่นในอกแล้ว หน่วงๆ เหมือนอกจะหักตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ในตอนนั้นเองที่คนข้างกายเขาพูดออกมาว่า “แต่ชอบกลางวันมากกว่ากลางคืน”
   
         “กลางวันไม่เห็นพระจันทร์นะ”
   
        “อืม บางวันไม่เห็นก็ดีเหมือนกัน”
   
         “อ้าว ไหนบอกชอบ”
   
        “ก็บางครั้งพอมองแล้วมันก็เศร้า...หน่วง เลยชอบตอนกลางวันมากกว่า พอมีแสงสว่างแล้วมันก็รู้สึกมีชีวิตชีวาดี”
   
        “ร้อนจะตาย”
   
        ราเมศหัวเราะ โยกหัวปานตะวันเบาๆ คนถูกรังแกแยกเขี้ยวขู่ เหลือบตามองคนข้างกายก็เห็นรอยยิ้มถูกส่งมาให้อีกแล้ว ยิ้มบ่อยกว่าเมื่อตอนพบหน้ากันแรกๆ จริงด้วย พอคิดแบบนั้นหัวใจก็เต้นแรงขึ้น เขาถูกยอมรับแล้วใช่ไหม ได้ขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมแล้วหรือเปล่านะ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาต้องถาม ใช่...ต้องถามให้รู้เรื่องไปเลย จะได้ตัดใจได้ก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
   
       ก่อนที่ความรู้สึกจะมากขึ้นกว่านี้
   
       “พี่เมศ พี่น่ะ...” ชอบพี่จันทร์หรือเปล่า
   
         “หืม”
   
         “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
   
         คนตัวเล็กเบือนหน้ากลับมา สุดท้ายก็ไม่กล้า
   
        “พี่เมศ”
   
         “อะไร เรียกแล้วก็ไม่พูด”
   
         “สมมติว่าถ้าเราเผลอชอบคนที่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว จะทำยังไงดี”
   
         ราเมศเลิกคิ้ว หรือว่าที่มีท่าทางแปลกๆ แถมยังมานั่งดื่มเบียร์ชมจันทร์อยู่นี่เพราะมีปัญหาหัวใจ? ไม่เคยเห็นเจ้าตัวแสบเป็นแบบนี้เลยแฮะ อยากรู้แล้วสิว่าคนแบบไหนทำให้ปานตะวันชอบได้
   
        “เขามีแฟนแล้วหรือยัง”
   
         “ยัง ก็แค่มีคนที่ชอบ”
   
         ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพี่จันทร์กับคนตรงหน้าเป็นแบบไหน งั้นเขาจะโมเมไปก่อนแล้วกันว่าราเมศแอบชอบ พอพูดตอบไปแล้วอีกฝ่ายก็เงียบก่อนจะตอบกลับมาว่า “ก็คงจะพยายามเอาชนะคนในใจเขาล่ะมั้ง”
   
         “ต้องพยายามสินะ”
   
         “เออ ไม่พยายามก็ไม่มีวันได้มาหรอก แล้วนี่อะไร มีปัญหาหัวใจเหรอ มาปรึกษาพี่ได้นะ ฮ่าๆ”
   
         “ตัวเองก็โสดแท้ๆ จะเป็นที่ปรึกษาให้ใครเขาได้”
   
         “เห็นอย่างนี้ก็เคยจีบสาวนะ”
   
         ลมหายใจของปานตะวันสะดุด เขารีบเงยหน้ามองร่างสูงทันที “ใครน่ะ”
   
         “ไม่บอกหรอก”
   
         “เฮ้ยยย ได้ไง”
   
         ราเมศหัวเราะลั่น เขากอดคอปานตะวันไว้ ได้กลิ่นแชมพูจากเรือนผมสีน้ำตาลสว่างของอีกฝ่าย “คนบางคนก็ไม่ใช่คนที่จะได้มาง่ายๆ คนในใจเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ”
   
         “ความรักนี่ยากเนอะ”
   
         “อืม แต่ได้มีมันก็ดีนะ...ดีกว่าไม่มีเลย”
   
         “ถึงแม้เราจะเสียใจมากๆ งั้นเหรอ” ถึงจะต้องเจ็บปวดเจียนตาย...ถึงสุดท้ายแล้วรักนั้นก็จะไหม้เป็นเถ้า  แบบนั้น...ก็ยังดีกว่าไม่มีความรักอีกงั้นหรือ
   
        “ใช่ ควรค่า...แก่การได้รักดูสักครั้ง” สายตาแบบนั้นอีกแล้ว สายตาอ่อนโยน อ่อนหวาน แฝงแววเจ็บปวดเจือจางเอาไว้ เขาแน่ใจแล้วว่าพี่เมศรักพี่จันทร์แน่นอน แต่พี่จันทร์รักตอบไหมเขาก็ไม่รู้และคิดว่าถามไปตอนนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ แต่ปานตะวันแน่ใจว่าในแววตาอีกฝ่ายคือความรักที่มีให้พี่สาวเขาไม่ผิดแน่ เพราะแบบนี้เองสินะถึงได้ดูแลเจียหลินอย่างดี เพราะเป็นลูกของคนที่รัก
   
        ปานตะวันหลุบตาลง ซ่อนแววบางอย่างเอาไว้ในดวงตา
   
        “ความรัก...บางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทุ่มเทให้มากขนาดนั้น”
   
        พวกเขาเงียบกันไป ปานตะวันกำกระป๋องเบียร์ในมือแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เห็นดังนั้นราเมศจึงจับมือเขาคลายออก ยึดกระป๋องเบียร์ไป ชายหนุ่มตัวเล็กก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาสับสนวุ่นวายเกินกว่าจะหันไปกวนประสาทอีกฝ่าย
   
        “ง่วงหรือยัง”
   
       “นิดหน่อยครับ”
   
        “งั้นไปอาบน้ำ”
   
        “แล้วพี่ล่ะ กลับไปนอนบ้านเหรอ”
   
        “ก็คงเป็นแบบนั้น”
   
        ปานตะวันพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยรั้ง ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่ใจ เขาแค่ยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณที่มาช่วยดูแลเท่านั้น “ขอบคุณแล้วก็ราตรีสวัสดิ์ครับ”
   
        “อื้อ ฝันดีนะ”
   
        ดวงตากลมวูบไหว ปานตะวันถอยหลังไปช้าๆ แต่พอไปถึงประตูที่กั้นชานเรือนกับตัวบ้านไว้อีกฝ่ายก็หันมาหาเขา พูดขึ้นด้วยท่าทางจริงจังว่า
   
        “ผมจะฝึกทำขนมไทยนะ จะทำให้อร่อยให้ได้” อร่อยกว่าพี่จันทร์ด้วย “ถึงตอนนั้นพี่ต้องกินนะ” แล้วก็ต้องชม ต้องยิ้มให้แบบที่ทำเวลาพูดถึงพี่จันทร์ด้วยนะ
   
        ปานตะวันจะเอาชนะตัวตนของพี่สาวในใจราเมศให้ได้
   
        ถึงความรักบางความรักจะไม่ควรทุ่มเท...แต่หนนี้ปานตะวันคิดว่าเขายินดีเสี่ยงและพร้อมจะทุ่มเทให้มัน
   
        รออยู่ครู่หนึ่งราเมศถึงได้ส่งยิ้มให้ ยิ้มกว้างกว่าครั้งไหนๆ เป็นรอยยิ้มที่ส่งผลต่อหัวใจอย่างร้ายกาจรวมถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วย “พี่จะรอนะ!”
   
       ปานตะวันกลับเข้าบ้านไปแล้วแต่ราเมศยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขายกกระป๋องเบียร์ที่เป็นของปานตะวันขึ้นจรดริมฝีปาก ชะงักไปเมื่อคิดขึ้นมาเล่นๆ ว่านี่ก็คงไม่ต่างจากจูบทางอ้อม รอยยิ้มหล่อเหลาวาดขึ้นที่ริมฝีปากคู่นั้น ดวงตาคมสีนิลมองดวงจันทร์ที่เปล่งประกายกลางฟ้า
   
        คืนนี้พระจันทร์สวยอย่างที่เด็กคนนั้นพูดไว้ แต่น่าแปลกที่ตอนยืนข้างกันราเมศไม่ได้สนใจพระจันทร์เลยแม้แต่น้อย สมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับคนตัวเล็กข้างกาย
   
       “ชอบ...งั้นเหรอ”
   
        ไม่รู้ว่าประโยคนั้นเป็นการทวนประโยคที่ปานตะวันพูดหรือเพื่อ..สื่อบางสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขากันแน่
   
        “นี่จันทร์จ้าว...ตอนนี้เธอจะยกโทษให้ฉันหรือยังนะ” ชายหนุ่มรำพึงกับใครบางคนที่ไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว “แล้วถ้าฉันขอเป็นคนดูแลลูก...และน้องชายของเธอ เธอจะยอมหรือเปล่านะ”
   
         หัวใจบีบรัดอย่างเจ็บปวดเมื่อนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่หญิงสาวคนนั้นพูดกับเขาก่อจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
   
         “เธอยังเกลียดฉันอยู่หรือเปล่า...แต่รู้ไหม ถึงเธอจะเกลียดฉันฉันก็ไม่เคยเกลียดเธอเลย” ไม่เลยแม้สักนิด “แต่ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ดีเลย”
   
         ความรู้สึกอีกฝ่ายกำลังแทรกซึมเข้ามาในใจของเขา ทั้งที่รู้ว่าผิด ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร แต่ก็ห้ามไม่ได้
   
         กับปานตะวัน...ห้ามไม่ได้เลย
   
         “ฉันยังรักเธอ” หรือเปล่านะ...สับสนเหลือเกิน ความรู้สึกมากมายตีรวนในอกจนแทบทนไม่ไหว “แต่ฉันไม่อยากรักเธออีกต่อไปแล้ว”
   
         และบางทีอาจไม่ได้รักเธออีกแล้ว
   
         ชายหนุ่มเหยียดยิ้มขมขื่น ตอนนี้ในใจเขาเหมือนมีปมเชือกอยู่หนึ่งปม แก้เท่าไหร่ก็ไม่ได้เสียที และตอนนี้มันก็ทำท่าว่าจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
   
        ราเมศกระดกเบียร์ในกระป๋องที่ถืออยู่รวดเดียวหมด
   
        “ความรักนี่ยากจริงๆ ด้วยนะ”
   
         แถมยังขมฝาดและเชิญชวนให้ลิ้มลอง ทำให้ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ต่างอะไรกับรสสุราเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

**********************************************************

สวัสดีค่าาา เรากลับมาแล้ววว หลังจากหายไปในดงงานและการสอบนานมากกกกก ขออภัยสำหรับความล่าช้านะคะ แง
อาทิตย์หน้าก็คาดว่าจะไม่ได้ลงเพราะติดสอบ O-net (หลั่งน้ำตา) พบกันเสาร์ถัดจากเสาร์หน้าเลยนะคะ ฮือออ
กลับมาที่ตอนนี้ เขียนจบปุ๊บรู้สึกมึนงงตามพี่เมศ 5555 ความรักยากจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะความรักของคนที่ยังสับสนอยู่
มาเอาใจช่วยให้คู่นี้เปิดใจกันสักทีกันดีกว่าค่ะ เย้
ช่วงนี้เราอาจจะไม่ได้ลงงานทุกสัปดาห์ได้เหมือนเรื่องก่อนๆ เพราะมีหลายอย่างจริงๆ
บางครั้งก็เหนื่อยที่จะเขียนขึ้นมาดื้อๆ ขอโทษด้วยนะคะ แต่เราจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ
ขอฝากปานตะวันไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ จุ๊บ

ปล. ติดตามข่าวสารนิยายและพูดคุยกับเราได้ทางเพจ AzureDream นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 11-02-2017 21:45:02
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างปรเมศกับจันทร์เจ้าาา  :katai1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-02-2017 21:54:03
มันมีเรื่องอะไรกันนะ

หลงรักเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-02-2017 21:54:37
รออ่านตอนต่อไปคับ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 11-02-2017 23:09:27
  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-02-2017 23:32:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 11-02-2017 23:53:35
อบอุ่นและน่ารักมากกกกกก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-02-2017 08:36:10
พี่เมศ พี่ทำอะไรให้พี่จันทร์เกลียดกันแน่เนี่ย และพ่อของเจียหลินเป็นใครคงไม่ใช่พี่เมศใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 14-02-2017 20:54:49
ความรักก็แบบนี้แหละ

เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๕ ความเอยความรัก (๑๑/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-02-2017 21:42:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 25-02-2017 21:01:02
ปานตะวัน
บทที่ ๖
หวั่นไหว


        เช้าวันเสาร์เป็นวันที่ปานตะวันชอบมากที่สุดเพราะเขาสามารถนอนตื่นสายได้ หนูเจียไม่ต้องไปโรงเรียนและเขาก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้า สองน้าหลานเลยนอนอืดได้จนสายก่อนจะลุกออกมาทำอาหารเช้าง่ายๆ ทาน เป็นชีวิตวันหยุดแบบเรียบง่าย แต่วันนี้เช้าวันเสาร์แสนสุขของปานตะวันกลับถูกทำลายโดยผู้ชายตัวใหญ่ที่ชื่อราเมศ
   
       พรึ่บ
   
        “เฮ้ย อะไรเนี่ย”
   
       น้ำเสียงแหบหวานโวยวายออกมาเมื่อผ้าห่มผืนนิ่มถูกดึงออกมา ปานตะวันพยายามงัดเปลือกตาเปิด ภาพแรกที่เห็นคือเงาร่างสูงใหญ่จนตกใจแต่เมื่อหายเมาขี้ตาก็พบว่าผู้บุกรุกห้องนอนคือผู้ชายบ้านตรงข้ามนั่นเอง
   
       “มีใครบอกพี่ไหมว่าบุกรุกเข้าห้องคนอื่นมันไม่ดีนะ”
   
       “เคาะห้องแล้วนายไม่เปิด”
   
       “ก็หลับอยู่”
   
        ราเมศมองเด็กหัวฟูตรงหน้าขำๆ แมวตัวใหญ่ตรงหน้าเขาพยายามโกยผ้าห่มที่เขาดึงไปเข้าหาตัวแต่เขาก็ดึงกลับ เจ้าตัวเลยแยกเขี้ยวขู่ฟ่ออย่างหงุดหงิด
   
       ปานตะวันขมวดคิ้วยุ่ง กระชากผ้าห่มคืนมาจนได้ เขาหงุดหงิดจนอยากกระโดดถีบราเมศให้ล้มกันไปข้าง
   
       ทั้งโมโหที่โดนแกล้ง โมโหที่โดนปลุกแต่เช้า และ...โมโหที่พอเขาเห็นหน้าอีกฝ่าย ไอ้หัวใจเจ้ากรรมแม่งก็เต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว!
   
       พอยอมรับกับตัวเองว่า ‘ชอบ’ อาการมันก็แสดงออกมาเกือบตลอดเวลาที่เจอหน้า แบบนี้โดนจับได้แน่ๆ
   
        คนตัวเล็กที่กำลังฟุ้งซ่านก้มหน้าขมวดคิ้วกับเตียง พยายามเอนตัวหนีลงในกองผ้าห่มแต่ก็ถูกหยุดไว้อีกหน คราวนี้ไม่ดึงผ้าห่มออกธรรมดาแต่มือใหญ่กลับดึงปานตะวันลงจากเตียงไปด้วย
   
         “ลุกเร็วไอ้แมวขี้เซา”
   
         “ฮื้อ จะให้ลุกไปไหนเล่า นี่เจ็ดโมงเองนะ”
   
        “ลุก จะพาไปเที่ยว เร็วเข้า หนูเจียอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วนะ”
   
         “หือ ไปไหน”
   
         ชายหนุ่มตัวโตอมยิ้มแต่ไม่ตอบ ปานตะวันก็ง่วงเกินกว่าจะโวยวายใส่ เลยตอบกลับไปสั้นๆ ว่า “พี่ไปกับหนูเจียสองคนเหอะ ผมไม่ไหวแล้ว” ขี้เกียจจนลุกไม่ไหวแล้ว...ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่ไว้ใจให้พาเจียหลินไป แต่ถ้าเป็นราเมศก็ไม่มีปัญหา ดูแลเจียหลินได้ดีกว่าเขาอีก
   
         “ไม่ได้ นายต้องไปด้วย”
   
         “ทำไมเล่า!”
   
         “ก็เพราะหนูเจียเขาอยากให้ไปเที่ยวพร้อมกันทั้งครอบครัวไง นี่อุตส่าห์นั่งหาที่เที่ยวทั้งคืนเลยนะ ยังจะมาขี้เกียจอีกเหรอ!”
   
         พอพูดจบทั้งปานตะวันทั้งราเมศก็เงียบไป ก่อนที่คนตัวเล็กจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ปานตะวันลุกออกจากเตียงคว้าผ้าขนหนูแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบๆ ก้มหน้าก้มตาเพื่อไม่ให้ราเมศเห็นแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของตัวเอง
   
        ให้ตาย
   
       คำว่า ‘ทั้งครอบครัว’ นี่มันอานุภาพรุนแรงกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย
   
      หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จปานตะวันก็หยิบของจำเป็นใส่กระเป๋า ราเมศบอกว่าจะพาไปทะเล เป็นการไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับเขาจึงไม่ได้พกอะไรไปนอกจากกล้องถ่ายรูป หมวก เสื้อผ้าเผื่อลงเล่นน้ำ และกระเป๋าเงินเท่านั้น ราเมศที่เดินอุ้มหนูเจียมาเมียงมองอยู่นานแล้วก็ถามขึ้นว่า “ไม่เอาโทรศัพท์ไปเหรอ”
   
       ปานตะวันทำท่านึกขึ้นได้ก่อนหันมายิ้มแหยๆ “โทรศัพท์ผมพังน่ะพื่ ยังไม่มีเงินเลยยังไม่ได้ซื้อใหม่”
   
        “ไปทำอะไรมา?”
   
        “ตกน้ำน่ะ”
   
        หรือถ้าจะเล่าตั้งแต่แรกคือเมื่อสองวันก่อนตอนที่ไปรับหนูเจียที่โรงเรียน ปานตะวันหยิบโทรศัพท์ออกมาถือไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็จูงหลานชายไว้ ตอนที่เดินผ่านบ่อปลาของโรงเรียนก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนเขา ด้วยความที่ไม่ถือโทรศัพท์ให้ดีทำให้มือถือหล่นลงน้ำไป กว่าปานตะวันจะตั้งสติได้และกว่าลุงภารโรงจะงมโทรศัพท์ขึ้นมาให้ได้ ไอโฟนลูกรักของเขาก็ตายแหงแก๋ไปเรียบร้อยแล้ว
   
        “แม่เด็กเขาก็ว่าจะชดใช้ให้นั่นแหละ แต่เห็นท่าทางเขาแล้วผมก็ไม่อยากเอาอะไรมาก” ผู้หญิงที่เป็นผู้ปกครองเด็กที่ชนอาสาจะซื้อเครื่องใหม่ให้ แต่พอปานตะวันรู้ว่าอีกฝ่ายต้องทำงานหนักแค่ไหนเพื่อส่งลูกชายเรียนเขาก็เลยปฏิเสธไป ไม่ได้ดูถูกว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่มีเงินหรืออะไร แต่เขาไม่ต้องการเพิ่มภาระให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นอีก แค่นั้นเธอก็ดูเหนื่อยจะแย่แล้ว
   
       “แต่ผมก็สั่งสอนเด็กคนนั้นไปนิดหน่อยนะ แต่เด็กก็ไม่ตั้งใจแล้วก็ขอโทษมาแล้วเลยจบไป”
   
       “ดีแล้ว”
   
       ราเมศอมยิ้ม รู้สึกเอ็นดูปานตะวันมากขึ้นไปอีก ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งรู้ว่าปานตะวันไม่ใช่เด็กไม่ดีเลย  ถึงจะช่างเถียง รั้นไปบ้าง แต่ก็เป็นเด็กที่คิดถึงคนอื่น แล้วก็ใจอ่อนเอามากๆ
   
       น่ารักจริงๆ
   
        “ว่าแต่ไม่มีโทรศัพท์แบบนี้ไม่ลำบากเหรอ”
   
       “หือ ไม่หรอก ปกติไม่ค่อยมีใครโทรหาผมเท่าไหร่”
   
       กับไอ้กันต์เขาก็บอกมันไปทางเฟซบุ๊คเรียบร้อยแล้ว เจอมันเทศน์มายกหนึ่งเรียบร้อย ส่วนแม่...ก็ไม่ได้ติดต่อมาสักพักแล้ว
   
        “ไม่มีเพื่อนไม่มีแฟนโทรหาหรือไง”
   
         พอเจอคำถามนี้คนตัวเล็กที่สาละวนเลือกขนมใส่กระเป๋าก็หยุดชะงัก หันมาแยกเขี้ยวใส่ทันที “เพื่อนมีแต่แฟนไม่มี อย่าตอกย้ำได้ไหมเล่า”
   
        “โอ๋ๆ น่าสงสาร”
   
        “ว่าแต่เขา ตัวเองก็ไม่มีเหมือนกันแหละว้า”
   
        “อืม น่าสงสารเนอะ ปลอบพี่ด้วยสิ”
   
        “ฮะ!?”
   
        ปานตะวันอ้าปากค้าง หันขวับไปมองคนหน้าตายที่เหมือนจะ...เพิ่งหยอดมุกส่งให้เมื่อกี้นี้...หรือเขาหูฝาดวะ!
   
        “อะไรเหรอ” ราเมศอมยิ้ม ลอยหน้าลอยตาถาม มองลูกแมวที่มีสีหน้าแปลกๆ เหมือนจะเขินก็ไม่ใช่ จะ...ตกใจก็ไม่เชิง “เมื่อกี้พี่เมศพูด...”
   
       “หือ พี่พูดอะไรเหรอ”
   
        ปานตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่าย แก้มแดงแจ๋ อายจนไม่รู้จะทำยังไงเลยเหวี่ยงหมัดชกไหล่อีกฝ่ายไปทีหนึ่ง ไม่แรงมากแต่ก็เจ็บอยู่เหมือนกัน คนถูกทำร้ายร่างกายร้องโอดโอยขึ้นมาทันที
   
         “สำออย! โดนซะบ้าง อย่ามาแกล้งผมนะ” ว่าจบก็เดินปึงปังออกไปหาหลานชายที่นั่งรออยู่ข้างนอกทันที ทิ้งให้ราเมศยืนยิ้มอยู่คนเดียว ชายหนุ่มลูบไหล่ข้างที่โดนชกเบาๆ เจ็บ...แต่กลับยิ้มไม่หุบ เป็นโรคจิตซะแล้วมั้งเขาน่ะ “เป็นแมวที่น่ารักจริงๆ เลยนะ”
   
          แถมยังทำให้อารมณ์ดีได้ตลอดอีก
   
         แล้วแบบนี้เขาจะ...ห้ามใจตัวเองได้ยังไง
   
         ราเมศอมยิ้ม เดินออกมาก็เห็นสองน้าหลานนั่งเล่นกันอยู่บนโซฟา วันนี้เจียหลินอยู่ในชุดเอี๊ยมยีนกับเสื้อยืดสีขาว แก้มพองๆ ของเด็กน้อยยกยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดวงตากลมก็เป็นประกายตอนมองคุณน้าตะวันร่อนจรวดกระดาษไปทางนู้นทีทางนี้ที พอเห็นเขาออกมาปานตะวันก็วางจรวดลง ทำท่าจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาแต่ราเมศก็บอกให้เขารออยู่ที่นี่ก่อน
   
         “เดี๋ยวพี่จะกลับเอาของที่บ้านก่อน แป็บเดียว”
   
        ปานตะวันพยักหน้า หันกลับมาสอนเจียหลินพับจรวดกระดาษต่อ รออยู่ไม่นานราเมศก็เดินกลับมาพร้อมโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง ชายหนุ่มยื่นมันให้ปานตะวันที่มีสีหน้างุนงง
   
        “อะไรครับ”
   
       “โทรศัพท์ไง พี่มีสองเครื่อง ให้ยืมก่อน”
   
       “เฮ้ย ได้ไง ไม่เอาอ่ะ รบกวนแย่”
   
       “ไม่ได้บอกจะให้นี่” จริงๆ เอาไปเลยก็ได้ เขาไม่ว่าหรอก แต่ยัดเยียดยังไงเด็กคนนี้ก็คงไม่ยอมรับ ”พี่ให้ยืม ไม่มีโทรศัพท์มันลำบากใช่ไหมล่ะ ยืมพี่ไปก่อน เมมเบอร์เพื่อนกับครอบครัวไว้ก็ได้ นายซื้อเครื่องใหม่เมื่อไหร่ค่อยคืน”
   
       “จะดีเหรอครับ”
   
         “เอาไปเถอะ เวลามีปัญหาตอนไปรับเจียหลินหรืออยากโทรหาพี่จะได้ไม่ลำบาก”
   
         ปานตะวันชะงัก คนตัวเล็กคว้าโทรศัพท์ไป บ่นอุบอิบพอให้เขาได้ยิน “ใครอยากโทรหาพี่กันเล่า”
   
         “นั่นสินะ”
   
         “ประสาท...แต่ก็ขอบคุณครับ”
   
         ราเมศขยี้ผมคนเด็กกว่าเบาๆ จากนั้นก็อุ้มเจียหลินลงจากบ้าน ปานตะวันจึงเก็บของแล้วถือกระเป๋าตามลงไป ตอนที่เดินรั้งอยู่ข้างหลัง...แล้วเห็นระยะห่าง หัวใจที่เต้นแรงค่อยสงบลงบ้าง และมันก็ย้ำเตือนให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วราเมศไม่ได้คิดอะไรกับเขา มันก็แค่การหยอกเล่นเท่านั้น อีกฝ่ายเป็นผู้ชายเต็มตัว ชอบผู้หญิง...ชอบพี่จันทร์ ที่เล่นกับเขา ที่เอ็นดูเขาก็เพราะเป็นน้องชายของพี่ เป็นน้าของหนูเจียเท่านั้นเอง
   
         ตอนที่อยู่บนรถจู่ๆ ปานตะวันก็เงียบไป ราเมศเหลือบมองคนที่นั่งข้างๆ แล้วก็ขมวดคิ้ว ตอนออกจากบ้านก็ยังดีอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงทำหน้าเครียดเหมือนคิดอะไรไม่ตกอยู่แบบนั้น
   
         คิดอะไรอยู่กันนะ...เดาไม่ออกเลย
   
         และเพราะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศชายหนุ่มจึงหาเรื่องขึ้นมาพูด เป็นเรื่องสถานที่เที่ยวของพวกเขาวันนี้ “วันนี้พี่จะพาไปทะเล นายน่าจะได้รูปสวยๆ เยอะเลย เห็นเอากล้องมาด้วย”
   
         “อ่อ...ครับ”
   
          แล้วก็เงียบกันไปอีกหน ราเมศขมวดคิ้วเล็กน้อย ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมากและไม่มีปัญหาอะไรกับการอยู่เงียบๆ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ชอบที่ปานตะวันเงียบแบบนี้
   
         เงียบ...เหมือนมีอะไรอยู่ในใจ
   
        “จริงสิ ว่าแต่นายจะไปมหา’ลัย เมื่อไหร่” ทันทีที่ถามออกไปราเมศก็รู้ว่าเขาพลาดแล้ว ดวงตากลมฉายประกายประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ปานตะวันเบือนหน้าออกไปมองนอกกระจกหน้าต่างรถ ตอบออกมาเสียงเบา
   
        “ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกครับ”
   
        “ดร็อปไว้เหรอ”
   
         “...ครับ...”
   
        ราเมศเงียบไป จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่เขาสงสัยมาหลายอาทิตย์แล้ว ปานตะวันไม่เคยพูดถึงเรื่องการไปมหา’ลัย เขาเคยจะเสนอหลายหนแล้วว่าเอาเจียหลินมาฝากกับเขาได้ช่วงที่ไปเรียน แต่ปานตะวันไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เหมือนที่ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัว...ว่าทำไมไม่มาหา ไม่เคยเล่าเรื่องเพื่อนคนอื่นนอกจากคนที่ชื่อชนกันต์
   
        เขารู้เรื่องของปานตะวันน้อยมากจริงๆ
   
        และอีกสิ่งที่ทำให้ราเมศกังวลมากก็คือปานตะวันไม่เคยปรึกษาเขาเรื่องอนาคต...ยิ่งเจียหลินโต ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น ปานตะวันไม่เคยพูดว่าจะทำยังไง จะวางแผนอะไรต่อไปในอนาคต ราเมศอยากพูดเรื่องนี้แต่ก็กลัวว่าเด็กคนนั้นจะหาว่าเขาก้าวก่ายมากเกินไป
   
        เอาเป็นว่า...เขาจะค่อยๆ ลองพูดกับปานตะวันก็แล้วกัน
   
        “นี่...”
   
        “ครับ?”
   
        “พูดอะไรบ้างสิ”
   
        “หือ ไม่ชอบอยู่เงียบๆ เหรอครับ เห็นชอบบ่นว่าผมพูดมาก”
   
       “ก็...” ราเมศกำพวงมาลัย จ้องเขม็งไปข้างหน้า ตั้งสมาธิมากกว่าเดิม “ก็...มันไม่ชิน เหมือนนายโกรธอะไรพี่”
   
       “ผมเปล่า”
   
         “งั้น...ก็อย่าเป็นแบบนี้นานนัก...เดี๋ยวจะพาไปเที่ยว ยิ้ม...หน่อยนะ”
   
        ปานตะวันนั่งเงียบ...ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ราเมศคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่พูดแล้วจนกระทั่งเสียงของคนตัวเล็กดังขึ้น แผ่วเบา
   
         “ก็ไม่ได้โกรธ...แค่บางเรื่อง...อย่าเล่นมากนัก”
   
         ทั้งลูบหัว ทั้งแกล้งหยอด แบบนั้น...ราเมศไม่คิด แต่เขาคิด...คิดมากด้วย
   
         อย่าเล่นมากนักเลย ไม่อย่างนั้น...เขาจะหวั่นไหวมากไปกว่านี้ แล้วมันจะ...ถอนใจไม่ขึ้นจริงๆ
   
        จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือหัวหิน โชคดีที่ออกแต่เช้าทำให้รถไม่ติดมากนัก หนูเจียตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยว เด็กน้อยในชุดเอี๊ยมยิ้มกว้างไม่หุบ ทำให้คนเป็นน้าเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ปานตะวันหยิบกล้องขึ้นมาเช็ค เขาไม่ได้จับกล้องมาหลายเดือนแล้ว อันที่จริงก็ไม่ได้รักการถ่ายรูปเท่าไหร่ ที่เลือกเรียนเพราะคิดว่าเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ดีและเพราะ...ใครบางคนเคยบอกไว้ว่าเขาถ่ายรูปสวย แต่พอตอนนี้กลายเป็นว่าทำไปแบบขอไปทีทำให้เขาไม่ชำนาญอะไรเลยสักอย่าง
   
         ชีวิต...เหลวแหลกมานานขนาดไหนแล้วนะ
   
         แล้วต่อจากนี้...จะทำให้ดีขึ้นได้ไหม ปานตะวันก็ยังไม่รู้ แต่เขาจะลองดู อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็มีเป้าหมาย มีเจียหลิน มีราเมศ ดังนั้นเขาจะพยายามให้ดีที่สุด
   
         “ถึงแล้วล่ะ”
   
         เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้ง พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตอนนี้รถจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถเรียบร้อยแล้ว ราเมศเอี้ยวตัวไปหยิบหมวกสานสีน้ำตาลที่มีเขากวางส่งให้หนูเจีย ก่อนจะหยิบหมวกสีดำส่งให้ปานตะวัน “ใส่สิ สายๆ แดดน่าจะร้อน”
   
       “ที่นี่ที่ไหนครับ”
   
       “เพลินวานน่ะ”
   
         ปานตะวันลงจากรถ ราเมศเป็นคนอุ้มเจียหลิน พวกเขาเดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นเข้าไปในเพลินวาน  ปานตะวันเคยมาที่นี่มาก่อนแต่เคยเห็นรูป เห็นว่าเป็นสถานที่จำลองตลาดโบราณสมัยก่อน ทั้งอาคาร ขนม ร้านรวงต่างๆ ทำให้คนที่มาได้เหมือนย้อนกลับไปอยู่ในบรรยากาศเก่าๆ เป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์แบบคลาสสิก
   
       บรรยากาศคึกคักและกลิ่นอายของสถานที่ท่องเที่ยวทำให้ปานตะวันเริ่มรู้สึกสดชื่น ชายหนุ่มถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นรูปหนูเจียกับราเมศ หนูเจียที่เพิ่งเคยมาที่นี่ตื่นเต้นกับทุกอย่างรอบตัว ร้องจะกินขนมจนคุณน้าเมศต้องปรามว่าให้เลือกอันที่อยากกินจริงๆ เท่านั้น ซื้อให้หมดไม่ได้ สุดท้ายเด็กน้อยก็ได้ไอติมหลอดกับขนมถ้วยมา
   
       “เอ้า กินสิ” ไอติมหลอดสีแดงสวยถูกยื่นมาให้ ปานตะวันขอบคุณ รับเอาถุงปลาสติกใสที่ใส่ไอติมไว้มาถือ พอสายหน่อยแดดก็เริ่มร้อน ได้ไอติมเย็นๆ มากินก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน
   
       “ร้อนเหรอ แก้มแดงหมดแล้ว”
   
       “นิดหน่อยครับ”
   
        “หาร้านนั่งไหมล่ะ”
   
       “ไม่เอาล่ะครับ คนเยอะแล้ว ถ่ายรูปเสร็จแล้วออกเลยก็ได้ครับ”
   
       “เอางั้นก็ได้”
   
       หือ แปลกจัง วันนี้ตามใจเขาด้วยแฮะ
   
        ปานตะวันเอียงคอ ริมฝีปากเล็กงับเอาไอติมเข้าไปเต็มคำจนปากและลิ้นกลายเป็นสีแดง รีบกินเอาๆ จนน่ากลัวว่าจะติดคอ
   
        ราเมศเหลือบตามองอีกฝ่าย ปานตะวันจะรู้ไหมนะว่าตัวเองดูดีเอาและ...น่ารักเอามากq
   
         “มองทำไมครับ” เสียงใสที่เอ่ยทักทำให้คนแอบมองสะดุ้ง เห็นเด็กตัวเล็กยักคิ้ว ยกยิ้มกวนมาให้ ยิ้มแบบนี้แปลว่าอารมณ์ดีแล้ว ดีจริง
   
         “เปล่านี่”
   
        “อยากกินเหรอครับ เหลืออยู่แท่งนึงพอดี เอาไปสิครับ”
   
        ปานตะวันหยิบไอติมหลอดสีเขียวส่งให้อีกฝ่าย ราเมศยักไหล่ เขาไม่ได้อยากกินไอติม ที่ซื้อมาก็ให้เจ้าลูกแมวสองตัวนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายใจดีป้อนให้เขายอมกินก็ได้ คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็โน้มใบหน้าลงมากัดเอาไอติมไปคำโต
   
        ปานตะวันมือสั่นน้อยๆ การตอบรับของราเมศมีพลังอานุภาพทำลายล้างแรงพอๆ กับไอ้คำว่าไปเที่ยวทั้งครอบครัวเมื่อเช้าไม่มีผิด เขายื่นให้ทำไมไม่รับไปกินดีๆ เล่า ก้มลงมาแบบนี้...หัวใจจะวาย
   
        “โทษที พอดีอุ้มหนูเจียอยู่ มือพี่ไม่ว่าง”
   
       “อ...เอ้อ..พี่ให้ผมอุ้มหนูเจียบ้างก็ได้ จะได้กินสะดวก”
   
         “ไม่เป็นไรหรอก” ราเมศหันมามอง ยิ้มมุมปากนิดๆ แต่ก็มากพอจะทำให้คนมองเขินจนหลบตาแทบไม่ทัน แถมไอ้ประโยคต่อมาก็ยิ่งทำให้ปานตะวันหน้าร้อนมากกว่าเดิมหลายเท่า “มีคนป้อนแบบนี้ก็สะดวกดี”
   
        สะดวกพี่คนเดียวนะสิ ฮึ่ย บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าหยอดมาก มันไม่ดีกับใจเขา!
   
         ด้วยความเขินปนหงุดหงิดกับอาการคันยุบยิบในหัวใจ ปานตะวันจึงงับไอติมหลอดสีเขียวของราเมศไปจนหมด เย็นจี๊ดจนขึ้นสมองแต่ก็กัดฟันกลืนลงไป แถมยังเหวี่ยงค้อนวงโตใส่ผู้ชายผิวแทนข้างๆ ได้อย่างงดงาม
   
        “ไม่ต้องกินแล้ว!”
   
        “อ้าว อะไรของนายเนี่ย”
   
        “ผมหงุดหงิด ผมหมั่นไส้ ไม่ต้องกิน!”
   
        “ไอ้แมวตะวัน เดี๋ยวเหอะ!”
   
       ปานตะวันหัวเราะร่า แลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกฝ่ายเหมือนเด็กๆ แต่แทนที่จะโกรธราเมศกลับรู้สึกว่าแบบนี้ดีแล้ว อย่างน้อย...ก็ไม่มีแววอ้างว้างสับสนเหลืออยู่ในดวงตาคู่นั้นแล้ว
   
        หลังเดินเที่ยวจนเหนื่อยพวกเขาก็มาถ่ายรูปกันสามคนที่ป้ายทางเข้าโดยขอให้นักท่องเที่ยวคนหนึ่งช่วยถ่ายให้ หนูเจียกระโดดกระเด้งไปมาไม่หยุดจนปานตะวันต้องบอกให้อยู่นิ่งๆ น้าชายคนเก่งคอยจัดท่าโพสต์น่ารักๆ ให้หลาน หลังถ่ายไปประมาณห้าหกรูปพวกเขาก็กลับไปขึ้นรถ
   
        บรรยากาศหนนี้ดีกว่าตอนออกจากบ้านเรือนไทยมาก ภายในรถมีเสียงร้องเพลงของปานตะวันกับหนูเจียประสานกันเจื้อยแจ้ว แถมคนตัวเล็กที่อารมณ์ดีก็ยังพูดๆๆไม่หยุด ราเมศเองก็ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายหยุด เขาทำแค่ส่งน้ำให้ปานตะวันที่ท่าทางจะคอแห้งเป็นระยะเท่านั้น
   
       ใช้เวลาไม่นานก็ขับรถมาถึงชายหาด ปานตะวันลดกระจกลง ทำให้กลิ่นอายของทะเลพัดเข้ามาในรถ ผืนน้ำสีฟ้าครามเป็นประกายล้อแสงแดดแผ่กว้างอยู่ใต้ฟ้าคราม
   
       “น้าตะวัน น้าเมศ หนูเจียอยากเล่นน้ำ”
   
       “ครับผม แต่ตอนนี้ยังลงไม่ได้นะ แดดยังแรงอยู่ ไว้ตอนเย็นๆ ค่อยลงนะครับ”
   
       “เอ๋ ทำไมลงตอนนี้ไม่ได้ล่ะครับ”
   
        “เพราะหนูเจียจะตัวดำไงครับ ดำเหมือนน้าเมศ ฮ่าๆ”
   
        “น้าเมศหล่อ หนูเจียอยากเหมือนน้าเมศครับ!”
   
         ปานตะวันทำปากคว่ำใส่ผู้ชายหล่อที่ยังอุตส่าห์หันมายักคิ้วให้ เออ ได้ใจไปเหอะ อย่าให้ถึงทีเขาบ้างก็แล้วกัน ฮึ!
   
         ชายหนุ่มผมน้ำตาลหันไปมองหลานชายที่เกาะกระจกมองทะเลด้วยดวงตาเป็นประกาย เส้นผมนุ่มนิ่มยาวเคลียต้นคอแล้ว แก้มขาวของหนูเจียแต้มสีชมพูด้วยความตื่นเต้น
   
        “หนูเจีย แล้วน้าตะวันหล่อไหมครับ”
   
       เจียหลินละสายตาจากทะเลมามองเขา ตัวเล็กเอียงคอน้อยๆ ครุ่นคิดอยู่นานก่อนตอบว่า “อืม...ก็หล่อนะครับ” แต่ทำไมน้ำเสียงคุณหลานดูไม่มั่นใจเลยล่ะครับ น้าตะวันเสียใจนะเฮ้ย
   
       “น้าตะวันน่ารัก...น้าเมศชมน้าตะวันให้หนูเจียฟังบ่อยๆ ว่าน่ารัก หนูเจียก็ว่าน่ารักครับ”
   
       พอฟังจบคนน่ารักก็หันขวับไปมองสารถีที่ดูตั้งอกตั้งใจกับการขับรถมากกว่าปกติ ถามออกไปด้วยน้ำเสียงคาดคั้นเล็กๆ “จริงเหรอพี่เมศ”
   
       “อะไรจริง?”

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 25-02-2017 21:16:14
       “ที่ว่าตะวันน่ารัก”
   
        เงียบ ไม่ตอบ คืออะไรฮะ
   
        “นี่...จริงเหรอ ที่บอกว่าน่ารัก”
   
       “ไม่ชอบหรือไง”
   
       “ก็แค่อยากรู้” ไม่ใช่ว่าไม่ชอบสักหน่อย แค่อยากได้ยินอีกคนพูดกับหูเท่านั้นเอง “จริงหรือเปล่าพี่เมศ” 
   
         ราเมศเม้มปาก ถ้าปานตะวันสังเกตดีๆ จะเห็นใบหูของร่างสูงเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย แต่เพราะเอาแต่จ้องเขม็งไปที่ริมฝีปากคู่นั้นทำให้ปานตะวันไม่ทันสังเกต ราเมศเลียริมฝีปาก ทำท่าคิดอยู่นานถึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
   
        “อืม น่ารัก”
   
        ก็...ก็แค่นี้!
   
        บ้าเอ้ย เขาดีใจมากๆ เลย...ทั้งที่ไม่ชอบถูกชมว่าน่ารักแท้ๆ แต่พอเป็นราเมศเหมือนมันจะกลายเป็นข้อยกเว้นขึ้นมา คนถูกชมกระแอมเล็กน้อย หันกลับไปนั่งตัวตรง ทำทีเป็นมองฟ้ามองทะเลไป
   
        หนูเจียมองคนนั้นทีมองคนนี้ที น้าเมศหน้าแดง น้าตะวันก็หน้าแดง...ดูชอบใจที่โดนชมว่าน่ารัก งั้น... “น้าตะวัน น่ารักมากกก น่ารักๆๆๆ” หนูเจียก็จะชมน้าตะวันน่ารักเยอะๆ เลย!
   
        “น้าตะวันน่ารัก หนูเจียรักน้าตะวันมากๆ เลย” ไม่ว่าเปล่าเด็กตัวกลมยังยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาด้วย ปานตะวันยิ้มจนตาหยี หันไปหาหลานชายสุดที่รักของตัวเอง “อื้ม น้าตะวันก็รักหนูเจียเหมือนกัน”
   
         เมื่อหาที่จอดรถได้พวกเขาก็หยิบเสื่อกับตะกร้าปิกนิกและกล่องใส่อาหารลงจากหลังรถ ราเมศไปขอเช่าร่มชายหาดคันใหญ่ เมื่อได้ที่นั่งก็พากันเอาเสื่อไปปู ปานตะวันบอกให้หนูเจียทานข้าวให้เรียบร้อยก่อน อาหารที่ราเมศเตรียมมาเป็นไก่ทอดกับข้าวปั้นหลากหลายไส้ หลังทานอิ่มและเก็บกวาดเรียบร้อยปานตะวันก็ส่งกระป๋องใส่อุปกรณ์ตักทรายให้หนูเจีย วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าเปิด สวยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้หลายๆ รูป
   
        “น่าลงไปเล่นน้ำเนอะ”
   
        “ก็ลงไปสิ พาหลานไป เดี๋ยวพี่เฝ้าของให้”
   
        “ฮื้อ ไม่เอา ลงไปผมก็ดำดิ”
   
        “ลงไปโดนแดดบ้างเถอะครับคุณชาย ขาวจนจะเรืองแสงแล้ว”
   
        ปานตะวันหันไปย่นจมูกใส่อีกฝ่ายแล้วก็ถูกบีบจมูกกลับมา “นั่นก็เว่อร์ไป”  พวกเขานั่งกันอยู่เงียบๆ สักพักปานตะวันก็ย้ายไปช่วยหลานชายก่อปราสาททราย หนูเจียร้องจะลงไปเดินเล่นที่ชายหาดปานตะวันจึงจูงมือเด็กน้อยไป เขาเตือนหลานชายให้ใส่หมวกและสวมรองเท้าให้เรียบร้อย
   
        เจียหลินมองไปรอบๆ อย่างมีความสุข หัวเราะเวลาที่คลื่นซัดมาโดนเท้า เห็นเด็กน้อยยิ้มมากขึ้นปานตะวันก็รู้สึกดี เขารักรอยยิ้มของเด็กคนนี้ รักเสียงหัวเราะของเด็กคนนี้ อยากรักษาให้อยู่แบบนี้ตลอดไป
   
        “น้าตะวัน” แรงกระตุกตรงชายเสื้อทำให้ปานตะวันหลุดจากความคิดของตัวเอง ชายหนุ่มย่อตัวลงตรงหน้าหลานชาย ส่งยิ้มให้ “ว่าไงครับหนูเจีย”
   
        เจียหลินแปะมือลงบนแก้มของปานตะวัน ยิ้มน่ารักให้ “น้าตะวันยิ้มสวย หนูเจียชอบ น้าเมศก็ชอบ น้าตะวันยิ้มเยอะๆ น้า” ว่าจบก็ดึงแก้มเขาเบาๆ ท่าทางกับคำพูดน่ารักมากจนคนเป็นน้าตาเป็นประกาย ปานตะวันสูดจมูก รวบตัวหลานชายขึ้นมากอดแน่น หอมแก้มซ้ายแก้มขวาจนเด็กน้อยหัวเราะคิกคัก
   
        แชะ
   
        เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองก็พบราเมศเดินเข้ามา อีกฝ่ายสะพายกล้องและกระเป๋ากล้องไว้ด้วย พอเห็นเขากับหลานหันไปมองก็ยกกล้องขึ้นถ่ายอีกรอบ
   
        “เอ้า หันมาเร็วเจ้าลูกแมว ยิ้มสิ”
   
        “ชีสสส”
   
        ราเมศหัวเราะ เขาเห็นสองน้าหลานเล่นกันงุ้งงิ้งตั้งนานแล้วล่ะ คิดว่าน่ารักดีเลยหยิบกล้องมาด้วย ถือเป็นรูปคู่รูปแรกของปานตะวันกับเจียหลินเลยก็ได้มั้ง น่ารักจริงๆ ดวงตาคมสีนิลมองรูปภาพที่คนสองคนในภาพหันมายิ้มจนตาหยีให้กล้อง ปานตะวันกับเจียหลินยิ้มคล้ายกัน ต่างกันที่เจ้าตัวแสบใหญ่จะยิ้มเห็นเขี้ยว ดูซุกซน  แต่ตัวแสบเล็กจะมีลักยิ้มดูน่ารักน่าหยิก
   
       “โอ๊ะ ถ่ายรูปสวยนี่ครับ”
   
        ปานตะวันชะโงกหน้าเข้ามาดู หนูเจียที่กระโดดดึ๋งๆ อยู่ข้างล่างก็ร้องจะดูด้วยคนเป็นน้าเลยอุ้มตัวเล็กขึ้นมา พอเจ้าหนูเห็นรูปก็ยกสองมือกุมแก้มแล้วหัวเราะออกมา
   
        “เอ้อ พี่ลุกมาแบบนี้แล้วของล่ะครับ”
   
        “เอาไปเก็บหลังรถแล้วล่ะ เหลือแต่เสื่อกับกระป๋องทรายหนูเจีย นายจะลงเล่นน้ำเลยไหม”
   
        “ยังล่ะครับ ร้อนอยู่เลย” ปานตะวันหยีตา “เอากล้องไปเก็บแล้วมาเล่นกันเถอะครับ”
   
         “ไม่กลัวดำหรือไง ไม่ลงน้ำแต่ยืนกลางแดดก็ดำนะบอกไว้ก่อน”
   
         "น่าๆ มาเถอะ”
   
         สุดท้ายราเมศก็ยอมตามใจไอ้ตัวแสบ ชายหนุ่มเอากล้องไปเก็บในรถ จากนั้นก็เดินกลับมาที่ชายหาด ปานตะวันดึงมือเขาไปยังจุดที่นักท่องเที่ยวบางตา ยื่นกิ่งไม้ให้ “ช่วยวาดรูปหน่อย”
   
        “เล่นอะไรเนี่ย”
   
        “เหอะน่า ช่วยกันวาดรูปเร็วครับ หนูเจีย วาดเร็วๆ”
   
        ราเมศหัวเราะ มองหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กพยายามวาดรูปให้เสร็จก่อนคลื่นซัดมา แข่งกันร้องโวยวายตอนที่รูปหายไป พอเบื่อวาดรูปปานตะวันก็ร้องจะวิ่งแข่งกับเขา ตอนแรกเขาก็ไม่เล่นแต่พอโดนรบเร้ามากๆ ก็ยอม ปานตะวันให้เจียหลินขี่หลัง วิ่งเร็วจี๋ไปตามชายหาดโดยมีหลานชายหัวเราะร่าอยู่ด้วย
   
       หลังวิ่งจนเหนื่อยก็กลับมานั่งพักใต้ร่มชายหาด ราเมศเดินไปซื้อน้ำมาให้ในขณะที่ปานตะวันนั่งพัดให้หลานชาย เจียหลินที่เล่นซนจนเหนื่อยก็ผล็อยหลับไป พอได้นั่งกันอยู่แค่สองคน ปานตะวันถึงพูดออกมา
   
       “พี่เมศ ขอบคุณครับ”
   
       “หืม เรื่องอะไร”   
   
       “ที่พามาเที่ยว” ดวงตากลมสีนิลใสแจ๋วสบกับดวงตาสีเดียวกันอีกคู่ “วันนี้สนุกมากเลย” ประกายบางอย่างในดวงตาของปานตะวันทำให้ราเมศใจกระตุก เขาลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก นานๆ มาทีก็ดีเหมือนกัน หนูเจียก็ดูชอบมาก”
   
        “อื้ม นั่นสินะ” ดวงตาอ่อนโยนของปานตะวันทอดมองหลานชายที่นอนหนุนตักอยู่ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่แววตาคู่นั้นกลับมาแฝงแววเศร้าสร้อยจางๆ อีกแล้ว
   
        “นายเองก็ดูสนุกมาก ดีใจนะที่วันนี้เห็นยิ้มเยอะขนาดนี้”
   
       “อื้อ ขอบคุณครับ”
   
       เด็กขี้เขินก้มหน้าหนีเขา แต่ราเมศก็เห็นแก้มกับหูแดงๆ ของอีกฝ่ายอยู่ดี “อยากฟังเพลงไหม” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามออกไป ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตากลมฉายประกายสงสัย
   
        “พี่ร้องเพลงได้เหรอ ไม่เพี้ยนแน่นะ”
   
        “ดูถูก”
   
        ราเมศดีดเหม่งไอ้เด็กแสบของเขาไปหนึ่งที “รอตรงนี้ เดี๋ยวกลับมา” เขาว่า เดินกลับไปที่รถเพื่อหยิบกีต้าร์โปร่งที่อุตส่าห์แบกมาด้วยออกมา พอปานตะวันเห็นกีต้าร์ก็แกล้งผิวปากแซว “อุปกรณ์ครบ แบบนี้ร้องเพี้ยนขายหน้าตายเลยนา”
   
        “พูดมาก”
   
        เขาว่าขำๆ ไม่ได้จริงจัง เจ้าเด็กนั่นทำปากคว่ำอีกหน บ่นอุบอิบว่าตอนเช้ายังบอกให้พูดเยอะๆ อยู่เลย ราเมศไม่ได้พูดอะไรเพราะกำลังเปิดหาคอร์ดเพลงอยู่ เมื่อได้เพลงที่ต้องการแล้วเขาก็เริ่มร้อง
   
        รู้ก็ทั้งรู้ว่าเธอเป็นใคร
   
        และฉันก็ไม่คิดจะปีนขึ้นไป
   
        คงไม่มีทางจะเป็นไปได้
   
        ก็เรานั้นมันต่างกัน
   
         
        พอได้ยินเพลงปานตะวันก็หันมามองเขาตาโต ริมฝีปากเล็กๆ ช่างเถียงเม้มหากันแน่น เจ้าตัวสะบัดหน้าไปทางอื่น ทำเป็นมองลมมองฟ้ามองทะเล แต่ราเมศรู้ว่าอีกฝ่ายฟังอยู่
   
         เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงเลือกเพลง ‘หวั่นไหว’ ขึ้นมาร้อง บางทีอาจจะเป็นเพราะมันตรงกับความรู้สึกเขาตอนนี้ก็ได้มั้ง ความรู้สึกที่เขาเลี่ยงจะยอมรับและเลี่ยงจะคิดถึงมาตลอด
   
         แต่ฉันก็ไม่รู้เพราะความบังเอิญ
   
         หรือว่าอันที่จริงฉันนั้นจงใจ
   
          เวลาที่เธอมายืนใกล้ๆ ก็ยังเผลอไปสบตา
   
          รู้ก็ทั้งรู้ว่าคงไม่มีปัญญา
   
          คงไม่มีหวัง
...
   
         มันคือความสับสนในตอนแรก ราเมศไม่เคยแน่ใจเลยว่าสิ่งที่รู้สึกคือความจริงหรือแค่เผลอไป ทำไมต้องเป็นปานตะวัน ทำไมต้องเป็นน้องชายของจันทร์จ้าว...แต่ยิ่งอยู่ใกล้เด็กคนนี้ก็ยิ่งดึงดูดเขา เหมือนดวงอาทิตย์ดึงดูดโลก...ประมาณนั้น  รู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ เกือบจะตลอดเวลาแล้ว
   
        ไม่อยากจะเหลียว...มอง
   
        ฉันคอยบอกตัวเอง แต่ยังทำไม่ได้
   
        ไม่อยากจะสน...ใจ ก็รู้ว่าไม่มีทาง
   
         แต่ก็ไม่รู้ต้องทำอย่างไร

   
        เขาไม่เคยรับมือปานตะวันได้เลย...ที่ร้ายกว่าคือไม่เคยรับมือความรู้สึกในใจตัวเองที่เกิดขึ้นทีละน้อยได้เลย กับปานตะวันไม่ใช่รักแรกพบ แต่มันเหมือนกับว่ายิ่งใช้เวลาด้วยกันเด็กคนนั้นก็แทรกเข้ามาในใจเขาช้าๆ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในความคิดของเขาไปแล้ว
   
        แล้วก็ยึดครองทุกอย่าง...จนเขาไม่เหลือพื้นที่ความคิดให้ใครแม้แต่จันทร์จ้าว
   
        อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า
   
        ยิ่งเธอส่งยิ้มคืนมา
   
         ยิ่งหวั่นไหว
   
         ยังเป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน
   
         ฉันต้องคอยหักห้ามใจ

   
         ใช่ เขาหวั่นไหว มากเสียด้วย ทุกครั้งที่เห็นเด็กคนนั้นยิ้ม...อยากจะทำให้รอยยิ้มนั้นคงอยู่ไปนานๆ เหมือนตอนนี้ ตอนที่เขาร้องเพลงแล้วเด็กคนนั้นก็เผลอยิ้มออกมาทั้งแก้มแดง ปานตะวันไม่รู้หรอกว่าเขา...ใจสั่นมากขนาดไหน
   
        อดใจไม่ไหวทุกทีที่เจอ
   
        เพียงแค่แอบเผลอมองตา จะผิดไหม
   
        เก็บเอาไปฝันอยู่ทุกคืน
   
         ฉันต้องทำ ตัวเช่นไร
   
         ช่วยบอกได้ไหมเธอ
(หวั่นไหว Bodyslam)
   
        เขาแอบหันไปมองปานตะวันแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายก็เหลือบมองเขาอยู่ก่อนแล้ว คนผมน้ำตาลสะดุ้ง รีบหันขวับไปอีกทาง แต่ราเมศยังคงไม่ละสายตา...จนกระทั่งจบเพลง
   
        ตอนที่สบตากัน เขาคิดว่าความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น รุนแรงขึ้น มั่นคงขึ้น
   
        แน่ใจแล้ว...ว่าหวั่นไหว
   
        แน่ใจแล้ว...ว่าคนนี้
   
        แน่ใจแล้ว...ว่าชอบ
   
        เพลงจบลง ราเมศยังคงมองปานตะวันอยู่และเขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้ตัว...เพียงแต่ไม่หันกลับมา  ราเมศไม่ใช่คนช่างพูด ในสถานการณ์แบบนี้เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่นั่งอยู่ข้างกันจนเวลาล่วงไปถึงตอนที่ดวงตะวันคล้อยต่ำลง
   
        หนูเจียตื่นขึ้นมาประมาณห้าโมง เด็กน้อยงอแงอยากจะเล่นน้ำปานตะวันจึงตามใจ เขากับราเมศเก็บของแล้วพาหลานชายไปที่ริมทะเล ราเมศอุ้มเจียหลินให้กระโดดหลบคลื่น ให้ขี่คอแล้วพาว่ายออกไป ปานตะวันยืนอยู่ในน้ำ มองคนทั้งคู่เล่นน้ำกันอยู่ไม่ไกล พอเห็นหน้าราเมศ ความทรงจำเมื่อบ่ายก็วนกลับมา
   
        เพลงหวั่นไหว...เหมือนความรู้สึกของเขา
   
       ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมราเมศเลือกเพลงนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นสายตากับความรู้สึกที่ส่งออกมา แต่ปานตะวันแค่ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากคาดหวังแล้วถูกหลอกให้เจ็บ ไม่เอาอีกแล้ว
   
        “น้าตะวันครับ”
   
        ซ่า
   
        น้ำทะเลถูกสาดเข้าให้เต็มหน้า ปานตะวันที่ยืนเหม่ออยู่ถึงกับสำลัก แสบตาแสบจมูกไปหมด เขายกมือขึ้นเช็ดหน้า ได้ยินเสียงราเมศดุหลายชายอยู่ ตั้งใจจะบอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องดุหลานเสียงเข้มขนาดนั้นก็ได้ แต่ทันทีที่ฝืนลืมตาขึ้นก็เห็นราเมศเดินเข้ามาประชิดตัวแล้ว ชายหนุ่มอุ้มเจียหลินไว้ด้วย ใบหน้าคมคายที่อยู่ในระยะประชิดทำเอาคนตัวเล็กตั้งรับไม่ทัน พอจะถอยหลังหนีราเมศก็รั้งแขนไว้
   
         “อยู่เฉยๆ” ว่าจบฝ่ามือใหญ่ก็ปาดหยดน้ำออกจากใบหน้าให้อย่างแผ่วเบา “ยังแสบตาอยู่ไหม ขึ้นดีกว่า ไปเอาน้ำเปล่าล้าง” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความห่วงใยจนคนฟังรู้สึกได้
   
        “ผมไม่เป็นไร” ปานตะวันตอบ หันไปส่งยิ้มให้เจียหลินที่ขอบตาแดงเรื่อเหมือนจะร้องไห้
   
        “น้าตะวัน หนูเจียขอโทษ...ฮึก...หนูเจียไม่ได้ตั้งใจ” เจ้าตัวเล็กยื่นมือมาเช็ดหน้าให้เขาบ้าง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นใครจะไปโกรธลง ปานตะวันจูบเปลือกตาหลานชายเบาๆ “น้าตะวันรู้ครับว่าหนูเจียไม่ได้ตั้งใจ ไม่เป็นไร น้าตะวันไม่ได้โกรธ แต่หนูเจียต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่เล่นแบบนั้นอีก สาดน้ำได้แต่อย่าสาดเข้าหน้านะครับ มันอันตรายนะ”
   
        เจียหลินได้ฟังก็พยักหน้าหงึกหงัก “หนูเจียสัญญา” นิ้วก้อยเล็กยื่นมาตรงหน้าปานตะวัน ชายหนุ่มจึงยื่นนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวด้วย พอเห็นว่าเขาไม่โกรธเจียหลินก็โผมาหาทันที ปานตะวันอ้าแขนรับร่างนุ่มนิ่มไว้อย่างเต็มใจ
   
        “ขึ้นกันเถอะ เย็นแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย” ปานตะวันพยักหน้า ยอมเดินตามอีกฝ่ายไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใกล้ชายหาดมีห้องอาบน้ำสาธารณะอยู่  ปานตะวันพาเจียหลินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนที่อาบน้ำสองน้าหลานหัวเราะกันใหญ่เมื่อเห็นว่าผิวของพวกตนคล้ำแดดลงอย่างเห็นได้ชัด
   
        ปานตะวันเช็คของเป็ฯครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้องน้ำ พอออกมาก็พบว่าราเมศรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจพาคนทั้งคู่ไปหาอะไรทานที่ร้านใกล้ชายหาด หลังกินอิ่มเจียหลินก็หลับคาตักปานตะวันไป
   
        “กลับเลยไหม” ราเมศหันมาถามระหว่างที่รอพนักงานปำเงินทอนมาให้ ปานตะวันละสายตาจากท้องฟ้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูและม่วงตามลำดับ ชายหนุ่มผมน้ำตาลหันกลับมาตอบ “ฟ้าสวย...ยังไม่อยากกลับเลย”
   
        “งั้นอยู่เดินเล่นอีกเดี๋ยวก็ได้”
   
        “ได้ครับ”
   
       เมื่อจัดการค่าอาหารเรียบร้อยพวกเขาก็ขับไปที่จุดชมวิว ตรงที่ปานตะวันกับราเมศอยู่ผู้คนค่อนข้างบางตา ชายหนุ่มสองคนยืนข้างกัน มองดวงตะวันจมลงไปใต้ผืนน้ำช้าๆ
   
        “พี่เมศขอบคุณนะ วันนี้ผมกับหลานสนุกมากเลย”
   
        “อื้ม ไว้คราวหลังจะพามาอีก”
   
        ปานตะวันหันมายิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ ชายหนุ่มผิวแทนลูบเส้นผมนุ่มมือสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน
   
       “ไว้มากันอีกนะ”
   
       จบประโยคนั้นปานตะวันก็นิ่งไป ชายหนุ่มไม่ได้ตอบรับแต่กลับขยับตัวถอยห่างจากสัมผัสของเขา ราเมศนิ่งงัน รู้สึกเสียใจขึ้นมา เขาชักมือกลับ เอ่ยออกมาเบาๆ “ขอโทษ”
   
       “พี่เมศ...ผมว่าผมคงต้องบอกพี่จริงๆ จังๆ แล้วล่ะ ว่าบางเรื่องน่ะ...อย่าทำมากไป”
   
        “เรื่องแบบไหน”
   
        “ก็อย่างลูบหัว หยิกแก้ม หรือ...พูดจาแปลกๆ แบบหยอดมุกเหมือนจีบอะไรงี้”
   
         พูดเองก็เขินเอง ลองราเมศตอบว่าไม่เคยทำมาสิเขาจะสวนให้ แต่ราเมศไม่ได้ปฏิเสธ อีกฝ่ายเลิกคิ้ว มองเขาด้วยใบหน้านิ่งๆ “ไม่ชอบที่พี่ทำแบบนั้นเหรอ”
   
         ปานตะวันเม้มริมฝีปาก  ไม่ใช่ไม่ชอบแต่...
   
        “พี่อาจจะไม่คิด แต่รู้ไหมว่าทำมากๆ บางทีคนอื่นเขาก็คิด”
   
        “คิดอะไร คิดว่าไม่ชอบ?”
   
       ปานตะวันส่ายหัว ก้มหน้า เห็นว่าราเมศสืบเท้ามาใกล้หนึ่งก้าว เขาเลยถอยหลังไปอีกก้าว  แต่ราเมศก็ยังไม่หยุดเดิน “งั้นคิดอะไร”
   
        “ไม่มีอะไร”
   
        “โกหก”
   
        “ทำไมต้องคาดคั้นด้วยเล่า”
   
         “ก็บอกมาสิ คิดอะไร”
   
        ปานตะวันตวัดตาขึ้นมอง หงุดหงิดที่โดนคาดคั้นจนทนไม่ไหว อยากรู้นักใช่ไหม...ได้ ถ้าอยากรู้เขาก็จะบอก ถ้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็ไม่ใช่ความผิดเขาแล้ว!
   
        “อยากรู้เหรอ ได้ ผมจะบอกให้นะว่าอย่าทำแบบนั้นมาก พี่ไม่คิดอะไรแต่คนอื่นเขา...เขาคิด”
   
        “คิดอะไรล่ะ”
   
        “คิด...ว่าหวั่นไหวเข้าแล้วไงล่ะ”
   
        ดวงตากลมเสหลบไปในที่สุด ไม่กล้ามอง ไม่กล้าพูดอะไรอีก หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด แต่แล้วปานตะวันก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อฝ่ามือใหญ่จับใบหน้าเขาให้หันกลับมา นัยน์ตาคมดุตรึงสายตาเขาเอาไว้ ปานตะวันหน้าร้อนผ่าว โดยเฉพาะตอนที่ราเมศโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบชิด...
   
         “แล้วใครบอกนายเหรอปานตะวัน...ว่าฉันไม่คิด”
   
         บทสนทนาของพวกเขาทำท่าจะหายไปพร้อมกับริมฝีปากที่เคลื่อนมาใกล้ แต่ปานตะวันกลับถอยหลังหนีไปอีก ดวงตากลมมีความรู้สึกมากมายวิ่งวนอยู่ ปนเปกันจนแยกแทบไม่ออก ชายหนุ่มตัวเล็กมองราเมศ หัวใจเต้นถี่รัวด้วยความกลัว...และความหวัง
   
        “พี่หวั่นไหวกับผม?”
   
        “ก็...ใช่ เป็นแบบนั้นแหละ”
   
        “ทั้งที่พี่รักพี่จันทร์อยู่แล้วเนี่ยนะ”
   
        “นายรู้ได้ไง”
   
        “ผมเดาได้ ใครมองพี่ก็ดูออกทั้งนั้นแหละ แล้วมาพูดว่าคิด...กับผม จะล้อกันเล่นหรือไง”
   
        น้ำเสียงของปานตะวันสั่นพร่า เหมือนคนจะร้องไห้ “จะเชื่อได้ยังไง” เมื่อก่อน...ใครบางคนก็เคยพูดคำว่าหวั่นไหวนี้กับเขา ทุกวันนี้คำรักของอีกฝ่ายก็ยังติดอยู่ในหัว แต่การกระทำของคนคนนั้นกลับทำให้ปานตะวันไม่อยากจะเชื่อใครอีกเลย...แม้แต่คนที่ตัวเองชอบอย่างราเมศก็ตาม
   
          ความรักที่ทุ่มเทสุดใจ ถ้าไม่ดูให้ดี สุดท้ายก็เหลือแต่ขี้เถ้ารอยไหม้ดำเท่านั้นแหละ
   
          “เรื่องของฉันกับจันทร์มันจบไปแล้ว และมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดด้วย” ราเมศเดินเข้ามาใกล้ ก้าวยาวพอจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขนของตนได้ เขากอดปานตะวันอย่างนุ่มนวล พยายามไม่ทำให้หนูเจียตื่น
   
         “เชื่อฉันนะ...ฉันจะบอกนายทุกอย่าง สัญญา”
   
         “ให้ผมเชื่อเรื่องไหนบ้างล่ะ”
   
         “เชื่อว่าระหว่างจันทร์กับฉันจบไปแล้วและเราไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างที่นายคด เชื่อว่าฉันจะไม่ปิดบังนาย...และขอให้เชื่อว่าฉันชอบนายเข้าแล้วจริงๆ”
   
         ในตอนนั้นราเมศยังไม่รู้ว่าการบอกเล่าเรื่องของเขากับจันทร์จ้าวอาจไม่ต้องรอนานเกินไปนัก...เพราะบุคคลที่จะช่วยเร่งให้การสารภาพมาไวขึ้น ได้รออยู่ที่บ้านเรือนไทยเรียบร้อยแล้ว

******************************************************

สวัสดีค่าาาา เรากลับมาอัพแล้ววว หลังจากหายไปสอบมานาน
ตอนนี้ในที่สุดพี่เมศก็ยอมรับแล้วว่าหวั่นไหว  :-[ ตอนหน้าจะเป็นอย่างไรก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
อ่านแล้วมีความคิดเห็นยังไงสามารถบอกเราได้ ติชมได้เต็มที่ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่า

ปล.สามารถพูดคุยและติดตามข่าวสารนิยายได้ที่เพจ AzureDream ค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-02-2017 21:17:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 25-02-2017 22:06:10
มาต่ออีกไวๆนะรออ่าน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-02-2017 22:15:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-02-2017 22:29:12
อยากฟังคำบอกเล่านั้นเสียแล้วสิ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่หนอ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 25-02-2017 22:44:17
หวั่นไหวเหมือนกันสินะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 26-02-2017 02:31:38
โอ๊ยยบ ชั้นหวั่นไหวจนจิกหมอนไปหมดแล้ว
เรื่องนี้มันอะไรเนี่ยยยค้าาา
ทำให้ยิ้มทั้งๆที่มีคราบน้ำตาอยู่
อื้อหือ .. สุดจิงๆ
รออ่านต่อ ชอบบบบบโว้ยยย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 26-02-2017 05:25:01
ใครจะมารออยู่นะ คนที่จะมาเอาหนูเจียไปเลี้ยงหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-02-2017 06:40:17
ตอนหน้าไม่มาม่าใช่มั้ยค่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 26-02-2017 10:08:09
ไม่อยากให้หนูเจียไปอยู่กับคนอื่นเลย น่ารักทั้งน้าหลาน :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 26-02-2017 17:37:54
อยากอ่านต่อจังเลยคร้าาาาาา
หนูเจียน่ารัก ตะวันก้อน่ารัก แต่ดูเศร้าๆ ดูมีปม ><
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 27-02-2017 01:11:13
ปัญหาหนูปานตะวันเต็มไปหมด  :katai1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๖ หวั่นไหว (๒๕/๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 27-02-2017 09:13:00
ชอบมากๆเลยน่ารักมาก สนุกดีค่ะหนูเจียน่ารัก  :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 06-03-2017 19:10:53
ปานตะวัน
บทที่ ๗
Restart



         ตอนที่รถยนต์ของราเมศจอดที่หน้าประตูรั้วก็เป็นเวลาดึกแล้ว เจียหลินหลับไปเป็นที่เรียบร้อย โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ปานตะวันจึงไม่ต้องห่วงว่าหลานชายจะเพลียจากการเล่นน้ำทะเลจนตื่นไปเรียนไม่ไหว
   
        แต่ทันทีที่มองออกไปภายนอก ชายหนุ่มก็เห็นว่าไม่ไกลจากประตูรั้วบ้านเขานักมีใครบางคนยืนอยู่ แสงจากเสาไฟริมถนนส่องให้เห็นร่างผู้มาเยือนในยามวิกาลได้ไม่ชัดเท่าใดนัก แต่ปานตะวันยังพอมองออกว่าคนที่ยืนอยู่เป็นผู้หญิง คิ้วเรียวขมวดมุ่น รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
   
         “พี่เมศ นั่นใครน่ะ”
   
        “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยืนอยู่หน้าบ้าน อาจมาหานาย”
   
        “ก็เป็นไปได้”
   
        ปานตะวันพึมพำเสียงเบาแม้จะนึกไม่ออกก็เถอะว่าจะมีใครมาหาตนในเวลาดึกดื่นป่านนี้ คนตัวเล็กส่งเจียหลินให้ราเมศรับไปอุ้ม ระวังไม่ให้หลานชายตื่น
   
        “น้าตะวัน” เสียงใสร้องหงุงหงิงทันทีที่เกิดการเปลี่ยนมือคนอุ้ม ปานตะวันยิ้ม จูบลงที่หน้าผากเจียหลินอย่างอ่อนโยนแล้วกระซิบว่า “ไม่เป็นไรครับ เราถึงบ้านแล้วล่ะหนูเจีย เดี๋ยวน้าตะวันลงไปเปิดประตูรั้วก่อน แป็บเดียวครับ” พอได้ยินดังนั้นเจียหลินก็พยักหน้า ซุกหน้าเข้าหาราเมศแล้วหลับต่อ เห็นดังนั้นปานตะวันจึงเดินลงจากรถตรงไปที่หน้าบ้านของตน
   
        “สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงนำไปก่อนตัว แสงไฟจากหน้ารถราเมศทำให้ต้องหยีตาลงเล็กน้อย ปานตะวันเดินเข้าไปใกล้และผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาทางเขาพอดี
   
        ในตอนนั้นเองที่ปานตะวันรู้สึกเหมือนเลือดในกายตัวเองจับตัวเป็นน้ำแข็ง หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มยืนนิ่ง เบิกตาค้างอย่างตื่นตระหนกแล้วก็ยิ่งแน่ใจว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิด...เมื่อผู้มาเยือนก้าวเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้าได้ชัดเจน
   
       เส้นผมสีดำปล่อยยาวเลยบ่าเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างที่ชอบทำเป็นประจำและดวงตาสีน้ำตาลคมเฉี่ยวฉายประกายมั่นใจในตัวเองกำลังกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาพินิจพิจารณา
   
       ปานตะวันเกลียดสายตาแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
   
       “ก็ดูสบายดีนี่” น้ำเสียงเรียบๆ เหมือนดึงสติที่หลุดลอยไปให้กลับคืน ปานตะวันสะดุ้งนิดๆ เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ได้กลิ่นน้ำหอมโชยแตะจมูก เขาเบือนหน้าหนี ไม่สบตา
   
        “ทั้งที่ดูสบายดีแต่ก็ไม่ติดต่อมาหาเลย นี่ถ้าไม่ได้ข่าวจากสายหยุดฉันก็คงไม่รู้ว่าแกอยู่ที่นี่”
   
        ชายหนุ่มขมวดคิ้ว หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงหนึ่งเดียว...ที่เขาไม่มีวันชนะ ปานตะวันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เหลือบมองประตูรถที่เปิดออก ราเมศคงเห็นแล้วว่าเขายืนคุยกับอีกฝ่ายนานเกินไปจึงลงมาดู พร้อมกับอุ้มเจียหลินลงมาด้วย
   
        “เกิดอะไรขึ้น มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ ปานตะวันเห็นแววประหลาดใจฉายวาบในดวงตาสีน้ำตาลของคนตรงหน้า นัยน์ตาคู่สวยเหมือนของเขาตวัดมามองพร้อมกับน้ำเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นอีกหน
   
       “ดูท่าเราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาวเชียวล่ะ...ปานตะวัน”
   
        เจ้าของชื่อได้แต่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
   
        “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ แม่”
   
       ภายในห้องรับแขกของบ้านเรือนไทยปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอึมครึมประหนึ่งกำลังจะมีพายุ ปานตะวันเชิญให้ทุกคนเข้ามาในบ้านก่อนจะไปหาน้ำมารับรอง ‘แขก’ ของบ้านให้เรียบร้อย  เสร็จแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม  ข้างกันมีราเมศนั่งอยู่ ส่วนหนูเจียก็ตื่นเต็มตาแล้ว เด็กน้อยกำลังมองสำรวจผู้มาใหม่ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
   
        “แม่มาได้ยังไง” ปานตะวันเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนาก่อนเมื่อเห็นว่าบรรยากาศชักอึดอัดจนทนไม่ไหว “แล้วทำไมไม่ติดต่อผมก่อน”
   
       “ก็โทรหาไม่ติด ไม่เห็นบอกว่าเปลี่ยนเบอร์”
   
       ปานตะวันร้องอ้อเบาๆ
   
        “พอดีโทรศัพท์ผมตกน้ำเลยยืมของพี่เมศมาใช้ก่อน”
   
       “พี่เมศ? ใคร เพื่อนหรือ ไม่เห็นรู้เลยว่ามีเพื่อนชื่อนี้”
   
       “แล้วแม่รู้จักใครนอกจากไอ้กันต์บ้างล่ะ”
   
        ปานตะวันไม่ได้ตั้งใจจะทำเสียงห้วน แต่เขาอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ความหงุดหงิดกระวนกระวายมาเยือนตั้งแต่เห็นว่าผู้เป็นแม่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว
   
       ความสัมพันธ์ระหว่างปานตะวันกับแม่ไม่ดีมาตั้งแต่สมัยก่อน ตั้งแต่ที่เขาเริ่มรู้ว่าแม่นอกใจพ่อแล้ว ตอนที่ยังเด็กปานตะวันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมแม่กับพ่อถึงจะไม่อยู่ด้วยกันแล้ว เพิ่งมารู้ก่อนหน้าที่แม่จะย้ายตามสามีคนที่สองไปต่างประเทศไม่นาน 
   
       เขาพยศ อาละวาด ไม่พอใจ ทำตัวก้าวร้าวจนแม้แต่แม่ก็หมดความอดทนในที่สุด
   
        เหมือนรอยร้าวบนแก้ว...เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
   
        จนในที่สุดมันก็แตกสลายในวันที่ย้ายไปอยู่กับอีกฝ่ายที่ต่างประเทศพร้อมน้องสาวของเขาอีกสองคน โดยปานตะวันยืนกรานที่จะอยู่ประเทศไทย เขาจึงถูกทิ้งไว้กับญาติ...แต่ในตอนนั้น ปานตะวันกลับรู้สึกว่าเขาเดียวดายเหลือเกิน
   
       “แม่ยังไม่ตอบผมเลยว่ามาทำไม” ปานตะวันพูดขึ้น เขาเห็นแล้วว่ามารดาเริ่มพิจารณาราเมศกับเจียหลินด้วยสายตาแปลกๆ
   
       “ก็...ฉันกับอเล็กซ์พานาตาชามาเที่ยวเสม็ด แล้วก็เลยว่าจะมาเยี่ยมแต่แกก็ไม่ได้อยู่บ้าน ไม่ได้อยู่หอ โทรหาก็ไม่ได้จนรู้จากสายหยุดนี่แหละว่าอยู่ที่นี่”
   
      ปานตะวันชะงัก ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้น ถ้ารู้จากน้าสายหยุดว่าเขาอยู่ที่นี่ แปลว่าต้องรู้ว่าพี่จันทร์เสียแล้ว...รวมถึงต้องรู้จักเจียหลินด้วย แต่แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
   
       “งั้นเหรอครับ”
   
       สิ้นประโยคนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง จนกระทั่งมารดาของเขาทำลายความเงียบขึ้น
   
       “แล้ว...นั่นสินะเจียหลิน ลูกชายจันทร์จ้าว ส่วนเธอ...”
   
       “ผมราเมศครับ”
   
       “อ่อ แล้วเป็นอะไรกันล่ะถึงได้ออกไปไหนมาไหนกันแบบนั้น”
   
        ราเมศกำลังจะอ้าปากตอบแต่ปานตะวันชิงพูดขึ้นก่อน “พี่เมศเป็นเพื่อนบ้าน บ้านเขาอยู่ตรงข้ามนี่เอง เขาช่วยดูแลเจียหลินด้วยแล้วก็ช่วยดูแลผม”
   
       แม่หรี่ตาลง เป็นท่าทางที่อีกฝ่ายชอบทำเวลาต้องใช้ความคิด และปานตะวันก็ไม่ชอบมันเอาเสียเลย โชคดีที่แม่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ปานตะวันเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว
   
       “แม่พักอยู่ที่ไหน ผมออกไปส่งเอาไหม ดึกแล้ว แม่น่าจะรีบกลับ”
   
       “ทำไม ไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วยขนาดนั้นเลยหรือไง”
   
        น้ำเสียงประชดประชันทำให้ปานตะวันต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะแบบนี้แหละพวกเขาถึงได้ทะเลาะกันบ้านแทบแตกบ่อยๆ
   
       “เปล่า แต่มันดึกแล้ว เดี๋ยวอลิซ นาตาชา กับอเล็กซ์จะเป็นห่วง” อเล็กซ์คือสามีใหม่แม่ ส่วนอลิซคือน้องสาวคนรองและนาตาชาเป็นน้องสาวคนสุดท้อง ปานตะวันจำหน้าน้องสาวของตัวเองแทบไม่ได้แล้ว ตอนที่แยกกันพวกเธอยังเด็กมาก และหลังจากนั้นเขาก็เจอทั้งสองนับครั้งได้ แน่นอนว่าเขากับพ่อเลี้ยงของตัวเองก็ไปกันได้ไม่ดีนัก
   
       “ไม่ต้องลำบากไปส่งหรอก ฉันนอนนี่ก็ได้คืนนี้”
   
       “หา!?”
   
       “พอจะมีห้องรับแขกไหมล่ะ”
   
       “ก็มี...แต่...”
   
       “งั้นก็เอาตามนั้นแหละ พรุ่งนี้แกค่อยไปส่งฉันที่โรงแรมแล้วกัน” ปานตะวันถอนหายใจ ตัดสินใจยอมแพ้ เขาลงไปเปิดประตูรั้วให้แม่เอารถเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าสะพายขึ้นมาวางไว้ให้ในห้องนอนสำหรับแขก จากนั้นก็เดินกลับลงไปส่งราเมศใหม่
   
       “ขอโทษนะพี่ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้” คนตัวเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สีหน้าอ่อนล้าทำให้ราเมศอดเป็นห่วงไม่ได้ ปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะลงที่หว่างคิ้วของปานตะวัน นวดเบาๆ ให้มันคลายออกจากกัน
   
       “อย่าขมวดคิ้วมากสิ ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ได้คิดอะไร ส่วนเราน่ะก็อย่าพูดกับแม่ห้วนๆ แบบนั้น เขามาก็ดูแลเขาให้ดี”
   
       “อืม...เข้าใจแล้ว”
   
       “งั้นพี่ไปนะ พรุ่งนี้จะมาทำข้าวต้มให้”
   
       “ครับ”
   
       “ฝันดีปานตะวัน”
   
       “ฝันดีพี่เมศ”
   
        พวกเขาจ้องหน้ากันอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะแตะลงที่ผิวแก้มของปานตะวัน...เชื่องช้า คล้ายยังไม่มั่นใจ แต่เมื่อร่างเล็กไม่ได้ขัดขืนหรือแสดงท่าทีตระหนก ราเมศก็ค่อยๆ รวบตัวปานตะวันมาไว้ในอ้อมแขน กดริมฝีปากแช่ไว้ที่ผิวแก้มของอีกฝ่าย
   
       หอมฝั่งซ้าย...แล้วก็ย้ายมาฝั่งขวา กดจูบนานๆ ให้อีกคนหน้าแดงเล่น
   
       “ฮื่อ พอแล้ว ชักจะไปกันใหญ่ละ”
   
       เสียงทุ้มหัวเราะเมื่อลูกแมวขี้เขินดิ้นยุกยิก ราเมศปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ บอกฝันดีเร็วๆ อีกหนึ่งทีแล้วก็กลับบ้านไป ลับหลังร่างสูงไปแล้ว ปานตะวันก็ได้แต่ยืนเหม่อกุมแก้มแดงๆ ของตัวเองอยู่ตรงนั้น
   
       โดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำอยู่ภายในสายตาของมารดาตัวเองตลอดเวลา
   
       ตอนที่กลับเข้ามาในบ้านปานตะวันก็พบว่าแม่ของเขากลับมานั่งไขว่ห้างรออยู่ในห้องรับแขก มีหนูเจียนั่งตัวลีบอยู่ไม่ไกล เด็กแก้มยุ้ยก้มหน้างุด สองมือกอดคุณกระต่ายของตัวเองไว้แน่น พอเห็นปานตะวันเดินกลับเข้ามาเด็กน้อยก็รีบโผเข้าหาอย่างว่องไว ปานตะวันออกจะแปลกใจกับท่าทางนั้นเล็กน้อย ยิ่งพออุ้มเจียหลินก็กอดคอ ซุกหน้าลงกับบ่าเขา ทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง
   
       “หนูเจียเป็นอะไรไปครับ”
   
       “เปล่า...เปล่าครับน้าตะวัน”
   
        ปานตะวันเอียงคอก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม่ตัวเองก็นั่งอยู่ในห้องด้วย เจียหลินกลัวคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งแม่เขาที่แผ่รังสีผู้หญิงน่ากลัวออกมาไม่หยุดก็คงทำให้เจียหลินขวัญผวาไม่น้อย
   
       “หนูเจีย ไม่ต้องกลัวหรอกครับ นี่...อืม...คุณยายของหนูเจียไงครับ”
   
       “นี่ฉันแก่ขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย”
   
         ปานตะวันส่งยิ้มปลอบเจียหลิน ดันให้เด็กน้อยหันไปหาแม่ของตน “สวัสดีคุณยายสิครับ”
   
        พอได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็ค่อยๆ ยกมือไหว้ โค้งตัวอย่างเรียบร้อยเหมือนที่คุณครูประจำชั้นสอนมา “สวัสดีครับ”ปานตะวันแอบเห็นแม่ตัวเองยกมุมปากขึ้นก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ดวงตาคู่สวยเหลือบไปเห็นนาฬิกาก็พบว่าดึกมากแล้วชายหนุ่มจึงอุ้มเจียหลินขึ้น เตรียมตัวจะเข้านอน
   
        “นี่ก็ดึกมากแล้ว แม่ไปพักเถอะครับ”
   
        “ฉันว่าเราต้องคุยกันนะ”
   
        “ผมรู้ แต่หนูเจียจะไม่ยอมนอนถ้าผมไม่ไปนอนด้วย มีอะไรไว้คุยพรุ่งนี้เถอะครับ คืนนี้ผมกับหลานไม่ไหวแล้วจริงๆ”
   
        ปานตะวันไม่ได้โกหก ไหนจะเล่นน้ำทะเล ไหนจะเดินทางมาทั้งวัน เขาเพลียจนตาจะปิดแล้ว
   
        “งั้นก็ได้”
   
        ว่าจบแม่ของเขาก็ลุกขึ้นยืน เดินกลับห้องนอนไปโดยไม่ล่ำลา ไม่มีแม้แต่คำว่าฝันดี ปานตะวันถอนหายใจอย่างหนักหน่วง รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
   
        “น้าตะวัน” เสียงเล็กๆ ดังหงุงหงิงอยู่ข้างหู ปานตะวันที่กำลังยืนเหม่อสะดุ้งเฮือก กะพริบตามองเจียหลินที่มองจ้องมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เจ้าตัวเล็กยกมือแนบแก้มเขาไว้ “น้าตะวันดูเหนื่อยมากเลย นอนพักนะครับ”
   
        “น้าตะวันสบายดีครับ ไม่เป็นไรหรอก”
   
        “แต่หนูเจียก็อยากให้น้าตะวันพัก นอนนะครับ นะๆ”
   
         เจอท่าไม้ตายช้อนตาอ้อนของลูกแมวตรงหน้าเข้าไปใครจะทนไหว ปานตะวันที่พ่ายแพ้ความน่ารักของหลานชายอย่างราบคาบก็ได้แต่อมยิ้ม หอมแก้มเจียหลินไปหลายที จากนั้นสองน้าหลานก็พากันเข้านอนไป ตอนที่ดับไฟแล้วล้มตัวลงนอนปานตะวันก็คิดได้ว่า ปล่อยให้เรื่องปวดหัวของวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ก็เข้าท่าไม่เลว
   
        เช้าวันต่อมาอาจเป็นเพราะความกังวลทำให้ปานตะวันตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ก็ยังเช้าไม่เท่าราเมศ ดังนั้นตอนที่เขาล้างหน้าแปรงฟันแล้วเข้าไปในครัวก็พบว่าราเมศได้ยึดห้องครัวเขาไปเป็นที่เรียบร้อย
   
        และมันจะไม่น่าตกใจเลยถ้าคนที่นั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่โต๊ะกินข้าวจะไม่ใช่แม่ของเขา!
   
        “อรุณสวัสดิ์ฮะ ตื่นเช้ากันจัง”
   
         ชายหนุ่มผมน้ำตาลพูดเสียงพร่า ร่างเล็กเดินขยี้ตาไปนั่งแปะลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับมารดาของตน  ไม่นานราเมศก็ยกแก้วไมโลอุ่นๆ มาวางตรงหน้าพร้อมจานใส่ไข่ดาว ไส้กรอกและขนมปังปิ้ง
   
         “วันนี้ไม่ทำข้าวต้มเหรอ”
   
        “ก็ว่าจะทำแต่พอดีเพลียจากขับรถเมื่อวานน่ะเลยเปลี่ยนเมนู”
   
         “จริงๆ ไม่เห็นต้องรีบตื่นมาทำเลย” ปานตะวันว่าพลางยกไมโลขึ้นดื่มหนึ่งอึก “ถ้าเพลียเดี๋ยวผมทำให้กินก็ได้”
   
         “ไม่ล่ะ พี่ไม่อยากเสี่ยงเข้าโรงพยาบาล”
   
         คนถูกหยอกแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ เห็นแววลับฝีปากกันแต่เช้า ดูไอ้พี่เมศมันว่าเขา! หึ ไว้รอฝีมือทำกับข้าวเขาดีขึ้นจนไม่ต้องกินฝีมือพี่เมศเมื่อไหร่นะจะเชิดให้คางชี้ฟ้า
   
         “ฝีมือทำอาหารผมก้าวหน้าขึ้นแล้วนะ เมนูง่ายๆ แค่นี้ก็ทำได้หรอก”
   
         “ครับๆ เชื่อครับ แต่ไว้วันอื่นนะ เอาไว้ทำช่วงที่พี่หาวันหยุดยาวๆ ได้ เผื่อต้องเข้าโรง’บาล”
   
         “ไอ้พี่เมศ!”
   
         ราเมศหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเจ้าเด็กแสบถลึงตาใส่ การแหย่ปานตะวันให้อารมณ์เสียคืองานอดิเรกของเขาจริงๆ อีกฝ่ายอารมณ์เสีย แต่เขานี่สิอารมณ์ดีสุดขีด ถึงจะแย่จนหงุดหงิดแต่เดี๋ยวสักพักแมวใหญ่ก็หายงอน กลับมาอ้อนขอข้าวกลางวันเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ
   
         พวกเขาต่อล้อต่อเถียงกัน แหย่ให้อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนติดแล้ว ก็เลยเผลอทำแบบนั้นออกมาโดยลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่กันสองคน
   
        “อะแฮ่ม”
   
        เสียงกระแอมดังมาจากมารดาของปานตะวันที่ราเมศเพิ่งได้รู้ว่าเธอชื่อ ‘รุ่งฟ้า’  ตอนที่เขามาที่บ้านนี้เพื่อทำอาหารเช้าให้สองแมวเหมือนเคยก็พบว่าเธอตื่นอยู่ก่อนแล้ว และกำลังก้มๆ เงยๆ มองหากาแฟกับของที่พอทำอาหารได้ เขาจึงอาสาทำมื้อเช้าให้เธอทาน
   
       ระหว่างที่อยู่ด้วยกันสองคนในครัว รุ่งฟ้าก็ถามเขาด้วยคำถามทั่วๆ ไปว่า รู้จักกับปานตะวันได้ยังไง สนิทกันมากไหม มาช่วยเลี้ยงเจียหลินบ่อยๆ หรือ อะไรทำนองนี้ เขาเองก็ตอบไปด้วยความระมัดระวังแต่พอถูกชวนคุยมากๆ ก็เริ่มหายเกร็ง  ระหว่างที่คุยราเมศก็ลอบสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย
   
        รุ่งฟ้าเป็นผู้หญิงที่ดูดีแม้จะอายุมากแล้ว บนใบหน้าจองเธอปรากฏริ้วรอยแห่งวัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ ดวงตาคู่นั้นฉายประกายมั่นใจในตัวเอง เฉลียวฉลาด ส่งให้บุคลิกของเธอสง่างามมากขึ้นไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกถึงสามคนแล้ว
   
        “ดูท่าพวกเธอจะสนิทกันดีนะ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยของอีกฝ่ายฟังดูไม่ใส่ใจก็จริงแต่ปานตะวันรู้...ราเมศก็ดูออกว่ารุ่งฟ้า ‘รู้’ อะไรบางอย่างระหว่างพวกเขา...อะไรบางอย่างที่แม้แต่คนทั้งคู่ก็เพิ่งจะได้รู้เมื่อไม่นานมานี้ แถมใช้เวลาตั้งนานกว่าจะยอมรับมัน
   
        “ก็เพื่อนบ้านกัน สนิทกันเป็นธรรมดา”
   
        ปานตะวันตอบกลับ ราเมศมองเห็นแมวแสบของเขาเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ เป็นท่าทางที่ปานตะวันทำตลอดเวลาใช้ความคิดหรือกังวล
   
         “คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะระดับนี้ ถึงขนาดลุกมาทำกับข้าวให้ทั้งที่เพลีย ยอมพาไปเที่ยว แล้วก็ช่วยเลี้ยงหลานทั้งที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยเลย...ถ้าเธอไม่ใช่พ่อพระลงมาเกิด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอก็คงไม่ธรรมดาสินะ”
   
        ประโยคหลังหันมาพูดกับราเมศตรงๆทำเอาชายหนุ่มได้แต่ยิ้มค้าง ไปต่อไปถูก ในใจร่ำร้องได้อยู่ประโยคเดียวว่า แม่ของปานตะวัน...ฝีปากคมกริบกว่าลูกชายเป็นร้อยเท่า
   
        แต่พอเรียกสติกลับมาได้ราเมศก็อมยิ้มจางๆ ตอบกลับไปว่า
   
        “ผมสนิทกับจันทร์จ้าวอยู่ก่อนแล้วน่ะครับ เจียหลินผมก็เห็นมาตั้งแต่เกิด เอ็นดูเหมือนหลานแท้ๆ ตัวเองไปแล้วล่ะครับ”
   
       “แต่ถึงอย่างนั้นปานตะวันกับหลานชายก็คงทำให้เธอลำบากมากอยู่ดีสินะ”
   
       “ไม่หรอกครับ ไม่เลยสักนิด”
   
       รุ่งฟ้าส่งเสียง ‘หืม’ เบาๆ ในลำคอ ดวงตาคู่สวยหรี่ลง มองราเมศสลับกับปานตะวันไปมา จากนั้นก็ยกกาแฟขึ้นจิบอีกหนึ่งอึก ท่วงท่าเหมือนนางพญาไม่มีผิด
   
        “แล้วคิดจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ฮึ ปานตะวัน”
   
        เจ้าของชื่อสะดุ้งน้อยๆ ใบหน้าน่ารักฉายแววหนักใจ “ทำอะไรครับ”
   
        “ทำให้คนอื่นลำบาก”
   
        ประโยคตรงไปตรงมานั้นทำให้ปานตะวันถึงกับนิ่งงัน รู้สึกเหมือนถูกผู้เป็นแม่ปามีดปักลงกลางใจ ตรงเป้าพอดิบพอดี
   
       ปานตะวันหน้าชา...ด้วยความละอาย  เขารู้ดีกว่าใครว่าแม่พูดถูก พูดถูกทุกอย่าง
   
        “ขอโทษนะครับคุณรุ่งฟ้า ถ้าเป็นเรื่องปานตะวันกับผม น้องไม่ได้ทำให้ผมลำบากเลย ผมเต็มใจทำครับ”
   
        “ไม่ใช่แค่เรื่องคุณหรอกค่ะคุณราเมศ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้เฉื่อยชาอีกต่อไป หากแต่จริงจังและเป็นการเป็นงาน ให้ความรู้สึกกดดันและหายใจไม่ทั่วท้อง
   
        “มีอีกหลายอย่างที่เด็กคนนี้กำลังฝืนทำอยู่”
   
        “เช่นอะไรล่ะครับ”
   
        ปานตะวันที่นั่งเงียบมานานถามขึ้นบ้าง แม้จะรู้ดีอยู่แล้วก็ตาม จากประโยคและน้ำเสียง แววตา ปานตะวันทราบได้ทันทีว่าแม่ของเขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
   
        แม่วางแก้วกาแฟลง ประสานมือไว้ด้วยกันบนโต๊ะ เป็นท่าทางอย่างที่ทำเป็นประจำเวลาจะกดดันใครสักคน ปานตะวันเกลียดความรู้สึกที่ตัวเองกำลังถูกแม่ตัวเองไล่ต้อนเป็นที่สุด
   
        “ปานตะวัน...ลูกถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัยใช่ไหม”
   
         จบประโยคนั้นก็มีแต่ความเงียบที่โรยตัวลงมา ปานตะวันก้มหน้า เม้มริมฝีปาก ไม่กล้าเงยหน้ามองใคร...ไม่กล้ามองแม้แต่ราเมศ
   
        “ตอนปีหนึ่งผลการเรียนก็ไม่ได้แย่ แต่ที่ถูกไทร์เพราะตอนปีสองลูกแทบไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน ก่อเรื่องวิวาทในมหาวิทยาลัยอย่างนั้นใช่ไหม”
   
        เล็บทั้งสิบจิกลงที่ต้นขาของตัวเอง ปานตะวันไม่ได้ตอบคำถามเพราะแม่คงไม่ได้อยากฟังคำตอบ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนจมน้ำ หายใจแทบไม่ออก
   
       “ตอนนั้นติดเหล้า ติดการพนันด้วยใช่ไหม”
   
        แต่ล่ะเสียงของแม่กรีดเข้าไปในหัวใจของปานตะวัน เลือดแต่ละหยดเหมือนจะกลั่นตัวออกมาเป็นน้ำตา เอ่อคลอจวนเจียนจะหยดที่ดวงตาทั้งสองข้าง หัวใจเหมือนถูกบีบรัดด้วยความจริงและความละอาย
   
        ปานตะวันไม่โทษแม่ ไม่โทษใคร ไม่โกรธที่แม่พูดด้วยเพราะเขารู้ดีว่ามันคือความจริง
   
        และคนที่ทำให้ทุกอย่างมันแหลกเหลวได้ถึงขั้นนั้นก็คือตัวเขาเอง
   
         “ตะวัน...เลิกแล้ว เหล้าไม่ได้ติด ส่วนการพนันตะวันเลิกหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ” น้ำเสียงของเขาเบาแสนเบา แผ่วเบาจนน่าสมเพช  ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครขยับตัว จนกระทั่งแม่ของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
   
         “เอาจริงๆที่แม่กลับมาก็เพราะเรื่องนี้ด้วย สายหยุดเล่าให้แม่ฟังว่าปานตะวันกำลังเลี้ยงลูกของจันทร์จ้าว เธอเห็นว่าลูกคงลำบาก เลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่ง่ายๆ เธอเลยเสนอจะรับเจียหลินไปเลี้ยงให้ และแม่ก็เห็นด้วยกับเธอ”
   
        พอถึงตรงนี้ปานตะวันก็รีบเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจของเขาเหมือนกำลังจะแหลกละเอียด “ไม่เอานะ ตะวันไม่ให้ ตะวันเลี้ยงหนูเจียได้ อย่าพาหนูเจียไปเลยนะ นะครับ ได้โปรด”
   
         “มันไม่ง่ายเหมือนที่ลูกคิดหรอกนะปานตะวัน เรียนก็เรียนไม่จบ งานก็ไม่มีทำ เงินก็หาเองไม่ได้ คิดเหรอว่าเงินเดือนที่แม่โอนให้ทุกเดือนจะพอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วอนาคตลูกเป็นยังไงเคยวางแผนไหม อนาคตของเจียหลินจะเป็นยังไง เงินที่ต้องใช้แต่ละเดือน ที่ต้องหา ต้องสำรองไว้เผื่ออนาคตข้างหน้า โรงเรียนตอนเจียหลินโตขึ้น ค่าอาหาร ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ทุกอย่างที่ต้องรับผิดชอบน่ะเคยคิดบ้างหรือเปล่า!”
   
         แม่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ นานแล้วที่ไม่ได้ถูกต่อว่าแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนปานตะวันก็คงสวนออกไปแล้ว  แต่ครั้งนี้เขาจนด้วยคำพูดจริงๆ
   
        “อย่าคิดถึงแต่ตัวเองสิ ถ้ารักเจียหลินก็ต้องยอมรับว่าอนาคตของเด็กคนนั้นก็สำคัญ ถ้ารัก...ก็ต้องปล่อยให้ไปมีอนาคตที่ดี ส่วนลูกก็ต้องเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องได้แล้ว” ปานตะวันน้ำตาร่วงพรู ผู้ที่ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้ก็คือแม่ของเขา ชายหนุ่มเบี่ยงหน้าหลบค่อยๆ หันไปมองราเมศด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายไม่ได้มองเขา ราเมศกำลังเหม่อไปที่ผนังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
   
        และนั่นเองที่ทำให้ปานตะวันใจกระตุก น้ำตายิ่งหล่นร่วงลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
   
         ผิดหวังแล้วสินะ...ทุกคนสิ้นหวังกับเขาแล้วใช่ไหม
   
         “กลับไปเรียนให้จบ เรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้ แล้วก็หางานทำ แม่จะลองช่วยดู หลังจากลูกเรียนจบ ได้งานทำ อะไรๆ มั่นคงแล้ว ถึงตอนนั้นจะรับเจียหลินกลับมาอยู่ด้วยแม่ก็ไม่ว่า”
   
        “ฮึก...แต่...แต่ตะวัน...ไม่อยากห่างหนูเจีย...เขาเป็นหลานตะวันนะ เขากลัวคนแปลกหน้าด้วย”
   
        “เดี๋ยวก็ชินไปเอง ทุกอย่างต้องใช้เวลาปรับตัวกันทั้งนั้น”
   
        แม่ของเขาลุกขึ้นพลางพูดว่า “เก็บของซะปานตะวัน แม่จะพาเจียหลินไปส่งที่บ้านน้าสายหยุด เสร็จแล้วก็ส่งลูกที่บ้านเดิม ถึงเวลารับผิดชอบตัวเองแล้ว”
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ความจริงที่ผู้เป็นแม่ตอกใส่หน้า ทำอย่างไรก็ลบล้างไม่ได้ เขาเคยเหลวแหลก เคยทำเรื่องไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบ และตอนนี้ทุกอย่างก็ย้อนกลับมาหาตัวเขา
   
        แม่หันหลังจะเดินออกจากห้องครัวเป็นสัญญาณว่าสิ้นสุดการสนทนาสำหรับหัวข้อนี้ ปานตะวันใช้มือยันโต๊ะไว้ รู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายหนักอึ้ง น้ำตายังไม่หยุดไหลเลยด้วยซ้ำ
   
        “แม่...”
   
        ถ้าเขาจะลองขอร้องอีกสักครั้ง...และครั้งนี้เขาสัญญาว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น
   
        “แม่ครับ ผม...”
   
        ร่างเล็กที่เดินตามไปชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนยืนขวางประตูครัวอยู่ ร่างเล็กๆ ในชุดนอนลายลูกเป็ดสีเหลืองสั่นสะท้าน ดวงตากลมโตที่แดงเรื่อของเจียหลินเหลือบมองคนนู้นทีคนนี้ที  ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว และไม่รู้ว่าที่ได้ยินไปเด็กน้อยเข้าใจมันมากแค่ไหน
   
       “น้า...น้าตะวัน”
   
        เสียงของหนูเจียทำให้ทำนบของปานตะวันพังลงอีกครั้ง เด็กน้อยโผมาหาเขา ปานตะวันเองก็ย่อตัวลงอุ้มเจียหลินขึ้นมา
   
       “น้าตะวัน หนูเจียได้ยิน...น้าตะวันจะ..จะไปไหน”
   
        ปานตะวันพยายามฝืนยิ้ม หลานได้ยินทั้งหมดเลยสินะ ชายหนุ่มปาดน้ำตาพยายามไม่ร้องไห้ ถ้าเขาร้องไห้หนูเจียจะกังวล แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามเช็ดน้ำตายิ่งไหลไม่หยุด
   
       “น้าตะวัน...ไม่ร้องนะ น้าตะวันคนเก่ง ไม่ร้องนะครับ”
   
       เจียหลินใช้มือเล็กๆ ทั้งคู่ปาดน้ำตาให้ปานตะวันก่อนจะโน้มตัวมาจูบลงที่เปลือกตาของเขา...เหมือนที่ชายหนุ่มทำให้เด็กน้อยบ่อยๆ เวลาอีกฝ่ายร้องไห้
   
       ปานตะวันกอดหลานชายเอาไว้แน่น ไม่อยากแยกจากกันเลย แม้จะเพียงชั่วคราวก็ตาม ไม่ใช่เพราะเจียหลินเป็นเด็กที่เขาต้องรับผิดชอบหรือเพราะเป็นลูกของพี่จันทร์ แต่เพราะเจียหลินทำให้ปานตะวันรู้สึกเหมือนจะก้าวไปข้างหน้าได้ เจียหลินเป็นแรงผลักดันให้เขาอยากจะโตขึ้น อยากจะเป็นคนมีความรับผิดชอบมากกว่านี้
   
        ทั้งหมดก็เพื่อเลี้ยงเด็กหนึ่งคนให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี
   
         ปานตะวันเชื่อว่าทุกคนควรได้รับโอกาสครั้งที่สองในการกลับใจ เขาทำผิด ทำตัวไม่ดีมาแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังไขว่คว้าโอกาสกลับตัวกลับใจ
   
         เจียหลินเป็น ‘โอกาสครั้งที่สอง’ ของเขา
   
         ยิ่งไปกว่านั้นปานตะวันรู้ดีว่าเขากับเจียหลินกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว...ความรักและแรงยึดติดของเขาที่มีต่อหลานชายไม่น้อยไปกว่าที่เด็กน้อยมีต่อเขาเลย
   
        “น้าตะวันไม่ร้องแล้วครับ” ปานตะวันพูด น้ำเสียงสั่นพร่าชวนใจหาย เขาจับมือเล็กๆ ของหนูเจียมาแนบแก้ม “แต่ว่าน้าตะวัน...อาจจะไม่อยู่สักพักนะ เราอาจจะไม่ได้เจอกัน...สักพักนะครับ”
   
       “น้าตะวันจะไปไหน หนูเจียขอไปด้วยนะ นะๆ หนูเจียจะไม่ดื้อ...ไม่ซน...อย่า..ฮึก...อย่าทิ้งหนูเจียเลยนะ”
   
       “ชู่ว์ ไม่หรอกครับ น้าตะวันไม่ทิ้งหนูเจียหรอกนะ”
   
        ขอบตาของเจียหลินแดงระเรื่อเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานเจ้าตัวจะร้องไห้แล้ว ปานตะวันพิศมองใบหน้าหลานชายก่อนจูบลงที่หน้าผากมนอยู่นาน

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 06-03-2017 19:29:17
        แย่ชะมัด...น้ำตาจะไหลอีกแล้ว
   
        ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้หนูเจียจากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยไปหาราเมศ “พี่ เดี๋ยวผมไปเก็บของก่อน ฝากหนูเจียด้วยนะครับ” ปานตะวันไม่ได้เงยหน้าจึงไม่เห็นแววตากับสีหน้าของราเมศ แต่ก็ดีแล้ว...แววตาผิดหวังแล้วก็สีหน้าเย็นชาน่ะเขาไม่อยากเห็นหรอก
   
        ราเมศไม่ได้พูดอะไรหากแต่ยอมรับหนูเจียไปอุ้มไว้ ปานตะวันก้มหน้างุด หันหลังให้คนทั้งคู่ เตรียมตัวไปเก็บข้าวของแต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูครัวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น หยุดทุกความเคลื่อนไหวของเขา
   
        เสียงร้องไห้ของเจียหลิน
   
        ปกติแล้วเจียหลินไม่ใช่เด็กขี้แย เวลาร้องไห้ก็จะสะอื้นเบาๆ ไม่เคยสักครั้งที่จะร้องไห้เสียงดังหรือโวยวายเอาแต่ใจ
   
        แต่ในตอนนี้...หนูเจียของน้าตะวันกลับแผดเสียงร้องไห้จ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ร้องไห้จนหน้าแดง น้ำตาไหลอาบแก้ม
   
       “ไม่เอา ฮือออ ไม่เอานะ น้าตะวันอย่าไป อย่าทิ้ง..ฮึก...ฮือ...อย่าทิ้งหนูเจีย...น้าตะวัน..ฮือ..น้าตะวัน”
   
       เจียหลินร้องเรียกชื่อปานตะวันไม่หยุด ดิ้นจนราเมศต้องตามใจ ยอมปล่อยให้เจียหลินวิ่งไปหาปานตะวัน พอไปถึงตัวปานตะวันก็รับเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมกอดได้พอดี เด็กน้อยร้องไห้จนตัวสั่น พร่ำเรียกชื่อปานตะวันซ้ำๆ กอดเขาไว้แน่นเหมือนกลัวปานตะวันจะหายไป
   
        “หนูเจียจะเป็นเด็กดี สัญญาเลย หนูเจียจะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่งอแงแล้ว แต่พาหนูเจียไปด้วยนะ...ฮึก...น้าตะวันจ๋า พาหนูเจียไปด้วย อย่า...ฮือ...อย่าทิ้งหนูเจียนะ”
   
        “ครับ ไม่ทิ้งครับ น้าตะวันไม่ทิ้งหนูเจียหรอกนะเด็กดี”
   
        “ฮึก...สัญ..ฮึก...สัญญานะครับ”
   
        นิ้วก้อยเล็กๆ ถูกยื่นมาตรงหน้า มือของเจียหลินสั่น ปานตะวันจึงยื่นนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวไว้แล้วก็พบว่ามือของเขาสั่นเทาไม่แพ้กัน
   
        “น้าตะวันสัญญา”
   
        พอพูดคำนั้นจบเจียหลินก็ปล่อยโฮออกมาอีกรอบทำเอาคนเป็นน้าแทบจะร้องไห้ตามแต่ยังดีที่กลั้นน้ำตาไว้ได้ ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ใกล้กัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
   
        “แม่ครับ...ให้...ให้โอกาสผมได้ไหม ถือว่าผมขอร้อง นะครับ”
   
        แม่ของเขาเม้มปาก สีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน
   
        “มันไม่ง่ายหรอกนะ”
   
         “ผมรู้”
   
         “ลูกยังไม่พร้อม”
   
         “ผมจะทำให้ตัวเองพร้อมให้ได้ แค่แม่ให้โอกาสผมกับหลาน”
   
         ดวงตาของมารดามองเขาอย่างประเมิน ปานตะวันจ้องตากลับ ไม่ยอมแพ้ ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงความอบอุ่นใกล้ๆ พอหันไปก็พบราเมศยืนอยู่ข้างกัน อีกฝ่ายแตะมือลงที่ไหล่เขา เสียงทุ้มเอ่ยกับผู้เป็นแม่ของปานตะวันอย่างสุภาพหากแต่แฝงแววจริงจังเองไว้  “คุณอาจจะคิดว่าผมยุ่งไม่เข้าเรื่องแต่ว่า...ผมคิดว่าทุกคนควรจะได้รับโอกาสครั้งที่สองนะครับ”
   
        “ปานตะวันจะเลี้ยงใครได้ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย”
   
        เจ้าของชื่อกัดริมฝีปาก แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าเจียหลินพยายามสุดชีวิตที่จะรั้งเขาไว้...เขาเองก็ต้องพยายามเพื่อหลานชายบ้างเหมือนกัน
   
       “ผมจะทำให้ได้ครับ”
   
       “แม้จะเรียนไม่จบน่ะเหรอ?”
   
       “ผมจะกลับไปเรียนให้จบ”
   
        “จะกลับไปเรียน จะเลี้ยงหลานด้วย...แล้วถ้ามันไม่รอดสักทางล่ะ”
   
        “ผมทำได้ ผมสัญญา”
   
        “โอเค ลูกยืนกรานจะทำขนาดนี้แม่ก็ไม่ขัด แต่ว่า...ถ้าลูกเลือกทางนี้ลูกก็ต้องยอมรับข้อเสนอของแม่  ลูกจะว่ายังไง”
   
        “ว่ามาเลยครับ”
   
        ปานตะวันไม่หวั่นหรอก เขาตัดสินใจแล้ว เขาเลือกแล้ว เจียหลินเป็นแสงสว่าง เป็นโอกาสครั้งที่สองของเขา บางทีหากเขาเลือกทางที่แม่บอกว่าแต่แรกนั่นก็คงทำให้เขามีชีวิตปกติได้เช่นกัน...แต่ปานตะวันไม่ต้องการทิ้งเจียหลินไป เพราะเขารู้ว่าการต้องถูกส่งไปอยู่กับญาติที่ตนไม่คุ้นชินโดยไร้คนในครอบครัวให้ติดต่อน่ะมันโดดเดี่ยวแค่ไหน
   
       “ถ้าลูกอยากเลี้ยงหลานชายของลูก ลูกก็ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ นับจากนี้เป็นตนไปแม้จะไม่ส่งเงินค่าใช้จ่ายให้ลูกอีกแล้ว...ไม่แม้แต่แดงเดียว ตอนนี้สิ่งที่ลูกมีคือเงินเก็บในธนาคาร...ถ้ามันยังเหลือน่ะนะ จะใช้จนมันหมดก็ได้นะ แต่แม่แนะนำว่าออกไปทำงานหาเงินจะดีกว่า ค่าเทอมเจียหลินคงไม่ใช่น้อยๆ แล้วก็นอกจากนี้แม่มีเงื่อนไขอีกสองข้อ หนึ่งคือต้องเรียนให้จบ สองคือเงินที่ลูกหามาต้องสุจริต ห้ามขโมย ห้ามโกง เข้าใจไหม” แม่ของเขายิ้มมุมปาก “ว่ายังไง ยอมรับข้อเสนอไหม”
   
        ปานตะวันกลืนน้ำลาย บททดสอบที่แม่โยนมาให้ไม่ได้ง่ายเลย แต่ว่า...
   
        “ผมยอมรับครับ”
   
        “ดี งั้นถือว่าเราตกลงกันได้แล้ว ลูกอยู่ที่นี่กับหลานชายลูกต่อไปได้”
   
        เท่านั้นปานตะวันก็รู้สึกเหมือนตัวเบาหวิว ความหนักใจในตอนแรกหายไปทีละนิด จนกระทั่งแม่เขาหันกลับมาพูดว่า “แล้วจะลักไก่ไม่เรียนทำแต่งานไม่ได้นะ แม่ต้องการเห็นผลการเรียนของลูกด้วย เข้าใจไหม ส่วนมหา’ลัยที่จะเข้าต่อให้เป็นมหาวิทยาลัยเปิดแม่ก็ไม่ว่า แค่เรียนให้จบ เอาความรู้มาเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงหลานให้รอดเท่านั้นก็พอ ตกลงไหม”
   
       “ครับ”
   
       “หึ เรามาดูกันว่าลูกจะไปได้ถึงแค่ไหน ปานตะวัน”
   
       ปานตะวันมองผู้ให้กำเนิดด้วยสายตามั่นคงและแน่วแน่...มากกว่าครั้งไหนในชีวิต
   
        หลังจบมื้อเช้าเคล้าน้ำตาแล้วราเมศก็เป็นฝ่ายขับรถไปส่งรุ่งฟ้าที่โรงแรมของเธอ ก่อนจากกันมารดาของปานตะวันยังหันมาส่งนามบัตรให้เขา  “ฉันว่าเราคงได้ติดต่อกันอีกนาน” เธอว่ายิ้มๆ ราเมศจึงยิ้มตอบ “คุณต้องการให้ผมเป็นสายรายงานความประพฤติลูกชายคุณหรือไงครับ”
   
       “เปล่าสักหน่อย ฉันเชื่อว่าตะวันเอาจริง เด็กคนนั้นไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ  เป็นความผิดฉันเองที่ไม่ได้เอาใจใส่เขาเท่าที่ควรจนออกนอกลู่นอกทางไปแบบนั้น กว่าจะรู้ตัวแล้วกลับมาแก้ก็เกือบสายไปแล้ว”
   
       “ผมว่ายังไม่สายไปหรอกครับ”
   
      “นั่นสินะ...แต่ก็เกือบไปแล้วล่ะ ฉันนี่เป็นแม่ที่แย่จริงๆ เลยนะ”
   
      “ไม่หรอกครับ คุณเป็นแม่ที่ใจเด็ดมากกว่า เมื่อกี้คุณก็ยังพยายามสอนเขาอยู่ไม่ใช่เหรอครับ สอนให้เขาได้ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง”
   
       สำหรับคนนอกบทเรียนเมื่อครู่อาจจะถือว่าโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ราเมศเชื่อว่าหากปานตะวันได้เรียนรู้และพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว หากคับขันจวนตัวจริงๆ ไม่มีทางที่แม่ของเขาจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย
   
       รุ่งฟ้าก็เหมือนแม่สิงโตที่เลี้ยงลูกด้วยความเข้มงวดเพื่อให้เติบโตมาอย่างเข้มแข็ง วิธีการอาจดูหักดิบและใจร้ายไปบ้าง แต่ไม่มีทางที่คนๆ นี้จะทอดทิ้งลูกได้หรอก
   
       “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ราเมศเปรยขึ้น “ผมจะช่วยดูแลปานตะวันกับเจียหลินให้เอง”
   
       “อย่าตามใจเกินไปนัก ทั้งคู่นั่นแหละ เดี๋ยวจะเหลิง”
   
        “ไม่มีทาง ผมยึดคติเดียวกับคุณนั่นแหละครับ รักวัวให้ผูกรักลูกก็ต้องแกล้งดุแกล้งเข้มงวดกันบ้าง”
   
        รุ่งฟ้ายกยิ้มมุมปาก นึกชอบใจผู้ชายคราวลูกคนนี้ไม่น้อยเหมือนกัน ท่าทางเอาจริงเอาจังแถมยังไหวพริบดี เป็นคนประเภทที่จะเอาปานตะวันได้อยู่หมัด
   
         แบบนี้เธอค่อยวางใจหน่อย
   
        “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แต่กับเธอปานตะวันไม่ใช่ลูก ไม่ใช่คนในครอบครัว แล้วทำไมถึงได้ดูแลดีนัก”
   
        นึกว่าจะได้เห็นสีหน้าตกใจของชายหนุ่มที่รับหน้าที่เป็นสารถีแต่ที่ไหนได้อีกฝ่ายกลับทำแค่หัวเราะออกมาเบาๆ สองตายังจ้องไปที่ถนน ไม่มีเสียสมาธิเลยแม้แต่น้อย
   
       “เพราะผมชอบลูกชายของคุณ”
   
        สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ พูดออกมาง่ายๆ แต่น้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
   
        รุ่งฟ้านึกอยากปรบมือให้คนตรงหน้าชุดใหญ่
   
        “ชอบมากขนาดไหนกันล่ะ ขนาดที่จะทนลำบากไปด้วยกัน อยู่กันไปจนแก่เฒ่า หรือแค่ชอบเล่นๆ”
   
        “ผมไม่ใช่พวกชอบล้อเล่นกับเรื่องพวกนี้หรอกครับ ส่วนจะชอบได้มากขนาดไหนอันนี้ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”
   
         รถยนต์เลี้ยงเข้าจอดที่ลานจอดรถของโรงแรม ราเมศหันมาส่งยิ้มให้รุ่งฟ้า ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “โชคดีนะครับ ไม่ต้องห่วงปานตะวัน ผมดูแลเอง”
   
         “ฝากด้วยนะ ยังไงก็ส่งเมลล์มาบ้าง ฉันคิดถึงลูก อยากเห็นรูปหลานเยอะๆ ด้วย”
   
         “ทั้งที่ส่งข้อความหาเจ้าตัวโดยตรงเลยก็ได้แท้ๆ นะครับ” ยังจะทำให้เรื่องยุ่งยากอีก หากแต่รุ่งฟ้ากลับยักไหล่แล้วพูดว่า “ก็ถ้าส่งไปเจ้าตัวก็จะคิดว่าฉันอ่อนข้อให้น่ะสิ ถ้าไม่ทำตัวดุเข้าไว้เดี๋ยวแผนไม่ได้ผล ฉันไปล่ะนะ ฝากลูกชายกับหลานชายฉันด้วยล่ะ ขอให้ความรักราบรื่นนะจ๊ะ”
   
         ประโยคสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายลงจากรถนั่นทำให้ราเมศได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง นึกขอบคุณฟ้าที่ปานตะวันไม่ได้นิสัยแม่มา ไม่งั้นเขาคงปวดหัวกว่าเดิมร้อยเท่า
   
         “อ้อ เกือบลืม” คนที่กำลังบ่นอยู่ในใจถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อรุ่งฟ้าเปิดประตูออกอีกหนแล้วยื่นหน้าเข้ามา “ถ้าเธอทำลูกชายฉันเจ็บ เสียใจ ร้องไห้ ล่ะก็...เราคงต้องเคลียกันยาว” พูดจบก็ส่งยิ้มสวยๆ ให้อีกหนึ่งที ก่อนปิดประตูแล้วเดินจากไป ท่าทางคล่องแคล่วไม่เหมือนผู้หญิงอายุสี่สิบกว่าๆ ที่มีลูกสามคนแล้วเลยสักนิด
   
         ราเมศอมยิ้มก่อนจะขับรถกลับบ้าน ดูท่าพอกลับไปแล้วเขาจะมีเรื่องต้องคุยกับแมวตัวใหญ่อีกยาวเลย
   
         ขากลับชายหนุ่มแวะซื้ออาหารเที่ยงเข้ามาด้วย ร้องไห้กันไปมาก ทั้งน้าหลานคงหมดแรงกันแล้ว พอกลับมาถึงก็พบว่าปานตะวันกำลังนั่งเหม่ออยู่บนโซฟา ส่วนเจียหลินก็ฟุบหลับไปแล้ว ดวงตาของคนทั้งคู่แดงช้ำ เห็นแบบนั้นก็สงสารราเมศจึงวางถุงกับข้าวลงบนโต๊ะและเดินไปหาน้ำแข็งมาประคบตาให้อีกฝ่าย
   
        “พี่เมศ” ปานตะวันที่ถูกจับให้นอนตักเขาพูดเบาๆ เสียงแหบ คงเพราะร้องไห้หนักไป ราเมศส่งเสียงรับในลำคอ พยายามให้อีกคนนอนนิ่งๆ แต่ก็ไม่เป็นผล
   
        “คุยกันก่อนสิ”
   
        “ประคบตาก่อน มันบวม”
   
        “ไม่เอา คุยก่อน ไม่งั้นไม่สบายใจ”
   
        ชายหนุ่มตัวโตถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยอมแพ้ “เอางั้นก็ได้ ว่ามาสิ”
   
        ปานตะวันลุกขึ้นนั่ง อีกฝ่ายขยับตัวยุกยิก ดึงชายเสื้อ บีบมือ ท่าทางกังวล ราเมศนั่งรออย่างอดทนจนในที่สุดปานตะวันก็ยอมพูด
   
        “ขอโทษที่โกหกเรื่องเรียน”
   
        “ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ”
   
         ลูกแมวแสบตรงหน้าเงียบไปก่อนจะค่อยๆ ช้อนตามอง “พี่เมศ...พี่เมศเชื่อไหมว่าตะวันจะทำได้” อีกฝ่ายริมฝีปากสั่นระริก ท่าทางขาดความมั่นใจขนาดหนัก “ตะวันยังไม่เชื่อเลยว่าตัวเองจะทำได้”
   
         “ก็ลองดูก่อน มีอะไรก็บอกพี่ พร้อมช่วยเสมอ”
   
         “รบกวนพี่น่ะสิ เกรงใจ”
   
         “ก็กวนมาตั้งเยอะแล้วนะไอ้เด็กแสบ” ราเมศพูดกลั้วหัวเราะ นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายระริก
   
        “รู้น่า ขอโทษแล้วกัน  นี่ก็คิดอยู่ว่าจะไปหางานทำ อาจเป็นพวกเสิร์ฟอาหารตามร้านอะไรงี้ อาจต้องหาหลายงานหน่อยถึงจะพอสำหรับสองคน แต่จะลองดู”
   
        “แล้วเรื่องเรียนล่ะ”
   
       “คิดไว้แล้วล่ะครับ ก็ถ้าเรียนมหาลัยที่บอกพี่เมศไป ค่าหน่วยกิตก็พอจะไหวอยู่ แถมยังไม่ต้องเข้าเรียนบ่อยๆมีเวลาดูเจียหลินแล้วก็ทำงานด้วย คงต้องเรียนหนักมากๆ เพราะต้องอ่านเองแต่ตะวันทำได้ จะพยายามดูสักตั้ง  ส่วนคณะที่อยากเรียนตะวันยังไม่แน่ใจเลย”
   
       ราเมศลูบหัวปานตะวันเบาๆ อีกฝ่ายดูเหนื่อยล้าจนน่าสงสาร เขาจับให้ปานตะวันนอนหนุนตักอีกครั้งก่อนจะเอาน้ำแข็งประคบตาให้ “ค่อยๆ คิดก็ได้ ยังพอมีเวลา ส่วนเรื่องงานพิเศษมาทำงานที่ร้านพี่ก่อนไหมล่ะ ช่วงนี้ขาดเด็กเสิร์ฟพอดี งานอื่น ถ้าไหวก็ค่อยๆ หาไป ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายของเจียหลินพี่ช่วยออกครึ่งนึง โอเคไหม”
   
         “จะดีเหรอ...รบกวนพี่เมศหรือเปล่า”
   
        “บอกแล้วว่ากวนมาเยอะแล้ว กวนอีกนิดก็ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างพี่ไม่อยากให้หลานต้องเปลี่ยนโรงเรียนเพราะเงินจ่ายค่าเทอมไม่พอด้วย งานก็มาทำกับพี่ เงินเดือนดีนะ แล้วถ้ามีงานอื่นก็ค่อยๆ ทำไป ปรับเวลาไป เหนื่อยหน่อย...แต่ก็ต้องสู้...ใช่ไหม”
   
         “แน่อยู่แล้ว!”
   
        “อื้ม แต่บอกไว้ก่อนว่าในเวลางานไม่ใจดีนะ ทำผิดจริงก็ต้องถูกตำหนิ ไม่อ่อนข้อให้นะ เข้าใจใช่ไหม”
   
        “ครับ”
   
       “ดีมาก”
   
        ราเมศยิ้ม อันที่จริงเขาก็ขู่ไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้โหดขนาดนั้น พวกพนักงานทั้งหลายก็รู้ดีว่าแค่ทำตามกฎ สุภาพ มีมารยาทกับลูกค้าและไม่ขี้ขโมยหรือขี้โกงชีวิตก็ราบรื่นแล้ว
   
(มีต่อค่ะ)   
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 06-03-2017 19:30:20
ประคบตากันไปได้พักหนึ่งปานตะวันก็ดึงมือราเมศออก อีกฝ่ายพึมพำขอบคุณก่อนจะลุกขึ้นยืน มองออกไปตรงชานกว้าง โมบายที่หามาแขวนส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งในสายลมอ่อน เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลทำหน้าครุ่นคิดจากนั้นก็หันมาหาเขาแล้วพูดว่า
   
        “พี่เมศ ไปนั่งข้างนอกกันไหมครับ”
   
        “เอาสิ”
   
         พวกเขาสองคนนั่งชิดกันอยู่บนพื้น กลิ่นหอมหวานของดอกไม้และเสียงใบไม้เสียดสีกันทำให้ใจสงบ ปานตะวันนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นช้าๆ
   
         “ตะวันกับแม่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่” อีกฝ่ายหยุดไปเหมือนกำลังดูปฏิกิริยาชายหนุ่มผิวแทนข้างกาย แต่พอเห็นราเมศนั่งฟังด้วยท่าทางตั้งใจก็เริ่มเล่าต่อ “ตะวันดื้อกับแม่มาก โดยเฉพาะช่วงที่แม่กำลังท้องน้องๆ ตอนนั้นตะวันอยู่ประถม ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่แต่งงานใหม่ ทำไมเราไม่ติดต่อพ่อกับพี่จันทร์เลย ทำไมแม่ถึงไม่สนใจตะวัน จนมีคนพูดให้ตะวันฟังว่าแม่กำลังจะมีน้องๆ มาให้ตะวัน เป็นครอบครัวใหม่”
   
         ดวงตาสีนิลเหม่อออกไปไกล ยิ่งเล่าความทรงจำยิ่งทะลักทลาย
   
         “แต่ตะวันไม่อยากมีครอบครัวใหม่ ไม่อยากมีพ่อใหม่ ไม่อยากมีน้อง ตะวันกลัวถูกแย่งความรัก ยิ่งช่วงนั้นแม่ไม่สนใจตะวันเหมือนเคย แม่เอาแต่ลูบท้อง ฟังเพลง อ่านนิทานให้น้องในท้องฟัง เห็นแบบนั้นตะวันก็ยิ่งเกลียด”
   
         ปานตะวันเงียบไป คล้ายกำลังสะกดกลั้นความรู้สึกที่เอ่อท้นในใจให้ราบเรียบ
   
        “ยิ่งใกล้คลอดแม่ยิ่งสนใจตะวันน้อยลง พอคลอดออกมาแล้วเห็นเป็นเด็กผู้หญิงแม่ก็ดีใจมาก แม่อยากได้ลูกสาวมาตลอด พี่เมศรู้ไหมว่าตอนที่ยืนอยู่วงนอก มองแม่ พ่อเลี้ยงกอดกัน ในอ้อมแขนแม่มีน้อง...ดูเป็นครอบครัวแสนสุขเนอะ แต่ตอนนั้นตะวันโคตรเกลียด เพราะตะวันเป็นคนที่อยู่วงนอก รู้สึกเป็นส่วนเกิน...ในครอบครัวของตัวเอง”
   
        ร่างเล็กๆ นั้นเอนมาซบ ราเมศก็ไม่ได้ขยับออกห่าง กลับกันเขากลับยกมือโอบร่างเล็กๆ นั้นไว้ ลูบไหล่ปลอบโยนให้อย่างแผ่วเบา
   
        “พอขึ้นชั้นมัธยม โตพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตะวันก็รู้ตั้งแต่ต้นเรื่องมันเป็นมายังไง...มันเริ่มจากพ่อกับแม่แต่งงานกัน มีตะวัน จากนั้นแม่ก็นอกใจพ่อ สาเหตุคงเพราะ...นิสัยพ่อกับแม่ไปกันไม่ได้มั้ง แม่ตะวันเป็นผู้หญิงมั่นใจในตัวเองสูง ชอบทำนู่นนี่ ใจกล้า ชอบเดินทาง รักความตื่นเต้นแต่พ่อกลับเป็นผู้ชายนิ่งๆ รักสงบมากกว่า  แน่นอนว่าไปกันไม่รอด สุดท้ายแม่ก็เจอคนที่ใช่...ที่ออกจะมาผิดเวลาไปสักหน่อย พวกเขาคบกันตั้งแต่ตอนที่ยังไม่หย่ากับพ่อ พ่อคงระแคะระคายเรื่องนี้แต่ไม่อยากทำเป็นเรื่องใหญ่เลยยอมหย่าให้แบบเงียบๆ หลังจากนั้นแม่ก็มีความสุข ในขณะที่ตะวันเรียกร้องความสนใจจากแม่มากขึ้น ทำตัวแย่ๆ มากขึ้น ยิ่งโตก็ยิ่งทะเลาะกันบ่อย เถียงกันดังลั่นบ้านแทบแตก ตะวันไม่ชอบพ่อเลี้ยง ไม่ชอบน้อง ไม่ชอบแม่...”
   
        “เพราะ...พวกเขาพังครอบครัวแสนสุขของตะวัน..พังมันจนเละไปหมดเลย”
   
        คนข้างกายตัวสั่นน้อยๆ ราเมศเริ่มเข้าใจสาเหตุที่ปานตะวันทำตัวเป็นเด็กไม่ดีขึ้นมาทีล่ะนิด เรียกร้องความสนใจ โหยหาความอบอุ่น ต้องการให้ใครสักคนมารัก ปรารถนาจะได้เป็นที่ยอมรับ ปานตะวันต้องการสิ่งเหล่านั้นมาโดยตลอด เมื่อครอบครัวให้ไม่ได้ เจ้าตัวจึงเคว้งคว้าและโดดเดี่ยว
   
        แมวตัวนี้นอกจากดื้อแล้วยังขี้เหงาแล้วก็ต้องการความรักมากๆ ด้วยสินะ
   
        “หลังท้องน้องคนที่สองแม่ก็จะย้ายตามอเล็กซ์ไปต่างประเทศ ตอนแรกเขาจะพาตะวันไปด้วยแต่ตะวันไม่ไป เพราะรู้ดีว่ายังไงตัวเองก็คงไปเป็นส่วนเกินที่นั่นแน่ๆ สุดท้ายพวกเขาก็ไป...ทิ้งตะวันไว้ทางนี้กับญาติ นานๆ แม่ถึงจะติดต่อมาสักที พอเข้ามหา’ลัย ดีหน่อยที่ได้เรียนกับไอ้กันต์ มันยังดึงตะวันให้อยู่กับร่องกับรอยได้ แต่สุดท้ายตะวันก็หลุด...ตอนปลายปีหนึ่งตะวันมีแฟน...เป็นผู้ชาย ก็ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่แต่ตอนนั้นมันหลง แม่งชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ บอกอะไรดีก็ว่าดี โคตรโง่ ช่วงนั้นเรียกได้ว่าชีวิตเหลวแหลกของจริงเลย ตะวันกินเหล้าจนเมาหลับแทบทุกวัน ติดพนัน แม่งเป็นวงจรอุบาทว์มาก ตอนนี้ก็คิดนะ อะไรทำให้ตะวันบ้าได้ขนาดนั้น ยอมทำอะไรโง่ๆ ได้ขนาดนั้น...”
   
        ราเมศแนบริมฝีปากลงที่ขมับคนตัวเล็กข้างกาย ปานตะวันเงยหน้ามองเขา แววตาสั่นระริก
   
        “เหตุผลมันง่าย...แล้วก็โง่ด้วย..เพราะมันบอกว่ารักตะวัน คำนั้นคำเดียวเลย มันบอกว่ารัก ตะวันเลยเชื่อ เลยยอมจนถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้ายแฟนตะวันก็หนีหนี้หายหัวไปไหนไม่รู้ ตะวันโดนตามทวงหนี้ถึงบ้าน หลบหัวซุกหัวซุน เป็นไอ้กันต์ที่ทนไม่ไหวเข้ามาช่วย ทั้งพาไปบำบัด จ่ายเงินค่าหนี้ให้ แล้วก็บังคับให้ลาขาดจากเรื่องพวกนี้ ถึงได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ตะวันเหลวแหลกมานานแล้วพี่เมศ จนมาเจอเจียหลินกับพี่...ที่ทำให้ตะวันอยากเป็นคนดีขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น...อยาก...ดีให้มากกว่านี้”
   
        เจ้าตัวหลับตาเมื่อราเมศจูบลงที่หน้าผาก สองมือของพวกเขาจับกันไว้แน่น คล้ายกับว่าจะให้ราเมศช่วยพาตัวตนที่หลงทางกลับมา
   
        “ตะวันจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิมให้ได้ ตะวันสัญญา”
   
        “พี่รู้ว่าเราทำได้”
   
         ราเมศยิ้ม ก่อนที่รอยยิ้มจะเลือนหายไปช้าๆ เมื่อคนตัวเล็กหันมาจ้องหน้าเขา “ตะวันเล่าเรื่องของตะวันไปหมดแล้ว...พี่ล่ะพร้อมจะเล่าหรือยัง เรื่องของพี่กับพี่จันทร์”
   
        เรื่องของเขากับจันทร์จ้าว...นั่นสินะ...คงถึงเวลาแล้วล่ะ
   
        “ได้สิ พี่พร้อมแล้ว” ปานตะวันขยับตัวตรง ดูตั้งอกตั้งใจจนหมั่นเขี้ยว ราเมศเลยจูบเหม่งอีกฝ่ายไปหนึ่งทีโทษฐานที่น่าหยิกเกินไป
   
       “พี่กับจันทร์เป็นเพื่อนบ้านกัน...รู้จักกันมานานแล้วล่ะ ตั้งแต่สมัยเรียน อีกอย่างหนึ่งที่เราไม่รู้คือพี่เป็นเพื่อนกับสามีของจันทร์ พวกเราสามคนอยู่กลุ่มเดียวกัน เพื่อนสนิทพี่...สมมติว่าชื่อ A แล้วกัน ไอ้ A เนี่ย มันแอบชอบเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มอยู่คนหนึ่ง จันทร์ก็รู้ ทุกคนรู้กันหมดว่ามันชอบ และที่แย่คือจันทร์เองก็ชอบไอ้ A อยู่เหมือนกัน...และพี่ก็แอบชอบจันทร์ รักกี่เส้าไม่รู้ ขี้เกียจนับ” ราเมศพยายามพูดติดตลกแต่ปานตะวันคงไม่ขำ พอเห็นสีหน้าจริงจังกึ่งเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายราเมศจึงดึงตัวปานตะวันเข้ามาใกล้ ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ
   
       “เรื่องมันเกิดตรงที่คืนหนึ่งพวกพี่ไปกินเหล้ากัน จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้แต่ว่าจันทร์กับไอ้ A หายไปด้วยกัน พอเช้าวันต่อมาทั้งคู่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...จนกระทั่งจันทร์ท้อง ตอนแรกพวกพี่เครียดกันมาก จันทร์ยืนยันว่ายังไงก็ลูก A แน่ๆ ซึ่ง...มันก็เต็มใจรับผิดชอบ ทั้งคู่ไม่ได้จัดงานแต่งแต่จดทะเบียนกัน  พี่เองก็พอรู้ว่าช่วงนั้นจันทร์มีความสุขมาก แต่ความสุขก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลังจากนั้นพี่ดันจับได้ว่า A คบชู้กับผู้หญิงที่มันแอบชอบนั่นแหละ ที่แย่คือในตอนนั้นพี่ดันช่วยมันปิดเป็นความลับ”
   
        “เพราะคิดใช่ไหมครับว่าถ้าพี่จันทร์รู้จะได้เลิกชอบพี่ A แล้วพี่ก็จะได้มีโอกาส”
   
       “อืม เห็นแก่ตัวเนอะ”
   
        ปานตะวันไม่ได้ตอบ เด็กน้อยของเขาซุกตัวเบียดเข้าหามากขึ้น เหมือนจะปลอบใจ จากนั้นร่างเล็กก็พึมพำออกมาว่า
   
        “ใครๆ ก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละครับ”
   
        “นั่นสินะ...แต่มันคงจะดีถ้าความเห็นแก่ตัวของพี่ไม่ได้มีส่วนทำให้จันทร์...ตาย”
   
        พอพูดถึงตรงนี้ร่างในอ้อมแขนก็เกร็งตัวขึ้น ชายหนุ่มตัวเล็กผงกศีรษะขึ้นมองด้วยสีหน้าตกใจ ราเมศทาบนิ้วลงบนริมฝีปากของปานตะวัน ยังสั่นอยู่เลย...เจ้าลูกแมวของเขา
   
        “พี่ช่วยเพื่อนปิดเป็นความลับไว้ แต่ไม่นานจันทร์ก็จับได้ว่าสามีแอบคบชู้ เธอมาร้องไห้กับพี่ด่าว่าพี่...ว่าทรยศ  ตอนแรกก็โกรธมากจนไม่ยอมพูดกับพี่เลย แต่ในที่สุด A ก็เก็บข้าวของย้ายออกไปอยู่กินกับคนรักของตัวเอง ทิ้งจันทร์จ้าวกับลูกที่เพิ่งคลอดไว้  จันทร์เสียใจ พี่เองก็ไม่คิดว่ามันจะทำอย่างนั้น ช่วงนั้นแหละที่เรากลับมาคุยกัน ถึงจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่จันทร์ก็ยังรักเพื่อนพี่อยู่ พอเพื่อนพี่เสีย จันทร์ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า พี่ที่รู้สึกผิดเลยไปช่วยเลี้ยงเจียหลินบ่อยๆ เอาหลานมานอนที่บ้านบ้างเวลาจันทร์ขังตัวเองในห้อง จันทร์กินยา...แต่ก็นะ...”
   
        น้ำเสียงของราเมศขมขื่น...จนปานตะวันชักอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ
   
        “จนกระทั่งวันที่เกิดอุบัติเหตุ จันทร์มาหาพี่ ท่าทางเหมือนไม่มีอะไร เธอวางกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ให้พี่ เป็นรูปถ่ายรวมของกลุ่มเรา บอกว่าค้นเจอในบ้าน หลังจากนั้นเธอก็ออกไปข้างนอกแล้วหลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็โทรมา...บอกว่าจันทร์ขับรถแหกโค้ง เขาสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่สำหรับพี่...พี่กลับรู้สึกว่าจันทร์อาจจะอยากฆ่าตัวตายก็ได้ พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอคิดอะไรอยู่ มันอาจเป็นตอนที่ขับรถไปแล้วแค่แวบเดียว...แวบเดียวจริงๆ ที่ทำให้เธอตัดสินใจแบบนั้น แต่ไม่ว่ายังไงผลก็คือจันทร์จากไป และพี่มีส่วนทำให้เธอตาย ลึกๆ ในใจจันทร์ก็คงเกลียดพี่นั่นแหละ แต่พี่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอแล้ว บางทีถ้าพี่บอกเธอไปตั้งแต่แรก...ว่าสามีเธอมีชู้...ไม่สิ...บอกเธอไปว่าพี่รักเธอและพร้อมจะรับผิดชอบลูกของเธอด้วย เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้”
   
        ปานตะวันเงียบไป เขารู้ดีว่าราเมศกำลังทุกข์ และเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากปลอบใจอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ เท่านั้น
   
        “มันผ่านไปแล้ว” ปานตะวันกระซิบ “เราทำอะไรไม่ได้ เรียกอดีตคืนมาไม่ได้ ตอนนี้เราทำได้แค่เริ่มต้นใหม่เท่านั้นแหละครับ”
   
        ราเมศพยักหน้า รวบตัวคนตัวเล็กมากอดแน่น ปานตะวันเองก็กอดเขากลับ เจ้าตัวว่าง่ายเสมอเวลามีเรื่องอะไรมากระทบจิตใจ
   
        พวกเขากอดกันอยู่เงียบๆ แบบนั้นครู่หนึ่ง ให้ความอบอุ่นจากการมีใครอีกคนในอ้อมแขนบรรเทาบาดแผลในใจให้ทุเลาลงทีละเล็กทีละน้อย
   
         “น้าเมศ น้าตะวัน” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นใกล้ๆ ราเมศกับปานตะวันผละออกจากกัน ใบหน้าน่ารักของคุณน้าตะวันขึ้นสีแดงเรื่อ เจ้าตัวรีบผละออกห่างจากราเมศทันทีจนคนตัวโตได้แต่ลอบขำในใจ
   
        “ว่าไงครับหนูเจีย”
   
       เจียหลินที่ตาแดง จมูกแดงปีนขึ้นไปนั่งบนตักแล้วก็กอดคุณน้าตะวันของตัวเอง พูดเสียงอู้อี้ว่า “หนูเจียกอดด้วย ให้กำลังใจกันนะ หนูเจียจะสู้ๆ ด้วยคน น้าตะวันกับน้าเมศก็สู้ๆ นะครับ”
   
        ถ้อยคำบริสุทธิ์แสนไร้เดียงสาที่กลั่นมาจากใจทำให้คุณน้าทั้งสองยิ้มออกมาได้ในที่สุด อดีตที่เปิดเผยไปคล้ายกำลังสลายเป็นฝุ่นธุลีและเลือนหายไปท่ามกลางแสงแดดและสายลม  ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับอดีตอีกแล้ว มีเพียงปัจจุบันและอนาคตเท่านั้นที่ต้องคำนึงถึง
   
       ราเมศรวบตัวปานตะวันกับเจียหลินเข้ามาในอ้อมกอด ซึ่งทั้งสองคนก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ในปัจจุบัน พวกเขามีกันและกันเพียงเท่านี้
   
       เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว
   
       ราเมศกระชับอ้อมกอดในขณะที่ปานตะวันเอ่ยขึ้นมาว่า
   
       “เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะนะครับ...พวกเราทั้งสามคน”
   
        ราเมศรับคำ ปานตะวันบอกกับเขาว่าเขากับเจียหลินเป็นโอกาสที่สองของตน แต่ ณ. ช่วงเวลานี้ราเมศก็ตระหนักได้ว่าปานตะวันกับเจียหลินเองก็เป็นโอกาสที่สองของเขาเช่นกัน

******************************************************

สวัสดีค่าาาาา เรากลับมาแล้วค่ะ หายไปนานจนรู้สึกผิด แงงงงง  :hao5:
ตอนนี้เป็นตอนที่เฉลยความลับของพี่เมศและปานตะวันค่ะ จากตอนแรกที่ว่าจะเขียนสั้นๆ ก็กลายเป็นยาวมาก
สำหรับเรื่องนี้เราพยายามไม่ให้เรื่องมันดูหนักมาก เพราะบอกกับตัวเองว่าฟีลกู๊ดนะ ครอบครัวนะ
มันจะกลายเป็นแนวบู๊ล้างผลาญแบบเรื่องก่อนๆ ไม่ได้ ฮาาาา สำหรับปานตะวัน ตัวละครสายฮีลเลยคือหนูเจียค่ะ
เขียนตอนนี้ก็หลงรักหนูเจียไปด้วย โอ๊ย เด็กน้อยยย หวังว่าคนอ่านจะหลงรักหนูเจียเหมือนเรานะคะ 5555

ในที่สุดก็ปิดเทอม เราจะพยายามอัพนิยายให้ได้บ่อยเท่าที่จะทำได้ (จะพยายามไม่อู้และนอนอืดค่ะ แหะๆ)
อย่างไรก็ตาม เราขอฝากหนูเจีย น้าตะวันและน้าเมศไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ
มาเอาใจช่วยให้พวกเขากลายเป็นครอบครัวแล้วก็ก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกันนะคะ

รักคนอ่านทุกคนพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-03-2017 19:43:47
หนูเจียน่ารักมาก
ตอนนี้เหมือนต่างฝ่ายต่างช่วยกันเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 06-03-2017 20:28:43
อื้ออออ ผ่านไปให้ได้ทั้งสามคน
คุณแม่น่ารักดี ผิดจากที่คิด
อดีตก้อเลวร้าย แต่ช่างมัน
จากนี้ไปดีจึ้นแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 06-03-2017 20:31:34
ดีแล้วที่เคลียร์กันครบทุกเรื่องแบบนี้
เริ่มต้นความรักด้วยความจิง มันถึงจะมั่นคง!!
#หนูเจียน่ารัก ฮ่อลลลลลล
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-03-2017 23:18:27
โถ่ ตะวันเด็กน้อยของป้า มา มา มาให้ป้ากอดที ตอนนี้มีพี่เมศอยู่ข้างๆ แล้วนะ เดี๋ยวอะไรๆ ก็ดีขึ้นเองนะ มีพี่เมศเอ็นดู ให้ความรักและดูแลอยู่ข้างๆ ตะวันต้องทำได้แน่ๆ ส่วนคุณแม่ไม่อย่าจะว่าเลยเหมือนตัวคุณแม่เองก็มีความสุขอยู่กับผัวใหม่กับครอบครัวใหม่จนไม่ได้สนใจดูลูกตัวเอง แบบนี้สู้ทิ้งตะวันไว้กับพ่อของตะวันไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าจะไม่สนใจแบบนี้สงสารตะวันตอนเด็กๆ จริงๆ ถึงจะมารู้ตัวตอนหลังๆ และพยายามจะทำให้มันดีขึ้น แต่เราว่ามันก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก เพราะมันคงฝังใจและเป็นแผลอยู่ในใจลึกว่าแม่ไม่ได้รักตะวันเท่าที่ควรเหมือนน้องๆ และครอบครัวใหม่ของแม่
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Dolamon ที่ 07-03-2017 09:52:56
รักแม่ตะวันจัง. เหมือนนางจะร้าย แต่นางก็รักตะวัน


 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๗ Restart (๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 08-03-2017 00:09:16
เคลียร์แล้ว ฮือออออออ
สู้ไปด้วยกันนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 11-03-2017 20:25:33
ปานตะวัน
บทที่ ๘
หลุมรัก


       ปานตะวันเริ่มงานกับราเมศทันทีในวันต่อมา ร้านอาหารของราเมศไม่ได้ใหญ่มาก ตัวร้านตั้งอยู่ริมน้ำ สร้างจากไม้ทั้งหลัง ตกแต่งแบบสบายๆ และเป็นกันเอง กระถางกล้วยไม้แขวนเรียงอยู่ด้านหนึ่ง ที่ผนังก็แขวนรูปวาด รูปถ่ายเอาไว้ ลมพัดเย็นสบายเกือบตลอดวัน  แม้ร้านจะเล็กแต่อาหารและราคาคุ้มค่าทำให้มีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย วันแรกที่ไปถึงปานตะวันจึงเหนื่อยสายตัวแทบขาด
   
      ชายหนุ่มไม่เคยเจองานแบบนี้มาก่อน ช่วงปิดเทอมเขาก็ไม่เคยทำงานพิเศษที่ไหน ปกติจะนอนอยู่ในบ้านเกือบทั้งวัน มีออกไปเที่ยวหรือไปถ่ายรูปบ้างแล้วแต่อารมณ์ ทำให้พอเข้ามาทำงานในตำแหน่งเด็กเสิร์ฟวันแรกแล้วเจอช่วงกลางวันที่ลูกค้าล้นหลามรวมถึงบรรยากาศวุ่นวายปานตะวันจึงเสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะบ่อยๆ แต่นั่นยังไม่หนักเท่า...
   
      “นี่น้อง!” เสียงดังของลูกค้าที่นั่งโต๊ะยาวกลางร้านตะโกนเรียกทำให้ปานตะวันซึ่งกำลังหัวหมุนกับการเสิร์ฟอาหารถึงกับสะดุ้ง พอหันไปก็พบกับใบหน้าถมึงทึงของลูกค้ากำลังจ้องมาที่ตน ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำเข้มของทางร้านกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าขาวซีดเผือดลงกว่าเดิมแต่กระนั้นปานตะวันก็ยังเดินเข้าไปหาลูกค้าทันที
   
       “ครับ”
   
        “อาหารของโต๊ะผมยังไม่ได้อีกเหรอครับ นี่ผมรอมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ โต๊ะที่มาที่หลังได้กันไปหมดแล้ว คุณเป็นคนรับออเดอร์ใช่ไหม เมื่อไหร่อาหารจะได้ครับ”
   
       “เอ่อ...ใช่ครับ ผมรับออเดอร์ของโต๊ะคุณ เดี๋ยวผมจะไปเช็คกับทางครัวให้นะครับ ขอความกรุณารอสักครู่นะครับ”
   
       “ครับ ผมก็รออยู่ นี่รอมาจนจะชั่วโมงแล้ว”
   
       เสียงแข็งๆ ของลูกค้าทำให้ปานตะวันใจหายวูบ ชายหนุ่มรีบร้อนเดินเข้าไปในครัว ด้านในราเมศกับแม่ครัวอีกสามคนกำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่
   
       “พี่เมศ ออเดอร์ของโต๊ะสิบสองได้หรือยังพี่”
   
       ราเมศที่กำลังทำปลาหมึกชุบแป้งทอดอยู่เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าคมมีหยาดเหงื่อเกาะพราวและสีหน้าดูเคร่งเครียดจนปานตะวันกลัวว่าตัวเองจะถูกดุ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปหยิบใบจดออเดอร์ของลูกค้าขึ้นมาดู
   
       “ตะวัน ไม่มีออเดอร์ของโต๊ะสิบสองนะ”
   
       “เฮ้ย เป็นไปได้ไง ก็ผมเป็นคนรับออเดอร์มาแล้วก็เอามาวางไว้”
   
       “เนี่ยไม่มีจริงๆ ลองดูสิ”
   
        ปานตะวันรื้อใบสั่งอาหารของวันนี้ขึ้นมาดูก็พบว่าไม่มีของโต๊ะสิบสองจริงๆ ที่มีคือใบเก่าที่ลูกค้าจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก คงไม่ใช่ว่าใบปลิวหายไปแล้วหรอกนะ!
   
        “พี่เมศ...ใบออเดอร์ของลูกค้าไม่มี หรือว่าหายไปแล้ว ทำไงดี”
   
        ปานตะวันนึกอยากเอาหัวโขกโต๊ะตายไปตรงนั้น นี่เป็นการทำงานวันแรกของเขาและก็เป็นวันที่ปานตะวันรู้สึกอยากตายมากที่สุด วันนี้ทั้งวันเขาทำผิดพลาดไปแล้วประมาณห้ารอบได้ ทั้งเสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะ ทำน้ำหกใส่กางเกงลูกค้า แต่นั่นยังไม่หนักเท่าครั้งนี้เลย
   
        ทำใบออเดอร์ลูกค้าหาย...ให้ลูกค้ารอเกือบครึ่งชั่วโมง
   
        แถมยังเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดและสั่งอาหารมากสุดด้วย
   
        ถ้าเขาเป็นพี่เมศปานตะวันคิดว่าเขาคงไล่ตัวเองออกไปนานแล้ว
   
        คงเพราะสีหน้าของคนอายุน้อยกว่าเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ราเมศจึงตัดสินใจวางตะหลิวแล้วสั่งให้ลูกมือคนหนึ่งที่ยืนกำกับดูแลหม้อซุปอยู่มารับหน้าที่ทำอาหารจานต่อไปให้ที ชายหนุ่มเดินไปล้างมือแล้วก็พาปานตะวันออกไปข้างนอก
   
        เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่สิบสอง ลูกค้าก็กำลังหงุดหงิดเต็มที่ พอเห็นหน้าปานตะวันก็ตะคอกออกมา
   
        “ไหน ว่าไง อาหารของโต๊ะผมน่ะ”
   
        “ข..ขอโทษนะครับคุณลูกค้า ผมทำใบออเดอร์ของคุณหาย...แต่ว่าผมจะ...”
   
        “ทำหาย แล้วที่ผมรอมาครึ่งชั่วโมงคืออะไร!? ขอโทษนะ แต่ทำไมบริการมันถึงได้แย่แบบนี้ เจ้าของร้านอยู่ไหน ช่วยเรียกมาเดี๋ยวนี้เลย”
   
        “ผมเองครับเจ้าของร้าน”
   
        ราเมศเอ่ยเสียงอ่อน ชายหนุ่มโค้งตัวขอโทษลูกค้าพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ผมขอโทษจริงๆ สำหรับความผิดพลาดของเราในวันนี้  ทางผมจะรับออเดอร์ไปใหม่แล้วก็ทำให้ทันที แล้วจะลดราคาอาหารให้ครึ่งหนึ่งด้วย ดีไหมครับ”
   
        ลูกค้าที่เป็นชายร่างอวบแค่นเสียงหัวเราะ แต่สีหน้าก็ดูอ่อนลงมากแล้ว “ผมมาทานร้านคุณเพราะเห็นรีวิวในอินเทอร์เน็ตว่าอาหารอร่อย บรรยากาศดี บริการเลิศหรอกนะ แต่นี่ดูเหมือนว่าเรื่องบริการเลิศจะไม่จริงสักเท่าไหร่” พูดพร้อมกับปรายตามามองปานตะวัน ชายหนุ่มตัวเล็กยกมือไหว้ลูกค้าอย่างนอบน้อม กล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความรู้สึกผิด
   
        “ผมขอโทษจริงๆ ครับ ผมเป็นพนักงานใหม่ เพิ่งเข้ามาทำงานวันนี้เป็นวันแรก ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ผมทำผิดพลาดไปมากขนาดนี้ แต่ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครับ”
   
        “ผมเองในฐานะเจ้าของร้านก็ต้องขอโทษด้วยครับ หากคุณลูกค้าไม่รังเกียจ ผมจะรีบนำอาหารมาเสิร์ฟทันทีครับ”
   
        “ก็ดี...แบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย”
   
        แม้น้ำเสียงจะยังมึนตึงอยู่แต่สีหน้าของลูกค้าก็นับว่าดีขึ้นมาก รายการอาหารยาวเหยียดถูกสั่งมา ราเมศเป็นคนรับออเดอร์ไปด้วยตัวเอง โดยมีปานตะวันเดินตามต้อยๆ ไปจนถึงครัว พอชายหนุ่มจะเดินกลับเข้าไปในครัวปานตะวันก็รั้งชายผ้ากันเปื้อนอีกฝ่ายไว้
   
        “พี่เมศ...ตะวันขอโทษครับ”
   
        ราเมศไม่ตอบ ทำเพียงจ้องปานตะวันนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนจะตบไหล่ชายหนุ่มสองสามที “ไว้คุยกันหลังเลิกงาน ตอนนี้ไปทำงานก่อน แล้วก็อย่าวอกแวก อย่าเหม่อลอย ตั้งสติหน่อยปานตะวัน”
   
        เสียงทุ้มติดดุนั่นทำให้ปานตะวันรีบพยักหน้าแข็งขัน ออกไปทำงานในส่วนของตัวเองต่อ โชคดีที่พอพ้นช่วงกลางวันแล้วลูกค้าก็เริ่มน้อยลงทำให้เขามีเวลาหายใจหายคอได้บ้าง พอช่วงบ่ายสามโมงครึ่งเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีคนมา   ราเมศจึงสามารถปลีกตัวออกไปรับเจียหลินจากโรงเรียนได้ เด็กน้อยนั่งทำการบ้านรอผู้ปกครองอยู่หลังเคานต์เตอร์คิดเงินโดยมีพนักงานที่คิดเงินคอยดูแลให้
   
        ร้านอาหารของราเมศปิดตอนสามทุ่ม วันนั้นปานตะวันเป็นคนทำความสะอาดร้านคู่กับพี่พนักงานเสิร์ฟอีกคนหนึ่ง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ปานตะวันก็เอาผ้ากันเปื้อนไปแขวนไว้ ล้างไม้ล้างมือแล้วเก็บของเตรียมกลับบ้าน วันนี้เขาปวดไปทั้งตัว คิดว่าพอหัวถึงหมอนต้องหลับแน่ๆ
   
        “ปานตะวัน รอเดี๋ยว”
   
       อ้อ...ถ้าเขาไม่ถูกผู้ชายที่ชื่อราเมศขบหัวหลุดซะก่อนน่ะนะ
   
       ปานตะวันคิดไว้แล้วว่าหลังปิดร้านต้องเจอศึกหนัก เขายืนกุมมือ ก้มหน้านิ่งเหมือนเด็กที่กำลังจะถูกคุณครูทำโทษในขณะที่ราเมศยืนพิงเคาน์เตอน์ กอดอกมองเขา
   
       “วันนี้ทำผิดพลาดไปหลายอย่าง รู้ตัวใช่ไหม”
   
       “ครับ”
   
       “ตั้งสติหน่อยสิ โดยเฉพาะเวลาเสิร์ฟกับรับออเดอร์ลูกค้า”
   
       “ขอโทษครับ”
   
       “ถือว่าวันนี้เป็นวันแรกจะหยวนให้ก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้ายังเกิดเรื่องแบบนี้อีกพี่จะตัดเงินเดือนนาย เข้าใจไหม”
   
       “เข้าใจครับ”
   
        “ดี ทีนี้ยื่นมือออกมา”

        “พี่จะตีผมเหรอ”
   
        พอเห็นใบหน้าขาวที่ทำสีหน้าประหลาดราเมศก็หัวเราะหึออกมา เงื้อมือเหมือนจะตี ปานตะวันหลับตาปี๋ รู้ดีว่าแรงผู้ชายตัวยักษ์แบบราเมศนี่ไม่ใช่เล่นแน่ๆ แต่รออยู่นานก็ไม่รู้สึกเจ็บสักทีเลยลืมตาขึ้นก็พบใบหน้าหล่อเหลาที่อมยิ้มตาพราวยื่นมาจ่อใกล้ๆ พร้อมกับที่มือหนาวางบางสิ่งลงกลางมือของตน พอก้มมองก็เห็นเหรียญช็อกโกแลต วางอยู่
   
       “นี่...”
   
       “รางวัลไง ขอบคุณที่ขยันนะ”
   
       “หืม พี่จะหักเงินเดือนงวดแรกผมเหรอ”
   
       “ก็อย่าทำตัวดื้อสิ หนหน้าถ้ามีเรื่องแบบวันนี้อีกพี่หักจริงๆนะ”
   
       “รู้แล้วๆ” ปานตะวันเงียบไปก่อนจะรั้งชายเสื้อราเมศไว้ “พี่เมศ...ขอโทษครับแล้วก็ขอบคุณ” ราเมศยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะขยี้ผมปานตะวันไปอย่างเอ็นดู จากนั้นก็วางซองใส่เงินแปะลงบนหัวไอ้ตัวเล็ก “เอ้านี่ เงินเดือนงวดแรกของนาย ใช้ให้มันดีๆ ล่ะ ตอนนี้ไม่ได้มีกินมีใช้ไม่ขาดมือเหมือนเมื่อก่อนนะ”
   
       ปานตะวันที่เห็นซองเงินเดือนก็ยิ้มแก้มปริ พนักงานเสิร์ฟของที่นี่ได้เงินเดือนเก้าพันบาทต่อเดือน ส่วนทิปก็แล้วแต่คนจะได้ รุ่นพี่คนหนึ่งแอบกระซิบบอกปานตะวันว่าให้ทำงานบริการลูกค้าให้ดีๆ ใครทำดี ทิปเยอะ เอาไปบวกรวมกับเงินเดือนก็เป็นหมื่นแล้ว
   
       “กลับบ้านกันเถอะไอ้แมวแสบ ป่านนี้หลานหิวแล้วมั้ง”
   
       “เออจริงด้วย หนูเจีย”
   
        เจียหลินที่นั่งแกว่งขารออยู่รีบวิ่งเข้ามาหาคุณน้าทั้งสองทันที “น้าตะวัน น้าเมศ หนูเจียหิวข้าวแล้วครับ” ราเมศหัวเราะพลางอุ้มหลานชายขึ้นมา “งั้นหนูเจียอยากกินอะไรครับ”
   
        “หนูเจียอยากกินไข่เจียวกุ้งสับครับ”
   
       “งั้นได้เลย เดี๋ยวน้าเมศทำให้นะ”
   
        “เย้”
   
        ปานตะวันรับเอากระเป๋าของเจียหลินมาถือจากนั้นก็หิ้วกระเป๋าของตัวเองเดินตามทั้งคู่ไปที่รถ พวกเขามาทำงานแล้วก็กลับบ้านพร้อมกัน ในตอนที่ขึ้นไปนั่งประจำที่ ปานตะวันก็คิดว่าเขาคงเป็นพนักงานที่ได้สวัสดิการดีที่สุดในโลกแล้วมั้งเนี่ย
   
       แต่เพราะแบบนี้แหละปานตะวันถึงโกรธตัวเองเอามากๆ ด้วยที่วันนี้ทำเรื่องผิดพลาดไปมากมาย ราเมศรับเขาเข้าทำงานที่นี่ ทำอะไรพลาดไปไม่ได้เสียแค่เขาแต่เสียถึงราเมศด้วย ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าวันต่อๆ ไปเขาจะตั้งใจทำงานไม่ให้ผิดพลาด ทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้
   
       หลังทานมื้อค่ำเสร็จพวกเขาก็พากันแยกย้าย กลับเข้าบ้านใครบ้านมัน ปานตะวันที่พออาบน้ำเสร็จก็ง่วงและเหนื่อย พอหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับทันที แต่ยังไม่ทันได้นอนก็พบว่ากันต์โทรเข้ามาเสียก่อน เขาเลยจำต้องรับสายด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
   
       “ว่าไงมึง”
   
       [โห เสียงเพลียมาเชียว ทำงานวันแรก หนักเหรอมึง]
   
       “อืม โหดกว่าที่คิดไว้”
   
       แล้วปานตะวันก็เริ่มเล่าประสบการณ์การเป็นเด็กเสิร์ฟวันแรกให้เพื่อนรักฟัง พอฟังจบชนกันต์ก็หัวเราะอารมณ์ดีพร้อมกับเอ่ยแซวว่า
   
        [ก็มึงมันลูกคุณหนู งานหนักๆ เคยทำซะที่ไหน แต่ก็ดีแล้ว นึกถึงหน้าหลานไว้เว้ย มึงจะยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้แล้ว]
   
        “เออๆ ว่าแต่ที่กูฝากมึงหานี่ได้ไหมวะ”
   
       เมื่อวันก่อนปานตะวันเล่าเรื่องที่แม่บินมาหาพร้อมข้อตกลงให้ชนกันต์ฟัง ซึ่งเพื่อนรักก็รับปากว่าจะช่วยหางานให้อีกแรง
   
       [ได้มาสองสามงาน มีงานร้องเพลงที่ร้านอาหาร แต่มันเลิกดึก มึงมีเด็กด้วยกูว่างานนี้ไม่เหมาะ แล้วก็มีงานสอนพิเศษเด็กประถม]
   
       “เอากูไปฆ่าเถอะถ้าแบบนั้น”
   
        [ไอ้ห่า มีหลานแล้วไม่รักเด็กขึ้นบ้างเลยเรอะ]
   
       “นอกจากหนูเจียกูก็ไม่ถูกกับเด็กคนไหนทั้งนั้นอ่ะ”
   
       [เชี่ยเหอะ]
   
        “นอกจากนี้นะกูจะเอาความรู้ที่ไหนไปสอนเขาฮะ งานนี้ไม่เหมาะกับกูอ่ะ ข้ามไปๆ”
   
        [เออๆ อันนี้งานสุดท้ายละ เป็นงานของเพื่อนของเพื่อนต่างคณะกูอีกที งานช่วยขายขนมไทยที่ตลาด เย็นวันอาทิตย์ มึงต้องไปช่วยเขาแพ็คของใส่กล่อง หิ้วไปที่ตลาด ช่วยตั้งร้าน ตลาดนัดมันจะมีช่วงเย็นๆ อ่ะนะ กูถามแล้วมึงพาเด็กไปด้วยได้ โอเคป่ะ ส่วนค่าตอบแทนลองไปคุยกันดู]
   
        “เออ งานนี้โอเค”
   
        ชนกันต์บอกเบอร์ติดต่อของเพื่อนคนนั้นมาให้เสร็จสรรพ ปานตะวันกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายก่อนบอกว่าวันพรุ่งนี้จะลองโทรไปคุยดู พวกเขาคุยกันอีกพักหนึ่งก่อนที่ปานตะวันจะวางสาย ชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนเตียง เจียหลินปรือตาขึ้นเล็กน้อยพอเห็นน้าตะวันมานอนด้วยก็เบียดตัวเข้าหา ปานตะวันลูบหลังหลานชายที่ซุกกายเข้ามาพร้อมกับร้องเพลงกล่อมไปในลำคอจนผล็อยหลับไปทั้งคู่
   
       เช้าวันต่อมาปานตะวันรีบตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวให้เจียหลินแล้วก็พาหลานไปโรงเรียน ชายหนุ่มจูบแก้มหลานเร็วๆ แล้วบอกว่าเย็นนี้น้าเมศจะเป็นคนมารับ เจียหลินก็พยักหน้าแล้ววิ่งเข้าห้องไป คุณครูประจำชั้นกับผู้ปกครองที่เริ่มคุ้นหน้าเขาก็ส่งยิ้มทักทายมาให้
   
       พอกลับมาถึงบ้านปานตะวันก็จัดการข้าวเช้าง่ายๆ ให้ตัวเอง  ร้านอาหารของราเมศเปิดตอนเก้าโมงเช้า ยังพอมีเวลา หลังทานข้าวเสร็จปานตะวันก็เปิดคอมพิวเตอร์ ล็อกอินเข้าเฟซบุ๊คแล้วจัดการส่งข้อความไปหาเจ้าของงานที่ชนกันต์ให้ข้อมูลมา ตอนแรกนึกว่าจะรอนานอีกฝ่ายถึงจะตอบแต่ส่งข้อความไปไม่ถึงห้านาทีมันก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว ปานตะวันรออย่างใจจดใจจ่อไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา
   
        สวัสดีครับ คุณคงเป็นปานตะวัน กันต์บอกผมเรียบร้อยแล้วล่ะ ยังไงลองโทรคุยกันได้นะถ้าคุณสะดวก จะได้ตกลงได้ไวขึ้น
   
        ปานตะวันยิ้มร่า รีบพิมพ์ตอบกลับไป ได้สิ งั้นตอนนี้เลยได้หรือเปล่า
   
        โอเคครับ
   
        ปานตะวันหยิบเบอร์ที่จดไว้ขึ้นมาดู ชายหนุ่มโทรไป รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับ ตอนแรกปานตะวันกลัวว่าจะรบกวนอีกฝ่ายเพราะยังเช้าอยู่หากแต่ฟังจากเสียงทุ้มหวานสบายอารมณ์ที่ดังมาจากปลายสายแล้วเขาคงไม่ได้โทรมารบกวนอะไร
   
        [สวัสดีครับ ปานตะวันใช่ไหมครับ]
   
       “ช..ใช่ครับ”
   
        [โอเค ผมชื่อหลงนะ เราอายุเท่ากัน ไม่ต้องเป็นทางการมากก็ได้] คนที่ชื่อหลงแนะนำตัวอย่างอารมณ์ดี ปานตะวันได้ยินก็ใจชื้นขึ้นเป็นกอง รีบพูดตอบกลับไปว่า
   
        “อื้ม ยินดีที่ได้รู้จักนะ นายเรียกเราว่าตะวันก็ได้”
   
        [โอเคเลย ว่าแต่ตะวันสนใจงานสินะ งานที่ผมบอกก็ไม่มีอะไรมากแค่มาช่วยแพ็คขนมใส่กล่องแล้วก็ไปช่วยขายที่ตลาดช่วงเวลาทำงานก็ประมาณบ่ายโมงถึงสองทุ่ม โอเคหรือเปล่า พาหลานมาด้วยได้นะ]
   
        “เอ่อ...มีเด็กไปมันจะโอเคเหรอ..”
   
        [หลานตะวันซนหรือเปล่าล่ะ]
   
        “ก็ไม่ซนนะ” หนูเจียเลี้ยงง่ายออกปานนั้น “เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้”
   
        [งั้นก็พามาเถอะ ไม่เป็นไร ทิ้งเด็กไว้ที่บ้านคนเดียวไม่ดีหรอกนะ]
   
        “งั้นก็โอเค แล้วเรื่องค่าแรงล่ะ”
   
        [สัก 300 โอเคหรือเปล่า]
   
        ปานตะวันนิ่งคิด ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสถานะจะเลือกงานได้ ชายหนุ่มจึงตกลง ก่อนวางสายกันหลงก็บอกว่าให้เริ่มงานได้เลยวันอาทิตย์นี้ พอวางสายก็พอดีกับที่ราเมศเดินขึ้นมาเรียก พวกเขาต้องออกไปเตรียมร้านก่อนเวลาเปิดร้าน ปานตะวันกุลีกุจอเก็บของ ปิดบ้านแล้วก็ตามราเมศไป
   
        “พี่เมศ ผมได้อีกงานนึงแล้วนะ”
   
        “หืม งานอะไร ทำวันไหน เมื่อไหร่”
   
        “งานช่วยขายขนมไทยที่ตลาด ทำบ่ายโมงถึงสองทุ่ม แพ็คของ หิ้วของ ตั้งร้าน เก็บร้าน ได้ 250 บาท เป็นงานของเพื่อนของเพื่อนไอ้กันต์น่ะ มันช่วยหาให้”
   
         “ให้พี่ช่วยดูหนูเจียให้ไหม”
   
         “ไม่เป็นไรครับ พี่เมศทำงานนี่นา หลงให้พาหนูเจียไปด้วยได้”
   
         “เพื่อนชื่อหลงเหรอ”
   
         “ครับ”
   
        ราเมศพยักหน้ารับรู้ ไม่นานรถก็จอดลงที่ลานจอดรถของร้านอาหาร ปานตะวันรีบวิ่งไปช่วยพี่ๆ คนอื่นเตรียมร้านส่วนราเมศก็แยกย้ายไปจัดการความเรียบร้อยในครัว บทสนทนาของพวกเขาจึงจบลงแค่นั้น
   
        วันนี้ปานตะวันทำงานดีกว่าเดิม เขาเสิร์ฟอาหารไม่ผิดและไม่ทำใบออเดอร์หายอีก แถมยังได้รับทิปเป็นครั้งแรกในชีวิต ส่งผลให้คนตัวเล็กยิ้มจนตาหยี แจกความสดใสไปทั่ว พอปิดร้านปานตะวันก็ได้ทิปมาประมาณสามร้อยห้าสิบ ทำเอาคนตัวเล็กลืมเหนื่อยไปเลย
   
        ตอนที่เก็บร้านราเมศมองคนอารมณ์ดีที่ถูพื้นไปฮัมเพลงไปแล้วก็นึกหมั่นไส้ ปานตะวันที่ทำงานดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสจนลูกค้าเอ็นดูและชอบใจมันก็ดีหรอก แต่เขา...ไม่รู้สิ...บางส่วนในอกมันร้องตะโกนว่าอย่าไปยิ้มน่ารักแบบนั้นเรี่ยราดจะได้ไหม
   
        นึกอยากดึงอีกฝ่ายมากอด ไม่อยากให้ใครเห็นรอยยิ้มนั้น
   
        อยากให้ปานตะวันยิ้มให้เขาแค่คนเดียว
   
        แบบนี้...เรียกว่า ‘หึง’ ใช่ไหมนะ
   
        ราเมศส่ายหัว เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ  มีพนักงานเรียกลูกค้าได้แบบนี้แต่กลับไม่พอใจ สงสัยธุรกิจได้ล้มละลายก็คราวนี้เอง
   
        “ตะวัน มาถูตรงนี้หน่อย มีคราบอะไรก็ไม่รู้”
   
        “ครับผม”
   
        ปานตะวันหิ้วกระป๋องน้ำกับไม้ถูพื้นวิ่งเข้ามา จ้องหาคราบที่ราเมศบอกที่พื้นแต่ก็หาไม่เจอ  คนตัวเล็กมุ่นคิ้ว กวาดสายตาไปรอบๆ
   
       “พี่เมศ ไหนคราบอะไร ตรงนี้ตะวันถูไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรนะ”
   
        “นี่ไงตรงนี้”
   
        “ไหน ไม่เห็นมี”
   
        “ก้มมาดูสิ”
   
        ปานก้มตัวลงทันใดนั้นร่างเล็กก็ถูกราเมศดึงให้ลงไปนั่งยองๆ จมูกโด่งกดลงที่แก้มขาวเร็วๆ หนึ่งที พร้อมเสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู
   
        “เด็กขี้อ่อย ยิ้มไปทั่วเลยนะ”
   
        แก้มขาวของร่างเล็กแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน ปานตะวันตวัดตามอง กระซิบตอบ “ก็พี่บอกผมเองว่าให้ทำตัวดีๆ ยิ้มเยอะๆ นี่ก็ดีแล้วไง ทำไม ไม่ชอบเหรอ”
   
      “พนักงานทำตัวดีในฐานะหัวหน้าพี่ก็ชอบ...แต่ว่า...ถ้าให้ตอบในฐานะ ‘พี่เมศ’ ก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
   
         เท่านั้นเองปานตะวันก็ถลึงตาใส่อีกฝ่าย ใบหูเล็กและแก้มขาวแดงจัดจนน่าแกล้งแต่เจ้าตัวดันไหวตัวทันรีบลุกขึ้นยืนแล้วถือกระป๋องน้ำกับไม้ถูพื้นหายไปอีกทาง
   
        ทิ้งให้คุณเจ้าของร้านยืนยิ้มกับผ้าเช็ดโต๊ะอยู่คนเดียว
   
        หลังทำงานไปจนถึงวันศุกร์ปานตะวันก็เริ่มชินกับงานหนักในร้าน พอถึงวันเสาร์ชายหนุ่มก็ได้หยุด เขาจึงอาศัยวันนั้นจัดการงานบ้านต่างๆ โดยเริ่มจากการซักผ้า
   
        “หนูเจีย เดินระวังนะครับ”
   
        “ครับผม”
   
          ปานตะวันมองหลานชายตัวจ้อยที่พยายามช่วยคุณน้าด้วยการหอบเอาเสื้อผ้าตัวเองไปไว้ข้างเครื่องซักผ้า ปานตะวันจัดการแยกเสื้อขาวกับเสื้อ ตัวไหนที่ต้องซักมือก็ใส่ตะกร้าอีกใบไว้ ระหว่างที่เครื่องซักผ้ากำลังปั่นผ้า ปานตะวันก็พาหนูเจียกวาดบ้าน ถูบ้าน จากนั้นก็ลงไปรดน้ำต้นไม้
   
         “น้าตะวันนน ดูนี่ๆๆ”
   
         ละอองน้ำกระทบแสงแดดเกิดเป็นรุ้งอยู่ในอากาศ ปานตะวันหัวเราะกับท่าทางตื่นเต้นของเจียหลิน เจ้าตัวเล็กดูจะชอบใจเอามากๆ ใช้สายยางฉีดน้ำเล่นไม่หยุดจนเนื้อตัวเปียกปอน สุดท้ายจะกลายเป็นอาบน้ำแทบรดน้ำต้นไม้ปานตะวันจึงดึงสายยางออกจากมือเจียหลิน
   
         “พอแล้วครับหนูเจีย เปียกหมดแล้ว เดี๋ยวต้องอาบน้ำใหม่นะ”
   
        เจียหลินทำปากยู่ก่อนจะหันไปเล่นอย่างอื่น เป้าหมายต่อไปของเจ้าตัวคือการไล่เก็บดอกเฟื่องฟ้าที่ร่วงตามโคนต้นมาโปรยเล่น ปานตะวันไม่ห้ามเวลาหลานจะลงไปคลุกดินหรือวิ่งจนล้ม ตอนเด็กเท่าเจียหลินเขาซนกว่านี้อีก สวนหลังบ้านกว้างๆ แบบนี้ก็สวรรค์ของเด็กดีๆ นี่เอง ตอนเด็กเขาชอบปีนต้นไม้ ต้นมะม่วงที่ปีนขึ้นไปแล้วตกลงมาก็ยังอยู่ ต้นเฟื่องฟ้าที่ออกดอกบานสะพรั่งให้พี่สาวเก็บมาติดในหนังสือหรือชวนเล่นหม้อข้าวหม้อแกงก็ยังอยู่ ต้นคูนริวรั้วที่ออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่ง พอลมพัดก็ปลิดปลิวเหมือนผีเสื้อตัวเล็กโบยบินเริงร่าในสายลม...ก็ยังอยู่
   
        ทุกอย่างยังอยู่ ยังเหมือนที่เคยจำได้
   
       เหลือแต่คนที่เปลี่ยนไป...สามคนจากไป หนึ่งคนหวนกลับมา และหนึ่งคนที่รอคอยอยู่ในบ้านหลังนี้
   
        “ทำอะไรกันอยู่ล่ะนั่น”
   
        เสียงทุ้มดังจากด้านหลังทำให้คนยืนเหม่อสะดุ้งเฮือก ปานตะวันรีบปิดน้ำก่อนหันไปมองก็พบราเมศยืนอยู่ เจียหลินทิ้งดอกไม้ในมือก่อนจะวิ่งจู๊ดไปกระโดดเกาะคุณน้าเมศทันที
   
        “พี่เมศ ไม่เข้าร้านเหรอครับ”
   
        “วันนี้ลูกพี่ลูกน้องพี่เข้าแทนเลยไปช่วยแค่ช่วงเช้า แล้วนี่ทำอะไรกัน”
   
        “พาหลานรดน้ำต้นไม้น่ะ”
   
        “เปียกเป็นแมวตกน้ำนี่รดน้ำหรือเล่นน้ำ หืม เจ้าตัวแสบ”
   
        เจียหลินหัวเราะคิกเมื่อน้าเมศใช้จมูกโด่งของตัวเองฟัดแก้มนุ่มนิ่มไปหลายที “เดี๋ยวพี่พาหนูเจียไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นายรดน้ำต้นไม้เสร็จหรือยัง”
   
        “เสร็จแล้วพี่ นั่นถุงอะไรน่ะ”
   
         “ถุงกับข้าว รดน้ำเสร็จแล้วก็ไปตั้งโต๊ะไป”
   
         “คร้าบ”
   
         กับข้าวที่ราเมศเอามาฝากคือปลาสามรส ยำไข่เยี่ยวม้ากับแกงจืดปลาหมึกยัดไส้ที่หนูเจียชอบ ปานตะวันตั้งโต๊ะเสร็จก็พอดีกับที่สองน้าหลานเดินเข้ามาพอดี หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มมื้อกลางวันง่ายๆ ด้วยกัน
   
        พอมีราเมศมาช่วย งานบ้านต่างๆ ก็เสร็จเร็วขึ้น พอตกบ่ายเจียหลินที่เล่นจนเพลียก็หลับไป ราเมศนั่งมองปานตะวันที่นั่งโงนเงนไปมาโดยมีหลานนอนซบอยู่บนตักด้วยสายตาเอ็นดู ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ อุ้มเจียหลินไปนอนบนผ้าปูที่ปูไว้ ก่อนจะดันให้ปานตะวันนอนลงบ้าง
   
       “ง่วงก็นอนเถอะ”
   
       “พี่เมศไม่ง่วงเหรอ”
   
       “ไม่ล่ะ นายนอนไปสิ พักสักหน่อย”
   
        เจ้าเด็กแสบค่อยๆ ไถลตัวลงนอนบนหมอน ราเมศวางมือลงบนศีรษะปานตะวัน ไม่นานร่างเล็กก็หลับไป
   
         ยามบ่ายที่แสงแดดส่องลอดมาในบ้าน ทั่วทั้งเรือนไทยเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงนกร้อง ราเมศค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้าของปานตะวัน มองดูรายละเอียดต่างๆ บนใบหน้านั้นให้ชัดเจน
   
        ขอบตาคล้ำ...คงนอนดึก
   
        สีหน้าดูอิดโรยจนน่าสงสาร คงไม่เคยเจองานหนักแบบนี้
   
        เขาเลื่อนมือลงไปกอบกุมมือทั้งสองของอีกฝ่าย ฝ่ามือขาวที่ตอนเจอกันแรกๆ ยังเรียบเนียนอยู่ ตอนนี้มีรอยแผล ผิวหนังที่พองออกมา มือเล็กเริ่มด้านจากการทำงานต่างๆ ทั้งงานบ้านและงานที่ร้าน
   
         ราเมศโน้มตัวลงไปจูบลงที่หน้าผากมนก่อนจะกระซิบแผ่วเบาข้างหูคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า “เก่งมากเลยนะ น้องตะวัน” ราเมศไม่ใช่พวกชอบพูดมาก เขาแสดงความรู้สึกไม่เก่งเท่าไหร่...คำพูดที่นึกออกจึงมีเพียงเท่านี้
   
         แต่ความรู้สึกในใจมันมากกว่านี้หลายเท่าเลยล่ะ

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 11-03-2017 20:41:15
         เพราะวันเสาร์ได้พักผ่อนไปบ้าง พอถึงคราวต้องทำงานในวันถัดมาชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเลยรู้สึกดีขึ้นมาก พอช่วงสายปานตะวันก็พาเจียหลินออกจากบ้านไปยังสถานที่นัดหมาย หลงนัดเขาที่ป้ายรถเมล์ก่อนถึงบ้านของเจ้าตัว ปานตะวันไปก่อนเวลานัดราวสิบห้านาที รอไม่นานหลงก็โทรเข้ามา ถามว่ามาถึงหรือยัง พวกเขามองซ้ายมองขวาหากันอยู่ไม่นานหลงก็ร้องว่าเจอแล้วจากนั้นก็ตัดสายไป
   
        “เอ่อ...ขอโทษนะครับ นี่ปานตะวันใช่ไหม” มือหนึ่งสะกิดที่ไหล่ พอหันไปมองปานตะวันก็พบกับชายหนุ่มตัวเล็กยืนยิ้มจนตาหยีอยู่ “เราหลงนะ”
   
        “อ่ะ...หวัดดี เราปานตะวัน”
   
        “เฮ้อ รอดไป ตอนแรกเรานึกว่าทักผิดแล้ว” หลงพูดยิ้มๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปโบกมือให้เจียหลินที่พอเจอคนแปลกหน้าก็หลบวูบมาอยู่หลังปานตะวันทันที “นี่เจียหลินใช่ไหม น่ารักจัง”
   
        “อื้อ ใช่แล้ว หนูเจีย สวัสดีพี่หลงสิครับ” คนเป็นน้าดันหลังหลานชายออกมาข้างหน้า หลงยิ้มจนตาหยีให้เด็กน้อยที่ยืนเหนียมอายอยู่ตรงหน้าตน เจียหลินที่พอเจอคนท่าทางใจดีส่งยิ้มมาให้ก็ยิ้มตอบไปแบบเขินๆ มือเล็กพนมไหว้สวยงาม “สวัสดีครับพี่หลง”
   
        “ไหว้สวยจังเลยนะ น่ารักมากๆ เลย อ่ะนี่ พี่หลงมีขนมมาให้ด้วยนะครับ” มือเล็กหยิบเอากล่องพลาสติกใสใส่วุ้นเป็ดส่งให้เจียหลิน อีกกล่องยื่นให้ปานตะวัน
   
        “ขอบคุณนะ”
   
        “ไม่เป็นไรๆ มีคนมาช่วยงาน ทางหลงต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
   
        ปานตะวันมองดูเพื่อนใหม่ตรงหน้า หลงเป็นคนตัวเล็ก สูงน้อยกว่าเขาประมาณสี่ถึงห้าเซนติเมตรได้ ผิวแทน ดวงตากลมโตสีน้ำตาล รอยยิ้มน่ารักของเจ้าตัวเป็นสิ่งแรกที่คนเห็นแล้วประทับใจ หลงดูเข้ากับคนง่าย ทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วก็พากันเดินกลับบ้าน ระหว่างทางหลงก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ จนปานตะวันหายประหม่า แม้แต่หนูเจียที่ว่ากลัวคนแปลกหน้า เจอ ‘พี่หลง’ ยิ้มให้บ่อยๆ ก็หายกลัว  เดินเคี้ยววุ้นเป็ดตุ้ยๆ อยู่ข้างปานตะวันนั่นเอง
   
        “ถึงแล้วล่ะ” หลงพูดขึ้นเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วขนาดใหญ่ อาณาเขตของบ้านกว้างขวาง ดูแล้วเป็นบ้านของพวกคนรวยไม่ใช่บ้านของคนที่พูดว่าทำงานโดยการขายขนมที่ตลาดนัดแน่
   
       “ที่นี่...ที่นี่เหรอ แน่นะ”
   
         พอได้ยินเขาถามเสียงสั่นหลงก็หัวเราะออกมา “แน่สิ เข้ามาเถอะไม่เป็นไรหรอก”
   
        ไม่เป็นไร...แน่เหรอวะ!
   
        มันไม่ปกติสักนิด ตั้งแต่บ้านยันยามหน้าประตูที่ตัวโตอย่างกับยักษ์ พอสบตากันปานตะวันก็รีบอุ้มเจียหลินขึ้นมาแล้วไปเดินเบียดข้างๆ หลงทันที แต่พอผ่านประตูเข้าไปยามหน้าดุก็เรียกพวกเขาเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเหมือนฟ้าผ่า
   
        “เดี๋ยว!”
   
        เชี่ย...หรือว่าจริงๆ แล้วหลงมันเป็นคนใช้ในบ้านแล้วมาโมเมว่าเป็นเจ้าของบ้านวะ ปานตะวันกลืนน้ำลายเอื๊อก ลูบหลังหนูเจียที่ตกใจจนวุ้นเป็ดร่วงจากปาก เด็กน้อยตัวสั่น กลัวคนแปลกหน้าที่เดินตรงดิ่งมาเหมือนจะกินหัวใครสักคน
   
       “คุณหลงครับ...คนคนนี้”
   
        “ปานตะวันกับเจียหลินครับ เพื่อนหลงเอง เขามาช่วยหลงแพ็คขนมน่ะครับ”
   
       “งั้นหรือครับ แล้วตอนบ่ายคุณหลงจะให้คนออกไปส่งไหมครับ”
   
       “ไม่เป็นไรครับ รบกวนพวกพี่เปล่าๆ หลงไปเองได้ อ้อ เดี๋ยวหลงเอาขนมที่ทำมาฝากนะครับ ฝากให้พวกพี่ๆ ที่เหลือด้วย”
   
        “แล้วนี่นายท่าน...”
   
        “พี่คุณรู้แล้วครับ ไว้เจอกันนะครับพี่”
   
        ยามหน้าดุพยักหน้า โค้งตัวให้หลงเล็กน้อย คนผิวแทนก็โค้งกลับ จากนั้นพวกเขาก็เดินต่อ ปานตะวันเห็นบ้านหลังใหญ่อยู่ไม่ไกลแต่หลงกลับพาพวกเขาเดินแยกไปอีกทาง ลึกเข้าไปในสวนมีบ้านอีกหลังซ่อนตัวอยู่ บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่เท่ากับบ้านเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนบ้านคนงานแต่อย่างใด มันเป็นบ้านหลังเล็กสไตล์วินเทจแบบอังกฤษ ตัวบ้านทาสีเขียวอ่อน หลังคาสีน้ำเงิน รอบบ้านปลูกไม้ดอกเอาไว้เต็มไปหมด ไม่ไกลจากตัวบ้านมีต้นไม้ต้นใหญ่ที่ผูกชิงช้าเอาไว้ ดูเป็นบ้านหลังเล็กที่อบอุ่นน่าอยู่
   
        “นี่บ้านหลงเหรอ”
   
        "อื้ม แยกออกมาจากบ้านใหญ่น่ะ”
   
        “แล้ว...อยู่คนเดียวเหรอ”
   
        หลงหันมายิ้มพลางส่ายหน้า “เปล่าหรอก อยู่กับเจ้าหนี้” ท่าทางตอนตอบดูขี้เล่นซุกซน ปานตะวันรู้ได้ในทันทีว่าคำว่า ‘เจ้าหนี้’ คงเป็นโค้ดลับสำหรับใครบางคน และเขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่ถามต่อ
   
        ภายในบ้านตกแต่งน่ารักไม่แพ้ภายนอก ทุกอย่างดูสะอาดเรียบร้อย หลงพาปานตะวันอ้อมไปด้านหลังบ้าน ที่ต่อเติมออกมาเป็นครัว คนผิวแทนจัดการหาน้ำหาขนมมาวางให้เสร็จสรรพจนปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแขกมากกว่าคนทำงานพิเศษเขาจึงรีบห้ามอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ
   
       “พอแล้วล่ะ แค่น้ำให้หนูเจียก็พอ เอ่อ..แล้วไหนล่ะงานที่ให้ทำ”
   
        “อ๋อ ทางนี้ๆ”
   
        หลงชี้ทางมุมห้องที่กล่องพลาสติกวางซ้อนกันเป็นตั้ง “ตอนแรกหลงทำคนเดียวก็ไหวหรอกนะ แต่นานๆ ไปลูกค้าชักเยอะเลยแพ็คคนเดียวไม่ทันน่ะ จากนี้ไปก็รบกวนด้วยนะครับ”
   
        “เอ่อ...เช่นกัน”
   
        ปานตะวันให้หนูเจียนั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้ในครัว จากนั้นตนก็ช่วยหลงนำขนมไทยชนิดต่างๆ ที่เจ้าตัวทำบรรจุลงกล่อง ทั้งขนมชั้นที่ทำเป็นรูปดอกไม้  วุ้นหลากสี ลูกชุบ หม้อแกง ทองหยิบ ทองหยอด และขนมอื่นๆ อีกมากมายที่ปานตะวันไม่รู้จัก ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปด้วย
   
        “นี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
   
        “ได้สิ ไม่ต้องเกรงใจหลงหรอก ขึ้นกูขึ้นมึงก็ได้นะ เพื่อนพูดกับหลงบ่อย หลงไม่ถือ”
   
        “ไม่ดีกว่า...คือ...นายสุภาพมากจนเรารู้สึกบาปเลยอ่ะถ้าจะพูดกูมึง”
   
        “นั่นก็เว่อร์ไป ฮ่าๆๆ”
   
        หลงหัวเราะ เสียงใสดังกังวานไปทั่วทำให้ปานตะวันหลุดหัวเราะตาม แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ยอมพูดกูมึงกับหลงอยู่ดีเพราะเพื่อนใหม่ตัวเล็กคนนี้สุภาพมาก ทั้งแทนตัวเองว่าหลงทุกคำแล้วก็เรียกปานตะวันว่า ‘ตะวัน’ อย่างสนิทสนม ท่าทางเป็นกันเองตอนพูดคุยทำให้ชายหนุ่มผมน้ำตาลรู้สึกดีกับเพื่อนใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ
   
        “ว่าแต่ตะวันอยากถามอะไรเหรอ”
   
       “ก็...นายบอกว่าแพ็คขนมขายที่ตลาดนัดใช่ป่ะ ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นเหรอ ดูไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินนี่นา หรือว่าจริงๆ แล้วเป็นลูกเศรษฐีที่มีงานอดิเรกแปลกๆ?”
   
       พอเขาพูดจบหลงก็หัวเราะออกมาทันที คนตัวเล็กยิ้มจนตาหยี ส่ายหน้าไปมาเร็วๆ
   
       “ไม่ใช่ๆ หลงไม่ใช่ลูกเศรษฐีหรอกนะ...อืม...จะว่าไงดี เรื่องมันยาวแฮะ ถ้าจะเล่าก็เท้าความไปตั้งแต่สมัยอยู่ม. 5 นู่นเลย”
   
       “งั้นไม่เป็นไร ไม่ต้องเล่าก็ได้”
   
       “ฮ่าๆๆ”
   
       หลงยิ้ม หยิบลูกชุบที่ปั้นเป็นรูปผลไม้ลงไปในกล่องพลางเหลือบมองเจียหลินกับปานตะวันเป็นระยะ “หลานชายน่ารักดีนะ”
   
       “อื้ม เรียบร้อยด้วย เลี้ยงง่ายที่สุดแล้วคนนี้”
   
       “เห่อหลานจริงๆ น้า”
   
       “หลายคนก็ทักแบบนี้แหละ”
   
       “แล้ว...เพราะหลานเหรอ ถึงได้ต้องออกมาทำงานแบบนี้”
   
         ปานตะวันชะงักไป จากนั้นก็พยักหน้าออกมา “อื้ม พี่สาวเสียไปแล้วน่ะ ไม่อยากปล่อยเขาไปอยู่กับญาติคนอื่นด้วย ช่วงนี้เลยทำงานหลายๆ อย่างเพื่อหาเงินมาเลี้ยงเขาน่ะ”
   
        หลงมองปานตะวัน ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายใจดี พอเห็นปานตะวันมองกลับชายหนุ่มผิวแทนก็ส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มที่สื่อว่าหลงเข้าใจเขา
   
       “เมื่อก่อนหลงก็เป็นแบบนี้แหละ หาบพวงมาลัยขายตามสี่แยกเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ยกลังผลไม้ไปส่งตลาด รับทำความสะอาดบ้าน ล้างจานตามร้านอาหาร เสิร์ฟอาหาร เมื่อก่อนบ้านหลงเป็นหนี้เยอะมาก เกือบไม่ได้เรียนต่อแล้ว จนกระทั่ง...หลงมาเจอกับเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาช่วยหลงไว้มากจริงๆ ถ้าไม่ได้พี่เขาหลงคงไม่มายืนตรงนี้”
   
       อะไรบางอย่างในสีหน้าและแววตาของหลงทำให้ปานตะวันรู้สึกได้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้สำคัญกับหลงมากจริงๆ  “ตอนนี้ตะวันอาจจะเหนื่อย ท้อ แต่ว่านะ วันหนึ่งเมื่อเราสามารถทำให้คนรักของเราสุขสบายได้ด้วยกำลังของเราแล้ว วันนั้นมันจะเกิดความรู้สึกภูมิใจมากๆ เลยล่ะ”
   
        ดวงตาสีนิลของปานตะวันมองไปที่เจียหลิน ถ้าหากวันหนึ่ง...เขาส่งเสียหนูเจียจนเรียนจบปริญญาได้ด้วยกำลังของเขาเอง เห็นหลานมีความสุขกับชีวิต เขาจะต้องมีความสุขและภูมิใจมากแน่นอน
   
       และเพื่อการนั้นเขาจะต้องพยายามให้มากกว่านี้
   
       พอแพ็คขนมเสร็จปานตะวันกับหลงก็หอบหิ้วขนมไปส่งตามร้านค้า ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่าหลงไม่ได้ทำขายที่ตลาดนัดอย่างเดียวแต่ส่งขายตามร้านแล้วก็ตามแต่คนจะสั่งด้วย หลังขี่รถมอเตอร์ไซค์ส่งของจนครบปานตะวันกับหลงก็พากันไปที่บริเวณตลาดนัด แม่ค้าพ่อค้าส่วนใหญ่เริ่มตั้งร้านกันแล้ว พอถึงช่วงบ่ายสามโมงคนก็เริ่มทยอยมา
   
       “ขนมไทยไหมครับ ขนมไทยอร่อย สะอาด ราคาไม่แพงครับ” หลงร้องตะโกนเรียกลูกค้าด้วยใบหน้าแจ่มใส รอยยิ้มหวานแจกจ่ายให้ทุกคนอย่างเป็นกันเอง ปานตะวันเห็นดังนั้นก็เริ่มทำตามบ้าง แรกๆ ก็รู้สึกอายแต่พอร้องไปนานๆ เข้าก็เริ่มสนุก โดยเฉพาะเมื่อหนูเจียเริ่มลุกขึ้นมาร้องตะโกนบ้าง ความน่ารักของเจ้าตัวเล็กนี่เองที่เรียกลูกค้าเข้ามา
   
       พอช่วงห้าโมงที่คนเริ่มเยอะหนูเจียก็ยิ่งดึงดูดคนเข้ามา 90% ของลูกค้าเป็นผู้หญิง พอมีคนตกบ่วงเดินมาหน้าร้านก็จะเจอรอยยิ้มพิฆาตของปานตะวันและน้ำเสียงล่อลวงชวนให้ซื้อของหลง ทำงานประสานกันเป็นทีมจนในที่สุดลูกค้าก็จะเดินจากไปพร้อมกล่องขนมไทยทุกราย
   
        ขายกันไปจนถึงช่วงทุ่มครึ่งขนมก็เหลือไปกี่กล่อง หลงที่เห็นจำนวนเงินในวันนั้นก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ในตอนนั้นเองที่ปานตะวันเห็นลูกค้ารายใหม่ก้าวเข้ามา คราวนี้ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นฝรั่งร่างสูง เส้นผมสีทองยาวระต้นคอ ใบหน้าหล่อเหล่าคมคาย
   
       “อ...เอ่อ ยินดี เอ้ย Welcome ครับ”
   
       “สวัสดีครับ”
   
        เสียงทุ้มที่เอ่ยตอบมาทำเอาปานตะวันหน้าแตก ไอ้เราก็เห็นเป็นฝรั่ง นึกว่าฟังไทยพูดไทยไม่ออก ที่ไหนได้ตอบมาสำเนียงชัดเป๊ะเชียว
   
        “สนใจขนมไทยไหมครับ ตอนนี้เหลือไม่กี่กล่องแต่รับรองอร่อยทุกกล่องครับ เนอะ หลง...หลง?”
   
       คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนตัวเล็กก้มหน้าก้มตาจัดกล่องขนมทั้งที่ไม่จำเป็น ใบหูเล็กๆ และแก้มนุ่มนิ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ปานตะวันเห็นเพื่อนไม่เงยหน้าขึ้นสักทีก็สะกิดยิก โน้มตัวไปกระซิบ
   
       “หลง ลูกค้ามาแน่ะ”
   
       “อ..อื้อ หลงเห็นแล้ว”
   
        “ผมสนใจขนมไทย ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับ”
   
        ปากก็พูดไปแต่ตานี่มองเพื่อนเขาไม่กะพริบ ปานตะวันหรี่ตาลงเล็กน้อยจากนั้นดวงตาสีนิลก็เบิกโตเมื่อเห็นว่าฝรั่งตรงหน้ามีดวงตาสองสี!
   
        ดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีน้ำตาล ส่วนอีกข้างเป็นสีฟ้า
   
        “น้าตะวัน คุณฝรั่งคนนี้ตาสวยจัง!”
   
       ฝรั่งตาสวยหันมายิ้มกว้างให้เจียหลิน “ขอบคุณครับ ว่าแต่หนูน้อยคนนี้ช่วยไปบอกพี่ชายที่ยืนตรงนั้นได้ไหมครับว่าน้าฝรั่งอยากกินขนมไทย ช่วยเงยหน้ามาคุยกันที” ปานตะวันอ้าปากค้าง สมองประมวลผลได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้สนใจขนมไทยหรอก...สนใจขายขนมจีบต่างหาก
   
      ส่วนไอ้คนถูกจีบก็แทบจะมุดหายไปกับโต๊ะแล้ว
   
       ด้วยความเป็นเด็กดี พอเห็นว่ามีคนกำลังจะมาซื้อของหนูเจียจึงหันไปสะกิดพี่หลงพร้อมกับพูดว่า “พี่หลง มีลูกค้าครับ พี่หลงงง”
   
        “หนูเจียๆ มานี่เร็ว”
   
        ปานตะวันรีบดึงหลานลงมานั่ง ในใจก็แอบขำไปด้วยเมื่อเห็นเพื่อนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางอายๆ “สนใจ...ขนมอะไรครับ”
   
        “ถ้าเหมาหมดนี่มีโปรโมชั่นแถมพ่อค้ากลับบ้านไหมครับ”
   
       โว้ยยย นี่ฝรั่งแท้ใช่ไหมเนี่ย หยอดมุกจีบได้กร๊าวมาก   
   
        “ฮื้อ พี่คุณครับ อย่าแกล้งหลงสิครับ นี่ทำงานอยู่นะ!”
   
        สุดท้ายหลงก็ทนไม่ไหวพูดออกไป ฝรั่งตัวโตหัวเราะร่วนเดินอ้อมโต๊ะเข้ามายืนซ้อนหลังพ่อค้าตัวเล็ก ยิ้มตาพราวให้อีกฝ่าย “ก็น้องน่าแกล้งนี่นา”
   
       ปานตะวันที่กลายเป็นส่วนเกินได้แต่เกาหัวแกรกๆ
   
       นี่สรุปรู้จักกัน?
   
       “หลง...คนนี้คือ”
   
        หลงสะดุ้ง หันมามองปานตะวันด้วยสีหน้าอายๆ พอจะแนะนำก็ถูกฝรั่งตาสองสีชิงตัดหน้าพูดขึ้นก่อน “สวัสดีครับ พี่ชื่อคุณ เป็นแฟนหลงครับ”
   
        “ค..ครับ...ผมปานตะวันครับ นี่หลานผมเจียหลิน ผมเป็น...เอ่อ...คนทำงานพิเศษน่ะครับ”
   
        “น้องนี่เอง หลงเล่าให้ฟังแล้วล่ะ หลานน่ารักดีนะครับ”
   
        “ขอบคุณครับ”
   
        ปานตะวันกระแอม ชายหนุ่มขยับตัวห่างออกมาเล็กน้อยพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาเรียกลูกค้า พยายามไม่หันไปมองคนสองคนที่คุยกันหงุงหงิงอยู่ด้านข้าง ไม่รู้เพราะมีพี่คุณอยู่ด้วยหรือเปล่าลูกค้าสาวๆ เลยแวะเวียนมาถี่ขึ้น จนขนมใกล้หมดในเวลาอันรวดเร็ว
   
        ดวงตากลมเหลือบมองฝรั่งตัวโตคุยออดอ้อนกับหลงอยู่แบบขำๆ เพื่อนเขาก็อายแล้วอายอีก ม้วนตัวมุดดินได้คงทำไปแล้ว
   
        ถ้าพี่เมศอยู่ที่นี่บ้างก็ดีสินะ...
   
        แวบหนึ่งที่ใจเผลอคิดฟุ้งซ่านไป คนตัวเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ และหน้าดุๆ ของผู้ชายตัวโตออกไปจากสมอง แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำไม่ได้ คราวนี้คิดไปไกลถึงเรื่องคำพูดเมื่อหลายวันก่อนที่ราเมศพูดกับเขาในร้านอาหาร...หลังจากที่ขโมยหอมแก้มเขาแล้ว
   
        บ้า...บ้าๆๆๆ ไอ้พี่เมศบ้า ใครอนุญาตให้ทำกันวะ!
   
        ที่บ้ากว่าก็เขานี่แหละที่เผลอใจเต้นแรงไป
   
        บ้า ไอ้ปานตะวันบ้า!
   
        “น้องครับ” ดูสิ คิดเพ้อเจ้อไปจนฟังเสียงลูกค้าเป็นเสียงพี่เมศแล้ว! ปานตะวันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ครับคุณลูกค้า”
   
        จากนั้นรอยยิ้มนั้นก็แข็งทื่ออยู่บนใบหน้าเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าร้านด้วยรอยยิ้มจางๆ คือ...ราเมศ
   
        “พี่เมศ?”
   
        “สามกล่องสุดท้ายนี่ราคาเท่าไหร่ครับ”
   
        “เอ่อ...ห..หกสิบบาทครับ”
   
        “เอาหมดเลยครับ”
   
        ปานตะวันหยิบขนมลงกล่องอย่างเงอะงะ มือไม้สั่นตอนที่ยื่นมือออกไปรับเงิน แต่ราเมศไม่ทำแค่ส่งเงินมาให้ ชายหนุ่มคว้ามือบางของปานตะวันเอาไว้แล้วพูดว่า
   
        “เดี๋ยวพี่รอนะ เก็บร้านเสร็จแล้วก็ไปหาล่ะ จะได้กลับบ้านพร้อมกัน แล้วเจอกันนะหนูเจีย” ว่าจบก็เดินหายไปในฝูงชน ปานตะวันหันมามองหน้าหลง คราวนี้เป็นเขาที่มีสีหน้าเขินอายแทน
   
         “เอ่อ..คนรู้จักน่ะ”
   
        “งั้นเหรอ เอ้อ เดี๋ยวพอเก็บร้านเสร็จตะวันกลับไปกับพี่คนนั้นเลยได้นะ วันนี้พี่คุณเอารถมา เดี๋ยวหลงกลับกับพี่คุณได้”
   
        “เอางั้นเหรอ งั้นก็ได้”
   
         พอถึงช่วงเลิกงานหลงก็แบ่งค่าจ้างให้ตามที่ตกลงกัน ปานตะวันช่วยเก็บร้านแล้วก็ยกของไปใส่ไว้ท้ายรถของพี่คุณ จากนั้นทั้งสองก็แยกกัน
   
        ปานตะวันเร่งฝีเท้าเดินตรงไปที่รถของราเมศ มีหนูเจียอนหลับคอพับอยู่ในอ้อมแขน เมื่อถึงตัวรถก็พบว่าราเมศ ออกมายืนรออยู่ ตอนที่สบตากันปานตะวันเห็นประกายบางอย่างในดวงตาคู่นั้น ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาเขาก็ยิ่งใจเต้นแรง
   
       “เป็นไง เหนื่อยไหม”
   
       ราเมศถามขึ้นทันทีที่พวกเขาเข้ามานั่งในรถ หนูเจียนอนหลับอยู่ที่เบาะหลัง ปานตะวันหันไปดูหลานก่อนตอบคำถามของราเมศ “เหนื่อยนิดหน่อยครับแต่ก็สนุกดีโดยเฉพาะตอนตะโกนเรียกลูกค้า”
   
       “ขายหมดเลยนี่นาวันนี้”
   
        “อื้ม ตอนแรกทำมาเยอะมากเลยนะ ยังกลัวอยู่เลยว่าจะไม่หมด แต่สุดท้ายก็หมด”
   
        ราเมศเปิดกล่องขนมชั้นที่ตนซื้อมาแล้วก็หยิบชิ้นหนึ่งไปจ่อที่ปากปานตะวัน “ลองชิมสิ พี่กินไปชิ้นหนึ่ง อร่อยดีนะ กินอะไรหวานๆ สักหน่อยจะได้หายเหนื่อย”
   
       ริมฝีปากเล็กอ้าออกรับขนมหวานเข้าไป กลิ่นใบเตยหอมฟุ้ง รสหวานกำลังพอดีจากขนมชั้นทำให้คนตัวเล็กยิ้มออกมาได้ อร่อยสมที่หลงโฆษณาไว้จริงๆด้วย
   
        “อร่อยจริงด้วยพี่เมศ” ว่าพลางหยิบขนมชั้นที่ทำเป็นรูปดอกไม้ออกมาอีกชิ้น จากนั้นก็ยื่นไปจ่อปากร่างสูงบ้าง “อ่ะ ป้อนคืน”
   
       สาบานได้ว่าไม่ได้อ่อย...แค่มีคนสอนมาว่าใครทำดีกับเราให้เราดีกับเขาตอบ
   
       ราเมศเลิกคิ้วน้อยๆ แต่ก็ยอมก้มหน้าลงมารับเอาขนมชิ้นนั้นไปจากมือปานตะวัน พอกินหมดก็หยิกแก้มขาวไปหนึ่งที
   
        “ไอ้เด็กขี้อ่อย”
   
       “ไม่ได้อ่อยนะ”
   
       “แล้วเมื่อกี้เรียกอะไร”
   
       “ก็พี่เมศบอกเองว่ากินของหวานๆ แล้วหายเหนื่อย ทำงานมาเหนื่อยใช่ไหมล่ะ เอานี่ไง คนอุตส่าห์ป้อน”
   
        ปานตะวันบ่นอุบแต่แล้วก็ต้องหุบปากเมื่อคนที่ว่าเขาเป็นเด็กขี้อ่อย จู่ๆ ก็โน้มตัวเข้ามาทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเอนตัวหนี เบียดตัวเองเข้ากับประตูรถ คนผมน้ำตาลปากคอสั่นรีบดันหน้าหล่อๆ ของราเมศเอาไว้ทันที “อ...ไอ้พี่เมศ เป็นอะไรเนี่ย อย่ามาเล่นอะไรบ้าๆ นะ”
   
       “ก็ไม่ได้เล่น”
   
       “หา!?”
   
        “นายนี่นะ...ให้ตาย”
   
        “อะไรล่ะ จะใส่ร้ายอะไรผมอีกล่ะ”
   
        “เงียบน่า เดี๋ยวหลานตื่น”
   
        ราเมศกระซิบจากนั้นก็ปิดริมฝีปากช่างเถียงนั้นด้วยวิธีการที่ทำเอาคนถูกกระทำถึงกับต้องเบิกตาโต
   
        ริมฝีปากอุ่นทาบทับแนบสนิทกับเรียวปากบาง ก่อนที่คนอายุมากกว่าจะขยับริมฝีปากแผ่วเบา หยอกล้อให้คนตัวเล็กคล้อยตาม ฝ่ามือใหญ่ประคองแก้มเนียนเอาไว้ จูบนั้นไม่ได้เร่งร้อน มันอ่อนหวาน นุ่มนวลจนชวนให้ใจสั่น ปานตะวันเผยอริมฝีปากขึ้นเมื่อราเมศผละออกไปให้เขาได้พักหายใจ...แต่ก็แค่ไม่นาน ก่อนจะจูบลงมาอีกครั้ง ปลายลิ้นอุ่นแทรกเข้าไปหยอกล้อ ปานตะวันขยุ้มเสื้อราเมศ หน้าร้อนจนแทบไหม้นานทีเดียวกว่าที่คนตัวสูงจะพอใจแล้วถอนริมฝีปากออก
   
        ราเมศเกลี่ยปลายนิ้วเข้าที่ริมฝีปากขึ้นสีก่ำของปานตะวัน เจ้าลูกแมวแสบบัดนี้ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาเขา สองแก้มแดงจัด น่าเอ็นดูจนอดใจไม่ไหวต้องโน้มตัวไปหอมแก้มนุ่มอีกหลายที
   
        “น่าหมั่นเขี้ยว” ว่าจบก็อ้าปากงับแก้มที่แต้มสีชมพูระเรื่อไปด้วยความหมั่นเขี้ยว ตอนที่ปานตะวันอายจนสิ้นฤทธิ์แบบนี้มันน่ารักน่าหยิกเอามากๆ
   
         “โรคจิตเหรอไอ้พี่เมศ”
   
        “เดี๋ยวโดนดี”
   
        ราเมศแกล้งขู่ ทำให้โดนดวงตาสีนิลคู่โตตวัดค้อนเข้าให้ “ฮึ่ย กลับบ้านได้แล้วน่า ตะวันหิวแล้วนะ หลานด้วย เดี๋ยวหนูเจียตื่นมางอแง”
   
        ราเมศยิ้มมุมปาก หันไปถอยรถออกจากซองแล้วขับกลับบ้านตามคำบอก ส่วนปานตะวันก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ พยายามตั้งสติแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ จำต้องปล่อยให้หัวใจเต้นแรงกับความร้อนผ่าวที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ริมฝีปากและสติเตลิดไปไกล
   
         ให้ตาย...หลุมที่ใจหล่นลงไปมันลึกมากจริงๆ ลึก...จนปานตะวันจนปัญญาว่าจะปีนขึ้นมายังไง ลงท้ายก็คงทำได้แค่นั่งอยู่ที่ก้นหลุมนั่นแหละมั้ง
   
        ดวงตาสีนิลเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนข้างตัวแล้วก็เชิดริมฝีปากขึ้น
   
        แต่คนอย่างปานตะวัน ไม่ยอมนั่งอยู่ก้นหลุมคนเดียวแน่ เขาจะลากราเมศลงมานั่งเป็นเพื่อนให้ได้ คอยดูเถอะ!

***************************************************

ตกดังแอ้กเลยค่ะ น้องตะวันจกหลุมดังแอ้กเลยค่ะ 555555
สำหรับตอนนี้มีแขกรับเชิญพิเศษด้วยค่ะ น้องค่าตัวไม่แพงเลยเชิญมาได้  :katai2-1:
ใครที่สนใจเรื่องของน้องหลงขายขนมไทยคนนี้สามารถตามอ่านได้ที่

เพราะหลงรักคุณ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52873.0#lastPost)

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ สามารถติชมได้เต็มที่เลยค่ะ
เรายินดีรับทั้งคำติและคำชมค่ะ (โค้ง)
วันนี้ขอลาไปก่อน พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 11-03-2017 20:51:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-03-2017 20:54:55
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-03-2017 22:13:17
อุ้ย!? ตอนนี้มีหนูหลงกับพี่คุณโผล่มาหวานใส่กันให้หายคิดถึงด้วยอ่ะ ดีใจจัง ส่วนพี่เมศกับตะวันก็หวานแข่งกับพี่คุณกับหนูหลงเลยนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-03-2017 22:19:08
แหม ตอนนี้น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริงนะปานตะวัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: jinholmemin ที่ 11-03-2017 23:21:29
แบบว่าสงสัยมาก หลงเข้ามหาลัยแล้วอย่างนี้พี่คุณได้หม่ำๆน้องรึยังน้อออ  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 12-03-2017 03:42:24
เพิ่งเข้ามาอ่าน ติดตามนะคะ น้องตะวันพี่เมศน่ารักกก น้องเจียก็น่าเอ็นดู  o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-03-2017 04:50:10
โอ้ยหลงกับพี่คุณ ยังหวานได้หวานดี แต่คู่ใหม่ก็ไม่แพ้นะ แถมมีโซ่คล้องใจกันแล้วด้วย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 12-03-2017 08:52:06
ตะวันสู้ๆๆๆ ทำงานหนักเพื่อหนูเจีย!!!
แต่พี่เมศคือกำไรทั้งตอนอ่ะ ทั้งหอมทั้งจูบ -////-
ฉุดพี่เมศลงหลุมไปลึกๆเลยตะวัน ^0^
ปล. หลงงงงงงงง น่ารักไม่เสื่อมคลาย!!!
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-03-2017 09:48:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-03-2017 22:07:38
หนูเจียน่ารัก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 12-03-2017 22:33:18
น่ารักอะ ชอบเรื่องแบบนี้ดูสบายๆดี :mew3:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 13-03-2017 07:59:35
สู้ๆทั้ง3คน :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๘ หลุมรัก (๑๑/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 14-03-2017 17:32:55
หวานจนบิด สองคู่ชูชื่น
55+
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 26-03-2017 21:15:23
ปานตะวัน
บทที่ ๙
ทาสแมว


         พักนี้ปานตะวันเหม่อลอยบ่อยๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงหยุดอาการแบบนี้ไม่ได้ แต่พอว่างทีไรในหัวของเขาก็จะวกกลับไปถึงเรื่องในคืนนั้น คืนที่เขากับราเมศจูบกันอยู่ในรถ ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วก็จริง แถมนอกจากครั้งนั้นราเมศก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะแตะเนื้อต้องตัวเขาอีกแต่ปานตะวันก็หยุดคิดไม่ได้จริงๆ
   
         นี่ไม่ใช่จูบแรกของเขาหรอก  ปานตะวันเคยจูบมาแล้วหลายครั้ง แต่...ไม่รู้สิ เหมือนกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาจำสัมผัสนั้นได้ขึ้นใจ จำได้แม้กระทั่วจังหวะหัวใจที่เต้นถี่เร็วและอาการร้อนวูบไปใบหน้าเมื่อเลือดฉีดขึ้นพวงแก้มขาวจนมันแดงระเรื่อ
   
        ไม่ใช่จูบแรกแท้ๆ แต่กลับคิดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมหน้าคนต้นเรื่องมันยังวนเวียนอยู่ในหัว สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุดจนเขาจะเป็นบ้าแล้วเนี่ย!
   
        “ตะวัน!” เสียงเรียกของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ “เหม่ออะไรของนายหา เวลาแบบนี้แท้ๆ” ปานตะวันสะดุ้งเฮือก หันไปมองรอบๆ แล้วก็นึกได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในเวลาทำงาน แล้วก็เป็นช่วงที่ลูกค้าแน่นร้านมากที่สุดด้วย ปานตะวันรีบก้มหัวขอโทษขอโพยเพื่อนที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็รีบไปเก็บจานจากโต๊ะที่ทานเสร็จแล้ว เช็ดโต๊ะให้ลูกค้า แล้วก็เสิร์ฟอาหารต่ออย่างขยันขันแข็ง
   
         แต่ถึงตัวจะยุ่งแค่ไหน พยายามดึงสติให้โฟกัสกับงานยังไงแต่ใบหน้าของราเมศกับจูบหวานๆ เมื่อหลายวันก่อนก็โผล่เข้ามาในหัวอีกครั้งและอีกครั้ง ทำใจให้สงบไม่ได้เลยจริงๆ
   
        “ปานตะวัน นายเสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะแล้ว นั่นของโต๊ะสาม!”
   
        “ขอโทษครับ!!”
   
        ให้ตาย...ถ้าทำพลาดบ่อยๆจน โดนไล่ออกนะ จะไปรีดเงินไอ้พี่เมศมาให้หมดเลย แต่ไอ้พี่เมศมันก็เจ้าของร้านนี่หว่า แปลว่าคนไล่เขาออกก็คือพี่เมศ...ฮือ ปานตะวันอยากตาย
   
       ทำงานไปร้องโวยในใจไปจนลูกค้าเริ่มซา พอช่วงบ่ายสองปานตะวันเลยได้มีเวลาพักหายใจ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ ยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่นั่งโต๊ะตรงข้ามหยิบเอาแก้วใส่น้ำมาให้
   
       “เอ้า กินซะ”
   
      “ขอบใจ”
   
       “ช่วงนี้เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ ดูเหม่อบ่อย หน้าก็เดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดงอย่างกับคนป่วย”
   
       “เปล่า...แค่...เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ โทษทีนะ”
   
       คนผมน้ำตาลก้มหน้าก้มดูดน้ำเข้าไปจนแก้มป่อง วันนี้อากาศร้อน ลูกค้าก็เยอะ ปานตะวันหัวหมุนอยู่เกือบค่อนวัน
   
       “พักบ้างน่ะเว้ย ไม่ใช่ทำงานอยู่แล้วล้มตึงไป มันจะแย่เอา”
   
       “ขอบใจ”
   
       ชายหนุ่มกับเพื่อนร่วมงานนั่งคุยกันอยู่พักหนึ่งจนอีกฝ่ายขอตัวไปห้องน้ำ พอเพื่อนลุกไปปานตะวันก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความอ่อนเพลีย พักนี้เขานอนดึกเกือบทุกคืน ไม่รู้ทำไมแต่พอจะหลับตาใบหน้าของราเมศก็แวบเข้ามาในหัวพร้อมเรื่องต่างๆ นาๆ พยายามข่มตาหลับก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่ลากสังขารเบลอๆ มึนๆ มาทำงาน
   
       ครืด
   
       เสียงลากเก้าอี้ดังจากฝั่งตรงข้าม ปานตะวันก็คิดไปว่าเพื่อนกลับมาแล้วจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นจนกระทั่งฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะพร้อมเสียงทุ้มที่ดังขึ้น
   
       “เป็นอะไรไป เหนื่อยเหรอ”
   
        เท่านั้นเองร่างเล็กที่ฟุบอยู่ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นประหนึ่งมีคนเอาเข็มมาทิ่ม ราเมศมองใบหน้าน่ารักที่แฝงแววแตกตื่นอย่างนึกสนุก ดูสิ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี
   
        “พี่เมศ” ปานตะวันพูดเบาๆ “ม..มาทำอะไรตรงนี้ครับ”
   
        “มานั่งพักเหนื่อยไง ทำไม ร้านนี้มีกฎเหรอว่าเจ้านายนั่งพักไม่ได้” พูดพลางเท้าคางมองยิ้มๆ แล้วก็ได้รับสายตาวาววับเอาเรื่องกลับมา
   
        “เปล่าซะหน่อยครับ แค่แปลกใจว่าพี่มานั่งตรงนี้ทำไมต่างหาก” ตรงที่เขานั่งอยู่เนี่ย
   
        “ทำไม ไม่อยากเห็นหน้าพี่เหรอ”
   
        “ไม่อยากหรอก” ริมฝีปากเล็กๆ เชิดขึ้นทันที ใครจะไปอยาก แค่เห็นหน้าอยู่ในหัวทั้งวันทั้งคืนก็แย่แล้ว ราเมศที่ได้ยินดังนั้นก็หลุดยิ้มขำ เอื้อมมือไปบีบปากเป็ดนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว “ทำไม ไม่ชอบพี่เหรอ”
   
        “ไม่ชอบ”
   
        “อ้าว ไหนตอนไปทะเลยังบอกหวั่นไหวอยู่เลย”
   
        “ไอ้พี่เมศ มาพูดอะไรที่นี่เนี่ย”
   
        ดวงตาโตกวาดมองไปรอบๆ กลัวว่าเพื่อนร่วมงานจะมาได้ยิน คนที่นี่ยังไม่รู้ว่าเขากับราเมศมีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่ปานตะวันก็ไม่อยากให้รู้หรอก เขาไม่อยากโดนนินทาและไม่อยากให้ใครมาว่าพี่เมศเสียๆ หายๆ ด้วย
   
         “ไม่มีใครได้ยินหรอกน่า แล้วก็อย่าเปลี่ยนเรื่อง ไหนตอนไปทะเลบอกหวั่นไหว ไม่ชอบพี่แล้วเหรอ แต่คืนนั้นในรถเรายังจูบกันอยู่เลยนะ”
   
        ประโยคสุดท้ายร่างสูงยื่นใบหน้ามากระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู แถมจมูกโด่งๆ นั่นก็แกล้งเฉียดเข้าใกล้แก้มของเขาอีก ปานตะวันถลึงตาใส่ราเมศ ทำท่าเหมือนอยากจะลุกไปฆาตกรรมคนช่างฉวยโอกาสนักหนา
   
        “หน้าโบกด้วยคอนกรีตหรือไงหา พูดออกมาได้”
   
        “ไม่ชอบเหรอ”
   
        “เออ ก็พี่นิสัยแบบนี้ไง ไม่ชอบแล้ว”
   
        “เปล่า” ราเมศเอ่ยเรียบๆ แต่ดวงตามีประกายเจ้าเล่ห์อยู่ทำเอาปานตะวันร้อนๆ หนาวๆ
   
        “พี่หมายถึงนายไม่ชอบ ‘จูบ’ ของเราเหรอ”
   
        โครม!
   
       “เฮ้ย ตะวันเป็นอะไรหรือเปล่า”
   
        ราเมศผุดลุกขึ้น รีบร้อนไปดูปานตะวันที่นั่งเบลออยู่กับพื้น พอถูกจู่โจมด้วยประโยคแสนร้ายกาจนั่นแล้วปานตะวันก็หน้าแดงแจ๋ หงายหลังตึงลงไปเลย พนักงานคนอื่นที่ได้ยินเสียงโครมครามก็รีบโผล่หน้าออกมาดู พอเห็นปานตะวันนั่งกองกับพื้นก็พากันตกใจ
   
       “เฮ้ยตะวันเป็นไรเปล่า”
   
       “ว้าย น้องตะวัน ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
   
       “บอกแล้วว่าให้พักบ้าง”
   
        ใครต่อใครช่วยฉุดปานตะวันขึ้นจากพื้นในขณะที่เจ้าตัวยังดูงงไม่หาย “เป็นอะไรหรือเปล่า” ราเมศซ่อนรอยยิ้ม มองสำรวจร่างเล็กๆ เพื่อดูว่าไม่มีรอยช้ำตรงไหน
   
       “ม..ไม่เป็นไรครับ พอดีตะวันนั่งโยกเก้าอี้แล้วมันหงายหลัง ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ” เจ้าตัวแสบหันไปขอโทษขอโพยทุกคน ซึ่งพอได้ฟังเหตุผล(ที่กุขึ้น)ทุกคนก็ดูโล่งอก ประกอบกับมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเข้ามาที่ร้าน พนักงานและเจ้าของร้านจึงกลับเข้าประจำที่
   
        แต่ตอนที่ราเมศกำลังจะหมุนตัวกลับไปที่ครัวนั่นเอง ข้อมือของเขาก็ถูกรั้งเอาไว้ พอหันไปมองก็พบปานตะวันยืนหน้าแดงอยู่ ชายหนุ่มร่างเล็กกระตุกข้อมือเขาเบาๆ เป็นเชิงให้เขยิบไปใกล้ ปานตะวันยื่นหน้ามากระซิบเสียงเบาด้วยประโยคที่เอาราเมศใจเต้นจนสติแทบไม่อยู่กับตัว
   
        “ผมก็...ไม่ได้ไม่ชอบนะ ‘จูบ’ น่ะ”
   
         หลังเลิกงานวันนั้นปานตะวันกับหนูเจียยืนรอราเมศอยู่ หลังจากเก็บครัวและจัดการปิดไฟและปิดส่วนอื่นๆ ของร้านเรียบร้อย ราเมศก็พาหนูเจียกับปานตะวันกลับบ้าน ตลอดทางมีเสียงพูดเจื้อยแจ้วของหลานชายเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียน ปานตะวันฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง หัวเราะบ้าง
   
         พักหลังหนูเจียดูมีความสุขมากขึ้น ไม่งอแง ไม่เอาแต่เก็บตัวเงียบ เริ่มกลับไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้เหมือนเดิมแล้ว นั่นก็ทำให้ปานตะวันกับราเมศหายห่วง เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่พี่จันทร์เสียใหม่ๆ คุณครูประจำชั้นหนูเจียเล่าว่าเจียหลินเอาแต่ซึมเศร้า ไม่เล่นกับเพื่อนหรือใครเลย บางทีก็ร้องไห้หาแม่
   
        “โชคดีที่หนูเจียมีคุณ ไม่งั้นน้องอาจแย่กว่านี้ค่ะ” คุณครูน้ำมนต์ยิ้มให้ปานตะวันหลังเล่าเรื่องราวทั้งหมด และนั่นก็ทำให้ปานตะวันรู้สึกดีที่ไม่ทิ้งเจียหลินไป
   
       “อ๊ะ น้าตะวันดูสิ มีม้าหมุนด้วย” เสียงตื่นเต้นของหนูเจียทำให้ปานตะวันหลุดออกจากภวังค์ พอมองออกไปนอกหน้าต่างรถก็พบว่าพวกเขาขับผ่านบริเวณวัดที่วันนี้กำลังมีงาน ภายในลานมีทั้งร้านขายของกิน ร้านปาลูกโป่ง ร้านระบายสีปูนปลาสเตอร์ ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ บ้านลม และอื่นๆ อีกมากมาย
   
        “น้าเมศ น้าตะวันนน” พอได้ยินเสียงออดอ้อน ราเมศกับปานตะวันก็หันมามองหน้ากันอย่างรู้ทันหลานชายตัวน้อย ทำเสียงแบบนี้...อยากไปเที่ยวชัวร์
   
        “อยากไปเที่ยวเหรอครับ”
   
        “อื้อ หนูเจียอยากเล่นบ้านลม”
   
        ปานตะวันหันไปมองราเมศเป็นเชิงถาม ชายหนุ่มตัวโตก็ให้คำตอบด้วยการเปิดไฟเลี้ยวแล้วเลี้ยวเข้าไปในลานที่มีรถจอดอยู่ โชคดีที่บริเวณหน้าวัดรถติด พวกเขาเลยมีเวลาตัดสินใจและเลี้ยวรถเข้าไปยังบริเวณที่มีงานทันเวลา
   
        “วันนี้กินข้าวนอกบ้านแล้วกัน” ราเมศพูดกับปานตะวัน ซึ่งเขาก็เห็นด้วย “ดี ตะวันขี้เกียจล้างจาน”
   
       “หึๆ”
   
        คนตัวโตยีผมเขาอย่างเอ็นดูก่อนจะอุ้มเจียหลินขึ้นมาเพราะในงานคนเยอะ ถ้าจับมือก็กลัวจะหลงกัน เจียหลินกอดคอราเมศแล้วก็พูดว่า “น้าเมศ ขี่คอๆ”
   
        “หืม แต่หนูเจียตัวหนัก น้าเมศเมื่อยนะครับ”
   
        “ไม่น้า หนูเจียไม่หนัก ขี่คอนะครับ น้า”
   
        เจอตาแป๋วๆ แก้มป่องๆ รอยยิ้มอ้อนๆ เข้าไปใครจะอดใจไหว ราเมศยอมให้หนูเจียขี่คอ เจ้าตัวเล็กที่ได้อยู่สูงๆ ก็หัวเราะคิกคัก ชี้ร้านนู้นร้านนี้อย่างมีความสุข
   
       “ตะวันหิวหรือยัง” ปานตะวันที่กำลังสอดส่ายสายตาหาร้านอาหารเป็นอันดับแรกพยักหน้า ราเมศเองก็ช่วยมองหาด้วย “แล้วอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
   
       “ตะวันอยากกินขนมจีน”
   
       ในไม่ช้าพวกเขาก็เจอร้านขายขนมจีนร้านใหญ่เปิดอยู่ไม่ไกล นอกจากขายขนมจีนแล้วร้านนี้ยังขายข้าวขาหมูด้วย ปานตะวันเลยสั่งขนมจีนสองกับข้าวขาหมูอีกหนึ่ง อาหารอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว พอมาเสิร์ฟปานตะวันก็กินอย่างรวดเร็วแล้วก็สั่งจานที่สองต่อ ทำงานมาทั้งวัน หิวจนจะเป็นลม
   
       “กินช้าๆ ก็ได้ เดี๋ยวติดคอ” ราเมศเตือน หยิบเอาทิชชู่มาเช็ดมุมปากปานตะวันให้ กินเลอะเป็นเด็กๆไปได้นะเจ้าแมวแสบ “กินเลอะเทอะ ดูหลานสิ ข้าวยังไม่หกเลย”
   
       หนูเจียที่ถูกชมก็ยิ้มแก้มป่อง ยืดอกอย่างภูมิใจ ปานตะวันหัวเราะ ลูบหัวหลานอย่างเอ็นดูแล้วก็หันไปยักคิ้วกวนประสาทราเมศ
   
       “ก็มันอร่อยนี่นา ผมหิวด้วย”
   
       “กินช้าๆ เดี๋ยวมันติดคอ”
   
       “คร้าบ”
   
        เมื่อเติมท้องกันจนอิ่มพวกเขาก็เดินย่อยอาหารกันอีกพักหนึ่ง จากนั้นปานตะวันก็พาหลานไปต่อคิวเล่นม้าหมุน  ตอนแรกหนูเจียดูกลัวเพราะมันหมุนเร็ว แต่สักพักก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข จากนั้นก็ไปต่อแถวเล่นบ้านลม กระโดดกระเด้งไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ปานตะวันที่นั่งรออยู่ด้านนอกก็อดยิ้มกับท่าทางมีความสุขของหลานไม่ได้
   
        “เป็นเด็กนี่ดีจังนะ ดูมีความสุขกับอะไรได้ง่ายๆ ชีวิตไม่ซับซ้อนดี”
   
        “เป็นผู้ใหญ่ก็สนุกได้ แค่อย่าทำให้ชีวิตมันซับซ้อนมากนัก”
   
        “เรื่องอะไรก็ดูยากไปหมดล่ะครับ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลตอบกลับ คิดถึงเรื่องของครอบครัวตัวเองที่ยุ่งยากซับซ้อน แล้วก็ถอนหายใจ “ขนาดเรื่องระหว่างเรายังยุ่งยากเลย”
   
         “ยุ่งยากตรงไหน” ราเมศสวนกลับมา “ก็จีบกันอยู่ไม่ใช่หรือไง ไม่เห็นจะยุ่งเลย”
   
        ปานตะวันคำรามในลำคอเบาๆ “ผมอยากรู้จริงๆว่าหน้าพี่โบกปูนกี่ชั้น” ทำไมมันช่างพูดอะไรไม่ดูสถานการณ์รอบตัวบ้างเลย “แล้วอีกอย่างนะ เราไม่ได้จีบกันอยู่”
   
       “นั่นสินะ เราข้ามขั้นไปจูบกันแล้วนี่”
   
        “โว้ย ผมอยากต่อยปากพี่จริงๆ”
   
         ราเมศหัวเราะเมื่อลูกแมวของเขาหันมาแยกเขี้ยวขู่ พอจะลูบหัวปลอบอีกฝ่ายก็ถอยหนี ปานตะวันทำหน้ามุ่ย พึมพำเสียงเบา “เราชอบกันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้”
   
        “นายไม่ชอบพี่เหรอ” ราเมศเลิกคิ้ว ขยับเข้าไปชิดร่างเล็กข้างตัว “ไม่ชอบที่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ”
   
        แสงไฟจากหลอดนีออนส่องกระทบใบหน้าน่ารัก ทำให้ราเมศเห็นว่าแก้มขาวของปานตะวันเปลี่ยนเป็นสีแดง ชายหนุ่มก็ยิ่งได้ใจ
   
        “ไม่ชอบจริงๆ เหรอ ปานตะวัน”
   
         คนตัวเล็กเบือนหน้าหนี ใบหูก็เปลี่ยนเป็นสีจัดเพราะความเขินอาย แต่หลังจากนั้นไม่นานราเมศก็ยิ้มออก “ก็ไม่ได้ไม่ชอบ” เสียงกระซิบเบาๆ ข้างตัวดังขึ้นแบบนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างแบบที่น้อยครั้งจะเห็นจากราเมศได้เป็นอย่างดี
   
        “แล้วพี่เมศล่ะ ชอบไหม”
   
         ท่ามกลางความมืด ท่ามกลางความร้อนอบอ้าว ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ ฝ่ามืออบอุ่นของราเมศค่อยๆ เอื้อมไปกุมมือปานตะวันเอาไว้ช้าๆ เด็กข้างตัวเขานิ่งไปพักหนึ่ง ท่าทางตกใจ จากนั้นก็พลิกมือกลับมาจับมือกับเขา สอดประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกัน  ราเมศยิ้ม พักนี้เขารู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อย ตั้งแต่มีปานตะวันเข้ามาในชีวิต
   
        “พี่ก็ไม่ได้ไม่ชอบเหมือนกัน”
   
        ประโยคฟังดูไม่ชัดเจน แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นจริงจังและจริงใจราวกับจะบอกว่า
   
        ใช่...พี่ก็ชอบนายเหมือนกัน
   
         หนูเจียกระโดดและลื่นไถลอยู่บนบ้านลมประมาณยี่สิบนาทีก็หมดแรง แต่ก็ยังร้องจะเที่ยวต่อ คราวนี้ปานตะวันเปลี่ยนเป็นคนอุ้มหลานบ้าง พวกเขาเจอร้านระบายสีเสื้อยืดอยู่แถวนั้น เลยเลือกไซส์สำหรับเด็กมาให้หนูเจียระบาย แต่คนขายกลับเชียร์ให้ซื้อไประบายอีกสองตัว ลายเดียวกัน แต่เป็นไซส์ผู้ใหญ่
   
        “เสื้อครอบครัวไงครับพี่ เนี่ย เอาไปใส่ด้วยกันวันไปเที่ยว น่ารักมากเลยนะครับ”
   
       “เอ่อ ไม่ล่ะครับ คือ...”
   
       ยังไม่ทันที่ปานตะวันจะปฏิเสธได้จบประโยคหนูเจียที่ถือเสื้ออยู่ในมือก็เงยหน้าขึ้นถามตาใส “น้าจะวัน เสื้อครอบครัวคืออะไรครับ”
   
        ปานตะวันเหงื่อตก กำลังจะอ้าปากตอบคำถามหลานแต่ก็ไม่ทันคนขายเสื้อที่รีบย่อตัวลง ยิ้มหวานให้เจียหลินแล้วพูดว่า “เสื้อครอบครัวก็คือเสื้อที่ให้คนในครอบครัวใส่เหมือนกันไงครับคนเก่ง แบบเดียวกัน สีเหมือนกัน ลายเหมือนกัน ใส่แล้วไปเที่ยวด้วยกันน่ารักมากๆ เลยนะ”
   
        หนูเจียกะพริบตาปริบๆ พยายามทำความเข้าใจ “แปลว่า...ถ้าใส่เสื้อครอบครัวก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันเหรอครับ สีเหมือนกัน ลายเหมือนกัน”
   
       “ใช่แล้วครับผม”
   
       ปานตะวันคิ้วกระตุก รู้สึกว่าไอ้คนขายเสื้อมันมีหัวการค้า ยิ่งพอเห็นหนูเจียเขย่าขากางเกงเขาแล้วพูดว่า “น้าตะวัน หนูเจียอยากมีเสื้อครอบครัว น้าตะวันใส่เหมือนกันหน่อยน้า”
   
        “แต่ว่า...”
   
        “น้าเมศด้วย น้า ใส่เสื้อครอบครัวไปเที่ยวกันนะครับ”
   
        “ผมว่าพี่ผู้ชายตัวเล็กนี่ใส่ M ก็น่าจะพอนะ ไม่ต้องห่วงฮะ มันเป็น M ไซส์ผู้ชาย ลายนี้...โอ้ เหลือตัวสุดท้ายพอดี ส่วนพี่ตัวโตนี่เลยครับ สำหรับพี่เลย ทั้งหมดสามตัวสามร้อยสี่สิบครับ”
   
        คือ...ฟังเขาอธิบายหน่อยก็ได้นะ ฟังปานตะวันพูดบ้างเถอะ ใครก็ได้!
   
       “นี่ครับ” ราเมศจ่ายเงินค่าเสื้อให้กับเจ้าของร้าน จากนั้นก็จูงมือเจียหลินไปที่โต๊ะว่าง บนโต๊ะมีกล่องใส่สีสำหรับระบายเสื้ออยู่ด้วย  หนูเจียยิ้มแป้น เริ่มลงมือระบายสีเสื้ออย่างสนุกสนาน
   
       “พี่เมศ!” ปานตะวันฮึดฮัด หยิบเงินค่าเสื้อตัวเองกับค่าเสื้อเจียหลินออกมาส่งให้ แต่ราเมศกลับจุ๊ปาก ดันมือปานตะวันกลับไปที่เดิม จากนั้นก็บุ้ยใบ้ให้ดูเจียหลินที่สนุกสนานกับการระบายสี ส่งสายตาประมาณว่า นายทำลายความสุขหลานได้จริงๆ เหรอ พอเห็นรอยยิ้มกับดวงตาเป็นประกายปานตะวันก็ยอมแพ้
   
        “ยังไม่คืนตอนนี้ก็ได้” แต่เขาจะคืนให้ทีหลัง ปานตะวันไม่ยอมให้ราเมศมาออกเงินให้ไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้หรอก ชายหนุ่มนั่งลงแล้วก็เริ่มระบายสีบ้าง จากนั้นเขาก็หลุดเข้าโลกส่วนตัวไปเลย ตั้งหน้าตั้งตาระบายโดยไม่รู้ว่าราเมศกำลังนั่งเท้าคางมองพวกเขาสองน้าหลานด้วยสายตามีความสุขมากขนาดไหน
   
        หลังระบายสีเสื้อเสร็จพวกเขาก็เดินหาขนมกินเล่นกัน ปานตะวันเจอร้านขนมเบื้องร้านหนึ่งที่ครีมไม่หนาจนดูเลี่ยน ชายหนุ่มซื้อมากล่องหนึ่ง ป้อนตัวเองบ้าง ป้อนเจียหลินบ้าง แล้วก็ป้อนราเมศบ้าง สลับกันไปจนหมดกล่อง
   
        “หนูเจียอยากกลับบ้านหรือยังครับ” ปานตะวันเอ่ยถาม นาฬิกาข้อมือเขาบอกเวลาสามทุ่มครึ่งซึ่งมันก็เริ่มดึกแล้ว เจียหลินพยักหน้า เด็กชายคงเริ่มง่วงแล้วเพราซบหน้าลงกับบ่ากว้างของราเมศ ดวงตากลมๆ เริ่มหรี่ปรือ
   
        “งั้นกลับบ้านกัน”
   
        “อื้ม”
   
        พวกเขาเดินออกจากบริเวณงาน ลัดไปข้างตึกเก่าๆ เพื่อเข้าสู่ลานจอดรถ บริเวณตึกเก่าๆ นั้นเงียบสนิท เสียงเพลงและเสียงผู้คนฟังดูห่างไกล ตอนนั้นเองที่พวกเขาสามคนได้ยินเสียงแปลกๆ
   
        “เมี้ยว”
   
        เสียงร้องแหลมเล็กดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ  หนูเจียที่ตาปรืออยู่ก็พลันตาสว่าง ผงกหัวขึ้นมา “น้าตะวัน...แมว”
   
        “อื้อ น้าก็ว่างั้น เสียงมาจากแถวๆนี้”
   
        เมี้ยว
   
       “นั่นไง หนูเจียได้ยินอีกแล้ว”
   
       “สงสัยมีแม่แมวมาคลอดลูกแถวนี้มั้ง”
   
       “หนูเจียอยากเห็นแมวครับ”
   
        ปานตะวันหยิบโทรศัพท์มาเปิดไฟฉาย ส่องไปส่องมารอบบริเวณเพื่อหาต้นเสียง พักหนึ่งราเมศก็ชี้ไปที่มุมหนึ่งข้างตึก เป็นบริเวณที่ไม่มีแสงไฟส่องถึง “นั่นไง”
   
        ทั้งสามเดินเข้าไปใกล้ แสงไฟจากโทรศัพท์ของปานตะวันส่องกระทบลังกระดาษเก่าๆ หนึ่งใบ เสียงร้องเหมียวแสนเศร้าดังมาจากข้างใน
   
       “น้าตะวัน ลูกแมวนี่นา” หนูเจียกระซิบ ราเมศปล่อยให้หนูเจียลงยืนเองที่พื้นพร้อมกำชับว่า “ดูได้แต่ห้ามจับแมวนะครับหนูเจีย”
   
        ลูกแมวในกล่องมีสองตัว ตัวหนึ่งเป็นแมวสีดำ แต่บริเวณเท้าของมันกลับเป็นสีขาว อีกตัวเป็นสีส้มอิฐ ดวงตากลมแป๋วกระทบแสงไฟเมื่อพวกมันเงยหน้ามองอย่างอ่อนล้า รูปร่างของมันทั้งคู่ผอมโกรก ตัวก็เล็กกระจิ๋วเดียว เหมือนไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน
   
        “แม่มันไปไหนล่ะเนี่ย” ปานตะวันพึมพำ แต่สภาพแบบนี้แปลได้ว่าแม่มันอาจตายแล้วหรือไม่มันก็ถูกคนเอามาปล่อยแล้วไม่มีใครให้อาหารมันเลย
   
       “มีตัวนึงใส่ถุงเท้าด้วยแฮะ” ราเมศพูดอย่างสนใจพลางย่อตัวลงพิจารณาเจ้าเหมียวทั้งคู่ นอกจากผอมแล้วตัวสีส้มยังมีบาดแผลตามตัวด้วย
   
       “น้าเมศครับ พวกมันผอมมากเลย”
   
       “ครับ มันคงโดนคนเอามาปล่อยไว้น่ะ”
   
       ราเมศไม่ได้บอกหลานว่าขืนเป็นแบบนี้ไปอีกสองสามวันลูกแมวพวกนี้ได้อดตายแน่ แต่หนูเจียก็เหมือนจะรู้เพราะเด็กชายมองแมวด้วยสายตาสงสาร
   
       “มันจะตายไหมครับ”
   
       “น้าเมศก็ไม่รู้ ถ้ามีคนมาให้อาหารแล้วพามันไปหาหมอมันก็คงไม่ตาย”
   
       แต่ก็ดูเป็นไปได้ยากล่ะนะ
   
       “เราเหมือนเป็นพวกเดียวที่เจอมันเลยนะ” ปานตะวันย่อตัวลงมาบ้าง จ้องมองแมวทั้งคู่ด้วยสายตาสงสารเช่นเดียวกัน
   
        ตอนเด็กๆ เขาเคยอยากเลี้ยงแมวหรือไม่ก็หมามาก แต่พี่จันทร์ดันแพ้ขนของพวกหมาเขาก็เลยมีแค่ปลาทองตาโตหนึ่งตัว ปานตะวันชอบมันมากแต่ปลาทองตายง่าย เลี้ยงได้ไม่นานมันก็ตาย จากนั้นเขาก็ไม่ยอมเลี้ยงสัตว์อีกเลย บางครั้งปานตะวันจะแอบไปเล่นกับแมวหรือหมาของพวกเพื่อนๆ บ้าง แล้วก็ได้แต่อิจฉา  อยากมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองบ้าง พอหันไปมองหนูเจียก็รู้เลยว่าหลานอยากพาพวกมันกลับบ้าน
   
        ปานตะวันก็อยากนะ แต่...ไม่รู้สิ...เลี้ยงสัตว์ต้องมีเวลาให้มัน ปานตะวันไม่แน่ใจว่าเขาจะเลี้ยงพวกมันได้ในตอนนี้
   
        “หนูเจียอยากพาพวกมันกลับบ้านใช่ไหม” ราเมศเอ่ยขึ้น หนูเจียก้มหน้างุดแต่ก็พยักหน้าแทนคำตอบ หลานคงไม่กล้าขอ ราเมศหันมาสบตาปานตะวันอยู่ครู่หนึ่ง มองอยู่นานเหมือนกับจะพิจารณาอะไร จากนั้นก็หันไปมองแมวสองตัวในกล่อง
   
        “ได้ งั้นเราพามันกลับบ้านกัน”
   
        “เอ๋!?”
   
        “ได้เหรอครับ”
   
        หนูเจียกับปานตะวันพูดขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งท่าทางตกใจ อีกคนพูดด้วยสีหน้าดีใจสุดขีด ราเมศพยักหน้า บอกให้หนูเจียเป็นคนถือกล่องใส่แมวไป “ระวังอย่าให้มันกัดหรือข่วนนะหนูเจีย อย่าเพิ่งจับด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะพามันไปหาหมอ”
   
       “ครับผม”
   
        เจียหลินอุ้มลังกระดาษขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วเดินนำไปจนถึงรถของราเมศ ก่อนจะขึ้นรถปานตะวันรั้งแขนราเมศไว้ด้วยสีหน้าร้อนรน “พี่เมศตะวันไม่มีเวลาดูแลพวกมันมากเท่าไหร่หรอกนะ เงินจะไปหาหมอก็...”
   
       “ตะวันก็อยากพามันกลับไปเลี้ยงใช่ไหมล่ะ เจ้าสองตัวนั่นน่ะ” ปานตะวันขมวดคิ้ว ราเมศเลยขยายความต่อ “พี่มองเราก็รู้แล้วว่าอยากได้”
   
        ไอ้อยากได้น่ะมันก็ใช่ แต่... “ตะวันเลี้ยงมันไม่ได้หรอกตอนนี้”
   
        “เขาบอกเลี้ยงสัตว์ดีกับเด็กนะ มีเพื่อนเล่น ฝึกความรับผิดชอบ ทำให้อ่อนโยนขึ้น ดีออก”
   
        “พี่ตามใจพวกผมมากไปแล้ว” ปานตะวันบ่นอุบ อยากได้อะไรก็ซื้อให้ ช่วยเลี้ยงหลาน ช่วยออกค่านู่นค่านี่ “ผมไม่ได้มาเกาะพี่กินนะ”
   
        “รู้ นายก็คืนเงินพี่ตลอด แถมยังทำงานหนักกว่าคนอื่นด้วยไม่ใช่เหรอ บางเรื่องพี่ก็แค่อยากทำให้ อยากตามใจ...ก็เรา...จีบๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
   
       “จะทำคะแนนหรือไง พอไม่จีบ หมดโปร ก็ไม่ตามใจแล้วงั้นสิ”
   
      ปานตะวันหันมาแยกเขี้ยวใส่ ราเมศหัวเราะ ดึงแก้มเจ้าแมวแสบตรงหน้าจนยืดนิดๆ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหู
   
       “นายรู้ไหมปานตะวัน...พี่เป็นพวกทาสแมวน่ะ แมวของพี่ พี่ก็อยากตามใจมันเยอะๆ ตามใจมันไปตลอด เข้าใจพี่หน่อยนะ” ท้ายเสียงแฝงแววออดอ้อนเล็กๆ เอาไว้ด้วย ปานตะวันยกมือกุมอก ครางในใจ
   
       พระเจ้า..ไม่รู้เลยว่าคนนิ่งเงียบแบบราเมศ พอได้อ้อนแล้วมันจะมีอานุภาพทำลายสติได้มากขนาดนี้
   
        พอเห็นปานตะวันนิ่งไป ราเมศก็ยิ้ม จูงมือคนตัวเล็กไปที่รถซึ่งหลานชายยืนรออยู่ พอพวกเขาเดินมาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มตาแป๋วให้ แล้วก็ถามว่าจะตั้งชื่อแมวในกล่องว่าอะไรดี ปานตะวันที่ตอนแรกยังเขินราเมศอยู่แต่พอถูกแมวดึงความสนใจไปก็เข้าไปช่วยหนูเจียคิดชื่ออย่างสนุกสนาน
   
       ราเมศขับรถไปพลางเหลือบมองคนข้างตัวกับหลานชายด้านหลังแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาเหมือนครอบครัวเดียวกันไม่มีผิดเลย...
   
       เฮ้อ ก็พวกลูกแมวของเขาน่ารักขนาดนี้...จะไม่ให้หลวมตัวไปเป็นทาสแมวได้ยังไงกันล่ะ...เนอะ

****************************************************

สวัสดีค่าาา หายหน้าไปนานพอควร ไม่โกรธกันน้า เรากลับมาแล้วค่า กลับมาพร้อมกับความน่ารักของสองน้าหลาน
และพี่เมศทาสแมว ตอนนี้ก็ยังดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ เป็นความสัมพันธ์ที่ก้าวไปทีละนิด ทีละนิด ได้เขียนอะไรแบบนี้แล้วสบายใจ
มากเลยค่ะ รู้สึกฮีลตัวเองมาก ฮาาาา หวังว่าทุกคนจะชอบและมีความสุขกับการอ่านนะคะ  :L2:
อ่านแล้วสามารถคอมเม้นท์ติชมได้เลยนะคะ รักคนอ่านทุกคน พบกันใหม่ตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-03-2017 22:44:58
เป็นทาสเเมวเต็มตัวละพี่เมศ อิอิ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 27-03-2017 03:27:10
น่ารักด
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 27-03-2017 06:56:05
พี่เมศทาสแมวววววววว (โงหัวไม่ขึ้นแน่นอน)
รุกจนปานตะวันไปไม่เปนเลยนะพี่ 555555
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-03-2017 11:07:23
สมกับชื่อตอนเลยค่ะ พี่เมศทาสแมวโดยแท้
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-03-2017 12:02:37
 :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 27-03-2017 18:57:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 27-03-2017 22:42:53
พี่เมศผู้เป็นทาสแม่โดยแท้ ฮาาาาา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๙ ทาสแมว (๒๖/๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-03-2017 23:53:39
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 09-04-2017 20:38:26
ปานตะวัน
บทที่ ๑๐
อุบัติเหตุ


        ในที่สุดลูกแมวทั้งสองที่เก็บมาก็มีชื่อจนได้ โดยตัวสีส้มปานตะวันเป็นคนตั้งชื่อให้ว่าถุงทองส่วนตัวสีดำหนูเจียตั้งชื่อให้ว่าขาว
   
        หลังรับสมาชิกใหม่มาอยู่ที่บ้าน ราเมศก็อาสาพาเจ้าเหมียวทั้งสองไปหาสัตวแพทย์เพื่อทำแผล ตรวจร่างกายและฉีดวัคซีนให้เรียบร้อย ชายหนุ่มเลือกคลินิกใกล้บ้านที่เขารู้จักกับคุณหมอเป็นสถานที่พาเจ้าเหมียวไปรักษา แต่นอกจากจะมีแมวเหมียวสองตัวในตะกร้าแล้ว ราเมศยังต้องกระเตงแมวเล็กและแมวใหญ่ของเขาไปที่คลินิกด้วยเนื่องจากทั้งคู่ไม่ยอมอยู่บ้าน ปานตะวันยืนกรานจะมาหารค่ารักษากับเขา ส่วนหนูเจียขอตามมาดูถุงทองกับเจ้าขาว ช่วงนี้หลานชายเขาเห่อแมวทั้งสองตัวเอามากๆ
   
          “ถึงแล้ว ที่นี่ล่ะ” ราเมศพูดเมื่อพวกรถยนต์จอดอยู่หน้าอาคารสามชั้นที่ทาสีเหลืองอ่อนๆ ขึ้นป้ายขนาดใหญ่สะดุดตาไว้ว่าคลินิกรักษาสัตว์ บริเวณนั้นมีรถจอดอยู่ไม่กี่คันและรองเท้าที่วางบนชั้นหน้าร้านก็ไม่เยอะมาก วันนี้พวกเขาคงไม่ต้องรอนาน
   
         “หนูเจีย ส่งตะกร้าถุงทองกับขาวมาครับ เดี๋ยวน้าเมศถือให้”
   
         เจียหลินส่งตะกร้าพลาสติกสีฟ้าใบใหญ่ที่มีผ้าปูสำหรับแมวทั้งสองให้ราเมศแต่โดยดี เห็นดังนั้นปานตะวันจึงเดินไปจูงมือหลานเอาไว้ เดินตามกันเข้าไปด้านใน
   
        เสียงกระดิ่งดังขึ้นทันทีที่ผลักประตูเข้าไป หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ประจำเคาน์เตอร์อยู่เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ “สวัสดีค่ะ”
   
        “สวัสดีครับ คือว่าเราพาเจ้าเหมียวสองตัวนี้มาทำแผลแล้วก็ตรวจสุขภาพน่ะครับ”
   
        ราเมศเปิดตะกร้า หญิงสาวคนนั้นยกผ้าปิดจมูกขึ้นมาสวมพร้อมกับใส่ถุงมือ เธอตรวจเช็คเจ้าลูกแมวคร่าวๆ แล้วก็ถามว่า “คุณพอทราบไหมคะว่าทำไมมันบาดเจ็บ แล้วเจ้าสองตัวนี้อายุเท่าไหร่แล้วคะ เคยพามันมารักษาที่นี่ไหมคะ”
   
        “ไม่ทราบครับ คือเราไปเจอมันถูกทิ้งในกล่อง แม่มันก็ไม่อยู่ ท่าทางผอมเหมือนไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแล้ว เราเลยพามันกลับมาด้วยน่ะครับ”
   
        “เข้าใจแล้วค่ะ พวกคุณเคยพามันมาที่นี่ไหมคะ”
   
        “ไม่ครับ นี่ครั้งแรก”
   
        “เข้าใจแล้วค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”
   
        หญิงสาวกลับไปที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง หนูเจียที่มีสีหน้าเป็นห่วงก็ชะโงกหน้าดูเจ้าแมวทั้งสองที่ขดตัวเข้าหากัน ท่าทางจะหนาว เมื่อคืนหลังเก็บพวกมันกลับมาปานตะวันกับราเมศก็แวะซื้ออาหารแมวแบบเปียกให้ทั้งสองตัวกินไปก่อน พวกเขาทั้งคู่ไม่เคยเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นวันนี้จึงมาเพื่อขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์ด้วย
   
        “น้าตะวัน น้าเมศ พวกมันจะตายไหมครับ” ดวงตากลมโตของหนูเจียฉายชัดถึงความเป็นห่วง เด็กชายแก้มป่องอยากช้อนตัวลูกแมวมาอุ้มแต่ติดที่น้าตะวันห้ามไว้
   
        “ไม่ตายหรอกครับ เราพามันมาหาหมอแล้วนี่ไง พอถึงมือคุณหมอก็หายห่วงแล้ว” ราเมศตอบหลานชายยิ้มๆ หลังจากนั้นหญิงสาวที่เคาน์เตอร์ก็กลับมาพร้อมกับยื่นเอกสารให้เขากรอก จากนั้นชายหนุ่มก็กลับมานั่งรอคิวอยู่ที่เก้าอี้พลาสติกเหมือนเดิม ตอนนั้นเองที่ราเมศสังเกตว่าปานตะวันเอาแต่มองซ้ายมองขวาเกือบตลอดเวลา
   
        “เป็นอะไรตะวัน ปวดท้องเหรอ”
   
        “เปล่าสักหน่อย” ชายหนุ่มร่างเล็กสวนกลับ จากนั้นก็หันกลับมาสบตาเขาด้วยสีหน้าราวกับกำลังขัดเขิน “ตะวันแค่...เพิ่งมาที่แบบนี้ครั้งแรกน่ะ” ก็เลยเห็นอะไรๆ น่าสนใจไปหมด โดยเฉพาะพวกลูกหมาขนฟูในกรงที่ตั้งอยู่อีกห้องหนึ่ง ห้องนั้นอยู่สุดทางเดิน และเปิดประตูค้างเอาไว้ตลอดเวลาทำให้คนที่เข้ามาเห็นสุนัขหลากหลายพันธุ์ที่นอนบ้าง นั่งมองตาแป๋วตอบกลับมาบ้างได้ชัด
   
       “อ๋อ ตื่นเต้นสินะเด็กน้อย” คนตัวโตอมยิ้ม ยกมือลูบเส้นผมสีน้ำตาลของปานตะวันเป็นเชิงเย้าแหย่ และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คืออาการแยกเขี้ยวขู่ฟ่อของชายหนุ่ม
   
       “นี่ตะวันไม่ใช่เด็กนะ!”
   
        “เหรอ แต่นายทำท่าทางเหมือนหนูเจียเปี๊ยบเลย ดูหลานสิ หันไปหันมาไม่หยุดเลย”
   
        “พูดมากจริง ให้หมาห้องนู้นกัดซะดีไหม”
   
        “น่ากลัวจัง” ราเมศหัวเราะ ชายหนุ่มโยกหัวปานตะวันไปมาอย่างเอ็นดู “อืม...มาที่นี่นอกจากเอาแมวเหมียวสองตัวนี้มาตรวจสุขภาพพี่ว่าให้คุณหมอฉีดยานายไปด้วยเลยดีกว่า จะได้ไม่กลายเป็นบ้า”
   
        “ไอ้พี่เมศ!”
   
         ปานตะวันนึกอยากกระโดดถีบราเมศรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน แต่เพราะอีกฝ่ายใจดียอมพาเขากับหลานชายมาที่นี่หรอกนะ วันนี้จะยอมให้ก็แล้วกัน
   
        นั่งเถียงนั่งคุยกันไปสักพักคุณผู้ช่วยก็เดินมาบอกให้ราเมศพาแมวเข้าไปในห้องสำหรับตรวจ ปานตะวันให้หนูเจียรออยู่ด้านนอกส่วนตัวเองก็ตามเข้าไปด้วย คุณหมอที่รออยู่ข้างในเป็นหญิงสาวผมสั้น รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางทะมัดทะแมง พอเธอเห็นราเมศดวงตากลมโตคู่นั้นก็ฉายประกายดีใจอย่างไม่ปิดบัง
   
         “เฮ้ยเมศ! มาได้ไงเนี่ย”
   
         “ไงปิ่น วันนี้มีลูกแมวสองตัวมาให้เธอช่วยดูล่ะ”
   
         ปานตะวันที่เดินตามเข้ามากะพริบตาปริบมองคุณหมอคนสวยเดินมาตบหลังตบไหล่ราเมศ ทักทายกันสนิทสนม จะว่าไปอีกฝ่ายก็บอกแล้วนี่นะว่ารู้จักกับคุณหมอเจ้าของคลินิกแต่ไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิงสวยขนาดนี้
   
         ชายหนุ่มผมน้ำตาลพินิจพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าแล้วก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายสวยมากจริงๆ ถ้าเขาไม่ได้ชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรกเขาก็คงจะตามจีบคนแบบนี้แหละ
   
        “เออ ปิ่น มีคนจะแนะนำให้รู้จัก นี่ตะวัน เป็นน้องชายบ้านตรงข้าม”
   
         น้องชายบ้านตรงข้าม...
   
         ปานตะวันมุ่นคิ้วเล็กน้อย ในอกรู้สึกเจ็บแปล็บขึ้นมาทันใด ทั้งที่รู้ว่าการที่ราเมศแนะนำเขาไปแบบนั้นก็ถูกต้องแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกในอกเขามันถึงได้หน่วงขึ้นมาก็ไม่รู้
   
        “สวัสดีค่ะ ชื่อปิ่นนะคะ เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของเมศค่ะ”
   
        “สวัสดีครับ ผมปานตะวันครับ เป็นเพื่อนบ้านพี่เมศ”
   
         นี่ไง พูดไปแล้วก็รู้สึกแย่เองอีกต่างหาก ปานตะวันยิ้มให้คุณหมอปิ่น ไม่ได้หันไปมองว่าราเมศทำสีหน้ายังไงด้วยซ้ำ แต่ถึงไม่ต้องมองก็รู้ คนคนนั้นก็คงมีสีหน้าเฉยๆ เป็นปกตินั่นแหละ
   
         “ปานตะวันเหรอ ชื่อน่ารักจังเลยนะ แต่เมศบอกว่าเป็นน้องแบบนี้แปลว่าอายุน้อยกว่าสินะ งั้นเรียกพี่ว่าพี่ปิ่นก็ได้นะจ๊ะ”
   
        “ครับ พี่ปิ่น”
   
        หญิงสาวผมสั้นยิ้มจนตาหยีให้ปานตะวัน เธอดูเป็นคนมีบุคลิกร่าเริงน่าคบหา รอยยิ้มของเธอสดใสมากเสียจนปานตะวันที่ยังรู้สึกหน่วงๆ ในอกยังอดยิ้มตอบไม่ได้
   
        “เอ้าๆ มัวแต่ยิ้มให้กันอยู่นั่นแหละ จะได้ตรวจไหมลูกแมวเราเนี่ย” ราเมศกระแอม ปิ่นที่รู้ตัวว่าถูกพาดพิงเลยเลิกคิ้วขึ้น หญิงสาวกับผู้ช่วยช้อนลูกแมวมาวางบนเตียง จัดการตรวจร่างกายของมันไปพลางคุยไปพลาง
   
        “ทำไม หึงเราเหรอเมศ”
   
        “โอ๊ย คุณนายปิ่น ทำไมเราจะต้องหึงเธอด้วย ที่แทรกเนี่ยคือกระผมห่วงแมวครับ  เธอมัวแต่พูดมัวแต่ยิ้ม ชาติหน้าก็ไม่ได้ตรวจหรอกมั้ง”
   
        “นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นแฟนเก่าและเพื่อนเก่าเราเอากระบะทรายใส่อึแมวเขวี้ยงหัวนายไปแล้ว”
   
         ประโยคสุดท้ายนั่นเองที่ทำให้ปานตะวันหูผึ่ง ชายหนุ่มที่กำลังมองคุณหมอพลิกซ้ายพลิกขวาลูกแมวอยู่เลยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด
   
        “พี่ปิ่นกับพี่เมศเคยเป็นแฟนกันเหรอครับ”
   
        “เรื่องเก่าสมัยไหนก็ไม่รู้ นายไม่ต้องรู้หรอก” ราเมศรีบแทรกแต่ก็ถูกปานตะวันหันมาทำหน้าสงสัยใส่ “ทำไมต้องไม่อยากให้รู้ด้วยอ่ะ ก็ผมสงสัยเลยถามนี่ไง”
   
        “แล้วทำไมต้องอยากรู้”
   
        “ก็...ก็” ปานตะวันอึกอัก ดวงตาคมสีนิลที่แฝงแวววิบวับคู่นั้นจ้องมาเหมือนอยากจะเค้นให้เขาคายความในใจออกมา จะบอกไปได้ยังไงเล่าว่าพอได้ยินว่าทั้งคู่เคยเป็นแฟนเก่ากันแล้ว...แล้วมันก็เกิดอาการอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมเลิกกัน พี่เมศบอกชอบแบบไหน ตอนเป็นแฟนกันทำอะไรกันบ้าง รู้นะว่าถ้ารู้ก็จะเจ็บ แต่ก็ยังอยากให้เล่า ไม่รู้เป็นบ้าอะไนเหมือนกัน
   
        “ว่าไงตะวัน ทำไมต้องอยากรู้” พอถูกเค้นหนักๆ เข้าปานตะวันก็เสหลบตาไปทางอื่น ในหัวคิดหาทางรอดมาร้อยแปด จนกระทั่งความคิดหนึ่งวาบเข้ามา คนปากไวเลยพลั้งปากไปไวเท่าใจคิด
   
        “ก็พี่ปิ่นสวย” ปานตะวันโพล่งออกมา เขาเห็นรามศชะงักไปนิดหนึ่ง “ตะวันเลยอยากรู้ว่าคนสวยๆ เก่งๆ แบบพี่ปิ่นทำไมมาตกลงปลงใจกับพี่เมศได้ ไม่เห็นเข้ากันเลย”
   
        “โอ๊ย น้องตะวันคะ ชมขนาดนี้พี่เขินนะเนี่ย” คุณหมอปิ่นคนสวยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ส่วนมาตกลงปลงใจกับเมศได้ยังไงพี่ก็ไม่รู้ ช่วงนั้นคงหน้ามืดน่ะ”
   
        “นี่ หยุดเลยนะทั้งคู่!”
   
        ปิ่นอยากจะหัวเราะออกมาให้ลั่นห้องตรวจแต่มันคงไม่เหมาะ หญิงสาวจึงกระแอมแล้วก้มหน้าก้มตาตรวจลูกแมวต่อไป ปล่อยให้ชายหนุ่มอีกสองคนในห้องฟาดฟันกันผ่านสายตา สักพักเธอก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับพูดว่า “เอาล่ะ ฉันทำแผลให้ลูกแมวพวกนี้เสร็จแล้ว ที่อยากจะบอกคือพวกมันอ่อนแอมาก  ฉันคงต้องนัดพวกนายให้พาแมวมาอีกเพื่อมาทำแผลให้ใหม่แล้วก็คุยกันเรื่องวัคซีน”
   
        “ตกลง”
   
        “วัคซีนหลักๆ ที่ต้องฉีดก็มีป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้หัด โรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้น โรคช่องปากและลิ้นอักเสบ ส่วนวัคซีนทางเลือกก็เช่นวัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมียพวกนี้ อ้อ หมอแนะนำให้ทำหมันแมวด้วยนะป้องกันปัญหาระยะยาว”
   
        “แล้วตอนนี้เจ้าสองตัวนี้มันอายุเท่าไหร่เหรอครับ” ปานตะวันถามขึ้นบ้าง คุณหมอปิ่นก็ตอบกลับมาว่า “หมอดูแล้วเจ้าสองตัวนี้น่าจะอายุประมาณหนึ่งเดือนได้นะคะ อ้อ ต้องถ่ายพยาธิให้มันด้วยล่ะนะ”
   
       ผู้ช่วยจับลูกแมวทั้งสองใส่ตะกร้าตามเดิม ปานตะวันประคองตะกร้าตามคุณหมอออกไป ระหว่างนั้นคุณหมอปิ่นก็พูดเรื่องการดูแลแมวไปด้วย
   
       “เรื่องอาหารไม่ควรเอานมวัวให้แมวกินนะคะ ถ้าจะให้นมก็ควรเป็นนมแพะค่ะ เด็กๆ อายุหนึ่งเดือนแล้วทานเริ่มอาหารเปียกได้แล้ว ที่นี่มีอาหารสำหรับแมวเด็กขายด้วยยังไงจะลองซื้อไปก่อนสักถุงสองถุงก็ได้นะ” จากนั้นคุณหมอก็แนะนำอุปกรณ์อื่นๆ และยี่ห้ออาหารเพิ่มอีกนิดหน่อย จากนั้นคุณผู้ช่วยที่เคาน์เตอร์ก็ยื่นสมุดบันทึกการตรวจสุขภาพสำหรับเจ้าสองตัวนี้มาให้ ที่หน้าปกมีชื่อเจ้าของซึ่งก็คือชื่อราเมศและชื่อของลูกแมวเขียนเอาไว้ด้วย
   
        “วันนัดครั้งต่อไปถ้าเป็นตามนี้คุณสะดวกไหมคะ”
   
        “สะดวกครับ”
   
        “งั้นก็ตามนี้เลยค่ะ” หญิงสาวแนะนำเรื่องการทำดูแลลูกแมวตัวที่เจ็บเพิ่มเติม เมื่อเสร็จกระบวนการราเมศก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาเพื่อจ่ายค่ารักษา ตอนนั้นเองที่มือขาวๆ ของปานตะวันยื่นเงินตัดหน้าเขาไป หญิงสาวรับเงินไปจากนั้นก็โค้งให้ เป็นอันเสร็จการพาเจ้าแมวเหมียวมาหาหมอ
   
        “ตะวัน” ราเมศพูดเสียงดุแต่คนถูกเรียกชื่อกลับทำหูทวนลม หนำซ้ำยังหันไปโบกมือลาคุณหมอปิ่นพร้อมรอยยิ้มหวานๆ ทำเป็นไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนดุในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้านี้
   
        “ไหนบอกว่าหารกัน” ราเมศเปิดฉากทันทีที่พวกเขาขึ้นมานั่งบนรถ ปานตะวันก็หันมามอง เลิกคิ้ว “ก็จ่ายเต็มไปก่อนไง ค่อยคืนอีกครึ่งทีหลัง ไปยืนนับเงินตรงนั้นคุณหมอเขารอนานนะ”
   
        “คืนก็รับด้วยล่ะ อย่าได้บังอาจบ่ายเบี่ยงไม่เอาเงิน”
   
        “รู้น่า ดุจริง” ปานตะวันแยกเขี้ยว “ทำไม หึงหรือไงที่ผมไปยิ้มให้แฟนเก่าพี่”
   
         ราเมศเงียบไป ไม่ตอบ ปานตะวันก็เบือนหน้าหนีออกไปมองที่นอกหน้าต่างรถ ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะ ‘รวน’ ขึ้นมาทำไม ตอนที่กำลังจะอ้าปากขอโทษคนที่นั่งเงียบมาตลอดก็ตอบกลับมา
   
        “อืม หึง”
   
        “หึง...ใคร”
   
         ดวงตาติดดุปรายมามองแล้วก็หันไปมองถนนต่อ ถามเสียงนิ่ง “คิดว่าหึงใครล่ะ”
   
         “หึงพี่ปิ่นมั้ง”
   
         “ผิด ตอบใหม่”
   
         “หึงหนูเจีย”
   
         “หนูเจียอยู่นอกห้อง จะให้หึงอะไร”
   
          “หึงแมว”
   
         “ที่ตอบนี่ได้คิดไหม”
   
         “ดุทำไมเล่า!”
   
         ราเมศถอนหายใจเมื่อเจ้าแมวของเขาเอาแต่บ่ายเบี่ยงไปมา รู้แหละว่าเจ้าตัวรู้คำตอบ แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาสักที เอาแต่เบี่ยงไปเบี่ยงมาอยู่นั่น สุดท้ายคนที่ต้องพูดออกไปก็เป็นเขา
   
         “พี่หึงนาย ไม่ชอบให้ยิ้มแบบนั้นให้คนอื่น อีกอย่างนายก็ชมปิ่นว่าสวยด้วย หงุดหงิดมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
   
         “ไม่ยิ้มให้ใครเลยตะวันก็กลายเป็นคนอัธยาศัยไม่ดีอ่ะดิ”
   
         “ยิ้มให้พี่แค่คนเดียวไม่ได้หรือไง”
   
         ภายในรถเหลือแต่ความเงียบ ปานตะวันยกมือกุมอก หัวใจเต้นรัว ราเมศเหลือบมองแล้วก็ยกยิ้มมุมปาก เพราะแบบนี้ไงถึงได้หวง ไอ้ท่าทางเขินอายจนผิวแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีเข้มกับรอยยิ้มกว้างแบบนี้มันน่ารักจนไม่อยากให้ใครเห็นเลยนอกจากเขา
   
        วันต่อๆ มาปานตะวันกับราเมศก็เจียดเงินจำนวนหนึ่งมาซื้ออาหารแมว กระบะทราย และเก็บไว้เป็นค่าวัคซีนสำหรับถุงทองและขาว เจ้าลูกเหมียวสองตัวกลายเป็นเพื่อนเล่นของหนูเจียอย่างสมบูรณ์ และด้วยการดูแลอย่างดีของปานตะวันกับราเมศทั้งสองเหมียวก็หายวันหายคืน สองสามสัปดาห์ต่อมาก็แข็งแรงจนวิ่งได้ปร๋อ
   
        ปรากฏว่าปานตะวันกลับปวดหัวมากกว่าเดิมและเหนื่อยมากขึ้นเมื่อเจ้าลูกแมวพวกนั้นพากันข่วนโซฟา ข่วนผ้าม่าน และวิ่งชนนั่นชนนี่จนหล่นเป็นประจำ นอกจากนี้ทั้งสองตัวกับหนูเจียยังชอบหายลงไปวิ่งเล่นในสวนเป็นประจำ พอกลับขึ้นบ้านมาทั้งคนทั้งแมวก็สกปรกมอมแมมกันไปหมด
   
        “บ้าเอ๊ย นี่แมวหรือลิงวะเนี่ย ซนอะไรขนาดนี้” ปานตะวันบ่นเป็นรอบที่ล้านระหว่างที่ตามเก็บเศษนุ่นจากตุ๊กตาบนพื้น หนูเจียของเขาใจดีสละตุ๊กตาหนึ่งตัวให้เพื่อนสี่ขาเอาไปเล่น เด็กน้อยชอบใจนักเวลาวิ่งๆ แล้วโยนตุ๊กตาลงบนพื้นให้แมวทั้งสองกระโดดไปรุมฟัด ส่วนตุ๊กตาที่น่าสงสารก็ถูกข่วนถูกฟัดจนพุงขาดนุ่นทะลักกันเลยทีเดียว
   
        “แม่งหนังสยองขวัญชัดๆ” ชายหนุ่มครางเมื่อเห็นสภาพตุ๊กตาบนพื้น ได้แต่ยืนสงบนิ่งส่งให้วิญญาณตุ๊กตาที่น่าสงสารไปสู่สุขคติ
   
        “เหมียว”
   
       เสียงครางเล็กๆ ดังขึ้น พอก้มมองก็เห็นลูกแมวสีส้มที่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนังแล้วกำลังเอาตัวถูไถข้อเท้าเขาอย่างออดอ้อน ขนที่เคยแห้งกรังและร่วงเป็นกระจุกบัดนี้พองฟูและขึ้นจนเต็มตัว ประกอบกับนิสัยที่ขี้อ้อนมากกว่าแมวอีกตัวทำให้เจ้าถุงทองกลายเป็นแมวตัวโปรดของปานตะวันไปโดยปริยาย
   
        “มาอ้อนเอาอะไรหือ หรือว่าจะมาสารภาพผิดที่ฟัดตุ๊กตาซะเละแบบนี้ รู้ไหมคนกวาดมันเหนื่อยนะ” ปานตะวันบ่นอุบแต่ก็ยินยอมนั่งลงแล้วเกาคอเกาหูให้แมวน้อยตามที่มันต้องการ เจ้าเหมียวที่พอมีคนปรนนิบัติก็หรี่ตา ล้มตัวนอนกลิ้งเกลือกอย่างสบายใจ
   
        “แล้วนี่หนูเจียกับเจ้าขาวไปไหน ทำไมไม่อยู่ด้วยกัน” ปกติหลานชายเขากับแมวอีกสองตัวตัวติดกันประหนึ่งแฝดสาม น่าแปลกที่วันนี้เหลือเจ้าถุงทองมาอ้อนเขาเพียงตัวเดียว
   
        หรือว่าจะลงไปซนกันที่สวนอีกแล้วนะ
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลเดินลงจากเรือนไทยลงไปที่สวน พลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากแถวประตูรั้วเขาจึงรีบเดินไปที่นั่น ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลานชายกับเจ้าขาวกำลังปล้ำจับกันอยู่บนพื้น หนูเจียหัวเราะร่าแม้ว่าจะมีดินเปื้อนตามเสื้อแล้วก็ตัวก็ตาม ดูท่าว่าพอเล่นเสร็จต้องจับอาบน้ำอีกรอบ
   
       “หนูเจีย ทำอะไรอยู่ครับ” ปานตะวันเดินเข้าไปใกล้ เด็กน้อยของเขาก็เงยหน้ายิ้มแฉ่งอวดฟันกระต่ายให้ หนูเจียตอบเสียงใสว่า
       
       “หนูเจียกำลังจะจับขาวสวมมงกุฎครับ” ว่าแล้วก็ชูดอกเข็มสีแดงที่เอามาร้อยต่อกันขึ้นมาอวดน้าตะวันเสียเลย
   
       “แต่ขาวไม่ยอมอยู่นิ่งๆ เลย”
   
        แหงสิ เจ้าแมวดำแต่ชื่อขาวตัวนี้มันขี้รำคาญจะตาย เป็นแมวรักสงบและรักสันโดษผิดกับถุงทองที่ขี้อ้อน มันไม่ยอมให้หลานเขาจับแต่งตัวหรอก
   
        “ขาวไม่ชอบมั้งครับหนูเจีย ปล่อยมันเถอะ อย่าไปบังคับเลย เดี๋ยวมันจะหงุดหงิดจนหันมางับเราเอา นี่ไม่ได้โดนมันข่วนหรือกัดใช่ไหมครับ”
   
        “ไม่โดนครับผม”
   
        ปานตะวันเตือนหลานเสมอเรื่องการเล่นกับแมว เขาพาหนูเจียไปฉีดวัคซีนมาเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกหลานร้องไห้ลั่นโรงพยาบาลเพราะกลัวเข็ม ปานตะวันก็ทั้งขู่ทั้งปลอบว่าถ้าไม่ฉีดจะอดเล่นกับแมวอีกหนูเจียจึงยอมอยู่นิ่งๆ ให้คุณหมอเอาเข็มจิ้ม
   
        “ถ้าโดนต้องรีบไปล้างแล้วก็ฟอกสบู่ แล้วก็ต้องรีบบอกน้าตะวันนะครับ”
   
        “ครับผม”
   
        หนูเจียยิ้มแฉ่งให้คนเป็นน้าแล้วก็หันไปเล่นกับแมวต่อ แต่หนนี้ขาวคงรำคาญมันจึงร้องแง้วออกมา บิดตัวออกจากอุ้งมือหนูเจียแล้วก็วิ่งหนีไปทางประตูรั้ว ช่องระหว่างประตูรั้วกับพื้นก็กว้างพอให้ขาวลอดออกไปได้ หนูเจียกับปานตะวันที่เห็นขาววิ่งหนีก็หันมองหน้ากันด้วยความตกใจ แต่คนที่ตระหนกมากกว่าคงเป็นหนูเจีย เด็กน้อยรีบทิ้งสร้อยมงกุฎดอกเข็มในมือแล้วก็ออกวิ่งตามขาวไปทันที
   
       “ขาว ไปไหน เดี๋ยวก่อน!”
   
       “เฮ้ยหนูเจีย อย่าออกไปนะ มันอันตราย หนูเจีย!”
   
        ด้วยอารามตกใจปานตะวันจึงรีบวิ่งตามหนูเจียไปทันที ใจเขาเต้นแรงประหนึ่งจะกระดอนออกจากอก ซอยบ้านเขามันแคบแล้วก็ไม่ค่อยมีรถใหญ่ผ่านเข้ามาก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย นอกจากรถใหญ่แล้วยังมีมอเตอร์ไซค์อีก ถ้าหนูเจียถูกเฉี่ยวหรือถูกชนขึ้นมาล่ะ คิดถึงตรงนี้ปานตะวันก็แทบจะร้องไห้
   
         ชายหนุ่มวิ่งเต็มฝีเท้าตามหลังหลานชายไป สักพักหนูเจียก็หยุดวิ่งปานตะวันที่เห็นว่าอีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงตัวหนูเจียแล้วจึงผ่อนฝีเท้าลงกลายเป็นเดินเร็วๆ แทน เขามองเด็กชายตรงไปอุ้มเจ้าขาวที่หนีไปนั่งเลียขนตัวเองอยู่ตรงซอกเสาไฟฟ้า แต่พอขาวเห็นหนูเจียมันก็เผ่นแผล็วหนีไปที่อีกฝั่งของถนน หนูเจียก็รีบวิ่งตามไปเพื่อจะอุ้มมันกลับมา
   
        จังหวะนั้นเองที่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งโผล่ออกมาจากหัวมุมถนน ตรงไปที่ร่างเล็กๆ นั้นด้วยความเร็ว
   
        ไม่มีความคิดใดๆ กลั่นกรองผ่านสมองทั้งนั้น ร่างกายของปานตะวันขยับไปโดยอัตโนมัติ
   
        สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวคือคนที่เจ็บต้องไม่ใช่หนูเจีย...ต้องไม่ใช่หลานชายของเขา
   
        โครม!
   
        “น้าตะวัน!!”


**********************************************************

สวัสดีค่า เรากลับมาแล้วหลังหายหน้าไปนาน กอดดดดด
ตอนนี้สั้นมากเลยค่ะ สั้นกว่าทุกตอนที่เคยเขียนเลย รู้สึกผิดมาก เราอยากเขียนให้ได้ยาวๆเหมือนที่ผ่านมานะคะ
แต่ไม่รู้ทำไมแรงใจมันไม่ให้เลย เขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบหลายรอบมาก
เราต้องขอโทษคนอ่านด้วยจริงๆนะคะ แต่เราจะไม่ทิ้งหนูเจียไว้กลางทางแน่ๆ ค่ะ
เราจะรีบเขียนตอนใหม่และพยายามพัฒนาการเขียนของตัวเองให้มากกว่านี้ ขอโทษคนอ่านด้วยนะคะที่หายไปนาน
แล้วก็เราจะพยายามให้มากกว่าเดิมค่ะ ไฟท์ติ้ง
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-04-2017 22:49:59
ลำพังเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงหนูเจีย ทำงาน แล้วก็เรียน ก็ลำบากมากแล้ว นี่ยังจะมีแมวเด็กแสนซนและเกเรมาอยู่ด้วยอีก
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 09-04-2017 23:23:17
อ๊ายยย ตะวัน...
เป็นอะไรไม๊
โถ่ เจ็บหนักไม๊นั่น
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-04-2017 23:49:07
 :L1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-04-2017 23:52:16
ตะวันจะเป็นอะไรมากไหม
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 10-04-2017 00:18:53
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-04-2017 06:07:57
ตะวันนนนนน จะเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย เดี๋ยวพี่เมศก็หัวใจวายกันพอดีถ้ารู้ข่าวว่าตะวันเจ็บ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 10-04-2017 06:12:02
โถ่ว เจ้าขาวทำไมสร้างเรื่องอย่างนี้
ตะวันจะเปนอะไรมากไหมเนี่ย ><
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-04-2017 06:51:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-04-2017 14:10:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 10-04-2017 17:18:24
ขาวสร้างเรื่องง
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-04-2017 23:11:39
โอ๊ยยยยย จะเป็นอะไรมากไหมมมมมมมม :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 13-04-2017 05:34:33
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 14-04-2017 17:13:48
โอ้ยยย ทำไมต้องมาเจอเรื่องด้วย กำลังใช้ชีวิตปกติสุขกันหวานแหววแท้ๆ
แต่คงไม่เกิดอะไรกับตะวันใช่ไหมคะ

เด็กน้อยต้องห่างจากความคุ้นเคย แม่ก็เหมือนทิ้ง เลยเคว้งคว้าง พาลไปหมด
แต่ดีแล้วที่มีกันต์ ไม่งั้นตะวันจะเป็นยังไง อาจไม่ได้เจอเจียหลินก็ได้

ตอนแรกคิดว่าราเมศเป็นพ่อนะ แต่อีกใจก็ไม่คิดว่าใช่ คิดว่าแอบรัก แต่เป็นไงล่ะเจอตะวันไป ถึงกับหลงเลยค่ะ
ราเมศดีมากจริงๆ เป็นคนอื่นแท้ๆ แต่ดีขนาดนี้ ยิ่งกว่าคนในอีก

หนูเจียน่ารักมากก น่าฟัด ช่างอ้อน แต่ดีที่ไม่ดื้อ ซนพอดี
ความน่ารัก ช่างพูด ช่วยให้น้าตะวันอยากพยายามนะลูก หนูต้องเอาใจช่วยน้านะคะ

แม่แอบโหด ห่วงแต่ไม่ดูแล
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 16-04-2017 13:14:01
อบอุ่นพอประมาณเพราะยังไม่เป็นครอบครัวเดียวกัน รักนะตัวละคร ชัดเจนทุกบทบาท
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 16-04-2017 14:11:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FaiiFay_Elle ที่ 16-04-2017 19:39:46
โอ้ยยยย ใจคอไม่ดีเลย  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 16-04-2017 23:46:15
 น้าตะวันจะเป็นอะไรมากไหม
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๐ อุบัติเหตุ (๙/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 17-04-2017 00:12:02
ตะวันไม่เป็นไรหรอกกนะะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 20-04-2017 19:44:31
ปานตะวัน
บทที่ ๑๑
ระหว่างเรา


        สิ่งแรกที่เห็นหลังลืมตาตื่นขึ้นมาคือฝ้าเพดานสีขาว ภายในห้องเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ปานตะวันกะพริบตาพลางสงสัยว่าที่นี่ที่ไหน...ไม่ใช่บ้านเขาแน่ๆ ล่ะ

   สิ่งต่อมาที่รู้สึกคือความเจ็บปวดที่แล่นริ้วมาตามแขนและลำตัว เด็กหนุ่มครางออกมาเบาๆ พลางยกมือกุมศีรษะ ตอนนั้นเองที่ปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับผ้าพันแผลสีขาวที่พันอยู่รอบ รวมทั้งผ้าปิดแผลขนาดใหญ่ที่แปะอยู่ตรงหน้าผาก

   “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ปานตะวันพึมพำกับตัวเองแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าขาซ้ายของตัวถูกหุ้มเฝือกเอาไว้ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องแล้วก็รู้ในที่สุดว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล

   โรงพยาบาล...จริงสิ ก่อนหน้านี้มันเป็นเพราะเจ้าขาววิ่งแจ้นออกไปนอกรั้ว หลานชายเขาที่ตกใจก็รีบไล่ตามไป เขาเลยออกวิ่งไปด้วย หนูเจียไปกำลังจะข้ามไปจับเจ้าขาวที่เผ่นไปอีกฝั่งของถนนแล้วตอนนั้นเองที่มีรถมอเตอร์ไซค์โผล่ออกมา

   แล้วหนูเจียล่ะ!

   ปานตะวันผุดลุกแต่ความเจ็บเสียดตามร่างกายทำให้ต้องล้มตัวลงนอนต่อ เขาอยู่ในห้องผู้ป่วยนี้คนเดียว หนูเจียไม่อยู่ ราเมศไม่อยู่ หลานเขาล่ะ หลังจากเขาโดนชนแล้วหลานเขาเป็นยังไงบ้าง

   ชายหนุ่มพยายามมองหาโทรศัพท์แต่ก็ไม่พบ ความตื่นตกใจเกาะกุมหัวใจเต็มที่ แล้ววินาทีที่เขาใกล้จะสติแตกนั้นเองประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของราเมศที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาก็จูงหนูเจียเข้ามา วินาทีที่เห็นหลานปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนความรู้สึกหนักในอกก็มลายหายไปทันที

   “น้าตะวัน!” หนูเจียที่เห็นเขาตื่นแล้วร้องออกมา เด็กน้อยวิ่งจี๋มาเกาะของเตียง ปลายจมูกเล็กและดวงตากลมของหนูน้อยแดงระเรื่อ “น้าตะวัน ฮือ น้าตะวันตื่นแล้ว”

   “ครับ น้าตะวันตื่นแล้ว” ปานตะวันลูบผม ลูบแก้มหลานชาย หนูเจียที่น้ำตาร่วงเผาะๆ เอียงแก้มซุกเข้าหามือของเขาอย่างออดอ้อน

   “หนูเจียเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไม่เป็นไรใช่ไหม”

   “ไม่เป็นไร..ฮึก...หนูเจียไม่เป็นไร แต่น้าตะวันเจ็บ หนูเจียขอโทษนะ หนูเจียจะไม่วิ่งออกไปที่ถนนแบบนั้นแล้ว หนูเจียขอโทษนะครับ”

   ยิ่งพูดน้ำตาเม็ดโตก็ยิ่งไหล ร่างเล็กของหนูน้อยวัยสี่ขวบสั่นสะท้านและแล้วหนูเจียก็ร้องไห้โฮออกมา ปานตะวันจะลุกไปกอดปลอบหลานก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ราเมศ ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงรามือจากการหยิบของออกจากกระเป๋าแล้วตรงไปอุ้มหลานชายตัวเล็กขึ้นมาทันที

   “โอ๋ๆ หนูเจีย ไม่ร้องนะครับ ไม่ร้องนะ” ปานตะวันเอ่ยปลอบไปด้วย เขาอยากเป็นคนเช็ดน้ำตาให้หลานจะแย่ แต่ติดที่ตัวเองนอนเดี้ยงอยู่แบบนี้เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงปลอบ หนูเจียสะอื้นฮัก ซุกหน้าลงกับบ่าราเมศที่ลูบหลังให้อยู่

   “หนูเจียกลัว...มีเลือดเต็มไปหมดเลย หนูเจียขอโทษ ฮึก...ขอโทษ...หนูเจียจะไม่ดื้อแล้ว”

   “ครับ น้าตะวันรู้ว่าหนูเจียของน้าเป็นเด็กดี ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ นะครับ มามะ มาให้น้าหอมหน่อย เด็กดีของน้าตะวัน”

   ราเมศย่อตัวลงให้เจียหลินยื่นหน้าไปหาปานตะวันได้ แต่แทนที่คนเป็นน้าจะจุ๊บปลอบใจหลานกลับเป็นหลานที่ไล่จุ๊บไปตามแก้ม หน้าผาก ปลายจมูกของน้าชายแทน จากนั้นเสียงเล็กที่สั่นพร่าก็พูดว่า

   “ขอ...ขอให้น้าตะวันไม่เจ็บ...เพี้ยงๆๆ”

   ท่าทางน่ารักนั้นทำให้ปานตะวันอยากจะจับหนูเจียมาฟัดให้หายอยาก เจ้าตัวเล็กคลี่ยิ้มออกมาได้นิดหน่อยแล้วหลังจากปี่แตกมานาน เห็นดังนั้นสองหนุ่มในห้องจึงวางใจ ราเมศปล่อยให้หลานชายลงยืนแล้วกระซิบว่าให้ไปรื้อของออกจากกระเป๋าเสื้อผ้ามาเรียงให้เรียบร้อย เจียหลินจึงผละออกไป

   หลานไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาราเมศบ้าง

   คนนี้สิน่ากลัวของจริง

   ชายหนุ่มผมน้ำตาลลอบกลืนน้ำลายตอนที่ราเมศลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงแล้วก็จ้องเขาด้วยสายตาดุๆ ตอนแรกปานตะวันก็
ฝืนสบตาด้วยอยู่หรอกแต่สุดท้ายก็สู้ไม่ไหว จำต้องเสหลบตาไปก่อน ตอนนั้นแหละที่คนหน้าดุเอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงอ่อนระโหย

   “นายรู้ไหมว่าพี่ตกใจขนาดไหนตอนโรงพยาบาลโทรมาบอกว่านายโดนรถมอเตอร์ไซค์ชน นายหมดสติไปเลยนะ ดีที่คนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่หนีไปไหนแต่พามาส่งโรงพยาบาล ตอนพี่มาถึงหนูเจียร้องไห้ไม่หยุดเลย หลานบอกเห็นน้าตะวันมีเลือดออกเยอะแยะ เรียกก็ไม่ตื่น หลานกลัวมาก...พี่ก็กลัวมากเลยรู้หรือเปล่า”

   ตอนนั้นราเมศกำลังทำงานอยู่ที่ร้าน คนไม่เยอะเท่าไหร่เขาเลยกำลังคิดว่าจะผละไปดูสองน้าหลานที่อยู่บ้านสักเดี๋ยว แต่ทันใดนั้นเองพนักงานคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหา ในมือมีโทรศัพท์ของราเมศอยู่ด้วย ฝ่ายนั้นละล่ำละลักว่าคนจากโรงพยาบาลโทรเข้ามา แจ้งว่าปานตะวันโดนรถชน

   วินาทีนั้นเหมือนกับโลกเอียงไปวูบหนึ่ง

   พอตั้งสติได้ราเมศก็ทิ้งทุกอย่างในมือแล้วตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันที ภาพแรกที่เห็นคือหลานชายยืนอยู่ข้างนางพยาบาลกำลังร้องไห้จ้า พอเห็นเขาหนูเจียก็วิ่งมาหาทันที

   เด็กน้อยสะอึกสะอื้นพูดว่าน้าตะวันเจ็บ มีเลือดท่วมเต็มไปหมด

   ได้ยินแบบนั้นแล้วหัวใจเขาแทบหยุดเต้น

   ราเมศกอดหนูเจียแน่น...จนกระทั่งหมอเดินออกมาแล้วบอกกับเขาว่าปานตะวันปลอดภัยดี สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน อวัยวะภายในไม่เสียหาย มีแค่ขาหัก หัวแตก และรอยขีดข่วนฟกช้ำตามตัวเท่านั้น

   “พี่กลัวแค่ไหน...นายนึกไม่ออกหรอก”

   กลัวว่าจะเสียเด็กตรงหน้าไป...กลัวว่าจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของปานตะวันอีก

   กลัว...แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าปานตะวันลืมตาตื่นเมื่อไหร่เขาจะไม่ให้เด็กคนนี้คลาดสายตาไปทำอะไรตามใจตัวแบบนี้อีกแล้ว

   น้ำเสียงห้าวทุ้มสั่นพร่าจนปานตะวันรู้สึกผิดแม้มันจะไม่ใช่ความผิดเขาก็เถอะ

   “ตะวันขอโทษนะ”

   “ไม่ต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดนาย มันเป็นอุบัติเหตุ”

   “ไม่ใช่...ตะวันขอโทษ...ที่ทำให้เป็นห่วง”

   ราเมศถอนใจ สิ่งที่เขาไม่ได้บอกปานตะวันก็คือ ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลเขารู้สึกเหมือนภาพในอดีตวนกลับมาซ้อนทับ...เหตุการณ์ตอนจันทร์จ้าวเสียก็คล้ายๆ แบบนี้

   โรงพยาบาลโทรมา เขาไปที่นั่นพร้อมกับหลานชาย จากนั้นก็กอดปลอบเด็กน้อยที่ร้องไห้ไม่หยุดแล้วก็เรียกชื่อมารดาผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลัวเอาไว้แน่น

   โชคดีเหลือเกินที่ปานตะวันไม่เป็นอะไร

   เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ราเมศก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนรับความเจ็บปวดได้อีกแค่ไหน

   “อย่าทำให้เป็นห่วงอีกก็พอ”

   ถึงปากจะดุแต่ฝ่ามือใหญ่ก็เลื่อนมากอบกุมมือของปานตะวันไว้อย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้ไปตามรอยฟกช้ำตามตัว

   “เจ็บมากไหม” คราวนี้เสียงอ่อนลงกว่าเดิมสิบระดับ

   คนป่วยที่เห็นว่ารอดพ้นการโดนด่าแล้วเลยรีบตีหน้าเศร้าทันที

   “เจ็บดิพี่ เนี่ย ช้ำไปทั้งตัว”

   ราเมศมองคนทำตาใสอย่างหมั่นไส้ อยากเคาะเหม่งมันสักทีแต่ติดที่ช้ำไปทั้งตัวแล้ว จะไปซ้ำก็สงสาร เลยได้ถอนหายใจ

   “คราวหลังก็ทะเล่อทะล่าวิ่งออกไปกลางถนนสิ”

   “ไม่วิ่งไปรถก็ชนหลานผมดิ แล้วนี่ไอ้ตัวต้นเรื่องอยู่ไหน”

   “พานายมาส่งโรงพยาบาลแล้วก็ไปโรงพักแล้ว พี่เคลียร์เรื่องให้เรียบร้อย”

   ราเมศพูดถึงคนขี่มอเตอร์ไซค์ ที่รู้ทั้งรู้ว่าซอยนั้นมันแคบและมีคนอยู่แต่ก็ยังขี่เร็วกว่าที่ควรทำให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้

   “เปล่า ผมหมายถึงไอ้ขาวน่ะ มันอยู่ไหนแล้ว” ต้นเหตุของเรื่องนี้เพราะไอ้แมวนั่นแท้ๆ เลย ราเมศหรี่ตามองคนเจ็บแล้วถามหยั่งเชิงว่า

   “ทำไม จะให้พี่เอาไปปล่อยเหรอ”

   “ได้ที่ไหนเล่า! มันยังเล็กนะ เดี๋ยวก็อดตายหรอก ที่ถามเพราะกลัวมันเจ็บหรือหายไปไหนต่างหาก”

   “อ้อ อย่างนี้นี่เอง งั้นก็สบายใจได้ พี่ให้มันอยู่กับถุงทองที่บ้านนั่นแหละ เดี๋ยวเย็นๆ แวะไปให้อาหาร”

   “เป็นห่วงชะมัด”

   “เอาตัวเองให้รอดเถอะไอ้เด็กแสบ”

   ปานตะวันย่นจมูกใส่อีกฝ่าย ก่อนจะซักถามต่อว่า “แล้วโทรศัพท์ผมล่ะ”

   “พี่เก็บมาให้แล้ว อ้อ พี่โทรไปรายงานแม่กับเพื่อนนายเรียบร้อยแล้ว แม่เธอบ่นหูชาเลย ส่วนกันต์จะมาเยี่ยมวันหลัง งานทำขนมกับหลงพี่ก็ลาให้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน”

   “ขอโทษนะพี่ที่ทำให้ลำบาก”

   ราเมศยิ้มพลางเหลือบตาไปมองหลานชายที่ถูกของเล่นในกระเป๋าดึงความสนใจไปแล้วก็โน้มตัวไปฉกจูบลงข้างแก้มคนเจ็บเบาๆ ก่อนจะกระซิบว่า

   “ไม่ลำบากหรอก เต็มใจทำให้”

   เท่านั้นแหละ ดวงตากลมโตก็วาววับขึ้น แก้มขาวขึ้นสีแดงก่ำเหมือนมะเขือเทศสุกจนคนอายุมากกว่าอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ อยากจะแกล้งให้มากกว่านี้แต่ติดที่คุณหมอกับพยาบาลเข้ามาตรวจอาการปานตะวันทันที สรุปแล้วคุณหมออยากให้นอนอยู่โรง
พยาบาลเพื่อดูอาการอีกคืน ถ้าเห็นว่าปลอดภัยแล้วก็จะให้กลับบ้านได้

   ราเมศอาสาเป็นคนเฝ้าปานตะวันเอง ชายหนุ่มจัดการช่วยพยาบาลเช็ดตัวให้คนป่วย พาเข้าห้องน้ำ ดูแลดีจนคนตัวเล็กชักเขินอายปนเกรงใจนิดๆ

   “นี่ ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ชายหนุ่มผมน้ำตาลโวยออกมาเมื่ออาหารเย็นถูกยกมาให้แล้วราเมศหยิบช้อนเตรียมจะป้อนข้าวเขา

   เขาขาเจ็บนะไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย!

   “ก็เห็นเจ็บอยู่ กลัวกินไม่สะดวก”

   “ผมกินได้ เอาช้อนมาเลย”

   ทำท่าจะเอื้อมมือไปคว้าแต่คนตัวโตกลับยกช้อนหนี ดวงตาคมสีนิลพราวระยับก่อนจะยื่นช้อนมาจ่อที่ปากเขาแล้วพูดเสียงนุ่มว่า “ปานตะวัน อ้าปาก”

   คนถูกเรียกชื่อถลึงตาใส่ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก สะบัดหน้าหนีเป็นการประท้วง เอาสิ ไม่ให้กินเองงั้นเขาก็ไม่กิน!

   ราเมศมองลูกแมวป่วยที่เริ่มแผลงฤทธิ์อย่างอ่อน ชายหนุ่มวางช้อนลงแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ คนตัวโตหันไปหาหลานชายที่นั่งอ่านหนังสือนิทานบนโซฟาแล้วก็พูดว่า

   “หนูเจียครับ มานี่หน่อยเร็ว”

   หนูเจียตัวน้อยเงยหน้ามองคนเรียก ยอมวางหนังสือแล้วเดินมาหาอย่างว่าง่าย หนูเจียปีนขึ้นไปนั่งตักราเมศแล้วก็เงยหน้า
มองอย่าสงสัยว่าเรียกเขามาทำไม

   “น้าตะวันไม่ยอมกินข้าวที่น้าเมศป้อน ถ้าไม่กินน้าตะวันจะไม่หาย หนูเจียบอกน้าตะวันทีครับว่าให้ทานข้าว”

   คราวนี้ปานตะวันหันขวับมาทันที

   ไอ้พี่เมศมันร้าย! ตัวเองสู้ไม่ได้ก็เอาหลานเข้าสู้แทน รู้สินะว่าเขาน่ะแพ้ทางลูกอ้อนเจียหลิน!

   “น้าตะวันครับบบ” นั่นไง มาแล้วไง เสียงใสๆ อ้อนๆ แบบนี้ ปานตะวันก้มลงมองหลานชายแล้วก็อยากจะยกมือกุมอกกับดวงตากลมแป๋วและยิ้มกว้างอวดฟันกระต่ายของเด็กน้อย

   น่ารักเหลือเกิน ฮือ อยากได้กล้องมาถ่ายรูปไว้

   “น้าตะวันต้องกินข้าวน้า หนูเจียอยากให้น้าตะวันแข็งแรง ไม่กินจะไม่หายเอานะครับ” เด็กน้อยยกสองมือประกบแก้มแล้วก็อ้าปากกว้างพร้อมพูดว่า “อ้ามมม”

   “ว่าไงปานตะวัน อ้ามไหม” ราเมศตักข้าวขึ้นมาเป่าให้หายร้อนแล้วก็จ่อปากคนเจ็บที่นั่งแก้มแดงอยู่บนเตียง

   “น้าตะวัน อ้ามมม” มีหน่วยสนับสนุนเป็นหลานชายสุดน่ารัก

   แล้ว...แล้วจะให้เขาทนต่อไปได้ยังไง!

   ยอมก็ได้วะ

   “อ่ะ รู้แล้วๆ ทั้งคู่นั้นแหละ เอ้า อ้ามก็อ้าม”

   ปานตะวันยอมอ้าปากรับข้าวเข้าไป พอเขากลืนคำแรกหนูเจียก็ปรบมือแล้วก็ชมว่า “น้าตะวันเก่งมาก” มีการยกนิ้วโป้งให้ด้วย ปานตะวันกับราเมศถึงกับอมยิ้มเพราะรู้ดีว่าท่าทางแบบนั้นเจ้าตัวเลียนแบบมาจากพวกเขานี่แหละ ก็เวลาหนูเจียงอแงไม่กิน
ผักแล้วปานตะวันหลอกล่อให้กินได้สำเร็จจะต้องตบท้ายด้วยประโยคว่า ‘หนูเจียเก่งมาก’ ตลอดเลยนี่นา

   “เอ้า อีกคำเร็ว ตะวันอ้าม”

   “น้าตะวันเก่งมากกก”

   อีกคำ อีกคำ แล้วก็อีกคำ

   รู้ตัวอีกทีปานตะวันก็ยอมให้ราเมศป้อนข้าวจนหมด

   หลังทานข้าว ทานยา และจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ปานตะวันก็นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงโดยพื้นที่และโต๊ะเล็กข้างเตียงที่ใช้วางถาดอาหารถูกจับจองโดยราเมศกับหนูเจีย เด็กน้อยกำลังนั่งวาดรูประบายสีอยู่ ปานตะวันมองภาพที่หลานชายตั้งใจวาดแล้วก็ยิ้ม

   “หนูเจียวาดอะไรครับ”

   “วาดรูปครอบครัวส่งคุณครูครับ”

   “หืม ไหนให้น้าตะวันดูหน่อย”

   หนูเจียยิ้มกว้างจนตาหยี ส่งกระดาษมาให้แล้วก็อธิบายว่า “นี่คือน้าเมศ น้าตะวัน ส่วนนี่หนูเจีย ข้างหลังเป็นบ้าน เป็นส่วน มีถุงทองกับขาวด้วย” นิ้วป้อมๆ ชี้ไปตามรูปโย้เย้ในกระดาษที่บางรูปดูแทบไม่ออก ปานตะวันเป็นผู้ชายคอยาวสองคนในภาพ คงเป็นเขากับราเมศ ส่วนเด็กคอยาวตรงกลางที่ผมตั้งๆ เป็นหนูเจีย ทุกคนมียิ้มกว้างประดับใบหน้า ด้านหลังพวกเขามีบ้านหลังคาแหลมๆ แล้วก็มีปล่องไฟ...ทำไมรูปบ้านเด็กเกือบทุกคนต้องมีปล่องไฟด้วยนะ ข้างๆ บ้านมีพุ่มไม้ ดอกไม้หลายสี แล้วก็แมวหน้าตาประหลาดสองตัว

   ที่บนฟ้ามีก้อนเมฆ ดวงอาทิตย์ กับลายเส้นยึกยือที่ยังวาดไม่เสร็จ

   “แล้วนี่ล่ะครับ หนูเจียจะวาดอะไร”

   “ตรงนี้เป็นแม่จันทร์ หนูเจียจะวาดแม่จันทร์มีปีก เป็นนางฟ้า”

   เด็กน้อยตอบกลางรับกระดาษกลับไป ปานตะวันหันไปสบตากับราเมศแวบหนึ่งแล้วก็ได้รอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมามากโข

   “อื้ม แม่จันทร์ต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ แล้วก็มองดูพวกเราอยู่”

   ปานตะวันลูบหัวหลานชาย เด็กน้อยนิ่งไปจากนั้นก็วางดินสอสีลงแล้วดึงมือปานตะวันมาจับเล่น พลางถามว่า “น้าตะวัน แม่จันทร์จะโกรธหนูเจียไหมครับ”

   “แล้วแม่จันทร์จะโกรธหนูเจียทำไมล่ะครับ หืม”

   “ก็...ก็หนูเจียทำให้น้าตะวันเจ็บ แม่จันทร์ต้องโกรธแน่เลย”

   ความเอ็นดูพุ่งเข้าจับใจทันที ปานตะวันลูบผมหลานชายเบาๆ “แม่จันทร์ไม่โกรธหรอกครับ แม่จันทร์จะดีใจมากกว่าที่หนูเจียไม่เจ็บ แต่แม่จันทร์ก้ไม่อยากให้หนูเจียวิ่งออกไปนอกบ้านแบบนั้นอีก มันอันตราย สัญญาสิครับว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

   นิ้วก้อยของปานตะวันยื่นไปตรงหน้าหนูเจีย เด็กน้อยมองเขาสลับกับนิ้วก้อยแล้วก็พยักหน้า เกี่ยวนิ้วเล็กๆ เข้ากับนิ้วปานตะวัน

   “หนูเจียสัญญา”

   “คนเก่งของน้า”

   บรรยากาศอบอุ่นระหว่างสองน้าหลานต้องหยุดลงเมื่อราเมศบอกว่าดึกแล้วหนูเจียต้องอาบน้ำนอนได้แล้ว เด็กน้อยจึงยอมวางสีในมือลงแล้วเข้าห้องน้ำไปพร้อมน้าเมศ ปานตะวันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของหนูเจียลอดออกมาสักพักสองน้าหลานก็ออกมาด้วยสภาพตัวหอมฟุ้งกันทั้งคู่

   ชายหนุ่มผิวขาวมองราเมศพาหนูเจียไปนอนที่โซฟา ตอนแรกปานตะวันตั้งใจจะให้ราเมศพาหลานกลับไปนอนบ้านแต่หนูเจียไม่ยอม ยังไงก็จะนอนกับน้าตะวัน สุดท้ายเลยต้องค้างที่โรงพยาบาลกันหมดทั้งสามคน

   มือใหญ่ห่มผ้าให้เด็กน้อย เหน็บเก็บชายให้เรียบร้อย จากนั้นราเมศก็รับหน้าที่อ่านหนังสือนิทานให้หนูเจียฟัง จนกระทั่งดวงตากลมค่อยๆ ปรือลงแล้วก็ปิดสนิทไป เมื่อเห็นหลานหลับสนิทราเมศก็ลุกไปปิดไฟ ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงแสงจากภายนอกที่ส่องลอดรอยแยกของผ้าม่านมาเท่านั้น

   “พี่เมศ มานี่หน่อย”

   ราเมศค่อยๆ เดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงตามเสียงกระซิบ แสงสลัวรางในห้องทำให้เขาเห็นหน้าปานตะวันได้บ้างแม้จะไม่ชัดเจน

   ชายหนุ่มรับรู้ถึงฝ่ามือบางค่อยๆ ไล้ตามผิวแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา

   “แป้งติดหน้าพี่แน่ะ”

   “ขอบใจ”

   “ไม่เป็นไรครับ”

   พวกเขาเงียบกันไป ภายในห้องเหลือเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาและเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้น จนกระทั่งปานตะวันทำลายความเงียบขึ้นมา

   “พี่...ขอบคุณนะสำหรับทุกอย่างเลย ไม่ได้พี่ผมคงแย่แน่ๆ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”

   “ไม่ได้ลำบาก บอกแล้วว่าเต็มใจ”

   “พี่ไม่ได้ลำบากแต่ก็ทำเพื่อพี่จันทร์ ผม แล้วก็หลานมามาก”

   ทั้งคอยดูแล คอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ จนบางครั้งเขายังอดเกรงใจไม่ได้

   “พี่ดูแลพวกเราดีมาก...จนผมอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่มาเกาะพี่กินหรือเปล่านะ” ปานตะวันพูดเสียงเรียบเรื่อยแต่ราเมศจับความ
หวั่นไหวในใจอีกฝ่ายได้

   “พี่รู้ไหมว่าผมอยากเรียนให้จบ อยากมีงานดีๆ ทำ อยากเป็นที่พึ่งให้หลานได้ อยากช่วยพี่ได้บ้าง...ไม่ใช่ให้พี่ช่วยอยู่แค่ฝ่ายเดียว”

   ฝ่ามือใหญ่ของราเมศถูกยกขึ้นมาแนบแก้ม ปานตะวันยิ้มให้กับความอบอุ่นสัมผัสเขาอยู่

   “พี่กับหลานทำให้ตะวันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ตะวันจะไม่สัญญานะ แต่หลังจากนี้ตะวันจะทำให้พี่เห็นให้ได้ พี่เมศ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่ผ่านมาแล้วก็ต่อจากนี้ด้วยนะ”

   ภายในห้อง นอกจากเสียงลมหายใจแล้ว ราเมศคิดว่ามันคงมีเสียงหัวใจเขาด้วยอีกอย่างหนึ่งที่ดังจนคนตรงหน้าได้ยิน ชายหนุ่มอยากจะรวบตัวปานตะวันมากอดเสียจริงๆ แต่ติดที่เจ้าตัวเจ็บอยู่ เขาจึงได้แตะจูบลงที่หลังมืออีกฝ่าย

   “พี่บอกไปแล้วว่าเต็มใจทำให้ แล้วก็นะ...พี่ไม่ได้ทำแบบไม่หวังผลด้วย”

   “แล้วพี่เมศอยากได้อะไร”

   เขาน่ะหรือ...เขาอยากได้...

   “ถ้าพี่พูดไปแล้วนายให้พี่ได้ไหม”

   “ก็ถ้าตะวันให้ได้ตะวันก็จะให้”

   ราเมศสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อันที่จริงเขาคิดว่ามาตั้งแต่ตอนเกิดอุบัติเหตุแล้ว ว่าชีวิตมันไม่แน่นอน ไม่เคยมีอะไรแน่นอน

   ถ้าหากว่าวันนี้ปานตะวันไม่ได้ตื่นขึ้นมาล่ะ

   ถ้าหากว่าวันนี้เด็กคนนั้นหลับไปตลอดกาล...เขาจะเสียใจขนาดไหนที่ไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนและถูกต้อง

   ไม่ได้พูดคำนั้นออกไปตอนที่ยังบอกได้

   ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไรราเมศก็จะบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้ได้

   “ถ้าพี่บอกว่าพี่อยากได้หัวใจของนาย นายจะให้พี่ไหม”

   ...จบประโยคนั้น ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง...

   ราเมศรู้ดี ว่าที่ผ่านมาระหว่างเขากับปานตะวันมีความรู้สึกที่ตรงกัน  ความรู้สึกผูกพันที่เพิ่มให้กันทีละเล็กทีละน้อย แต่พวกเขาก็ยังรีรอที่จะบอก รีรอที่จะขยับความสัมพันธ์แม้จะ ’รัก’ กัน

   ปานตะวันกลัวว่าเขาจะคิดไปเอง เพราะในหัวใจของเขาเคยมีจันทร์จ้าวอยู่ เด็กคนนั้นกลัวว่าเขาจะยึดเอาตัวเองเป็นตัวแทนพี่สาวแล้วก็เข้าใจไปว่าสิ่งนั้นคือความรักที่มีให้ ถึงได้ยืดเวลาบอกรักกันมาจนถึงตอนนี้ แต่ราเมศคิดดีแล้ว เขาทบทวนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขารักใคร ปานตะวันหรือจันทร์จ้าว และคำตอบก็ออกมาชัดเจนทุกครั้งว่าเป็นปานตะวัน

   เด็กคนนั้นยึดครองพื้นที่ในหัวใจของเขาได้สำเร็จ และราเมศจะไม่ปล่อยให้ตะวันดวงนี้หลุดมือไป

   “พี่ไม่คิดว่ามันเร็วไปเหรอ พี่แน่ใจตัวเองแล้วจริงๆ เหรอ”

   พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เอง แค่เดือนหนึ่งเกือบๆ สองเดือน มันนานพอที่จะทำให้ใครคนหนึ่งลืมคนที่เคยรักสุดหัวใจได้หรือ

   หนึ่งเดือน...จะทำให้รักกันได้จริงๆ น่ะเหรอ

   ปานตะวันไม่ใช่ไม่อยากเชื่อ แต่เขากลัวที่จะเชื่อ

   เขาไม่อยากเจ็บปวดกับความรักอีกแล้ว

   “ตะวันว่าพี่เมศลองกลับไปคิดดู- -”

   “ไม่!”

   เสียงทุ้มดังจนปานตะวันสะดุ้ง ชายหนุ่มรีบยกนิ้วชี้ทาบริมฝีปาก เหลือบตาไปมองหลานชายที่หลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา กลัวเด็กน้อยจะตื่นมาร้องไห้

   “ชู่ว์ เบาๆ สิพี่ เดี๋ยวหนูเจียก็ตื่น”

   “โทษที”

   คราวนี้ราเมศลดเสียงลงเป็นกระซิบ หากแต่คำตอบยังคงเป็นการปฏิเสธ

   “พี่ไม่อยากกลับไปทบทวนแล้ว พี่คิดดีแล้วจริงๆ”

   “พี่ลืมพี่จันทร์ได้แล้วเหรอ”

   “ไม่ได้ลืมจันทร์...แต่แค่ไม่ได้รักอีกแล้ว แน่ล่ะว่าถ้าเป็นแบบเพื่อนก็ยังรักอยู่ แต่รักแบบที่อยากอยู่ด้วยกัน อยากครอบ
ครอง ก็ไม่แล้ว”

   นัยน์ตาสองคู่สบกันผ่านความมืด ปานตะวันมองเห็นแววจริงใจในดวงตาของราเมศได้ชัดเจน

   “พี่รักนาย ปานตะวัน”

   คำพูดแค่ประโยคเดียวของราเมศ ทลายกำแพงและความกลัวที่ปานตะวันสร้างไว้ไปจนหมด อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ใน
ขณะที่เอ่ยต่อว่า

   “พี่ยินดีช่วยเหลือนาย อยากให้นายพึ่งพาพี่ อยากดูแล อยากแบ่งปันทุกอย่างด้วยกัน พี่อยากให้ระหว่างเรามันก้าวหน้าไปมากกว่านี้ อยากเป็นคนแรกที่นายนึกถึง อยากเป็นคนที่ได้ดูแลหนูเจียไปพร้อมกับนาย”

   “อยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

   ปานตะวันนิ่งเงียบหากแต่หัวใจของเขากลับเต้นรัวในอกกับคำสารภาพจากผู้ชายหน้าดุคนนี้ แน่นอนว่าทุกอย่างที่ราเมศพูดออกมาก็คือสิ่งที่อยู่ในใจเขาเช่นกัน

   อยากให้เป็นครอบครัวเดียวกัน

   “แล้วนายล่ะ อยากให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนายไหม”

   กระบอกตาแสบร้อน กว่าที่จะรู้ตัวหยดน้ำตาก็ร่วงลงมาแล้ว ปานตะวันเม้มริมฝีปาก ไม่อยากหลุดเสียงสะอื้นออกไป แต่ราเมศกลับห้ามไม่ให้เขาทำแบบนั้นด้วยการกดริมฝีปากลงมา

   ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ แต่เมื่อริมฝีปากได้รูปขยับไล้ไปมาแผ่วเบาราวผีเสื้อขยับปีก ปานตะวันก็รู้สึกเหมือนสติกำลังจะหายไป น้ำตาหยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าเขาไว้ ทาบทับริมฝีปากให้แนบสนิท

   ปานตะวันเผยอริมฝีปากให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้าไปได้ ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นทีละนิด รู้ตัวอีกทีจูบของพวกเขาก็เริ่มทวีความรุ่มร้อนขึ้น

   มือเล็กยกขึ้นสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีดำของราเมศ ชายหนุ่มเท้าแขนคร่อมตัวปานตะวันไว้ งับริมฝีปากล่างเจ้าเด็กน้อยเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อจากนั้นก็ป้อนจูบหวานให้อีกครั้งทำเอาคนอ่อนกว่าถึงกับหัวหมุน

   ปานตะวันไม่ได้ไม่ประสากับการจูบ แต่พอเป็นจูบที่ทำกับ ‘คนที่ชอบ’ เขาก็ประหม่าจนเหมือนกลับไปเป็นเด็กน้อยเพิ่งมีจูบแรกอีกครั้ง

   “ว่าไง ตกลงไหม”

   คนตัวโตผละออกไปแล้วแต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล อีกฝ่ายกระซิบทีริมฝีปากพวกเขาก็เฉียดโดนกันทีพาให้ใจสั่น

   “ต...ตกลง...ตกลงอะไร”

   “อย่ามาทำเบลอ เพิ่งสารภาพรักไปหยกๆ แต่เอาจริงๆ จูบตอบขนาดนี้ก็ไม่ต้องรอคำตอบแล้วก็ได้มั้ง”

   “ตลก!”

   พอเขาว่าเข้าให้อีกฝ่ายก็เลยจับจูบอีกรอบจนคนฤทธิ์มากอ่อนระทวยในอ้อมแขน ราเมศยิ้มขำ ไล้นิ้วไปตามริมฝีปากแดงช้ำเบาๆ

   “ว่าไง ตกลงไหม”

   “พี่เมศขี้โกง”

   จุ๊บ

   “ฉวยโอกาส”

   จุ๊บ

   “พอเลย ปากผมช้ำหมดแล้ว”

   “ก็ตกลงก่อนสิ”

   “นี่มันมัดมือชกแล้วนะ!”

   ราเมศหัวเราะแผ่วๆ จูบลงที่หว่างคิ้วคนทำหน้ายุ่งเบาๆ “ว่าไงตะวัน นายจะยอมให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวได้ไหม”

   พี่เมศไม่ได้ถามว่าเป็นแฟนกันได้ไหม...แต่ถามว่าปานตะวันจะยอมรับอีกฝ่ายเป็นครอบครัวเดียวกันไหม

   ความหมายที่ราเมศแฝงมากับประโยคนั้นลึกซึ้ง...เช่นเดียวกับน้ำหนักความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายต้องการ

   ไม่ใช่แฟนแต่เป็นครอบครัว

   เป็นครอบครัวที่จะแบ่งปันทุกข์และสุขร่วมกัน

   “เป็นครอบครัวเดียวกับตะวันน่ะเหนื่อยนะ หลานก็ต้องส่ง ตะวันก็ต้องเรียน งานก็ต้องทำ”

   “เพราะรู้ว่าเหนื่อยถึงได้อยากอยู่ข้างๆ ไง”

   เล่นพูดมาแบบนี้แล้ว...เขาจะทำอะไรได้ล่ะ ปานตะวันขยับตัวซุกเข้าหาอ้อมกอดของคนตรงหน้า ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงให้ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น

   พี่เมศเป็นคนดุแต่ดุเพราะอยากให้ได้ดี เป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อน เป็นคนเข้าอกเข้าใจคนอื่น แม้จะไม่ค่อยพูดแต่ก็สัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นห่วงเป็นใยตัวเองและหนูเจียอยู่ตลอดเวลา

   ปานตะวันแพ้ราเมศ...แพ้ความดีของเขาคนนี้แบบหมดหัวใจ

   “เอ้า ยอมก็ได้”

   คนตัวเล็กอุบอิบแต่ราเมศได้ยินชัดเจน และแน่นอนว่าปานตะวันก็ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเช่นกัน เพราะภายในห้องมันมืด
ทำให้เห็นไม่ค่อยชัดแต่ราเมศแน่ใจว่าปานตะวันต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นหากแต่โน้มตัวลงไปสัมผัสริมฝีปากของคนตัวเล็กด้วยความอ่อนโยนราวกับจะแทนความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ในใจ

   ทั้งความรู้สึกรัก เป็นห่วง ขอโทษ และขอบคุณ

   ส่งผ่านไปให้ได้รับรู้

   “ขอบคุณที่ยอมให้รักกัน”

   “ฮื่อ ตะวันต่างหากต้องขอบคุณพี่ ขอบคุณจริงๆที่รักกัน”

   ขอบคุณที่ยอมให้ระหว่างเรากลายเป็น ‘ครอบครัว’ ขอบคุณ...จากหัวใจ

*******************************************************

เรื่องยังไม่จบนะคะ 555555 แม้เขียนตอนนี้แล้วจะรู้สึกว่าอารมณ์ให้ขึ้นคำว่า แฮปปี้เอนดิ้งซะเหลือเกิน
ในที่สุดดดด เขาก็ได้เป็นครอบครัวเดียวกันนน ฮาาา พี่เมศก้ยังคงเลี้ยงแมวสี่ตัวต่อไป...เป็นผู้ชายที่ทุ่มเทจริงๆค่ะ!
พอหมอสงกรานต์แล้วก็ได้กลับมานั่งอืดเขียนนิยาย ฮาาา การเขียนเรื่องที่มีเด็กคืออะไรที่ฮีลตัวเองสุดๆ
หลายครั้งที่รู้สึกว่าหนูเจียกำลังแย่งซีนพี่เมศ ;w; แต่เรารักเด็กค่ะ เราจะปล่อยผ่าน  :katai5:

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ คิดเห็นยังไงติชมได้เต็มที่เลย ใครอยากสกรีมในทวิตติดแท็ก #พี่เมศทาสแมว ได้นะคะ
เราจะตามไปส่องด้วย ฮาาา ส่วนใครอยากมาเม้าท์มอยกันหลังไมค์ก็ติดตามได้ที่เพจ AzureDream เลยค่ะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บบ  :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-04-2017 20:00:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 20-04-2017 20:06:01
อบอุ่นหัวใจ ครอบครัวหรรษาต่อจากนี้นะ ทาสแมวนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-04-2017 20:55:52
หนูเจียน่ารักจริง ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 20-04-2017 20:57:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-04-2017 22:35:23
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-04-2017 23:29:54
เค้าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ฮิ้ววววววว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: สตางค์ ที่ 21-04-2017 02:39:19
เราว่านิสัยปานตะวันดูเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้ทั่วไปอ่ะ
นิสัยไม่ได้แบบแย่สุดกู่ แต่ก็ไม่ใช่พ่อพระนายงามรักเด็กทุกคนบนโลกนี้ประมาณนั้นอ่ะ
ถ้าเราเป็นตะวันคงเป๋เหมือนกัน พี่สาวตาย เพิ่งรู้ว่าพี่สาวท้องแถมพี่สาวมีลูกตั้งสี่ขวบแล้วแน่ะ
พี่สาวปิดบังเรื่องลูกไว้อย่างน้อยก็ห้าปีเชียวนะ คงอดคิดไม่ได้อ่ะว่าเราสนิทกับพี่จริงเหรอวะหรือมโนไปเองว่าสนิทขนาดพี่ยังไม่คิดจะบอกเรื่องสำคัญเลย และไม่สนิทใจกับลูกพี่สาวแน่นอน อารมณ์แบบโดนพี่สาวทรยศบางเบา

แต่ในตัวเรื่องที่ดูจากรีแอคชันของปานตะวัน ดูตะวันจะผูกพันกับพี่จันทร์ของเขามาก มากจนไม่โกรธในแง่ที่โดนพี่สาวปิดบัง แค่ดูสับสน ซึ่งทำให้เราค่อนข้างจะเห็นใจตะวัน /เจองี้ใครไม่สติแกนี่ขอสรรเสริญเลย
อีกอย่างเรารู้สึกว่าพี่จันทร์ตอนเข้าฝันตะวันแลดูค่อนข้างเห็นแก่ตัว ไม่มีเหตุผลให้แต่แค่สั่งลาไว้ว่าเลี้ยงลูกให้หน่อย #เอาที่พี่จันทร์สบายใจ  แต่ถ้าคิดในเเง่เพราะตะวันหมกมุ่นในเรื่องเจียหลินแล้วฃันเพ้อไปเอง ก็ขอโทษพี่จันทร์ ณ ที่นี้นะคะ 555555555 โอยยยย อินละเกิน
เอาจริงๆ จนถึงบทสองเราลำไยราเมศมากกว่าปานตะวันนะ จนกระทั่งทำให้เราอคติกับราเมศมาเรื่อยๆ และคงอคติต่อไปจนกว่าพี่แกจะท๊อปฟอร์มให้เห็น
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-04-2017 03:26:45
ตอนนี้พี่เมศน่ารักดีนะคะ มีการขอเป็นครอบครัวเดียวกันด้วย เฮ้ออออ ต่อไปนี้ตะวันคงจะมีความสุขแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 21-04-2017 08:45:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 21-04-2017 16:50:41
มีเหตุการณ์เร่งปฏิกริยา เลยได้เปนครอบครัวเดียวกันแล้ว >\\\\\\<
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-04-2017 09:05:34
หวายยยย ครอบครัวอบอุ่น เป็นครอบครัวเดียวกัน

หนูเจียน่ารักมาก บอกไรก็ทำ ดื้อบ้าง แต่ไม่ซน รู้เรื่อง สมควรแล้วที่น้าตะวันอยากจับฟัดวันละสิบรอบ
ตะวันยอมรับแล้วน้า พี่เมศดีต่อใจมาก จะอบอุ่นไปไหม ดูแลดีจริงอะไรจริง

ตะวันพยายามเข้านะ รอวันความสำเร็จ มีกำลังใจเพียบจ้า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 22-04-2017 15:14:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 23-04-2017 10:37:02
น่ารักมาก  สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 23-04-2017 18:33:31
ครอบครัวอบอุ่น
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-04-2017 19:30:16
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๑ ระหว่างเรา (๒๐/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 27-04-2017 19:38:28
น้องเจียน่ารักจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 27-04-2017 20:49:19
ปานตะวัน
บทที่ ๑๒
เด็กชายเกล้า


       หลังจากเหตุการณ์รถชนและการสารภาพรักแบบสายฟ้าแลบของราเมศเวลาก็ล่วงผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว ปานตะวันหายดีและกลับมาทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังสมัครเรียนมหาวิทยาลัยตามที่ได้ตั้งใจไว้อีกด้วย โดยคณะที่เขาเลือกคือมนุษยศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ตอนที่ปานตะวันบอกราเมศอีกฝ่ายก็ทำหน้าประหลาดใจอย่างไม่ปิดบังทำเอาปานตะวันต้องแยกเขี้ยวใส่พร้อมคำอธิบายสั้นๆ

   “ก็ผมอยากเรียน”

   “เรียนแล้วจะได้เอาไปใช้หรือเปล่า”

   “แน่อยู่แล้วสิ ไม่ให้เงินที่ลงทุนไปสูญเปล่าหรอกน่า!”

   “งั้นก็ตามนั้น”

   เมื่อได้ข้อสรุปปานตะวันจึงเลือกได้อย่างไม่ลังเล เดิมทีนิเทศศาสตร์ก็ไม่ใช่ความสนใจของเขาอยู่แล้วแต่ที่ตอนนั้นเลือกเรียนคณะนี้เพราะหนึ่งเลยคือตามเพื่อน สองหลายๆ คนบอกว่าเขาน่าจะทำได้ดีเขาเลยตามน้ำไป แน่ล่ะว่าทำได้ แต่ก็ไม่ได้ดีมาก ยิ่งประกอบกับเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่พาชีวิตขาดิ่งลงเหวช่วงนั้นแล้วฝีมือและผลการเรียนนอกจากจะไม่พัฒนาขึ้นมันยังแย่ลงๆ อีก  มาคราวนี้ปานตะวันจึงลองเลือกอะไรที่ตัวเองสนใจดูบ้าง คิดๆ แล้วเรียนภาษาที่สามไว้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

   ถึงแม้จะรู้ตัวว่าต้องพยายามหนักกว่าคนอื่นก็เถอะ ยิ่งไม่มีพื้นฐานเลยแบบนี้ด้วยแล้ว

   ราเมศและคนอื่นๆ ที่ทำงานเองก็เข้าใจ เวลาเลิกงานของปานตะวันจึงกลายเป็นสี่โมงเย็นแทน และทุกๆ คืนเขาจะต้อง
กลับบ้านมาอ่านหนังสือ ปานตะวันพยายามบังคับตัวเองให้มากเท่าที่จะทำได้ และกำลังใจสำคัญของชายหนุ่มก็คือหนูเจียกับราเมศนี่แหละ

   นอกจากสองคนนี้แล้วเพื่อนอย่างชนกันต์กับหลงก็เป็นกำลังใจที่ดีมากเช่นกัน คนแรกดูจะยินดีมากที่ปานตะวันกลับมาอยู่กับร่องกับรอยแล้ว อีกฝ่ายมักจะมาเยี่ยมพร้อมขนมนมเนยเต็มมือเสมอ ส่วนหลงเองก็ช่วยเหลือเวลาปานตะวันมีส่วนที่ติดขัดอยู่ เขาเพิ่งรู้นี่แหละว่าหลงพูดจีนกับญี่ปุ่นได้ด้วย ภาษาจีนเหมือนจะเรียนมาตั้งแต่มัธยมปลายส่วนภาษาญี่ปุ่นก็อาศัยเรียนเสริมพิเศษข้างนอกเอาเพราะเจ้าตัวสนใจ

   เวลาไปทำงานพิเศษกับหลงบางทีปานตะวันก็หอบหนังสือไปให้อีกฝ่ายช่วยสอนด้วย แต่ก็ไม่บ่อยหรอกเพราะต้องทำงาน ลูกค้าของหลงเพิ่มขึ้นๆ ทุกวันปานตะวันที่เดิมที่มีหน้าที่แค่หยิบขนมใส่กล่องเดี๋ยวนี้หลงก็ช่วยสอนให้ทำขนมเลื่อนขั้นมาเป็นลูกมือในครัวแล้ว

   ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยุ่งเหยิงบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่เขาก็อดทนจนผ่านมาได้ทุกครั้ง รู้ตัวอีกทีก็อยู่กันมาจะครบปีแล้ว หนูเจียเองก็เลื่อนชั้นจากอนุบาลสองมาเป็นอนุบาลสาม เริ่มรู้เรื่องขึ้นมาอีกระดับ

   เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังไม่หยุด ปานตะวันที่ซุกตัวในผ้านวมจึงปรือตาโงหัวจากหมอน สองมือปัดป่ายไปที่หัวเตียงเพื่อควานหาโทรศัพท์ พอเจอแล้วชายหนุ่มก็กดปิดเสียงก่อนจะลุกขึ้นมานั่งหัวฟูหน้าง่วง

   “หนูเจีย...หนูเจียครับ” ปานตะวันเอ่ยเรียกหลานชายตัวเล็กที่ยังนอนหลับอุตุอยู่ “ตื่นเร็วครับ”

   “ฮื้อออ หนูเจียง่วง”

   “จะหกโมงแล้วนะ วันนี้เปิดเทอมวันแรกด้วย หนูเจียไม่อยากไปสายหรอกใช่ไหม”

   “ฮื้ออออ”

   หนูเจียครางหงุงหงิงในลำคอ ปานตะวันที่เริ่มตื่นเต็มตาก็จัดการงัดหลานชายขึ้นจากกองผ้าห่ม ดันหลังอีกฝ่ายที่ทำท่าจะงอแงไปยังห้องน้ำ หนูเจียปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ปานตะวันส่งแปรงสีฟันอันเล็กกับหลอดยาสีฟันกลิ่นองุ่นให้หลานชาย หนูเจียบีบยาสีฟันใส่แปรงก่อนจะบ้วนปากแล้วแปรงฟัน

   ปานตะวันเหลือบตามองหลานชายที่หลับตาแปรงฟันแบบขำๆ ภาพคนต่างวัยต่างขนาดตัวสองคนกำลังแปรงฟันที่ปรากฏบนกระจกในห้องน้ำกลายเป็นความคุ้นชิ้นของเขาไปเสียแล้ว หากแต่ทุกวันยามเห็นภาพนี้ปานตะวันจะรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้ง

   แปรงฟันล้างหน้าเสร็จปานตะวันก็ออกจากห้องน้ำไปทำอาหารเช้า ปล่อยให้หลานชายอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ชายหนุ่มทำอาหารเช้าง่ายๆ สำหรับสามที่ขึ้นมา

   ใช่...สามที่...

   ดวงตากลมสีนิลเหลือบมองนาฬิกาที่ข้างฝา ตอนนี้หกโมงสิบนาทีแล้ว ใกล้ได้เวลาแล้วสินะ

   “อรุณสวัสดิ์” เสียงทุ้มทักขึ้นเรียบๆ พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของราเมศที่เดินเข้ามาในครัว ปานตะวันยิ้มให้อีกฝ่าย “หวัดดีครับ”

   “หิวแล้ว วันนี้มีอะไรกินบ้าง”

   “ไข่ดาว ไส้กรอกกับขนมปังปิ้งครับ พี่เมศเอากาแฟเหมือนเดิมใช่ไหม”

   “อื้ม พี่แวะซื้อขนมครกหน้าปากซอยมากด้วย”

   ราเมศวางถุงใส่ขนมครกที่ยังอุ่นอยู่ลงบนโต๊ะ ไม่นานกาแฟกับอาหารเช้าของเขาก็มาเสิร์ฟ เป็นเวลาเดียวกับที่หนูเจียสะพายกระเป๋าใบโตเดินเข้ามาพอดี

   “น้าเมศศศ”

   เจียหลินยิ้มร่า วิ่งจี๋ไปหาน้าชายอย่างอารมณ์ดี

   “ว่าไงครับหนูเจีย”

   ราเมศคว้าหลานชายขึ้นมาหอมแก้มทั้งสองข้าง ก่อนจะปล่อยให้เด็กน้อยเข้าประจำตำแหน่ง ราเมศกินไปคอยระวังไม่ให้หนูเจียทำชุดนักเรียนเลอะไปด้วย พออิ่มแล้วทั้งสามคนก็ช่วยกันเก็บจานแล้วเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อพาหนูเจียไปส่งโรงเรียน โดยคนรับหน้าที่ขับรถคือราเมศ

   นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ปานตะวันต้องทำใจให้ชิน คือราเมศจะมากินข้าวเช้าและข้าวเย็นด้วยทุกวัน รวมถึงเป็นคนไปรับไปส่งหนูเจียจากโรงเรียนด้วย วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็มานอนเล่นที่บ้านบ้าง พาไปเที่ยวบ้าง ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น

   “น้าตะวัน น้าเมศหนูเจียไปแล้วน้า เจอกันตอนเย็นครับ”

   “ครับผม ตั้งใจเรียนนะ”

   เมื่อฝ่าการจราจรที่แออัดมาถึงหน้าโรงเรียนได้ หนูเจียก็โบกมือบ๊ายบายน้าชายทั้งสอง จากนั้นก็กระโดดลงจากรถ เดินเข้าโรงเรียนไป ราเมศรีบขยับรถทันทีเพราะคันหลังร่ำๆ จะบีบแตรใส่แล้ว หลังส่งเจียหลินเสร้ตพวกเขาก็กลับมาที่บ้าน เก็บล้างจานชามจากเมื่อเช้า

   “มา พี่ช่วย”

   ราเมศเอ่ยขณะไปยืนซ้อนหลังคนรัก ปานตะวันส่ายหน้าทันที “ไม่ต้องเลยครับ ไปนั่งเฉยๆ เลย”

   “เห ใจร้ายจังนะ คนอุตส่าห์จะช่วยแท้ๆ”

   “ถ้าแค่ ‘จะช่วย’ ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ถ้าจะมายืนโอบนู่นแตะนี่ล่ะก็ไปไกลๆ เลยครับ ขอรับไว้แค่น้ำใจก็พอ” ปานตะวันหันมามองอย่างรู้ทัน

   เรื่องบางเรื่องทำใจให้ชินได้แต่บางเรื่องก็ทำไม่ได้

   เช่นไอ้เรื่องแต๊ะอั๋งหน้าตายของราเมศนี่แหละ!

   เขาก็เพิ่งจะรู้หลังตกลงคบกันว่าราเมศมันไม่ได้นิ่งเหมือนที่คิดไว้ ไม่ได้เป็นคนเนียนแต๊ะอั๋งด้วย แต่ขอกันซึ่งๆ หน้าเลย ไม่รู้ว่าเป็นคนตรงหรือขวานผ่าซากดี อยากหอมก็พูดอยากหอม อยากจูบก็พูดว่าอยากจูบ พอพูดเสร็จก็ไม่มีการรอคำอนุญาตอะไรทั้งนั้นเพราะทำเลย นึกๆ ดูแล้วมันก็เป็นแค่ประโยคบอกเล่าเท่านั้นนี่นะ...

   “ก็ตะวันตัวหอม น่ากอด”

   ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายยังสอดแขนกอดรอบราวเอว เอาคางเกยบนศีรษะเขาอีกต่างหาก ปานตะวันกลอกตา แกล้งหันไปสะบัดน้ำใส่หน้าอีกฝ่ายเล่น

   “หอมตรงไหนครับ เหม็นออก นี่ยังไม่ได้อาบน้ำ”

   “ไม่เหม็น หอม”

   ปลายจมูกโด่งเริ่มแตะลงที่ขมับ ขยับเรื่อยมาถึงพวงแก้ม ราเมศสูดกลิ่นหอมจากผิวเนื้ออีกฝ่ายเข้าไปเต็มปอดเป็นการพิสูจน์

   “พี่เมศ!”

   ปานตะวันตกใจจนเกือบทำแก้วหลุดมือ แก้มขาวๆ เริ่มขึ้นสีระเรื่อ ราเมศถอยออกมา ยิ้มเอ็นดูประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา

   “เอาเปรียบนี่หว่า!”

   “งั้นเดี๋ยวให้หอมคืน หายกัน ดีไหม”

   “แบบนั้นพี่ก็ได้กำไรอยู่ดี ไม่ยุติธรรมเลย” ปานตะวันบ่นอุบพลางเก็บแก้วใบสุดท้ายคว่ำลงในตะกร้า “ผมจะไปอาบน้ำแล้ว”

   “อ้าว ไม่หอมคืนเหรอ พี่กลัวเราขาดทุนนะเนี่ย”

   “ไม่หอม!”    

   ปานตะวันปัดผมตัวเองที่ย้อมกลับมาเป็นสีดำแล้วก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ คนตัวเล็กขยับไปใกล้ราเมศที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วก็แตะริมฝีปากลงที่ริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่าย ค้างไว้ครู่หนึ่งจากนั้นก็ขยับไล้อย่างแผ่วเบา ไม่ได้จาบจ้วง ไม่ได้แนบชิด แค่ปัดป่ายคลอเคลียเป็นเชิงหยอกล้อเท่านั้น

   ราเมศคำรามเบาๆ ในลำคอหากแต่เมื่อจะยื่นมือไปรั้งใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ปานตะวันกลับกระโดดถอยหลัง หลบรอดเงื้อมือเขาไปได้อย่างฉิวเฉียด

   ชายหนุ่มพินิจมองเด็กแสบตรงหน้าที่หรี่ตาลงแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ กิริยาคล้ายแมวตัวแสบที่กำลังมองเหยื่อของมันอย่างมีความสุขอย่างไรอย่างนั้น

   ปานตะวันหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดว่า “ต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าได้กำไร”

   ว่าจบเจ้าแมวแสบก็เดินออกจากห้องไปพร้อมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ราเมศยืนค้างอยู่แบบนั้นก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่นห้องครัว ชายหนุ่มส่ายหัว แตะริมฝีปากที่ยังเหลือความอบอุ่นและรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางเบาที่คลอเคลียอยู่เมื่อครู่

   “ยอมให้สักครั้งก็ได้...เห็นว่าเอาคืนได้น่ารักมากหรอกนะถึงยอม”

   ราเมศย้ายตัวเองไปนั่งในห้องนั่งเล่น  ดูข่าวรอปานตะวันอาบน้ำแต่งตัว

   ผ่านไปเกือบปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปานตะวันพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง ค่อยๆ
ปรับตัวเข้าหากันไป ชีวิตประจำวันเริ่มหลอมรวมกันช้าๆ ความสัมพันธ์ทางใจรุดหน้าแต่ความสัมพันธ์ทางกายกลับหยุดแค่หอม กอด และจูบ

   แต่ราเมศก็ไม่ได้เร่งร้อนอะไร ทุกอย่างล้วนมีเวลาของมัน

   “พี่เมศ เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ” ปานตะวันเดินออกมา ยิ้มแฉ่งให้เขาเหมือนเคย ราเมศเองก็ยิ้มตอบ เดี๋ยวนี้ปานตะวันยิ้มง่าย
ไม่ได้ขี้เหวี่ยงเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ชายหนุ่มมีความรับผิดชอบมากขึ้น คิดถึงใจคนอื่นมากขึ้น แต่นิสัยขี้โวยวาย ปากไม่ตรงกับใจก็ยังอยู่ และมักจะแสดงออกมาบ่อยๆ ตอนเขิน

   “ช่วงนี้เรียนเป็นไงบ้าง”

   “ยากอ่ะ ยากมากเลย” ปานตะวันทำปากยื่น เมื่อคืนเขาก็อ่านหนังสือจนหลับ สะดุ้งตื่นมาอีกทีก็ตีหนึ่งแล้ว แต่ทุ่มขนาดนี้ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

   “ไหวไหมเนี่ย ท่าทางดูเหนื่อยๆ นะ พักหน่อยไหม”

   “ไหวสิ ตะวันต้องไหว ไม่ยอมแพ้หรอก!”

   ราเมศยิ้ม นิสัยมุ่งมั่นแบบนี้ก็เป็นอีกข้อดีที่เขาเห็นว่าปานตะวันมีพัฒนาการ ถ้าเป็นเมื่อก่อนชายหนุ่มอาจยอมแพ้ไปแล้วก็ได้

   ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะคนข้างๆ ลูบเบาๆ อย่างอ่อนโยน แม้จะไม่ได้หันหน้ามามองปานตะวันก็เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนเสี้ยวหน้าของราเมศได้

   “สู้เขานะพี่เป็นกำลังใจให้”

   “อ...อื้อ ขอบคุณครับ”

   กำลังใจดีขนาดนี้...จะยอมแพ้ได้ยังไง

   สี่โมงเย็นปานตะวันก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก ชายหนุ่มตรงไปเก็บของลงกระเป๋า เตรียมตัวกลับบ้าน เขาลาพี่ๆ ในร้านก็ชะโงกหน้าไปบอกราเมศที่ง่วนอยู่กับการทำอาหารในครัว คนตัวโตที่เห็นเขาก็พยักหน้าให้นิดหนึ่งแล้วพูดว่า “กลับบ้านดีๆ นะ เจอกันคืนนี้”

   ปานตะวันยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนกลับบ้านชายหนุ่มก็แวะไปรับหลานชายที่โรงเรียน วันนี้หนูเจียกับเพื่อนๆ ในห้องเล่นกันอยู่ที่สนามเด็กเล่น พอคุณครูเห็นปานตะวันเดินเข้าไปก็หันไปพูดว่า

   “เจียหลินครับ ผู้ปกครองมารับแล้วครับ”

   ปานตะวันยืนรออยู่สักพักเจียหลินก็ยังไม่เดินออกมาชายหนุ่มจึงขออนุญาตคุณครูเดินเข้าไปดู ไม่ไกลจากทางเข้าที่ทำเป็นซุ้มดอกไม้เท่าใดนัก ปานตะวันมองเห็นหนูเจียกำลังเล่นไม้กระดกอยู่กับเด็กชายอีกคนหนึ่ง ท่าทางจะสนุกจนลืมน้า

   “หนูเจียครับ” ปานตะวันร้องเรียกหลานชาย “น้าตะวันมารับแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

   “อ๊ะ น้าตะวัน”

   เจียหลินร้องขึ้นก่อนจะหันไปพูดกับเด็กชายที่อยู่อีกฝั่ง ทั้งสองหยุดเล่นเครื่องเล่นแล้วเดินมาหาปานตะวัน ชายหนุ่มนั่ง
ยองๆ อ้าแขนรับหลานชายมากอดแน่น

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 27-04-2017 21:01:39
      “น้าตะวันๆ วันนี้หนูเจียมีเพื่อนใหม่ด้วยนะ คนนี้ชื่อเกล้า” เจียหลินชี้ไปที่เด็กชายที่ตามมาข้างหลัง เด็กคนนั้นสูงกว่าเจียหลินเล็กน้อย ผอมแห้ง ผมเผ้ากระเซิง เสื้อนักเรียนที่ใส่อยู่ดูหลวมโพรกและเป็นสีตุ่นๆ ดวงตาสีน้ำตาลมองสบกับตะวันแล้วก็ยกมือไหว้ “สวัสดีฮะ”

   “หวัดดีครับน้องเกล้า เพื่อนใหม่หนูเจียเหรอครับ” ทำไมไม่คุ้นหน้าเลยแฮะ จะว่ามาจากห้องอื่นก็ไม่น่าใช่

   เด็กชายนามเกล้าพยักหน้า ดวงตาหลุบต่ำ ตอบเสียงเบา “ผมเพิ่งย้ายมาใหม่ฮะ”

   “อ๋อ เด็กใหม่นี่เอง ดีจังเลยนะหนูเจีย ได้เพื่อนใหม่ด้วย”

   “หนูเจียชอบเกล้าม๊ากมาก”

   น้องเกล้าอมยิ้ม ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “เกล้าก็ชอบหนูเจีย”

   ปานตะวันกะพริบตาปริบๆ ไม่แน่ใจว่าการที่หลานชายบอกว่าชอบเพื่อนผู้ชายแล้วเพื่อนคนนั้นตอบว่าก็ชอบเหมือนกันนี่มันจะดีหรือเปล่า...

   เอ่อ บางทีมันคงเป็นมิตรภาพอันสวยงามของเด็กน้อย อย่าเอาโลกของผู้ใหญ่ไปแปดเปื้อนผ้าขาวสิวะไอ้ตะวัน!

   ปานตะวันกระแอม ตบตีกับสติตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มให้น้องเกล้า ลูบหัวเด็กชายเบาๆ “ดีแล้วครับๆ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไว้นะ แต่ว่าวันนี้น้าตะวันต้องพาหนูเจียกลับบ้านก่อนแล้วล่ะ น้องเกล้ารอคุณแม่มารับเหรอครับ”

   “ผม...เปล่าฮะ”

   คำตอบนั้นทำให้ปานตะวันชะงัก เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจในคำพูดของเด็กชาย “น้องเกล้านั่งรถตู้กลับบ้านเหรอครับ”

   “เปล่าครับ คุณแม่ให้เกล้าเดินกลับบ้านเอง”

   “หา? แล้วบ้านน้องเกล้าอยู่ตรงไหนครับ” ปานตะวันถาม ในใจไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้เด็กขนาดนี้เดินกลับบ้านคนเดียว

   “อยู่ตรง...” พอน้องเกล้าบอกชื่อซอยออกไปปานตะวันก็ถึงกับจิ๊ปาก ซอยนั้นอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนก็จริง เดินไปก็ประมาณสิบห้านาทีแต่เป็นซอยที่รถเข้าออกเยอะพอสมควร แล้วนี่ไม่มารับแต่ให้เด็กตัวเท่านี้กลับเอง...คิดอะไรของเขาอยู่นะคนเป็นแม่เด็กเนี่ย

   “แล้วน้องเกล้าจะกลับบ้านตอนไหนครับ น้าตะวันแวะไปส่งเอาไหม”

   เกล้ามีท่าทีลังเล แต่เพราะหนูเจียพูดว่า “เกล้าไปด้วยกันนะๆ ให้น้าตะวันไปส่ง แป็บเดียวถึงบ้าน กลับกับเรานะ” เด็กชายตัวผอมถึงได้ยินยอม

   ปานตะวันเดินเข้าไปคุณครูประจำชั้นพร้อมกับพูดว่า  “ครูครับ เด็กที่เล่นกับหนูเจียเป็นเด็กใหม่ เพิ่งย้ายมาใช่ไหมครับ”

   “ใช่ค่ะ ชื่อน้องเกล้า ทำไมหรือคะ”

   “คือ...แกบอกว่าแม่แกให้เดินกลับบ้านเอง แล้วซอยบ้านแกรถเข้าออกเยอะด้วย ผมเลยเป็นห่วงว่าจะพาไปส่งที่บ้านน่ะครับ”

   คุณครูที่สีหน้าไม่แน่ใจ “แกว่างั้นหรือคะ”

   “ใช่ครับ ได้หรือเปล่าครับ”

   “ดูเหมือนว่าน้องเกล้าจะไม่ได้กลับกับรถตู้โรงเรียนเสียด้วยสิคะ ครูก็ไม่รู้ว่าคุณแม่เขาจะมารับหรือเปล่า”

   “ไม่ได้บอกไว้เหรอครับ”

   “ไม่ค่ะ เมื่อเช้าน้องเกล้ามากับมอเตอร์ไซค์วินค่ะ”

   ปานตะวันกับคุณครูมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเด็กชายคนนี้ดี ถ้าคุณครูให้เด็กเดินกลับเองแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นคุณครูและโรงเรียนจะต้องถูกกล่าวหาแน่นอนว่าประมาท ปล่อยเด็กตัวเท่านี้กลับเองทั้งที่ไม่สมควร แต่ถ้าฝากไปกับปานตะวัน...คุณครูประจำชั้นคนใหม่ก็ไม่ค่อยไว้ใจอีกฝ่ายที่ดูเป็นเด็กวัยรุ่นเท่าไหร่

   “ผมจะส่งน้องเกล้าให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยครับ คุณครูไม่ต้องกังวล” ปานตะวันรับรองกับคุณครู อีกฝ่ายยกมือกุมแก้มแล้วถอนหายใจ

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ”

   ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กร้องไห้แผดดังไปทั้งสนามเด็กเล่น ปานตะวันกับคุณครูสะดุ้ง หันกลับไปมองก็พบเด็กชายคนหนึ่งนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ที่ข้อศอกเป็นแผลจนเลือดออก ตรงหน้ามีน้องเกล้ายืนจังก้าอยู่ เจียหลินหลบอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย คิ้วของเกล้าขมวดมุ่น ท่าทางน่ากลัว

   “ตายแล้วน้องน็อต เกิดอะไรขึ้นคะลูก”

   หญิงสาวคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นแม่เด็กที่ล้มอยู่กับพื้นร้องขึ้น หล่อนรีบวิ่งเข้าไปหาลูกชาย กระเป๋าถือราคาแพงที่คล้องแขนอยู่แกว่งไกว

   “แย่แล้ว” ปานตะวันพึมพำกับตัวเอง รีบวิ่งไปหาหลานชายตัวเองบ้าง

   “น้องน็อต เกิดอะไรขึ้นลูก ใครทำอะไรหนูไหนบอกแม่สิคะ”

   เด็กชื่อน็อตสะอึกสะอื้น น้ำตาร่วงผล็อยๆ “เกล้า...ฮึก...ฮือ...เกล้าผลักน็อต” นิ้วเล็กชี้ไปที่เกล้าที่ยืนหน้าซีดอยู่ หญิงสาว
คนนั้นประคองลูกชายหล่อนให้ลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามเสื้อและกางให้พร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดที่ข้อศอกลูกชาย จากนั้นดวงตาสวยซึ้งใต้แพขนตาหนาก็ตวัดมามองเด็กชายอีกคนทันที หญิงสาวโกรธจนตัวสั่น มือบางคว้าแขนเด็กชายแล้วกระชากอย่างแรงทันที

   “เธอทำแบบนี้ได้ยังไง!”

   “เฮ้ยคุณ ใจเย็นครับ”

   ปานตะวันที่เห็นท่าไม่ดีรีบแยกหญิงสาวคนนั้นกับน้องเกล้าออกจากกัน คุณครูก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “คุณแม่ใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน”

   “จะให้ใจเย็นได้ยังไงคะ! คุณครูดูสิ เด็กนี่ผลักลูกชายฉันจนล้มนะคะ! ทำไมก้าวร้าวแบบนี้”

   เสียงตวาดแหวของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ปานตะวันปวดหัวจี๊ด ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” จะพูดไปว่าคุณเองก็ไม่ควรใช้กำลังกับเด็กก็คงเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ เดี๋ยวจะได้ไปกันใหญ่

   ปานตะวันก้มลงไปหาน้องเกล้าที่ยืนนิ่ง ไม่หลบตาใคร ไม่ร้องไห้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น้องเกล้าครับ น้องเกล้าผลักเพื่อนจริงๆ เหรอครับ”

   เกล้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ใช่ฮะ เกล้าทำเอง”

   “เห็นไหมล่ะ!”

   ปานตะวันเมินหญิงสาวคนนั้น แล้วถามต่อ

   “น้องเกล้าทำแบบนั้นทำไมครับ”

   “น็อตแกล้งเกล้ากับเจียก่อน”

   “ไม่จริง..ฮึก...น็อต...น็อตไม่ได้ทำ” ปานตะวันมองเด็กที่ชื่อน็อต เจ้าตัวปฏิเสธแต่กลับก้มหน้า เสียงเบา ไม่ยอมสบตาใครแล้วก็เอาแต่เบียดเข้าหาแม่ “น็อตแค่จะเข้ามาเล่นด้วย แล้วเกล้าก็ไม่ยอม เกล้าผลักน็อต”

   “ไม่จริงนะครับน้าตะวัน น็อตเข้ามาล้อเลียนเกล้าต่างหาก ทำท่าจะต่อยเจียด้วย เกล้าเห็นเลยผลักน็อต” เจียหลินที่เงียบมานานเอ่ยปากพูดขึ้นบ้าน ดวงตากลมๆ หันไปมองน็อตอย่างไม่ชอบใจ “น็อตขี้โกหก”

   “นี่ เธอสอนลูกยังไงถึงได้มาพูดแบบนี้กับคนอื่นน่ะฮะ!” หญิงสาวคนนั้นทนไม่ไหว เงยหน้ามาแว้ดใส่ปานตะวัน ทำเอาชายหนุ่มหงุดหงิดขึ้นมาที่อีกฝ่ายเอาแต่โวยวาย เขาอุตส่าห์พูดดีๆ แล้วนะ

   “เด็กนะคุณ เขาไม่รู้เรื่องหรอก แล้วก็นะครับผมว่าเรามาคุยกันดีๆ เถอะ ถ้าสิ่งที่หนูเจียพูดเป็นจริง ลูกชายคุณก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะ” แถมยังอันธพาลด้วย

   “ลูกชายฉันเป็นเด็กดี ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก!” อีกฝ่ายพูด จิกตาใส่ปานตะวัน “อีกอย่างลูกเธอกับเด็กนี่ก็เพื่อนกัน จะเข้าข้างกันก็ไม่แปลก”

   คราวนี้ปานตะวันเริ่มมีน้ำโหบ้างแล้ว หญิงสาวตรงหน้าไม่เพียแต่ไม่ฟังเหตุผล พูดจาเหมือนหนูเจียโกหกแล้วยังแสดงท่าทางไม่ดีต่อหน้าเด็กอีกด้วย ชายหนุ่มดันเด็กชายทั้งคู่มาข้างหลังตัวเอง สีหน้าที่เคยเป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “งั้นเราถามเด็กคนอื่นดีไหมครับว่าใครทำอะไรยังไง”

   คุณครูที่ต้องการแก้สถานการณ์อันเลวร้ายนี้พยักหน้าเห็นด้วย เธอหันไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนเกาะโซ่ชิงช้าอยู่ไม่ไกล

   “น้องแพรวคะ หนูเห็นหรือเปล่าว่าใครแกล้งใครก่อน”

   เด็กหญิงคนนั้นพยักหน้า ตอบด้วยเสียงฉะฉานว่า “แพรวเห็นน็อตแกล้งเจียกับเกล้าก่อนค่ะคุณครู ทำท่าจะต่อยด้วยค่ะ”

   เพียงเท่านี้ปานตะวันก็หันมามองหน้าหญิงสาวอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ว่าไงครับ ผมว่าเท่านี้เราก็รู้แล้ว เด็กคนนี้คงไม่ได้
โกหกหรอกครับ หรือถ้าคุณยืนยันจะเชื่อว่าลูกคุณถูกแต่เด็กคนอื่นโกหก คุณก็ควรพิจารณานิสัยลูกคุณได้แล้วนะครับ”

   “นี่เธอพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง นิสัยแบบนี้ไงลูกเธอถึงได้ก้าวร้าวแบบนี้ อีกอย่างนะ น้องน็อตก็แค่อยากเล่นด้วยแต่เด็กเกล้านี่ผลักลูกฉันซะได้แผล ยังไงคนผิดก็คือเด็กคนนี้ และฉันต้องการคำขอโทษ!”

   ปานตะวันนึกอยากจะกลอกตาเป็นเลขแปดสักล้านรอบ นึกถึงคำพูดที่ว่าลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนขึ้นมาทันที

   แต่จะให้ต่อความยาวสาวความยืดตรงนี้ก็น่ารำคาญเกินไป

   อีกอย่างน้องเกล้าก็ผลักเด็กคนนั้นจนล้มจริง น้องเกล้าควรขอโทษอันนี้ปานตะวันไม่เถียง แต่เด็กคนนั้นก็ควรขอโทษเหมือนกัน

   ชายหนุ่มถอนหายใจ ยอมถอยออกมา ไม่ใช่ยอมแพ้แต่เขาไม่อยากให้ใครมองน้องเกล้าว่าก้าวร้าวมากไปกว่านี้

   “น้องเกล้าครับ ขอโทษคุณแม่น้องน็อตเร็ว”

   “เกล้าขอโทษฮะ” เด็กชายพนมมือไหว้แต่โดยดี หญิงสาวคนนั้นรับไหว้ด้วยสีหน้าตึงๆ จากนั้นก็จูงมือลูกชายเดินจากไป
“ไปกันเถอะลูก คราวหลังน็อตก็ไม่ต้องไปเล่นกับเด็กสอนคนนี้แล้วนะ อยู่ให้ห่างๆ เลยนะลูก เด็กเกเรแบบนี้ ผู้ปกครองก็เหลือเกิน เป็นวัยรุ่นแบบนี้เลยไม่มีมารยาท สอนลูกสอนหลานให้ไม่มีมารยาทไปตามๆ กัน”

   อ้าวเฮ้ย!

   ปานตะวันหันไปถลึงตาไล่หลังอีกฝ่าย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ชายหนุ่มลูบหัวหนูเจียไปพลาง ดวงตาสีน้ำตาลมองเด็กชายเกล้าไปพลางอย่างสับสน

   เด็กคนนี้ดูว่าง่าย เงียบๆ และเรียบร้อย ไม่น่าใช่เด็กหัวรุนแรงหรือชอบใช้กำลังเลย

   บางอย่างในตัวเกล้าทำให้ปานตะวันรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกคาใจอย่างบอกไม่ถูก

   ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าสี่โมงกว่าจะห้าโมงแล้ว ราเมศโทรมาหาสามสายแต่เขามัวเถียงกับผู้หญิงคนนั้น
อยู่เลยไม่รู้ตัว

   “จบเรื่องแล้ว งั้นผมพาเจียหลินกลับบ้านเลยนะครับ” ปานตะวันหันไปพูดกับคุณครู หญิงสาวยิ้มเจื่อน ยกมือรับไหว้เขา “เอ้อ แล้วผมก็ขอพาน้องเกล้ากลับบ้านด้วยเลยแล้วกันนะครับ”

   “อ๊ะ..ค่ะ แต่ว่าพอส่งแล้วรบกวนโทรมาบอกครูด้วยนะคะ”

   “ครับ”

   ปานตะวันบันทึกเบอร์คุณครูเอาไว้ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ มือซ้ายขวาจูงเด็กชายทั้งสองคนล่ะข้างแล้วเดินออกจาก
โรงเรียนไปโดยไม่สนสายตาใครรู้ของผู้ปกครองคนอื่น

   ซอยบ้านของเกล้าเมื่อขี่รถไปก็ใช้เวลาไม่นาน แต่บ้านของเด็กชายอยู่ค่อนข้างลึก เกือบสุดซอย รถราก็เยอะแยะ ทำให้ปานตะวันรู้ว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่มาส่งเด็กคนนี้

   “น้าตะวัน บ้านหลังนี้แหละครับ”

   รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กจอดหน้าบ้านสองชั้นเก่าๆ ประตูรั้วสีเขียวขึ้นสนิมเปิดอยู่เล็กน้อย หน้าบ้านมีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่คันหนึ่ง พร้อมกับกองเศษเหล็กเก่าๆ และตั้งหนังสือการ์ตูนเก่าขาด แว่วเสียงโครมครามด่าทอดังมาจากในบ้าน ปานตะวันหันมา
มองเกล้าที่ปีนลงจากเบาะด้วยสายตาไม่แน่ใจ

   “ที่นี่แน่หรือเกล้า”

   “ถูกแล้วฮะ ขอบคุณน้าตะวันมากเลยนะฮะที่มาส่ง” เด็กชายยิ้มแล้วยกมือไหว้ขอบคุณ มือเล็กๆ ยกมือโบกให้หนูเจียด้วย
“บ๊ายบายนะเจีย เจอกันพรุ่งนี้”

   “อื้ม เจอกันพรุ่งนี้นะเกล้า”

   ปานตะวันรอจนเกล้าเดินเข้าบ้านไป ไม่นานชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงด่าดังลั่น

   “กลับมาแล้วเหรอไอ้เกล้า เย็นขนาดนี้แล้ว มึงไปเถลไถลที่ไหนมา!”

   ปานตะวันกัดริมฝีปาก ตัดสินใจออกรถทันที ทิ้งเสียงขว้างปาข้าวของและคำด่าทอหยาบคายไว้เบื้องหลัง

   เมื่อกลับถึงบ้านปานตะวันก็พบว่าเขารวบรวมสมาธิไม่ได้เลย สมองมันพาลไปคิดถึงเกล้าและเรื่องวันนี้ ชายหนุ่มเงียบจนราเมศสังเกตได้ หลังส่งหนูเจียเข้านอนเรียบร้อยราเมศจึงดึงตัวปานตะวันมาคุย

   “วันนี้มีอะไรหรือเปล่า”

   ปานตะวันช้อนตามองราเมศ กัดริมฝีปากอย่างชั่งใจแล้วก็ตัดสิจนใจเล่าออกมา

   “วันนี้หนูเจียเจอเพื่อนใหม่แล้วกำลังจะโดนเพื่อนในห้องแกล้ง เพื่อนใหม่เลยผลักเด็กนั่นล้ม ศอกเป็นแผล แม่เด็กโวยวายใหญ่ ด่าตะวันด้วย” ท้ายเสียงพูดอย่างขุ่นใจ ราเมศเห็นแมวแสบของเขาเริ่มทำหน้ายุ่งก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ จูบลงที่หว่างคิ้ว
เบาๆ

   “มาว่าตะวันเป็นวัยรุ่นเลยเลี้ยงหลานไม่ดีด้วยนะ มนุษย์ป้าเอ๊ย อยากจะด่าให้ว่าผมเลี้ยงหลานดีกว่าป้าอีก!”

   “พี่รู้”

   ปานตะวันฮึดฮัดแต่ก็เริ่มใจเย็นลงทีละน้อย แต่กระนั้นสีหน้าก็ยังคงแฝงความกังวลอยู่ ราเมศที่รับรู้ได้ก็ถามขึ้นอีก “แล้วยังกลุ้มใจอะไรอีก”

   “รู้ได้ไง”

   “ดูหน้าก็รู้แล้ว” ราเมศลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “ปรึกษาพี่ได้นะ มีอะไรหรือเปล่า”

   “ก็...ไม่เกี่ยวกับตะวันหรอก แต่มันกังวล” แล้วปานตะวันก็เล่าให้ราเมศฟังถึงเสียงที่เขาได้ยินในบ้านเกล้าและเรื่องที่แม่เด็กชายฝากลูกมากับวินมอเตอร์ไซค์ตอนเช้าและให้เดินกลับเองตอนเย็น

   “เขาดูไม่สนใจลูกเลย แถมยังพูดจาหยาบคายกับลูกอีก” ผู้ปกครองแบบนี้ใช่ว่าไม่มี แต่ยังไงมันก็ไม่ดีกับเด็ก “ผมกังวล”

   “พี่รู้ แต่เราก็ทำอะไรมากไม่ได้...เพราะมันเป็นเรื่องในครอบครัวเขา”

   “ตะวันรู้ แต่มันอดไม่ได้นี่นา เห็นแล้วสงสาร ตะวันว่าพอรู้แล้วล่ะว่าทำไมเด็กเรียบร้อยแบบนั้นถึงผลักคนอื่นล้ม บางทีเขาอาจโดนกระทำแบบนี้บ่อยจนร่างกายมันปกป้องตัวเองไปโดยอัตโนมัติก็ได้นะ”

   “ก็อาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่” ราเมศตอบกลางๆ เรายังฟันธงอะไรไม่ได้เพราะเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และปาน ตะวันก็รู้จักเด็กคนนั้นได้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เรียกได้ว่ารู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น

   “เอาเถอะ วันนี้พอก่อน อย่าเพิ่งเครียดเลย” ราเมศปลอบ “มานอนเถอะ”

   ราเมศจูงมือลูกแมวหน้ายุ่งเข้าไปในห้องนอนอย่างแผ่วเบา คืนนี้พวกเขาลงมานอนบนฟูกที่ปูอยู่ข้างเตียงเพราะราเมศตก
ลงจะค้างด้วย

   ภายในห้องมืดสนิท พวกเขาทั้งสองซุกตัวลงในผ้านวมข้างกัน ราเมศดึงปานตะวันมากอด เจ้าลูกแมวตัวเล็กซุกตัวเข้าหาเขา ราเมศยิ้ม ลูบหลังลูบหัวอีกฝ่าย ปลอบให้หายคิดมาก

   “นอนซะเจ้าแมวแสบ ไม่ต้องกังวล พี่ไม่ให้ใครมาทำอะไรเรากับหลานหรอก” จุมพิตอุ่นประทับลงที่หน้าผากเนียน “ฝันดีนะ”

   “ฝันดีครับพี่เมศ

   ปานตะวันพึมพำตอบกลับก่อนที่จะปล่อยใจให้จมลงไปในห้วงนิทราแสนอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบกาย

****************************************************

มาอัพแล้วค่าาาา หลังจากห่างหายไปนาน ตอนนี้มีเด็กน้อยเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนแล้ว เรื่องนี้เหมือนโชตะเลยค่ะ 5555
ตอนนี้ความสัมพันธ์พี่เมศกับน้องตะวันก็ยังเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่รู้ทำไมเรากลับชอบอะไรแบบนี้
มันดูน่ารัก สบายๆ ไม่หวือหวาแต่โซคิ้วท์ 55555 ชอบมากกก

ส่วนคนอื่นๆ อ่านแล้วรู้สึกยังไงบอกเราได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาอ่าน
สามารถติดตามและหลังไมค์กับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ

หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-04-2017 21:09:20
สภาพแวดล้อมที่น้องเกล้าอยู่น่าจะไม่โอเคแน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-04-2017 21:18:43
สงสารเกล้านะ สภาพแวดล้อมครอบครัวทำให้เกล้าแสดงออกแบบนั้น

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-04-2017 22:37:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 27-04-2017 22:38:21
สงสารน้องเกล้าจังลูกเอ้ย  :mew4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-04-2017 07:01:00
สภาพแวดล้อมของน้องเกล้าแบบนี้น่ากลัวจัง แต่ดีที่น้องเขาดูไม่ก้าวร้าว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 29-04-2017 07:19:58
สงสารเกล้านะ แต่จะช่วยยังไงล่ะเนี่ย TT
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-04-2017 20:01:21
สนุก น่ารักดี เพิ่งเข้ามาอ่าน

มีบางมุมดูแปลกๆ เมศเปิดร้านอาหารแถมตะวันเป็นพนักงาน แต่หนูเจียกลับหิวซกหลังเสร็จงาน
ร้านส่วนใหญ่เขามักเลี้ยงอาหารพนักงานนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 01-05-2017 09:10:46
น้องเกล้าจะคู่กับน้องเจียรึปล่าวเนี่ย มโนหนักมาก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๒ เด็กชายเกล้า (๒๗/๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 03-05-2017 22:37:35
ถามแบบไม่รู้ คือ เกล้ามาจากไหน แล้วชีวิตเด็กน้อยต้องเจออะไรอีก

หนูเจียน่ารักมาก เป็นเด็กดีนะลูก

ตะวันพยายามได้ดี ทำต่อไปนะ พี่เมศเป็นแรงใจให้ ราเมศอบอุ่นเวอร์มาก ปลื้ม

กันต์กับหลงคือดี เป็นเพื่อนที่ดี ไม่ทิ้งกัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 20-05-2017 21:21:16
ปานตะวัน
บทที่ ๑๓
เด็กชายเกล้า II


        หลังเปิดเทอมมาสองอาทิตย์ วันนี้เจียหลินตื่นเช้ากว่าทุกวัน ตอนที่เด็กชายงัวเงียลุกขึ้นนั่ง นาฬิกายังบอกเวลาตีห้าสี่สิบห้าอยู่เลยแต่กระนั้นเจียหลินกลับไม่ล้มตัวลงนอนเหมือนทุกวันแต่กระเด้งตัวลุกขึ้นมาแล้วก็แอบย่องออกไปเตียง วิ่งจี๋ไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปโรงเรียน
   
        หนูเจียยิ้มแก้มพอง อารมณ์ดีตั้งแต่เช้า ปกติเด็กชายไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ แต่วันนี้หนูเจียอยากตื่นไปโรงเรียนเร็วๆ เพื่อไปเล่นกับน้องเกล้าต่างหาก! “หนูเจียหลินมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว เมี๊ยว เมี๊ยววว” เสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีดังไปทั่วห้องน้ำ เจียหลินพยายามอาบน้ำให้สะอาดตามที่คุณน้าสอน เด็กชายคิดไปว่าพอเขาอาบน้ำเสร็จก็จะไปปลุกคุณน้าตะวันด้วย แต่ตอนนี้ให้นอนไปก่อน
   
        น้าเมศบอกหนูเจียว่าน้าตะวันเหนื่อยมากๆ ในแต่ละวัน เพราะต้องดูแลหนูเจียแล้วก็ต้องทำงานไปด้วย ดังนั้นหนูเจียจะต้องเป็นเด็กดี ว่าง่ายๆ น้าตะวันจะได้ไม่ลำบากมากจนเกินไป
   
        เด็กน้อยวิ่งเดินออกจากห้องน้ำ ผ้าขนหนูลากเป็นทางยาวเพราะเจ้าตัวพันไม่แน่นแต่หนูเจียไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เด็กชายเดินไปหยิบเอาชุดนักเรียนออกมา เดี๋ยวนี้หนูเจียใส่ชุดนักเรียนเองได้แล้ว ไม่ต้องให้น้าตะวันคอยช่วยแล้วด้วย!
   
       เจียหลินมองเงาตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจที่ไม่ได้ติดกระดุมผิดเม็ดแล้วก็เอาเสื้อใส่ในกางเกงได้เรียบร้อยดี
   
       เห็นมั้ยล่ะ หนูเจียเก่งจะตาย น้าตะวันตื่นมาต้องตกใจแน่เลย
   
       เจียหลินวิ่งไปทางห้องนอน ภายในห้องยังมืดสนิท แอร์เปิดเย็นฉ่ำ น้าตะวันของหนูเจียยังคงซุกตัวอยู่ในกองผ้าห่ม หลับสบายน่าดู...แต่ก็อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นแหละ
   
       “น้าตะวันนน” หนูเจียร้อง กระโดดเด้งอยู่บนเตียงแล้วก็ล้มตัวไปกอดน้าชายของตน เขย่าไปมา “น้าตะวันตื่นเร็วๆ เช้าแล้วน้า”
   
       “อืม หนูเจีย อะไรกันเนี่ย”
   
       ปานตะวันครางเบาๆเมื่อร่างกายถูกเขย่าและความสงบถูกบุกรุกด้วยน้ำเสียงสดใสของหลานชาย หือ...น้ำเสียงสดใส?
   
       ปานตะวันที่สติเริ่มกลับมาครบถ้วนฝืนงัดเปลือกตาขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มหันไปหาหลานชายของตน ในขณะที่กำลังจะถามว่าวันนี้ทำไมตื่นเช้าจังชายหนุ่มก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าไม่ใช่แค่ตื่นเช้าแต่หนูเจียของเขายังอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วด้วย!
   
       ปานตะวันเบิกตาโตอย่างงุนงง “หนูเจีย วันนี้มีงานอะไรที่โรงเรียนเหรอครับ”
   
       หนูเจียเอียงคอมองน้าตะวันก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีคับ”
   
       “แล้วทำไมตื่นเช้าจัง” หวา เพิ่งหกโมงเอง ปกติกว่าจะงัดหลานชายออกจากเตียงได้นี่ก็หกโมงสิบห้าเข้าไปแล้ว แถมวันนี้หนูเจียยังทำท่ากระตือรือร้นจะไปโรงเรียนอีก ปกติถึงจะไม่ได้งอแงไม่อยากไปโรงเรียนแต่ก็ไม่ได้อารมณ์ดีดี๊ด๊าขนาดนี้
   
       “หนูเจียอยากไปโรงเรียนเร็วๆ อยากไปเล่นกับเกล้าคับ”
   
       “อ๋อ” ปานตะวันลากเสียงยาว หนูเจียได้เพื่อนใหม่แล้วนี่นะจะอยากไปเล่นด้วยกันเร็วๆ ก็ไม่แปลกหรอก
   
       หลังจากวันที่เจอเกล้าครั้งแรกแล้วปานตะวันไปมีปัญหากับผู้ปกครองคนหนึ่งเข้านี่ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างปกติดี ทุกครั้งที่ปานตะวันไปรับเจียหลินที่โรงเรียนก็มักจะเห็นเจียหลินกับเกล้าอยู่ด้วยกันเสมอ กลายเป็นคู่แฝดตัวติดกันไปเรียบร้อย เจียหลินดูจะชอบเพื่อนใหม่คนนี้มากจริงๆ ถึงขนาดยอมตื่นเช้าเพื่อให้มีเวลาเล่นด้วยกันให้นานขึ้น
   
       “งั้นหนูเจียรอน้าตะวันแป็บนึงนะครับ ขอน้าตะวันอาบน้ำแต่งตัวก่อน” ปานตะวันลุกขึ้น เจียหลินขยับตัวช่วยชายหนุ่มพับผ้าห่มอย่างคล่องแคล่ว
   
        “ได้คับ น้าตะวันให้หนูเจียไปปลุกน้าเมศไหม”
   
        “อื้ม เอาสิ ฝากด้วยนะ”
   
        เด็กชายในชุดนักเรียนพยักหน้าอย่างขันแข็ง ปานตะวันจึงหยิบกุญแจดอกหนึ่งส่งให้พร้อมกับกำชับหลานชาย “ถือดีๆ อย่าให้หายนะครับ”
   
       “รับทราบคับผม!”
   
       หนูเจียรับคำเสียงใสก่อนจะวิ่งดุ๊กๆ หายไป ปานตะวันอมยิ้มก่อนจะนึกไพล่ไปถึงกุญแจที่เจียหลินถือไป กุญแจที่เขาต้องกำชับดีๆว่าอย่าทำหายเพราะมันสำคัญมาก
   
       นั่นเป็นกุญแจบ้านของราเมศ...เป็นกุญแจดอกสำรองที่อีกฝ่ายให้เขาเก็บไว้
   
       ‘แลกกัน’ ราเมศพูดง่ายๆ ตอนที่ส่งกุญแจมาให้ปานตะวัน ชายหนุ่มรับไปดูอย่างงุนงง ‘กุญแจอะไรเนี่ยพี่ แล้วเอามาให้ผมทำไม’
   
        ราเมศจ้องหน้าปานตะวันนิ่งหากแต่ดวงตาสีนิลกลับฉายประกายวิบวับ
   
        ‘กุญแจบ้าน’
   
        ‘ของใคร’
   
        จะพูดก็ไม่พูดให้หมดด้วยนะ จะขยักไว้ทำไมก็ไม่รู้ ปานตะวันบ่นในใจแต่แล้วพอเห็นอาการเลิกคิ้วกับแววตาประมาณว่าที่ถามนี่ได้คิดหรือเปล่าของราเมศแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตัวเองต่างหากที่ถามอะไรงี่เง่า
   
        ราเมศจะเอากุญแจบ้านคนอื่นมาให้เขาทำไมเล่า ปัดโธ่!
   
        ‘กุญแจบ้านพี่’ คนพูดน้อยยอมตอบให้พร้อมกับคลี่รอยยิ้มขบขัน
   
        ‘อ...เอามาให้ตะวันทำไม’
   
        ราเมศกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ หย่อนระเบิดลงมาตูมใหญ่ให้ปานตะวันเขินจนอยากมุดดินหนี
   
        ‘แล้วพี่ให้กุญแจบ้านกับแฟนมันผิดตรงไหนล่ะ?’
   
        นั่นแหละ...หลังจากนั้นก็ปานตะวันเลยเอากุญแจสำรองของบ้านตัวเองให้อีกฝ่ายไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ใช้อะไรบ่อยหรอกเพราะส่วนใหญ่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว มีแค่วันนี้นี่แหละที่ปานตะวันให้หลานไปปลุกราเมศตื่นก่อนเวลา อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากกวนราเมศนักหรอก แต่คนตัวโตยืนกรานว่ายังไงหน้าที่ไปส่งเจียหลินตอนเช้าก็ขอให้เป็นของเขา ปานตะวันเลยได้แต่เลยตามเลย
   
        มื้อเช้าระหว่างสามคนน้าหลานเป็นไปอย่างสงบ ราเมศก็อารมณ์ดีเพราะออกเช้ากว่าทุกวันทำให้รถไม่ติดมากตอนที่ถึงหน้าโรงเรียน
   
       “น้าตะวัน น้าเมศ หนูเจียไปแล้วน้า”
   
       “ให้น้าลงไปส่งไหม”
   
       ปานตะวันถามพลางส่งกระเป๋าให้หลานชาย
   
       “ไม่เอาคับ หนูเจียโตแล้วน้า” เจียหลินพองแก้ม พอเห็นรถเคลื่อนเข้าใกล้ประตูโรงเรียนเด็กชายก็ยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มปานตะวันกับราเมศคนละทีแล้วก็เปิดประตูกระโดดลงจากรถไป
   
       คุณครูที่ยืนอยู่ตรงประตูเดินยิ้มมาจูงมือหนูเจียเข้าโรงเรียน เด็กชายรีบเดินไปที่ห้อง ตอนนี้ในห้องมีคนอยู่แค่สามคนคือคุณครูประจำชั้นกับครูผู้ช่วยแล้วก็...
   
       “เกล้า!”
   
       เจียหลินทักเพื่อนอย่างดีใจ ก่อนเข้าห้องก็ไม่ลืมถอดรองเท้าแล้วก็ยกมือไหว้คุณครูอย่างเรียบร้อย
   
        “เจียมาเช้าจัง” เกล้าเอ่ยทักเมื่อหนูเจียวางกระเป๋าลงตรงที่นั่งข้างๆ เขา เจียหลินยิ้มกว้างให้เพื่อนใหม่ก่อนพูดว่า “ก็เราอยากมาเล่นกับเกล้านี่นา แต่นี่ขนาดเราตื่นเช้าแล้วนะเกล้ายังมาเช้ากว่าเราอีก”
   
        แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้ทุกวันด้วย เจียหลินสังเกตว่าเกล้าจะมาก่อนเขาเสมอแล้วก็กลับทีหลัง แต่ไม่นานมานี้เด็กชายได้ยินคุณครูประจำชั้นคุยกันว่าเกล้ามาเป็นคนแรกและกลับคนสุดท้ายตลอด วันนี้เจียหลินถึงได้ตื่นแต่เช้ามาที่โรงเรียนเพื่อมาเล่นเป็นเพื่อนอีกฝ่าย
   
        ไม่รู้หนูเจียคิดไปเองหรือเปล่านะ...แต่ท่าทางของเกล้าดูเหงาๆ ยังไงก็ไม่รู้
   
        “ทำไมเกล้าถึงได้มาโรงเรียนเช้าทุกวันเลยล่ะ คุณพ่อ คุณแม่ตื่นเช้าเหรอ”
   
        เจียหลินชวนคุย มือก็หยิบเอาตัวต่อไม้สีสดใสมาวางเรียงกันทำให้ไม่ทันเห็นว่าแววตาของเพื่อนสนิทวูบไหว เกล้าเม้มริมฝีปากก่อนจะตอบว่า
   
         “เปล่าหรอก เราแค่ไม่อยากอยู่บ้านน่ะ”
   
         “หือ”
   
        เด็กชายผิวขาวเงยหน้าจากตัวต่อ หนูเจียเอียงคอ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนไม่อยากอยู่บ้านด้วย หนูเจียยังอยากอยู่บ้านอ้อนน้าตะวันกับน้าเมศเยอะๆ เลย
   
        “ทำไมไม่อยากอยู่บ้านล่ะ”
   
        “ก็ที่บ้านไม่มีใครรักเราเลยนี่นา” เกล้าเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เจียหลิน “เราเลยชอบที่โรงเรียน เพราะอยู่ที่โรงเรียนเรามีเจียไง”
   
        สำหรับเด็กชายเกล้า สิ่งที่เขาพูดไม่ได้เกินจริงเลย เขาชอบอยู่ที่โรงเรียนมากกว่าที่บ้าน
   
        อยู่ที่โรงเรียนเขากินอิ่ม อยู่ที่โรงเรียนไม่มีใครมาตวาดใส่เขา และอยู่ที่โรงเรียนเขาจะได้เจอเจียหลิน คนที่ยิ้มให้เขา พูดดีด้วยแล้วก็คอยมาชวนเขาที่มักนั่งหลบอยู่เงียบๆ คนเดียวออกไปเล่นด้วยกัน
   
        อยู่ที่โรงเรียน...เขาไม่เคยเหงาเลย
   
        เจียหลินแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่าไหร่แต่ก็ยิ้มกว้างจนตาหยีให้...เป็นยิ้มที่เหมือนกับแสงอาทิตย์อุ่นๆ ยามเช้า ทำให้คนมองรู้สึกดี
   
       “เจียอยากมาโรงเรียนเพราะอยากเล่นกับเกล้าเหมือนกัน!”
   
       ไม่นานเพื่อนๆ คนอื่นก็ทยอยมา บางคนผู้ปกครองก็อุ้มมาส่งถึงหน้าห้อง บางคนก็หอมแก้มกอดลากันอยู่นานกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะตัดใจไปทำงานได้ เกล้ามองตามคนเหล่านั้นด้วยสายตาที่ปิดประกายอิจฉาเอาไว้ไม่มิดแต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไปเมื่อหนูเจียหันมาชวนเขาคุย
   
        เกล้าเท้าคาง ฟังหนูเจียเล่านู่นเล่านี่ไปอย่างมีความสุข
   
        เด็กชายไม่รำคาญหรอกเวลาหนูเจียมาชวนคุย ถึงเขาจะเป็นฝ่ายนั่งฟังเสียส่วนใหญ่ก็เถอะ ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะเวลาอยู่ที่บ้านไม่มีใครพูดกับเขาเลยนี่นา
   
        ถ้าไม่ตะคอกใส่ก็เมินเฉยกันไปเลย...ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของเขาเลยด้วยซ้ำ
   
        ไม่มีเลย...สักคนเดียว...ยกเว้นเจียหลิน
   
        เมื่อถึงคาบเรียนที่สามซึ่งเป็นวิชาศิลปะ คุณครูให้ทุกคนนั่งรวมกันเป็นกลุ่มแล้ววาดรูประบายสีลงในกระดาษตามหัวข้อที่กำหนด ตอนแรกไม่มีใครเดินเข้ามาจับกลุ่มกับเกล้าหรอกหากแต่เจียหลินใช้มือเล็กๆ ของหนูเจียคว้ามือเกล้าเอาไว้แล้วก็พาไปหาเพื่อนกลุ่มนึงที่คนยังไม่ครบ
   
        “เราขออยู่ด้วยนะ” เจียหลินพูดพลางยิ้มให้เพื่อนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ซึ่งทุกคนก็ขยับที่ให้ ยกเว้นน็อต คู่กรณีเก่าที่เพิ่งมีปัญหากันไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนแต่เจียหลินก็ไม่ได้สนใจ เด็กชายทรุดตัวลงนั่ง ดึงให้เกล้าที่ยืนลังเลอยู่นั่งลงข้างๆ กัน คุณครูแจกกระดาษเอสี่สีขาวให้แล้ว
   
       “เอาล่ะค่ะ หลังจากนี้ขอให้ทุกคนวาดรูปเป็นรุปอะไรก็ได้นะคะ ตามแต่จะนึกออกเลย กำหนดส่งภายในคาบ ลงมือได้ค่ะ”
   
       สิ้นเสียงของคุณครูเด็กแต่ละคนก็เริ่มหยิบเอากล่องดินสอออกมา หนูเจียก็เช่นกัน เด็กชายหยิบเอากล่องดินสอสีฟ้าลายซุปเปอร์ฮีโร่ที่น้าตะวันซื้อให้ก่อนเปิดเทอมใหม่ออกมา ภายในมีดินสอไม้กับกบเหลาลายน่ารักและยางลบวางเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ
   
       เจียหลินเลือกดินสอออกมาแท่งหนึ่งแต่ในตอนที่เขาจะเริ่มวาดนั้นเองดวงตากลมก็เหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทข้างๆตนใช้ดินสอเปลี่ยนไส้ที่ตอนนี้ไส้ทู่จนน่าจะเปลี่ยนได้แล้ว
   
        “เกล้าไม่เปลี่ยนไส้เหรอ มันทู่หมดแล้วนะ”
   
        พอเจียหลินทักเกล้าก็เงยหน้ามายิ้มให้แล้วพูดว่า “มันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทุกอันนั้นแหละ” เด็กชายเปลี่ยนไส้อันใหม่ให้เพื่อนดู เจียหลินเห็นว่าไส้ดินสอก็ทู่ไม่ต่างกับไส้ก่อนหน้านี้เลย
   
        “ไม่มีแท่งอื่นแล้วเหรอ”
   
        “เรามีแท่งนี้แท่งเดียว”
   
        เจียหลินมองไปที่กล่องดินสอพลาสติกเก่าๆ ของเพื่อนแล้วก็พบว่ามันมีแค่ยางลบก้อนเล็กๆ อยู่อีกก้อนเดียวเท่านั้น
   
       “ทำไมมีแค่แท่งเดียวล่ะ” คำถามนี้เจียหลินไม่ได้เป็นคนพูดหรอกแต่เป็นน็อตต่างหาก “ทำไมไม่ซื้อใหม่ ไม่เตรียมพร้อมเลย คุณแม่สอนว่าเราต้องเตรียมพร้อมก่อนจะมาโรงเรียน”
   
         “คุณพ่อไม่ได้ให้เงินเราไปซื้อใหม่” เกล้าตอบเสียงเบา ส่วนน็อตก็หยิบเอากล่องดินสอกล่องใหญ่ที่พอเปิดออกแล้วมีสองชั้นพร้อมกบเหลาดินสอในตัวขึ้นมา ทำทีเป็นอวดเพื่อนรอบโต๊ะ “นี่ดูสิ อันนี้คุณแม่เราซื้อให้ก่อนเปิดเทอม กดตรงนี้แล้วมีไฟด้วยนะ”
   
       “โอ้โห”
   
       เสียงฮือฮาพร้อมกับอาการตื่นเต้นกับของใหม่ดังขึ้นรอบโต๊ะ เกล้าขมวดคิ้วมองน็อตด้วยแววตาไม่พอใจ ตอนนั้นเองที่หนูเจียหันมาพูดกับเขาว่า “งั้นเอาของเราไปก็ได้” เจียหลินยิ้ม ส่งดินสอในมือให้เกล้า “เรามีหลายแท่ง น้าตะวันบอกว่าให้แบ่งเพื่อนใช้” ว่าแล้วก็หยิบยางลบก้อนใหญ่ของตัวเองมา เอาไม้บรรทัดหั่นแบ่งยางลบเป็นสองก้อน “อันนี้ของหนูเจีย อันนี้ของเกล้านะ”
   
        ว่าแล้วก็ส่งยิ้มตาใสให้เพื่อนไปอีกหนึ่งทีก่อนจะกลับไปวาดรูปต่อ เกล้าเม้มริมฝีปาก เด็กชายมองดินสอในมือสลับกับเพื่อนตัวเล็กข้างๆ แล้วก็พึมพำออกมา
   
        “ขอบคุณนะ”
   
        เด็กชายหันกลับมา จรดปลายดินสอที่แหลมกว่าแท่งเก่าของตัวเองมากลงไปบนกระดาษสีขาว ชั่วครู่หนึ่งที่เขานึกไม่ออกว่าจะวาดอะไรดีแต่แล้วเมื่อสายตาเบนไปมองดินสอไม้ในมือ มุมปากเล็กๆ ก็ผุดรอยยิ้มออกมา
   
        เจียหลินใช้เวลาไม่นานก็วาดรูปเสร็จเรียบร้อย เด็กน้อยกำลังก้มหน้าก้มตาระบายสีท้องฟ้าในกระดาษของตัวเองอย่างขะมักเขม้น เด็กชายแบ่งสีกับเกล้าที่ไม่มีสีเป็นของตัวเอง เจียหลินฮัมเพลงเมื่อระบายสีท้องฟ้าเสร็จ เหลือแต่พระอาทิตย์ดวงโตกลางหน้ากระดาษเท่านั้นที่ยังไม่ได้ระบาย แต่แล้วมือที่เอื้อมหยิบสีในกล่องก็ชะงักเมื่อเห็นว่าไม่มีสีแดงที่ตัวเองต้องการอยู่ในนั้น
   
       “เกล้าเอาสีแดงไปใช้หรือเปล่า”

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 20-05-2017 21:47:07
       “เปล่านะ มันไม่มีในกล่องตั้งแต่แรกแล้ว” เกล้าตอบโดยไม่เงยหน้า เจียหลินขมวดคิ้วแล้วก็นึกได้ว่าตัวเองทำสีแดงหายไปตั้งนานแล้ว เด็กชายยู่ปากน้อยๆ กวาดตามองว่าบนโต๊ะมีเพื่อนคนไหนมีสีแดงบ้าง แต่ก็ดูจะไม่มีสีแดงว่างให้เขายืมเลยเพราะเพื่อนบางคนมีสีแต่ไม่ครบ ส่วนคนที่มีก็กำลังใช้อยู่ เหลือแต่ของน็อตเท่านั้นที่วางนิ่งอยู่ในกล่อง
   
        “น็อต เราขอยืมสีแดงหน่อยสิ” เจียหลินพูดขึ้น น็อตก็พยักหน้าหลังจากหนูเจียหยิบเอาสีแดงมาระบายพระอาทิตย์จนใกล้จะเสร็จแล้วเกล้าก็ขอยืมต่อ “พอหนูเจียใช้เสร็จเราขอยืมด้วยได้ไหม”
   
        คราวนี้เด็กชายตัวกลมที่เคยเป็นคู่กรณีเก่ากันมาก่อนขมวดคิ้วฉับ ปฏิเสธเสียงดังฟังชัด “ไม่ได้!”
   
       ว่าแล้วก็เอื้อมมือมาแย่งสีแดงในมือหนูเจียไปทันทีทำให้ปลายดินสอสีลากยาวอยู่บนกระดาษสีขาว หนูเจียมองผลงานที่ตัวเองตั้งอกตั้งใจวาดเปื้อนสีแดงเป็นปื้นแล้วก็เบะปากขึ้นมาทันที
   
       “ฮึก....ฮึก...แง้”
   
        “คุณครูขา น็อตแกล้งหนูเจียค่ะ!”
   
        เด็กหญิงในกลุ่มยกมือขึ้นฟ้องคุณครูได้เร็วทันใจ คุณครูสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะครูรีบผุดลุกตรงมาทันใด
   
        “เกิดอะไรขึ้นคะ”
   
        “น็อตแกล้งหนูเจียค่ะ”
   
        “น็อตเปล่านะ ก็เกล้าจะขอยืมสีแต่น็อตไม่อยากให้ยืมนี่นา”
   
        คุณครูที่กำลังปลอบเจียหลินให้หยุดร้องไห้อยู่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาครามครันเมื่อพบว่าคนที่มีปัญหากันคือเด็กสามคนนี้อีกแล้ว
   
        “ทำไมน็อตถึงไม่อยากให้เกล้ายืมล่ะคะ”
   
        “ก็เกล้าไม่เตรียมสีมานี่คับ แล้วคุณแม่ก็บอกว่าไม่ให้น็อตยุ่งกับเกล้าด้วย เกล้าแกล้งน็อต นิสัยไม่ดี คุณแม่บอกว่าเกล้ากับเจียหลินเป็นเด็กเกเร”
   
        “เจียหลินไม่ใช้เด็กเกเร!” คราวนี้เกล้าที่นั่งเงียบอยู่ก็พูดเสียงดังขึ้นมาบ้าง รู้สึกโมโหที่มีคนมาว่าเพื่อนของเขา เด็กชายรีบสวนกลับไปทันที “น็อตไม่ให้เรายืมสีก็ไม่ให้ยืมสิ ไม่เห็นต้องแย่งจากมือเจียหลินเลย ทำงานของเจียหลินเละด้วย น็อตนั่นแหละนิสัยไม่ดี!”
   
       “เราเปล่านะ!”
   
       “หยุดเถียงกันเดี๋ยวนี้นะทั้งสองคน! เจียหลิน เธอก็ด้วยหยุดร้องไห้ได้แล้ว” คุณครูสาวพูดเสียงดัง รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เธอเดินกลับไปคว้าไม้เรียวบนโต๊ะครูมาเคาะโต๊ะแรงๆ เป็นการขู่
   
       “น้องเจียหยุดร้องไห้ได้แล้ว น้องน็อตคะในเมื่อตัวเองมีครบกว่าเพื่อน เพื่อนขอก็ควรรู้จักแบ่งปัน ให้เพื่อนยืมแค่เดี๋ยวเดียวเอง คนเราถ้าไม่รู้จักแบ่งปันจะกลายเป็นคนไม่มีน้ำใจนะคะ คราวหน้าเอาใหม่นะ ส่วนน้องเกล้าคราวหน้าก็ควรเตรียมของมาเองด้วย จะมายืมเพื่อนเอาอย่างเดียวไม่ได้หรอกค่ะ เอาล่ะ ทั้งสองคนขอโทษกันเลยนะคะ น็อตขอโทษหนูเจียด้วย เป็นเพื่อนกันอยู่ห้องเดียวกัน ต้องสามัคคีกันไว้นะคะ”
   
       น็อตกับเกล้าจ้องหน้ากันอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อเจอสายตาดุๆ ของคุณครูเกล้าก็ยอมลงให้ก่อน เด็กชายพูดขอโทษเบาๆ แล้วก็หันไปปลอบเจียหลินที่นั่งเช็ดน้ำตาป้อยๆ อยู่แทน ส่วนน็อตก็เม้มปากหน้าบึ้งตึง พูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงห้วนๆ จากนั้นก็กระแทกตัวลงนั่ง ก้มหน้าก้มตาระบายสีต่อไป
   
        เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้วเด็กในห้องบางคนก็เริ่มทยอยเอางานไปให้คุณครูลงคะแนน เกล้าเดินจูงมือเจียหลินไปต่อแถว เพื่อนตัวเล็กมองรอยขีดสีแดงที่ลากจากพระอาทิตย์ยาวไปจนสุดขอบกระดาษด้านบนแล้วก็ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้อีกจนเขาต้องคอยลูบหัวไม่ให้หนูเจียร้องไห้
   
        พอได้ตัวปั๊มลายแมวเริงร่ามาถึงห้าตัวหนูเจียก็ค่อยยิ้มออก ส่วนงานของเกล้าได้ตัวปั๊มลายแมวมาสามตัว เจียหลินทำท่าจะชะโงกมาดูว่าเพื่อนสนิทวาดรูปอะไรแต่เกล้าก็รีบพับกระดาษแผ่นนั้นเก็บลงกระเป๋าก่อน
   
       “เอาไว้เดี๋ยวตอนเย็นเราค่อยให้ดู”
   
       “ทำไมต้องตอนเย็นล่ะ”
   
       “น่า เดี๋ยวก็รู้”
   
        เกล้ายิ้มให้หนูเจีย เด็กชายมองตาหลังของน็อตที่ไปต่อแถวส่งงาน ตอนนี้ที่โต๊ะเหลือแค่เขากับหนูเจียเท่านั้น เด็กชายมองสีแดงเจ้าปัญหาที่อยู่ในกล่องสีของน็อตนิ่งๆ เขานึกถึงคำพูดของน็อต นึกถึงน้ำตาของหนูเจียแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง
   
        หงุดหงิดถึงขนาดที่ว่าอยากจะหักสีแดงเจ้าปัญหานั่นทิ้งไปซะให้หมดเรื่องหมดราว
   
       “เกล้า เป็นอะไรเหรอ” เสียงของเจียหลินดึงเด็กชายให้หลุดออกจากภวังค์ เกล้าหันไปยิ้มให้เพื่อนทันทีพร้อมกับตอบว่า “เปล่าหรอกไม่มีอะไร”
   
        หลังเลิกเรียนเกล้ากับหนูเจียลงไปเล่นที่สนามเด็กเล่นเพื่อรอน้าเมศกับน้าตะวันมารับ ระหว่างที่ทั้งคู่เล่นกันอยู่นั้นจู่ๆ น็อตก็วิ่งตรงมาทางนี้พร้อมกับพูดว่า
   
        “เอาคืนมานะ!”
   
        เจียหลินที่แกว่งชิงช้าอยู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง เอาอะไรคืน?
   
        “อะไรเหรอน็อต”
   
        “สีแดงเรา เอาคืนมา!”
   
        คราวนี้เด็กน้อยยิ่งเบิกตาโต งงหนักกว่าเดิม “เราไม่ได้เอาไป”
   
        “ไม่เชื่อ เอาคืนมา!”
   
        “แต่เราไม่ได้เอาไปจริงๆนะ”
   
        คราวนี้น็อตหันไปไล่เบี้ยเอากับเกล้าบ้าง เด็กชายดูจะปักใจเชื่อจริงจังว่าสีแดงที่หายไปจากกล่องสีของตัวเองถูกคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ขโมยไป
   
        “เกล้า เอาสีเราคืนมานะ”
   
        “ตัวเองทำหายที่ไหนหรือเปล่า อย่ามาโทษคนอื่นสิ” เกล้าพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย น็อตโกรธจนกระทืบเท้าเร่าๆ เกล้าเลยแนะนำให้ไปตามคุณครูมาช่วยหา ทั้งคู่ยอมให้ครูประจำชั้นรื้อค้นกระเป๋าแล้วก็ไม่เจออะไร น็อตเลยยอมกลับบ้านไปแต่โดยดี
   
         คุณครูสาวที่ถูกตามมาถึงกับถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย พวกลูกผู้ดีมีเงินนี่น้า เอาแต่ใจกันจริงๆ ไม่รู้เลี้ยงมายังไง แต่ช่างเถอะ  หญิงสาวทอดถอนใจอีกครั้งก่อนจะหันมาเด็กอีกสองคนที่เหลือ
   
         “น้องเจียคะ คุณน้ามารับแล้วนะ”
   
         “เย้ น้าเมศ น้าตะวัน”
   
         เจียหลินเปลี่ยนอารมณ์เป็นเริงร่าทันใด วิ่งไปโถมตัวใส่อ้อมแขนของน้าชายที่รอรับอยู่ เกล้ามองภาพเจียหลินถูกอุ้มแล้วก็ถูกหอมแก้มซ้ายขวาด้วยสายตาที่เจือหลากอารมณ์
   
         ทั้งเหงา...แล้วก็อิจฉา
   
         “เกล้า เราไปแล้วนะ บ๊ายบาย”
   
         “อื้ม บ๊ายบาย เจอกันพรุ่งนี้นะ”
   
         คล้อยหลังเพื่อนตัวเล็กกับครอบครัวเกล้าก็เดินกลับไปนั่งที่ชิงช้า แกว่งไกวไปมาเบาๆ ตอนนี้เย็นมากแล้ว เด็กๆ ในสนามเด็กเล่นเหลือน้อยลงทุกที เกล้านั่งมองเด็กและผู้ปกครองคนแล้วคนเล่าเดินกลับบ้าน เด็กชายนั่งเหม่อลอย จินตนาการถึงความอบอุ่นของฝ่ามือยามถูกจับจูงเอาไว้
   
        ครั้งสุดท้ายที่มีคนจูงมือกลับบ้าน...มันนานมาแล้วนี่นะ
   
        ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แม้ยากยืดเวลาออกไปมากแค่ไหนแต่สุดท้ายเด็กชายก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี ร่างเล็กๆ ลุกหยิบกระเป๋าเดินลากขาออกจากโรงเรียนอย่างเอื่อยเฉื่อย ระยะทางระหว่างบ้านของเขากับโรงเรียนไม่ไกลแต่เกล้าก็ยืดเวลาออกไปได้จนย่ำค่ำ
   
        ทันทีที่หยุดลงหน้าประตูบ้านเด็กชายก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมา เหมือนเช่นทุกวัน
   
        “ไปเถลไถลที่ไหนมา!” พ่อของเขาเดินออกมา ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ อีกฝ่ายคว้าแขนเขาแล้วลากเข้าไปในบ้านก่อนจะเหวี่ยงจนเด็กตัวเล็กล้มลงไปกองกับพื้น
   
        “เกล้าเปล่า”
   
        “ยังจะมาเปล่าอีก มึงกลับบ้านดึกดื่นมืดค่ำขนาดนี้!”
   
        “เกล้าไม่ได้ไปไหน”
   
        “แล้วทำไมไม่รีบกลับบ้าน มึงมันเด็กเลว เลี้ยงเสียข้าวสุก เหลวไหล เลิกเรียนแทนที่จะกลับบ้านหาข้าวหาปลากลับเอาแต่ไปเถลไถลที่ไหนก็ไม่รู้!”
   
        เด็กชายเม้มริมฝีปาก กระบอกตาร้อนผ่าว ร่างเล็กๆ รีบกระถดตัวหนีเมื่อพ่อของตนย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ในสายตาของเด็กชายตอนนี้ราวกับว่าบิดาแท้ๆ ของตนกลายร่างเป็นยักษ์ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
   
        “พ่อ...” เสียงเล็กสั่นพร่า น้ำตาเริ่มเอ่อกบดวงตา “เกล้า...ฮึก...เกล้าขอโทษ”
   
        เพี๊ยะ
   
       ฝ่ามือใหญ่ตวัดตบจนเด็กชายหน้าหัน น้ำเสียงห้าวตะคอกใส่
   
        “ถ้าไม่ติดว่ามีเงินที่แม่มึงส่งมาเป็นค่าเทอมให้ทุกเดือนนะกูทิ้งมึงไปนานแล้ว ไอ้ตัวภาระ” เกล้ามองพ่อ เงินเหรอ...ใช่เงินที่พ่อกับแม่เลี้ยงเอาไปละลายกับเหล้าและการพนันหมดหรือเปล่า
   
        “ฮึก...ไม่เอา..พ่อ...พ่ออย่าทำ..เกล้าเจ็บ”
   
        ร่างเล็กๆ นอนงอตัวอยู่ที่พื้นตอนที่ผู้เป็นพ่อระบายอารมณ์ลงมา เกล้ากัดริมฝีปากกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดรอดออกไป ดูเหมือนว่าเสียงด่าทอของพ่อจะไปปลุกให้แม่เลี้ยงที่นอนอยู่ชั้นบนตื่นหล่อนถึงได้ตวาดด่าลงมาเสียงดัง และนั่นก็ยิ่งทำให้พ่อโมโหมากขึ้นไปอีก
   
        “พอแล้ว...เกล้าขอโทษ...เกล้าจะไม่กลับบ้านช้าอีกแล้ว...ฮึก...พ่อจ๋า”
   
         สิ้นประโยคนั้นพ่อเขาถึงได้หยุดมือ เกล้าสะอื้นน้ำตานองเต็มหน้า บาดแผลตามใบหน้าและลำตัวปวดแปล็บ เด็กชายคว้ากระเป๋าลนลานวิ่งเข้าไปในห้องนอนจากนั้นก็ทิ้งตัวลง สะอึกสะอื้นอยู่นานหลายนาทีก่อนที่จะลุกออกจากเบาะเก่าๆ ตรงไปยังกล่องใส่รองเท้าที่เขาแอบซุกไว้ เกล้าถอดถุงเท้าออก หยิบดินสอสีแดงหักครึ่งที่เขาซ่อนไว้ออกมาจากนั้นก็โยนมันลงไปรวมกับข้าวของอีกมากมายภายใน
   
       เกล้าใช้ของพวกนี้แทนบันทึกประจำวัน...ข้าวของที่บอกเล่าถึงชีวิตเลวร้ายของเขาหลังพ่อกับแม่หย่ากัน
   
       หยดน้ำตาหยดเล็กๆ ทิ้งตัวตกลงบนหลังมือ เกล้าสะอื้นเบาๆ
   
       “คุณแม่ น้องเกล้าคิดถึงคุณแม่จังเลย”
   
        ทำไมคุณแม่ทิ้งน้องเกล้าไป...ทำไมไม่รับน้องเกล้าไปอยู่ด้วย
   
        ทำไม...
   
        “ไอ้เกล้า มึงลงมานี่” เสียงตวาดเรียกของแม่เลี้ยงทำให้เด็กชายสะดุ้ง เกล้ารีบดันกล่องรองเท้าเก็บเข้าที่ก่อนจะเดินกะเผลกลงไปชั้นล่าง
   
        “มึงออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดมาทีซิ” ว่าพลางยัดเงินใส่มือเล็กๆ นั้นทันที “ให้ไวล่ะ อย่ามัวอืดอาดนะไม่งั้นกูตีขาลาย”
   
        “ฮะ”
   
        เด็กชายรับคำสั้นๆ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ ไม่มีใครสนใจสภาพของเขาหรอก ไม่มีใครสนใจว่างานที่ใช้ให้ทำมันไม่ใช่เรื่องที่ควรใช้เด็กอายุห้าขวบทำ
   
        พ่อเกลียดเขา แม่เลี้ยงก็เกลียดเขา
   
        ส่วนแม่แท้ๆ...ไม่รู้สิ เขาไม่เจอแม่นานมากแล้ว
   
        เด็กชายเดินเหม่อลอยไปจนถึงหน้าปากซอย ด้วยความที่ไม่ได้ใส่ใจมองรถให้ดีๆ ทำให้ร่างเล็กๆ เกือบถูกรถกระบะคันหนึ่งเฉี่ยวเข้าให้ “เฮ้ยระวัง!” โชคยังดีที่มีคนดึงเขากลับมาได้ทัน ใครคนนั้นกระชากเกล้าเข้ามากอดแน่น ในขณะที่กระบะขับผ่านไปพร้อมบีบแตรด่าลั่น
   
         “อะไรวะ จะชนเด็กแล้วยังมาบีบแตรด่าอีก ไม่ไหวๆ ว่าแต่น้องเกล้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
   
         ใคร...รู้จักเขาด้วย
   
         เกล้าเงยหน้ามองผู้ช่วยชีวิตอย่างเลื่อนลอย ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนคุ้นเคย “น้า...ตะวัน?”
   
         ปานตะวันยิ้มร่าให้เด็กชายแต่รอยยิ้มก็ค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อเห็นบาดและรอยฟกช้ำตามตัว “เกล้า เกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นแบบนี้ ใครทำอะไรบอกน้าเร็ว”
   
         “เปล่าฮะ...ไม่มีใครทำ”
   
         “จะไม่มีได้ยังไง หน้าเรามีแต่แผลกับรอยช้ำแบบนี้”
   
        ปานตะวันพูด รีบสำรวจดูร่างเด็กชายตรงหน้าก็เห็นรอยช้ำใหม่ๆ อีกหลายรอย ถ้าเป็นเด็กโตหน่อยเขาก็จะคิดว่าอาจไปมีเรื่องกับใครมาอยู่หรอก แต่นี่เด็กห้าขวบนะ! เกล้าจะไปทำอะไรใครได้ แล้วใครมันใจร้ายใจดำถึงขั้นทุบตีเด็กตัวเล็กๆ ได้ลง ยกเว้น...
   
         “เกล้า...บอกน้าสิ...เราโดนคนที่บ้านทำร้ายร่างกายมาใช่ไหม”
   
         ประโยคนั้นทำให้เกล้าตัวสั่น เด็กชายรีบถอยหลังออกห่างจากปานตะวันทันที “เปล่าครับ...เปล่า...ไม่มีอะไร” เด็กชายจำได้...ว่าพ่อเคยขู่เอาไว้ ถ้าหากมีใครล่วงรู้เข้าหรือถ้าเขาทำให้ชีวิตมัน ‘ยุ่งยาก’ ขึ้นมาล่ะก็ พ่อจะตีเขา...จะตีให้ตาย
   
        “เกล้า ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัวนะ” ปานตะวันค่อยๆ ปลอบเด็กชาย “มากับน้า...ไม่มีใครทำอะไรเกล้าได้ทั้งนั้น มาเถอะ”
   
        “ฮึก...น้าตะวัน...จะพาเกล้าไปไหน...พ่อบอกว่า...ถ้ามีคนรู้...พ่อจะ...ฮึก...ตีเกล้าให้ตาย”
   
        ปานตะวันที่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที ชายหนุ่มอุ้มเกล้าขึ้นมา ยิ่งพอมาอยู่ใต้เสาไฟ เห็นรอยช้ำต่างๆ ของเด็กชายชัดขึ้นใบหน้าของปานตะวันก็ยิ่งเย็นชาขึ้นเท่านั้น
   
         ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะออกเดิน มือข้างหนึ่งล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมา
   
        “พี่เมศ เดี๋ยวช่วยขับรถให้ตะวันหน่อยนะ...อือ...พอดีเจอเรื่องใหญ่มา...ใหญ่ขนาดไหนเหรอ...ก็ขนาดที่ว่าอยากจับคนทำโยนเข้าซังเตมันเดี๋ยวนี้เลยน่ะสิ”

**********************************************************

สวัสดีค่ะทุกคนนน เรากลับมาแล้ววว ขอโทษด้วยนะคะที่ห่างหายกันไปนาน  :hao5:
ช่วงนี้สติเราพังมากจริงๆ ค่ะ เบลอไปหมด ปั่นงานด้วย เหนื่อยด้วย อยู่ๆ ก็หมดแรงเขียนไปดื้อๆ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ
ตอนนี้เรากลับมาอัพแล้ว จะพยายามไม่หายแล้วค่ะ ต้นฉบับของอีกเรื่องใกล้เสร็จแล้ว มีเวลาให้หนูเจียเพิ่มแล้ววว
ขอกำลังใจจากทุกคนหน่อยนะคะ (รวบทุกคนมากอดแน่นๆ) ฮึบบ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาตามอ่านนะคะ
คอมเม้นท์ติชมได้ตามสบายเลยค่ะ จุดไหนที่แปลกๆสามารถคอมเม้นท์ทิ้งไว้ได้เช่นกันค่ะ

สำหรับเรื่องของน้องเกล้า...เราจะมาเฉลยเรื่องของน้องในตอนหน้านะคะว่าน้องเกล้ามาได้ยังไง จะเป็นอย่างไรต่อไป
และคู่กับน้องเจียมั้ย(เห็นมีคนถามมา) เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ  :man1:


ปล. ตอบคอมเม้นท์ คุณ river ค่ะ ราเมศเปิดร้านอาหาร ตะวันเป็นพนักงาน ทำไมหนูเจียหิวซกหลังเสร็จงาน
อาจเป็นเพราะสามคนนี้จะกลับไปทานอาหารพร้อมกันที่บ้านค่ะ หลังเสร็จงาน
หนูเจียก็ยืนยันจะรอ ส่วนใหญ่พอถึงบ้านตะวันก็จะใช้ราเมศทำกับข้าวนั่นแหละค่ะ ฮาาา เราเขียนอธิบายไม่ชัดเจนเอง
ต้องขออภัยด้วยนะคะ เดี๋ยวเราจะกลับไปปรับตรงจุดนั้นอีกที ขอบคุณที่ช่วยติงจุดแปลกๆ ให้นะคะ (กอดดด)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-05-2017 00:12:13
สงสารเกล้านี่ถ้าตะวันรวยก็อยากให้เอาเกล้ามาเลี้ยงคู่หนูเจียซะเลย
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-05-2017 00:19:31
สงสารน้องเกล้ามากเลย สังคมสมัยนี้ก็มีแบบนี้เยอะเหมือนในนิยายเลย รอตอนต่อไปนะคะหวังว่าน้องเกล้าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้และหวังว่าคนเขียนจะไม่ใจร้ายกับน้องเกล้ามากไปนะคะ อ่านแล้วน้ำตาซึมเลยสงสารน้องมากๆ :sad4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-05-2017 00:49:00
สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลต่อพฤติกรรมของน้องเกล้า และมีทีท่าว่าจะก่อปัญหาให้กับตัวเองในอนาคตนะคะ อยากให้มีคนมาช่วยน้องจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-05-2017 01:25:57
เฮ้อออ.  สงสารกล้ามากๆๆ. สังคมเด้ยวนี่เป็นแบบนี้เยอะเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 21-05-2017 04:53:30
สงสารน้อง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 21-05-2017 10:43:57
สงสารน้องเกล้า :mew6:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-05-2017 13:35:15
สงสารน้องเกล้า
ถ้าอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต้องเป็นเด็กมีปมแน่เลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 24-05-2017 01:41:26
สงสาร ยังดีนะที่เกล้าสู้คน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๓ เด็กชายเกล้า II (๒๐/๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-05-2017 00:26:45
ขอบคุณที่ตอบเม้นท์นะคะ

เป็นความรู้สึกส่วนตัวน่ะ
เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่จะปิด 3-4 ทุ่ม พ่อแม่ไม่น่าจะลูกหลานหิ้วท้องรอปิดร้านค่อยกิน ยังไงก็ต้องให้กินไว้ก่อน
แล้วร้านส่วนใหญ่จะมีอาหารให้พนักงานกินในช่วงที่ลูกค้าน้อย

แม้ว่าอยากกินกัน 3 คน ก็ไม่อยากเห็นหนูเจียหิว อย่างน้อยให้กินก่อนแล้วมากินด้วยกันอีกที

แต่ถ้าร้านปิดเร็วก็แล้วไปนะะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 06-06-2017 19:29:29
ปานตะวัน
บทที่ ๑๔
ความช่วยเหลือ


       ปานตะวันคิดมาตลอดว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาเจอกับผู้ชายที่ชื่อราเมศแล้วยิ่งมาเจอเหตุการณ์อย่างวันนี้ชายหนุ่มก็ยิ่งแน่ใจว่าตัวเองคิดถูกและตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกรักอีกฝ่าย
   
       ราเมศขับรถออกมาหาปานตะวันทันทีพร้อมกับหนูเจียที่งอแงจะตามออกมาด้วย ราเมศเองแม้จะเห็นว่ามันแล้วเป็นเวลาที่หนูเจียควรจะนอนแต่เขาก็ทิ้งหลานไว้ที่บ้านคนเดียวไม่ได้จึงอุ้มมาด้วยแล้วให้หนูเจียนอนหลับอยู่ที่เบาะหลัง ราเมศมองเห็นปานตะวันยืนรออยู่ที่ริมฟุตปาธ ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยอยู่หนึ่งคน
   
        คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากันทันที
   
        ชายหนุ่มจอดรถเทียบด้านข้างทางเท้าแล้วก็ปลดล็อกประตู ปานตะวันรีบสอดตัวเข้ามาทันที เมื่อมาอยู่ในแสงสว่างราเมศก็เห็นว่าเด็กชายที่นอนหลับคาอกปานตะวันทั้งที่คราบน้ำตายังเกรอะกรังเต็มหน้าคือเพื่อนของหนูเจียที่ชื่อเกล้านั่นเอง ตอนแรกราเมศกำลังจะอ้าปากถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแต่ปานตะวันก็แตะนิ้วเป็นเชิงให้เขาเงียบก่อนจะชิงอธิบายว่า
   
        “พี่เมศ ดูนี่” ปานตะวันชี้ให้ราเมศดูรอยช้ำตามแขนขาของเด็กชายก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนท่าอุ้ม เกล้าครางอืออาในลำคอแต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา ราเมศโน้มตัวไปใกล้ๆ พิจารณารอยแผลตามใบหน้าของอีกฝ่าย
   
        “รอยตบ”
   
        “อืม ก่อนนี้ตะวันลองให้น้องถอดเสื้อออกแล้ว มีรอยเหมือนรอยจิกกับรอยบุหรี่จี้ด้วย”
   
         “นี่มันทารุณเด็กแล้วนะ”
   
        “น้องบอกว่าอยู่กับพ่อแล้วก็แม่เลี้ยงหลังจากแม่กับพ่อหย่ากัน แม่เขาไปมีบ้านใหม่เลยให้น้องเกล้ามาอยู่กับพ่อ พี่...ตะวันเคยไปส่งน้องที่บ้านหนนึง มีเสียงคนทะเลาะกันลั่นบ้านไปหมด มีเสียงปาข้าวของด้วย” ปานตะวันลูบผมเด็กชายบนตักเบาๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ตะวันรู้ว่านี่มันอาจจะเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่องในสายตาพี่แต่...ตะวันสงสารน้อง ถ้าปล่อยให้อยู่แบบนี้ต่อไปน้องจะโตมาเป็นคนยังไง” หรือในกรณีเลวร้ายคืออาจถูกทำร้ายจนร่างกายและจิตใจรับไม่ไหวเลยก็ได้
   
        ถ้าเป็นเมื่อก่อนปานตะวันก็คงจะไม่ใส่ใจเด็กคนนี้ เขาคงจะปล่อยผ่านไปแล้วก็คิดว่ามันเรื่องของคนอื่น เดี๋ยวก็มีคนเข้าไปจัดการเองหรือไม่ก็เรื่องของครอบครัวเขา คนนอกเข้าไปยุ่งคงโดนด่าว่าแส่ แต่หลังจากมีเจียหลินเหมือนว่าสัญชาตญาณความเป็นพ่อของชายหนุ่มจะถูกกระตุ้นให้สูงขึ้น
   
       เขาลองคิดกลับกัน...ถ้าวันนั้นปานตะวันไม่กลับมา ถ้าเขาไม่ได้เจอหนูเจีย ป่านนี้หลานชายจะไปอยู่ที่ไหน แล้วถ้าหลานไปเจอคนเลี้ยงที่ไม่ดีแบบที่เกล้าเจอชีวิตหลานจะเป็นยังไง
   
       อีกอย่าง...ปานตะวันรู้สึกว่าตัวเขากับเกล้ามีอะไรบางอย่างเหมือนกัน
   
       พ่อแม่หย่ากัน แต่ละคนไปมีครอบครัวใหม่...แล้วก็รู้สึก...ว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย
   
       ทั้งๆ ที่คนที่เจ้าตัวรักที่สุด...ก็มีแต่พ่อกับแม่แท้ๆ แต่กลับถูกคนที่รักบอกว่าไม่ต้องการ
   
       พอคิดแบบนี้แล้วปานตะวันก็นึกสงสารเกล้ามากขึ้นไปอีก บนโลกกว้างๆ เบี้ยวๆ ใบนี้ ไม่มีใครเลยต้องการเขา ไม่มีใครสักคนยื่นมือมาช่วยเขา
   
      “เด็กที่น่าสงสาร” เขาต้องคิดว่าตัวเองถูกทิ้งไปแล้วแน่ๆ ถูกคนทั้งโลกหันหลังให้ ความรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนั้นปานตะวันเข้าใจดี
   
      “ตะวันคิดว่าถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับหลานของเราบ้างล่ะ...แค่คิดก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ตะวันเลยอยากช่วยเด็กคนนี้”
   
       “พี่เข้าใจแล้ว”
   
       ราเมศยิ้มให้ปานตะวันก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้ผมเขา ไม่ตั้งคำถามหรือพูดอะไรเป็นเชิงไม่เห็นด้วยออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ปานตะวันอดคิดขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ว่าตัวเองกับเจียหลินโชคดีจริงๆ ที่มีผู้ชายคนนี้
   
        ราเมศขับรถพาปานตะวันมาที่โรงพยาบาล น้องเกล้าดูตกใจกลัวแต่เพราะปานตะวันกอดแล้วก็ปลอบโยนเด็กชายอยู่เกือบตลอดทำให้เกล้าผ่อนคลายลงได้บ้างแต่เมื่อถึงเวลาที่ถูกเรียกตัวให้เข้าไปทำแผลเกล้าก็เบะปาก น้ำตาคลอ หันมากอดคอปานตะวันแน่น ชายหนุ่มจึงต้องเดินตามเด็กชายเข้าไปด้วย
   
        เด็กที่ไหนก็กลัวหมอกลัวเข็มทั้งนั้นสินะ
   
       ปานตะวันนึกถึงตัวเองตอนสมัยเด็กที่เวลาจะถูกจับฉีดยาแล้วก็ร้องไห้จนลั่นโรงพยาบาล พ่อ แม่ พี่จันทร์ทั้งเอาขนมมาล่อ ร้องเพลงกล่อมสารพัดแต่เขาก็ไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ดีนะที่น้องเกล้าไม่ได้กลัวหมอขนาดนั้น
   
       “สวัสดีครับ” คุณหมอท่าทางใจดียิ้มให้ปานตะวัน ชายหนุ่มยิ้มแล้วก็กล่าวสวัสดีตอบแต่เพราะอุ้มเกล้าอยู่ทำให้ยกมือมาไหว้ไม่ได้ คุณหมอยิ้มอย่างเข้าใจ ไม่ถือสา
   
       “น้องเกล้าครับ สวัสดีคุณหมอก่อนเร็ว”
   
       “ส..สวัสดีครับ”
   
       เกล้าหันมาอย่างว่าง่ายแล้วก็ยกมือไหว้คุณหมอด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
   
       “ไม่ต้องกลัวนะครับ ชื่ออะไรเอ่ยตัวเล็ก”
   
       “ชื่อ...ชื่อเกล้าคับ”
   
        ปานตะวันยิ้มแล้วก็ให้เกล้านั่งลงบนเตียงสำหรับทำแผลก่อนที่คุณหมอจะเริ่มตรวจดูร่องรอยบาดแผลต่างๆ ที่ใบหน้าและตามแขนขาเด็กชาย ปานตะวันเห็นคุณหมอขมวดคิ้วแล้วก็เงยหน้ามามองเขาด้วยสายตาประหลาด
   
       “คุณเป็นพ่อหรือว่าพี่ชายน้องเกล้าหรือครับ”
   
       “เปล่าครับ ผมเป็น...” จะว่าเป็นอะไรดีล่ะ ปานตะวันขมวดคิ้ว กลืนน้ำลายพลางเรียบเรียงความคิดในหัว “หลานผมเป็นเพื่อนสนิทกับน้องเกล้าครับ แล้วพอดีวันนี้ผมก็ออกมาทำธุระข้างนอกทำให้เจอน้องเกล้าเดินอยู่ข้างถนน ผมเห็นรอยตบ รอยช้ำกับรอยข่วน รอยเล็บ แล้วก็รอยเหมือนถูกตีตามตัวแกเลยพามาโรงพยาบาลน่ะครับ” คุณหมอรับคำ สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด ในระหว่างที่อีกฝ่ายทำแผลปานตะวันก็เสริมขึ้นอีกว่า
   
       “คุณหมอครับ...นอกจากนี้...ตามท้องแล้วก็หลังของน้องผมเห็นรอยช้ำกระจายเป็นจุดๆ ด้วย แล้วก็มีรอยเหมือนถูกบุหรี่จี้...ผมอยากให้หมอช่วยตรวจได้ไหมครับ อยากรู้ว่าน้องถูกทำร้ายร่างกายหรือเปล่า ผมอยากขอใบรับรองแพทย์ด้วย”
   
       คุณหมอพยักหน้ารับ ปานตะวันรู้ว่านี่มันเรื่องใหญ่...อย่างน้อยก็สำหรับเขา ดวงตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ร่างเล็กๆ ของเด็กชายด้วยความสงสาร
   
       เกล้าเป็นเด็กเข้มแข็ง ตลอดเวลาที่ถูกทำแผลแม้มีสะดุ้งบ้างแต่ก็ไม่ร้องไห้เลย ปานตะวันบีบมือเล็กที่จับมือเขาเอาไว้แน่นเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ 
   
      เขาจะต้องช่วยเกล้าให้ได้
   
      ผลการตรวจออกมาแล้ว คุณหมอยืนยันว่าเกล้าถูกทุบตีจริง รอยช้ำ รอยแผล และรอยบุหรี่จี้ตามตัวเด็กชายบางรอยก็เป็นรอยใหม่ น้องเกล้ายอมเหล้าให้คุณหมอฟังว่าเมื่อวานคุณพ่อของเขาเมาแล้วก็ทุบตีเกล้า แม่เลี้ยงที่อู่ในบ้านก็ไม่ได้ช่วยอะไร บางทียังผสมโรงด่าทอ ยุให้พ่อฟาดเกล้าหนักๆ เข้าอีก
   
        “มันเป็นแบบนี้เกือบทุกวันนั่นแหละครับ”
   
       เรื่องเล่าจากปากเด็กอายุห้าขวบที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง เรียบ เหมือนกับการถูกบิดาแท้ๆ ทำร้ายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันทำให้ปานตะวันยิ่งสะเทือนใจ ชายหนุ่มรับคำแนะนำจากคุณหมอแล้วก็ขอใบรับรองแพทย์เก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
   
      เมื่อออกจากห้องทำแผลปานตะวันก็เดินไปจ่ายค่ารักษาให้น้องเกล้าแล้วก็กลับไปหาราเมศกับหนูเจีย ฝ่ายหลังดูท่าจะตื่นนานแล้วเพราะกำลังนั่งกินขนมปังด้วยท่าทางร่าเริงอยู่เลย พอเจียหลินหันมาเห็นน้าตะวันอุ้มเพื่อนตัวเองออกมาก็กระโดดลงจากเก้าอี้พลาสติกแล้ววิ่งมาหาคนทั้งคู่
   
      “เกล้า!”
   
       “เจีย”
   
       ปานตะวันปล่อยให้เกล้าลงเดินเอง เจียหลินรีบวิ่งไปหาเพื่อนแล้วก็พูดว่า “เป็นอะไรไหม น้าเมศบอกว่าเกล้าเจ็บ เราเลยมาโรงพยาบาลเพื่อพาเกล้ามาหาคุณหมอ”
   
      “อื้อ ไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ”
   
      “ดีแล้ว เป็นห่วงแทบแย่”
   
       เจียหลินผ่อนลมหายใจก่อนจะยื่นถุงพลาสติกที่ใส่ขนมปังนมสดก้อนกลมชิ้นเล็กไว้ให้เกล้า “กินสิ น้าเมศซื้อมาเผื่อเกล้าด้วยนะ”
   
       เกล้ามีท่าทางลังเลแต่หนูเจียก็ยัดขนมใส่มือเพื่อนจนได้ เด็กชายรีบแกะถุงออก กลิ่นหอมของขนมทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน เด็กชายเอามือกุมท้องไว้ รู้สึกอายที่ท้องตัวเองร้องซะเสียงดัง
   
       ถึงตอนนี้เด็กชายก็เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเขายังไม่ได้ทานอะไรเลย
   
       “น้องเกล้าหิวไหม”
   
       ราเมศก้มหน้าถามเด็กชายที่ยืนกุมท้องก้มหน้านิ่งอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบขึ้นมองจากนั้นเด็กชายร่างผอมก็พยักหน้า ตอบเสียงเบา “หิวครับ”
   
      “งั้นกลับไปกินข้าวที่บ้านกันดีกว่า” ปานตะวันเอ่ยชวน “หรือจะหาร้านกินแถวๆ นี้ดี”
   
       “หาร้านแถวนี้ดีไหม น้องเกล้าดูหิวมาก”
   
       “ไม่...ไม่เป็นไรครับ” เกล้ารีบห้าม นึกเกรงใจคุณน้าใจดีทั้งสองมาก ทั้งคู่พาเขามาโรงพยาบาล...พยายาม...จะช่วยเขา แค่นี้เกล้าก็ซาบซึ้งมากแล้ว
   
       เขาไม่กล้าเรื่องมากหรอก มีให้กินก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน ที่ไหนก็ได้ อะไรก็ได้ หิ้วท้องรอก็ยังได้ เรื่องอดข้าวนี่เขาชินแล้ว อยู่ที่บ้านเขาก็ได้กินบ้างไม่ได้กินบ้าง ถ้าวันไหนพอไม่เมาเหล้าและอารมณ์ดีพ่อก็จะให้เงินเขาไปซื้อข้าว แต่ถ้าวันไหนพ่ออารมณ์เสีย เมาเหล้า แล้วก็ทะเลาะกับแม่เลี้ยงด้วยล่ะก็...อย่าหวังเรื่องข้าวเลย...แค่หลบไม่ให้ถูกทุบตีได้ก็ถือว่าเป็นโชคมากแล้ว
   
      “น้องเกล้าอยากกินอะไรครับ” ตอนที่เดินออกมานอกโรงพยาบาลปานตะวันก็ก้มลงมาถามเกล้า “หน้าโรงพยาบาลมีร้านข้าวต้ม ร้านขายหอยทอด ผัดไทย แล้วก็ร้านขายบะหมี่”
   
      “อ...อะไรก็ได้ครับ”
   
      “หนูเจียอยากกินผัดไทย!”
   
      “งั้นก็กินผัดไทย”
   
       ราเมศสรุป พวกเขากำลังจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาล เจียหลินจับมือราเมศ ปานตะวันจับมือเกล้า ความอบอุ่นนั้นทำให้เด็กชายผิวคล้ำชะงัก
   
      ไม่มีคนจับมือเขามานาน...มากแล้ว
   
       แม้แต่แม่เกล้าก็จำไม่ได้ว่าจับมือเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
   
       อุ่นจังเลย...มือของน้าตะวันอุ่นมากๆ
   
       กลิ่นอาหารที่ลอยมาแตะจมูกยิ่งทำให้กระเพาะของเกล้าส่งเสียงประท้วงหนักขึ้นไปอีก พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะด้านในสุด ปานตะวันสั่งผัดไทยกุ้งสดมาสี่จานและไม่ยอมให้เจียหลินกินน้ำอัดลมเพราะดึกแล้ว ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟหนูเจียก็หันไปเล่นกับเกล้า ส่วนปานตะวันกับราเมศก็นั่งปรึกษากันถึงปัญหาของเด็กชาย
   
       “ใบรับรองแพทย์ที่หมอยืนยันว่าน้องเกล้าถูกทำร้ายร่างกายใช้เป็นหลักฐานได้ แล้วพี่ก็ลองหาข้อมูลดูแล้วว่าเราแจ้งหน่วยงานไหนได้บ้าง” ราเมศหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดข้อมูลให้ปานตะวันดู “สายด่วน 1300 มันโทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง จะมีเจ้าหน้าที่ลงมาสืบหาข้อเท็จจริงแล้วก็ช่วยเหลือเด็ก พี่ว่าเราควรติดต่อแม่เด็กด้วย”
   
       “อืม แล้วคืนนี้จะเอายังไง ให้น้องเกล้ากลับบ้านเหรอ กลัวแต่พรุ่งนี้จะได้แผลกลับมาเยอะกว่าเดิมน่ะสิ ถ้าทางนั้นรู้ว่าเรารู้เรื่องแล้ว...เขาคงได้ทุบตีน้องเกล้าหนักกว่าเดิมแน่ๆ”
   
       “งั้นก็ให้ค้างบ้านเราไปก่อน แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาจะตามมาเอาเรื่องถึงที่หรือเปล่าน่ะสิ”
   
       “นั่นสิ แต่ตะวันคิดว่าการปล่อยน้องกลับไปบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย”
   
       ปานตะวันถูปลายจมูกตัวเองอย่างกังวล แต่ยังไม่ทันได้คุยกันต่ออาหารก็มาเสิร์ฟพอดีชายหนุ่มทั้งสองจึงต้องหยุดปรึกษากันแล้วหันมาแย้มยิ้ม ชวนให้เด็กชายกินข้าว
   
      “เอ้า มาแล้วๆ น้องเกล้ากินเลย กินเยอะๆ เราผอมจะแย่แล้วรู้หรือเปล่า” ปานตะวันพูดพลางหยิบช้อนส้อมแจกจ่ายคนรอบโต๊ะ “หนูเจีย อย่าเขี่ยถั่วงอกออกนะครับ”
   
       “ก็มันเหม็นนี่น้าตะวัน”
   
       “เจียหลินเอามาใส่ชามเราก็ได้”
   
        เกล้าพูดอย่างใจดี ส่วนหนูเจียก็ระริกระรี้รีบคัดถั่วงอกออกไปให้เพื่อนโดยไม่สนใจสายตาดุๆ ของน้าตะวันและสายตาขบขับของน้าราเมศเลยแม้แต่น้อย
   
       ผัดไทร้านนี้ทำอร่อย ปานตะวันใช้เวลาไม่นานก็หมดจาน ชายหนุ่มสั่งจานที่สองให้ตัวเองกับราเมศทันที แล้วก็หันมาหาหลานๆ ของตน   
   
       “มีใครเอาอีกไหม เกล้าอิ่มแล้วเหรอ สั่งอีกก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
   
       “ไม่..ไม่เป็นไรครับ”
   
       “น่า ถ้าไม่อิ่มก็กินอีกก็ได้ เอาไหม น้าสั่งให้”
   
       “อ...เอาครับ”
   
        ปานตะวันยิ้ม หันไปเรียกเด็กเสิร์ฟแล้วก็สั่งผัดไทมาอีกจาน
   
        เกล้ากล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ บอกตามตรงเลยว่าเขาไม่ชิน...เด็กชายไม่เคยได้นั่งกินข้าวร่วมกับใครสักคนแบบนี้ ไม่เคยได้รับคำถามไถ่ด้วยความห่วงใย ไม่เคยมีใครถามเขาว่า “เอาข้าวอีกจานไหม”
   
        ก่อนที่พ่อกับแม่จะหย่ากัน...ครอบครัวของเกล้าก็ไม่ใช่ครอบครัวสุขสันต์เท่าไหร่ พ่อเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน พอโมโหก็ทุบตีแม่ ถ้าเกล้าหลบออกจากห้องไม่ทันพอก็จะตีเขาด้วย...แม่เอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนราวกับคนจะขาดใจ พวกเขาไม่เคยได้กินข้าวด้วยกัน ไม่เคยมีกิจกรรมร่วมกัน เหมือนกับว่าที่อยู่ด้วยกันเป็นเพราะหน้าที่ จนกระทั่งพ่อมีเมียน้อย...เอาเงินที่แม่หามาอย่างยากลำบากไปซื้อเหล้า ซื้อของดีๆ ให้ผู้หญิงคนนั้น แม่ถึงตัดสินใจหย่าขาดกับพ่อ เก็บของออกจากบ้านไป
   
       ทิ้งทุกอย่างเอาไว้...รวมถึงเกล้า
   
      นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เกล้าได้สัมผัสกับความอบอุ่นของคำว่า ‘ครอบครัว’ แม้เขาจะไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นแต่ความใจดีของน้าตะวันและน้าเมศ ความน่ารักของเจียหลินก็ยังเผื่อแผ่มาถึงเขา
   
        “อร่อยไหมน้องเกล้า”
   
        รอยยิ้มจากใจของพวกเขายังเผื่อแผ่มาถึงเกล้าด้วย
   
       “อร่อย...ฮึก...อร่อยคับ”
   
       น้ำเสียงของเด็กชายสั่นพร่า กระบอกตาร้อนผ่าวก่อนที่หยดน้ำใสๆ จะร่วงพรูลงมาไม่หยุด
   
       “ขอบคุณ...อึก...ขอบคุณมากๆ ที่ใจดีกับเกล้า...ฮึก...ขอบคุณ...จริงๆ”
   
        ปานตะวันกับราเมศมองหน้ากัน ท่าทางเงอะงะ ไม่รู้จะปลอบเด็กตรงหน้ายังไงสุดท้ายก็เป็นปานตะวันที่เดินไปอุ้มเกล้าขึ้นมากอดแนบอก โยกตัวไปมาพลางลูบหลังให้ เด็กชายกอดคอปานตะวันเอาไว้แล้วก็ซุกหน้าลงร้องไห้
   
       ขนาดอ้อมกอด...ยังอุ่นเลย
   
       หลังทานอาหารเสร็จเด็กชายทั้งสองที่ทั้งง่วงทั้งเพลียก็ผล็อยหลับเอาหัวซบกันอยู่ที่เบาะหลัง ราเมศขับรถมุ่งตรงกลับบ้าน แต่เมื่อถึงหน้าบ้านชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนกอดอกรออยู่หน้าประตูด้วยท่าทางฉุนเฉียว นัยน์ตาสองคู่สบกันก่อนที่ปานตะวันจะพึมพำว่า
   
       “รู้สึกเหมือนเดจาวูยังไงก็ไม่รู้แฮะ”
   
       เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเปิดประตูรถลงไป เดินเข้าไปหาชายแปลกหน้าคนนั้นแต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่อะไรอีกฝ่ายก็ปรี่มากระชากคอเสื้อเขาแล้วตะคอกว่า
   
       “ไอ้เกล้าไปไหน!”
   
       “เฮ้ย อะไรเนี่ยคุณ ใจเย็นๆสิ”
   
       “กูถามว่าไอ้เด็กเวรนั่นไปอยู่ที่ไหน!”
   
        ปานตะวันขมวดคิ้ว ฟังจากคำพูดแล้วถ้าเขาเดาไม่ผิดผู้ชายที่มาถามหาเกล้าคนนี้คงจะเป็น...”คุณเป็นพ่อของเกล้าเหรอ”
   
        อีกฝ่ายแค่นเสียง ถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วก็พูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ ไอ้เด็กนั่นไปไหน กูใช้ให้ออกไปซื้อของแต่มันหายหัวไปตั้งนานสองนาน มันหนีมาหามึงใช่ไหม”
   
        “นี่คุณ พูดดีๆ ก็ได้มั้ง”
   
        ปานตะวันกระชากแขนอีกฝ่ายออก เขาเองก็ไม่ยอมใครเหมือนกัน ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าราเมศมายืนอยู่ด้านหลังของตน ปานตะวันได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนกึกมาจากตัวอีกฝ่าย
   
       นี่เมามาเลยไม่ใช่เรอะ
   
       ดูเหมือนอีกฝ่ายยังมีบุญอยู่ที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงบ้านเขาได้โดยไม่รถคว่ำหรือแหกโค้งไปซะก่อน
   
       อีกอย่าง...พ่อของเกล้ามาบ้านเขาถูกได้ยังไง
   
       “กูมาพาไอ้เกล้ากลับ” ว่าจบก็มองซ้ายมองขวาด้วยดวงตาแดงก่ำ “มึงเอามันไปไว้ไหน!”
   
        “ใจเย็นๆ สิครับคุณ ค่อยๆ—“
   
       ผัวะ
   
       ปานตะวันยังพูดไม่ทันขาดคำชายหนุ่มก็ถูกต่อยจนหน้าหัน เพราะไม่ทันตั้งตัวทำให้เขาถึงกับเซ ยังดีที่ราเมศเข้ามาประคองไว้ได้ทัน ชายหนุ่มผิวแทนดึงปานตะวันไปไว้ด้านหลังแล้วซัดหมัดสวนเข้าให้ทันที ในชีวิตราเมศไม่เคยรู้สึกโกรธใครเท่านี้มาก่อนเลย
   
       “พี่เมศ พี่เมศ หยุดก่อน!”
   
        ปานตะวันพยายามรั้งตัวคนรักไว้ คนรักของเขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ปกติก็แรงเยอะอยู่แล้วพอบวกกับอารมณ์โมโหก็เหมือนช้างตัวใหญ่ตกมันไม่มีผิด ปานตะวันปวดหัวจี๊ดเมื่อสถานการณ์ชักจะวุ่นวาย ชายหนุ่มหันไปมองที่รถแล้วก็พบว่าประตูด้านหนึ่งกำลังเปิดออก
   
        ไม่นะ!
   
         ไม่รู้ว่าเป็นหนูเจียหรือเกล้าที่กำลังจะลงมา...แต่เป็นใครก็ไม่ดีทั้งนั้น ปานตะวันจะอ้าปากห้ามก็ไม่ทันแล้วเพราะร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากรถแล้วก็รีบพุ่งเข้ามาขวางตรงกลางระหว่างราเมศกับชายขี้เมาคนนั้น
   
         “พ่อ!”
   
        “ไอ้เกล้า มึงไปไหนมา”
   
        “พ่อ...พ่อใจเย็นๆ นะ เกล้า...เกล้าแค่ไปกินข้าว...กับน้าๆ”
   
        เด็กชายปากคอสั่น พ่อในยามนี้เหมือนกับฝันร้ายที่กลายเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น แต่กระนั้นจะให้เขานั่งเฉยดูพ่อทำร้ายน้าเมศกับน้าตะวันเกล้าก็ทำไม่ได้
   
        “กินข้าว...กูใช้ให้มึงมาซื้อข้าวแต่มึงกลับหายหัวไปแล้วก็บอกออกไปกินข้าวเนี่ยนะ!”
   
        ฝ่ามือใหญ่เงื้อขึ้นหมายจะฟาดลงมาแต่กลับถูกรั้งไว้โดยปานตะวันกับราเมศ นัยน์ตาของปานตะวันแข็งกร้าวจนพ่อของเกล้าถึงกับชะงัก รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
   
        “ก็เด็กมันหิว ใจคอจะปล่อยให้อดหรือยังไง แล้วใช้เด็กตัวเล็กๆ เดินออกมาซื้อข้าวมืดๆ คนเดียวนี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน นี่ยังจะไปตบตีเขาอีก คุณเป็นพ่อประสาอะไรวะ”
   
       “แล้วมึงเสือกอะไร กูเป็นพ่อมัน กูจะตีสั่งสอนมันยังไงก็ได้”
   
       ปานตะวันบีบข้อมืออีกฝ่ายแน่น “สั่งสอนกับทำร้ายร่างกายมันไม่เหมือนกันนะ”
   
       “แต่กูเป็นพ่อมันและมึงเป็นคนนอก อย่า – เสือก ไอ้หนู ไม่งั้นกูจะแทงมึงให้ไส้ปลิ้น”
   
       “พ่อ...ฮึก...พ่อ...อย่า” เกล้ากอดขาพ่อตัวเองไว้ เด็กชายตกใจกับคำขู่ฆ่าจนตัวสั่น เกล้าพยายามรั้งอีกฝ่ายไว้สุดแรงแต่ร่างเล็กก็ถูกสะบัดออกจนเซล้ม ปานตะวันสบถแต่ยังไม่ทันได้เข้าไปช่วยแขนเล็กๆ ของเกล้าก็ถูกกระชากขึ้นมา
   
       “กลับบ้าน!”
   
        “เฮ้ย เดี๋ยว”
   
        “น้าตะวัน...น้าเมศ ไม่เป็นไรคับ” เกล้าสะอื้น หันมาคลี่ยิ้มบิดๆ เบี้ยวๆ ให้คนทั้งคู่ “เกล้าไม่เป็นไร เกล้าต้องกลับบ้านแล้ว วันนี้...อาหารอร่อยมาก ขอบคุณนะคับ”
   
        ร่างเล็กๆ ถูกกระชากลากถูไปที่มอเตอร์ไซค์ก่อนที่เสียงเครื่องยนต์จะดังสนั่นฝ่าความมืดมิดยามราตรีพร้อมกับร่างคนทั้งคู่ที่ลับตาไป
   
       ปานตะวันใจสั่น มือไม้เย็นเฉียบ เขายืนนิ่งมองไปตามทางที่เกล้าถูกพาตัวไปในสมองสับสนวุ่นวายจนแทบระเบิด
   
       “ตะวัน”
   
        มือหนึ่งแตะเข้าที่ไหล่เรียกสติเขากลับมา
   
       “พี่...พี่เมศ”
   
       “เจ็บไหม”
   
        ฝ่ามือใหญ่แตะเข้าที่ข้างแก้มปานตะวัน นัยน์ตาสีนิลดุวาวโรจน์เมื่อเห็นว่าแก้มขาวๆ ของปานตะวันเป็นรอยแดงและคงจะเปลี่ยนเป็นรอยช้ำในเวลาไม่นาน
   
       “เจ็บครับ แต่ไม่เท่าไหร่”
   
      “เข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวพี่ทำแผลให้”
   
       ปานตะวันพยักหน้า เดินไปเปิดประตูรั้วอย่างว่าง่ายในขณะที่ราเมศกลับไปขึ้นรถเพื่อเอาเข้ามาจอดในบ้าน ตอนนี้ในสมองเขายังมึนชาไปหมดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ รู้ตัวอีกทีราเมศกับเจียหลินก็มานั่งข้างๆ แล้ว เจียหลินกอดเอวปานตะวันนิ่ง ซุกหน้าลงกับตักเขาส่วนราเมศก็เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ปานตะวัน
   
        “พี่เมศ น้องไปแล้ว ตะวันช่วยน้องไม่ได้”
   
        “ไม่ มันยังไม่จบ เรายังมีทาง”
   
         “แต่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องบ้างล่ะ! น้องอาจจะถูกตี ถูกทุบหรือแย่กว่านั้น ตะวันช่วยน้องไม่ได้แถมยังทำให้เรื่องมันแย่ลง”
   
        “ตะวันฟังพี่นะ” ราเมศประคองแก้มชายหนุ่มขึ้นมา มองปานตะวันด้วยสายตาอ่อนโยน “ตะวันทำดีที่สุดแล้ว เราจะหาทางช่วยน้องให้ได้โอเคไหม แต่ก็ไม่ควรทำอะไรที่เสี่ยงเหมือนกัน อย่าเพิ่งโทษตัวเองเลยนะ มันมีทางออกเชื่อพี่สิ”
   
        “ครับ”
   
       ปานตะวันซบศีรษะลงกับไหล่ราเมศในขณะที่หนูเจียขยับตัวมากอดปานตะวันไว้ “น้าตะวันเจ็บไหม” เด็กน้อยถาม น้ำเสียงอู้อี้เหมือนจะร้องไห้ “เจ็บมากหรือเปล่า”
   
       ดูเหมือนเขาจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงกันไปหมดเลยสินะ
   
       “ไม่เจ็บหรอกครับ น้าตะวันของหนูเจียเก่งจะตาย” ปานตะวันหอมแก้มยุ้ยๆ ของหลานชายหนึ่งทีก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มสากของคนรักอีกหนึ่งที “ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
   
       “พูดแบบนี้แต่ก็เป็นห่วงอยู่ดี ดูสิ แก้มช้ำไปหมด”
   
        ราเมศพลิกใบหน้าปานตะวัน แก้มข้างที่ถูกต่อยเริ่มบวมและเปลี่ยนสีช้าๆ
   
        “พี่เมศก็ต่อยคืนให้แล้วนี่นา”
   
       “น่าจะกระทืบให้สลบ”
   
        “โหดจริง”
   
        “ใครทำปานตะวันพี่ก็ไม่ปล่อยไว้ทั้งนั้นแหละ” ราเมศขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดเล่นนะ ตอนที่เห็นคนรักโดนต่อย ชายหนุ่มโกรธจริงๆ โกรธจนอยากจะกระทืบอีกฝ่ายให้ตาย ดีที่ปานตะวันยังรั้งตัวเขาไว้ได้
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลถอนหายใจออกมาเบาๆ “แล้วเราจะทำยังไงต่อดี”
   
        “โทรหาคนที่ช่วยได้ไง”
   
        “ใคร?”
   
        ราเมศหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขพลางพูดว่า “ก่อนหน้านี้พี่ขอเบอร์แม่น้องเกล้าเอาไว้ด้วย เราจะโทรไปแจ้งหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือได้ก่อนแล้วค่อยโทรหาแม่น้องเกล้า ติดต่อให้เขามาพาลูกไปอยู่ด้วย” ปานตะวันพยักหน้าแม้จะยังดูเหมือนตามไม่ทันอยู่
   
        “แล้วโทรไปตอนนี้เลยเหรอพี่” นี่ก็ดึกแล้วด้วย ราเมศเคาะนิ้วลงกับโต๊ะอย่างกระวนกระวายระหว่างที่รอสาย “แม่น้องเกล้าเราอาจต้องติดต่อพรุ่งนี้แต่สายด่วนมันโทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง”
   
       ดูเหมือนสวรรค์จะอยากช่วยเด็กชายให้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมเหมือนกันเพราะในที่สุดราเมศก็โทรติด เมื่อมีเสียงตอบรับจากปลายสายชายหนุ่มก็รีบแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดกับเกล้าทันที รายละเอียดบางอย่างก็มีปานตะวันช่วยเล่ารวมถึงการพาเกล้าไปโรงพยาบาลและหมอยืนยันว่าถูกทำร้ายร่างกายในวันนี้ด้วย พวกเขาแจ้งที่อยู่ของเด็กชายให้อีกฝ่ายพร้อมกับขอร้องว่าอย่าเปิดเผยข้อมูลของพวกเขา ทางนั้นเองก็ตอบรับกลับมาว่าจะเก็บเป็นความลับและจะลงพื้นที่ไปช่วยเหลือเด็กชายให้เร็วที่สุด
   
       หลังจากวางสายพวกเขาก็หันมามองหน้ากัน แม้จะยังไม่โล่งอกแต่อย่างน้อยก็รู้ได้ว่าความช่วยเหลือกำลังจะมา
   
       “เรา...ทำได้เท่านี้ใช่ไหมพี่เมศ”
   
       “เหลือแค่รอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่แล้วล่ะ หลังจากนั้นน้องเกล้าก็จะปลอดภัยแล้ว”
   
       “ก็ขอให้ความช่วยเหลือมาเร็วๆ ก็แล้วกัน”
   
       วันต่อมาตอนที่พาหนูเจียไปส่งที่โรงเรียน ราเมศกับปานตะวันไม่เห็นเกล้า ทั้งสองคนสบตากันอย่างกระวนกระวาย ตอนที่ลองโทรหาแม่ของเกล้าก็โทรไม่ติด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 06-06-2017 19:53:28
        “พี่เมศ ตะวันเป็นห่วงน้อง”
   
       “พี่ก็ด้วย” คนรักรับคำหลังจากพวกเขาเข้ามานั่งในรถ ราเมศสตาร์ทเครื่องยนต์แต่ยังไม่ได้ขับออกไปไหน “กลัวว่าน้องจะโดนทำร้ายจนมาโรงเรียนไม่ไหว”
   
        “ลองแวะไปดูดีไหมครับ ตะวันพอจะจำทางไปบ้านน้องได้อยู่”
   
        “ก็ดีเหมือนกัน”
   
        ทั้งสองคนตกลงกันว่าจะแวะไปหาเกล้าก่อนค่อยกลับบ้าน แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าที่หน้าบ้านของเด็กชายมีคนยืนมุงกันอยู่เต็มไปหมด ปานตะวันเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้าเดินออกกันให้วุ่นวายก็ใจหายวูบ ทันทีที่ราเมศหาที่จอดรถได้คนทั้งคู่ก็รีบวิ่งลงไปยังกลุ่มไทยมุงทันที
   
       “ป้า...ป้าครับ เกิดอะไรขึ้น”
   
       ปานตะวันสะกิดคุณป้าคนหนึ่งที่กำลังยืนชะเง้อชะแง้เหตุการณ์ต่างๆ ภายในบ้านอยู่ ราเมศอาศัยส่วนสูงที่มากกว่าชาวบ้านมองเข้าไปแล้วก็พบว่าบริเวณหน้าบ้านเกลื่อนไปด้วยข้าวของที่หักพังเหมือนมีใครอาละวาดขว้างปาพวกมัน
   
        คุณป้าที่ถูกปานตะวันเรียกหันมามองชายหนุ่มทั้งสองแล้วก็เปิดปากเล่าทันทีตามประสาเพื่อนบ้านช่างเม้าท์
   
        “โอ๊ย ก็จะอะไรล่ะ ผัวเมียขี้เหล้ามันตีกันน่ะสิ แต่หนนี้หนัก ถึงกับแจ้งตำรวจเลยเพิ่งมาถึงกันเมื่อตะกี้เอง”
   
        “มันเป็นยังไงครับป้า”
   
        หญิงวัยสี่สิบปลายแสยะยิ้ม ยืดอกประหนึ่งเป็นผู้รู้ก่อนทำทีเป็นกระซิบกระซาบราวกับเรื่องที่จะเล่าเป็นความลับนักหนา
   
        “คืองี้นะหนุ่ม เมื่อคืนไอ้คนพ่อน่ะมันเมาปลิ้น...ก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ แล้วทีนี้ป้าได้ยินเสียงมันขับมอเตอร์ไซค์มันหายไปข้างนอกพักนึงแล้วก็กลับมาพร้อมไอ้เกล้าลูกมัน มันกระชากลากถูเด็กเข้าบ้านเลยนะแล้วป้าก็ได้ยินเสียงด่า เสียงเด็กร้อง ชาวบ้านก็คิดว่าเหมือนทุกวันแหละเลยไม่มีใครสนใจ แต่พอเสียงเด็กเงียบก็มีเสียงทะเลาะโวยวายกันขึ้นมาต่อ คราวนี้มันทะเลาะกับเมียมัน โอ๊ยยย เมาหัวราน้ำพอกันทั้งคู่ ใหญ่โตเลยทีนี้ ตีสองตีสามยังเขวี้ยงจานเขวี้ยงแก้วกันอยู่เลย คนแถวบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอนหรอก”
   
        คุณป้าข้างบ้านเหยียดริมฝีปาก ตอนนั้นเองที่ตำรวจคุมตัวชายหนุ่มผมเผ้ากระเซิงนัยน์ตาแดงก่ำออกมาจากบ้านตามด้วยหญิงสาวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงพอกัน เธอคนนั้นสีหน้าบิดเบี้ยว นัยน์ตาขุ่นขวางมองไปที่สามีก่อนที่จะเริ่มกรีดร้องด่าทอขึ้นมาอีกรอบ
   
        “ดูดู๊ อย่างกับหมาบ้า”
   
       “นั่นแม่เลี้ยงน้องเกล้าเหรอครับ”
   
        ปานตะวันเม้มปาก ดูยังไงผัวเมียคู่นี้ก็ไม่เหมาะจะเลี้ยงเด็กหรืออะไรทั้งสิ้น
   
       “ก็ใช่น่ะสิ ไอ้คนผู้ชายน่ะพ่อมัน”
   
       “แล้วทำไมถึงโดนจับล่ะครับ”
   
       “ก็วันนี้ตอนเช้าน่ะ คนอื่นเข้าก็ตื่นมาทำงานตามปกติแล้วจู่ๆ มันก็มีเสียงโวยวายขึ้นมา ยัยคนผู้หญิงก็วิ่งพรวดออกมาร้องกรี๊ดๆ ให้เพื่อนบ้านโทรแจ้งตำรวจ บอกว่าผัวมันเป็นบ้าจะฆ่ามัน คนอื่นเขาก็ตกใจสิ ได้ยินเสียงของแตกในบ้านด้วย ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นก็เลยรีบโทรแจ้งแล้วก็อย่างที่เห็น”
   
       “แล้วเด็กล่ะครับ!”
   
       “หือ อยู่กับตำรวจน่ะ เขาไปพาออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว โชคยังดีที่ไม่เป็นอะไร แม่เลี้ยงไอ้เกล้ามันเล่าเลยนะว่าตอนมันหนีออกมาผัวมันกำลังจะเอาขวดปากฉลามแทงมันแล้ว”
   
       “แล้วเขาก็ทิ้งเด็กไว้ในบ้านแล้วหนีออกมาคนเดียวเนี่ยนะครับ!”
   
       “ชาวบ้านถึงได้รีบโทรแจ้งตำรวจไงไอ้หนุ่ม เฮ้อ ว่าแต่เอ็งเป็นคนรู้จักไอ้เกล้าใช่ไหม ไปหามันสิ ร้องไห้ไม่หยุดเลย สงสัยจะกลัวมาก หวังว่าจากนี้มันจะได้หลุดพ้นจากคนบ้าๆ พวกนี้สักทีนะ”
   
        ว่าพลางส่ายศีรษะอย่างสมสารระคนเวทนาแล้วป้าข้างบ้านก็หันไปจับกลุ่มซุบซิบกับคนอื่นต่อ ปานตะวันสอดส่ายสายตาหาเกล้าทันที ราเมศที่เห็นเด็กชายก่อนจึงแตะศอกปานตะวันไว้แล้วชี้ไปทางคนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังยืนล้อมรอบเด็กชายในชุดนักเรียนอยู่
   
       “ตะวัน น้องอยู่นั่น”
   
        ปานตะวันกับราเมศรีบวิ่งเข้าไปยังจุดที่เกล้าอยู่ทันทีพร้อมกับเรียกเด็กชายไปด้วย พอเห็นหน้าคนทั้งคู่เกล้าก็ร้องไห้โฮ รีบโผจากกลุ่มตำรวจมาหาปานตะวันทันที
   
       “น้าเมศ น้าตะวัน ฮึก ฮือออ”
   
       “โอ๋ๆ นะครับน้องเกล้า ไม่เป็นไรนะคนเก่ง ปลอดภัยใช่ไหมครับ”
   
       เกล้าร้องไห้ไม่หยุดสองแขนผอมๆ กอดปานตะวันแน่น ตำรวจและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างมองมาที่ปานตะวันกับราเมศเป็นตาเดียว จนกระทั่งตำรวจนายหนึ่งเอ่ยกับปานตะวันว่า
   
       “คุณคือ....”
   
       “ผมปานตะวันครับ หลานชายผมเป็นเพื่อนสนิทกับน้องเกล้าครับ”
   
       “ดูท่าทางคุณจะสนิทกับเด็กมากเลยนะครับ”
   
       “ก็ใช่ครับ”
   
       ปานตะวันลูบหลังเกล้าเบาๆ ขณะที่ราเมศหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อย สายตาพินิจพิจารณาของนายตำรวจที่พูดกับปานตะวันมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า
   
        “คุณพอจะทราบอะไรเกี่ยวกับครอบครัวนี้บ้างหรือเปล่าครับ”
   
        ปานตะวันสบตากับอีกฝ่ายแล้วก็คิดได้ว่าตอนนี้โอกาสช่วยน้องเกล้ามาถึงแล้ว “ผมไม่ค่อยทราบเกี่ยวกับพวกเขาหรอกครับแต่จากการเจอน้องเกล้ามาหลายครั้งผมคิดว่าน้องน่าจะถูกพ่อแท้ๆ และแม่เลี้ยงทำร้ายร่างกายครับ ไม่ใช่แค่การตีสั่งสอนธรรมดาด้วยครับ” ปานตะวันเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ตำรวจฟังอีกครั้ง เมื่อฟังจบคุณตำรวจก็พยักหน้าเบาๆ
   
       “ตอนที่เห็นรอยแผลตามตัวเด็กผมก็คิดว่าคงมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น แต่เด็กกลัวมากจนไม่ยอมพูดอะไร เขาพูดแต่ว่าจะหาแม่อย่างเดียวเลยดูเหมือนว่าทางเราต้องติดต่อกับแม่เด็กให้ได้ก่อน”
   
       “แล้วพ่อเด็กกับแม่เลี้ยงล่ะครับ”
   
       “ก็...คงต้องให้ไปเคลียร์กันที่โรงพักแหละครับ” คุณตำรวจถอนหายใจเบาๆ “ส่วนเด็กก็คงต้องแยกกับพ่อและแม่เลี้ยง...เราถามเบอร์คุณแม่น้องจากน้องแล้วแต่โทรไม่ติด ยังไงก็ต้องหาทางอื่นติดต่อให้แต่ระหว่างนั้น...”
   
       “ให้มาอยู่กับพวกเราก่อนได้ไหมครับ” ปานตะวันพูดขึ้น “ระหว่างที่รอแม่เด็กมา ให้เขามาอยู่กับพวกเราก่อนก็ได้ครับ เด็กไม่กลัวผมแล้วก็ไว้ใจมาก น้องเกล้าคงรู้สึกปลอดภัยขึ้น”
   
      นายตำรวจหันไปคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองน้องเกล้าที่ตอนนี้หยุดร้องไห้แล้วแต่ยังมีท่าทางหวาดกลัวอยู่มาก สองมือเล็กๆ กำเสื้อปานตะวันแน่น ใครจะเข้าหาก็ไม่ยอมเอาแต่ซุกเข้าหาปานตะวันท่าเดียว
   
      “น้องเกล้าครับ วันนี้น้องเกล้าอยากจะไปกับน้าก่อนไหมครับ แล้วเดี๋ยวน้าจะติดต่อคุณแม่น้องเกล้าให้ เอาไหมครับ”
   
       “เกล้า...อยาก...อยากอยู่กับน้าตะวัน...ตอนที่รอแม่คับ”
   
       เด็กน้อยพูดเสียงอู้อี้ เห็นดังนั้นคุณตำรวจจึงปล่อยให้เด็กชายมาอยู่กับปานตะวันก่อน ชายหนุ่มกับราเมศบอกชื่อ เบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของพวกตนให้กับตำรวจ เมื่อเสร็จเรื่องเรียบร้อยปานตะวันกับราเมศก็ขอบคุณคุณตำรวจและพาน้องเกล้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำแผลจากนั้นก็พากลับบ้าน
   
       ก่อนจะกลับมาราเมศกับปานตะวันเข้าไปเก็บเสื้อผ้าให้เด็กชายมาบางส่วน ยิ่งเห็นสภาพเละเทะภายในบ้านก็ยิ่งอนาถใจ พอถึงบ้านเรือนไทยแล้วราเมศก็หันมาถามเด็กชายว่า
   
       “น้องเกล้าทานข้าวเช้าหรือยังครับ”
   
       “ยังเลยคับ”
   
       “งั้นเดี๋ยวน้าเมศทำให้ ส่วนตะวันก็เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องแล้วกัน”
   
       “อื้ม”
   
      ปานตะวันหยิบกะละมังใบเล็กไปใส่น้ำแล้วก็ใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำเช็ดตัวให้น้องเกล้า ขอบตาของเด็กชายบวมแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ปานตะวันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะช่วยอีกฝ่ายแต่งตัว พอสวมเสื้อผ้าเสร็จก็เป็นเวลาเดียวกับที่ราเมศทำอาหารเสร็จพอดี เช้าวันนั้นพวกเขาจึงนั่งทานข้าวเช้าด้วยกันสามคน
   
       “พี่เมศ แล้วจะเอายังไง พาน้องเกล้าไปที่ร้านด้วยดีไหม”
   
       “พี่ก็คิดไว้แบบนั้นแหละ พวกที่ร้านจะได้ช่วยดูด้วย”
   
        ตกลงกันได้เรียบร้อยปานตะวันก็หยิบเป้ใบเล็กของหนูเจียออกมา ใส่กระดาษ กล่องสี(ที่เป็นของแถมมากับสมุดวาดรูปหนูเจีย) หนังสือนิทานลงไปรวมถึงนมกล่องลงไปก่อนจะส่งกระเป๋าให้เกล้า
   
        วันนี้พวกเขาเข้าร้านสายเพราะธุระเรื่องของเด็กชาย พนักงานคนอื่นเองก็เข้าใจและช่วยเหลือเป็นอย่างดี พอมาถึงเกล้าก็ไปนั่งที่หลังเคาน์เตอร์ยาว เด็กชายสงบเสงี่ยมและเรียบร้อยมากจนปานตะวันกับราเมศไม่ต้องห่วงอะไรเลย พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างสงบ พอถึงช่วงเที่ยงพนักงานสาวคนหนึ่งก็ถือจานข้าวกลางวันมาให้น้องเกล้า พอถึงช่วงที่ลูกค้าน้อยทุกคนแวะเวียนมาคุยเล่นกับเด็กชาย
   
        ตอนสามโมงครึ่งปานตะวันก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก ชายหนุ่มจะเป็นคนออกไปรับเจียหลินส่วนเกล้าก็ให้อยู่ที่ร้านกับราเมศ เมื่อไปถึงโรงเรียนปานตะวันก็เจอหนูเจียนั่งแกว่งชิงช้าอยู่คนเดียวแบบเหงาๆ
   
       “น้าตะวันนน” เด็กชายตัวเล็กถลามาหาน้าชายอย่างรวดเร็ว ปานตะวันกางแขนรับหลานมากอดมาฟัดจนพอใจแล้วจึงเอ่ยถามว่า
   
        “เป็นอะไรไปครับหนูเจีย ทำไมวันนี้ดูซึมๆ หืม”
   
       เจียหลินก้มหน้า ใช้เท้าเขี่ยพื้นเล่นไปมาก่อนตอบว่า “วันนี้เกล้าไม่มาโรงเรียนคับน้าตะวัน หนูเจียไม่มีเพื่อนเล่นเลยเหงานิดหน่อย”
   
       ปานตะวันยิ้มให้หลานชาย “งั้นเรารีบกลับกันดีกว่า พอกลับบ้านหนูเจียก็จะไม่เหงาแล้วนะครับ”
   
       เด็กน้อยทำตาโต แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ระหว่างทางพวกเขาแวะซื้อขนมนมเนยเต็มมือ ปานตะวันพาหนูเจียไปที่ร้านอาหาร ตอนนี้ไม่มีลูกค้าอยู่ในร้านเลย หนูเจียยิ้มแป้นแล้วก็เอ่ยทักทายพี่ๆ ในร้านด้วยรอยยิ้ม
   
       “แหมหนูเจียหอบของกินมาเต็มเลย เอามาแบ่งเพื่อนเหรอจ๊ะ” น้ำ พนักงานสาวคนหนึ่งของร้านเอ่ยทักเด็กชายตัวน้อยที่เอียงคอมองกลับมา “เพื่อนเหรอคับพี่น้ำ?”
   
       “อื้ม ก็น้องเกล้าไงจ๊ะ นี่น้องเกล้าก็รอหนูเจียกลับมาเล่นด้วยกันอยู่นะ”
   
       “เกล้า...เกล้าอยู่เหรอคับ!?”
   
      “เจีย”
   
        เจ้าของชื่อหันขวับไปทันทีที่ถูกเรียก เจียหลินยิ้มกว้างปากจะฉีกถึงหูเมื่อเห็นเพื่อนสนิทโบกไม้โบกมือให้ เจ้าตัวรีบหิ้วถุงขนมตรงดิ่งไปหาอีกฝ่ายทันทีก่อนจะจูงกันไปที่มุมนั่งเล่นประจำของหนูเจียซึ่งตอนนี้ถูกเกล้าจังจองอยู่ บนโต๊ะมีกระดาษ สี และหนังสือนิทานวางไว้ เจียหลินลากเก้าอี้มาเพิ่ม เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วก็รีบถามเพื่อนสนิททันที
   
        “แล้วเกล้ามาได้ยังไง ทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียน”
   
        “เกล้ามากับน้าตะวันตั้งแต่เช้าแล้ว ส่วนทำไมไม่ไปโรงเรียน...ที่บ้านเกล้าทะเลาะกันน่ะ คุณตำรวจเลยให้มาอยู่กับน้าตะวัน รอแม่มารับ”
   
        “เกล้าจะไปอยู่กับแม่เหรอ”
   
        “อื้ม แต่ไม่รู้แม่จะมาวันไหน”
   
        เจียหลินเท้าคาง ตั้งใจฟังเพื่อนสนิทพูด เวลาเกล้าพูดถึงแม่ อีกฝ่ายดูมีความสุขมากๆ
   
        “แม่ของเกล้าสวยไหม”
   
         “สวยสิ แม่สวยมากแล้วก็เล่านิทานเก่งมากด้วย” เกล้ายิ้มอย่างมีความสุขขณะที่พูดถึงนิทานที่แม่เคยเล่าให้เขาฟัง...เมื่อนานมาแล้ว
   
        ตอนที่แม่ยังไม่ได้ร้องไห้เสียใจทั้งวันทั้งคืน ตอนที่แม่ไม่ได้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง
   
         “เกล้าอยากให้แม่กลับมาเล่านิทานให้ฟังอีก”
   
        เจียหลินพยักหน้า นึกถึงแม่จันทร์ของตัวเองขึ้นมา แม่จันทร์ก็ชอบเล่านิทานให้ฟังเหมือนกัน “อื้ม เจียก็อยากให้แม่มาเล่านิทานให้ฟังเหมือนกัน”
   
        ถึงน้าตะวันจะเล่านิทานได้สนุกมากแต่บางครั้งเจียหลินก็คิดถึงเสียงนุ่มๆ หวานๆ ของแม่จันทร์
   
        เด็กสองคนสบตากัน มีความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายจะส่งผ่านถึงกันได้
   
        พลันดวงตากลมของหนูเจียก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิทานเล่มโปรดของตัวเองวางอยู่บนโต๊ะ เด็กชายหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าใช่ เกล้าที่เห็นดังนั้นก็คิดว่าเจียหลินจะโกรธที่ตัวเองเอาของมาโดยไม่ขอ..ถึงคนหยิบให้จะเป็นน้าตะวันก็เถอะ
   
        “อ๊ะ เกล้าขอโทษนะที่ไม่ได้ขอ คือน้าตะวันหยิบมาให้เกล้าอ่านน่ะ...คือ...”
   
        “เล่มนี้แม่จันทร์อ่านให้เจียฟังบ่อยๆ ล่ะ”
   
         เจียหลินพูด พลิกหนังสือเบาๆ อย่างทะนุถนอม ทั้งน้าตะวัน น้าเมศและแม่จันทร์ชอบบอกให้เขาถนอมของเล่น ถนอมหนังสือเข้าไว้ ของของเราควรเก็บรักษาให้ดี
   
       “เกล้าชอบไหม เจียชอบมากเลย”
   
        “อ..อื้อ แต่เกล้ายังอ่านไม่จบ”
   
        “งั้นเดี๋ยวหนูเจียอ่านให้ฟังนะ!”
   
        เจียหลินกางหนังสือบนโต๊ะเพื่อให้เพื่อนเห็นรูปภาพด้วย ปลายนิ้วเล็กๆ ไล่ชี้ไปตามตัวอักษรก่อนที่น้ำเสียงใสๆ จะดังเจื้อยแจ้ว
   
       “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
   
        ที่มุมหนึ่งของร้าน ปานตะวันแอบใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปเด็กทั้งคู่กำลังอ่านนิทานด้วยกันเอาไว้ ท่าทางปลื้มปริ่มจนน้ำตาแทบไหล
   
       “เห่อหลานจริงๆ นะ”
   
        น้ำเสียงทุ้มที่ดังชิดริมหูไม่ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใดเพราะรู้ว่าใครเป็นคนพูด
   
        “แหงสิ พี่เมศเห็นไหม ทั้งคู่น่ารักมากเลย แถมหนูเจียยังอ่านหนังสือคล่องขนาดนี้แล้ว”
   
        ราเมศส่ายหัวพลางยิ้มขำๆ กับท่าทางระริกระรี้ของปานตะวัน ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าใครต่อใครเขาแอบล้อกันว่าปานตะวันเป็นโรค ‘หนูเจียลิซึ่ม’ กันไปทั้งร้านแล้ว พนักงานหรือแม้แต่ลูกค้าเจ้าประจำบางคนจะรู้ดีว่าถ้าชวนคุยกับปานตะวันแล้วอยากเห็นเจ้าตัวยิ้มหวานหน้าตาชื่อบานให้พูดเรื่องหนูเจีย
   
        “อย่ามัวแต่ถ่ายรูป ลูกค้ามาแล้ว กลับไปทำงานไป”
   
       “คร้าบ”
   
       ราเมศส่ายศีรษะอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว...พร้อมกับรอยยิ้ม
   
        “นี่...พี่เมศเขาก็แอบเรียกน้องตะวันว่าเป็นโรคหนูเจียลิซึ่ม ตัวเองจะรู้ไหมว่าโดนลูกค้ากับคนทั้งร้านเรียกว่าทาสแมวเนี่ย”
   
        “คิดว่าไม่รู้นะ...แต่อย่าพูดไป เดี๋ยวโดนตัดเงินเดือน”
   
        “ฮ่าๆ”
   
        พนักงานเสิร์ฟสาวสองคนแอบซุบซิบก่อนจะแยกย้ายไปทำงาน
   
        แหม...เรื่องครอบครัวของพี่เมศนี่แหละ บันเทิงสุดแล้ว
   
         ช่วงทุ่มครึ่งที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ปานตะวันก็เอาข้าวมาให้เจียหลินกับเกล้าทานก่อน วันนี้เด็กทั้งสองตัวติดกันเป็นตังเม พอมองหนูเจียที่หัวเราะอย่างมีความสุขแล้วปานตะวันก็อดใจหายไม่ได้เมื่อคิดว่าถ้าคุณแม่เกล้ามาแล้วรับเด็กชายไป...เกล้าก็อาจจะต้องย้ายโรงเรียน แล้วแบบนั้นหนูเจียจะไม่เหงาแย่เหรอ
   
         ชายหนุ่มคิดวนเวียนถึงเรื่องนี้จนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน หลังทำความสะอาด เก็บโต๊ะและเก็บข้าวของเรียบร้อยปานตะวันก็เรียกเจียหลินและเกล้าให้เตรียมตัว ราเมศเดินเช็ครอบร้านเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นทั้งสี่ก็พากันกลับบ้าน
   
       คืนนั้นในห้องนอนของปานตะวันดูจะอบอุ่นมากที่สุด ไฟสีส้มที่หัวเตียงถูกเปิดไว้ เด็กน้อยสองคนนอนเบียดกันอยู่บนเตียงในขณะที่ปานตะวันนั่งพิงหัวเตียงพลางอ่านนิทานเรื่องลูกหมูสามตัวให้เด็กทั้งคู่ฟัง
   
       “แล้วลูกหมูตัวที่หนึ่งและตัวที่สองก็เข้าไปหลบในบ้านของลูกหมาตัวที่สาม...อ้าว” ชายหนุ่มพึมพำออกมาเมื่อเห็นเด็กชายสองคนที่เมื่อห้านาทีก่อนยังนอนฟังนิทานตาแป๋วอยู่ มาตอนนี้กลับหลับสนิทส่งเสียงฟี้เบาๆ กันไปทั้งคู่
   
       ริมฝีปากของปานตะวันขยับเป็นรอยยิ้มก่อนจะโน้มตัวไปจูบแก้มหนูเจียหนึ่งที แก้มน้องเกล้าหนึ่งที
   
       “ฝันดีครับ”
   
       ตุบ ตุบ
   
       เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ราเมศที่กำลังนั่งดูบอลอยู่หันมามองแล้วก็ขยับที่นั่งให้ “หลานหลับแล้วเหรอ”
   
        “ครับ กอดกันกลมเลย ไม่แยกกันเลยคู่นี้”
   
        “หนูเจียมีเพื่อนสนิทก็เป็นแบบนี้แหละ แถวนี้ไม่มีเด็กให้เล่นด้วย คงเหงาเป็นธรรมดา” ราเมศยกแขนพาดพนักโซฟา ท่านั้นเหมือนกำลังโอบปานตะวันกลายๆ ซึ่งชายหนุ่มก็รู้ถึงได้ส่งยิ้มรู้ทันไปให้
   
        “เออ แล้วเมื่อกี้คุณตำรวจโทรมานะ บอกว่าติดต่อแม่น้องเกล้าได้แล้วแต่เขาอยู่เชียงรายนู่นเลย เจ้าตัวบอกจะรีบเดินทางมาให้เร็วที่สุด”
   
       “ดีแล้ว น้องเกล้าจะได้มีชีวิตที่ดีสักที”
   
        ปานตะวันถอนหายใจ ราเมศหยิบรีโมตมากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ
   
        “พี่เมศ...พี่เมศว่าตะวันโตขึ้นไหม”
   
        “หืม หน้าก็ดูเด็กเหมือนเดิมนะ”
   
        “ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นเว้ย หมายถึง...ตะวันดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไหม”
   
        “ถ้าวัดจากครั้งแรกที่พบกันก็ต้องบอกว่าโตขึ้นเยอะมาก”
   
        ปานตะวันไม่ใช่ผู้ชายที่ดูไม่มีความรับผิดชอบและไม่เอาการเอางานอีกแล้ว อีกฝ่ายโตขึ้น มีความพยายามมากขึ้น ทั้งเรื่องหนูเจีย งานพิเศษและผลการเรียนของอีกฝ่ายที่พอคะแนนออกมาแล้วเป็นที่น่าพอใจมาก ไม่ได้ดีที่สุดแต่ก็เกินกว่าที่คาดหมายไว้

         ทั้งหมดทั้งมวลคือความพยายามของปานตะวันที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
   
         ยิ่งพอมาเจอเรื่องของเกล้าราเมศก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าปานตะวันเป็นผู้ใหญ่และมีความคิดเพื่อคนอื่นมากขนาดไหน หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าตัวอาจจะไม่ใส่ใจหรือวิ่งเต้นให้ความช่วยเหลือมากขนาดนี้
   
        “เรื่องน้องเกล้าก็เป็นอีกข้อพิสูจน์หนึ่งที่บอกว่าตะวันโตขึ้นนะ”
   
        “คงเพราะน้องเกล้าเหมือนตะวันตอนเด็กด้วยมั้งพี่เลยอยากช่วย...แล้วก็...ไม่รู้ดิ คือตะวันเลี้ยงหนูเจียมาอาจจะแค่ไม่นานแต่มันก็มีความรู้สึกของ...อืม...ผู้ปกครองน่ะ ความรู้สึกของคนเป็นพ่ออะไรแบบนี้ พอคิดว่าสิ่งที่เด็กคนนี้เจอถ้าเกิดกับลูกเรามันต้องแย่แน่ ตะวันก็ยิ่งอยากช่วย”
   
        “สัญชาตญาณความเป็นพ่อสินะ”
   
        “พี่ไม่มีหรือไง”
   
        “มีสิ จะว่าไปหนูเจียก็เหมือนลูกเราสองคนนั่นแหละ”
   
         ปานตะวันรู้สึกเหมือนมีใครมาเขย่าใจเขาเล่นไม่หยุด ผู้ชายตรงหน้าเขาชักร้ายกาจขึ้นทุกวันแล้วนะ! ชายหนุ่มกระแอมกลบเกลื่อนแล้วก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากที่สุดว่า   
   
        “ก็จริง เออ พี่เมศ พรุ่งนี้วันเสาร์ เราพาหนูเจียกับน้องเกล้าไปเที่ยวกันไหม” ว่าแล้วก็เปลี่ยนเรื่องเสียเลย
   
       “ก็ดีนะ ว่าแต่ไปที่ไหนล่ะ”
   
        “ไม่รู้สิ คงต้องหาข้อมูลก่อน ไปที่ใกล้ๆ แบบไปเช้าเย็นกลับได้น่าจะดี”
   
         ปานตะวันหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดหาข้อมูลทันทีพลางพูดถึงสถานที่น่าสนใจไปด้วย ราเมศมองริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง ร่ายถึงสถานที่ที่เด็กๆ น่าจะชอบ รวมถึงกิจกรรมที่อยากทำด้วยกันแล้วในใจพลันบังเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง
   
         ความภาคภูมิใจ
   
        ไม่รู้ว่าทำไม บางทีอาจเป็นเพราะเห็นปานตะวันกำลังคิดเพื่อคนอื่น ทำเพื่อคนอื่น เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเขาจึงรู้สึกภูมิใจมากๆ
   
         แล้วรู้สึกรักปานตะวันมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
   
         “ว่าไงพี่เมศ ไปที่นี่ดีไหม—“
   
         คำพูดขาดหายไปเมื่อจู่ๆ ราเมศดึงโทรศัพท์มือถือของปานตะวันออกแล้วปิดริมฝีปากช่างพูดนั่นด้วยปากของตัวเอง ปานตะวันทั้งงงทั้งตกใจแต่เมื่อราเมศขบกัดดูดดึงริมฝีปากเขาเป็นเชิงหยอกล้อปานตะวันก็หลุดยิ้มออกมา ยอมจูบตอบแต่โดยดี
   
        ความร้อนรุ่มไล้ไปตามพวงแก้ม ซอกคอ ก่อนจะวกกลับมาที่เดิม ราเมศแตะริมฝีปากปานตะวันแผ่วเบาแล้วก็ถอยออก จูบคลอเคลียอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประคองแก้มคนรักเอาไว้แล้วเปลี่ยนความอ่อนหวานให้เป็นความร้อนผ่าว ปานตะวันถูกดันให้เอนนอนลงบนโซฟา เสื้อยืดใส่นอนถูกเลิกขึ้น แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะก้าวไปไกลกว่านั้นเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นสียก่อน
   
       “น้าตะวัน...น้าเมศ”
   
        เจ้าของชื่อทั้งสะดุ้งผละออกห่างจากกันทันที ราเมศรีบลุกขึ้นนั่งส่วนปานตะวันก็รีบจัดเสื้อให้เรียบร้อย
   
        “ว่าไงครับหนูเจีย”
   
        ราเมศส่งยิ้มให้หลานชายที่เดินเกาะชายเสื้อเพื่อนออกมา ดูเหมือนเด็กทั้งสองจะไม่เห็น...ที่พวกเขาทำกันเมื่อครู่สินะ  โชคดีไป
   
        “หนูเจียอยากเข้าห้องน้ำ”
   
        “อ้อ งั้นมาครับเดี๋ยวน้าเมศพาไป”
   
        ปานตะวันแอบหัวเราะเมื่อเห็นราเมศเหลือบตามามองเขาแวบหนึ่ง ในแววตาแฝงแววเสียดายเอาไว้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลยิ้มทะเล้น ยักคิ้วกวนให้อีกฝ่ายแล้วจึงเผ่นเข้าห้องนอนไปก่อน ดีนะที่หนูเจียมาเรียกได้ทัน...ไม่งั้น...อะไรๆ ได้เลยเถิดจนกู่ไม่กลับแน่ๆ
   
        คราวหลังต้องระวังให้มากกว่านี้ซะแล้วแฮะ ไอ้พี่เมศเห็นเงียบๆ แต่มือไวใช่เล่น
   
        แกรก
   
        ราเมศพาหนูเจียกับเกล้าเข้ามาในห้องนอนแล้ว เด็กทั้งสองปีนขึ้นไปนอนบนเตียงรอให้น้าตะวันมากล่องนอนอีกรอบ เจียหลินนอนชิดผนัง เกล้านอนถัดออกมาส่วนปานตะวันก็นอนอยู่เกือบขอบเตียง ชายหนุ่มร้องเพลงกล่อมเบาๆ เพี้ยนบ้าง จำเนื้อร้องไม่ได้บ้างแต่เด็กทั้งคู่ก็ฟังเพลินจนหลับไป
   
        ราเมศชะโงกหน้ามาดูแล้วก็อมยิ้ม หอมแก้มเด็กๆ ไปคนล่ะทีก่อนจะดึงตัวปานตะวันลงมาที่ฟูกด้านล่าง
   
        “ต่อไหม”
   
        เท่านั้นแหละลูกแมวของเขาก็แยกเขี้ยวขู่ทันใด “ต่อบ้าอะไร ดึกแล้วอย่าหื่นมาก นอนๆ”
   
       “ครับๆ”
   
         ภาพสุดท้ายก่อนแสงไฟนวลตาในห้องจะดับลงคือภาพที่เด็กน้อยทั้งสองหลับอย่างเป็นสุขอยู่บนเตียงและคำกระซิบบอกรักที่ข้างหูจากคนข้างกาย...

********************************************************

สวัสดีค่าาาา เรากลับมาแล้ว  :katai4: รู้สึกช่วงนี้ไม่ได้อัพนิยายถี่เท่าเมื่อก่อนเลยค่ะ แหะๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ
พอเขียนตอนนี้แล้วก็รู้สึกว่าปานตะวันโตขึ้นจริงๆ ด้วยแฮะ คาแรคเตอร์ปานตะวันตอนแรกๆ เลยคือเป็นเด็กที่
ชีวิตเหลวแหลกมาก่อน ไม่อยากรับผิดชอบใครหรืออะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้ปานตะวันโตขึ้น คิดเพื่อคนอื่นมากขึ้น
ไม่แน่ใจว่าคนอื่นคิดเหมือนเราหรือเปล่า สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ
ติชมได้เต็มที่เลย เราจะพยายามอัพนิยายให้บ่อยเท่าที่จะทำได้นะคะ ;w;
พบกันใหม่ตอนหน้า รักคนอ่านทุกคนนะคะ จุ๊บๆ

ปล. สามารถติดตามนิยายและเม้าท์กับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 06-06-2017 20:04:17
ไอ้ชั่ว!!!
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-06-2017 20:05:30
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 06-06-2017 21:06:44
ดีใจกับน้องเกล้าด้วย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 07-06-2017 02:32:03
ตะวันโตขึ้นจริงๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-06-2017 08:56:48
ขอให้พ้นจากเรื่องเลวร้ายนะน้องเกล้า
ไม่ใช่หนีเสือปะจรเข้นะ งื้อออ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-06-2017 09:27:27
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-06-2017 10:11:08
นึกถึงถ้าแม่เกล้ามารับเกล้าไปอยู่ด้วยแล้วสงสารน้องเจียอ่ะ
แค่เกล้าไม่ได้ไปโรงเรียนน้องเจียยังนั่งซึม  :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-06-2017 12:32:46
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 07-06-2017 15:55:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-06-2017 06:50:42
คุณแม่ก็ใจร้ายนะหนีไปไม่พาน้องเกล้าไปด้วยแบบนี้ แต่ก็นะพอจะเข้าใจหนีไปแบบนั้นคงจะลำบาก ไหนจะหาที่อยู่ ไหนจะหางานทำแต่ถ้าทุกอย่างมันเรียบร้อยลงตัวแล้วทำไมถึงไม่กลับมาเอาลูกกลับไปเลี้ยงเองทั้งๆ ที่รู้ว่าคนพ่อนิสัยยังไง ตอนนี้ตะวันโตขึ้นเยอะเลยค่ะ เพิ่งรู้นะว่าพี่เมศทาสแมว(ทาสน้องตะวัน) อืมมมมม แบบนี้เขาเรียกผู้ชายอบอุ่น อ่อนโยนใช่ไหมค่ะนี่
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 08-06-2017 13:27:45
สนุกมากๆค่ะ ชอบ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 08-06-2017 18:37:25
เด็กน้อย 2 คน น่ารักมาก ได้แต่หวังว่าขีวิตน้องเกล้าจะดีขึ้นนะลูก

หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 08-06-2017 23:33:50
รับเกล้าไว้อีกคนนะ น้าเมศ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-06-2017 23:45:24
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๔ ความช่วยเหลือ (๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 09-06-2017 02:46:53
สงสารน้องมากเลย ไม่อยากให้น้องแยกกันเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 14-06-2017 19:16:44
ปานตะวัน
บทที่ ๑๕
ครอบครัวและคำสัญญา


      “โอ้โห น้าตะวัน คนเยอะจังเลย” เสียงเล็กๆ ของหนูเจียดังขึ้นพร้อมกับดวงตากลมโตที่สอดส่ายมองสภาพแวดล้อมรอบกายด้วยความสนอกสนใจ ปานตะวันจุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะช้อนตัวหลานชายขึ้นมาอุ้ม เบียดแก้มของตัวเองเข้ากับแก้มนิ่มหยุ่นของเจ้าตัวเล็ก ส่วนราเมศที่อุ้มเกล้าอยู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
   
      “ครับ วันนี้คนเยอะมากดังนั้นหนูเจียกับน้องเกล้าต้องอยู่ติดกับน้าเมศและน้าตะวันเข้าไว้นะครับ อย่าซนแล้วก็อย่าวิ่งไปไหนมาไหนเอง เดี๋ยวจะหลงทาง เข้าใจไหมเด็กๆ”
   
        “เข้าใจคับ”
   
        เสียงเล็กๆ สองเสียงตอบขึ้นพร้อมกันเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้ปกครองทั้งสองได้เป็นอย่างดี
   
       ปานตะวันมองเด็กชายสองคนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับเอี๊ยมยีนเข้าคู่กันซึ่งกำลังแสดงท่าทางตื่นเต้นเหมือนๆ กันแล้วก็อมยิ้ม คิดถูกจริงๆ ที่พาเด็กทั้งคู่ออกมาเที่ยวข้างนอก
   
       เมื่อคืนก่อนเขากับราเมศนั่งวางแผนกันว่าจะพาหนูเจียและน้องเกล้าไปเที่ยวที่ไหนดีในวันหยุด เป็นการให้น้องเกล้าได้ผ่อนคลายหลังเจอเหตุการณ์เลวร้ายมาด้วย แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกสุดท้ายจึงมาจบลงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์คนที่มาเดินห้างย่อมเยอะเป็นธรรมดา
   
       ปานตะวันกับราเมศที่เป็นห่วงว่าหลานจะมัวแต่ดูนู่นดูนี่จนหลงทางเลยพร้อมใจกันอุ้มเด็กๆ ขึ้นมา
   
       “ไปที่ไหนก่อนดีนะ” ปานตะวันพูด นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆ ที่มีแต่คน คน แล้วก็คน ชายหนุ่มย่นจมูกเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าควรเดินไปตรงไหนก่อนดี เขาเพิ่งเคยมาห้างนี้ครั้งแรกด้วยสิ บริเวณชั้นหนึ่งที่พวกเขาอยู่ก็มีแต่ร้านขายเสื้อผ้าและรองเท้าแบรนด์ต่างๆ
   
       “ที่ชั้นสองกับเป็นโซนร้านอาหารส่วนโซนเด็กอยู่ชั้นสี่ นายจะไปไหนก่อนล่ะ”
   
       “ไปชั้นสี่ก่อนก็ได้มั้งพี่ ให้เด็กๆ ไปเล่นกันก่อนแล้วเราค่อยไปกินขนม”
   
       ปานตะวันตัดสินใจเสร็จสรรพแต่แล้วแผนการก็เป็นอันต้องพับเก็บเมื่อจู่ๆ หนูเจียที่หูไวได้ยินคำว่าขนมก็หันมายิ้มแฉ่งอวดฟันกระต่าย ดวงตากลมวิบวับเป็นประกาย ปานตะวันคล้ายจะเห็นดอกไม้และออร่าวิ้งๆ เบ่งบานเป็นฉากหลังให้หลานชาย
   
       “ขนม!” เจียหลินพูดด้วยใบหน้าเป็นประกาย “หนูเจียอยากกินขนม ไปกินขนมกันเถอะนะคับน้าตะวัน น้าๆ”
   
       ปานตะวันอมยิ้มแก้มตุ่ย รู้สึกดีที่หลานชายมาออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวเล็กแบบนี้
   
       “แต่ก่อนออกจากบ้านมาเราก็เพิ่งกินมาเองนะครับ” ชายหนุ่มแกล้งพูด หนูเจียที่ได้ฟังก็ทำหน้ายุ่ง เจ้าตัวเล็กซบแก้มนิ่มหยุ่นลงกับบ่าน้าชายของตนแล้วก็ช้อนตากลมเหมือนลูกแมวขึ้นมอง
   
       “แต่หนูเจียอยากกินอีกนี่นา ไม่ได้เหรอคับ”
   
       “เสร็จแน่ตะวัน” ราเมศกลั้นหัวเราะ ขณะหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปนั้นเก็บไว้
   
       ปานตะวันแสร้งทำหน้าครุ่นคิด “หนูเจียลองหันไปถามน้าเมศกับน้องเกล้าดูสิครับ ถ้าทั้งสองคนอยากไปกินขนมเราก็จะไปกินขนม”
   
      เจียหลินหันไปหาน้าชายอีกคนทันที รายนี้แค่เห็นสายตาปิ๊งๆ ของเด็กน้อยก็ใจอ่อนยวบ พยักหน้าตกลง เป็นอันว่าเสร็จไปหนึ่ง
   
       “เกล้า” เจียหลินเรียกชื่อเพื่อน เอื้อมมือไปเขย่าสายเอี๊ยมอีกฝ่ายพลางส่งยิ้มกว้างอวดฟันกระต่ายให้ “ไปกินขนมกันนะ”
   
       “น้องเกล้าตอบตามที่อยากตอบเลยนะครับ ถ้ายังไม่อยากไปกินขนมก็ไม่เป็นไร”
   
        เกล้าอ้ำอึ้ง ใจจริงเด็กชายน่ะยังไงก็ได้ไปเล่นก่อนก็ฟังดูน่าสนุก ไปกินขนมก็ฟังดูน่าอร่อย
   
        “เกล้า...”
   
        “เอาที่น้องเกล้าทำแล้วมีความสุขเลยครับ”   
   
        ที่เขาทำแล้วมีความสุขงั้นหรือ...
   
        สิ่งที่เขาทำแล้วมีความสุขคือการได้อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของน้าเมศหรือไม่ก็น้าตะวัน ซุกตัวในอ้อมกอดอบอุ่นที่มีกลิ่นอายของแสงแดด ได้นั่งทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา ได้ไปเล่นกับเจียหลินที่โรงเรียนทุกวัน
   
       สำหรับเกล้าแล้วแค่ได้อยู่กับน้าๆ และเจียหลินเขาก็ความสุขมากแล้ว
   
       “เกล้าตามใจเจียคับ” เด็กชายยิ้ม จับนิ้วมือเล็กๆ ของเพื่อนสนิทเอาไว้ “เราไปกินขนมกันเถอะนะคับน้าตะวัน”
   
      “เย้! เจียรักเกล้าที่สุดเล้ย”
   
       หนูเจียที่ดีใจยิ้มแก้มแทบแตก โถมตัวไปกอดรัดเพื่อนสนิททันทีทำเอาปานตะวันต้องรีบประคองหลานชายเอาไว้พร้อมดุว่า “หนูเจียอย่าทำแบบนี้ เดี๋ยวตกนะครับ”
   
       เจียหลินแทนที่จะสลด เด็กชายกลับยิ้มแป้น จุ๊บแก้มซ้ายแก้มขวาน้าตะวันเป็นการเอาใจ หันไปยิ้มหวานให้น้าเมศและเกล้าอีกต่างหาก “กินขนมมม”
   
       “เฮ้อ ลูกหมูเอ๊ย”
   
       ราเมศหัวเราะเบาๆ กับคำบ่นนั้น ชายหนุ่มแตะแผ่นหลังของปานตะวันให้ออกเดิน ท่ามกลางสายตาเอ็นดูของคนที่เดินผ่านไปมา
   
       ทั้งสี่คนไม่รู้หรอกว่าในสายตาของคนนอกแล้วพวกเขาช่างดูเหมือน ‘ครอบครัว’ เหลือเกิน
   
       หลังเดินวนไปวนมาอยู่สามสี่รอบพวกเขาก็เจอร้านขนมที่หนูเจียอยากกิน ร้านนั้นเป็นร้านเค้ก ตั้งอยู่ที่ชั้นสองของห้าง ภายในร้านมีลูกค้าจับจองอยู่เกือบทุกโต๊ะแต่โชคดีที่ยังมีที่ว่าง
   
       พนักงานนำทางพวกปานตะวันไปที่โต๊ะด้านในสุดของร้านซึ่งตั้งติดกับผนังสีน้ำตาลอ่อนวาดลวดลายดอกไม้และใบไม้รวมถึงตัวการ์ตูน บนโต๊ะสีขาวมีตะกร้าดอกไม้วางประดับอยู่ เก้าอี้ดัดลวดลายเข้ากับโต๊ะถูกปูทับด้วยเบาะรองนั่งนุ่มนิ่ม ปานตะวันต้องคอยระวังไม่ให้หลานชายดึงดอกไม้ในตะกร้าออกมาเล่น
   
       พนักงานเสิร์ฟยิ้มหวานให้ก่อนจะหยิบเมนูออกมา หนูเจียทำตาโตแล้วก็จิ้มทุกเค้กมาเกือบทุกรสชาติแต่ปานตะวันรีบห้ามไว้ ให้สั่งมาได้แค่สองชิ้นก่อน
   
       “สั่งมาเยอะแล้วกินไม่หมดมันเปลืองเงินนะครับหนูเจีย แล้วก็น่าเสียดายด้วย เอาไว้ถ้าหนูเจียกินหมดแล้วไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่มนะ”
   
       “ก็ได้คับ”
   
        “น้องเกล้ากินอะไรดีครับ”
   
       ราเมศหันไปถามเกล้าบ้าง เด็กชายนั่งมองเมนูขนมและน้ำหวานนิ่ง พอเห็นราคาก็รู้สึกเกรงใจผู้ปกครองชั่วคราวทั้งสอง รวมถึงไม่รู้จะสั่งอะไรด้วย...บางอย่างในเมนูนี้เด็กชายยังไม่รู้จักเลย
   
      “น้องเกล้าครับ” ราเมศเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพนักงานชักจะรอนานแล้ว
   
      “เกล้า...เกล้าไม่รู้จะกินอะไรคับ”
   
       “ไม่มีอันที่ชอบเหรอครับ” เด็กชายเม้มริมฝีปากแล้วก็อ้อมแอ้มออกมาว่า “เกล้าเกรงใจ...”
   
       “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน้องเกล้า พี่เมศเลี้ยง อยากกินอะไรสั่งเลย” ปานตะวันหัวเราะแล้วก็หันไปสั่งน้ำหวานให้เด็กๆ และตัวเอง ส่วนของราเมศเป็นคาปูชิโน่หนึ่งแก้ว
   
       “เกล้า...เกล้าไม่รู้จะสั่งอะไร”
   
       เด็กชายอึกอัก กลัวว่าจะถูกดุเพราะตัวเองคิดช้าและทำให้พนักงานเสิร์ฟต้องรอแต่นอกจากราเมศกับปานตะวันจะไม่ดุด่าแล้ว ทั้งคู่ยังยิ้มแล้วก็ช่วยสั่งขนมให้ด้วย
   
        พนักงานเสิร์ฟอ่านทวนรายการอีกรอบก่อนจะจากไป พอคล้อยหลังหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มของร้านแล้วเกล้าก็ก้มหน้าพลางพึมพำว่า “ขอโทษนะคับ”
   
       ราเมศลูบผมเด็กชายอย่างเบามือ “ขอโทษทำไมครับ”
   
        “เกล้าคิดช้า ทำให้ทุกคนรอ”
   
       “ไม่เห็นเป็นไรเลยครับน้องเกล้า อย่าคิดมากเลยนะ”
   
       “ไม่...ไม่โกรธเหรอคับ”
   
        คราวนี้ปานตะวันเอื้อมมือไปลูบแก้มเด็กชายบ้าง ริมฝีปากบางผลิรอยยิ้มอบอุ่นที่ไม่ว่าเกล้าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกเหมือนสัมผัสได้ถึงแสงแดดอุ่นๆ “ไม่มีใครโกรธน้องเกล้าหรอกนะ เด็กดี”
   
       เป็นครั้งแรก...ที่มีคนบอกว่าเขาเป็นเด็กดี
   
       “พวกเรารักน้องเกล้านะ”
   
       “อื้ม เจียก็รักเกล้านะ”
   
        เป็นครั้งแรกหลังเวลานานหลายปี...ที่มีคนบอกว่าเขาเป็นที่รัก
   
       มุมปากของเด็กชายยกขึ้น ตอนแรกแค่เล็กน้อยก่อนที่น้องเกล้าจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ ยิ้มทั้งปากทั้งตา ดวงตาของเด็กชายเปล่งประกายอย่างมีความสุข
   
       “น้องเกล้าก็รักน้าเมศ น้าตะวันแล้วก็เจียเหมือนกัน”
   
       หลังจากนั้นไม่นานขนมและน้ำหวานที่สั่งก็มาถึง ปานตะวันที่ตอนแรกรับปากราเมศเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยดูหลานแต่เอาเข้าจริงพอเครปเค้กมาวางตรงหน้าอีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตากิน แถมครีมยังเลอะปากไม่ต่างอะไรกับหลานชายเลย สุดท้ายราเมศก็ต้องเป็นคนเช็ดปากให้ทั้งแฟนและหลาน
   
       นี่มันเหมือนกับเขาพาเด็กน้อยสามคนมาเที่ยวเลยแฮะ
   
      “ยิ้มอะไรพี่เมศ” ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมาจากเค้กช็อกโกแลต ดูเอาเถอะ บอกหลานว่าอย่าสั่งเยอะแต่ตัวเองนี่ทั้งเครปเค้กทั้งฮันนี่โทสต์ทั้งเค้กช็อกโกแลต
   
       “เปล่า แค่รู้สึกเหมือนตัวเองพาเด็กสามคนมาเที่ยว”
   
       ราเมศว่ายิ้มๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ปานตะวันย่นจมูก เจ้าตัวดูจะไม่ชอบคำว่าเด็กสักเท่าไหร่แต่แล้วดวงตากลมพลันฉายประกายซุกซนออกมา
   
       “ใช่ ตะวันเป็นเด็ก งั้นวันนี้ผู้ใหญ่ต้องเลี้ยง”
   
       “ทำตัวเป็นเด็กป๋าเหรอ”
   
       มือที่กำลังจะส่งขนมเค้กเข้าปากพลันชะงัก ปานตะวันเงยหน้ามาแลบลิ้นใส่ราเมศก่อนยักคิ้วให้ด้วยท่าทางกวนประสาทเบาๆ
   
        “แล้วป๋ามีเงินเลี้ยงไหมล่ะ”
   
        “ทุกวันนี้ใครจ่ายเงินเดือนให้ล่ะครับเด็กน้อย”
   
        ราเมศดึงแก้มอีกฝ่ายจนยืด ชายหนุ่มถือโอกาสปาดเช็ดครีมที่ติดบนริมฝีปากปานตะวันออกไปด้วย เจ้าลูกแมวของเขาที่เมื่อครู่ยังทำท่ากวนประสาทอยู่เลย แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับเขินจนหูแดง...
   
        แดงพอๆ กับสตรอเบอรี่บนจานฮันนี่โทสต์ตรงหน้าเลยล่ะ
   
        “น้าตะวันๆ เด็กป๋าคืออะไรเหรอคับ”
   
       หนูเจียตัวน้อยที่เมื่อได้ยินคำศัพท์ไม่คุ้นก็หันไปกระตุกชายเสื้อน้าชายแล้วถามตาแป๋ว ส่วนผู้ปกครองทั้งสองก็สำลักน้ำสำลักขนมกันถ้วนหน้า
   
       “แค่กๆ หนูเจีย อย่าไปพูดแบบนี้กับใครเขานะครับ”
   
       ปานตะวันที่หายจากอาการไอจนหน้าดำหน้าแดงแล้วก็รีบก้มหน้าไปสั่งสอนหลาน หนูเจียอ้าปากงับขนมปังทาแยมเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มป่องก่อนจะถามอีกรอบ
   
       “ทำไมละคับ เป็นคำไม่ดีเหรอ”
   
       “เอ่อ...มันไม่เหมาะกับเด็กน่ะครับ”
   
        “แล้วทำไมถึงได้ไม่เหมาะล่ะคับ”
   
        พระเจ้า ทำไมหลานชายของเขาถึงได้ช่างสงสัยแบบนี้นะ!
   
       ปานตะวันมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชายหนุ่มส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ราเมศแต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีเขา
   
       ไอ้พี่เมศ เห็นนะว่ากำลังแอบขำน่ะ!
   
       “น้าตะวันนน ทำไมมันไม่ดีล่ะคับ”
   
        หนูเจีย...หนูอย่าเพิ่งถามเลยนะลูก น้าตะวันกำลังจะประสาทกินแล้ว
   
        ปานตะวันร่ำไห้ในใจพลางก่นด่าความพูดไม่คิดของตัวเองไปด้วย ราเมศเองก็มีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความส่งมาในแชทของปานตะวัน
   
       P’เมศ : ดูเหมือนว่าคราวหลังเราจะต้องระวังคำพูดมากกว่านี้แล้วล่ะ 11:30 AM
   
       Pantawan : ตะวันขอโทษนะพี่ 11:30 AM Read
   
       P’เมศ : พี่เองก็ผิดเหมือนกัน คราวหลังเราต้องระวังคำพูดต่อหน้าหลานแล้วล่ะ ลืมไปเลยว่าหนูเจียน่ะขี้สงสัย 11:31 AM

   
      ปานตะวันส่งสายตาสำนึกผิดให้อีกฝ่ายทันที ราเมศเองก็ขยับปากเป็นคำว่าขอโทษมาให้เหมือนกัน
   
       P’เมศ : เอาเป็นว่าเรารีบหาคำตอบดีๆ ให้หลานก่อนก็แล้วกัน 11:32 AM
   
       ในระหว่างที่สมองของเขากำลังปั่นเร็วจี๋เพื่อหาคำตอบผู้ช่วยชีวิตที่ปานตะวันไม่คาดคิดก็เข้ามาขัดจังหวะทัน
   
       “เจีย ลองกินอันนี้สิ อร่อยมากเลยนะ” เกล้าเลื่อนเอแคลร์ไปตรงหน้าเจียหลิน “เราอยากให้เจียลองกินดู”
   
       “ขอบคุณนะเกล้า” เจียหลินยิ้มแก้มป่องก่อนจะหยิบเอแคลร์มางับเข้าเต็มคำ รสชาติหวานหอมกระจายไปทั่วทั้งปาก ประกอบกับเนื้อครีมนุ่มลิ้นทำให้เด็กน้อยตาเป็นประกาย “อร่อยจริงๆ ด้วย”
   
        “เนอะ”
   
        “กินอีกได้ไหม”
   
        “ได้สิ”
   
        “หนูเจียครับ แบ่งให้เพื่อนกินด้วย ห้ามกินคนเดียวหมด”
   
        “คับน้าเมศ เกล้า มากินด้วยกันนะ”
   
        เจียหลินที่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปไปหาขนมลืมคำถามก่อนหน้านี้ไปสิ้น ปานตะวันถอนหายใจเบาๆ ชายหนุ่มหันไปสบตากับน้องเกล้าที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
   
       ...เด็กฉลาด...
   
       ปานตะวันขยับปากเป็นคำว่า ‘เก่งมาก’ พร้อมกับชูนิ้วโป้งให้เด็กชาย อีกฝ่ายหัวเราะแล้วก็หันกลับไปกินเอแคลร์กับหนูเจียต่อ
   
        ครึ่งชั่วโมงต่อมาปานตะวันก็เรียกคิดเงิน ถึงแม้เขาจะแกล้งพูดให้ราเมศเลี้ยงแต่พอตอนจ่ายก็หารกันอยู่ดี
   
        ทำไมน่ะเหรอ?
   
        ก็เพราะว่าปานตะวันเป็นคนที่กินเยอะเป็นอันดับสองรองจากหนูเจียน่ะสิ กินเยอะแล้วยังให้คนอื่นจ่ายให้ก็ดูไม่ดี เขาไม่ได้หน้าหนาขนาดนั้น
   
        “พี่เมศ...จุก”
   
        ระหว่างรอเงินทอนเจียหลินก็ขอสลับที่กับราเมศไปนั่งเล่นกับเกล้า ปานตะวันเลยได้โอกาสเอนหัวไปพิงไหล่อีกฝ่ายพร้อมกับโอดครวญ
   
       “ก็กินเยอะ จะไม่จุกได้ยังไง” ราเมศพูด ตอนเห็นปานตะวันกินขนมลงท้องนี่เขายังนึกเลี่ยนแทน ชายหนุ่มเป็นคนที่กินน้อยที่สุด น้องจากเค้กหนึ่งชิ้นกับกาแฟหนึ่งแก้วแล้วเขาก็ไม่ได้กินอะไรเพิ่มอีก
   
       แค่มองหลานกับแฟนกินก็อิ่มแล้วเอาจริงๆ
   
       “มันอร่อยนี่นา”
   
       “เดี๋ยวก็ปวดท้อง”
   
      “มาพูดตอนนี้มันสายไปไหม”
   
        ราเมศยิ้มมุมปาก ขยี้ผมสีน้ำตาลของไอ้แมวแสบเล่น ปานตะวันก็เอียงศีรษะเข้าหามืออีกฝ่าย ชายหนุ่มชอบเวลาราเมศลูบผมเขาเล่นเอามากๆ
   
       “แต่เค้กร้านนี้อร่อยดีนะ”
   
      “ถ้าชอบจะพามากินอีกดีไหม”
   
       “ดีเลยพี่เมศ/ดีคับน้าเมศ!”
   
      แมวเล็กกับแมวใหญ่ตอบขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้าคาดหวังเต็มเปี่ยม...ราเมศเองก็กำลังคิดว่าดูเหมือนหลังจากนี้ร้านขนมร้านนี้จะกลายเป็นเจ้าประจำของพวกเขาไปเสียแล้วล่ะ
   
      หลังจากกินขนมพวกเขาก็ตัดสินใจเดินเล่นกันสักพัก ราเมศกับปานตะวันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หนูเจียกับน้องเกล้าอีกคนละสองสามชุด ปานตะวันสนุกกับการจับหลานชายทั้งสองแต่งตัวให้เข้ากันมากทีเดียวจนราเมศต้องสะกิดเตือนเพราะหนูเจียเริ่มหน้ามุ่ยแล้ว
 
      ถัดจากซื้อเสื้อผ้าราเมศกับปานตะวันก็พาหนูเจียและเกล้าไปยังโซนเด็กเล่น บริเวณนั้นมีผู้ปกครองร่วมทั้งลูกเด็กเล็กแดงส่งเสียงกันเซ็งแซ่ หนูเจียดูจะตื่นเต้นมาก เจ้าตัวเล็กทำท่าจะพุ่งเข้าไปหากองลูกบอลและบ้านลมแล้วถ้าไม่ใช่ปานตะวันคว้าคอเสื้อเอาไว้ทัน
   
      “หนูเจีย” ปานตะวันพูดพลางติดเข็มกลัดที่ได้รับมาจากพนักงานเข้าที่หน้าอกหนูเจียส่วนราเมศก็โน้มตัวลงติดให้เกล้า “น้าตะวันให้เวลาหนึ่งชั่วโมงนะครับ จะไปเข้าห้องน้ำหรือจะไปไหนต้องมาบอกน้าตะวัน อย่าตามคนแปลกหน้า อย่าเล่นแรงๆ จนเจ็บตัวเข้าใจไหมครับ”
   
      แม้ด้านในจะมีพนักงานโซนเด็กเล่นคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิดแต่ปานตะวันก็อดเป็นห่วงไม่ได้
   
      “เข้าใจแล้วคับน้าตะวัน หนูเจียจะเป็นเด็กดี”
   
      “ดีมากหนูน้อยของน้า”
   
       ปานตะวันหอมแก้มหลานไปสองฟอดใหญ่ ก่อนจะหันไปกำชับน้องเกล้าด้วยประโยคแบบเดียวกัน จากนั้นผู้ใหญ่สองคนก็ถอยออกมาปล่อยให้เด็กๆ จูงมือเข้าไปเล่นกันด้านใน
   
        หนูเจียตรงดิ่งไปหาสไลเดอร์ทันที เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าตรงนู้นออกตรงนี้โดยมีเกล้าตามติดไม่ห่าง เด็กชายทำตัวเหมือนตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ของเจียหลินอย่างไรอย่างนั้นแถมยังเป็นผู้พิทักษ์ที่ตามใจขั้นสุดยอดเพราะไม่ว่าหนูเจียจะชี้ไปทางไหน เกล้าเป็นต้องพยักหน้ารับแล้วก็ตามไปเล่นด้วยทุกครั้ง
   
       “มีแต่คนตามใจแบบนี้หลานเราจะเสียคนไหมเนี่ยพี่ ดูสิ น้องเกล้าเดินตามหนูเจียต้อยๆ เชียว ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้”
   
        ราเมศเหลือบตามองคนบ่นที่ยังรัวกดถ่ายรูปไม่หยุดด้วยแววตาขบขันระคนเอ็นดู
   
        “ไม่รู้ตัวหรือไงว่าคนตามใจหลานที่สุดน่ะมันนาย”
   
        “อย่ามาใส่ความผม พี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
   
        อันนี้ก็ไม่เถียงหรอกนะ
   
       “พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่เป็นทาสแมว” ราเมศคลี่ยิ้มบางหากแต่ดวงตาสีนิลกลับพราวระยับแล้วยังแฝงไปด้วยอาการซุกซน มือใหญ่หยิกแก้มคนข้างกายไปหนึ่งทีด้วยความเอ็นดู
   
       “แมวของพี่พี่ก็ต้องตามใจสิ”
   
      “อย่าตามใจมาก เดี๋ยวหลานจะเสียคน”
   
      “อืม ดูสิ ขนาดผู้ใหญ่ตรงหน้ายังโดนตามใจจนจะเสียผู้ใหญ่อยู่แล้ว”
   
      “ไอ้พี่เมศ! ใครเป็นแมวของพี่กันหา!”
   
       ราเมศขยับเท้าเข้าไปชิดปานตะวันจากนั้นก็วางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่มผมน้ำตาล น้ำเสียงทุ้มเปล่งออกมาเป็นประโยคสั้นๆ หากแต่อานุภาพเขย่าใจคนฟังได้อย่างร้ายกาจ
   
      “นายไง...เป็นแมวที่พี่ตามใจมากที่สุดแล้ว”
   
        ตุบ
   
        “เฮ้ย ลูกพ่อ!”
   
       ปานตะวันอุทานเมื่อโทรศัพท์ที่ถืออยู่พลันหลุดจากมือไปนอนแอ้งแม้งที่พื้น ชายหนุ่มรีบก้มลงเก็บทันทีเป็นจังหวะเดียวกับที่ราเมศเองก็ก้มลงไปช่วยหยิบมือถือให้ ขอบอกเลยว่าปานตะวันดูละครหลังข่าวไม่บ่อยแต่เท่าที่รู้มาร้อยทั้งร้อยมันต้องมีฉากที่พระเอกกับนางเอกสบตากันตอนที่มือบังเอิญแตะโดน...
   
      เปรี๊ยะ
   
      “เชี่ย ไฟฟ้าสถิต”
   
       ปานตะวันสบถพลางรีบชักมือกลัวมาสะบัดๆ ประโยคนั้นทำเอาบรรยากาศโรแมนติกที่ควรจะเกิดพังครืนไม่เป็นท่า

       ราเมศกลอกตาพลางส่งโทรศัพท์ให้ปานตะวัน “ไม่คิดว่ามันจะเป็นเหมือนในนิยายบ้างเหรอ...ที่แบบว่าพระเอกนางเอกแตะมือกันแล้วก็มีกระแสไฟฟ้าสิ่งปราดเข้าไปในร่างงี้”
   
       “อ่านนิยายมากไปแล้วพี่ เมื่อกี้ไฟฟ้าสถิตชัดๆ กระแสไฟแล่นปราดทั่วร่างจนใจเต้นอะไรกัน” ปานตะวันถูมือตัวเองไปมา
   
       “ไม่โรแมนติกเลย”
   
       “คนหน้าตายแบบพี่เมศไม่มีสิทธิ์มาว่าคนอื่นนะครับ”
   
       ปานตะวันหัวเราะชอบใจก่อนจะลากชายหนุ่มร่างยักษ์เข้าไปในร้านกาแฟไม่ไกลจากโซนเด็กเล่นนัก ในร้านมีผู้ปกครองหลายคนเข้ามานั่งรอลูกหลานเช่นกัน ปานตะวันสั่งชาเขียวมาสองแก้วก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะ เขาเลื่อนแก้วชาไปให้ราเมศแก้วหนึ่ง
   
      “ขอบใจ”
   
      “ด้วยความยินดีครับผม”
   
       ปานตะวันกับราเมศนั่งกันอยู่เงียบๆ โต๊ะที่ทั้งคู่เลือกอยู่ติดกระจกทำให้มองเห็นหนูเจียกับเกล้าผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงนั้นตรงนี้ได้ มือของเด็กทั้งสองจับกันไว้แน่น มีหนหนึ่งที่หนูเจียหันออกมาข้างนอกแล้วไม่เห็นปานตะวัน เด็กน้อยเลยทำท่าเบะปากเหมือนจะร้องไห้แต่เกล้าก็รีบปลอบจากนั้นก็ชี้ตรงมาที่ร้านกาแฟ ปานตะวันโบกมือให้หลานชายที่มีสีหน้าดีขึ้น หนูเจียยิ้มร่าให้ผู้ปกครองแล้วก็หันกลับไปวิ่งเล่นต่อ
   
       “ตะวันชอบบรรยากาศแบบนี้จัง” ปานตะวันเปรยขึ้น เรียกนัยน์ตาสีนิลของคนฝั่งตรงข้ามให้เบนกลับมาที่เขา “มีพี่ มีผม มีเด็กๆ เป็นครอบครัวเดียวกัน”
   
      “ตะวันชอบพี่ด้วยเหรอ นึกว่าชอบแต่คนโรแมนติกอะไรแบบนี้”
   
      คนถูกแซะแทบจะพ่นชาเขียวออกมา อะไรกัน นี่กำลังงอนที่เขาหาว่าเจ้าตัวไม่โรแมนติกเมื่อครู่นี้เหรอ
   
       “โถๆ”
   
      “ไม่ต้องมาทำท่าแบบนั้นเลย เดี๋ยวก็ดีดเหม่งเข้าให้หรอก”
   
       “ฮ่าๆ ไม่เอาน่าพี่เมศอย่าน้อยใจสิ” ปานตะวันเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ ยกขึ้นมาทาบกัน เกาะเกี่ยวปลายนิ้วเล่น  ราเมศเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมทำตามใจเขาทุกอย่าง ปานตะวันจับมืออีกฝ่ายให้วางหงายลงบนโต๊ะแล้วก็หยิบเอาปากกามาจากในกระเป๋าของตน ชายหนุ่มวาดรูปหัวใจดวงเบ้อเริ่มลงไปที่ใจกลางฝ่ามือของราเมศ
   
      ปานตะวันรู้ว่าราเมศเป็นคนที่พูดไม่เก่ง แสดงความรู้สึกทางสีหน้าก็ไม่เก่งเหมือนกัน มีแค่กับคนสนิทเท่านั้นที่เขาจะยิ้มแล้วก็พูดจาดีด้วย พวกพนักงานที่ร้านบางคนถึงได้กลัวราเมศนักเพราะคิดว่าอีกฝ่ายดุ ปานตะวันเองตอนแรกก็ไม่ชอบไอ้น้ำเสียงห้วนๆ ตาขวางๆ กับหน้าดุๆ ของอีกฝ่ายเลย แต่พอมาตอนนี้ถึงได้รู้ว่าภายใต้กิริยาเหล่านั้นคือความหวังดี ทุกสิ่งที่ราเมศทำก็เพื่อเขาและหนูเจียทั้งนั้น...แถมพอหลังจากตกลงคบกันอีกฝ่ายก็ดูจะ...รุกเข้าหามากขึ้น คำพูดหวานๆ มีทั้งออกมาแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
   
       จากไม่ชอบกลายเป็นว่าตอนนี้ตะวันชอบทุกอย่างที่เป็นราเมศ
   
      ผู้ชายทื่อๆ แข็งๆ ที่โคตรจะไม่โรแมนติก...แต่กลับน่ารักมากในสายตาปานตะวัน
   
      “ถึงไม่โรแมนติกก็รักนะครับ”
   
       ราเมศชะงักค้าง...นิ่ง...เหมือนโดนสาปให้เป็นหิน ปานตะวันปล่อยมือของอีกฝ่ายออกแล้วก็หันไปมองนอกกระจกอีกรอบพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
   
      เท่านี่ก็ถือว่าเอาคืนที่อีกฝ่ายทำให้เขาเขินจนโทรศัพท์ตกได้แล้วนะ!
   
      “แล้ว...จากนี้จะไปไหนต่อไหม” ราเมศกระแอม ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเองแต่แมวแสบก็ยิ้มรู้ทันมาให้อยู่ดี
   
      “ไม่รู้สิครับ บางทีเด็กๆ อาจอยากกลับบ้าน”
   
      “งั้นเดี๋ยวเรากลับบ้านกันเลยก็ได้”
   
        ปานตะวันพยักหน้า หนึ่งชั่วโมงผ่านไปหนูเจียกับเกล้าก็เหนื่อยจนหมดแรง ปานตะวันจึงเดินไปรับเด็กชายทั้งสองออกมาจากโซนเด็กเล่น
   
        “เหนื่อยไหมเด็กๆ กลับกันเลยดีหรือเปล่า”
   
       เจียหลินกับเกล้าไม่คัดค้าน ขากลับหนูเจียยืนยันจะเดินเองปานตะวันจึงเป็นคนจูงมือหลานไว้ ส่วนราเมศก็จูงมือเกล้า เด็กทั้งสองจับมือกันเองอีกต่อหนึ่ง ภาพทั้งสี่ในสายตาคนนอกจึงกลายเป็นภาพครอบครัวสุขสันต์สุดน่ารักที่ทำให้คนเห็นยิ้มตามอย่างมีความสุขแกมเอ็นดู
   
       เมื่อออกมานอกห้างสรรพสินค้าพวกเขาก็มุ่งตรงไปยังลานจอดรถ แต่ก่อนหน้านั้นตรงประตูห้างมีชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนแจกใบปลิวอยู่ ปานตะวันรับมาหนึ่งใบ พอก้มลงอ่านรายละเอียดคร่าวๆ ก็พบว่าเป็นใบปลิวโปรโมตอควาเรียมแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ที่สำคัญมันยังอยู่ไม่ไกลจากห้างนี้อีกด้วย

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 14-06-2017 19:45:01
       “พี่เมศดูนี่สิ อควาเรียมเปิดใหม่ อยู่ใกล้ด้วย พาหลานไปดูกันไหม”
   
       “ตอนนี้ยังเปิดอยู่เหรอ”
   
        “ยังเปิดอยู่นะพี่...ดูสิ ถ้าเรารีบไปตอนนี้จะไปทันโชว์สัตว์น้ำรอบเย็นด้วยนะ ไปกันเถอะๆ”
   
        ราเมศปลดล็อกรถพลางถามว่า “แล้วเด็กๆ ล่ะ เล่นกันจนหมดแรงแล้วจะไม่ง่วงเหรอ” ได้ยินดังนั้นปานตะวันจึงหันไปถามหลานชายทั้งสองว่า “เด็กๆ มีใครอยากไปอควาเรียมไหมครับ”
   
       เจียหลินกับเกล้าหันมองหน้ากันก่อนที่เด็กชายร่างผอมจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น...ด้วยท่าทีขลาดอายว่า “อควาเรียม...คืออะไรเหรอคับน้าตะวัน”
   
      ในรถไม่มีใครหัวเราะเกล้าแล้วบอกว่าเขาเป็นเด็กโง่อย่างที่เจ้าตัวนึกกลัว ปกติเวลาอยู่ที่บ้านกับพ่อและแม่เลี้ยง ถ้าเขาสงสัยและหลุดปากถามอะไรออกไป พ่อกับแม่เลี้ยงก็จะหัวเราะและดูถูกว่าเขาโง่หรือปัญญาทึบ คำกระทบกระเทียบเหล่านั้นทำให้เกล้าฝังใจและกลัวการเอ่ยถามในสิ่งที่ตนไม่รู้มาตลอด
   
      แต่กับน้าตะวันและน้าเมศ...ต่างออกไป
   
      พวกเขาไม่เคยหัวเราะเยาะเกล้า ถ้าเด็กชายถามน้าทั้งสองก็ยินดีตอบให้ นั่นยิ่งทำให้เกล้ารู้สึกดีกับทั้งคู่มากขึ้นเรื่อยๆ
   
       “อควาเรียมก็คือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำครับ เอ่อ...คล้ายๆ กับสวนสัตว์ แต่ที่นั่นจะมีปลาเยอะแยะเลยครับ” เด็กชายเกล้าเมื่อได้ยินว่าอควาเรี่ยมมีปลาเยอะแยะก็ทำตาโต “แล้ว...แล้วมีฉลามไหมคับ”
   
      “มีครับ”
   
       “แล้วนีโม่ล่ะคับ!”
   
       มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เพื่อนบ้านใจดีคนหนึ่งอาศัยจังหวะที่พ่อและแม่เลี้ยงไม่อยู่พาเกล้าเข้าไปในบ้าน หาข้าวหาน้ำให้เด็กชายกิน ตอนนั้นโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้กำลังฉายการ์ตูนเรื่องนีโม่อยู่
   
       เกล้าดูไม่จบหรอก เขาต้องรีบกินรีบไป แต่เด็กชายก็ยังจำความน่ารักของปลาตัวสีส้มๆ นั่นได้ดี
   
       “นีโม่ก็มีนะ”
   
       “เกล้าอยากไปคับน้าตะวัน”
   
      ปานตะวันพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็หันไปถามหนูเจีย “แล้วหนูเจียล่ะครับ” เจียหลินที่กระโดดไปมาจนหมดแรงพอเจอแอร์เย็นๆ เป่าก็ทำท่าจะหลับ ตอนแรกก็อยากงอแงไม่ไปอยู่หรอกแต่หนูเจียคิดขึ้นได้ว่าวันนี้เกล้าตามใจเขามาทั้งวันแล้ว น้าตะวันสอนว่าเราต้องรู้จักคิดถึงคนที่ทำดีกับเราแล้วเราก็ต้องทำดีกับคนคนนั้นตอบ
   
       เกล้าตามใจเจียหลินมาทั้งวัน แล้วทำไมเจียหลินจะตามใจเกล้าบ้างไม่ได้
   
       “หนูเจียก็อยากไปอควาเรียมคับน้าตะวัน”
   
       “โอเค มติเป็นเอกฉันท์ ไปอควาเรียมกันเลยพี่เมศ”
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นจนราเมศจับไต๋ได้ว่าจริงๆ แล้วคนที่อยากไปที่สุดเห็นจะเป็นแมวปานตะวันของเขานี่เอง ที่ถามหลานคงอยากหาแนวร่วมด้วยเฉยๆ
   
        แต่ก็นะ...ทาสแมวอย่างเขาไม่บ่นหรอก เป็นสารถีพาไปนู่นนี่แลกกับรอยยิ้มหวานๆ ของหนูเจียและคำบอกรักจากแมวตะวันของเขา
   
        ก็คุ้มอยู่ ไม่สิ...คุ้มมากเลยต่างหาก
   
       พวกเขามาถึงอควาเรียมตอนบ่ายสามครึ่ง ราเมศเป็นคนเดินไปซื้อตั๋วเข้าชม จากนั้นพวกเขาก็พากันเข้าไปข้างใน เด็กๆ ตื่นเต้นกับการเดินในอุโมงค์สัตว์น้ำมากๆ แสงสีฟ้าในอุโมงค์ส่องให้เห็นเงาร่างเล็กๆ ส่องร่างจับมือวิ่งไปตรงนั้นตรงนี้ ชี้ชวนกันดูปลาหลากสีสันที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างสนุกสนาน ปานตะวันเองก็รู้สึกสนุกตาม นานแล้วที่เขาไม่ได้มาเที่ยวอควาเรียมแบบนี้
   
       “พี่เมศดูนั่นๆ ปลาตัวนั้นหน้าตาตลกอ่ะ ฮ่าๆ”
   
       ปานตะวันวิ่งไปเกาะกระจก มองดูปลาหน้าตาแปลกๆ ว่ายหลบไปที่โขดหิน ราเมศเดินมายืนข้างๆ ชายหนุ่มมองเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูตื่นเต้นและแววตาเปล่งประกายคู่นั้นอย่างเพลิดเพลิน
   
       “น้าเมศ ปลาตัวนั้นทำไมแบนๆ ล่ะ”
   
       “หืม ไหนตัวไหนครับ”
   
       ราเมศละสายตาจากปานตะวันไปมองหลานชายที่วิ่งมากระตุกขากางเกง เจียหลินชี้นิ้วป้อมๆ ไปที่ปลากระเบนตัวเขื่อง เด็กน้อยมีสีหน้าตื่นตาตื่นใจ คงไม่เคยเห็นมาก่อน
   
       “นั่นเรียกปลากระเบนครับ”
   
       “ตัวใหญ่จัง!”
   
      “เดี๋ยวเดินไปเรื่อยๆ เราจะเจอที่ตัวใหญ่กว่านี้อีกนะครับ”
   
      ระหว่างที่ราเมศอธิบายเรื่องปลากระเบนให้หนูเจียฟัง ที่ด้านหลังของเขาปานตะวันก็อุ้มน้องเกล้าขึ้นมาแล้วชี้ให้เด็กชายดูดอกไม้ทะเลสีสันต่างๆ ที่พลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำ
   
      “น้องเกล้า นั่นบ้านคุณนีโม่ไงครับ เขาเรียกดอกไม้ทะเล”
   
     “คุณนีโม่อยู่ในนั้นเหรอคับ”
   
      “ใช่แล้ว”
   
      “แต่เกล้าไม่เห็นคุณนีโม่เลย” พอเด็กน้อยทำหน้าสลดปานตะวันก็ลองพาเด็กชายเดินย้อนไปตามทาง กวาดสายตาไปตามจุดที่มีดอกไม้ทะเลเพื่อหาปลาการ์ตูนให้น้องเกล้า
   
      “อ๊ะ นั่นไงครับน้องเกล้า ดูนั่นๆ คุณนีโม่อยู่ตรงนั้น” อย่าว่าแต่หลานที่ตื่นเต้นเลย ผู้ใหญ่แบบปานตะวันก็ยังตื่นเต้นจนคนที่อยู่รอบๆ อดอมยิ้มตามกับความน่ารักของผู้ใหญ่และเด็กคู่นี้ไม่ได้ หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ กับลูกสาวฝาแฝดถึงกับหลุดหัวเราะคิกออกมา ปานตะวันที่รู้ตัวว่าตื่นเต้นออกนอกหน้ามากไปหน่อยสองแก้มพลันร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย
   
       ชายหนุ่มผมน้ำตาลรีบอุ้มหลานเดินเร็วๆ ไปจากบริเวณนั้น ราเมศเดินนำเขาล่วงหน้าไปไกลแล้วแต่ไม่นานก็ตามทัน
   
       “ไปไหนมา” ชายหนุ่มผมดำถาม ปานตะวันปล่อยเกล้าให้ลงไปหาเจียหลิน
   
       “พาน้องเกล้าไปตามหานีโม่”
   
       “แล้วเจอไหม”
   
       “เจอสิ น้องเกล้าชอบมากเลยล่ะ”
   
       “นายก็ดูชอบที่นี้นะ”
   
       “ชอบสิ วันหลังเรามากันอีกนะพี่”
   
       ดูเหมือนว่าสถานที่ที่ปานตะวันอยากจะมา ‘ด้วยกัน’ อีกมีเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ราเมศก็ไม่ได้ไม่ชอบใจอะไร กลับกันเขารู้สึกดีใจมากด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายคิดถึงอนาคต...ที่มีเขารวมอยู่ในนั้นด้วย ชายหนุ่มมองเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังผลิรอยยิ้มกว้างขวางทั้งปากทั้งตาส่งมาให้
   
       “ได้สิ ไว้เรามาด้วยกันอีกนะ”
   
       ปานตะวันกับราเมศยิ้มให้กัน ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มผิวแทนเอื้อมมือมาจับมือปานตะวันไว้ พอเห็นคนอายุน้อยกว่าทำท่าเขินแล้วจะดึงมืออกราเมศก็บีบกระชับมือปานตะวันเอาไว้แน่น
   
      “อยากลองเดินจับมือกันดูบ้าง...ได้ใช่ไหม”
   
       ปานตะวันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอะไรนักหนากับอีแค่เดินจับมือ จูบกันก็เคยมาแล้ว...แต่...แต่ว่า
   
       เขาก็ยังเขินมากอยู่ดี
   
      “ล...แล้วถ้าผมบอกไม่ได้”
   
      “พี่ก็จะจับอยู่ดี”
   
       “เผด็จการนี่หว่า”
   
       “หึ”
   
       บทสนทนาของทั้งคู่ถูกขัดโดยเด็กน้อยสองคนที่จับมือกันวิ่งมา เจียหลินพูดขึ้นว่า “น้าเมศ น้าตะวัน ทำอะไรกันอยู่คับ รีบไปกันเถอะน้า หนูเจียกับเกล้าอยากออกไปดูข้างนอกแล้ว”
   
       “ครับๆ”
   
       อุโมงค์สัตว์น้ำนำพวกเขามาสู่ห้องทรงกลมที่มีเพดานโค้ง ฝั่งหนึ่งของห้องเป็นผนังกระจกจัดแสดงปะการังและดอกไม้ทะเลสีสันสวยงาม ส่วนอีกฝั่งเป็นร้านขายขนม น้ำ และของที่ระลึก พื้นห้องวาดลวดลายสัตว์น้ำเป็นรูปการ์ตูนน่ารัก ที่ตรงกลางห้องมีเสาขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยเก้าอี้บุนวมนุ่มนิ่ม เป็นจุดสำหรับนั่งพัก
   
      “ถ่ายรูปกันสักรูปดีไหม” ราเมศถามพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา ปานตะวันพยักหน้าทำท่าจะเอ่ยปากเรียกหลานๆ แต่ราเมศก็ห้ามไว้ก่อน
   
      “ขอรูปคู่กับนายสักรูปสองรูปก่อนแล้วกัน”
   
      ว่าแล้วก็ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ปานตะวันเขินจนทำออะไรแทบไม่ถูกเลยตัดสินใจชูสองนิ้วขึ้นมา ท่าเบสิคสำหรับถ่ายรูปเลยนะนี่
   
      “ไม่มีท่าอื่นแล้วหรือไง” คนตัวโตบ่นหลังถ่ายไปสองรูปปานตะวันก็ยิ้มแล้วชูสองนิ้วทุกรูป
   
      “ก็ผมไม่รู้จะทำท่ายังไงนี่”
   
       “งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน”
   
       ยังไม่ทันจะได้ถามว่าเอาแบบไหนราเมศก็เดินดุ่มๆ ไปสะกิดชายหนุ่มคนหนึ่งให้เข้ามาถ่ายรูปให้ พออีกฝ่ายเริ่มนับเตรียมจะกดถ่ายภาพราเมศก็โน้มตัวไปหาปานตะวันแล้วก็..
   
      จุ๊บ
   
      จูบแก้มเขาเฉยเลย!
   
       “อ่า...” ไม่ใช่แค่ปานตะวันที่ช็อกแม้แต่ชายหนุ่มที่มาช่วยถ่ายภาพให้ก็ยังอึ้ง อีกฝ่ายหัวเราะเขินๆ ให้ราเมศกับปานตะวันแล้วก็กดถ่ายรูปให้อีกสองสามรูปแล้วจึงส่งโทรศัพท์คืน
   
       “ขอบคุณนะครับ”
   
      “ไม่เป็นไรครับ รูปคู่กับแฟนน่ารักดีนะครับ”
   
       ราเมศยิ้มรับ พอคล้อยหลังอีกฝ่ายชายหนุ่มผมน้ำตาลก็ทุบปึกเข้าให้ที่แผ่นหลังเขา “เล่นอะไรของพี่เนี่ย”
   
       “เล่นอะไร?” ราเมศหันมาทำหน้ามึน “ก็ถ่ายรูปคู่ไง”
   
       “แต่มา...จ...จุ๊บ...แก้มผมในที่สาธารณะนี่มัน...”
   
       “อายอะไรของนาย แค่หอมแก้มนิดเดียวเอง” ว่าแล้วราเมศก็โชว์รูปให้ปานตะวันดู “สวยดีออก พี่ชอบนะ เดี๋ยวส่งรูปให้ในไลน์แล้วกัน” ชายหนุ่มผิวปากอย่างอารมณ์ดีระหว่างเดินไปจูงหลานๆ มาเพื่อเตรียมถ่ายรูปหมู่แต่คราวนี้ชายหนุ่มที่เคยช่วยถ่ายให้ไม่อยู่แล้ว ปานตะวันเห็นดังนั้นเลยเรียกหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ไม่ไกลเพื่อให้มาช่วย
   
       “คุณครับ ขอโทษนะครับแต่รบกวนช่วยถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ”
   
       “ได้ค่ะ อ๊ะ”
   
        “เฮ้ย”
   
        ทันทีที่หญิงสาวหันหน้ามาปานตะวันกับหล่อนก็อุทานขึ้นพร้อมกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลของปานตะวันเบิกโตเมื่อเห็นว่าคนที่เขาขอให้มาช่วยถ่ายรูปให้ก็คือ...แม่ของน็อต!
   
       มือแม่นอะไรขนาดนั้นนะไอ้ตะวัน คนตั้งเยอะตั้งแยะดันไปสะกิดเรียกเจ้าหล่อนมา แล้วดูสิ โลกมันแคบหรือยังไงกันนะถึงได้มาเจอกันที่นี่
   
      “คุณตะวัน”
   
       “คุณแม่ของน้องน็อตนี่นา สวัสดีครับ”
   
       “แหม สวัสดีค่ะ ไม่คิดเลยนะคะว่าจะได้มาเจอกันที่นี่”
   
        ปานตะวันยกยิ้มประดับไว้บนใบหน้า เจ้าหล่อนก็เช่นกัน แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบหน้าเขาเท่าไหร่หรอก ตั้งแต่น็อต หนูเจียและเกล้ามีเรื่องกันคุณแม่ของน็อตก็ดูจะเขม่นเขาและหลานอยู่เนืองๆ แม้ไม่ได้ออกหน้าออกตาแต่เวลาไปรับหนูเจียแล้วเจอเจ้าหล่อนปานตะวันจะรู้สึกทุกทีว่าตัวเองกำลังถูกเชิดใส่และถูกข่มด้วยคำพูด
   
        “จะให้ช่วยถ่ายรูปให้สินะคะ”
   
        “ใช่ครับ”
   
       ไหนๆ ก็เรียกมาแล้ว จะไปพูดว่า โอ๊ะ ผมไม่ชอบหน้าคุณกับลูกไม่ต้องถ่ายแล้ว แบบนี้ก็ดูไม่ดีปานตะวันเลยจำใจส่งโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายพร้อมกับเรียกพี่เมศ หนูเจียและน้องเกล้ามา เขาแอบขำเมื่อเห็นสีหน้าตกใจเล็กน้อยของหญิงสาว
   
       หลังถ่ายรูปด้วยกันไปสามสี่รูปปานตะวันก็รับโทรศัพท์คืนมา เขาเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วก็ทำท่าจะผละออกแต่แม่ของน็อตไม่ยอมให้เขาทำแบบนั้น
   
      “มาเที่ยวกับครอบครัวเหรอคะ”
   
     “ใช่ครับ”
   
       “สนิทกับน้องเกล้าจังเลยนะคะคุณตะวัน”
   
       “ครับก็ทำนองนั้น”
   
       สาบานได้ว่าปานตะวันรู้สึกไม่ดีกับรอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้เลย
   
       “แล้วนั่น..ผู้ชายคนนั้นที่มากับคุณ ฉันเห็นเขาไปรับไปส่งเจียหลินบ่อยๆ ด้วย เป็นญาติกันหรือคะ”
   
       “เปล่าครับ” ปานตะวันอยากจะกลอกตากับคำถามล้วงลับของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธออยากได้ข้อมูลไปตั้งเป็นหัวข้อสนทนากับคนอื่น ทั้งเรื่องน้องเกล้าที่ได้ลงข่าวตามหนังสือพิมพ์แล้วก็มีข่าวประปรายในอินเทอร์เน็ต เธอคนนี้คงไปเห็นเข้ารวมถึงเรื่องราเมศด้วย
   
       ชายหนุ่มคิดหาข้ออ้างในการออกจากตรงนี้ทันที เขาแสร้งทำเป็นมองนาฬิกาแล้วก็พูดว่า “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ หลานๆ คงอยากเดินดูที่อื่นต่อ ขอตัวก่อนนะครับ”
   
      ปานตะวันรีบเดินออกมาแล้วก็พาราเมศกับเด็กทั้งสองออกจากโซนนี้ไปทันที
   
      คล้อยหลังชายหนุ่ม แม่ของน็อตก็เดินกลับไปหาลูกชายและสามีที่ยืนรออยู่
   
      “คนรู้จักคุณเหรอ” สามีของหล่อนถาม สายตายังจดจ้องไปยังทางที่พวกปานตะวันเดินออกไป
   
       “ค่ะ ผู้ปกครองของเด็กห้องเดียวกับลูกเราน่ะ คนที่ชื่อเจียหลินไงคะ ที่ฉันเคยเล่าให้คุณฟังว่ามีปัญหากับลูกเรา”
   
       “อ๋อ คนนั้นเอง ดูแล้วอายุยังน้อยด้วยนะ พวกวัยรุ่นสมัยนี้มีลูกกันตั้งแต่มัธยมทั้งที่ตัวเองก็ยังรับผิดชอบอะไรไม่ได้”
   
       “ไม่ใช่หรอกค่ะ เหมือนว่าตะวันจะเป็นน้าชายของเจียหลินน่ะค่ะ”
   
       “งั้นหรอกเหรอ แต่ก็นั่นแหละ ดูก็รู้แล้วว่าทางนั้นดูแลอบรมเด็กไม่ได้ เผลอๆ ตัวเองก็คงมีพฤติกรรมไม่ดีด้วยหลานก็เลยเลียนแบบ”
   
       “นั่นสิคะ แล้วยิ่งไปคบกับเกล้าอีก คุณเห็นเด็กผอมๆ ที่ผู้ชายอีกคนอุ้มไหมคะ คนนั้นที่ออกข่าวว่าโดนพ่อกับแม่เลี้ยงทำร้ายไงคะ มิน่าล่ะถึงได้กล้ามาผลักลูกชายเรา ซึมซับพฤติกรรมมาจากคนรอบข้างแบบนี้เอง โตไปต้องเป็นเด็กอันธพาลก้าวร้าวแน่ๆ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ส่ายหน้าก่อนจะหันไปเตือนลูกชาย “น้องน็อตคะ จำไว้นะลูกว่าเด็กพวกนี้อันตราย อย่าไปใกล้เขา ห้ามเข้าไปเล่นด้วยไม่งั้นจะโดนรังแก อยู่ห่างๆ เข้าใจไหมลูก”
   
       เด็กชายพยักหน้ารับคำแม่ น็อตเองก็ไม่ได้ชอบเจียหลินกับเกล้าเท่าไหร่หรอก ยิ่งแม่พูดแบบนี้ก็เหมือนฝังโปรแกรมเข้าไปในหัวเขาให้ไม่ชอบเจียหลินกับเกล้ามากขึ้นไปอีก
   
       “เออ จะว่าไปผมเห็นผู้ชายสองคนนั้นถ่ายรูปคู่กันด้วยนะ เหมือนคนนึงจะก้มลงไปหอมแก้มอีกคนด้วย ตะวันนี่เขาเป็นเกย์เหรอคุณ”
   
        หญิงสาวหูผึ่งทันทีกับสิ่งที่สามีพูด นึกๆ ย้อนไปแล้วเธอก็ไม่เคยเห็นปานตะวันมารับเจียหลินกับคนอื่นเลย...มาแต่กับราเมศเท่านั้น
   
       “ฉันก็ไม่รู้หรอก แต่เห็นสองคนนี้ผลัดกันมารับมาส่งเจียหลินนะคะ ไม่เคยเห็นคนอื่นเลย”
   
      “งั้นผมว่าคงเป็นเกย์แล้วล่ะ เห็นเขาหอมแก้มกันจริงๆ นะคุณ ผู้ชายที่ไหนหอมแก้มกันในที่สาธารณะแบบนี้”
   
       “ตายแล้ว ฉันว่าบ้านนั้นกำลังจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนตอนโตขึ้นนะคะ แถมอาจจะทำให้เขาโตมาเป็นเด็กขาดความอบอุ่นเพราะไม่มีแม่ เผลอๆ อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพราะขาดผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะคอยให้การสั่งสอน” หญิงสาวพูดสิ่งที่เธอจินตนาการไปว่าอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
   
       “ช่างเขาเถอะคุณ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา”
   
      “นั่นสินะคะ”
   
       หญิงสาวยักไหล่ แม้จะเออออตามสามีไปว่าช่างมันแต่หลังจากถึงบ้านเธอก็รีบเล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนที่เป็นผู้ปกครองเหมือนกันฟังทันที ลูกของฝ่ายนั้นเองก็เรียนห้องเดียวกับน็อตนี่แหละทำให้สนิทสนมกันพอสมควร บรรดาแม่บ้านทั้งหลายนั่งนินทากันอย่างสนุกปากกับหัวข้อข่าวที่เพิ่งได้ฟังมาสดๆ ร้อนๆ จนกระทั่งใครคนหนึ่งเสนอขึ้นมาว่าควรพูดประเด็นนี้ขึ้นมาในการประชุมผู้ปกครองครั้งหน้า เพื่อให้ครูประจำชั้นรับรู้และช่วยดูแลเด็กๆ ป้องกันไม่ให้เด็กถูกสั่งสอนแบบผิดๆ รวมถึงป้องกันเรื่องพฤติกรรมรุนแรงและพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศในอนาคต
   
     “ยกกรณีปานตะวันไปพูดแบบนี้...เขาก็รู้ตัวสิ” แม่ของน็อตกลอกตาขณะโทรคุยกับเพื่อน ฝ่ายนั้นเองก็รีบตอบกลับมาว่า “ก็ไม่ต้องเอ่ยชัดไง เราแค่อ้อมๆ ไม่มีใครว่าอะไรหรอกเพราะมันเป็นประเด็นที่ควรป้องกันอยู่แล้ว เราไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องครอบครัวปานตะวันสักหน่อย เราแค่กำลังจะช่วยให้เด็กคนอื่นปลอดภัยมากขึ้นไง หัวข้อนี้อาจเป็นการเตือนคุณครูให้ระวังเรื่องของเจียหลินกับเกล้ามากขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ เด็กพวกนั้นจะได้ไม่ไปรังแกใครเขาอีก”
   
       “นั่นสินะ ก็ดีเหมือนกัน ให้ตายเธอรู้ไหมว่าฉันโกรธมากตอนเกล้าผลักน้องน็อตล้ม เด็กปานตะวันนั่นยังมาหาว่าฉันทำเกินกว่าเหตุอีก ผู้ปกครองแย่แบบนี้ไงเด็กมันถึงได้นิสัยเสีย”
   
       “น่าๆ ฉันเข้าใจ เอาไว้เรามาจัดการตอนประชุมผู้ปกครองก็ได้”
   
       “โอเค ขอบใจมากนะ บายจ้ะ”
   
       “บาย”
   
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 14-06-2017 20:03:48
        ย้อนกลับไปทางด้านปานตะวัน ช่วงเวลาหลังจากที่เขาแยกกับแม่ของน็อตแล้วชายหนุ่มก็พาหลานๆ ไปเดินเล่นจนครบทุกโซนจากนั้นก็พากันกลับบ้าน ราเมศพาพวกเขาแวะตลาดเพื่อซื้อของสดกลับไปทำอาหาร คืนนั้นเป็นอีกคืนที่เกล้าได้นั่งทานข้าวกับคนอื่นๆ แล้วก็หลับไปพร้อมเจียหลินในอ้อมกอดของน้าตะวันและน้าเมศ
   
        วันต่อมาตำรวจก็ติดต่อมาหาปานตะวันเพื่อแจ้งว่าคุณแม่ของน้องเกล้าได้เดินทางมาถึงแล้ว ราเมศกับตะวันพร้อมด้วยหนูเจียจึงพาน้องเกล้าไปส่งให้ถึงมือคุณแม่
   
       ช่วงเวลาของการจากลามาถึงในที่สุด
   
        หนูเจียเองก็เหมือนจะรู้ได้เพราะเด็กชายจับมือเพื่อนเอาไว้แล้วก็ร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ที่บ้านไปจนถึงสถานีตำรวจ
   
       เมื่อเข้าไปด้านในปานตะวันก็เห็นหญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์คนหนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวาย เธอดูอ่อนล้าและซีดเซียวแต่เค้าโครงหน้าที่คล้ายกับเกล้าทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่าอีกฝ่ายคือมารดาแท้ๆ ของเกล้าไม่ผิดแน่
   
       “คุณแม่!” เกล้าร้องขึ้น ปล่อยมือเจียหลินแล้วก็พุ่งเข้าไปหาอ้อมกอดที่กางรออยู่แล้ว
   
       “น้องเกล้า...ฮึก...น้องเกล้าของแม่...แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษที่ทำให้น้องเกล้าเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้”
   
        หญิงสาวสะอึกสะอื้น ซบหน้าลงกับบ่าเล็กๆ ของลูกชายที่กอดตอบเธอแน่นเช่นกัน “แม่จะไม่ปล่อยให้หนูเจอเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”
   
       เกล้ากอดแม่แน่น เขาดีใจจนร้องไห้ออกมาราวทำนบพัง หยดน้ำตาร่วงพรูไม่ขาดสาย แขนเล็กๆ กอดผู้เป็นมารดาราวกับจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายหายไปไหนอีก
   
       “แม่จ๋า เกล้าคิดถึง...คิดถึงแม่มากๆ”
   
       “แม่รู้จ้ะลูก แม่รู้”
   
       ฝ่ามือบางปาดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้ลูกชาย ก่อนที่หญิงสาวจะเงยหน้ามามองปานตะวันที่ยืนอยู่ด้านหลัง เธออุ้มน้องเกล้าเดินเข้ามาใกล้ครอบครัวของชายหนุ่ม
   
      “คุณคงเป็นปานตะวันสินะคะ”
   
      “ครับ”
   
      “แล้วนี่ก็คุณราเมศ...ส่วนหนูก็เจียหลินใช่ไหมจ๊ะ”
   
      หนูเจียแอบอยู่ด้านหลังน้าตะวันของเขา แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมาพร้อมกับเกล้าจึงไม่ได้กลัวอะไรมาก เด็กชายยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีคับคุณน้า”
   
     “สวัสดีจ้ะน้องเจีย ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนน้องเกล้านะจ๊ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ก้มศีรษะให้ปานตะวันกับราเมศด้วย “ขอบคุณพวกคุณที่ช่วยเหลือน้องเกล้าไว้นะคะ ขอบคุณจริงๆ ฉันไม่รู้จะตอบแทนยังไง...”
   
      “ไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอกครับ” ปานตะวันเอ่ยขัดพร้อมส่งรอยยิ้มใจดีให้อีกฝ่าย “แค่สัญญากับผมว่าคุณจะดูแลน้องเกล้าให้ดีก็พอ”
   
      “แน่นอนค่ะ..ฉันสัญญาเลย”
   
       ปานตะวันพยักหน้า รู้สึกเบาใจที่เห็นว่าหญิงสาวคนนี้ดูรักลูกมากกว่าสามีของหล่อน แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้ทั้งหมดเมื่อนึกถึงข้อสงสัยที่ติดในใจขึ้นมาได้ว่าทำไมเธอคนนี้ถึงไม่พาน้องเกล้าไปด้วยในตอนแรก และราวกับรู้ว่าปานตะวันสงสัยอะไร คุณแม่ของเกล้าจึงได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกและแผ่วเบา
   
       “คุณสงสัยใช่ไหมคะว่าทำไมฉันถึงไม่พาเกล้าไปด้วยทั้งที่รู้ว่าสามีเป็นคนอารมณ์รุนแรงแบบนั้น”
   
       ปานตะวันเกาจมูกแบบเขินๆ ที่โดนจับได้ เขาโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “ก็สงสัยครับ...อ่า..แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจจะเล่าผมก็จะ...”
   
      “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า แววตาของเธอแฝงไปด้วยแววใคร่ครวญ “คุณรู้ใช่ไหมคะว่าสามีของฉันเป็นคนอารมณ์รุนแรง...ตั้งแต่ก่อนจะหย่ากัน แต่ตอนนั้นมันยังไม่แย่เท่านี้ค่ะ เขายังไม่ติดเหล้ามากขนาดนี้ เขาจะทุบตีฉันหรือลูกเฉพาะเวลาที่เขาเหนื่อยมากหรือโกรธมาก ฉันเองก็อดทนเพราะเขารักฉัน แรกๆ ก็ทนได้เพราะเขาลงมือแค่กับฉัน..แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เมื่อเขาเริ่มตีน้องเกล้าด้วย ไม่ได้ทุบตีแบบทุกวันนี้...แค่...ฟาดแรงๆ”
   
       พอพูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็น้ำตาเอ่อขึ้นมา
   
       “ฉันตัดสินใจหย่ากับเขาเพราะฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้วประกอบกับเขามีเมียน้อย...ฉันเลยตัดสินใจเด็ดขาด ตอนที่แยกกันฉันไม่มีเงินเลย ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวกับกระเป๋าเสื้อผ้า...ฉันตัดสินใจกลับบ้านไปตั้งเนื้อตั้งตัว มันลำบากมาก พอฉันหางานประจำได้ฉันถึงได้ส่งเงินกลับมาให้ลูก เราไม่ได้ติดต่อกันเพราะพ่อของเกล้าเขาขวางไว้ ลูกไม่ได้โทรหาฉันส่วนตอนที่ฉันเปลี่ยนเบอร์ ฉันโทรกลับไปหาเขา บอกเขาว่าอยากคุยกับลูกแต่เขาก็ไม่ยอม”
   
       “แม่จ๋า...แม่จ๋าไม่ร้องนะ”
   
       น้องเกล้าสะอื้น จูบแก้มจูบหน้าผากผู้เป็นแม่ พยายามให้เธอหยุดร้องไห้ ราเมศส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอเอาไปซับน้ำตา เมื่อควบคุมอารมณ์ได้หญิงสาวจึงเริ่มเล่าต่อ
   
       “แต่มันไม่ใช่แค่นั้น...เหตุผลที่ฉันไม่พาน้องเกล้าไปด้วยเพราะว่า...เพราะฉันป่วย”
   
       “คุณป่วยเป็นอะไรครับ”
   
       “ฉัน...ฉัน...” หญิงสาวอึกอักก่อนจะสารภาพออกมาเสียงเบา “ฉันเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้เธอก็เงียบไป หญิงสาวปล่อยลูกชายให้ลงยืนเองแล้วก็กระซิบบอกให้น้องเกล้าพาเจียหลินไปขอน้ำจากคุณตำรวจมาให้เธอกับน้าๆ หน่อย นั่นเป็นข้ออ้างในการกันเด็กๆ ออกไปจากวงสนทนา เมื่อเกล้ากับเจียหลินเดินออกไปเธอก็เริ่มเล่าต่อ
   
      “การที่สามีทำร้ายฉันทางร่างกายและจิตใจมีผลกระทบมากกว่าที่ฉันคิด คุณรู้ไหมคะว่าก่อนจะหย่ากับสามี...ฉันเคยเกือบฆ่าน้องเกล้า...ฉันคิดว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันเหนื่อย ฉันเคยจะกินยาฆ่าตัวตายแต่ก็คิดได้ว่าถ้าฉันตายแล้วลูกล่ะ...ลูกจะอยู่ยังไง ทันใดนั้นความคิดอีกอย่างมันก็แวบขึ้นมาว่า...งั้นก็ตายไปทั้งสองคนเลยสิ มันน่ากลัวมากเลยคุณรู้ไหมคะ ฉันพบว่าตัวเองอยู่ที่เตียงลูก มือกำอยู่รอบคอเขา ฉันเป็นบ้าไปเลยหลังจากนั้น ฉันกลัวตัวเอง กลัวสามี ฉันไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลยแม้แต่เกล้าเพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอไปทำร้ายเขา หลังจากหย่าฉันก็ไม่กล้าพาเขาไปด้วย”
   
      ปานตะวันเม้มริมฝีปาก รอคอยให้เธอเล่าต่อ หญิงสาวตรงหน้าเขาเหมือนแก้วที่มีรอยร้าวเจียนแตกสลาย
   
       “ฉันกลับไปบ้านเกิด ไปอยู่กับแม่ ไม่ว่าจะคบใครหรือมีใครใหม่ฉันก็เลิกหมด ไปกันไม่รอด ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้ ฉันรู้สึกผิดที่ทิ้งลูกไว้ รู้สึก...หมดหนทาง จนสุดท้ายฉันก็ได้แต่เก็บตัวในห้องคนเดียว นอนทั้งวัน คิดวนเวียนในหัวแต่เรื่องลูก เรื่องสามีเก่าที่มาหลอกหลอนในฝันทุกคืน...รวมถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ฉันตกงาน ชีวิตพังเละเทะ มีบางครั้งที่ฉันคิดมาว่า...ดีแล้วที่ไม่เอาน้องเกล้ามาด้วย ฉันจะเลี้ยงเขาให้เติบโตมาเป็นเด็กที่มีความสุขได้ยังไงในเมื่อฉันยังจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้เลย เขาจะโตมาเป็นคนแบบไหนถ้าจะต้องอยู่กับแม่ที่ปิดห้องเงียบแล้วก็พร้อมจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา”
   
       “แล้วตอนนี้คุณได้ไปบำบัดไหมครับ”
   
       “ค่ะ ฉันเข้ารับการบำบัดแล้ว..มันก็...ดีขึ้น ฉันกำลังพยายามทำให้มันดีขึ้น”    
   
        “คุณไม่ได้อยู่คนเดียวใช่ไหมครับตอนนี้”
   
        “ไม่ค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่กับคุณแม่และคุณพ่อ...ตากับยายของน้องเกล้าน่ะค่ะ มีน้องสาวฉันอยู่ด้วยอีกคน ตอนแรกเราไม่ลงรอยกันเรื่องสามีเก่าฉันทำให้ฉันหนีพวกเขามาแต่ตอนนี้เราปรับความเข้าใจกันแล้ว พวกเขาบอกว่าจะช่วยดูน้องเกล้าให้เวลาที่ฉัน...ไม่พร้อม”
   
       หญิงสาวยิ้ม เป็นยิ้มที่ดูเปราะบางและเหนื่อยล้า แต่ความหวังเล็กๆ ในดวงตาของเธอทำให้ปานตะวันเชื่อว่าเธอจะลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง
   
      “อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้น้องเกล้ากลับมาอยู่ใกล้ๆ ฉันจะทำให้ดีที่สุดเพื่อลูกค่ะ”
   
      “ผมเชื่อว่าคุณทำได้ครับ” ปานตะวันกางแขนกอดเธอเอาไว้ กระซิบเบาๆ ว่า “คุณกล้าหาญและเข้มแข็งกว่าที่คุณคิด ผมรู้ว่าคุณจะผ่านมันไปได้”
   
       “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างเลย”
   
       หลังจากจัดการธุระเรียบร้อยหญิงสาวยังบอกอีกว่าเธอต้องการฟ้องร้องเอาความกับสามีเก่าและแม่เลี้ยงให้ถึงที่สุด หลังจากนี้คงต้องจัดการเรื่องคดีความกันอีกยาว
   
       พูดคุยกันอีกสักพักก็ถึงเวลาต้องลากันจริงๆ แล้ว เกล้ากับเจียหลินยืนมองหน้ากันแล้วคนที่กลั้นน้ำตาไม่ไหวเป็นคนแรกก็คือหนูเจีย
   
       “เกล้า...ฮึก...ไม่ไป...ไม่ได้เหรอ”
   
       “เกล้าขอโทษนะ...เกล้าขอโทษ”
   
       “ไหนบอกจะเป็นเพื่อนกันไง เกล้าไปแล้วใครจะเล่นกับเจียล่ะ...ฮึก...ไม่เอา...ไม่เอา...เจียไม่ให้ไป”
   
       เจียหลินเริ่มสะอื้นหนักขึ้นเรื่อยๆ คุณแม่ของน้องเกล้าเองก็มีสีหน้าลำบากใจ เธอเองก็ไม่อยากแยกเด็กทั้งสองออกจากกันแต่ก็ต้องทำเพราะบ้านของเธออยู่ตั้งเชียงราย อนาคตที่จะได้เริ่มต้นใหม่อยู่ที่นั่น
   
      “หนูเจียครับ” ราเมศที่ยืนฟังอยู่นานย่อตัวลง ดึงเจียหลินมากอดปลอบพลางอธิบายว่า “ฟังน้าเมศนะครับ น้องเกล้าจำเป็นต้องไปจริงๆ แต่การที่ตัวเราห่างกันไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ใช้เพื่อนกันนะครับ น้องเกล้าก็จะยังคงรักหนูเจียที่สุดอยู่เหมือนเดิมนะ”
   
       “จริง...ฮึก...จริงเหรอคับ”
   
       “จริงสิ!”
   
       คราวนี้เกล้ายืนยันเสียงหนักแน่นด้วยตัวเอง เด็กชายไม่ได้ร้องไห้แต่ปลายจมูกกับขอบตาแดงเรื่อ เกล้าเดินมาหาเจียหลิน ในมือเด็กชายมีกระดาษอยู่หนึ่งแผ่น
   
       “อันนี้เราวาดไว้นานแล้ว...ให้เจียนะ”
   
       กระดาษแผ่นนั้นเป็นงานในวิชาศิลปะที่คุณครูให้วาดรูปอะไรก็ได้ เจียหลินรับมาคลี่ออกดูก็พบว่ามันเป็นรูปเด็กชายสองคนจับมือกันยืนอยู่ในสนามเด็กเล่น มีชิงช้า ม้าหมุน สไลเดอร์และดอกไม้เยอะแยะ
   
       หนูเจียเงยหน้ามองเกล้า น้ำตารื้นขึ้นมาอีกรอบ เกล้ารีบเช็ดน้ำตาออกให้เพื่อนแล้วก็พูดว่า “เจียจะเป็นเพื่อนคนสำคัญของเราเสมอ เกล้าสัญญาว่าเกล้าจะกลับมาหา จะกลับมาแน่ๆ เกล้าจะโตกว่านี้ แข็งแรงกว่านี้ จะกลับมาดูแลเจียหลินให้ได้เลยนะ!”
   
      “สัญญานะว่าจะไม่ลืมเจีย”
   
      “สัญญาเลย”
   
      นิ้วก้อยเล็กๆ เกี่ยวเข้าด้วยกันแทนคำสัญญา เจียหลินเม้มริมฝีปากก่อนจะหันไปค้นอะไรกุกกักในกระเป๋าเป้ของตัวเองที่สะพายมาด้วย
   
      สิ่งที่เด็กชายหยิบออกมาคือหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง
   
      เป็นเล่มที่เจียหลินเคยเล่าให้ฟังว่าแม่จันทร์ชอบอ่านให้เขาฟังก่อนนอนทุกคืน
   
      เป็นเล่มที่เจียหลินกับเกล้าเคยนั่งอ่านด้วยกัน
   
      “เจียให้เกล้า เล่มนี้เจียชอบมาก...สนุกมากเลย คุณน้าอ่านให้เกล้าฟังทุกคืนก่อนนอนเลยนะคับ” ประโยคท้ายลูกแมวตัวน้อยเงยหน้าขึ้นพูดกับแม่ของเพื่อนสนิท หญิงสาวคลี่ยิ้มเอ็นดูในความน่ารักและใจดีของเจียหลิน
   
       “ได้จ้ะ น้าสัญญา ขอบคุณนะจ๊ะน้องเจีย”
   
       เจียหลินก้าวถอยหลังออกมา สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าของเพื่อน...ที่เดี๋ยวก็จะไม่ได้เจอกันทุกวันแล้ว
   
       “เจียจะรอนะ เกล้าต้องรักษาสัญญานะ”
   
       “อื้ม แน่นอน”
   
       “น้องเกล้าครับ น้าตะวันมีนี่ให้ด้วย” ปานตะวันส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เกล้า บนนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาและราเมศอยู่
   
       “ถ้าน้องเกล้าเหงาหรือคิดถึงเราก็โทรมาได้ตลอดนะครับ”
   
       เด็กชายรับกระดาษไป มือสั่นระริก ทันใดนั้นเองเกล้าก็พุ่งตัวเข้าไปกอดปานตะวันแน่น ชายหนุ่มยิ้ม โอบกอดร่างเล็กๆ นั้นตอบ
   
       “น้องเกล้าไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะครับ น้องเกล้ามีคุณแม่ มีน้าตะวัน น้าเมศแล้วก็มีหนูเจียด้วย พวกเราอยู่กับน้องเกล้าเสมอนะครับ”
   
       ปานตะวันไม่รู้หรอกว่า...หลายสิบปีต่อจากนั้น...ตอนที่เกล้าโตเป็นเด็กหนุ่ม เขาก็ยังจำเรื่องราวในวันนี้ได้ กระดาษที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ของปานตะวันและราเมศรวมถึงหนังสือนิทานของเจียหลินถูกเก็บไว้อย่างดีในห้องนอนของเขา เกล้ายังจำพูดของปานตะวันและคำสัญญาของเด็กชายเจียหลินได้อีกด้วย
   
       เขาอยากบอกปานตะวัน ราเมศและเจียหลินเหลือเกิน...ว่าทั้งสามคนช่วยเขาเอาไว้มากแค่ไหน...คำพูดและคำสัญญานั้นเปรียบเหมือนเข็มทิศนำทางเขาให้ผ่านคืนที่จะต้องเติบโตและมันยังเป็นเครื่องย้ำเตือนเกล้าเสมอ
   
      ว่าเขาจะต้องกลับมา
   
      มาหาคนสำคัญ...เพื่อรักษาสัญญา

   
      แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนี้....อีกนานเหลือเกิน

***********************************************************


สวัสดีค่าาา สำหรับตอนนี้หนูเจียกับน้องเกล้าก็แยกกันแล้ว หลายคนอยากให้ราเมศรับน้องเกล้าไว้ ;w;
เราก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันค่ะแต่มันเป็นไปไม่ด้ายยย (ร้องไห้) คือราเมศกับตะวันภาระค่าใช้จ่ายเยอะมาก
หนูเจียก็ยังเรียน ตะวันก็ยังเรียนอยู่เหมือนกัน ทั้งคู่ยังไม่พร้อมจะรับเด็กอีกคนตอนนี้ค่ะ น้องเกล้าเลยต้องกลับไปอยู่กับคุณแม่

ส่วนคุณแม่น้อง...หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าทำไมไม่พาน้องไปด้วยอย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่กับพ่อแน่ๆ
เราว่าตรงนี้มันมีหลายปัจจัยประกอบกัน คุณแม่บอกว่าตัวเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแถมยังเคยคิดจะฆ่าน้องเกล้าแล้วก็ฆ่าตัวตาย
ตรงจุดนี้ทำให้คุณแม่ไม่ยอมให้น้องเกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวตัวเองจะทำร้ายลูก เธอต้องไปให้ไกลจากลูก หลังหย่าเลย
กลับบ้านเกิดเพื่อไปตั้งตัว ตรงจุดนี้เราเขียนให้อารมณ์แม่น้องเกล้าผสมไปด้วยความกลัว ความรู้สึกผิดต่อลูก โทษตัวเอง
ทำให้อาการก็แย่ลงจนต้องเข้ารับการรักษา ถึงตอนนี้แม่น้องเกล้าก็ยังป่วยอยู่แต่เธอจะดีขึ้นแน่นอนค่ะ
ความรักของเธอที่มีให้น้องเกล้าจะพาเธอก้าวผ่านทุกอย่างไปได้ พวกเรามาเอาใจช่วยคุณแม่น้องเกล้ากันนะคะ  :กอด1:

นอกจากนี้...ในส่วนของเรือเกล้า x เจียหลิน นั้นนนน ไม่รู้ค่ะ น้องยังเด็กอยู่เลยนะคะทุกคนนนน 555555 (ซ่อนอุปกรณ์ต่อเรือ)
เอาไว้ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตกันดีกว่านะคะ จุ๊บๆ

วันนี้ทอล์คยาวอีกแล้ว 55555 เอาเป็นว่าเราขอจบการรายงานแต่เพียงเท่านี้ ท
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ สามารถแสดงความเห็น ติชม โปรยปรายความรักหรือวิจารณ์ได้เต็มที่เลย
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ปล.ติดตามข่าวสารนิยาย เม้าท์มอยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-06-2017 20:22:22
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-06-2017 20:27:33
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
สงสารหนูเจีย ว่าแต่เราจะรอหนูเจียและเกล้าตอนโต
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 14-06-2017 20:51:18
ยัยแม่ของน็อตนี่คือตัวจุดไฟต้มมาม่าแท้ๆ -_-^^
มนุษย์ป้าจอมเผือกของสังคมไทย เฮ้ออ
เกล้าต้องกลับไปอยู่กับแม่ซะแล้ววว หนูเจียคงเหงาน่าดู ><
แต่ก้อยังดีที่แม่รักเกล้ามากนะ ^^
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 14-06-2017 21:19:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-06-2017 21:41:32
ผู้ปกครองบางคนชอบแสดงนิสัยที่ไม่ดี (โดยที่ตัวเองไม่ทันคิดว่ามันไม่ดี) ทั้งต่อหน้าและลับหลังลูก (เหมือนเป็นเรื่องปกติ) ไม่แปลกเลยถ้าลูกจะเลียนแบบเพราะไม่คิดว่าเป็นสิ่งผิด ไหนจะเรื่อง เรื่องจบคนไม่จบ นั่นอีก เฮ้อ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 14-06-2017 22:24:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-06-2017 22:34:40
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 14-06-2017 23:26:42
เดี๋ยวเวลาจะหมุนมาเจอกันอีกครั้งนะคะน้องเจีย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-06-2017 20:05:17
ตอนนี้ก็ไขปัญหาเรื่องแม่ของเกล้าได้แล้วว่าทำไมถึงไม่เอาน้องไปด้วย ไอ้เราก็นึกว่ามีแค่ปัญหาเรื่องเงินกับที่อยู่แค่นั้นไม่ได้นึกเลยว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วย สงสารหนูเจียจังต้องแยกกันแล้ว  :sad4: แต่พอหมดปัญหานี้ก็ดูเหมือนจะมีปัญหาใหม่กำลังจะเกิดนะ  :เฮ้อ: เหนื่อยแทนตะวันกับพี่เมศจริงๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-06-2017 20:55:24
เห็นแววเรือเกล้าเจียแล้วสิ อิอิ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 15-06-2017 23:55:19
สนุกมากๆ ครับ จะรอติดตามต่อๆไปนะครับ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-06-2017 11:05:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 16-06-2017 13:09:27
 :mew6: :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 16-06-2017 14:22:13
รอด่ามนุษย์ป้า  :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 16-06-2017 21:36:07
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 16-06-2017 23:19:56
เกล้าไปซะแล้ว  แต่เพื่อที่จะเปิดหนังสือเล่มใหม่  รอหนังสือเล่มนั้นครับ ดูท่าว่าจะสนุก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-06-2017 06:22:36
เด็กน้อยน่าสงสาร เจอเรื่องแบบนี้มานานขนาดไหน
แต่โชคดี เกล้าไม่เกเร อาจจะติดความรุนแรงมาบ้าง แต่ก็ยังเป็นเด็กดีอยู่มาก

หนูเจียน่ารักมาก ทำเกล้าติดแจเลย แถมนิสัยก็น่ารัก อ้อนทีละลายกันเป็นแถบ

ราเมศกับตะวันมีโมเมนท์สวีทรัวๆจ้า ตะวันโตขึ้นเยอะเลย มีเหตุผล เก็บอารมณ์ได้ดี
ราเมศก็อบอุ่นมาก ดูแลดีเวอร์ แต่ความเนียนไม่มีลด

โอ๊ยยยย แล้วหนูเจียต้องไปเจออะไรที่โรงเรียนอีกไหม ทำไมเป็นผู้ใหญ่แล้วคิดไม่ได้หรอ


หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๕ ครอบครัวและคำสัญญา (๑๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 17-06-2017 08:05:34
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 17-06-2017 19:46:27
ปานตะวัน
บทที่ ๑๖
เรื่องที่ทำได้


        ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่คุณแม่ของเกล้ามารับเด็กชายไปอยู่ด้วยกัน ปานตะวันกับแม่น้องเกล้าติดต่อกันผ่านทางไลน์เป็นระยะ หญิงสาวมักจะถ่ายรูปน้องเกล้าส่งมาให้พร้อมกับบอกว่าน้องเกล้าเป็นยังไงและมีความสุขดีแค่ไหน ดูเหมือนว่าทางคุณตาคุณยายจะเห่อหลานไม่น้อย เด็กชายที่เคยอยู่แบบอดมื้อกินมื้อและต้องอดทนกับการถูกทุบตีตอนนี้กลายเป็นเด็กที่ได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากคนรอบข้าง คุณแม่น้องเกล้าเองเมื่อได้ลูกชายกลับมาอยู่ด้วยก็มีแรงใจที่จะเข้ารับการรักษาเพื่อให้ตัวเองหายจากโรคซึมเศร้ามากขึ้น
   
       สำหรับน้องเกล้าทุกสิ่งที่ผ่านมาคงเป็นเหมือนฝันร้าย ตอนนี้เด็กชายได้พบกับฝันดีของตัวเองแล้วและปานตะวันก็ยินดีจากใจพร้อมกับหวังว่าเด็กชายจะมีความสุขแบบนี้ตลอดไป
   
       ถ้านี่เป็นหนังสักเรื่องตอนของน้องเกล้าคงขึ้นว่า Happy Ending
   
       แต่ทางเขานี่สิ...ยังไม่แฮปปี้เสียทีเดียว   
   
       “หนูเจีย ตื่นได้แล้วครับ หกโมงครึ่งแล้วนะ” ปานตะวันที่คาดผ้ากันเปื้อนลายแมวสีฟ้าเดินเข้ามาในห้องนอนเพื่อปลุกหลานชายที่ยังขดตัวอยู่ใต้ผ้านวม วันนี้ราเมศต้องเข้าไปเตรียมร้านแต่เช้าเพราะลูกน้องคนที่รับหน้าที่เตรียมร้านวันนี้เกิดท้องเสียจนต้องลางาน ชายหนุ่มผมดำถึงได้รีบรุดออกไปแล้วฝากให้ปานตะวันพาหลานชายไปส่ง
   
       ปานตะวันเองก็รับปากอย่างดี แต่ดูเหมือนการไปส่งหนูเจียวันนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ชายหนุ่มเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จเมื่อกี้นี้เอง ตอนแรกเขาคิดว่าหนูเจียคงจะเดินเข้าไปหาในครัวเหมือนทุกวันแต่ปรากฏว่ารออยู่นานหลานชายก็ไม่มาสักทีจึงเดินมาตาม
   
       ถึงได้รู้นี่แหละว่าหนูเจียยังไม่ยอมลุกจากเตียงเลย
   
       “หนูเจีย ลุกได้แล้วครับ” ปานตะวันดึงผ้าห่มออก เจียหลินก็ไม่ยอมแพ้ เด็กชายพลิกตัวนอนคว่ำแล้วซุกหน้าลงกับหมอน แสดงอาการต่อต้านเต็มที่ทำเอาคนเป็นน้าชายถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
   
        “หนูเจีย” ปานตะวันเน้นเสียง “อย่างอแงครับ วันนี้หนูเจียต้องไปโรงเรียนนะ”
   
       “ไม่เอา” เด็กน้อยที่ซุกหน้ากับหมอนตอบเสียงอู้อี้ “หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียนเลยคับน้าตะวัน วันนี้ขอหนูเจียไปที่ร้านกับน้าตะวันได้ไหมคับ”
   
       “ไม่ได้ครับ การไปโรงเรียนเป็นหน้าที่นะ หนูเจียยังเป็นเด็ก ต้องเรียนหนังสือ”
   
       “แต่...แต่หนูเจียไม่อยากไปนี่นา!”
   
        คราวนี้เจ้าตัวเล็กหันหน้ากลับมา เบะปากแล้วก็พูดเสียงดัง น้ำตารื้นขึ้นมาในหน่วยตาทั้งสองข้าง ปานตะวันถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลานชายดื้อด้านพูดจาไม่ฟังแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
   
        “เจียไม่อยากไป!” คราวนี้กำปั้นน้อยๆ ทุบลงบนเตียงเป็นของแถม เจียหลินหน้าบึ้งส่วนปานตะวันก็ชักมีน้ำโห จากที่คิดว่าจะพูดจาตะล่อมดีๆ ก็เป็นอันต้องเปลี่ยนแผน
   
        ไม้นวมไม่ได้ผลก็คงต้องใช้ไม้แข็ง
   
         “เจียหลิน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา เขาไม่ได้ตะคอกแต่ใช้น้ำเสียงและท่าทางกดดันแทน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพร้อมกับนัยน์ตาสีนิลที่แปรเปลี่ยนเป็นแววตาเข้มงวด “อย่าขึ้นเสียงใส่น้าแบบนี้นะ”
   
         “ก็หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียนนี่นา!”
   
         “ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะ”
   
         “ก็...ก็เพราะว่า...”
   
         เด็กชายอึกอัก นัยน์ตากลมโตเบนหลบไปจ้องผ้านวม มือเล็กๆ กำชายเสื้อตัวเองแน่น ปานตะวันเห็นดังนั้นก้ถอนหายใจออกมา
   
        “ไม่มีเหตุผลใช่ไหม ถ้าไม่มีเหตุผลเหมาะๆ ยังไงหนูเจียก็ต้องไปเรียนหนังสือ ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”
   
        “ไม่เอา”
   
        “หนูเจียอย่าดื้อ นี่สายมากแล้วนะ น้าตะวันต้องไปทำงาน”
   
        “ให้หนูเจียไปกับน้าตะวันนะคับ นะๆๆ”
   
        “ไม่ได้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
   
        น้ำเสียงของปานตะวันดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มเหลือบตามองนาฬิกาแล้วก็พบว่าตัวเองกำลังจะไปส่งหลานชายสายและกำลังจะไปทำงานสายด้วย
   
         หนูเจียที่โดนดุด้วยน้ำเสียงห้วนเองก็ตกใจ เด็กชายเริ่มสะอื้น ริมฝีปากสีสดเบะออกก่อนที่น้ำตาจะกลิ้งตัวลงมาตามผิวแก้ม
   
        “ฮึก...แงงง แง้”
   
        ถ้าเป็นวันปกติปานตะวันคงใจอ่อนกับเสียงร้องของหลานชายแต่ไม่ใช่วันนี้ ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงร้องไห้ ปานตะวันตรงไปรวบตัวหนูเจียขึ้นมาแล้วเดินตึงตังไปเข้าห้องน้ำ ชายหนุ่มบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วยัดใส่มือเล็กๆ ของหลานชาย
   
        “แปรงฟัน” เขาสั่งสั้นๆ แล้วก็เดินออกไปเตรียมเสื้อผ้า เมื่อกลับมาปานตะวันก็ยืนหน้าตาถมึงทึงคุมหนูเจียแปรงฟันก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวให้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหยิบกล่องพลาสติกสำหรับใส่ข้าวออกมาแล้วตักใส่กรอก แฮม แซนวิชที่เตรียมไว้ให้หลานลงไปสำหรับเอาไปกินที่โรงเรียนเพราะวันนี้กินข้าวที่บ้านคงไม่ทัน ปานตะวันหยิบนมกล่องเล็กใส่กระเป๋าไปให้เด็กน้อยด้วย
   
        “มาเร็วเจียหลิน อย่าดื้อ” หนูเจียก้มหน้านิ่ง รับรู้พายุอารมณ์โกรธของน้าชายได้เป็นอย่างดี เด็กชายยอมเดินตามไปขึ้นรถ ตลอดทางปานตะวันไม่คลายอารมณ์โกรธลงเลยเมื่อพบว่ารถติดยาวเหยียดนรกแตก
   
        “ดูซิ ออกจากบ้านสายรถเลยติดยาวแบบนี้เลยเห็นไหม” ชายหนุ่มบ่นก่อนจะเหลือบตามองเจียหลิน เด็กชายเม้มปาก ขมวดคิ้ว ท่าทางดื้อดึงไม่ยอมอ่อนลง
   
        “แล้วก็คราวหลังอย่าขึ้นเสียงใส่น้าแบบนั้นอีก เข้าใจไหม อะไรไม่ได้ดังใจก็เบะปากร้องไห้ทุบที่นอนแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะเจียหลิน น้าตะวันไม่เคยสอนให้ก้าวร้าวแบบนั้น”
   
        เด็กชายก้มหน้านิ่ง ไม่หือไม่อือ ปานตะวันขมวดคิ้ว
   
        “ตกลงรู้ตัวไหมว่าทำผิด”
   
         “...”
   
        “เจียหลิน”
   
        “รู้....คับ”
   
        “รู้ว่าอะไร”
   
       “เจียทำผิด ดื้อ ไม่ยอมไปโรงเรียน”
   
       “แล้วยังไงต่อ?”
   
        เด็กชายก้มหน้าจนคางชิดอก นั่งนิ่งเป็นหิน คราวนี้ไม่ว่าปานตะวันจะถามอะไรอีกก็ไม่ตอบ ไม่พูด ทำเหมือนกับไม่ได้ยินจนคนเป็นผู้ปกครองอารมณ์โมโหพุ่งทะลุปรอท
   
       “จะไม่ขอโทษใช่ไหม? ได้ ถ้าจะไม่พูดก็ไม่พูดให้มันตลอดนะเจียหลิน!”
   
        เอี๊ยด
   
       ปานตะวันเหยียบเบรกอย่างแรงตอนที่ถึงหน้าประตูโรงเรียน ปกติเขาจะเดินไปส่งหลานถึงห้องแต่วันนี้บรรยากาศมึนตึงระหว่างกันทำให้เขาตัดสินใจส่งอีกฝ่ายลงที่หน้าประตูรั้วแล้วให้เดินเข้าไปเอง
   
       “น้าตะวันตามใจเจียมากไปใช่ไหมถึงได้ทำกันแบบนี้”
   
       เขาพูด...น้ำเสียงยังเย็นชา ปานตะวันหันไปมองเจียหลินที่สะพายกระเป๋าแล้วเปิดประตูลงจากรถ ตอนที่หลานหันมาเพื่อปิดประตู นาทีนั้นปานตะวันถึงได้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเด็กชาย
   
      “น้าตะวัน...ขึ้นเสียงใส่เจียทำไม...แม่จันทร์ยังไม่เคยทำแบบนั้นเลย” เจียหลินสะอื้น ริมฝีปากสั่นระริก “น้าตะวันใจร้ายที่สุด!”
   
       ปัง
   
       สิ้นคำเจียหลินก็กระแทกประตูปิดแล้ววิ่งเข้าไปในโรงเรียน ส่วนปานตะวันชะงักค้าง รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นหายไปใบหน้าชาแถมหัวสมองยังว่างเปล่าไปหมด
   
       เขาคงไม่ได้สติถ้ารถคันหลังไม่บีบแตรไล่ขึ้นมาก่อน ร่างสูงโปร่งสะดุ้งก่อนจะขับรถออกจากหน้าประตูรั้วแล้วตรงกลับบ้าน
   
       ขากลับรถก็ยังติดอยู่เหมือนเดิมแต่ปานตะวันไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรอีกแล้ว มันเหมือนความโกรธในใจถูกปล่อยออกไป
   
       เหลือเพียงความรู้สึกผิดและความเศร้าเข้ามาแทนที่
   
       เมื่อมาถึงบ้านชายหนุ่มก็ไม่ยอมลงจากรถ เขานั่งนิ่งเหม่อมองออกไปแบบไร้จุดหมาย ในหัวมีแต่เสียงของเจียหลินที่ตะโกนว่าเขาเป็นคนใจร้ายรวมถึงใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กชาย
   
        ยิ่งมานึกถึงสิ่งที่เขาพูดรวมถึงท่าทางที่แสดงออกกับหลานก็ยิ่งรู้สึกผิด
   
        ปานตะวันเคยไม่ชอบใจการถูกดุด้วยคำพูดแรงๆ หรือการตะคอก ไม่ชอบถูกขมวดคิ้วใส่หรือมองด้วยสายตาผิดหวัง แต่เขาก็เพิ่งทำทั้งหมดนั่นลงไป...กับหนูเจียของเขา
   
       ชายหนุ่มซบศีรษะลงกับพวงมาลัยแล้วพึมพำออกมาเบาๆ
   
       “ไอ้ตะวัน...มึงทำอะไรลงไปเนี่ย”
   
        วันนี้คงไม่ใช่วันของปานตะวันจริงๆ ตอนเช้าทะเลาะกับหลานชาย ตอนทำงานเขาก็ทำพลาดหลายอย่าง ทั้งจดออเดอร์ผิด ลืมรายการอาหารลูกค้าทำให้อีกฝ่ายได้อาหารช้า แถมช่วงเที่ยงถึงบ่ายโมงยังหัวหมุนไปหมดเพราะลูกค้าแน่นร้านสุดๆ ปานตะวันสมาธิหลุดบ่อยจนราเมศต้องเรียกไปดุที่หลังร้าน ความรู้สึกที่แย่มาจากเมื่อเช้าอยู่แล้วก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก โดยเฉพาะตอนเห็นสีหน้าอ่อนล้าของราเมศปานตะวันก็ยิ่งโทษตัวเอง
   
        เป็นน้าที่ใช้ไม่ได้ เป็นแฟนที่ใช้ไม่ได้ เป็นพนักงานที่ใช้ไม่ได้ เขาแม่งไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง!
   
        “ผมขอโทษครับพี่” เขาไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีอะไรเลยนอกจากคำขอโทษ ราเมศลูบหน้าตัวเองแล้วก็เอ่ยว่า “ตั้งสติหน่อย กลับไปทำงานได้แล้ว แล้วอย่าให้พลาดอีกล่ะ”
   
        “ครับ”
   
       ปานตะวันตอบรับสั้นๆ โดยไม่มองหน้าคนรักก่อนจะกลับไปทำงานของตนอีกครั้ง วันนี้เขาบรรลุเลยว่าคำว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดมันเป็นยังไง
   
       เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ
   
       ช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสามก็ยังมีลูกค้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้แน่นร้านเท่าช่วงกลางวันแล้วปานตะวันจึงสามารถตั้งสติกับงานได้มากขึ้นเพราะไม่ได้ถูกเรียกไปทางนั้นทีทางโน้นที พอบ่ายสามครึ่งร้านก็โล่ง พนักงานเสิร์ฟและพ่อครัวถึงได้มีเวลาพัก
   
       ปานตะวันนั่งหมดแรงอยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์ยาว ชายหนุ่มฟุบตัวลง นึกอยากจะหลับไปเดี๋ยวนั้นแต่ก็ทำไม่ได้
   
      เขานั่งนิ่งๆ อยู่สักพักจนกระทั่งได้ยินเสียงราเมศดังขึ้นเหนือศีรษะ “ตะวันไปรับหลานกับพี่ไหม”
   
      “สามโมงครึ่งแล้วเหรอ”
   
       ปานตะวันผงกหัวขึ้นมามองนาฬิกาแล้วก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มขยับตัวจะถอดผ้ากันเปื้อนแต่แล้วก็นึกได้ว่าเมื่อเช้าตนกับเจียหลินเพิ่งทะเลาะกันมา
   
       บางทีหนูเจียไม่เห็นหน้าเขาอาจจะดีกว่าก็ได้
   
       “ไม่ล่ะครับ พี่เมศไปเถอะ”
   
       “หืม?” ราเมศขมวดคิ้วมองคนที่ส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าของปานตะวันดูเศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้ “เป็นอะไรหรือเปล่าตะวัน”
   
        “เปล่า...ครับ ไม่ได้เป็นอะไร”
   
       “สีหน้านายดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”
   
       “เปล่าครับ” ปานตะวันตัดบท “พี่เมศรีบไปรับหลานเถอะ เดี๋ยวหนูเจียจะรอนะครับ”
   
       “แต่...”
   
       “ตะวันสบายดี พี่ไปเถอะ แล้วเจอกันครับ”
   
       ราเมศอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ ชายหนุ่มลูบศีรษะปานตะวันสองสามทีก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไป
   
       คล้อยหลังราเมศปานตะวันก็ทิ้งตัวลงฟุบต่อด้วยสีหน้าซังกะตาย วันนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มแย้มหรือเสวนากับใครเลยปลีกตัวมานั่งคนเดียว พี่ๆ ที่ร้านก็ดูออกเลยปล่อยให้เขาอยู่เงียบๆ
   
       แบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียล่ะนะ...ข้อดีคือเขาได้พักแบบสงบสมใจ ส่วนข้อเสียคือสมองเขาว่างพอจะดึงเอาเรื่องแย่ๆ มาคิดให้ว้าวุ่นใจเล่น
   
       อย่างตอนนี้ปานตะวันก็กำลังคิดถึงเรื่องที่เขากับหนูเจียทะเลาะกันอยู่
   
       ชายหนุ่มคิดว่านั่นเป็นความผิดของเขา...ซึ่งมันก็เป็นความผิดของเขาจริงๆ นั่นแหละ
   
       เมื่อเช้าเขาหงุดหงิดมากจนขึ้นเสียงใส่หนูเจียไป คำพูดจาตักเตือนกันดีๆ ก็มีแต่ปานตะวันก็ยังเผลอหลุดถ้อยคำแรงๆ สำหรับเด็กห้าขวบไปจนได้
   
       ‘น้าตะวันขึ้นเสียงใส่เจียทำไม แม่จันทร์ยังไม่เคยทำแบบนี้เลย น้าตะวันใจร้ายที่สุด!’
   
        หนูเจียจะรู้ไหมหนอว่าประโยคนั้นมันทำร้ายใจเขาไม่ต่างกัน
   
        ปานตะวันไม่ได้อยากดุ ไม่ได้อยากว่าหลานเลย แต่ถ้าเขาไม่เตือนหนูเจียแล้วใครจะเตือน เขาไม่อยากให้หลานโตไปเป็นเด็กเอาแต่ใจที่พอไม่ได้ตามต้องการก็ร้องไห้อาละวาดฟาดแขนฟาดขา ปานตะวันคิดว่าเขาไม่ผิดที่ ‘เตือน’ หลาน สิ่งเดียวที่เขาทำผิดไปคือการใช้คำพูด สีหน้า และน้ำเสียง
   
       ให้ตาย ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่ ภาพใบหน้าตอนร้องไห้และคำตัดพ้อของเจียหลินวนเวียนในหัวเขาทั้งวันจนตั้งสมาธิทำงานไม่ได้ทำให้โดยพี่เมศเรียกไปด่าอีก
   
       คราวนี้รู้สึกผิดคูณสองเลย
   
       ปานตะวันถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า
   
       บางที...ถ้าเป็นพี่จันทร์ล่ะก็...เรื่องทั้งหมดอาจไม่แย่แบบนี้ พี่จันทร์คงหาคำพูดดีๆ มาตะล่อมหนูเจียให้ไปโรงเรียนได้และก็คงจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้..ไม่ใช่ทำทุกสิ่งพลาดไปหมดแบบเขา
   
        บางทีถ้าพี่จันทร์ยังอยู่...อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
   
       “เฮ้อ”
   
        “อายุขัยมึงสั้นลงไปสิบปีแล้วนะ”
   
        “เฮ้ย เชี่ย อะไรวะ!?”
   
        เสียงทุ้มลึกลับที่จู่ๆ ก็มากระซิบอยู่ข้างหูทำให้ปานตะวันสะดุ้งโหยง รีบผงะหนีจนเก้าอี้เกือบล้มยังดีที่ยึดขอบเคาน์เตอร์ไว้ทัน ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่ใจยังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ราวกับรัวกลองรีบตวัดสายตามองต้นเรื่องทันที แต่แล้วนัยน์ตาสีนิลก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นระคนยินดีเมื่อเห็นว่าใครมายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า
   
        “ไอ้กันต์!” ปานตะวันเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ ชนกันต์ที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะร่วนพลางยกมือขึ้นตบๆ หัวเพื่อนซี้ไปสองสามที
   
        “ไงครับเพื่อนรัก คิดถึงกูไหม?”
   
         ปานตะวันโคตรอยากจะตะโกนตอบออกมาว่า...เออ คิดถึงมึงโคตรๆ เลยว่ะ!
   
         โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าอื่นนอกจากกันต์ ปานตะวันถึงสามารถมานั่งคุยเจ๊าะแจ๊ะกับเพื่อนซี้ได้
   
        “มึงมาได้ไง” ปานตะวันเป็นฝ่านเปิดฉากถามแต่ดูแล้วคำถามของเขาคงจะไม่ถูกหูคนฟังเท่าไหร่เพราะชนกันต์ถอนหายใจออกมาแล้วก็พูดว่า “กูบินมามั้ง ก็ต้องขับรถมาสิไอ้ฟาย”
   
        ปานตะวันรู้สึกได้ว่าเส้นประสาทที่คิ้วกับที่เท้าของมันเกิด ‘กระตุก’ ขึ้นมาพร้อมกัน ชายหนุ่มแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย “กูรู้แล้วว่าขับรถมา กูหมายถึงมึงว่างเหรอถึงได้มา มีธุระอะไร มาทำไมที่นี่”
   
       “ก็ถามให้มันเคลียร์ๆ ตั้งแต่แรกสิ”
   
       “เออๆ กูผิดเอง”
   
        ชนกันต์มองเพื่อนที่ทำปากคว่ำอย่างอารมณ์ดี “ไม่งอนน่า กูคิดถึงเลยมาหา ซื้อขนมมาฝากมึง แฟนมึง กับหลานมึงด้วย” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ถุงข้างตัว ปานตะวันหยิบมาดูก็พบช็อกโกแลต ขนมปัง นม น้ำผลไม้และอีกสารพัดของกิน

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 17-06-2017 19:58:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 17-06-2017 20:11:52
       “นี่กะขุนให้พวกกูอ้วนกันทั้งครอบครัวหรือไง” เขาว่าขำๆ ชนกันต์ยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “เออ โดยเฉพาะมึง รู้ตัวหรือเปล่าว่ามึงผอมลงมากอ่ะ”
   
        ชายหนุ่มใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้วพลาสติกจนมันส่งเสียงกระทบกันกรุ๊กกริ๊กในระหว่างที่ลอบสำรวจปานตะวันไปด้วย
   
        ไม่เจอกันแค่เดี๋ยวเดียวแต่ชนกันต์ผู้คลุกคลีกับปานตะวันมานานสามารถบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไป
   
        ปานตะวันตรงหน้าเขาไม่ใช่วัยรุ่นอารมณ์ร้อนเอาแต่ใจและไม่แคร์ใครอีกแล้ว อีกฝ่ายดูนิ่งขึ้น มีแววของความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รวมถึง...
   
         “มึงดูเหนื่อยๆ นะ”    
 
         ไม่ใช่แค่ด้านอารมณ์และจิตใจที่เปลี่ยนไปแต่ด้านร่างกายก็ด้วย สำหรับชนกันต์การเปลี่ยนแปลงทางความคิดของปานตะวันเปลี่ยนไปในทางบวก แต่ทางร่างกายถือว่าเปลี่ยนไปในทางลบ เพราะปานตะวันผอมลง สีหน้าอ่อนล้าและใต้ตาคล้ำเหมือนคนอดนอน
   
        “หืม? กูเหรอ”
   
       “ใช่ ใต้ตางี้ดำปี๋เชียว นอนดึกเหรอมึง”
   
        ปานตะวันเท้าคางพลางเอามือแตะรอยคล้ำใต้ตาตัวเอง “ก็นิดหน่อย อาทิตย์นี้แม่งหนัก ต้องอ่านหนังสือด้วยภาษาแม่งยากกว่าที่กูคิด ไหนจะต้องเลี้ยงหลานแล้วก็ทำงานพิเศษอีก”
   
         “หนักเกินไปหรือเปล่าวะ”
   
        “กูก็ไม่รู้ แต่กูจะต้องทำให้ได้ กูเลือกแล้วกันต์ นี่คือผลจากการที่กูเลือกจะอยู่กับหนูเจีย กูต้องยอมรับแล้วผ่านไปให้ได้”
   
        ชนกันต์ถอนหายใจ มีแค่เรื่องความยึดมั่นจนเรียกได้ว่าดื้อดึงนี่แหละนะที่ไม่เปลี่ยนไปเลย อะไรที่ไอ้ตะวันคิดว่าถูก...เจ้าตัวก็จะทำไปให้ถึงที่สุดไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม
   
        “ถึงงั้นก็เหอะ สีหน้ามึงดูไม่ดีเลยอ่ะ พักบ้างนะ หรือถ้ามีอะไรอยากให้กูช่วยหรือรับฟังก็บอกได้”
   
       “ขอบใจนะเว้ย”
   
       ชนกันต์มองเพื่อนสนิทที่ส่งยิ้มมาให้แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นลังเล ปานตะวันอ้าปากแล้วก็หุบปาก ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ชนกันต์เองก็ไม่ได้เร่งรัด เขารอให้ปานตะวันเป็นฝ่ายพูดมันออกมาด้วยตัวเอง
   
       “มึง”
   
       “ว่าไง”
   
       ถ้าอีกฝ่ายวางใจเขามากพอจนยอมเล่า...เขาก็จะรับฟัง
   
       เหมือนที่ทำมาตลอด
   
       “วันนี้แม่งหนักมากเลย” ปานตะวันเกริ่น เจ้าตัวเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ สีหน้าและแววตาเหมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก “กูทะเลาะกับหนูเจียเมื่อเช้า พอทะเลาะกับหลานก็รู้สึกผิดจนรวบรวมสมาธิทำงานไม่ได้ พี่เมศเลยเรียกเข้าไปว่า แล้วไหนจะเรื่องเรียนอีก กูพยายามแล้วนะแต่แม่ง...ยาก หรือกูจะตัดสินใจผิดวะมึง”
   
       พอได้พูดกับคนคุ้นเคยปานตะวันก็เผลอระบายความในใจออกมาจนหมด ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
   
       “กูจะทำยังไงดี”
   
       “ปัญหาชีวิตมึงเยอะ จะเอาปัญหาไหนก่อนล่ะ”
   
        ไม่ได้ล้อเล่นนะแต่เท่าที่ฟังมา ปัญหามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่พอมาสุมรวมกันมากๆ แล้วก็มีพลังพอจะเปลี่ยนเพื่อนเขาให้ใกล้เคียงกับซอมบี้ได้แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ พอเห็นสีหน้าสับสนลังเลของเพื่อนชนกันต์ก็พูดต่อว่า “เรื่องไหนใหญ่สุดในใจมึงตอนนี้ล่ะตะวัน เอาเรื่องนั้นก่อน”
   
        เรื่องใหญ่สุดในใจเขาตอนนี้?
   
        ก็เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียว
   
        “เรื่อที่กูกับเจียหลินทะเลาะกัน คือเมื่อเช้าหนูเจียงอแงไม่ยอมไปโรงเรียนแล้วมันก็สายมากแล้วกูก็เลยดุหลานไป หนูเจียก็ร้องไห้ บอกว่ากูใจร้าย”
   
        “อ่าหะ”
   
        “กูกลัวหลานเกลียดกู”
   
        พอได้ฟังแบบนั้นแล้วกันต์ก็ยิ่งอยากจะหัวเราะ ไอ้เพื่อนตัวแสบที่เคยออกปากว่าเกลียดเด็กเล็กๆ มาวันนี้กลับแพ้ราบคาบให้หลานชายตัวเอง แถมดูเหมือนจะทั้งรักทั้งหวงมากเสียด้วย เห็นแล้วก็ไม่รู้จะขำหรือสงสารมันดีที่สัญชาตญาณความเป็นพ่อคนของมันรุนแรงไปหน่อยจนคิดมากกับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจียหลิน
   
        “หนูเจียไม่เกลียดมึงหรอกเชื่อกู”
   
        “แต่เขาพูดออกมาเลยนะว่าแม่จันทร์ยังไม่เคยขึ้นเสียงกับเขาเลย กูเลยอดคิดไม่ได้ว่าบางทีกูคงไม่เหมาะกับการเลี้ยงเด็ก ถ้าพี่จันทร์ยังอยู่คงดีกว่านี้”
   
       “เพ้อเจ้อไปไกลละมึง คือตอนพูดหลานมึงก็คงไม่ได้คิดอะไรหรอก อารมณ์มันพาไปทั้งคู่ถูกป่ะ ตอนเย็นพอหลานกลับมาก็ไปคุยกันให้เรียบร้อย พูดกับเขาดีๆ อย่าตะคอก อย่าใช้ถ้อยคำโหดร้าย ค่อยๆ ปรับความเข้าใจ แล้วก็อีกอย่างนะมึงควรทำใจไว้ว่าเรื่องเด็กงอแงไม่อยากไปโรงเรียนอ่ะเรื่องธรรมดา มันก็ต้องเคยกันทุกคน ทำความเข้าใจตรงนี้ให้ได้แล้วมึงจะเก็บอารมณ์โมโหได้ดีขึ้นเวลาหลานมึงงอแง”
   
        “กูรู้ว่าเด็กทุกคนต้องเคยงอแงไม่อยากไปโรงเรียน แต่กับหนูเจียมันไม่ปกติ” ปานตะวันกัดริมฝีปาก “ปกติเวลาหนูเจียงอแงไม่อยากไปโรงเรียน อย่างมากเขาก็แค่ไม่ยอมลุกจากเตียง บ่นง่วงแล้วก็ทำหน้างอบ้าง แต่วันนี้มันไม่ใช่อ่ะมึง เขายืนยันหนักแน่นมากว่าไม่อยากไป พอกูดุก็ขึ้นเสียงใส่บ้าง ร้องไห้ ฟาดแขนฟาดขาลงกับเตียง”
   
       “นั่นก็เรื่องปกติของเด็ก”
   
       “แต่หลานกูไม่เคยทำแบบนั้น ถึงเขาจะงอแงยังไงก็ไม่เคยทำตัวแบบนั้นใส่กูมาก่อน”
   
       หนูเจียไม่ใช่เด็กขยันกระตือรือร้นอยากไปโรงเรียนทุกวันก็จริงแต่ก็ไม่ใช่เด็กจอมเอาแต่ใจเหมือนกัน ปานตะวันไม่เคยเห็นหนูเจียแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมาเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรก
   
       ชนกันต์รินโค้กเติมใส่แก้วแล้วพูดต่อว่า “ถ้ามึงว่ามันไม่ปกติสำหรับหนูเจีย แล้วมึงรู้หรือเปล่าว่าทำไมเขาไม่อยากไปโรงเรียน เคยคุยกับหลานไหม”
   
       พอเพื่อนพูดถึงตรงนี้ปานตะวันก็ชะงัก จะว่าไปเมื่อเช้าเขาก็ไม่ได้ถามถึงสาเหตุที่ทำให้หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียนเลยนี่นา
   
        “ถ้าให้กูเดาน่าจะเป็นเพราะเพื่อนสนิทหนูเจียย้ายไปแล้ว สองวันแรกหลานกูซึมไปเลย” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เราเรื่องของเกล้าไปกันต์ฟัง พอฟังจบอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับเอามือลูบคาง
   
        “ถึงจะซึมแต่ก็ยังไปโรงเรียนถูกป่ะ มีวันนี้ที่เขาดื้อกับมึงมาก แปลว่าน้องต้องไม่ไหวแล้วจริงๆ กูว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่าเรื่องเกล้า”
   
        ปานตะวันฟังแล้วก็ได้แต่นิ่ง สารภาพตามตรงเลยว่าเขาคิดไม่ถึงแล้วอาทิตย์นี้ปานตะวันก็มัวแต่ยุ่งกับงาน อ่านแต่หนังสือ ไม่ได้สังเกตอารมณ์ความรู้สึกและท่าทางที่แปลกไปของหนูเจียเท่าที่ควร
   
        ชายหนุ่มพยายามนึกย้อนไป ว่าหลานชายพยายามส่ง ‘สัญญาณ’ หรือ ‘ข้อความ’ มาให้เขาบ้างหรือเปล่า พอกันต์พูดสะกิดปานตะวันถึงคิดได้ว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่โรงเรียนแน่ๆ
   
        “กูทำไม่ดีกับหลานไปซะแล้วว่ะมึง”
   
        “อย่าคิดมาก คนเรามันพลาดกันได้ นี่ก็ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก มึงเหนื่อยแค่ไหนทำไมกูจะดูไม่ออก” ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะพร้อมกับลูบอย่างแผ่วเบา “พอคิดได้แล้วมึงก็แค่ไปปรับความเข้าใจกับหลานแล้วก็หาสาเหตุที่เขาไม่อยากไปเรียนดีกว่า เอาเวลามาทำตรงนี้ดีกว่ามานั่งเสียใจในสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว”
   
        “อืม ขอบคุณนะ”
   
       “แล้วมีอะไรอีกไหม หรือแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว”
   
        ปานตะวันส่ายหน้า “มีอีก...เมื่อกลางวันกูโดนพี่เมศเรียกไปดุ เขาดูเหนื่อยมากมึง กูเลยยิ่งรู้สึกแย่ มันเหมือนเขาเหนื่อยกับงานแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับกูอีก”
   
       “เป็นธรรมดา คนเหนื่อยมากๆ อารมณ์มันหงุดหงิดง่าย มึงทำพลาดเขาเรียกไปเตือนก็ถูกแล้ว คราวหลังก็ตั้งสมาธิกับงานดีๆ” ชนกันต์พูดราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย ปานตะวันถึงได้วางใจเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง เพื่อนเขามองว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้เสมอ
   
       “ส่วนเรื่องเรียนถ้ามึงไม่เข้าใจตรงไหน...กูมีคนรู้จักอยู่สองสามคนที่น่าจะช่วยได้ ไว้จะลองไปถามดู ถ้าเขาสะดวกกูจะเอาไลน์เขามาให้มึง”
   
       “แต็งกิ้วนะมึง ไม่ได้มึงกูคงไม่รู้จะทำยังไง”
   
        “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” ชนกันต์หัวเราะ เขาหยิกแก้มสองข้างของปานตะวันจนยืด พยายามทำให้มันอารมณ์ดีแล้วก็หัวเราะออกมาบ้าง
   
        “กูเชื่อว่ามึงในตอนนี้จะหาทางแก้ไขปัญหาได้ กูแค่มาช่วยให้มึงเจอมันเร็วขึ้นเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่กูให้ได้ก็คือคำแนะนำนอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้วว่าจะเคลียร์ปัญหาได้ไหม สู้ๆ นะเว้ย กูรู้ว่ามึงทำได้ มึงตอนนี้โตขึ้นมากแล้วนะปานตะวัน พยายามได้ดีมาก”
   
        พยายามได้ดีมาก
   
        ใครจะไปเชื่อว่าแค่คำชมเล็กๆ แต่ก็ทำให้คนฟังมีความสุขได้มากขนาดนี้
   
         “โอ๊ะ ยิ้มแล้วๆ ดี มึงยิ้มแล้วหล่อ ยิ้มเยอะๆ อายุจะได้ยืนนะไอ้น้อง”
   
        “ใครน้องมึง”
   
        “แน่ะ ไม่ทันไรขู่กูอีกละ มานี่เลย มาให้กูทำโทษซะดีๆ”
   
        กันต์ว่าพลางเอานิ้วจิ้มตามคอปานตะวัน คนโดนแกล้งก็หัวเราะไปเอนตัวหลบไป ร่างขาวๆ ที่มัวแต่สนุกจนไม่ทันระวังว่าตัวเองเอนหนีมาด้านหลังเยอะเกินไป เก้าอี้ที่ปานตะวันนั่งอยู่จึงทำท่าเหมือนจะล้ม
   
        “เฮ้ย!” คนผมน้ำตาลอุทานเมื่อตัวเองหงายวืดไปด้านหลัง แต่แทนที่จะล้มกระแทกพื้นร่างของเขากลับถูกใครบางคนจับไว้ได้ทันพอดี
   
        “ระวังหน่อยสิ” น้ำเสียงทุ้มติดจะดุเล็กน้อยดังขึ้น ปานตะวันรู้ทันทีว่าใครเป็นคนมาช่วยเขาไว้
   
        “พี่เมศ”
   
        ราเมศขมวดคิ้วเล็กน้อย มองปานตะวันกับชนกันต์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ยุ่งอยู่สินะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หันไปพูดกับเจียหลินที่ยืนแอบอยู่ไม่ไกล “หนูเจีย มาอยู่กับน้าเมศก่อนดีกว่าครับ น้าตะวันคงติดธุระ...อีกนาน” พอพูดจบก็เดินหายไปอีกทางโดยมีหนูเจียวิ่งดุกๆ ตามไป ทิ้งให้ปานตะวันนั่งเอ๋ออยู่ที่โต๊ะ
   
       โกรธอะไรเขาอีกล่ะ?
   
        “แฟนมึงนี่...ขี้หึงดีนะ”
   
        “หา!?”
   
        ชนกันต์ถอนหายใจใส่เพื่อนที่นั่งทำหน้าเอ๋อแบบโง่ๆ อยู่ก่อนขยายความ “พี่เมศแฟนมึงน่ะเขาหึงมึง” ปานตะวันงงหนักกว่าเดิม
   
        “หึงออะไรวะ กูก็นั่งอยู่ของกูเฉยๆ” หึงคนนั่งเฉยๆ ก็ได้ด้วยเหรอ
   
        ชนกันต์ยักไหล่ “สงสัยมาเห็นตอนกูแกล้งมึงพอดี”
   
         คราวนี้ปานตะวันถึงบางอ้อเลยทีเดียว กันต์กับเขาค่อนข้างสนิทกันมากพอสมควรเวลาแกล้งกันก็มักจะ...ถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่ไม่น้อยทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเขากับมันเป็นแฟนกัน แต่ปานตะวันกล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าไอ้กันต์ไม่คิดอะไรกับเขาเกินเพื่อนแน่นอน
   
         “ทำครอบครัวกูร้าวฉานอีกนะมึง” ปานตะวันหยิบน้ำแข็งที่เหลือในแก้วมาปาใส่อีกฝ่าย เขาจิ๊ปากเมื่อไอ้เพื่อนซี้มันเสือกหลบได้แถมหันมายิ้มกวนบาทาให้อีก
   
         “งั้นก็รีบไปง้อไป  เดี๋ยวกูจะกลับแล้วเหมือนกัน” ปานตะวันรับเงินค่าน้ำกับค่าอาหารจากอีกฝ่ายมาก่อนจะเดินไปส่งเพื่อนที่รถ ไอ้กันต์หันมาโบกมือให้เขา “บายนะมึง”
   
         “บ๊ายบาย วันนี้ขอบใจนะเว้ย”
   
         “ไม่เป็นไร มีอะไรก็ไลน์มาได้ตลอดนะ”
   
         พอรถสีดำของกันต์หายไปจากคลองสายตาปานตะวันก็กลับมาที่โต๊ะเพื่อเก็บจานและแก้วของเพื่อนให้เรียบร้อยพร้อมกับเช็ดโต๊ะจนสะอาด พอกันต์ไปแล้วก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นอีก ชายหนุ่มรวบเอาถุงของฝากจากเพื่อนมาถือแล้วเดินตรงไปที่หลังร้านซึ่งมีที่สำหรับนั่งพักอยู่ เขาจำได้ว่าราเมศกับเจียหลินเดินมาทางนี้
   
       ปานตะวันเห็นคนรักกับหลานนั่งอยู่ด้วยกันที่ม้านั่งยาวเขาจึงเดินตรงเข้าไปหาด้วยใจสั่นๆ
   
       เอาตรงๆ ตอนนี้ไม่รู้จะง้อใครก่อนดีในเมื่อทั้งคู่พร้อมใจกันงอนเขา
   
       พอเห็นปานตะวันเดินเข้าไปสองน้าหลานที่นั่งเล่นหัวเราะคิกคักก็หยุดชะงักแล้วพร้อมใจกันเงยหน้ามอง ปานตะวันงับริมฝีปากแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “พี่เมศ” เขาตัดสินใจเรียกคนรักก่อน
   
        “ว่าไง”
   
        “คือ...กันต์ฝากของมา เป็นขนมน่ะ”
   
        “อ้อ ฝากขอบคุณเพื่อนนายด้วยนะ”
   
        ยังอีก ยังจะทำหน้านิ่งอีก
   
         “แล้ว...แล้วจะให้เก็บไว้ที่ไหน”
   
        “ในห้องเก็บของพนักงานก็ได้ เลิกงานค่อยไปเอา”
   
         ว่าแล้วก็ทำท่าจะหันไปเล่นกับหลานต่อ ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมา โอเค กับหลานน่ะเขาผิด แต่กับพี่เมศนี่เขาไม่น่าใช่คนผิดนะ แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดนี่คลายลง เขาจะยอมถอยให้ก่อนก็ได้
   
        “พี่เมศมาช่วยตะวันถือหน่อยได้ไหม หนัก”
   
        ราเมศเลื่อนสายตามามองถุงพลาสติกใบใหญ่ในมือปานตะวันแล้วก็เลิกคิ้ว ทำสีหน้าประมาณว่าแค่นี้ก็หนักเหรอ แต่ปานตะวันก็หาได้สนใจไม่ ชายหนุ่มพยักหน้าแบบเอาจริงเอาจัง ส่งสายตาขอความช่วยเหลือขั้นสุด ราเมศเลยถอนหายใจออกมาแล้วก็ดึงเอาถุงใบนั้นมาถือเองพร้อมกับเดินนำไปที่ห้องเก็บของ
   
          เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในห้องปานตะวันก็จัดการปิดประตูแล้วเอนตัวพิงมันเอาไว้ เขาจะไม่ให้พี่เมศออกไปจากที่นี่เด็ดขาดจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง
   
           “อะไร” ราเมศถามเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของปานตะวัน
   
           คนอายุน้อยกว่ากอดอก เอนตัวพิงประตูพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่เมศ...เรามาคุยกันตรงๆ เถอะ พี่โกรธอะไรผม”
   
          ปานตะวันเลี่ยงคำว่า ‘หึง’ ไปก่อน ไม่ใช่อะไร ถ้าเขามั่นหน้าพูดไปว่าพี่เมศหึงแล้วไม่ใช่ก็หน้าแตกยับสิ
   
         “ไม่ได้โกรธสักหน่อย”
   
        “ไม่ได้โกรธที่ไหนหน้าบึ้งอยู่เนี่ย”
   
        “นายต่างหากที่หน้าบึ้ง”
   
        “พี่เมศ” ปานตะวันถอนหายใจออกมา “ผมเดาไม่ออกหรอกนะว่าพี่โกรธเรื่องอะไร อาจจะเป็นเพราะตะวันทำงานไม่ได้เรื่องช่วงกลางวันแล้วพี่ยังโกรธค้างอยู่...ใช่ไหม”
   
        แวบหนึ่งที่ปานตะวันเห็นแววสำนึกผิดบนใบหน้าของราเมศ “ไม่ใช่”
   
        “งั้นอะไร”
   
        “ก็เปล่า ไม่มีอะไร”
   
        ผู้ร้ายปากแข็ง! เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีอะไรแล้วยังจะทำมาพูดว่าไม่มีอีก เมื่อหลอกล่อดีๆ แล้วไม่ยอมพูดปานตะวันเลยตัดสินใจใช้ไม้ตาย
   
        ชายหนุ่มลูบหน้า แสร้งทำสีหน้าเหนื่อยอ่อนซึ่งก็ไม่ได้ยากเลยเพราะวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยจริงๆ
   
        “งั้นก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าไม่ว่าพี่จะโกรธเรื่องอะไรตะวันก็ขอโทษ ตะวันรับผิด โอเคไหมครับ ดีกันเถอะ ตะวันเหนื่อยจะทะเลาะแล้ว”
   
        พูดจบเขาก็หมุนตัวแตะมือลงบนลูกบิด ยังไม่ทันได้หมุนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็รวบตัวเขาเข้าไปกอดแน่น
   
        ปานตะวันยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะเก็บรอยยิ้มไปแล้วปั้นหน้าเหนื่อยล้าต่อ
   
        “มีอะไรหรือครับพี่เมศ”
   
        “ขอโทษ” ราเมศกอดร่างผอมๆ ของปานตะวันเอาไว้แน่น ซบหน้าผากลงกับลาดไหล่ของอีกฝ่าย “พี่งี่เง่าเอง พี่ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะให้รู้สึกอย่างนั้น”
   
       “พี่ไม่ได้งี่เง่าหรอก ตะวันผิดเองที่—“

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 17-06-2017 20:29:48
        “พี่ไม่ได้โกรธนายเพราะเรื่องเมื่อตอนกลางวัน” ราเมศขัด ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเล เขาอึกอักอยู่สองสามนาทีก่อนจะยอมสารภาพออกมา “พี่แค่...หึง”
   
        โฮ่...ไอ้กันต์เดาถูกด้วยแฮะ
   
       ปานตะวันแสร้งเลิกคิ้ว “หึงตะวัน? กับใครครับ” พูดๆ ไปแล้วก็ชักสนุกเมื่อเห็นคนที่ปกติเอาแต่ทำหน้าขรึมติดจะดุมีสีหน้าขัดเขินแกมลำบากใจ
   
       ปานตะวันลอบยิ้มในใจ ขอเค้นผู้ต้องหาให้สารภาพอีกนิดก็แล้วกัน
   
       “หึงตะวัน...กับเพื่อน”
   
       “ไอ้กันต์?”
   
       “อืม”
   
       ปานตะวันถอนหายใจออกมา เขาขยับตัวเข้าไปจนชิดร่างสูงใหญ่ของราเมศแล้วก็กอดหมับเข้าที่เอวอีกฝ่าย ซุกหน้าลงกับแผงอกกว้าง พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้
   
       “ตะวันก็นึกว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ กันต์กับตะวันไม่มีอะไรเกินคำว่าเพื่อนแน่นอน พี่ไม่จำเป็นต้องหึงเลยสักนิด”
   
       “พี่รู้...ก็ไม่ชอบตัวเองเหมือนกันที่เผลอทำให้ตะวันไม่สบายใจ แต่ว่า...” ราเมศขมวดคิ้ว นึกถึงตอนที่เดินเข้ามาแล้วเห็นปานตะวันหัวเราะร่วนขณะที่เพื่อนสนิทแกล้งดึงแก้ม ยีผม แล้วก็เอานิ้วจั๊กจี้ตรงคอ เขาพบว่าตัวเองหงุดหงิดจนอยากจะเดินไปดึงคนทั้งคู่ออกห่างกันเดี๋ยวนั้น
   
       ชายหนุ่มค้นพบเดี๋ยวนั้นเองว่าเขาขี้หึงกว่าที่ตัวเองคิด
   
       “แค่เห็นคนอื่นแตะตัวนาย...แบบนั้น พี่ก็ไม่ชอบใจแล้ว”
   
        ราเมศกอดร่างตรงหน้าเอาไว้พร้อมกับฝังจมูกลงที่แก้มละเรื่อยไปจนถึงลำคอของปานตะวัน ริมฝีปากสัมผัสลงไปทั่วราวกับจะลบรอยของคนอื่นออก
   
        “ฮื้อ พี่เมศ...ตะวันจั๊กจี้นะ”
   
        “อยู่นิ่งๆ”
   
        ปานตะวันดื้นขลุกขลักแต่เรี่ยวแรงของเหลือน้อยลงทุกที จนในที่สุดก็ต้องยอมยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายทำตามใจและเมื่อราเมศพอใจเขาก็ปล่อยลูกแมวตรงหน้าให้เป็นอิสระ
   
        สองแก้มของปานตะวันแดงก่ำ ชายหนุ่มขึงตามองคนรักที่กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง ราเมศหอมแก้มเด็กน้อยของเขาอีกฟอดใหญ่เป็นการเอาใจ
   
        “แล้วเรื่องเมื่อกลางวันพี่ขอโทษนะที่อาจจะดุนายแรงไป”
   
       “ไม่เป็นไรหรอก ตะวันไม่ติดใจเรื่องนั้น ตะวันทำผิด โดนดุก็ถูกแล้ว ตะวันซะอีกที่ต้องขอโทษพี่ที่ทำให้เหนื่อยขึ้นกว่าเดิม”
   
       “ไม่เป็นไร...เท่านี้เราก็หายกันแล้วนะ”
   
        ปานตะวันพยักหน้า โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ทีนี้ก็เหลือหนูเจีย
   
        “ว่าแต่เมื่อเช้านายทะเลาะอะไรกับหลานหรือเปล่า” ราเมศถามขึ้นขณะที่คนโดนถามสะดุ้งเฮือก “ตอนไปรับหนูเจีย หลานมองหานายพอรู้ว่านายไม่มาก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้แล้วก็พูดว่าน้าตะวันเกลียดหนูเจียแล้ว”
   
        ปานตะวันใจกระตุก “หนูเจียพูดแบบนั้นเหรอพี่”
   
        “ใช่ หลานดูกังวลมากนะ ทะเลาะอะไรกันก็รีบไปปรับความเข้าใจกันรู้ไหม”
   
        “ครับ”
   
        แต่จนแล้วจนรอดปานตะวันก็ยังไม่ได้คุยกับหนูเจียเพราะตอนนั้นดันมีลูกค้ากลุ่มใหญ่เข้ามาในร้าน พวกเขาเลยต้องอยู่ดูแลจนถึงเวลาครัวปิด
   
        ตลอดทางกลับบ้านปานตะวันลอบสังเกตหนูเจียก็เห็นว่าเด็กน้อยดูซึมลงไปมาก ท่าทางไม่ร่าเริงเหมือนกลับไปตอนแรกๆ ที่เพิ่งพบกัน
   
       ค่ำนั้นหลังอาบน้ำเรียบร้อยปานตะวันก็ส่งหนูเจียเข้านอนเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้ชายหนุ่มไม่ได้อ่านนิทานหากแต่พาหนูเจียมานอนคุยกัน
   
       “หนูเจีย เรื่องเมื่อเช้า...น้าตะวันขอโทษนะครับ” แค่เขาเริ่มพูด หนูน้อยก็น้ำตาร่วงผล็อยๆ แล้ว ปานตะวันตกใจมากชายหนุ่มรีบร้อนใช้ผ้าห่มเช็ดน้ำตาให้หลานอย่างเบามือ หนูเจียจับมือของเขาเอาไว้พร้อมกับพูดว่า
   
       “หนูเจีย...ก็...ก็ขอโทษน้าตะวันเหมือนกัน หนูเจียไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น หนูเจียผิดไปแล้ว จะไม่ดื้อแล้วคับ น้าตะวันอย่าเกลียดหนูเจียเลยนะ”
   
       “ใครจะไปเกลียดหนูเจียได้ลงล่ะครับ แต่คราวหลังหนูเจียต้องไม่ดื้อแบบนั้นแล้วนะครับ ถ้ามีอะไรไม่ชอบใจก็คุยกันดีๆ น้าตะวันก็จะไม่ขึ้นเสียงใส่หนูเจียแล้วเหมือนกัน”
   
       เจียหลินพยักหน้า เด็กชายโถมตัวมากอดน้าตะวันของตัวเองแน่นแล้วก็ร้องไห้โฮ วันนี้ตอนเย็นที่ไม่เห็นน้าตะวันมารับเขารู้สึกแย่มากจริงๆ
   
       เจียหลินกลัวไปสารพัด กลัวว่าน้าตะวันจะเกลียดเพราะเขาทำตัวไม่น่ารัก
   
       กลัวว่าน้าตะวันจะทิ้งเพราะเขาพูดว่าแม่จันทร์ดีกว่า
   
       เจียหลินรักแม่จันทร์ก็จริง...แต่เขาก็รักน้าตะวันมากเหมือนกัน เด็กชายไม่อยากถูกเกลียด เขาอยากให้น้าตะวันรักเขามากๆ
   
       “หนูเจียขอโทษ หนูเจียรักน้าตะวันนะคับ””
   
       “น้าตะวันก็รักหนูเจียนะ”
   
       ปานตะวันกดจูบลงบนแก้มหยุ่นของหลานชาย หนูเจียวาดแขนโอบรอบคอปานตะวัน เบียดแก้มตัวเองเข้ากับแก้มของเขาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า
   
       “น้าตะวันต้องมารับหนูเจียทุกวันด้วยนะคับ หนูเจียอยากกลับบ้านกับน้าตะวัน”
   
        ปานตะวันหลุดหัวเราะ “ได้สิ น้าตะวันสัญญาเลย”
   
        หลังจากปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยเจียหลินและปานตะวันก็นอนคุยกันต่อ คราวนี้ปานตะวันลองเลียบเคียงถามถึงสาเหตุที่เด็กชายไม่อยากไปโรงเรียนดู
   
       “หนูเจีย พักนี้ที่โรงเรียนโอเคไหมครับ”
   
       “ก็โอเคคับ”
   
       หนูเจียหลุบตา ท่าทางมีพิรุธ ปานตะวันจึงไม่เชื่อคำพูดของหลานเลยแม้แต่น้อย
   
        “ถ้าโอเคแล้วทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ”
   
        หนูเจียอึกอัก เด็กน้อยหันมากอดแขนปานตะวันเอาไว้แน่น ชายหนุ่มยกมือลูบศีรษะหนูเจียเบาๆ “เพราะเกล้าไม่อยู่เหรอครับ”
   
        ปานตะวันสันนิษฐานว่าที่เจียหลินไม่อยากไปโรงเรียนเป็นเพราะเกล้าไม่อยู่แล้ว เด็กน้อยที่ติดเพื่อนมากอาจจะรู้สึกว่าขาดกำลังใจในการไปเรียน รู้สึกไม่สนุก ถ้าเป็นแบบนั้นหนูเจียอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักหนึ่งถึงสองอาทิตย์
   
       “ใช่คับ” เจ้าเด็กแก้มกลมรับคำ “เกล้าไม่อยู่แล้วหนูเจียเหงามากเลยน้าตะวัน”
   
       ปานตะวันอุ้มเจียหลินมานั่งตัก เอาคางเกยศีรษะทุยของหลานชายไว้แล้วพูดว่า “ตอนนี้หนูเจียอาจจะยังเหงาอยู่แต่พอเวลาผ่านไปหนูเจียก็จะชินเองครับ เดี๋ยวหนูเจียก็จะมีเพื่อนใหม่ๆ มาเล่นด้วย จะไม่เหงาอีก”
   
      “แต่ตอนนี้หนูเจียไม่มีเพื่อนเลย” เจียหลินเงยหน้ามองตะวัน ดวงตากลมใสแจ๋ววูบไหวและแฝงด้วยความเศร้า “ไม่มีใครยอมเล่นกับหนูเจียเลยคับ”
   
      ปานตะวันขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ”
   
       “เพราะน็อตไปบอกคนอื่นไม่ให้ยุ่งกับหนูเจีย น็อตบอกว่าคุณแม่เขาบอกไม่ให้ยุ่งกับเจียกับเกล้าเพราะเราเป็นเด็กไม่ดี เป็นเด็กเกเรแล้วก็จะทำร้ายคนอื่น”
   
       พอฟังถึงตรงนี้ปานตะวันถึงกับฉุนขาด  “แล้วน็อตพูดอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มพยายามข่มอารมณ์เอาไว้แม้ว่าตอนนี้จะอยากอาละวาดมากแค่ไหนก็ตาม
   
      หนูเจียพยักหน้า ขอบตาเด็กชายแดงเรื่อขึ้นมาอีกแล้ว “น็อตกับเพื่อน...บอกว่าหนูเจียไม่มีแม่...แล้วก็ล้อว่าน้าเมศกับน้าตะวันเป็นเกย์”
   
        “น็อตรู้เหรอครับว่าคำว่าเกย์แปลว่าอะไร” หนูเจียพยักหน้า ตอบออกมาเสียงเบา “น็อตบอกว่าคำว่าเกย์คือไม่ปกติ”
   
         พอฟังถึงตรงนี้ปานตะวันก็ใจหายวูบก่อนที่ความว่างเปล่าในสมองจะถูกแทนที่ด้วยความโกรธ เขารู้ว่าเด็กพวกนั้นไปเรียนรู้คำศัพท์มาด้วยตัวเองไม่ได้หรอก ยิ่งไอ้ความหมายผิดๆ นั่นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่เด็กจะรู้เอง ต้องมีผู้ใหญ่สักคนพูดให้เขาฟังซึ่งตัวการก็ไม่ใช่ใครหรอกนอกจากผู้หญิงคนนั้น...แม่ของน็อต!
   
        “ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย...” ปานตะวันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ นัยน์ตาวาววับอย่างเอาเรื่อง
   
        เด็กก็เหมือนผ้าขาว...ที่ผู้ใหญ่บางคนชอบเอาสีไปย้อมให้มันเปรอะเปื้อน!
   
        “น็อตบอกว่า...หนูเจียคบกับเพื่อนเกเร หนูเจียเป็นเด็กไม่ดีแล้วก็ล้อหนูเจียว่ามีผู้ปกครองเป็นเกย์...หนูเจียก็พยายามเถียงว่าน้าเมศกับน้าตะวันปกตินะ แถมเก่งมากด้วยแต่ทุกคนก็ไม่เชื่อ ไม่มีใครพูดกับหนูเจียเลย...น้าตะวัน หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียน”
   
       ปานตะวันขบกรามจนขึ้นสันนูน ปกติเวลาอยู่โรงเรียนเกล้าจะเป็นคนดูแลหนูเจียตลอดแต่ตอนนี้คนคอยปกป้องไม่อยู่แล้ว หนูเจียเลยกลายเป็นเป้าหมายการถูกรังแก แต่จะไปโทษน็อตก็ไม่ได้เพราะถ้าผู้ใหญ่ไม่สอนเรื่องผิดๆ ให้แล้วเด็กจะไปรู้ได้ยังไง
   
       ชายหนุ่มกอดหนูเจียของเขาเอาไว้แน่น นึกโกรธตัวเองที่ปล่อยให้หลานชายคนเดียวต้องเจอเรื่องบ้าบอนี่มาตลอดหนึ่งอาทิตย์โดยที่เขาและพี่เมศไม่รู้เรื่องอะไรเลย
   
      “ไม่ต้องร้องนะครับเด็กดี น้าตะวันจะพูดอะไรให้ฟังนะครับ น็อตบอกหนูเจียว่าเกย์คือคนผิดปกติใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอกนะ พวกเขาก็คือคนธรรมดานี่แหละครับ เป็นคนสองคนที่รักกัน เหมือนเวลาคุณพ่อรักคุณแม่แบบนี้ไงครับ”
   
       ปานตะวันอธิบาย เขาไม่แน่ใจว่าเจียหลินจะเข้าใจไหมแต่ก็ยังสอนต่อไป “พวกเขาเป็นคนเหมือนเราทุกอย่าง ไม่มีใครผิดปกติเลยครับ หนูเจียจำไว้นะ ถ้าโตขึ้นหนูเจียจะต้องให้เกียรติทุกคนอย่างเท่าเทียม อย่าเหยียดคนอื่น ทุกคนมีคุณค่าเหมือนๆ กัน เราเป็นคนเหมือนกัน”
   
       เจียหลินกะพริบตาปริบพลางพยักหน้า “จำคำน้าตะวันไว้นะครับหนูเจีย เราจะไม่แตกต่างถ้าเราไม่แบ่งแยก ตอนนี้หนูอาจจะยังไม่เข้าใจแต่พอโตขึ้นหนูเจียจะเข้าใจเอง แค่จำคำน้าไว้ก็พอ ตกลงนะครับ”
   
        “คับ”
   
        “แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารังแกอีกแล้วน้าตะวันกับน้าเมศจะจัดการเรื่องนี้เอง”
   
        “จริงเหรอคับ”
   
        “จริงสิ น้าตะวันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
   
         แววตาของหนูเจียวาววับด้วยหยาดน้ำตาแต่กระนั้นก็ยังเปล่งประกายอย่างมีความสุข เด็กชายเชื่อคำพูดของปานตะวันทุกอย่าง สำหรับเจียหลินแล้วน้าตะวันกับน้าเมศคือฮีโร่ของเขา แค่อยู่ในอ้อมกอดของคนทั้งคู่เด็กชายก็จะรู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำร้ายตัวเองได้อีก ดังนั้นเจียหลินจึงเชื่อหมดหัวใจว่าน้าตะวันจะแก้ปัญหานี้ได้
   
       น้าตะวันปกป้องเขาได้เสมอ
   
       เด็กชายแก้มแดงเรื่อส่งยิ้มหวานให้ปานตะวันพร้อมกับกอดแน่น “หนูเจียรักน้าตะวันที่สุดในโลกเลย!”
   
        ปานตะวันฟัดแก้มหลานเป็นการให้รางวัล ใจชื้นที่เด็กน้อยร่าเริงขึ้นได้แล้ว นั่นก็เป็นเรื่องดีเดี๋ยวพอหนูเจียหลับเขาจะส่งข้อความไปหาราเมศเสียหน่อย ปรึกษาว่าจะทำยังไงดีกับเรื่องนี้ สำหรับใครหลายคนมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กแต่ปานตะวันคิดว่าหากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ทุกคนก็จะจำสิ่งที่น็อตพูดและหนูเจียก็จะถูกใส่ร้าย ถูกแบนจากเพื่อนทั้งห้อง เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว กลายเป็นเด็กมีปมในใจ แล้วไหนจะไอ้ความเข้าใจผิดเรื่องเกย์ที่น็อตเอามาพูดอีก
   
        ปานตะวันรู้ดีว่าทุกวันนี้คนบางส่วนในสังคมก็ยังไม่ได้ยอมรับแต่เขาไม่ชอบใจวิธีการสอนลูกของแม่น็อตที่พูดว่าคนรักเพศเดียวกันเป็นพวกผิดปกติ และยิ่งไม่ชอบใจที่เด็กนั่นจำคำนั้นแล้วเอามาล้อเลียนหลานของเขา มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด
   
       “สงสัยเราคงต้องเจอกันสักตั้ง”
   
        ปานตะวันพึมพำพลางมองหนูเจียที่นอนคว่ำอ่านนิทานอยู่บนเตียง เด็กชายหันมามองแล้วก็ยิ้มอวดฟันกระต่ายให้ หลังปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยลูกแมวน้อยของปานตะวันและราเมศก็เข้ามาเบียดมาออเซาะอย่างน่ารัก เป็นการอ้อนขอคืนดี
   
         “อ๊ะ จริงสิน้าตะวัน หนูเจียลืมเอาอันนี้ให้เลย” จู่ๆ เด็กน้อยที่นอนกลิ้งอยู่ก็ผุดลุกขึ้น หนูเจียวิ่งไปที่กระเป๋าเป้แล้วก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้ปานตะวัน ชายหนุ่มรับมาอ่านดูก็พบว่าเป็นเอกสารแจ้งเรื่องกิจกรรมวันแม่และกิจกรรมประชุมผู้ปกครองที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน ครึ่งเช้าจะเป็นงานวันแม่ส่วนครึ่งบ่ายจะเป็นการประชุมผู้ปกครอง
   
       “คุณครูบอกว่าให้พาคุณแม่ไป...” หนูเจียพูดได้เท่านี้แล้วก็หยุดแต่ปานตะวันเข้าใจสิ่งที่หลานอยากจะสื่อเขาจึงวางมือลงบนศีรษะทุยของเด็กน้อยแล้วพูดว่า “เดี๋ยวน้าตะวันจะไปให้เองครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
   
       “เย้”
   
        ปานตะวันยิ้ม วางกระดาษแผ่นนั้นไว้ที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วดึงหนูเจียลงมานอนด้วย
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปที่กระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง แผนการบางอย่างผุดขึ้นในหัว เป็นเรื่องที่ออกจะบ้าบิ่นและต้องอาศัยความกล้าอยู่สักหน่อย แต่ถ้าแลกกับการที่จะไม่มีใครมารังแกหลานของเขาปานตะวันก็คิดว่ามันคุ้ม...
   
       ปานตะวันยกยิ้ม...ให้กับแผนการที่วางไว้ในใจ

***************************************************

แตกออกเป็นสามรีพลายเพราะตัวอักษรเกิน(อีกแล้ว) :hao5:
ช่วงนี้มันก็จะมีความขยันหน่อยๆ นะคะ 555555 ต้องรีบเขียนตอนมีไฟนี่แหละค่ะ
ตอนนี้เห็นปานตะวันกับหนูเจียทะเลาะกันจริงจังเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้นะคะ หนูเจียปกติเป็นเด็กเรียบร้อย
พอเขียนโหมดดื้อก็รู้สึกว่าอืมมม สมเป็นเด็กน้อยจริงๆ อะไรทำนองนี้ 555555
อีกอย่างที่ชอบคือได้เขียนถึงชนกันต์ด้วยย เป็นตัวประกอบบทน้อยที่มักจะโผล่มาได้ถูกเวลาจริงๆ ค่ะ
ปานตะวันไว้ใจกันต์มาก กันต์เองก็พร้อมรับฟังเสมอ แต่สองคนนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่แน่นอนค่ะ เป็นเพื่อนซี้ปึ้กกันเฉยๆ
พี่เมศคิดเองเออเอง 555555 แต่เอาจริงๆ ปานตะวันก็แอบดีใจที่พี่เมศหึงนะคะ นานๆ ทีฮีจะทำอะไรแบบนี้สักที
ปานตะวันสนุกคนเขียนก็สนุกค่ะ ฮาาาา
ส่วนปานตะวันจะจัดการยังไงกับปัญหานี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บ

ปล. ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ทางเพจ AzureDream นะคะ
 
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-06-2017 20:57:22
รุมเร้าจริงเลยค่ะ

หนูเจีย เด็กน้อย ทนมาได้ไงตั้งหลายวัน ไม่ปริปากบอกเลย น่าสงสาร
ตะวันก็งานเข้าจนไม่ทันมองหลาน แถมทะเลาะกันอีก แต่ก็ดีที่ทะเลาะเรื่องไม่ใหญ่มาก
จะได้แก้ไขกันทัน แล้วจะได้ช่วยหนูเจียทัน

ราเมศขี้หึงไปอีกก กับกันต์ก็รู้จักไหม 55555

ตะวันจะทำไรน้า อยากรู้แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-06-2017 21:38:24
ก็อย่างนี้แหละ มันต้องปรับเข้าหากันไปเรื่อย ๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 17-06-2017 23:02:50
รอ ฉะ กับป้ามหาภัยนางนี้ หึหึ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-06-2017 23:50:38
 :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-06-2017 01:34:45
เอาแล้วซิ ชักอยากเห็นแล้วซิว่าตะวันจะแก้ปัญหายังไงกันน้าาาาา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-06-2017 01:40:34
สงสารหนูเจียเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 18-06-2017 10:06:21
รอเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 18-06-2017 14:24:39
สนุกมากครับ เหตุเกิดเพราะมนุษย์ป้าคนเดียวแท้ๆ
สอนแต่อะไรในเชิงลบให้ลูกตัวเอง เฮ้อ
รอตะวันไปวันประชุมผู้ปกครอง คงสนุกล่ะ

ปล. แอบชอบเกล้า น้องเจียอ่ะ คงอีกนานเนอะ
อาจจะโตในวัยมหาลัยแล้วกลับมาพบกันอาจจะบังเอิญหรือไม่บังเอิญก็ได้ อยากอ่านจริงๆ 555+ แต่เอาเรื่องนี้ให้จบก่อนเนอะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 18-06-2017 17:32:26
 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 18-06-2017 18:27:47
แม่น็อต ต้องโดนตบ!! 555 เดี๋ยวนี้ประเทศไทยมีคนแบบนี้เยอะ จำพวกชอบเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่น ทำร้ายคนอื่น เพียงเพื่อ เค้าแตกต่างกว่าตน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-06-2017 18:55:32
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๖ เรื่องที่ทำได้ (๑๗/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 19-06-2017 14:26:49
รอตะวันจัดการคนปากเสีย  o18
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 24-06-2017 19:29:56
ปานตะวัน
บทที่ ๑๗
จิตใจของคนเป็นพ่อ

        “ตะวัน...เอาแบบนี้จริงๆ เหรอ” ราเมศที่นั่งอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้นเป็นรอบที่สามและคำถามนั้นทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลของปานตะวันตวัดฉับมามองทันที
   
       “พี่ถามผมเป็นรอบที่สามแล้วนะพี่เมศ”
   
       “พี่อยากให้นายทบทวนดูอีกที”
   
       “ผมคิดดีแล้วพี่”
   
        น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังของปานตะวันทำให้ราเมศปิดปากฉับ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนใจปานตะวันได้แล้ว ราเมศเหลือบมองร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยสายตาหลากความรู้สึกก่อนจะถอนหายใจออกมา ปานตะวันที่ได้ยินจึงหมุนตัวกลับมาแล้วพูดว่า
   
        “พี่เมศ ผมทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะผมอยากจะเอาคืนหรืออะไรแต่ผมทำเพื่อไม่ให้ใครมาว่าหนูเจียเสียๆ หายๆ แบบนั้นอีก ผมจะไม่ยอมให้ใครมาล้อเลียนหลานผมว่าเป็นเด็กไม่มีแม่หรือมาล้อว่าหลานมีผู้ปกครองเป็นเกย์ ผมจะไม่...”
   
        “โอเค พี่เข้าใจแล้ว”
   
         ราเมศรีบขัดอีกฝ่าย ชายหนุ่มออกจากเตียงมาหยุดยืนตรงหน้าปานตะวันก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบาออกมา
   
        “ทำแบบที่นายเห็นว่าดีเถอะ พี่จะสนับสนุนนายเอง”
   
        ปานตะวันยิ้มซุกซนให้คนรัก รู้ว่ายังไงราเมศก็ขัดใจเขาไม่ได้...ในเมื่อแผนการนี้ปานตะวันตกลงใจไปตั้งนานแล้วว่าจะทำ
   
        หลังจากค่ำคืนนั้นที่หนูเจียกับเขาเปิดใจคุยกัน ปานตะวันก็รับรู้ปัญหาหนักหน่วงที่หลานชายเผชิญได้ ชายหนุ่มเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาราเมศซึ่งกังวลกับสภาพจิตใจหนูเจียไม่แพ้กัน พวกเขาสองคนพากันไปคุยกับคุณครูประจำชั้นให้ช่วยดูแลหนูเจีย ผลปรากฏคือเด็กๆ ในห้องบางคนก็กลับมาคุยกับหนูเจียตามเดิม ส่วนบางคนก็ยังคงทำตามที่น็อตบอกคือไม่ยุ่งและเอาแต่ล้อเลียนหนูเจียหรือแกล้งเด็กชายทุกครั้งที่มีโอกาส
   
       ปานตะวันไม่พอใจนักที่น็อตไม่ยอมหยุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจงัด ‘แผน’ ที่คิดไว้ขึ้นมาใช้ เขาเอาแผนนี้ไปปรึกษาราเมศที่แม้จะทำหน้าไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่พูดขัด
   
       ปานตะวันหมุนเก้าอี้หันกลับไปหน้ากระจกอีกครั้งก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนบานกระจกเย็นเฉียบพลางมองเงาของตนที่สะท้อนกลับมาด้วยแววตาพึงพอใจ
   
       ตอนนี้เงาที่สะท้อนในกระจกของปานตะวันกลายเป็นเงาของหญิงสาวที่มีเส้นผมสีดำเงางามยาวจรดกลางหลัง ดวงตากลมสีน้ำตาลล้อมกรอบด้วยแพขนตาหนา พวงแก้มเป็นสีแดงระเรื่อและริมฝีปากได้รูปก็ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีพีช ส่งให้ใบหน้าที่บัดนี้แยกได้ยากว่าเป็นหญิงหรือชายดูมีเสน่ห์แบบธรรมชาติเพิ่มขึ้น
   
        ใช่แล้ว...แผนการของปานตะวันก็คือการ ‘แต่งเป็นคุณแม่’ ไปในงานโรงเรียนวันนี้
   
        มันเป็นแผนการเรียบง่ายไม่ซับซ้อนอะไรแต่ต้องอาศัยความใจกล้าพอดู ปานตะวันไม่อายที่จะถูกจ้องหรือถูกซุบซิบนินทา เขาจะอาย...ถ้าปกป้องหลานจากคำครหาไม่ได้เสียมากกว่า
   
        ถ้าคนพวกนั้นบอกว่าหนูเจียไม่มีแม่...วันนี้ปานตะวันก็จะเป็น ‘คุณแม่’ ให้หนูเจีย
   
        ถ้าคนพวกนั้นบอกว่าการเป็นเกย์คือเรื่องผิดปกติ...ปานตะวันก็จะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าครอบครัวของเขาไม่ได้แปลกประหลาดไปกว่าใคร
   
        ถ้าคนพวกนั้นพูดว่าการที่มีผู้ปกครองเป็นวัยรุ่นจะทำให้หนูเจียเติบโตมาเป็นเด็กที่ใช้ไม่ได้หรือการอบรมสั่งสอนของเขาไม่เป็นผลดีต่อหนูเจีย...ปานตะวันก็จะทำให้คนพวกนั้นรู้ว่าเขาพยายามเพื่อหนูเจียได้มากแค่ไหน และปานตะวันจะเป็นผู้ใหญ่ให้มากขึ้นเพื่อหนูเจียได้ยังไง
   
        เขาจะทำให้ทุกคนเห็นเอง
   
        ปานตะวันคลี่รอยยิ้มหวานขณะสบตากับราเมศผ่านกระจก
   
        “ตะวันสวยไหมพี่เมศ”
   
         ราเมศหัวเราะพลางพิจารณาปานตะวันที่วันนี้อุตส่าห์ลุกมาตั้งแต่เช้ามืดเพื่อมาแต่งหน้าแต่งตัว แปลงตัวเองจากหนุ่มหล่อมาเป็นสาวสวย ตอนแรกที่ราเมศกลับมาแล้วเห็นปานตะวันกำลังทาลิปสติกอยู่หน้ากระจกเขาถึงกับยืนค้างอยู่หน้าประตู นึกว่ามีผู้หญิงมาหาปานตะวันแต่พอมองดูดีๆ ก็พบว่าหญิงสาวผมดำหน้ากระจกไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นแฟนตัวดีของเขานั่นเอง
   
         ถามว่าสวยไหม ราเมศบอกได้ว่าไม่ถึงกับสวย...แต่น่ารัก
   
         ปานตะวันเป็นผู้ชายที่โครงหน้าค่อนข้างหวานอยู่แล้ว พอใส่วิกผมแล้วแต่งหน้าทาปากก็แยกยากอยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
   
        ราเมศมองปานตะวันที่ยักคิ้วส่งมาให้แล้วก็ตอบไปว่า “สวย”
   
        “ตกหลุมรักเลยล่ะสิ”
   
        “ครับ ยอมแล้ว”
   
        ปานตะวันเงยหน้าขึ้นหัวเราะก่อนจะเอียงคอมองตัวเองในกระจก “พอมองแค่หน้าก็แยกยากอยู่หรอกว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถ้ามองเต็มตัวนี่ดูแป็บเดียวก็รู้เลยว่าผู้ชาย”
   
        ปานตะวันลุกขึ้นยืน ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดไทยแขนกระบอกสีฟ้าท่อนล่างสวมผ้าซิ่นสีเดียวกันแต่โทนอ่อนกว่า แน่นอนว่าชุดนี้ปานตะวันไปบีบคอชนกันต์เพื่อนรักให้หามาให้ ไอ้กันต์ที่ทำหน้าเหมือนคนถูกบังคับให้กลืนบอระเพ็ดก็ยินยอมแม้จะหาชุดไปบ่นไปก็ตาม แต่หลังจากเอาชุดมาให้มันยังมีการทิ้งท้ายว่าถ้าสวมแล้วให้ถ่ายรูปส่งไปให้ดูด้วย
   
      ชายหนุ่มหมุนตัวไปมา โครงร่างของเขาไม่ได้บอบบางและมีส่วนเว้าโค้งเหมือนผู้หญิง พอมาใส่ชุดแบบนี้แล้วถ้าไม่โดนทักว่าเป็นสาวทรงกระดานก็คงไม่พ้นโดนทักว่าเป็นกระเทย แต่ช่างมันสิ ปานตะวันไม่สนซะอย่าง ผ้าซิ่นยาวกรอมเท้าทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกนักแต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรติดขัดแล้ว
   
       “นายจะใส่ส้นสูงไหม” ราเมศถาม ปานตะวันส่ายหน้าทันที “ไม่เอาพี่ใส่ส้นสูงอีกผมคงได้สูงโดดออกมาจากพวกแม่ๆ แหง รองเท้าธรรมดานี่ล่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
   
       “เอางั้นก็ได้ จะไปกันหรือยังล่ะ เดี๋ยวไม่ทันงานเริ่มนะ”
   
       “ไปเลยก็ได้”
   
       ปานตะวันหยิบกระเป๋าถือของผู้หญิง(ที่ไอ้หนึ่งไปหามาให้) ขึ้นมาก่อนจะยัดโทรศัพท์และกระเป๋าเงินลงไป ชายหนุ่มเดินช้าลงจนราเมศต้องหยุดรอเป็นระยะ
   
        “เดินแบบนี้วันนี้จะถึงโรงเรียนไหม” คนตัวโตล้อ ปานตะวันเลยแยกเขี้ยวขู่ฟ่อเข้าให้ “ก็มันไม่ชินนี่นา พี่ลองมาใส่สิจะได้รู้ว่าใส่ผ้าซิ่นแบบนี้แล้วเคลื่อนไหวยากนะ!”
   
       “พี่ไม่ใส่หรอก” ราเมศตอบขณะเดินย้อนกลับไปประคองปานตะวัน ขืนปล่อยให้เดินต้วมเตี้ยมแบบนั้นไปเรื่อยๆ พวกเขาคงไปไม่ทันงานวันแม่ช่วงเช้าแน่ๆ ชายหนุ่มโอบแขนรัดรอบราวเอวของปานตะวันพลางตอบยิ้มๆ ว่า “ใส่ไปก็ไม่น่ารักแบบนาย”
   
       เพียะ
   
       ไม่รู้ว่าเขินหรืออะไรแต่พอจบประโยคนั้นปานตะวันก็ฟาดมือเข้าที่แขนเขาทันที
   
       “โอ๊ย! เจ็บนะเนี่ย ตีพี่ทำไม”
   
        “เนียนนะ”
   
        “อะไรเนียน” ราเมศเลิกคิ้ว แสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนปานตะวันก็กลอกตาใส่อีกฝ่ายพร้อมกับพูดว่า “ทั้งตัวที่ประกอบเป็นพี่เมศนั่นแหละ”
   
        ทั้งมือ ทั้งแขน ทั้งคำพูด...ไม่เนียนก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้ว
   
        วันนี้ในโรงเรียนคลาคล่ำไปด้วยผู้ปกครองที่มางาน ราเมศเข้าไปจอดรถในโรงเรียนไม่ได้เพราะที่จอดรถเต็มจึงต้องขับวนอยู่สองสามรอบเพื่อหาที่จอดรถ เมื่อหาที่จอดได้แล้วปานตะวันกับราเมศก็เดินเคียงกันเข้าไปด้านใน
   
        ดูเหมือนว่าแผนการปลอมตัวของปานตะวันจะใช้ได้ผล ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่สนใจเขา มีแค่บางคนเท่านั้นที่เผลอมองหน้าปานตะวันแล้วก็ติดใจสงสัยจนต้องหันมามองซ้ำ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนประเภทนี้คือยังคิดไม่ตกว่าปานตะวันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่
   
        ก็ดีแล้ว
   
        ปานตะวันกับราเมศเดินหลบหลีกผู้คนไปนั่งพักในโรงอาหาร ปานตะวันกัดริมฝีปากเมื่อถอดรองเท้าออกแล้วพบว่าตรงส้นเท้าและบริเวณนิ้วเท้าแดงก่ำจากการเสียดสี

       "รองเท้ากัดเหรอตะวัน"

       "ครับพี่"

       "ไหวหรือเปล่าเนี่ย แดงขนาดนี้" ราเมศนั่งลงหน้าปานตะวัน ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะช้อนเอาเท้าของคนรักขึ้นมาวางบนหัวเข่า นัยน์ตาสีนิลพินิจดูรอยแผลรองเท้ากัดอย่างกังวล

       "ตะวันไหว ไปกันเถอะพี่ เดี๋ยวไม่ทัน หนูเจียน่าจะลงไปที่ห้องตั้งนานแล้ว" เพราะแต่งตัวแต่งหน้านานทำให้ออกจากบ้านช้า ระหว่างทางรถก็ติด ยิ่งช่วงใกลจะถึงโรงเรียนยิ่งติด ไหนจะต้องวนหาที่จอดรถอีก

       ตามกำหนดการในใบที่หนูเจียให้มาเขียนไว้ว่างานวันแม่ที่จัดในหอประชุมจะมีการแสดง มีตัวแทนนักเรียนจากแต่ละห้องนำดอกไม้ไปไหว้แม่ตัวเองแล้วก็มีการเชิญตัวแทนคุณแม่ขึ้นกล่าวอะไรสักเล็กน้อย เมื่องานบนหอประชุมเสร็จเด็กๆ ก็จะกลับมาที่ห้องเรียนโดยที่คุณแม่คนอื่นจะรออยู่ข้างในเพื่อให้ลูกของตนนำดอกมะลิมาให้
   
       ตอนนี้พวกเขาสายมากแล้ว
   
       “ร้อนไหมตะวัน” ราเมศสังเกตเห็นเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นบนหน้าผากคนรักก็ถามอย่างเป็นห่วง ชายหนุ่มส่งกระดาษทิชชู่ให้ปานตะวันเอาไปซับเหงื่อ
   
       “นิดหน่อยพี่เมศ ไม่เป็นไรหรอก”
   
       “เอาน้ำไหมเดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”
   
       “ไม่เป็นไรครับ” ปานตะวันก้มดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า “เรารีบไปกันเถอะนะ”
   
       “โอเค งั้นมานี่ เดี๋ยวพี่ช่วยพยุง”
   
      ปานตะวันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ความแสบจากแผลรองเท้ากัดทำให้เขานิ่วหน้าแต่ก็ยอมอดทน พยายามเดินให้เร็วเท่าปกติเพื่อจะได้ไปหาหนูเจียได้ทันเวลา
   
        เก้าโมงครึ่งพิธีการทุกอย่างบนหอประชุมก็เสร็จสิ้น นักเรียนชั้นอนุบาลเป็นกลุ่มแรกที่จะได้ลงจากหอประชุม คุณครูประจำชั้นสองคนช่วยกันดูแลให้นักเรียนตัวน้อยเดินเรียงแถวกลับห้อง
   
         เจียหลินเป็นหัวแถวฝั่งผู้ชายเพราะเขาตัวเล็กสุด ตอนที่เดินออกมาเด็กชายตัวน้อยพยายามสอดส่ายสายตาหาน้าตะวันของเขาไปตลอดทางแต่ท่ามกลางผู้ปกครองร่างสูงใหญ่หนูเจียไม่เห็นวี่แววคุณน้าของเขาเลย
   
        เด็กชายกัดริมฝีปาก ความรู้สึกหวาดกลัวและเสียใจปนเปกันอยู่ในอก
   
        วันนี้เป็นวันแม่...หนูเจียไม่มีแม่ดังนั้นเขาเลยขอให้น้าตะวันมาแทนและน้าตะวันก็ตกลงแล้ว เมื่อเช้าอีกฝ่ายบอกให้เขาไปโรงเรียนกับน้าเมศก่อนแล้วจะตามมาทีหลัง เจียหลินก็เชื่อ แต่ตอนนี้ ตอนที่เดินมาถึงห้องแล้วแต่ยังไม่เห็นหน้าน้าตะวันและน้าเมศเด็กชายก็เริ่มกลัวว่าคนทั้งคู่อาจจะไม่มา
   
        “สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองทุกท่าน ขอบคุณที่สละเวลามาร่วมงานวันแม่ในวันนี้นะคะ” คุณครูประจำชั้นพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะที่ครูอีกคนดูแลให้เด็กๆ ตั้งแถว วันนี้โต๊ะเรียนถูกดันไปไว้ท้ายห้อง แทนที่ด้วยเก้าอี้พลาสติกสำหรับผู้ปกครอง ส่วนตรงหน้าห้องเรียนมีเก้าอี้ตั้งอยู่สองแถว แถวละหกตัว เด็กๆ สิบสองคนแรกเดินเรียงเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่หน้าเก้าอี้รอให้ผู้ปกครองของตนเดินเข้ามาหา
   
        เจียหลินกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง น้าตะวันยังไม่มา น้าเมศก็ยังไม่มา
   
        ทำไมถึงมาสายกันนะ หรือว่า...จะไม่มาแล้ว
   
         หัวใจดวงน้อยกระตุกสั่นด้วยความเสียใจและหวั่นวิตก หนูเจียเหลือบมองที่ประตูห้องแต่ก็ยังไม่เห็นเงาของผู้ปกครองและนั่นทำให้เด็กชายรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาดื้อๆ
   
        เจียหลินขยับออกจากแถวแล้วเดินไปต่อท้ายสุดเพื่อเป็นการพยายามยืดเวลาออกไปเพื่อรอหน้าตะวัน
   
        “กราบ”
   
         เสียงแหลมๆ ของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ดึงเจียหลินออกจากความคิดวุ่นวายของตัวเอง เด็กชายมองเพื่อนสิบสองคนแรกก้มกราบแทบเท้าผู้เป็นแม่ก่อนที่แต่ละคนจะยืดตัวขึ้นแล้วติดเข็มกลัดดอกมะลิเข้าที่อกเสื้อของแม่ จากนั้นก็โถมตัวเข้าอ้อมกอดอุ่นๆ
   
         ในวินาทีนั้นเจียหลินคิดถึงจันทร์จ้าว
   
        เด็กชายคิดถึงรอยยิ้มหวานๆ และอ้อมกอดอุ่นๆ ของแม่จันทร์
   
        คิดถึงเสียงนุ่มๆ และฝ่ามือที่คอยลูบไล้ศีรษะและแผ่นหลัง
   
        ไม่มีอีกแล้ว...
   
         ตอนนี้ เวลานี้ ถ้าน้าตะวันมาไม่ทันมันก็จะมีแค่เขากับเก้าอี้พลาสติกว่างเปล่าหนึ่งตัวและเจียหลินรู้ดีว่าน็อตจะต้องเอาเรื่องนี้มาล้อเลียนเขาอีกแน่ๆ
   
        แถวขยับสั้นลงเรื่อยๆ พร้อมกับความหวังของเด็กชายที่ริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน ในที่สุดก็หมดเวลา...
   
        เด็กสิบสองคนสุดท้ายของห้องเดินไปนั่งพับเพียบหน้าเก้าอี้พลาสติก เจียหลินหันไปที่ประตูห้องเป็นครั้งสุดท้ายหวังจะเห็นน้าตะวันกับน้าเมศเดินยิ้มเข้ามาแต่ด้านนอกประตูก็ยังว่างเปล่า
   
        ผู้ปกครองที่เหลือต่างเดินไปนั่งหน้าลูกชายลูกสาวของตัวเอง กลายเป็นว่าตอนนี้เหลือแค่เจียหลิน...ที่เก้าอี้ด้านหน้ายังว่างเปล่า
   
       เด็กชายก้มหน้า ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่พาให้หยาดน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา
   
       ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากได้ยิน
   
        น้าตะวันใจร้าย...ไหนสัญญาว่าจะมาไง แล้วทำไมถึงทิ้งหนูเจียไว้คนเดียว
   
        น้าตะวัน...
   
        “ขอโทษที่มาสายครับ ตอนนี้ยังทันใช่หรือเปล่า”
   
       
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 24-06-2017 19:49:59
เสียงทุ้มนุ่มที่ได้ยินอยู่ทุกวันทำให้เจียหลินเงยหน้าขึ้น น้ำตาเหือดหายไปทันที เด็กชายหันขวับไปที่ประตูแล้วก็พบร่างสูงใหญ่ของน้าเมศกับ...ผู้หญิงผมยาวสีดำในชุดไทยสีฟ้าคนหนึ่ง
   
       เด็กน้อยขมวดคิ้ว ตอนแรกยังไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่เมื่อสบตากันแล้วอีกฝ่ายขยิบตาให้อย่างขี้เล่นเด็กชายก็รู้ได้ทันทีว่าคนคนนั้นคือน้าตะวันของตนนั่นเอง
   
       “น้าตะวัน น้าเมศ!” หนูเจียผุดลุกจากพื้น วิ่งเร็วจี๋ไปหาน้าชายทั้งสอง น้าตะวันในชุดไทยกางแขนออกแล้วรับตัวเด็กน้อยที่กระโดดกอดไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
   
       “น้าตะวันกับน้าเมศมาแล้ว!”
   
        ปานตะวันหัวเราะก่อนจะอุ้มเจียหลินขึ้นมาหอมแก้มซ้ายแก้มขวาไปฟอดใหญ่ ราเมศเองก็โน้มตัวมาจุ๊บแก้มนิ่มของหลานชายเช่นกัน
   
        พอมาอยู่ในอ้อมกอดใกล้ๆ แบบนี้แล้วเจียหลินก็มั่นใจว่าคนคนนี้คือน้าตะวันไม่ผิดแน่ ทั้งรอยยิ้ม สีหน้าและแววตาให้ความรู้สึกคุ้นเคยและชวนให้อุ่นใจ
   
      “ก็ต้องมาสิครับ สัญญากับหนูเจียไว้แล้วนี่นา แต่ขอโทษที่มาสายนะครับ”
   
       เจียหลินส่ายหน้า “ไม่เป็นไรคับ” แค่น้าตะวันมาเขาก็ดีใจมากแล้ว
   
        เด็กชายกอดคอน้าของตัวเองไว้แน่น ยอมให้ปานตะวันอุ้มจนถึงเก้าอี้ว่างเปล่าเพียงตัวเดียวที่เหลืออยู่ก่อนจะปล่อยให้เด็กชายลงนั่งพับเพียบที่พื้น ดวงตาของเจียหลินเปล่งประกายระยับอย่างมีความสุขตอนเงยหน้ามองปานตะวัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเด็กชายดีใจแค่ไหนที่คนสำคัญของเขาอยู่ตรงนี้
   
       “กราบ”
   
       ปานตะวันมองร่างเล็กก้มกราบแทบเท้าตนด้วยดวงตารักใคร่ หัวใจของเขาพลันเต็มตื้นขึ้นมา ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นอยู่ในอก รุนแรงเสียใจขอบตาของเขาแสบร้อนและหยดน้ำตาเริ่มเอ่อท้นขึ้นมา
   
       เป็นความรู้สึกดีใจ ภาคภูมิใจ รักใคร่และเอ็นดู
   
      ปานตะวันลูบหัวหนูเจียเบาๆ ก่อนจะอุ้มเด็กชายมานั่งตักเพื่อให้เด็กน้อยติดเข็มกลัดดอกมะลิลงบนอกเสื้อเขาได้ถนัด
   
      “น้าตะวันคับ” หลังติดเข็มกลัดเสร็จหนูเจียก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับปานตะวัน “หนูเจียขอโทษที่ทำตัวดื้อกับน้าตะวัน หนูเจียขอโทษที่เป็นเด็กไม่ดีในบางครั้ง แต่หนูเจียสัญญาว่าหนูเจียทำตัวให้ดีขึ้นมากกว่านี้ ขอโทษที่ทำให้น้าตะวันเหนื่อยมาตลอด สำหรับหนูเจียน้าตะวันไม่ใช่แค่น้าแต่เป็นเหมือนพ่อของหนูเจียด้วย หนูเจียรักน้าตะวันมากเลยนะคับ”
   
        ...พ่อ...
   
        คำคำเดียวจากเจียหลินทำให้ปานตะวันถึงกับนิ่งค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความคาดไม่ถึง
   
        หนูเจียคิดว่าเขาเป็นพ่อ...อย่างนั้นหรือ
   
        ในชีวิตยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา...ปานตะวันไม่เคยคิดมาก่อนว่าอยากจะเป็นพ่อคน เขาในอดีตนั้นรักแต่ความสนุกสบาย ไม่อยากมีลูกและไม่คิดจะมี เขาเชื่อมาตลอดว่าการมีลูกเป็นเรื่องยุ่งยาก เป็นภาระ อีกอย่างคนรักชอบเพศเดียวกันแบบเขาจะมีลูกได้ยังไง รับเด็กมาเลี้ยงก็ยุ่งยากอีก
   
       แต่ในตอนนี้...ตัวเขาในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว
   
       เขารักเจียหลินเหมือนลูกชายคนหนึ่งและรู้สึกภูมิใจเหลือเกินที่ได้ดูแลเด็กคนนี้ อยากจะเลี้ยงให้เป็นคนดี...ดีกว่าที่เขาเป็น อยากจะเห็นหนูเจียจบปริญญา อยากจะเห็นลูกรักคนนี้เติบโตมีชีวิตที่ดีพร้อมและสวยงาม
   
       เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกดีและรู้สึกอยากรับผิดชอบกับคำว่า ‘พ่อ’ ที่เจียหลินเอ่ยออกมาได้มากขนาดนี้
   
       “ขอบคุณนะหนูเจีย...ขอบคุณนะครับ”
   
       ปานตะวันทำได้แค่กระซิบคำนั้นซ้ำๆ ระหว่างที่กอดเด็กน้อยเอาไว้
   
       “หนูเจียก็เป็นลูกชายที่พ่อตะวันรักมากที่สุดเหมือนกัน”
   
        ปานตะวันกับเจียหลินมองหน้าแล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน รู้สึกจั๊กจี้กับคำว่าพ่อที่ไม่ชินปากนั้น แต่ก็คงจะทำให้ชินได้ไม่ยากหรอก
   
        ถึงจะแปลกหูไปบ้างในตอนแรก...แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบนี่นา
   
        “น้าเมศ น้าตะวันร้องไห้ล่ะ”
   
        หลังจากติดดอกไม้เสร็จปานตะวันกับหนูเจียก็เดินมานั่งข้างราเมศ ชายหนุ่มผิวแทนรับหน้าที่เป็นตากล้องถ่ายรูปให้สองน้าหลาน เมื่อถ่ายรูปเสร็จเจียหลินก็รีบพูดขึ้นมาทันที เด็กชายกระตุกแขนเสื้อราเมศด้วยสีหน้าเป็นกังวล “น้าเมศโอ๋ๆ น้าตะวันหน่อยนะคับ”
   
        ราเมศพยักหน้าให้หลานชายก่อนจะยื่นทิชชู่ให้ปานตะวัน “หนูเจียก็โอ๋ๆ น้าตะวันด้วยนะครับ น้าของหนูเขาเป็นแมวขี้แย”
   
         “แมวขี้แยอะไรของพี่เล่า! ทำไม ก็คนมันซึ้ง ร้องไห้หน่อยไม่ได้หรือไง”
   
        “ก็ร้องไปสิใครห้าม”
   
        “ไม่ได้ห้ามแต่ล้อใช่ไหม”
   
        “น่าๆ”
   
         เจียหลินหัวเราะคิกคักกับการต่อล้อต่อเถียงนั้น ตอนนั้นเองที่ปานตะวันเหลือบเห็นแม่ของน็อต ชายหนุ่มเลือกนั่งเก้าอี้แถวหน้า ถัดจากเขาไปสามตำแหน่งคือหญิงสาวคนนั้นกับลูกชายของเธอ ปานตะวันเผลอสบกับดวงตาคมกริบที่ปรายตามามองเขาด้วยแววตาไม่พอใจเข้าพอดี
   
       ชายหนุ่มลอบยิ้มกับตัวเอง
   
       ขัดหูขัดตาขัดใจสินะ...หึ
   
        “สวัสดีอีกครั้งนะคะคุณผู้ปกครองทุกท่าน” น้ำเสียงหวานผ่านไมโครโฟนของคุณครูประจำชั้นดึงสติปานตะวันให้กลับมาจดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้า “ทางโรงเรียนต้องขอขอบพระคุณอีกครั้งที่ทุกท่านให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้นะคะ เอาล่ะค่ะ หลังจากที่เมื่อครู่เราได้ทำกิจกรรมมอบดอกมะลิให้กับคุณแม่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เราจะขอให้ตัวแทนคุณแม่ขึ้นมากล่าวอะไรสักเล็กน้อยได้ไหมคะ” คุณครูสาวกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อหาตัวแทน แล้วตอนนั้นเองที่คุณแม่ของน็อตชูมือขึ้นด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
   
         “คุณแม่ขออาสาก็แล้วกันค่ะคุณครู”
   
         “คุณแม่ของน้องน็อตอาสาเป็นตัวแทนแล้วนะคะ ขอเสียงปรบมือให้คุณแม่หน่อยค่า”
   
         เสียงปรบมือดังอยู่ประมาณสามวิก่อนจะเงียบลง ปานตะวันมองหญิงสาวที่เดินไปรับไมโครโฟนจากคุณครูด้วยสีหน้านิ่งเฉย ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหล่อนเหลือบมองมาที่เขา
   
         “สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน วันนี้ฉันรู้สึกดีใจจริงๆ ที่ได้ขึ้นมาเป็นตัวแทนกล่าวความรู้สึกในงานวันแม่นี้” หญิงสาวหยุดเล็กน้อยเพื่อปรับลมหายใจก่อนจะเอ่ยต่อ “สิ่งที่ฉันจะพูดในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากอยากจะฝากคำพูดให้ลูกๆ ทุกคนได้จดจำเอาไว้ วันนี้พวกหนูอาจไม่เข้าใจแต่วันหน้าเมื่อโตขึ้นพวกหนูจะเข้าใจดี แม่ขอให้หนูเป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่ รักพวกท่านให้มากๆ ไม่ใช่เฉพาะวันนี้แต่รักพวกท่านในทุกๆ วัน เชื่อฟัง ช่วยเหลืองานบ้านเมื่อโตขึ้น ไม่สร้างความเดือดร้อน แม่ขอให้พวกหนูรู้ไว้ว่าพวกหนูคืออนาคต คือความหวังของคนเป็นพ่อเป็นแม่นะคะ”
   
         เสียงปรบมือดังขึ้นแต่หญิงสาวยังพูดไม่จบ เธอรอจนเสียงปรบมือหายไปก่อนจะเริ่มประโยคใหม่อีกครั้ง
   
        “เมื่อครู่คือความในใจจากฉันถึงลูกๆ ตอนนี้ฉันจะขอพูดความในใจของฉันถึงผู้ปกครองคนอื่นๆ บ้าง” ถ้าปานตะวันตาไม่ฝาดเขาคิดว่าเธอจ้องมาที่เขาตรงๆ ไม่ใช่การปรายตามองผ่านแบบที่แล้วมา
   
       “มีหลายหัวข้อเลยค่ะที่ฉันอยากจะพูด แต่วันนี้ฉันจะขอยกเรื่องใกล้ตัวมาพูดก่อนก็แล้วกันนะคะ มันเป็นเรื่องของการใช้ความรุนแรง ทุกคนคงเคยเห็นหรือเคยได้ยินข่าวการใช้ความรุนแรงมาบ้างแล้ว หลายคนคงคิดว่าแหม มันเป็นเรื่องไกลตัว จะไปมีอะไร แต่ทุกท่านทราบไหมคะว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คุณคิด
   
       เพื่อให้เห็นภาพฉันจะยกตัวอย่างสถานการณ์สมมติให้ฟัง สมมตินะคะว่าวันหนึ่งมีเด็กผู้ชายสามคนอยู่ด้วยกัน เด็กผู้ชายคนที่หนึ่งและสองเป็นเพื่อนกัน พวกเขาทะเลาะกับเด็กชายคนที่สาม เด็กชายคนที่หนึ่งผลักเด็กคนที่สามล้มจนได้แผล เรื่องนี้อาจฟังดูธรรมดาแต่ถ้าฉันพูดว่าการที่เด็กชายคนที่หนึ่งมีพฤติกรรมแบบนั้นเป็นเพราะเขาอยู่ในครอบครัวที่มีการใช้ความรุนแรงล่ะคะ ถ้าฉันพูดว่าเขาอาจจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวยิ่งกว่านั้นใส่คนอื่น อาจจะทำใส่ลูกของฉันหรือลูกของคุณ...คุณจะยังมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวอยู่หรือเปล่า แล้วเด็กคนที่สองที่คบกับเพื่อนแบบนั้นเขาจะไม่ใช่อันธพาลไปด้วยหรือ...คุณคิดว่ามันจะดีกับลูกของเราไหมถ้าเราปล่อยให้เขายุ่งเกี่ยวกับเด็กทั้งคู่ หรือจะดีกว่าถ้าเราป้องกันให้ลูกของเราอยู่ห่างจากเด็กประเภทนี้ได้”
   
         ปานตะวันจ้องตอบหญิงสาวก่อนจะเหยียดริมฝีปากออก
   
        ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองมาที่เขา ได้ยินเสียงซุบซิบลอยมาเข้าหู เขาคิดไว้แล้วล่ะว่าแม่ของน็อตคงเอาเรื่องของเขาไปเล่าให้ผู้ปกครองคนอื่นฟังเรียบร้อยแล้ว เธอคงจะรู้จักคนเยอะทีเดียว
   
       อันที่จริงถ้าฟังแบบคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรปานตะวันก็คงจะคิดว่าคำพูดของหญิงสาวนั้นถูกต้อง เธอคนนี้เก่งในเรื่องการเลือกใช้คำพูดให้ดูสวยหรูเพื่อโน้มน้าวคนเสียเหลือเกิน
   
        “จากประเด็นเรื่องการใช้ความรุนแรงและพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็ก หากเราสืบย้อนกลับไปอีกเราอาจจะค้นพบว่ามันมีสาเหตุมาได้จากหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้เลี้ยงดู สำหรับเราๆ ที่โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วนั้นคงไม่มีปัญหาเพราะเราสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด สิ่งไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับลูกของเรา แต่กับผู้ปกครองบางคนที่อายุยังน้อย ยังขาดการไตร่ตรองและไม่รู้ว่าควรจะสั่งสอนลูกหลานแบบไหน พวกเขาอาจจะให้การอบรมเด็กผิดๆ จนเด็กโตมามีปัญหา”
   
         ปานตะวันหรี่ตาลง ก่อนจะหันไปมองราเมศแล้วกระซิบกับคนรักเบาๆ
   
        “จงใจหาเรื่องกันแล้วชัดๆ”
   
          ราเมศลูบหลังมือของปานตะวันเป็นเชิงปลอบ ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ชอบใจกับคำพูดของหญิงสาวเท่าไหร่ ราเมศรับรู้ได้ว่าภายใต้คำพูดสวยหรูเหล่านั้นเธอแฝงการเหน็บแนมและการกล่าวหาเอาไว้ด้วย
   
          “และประเด็นสุดท้ายที่ฉันอยากจะพูดถึงก็คือการเลี้ยงลูกที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้เด็กเติบโตมาแบบไม่ปกติ...เช่นอารมณ์ร้าย ก้าวร้าว หรือ...เบี่ยงเบน ฉันเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้โลกเราเปิดกว้างมากขึ้น แต่...มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุดอยู่ดีอะไรที่มันเปิดเผยเกินไปก็อาจจะชักนำลูกของคุณให้ผิดไปจากกรอบของความปกติได้”
   
         “หัวเก่าชะมัด” ปานตะวันพึมพำเบาๆ
   
         “สิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อก็คือเราควรช่วยกันสอดส่องดูแลความปลอดภัยของลูกเรา ทั้งการคบเพื่อน หลีกเลี่ยงเด็กที่มีแนวโน้มการใช้ความรุนแรงและช่วยกันสั่งสอนพวกเขาอย่างถูกวิธีให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีของสังคม...จริงไหมคะ...คุณตะวัน”
   
        ภายในห้องเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องมาที่ปานตะวันแต่ชายหนุ่มกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เขายิ้มกว้างแล้วตอบกลับไปว่า
   
        “แน่นอนที่สุดครับคุณแม่ แต่ในเมื่อคุณพูดจบแล้วผมก็ขอเสริมอะไรสักเล็กน้อย”
   
       ปานตะวันรับไมโครโฟนมาก่อนจะก้าวไปยืนตรงแทนที่คุณแม่ของน็อต เขากวาดตาดูผู้ปกครองในห้อง หลายคนเหมือนจะรับรู้ว่าหัวข้อที่คุณแม่น็อตยกมาพูดนั้นจงใจจะสื่อถึงเขา ปานตะวันคลี่ยิ้มจากนั้นก็เริ่มเอ่ย
   
       “สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อปานตะวัน วันนี้พวกคุณอาจจะสงสัยว่าผมจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาที่โรงเรียนทำไม จะเล่นตลกอะไร...เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆ พูดให้ทุกคนฟัง” ปานตะวันดึงวิกผมยาวสีดำออกแล้วโยนมันไปไว้ข้างๆ
   
       “ผมจะขอพูดถึงสาเหตุที่ผมแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาในวันนี้ก่อน มันมีสองสาเหตุใหญ่ๆ ด้วยกันครับ สาเหตุที่หนึ่งก็เพื่อมาทำหน้าที่ ‘แม่’   ให้กับหลานชายของผม...เจียหลิน เขาเป็นลูกชายของพี่สาวผมซึ่งเสียไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่เหลือใครแล้วไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ ญาติที่เหลือต่างก็ไม่อยากได้เขาไป ผมที่เป็นน้าชายแท้ๆ จึงรับเขามาเลี้ยง ผมยังเด็กมาก...ก็อย่างที่พวกคุณเห็น ผมอาจจะยังขาดการไตร่ตรอง ขาดการคิดอย่างรอบคอบในหลายๆ เรื่อง พวกคุณอาจจะคิดว่าผมยังเด็ก...อายุเท่านี้เลี้ยงตัวเองยังไม่รอดแล้วจะไปเลี้ยงหลานรอดได้ยังไง ผมอยากจะบอกผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
   
        ผมไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเลี้ยงหนูเจีย แต่ผมก็กำลังพยายาม ผมหางานทำ กลับไปเรียนหนังสือให้จบ เก็บเงินเพื่ออนาคตของหลาน ผมพยายามสอนเขาให้มากเท่าที่จะทำได้เพราะคิดอยู่เสมอว่าหลานต้องดีกว่าผม เขาไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ แต่เขายังมีผม...ผมที่พยายามจะเป็นทุกอย่างให้เขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ชาย น้าชาย และเพื่อน ผมจะเลี้ยงเขาให้โตขึ้นมาโดยให้เขารู้สึกอบอุ่นและคิดว่าตัวเองไม่ขาดอะไรไปเลย ผมกำลังทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
   
       ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พูดต่อ ตอนนี้มือเขาสั่นไปหมดเพราะความประหม่า
   
       “อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมแต่งเป็นผู้หญิงมาในวันนี้ก็เพราะอยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าหนูเจียไม่ใช่เด็กขาดความอบอุ่นหรือเด็กมีปัญหา ผมได้รู้มาว่าหลานชายของผมถูกเพื่อนในห้องล้อเลียนว่าไม่มีแม่ ถูกเพื่อนในห้องแบนไม่เล่นด้วยเพราะคิดว่าเป็นเด็กชอบใช้กำลัง ถูกล้อว่ามีผู้ปกครองเป็นเกย์...และใครบางคนที่สอนให้เด็กพูดแบบนั้นก็ให้คำอธิบายว่าเกย์คือคนที่ไม่ปกติ ถ้าเป็นคุณคุณจะทนได้ไหมครับที่ลูกของคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้...ผมทนไม่ได้ ดังนั้นวันนี้ผมถึงต้องขอยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
   
        ข้อที่หนึ่งคือเรื่องไม่มีแม่ แม่ของหนูเจียเสียไปแล้วแต่เขาก็ยังมีผม อย่างที่พูดไป ได้โปรดบอกลูกของคุณให้หยุดการล้อเลียนนี้เถอะครับ มันแสดงถึงการไม่ได้รับการอบรมจากผู้ปกครองอย่างที่สุดแล้ว”
   
        ปานตะวันเห็นน็อตนั่งซุกอยู่บนตักแม่ในขณะที่หญิงสาวจ้องเขาเขม็ง แต่เขาไม่กลัวหรอก เด็กคนนั้นเสียความรู้สึกได้ไม่เท่าที่หลานของเขาเสียไปด้วยซ้ำ ปานตะวันเมินแม่ลูกคู่นั้น เขากวาดสายตามองคนอื่นๆ ชายหนุ่มต้องการแค่นี้...แค่โอกาสพูดความจริง
   
       เขาเชื่อว่ายังมีคนที่เข้าใจและแยกแยะได้อยู่ ขอแค่ให้เขาได้อธิบาย
   
       “ข้อที่สองคือเรื่องการคบเพื่อนที่ใช้ความรุนแรงแล้วจะชอบใช้กำลังตาม ผมต้องขออธิบายความเข้าใจผิดตรงนี้ หลานของผมกับน้องเกล้าเป็นเพื่อนสนิทกัน น้องเกล้าอยู่ในครอบครัวที่พ่อและแม่เลี้ยงติดเหล้า แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กไม่ดี เรื่องนี้ส่งผลกระทบกับจิตใจน้องเกล้าแต่ผมเห็นมาแล้วว่าเขายังมีมารยาท นอบน้อม สิ่งที่เขาต้องการคือการช่วยเหลือ ไม่ใช่การถูกตัดสินแบบผิดๆ ตอนนี้เขาได้ไปอยู่กับครอบครัวที่รักเขาแล้วและมีความสุขดี ส่วนเหตุการณ์ที่เขาผลักน้องน็อตจนล้มเป็นเพราะน้องน็อตต้องการจะเข้ามาแกล้งเจียหลินก่อน เรื่องนี้มีเด็กคนอื่นเป็นพยานและคุณครูก็อยู่รับรู้ด้วยถูกไหมครับ เราขอโทษกันแล้ว ผมว่าคุณแม่น่าจะเลิกติดใจเรื่องตรงนี้ได้แล้ว”
   
        สายตาหลายคู่ย้ายไปมองที่น็อตกับแม่ซึ่งนั่งหน้าซีดอยู่ หญิงสาวกำมือแน่น ทั้งโกรธทั้งอาย
   
        “เรื่องที่สามคือเรื่องที่ผมเป็นเกย์ ครับ ผมมีคนรักเป็นผู้ชายและเราสองคนก็ช่วยกันเลี้ยงหนูเจีย ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหาย ผมไม่อายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการจะให้ใครเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของผมและเอาความคิดเองเออเองของตัวเองไปเล่าให้คนอื่นฟังแถมยังใส่ความรู้ผิดๆ เข้าหัวเด็กอีก ผมจะขอพูดไว้ตรงนี้เลยนะครับว่าเกย์ไม่ใช่คนผิดปกติ เขาก็คือคนธรรมดาที่มีลมหายใจ เลือดเนื้อ มีความรู้สึกรัก ชอบ เกลียด เสียใจ ดีใจ ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง ที่ต่างประเทศคู่รักเพศเดียวกันมีลูกด้วยกันก็เยอะแยะไป ทำไมคุณถึงคิดว่าการที่คนเพศเดียวกันมีลูกแล้วเด็กจะโตมาเป็นคนไม่ดีล่ะครับ”
   
        ภายในห้องเงียบสนิท...ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาแม้แต่คนเดียว
   
        “ผมพูดในสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้วและขอให้ทุกท่านช่วยปรับความเข้าใจกับลูกๆ ของท่านด้วย แล้วก็ก่อนจากกันผมจะขอเสริมอะไรสักเล็กน้อยใน ‘คู่มือการเลี้ยงลูกที่ถูกต้อง’ ที่คุณแม่น้องน็อตกล่าวไปก่อนหน้านี้นะครับ สิ่งที่อยากเสริมก็คือ...หยุดตามใจลูกของคุณและรักเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาได้แล้ว ความรักของคุณกำลังทำให้เขาเสียคน คุณกำลังทำร้ายเขา ถ้าเขาทำผิดคุณต้องสอน ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่นแล้วหลับหูหลับตาเชื่อว่าลูกฉันถูก ถ้าเขาทำดีคุณต้องชม แล้วก็ปลูกฝังทัศนคติด้านบวกให้เขาตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่มันจะสายเกินแก้”
   
       “ผมพูดถูกไหมครับ...คุณแม่น้องน็อต”

*********************************************************

สวัสดีค่าาาาา วันนี้ฤกษ์งามยามดีได้ทีกลับมาอัพนิยายแล้ว 5555555
สำหรับตอนนี้อยากพูดถึงคุณแม่ของน้องน็อตสักหน่อย คือจะว่ายังไงดี เขาก็รักลูกนะคะไม่ใช่ไม่รัก
แต่เขารักมากเกินไป เป็นความรักแบบที่เราคิดว่ามันคือการปิดหูปิดตาตัวเองอ่ะ
โดยส่วนตัวแล้วเราคิดว่าสำหรับคนบางคนคำว่าขอโทษคือคำที่เอ่ยออกมาได้ยากที่สุด
คุณแม่น้องน็อตเป็นผู้หญิงประเภทมีความมั่นใจในตัวเองสูง เธอเชื่อว่าเธอเลียงลูกออกมาได้ดี ลูกเธอเป็นเทวดา
ดังนั้นจิตใจเธอเลยไม่ยอมรับกับสิ่งที่ปานตะวันบอกว่า "น็อตเริ่มก่อน" เธอพยายามโยนความผิดให้คนนู้นคนนี้
ไม่เอ่ยคำขอโทษแล้วก็ไม่ยอมจบ

ส่วนปานตะวันคือเขาต้องการพื้นที่แค่ให้ได้อธิบาย พอพูดความจริงออกไปคือเขาจบแล้ว ไม่ต้องการให้เรื่องนี้ยืดออกไปอีก
จริงๆ ที่ปานตะวันแต่งหญิงก็มีสองเหตุผลใหญ่ๆ คือ มาเป็นแม่ให้หนูเจีย ทำหน้าที่แทนพี่สาว ส่วนข้อสองก็คือ
อยากแสดงออกให้ทุกคนรู้ว่าเขาทำได้ทุกอย่างเพื่อหนูเจียนะ หลานเขาเขาก็รัก อะไรประมาณนี้ค่ะ

ปานตะวันเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเขียนยากมาก ทั้งการพยายามรักษาระดับเรื่องไม่ให้เอื่อยมากไป
การพยายามทำให้เห็นพัฒนาการของตัวละคร(เป็นจุดที่เราต้องการสื่อออกมาให้คนอ่านรู้มากที่สุด)
เราไม่รู้ว่าเราทำออกมาได้ดีหรือเปล่า ดังนั้นแล้วนักอ่านทุกท่านสามารถติชมได้เลยนะคะ แสดงความคิดเห็นของท่าได้เต็มที่เลย
เราขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ  :L2: พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บๆ

ปล. ติดตามข่าวสารและหลังไมค์หรือหน้าไมค์มาคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-06-2017 20:09:18
ตะวันพูดได้ดีๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-06-2017 20:21:38
ปรบมือสิ รออะไร อออิอิสะใจ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-06-2017 20:22:08
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 24-06-2017 20:48:20
ปานตะวัน ชนะเลิศมาก :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 24-06-2017 21:03:28
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-06-2017 21:03:44
 o13 o13 o13 o13 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-06-2017 21:32:22
ขอพื้นที่ให้ตะวันได้เคลียร์ ตอนนี้ เข้าใจชัดเจนกันแล้วนะคะ
พูดได้ดีค่ะ ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกหรอก แต่จะทำยังไงให้ลูกโตแบบมีคุณภาพ

เมศคงมึนกับความดื้อของน้าหลานพอดู 5555
ตะวันก็เข้าใจคิด แล้วกล้าที่จะทำด้วย เพื่อหนูเจีย

หนูเจียเกือบเสียใจจริงจังแล้วนะ ดีนะที่เสียงโผล่มาทันเวลา

หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 24-06-2017 21:42:53
ปรบมือให้น้าตะวันค่ะ  o13 o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-06-2017 22:05:50
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 25-06-2017 02:26:00
พูดได้ดีมากๆ หวังว่าแม่ๆ ทั้งหลายจะคิดได้เนอะ

อีกอย่างตะวันอายุเท่านี้ ยังสอนหลานได้ดีมากๆ ปรบมือๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-06-2017 02:29:29
สะใจ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 25-06-2017 13:49:35
โดน!! สมควร
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-06-2017 14:18:06
หึหึหึ  :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 25-06-2017 15:11:27
ชอบบบบบ ตะวันเก่งมาก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-06-2017 16:35:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-06-2017 22:07:45
กรี๊ดค่ะกรี๊ด เป็นการโต้กลับที่สุดยอดมากค่ะตะวัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 26-06-2017 13:24:44
ตะวันนายสุดยอดจริงๆๆๆ o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 26-06-2017 14:29:45
คุณแม่น้องน๊อต  ตอนนี้เน่าไปละ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๗ จิตใจของคนเป็นพ่อ (๒๔/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 26-06-2017 17:03:50
สุดยอด
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-06-2017 19:09:47
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 26-06-2017 19:15:20
ปานตะวัน
บทที่ ๑๘
คำชวน


        หลังเสร็จงานโรงเรียน ปานตะวันกับราเมศก็พาหนูเจียออกไปหาขนมกิน ร้านที่ทั้งคู่เลือกคือร้านไอศกรีมที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก
   
       ปานตะวันที่ตอนนี้ลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้าและเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดผู้ชายเรียบร้อยแล้วอ้าปากงับไอศกรีมรสมะนาวเข้าปากอย่างมีความสุขก่อนจะหันไปป้อนหนูเจียที่นั่งจ้องตาแป๋วอยู่ข้างๆ
   
       “งั่ม” ปานตะวันทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอนหลานชายแก้มยุ้ยรับไอศกรีมคำโตเข้าปาก หนูเจียหลับตาปี๋ก่อนจะพูดออกมาว่า “น้าตะวัน เปรี้ยววว”
   
       “ฮ่าๆ กินคำเล็กๆ สิครับ”
   
        เด็กน้อยเอาหน้าผากโขกโต๊ะเบาๆ จากนั้นหนูเจียก็เมินไอศกรีมมะนาวของปานตะวันไปโดยสิ้นเชิง เจ้าตัวเล็กหันกลับไปก้มหน้าก้มกินไอศกรีมช็อกโกแลตของตัวเองแทน ปานตะวันเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้าแบบขำๆ เด็กหนอเด็ก
   
        “กินเลอะเทอะเป็นเด็กเลย” เสียงทุ้มจากคนที่นั่งตรงข้ามดังขึ้นพร้อมกับที่คนผิวแทนเอื้อมมือมาเช็ดไอศกรีมที่เลอะรอบปากให้ ราเมศมองคนรักกับหลานด้วยแววตาเอ็นดู สองคนนี้เวลาอยู่ต่อหน้าขนมแล้วเหมือนกันไม่มีผิดคือตาเป็นประกายแล้วก็ก้มหน้าก้มกินจนแก้มป่อง
   
       แมวเล็กกับแมวใหญ่ของเขานี่น้า...น่ารักจริงๆ
   
       “ขอบคุณครับ” ปานตะวันเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ ตอนนี้แววตาของคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความสบายใจท่าทางก็ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อเช้ามากโข พอเห็นแบบนี้แล้วราเมศก็โล่งอก
   
        ชายหนุ่มผ่อนลมหายออกมาพลางยกกาแฟขึ้นจิบ สมองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หลังจากที่ปานตะวันออกไปพูดหน้าชั้นเรียน
   
        ตอนนั้นสถานการณ์ในห้องเรียน...ใกล้เคียงกับคำว่าหายนะ
   
        ราเมศจำได้ว่าเมื่อปานตะวันพูดจบ คืนไมโครโฟนให้ครูประจำชั้นแล้วเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ หลายนาทีหลังจากนั้นก็ยังไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุม...มันเป็นความเงียบที่หนักอึ้งและกดดัน บรรยากาศตึงเครียดจนเกือบจะเข้าขั้นวิกฤติ แล้วตอนนั้นเองที่แม่ของน็อตลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าปานตะวัน หญิงสาวจับมือลูกชายเอาไว้แน่น สีหน้าของเธอเย็นชาหากแต่ราเมศจับความโกรธเกรี้ยวปานพายุในดวงตาของเธอได้
   
       “เธอ...กล้าดียังไง...หักหน้าฉันต่อหน้าคนอื่นแบบนี้” หญิงสาวกระซิบลอดไรฟัน น้ำเสียงหวานสั่นพร่า ปานตะวันไม่ได้ลุกขึ้นยืนหากแต่เขาจ้องตาเธอกลับโดยไม่หวั่นไหว ไม่ยอมแพ้
   
       “แล้วคุณล่ะครับกล้าดียังไงถึงให้ลูกชายของคุณมารังแกหลานผมแบบนี้” ราเมศคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นปานตะวันมีสีหน้าเย็นชาขนาดนี้ คนรักของเขายืดตัวตรง สลัดคราบวัยรุ่นสบายๆ ตามปกติออกไปจนหมด ปานตะวันในตอนนี้ดูเยือกเย็นและแผ่รังสีกดดันออกมามากจนน่ากลัว
   
        “เธอจะไม่จบใช่ไหม”
   
        “ผมจบแล้ว” ปานตะวันต้องการพื้นที่เพื่อพูดความจริง วันนี้เขาก็ได้พูดแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรกับหัวข้อนี้อีก การทะเลาะกันเหมือนเด็กแบบนี้ควรหยุดเสียที
   
        “คุณครับ ผมให้เกียรติคุณมาตลอดเพราะคุณเป็นผู้ใหญ่กว่าและผมไม่สนใจว่าคุณจะสั่งสอนลูกชายของคุณยังไง แต่ในเมื่อคุณเอาเรื่องของผมไปเล่าให้คนอื่นฟัง ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องที่มาจากอคติรวมถึงการคิดเองเออเองของคุณ อีกอย่างคำสอนของคุณมันสร้างความเข้าใจผิดให้เด็ก...และความเข้าใจผิดนั้นส่งผลกระทบมาถึงตัวของเจียหลินผมก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้ คุณทำให้คนอื่นเข้าใจผมผิด วันนี้ผมมาอธิบายมันก็เท่านั้น”
   
        ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นหรือไม่เข้าข้างลูกจนเกินพอดี
   
       ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่มองปานตะวันและครอบครัวด้วยอคติ
   
       ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่เอาเรื่องที่เธอเสริมเติมแต่งด้วยอคติเหล่านั้นไปเล่าให้คนอื่นฟัง
   
       ถ้าเธอไม่สอนลูกแบบผิดๆ
   
       เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
   
        ปานตะวันยอมรับว่าเขาใจร้อนและต้องการเอาคืนอยู่บ้าง การพูดความจริงของเขาก็เป็นการฉีกหน้าเจ้าตัวอย่างที่หญิงสาวพูดนั่นแหละและบางทีมันอาจจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้ในการทำให้เรื่องจบโดยไม่ต้องบาดหมางใจกันแต่เขาก็ไม่สนใจจะหา ไม่สนใจจะคิด
   
        ถ้าจะหักก็ให้มันหัก ปานตะวันไม่คิดจะเสวนาหรือยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้และลูกชายของเธออีกแล้ว
   
       “เลิกโทษคนอื่น เลิกโยนความผิดแล้วก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเสียทีเถอะครับ จริงๆ สาเหตุมันก็มาจากแค่เรื่องเล็ก เราจะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเพื่ออะไร ต่อจากนี้ก็เลิกแล้วต่อกันเถอะครับ คุณเกลียดขี้หน้าผม ลูกชายคุณไม่ชอบหนูเจีย ส่วนผมก็ไม่ได้อยากยุ่งอะไรกับคุณนักหนาดังนั้นเราก็แค่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันจะได้ไหมครับ”
   
        “ไอ้เด็กปากดี”
   
        ปานตะวันจ้องหญิงสาวนิ่ง พวกเขามองตาวัดใจกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอคนนั้นจะดึงแขนลูกชายออกจากห้องไป ก่อนจากไปเธอยังหันกลับมาทิ้งท้ายว่า “ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับเธอนักหรอกนะ เด็กอะไรไม่มีสัมมาคารวะ” เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นเสียงดังเพราะร่างแบบบางนั้นเดินลงส้นเท้าเป็นการระบายความโกรธเริ่มแผ่วลงก่อนจะเงียบหายไป ปานตะวันถึงผ่อนลมหายใจออกมาได้
   
         เมื่อน็อตกับคุณแม่เดินออกไปพ้นแล้วคุณครูประจำชั้นก็รีบเดินออกมาด้านหน้าด้วยสีหน้าจืดเจื่อนก่อนจะดำเนินกิจกรรมต่อ หลังเสร็จกิจกรรมปานตะวันเดินเข้าไปหาคุณครูแล้วก็ยกมือไหว้ขอโทษที่เขาก่อเรื่องวุ่นวายในห้องแถมยังทำให้เสียบรรยากาศอีก คุณครูทั้งสองรับไหว้ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดว่า
   
        “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทางคุณครูเองก็ต้องขอโทษที่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเจียหลินเหมือนกัน”
   
       “ผมหวังว่าคุณแม่น้องน็อตจะไม่มาเอาเรื่องกับคุณครูนะครับ”
   
        “เธอคงไม่กล้าทำอะไรใหญ่โตขนาดนั้นหรอกค่ะ ยังไงนี่มันก็มีสาเหตุมาจากเรื่องเล็กๆ ยิ่งเธอพูดมากมันก็ยิ่งเข้าตัว...ทางคุณน้าตะวันเองก็ไม่ต้องไปตอบโต้แล้วนะคะ พอแล้ว ปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปแล้วก็ให้หนูเจียเลี่ยงน็อตไว้เถอะค่ะจะได้ไม่เกิดปัญหา ทางเราก็จะช่วยดูแลด้วย จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกค่ะ”
   
       “ขอบคุณมากนะครับแล้วก็ขอโทษอีกครั้ง”
   
        ระหว่างที่ปานตะวันคุยกับครูประจำชั้น ผู้ปกครองบางคนก็ตรงเข้ามาคุยกับราเมศ ถามไถ่เรื่องราวของเขากับหนูเจีย หลายคนขอโทษที่เผลอเชื่อคุณแม่ของน้องน็อตไปก่อนแล้วก็กำชับลูกให้อยู่ห่างเจียหลินทั้งที่ยังไม่ได้ฟังความจากฝั่งปานตะวัน บางคนก็เสนอตัวให้คำปรึกษาในการเลี้ยงดูเด็ก ส่วนคนอีกกลุ่มก็ยืนคุยซุบซิบกันด้วยสีหน้าไม่พอใจ
   
       ราเมศยิ้มแย้มให้คนสองประเภทแรก...ส่วนประเภทหลังเขาปล่อยผ่าน เข้าใจดีว่าคำพูดของปานตะวันคงทำให้คนเข้าใจและเชื่อได้ไม่หมด คุณแม่บางคนที่เป็นเพื่อนกับแม่น็อตคงจะรู้สึกไม่พอใจที่เพื่อนโดนปานตะวันหักหน้าเอากลางงานและพาลไม่ชอบพวกเขาสามคนน้าหลานไปเสียแล้ว
   
       มันเป็นสิทธิ์ของพวกเขาที่จะคิดอย่างนั้น แม้จะไม่สบายใจเล็กน้อยแต่ราเมศก็ปัดมันทิ้งไป
   
        พยายามไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อีก
   
        ห้านาทีต่อมาปานตะวันก็กลับมา พวกเขาทั้งสามตกลงไปเดินดูกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนด้วยกัน เนื่องจากช่วงบ่ายนอกจากผู้ปกครองจะได้พบครูประจำชั้นแล้ว ผลงานของนักเรียนชั้นปีสูงๆ จะได้นำมาจัดแสดงที่สนามด้านล่างและบนหอประชุมอีกด้วย หลังจากชมกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนจนครบพวกเขาก็ตัดสินใจมาทานไอศกรีมก่อนกลับบ้าน ถือว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองและเติมพลังความสดใสคืนให้ชีวิต(ตามที่ปานตะวันว่าไว้)
   
         เป็นอันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงด้วยดี...ราเมศคิดว่าแบบนั้นนะ
   
        “แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่า” ราเมศถามขณะมองปานตะวันจ่ายค่าไอศกรีมของตนกับหลานชายส่วนค่ากาแฟชายหนุ่มเป็นคนจ่ายเอง ตอนแรกปานตะวันจะเลี้ยง...ราเมศไม่ยอม บอกว่าเขาจะเป็นคนเลี้ยงเอง คราวนี้ปานตะวันก็ไม่ยอมอีก สุดท้ายเลยจ่ายแยกของใครของมัน
   
        นี่ออกจะทำให้ชายหนุ่มผิวแทนหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย ทำแบบนี้มันดูไม่เหมือนเป็นแฟนกันเลยนี่นา
   
        “ไม่ไปแล้วล่ะพี่ ตรงกลับบ้านเลยดีกว่าวันนี้ตะวันว่าจะกลับไปทำความสะอาดบ้านสักหน่อย ไหนๆ ก็ลางานเต็มวันมาแล้ว”
   
        “งั้นเดี๋ยวพี่ช่วย”
   
       “โอเคเลยครับ”
   
       ตอนขากลับปานตะวันแวะเอาชุดไทยไปส่งที่ร้านซักรีดก่อน จากนั้นถึงตรงกลับบ้าน เมื่อมาถึงเรือนไทยหลังน้อยราเมศก็ขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดส่วนปานตะวันกับหนูเจียหลังเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองสบายๆ แล้วสองคนน้าหลานก็ช่วยกันยกตะกร้าผ้าลงมาที่ใต้ถุนบ้าน
   
       เรือนไทยหลังนี้ยกพื้นสูง ใต้ถุนโล่งกว้างเป็นสถานที่อเนกประสงค์ ไม่นานมานี้ปานตะวันกั้นพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับซักผ้าโดยเฉพาะ บริเวณอื่นก็เป็นที่สำหรับนั่งเล่น นอนเล่นมี ระหว่างเสาต้นใหญ่สองต้นมีเปลญวนผูกอยู่ ปานตะวันชอบแอบมางีบหลับตรงนั้น บางทีชายหนุ่มก็จะเอาเสื่อมาปูให้หนูเจียนั่งเล่นขายของอยู่ใกล้ๆ กันด้วย
   
       ปานตะวันลากวางเก้าอี้พลาสติกเล็กๆ สองตัวลงกับพื้นก่อนจะลากกะละมังซักผ้าสีดำออกมา เขาจะสอนหนูเจียให้ซักผ้าด้วยมือก่อนพอโตหน่อยค่อยสอนให้ใช้เครื่องซักผ้า
   
       “หนูเจียอย่าเปิดน้ำแรงไปนะครับ ระวังเปียกด้วย” ปานตะวันเอ่ยเตือนเมื่อหลานชายทำท่าจะเปิดปิดก๊อกน้ำเล่น หนูเจียที่ถูกจับได้จึงรามือไปแต่โดยดี เด็กชายหันไปเล่นกับแมวเหมียวเพื่อนรักทั้งสองที่เข้ามาคลอเคลียเป็นการฆ่าเวลาปานตะวันที่นั่งดูอยู่เมื่อเห็นน้ำมาถึงระดับที่พอใจแล้วเขาก็ปิดก็อก
   
        “หนูเจียไปหยิบกระป๋องใส่ผงซักฟอกมาทีครับ”
   
        “รับทราบคับผม”
   
         หนูเจียวิ่งดุกๆ ไปหยิบกระป๋องพลาสติกใส่ผงซักฟอกมาให้ ปานตะวันตักผงซักฟอกใส่ลงในน้ำแล้วก็บอกหลานให้ใช้มือตีน้ำจนเป็นฟอง ขั้นตอนนี้ถูกใจหนูเจียมากเพราะเจ้าตัวหัวเราะไปตีน้ำไปแถมยังเอาฟองมาเป่าเล่นอีก
   
         “น้าตะวัน หนูเจียชอบซักผ้าจังเลยคับ!”
   
         มุมปากของคนเป็นน้ายกขึ้นทันที “งั้นถ้าโตขึ้นแล้วน้าตะวันใช้ซักผ้าหนูเจียก็ห้ามบ่น ห้ามงอแงนะครับ”
   
        “แน่นอนคับ หนูเจียจะซักผ้าทุกวันเลย!”
   
         เด็กน้อยไม่ได้คิดอะไรนอกจากอยากจะเล่นตีฟองแบบนี้ทุกวัน ส่วนปานตะวันยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก สมัยเด็กเขาก็เคยชอบไอ้การตีผงซักฟองจนเป็นฟองนะ ตอนเป็นเด็กอยากทำนู่นทำนี่เยอะแยะ อยากซักผ้า อยากล้างจาน อยากถือของ อยากรดน้ำต้นไม้แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ให้ทำ
   
          พอโตมา...โคตรอยากย้อนเวลากลับไปบอกตัวเองตอนเด็กว่าไอ้หนู อย่าได้พูดออกไปเชียวว่าชอบทำงานบ้านไม่งั้นเอ็งจะเสียใจภายหลัง
   
         ชักอยากรู้แล้วแฮะว่าตอนโตหนูเจียจะจำคำพูดตัวเองวันนี้ได้ไหม...แล้วถ้าตอนนั้นปานตะวันใช้หลานไปซักผ้าอีกฝ่ายจะงอแงไม่พอใจหรือเปล่า
   
         “น้าตะวัน ตีฟองแล้วยังไงต่อคับ”
   
         เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยข้างกายเรียกให้ปานตะวันหลุดออกจากภาพฝันในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า ชายหนุ่มหยิบชั้นในและถุงเท้าลงกะละมังก่อนจะสอนหนูเจียให้หัดขยี้ผ้า ระหว่างซักผ้าสองน้าหลานก็เปิดเพลงฟัง ถ้าเพลงไหนหนูเจียกับปานตะวันรู้จักก็จะแข่งกันร้องเพลงนั้นเสียงดัง โชคดีที่บ้านข้างๆ ไม่อยู่ส่วนบ้านหลังตรงข้ามก็เป็นราเมศทำให้ปานตะวันไม่ต้องกลับใครจะปาขวดปาแก้วข้ามรั้วมา
   
       เมื่อซักผงซักฟอกและน้ำเปล่าเสร็จปานตะวันก็แช่น้ำยาปรับผ้านุ่มทิ้งไว้ ระหว่างที่รอเขาก็เดินขึ้นไปปัดกวาดเรือนไทย หนนี้หน้าที่ของหนูเจียมีอยู่อย่างเดียวคือนั่งนิ่งๆ บนโซฟาจนกว่าพื้นที่ถูจะแห้ง   เด็กชายที่ได้แต่นั่งมองตาแป๋วจึงส่งเสียงเชียร์หน้าตะวันคนเก่งให้ถูบ้านเสร็จไวๆ ปานตะวันถูบ้านไปขำไปจนแทบหมดแรง
   
       “น้าตะวัน น้าเมศจะไม่มาแล้วเหรอคับ”
   
        ตอนที่ลงมาเอาผ้าขึ้นตากจู่ๆ หนูเจียก็ทักขึ้นมาปานตะวันถึงนึกขึ้นได้ว่าราเมศหายไปเลย อีกฝ่ายบอกว่าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อแล้วก็เอาอุปกรณ์ทำความสะอาดมาช่วยแต่จนถูบ้านซักผ้าเสร็จแล้วก็ยังไม่มา...
   
        ไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ขั้วโลกเหนือหรือไงนะ
   
        “งั้นเดี๋ยวน้าตะวันไปดูน้าเมศหน่อยดีกว่า หายไปไหนก็ไม่รู้ หนูเจียขึ้นไปรอบนบ้านนะครับแล้วก็อย่าซนล่ะ” ชายหนุ่มหนีบถุงเท้าคู่สุดท้ายไว้กับที่หนีบผ้าจากนั้นก็จัดการเทน้ำทิ้ง คว่ำกะละมังแล้วก็เดินลากอีแตะเน่าๆ ข้ามไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม
   
       “หือ รถใครล่ะนั่น”   
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววประหลาดใจเมื่อเห็นรถกระบะไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้านราเมศ ปานตะวันชะเง้อดูจากนอกรั้วแต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ในบ้าน สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจผลักประตูรั้วให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป
   
        ราเมศกับปานตะวันเข้าบ้านกันและกันได้อย่างอิสระมาตั้งนานแล้ว พวกเขาถึงขั้นฝากกุญแจสำรองบ้านของตัวเองไว้ที่อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดังนั้นชายหนุ่มผมน้ำตาลจึงค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะไม่ถูกราเมศด่าที่เดินดุ่มๆ เข้ามาในบ้านโดยไม่ยอมกดกริ่งหรือตะโกนเรียกก่อน
   
       ปานตะวันมัวแต่สนใจละเง้อมองในบ้านทำให้ไม่เห็นรองเท้าส้นสูงที่ถอดแอบอยู่ข้างประตู
   
       เมื่อเดินเข้าไปในบ้านจมูกก็ได้กลิ่นหอมของกาแฟ ที่ห้องรับแขกไม่มีใครอยู่แต่กลิ่นมาจากทางห้องครัวปานตะวันจึงเลี้ยวเข้าไป แต่แล้วร่างเล็กก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าในห้องครัวไม่ได้มีแต่ราเมศแต่ยังมีหญิงสาวผมดำคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย พวกเขากำลังคุยกันทำให้ไม่เห็นปานตะวันที่เดินเงียบๆ เข้ามา
   
        “จะไปเมื่อไหร่ก็บอกจะได้จองตั๋วให้”
   
        “ยังไม่แน่ใจ พี่ต้องคุยกับเขาก่อน”
   
        “เขานี่ใคร แฟนใหม่หรือไง ร้ายนักนะ ไม่เจอกันเดี๋ยวเดียวมีคนใหม่ซะแล้ว”
   
         “หยุดเลยมิ้นต์ มันเป็น— อ้าว ตะวัน?”
   
          ในที่สุดราเมศก็หันมาเห็นปานตะวันจนได้ ดวงตาสีดำฉายแววแปลกใจทำให้ปานตะวันรู้ว่าอีกฝ่ายลืมเรื่องช่วยงานบ้านไปเสียสนิท
   
         เขาเม้มปาก ไม่แน่ใจว่าจะถอยออกจากห้องไปก่อนหรือว่าจะทำตัวยังไงดี โดยเฉพาะเมื่อหญิงสาวผมดำคนนั้นหันกลับมาจ้องเขาด้วยแววตาพินิจพิจารณา
   
        แขกของราเมศเป็นหญิงสาวผมดำยาวประบ่า ดวงตากลมซ่อนอยู่หลังแว่นตากรอบฟ้า ผิวของเธอขาวจัดเหมือนคนไม่เคยโดนแดด เครื่องหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ไม่ใช่คนสวยสะดุดตาแต่น่ารักแล้วก็ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ
   
        “ตะวัน?” เธอเอ่ยชื่อเขาพลางกวาดสายตาขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีหวานก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ”
   
        ปานตะวันกะพริบตาปริบก่อนก้มศีรษะให้ “สวัสดีครับ...เอ่อ ขอโทษครับ พอดีผมไม่รู้ว่าพี่เมศมีแขก เดี๋ยวผมกลับก่อนก็ได้”
   
       “ไม่เป็นไรๆ” ราเมศรีบเดินเข้ามายืนตรงหน้า บดบังหญิงสาวคนนั้นออกไปจากสายตาปานตะวัน “นายมีอะไรหรือเปล่า”
   
        คนตัวเล็กขมวดคิ้วฉับ ท่าทางเหมือนแมวเหมียวโดนขัดใจ
   
        “เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมกลับก่อนดีกว่า”
   
        “เอางั้นเหรอ”
   
        “ครับ แล้วเจอกันครับพี่”
   
        “โอเค”
   
         ปานตะวันรีบชิ่งออกมาทันที ตอนที่ก้าวพ้นประตูห้องครัวเขาได้ยินหญิงสาวคนนั้นพูดกับราเมศว่า “นั่นใครน่ะ หล่อดีนะพี่เมศ”
   
        ใจหนึ่งเขาก็อยากจะหยุดฟังว่าราเมศตอบว่าอะไรแต่ไม่รู้ทำสองขาถึงไม่หยุดเดิน รู้ตัวอีกทีกลับมายืนอยู่ในอาณาเขตบ้านทรงไทยของตัวเองแล้ว
   
         ปานตะวันเดินเหม่อลอยขึ้นไปบนบ้าน ในหัวมีแต่ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับข้อสงสัยที่ว่า
   
         ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันนะ?
   
         เวลาช่วงบ่ายจนถึงเย็นหมดไปกับการทำความสะอาดบ้านและทำกับข้าว ปานตะวันทำทั้งหมดคนเดียว ตอนที่ประกอบพัดลมที่เขาถอดใบพัดและฝาครอบออกมาล้างเข้าด้วยกันจนเสร็จชายหนุ่มถึงกับหงายหลังตึง เหนื่อยจนอยากจะหลับไปเดี๋ยวนั้นแต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะเขาต้องลุกไปทำมื้อเย็นอีก
   
         ปานตะวันทำอาหารง่ายๆ อย่างข้าวผัด ไข่เจียวหมูสับกับแกงส้มเพราะเมื่อวานราเมศบ่นอยากกิน ส่วนไข่เจียวหมูสับนี่ทำให้หนูเจียที่ยังทานเผ็ดไม่ได้ เมื่อทุกอย่างพร้อมสองคนน้าหลานก็นั่งรอสมาชิกคนสุดท้าย แต่รอแล้วรอเล่าจนหนูเจียเริ่มแทะช้อนเล่นและปานตะวันหิวจนแทบจะเขมือบจานเข้าไปทั้งใบราเมศก็ยังไม่มา
   
        เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลจึงตัดสินใจจะไปเรียกอีกฝ่ายมากินข้าว แต่ยังเดินไปไม่พ้นประตูรั้วบ้านตัวเองก็ต้องชะงักเมื่อเขาเห็นราเมศกับหญิงสาวผมดำคนเดิมเดินออกมาจากบ้าน ไฟในบ้านปิดมืด ราเมศกำลังล็อกกุญแจประตูหน้าขณะที่หญิงสาวคนนั้นส่งเสียงเร่งยิกๆ
   
        “พี่เมศเร็วๆ สิ หิวแล้วนะ”
   
       “รู้แล้วน่า นี่ก็เร่งจัง”
   
       “ให้ไวเลย มิ้นต์อยากกินกุ้งเผาจะแย่แล้ว”
   
       “แป็บนึงสิ ล็อกบ้านอยู่ไม่เห็นหรือไง แล้วจะอยากกินอะไรหนักหนา เธอลดน้ำหนักอยู่ไม่ใช่เหรอ”
   
       “ไม่เป็นไร วันนี้มีเจ้ามือเลี้ยงข้าวเราก็ต้องถล่มให้เต็มที่” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “แล้วเสร็จหรือยัง ชักช้าจังเลย หิวแล้วๆๆ”
   
        ปานตะวันยืนนิ่งเหมือนรากงอกอยู่ตรงนั้นตอนที่คนทั้งสองเดินไปขึ้นรถแล้วก็ขับออกไป เขาไม่ได้เปิดประตูรั้วออกไปราเมศจึงไม่เห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้นและได้ยินการสนทนาทุกคำไม่มีตกหล่น
   
       พี่เมศ...ไอ้คนงี่เง่า!
   
        ตอนนั้นแหละที่ปานตะวันเดินตึงตังกลับขึ้นมาบนบ้าน เขาไม่ได้หงุดหงิดที่ราเมศไม่ยอมมากินข้าวด้วยหรอกนะ ไม่ได้งี่เง่าขนาดจะไม่เข้าใจว่ามีธุระ แต่มาบอกสักหน่อยมันจะเป็นอะไรมากไหม บ้านก็อยู่ตรงข้ามกัน ไม่สะดวกเดินมาบอกก็ส่งข้อความมาหน่อยก็ยังดี นี่อะไร ออกไปข้างนอกไม่บอกไม่กล่าว ปล่อยให้เขาทำกับข้าวรอเก้อเนี่ยนะ
   
       ...ตัวเองก็รู้นี่ว่าทุกเย็นต้องกินข้าวด้วยกัน...
   
        แมวเหมียวตัวใหญ่พ่นลมหายใจฮึดฮัดจนหนูเจียสังเกตได้ เด็กชายเอียงคอน้อยๆ ก่อนเอ่ยว่า
   
        “น้าตะวัน น้าเมศล่ะคับ ไม่มากินข้าวด้วยกันเหรอ”
   
        ปานตะวันนั่งลงบนเก้าอี้ พยายามเก็บสีหน้าหงุดหงิดให้ได้มากที่สุด ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กดข่มความน้อยใจลงไป
   
        “น้าเมศไปข้างนอกครับ”
   
        “แล้วน้าเมศจะกลับมากินข้าวกับเราไหมคับ”

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 26-06-2017 19:37:50
        “คงไม่มาหรอกครับ” ปานตะวันคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอทำจมูกย่นแถมริมฝีปากบางยังคว่ำเป็นสระอิอีก “แก้งส้มใส่กุ้งมันจะไปอร่อยสู้กุ้งเผาได้ยังไง”
   
        เจียหลินงับช้อนค้างไว้แน่นอนว่าไม่เข้าใจที่น้าตะวันพูด สำหรับหนูเจียอะไรก็อร่อยไม่เท่าไข่เจียวหมูสับหรอก
   
         “หนูเจียหิวแล้วใช่ไหมครับ อ่ะ กินเยอะๆ เลยนะเด็กน้อยของน้า” ปานตะวันรีบเปลี่ยนเรื่อง เกรงว่าถ้ายังยืดหัวข้อเดิมต่อไปเขาจะของขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มตักไข่เจียวใส่จานหนูเจียกับจานข้าวของตัวเอง แต่ตอนที่เหลือบมองที่นั่งว่างเปล่าข้างกายและข้าวผัดที่ทำสุดฝีมือซึ่งกลายเป็นหมันไปแล้วอารมณ์น้อยใจก็พุ่งขึ้นมาอีกรอบ
   
        ปานตะวันดังจานข้าวของราเมศเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็จ้วงกินทันที
   
         ไอ้พี่เมศไม่มา กินคนเดียวก็ได้วะ! ไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย!
   
        สุดท้ายด้วยอารมณ์โมโหปานตะวันก็ซัดข้าวผัดสองจานจนเรียบ ผลคือหลังลากสังขารตัวเองไปล้างจานจนเสร็จก็มานั่งจุกท้องอยู่บนโซฟา มีหนูเจียนั่งดูรายการประกวดร้องเพลงอยู่ใกล้ๆ
   
       ตอนนี้สองทุ่มครึ่ง ราเมศก็ยังไม่ส่งข้อความมา
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปาก ลังเลว่าจะเป็นฝ่ายโทรไปหาก่อนหรือรอคนรักโทรกลับมาดี
   
        แล้วการที่นั่งรออยู่แบบนี้มันดีแน่ๆ แล้วเหรอ? รออยู่กับความไม่สบายใจ ความสงสัยแล้วก็การคิดไปเอง ถ้าเป็นแบบนั้นสู้โทรไปหาเลยก็จบ
   
       ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอ...ก่อนจะวางลงที่เดิม
   
       รออีกนิดก็ได้...เผื่อพี่เมศจะโทรมา
   
       โทรมาอธิบายว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครแล้วทำไมถึงไปกินข้าวกันโดยไม่บอก
   
       แต่จนกระทั่งเข็มสั้นชี้เลขเก้าและเข็มยาวชี้เลขสิบสองโทรศัพท์ของปานตะวันก็ยังนอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะ ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือสัญญาณการโทรเข้า
   
       หนูเจียหลับปุ๋ยไปบนตักปานตะวันที่เห็นว่าดึกมากแล้วจึงอุ้มหนูน้อยเข้าไปนอนในห้อง ชายหนุ่มเดินกลับมาปิดโทรทัศน์ ปิดม่าน ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย
   
      เขาแอบแง้มดูบ้านฝั่งตรงข้ามด้วยแต่บ้านก็ยังมืดสนิทบ่งบอกว่าเจ้าของยังไม่กลับมา
   
       ปานตะวันเม้มริมฝีปากแล้วก็เดินไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน พยายามสงบจิตสงบใจอยู่ในห้องน้ำแต่ก็ทำไม่ได้ ในหัวมีประโยคหนึ่งวนไปวนมา
   
       ไอ้พี่เมศนะไอ้พี่เมศ...ขอให้กุ้งจุกอกตายไปเลย ฮึ่ย!
   
       ครืด ครืด
   
       เสียงโทรศัพท์ดังเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ ภายในห้องนอนใหญ่ของบ้านตอนนี้เปิดเพียงโคมไฟตั้งโต๊ะเพื่อให้เหลือเพียงแสงสีส้มนวลตาสำหรับอ่านหนังสือ ปานตะวันที่ก้มหน้าก้มตาคัดคำศัพท์และอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นก่อนจะควานมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ตัวเองวางไว้ไม่ไกลขึ้นมา
   
        คนที่กล้าโทรมากวนปานตะวันดึกดื่นขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ไอ้กันต์ก็เป็นแม่...หรือไม่ก็ราเมศ
   
        ขอให้เป็นสองคนแรกเถอะ กับคนหลังนี่เขายังไม่พร้อมจะคุยด้วยเท่าไหร่เลย
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลหลับตา ทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหงายหน้าจอขึ้นดู
   
        ‘ราเมศ’
   
        ชื่อที่ปรากฏทำเอาเขาอยากจะกดตัดสายทิ้งเดี๋ยวนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำ ปานตะวันเกลียดตัวเองที่ใจอ่อนยอมรับสายเหลือเกิน
   
        “พี่รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
   
        น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้ห้วนแต่ก็ไม่ได้รื่นหูนัก คิดๆ แล้วก็ตลกดี คนเราในหนึ่งวันเปลี่ยนอารมณ์ได้หลากหลายชะมัด เมื่อเช้าเขากับราเมศยังยิ้มแย้มคุยกันหวานชื่นดีพอตกเย็นมาทำท่าจะเถียงกันอีกแล้ว
   
        [ตะวัน] เสียงของราเมศฟังดูอ่อนกว่าที่เคย [ลงมาเปิดประตูให้หน่อย]
   
        “อยู่ไหนครับ หน้าบ้านเหรอ?” ปานตะวันขมวดคิ้ว เดินถือโทรศัพท์ออกไปด้านนอกเพื่อแง้มผ้าม่านดู ใช่จริงๆ ด้วย ราเมศซึ่งยังอยู่ในชุดเดิมกับตอนที่ออกไปข้างนอกยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านเขา ท่าทางกระวนกระวาย
   
        [อื้ม ลงมาหน่อย รออยู่]
   
        “กุญแจก็มีทำไมไม่ไขเข้ามาล่ะครับ” ทำหายหรือยังไง
   
         ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ปานตะวันแว่วเสียงคนรักถอนหายใจจึงแง้มผ้าม่านออกดูอีกครั้ง ราเมศยืนอยู่ใกล้เสาไฟริมถนนก็จริงแต่ปานตะวันก็ยังไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของชายหนุ่มได้
   
        [ก็ตะวันโกรธอยู่...ใช่ไหมล่ะ]
   
        ทันใดนั้นราเมศที่ยืนนิ่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมา มองตรงมาราวกับจะรู้ว่าปานตะวันแอบอยู่หลังผ้าม่าน
   
        พวกเขาสบตากันผ่านความมืด...แม้มองไม่เห็นหน้าแต่มั่นใจได้ว่าคนของตนรับรู้ความรู้สึกที่ส่งผ่านไปให้ได้
   
        [พี่จะรอตรงนี้...ถ้าอยากคุยกันให้ลงมาเปิดประตู แต่ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้อง]
   
        “พี่กลับเข้าบ้านไปเถอะครับ อยู่ตรงนั้นยุงจะกัดเปล่าๆ ส่งไลน์มาหรือไม่ก็อธิบายทางโทรศัพท์แบบนี้ก็ได้”
   
        [ไม่เอา]
   
        ปานตะวันขมวดคิ้วเพราะทันทีที่เขาพูดจบประโยคราเมศก็ปฏิเสธขึ้นมาทันทีแบบที่เรียกว่าแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด
   
        [พี่อยากอธิบายต่อหน้ามากกว่า นะครับตะวัน ลงมาเปิดประตูให้พี่นะ]
   
        ปานตะวันยืนนิ่งอยู่นาน ราเมศเองก็อดทนรออย่างใจเย็น สุดท้ายชายหนุ่มผิวแทนก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังลอดมาตามสายก่อนที่ลูกแมวของเขาจะกดตัดสายไป
   
        ราเมศยืนตัวชา หัวใจคล้ายจะร่วงตกไปอยู่ปลายเท้าเมื่อเงาของปานตะวันหลังผ้าม่านหายไป
   
        แบบนี้แปลว่าอะไร...แปลว่าไม่พร้อมฟังแล้วก็ยังไม่พร้อมจะยกโทษให้กันใช่ไหม
   
        “ตะวัน...ปานตะวัน”
   
         ชายหนุ่มร่างสูงเรียกชื่อคนรักแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินเพราะเสียงของเขามันไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบสักเท่าไหร่
   
         ราเมศวางมือลงบนประตูรั้วเย็นเฉียบ จริงอยู่ที่ว่าเขามีกุญแจ ไขเปิดเข้าไปได้เองทุกเมื่อแต่ราเมศไม่อยากทำอย่างนั้น เขาบอกปานตะวันไปแล้วว่าอยากให้อีกฝ่ายลงมาเปิดให้ด้วยตัวเอง ประตูรั้วบานนี้ก็เหมือนหัวใจของปานตะวันที่กำลังโกรธเขาและไม่อยากรับฟังอะไร ราเมศอยากให้ปานตะวันเปิดใจแล้วก็ยกโทษให้เขาด้วยตัวเอง ให้ปานตะวันเลือกว่าเขาจะได้เข้าไปอธิบายทุกสิ่งให้เจ้าตัวฟังหรือไม่ เขาอยากให้ปานตะวันเป็นคนตัดสินใจว่าจะยกโทษให้หรือเปล่าไม่ใช่ตัวเขาดึงดันจะเข้าไป
   
        ถ้าตะวันยังไม่พร้อมพรุ่งนี้เขาจะมาใหม่ จะง้อไปเรื่อยๆ จนกว่าเด็กคนนั้นจะเปิดใจให้กันอีกหน
   
        มือใหญ่ขยี้เส้นผมสีดำจนยุ่งเหยิง ราเมศหมุนตัวกลับเตรียมจะเดินกลับไปบ้านตัวเองแต่แล้วเสียงก็อกแก็กเหมือนมีใครขยับกุญแจก็ดังมาจากอีกฝั่งของบานประตู ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิดออกพอเป็นช่องให้เดินเข้าไปได้
   
        ราเมศรีบเดินเข้าไปด้านในทันที ปานตะวันพอเปิดประตูให้เขาเสร็จก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นเรือนไปทิ้งให้คนรักเป็นฝ่ายคล้องกุญแจกลับเข้าที่แล้วก็วิ่งตามขึ้นเรือนไทย
   
        ปานตะวันสาวเท้าเร็วๆ จะตรงดิ่งกลับห้องนอนแต่โชคร้ายที่ขาเขามันยาวไม่เท่าราเมศที่เดินเร็วหน่อยก็คว้าตัวเขาไว้ได้แล้ว
   
        ราเมศจับลูกแมวน้อยของเขาได้ที่ห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มรวบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนแผ่นหลังของปานตะวันแนบชิดกับอกของเขา
   
        “ตะวัน” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหูเรียกสติปานตะวันที่ยืนตัวแข็งอยู่ให้กลับเข้าร่าง เจ้าของชื่อดิ้นขลุกขลักแต่ยิ่งดิ้นอ้อมแขนของราเมศก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น เขาจะไม่ให้ปานตะวันหลุดไปได้จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง
   
        “ปล่อยก่อน หายใจไม่ออก”
   
        ได้ยินดังนั้นคนตัวโตจึงคลายอ้อมกอดให้....แต่ก็แค่นิดเดียว
   
        “พี่เมศ” ปานตะวันเสียงเข้มขึ้น “ตะวันหมายถึงให้ปล่อยมือ”
   
        “ไม่ จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”
   
        คนตัวเล็กกว่าถอนหายใจ ปลายนิ้วเรียวเกาจมูกตัวเองอย่างคนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี สุดท้ายปานตะวันก็พยักหน้า
   
        “โอเคครับ เราจะคุยกันแต่ขอให้ผมเดินไปเปิดไฟ เปิดพัดลมแล้วก็นั่งคุยกันที่โซฟาดีไหม ยืนแบบนี้มันเมื่อยแถมยุงกัดอีก”
   
        หลังจากพูดจบปานตะวันก็ปลดแขนราเมศออกจากเอวของตนได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มทำตามที่พูดก่อนจะกลับมาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มๆ ข้างกายคนผิวแทน
   
       “แล้วมีอะไรจะพูดเหรอครับ”
   
        “เรื่องวันนี้ที่ไม่ได้มากินข้าวเย็นด้วย”
   
         ปานตะวันเลิกคิ้วเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักโซฟา กอดอก หรี่ดวงตาลงเล็กน้อยขณะรอคอย ไม่รู้ทำไมแต่ท่าทางนั้นทำให้ราเมศรู้สึกว่าปานตะวันดูเหมือนแมวจอมหยิ่งมากขึ้นไปอีก
   
        “พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้มา ขอโทษที่ไม่ได้ส่งข้อความหรือโทรมาหาด้วยเพราะโทรศัพท์แบตหมด ชาร์จทิ้งไว้ในบ้าน”
   
         ปานตะวันลอบกลอกตา ใจจริงก็อยากจะโกรธนานกว่านี้แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาสำนึกผิดแบบที่เห็นไม่บ่อยนักจากราเมศแล้วเขาก็ใจอ่อน
   
        อันที่จริงมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย โกรธนิดงอนหน่อยพอเป็นพิธี ฟังเหตุผล ขอโทษกันแล้วก็คืนดีให้มันจบไปจะดีกว่ามานั่งยืดเยื้อให้เหนื่อยใจเล่น ปานตะวันเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็ว เรื่องวันนี้เขายอมรับว่าหงุดหงิดและน้อยใจแต่เมื่อเห็นราเมศยอมลงให้เขาขนาดนี้ ยอมขอโทษแล้วก็อธิบายความโกรธในใจมันก็ปลิวหายไปหมด
   
        “แต่ก่อนออกไปเดินมาบอกสักนิดก็ได้นี่ครับ”
   
        “ขอโทษจริงๆ ตอนนั้นมิ้นต์เร่งพี่ไม่หยุดมันก็เลย...ไม่ทันคิด”
   
         ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ราเมศรีบจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น “ขอโทษ” เขาพูดย้ำ เผยความจริงใจออกทางสีหน้าและแววตา
   
         ราเมศไม่ชอบการทะเลาะกับปานตะวัน จริงอยู่ที่เมื่อก่อนพวกเขาเถียงกันบ่อยครั้งแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ชายหนุ่มพบว่าเขาแคร์ความรู้สึกปานตะวันมากกว่าที่ตัวเองคิด
   
        ไม่ชอบเห็นคนรักหงุดหงิด ไม่ชอบเห็นคนรักไม่สบายใจแล้วก็ยิ่งไม่ชอบตอนที่เถียงกันแรงๆ จนปานตะวันน้ำตาคลอ
   
        สิ่งที่เขาชอบและอยากเห็นที่สุดคือรอยยิ้มของเด็กคนนี้ต่างหาก
   
        และแน่นอนว่าครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายผิด ราเมศยอมรับอย่างไม่เกี่ยงงอน อะไรที่เขาทำผิดเขาก็ยอมรับเช่นเดียวกับเวลาที่ปานตะวันทำผิด นี่เป็นข้อตกลงระหว่างเราทั้งคู่
   
        ถ้าใครคนใดคนหนึ่งทำผิดให้อีกคนใจเย็นๆ จากนั้นก็หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกันดีๆ
   
       จะต้องไม่มีการตวาด ตะคอก ใช้ถ้อยคำหยาบคาบหรือการใช้กำลัง
   
         ถ้าเรื่องไหนโกรธนานก็ให้หลบหน้าไปก่อนแต่ห้ามหนีหายไปนอนข้างนอกโดยไม่บอกกล่าว พวกเขาต้องจำไว้ว่าคนที่ตัวเองทะเลาะอยู่ด้วยไม่ใช่แค่แฟนหรือคนรักแต่เป็นคนในครอบครัว
   
         “ขอโทษ”
   
          กับคนอื่นคำว่าขอโทษบางครั้งก็เป็นคำที่เอ่ยออกมายากที่สุดเพราะใจไม่ยอมรับผิด แต่สำหรับคนสำคัญแล้ว ทิฐิหรือความดื้อดึงต่างๆ ล้วนถูกวางกองไว้แทบเท้า
   
        คำขอโทษจะถูกกลั่นจากหัวใจก่อนเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้อย่างง่ายดาย
   
        นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งแล้วรอยยิ้มน้อยๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูปของปานตะวัน
   
        “ครับ ยกโทษให้”
   
        “เฮ้อ”
   
         ราเมศพรูลมหายใจออกมา ความรู้สึกหนักอึ้งในอกหายวับไปทันที ชายหนุ่มโถมตัวกอดคนรักเอาไว้ พิงศีรษะเข้ากับอกปานตะวันส่วนแมวเหมียวที่กลับมาอารมณ์ดีก็ยินยอมให้เขาคลอเคลีย มือของปานตะวันสอดเข้าไปเกี่ยวพันเส้นผมของเขาเล่นแล้วก็เปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ
   
        “ตะวัน”
   
        “หืม”
   
        “หิว”
   
        มือที่ลูบผมอยู่เลื่อนมาที่ไหล่เพื่อดันเขาออก ปานตะวันทำปากยื่น “หิวอะไร กินกุ้งเผามาไม่พอหรือไง”
   
        “รู้ได้ยังไงว่าจะไปกินกุ้งเผา” คราวนี้ราเมศเป็นฝ่ายแปลกใจบ้าง ปานตะวันยกมือนวดที่หัวคิ้วพลางตอบ “ได้ยินที่คุยกันพอดี ตอนนั้นตะวันยืนอยู่ตรงประตูรั้วกำลังจะมาตามพี่ไปกินข้าว” คนตัวเล็กเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะเหน็บกลับมาอีกประโยค “แล้วเป็นไง กุ้งอร่อยไหมล่ะ”
   
        “ไม่อร่อย กับข้าวฝีมือนายอร่อยกว่า”
   
        “เว่อร์”
   
        ปานตะวันผลักราเมศออกแล้วก็ลุกเดินไปทางครัว ตอนนี้ดึกมากแล้วชายหนุ่มจึงไม่ได้ทำอะไรนอกจากต้มมาม่า ปานตะวันหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หมูและไข่ออกมาจากตู้เย็น
   
        “เอากุ้งไหมพี่เมศ”
   
       “ไม่ล่ะ ไม่เอากุ้งแล้ว”
   
        ปานตะวันหัวเราะกับสีหน้าเหมือนคนอยากตายของราเมศ ระหว่างที่เขายืนอยู่หน้าเตาเพื่อรอน้ำเดือดคนผิวแทนก็ตรงเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง ราเมศเกยคางลงบนศีรษะทุย พวกเขายืนอยู่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันแต่อ่อนโยน
   
       “แล้วพี่จะไม่บอกผมเหรอว่าผู้หญิงที่ชื่อมิ้นต์เป็นใคร”
   
       “รอนายถามอยู่”
   
       “บ้าบอ!”
   
       ปานตะวันแยกเขี้ยว ถองศอกใส่คนด้านหลังไปทีนึงเบาะๆ พอได้แก้แค้นแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มสะใจ
   
       “แล้วจะบอกได้หรือยัง”
   
        ราเมศหยิกแก้มคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว เขาโน้มตัวลงหมายจะแอบจูบริมฝีปากช่างซักนั้นแต่คนตัวเล็กดันรู้ทันเลยเบือนหน้าหนี ปานตะวันตะปบมือปิดริมฝีปากเขาไว้ ขมวดคิ้วฉับพลางจ้องเขม็งด้วยสายตาคาดคั้น
   
        “อย่าบ่ายเบี่ยง ตอบมาเลยนะว่าใคร”
   
        ราเมศจูบลงที่กลางฝ่ามือของคนรักเป็นเชิงเอาใจก่อนตอบ “น้องสาวครับ”
   
        “เชื่อตาย” ปานตะวันกลอกตาพลางตอกไข่ใส่ลงในหม้อ ตอนนี้อะไรอยู่ใกล้มือเขาก็โยนมันลงหม้อต้มหมดนั่นแหละเดี๋ยวก็สุกเอง
   
        “จริงๆ น้องสาวแท้ๆ คลานตามกันมาเลย ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวให้ดูหลักฐาน”
   
        ว่าแล้วเจ้าตัวก็ผละไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาเปิดเข้าแชทกลุ่ม ‘ครอบครัวน่ารัก’ ซึ่งประกอบไปด้วยไลน์ของพ่อ แม่ และ ‘MINT the Beautiful Girl’
   
        “อ่านนี่นะ”
   
        ราเมศเลื่อนไปจนถึงข้อความหนึ่งแล้วส่งให้ปานตะวันรับไปอ่าน
   
        พ่อ : เมศ วันเกิดปีนี้จะขึ้นมาไหม 17:15
   
        แม่ : นั่นสิ มานะลูก แม่กับพ่ออยากเจอ 17:17
   
        Rames : เมศยังไม่แน่ใจนะครับ ไหนจะร้านอีก ทิ้งไปนานๆ ไม่ได้ด้วย 17:17 Read
   
        พ่อ : วันเกิดแกมันช่วงปีใหม่ ใจคอจะไม่ปิดร้านให้พนักงานกลับบ้านเลยหรือไง มาเถอะน่า พวกฉันคิดถึง พาหนูเจียของแกมาด้วยก็ได้ 17:30
   
        Rames : งั้นผมคงต้องถามน้าชายของเขาก่อน ไม่รู้เขาจะสะดวกไหม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพามาให้ได้ทั้งคู่ 17:31 Read
   
        พ่อ : ทำไม? 17:33
   
        พ่อ : *ส่งสติ๊กเกอร์หมีงง* 17:33
   
        Rames : เพราะเขาเป็นแฟนผม 17:40 Read

   
        “พ...พี่เมศ...นี่มัน”
   
        “มีอีกนะ”
   
        ราเมศเลื่อนข้อความให้ปานตะวันอ่านต่อ คราวนี้เป็นผู้หญิงที่ชื่อมิ้นต์ส่งรูปถ่ายอาหารและรูปตอนตัวเองนั่งกินข้าวกับราเมศเข้าไปในไลน์กลุ่มตามด้วยข้อความยาวเหยียดใจความว่า
   
      MINT the Beautiful Girl : แม่ พ่อ อาหารอร่อยมาก มื้อนี้พี่เมศเลี้ยง มิ้นต์จะถล่มให้เต็มที่เลย 55555 แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ของฝากส่งถึงมือพี่เมศเรียบร้อย 19:23
   
         แม่ :   แล้วคืนนี้มิ้นต์จะนอนที่ไหนลูก 19:23
   
         MINT the Beautiful Girl : บ้านพี่เมศแหละ 20:11
   
         MINT the Beautiful Girl : เอ้อ พ่อ แม่ มิ้นต์เห็นคนที่ชื่อตะวันแล้วนะ ที่เป็นแฟนพี่เมศ หน้าตาดีอยู่นะแต่ไม่รู้นิสัยเป็นไง สงสัยต้องให้พี่พาไปแนะนำตัวกับพ่อแม่เอง อิ___อิ 20:12
   
        พ่อ : จะมาเมื่อไหร่ก็มา เดี๋ยวจองตั๋วเครื่องบินให้ โอเคนะ 20:30
   
        พ่อ : พาแฟนแกมาด้วยนะไอ้เมศ ฉันอยากเจอหน้า 20:30

   
        ข้อความสิ้นสุดลงตรงที่พี่เมศกดส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป ปานตะวันอ้าปากค้าง สติบินออกจากร่างเรียบร้อยแล้ว
   
        “พี่เมศ...นี่มัน...นี่มันอะไรกัน”
   
        “ก็อย่างที่เห็น” ราเมศตอบด้วยท่าทางสบายๆ มื้อดึกของเขาสุกแล้ว ชายหนุ่มเดินเอื่อยๆ ไปยกหม้อลงจากเตาก่อนจะเดินไปหยิบชามกับช้อนมาวางลงบนโต๊ะ เตรียมกินอาหาร
   
        “ก็อย่างที่เห็นเรอะ ทำไมยังทำใจเย็นอยู่ได้เนี่ย นี่มันเข้าขั้นหายนะแล้วนะ!” มือของปานตะวันสั่นระริก เขาแทบจะหมดแรงยืน ท่าทางแบบนั้นทำให้คนตัวสูงอดขำไม่ได้
   
       “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พ่อกับแม่พี่ใจดี ไม่ดุหรอกอีกอย่างพวกท่านค่อนข้างเปิดกว้าง ไม่ต้องกังวล เขาแค่อยากรู้จักตะวันแค่นั้นเอง”
   
      “แล้ว...แล้วถ้าพ่อแม่พี่ไม่ชอบตะวันล่ะ”
   
       “พวกเขาจะชอบ”
   
       “มั่นใจอะไรขนาดนั้น”
   
        “มั่นใจสิ...เพราะพี่ชอบตะวันไง”
   
        ลูกแมวน้อยของเขาแก้มแดงแจ๋ รีบสไลด์โทรศัพท์คืน ราเมศรับไว้ทันก่อนที่มันจะหล่นจากโต๊ะ ชายหนุ่มวางมือถือไว้ไกลๆ จะหว่างที่คีบเส้นมาม่าจากหม้อมาใส่ถ้วย นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองปานตะวันที่นั่งหันหน้าไปทางอื่น พยายามซ่อนผิวแก้มแดงๆ เอาไว้จากสายตาเขา
   
       แก้มขาวๆ แต้มสีแดงระเรื่อ...น่างับชะมัด...น่ารักจนอยากหยอกให้เขินมากกว่าเดิม
   
      “ตะวัน กินด้วยกันไหม” ราเมศเท้าคาง เอ่ยชวนด้วยใบหน้ายิ้มๆ
   
       “ไม่เอา ผมอิ่มแล้ว”
   
        “พี่ก็อิ่มแล้ว น่านะ ช่วยกันหน่อย”
   
        “แล้วให้ต้มทำไมตั้งสองซอง”
   
        “ก็ต้มเผื่อนายจะกินด้วย” ราเมศลุกไปหยิบชามกับช้อนมาวางตรงหน้าปานตะวัน เด็กน้อยของเขาทำท่าฮึดฮัดชายหนุ่มจึงจูบเบาๆ ลงที่แก้มนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย
   
        “เราต้องกินข้าวเย็นด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
   
        เสียงทุ้มนุ่มเจือแววออดอ้อนดังชิดริมหู ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดผิวเนื้อทำให้ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะละลายไหลไปกองกับพื้น
   
       “ร...รู้แล้วครับ พอแล้ว ถอยออกไปก่อน!”
   
        ปานตะวันหยิบตะเกียบขึ้นมาแต่มือไม้เขามันดันอ่อนแรงจนตะเกียบร่วง ชายหนุ่มผมน้ำตาลแทบอยากมุดโต๊ะหนี สาบานได้ว่าเขาได้ยินพี่เมศหลุดขำด้วย ให้ตายเถอะ!
   
        แมวจอมแสบที่พ่ายแพ้ทาสแมวราบคาบยอมนั่งกินมื้อดึกเป็นเพื่อนอีกฝ่าย ระหว่างนั้นปานตะวันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในแชทไลน์ที่ราเมศให้อ่านดูเหมือนจะพูดถึงวันเกิดพี่เมศด้วยสินะ...จะว่าไปเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าราเมศเกิดวันไหน ถ้าจำไม่ผิดปานตะวันก็ไม่เคยบอกวันเกิดตัวเองให้อีกฝ่ายทราบเหมือนกัน   
   
        “ว่าแต่พี่เมศเกิดช่วงปีใหม่เหรอ”
   
       “ใช่ เกิดตอนเที่ยงคืนของวันที่ 1 มกราคม พอดี”
   
        “โห จะว่าไปตะวันก็เกิดช่วงปีใหม่นะ สิบสามเมษา ปีใหม่ไทย”
   
       “แล้วทำไมไม่ชื่อสงกรานต์”
   
       “ทีแม่พี่ยังไม่ตั้งชื่อพี่ว่าปีใหม่เลย”
   
        พวกเขายิ้มให้กัน ต่อบทสนทนาไร้สาระบนโต๊ะอาหารให้ยืดยาวออกไปอีก รู้ตัวอีกมาม่าสองห่อในหม้อก็ถูกกวาดเรียบไม่เหลือแม้แต่น้ำ ปานตะวันเป็นคนเก็บล้างจานชามส่วนราเมศก็ยืนกอดเอวเขาอยู่ ปลายจมูกกับริมฝีปากคลอเคลียอยู่ที่ลาดไหล่
   
        “นี่ตะวัน ขอของขวัญวันเกิดได้ไหม”
   
        “ยังไม่ทันจะถึงเลย ขอล่วงหน้าแล้วเหรอ”
   
       “ใช่ ให้ได้ไหมล่ะ”
   
        “อยากได้อะไรล่ะครับ อย่าแพงมากนะ กระผมเงินเดือนน้อย”
   
       เสียงทุ้มหัวเราะแผ่วๆ ในลำคอ ราเมศเกยคางลงกับบ่าคนรักจมูกสูดกลิ่นสบู่เจือจางบนผิวเนื้อ
   
       “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากให้ตะวันไปเจอครอบครัวพี่ด้วยกัน” มือขาวที่กำลังคว่ำชามลงในตะกร้าชะงัก ปานตะวันเบี่ยงหน้ากลับไปมองคนพูด “พี่เอาจริงใช่ไหม”
   
       “จริงสิ กับเรื่องของเราพี่จริงจังเสมอนั่นล่ะ”
   
       “ปากหวาน น่ากลัวมดจะขึ้น”
   
        “ปกติก็พูดแบบนี้”
   
       “ไม่ใช่ซักหน่อย ปกติเอาแต่ทำหน้าเครียดแล้วก็ดุตะวัน”
   
       ประโยคล้อเลียนนั่นก็ไม่ได้เกินจริงสักเท่าไหร่ ราเมศต่อหน้าคนอื่นน่ะยักษ์วัดแจ้งชัดๆ แต่พออยู่กันสองคนจากเสือก็กลายเป็นทาสแมวอย่างที่เห็น
   
       “แล้วจะไปไหมครับ”
   
       เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเช็ดมือกับผ้าผืนเล็กแล้วพลิกกายกลับมาเผชิญหน้ากับคนรัก แผ่นหลังของปานตะวันติดกับเคาน์เตอร์ครัวส่วนสองแขนของราเมศก็เท้าคร่อมเอาไว้ กักร่างเล็กๆ ของแมวแสบไว้ในอ้อมแขน
   
       ปานตะวันมองสบนัยน์ตาสีนิลติดดุที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เปิดเผยจริงใจกับเขาอย่างรักใคร่ ชายหนุ่มเขย่งเท้าขึ้นแตะจูบลงบนริมฝีปากราเมศเบาๆ
   
       “ถ้าพี่เมศจริงจังผมก็จริงจัง ตกลงครับ เราจะไปพบครอบครัวของพี่ด้วยกัน”

********************************************************

ช่วงนี้แบบว่ามันก็จะขยันๆ หน่อยค่ะ 55555555
เขียนตอนนี้แล้วรู้สึกฮีลลิ่งมากกกกกก พี่เมศขา พี่จะแพ้ทางปานตะวันอะไรขนาดนั้นคะ ฮ่าๆ
เขียนไปก็รู้สึกว่าพี่เมศตอนง้อแมวตัวเองคือน่ารัก ดีงาม สมฉายาทาสแมวไปอีก  :katai2-1:
ตอนนี้โปรยปรายความหวานไว้คะ จะให้เขาหยอดกันจนกว่าน้ำตาลจะขึ้น (โดนดีดออกนอกโลก)
ไม่ใช่แล้ว ฮ่าๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอให้ความหวานและความรักขึ้นตา
อ่านแล้วคิดเห็นยังไงสามารถบอกเราได้นะคะ รักคนอ่านทุกคน พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ :mew1:

ปล. สามารถติดตามข่าวสารนิยายได้ที่หน้าเพจ AzureDream นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-06-2017 20:03:54
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-06-2017 20:44:42
จะไปเจอครอบครัวพี่เมศแล้ว...
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 26-06-2017 20:49:33
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 26-06-2017 21:21:32
ขอบคุณค่ะ   จะพาไปเปิดตัวกับครอบครัวแล้ว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-06-2017 22:18:31
 :man1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-06-2017 22:56:40
ตกใจหมดเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 26-06-2017 23:00:18
ตะวันสุดยอดดดดดดด ตอกยังมนุษย์ป้าไปซะเงิบหงาย หึหึหึ (อินจากตอนที่แล้ว)
มีการชวนไปเปิดตัวที่บ้านนนนนนน น่อวววววว
ปล. ตะวันหึงฟรีเลยอ่ะ 55555
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-06-2017 23:12:45
จำได้ว่าเมศยังมีความลับบางอย่างเกี่ยวกับจันทร์อยู่นิ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-06-2017 23:52:44
ตอนนี้มาอย่างไวเลยนะคะ หวังว่าแม่น้องน็อตจะจบจริงๆ ตอนหน้าตะวันจะได้ไปพบพ่อแม่พี่เมศแล้ววววววว ตื่นเต้นอ่ะ ไม่รู้พ่อแม่พี่เมศจะว่ายังไงบ้างนะนี่
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 27-06-2017 08:59:49
ตะวันสู้ สู้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 27-06-2017 13:55:46
ตอนแรกจะถามว่าพี่เมศชอบกินไอติมรสไร
แต่พอเห็นแค่จิบกาแฟ สงสัยพี่เขาไม่ชอบกินไอติมใช่ไหม 555
น้องเจียนี่ชอบรสเดียวกับเราเลย ช๊อคแลค 555+

ตอนหน้าเจอครอบครัวพี่เมศ แอบตื่นเต้นแทนตะวัน
แต่ดูจากที่คุยในไลน์ ครอบครัวนี้ต้องน่ารักมากๆ แน่
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 27-06-2017 14:14:12
 :impress2:ให้บอกความรู้สึกตอนนี้นะเหรอ  จะบอกว่า  "มดกัด"
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 27-06-2017 15:05:05
จะเจอครอบครัวพี่แล้ว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 27-06-2017 18:02:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-06-2017 20:25:12
พาไปให้พ่อแม่ดูตัวเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 28-06-2017 11:24:22
น่ารัก มีความเป็นครอบครัว รอนะแจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-06-2017 02:47:39
เหมือนอ่านเรื่องนี้แล้วร้องไห้ตอนเว้นตอน เราอ่อนไหวกับเรื่องเด็ก  :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 29-06-2017 08:40:43
เกือบแล้วคุณเมศ หึหึ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 29-06-2017 13:28:56
โอ้ยยยย

สนุกมากเลยค่ะ

ตามอ่านรอบเดียวเลย

สนุกจริงๆ

ชอบจุง

ลุ้นๆตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๘ คำชวน (๒๖/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 30-06-2017 13:06:15
รอตอนเปิดตัว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 30-06-2017 19:24:15
ปานตะวัน
บทที่ ๑๙
ลูกแมวป่วย


        ช่วงธันวาคมอากาศเย็นลงเล็กน้อย ลมหนาวพัดมาอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะจากไปแต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้ใครบางคนเป็นหวัดจนต้องนอนซมอยู่บนเตียง
   
       “สามสิบเจ็ดองศา” ราเมศมองปรอทวัดไข้ในมือสลับกับปานตะวันที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง พวงแก้มขาวของชายหนุ่มแดงก่ำเพราะพิษไข้ประกอบกับท่าทางอ่อนเพลียทำให้ราเมศขมวดคิ้วด้วยความหนักใจ
   
       “ทำไมเป็นหนักขนาดนี้หือตะวัน”
   
       “ตะวันก็...แค่ก....ก็ไม่รู้” คนป่วยพูดด้วยเสียงแหบแห้งพลางยันตัวมานั่งพิงหัวเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาจิบ ราเมศถอนหายใจ มือใหญ่ทาบลงบนหน้าผากของคนรัก
   
       ตัวยังร้อนอยู่เลย
   
       “พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้พักอยู่บ้าน”
   
       “ก็เมื่อวานไม่เป็นหนักขนาดนี้ แค่จามเฉยๆ”
   
       “ยังจะเถียงอีก! ก็ดื้อแบบนี้ไงมันถึงได้อาการหนักแบบนี้”
   
       ชายหนุ่มผิวแทนขึงตาดุส่วนคนถูกดุก็ย่นคอลงเล็กน้อย ปานตะวันก้มหน้างุด เถียงไม่ออกเพราะรู้ดีว่าที่เป็นแบบนี้เพราะความดื้อด้านของตัวเองล้วนๆ
   
       เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อสี่วันก่อนหนูเจียของเขาไม่สบาย คงเป็นเพราะอากาศเย็นลง เด็กน้อยจามไม่ยอมหยุดจนคุณครูต้องโทรเรียกผู้ปกครองให้มารับกลับบ้านก่อนเวลา พอกลับมาถึงบ้านหนูเจียก็ไข้ขึ้นปานตะวันจึงต้องตื่นมาคอยเช็ดตัวและป้อนยาเป็นระยะ วันต่อมาหนูเจียก็หายเป็นปลิดทิ้งกลับไปกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิม
   
        ส่วนคุณน้าตะวันน่ะหรือ...กลายเป็นฝ่ายจามฮัดชิ่วไม่หยุดแทน
   
        ปานตะวันคิดว่าตัวเองคงแค่เป็นภูมิแพ้นิดหน่อย เขาทานยาแก้แพ้แล้วก็ไปทำงานตามปกติ กลับมาก็อ่านหนังสือเตรียมสอบจนดึกดื่นเหมือนทุกคืน ทำแบบนี้อยู่สองวันโดยไม่ได้เอะใจเลยว่าร่างกายตัวเองกำลังประท้วงเพราะถูกใช้งานหนักเกินไป จากอาการหวัดเล็กน้อยที่นอนพักเดี๋ยวเดียวก็หายกลายเป็นว่าเขาไข้ขึ้นสูงแล้วก็วูบไปกลางที่ทำงาน ทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นร่วมถึงราเมศตกอกตกใจกันยกใหญ่
   
         ราเมศรีบร้อนพาเขาไปที่โรงพยาบาลแล้วก็ได้รับคำตอบจากคุณหมอว่าปานตะวันเป็นไข้หวัดประกอบกับพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้อาการเพียบหนัก หลังจัดยาให้และกำชับอีกหลายหนว่าให้พักผ่อนให้เพียงพอ ทานยาให้ตรงเวลาและอย่าหักโหมร่างกายมากเกินไปคุณหมอก็ปล่อยปานตะวันกลับบ้าน
   
       และเมื่อถึงบ้านราเมศก็จับเขาขึ้นเตียง เดี๋ยว! หยุด! ได้โปรดอย่าคิดไกล เพราะเหตุการณ์ที่ตามมาแม่งไม่ได้มีความโรแมนติกอะไรเลยนอกจากการสั่งพักงาน ให้นอนอยู่นิ่งๆ บนเตียง และคำบ่นยาวเหยียดชนิดที่ฟังแล้วอยากแกล้งตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ปานตะวันทำหูดับไปตั้งแต่ห้านาทีแรกแล้ว
   
       ส่วนราเมศหลังบ่นคนรักจนพอใจก็ประกาศด้วยสีหน้าถมึงทึงเหมือนยักษ์วัดแจ้งว่าจะมานอนค้างที่บ้านเรือนไทยเพื่อเฝ้าปานตะวัน
   
       ตอนนี้เขาเลยไม่ต่างอะไรกับนักโทษกลายๆ
   
       ปานตะวันไอแห้งๆ ออกมา ตอนนี้สภาพเขาแย่มาก ทั้งมึนหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว ร้อนวูบไปหมด ขากลับจากโรงพยาบาลชายหนุ่มก็หลับยาวมาตลอดเพราะพิษไข้ ปานตะวันรู้ว่าเขาควรจะพักแต่จะให้นอนเฉยๆ มันก็น่าเบื่อนี่นา
   
       แมวแสบของราเมศออกอาการงุ่นง่านจนเห็นได้ชัด เพราะร่างกายย่ำแย่ทำให้อารมณ์ของปานตะวันเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงตาม
   
       “หลานอยู่ไหนครับ”
   
       “อยู่ข้างนอก เข้ามาเดี๋ยวก็ติดหวัดอีก คราวนี้ไม่ต้องทำอะไรกันล่ะ ป่วยทั้งน้าทั้งหลาน”
   
       “ตะวันอยากเจอหนูเจีย”
   
        “ตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอให้อาการดีขึ้นก่อนนะ” คนตัวโตเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ต่างอะไรกับปลอบเด็กเล็กๆ  “ทานข้าวก่อนเถอะ พี่ซื้อข้าวต้มกับน้ำเต้าหู้มาให้ แล้วจะได้ทานยา”
   
        ราเมศวางถ้วยข้าวต้มปลาควันฉุยและแก้วน้ำเต้าหู้ลงที่โต๊ะ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก เขายังไม่หิวและไม่อยากกินราเมศตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าเบาๆ ให้หายร้อนแล้วก็เอาช้อนไปจ่อปากอีกฝ่าย
   
       “อ้าม”
   
       “ไม่ใช่เด็กนะพี่เมศ”
   
       พอเห็นคนผมน้ำตาลพูดเสียงขุ่นราเมศก็หัวเราะ “โอเคไม่แกล้งแล้วๆ ทานข้าวนะครับจะได้ทานยา”
   
       น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลจนคนฟังใจอ่อน ริมฝีปากเล็กๆ อ้าออกรับข้าวต้มเข้าไป ราเมศลูบแก้มเขาเบาๆ พลางถาม “อร่อยไหม”
   
        ลูกแมวป่วยส่ายหน้า ซุกแก้มร้อนเพราะพิษไข้เข้าหาฝ่ามือใหญ่ ไม่รู้ทำไมพอป่วยแล้วปานตะวันถึงได้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนไหวง่ายเหลือเกิน เขาทั้งเหนื่อยทั้งเพลียจนไม่อยากทำอะไร อยากจะอ้อนเยอะๆ ให้ราเมศเป็นฝ่ายดูแล ตามใจ ซึ่ง...ก็ดูท่าจะได้ผลดี
   
        “ไม่อร่อยเลยพี่เมศ ลิ้นคงเพี้ยนเพราะไม่สบาย”
   
       “พี่รู้แต่ทานอีกนิดนะครับ ไม่งั้นจะไม่มีแรงนะ”
   
         ราเมศพยายามหลอกล่อเด็กยี่สิบเอ็ดขวบตรงหน้าให้กินข้าวแต่เจ้าแมวแสบก็ดื้อดึงเสียเหลือเกิน ปานตะวันเม้มปาก เบือนหน้าหนีช้อนที่จ่อตามมาติดๆ
   
        ราเมศลอบถอนหายใจ ชายหนุ่มวางถ้วยข้าวต้มลงจากนั้นก็ใช้สองมือกอบพวงแก้มนุ่มของปานตะวันไว้ บรรจงจูบลงที่สองข้างแก้ม
   
        “ปานตะวัน” น้ำเสียงทุ้มเรียกชื่อของเขาอย่างนุ่มนวล ปลายนิ้วเกลี่ยผิวแก้มไปมาแผ่วเบา สายตาที่ราเมศจ้องมาเต็มไปด้วยความเอ็นดูและอ่อนหวานลึกซึ้ง
   
       “ไม่ดื้อนะครับ”
   
       ตูม
   
       แพ้...แพ้ราบคาบเลยครับ
   
       สายตาแบบนั้น เสียงแบบนั้น คำพูดแบบนั้น....เล่นโจมตีกันขนาดนั้นแล้วจะให้เขา ‘ดื้อ’ ต่อไปได้ยังไง
   
        “ยอมแล้ว...ครับ”
   
        มุมปากคนตัวโตยกขึ้นเมื่อลูกแมวน้อยซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนเขา ราเมศจูบหน้าผากปานตะวันพร้อมกับกอดร่างตคนรักไว้หลวมๆ
   
       “เก่งมากครับ” ราเมศชม ชายหนุ่มหยิบถ้วยข้าวต้มขึ้นมาอีกรอบคราวนี้ปานตะวันยอมกินโดยไม่อิดออด ราเมศ หอมแก้มคนรักเป็นการให้รางวัล เขาหลุดขำเมื่อเห็นว่าแก้มของปานตะวันดูจะเป็นสีจัดมากขึ้นกว่าเดิม
   
       คงไม่ใช่ว่าเขาทำให้แมวแสบไข้ขึ้นหนักกว่าเก่าหรอกนะ
   
       “เก่งมาก กินเยอะๆ เลยนะ”
   
      “แค่นี้เองครับ แค่กๆ”
   
       คนทำเก่งไอออกมา ราเมศรีบส่งน้ำให้จิบพร้อมกับลูบหลังไปด้วย ปานตะวันหน้าแดงตาแดงปาดน้ำตาที่คลออยู่ป้อยๆ ท่าทางนั้นยิ่งทำให้ราเมศเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
   
      แมวน้อยเอ๊ย
   
      หลังกินข้าวต้มจนพร่องไปครึ่งชามปานตะวันก็อิ่ม ชายหนุ่มดื่มน้ำเต้าหู้จนหมดแก้วจากนั้นก็ทานยาตาม
   
      “เด็กดี”
   
        “ฮื่อ”
   
        “โอ๋ๆ มานี่มา”
   
        ราเมศไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ด้วย สมัยก่อนตอนที่คบกันแฟนคนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าอ้อนเขาขนาดนี้และเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาอ้อนด้วย ถ้ามีใครพยายามจะกอดแขนหรือทำเสียงเล็กเสียงน้อยเขาคงขมวดคิ้วใส่ด้วยความรำคาญไปแล้ว ยิ่งกับเด็กแสบๆ นะ...อย่าว่าแต่อ้อน...ให้คุยกันโดยที่เขาไม่เผลอต่อยปากอีกฝ่ายได้ก็บุญโขแล้ว
   
        แต่กับปานตะวัน...เจ้าแมวจอมแสบคนนี้ยกตัวเองมาอยู่เหนือกฎทุกอย่างที่เขาตั้งไว้
   
        ราเมศชอบให้ปานตะวันต่อล้อต่อเถียง ส่งยิ้มซุกซนมาให้ ชอบให้ปานตะวันอ้อน เหมือนตอนนี้ที่อีกฝ่ายขยับตัวมานั่งอยู่บนตัก สองแขนสองขากอดรัดเขาไว้พลางซุกใบหน้าลงกับไหล่ เปลี่ยนสภาพจากลูกแมวไปเป็นลูกลิง
   
       “ป่วยแล้วอ้อนนะเรา”
   
       “ตะวันอยากอ้อนนี่นา” ตอนที่พูดแรงกอดก็เพิ่งมากขึ้น ปานตะวันนั่งซุกอยู่ท่านั้นจนกระทั่งลมหายใจสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวหลับไปแล้ว ราเมศจูบเส้นผมสีน้ำตาลหอมๆ ไปหนึ่งทีจากนั้นก็ค่อยๆ ปลดแขนขาเจ้าลูกลิงออก ลดร่างเล็กให้นอนราบลงบนเตียงแล้วห่มผ้าห่มให้
   
        สีหน้าผ่อนคลายยามหลับของคนบนเตียงทำให้ราเมศเบาใจ
   
        ทานยาแล้ว ได้นอนพักแล้ว เดี๋ยวก็กลับเป็นปกติ
   
        ชายหนุ่มลูบผมคนรักไปอีกสองสามทีก่อนจะผละไปดูแลหลานชายที่ห้องนั่งเล่น
   
        ปานตะวันตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนฟ้ามืด พอควานหาโทรศัพท์มาเปิดดูเวลาก็พบว่าสองทุ่มกว่าแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อยแต่โดยรวมแล้วเขารู้สึกดีกว่าเมื่อกลางวันมากโข พอลองควานหาปรอทมาวัดไข้ตัวเองก็พบว่ายังมีไข้อยู่แต่ไม่ได้สูงเท่าเดิมแล้ว
   
         ร่างในชุดเสื้อยืดกับกางเกงเจเจสีเขียวแปร๋นโซเซลุกจากเตียง ปานตะวันเดินเพลียๆ ออกจากห้องตรงไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเขาได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดมา ปานตะวันผลักประตูเปิดออกแล้วก็พบหลานชายของเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนตักราเมศ เสียงเจื้อยแจ้วของหนูเจียกังวานใสจนคนฟังอดอมยิ้มไม่ได้
   
        “น้าตะวัน!” เสียงใสๆ ขาดหายเมื่อเจียหลินเงยหน้าขึ้นมาเห็นปานตะวันยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ หลานชายตัวน้อยและสมุนแมวอีกสองกระโดดลงจากโซฟา วิ่งดุ๊กๆ มาพันแข้งพันขาปานตะวัน
   
        “ว่าไงครับหนูเจีย ทำออะไรอยู่” ปานตะวันวางมือลงบนศีรษะหลานชาย เด็กน้อยยิ้มกว้างจนตาหยี “หัดอ่านหนังสือคับ น้าตะวัน วันนี้หนูเจียอ่านจบตั้งเล่มนึงแล้วนะ!”
   
        หนูเจียชูหนังสือนิทานให้ปานตะวันดู ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นการไอจนตัวโยน ปานตะวันขมวดคิ้ว นึกรำคาญอาการคันในลำคอของตัวเองเหลือเกิน
   
        “ไหวไหม” ราเมศเดินตรงเข้ามาวัดไข้ปานตะวัน คิ้วเข้มขมวดมุ่น นัยน์ตาสีนิลฉายแววดุเมื่อพบว่าตัวของอีกฝ่ายยังรุมๆ อยู่ “ยังไม่ดีขึ้นแล้วลุกขึ้นมาทำไม”
   
        “ตะวันเหนียวตัว อยากอาบน้ำ”
   
        ปานตะวันเอนตัวทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไปที่ราเมศซึ่งพอเห็นท่าทางอ่อนเพลียของปานตะวันแล้วก็ดุต่อไม่ลง
   
        “ไข้ยังไม่หาย เช็ดตัวก็พอนะ ไปแปรงฟันก่อนสิ เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้”
   
        “อื้ม”
   
         “น้าตะวัน น้าตะวันยังไม่หายเหรอคับ” ยังไม่ทันได้เดินไปไหนหนูเจียก็ดึงขากางเกงน้าชายของตนไว้ สีหน้าเด็กชายเต็มไปด้วยความกังวล
   
        “ครับ น้าตะวันยังไม่สบายอยู่เพราะงั้นคืนนี้หนูเจียต้องไปนอนกับน้าเมศที่อีกห้องหนึ่งนะครับ ไม่งั้นจะติดหวัดน้า”
   
       “แต่ว่า...”
   
       “หนูเจีย ไม่ดื้อนะครับ”
   
       เจอประโยคไม้ตายนี้เข้าไปเจียหลินก็งับริมฝีปาก พยักหน้าอย่างจำยอม เด็กชายเดินไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อยจากนั้นก็เดินตามน้าเมศเข้าห้องนอนไป ก่อนไปยังหันมาส่งสายตาละห้อยหาให้น้าตะวันอีก ปานตะวันยิ้มให้หลานพลางโบกมือบ๊ายบายให้
   
       พอคล้อยหลังหนูเจียชายหนุ่มก็เดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัว พอกลับเข้ามาราเมศก็รออยู่พร้อมกะละมังและผ้าขนหนูแล้ว
   
      “ถอดเสื้อสิ” ราเมศสั่ง ชายหนุ่มกำลังบิดผ้าขนหนูชุบน้ำอยู่ ปานตะวันกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์
   
       “พี่เมศไม่ถอดให้เหรอ”
   
        มือที่บิดผ้าอยู่ชะงัก นัยน์ตาสีนิลวาววับขึ้นมา “อยากให้ถอดให้?”
   
       ปานตะวันยักคิ้ว ราเมศถอนหายใจกับคนป่วยที่แกล้งทำอวดเก่ง พักหลังปานตะวันชอบยั่วเขาทำนองนี้บ่อยๆ พูดทีเล่นทีจริงแต่พอเขาจะเอาจริงเข้าลูกแมวนี้ก็เผ่นแผล็วหนีไปได้ทุกครั้ง
   
       ปากเก่งไปอย่างนั้นแหละเจ้าเด็กนี่น่ะ ถ้าเขาเอาจริงขี้คร้านจะร้องโวยวายไปวิ่งหนีไป
   
       “อย่าท้าทายขีดจำกัดพี่ให้มากนักนะปานตะวัน” ราเมศสาวเท้าเข้าไปชิด ดึงเสื้อยืดย้วยๆ ออกจากศีรษะของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของชายหนุ่มทำให้คนปากกล้าเริ่มกลัวขึ้นมา ปานตะวันผงะถอยหลังแต่ราเมศไวกว่า ชายหนุ่มผิวแทนคว้าร่างผอมของคนเบื้องหน้าเข้ามาชิด ไอร้อนผ่าวแทรกผ่านเสื้อผ้าที่กางกั้นอยู่ รวมถึงจังหวะหัวใจถี่รัวของพวกเขาทั้งคู่ด้วย
   
       “นายรอดเพราะพี่ปล่อยให้นายรอดต่างหาก” ร่างในอ้อมแขนเริ่มดิ้นขลุกขลักแต่ราเมศที่หมั่นเขี้ยวคนในอ้อมกอดเป็นกำลังยิ่งรัดแน่นขึ้น
   
       “พี่...พี่เมศ...ปล่อย”
   
        “ถ้าพี่เอาจริง นายคิดว่าตัวเองจะรอดเหรอ”
   
        ราเมศโน้มใบหน้าไปใกล้ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงห้ามของคนรัก
   
        ปานตะวันหลับตาปี๋ ใบหูแดงแจ๋ คงคิดว่าเขาจะจูบ ราเมศหัวเราะในลำคอขณะแกล้งเฉียดริมฝีปากผ่านริมฝีปากปานตะวัน เขาสัมผัสได้ว่าร่างในอ้อมแขนกระตุกเบาๆ
   
        “คิดเหรอว่าพี่จะจับนายไม่ได้ หืม เจ้าลูกแมวแสบ”
   
        ชายหนุ่มจูบลงที่สันกรามของลูกแมว ได้ยินคนตรงหน้าส่งเสียงฮึดฮัดขู่ฟ่อราเมศจึงเลื่อนริมฝีปากลงมายังซอกคอพร้อมกับเน้นรอยจูบหนักๆ จนเกิดเป็นร่องรอยสีแดงที่ตัดกับผิวขาวของคนตรงหน้าจนเห็นได้ชัด
   
       “พี่เมศ...ไม่..ไม่ได้”
   
       “อะไรไม่ได้”
   
       “อย่าจูบ....ตรงนั้น”
   
        บริเวณลำคอเป็นจุดอ่อนของปานตะวันมาโดยตลอด เขาไม่ชอบให้ใครมาจับมาแตะ จั๊กจี้นี่ไม่ต้องพูดถึง
   
        เมื่อครู่แค่ราเมศลากริมฝีปากผ่านความรู้สึกแปลกๆ ก็แล่นปราดไปทั้งร่าง ยิ่งพอร่างสูงจูบสร้างรอยคิสมาร์กปานตะวันก็ถึงกับเข่าอ่อน
   
        “พี่เมศ อ๊ะ”
   
         ฟันคมขบลงบนผิวเนื้อ ไม่ทิ้งร่องรอยไว้นอกจากกระตุ้นให้อุณหภูมิร่างกายสูงปรี๊ดแทบทะลุปรอท ปานตะวันนึกอยากเป็นลมให้มันรู้แล้วรอด เขาทั้งผลักทั้งดันคนตรงหน้าแต่ไอ้พี่เมศก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด แถมยังวกมาจูบเขาอีก แช่งให้ติดหวัดไปซะเลยดีไหม!
   
         ปานตะวันครางในลำคอเมื่อปลายลิ้นอุ่นแทรกซึมเข้ามาในโพรงปาก จูบของราเมศร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงจูบผะแผ่วน่าอายทำให้ร่างกายของเขาเห่อแดงไปทุกส่วนสัด
   
         “หายใจ ตะวัน”
   
         ตอนที่ได้ยินคำสั่งนั้นปานตะวันถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังกลั้นหายใจ และพวกเขาสองคนมานั่งอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
   
         “พี่เมศ!” อารามตกใจทำให้ปานตะวันยกเท้าขึ้นถีบโดยอัตโนมัติแต่ราเมศไวกว่าเพราะชายหนุ่มเอียงหัวหลบแถมยังคว้าข้อเท้าของเขาไว้ได้พอดี
   
        ตุบ
   
        “เฮ้ย”
   
        “กล้าถีบพี่เลยเหรอ สงสัยจะตามใจกันมากไปแล้วมั้ง”
   
        คนตัวโตแกล้งคำราม ราเมศดึงข้อเท้าปานตะวัน พยายามไม่ใช้แรงมากไปจนทำให้อีกฝ่ายเจ็บแต่แรงพอจะทำให้อีกฝ่ายเสียหลักจนลงมานอนแผ่อยู่บนเตียง ร่างกายตึงแน่นด้วยมัดกล้ามตามไปคร่อมทับ ปานตะวันตาเหลือกรีบเอามือยันหน้าอีกฝ่ายไว้ทันที
   
        “โอเคพี่เมศ ตะวันยอมแล้ว โว้ย คนป่วยอยู่ก็ยังจะแกล้งนะ รังแกคนไม่สบายมันบาปรู้หรือเปล่า”
   
         นิ่งกันไปชั่วอึดใจร่างสูงใหญ่ที่ปั้นหน้าขรึมมาตลอดก็คลี่ยิ้ม ดึงข้อมือปานตะวันออกอย่างนุ่มนวล “เข็ดแล้วใช่ไหม”
   
        “ครับ เข็ดแล้วครับ จะไม่แกล้งไม่อ่อยแล้วครับ”
   
        “ก็ดี จำไว้เป็นบทเรียนล่ะ”
   
         ราเมศลุกขึ้นนั่งหน้าตาเฉยประหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปานตะวันรีบตะกายตัวขึ้นนั่งแถมยังกระถดไปจนชิดหัวเตียงเรียกสายตาขบขันจากคนตัวโตได้เป็นอย่างดี
   
        “จะไปไหน ไม่ทำอะไรแล้ว มานั่งนี่เร็วพี่จะได้เช็ดตัวให้”
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลยังดูระวังระไว ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะผีเข้านึกอยากปล้ำเขาขึ้นมาอีกหรือเปล่า
   
        ราเมศที่รู้ทันความคิดแฟนเลยจัดการเขกหัวคนฟุ้งซ่านไปหนึ่งที
   
        “ไม่แกล้งแล้วน่า นายไม่สบายอยู่ พี่ไม่นิยมรังแกคนป่วย”
   
        “จริงนะ”
   
        “สัญญาเลย มาเร็วแมวน้อย รีบเช็ดตัวให้เสร็จๆ ไปพี่จะได้ไปดูหลาน”
   
        “โอ...เค”
   
        ปานตะวันยอมคลานกลับมานั่งแปะอยู่ข้างราเมศ ยกมือยกไม้ให้อีกฝ่ายเช็ดตัวให้แต่โดยดี แม้จะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาวามวาวอันตรายดุจสิงโตจ้องตะครุบเหยื่อของอีกฝ่ายอยู่บ้างแต่สุดท้ายการเช็ดตัวก็ผ่านพ้นไปโดยไม่เกิดความสูญเสียใดๆ
   
        ปานตะวันจัดการเปลี่ยนเป็นชุดนอนขณะที่ราเมศเอาอ่างใส่น้ำกับผ้าขนหนูไปเก็บ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยปานตะวันก็เตรียมตัวเข้านอน
   
        “ขอบคุณนะครับพี่เมศ”
   
       “ไม่เป็นไร นอนพักเยอะๆ นะจะได้หายไวๆ”
   
        ปานตะวันพยักหน้ากำลังจะปีนขึ้นเตียงนอนแต่ราเมศก็เรียกเขาเอาไว้ก่อน พอหันไปมองด้วยแววตาแปลกใจชายหนุ่มผมดำก็เดินเข้ามาประชิดจากนั้นก็จัดการดึงตัวปานตะวันไปยืนอยู่หน้ากระจกเงา
   
       “ตะวัน ดูนี่นะ”
   
        ราเมศใช้มือดันให้ปานตะวันเอียงคอ ตอนแรกชายหนุ่มก็ไม่เข้าใจแต่เมื่อคนรักชี้ให้ดูอะไรบางอย่างใบหน้าติดหวานก็พลันซับสีแดงระเรื่อ
   
        บนลำคอขาวผ่องของปานตะวันปรากฏรอยจูบสีแดงเด่นชัดตัดกับสีผิวอยู่หนึ่งรอย
   
        เท่านั้นยังไม่พอ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเป็นไข่ห่านเมื่อปลายนิ้วของคนรักเกี่ยวคอเสื้อเขาลงด้านหนึ่ง...เผยให้เห็นรอยแดงจากการจูบและรอยฟันอีกจำนวนหนึ่งอยู่บนลาดไหล่!
   
        “ไอ้พี่เมศ!”
   
         “ชู่ว์ เบาๆ สิ” ราเมศรีบตะครุบปากเอาไว้ทันที “เสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวหนูเจียก็ตื่นหรอก”
   
        ปานตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่าย ทำมาเป็นดุแต่ไอ้เรื่องที่ทำไว้นี่มันไม่น่าโดนด่าเลยเนอะ
   
        “แล้วพี่ทำ...ทำไอ้รอยพวกนี่เพื่อ!?”
   
         ปานตะวันยอมลดเสียงลงแต่กระนั้นก็ยังส่งสายตาฟาดฟันให้อีกฝ่ายอยู่ดี ราเมศกระตุกยิ้มมุมปากที่ดูแล้วมันโคตรจะกวนประสาท ทำเอาคนมองถึงกับแก้มกระตุก
   
        “เพื่อให้รู้ว่าคราวหน้าคราวหลังอย่าคิดจะลองดีถ้าไม่แน่จริง” พวกเขาสองคนสบตากันผ่านกระจก รอยยิ้มร้ายประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของราเมศทำให้ปานตะวันขนลุกเกรียว
   
        ปลายนิ้วไล้ไปตามกรอบหน้าของปานตะวันเบาๆ เหมือนจะหยอกเอิน ขณะที่เสียงทุ้มกระซิบอยู่ริมหู
   
        “นายคิดจริงๆ เหรอว่าพี่ไม่เคยนึกอยากทำ ‘อะไรๆ’ กับนายน่ะฮึ พี่เป็นคนนะตะวันไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน”
   
        ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเหมือนแมวกำลังตกใจ ยิ่งเห็นยิ่งน่าขย้ำในสายตาของคนสวมบทเป็นผู้ล่า
   
        “หนนี้นายไม่สบายอยู่ดังนั้นพี่จะปล่อยไป...แต่ครั้งหน้าไม่อีกแล้วนะปานตะวัน”
   
        แววตาคู่นั้นเหมือนจะเตือนเขาให้ระวังตัวให้ดี ถ้าไม่อยากถูกจับกิน
   
        ปานตะวันอยากจะยกมือกุมขมับ เออเนอะ เห็นนิ่งๆ ไม่คิดว่าจะร้ายได้ขนาดนี้ ถามว่ากลัวกับขู่ไหม...ก็ไม่ เพราะตะวันรู้ว่าพี่เมศไม่มีทางรุนแรงกับเขาหรอก
   
       จะให้นั่งนิ่งแล้วโดนข่มทับอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่นิสัยเขาเสียด้วย
   
        ปานตะวันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย อาศัยจังหวะที่ราเมศไม่ทันตั้งตัวประทับริมฝีปากลงที่ไหล่อีกฝ่ายบ้าง แต่เขาไม่ได้แค่จูบอย่างเดียวปานตะวันยังอ้าปากกัดจนขึ้นรอยฟันอีกต่างหาก!
   
        “แหม...จะตั้งตารอเลยล่ะครับ”
   
         ราเมศสาบานว่าในนาทีนี้ไม่มีอะไรที่เขาอยากทำมากไปกว่าจับปานตะวันกดลงกับเตียงแล้วจูบปิดปากช่างพูดช่างยั่วนั้นเสีย
   
        แต่ยังก่อน
   
        ไม่ใช่วันนี้
   
        “ระวังให้ดีปานตะวัน พี่ไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ แน่”
   
        “งั้นก็มารอดูกันนะครับที่รักว่าใครจะคุมเกม”
   
        เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอก่อนที่ราเมศจะโน้มตัวลงจูบเบาๆ ที่ลาดไหล่ของคนตัวเล็กกว่า “เก่งจริงๆ ไอ้ลูกแมว ใครมันยังอ้อนพี่อยู่เมื่อตอนกลางวันนะ ไป ไปนอนเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่พี่จะไม่รอวันอื่น”
   
        “คร้าบ”
   
       ปานตะวันยอมกลับขึ้นเตียงแล้วนอนเป็นเด็กดีให้อีกฝ่ายห่มผ้าจูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์ให้เรียบร้อย
   
       เอาตรงๆ เขาก็แอบรู้สึกว่าพี่เมศวันหนึ่งนี่เปลี่ยนอารมณ์ได้หลากหลายดีนะ เมื่อกี้ยังอยู่โหมดโหดบวกหื่นอยู่เลย มาคราวนี้องค์ออกก็กลับเป็นโหมดแฟนใจดียิ้มสวยในสามวิ
   
       “ฝันดีตะวัน”
   
       “ฝันดีครับพี่เมศ”
   
       ปึง
   
        ประตูห้องนอนปิดลงแล้ว ปานตะวันยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืด ชายหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่กี่นาทีก่อนหน้า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าแฟนของเขามันเสือแสร้งหลับชัดๆ ทำเป็นเก็บเขี้ยวเล็บแต่จริงๆ แล้วกลับพร้อมจะขย้ำเหยื่อตลอดเวลา
   
        “หรือเราจะแกล้งมากไปกันนะ”
   
        ปานตะวันแตะนิ้วไปตามซอกคอระเรื่อยมาจนไหล่ พลันคำพูด แววตาและริมฝีปากอุ่นที่กดลงบนผิวก็หวนคืนมา ร่างโปร่งยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ความร้อนแล่นริ้วไปตามใบหน้าแถมหัวใจก็ยังเต้นถี่ราวกับรัวกลอง
   
        ให้ตาย คนอย่างปานตะวันจะไม่มีวันยอมแพ้พี่เมศเด็ดขาด ครั้งหน้าเขาจะต้องเป็นคนคุมเกมให้ได้!
   
         แต่ครั้งนี้เขาป่วยอยู่...ขอเป็นฝ่ายถอยทัพก่อนแล้วกัน เฮ้อ
   
         ชายหนุ่มสะบัดผ้าห่มออกแล้วตัดสินใจเดินไปล็อกประตูห้องทันที
   
         ไม่ได้กลัวหรอกนะ เขาเรียกปลอดภัยไว้ก่อนต่างหากล่ะ!

*****************************************************

ลงมาให้เตรียมใจก่อนพาไปพบครอบครัวพี่เมศค่ะ ทุกคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นะคะ ฮ่าๆ
อันนี้ออเดิร์ฟค่ะ น้ำจิ้มๆ เดี๋ยวตอนหน้าพาไปเจอครอบครัวจริงๆ แล้วววว :katai4:
ตอนนี้ก็ยังคงโปรยปรายความหวานค่ะ กักตุนเอาไว้เยอะๆ ให้น้ำตาลในเลือดมันทะลุลิมิตเลยค่ะ
เอาจริงๆ เขียนแล้วชอบใจในความอ้อนปนอ่อยของปานตะวันมาก พี่เมศก็ตามใจไปอีก เริ่มอิจฉาปานตะวันซะแล้วสิคะ
ฮ่าๆ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เราจะลุ้นตอนหน้าไปด้วยกัน จุ๊บๆ

ปล.ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-06-2017 19:36:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-06-2017 20:25:09
ยังจะซ่า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 30-06-2017 20:32:32
ลูกแมวตัวโตรีบหายเร็วๆนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-06-2017 20:38:25
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2017 21:07:09
ทำเป็นซ่าาาา อิอิ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 30-06-2017 21:40:41
 :pig4: :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 01-07-2017 00:20:27
ชอบเรื่องนี้มากเลยยยย สอนใจดี ได้ข้อคิด ตัวละครก้ดี สนุกด้วยยย
หนูเจียน่ารักกก อยากอ่านคู่เกล้ากับหนูเจียยย
ชอบที่ตะวันค่อยๆโตขึ้น เป็นเด็กดีและพยายามมากเลย นับถือ
พี่เมศก็เป็นผู้ใหญ่ ขี้แกล้งนิดๆ แต่น่ารักกกกกก ชอบเรื่องนี้มากเลยน้าาาา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-07-2017 01:19:06
แมวขี้ยั่ว (ให้อยากแล้วจากไป ฮา)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 01-07-2017 02:42:39
ตะวันขี้อ่อย :hao6:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 01-07-2017 07:24:22
อื้อหือออ อ้อนขนาดนี้ ขอกลับบ้านเถอะ มาเป็นเพื่อนเล่นกะแมวที่บ้าน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 01-07-2017 08:45:55
ตะวันอ้อนจัง :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๑๙ ลูกแมวป่วย (๓๐/๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 01-07-2017 11:35:35
ไล่ตามอ่านทันแล้ว หนูเจียน่ารักมาก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 01-07-2017 20:45:34
ปานตะวัน
บทที่ ๒๐
Tulips


         พอถึงช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ ร้านอาหารของราเมศก็ปิดชั่วคราวเพื่อให้บรรดาพนักงานกลับบ้านรวมถึงตัวราเมศที่วางแผนจะพาปานตะวันกับหนูเจียไปเยี่ยมครอบครัวด้วย โชคดีที่ทั้งแมวเล็กและแมวใหญ่ของเขาหายจากอาการป่วยทันก่อนถึงวันเดินทาง ทริปครั้งนี้จึงราบรื่นไร้ปัญหา
   
        ก่อนวันเดินทางปานตะวันเอาเจ้าขาวและถุงทองไปฝากไว้กับชนกันต์ แล้วก็กลับมานั่งจัดของอยู่กับราเมศ ตอนที่พับเสื้อของตัวเองและหนูเจียลงกระเป๋าชายหนุ่มพลันตระหนักได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้เดินทางไปเที่ยวค้างคืนด้วยกัน
   
        ส่วนวันปีใหม่...ปีนี้เป็นปีที่สองแล้วสินะที่จะได้ฉลองร่วมกัน
   
        ปีที่แล้วพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน ยังไม่สนิทใจมากจึงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทำสุกี้กินกันง่ายๆ สามคนแล้วก็ส่งหนูเจียเข้านอน ปีนี้คงเรียกได้ว่าเป็นปีแรกที่จะได้ฉลองด้วยกันอย่างจริงจัง
   
         เวลา...ผ่านไปไวจริงๆ เลยนะ...รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปซะแล้ว
   
         ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปานตะวันกับหนูเจียเปิดใจให้กัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ราเมศขยับเข้ามาในชีวิตมากขนาดนี้ พอรู้ตัวอีกทีคนสามคนที่เคยคิดมาก่อนว่าไม่มีทางเข้ากันได้ก็พลันกลมกลืนเข้าด้วยกัน จากคนแปลกหน้าก็กลายเป็นคนสำคัญที่ปานตะวันยอมทุ่มเททุกอย่างให้และเรียกว่าครอบครัวได้อย่างเต็มปาก
   
        ช่วงเวลาที่ผ่านมาแม้ไม่ยาวนานนักแต่ก็ล้ำค่าและสอนอะไรเขามากมาย
   
        ปานตะวันเคยสงสัยว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กับการที่เราจะเปิดใจให้คนคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต บางคนพูดว่ายิ่งใช้เวลาน้อยความสัมพันธ์ก็ยิ่งฉาบฉวยแต่ปานตะวันไม่คิดแบบนั้น
   
        กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์นั่นก็จริง...แต่เรื่องราวที่เราจับมือกันก้าวผ่านมานั้นก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
   
        บางคนพบกันเพียงแค่เดือนหรือสองเดือนแต่ถ้าสิ่งที่พวกเขาฝ่าฟันมามันมีพลังมากพอจะทำให้พวกเขาแน่ใจว่าคนข้างกายคือคนที่ใช่แล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นคำว่ายิ่งเวลาสั้นความสัมพันธ์ยิ่งฉาบฉวยก็ไม่ใช่ความจริงไปเสียทั้งหมด
   
        เหมือนกับพวกเขาสามคน
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลที่จ้องมองราเมศกับหนูเจียเล่นด้วยกันทอแววอ่อนโยน เมื่อทั้งคู่หันมาสบตาปานตะวันก็ยิ้มให้ รอยยิ้มหวานๆ ของเขาดึงดูดให้ทั้งหลานชายและคนรักตรงเข้ามากอดหมับทันที
   
        ตอนที่จมอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของคนทั้งคู่...ปานตะวันนึกถึงความปรารถนาของตัวเอง
   
        ไม่ว่าจะปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหนๆ ก็ขอให้ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้
   
        ตลอดไป   
   
        สนามบินเชียงใหม่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ปานตะวันต้องคอยจับมือเล็กๆ ของหนูเจียเอาไว้เพื่อไม่ให้หลานชายวิ่งหายไป หนูเจียดูจะตื่นเต้นกับสถานที่แปลกใหม่และการนั่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตมาก ดวงตากลมโตแป๋วแหววมองคนนักท่องเที่ยวที่หิ้วกระเป๋าเดินทางผ่านไปมาอย่างสนอกสนใจ
   
        ตอนแรกเจียหลินอยากออกสำรวจสถานที่ไม่คุ้ยเคยนี้มากๆ แต่น้าตะวันขู่ว่าถ้าหนูเจียวิ่งซนไปทั่วจะถูกคนแปลกหน้าจับใส่กระเป๋าเดินทางแล้วส่งไปต่างประเทศนั่นแหละเด็กน้อยถึงได้ยอมอยู่นิ่งๆ
   
         เจียหลินเดินตามน้าตะวันต้อยๆ เด็กชายสังเกตว่าวันนี้น้าตะวันของเขาดูจะแต่งตัวดีเป็นพิเศษแถมยังออกอาการตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา มือของน้าที่จับเขาเอาไว้เย็นเฉียบแล้วก็สั่นน้อยๆ
   
         หรือน้าตะวันจะตื่นเต้นที่ได้ขึ้นเครื่องบินเหมือนหนูเจียนะ?
   
        คิดๆ แล้วก็ไม่น่าใช่...น้าตะวันบอกว่าตัวเองขึ้นเครื่องบินบ่อยนี่นา แล้วน้าตะวันตื่นเต้นอะไรกันหว่า
   
         ระหว่างที่สมองน้อยๆ พยายามหาคำตอบให้ตัวเองเจียหลินก็ตัวลอยหวือไปอยู่ในอ้อมแขนของราเมศที่อุ้มหนูเจียมือหนึ่ง หิ้วกระเป๋าอีกมือหนึ่ง
   
         “ผมถือกระเป๋าให้ไหมพี่เมศ” ปานตะวันเสนอความช่วยเหลือแต่ราเมศส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร นายถือใบนั้นไปนั่นแหละดีแล้ว พี่ไม่หนักหรอกอีกเดี๋ยวก็ถึงรถแล้ว นู่นไง มีคนมารับเราแล้ว”
   
          ราเมศพูดพลางพลางพยักเพยิดให้ปานตะวันมองดูรถตู้สีขาวที่ด้านข้างมีตัวอักษรสีดำติดไว้ว่า
   
          ‘บ้านพักอ้อมกอดดาว’
   
          “บ้านพักอ้อมกอดดาว?”
   
          “อื้ม รีสอร์ตของพ่อแม่พี่เอง”
   
           ปานตะวันหันขวับไปมองราเมศคอแทบเคล็ด ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าครอบครัวพี่เมศทำรีสอร์ต! แล้วนี่ลูกชายไปทำร้านอาหารทำไมตั้งไกลในกรุงเทพฯเนี่ย
   
          ชายหนุ่มผมน้ำตาลคิดจะอ้าปากถามแต่ปรากฏว่าพวกเขาเดินมาถึงรถตู้แล้ว คนขับรถร่างผอมแห้งอายุราวๆ สักห้าสิบยิ้มอวดฟันขาวให้ราเมศพร้อมกับยกมือไหว้ชายหนุ่มแถมยังเลยมาไหว้ปานตะวันด้วย ทำเอาเขายกมือไหว้พร้อมกล่าวสวัสดีแทบไม่ทัน
   
          “คุณเมศ สวัสดีครับ”
   
         “สวัสดีครับน้าเจิด หนูเจียสวัสดีน้าเจิดเร็วครับ”
   
        ราเมศบอกให้หลานชายในอ้อมแขนสวัสดีอีกฝ่าย หนูเจียพนมมือไหว้อย่างน่ารักแล้วก็ส่งยิ้มอายๆ ให้จากนั้นเด็กตัวน้อยก็หันหน้าซุกอกราเมศด้วยไม่ชินกับคนแปลกหน้า
   
        “แหม นี่คุณหนูเจียที่เขาเล่ากันสินะครับ น่ารักจริงๆ ด้วย” ปานตะวันรู้สึกสะดุดหูที่น้าเจิดเรียกหนูเจียว่าคุณหนูแล้วยังพูดเหมือนรู้จักเจียหลินมาก่อนอีก ราเมศหันมาเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของปานตะวันเข้าพอดีเลยอธิบายว่า
   
        “พี่ส่งรูปหนูเจียไปให้ที่บ้านดูตั้งแต่ตอนแกคลอดแล้ว ทุกคนรู้จักเจียหลินกันทั้งนั้นแหละ”
   
       “อ้อ แบบนี้นี่เอง”
   
       ปานตะวันพยักหน้า ตอนนั้นเองที่น้าเจิดเบนความสนใจกลับมาที่เขา “แล้วคุณคนนี้คือ...”
   
        “น้าเจิดนี่ปานตะวัน เป็นน้าชายของเจียหลินครับ ตะวันนี่น้าเจิดเป็นคนขับรถที่รีสอร์ต ถ้าอยากไปเที่ยวไหนก็บอกน้าเจิดได้ เขาพาไปได้หมดแหละ”
   
        ปานตะวันยิ้มกว้างให้น้าเจิด ดวงตาเป็นประกาย “งั้นแบบนี้ตะวันคงต้องไปขอคำแนะนำในการท่องเที่ยวจากน้าเจิดแล้วล่ะ เอาแบบหยุดยาวนี้เที่ยวให้ทั่วเลยได้ไหมครับ”
   
        ชายสูงวัยหัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของคนหนุ่ม “แหม ได้สิครับ ผมพาไปได้หมดล่ะถ้าคุณเมศเขาอนุญาตให้คุณตะวันออกไปกับผมน่ะนะ”
   
       ว่าแล้วก็เหลือบมองคุณเมศของตัวเองอย่างรู้ทัน ราเมศเลิกคิ้วกับสายตานั้น
   
       อย่าบอกนะว่า...
   
       “นี่รู้กันหมดแล้ว?”
   
       ข้อความไม่มีหัวไม่มีท้ายแต่เจิดก็แปลมันออก เขาหัวเราะในลำคอก่อนตอบ “ไม่กี่คนหรอกครับแค่ผม คนครัว คนสวน ป้าแม่บ้านเท่านั้นเอง”
   
       “ก็คนงานทุกคนเลยไม่ใช่หรือไง” ราเมศกลอกตา “ใครไปบอกล่ะ ขอเดาว่ายัยมิ้นต์ใช่ไหมครับน้าเจิด”
   
       “ครับผม”
   
       “มันน่าหาอะไรมาอุดปากจริงๆ”
   
       “แต่ทุกคนก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะครับ อย่าคิดมากเลย” เจิดพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปช่วยปานตะวันยกกระเป๋าไปเก็บที่ท้ายรถ เขาดูกระฉับกระเฉงและแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันอยู่มากโข
   
       เมื่อเก็บของและทุกคนขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยปานตะวันก็สะกิดราเมศแล้วกระซิบถามว่า
   
       “พี่เมศคุยอะไรกันเหรอ ใครรู้เรื่องอะไรหมดแล้ว”
   
        ราเมศหยิกแก้มคนรักเบาๆ อย่างเอ็นดู เขายิ้มบางๆ ก่อนตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก อย่าใส่ใจเลย”
   
        ปานตะวันเอียงคอแต่สุดท้ายก็ยักไหล่ ถ้าพี่เมศบอกว่าไม่ต้องใส่ใจก็แปลว่าไม่มีอะไรสำคัญหรอกมั้ง ชายหนุ่มปัดความสงสัยก่อนหน้านี้ทิ้งไปทันทีพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
   
        “แล้วสรุปพี่เมศจะอนุญาตให้ตะวันไปเที่ยวไหม”
   
        “หืม” ราเมศครางรับในลำคอ อ้อ เหมือนตอนแรกน้าเจิดจะแกล้งแซวว่าแกพาตะวันไปได้ทุกที่ถ้าเขาอนุญาตนี่นะ แหม เขาก็ไม่ได้หวงแฟนขนาดนั้นเสียหน่อย ปานตะวันโตแล้วดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะห้ามไม่ให้ไปเที่ยวนี่นา
   
        “ไปได้ถ้าพี่ไปด้วย”
   
        “แล้วถ้าพี่เมศไม่ว่างล่ะ”
   
        “ก็รอจนกว่าพี่จะว่างสิ”
   
        “ตะวันกับหลานไปกันสองคนไม่ได้เหรอ”
   
        “ไม่ได้ครับ”
   
        “ไหงงั้นอ่ะ!”
   
        ปานตะวันทำปากคว่ำ ดูแล้วน่าดึงมาฟัดจูบแรงๆ
   
        ราเมศหนีบปากอีกฝ่ายแล้วตอบว่า “ก็มากันสามคน นายจะทิ้งพี่แล้วหนีไปเที่ยวกับหลานสองคนได้ยังไง” ได้ยินดังนั้นแล้วคนกลัวไม่ได้เที่ยวจึงรีบยกเหตุผลมาพูดว่า “ก็แล้วถ้าสี่วันนี้พี่เมศไม่ว่างเลยล่ะ ตะวันไม่ต้องนอนหง่าวอยู่แต่ในรีสอร์ตเหรอ”
   
       “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ราเมศขยี้ผมลูกแมวน้อยของตนอย่างเอ็นดู “พี่บอกว่าพานายมาเที่ยวก็คือมาเที่ยว สี่วันนี้จะไปไหนก็ไป เที่ยวให้หมดแรงไปเลยดีไหม”
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลเปล่งประกายวิบวับ ปานตะวันพยักหน้ารัวๆ ก่อนหันไปพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับหลานชายที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
   
        เจิดมองภาพคุณราเมศที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยด้วยแววตายินดี
   
        คุณเมศคงไม่รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปมาก...ทั้งสีหน้าเคร่งขรึมและแววตาเฉยชาหายไปจนสิ้น แทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างและนัยน์ตาสีนิลอบอุ่นอ่อนโยนแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
   
         คุณเมศที่ปกติจะทำหน้านิ่งเฉยตอนนี้กลับยิ้มกว้างแล้วก็หัวเราะเสียงดังไปกับมุกตลกที่คุณปานตะวันเล่น จากนั้นชายหนุ่มตัวโตก็รวบตัวทั้งหลานและน้าชายขึ้นมาหอมแก้มคนละที
   
         ภาพสะท้อนจากกระจกมองหลังที่เจิดเห็นคือภาพครอบครัวแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
   
         คุณปานตะวันคงจะสำคัญกับคุณมากจริงๆ สินะครับคุณเมศ ถ้าเขาทำให้คุณมีความสุขได้ถึงขนาดนี้ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปห้าม
   
         ใครก็ตามที่ทำให้คุณมีความสุขและมีชีวิตที่ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เพศไหน อายุเท่าไหร่พวกเราก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น ขอแค่คนคนนั้นมอบความสุขให้คุณได้พวกเราก็พร้อมจะต้อนรับเขาสู่ครอบครัวของเราอย่างไม่ลังเลเลย
   
        นั่งรถมาได้สักพักหนูเจียตัวน้อยก็หลับปุ๋ยอยู่บนตัก ปานตะวันเองก็ชักตาปรือ ราเมศเห็นดังนั้นจึงหยิบหมอนรองคอส่งให้คนตัวเล็ก
   
        “อีกไกลไหมพี่เมศ”
   
        “ก็อีกสักพัก นอนไปเถอะ ถึงแล้วจะปลุก”
   
        “งั้นตะวันนอนก่อนนะ”
   
        เจ้าตัวเล็กอ้าปากหาวแล้วก็หลับตาลง ไม่นานก็กรนฟี้ตามหลานชายไป ราเมศหัวเราะในลำคอเบาๆ ระหว่างที่นั่งพิจารณาใบหน้ายามหลับของหนูเจียและปานตะวัน
   
        สองคนนี้เหมือนกันหลายอย่าง คนทั้งคู่อาจไม่รู้ตัวแต่ราเมศรู้
   
        ปานตะวันกับหนูเจียเวลาเจอสถานที่แปลกใหม่หรืออะไรที่น่าสนใจก็จะตาเป็นประกายระยิบระยับ รอยยิ้มกว้างจนตาหยีก็คล้ายกัน ส่วนตอนนอนหลับ สีหน้าผ่อนคลายและสงบสุขแบบนี้ก็ยังแลดูคล้ายกัน
   
        จันทร์...เธอคงจะดีใจสินะถ้ารู้ว่าลูกชายเธอเหมือนน้องของเธอมากกว่าที่คิดแบบนี้
   
        “อื้ม” ปานตะวันขยับตัวซุกเข้าหาราเมศในขณะที่หนูเจียเองก็พลิกตัวตะแคงข้าง มือเล็กๆ กำชายเสื้อชายหนุ่มไว้ไม่ปล่อย กลายเป็นว่าทั้งแมวเล็กแมวใหญ่พากันซุกตัวเข้าหาเขาดูน่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่
   
        “คุณนั่งสบายไหมครับคุณเมศ ไม่เมื่อยเหรอ”
   
         “ไม่เมื่อยหรอกครับลุงเจิด” ราเมศลูบแก้มหนูเจียสลับกับลูบผมปานตะวัน “นานๆ ทำหน้าที่เป็นหมอนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
   
         รถตู้สีขาวจอดสนิทเมื่อมาถึงรีสอร์ต ราเมศเขย่าปลุกทั้งหนูเจียและปานตะวันให้ลุกขึ้น ปานตะวันสะดุ้งตื่น ตอนแรกนึกหงุดหงิดที่โดนกวนแต่เมื่อนึกได้ว่าตัวเองมารีสอร์ตของพี่เมศไม่ได้นอนอยู่บ้านที่กรุงเทพฯแล้วก็รีบลูบหน้าลูบตาเรียกสติ
   
         ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพู แสงแดดอ่อนแรงลงเมื่อดวงตะวันใกล้ลาลับของฟ้า สายลมเย็นสดชื่นพัดผ่านให้สบายเนื้อสบายตัว ตอนนี้พวกเขายืนอยู่ด้านหน้าอาคารขนาดเล็กสำหรับติดต่อเรื่องห้องพัก ปานตะวันอาศัยจังหวะที่ราเมศหายเข้าไปด้านในมองสำรวจสถานที่รอบๆ
   
         รีสอร์ตของครอบครัวราเมศมีพื้นที่อยู่บนภูเขา พื้นที่บ้านพักแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็นบ้านพักหลังเล็กชั้นเดียวปลูกสร้างจากไม้สำหรับนักท่องเที่ยวที่มากันจำนวนไม่เยอะ หน้าบ้านมีระเบียงกว้างแขวนกระถางดอกไม้หลากสี บางบ้านมีกังหันลมอยู่บนหลังคา มีบ้านอยู่สี่ห้าหลังที่ด้านล่างส่วนหลังที่เหลือปลูกอยู่สูงขึ้นไป ปานตะวันเห็นบันไดหินที่ทอดยาวนำไปสู่บ้านพักแต่ละหลัง
   
          ฝั่งขวาเป็นบ้านหลังใหญ่สามชั้นปลูกติดกันอยู่สามหลัง ทุกหลังทาสีเหลืองนวลตา ห้องพักโซนนี้มีไว้สำหรับครอบครัวหรือกรุ๊บทัวร์ขนาดใหญ่ ตรงส่วนที่เป็นโค้งของตัวยูมีอาคารไม้ดูแล้วคงเป็นที่สำหรับรับประทานอาหาร
   
        แต่สิ่งพิเศษที่ดึงดูดความสนใจของปานตะวันมากที่สุดคือสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้งสาม ดอกไม้หลากสีสันที่บัดนี้เริ่มหุบกลีบแล้วแต่ก็ยังคงความสวยงามเอาไว้ ที่ใจกลางสวนมีน้ำพุหินอ่อน และม้านั่งยาวรวมถึงศาลาสำหรับนั่งพักด้วย
   
        ดูหรูเอาเรื่องอยู่เหมือนกันแฮะ ตอนแรกคิดว่าคงเป็นรีสอร์ตเล็กๆ ที่บรรยากาศดูอบอุ่นเสียอีก
   
        เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดโคมไฟหน้าบ้านพักและไฟประดับในสวนก็ถูกเปิดทำให้รีสอร์ตแห่งนี้สว่างไสวสวยงามจับตา
   
        “น้าตะวัน ที่นี่สวยมากเลย” หนูเจียมองไฟสีส้มในสวนด้วยความชอบใจ ปานตะวันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดหลาน
   
        “นั่นสิครับหนูเจีย ที่นี่สวยมากเลย”
   
        “สวยแล้วชอบไหม”
   
        เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของราเมศที่ก้าวมาประชิด เจียหลินวิ่งไปพันแข้งพันขาราเมศทันที
   
        “หนูเจียชอบคับน้าเมศ!”
   
         ราเมศหัวเราะก่อนจูบลงที่แก้มนิ่มเป็นรางวัล ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนรักแล้วเอ่ยถามอีกรอบว่า “หลานชอบ แล้วตะวันชอบไหม”
   
         ปานตะวันมองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ชอบมากเลยครับ!”
   
        “ดีแล้ว มาเถอะ เอากระเป๋าไปเก็บกัน”
   
         ราเมศพาปานตะวันกับเจียหลินไปขึ้นรถ น้าเจิดกลับมาประจำที่แล้วก็ขับพาทั้งสามอ้อมไปอีกทาง ปานตะวันเอียงคอมองอย่างสงสัยเมื่อเส้นทางนั้นอ้อมไปที่ด้านหลังของรีสอร์ต
   
         ที่ด้านหลังของรีสอร์ตมีเรือนกระจกขนาดใหญ่ ดอกไม้ต้นไม้ภายในเรือนกระจกดูเขียวชอุ่มร่มรื่น ถัดจากเรือนกระจกไปคือรั้วสีขาวและซุ้มประตูซึ่งมีป้ายยินดีต้อนรับแขวนไว้ น้าเจิดขับผ่านซุ้มประตูนั้นเข้าไป ทางโรยกรวดนำไปสู่บ้านไม้ทรงโมเดิร์นสองชั้นที่หันหลังให้กับขุนเขาใหญ่
   
         “พี่เมศ ที่นี่คือ...”
   
        “บ้านพี่เอง”
   
        พระ-เจ้า!
   
        ปานตะวันอ้าปากค้างกับคำตอบที่ได้รับ บ้านของราเมศไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่ลักษณะการออกแบบบ้านให้สวยสะดุดตานั่นต่างหากที่ทำให้ปานตะวันตะลึง ไหนจะสนามและสวนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั่นอีก ดูก็รู้ว่าได้รับการดูแลอย่างดี
   
        “พ่อพี่เป็นสถาปนิก บ้านหลังนี้กับรีสอร์ตพ่อก็ออกแบบเอง” ราเมศพูดให้ปานตะวันฟัง เขาจูงหลานชายและคนรักเข้าไปในบ้านขณะที่น้าเจิดและคนสวนตรงมาช่วยหิ้วสัมภาระ
   
       นี่มันคุณชายของจริงเลยนี่หว่า
   
        “แล้ว...ในเมื่อมีบ้านใหญ่ขนาดนี้ มีธุรกิจมั่นคงดีแล้วทำไมพี่ถึงลงไปทำร้านอาหารที่กรุงเทพฯล่ะ ถ้าอยากเป็นพ่อครัวก็ทำงานให้รีสอร์ตตัวเองก็ได้นี่”

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 01-07-2017 20:56:45
       “แบบนั้นก็ได้...แต่...ไม่รู้สิ ไม่ท้าทายมั้ง” สีหน้าของปานตะวันคงดูงงมากจริงๆ ราเมศถึงได้ขยายความเพิ่มเติม “จริงอยู่ที่ว่าถ้ากลับมาทำงานเป็นพ่อครัวให้รีสอร์ตพี่ก็ไม่ต้องลำบากอะไร แต่มันไม่ท้าทายเท่าไหร่เลย เหมือนมีคนปูทางไว้ให้แล้ว พี่เลยไปฝึกงานตามโรงแรมแล้วก็ร้านอาหารอื่นๆ ก่อนจะมาเปิดกิจการเป็นของตัวเอง”
   
        “ชอบอะไรที่มันยากๆ ว่างั้น”
   
        “อืม อย่างน้อยก็อยากทำให้พ่อกับแม่เห็นว่าลูกชายคนโตของพวกเขายืนด้วยลำแข้งตัวเองได้”
   
       ปานตะวันเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนรัก นิสัยของราเมศที่เขารู้จักอย่างหนึ่งคือรักความสมบูรณ์แบบและความท้าทาย การเปิดร้านอาหารด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองคงเป็นการพิสูจน์ให้พ่อกับแม่ของเขาเห็นว่าตัวเขาเองก็เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ได้เหมือนกันไม่ใช่ต้องเดินตามอนาคตที่พ่อแม่ปูทางไว้ให้เพียงอย่างเดียว
   
        การได้เจอกับลูกค้ามากหน้าหลายตา การได้รับคำวิจารณ์ใหม่ๆ ทำให้ราเมศสนุก ตื่นเต้น และพัฒนาฝีมือตัวเองมากขึ้นแล้วก็มากขึ้นในทุกๆ วัน
   
      “พี่เมศทำได้นะแล้วก็ทำได้ดีด้วย” ปานตะวันยิ้มให้คนรัก “พ่อกับแม่ต้องภูมิใจในตัวพี่มากๆ แน่”
   
       เหมือนที่ตะวันภูมิใจที่มีคนรักแบบพี่
   
       เมื่อเข้ามาถึงในบ้านน้าเจิดก็ยกกระเป๋าสัมภาระหายขึ้นบันไดไป
   
       ภายในบ้านดูโปร่งสบายกว่าที่คิด พื้นปูด้วยไม้ปาร์เก้ ผนังเป็นสีครีม เฟอร์นิเจอร์เน้นโทนสีน้ำตาลดูอบอุ่น การตกแต่งภายในบ้านให้บรรยากาศบ่งบอกว่าเจ้าของมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว ปานตะวันเห็นรูปวาดมากมายบนผนัง ทั้งแบบดินสอ สีน้ำ และภาพถ่าย อีกทั้งรูปปั้นๆ แปลกๆ หลายชิ้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมผนัง
   
       “ภาพวาดกับงานปั้นพวกนั้นฝีมือแม่พี่”
   
        “สุดยอดเลย”
   
        ปานตะวันตาโตอ้าปากค้าง ระหว่างที่เขาชื่นชมกับงานศิลป์ภายในบ้านอยู่นั้นเองน้าเจิดก็ลงบันไดมาพร้อมกับรายงานว่า
   
        “ตอนนี้ทั้งคุณศิลปินแล้วก็คุณราตรีออกไปข้างนอกยังไม่กลับครับ”
   
        “งั้นเหรอ แล้วมิ้นต์ล่ะครับน้าเจิด”
   
        “คุณมิ้นต์อยู่ที่รีสอร์ตครับ ถ้ายังไงให้ผมไปบอกเธอไหมครับว่าคุณเมศมาถึงแล้ว”
   
        “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวกลับถึงบ้านก็รู้เอง ถ้าเจิดไปพักเถอะครับ ขอบคุณมากสำหรับวันนี้”
   
         ปานตะวันส่งยิ้มพลางยกมือไหว้ขอบคุณน้าเจิดด้วย ชายวัยห้าสิบจึงโบกมือลาก่อนหายไปทำภารกิจอย่างอื่นต่อ
   
        “ตะวัน มานี่สิ พี่จะพาเดินดูรอบบ้าน”
   
         ราเมศจูงมือปานตะวันข้างนึงเจียหลินข้างนึงเดินเข้าห้องนู้นออกห้องนี้ จนกระทั่งมาถึงชั้นสอง ชายหนุ่มก็หยุดอยู่หน้าประตูไม้สีเข้มบานหนึ่ง
   
        “นี่ห้องนอนพี่เอง” ราเมศแนะนำแล้วจึงผลักประตูเข้าไป    
   
        ห้องของราเมศใหญ่...ใหญ่กว่าห้องที่บ้านที่กรุงเทพฯแน่ๆ ล่ะ ผนังห้องเป็นสีน้ำตาลถูกประดับด้วยรูปภาพเช่นเดียวกับที่ชั้นล่าง บนพื้นปูด้วยพรมสีอ่อนนุ่มนิ่ม ภายในถูกแบ่งเป็นสองโซนคือฝั่งที่เป็นเตียงนอน ซึ่งมีเตียงขนาดคิงไซส์หนึ่งหลังและตู้เสื้อผ้า ปานตะวันมองเห็นกระเป๋าเดินทางของพวกตนถูกวางรวมกันไว้ข้างเตียง กับฝั่งที่ไว้สำหรับดูโทรทัศน์ ทำงาน และนั่งพักผ่อน ทั้งสองฝั่งถูกกั้นด้วยชั้นหนังสือ ผ้าม่านสีฟ้าของมุมพักผ่อนถูกรูดเปิดไว้เผยให้เห็นประตูกระจกซึ่งนำไปสู่ระเบียงและทิวทัศน์ของขุนเขาอันสวยงาม
   
        “ชอบไหม”
   
        ปานตะวันพยักหน้ารัวเร็ว “ชอบครับ ที่นี่สวยมาก”
   
        “ดีแล้ว ถ้าชอบจะพามาบ่อยๆ”
   
        เมื่อได้ยินประโยคนี้คนตัวเล็กก็เผยสีหน้าหนักใจออกมา คนรักของเขาดูเชื่อมั่นเหลือเกินว่าครอบครัวของตนจะยอมรับเขาได้ในขณะที่ปานตะวันยิ่งเวลาผ่านความมั่นใจยิ่งลดน้อยลงทุกที
   
       “อย่ากังวลไปเลย” ราเมศลูบศรีษะทุยเบาๆ นัยน์ตาอ่อนโยนทำให้ปานตะวันหายใจคล่องขึ้น “แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอ”
   
       “ตะวันจะพยายามนะ”
   
       “นายทำได้อยู่แล้ว”
   
       ปานตะวันพยักหน้ารับแม้ใจจะยังกังวลอยู่ ราเมศเห็นดังนั้นเลยบอกให้เขาไปอาบน้ำอาบท่าสงบใจก่อนส่วนตัวเองก็นั่งรื้อของออกจากกระเป๋ารอไปพลางๆ ปานตะวันใช้เวลาอาบน้ำพลางสงบใจอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง เมื่อออกมาก็พบว่าคนรักจัดข้าวของจนเสร็จแล้วและเจ้าตัวกับหลานชายก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
   
       “มันมีห้องน้ำด้านนอกอีกห้องหนึ่ง” ราเมศอธิบายเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของปานตะวัน ชายหนุ่มผิวแทนในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวและกางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีดำตบฟูกตรงหน้าตัวเองเป็นเชิงเรียกให้ปานตะวันมานั่งซึ่งชายหนุ่มก็เดินไปหาอย่างว่าง่าย
   
       “เช็ดผมให้แห้งด้วยสิเดี๋ยวไม่สบาย” ว่าพลางลุกไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมาเช็ดผมให้ปานตะวัน ราเมศใช้ผ้าซับหยดน้ำออกให้อย่างแผ่วเบา ทุกวันนี้เหมือนเขามีเด็กตัวเล็กให้เลี้ยงอยู่สองคนยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบใจเสียเมื่อไหร่
   
       “หอม” เช็ดผมเสร็จคนตัวโตก็โยนผ้าไปไว้ข้างๆ แล้วกอดรั้งปานตะวันให้เขามาชิด จมูกโด่งซุกซนวนเวียนอยู่แถวซอกคอและผิวแก้ม ปากไวมือไวจนปานตะวันต้องหยิกแขนปราม
   
       “หลานอยู่”
   
      “น่า หนูเจียไม่เห็นหรอก”
   
       ตอนนี้หลานชายตัวเล็กนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ สองตาจ้องเป๋งไปที่การ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องโปรดทำให้ไม่มีเวลามาสนใจคุณน้าสองคนบนเตียงเลยสักนิด
   
        “ยังไงก็ไม่ได้”
   
        ห้ามไปก็ไร้ประโยชน์เพราะนอกจากราเมศจะไม่ฟังแล้วเจ้าตัวยังทำท่าจะแกล้งแรงขึ้นด้วย โชคดีที่ฟ้าเห็นใจปานตะวันอยู่บ้างเพราะชายหนุ่มได้ยินเสียงเปิดปิดประตูและเสียงพูดคุยดังมาจากชั้นล่าง
   
       “เมศ อยู่หรือเปล่าลูก” เสียงคุณแม่ของพี่เมศเปรียบเหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิตของปานตะวันเลยก็ว่าได้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของราเมศแล้วเผ่นไปอยู่อีกมุมห้อง สองมือรีบจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ตอนนี้ปานตะวันทั้งตกใจและเขินอายไปพร้อมกัน
   
        “เมศ” เสียงเรียกชื่อพี่เมศดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องนอนที่เปิดออกทำให้ปานตะวันนึกขอบคุณสวรรค์ที่เขาออกห่างจากเตียงนอนได้ทัน
   
        ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าเกิดคุณแม่ของพี่เมศเปิดประตูมาเจอลูกชายตัวเองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้ชายอีกคนอยู่จะเกิดอะไรขึ้น
   
        “อ้าว เธอ” หญิงวัยสี่สิบปลายๆ ในชุดกระโปรงสีครีมมองปานตะวันอย่างแปลกใจ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดปานตะวันจึงรีบแนะนำตัวเองทันที
   
       “สวัสดีครับ ผมชื่อปานตะวัน”
   
       เขาเห็นแววรู้จักวาบขึ้นมาในดวงตาของคุณแม่พี่เมศ อีกฝ่ายกวาดสายตามองเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “สวัสดีนะคะน้องตะวัน แม่ชื่อราตรีนะลูก ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
   
       คุณราตรีพูดเสียงหวาน เธอก้าวเข้ามาใกล้จนปานตะวันได้กลิ่นหอม...คล้ายกลิ่นดอกไม้กรุ่นกำจาย เส้นผมสีดำของคุณราตรียาวเหยียดตรงถึงบั้นเอว นัยน์ตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมเป็นประกายสุกใสและโอบอ้อมอารี ผิวของเธอขาวจัดและดูนุ่มเนียนเช่นเดียวกับใบหน้าที่แลดูอ่อนกว่าวัย
   
        สวยแบบนุ่มนวล เป็นคำจำกัดความที่ปานตะวันให้คุณราตรีได้
   
       ต่างกับแม่ของเขาที่ความมั่นใจในตัวเองสูง กระฉับกระเฉงและว่องไว บรรยากาศรอบตัวคุณราตรีดูผ่อนคลายน่าเข้าหามากกว่า
   
       “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
   
       รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ ปานตะวันรู้สึกดีที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ทำท่ารังเกียจเขาแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใครก็ตาม
   
       “คุณแม่” ทันใดนั้นเองพี่เมศก็โผล่มา รอยยิ้มของหญิงผมดำจึงแย้มกว้างขึ้นไปอีก คุณราตรีตรงเข้าไปกอดลูกชายทันที
   
       “เมศ เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีหรือเปล่า ไม่เจอหน้ากันตั้งนานแม่กับพ่อคิดถึงจะแย่แล้ว”
   
        “เมศสบายดีครับ” พี่เมศตอนแทนตัวเองด้วยชื่อดูน่ารักจนปานตะวันหลุดยิ้มออกมา ชายหนุ่มตัวโตคล้ายกับจะย้อนวัยไปเป็นเด็กชายตัวน้อยผู้ชอบออดอ้อนมารดาไม่มีผิด “คิดถึงแม่กับพ่อเหมือนกัน”
   
       ราเมศหอมแก้มซ้ายแก้มขวาคุณราตรีฟอดใหญ่ จากนั้นชายหนุ่มก็ถอยออกมายืนข้างปานตะวัน
   
       “แม่ครับ คนนี้ไงปานตะวัน แฟนเมศ”
   
       ปานตะวันใจกระตุก ราเมศคิดจะเปิดตัวกันก็เปิดตัวอย่างนี้เลยเหรอ ไม่ถามเขาหน่อยหรือไงว่าเตรียมใจพร้อมหรือยังน่ะ!
   
        “แหม ทักทายกันแล้วล่ะจ้ะ เป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักดีนะ” คุณราตรียกมือทาบแก้มของปานตะวัน “ยินดีต้อนรับนะคะน้องตะวัน”
   
        “ข...ขอบคุณมากครับ”
   
        ปานตะวันพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นแต่ก็ล้มเหลว คนตรงหน้าเขาก็ดูจะรับรู้ได้เพราะอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ทำตัวตามสบายนะ จริงสิ แล้วเจียหลินอยู่ไหนเหรอคะ แม่อยากเห็นหลานจังเลย”
   
        “หนูเจียเหรอ อยู่นี่ไงครับ”
   
        ราเมศขยับตัวเล็กน้อยทำให้ราตรีเห็นเด็กน้อยแก้มยุ้ยตาโตที่หลบอยู่หลังลูกชายได้ ราตรีย่อตัวลงตรงหน้าหนูน้อย เจ้าตัวเงยหน้ามองน้าเมศทีน้าตะวันทีจากนั้นก็หันมายกมือไหว้เธอแล้วก็หลบวูบไปอยู่หลังลูกชายของเธอตามเดิม
   
        คงไม่ชินกับคนแปลกหน้าสินะ
   
        “เจียหลินใช่ไหมคะ ตายแล้ว น่ารักน่าหยิกจริงๆ เลย มานี่สิคะหนูน้อย มาหาคุณย่าราตรีเร็ว” พูดเองก็หัวเราะคิกเอง ราตรียื่นมือไปตรงหน้าเจียหลิน รออยู่ครู่ใหญ่กว่าเด็กน้อยจะยอมเดินต้วมเตี้ยมออกมาหาเธอ หญิงวัยกลางคนอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแนบอก ความรู้สึกเอ็นดูล้นปรี่
   
        “น่ารักจริงๆ เลย ไหนเรียกคุณย่าสิคะ”
   
        หนูเจียกะพริบตาปริบๆ สองครั้ง เด็กชายเอียงคอเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงใสๆ ว่า “คุณย่า”
   
         “น่ารักกก”
   
         ราตรีเบียดแก้มตัวเองเข้ากับแก้มหนูน้อยทันที เธอไม่ได้เล่นกับเด็กน่ารักๆ แบบนี้มานานแล้ว ยอมรับล่ะว่าตั้งแต่ลูกชายลูกสาวโตแล้วก็ออกไปมีชีวิตของตัวเองเธอก็เหงามาก อยากมีเด็กเล็กๆ มาอ้อน มาวิ่งเล่น ให้กอด ให้หอมเหมือนวันเก่าๆ
   
          บางครั้งก็อดจินตนาการถึงหลานตัวน้อยๆ ของตนไม่ได้ น่าเสียดายที่ทั้งเมศและมิ้นต์ยังไม่มีใครแต่งงานเลยสักคน รักษาความโสดประหนึ่งรักษาทองคำราคาหลายล้านทั้งที่อายุอานามก็สมควรจะแต่งงานมีลูกได้แล้ว
   
         “น่ารักจริงๆ เลยหลานย่า”
   
         ดังนั้นเมื่อเห็นเจียหลินราตรีจึงดีใจและถูกชะตากับเด็กคนนี้ไม่น้อย หลานตัวเล็กๆ แบบนี้แหละที่เธอใฝ่ฝัน!
   
        “คุณแม่ครับ อย่ารัดหลานแน่นเกินไปสิครับ หนูเจียหายใจไม่ออกแล้ว”
   
        ราเมศรีบปรามผู้เป็นแม่ก่อนที่เธอจะรัดหลานชายเขาจนขาดอากาศตาย คุณแม่ของเขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อีกฝ่ายรักเด็กมาก เห็นเจ้าหนูตัวเล็กๆ เป็นไม่ได้ต้องตรงไปหยอกล้อ เขารู้ว่าแม่อยากให้มิ้นต์กับเขารีบๆ แต่งงานเพื่อจะมีหลานไว้อุ้มเล่น ราเมศที่ยังไม่พร้อมก็บ่ายเบี่ยงมาตลอดหลายปีจนมาวันนี้เขากลับมาบ้านเกิดพร้อมหลานชายวัยกำลังน่ารักอีกหนึ่งคน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม่จะเห่อหนูเจียแค่ไหน
   
        “อ๊ะ ขอโทษนะคะลูก พอดีตื่นเต้นเกินไปหน่อย” ราตรีลุกขึ้นยืนโดยที่หนูเจียยังอยู่ในอ้อมแขนเธอ เด็กน้อยเองก็รู้ได้ว่าผู้หญิงที่มีกลิ่นหอมคนนี้ไม่อันตราย หนูเจียจึงไม่งอแงแต่ซบแก้มนิ่มๆ ลงที่บ่าราตรีแทน
   
       “หนูเจียหิวไหมคะ หิวไหมเอ่ยเด็กดี” หนูเจียพยักหน้าหงึก “หิวคับ”
   
        ได้ยินดังนั้นราตรีจึงพูดว่า “งั้นแม่พาหนูเจียลงไปหาอะไรกินก่อนนะลูก เมศพาน้องตะวันตามไปที่หลังแล้วกันนะคะ แต่อย่าช้านะ คุณพ่อรออยู่ข้างล่างแน่ะ” ว่าจบคุณแม่คนสวยก็เคลื่อนที่จากไปด้วยท่วงท่าเหมือนเต้นระบำ ท่าทางอารมณ์ดีมากถึงมากที่สุด
   
         ลับตาผู้เป็นมารดาราเมศถึงค่อยหันกลับมามองปานตะวัน
   
        “ตกใจไหม” เขาเขี่ยแก้มคนรักที่ดูจะยังอึ้งอยู่
   
        “ก็...นิดหน่อยครับ” อันที่จริงคือช็อกมากต่างหาก “คุณแม่พี่สวยมากเลยนะครับ” แถมยังสุภาพมากด้วย ลงท้ายด้วยคะขาเกือบทุกประโยคเลย
   
       “ใจดีมากด้วยนะ”
   
        “นั่นสินะครับ คุณแม่ดูไม่ตกใจเลยที่เห็นผม”
   
        “ท่านคงเตรียมใจมาบ้างแล้วล่ะ อย่าห่วงไปเลย ท่านชอบนายนะ”
   
        ปานตะวันมีสีหน้าลังเล ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น แม้คุณราตรีจะไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแต่การเจอกันสั้นๆ แค่สิบห้านาทีก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอชอบเขาหรือไม่
   
         แล้วไหนจะพ่อกับน้องสาวของพี่เมศอีก
   
        “พี่เมศ พ่อพี่ดุไหม”
   
        “เดี๋ยวนายก็จะได้รู้เอง”
   
         ว่าพลางจูงมือปานตะวันลงไปชั้นล่าง คนเดินตามได้แต่ทำตาพองใส่เพราะคำตอบที่ให้มันไม่ช่วยไขข้อข้องใจอะไรเลยน่ะสิ!
   
        ราเมศพาปานตะวันไปที่ห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มพบคุณราตรีกำลังป้อนผลไม้ให้หนูเจียอยู่ หลานชายเขาก็ช่างเข้ากับคนง่ายเหลือเกิน เจอของกินมาล่อหน่อยก็สนิทกับเขาไปหมด แต่ในห้องไม่ได้มีแต่คุณราตรีกับเจียหลินเท่านั้น บนโซฟาสีม่วงเข้มปานตะวันยังเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กับหญิงสาวผมดำที่เขาจำได้ว่าเป็นน้องสาวของราเมศนั่งอยู่ด้วย
   
       เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปในห้องทั้งคู่ก็หันขวับมาจ้องเขาทันที
   
        ปานตะวันตัวแข็งทื่อกับสายตาคมดุของคุณพ่อพี่เมศที่จ้องตรงมาที่เขา
   
        เหมือน...เหมือนมาก...รู้เลยว่าพี่เมศได้โครงหน้า แววตา และสีผิวมาจากใคร
   
        สำเนาถูกต้องชัดๆ
   
        คุณศิลปินเป็นชายร่างสูงใหญ่ที่มีโครงหน้าคมเข้มหล่อเหลา มองแวบเดียวก็รู้ว่าราเมศถอดแบบมาจากใครแต่ว่าผู้เป็นบิดานั้นดูขรึมและดุกว่า ปานตะวันคิดว่าถ้าพี่เมศของเขาอายุมากขึ้นหน้าตาก็คงจะเหมือนคุณศิลปินตอนนี้นี่แหละ
   
        “สวัสดีครับ” ปานตะวันยกมือไหว้อีกฝ่ายซึ่งรับไหว้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
   
        “สวัสดี”
   
        ขนาดเสียงยังดุเหมือนกันเลย!
   
         “พ่อ มิ้นต์ นี่แฟนผมปานตะวัน ตะวันนั่นพ่อพี่ ส่วนนั่นมิ้นต์น้องสาว”
   
        “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
   
       “เช่นกัน”
   
        คุณศิลปินตอบเรียบๆ ขณะที่มิ้นต์โบกไม้โบกมือให้ปานตะวัน “ฉันเป็นน้องพี่เมศก็จริงแต่น่าจะอายุมากกว่าเธอนะ เรียกฉันว่าพี่มิ้นต์ก็ได้”
   
        “ครับพี่มิ้นต์”
   
       “ว่าง่ายน่ารักดี ไม่เห็นเหมือนที่พี่เมศบอกเลยนี่นา”
   
        ก็คันปากอยากหันไปถามอยู่นะว่าเอาเขาไปเผาอะไรบ้างแต่ตอนนี้ปานตะวันคิดว่าการอยู่นิ่งๆ คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
   
        ราเมศเลิกคิ้ว โยกหัวปานตะวันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “ตอนนี้ยังไม่คุ้นที่เลยยังนิ่งอยู่ ลองสนิทสิจะได้รู้ว่าแสบใช่เล่น”
   
        ไม่จริงสักหน่อย พี่เมศใส่ร้าย!

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 01-07-2017 21:14:03
        ปานตะวันฟาดฟันอีกฝ่ายผ่านสายตาแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อคุณศิลปินเอ่ยขึ้นว่า “แล้วสองคนนั้นจะยืนอยู่อีกนานไหม มานั่งสิ”
   
        ชายหนุ่มเงยหน้ามองราเมศเป็นเชิงขอกำลังใจ คนรักพยักหน้าให้พลางแตะหลังเขาเป็นเชิงว่าให้เดินไป
   
       ปานตะวันเดินแบบประหม่าไปที่โซฟา ตอนแรกเขาเลือกนั่งที่โซฟาเดี่ยวตัวเล็กแต่คุณพ่อพี่เมศกลับขัดว่า “ยัยมิ้นต์สลับที่กับตะวันสิ เธอน่ะ มานั่งข้างฉันนี่”
   
       ตาย...ตายแน่ๆ ไอ้ตะวันขอแกล้งตายก่อนเลยได้ไหม
   
        ปานตะวันอยากจะร้องไห้ซะจริงๆ ชายหนุ่มนั่งหมิ่นๆ ลงที่โซฟา พยายามรักษาระยะห่างระหว่างประมุกของบ้านไว้แต่อีกฝ่ายกับดุเสียงเข้ม “เข้ามาใกล้ๆ ฉันไม่กัดหรอกน่า”
   
        “ข...ขอโทษครับ”
   
        “หึ”
   
        ปานตะวันก้มหน้างุด รู้สึกกดดันจนมือไม้สั่น
   
         “ลองดื่มนี่สิ น้ำส้มคั้นสดๆ เธอจะได้สดชื่นขึ้น”
   
        “ขอบคุณครับ”
   
        ปานตะวันก้มหน้าก้มตาตอบ เขาหยิบแก้วใส่น้ำส้มตรงหน้าขึ้นมาแต่อนิจจาด้วยความประหม่าทำให้มือไม้พลันอ่อนแรงและเงอะงะ แทนที่จะหยิบแก้วกลายเป็นปัดแก้วจนล้มกลิ้งแทน น้ำส้มในแก้วจึงหกเลอะโต๊ะกระจกใสไปหมด
   
        “ขอโทษครับ ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ”
   
        ปานตะวันลนลาน แถวนั้นไม่มีผ้าเช็ดโต๊ะหรือทิชชู่เลย ตอนนั้นเองที่คุณศิลปินลุกไปหยิบผ้ามาเช็ดโต๊ะให้ พอเช็ดเสร็จก็เดินเอาไปเก็บให้อีกต่างหาก
   
        “ผม...” ปานตะวันกัดริมฝีปาก เสียกำลังใจไปมากกว่าครึ่ง ทันใดนั้นคุณศิลปินก็วางมือลงที่ศีรษะเขาแล้วขยี้ผมปานตะวันเบาๆ
   
        “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ฉันขอโทษนะที่ทำให้เธอตกใจ ปกติหน้ากับเสียงฉันก็ดุแบบนี้แหละแต่ฉันไม่ได้มีเจตนาอะไรนะ ใจเย็นๆ ก่อน”
   
        ปานตะวันเงยหน้าขึ้นทันเห็นรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาพอดี
   
        “เมศ มิ้นต์ ไปเอาน้ำส้มแก้วใหม่มาให้ตะวันทีสิ”
   
         ประโยคนั้นเป็นการบอกใบ้กลายๆ ว่าให้ทั้งคู่ปลีกตัวออกไปจากวงสนทนา ปานตะวันแอบส่ายหน้าพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้ราเมศแต่คนของเขากลับเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องไปอย่างสบายอกสบายใจ แถมพาหนูเจียไปด้วยอีก มันน่านัก!
   
        “รอหน่อยนะ ฉันอยากให้เธอลองชิมน้ำส้มคั้นสูตรของบ้านเรา อร่อยมากเลยล่ะฉันรับรอง” หนุ่มใหญ่พูดพลางกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวีไปด้วย
   
        ตอนแรกปานตะวันนึกว่าเขาจะเจอการสอบสวนที่ทำให้หายใจไม่ออกแต่คุณศิลปินและคุณราตรีกลับไม่พูดอะไรนอกจากนั่งดูหนังด้วยกันแล้วก็ชวนคุยเรื่องเนื้อหาในหนังทำให้ปานตะวันที่เกร็งจนนั่งแทบไม่ติดผ่อนคลายลงช้าๆ
   
        “พระเอกนี่มันโง่จริงๆ ไปปฏิเสธคนร้ายหัวชนฝาแบบนั้นเป็นในชีวิตจริงนะมันฆ่าทิ้งไปแล้ว แล้วนั่น ไอ้หมอนั่นมันจะขี้พล่ามไปถึงไหน แบบนี้ไงพวกพระเอกมันถึงมาช่วยทัน”
   
        “นั่นสินะครับ! โอ๊ย อะไรเนี่ย ถูกลูกไม้ตื้นๆ แบบนั้นหลอกได้ไง พระเอกแท้ๆ นะ”
   
        ไม่รู้เมื่อไหร่ที่คุณพ่อพี่เมศกับเขาเริ่มพูดจาถูกคอกัน เข้าขากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยส่วนคุณราตรีก็นั่งมองยิ้มๆ โดยไม่พูดอะไร
   
         พอหนังตัดเข้าโฆษณาคุณศิลปินก็หันมาหาตะวันแล้วพูดว่า “อืม แบบนี้ค่อยเหมือนปานตะวันที่เจ้าเมศมันเล่าให้ฟังหน่อย”
   
        “งั้นเหรอครับ” สรุปแล้วไอ้พี่เมศไปเล่าว่าเขาเป็นคนยังไงกันล่ะเนี่ย
   
       “ใช่ มันเล่าว่าเธอพูดเก่ง เถียงเก่ง ดื้อ ซน น่ารัก อะไรไม่รู้อีกสารพัดของมัน” พอได้ฟังจากปากคนอื่นแบบนี้แก้มของปานตะวันก็ร้อนขึ้นมาดื้อๆ เรียกสายตาเอ็นดูแกมขบขันจากผู้ใหญ่ทั้งสองได้เป็นอย่างดี
   
        “อ้อ มันเล่าว่าขี้เขินด้วย” คุณศิลปินยิ้มมุมปาก “ก็จริงของมันแฮะ”
   
        “แหะๆ”
   
        “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ อยู่กรุงเทพฯเมศเป็นยังไงบ้าง ร้านอาหารมันไปได้ดีใช่ไหม”
   
        “ไปได้ดีมากเลยครับ พี่เมศทำอาหารอร่อยมากลูกค้าประจำก็เยอะมากด้วย แต่ละวันคนแน่นร้านสุดๆ”
   
        “เมศเล่าว่าเธอไปเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านมัน เจอกันตอนทำงานหรือ?”
   
        “เปล่าครับ เราเจอกันก่อนหน้านั้น” แล้วปานตะวันก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เจอราเมศครั้งแรก เรื่องราวเกี่ยวกับเขา หนูเจียไปจนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่พบเจอร่วมกันมา
   
        พอเล่าจบคุณศิลปินและคุณราตรีก็สบตากันแวบหนึ่ง ผู้ใหญ่ทั้งคู่มีสีหน้าครุ่นคิดจนกระทั่งคุณราตรีพูดว่า
   
        “ตะวันอย่าโกรธนะคะลูกถ้าแม่อยากพูดว่าจริงๆ แล้วแม่กับพ่อเห็นด้วยกับคำพูดและวิธีการของแม่ตะวัน”
   
       “ผมไม่โกรธหรอกครับ” ปานตะวันคลี่ยิ้มจางๆ “นั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุด” แต่มันไม่ใช่ทางที่เขาจะเลือกเท่านั้นเอง
   
        “แล้วทำไมเธอถึงไม่เลือกทางออกที่ดีที่สุดล่ะ” คราวนี้พ่อพี่เมศถามขึ้นบ้าง นัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่ายดูคล้ายราเมศตอนกำลังสอบสวนความผิดเขาเอามากๆ
   
        “เพราะถ้าเลือกทางนั้นผมจะไม่ได้อยู่กับหนูเจียและพี่เมศ”
   
        “เธอก็เลยเลือกทางที่ลำบากเพียงเพื่อจะได้อยู่กับสองคนนั้น?”
   
        “ครับ”
   
        “เธอจะทำสำเร็จใช่ไหม ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องหลาน จะช่วยแบ่งเบาภาระให้เมศได้ใช่ไหม ไม่ใช่ไปเพิ่มความลำบากในชีวิตให้กับลูกชายฉันใช่หรือเปล่า”
   
        คำถามนั้นตรงไปตรงมาและแทงลงกลางใจปานตะวันอย่างจัง แต่ชายหนุ่มก็ยังคงไม่หวั่นไหว เขาสบตาผู้ใหญ่ทั้งสองท่านด้วยสีหน้าจริงจัง
   
       “ผมจะพิสูจน์ให้เห็นครับ ผมจะทำ และต้องสำเร็จแน่นอน”
   
       พ่อของพี่เมศมองปานตะวันราวกับจะประเมินอยู่ครู่ใหญ่ซึ่งปานตะวันก็ไม่ได้หลบสายตา พวกเขาจ้องตาวัดใจกันจนกระทั่งคนอาวุโสกว่ายิ้มออกมา
   
       “ดี ฉันชอบเด็กแบบเธอนี่ล่ะ พูดแล้วก็ทำให้ได้ล่ะ ฉันจะรอดู”
   
       “ขอบคุณมากๆ ครับ”
   
        ชายวัยกลางคนทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟา สองตาจับจ้องที่หนังในโทรทัศน์แต่ปานตะวันรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
   
        “เธอรู้ไหม” จู่ๆ คุณศิลปินก็ทำลายความเงียบขึ้นมา ปานตะวันที่เหม่อลอยอยู่ถึงกับสะดุ้ง
   
        “ใจจริงฉันก็อยากให้ราเมศแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้แต่ต้องเป็นคนดี ขยัน อดทนและฉลาด ฉันอยากให้ลูกชายมีคู่ชีวิตที่ดี มีลูกตัวเล็กๆ ที่น่ารัก” ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจออกมา “แต่ในเมื่อเขาเลือกเธอและเธอเป็นความสุขของเขาฉันก็จะไม่คัดค้าน แต่ใช่ว่าฉันจะยอมรับเธอร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ เธอต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็นก่อนว่าเธอจะเป็นคนดี ขยัน อดทน ฉลาดและสามารถจับมือลูกชายฉันก้าวผ่านอุปสรรคหลายๆ อย่างได้ พิสูจน์ให้ฉันเห็นนะปานตะวันว่าเมศเลือกคนไม่ผิด”
   
        ปานตะวันรู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ เขาพยักหน้า “ผมสัญญาครับ ผมจะทำให้พวกคุณเห็นให้ได้”
   
        ฝ่ามืออบอุ่นวางลงบนหัวเขา ลูบเบาๆ สองสามทีพร้อมกับที่เสียงทุ้มกล่าวขึ้นว่า
   
        “ดีมาก”
   
       หลังจากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไป บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าที่เคย ราเมศกับมิ้นต์และหนูเจียกลับมาหลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มผมดำสังเกตว่าพ่อกับแม่ของเขาดูเป็นกันเองกับปานตะวันมากขึ้น แฟนเขาเองก็ไม่ได้เกร็งเหมือนตอนแรกอีกแล้ว ระยะห่างลดน้อยลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
   
       เมื่อถึงช่วงมื้อค่ำคุณราตรีก็ขอเข้าครัวเพื่อแสดงฝีมือทำอาหารต้อนรับเด็กๆ ปานตะวันถูกดึงไปเป็นลูกมือส่วนราเมศก็ถูกทิ้งให้นั่งเชียร์แบดมินตันเป็นเพื่อนคุณศิลปินที่ห้องนั่งเล่น   
   
       “ตะวันคะ ดูนี่นะลูก เดี๋ยวแม่จะให้ดูอะไร” คุณราตรีหยิบสมุดสีชมพูเล่มบางออกมา ภายในคือเมนูอาหารและวิธีทำซึ่งเขียนด้วยมีเป็นระเบียบเรียบร้อย
   
       “เมนูโปรดของเมศกับมิ้นต์ค่ะ วันนี้แม่จะทำกับข้าวที่ทั้งสองคนนั้นชอบทั้งหมดเลย เลยอยากให้ตะวันมาดูไว้ จะได้เอากลับไปทำให้เมศกิน”
   
       “เอ๊ะ เอ่อ ได้ครับคุณราตรี”
   
       “เรียกแม่เถอะจ้ะถ้าตะวันไม่ลำบากใจ”
   
       ชายหนุ่มผมน้ำตาลมองคุณราตรีด้วยแววตาแปลกใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นสุดท้ายปานตะวันก็หลุดปากถามออกไป
   
       “คุณราตรียอมรับผมแล้วเหรอครับ”
   
        มือที่กำลังหั่นมะเขือเทศอยู่พลันชะงักก่อนที่ร่างบอบบางข้างกายจะผลิรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ “แล้วมีเหตุผลอะไรให้ไม่ยอมรับล่ะคะ”
   
      “ก็คุณศิลปินบอกว่า...”
   
       “คุณพ่อก็ส่วนคุณพ่อสิ แม่ชอบตะวันเพราะตะวันทำให้เมศมีความสุข สำหรับแม่แล้วจะเป็นใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนดีและรักเมศก็พอ”
   
       “คุณราตรี...ไม่คิดว่าผมไม่เอาไหนเหรอครับ เรียนก็ไม่จบ ไหนจะต้องเลี้ยงหลาน ทำงานไปด้วยอีก มีแต่เป็ฯภาระ”
   
       “แต่ตะวันก็พยายามอยู่ไม่ใช่เหรอคะลูก ตะวันกำลังเรียนให้จบ กำลังทำงานเพื่ออนาคตของหลาน เมศเล่าให้แม่ฟังเรื่องที่มีคนมาว่าเรากับหลานแล้วนะ ตะวันแก้ปัญหาได้ดีเลยนะคะ การไม่นิ่งเฉยของตะวันแสดงให้เห็นว่าตะวันพร้อมจะดูแลหนูเจียเสมอ ทัศนคติของตะวันแสดงให้เห็นว่าตะวันกำลังเติบโต เรียนรู้และพัฒนา นั่นคือสิ่งที่ดีมากนะ แม่คิดว่าทุกคนทำผิดพลาดกันได้ ทุกคนมีโอกาสอยู่ในมือเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันอย่างไร และตอนนี้ตะวันก็กำลังใช้โอกาสที่สองในมืออย่างคุ้มค่ามากที่สุด”
   
        ปลายนิ้วเรียวเช็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นโดยไม่รู้ตัวของปานตะวันให้อย่างนุ่มนวล
   
        “พยายามมากขนาดนี้ เก่งมากเลยนะคะ”
   
         เก่งมาก...อย่างนั้นเหรอ
   
         ดีใจจังที่มีคนเอ่ยปากชมแบบนี้ แม้เป็นคำชมเล็กๆ น้อยๆ แต่เขาก็...มีความสุข...มากเลย
   
         “ฮึก...ขอบคุณ...มากๆ นะครับ”
   
         ปานตะวันพยายามกลั้นสะอื้นแต่ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งไหล
   
         ขอบคุณที่ยอมรับเขา ขอบคุณที่ให้โอกาส ขอบคุณ...ที่มองเห็นว่าเขาพยายามมากขนาดไหน
   
         มือบางวางทาบลงบนหลังมือของปานตะวัน “แม่ก็ต้องขอบคุณตะวันที่อยู่ข้างๆ เมศนะคะ แล้วก็ต่อจากนี้ฝากดูแลพี่เขาด้วยนะลูก”
   
         ปานตะวันเช็ดน้ำตาออกแล้วก้มลงกอดร่างแบบบางของคุณราตรีเอาไว้ซึ่งเธอก็กางแขนกอดเขาตอบ อ้อมกอดนั้นอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
   
        “ได้ครับ ตะวันจะไม่ทำให้คุณแม่ผิดหวัง ตะวันสัญญา”
   
        มื้อค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างราบรื่นและมีความสุข หนูเจียกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคนและเด็กน้อยเองก็ดูเปรมปรีมากที่มีคนคอยตักอาหารและขนมให้ตลอด แต่กระนั้นเมื่อตะวันบอกให้พอหนูเจียก็พอ ไม่มีงอแงอิดออดแต่ประการใด
   
        และตอนที่ท่านข้าวนั้นเองราเมศถึงได้รู้ว่าปานตะวันน่ะประจบคนแก่เก่งขนาดไหน คอยชวนคุย ตักนู่นตักนี่ให้ ไม่นานคุณแม่ของเขาก็ยกอีกฝ่ายขึ้นแท่นลูกรักไปเรียบร้อยส่วนคุณพ่อแม้จะไม่พูดอะไรมากแต่แววตาก็แสดงออกถึงความพออกพอใจ อ๊ะ แต่เขาไม่ได้อิจฉาอะไรหนอกนะ ราเมศออกจะดีใจมากด้วยซ้ำที่ปานตะวันเข้ากับครอบครัวเขาได้ดีขนาดนี้
   
        ทานอาหารเสร็จตะวันก็อาสาทำหน้าที่ล้างจาน ตอนที่เขายกชามไปวางลงในอ่างพี่มิ้นต์ก็ตามเข้ามาช่วย ปานตะวันรู้ได้ทันทีว่าเธอมีเรื่องจะพูดกับเขา แล้วก็จริงตามที่คิด
   
        “พี่เมศน่ะดุใช่ไหมล่ะ เข้มงวดสุดๆ ไปเลยสินะ”
   
        “ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ปานตะวันส่งชามให้หญิงสาวรับไปเช็ดให้แห้งก่อนเก็บลงตะกร้า มิ้นต์กลอกตาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตอบเอาใจหรอก ฉันรู้จักพี่ชายฉันดี ดุขนาดไหนฉันก็โดนมาหมดแล้ว”
   
        “เอ่อ...นั่นสินะครับ”
   
        “ดังนั้นช่วยอดทนกับเขาหน่อยนะ” หญิงสาววางชามลงในที่เก็บชามแล้วจึงหันมาจ้องปานตะวันด้วยสีหน้าจริงจัง อย่างนี้เองสินะ เธอไม่ได้มาพูดคุยธรรมดา...แต่มาขอร้อง
   
        “ถึงเขาจะดุ จะเข้มงวดแต่เป็นเพราะเขาหวังดีแล้วก็รักเธอนะ ดังนั้นได้โปรดอดทนกับเขาให้มาก อย่าทิ้งพี่ชายฉันไปกลางคันเลยนะ ฉันรู้ได้ว่าเขารักเธอมากจริงๆ”
   
       “ทำไมถึงรู้ล่ะครับ”
   
        “เพราะฉันไม่เคยเห็นเขามองใครด้วยสายตาแบบนี้มานานแล้ว สายตาแบบ...ทั้งหวง ทั้งห่วง ทั้งอ่อนโยนแบบนี้น่ะ เธอเป็นคนที่ใช่สำหรับเขาจริงๆ นะ”
   
        “ง...งั้นเหรอครับ”
   
         ปานตะวันกลั้นยิ้มแต่มันก็ห้ามยากเหลือเกิน พี่มิ้นต์เองก็รู้ทันเธอจึงส่งยิ้มซุกซนมาให้ ปานตะวันค้นพบว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย เธอใจดี เข้าหาง่ายแล้วก็เป็นกันเองมากๆ
   
        “จริงสิพี่มิ้นต์ ตะวันสงสัยจังว่าทำไมทุกคนถึงได้ดูยอมรับที่พี่เมศชอบผู้ชายได้ง่ายจัง” ปานตะวันถามสิ่งที่ตัวเองติดใจสงสัยอยู่ออกไปในที่สุด มิ้นต์เอียงคอเล็กน้อยแล้วก็ตอบว่า
   
        “ความชอบของพี่เมศน่ะ เราทั้งหมดรู้มาตั้งแต่สมัยม.ต้นแล้ว เขามีคนคุยทั้งหญิงทั้งชายนั่นแหละแต่ว่าถ้าคบเป็นแฟนจะมีแค่กับผู้หญิง ผู้ชายคุยกันได้แป็บเดียวก็หาย นานสุดก็สักสองสามเดือน แต่ก็แค่คนคุย พี่เมศคงกลัวที่บ้านไม่ยอมรับด้วยแหละ แฟนที่พามาเปิดตัวที่บ้านเลยมีแต่ผู้หญิง นี่มีตะวันเป็นผู้ชายคนแรกเลยนะ ดีใจล่ะสิ แน่ะ ยิ้มกว้างใหญ่เลยหนูน้อย”
   
         “บ้า ใครยิ้มอะไรกัน พี่มิ้นต์อย่าจิ้มแก้มผมสิ”
   
         “ฮ่าๆ”
   
         ปานตะวันหลบมิ้นต์ไปล้างจานไปจนเสร็จแต่เพราะโดนแกล้งเลยกินเวลานานโข พอกลับมาที่ห้องนั่งเล่นก็เจอแค่คุณศิลปิน คุณราตรีและหนูเจียที่หลับซบคาตักคุณราตรีไปแล้ว ส่วนพี่เมศหายไปไหนก็รู้
   
      “เมศขึ้นห้องไปแล้ว เธอก็ตามไปสิ ส่วนหลานเดี๋ยวอุ้มไปส่งให้” คุณพ่อพูดขึ้น ปานตะวันจึงรับคำแล้วเดินขึ้นไปที่ห้องนอน
   
        “พี่เมศ”
   
       ชายหนุ่มเรียกหาคนรัก นึกแปลกใจที่ห้องไฟเปิดอยู่แต่ไร้เงาเจ้าของห้อง ปานตะวันยืนงงอยู่จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนมาสะกิดจากด้านหลัง ทันทีที่หันกลับไปสิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือสีสันอันหลากหลายของทิวลิปช่อโตในมือคนรัก
   
        “นี่มันอะไรครับเนี่ย” ปานตะวันรับดอกไม้ที่ถูกห่อในกระดาษสีชมพูแล้วผูกริบบิ้นอย่างดีมาไว้ในอ้อมกอด “เนื่องในโอกาสอะไรครับ”
   
         “ต้อนรับลูกชายคนใหม่ของบ้าน”
   
        ราเมศพูดขำๆ สืบเท้ามาจนชิดร่างเล็กที่กำลังมองดอกไม้ในมือด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาเขี่ยแก้มเจ้าตัวเล็กเบาๆ
   
        “รู้ความหมายของมันไหม”
   
        “ทิวลิปเหรอครับ ไม่รู้นะ ตะวันไม่เคยอ่านพวกภาษาดอกไม้อะไรแบบนี้หรอก”
   
         “งั้นเดี๋ยวพี่บอกให้” ราเมศแตะปลายนิ้วลงที่กลีบบอบบางของดอกไม้ขณะที่จ้องปานตะวันด้วยแววตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมาย
   
        “ทิวลิปแดง หมายถึง มั่นคงในความรัก จริงจัง ซื่อสัตย์และรักหมดหัวใจ”
   
         “ทิวลิปสีชมพู หมายถึง ความรักที่ลึกซึ้ง ความสุขสมหวัง”
   
          “ทิวลิปสีขาว หมายถึง เสียสละทุกอย่างได้เพื่อคุณ เป็นรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน”
   
          “ทิวลิปสีม่วง หมายถึง ความซื่อสัตย์”

   
         “ดอกไม้พวกนี้แทนความรู้สึกของพี่ แทนสิ่งที่พี่อยากจะบอกกับตะวันมาตลอด ยกให้นะ ยกให้ทั้งหมดเลย ดูแลมันดีๆ ได้ไหมครับ เหมือนที่ตะวันทำมาตลอด...จากนี้และตลอดไป”
   
         ปานตะวันกระชับดอกไม้ในอ้อมกอดแน่น ใบหน้าเห่อแดงไปหมด สิ่งที่ราเมศพูดออกมาทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา อีกฝ่ายจับเขาเหวี่ยง...หลุดออกไปนอกโลก ไปอยู่ในวงโคจรที่ไม่รู้จัก ความรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยในฝัน
   
         “ปานตะวัน” ราเมศชอบเรียกชื่อของคนรัก ปานตะวัน ดุจดวงอาทิตย์ อบอุ่น สดใส ตะวันที่ฉายแสงให้เขาแต่เพียงผู้เดียว ราเมศแนบแก้มลงกับแก้มของตะวันซึ่งเด็กน้อยของเขาก็ยินยอม
   
        “ชอบจังเวลาพี่ทำแบบนี้” ปานตะวันกระซิบ ชอบเวลาราเมศเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชอบจูบหวานเหมือนหยาดน้ำผึ้งแบบนี้ ชอบตอนถูกกอดอยู่ในอ้อมอกกว้างที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง
   
        “ตะวันจะดูแลให้อย่างดีเลย ทั้งดอกไม้ ทั้งความรู้สึกของพี่”
   
        เขากางแขนกอดตอบราเมศ ซุกจมูกลงกับไหล่กว้าง อิงแอบอยู่กับสถานที่พักพิงที่อบอุ่นและสงบสุขที่สุดในโลก ดื่มด่ำกับช่วงเวลาต้องมนต์ในคืนจันทร์ฉายนี้
   
       “ตะวันก็รักคุณเหมือนกันนะ”
   
       “ปานตะวัน”
   
       “ครับ”
   
       “ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัว”

*************************************************************

จบไปแล้วอีกหนึ่งตอนนนน ในที่สุดปานตะวันก็ได้มาพบครอบครัวพี่เมศแล้วค่า
คุณพ่อ คุณแม่และพี่มิ้นต์เข้าใจพี่เมศค่ะ ค่อนข้างหัวสมัยใหม่ด้วย ลูกชายรักใครก็รักด้วยประมาณนี้
แต่ว่าทุกคนก็ยังรอให้ปานตะวันพิสูจน์ตัวเองอยู่นะคะ ยอมรับแต่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ทำนองนี้ค่ะ
โดยส่วนตัวแล้วเราชอบคุณราตรีมากเลยค่ะ นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็มีแต่คุณราตรีนี่แหละที่บอกว่าปานตะวันเก่งมาก
ปานตะวันที่พยายามแทบตายเพื่อเติบโต ปานตะวันที่พยายามเรียนให้จบ ทำงานเก็บเงินไว้ให้หลาน
สำหรับคนภายนอกอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันเป็นก้าวใหญ่สำหรับปานตะวันมากเลยค่ะ
เด็กดีก็ต้องได้รับคำชมให้ก้าวต่อไปได้เนอะ!

ตอนนี้พี่เมศก็ยังหวานเหมือนเดิม เราชอบคำว่ายินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของพี่เมศมากกกก  :man1:
หวานขึ้นเรื่อยๆ ทุกตอน แล้วตอนหน้าจะหวานขนาดไหนน้าาาาา
มาติดตามกันนะคะ  :mew1: ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ

ปล. ติดตามข่าวสารและเม้าท์มอยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 01-07-2017 21:26:57
ขอบคุณค่ะ  ครอบครัวพี่เมศอบอุ่นมากกกก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-07-2017 21:42:14
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 01-07-2017 22:09:11
ครอบครัวราเมศกับหนูเจียคือความสุขขอวตะวัน  :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 01-07-2017 22:22:56
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-07-2017 22:40:25
 :o8: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 01-07-2017 22:57:58
้สู้ต่อไปหนูตะวัน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-07-2017 01:36:40
 :L2: :L2: :L2: :L2:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-07-2017 01:45:03
 :man1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-07-2017 10:20:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-07-2017 11:04:43
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-07-2017 11:28:40
ต่อไปนี้ก็คงมีแต่ความสุขแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-07-2017 15:27:09
ผ่านไปอีกหนึ่งด่าน
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-07-2017 15:51:41
แฮบปี้ ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-07-2017 19:37:22
น่ารักมาเลยค่ะ หวานมาก แหววมาก ฟินดีดดิ้น กรีดร้อง

ปานตะวันน่ารัก น้องรู้จักรอ ใจเย็นขึ้น โตขึ้น พยายาม และเข้าใจคนอื่น ดูแลดี คือดีค่ะ

ราเมศรู้ตัวนะว่า น้องเคือง เลยต้องรีบมา ก็ยังดีค่ะ ต้องรีบคุยเนาะ ก่อนจะคิดมากไปกว่านี้
แถมยังพาไปเปิดตัวกับที่บ้านอีก ตะวันได้ใจไปเยอะแล้วนะ พยายามต่อไปนะคะ
มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพี่แล้วนะคะ

หนูเจียน่าฟัดจริง มีความสงสัยน้าตะวัน แต่ก็ยังเด็กน้อยอะเนาะ มีความเขินอาย ฉลาด แถมไม่งอแงมาก เด็กดี
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 02-07-2017 22:40:31
ปานตะวันค่อยๆ เติบโตทีละน้อย รูู้สึกภูมิใจในความพยายามของตะวันจริงๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 02-07-2017 23:12:01
มดไต่ไอแพด หวานเกิ๊นนนน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 02-07-2017 23:48:59
อบอุ่นจัง
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 03-07-2017 10:36:28
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 03-07-2017 12:23:33
นั้ลล้ากก รอนะครับ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 03-07-2017 14:22:08
ดูอบอุ่นมากๆ ต่อจากนี้หวังว่าไม่มีเรื่องไรแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-07-2017 18:31:37
คงไม่มีดราม่าอะไรเนอะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-07-2017 22:09:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 07-07-2017 19:03:28
ปานตะวัน
บทที่ ๒๑
Midnight


         สองวันสุดท้ายก่อนสิ้นปี ครอบครัวของปานตะวันหมดเวลาไปกับการท่องเที่ยวแบบเต็มสูบ ดูเหมือนราเมศจะไม่ได้ล้อเล่นเรื่องที่ว่าจะพาเที่ยวจนหมดแรงกันไปข้างหนึ่งเพราะหลังจากวันแรกที่มาถึงรีสอร์ตปานตะวันกับหนูเจียก็ไม่มีโอกาสได้นอนเล่นอยู่ที่บ้านอีกเลย
   
         ราเมศรับหน้าที่เป็นทั้งสารถี ไกด์นำเที่ยว ตากล้อง คนถือของ คนอุ้มหลานและสารพัดอย่างแล้วแต่ปานตะวันจะไหว้วานแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้บ่น กลับกันเขาดูมีความสุขดีเสียด้วยซ้ำกับการได้ตามใจทั้งหลานและคนรัก
   
        ปานตะวันแม้ตอนแรกจะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่สองวันมานี้พี่เมศอารมณ์ดีถึงดีมาก ไม่ดุ ไม่บ่น ขออะไร อยากกินอะไรก็ให้ทุกอย่าง...ดีจนรู้สึกตงิดๆ
   
        แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบใจหรอกนะ เขาดีใจมากด้วยซ้ำที่มีคนมาให้อ้อนแบบนี้
   
        บางทีเขาอาจจะคิดมากไปก็ได้
   
        พอคิดได้แบบนี้ปานตะวันก็เลิกติดใจสงสัยพฤติกรรมของราเมศไปทันที
   
        เช้าวันที่สามสิบราเมศพาเขากับหลานชายไปเที่ยวตามสถานที่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ จุดหมายแรกคือขึ้นดอยสุเทพไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ คนเยอะอย่างที่คิดไว้จนราเมศต้องอุ้มหนูเจียขึ้นมาแล้วก็จูงมือปานตะวันเดินเพื่อกันไม่ให้คลาดกัน หลังไหว้พระธาตุดอยสุเทพเสร็จชายหนุ่มก็พาทั้งคู่ไปแวะกินข้าวซอยก่อนไปต่อที่ “ขุนช่างเคี่ยน” ซึ่งเป็นแหล่งชมดอกพญาเสือโคร่งที่มีชื่อเสียง
   
       ดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งละลานตาเป็นทิวแถว สีชมพูสดสวยดูราวกับดอกซากุระของญี่ปุ่นไม่มีผิด มิน่าใครๆ ถึงเรียกมันว่าซากุระเมืองไทย  ตอนที่สายลมเย็นพัดผ่านช่อดอกไม้ก็พลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่นแลดูสวยงาม พวกเขาสามคนถ่ายรูปกันที่นี่ไปหลายสิบรูปเลยทีเดียว
   
       ถ่ายรูปเสร็จก็ราเมศก็พาเขาไปหากาแฟทาน ร้านกาแฟหลายร้านที่ผ่านตาล้วนน่าเข้าไปนั่งทั้งนั้น พี่เมศดูจะรู้จักแต่ละร้านดี แถมยังบอกอีกว่าร้านที่เจ้าตัวพาปานตะวันมาคือรสชาติกาแฟและขนมถูกปากที่สุดแล้ว พอลองชิมปานตะวันก็ต้องยอมรับว่าอร่อยสมคำโฆษณา
   
       เติมพลังกันแล้วราเมศก็พาปานตะวันกับหนูเจียไปที่ดอยปุยและพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
   
        ปานตะวันจำได้รางๆ ว่าตอนที่พ่อยังอยู่พวกเขาเคยมาเที่ยวเชียงใหม่กันครั้งหนึ่ง น่าจะขึ้นมาที่นี่ด้วย เสียดายที่ตอนนั้นปานตะวันยังเด็กมากทำให้ความทรงจำเรื่องนี้เลือนรางอยู่ในม่านหมอกของอดีต
   
         พอตกกลางคืนราเมศก็ขี่มอเตอร์ไซต์พาปานตะวันไปถนนคนเดิน พวกเขาให้หลานอยู่กับแม่ราตรีที่บ้านเพราะพอดึกแล้วเดี๋ยวหนูเจียจะงอแง
   
        “คนเยอะชะมัด” ปานตะวันถอดหมวกกันน็อกออกพลางพูด ตอนนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่นักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งต่างชาติ “คนเยอะทุกที่เลย”
   
        “ก็มันช่วงสิ้นปีนี่นา”
   
         ราเมศคว้ามือคนรักไปจับไว้ซึ่งปานตะวันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ชินแล้วล่ะ วันนี้พี่เมศจับมือเขาเกือบทั้งวันเลยนี่นา
   
         “แต่แบบนี้เหมือนมาเดตกันเลยนะ” ราเมศพูดลอยๆ พอปานตะวันหันไปมองก็พบว่าอีกฝ่ายหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้ว มุมปากของคนเด็กกว่ายกขึ้น
   
        “เราก็มาเดตกันจริงๆ ไม่ใช่เหรอครับ ไม่งั้นตะวันคงเอาหลานมาด้วยแล้ว”
   
        “นายนี่มัน...”
   
        ราเมศกลั้นยิ้ม ท่าทางซุกซนบวกกับการอมยิ้มจนแก้มป่องแบบนั้นทำให้เขาอยากจับเด็กแสบตรงหน้ามางับแก้มเสียเหลือเกิน
   
        “อะไรกัน ไม่อยากมาเที่ยวกันสองต่อสองก็ไม่บอก”
   
        “ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
   
        “คิดในใจใช่ไหมล่ะ ใช่ซี้ ไอ้ดอกทิวลิปกับคำพูดหวานๆ เมื่อวานสงสัยตะวันจะฝันไป”
   
        แน่ะ มีการลอยหน้าลอยตาพูดด้วยท่าทางกวนประสาทอีกนะ ราเมศกลอกตา ดีดเหม่งแมวแสบไปหนึ่งทีทำให้อีกฝ่ายหันกลับมาส่งค้อนให้วงเบ้อเริ่ม
   
        “เจ็บ!”
   
        “ไม่เจ็บหรอก กะโหลกนายหนาจะตาย”
   
       “ไอ้พี่เมศ!”
   
       “ฮ่าๆ ล้อเล่นหรอก ไหนมาให้พี่ดูซิ”
   
      ราเมศดึงปานตะวันที่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อหลบเข้าข้างทาง อาศัยแสงไฟจากร้านค้าที่เรียงรายอยู่สอดส่องหารอยแดงบนหน้าผากคนตัวเล็ก
   
       อืม มีด้วยแฮะ ตอนแรกเขาว่าตัวเองกะแรงดีแล้วนะ
   
       “ขอโทษนะ”
   
        “แรงเท่าช้าง ดีดมาได้ กะโหลกยุบหรือเปล่าก็ไม่รู้”
   
        “นี่ก็เว่อร์ไป”
   
        คำพูดคำจานี่น่าเอาปากตบปากจริงๆ
   
        ชายหนุ่มผมดำเห็นคนรักยกมือลูบหน้าผากป้อยๆ คิ้วยังขมวดแถมหน้าก็บึ้งก็แอบใจแกว่ง หรือเขาแกล้งแรงไปนะ ง้อสักหน่อยก็แล้วกัน
   
        “ตะวัน ขอโทษนะครับ”
   
        เงียบ ไม่ตอบ
   
        “มานี่มา โอ๋นะ โอมจงหายเจ็บ เพี้ยง”
   
        จบคำว่าเพี้ยงแทนที่จะเป่าลมลงมาคนตัวโตกลับแนบริมฝีปากลงที่รอยแดงบนหน้าผากมนของปานตะวัน
   
        จุ๊บ
   
        “หายเจ็บแล้วนะ”
   
         ปานตะวันมองรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้าของราเมศด้วยสีหน้าว่างเปล่า สมองเหมือนถูกแช่แข็งไปเรียบร้อยแล้ว  โดนแช่ไปตอนที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงมา “จุ๊บ” ให้หายเจ็บนั่นแหละ
   
        ไอ้บ้า ไอ้พี่เมศบ้า! มาทำอะไรโจ่งแจ้งในที่สาธารณะแบบนี้เนี่ย!
   
        “โว้ย ไอ้พี่บ้านี่!”
   
        “ไม่ชอบหรือไง ปกติเห็นชอบให้จูบเหม่ง”
   
        “ก็แล้วนี่มันบนถนนคนเดินไหมล่ะ” ปานตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่าย ไม่รู้เมื่อกี้มีคนแอบถ่ายคลิปหรือรูปไปหรือเปล่า เกิดเป็นข่าวดังในโลกโซเชียลขึ้นมาจะทำยังไง
   
        “แล้วไหนบอกเจ็บ” ราเมศย้อนหน้าตายแต่แววตากลับแฝงความขบขันไว้เต็มเปี่ยม มองปราดเดียวก็รู้ว่าจงใจแกล้งตีมึน
   
        “ตอนหนูเจียหกล้มหน้าผากปูดพี่ก็ทำให้แบบนี้แหละ ไม่เห็นต่างกันเลย”
   
        ต่างสิโว้ย!
   
        เพราะนั่นเป็นหนูเจีย หนูน้อยอายุห้าขวบที่ทำอะไรก็น่ารักน่าชังตามประสาเด็ก การที่ราเมศจูบเหม่งหนูเจียน่ะไม่แปลกหรอก แต่พวกเขาที่เป็นผู้ใหญ่แล้วแถมยังเป็นผู้ชายทั้งคู่มาทำแบบนี้เนี่ยมัน...
   
        น่าเขินไปหน่อยไหม
   
        ปานตะวันเอาแขนเสื้อถูแก้มของตัวเองแรงๆ ประหนึ่งจะทำให้สีแดงที่แตะแก้มสองแก้มอยู่เลือนหายไป แต่นอกจากจะไม่หายแล้วหน้าของชายหนุ่มยังแดงกว่าเดิมเมื่อจู่ๆ ก็มีคนกระแอมขึ้นจากด้านหลังก่อนจะเอ่ยว่า
   
        “คือว่า ขอโทษนะครับ พวกคุณยืนบังร้านผม”
   
        “อ้าว ขอโทษนะครับ”
   
         ปานตะวันกับราเมศสะดุ้ง พวกเขาพบว่าตนเองยืนบังอยู่หน้าร้านขายเสื้อจริงๆ ด้วย ปานตะวันส่งยิ้มเจื่อนให้หนุ่มคนขายที่ไว้ผมยาวเหมือนนักร้องวงร็อก
   
         ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วก็ได้ยินที่คุยกันไปหมดแล้วหรอกนะ
   
         “ไม่เป็นไรครับ” ยังดีที่คนขายไม่ทักอะไรขึ้นมาให้ปานตะวันอายเล่น ลูกแมวตัวเล็กขอโทษอีกครั้งในขณะที่มือก็รีบกระตุกมือราเมศยิกๆ เป็นทำนองให้รีบออกจากร้านนี้
   
        แค่นี้ก็อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแล้วให้ตายเหอะ ฮือ
   
        “เอ้อ ว่าแต่พวกพี่ๆ สนใจเสื้อยืดไหมครับ ร้านผมเป็นร้านขายเสื้อคู่ ตัวการ์ตูนผมออกแบบเองหมดเลย”
   
        แน่นอนว่าไอ้หนุ่มนักขายก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ เขารีบโฆษณาสินค้าตัวเองอย่างเต็มที่ พระเจ้าอุตส่าห์ประทานลูกค้ามาให้ถึงหน้าร้านแล้ว แถมยังเป็นคู่รักด้วย ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องขายเสื้อคู่ให้สองคนนี้ให้ได้!
   
        “เสื้อคู่เหรอ น่าสนใจดีนะ” พ่อค้าตาเป็นประกายเมื่อคุณลูกค้าตัวสูงใหญ่ผิวแทนเปรยขึ้นอย่างสนอกสนใจ “แต่ในร้านมีแต่เสื้อคู่ชายหญิงนี่?”
   
        “แบบไม่ใช่การ์ตูนชายหญิงก็มีครับ”
   
       เขารีบเดินไปหยิบเสื้อแขนยาวมีฮู้ดออกมาสองตัว ตัวหนึ่งเป็นสีดำมีแถบสีขาวพิมพ์ตัวอักษรดำไว้ตรงกลาง ส่วนอีกตัวเป็นสีเทา มีแถบขาวพิมพ์ตัวอักษรดำด้วยข้อความเหมือนตัวแรก
   
       “เท่ออกนะครับพี่ ไม่สนเหรอ”
   
        ปานตะวันกำลังจะส่ายหน้าแต่ราเมศดันถามออกไปแล้วว่า “เท่าไหร่”
   
        พอคนขายบอกราคาชายหนุ่มตัวโตก็จ่ายเงินให้อย่างรวดเร็ว พ่อค้าหน้าตาชื่นบานรีบพับเสื้อใส่ถุงให้อย่างเรียบร้อย ตอนที่พวกเขาเดินออกจากร้านยังมีการเอ่ยไล่หลังมาว่า “ขอบคุณนะคร้าบ ขอให้มีความสุข รักกันไปนานๆ เลยนะครับ!”
   
        “พี่เมศ ซื้อมาแล้วจะใส่เหรอ” ปานตะวันมองดูเสื้อแขนยาวในถุง เอาตรงๆ คือเขานึกภาพตัวเองกับราเมศใส่เสื้อคู่ มีโมเม้นท์คู่รักใสๆ ไม่ออกเลย
   
        “เอาน่า อุดหนุนเขาหน่อย ถือซะว่าเป็นค่าที่เราไปยืนจูบหน้าผากกันหน้าร้านเขาแล้วกัน”
   
        ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมา ตอนแรกก็อยากจะบ่นนะที่ราเมศทำแบบนั้นแต่พอนึกๆ แล้วความตลกกับความเขินมันมีมากกว่าความไม่ชอบนี่สิ
   
        พวกเขาสองคนเดินเล่นไปเรื่อยๆ ซื้อของกินมาเดินกินไปพลางๆ ปานตะวันเจอร้านขายโคมไฟอยู่ร้านหนึ่ง เขาถูกใจโคมไฟตั้งโต๊ะที่ทำเป็นรูปนกตัวเล็กๆ มากแต่ราเมศบอกว่าไม่ต้องซื้อเพราะที่บ้านเขาก็มี ถ้าอยากได้เดี๋ยวจะขอคุณราตรีกลับไปให้ สรุปแล้วนอกจากเสื้อคู่และของกินพวกเขาก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มอีก
   
        “พี่เมศ ตะวันเมื่อยขาแล้วอ่ะ” ในที่สุดปานตะวันก็โอดครวญออกมา ทันทีที่เจอม้านั่งสำหรับนั่งพักชายหนุ่มก็ปรี่เข้าไปจับจองทันที สองมือบีบนวดต้นขาตัวเองไล่อาการเมื่อยขบ
   
        “วันนี้เดินทั้งวัน ขาจะหลุดแล้ว”
   
        “งั้นกลับเลยไหม”
   
        “เอาสิครับ”
   
        ทริปเดตง่ายๆ ของพวกเขาก็จบลงด้วยประการฉะนี้
   
        ตอนที่กลับมาถึงบ้านราเมศก็เจอโพสอิทสีเหลืองแปะอยู่หน้าประตูห้องนอน มีลายมือมารดาเขียนเอาไว้ว่าขอตัวหนูเจียไปนอนด้วย
   
        ปานตะวันชะโงกหน้ามาอ่านแล้วก็พยักหน้ารับรู้ เจ้าตัวเล็กเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ คงเพลียมากจริงๆ พอหัวถึงหมอนก็ซุกหน้าเตรียมหลับแล้ว
   
        “ตะวัน นอนดีๆ” ราเมศถอนหายใจพลางดึงเสื้อยืดย้วยๆ ที่เปิดร่นไปเกือบถึงหน้าอกลงมาปิดพุงขาวๆ ให้อีกฝ่าย ปานตะวันครางงึมงำไม่ได้ศัพท์ สองมือควานปัดป่ายราวกับจะหาอะไรบางอย่างจนกระทั่งมาแตะโดนแขนเขา
   
       พอจับตัวเขาได้ลูกแมวก็เบียดซุกเข้ามาคล้ายจะหาไออุ่น แก้มขาวแนบอยู่กับต้นแขน ท่าทางการหลับดูผ่อนคลาย
   
        แต่ปานตะวันจะรู้ไหมนะว่าตอนที่ตัวเองหลับสบาย เขาสงบใจไม่ได้เลย
   
        ให้ตาย
   
        ยิ่งมองเห็นผิวเนื้อเนียนที่เคยแกล้งขบจูบหยอกเอินจนขึ้นรอยแดงแล้วก็ยิ่งสงบใจไม่ได้
   
        “โธ่เว้ย” ราเมศสบถเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวนอนบนเตียง ดึงแขนออกจากการเกาะกุมแล้วนอนหันหลังให้ปานตะวัน หลับตานับหนึ่งไปจนถึงร้อยเพื่อสงบจิตสงบใจ
   
        เช้าวันต่อมาปานตะวันตื่นมาด้วยอาการสดชื่นแจ่มใสแต่ราเมศนี่สิทำหน้าบูดเหมือนคนนอนไม่พอ
   
        “พี่เมศเมื่อคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอนหรือไง ทำไมใต้ตาคล้ำงี้” มิ้นต์ทักขึ้นบนโต๊ะอาหารเช้า ราเมศที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบจึงยักไหล่ก่อนตอบ
   
         “พอดีฝันร้าย”
   
         “หือ ฝันว่าอะไรเหรอ”
   
        “ฝันว่าโดนผีอำ ปรากฏว่าพอตื่นมากลายเป็นคนข้างๆ เอาขามาพาดอกตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้”
   
        คนข้างๆ ที่ว่าถึงกับสะดุ้ง รีบเงยหน้ามองเลิกลั่ก “เฮ้ยพี่ ตะวันดิ้นขนาดนั้นเลยเหรอ” คนโดนกระทำไม่ตอบคำแต่เสไปคุยกับหลานชายแทน
   
        “แล้วเมื่อคืนหนูเจียหลับสบายไหมครับ”
   
         หนูน้อยที่กำลังแทะขอบขนมปังอยู่เงยหน้าตอบด้วยดวงตากลมแป๋ว “สบายคับ!” เมื่อคืนคุณย่าราตรีอ่านนิทานให้ฟังเยอะแยะแถมยังเปิดเพลงกล่อมนอนด้วย หนูเจียตัวน้อยเลยหลับอุตุฝันดีจนถึงเช้า “แต่หนูเจียอยากนอนกับน้าตะวันแล้วก็น้าเมศมากกว่า”
   
        “จะว่าไปพูดถึงคืนนี้ที่รีสอร์ตจัดงานเลี้ยงด้วยสินะครับ” ราเมศหันไปถามผู้เป็นพ่อ คุณศิลปินพยักหน้า งานเลี้ยงปีใหม่ทางรีสอร์ตจัดให้แขกที่มาพักทุกปี แต่ไม่ได้บังคับว่าทุกคนต้องเข้าร่วม “แกจะไปหรือเปล่าล่ะ”
   
        “ไม่ล่ะครับ คิดว่าคงอยู่ที่บ้านมากกว่า”
   
       “ตามใจ”
   
       “พ่อไปเหรอ”
   
       “ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน” คนเป็นพ่อว่าจบแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับไอแพดตรงหน้าต่อ
   
       “แล้ววันนี้เมศจะพาน้องตะวันกับหลานไปไหนหรือเปล่าลูก” คุณราตรีเอ่ยถาม ราเมศเหลือบมองปานตะวันแล้วก็ส่ายหน้า “วันนี้ตะวันเขาอยากนอนเล่นอยู่ที่นี่น่ะครับ”
   
        “ก็ดี ข้างนอกคนเยอะจะตายไป มีโอกาสค่อยมาเที่ยวใหม่ก็ได้”
   
        “นั่นสิครับ” ปานตะวันรับคำคุณพ่อพี่เมศ เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคนรอบโต๊ะ
   
         หลังมื้อเช้าผ่านไปปานตะวันก็ช่วยคุณราตรี พี่มิ้นต์และพี่เมศทำความสะอาดบ้านรวมถึงตกแต่งบ้านสำหรับงานเลี้ยงปีใหม่ในครอบครัวคืนนี้ พอเสร็จงานทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่น คุณพ่อกับคุณแม่นั่งอยู่บนโซฟายาวโดยมีหนูเจียนอนหนุนตักอยู่ พี่มิ้นต์ยึดโซฟาเดี่ยว ส่วนราเมศกับปานตะวันนั่งอยู่ที่พื้นด้านล่างโดยมีเบาะนิ่มๆ ปูรองไว้พร้อมหมอนอิงอีกสามสี่ใบ
   
        ตอนนี้โทรทัศน์ช่องที่พวกเขาดูอยู่มีโปรแกรมหนังยาวต่อเนื่องไปถึงตอนเย็น แต่ละเรื่องที่ฉายก็น่ารักสดใสเข้ากับเทศกาล
   
        อากาศที่เย็นลงเล็กน้อยทำให้ปานตะวันขยับเบียดราเมศด้วยความเคยชินทั้งที่สองตายังจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้า แต่แล้วจู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาสะกิดโดนแก้ม เมื่อละสายตามามองก็พบว่าเป็นนิ้วของราเมศนั้นเอง
   
        คนรักของเขาพาดแขนข้างหนึ่งไว้กับเบาะโซฟา ท่าทางเหมือนโอบไหล่ปานตะวันกลายๆ เมื่อเห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้วก็หันมายิ้มให้พร้อมกับเลื่อนมือมาที่ศีรษะเขา ลูบไล้เกี่ยวพันเส้นผมสีน้ำตาลเล่น ปานตะวันเลยเอนหัวพิงบ่าอีกฝ่ายเสียเลย
   
       ราเมศจูบลงบนเส้นผมนุ่มของคนรักเบาๆ ตอนนั้นเองที่ปานตะวันอ้าปากหาว
   
       “ง่วงเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบถามเบาๆ ปานตะวันพยักหน้าหงึก “อากาศมันเย็น น่านอนดี”
   
       “งั้นก็หลับไปสิ พี่ก็ชักง่วงแล้วเหมือนกัน”
   
       “เมื่อคืนนอนไม่หลับนี่นะ ขอโทษนะครับที่ดิ้นแรงขนาดนั้น” ปานตะวันตอบเสียงอ่อยแม้จะแปลกใจอยู่บ้างเพราะเขาไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าตัวเองเป็นคนนอนดิ้น
   
        “ไม่เป็นไร ว่าแต่นอนตักไหม”
   
       “เดี๋ยวพี่ก็เมื่อย นอนแบบนี้ดีกว่า” ว่าแล้วปานตะวันก็ไถลตัวลงนอนราบกับเบาะ ซุกหน้าลงกับหมอนเตรียมหลับ ราเมศเงยหน้าขึ้นมองสมาชิกที่เหลือก็พบว่าสลบไสลกันไปถ้วนหน้าเขาจึงเอนตัวนอนลงบ้าง ชายหนุ่มพลิกตัวตะแคงข้าง ใช้แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะส่วนมืออีกข้างก็ลูบผมปานตะวันเล่น เจ้าเหมียวครางในลำคออย่างพึงพอใจ
   
       “พี่เมศก็นอนด้วยสิ”
   
       “อืม”
   
        แสงแดดอุ่นส่องลอดช่องว่างของใบไม้ทะลุผ่านเข้ามาในห้องนั่งเล่น ก่อเกิดลวดลายสวยงามบนพื้น ราเมศหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางขยับไปนอนชิดร่างเล็กข้างกายแล้วหลับไปท่ามกลางช่วงเวลาอันสงบสุข
   
        ตอนสี่โมงเย็นแสงแดดข้างนอกก็เริ่มอ่อนแรงลงแล้ว ท้องฟ้าเริ่มถูกเจือด้วยสีชมพูละสีส้ม ปานตะวันลืมตาตื่นขึ้นมาบนเบาะหน้าทีวีเช่นเดิมแต่เพิ่มเติมคือมีผ้านวมหนานุ่มคลุมตัวเขาไว้ พอเหลียวมองไปรอบๆ ก็พบคุณพ่อ หนูเจีย และพี่มิ้นต์ที่ยังหลับอยู่ ส่วนพี่เมศกับคุณแม่หายไปไหนก็ไม่รู้
   
       ชายหนุ่มโซเซลุกไปเข้าห้องน้ำ เพราะนอนนานเกินไปทำให้รู้สึกมึนหัว ตอนที่ออกมาจมูกพลันได้กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้ง ปานตะวันทำจมูกฟุดฟิดตามไปจนถึงในครัวแล้วก็พบคนที่ตามหายืนอยู่ข้างมารดาคอยช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง
   
        ที่กรุงเทพฯครัวจะเป็นอาณาเขตของพี่เมศ แต่ดูเหมือนว่าที่นี่คุณพ่อครัวใหญ่จะลดสถานะลงเหลือแค่ลูกมือสินะ
   
        “ทำอะไรกันอยู่ครับ กลิ่นหอมเชียว” ปานตะวันชะโงกหน้าเข้าไปในครัว เขาเห็นซุปน่องไก่เดือดปุดอยู่ในหม้อ ปลาหมึกชุบแป้งทอดของโปรดหนูเจียวางอยู่ข้างๆ จานใส่ทอดมันกุ้ง นอกจากนี้ปานตะวันยังเห็นจานไข่ม้วนและจานหมูผัดขิงอีกด้วย
   
        คุณราตรีกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของหวานที่ดูแล้วคงเป็นขนมเค้ก ส่วนราเมศก็กำลังสาละวนอยู่กับการทอดเฟรนช์ฟราย ข้างๆ เขามีจานใส่น่องไก่ทอดและไส้กรอกทอดอยู่ด้วย
   
       “มีอะไรให้ตะวันช่วยไหมครับ”
   
       “ช่วยรอกินเฉยๆ” ราเมศพูดหน้าตายปานตะวันเลยส่งค้อนวงเบ้อเริ่มให้ ส่วนคุณราตรีก็เอ่ยว่า “เมศอย่าแกล้งน้อง ไม่เป็นไรหรอกค่ะตะวัน เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ” ประโยคหลังเธอหันมาพูดกับปานตะวัน ลูกชายคนใหม่เลยเข้าไปคลอเคลียเอาใจทันที
   
       คุณราตรีหัวเราะกับท่าทางช่างประจบของชายหนุ่ม ท่าทางมีความสุขจนลูกชายแท้ๆ อดแซวไม่ได้ว่า
   
       “คุณแม่ได้ลูกรักคนใหม่แล้วใช่ไหมครับ”
   
       “แน่นอนค่ะ ตะวันไม่ต้องกลัวนะลูก ถ้าพี่เขาทำอะไรเรามาบอกแม่ แม่จัดการให้”
   
       “พี่เมศแกล้งผมตลอดเวลาเลยครับ”
   
       ในเมื่อมีแบ็กอัพแข็งแกร่งแล้วเราก็ต้องรีบโกยผลประโยชน์ ปานตะวันฟ้องคุณราตรีจนหมดเปลือก บางเรื่องมีแอบใส่สีตีไข่เพิ่มเล็กน้อย ส่วนคนตกเป็นจำเลยก็ทำตาดุใส่แล้วใส่อีกแต่ปานตะวันก็ยังคงเดินหน้าฟ้องมารดาของเขาต่อไป ราเมศที่ทำอะไรไม่ได้ก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันได้แต่นึกคาดโทษอีกฝ่ายในใจ
   
       อย่าคิดว่ามีแม่พี่สนับสนุนแล้วจะรอดไปได้นะตะวัน!
   
       ราเมศขยับปากเป็นคำว่า ‘คืนนี้นายตายแน่’
   
         ส่วนปานตะวันก็เลิกคิ้วสูง แลบลิ้นกลับมาให้ ‘จ้างให้ก็ไม่กลัว’
   
        หึ...จ้างให้ก็ไม่กลัวงั้นเหรอ ได้ เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน
   
        มื้อเย็นของบ้านเสร็จตอนสองทุ่ม บนโต๊ะอาหารเรียงรายด้วยของคาวของหวานสารพัดจนปานตะวันนึกสงสัยว่าสมาชิกหกคนรอบโต๊ะจะช่วยกันกินจนมันหมดได้หรือเปล่า ระหว่างทานอาหารคุณราตรีก็เดินพลิ้วกายไปเปิดเพลงเบาๆ คลอเพื่อช่วยเสริมบรรยากาศ
   
        “หนูเจีย กินนี่สิครับ ปลาหมึกชุบแป้งทอดที่หนูชอบไง” ปานตะวันตักกับข้าวให้หลาน เจ้าตัวเล็กใครตักอะไรให้ก็กินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย หนูเจียนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างราเมศกับปานตะวันซึ่งสลับกันตักอาหารและเช็ดปากให้หลาน ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนจึงกลายเป็นภาพคล้ายครอบครัวพ่อแม่ลูกไม่มีผิด
   
        บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่อนคลายและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ปานตะวันไม่ได้นั่งกินข้าวกับครอบครัว ลึกๆ ในใจเขาอดรู้สึกอิจฉาราเมศไม่ได้ที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์พร้อมขนาดนี้ แต่ความอิจฉาก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อทุกคนหันมายิ้มให้และพูดคุยกับเขาด้วยท่าทางเป็นกันเอง ยอมรับเขาและหลานชายให้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้

        ปานตะวันตระหนักได้ตอนนั้นว่าทุกคนบนโต๊ะอาหารนี้...นับเขาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกครอบครัวไปแล้ว

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 07-07-2017 19:26:05
        “ฮ้า อิ่มแปล้เลย” พี่มิ้นต์ร้องขึ้นหลังจัดการขนมเค้กชิ้นสุดท้ายหมด หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางหมดแรง “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามิ้นต์จะกินเยอะขนาดนั้น”
   
        “อืม พี่ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน”
   
        “มิ้นต์เป็นเด็กวัยกำลังโตนี่ ต้องการพลังงานเยอะๆ”
   
        “ครับๆ”
   
        ปานตะวันหัวเราะ ขนาดเขาไม่ได้กินอะไรเยอะแยะแต่แค่มองมิ้นต์กินก็รู้สึกอิ่มแล้ว แถวกับข้าวที่เต็มโต๊ะในตอนแรกกินไปกินมาก็หมดเกลี้ยง
   
        ปานตะวันอาสาล้างจานเช่นเคยแต่หนนี้มีราเมศมาช่วยด้วยจึงเสร็จไว ส่วนหนูเจียตัวน้อยคืนนี้ก็ถูกคุณย่าหลอกล่อไปนอนกอดที่ห้องด้วยของเล่นอีกแล้ว  ในห้องนอนของพี่เมศเลยเหลือกันแค่สองคนเช่นเดิม
   
        “ตะวันทำอะไร” ราเมศเลิกคิ้วเมื่อออกจากห้องน้ำแล้วพบคนรักเอาหมอนกับผ้าห่มผืนเล็กไปวางที่โซฟาตัวยาว
   
        “คืนนี้ตะวันจะย้ายมานอนนี่”
   
        “ทำไม” ราเมศขมวดคิ้ว ชายหนุ่มตรงไปหยิบหมอนกับผ้าห่มไปเก็บคืนที่อย่างรวดเร็ว เรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้ปานตะวันมานอนโซฟากัน
   
        “ก็พี่เมศบอกว่าตะวันนอนดิ้น ขืนนอนด้วยกันตะวันอาจจะเอาขาพาดหน้าพี่อีกก็ได้”
   
       “ก็พาดมา ไม่ถือ”
   
       “ตลก” คนผิวแทนยักไหล่ ชายหนุ่มรุนหลังคนรักกลับไปที่เตียง “นอนด้วยกันนี่แหละ บนโซฟาสบายซะที่ไหน”
   
       “แต่...”
   
       “ไม่มีแต่” ราเมศลากปานตะวันเข้ามาในอ้อมกอดจนได้ เขาเอนตัวนอนหงายลงทั้งแบบนั้น “ตะวันไปนอนโซฟาแล้วพี่จะกอดใคร”
   
       “หมอนข้างไง”
   
       “แฟนก็อยู่แต่ให้กอดหมอนข้างเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว”
   
       เจ้าของดวงหน้าคมคายย่นคิ้ว ปานตะวันเห็นดังนั้นเลยยื่นมือออกไปช่วยนวดตรงหัวคิ้วให้คลายออกจากกัน “อย่าทำหน้ายุ่งสิครับ รู้แล้ว นอนเตียงก็ได้ โอเคหรือยังครับ”
   
       “อืม”
   
       ราเมศหอมคนรัก แปลกดี สบู่ก็ยี่ห้อเดียวกันแต่ทำไมผิวของปานตะวันถึงได้มีกลิ่นหอมที่ต่างออกไปนะ เป็นกลิ่นหอมสะอาดที่ทำให้รู้สึกสงบแล้วก็ผ่อนคลาย
   
       กลิ่นเหมือน...อืม...จะว่ายังไงดี กลิ่นไอแดด? น่าจะประมาณนี้ล่ะมั้ง
   
      เป็นกลิ่นที่ทำให้นึกถึงวันที่ท้องฟ้าสดใส
   
        “คืนนี้อยู่เคาต์ดาวน์กัน”
   
        “ได้สิครับ” ยังไงก็นอนตุนมาจากตอนกลางวันแล้วตอนนี้ก็เลยยังไม่ง่วง ให้ถ่างตารอข้ามปีด้วยกันก็ไหวอยู่
   
        นาฬิกาดิจิตอลที่หัวเตียงบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบห้า อีกแค่ห้านาทีก็จะล่วงสู่ปีใหม่ ราเมศกับปานตะวันย้ายออกมานั่งรับลมหนาวที่ระเบียง ทั้งคู่มีผ้านวมผืนใหญ่คลุมรอบกาย ปานตะวันไม่หนาวมากนักเพราะนอกจากผ้านวมแล้วเขายังมีอ้อมแขนอุ่นๆ ของราเมศอยู่ด้วย
   
        “ตะวัน”
   
         5
   
        “ครับ”
   
        4   
   
         ราเมศเกยคางลงบนศีรษะทุย นึกดีใจที่ตอนนี้มีคนตัวเล็กคนนี้อยู่ในอ้อมแขน เขาได้ยินเสียงเพลงแว่วมาจากด้านที่เป็นรีสอร์ต
   
       “ปีหน้าก็มาฉลองด้วยกันอีกนะ”
   
       3
   
       “ได้สิครับ”
   
       2
   
       “ปีหน้าแล้วก็ปีต่อๆ ไปด้วยนะ”
   
       1
   
        “แน่นอนอยู่แล้ว”
   
        ปัง ปัง ปัง
   
        ตอนที่ตัวเลขดิจิตอลสีแดงเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็พลันสว่างไสวด้วยดอกไม้ไฟหลากสี พลุจำนวนมากถูกยิงขึ้นฟ้า ฉาบความมืดมิดด้วยสีสันพร่างพราย
   
       “สุขสันต์วันปีใหม่นะปานตะวัน”
   
       “สุขสันต์วันเกิดครับพี่เมศ”

   
        คนน่ารักยิ้มจนตาหยี “ดีใจแฮะ ตะวันเป็นคนแรกที่แฮปปี้เบิร์ดเดย์พี่นะเนี่ย”
   
        ราเมศหัวเราะ แสงจากดอกไม้ไฟทำให้ดวงหน้าอ่อนเยาว์สว่างไสว ราเมศรั้งอีกฝ่ายเข้ามาชิดและเป็นปานตะวันที่โน้มลำคอเขาลงมาจูบ
   
        ชายหนุ่มตวัดอุ้มลูกแมวขึ้นมา ก้าวยาวๆ ไปที่เตียงแล้วก็วางอีกฝ่ายลงบนฟูกนิ่ม
   
        “ขอของขวัญวันเกิดได้ไหม” ชายหนุ่มกระซิบ ริมฝีปากยังคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง ปานตะวันหรี่ตาลงด้วยท่าทางเหมือนแมวเจ้าเล่ห์
   
       “ให้ไปแล้วนี่ครับ ไหนบอกว่าขอของขวัญวันเกิดเป็นให้มาที่นี่ด้วยกันไง”
   
       “งั้นเปลี่ยนใหม่ เป็นของขวัญปีใหม่แล้วกัน”
   
       คนรักของเขาทำเสียงหึขึ้นจมูก “เจ้าเล่ห์จริงๆ”
   
       “ไม่ได้เหรอ”
   
       ปลายนิ้วเรียวของตะวันแตะไล้ไปตามสันกรามเขาจนมาหยุดที่ริมฝีปาก ตอนนี้พวกเขาห่างกันเพียงแค่ลมหายใจและหนึ่งปลายนิ้ว
   
       ราเมศจูบลงบนนิ้วชี้ของอีกฝ่ายขณะที่มือเลื่อนเข้าไปอยู่ตรงเอวของคนรัก
   
       ดวงตาของปานตะวันพราวระยับเป็นประกายซุกซน
   
       “แล้วใครบอกว่าไม่ได้?”
   
       คำพูดนั้นเหมือนเป็นสัญญาณการเริ่มต้น ปลายนิ้วที่แตะอยู่ที่ริมฝีปากราเมศถูกดึงกลับไปและพวกเขาก็เริ่มต้นจูบกันอีกครั้ง จูบร้อนแรงราวกับจะไม่มีใครยอมใคร
   
      ราเมศค้นพบว่าคนรักของเขาสามารถจูบไปด้วยปลดกระดุมชุดนอนหลุดไปทั้งแผงได้ในเวลาเดียวกัน แถมยังทำได้ไวเสียด้วย มือก็เบาจนไม่รู้สึกตัว
   
      “ร้ายนักนะ”
   
       “ว่าแต่คนอื่น”
   
       ปานตะวันสวนกลับเมื่อพบว่าตอนนี้กระดุมชุดนอนของตัวเองก็หลุดไปหมดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ราเมศโยนเสื้อนอนของตัวเองลงไปกองที่พื้น เผยร่างกายท่อนบนที่ตึงแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อสมส่วน
   
       ปานตะวันผิวปากหวือ
   
       หุ่นดีเป็นบ้า!
   
       ตัวเขาเองก็ใช่จะผอมแห้งเป็นไม้เสียบลูกชิ้นหรอกนะ กล้ามเนื้อก็พอมีแต่ไม่ได้มากเท่าคนตรงหน้า
   
       “มานี่” ราเมศดึงคนผมน้ำตาลขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก ปานตะวันไม่ยอมถอดเสื้อออก หัวไหล่มนและแผ่นอกขาวเนียนเลยปรากฏวับแวมยั่วยวนสายตาให้คนมองรู้สึกถึงเลือดลมร้อนฉีดพล่านไปทั่วร่าง
   
       ร้ายกาจจริงๆ
   
       เจ้าลูกแมวขี้ยั่วของเขา
   
       คนตัวโตประทับริมฝีปากลงที่แก้มขาวไล่ไปจนถึงซอกคอ เขาขบจูบจนผิวขาวถูกประดับด้วยรอยสีแดงอันแสดงถึงความเป็นเจ้าของ
   
       “จั๊กจี้” ปานตะวันย่นคอหนีแต่ราเมศไม่ยอม ฟันคมขบกัดลงที่ลาดไหล่จนขึ้นรอย ปานตะวันสะดุ้งเฮือก ปลายเท้าจิกลงกับผ้าปูที่นอนทันที
   
       เจ็บ...แต่มันก็กระตุ้นสัญชาตญาณดิบในร่างได้เป็นอย่างดี
   
       ปลายลิ้นอุ่นลากไล้วนรอบรอยฟันราวกับจะปลอบประโลม
   
       “เจ็บนะครับ”
   
       “ขอโทษ เห็นแล้วมันอดไม่ได้น่ะ หมั่นเขี้ยว”
   
       ราเมศขยี้ผมคนรักด้วยความเอ็นดู ครั้งต่อไปเขาเลยจูบเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความอ่อนโยนมากขึ้น สัมผัสแผ่วเบาราวขนนกที่วนเวียนตรงยอดอกทำให้ปานตะวันหายใจถี่รัว ริมฝีปากอุ่นและปลายลิ้นปลุกปั่นให้สติของเขาหลุดลอยไปเรื่อยๆ อารมณ์ความรู้สึกก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยจนเริ่มอึดอัด
   
      “ฮื้อ อืม พี่เมศ ไม่เอา”
   
      ริมฝีปากร้อนลากผ่านผิวเนื้อไปจนถึงสะดือ ต่ำลงไป...
   
      “ไม่...ไม่เอา”
   
      แต่คำว่าไม่เอาในเวลาแบบนี้ก็เท่ากับดีมากนั่นแหละ
   
      ปานตะวันกำผ้าห่มจนยับยู่ยี่ น้ำตาซึมเมื่อความรู้สึกมากมายปั่นป่วนอยู่ในร่าง เสียงครางหลุดรอดออกมาแม้จะพยายามกลั้นไว้แค่ไหน
   
        “ให้ตาย รู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่”
   
       สีหน้าแดงก่ำและดวงตาฉ่ำปรอยหวานเชื่อมแบบนี้ ริมฝีปากสีสดที่ร้องเรียกชื่อเขาสลับกับครวญแผ่ว
   
       ปานตะวันในสภาพนี้ จะไม่มีใครได้เห็นนอกจากเขา
   
       เขา...แค่คนเดียว
   
       “พี่เมศ อื้อ!” เด็กน้อยของราเมศสะบัดหน้า พยายามกระถดตัวหนีเมื่อปลายนิ้วชุ่มด้วยสารหล่อลื่นแทรกเร้นเข้าไปในร่าง ราเมศจูบปาก จูบแก้มปลอบประโลม
   
       “ใจเย็นๆ ผ่อนคลายตะวัน เด็กดี” คำว่าใจเย็นนั้นเป็นการเตือนตัวเองไปในตัว ตอนนี้ความต้องการของเขาขึงเครียดแต่ราเมศก็ต้องอดทน ไม่อย่างนั้นเด็กน้อยของเขาจะเจ็บมากทีเดียว
   
       ช่องทางคับแคบฝืดเคือง ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าคนใต้ร่างจะปรับตัวได้
   
        “ไหวไหม ถ้าไม่ไหวพี่หยุดให้ได้นะ”
   
       “ตะวันไหว”
   
       “แน่ใจนะ หลังจากนี้พี่หยุดไม่ได้แล้วนะครับ”
   
       “อื้อ” คนตัวเล็กพยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย แต่พอเห็นราเมศยังมีสีหน้าลังเลปานตะวันก็ตัดสินใจพลิกขึ้นคร่อมอีกฝ่ายทันที
   
       “บอกว่าไหวก็ไหวสิครับ อึก”
   
       ความร้อนผ่าวที่แทรกซึมเข้ามาในร่างทำให้เขาเจ็บจนน้ำตาซึม ปานตะวันกอดราเมศเอาไว้แน่น ปลายเล็บจิกลากเป็นทางที่แผ่นหลังเพื่อระบายความเจ็บระคนเสียวซ่าน
   
       “ตะวัน” เสียงทุ้มคำรามในลำคอเมื่อคนรักหยัดกายขึ้นแล้วก็ทิ้งตัวลงมาเป็นจังหวะเนิบช้า ความคับแคบบีบรัดแน่น ปานตะวันรวบจับข้อมือเขาไว้ เอียงหน้าส่งยิ้มให้อย่างน่ารัก ยังคงขยับตัวเนิบช้าทั้งที่รู้ว่าเขาแทบไม่ไหวแล้ว!
   
      เด็กนี่จงใจจะยั่วใช่ไหม!
   
       สายตาของปานตะวันที่มองตรงมาเปลี่ยนไป มันแทนที่ด้วยความร้อนแรง หลงใหล รักใคร่ ลูกแมวช่างยั่วเลียริมฝีปากเขาเบาๆ
   
       “ถ้าพี่เมศไม่ไหวก็นั่งเฉยๆ เดี๋ยวตะวันจัดการเอง”
   
       โดนดูถูกขนาดนี้ถามว่าราเมศจะยอมไหม?
   
       แน่นอนว่าไม่
   
       ปานตะวันควรจะได้รู้ว่าอย่าได้บังอาจมาท้าทายเขา โดยเฉพาะกับเรื่องแบบนี้
   
       “อึก!” ปานตะวันร้องออกมาเมื่อเขาจับเอวอีกฝ่ายไว้แล้วก็เหวี่ยงลงกับเตียง พลิกกายกับมาขึ้นคร่อมเพื่อเป็นฝ่ายคุมเกม นัยน์ตาของราเมศวาววับราวเสือร้ายเตรียมตะครุบเหยื่อ
   
      แต่เหยื่อตัวน้อยตอนนี้ไม่ใช่ลูกแมวเหมือนปกติแต่กลับกลายเป็นจิ้งจอกตัวร้ายที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
   
       “นายยั่วพี่เองนะ”
   
      เรียวขายาวของปานตะวันเกี่ยวกระหวัดเข้ากับเอวสอบอย่างรู้งาน เจ้าตัวดึงราเมศให้ก้มมาใกล้ๆ แล้วจูบลงเบาๆ ที่ใบหูของคนรักก่อนกระซิบเสียงหวาน
   
       “นิดหน่อยเองครับ”
   
       “ไอ้แมวแสบเอ๊ย!”
   
       พวกเขาหยุดบทสนทนาไว้เท่านั้น สมาธิทั้งหมดถูกทุ่มให้กับสัมผัสทางกาย อุณหภูมิภายในห้องไต่สูงตามบทรักร้อนแรง ผิวเนื้อเสียดสีกันและกัน กลิ่นอายหอมหวานจากกายคนรักเจือในอณูอากาศ ล่อหลอกในมัวเมาในรสชาติความรักมากขึ้น
   
       ชื่อที่ถูกกระซิบเรียกด้วยน้ำเสียงยั่วยวนแหบพร่า ปลายเล็บที่จิกลงที่แผ่นหลัง ผ้าปูที่นอนยับย่นไปตามการขยับไหวของร่างกายที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
   
        จวบจนกระทั่งบทรักดำเนินถึงปลายทาง ริมฝีปากพวกเขาจึงวนมาพบกันอีกครั้ง ถ่ายทอดความรู้สึกรักใคร่ที่เอ่อล้นให้กันและกัน
   
        “พี่เมศ...อึก...รักนะ รักมากๆ เลย”
   
        น้ำเสียงหวานที่พร่ำบอกรักอยู่ข้างหูทำให้ร่างเมศออกแรงรั้งคนตรงหน้าให้เขามาแนบกายชิดกว่าเดิม ชายหนุ่มหอบหายใจ ทิ้งตัวลงทาบทับคนรักก่อนจะหอมขมับชื้นเหงื่อแผ่วเบา
   
        “ครับ รักเหมือนกัน”
   
       นัยน์ตาสองคู่สบกัน ความอ่อนหวาน อ่อนโยน ห่วงใย รัก ความรู้สึกนับร้อยพันถูกส่งผ่านทางสายตา แม้ไม่มีคำพูดแต่ก็รับรู้ได้ ความรู้สึกปรารถนาการถูกเติมเต็มเกิดขึ้นอีกครั้ง อยากกอด อยากถูกกอด อยากรัก อยากได้รับความรัก ต้องการอยู่ในอ้อมแขนของคนตรงหน้าและต้องการจะโอบคนที่รักเอาไว้ อยากให้ร่างกายและหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกันราวกับว่าเสพติดการสัมผัสกันและกันไปเสียแล้ว
   
       ความรู้สึกนั้นรุนแรงมากพอจะดึงให้คนทั้งคู่เคลื่อนกายเข้าหากันอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง
   
        ไปตลอดค่ำคืนอันยาวนาน
   
        เช้าวันต่อมาปานตะวันลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงเพียงลำพัง ภายในห้องค่อนข้างมืดเนื่องจากผ้าม่านถูกรูดปิดไว้ เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเหลือบมองพื้นที่ข้างกายที่บัดนี้ว่างเปล่า เตียงฝั่งนั้นเย็นชืด ราเมศคงลุกไปนานแล้ว
   
         ชายหนุ่มคว้านาฬิกามาดูก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงตรง นี่เขานอนนานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
   
        “โอ๊ย”
   
        ร่างบนเตียงหลุดเสียงร้องเมื่อความเจ็บแล่นปราดไปทั้งช่วงล่าง ให้ตาย ร่างกายเขาเมื่อยขบไปหมด ขยับทีก็เจ็บจนน้ำตาเล็ด แถมเสียงยังแหบอีก ถ้ารู้ว่าตื่นมาแล้วจะเป็นแบบนี้เขาพอตั้งแต่รอบแรกดีกว่า
   
        จะว่าไปเมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหนนะ จำไม่ได้เลย
   
        ชายหนุ่มฝืนประคองตัวเองลงจากเตียงจนได้ ปานตะวันก้าวช้าๆ ไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ตอนที่กำลังล้างหน้าภาพสะท้อนจากกระจกเงาบานใหญ่ทำให้เขาถึงกับชะงัก
   
        ผิวเนื้อตั้งแต่ช่วงลำคอลงไปจนถึงบริเวณสะดือปรากฏรอยจูบแล้วก็รอยฟันเต็มไปหมด!
   
        “บ้าเอ๊ย” ปานตะวันหน้าร้อนจนแทบไหม้ เมื่อคืนมันก็ความผิดเขาด้วยกึ่งหนึ่งที่ห้ามอีกคนไม่ให้ทำรอยที่คอไม่ทัน บนลำตัวก็พอจะใส่เสื้อปิดได้อยู่ แต่ที่คอเนี่ยจะทำยังไง! ให้ใส่ผ้าพันคอเดินในบ้านหรือไง แล้วรอยนี่อีก ทำอะไรเยอะแยะ ขนาดนี้แล้วจับเขากินไปทั้งตัวเลยไหม!
   
        ปานตะวันอาบน้ำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเตรียมตัวไปคิดบัญชีกับราเมศ แต่พอออกจากห้องน้ำเขาก็เจอคนที่บ่นอยู่ในใจนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาในห้อง
   
       “ตะวัน ลุกไหวด้วยเหรอ”
   
        คนตัวโตผุดลุกมาประคองเขาไว้ทันที ปานตะวันที่พันผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาแยกเขี้ยวขู่แล้วก็ชี้นิ้วไปตามจ้ำแดงบนลำคอและแผ่นอก “พี่เมศ ดู! ทำอะไรลงไปเนี่ย”
   
       ยิ่งมายืนกลางแสงไฟแบบนี้รอยจูบก็ยิ่งเด่นชัด
   
       ราเมศหัวเราะเจื่อนๆ พลางเขี่ยปลายจมูกตัวเองไปด้วย เขาเบือนหน้าไปอีกทางขณะตอบแต่ก็ซ่อนใบหูแดงจัดเพราะความเขินอายไว้ไม่พ้น
   
       “ก็เมื่อคืนนายน่ารักมากนี่นา”
   
       “ขี้โกงนี่ ผมมีรอยเต็มตัวแต่พี่ไม่มีรอยอะไรเลย” ไม่พูดเปล่าแต่ยังตรงไปเลิกเสื้ออีกฝ่ายขึ้นอีกต่างหาก แผ่นอกและหน้าท้องตึงแน่นสีน้ำผึ้งยังคงเรียบเนียนไร้ร่องรอย
   
        “นายแน่ใจ?”
   
       “ก็เห็นอยู่เนี่ย”
   
        “แล้วอยากทำรอยไหมล่ะ เดี๋ยวให้กัดก็ได้นะ”
   
        สายตากรุ้มกริ่มทำให้ปานตะวันรีบก้าวถอยหลังด้วยแววตาแตกตื่น “บ้า ไม่เอาแล้ว ตะวันเจ็บนะ”
   
        “ก็เห็นบ่นอยากทำรอย”
   
        “ไม่ใช่ตอนนี้โว้ย”
   
        “บอกว่าอย่าขึ้นวะขึ้นโว้ยกับพี่ไงปานตะวัน” คนตัวโตขมวดคิ้วดุ ก้าวไม่กี่ก้าวก็เข้าประชิดตัวร่างเล็กได้ สีหน้าแตกตื่นกึ่งอยากร้องไห้ของปานตะวันน่ารักมาก
   
       น่ารักจนอยากจะรังแกให้ร้องไห้เลย...แบบเมื่อคืน
   
       “พี่เมศ ตะวันขอโทษ ฮื้อ แตะตรงไหนเนี่ย— อืม”
   
      เสียงพูดขาดหายเมื่อราเมศจูบหนักๆ ลงที่ริมฝีปาก ปลายลิ้นช่ำชองทำให้คนที่ต่อต้านอยู่ผ่อนคลายได้ไม่ยาก ฝ่ามืออุ่นของเขาคงร้อนจัดเมื่ออยู่บนผิวกายเย็นเฉียบเพราะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาของปานตะวัน เจ้าตัวเล็กสั่นสะท้านแล้วก็เข่าอ่อน เหลวเป็นขี้ผึ้งลนไฟอยู่ตรงหน้า
   
      “จริงๆ นายก็ทำรอยไว้เยอะอยู่นะ” ปานตะวันที่ถูกอุ้มกลับมาที่เตียงมองคนรักด้วยแววตาไม่เข้าใจ ราเมศจึงหันหลังให้ เผยให้เห็นรอยเล็บจิก รอยข่วนแดงเป็นทางยาว แถมยังมีรอยฟันอยู่ต่ำลงไปจากช่วงไหล่เล็กน้อยด้วย
   
      “งั้น...ตะวันก็...ก็ไม่อยากทำแล้ว”
   
       “นี่มันรอยด้านหลังไง เดี๋ยวให้ทำด้านหน้าด้วย”
   
        โว้ย ใครก็ได้ช่วยปิดสวิตช์ 18+ ของพี่เมศที ไอ้คนนิ่งขรึมคนเดิมหายไปไหนแล้วหมาป่าที่จ้องจะจับเขากินตลอดเวลานี่เป็นใคร
   
       ปานตะวันนึกอยากร้องไห้ขึ้นมาครามครัน
   
       “ขอเสียงเซ็กซี่แบบเมื่อคืนนะตะวัน เสียงหลังจากที่นาย ‘ท้าทาย’ พี่น่ะ”
   
       ไอ้คนนิสัยไม่ดี ไอ้คนเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่ปล่อยวาง!
   
       ตอนที่ราเมศพูดประโยคนั้นพร้อมก้มลงจูบทำรอยที่ซอกขาด้านใน ปานตะวันก็สาบานกับตัวเองไว้ว่าเขาจะไม่แกล้งราเมศอีกแล้ว
   
       ไม่คุ้มเลยให้ตาย ฮือ

***************************************************

กรี๊ดดดดด นี่เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน เอ๊ย ไม่ช่ายยย 55555555
พี่เมศตอนนี้โคตรของความหลอกกินเด็ก พี่เมศมันร้ายยยย ทาสแมวนิ่งๆ คูลๆ อะไรกัน ภาพลวงตาค่ะ!
ปานตะวันที่ปากไวชอบไปท้าเขาก็คงได้รู้ฤทธิ์พี่เมศแล้วในที่สุด ฮาาาาา
เอาจริงๆ ตอนนี้เขียนเสร็จนานแล้วค่ะ แต่ว่าดูฤกษ์อยู่ รอเอาลงวันนี้ ศุกร์หรรษาาา วันทานาบาตะ (>w<)
ขอให้มีความสุขกับการเติมน้ำตาลให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยนะคะ  :really2: กักตุนกันไว้เยอะๆ
(ยิ้มหวาน) แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรสามารถโปรยปรายความรักและความคิดเห็นของท่านไว้ได้เลย!
แชร์ความคิดเห็นได้เต็มที่เลยนะคะ  :-[

ปล. ทุกคนสามารถเม้าท์มอย หวีดร้อง และคุยกับเรา(ได้ทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์)
รวมถึงส่งแฟนอาร์ต (ถ้ามีใครใจดีวาดให้ ;w;) ให้เราได้ที่เพจ >>AzureDream<< นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: tensita ที่ 07-07-2017 20:12:44
ยังอ่านไม่จบหรอกแต่จะเม้นก่อน เฟิร์สคอมเมนต์ :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: tensita ที่ 07-07-2017 20:29:13
จบแล้ววหมาวถึงจบตอนนะ :mew3: น่ารักดี เหมือนเรื่องนี้นายเอกจะแสบ ร้ายใช่เล่นเลยนะ

55555//ไปอ่านตอนแรกแย้วว :katai5:

พระเอกก็อืมม พระเอกไหม เด่วมาเม้นอีกที :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-07-2017 20:31:57
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 07-07-2017 20:39:59
 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-07-2017 21:19:03
  :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-07-2017 21:23:44
ง่ะ  หาผ้าซับเลือดก่อน  อิอิ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 07-07-2017 21:29:46
ร้ายกันทั้งคู่เลยว่างั้น
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-07-2017 21:39:19
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 07-07-2017 21:49:25
 :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 07-07-2017 21:51:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 07-07-2017 22:21:05
 :-[ :-[ :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-07-2017 23:25:53
 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 07-07-2017 23:30:45
 :o8: :-[ :jul1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 07-07-2017 23:43:15
ตะวันแมวยั่ววว เจอพี่เมศจัดหนักเลย 55555
อ่านแล้วเขินมากเลยยยยย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 08-07-2017 00:03:40
เรียบร้อยยยย โรงเรียน ทาส
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-07-2017 01:17:42
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-07-2017 01:35:21
ตะวันน่ารักกกกกกกก  :z2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-07-2017 02:07:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-07-2017 10:32:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 08-07-2017 11:27:03
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๑ Midnight (๗/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-07-2017 00:11:30
ว้ายยยย ราเมศได้ทั้งของขวัญวันเกิด กับของขวัญปีใหม่ แถมเกินคุ้มมาก จริงๆ

ปานตะวันน่ารัก แถมแอบเกรียนด้วย แต่พอมายั่วพี่แล้ว ก็สมใจพี่เลยทีเดียว

หนูเจียน่ารักจัง เรื่องกินบ่หยั่น น่าจับฟัด
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 09-07-2017 19:15:52
ปานตะวัน
บทที่๒๒
จดหมายจากใครคนนั้น


        “น้าตะวันนน ลูกนี้แด๊งแดง หนูเจียกินเลยได้มั้ยคับ”
   
        เสียงร้องอย่าร่าเริงดังมาจากเด็กชายผิวขาวแก้มยุ้ยที่ถูกคุณย่าราตรีจับให้ใส่ชุดเด็กชาวเขาสีเข้ม หนูเจียที่ตอนนี้หอบตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยลูกสตรอเบอร์รี่สีแดงสดพอๆ กับพวงแก้มนิ่มของตนอยู่ชูผลไม้ลูกหนึ่งที่ดูอวบอิ่มน่ากินขึ้นมาให้ปานตะวันเห็นแล้วก็ร้องถาม
   
        ปานตะวันหันไปมองพี่เมศเป็นเชิงขอความเห็น พอเจ้าตัวพยักหน้าให้เขาก็หันมายิ้มให้หลานชายแล้วพูดว่า “กินได้เลยครับ แต่กินช้าๆ นะ หนูเจียจะยัดสตรอเบอร์รี่เข้าปากทั้งลูกเหมือนตอนหนูกินแอปเปิ้ลเมื่อวานไม่ได้นะครับ เดี๋ยวจะติดคอ ค่อยๆ กิน ค่อยๆ เคี้ยว เข้าใจไหม”
   
       ปานตะวันพูดถึงเหตุการณ์ชวนใจหายใจคว่ำบนโต๊ะอาหารเมื่อเย็นวาน ที่เขากับคนอื่นละสายตาจากหนูเจียไปแค่แวบเดียว หนูน้อยก็ยัดแอปเปิ้ลเข้าปากในคำเดียว ถึงจะหั่นมาเรียบร้อยแต่มันก็ใหญ่เกินปากเล็กๆ ของเจียหลินอยู่ดี หนูน้อยสำลักจนหน้าแดง โชคดีที่แอปเปิ้ลไม่ติดคอ หลังเหตุการณ์นั้นเจียหลินเลยโดนราเมศดุเข้าให้ แต่ซึมได้แป็บเดียวก็วิ่งมาง้อมาอ้อนให้คุณน้าหายโกรธแล้ว
   
      “คับ!”
   
       เจียหลินยิ้มจนตาปิดแล้วก็อ้าปากงับสตรอเบอร์รี่ แค่คำแรกเด็กน้อยถึงกับทำตาโต “น้าตะวัน น้าเมศ หวานมากเลย”
   
        สตรอเบอร์รี่ลูกอวบ หวานหอม หนูเจียดูจะชอบมากเพราะกินตุ้ยๆ ไม่หยุด
   
        “ถ้าชอบจะเก็บไปอีกก็ได้นะครับ” ราเมศบอกหลานชาย “เอาไปเท่าที่อยากกินเลย”
   
        “เย้”
   
       ได้ยินประโยคนั้นปานตะวันก็เดินไปเอาศอกถองคนรัก “พ่อบุญทุ่มจริงๆ ไม่กลัวขาดทุนเหรอครับ” ราเมศหัวเราะขณะย่อตัวลงเก็บสตรอเบอร์รี่ตรงหน้า
   
      “หลานตัวแค่นั้น ไร่สตรอเบอร์รี่ของที่บ้านคงไม่ขาดทุนหรอก”
   
       ใช่แล้ว ตอนนี้พวกปานตะวันอยู่ที่ไร่สตรอเบอร์รี่ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการทางบ้านของราเมศ ที่นี่เป็นไร่สตรอเบอร์รี่ที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและเก็บสตรอเบอร์รี่ ด้วยบรรยากาศรอบไร่ตกแต่งอย่างน่ารัก มีมุมให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป มีร้านกาแฟและร้านขนมซึ่งเมนูส่วนใหญ่มีสตรอเบอร์รี่เป็นส่วนประกอบเปิดให้บริการอยู่ไม่ไกลทำให้ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวได้มากมาย
   
        สตรอเบอร์รี่ของที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความสด สะอาด ปลอดภัยไร้สารเคมี ปานตะวันก็ไม่รู้ว่าจริงตามที่เล่าไหมแต่เขารู้ว่ามันอร่อยมาก
   
        “ตะวันอ้าปาก” ร่างโปร่งที่กำลังก้มๆ เงยๆ เด็ดเจ้าผลไม้สีแดงอยู่หันหน้ามาตามเสียงเรียกแล้วก็อ้าปากรับสตรอเบอร์รี่ที่ถูกป้อนให้ถึงปากไปกิน
   
        “อร่อย”
   
        “ถ้าชอบจะเอากลับไปฝากเพื่อนที่กรุงเทพฯก็ได้นะ”
   
        “ได้เหรอครับ งั้นเอาไปฝากหลงกับกันต์ด้วยดีกว่า”
   
        “ยังไม่ต้องรีบเก็บวันนี้หรอก ของฝากเดี๋ยวให้คนงานเอาลงไปส่งให้พรุ่งนี้ก็ได้จะได้สดหน่อย”
   
        “เอางั้นก็ได้ครับ”
   
         พวกเขาเดินเก็บสตรอเบอร์รี่กันอยู่อีกพักใหญ่ปานตะวันก็ลงความเห็นว่าพอดีกับความต้องการแล้ว เมื่อเอาของหนูเจียมาเทรวมด้วยก็ได้เต็มตะกร้าพอดี
   
         “ของหวานวันนี้ต้องมีแต่สตรอเบอร์รี่แหง” พี่มิ้นต์ชะโงกหน้ามาดู เธอไม่ได้ลงมาร่วมวงเก็บผลไม้ด้วยเพราะไปเดินตรวจงานในไร่มา ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ไปนั่งพักในร้านกาแฟ ปล่อยให้ราเมศพาแฟนกับหลานชายไปเที่ยวเล่นตามใจชอบ
   
        “พี่มิ้นต์ไม่ชอบเหรอครับ” ปานตะวันถาม หญิงสาวยักไหล่แล้วก็พูดว่า “เปล่าหรอก แค่ได้กินบ่อยแล้วน่ะ”
   
        “มีกิจการเป็นของตัวเองนี่ดีจังเลยน้า”
   
        เมื่อไม่นานมานี่ปานตะวันเพิ่งได้รู้มาว่าจริงๆ แล้วคนคิดริเริ่มและคุมกิจการเกือบทั้งหมดของครอบครัวคือพี่มิ้นต์ ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ตที่ขยับขยายจนใหญ่โต ร้านกาแฟ หรือแม้แต่ไร่สตรอเบอร์รี่แห่งนี้พี่มิ้นต์ก็เป็นคนดูแลทั้งสิ้น ตอนปานตะวันรู้เขาถึงกับตาโตอ้าปากค้าง
   
        แถมรายได้ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ พอได้ยินจำนวนตัวเลขปานตะวันถึงกับตาถลน
   
        พี่เมศยังแอบกระซิบอีกว่าสิ่งเดียวที่พี่มิ้นต์ต้องการตอนนี้คือ ‘ร้านอาหาร’
   
        หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมพี่ชายตัวเองให้กลับมาเปิดร้านอาหารที่บ้านเกิดแต่พี่เมศก็ยังพอใจจะอยู่ที่กรุงเทพฯต่อไป
   
        “ตะวันชอบไหมล่ะ ถ้าชอบก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เลยสิ เดี๋ยวพาขึ้นไปเก็บสตรอเบอร์รี่ทุกวันเลย”
   
        ปานตะวันหัวเราะแหะๆ ให้กับคำพูดของหญิงสาวผมสั้น พักนี้พี่มิ้นต์ชอบพูดทำนองว่าให้เขาย้ายมาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ซึ่งจุดประสงค์ก็ไม่มีอะไรมากนอกจาก
   
        ‘ถ้าตะวันมาพี่เมศก็ต้องมาด้วยแน่นอน’
   
        มันคือแผนการหลอกล่อพี่ชายกลับบ้านนั่นเอง
   
        ปานตะวันเคยถามอีกฝ่ายว่าทำไมถึงได้อยากให้พี่เมศกลับมาเปิดร้านอาหารให้ถึงขนาดนั้น พี่มิ้นต์ก็อธิบายสั้นๆว่า ‘เพราะพ่อครัวของรีสอร์ตตอนนี้มันห่วย น้องตะวันรู้ไหมว่ารีสอร์ตเราได้สี่ดาวไม่ก็สี่ดาวครึ่งจากผู้เข้าพักมาตลอด แล้วอีกดาวที่หายไปมันไปไหน? ก็มาจากอาหารที่ไม่อร่อยนั่นไง! จะเปลี่ยนออกก็ไม่ได้เพราะไม่มีคนมาแทน ถ้าได้พี่เมศกลับมาทำอาหารให้ เราจะมีรายได้เพิ่มอีกเป็นกอบเป็นกำ!’
   
        ซึ่งพอฟังแล้วก็แอบคิดว่ามีเหตุผลดีแต่ปานตะวันก็ไม่ได้ไปพูดอะไรกับพี่เมศหรอก เขาเคารพการตัดสินใจของคนรัก ถ้าพี่เมศอยากกลับเดี๋ยวก็กลับมาเองนั่นล่ะ
   
        ค่ำคืนสุดท้ายก่อนจะกลับกรุงเทพฯ คุณราตรีเนรมิตขนมหวานหลากหลายชนิดที่ล้วนแล้วแต่มีสตรอเบอร์รี่ที่เก็บมาวันนี้เป็นส่วนผสมไม่ว่าจะเป็นเค้กสตรอเบอร์รี่ พายสตรอเบอร์รี่และอื่นๆ เพื่อเอาใจหลานชายโดยเฉพาะ ฝีมือทำขนมของคุณนายประจำบ้านดีถึงขนาดที่ว่าปานตะวันที่กินอาหารคาวเข้าไปเยอะแล้วก็ยังกินขนมต่อได้อีกจนเกลี้ยงจาน
   
       พี่เมศยังพูดกับเขาเลยว่าตอนจูบกันวันนี้ในปากของเขามีแต่รสหวานของสตรอเบอร์รี่
   
        หลังทานอาหารเสร็จคุณแม่กับคุณพ่อก็ขอตัวกลับเข้าห้อง หนูเจียก็ตามไปด้วย หลานชายติดคุณปู่คุณย่าของเขามาก ในห้องนั่งเล่นเหลือจึงเหลือกันแค่สามคน จู่ๆ พี่มิ้นต์ที่คงจะว่างมากก็โพล่งขึ้นมาว่า “มาเล่นเกมกัน”
   
        “เกม?” พี่เมศเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
   
        “ช่าย” หญิงสาวหยิบเอาขวดน้ำเปล่ามาหนึ่งขวด “Truth or Dare”
   
        “แบบที่หมุนขวดแล้วไปหยุดที่ใครคนนั้นก็ต้องเลือก ถ้าเลือก Truth ก็ต้องตอบตามความจริงแต่ถ้าเลือก Dare ก็ต้องทำตามคำสั่งน่ะเหรอครับ” ปานตะวันทำหน้าพิลึก “ผมเลิกเล่นเกมนี้ไปตั้งแต่มัธยมแล้วนะ”
   
        “ย้อนวัยไง”
   
        “แล้วเล่นกันแค่สามคน?” พี่เมศเลิกคิ้ว
   
        “ใช่แล้ว”
   
        “ไม่น่าเบื่อแย่เหรอนั่น”
   
        “ก็มันว่างนี่นา”
   
        “นั่งดูหนังเฉยๆ ก็ได้มั้ง”

         “ดูหนังก็เบื่อ!”
   
         สรุปก็คือจะเล่นให้ได้สินะ ราเมศกับปานตะวันสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็ตอบรับไปตามน้ำ หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มเลยยิ้มร่า แน่นอนว่าเกมแบบนี้ต้องมีแอลกอฮอล์เป็นบทลงโทษ
   
         พี่มิ้นต์เป็นคนเริ่มหมุนขวด ปานตะวันที่รู้สึกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็โดนไปตามระเบียบ หญิงสาวยิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์
   
        “ตะวัน Truth or Dare”
   
        “Truth”
   
       อันที่จริงจะแบบไหนก็ไม่อยากทั้งนั้นแต่ถ้าให้เลือกระหว่างถูกถามคำถาม(ที่อาจจะมั่วคำตอบได้ ยังไงความลับบางเรื่องก็ไม่มีใครรู้นอกจากเขา)กับถูกสั่งให้ทำอะไรบ้าๆ ขอเลือกอย่างแรกดีกว่า
   
        หญิงสาวผมสั้นเอานิ้วแตะปลายคางพลางทำสีหน้าครุ่นคิดแล้วก็พลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจจนแม้กระทั่งพี่เมศยังต้องเอ่ยปราม
   
       “มิ้นต์”
   
       “จ้าๆ ไม่ถามอะไรไม่ดีหรอกน่า” พี่มิ้นต์ที่ถูกดักทางทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยแล้วก็ถามออกมาว่า “ตะวันชอบให้พี่เมศจูบตรงไหน?”
   
       “เฮ้ย ติดเรทแบบนี้ก็ได้เหรอ”
   
       “ยังไงก็เลยยี่สิบกันทุกคนแล้วนี่ เร็วเข้า ตอบมา”
   
       ปานตะวันเหลือบมองพี่เมศแล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมาที่เขาด้วยสายตาแฝงแววสนุกสนาน “อันนี้พี่ก็อยากรู้” ปานตะวันอ้าปากแล้วก็หุบเหมือนปลาทองงับอาหาร เขาเงียบไปนานจนมิ้นต์จุ๊ปาก
   
      “ไม่ตอบก็กระดกเลยจ้ะหนุ่มน้อย รวดเดียวหมดแก้วนะ”
   
       ผู้หญิงคนนี้ปีศาจชัดๆ!
   
        เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลก้มหน้า สองแก้มแดงราวกับถูกไฟเผา เจ้าตัวเม้มริมฝีปากก่อนจะอ้อมแอ้มออกมาว่า “ตรง...ซอกคอ”
   
        ถึงเขาจะไม่ชอบให้ใครมาโดนคอสักเท่าไหร่แต่พอเป็นจูบของราเมศ...ตอนที่ริมฝีปากของคนรักแตะลงตรงตรงลำคอไปจนถึงแอ่งชีพจรเขากลับรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ
   
        “หึ”
   
        ได้ยินเสียงคนรักขำในลำคอ ราเมศแกว่งแก้วในมือไปมาขณะมองปานตะวันด้วยสายตาวิบวับ นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มเขินมากขึ้นไปอีก
   
        “เอ้าหมุนเลยๆ”
   
         ปานตะวันเอื้อมมือสั่นๆ ไปหมุนขวด ปากขวดหยุดลงตรงหน้ามิ้นต์ เขาไม่รู้จักมิ้นต์มากนัก เพิ่งสนิทกันได้ไม่นาน จะให้ถามอะไรที่มันละลาบละล้วงมากนักก็เกินไปหน่อยปานตะวันเลยตัดสินใจถามคำถามง่ายๆ
   
       “วางแผนจะแต่งงานตอนไหนครับ?”
   
       เชื่อไหมว่าพอได้ยินคำถามนี้ราเมศถึงกับเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ ขณะที่หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มทำปากยื่น สงสัยคำถามจะแทงใจดำ
   
       “ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะแต่งปลายปีหน้า แต่พอดีแฟนมันเฮงซวยแผนเลยล่ม” ว่าแล้วก็ยักไหล่ สะบัดผมแบบสวยๆ “ตอนนี้ก็โสดจ้ะ”
   
       ปานตะวันพยักหน้าหงึก พี่มิ้นต์ดูไม่แคร์เท่าไหร่ว่าตัวเองจะมีคนมาจีบหรือไม่ แต่ถ้าสมมติว่าเขาเป็นหญิงสาว บ้านมีตังค์ ครอบครัวอบอุ่น การงานมั่นคง เขาก็คงไม่แคร์หรอกว่าตัวเองจะมีคนมาแต่งงานด้วยหรือเปล่า
   
       พี่มิ้นต์หมุนขวด คราวนี้ปากขวดไปหยุดที่พี่เมศ
   
       คนพี่กับคนน้องยิ้มให้กันด้วยสีหน้าราวกับจะท้าทายอีกฝ่าย
   
        “Truth or Dare คะเฮีย”
   
        “Dare”
   
        นัยน์ตากลมวาววับ พี่มิ้นต์ดีดนิ้วเป๊าะก่อนจะรีบพูดออกมาทันที
   
        “พี่เมศ...ให้พี่จูบแฟนพี่ในตำแหน่งที่เจ้าตัวบอกว่าชอบให้พี่จูบมากที่สุด”
   
        เฮ้ย ไอ้สองพี่น้องนี่จะไม่ยอมหลุดจากหัวข้อนี้ให้ได้เลยหรือไง
   
        ปานตะวันยังไม่ทันอ้าปากโวยก็ถูกคว้าตัวไป ริมฝีปากร้อนแนบลงที่ซอกคอดังจุ๊บ
   
        “ว้าววว” ยังจะมาว้าวอีก! คอยดูนะ คราวหน้าเขาจะเอาคืนพี่มิ้นต์ให้หนักๆ เลย
   
        คราวนี้พี่เมศเป็นคนหมุนขวด คนโดนก็คือพี่มิ้นต์ หญิงสาวเลือก Dare พี่เมศเลยสั่งให้พี่มิ้นต์ไลฟ์สดในเฟซบุ๊คแล้วก็ร้องเพลง ‘กรุณาฟังให้จบ’ ของแช่ม แช่มรัตน์ พี่มิ้นต์เสียงหลงสุดกู่ ปานตะวันหัวเราะจนปวดท้องไปหมด
   
        ยิ่งดึกก็ยิ่งคึก ตอนแรกนึกว่าเล่นกันสามคนจะไม่สนุกแต่เปล่าเลย
   
        ปานตะวันกระดกไปสามแก้ว พี่มิ้นต์หนึ่งแก้ว พี่เมศยังไม่โดนเลยสักแก้ว พอมีแอลกอฮอล์ในร่างก็ยิ่งคึก
   
        “Truth” ปานตะวันเลือกอย่างไม่ลังเลเมื่อปากขวดมาหยุดที่ตัวเอง พี่มิ้นต์ย่นคิ้ว เขาโดนบ่อยมากจนหญิงสาวนึกคำถามที่จะถามไม่ออกแล้ว
   
        “เอ่อ...นึกไม่ออกแล้วแฮะว่าจะถามอะไร”
   
        “งั้นเชิญเลยครับคนสวย”
   
        ปานตะวันเลื่อนแก้วเหล้าไปตรงหน้าพี่มิ้นต์แต่เธอเชิดริมฝีปากใส่ ประมาณว่าฉันยังไม่แพ้ย่ะอะไรทำนองนี้
   
        “อืม...เอาแบบนี้แล้วกัน ทำไมถึงเลิกกับแฟนเก่าคนล่าสุด”
   
        กึก
   
        ปานตะวันชะงัก นัยน์ตาสีน้ำตาลวูบไหว เขาเปลี่ยนเป็นหยิบแก้วใส่น้ำสีอำพันมาดื่มรวดเดียวโดยไม่ลังเล “ขอผ่านครับ”
   
        “แผลใจสินะ” พี่มิ้นต์พูดขึ้น ปานตะวันเหม่อลอยมองแก้วเปล่าในมือ
   
         แผลใจหรือ...ก็คงจะเป็นแบบนั้น
   
         เป็นรอยแผลน่าเกลียดที่ติดอยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนาน ไม่อยากมอง ไม่อยากนึกถึง
   
         เกลียด แต่ไม่รู้ว่าเกลียดใครมากกว่า ระหว่างมันกับตัวเขาเอง
   
         “พี่ว่าคืนนี้ดึกแล้ว พอแค่นี้ดีกว่า”
   
         บรรยากาศเงียบงันน่าอึดอัดถูกทำลายลงด้วยคำพูดของพี่เมศ เจ้าตัวลุกขึ้นเก็บขวดและแก้วเปล่าไปวางลงในอ่างล้างจาน มิ้นต์เองก็พยักหน้า หญิงสาวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินมาแตะไหล่ปานตะวัน
   
         “ขอโทษด้วยนะ”
   
        “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น”
   
        ปานตะวันคลี่ยิ้มให้พี่มิ้นต์ก่อนจะบอกฝันดีเมื่ออีกฝ่ายขอตัวไปนอน เขารอราเมศอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เมื่ออีกฝ่ายล้างแก้วเสร็จก็ขึ้นห้องนอนพร้อมกัน
   
        “ตะวันโอเคนะ”
   
        ราเมศแตะแก้มคนรัก ทำไมเขาจะไม่เห็นสีหน้าของอีกคนตอนที่ถูกถามเรื่องแฟนเก่า แม้จะแค่เสี้ยววินาทีแต่สีหน้าที่ปานตะวันเผยออกมาคือความเกลียดชังระคนเศร้าสร้อย
   
       “โอเคครับ” แมวแสบหันมากอดเขา ปากบอกว่าโอเคแต่ท่าทางมันไม่ใช่เลย มือของปานตะวันเย็นเฉียบไปหมด
   
        “อาบน้ำก่อนไหม”
   
        “พี่เมศอาบก่อนเถอะครับ”
   
        ชายหนุ่มผิวแทนตกลง ระหว่างที่ราเมศหายเข้าไปอาบน้ำปานตะวันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกผิดนิดหน่อยที่บรรยากาศสนุกสนานถูกทำลายลงเพราะเขา
   
        เมื่อไหร่กันนะที่เขาจะเลิกหวั่นไหวเพราะคนคนนั้น
   
        เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกเกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายจะหายไปเสียที
   
        เมื่อไหร่ถึงจะหลุดพ้นจากนรกในความทรงจำพวกนั้นได้สักทีนะ

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 09-07-2017 19:31:44
        ลมหายใจถูกพ่นออกมาอย่างหนักหน่วงคล้ายกับว่าคนบนเตียงพยายามขับความไม่สบายใจออกไปพร้อมกับมัน ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือที่ปานตะวันวางทิ้งไว้ที่หัวเตียงสั่น พอหยิบมาดูก็พบว่าคนโทรเข้ามาเป็นชนกันต์
   
        “ฮัลโหล ว่าไงมึง”
   
        [ไง ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นวะ ทะเลาะกับแฟนหรือไง]
   
        ปานตะวันกดหัวคิ้ว “เปล่า แค่เหนื่อยน่ะ ว่าแต่มึงมีอะไร”
   
        [อ๋อ เจ้าของหอเก่ามึงเขาโทรมาบอกว่ามีคนเอาของมาฝากไว้ให้ ให้กูเข้าไปเอาให้ไหม]
   
        “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปเอง พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”
   
        [โอเคๆ เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนแล้วกัน]
   
        “ตามใจ แค่นี้ก่อนนะ กูง่วง”
   
        [บาย]
   
       ปานตะวันกดตัดสายด้วยหัวใจหนักอึ้ง
   
       ...คืนนั้นเขานอนหลับไม่สนิททั้งคืน...
   
        เมื่อถึงวันเดินทางกลับครอบครัวพี่เมศก็ตามมาส่งที่สนามบินพร้อมของฝาก คุณราตรีกอดหนูเจียกับปานตะวันแน่นแล้วบอกว่าให้มาหาบ่อยๆ กลับไปถึงแล้วก็ส่งรูปถ่ายมาให้ดูเยอะๆ ด้วย  พี่มิ้นต์ลากเขาเข้ากลุ่มไลน์ครอบครัวเรียบร้อย
   
        หนูเจียตัวน้อยกอดคอคุณปู่ หอมแก้มคุณย่าและคุณป้าฟอดใหญ่
   
        หลังล่ำลากันจนพอใจก็ได้เวลาออกเดินทาง ปานตะวันแลดูใจลอยมากกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะเหนื่อย เมื่อถึงบ้านเรือนไทยเขาเลยปล่อยให้คนรักนอนหลับพักผ่อน แต่ปานตะวันบอกว่าจะขอออกไปเอาของที่หอเก่ากับชนกันต์แทน
   
        “มึงไหวไหม ดูเพลียๆ นะ”
   
        หลังเพื่อนรักโทรมาบอกว่าถึงบ้านแล้วให้ออกมารับได้เลยชนกันต์ก็รีบขับรถออกมา ชายหนุ่มทำหน้าดีใจตอนที่ปานตะวันส่งถุงสตรอเบอร์รี่ให้ แต่ถึงจะดี๊ด๊ามากแค่ไหนชนกันต์ก็ยังสังเกตถึงรอยคล้ำใต้ตาของเพื่อนรักได้
   
        “กูนอนไม่พอน่ะ”
   
        “บอกแฟนมึงให้เพลาๆ ลงหน่อยสิ”
   
       “เชี่ย ไม่ใช่เรื่องนั้น”
   
       ปานตะวันแทบจะคว้าถุงของฝากมาปาใส่หัวเพื่อน ไอ้กันต์หัวเราะลั่นรถ ยอมรับว่าเสียงหัวเราะของมันทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
   
       “แต่กูไม่ได้ล้อเล่นนะที่บอกให้เพลาๆ ลงน่ะ”
   
        “หา?”
   
        เพื่อนรักเหลือบมามองด้วยสายตารู้ทันก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งชี้ที่ลำคอตัวเอง “รอยที่คอมึง”
   
        “เฮ้ย”
   
        ชนกันต์พ่นลมหายใจออกมา “เอาเรื่องเหมือนกันนะ เห็นเงียบๆ แบบนี้”
   
        “ขับรถไปเงียบๆ เลย!”
   
        วันนี้รถค่อนข้างติดพวกเขาเลยใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงหอพักเก่าของปานตะวัน ชนกันต์ดับเครื่องยนต์หลังหาที่จอดได้ ทั้งคู่ลงจากรถแล้วตรงไปที่สำนักงานของผู้ดูแลหอพัก
   
        “สวัสดีครับคุณป้า” ปานตะวันยกมือไหว้คุณป้าผู้ดูแลหอพัก “ผมปานตะวันครับ เมื่อวันก่อนคุณป้าโทรหาเพื่อนผมแล้วบอกว่ามีคนฝากของให้ผม”
   
        “อ๋อ เธอนี่เอง” คุณป้าที่มีสีหน้างุนงงในตอนแรกนึกออกทันทีจากนั้นก็หันไปรื้อค้นกองเอกสารข้างๆ ตัว “เอ..เดี๋ยวนะ มันเป็นซองสีน้ำตาล ป้าเอาไว้แถวนี้นี่นา อ๊ะ นี่ไง เจอแล้ว”
   
        หญิงร่างอวบดึงเอาซองเอกสารสีน้ำตาลซองเล็กออกมาส่งให้ปานตะวัน ชายหนุ่มรับไปดูด้วยความงุนงง บนหน้าซองไม่ปรากฏชื่อผู้ส่งหรือข้อความใดๆ ทั้งนั้นแล้วเขาก็นึกไม่ออกด้วยว่าใครมีความจำเป็นจะต้องส่งเอกสารถึงเขา หรือถ้ามีแล้วทำไมต้องเอามาฝากไว้ที่หอพักเก่าแห่งนี้
   
        “คุณป้ารู้ไหมครับว่าใครเอามาส่งให้”
   
        “เป็นผู้ชายนะ” คนเล่าทำท่านึก “ตัวสูง ขาว ตาตี่ หน้าตาดีเชียวล่ะแต่ดูซีดเซียว อมโรค หนวดเคราก็ไม่โกน เขามาถามหาคนชื่อปานตะวันป้าเลยบอกว่าย้ายออกไปแล้ว เขาก็ถามว่าย้ายไปที่ไหนป้าก็ตอบว่าไม่รู้ เขาเลยฝากซองนี้ไว้ให้แล้วก็กลับไป”
   
       “งั้นเหรอครับ ขอบคุณมากนะครับ” ปานตะวันทำท่าจะเปิดซองออกดูตรงนั้นแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คุณป้าผู้ดูแลหอพักแล้วก็เอ่ยลา
   
      “มึงว่าแปลกๆ ไหม”
   
       ตอนที่เดินออกมานอกสำนักงานชนกันต์ก็เอ่ยถามในขณะที่ตายังจับจ้องซองในมือปานตะวันไม่วางตา
   
       บอกตรงๆ ว่าเขารู้สึกไม่ดีเลย
   
       สิ่งที่ชนกันต์ยังไม่ได้บอกปานตะวันมีอยู่หนึ่งอย่าง คือเมื่อไม่กี่วันมานี้มีเบอร์แปลกๆ เบอร์หนึ่งโทรเข้ามาหาเขา แล้วก็ขอสายตะวัน ตอนแรกชนกันต์ยังจำเสียงไม่ได้แต่หลังจากเผลอกดรับสายไปเป็นครั้งที่สองเขาก็นึกออก...
   
       ปานตะวันอาจคาดไม่ถึงแต่เขาพอจะเดาได้ว่าใครเป็นคนฝากซองสีน้ำตาลซองนี้มา...มีอยู่คนเดียวที่ไม่รู้ว่าปานตะวันย้ายที่อยู่ไปแล้ว
   
       ผู้ชายที่มีลักษณะตรงกับที่คุณป้าเมื่อครู่อธิบายให้ฟัง
   
       คนคนนั้น...
   
       “ไอ้ธีร์”
   
        ชื่อที่หลุดออกมาจากปากเพื่อนสนิททำให้กันต์หยุดฝีเท้า เขาจ้องปานตะวันอย่างแปลกใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาปานตะวันเลี่ยงที่จะพูดชื่อนี้มาตลอด
   
        “มึง...”
   
        แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมือของคนข้างกายก็คว้าหมับที่แขนเขาแล้วลากให้หลบเข้าไปที่มุมตึกอย่างรวดเร็ว
   
        “เฮ้ยตะวัน เกิดอะไรขึ้นวะ”
   
        “ชู่ว์”
   
       ชนกันต์ขมวดคิ้ว ความรู้สึกไม่ดีแผ่ขยายในอกเมื่อปานตะวันตัวเกร็ง มือไม้เย็นเฉียบแถมยังหายใจถี่รัว “มึงโอเคนะ” เขากระซิบถามเพื่อนสนิท นิ่วหน้าเมื่อปลายเล็บจิกลงที่ต้นแขน
   
       ปานตะวันชะโงกหน้าออกไปก่อนจะหลบวูบกลับเข้ามา...แล้วก็รูดตัวลงนั่งกองกับพื้น สองมือขยุ้มเสื้อตรงหน้าอกแน่น ชนกันต์ขมวดคิ้ว เขาดันตัวเพื่อนไปข้างหลังแล้วโผล่หน้าออกไปดูบ้าง
   
       ทันใดนั้นชนกันต์ก็เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงได้มีท่าทีเหมือนกลัวอะไรสักอย่างแบบนี้
   
       ที่ทางเข้าของหอพักปรากฏร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนเก่าปอนยืนอยู่ ผมทรงสกินเฮดกับดวงหน้าขาวตี๋ที่ครั้งหนึ่งเลยหล่อเหลาบัดนี้มันซูบเซียวราวกับคนเป็นโรค ชนกันต์จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร
   
       “ไอ้ธีร์”
   
        แฟนเก่า...ของปานตะวัน
   
         นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเมื่อได้ยินชื่อนั้น ปานตะวันกดมือลงที่หน้าอก หัวใจเต้นถี่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ชายหนุ่มอ้าปากหอบหายใจ รู้สึกหายใจไม่ทัน...อากาศรอบข้างก็ดูจะเบาบางลง
   
        ชนกันต์หรี่ตาลง “มันมาทำอะไรที่นี่...หรือว่า...!” ถ้าการคาดเดาของเขาถูกล่ะ ถ้าธีร์ส่งซองนั่นมาให้ปานตะวันจริงๆ แล้ววันนี้มันก็มาหาป้าผู้ดูแลเพื่อถามว่าปานตะวันมาเอาของไปหรือยัง...มันตั้งใจจะมาดักรอ!
   
        ธีร์ยืดกดโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินหายเข้าไปในสำนักงาน ชนกันต์ที่ชักใจไม่ดีรีบฉุดปานตะวันให้ลุกขึ้น “มึง! วิ่งเร็ว! รีบไปก่อนที่มันจะรู้ว่ามึงอยู่ที่นี่”
   
       ปานตะวันที่หน้าซีดราวกับจะล้มพับได้ทุกเมื่อถูกเพื่อนตัวโตฉุดกระชากไปที่รถ พอเข้าไปนั่งได้ชนกันต์ก็กระชากรถออกทันที อีกฝ่ายเหยียบคันเร่งจนแทบมิดจนกระทั่งมาไกลจากหอพักมากแล้วชายหนุ่มจึงอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันมาดูเพื่อนสนิท
   
       “ตะวัน!”
   
        ปานตะวันมีสีหน้าซีดเผือด หอบหายใจถี่ทั้งที่น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม มือจีบเท้าเหยียดเกร็งไปหมด
   
        “เชี่ยเอ๊ย!”
   
       ชนกันต์ปาดรถเข้าข้างทางทำเอาแม่ค้าที่ตั้งแผงลอยอยู่แถวนั้นถึงกับกรีดร้อง ชายหนุ่มรีบลงจากรถไปขอถุงกระดาษมาจากแม่ค้าขายกล้วยแขกแถวนั้นเพื่อเอามาครอบปากและจมูกเพื่อนสนิท
   
       อาการของปานตะวันคือ Hyperventilation หรือโรคหอบจากอารมณ์ สาเหตุที่เกิดมักเกี่ยวกับความวิตกกังวลหรือความกดดันทางจิตใจ
   
       “ตะวัน ใจเย็นๆ นะ ค่อยๆ หายใจ ตะวัน”
   
       ชนกันต์เสียงสั่นพร่า เขาเปิดประตูรถทิ้งไว้ทำให้คนบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์เกือบหมด หลายคนเข้ามามุงดู ใครสักคนตะโกนบอกว่าจะโทรเรียกรถพยาบาลแต่โชคดีที่ยังไม่ต้องถึงขั้นนั้นเพราะอาการปานตะวันค่อยๆ ปรับลมหายใจได้จนอาการสงบลง
   
        “ฮึก...กันต์...กันต์”
   
        เพื่อนของเขาสะอื้น ท่าทางหวาดกลัวราวกับเด็กน้อยไร้ที่พึ่ง
   
        “ช่วยด้วย...ฮึก...กันต์”
   
       “โอเค กูอยู่นี่ ใจเย็นๆ นะ กูจะพามึงกลับบ้าน”
   
        ชนกันต์จับมือเย็นเฉียบของปานตะวันไว้ เขารีบกลับขึ้นไปนั่งประจำที่แล้วก็พาปานตะวันกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
   
        ตอนที่มาถึงบ้านเรือนไทยน้ำตาของเขาก็แห้งเหือดไปหมดแล้ว แต่ความรู้สึกที่ตกค้างอยู่กลับไม่จางหายไปไหน
   
        ปานตะวันรู้เพียงว่าเมื่อมองเห็นธีร์ ความรู้สึกในใจพลันทะลักทลาย ปั่นป่วนราวพายุโหม แผดเผาใจเขาราวเปลวเพลิงแล้วก็จากไป
   
        ทิ้งไว้แต่แอ่งน้ำตาเจิงนองและคราบเขม่าสีดำที่กลางใจ   
   
        “มึงโอเคไหม ให้กูอยู่ด้วยหรือเปล่า”
   
        “ไม่เป็นไร”
   
        น้ำเสียงแหบแห้งของปานตะวันทำให้ชนกันต์ใจหาย เขาเคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน...มันเป็นน้ำเสียงแหบพร่าไร้วิญญาณของปานตะวันคนเก่า...คนที่ถูกทิ้งเอาไว้ในห้องเช่าสกปรก ปานตะวันคนก่อนที่เหลวแหลกแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
   
        ชนกันต์ไม่อยากให้เพื่อนมีสภาพแบบนั้นอีกแล้ว
   
        “กูอยู่ตรงนี้ พี่เมศของมึงก็อยู่ตรงนี้ หนูเจียด้วย เราทุกคนอยู่ข้างมึงนะ”
   
        นัยน์ตาว่างเปล่าค่อยๆ คืนประกายแห่งชีวิตกลับมาทีละน้อย ปานตะวันทำสีหน้าราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย ชายหนุ่มโน้มตัวไปกอดเพื่อนสนิทเอาไว้แน่นแล้วกระซิบเบาๆ “ขอบคุณนะ ขอบคุณที่อยู่ข้างกู”
   
        ปานตะวันก้าวลงจากรถ ยืนส่งจนรถเพื่อนหายลับสายตาไป ก่อนไปกันต์ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าถ้ามีปัญหาให้โทรหามัน ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ต้องโทรแล้วมันจะรีบมา
   
        คล้อยหลังเพื่อนสนิทปานตะวันก็กลับเข้าไปในบ้าน แต่เขาไม่ได้เดินขึ้นเรือนในทันที ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในสวน ตรงไปจนสุดขอบกำแพงสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าอาณาเขตบ้านสวนสิ้นสุดลงตรงนี้
   
        ใกล้กับกำแพงมีเพิงเก็บของอยู่ ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เช่นถัง จอบ เสียม ไม้กวาดทางมะพร้าว ปานตะวันตรงเข้าไปเปิดประตูแล้วก็ยกเอาเตาถ่านออกมา ปานตะวันเจอไม้ขีดไฟอยู่ในเพิงเก็บของด้วย ชายหนุ่มหยิบซองสีน้ำตาลขนาดเล็กออกมาก่อนจะแกะดู ปลายนิ้วสั่นเทาเล็กน้อย ด้านในเป็นกระดาษเขียนที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ คงจะเป็นที่อยู่กับเบอร์ปัจจุบันของธีร์ ปานตะวันถอนหายใจแล้วสอดกระดาษเก็บเข้าซอง
   
       ส่งมาทำไม ต้องการอะไร
   
       ทุกอย่างระหว่างเรามันไม่เหลืออะไรแล้ว
   
      ปานตะวันจุดไม้ขีดแล้วจ่อเข้าที่มุมซองเอกสารด้านหนึ่ง ชายหนุ่มทิ้งกระดาษแผ่นนั้นลงในเตา ยืนมองเปลวไฟสีส้มลามเลียจดหมายฉบับนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนกระทั่งทุกอย่างมอดไหม้
   
        จบลงแล้ว
   
       เหมือนความรักของพวกเรานั่นแหละ
   
       เหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำ

************************************************************

สวัสดีค่า ช่วงนี้อัพบ่อยคล้ายจะขยัน 555555
ตอนนี้เปิดตัวละครมาอีกหนึ่งตัว "ธีร์" แฟนเก่าของปานตะวัน คนที่ดูจะรวมปมหลายๆ อย่างของปานตะวันเอาไว้
เขาจะมาดี มาร้าย หรือยังไง มาติดตามกันได้ในตอนต่อไปนะคะ วันนี้มาทิ้งระเบิดไว้แล้วก็ไป 555555
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ ติดตามข่าวสารนิยายหรือพูดคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream เช่นเคย
วันนี้ลาไปก่อนพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ฮาาาา  :man1:


หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-07-2017 19:35:38
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-07-2017 19:41:24
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 09-07-2017 19:44:28
กลับมาทำไมเนี๊ยะ!!!!
แต่ชมกันต์นะ ช่วยตะวันจากไฮเปอร์ได้  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 09-07-2017 21:00:48
ปานตะวันสู้ๆๆๆ  ต้องผ่านไปให้ได้  เอาใจช่วยจ้า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-07-2017 21:45:17
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 09-07-2017 22:07:34
ตะวันไม่เป็นไรน้าาาา มีทุกคนอยู่ข้างๆ ไม่เป็นไรนะ! ///กอดๆ

แล้วคนนั้นอะกลับมาทำไมม ดูไม่น่าไว้ใจเลย... รึเปล่า...
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 09-07-2017 22:17:26
น้องตะวัน สู้ สู้  :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 09-07-2017 22:29:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-07-2017 22:38:00
ดูเหมือนจะทำอะไรตะวันไว้เยอะแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-07-2017 22:59:17
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 10-07-2017 05:51:11
กำลังหวาน กำลังน่ารัก มาเจอช็อตเด็ดไป
ปานตะวันฝังใจมาก จนอาการหนัก แถมยังไปเห็นอีก เป็นโชคดีที่ตะวันหลบทัน และกันต์ช่วยออกมาทัน
กันต์ช่วยตะวันได้เยอะเลย เป็นเพื่อนที่ดีมากจริงๆ

ตอนรู้ว่ามีคนฝากมา คิดไปถึงคนนั้นแล้วนะคะ แต่ดีที่แค่ที่อยู่เบอร์โทร ใจนี่คิดไปถึงเรื่องรูป หรือคลิปโน่น
อย่าให้ต้องไปเจออีกเลยน้า ปานตะวันกำลังมีความสุข พ้นจากตรงนั้นมานานแล้ว

พี่เมศ หนูเจีย มาดูแลด่วนค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-07-2017 06:52:54
ตะวันสู้ๆ นะยังมีพี่เมศอยู่ข้างๆ นะ อะไรที่ไม่ดีอย่าเก็บมาคิดให้ทรมานตัวเองเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 10-07-2017 14:09:45
 :เฮ้อ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๒ จดหมายจากใครคนนั้น (๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-07-2017 17:00:16
ตกใจหมดเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 12-07-2017 19:16:27
ปานตะวัน
บทที่ ๒๓
คนแปลกหน้า


        กลิ่นอาหารหอมฟุ้งเป็นกลิ่นแรกที่โชยมาแตะจมูกเมื่อก้าวขึ้นเรือนไทย ปานตะวันได้ยินเสียงราเมศกับหนูเจียพูดคุยกันดังมาจากในห้องครัว ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปหาแต่แล้วก็พลันชะงักฝีเท้าหยุดอยู่ตรงหน้าประตู
   
        ในกรอบสายตาคือภาพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คาดผ้ากันเปื้อนกำลังหั่นผักอยู่โดยมีเด็กชายตัวเล็กยืนอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก สองมือเกาะของเคาน์เตอร์ยาว ดวงตากลมแป๋วมองน้าชายทำอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ หนูเจียเป็นเด็กช่างสงสัย ดังนั้นตลอดเวลาที่ราเมศทำกับข้าวหลานชายก็จะถามนู่นถามนี่ไม่หยุด คนรักของเขาก็พยายามตอบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอมองรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่แล้วหัวใจที่หวาดหวั่นมาตลอดของปานตะวันก็พลันสงบลง
   
        “กลับมาแล้วครับ”
   
        เสียงของเขาแผ่วเบาแต่คนสองคนในห้องครัวก็ได้ยิน
   
        หนูเจียกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งมาหาปานตะวันที่ย่อตัวลงแล้วกางแขนรับร่างน้อยๆ ที่กระโดดเข้ามาในอ้อมกอด
   
         เจียหลินหัวเราะคิกคักแล้วจูบแก้มคุณน้าไปสองที ส่วนราเมศก็เอียงหน้ามามองเขาเล็กน้อย “กลับมาแล้วเหรอ ทำไมไวจัง ตอนแรกนึกว่าจะไปนานกว่านี้”
   
         “พอดีธุระเสร็จไวน่ะครับ”
   
         ปานตะวันตอบขณะนั่งยองให้หลานชายปีนป่ายตามตัว อืม...เขาว่าหนูเจียหนักขึ้นนิดหน่อยแฮะ อีกไม่กี่เดือนคงอุ้มไม่ไหวแล้ว
   
        “เหรอ แล้วของที่ไปเอาเป็นอะไรล่ะ”
   
        “อ๋อ...” ปานตะวันเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็ตอบว่า “หนังสือเก่าน่ะครับ แต่ตะวันไม่อ่านแล้วก็เลยให้กันต์ไป”
   
        “งั้นเหรอ”
   
         ราเมศรับคำและทันใดนั้นที่ซุปในหม้อบนเตาพลันเดือดปุดๆ ราเมศจึงถูกเบนความสนใจไปทันที ปานตะวันลอบถอนหายใจ ที่โกหกออกไปไม่ใช่เพราะต้องการปิดบังเรื่องจดหมายหรือหวั่นไหวกับแฟนเก่า ธีร์เป็นคนที่ปานตะวันเคยหลงรักมากจนถึงขั้นโง่งมก็จริงแต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
   
        เขาปิดบัง...เพราะไม่อยากขุดคุ้ยอดีต
   
        เขาปิดบัง...เพราะราเมศกับหนูเจียสำคัญสำหรับเขามาก ปานตะวันไม่อยากให้ทั้งคู่ยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนั้น
   
       และเหนือสิ่งอื่นได้คือเขากลัว กลัวว่าถ้าทั้งคู่รู้เรื่องธีร์แล้วมันเปิดเผยเรื่องราวเก่าๆ ของเขา ทั้งหนูเจียและราเมศจะรังเกียจและรับไม่ได้
   
       ปานตะวันไม่อยากถูกทิ้งอีกแล้ว
   
       “น้าตะวัน กลิ่นอะไรคับ?” หนูเจียที่ปีนตัวปานตะวันอยู่ย่นจมูกก่อนจะดมฟุดฟิดตามเสื้อของคุณน้า “กลิ่น? อ๋อ กลิ่นควันรถน่ะครับ”
   
       เจียหลินเอียงคอ เด็กชายไวต่อความรู้สึกคนอื่นและสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของปานตะวันได้ เสื้อของน้าตะวันเหม็นกลิ่นคล้ายกลิ่นควัน แถมตาของน้าก็ยังบวมแดงอีกด้วย
   
       ไหนจะบรรยากาศอึมครึมนี่อีก ไม่เหมือนน้าตะวันที่แสนจะร่าเริงเลยสักนิด
   
       เด็กชายกอดคอปานตะวันเอาไว้ เบียดแก้มกลมนิ่มเข้ากับแก้มของปานตะวัน “น้าตะวันไม่เป็นไรใช่ไหมคับ ทำไมน้าตะวันดูเศร้าจัง”
   
       ประโยคนั้นของหนูเจียดึงความสนใจของราเมศให้กลับมาอยู่ที่ปานตะวันอีกครั้ง ดวงตาคมสีนิลพิจารณาคนรักอย่างถี่ถ้วนขึ้น
   
       จริงด้วย ปานตะวันดูแปลกไป
   
       “เป็นอะไรหรือเปล่าตะวัน” ราเมศคุกเข่าลงตรงหน้าชายหนุ่มผมน้ำตาล “นายดูไม่โอเคเลย”
   
       “ตะวัน...ตะวันแค่เหนื่อยน่ะครับ” ขนาดรอยยิ้มก็ยังดูฝืดฝืน “ขอไปอาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวจะลงมากินข้าวเย็นนะครับพี่เมศ”
   
       “อื้ม ไปเถอะ หนูเจียมานี่เร็ว ให้น้าตะวันไปอาบน้ำก่อน”
   
       “คับ”
   
       เจียหลินผละออกจากปานตะวันด้วยสีหน้าลังเล เด็กชายลูบดวงตาบวมช้ำของคุณน้าเบาๆ หนูเจียคงรู้แล้วว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจ สัมผัสของเด็กเล็กๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงบางทีก็ไวจนน่ากลัว
   
        “น้าตะวันไม่เป็นไรครับ” เขาจูบเบาๆ ลงกลางฝ่ามือหลานชายก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินไปหาราเมศ ปานตะวันเดินไปยังห้องอาบน้ำ เขาเอนหลังพิงประตูก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
   
       วันต่อมาปานตะวันรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเล็กน้อยแต่ความไม่สบายใจก็ยังคงอยู่ ชนกันต์ส่งข้อความถามไถ่มาเป็นระยะซึ่งปานตะวันก็ตอบได้แค่ว่าตัวเองไม่เป็นไร เขาพูดคำนั้นซ้ำๆ กับตัวเองกับคนอื่นราวกับว่ายิ่งพูดมันได้เยอะเท่าไหร่หัวใจและสมองก็จะเชื่อว่าไม่เป็นไรจริงๆ...
   
       วันนี้ชนกันต์รู้สึกไม่ดี พูดตามตรงคือเขารู้สึกไม่ดีตั้งแต่วันที่เขากับปานตะวันพบธีร์ที่หอพักเก่าแล้ว
   
       ชนกันต์เป็นห่วงเพื่อนสนิท
   
       เขารู้ว่าเรื่องของธีร์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อปานตะวันมาตลอด อาการหายใจหอบที่มันเป็นบนรถยิ่งย้ำชัดถึงความจริงของนี้ ปานตะวันไม่เคยหลุดพ้นจากฝันร้ายเลยสักครั้งเดียว
   
        หลังเลิกงานชนกันต์ก็ส่งข้อความไปหาเพื่อน บอกว่าจะเข้าไปกินข้าวที่ร้านของแฟนมัน พี่เมศทำอาหารอร่อย ราคาก็ไม่แพงมากทำให้ชนกันต์ชอบร้านของพี่เมศเป็นพิเศษ ถึงขั้นเคยเอาไปแนะนำเพื่อนร่วมงานคนอื่นด้วยซ้ำ ก่อนไปชายหนุ่มแวะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านแล้วก็ซื้อผลไม้กับขนมติดไม้ติดมือไปด้วยเพื่อเอาไปฝากหนูเจีย
   
        “วันนี้ไม่อยู่ทานข้าวบ้านเหรอลูก” แม่ชะโงกหน้าเข้ามาตอนที่เขาเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จพอดี
   
        “วันนี้กันต์ว่าจะไปหาไอ้ตะวันน่ะแม่”
   
         “อ๋อ งั้นเอาคุ้กกี้บนหลังตู้เย็นไปให้ตะวันด้วยสิ แล้วก็บอกด้วยว่าแม่คิดถึง มาหากันบ้าง”
   
         “คร้าบ”
   
         ชนกันต์ตอบรับยิ้มๆ
   
        แม่ของเขาชอบปานตะวัน แทบจะนับเป็นลูกชายอีกคนได้ด้วยซ้ำ เพราะช่วงปลายปีสองหลังจากมันถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัยแล้วยังต้องเข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้า ติดการพนัน ด้วยความเป็นห่วงเขาเลยให้มันมาอยู่ที่บ้านด้วย แม่เขาก็รู้เรื่องทุกอย่าง เธอไม่เพียงไม่ต่อว่าแต่ยังช่วยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อีก
   
        ปานตะวันชอบอ้อนผู้หญิงคราวแม่ มันทั้งพูดเก่งทั้งช่างประจบเอาใจ ชนกันต์คิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการที่อีกฝ่ายไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากแม่แท้ๆ
   
        เพื่อนเขาคนนี้โหยหาความรัก มันต้องการการถูกรักจากใครสักคนและต้องการทุ่มเทความรักให้กับคนคนหนึ่งอย่างที่มันไม่เคยได้รับมาก่อน
   
       มันต้องการ ‘บ้าน’ ของตัวเองมาโดยตลอด
   
      ดังนั้นตอนที่มันเจอกับธีร์ ชายหนุ่มหน้าตาดี ปากหวานและช่างเอาใจก็ล่อลวงไอ้ตะวันได้ไม่อยาก เพื่อนเขาตกลงไปในหลุมกับดักที่ถูกขุดขึ้น แรกๆ ไอ้ธีร์ก็ดีหรอก ชนกันต์เลยไม่ได้สนใจ จนช่วงหลังๆ ที่ปานตะวันเริ่มมาขอยืมเงินเขา ตอนแรกเขาก็ให้ พอหลังๆ เขาก็เริ่มซักไซ้ว่าเงินหายไปไหนหมด
   
       ปรากฏว่าเป็นไอ้ธีร์ที่เอาไป...เงินเป็นหมื่นในแต่ละเดือนละลายหายไปกับน้ำเมาและวงพนัน
   
        ชนกันต์จำได้ว่าเขาด่าปานตะวันแรงมาก ด่าแรงจนมันร้องไห้ จับตัวมันเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนแล้วก็ตะคอกว่าโง่หรือไง ไม่มีตาดูเหรอว่ามันแค่หลอกใช้
   
        ‘มันไม่เคยรักมึง!’
   
        เขาจำได้ว่าตอนหลุดประโยคนี้ออกไปสีหน้าของปานตะวันเหมือนคนที่โลกถล่มลงมากองตรงหน้า
   
        แววตาของมันเลื่อนลอย...แล้วก็ว่างเปล่า
   
        ‘กูรู้แล้ว’ มันพูดแบบนั้น เสียงแผ่วเบาปานจะขาดใจ ‘แต่กูไปไม่ได้’
   
       ‘ทำไมวะ ทำไมถึงยังต้องโง่อยู่ให้มันหลอกด้วย! มันเอาเงินมึงไปเท่าไหร่แล้วตะวัน ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ชีวิตมึงแย่แค่ไหน’
   
       ‘แต่กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน’
   
       ‘มันจะอยู่ไม่ได้ได้ยังไง มึงอยู่มายี่สิบปีก่อนเจอมันนะโว้ย’
   
       ‘มึงไม่เข้าใจหรอกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมามันทรมานแค่ไหน’ ปานตะวันลูบใบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน ‘ความเหงาที่ผ่านมามันทรมาน ตอนนี้คำโกหกก็ทรมานกู...แต่มันยังสวยงามกว่าความจริงที่ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครรักกูเลยสักคนเดียวมากนัก’
   
       กอดตัวเองไม่เคยอุ่น...มันทรมาน
   
       ดังนั้นปานตะวันจึงยินยอมจะอยู่ในอ้อมกอดของธีร์ต่อไป แม้เขาจะรู้ว่าทุกสิ่งเป็นแค่ภาพลวงตาก็ตาม
   
        บทสนทนาในวันนั้นติดอยู่ในใจชนกันต์มาโดยตลอด แม้จะหงุดหงิดและโมโหมากแค่ไหนเขาก็ยังทนอยู่ ในเมื่อเขาทั้งด่าทั้งเตือนแต่ปานตะวันไม่เลือกเดินออกมาเองเขาจะทำอะไรได้
   
        จนในที่สุดเหตุการณ์ที่นำไปสู่การแตกหักก็มาถึง
   
         ชนกันต์เป็นคนรับปานตะวันที่มีสภาพเหมือนแมวจรจัดกลับเข้าบ้าน ให้ข้าวให้น้ำ แล้วก็ให้ความรักกับมัน...มิตรภาพของพวกเขาจึงลึกซึ้งกว่าที่คนภายนอกเห็นมากนัก
   
        ติ๊ง!
   
        นั่น พอนึกถึงก็ส่งข้อความมาเลย ตายยากชะมัด
   
       Pantawan : อยากกินส้ม แวะซื้อส้มมาให้ด้วย 19:20 PM
   
        คุณกันต์เอง : ครับๆ 19:20 PM read
   
       Pantawan : จะถึงยัง? 19:20 PM
   
       คุณกันต์เอง : เพิ่งออกจากบ้านอ่ะ 19:21 PM read
   
       คุณกันต์เอง : สติ๊กเกอร์แลบลิ้นหัวเราะ 19:21 PM read
   
       Pantawan : ให้ไวเลย  19:21 PM
   
       ชนกันต์เดินไปที่รถ วางกล่องขนมและของฝากไว้ที่เบาะหลัง ชายหนุ่มฮัมเพลงคลอกับวิทยุเบาๆ ตอนที่ขับรถออกจากหมู่บ้านกันต์สังเกตว่ามีรถยนต์สีขาวคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากทางเข้านัก ชายหนุ่มมองผ่านไปครั้งหนึ่งแล้วก็ยักไหล่ ไม่ได้สนใจอะไรอีก
   
       หลังจากที่รถของกันต์ออกจากหมู่บ้านไปไม่นานนัก เจ้าของรถยนต์สีขาวที่นั่งนิ่งมานานก็ขยับกายแล้วขับรถยนต์ของตนตามไปห่างๆ
   
        ชายหนุ่มตามติดอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว
   
        เขารู้ว่าชนกันต์กับปานตะวันยังติดต่อกันอยู่...แต่วันนั้นที่หอพักตอนเขาออกมาช้าไป กันต์กับปานตะวันก็ขับรถออกไปก่อน
   
        น่าเจ็บใจ คลาดกันไปอย่างน่าเจ็บใจที่สุด
   
        เขาไม่เจอปานตะวันอีกเลย คนคนนั้นเปลี่ยนเบอร์ เปลี่ยนที่อยู่ ไม่มีใครที่พอจะติดต่อได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกทางที่ค่อนข้างยุ่งยากคือตามสะกดรอยชนกันต์ เขาเฝ้ารออย่างอดทนและหวังว่าคนตรงหน้าจะพาเขาไปถึงตัวเป้าหมายได้ในที่สุด
   
        ปานตะวัน...ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อหาตัวนายให้เจอ นายหลบฉันไม่ได้ตลอดไปหรอก
   
        ไม่มีทาง
   
         ชนกันต์มาถึงร้านตอนสองทุ่ม ตอนที่เขาเข้าไปในร้านปานตะวันกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ พอเห็นขันก็ตรงเอาผ้าไปเก็บแล้วก็ควักกระดาษจดกับปากกาออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน
   
         “จะกินอะไรครับคุณลูกค้า”
   
       “หือ ทำไมกูรู้สึกว่าประโยคมึงมันแปลกๆ ว่ะ”
   
       “อย่ายืดยาดน่า”
   
        ชนกันต์กลอกตา ดีนะที่ตอนนี้ในร้านมีลูกค้าน้อย นอกจากเขาแล้วก็มีคู่ชายหญิงอีกคู่นั่งอยู่ในสุด คงไม่ได้ยินที่ปานตะวันพูด ไม่งั้น... “พูดแบบนี้กับลูกค้ามึงโดนเอาโพสต์ด่าลงเน็ตได้เลยนะ”
   
        ชนกันต์บ่นขณะวางถุงของฝากไว้ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “เอากะเพราไข่เยี่ยวม้าแล้วก็โค้กขวดหนึ่ง”
   
        “โอเค รอแป็บ”
   
        คนผมน้ำตาลเดินเอาเมนูไปส่งให้ในครัวแล้วก็กลับมาพร้อมแก้วใส่น้ำแข็งและขวดโค้ก ปานตะวันเทเครื่องดื่มใส่แก้วให้เขาจากนั้นก็หยิบถุงของฝากขึ้นมาดู
   
        “แม่กูฝากคุกกี้มาให้ด้วยแล้วเขาก็บอกว่าไปหากันบ้าง คิดถึง”
   
        “ขอบคุณคุณแม่ด้วยนะมึงแล้วก็เดี๋ยวว่างๆ กูแวะเข้าไป ไปได้เจอนานแล้ว คิดถึงเหมือนกัน”
   
         คุณแม่ของชนกันต์ใจดีกับเขามาก แม้จะเป็นคนเข้มงวดและระเบียบจัดนิดหน่อยแต่ก็รักและเป็นห่วงเขาไม่ต่างอะไรกับลูกแท้ๆ
   
        คุณแม่ของกันต์เป้นอีกคนหนึ่งที่ช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้
   
        อดีตที่พักนี้กลับมาหลอกหลอนเขาบ่อยในความฝัน
   
        “ว่าแต่พักนี้มึงสบายดีไหม” ชนกันต์มองสีหน้าอิดโรยและใต้ตาดำคล้ำของปานตะวันด้วยความเป็นห่วง ฝ่ายตรงข้ามหลบตาเขา “ก็สบายดีแต่อ่านหนังสือหนักไปหน่อย”
   
        “โกหก”
   
        ไม่ต้องมีความสามารถอ่านใจชนกันต์ก็รู้ว่าปานตะวันโกหก จริงอยู่ที่ว่าพักหลังเขาเห็นท่าทางเหนื่อยล้าและขอบตาดำเป็นแพนด้าจากปานตะวันบ่อยๆ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ปกติถึงจะเหนื่อยหรืออดนอนแค่ไหนแต่แววตาของเพื่อนเขาก็จะยังคงสดใสและฉายประกายความสุขเสมอ
   
        แต่ครั้งนี้นัยน์ตาสีน้ำตาลของตะวันหม่นแสง กันต์มองเห็นแววความกลัวและความเจ็บปวดซุกซ่อนอยู่ในนั้น
   
       ปานตะวันกัดริมฝีปากเมื่อถูกจับได้ เขาก้มหน้าลง บีบมือของตัวเองและโยกตัวไปมาน้อยๆ เป็นอาการที่เจ้าตัวเผลอทำออกมาเวลามีเรื่องทุกข์ใจมากๆ
   
       “ตะวัน...ปานตะวัน”
   
        เสียงเรียกของชนกันต์ไกลออกไปทุกที ปานตะวันเหมือนหลุดออกจากห้วงเวลาปัจจุบันแล้วลอยละล่องไปในอดีต เสียงของเพื่อนที่เรียกชื่อเขาถูกแทนที่ด้วยเสียงของธีร์
   
        “ตะวัน”
   
        อย่านะ....อย่าเรียกชื่อนั้น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟัง
   
        “ธีร์ชอบรอยยิ้มของตะวันจัง”
   
        เลิกพ่นคำโกหกออกมาสักที!
   
         “ตะวันรักธีร์ไหม”
   
        เกลียด...เกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตาย หายไปสิ ช่วยหายตัวไปสักที ทำไมกัน...ทั้งที่ไม่ได้นึกถึงมานานขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังโผล่เข้ามาในหัวเขาอีก!
   
         ทำไมความเจ็บปวดถึงยังฝังแน่นอยู่แบบนี้กันนะ?

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 12-07-2017 20:06:51
       “ธีร์รักตะวันนะ”
   
        รักเหรอ...
   
       “เชื่อใจกันหรือเปล่า”
   
        “กูเกลียดมึง”
   
       “ตะวัน!”
   
        เสียงทุ้มที่ตะคอกอยู่ตรงหูทำให้ปานตะวันสะดุ้ง ถูกกระชากกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ปานตะวันหอบหายใจ ฝ่ามือเย็นเฉียบชื้นเหงื่อ เขามองไปรอบๆ อย่างงุนงงแล้วก็พบกับชนกันต์ที่ยืนค้ำหัวอยู่ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
   
        “กันต์...มึงเป็นอะไร?”
   
        “กูต้องถามมึงมากกว่า” ชนกันต์กระชากเสียง ท่าทางกระวนกระวายกึ่งตกใจมากกว่าจะโกรธ “มึงเงียบไป ถามอะไรก็ไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าแล้วก็กัดเล็บ!”
   
        ปานตะวันชะงักก่อนจะก้มมองมือตัวเองทันที
   
       จริงด้วย เล็บของเขามีร่องรอยกัดจริงๆ
   
       ไม่เห็นรู้ตัวเลย...เมื่อกี้เขามัวแต่นึกถึง...ไม่สิ มันไม่เรียกนึกถึง เสียงในความทรงจำเหล่านั้นจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาในหัวเขาเลยต่างหาก
   
       ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่
   
        ความจริงที่ว่าเขาหลุดจากการเป็นตัวเองไปชั่วครู่นั่นทำให้เขากลัวจนตัวสั่น
   
       ผู้ชายคนนั้นยังควบคุมเขาได้งั้นเหรอ ทำไมล่ะ ไม่นะ...ไม่เอา!
   
       “ตะวัน มึงโอเคนะ” ชนกันต์จับมือเพื่อนเอาไว้ มือของปานตะวันเย็นมากแล้วก็เกร็งมาก ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่ดีเลยจริงๆ
   
      “กู...”
   
       “มีอะไรอยากจะเล่าหรือเปล่า”
   
       “ไม่มี...อันที่จริงก็มี”
   
        ปานตะวันสูดลมหายใจเขาลึกๆ มือของเขาสั่นระริก แต่ตอนที่จะอ้าปากพูดนั้นเองพวกเขาสองคนก็ถูกขัดจังหวะโดยพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งที่นำกะเพราไข่เยี่ยวม้าของชนกันต์มาเสิร์ฟให้ เธอวางจานลงบนโต๊ะแล้วก็มองพวกเขาอย่างสงสัยแวบหนึ่งก่อนผละไป
   
       ปานตะวันมองตามหลังเพื่อนร่วมงานคนนั้นจนแน่ใจว่าเธอไปพ้นรัศมีการได้ยินแล้วเขาจึงหันกลับมาพูดสิ่งที่ค้างไว้ต่อ
   
       “พักนี้กูนอนไม่หลับ”
   
       ชนกันต์พยักหน้า เริ่มจ้วงข้าวในจานใส่ปาก ชายหนุ่มกินไปฟังเพื่อนเล่าไป
   
      “ฝันร้ายถึงเรื่องตอนอยู่กับธีร์บ่อยๆ”
   
      พักหลังมานี้ปานตะวันสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยครั้ง ความทรงจำในอดีตวนกลับมาในรูปความฝัน บางครั้งก็ฝันเห็นตอนบอกรัก บางครั้งก็ฝันเห็นตอนจูบกัน บางครั้ง...ก็ฝันถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ความเจ็บปวดในฝันสมจริงเหลือเกิน บางครั้งปานตะวันที่รู้สึกแย่มากจนนอนต่อไม่ลงก็จะลุกออกมาร้องไห้คนเดียว
   
       เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ปานตะวันกลัวช่วงเวลากลางคืน กลัวการนอนหลับ
   
        เวลาเดียวที่เขาสามารถพักผ่อนได้ดีที่สุดคือตอนที่ราเมศมาค้างด้วย แค่ได้กอดอีกฝ่ายไว้ ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นนั้นความกลัวและความหนักใจที่ทับถมมาหลายวันก็ดูจะมลายหายไป
   
       แต่ราเมศก็ไม่ได้มาค้างทุกวัน ปานตะวันรู้ว่าแค่เขาเอ่ยปากขอร้องอีกฝ่ายก็จะต้องมาแน่นอน แต่เขากลัว...ว่าถ้าคืนไหนเขาฝันร้ายจนเผลอกรีดร้องหรือละเมอออกมา ราเมศจะล่วงรู้ถึงความลับของเขา
   
       แค่คิด...หัวใจก็บีบรัดอย่างเจ็บปวดแล้ว
   
       “ไปหาหมอไหมมึง กูว่าอาการมึงไม่ดีแล้วนะ ถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ร่างกายมึงจะรับไม่ไหว”
   
       “กูรู้แต่...”
   
        แต่ถ้าเขากลับไปหาหมอตอนนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าผู้ชายคนนั้นยังมีอิทธิพลต่อตัวเขาอยู่...ปานตะวันไม่อยากยอมรับ เขาแสร้งทำเป็นเข้มแข็งมาตลอด แกล้งทำเป็นว่าตัวเองไม่เคยมีบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ความรู้สึกของเขาบ่งบอกว่าปราการที่เขาสร้างไว้กำลังพังทลาย ปานตะวันเกลียดการพ่ายแพ้...โดยเฉพาะการแพ้ให้กับผู้ชายคนนั้น
   
       “ไม่มีอะไรมากหรอกมึง ก็แค่ความกลัวเฉยๆ น่ะ เดี๋ยวพอนานไปก็หายเอง”
   
       ชนกันต์มีสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน
   
       “แล้วได้บอกพี่เมศหรือเปล่า”
   
       “บอก...แต่ไม่ทั้งหมด” ปานตะวันยกมือลูบหน้าด้วยท่าทางอ่อนล้า “เขารู้แค่ว่ากูเป็นเด็กใจแตก ติดเหล้า ติดแฟนจนทำชีวิตตัวเองพังแค่นั้น” ริมฝีปากได้รูปเผยอขึ้น ปานตะวันนิ่งไปชั่วอึดใจแล้วก็เปล่งเสียงออกมา “เขายังไม่รู้ส่วนที่เลวร้ายที่สุด”
   
       “งั้นเหรอ”
   
       “ไม่ต้องรู้แหละดีแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรทั้งนั้น”
   
       “กูว่าทางที่ดีมึงควรบอกพี่เขานะ ให้รู้จากปากมึงดีกว่าไปรู้เอง”
   
        ชนกันต์กำลังจะพูดต่อแต่ก็หยุดทันเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน ปานตะวันในตอนนี้ดูอ่อนแอจนไม่น่าเชื่อ เหมือนแก้วที่กำลังจะแตกสลายอย่างไรอย่างนั้น ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเงียบปาก
   
        สภาพจิตใจของปานตะวันในตอนนี้เหมือนกับปราสาทที่สร้างจากไพ่ ฐานเริ่มไม่มั่นคง ปราสาทบอบบางทั้งหลังก็เริ่มง่อนแง่น
   
        ถ้าดึงไพ่ที่ใช้เป็นฐานออกหรือแตะผิดใบแล้วล่ะก็...ปราสาททั้งหลังต้องพังลงมาแน่ๆ
   
        แล้วหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ เขาไม่อยากคิดเลยจริงๆ
   
        เพราะเพื่อนรักแสดงอาการว่าไม่อยากคุยถึงหัวข้อนี้แล้วชนกันต์เลยเปลี่ยนเรื่อง เขาพูดไปกินไปลอบสังเกตท่าทางเพื่อนไป ปานตะวันอือออรับคำบ้าง แต่ดูท่าแล้วคงไม่ได้ฟังมากกว่า สุดท้ายชายหนุ่มเลยหยุดพูด นั่งกินข้าวไปเรื่อยๆ จนหมดจาน
   
        “อิ่มแล้วเหรอ”
   
         เมื่อเขารวบช้อน คนฝั่งตรงข้ามที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นมานานก็ขยับตัว หยิบชามและแก้วน้ำของเขาไปเก็บจากนั้นก็เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะให้
   
        “จะกลับหรือยัง”
   
        “อื้ม จะกลับแล้วล่ะ”กันต์ว่าพลางพลิกดูนาฬิกา ใกล้จะสองทุ่มครึ่งแล้ว ในร้านไม่มีลูกค้าเหลืออยู่เลยยกเว้นเขา
   
        “งั้นเดี๋ยวกูไปส่งที่รถ”
   
        ปานตะวันรับเงินมาจากเพื่อนแล้วเอาไปให้ที่เคาน์เตอร์เก็บเงิน ชายหนุ่มมองเห็นหนูเจียฟุบหลับอยู่บนสมุดนิทาน ปานตะวันเดินอ้อมไปฉีดสเปรย์กันยุงลงที่ขาหลานชายแล้วก็จูบพวงแก้มนุ่มหยุ่นไปหนึ่งที
   
         เมื่อคิดเงินเสร็จเรียบร้อยปานตะวันก็เดินไปส่งชนกันต์ที่รถ ก่อนจากกันเพื่อนเขาก็วางมือแหมะลงบนหัวแล้วก็ขยี้ผมของเขาเบาๆ
   
        “มีอะไรโทรหากูเข้าใจนะ แล้วก็พี่เมศน่ะมึงวางใจเขาได้นะตะวัน ไม่สบายใจก็ปรึกษาเขาเถอะ พี่เขาเป็นคนในครอบครัวไม่ใช่เหรอ”
   
        “ครอบครัว...”
   
        ปานตะวันเอ่ยทวน นัยน์ตากลมกะพริบปริบๆ คล้ายคนเพิ่งมีสติรู้ตัว   
   
        “ใช่”
   
        “เพราะเป็นครอบครัวไง...กูถึงไม่อยากให้เขาเจ็บปวดเพราะกู ผลจากการกระทำโง่ๆ ตอนนั้น ให้มีกูคนเดียวที่รับมันไว้ก็พอแล้ว”
   
        ปานตะวันผลักเพื่อนไปที่รถเบาๆ “มึงไปเถอะ ถึงบ้านแล้วบอกด้วย ขับรถดีๆ นะ”
   
        ชนกันต์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยินยอมล่าถอย เขารู้สึกพ่ายแพ้ชอบกล
   
        “อืม บายมึง”
   
        “บาย”
   
       เมื่อรถของชนกันต์เคลื่อนออกไปชายหนุ่มผมน้ำตาลก็กลับเข้าไปด้านในเพื่อช่วยคนอื่นปิดร้าน วันนี้ตะวันเป็นเวรทิ้งขยะ เขาเลยหอบเอาถุงดำใบใหญ่ออกจากร้าน เดินเลยไปหน่อยก็จะมีถังขยะใบใหญ่ตั้งไว้ ปานตะวันมัดปากถุงให้เรียบร้อยแล้วก็ทิ้งขยะลงในถัง เขาปัดมือตัวเองสองสามทีแล้วก็เดินกลับไปที่ร้าน ทันใดนั้นเองที่เขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนเงยหน้ามองป้ายชื่อร้านอยู่
   
       คิ้วเรียวขมวดมุ่น แสงไฟในร้านดับลงเกือบหมดแล้วแถมป้าย Close ก็ถูกนำมาแขวนเรียบร้อย เขาน่าจะรู้สิว่าร้านปิดแล้ว แต่ทำไมถึงยังยืนนิ่งอยู่แบบนั้นนะ   
   
       “ขอโทษนะครับคุณแต่ว่าร้านอาหารของเราปิดแล้วครับ ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
   
        ปานตะวันตัดสินใจส่งเสียงทักออกไป
   
        ชายคนนั้นไหวไหล่เล็กน้อย เขายังยืนนิ่งอยู่กับที่ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมา...แม้ว่าความมืดจะทำให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มไม่ชัดแต่ปานตะวันแน่ใจว่าเขาไม่มีทางจำคนผิด
   
        ใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชายคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้ ปานตะวันเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ร่างกายนิ่งค้างราวถูกสาป ชายหนุ่มขยับเท้าถอยหลังแต่ก็หนีไม่พ้นแขนยาวที่คว้าเขาไปไว้ในอ้อมกอด ปานตะวันได้กลิ่นคล้ายน้ำหอมฉุนจมูกจากอีกฝ่าย ลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างหูและน้ำเสียงคุ้นเคยที่กระซิบว่า
   
        “ธีร์คิดถึงตะวันจัง”
   
         ประโยคนั้นราวกับลูกระเบิดที่โยนลงกลางใจ ปานตะวันหอบหายใจถี่รัวแต่สิ่งที่ทะลักทลายในอกไม่ใช่ความรัก...
   
        หากแต่เป็นความเกลียดชังและความกลัว
   
        “ปล่อยกู!”
   
        ร่างโปร่งผลักอีกฝ่ายออก แรงที่ไม่น้อยทำให้ธีร์ถึงกับเซถลา ถ้าปานตะวันไม่ได้ตาฝาดเขาเห็นแววโกรธขึ้งผุดขึ้นบนดวงหน้านั้นแต่เพียงพริบตาเดียวก็หายไป
   
        “ตะวัน ธีร์ขอโทษ มันไม่แปลกที่ตะวันจะโกรธธีร์แต่ธีร์ขอโอกาสอธิบายได้ไหม”
   
        “อธิบาย?” ปานตะวันริมฝีปากสั่นระริก “กับเรื่องเหี้ยๆ ที่มึงทำทั้งหมดนั่นน่ะเหรอ”
   
        “ใช่...ธีร์กลับมาขอโอกาส มาขออธิบายให้ตะวันเข้าใจว่าเรื่องวันนั้นธีร์ไม่ได้ตั้งใจ ธีร์...ธีร์ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น ธีร์เสียใจจริงๆ ตะวันยกโทษให้ธีร์ได้ไหม” ถ้าธีร์เป็นนักแสดงปานตะวันคงมอบออสการ์ให้เพราะอีกฝ่ายช่างดูอินกับบทที่ตัวเองเล่นเหลือเกิน หน้ากากสำนึกเสียใจที่เลือกมาสวมก็ดูเนียนดี แต่ปานตะวันเคยเผชิญกับธาตุแท้อันต่ำตมของผู้ชายคนนี้มาแล้ว เขาจึงไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหรือแสดงเลยสักอย่าง
   
        “ธีร์ยังรักตะวันอยู่นะ”
   
        รัก? คำนี้อีกแล้วเหรอ
   
        ปานตะวันยืนนิ่ง คนรักเก่าที่เห็นเช่นนั้นก็นึกว่าเขาใจอ่อนแล้วจึงยิ้มหวานแล้วเดินเข้ามาใกล้ ลูบแก้มแล้วสวมกอดเขาอย่างแผ่วเบา
   
        “ตะวันก็ยังรักธีร์อยู่ใช่ไหมล่ะ ธีร์ขอโทษ ธีร์สำนึกผิดแล้ว เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะครับ”
   
        ริมฝีปากของปานตะวันเหยียดออกเป็นรอยยิ้มบิดเบี้ยว “รัก?” ชายหนุ่มพ่นคำๆ นั้นออกมาราวกับมันเป็นคำหยาบคายบาดลิ้น น้ำเสียงของปานตะวันขึ้นจมูกและเย็นชา “ไปเอาความมั่นหน้านั้นมาจากไหนไม่ทราบ แล้วก็อย่ามาแตะตัวกู”
   
         ปึก
   
        ร่างสูงของแฟนเก่าถูกปานตะวันผลักออกเป็นรอบที่สองแถมคราวนี้คนผมน้ำตาลยังกระแทกกำปั้นเข้าที่แก้มของอีกฝ่ายไปหนักๆ หนึ่งที
   
        “ขยะแขยง”
   
        จริงๆ ก็อยากจะตามไปซ้ำมากกว่านี้แต่ปานตะวันรู้สึกหมดแรงขึ้นมา ร่างกายของเขาสั่นระริก ไม่ได้พูดเล่นนะที่ว่าขยะแขยง แค่เห็นหน้าไอ้หมอนี่ชายหนุ่มก็อยากจะหันไปโก่งคออ้วกแล้ว
   
        “ตะวัน...ทำไม”
   
        “รักกูเหรอธีร์? หรือว่ารักเงินของกู? ไม่มีผู้หญิงหรือผู้ชายคนอื่นให้เกาะแล้วล่ะสิถึงซมซานกลับมา” ปานตะวันแค่นหัวเราะ “บอกไว้ก่อนนะว่าตอนนี้กูก็ไม่มีเงินเหมือนกัน ไม่มีอะไรให้มึงปอกลอกแล้วล่ะ แต่ถึงมีก็ไม่ให้ ชีวิตกูดีแล้วที่ไม่มีมึง พูดขนาดนี้ก็รีบๆ ไสหัวไปสักที”
   
        สีหน้าตกใจของธีร์ทำให้ปานตะวันรู้สึกสะใจ อีกฝ่ายเคยชินกับเขาในโหมดว่าง่าย พูดคำไหนก็ทำตามมาตลอด นึกๆ ดูแล้วมันก็เลี้ยงเขาไว้จนเชื่องเหมือนหมาโง่ๆ หนึ่งตัวไม่มีผิด
   
        “อย่ามายุ่งกับกู อย่ามายุ่งกับคนรอบตัวกู ไปให้พ้นๆ จะไปตายที่ไหนก็ไป!”
   
        “ตะวัน ธีร์ขอโอกาสนะ แค่อีกครั้งเดียว ขอให้ธีร์พิสูจน์ตัวเองนะ”
   
        ปานตะวันก้าวถอยหลัง ตอนนี้เขาอยากหายตัวไปจากที่นี่ใจจะขาด ถึงภายนอกจะพูดจาด้วยถ้อยคำร้ายกาจและแสร้งทำเป็นเก่งมากแค่ไหนแต่เขารู้ดีว่าความอ่อนแอภายในมีมากกว่า ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความกล้า
   
        ธีร์เขยิบมาใกล้หนึ่งก้าว ปานตะวันก็ถอยไปหนึ่งก้าว
   
        “ตะวันก็รู้ว่าไม่มีใครรักตะวันเท่ากับธีร์แล้ว ตะวันก็พูดเองด้วยนี่ว่าหาแฟนแบบธีร์ไม่ได้อีกแล้ว”
   
       “ไม่มีใครรักกูเท่ามึง?” ปานตะวันถามเสียงสูง ไหนจะพูดอีกว่าหาคนดีกว่านี้ไม่ได้
   
       ตอนที่เขายังเยาว์กว่านี้ โง่เขลากว่านี้ ปานตะวันก็คิดจริงๆ นั่นแหละ โลกทั้งใบของเขามีแค่ธีร์และปานตะวันในตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร แต่เมื่อมองย้อนกลับไปจากจุดที่เขายืนอยู่ชายหนุ่มก็ได้พบว่าโลกของตนนั้นแคบเพียงใด
   
       เขามาไกลทีเดียวและจะไม่หวนกลับไปอยู่ในกรงคับแคบอีก
   
       “คนที่รักกูมากกว่ามึงมีเยอะแยะไป...และกูหาพวกเขาเจอแล้ว”
   
       ความรักของธีร์เทียบกับราเมศและหนูเจียไม่ได้ด้วยซ้ำ เทียบกับกันต์ไม่ได้ ไม่น่าเสียเวลากับคนแบบนี้เลยจริงๆ
   
       “ลาก่อน อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลยนะ”
   
         “เดี๋ยวตะวัน!”
   
       ธีร์ทำท่าจะตรงเข้ามาคว้าแขนปานตะวันไว้แต่เขาก็ต้องถอยไปเมื่อร่างสูงใหญ่ของราเมศโผล่เข้ามาขวางหน้า สีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มทำให้ธีร์ชะงัก ร่างกายของอีกฝ่ายก็ใหญ่กว่าและสูงกว่าหนุ่มหัวเกรียนเลยจำต้องก้าวถอยหลังด้วยท่าทางไม่เต็มใจ
   
        “คุณลูกค้า” ราเมศเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ร้านของเราปิดแล้วครับ”
   
        “มึงเป็นใคร ถอยไป!”
   
        คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ราเมศเห็นธีร์กับปานตะวันยืนเถียงกันอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนแรกเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกค้าธรรมดาเลยไม่ได้ออกมาพูดอะไร แต่เมื่อผ่านไปเกือบสิบห้านาทีคนทั้งคู่ก็ยังคุยกันไม่เสร็จแถมสีหน้าปานตะวันก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มเลยออกมาจัดการด้วยตัวเอง
   
        นัยน์ตาสีนิลเหลือบไปด้านหลังก็พบว่าปานตะวันยืนหลบอยู่ด้วยสีหน้าโล่งใจ
   
        “ผมเป็นเจ้าของร้าน ขอโทษด้วยนะครับแต่ตอนนี้ร้านเราปิดแล้ว”
   
        นัยน์ตาตี่ๆ ของธีร์ฉายประกายเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง “แล้วใครสนว่าร้านมึงปิดหรือเปิด! กูจะคุยกับปานตะวัน ให้เขามาคุยกูเดี๋ยวนี้”
   
        กับปานตะวัน? พูดเหมือนรู้จักกันมาก่อนเลยแฮะ
   
        ราเมศเก็บความสงสัยไว้ในใจ ตอนนี้เขาต้องไล่ผู้ชายคนนี้ออกไปให้พ้นร้านให้ได้ก่อน “คุณครับ ขอโทษด้วยแต่ตะวันคงไม่อยากคุยกับคุณสักเท่าไหร่ ใช่ไหมตะวัน”
   
       ประโยคท้ายหันไปพูดกับปานตะวัน คนผมน้ำตาลพยักหน้า ราเมศหันกลับมามองธีร์ด้วยสีหน้านิ่งเฉยหากดวงตากลับสื่อความว่า ‘เห็นไหมล่ะ’
   
       “แล้วรู้จักกันเหรอ” ราเมศเอ่ยถามอีก ปานตะวันเม้มริมฝีปากแล้วก็พูดว่า “ก็ไม่เชิงรู้จักครับ”
   
       “ถ้าอย่างนั้นเป็นอะไรกัน”
   
      นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมามองแวบหนึ่งแล้วก็หลบไป ปานตะวันเบียดตัวเข้าหาราเมศ สองมือกำเสื้อชายหนุ่มแน่นคล้ายจะยึดเป็นที่พึ่ง
   
       “ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แค่คนแปลกหน้า”
   
       เท่านั้นเอง

****************************************************

จู่ๆ เนื้อเพลงท่อนหนึ่งก็แวบขึ้นมา Said that we're not lovers, we're just strangers
สงสารตะวันเหมือนกัน น้องดูเหมือนจะรับไม่ไหวมากขึ้นทุกที แถมธีร์ยังเป็นคนกุมความลับของปานตะวันไว้อีก
จากตรงนี้เราจะเห็นกันแล้วว่าธีร์มีผลกระทบในแง่ลบกับปานตะวันหนักมาก แถมยังตื๊ออีก
:hao5: ตอนนี้สภาพจิตใจปานตะวันถือได้ค่อนข้างเปราะบางทีเดียว ปานตะวันจะเป็นยังไง ธีร์จะมาไม้ไหน
แล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามได้ตอนหน้านะคะ อาจจะอัพวันศุกร์ไม่ก็เสาร์นี้ ช่วงนี้ก็จะขยันหน่อยๆ
ฮาาาา ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ พบกันใหม่ตอนต่อไปค่า

ปล. ทุกคนสามารถพูดคุย ติดตามข่าวสารนิยายกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-07-2017 20:24:45
ต้องประมาณว่าเอาตะวันไปขายแทนการใช้หนี้แน่เลย
สงสารตะวันนะ แต่บอกพี่เมศเถอะ เราเชื่อว่าพี่ต้องเขาใจ ตะวันเครียดจนใกล้บ้าเข้าไปทุกที
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 12-07-2017 20:24:57
ตะวันของพี่! ฮรือออ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ไม่ต้องคิดมากนะ ไม่ต้องกลัวนะ
ลืมๆมันไปเลย ไม่ต้องไปคิดถึงมัน ไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปสนใจ!!!
ตะวันมีพี่เมศ มีหนูเจีย มีกันต์อยู่ ทุกคนรักตะวันหมดเลยยย

ธีร์แม่งงงง ออกไปไกลๆตะวันเลย อย่ามาใกล้น้องนะ!!
 :m31:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-07-2017 20:30:48
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 12-07-2017 20:45:23
ตะวันเข้มแข็งนะครับ  พี่เมศจะช่วยให้ผ่านพ้นไปได้จ้า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-07-2017 20:54:38
 :m16: :3125: :m16:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-07-2017 21:28:56
อย่าบอกนะว่าไอ้ชั่วนั่นขายตะวันใช้หนี้อ่ะ ถ้าใช่ก็โคตรชั่วเลยอ่ะ ดีแล้วที่ตะวันรอดจากคนแบบนี้มาได้ แล้วนี่จะกลับมาอีกทำไม ไปแล้วทำไมไม่ไปลับยังจะกลับอีกทำไม ตะวันบอกพี่เมศเถอะเราว่าพี่เมศรับได้นะ แต่ถ้าตะวันไม่บอกเราว่าพี่เมศมีโกรธและน้อยใจแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-07-2017 21:42:01
กลั้นหายใจอ่านเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-07-2017 21:46:38
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 12-07-2017 21:51:22
สงสารตะวัน ธีจะไปตายที่ไหนก็ไปเลย  :katai4: //อินมากกกก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 12-07-2017 23:30:21
สงสารตะวัน มีอะไรคุยกับพี่เมศนะ อย่าเก็บไว้คนเดียว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-07-2017 00:54:50
ดราม่าเบอร์ไหน จะได้เตรียมใจถูก งื้อออ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 13-07-2017 13:31:47
สงสารตะวัน :m15:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-07-2017 14:56:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 13-07-2017 15:09:49
สงสารตะวันจัง :mew2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-07-2017 15:13:24
ตะวันนนน บอกพี่เมศดีกว่า อย่าจัดการด้วยตัวเอง

สู้ ๆ น้าาา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 13-07-2017 19:26:20
 :m31: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 13-07-2017 20:59:23
ตะวัน สู้ สู้ พี่เมศ หนูเจีย อยู่ข้างๆตะวันนะ   :m15:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๓ คนแปลกหน้า (๑๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-07-2017 11:24:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 15-07-2017 19:53:31
ปานตะวัน
บทที่ ๒๔
รอยแผล


         มื้อค่ำระหว่างราเมศกับปานตะวันคืนนี้เงียบเป็นพิเศษเพราะคนที่มักจะเล่านู้นเล่านี้ด้วยน้ำเสียงร่าเริงเสมอวันนี้กลับเงียบขรึม ก้มหน้าก้มตาทานข้าวและเหม่อลอยคล้ายตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง เมื่อทานอาหารเสร็จราเมศก็เป็นฝ่ายเก็บล้าง เขาไล่ปานตะวันไปอาบน้ำและอุ้มหลานชายที่หลับพับคาโซฟาให้เข้านอน
   
        หลังล้างจานเสร็จราเมศก็ตั้งใจว่ากลับบ้านแต่พอคิดถึงท่าทีแปลกๆ ของปานตะวันแล้วเขาก็เปลี่ยนใจค้างที่บ้านเรือนไทย
   
        ดูท่าแล้วคืนนี้พวกเขาคงมีเรื่องคุยกันเยอะทีเดียว
   
        ราเมศพอจะมองออกว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นรู้จักกับปานตะวันและมีเรื่องต้องคุยกัน ท่าทางดึงดันจะเข้าหาทำให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ปานตะวันดูไม่อยากคุยด้วยสักเท่าไหร่ ตอนแรกราเมศตั้งข้อสันนิษฐานว่าเป็นเพื่อนแต่ท่าทางของผู้ชายคนนั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่
   
        เจ้าหนี้หรือ? แต่ชนกันต์เคยบอกว่าเขาช่วยเคลียร์หนี้ให้ตะวันหมดแล้วนี่นา
   
        เด็กน้อยของเขาเองก็ไม่ได้ไปสร้างหนี้สินอะไรเพิ่มแล้วด้วย
   
        ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สมองอันชาญฉลาดเริ่มโยงเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกันทีละเล็กทีละน้อยจนในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าจะเข้าเค้าที่สุดออกมา
   
        แฟนเก่า
   
        ราเมศคิดว่าตัวเลือกนี้มีความเป็นไปได้ที่สุด
   
        ปานตะวันหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงแฟนเก่ามาตลอด มันเป็นหัวข้อเปราะบางที่เจ้าตัวรวมถึงคนใกล้ชิดหลีกเลี่ยง ถ้าราเมศจำไม่ผิดปานตะวันเล่าว่าอีกฝ่ายไปสร้างหนี้สินไว้จำนวนมากแล้วก็หนีหายไปโดยทิ้งปานตะวันเอาไว้คนเดียว เจอแบบนี้เป็นใครก็คงจะเกลียด
   
        แต่ท่าทางของปานตะวันมันมากกว่าความเกลียด คนปกติธรรมดาถ้าอยู่ในอารมณ์เกลียดแฟนเก่าอย่างมากก็จะด่าหรือทำเป็นเมินไปเสีย
   
        แต่ของปานตะวันมันคือการที่ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง ท่าทางยามเผชิญหน้ากันก็ดูเกร็งจนน่าประหลาด แววตาคู่นั้นบอกชัดถึงความตระหนก
   
        เกลียดจนถึงขั้นกลัวผสมปนเปไปกับความโกรธแค้น
   
        นี่เป็นครั้งแรกที่ราเมศเห็นปานตะวันมีอารมณ์ด้านลบรุนแรงถึงขนาดนี้
   
         แผลใจของเด็กคนนั้นต้องลึกสักแค่ไหนกันนะ? แล้วเรื่องในอดีตเป็นมาอย่างไร ตะวันต้องการความช่วยเหลือจากเขาหรือเปล่า เรื่องพวกนี้มานั่งคิดเองเออเองไปก็ไม่ช่วยอะไร สิ่งเดียวที่ทำได้คือเปิดอกคุยกันตรงๆ เท่านั้น
   
         คิดได้ดังนั้นราเมศจึงเดินตรงไปที่ห้องนอน เขาคิดว่าปานตะวันคงนอนเฝ้าเจียหลินอยู่ แต่เมื่อแง้มประตูดูก็พบหลานชายตัวน้อยนอนหลับอยู่บนเตียงคนเดียว ไร้เงาของน้าชายอย่างที่คิดไว้ ราเมศขมวดคิ้วก่อนจะเดินไปดูที่ห้องน้ำก็ไม่พบ
   
        งั้นก็เหลือแค่ที่เดียวที่น่าจะไป
   
        ชานระเบียงกว้างส่องสว่างจากหลอดไฟที่เปิดไว้ สายลมยามค่ำคืนหอบเอากลิ่นดอกราตรีโชยมาให้ชื่นใจ ปานตะวันนั่งอยู่คนเดียวบนระเบียงกว้าง แผ่นหลังและไหล่ที่เคยเหยียดตรงบัดนี้ลู่ลงราวกับเจ้าของมันแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
   
        “ขอนั่งด้วยได้ไหม” เสียงทุ้มของราเมศที่จู่ๆ ก็ดังผ่านความเงียบทำให้คนที่นั่งทอดอารมณ์อยู่ถึงกับสะดุ้ง ปานตะวันหันมามองเขาแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้า ราเมศทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนรัก เขาจำได้ว่าที่นี่เคยเป็นที่ที่เขากับปานตะวันออกมายืนดื่มเบียร์แล้วก็ดูพระจันทร์ด้วยกัน
   
       ชายหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้า วันนี้เมฆครึ้ม ท้องฟ้ามืดสนิท ไร้แสงจันทร์และแสงดาว
   
       “ออกมานั่งทำอะไรตรงนี้” ปานตะวันยังไม่ได้ตอบในทันที อีกฝ่ายเหม่อลอยอยู่พักหนึ่งถึงตอบกลับมาว่า “มานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ”
   
       “เกี่ยวกับเรื่องของผู้ชายที่มาหาที่ร้านเหรอ”
   
        ราเมศไม่ใช่พวกอ้อมค้อม เขาถามเข้าประเด็นทันที ปานตะวันเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคงถึงเวลาต้องคุยกันเลยออกมานั่งเตรียมใจแล้วก็คิดหาคำตอบดีๆ ให้ราเมศ แต่ไม่รู้ทำไมยามนี้ถึงได้เกิดกลัวขึ้นมา
   
        “ก็...ใช่ครับ”
   
        คนรักของเขาก้มหน้า ดวงตาหลุบต่ำทำให้ไม่เห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่ถึงไม่เห็นราเมศก็รู้ว่าปานตะวันใช้ความพยายามมากจริงๆ กับการพูดเรื่องนี้
   
        ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งดึงคนรักให้ขยับมานั่งใกล้กันอย่างนุ่มนวล ปานตะวันทิ้งพิงแผ่นอกกว้าง พอได้อยู่ในอ้อมกอดที่คุ้นเคยหัวใจก็สงบลง
   
        “ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนเก่าใช่หรือเปล่า”
   
        ร่างในอ้อมกอดเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ปานตะวันสูดลมหายใจเข้าก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า “ใช่ครับ”
   
        “คนที่บอกว่าสร้างหนี้ไว้แล้วก็หนีหายไปใช่ไหม”
   
        “ครับ”
   
        ปานตะวันพลิกตัว วาดแขนกอดรอบเอวสอบแล้วก็ซุกหน้าลงกับอกราเมศ คนรักเองก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาโดยอัตโนมัติ
   
        “เขาอยากกลับมาคืนดีเหรอ”
   
       “อื้ม”
   
       เดาไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ ราเมศพ่นลมหายใจออกมาพลางกระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น “แล้วตอบไปว่ายังไง”
   
       “ก็ต้องไม่ตกลงอยู่แล้วสิ”
   
        เจ้าลูกแมวแสบดูฉุนเล็กน้อย เงยหน้ามาสบตาเขาด้วยดวงตากลมโตวาววับ “ใครจะอยากกลับไปหาคนแบบนั้น ถามแบบนี้หมายความว่าไง ไม่เชื่อใจตะวันเหรอ”
   
        “เปล่าสักหน่อย” ราเมศปลอบอย่างใจเย็น “แค่อยากรู้”
   
         พอได้ฟังคำตอบคนที่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อในอ้อมแขนก็สงบลงเล็กน้อย ปานตะวันพึมพำว่าอ้อเสียงเบาแล้วก็ทิ้งตัวลงกอดเขาต่อ เริ่มเข้ามาออดอ้อนคลอเคลียอีกครั้ง
   
        “ปฏิเสธเด็ดขาดใช่ไหม”
   
       “ใช่สิ”
   
       “แล้วทำไมถึงยังไม่สบายใจอยู่อีก”
   
       “ก็ตะวันไม่อยากให้เขาเข้ามายุ่ง ไม่อยากให้เจอกับพี่เมศและหนูเจีย”
   
       ในที่สุดก็สามารถพูดออกไปจนได้ เขานึกถึงสิ่งที่ชนกันต์บอกเอาไว้ว่าให้พูดสิ่งที่อยู่ในใจกับพี่เมศ จะอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัวและมีแค่ปานตะวันที่อธิบายความในใจของตนได้ดีที่สุด
   
       “ไม่อยากให้เขามาเล่าว่าเมื่อก่อนตะวันนิสัยไม่ดีขนาดไหน ไม่อยากให้พวกพี่รู้ด้านแย่ๆ” ยิ่งพูดเสียงยิ่งแผ่วลง ปานตะวันกอดราเมศแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าในนาทีใดนาทีหนึ่งเขาจะผลักตนออก “ตะวันอยากให้หนูเจียจำตะวันว่าเป็นน้าที่ใจดี ยิ้มเก่งแล้วก็รักหนูเจียมากๆ อยากให้พี่เมศจำตะวันในภาพของเด็กดีที่ตั้งใจทำงาน ตั้งใจเรียน ไม่ใช่เด็กที่มีแต่กลิ่นเหล้าทั้งตัว เอาแต่นอนอยู่ในห้องที่เกลื่อนด้วยขวดเหล้าแล้วก็...แล้วก็หลอกเอาเงินจากแม่ไปให้แฟน”
   
      “ตะวัน”
   
       “อย่าเกลียดตะวันเลยนะ...ฮึก...ขอโทษที่เป็นเด็กไม่ดี”
   
        ราเมศไม่รู้ว่าประโยคนั้นปานตะวันพูดกับใคร กับเขา...หรือกับตัวเอง
   
        ปานตะวันน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตัวของตะวันในอดีตจะเลวร้ายแค่ไหน เกเรอย่างไรราเมศไม่สนใจเพราะเขาไม่รู้จักปานตะวันคนนั้น เขารู้จักแต่เด็กตรงหน้าที่มีความพยายามล้นเหลือจนเขาหลงรักคนนี้เท่านั้น
   
       ราเมศเองก็มีอดีตที่ฝังใจ แต่เขาเลือกที่จะก้าวเดินต่อไปและเก็บอดีตนั้นไว้เป็นบทเรียน
   
        ปานตะวันเองก็คงพยายาม...แต่ส่วนหนึ่งของชายหนุ่มยังคงติดอยู่ตรงนั้น...จมอยู่ในอดีต ต้องทำยังไงถึงจะช่วยออกมาได้นะ
   
        “เมื่อก่อนตะวันก็เป็นเด็กไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ” ราเมศพูด ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ “แต่เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน เกิดขึ้นแล้ว จบไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ที่สำคัญปานตะวันที่อยู่ตรงหน้าพี่ก็ไม่ใช่เด็กไม่ดีคนนั้นแต่เป็นปานตะวันคนใหม่ไม่ใช่เหรอ”
   
         อา...เจ้าลูกแมวน้ำตาร่วงผล็อยๆ แล้ว
   
        ราเมศทั้งสงสารทั้งเอ็นดู เขาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
   
        “พี่ไม่สนใจหรอกว่าตะวันเมื่อก่อนจะเป็นยังไง ไม่ว่าแฟนเก่าคนนั้นจะเล่าอะไรมาพี่ก็รับได้ทั้งนั้นแหละ”
   
        “จริงเหรอครับ?”
   
        “จริงสิ”
   
        ปานตะวันเผยอริมฝีปากเหมือนจะพูดบางอย่างออกมาแต่ก็ไม่ได้พูด ชายหนุ่มกอดราเมศแน่นขึ้นแล้วก็เริ่มร้องไห้ จากเสียงสะอื้นแผ่วๆ ก็กลายเป็นหอบสะอื้นจะตัวโยน
   
        ตะวันขอโทษนะพี่เมศ ตะวันยังมีอีกเรื่องที่ไม่บอกพี่
   
         ถึงจะพูดว่ารับได้ก็เถอะ...แต่เรื่องนั้นมันมากเกินไป ตะวันไม่รู้ว่าพี่จะรับได้จริงๆ อย่างที่พูดไหม ตะวันขอโทษ ขอโทษจริงๆ เด็กไม่ดีคนนี้สำนึกผิดกับทุกอย่างที่ทำแล้ว
   
         ขอโทษ ขอโทษจริงๆ
   
         ขอโทษที่บอกไม่ได้ ตะวันไม่อยากให้อดีตของตะวันย้อนกลับมาทำร้ายพี่ ทำร้ายหนูเจีย
   
        ความผิดพลาดและผลที่ตามมา...ปานตะวันจะเป็นผู้รับมันไว้ทั้งหมดเอง
   
        “ฮึก...แค่กๆ”
   
        ปานตะวันร้องไห้จนสำลัก ไม่ได้ร้องจนหน้าดำหน้าแดงแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกยังไงก็ไม่รู้
   
       “ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ” ราเมศลูบหลังคนรักไปพลางเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายไปพลาง เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ถึงนิสัยจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้นแต่ปานตะวันก็ยังคงมีส่วนที่เป็นเด็กน้อยอยู่ด้วย มุมที่ขาดความรักและโหยหาการเอาใจใส่ มุมที่เอาแต่ใจและดื้อดึงเล็กๆ
   
        ปานตะวันเอาเสื้อเขามาเช็ดน้ำตาเฉยเลยแต่ราเมศก็แค่ยิ้มๆ
   
        ชายหนุ่มประคองแก้มคนรักแล้วก้มลงแตะริมฝีปากลงที่เปลือกตาทั้งสองข้างเป็นการปลอบประโลม
   
       ราเมศกอดปานตะวันนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งจนคนในอ้อมแขนหยุดร้องไห้เขาจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ดีขึ้นหรือยัง”
   
       “นิดหน่อยแล้วครับ” เสียงที่ตอบกลับมาอู้อี้ “ร้องไห้จนปวดตาไปหมดเลย”
   
       “งั้นกลับไปนอนไหม”
   
       ปานตะวันพยักหน้าแต่ยังไม่ยอมลุก ทำตัวเป็นลูกลิงให้ราเมศอุ้มกระเตงไปถึงห้อง
   
        “คืนนี้ค้างไหม” ปานตะวันคว้าชายเสื้อเขาไว้ตอนที่ราเมศปล่อยให้อีกฝ่ายลงยืน “ถ้าค้างผมจะได้ปูฟูก” ถึงจะถามคำถามให้เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจแต่แววตาที่มองมากลับสื่อว่า ‘ค้างนะ ค้างที่นี่นะพี่เมศ นะๆๆๆ’
   
         ขนาดนี้แล้วราเมศจะไม่ตามใจอีกฝ่ายได้ยังไง
   
         “ค้าง เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน”
   
        “อื้อ”
   
        ปานตะวันเดินไปหยิบฟูก หมอน และผ้าห่มออกมาจากตู้เก็บของในห้องส่วนราเมศก็ตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดของตนออกมา เขามาค้างที่นี่บ่อยเสียจนในห้องน้ำมีแปรงสีฟันของเขาส่วนในตู้เสื้อผ้าของที่นี่ก็มีชุดของเขาเก็บอยู่ จะว่าไปพักหลังชีวิตเขาวนเวียนกับบ้านเรือนไทยมากกว่าบ้านตัวเองเสียอีก บางทีราเมศมาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเดือนเลยก็มี เขาจะกลับไปทำความสะอาดบ้านตัวเองช่วงเย็นๆ แล้วก็เดินกลับมา
   
       จริงๆ ก็แอบคิดนะว่าถ้าจะอยู่ที่นี่บ่อยกว่าอยู่บ้านตัวเองแบบนี้...บ้านหลังตรงข้ามก็น่าจะขายทิ้งไม่ก็ปล่อยให้เช่าไปเลย
   
       นี่ไม่ใช่หนแรกที่เขาคิดเรื่องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเรือนไทยแบบถาวรแต่เห็นปานตะวันไม่พูดอะไรราเมศเลยคิดว่าอีกฝ่ายสะดวกใจในแบบที่เป็นอยู่มากกว่าอยู่ตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมง
   
       “พี่เมศ”
   
       ราเมศสะดุ้งน้อยๆ พอได้ยินเสียงปานตะวันเขาถึงได้รู้ตัวว่าตนนั่งเหม่ออยู่หน้าตู้เสื้อผ้ามาตั้งนาน ปานตะวันตอนนี้ปูฟูกเสร็จแล้วและกำลังทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน
   
       “มีอะไรเหรอ”
   
       “พี่คิดว่า...” ปานตะวันเม้มริมฝีปาก ท่าทางลังเลอยู่นานก่อนจะเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา...แต่เพราะภายในห้องไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศราเมศจึงได้ยินชัดเจน “ห้องนี้แคบเกินไปสำหรับสามคนหรือเปล่า”
   
        ราเมศคงเผยสีหน้างุนงงออกไปชัดเจนปานตะวันเลยอธิบายเพิ่ม
   
        “ผมว่าห้องนี้อาจจะเล็กไปสำหรับสามคนก็ได้ นอนพื้นบ่อยๆ จะปวดหลังเอาใช่ไหมล่ะ ถ้าพี่เมศ...จะย้ายมาเราอาจจะต้องมีการปรับปรุงห้องนิดหน่อย” พูดจบปานตะวันก็หันไปสบตาคนรัก วิธีพูดของเขาเป็นการบอกใบ้กลายๆ ว่าอยากให้ราเมศย้ายมาอยู่ด้วยกัน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวแล้วว่าจะตอบรับอย่างไร
   
        ราเมศนิ่งอยู่นานจนปานตะวันใจแป้ว
   
       “แต่ว่าถ้ามันไม่สะดวกก็ไม่...”
   
        “พี่คิดว่าถ้าอยากได้ห้องกว้างๆ เราน่าจะทุบห้องนอนแขกอีกสองห้องมารวมกัน” ราเมศพูดขัดปานตะวัน เป็นประโยคที่ทำให้คนฟังใจเต้นแรง “แต่พอโตแล้วเดี๋ยวหนูเจียก็ต้องแยกห้อง เก็บห้องนี้ไว้ให้เขาน่าจะดี ตอนนี้เรายังต้องนอนกับเขา พี่ว่าถ้าเราไม่อยากนอนพื้นก็ซื้อเตียงใหม่ก็ได้พื้นที่ในห้องจะลดลงแต่ว่าก็ไม่ได้ถึงขั้นทำอะไรไม่สะดวก”
   
        “อะ..อื้อ”
   
        “แล้วก็บ้านอีกหลังพี่ว่าจะปล่อยให้เช่า คงต้องรัดกุมเรื่องผู้เช่าหน่อยแต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ”
   
        ปานตะวันพยักหน้ารับ ในขณะที่ราเมศเริ่มพูดไปเรื่อยๆ ถึงแผนการใช้เงินในอนาคต การทำบัญชีครอบครัวและอื่นๆ อีกมากมาย ลามไปจนถึงค่าใช้จ่ายของเจียหลินตอนเข้ามหาลัย
   
        ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ปานตะวันรู้ว่าผู้ชายคนนี้วางแผนในการอยู่ร่วมกันมานานแล้ว
   
        “แล้วก็ต้องคิดเรื่องค่าเรียนพิเศษ...หือ...ตะวันเป็นอะไรหรือเปล่า” ราเมศเอ่ยอย่างแปลกใจเมื่อปานตะวันขยับมากอดเขาเอาไว้จากด้านหลัง หน้าผากมนซบลงที่แผ่นหลังกว้าง
   
        “เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร” ปานตะวันพึมพำ
   
        “ก็แค่คิดว่า...ได้วางแผนอนาคตร่วมกันแบบนี้แล้วมันดีจริงๆ”
   
        ‘การวางแผนสำหรับอนาคต’ ราเมศพบว่าหัวข้อนี้มีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิด การได้พูดมันออกไปทำให้เขาได้เข้ามาอยู่ในบ้านเรือนไทยร่วมกับสองน้าหลานอย่างเป็นทางการ ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านเรือนไทยอีก และเพราะการย้ายบ้านค่อนข้างวุ่นวาย ปานตะวันกับราเมศตกลงกันว่าจะขนย้ายข้าวของกันเองทำให้กินเวลาและกินแรงค่อนข้างนาน รวมถึงหลังย้ายเข้ามาพวกเขาก็ต้องช่วยกันทำความสะอาดบ้านหลังเดิมของราเมศเพื่อเตรียมปล่อยให้เช่า เริ่มพูดคุยถึงการตกแต่งบ้านเรือนไทยใหม่ มีเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นที่ต้องซื้อเพิ่ม จัดการสวนแล้วก็พูดคุยเรื่องการเก็บเงินก้อนหนึ่งไว้ให้หนูเจีย
   
        เรื่องมากมายที่มีให้จัดการในช่วงนี้ทำให้ปานตะวันเลิกคิดเรื่องแฟนเก่าที่ราเมศมารู้เอาทีหลังว่าชื่อธีร์ไปได้ ตัวเขาถูกหัวข้อการย้ายบ้านเบี่ยงเบนความสนใจไปอย่างสมบูรณ์ พอเลิกกังวลสุขภาพจิตก็ดีขึ้น ชนกันต์ที่แวะมาหายังมาแอบกระซิบกับราเมศว่าช่วงนี้สีหน้าท่าทางของปานตะวันดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
   
        ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้คนดีใจที่สุดก็ย่อมไม่พ้นตัวราเมศเอง พอถึงช่วงวันเสาร์ที่ปานตะวันได้หยุดชายหนุ่มจึงพาคนรักไปเดินห้างเพื่อซื้อของเข้าบ้านต่อจากนั้นก็แวะไปดูเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
   
        “พี่เมศ ตู้แบบนี้ดีไหม”
   
        ปานตะวันที่กำลังจดๆ จ้องๆ ตู้ไม้ใบหนึ่งส่งเสียงเรียกราเมศ  ชายหนุ่มที่ยืนมองลิ้นชักสีฟ้าลายหนูแฮมสเตอร์ตัวกลมอยู่กับหลานชายจึงจูงมือหนูเจียเดินมาตามเสียงเรียก
   
        ตู้ที่ปานตะวันให้ความสนใจอยู่เป็นตู้ไม้สักสำหรับวางหนังสือ ประตูตู้เป็นกระจกใส ขนาดค่อนข้างใหญ่ ปานตะวันคะเนแล้วน่าจะใส่หนังสือของราเมศได้หมด
   
        “ตั้งไว้ในห้องนั่งเล่นก็ดีนะ” ราเมศเองก็เห็นด้วย ชายหนุ่มเลยก้มลงยิ้มให้หลานชายที่ยืนเกาะขากางเกงอยู่พลางถามความเห็นสมาชิกคนสุดท้ายในบ้าน “หนูเจียว่าไงครับ ชอบไหม?”
   
        เจียหลินเอียงคอ ในสายตาเด็กน้อยแล้วตู้ไม้แบบนี้ดูจืดชืดน่าเบื่อ สู้ตู้สีสันสดใสเหมือนลูกกวาดหรือตู้หลายการ์ตูนอีกฝั่งก็ไม่ได้ เด็กน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าวืด “หนูเจียไม่ชอบตู้นี้”
   
        “แล้วหนูเจียชอบตู้ไหนครับ” ปานตะวันถาม นิ้วชี้ป้อมๆ ของเจียหลินชี้ไปที่ตู้ลิ้นชักสีเหลืองอ๋อยลายหมีพูห์แล้วก็พูดว่า “หนูเจียชอบแบบนั้นคับ!”
   
        ราเมศกับปานตะวันหัวเราะขึ้นพร้อมกัน พวกเขาลูบหัวหนูเจียกันคนละทีแล้วก็ตกลงกันว่าจะเอาตู้ใบนี้แหละเป็นตู้ใส่หนังสือ ราเมศเช็คดูราคาแล้วก็ไปติดต่อกับพนักงานส่วนปานตะวันก็จูงหลานชายไปดูของอย่างอื่นต่อ เมื่อราเมศทำธุระเสร็จพวกเขาก็เตรียมตัวกลับบ้าน ส่วนตู้ไม้ที่เพิ่งสั่งซื้อทางร้านจะนำมาส่งให้ทีหลัง
   
       ตลอดทางกลับภายในรถเต็มไปด้วยเสียงร้องเพลงของหนูเจียและปานตะวัน ราเมศอมยิ้ม รู้สึกโล่งใจที่คนรักกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง แต่บรรยากาศดีๆ ก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อคนทั้งคู่มองเห็นร่างคุ้นตายืนดักรออยู่ที่หน้าบ้านเรือนไทย
   
       “นั่นมัน...” ปานตะวันขมวดคิ้ว ท่าทางเคร่งเครียด รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า ฝ่ายราเมศเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 15-07-2017 20:03:11
        ธีร์ที่เห็นรถกระบะคุ้นตาขับเข้ามาใกล้ก็จำได้ทันทีว่าเป็นรถของราเมศ คืนนั้นที่ร้านอาหารหลังจากทะเลาะกับปานตะวันเสร็จเขาก็กลับไปขึ้นรถแล้วขับหนีออกไป แต่ชายหนุ่มไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงวนเวียนอยู่แถวนั้นรอจนอดีตคนรักเลิกงานจากนั้นก็แอบสะกดรอยตามมาจนถึงบ้านใหม่หลังนี้
   
       วันนี้เขาตั้งใจจะมาพบปานตะวัน ตอนเช้าไปหาที่ร้านแต่ก็ไม่เจอจึงย้อนกลับมาที่นี่ก็ไม่เจออีก ธีร์ตัดสินใจยืนรอหน้าบ้าน ไม่ว่ายังไงวันนี้เขาก็ต้องคุยกับปานตะวันให้ได้
   
      “เอาไงดีตะวัน” ราเมศเห็นอีกฝ่ายขยับตัวหันหน้ามาทางรถแล้ว ชายหนุ่มยังไม่ปลดล็อกประตูรถ ทั้งสองฝ่ายนิ่งเพื่อจ้องดูท่าทีกันและกัน สุดท้ายก็เป็นปานตะวันที่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
   
      “หนูเจียครับ ปีนไปเบาะหลังเร็ว แล้วก็อย่าเพิ่งเปิดประตูรถออกไปจนกว่าน้าเมศจะบอก เข้าใจไหม” เจียหลินแม้ไม่เข้าใจแต่ก็ยอมทำตามที่บอกแต่โดยดี ปานตะวันปลดเข็มขัดนิรภัยออกแต่ยังไม่ทันได้เอื้อมมือไปเปิดประตูมือใหญ่ของราเมศก็จับข้อมือเขาเอาไว้ก่อน
   
       “จะทำอะไร” นัยน์ตาสีนิลสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของคนรัก ปานตะวันส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วงครับ ไม่ได้จะทำอะไรรุนแรงหรอก แค่จะลงไปเปิดประตูรั้ว”
   
       “แล้วต่อจากนั้น?”
   
       “ก็อาจจะคุยกันนิดหน่อย พี่เมศพาหนูเจียเข้าบ้านไปก่อนเลย”
   
       ราเมศยังคงลังเลด้วยความเป็นห่วงแต่เพราะปานตะวันเลื่อนมือมาบีบกระชับฝ่ามือเขาเบาๆ เป็นเชิงให้ไว้ใจชายหนุ่มจึงยอมพยักหน้าตกลง เขาเฝ้ามองปานตะวันก้าวลงจากรถ แน่ล่ะว่าธีร์พอเห็นปานตะวันก็ปรี่เข้ามาทันที คนรักของเขาเบี่ยงตัวหลบมือของอีกฝ่ายอย่างว่องไว ไม่ยอมให้ธีร์ถูกเนื้อต้องตัวเด็ดขาด
   
       ปานตะวันเปิดประตูรั้วก่อนจะหันมาส่งสายตาให้ราเมศขับรถเข้าไป จากนั้นเขาก็เลื่อนประตูรั้วปิดอย่างรวดเร็ว กั้นสายตาธีร์ออกจากโลกของเขา
   
        เมื่อประตูรั้วปิดสนิทปานตะวันก็พ่นลมหายใจออกมา ชายหนุ่มเอนหลังพิงประตูรั้ว ยกมือกอดอกแล้วจับจ้องคนรักเก่าด้วยสายตามั่นคงกว่าเดิม
   
        การได้พูดคุยกับราเมศถึงเรื่องธีร์ทำให้ปานตะวันมีความกล้ามากขึ้น แผลใจของเขายังไม่หายไปและชายหนุ่มก็ยังรู้สึกผิดที่ปกปิดความลับอีกอย่างไว้จากราเมศ แต่บัดนี้ทั้งสองสิ่งกลับไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนอย่างตอนแรกอีกแล้ว แน่ล่ะว่าความกลัวยังอยู่ เพียงแต่พวกมันลดน้อยลง
   
        “แล้วต้องการอะไร” ปานตะวันเปิดฉากยิงคำถาม ธีร์ที่ได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก “ไม่ต้อนรับแฟนเก่าขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
        “กับคนอย่างมึงนี่จำเป็นด้วยเหรอ มาทำไมที่นี่ ไสหัวไป ไม่ต้อนรับ”
   
        ถ้อยคำห้วนสั้นไม่รักษามารยาททำให้ธีร์โกรธ แต่ครั้งนี้เขาคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเดิม ชายหนุ่มไม่ได้อาละวาดโวยวาย เขาเพียงแต่ยืนนิ่งๆ แล้วก็พูดต่อ
   
       “แค่อยากมาดูว่าตอนนี้ตะวันเป็นยังไงหลังจากไม่มีธีร์”
   
       “ก็ดีกว่าตอนมีมึงเยอะ ไม่เห็นเหรอ” ปานตะวันยักไหล่ ท่าทางยียวน
   
       “นั่นสินะ น่าอิจฉาจริงๆ เลย”
   
        ธีร์เหยียดยิ้ม นี่ไม่ใช่ภาพที่เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นจากคนรักเก่า การที่ธีร์กลับมาหาปานตะวัน...ก็เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายพูดใส่หน้าไว้ตอนแรก
   
        ไม่มีคนอื่นให้เกาะแล้ว
   
        คู่ขาคนอื่นๆ ไม่ว่าจะหญิงหรือชายถ้าไม่สลัดเขาทิ้งก็สิ้นเนื้อประดาตัวด้วยกันหมด ตอนนี้ธีร์กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินอย่างหนัก หลังจากเลิกกับปานตะวันไปเขาก็หายเข้ากลีบเมฆ ทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ แต่สันดานแย่ๆ ยังไงก็แก้ไม่หาย หลังจากย้ายที่อยู่และเก็บตัวเงียบจากเจ้าหนี้เดิมสักพักธีร์ก็เริ่มกลับมากินเหล้าและเล่นการพนันใหม่ เงินจากแฟนคนอื่นถูกละลายไปกับสองสิ่งนี้ไม่ต่างกับตอนอยู่กับปานตะวัน เมื่อเงินจากคู่ขาไม่พอธีร์ก็เริ่มกู้ยืมเงิน แต่คราวนี้ไม่เหมือนคราวปานตะวัน คนอื่นไม่ได้โง่ให้เขาหลอก ถ้าไม่ไหวตัวทันว่าถูกแมงดาเกาะแล้วทิ้งไปก่อนจะหมดตัว คนอื่นๆ ก็ล้วนใช้วิธีเดียวกับเขา
   
        หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
   
       ธีร์เริ่มเคว้งคว้าง เขาไม่มีทางรับมือกับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นได้ทัน สุดท้ายเมื่ออับจนหนทางชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นในห้วงความคิด
   
       ‘ปานตะวัน’
   
       กระเป๋าเงินที่ดีที่สุดสำหรับเขา
   
       ปานตะวันเป็นแฟนที่ธีร์คบด้วยนานที่สุด เรื่องนิสัยก็ส่วนหนึ่ง อีกฝ่ายโหยหาความรักดังนั้นจึงควบคุมง่าย แค่ป้อนคำหวาน ทำเป็นป้อยอหน่อยก็ตกเป็นลูกไก่ในกำมือ ขออะไรก็สรรหามาให้เกือบทุกอย่าง เขาไม่รู้ว่าช่วงเวลาเกือบสองปีที่หายไปปานตะวันจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่ธีร์เชื่อว่าโดยเนื้อแท้แล้วอีกฝ่ายก็ยังเป็นคนเดิม เขาคิดง่ายๆ ว่าต่อให้ตะวันจะโกรธสักแค่ไหนแต่ถ้าเขาทำดีและขยันพูดคำรักกล่อมอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเอง
   
        แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้ว่าตัวเองพลาดไปก็คือเมื่อกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง ปานตะวันในตอนนี้ไม่ใช่คนอ่อนต่อโลกที่ต้องการความรักอย่างหน้ามืดตามัวคนนั้นอีกแล้ว เหมือนกับว่าชายหนุ่มถูกเติมเต็มเรียบร้อย ท่าทีที่แสดงออกต่อเขาจึงมีแต่ความโกรธแค้นหาได้มีความเสียใจเสียดายอยู่ในนั้นไม่
   
       ปานตะวันพูดถูก ชีวิตของอีกฝ่ายตอนนี้ดีกว่าตอนที่มีธีร์เยอะดังนั้นธีร์จึงอิจฉา...อิจฉาที่คนซึ่งเคยอยู่ในสถานะต่ำกว่าเขาวันนี้พอสลัดหลุดออกไป แทนที่จะอยู่ไม่ได้หรือกระเสือกกระสนอยากให้เขากลับมามันกลับมีชีวิตที่ดีพร้อม มีบ้าน มีเงิน มีรถ มีทุกสิ่งที่เขาไม่มี!
   
       ชายหนุ่มรู้สึกอิจฉาและเจ็บแค้นจนหัวใจแทบมอดไหม้
   
        ดูท่าแล้วแผนการคงไม่สำเร็จลงโดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อปานตะวันมีคนใหม่แล้ว ไอ้ผู้ตัวโตหน้าดุคนนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นมัน เสร่อมาขวางหน้า!
   
        “มีบ้าน มีรถ ไม่ต้องทนในห้องเช่าแคบๆ ดีใช่ไหมล่ะ”
   
        “ดี”
   
       “ไหนจะมีแฟนใหม่แล้วอีก ไวจังเลยนะ”
   
       “ก็ไม่รู้จะเสียเวลาให้กับคนเลวๆ อย่างมึงไปอีกทำไม”
   
       ธีร์กำหมัดแน่น ขบฟันกรอดส่วนปานตะวันก็ตั้งป้อมระแวงเต็มที่ ถ้าธีร์จะทำร้ายร่างกายเขาปานตะวันก็พร้อมจะลงมือกลับทันที
   
       “ไม่รักธีร์แล้วใช่ไหม” เขาตัดสินใจยิงคำถามนี้ออกไป ปานตะวันที่อยู่ตรงหน้าไม่แสดงท่าทีหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
   
       “ไม่ได้รักแล้ว ไม่สิ ไม่ได้รักมาตั้งแต่แรกแล้ว ระหว่างเรามันคือความหลง”
   
        ประโยคนั้นหนักแน่นมั่นคง แผนการดึงปานตะวันกลับมาโดยทำให้อีกฝ่ายหันมารักเขาเหมือนเดิมดูจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
   
        “ไม่มีโอกาสครั้งที่สองแล้วใช่ไหม”
   
        “มึงอยากได้อะไรธีร์ เงินเหรอ คราวนี้ไปติดหนี้ไว้เท่าไหร่ล่ะ สามหมื่น? ห้าหมื่น? รู้อะไรไหม ไม่ต้องมายุ่งกับกูหรอก กูไม่ให้มึง แม้แต่สตางค์เดียวก็ไม่มีให้”
   
        ปานตะวันเหยียดยิ้ม หันหลังไปเปิดประตูรั้วเตรียมเดินเข้าบ้าน หนุ่มตี๋ตรงไปคว้าไหล่อีกฝ่ายไว้ทันที ปานตะวันที่ถูกแตะตัวสะบัดไหล่ออกแล้วหันหน้ามาซัดหมัดใส่อีกฝ่ายเข้าที่จมูกเต็มๆ ธีร์เซถอยหลัง จมูกเจ็บแปล็บก่อนจะเริ่มชาแล้วก็ปวดหนึบ พอเอามือออกก็พบว่ามีของเหลวสีแดงติดมือมาด้วย
   
        “อ้าว จมูกจริงเหรอ กูนึกว่ามึงทำดั้งมา อะไรวะคิดว่าจะได้ต่อยคนจนจมูกเบี้ยวซะอีก” ถ้อยคำจิกกัดนั้นทำให้เส้นความอดทนขาดผึง ธีร์สบถคำหยาบคายมากมาย เขาพุ่งเข้ามาพลางเงื้อหมัดขึ้น เตรียมจะชกปานตะวันให้หน้าหันแต่ทันใดนั้นปานตะวันก็ถูกดึงหลบไป หมัดของธีร์พลาดเป้า ร่างกายของเขาเสียสมดุลจนเซไปด้านหน้า จังหวะนั้นเองที่ใครบางคนคว้าข้อมือเขาไว้แล้วจับพลิกไขว่ไปด้านหลัง ทั้งตัวถูกกดติดกำแพงด้วยแรงมหาศาล
   
        กร๊อบ
   
       “อ๊ากกก”
   
       ธีร๋ร้องลั่นเมื่อนิ้วมือของตนถูกจับแล้วกดแรงๆ ราวกับคนทำต้องการจะหักนิ้วของเขาทั้งหมด!
   
       “ไอ้เหี้ย ปล่อยสิวะ ไอ้สัตว์ สารเลว!”
   
        “มึงด่าตัวเองทำไมกัน” ปานตะวันแสยะยิ้ม เดินมากระซิบข้างหูเขาและเพราะปานตะวันอยู่ตรงหน้านี่เองทำให้ธีร์รู้ว่าคนที่จู่มโจมเขาเป็นคนอื่น
   
        ใคร!
   
        ปึง
   
        ศีรษะของเขาถูกกระแทกเข้ากับกำแพง เลือดสดๆ ไหลออกมาจากแผลแตก จากนั้นก็มือแข็งแรงราวคีมเหล็กคู่หนึ่งก็เลื่อนมาที่ลำคอแล้วบีบแน่น ธีร์สำลัก อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงเต็มที่แต่บีบๆ คลายๆ ราวกับหยอกล้อ เป็นการทรมานที่ไม่สิ้นสุด
   
        “เก็บเลยไหม” เสียงแหบห้าวไม่คุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง คงเป็นคนที่จับเขาไว้ ไม่ใช่ราเมศแน่ๆ พอได้ยินคำว่า ‘เก็บ’ ธีร์ก็ตาเหลือก ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ดูจากการลงมือแล้วน่าจะเอาจริง
   
        “ทำแบบนั้นจะยุ่งยากเกินไปน่ะสิครับ ช่างเถอะ ปล่อยไป”
   
       “ปล่อย? แบบนั้นจะไม่สร้างปัญหาที่หลังหรือครับ”
   
        เสียงที่ไม่คุ้นดังขึ้นอีก คนพวกนี้มีกี่คนกันแน่! แล้วปานตะวันไปรู้จักได้ยังไง
   
        “ช่างมันเถอะ เจอแบบนี้ไปคงไม่กล้าโผล่หัวมาอีกแล้ว”
   
         จบประโยคนี้แรงมหาศาลที่ล็อกตัวเขาอยู่ก็หายไป ธีร์อ้าปากหอบหายใจ ร่วงลงไปกองกับพื้น หน้าผากมีแผลแตกเลือดกำเดาก็ยังไหลไม่หยุด สองแขนชาหนึบไม่อาจขยับจากการถูกจับไพล่หลัง สภาพตอนนี้ดูไม่ได้เลยจริงๆ
   
         ชายหนุ่มพลิกตัวกลับมาก็เห็นเงาคนสองคนค้ำหัวอยู่ เขามองหน้าพวกนั้นไม่ชัดเพราะแสงที่ส่องย้อนมาแต่ธีร์จำน้ำเสียงโหดเหี้ยมที่กระซิบอยู่ใกล้ๆ ได้เป็นอย่างดี
   
        “ไสหัวไป อย่าให้กูรู้ว่ามึงโผล่มาแถวนี้อีก ไม่อย่างนั้นกูจะหักกระดูกมึงเป็นท่อนๆ จำใส่หัวไว้ซะ” ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายยังสาธิตด้วยการจับข้อมือเขาขึ้นแล้วก็บิด ธีร์กรีดร้องจนเสียงแหบกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ผู้ชายแปลกหน้าคงเล่นสนุกกับเขาอีกนานถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ เสียงปริศนาที่สองพลันแทรกขึ้นมาว่า
   
       “พอแล้วครับ”
   
        เท่านั้นเองชายคนนั้นก็ถอยกลับออกไป ธีร์กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน สายตาของเขาพร่าเบลอไปหมดแต่ยังมองเห็นชายแปลกหน้าได้ชัด พวกมันมีกันสองคน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ หน้าดุ มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าในขณะที่คนข้างๆ ตัวเล็กกว่า เส้นผมสีดำกับนัยน์ตาสีนิลอมโศก ท่าทางของทั้งคู่ดูแล้วไม่เหมือนอันธพาลข้างถนน สีหน้าว่างเปล่าเย็นชา แต่เมื่อธีร์ขยับเข้าใกล้ปานตะวันก้าวหนึ่งชายหน้าโหดก็ขยับเข้ามาขวางด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
   
        ธีร์รีบถอยออกมา เขาไม่สู้ ไม่ไหวหรอกกับคนแบบนี้
   
        เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ตะโกนพูดกับปานตะวันทั้งๆ อย่างนั้น
   
        “มึงจำเอาไว้เลยนะ มึงทำกูเท่าไหร่กูจะคืนกลับไปเป็นสิบเท่า!” เขาก้าวถอยหลัง เดินหนีจากไปแต่ก้าวไปได้ประมาณสองก้าวก็หยุดแล้วหมุนตัวกลับมา แผนการบางอย่างวาบขึ้นในหัว ธีร์แสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม
   
        “รักมันมากเหรอตะวัน ไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะ แล้วมันรักมึงได้เท่าที่มึงรักมันหรือเปล่า รับได้เหรอกับเรื่องสมัยก่อนของมึง รับได้เหรอกับแฟนที่เคยติดเหล้าติดการพนัน รับได้เหรอกับเรื่อง ‘สกปรก’ ที่เคยทำไว้”
   
        คำว่าสกปรกที่ธีร์เน้นย้ำทำให้ปานตะวันสะดุ้ง
   
        “เล่าให้มันฟังหรือยังล่ะกับเรื่องทั้งหลายแหล่ที่มึงทำไว้น่ะปานตะวัน ถ้ายัง...ก็แน่ใจเหรอว่าเมื่อถึงวันที่มันรู้ความจริงแล้วมันจะยังอยู่ข้างมึง”
   
        ธีร์พูดไว้เท่านี้ เขาหย่อนระเบิดลูกโตทิ้งท้ายแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเงาหลังคนคนนั้นหายลับไปชายร่างยักษ์ที่บังตัวปานตะวันก็ถอยออก ท่าทางข่มขวัญเมื่อครู่หายไปจนหมด
   
        “คุณโอเคนะ” หนุ่มผมดำที่อายุดูไล่เลี่ยกับปานตะวันเดินเข้ามาหาพลางแตะแขนเขาเบาๆ ปานตะวันที่ยืนเหม่อโดยมีประโยคของธีร์วนเวียนอยู่ในสมองสะดุ้งเฮือกเหมือนโดนไฟช็อต หนุ่มผมดำคนนั้นจึงชักมือกลับแล้วกล่าวขอโทษเบาๆ ด้วยท่าทางสุภาพ
   
       “ไม่ๆ ไม่ต้อวขอโทษหรอก ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ปานตะวันก้มหัวให้คนผมดำแล้วก็ยกมือไหว้ชายหน้าโหดที่มีแผลเป็น
   
      “เรื่องเล็กน้อย” อีกฝ่ายกล่าว หนุ่มผมดำนัยน์ตาโศกส่งถุงกระดาษมาให้ปานตะวันสองถุง ด้านในเป็นกล่องใส่ขนมไทยจำพวกทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น ส่วนอีกถุงมีกล้วยบวชชีกับบัวลอยมัดมาอย่างละสามถุง “นี่หลงฝากมาให้ครับ”
   
       “อ๋อ ลำบากพวกคุณแล้ว ขอบคุณมากนะครับทั้งเรื่องขนมแล้วก็เรื่องผู้ชายคนเมื่อกี้ด้วย”
   
        เมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองจะโดนต่อยเสียแล้ว แต่โชคดีที่คนทั้งคู่โผล่มาช่วยไว้ทัน สองคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของหลง ปานตะวันเคยเจอบ้างสองสามครั้ง ตอนแรกเขาตกใจที่เพื่อนอายุเท่ากันและท่าทางดูธรรมดาคนนั้นถึงกับต้องมีบอดี้การ์ดส่วนตัว หลงพูดแค่ว่าเหตุการณ์หลายๆ อย่างบีบให้ต้องเป็นแบบนั้นไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม
   
       ปานตะวันเคยเจอหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองอยู่บ้างแต่ไม่ได้สนิทกัน เรียกว่าไม่เคยพูดกันเลยน่าจะถูกกว่า
   
       “เขาสร้างความลำบากให้คุณหรือเปล่าครับ”
   
       ปานตะวันยิ้มเจื่อน เอาจริงๆ ถ้าเป็นเขาเจอเข้าไปแบบเมื่อกี้ก็คงไม่กล้าโผล่มาวอแวแล้ว แต่ประโยคทิ้งท้ายที่ธีร์พูดทำให้เขาไม่แน่ใจ
   
       “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
   
       “เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกได้นะครับ หลงเป็นห่วงคุณ เขาเห็นคุณดูไม่ค่อยสบายใจก็เลยกังวล” ได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา ปานตะวันยิ้มให้ทั้งคู่แล้วก็พูดว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ฝากขอบคุณหลงด้วยแล้วก็บอกเขาว่าตอนนี้สบายดีแล้ว จะกลับไปตั้งใจทำงาน”
   
        คนผมดำพยักหน้า คลี่ยิ้มบางเบามาให้หนึ่งที
   
        “เอ่อ พวกคุณจะเข้าไปกินน้ำในบ้านก่อนไหมครับ หิวหรือเปล่า”
   
        “ไม่เป็นไรครับ เราจะกลับกันแล้ว”
   
        ว่าจบบอดี้การ์ดทั้งสองก็กล่าวลา ปานตะวันยืนส่งคนทั้งคู่ไปจนลับสายตา ก่อนที่เขากำลังจะเข้าบ้านชายหนุ่มอดมองกลับไปทางที่ธีร์หายตัวไปไม่ได้ ในใจเกิดความรู้สึกหวั่นเกรง
   
       ไม่รู้ว่าธีร์พูดเล่นหรือเอาจริง...แต่เรื่อง ‘สกปรก’ ในอดีตนั้นได้โปรดอย่าให้มีใครขุดคุ้ยมันขึ้นมาเลย
   
       พอกลับเข้ามาในบ้าน ราเมศก็ตรงเข้ามาถามไถ่ทันที
   
       “เขาทำอะไรตะวันหรือเปล่า”
   
       “เปล่าครับ” ปานตะวันส่ายหน้า “แค่มาคุยด้วยเฉยๆ”
   
       “แล้วคุยอะไรกัน”
   
       ปานตะวันเหลือบตามองหนูเจีย เด็กชายหันมองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้วด้วยท่าทางสงสัย ถึงจะยังเด็กแต่หนูเจียฉลาดมาก ปานตะวันไม่อยากให้หลานมารับรู้เรื่องนี้เขาจึงเดินพูดกับเด็กน้อยว่า
   
       “เดี๋ยวน้าตะวันกับน้าเมศจะเข้าไปช่วยกันทำกับข้าวในครัว หนูเจียนั่งดูทีวีอยู่ที่นี่นะครับ”
   
       “คับ” ข้างหนูเจียมีขาวกับถุงทองนอนหมอบอยู่ สมุนแมวทั้งสองตามเด็กชายต้อยๆ ไม่มีห่าง หนูเจียกะพริบดวงตากลมโตมองปานตะวันด้วยท่าทางใสซื่อ “น้าตะวัน คนเมื่อกี้ใครเหรอคับ”
   
      “คนไหนครับ”
   
       “ผู้ชายแปลกๆ ที่รออยู่หน้าบ้านเรา”
   
       นั่นไงล่ะ หนูเจียเป็นเด็กช่างสังเกต ช่างซักถาม มีหรือจะไม่สงสัย ปานตะวันซ่อนแววกังวลเอาไว้ ชายหนุ่มลูบผมหลานชายพลางตอบว่า “คนแปลกหน้าน่ะ ไม่รู้จักหรอก เขามาผิดบ้านเฉยๆ”
   
       “อ๋อ”
   
       ได้ยินคำตอบดังนี้หนูเจียก็หมดความสงสัย เด็กชายหันไปเล่นกับลูกน้องของตัวเองแทนส่วนปานตะวันกลับมาหาราเมศ ทั้งคู่หลบเข้าไปในครัว เริ่มรื้อของมาทำอาหารเย็นพลางพูดคุยไปด้วย
   
       “เขามาคุยเรื่องเดิมๆ ขอคืนดีอะไรแบบนี้”
   
       “ตื๊อไม่เลิกขนาดนี้ให้พี่ออกไปจัดการให้ไหม”
   
      “ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ คงไม่มาวุ่นวายแล้วล่ะ” ราเมศเลิกคิ้ว ปานตะวันเลยกล่าวต่อ “บอดี้การ์ดของหลงเอาขนมมาส่ง เห็นตอนหมอนั่นกำลังจะต่อยตะวันพอดีเลยเข้ามาช่วย หัวแตกกับข้อมือมือเคล็ดไปขนาดนั้นแล้วคงไม่วกกลับมาอีก”
   
       ปึง
   
       ราเมศกระแทกมีดอีโต้ลงบนเขียง ดวงตาสีนิลฉายแววขุ่นเคือง “ต่อย? ไหนบอกแค่คุยกันอย่างเดียวไง” ปานตะวันรู้ว่าตัวเองพลาดแล้ว พอเผลอหลุดส่วนหนึ่งออกมาก็จำต้องสารภาพให้หมด ชายหนุ่มจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่คุยกับธีร์อย่างละเอียด ตัดออกไปแค่ประโยคสุดท้ายที่คนรักเก่าทิ้งไว้เท่านั้น
   
       พอฟังจบคนรักตัวใหญ่ก็สบถออกมา “พี่น่าจะลงไปด้วย”
   
      “ไม่เป็นไรหรอกครับ จบไปแล้วล่ะ ตะวันต่อยมันเลือดกำเดาไหลด้วยนะแต่มันทำอะไรตะวันไม่ได้สักแผล”
   
       “ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนมาช่วยนายก็โดนต่อยเหมือนกัน ระวังตัวให้มากกว่านี้หน่อยสิ!”
   
       คนกำลังยืดพอโดนดุก็สะดุ้ง ก้มหน้างุด ราเมศที่รู้ตัวว่าเพิ่งเล่นบทโหดไปกระแอมเล็กน้อย ปรับอารมณ์ให้ลดลง “ขอโทษ...พี่แค่เป็นห่วง”
   
       “ผมรู้”
   
         พวกเขาสองคนทำอาหารด้วยกันเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็ปานตะวันก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน “พี่เมศ ตะวันขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” เจ้าของเสียงนุ่มที่เอ่ยประโยคนี้วางอุปกรณ์ทำครัวในมือลงก่อนจะหันมาจ้องราเมศด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เชื่อใจตะวันได้ไหม เชื่อได้หรือเปล่าว่าทุกสิ่งที่ตะวันทำลงไปมีเหตุผล”
   
         “หมายความว่ายังไง มีอะไรที่พี่ยังไม่รู้อีกหรือเปล่า”
   
         ริมฝีปากของปานตะวันสั่นระริก เขาหลุบตาลง พยักหน้า
   
       “ทำไมถึงไม่บอก”
   
        “ไม่อยากบอก” ไม่ใช่บอกไม่ได้แต่ไม่อยากบอก ราเมศรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเจ็บแปล็บ ชาหนึบ ทำไมถึงไม่บอก เพราะไม่ไว้ใจกันหรือว่าเป็นเพราะอย่างอื่น
   
        “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจพี่หรือพี่ไม่สำคัญพอนะ” ปานตะวันที่อ่านสีหน้าคนรักได้รีบพูดดัก ชายหนุ่มจับแก้มราเมศเอาไว้ บังคับให้จ้องตากับเขา “แต่มันเป็นอดีตที่ตะวันไม่อยากเก็บมานึกถึงอีกแล้ว ไม่อยากให้รู้เพราะว่า...มันจะทำให้พี่มองตะวันไม่เหมือนเดิม”

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 15-07-2017 20:29:01
        “ไม่เชื่อกันขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
        “บอกว่าไม่ใช่ไง! แค่...มันผ่านไปแล้ว อยากฝังมันไว้ตรงนั้น”
   
        ราเมศถอนหายใจ รู้สึกว่าคนรักช่างขี้โกงและเอาแต่ใจเหลือเกิน มาพูดว่าอยากให้เชื่อใจแต่กลับไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นจนถึงขนาดต้องมาขอร้องให้เขาสัญญา ใจหนึ่งก็ไม่อยากยอมรับหรอกแต่อีกใจก็รู้ดีว่าถ้าบีบปานตะวันมากไปกว่านี้คงไม่เป็นผลดี
   
        หลังใคร่ครวญทุกอย่างอยู่ในหัวครู่หนึ่งราเมศดึงมือปานตะวันที่กุมแก้มเขาอยู่ออกมา ชายหนุ่มจับมือคู่นั้นไว้ ปานตะวันมือใหญ่ตามแบบฉบับของผู้ชายทั่วๆ ไปแต่ขนาดมือก็ยังเล็กกว่าเขานิดหน่อย ไม่รู้ทำไมยามนี้ความคิดที่ว่าสองมือคู่นี้กำลังพยายามแบกรับอะไรที่เกินตัวอยู่ถึงผุดขึ้นมา
   
        สิ่งที่นายต่อสู้ด้วยอยู่คือตัวตนในอดีตใช่หรือเปล่า
   
        สิ่งที่นายพยายามแบกรับไว้คือผลจากความผิดพลาดที่ตอนนี้กำลังจะย้อนกลับมาทำร้ายใช่ไหม นายพยายามแบกมันไว้คนเดียว โดยกันคนสำคัญคนอื่นออกนอกวงไปเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบแต่วิธีนี้มันทำให้นายเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเดิม เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
   
       เด็กโง่
   
       เป็นเด็กที่ชอบคิดอะไรเกินตัวเสียจริง
   
       แล้วเขาจะปล่อยให้เด็กที่มีนิสัยแบบนี้ไปเผชิญกับปัญหามากมายด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง
   
        “เข้าใจแล้ว” ในที่สุดราเมศก็ตอบตกลง เขาจูบลงกลางฝ่ามือของปานตะวันเบาๆ “พี่ตามใจนายมากไปแล้วจริงๆ นะ” ประโยคท้ายบ่นพึมพำกับตัวเองแต่ปานตะที่อยู่ใกล้ขนาดนี้มีหรือจะไม่ได้ยิน หากเป็นยามปกติเขาคงโวยวายไปแล้วแต่ตอนนี้นอกจากจะไม่เถียงกลับปานตะวันยังกอดหมับเข้าที่เอวสอบ ซุกหน้าลงกับเสื้อราเมศ พูดเสียงอู้อี้ว่า “ขอบคุณครับ แล้วก็สัญญานะว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่ต้องเชื่อใจตะวัน ต้องไม่เปลี่ยนไป”
   
       “ครับ สัญญา” ราเมศเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “แล้วถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ”
   
       “ลืมเรื่องนี้ไปซะ”
   
       “เอาแต่ใจอะไรอย่างนี้นะ”
   
       “ขอโทษแต่ขอเอาแต่ใจหน่อยนะ”
   
       เขาตามใจจนติดนิสัยแล้วสินะ...แต่สัญญาไปแล้วก็ขัดอะไรไม่ได้อีก ราเมศพยักหน้าตกลง คนทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไปทำอาหารตามเดิม
   
       หลังจากที่ธีร์มาดักรอปานตะวันที่หน้าบ้านก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างดูสงบสุขจนราเมศเริ่มผ่อนคลายส่วนปานตะวันก็คิดไปว่าบางทีธีร์อาจจะกลัวคำขู่ของสองบอดี้การ์ดนั่นจนไม่กล้าโผล่หน้ามาแล้ว หลังระแวดระวังอยู่สองสามวันปานตะวันก็ปักใจเชื่อว่าทุกอย่างคงจบลงด้วยดี
   
      แต่ชายหนุ่มคงไม่รู้ว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
   
      วันนี้พอใกล้ช่วยบ่ายสามโมงครึ่งอันเป็นเวลาที่หนูเจียจะเลิกเรียนปานตะวันก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก เตรียมตัวไปรับหลานชายที่โรงเรียน ระหว่างทางพวกเพื่อนร่วมงานคนอื่นฝากเงินไปซื้อของกินกระจุกกระจิกกันเต็มไปหมด ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเบ๊หิ้วของกินกลายๆ
   
       “พี่เมศ ตะวันไปรับหนูเจียนะ” ปานตะวันเดินไปบอกคนรักที่ควบตำแหน่งหัวหน้าด้วย ราเมศพยักหน้ารับ “ขับรถระวังๆ นะ”
   
       “ครับผม”
   
       ปานตะวันรับคำแล้วก็ออกไป ราเมศมองส่งคนรักเล็กน้อยแล้วก็กลับมาจัดการรายการอาหารที่เหลืออยู่ เมื่อทำงานเสร็จพนักงานหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับพูดว่า “พี่เมศคะ มีคนมาหาพี่ค่ะ”
   
        “ใครเหรอ”
   
       “เป็นผู้ชาย ตัวสูงๆ บอกว่าชื่อธีร์”
   
       ชื่อแฟนเก่าของปานตะวันทำให้ราเมศชะงัก อีกฝ่ายมีธุระอะไรถึงมาหาเขาโดยตรง “มาหาพี่แน่ใช่ไหม ไม่ได้มาถามหาปานตะวันเหรอ” เขาถามเพื่อความแน่ใจ พนักงานคนนั้นส่ายหน้า “มาหาพี่แน่ๆ ค่ะ”
   
       “งั้นบอกเขาว่ารอเดี๋ยว”
   
      ยามนี้ลูกค้าไม่มาก พ่อครัวอีกสองคนก็เหลือเฟือราเมศจึงถอดผ้ากันเปื้อน ล้างไม้ล้างมือให้เรียบร้อยแล้วออกไปพบอีกฝ่าย
   
      ธีร์ไม่ได้เข้ามาในร้านแต่ยืนรออยู่ด้านนอก ราเมศถึงกับตกใจเมื่อพบว่าสภาพหน้าอีกฝ่ายดูยับเยินเหมือนไปมีเรื่องกับใครมา ทันใดนั้นเขานึกขึ้นได้ว่าปานตะวันบอกว่าบอดี้การ์ดของหลงจับธีร์โขกหัวกับกำแพงแล้วก็ทำท่าจะหักมือเขา แต่นี่มันดูแย่กว่าที่ตะวันเล่ามาก ที่แก้มกับที่ตามีรอยช้ำขนาดใหญ่ สภาพนี้บอกว่าโดนรุมซ้อมก็ไม่แปลกใจ
   
       สงสัยเจ้าลูกแมวนั่นจะเล่าไม่หมด
   
       “คุณมีธุระอะไร” เมื่อเจอหน้ากันราเมศก็เปิดฉากถาม เขาไม่ต้องการเสียเวลากับคนคนนี้ ธีร์เองก็เข้าใจ “ผมต้องการมาคุยกับคุณเรื่องปานตะวัน”
   
       “ตะวันทำไม”
   
       “คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากน้อยแค่ไหน รู้หรือเปล่าว่าเขาเคยทำอะไร” ธีร์ประเมินท่าทางของราเมศ “ผู้ชายคนนั้นไม่ได้น่ารักเหมือนหน้าตาหรอกนะ รู้อดีตของเราหรือเปล่า”
   
       น้ำเสียงเยาะเย้ยทำให้ราเมศไม่พอใจแต่ชายหนุ่มก็ยังคงมีท่าทีเรียบเฉย “รู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณเคยทำอะไรไว้กับเขา เป็นหนี้เยอะนี่ใช่ไหม แล้วก็หนีไป ทิ้งให้เขารับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว”
   
       “เขาเล่าแบบนั้นเหรอ แหม ทำให้ตัวเองดูน่าสงสารเหลือเกินนะ หนี้นั่นเป็นความรับผิดชอบร่วมกันต่างหาก ส่วนหนึ่งตะวันก็เป็นคนกู้ เหล้า การพนัน มันผ่านมาหมดแล้ว เงินที่แม่มันส่งมาให้ทุกเดือนคุณคิดว่าจะพอหรือไง” ริมฝีปากสีคล้ำของธีร์เหยียดเป็นรอยยิ้ม “มันหลอกคุณอยู่นะไม่รู้เหรอ มันจะเอาปอกลอกคุณไปจนกว่าจะหมดตัวนั่นแหละ”
   
       “แหม แฟนเก่าแบบคุณก็เลยอุตส่าห์มาเตือนงั้นสิ เป็นคนดีจริงๆ” ราเมศหัวเราะ “แต่ผมรวย ไม่เป็นไรหรอก มีให้เขาได้เรื่อยๆ นั่นแหละ”
   
       พูดตามตรงที่บ้านเขาก็ไม่ได้ถือว่าร่ำรวย เป็นครอบครัวที่มีกินมีใช้แบบไม่ขาดมือมากกว่า ไม่รวยแต่ก็ไม่จนอะไรราวๆ นั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ราเมศพูดจาใหญ่โตอะไรแบบนี้เพื่ออวดฐานะทางบ้านกับคนอื่น
   
       “เหอะ รักมันมากขนาดนั้นเลยหรือไง”
   
       ธีร์หรี่ตา ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนคล้ายกับไม่ใส่ใจว่าปานตะวันในอดีตจะเป็นอย่างไรทำให้แผนการแรกที่ธีร์คิดว่าต้องล้มเหลว แผนแรกของเขาคือการมาตามง้อปานตะวันแต่ก็ไม่ได้ผล ชายหนุ่มจึงเข้าหาทางราเมศแทน เดิมทีเขาตั้งใจจะมาพูดเพื่อสร้างความสงสัยในใจเล็กๆ ให้ราเมศ ปลูกต้นแห่งความไม่เชื่อใจเอาไว้ ถ้าราเมศสงสัยมากๆ ขุดคุ้ยอดีตลงไปมากๆ จนไปแตะโดนจุดที่ไม่ควรเข้า ทั้งคู่ก็จะเลิกกัน...แล้วตะวันก็จะซมซานมากอดขาเขาเหมือนเช่นเคย
   
        แต่ยามนี้นอกจากจะไม่สนใจแล้วไอ้ผู้ชายตัวใหญ่คนนี้ยังมีหน้ามาพูดอวดรวยกับเขาคล้ายว่าการให้ปานตะวันมาอยู่ด้วยไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ฝ่ายนั้นจะเอาเงินไปมากเท่าไหร่ก็ไม่สน!
   
       ธีร์กัดฟัน เขาเหลือสองแผนการสุดท้าย
   
      “แล้วมันรักคุณเท่าที่คุณรักมันหรือเปล่า มันเคยเล่า ‘ความลับ’ ให้คุณฟังบ้างไหม เกี่ยวกับเรื่องที่มันทำมาในอดีตน่ะ”     ราเมศชะงักและธีร์ก็สังเกตได้ เขาแสยะยิ้ม “ไม่เคยสินะ”
   
       “คุณต้องการอะไร”
   
        ธีร์ไม่ตอบคำถาม เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่ตนนำติดมือมาด้วย สิ่งที่หยิบออกมาคือแฟลชไดรฟ์หนึ่งอัน ธีร์ส่งมันให้ราเมศ
   
        “เอาไปสิ”
   
        “นี่อะไร”
   
        “ลองเปิดดู แล้วคุณจะรู้เอง”
   
        “ทำไมผมต้องเปิด”
   
        “ไม่อยากรู้เหรอว่าความลับของปานตะวันคืออะไร” หนุ่มหน้าตี๋พูดเนิบๆ “พอเปิดดูแล้วก็ติดต่อมาหาผม” เขาทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้อีกฝ่าย ลอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อมองสีหน้าของราเมศ ธีร์เห็นแววหวั่นไหวผ่านดวงตาคู่นั้น
   
        เขาหว่านเมล็ดแห่งความคลางแคลงลงในใจราเมศ เมื่อชายหนุ่มเปิดดูสิ่งที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์ เจ้าเมล็ดนั่นก็จะแตกหน่ออ่อน ผลิใบแล้วก็เติบโต แล้วคนทั้งคู่ก็จะแยกกันในที่สุด แผนนี้อาจกินเวลาสักหน่อยแต่ถ้ามันสำเร็จธีร์แน่ใจว่าจะได้ปานตะวันคืน...แต่ถ้าไม่เขาก็มีแผนสุดท้าย
   
       ชายหนุ่มหมุนกายเดินกลับไปที่รถ ราเมศยังคงยืนที่เดิม พิจารณาอุปกรณ์เล็กๆ บนฝ่ามือด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ธีร์ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาต้องการมีแค่ปานตะวัน
   
       หืม ทำไมเขาถึงต้องพยายามดึงตัวแฟนเก่ากลับมาขนาดนี้น่ะหรือ?
   
       รัก? ไม่ใช่หรอก ไม่ได้รัก เขาไม่ได้รักปานตะวันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
   
       สาเหตุที่เขาต้องการตัวปานตะวันก็เพราะ...
   
       ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ ธีร์สบถรัวๆ เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้าแต่จะไม่รับก็ไม่ได้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
   
       “สวัสดีครับ”
   
       [ไอ้ธีร์ มึงจำได้ไหมว่าวันนี้วันอะไร]
   
       น้ำเสียงของปลายสายห้วนสั้น เกรี้ยวกราดและแสลงหูยิ่งนัก ธีร์เม้มริมฝีปาก เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผม “จำได้ครับ ผมกำลังหาอยู่ ขอ...ขอเวลาอีกสักนิด”
   
       [ขอเวลา? มึงพูดแบบนี้มาหลายหนแล้วนะไอ้ธีร์!]
   
        “ผมทราบครับ แต่คราวนี้ผมจะได้เงินแล้วจริงๆ ถ้าเสี่ยให้เวลาผมรับรองจะหามาคืนให้ทั้งต้นทั้งดอกแน่นอนครับ”
   
       [เฮอะ ที่ได้ช้าขนาดนี้เพราะตอนนี้มึงตกใครไม่ได้เลยล่ะสิไอ้หมาขี้เรื้อนเอ๊ย]
   
       ธีร์กัดฟันกรอด มือกำพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว หากแต่น้ำเสียงที่พูดออกไปยังฟังดูนอบน้อมทั้งที่ในใจเขาสาปแช่งให้อีกฝ่ายไปลงนรกให้หมด ทั้งไอ้เสี่ยสารเลวที่ปล่อยเงินกู้กับลูกน้องเฮงซวยของมันด้วย!
   
       “ได้โปรดเถอะครับ คราวนี้ได้แน่ๆ ผมขอเวลาสักหน่อย สักสามเดือน”
   
        [หนึ่งอาทิตย์]
   
        “อะ...อะไรนะครับ!? เร็วขนาดนั้น”
   
        [กูให้เวลาหนึ่งอาทิตย์! ถ้าไม่จ่ายมึงคงรู้นะจะเจออะไร]
   
        “ครับ”
   
        อีกฝ่ายกดตัดสายไปอย่างว่องไว ธีร์สบถคำหยาบคายออกมาลั่นรถก่อนจะเขวี้ยงโทรศัพท์ไปที่เบาะข้างคนขับ
   
       ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็เหลือตัวเลือกเดียว...เขารอไม่ได้แล้ว
   
        ทางด้านปานตะวันหลังรับหนูเจียเสร็จและแวะซื้อของที่ทุกคนต้องการก็รีบตรงกลับร้าน ช่วงเย็นวันนี้ลูกค้าคึกคักชายหนุ่มจึงรีบเอาของไปเก็บแล้วก็กลับมาทำงาน ส่วนหนูเจียก็ไปประจำที่ที่หลังเคาน์เตอร์ วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดจนถึงสองทุ่มกว่าลูกค้าถึงได้บางตาลง พอถึงเวลาเลิกงานปานตะวันที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดลากสังขารของตัวเองไปช่วยพี่ๆ เก็บร้านจนเรียบร้อย จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
   
       พอกลับบ้านราเมศกับปานตะวันก็ช่วยกันทำอาหาร ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างปกติสุข
   
       ตอนเที่ยงคืนครึ่งที่ทุกคนหลับกันหมดแล้วราเมศลืมตาโพลงในความมืด เขาค่อยๆ พลิกตัวไปมองปานตะวันที่นอนอยู่ข้างกัน ชายหนุ่มผมน้ำตาลหลับตาพริ้มลมหายใจสม่ำเสมอ ราเมศขยับตัวลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ อาศัยเวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อให้สายตาชินกับความมืดจากนั้นชายหนุ่มก็ลุกออกจากห้องไป
   
       ที่ห้องนั่งเล่นของบ้านมีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่ง ราเมศเปิดเครื่อง เสียบแฟลชไดรฟ์ รอคอยด้วยหัวใจหนักอึ้ง แฟลชไดรฟ์อันนี้มีไฟล์วิดิโออยู่แค่ไฟล์เดียว มือที่จับอยู่บนเม้าส์เกร็งแน่น ไม่รู้ทำไมเขาถึงสังหรณ์ใจไม่ดีเลย
   
       ‘ไม่อยากรู้เหรอ...ความลับของปานตะวันน่ะ’
   
       อยากรู้สิ...แต่เด็กคนนั้นบอกกันให้เชื่อใจ การทำแบบนี้แปลว่าเขาผิดคำสัญญาหรือเปล่านะ?
   
       ถ้าปานตะวันกลัวการที่เขาจะล่วงรู้...แล้วมันดีหรือเปล่าถ้าเขาจะเปิดวิดิโอนี้
   
       ราเมศเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปานตะวันขอให้เขาสัญญาเพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนไปแต่ราเมศแน่ใจว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน
   
       เขาแค่อยากรู้เพื่อที่จะปกป้องปานตะวันได้เท่านั้น
   
       ราเมศเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจกดเปิดไฟล์วิดิโอนั้น
   
        ตอนแรกหน้าจอที่ปรากฏมืดสนิท จากนั้นก็มีเสียงคนพูดและเสียงขยับอะไรบางอย่าง มือที่บังกล้องอยู่ถูกดึงกลับไปเผยให้เห็นคนห้าคนจับกลุ่มกันอยู่
   
        ราเมศใจหายวูบ
   
        คนที่อยู่ตรงกลางคือปานตะวัน
   
        สภาพของปานตะวันดูแย่มาก...แล้วก็ดูไม่คล้ายปานตะวันตอนนี้เอาเสียเลย ในคลิปผมของปานตะวันยาวประบ่าและกระเซอะกระเซิง ใบหน้าเขียวช้ำเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้าย อีกฝ่ายถูกชายฉกรรจ์อีกสามคนจับตัวไว้ ส่วนชายคนที่ถอยหลับออกไปจากกล้องก็หันมาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม
   
       ชายคนนั้นจิกผมปานตะวันขึ้นมาพลางพูดว่า ‘เอ้าถ่ายดีๆ ล่ะ อย่าให้สั่นนะมึง’
   
       ราเมศขบฟันกรอดแต่ก็ยังดูต่อไป
   
       ผู้ชายคนที่กระชากผมปานตะวันอยู่หัวเราะแล้วก็หันมาพูดกับกล้องว่า ‘ไหนตอบเขาไปสิคนสวย มึงชื่ออะไร’ ปานตะวันหอบหายใจ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ‘ปานตะวัน’
   
        ‘แล้วแฟนมึงล่ะ’
   
        ‘ธีร์’
   
        ‘มึงรู้ไหมว่าทำไมวันนี้มึงมีสภาพนี้ ช่วยบอกผู้ชมของเราหน่อย เขาจะได้ไม่คิดว่าพวกกูเป็นพวกใจร้ายรังแกคนไม่มีทางสู้’
   
        ‘พวกเรา...อึก...’
   
        ‘พูดดังๆ!’
   
        ร่างของปานตะวันสะดุ้งเพราะเสียงตะคอกนั้น หยดน้ำตาเริ่มกลิ้งไปตามแก้มบวมช้ำและห้อเลือดแต่ในที่นั้นไม่มีใครสงสารชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ทุกคนเมื่อเห็นว่าปานตะวันร้องไห้ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลเงยสบกล้อง คล้ายกับกำลังมองตรงมา...ราเมศมองเห็นสายตาอ้อนวอน เจ็บปวด และสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ถูกส่งมาให้ วูบหนึ่งเขาคิดว่ามันถูกส่งมาถึงเขา...แต่เปล่าเลย
   
        สายตานั้นถูกส่งไปให้ธีร์ต่างหาก
   
        ช่วยด้วย
   
        ริมฝีปากแห้งแตกขยับเบาๆ เป็นคำนี้
   
        ‘กูสั่งให้มึงพูด!’
   
        กำปั้นหนักๆ ซัดเข้าที่แก้มซ้ายปานตะวัน ใบหน้านั้นสะบัดตามแรงชก บนพื้นปรากฏหยดเลือดสีเข้ม ราเมศกำที่วางแขนเก้าอี้แน่น
   
        เขาโกรธ...โกรธมาก ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดมาก
   
        ‘พวกเรา...ติดหนี้...ห้าหมื่น’ น้ำเสียงปานตะวันกระท่อนกระแท่น ‘เราไม่มีเงินจ่าย’
   
        ‘กูให้เวลามึงกี่วัน’
   
        ‘สามเดือน’
   
        ‘มึงบอกจะจ่าย’
   
        ‘ครับ’
   
        ‘แล้วไหนเงิน’
   
       ‘ไม่...ไม่มี...อึก’
   
       ‘คนผิดสัญญาก็ต้องถูกทำโทษใช่ไหม’
   
       ชายคนนั้นย่อตัวลง ลูบใบหน้าปานตะวัน ท่าทีอ่อนโยนแต่แววตาโหดเหี้ยม พรรคพวกอีกสองสามคนที่ล็อกตัวปานตะวันอยู่ก็หัวเราะลั่น
   
       ‘อืม ทำโทษอะไรดีนะ มึงก็มีสภาพแบบนี้แล้ว มากไปเดี๋ยวจะตายเอา พวกกูขี้เกียจยุ่งยาก’ ร่างสูงใหญ่เดินวนรอบตัวปานตะวันราวกับนักล่าเตรียมขย้ำเหยื่อ ‘แฟนมึงนี่ก็ดีนะไอ้ตะวัน ตัวเองหนีหายหัวหนีไป ทิ้งมึงไว้ให้มีสภาพแบบนี้’
   
       ปานตะวันเบิกตากว้างเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
   
       ‘ก็ถือว่ามึงซวยเองที่มีแฟนเหี้ยๆ แบบนี้’
   
       คนพูดถ่มน้ำลายลงตรงพื้นเบื้องหน้าปานตะวัน จากนั้นหมัดอีกหนึ่งหมัดก็ซัดเข้าที่ท้องจนร่างผอมบางตัวงอ ร่วงลงไปกองกับพื้น
   
       ‘อึก...แค่ก’
   
       ‘ถอดเสื้อมันออก’
   
       ‘ไม่...อึก...ไม่เอานะ’
   
       ร่างที่พื้นพยายามคลานหนีแต่ก็ถูกลากตัวกลับมา ทั้งมือทั้งเท้าระดมเตะต่อยไปตามตัวพร้อมๆ กับที่ถูกกระชากเสื้อและกางเกงออกไปด้วย สุดท้ายร่างขาวนั้นก็เปลือยเปล่านอนขดอยู่เป็นกุ้งแทบเท้าคนทั้งสี่
   
       ชายฉกรรจ์อีกสองคนหิ้วปีกปานตะวันขึ้นมาจับมือไพล่หลัง
   
       ‘ถ่ายคลิปนี้แล้วส่งให้แฟนมึงดูดีกว่า ดีไหม ดูให้ดีนะไอ้ธีร์ ดูว่าพวกกูทำอะไรกับที่รักของมึง’
   
        จบประโยคนั้นปานตะวันก็กลายเป็นกระสอบทรายมนุษย์ ถูกซ้อมจนเยินไปทั้งตัว แต่คนพวกนั้นไม่ได้แค่ซ้อม พวกมันยังจับ ลูบคลำไปทั้งร่าง ปานตะวันพยายามหาโอกาสเงยหน้ามองกล้อง ขยับปากเรียกชื่อธีร์แล้วก็ขอความช่วยเหลือ ดวงตาคู่นั้นสิ้นหวังลงทุกที
   
        ‘ฮ่าๆๆ พวกมึงดู มันกลัวจนฉี่ราดเลยว่ะ’
   
        หนึ่งในกลุ่มคนที่จับตัวปานตะวันอยู่พูดขึ้น ร่างนั้นอ่อนปวกเปียกไปหมด สีหน้าที่เดิมทีมีแววสิ้นหวังฉายอยู่บัดนี้ราบเรียบพอๆ กับดวงตาคู่นั้น
   
       ว่างเปล่า...เหมือนไม่สนอีกแล้วว่าตัวเองจะตายหรือไม่ตาย
   
       ฝ่ามือพวกนั้นบางทีก็ลูบไล้อยู่บนเรือนร่าง บางคนก็ขบกัดไปตามผิวขาวจนห้อเลือดแล้วก็ตวัดมือตบ บางคนก็ประเคนหมัดเข้าใส่ ไม่ได้ถูกข่มขืน...แต่ก็อดสูไม่ต่างกันเลย
   
       เสียงสะอื้นไห้ เสียงอ้อนวอนดังไม่ขาดจนในที่สุดคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นว่า ‘พอแล้ว เดี๋ยวมันตาย’ร่างของปานตะวันถูกโยนลงไปกองกับพื้นเหมือนขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ชายร่างสูงมองเหยียด
   
        ‘มึงจำไว้นะ ถ้าหนหน้ามึงเบี้ยวไม่จ่ายเงินอีกคลิปนี่จะได้ส่งถึงแค่ไอ้ธีร์เท่านั้นแต่มันจะขึ้นไปอยู่บนเว็บโป๊เลยล่ะ ฮ่าๆ กูว่าพวกโรคจิตชอบแนวรุนแรงคงมีไม่น้อย’
   
       ‘ขอโทษ...อึก...ครับ...ได้โปรด...ได้โปรด ขอเวลาอีกสักนิด เราจะหามาคืนให้’
   
       ปานตะวันคลานไปเกาะขาอีกฝ่ายแต่ก็ถูกเตะออก
   
       ราเมศจับจ้องที่ใบหน้าของชายหนุ่ม ร่างนั้นนอนอยู่กับพื้น ดวงตาไร้แววมีน้ำตาหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย ริมฝีปากบางขยับเป็นคำๆ หนึ่ง   
   
       ธีร์...ช่วยด้วย
   
       จนถึงตอนนี้ก็ยังร้องเรียก...คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
   
       มัวแต่เรียกหาคนที่ไม่มีวันได้ยิน
   
       ภาพสุดท้ายก่อนวีดิโอนี้จะจบลงคือใบหน้านองน้ำตาที่ถูกซูมเข้าไปจนเห็นทุกรอยแผลได้ชัดเจนของปานตะวัน
   
       ราเมศกดปิดวิดิโอ ดึงแฟลชไดรฟ์ออก จากนั้นก็ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ยกมือปิดเปลือกตาอย่างอ่อนล้า เพราะแบบนี้สินะ ปานตะวันถึงได้ไม่อยากให้เขารู้ สภาพน่าอดสูเช่นนั้นเป็นใครก็คงอยากจะลืม อยากจะลบทิ้งไปจนวันตาย
   
       เอี๊ยด
   
       เสียงบานพับประตูลั่นเบาๆ แต่ท่ามกลางความเงียบเช่นนี้ราเมศกลับได้ยินมันชัดเจน เขารีบหันกลับไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว...แล้วก็ทันเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้นหันกลับไป
   
       “ตะวัน!” ราเมศตะโกนเรียกชื่อคนรัก เขาไล่ตามอีกฝ่ายไปแต่ก็ไม่ทัน ปานตะวันหนีหายลงจากเรือนไป เห็นหลังไวๆ อยู่ด้านล่าง
   
       “ตะวันรอเดี๋ยว!” ราเมศกำลังจะวิ่งลงจากเรือน ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานชายดังมาจากในห้อง หนูเจียคงฝันร้ายแล้วตื่นมากลางดึก ไม่เจอผู้ใหญ่รอบตัวเลยปี่แตก
   
       โธ่เว้ย จะประจวบเหมาะอะไรขนาดนี้
   
       ช่วงนาทีที่เขาลังเลแล้วเผลอชะลอฝีเท้า ปานตะวันก็สตาร์ตรถแล้วบึ่งออกจากบ้านไปแล้ว เสียงเร่งเครื่องยนต์แผดก้องในยามราตรีก่อนที่แสงไฟจากรถยนต์จะค่อยๆ ลับตาไป

*******************************************************

สวัสดีค่าทุกคนนน (ค่อยๆ หลบออก) อย่าเพิ่งขว้างปาข้าวของกันนะคะ ;w; ฮือออออ
ตอนนี้ยอมรับว่าตัดค้างอย่างแรง วอนทุกคนใจเย็นๆ และอย่าเพิ่งตีเรา ตอนที่เราเขียนบทนี้ยอมรับเลยว่ามันหนักมาก
 :hao5: ขอให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้ปานตะวันผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ด้วยนะคะ กอดดดด ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
พบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ จุ๊บ  :กอด1:

ปล. มีใครเดาได้บ้างว่าบอดี้การ์ดที่โผล่มาเป็นใครรร
ปล 2 ติดตามข่าวสารนิยายและเม้าท์กับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 15-07-2017 20:34:06
นี้ถ้ามุดจอคอมไปตีได้นี้จะตีให้น่วมเลยอ่ะ น้องตะวันจะเป็นไงบ้างเนี่ยยยย ฮืออออออออออออ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 15-07-2017 20:53:38
แงงงงงงง ไอเชี้ยธีร์ ไอเลวววว สงสารตะวันฮืออออพี่เมศนะพี่เมศ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-07-2017 21:29:08
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-07-2017 21:31:18
แผนสุดท้ายของไอ้ธีร์คืออะไร
ตะวันเตลิดไปแล้วเนี่ย จะเป็นอันตรายไหม
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-07-2017 21:36:34
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-07-2017 21:37:29
โอ๊ยยย บีบหัวใจมาก

สงสารปานตะวัน ผ่านมาได้แล้ว ยังมีมารมาตามหลอกหลอนอีก โชคดีที่แค่โดนซ้อม ไม่ถึงขั้นสุด ปวดใจจริงๆ
โชคดีที่มีบอดี้การ์ดหลงมาช่วยทัน แต่คนชั่วก็คือคนชั่วเนาะ ไม่เข็ด

ตอนนี้ปานตะวันคงคิดว่าเมศรับไม่ได้แน่เลย แต่หนีไปแบบนี้ อย่าไปเจอมารระหว่างทางเลยนะ

ราเมศปกป้องได้ดี ดูแลได้ดี แต่คนเราก็พลาดได้ อยากรู้เพราะจะได้ปกป้องถูก แต่ก็ดันเป็นความลับที่ไม่อยากเปิดเผย

เข้าใจราเมศเลย คงหงุดหงิด ขัดใจ มาประจวบเหมาะอะไรแบบนี้
ปานตะวัน ต่อไปถ้ากลัวราเมศจะเกลียด ก็กลับไปในห้องนะ ปิดขังก็ได้ อย่าออกไปแบบนี้เลย กังวลจังเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-07-2017 21:58:26
 :เฮ้อ: :3125:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-07-2017 22:08:13
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 15-07-2017 23:10:34
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-07-2017 00:14:33
ยังดีกว่าที่เราคิดไว้ เรื่องสกปรกที่ว่าเราคิดไปถึงตะวันโดนขายเพื่อใช้หนี้หรือไม่ก็โดนขมขื่นหรือขายยาซะอีก แต่แบบนี้ก็แย่เหมือนกัน หวังว่าพี่เมศจะมีวิธีเอาคืนแบบจัดเต็มกับไอ้เลวนั้นแบบที่ไม่ต้องเสียเงินและให้มันไม่กล้ากลับมาอีก ไม่อยากต้องให้พี่เมศมาเสียเงินให้มันไปจ่ายเงินกู้เลย ปล่อยให้แม่งโดนเสี่ยเงินกู้จับไปแล้วควักตับ ไต ขายจ่ายหนี้ซะจริง เลวเกินบรรยายหลอกคนไปเรื่อยแบบนี้เมื่อไหร่กรรมมันจะสนองซะที หวังว่าจะเร็วๆ นี้นะคะที่กรรมจะสนองไอ้เลวนี่
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 16-07-2017 06:07:24
แบบ เรากลัว ตะวันเป็นอันตราย ตอบจากใจ

โดนจับตัวแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-07-2017 07:06:43
เห้อออ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-07-2017 08:31:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 16-07-2017 10:17:26
 :serius2:  :serius2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๔ รอยแผล (๑๕/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 16-07-2017 10:18:57
 :ling3: :ling3: :ling3:

เข้มแข็งไว้นะตะวันผ่านมันไปให้ได้  :m19: :m19:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 19-07-2017 19:25:20
ปานตะวัน
บทที่ ๒๕
เด็กหลงทาง
       


        เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังอยู่สองสามครั้งก่อนจะตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความอัตโนมัติ ราเมศสบถอย่างหัวเสียเมื่อความพยายามครั้งที่สิบของเขาสูญเปล่า
   
       เมื่อสิบนาทีก่อนปานตะวันหายตัวออกไปจากบ้าน ขับรถเตลิดออกไปไหนก็ไม่รู้แถมยังไม่รับโทรศัพท์ไม่ว่าราเมศจะเพียรโทรไปมากแค่ไหนก็ตาม เพราะหนูเจียร้องไห้ทำให้ราเมศผ่อนฝีเท้าและเกิดอาการห่วงหน้าพะวงหลัง ชั่วเสี้ยวนาทีสั้นๆ ปานตะวันก็หนีออกไปจนได้
   
      หายออกไปในความมืดตอนเที่ยงคืนเกือบๆ ตีหนึ่ง ในสภาพที่จิตใจบอบช้ำและไม่รู้ว่าตอนนี้จะเจ็บปวดสักแค่ไหน ภาพใบหน้านองน้ำตาของปานตะวันยังติดตาเขาอยู่เลย ชายหนุ่มผมดำร้อนใจจนแทบบ้า หลังปลอบหนูเจียเสร็จเขาจึงกลับมาโทรหาตะวันแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสายราเมศจึงยิ่งสติหลุด โทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของตัวเอง
   
      ถ้าหากเขารอบคอบกว่านี้อีกสักนิด...หรือถ้าหากเขาตัดสินใจไม่เปิดไฟล์นั่นขึ้นดู ตะวันที่ตื่นมากลางดึกก็คงไม่เห็นและทุกอย่างก็จะไม่กลายเป็นแบบนี้
   
       เป็นความผิดของเขาเอง เป็นเขาที่ผิดสัญญา
   
        ราเมศกดโทรออกไปที่เบอร์ของปานตะวันอีกครั้ง มือของเขาเริ่มสั่นระริก ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จิตใจก็ยิ่งแย่ลง
   
        [ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก กรุณาฝากข้อความหลังได้ยินเสียงสัญญาณ]
   
        ติ๊ด
   
        ราเมศกดตัดสายทันใด ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งนาฬิกายี่สิบนาที เขาจะทำอย่างไรดี ดึกขนาดนี้แถมยังไม่มีรถ จะออกไปตามหาตะวันได้ที่ไหน...แล้วที่สำคัญคือเด็กคนนั้นไปไหน!
   
        ทำยังไงดี...ในเวลาแบบนี้ปานตะวันจะไปที่ไหน...หรือว่าออกไปพึ่งใคร
   
        จริงสิ ชนกันต์ไง!
   
        ชื่อแรกที่แวบเข้ามาในหัวของราเมศคือชื่อของเพื่อนสนิทของปานตะวัน มีความเป็นไปได้สูงว่าปานตะวันจะไปหาชนกันต์เพราะฝ่ายนั้นเป็นคนที่รู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับตะวันและธีร์เป็นอย่างดีแถมยังเป็นคนช่วยเหลือปานตะวันเอาไว้ด้วย ไม่แปลกที่กันต์จะถูกมองเป็นที่พึ่งในยามนี้
   
       ราเมศไม่รอช้ารีบต่อสายหากันต์ทันที โชคดีที่เขาเมมเบอร์อีกฝ่ายไว้ในเครื่อง
   
        รอบแรกโทรไปไม่รับสาย ราเมศโทรซ้ำอีกหน รออยู่นานจนนึกว่าสายจะตัดแต่สุดท้ายก็มีคนรับ
   
        [ฮัลโหล]
   
        น้ำเสียงของปลายสายแหบพร่าและฟังดูห้วนสั้น แหงล่ะ เป็นใครโดนโทรมาปลุกตอนตีหนึ่งครึ่งแบบนี้ย่อมอารมณ์เสียด้วยกันทั้งนั้น
   
        “กันต์ นี่พี่เมศเองนะ”
   
        น้ำเสียงร้อนรนของราเมศทำให้ชนกันต์ตื่นเต็มตา ตอนแรกเขานึกรำคาญไอ้คนที่โทรมาไม่รู้เวล่ำเวลาคนนี้เหลือเกิน หลับตาควานหาโทรศัพท์มากดรับโดยไม่ได้ดูชื่อคนโทรเข้า แต่เมื่อได้ยินเสียงและข้อความจากอีกฝ่ายชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว เอาโทรศัพท์มาดูชื่อคนโทร
   
        ราเมศจริงๆ ด้วย
   
        สังหรณ์บางอย่างในตัวกันต์เริ่มลั่นระฆังเตือน พี่เมศโทรมาหาเขาดึกดื่นด้วยน้ำเสียงแบบนี้มีอยู่เรื่องเดียว...
   
        “กันต์ ตะวันอยู่กับกันต์หรือเปล่า”
   
        นั่นไงล่ะ!
   
        คราวนี้แม้แต่ชนกันต์ก็เริ่มลนลานขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มกระโดดลุกจากเตียงไปเปิดไฟ หนีบโทรศัพท์คุยกับราเมศไปด้วยระหว่างเปลี่ยนชุด
   
        [ไม่อยู่ครับพี่ เกิดอะไรขึ้น  ไอ้ตะวันไปไหน]
   
        “เรื่องมันยาว แต่เอาเป็นว่าตอนนี้สภาพจิตใจของตะวันกำลังแย่มาก เขาขับรถหายออกไปไหนไม่รู้ พี่โทรไปก็ไม่รับโทรศัพท์”
   
       [เชี่ยเอ๊ย!]
   
       “เขาไม่ได้ไปหานายเหรอ”
   
       [ตอนนี้ผมอยู่ที่หอครับ เขาไม่ได้มาที่นี่] ชนกันต์อยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย ช่วงเสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับบ้าน [บางทีตะวันอาจไปบ้านผม ถ้าเป็นระยะทางจากบ้านผมไปบ้างพี่มันจะใกล้กว่าขับมาที่หอ เดี๋ยวผมจะโทรถามแม่ดู พี่เมศลองนึกสิครับว่าตะวันมีใครให้ไปหาอีกบ้าง]
   
        “ตอนนี้ที่พี่นึกออกก็มีแต่นายเนี่ย เขาไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนอีกแล้ว...ที่สนิทรองมาจากนี้หน่อยก็เห็นจะเป็นหลง คนที่ตะวันไปทำงานพิเศษด้วย”
   
        [มีเบอร์ไหมครับ]
   
        “มี พี่เคยเมมเบอร์เขาไว้”
   
        [โทรหาเลยครับพี่เมศ เดี๋ยวผมจะรีบโทรหาแม่แล้วจะติดต่อไปนะครับ]
   
        “โอเค”
   
        ราเมศกดวงสายแล้วโทรหาหลงด้วยใจระทึก รอบนี้เขาไม่ต้องโทรซ้ำและน้ำเสียงของปลายสายก็ฟังดูดีกว่าตอนชนกันต์รับสายมากโข
   
        [สวัสดีครับ นั่นใครครับ] ราเมศได้ยินเสียงทุ้มพร่าอีกเสียงถามแทรกเข้ามาจากทางปลายสายว่าใครโทรมา เขารีบล่ำละลักพูดออกไป
   
        “หลงใช่ไหมครับ พี่ชื่อราเมศ เป็นแฟนของตะวันนะครับ ตอนนี้ตะวันอยู่กับหลงหรือเปล่า”
   
        [ครับ? ไม่อยู่นะครับพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ] หลงถามกลับด้วยน้ำเสียงกังวล ราเมศจึงรีบเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง เมื่อฟังจบคนทางปลายสายเห็นได้ชัดว่าตื่นเต็มตา [พี่เมศนึกไม่ออกจริงๆ เหรอครับว่ามีใครที่ตะวันจะไปหาได้อีก หรือมีที่ไหนที่เขาจะไปได้]
   
        “ไม่...พี่นึกไม่ออกเลย” ตอนนี้ราเมศอยากร้องไห้ขึ้นมาแล้วจริงๆ ปานตะวันกำลังทำให้เขากลัวแทบบ้า ในสมองผุดความคิดเลวร้ายร้อยแปดอย่างขึ้นมา
   
        ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้นึกไปถึงตอนที่จันทร์จ้าวตาย
   
        ตอนนั้นหญิงสาวก็ขับรถออกไปแบบนี้...บอกว่าเดี๋ยวกลับมา แต่สุดท้ายรถของเธอก็ประสบอุบัติเหตุ ราเมศคิดว่าจันทร์จ้าวน่าจะฆ่าตัวตายเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
   
         เหตุการณ์นี้กำลังเกิดกับปานตะวันงั้นหรือ
   
         หัวใจพลันบีบรัดอย่างเจ็บปวด ไม่...เขาไม่ยอมเด็ดขาด!
   
        [พี่เมศครับ เดี๋ยวหลงจะไปหาที่บ้านนะครับ ระหว่างนี้ให้พี่โทรหาตะวันไปเรื่อยๆ นะครับ]
   
        “ได้ ตกลง ขอโทษด้วยนะน้องหลงที่ทำให้เดือดร้อนแบบนี้”
   
        [ไม่เป็นไรหรอกครับ ตะวันก็เป็นเพื่อนหลงเหมือนกัน]
   
        หลงวางสายไปแล้ว ราเมศโทรหาชนกันต์และได้ความว่าปานตะวันไม่ได้ไปที่บ้านของเขา ตอนนี้กันต์เองก็กำลังตรงมาที่บ้านของราเมศเช่นกัน
   
        ระหว่างรอคนทั้งคู่ราเมศก็กระหน่ำโทรหาปานตะวันซ้ำๆ แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิมคือปานตะวันไม่รับสายจนชายหนุ่มจนปัญญา
   
       “พระเจ้า...ตะวัน...นายกำลังจะทำให้พี่เป็นบ้าแล้วนะ”
   
        ราเมศเสียงสั่น ความรู้สึกหวาดกลัวกัดกินใจของเขาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แค่คิดว่าเขาจะได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้าย แค่คิดว่าข้างกายจะไม่มีเด็กคนนั้นอีกแล้วราเมศก็เจียนคลั่ง
   
        เป็นความผิดของเขาเองที่ปกป้องปานตะวันไม่ได้
   
        ถ้าเขาไม่หวั่นไหวไปกับคำพูดธีร์ล่ะก็...ถ้าเขาไม่รับแฟลชไดรฟ์อันนั้นมา...
   
        จันทร์จ้าว...เธอเห็นพวกเราหรือเปล่า ได้โปรดเถอะนะ ได้โปรดคุ้มครองน้องชายของเธอด้วย...ได้โปรดให้ฉันช่วยพาเขากลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถอะ
   
         เสียงรถยนต์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน ราเมศรีบร้อนลงไปเปิดประตูรั้ว ชนกันต์ขับรถเข้ามาด้านใน ไม่นานหลังจากนั้นรถยนต์สีดำคันหนึ่งก็แล่นมาจอดริมกำแพงไม่ไกลจากบ้านเขานัก คนที่ก้าวลงมาคือหลงกับชายหนุ่มผมทองอีกหนึ่งคน ราเมศเปิดประตูรั้วให้ทั้งสองคนเข้ามาจากนั้นก็เดินนำแขกยามวิกาลเข้าไปในบ้านแล้วเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟังด้วยความร้อนใจ
   
        เมื่อฟังจบชนกันต์ก็สบถคำหยาบคายออกมาไม่หยุด สีหน้าคับแค้นราวกับอยากจะฆ่าใครสักคนให้ตาย
   
        “ไอ้เหี้ยธีร์ ว่าแล้วเชียวว่ากลับมาคราวนี้แม่งต้องไม่ได้มาดี”
   
        “แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดี ตะวันหายออกไปไหนก็ไม่รู้แบบนี้” หลงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล  “โทรหาก็ไม่ติดใช่ไหมพี่เมศ"

       “ไม่ติดเลย”
   
       ทุกคนจมลงสู่ความเงียบพลางนึกถึงคำถามที่ไร้คำตอบ แต่แล้วตอนนั้นเองจู่ๆ หลงก็โพล่งขึ้นมาว่า “มีใครพอจะรู้บ้างไหมครับว่าบ้านของแฟนเก่าปานตะวันอยู่ที่ไหน ที่อยู่ปัจจุบันตอนนี้น่ะครับ”
   
       “ผมรู้” ชนกันต์ตอบ ตั้งแต่เขารู้ว่าธีร์กลับมาชายหนุ่มก็แอบไปตามหาที่อยู่ของไอ้หมอนี่เอาไว้ ปรากฏว่ามันพักอยู่ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก “นายคิดว่าตะวันจะไปหาธีร์เหรอ ทำไมล่ะ”
   
       หลงเพ่งมองลายไม้บนพื้น สีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หลงลองคิดในมุมของตะวันดู...ถ้ามีคนอัดวีดิโอแบบนั้นของหลงเอาไว้แล้วส่งให้แฟนคนปัจจุบันดู...ถ้าเป็นตัวหลงอาจจะหาทางอื่น แต่ด้วยนิสัยใจร้อนของตะวันบวกกับเรื่องนี้เป็นแผลในอดีตที่ไม่อยากให้ถูกขุดคุ้ยของเขาแล้ว หลงคิดว่าวีดิโอที่ธีร์ส่งให้พี่เมศเป็นตัวจุดชนวนที่แรงพอจะทำให้ความโกรธทั้งหมดระเบิดขึ้น”
   
        “แล้วยังไงต่อ”
   
       “ความโกรธพวกนั้นน่ะ...แรงพอจะทำให้คิดฆ่าคนได้เลยนะครับ”
   
        ประโยคนั้นของหลงทำให้ราเมศใจหายวูบ ตอนนั้นเองที่เด็กผิวแทนซ้ำกลับมาด้วยอีกหนึ่งประโยค “แถมพี่เมศพูดเองว่าตอนนี้สภาพจิตใจปานตะวันไม่มั่นคงมาก แฟนเก่าคนนี้ตะวันคงแค้นพอสมควร จิตใจของเขาโกรธ หวาดกลัว สับสน ตีรวนกัน คนเปราะบางทางอารมณ์แบบนี้ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่นะครับ”
   
        ราเมศตัวชาเหมือนถูกแช่แข็งในขณะที่ชนกันต์โวยวายออกมา “งั้นเราก็ยิ่งต้องรีบไม่ใช่เหรอ ไปกันเถอะครับพี่เมศ แต่ในขณะที่กำลังจะวิ่งลงจากเรือนราเมศก็พูดขึ้นมาว่า “แล้วเจียหลินล่ะ”
   
        หลานหลับอยู่ในห้อง ทิ้งให้อยู่คนเดียวก็ไม่ได้ จะกระเตงไปด้วยกันก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่
   
        เห็นท่าทีห่วงหน้าพะวงหลังของราเมศแล้วหลงก็กล่าวขึ้นว่า “พี่เมศไปเถอะครับ เดี๋ยวหลงกับพี่คุณจะช่วยดูแลน้องให้”
   
       “แต่ว่า...จะดีเหรอ”
   
       “รีบไปเถอะครับ หลงติดต่อไปหาพวกบอดี้การ์ดที่ประจำอยู่ตอนกลางคืนแล้วด้วย เดี๋ยวให้พวกเขาช่วยหาอีกแรง” มือบางรุนหลังเขาไปทางประตู กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่ไม่ใช่เวลามาโอ้เอ้นะครับ พี่ต้องรีบไปหาตัวตะวันนะครับ”
   
       “น้องหลง ขอบคุณมากนะ”
   
       ราเมศเอ่ย สำหรับคนไม่ได้สนิทหรือเกี่ยวข้องกันลึกซึ้ง ความช่วยเหลือขนาดนี้ถือว่ามากมายเหลือเกิน หลงคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้ราเมศแล้วก็พูดว่า
   
       “หลงบอกแล้วว่าตะวันเป็นเพื่อนหลงเหมือนกัน หลงเองก็เป็นห่วงไม่แพ้ใคร ฝากพี่เมศพาเพื่อนของหลงกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยนะครับ”
   
        นัยน์ตาสีนิลฉายประกายจริงจังหนักแน่นดุจหินผาขณะหันกลับมาตอบ ราวกับว่าคำพูดนั้นเป็นคำสัญญาที่ให้กับหลงและเป็นประโยคสาบานที่ราเมศให้กับตนเอง
   
        “พี่จะพาปานตะวันกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
   
         ในขณะที่ด้านราเมศวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อตามหาตัวคนรัก ทางด้านปานตะวันกลับสงบนิ่งกว่านั้นมาก แต่มันเป็นความสงบราบเรียบคล้ายกับท้องทะเลที่คลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่จะมา
   
        ปานตะวันหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบนาทีก่อน
   
        จู่ๆ เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ฝันร้าย...ปานตะวันคิดว่าแบบนั้น แต่เขาจำความฝันไม่ได้เลยสักนิด สิ่งที่เหลืออยู่คือความรู้สึกไม่สงบ มีบางสิ่งรบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลาและมันก็รุนแรงขึ้นทุกขณะ สุดท้ายปานตะวันก็ทนนอนต่อไปไม่ไหว เขาติดสินใจจะไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย แต่เมื่อพลิกดูข้างกายก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นร่างของคนรักเหมือนเช่นทุกวัน
   
        พี่เมศไปห้องน้ำหรือเปล่านะ?
   
        ปานตะวันขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะเดินไปยังห้องน้ำแต่ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อพบว่าราเมศไม่อยู่ที่นั่น ปานตะวันล้างหน้าจนรู้สึกตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย พอวนกลับมาที่ห้องก็ไม่เห็นราเมศชายหนุ่มจึงเดินไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วก็เป็นดังคาด
   
        ประตูเปิดแง้มอยู่ มีแสงไฟลอดออกมา ปานตะวันแอบดูตรงรอยแยกของบานประตูก็เห็นคนรักนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ตอนแรกเขาตั้งใจจะเข้าไปแกล้งอีกฝ่ายสักหน่อยว่าแอบลุกมาเปิดคอมทำไมดึกดื่นป่านนี้ แต่ฝีเท้าของเขาเป็นอันต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมา
   
       ‘ถอดเสื้อออก!’
   
       ‘ไม่...อึก...ไม่เอานะ’
   
        ปานตะวันตัวชา หัวใจหล่นหายไปในหลุมดำว่างเปล่า โลกใต้เท้าถูกเขย่าจนตัวเอียงวูบ
   
         เสียง...เสียงนั่น...เสียงของหัวหน้าพวกแก๊งทวงหนี้!
   
        ปานตะวันแน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาดหรือฟังผิด เสียงนั่น...จะผ่านไปกี่สิบปีเขาก็ไม่มีวันลืม เสียงที่หลอกหลอนเขาอยู่ทุกคืนในความฝัน ชายหนุ่มหอบหายใจ อยากหายตัวออกไปจากตรงนั้นแต่แค่แรงจะก้าวถอยหลังยังไงไม่มี ปานตะวันยืนนิ่ง เสียงที่ดังจากเครื่องคอมพิวเตอร์อันที่จริงแล้วเบาแสนเบา แต่ท่ามกลางราตรีที่เงียบสนิทนี้บทสนทนา เสียงอ้อนวอนและเสียงสะอื้นไห้ของเขาเหมือนจะดังขึ้นมาเป็นพิเศษ
   
        ไม่สิ...หรือว่ามันดังมาจากในหัวเขากันแน่นะ
   
        “ฮึก”
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปาก หยดน้ำตามากมายทิ้งตัวผ่านพวงแก้ม ชายหนุ่มเหมือนหวนกลับไปในช่วงเวลานั้น เวลาที่มีเพียงเขาอยู่คนเดียว หวาดกลัวและอับอายแทบขาดใจ
   
        กึก
   
        ในที่สุดก็ขยับตัวได้แม้จะยังสั่นอยู่ ปานตะวันถอยหลังออกห่างจากประตูไป หนึ่งก้าว สองก้าว จนในที่สุดก็กลับไปถึงห้องนอนจนได้ ในหัวของเขามีความคิดหนึ่งวนเวียนอยู่
   
        ราเมศไปเอาคลิปนั่นมาจากไหน?
   
        อันที่จริงแล้วคำตอบก็ง่ายนิดเดียว...จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ธีร์
   
        ปานตะวันกำหมัดแน่น น่าแปลกที่ตอนนี้เขาควรจะโกรธจนระเบิดทุกอย่างออกมาแต่ความรู้สึกในใจยังคงไม่ปะทุ มันปั่นป่วนอยู่ข้างใต้...รอเวลา
   
       ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์แล้วก็กุญแจรถที่ราเมศวางทิ้งไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินอย่างเงียบเชียบไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง อีกไม่นานคลิปนั่นก็จะจบแล้ว ปานตะวันได้ยินเสียงพวกแก๊งทวงหนี้ข่มขู่เป็นครั้งสุดท้าย เขาหลับตาจำได้ว่าตนเองในช่วงเวลานั้นเจ็บปวดแค่ไหน ร้องเรียกคนที่ไม่มีวันได้ยินและไม่มีวันยื่นมือมาช่วย
   
       ธีร์

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 19-07-2017 19:35:59
        ปานตะวันในคลิปพร่ำหาธีร์...ส่วนปานตะวันตัวจริงก็เผยอริมฝีปากขึ้น ขยับเป็นคำพูดแผ่วเบา
   
        พี่เมศ
   
        ไม่ว่าจะในอดีตหรือตอนนี้สิ่งเดียวที่ปานตะวันต้องการก็คือ...
   
       ช่วยด้วย
   
        ...ใครสักคน...
   
        ได้โปรด หันมามองที
   
        ปานตะวันแตะบานประตู บานพับส่งเสียงเอี๊ยด ราเมศสะดุ้งเฮือกแล้วรีบหันขวับกลับมา วินาทีที่เห็นหน้าคนรักปานตะวันก็รู้สึกว่าภูเขาไฟในใจของเขาเดือดระอุ เตรียมพร้อมจะปะทุออกมา ชายหนุ่มหันหลังวิ่งลงจากเรือน เขาได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อดังมาจากด้านหลังแต่ปานตะวันก็ไม่ได้หันกลับไป
   
          เรื่องดำเนินมาถึงจุดที่เขาไม่สามารถหันหลังกลับ ปานตะวันรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ อึดอัด ทรมาน และเหนื่อยล้าเกินกว่าจะตะกายเข้าหาฝั่ง
   
         ถ้าธีร์ต้องการจะพบเขานัก เขาก็จะไปหาอีกฝ่ายก็ได้
   
        ไปเพื่อจบเรื่องทั้งหมด
   
        ปานตะวันกดเบอร์โทรศัพท์โทรหาอีกฝ่าย ตลกดีที่เห็นเบอร์ของอีกฝ่ายแค่ครั้งเดียวแต่ตัวเลขพวกนั้นกลับติดตา ชายหนุ่มกดโทรอยู่สองสามครั้งปลายสายก็รับ ประโยคหยาบคายดังมาเป็นชุด ปานตะวันจ้องตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าและแววตาราบเรียบราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ
   
       “มึงเป็นคนเอาคลิปนั่นให้พี่เมศใช่ไหมธีร์”
   
        เมื่อได้ยินเสียงของปานตะวันธีร์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มยิ้มย่อง
   
        [ใช่ เห็นแล้วล่ะสิ]
   
        “มึงต้องการอะไร”
   
        [ถ้าไม่อยากให้คลิปนั่นขึ้นไปอยู่บนเว็บก็เอาเงินมา]
   
        “เท่าไหร่”
   
        ธีร์แปลกใจที่ปานตะวันดูว่าง่ายผิดปกติ แต่เมื่อคิดว่าคงจะทะเลาะกับราเมศมาแล้วหมดหนทางจนต้องรีบโทรมาต่อรองกับเขาชายหนุ่มก็พูดจำนวนเงินออกไปอย่างย่ามใจ
   
        [ห้าหมื่น]
   
        “ตกลง”
   
        [หึ ว่าง่ายแบบนี้สิค่อยน่ารักหน่อย มึงจะเอาเงินมาให้กูวันไหนดีน้า พรุ่งนี้ ตกลงไหม ถ้าไม่ได้เงินภายในพรุ่งนี้คลิปมึงจะว่อนไปทั่วแน่]
   
        “ไม่ต้องถึงพรุ่งนี้หรอก กูเอาให้ตอนนี้เลยก็ได้ มึงบอกที่อยู่มา”
   
         [เห รีบร้อนขนาดนั้นเชียว]
   
        “ถ้ากูเอาให้แล้วก็ถือว่าจบกัน มึงต้องหายออกไปจากชีวิตกู”
   
        [แน่นอน]
   
        ธีร์พูดด้วยน้ำเสียงลิงโลดแล้วก็บอกที่อยู่ของตัวเองไป ปานตะวันนัดให้อีกฝ่ายเดินออกมารอที่หน้าปากซอยเข้าหอพัก พอโทรหาธีร์เสร็จชายหนุ่มก็วางโทรศัพท์ไว้แต่วินาทีต่อมามันก็สั่นขึ้นอีก คนโทรเข้ามาคือราเมศ ปานตะวันใจกระตุกแต่ก็ไม่ได้รับสาย
   
       พี่เมศยังคงโทรมา มีช่วงหนึ่งที่หายไปแต่หลังจากนั้นก็กลับมาโทรต่อ
   
        ปานตะวันข่มใจไม่ให้กดรับสาย เขายังไม่พร้อม ปานตะวันรู้ดีว่าถ้าหากกดรับสายไปพี่เมศจะต้องมาตามเขากลับบ้านแน่ๆ แต่ถ้ากลับไปแล้วต้องเจอกับน้ำเสียงผิดหวัง เจ็บปวด หรือถ้อยคำตัดพ้อมากมายแล้วล่ะก็...เขาขอไม่รับสาย ไม่กลับบ้านเสียดีกว่า
   
       ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดหมาย ปานตะวันมองเห็นเงาของธีร์ใต้แสงไฟ ชายหนุ่มขับรถไปจอดเทียบ ลดกระจกหน้าต่างลงแล้วพูดว่า
   
       “ขึ้นมา”
   
       “เราจะไปไหน”
   
       “ไปเอาเงินเพิ่ม เงินที่กูกดมาไม่พอ” แน่นอนว่าประโยคนั้นปานตะวันโกหก เขาไม่ได้กดเงินมาเลยต่างหาก “กูบอกไอ้กันต์ให้เตรียมเงินไว้ให้แล้ว”
   
        “แหม ชนกันต์นี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ เพื่อนตายว่างั้น ฮ่าๆ”
   
        ปานตะวันไม่ตอบ เขากดล็อกประตูรถแล้วก็ขับไปเรื่อยๆ ท้องถนนยามนี้ว่างเปล่า ภายในรถมีแต่ความเงียบ เงียบจนเสียงสั่นของโทรศัพท์ดังก้อง ธีร์เองก็สังเกตได้ไม่ยาก
   
        “เฮ้ สุดที่รักโทรตามแน่ะ” ถ้อยคำนั้นเยาะหยันกันไม่ผิดแน่ “ไม่รับสายเหรอ”
   
        “ไม่ต้องหรอก”
   
        “ทำไม เขาทนไม่ไหวหรือไงที่เมียถูกผู้ชายลูบนู่นคลำนี่มาก่อน”
   
         สีหน้าของปานตะวันยังคงราบเรียบ ธีร์ไม่ได้สังเกตเลยว่าข้อนิ้วที่กำพวงมาลัยอยู่เกร็งแน่นจนซีดขาว แถมรถก็เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
   
        “นี่เขาทิ้งมึงแล้วสินะ”
   
         “มึงจงใจให้เป็นแบบนั้นใช่ไหม” เสียงของปานตะวันเริ่มสั่น ธีร์ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งสนุก “ใช่สิ ไม่งั้นกูจะเอาคลิปไปให้มันทำไม ตอนแรกก็กะจะให้พวกมึงทะเลาะกันแล้วเดี๋ยวมึงก็จะกลับมาหากูแต่ตอนนี้กูคงไม่ต้องรอนานขนาดนั้นแล้ว ฮึ”
   
         “มึงไม่เคยรักกูเลยสินะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”
   
        “โอ๋ๆ ทำไมจะไม่รักล่ะครับตะวัน ธีร์รักตะวันนะ...” น้ำเสียงอ่อนหวานแต่คำพูดเชือดเฉือน ไม่ต่างอะไรกับลูกกวาดเคลือบยาพิษ
   
       “มึงเป็นกระเป๋าเงินที่ดีที่สุดในโลกของกูเลยล่ะ”
   
        วินาทีนั้น ภูเขาไฟแห่งความโกรธในใจพลันปะทุออกมาอย่างรุนแรง
   
        ปานตะวันโกรธจนตัวสั่น เหมือนกับว่าเขารอเวลาทุกอย่าง เก็บกักทุกอย่างเอาไว้มานานก็เพื่อวันนี้
   
        “มึงก็เอาไปหมดทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือไง! ชีวิตกู อนาคตกู มึงเอาไปเกือบหมด ตอนนี้ยังจะอยากได้อะไรอีก ไอ้สารเลว มึงกลับมาทำไม! ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ มึงยังจะกลับมาพังชีวิตกูอีกทำไม! กูไปทำอะไรให้มึงนักเหรอมึงถึงต้องจองล้างจองผลาญกูขนาดนี้!”
   
        ความรัก อนาคต ครอบครัว ความฝัน
   
        ผู้ชายคนนี้พังทุกอย่างไปหมดแล้ว
   
        ไม่เหลืออะไรแล้ว
   
        “มึงอยากได้นักใช่ไหมเงินน่ะ...ได้...ให้พ่อให้แม่มึงเผาส่งไปให้ใช้ในนรกก็แล้วกัน!”
   
        ปานตะวันเหยียบคันเร่งจนแทบมิด ตัวเลขความเร็วพุ่งทะลุร้อย
   
        “เชี่ย ตะวัน...ตะวัน...มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย”
   
        ธีร์ตัวเกร็ง เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ปานตะวันหลังจากที่ระเบิดคำพูดออกไปแล้วพลันเงียบกริบ ดวงตาขุ่นมัวจ้องไปด้านหน้าไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนความเร็วลงเลย

       “ตะวัน...มึง...ไอ้เหี้ย จอดรถให้กูลงเดี๋ยวนี้”
   
       “มึงอยากรีบไปเอาเงินไม่ใช่เหรอ กูก็รีบให้มึงแล้วนี่ไง”
   
        ปานตะวันตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา เขาไม่กลัวเลยสักนิดว่าจะพุ่งไปชนใครหรือจะรถคว่ำตายกลางทางหรือเปล่าชายหนุ่มไม่กลัว...อย่างน้อยถ้าจะตาย เขาก็จะลากไอ้ธีร์ไปลงนรกด้วยกัน
   
       ความตาย...นั่นสินะ บางทีเขาคงตัดสินใจได้แบบนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านมาแล้ว
   
       เรื่องทั้งหมดสำหรับตะวันมีทางออกแค่ทางนี้ทางเดียว
   
        เขาไม่กล้ากลับไปสู้หน้าราเมศ ไม่กล้ากลับไปสู้หน้าใคร แผลในใจถูกฉีกออกจนเลือดสดๆ ไหลทะลัก ความรู้สึกเศร้าและโกรธแค้นหลอมรวมกันกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเขาในตอนนี้
   
        เขามีครอบครัวแล้ว มีบ้าน มีความรัก
   
       แต่ทุกอย่างกลับพังลง แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวเอง
   
       ทำตัวโง่เง่า ทำตัวไร้ค่าเองไม่ใช่หรือ
   
       เป็นลูกที่ดีก็ไม่ได้ เป็นน้าที่ดีไม่ได้ เป็นแฟนที่ดีก็ไม่ได้ เป็นตัวเองที่ดียังทำไม่ได้เลย
   
       ตัวตนที่ไร้ค่าแบบนี้จะอยู่ไปทำไม...สู้ตายไปเลยเสียยังดีกว่า ตายไป...แล้วก็ลากไอ้สารเลวข้างกายนี่ลงนรกไปด้วยกัน
   
       “ไอ้เหี้ย กูบอกให้จอด!”
   
        “กลัวนักก็กระโดดลงไปสิ”  ปานตะวันปลดล็อกรถให้ “แต่ความเร็วระดับนี้ศพมึงจะสวยไหมนี่กูไม่รู้นะ”
   
        ธีร์หน้าซีดเผือด ตอนแรกเขาคิดว่าปานตะวันแค่ล้อเล่น แต่จากแววตาและท่าทางของอีกฝ่ายยามนี้มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยสักนิดเดียว
   
        ชิบหายแล้ว
   
        “มึง..ทำแบบนี้มึงก็ไม่รอดเหมือนกันแหละวะ มึง..มึง”
   
       “แล้วใครบอกว่ากูกลัวตาย”
   
       “มึงมันบ้า! ปล่อยกู! จอด จอดเดี๋ยวนี้!”
   
       ความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ธีร์ลนลานหาทางรอด ในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของปานตะวันสั่น เบอร์คนโทรเข้ามาคือราเมศ หนุ่มตี๋เหมือนเห็นแสงสว่างทีปลายอุโมงค์ เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายแล้วก็กดเปิดสปีกเกอร์โฟน
   
       [ตะวัน! กันต์เขารับสายแล้ว ตะวัน ตอนนี้อยู่ที่ไหน]
   
       เอี๊ยด
   
       เสียงยางรถเสียดสีกับพื้นถนนดังเสียดหู ปานตะวันเบิกตากว้าง สติคล้ายไม่อยู่กับตัว ธีร์ภาวนาให้ราเมศเรียกสติอีกฝ่ายกลับมาได้โดยเร็วไม่งั้นพวกเขาสองคนได้กลายเป็นศพกันไปทั้งคู่แน่ๆ!
   
        [ตะวัน...ตะวัน นายได้ยินพี่ใช่ไหม]
   
        น้ำเสียงที่ดังออกมาไม่ได้ตัดพ้อ ดุดัน หรือว่าเย็นชา ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่น้ำเสียงที่แฝงความสงสาร หากแต่เป็นน้ำเสียงอ่อนโยน นุ่มนวล และขอร้อง
   
       [ตะวัน อยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่จะไปรับ]
   
       “ฮึก...”
   
       ถนนเบื้องหน้าพร่ามัวลงช้าๆ เพราะหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตา ความเร็วของรถยนต์ลดลงเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับปกติ
   
        ปานตะวันส่งเสียงสะอื้นออกมา สุดท้ายรถยนต์ที่แล่นด้วยความเร็วก็ค่อยๆ ช้าลงแล้วก็เข้าจอดที่ข้างทาง เมื่อรถจอดสนิทธีร์ก็โยนโทรศัพท์ของปานตะวันทิ้งแล้วรีบตะกายลงจากรถ สีหน้าลนลานราวกับกลัวว่าถ้าไม่รีบลงตอนนี้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าปานตะวันจะกลายเป็นบ้าขึ้นมาอีก
   
       แต่ตอนนั้นปานตะวันไม่สนใจอะไรเลย เขาประคองโทรศัพท์ขึ้นมาเหมือนของล้ำค่าแล้วกระซิบ
   
       “พี่เมศ”
   
        [ตะวัน!]
   
       “พี่เมศ ตะวันอยากกลับบ้าน”
   
       [อยู่ที่ไหนเด็กดี เดี๋ยวพี่จะไปรับ]
   
       “ไม่รู้สิ” เขาขับรถเป็นบ้าเป็นหลังออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน ดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนลอยขณะที่น้ำเสียงเหมือนคนละเมอ “ตะวันหลงทาง”
   
       หลงทางในเขาวงกตวกวนไร้ทางออก มืดมิด โดดเดี่ยวและน่าหวาดกลัว
   
       [มีสถานที่ที่เป็นจุดเด่นอะไรบ้างไหม]
   
       คราวนี้เป็นเสียงของชนกันต์ น้ำเสียงร้อนรนและสั่นพร่าเหมือนคนจะร้องไห้ [มึง..มึงอยู่เฉยๆนะตะวัน ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวจะไปรับแล้ว]
   
       “ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่ที่ไหน....อยากกลับบ้านแล้ว”
   
       [ได้...ได้...อยู่ตรงนั้นนะ พวกกูกำลังรีบไป อยู่ตรงนั้น]
   
       “อื้ม”
   
        [ตะวันอย่าวางสายนะ สังเกตรอบๆ ด้วย อธิบายรายละเอียดของสถานที่หน่อย]
   
        ปานตะวันมองไปรอบๆอย่างเชื่องช้า ร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรง พยายามบอกทุกสิ่งที่เป็นจุดเด่นได้ เขารออยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่ได้สนใจ ร่างกายเขาพลันหนักอึ้ง อ่อนล้า พลังงานมหาศาลที่ขับเคลื่อนอย่างบ้าคลั่งหายวับไป เหลือเพียงหลุมลึกว่างเปล่าในใจ
   
       ปานตะวันหลับตา รู้สึกเหมือนตัวเองจมลง ดิ่งลงไปในความมืด และไม่มีแม้แต่ความคิดจะตะกายขึ้นมา
   
       ในที่สุดประตูฝั่งคนขับก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงทุ้มอันคุ้นเคยเรียกชื่อเขา
   
       “ปานตะวัน!”
   
       อ่า...ในที่สุด...พี่เมศก็หาเขาพบ
   
       ราเมศรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก ทันใดนั้นร่างโปร่งของปานตะวันก็เอนตัวเข้ามาหาเขา ชายหนุ่มรีบประคองร่างนั้นไว้ ปานตะวันตรงหน้าเหมือนหุ่นกระบอกเชือกขาด ท่าทางอ่อนล้าและหมดแรง
   
       “พี่เมศ”
   
       “ครับ พี่เอง เด็กดี” ราเมศลูบใบหน้าคนรัก มือของเขาสั่นเทา ปานตะวันเบียดตัวซุกเข้ามา “ตะวันอยากกลับบ้าน”
   
       “ครับ เรากลับบ้านกันเถอะนะ พี่เมศจะพาตะวันกลับบ้านเอง”
   
       อ้อมแขนนั้นอ่อนโยนเหมือนที่เป็นมาตลอด พอถูกกอดไว้หัวใจที่ไร้ความรู้สึกก็ค่อยๆ กลับมามีชีวิต แต่ครั้งนี้สิ่งแรกที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความดีใจแต่เป็นความกลัว
   
       ปานตะวันยึดชายเสื้อราเมศไว้ กระบอกตาร้อนผ่าว
   
       “พี่เมศ...ตะวันกลัว...เมื่อกี้...ตะวันคิดจะฆ่าธีร์...แล้วก็ฆ่าตัวตายไปด้วย กลัว...ฮึก...กลัว”
   
       เขากลัวความรู้สึกแบบนี้ มันเหมือนกับว่าตอนนั้นเขาไม่เกรงกลัว ไม่หวั่นไหวกับการพาตัวเองไปตายเลย มันนิ่ง ว่างเปล่า ความคิดด้านลบในตอนนั้นทำให้ปานตะวันสูญเสียความเป็นตัวเองไป ชายหนุ่มเริ่มกลัวตัวเองขึ้นมา วันนี้เขาไร้ความรู้สึกกับความคิดที่จะฆ่าคน แม้คนคนนั้นจะเป็นธีร์แต่นั่นก็คือฆ่าคนเลยนะ! แล้ววันหน้าถ้าอารมณ์เขาไม่นิ่งอีกล่ะ ถ้าเขามีความคิดจะฆ่าคนอื่นอีกล่ะ คนใกล้ตัวเขา...คนในครอบครัว
   
        “ไม่...พี่เมศอย่ามาใกล้ตะวัน ฮึก ไม่ปลอดภัย..ตะวันตอนนี้ไม่ปลอดภัย”
   
       ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งทะลัก ยิ่งร่ำร้องอ้อมกอดนั้นก็ยิ่งรัดแน่น
   
       ราเมศเจ็บปวดที่เห็นคนรักเป็นแบบนี้ แต่เขาปล่อยปานตะวันไปไม่ได้ ชายหนุ่มกอดร่างเล็กๆ นั้นไว้แน่น ปานตะวันดิ้นอยู่ครู่หนึ่งก็หมดแรงแต่เสียงสะอื้นและน้ำตายังไม่หายไป
   
      น้ำใสๆ พวกนั้นกลั่นมาจากความเจ็บปวดในหัวใจ ไหลทะลักออกมาราวกับจะไม่มีวันหมดสิ้น
   
      จมดิ่งลงไปอีกแล้ว...คราวนี้เหมือนกับว่าแม้แต่แสงสว่างแม้เพียงน้อยนิดก็ส่องลงมาไม่ถึง
   
      ปานตะวันรู้สึกว่าบางสิ่งในตัวเขากำลังปริร้าว
   
      แล้วก็แตกสลาย

*****************************************************

โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 19-07-2017 19:53:03
โอ้ยยยยยยยยยยยยย

สงสารตะวัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-07-2017 20:40:55
หายใจไม่ออก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-07-2017 20:59:24
ไม่เป็นไรนะตะวัน กลับสู่อ้อมอกคนที่รักแล้ว ให้ความรักเยียวยาทุกสิ่ง
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 19-07-2017 21:06:00
สงสารน้อง พี่เมษช่วยน้องด้วย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 19-07-2017 21:28:04
สงสารตะวัน  :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-07-2017 21:28:53
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 19-07-2017 21:47:16
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-07-2017 21:49:01
รู้สึกโล่งอกไปนิกหน่อย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-07-2017 22:18:05
ตะวันนนนนน หนูยังมีพี่เมศ หนูเจีย และเพื่อนๆ ที่รักและเป็นห่วงหนูอยู่นะคะ ส่วนไอ้ตัวเหี้ยนั่นเราว่าไม่รอดมือของบอดี้การ์ดพี่คุณหรอกค่ะ หวังว่าโดนไปคราวนี้คงจะไม่กลับมายุ่งกับตะวันอีกนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-07-2017 22:32:04
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 19-07-2017 23:47:23
สงสารปานตะวัน หนักหน่วงมากกก
น้องต้องเจอเรื่องแย่ๆ รู้สึกแย่ๆขนาดนี้ ฮรือออ
ตะวันต้องเข้มแข็งนะ ตะวันมีพี่เมศ มีหนูเจีย มีกันต์ มีหลง
ทุกคนรักและเป็นห่วงปานตะวันนะ โอ๋เอ๋นะคนดี ; w ;
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 20-07-2017 01:08:04
รอนะครับ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 21-07-2017 10:27:26
 :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-07-2017 11:16:26
ตะวันต้องดีขึ้นสิ มีพี่เมศกับหนูเจียอยู่ด้วย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๕ เด็กหลงทาง (๑๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 21-07-2017 19:12:05
 :เฮ้อ:พูดไม่ออกน้ำตาไหล
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 22-07-2017 19:35:15
ปานตะวัน
บทที่ 26
ที่ปลายสุดของอุโมงค์


       เสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้านทำให้หลงที่นั่งหลับอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่น ร่างเล็กปรือตาขึ้นแล้วก็เห็นคนรักของตนยืนอยู่ริมหน้าต่าง
   
       “พวกเขากลับมาแล้วเหรอครับ”
   
       “อื้ม มาแล้วล่ะ”
   
        หลงขยับตัวเล็กน้อย ตอนนี้ที่ห้องนั่งเล่นของบ้านเรือนไทยไม่ได้มีแต่เขากับคนรักเท่านั้นแต่บนตักของหลงยังมีร่างป้อมของเด็กน้อยที่ชื่อเจียหลินหลับซบอยู่ด้วย ใบหน้าของเด็กน้อยยังเปื้อนคราบน้ำตาอยู่เลย
   
        “ต้องปลุกไหม” ชายหนุ่มผมทองพยักเพยิดมาทางเจียหลิน หลงส่ายหน้า กระซิบตอบกลับไปว่า “ให้แกนอนไปนั่นแหละดีแล้วครับ นี่ก็เพิ่งร้องไห้จนเพลียหลับไปเอง”
   
        หลังจากที่พวกราเมศออกไปตามหาปานตะวัน หลงกับพี่คุณก็อาสาอยู่เฝ้าบ้านและดูแลเจียหลินให้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ห่วงเพื่อนแต่จะให้ทิ้งเด็กไว้ที่บ้านคนเดียวก็ไม่ได้ อุ้มพาไปตามหาปานตะวันด้วยก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี ดังนั้นจึงต้องมีคนหนึ่งเฝ้าเอาไว้ เหตุการณ์หลังจากราเมศออกจากบ้านไปประมาณสิบนาทีคือสิ่งยืนยันว่าหลงคิดถูกที่อาสาอยู่โยงให้
   
        เจียหลินสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว คราวนี้เหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใคร เรียกหาน้าเมศและน้าตะวันหลายหนก็ไม่มีใครตอบ เด็กน้อยเลยแผดเสียงร้องไห้ขึ้นตอนนั้นด้วยความตกใจกลัว พี่คุณเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าไปหา หนูเจียเจอหน้าอีกฝ่ายแค่ไม่กี่หนเท่านั้น ไม่คุ้นชินและจำไม่ได้ก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ฝรั่งผมทองจำต้องล่าถอยเพราะยิ่งเขยิบไปใกล้หนูเจียก็ยิ่งกลัว สุดท้ายก็เป็นหลงที่ตรงเข้าไปปลอบ
   
        เจียหลินคุ้นกับหลงแล้วแต่ก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดีที่คนเข้ามาหาไม่ใช่น้าตะวันและน้าเมศ เด็กชายอยากได้อ้อมกอดอุ่นๆ ของน้าชายทั้งสองมากอดปลอบมากกว่าอ้อมกอดของคนแปลกหน้า
   
        “น้า...ฮึก...น้าตะวันไปไหนคับน้าหลง แล้วทำไมน้าหลงมาอยู่ที่นี่”
   
        หลงที่ช้อนอุ้มเจ้าตัวน้อยเข้ามาในอ้อมกอดมองพี่คุณอย่างลำบากใจแวบหนึ่งแล้วก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
   
        “น้าตะวันกับน้าเมศออกไปข้างนอกครับ เดี๋ยวก็กลับแล้วล่ะ น้าตะวันวานให้น้าหลงมาช่วยเฝ้าหนูเจียครับ”
   
        “หนูเจียอยากหาน้าตะวัน...ฮึก...น้าตะวันไปไหน หนูเจียจะหาน้าตะวัน”
   
        “น้าหลงรู้แล้วๆ เดี๋ยวน้าตะวันก็กลับแล้วครับ หนูเจียรออีกนิดนะ” ชายหนุ่มผิวแทนใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยอย่างอ่อนโยน เจียหลินสะอื้นฮัก เด็กชายไม่ได้ตะเบ็งเสียงร้องไห้แล้วแต่หยดน้ำตาก็ยังร่วงพรูไม่หยุด
   
       “ให้น้าหลงกล่อมนอนไหมครับ” หลงวางร่างเล็กๆ ลงบนเตียง ห่มผ้าให้ หนูเจียส่ายหน้า สองมือเล็กๆ กำเสื้อคุณน้าหลงไว้
   
       “น้าหลงจะออกไปรอน้าตะวันใช่ไหมคับ”
   
      “ใช่ครับ หนูเจียไม่ต้องห่วง น้าเมศโทรบอกน้าหลงแล้วว่ากำลังจะกลับ” ประโยคหลังหลงโกหก แต่ก็เพื่อความสบายใจของเด็กน้อย ไม่อย่างนั้นหนูเจียคงไม่ยอมนอน
   
       “หนูเจียจะออกไปรอด้วยคับ”
   
       “ไม่เป็นไรหรอกครับ หนูเจียนอนอยู่ที่นี่เถอะนะ ถ้าน้าตะวันกลับมาน้าหลงจะเดินมาเรียกนะครับ”
   
       “ไม่..ไม่เอาคับ! หนูเจียจะรอด้วย”
   
        หลงเม้มปากแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ชายหนุ่มยอมตามใจเด็กชายด้วยการอุ้มร่างเล็กๆ มานั่งกับตัวเองที่โซฟา
   
        ตอนแรกหนูเจียก็นั่งจ้องประตูเขม็งแต่สักพักดวงตากลมก็เริ่มหรี่ปรือ เด็กชายตื่นมาร้องไห้กลางดึกตั้งสองสามรอบทำให้เพลียมาก ไม่นานร่างเล็กก็ฟุบหลับไปบนตักของหลง จากนั้นคุณน้าหลงที่เพลียไม่ต่างกันก็เผลอหลับไปอีกคนจนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์เมื่อครู่นี้นี่แหละ
   
        “พี่จะลงไปดูนะ” พี่คุณพูดก่อนจะเดินลงจากเรือนไปส่วนหลงก็ขยับตัวอุ้มเด็กน้อยวางลงบนโซฟา หนูเจียหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวไปแล้ว หลงห่มผ้าให้เด็กน้อย จูบลงที่พวงแก้มนุ่มเบาๆ แล้วก็ตามคนรักลงไปด้านล่าง
   
        ข้างๆ รถยนต์สองคันมีเงาคนคุ้นเคยยืนคุยกันอยู่ หลงเห็นปานตะวันได้ทันที ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความโล่ง อก แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้และกำลังจะอ้าปากร้องทักเขาก็เห็นถึงความผิดปกติของปานตะวันได้
   
       ปานตะวันอยู่ในอ้อมกอดของราเมศ ไม่เงยหน้ามองใคร ไม่พูดกับใครทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าคนตรงหน้ายังมีสติคือเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ลอดออกมาเป็นระยะ
   
       “ตะวัน” หลงแตะแขนเพื่อนพร้อมกับเรียกชื่อแต่ปานตะวันกลับสะดุ้งเฮือกเหมือนถูกไฟช็อต ร่างโปร่งเบียดเข้าหาราเมศมากขึ้นไปอีกคล้ายกับว่าหวาดกลัวการสัมผัส หลงชักมือกลับมา รู้สึกใจเสียเล็กน้อย
   
       “ขอโทษด้วยนะแล้วก็ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลหนูเจียให้” ราเมศพึมพำ มือยังลูบหลังลูบศีรษะคนรักอยู่เรื่อยๆ นัยน์ตาสีนิลของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าโศก หลงยิ้มให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ตะวันกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”
   
       “พี่พาตะวันขึ้นบ้านก่อนนะ พวกเธอก็มาด้วยกันเถอะ ไปนอนพักสักหน่อย”
   
       “ครับ เดี๋ยวจะตามไป”
   
        คล้อยหลังราเมศกับปานตะวันหลงกับคุณก็หันมาหาชนกันต์ทันที ชายหนุ่มที่ถูกจ้องถอนหายใจ ยกมือลูบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน
   
        “เป็นคืนที่หนักน่าดูเลย”
   
        “อื้ม แล้วตะวันเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
   
        “ไม่แน่ใจเหมือนกัน...แต่ฟังจากที่มันเล่ากระท่อนกระแท่นมาตลอดทางกลับบ้านก็คือตะวันขับรถออกไปจากบ้าน โทรหาไอ้ธีร์แล้วก็หลอกมันมาขึ้นรถ ตั้งใจจะขับรถให้ชนไม่ก็ให้รถคว่ำจะได้ตายกันไปทั้งคู่”
   
         หลงเบิกตากว้าง แม้จะตรงกับที่ตัวเองสันนิษฐานอยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าตะวันจะยอมตายไปด้วยกันแบบนั้น
   
        “แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ไอ้ธีร์นี้ไปได้ กูกับพี่เมศขับรถวนอยู่ตั้งนานกว่าจะเจอมัน พอเจอมันก็เอาแต่กอดพี่เมศแน่น ไม่ยอมให้ใครแตะตัว ไม่ยอมพูดอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากอยากกลับบ้าน”
   
       “งั้นเหรอ...นี่คงเป็นคืนที่หนักสำหรับตะวันมากเลยนะ” หลงพึมพำด้วยความกังวล “พรุ่งนี้จะเป็นยังไงนะ”
   
       “นั่นสิ กูว่าพรุ่งนี้กูจะโดดเรียนมาเฝ้ามัน กูสังหรณ์ใจไม่ดีเลย ไม่อยากให้อยู่คนเดียว”
   
        “อื้ม...พรุ่งนี้หลังกลับจากมหา’ลัย หลงจะแวะเข้ามาดูอีกทีแล้วกัน แต่วันนี้คงกลับบ้านก่อน”
   
        “ขอบใจมากนะ”
   
         ชนกันต์ตบไหล่หลงแล้วก็หันไปยกมือไหว้ขอบคุณพี่คุณ ทั้งสามเดินกลับขึ้นไปบนเรือน ปานตะวันไม่อยู่แล้วเหลือแต่หนูเจียที่นอนหลับอยู่บนโซฟากับราเมศที่นั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียวเท่านั้น
   
        “พี่เมศ หลงกับพี่คุณกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแวะมาใหม่” หลงเอ่ยลาคนอายุมากกว่า อีกฝ่ายหันมาพยักหน้าให้พร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณมากนะ”
   
        เมื่อหลงกับคุณจากไปราเมศก็หันมาหากันต์ “คืนนี้ค้างนี่ใช่ไหมกันต์ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหมหรือจะไปนอนเลย”
   
        “ผมขอตัวไปนอนเลยแล้วกันครับ”
   
        “โอเค ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ลำบาก”
   
        “ไม่เป็นไรครับ”
   
        ชนกันต์ตอบรับเบาๆ แต่ตอนที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวออกไปจากห้องนั่งเล่นนั้นเองเขาก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ กันต์หันกลับมาด้วยสีหน้าลำบากใจแล้วพูดว่า “พี่เมศ...พี่เห็นคลิปนั่นแล้วใช่ไหมครับ”
   
        “เห็นแล้วล่ะ”
   
        “แล้วพี่...” ยังรับไอ้ตะวันได้อยู่ใช่ไหม ยังไม่ได้รังเกียจมันใช่หรือเปล่า
   
         “พี่ยังเหมือนเดิม” สายตาที่กันต์มองมายังคงเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ ราเมศจึงย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่บอกแล้วไงว่าอดีตของตะวันจะเป็นยังไงพี่ก็รับได้ทั้งนั้น เพราะตอนนี้เขาเป็นปานตะวันที่พี่รักมากที่สุด”
   
        ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นราเมศก็จะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด
   
         แม้ว่าวันพรุ่งนี้ที่กำลังมาถึงจะดูไม่ง่ายดายก็ตาม
   
         ชายหนุ่มผิวแทนอุ้มหลานชายเดินช้าๆ ไปที่ห้องนอนของตน เขาแตะมือที่ลูกบิดประตูแล้วเปิดออกเบาๆ ในห้องนั้นมืดสนิท หนูเจียในอ้อมแขนครางอืออา ราเมศวางเจียหลินลงบนเตียงแล้วก็หันกลับมามองร่างของคนรักที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่พื้น
   
        “ตะวัน”
   
        ราเมศแตะแขนปานตะวันอย่างแผ่วเบา เขามองใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดนักแต่ก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้ปานตะวันคงไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้าตนเองเท่าไหร่
   
       “นอนเถอะ คืนนี้เหนื่อยแล้ว”
   
       “ครับ”
   
        น้ำเสียงแหบพร่าตอบกลับมา ปานตะวันเขยิบตัวลงนอนแต่คราวนี้เจ้าตัวไม่ได้หันกลับมาเบียดหรือกอดราเมศอีกแล้ว ปานตะวันนอนตะแคงหันหน้าออกจากราเมศ ทิ้งให้คนรักมองแผ่นหลังงองุ้มของตนด้วยสายตาเศร้าใจ
   
       วันต่อมาคือวันที่ราเมศและชนกันต์ภาวนาให้ตะวันกลับเป็นเหมือนเดิมและขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงฝันร้าย แต่รอยแผลที่ถูกสร้างไว้คงกว้างเกินกว่าจะสมานติดได้ในคืนเดียว ปานตะวันที่ตื่นนอนสายที่สุดในบ้านจึงยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ใบหน้าของปานตะวันดูซีดเซียว ขอบตาคล้ำ ไหล่ก็ลู่ลง บุคลิกที่เคยดูร่าเริงกระปรี้กระเปร่าก็หายวับไปแล้วถูกแทนที่ด้วยการก้มหน้าก้มตา เหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา และมีสีหน้าอมทุกข์ ไม่ว่าชนกันต์หรือราเมศจะชวนคุยอย่างไรปานตะวันก็จะตอบแค่สั้นๆ หรือบางทีก็ไม่ตอบเลย
   
       “น้าตะวัน กินอันนี้น้า หนูเจียให้น้าตะวัน กินเยอะๆ จะได้แข็งแรงนะคับ” เด็กชายตัวน้อยเองก็ดูออกว่าน้าตะวันของตัวเองแปลกไปจากปกติเลยขยันเอาใจคุณน้าให้มากขึ้น เจียหลินไม่ดื้อไม่งอแงเลย เขาทำตัวเป็นเด็กดีเพื่อที่ว่าน้าตะวันของเขาจะได้ไม่เหนื่อยมาก ระหว่างทานมื้อเช้าเด็กชายก็ตักนู่นตักนี่ใส่จานของคุณน้าตลอด
   
       “น้าตะวัน อ้ามมม”
   
        มุมปากของปานตะวันยกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เขาจะอ้าปากรับเอาไส้กรอกทอดที่หนูเจียจิ้มมาป้อนถึงปากเข้าไปกิน ดวงตาที่ไร้ประกายและว่างเปล่าพลันกลับมามีร่องรอยของความสดใสอีกครั้ง แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มสองคนที่ลอบสังเกตอยู่โล่งใจขึ้น
   
       “อร่อยไหมคับ!”
   
       “อร่อยครับ”
   
       “งั้นน้าตะวันกินเยอะๆ เลยน้า หนูเจียให้หมดเลย”
   
       ปานตะวันส่ายหน้า ชายหนุ่มจูบหน้าผากหลานชายไปหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ไม่ล่ะครับหนูเจีย น้าตะวันอิ่มแล้ว หนูเจียกินเถอะ กินเยอะๆ เลยนะจะได้โตไวๆ”
   
       เจียหลินมีสีหน้าลังเลแต่ก็ยอมตกลง ปานตะวันลุกจากโต๊ะ ยกจานและแก้วน้ำของตนไปวางลงในอ่างล้างจาน
   
       “อิ่มแล้วเหรอตะวัน เอาน้ำส้มสักแก้วไหม” ราเมศถาม ปานตะวันส่ายหน้า “ไม่ล่ะครับพี่ อิ่มแล้วจริงๆ”
   
       “งั้นวันนี้จะอยู่บ้านไหมหรือว่า...”
   
        “ตะวันจะออกไปทำงาน ส่วนกันต์ก็ไม่ต้องอยู่เฝ้าหรอก ไปเรียนเถอะ”
   
       “แต่...”
   
       “ไม่เป็นไร...กูโอเค มึงไปเถอะ”
   
       ราเมศขมวดคิ้ว ชายหนุ่มก้าวไปประชิดตัวคนรัก “แน่ใจนะว่าไหว สีหน้าดูไม่ดีเลย” ว่าพลางยกมือจะแตะที่หน้าผาก ทันใดนั้นเองที่ปานตะวันผงะถอยหลังพร้อมกับปัดมือของราเมศออกดังเพี๊ยะ
   
       ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบในพริบตา
   
       ปานตะวันมีสีหน้าแตกตื่น เขาเบิกตากว้างมองราเมศแล้วก็หันกลับมามองมือตัวเอง ความเจ็บและชาเล็กๆ ที่เกิดจากกันปัดมือราเมศออกยังคงอยู่
   
       มือข้างนั้นสั่นระริก สั่น...พอๆ กับหัวใจ
   
       นี่เขาทำอะไรลงไป
   
       “พี่เมศ ขอโทษ...ตะวันไม่ได้...ไม่ได้ตั้งใจ”
   
        ปานตะวันละล่ำละลักพูดออกมา เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่ตอนนั้นที่ราเมศยื่นมือออกมาจู่ๆ ภาพในความทรงจำก็พลันผุดขึ้นมาซ้อนทับ ภาพของชายกักขฬะหลายคนที่ยื่นมือหยาบกร้านมาหาเขา จิกผม ตบตี และสัมผัสอย่างหยาบโลนไปทั่วร่างกาย
   
         ภาพนั้นดูชัดเจนเสียจนปานตะวันเผลอเบี่ยงตัวหนีแล้วก็ปัดมือออกตามสัญชาตญาณ แต่แล้วนาทีต่อมาเขาก็พบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นราเมศ เป็นคนรักของเขา คนรักที่วิ่งพล่านไปทั่วตอนตีหนึ่งตีสองเพื่อตามหาและพาเขากลับบ้าน
   
        นี่เขาทำอะไรลงไป ปานตะวัน...กลายเป็นอะไรไปแล้ว
   
       “ขอโทษ...ขอโทษ...ขอโทษ”
   
       “พี่รู้แล้ว...ไม่เป็นไร” ราเมศยิ้ม สีหน้าและแววตายังคงอ่อนโยนแต่คราวนี้เขาไม่แตะต้องตัวปานตะวันอีกแล้ว “ตะวันจะไปทำงานใช่ไหม ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปส่งหลานเอง”
   
      “ค...ครับ”
   
       จบคำพูดนั้นปานตะวันก็รีบออกจากห้องไป ราเมศถอนหายใจ พิงเคาน์เตอร์ครัวด้วยท่าทางอ่อนล้า เมื่อครู่ตอนโดนปัดมือออกเขายอมรับว่าเจ็บ
   
       ไม่ใช่ที่มือ...แต่เป็นที่ใจ
   
       “น้าเมศ” หนูเจียในชุดนักเรียนปีนลงจากเก้าอี้แล้วก็เดินเตาะแตะมากระตุกชายขากางเกงเขา เด็กชายเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด “น้าตะวันเป็นอะไรไปคับ”
   
        “น้าตะวันแค่รู้สึกไม่ดีน่ะครับหนูเจีย” ราเมศฝืนยิ้มออกมา
   
        “น้าเมศเจ็บหรือเปล่า”
   
        “ไม่เจ็บมากหรอกครับ” ชายหนุ่มโกหก เจียหลินเม้มริมฝีปากแล้วก็กอดราเมศแน่น วันนี้เด็กชายรู้สึกได้ถึงบรรยากาศผิดปกติจากคนรอบๆ ตัวมาตั้งแต่เช้าแล้ว มันหดหู่ เหนื่อยอ่อนแล้วก็ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก
   
        หนูเจียไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่อยากให้น้าตะวันมีสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้แบบนั้นแล้วก็ไม่อยากให้น้าเมศฝืนยิ้มทั้งที่ทุกข์ใจแบบนี้
   
        เด็กชายกอดราเมศเอาไว้แน่นแล้วก็อยากวิ่งไปกอดน้าตะวันด้วย น้าตะวันเคยสอนเขาว่ากอดกันจะทำให้รู้สึกดี เจียหลินจึงอยากกอดทั้งสองคนเอาไว้...เผื่อว่าบรรยากาศสดใสที่หายไปจะกลับคืนมา
   
       ปานตะวันรู้ดีว่าตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา...ในหัวเขา
   
       ชายหนุ่มรู้สึกว่าวันทั้งวันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน ร่างกายและจิตใจของเขาหนักอึ้งเกือบตลอดเวลา ปานตะวันรู้สึกเหนื่อย หมดแรง ในจิตใจของเขายังคงมีแต่ความรู้สึกของเมื่อคืนอยู่เต็มไปหมด คืนที่เขาปรารถนาจะฆ่าใครอีกคนให้ตาย คืนที่เขารู้สึกหลงทางและจมดิ่งลงในโลกมืดมิดไร้แสงสว่าง
   
        ในใจของชายหนุ่มมีแต่ความกลัวและความเหนื่อยล้า
   
        เขารู้สึก...ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม มันเหมือนกับว่าเขาแตกสลายไปแล้วและจะไม่มีทางกลับมาเป็นปานตะวันของเจียหลินและราเมศได้อีก
   
        ปานตะวันไม่รู้ว่าทั้งสองคนยังต้องการเขาอยู่หรือเปล่าด้วย
   
        ราเมศ...หลังจากเห็นคลิปนั่น ความรู้สึกของเขาไม่มีทางเหมือนเดิมได้ตลอดไปหรอก ยิ่งถูกทำเหมือนรังเกียจแบบเมื่อเช้าด้วยแล้ว ตอนนี้คงกำลังโกรธและหงุดหงิดอยู่แน่ๆ ส่วนหนูเจีย ปานตะวันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กชายจะทนกับน้าที่แผ่รังสีหดหู่ไปได้อีกนานแค่ไหน
   
        ทำไมถึงกลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้นะ แค่ทำเป็นลืมไปก็ได้แล้วแท้ๆ แค่ทำเป็นลืม...
   
        ลืมไม่ได้
   
        ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์จนตั้งรับไม่ทัน ปานตะวันตอนนี้เหมือนหุ่นกระบอกเชือกขาด เหมือนคอมพิวเตอร์ที่พังแล้ว ทุกอย่างรวนไปหมด มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้คนนอกเข้าใจและยากจะดิ้นรนจนหลุดพ้น
   
        ชีวิต...ยากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
   
       ชายหนุ่มคิดอย่างเลื่อนลอย ปานตะวันเก็บจานชามและแก้วน้ำของลูกค้าที่กินเสร็จแล้วไปไว้ที่บริเวณทำความสะอาด ระหว่างที่กำลังเช็ดโต๊ะนั่นเอง โทรทัศน์ในร้านก็กำลังแสดงภาพผู้ประกาศข่าวสาวสวยกำลังอ่านข่าว เนื้อหาของข่าวสะดุดหูปานตะวันเข้าอย่างจัง

        ‘เช้านี้เวลาประมาณเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีมีการพบศพชายหนุ่มคนหนึ่งในห้องพัก จากการสอบถามผู้ที่พักอาศัยในชั้นสี่และห้องข้างเคียงได้ความว่าช่วงเวลาประมาณหกโมงเช้ามีเสียงดังมาจากห้องพักของผู้ตาย แต่พวกตนไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะผู้ตายชอบพาเพื่อนฝูงมาที่ห้องแล้วก็ส่งเสียงดัง บางครั้งก็มีเสียงทะเลาะกันกับหญิงสาวหรือชายหนุ่มซึ่งคาดว่าเป็นคนรักของของผู้ตายดังมาให้ได้ยินเป็นประจำ ดังนั้นผู้ที่ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทจึงทำเพียงแค่นำเรื่องลงไปแจ้งผู้ดูแลหอพักเท่านั้น
   
        จากปากคำของผู้ดูแลหอพักซึ่งเป็นผู้พบศพเล่าว่าตนขึ้นมาหาผู้ตายที่ห้องเพื่อจะตักเตือนเช่นทุกครั้ง แต่เรียกอยู่นานผู้ตายก็ไม่เปิดประตู เมื่อลองขยับลูกบิดดูก็พบว่าไม่ได้ล็อกตนจึงเปิดประตูเข้าไปแล้วก็พบศพผู้ตายนอนอยู่กลางห้องข้าวของในห้องพังเสียหาย’
   
        ปานตะวันละสายตาจากโต๊ะไม้ขึ้นไปดูที่จอโทรทัศน์ วินาทีนั้นชายหนุ่มถึงกับตัวชา หัวใจคล้ายถูกแช่แข็งไป
   
       ‘ผู้ตายชื่อนายธีรเทพ อายุ 22 ปี อาศัยอยู่คนเดียว สภาพศพถูกของมีคมแทงเข้าตามร่างกายยี่สิบสี่แผล ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆาตกรรมซึ่งสาเหตุมาจากการทวงหนี้...’
   
        ภาพใบหน้าในกรอบเล็กๆ บนจอนั่นคือรูปของธีร์...ปานตะวันแน่ใจว่าหูไม่ฝาด ธีรเทพคือชื่อจริงของชายหนุ่ม
   
        ตายแล้ว...งั้นหรือ เหมือนโชคชะตาเล่นตลกเลยนะ เมื่อคืนเขายังพามันไปด้วยกัน...หวังให้ตาย ใครจะไปรู้ว่ามันจะรอดกลับไปเพื่อไปถูกฆ่าที่ห้องพักตัวเอง
   
        เขาเหม่อมองผู้ประกาศข่าวสาวรายงานข่าวต่อไป ในใจของปานตะวันตอนนี้ไม่มีความสงสาร ความเสียใจหรือความกลัวเลย กับผู้ชายคนนี้ คนที่ขยี้ชีวิตเขาจนยับเยินปานตะวันไม่มีความสงสารหรือเวทนาให้เลย
   
         ความรู้สึกในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว...คือความโล่งใจ
   
         ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก รู้ดีว่าตัวเองไม่ควรเกิดความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่มีสิทธิ์คิดว่าใครควรตายหรือไม่ควรตายแต่ชายหนุ่มก็อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้
   
        จะไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว จะไม่ต้องถูกตามจองเวรแล้ว
   
        จบลงแล้วจริงๆ
   
        ตอนที่คิดอย่างนี้ออกมา ส่วนหนึ่งในหัวเขาพลันรู้สึกขยะแขยงตัวเอง
   
       ต้องเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดขนาดไหนถึงเฉยชากับการตายของคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้แถมยังรู้สึกโล่งใจอีก
   
        ถัดจากความรู้สึกขยะแขยงคือความกลัว ปานตะวันกำมือชื้นเหงื่อแน่น เขารีบหลบออกไปที่หลังร้าน กอดตัวเองไว้ แผ่นหลังแนบกับกำแพงเย็นเฉียบ
   
        เขาเป็นอะไรไป...เกิดอะไรขึ้น..ทำไมถึงไม่เหมือนเดิม
   
       ทำไมถึงบิดเบี้ยวไปได้มากขนาดนี้
   
        กลัว...ความคิดของตัวเอง
   
        ร่างกายสกปรกยังไม่พอ...จิตใจก็ยังตกต่ำไปด้วยงั้นหรือ
   
        ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม กลัว กลัว กลัว กลัว กลัว
   
        ปานตะวันกัดริมฝีปากจนเลือดซิบ เขาคู้ตัวอยู่ตรงนั้น อยากจะปกป้องตัวเองจากสิ่งที่ตามหลอกหลอนแต่ก็ทำไม่ได้...จะปกป้องได้อย่างไรเมื่อสิ่งนั้นมันอยู่ข้างในตัวเขาเอง
   
        ความทรงจำพวกนั้น อดีตที่ฝังอยู่ หรือแม้กระทั่งความคิดเลวร้ายทุกอย่างถูกกลบฝังอยู่ในตัวเขา....มาแสนนาน เมื่อได้เจอธีร์  อีกฝ่ายก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นกุญแจปลดล็อกด้านมืดในตัวปานตะวันออกมา
   
        “ฮึก...ทำไม....” ปานตะวันกระซิบด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าว “ทำไมคนที่ตายถึงไม่เป็นเราด้วย”
   
        เขาเกลียดตัวเองเหลือเกิน ความรู้สึกว่าตนนั้นสกปรกเกินกว่าจะให้คนอื่นมาแตะต้องทวีมากขึ้น มากขึ้นแล้วก็มากขึ้น
   
        ไม่หายไป...ไม่มีทางหาย
   
        ค่ำวันนี้มื้อเย็นอึดอัดกว่าทุกวัน ราเมศลอบสังเกตคนรักไปด้วยทานอาหารไปด้วย เขาเห็นข่าวของธีร์แล้ว หลงเองก็โทรมาหาเขาแล้วเช่นกัน เจ้าตัวบอกว่าตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้เป็นคนรู้จักของพี่คุณ เขาจะรวบตัวคนร้ายมาให้ได้ พวกมันจะได้ไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้ทีหลัง หลงคิดว่าบางทีธีร์อาจจะบอกที่อยู่ปานตะวันให้กับพวกทวงหนี้เผื่อไว้ในกรณีที่มันไม่มีเงินแล้วเตรียมหนีเหมือนครั้งก่อน ได้ยินแบบนั้นราเมศก็ร้อนใจ เขาอยากให้จับคนพวกนั้นให้ได้เร็วๆ หลานชายและคนรักจะได้ปลอดภัยเสียที
   
       นับตั้งแต่รู้ข่าวราเมศก็กังวลเกี่ยวกับท่าทางของปานตะวันมาตลอด แต่ตอนนี้เขาพบแล้วว่าปานตะวันมีสีหน้าและท่าทางนิ่งเฉยคล้ายกับคนที่ตายไปไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย แววตาว่างเปล่าแห้งแล้วเหมือนคนไร้จิตวิญญาณทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี หนูเจียเองก็รู้สึกได้เหมือนกัน น้าตะวันแตกต่างจากเมื่อเช้า...คราวนี้ไม่ว่าหนูเจียจะเข้าหาแค่ไหนอีกฝ่ายก็มักจะถอยหนี ไม่ยอมให้กอดหรือหอมอีก
   
        เหมือนว่าปานตะวันกำลังเว้นระยะห่างระหว่างพวกเรา
   
        “ตะวัน” ราเมศตัดสินใจได้แล้วว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เขาเรียกคนรักเอาไว้หลังตัวเองส่งหนูเจียเข้านอนเสร็จ “มาคุยกันหน่อยได้ไหม”
   
       “ครับ”
   
       ปานตะวันทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นตามคำบอกของเขา ราเมศขยับเข้าไปใกล้ ตะวันก็ถอยหนี ท่าทางนั้นทำให้ชายหนุ่มปวดใจ
   
       “ตะวัน...เห็นข่าวของธีร์แล้วใช่ไหม”
   
       “เห็นแล้วครับ”
   
       “แล้ว...” รู้สึกยังไงบ้าง ราเมศกลืนคำถามนั้นลงไป เขาเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยคำถามใหม่ออกมาเบาๆ “ทำไมวันนี้ถึงไม่พูดกับพี่เลยล่ะ ตะวันยังรู้สึกไม่ดีอยู่อีกเหรอ”
   
      “ไม่...ผมเปล่า...มันก็แค่...”
   
       “ปานตะวัน” ราเมศขยับเข้าไปใกล้ คนรักก็ถอยหนีออกไปอีกจนกระทั่งแผ่นหลังติดกับที่วางแขนของโซฟา “มีอะไรหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ รู้ใช่ไหมว่าบอกพี่ได้ทุกอย่างเลย”
   
      “รู้ครับ แต่ว่าตะวัน...”
   
       ราเมศทาบมือลงที่ข้างแก้มของคนรัก เขาโน้มตัวไปแตะริมฝีปากที่หน้าผากของอีกฝ่าย พรมจูบลงมาถึงพวงแก้มเหมือนเช่นทุกครั้งที่จะปลอบใจปานตะวัน
   
       ปกติแล้วการกระทำแบบนี้ของราเมศจะทำให้ตะวันรู้สึกดีและอบอุ่นใจ แต่กับครั้งนี้จู่ๆ ร่างกายสูงใหญ่ของคนรักก็ถูกซ้อนทับด้วยภาพของหัวหน้าแก็งทวงหนี้ ฝ่ามือที่สัมผัสอย่างอ่อนโยนปลุกเอาความทรงจำเลวร้ายว่าร่างกายนี้เคยถูกคนอื่นจับอย่างหยาบคายมาแล้วขนาดไหน
   
       “ไม่...ออกไป...ออกไปนะ”

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 22-07-2017 20:11:34
       “ตะวัน?”
   
        ราเมศผละออกมาเห็นคนรักมีสีหน้าแตกตื่น ดวงตาสีน้ำตาลของปานตะวันดูล่องลอย มองมาที่เขา...แต่ไม่ได้เห็นตัวเขา
   
        “อย่าเข้ามานะ...อย่าเข้ามา!”
   
        “ปานตะวัน!”
   
        ราเมศจับใบหน้าของปานตะวันไว้ เขาไม่สนใจกำปั้นหนักๆ ที่ไล่ทุบไปที่ร่างกายเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเขย่าตัวคนรัก เรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำๆ
   
       “ตะวัน มองพี่ นี่พี่เมศเอง”
   
        “พี่...เมศ”
   
       “ครับ ใช่แล้ว เด็กดี ไม่ร้องนะ”
   
       ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่เคยสดใสบัดนี้มีแต่ความร้าวรานฉายออกมา “พี่เมศ” ปานตะวันสะอื้น เขาร้องไห้ไปแล้วกี่ครั้งก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าตัวเองอ่อนแอลงทุกทีๆ
   
       “ตะวันกลัว...เมื่อกี้...ตะวันไม่ได้เห็นพี่ ตะวันเห็นเป็นพวกแก๊งทวงหนี้ มันกำลังจะมาจับตัวตะวัน”
   
      “ไม่มีแก๊งทวงหนี้ที่ไหนหรอกครับ ตะวันปลอดภัยแล้วนะ อยู่กับพี่ตะวันจะไม่เป็นไร”
   
       ปานตะวันส่ายหน้า กระถดหนี ร่างเล็กๆ กอดเข่า โยกตัวไปมา “อย่าจับตะวันนะพี่เมศ...จับ...ไม่ได้นะ”
   
       “ทำไมล่ะครับ”
   
       “เพราะตอนพี่จับ..ตะวันจะนึกถึงแต่เรื่อง...เรื่องคืนนั้น แล้วก็รู้ตัวว่าตะวันสกปรก...ฮึก...สกปรกมากแค่ไหน ถ้าจับพี่เมศก็จะสกปรกไปด้วย”
   
       “ไม่จริงหรอกนะ ตะวัน ไม่จริงเลย”
   
       ราเมศไม่เคยรู้สึกอยากจะร้องไห้เท่านี้มาก่อน ปานตะวันตอนนี้ดูเหมือนลูกสัตว์ที่บาดเจ็บ อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เข้าไปปลอบประโลมไม่ได้ ชายหนุ่มยื่นมือเข้าไปหาแต่ก็ถูกปัดออกมาเหมือนเมื่อเช้า
   
       “ตะวันขอโทษ ตะวันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ” ปานตะวันร้องไห้โฮ น้ำตาอาบแก้ม ร่างเล็กจับมือของตัวเองข้างที่ปัดมือราเมศทิ้งเอาไว้แน่น “ขอโทษครับ ขอโทษ พี่เมศ ตะวันไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ อย่า...อย่าเกลียดตะวันเลยนะ”
   
        ราเมศสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติ จากนั้นก็ฝืนยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ปานตะวันเกลียดตัวเองมากขึ้นที่ทำให้คนรักแสดงสีหน้าแบบนี้
   
        “ไม่เป็นไร พี่ไม่เกลียดตะวันหรอก ขอโทษนะที่กดดันมากไป ไปนอนเถอะ”
   
       ราเมศลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินไปทางห้องนอนแต่ปานตะวันไม่ได้เดินตาม อีกฝ่ายหยุดยืนนิ่งแล้วก้มหน้าพูดเสียงแผ่วว่า “ตะวันขอแยกห้องนอนนะครับ”
   
        ราเมศกำมือแน่น จำใจพยักหน้า “อื้ม ฝันดีนะ”
   
        “ครับ”
   
        ปานตะวันมองแผ่นหลังกว้างของคนรัก เขารู้ว่าพี่เมศเจ็บปวด ปานตะวันรู้ดีว่าเขาเป็นต้นเหตุของมัน ชายหนุ่มก้าวถอยหลังออกไปช้าๆ เมื่อเดินไปถึงห้องนอนสำหรับแขกจู่ๆ เขาก็นึกถึงแผนการปรับปรุงบ้านหลังนี้ที่เคยพูดกับราเมศไว้ขึ้นมา
   
        จะยังได้ทำร่วมกันอยู่อีกไหมนะ
   
        พี่เมศ...จะทนตะวันไปได้ถึงแค่ไหน
   
        ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ไม่อยากมีความคิดงี่เง่านี่อยู่ในหัว ไม่ชอบอารมณ์ของตัวเองที่ขึ้นๆ ลงๆ จนคนอื่นเสียใจ ไม่ชอบที่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นทุกข์ ไม่ชอบร่างกายที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งแบบนี้ ความเปราะบางของอารมณ์เหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกที
   
        ทรมานจังเลย พี่เมศ...ช่วยที
   
        หลายวันต่อจากนั้นอาการของปานตะวันก็ดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มเริ่มเก็บตัว ไม่รับโทรศัพท์จากเพื่อนหรือคนอื่น แม้แต่ชนกันต์ปานตะวันก็ไม่ยอมรับสาย ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเวลาเคลื่อนผ่านไปช้ามากในแต่ละวัน และทุกๆ นาทีที่ต้องเผชิญคือความทรมาน
   
        ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นก้อนพลังงานด้านลบที่เดินได้ เขาเว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แม้แต่หนูเจียและราเมศก็ได้เจอกันแค่ตอนทานอาหารเท่านั้น ปานตะวันถูกราเมศพักงาน อยู่แต่กับบ้าน ชายหนุ่มเริ่มนอนทั้งวัน รู้สึกเบื่อหน่ายง่วงซึมตลอดเวลา ไม่อยากออกไปพบผู้คนแต่ก็ไม่ชอบเวลาอยู่คนเดียวเช่นกัน ทุกครั้งที่นั่งเงียบๆ ในห้อง ความทรงจำเลวร้ายก็จะผุดขึ้นมา หลอกหลอนทั้งยามหลับและยามตื่น
   
        อารมณ์ของปานตะวันขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา บางครั้งเขาก็หงุดหงิดตัวเองที่อ่อนแอขนาดนี้ เวทนาตัวเองจนอยากจะให้ตายๆ ไปซะจะได้จบเรื่อง บางครั้งชายหนุ่มก็เหม่อลอยทั้งวัน นิ่ง เงียบ ไม่พูดจากับใครเลย เขาไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลยจริงๆ มันรู้สึกไร้ค่าจนน่าสมเพช
   
       ปานตะวันรู้สึกว่าการตื่นมาในตอนเช้าเป็นเรื่องที่ทรมานที่สุด ตื่นมา..เพื่อรู้สึกเศร้าและว่างเปล่า
   
       “ตะวัน” วันนี้พี่เมศก็มาปลุกเช่นเคย ชายหนุ่มผิวแทนจะอยู่นอกห้อง เคาะเรียกจนกว่าปานตะวันจะยอมลุก “ตะวัน ตื่นได้แล้วเด็กดี เช้าแล้วนะครับ”
   
       น้ำเสียงของพี่เมศยังอบอุ่น อ่อนโยน ปานตะวันโหยหาอ้อมกอดนั้นแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับการถูกรักโดยคนที่แสนดีขนาดนี้
   
       เด็กดีงั้นเหรอ ไม่ใช่หรอก ปานตะวันไม่ใช่เด็กดีของพี่เมศอีกแล้ว
   
       “ตะวัน...ออกมาสิ วันนี้มีคนมาหานะ”
   
        คนมาหา? ใคร?
   
       “ตะวันต้องเซอร์ไพรส์แน่เลย มาเถอะ”
   
       ปานตะวันลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปแล้วก็เจอราเมศยืนอยู่นอกห้อง ร่างสูงใหญ่เบี่ยงตัวให้ปานตะวันเดินออกไปโดยไม่สัมผัสตัวกัน
   
       กี่วันแล้วนะที่ไม่ได้กอด ไม่ได้แตะต้องกันเลย
   
      ราเมศพาปานตะวันไปที่ห้องครัว ที่โต๊ะกินข้าวมีร่างคุ้นตาของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หนูเจีย เมื่อเห็นเธอปานตะวันก็พูดออกมาด้วยท่าทางตกใจว่า “แม่”
   
       เสียงสั่นพร่าของปานตะวันเรียกให้รุ่งฟ้าเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่คล้ายคลึงกันกับปานตะวันไหวระริกเมื่อเห็นสภาพของลูกชาย
   
       “ตะวัน...ทำไมถึงได้...” ทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้
   
       รุ่งฟ้าแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อเห็นร่างของปานตะวัน ดวงตากลมที่เคยเปล่งประกายสดใสบัดนี้หม่นหมองและดูไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ร่างของปานตะวันดูเล็กลงกว่าครั้งล่าสุดที่เธอได้พบ ลูกชายของเธอผ่ายผอมลงมากทีเดียว
   
       “แม่มาได้ยังไง”
   
       รุ่งฟ้าเหลือบมองราเมศแวบหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็เป็นคำตอบให้ปานตะวันได้แล้ว
   
       “พี่บอกแม่เหรอ”
   
       ปานตะวันหันไปหาคนรัก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สีหน้าแสดงความขุ่นเคืองออกมาอย่างไม่ปิดบัง ใช่ ปานตะวันโกรธ แค่เดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นหน้าของแม่ เห็นแววตาตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าเจือความสงสารเขาก็ยิ่งโกรธ
   
       ในหัวใจอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว บางสิ่ง...อาจจะเป็นภูเขาไฟลูกสุดท้ายในตัวที่สงบนิ่งมานานพลันขยับไหว
   
       “พี่เรียกคุณรุ่งฟ้ามาเอง” ราเมศเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
   
       ตั้งแต่วันที่ปานตะวันปฏิเสธการให้ราเมศสัมผัสตัวด้วยเหตุผลว่ามันปลุกเอาความทรงจำแย่ๆ ออกมาและทำให้ปานตะวันรู้สึกว่าตัวเขาเองสกปรก ราเมศก็รู้ได้ทันทีว่าคนรักของเขากำลังอาการไม่ดี ชายหนุ่มตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับคุณรุ่งฟ้าเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ อย่างน้อยก็ใหญ่สำหรับคนใกล้ชิด เมื่อคุณรุ่งฟ้าได้รับเมลของเขาเธอก็ตอบกลับมาว่าจะกลับไทยให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
   
       ราเมศรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรุ่งฟ้ากับปานตะวันไม่ค่อยดีนัก แต่แม่ลูกกัน อย่างน้อยก็ต้องมีสิ่งพิเศษเชื่อมกันเอาไว้ บางทีรุ่งฟ้าอาจเจาะเข้าไปหลังกำแพงที่ปานตะวันสร้างไว้ได้สำเร็จ
   
       “ทานข้าวเช้ากันดีกว่านะ”
   
       เมื่อบรรยากาศในครัวชักเริ่มอึดอัดราเมศจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้ปานตะวัน ก่อนจะตักข้าวต้มกุ้งหอมฉุยใส่ถ้วยมาให้
   
       “ทานเยอะๆ เลยนะ พี่ทำไว้เยอะมากเลย”
   
       “ขอบคุณครับ”
   
       ปานตะวันตักข้าวต้มในถ้วยขึ้นมาเป่าเบาๆ หนูเจียตัวน้อยเห็นคุณน้ายอมออกจากห้องมากินข้าวแล้วก็ดีใจ รีบตักกุ้งในถ้วยตัวเองใส่ในถ้วยปานตะวันทันที
   
       “น้าตะวันกินเยอะๆ น้า จะได้แข็งแรง หนูเจียให้กุ้งหมดเลย”
   
       “ขอบคุณครับหนูเจีย แต่ไม่ต้องตักมาให้ทั้งหมดหรอก หนูเจียเองก็ต้องกินเยอะๆ เหมือนกัน”
   
       “อื้อ หนูเจียจะกินให้ตัวโตๆ แล้วก็จะดูแลน้าตะวันเองคับ!”
   
        หลายวันมานี้หนูเจียกลุ้มใจมาก เด็กชายไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเท่าพวกผู้ใหญ่แต่ก็เดาได้ว่าน้าตะวันกำลังเศร้าและมีเรื่องไม่สบายใจ น้าตะวันไม่กลับมานอนกอดหนูเจีย ไม่มาเล่านิทานให้ฟัง ไม่ยอมหอม ไม่ยอมอุ้ม พักหลักๆ จะได้เจอกันเฉพาะตอนมื้อเช้ากับมื้อเย็นเท่านั้น แถมน้าตะวันยังกินน้อยมากๆ ทำให้ผอมลงๆ
   
        พอเขาไปถามน้าเมศ น้าเมศก็บอกว่าน้าตะวันไม่สบาย ต้องการพักผ่อน เจียหลินอย่าเพิ่งเข้าไปกวนเลย เด็กชายตัวเล็กจึงต้องเก็บแผนการมากมายที่อยากทำกับน้าตะวันเอาไว้กับตัวไปก่อน เจียหลินไม่เข้าไปกวนน้าตะวันเลย เขายอมเป็นเด็กดี กินข้าวเยอะๆ ทำการบ้าน แล้วก็ไม่ดื้อไม่ซน น้าเมศบอกว่าทำแบบนี้จะช่วยให้น้าตะวันหายเร็วขึ้น
   
       เจียหลินเป็นเด็กดีแล้วแต่น้าตะวันก็ยังไม่หายป่วยสักที
   
       หรือว่าเขายังดีไม่มากพอนะ
   
       มีหลายครั้งที่เจียหลินคิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ของคุณน้า เด็กชายมักจะเดินเงียบๆ ไปนั่งกอดเข่าอยู่หน้าห้องของปานตะวัน เอาหลังพิงบานประตูเย็นเฉียบไว้แล้วก็นั่งอยู่แบบนั้นนานหลายสิบนาที
   
       แต่ไม่ใช่แค่เจียหลินเท่านั้นที่ทำแบบนี้ ตอนกลางคืนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจียหลินสะดุ้งตื่นมากลางดึก เขาไม่เห็นหน้าเมศอยู่ในห้อง ตอนแรกเด็กชายก็จะร้องไห้แต่นึกขึ้นได้ว่าถ้าร้องไห้ตอนนี้จะไปกวนน้าตะวันที่กำลังหลับ หนูเจียเลยอุดปากตัวเอง รวบรวมความกล้าลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปในบ้านมืดๆ ตามลำพัง
   
       สองเท้าเล็กๆ พาร่างของเด็กชายมาหยุดที่หน้าห้องนอนของปานตะวัน และที่หน้าประตูบานนั้น ที่เดียวกับที่เจียหลินชอบนั่งมีร่างสูงใหญ่ของน้าเมศปรากฏอยู่
   
      น้าเมศนั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง เอนหลังพิงประตู เหม่อมองไปไกลแสนไกล อีกฝ่ายไม่รับรู้ถึงการมาถึงของหนูเจียเลยด้วยซ้ำ
   
       เจียหลินยืนนิ่งอยู่ในเงามืด นาน...จนได้ยินเสียงร้องไห้
   
       เสียงร้องไห้เสียงหนึ่งดังมาจากในห้อง ส่วนเสียงร้องไห้อีกเสียงต้องขยับเข้าไปจนชิดถึงจะได้ยิน
   
       น้าตะวันร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจอยู่ข้างใน ส่วนอีกฝั่งของประตูน้าเมศกัดริมฝีปากพยายามมกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้แต่ก็ทำได้ไม่สำเร็จ
   
      เจียหลินเดินลากผ้าห่มเข้าไปใกล้น้าเมศแล้วก็นั่งลงข้างๆ เบียดซุกตัวในอ้อมกอด
   
       รอคอยให้ความมืดอันยาวนานผ่านพ้นไปด้วยกัน
   
        “อร่อยไหมครับหนูเจีย” เสียงทุ้มของน้าเมศทำให้หนูเจียที่เหม่อลอยอยู่สะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์ความคิด เด็กชายกะพริบดวงตากลมสองสามครั้งก่อนพยักหน้าหงึกหงัก
   
        “อร่อยคับ”
   
       “เจียหลินลองกินอันนี้” รุ่งฟ้ารีบพูดก่อนจะตักกับข้าวอย่างหนึ่งใส่ลงในถ้วยข้าวต้มหนูเจีย “อันนี้ก็อร่อยนะ”
   
       “ขอบคุณคับคุณย่า” หนูเจียตักกับข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อันที่จริงแล้วเด็กชายไม่ชอบกับข้าวชนิดนี้เท่าไหร่ แต่คุณย่าตักมาให้ จะไม่กินก็ไม่ได้ ต่อหน้าคุณย่าฟ้าหนูเจียรู้สึกเกร็งมากกว่าอยู่กับคุณย่าราตรี “อร่อยคับ”
   
       “งั้นเหรอ ดีเลย งั้นตะวันกินด้วยสิ”
   
       รุ่งฟ้าตักอาหารใส่ถ้วยข้าวต้มของลูกชายแล้วก็ตักมาเพิ่มให้หนูเจียด้วย ปานตะวันขมวดคิ้ว มองการกระทำของมารดาด้วยสายตาแปลกๆ แต่กระนั้นเขาก็ยอมกินทุกอย่างที่แม่ตักมาให้
   
        จะว่าไป...ครั้งสุดท้ายที่ได้กินข้าวกับแม่แล้วอีกฝ่ายตักกับข้าวให้มันเมื่อไหร่กันนะ
   
        “ตะวันเอาเพิ่มไหม” พี่เมศถามขึ้นเมื่อเห็นข้าวต้มในถ้วยปานตะวันพร่องไปจนเกือบหมด “เดี๋ยวพี่ไปตักให้”
   
       “ไม่เป็นไรเมศ เดี๋ยวป้าทำเอง”
   
        รุ่งฟ้ารีบยกถ้วยข้าวต้มของปานตะวันขึ้นมา ทำท่าจะเดินไปตักให้แต่ลูกชายของหล่อนกลับเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงกร้าว “ไม่ต้องครับ ตะวันอิ่มแล้ว”
   
       “อิ่มแล้วหรือ ทานอีกสักหน่อยสิ ลูกผอมไปมากเลยนะ”
   
       “ผมอิ่มแล้วจริงๆ ครับ”
   
       “งั้นเหรอ...โอเค”
   
       รุ่งฟ้าหน้าเสียเมื่อน้ำเสียงและท่าทางของลูกชายเย็นชา เธอเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วก็วางถ้วยข้าวต้มลงที่เดิม บรรยากาศกลับมาอึดอัดอีกครั้ง รุ่งฟ้าเหลือบตามองราเมศ ชายหนุ่มมีสีหน้ากลัดกลุ้มไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่
   
       “ตะวัน วันนี้วันหยุด ลูกอยากไปไหนไหม”
   
       “ไม่ครับ ตะวันอยากอยู่บ้าน”
   
        “แม่ว่านานๆ ทีเราน่าจะพาหนูเจียไปเที่ยวกันนะ หนูเจียอยากไปเที่ยวไหมครับ ไปสวนสนุกหรือสวนน้ำ หรือ...”
   
        “งั้นแม่ก็พาหลานไปเถอะครับ ตะวันไม่อยากไป”
   
        ปานตะวันสวนกลับ เขากัดริมฝีปากเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอขึ้นเสียงใส่มารดาไปแล้ว สีหน้าเสียใจของแม่ทำให้เขารู้สึกผิด
   
        รู้สึกแย่พอๆ กับที่รู้สึกโกรธเลย
   
        อารมณ์รุนแรงปั่นป่วนอยู่ในใจ ตั้งแต่ตอนเห็นหน้าแม่ ตอนที่อีกฝ่ายพยายามตักอาหารให้ ชวนไปเที่ยวข้างนอก ทำดีกับหนูเจีย
   
        ปานตะวันไม่เข้าใจว่าจะทำแบบนั้นทำไม สงสารเหรอ สมเพชเหรอ หรือรู้สึกผิด
   
        ไม่รู้หรือไงว่ายิ่งทำดีกับเขาปานตะวันก็ยิ่งสมเพชตัวเอง
   
        “แล้ว...ตะวันอยากทำอะไร”
   
        “นอนเงียบๆ คนเดียว” เขาลุกพรวดขึ้น “อิ่มกันแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวตะวันจะล้างจาน”
   
        “ไม่ต้องๆ เดี๋ยวแม่ทำให้”
   
        ทำให้?
   
         ปานตะวันรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ เส้นด้ายแห่งความอดทนที่ถูกขึงจนตึงอยู่ในหัวพลันสะบั้นขาด
   
        “เพื่ออะไรครับ?” ชายหนุ่มหันไปมองหน้าแม่บังเกิดเกล้า ดวงตาของคุณรุ่งฟ้าเบิกกว้าง เธอเผลอริมฝีปาก “ลูกว่าอะไรนะ?”
   
       “ผมถามว่าแม่ทำแบบนี้เพื่ออะไร!!”
   
        เสียงตวาดของเขาทำให้หนูเจียสะดุ้งเฮือก ราเมศตรงเข้ามาปลอบเขาแต่ปานตะวันสะบัดอีกฝ่ายออก เขายังพูด พูดสิ่งที่สะสมเป็นตะกอนอยู่ในใจออกไป
   
        “แม่กลับมาทำไม กลับมาทำดีกับผมเพื่ออะไร สงสารเหรอ สมเพชเหรอที่ผมเป็นแบบนี้ เป็นไอ้เด็กใจแตกที่ผลกรรมจากอดีตกำลังย้อนมาทำร้าย เสียใจเหรอที่เห็นผมอยู่ในสภาพนี้ เสียใจทำไมในเมื่อแม่ทิ้งผมไปตั้งหลายปีแล้ว!”
   
        “ตะวัน...แม่..แม่”
   
         “ผมรู้ว่าแม่ไม่ต้องการผม ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทิ้งผมไว้กับพ่อ พาผมไปด้วยทำไมในเมื่อสุดท้ายแม่ก็จะมีครอบครัวใหม่ พี่ชายคนโตงั้นเหรอ คุณพ่อใหม่งั้นเหรอ บ้านหลังใหญ่ที่ต่างประเทศงั้นเหรอ ผมไม่ได้ต้องการ! แม่ไม่เคยถามผมเลยว่าผมต้องการอะไร ผมแค่อยากอยู่กับแม่ อยากให้แม่กอด อยากให้แม่ชมเวลาทำดี อยากให้แม่ทำแบบเมื่อกี้! ตักอาหารให้ ชวนไปเที่ยว! อยากให้แม่ทำมันทุกวันเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่มาทำเพราะสงสารเสียใจที่ลูกชายแม่กำลังจะกลายเป็นผีตายซาก!”
   
        ปานตะวันหอบหายใจ เขาโกรธจนสะบัดมือเหวี่ยงจานชามและแก้วน้ำลงจากโต๊ะ เสียงแก้วแตกดังเพล้งเสียดแทงอยู่ในหู คลอมากับเสียงร้องไห้  ปานตะวันหันไปมองหนูเจีย เด็กชายเบิกตาโต ตกใจกลัวจนน้ำตาร่วง ทำท่าจะตะกายลงจากเก้าอี้ ราเมศที่กลัวหนูเจียจะเหยียบเศษแก้วบนพื้นรีบวิ่งเข้าไปอุ้มหลานทันที
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลของปานตะวันเบนกลับมาที่คุณรุ่งฟ้า
   
        แม่ของเขา...แม่ที่ปานตะวันคิดมาตลอดว่าเข้มแข็งบัดนี้ยืนกัดริมฝีปากน้ำตาไหลพราก แต่แววตาที่มองเขาก็ยังคงไม่ใช่แววตาโกรธขึ้งหากแต่เป็นแววตาแสดงความสงสารและเสียใจ
   
         “แม่ขอโทษ ขอโทษนะตะวัน”
   
        “ขอโทษ?” ปานตะวันถามกลับด้วยน้ำเสียงสูง “แม่ขอโทษทำไม ขอโทษไปแม่ก็เอาเวลาที่เสียไปกลับมาไม่ได้ จะขอโทษทำไมในเมื่อสุดท้ายแล้วแม่ก็จะยังทำเหมือนเดิม แม่ยังจะเลือกเขา! ทิ้งตะวันไว้ที่นี่แล้วก็หนีไปเสวยสุขกับสามีใหม่ของแม่ ครอบครัวสุขสันต์สิใช่ไหม มีความสุขมากเลยสินะ แม่รู้ไหมว่าตะวันโดดเดี่ยวแค่ไหน!”
   
       ชายหนุ่มปาดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองออกอย่างแรง เขาเห็นเงาตัวเองสะท้อนในดวงตาของแม่ สีหน้าเกรี้ยวกราดแบบนั้นไม่ใช่เขาเลย
   
        เงาสะท้อนนั้นเป็นของใครอีกคนที่ปานตะวันไม่รู้จัก
   
        “ที่ตะวันเลือกรักไอ้ธีร์ เลือกจะเชื่อคำหวานโง่ๆ ของมัน เลือกจะหลับหูหลับตา เพราะตะวันอยากได้ความรักแม่เข้าใจไหม ตะวันอยากรู้ว่าการถูกรักมันเป็นยังไง! ความรู้สึกอบอุ่นจากการถูกคนอื่นกอดมันเป็นยังไง แต่สุดท้ายมันก็ไม่จริง แม่กลับมาเพราะสงสาร เสียใจใช่ไหม แม่รู้ไหมว่ายิ่งแม่ทำดีตะวันก็ยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ตะวันไม่อยากให้แม่มาสงสาร มาทำดี มาเห็นใจ เพราะว่า...เพราะตะวันรู้สึกว่ามันปลอม...”
   
        “แม่ทิ้งตะวันไว้คนเดียวตั้งหลายปี คนที่ทำให้ตะวันกลายเป็นแบบนี้ก็แม่นั่นแหละ!”
   
       รุ่งฟ้าหลับตา กล้ำกลืนหยดน้ำตาลงไป สิ่งที่ปานตะวันพูดใส่หน้าเธอคือเรื่องจริง เธอเอื้อมมือไปหาปานตะวัน อยากจะดึงลูกชายมากอดแต่เขาก็ถอยหนี รุ่งฟ้าขยับยิ้มขื่น
   
       ทิ้งเขาไว้นานเกินไปจนแม้แต่ตอนนี้...ตอนที่คิดได้ ก็สายเกินกว่าจะดึงปานตะวันเข้ามากอดแล้ว
   
        แค่กอดยังทำไม่ได้เลย
   
       เธอคิดมาตลอดว่าลูกชายเธอเข้มแข็งและสามารถอยู่คนเดียวได้ แต่ปานตะวันตรงหน้าคือคำตอบว่าเธอคิดผิดทุกอย่าง เขาเปราะบางและกำลังพังทลายลงมา
   
       คนที่เป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวนั้นคือเธอเอง
   
        ถ้าเธอใส่ใจเขามากกว่านี้ ทำหน้าที่ของแม่ได้ดีกว่านี้ ปานตะวันก็คงจะโตมาเป็นเด็กที่มีความสุข
   
        “แม่ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”
   
        ปานตะวันซบหน้าลงกับฝ่ามือก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปทันที
   
        “ตะวัน!”
   
        ราเมศรีบวางหลานชายลงบนเก้าอี้ กำชับไม่ให้ลงมาจนกว่าเขาจะกลับมาเก็บเศษแก้วจนหมดจากนั้นก็วิ่งตามปานตะวันออกไป
   
        ภายในห้องเหลือเพียงรุ่งฟ้ากับหลานชายเท่านั้น หล่อนปาดน้ำตาอย่างยากเย็น เดินไปหยิบเอาถุงพลาสติกมาเก็บเศษจานและแก้วที่แตกไปอย่างช้าๆ ฉับพลันดวงตาก็เหลือบไปเห็นเศษแก้วน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแก้วสีม่วงลายแมวมาก่อน
   
       ปานตะวันชอบแมว สมัยเด็กเจ้าตัวร่ำร้องอยากจะเลี้ยงแมวเสมอ ไหนจะตุ๊กตาแมว การ์ตูนที่มีแมว
   
        ตอนนี้เจ้าตัวก็ยังชอบอยู่สินะ...แต่ในห้องจะยังเหลือตุ๊กตาแมวหรือการ์ตูนที่มีแมวอยู่หรือเปล่า รุ่งฟ้าพลันนึกได้ว่าหลังจากที่ย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ที่ต่างประเทศเธอก็ไม่ค่อยได้คุยกับปานตะวันอย่างจริงจังอีกเลย ทุกครั้งที่เจอหน้ากันปานตะวันมักจะนั่งกินอาหารเงียบๆ แล้วก็ปล่อยให้เธอ สามีและลูกสาวอีกสองคนคุยกัน
   
        บางเรื่องเขาก็ไม่รู้ บางเรื่องเขาก็ไม่ได้สนใจ
   
        ความรู้สึกนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการเป็นคนนอกเลยสินะ
   
        ‘ที่ผมเป็นแบบนี้เพราะแม่นั่นแหละ!’
   
        ถ้าเธอรักเขามากกว่านี้อีกสักนิด ปานตะวันก็คงไม่ต้องไปยุ่งกับไอ้สารเลวนั่น ถ้าเธอ...ย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะกอดเขาไว้ให้แน่นๆ แล้วก็บอกว่าเธอรักเขาแค่ไหน
   
        ตลกดีที่เธอบอกรักลูกสาวอีกสองคนได้แทบทุกวี่ทุกวันแต่กับปานตะวัน...เธอรักเขา แต่ครั้งสุดท้ายที่แสดงให้เขารู้มันเมื่อไหร่กันนะ ความทรงจำรางเลือนเต็มที
   
       “ฮึก...แม่ขอโทษนะ...ตะวัน แม่ขอโทษ”
   
        รุ่งฟ้าไม่รู้จะพูดอะไรได้อีกนอกจากคำๆ นี้
   
        ทางด้านปานตะวันเขาไม่ได้หนีเตลิดออกจากบ้านแบบหนที่แล้วแต่วิ่งเข้าห้องนอนตัวเอง ราเมศตามมาทัน ชายหนุ่มเห็นบานประตูเปิดแง้มไว้เล็กน้อย
   
        ราเมศไม่ได้ก้าวเข้าไปแต่เลือกที่จะนั่งลงเอาหลังพิงประตูไว้
   
        “ตะวัน อยู่หรือเปล่า” เขารู้ว่าลูกแมวของเขานั่งอยู่อีกฟากของประตูนี่เอง “อยู่ครับ” น้ำเสียงอู้อี้ตอบกลับมา ราเมศผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
   
        “ตะวันเลวมากใช่ไหมพี่เมศ เป็นลูกแท้ๆ แต่กลับพูดแบบนั้นกับแม่” ปานตะวันสะอื้นไปพูดไป “ตะวันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ตะวันโกรธแล้วก็คุมตัวเองไม่ได้ พี่เมศ ตะวันไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลยเพราะตะวันทำให้ใครต่อใครเสียใจไปหมด ทั้งพี่ ทั้งหนูเจีย ทั้งแม่”
   
        “มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกนายรู้ใช่ไหม”
   
        “ทำไมมันถึงจะไม่ใช่ความผิดของตะวันล่ะ! มันก็ความผิดของตะวันทั้งนั้นแหละ ไอ้เรื่องที่ตะโกนใส่แม่ไปน่ะมันก็แค่ข้ออ้าง ถ้าตะวันมีสติแล้วก็คิดเป็นจะโง่จนโดนหลอกได้ยังไง ตะวันผิดเอง ตะวันโง่เอง แล้วก็เห็นแก่ตัว คิดแต่จะให้แม่อยู่กับตัวเอง ไม่อยากให้แม่มีความสุขกับครอบครัวใหม่ ตะวันเป็นคนไม่ดี และคนไม่ดีก็จะต้องอยู่คนเดียว”
   
        “...”
   
       “พี่เมศ ตะวันรู้สึกแย่มากๆ เหมือนกับว่าทุกวันตื่นมาเพื่อจะเจอกับความเหงา ว่างเปล่าแล้วก็ความคิดเศร้าๆ ในหัว เหมือนกับว่ามีแค่ตะวันบนโลกใบนี้”
   
        ปานตะวันรู้สึกเหมือนเขากำลังวิ่งอยู่ในอุโมงค์ที่ทอดยาว กำลังเหนื่อยล้าและหมดแรง เขากัดฟันวิ่งแล้วก็วิ่ง
   
         เพื่อจะพบว่าที่ปลายสุดของอุโมงค์ไม่มีแสงสว่างใดรอคอยอยู่

*********************************************************

ในที่สุดระเบิดเวลาลูกสุดท้ายก็ระเบิดออกในตอนนี้เอง เราว่าหลายคนน่าจะรู้แล้วล่ะว่าปานตะวันเป็นอะไร
เขียนไปแล้วเราก็สงสารปานตะวันเหมือนกันนะคะ
จากตอนแรกๆ คือภาพลักษณ์ของเด็กวัยรุ่นที่ทำอะไรเองไม่ได้เลยมาจนถึงตอนนี้
ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่าปมในใจของปานตะวันมันเยอะมาก และที่ใหญ่ที่สุดคือปมเรื่องความรัก
การที่เขาเข้าหาธีร์ ยอมทำทุกอย่าง บางคนอาจจะมองว่ามันโง่แล้วก็ไร้สาระ ทำไมคิดเองไม่ได้ แต่ถ้าคิดในมุมกลับว่า
ปานตะวันโหยหาความรักเสมอ เขาอยากเป็นที่ต้องการของใครสักคน พอเจอคนที่(แกล้ง)มอบความรักให้เต็มที่
ปานตะวันเลยตกหลุมไปซะเต็มเปา ถามว่าแล้วชนกันต์ล่ะ? คำตอบคือสำหรับตะวันกันต์เป็นเพื่อน แต่เพื่อนก็ไม่เหมือนแฟน
ตอนนั้นคือตะวันต้องการคนที่รักเขา ใช้เวลาทั้งหมดกับเขา แต่กันต์ก็มีสังคมอื่นๆ ของตัวเอง ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด
ตะวันเลยรู้สึกว่ากันต์เป็นแค่เพื่อน แต่ธีร์คือคนที่พึ่งพาได้ รักได้ เป็นของเขาคนเดียวอะไรแบบนี้

พออ่านตอนนี้หลายคนอาจจะไม่ชอบคุณแม่รุ่งฟ้า ทั้งมีชู้(พ่อเลี้ยงตะวัน) ทิ้งตะวันไว้คนเดียวอีก
สาเหตุหลักๆ ที่ตะวันขาดความอบอุ่นก็มาจากคุณแม่ ถ้าเธอรักหรือดูแลตะวันดีกว่านี้เขาก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
(อย่างมากก็กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเฉยๆ แล้วก็มาเจอพี่เมศจับดัดนิสัย ฮาาา)
แต่ว่าที่เธอทำแบบนั้นมันก็มีสาเหตุเหมือนกันซึ่งจะเฉลยในตอนหน้าค่ะ

หลายคนอาจเริ่มคิดแล้วว่าเมื่อไหร่จะจบดราม่าาา เราเขียนเองก็อึดอัดเองเหมือนกันค่ะ โฮฮฮฮ
แต่เรามีข่าวดีคือออ นี่เป็นโค้งสุดท้ายของดราม่าแล้วค่ะ! เราจะหลุดจากอุโมงค์มืดๆ นี่กันแล้ว เฮ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ รักทุกท่านมากๆ เลย คิดเห็นยังไงมาแชร์กันได้เต็มที่เลยนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้า จุ๊บๆ

ปล. มีเรื่องหนึ่งที่เราอยากถามท่านผู้อ่านทุกคนก็คือ คุณคิดว่าจะช่วยตะวันแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี คือหลังจากที่เขียนตอนนี้
เราอยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้อ่านมากๆ ทั้งนิสัยของปานตะวัน ปมปัญหาและวิธีการแก้ไข ทุกท่านแสดงความคิดเห็น
ได้เต็มที่เลยนะคะ อยากแลกเปลี่ยนความคิดกับทุกคนมากๆ

ปล. 2 สามารถติดตามข่าวสาร หลังไมค์มาเม้านิยายกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

ปล. 3 เนื่องจากนี่เป็นดราม่าโค้งสุดท้าย เรามีเรื่องอยากแจ้งว่า...ปานตะวันใกล้จบแล้วนะคะ ฮิ้ววววว

ปล. 4 ทอล์คยาวมาก เก็บกด ตอนที่แล้วไม่ได้ทอล์คอะไรเลยเพื่อรักษาบรรยากาศหน่วงๆ ฮาาาาา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-07-2017 20:49:59
อ่านบทนี้ (ตั้งแต่แรก ๆ ละ) นึกอยู่อย่างเดียวว่า อยากให้พี่เมศพาตะวันไปพบจิตแพทย์เก่ง ๆ สักคน
โดยส่วนตัวเชื่อว่าถ้าใจป่วยมาก ๆ ก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญช่วย ซึ่งจิตแพทย์ คือคำตอบของเคสนี้นะ (คิดว่า)
จากอาการของตะวันแล้ว คิดว่าเจ้าตัวต้องการคนรับฟัง (ที่อาจจะไม่ใช่คนใกล้ตัว) คนที่ไว้ใจได้ แล้วก็สามารถชี้แนะวิธีแก้ไขอาการต่าง ๆ เหล่านั้น
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 22-07-2017 21:09:17
สงสารตะวันมากเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-07-2017 21:13:04
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-07-2017 21:38:53
อาการของโรคซึมเศร้า อันตราย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 22-07-2017 22:04:50
สงสารตะวัน ป่วยที่ไหนก็รักษาที่ตรงนั้นนะตะวัน มันอาจจะผ่านไปได้แต่ แต่พี่เมศ หนูเจีย กันต์ หลง ก็เป็นกำลังใจให้ตะวันเสมอนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 22-07-2017 23:34:46
พาน้องไปหาหมอเดี๋ยวนี้ !!!!!!  :katai1:

หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-07-2017 00:24:28
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-07-2017 01:15:08
 :katai1: :katai1: :katai1: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-07-2017 01:54:55
เราไม่รู้ว่านอกจากขาดความอบอุ่นแล้วตะวันเป็นอย่างอื่นด้วยไหม แต่จากอาการแล้วตะวันคล้ายคนเป็นโรคซึมเศร้ามากเลย ทั้งเบื่ออาหาร นอนทั้งวัน คิดว่าตัวเองไร้ค่า ไหนจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ พอเหมือนระเบิดออกมาแล้วตะวันปล่อยทุกอย่างที่เก็บไว้ออกมา รับมืออะไรไม่ได้เลย ทางที่ดีที่สุดควรพาตะวันไปหาแพทย์ค่ะ ค่อยๆรักษาไป ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-07-2017 01:55:19
เราว่าน้องเริ่มเข้าระยะเริ่มต้นของโรคซึมเศร้าแล้วล่ะค่ะ นี่ถ้าหลงหลงอยู่ด้วยมาพูดมาเป็นเพื่อนตะวันตอนนี้อาจจะดีก็ได้นะคะ หรือไม่ก็ต้องมีใครซักคนพาตะวันไปหาหมอจิตแพทย์นะคะเราว่า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 23-07-2017 09:17:35
สงสารตะวัน พี่เมศ หนูเนียม มากๆๆๆๆๆๆ   :hao5:  :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 23-07-2017 17:22:57
คือตอนก่อนที่แม่จะมา กำลังนึกอยู่เลยว่าเรื่องนี้ให้ความสำคัญกะครอบครัว น้อยจัง เห็นมีแต่คุณสามาดูแล แล้วแม่ก็มาในทันใด ตอนนี้แอบน้ำตาคลอ 55
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 23-07-2017 18:30:58
ตะวันควรต้องพบจิตแพทย์ด่วนๆ ฮือออ สงสารน้อง
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 23-07-2017 21:23:04
สงสารตะวันอะ อาการน่าเป็นห่วงมากเลย
พี่เมศอยู่ข้างๆตะวันนะ พาไปหาหมอ ฮรือออ
เป็นกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๖ ที่ปลายสุดของอุโมงค์ (๒๒/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 24-07-2017 09:10:59
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 26-07-2017 19:20:21
ปานตะวัน
บทที่ ๒๗
พี่จะไม่ปล่อยมือ


        “เขายังไม่ออกมาอีกเหรอ”
   
        “ครับ ดูเหมือนจะร้องไห้จนหลับไปแล้ว”
   
        ราเมศพูดกับคุณรุ่งฟ้า ตอนนี้แม่ของปานตะวันกับหนูเจียย้ายมาอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว หลานชายตัวน้อยหยุดร้องไห้แต่ยังคงตกใจอยู่เล็กน้อย พอเห็นราเมศเดินเข้ามาก็วิ่งจี๋ไปเกาะคุณน้าตัวโตทันที
   
        ราเมศกางแขนรับเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมกอด หนูเจียซบแก้มยุ้ยๆ ลงกับบ่ากว้างพร้อมกับพูดว่า “น้าเมศคับ หนูเจียเป็นห่วงน้าตะวัน น้าตะวันร้องไห้หนักไหมคับ”
   
        “หนูเจียไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ น้าตะวันแค่เหนื่อยน่ะครับ อีกเดี๋ยวก็หายดีแล้วล่ะ”
   
        “หนูเจียอยากกอดน้าตะวันจังเลย”
   
        “น้าเมศก็เหมือนกัน”
   
        ฟังบทสนทนาของสองน้าหลานแล้วรุ่งฟ้าก็ได้แต่ถอนหายใจ ชายหนุ่มผิวแทนเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขาคลี่รอยยิ้มปลอบโยนให้เธอ “คุณรุ่งฟ้าไม่ต้องคิดมากหรอกนะครับ ตะวันเขาแค่อยู่ในช่วงที่จิตใจเปราะบาง เขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูดหรอกครับ”
   
        “เธอจะโกหกใครก็โกหกไปแต่อย่ามาปลอบฉันด้วยคำพูดแบบนี้เลย ฉันรู้ดีที่สุดว่าที่เด็กคนนั้นพูดออกมามันคือเรื่องจริง และเขาคงจะเก็บมันมานานแล้ว”
   
       คนอ่อนวัยกว่าปิดปากสนิทเมื่อโดนสวนกลับมา รุ่งฟ้าเอนหลังพิงพนักโซฟา ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
   
       “มันเป็นความผิดของฉันจริงๆ อย่างที่เขาว่านั่นแหละ”
   
       “ตะวันไม่ได้อยากให้คุณรู้สึกแย่นะครับ เขาแค่..ก็แค่...”
   
       “ฉันรู้” รุ่งฟ้ายิ้มแต่กระนั้นรอยยิ้มของเธอก็ดูอ่อนล้ากว่าทุกที ภาพลักษณ์หญิงสาวผู้เข้มแข็งหายวับไปจนหมด “เธออยากฟังคนแก่เล่าเรื่องเก่าๆ หน่อยไหมล่ะ บางทีถ้าฟังแล้วเธออาจช่วยฉันแก้ปมปัญหาของฉันกับลูกชายได้ก็ได้ บางทีในมุมมองคนนอกมันอาจมีอะไรที่พวกฉันพลาดไป”
   
        ราเมศพยักหน้า รุ่งฟ้าเหม่อมองลายไม้บนพื้นคล้ายกับกำลังนึกถึงอดีตที่แสนไกล จากนั้นเธอก็เริ่มต้นเล่า
   
        “ฉันกับพ่อของปานตะวันมาเจอกันในช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะที่สุดแต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่สุด พ่อของปานตะวันเคยแต่งงานมาก่อน ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของจันทร์จ้าว จากนั้นเธอก็เสียไป เขาเลี้ยงจันทร์จ้าวด้วยตัวคนเดียวมาตลอดจนกระทั่งมาเจอฉัน ฉันกล้าพูดได้เลยนะว่าตอนนั้นเราทั้งคู่รักกันจริงๆ เราดึงดูดกันและกันอย่างประหลาดเหมือนกับว่าถูกสร้างมาเพื่อกันและกันทำนองนั้น”
   
       “แต่ว่ามันก็ไม่ใช่สินะครับ”
   
       “ตอนที่ฉันอายุยังน้อยกว่านี้ฉันก็คิดว่ามันคือความรักแต่พอโตขึ้นมาแล้วมองย้อนกลับไปพวกมันก็ไม่ใช่ความรักเสียทีเดียว ผู้ชายคนนั้น...พ่อของจันทร์จ้าว หลังจากเสียภรรยาคนแรกไปเขาก็โดดเดี่ยว ความเหงาดึงดูดเขาให้เข้ามาหาฉัน ฉัน...ที่มีนิสัยคล้ายกับแม่ของจันทร์จ้าว เขาเห็นเงาของผู้หญิงคนนั้นในตัวฉัน ตอนแรกฉันก็ไม่รู้เรื่องหรอก แค่ติดใจที่ทุกครั้งที่เราไปเที่ยวกัน สถานที่ที่ไป อาหารที่กิน ทุกๆ อย่างดูจะเต็มไปด้วยความหลังสำหรับเขา ฉันมารู้เอาทีหลังว่าเขาแค่พาฉันกลับไปที่สถานที่เดิมๆ ที่เคยไปกับเธอคนนั้น เขามองเห็นเธอผ่านตัวของฉัน”
   
       สำหรับเธอที่รักเขาอย่างแท้จริง เวลาที่เป็นได้แค่ตัวแทนช่างเจ็บปวด รุ่งฟ้าพยายามปลอบใจตัวเองว่าผู้หญิงที่ตายไปแล้วไม่มีความจำเป็นจะต้องไปอิจฉา เธอคนนั้นเป็นอดีตแต่รุ่งฟ้าสิเป็นปัจจุบัน แต่มันก็ไม่ใช่...เมื่อคนรักของเธอยินยอมที่จะจมอยู่ในอดีตนั้นเสียเอง
   
       “เราคบกันมาเรื่อยๆ เขาเป็นผู้ชายที่ดีนะ ดีมากๆ เราแต่งงานกันแล้วก็มีปานตะวัน ฉันพยายามลืมเรื่องที่ว่าเขายึดฉันเป็นตัวแทนใครอีกคนมาตลอดแต่มันก็ทำใจลำบากเหลือเกิน พอมาอยู่ด้วยกันฉันก็พบว่าอันที่จริงแล้วเราทั้งคู่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เขาพยายามทำให้เห็นว่าเข้ากันได้มันก็แค่ช่วงแรกที่เขาฝืนตัวเองเพื่อเข้าหาฉัน แล้วยิ่งอยู่ด้วยกันนิสัยจริงๆ ของฉันก็แสดงออกมา เธอรู้ไหมว่าฉันมันพวกบ้าพลัง ชอบทำนู่นทำนี่ โครงการเยอะแยะเต็มหัว แต่แม่ของจันทร์จ้าวน่ะเป็นคนมั่นใจในตัวเองแต่ก็มีความเป็นกุลสตรีอยู่ในตัว งานบ้านงานเรือนเรียบร้อย ตรงนี้แหละที่ต่างกับฉัน หลังแต่งงานฉันพยายามแสดงตัวตนของฉันออกมาแบบสุดๆ พยายามให้เขาเห็นว่าฉันไม่ใช่แม่ของจันทร์จ้าว ฉันเป็นฉัน...รักฉันสิ รักตัวตนของฉัน แต่ว่านั่นกลับทำให้เรื่องเลวร้ายลง เราทะเลาะกันบ่อยๆ เพราะฉันเป็นแบบที่เขาหวังไม่ได้ ยิ่งพอเขาพูดกับฉันว่า ‘คุณเปลี่ยนไปนะ’ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่”
   
       เธอในตอนนั้นตะคอกกลับไปว่า ‘ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปเสียหน่อย ฉันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฉันแค่แสดงตัวตนที่แท้จริงของฉันออกมา ถ้าจะเปลี่ยนก็คือฉันไม่ได้ฝืนตัวเองให้เป็นแบบที่คุณต้องการนั่นแหละ’
   
       “หลังจากนั้นคุณก็เจอสามีคนใหม่สินะครับ”
   
       “ใช่ เขาเป็นคนที่ใช่...แต่มาไม่ถูกเวลา ตอนแรกฉันก็ขีดเส้นไว้ให้เราเป็นแค่เพื่อนกัน แต่ว่าเราเข้ากันได้ดี...ดีมากนิสัย รสนิยม ทุกอย่าง ฉันไม่เคยต้องฝืนเลยเวลาฉันอยู่กับเขา บางทีฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมฉันไม่อดทนรอสักหน่อย   นั่นแหละ ฉันกับเขาก้าวข้าม...ความถูกต้องไปในที่สุด” พอพูดถึงตรงนี้รุ่งฟ้าก็หลับตาลง “แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือสามีของฉันรู้มาโดยตลอด”
   
        “คุณหมายความว่า...”
   
        “เขารู้มาตั้งแต่ต้นแต่ก็ยังวางเฉย ยอมหลับหูหลับตาให้ฉันออกไปเจอกับเขา ในที่สุดฉันก็ทนไม่ไหวจนต้องถามเขาว่าทำไมถึงทำแบบนั้น เขาตอบกลับมาว่ายังไงเธอรู้ไหม”
   
        สีหน้าของสามีเก่าเธอในตอนนั้นยังคงอบอุ่น อ่อนโยนและปะปนไปด้วยความรู้สึกผิด เขาตอบมาสั้นๆ ว่า ‘เพราะผู้ชายคนนั้นทำให้เธอมีความสุข ในแบบที่ฉันให้เธอไม่ได้’
   
        นั่นแปลว่าอะไร แปลว่าเขายอมรับแล้วใช่ไหมว่าจะไม่มีวันหยุดยึดเธอเป็นตัวแทนได้ แปลว่าความรักของเขาไม่ได้มีไว้ให้เธอ
   
        “ฉันขอหย่ากับเขา คำเดียวที่เขาถามฉันก็คือ ถ้าฉันไปอยู่กับผู้ชายคนนั้นฉันจะมีความสุขใช่ไหม? พอฉันพยักหน้าเขาก็ตกลงอย่างง่ายดาย”
   
        ราเมศเม้มริมฝีปาก “แล้วปานตะวันล่ะครับ?”
   
        “เขาพูดว่าลูกไปอยู่กับเธอน่าจะดีกว่าฉันเลยพาลูกมา อันที่จริงเขาก็ขอร้องนะว่าถึงจะแยกกันแล้วก็อยากให้ตะวันมาหาบ้างแต่เพราะทิฐิของฉันด้วย ถ้าจะตัดก็ตัดไปให้ขาดฉันเลยสั่งห้ามตะวันไม่ให้ติดต่อกับทางบ้านนั้น เดาว่าที่คุยกับจันทร์จ้าวได้นี่คือแอบส่งข้อความหากันหลังจากฉันไปต่างประเทศล่ะมั้ง”
   
        ราเมศพยักหน้าเข้าใจ เรื่องนี้ถ้ามองในมุมมองภายนอก...อาจจะมองว่าแม่ของปานตะวันเป็นฝ่ายผิด ถึงอย่างไรเธอก็ไม่มีสิทธิ์จะคบชู้ ยังไงเธอก็มีสามีแล้ว แต่ถ้าได้ฟังเรื่องราวนี้ ถ้ามองในมุมมองของรุ่งฟ้า ราเมศก็เกิดคำถามในใจว่า กับคนที่ไม่ได้รักเราและทำให้เราต้องเจ็บปวด เราจะไม่มีสิทธิ์ดิ้นรนเพื่อออกมาจากเขาเลยหรือแล้วเราก็ไม่มีสิทธิ์จะคว้าความสุขของตัวเองเลยงั้นหรือ
   
       เอาจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันก็ผิดด้วยกันทั้งหมด
   
        คุณพ่อของปานตะวันก็ผิดที่เข้าหาคุณรุ่งฟ้าเพราะความเหงา บางทีเขาอาจจะคิดว่าตัวเองจะสามารถเปิดใจใหม่ได้อีกครั้งแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นตามที่หวัง
   
        คุณแม่ปานตะวันก็ผิด การตัดสินใจของเธอบางคนก็อาจจะบอกว่าไม่ผิดหรอกที่จะหาความสุขให้ตัวเอง เลือกคนที่ใช่แล้วผิดตรงไหนแต่ว่าเธอควรจะคิดถึงลูกชายตัวเองให้มากกว่านี้ คิดถึงอีกหนึ่งชีวิตที่เธอพาออกมาด้วย การที่เธอทิ้งปานตะวันไปกับสามีใหม่...นั่นก็เรียกได้ว่าเห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน
   
        สุดท้ายแล้วเราก็ทำร้ายคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่เขาก็ยังเคยทำมาแล้ว
   
        “แล้วเธอคิดว่ายังไงกับเรื่องนี้ล่ะ”    
   
         “ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ นะครับแต่ผมคิดว่าพวกคุณก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ ทั้งคุณและพ่อของจันทร์จ้าวด้วย”
   
        รุ่งฟ้ายิ้มขื่น ราเมศถอนหายใจแล้วก็พูดว่า “แต่บนโลกนี้ใครบ้างไม่เคยทำผิด เรื่องทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว จมกับอดีตไปคุณก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้คุณทำได้แค่แก้ไขปัจจุบันเท่านั้น ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณลืมหรือทำเป็นว่าเรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ผมอยากให้คุณเก็บมันไว้เป็นบทเรียนเพื่อจะไม่พลาดซ้ำ ในอดีตคุณเคยพังชีวิตวัยเด็กของลูกชายคุณ คุณเอามันกลับมาให้เขาไม่ได้แล้วแต่ตอนนี้ ณ เวลานี้ ปานตะวันกำลังต้องการให้คนช่วย เขาต้องการ ‘ครอบครัว’ และครอบครัวที่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่ผมหรือหนูเจียแต่รวมถึงคุณด้วยนะครับ สิ่งที่คุณทำได้คือกอดเขา ยื่นมือไปให้เขา ดึงเขาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปให้ได้”
   
         “ถ้าคุณสำนึกผิดจริงๆ ครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่คุณจะได้ทำหน้าที่แม่ให้เต็มที่แล้วนะครับ”
   
         จบคำพูดนั้นรุ่งฟ้าพลันรู้สึกเหมือนถูกราเมศเอาน้ำเย็นๆ มาราดใส่หน้า ความจริงคำตอบมันก็ง่ายเท่านี้เองแต่ที่เธอมองไม่เห็นเพราะมัวแต่ไปใส่ใจกับความผิดพลาดในอดีต จมอยู่กับมันโดยไม่คิดแก้ไขปัจจุบัน
   
        “ต้องให้เด็กแบบเธอมาสั่งสอน ฉันนี่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ”
   
       “ผมก็ไม่ได้ถึงขั้นจะไปสั่งสอนใครได้หรอกครับ ก็แค่เคยผ่านประสบการณ์คล้ายๆ คุณมาเท่านั้นเอง”
   
        รุ่งฟ้าพึมพำเบาๆ ว่างั้นเหรอออกมาจากนั้นก็เงียบไป ราเมศไม่ได้เร่งรัดเธอ เขารู้ว่าเธอต้องการเวลาทบทวนสิ่งที่เขาพูด
   
        “เอ้อ จริงสิครับ ผมมีเรื่องอยากถาม ทำไมคุณถึงไม่ชอบหน้าจันทร์จ้าว” ถ้าจำไม่ผิดปานตะวันเคยเล่าว่าแม่ของเขาไม่ชอบหน้าลูกติดของพ่อคนนี้หนักมากๆ
   
       “เพราะเด็กคนนั้นถอดแบบแม่ของเธอมาทุกกระเบียดนิ้วเลยน่ะสิ เห็นหน้าแล้วก็ไม่ถูกชะตาเลย”
   
       “คุณนี่พาลจริงๆ”
   
       ราเมศนวดขมับ นึกขอบคุณฟ้าดินที่คนรักของเขาไม่ได้ถอดแบบนิสัยของรุ่งฟ้ามาทั้งหมด ไม่อย่างนั้นเขาคงปวดหัวตายชัก
   
       “แล้วเราจะช่วยปานตะวันได้ยังไง อาการของเขายิ่งปล่อยไปแบบนี้นับวันจะยิ่งแย่นะ” หลังนั่งเงียบกันไปพักใหญ่ในที่สุดรุ่งฟ้าก็พูดขึ้น “พาไปหาหมอดีไหม?”
   
        “ผมก็คิดแบบนั้นครับ” อันที่จริงเขาปรึกษากับชนกันต์และหลงแล้ว ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่าควรพาปานตะวันไปพบจิตแพทย์ดู “แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆ กลัวว่าอาการจะหนักกว่าเดิมน่ะสิครับ ตะวันคงต่อต้านหน้าดูแล้วแบบนั้นเขาก็จะต่อต้านการรักษาด้วย ทั้งหมดที่ทำไปจะสูญเปล่า ผมว่าสิ่งแรกที่เราต้องทำคือพาเขาออกมาจากห้องมืดๆ ที่เขาใช้ขังตัวเองไว้ก่อน แต่จะไปบีบบังคับไม่ได้ ต้องให้เขาออกมาด้วยตัวเอง”
   
        “แล้วเธอจะทำยังไง”
   
        “ปล่อยเป็นหน้าที่ผมเถอะครับ วันนี้คุณกลับไปก่อน ค่อยมาใหม่อีกทีวันพรุ่งนี้ก็ได้ สะดวกมาอยู่ที่นี่ช่วงตอนกลางวันไหมครับ?”
   
        ปานตะวันลืมตาตื่นอีกครั้งตอนบ่ายโมงกว่า เขาปวดตาและศีรษะอย่างมากร่างกายก็หนักอึ้งจนลุกไม่ขึ้น สุดท้ายปานตะวันก็ทำได้แต่เพียงนอนมองเพดานอย่างเลื่อนลอย
   
       เหนื่อยจังเลย
   
       “น้าตะวัน” จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกดังมาจากนอกประตู เป็นเสียงของเจียหลิน “น้าตะวันคับ หนูเจียเอาข้าวมาให้”
   
       “เข้ามาสิ”
   
       ปานตะวันยันตัวลุกขึ้น หลานชายผลักประตูออก เจ้าตัวเล็กเดินถือถาดใส่อาหารเข้ามา ปานตะวันที่กลัวของกินในถาดจะหกรีบลุกขึ้นแล้วตรงไปถือถาดมาวางข้างเตียงแทนหนูเจีย
   
       “พี่เมศไปไหนเนี่ย ทำไมให้หลานมายกของแบบนี้”
   
       “น้าเมศบอกว่าตอนนี้น้าตะวันน่าจะยังไม่อยากเห็นน้าเมศคับ น้าเมศเลยให้หนูเจียมาหาน้าตะวันแทน”
   
       “อันที่จริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้น”
   
       เจียหลินยิ้มจนตาหยี เด็กชายนั่งแหมะลงตรงหน้าปานตะวัน ชี้ชวนให้ดูกับข้าวในจาน มีไข่เจียว แกงจืด แล้วก็ผลไม้เป็นส้ม “หนูเจียช่วยน้าเมศทำกับข้าวด้วยนะคับ”
   
       “เหรอ หนูเจียช่วยทำอะไรล่ะหืม”
   
        “หนูเจียช่วยน้าเมศตีไข่แล้วก็ใส่น้ำปลาในไข่คับ! น้าตะวันชิมให้หน่อยน้าว่าอร่อยไหม”
   
       มือป้อมๆ ตักไข่เจียวโปะลงบนข้าวสวยพอดีคำ เจียหลินยื่นช้อนมาจ่อปากปานตะวันแล้วก็พูดว่า “อ้ามมม” เสียงใส ตากลมแป๋วเป็นประกายอย่างน่าเอ็นดู เห็นแบบนี้แล้วใครจะไปใจแข็งไม่กินลง ปานตะวันหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย ชายหนุ่มอ้าปากรับข้าวที่หลานชายป้อนให้เข้าไป
   
       “เป็นไงบ้างคับ!”
   
       “อืม อร่อยมากเลย”
   
       “เย้”
   
        หนูเจียทิ้งช้อนแล้วก็วิ่งมากระโดดกอดปานตะวัน ตอนแรกชายหนุ่มผมน้ำตาลก็เกร็งตัวแต่สัมผัสอบอุ่นจากมือและแก้มของหนูเจียทำให้เขาไม่อยากจะดันตัวหนีจากเด็กคนนี้เลย เจียหลินปีนขึ้นมานั่งบนตักปานตะวันแล้วก็เงยหน้ามองเขาตาใส สื่อประมาณว่า ‘น้าตะวันกินฝีมือหนูเจียอีกนะ นะๆๆๆ’
   
        “อ้ามมม”
   
        ปานตะวันไม่ได้อยากกินอาหารแต่ก็ยอมตามใจหลานชาย ถึงจะยังกินข้าวไม่หมดแต่อย่างน้อยไข่เจียวฝีมือหนูเจียก็หมดจาน “น้าตะวันกินได้เยอะแล้วเพราะหนูเจียใช่ไหมคับ หนูเจียจะไปบอกน้าเมศ คราวหลังหนูเจียจะช่วยน้าเมศทำกับข้าวอีก น้าตะวันจะได้กินเยอะๆ”
   
       “เด็กน้อยเอ๊ย”
   
       เจียหลินหัวเราะแฮะๆ เด็กชายเบียดแก้มซุกไซ้เข้ากับหน้าอกของปานตะวัน ออดอ้อนคลอเคลียเหมือนแมวน้อย
   
        “หนูเจียคิดถึงน้าตะวันจัง”
   
        หลังๆ มานี้น้าตะวันเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เจียหลินคิดถึงเวลาน้าตะวันกอดเขา หอมแก้มเขาแล้วก็อ่านนิทานให้เขาฟังก่อนนอน
   
        เด็กชายอยากนอนกอดน้าตะวันใจจะขาดแต่ก็จำต้องถอยออกมาก่อน เจ้าตัวเล็กทำท่าจะเดินไปเก็บถาดอาหารแต่ปานตะวันชิงลุกขึ้นไปหยิบมันขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มเป็นคนเดินเอาถาดอาหารไปเก็บในครัวด้วยตัวเอง ตอนที่เขาปรากฏตัวราเมศหันมามองอย่างแปลกใจเล็กน้อย
   
        “น้าเมศ น้าตะวันกินไข่เจียวฝีมือหนูเจียหมดเลยน้า” พอเห็นหน้าพ่อครัวเอกประจำบ้านเจียหลินก็รีบอวดทันที ราเมศหัวเราะ ก้มลงไปหอมแก้มหลานเป็นการให้รางวัล “งั้นเหรอๆ ทำดีมากเลยนะ”
   
       “ครั้งหน้าหนูเจียทำให้น้าตะวันกินอีกนะคับ”
   
        “ได้สิ” ราเมศอมยิ้ม ชายหนุ่มเดินมาใกล้แล้วก็ก้มลงกระซิบกับปานตะวัน “ดูท่านายจะต้องกินไข่เจียวไปอีกหลายมื้อแล้วล่ะ”
   
       ปานตะวันพยักหน้ารับ ดวงตาฉายแววยินดีจางๆ ของปานตะวันทำให้ราเมศใจชื้นขึ้นมาบ้าง คิดถูกจริงๆ ที่ส่งหนูเจียเข้าไป
   
       พวกเขาสามคนย้ายมานั่งที่ห้องนั่งเล่น ดูทีวีกันไปเรื่อยๆ พอหันมาอีกทีปานตะวันก็ฟุบหลับไปเสียแล้ว พักนี้เด็กคนนี้หลับเกือบตลอดเวลา หนูเจียลุกไปหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ปานตะวันส่วนราเมศก็แอบเปิดอินเทอร์เน็ตเพื่ออ่านสิ่งที่ค้างไว้ต่อ
   
        พักนี้เขาสังเกตอาการของปานตะวันอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มคิดว่าปานตะวันน่าจะมีอาการของโรคซึมเศร้า เขาพยายามหาทางช่วยคนรักทุกวิถีทาง ทั้งค้นอินเทอร์เน็ตแล้วก็โทรไปปรึกษาคนอื่นซึ่งคนที่พักนี้ราเมศติดต่อด้วยมากที่สุดก็คือคุณแม่ของน้องเกล้านั่นเอง
   
       หญิงสาวพอได้รับรู้อาการของปานตะวันแล้วก็ให้คำอธิบายและคำปรึกษาได้ดีมาก เธอบอกว่าเขาควรพาปานตะวันไปหาหมอแต่ต้องไม่ใช้การบีบบังคับ ควรพูดเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้ ชายหนุ่มยอมรับว่าบางทีเขาก็รู้สึกเหนื่อย ไหนจะร้าน ไหนจะหลานชายแล้วยังคนรักที่มีสภาพแบบนี้อีก แต่ว่าถ้าเขาทิ้งปานตะวันไปเด็กคนนั้นจะเป็นยังไง
   
       ราเมศคิดว่าต่อให้เหลือเขาเป็นคนสุดท้าย ต่อให้ต้องกลายเป็นคนแบกภาระทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวคนเดียวเขาก็จะไม่ปล่อยมือคู่นี้
   
       ปานตะวันตื่นมาอีกทีตอนเย็น ราเมศที่เห็นคนรักขยับตัวก็เดินไปหยิบผ้าชุบน้ำมาให้อีกฝ่ายเช็ดหน้าเช็ดตา ผ้าขนหนูนุ่มฟูที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้ติดอยู่ทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น
   
       “หิวไหม”
   
        ตื่นมาก็กิน กินเสร็จก็นอน ปานตะวันคิดว่าตัวเองเหมือนหมูไม่มีผิดแต่กระนั้นเขาก็ยังตอบกลับไปว่า “ก็นิดหน่อยครับ”
   
        “งั้นมาช่วยทำอาหารเย็นหน่อยได้ไหม”
   
        กิจวัตรเดิมๆ ที่เคยทำด้วยกัน ทำอาหารเย็นแล้วก็ทานข้าวพร้อมกัน ปานตะวันรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้ทำเช่นนี้มานานมากแล้ว
   
       “หนูเจียขอตีไข่นะคับ!”
   
       “ครับๆ ระวังเลอะเสื้อนะ”
   
        ปานตะวันช่วยราเมศหั่นผัก หั่นหมู เป็นลูกมือทำอาหาร พอได้จดจ่อกับสิ่งที่คุ้นเคยความเป็นตัวเองก็กลับมาทีละนิด พวกเขานั่งทานข้าวด้วยกัน พอทานข้าวเสร็จราเมศก็เก็บล้างส่วนปานตะวันก็ไปอาบน้ำ คราวนี้หนูเจียขอตามไปด้วย เด็กชายไม่ปล่อยให้คุณน้าได้ว่างอยู่คนเดียวเลย ทั้งคู่หายไปครึ่งชั่วโมงแล้วก็กลับออกมาในสภาพประแป้งหน้าขาวตัวหอมฟุ้งด้วยกันทั้งคู่
   
       เมื่อคนรักอาบน้ำเสร็จราเมศก็เข้าไปอาบบ้าง ตอนที่เขาออกมาหนูเจียกำลังอ้อนให้ปานตะวันเข้าไปอ่านนิทานให้ฟังด้วย
   
        “ไปกล่อมหลานนอนหน่อยเถอะ งอแงจะนอนกับนายมาหลายวันแล้ว”
   
        “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
   
       ปานตะวันเดินตามแรงดึงของหนูเจียไปที่ห้อง เขาเลือกนิทานออกมาเล่มหนึ่งแล้วก็อ่าน ราเมศนั่งอยู่ข้างๆ ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะเจียหลินไปด้วย พออ่านถึงตอนจบหนูเจียก็ผล็อยหลับไปพอดี
   
       ปานตะวันปิดหนังสือแล้วสอดเก็บเข้าที่ เขาลุกขึ้นยืนราเมศจึงลุกขึ้นตาม “คืนนี้ก็จะแยกห้องเหรอ”
   
       ชายหนุ่มผมน้ำตาลหลุบตา ราเมศก้าวเข้าไปหาปานตะวันแล้วก็จับชายแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้ ตอนแรกปานตะวันทำท่าจะดึงออกแต่ราเมศก็จับไว้แน่น
   
       “มาเถอะ เดี๋ยวพาไปส่งที่ห้อง”
   
        พวกเขาสองคนเดิมกันไปเงียบๆ จนถึงห้องนอนของปานตะวัน เมื่อถึงหน้าประตูราเมศก็ปล่อยแขนเสื้ออีกฝ่าย ปานตะวันกัดริมฝีปากจากนั้นก็เอ่ยว่า “ขอบคุณครับ ฝันดีนะพี่เมศ”
   
       “อื้อ ฝันดีนะ”
   
        ร่างของคนรักหายไปในห้องแล้วประตูก็ปิด กั้นพวกเขาทั้งคู่ให้ห่างออกจากกัน ราเมศหันหลังแล้วก็นั่งลงพิงประตูเหมือนเช่นทุกคืน
   
       แต่คืนนี้จะไม่เหมือนเดิม
   
        “ตะวัน” ในที่สุดราเมศก็กล้าเอ่ยปาก “อยู่ที่อีกฝั่งใช่ไหม”
   
         เขารู้ว่าปานตะวันอยู่ตรงนั้นมาตลอด คืนก่อนๆ หน้านี้ก็ด้วย
   
        “ถ้าอยู่แล้วยังไม่นอน มาคุยกันหน่อยไหม”
   
        “...อื้อ”
   
        เสียงเล็กแสนแผ่วเบาตอบกลับมา แม้เป็นแค่คำเดียวแต่ก็ยังดี
   
        “บอกพี่หน่อยได้ไหมว่านายรู้สึกยังไง ยังเศร้าอยู่หรือเปล่า”
   
        “อื้ม”
   
        “เหนื่อยมากไหม”
   
        “มากเลยล่ะ”
   
        “ยังกลัวจะถูกแตะตัวอยู่ไหม”
   
        “ก็ยังกลัวอยู่ครับ”
   
        “ตะวัน”
   
        “หืม”
   
        “พี่อยากกอดนาย” นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง เขาอ้าปากจะพูดบางอย่างแต่ราเมศไม่เปิดโอกาศเลย อีกฝ่ายยังคงพูดไปเรื่อยๆ
   
        “อยากกอดนายแม้นายจะบอกว่าตัวเองสกปรก อยากอดให้แน่นๆ แล้วก็ทำให้นายหยุดร้องไห้ นายอาจจะคิดว่านายเป็นภาระกับพี่ ทำให้พี่เหนื่อยและเสียใจแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย อดีตของนาย พี่รับได้ ทุกอย่างที่เป็นนาย พี่รับได้ทั้งนั้น ต่อให้ต้องเหนื่อยกว่านี้หรือโดนนายอาละวาดใส่เป็นร้อยหนพี่ก็จะยังอยู่ตรงนี้ อีกฝั่งของบานประตู ข้างหลังนาย ข้างๆ นาย ทุกที่ที่นายอยากให้อยู่ จะอยู่ตรงนี้แล้วก็รับฟังสิ่งที่นายพูด เพราะงั้นบอกกันหน่อยได้ไหมว่ารู้สึกยังไงหรือว่าคิดอะไรอยู่ พี่พร้อมรับฟังเสมอนะ หนูเจียก็ด้วย กันต์ หลง คุณแม่ของนาย ทุกคนอยู่ข้างๆ นายนะ”
   
       “จะไม่...ไม่ทิ้งกันไปจริงๆ เหรอ”
   
       “ตะวัน พวกเราเป็นครอบครัวนะ สุขก็สุขด้วยกันแล้วตอนทุกข์เราจะทิ้งนายไปได้ยังไง”
   
       ราเมศรู้สึกว่าประตูที่ตัวเองพิงอยู่ขยับแง้มออกเป็นช่องขนาดเล็กพอให้มือข้างหนึ่งลอดออกมาได้ เขายิ้มขณะเลื่อนมือไปยังที่ว่างตรงนั้นเพื่อกุมมือของปานตะวันเอาไว้
   
       “มันแย่มากเลยพี่เมศ เหมือนกับว่าตอนนี้ศัตรูหนึ่งเดียวของตะวันก็คือสมองของตะวันเอง สมองที่เอาแต่จะคิดเรื่องร้ายๆ มากมาย กระซิบว่าตะวันไม่มีค่า ทำให้พี่เหนื่อยและทุกสิ่งที่พี่ทำอยู่ตอนนี้ก็แค่เพื่อให้รู้สึกดีแต่จริงๆ พี่กับหลานใกล้จะหมดความอดทนกับตะวันแล้ว หลายวันนี้ในห้องตะวันคิดเรื่องฆ่าตัวตายอีกแล้ว ที่น่ากลัวคือความคิดพวกนั้นไหลออกมาจากสมองเหมือนเป็นเรื่องปกติ ตะวันไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้เลยพี่เมศแต่พอถึงจุดจุดหนึ่งทุกอย่างก็ดูจะมากเกินรับไหว พูดไปคนอื่นก็อาจจะไม่เข้าใจ แต่มันหนักจริงๆ นะ หนีไปไหนก็ไม่ได้เพราะมันติดอยู่ในหัวเรานี่เอง”
   
        มือของปานตะวันสั่นแล้วก็เย็นเฉียบ น้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนแรง ราเมศตัดสินใจได้ในเสี้ยววินาที เขาดึงประตูเปิดออกอย่างกะทันหันทำให้ปานตะวันที่นั่งพิงอยู่อีกฝั่งถึงกับหงายหลัง
   
       โชคดีที่ราเมศอ้าแขนรับไว้ได้ทัน
   
       “พี่...พี่เมศ” ปานตะวันขยับตัวยุกยิกแต่ราเมศยังคงกอดร่างผอมของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ปานตะวันผอมลงมากจริงๆ ยิ่งสัมผัสชายหนุ่มก็ยิ่งเจ็บปวด เขากระชับอ้อมแขน ถ่ายทอดความอบอุ่นไปให้อีกฝ่าย
   
        “พี่อยู่ข้างนายและจะไม่มีวันปล่อยมือ...พี่สัญญา”

****************************************

ตอนนี้มาสั้นๆ ในวันฝนตก ฮาาาาา
จากตอนที่แล้วได้อ่านคอมเม้นท์ของนักอ่านดู ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าไปหาหมอดีกว่า ซึ่งเราก็ว่าดีค่ะ
แต่เราคิดว่าถ้าบอกตะวันไปตรงๆ ว่า "นายป่วยนะ ฉันจะพาไปหาหมอ" ตะวันอาจจะต่อต้านขึ้นมาก็ได้ ;w;
เลยคิดว่าจะต้องมีช่วงที่ปรับความเข้าใจแล้วก็เปิดใจกันก่อน ตอนนี้เป็นตอนของพี่เมศค่ะ
เอาจริงๆ พี่เมศเหนื่อยที่สุดในเรื่องแล้ว แฟนก็ดู ร้านก็ต้องทำ หลานก็ต้องเลี้ยง แต่พี่ก็ยังยืนข้างปานตะวันมาตลอด
ถึงจะพูดไม่เก่ง โคตรดุ และบทหายบ่อยๆ แต่พีก็ทำให้ปานตะวันรู้ตลอดว่ารัก ชอบพี่เมศมากกก กอดพี่เมศร้อยที

ตอนนี้ได้เขียนถึงความสัมพันธ์คุณพ่อและคณแม่ของปานตะวันด้วย พูดตามพี่เมศคือก็ผิดทั้งคู่
ทุกคนเลือกทางที่ตัวเองมีความสุข หาข้ออ้างมาคิดเข้าข้างตนเองแต่จริงๆ แล้วทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็รู้ตัวดีว่าทำผิดต่อกันค่ะ
 :เฮ้อ:

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆ นะคะ คิดเห็นยังไงติชมได้เต็มที่เลย พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ

ปล. ติดตามข่าวสารนิยายได้ทางเพจ AzureDream นะคะ
ปล.2 ใกล้เปิดเทอมแล้ว จะปิดปานตะวันได้ก่อนสิ้นเดือนไหมน้อออ แงงงง ;w; //ร้องห่มร้องไห้
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 26-07-2017 19:45:50
กอดๆๆๆ

กอดหนูตะวัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-07-2017 19:50:05
พี่เมศเป็นพระเอกผู้ทรหดแห่งปีค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-07-2017 19:53:14
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-07-2017 20:08:46
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
อยากจะช่วยพี่เมศกอดตะวัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-07-2017 20:27:34
สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 26-07-2017 20:29:24
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 26-07-2017 20:46:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-07-2017 21:04:21
อ่านตอนนี้แล้วอยากได้แฟนแบบพี่เมศจริงๆ  จะสุขหรือทุกข์ก็มีพี่เมศอยู่ข้างๆ ตลอด ตะวันรีบๆ เข้มแข็งนะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 26-07-2017 21:17:27
น้ำตาจะไหล สงสารตะวัน สงสารทุกคน ฮรือออ
ขอให้ผ่านมันไปให้ได้นะ!!!
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 26-07-2017 21:31:19
พี่เมศสู้ๆ ตะวันหายไวๆนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-07-2017 22:01:32
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 26-07-2017 22:37:53
บีบหัวใจมากค่ะ

สงสารปานตะวัน เจอเรื่องร้ายแรง ก็ต้องฝังใจอยู่แล้ว ดันมาเจอคนไม่ดีอีก มาขุดคุ้ยอีก
น่าสงสารมากเลยค่ะ ใจมันจมลงไปเรื่อย ๆ ต้องใช้เวลาเนาะ

ราเมศก็น่าสงสารไม่ต่างกัน เจ็บปวดนะกับการที่มีคนรักที่เจ็บปวดอยู่ตรงหน้า แต่ทำอะไรไม่ได้

หนูเจียน่ารักมากค่ะ เด็กดี อยากกอดน้าตะวัน ก็เลยต้องอ้อนเข้าไว้ เห็นแล้วโลกสดใส น่าฟัดจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-07-2017 22:40:17
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 26-07-2017 22:44:41
ขอใ้ห้ตะวันหายไวๆ กลับมาสดใสกว่าเดิม
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 26-07-2017 22:45:07
โอ๊ยยยย สงสารพี่เมษ สู้ สู้นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-07-2017 23:22:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 27-07-2017 10:17:29
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-07-2017 11:25:43
ตะวัน หายไว ๆ นะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 27-07-2017 12:02:01
โอ๊ยยยยยยยย เกลียดแม่ตะวัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 27-07-2017 16:23:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๗ พี่จะไม่ปล่อยมือ (๒๖/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 28-07-2017 15:07:16
ตะวันต้องพบแพทย์นะลูกกก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 29-07-2017 19:47:34
ปานตะวัน
บทที่ ๒๘
แค่เข้าใจ


         วันต่อมาราเมศไปทำงานโดยให้ปานตะวันอยู่ที่บ้านกับหนูเจีย ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าเขาจะได้อยู่กับหลานแค่สองคนแต่ปรากฏว่าหลังราเมศขับรถออกไปประมาณห้านาทีคนคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาบนบ้าน แวบแรกที่เห็นปานตะวันถึงกับนึกว่าตัวเองตาฝาด
   
         “แม่?”
   
         รุ่งฟ้าถอดแว่นกันแดดออกจากนั้นก็พูดว่า “ใช่ แม่เอง ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้น”
   
        “แม่มาทำไม”
   
        “มาอยู่ด้วย” ปานตะวันมองมารดาบังเกิดเกล้าเดินเอากระเป๋ามาวางแหมะบนโซฟาด้วยสีหน้ายากจะเดาอารมณ์
   
       “ถ้าแม่จะทำแบบนี้เพราะสงสารล่ะก็ผมไม่ต้องการ”
   
       “แม่ไม่ได้สงสาร” รุ่งฟ้าพูดขัดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่ก็แค่อยากคุยด้วย หลายๆ เรื่อง ไหนๆ ก็มาไทยแล้ว เราน่าจะได้ใช้เวลาด้วยกันสักหน่อย”
   
       “เหอะ ตามสบาย อยากทำอะไรก็ทำ”
   
       ถ้อยคำนั้นห้วนสั้นไร้เยื่อใยทำเอาคนเป็นแม่ใจหายไม่น้อย แม้ว่าปานตะวันจะไม่ชอบใจเธอมากนักแต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้ หญิงสาววัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเรื่องที่ราเมศพูดกับเธอ
   
        ‘เขาป่วยครับคุณน้า’ ราเมศพูดกับเธอแบบนี้ ‘เป็นอาการป่วยที่ต้องใช้ความเข้าใจและความอดทนอย่างมากในการช่วยดูแลเขา’
   
        ‘เธอจะบอกว่าเขาซึมเศร้า?’
   
        ‘ครับ และผมต้องการพาตะวันไปหาหมอ แต่ถ้าพูดไปตรงๆ เขาคงไม่ยอมแน่ ผมอยากให้คุณน้าช่วยเกลี้ยกล่อมเขาแล้วก็อยากให้คุณช่วยปรับความเข้าใจกับเขา ผมว่าที่ปานตะวันพูดแบบนั้นกับคุณ มันอาจมาจากจิตใจแความรู้สึกของเขาก็จริงแต่ลึกๆ แล้วเขาก็ต้องการคุณอยู่นะครับ คุณเองก็รักเขา ในเวลานี้ตะวันต้องการทุกกำลังใจเท่าที่จะให้ได้ ผมอยากให้คุณเป็นหนึ่งในนั้นนะ ยังไงมีครอบครัวอยู่ข้างกันย่อมดีที่สุด’
   
        ตั้งแต่ได้คุยกับราเมศ รุ่งฟ้าก็กลับไปหาข้อมูลด้วยตัวเอง เธอถึงกับโทรกลับไปหาสามีที่ต่างประเทศเพื่อให้เขาติดต่อเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ให้หน่อยว่าเธอควรทำอย่างไรกับลูกชายดี คำแนะนำที่ได้รับกลับมาคือก่อนอื่นเธอต้องทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจว่าเขาเป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง ทำความเข้าใจว่าโรคนี้เกี่ยวกับสารเคมีในสมองไม่ใช่เพราะผู้ป่วยเป็นคนไม่สู้ปัญหาเหมือนที่หลายคนชอบตราหน้า
   
       ทำความเข้าใจว่าสิ่งที่ลูกชายเธอแบกรับอยู่มันหนักกว่าที่คนภายนอกเห็น พวกเธออาจจะแบกความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับปานตะวันมันคงเหมือนแบกโลกทั้งใบ ทำความเข้าใจว่าเรื่องแย่ๆ เกิดในหัวของเขาอยู่ตลอดเวลา ทำความเข้าใจว่าตะวันรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียวบนโลก
   
       สิ่งสำคัญที่เธอได้รับการกำชับมาคือการตะโกนบอกเขาว่า กินให้เยอะๆ สิ ทำตัวให้เข้มแข็งหน่อย ร่าเริงให้มากๆ ปล่อยวางความทุกข์เสียบ้างไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นแต่มันทำให้เขาแย่ลง
   
       รุ่งฟ้าลองคิดในมุมกลับกัน ถ้าเธอเป็นปานตะวัน กำลังจิตตกจนถึงขั้นย่ำแย่ แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าเข้มแข็งหน่อย ความทุกข์เดี๋ยวก็ผ่านไป ร่าเริงเข้าไว้ เธอจะคิดมากไปถึงไหน ถ้ามีคนมาพูดแบบนี้ใส่หน้าเธอ เธอคงจะเกลียดเขามาก เพราะคนพวกนี้ไม่เข้าใจปัญหาของเธอเลย เอาความรู้สึกของตัวเองที่เป็นปกติมาเป็นบรรทัดฐานแล้วบอกให้เธอทำตัวร่าเริงทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเธอแบกอะไรอยู่
   
        นอกจากจะไม่ช่วยให้ดีขึ้นแล้วพอทำตามไม่ได้ก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
   
        พอลองคิดในมุมกลับแบบนี้แล้วรุ่งฟ้าก็พอจะจับทางได้ว่าควรทำตัวอย่างไรกับปานตะวัน
   
        “หนูเจีย ไปชวนน้าตะวันมานั่งวาดรูปเล่นด้วยกันสิ”
   
        “คับ”
   
        วันนี้รุ่งฟ้าซื้อดินสอสีกับสมุดระบายสีใหม่มาให้เจียหลินด้วย หลานชายของเธอพอได้อยู่ใกล้ชิดกันแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายน่ารักน่าเอ็นดูเอามากๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตะวันถึงรักนักรักหนา เป็นเธอเองที่ไม่เคยเปิดใจให้เด็กคนนี้ คิดๆ ดูแล้วความผิดของเธอก็หลายกระทงเหมือนกัน แต่ตอนนี้รุ่งฟ้าได้รับโอกาสที่จะแก้ไขมันให้ดีขึ้นแล้ว เธอจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมืออีก
   
        “น้าตะวัน มาวาดรูปเล่นกับหนูเจียหน่อยนะคับ”
   
        “ก็ได้ครับ”
   
        ปานตะวันยินยอมเดินตามหลานชายกลับมาที่โซฟา ราเมศบอกเธอว่าพยายามอย่าให้เขาอยู่คนเดียวเพราะพักนี้ตะวันคิดเรื่องฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ
   
        ฆ่าตัวตาย...ตอนที่ได้ยินครั้งแรกรุ่งฟ้าถึงกับตกใจ เธอไม่คิดว่าจิตใจของลูกชายจะเปราะบางแบบนั้น ราเมศเล่าว่าตะวันคิดเรื่องพวกนี้เหมือนมันเป็นเรื่องปกติ สมองของเขากำลังลัดวงจร เขาจะครุ่นคิดถึงมันหรืออาจทำมันลงไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว สิ่งที่เธอทำได้คือพยายามให้เขาอยู่ใกล้ๆ และไม่ไปพูดคำพูดกระทบกระเทือนจิตใจเขา
   
        ไล่ให้ไปตายหรือบอกว่าเป็นภาระนี่รุ่งฟ้าไม่คิดจะพูดอยู่แล้ว การให้กำลังใจเช่นอย่าไปคิดมากเธอก็รู้สึกว่าพูดออกไปแล้วดูเหมือนเธอกลายเป็นพวกไม่สนใจจะฟังปัญหาของลูกอย่างไรอย่างนั้นหรือไม่ก็ฟังปัญหาแบบผ่านๆ เพราะงั้นก็ตัดออกไปได้เลย
   
        สิ่งที่พอจะช่วยได้อาจจะเป็นเปิดโอกาสให้เขาระบายความคับข้องใจออกมา
   
        “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ปานตะวันที่รู้ตัวว่าถูกมองอยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “แม่มองผมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
   
        “เปล่า ไม่มีอะไร”
   
        “แน่นะครับ”
   
        “อันที่จริงก็ไม่...แค่อยากคุยด้วย”
   
         ปานตะวันเลิกคิ้ว ขยับตัวจากพื้นขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างมารดา ดวงตาที่ฉายประกายมั่นใจอยู่เสมอของรุ่งฟ้าบัดนี้อ่อนแสงลง เธอเงียบไประหว่างที่คิดหาคำพูดเหมาะๆ ในหัว
   
         “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
   
         ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อย ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ “แย่มาก”
   
         “แย่แบบไหนเหรอ”
   
         ปานตะวันไม่ตอบ ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง ปากเม้มสนิท
   
         “ตะวัน เล่าให้แม่ฟังไม่ได้เหรอ” เธอถามเสียงอ่อน พยายามใช้ไม้อ่อนเข้าหา แต่ปานตะวันก็ยังคงตั้งกำแพงสูงกั้นไว้ ไม่ปล่อยให้เธอเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว
   
        พอรุ่งฟ้าขยับปากจะพูดปานตะวันก็รีบลุกขึ้นยืนทันที “ตะวันต้องไปทำความสะอาดบ้านแล้ว”
   
       นี่คือลุกหนีกันซึ่งๆ หน้าเลยสินะ?
   
       “เดี๋ยวแม่ช่วย”
   
        “ไม่เป็นไรหรอก แม่ทำความสะอาดบ้านเป็นซะที่ไหนกัน” สมัยเขายังเด็กคนที่ทำคือพ่อมากกว่า แม่ของปานตะวันน่ะถนัดเรื่องงานนอกมากกว่างานในบ้านเสียอีก
   
        “เดี๋ยวนี้เก่งกว่าแต่ก่อนแล้วน่า อยู่นู่นก็ทำเอง ไม่ได้จ้างแม่บ้านหรอก”
   
        รุ่งฟ้าตรงเข้าไปแย่งไม้กวาดจากมือลูกชายมาแล้วก็ลงมือกวาดบ้านเอง ปกติที่นู่นเธอใช้เครื่องดูดฝุ่นแต่แค่กวาดบ้านใครๆ ก็ทำได้ ปานตะวันเห็นดังนั้นจึงปล่อยเลยตามเลย
   
        “งั้นเหรอ แต่อยู่นู่นแม่ก็ไม่ได้ลำบากใช่ไหม”
   
        “ไม่หรอก แม่จำกัดขอบเขตความรกของบ้านไว้แค่ห้องน้องสาวลูกน่ะ”
   
        พอเธอหลุดพูดถึงชีวิตที่อีกซีกโลกหนึ่งปานตะวันก็เงียบลง รุ่งฟ้ารู้ว่าเธอพลาดแล้ว แต่แล้วทันใดนั้นลูกชายของเธอที่ปกติจะตั้งป้อมกับพ่อเลี้ยงและน้องสาวทั้งสองมาโดยตลอดก็ถามขึ้นว่า “แล้วน้อง...สบายดีไหม”
   
       “สบายดี น้องถามถึงลูกด้วยนะ ถามว่าคริสต์มาสพี่ตะวันจะไปหาไหม”
   
        “คงไปไม่ได้หรอก งานยุ่ง”
   
        “งั้นเหรอ ไม่เป็นไร”
   
        เดิมทีตั้งใจจะถามว่างั้นแม่พาน้องๆ มาหาลูกได้ไหมแต่นั่นก็คงจะดูล้ำเส้นเกินไป แค่ถามถึงไม่ได้หมายความว่าพร้อมจะเจอหน้ากันเสียหน่อย
   
       “ถ้าลูกอยากเจอน้องๆ ก็บอกแม่นะ บางทีเราน่าจะไปนั่งกินข้าวด้วยกันอะไรแบบนี้”
   
       ปานตะวันไม่ได้ตอบ เขาแค่หยิบไม้กวาดกับที่ตักผงสำรองมาแล้วก็เดินหายไปทำความสะอาดบริเวณอื่น บทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกสิ้นสุดที่ตรงนั้น
   
        พอกวาดบ้านถูบ้านเสร็จก็เป็นการซักผ้า กิจกรรมนี้รุ่งฟ้าก็ลงมาช่วยเช่นกัน วันนี้ทั้งวันเธอทำงานบ้านร่วมกับลูกชายมากกว่าที่เคยทำมาทั้งชีวิต นอกจากซักผ้าแล้วก็ยังต้องรดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้าในสนาม กรอกน้ำ สารพัดงานที่เธอรับอาสาทำแทนทั้งหมด ปานตะวันก็ไม่ได้ขัด เขาเข้ามาช่วยบ้าง วนกลับไปนอนซุกบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นบ้าง เป็นเช่นนี้ไปตลอดทั้งวัน
   
       สี่โมงเย็น งานบ้านทั้งหมดเสร็จสิ้น รุ่งฟ้าบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ เธอแก่แล้วจริงๆ นะเนี่ย ร่างกายที่เคยขยับไปมาได้อย่างคล่องแคล่วบัดนี้ทำนู่นนิดนี่หน่อยก็ปวดไปหมด
   
       “คุณย่าฟ้า หนูเจียนวดให้นะคับ”
   
       “เอาสิ มานวดไหล่ให้ย่าหน่อย เด็กดีๆ”
   
       มือเล็กๆ ของหนูเจียบีบนวดไหล่ให้คุณย่าอย่างสนุกสนาน ไม่ได้ไล่ให้ความปวดเมื่อยหายไปจนหมดแต่ก็ทำให้รู้สึกดีมากรุ่งฟ้าจึงให้รางวัลเด็กน้อยเป็นลูกอมหนึ่งเม็ด
   
       “แล้วนี่น้าตะวันไปไหน” ตอนนั้นเองที่เธอสังเกตว่าปานตะวันไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น อย่าบอกนะว่ากลับไปที่ห้องนอนอีกแล้ว
   
       “น้าตะวันเข้าไปในครัวคับ บอกว่าจะไปหาอะไรเย็นๆ ให้คุณย่าดื่ม”
   
       หนูเจียพูดจบก็พอดีกับที่ปานตะวันเดินถือแก้วใส่ชามะนาวเข้ามา ชายหนุ่มวางแก้วลงตรงหน้าคุณแม่ของตน “ดื่มสิครับ แม่เคยชอบนี่นา”
   
       ชามะนาวใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจ รสชาติหวานอมเปรี้ยวทำให้กระปรี้กระเปร่า สูตรที่ชอบมากที่สุดก็เป็นสูตรที่พ่อของปานตะวันชงให้ หอมละมุนและกลมกล่อมพอดี ไปกินที่ไหนก็ไม่เหมือน
   
       หญิงสาวยกแก้วชาขึ้นดื่ม ขอบตาพลันร้อนผ่าว
   
       เหมือนกันเลย...รสชาติแบบนี้เธอคุ้นเคยมากๆ
   
       “อร่อยไหมครับ”
   
       “อื้ม อร่อย ชอบมากๆ เลยล่ะ”
   
       “ก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณสำหรับวันนี้” ปานตะวันพูดเสียงแผ่ว “อันที่จริงแม่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้แท้ๆ”
   
       “ไม่เป็นไรหรอก แม่อยากทำให้ ไม่ อย่าเข้าใจผิด แม่ไม่ได้ทำเพราะสงสาร สมเพช หรืออะไรแบบที่ลูกกำลังเข้าใจผิด แต่แม่ทำเพราะแม่อยากจะคว้าโอกาสที่สองนี้ไว้ โอกาสที่เราจะได้กลับมาเป็นแม่ลูกกันอีกครั้งหนึ่ง”
   
       นัยน์ตาสองคู่ไหวระริกเช่นเดียวกับ รุ่งฟ้าเอื้อมมือไปจับมือปานตะวันเอาไว้ เมื่อก่อนมือของเด็กคนนี้เล็กมาก นิ้วมือป้อมๆ เคยเกาะเกี่ยวอยู่บนมือเธอ เดินตามต้อยๆ พร้อมเรียกแม่ฟ้าๆ ด้วยสีหน้ามีความสุข
   
       ตอนนี้มือของเขาใหญ่ขึ้น หยาบกร้านขึ้นจากการทำงาน แต่ว่าในสายตารุ่งฟ้าปานตะวันก็ยังเป็นเด็กน้อยที่เธออยากจะปกป้องอยู่ดี
   
       ไม่ว่าพวกเขาจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน
   
       ไม่ว่าตะวันจะบอกว่าเกลียดเธออย่างไรแต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นลูก
   
       ลูกชายคนโตที่เธอรัก
   
      “แม่รักตะวัน...รักเสมอ แม่เคยทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แม่ผลักไสลูกออกไปแต่ตอนนี้แม่จะไม่มีวันทำแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่ก็จะอยู่กับตะวัน จะไม่ปล่อยมือลูกอีกเป็นครั้งที่สอง”
   
       ฝ่ามือของปานตะวันถูกยกขึ้นมาแนบแก้มของรุ่งฟ้า หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากัดกร่อนเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่ม
   
       “แม้ว่าตะวันจะเคยหลอกเอาเงินแม่ไปให้ผู้ชาย แม้ว่าตะวันจะเรียนไม่จบ เป็นลูกที่แม่ภาคภูมิใจไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”
   
       “ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ตะวันก็คือของขวัญอยู่ดี รู้ไหมทำไมพ่อกับแม่ถึงตั้งชื่อลูกว่าปานตะวัน”
   
        ชายหนุ่มเอียงคอก่อนตอบว่า “เพราะอยากให้คล้องกับพี่จันทร์หรือเปล่าครับ”
   
         “ไม่ใช่หรอก ชื่อปานตะวันน่ะแปลว่าเหมือนดวงอาทิตย์ ตอนที่ลูกเกิดทุกคนในบ้านมีความสุขมากๆ ลูกเป็นเด็กยิ้มง่าย อารมณ์ดี ทำให้พวกเราอบอุ่นใจเหมือนมีดวงอาทิตย์ดวงน้อยๆ มาอยู่ในบ้านเลยล่ะ สดใส ร่าเริง นั่นแหละคือลูก พวกเราถึงได้ตั้งชื่อลูกว่าปานตะวันไง”
   
        รุ่งฟ้าลูบมือของลูกชาย เด็กน้อยคนนี้เป็นความภาคภูมิใจของเธอเสมอมา เขาล้มลงแต่ก็ลุกขึ้นยืนใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง เจียหลินคือข้อพิสูจน์แล้วว่าปานตะวันไม่ได้อ่อนแอหรือพึ่งพาไม่ได้
   
       “แม่กับพ่อภูมิใจในตัวตะวันเสมอนะ มันอาจจะแปลกที่มาพูดเอาตอนนี้ ลูกยังไม่ต้องเปิดใจให้แม่ทั้งหมดก็ได้ แต่แม่อยากให้ตะวันฟังสิ่งที่แม่จะพูดหน่อย ตอนนี้ตะวันคิดว่าตัวเองเป็นภาระกับทุกคนใช่ไหม รู้สึกแย่มากๆ ใช่หรือเปล่า ถ้าแม่พูดว่ามันมีทางที่ลูกจะไม่ต้องรู้สึกแบบนั้นอีกตะวันจะทำไหม”
   
       มีหนทางที่เขาจะหายจากอาการแบบนี้อย่างนั้นหรือ ไม่ต้องตื่นมากับความรู้สึกว่างเปล่าทุกวัน ไม่ต้องตื่นมาเพื่อจมกับความเศร้าและต่อสู้กับความคิดลบๆ ในหัวอีก สามารถกลับไปเป็นปานตะวันคนเดิมได้อย่างนั้นสินะ
   
       “แล้วทางที่ว่ามันคืออะไร”
   
       “ไปปรึกษาคุณหมอไงลูก นะ แม่กับพี่เมศและหนูเจียก็จะไปกับลูก เราจะไปช่วยลูกให้หายด้วยกัน”
   
        หาหมอ? หมออะไร เขาไม่ได้ป่วยเสียหน่อย หรือว่า...
   
        “จะพาตะวันไปหาจิตแพทย์เหรอ?”
   
        รุ่งฟ้าพยักหน้า เธอสังเกตปฏิกิริยาของเขากลัวว่าจู่ๆ ลูกชายจะลุกขึ้นมาโวยวายหรือว่ารู้สึกแย่หนักกว่าเดิม แต่คราวนี้ปานตะวันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น เขานั่งลงที่โซฟาเงียบๆ แล้วก็คิด ระหว่างนั้นหนูเจียก็หยุดนวดไหล่ของเธอแล้วก็เดินดุกๆ ไปนั่งแหมะอยู่บนตักน้าตะวันด้วย เด็กน้อยกอดลูกชายเธอเอาไว้แน่นเป็นเชิงว่าเขาก็ยังอยู่ตรงนี้นะ
   
       “หนูเจียครับ อยากให้น้าตะวันกลับไปนอนกอดอีกหรือเปล่า” จู่ๆ ปานตะวันก็ถามขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแต่เจียหลินก็รีบตอบกลับไปทันที “อยากคับ!”
   
       “แล้วอยากให้น้าตะวันทำอะไรอีก”
   
       “อยากให้น้าตะวันไปส่งแล้วก็ไปรับหนูเจียที่โรงเรียน อยากให้น้าตะวันกอดหนูเจียแน่นๆ อยากกินข้าวด้วยกัน อยากทำนู่นทำนี่กับน้าตะวันเยอะแยะเลย หนูเจียกับน้าเมศต้องการน้าตะวันนะคับ”
   
       ไม่รู้หรอกนะว่าราเมศสอนมาหรือเจียหลินคิดเอง แต่นาทีนี้รุ่งฟ้าขอยกนิ้วโป้งให้เด็กนี่เลยจริงๆ หลานชายเธอฉลาดแถมยังช่างฉอเลาะ ช่างออดอ้อนเสียเหลือเกิน
   
        ปานตะวันก้มลงหอมกระหม่อมของเจียหลินเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแม่ของตน
   
        “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงครับ แม่ ตะวันจะไปหาหมอ” รุ่งฟ้ายิ้มทั้งน้ำตา รวบหลานชายและลูกชายเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “อื้ม ไปด้วยกันนะ”
   
        พวกเธอจะอยู่ข้างๆ ปานตะวันเอง จะจับมือเขาก้าวผ่านปัญหานี้ไปด้วยกัน

************************************************

ตอนที่แล้วให้พี่เมศไปแล้วตอนนี้ขอให้เป็นพาร์ทแม่ลูกคุยกันแล้วกันค่ะ
หลายคนอ่านแล้วอาจจะนึกว่า อะไร ทำไมยอมกันง่ายกัน คุยๆ กันไม่กี่คำก็รักกันแล้วเหรอ
จริงๆ แล้วปานตะวันไม่ได้ยกโทษให้แม่ทั้งหมดนะคะ เขายังไม่ยอมรับและไม่ชอบใจครอบครัวใหม่แม่อยู่
แล้วก็ยังไม่พอใจแม่อยู่ด้วย ตอนี้เขาแค่ฟังมากขึ้น เป็นช่วงปรับตัวเข้าหากัน
ถึงจะทะเลาะกันมาก่อนแต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ไม่รักกัน
ยังไงเหตุผลหลักๆ ที่ปานตะวันยอมไปหาหมอก็มาจากหนูเจียและพี่เมศค่ะ
อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วค่ะ อยากให้จบก่อนช่วงยุ่งๆ จะมาเยือน ;w; ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้นะคะ
(รวบคนอ่านมากอด) พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ

ปล. ติดตามข่าวสารนิยายได้ที่เพจ AzureDream นะคะ  :-[
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-07-2017 20:24:39
::pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 29-07-2017 20:25:44
ฮือออ ขอให้หายไวๆน้า กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-07-2017 20:38:29
 o13

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 29-07-2017 20:38:40
เดี๋ยวก็หายนะตะวัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-07-2017 20:49:52
รีบหายเร็วๆนะตะวัน รีบรักษาจะได้กอดหนูเจียซะที

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-07-2017 20:51:57
 :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-07-2017 21:13:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-07-2017 21:19:01
ดีใจ ตะวันจะไปหาหมอแล้ว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 29-07-2017 21:35:52
ตะวันไปหาคุณหมอแล้ว หายไวๆนะตะวัน  :hao5:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-07-2017 21:41:58
ไม่รู้สิ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบแม่ของตะวันเลย แต่ก็เข้าใจนะว่านั่นแม่น่ะยังไงตะวันก็เกลียดไม่ลงหรอกถึงแม้ว่าอาจจะมีบ้างบางอารมณ์ที่ไม่ชอบใจแม่ของตัวเองอยู่บ้างล่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 29-07-2017 21:43:05
หายไวไวนะตะวัน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 29-07-2017 22:05:25
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 31-07-2017 09:13:32
รักคุณแม่นะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๘ แค่เข้าใจ (๒๙/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 31-07-2017 10:00:40
คนเราแก้ไขในอดีตไม่ได้ ต้องเริ่มใหม่ในปัจจุบัน

คำว่าครอบครัวไม่มีคำว่าสายเกินไป เป็นกำลังใจให้คุณแม่กับน้องตะวันน้า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 31-07-2017 21:16:53
ปานตะวัน
บทที่ 29
คำขอโทษ


      ปานตะวันเต็มใจจะไปพบหมอด้วยตัวเอง ราเมศถือว่านี่เป็นข่าวดีที่สุดที่เขาได้รับมาในรอบหลายวัน รู้ว่าปานตะวันมีปัญหาตรงไหนก็ควรแก้ไขที่จุดนั้น ชายหนุ่มรู้สึกโชคดีที่ตัวคนรักและคนรอบข้างเข้าใจถึงปมปัญหาของปานตะวันดีและเต็มใจจะช่วยเหลือ
   
      ราเมศเร่งหาเวลาว่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อพาปานตะวันไปหาหมอ ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาต่างๆ ชายหนุ่มกับคุณรุ่งฟ้าก็อาศัยเปิดอินเทอร์เน็ตหาเอา มีทั้งกระทู้จากคนที่เคยมีประสบการณ์หรือแม้กระทั่งหนังสือเกี่ยวกับโรคนี้ราเมศก็ยังไปหาซื้อมาอ่าน
   
        เรียกได้ว่าพวกเขาทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้ปานตะวันไปหมดตัวเลยจริงๆ
   
        ระหว่างที่รอให้ถึงวันที่ตกลงกันไว้ ราเมศไปทำงาน ให้ปานตะวันอยู่ที่บ้านกับคุณรุ่งฟ้า หลายวันที่ผ่านมาสองแม่ลูกมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น แม้จะยังไม่เข้าที่ดีแต่เรียกได้ว่าไม่ยับเยินแบบแต่ก่อน
   
        ปานตะวันเป็นคนสะบั้นสายสัมพันธ์ยุ่งเหยิงเส้นเดิมทิ้งไปแล้ว คุณรุ่งฟ้าก็ค่อยๆ ถักทอสายสัมพันธ์เส้นใหม่ขึ้นมาทีละนิด เรียกได้ว่าทั้งคู่อยู่ในช่วงตั้งต้นใหม่ก็ยังได้
   
        ราเมศเองในแต่ละวันก็พยายามชักชวนปานตะวันกลับมาทำกิจกรรมเดิมๆ ที่เคยทำด้วยกัน แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็ยังดึงความสนใจปานตะวันไว้ได้ ไม่ทำให้อีกฝ่ายเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องอีก
   
        พวกเขาดำเนินชีวิตลักษณะนี้อยู่เกือบสัปดาห์ ในที่สุดก็ถึงวันที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปหาหมอ ราเมศปลุกปานตะวันมาแต่เช้า วันนี้คนรักของเขาดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
   
        “ไม่สบายใจเหรอ” ราเมศถามขณะจัดทรงผมให้ปานตะวัน คนถูกถามพยักหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง
   
        “ตะวันกังวลนิดหน่อยน่ะพี่เมศ มันจะ...น่ากลัวหรือเปล่า”
   
        “ไม่น่ากลัวหรอกเชื่อพี่สิ” ราเมศจูบลงบนกระหม่อมคนรัก “พี่อยากให้ปานตะวันเปิดใจคุยกับหมอ เปิดใจให้การรักษา ได้ไหม”
   
        ปานตะวันนิ่งไปก่อนจะพยักหน้า ยังไงก็ตัดสินใจแล้ว หันหลังกลับไม่ได้อีก ถึงจะกลัวแต่ยังไงก็อยากหาย บางทีมันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็ได้
   
        ราเมศบีบมือคนรักเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะพาอีกฝ่ายออกจากห้อง รุ่งฟ้ายืนอยู่กับหนูเจียที่สวนด้านล่าง มองลงไปแล้วก็เห็นสองคนย่าหลานยืนดูดอกไม้ใบหญ้ากันอย่างเพลิดเพลิน ราเมศตรวจเช็คกลอนประตูหน้าต่างเป็นครั้งสุดท้าย ปิดไฟในบ้านจนเรียบร้อยแล้วก็ล็อกกุญแจ ในที่สุดทุกคนก็ได้ฤกษ์เดินทาง
   
        โรงพยาบาลที่ราเมศพาปานตะวันมาเขาได้คำแนะนำมาจากชนกันต์ แม้จะอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านแต่ในเมื่อได้รับคำยืนยันมาว่าดีราเมศก็ไม่หวั่นกับการขับรถไกล
   
        หลังผจญรถติดอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงในที่สุดพวกเขาก็มาถึง
   
        “ร่มรื่นกว่าที่คิดนะเนี่ย” รุ่งฟ้าพูดหลังจากที่เห็นสภาพภายนอกของโรงพยาบาล สวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจถูกตกแต่งไว้อย่างดี ต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงาทั่วทุกที่ พุ่มไม้เล็กๆ ถูกตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ดอกไม้ในกระถางที่ตั้งเรียงรายพากันอวดสีสันละลานตา บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าที่คิดไว้
   
         ด้านในเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าด้านนอก ตอนแรกปานตะวันกังวลว่าภายในโรงพยาบาลจะต้องทึบทึมหรือไม่ก็ให้บรรยากาศหนักอึ้งชวนอึดอัดแต่ปรากฏว่าด้านในนั้นกลับให้บรรยากาศสะอาด โปร่งสบาย ช่วงเวลานี้มีคนไข้น้อยกว่าที่ปานตะวันคิดทำให้ค่อนข้างเงียบสงบ
   
        เมื่อเข้ามาถึงปานตะวันก็ถูกพาไปทำบัตรคนไข้ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันและซักประวัติอีกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กลับมานั่งรอหมอที่เก้าอี้ด้านนอกกับครอบครัว
   
        “ทุกคนที่นี่ก็ดูไม่ต่างอะไรกับปกติเลยนะพี่เมศ” ปานตะวันเอียงตัวไปกระซิบกับราเมศขณะสองมือพยายามจะจับหนูเจียที่ตื่นเต้นสุดขีดจนปีนป่ายไปมาบนตัวน้าๆ ไม่หยุดให้อยู่นิ่งๆ
   
         ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ บางคนก็นั่งคุยกับคนข้างตัว บางคนก็อ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์ บางคนก็แค่นั่งเหม่อลอยนิ่งๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด ภายนอกพวกเขาก็ดูปกติดีแต่ปานตะวันรู้ว่าในใจพวกเขามีบางสิ่งที่ต้องแก้ไข ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่นี่
   
        ยังมีคนที่เป็นเหมือนกันอยู่
   
        ความคิดนี้ทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่กำลังต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ ไม่ได้เดียวดายเหมือนที่เข้าใจ ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ ในหัวตัวเอง พอคิดแบบนี้ความเครียดเกร็งในใจก็ผ่อนลงระดับหนึ่ง
   
        ปานตะวันไม่อยากเล่นโทรศัพท์เขาเลยใช้เวลาระหว่างรอเล่นกับหนูเจียไปเรื่อยๆ มีบางครั้งที่สายตาของคนไข้คนอื่นๆ เบนมามองพวกเขาอย่างสนใจแต่ก็แค่แวบเดียวแล้วก็หันกลับไป ไม่ได้ทำให้อึดอัดที่ตรงไหน
   
        เมื่อถึงเวลาก็มีคนมาเรียกปานตะวันให้เข้าไปพบหมอ ชายหนุ่มใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตอนยืนขึ้น เขาหันมาหาครอบครัวเป็นการขอกำลังใจหนึ่งทีจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง
   
        “สวัสดีครับ” ปานตะวันยกมือไหว้คุณหมอสวมแว่นร่างท้วมตรงหน้า อีกฝ่ายเองก็คลี่ยิ้มใจดีส่งมาให้แล้วก็รับไหว้ “สวัสดีครับ”
   
        น้ำเสียงของคุณหมออ่อนโยนมาก ท่าทางก็ดูผ่อนคลายทำให้ปานตะวันเริ่มหายเกร็ง คำถามที่ถามก็ไม่ได้ตอบยากอะไร ปานตะวันก็แค่ต้องเล่าสิ่งที่เขาเจอมารวมถึงอาการที่เป็นอยู่ในตอนนี้
   
        ตอนแรกปานตะวันคิดว่ากับคนแปลกหน้าเขาคงพูดออกไปไม่ได้แน่ แต่สมองก็คิดขึ้นมาว่าคนคนนี้เป็นหมอ พึ่งพาได้ สามารถรับฟังสิ่งที่เขาไม่กล้าเล่า ไม่กล้าพูดให้แม้แต่พี่เมศและแม่ฟังได้
   
       ชายหนุ่มเริ่มเล่าแล้วก็เล่า ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูออกมาจากปาก ทั้งเรื่องในอดีต เรื่องของธีร์ เรื่องที่เขาถูกทำร้าย เรื่องความฝังใจ เรื่องที่ว่าเขาโล่งใจแค่ไหนที่ธีร์ตาย เรื่องของแม่ ของครอบครัว ปานตะวันพูดไปร้องไห้ไป ไม่รู้ว่าหมอฟังรู้เรื่องหรือเปล่าแต่ ณ เวลานั้น ปานตะวันไม่สนใจอีกแล้ว
   
       บางทีเวลาอาจผ่านไปไม่นานแต่ในความรู้สึกของชายหนุ่มนั้นกว่าเรื่องราวจะดำเนินถึงตอนจบก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน
   
       หลังจากนั้นหมอก็ถามอาการอื่นๆ ของเขาเช่นนอนหลับไหม ทานข้าวได้บ้างไหม มีความรู้สึกอยากทำร้ายตัวเองหรือเห็นว่าตัวเองไร้ค่าบ้างหรือเปล่า ปานตะวันเล่าอาการของตนไปอย่างไม่ปิดบัง พออยู่กับหมอเห็นท่าทางคล้ายญาติผู้ใหญ่ใจดีแล้วเขาก็วางใจ เริ่มเปิดใจมากขึ้นอีกนิด
   
        ทั้งคู่คุยกันค่อนข้างนาน หมอบอกว่าโชคดีที่ปานตะวันมาพบหมอตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่อาการจะหนักไปมากกว่านี้ ถือว่ารู้ตัวค่อนข้างไว
   
        "อันที่จริงแล้วคนที่พาผมมาหาหมอคือแฟนผมกับแม่มากกว่าครับ ตอนนี้เหมือนว่าอะไรในครอบครัวกำลังจะดีขึ้น” ปานตะวันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่บางทียิ่งพวกเขาทำดีผมก็ยิ่งเกลียดตัวเองที่เป็นคนดีอย่างที่พวกเขาต้องการไม่ได้ พวกเขาทำดีกับผมตั้งมาก แต่ที่ผมทำได้คือเฉยชาใส่พวกเขา ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้ มันแย่มากเลยครับหมอ ผมรู้สึกผิด...ไม่รู้ว่ากับใครบ้าง แต่ความรู้สึกมันมากเกินไปจริงๆ”
   
         หลังคุยกันต่ออีกสักพักปานตะวันก็กลับออกมาด้านนอก
   
        “เป็นยังไงบ้าง” ราเมศถามขึ้นเป็นคนแรกทันทีที่ปานตะวันเดินมาถึงเก้าอี้นั่ง
   
        “ก็คุยกันหลายอย่างเลย หมออธิบายเรื่องโรคกับวิธีการรักษาเพิ่มเติมแล้วก็สั่งยามาด้วย”
   
        “มีนัดอีกรอบไหม”
   
        “มีครับ”
   
        ปานตะวันบอกวันนัดหลังจากนี้ไป แม่ของเขารีบเปิดดูบันทึกอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ของเธอจากนั้นก็เผยสีหน้าลำบากใจออกมาแวบหนึ่ง ปานตะวันสังเกตเห็นมันแล้วก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นเองว่า
   
        “แม่กลับไปเถอะครับ ครั้งหน้าตะวันมากับพี่เมศได้ มาอยู่นี่นานๆ ไม่สะดวกใช่ไหมล่ะ” อยู่ที่นู่นแม่ของเขาก็ไม่ได้นั่งเป็นแม่บ้านเฉยๆ เธอมีงานที่ตัวเองต้องทำ แม้จะไม่ใช่พนักงานบริษัทที่ต้องตอกบัตรเข้าทำงานแต่มันก็คงไม่ดีถ้าเธอจะรั้งอยู่ที่นี่นานกว่านี้
   
        “ไมได้หรอก แม่จะอยู่” รุ่งฟ้าพูดอย่างดื้อดึง “แม่จะบอกเวนดี้เอง เรื่องงานไม่ใช่ปัญหา” เวนดี้คือหุ้นส่วนและเพื่อนสนิทของแม่ที่นู่น พวกเธอตั้งแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆ ขึ้นด้วยกัน
   
        “แล้วน้องๆ ล่ะครับ”
   
        “แม่คุยกับน้องแล้ว พวกเขาเข้าใจนะ ทุกคนเข้าใจที่แม่ต้องกลับไทยครั้งนี้ แม่จะอยู่จนกว่าลูกจะอาการดีขึ้น”
   
        “มันไม่ได้หายในวันสองวันนะครับแม่ มันอาจจะเป็นเดือนหรือว่าเป็นปี”
   
       “แม่จะอยู่กับลูก”
   
        จบคำนั้นการโต้เถียงระหว่างแม่ลูกก็สิ้นสุด ราเมศเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนรอยยิ้ม นิสัยดื้อดึงของปานตะวันนี่ถอดแบบคุณรุ่งฟ้ามาชัดๆ
   
        ปานตะวันแม้จะเถียงเพื่อให้แม่กลับแต่ลึกๆ ในใจเขาก็ยังต้องการแม่ อยากให้แม่เลือกเขามากกว่าชีวิตที่นู่น อยากให้ความรู้สึกที่ว่าตอนนี้เขาสำคัญกับแม่ได้รับการยืนยัน พอได้ฟังแม่ยืนกรานว่าจะอยู่กับเขาชายหนุ่มก็ยินดี
   
        ตอนรับยาแล้วก็จ่ายเงินรุ่งฟ้าเป็นคนไปจัดการทั้งหมด ตอนที่เดินกลับมายื่นถุงยาให้ปานตะวันชายหนุ่มก็พูดว่า “เดี๋ยวตะวันจะจ่ายคืน”
   
        “ไว้ทีหลังๆ”
   
        รุ่งฟ้าโบกไม้โบกมือก่อนจะพูดขึ้นว่าหิวข้าว ทั้งสี่คนจึงออกไปหาของกินแถวๆ โรงพยาบาล แวะซื้อของอีกเล็กน้อยจากนั้นจึงพากันกลับบ้าน
   
        เวลาที่เหลือของวันผ่านไปอย่างเงียบสงบ คืนนี้ปานตะวันก็แยกห้องนอนเช่นเคย เขาต้องการเวลาเป็นส่วนตัวสักหน่อยสำหรับ ‘การบ้าน’ ที่คุณหมอให้มา
   
        แน่นอนว่าการไปพบคุณหมอวันนี้ไม่ใช่แค่ไปพูดคุย รับยาแล้วก็กลับเท่านั้น ปานตะวันได้รับคำแนะนำในการ ‘แก้ปมในใจ’ มาอีกหนึ่งอย่าง
   
         เพราะเขาบอกหมอไปว่าเขารู้สึกผิด แต่ไม่สามารถพูดคำว่าขอโทษออกมาได้ ความคิดของเขาตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว คนที่อยากขอโทษมีมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรความรู้สึกนี้ถึงจะหลุดออกจากใจได้ คุณหมอจึงแนะนำว่าถ้าพูดไม่ได้ก็ให้เปลี่ยนมาเขียนแทน ในบางเวลาคนเราก็สื่อสิ่งที่ต้องการออกมาได้ดีที่สุดผ่านตัวอักษร
   
         วันนี้ปานตะวันจึงกลับมาบ้าน นั่งลงที่โต๊ะแล้วก็หยิบกระดาษมีเส้นแบบที่เด็กนักเรียนใช้เขียนรายงานออกมาพร้อมกับซองจดหมาย ชายหนุ่มอยากทำให้เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะส่งจดหมายไปหาคนเหล่านี้
   
        เขาจรดปลายปากกาลงแล้วก็เริ่มนึก คนแรกที่อยากเขียนถึง อยากจะขอโทษก็คือ...
   
        ถึงพี่จันทร์
   
        พี่สาวของเขาเอง
   
       พี่จันทร์รักเขามาก เธอสอนเขาเสมอให้โตมาเป็นเด็กดี ตอนที่ต้องแยกจากกันเขาเคยสัญญากับเธอไว้ว่าเขาจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้และกลับมาดูแลเธอกับพ่อ แต่เขาก็ทำไม่ได้ ปานตะวันขอโทษในเรื่องนี้ ขอโทษสำหรับที่ทิ้งเธอไว้ในเวลาที่เธอต้องการใครสักคนมากที่สุด
   
        คนต่อมาก็คือพ่อ เนื้อหาก็คล้ายๆ กับจดหมายของจันทร์จ้าวแต่สั้นกว่า นอกจากจะบอกขอโทษแล้วยังขอบคุณอีกด้วย ขอบคุณที่พ่อทำให้ชีวิตวัยเด็กของเขามีความทรงจำที่ดีอยู่บ้าง
   
        ถัดจากพ่อแล้วก็เป็นแม่ กับแม่ปานตะวันแค่ขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่ พยศใส่ ชายหนุ่มคิดว่าบางทีในอนาคตเขาจะลองปรับตัวเองให้เข้ากับครอบครัวใหม่ของแม่ดู จดหมายถึงแม่เหมือนเป็นการเขียนระบายความรู้สึกที่เก็บมาตลอดในใจของเขาออกไปมากกว่าจดหมายขอโทษ ปานตะวันเขียนว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เขียนว่าตอนเด็กเขาคิดอยู่ตลอดว่าแม่ไม่รัก ทุกความรู้สึกที่ติดค้างในใจเขาระบายออกไปจนหมด ปานตะวันจบจดหมายฉบับนั้นด้วยประโยคที่ว่าเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ไหม และไม่รู้ด้วยว่าความรู้สึกตะขิดตะขวงใจระหว่างเขากับครอบครัวใหม่จะหายไปตอนไหน แต่ในอนาคตเขาจะพยายามปรับตัวดูและขอบคุณที่แม่ยังไม่ทิ้งเขาไปในเวลานี้
   
        พวกเขายังไม่สามารถกลับมาเป็นแม่ลูกที่รักกันสมานสามัคคีได้ทันทีเหมือนในละคร แผลใจยังอยู่ แต่พวกเขากำลังเริ่มต้นใหม่ นั่นเป็นสัญญาณที่ดี
   
        จากนั้นก็เป็นจดหมายถึงพี่เมศและหนูเจีย สำหรับสองคนนี้คงต้องขอโทษที่ทำให้ลำบากโดยเฉพาะพี่เมศ
   
        แต่ไม่ว่ายังไงก็ขอบคุณเสมอที่ยืนอยู่ข้างกัน พี่เมศ...กับหนูเจีย
   
        แสงสว่างเล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์ของปานตะวัน
   
        ต่อจากพี่เมศกับหนูเจียคือจดหมายถึงชนกันต์ สำหรับกันต์ปานตะวันรู้ดีว่ามันคงไม่โทษเขา แต่เขาก็ยังทำให้มันเป็นห่วงอยู่เกือบตลอดเวลา ขอโทษที่เป็นเพื่อนที่ไม่เอาไหน เอาแต่รับอยู่ฝ่ายเดียวแล้วก็ขอบคุณที่ทำให้เขากลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งได้ในวันนั้น
   
        เมื่อเขียนจดหมายของชนกันต์เสร็จชายหนุ่มฉีกกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่น
   
        มีอีก...ยังมีบางสิ่งติดอยู่ในใจเขา ใครสักคนยังอยู่...
   
        ธีร์
   
        ตอนที่เขียนชื่อนี้ลงไป มือของปานตะวันสั่นเล็กน้อย กับธีร์ปานตะวันไม่ได้อยากขอโทษ ไม่มีความเสียใจและไม่มีคำขอบคุณ
   
         กระดาษรายงานขนาด A4 แผ่นนั้นมีตัวหนังสืออยู่แค่บรรทัดเดียว
   
         ลาก่อน...และขออย่าได้เจอกันอีก
   
         เท่านี้ก็เหมือนจะครบแล้ว
   
         ปานตะวันพับจดหมายแผ่นแล้วแผ่นเล่าใส่ซองพร้อมกับเขียนชื่อคนที่เขาเขียนถึงเอาไว้ที่หน้าซองจดหมายแต่ละฉบับ ของพ่อ พี่จันทร์และธีร์ชายหนุ่มแยกเอาไว้ ส่วนของคนที่เหลือเขาเก็บใส่กล่อง อยู่ระหว่างการชั่งใจว่าจะส่งให้อ่านดีหรือเก็บไว้เฉยๆ ดี
   
         ปานตะวันลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจพักไว้ ตอนนี้เขาจะลงไปจัดการกับจดหมายสามฉบับนี้ก่อน
   
        ชายหนุ่มหยิบจดหมายที่แยกไว้ขึ้นมาแล้วก็ลุกออกจากเก้าอี้ ตอนที่เขียนจดหมายไม่ได้ดูเวลาเลย มัวแต่จมอยู่ในโลกส่วนตัว พอตอนนี้เงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วก็ตกใจเล็กน้อย ปานตะวันกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง แต่ตอนที่เขาเดินผ่านกระจกเงาขนาดเท่าตัวคนที่ตั้งหลบอยู่มุมหนึ่งของห้องนั้นเอง ร่างโปร่งก็ชะงักฝีเท้า
   
         ปานตะวันเปลี่ยนทิศทางเดิน จากจะเดินออกนอกประตูห้องเปลี่ยนเป็นหมุนตัวไปที่กระจกแทน
   
        พักหลังปานตะวันหลีกเลี่ยงการส่องกระจกมาโดยตลอดเพราะยิ่งเห็นตัวเองมีสภาพโทรมลงเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอาผ้าคลุมกระจกบานนั้นไว้แล้วก็แอบมันเอาไว้ที่มุมห้อง
   
        พรึ่บ
   
        ผ้าสีเทาที่คลุมกระจกอยู่ถูกดึงออกช้าๆ แล้วก็ถูกปล่อยร่วงไปกองกับพื้น ปานตะวันเหม่อมองเงาที่สะท้อนกลับมาเต็มสองตา
   
        นี่ตัวเขาจริงๆ หรือ? ดูเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้เลย
   
        ชายหนุ่มขยับเข้าไปชิด ปลายนิ้วแตะลงบนกระจกเย็นเฉียบแผ่วเบา ความคิดหนึ่งพลันผุดวาบขึ้นในสมอง
   
        นี่ไง...เขาคิดอยู่ตลอดว่าลืมใครไปหรือเปล่า จริงๆ แล้วจดหมายขอโทษพวกนั้นต้องมีอีกหนึ่งฉบับ
   
        ปานตะวันกลับไปนั่งที่โต๊ะ ดึงกระดาษออกมาอย่างรีบร้อนแล้วก็เริ่มเขียน
   
        ถึงปานตะวัน
   
        นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เริ่มทำอะไรแบบนี้ เขียนจดหมายเพื่อขอโทษตัวเองในอดีต ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมองว่าบ้าและไร้สาระแน่ๆ แต่...ไม่รู้สิ คิดว่ายังไงก็ควรต้องเขียนมัน
   
         นายคือคนที่ฉันอยากจะต่อว่ามากที่สุดและนายก็คือคนที่ฉันอยากเอ่ยคำขอโทษมากที่สุดเช่นเดียวกัน
   
         ตอนที่ยังเด็กก็คิดอยู่เสมอว่าแม่ทิ้งไป อยากกลับไปอยู่กับพ่อ ญาติพี่น้องที่รับไปเลี้ยงก็ไม่สนใจ ตอนนั้นน่ะมันโดดเดี่ยวจริงๆ นะ อยากเจอหน้าแม่มากกว่าสองหรือสามครั้งต่อปี อยากให้แม่กอดแล้วก็หอม บางทีคงเป็นตั้งแต่ตอนนั้นที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักความอบอุ่น ยิ่งโต ยิ่งรู้ความ ก็ยิ่งไม่ชอบแม่ โทษแม่ทุกอย่าง ทำตัวเหลวแหลก เรียกร้องความสนใจ แล้วก็โทษแม่ โทษญาติ โทษคนรอบตัว ทั้งที่จริงแล้วคนที่ผิด...ส่วนหนึ่งก็คือตัวเราเอง
   
         มาถึงวันนี้ผลจากสิ่งต่างๆ ที่เคยทำมาในอดีตมันตามมาทำร้ายแล้ว เจ็บ...เจ็บมากๆ เลย ยิ่งมองย้อนกลับไปก็ยิ่งรู้ว่าตอนนั้นทำร้ายตัวเองไปมากแค่ไหน บางทีคนที่ฉันเกลียดมากที่สุด โกรธมากที่สุด และเสียใจด้วยมากที่สุดอาจเป็นตัวฉันเองก็ได้ โกรธที่ไม่รักตัวเอง เกลียดที่โง่เขลา และเสียใจที่เอาแต่ทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า บาดแผลในหัวใจมากมายที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้เกือบครึ่งก็เป็นตัวฉันที่ทำมันเอง
   
         ขอโทษนะ ขอโทษที่ฉันพานายมาจนถึงจุดนี้ ขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้ ขอโทษจริงๆ ตัวฉันในตอนนี้ยังให้อภัยตัวเองไม่ได้แต่ว่าฉันจะเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ วันหนึ่งในอนาคตฉันจะกลับมาเปิดอ่านมันอีกครั้ง และหวังว่าตอนนั้นตัวฉัน...บางทีอาจจะสักสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าจะสามารถปล่อยวางแล้วก็ยกโทษให้กับตัวเองในอดีตได้อย่างแท้จริง
   
         ขอโทษนะที่ทำให้ลำบากและต้องเจ็บปวด
   
        แต่อดทนอีกนิดนะ มันกำลังจะผ่านไปแล้วล่ะ

   
        ปานตะวันอ่านทวนเนื้อหาในจดหมายอีกครั้งก่อนจะพับมันใส่ซอง จดหมายฉบับนี้เขาเก็บมันเอาไว้ในกล่องใบหนึ่ง แล้วก็เอาไปวางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า ไม่ห่างแต่ก็ไม่ได้ทิ่มแทงตามากไป มันจะอยู่ตรงนั้น รอวันที่เขากลับมาเปิดอ่านอีกหน
   
        เมื่อจัดการจดหมายฉบับสุดท้ายเสร็จปานตะวันก็หยิบซองจดหมายสามซองขึ้นมาแล้วก็เดินออกไปด้านนอก ตอนนี้ทุกคนน่าจะหลับกันหมดแล้ว
   
        ปานตะวันเดินลงไปที่ท้ายสวนจากนั้นก็ลากเอาเตาถ่านออกมา เหตุการณ์เดียวกับตอนที่เขาเผาจดหมายจากธีร์ไม่มีผิด ชายหนุ่มจุดไฟแช็กจ่อเข้าที่มุมซองจดหมายจากนั้นก็ทิ้งมันลงในเตา เฝ้ามองดูเปลวไฟลามเลียแผ่นกระดาษเหล่านั้น
   
       พ่อ...พี่จันทร์ หวังว่าทั้งคู่จะได้รับรู้สิ่งที่ตะวันอยากจะสื่อนะ
   
        ชายหนุ่มเหม่อมองควันไฟที่ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า จินตนาการไปว่ามันกำลังลอยไปสู่สวรรค์ นำเอาจดหมายจากเขาไปส่งให้คนสำคัญสองคนที่คงจะมองมาจากบนโน้น
   
       ปานตะวันยืนเหม่ออยู่นานจนเปลวไฟก็ดับลง ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นก่อนที่ฝ่ามือบอบบางของคุณรุ่งฟ้าจะแตะลงที่ไหล่
   
        “แม่ยังไม่นอนอีกเหรอ”
   
        “แม่เขียนเมลล์อยู่น่ะ แล้วลูกล่ะ ทำไมไม่นอน”
   
        “ลงมาทำธุระนิดหน่อย”
   
        รุ่งฟ้ามองเตาถ่ายที่ยังเหลือเศษขี้เถ้าข้างในอยู่ด้วยสายตากังวล ปานตะวันปลดมือแม่ออกไหล่ตนอย่างนุ่มนวลแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่หรอก ก็แค่จดหมายน่ะ”
   
        “จดหมาย?”
   
        “อื้ม จดหมายถึงพ่อกับพี่จันทร์”
   
        รุ่งฟ้ามองตามสายตาปานตะวันขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ดึกแล้ว ขึ้นบ้านเถอะ” รุ่งฟ้ายืนอยู่ตรงนั้นรอให้ปานตะวันเก็บเตาจนเสร็จ แล้วก็เดินขึ้นเรือนไทยพร้อมลูกชาย
   
        “แม่ ผมมีอะไรจะให้แม่”
   
         ก่อนที่เธอจะเดินเข้าห้องปานตะวันก็เรียกเธอไว้ เขาหายไปพักหนึ่งก่อนกลับมาพร้อมซองจดหมายซองหนึ่ง เมื่อเธอรับไปเขาก็เดินกลับไปที่ห้องเงียบๆ
   
        รุ่งฟ้ามองซองจดหมายเบาหวิวนั้นด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึก
   
        ปานตะวันไม่ได้ให้จดหมายแค่กับแม่เขาเท่านั้นแต่ซองอื่นๆ ก็ถึงมือผู้รับแล้วเช่นกัน เขาไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว แค่คิดว่าข้อความในกระดาษพวกนั้นคงสามารถสื่อความรู้สึกในส่วนลึกของเขาออกไปได้
   
         นอกจากจดหมายแล้ว สองสามวันต่อมาปานตะวันก็วานให้พี่เมศซื้อสมุดบันทึกมาให้สองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นเล่มสำหรับจดบันทึกประจำวัน ปานตะวันตั้งใจจะจดทุกอย่างที่เขาคิดลงไปในนี้ ความรู้สึกต่างๆ ที่คิดในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางครั้งที่เขารู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อมากจนไม่อยากเขียนแต่สมุดบันทึกเล่มนี้เหมือนเป็นเครื่องมือระบายความรู้สึกอย่างหนึ่งอีกทั้งยังทำให้เขารู้ได้ว่าอาการของตัวเองในแต่ละวันดีขึ้นหรือแย่ลง ปานตะวันจึงตั้งใจจะเขียนให้ได้มากที่สุด
   
        ส่วนเล่มที่สองเป็นสมุดที่เขาเขียนเอาไว้ด้านในว่า ‘สมุดบันทึกความสุข’
   
         ชายหนุ่มลูบปกสมุดความสุขพลางครุ่นคิดว่าอะไรจะเป็นความสุขเรื่องแรกที่เขาบันทึกลงในนี้ ระหว่างที่นั่งเหม่ออยู่หน้าโต๊ะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   
        “ตะวัน พี่เข้าไปนะ”
   
        ราเมศส่งเสียงบอกแล้วก็เปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มเห็นคนรักนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือพร้อมกับสมุดที่เขาซื้อมาให้ก็คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา
   
      “พี่เอาขนมมาให้”
   
      “ขอบคุณครับ”
   
        ราเมศวางถาดใส่ขนมชั้นกับน้ำเต้าหู้นมสดที่ปานตะวันชอบกินไว้ข้างๆ โน้มตัวลงมากอดคนรักพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่จากนั้นก็ออกจากห้องไป ปานตะวันลูบแก้มที่มีไออุ่นจากริมฝีปากหลงเหลืออยู่พลางคิดว่า นี่ไงล่ะเรื่องดีๆ เรื่องแรกที่ควรบันทึกลงในสมุด
   
        เขาละสายตาไปที่ถาดใส่ขนมที่คนรักยกมาวางไว้ให้ ตั้งใจจะหยิบขนมมากินก่อนลงมือเขียน ตอนนั้นเองที่ปานตะวันเห็นว่าบนถาดใส่ขนมมีซองจดหมายวางอยู่สามซอง มันไม่ใช่ซองแบบที่เขาให้พวกพี่เมศไปด้วย
   
         ปานตะวันหยิบซองบนสุดขึ้นมาพลิกดู ลายมือหวัดๆ ที่เขียนอยู่บนซองเป็นของชนกันต์ จดหมายฉบับนี้จ่าหน้าถึงเขา ปลายนิ้วของปานตะวันสั่นระริกยามเปิดมันออก
   
         นั่นเป็นจดหมายจากชนกันต์ถึงเขา...เขียนตอบฉบับที่แล้วที่เขาเอาไปให้
   
        กันต์บอกว่ายกโทษให้เขาที่ทำตัวไม่ดีแล้วก็บอกว่าดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกัน แถมยังเขียนบ่นมาอีกยาวยืดแต่คำบ่นของมันเจือด้วยความห่วงใย มันยังบอกอีกว่าจะเป็นเพื่อนกันไปอีกร้อยปีเลย
   
        “ไอ้เพื่อนบ้านี่”
   
         ปานตะวันพึมพำ แม้ปากจะด่าแต่กลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างมาก ชายหนุ่มหยิบจดหมายฉบับต่อไปมาอ่าน มันเป็นจดหมายจากแม่ของเขา ส่วนฉบับสุดท้ายเป็นจดหมายจากพี่เมศและหนูเจีย ของหนูเจียเด็กชายวาดรูปครอบครัวมาให้ เป็นลายเส้นโย้เย้คอยาว แต่ทันทีที่เห็นมุมปากของปานตะวันก็พลันยกขึ้น
   
        ชายหนุ่มมองจดหมายที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่พักหลังแทบไม่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเลย
   
        ปานตะวันยิ้มแล้วก็เหน็บคำขอโทษรวมถึงคำขอบคุณและความรักจากทุกคนไว้ที่หน้าแรกของสมุดบันทึกความสุข

*************************************************

ในที่สุดก็พ้นจากบ่วงดราม่าเสียที โฮกกกกกก ตอนต่อไปจะตามมาเร็วๆ นี้นะคะ
ขอตัวไปปั่นให้จบก่อน อีกนิดเดียววว จุ๊บๆ
 :bye2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 31-07-2017 21:35:02
 :pig4::pig4::pig4: :pig4::pig4::pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-07-2017 21:48:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-07-2017 22:33:36
สู้ๆนะตะวัน รีบกลับมาเป็นตะวันคนเดิมสำหรับทุกคนเร็วๆ นะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-07-2017 23:44:46
น้ำตาไหลด้วยความโล่งใจ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 31-07-2017 23:59:51
ดีใจกับตะวันและครอบครัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 01-08-2017 00:05:03
ดราม่าจงหายไปปปปป
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-08-2017 00:42:29
น้ำตาไหลตอนนี้ตะวันเปิดอ่านจม.ของเพื่อนและพี่เมศเลยอ่ะ ซึ้งใจในความเป็นเพื่อนของกันต์จริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-08-2017 07:26:31
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 01-08-2017 07:30:37
ชอบกันต์อะ เพื่อนที่ดี
 :hao5:

เอาใจช่วยตะวันน้าาาา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 01-08-2017 09:29:28
กอดตะวันแน่นๆๆๆๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 01-08-2017 10:05:23
มาแล้วววววววว  :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 01-08-2017 10:22:42
กอดหนูเจีย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 01-08-2017 11:43:54
เรื่องร้ายๆจงพ้นไป ชิ่วๆๆๆๆ
//หันไปซดมาม่าให้หมดชาม!...//
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-08-2017 11:57:19
สงสารตะวันมาก ดีที่ยอมไปหาหมอ ดีที่เปิดใจ
ทุกคนก็เป็นห่วงมาก และก็เป็นกำลังใจได้ดีมาก

ลุ้นตะวันมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๙ คำขอโทษ (๓๑/๗/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-08-2017 18:30:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 05-08-2017 19:43:47
ปานตะวัน
บทที่ ๓๐
แสงตะวันหลังม่านฝน


         ปานตะวันทำตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ได้ดี สมุดบันทึกทั้งสองเล่มตลอดสามเดือนตั้งแต่เริ่มรักษามาถูกเขาเติมเต็มด้วยข้อความมากมายในแต่ละวัน สมุดบันทึกธรรมดาถูกเขียนบ่อยมากกว่าสมุดบันทึกความสุขแต่ก็ความถี่ในการเขียนก็ไม่ได้ห่างกันขนาดนั้น
   
        ปานตะวันพยายามอย่างยิ่งในการให้ความร่วมมือกับหมอ เขากลับมาบ้านเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม พยายามทำความเข้าใจกับอาการของตัวเองให้มากที่สุด รวมถึงจดบันทึกอาการหลังกินยาของตัวเองไว้ด้วย
   
        เคยมีคนแถวบ้านพูดกับปานตะวันว่าอาการของปานตะวันเกิดจากจิตใจอ่อนแอ อีกฝ่ายแนะนำให้ปานตะวันไปเข้าวัดทำบุญ นั่งสมาธิ จิตใจจะได้สงบแถมยังมีการชักชวนให้ ชายหนุ่มนึกอยากจะถอนหายใจแรงๆ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล พอเขาเอาเรื่องนี้มาบอกราเมศคนรักก็ลูบหัวเบาๆ แล้วพูดว่า
   
        “เขาแนะนำเพราะหวังดี เขาแค่ยังไม่มีความเข้าใจเท่าไหร่ ตะวันอย่าหงุดหงิดเลยนะ”
   
        “ตะวันไม่ได้หงุดหงิดสักหน่อย”
   
        ปานตะวันงึมงำ นี่อะไร เห็นเขาเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ไปแล้วหรือไง
   
        ตั้งแต่ทานยาที่ได้รับมา ปานตะวันรู้สึกว่าอารมณ์ของเขานิ่งมากขึ้น พออารมณ์นิ่งก็เริ่มใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น เขาไม่ได้ระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ถ้ารู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตัวเองเริ่มดิ่งเมื่อไหร่ชายหนุ่มก็จะหันกลับไปเขียนบันทึก ระบายทุกอย่างลงไป
   
        เมื่ออารมณ์ของเขาเริ่มนิ่งและเริ่มกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้แล้ว แม่ของเขาก็กลับไปหาพ่อเลี้ยงและน้องๆ แต่ปานตะวันไม่ได้รู้สึกว่าเขาและแม่ห่างเหินกันเช่นแต่ก่อนอีกต่อไปเพราะทุกสัปดาห์แม่จะส่งอีเมลล์มาหาเขา หนึ่งฉบับบ้าง สองฉบับบ้างตามแต่สะดวก ถามไถ่อาการเขาด้วยความเป็นห่วง บ้างวันก็สไกป์คุยกัน ถ้าเดือนไหนว่างแม่ก็จะมาเยี่ยมเขาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ใช้เวลาด้วยกันสองคนแม่ลูก
   
        เพราะการเอาใจใส่แบบนี้อาการของปานตะวันจึงค่อยๆ ดีขึ้น
   
        ทุกครั้งที่ไปพบหมอ ปานตะวันจะเอาบันทึกของตัวเองไปด้วย ไม่รู้ทำไมแต่เขาอยากให้หมออ่านมัน อยากให้มีใครสักคนได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วในหัวเขามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และคนที่เขาไว้ใจรองจากครอบครัวก็คือหมอ ส่วนราเมศ...ปานตะวันให้ราเมศดูแค่บันทึกความสุขเท่านั้น อีกเล่มเขาไม่เคยให้อ่านเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องกังวลมากแน่ๆ
   
        ราเมศเหนื่อยแล้ว ถึงจะไม่แสดงออกแต่ปานตะวันก็รู้ว่าราเมศกำลังล้ากับทุกสิ่งที่แบกรับอยู่
   
        แต่ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน อีกฝ่ายจะยิ้มให้เขาแล้วก็กอดเขาเอาไว้แน่น ทำให้ปานตะวันอุ่นใจและรู้สึกว่าอ้อมกอดของคนคนนี้คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
   
         แม่ พี่เมศกับหนูเจียเป็นอีกแรงผลักดันที่ทำให้ปานตะวันค่อยๆ สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง
   
        “ดีแล้วที่ไม่หงุดหงิด” ราเมศดึงแก้มแมวเหมียวของเขาจนยืด ถุงทองกับขาวร้องเมี้ยวม้าวขออาหารอยู่แทบเท้าทำให้ปานตะวันต้องรีบเอาอาหารเทใส่ชามให้สมุนแมวทั้งสอง เมื่อจัดการแมวเสร็จก็เดินกลับมายืนข้างราเมศต่อ
   
       อันที่จริงแล้วปานตะวันรู้ว่าคนอื่นๆ หวังดีกับเขาถึงได้แนะนำ คนอื่นเข้าใจว่าการเป็นโรคซึมเศร้าคือการที่จิตใจเข้มแข็งไม่พอถึงได้บอกให้ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ปานตะวันไม่เห็นด้วย ลองนึกภาพง่ายๆ อย่างเช่นถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนช่วงที่สภาพจิตใจเขาแย่มาก ดิ่งลงไปถึงจุดต่ำสุด ถ้าไปเข้าวัดตอนนั้นปานตะวันคิดว่าตัวเองอาจจะไปผูกคอตายในวัดแล้วก็ได้
   
        เจ้าตัวร้ายในหัวเขามันคงกระซิบว่า เฮ้ ไหนๆ นายก็มาวัดแล้ว นี่ไง เป็นที่ตายที่สงบดีใช่ไหมล่ะ อะไรทำนองนี้แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าการทำจิตใจให้สงบไม่ช่วยอะไรหรอกนะ
   
        “ตะวันคิดว่าการทำสมาธิอะไรพวกนี้ก็อาจจะมีส่วนช่วยได้นะ เพียงแต่ต้องทำคู่กัน ทำความเข้าใจโรคก่อน รักษาก่อนแล้วก็ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิด้วยความเข้าใจ มันคงจะช่วยเสริมกันได้ ถ้าไม่รู้อะไรเลยแค่ทำๆ ไปตามที่คนอื่นบอกยังไงก็ไม่หาย”
   
         นอกจากโลกต้องเข้าใจผู้ป่วยแล้ว ผู้ป่วยก็ต้องเข้าใจโรคด้วยเมื่อกัน
   
         “มันก็เหมือนสู้กับศัตรู รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งอะไรทำนองนี้แหละมั้ง”
   
         แววตาของราเมศที่มองมามีความทึ่งเล็กน้อย ปานตะวันนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปจึงกระแอมแก้เก้อ “อะไรเล่า ตะวันพูดอะไรผิดหรือไง”
   
       “ก็ไม่ผิดหรอก แค่รู้สึกว่า...นายดูเปลี่ยนไปนะ”
   
        “ดีขึ้นหรือแย่ลงล่ะ”
   
        “ก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้วสิ” ราเมศหัวเราะพลางขยี้เส้นผมนิ่มของคนรักอย่างเอ็นดู ปานตะวันเอนหัวหลบแล้วก็แยกเขี้ยวใส่เขา
   
        “พอๆ เลิกแกล้งตะวันได้แล้ว รีบไปรับหลานกันดีกว่าครับ ไปช้าเดี๋ยวหนูเจียงอแงอีก”
   
        “มาให้หอมก่อน”
   
        ปานตะวันกลอกตา ราเมศเลยชนริมฝีปากกับแก้มของอีกฝ่ายดังจุ๊บเร็วๆ หนึ่งทีแล้วก็เดินยิ้มกริ่มลงไปด้านล่าง ทิ้งให้ปานตะวันยืนลูบแก้มอยู่คนเดียว
   
       เพราะวันนี้ออกมารับหนูเจียเร็วกว่าเวลาปกติ ผลปรากฏคือตอนมาถึงชั้นเรียนยังไม่เลิก คุณน้าทั้งสองจึงต้องพากันไปนั่งรอในโรงอาหาร ระหว่างรอปานตะวันก็สังเกตว่ามีผู้ปกครองหลายคนไปมุงอยู่บริเวณหน้าห้องเรียนของหนูเจีย เพราะห้องของหนูเจียอยู่ชั้นล่างสุดทำให้มองเห็นได้จากบริเวณโรงอาหาร
   
        “หืม มีอะไรกันน่ะ ทำไมทุกคนไปยืนออหน้าห้องกันแบบนั้น” ปานตะวันพูดพลางชะเง้อชะแง้คอยาว ราเมศจึงตอบกลับมาว่า “ลองไปดูกันไหม”
   
        “เอาสิ”
   
         กล่าวจบทั้งคู่ก็ตรงไปที่หน้าห้องเรียนของหนูเจีย ปานตะวันสะกิดถามคุณแม่คนหนึ่งว่า “มีอะไรกันหรือครับ ทำไมทุกคนมายืนมุงกันแบบนี้”
   
        ผู้หญิงที่ถูกเรียกหันมามองจากนั้นก็ตอบกลับมายิ้มๆ “พอดีเด็กๆ เขากำลังอ่านเรียงความกันอยู่น่ะค่ะ”
   
        “เรียงความ?”
   
        ปานตะวันมองเข้าไปในห้องก็เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่โชว์หราอยู่กลางกระดานเป็นประโยคว่า ‘สำหรับฉัน คุณพ่อและคุณแม่คือ...?’
   
        “ดูเหมือนจะเป็นงานให้วาดรูประบายสีแล้วก็เขียนอธิบายประกอบน่ะค่ะ”
   
        “งั้นเหรอครับ เอ แล้วหนูเจียจะพูดไปหรือยังน้า”
   
        ปานตะวันเห็นเจียหลินยืดถือกระดาษจดๆ จ้องๆ อยู่ หนูน้อยยังไม่เห็นทั้งปานตะวันและราเมศ พอเพื่อนที่รายงานหน้าห้องพูดจบหนูเจียก็ยกมือโบกไปมากลางอากาศ คุณครูประจำชั้นพยักหน้าแล้วก็เรียกชื่อเด็กชายให้ออกไปหน้าชั้น หนูเจียยิ้มแป้นออกไป โชว์รูปครอบครัวที่วาดให้เพื่อนๆ ดู
   
        รูปที่เจียหลินวาดเป็นรูปเนินหญ้าสีเขียว มีบ้านและดอกไม้ ข้างๆ มีผู้ชายตัวโตสองคนจับมือกัน ส่วนเด็กชายตัวเล็กขี่คอผู้ชายตัวโตคนหนึ่งอยู่ บนฟ้ามีพระอาทิตย์ ก้อนเมฆ นก และนางฟ้าที่ปานตะวันเดาว่าเป็นพี่จันทร์
   
        “พี่เมศๆ ถ่ายวีดิโอเร็ว”
   
        ปานตะวันเร่งราเมศยิกๆ
   
        “รู้แล้ว แป๊บนึง”
   
        ราเมศตบกระเป๋าหาโทรศัพท์ โชคดีที่หยิบออกมาทันตอนที่หนูเจียเริ่มอ่านออกเสียงพอดี
   
       “ครอบครัวของหนูเจียมีกันห้าคน มีหนูเจีย น้าตะวัน น้าเมศ แล้วก็แมวอีกสองตัวชื่อถุงทองและขาว พวกเราอยู่ด้วยกันในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ ส่วนคุณแม่ของหนูเจียชื่อแม่จันทร์ คุณแม่ไม่อยู่กับเราแล้ว ตอนนี้คุณแม่อยู่บนฟ้า เป็นนางฟ้า”
   
        บรรดาผู้ปกครองลอบมองหน้ากันเล็กน้อยแต่หนูเจียยังคงอ่านต่อไปด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
   
        “สำหรับหนูเจีย แม่จันทร์คือคุณแม่ที่ใจดีที่สุดในโลก หนูเจียคิดถึงแม่จันทร์อยู่แต่หนูเจียไม่เหงาแล้วเพราะมีน้าตะวันกับน้าเมศอยู่ด้วยกัน น้าตะวันเป็นเหมือนแม่ น้าตะวันบอกว่าตัวเองทำหน้าที่แทนแม่ให้หนูเจียด้วย น้าตะวันทำงานบ้าน อ่านหนังสือให้หนูเจียฟังแล้วก็กอดหนูเจียจนหลับทุกคืน นอกจากนี้แล้วก็ยังทำหน้าที่พ่อด้วย น้าตะวันสอนหนูเจียว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ให้หนูเจียขี่คอ
   
        ส่วนน้าเมศก็เป็นเหมือนคุณพ่อ น้าเมศทำอาหารอร่อย เป็นคนคอยทำกับข้าวให้หนูเจียกับน้าตะวันกิน เป็นคนเช็ดตัวตอนหนูเจียไม่สบาย น้าเมศบอกว่ารักหนูเจียมาก รักเหมือนลูกชายแท้ๆ หนูเจียก็รักน้าเมศมากเหมือนกัน หนูเจียชอบเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสามคน สำหรับหนูเจียทั้งน้าเมศและน้าตะวันเป็นฮีโร่ คุณพ่อ และคุณแม่ของหนูเจียคับ”
   
        เด็กชายยังเรียบเรียงคำพูดมาเขียนอธิบายไม่ค่อยเก่ง บางประโยคจึงวกวนไปมาแต่อารมณ์และความใสซื่อบริสุทธิ์ที่ส่งผ่านจากทุกตัวอักษรตรงเข้าไปในหัวใจของทุกคนได้ทันที
   
        เสียงปรบมือดังเกรียวกราวรอบห้องทำให้หนูเจียเขินจนแก้มแดง เด็กน้อยกวาดสายตาไปรอบๆ จนมาเจอราเมศและปานตะวันที่ยืนถ่ายวีดิโออยู่ หนูเจียที่รู้ตัวว่าถูกจับได้ก็ยกกระดาษบังหน้าตัวเองแล้ววิ่งกลับไปนั่งที่ทันที
   
        เหลือเด็กอีกสองสามคนในห้องที่ยังไม่ได้รายงาน หลังจบการพูดหน้าชั้นคุณครูก็ปล่อยนักเรียนกลับบ้าน ราเมศกับปานตะวันยืนรอหนูเจียอยู่หน้าห้อง เด็กชายตัวน้อยเดินก้มหน้างุดมาหาคุณน้า ท่าทางเขินจนหูแดงก่ำทำให้หนูเจียดูน่าฟัดและน่าหมั่นเขี้ยวมาก
   
        “ไหนๆ หนูน้อยคนเก่งของน้าตะวัน มาให้หอมหน่อยสิ”
   
       “ฮื้อ น้าตะวัน”
   
       แม้จะอิดออกแต่พอปานตะวันกางแขนเจียหลินก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที ลูกแมวเล็กและลูกแมวใหญ่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่หน้าห้อง พักนี้น้าตะวันดูเหมือนจะค่อยๆ กลับมาเป็นคนเดิมแล้ว เจียหลินดีใจเป็นที่สุด
   
       “พอแล้วทั้งคู่เลย เดี๋ยวค่อยกลับไปกอดกันที่บ้าน”
   
       ปานตะวันปล่อยหนูเจียให้ลงเดินกับพื้น คุณน้าทั้งสองจูงมือหลานชายคนล่ะข้างแล้วก็พากันเดินไปที่รถ ในสายตาของผู้ปกครองและคุณครูที่มองตามมา คนทั้งสามช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเหลือเกิน
   
       วันเวลาดำเนินต่อไป ในที่สุดบันทึกทั้งสองเล่มของปานตะวันก็มาถึงหน้าสุดท้าย
   
        ชายหนุ่มปิดสมุดบันทึกเล่มแรกที่หน้ากระดาษภายในถูกเติมเต็มด้วยตัวอักษรลงอย่างนุ่มนวล เขาเก็บมันลงกล่องใส่ของ ในอนาคตหากวันใดปานตะวันย้อนกลับมาเปิดสมุดบันทึกเล่มนี้เขาคงภูมิใจที่ตัวเองมาได้ไกลและสามารถก้าวผ่านปัญหามาได้
   
        จะว่าไปแล้วก็ใจหายนิดหน่อย สมุดทั้งสองเล่มนี้เป็นเหมือนเพื่อนแท้ตลอดระยะเวลาที่ปานตะวันเหมือนเดินอยู่ในอุโมงค์มืดสลัวยาวไกลไร้ทางออก พวกมันเป็นเพื่อนแท้ที่เขาระบายทุกสิ่งให้ฟัง เป็นเหมือนขอนไม้ให้ยึดเกาะ ตอนนี้กระดาษสมุดแผ่นสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้ว ถ้านี่เป็นนิยายมันคงต้องปิดท้ายด้วยคำว่า ‘จบ’ หรือ ‘มีความสุขไปตลอดกาล’
   
        แต่ชีวิตของปานตะวันไม่ใช่นิยาย
   
        กระดาษหมดลงแต่ชีวิตยังดำเนินต่อไป
   
        มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ปานตะวันยังคงต้องไปหาหมอและทานยาอย่างสม่ำเสมอ อารมณ์ของเขาเริ่มกลับเป็นปกติแล้วแต่บางครั้งเวลามีเรื่องอะไรมากระทบใจอย่างรุนแรงปานตะวันจะรู้สึกเศร้านานกว่าคนอื่น แต่ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายเหมือนช่วงแรกอีกแล้ว พี่เมศอยู่ข้างเขา หนูเจียอยู่ข้างเขา แม่ กันต์ หลง และคนอื่นอีกมากมายเป็นกำลังใจให้เขา
   
        ความสัมพันธ์กับแม่...ตอนนี้ไม่ได้เรียกว่าดีมากแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ปานตะวันเคยไปนั่งทานข้าวเย็นกับครอบครัวใหม่ของแม่หนหนึ่งหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน น้องสาวทั้งสองดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าหาแต่พอเขายิ้มให้เด็กทั้งสองก็ยิ้มตอบ...เหมือนว่าสายสัมพันธ์จะเริ่มจากตรงนั้น กับพ่อเลี้ยงเขาก็พูดคุยด้วยแต่ไม่มาก แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือฝ่ายนั้นขอโทษเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงความเสียใจจากใจจริง ปานตะวันก็ยกโทษให้
   
        พอมาคิดดูแล้วชายหนุ่มคิดว่าถึงแม่จะยังไม่ได้พบพ่อเลี้ยงตอนนั้นแต่ถึงยังไงความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ก็ง่อนแง่นอยู่ดี ตอนนั้นแม่คิดว่าทนได้แต่จริงๆ แล้วความอดทนของทุกคนย่อมมีขีดจำกัด สักวันหนึ่ง...ทั้งสองคนก็ต้องแยกทางกัน
   
        หลังจากที่ปานตะวันยอมไปทานข้าวกับครอบครัวใหม่แม่ก็บินมาหาเขาบ่อยขึ้น อีกฝ่ายยังเอาสมุดบัญชีธนาคารมาให้ปานตะวันเล่มหนึ่งด้วย บอกว่าจริงๆ แล้วบัญชีนี้เจ้าตัวเปิดไว้ให้ปานตะวันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว...ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าปานตะวันตัดสินใจจะอยู่กับหนูเจีย แม่ฝากเงินให้เขาทุกเดือน บอกว่าเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในอนาคต ปานตะวันเอามันไปฝากไว้กับราเมศ ตอนนั้นแหละเขาถึงได้รู้อีกว่าจริงๆ แล้วหนูเจียยังได้รับเงินประกันอุบัติเหตุจากตอนที่พี่จันทร์เสียด้วย พี่เมศเป็นคนเก็บไว้อีกเหมือนกัน อีกฝ่ายรักษามันอย่างดีไว้ให้หลานชายเพียงคนเดียว
   
        แต่ถึงจะมีเงินมากขนาดไหนปานตะวันก็ได้บทเรียนแล้วว่ามีได้ก็หมดได้ เขายังคงออกไปทำงาน ตั้งใจเรียนให้จบเก็บหอมรอมริบอย่างดีเพื่ออนาคต
   
       กาลเวลาเคลื่อนผ่าน...หลายสิ่งเกิดขึ้น หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงและดับสูญไป
   
        ในกระแสแห่งกาลเวลาที่ไม่หยุดยั้งนี้ ปานตะวันพบว่าตัวเขาเติบโตขึ้นมาก
   
        “ตะวัน เสร็จหรือยัง”
   
        ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ราเมศชะโงกหน้าเข้ามามองคนรักแล้วก็เห็นอีกฝ่ายยังนั่งจุ่มปุ๊กอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสืออยู่เลย
   
        “ยังเก็บของไม่เสร็จอีกเหรอ”
   
       “เสร็จแล้วครับ โทษที กำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
   
       “หืม คิดอะไรล่ะ”
   
        ชายหนุ่มผิวแทนเดินไปซ้อนหลังอีกฝ่าย ราเมศเห็นสมุดบันทึกทั้งสองเล่มของปานตะวันวางอยู่บนโต๊ะ สงสัยว่าอีกฝ่ายคงอ่านมันเพลิน ปานตะวันแหงนหน้ามองเขาแล้วก็ยิ้มบางๆ ออกมา “คิดว่าหลายอย่างนี่เปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยนะ”
   
        “นั่นสินะ” ชายหนุ่มรับคำ กวาดตามองไปรอบห้องที่ในอดีตเคยเป็นห้องนอนแขกสองห้องแต่ตอนนี้ถูกทุบรวมกันกลายเป็นห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ราเมศกับปานตะวันนอนในห้องนี้ ส่วนห้องเดิมยกให้หนูเจีย เด็กน้อยที่ตอนนี้ขึ้นชั้นประถมแล้วแต่ก็ยังติดคุณน้าอยู่ ต้องไปอยู่ในห้องนอนด้วยจนเจียหลินหลับก่อนราเมศกับปานตะวันถึงจะกลับห้องตัวเองได้  “เปลี่ยนไปเยอะเลย บ้านหลังนี้ก็ด้วย”
   
        “ใจหายเหมือนกันนะครับ”
   
        “ยังไงทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลง ว่าแต่สมุดน่ะหมดเล่มแล้วเหรอ”
   
        “อื้ม เล่มนี้หมดแล้ว แต่เล่มนี้ยัง” ปานตะวันเคาะหน้าปกสมุดบันทึกความสุข “เหลืออีกสองสามหน้า กำลังคิดอยู่ว่าจะเขียนอะไรปิดท้ายดี”
   
        “ไว้ค่อยกลับมาเขียนไหม ตอนนี้ไปทำธุระกันก่อน”
   
        ปานตะวันพยักหน้าพลางลุกจากเก้าอี้ ตอนลงไปข้างล่างชายหนุ่มพบว่าหนูเจียรออยู่ที่รถแล้ว
   
        จุดมุ่งหมายของพวกเขาวันนี้ก็คือวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก เพราะวันนี้เป็นวันพระ บรรดาคนที่มาทำบุญจึงค่อนข้างมาก หลังจากไหว้พระและถวายสังฆทานเสร็จปานตะวันกับราเมศก็พาหนูเจียลัดเลาะไปที่ริมกำแพงโบสถ์ก่อนจะหยุดอยู่หน้าช่องบรรจุอัฐิช่องหนึ่ง
   
       บนหินอ่อนสีขาวมีรูปหญิงสาวคนหนึ่ง ดูอ่อนเยาว์และสดใส อายุที่สลักอยู่บนนั้นก็ยังไม่มาก ปานตะวันเหม่อมองชื่อที่ของผู้เป็นเจ้าของเถ้ากระดูกในช่องกำแพงนี้
   
       ‘จันทร์จ้าว’
   
        “น้าตะวัน แม่จันทร์อยู่ที่นี่เหรอคับ”
   
        “หืม ไม่ใช่หรอกครับหนูเจีย ตอนนี้แม่จันทร์อยู่บนฟ้า เป็นนางฟ้าไงครับ”
   
        สายลมพัดให้ใบไม้เหนือศีรษะเสียดสีกัน ใบไม้แห้งบางใบร่วงโรงลงมา
   
        “เดี๋ยวพี่ไปยืมไม้กวาดมาให้นะ”
   
        ราเมศกระซิบเบาๆ แล้วก็จากไปพร้อมหนูเจีย เหลือเพียงปานตะวันอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งโดยไม่กลัวกางเกงจะเปื้อน เขามองจันทร์จ้าวที่ส่งยิ้มมาให้จากในรูปถ่าย
   
       “พี่จันทร์เป็นไงบ้าง บนนั้นสบายดีหรือเปล่า ตะวันขอโทษนะที่วันนี้มาช้า ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆ หลายเรื่องเลย” วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของจันทร์จ้าว ทุกวันครบรอบปานตะวันจะมาที่นี่ไม่เคยขาด “หนูเจียขึ้นชั้นประถมแล้วนะ หลานเรียนเก่ง อาจารย์ชมกันใหญ่เลย ชอบเล่นกีฬาด้วย เขาโตมาเป็นเด็กดี แข็งแรง ร่าเริง พี่ดีใจไหม? พี่จันทร์รู้ไหมว่าตะวันกำลังเรียนทำขนมไทยด้วยนะ หลงสอนให้ พอเรียนจบแล้วมีเงินมากพอตะวันจะเปิดร้านขนมไทยล่ะ ตอนแรกอาจทำใส่กล่องแล้วส่งตามร้านไปก่อน ฝีมือทำขนมตะวันดีขึ้นมากเลยนะ พี่เมศยังชมเลย พูดถึงพี่เมศนะตอนนี้ตะวันกับพี่ปรับปรุงบ้านแล้วด้วย เราย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว มีพ่อครัวประจำบ้านนี่มันดีจริงๆ ถึงจะดุไปบ้าง ขี้บ่นไปนิดแต่เรามีความสุขกันมากๆ เลยล่ะ ส่วนเรื่องแม่กับเรื่องอาการของตะวันพี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อะไรๆ กำลังดีขึ้นแล้วล่ะ ตะวันจะก้าวต่อไปให้ได้ สัญญาเลย พี่จันทร์กับพ่อคอยดูจากบนนั้นก็พอ”
   
       เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังมาจากด้านหลัง ราเมศกลับมาพร้อมไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามหนึ่ง ปานตะวันรับหน้าที่กวาดเศษใบไม้ออกจากหน้าช่องบรรจุอัฐิของพี่ ราเมศทำความสะอาดป้ายและแจกันใส่ดอกไม้กับกระถางธูป จากนั้นพวกเขาก็จัดดอกไม้สดที่เพิ่งซื้อใหม่ลงไป
   
        ทั้งสามนั่งกันอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนที่ปานราเมศจะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น “กลับบ้านกันเถอะ”
   
       หนูเจียเป็นคนที่สองที่กระโดดลุกตาม เด็กชายมองป้ายหินอย่างอาลัยเล็กน้อยแล้วก็วิ่งตามราเมศไป ส่วนปานตะวันเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้น ชายหนุ่มคลี่ยิ้มก่อนจะกล่าวอำลาพี่สาวของเขา
   
        “ตะวันรักพี่จันทร์นะ พักผ่อนให้สบายนะครับ”
   
        เวลาผันผ่าน หลายสิ่งเปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งความรักที่สลักลึกในใจก็ยังไม่เปลี่ยนไป
   
       พวกเขากลับมาถึงบ้านกันตอนบ่ายกว่าๆ ปานตะวันกำลังครุ่นคิดว่าบางทีเขาอาจจะเขียนเรื่องการไปวัดวันนี้ลงที่สมุดบันทึกหน้าสุดท้าย มันอาจจะไม่ใช่ความสุขทั้งหมดแต่ก็เป็นความทรงจำที่ดีควรค่าแก่การปิดท้ายสมุดบันทึกเล่มแรก
   
        รถยนต์จอดนิ่งหน้าประตูรั้วที่ทาสีใหม่ ปานตะวันเป็นคนลงไปเปิดประตู ตอนนั้นเองที่เขาเห็นอะไรบางอย่างถูกติดอยู่เหนือกล่องรับจดหมายหน้าบ้าน
   
        มันเป็นป้ายไม้ ติดตัวอักษรนูนสีทองเล่นหางเกี่ยวกระหวัดกันเป็นคำว่า ‘บ้านปานตะวัน’
   
        “บ้าน...ปานตะวัน?”
   
        “ชอบไหม พี่สั่งรุ่นน้องที่รู้จักกันทำให้ เพิ่งเอามาติดเมื่อเช้านี้เอง”
   
        ราเมศลงตากรถมาตอนไหมไม่รู้ เข็นประตูเปิดเองเสร็จสรรพ ปานตะวันหันไปมองคนรักอย่างงุนงง
   
        “ทำไมถึงต้องชื่อบ้านปานตะวันล่ะครับ”
   
        “ก็เป็นชื่อที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นดีไม่ใช่เหรอ”
   
        ฝ่ามือใหญ่ตบเบาๆ ลงที่ศีรษะ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก ใบหูและสองแก้มร้อนผ่าว ชายหนุ่มเดินตามเข้าไป ช่วยยกของไปเก็บในบ้านจากนั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า “ทุกคนไปถ่ายรูปกัน”
   
        “หืม รูปอะไร”
   
        “รูปครอบครัวไง อยู่ด้วยกันมาตั้งนานพวกเรายังไม่เคยถ่ายรูปครอบครัวหน้าบ้านเลยนี่นา”
   
        “ถ่ายๆๆ น้าตะวันหนูเจียอยากถ่ายรูปครอบครัว”
   
         หนูเจียตัวน้อยกระโดดดึ๋งมาตรงหน้า ชูไม้ชูมือแสดงความเห็น ราเมศที่เห็นสองแมวคึกคักแล้วก็ยิ้มออกมา ยอมเดินตามแมวใหญ่และแมวเล็กไปหน้าบ้าน
   
        ปานตะวันใช้โทรศัพท์ถ่ายรูป ราเมศที่แขนยาวสุดรับหน้าที่ถือไม้เซลฟี่ไปทันที ปานตะวันจัดท่าทางให้ทุกคน จากในรูปแม้ไม่เห็นตัวบ้านเรือนไทยทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็ติดป้ายบ้านตะวันมาเต็มๆ
   
        “ทุกคนยิ้มเร็ว หนูเจียขยับมาตรงกลางหน่อย หนึ่ง สองงง”
   
        รูปที่หนึ่ง รูปที่สอง รูปที่สาม ถ่ายไปสิบกว่ารูปจนพอใจแมวใหญ่และแมวเล็กก็พากันเดินขึ้นบ้าน ราเมศมองตามปานตะวันที่กำลังพริ้นท์รูปออกมาก่อนถามว่า
   
        “จะเอาไปติดในสมุดบันทึกเหรอ”
   
        “ครับ คิดว่าเป็นอะไรดีๆ ปิดท้ายน่ะ”
   
        “แล้วจะเขียนอีกไหม”
   
        “คิดว่าเขียนนะ ตะวันเสพติดการเขียนบันทึกไปแล้วล่ะ เล่มใหม่ก็ซื้อมาเตรียมแล้วด้วย”
   
        “ดีแล้ว มีงานอดิเรกที่ทำแล้วสบายใจเพิ่มมาอีกอย่างก็ดี”
   
        ปานตะวันหัวเราะออกมา รอยยิ้มนั้นแม้จะยังไม่สดใสเท่าวันเก่าแต่ราเมศก็ยังคงรักมัน แค่เป็นรอยยิ้มของปานตะวัน ไม่ว่าจะแบบไหนเขาก็รักทั้งนั้น
   
        นั่งคุยกันได้ไม่ทันไรเจียหลินก็ร้องเรียกให้คุณน้าเมศไปทำข้าวไข่เจียวให้กิน สงสัยเจ้าตัวเล็กจะหิวมาก ราเมศขานรับหลานชายและก็ผละไป
   
        ปานตะวันหยิบสมุดบันทึกความสุขออกมา ติดรูปครอบครัวที่ถ่ายลงไป รูปนั้นกินเนื้อที่เกือบครึ่งหน้ากระดาษ ชายหนุ่มเคาะปากกาลงกับโต๊ะแล้วก็เขียนถึงกิจกรรมวันนี้ พอเขียนเสร็จก็ยังเหลือบรรทัดอยู่อีกหลายบรรทัด ปานตะวันเดาะลิ้น
   
        บรรทัดที่เหลืออยู่...จะเขียนอะไรดีนะ
   
        ชายหนุ่มเอนหลังพิงเก้าอี้ กวาดตามองไปรอบๆ บ้าน แสงแดดอ่อนส่องลอดบานหน้าต่าง ขับให้เนื้อไม้ดูเปล่งประกาย สายลมอ่อนพัดโชยหอบเอากลิ่นหอมจากดอกไม้ในสวนให้ลอยมาด้วย ปานตะวันได้ยินเสียงหัวเราะของหนูเจียกับพี่เมศแว่วมาคลอไปกับเสียงกรุ๊งกริ๊งจากโมบายที่แขวนไว้ตรงระเบียง
   
        ความสุข...เป็นแบบนี้เอง
   
        ปานตะวันหยิบปากกาขึ้นมา ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นและเขาก็ไม่รอช้าที่จะถ่ายทอดมันลงไปในสมุดบันทึก
   
        วันนี้กลับมาจากวัด มองเห็นป้ายหน้าบ้านถูกทำใหม่ พี่เมศสั่งทำป้าย ‘บ้านปานตะวัน’ ขึ้น เราก็ถามออกไปว่าทำไมต้องเป็นชื่อปานตะวัน เขาก็ตอบว่าเพราะฟังแล้วอบอุ่นดี บ้านปานตะวัน พอลองออกเสียงดูแล้วก็รู้สึกอุ่นใจจริงๆ นั่นแหละ คิดไปแล้วชื่อนี้ก็เหมาะกับบ้านหลังนี้ดี สถานที่นี้เหมือนกับดวงอาทิตย์สำหรับเรา ทุกครั้งที่กลับบ้านจะรู้ได้ว่ามีคนคอยอยู่พร้อมกับรอยยิ้ม มีคนที่เราเรียกได้เต็มปากว่าเป็นครอบครัวคอยกอดเราไว้ในวันที่เรามีปัญหา คอยหัวเราะไปด้วยกันในวันที่มีความสุข ที่นี่อบอุ่นแล้วก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
   
        บันทึกดำเนินมาถึงหน้าสุดท้ายแล้ว เราอยากเก็บสิ่งดีที่สุดเอาไว้ปิดท้าย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป เราไม่รู้หรอกว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะหวาดกลัว เสียน้ำตา สุข ทุกข์ หรือเศร้าแค่ไหน มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้...พรุ่งนี้ที่วันใหม่จะมาถึง พรุ่งนี้ที่หน้าแรกของสมุดบันทึกเล่มใหม่จะถูกเติมเต็ม ทุกอย่างที่คาดเดาไม่ได้กำลังมาแต่เราไม่กลัวอีกแล้วเพราะรู้ดีว่ามีคนอยู่ข้างกันเสมอ

   
        ปลายปากกาหยุดลงชั่วครู่เมื่อเหลือที่ว่างเพียงบรรทัดสุดท้าย จากนั้นชายหนุ่มก็ขยับมือขีดเขียนอีกครั้ง
   
        สิ่งสุดท้ายที่อยากบอกคือตอนนี้เรามีความสุขมากในบ้านหลังนี้
   
        สถานที่ที่ทำให้ความรักเติบโต งอกงาม และผลิบาน


จบ
(ทอล์คอยู่รีพลายถัดไปนะคะ)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 05-08-2017 20:15:57
Talk with Me

      จบแล้ววววว จบไปอีกหนึ่งเรื่องแล้วววววว ตอนที่พิมพ์คำว่าจบลงไปก็รู้สึกโล่งอกปนเหงาๆ (เหมือนทุกครั้ง 55555) จากตรงนี้ พอหันกลับไปมองสามสิบตอนที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าโอ้โห ทำไมมันยาวกว่าที่วางพล็อตไว้เยอะเลย ตอนแรกมีแค่สิบห้าตอนเอง...

       ปานตะวันถูกวางพล็อตขึ้นมาบนธีม "ครอบครัว" และ "อบอุ่น" เรายึดสองคำนี้เป็นแกนหลักในการแต่งมาตลอดเพื่อไม่ให้ตัวเองก่อมาม่าชามโตขึ้นมา (ลูบหน้า) ในที่สุดก็เขียนจบโดยไม่หลุดธีมค่ะ น้ำตาจะไหล ฮ่าๆ เพราะเป็นธีมครอบครัวเนื้อเรื่องเลยอาจจะไม่มีจุดหวือหวาหรือบู๊แหลกลาญอะไร เราเขียนโดยพยายามเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องมากกว่า ตั้งใจไว้ว่าสิ่งที่ต้องเห็นคือพัฒนาการของตัวละคร สิ่งที่ได้ออกมาเลยกลายเป็นนิยายเส้นเรื่องเรียบๆ หนึ่งเรื่อง ฮ่าๆ อย่าตีเราเลยนะคะ T_T

        สำหรับเรื่องนี้สิ่งที่เราภูมิใจมากที่สุดคือตัวปานตะวันเองค่ะ จากจุดเริ่มต้นที่เราเขียนให้ตะวันเป็นเด็กวัยรุ่นเหลวไหลหนึ่งคน ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น จนมาถึงตอนสุดท้าย ปานตะวันโตขึ้น เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น เขากำลังเติบโตและมาไกลจากจุดเริ่มต้นมาก สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกดีใจกับเขามากจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างปานตะวันกับคนรอบข้างเองก็พัฒนาขึ้นมาก ที่เด่นๆ เลยคือปานตะวันกับหนูเจีย จากน้าหลานสองคนที่คิดว่าจะลงรอยกันไม่ได้ ปานตะวันก็ปรับตัวอย่างมากเพื่อหลานชายของเขาจนตอนนี้ติดหนุบหนับกันไปแล้ว เวลาเขียนสองคนนี้อยู่ด้วยกันเรารู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยาจริงๆ ค่ะ น่าร้ากกกก

       ตัวละครต่อมาคือพี่เมศ พี่เมศเป็นพระเอกที่จืดจางที่สุดในบรรดาพระเอกทั้งสามเรื่องแล้วค่ะ... Orz แต่ในด้านความอึดและความเสียสละ เรายกให้พี่เมศไม่แพ้ใครเลย ตอนแรกหลายคนอาจไม่ชอบพี่เมศเพราะเปิดมาดูไร้เหตุผลแบบสุดกู่ แถมยังดุอีก จะดุอะไรนักหนา 55555 แต่เขียนไปเรื่อยๆ แล้วเราก็พบว่าตอนที่ตะวันลำบาก ไม่มีครั้งไหนเลยที่พี่เมศไม่อยู่กับปานตะวัน เขาแบกรับหลายๆ อย่างเอาไว้ ทั้งหลานชาย ร้านอาหารของเขา ค่าใช้จ่ายในบ้านหลายๆ อย่างพี่เมศก็ช่วยออก เขาเป็นเสาหลักที่เข้มแข็งมากๆ คนหนึ่ง ถ้าตะวันไม่มีเขาก็คงจะหลงไปไหนต่อไหนแล้ว  พี่เมศรักตะวันกับหนูเจียมากจริงๆ ค่ะ และเพราะรักถึงได้ทุ่มเทมากมาย ถึงจะไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยหวาน แต่เขาก็แสดงออกด้วยการเทคแคร์ ดูแล เป็นคนดีมากๆ เลยนะคะ ขอโทษด้วยที่ทำพี่หายไปบ่อยๆ กอดพี่เมศแน่นๆ ร้อยที

        ตัวละครที่สามที่อยากพูดถึงงง คนนี้ไม่พูดไม่ได้ หนูเจียยยยย เจียหลินน้อยๆ ของคนอ่าน ลูกแมวน้อยขี้อ้อน แก้มป่อง น่ารักน่าฟัดเป็นที่สุด เราอยากเขียนนิยายที่มีเด็กในเรื่องมานานแล้ว หนูเจียเกิดมาเพื่อให้เรื่องนี้มีความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์มากขึ้น เป็นตัวละครสำคัญเลยค่ะ เทบทให้จนทำพี่เมศหายบ่อยๆ 555555 ตรงนี้อยากเม้าท์นิดนึงว่าชื่อเจียหลินเนี่ยจริงๆ มาจากชื่อกล้วยไม้ค่ะ แคทลียาเจียหลิน อ่านชื่อแล้วชอบมากกกกก หยิบมาตั้งชื่อหนูน้อยซะเลย เอาจริงๆ เรื่องนี้ถ้าไม่มีหนูเจียมันจะไม่มคีความคืบหน้าอะไรเลย หนูเจียทำให้ปานตะวันกับราเมศเข้าหากัน (โซ่ทองคล้องใจ แค่กๆ) ทำให้ปานตะวันเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นเด็กน้อยขี้อ้อนที่ส่งผลกับคนรอบข้างมากๆ และทำให้คนเขียนหลงมากด้วย (ฟัด)

           เอาจริงๆ นอกจากปมตัวละครที่เคลียร์ไปหมดแล้วบางปมเราก็ยังเหลือทิ้งไว้ เช่น ปมจองตะวันกับแม่ตะวัน เราไม่ได้เขียนให้กลับมารักกันหวานชื่นร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเรารู้ว่าในความเป็นจริงมันยากที่เป็นแบบนั้น ทุกคนต้องใช้เวลาปรับตัว ปานตะวันกับแม่ก็เช่นกัน หลายคนอาจมองว่าคุณแม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่สามีใหม่มากกว่าลูก เธอเป็นคนหนึ่งที่ทำผิดพลาด แต่เราคิดคิดว่าหลายๆคนในชีวิตก็ล้วนเคยทำผิดพลาด เธอเห็นแก่ตัวเพราะความรัก พอมาช่วงหลังๆ รู้สึกตัวและคิดได้เธอจึงกลับมาเพื่อลูกของเธอ คุณแม่รักปานตะวันนะคะไม่ใช่ไม่รัก แต่ด้วยความที่เธอเป็นสาวมั่น เชื่อตัวเองมากเกินไปและชอบคิดแทนคนอื่น มาเจอกับปานตะวันวัยกำลังพยศ ทั้งคู่ก็เหมือนน้ำกับน้ำมัน เข้ากันไม่ได้เลย หาเหตุผลต่างๆ นาๆ เข้าข้างตัวเองแล้วก็แตกกันไปคนล่ะทาง พอโตมาก็เข้าหน้ากันไม่ค่อยติดแล้ว แต่พอปานตะวันลำบากเธอก็กลับมาหาลูกทันที ุุถึงตอนนี้แม่ลูกก็เปิดใจให้กันมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ :)

          สำหรับปานตะวันแล้วนิยายเรื่องนี้ค่อนข้างราบเรียบ มันเกิดจากแนวคิดที่ว่า "คนไม่เอาไหนคนหนึ่ง ถ้าเขาอยากกลับตัวเพื่อเลี้ยงเด็กอีกคนให้โตมาเป็นคนดี เขาจะทำได้แค่ไหนนะ" "เป็นครอบครัว ก็ต้องผ่านทุกข์สุขไปด้วยกัน" ปานตะวันเป็นนิยายที่พยายามเขียนนออกมาอบอุ่นละมุนให้มากที่สุด บางตอนอาจจะน่าเบื่อไปหรือเรียบไป เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

          สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอขอบคุณทุกคอมเม้นท์ คำแนะนำ คำติ คำชม ขอบคุณทุกคนจริงๆ ขอบคุณที่พาให้นิยายเรื่องนี้มาถึงตอนจบไปพร้อมกับเรา ขอบคุณจริงๆ ค่ะ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 05-08-2017 20:45:54
มีความสุขกับทั้ง 3 คนของบ้านปานตะวันค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 05-08-2017 20:58:03
ยังไม่อ่านค่ะ ขอเม้นท์ก่อนนนนนน ดีใจมาก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 05-08-2017 21:04:24
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 05-08-2017 21:05:29
 :pig4: :pig4: :pig4: จบลงอย่างสวยงามและอบอุ่น ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องน่ารักๆและอบอุ่นหัวใจมาให้อ่านกัน ออกจะเหงาๆอยู่สักหน่อยไม่ได้อ่านหนูเจียแล้ว รอคอยเรื่องต่อไปนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-08-2017 21:21:33
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-08-2017 21:34:36
ประทับกับเรื่องนี้มากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-08-2017 21:45:02
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-08-2017 23:53:42
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :กอด1: :L2: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-08-2017 00:55:38
ประทับใจค่ะ ประทับใจกับความอดทนและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างตะวันของพี่เมศมากๆ อยากบอกว่าอยากมีแฟนแบบพี่เมศจริงๆ ค่ะ ประทับใจในตัวตะวันที่พร้อมสู้และปรับปรุงตัวให้ดีทั้งๆ ที่ตัวเองก็เพิ่งผ่านอุปสรรคที่หนักหนามากแต่ก็ไม่ทิ้งหนูเจียไปตั้งแต่ตอนต้นที่เพิ่งรู้จักกับหนูเจีย ประทับใจกับหนูเจียที่เข้มแข็งและพร้อมที่จะรับรู้และปรับตัวเมื่อรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้ใหญ่ พยามยามทำตัวเป็นเด็กดีไม่สร้างปัญหา และพร้อมที่จะทำความเข้าใจและปรับตัว หนูเจียเป็นเด็กที่ฉลาดและเข้มแข็งมากๆ จริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-08-2017 05:37:56
ขอบคุณครับ
เป็นนิยายที่อ่านแล้วรู้สึก 'จริง' มากๆ ครับ มีความมืดมนเล็กๆ ที่แฝงมาในเรื่องแต่นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ต้องพบเจอและผ่านมันไปให้ได้
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 06-08-2017 10:42:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 06-08-2017 12:08:35
ขอบคุณครับ   
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-08-2017 03:05:28
 :L1: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 07-08-2017 12:18:20
ตะวันกับพี่เมศจบซะแล้วอะ ฮรืออออ
ขอบคุณที่แต่งนะคะ เป็นเรื่องที่ดีมากเลย
ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่างจากตัวละคร
เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าเรียลมาก ตัวละครน่ารักมาก มีมิติ
ชอบปานตะวันที่ค่อยๆเติบโต ปรับตัวเองให้ดีขึ้น
อดีตที่น้องมีมันแย่แต่น้องก็ทำใจผ่านมันไปได้ ถึงจะเกือบแย่มาก็ตาม
พี่เมศก็เป็นคนรักที่ดีมาก หนูเจียก็เป็นเด็กน่ารัก ส่วนตัวชอบกันต์มากเลย
ทุกคนเป็นกำลังใจ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นของปานตะวัน
เรื่องนี้เป้นเรื่องที่ดีมากจริงๆค่ะ เราชอบมากเลย
 :bye2: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-08-2017 00:02:42
เรารักนิยายเรื่องนี้มากกกกกก พี่เมศเป็นพระเอกที่หาที่ติอะไรไม่ได้เลย เป็นคนที่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเขาก็จะสามารถปกป้องเราและพาเราผ่านเรื่องแย่ๆไปได้ ส่วนปานตะวันเป็นเด็กที่เข้มแข็งมากเลยนะ เราเอ็นดูมากกก ตะวันโตขึ้นจากตอนแรกจริงๆค่ะ ส่วนหนูเจียน่ารักมากกก เราชอบความเป็นเด็กสมวัยของหนูเจีย ไม่ได้โดดเด่นอะไรขึ้นมาเกินกว่าความเป็นเด็ก น่าเอ็นดูมากก อยากฟัดดดดดด เรารักหนูเจียยยยยยยย สุดท้ายขอบคุณคนเขียนมากนะคะ ที่เขียนนิยายแบบนี้มาให้อ่านกัน เป็นกำลังใจให้และจะติดตามเรื่องต่อๆไปค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 08-08-2017 00:13:29
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-08-2017 12:14:56
อยากให้เขียนเรืองของหนูเจียกับน้องเกล้าตอนโตจัง แอบจิ้นคู่นี้ตั้งแต่เด็ก  :laugh:  :o8:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-08-2017 18:01:55
เรืองนี้ไม่ราบเรียบนะ มีขรุขระระหว่างบ่อยมาก จนปานตะวันเป๋ไปหลายรอบ

เป็นเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ในสังคมตอนนี้ แต่มันยากสำหรับคนที่ต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้
เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ปลอบก็ไม่ได้ ปล่อยก็ยิ่งไม่ได้

ปานตะวันเป็นอะไรที่ตอกย้ำความสัมพันธ์ของครอบครัว ของคนรัก กับความฝังใจที่ร้ายแรง
เป็นแผลใจที่ลบยาก แถมไม่เคยได้รักษา เรื้อรังยาวนาน พอต้องมาเจอเรื่องเดิมอีกจะปะทุก็ไม่แปลก

แต่ในวันนี้ อย่างน้อยสิ่งที่ปานตะวันคิด และเป็นแผลมานาน มันได้แก้ไข ปานตะวันเปิดใจ ให้ความร่วมมือกับหมอ
เรื่องทุกอย่างเลยดีขึ้น ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เหอะ แต่ทำให้ปานตะวันไม่คิดจะหายไป ไม่คิดจะตาย แล้วเริ่มมีความสุข
อยู่ด้วยความเข้าใจ แล้วมองอะไรกว้างมากขึ้น ช่วยปานตะวันได้เยอะ

ราเมศมีความอดทนดี อดทนมาก ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่เคยให้ใครเห็น เก็บซ่อนไว้ทั้งหมด เพื่อให้ปานตะวันกับหนูเจียไม่เคว้ง
พยายามในสิ่งที่ทำได้ ในสิ่งที่ควรทำ ไม่ล้ำมากไป จนเกินต่อต้าน แล้วยังทำให้แม่เข้าใจ เปิดใจที่จะเข้าหา
อยู่เคียงข้างตลอด ราเมศเป็นคนดีคนหนึ่ง อบอุ่น ดูแล ปกป้อง

หนูเจีย เด็กน้อยทำโลกสดใส ทำให้น้าตะวันยิ้มได้บ้างในวันที่ไม่มีใครทำได้

ครอบครัวแค่เข้าใจ แล้วไม่ทิ้งกัน มันช่วยได้หลายอย่าง จริง ๆ

ชนกันต์เป็นเพื่อนที่ดีมากจริงๆ เป็นคนที่ไม่ทิ้ง ไม่ทำลาย เพื่อนแท้ช่วยเหลือทุกอย่างแม้ในยามที่หมดทาง

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ เรื่องนี้มีจุดพีคหลายจุด และปมก็ได้แก้ไปเยอะ
ต่อไปปานตะวันก็เริ่มใช้ชีวิตที่สดใสขึ้น คิดลบน้อยลง พยายามมากขึ้น
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Graydaiiz ที่ 12-08-2017 11:08:30
นักเขียนเขียนได้ดีมากกก!  :-[ :impress2: อ่านแล้วเข้าใจง่ายและสนุก Storyline ก็ดี ชอบมากๆเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆ นะค่าที่แต่งเรืองน้ารักๆให้เราได้อ่าน ดรามาไม่เยอะ มีพอประมาณ ดีต่อใจคนอ่านจริงๆ พอคิดว่าเรื่องจบลงแล้วก็ใจหาย... พี่ตะวัน น้องเจีย แมวเหมียวของเรา !!! เราคิดถึงแล้วเนี่ย  :hao5:

บอกได้เลยว่าชอบตัวละครทุกตัว และชอบมากกกกเลยที่นัดเขียนปะติดปะต่อเรื่องราวในเรื่องนี้กับเรื่องอื่นๆที่เคยเขียนมาในเรื่อง ขอบคุณที่นำน้องหลงและคุณมาให้เราได้ฟินกันอีกนิดอีกหน่อย

มาให้ความสุขกับเราอีกน่า เราจะรอติดตามงานต่อๆไปนะกร้าบบบบ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: guppa ที่ 14-08-2017 22:22:04
ชอบการเดินเรื่องและสร้างตัวละครนะคะ  ทุกตัวละครมีแบล๊คกราวมีมิติไม่มากแต่มันเป็นอะไรที่ไม่เวอร์จนเกินไปและดูเรียลดี  เป็นส่วนผสมที่ลงตัวดีคะ  ไม่มาก ไม่ค่อย เกินไป   ถือว่าทำได้ดีมากคะ  ถึงแม้ว่าเรื่องจะไม่หวือหวามากแต่อ่านดีก็ได้แง่คิด

อะไรดีดีเยอะนะคะ  เหมือนอารมณ์อ่านเรื่องชีวิตครอบครัวในสังคมปัจจุบันที่เกิดขึ้นจริงได้
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 15-08-2017 23:14:37
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
จะมีตอนพิเศษไหมคะ?
ชอบหนูเจียมากๆๆๆๆ
ฉลาด ออดอ้อน ฉอเลาะ
ตอนท้ายเรื่องนี่น้ำตาแตกเลย
อยากรู้เรื่องของเกล้ากับหนูเจียต่อ
คู่นี้จะทำเป็นตอนพิเศษหรือเรื่องใหม่คะ
แต่ไม่ว่ายังไงก็จะรอเรื่องต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่ ๓๐ แสงตะวันหลังม่านฝน (๕/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงในเงามืด ที่ 16-08-2017 07:50:29
เป็นนิยายฟีลกู๊ดที่ดีเรื่องหนึ่งเลยค่ะ คนเราไม่ได้มีแค่ด้านดีด้านเดียวหีอด้านร้ายด้านเดียว สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 17-08-2017 21:22:49
ปานตะวัน
บทพิเศษที่ ๑
คนที่พอดี


       วันนี้เป็นวันหยุดของปานตะวันกับราเมศ เดิมทีคุณน้าทั้งสองตั้งใจว่าจะพาหลานชายไปดูแอนิเมชั่นที่เพิ่งเข้าโรงภาพยนตร์มา แต่ปรากฏว่าที่โรงเรียนของหนูเจียมีทัศนศึกษาในวันนี้ แผนการเดิมจึงถูกล้มเลิก
   
        หลังไปส่งหลานชายขึ้นรถที่โรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ปานตะวันกับราเมศก็กลับมาทำความสะอาดบ้าน จากนั้นก็นั่งๆ นอนๆ ไม่มีอะไรทำกันอยู่สองคน ปานตะวันที่อุตส่าห์ลงทุนเช็ครอบหนังเตรียมไว้แล้วเบื่อแสนจะเบื่อ แอบผิดหวังนิดๆ เพราะการ์ตูนเรื่องนั้นเขาก็อยากดู ตอนที่ออกปากชวนก็ดันลืมไปว่าหลานชายเอาใบแจ้งเรื่องทัศนศึกษามาให้ก่อนหน้าแล้ว
   
        เฮ้อ จะแอบหนูเจียไปดูก่อนก็ไม่ได้ด้วย เดี๋ยวเจ้าตัวกลับมาแล้วรู้เข้าจะงอนเอา
   
        แต่อยู่บ้านแบบนี้เขาก็แอบเบื่อเหมือนกันนะ
   
        พักหลังมานี้ปานตะวันไม่ได้ออกไปนอกบ้านในวันหยุดมากเท่าแต่ก่อนแล้ว แต่นานๆ ทีก็อยากไปเที่ยวบ้าง นอนจับเจ่าอยู่กับบ้านนานๆ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นแมวเฉา
   
        “เป็นอะไรไปหืม”
   
        ราเมศที่เห็นปานตะวันนอนกอดหมอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนโซฟาเอ่ยถามคนรักขำๆ
   
        “พี่เมศ ตะวันเบื่อ”
   
        เจ้าแมวเหมียวพูดขึ้นขณะกระเถิบตัวเอาหัวมาวางแหมะลงบนตักราเมศที่ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ปานตะวันเงยหน้ามองคนรักตาแป๋วพลางพูดย้ำอีกครั้ง “ตะวันเบื่อ”
   
        “แล้วจะให้พี่ทำยังไงหืม”
   
        ราเมศยิ้มขำ บีบจมูกคนรักเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
   
        “เบื่อก็นอนไป”
   
        “นอนก็เบื่ออีก”
   
        “ดูทีวี อ่านหนังสือ ฟังเพลง”
   
        “ไม่เอา เบื่อ”
   
        “แล้วมาอ้อนพี่แบบนี้หายเบื่อหรือไง”
   
        “พี่เมศ ตะวันอยากออกไปเที่ยว”
   
         ราเมศมองคนรักที่ส่งสายตาปิ๊งๆ เหมือนลูกแมวมาให้แล้วก็ยิ้มเอ็นดู มือใหญ่ลูบศีรษะอีกฝ่ายไปพลางระหว่างถาม “ก็ไปสิ ไปกับใครล่ะ กันต์?”
   
       “ไอ้กันต์ไปได้ที่ไหน วันนี้มันนั่งปั่นโปรเจคต์ส่งอาจารย์อยู่หอนู่น”
   
        ปานตะวันยันตัวลุกขึ้นก่อนหันมาพูดกับราเมศด้วยสีหน้าจริงจัง
   
        “เพราะงั้นพี่เมศนั่นแหละที่ต้องออกไปเที่ยวกับตะวัน”
   
        ราเมศถอนหายใจออกมาเบาๆ เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ...
   
        “จะชวนไปเดตก็บอกสิ อ้อมโลกทำไมกัน” ปานตะวันแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ คว้าหมอนอิงปาอัดหน้าราเมศทันที “เดตอะไรกัน! ให้มันน้อยๆ หน่อยนะไอ้พี่เมศ” โวยวายเสียดังลั่นแต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าว ปานตะวันหยิบเอาหมอนอีกใบมาปิดหน้าตัวเองไว้ทันที ราเมศหัวเราะในลำคอขณะดึงหมอนใบนั้นออกแล้วโน้มตัวมาจูบปากคนรักเร็วๆ หนึ่งที
   
         “ถ้าจะออกไปเที่ยวก็ให้ไว ให้เวลาเตรียมตัวสิบนาที”
   
         ราวครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นทั้งคู่ก็มาหยุดอยู่หน้าโรงหนังตามความตั้งใจเดิมจนได้ ปานตะวันเก็บแอนิเมชั่นเรื่องนั้นไว้ดูพร้อมหลานชายวันหลังดังนั้นหนนี้เขาจึงมาเลือกเรื่องอื่น หลังจากวนดูตัวอย่างหนังที่เขาเห็นว่าน่าสนใจไปจนหมดปานตะวันก็ตัดสินใจเลือกดูหนังสยองขวัญที่กำลังเป็นกระแสอยู่ตอนนี้
   
        พอเห็นชื่อเรื่องราเมศก็หันมามองเขา “ไม่กลัวผีเหรอ”
   
        “ไม่กลัว”
   
        “หนก่อนตอนดูหนังผีนายยังเอาหมอนมาบังหน้าอยู่เลย”
   
         ปานตะวันยักไหล่ ท่าทางกวนปลายประสาทของราเมศเอามากๆ “นั่นเพราะผีมันโผล่มาตอนตะวันไม่ทันตั้งตัวต่างหาก”
   
         “ผีเรื่องนี้ก็โผล่มาตอนนายไม่ทันตั้งตัวเหมือนกันนั่นแหละ” เอาจริงๆ นะ ผีที่ไหนเขาจะส่งสัญญาณเตือนก่อนหลอกกัน เตือนออกไปแล้วแต่เด็กดื้อก็ยังยืนกรานจะเข้าไปดูให้ได้ ราเมศจึงตามใจ อยากรู้ว่าปานตะวันจะทำกล้าไปได้ถึงขนาดไหน
   
         หนังสยองขวัญเรื่องนี้กระแสค่อนข้างดีมาก ทำให้แม้จะเข้าโรงมาหลายวันแล้วแต่คนก็ยังมาดูเยอะอยู่ ปานตะวันกับราเมศเลือกที่นั่งตรงกลาง ด้านซ้ายมือของปานตะวันเป็นคู่รักอีกคู่ ส่วนด้านขวามือคือราเมศ ถัดจากราเมศไปเป็นผู้หญิงอายุราวๆ ยี่สิบปีคนหนึ่ง ปานตะวันเห็นเธอเดินเข้ามาในโรงคนเดียว ตอนแรกเขาคิดว่าเธอมากับกลุ่มเพื่อนแต่ล่วงหน้ามาก่อน ปรากฏว่าถัดจากเธอไปเป็นเด็กวัยมัธยมต้นกลุ่มใหญ่ ผู้หญิงคนนั้นมาดูหนังคนเดียวจริงๆ
   
        กล้าแฮะ ไม่ใช่เรื่องฉายเดี่ยวมาโรงหนัง อันนี้ปานตะวันก็ทำอยู่บ่อยๆ แต่เป็นเรื่องเข้ามาดูหนังผีคนเดียวนี่แหละ ขนาดตัวเขาเองยังไม่ใจกล้าขนาดนี้
   
        อาจจะเป็นเพราะมองนานเกินไปหญิงสาวคนนั้นถึงสังเกตเห็น เธอหันมามองปานตะวันแวบหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ให้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลสะดุ้ง รีบยิ้มตอบแล้วก็ก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ การกระทำของเขาไม่ได้หลุดรอดสายตาของราเมศไปเลยแม้แต่นาทีเดียว
   
        หลังจากผู้หญิงคนนั้นหันไปสนใจที่จอภาพยนตร์ราเมศก็เอนตัวมากระซิบริมหูเบาๆ
   
        “กล้ามากนะ จีบสาวข้ามหัวกันแบบนี้”
   
        “คิดมาก” ปานตะวันย้อน หยิบป๊อปคอร์นป้อนให้ถึงปาก ราเมศงับเอาป๊อปคอร์นเข้าไปจากนั้นก็แกล้งเฉียดริมฝีปากของตนกับปลายนิ้วของปานตะวัน
   
        “ก็ไม่ชอบนี่”
   
        “ขอโทษครับ แต่ตะวันไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นนะ แค่สงสัยเฉยๆ ว่าทำไมมาคนเดียว”
   
        “อื้ม แต่คราวหลังอย่างไปจ้องอะไรเขาขนาดนั้นนะ”
   
        “ครับผม ทราบแล้วครับ”
   
        หลังรออยู่นานหนังก็เริ่มฉาย ปานตะวันนั่งตัวเกร็งตั้งแต่เริ่มเรื่อง ฉากไหนเสียงดังก็สะดุ้ง ฉากไหนผีโผล่มาก็สะดุ้ง ราเมศไม่กลัวผีแต่หนังเรื่องนี้ยังทำให้เขาตกใจได้ นับประสาอะไรกับคนกลัวแบบปานตะวัน ชายหนุ่มผิวแทนเหลือบมองคนข้างกายแล้วก็อมยิ้มเมื่อเห็นปานตะวันกำลังเอามือปิดตาแต่กางนิ้วแบบห่างๆ
   
        อยากดูก็อยากดูแต่กลัวก็กลัวสินะ
   
       ปัง!
   
       เฮือก
   
         คราวนี้ประตูในหนังปิดลงดังปัง พื้นฐานของหนังผีเลยมั้งเนี่ยแต่ปานตะวันก็ยังตกใจ เขาตัวกระตุก เผลอชักขากลับขึ้นมาบนเก้าอี้ทันที
   
        ราเมศยิ้ม กำลังคิดจะแซวคนรักแต่แล้วเขากลับต้องนิ่วหน้าเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บที่แขนขวา พอหันกลับไปมองก็พบว่าหญิงสาวคนนั้นตกใจฉากเมื่อครู่มากเสียจนเผลอยกมือมาจับแขนเขาไว้ แถมเล็บที่ไว้จนยาวก็จิกลงมาที่แขนเขาอีก เจ้าหล่อนพอหายตกใจก็เริ่มรู้สึกตัว หันกลับมามองราเมศด้วยสายตาตื่นตระหนก เธอรีบชักมือออกพร้อมกับขอโทษขอโพยไม่หยุด
   
        “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ราเมศพูดยิ้มๆ อีกฝ่ายไม่ได้จิกลงมาแรงเท่าไหร่ ตอนนี้เป็นรอยเล็บเล็กน้อยแต่เดี๋ยวเดียวก็หาย “ไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
   
         “ขอโทษจริงๆ นะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
   
        “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร”
   
        ราเมศพูดจบก็หันกลับไปดูหนังต่อ ปานตะวันกำลังมองมาที่แขนเขาอย่างเป็นห่วงชายหนุ่มเลยลูบหัวคนรักเป็นเชิงบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
   
        จนเมื่อภาพยนตร์จบและไฟในโรงค่อยๆ สว่างขึ้น สิ่งแรกที่ปานตะวันทำคือคว้าแขนราเมศขึ้นมาดู
   
        “โชคดีที่ไม่เป็นรอย”
   
        “อื้ม”
   
        “เจ็บมากไหม”
   
        “ไม่มากหรอก เธอคงตกใจน่ะเลยเผลอจิกเล็บลงมาแต่ไม่เต็มแรง”
   
         คนฟังขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางไม่ชอบใจ ราเมศใช้ปลายนิ้วลูบให้หัวคิ้วคนรักคลายออกจากกัน “อย่าคิดมากเลยนะ นี่บ่ายสองแล้ว หิวหรือยัง ไปหาอะไรกินกันไหม”
   
        “อื้ม เอาสิ”
   
       ทั้งคู่ลุกออกจากที่นั่ง ตอนนั้นเองที่พวกเขาเห็นว่าผู้หญิงที่เผลอจับแขนราเมศกำลังยืนรีๆ รอๆ อยู่ไม่ไกล พอเธอเห็นพวกเขาลุกออกมาแล้วก็ปรี่เข้ามาหาทันทีพร้อมกับขอโทษขอโพยไม่หยุดอีกครั้ง ราเมศกับปานตะวันจึงบอกว่าไม่เป็นไรกลับไปพร้อมปลอบเธอให้หายกังวลด้วย
   
       พอออกมายืนในที่สว่างแบบนี้แล้วปานตะวันก็เห็นว่าเธอคนนั้นดูน่ารักไม่น้อย เป็นหญิงสาวที่ดูสดใสสมวัย
   
        หลังแยกกันตรงทางเข้าปานตะวันก็เปรยขึ้นมาว่า “คนเมื่อกี้ดูน่ารักดีนะ”
   
        “ก็น่ารักดีจริงๆ”
   
        เรียกได้ว่าเป็นสเป็คมาตรฐานของผู้ชายทั่วไปเลย
   
        “สเป็คพี่เมศเป็นแบบนั้นหรือเปล่า?”
   
        ราเมศเหลือบมองคนข้างตัว ปานตะวันถามเรื่องนั้นขึ้นมาด้วยท่าทางปกติ ไม่ได้มีท่าทีจะแขวะ หึงหวงหรืออะไร อีกฝ่ายพูดมันออกมาเหมือนเป็นหัวข้อสนทนาทั่วๆ ไป
   
        นี่เป็นหนึ่งในข้อดีของปานตะวัน
   
        คนรักของเขาไม่เคยมีเรื่องตามหึงตามหวงให้ยุ่งยากใจ ปานตะวันแยกได้ว่าอะไรคือเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน เรื่องล้อเล่น บางทีเจ้าตัวถึงกับเรียกให้เขาดูผู้หญิงน่ารักๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยซ้ำ...นั่นจัดเป็นเรื่องล้อเล่น และราเมศก็รู้ดีว่าปานตะวันไม่ได้จะยั่วให้หึงหรืออะไรหรอก แค่แหย่กันเล็กน้อยตามประสาปานตะวันเท่านั้นแหละ
   
         กับปานตะวันราเมศรู้สึกว่าเขาพูดกับอีกฝ่ายได้ทุกเรื่อง คุยแบบคนรัก แบบผู้ชายแมนๆ คุยกัน คุยแบบเพื่อน แบบพี่ เพราะแบบนี้เขาถึงสบายใจเสมอที่ได้อยู่กับอีกฝ่าย
   
        “สเป็คเหรอ...อืม...ก็น่ารักดีนะ แต่ดูเด็กไปนิด”
   
        “ไม่ชอบคนเด็กกว่า?”
   
        “ไม่เชิง มันแล้วแต่นิสัยด้วยล่ะ เคยคบรุ่นน้องอยู่เหมือนกันนะตอนเรียน หลายคนเลยที่จะออกแนวให้ตามใจ ขี้งอนบ้าง ขี้หวงบ้างอะไรแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็ไปกันไม่รอด”
   
        “ก็เด็กนี่นา”
   
        ราเมศพยักหน้ารับ “แล้วนายล่ะ คนแบบเมื่อกี้นี่สเป็คหรือเปล่า”
   
        ปานตะวันหันมามอง ดวงตาซุกซนเป็นประกาย เจ้าตัวยิ้มทะเล้นพร้อมตอบลากเสียงยาวว่า “สเป็คมากกก” ว่าแล้วก็หัวเราะ “ซะที่ไหน ถ้ามองในมุมผู้ชายปกติก็น่ารักดี แต่ถามว่าสเป็คตะวันไหมก็ไม่ใช่ ลืมไปแล้วเหรอว่าตะวันชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรกน่ะ”
   
         “ถ้างั้นสเป็คผู้ชายที่ชอบเป็นแบบไหน”
   
        ปานตะวันลูบคาง ทำท่าครุ่นคิด “ไม่รู้สิ ไม่ตายตัว เจอคนที่ชอบก็คือชอบ ถ้าตอนนี้ก็ต้องตอบว่าแบบพี่เมศ”
   
        มองคนยิ้มเผล่แล้วราเมศก็ได้แต่อ่อนใจ เห็นไหม ลูกแมวของเขามันก็เป็นซะแบบนี้ จะไปโกรธอะไรลง
   
        พวกเขาหยุดบทสนทนาเรื่องสเป็คของแต่ละครไว้เท่านั้นแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องหาร้านทานอาหารแทน หลังเดินวนอยู่สามสี่รอบปานตะวันก็ลากราเมศเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น ระหว่างที่กำลังรออาหารจากพนักงานปานตะวันก็กวาตามองสำรวจไปทั่วร้านจนเจอกับหญิงสาวในชุดสีม่วงคนหนึ่ง ใบหน้ารูปไข่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางเนียนสวย ท่าทางมั่นอกมั่นใจในตัวเอง
   
        “พี่เมศ แล้วคนนั้นล่ะสวยไหม ท่าทางอายุพอๆ กับพี่เลย”
   
        ราเมศหันไปมองตามสายตาคนรักแล้วสายหน้าทันที
   
         “แบบนี้พี่รับมือไม่ไหว สายหญิงแกร่งมั่นใจในตัวเองแบบนี้ไม่ใช่ทางเท่าไหร่”
   
        อืม ดูจากการที่เจ้าหล่อนคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดแล้ว นึกภาพมาอยู่กับราเมศผู้จริงจัง...ไม่เข้ากันจริงๆ
   
        “โอ๊ะๆ พี่ คนนั้นน่ารัก”
   
         หญิงสาวที่ปานตะวันพูดถึงกำลังนั่งทานอาหารอยู่กับกลุ่มเพื่อน ราเมศหันไปมองแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าอีก “ไว้เล็บยาวมาก แถมท่าทางก็ดูคุณหนูนิดหน่อย คงช่วยพี่ทำกับข้าวกับทำงานบ้านไม่ได้หรอก” อาหารมาเสิร์ฟแล้ว ราเมศส่งจานให้ปานตะวันพร้อมกับพูดว่า
   
         “เลิกส่องคนนู้นคนนี้เสียที กินเข้าไปเลย”
   
        “เอ้า ดุเราอีก ตะวันแค่อยากรู้ว่าสเป็คพี่เมศเป็นแบบไหนเท่านั้นเอง”
   
        ราเมศเท้าคางมองหน้าปานตะวันยิ้มๆ จากนั้นก็เอื้อมมือมาบิดแก้มคนรักหนึ่งทีพร้อมตอบว่า “แบบคนที่โดนพี่หยิกแก้มอยู่นี่แหละ ยังจะมาถามอีกว่าชอบแบบไหน ตอนนี้คบใครก็ชอบคนนั้นแหละ”
   
        ปานตะวันเม้มริมฝีปากจากนั้นก็ก้มหน้างุด รีบจ้วงอาหารเข้าปากแก้เขินทันที
   
       เสร็จจากทานอาหารทั้งคู่ก็เดินซื้อของกันอีกเล็กน้อย คราวนี้ปานตะวันไม่ชี้ชวนให้ราเมศมองคนนู้นคนนี้แล้ว เจ้าตัวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีระหว่างเลือกผลไม้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแบบงุนงงเมื่อราเมศสะกิดให้หันไปมองชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง
   
       “แล้วแบบนั้นล่ะ สเป็คตะวันหรือเปล่า”
   
       คนถูกถามเลิกคิ้ว นี่คือราเมศเอาคืนเขาอยู่ใช่ไหม
   
        ปานตะวันหันไปมองอีกฝ่าย ผิวขาว สูง หน้าออกจีนๆ หน่อย จะว่าหล่อก็หล่อจะว่าธรรมดาก็ธรรมดา ระหว่างที่พิจารณาก็เลื่อนสายตามามองฝ่ายนั้นที่กำลังเลือกผักอยู่ พอเห็นผักที่ผู้ชายคนนั้นหยิบลงถุงปานตะวันก็ได้คำตอบทันที
   
       “ไม่ใช่สเป็ค”
   
       “ทำไม”
   
       “เขาเลือกผักไม่เป็น น่าจะทำอาหารไม่ได้หรือทำไม่เก่ง ตะวันชอบพี่เมศที่ทำกับข้าวได้มากกว่า” ว่าพลางส่งผลไม้ในมือให้ราเมศรับไปดู “แบบนี้ใช้ได้ไหมพี่เมศ”
   
       เมื่อก่อนตะวันก็เลือกผักเลือกผลไม้ไม่เป็น แต่ได้ราเมศนี่แหละมาช่วยสอน พี่เมศของเขาน่ะทำกับข้าวก็ได้ งานบ้านก็ได้ งานช่างก็เก่ง หาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
   
       “ใช้ได้”
   
       “งั้นเอาไปจ่ายตังค์นะ”
   
       “อืม เอ้านี้” ว่าพลางหยิบเงินจากในกระเป๋าส่งให้แต่ปานตะวันเดินหายไปเสียแล้ว
   
        เมื่อได้ของที่ต้องการครบคนทั้งคู่ก็ขับรถเอาของไปเก็บในบ้าน จากนั้นก็ออกไปรับหนูเจียที่โรงเรียน ภาพหลานชายตัวน้อยสะพายกระเป็นสีฟ้า หิ้วกระติกน้ำลายคุณเป็ดเหลืองวิ่งดุ๊กๆ ลงมาจากรถแล้วก็โผเข้าหาราเมศทำให้ปานตะวันถึงกับหลุดยิ้ม น่ารักมากจนต้องหยิบโทรศัพท์มาถ่ายเก็บเอาไว้
   
        ราเมศทั้งหอมทั้งกอดหนูเจีย ถามไถ่ถึงเรื่องราววันนี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
   
       นี่ไงล่ะ สาเหตุหลักอีกอย่างที่ทำให้คนคนนี้เป็นคนที่ใครแทนที่ไม่ได้ เพราะปานตะวันรู้ดีว่าไม่มีใครที่ไหนจะรักเจียหลินได้มากกว่าราเมศอีกแล้ว
   
       หนูเจียตัวน้อยที่เพิ่งเคยไปทัศนศึกษาที่สวนสัตว์เป็นครั้งแรกเล่าประสบการณ์วันนี้ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
   
       “แล้วก็นะน้าเมศ น้าตะวัน คุณยีราฟคอย้าวยาว มีมี่ร้องไห้เลยเพราะกลัวลิ้นคุณยีราฟ แต่หนูเจียไม่กลัว หนูเจียเอาอาหารให้คุณยีราฟกินด้วย” มีมี่ที่หนูเจียพูดถึงคือเพื่อนอีกคนของหนูเจีย นิสัยขี้กลัวนิดหน่อย “คุณยีราฟน่ารักมากเลยคับ”
   
       “แล้วนอกจากคุณยีราฟหนูเจียชอบตัวอะไรอีกไหมครับ”
   
        “หนูเจียชอบคุณเพนกวิ้น!” วันนี้ที่โรงเรียนพาไปดูโชว์คุณเพนกวิ้นด้วย เจ้าตัวปุกปุยที่ไถลตัวไปตามน้ำแข็งแล้วก็เดินโยกเยกไปมาทำให้หนูเจียชอบใจมาก
   
       “น้าตะวัน โตขึ้นหนูเจียอยากเป็นคนเลี้ยงนกเพนกวิ้นคับ!”
   
       “อ้าว หนูเจียไม่อยากเป็นคนเลี้ยงแพนด้าแล้วเหรอ”
   
       มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เจียหลินติดสารคดีแพนด้ามากๆ เจ้าตัวถึงกับบอกว่าโตขึ้นอยากเป็นคนดูแลแพนด้า
   
        พอถูกปานตะวันทักเจียหลินก็ทำหน้าครุ่นคิด แพนด้าก็ยังชอบอยู่แต่ตอนนี้ก็ชอบคุณเพนกวิ้นด้วยเหมือนกันนี่นา... “งั้นหนูเจียจะไปทำงานในสวนสัตว์ที่มีทั้งคุณแพนด้าแล้วก็คุณเพนกวิ้นคับ!”
   
        พอเห็นคุณน้าหัวเราะกันออกเจียหลินก็พองแก้ม “ทำไมล่ะน้าตะวัน น้าเมศ ไม่ได้เหรอคับๆ”
   
        “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ หนูเจียของน้าเก่งออกขนาดนี้ งั้นต้องตั้งใจเรียนนะครับ จะได้เป็นคนดูแลคุณเพนกวิ้นกับคุณแพนด้าได้”
   
        “อื้ม หนูเจียจะเรียนให้เก่งๆ เลยน้า”
   
        เจ้าตัวเล็กเบียดแก้มข้ากับน้าตะวัน นึกภาพไปถึงวันที่ตัวเองโตแล้วและอยู่ท่ามกลางสัตว์โลกขนฟูพวกนั้นอย่างมีความสุข
   
        มื้อค่ำวันนั้นผ่านไปท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วถึงคุณเพนกวิ้นของหนูเจีย พอทานข้าวเสร็จปานตะวันก็อุ้มหลานชายไปอาบน้ำ ด้วยความเพลียจากการเดินและเล่นมาทั้งวันหนูเจียก็หลับไปอย่างรวดเร็ว พอคุณหลานเข้านอนเรียบร้อยปานตะวันกับราเมศก็ออกมานั่งอยู่ที่โซฟา เตรียมตัวดูถ่ายทอดสดการแข่งขันวอลเล่บอลของวันนี้
   
        “พี่เมศ ตะวันอยากกิน...” ยังไม่ทันพูดว่าอยากกินอะไรจานใส่เฟรนช์ฟรายก็เลื่อนมาตรงหน้าพร้อมโค้กใส่น้ำแข็งสองแก้ว ราเมศยักคิ้วให้เป็นเชิงรู้ทัน ปานตะวันเลยหันไปจุ๊บแก้มอีกฝ่ายเร็วๆ หนึ่งทีเป็นการให้รางวัล มือก็หยิบของกินเข้าปาก
   
        “รู้ใจกว่าพี่เมศนี่ไม่มีอีกแล้ว”
   
        “ขยันอ้อนเท่านายก็ไม่มีเหมือนกัน”
   
        “อืม ทำกับข้าวเก่งกว่าพี่ก็ไม่มีแล้วด้วย”
   
         พูดๆ ไปแล้วก็นึกถึงเมื่อกลางวันที่พากันมองคนนู้นคนนี้แล้วถามว่าเป็นสเป็คอีกคนใช่หรือเปล่า มาคิดๆ ดูแล้วสิ่งที่ถามถึงน่าจะหมายเรื่องรูปร่างหน้าตาภายนอกมากกว่า เพราะปานตะวันกับราเมศรู้ดีว่าถ้าเป็นเรื่องนิสัยใจคอไม่มีใครลงล็อกกับตนเท่าคนข้างๆ นี่อีกแล้ว
   
         พวกเขาอยู่ด้วยกันได้อย่างสบายใจ คุยกันได้ทุกเรื่อง รู้ใจกับไปแทบจะทุกอย่าง แถมกิจกรรมหลายอย่างก็มีความชอบที่คล้ายกันอีก
   
        ปานตะวันขี้อ้อนราเมศก็ยอมให้อ้อน
   
       ปานตะวันนั่งเชียร์บอลจนดึกดื่นราเมศก็อยู่เป็นเพื่อนบางทียังยอมเดินออกไปหน้าปากซอยด้วยกันเพื่อซื้อเบียร์กลับมานั่งดื่มกันต่อ
   
        ราเมศชอบทำอาหารปานตะวันก็ชอบกิน
   
        ราเมศเป็นคนจริงจัง บางครั้งก็ออกจะดูดุปานตะวันจึงต้องปรับตัวจนตอนนี้แยกได้แล้วว่าอันไหนคือโดนดุอันไหนคือราเมศแค่สอน ถ้าเป็นตอนที่เจอกันใหม่ๆ ปานตะวันคงทะเลาะกับอีกฝ่ายจนตายไปข้างแต่ตอนนี้ถ้าอันไหนเขาผิดเขาก็แค่ยอมรับคำดุและคำสอนจากนั้นก็นำมาปรับปรุงตัวเอง ถ้าปานตะวันคิดว่าตัวเองไม่ผิดเขาก็จะอธิบายด้วยเหตุผล ข้อดีของราเมศคือเขาไม่ใช่คนไม่ฟังอะไรเลย เขาพร้อมจะรับฟังทุกความเห็น
   
        ปานตะวันเอนตัวพิงราเมศ อีกฝ่ายก็ขยับให้เขาได้พิงสบายๆ ปานตะวันยิ้ม
   
        “สำหรับตะวันคนดีกว่าพี่เมศนี่ไม่มีแล้วจริงๆ ด้วย”
   
        “อืม คิดเหมือนกันเลย”
   
        สำหรับทั้งคู่แล้วคนข้างกายของตนตอนนี้เป็นคนที่เรียกได้ว่าเหมาะสมกับตัวเองอย่างแท้จริง

*************************************************

สวัสดีค่าาา คิดถึงหนูเจีย ปานตะวันกับพี่เมศกันไหมมม ตอนพิเศษแรกมาแล้วค่ะ  :mew1:
หายไปซะนานเลย ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงรับน้อง เราเพิ่งย้ายเข้าหอด้วย กำลังอยู่ในช่วงปรับตัว ต้องขอโทษทุกคนจริงๆนะคะ
ที่มาช้า ;w;

ตอนพิเศษนี่คิดไว้แล้วว่าอยากเขียนให้ออกแนวสบายๆ สไตล์วันๆ ของครอบครัวแมวก็งี้แหละ 55555
ตอนหลักมาม่าชามใหญ่ตอนพิเศษก็เลยเสิร์ฟขนมหวานให้เลยค่ะ ตอนนี้อารมณ์เหมือนหนุ่มๆ คุยเรื่องสเป็กอะไรแบบนี่เลยค่ะ
แต่สุดท้ายคนที่ใช่ก็คือคนข้างๆ ฮิ้วววว

ช่วงนี้เราอาจจะมาๆ หายๆ แต่ว่าตอนพิเศษยังมีอีกแน่นอนค่ะ! มีทั้งของตะวัน พี่เมศและของหนูเจียเลย
เตรียมรับชมความน่ารักของทั้งสามคนได้ในตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ

ปล. ติดตามข่าวสารนิยายได้ที่เพจ AzureDream นะคะ สามารถหลังไมค์หรือโพสต์มาคุยกับเราได้ทุกเมื่อเลยน้า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 17-08-2017 21:40:48
ทำไมเค้าต้องอ้อนกันขนาดนี้

หมั่นไส้ค่ะ

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 17-08-2017 22:11:20
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 17-08-2017 22:22:10
อิจฉาตะวัน  :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-08-2017 00:10:40
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-08-2017 02:43:13
ตะวันได้มีความสุขจริงๆสักทีค่ะ ฮื่อออชอบโมเม้นท์เอาแก้มเบียดกันกับหนูเจีย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 18-08-2017 07:41:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-08-2017 08:30:30
หนูเจียน่ารัก ดีใจกับตะวันค่ะ
ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 18-08-2017 09:13:54
น่ารักจัง :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: PJ ที่ 18-08-2017 12:15:00
ประเด็นเรื่องโรคและการรักษาได้เข้าใจจิตใจผู้ป่วยดีเลยครับ สื่อได้ว่าผู้แต่งศึกษาข้อมูลมาดี ชื่นชมครับ นี่เสพติดนิยายเรื่องนี้เลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-08-2017 15:40:02
หายากจริงๆคนที่พอดีกับเรา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 18-08-2017 17:17:51
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-08-2017 21:13:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-08-2017 14:56:50
ขอให้สนุกกับบรรยากาศใหม่นะคะ

หนูเจียเอ้ยย น่ารักมากลูก อยากเป็นคนเลี้ยงแพนด้าเพนกวิน ฝันของวัยซน

ตะวันก็ตลก ทำกล้าแล้วดูไปนั่งปิดตาไปครึ่งเรื่อง
ราเมศอบอุ่นนะ เป็นผู้ใหญ่ ดูแล อยู่เคียงข้าง รู้ทัน รู้ทาง

ครอบครัวอบอุ่น สุขสันต์ ไม่หวือหวามาก แต่หวานแหววเหมือนกันนะ
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 20-08-2017 11:23:10
อยากได้ตอนพิเศษตอนหนูเจียตอนโตแล้วเจอกับน้องเกล้าอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 20-08-2017 13:54:18
 :hao5: :hao5: กว่าจะผ่านเรืีองราวต่างๆมาได้ ปานตะวันกับราเมศ ความอบอุ่นที่มีให้กัน ชอบร้องเกล้าด้วยจะรอน้องเกล้ากลับ
ทาหาเจียหลิน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 25-08-2017 06:47:57
พี่เมศทาสแมววววว  :music:

หนูเจีย น้องเกล้า เจ้าถุงทอง เจ้าขาว น่ารักที่ซู้ดดดด อยากขโมยกลับบ้านจริงๆ  :m3:

เราคิดว่าปานตะวันโชคดีมากที่มีเพื่อนดีแบบชนกันต์ ไม่งั้นคงม่องนำธีร์ไปก่อนแล้ว เสียดายที่หลังๆกันต์โผล่มาไม่บ่อย ขวัญใจเราเลยนะคนนี้ ว้ายๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๑ คนที่พอดี (๑๗/๘/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-08-2017 13:52:01
อิจค่ะบอกเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 24-09-2017 18:47:08
ปานตะวัน
บทพิเศษที่ ๒
Tired


        ปานตะวันเข้าใจดีว่าคนเราทุกคนย่อมมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยล้าจนอยากจะเมินหน้าใส่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ เขาเองก็รู้สึกแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่เขาเหนื่อยคนที่เข้ามากอดปลอบและให้กำลังใจจะเป็นราเมศ
   
        พี่เมศของเขามีขีดความอดทนที่สูงเกินมนุษย์ธรรมดา เหนื่อยก็ไม่เคยบ่น ล้าก็ไม่เคยแสดงอาการให้เห็น ไม่เคยเอาความหงุดหงิดใจมาลงกับคนที่บ้านเลยสักครั้งจนปานตะวันแอบคิดเล่นๆ ว่าบางทีพี่เมศของเขาอาจเป็นคนเหล็กที่แข็งแกร่ง อดทนได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ปานตะวันเชื่อมั่นว่าไม่ว่าไฟจะไหม้หรือฟ้าจะถล่มพี่เมศก็จะยังคงเข้มแข็งได้เสมอ
   
        เขาเคยคิดแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งวันนี้
   
        “พี่เมศ”
   
        ตีสองสี่สิบนาทีแล้วแต่ไฟในห้องนั่งเล่นยังเปิดอยู่ ปานตะวันที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึกเมื่อไม่พบคนรักนอนอยู่ข้างๆจึงออกมาตามหาแล้วก็พบอีกฝ่ายนั่งหน้าเครียดอยู่บนโซฟายาวตัวโปรด ตรงหน้ามีสมุดบัญชี โน้ตบุ๊กที่เปิดหน้าจอค้างอยู่ที่หน้าเพจแนะนำร้านอาหาร สีหน้าของราเมศตอนที่เลื่อนอ่านข้อความบนเพจสลับกับหันมามองบัญชีดูไม่สู้ดีเท่าใดนัก
   
        ปานตะวันเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างๆ คนรักอย่างแผ่วเบา
   
        “อ้าวตะวัน นอนไม่หลับเหรอ” ราเมศหันมามองคนรักอย่างแปลกใจ “หรือว่าออกมาเข้าห้องน้ำ”
   
        “ตื่นมาแล้วไม่เห็นพี่เมศเลยออกมาตามหา แล้วนี่ทำอะไรอยู่ครับ ทำไม่ถึงยังไม่นอน”
   
        “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
   
        ไม่มีอะไรก็คือมีอะไรแน่ๆ ปานตะวันถือวิสาสะชะโงกหน้าไปดูข้อความในเพจแนะนำร้านอาหารที่เปิดค้างอยู่แล้วก็มุ่นคิ้วเมื่อพบว่าเนื้อหาล่าสุดที่ผู้ดูแลเพจเขียนนั้นเกี่ยวกับร้านอาหารของราเมศแต่เนื้อหานั้นค่อนข้างเป็นไปในทางลบ ยิ่งอ่านยิ่งตงิดใจจนสุดท้ายปานตะวันก็ต้องคว้าเอาโน้ตบุ๊กมาวางบนตัก เลื่อนอ่านอย่างจริงจัง
   
        คำวิจารณ์จากเจ้าของเพจนั้นเขียนไว้ว่าร้านอาหารของพี่เมศนั้นพนักงานบริการแย่ ดูไม่เต็มใจจะบริการแถมยังมีการนินทาลูกค้าให้เจ้าตัวได้ยินอีก รสชาติอาหารก็งั้นๆ ไม่สมราคา ครึ่งหลังๆ ดูจะเอาอารมณ์ตัวเองมาปนหลายส่วน
   
        เมื่ออ่านจบปานตะวันก็ยังไม่พูดอะไร ชายหนุ่มหันไปสบตากับราเมศที่มองมาด้วยสีหน้าหนักใจอยู่ก่อนแล้ว
   
        “ที่ทำให้พี่กังวลจนนอนไม่หลับคือเรื่องนี้เหรอครับ”
   
        “จะว่างั้นก็ได้”
   
        “อะไรทำให้พี่ใส่ใจกับคำวิจารณ์นี้มากกว่าคำวิจารณ์อื่นเหรอครับ ปกติตะวันเห็นพี่อ่านๆ แล้วก็เอามาปรับปรุงแต่ไม่เคยเห็นพี่เก็บมาคิดมากแบบนี้เลยสักครั้ง”
   
        ทำงานบริการ จะไม่ใส่ใจเรื่องคำวิจารณ์เลยก็ไม่ได้ แน่นอนว่าราเมศเป็นพวกเปิดกว้างเรื่องนี้ ชายหนุ่มรับฟังทุกความคิดเห็นแต่คำวิจารณ์ก็มีหลายรูปแบบ บางคนติเพื่อก่อ บางคนก็ชมเชย บางคนก็ช่างจับผิด บางคนก็ด่าแค่เอาสนุกหรือด่าเพราะหมั่นไส้ คำวิจารณ์ไหนที่ราเมศเห็นว่าไม่มีประโยชน์ชายหนุ่มก็จะเมินไป อ่านแต่คำวิจารณ์ที่นำมาปรับปรุงฝีมือและร้านของตนได้
   
        ชายหนุ่มรับฟังคำวิจารณ์แต่ไม่เคยเก็บมันมาทำให้ตัวเองไม่สบายใจแบบครั้งนี้
   
        “พี่เมศ พักนี้ที่ร้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
   
        เพราะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ ปานตะวันเลยได้หยุดพักงาน เขาได้ยินมาว่าตอนที่ตัวเองหยุดพี่พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งก็ขอลาออกกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิด ส่วนอีกคนหนึ่งขอลาออกไปทำงานที่อื่นทำให้ทางร้านอาหารขาดคน ปานตะวันรู้ว่าราเมศประกาศรับสมัครพนักงานเสิร์ฟและได้เด็กใหม่มาสองคน แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับร้านอาหารอีก ตอนที่กลับมาบ้านราเมศก็ไม่ได้พูดถึงชายหนุ่มจึงคิดว่าทุกอย่างราบรื่นดี
   
        “พี่เมศ พี่เล่าให้ผมฟังได้ทุกเรื่องนะ”
   
         ปานตะวันแตะท่อนแขนสีน้ำผึ้งของคนรักเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าเขายังอยู่ตรงนี้ พูดตามตรงพอเห็นสีหน้าไม่สบายใจของราเมศแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกหนักใจตามไปด้วย ไหนจะสมุดบัญชีที่เห็นแวบๆ นั่นอีก ปานตะวันรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าคำวิจารณ์นี่แน่
   
        หรือว่าเพราะเพจนี้ทำให้ลูกค้าหายรายได้หดกันนะ
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลเฝ้ารอคำตอบแต่เมื่อเห็นคนรักยังปิดปากเงียบก็ได้แต่ถอนหายใจ
   
        นี่ล่ะนะพี่เมศของเขา พร้อมจะช่วยเหลือและให้คำปรึกษาคนอื่นทุกเมื่อแต่พอเป็นเรื่องของตัวเองแล้วกลับปิดปากเงียบ
   
        เมื่อไม่ได้คำตอบปานตะวันจึงยอมถอยให้ก่อนก้าวหนึ่ง
   
        “พี่เมศศศ”
   
         ปานตะวันลากเสียงยาว ทำหน้ายู่ยี่น่าขันใส่คนรัก ได้ผล ราเมศที่มองใบหน้าตลกๆ ของเขาหลุดยิ้มออกมาจนได้
   
        “ทำหน้าอะไรของนายเนี่ยไอ้เด็กแสบ”
   
       “เลียนแบบพี่เมศ เครียดจนหน้าย่น”
   
        “เดี๋ยวจะโดน”
   
        “กลัวที่ไหนล่ะ”
   
        ปานตะวันแลบลิ้น ผลจากการทำทะเล้นใส่ผู้ชายหน้าดุคือโดนมือใหญ่ของอีกฝ่ายยันหน้าผากไว้แล้วก็ออกแรงผลักจนหน้าหงาย ปานตะวันที่ตั้งตัวไม่ทันบ่นอุบอิบทันใด
   
        “เล่นแรงเป็นบ้า”
   
       “ให้เอาคืนละกัน”
   
       “ขอต่อยสักทีได้ไหม”
   
       “แลกกับจูบสิบที?”
   
       “เพ้อเจ้อละ”
   
        ว่าเสร็จก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหายเครียดแล้ว ปานตะวันหัวเราะในลำคอจากนั้นก็ยืดตัวไปจูบริมฝีปากคนรักแผ่วๆ หนึ่งทีจากนั้นก็เอื้อมมือไปปิดโน้ตบุ๊ก เก็บข้าวเก็บของให้คนรัก
   
        “กลับไปนอนดีกว่าครับพี่เมศ ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนนะ เรื่องเครียดๆ ไว้คิดต่อพรุ่งนี้ก็ได้”
   
        “เอางั้นเหรอ”
   
        “คิดตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรนอกจากเครียดมากขึ้น ไปนอนเถอะครับ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ อะไรที่ตะวันช่วยได้ก็จะช่วยนะ คืนนี้พักผ่อนก่อนเถอะครับ”
   
        ปานตะวันกางแขนกอดคนรัก
   
        “ตะวันอยู่ข้างพี่เสมอนะ”
   
        หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ปานตะวันก็พยายามสังเกตท่าทีของราเมศให้มากขึ้น ชายหนุ่มพบว่าสองสามวันนี้คนรักดูเหน็ดเหนื่อยมากกว่าปกติแต่พอเข้าไปถามอะไรอีกฝ่ายก็มักจะส่งยิ้มกลับมาให้แล้วก็ตอบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
   
        ไอ้นิสัยที่ปกป้องคนอื่นแต่ไม่ยอมให้ใครมาปกป้องนี่ทำให้ปานตะวันอยากตีพี่เมศของเขาเสียจริงๆ
   
        สุดท้ายปานตะวันก็อดรนทนไม่ไหว ต้องโทรไปหาชนกันต์ เรียกอีกฝ่ายมาที่บ้านทันที ฝ่ายนั้นก็เป็นเพื่อนที่ดี หลังวางสายไม่นานก็โผล่มานั่งทำหน้าทำตากวนประสาทอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของปานตะวันแล้ว
   
        “แล้วที่เรียกกูมาหานี่มีอะไร” ชนกันต์เลิกคิ้วขณะมองสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนสนิท “ทำหน้าเหมือนคนโดนทิ้ง”
   
       “กูอยากปรึกษามึงเรื่องพี่เมศ”
   
        “สรุปเขานอกใจมึงเหมือนที่กูคิดไว้จริงๆ เรอะ”
   
        “เชี่ยนี่ปากหมาเดี๋ยวปั๊ดชกให้ปากแตก”
   
        ชนกันต์หัวเราะร่า ไม่ได้สลดใจที่โดนด่าแต่อย่างใด ปานตะวันกลอกตาวนเป็นเลขแปดจากนั้นก็กล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   
        “นี่กูไม่ได้ล้อเล่นนะเว้ย กูกลุ้มใจเรื่องพี่เมศมากจริงๆ”
   
        พอเห็นเพื่อนจริงจังชนกันต์จึงกระแอมแล้วปรับเขาสู่โหมดจริงจังตาม
   
        “ไหนว่ามาซิ”
   
        ปานตะวันรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนรักฟังทันที พอฟังจบชนกันต์ก็ลูบคางครุ่นคิด ปานตะวันที่ต้องการยืนยันความร้ายแรงของเรื่องนี้จึงหยิบโทรศัพท์มาเข้าเพจวิจารณ์อาหารแล้วก็ส่งให้ดู
   
        “เอาจริงๆ ตามความคิดของกูคือจะโทษคนเขียนเพจก็ไม่ได้ทั้งหมด เรื่องมันเริ่มจากพนักงานทำตัวไม่ดี”
   
         “กูรู้ แต่พี่เมศดูเครียดมาก”
   
        “เออเข้าใจ มีคนแชร์ออกไปเยอะอยู่ แต่กระแสยังไม่ถึงขั้นย่ำแย่นะ มีพวกลูกค้าประจำหรือคนที่ลองมากินหลายคนออกมาเขียนแก้ต่างให้ด้วยว่าอาหารอร่อย พนักงานคนอื่นก็บริการดี น่ารัก ไม่ได้มีแต่ด้านลบอย่างเดียว”
   
        “กระแสช่วงนี้เหมือนจะดีขึ้นแล้วนะ ช่วงแรกเห็นว่าลูกค้าหายไปเยอะอยู่” ปานตะวันถอนหายใจ “แต่กูว่ามันน่าจะมีเรื่องอื่นด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องนี้อย่างเดียว”
   
        ชนกันต์มองเพื่อนด้วยความเข้าใจ คบกันมานานทำไมจะไม่รู้ว่าที่ไอ้ตะวันมานั่งกลุ้มอยู่ทุกวันนี้เพราะมันเป็นห่วงพี่เมศ ยิ่งพี่เมศกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยๆ แล้วมันช่วยอะไรไม่ได้ไอ้ตะวันก็ยิ่งคิดมาก ส่วนพี่เมศที่ไม่ยอมบอกอะไรมันก็คงคิดว่าไม่อยากเพิ่มเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ปานตะวันกลุ้มใจ ชนกันต์คิดว่าพี่เมศรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ หากเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ มีหรือจะไม่ปรึกษาคนในครอบครัว ตอนนี้ฝ่ายนั้นคงแค่เหนื่อยกับการสะสางปัญหาเฉยๆ
   
        “กูกลุ้มใจว่ะกันต์” ปานตะวันเอนตัวพิงผนัง “พี่เมศช่วยกูมาตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วดูดิ พอพี่เขาเหนื่อยกูกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย”
   
         “มึงคิดมากไป”
   
         ชนกันต์ลุกไปเทน้ำส้มก่อนจะแกะขนมที่ซื้อติดมือมาใส่จานให้เพื่อน
   
        “กูรู้แต่มันห้ามไม่ได้นี่หว่า กูอยากช่วยพี่เขาบ้าง”
   
        “ไอ้แมวแสบ แค่มึงกับหลานรอพี่เขาอยู่ที่นี่ก็เป็นการช่วยเหลือมากแล้วไม่รู้เหรอ”
   
        “มึงหมายความว่าไง” ปานตะวันขมวดคิ้ว ในขณะที่ชนกันต์ยิ้มนิดๆ “เวลากลับบ้านแล้วเจอคนที่เรารักคอยให้กำลังใจอยู่มันเป็นเรื่องดีมากเลยไม่ใช่เหรอ เชื่อกูเถอะตะวัน มึงกับหนูเจียคือส่วนสำคัญที่ทำให้พี่เขาเข้มแข็งมาจนถึงทุกวันนี้”
   
        ชนกันต์กลับไปแล้ว ส่วนปานตะวันก็ไปรับหลานชายกลับจากโรงเรียนตามปกติแต่ภายในหัวของเขายังมีบทสนทนาที่คุยค้างไว้กับชนกันต์วนเวียนอยู่
   
        แค่มีเขากับหนูเจียอยู่ก็ทำให้พี่เมศหายเหนื่อยได้แล้วอย่างนั้นหรือ
   
        ปานตะวันนึกทบทวนประโยคนั้นแล้วก็ไพล่นึกไปถึงตอนที่ตัวเองตอนกำลังย่ำแย่ ตอนนั้นเพราะคนในครอบครัวคอยช่วยเหลือเขาถึงผ่านมาได้ อ้อมกอดของคนในครอบครัวทำให้เรื่องราวร้ายๆ และความเหนื่อยยากบรรเทาลง
   
        บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ชนกันต์ต้องการจะสื่อก็ได้
   
        พี่เมศแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว สิ่งที่ชายหนุ่มต้องการคือ ‘แรงใจ’ และคนที่จะทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็มีเพียงเขาและหนูเจียเท่านั้น คิดได้ดังนั้นปานตะวันจึงเอื้อมมือไปอุ้มหลานชายตัวกลมที่นอนพังพาบวาดรูปอยู่บนพื้นขึ้นมาหอมแก้มก่อนจะเอ่ยว่า
   
       “หนูเจียครับ”
   
        “คับน้าตะวัน”
   
        “วันนี้น้าตะวันคิดอะไรสนุกๆ ได้ เราสองคนมาทำเรื่องเซอร์ไพรส์น้าเมศกันดีไหมครับ”
   
        พอได้ยินคำว่าสนุกกับคำว่าน้าเมศ ดวงตากลมแป๋วก็เปล่งประกายทันที หนูเจียยิ้มจนแก้มพอง พยักหน้าหงึกหงัก “ดีคับ! หนูเจียเอาด้วยๆๆ”
   
        “งั้นเริ่มจากทำอะไรดีน้า” ปานตะวันเดินไปเปิดตู้เย็นในครัวเพื่อสำรวจวัตถุดิบ วันนี้เขาตั้งใจจะเอาใจพี่เมศให้เต็มที่ ทำให้อีกฝ่ายหายเหนื่อยให้ได้ เริ่มจากการทำกับข้าวรอคนรักกลับบ้าน
   
        “ไข่เจียวคับ! หนูเจียอยากตีไข่”
   
        “ได้ งั้นไข่เจียวเนอะ”
   
         ปานตะวันหยิบไข่ไก่ออกจากตู้เย็นจากนั้นก็ตอกไข่ใส่ถ้วยพลาสติกให้หนูเจีย เด็กชายตัวเล็กวิ่งดุ๊กๆ ไปหยิบเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ มาเพื่อเอามาต่อขา พอขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ขอบเคาน์เตอร์ครัวก็อยู่ตรงไหปลาร้าหนูเจียพอดี เด็กชายหยิบชามมาถือแล้วก็เริ่มตีไข่อย่างขะมักเขม้น
   
        “ระวังเลอะนะหนูเจีย”
   
        “คับผม”
   
        ระหว่างที่หนูเจียตีไข่ปานตะวันก็รื้อเอามะเขือเทศ มันฝรั่ง หอมใหญ่และน่องไก่สดออกมาเตรียมทำซุป ชายหนุ่มยังคิดจะทำผัดผักบุ้งไฟแดงกับปลาสามรสที่ราเมศชอบกินด้วย วันนี้ชายหนุ่มจะเพิ่มเมนูของหวานเข้าไปให้คนรักกับหลานชายด้วย ปานตะวันเชื่อว่าของหวานช่วยให้หายเหนื่อยได้
   
       ปานตะวันเริ่มจากการทำขนมหวานก่อน ชายหนุ่มเลือกขนมถ้วยเป็นเมนูวันนี้ ในบรรดาขนมที่หลงสอนทำ เขามั่นใจฝีมือการทำขนมถ้วยของตัวเองที่สุดแล้ว
   
        ชายหนุ่มเริ่มจากผสมส่วนที่เป็นหน้าขนมก่อน จากนั้นก็นำไปกรองผ่านตะแกรงเตรียมไว้แล้วจึงกลับมาทำส่วนที่เป็นตัวขนม
   
        “น้าตะวัน อันนี้อะไรคับ”
   
        หนูเจียตัวน้อยทำจมูกฟุดฟิดเหนือถ้วยใส่น้ำที่มีกลิ่นหอมหวาน ปานตะวันลูบผมหลานชายแล้วตอบว่า “น้ำลอยดอกมะลิครับหนูเจีย น้าตะวันจะผสมน้ำลอยดอกมะลิลงในขนมนี้จะได้มีกลิ่นหอม”
   
       ปานตะวันผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างคล่องแคล่วแล้วก็นำไปกรองผ่านตะแกรง หนูเจียมองน้าตะวันจัดการกับถ้วยใส่ขนม เทส่วนผสมใส่ถ้วยแล้วก็นำไปนึ่งจากนั้นก็ยกลงจากเตา พักไว้แป๊บหนึ่งแล้วก็เทส่วนหน้าขนมลงไป ยกกลับไปนึ่งอีกรอบ ท่าทางของน้าตะวันคล่องแคล่วลื่นไหลจนหนูเจียมองเพลิน
   
        เด็กชายคิดว่าตัวเองโชคดีมากๆ น้าเมศทำกับข้าวอร่อยส่วนน้าตะวันทำขนมอร่อย น้ากันต์ก็ใจดีซื้อของกินมาให้ บางวันน้าหลงมาหาพร้อมขนมไทยเต็มมือยิ่งดีเข้าไปใหญ่
   
        มิน่า...น้าๆ ที่รู้จักเขาถึงได้ชอบล้อว่าเขาจะต้องกลายเป็นเด็กอ้วน แต่หนูเจียไม่อ้วนหรอกนะ! เพราะน้าตะวันพาเขาไปเรียนว่ายน้ำ เรียนเทควันโด พาออกกำลังตลอด หนูเจียตัวน้อยที่โดนขุนด้วยของกินจึงกลายเป็นเด็กที่ดูมีน้ำมีนวลมีแก้มยุ้ยๆ ให้พี่ๆ ฟัดกันเล่นสนุกแต่ไม่ได้อ้วนกลม
   
       “เสร็จแล้ว” น้าตะวันพูดอย่างยินดีเมื่อขนมสุกได้ที่ พอยกออกมากลิ่นหอมก็โชยมาแตะจมูกจนชักจะหิว น้าตะวันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกว่ารออีกสักหน่อยนะจะรีบไปทำกับข้าวให้
   
       เพราะน้าเมศเลิกงานดึก หนูเจียเลยจะได้กินข้าวก่อนใครเพื่อน ปานตะวันทำข้าวไข่เจียวราดซอสมะเขือเทศให้อีกฝ่ายกิน แล้วก็แถมขนมถ้วยให้สองถ้วย พอดูให้เด็กน้อยกินอิ่มชายหนุ่มก็หันกลับมาทำอาหารคาวรอคนรัก ส่วนหนูเจียก็ไปแปรงฟันรอ
   
       ปานตะวันจัดการกับข้าวด้วยตัวคนเดียวอยู่นาน ทำไมทำมาก็ใกล้ได้เวลาเลิกงานของราเมศพอดี เขาโทรหาอีกฝ่ายก็พบว่ากำลังเก็บร้าน น้ำเสียงพี่เมศดูเพลียมากจริงๆ จนปานตะวันต้องเร่งมือทำสิ่งที่วางแผนไว้ให้เสร็จโดยเร็ว
   
       ราเมศถอนหายใจหลังกดวางสายจากคนรัก ชายหนุ่มจัดการไล่เช็กความเรียบร้อยของหน้าต่าง ประตู  เมื่อเห็นว่าปิดสนิทเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปปิดไฟ ปิดร้าน
   
       “ร้านเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะพี่เมศ งั้นหนูกลับบ้านแล้วนะคะ”
   
        “อื้ม ขอบคุณมากนะน้องพีช”
   
        พนักงานเสิร์ฟหญิงที่ชื่อพีชยิ้มให้ก่อนจะเดินไปซ้อนท้ายจักรยานยนต์ที่แฟนหนุ่มขี่มารอรับ ราเมศยืนส่งรุ่นน้องไปจนลับตาก่อนจะเดินไปขึ้นรถตัวเองบ้าง วันนี้วันศุกร์แล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกเหมือนได้พักหลังจากเผชิญเรื่องวุ่นมาทั้งสัปดาห์
   
          ต้นตอของปัญหาทั้งหลายแหล่ก็รวมอยู่ที่พนักงานใหม่คนหนึ่ง ตั้งแต่รับเด็กคนนี้เข้ามาก็เกิดปัญหาได้ไม่หยุดหย่อน อีกฝ่ายไม่มีใจบริการลูกค้า พูดจาห้วนๆ ไม่ไพเราะแล้วยังชอบทำผิดพลาดบ่อยๆ ตอนแรกราเมศคิดว่าเด็กคนนี้คงเป็นเหมือนปานตะวันช่วงแรกที่ยังไม่ชินงานจึงยังไม่ได้ไล่ออก ทำเพียงเรียกไปตำหนิและสอนงานให้เท่านั้นแต่ยิ่งเวลาผ่านก็ยิ่งรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่คิดพัฒนาตัวเองเลย เป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นแบบนั้น จดหมายจากลูกค้าในกล่องร้องเรียนเรื่องเด็กคนนี้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ราเมศจึงขู่จะไล่อีกฝ่ายออก ทางนั้นก็ตกใจหน้าตาตื่น รับปากแล้วรับปากอีกว่าจะไม่ทำ จะปรับปรุงตัวแต่ก็เป็นเพียงลมปาก
   
        ที่แย่ที่สุดคือวันที่นักเขียนเพจแนะนำอาหารมาที่ร้านเขา คนไปรับออเดอร์คือเด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าไปรับอาหารอีท่าไหนทางลูกค้าถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขียนวิจารณ์ร้านเขาลงเพจซะเละเทะไม่เหลือชิ้นดี นับแต่วันนั้นยอดลูกค้าก็ลดลง แม้ไม่มากแต่ไม่ส่งผลดีในระยะยาว ราเมศที่เห็นท่าไม่ดีจึงปรึกษาหุ้นส่วน พวกเขาตรวจสอบไปตรวจสอบมาก็พบว่าเด็กคนนี้นอกจากทำตัวไม่ดีจนลูกค้าร้องเรียนบ่อยๆ แล้วยังแอบขโมยเงินอีกด้วย
   
         สุดท้ายราเมศก็ตัดสินใจไล่เด็กนั่นออก ส่วนลูกค้าที่หายไปเขาก็กำชับพนักงานให้บริการคนที่เข้ามาให้ดีรวมถึงคิดโปรโมชั่นดึงดูด อาทิตย์นี้ลูกค้าจึงเริ่มกลับมาหนาแน่นร้านเหมือนปกติ
   
         ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อฝ่ารถติดกลับถึงบ้านแล้วในที่สุด เหนื่อยกายเหนื่อยใจจนอยากล้มตัวลงนอนใจจะขาด ทว่าพอก้าวขึ้นไปบนเรือนไทย กลิ่นอาหารหอมฟุ้งก็ทำให้ตาสว่าง
   
         “เซอร์ไพรส์” ปานตะวันโผล่หน้าออกมาต้อนรับ ในขณะที่หนูเจียในชุดนอนลายเป็ดเหลืองวิ่งหน้าขาวเพราะถูกปะแป้งมาหาเช่นกัน
   
         “น้าเมศคับ กลับมาแล้วเหรอ”
   
         “ครับคนเก่ง น้าเมศมาแล้ว”
   
         ราเมศหอมแก้มยุ้ยของหลานชายไปหลายทีก่อนจะเดินหอมคนรักที่ยืนรออยู่ด้วยเช่นกัน ปานตะวันหอมแก้มเขาตอบก่อนจะส่งผ้าขนหนูสะอาดผืนหนึ่งมาให้ “เช็ดหน้าเช็ดตาสิพี่เมศ ดูเหนื่อยๆ ตะวันเลยเตรียมไว้ให้”
   
        ผ้าขนหนูฟูนุ่มผืนนั้นหอมกลิ่นมะลิจางๆ พอยกขึ้นเช็ดตามใบหน้าและลำคอก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นจริงๆ เมื่อเช็ดหน้าเช็ดตาเสร็จทั้งครอบครัวก็เดินไปที่ห้องครัว ราเมศที่ได้กลิ่นอาหารอยู่แล้วจึงถามขึ้นว่า
   
       “วันนี้ทำกับข้าวเองหมดเลยเหรอ”
   
       “ใช่แล้ว พี่เมศกลับมาจะได้ไม่เหนื่อยไง”
   
       “มีอะไรบ้างล่ะนั่น” เดินเข้ามาในครัวก็เห็นกับข้าวเต็มโต๊ะ มีแต่ของโปรดเขาทั้งนั้น “ไข่เจียว อันนี้หนูเจียช่วย ซุปไก่ ปลาสามรสแล้วก็ผัดผักบุ้งไฟแดง”
   
       “ทำไมทำเยอะแยะขนาดนี้ ฉลองเนื่องในโอกาสอะไรเหรอ”
   
        “ไม่ใช่ในโอกาสอะไรทั้งนั้นแหละ” ปานตะวันตอบพลางคดข้าวหอมมะลิร้อนๆ ใส่จานให้ราเมศ “ตะวันแค่อยากทำให้ มากินข้าวกันเถอะ”
   
         มื้ออาหารนั้นราเมศถูกบริการอย่างดี ปานตะวันกับเจียหลินเอาอกเอาใจเขาสารพัด ตักกับข้าวใส่จานให้ไม่ขาด พอกินจนอิ่มชายหนุ่มก็เตรียมตัวจะไปล้างจานแต่ปานตะวันบอกว่าไม่ต้อง คนรักเก็บกวาดแล้วก็จูงมือล้างชายไปช่วยกันทำความสะอาดจานชามทั้งหมดจนเรียบร้อยทิ้งให้ราเมศยืนมองตาปริบๆ
   
        “ทำไมวันนี้ดูเอาใจพี่กันจัง ทั้งนายทั้งหลานเลย”
   
         ตอนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกันปานตะวันก็ไปยกขนมถ้วยกับชามาให้ดื่ม ราเมศที่ทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวจึงหันไปถามแล้วก็ได้รับคำตอบมาเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
   
        ปานตะวันลุกขึ้นยืน เดินอ้อมไปด้านหลังโซฟา ลงมือบีบนวดที่บ่าคนรัก ส่วนหนูเจียก็บีบไปตามท่อนขาคุณน้า มือเล็กๆ เดี๋ยวก็บีบ เดี๋ยวก็ทุบแล้วก็เปลี่ยนเป็นกดๆ ตรงนั้นทีตรงนี้ที ท่าทางสนุกสนาน
   
       “ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า ทำดีกลบเกลื่อนเหรอ”
   
       “โห พูดแบบนี้นี่มันน่าเลิกทำให้ไหม” ปานตะวันแยกเขี้ยว “คนเขาเห็นพี่เหนื่อยหรอกถึงได้ทำให้ อยากให้กลับบ้านมาแล้วผ่อนคลาย” ปลายนิ้วของปานตะวันกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วของราเมศแล้วก็ออกแรงนวดคลึงให้หัวคิ้วคลายออกจากกัน
   
        “รู้ตัวไหมครับว่าอาทิตย์นี้พี่ขมวดคิ้วเกือบตลอดเวลาเลย” ปานตะวันโอบบ่าราเมศไว้หลวมๆ จากนั้นก็ใช้แก้มขาวๆ ของตัวเองเบียดคลอเคลียกับแก้มสากๆ ของอีกฝ่าย
   
       “ตะวันกับหลานเป็นห่วงนะ อยากให้พี่สบายใจขึ้นเวลากลับบ้าน อย่างน้อยก็อยากให้ผ่อนคลายเวลากลับบ้าน”
   
        ราเมศเบือนหน้าไปจูบแก้มคนรักหนักๆ ก่อนที่ปานตะวันจะย้ายมานั่งข้างกันบนโซฟา ชายหนุ่มผิวแทนอุ้มหนูเจียมานั่งบนตัก เด็กน้อยกอดคุณน้าหนุบหนับเป็นการให้กำลังใจ เห็นดังนั้นราเมศจึงรวบตัวปานตะวันมากอดด้วย กลายเป็นทั้งสามคนตระกองกอดกันอยู่บนโซฟา
   
       “ขอบคุณนะตะวัน หนูเจีย”
   
       “ไม่เป็นไรครับ พวกเรารักพี่นะ”
   
       “หนูเจียก็รักน้าเมศน้า”
   
        ริมฝีปากได้รูปของปานตะวันประทับลงที่แก้มข้างขวาของราเมศส่วนปากเล็กๆ ของหนูเจียประทับลงที่แก้มซ้าย เสียงจุ๊บเบาๆ ทำให้ราเมศหัวเราะออกมา
   
         ความหนักใจความไม่สบายใจที่เผชิญมาตลอดอาทิตย์สลายหายไปในวินาทีนั้น

*********************************************

สวัสดีค่า เรากลับมาแล้ววว หายหน้าหายตาไปนาน กลับมาคราวนี้ก็มาพร้อมกับตอนพิเศษน่ารักๆ ของครอบครัวแมวค่ะ
ตอนนี้เขียนขึ้นเพราะอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเออ พี่เมศนี่ไม่ใช่คนเหล็กนะ (แม้ในเรื่องพี่แกจะแบกทุกอย่างไว้กับตัว
ก็ตาม) พี่เมศก็เป็นคนธรรมดา เหนื่อยเป็น ท้อเป็น แต่การที่ปานตะวันกับหนูเจียอยู่ที่บ้าน คอยให้กำลังใจ ก็ทำให้พี่เมศหายเหนื่อยได้

คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่ท้อมากๆ ใช่ไหมคะ ถ้าเวลานั้นมาถึงเราก็คงจะอยากพัก และสถานที่ที่เติมพลังให้เราได้ดีที่สุดก็คืออ้อมกอดของคนที่เรารักนั่นเอง ตอนพิเศษนี้ก็เลยเกิดขึ้นมา หวังว่าโมเม้นต์หวานๆ ของครอบครัวปานตะวันจะช่วยฮีลลิ่งทุกคนให้พร้อมเผชิญหน้ากับวันจันทร์นะคะ  :กอด1: ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ยังรักและคิดถึงกันเน้อ หากใครอยากพูดคุยกับเราสามารถส่งข้อความมาคุยเล่นกันได้ที่เพจ AzureDream นะคะ พบกันใหม่ในตอนพิเศษต่อไป รักนะจุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 24-09-2017 19:05:25
 :impress2: ครอบครัวสุขสันต์มีครอบครัวก็ดีเงี่ยกำลังใจเป็นกอง
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 24-09-2017 23:14:06
ขอบคุณค่ะ  ครอบครัวที่น่ารักของหนูเจี่ย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-09-2017 23:59:49
เป็นครอบครัวที่น่ารักจังเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-09-2017 12:13:41
 :L2: :L1: :pig4:

มีฟามมมมสุข
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-09-2017 20:15:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-09-2017 22:13:58
น่ารักจริงครอบครัวนี้
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-09-2017 22:17:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-09-2017 17:38:22
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-09-2017 01:53:36
 :man1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 28-09-2017 01:50:20
T T เรารู้สึกถูกคนเขียนหลอก. นึกว่าจะเป็นเรื่องฟีลกู๊ด ทำไมถึงได้ทำให้เราตาบวมอย่างนี้~~~~

เราชอบเรื่องนี้นะ (ถึงจะทำให้เราตาบวมก็เถอะ) มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวที่ดีจริงๆนะ. มีแง่คิดในการเลี้ยงเด็กหลายๆอย่างที่มันดีมาก อยากจะแชร์ให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย

ชอบตัวละครปานตะวัน สมกับชื่อจริงๆนะ. เหมือนได้เห็นพัฒนาการของคนๆนึง ถือว่าเป็นคนที่เข้มแข็งเลยละ ถึงขะเคยเดินทางผิดไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็พยายามลุกขึ้นนะ

พี่เมศ~~~ พ่อคนดี พ่อยอดขมองอิ่มของน้องงงงงง เป็นแฟนที่เลอค่ามาก จะมีใครที่จะยืนเคียงข้างในวันที่คู่ชีวิตทุกข์ใจได้ขนาดนี้

ส่วนน้องเจีย บอกเลยว่าน้องคือความสดใสของนิยายเรื่องนี้

ขอชมคนเขียนเลย ว่าเขียนเรื่องนี้ออกมาได้สมบูรณ์จริงๆ. ทั้งพล็อตเรื่อง ตัวละคร บทพูดของตัวละคร มันดีมากๆ
ชอบทั้งตอนที่ตะวันพูดในงานวันแม่ และการสื่อถึงผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มันดีมากจริงๆ ทั้งบรรยายอาการที่เป็น รวมทั้งแนวทางการรักษา เพราะเวลาเจอผู้ป่วยซึมเศร้าเนี่ย สิ่งสำคัญเลยคือคนในครอบครัว พร้อมที่จะสู้ไปกับผู้ป่วยหรือเปล่า ถ้าไม่พร้อม การรักษาคงไม่เป็นผลสำเร็จ

ขอบคุณนะคะ ที่เขียนเรื่องนี้มาให้อ่าน :)

ปล. มีตอนนึงที่วัดไข้ ได้ 37 นี่ถือว่าปกตินะ เราไม่แน่ใจว่าคนเขียนต้องการสื่อว่าไข้ลงแล้วหรือยังมีอยู่ ถ้าจะสื่อว่าไข้สูง น่าจะเป็นอุณหภูมิที่มากกว่า 37.8 นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 28-09-2017 06:40:27
ชอบความเอาใจใส่ของสองคนนี้จัง น่ารัก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 30-09-2017 12:49:17
โอ๊ยยย น่ารักมากเลยค่ะ ครอบครัวช่วยได้มากจริง ๆ

ปานตะวันก็ช่างคิดช่างทำเนาะ หนูเจียก็น่ารักน่าฟัดมาก มั่นใจมากด้วยว่าตัวเองแค่สมบูรณ์ 5555
ไม่แปลกหรอกที่ราเมศจะเข้มแข็ง ก็เป็นหัวหน้าครอบครัวเนาะ

แต่ในที่สุดก็ผ่านไปได้ พอหายเครียดและเข้มแข็งแล้ว ก็แก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ คิดถึงครอบครัวนี้มาก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 07-10-2017 09:15:25
 o13  o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Lukaka ที่ 27-10-2017 08:09:46
อ่านรวดเดียวจบเลย เรื่องสนุกดีค่ะ หนูเจียน่ารักมาก

แอบมีคำผิดนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน

แล้วส่วนที่อยากชมคือทัศนะคติของปานตะวัน ที่พูดในงานโรงเรียนหนูเจีย

และขอบคุณสำหรับการสอดแทรกข้อมูลของคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ดีมากกกกก

อยากให้คนทั่วไปรู้มากว่าการเข้าวัด ทำสมาธิ ไม่ได้ทำได้ทุกคนที่ป่วย

และมันไม่ใช่แค่นี้เอง สู้ๆ มันต้องหาหมอ มันคือผิดปกติของสารในสมอง

ขอบคุณจริงๆค่ะ ที่หยิบเรื่องนี้มาสื่อผ่านนิยาย

ปล.เราไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ค่ะ แต่เป็นผู้ป่วยเอง
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: oilk ที่ 29-10-2017 15:47:28
สวัสดีค่ะ พึ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ แล้วก็อ่านรวดเดียวจนจบ ตาบวมไปแล้วเหมือนกัน 55555555 เราแอบเป็นแฟนนิยายลับๆของคุณ แต่สารถาพตามตรงว่าตอนที่ได้อ่านเรื่องนี้แรกๆ รู้สึกไม่ใช่แนวเท่าไหร่เลยไม่ได้มาอ่าน จนเห็นคุณลงจนจบแล้ว เลยลองแอบมาแวบอ่านตอนพิเศษดูคร่าวๆ แล้วเลยรู้สึกว่าลองกลับไปอ่านอีกครั้งดีกว่า 555 ตัวละครแรกที่เรารู้สึกชอบเลยคือปานตะวัน เรารู้สึกว่าเราสงสารเขาตั้งแต่ตอนแรกที่เขาออกมาเลย ถึงแม้ว่าตอนแรกคนแต่งจะแต่งให้เขาดูนิสัยไม่ดี เอาแต่ใจ ไม่เอาใคร แต่เรารู้สึกว่าตะวันต้องมีปมอะไรสักอย่าง แล้วพอมารู้ปมคร่าวๆเรื่องของครอบครัวก็รู้สึกยิ่งเห็นใจ อีกคนที่รักเลยคือหนูเจีย หยูเจียเป็นเหมือนความสดใสของเรื่องนี้เลย เราชอบมากเวลาเห็นหนูเจียเล่นกับตะวันอ่านแล้วรู้สึกว่าน่ารักมาก ชอบความเป็นหนูเจียลิซึ่มของตะวันมาก เพราะเราก็เป็นแล้วเหมือนกัน 555555 ส่วนพี่เมศ ตอนแรกเราไม่ชอบเลย ช่วงแรกๆที่พี่เมศไม่รู้ว่าตะวันมีปมแล้วเจ็บปวดแค่ไหน ไหนจะเรื่องที่ชอบพี่จันทร์อีก ระแวงไปทั่ว กลัวพี่เมศจะมาทำให้ตะวันเสียใจอีกรอบ แต่ก็ต้องขอบคุณพี่เมศที่ทำให้ตะวันและหนูเจียเปิดใจกัน ทำให้ตะวันผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาได้

อีกสิ่งหนึ่งทีอยากชื่นชมคนแต่งคือคุณแต่งเรื่องที่เกี่ยวกับความรักของครอบครัวมาได้ดีมากๆ ตั้งแต่เรื่องน้องดินกับพี่เดือนแล้ว ทุกเรื่องจะสื่ออกมาว่าไม่ว่าเราจะเจอเรื่องเลวร้ายมายังไง ทุกคนจะผ่านไปได้เพราะมีกำลังใจจากครอบครัว มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นในใจมากๆ เพราะทุกตัวละครเขาไม่ได้เป็นแค่แฟน แต่เขาเป็นครอบครัวเดียวกัน และพร้อมจะอยู่ข้างกันเพื่อผ่านเรื่องร้ายๆไปด้วยกัน ขอบคุณมากนะคะที่แต่งนิยายออกมาได้ดีและสนุกขนาดนี้ เราจะเป็นกำลังใจให้และรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปของคุณนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mjpnta ที่ 18-11-2017 13:15:34
นิยายสนุก ดีมากเลยค่ะ ชอบทุกเรื่องเลยTT
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Timber ที่ 18-11-2017 19:04:18
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 19-11-2017 13:43:37
อ่านแล้วใจบางกับครอบครัวนี้อ่ะ คือพวกนางน่ารัก อบอุ่นมากก  :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๒ Tired (๒๔/๙/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Whitegun ที่ 22-11-2017 18:37:36
หนูเจียน่ารักจนน้าตะวันปฏิเสธไม่ได้เลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 24-11-2017 18:37:54
ปานตะวัน
บทพิเศษที่ ๓
วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ


        ปานตะวันเหมือนแมว แมวตัวโตที่มีนิสัยขี้เล่น เจ้าเล่ห์ ซุกซน เป็นแมวเอาแต่ใจตัวที่บางครั้งครึ้มอกครึ้มใจก็เข้ามานัวเนีย พอหายเบื่อก็สะบัดก้นจากไป เป็นแมวแสบที่ราเมศรู้สึกว่าเอาใจยากที่สุดในชีวิต
   
        แต่ราเมศก็ไม่ได้ไม่ชอบใจหรอกนะ ก็ตัวเขาน่ะเป็น “ทาสแมว” นี่นา
   
       ในเมื่อที่บ้านมีแมวรับมือยาก ราเมศก็ต้องหาสารพัดวิธีมาจัดการกับมัน หลังศึกษาและลองผิดลองถูกอยู่นานในที่สุดเขาก็พบวิธีกำราบแมวดื้อลงจนได้
   
        ข้อควรจำสำหรับรับมือปานตะวันข้อที่หนึ่ง : แมวดื้อไม่ชอบให้ใครมากวนตอนนอนเพราะฉะนั้นจงปลุกเขาอย่างอ่อนโยน
   
        “ตะวัน ตื่นได้แล้ว”
   
        ราเมศตื่นเช้าที่สุดในบ้าน ชายหนุ่มจะอาบน้ำก่อนแล้วจึงมาปลุกปานตะวันให้ตื่น ตอนนี้ราเมศที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วกำลังเขย่าตัวปานตะวันเบาๆ
   
        “ตะวัน วันนี้นายต้องไปส่งหนูเจียที่โรงเรียนนะ”
   
        “อือ อีกห้านาทีนะ”
   
        คนถูกปลุกตอบเสียงแหบแล้วก็พลิกตัวหนี ยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงอีกต่างหาก ราเมศมองภาพนั้นอย่างขันๆ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง สะกิดไหล่ปานตะวันหลายๆ ที
   
        “ฮื้อ พี่เมศอย่ากวน”
   
        แมวเหมียวร้องหง่าวอย่างขัดใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นพร้อมกับริมฝีปากเล็กๆ บิดคว่ำลง มือหนึ่งปัดมือราเมศบนไหล่ออก น่าทึ่งชะมัดที่ปานตะวันทำทั้งหมดนั่นโดยไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลย
   
        “ตะวันง่วงมากเลย ขอนอนต่ออีกหน่อยนะ”
   
        “เดี๋ยวไปส่งหลานสายนะ”
   
        “ปลุกหนูเจียมาอาบน้ำก่อน”
   
        “หลานอาบเสร็จแล้วกำลังแต่งตัว”
   
        “หนูเจียในร้าย”
   
        ราเมศหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอก่อนที่จะขยับตัวไปชิดปานตะวันมากขึ้น ชายหนุ่มท้าวแขนคร่อมปานตะวันไว้ขณะที่โน้มใบหน้าไปใกล้อีกฝ่าย ลมหายใจอุ่นเป่ารดผิวเนื้อชวนให้จั๊กจี้
   
        “ตะวัน เด็กดี ตื่นเร็วครับ” ริมฝีปากอุ่นแตะไปที่ปลายจมูกของอีกฝ่ายก่อนจะโฉบไปที่ผิวแก้มและเปลือกตา สัมผัสแผ่วเบาราวขนนก
   
        “เดี๋ยวพี่เมศทำข้าวเช้าอร่อยๆ ให้ ตื่นเร็วเจ้าเหมียว” ราเมศจูบที่ติ่งหูของปานตะวันเบาๆ ก่อนจะไล้ปลายจมูกไปที่ซอกคอ ชายหนุ่มกัดเบาๆ ที่ผิวเนื้ออ่อนแต่สำหรับปานตะวันที่กำลังงัวเงีย การกัดนั้นปลุกเขาจากห้วงฝันหวานได้เป็นอย่างดี
   
        “พี่เมศ!” บอกตั้งกี่หนแล้วว่าอย่ากัด!
   
        “อรุณสวัสดิ์”
   
        ปานตะวันที่กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพหัวหูฟูมองรอยยิ้มหล่อเหลาของคนตรงหน้าแล้วก็ถอนหายใจ พี่เมศเล่นปลุกเขาแบบนี้ทุกวัน ไม่ตื่นก็ไม่ได้ แต่พอตื่นก็รู้สึก...
   
        ให้ตาย
   
        คลื่นความร้อนแล่นวาบไปที่ผิวแก้มในขณะที่อารมณ์บางอย่างปั่นป่วนอยู่ในอกและในท้อง ปานตะวันเม้มริมฝีปากขณะที่รีบลุกจากเตียงแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำ ก่อนไปยังไม่วายหันกลับมาตะโกน
   
        “พี่โดนแน่! ตะวันจะกลับมาจัดการพี่”
   
        ราเมศหัวเราะ บันทึกไว้ในใจว่าเจ้าแมวเหมียวขู่เขาด้วยคำนี้เป็นรอบที่ร้อยยี่สิบเก้าแล้ว
   
        ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องครัวแล้วก็พบหนูเจียกำลังจัดเตรียมจานชามและแก้วน้ำ เด็กชายบรรจงรินน้ำส้มกับนมใส่แก้วข้างจานใบโปรดของตัวเอง
   
        “น้าเมศ น้าตะวันตื่นแล้วเหรอคับ”
   
        “อื้ม ตื่นแล้ว เดี๋ยวอีกสักพักก็มา”
   
        “งั้นหนูเจียเทน้ำส้มให้น้าตะวันเลยนะ”
   
        “ครับผม”
   
        หลานชายที่บัดนี้ขึ้นชั้นประถมหนึ่งแล้วยิ้มกว้าง วิ่งดุกๆ ไปเทน้ำให้น้าตะวันของตัวเอง ราเมศมองหนูเจียที่พยายามช่วยเหลือตัวเองและรู้หน้าที่ของตนด้วยความดีใจ
   
        “วันนี้กินข้าวผัด ไส้กรอกแล้วก็ไข่ดาวแล้วกันนะครับ”
   
        “คับน้าเมศ”
   
         ราเมศหันไปจัดการกับอาหารเช้าทันที ไม่ช้าข้าวผัดหอมกรุ่น ไข่ดาวที่สุกกำลังดีและไส้กรอกทอดก็พร้อมสรรพอยู่ในจานสามใบ เป็นเวลาเดียวกับที่ปานตะวันเดินตรงมาที่ครัว ราเมศที่สังเกตเห็นรีบเดินออกไปหาจากนั้นก็คว้าคนรักมาจูบ
   
        กลิ่นและรสชาติของยาสีฟันอวลอยู่ในโพรงปากตอนที่ราเมศสอดแทรกปลายลิ้นเข้าไป ปลายตะวันโอบกอดแผ่นหลังคนรักไว้ขณะตอบสนองกับจูบละมุนตอนเช้า
   
        พอราเมศถอนริมฝีปากออกปานตะวันก็พบว่าตัวเองไม่ง่วงแล้ว แถมยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากอีกด้วย
   
        “ตื่นเต็มตาแล้วสิ?”
   
        “อื้อ สดชื่นมากกก”
   
        ปานตะวันหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อจะผละไปที่ครัว ราเมศอมยิ้ม วิธีปลุกแบบนุ่มนวลของเขาได้ผลเสมอนั่นแหละ
   
        ข้อควรจำสำหรับรับมือปานตะวันข้อที่สอง : แมวดื้อชอบอาหารอร่อย และต้องเป็นอาหารอร่อย ฝี-มือ-เขา-เท่า-นั้น
   
        ราเมศมีสมุดอยู่เล่มหนึ่ง เป็นสมุดจดรายการอาหารและวิธีทำ ท้ายสมุดเล่มนั้นแนบกระดาษเอาไว้แผ่นหนึ่ง บนกระดาษเขียนไว้ว่าเมนูโปรดของแมวที่บ้านตามด้วยรายการอาหารยาวเหยียด ด้านหลังมีโน้ตด้วยว่ารสชาติต้องเป็นประมาณไหนถึงจะถูกใจ
   
        ทุกวันหยุดราเมศจะทำอาหารมื้อใหญ่เลี้ยงแมวเล็กและแมวใหญ่    
   
        สีหน้ามีความสุขและการกินจนแก้มป่องของคนทั้งคู่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าอยากจะทำอาหารให้สองคนนี้กินไปจนตลอดชีวิตของเขา
   
        การทำอาหารให้ปานตะวันกินทุกวันทำให้ปานตะวันติดรสมือเขามาก เดี๋ยวนี้อีกฝ่ายแทบไม่กินข้าวนอกบ้านเลย พาออกไปกินร้านไหนๆ ก็บอกอยู่ตลอดว่าสู้ฝีมือพี่เมศไม่ได้ คงไม่ต้องเดากันแล้วสินะว่าเขายิ้มจนแก้มแทบแตกแค่ไหน
   
         “พี่เมศ วันนี้มีอะไรกินอ่ะ”
   
       ปานตะวันที่เพิ่งตากผ้าเสร็จเดินเข้ามาในครัว ร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดตัวย้วยกับกางเกงบอลยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เอาคางวางเกยบนไหล่เขาแล้วทำจมูกฟุดฟิด
   
        “แกงจืดเหรอ”
   
        “แกงจืดปลาหมึกยัดไส้”
   
        “อยากกินปลา”
   
        “มีผัดผักแล้วนะ”
   
       “ตะวันอยากกินปลาอ่ะ”
   
        สมเป็นแมว...
   
        ราเมศกลั้นยิ้มตอนที่ปานตะวันเอียงแก้มมาชน เจ้าตัวแสบด้านหลังกอดเอวเขาไว้หลวมๆ ระหว่างที่ถูแก้มเข้ากับไหล่เขาเป็นเชิงออดอ้อน ดวงตากลมๆ ช้อนมองทำเอาราเมศนึกถึงโฆษณาอาหารแมวที่เจ้าเหมียวตัวเล็กๆ พวกนั้นมองอ้อนขออาหารกันเลยทีเดียว
   
        “อยากกินปลาอะไรล่ะ”
   
        “ปลาทอด พี่เมศจะทอดให้กินเหรอ”
   
        “อ้อนขนาดนี้ ไม่ตามใจได้ไหมล่ะ”
   
        “ขอบคุณครับ พี่เมศของตะวันน่ารักที่สุด” ริมฝีปากนุ่มนิ่มแตะลงบนแก้มเขาเร็วๆ หนึ่งที “เดี๋ยวตะวันช่วยจัดโต๊ะนะ”
   
         เจ้าตัวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีระหว่างที่ยกจานชามช้อนไปวางบนโต๊ะ ยิ่งหนูเจียวิ่งมาแล้วประสานเสียงร้องเพลงหงุงหงิงกับปานตะวันราเมศก็ยิ่งตั้งใจทำอาหารที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น
   
        ทำอาหารอร่อยๆ ให้คนรักกับหลานชายกิน มองทั้งสองคนยิ้มไปกินข้าวไป ได้เห็นคนรักมีความสุขตัวเขาก็มีความสุข
   
        ข้อควรจำสำหรับรับมือปานตะวันข้อที่สาม : แมวของเขาชอบเข้ามาคลอเคลีย ชอบอ้อน ต้องการกำลังใจและความรักมากๆ
   
        “พี่เมศ ขอกอดหน่อย”
   
        วันหนึ่งจู่ๆ ปานตะวันก็พูดแบบนี้กับเขา ราเมศหรี่ตาลงนิดหน่อยระหว่างสำรวจสีหน้าคนรัก ปานตะวันดูเหนื่อยล้าแล้วก็เครียดนิดหน่อย แววกังวลปรากฏในดวงตาคู่นั้น
   
        “ตะวันเป็นอะไรหรือเปล่า” ราเมศรีบวางงานในมือลงแล้วก้าวมาชิดคนรัก ปานตะวันส่ายหน้า เจ้าตัวแค่พึมพำว่า “เหนื่อยนิดหน่อย”
   
       “ไม่สบายหรือเปล่า”
   
        “เปล่าครับ”
   
        แมวแสบกางแขนออกเป็นสัญญาณ ราเมศจึงอ้าแขนออกบ้าง เท่านั้นเองปานตะวันก็ทิ้งตัวลงในอ้อมกอดเขา ใบหน้าซุกอยู่ที่อก
   
        “เหนื่อยจัง”
   
        “หืม”
   
        “วันนี้หนัก”
   
        ฝ่ามือใหญ่ลูบเบาๆ ที่ผมและแผ่นหลังของคนรัก ปานตะวันถอนหายใจออกมาแรงๆ สีหน้ากลัดกลุ้มเผยออกมาแวบหนึ่ง
   
        “อยากเล่าให้ฟังไหม”
   
        ปานตะวันพยักหน้า “แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะพี่ ตะวันยังไม่พร้อมเล่าตอนนี้”
   
        “โอเค ไม่เป็นไร”
   
         แม้อยากรู้ใจจะขาดแต่ราเมศไม่อยากบีบคนรักมากเกินไป ตะวันพูดแล้วว่าจะเล่าให้เขาฟังดังนั้นหน้าที่ของเขามีเพียงแค่รอให้ตะวันพร้อมแล้วก็พูดออกมาเท่านั้น ตอนนี้ถ้าดันทุรังถามเซ้าซี้มีแต่จะเพิ่มความเครียดให้อีกฝ่ายซึ่งนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ราเมศจะทำ
   
        “ไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนเถอะ” เขาดันหลังปานตะวันให้ออกเดิน “อาบน้ำให้หัวเย็นแล้วเดี๋ยวค่อยมานั่งคุยกัน”
   
         ปานตะวันขลุกอยู่ในห้องครึ่งชั่วโมงก่อนจะออกมาด้วยสภาพตาบวมนิดหน่อย ราเมศแสร้งทำเป็นไม่เห็นและไม่รู้อะไร บางครั้งคนเราก็ไม่ได้อยากแสดงความอ่อนแอมาให้ใครเห็น ครั้งนี้เจ้าแมวของเขาไม่ต้องการให้เขารู้ว่าตัวเองเศร้ามากจนต้องร้องไห้ออกมาถึงได้หลบไปร้องไห้ในห้องน้ำ
   
         พอปานตะวันแต่งตัวเสร็จพวกเขาก็มานั่งกันอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น หันหน้าเข้าหากัน ปานตะวันกัดริมฝีปาก บีบไม้บีบมืออย่างเคร่งเครียดจากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองเจอมาในวันนี้
   
        ราเมศเป็นผู้ฟังที่ดี ระหว่างที่คนรักเล่าเขาจับมืออีกฝ่ายไว้ตลอด ลากไล้ปลายนิ้วไปมาบนฝ่ามือ เกาะเกี่ยวและกุมมือกันไว้จนกระทั่งปานตะวันเล่าจบ
   
        “เป็นวันที่หนักจริงๆ ด้วย ดีที่ปัญหาแก้ได้ทัน”
   
        “อือ แต่ก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี”
   
         “พี่รู้” ราเมศกอดเด็กน้อยของเขาเอาไว้ จูบไปที่ขมับ “พี่รู้ว่านายทำสุดความสามารถแล้วกับเรื่องนี้ และความผิดพลาดนั่นไม่ใช่ความผิดนาย”
   
        ตะวันไม่ตอบอะไร ราเมศจึงดันอีกฝ่ายออกแล้วประคองใบหน้าของคนรักไว้ มองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย แสดงความจริงใจและความเข้าใจให้ตะวันเห็น
   
        “พี่รักนายนะ”
   
        “ผมรู้” ตะวันเคลียปลายจมูกเข้ากับจมูกของเขา “ผมก็รักพี่เหมือนกัน ขอบคุณนะครับ”
   
        พวกเขาสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่ริมฝีปากจะทาบทับกันสนิท จูบครั้งนี้ไม่มีเรื่องของความใคร่ใดๆ มาเกี่ยวข้อง แต่มันเป็นจูบที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน การปลอบประโลมและการให้กำลังใจ ราเมศนอนหงายอยู่บนโซฟา มีปานตะวันทับอยู่ด้านบน ริมฝีปากยังคลอเคลียกันไม่ห่างในขณะที่ฝ่ามือของราเมศลูบไล้ไปตามเส้นผมและแผ่นหลัง
   
        “พรุ่งนี้จะดีขึ้นกว่าเดิม” ราเมศกระซิบ “มันจะผ่านไป”
   
        ปานตะวันมองตาเขาจากนั้นก็ยิ้ม รอยยิ้มอบอุ่นและแฝงแววขอบคุณ
   
        ราเมศใจเต้นกับรอยยิ้มนั้น รู้สึกยินดีที่เขาทำให้ปานตะวันยิ้มได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว
   
       นี่แหละ กฎง่ายๆ สามข้อที่ทำให้การอยู่กับปานตะวันไม่มีอะไรยุ่งยากเลย ใครๆ อาจมองว่าปานตะวันดื้อ เอาใจยากหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับราเมศผู้จับจุดอีกฝ่ายได้แม่นยำแล้วการใช้ชีวิตร่วมกับอีกฝ่ายไม่เกิดปัญหาที่ตรงไหน เรียกได้ว่าจัดการได้อยู่หมัดเลยทีเดียว
   
        “พี่เมศ ถามจริงเหอะ เอามันอยู่ได้ยังไง” ชนกันต์เคยแอบมากระซิบถามเขา “ไอ้ตะวันเลี้ยงยากออก”
   
        คนถามรู้ฤทธิ์เพื่อนตัวเองดี พักนี้เห็นมันกลายจากแมวแสบเป็นแมวเชื่องแล้วก็นึกถึงปนนับถือราเมศ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีใครที่คุมปานตะวันอยู่ได้โดยไม่ใช้ไม้แข็งอยู่จริงๆ!
   
        พอได้ยินคำถามของกันต์ราเมสก็หัวเราะในลำคอก่อนตอบว่า
   
        “แมวน่ะนะ ถ้านายตามใจมันถูกทางถูกวิธียังไงก็เชื่อง ของแบบนี้มันต้องมีทริค”
   
         “หืม บอกได้ไหมพี่”
   
         “ไม่ได้หรอก เป็นทริคลับ” ขืนบอกไปก็จะไม่ได้มีแต่เขาแล้วสิที่ปานตะวันเข้ามาอ้อนได้ ราเมศเหลือบมองเพื่อนแฟนแล้วก็ยกยิ้ม
   
         “นายรู้แค่ว่าแมวที่ชื่อปานตะวันไม่ได้เลี้ยงยากอะไรมากมายก็พอ”

****************************************************

เอาตอนพิเศษตอนใหม่มาลงให้แล้วค่ะ  :katai5:
ตอนนี้สั้นๆ หวานๆ อยากเขียนอะไรเบาๆ บ้าง พักนี้รู้สึกเหมือนใจและร่างจะพัง 5555
ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ (เทน้ำตาลให้คนอ่าน)
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Somporn ที่ 24-11-2017 18:43:37
ชอบๆ ขอบคุณครับผม  :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 24-11-2017 19:03:50
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 24-11-2017 20:01:34
 :m1: :m3:

 o13 o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 24-11-2017 21:25:22
ชอบค่ะ  หวานละมุนละไมมากค่ะ
พี่เมศน่ารักเช่นเคย 
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-11-2017 21:44:44
 :L2: :L1: :pig4:

ขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-11-2017 22:38:57
ผู้เชี่ยวชาญ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-11-2017 23:39:32
ตะวันน่ารัก หนูเจียด้วย ทั้งแมวเล็กแมวใหญ่เลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 25-11-2017 06:39:35
น่ารักค่ะทั้งแมวใหญ่แมวเล็กสามีแมว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie ที่ 26-11-2017 00:15:54
อ่านจบแล้ว คือตาบวมมาก ร้องไห้จนเจ็บตา  :o12:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 26-11-2017 09:19:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 28-11-2017 11:51:31
:pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-11-2017 09:47:28
ขอบคุณค่ะสำหรับตอนพิเศษ พี่เมศเนี่ยมือโปรในการเลี้ยงแมวเลยนะคะเนี่ยถึงได้เอาอยู่ทั้งแมวเล็ก แมวใหญ่
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-11-2017 20:31:35
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-11-2017 10:07:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: armsa2531 ที่ 30-11-2017 10:47:37
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-11-2017 12:51:13
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงแมวอย่างแท้จริง ต้องยกนิ้วให้พี่เมศ ฮา
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-11-2017 18:29:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 30-11-2017 23:11:56
จากคำโปรยบอกเป็นนิยายฟิวกู้ด
แรกๆอ่านไปมันก็กูดีอยู่แต่หลังๆนี่น้ำตามาเต็ม
คนเขียนหลอกเรา แงๆ

แต่ชอบเรื่องนี้นะ มันมีเหตุมีผลของมันอยู่ ทั้งตอนสุขตอนเศร้า

ขอบคุณที่เขียรเรื่องดีๆให้อ่านน๊าาาา
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 01-12-2017 13:20:27
 :katai3: :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 01-12-2017 14:41:01
พี่เมศ  :m3: :m1: :m3:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 02-12-2017 17:23:23
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ  :mew1:  :3123:  :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 04-12-2017 02:05:53
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน พลาดสายตาไปได้ยังงัยไม่รู้

ดีมากกกก ขอบคุณผู้แต่งนะคะ อยากอ่านเกล้าเจียหลินจังเลยค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 04-12-2017 02:37:06
น่ารักที่สุดอ่ะ นู๋เจียนี่เป็นโซ่คล้องใจโดยแท้ ตัวละครมีพัฒนาการดีมาก อ่านแล้วอบอุ่นสุดๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 04-12-2017 18:50:13
 :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๓ วิธีเลี้ยงแมวฉบับราเมศ (๒๔/๑๑/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-12-2017 00:55:24
น่ารักดีค่ะ สมกับเป็นราเมศ

ปานตะวันถูกน็อคแบบเนียนๆ ไม่รู้ตัว
ราเมศอบอุ่นมาก ใส่ใจ ดูแล เป็นพ่อบ้านตัวจริง

หนูเจียก็น่ารักมากค่ะ ดูแลกันดี

ครอบครัวแมวอบอุ่นมากแล้วสิน่า

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับตอนพิเศษ พาน้องแมวมาอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowrabbit ที่ 25-12-2017 18:55:53
ปานตะวัน
บทพิเศษที่ ๔
Christmas Gifts


         ตามธรรมเนียมของบ้านปานตะวันแล้วแม้ไม่ได้ฉลองเทศกาลคริสมาสแต่ก็ยังมีส่งของขวัญและการ์ดไปให้คนอื่นๆ อันที่จริงก่อนหน้านี้ที่นี่ไม่มีธรรมเนียมอะไรทั้งนั้นแต่เพราะนี่เป็นคริสมาสปีแรกที่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าปานตะวันจึงริเริ่มกิจกรรมอะไรสักอย่างมาทำด้วยกัน
   
        ปีนี้พวกเขาสามคนแลกการ์ดคริสมาสกัน ปานตะวันกับราเมศ(ในชุดซานต้า)แอบเอาการ์ดและของขวัญไปวางไว้ที่หมอนของหนูเจียตอนที่เด็กน้อยหลับ ส่วนหนูเจียนั้นแอบย่องมาวางการ์ดไว้ใต้หมอนและวางของขวัญไว้ที่ปลายเตียงพวกเขาตั้งนานแล้ว ปานตะวันอยากจะบอกว่าท่าทางตอนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าแอบย่องเข้าห้องนอนคุณน้าของหนูเจียนั้นน่ารักมาก
   
        นอกจากแลกของขวัญกันเองแล้วพวกเขาทั้งสามยังได้ของขวัญจากคนอื่นด้วย
   
        ปานตะวันได้กระเช้าขนมไทยที่จัดมาอย่างประณีตสวยงามจากหลง ได้คุกกี้โฮมเมดฝีมือแม่ชนกันต์มากล่องใหญ่ ได้หนังสือ เสื้อ นาฬิกาข้อมือจากครอบครัวของพี่เมศ ได้ผ้าพันคอถักเองจากแม่ของเขา การ์ดอวยพรจากน้องสาวสองคนและรองเท้ากีฬาใหม่เอี่ยมจากพ่อเลี้ยง
   
        “มีคนให้ของนายเยอะไปหมดเลย”
   
        ราเมศมองปานตะวันเก็บเศษกระดาษห่อลงถังขยะหลังแกะของขวัญและเก็บเข้าที่จนเรียบร้อยแล้ว ปานตะวันส่งเสียงอืมในลำคอจากนั้นก็ปีนขึ้นเตียง มุดไปในผ้าห่มแล้วโผล่มานอนมองราเมศตาแป๋ว
   
        “มีคนให้ของผมเยอะแยะเลยเนอะ”
   
        “อ่าฮะ”
   
        “แล้วไหนของพี่เมศหว่า”
   
        ราเมศต้องกลั้นยิ้มแทบแย่ เขามองเจ้าเด็กแสบลอยหน้าลอยตาไปมา
   
        “เนี่ย ตะวันหาตั้งนานไม่เจอของพี่”
   
       “แล้ว?”
   
        “เอ้า อะไรอ่ะ ไม่มีของขวัญให้เหรอ” ราเมศแกล้งหรี่ตาเล็กน้อยขณะพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “นายก็ไม่มีให้พี่”
   
        “มีดิ ทำไมจะไม่มี”
   
        ว่าแล้วเจ้าแมวแสบก็หยิบกล่องของขวัญที่ห่อกระดาษสีฟ้าออกมาจากใต้เตียงแล้วดันไปตรงอกราเมศ “นี่ไง ให้แล้ว ไหนของตะวันอ่ะ”
   
        “รอเดี๋ยว”
   
        ราเมศคว้าเอวคนรักแล้วเหวี่ยงปานตะวันที่ปีนมาคร่อมบนตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ออก เจ้าตัวหัวเราะร่วนขณะนอนแผ่กางแขนขาอยู่บนเตียง ราเมศลุกไปหยิบกล่องของขวัญมาสองกล่อง “กล่องสีน้ำตาลของพี่ กล่องสีขาวของมิ้นต์”
   
        “พี่มิ้นต์ให้สองกล่องเหรอ”
   
        “อ่าฮะ”
   
         อันที่จริงราเมศก็แปลกใจอยู่นิดหน่อยที่มิ้นต์ให้ของขวัญพวกเขาสองกล่อง ตอนแรกเขาคิดว่าน้องสาวส่งมาผิดเลยส่งไลน์ไปถามแต่มิ้นต์บอกว่าเซอร์ไพรส์...อืม...ก็คงมีอะไรเซอร์ไพรส์จริงๆ นั่นล่ะ
   
        ปานตะวันกับราเมศนั่งอยู่บนเตียง ต่างฝ่ายต่างลงมือแกะของขวัญ ของราเมศปานตะวันให้ช็อกโกแลตกล่องใหญ่ที่ดูจากราคาแล้วก็ค่อนข้างแพงอยู่ ที่สำคัญคือนอกจากช็อกโกแลตแล้วในกล่องยังมีตุ๊กตาแมวหน้าบูดอีกหนึ่งตัว อะไรน่ะ วูดูเหรอ?
   
        “นั่นราเมศหมายเลขสอง”
   
         “ฮะ!?”
   
        “หน้าเหมือนพี่ออก ดูดิ หน้าบึ้งเหมือนกันเปี๊ยบ”
   
        “ปานตะวัน!”
   
        “ฮ่าๆๆๆ”
   
        ราเมศฟาดก้นเจ้าเด็กร้ายกาจไปหนึ่งที ปานตะวันแกะกล่องของขวัญของเขาแล้วก็อุทานออกมาเบาๆ เมื่อพบเฟอร์เรโร่กล่องใหญ่ ดูเหมือนเขากับราเมศจะใจตรงกันเรื่องของขวัญ
   
        “ชอบช็อกโกแลตใช่ไหมล่ะ”
   
        “ช่าย โดยเฉพาะที่ซื้อให้พี่”
   
        “คือซื้อมากะกินเองว่างั้น”
   
        “เปล่า ซื้อมากินกับพี่เมศต่างหาก”
   
         ปานตะวันลากเสียง คว้าเอาดาร์กช็อกโกแลตในกล่องที่เขาให้ราเมศมาชิ้นหนึ่งแล้วก็งับปลายเข้าไปด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้าน...
   
        ราเมศหัวเราะเบาๆ ตอนที่ปานตะวันปีนมาคร่อมตัก แขนของอีกฝ่ายคล้องลำคอเขาไว้ ราเมศโอบแขนรอบเอวอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติจากนั้นก็งับช็อกโกแลตอีกด้านทันที
   
        ความร้อนของริมฝีปากและปลายลิ้นทำให้ช็อกโกแลตละลาย เปื้อนริมฝีปาก แก้ม และปลายจมูก
   
       พวกเขาจูบกันเหมือนริมฝีปากของอีกฝ่ายเป็นแม่เหล็กขั้วตรงข้าม ลมหายใจปั่นป่วน ปานตะวันไม่รอช้าเมื่อช็อกโกแลตชิ้นที่สองถูกป้อนถึงปาก
   
       ชายหนุ่มไม่ได้งับแค่ช็อกโกแลต...แต่เขายังรับเอาปลายนิ้วของคนป้อนเข้าไปด้วย เสียงจุ๊บน่าอายดังขึ้นเมื่อปานตะวันไล้เลียนิ้วชี้เปื้อนคราบช็อกโกแลตของราเมศ ดวงตาสีนิลสองคู่ประสานกันไม่ลดละ ปานตะวันรู้สึกร่างกายร้อนผ่าว สายตาของราเมศ จูบของราเมศ ลมหายใจ เสียงครางทุ้มลึกในลำคอและปลายนิ้วที่ขยับอยู่ในปากของเขากำลังแผดเผาปานตะวันช้าๆ
   
        “พอก่อน”
   
        ปานตะวันส่งเสียงในลำคออย่างขัดใจเมื่อราเมศถอนนิ้วออกจากปากของเขาพร้อมกับดันตัวปานตะวันลงจากตัก
   
        พอ? ทั้งที่อะไรๆ มันห้ามไม่ได้แล้วเนี่ยนะ!
   
        “นายยังไม่ได้แกะของมิ้นต์”
   
        “พรุ่งนี้ไม่ได้หรือไง”
   
        “ไม่ได้”
   
        ราเมศดูสนุกกับการที่เห็นเขาฮึดฮัด ปานตะวันเม้มปาก กลายร่างเป็นเด็กเอาแต่ใจอีกครั้ง เขาคว้ากล่องของพี่มิ้นต์ขึ้นมาแกะ พยายามเร็วให้ได้เท่าที่จะทำได้และพยายามไม่ให้ปลายนิ้วสั่นระริก ในที่สุดกล่องสีขาวเรียบหรูก็ปรากฏสู่สายตา ปานตะวันเลิกคิ้วเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่อง
   
        “ลิปสติก? อะไรเนี่ย”
   
        ราเมศเองก็งงเหมือนกัน
   
         “แน่ใจนะว่าพี่มิ้นต์ส่งมา”
   
        “มินต์บอกเซอร์ไพรส์”
   
        “เออ ตูมใหญ่เลย”
   
        ปานตะวันหัวเราะ หยิบเอาลิปสติกหลากสีมาหมุนเปิดดูอย่างชอบใจ “ทำไมผู้หญิงถึงได้ซื้อทีเดียวหลายแท่งนักนะ ทาหมดหรือไงก็ไม่รู้ แถมสีมันก็เหมือนๆ กันอีก”
   
        “มิ้นต์บอกว่าแดงแต่ละเฉดไม่เหมือนกัน”
   
        “นั่นแหละๆ” ปานตะวันโบกมือ เรื่องของเครื่องสำอางและความงาม เขาเข้าไม่ถึงจริงๆ “แต่ส่งมาแบบนี้ตะวันก็ใช้ไม่ได้นา...นอกจาก...”
   
        “นอกจาก?”
   
        “พี่เมศจะอยากลองอะไรใหม่ๆ”
   
         ราเมศกล้าเอาหัวเป็นเดิมพัน เขารู้ว่าปานตะวันกำลังคิดอะไรพิสดารล้านแปดอีกแล้ว และมันก็จริงเสียด้วยเมื่อปานตะวันหยิบลิปสติกสีแดงมาแท่งหนึ่งแล้วบรรจงทาลงบนริมฝีปากตัวเอง พออีกฝ่ายหันมามันก็ดูน่าขันหน่อยๆ แต่ราเมศหัวเราะไม่ออกเมื่อเจ้าตัวแสบปีนกลับขึ้นมาแล้วจูบลงที่แก้มเขาแรงๆ จนมีรอยลิปอยู่ที่ผิวเนื้อ
   
         ปานตะวันหรี่ตา
   
        “ตื่นเต้นแปลกๆ แฮะ”
   
        “เล่นบ้าอะไร”
   
        “น่าๆ” ปานตะวันหัวเราะ จูบปิดปากคนช่างบ่นไปอีกราวสามนาที “ป๋าขี้บ่นจริงๆ”
   
        “เรียกพี่ว่าอะไรนะ”
   
         ความคับแน่นที่บดเบียดอยู่ที่สะโพกทำให้ปานตะวันรู้ตัวว่าเขาคุมเกมแล้ว ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ จูบไปใบหน้าราเมศก่อนจะลากริมฝีปากมาใบหู ขบเม้ม จูบยั่วเย้าแล้วก็เป่าลมฟู่ใส่หู
   
        “เรียกว่า...อืม...ว่าอะไรน้า”
   
        “ปานตะวัน”
   
        “ดุอีกแล้ว ทำไมคุณป๋าดุแบบนี้ล่ะ” ปานตะวันจูบติ่งหูคนรัก กระซิบเสียงแผ่ว “อุตส่าห์เป็นเด็กดี”
   
        “เด็กแสบ”
   
        ราเมศว่าแต่มันก็ไม่ได้ดูดุดันเท่าไหร่หรอกเพราะตอนนี้เสียงของเขาแหบพร่าแล้วก็เต็มไปด้วยความต้องการ ปานตะวันรู้ดีเพราะเจ้าเด็กนั่นหัวเราะไม่หยุด น่าจับตีก้นนัก
   
        “ตะวันต้องเป็นเด็กดีสิ” ว่าพลางถอดเสื้อและกางเกงนอนโยนไปข้างเตียงช้าๆ ราเมศมองตามการกระทำนั้นตาไม่กะพริบ “เป็นเด็กดีแล้วคุณซานต้าจะได้ให้รางวัลไง”
   
       ไม่มีเหตุผลอะไรจะดึงสติราเมศได้แล้ว เขาคำรามแล้วก็กดร่างคนรักลงกับเตียงทันที
   
        วันนี้ราเมศ ‘ให้รางวัล’ เด็กดีของเขาแบบร้อนแรงเป็นพิเศษ ปานตะวันครางจนเสียงหายตอนที่ราเมศปรนเปรอให้ด้วยริมฝีปาก รู้สึกมากจนน้ำตาซึม ลิปสติกถูกทามาที่ริมฝีปากเรื่อยๆ ให้ปานตะวันใช้มันประทับไปทั่วร่างกายแน่นหนั่นของคนรักในขณะที่ช็อกโกแลตก็ถูกเกลี่ยไปทั่วร่างขาวเพื่อให้ราเมศชิมรส
   
        พรุ่งนี้พวกเขาต้องซักผ้าปูเตียงยกใหญ่แน่ๆ แต่ช่างมันเถอะ
   
        “อ๊ะ...อ่า พี่เมศ”
   
        คนบนตักบิดตัวเร่าเมื่อปลายนิ้วชุ่มสารหล่อลื่นกดสอดเข้าไปในร่าง ลูบไล้ในจุดที่ทำให้ปานตะวันตัวแดงเรื่อ
   
        ราเมศมองลูกแมวของเขา ตามเนื้อตัวเปลือยเปล่ามีแต่คราบช็อกโกแลตสลับกับรอยจูบ บนคอของเด็กน้อยมีรอยรักหนึ่งรอยแต่ใต้ร่มผ้า...แทบจะไม่เหลือที่ว่าง ปานตะวันจิกปลายเท้าลงกับเตียงเมื่อราเมศหยอกเย้ายอดอกของเขา ราเมศมองใบหน้าของคนรักอย่างหลงใหล ลิปสติกเปื้อนแก้มและรอบปากปานตะวัน เลอะเทอะพอๆ กับช็อดโกแลตนั่นแหละ
   
        แต่ทุกครั้งที่ปานตะวันเผยอปากหอบคราง เรียกชื่อเขา กระซิบถ้อยคำลามกที่ยามปกติคงไม่มีวันได้ยินด้วยริมฝีปากคู่นั้น ราเมศก็รู้สึกว่าขีดความอดทนเขาลดต่ำลงทุกที
   
        ชายหนุ่มควานหาถุงยางที่ลิ้นชักหัวเตียง พวกเขาไม่เคยทำโดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกัน ปานตะวันซีเรียสกับเรื่องนี้
   
        “เด็กดี” ราเมศพยายามผ่อนคลายให้ปานตะวันมากเท่าที่จะทำได้ เขาแทรกตัวลงไปอย่างเชื่องช้า ปานตะวันหน้าบิดเบ้ ช่องทางคับแคบบีบรัด “เด็กดี ใจเย็นๆ”
   
        ร่างกายของพวกเขาเข้ากันได้ดี ราเมศรู้ข้อนี้เพราะไม่นานหลังจากนั้นปานตะวันก็รับตัวตนของเขาเข้าไปจนหมด ตอนที่เขาเริ่มขยับสะโพกปานตะวันก็คว้าเขาไปจูบทันที ยิ่งจังหวะรุนแรงจูบก็ยิ่งลึกซึ้ง เมื่อใกล้ถึงปลายทางราเมศจึงพรมจูบไปทั่วใบหน้าคนรัก
   
        “พี่รักนายนะ รักนายมากๆ”
   
        “พี่เมศ...อึก...พี่เมศ”
   
        ปานตะวันหอบหายใจ อาการเกร็งผ่อนคลายลงเช่นเดียวกับราเมศจากนั้นเจ้าแมวของเขาก็ยิ้ม กางแขนออก รองรับน้ำหนักตัวและไออุ่นของราเมศเอาไว้
   
       ปานตะวันครางในลำคออย่างพึงพอใจตอนที่จมูกพวกเขาปัดไล้กัน ราเมศจูบขมับชื้นเหงื่อของคนรักก่อนจะลุกขึ้นทำความสะอาดร่างกายให้ตนเองและปานตะวันปิดท้ายด้วยการจับคนรักแต่งตัวเหมือนเล่นตุ๊กตา ราเมศจัดการเก็บกวาดของขวัญที่หมดเกลี้ยงในพริบตาไปทิ้งลงถังขยะ พวกเขาใช้ลิปสีแดงหมดไปเกือบครึ่งแท่งเห็นจะได้
   
       “พี่เมศ มีคนไลน์มา”
   
       ปานตะวันที่ซุกอยู่ในผ้านวมหลับตาพูดอย่างเกียจคร้าน ราเมศหยิบโทรศัพท์มาอ่านไลน์ระหว่างที่ปล่อยให้เจ้าลูกแมวหันมาซุก
   
        MinTniM:พี่เมศ หนูส่งของขวัญไปผิดกล่อง นั่นลิปสติกหนู! อย่าเอาไปทำอะไรแผลงๆ นะยะ มันแพง!
   
        ราเมศกะพริบตา ตัดสินใจปิดการแจ้งเตือนแล้วคว่ำหน้าโทรศัพท์ไว้ตรงหัวเตียงจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนแล้วคว้าปานตะวันมากอดไว้
   
        “ชอบคริสมาสปีนี้ไหม”
   
        “ชอบ ดีที่สุดเลย ทั้งขนม การ์ดแล้วก็...เมื่อกี้ด้วย”
   
        เพื่อรอยยิ้มซุกซนของปานตะวันแล้วลิปสติกแท่งสองแท่งจะเป็นอะไรไป เอาไว้เขาซื้อยกเซ็ตใหม่ให้มิ้นต์เลยก็ได้ถือว่าเป็นรางวัลปลอบใจแล้วกัน
   
        สุขสันต์วันคริสมาสนะทุกคน

************************************************

เมอร์รี่คริสมาสค่ะทุกคนนนน  :กอด1:
จริงๆ อยากเขียนธีมวันนี้แบบอบอุ่นน่ารัก หิมะฟุ้ง แต่ไหงออกมาแบบนี้ก็ไม่รู้ 55555
เขียนไปก็คิดว่าตะวันสมควรโดนพี่เมศตีจริงๆ นั่นแหละค่ะ ดื้อซะ
ส่วนพี่มิ้นต์หลังเหตุการณ์วันนี้ก็ได้ลิปสติกเซ็ตใหม่จากพี่ชาย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน...
ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 25-12-2017 19:15:35
555555 น้องมิ้นท์เอ๋ยยย ไมาทันแล้ววว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 25-12-2017 19:53:24
จะสงสารใครดี ระหว่างมิ้น ปานตะวัน หรือลิปสติก

[ก็เค้าโดนใช้ผิดประเภทอ่ะ..ลิปสติกโวย]

 :hao6: :hao6: :hao6:

บวกเป็ดโล้ด  o13 o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookai ที่ 25-12-2017 20:30:25
ว้าวววววลิปสติก...คึคึ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 25-12-2017 21:33:14
555ไม่ทันแล้วค่ะมิ้นท์
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-12-2017 23:04:47
ว้าว
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-12-2017 00:55:37
ตะวันดูแซ่บขึ้น 80% เลยยย
คิดถึงหนูเจียจังเลยค่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 26-12-2017 10:21:02
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 28-12-2017 17:21:14
เป็นคริสมาสที่ร้อนแรงเอามากๆๆๆ ลิปสติกมันดีอย่างนี้นี่เอง
มิ้นยกให้พี่ไปเถอะนะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-12-2017 00:20:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-12-2017 13:36:22
เป็นคริสต์มาสที่ร้อนแรง และเร้าร้อนมากๆ :-[
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 30-12-2017 07:09:31
มันดีเหลือเกิน อุ่นจนร้อนนนน น่ารักคู่เลยยย คิดถึงหนูเจียนะคะ คุณน้าแอบมาสวีทกัน 5556
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 01-01-2018 19:26:16
ทำไมแมวแสบกลายเป็นแมวยั่วซะละ

ปานตะวันน่ารักนะ อยากฉลองกับพี่เมศก็บอก
แล้วใช่ว่าราเมศจะไม่ปลื้มนะ ปลื้มหนักกว่าไปอีก

คือยอมเซตใหม่ให้สองเซตเลยค่ะมินต์

หนูเจียไม่น่ารีบนอนเลย 5555
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: MNIMD ที่ 02-01-2018 00:48:32
คุณราเมศกับตะวันแซ่บมาก โถ่ มิ้นต์บอกช้าเกินไปแล้วเธอ น้องตะวันนี่เหมือนแมวจริงๆ คุณราเมศฟัดแมวตัวนี้ไปเลยค่ะทั้งวันให้สมกับความขี้ยั่วของน้องเขา
สวัสดีปีใหม่นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: tensita ที่ 14-01-2018 17:07:28
ทนรอในเด็กดีไม่ไหว ตามมาอ่านในนี้ก็ได้55555555555555555555555555555555555555555555555555 :mew6:

ว่าแต่ใครรอหน้าเรือนไทย ฮึ?????
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-01-2018 10:39:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mayana ที่ 23-03-2018 17:54:54
อ่านรวดเดียวจบ สนุกมากกก //ปาดน้ำตา  :m15:
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ เนื้อหาดีๆ ที่สอดแทรกความรู้ไว้ให้ค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 16-04-2018 10:58:04
ขอบคุณสำหรับนิยายน้ำดี..ที่อ่านไปน้ำตาไหลพรากไป เป็นกำลังใจให้ครอบครัวแมวเหมียว  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-06-2018 17:09:44
ประทับใจมากเลยค่ะ ชอบมาก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: c4jeab ที่ 26-08-2018 23:39:29
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: sackyjung ที่ 13-10-2018 04:00:48
 :mew1:สนุกมาก ๆ เลย ปนเศร้าเล็ก ๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 14-10-2018 15:51:02
สนุกมาก ๆ ค่ะ ตามอ่านรวดเดียวจบเลย
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 23-10-2018 14:29:34
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ รู้สึกเสียดายมากที่เจอเรื่องนี้ช้าไป สนุกมากจริงๆค่ะ เราชอบตัวละครทั้งหมดมาก พี่เมสเป็นพระเอกที่อบอุ่นมาก เป็นผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำสูงมากกกก อิจฉาตะวัน 55555 ปานตะวันกับหนูเจียก็น่ารักน่าเอ็นดู  ตอนดราม่าทำเราร้องไห้หนักมากเลย แต่พอเค้ามีความสุขเราก็ยิ้มตามค่ะ ตะวันมีทั้งรักที่ได้จากคนรัก ครอบครัว มีมิตรภาพที่ดีจากเพื่อนอย่างหลงและกันต์ เรื่องนี้ทำให้เราเห็นถึงอะไรหลายๆอย่าง ขอบคุณคุณนักเขียนจริงๆค่ะ เรื่องนี้สมบูรณ์แบบจริงๆ
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 23-02-2019 18:09:17
                               :กอด1: :กอด1: :กอด1:
                       :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 03-03-2019 23:10:18
ตล๊กกก  :laugh: แสบจริง ๆ // ขอบคุณนะคะ สนุกมากเลยค่ะ

อ่านไปซับน้ำตาไป (ฮา) เจียหลินน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: kimhamwong ที่ 06-03-2019 21:55:03
เป็นนิยายคุณภาพอีกเรื่องนึงเลยค่ะ ชอบทุกตัวละคร ชอบการดำเนินเรื่อง แก้ปัญหาทุกปม
คนเขียนกล้าที่จะนำเสนอปมของปานตะวันที่โดนทำร้าย มันสุดจริงๆ
บีบคั้นมากกก ร้องไห้ตาแดง สงสารอ่ะ
ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่าน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 20-05-2019 10:55:20
อ่านรวดเดียวจบเลย เป็นอะไรที่สนุกมากกก
ครบรสเลยทีเดียว บางตอนคือน้ำตาแตกอ่ะ
แต่ชอบนะ ชอบในความใจสู้และความอดทนของทุกคน
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 31-10-2019 13:12:48
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้ คือดีมากกกกกกกกก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 01-11-2019 14:37:33
ร้องจนเหนื่อยยยยยยยยยยจะบ้าตายยยอ่านเมื่อคืนคือลืมตาแสดงความเห็นใดๆไม่ได้เลยเพราะร้องหนักมาก ดีไปหมดดีงามทุกตอนอยากมีพี่เมศเป็นของตัวเองมากก ต่อไปขอให้ตะวันมีแต่ความสุขเลยนะ และที่สำคัญหนูเจียน่ารักมากกกกกกกกกอยากอ่านคู้เกล้าเจียมากกกก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 23-03-2020 12:18:27
อ่านบทที่26จบละ ตอนตะวันว้ากแม่ เราน่ะไม่รู้สึกว่าตะวันพูดผิดตรงไหนเลย เพราะถ้าแม่ดูแลตะวันไม่ได้จะเอาตะวันไปทำไม ทำไมไม่ทิ้งไว้กับพ่อ เอาไปแล้วก็ทำเหมือนตะวันเป็นส่วนเกิน(ตรงนี้เราเข้าใจค่ะว่าแม่ไม่ตั้งใจ) เด็กคนนึงเกิดและเติบโตมาด้วยความรู้สึกอ้างว้างนี่มันต้องแย่มากแน่ๆ เราครอบครัวอบอุ่นเราเลยเข้าใจตะวันมากๆแค่จินตนาการว่าครอบครัวเราหายไปเราก็เหมือนไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรอีก

พอตะวันเข้าช่วงวัยรุ่น ขนาดเราบอกว่าครอบครัวเราอบอุ่น เราก็ยังมีช่วงที่เป๋เลย แล้วตะวันล่ะ ตะวันเหมือนต้องต่อสู้คนเดียว ต้องหาความรักในแบบอื่นๆมาทดแทนจนหลงทาง ไอ้ธีร์ก็สารเลวเกิน ตอนที่ตะวันลุกขึ้นได้แล้วมันยังกลับมา ด่ามันในใจเยอะมากตอนที่อ่าน

จริงๆ พอโตขึ้นอีกนิด สภาพจิตใจของตะวันก็คงโอเคขึ้นและจะรู้ได้เองว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดถึงมันจะเลวร้ายแต่มันก็ทิ้งบางอย่างเอาไว้ให้ตะวันนะ ประสบการณ์หล่อหลอมคน คำนี้ไม่ผิดหรอก เอาใจช่วยตะวัน
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 27-03-2020 14:29:54
จบแล้ว สนุกน่ารักมากเลยค่ะ
ถึงตอนมาม่า ก็น้ำตานอง
อยากอ่านตอนหนูเจียโตจังจะได้เจอกับน้องเกล้ามั้ยนะ
ชอบหนูเจียน่ารัก
หัวข้อ: Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 28-03-2020 13:16:53
กลับมาอ่านอีกครั้งก็ยังน้ำตาแตกเหมือนเดิมเลย  :hao5: