พิมพ์หน้านี้ - Re: Hot Café รัก ร้อน ลับ >>incest<< #ตอนที่31บทสรุป P.4 [25/02/17]**จบแล้วค่า**
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kiiro ที่ 24-11-2016 17:42:36
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง 7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด 7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ 7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ... (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข 17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ) เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com....................................... วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม ======================================================= Hot Café รัก ร้อน ลับ บทนำ เมื่อนำแม่เหล็ก 2 อันมาอยู่ใกล้กัน ขั้วเหมือนกันจะผลักกัน และขั้วต่างกันจะดูดกัน ส่วนคนที่มีความเหมือนกันทุกอย่าง จะเข้ากันได้ดี แต่ก็แย่งชิงเมื่อชอบอะไรเหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักแบ่งปัน -------------------------- สวัสดีคะ เรื่องแรกนะคะ น้องน้อยของฝากเนื่อฝากตัวด้วยนะคะ หากมีส่วนใดของนิยายเรื่องนี้คล้ายกับเรื่องอื่นๆ ขอให้ทราบว่าเรื่องนั้นๆ ได้แรงบันดาลใจมานะคะ --------------------------
บทนำ เมื่อนำแม่เหล็ก 2 อันมาอยู่ใกล้กัน ขั้วเหมือนกันจะผลักกัน และขั้วต่างกันจะดูดกัน ส่วนคนที่มีความเหมือนกันทุกอย่าง จะเข้ากันได้ดี แต่ก็แย่งชิงเมื่อชอบอะไรเหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักแบ่งปัน บทที่ 1 ศุกร์ นรก แตก ตึ่ง!...ตึ่ง!....ตึ่ง! ห้องนี่สิน่ะ.... “ช้า อาจารย์จะเข้าอยู่แล้ว” “โทษที ตื่นสาย เมื่อวานเพลียๆ” ว่าแล้วก็นั่งลงไปซะข้างกันเนี่ยละ อีกฝ่ายมองหน้าแบบ งง นิดหน่อย ครืด........ อะ อาจารย์มาแล้ว “ นักศึกษา วันนี้มีเทสนะ หวังว่าคงไม่ลืมกัน แยกโต๊ะทำข้อสอบได้” หันไปมองหน้าคนข้างๆ ก็โดนเลิกคิ้วใส่ ถึงว่า มันงง ตอนที่นั่งลง “เขียนหัวกระดาษให้เรียบร้อย อย่าเพิ่งทำข้อสอบจนกว่าอาจารย์จะให้สัญญาณ” ภคิน คริส เนย์เลอร์ ..... เดี๋ยวสิ!!! เขียนชื่อตัวเองลงไปทำไม อาจารย์จะด่ามันมั๊ยวะ เขียนชื่อตัวเองผิด คณิน อีฟ รหัสนักศึกษา สาขาวิชา คณะ เฮ้อ!!! ไม่รู้วันนี้จะต้องหายใจให้มันอีกกี่รอบ ดีน่ะ ที่หยิบกระป๋าตังค์มันมา เป็นค่ามาสอบแทน “น้ำ” .... “น้ำ” ..... “เฮ้ย!!” สะดุ้งพร้อมกันทั้งคนเรียก ทั้งคนโดนเรียก เมื่อมือเย็นจับเข้าที่บ่า “เป็นอะไร นี่เรียกหลายรอบละนะ” “ก็ ป่าว คิดเรื่องคำตอบที่เทสไปเมื่อกี้นิดหน่อย มีไรป่าว” ก็จะไปบอกได้ยังไง ว่าลืมตัวว่าตัวเองอยู่ในชื่อของอีกคน ใครจับได้ก็ตายพอดี “หิวว่ะ ไปกินข้าวกันมั๊ย โรงอาหารกลาง” โรงอาหารกลาง อืมมมมมมม ข้าวคลุกผัดกะเพราร้านเจ๊สวย โรงอาหารกลาง! เดี๋ยว... เฮ้ย!!! ไปไม่ได้ เจอเพื่อนก็ความลับแตกพอดี “ไม่ดีกว่าว่ะ ว่าจะไปซื้อของเข้าห้องนิดหน่อย ไปก่อนละ เจอกัน” ++++++++++++++++++ คณะบริหาร “ยังไม่สาย ห่า ไม่ต้องวิ่ง เดี๋ยวก็หน้าคว่ำ” เสียงเพื่อนตะโกน พลางทำให้เค้าชะลอฝีเท้าลง จนเมื่อเดินถึงโต๊ะ ก็นั่งลงหอบ แฮ่กๆ เหมือนหมาเหนื่อยทันที “เหนื่อยชิบหาย นึกว่าจะสาย” พลางยัดขนมปัง ที่ส่งข้อความบอกเพื่อนฝากซื้อเคี้ยวไปเรื่อยๆ “ เบาๆ เดี๋ยวก็ติดคอสำลัก แล้วทำไมมาจากประตูฝั่งนู้นว่ะ” “ก็ไอ้วิศวะตัวดีของมึงน่ะพอส แม่งป่วย ไข้ขึ้น มาสอบไม่ไหว บีบบังคับให้กูมาสอบแทน” “เหี้ยยยยยย อันตรายชิบหาย โดนจับได้ซวยเลยน่ะ ไอ้นิ่ง” “เออ เดะ ดีน่ะแม่งวิชาเลือก ที่เรียนเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นแก่ เกรด 4.00 ของมันมาตลอด กูแม่งไม่ไปให้หรอก” ตึ่ง!!! แอพแชทดังขึ้น ว่าแล้วมันก็มา ตายยากตายเย็น TN : Where ? NingNing : คณะ ก็บอกอยู่ว่ามีเรียนต่อ นี่ดีขึ้นละใช่มั๊ย? ขยับมาเล่นโทรศัพท์ได้เนี่ย TN : อือ NingNing : กินข้าวกินยาด้วย อ่าน..... แต่ไม่ตอบ..... ดูมันจะถามสักคำสอบเป็นไง ยากมั๊ย ถามมาได้แค่ Where? อยากจะด่าพ่อก็ไม่ได้ เสือกพ่อเดียวกันอีก “เห้ย… มึง” “ว่า?” “คนหน้าเหมือนมึง ติด อันดับ Top 5 หนุ่มฮอตมหาลัยว่ะ” ต้าร์พูดขณะส่งโทรศัพท์ให้ดู “เบื่อขี้หน้า แม่ง!!” กรอกตา เบะปากใส่ โทรศัพท์เพื่อน “เบื่อหน้ามัน มึงก็เบื่อหน้าตัวเองมั๊ยละครับ คุณน้ำนิ่ง แฝดเหี้ยไร เหมือนอย่างกะแกะ” “ไม่เหมือน เค้าจะเรียกแฝดมั๊ยว่ะ ไอ้ตาร์” “แหมๆ ออกรับแทนคุณวิศวะของมึงตลอดเลยน่ะครับ ไอ้คุณพอส” “ไอ้.........” พอสถึงกะด่าไม่ออกเมื่อโดนเพื่อนแซว “พอๆ ขึ้นเรียน เดี๋ยวสายพอดี” ---------------TBC----------------------------- ฝากไว้ในอ้อมอกทุกคนด้วยนะคะ
น่าสนใจค่ะ วิศวะฯกับบริหาร แถมเป็นแฝดอีก!!! รอตอนต่อไปค่ะ
บทที่ 2 เช้าถึง เย็นถึง กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!.... เสียงเปิดประตูร้านดัง ชายหนุ่มหลังเคาเตอร์หันไปมองผู้มาใหม่ “ไง... น้องชาย หน้าบูดมาเชียว” ………. “นิ่ง พอสมันเป็นไรว่ะ หน้าบูดมาเชียว” เพียวเอ่ย ถามเพื่อนน้องชาย เมื่อน้องชายมันใบ้กินไม่ยอมตอบ “โดนไอ้ตาร์แซวน่ะ” “ก็โดนทุกวัน มันจะยังหน้าบูดทุกวันอีกนะ” เป๊าะ! เป๊าะ! เอามะเหงกไปกินคนละที ทั้งพี่ ทั้งเพื่อน “จะขายมั๊ยของน่ะ ลูกค้ารอเพียบ เดี๋ยวเถอะ” Morning to Evening Café เกิดจากฝั่งบ้าน พอ.พาน ที่อยากให้ลูกชายทั้งคู่รู้จักรับผิดชอบ จึงสร้างร้านนี้ขึ้นมา เพียว ลูกชายคนโต เมื่อว่างจากกิจกรรมช่วงปี 2 ก็เข้ามาเป็นเด็กเสิร์ฟ และดูแลร้าน ทำทุกอย่าง เหมือนพนักงานคนอื่นๆ ช่วงนั้นที่มารดายังคงดูแลเต็มตัว และเมื่อขึ้น ปี 3 เรียนน้อยลง เค้าเองก็ได้เข้ามาดูแลเต็มตัว ส่วนพอส ก็เข้ามาช่วย หลังว่างจากกิจกรรมรับน้อง ตอนปี 2 และหลังจากเพื่อนสนิทมาขลุกที่ร้าน น้ำนิ่ง พอฟังพี่รหัสตัวเองและเพื่อนนั่งบ่นเหนื่อยๆเพราะเด็กที่ร้านเป็นพาร์ทไทม์ หมุนเวียนเปลี่ยนไป จึงอาสาไปช่วย เพราะอยากที่จะเรียนรู้งานอะไรเล็กๆน้อย แต่พอทำแล้วดันติดใจซะงั้น ก็พอหายไปขลุกอยู่ที่ร้านจนกลับบ้านช้าทุกวัน ก็มีคนรายงานแม่ จนต้องอธิบายให้ฟังกันยกใหญ่ หลังจากทำความเข้าใจกันเรียบร้อย 3 วันต่อมา ท่านแม่ก็ปรากฏกายขึ้น พร้อมแม่ ของ 2 พ.พาน ราวกับว่ามาทำการสู่ขอลูกเขยลูกสะใภ้ ที่ร้าน มีไอ้แฝดหน้าบึ้งนั่ง เหมือนไม่สมยอม อยู่ข้างๆ แต่ป่าวเลย!! มาเจรจาธุรกิจล้วนๆ ส่วนไอ้ธุรกิจที่ว่านั่น ก็ร้านนี้เนี่ยละ มันก็ไม่ใช่อะไร แม่เห็นดีเห็นงานกับความคิดที่ลูกชายอยากทำงานเพื่อศึกษาธุรกิจ แต่เป็นพนักงานมันก็จะไปรู้อะไรมากมาย ไหนๆ ก็เรียนบริหารมาแล้ว เลยขอเจรจาขอซื้อหุ้นของร้าน 30% เป็นของตัวเอง และอีก 10% เป็นของแฝดคนเล็ก เท่า 2 พ.พาน ส่วนทางฝั่งนู้นก็เห็นแก่ที่รู้จักกันมานาน เพราะลูกชายเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งอยู่มัธยมต้น จนถึงขั้นตามมาเรียนมหาลัยด้วยกัน คณะเดียวกัน ถ้าจะไม่ให้พ่อลูกชายตัวดีคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะขนาดตอนเด็กโดนจับแยกห้องกันยังไม่ยอมไปโรงเรียน เดือดร้อนพ่อแม่ต้องไปขอให้ย้ายห้องมาอยู่ด้วยกัน หุ้นของร้านนี้กกลายเป็นของตระกูล น้ำ 40% โดยปริยาย กลายเป็นร้านกาแฟและอาหาร ฝั่งบริหารที่กล่าวได้ว่า เจ้าของหน้าตาดีสุดๆ ร้านนี้แบ่งเป็น 3 อย่าง คือส่วนของ น้ำจะมีน้ำชงกับ กาแฟ เบเกอรี่ ก็เป็นขนมง่ายๆ รับจากนักศึกษาที่มีใจรักการทำขนมและฝีมือดีมาฝากขาย และก็ทำกันเองบ้าง ตามความอยากกิน สุดท้ายจะเป็นอาหารตามสั่งแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก โดยแต่ละวันจะมีเมนูแนะนำวนไปไม่ซ้ำ 2 อาทิตย์ ร้านชั้น 1 เป็นประตูกระจก บานยาวติดพื้นทั้ง 3 ด้านเปิดประตูเดินเข้าไปนิดหน่อยจะเจอ เคาเตอร์บาร์เป็นปูนเปลือย ไว้สั่งอาหาร ตั้งตรงกลางร้าน ซ้ายมือจะเป็นโต๊ะ กับเก้าอ้สูง ขวามือจะเป็นโต๊ไม้ใหญ่ ให้นั่งรวม 10 คนได้ เผื่อนักศึกษาจะมาสุมหัว นั่งกองนอนกองทำรายงาน ส่วนริมกระจก กลางร้าน จะเป็นโต๊ะไม้เล็กๆ ตั้งเรียงๆ กัน แค่ 10 กว่าโต๊ะ ร้านนี้ โต๊ะไม่เยอะมาก แต่ช่วงใกล้สอบ นักศึกษาก็แน่ บางทีถึงขนาดขอเอาเสื่อไปปูนอนที่สนามหญ้าข้างร้านกันเลย ถึงแม้จะไม่ได้อยู่แถวหน้ามหาลัยมากนัก แต่ก็อยู่ในโซนหอพัก พนักงานที่ร้านก็มีไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาแวะเวียนมาทำพาร์ทไทม์ซะมากกว่า เรียกว่า จัดตารางทำงานทีก็ปวดหัวเลย ส่วน กุ๊ก และคนชงกาแฟ จะมีประจำ เป็นไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กๆที่เป็นลูกคนงานจากบ้านพี่น้อง พ.พานนั้นและ แม่ส่งไปเรียนมาเพื่อเปิดร้าน ส่วนชั้น 2 ของร้าน ขึ้นบันไดด้านหลัง จะมีห้องพัก 2 ห้องนอน พร้อมห้องน้ำเล็กๆในตัว เอาไว้เวลาที่เหนื่อยจากวันที่ลูกค้าเยอะ จนไม่อยากกจะขับรถกลับคอนโด เช่นศุกร์ หรือ เสาร์ ก็จะนอนพักกันที่นี่ ส่วนแฝดผู้น้องนะหรอ มันไม่เคยจะได้ค้างหรอก เอ่ยปากบอกคนพี่ทีไร พี่มันก็บึ่งรถมารับกลับทันทีละ!! กริ๊ง! กริ๊ง! “ข้าวผัดต้มยำไม่ใส่ ข่า ตะไคร้ ใบมะกูด โต๊ะ 5 ได้แล้ว” เพียว เป็นผู้ช่วยพ่อครัวยามแขกที่ร้านเยอะ กดกริ่งเรียก ว่าแล้วขอดูหน้าคนสั่งหน่อยเถอะ ใครมันสั่งแปลกประหลาดขนาดนี้ ทีหลังมึงสั่งข้าวผัดน้ำพริกเผาเถอะ ลอดหน้าผ่านช่องส่งอาหารออกมาดู ก็พบคู่ปรับ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้คนที่หน้าเหมือนเด็กเสิร์ฟในร้านเนี่ยละ คนหน้านิ่งราวกับรู้ว่ามีคนแอบมอง หันไปสบกับพ่อครัวจำเป็นพอดี ต่างคนต่างชะงัก ละสายตาจากกันไป เอาว่ะ...นานๆกว่า คุณชายเค้าก็อุตส่าห์เสด็จมาที่ร้านสักที “นิ่ง … ปิดร้าน แล้ววันนี้ ร้านส้มมะ ไอ้ตาร์เล่นดนตรีใช่ป่ะ ชวนคุณชายเค้าไปด้วย” “ไม่รู้มันจะไปรึป่าวพี่เพียว เพิ่งสร่างไข้” ตอบพลางกลืนน้ำลายลงคอ “ 100 นึง เอาบาทเดียว กูว่ามันไป แต่ถ้าไม่ กูให้มึงร้อยนึงเลย ” ว่าแล้วไอ้แฝดน้องก็หยิบโทรศัพท์ กด จึกๆๆๆ ทำไมมันไม่เดินไปคุยกันว่ะ NingNing : วันนี้ไปร้านส้ม กับ พอส ตาร์ TN : อือ NingNing : เพียวไปด้วยนะ มึงกลับบ้านไปก่อนเลย TN : กลับละ โหมดประหยัดแบตมาอีกละ “ตกลงว่า ?” “ไม่ว่าอะไร” “ หว้า......... สงสัยมึงจะได้กินแบงค์ร้อยกูว่านิ่ง” ………………. แล้วๆๆๆๆ แล้วทำไม มันมานั่งจ้องหน้ากับไอ้ตาร์ร้านได้วะ ? ----------TBC---------------- ตอนนี้รายละเอียดสิ่งแวดล้อมเยอะนิดนึง อย่าเพิ่งเอียนกันนะคะ อยากใส่รายละเอียดรอบตัว และที่ไปที่มา จะได้เข้าใจกันมากขึ้น ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :mew1:
อยากรู้เรื่องพี่ชายฝาแฝด ดูหวงน้อง
บทที่ 3 ร้านส้ม ร้านชื่อ"ร้านส้ม" ทาสีส้ม พี่เจ้าของร้านชื่อส้ม แต่พอหนังวัยรุ่นดัง เจ๊แกก็เปลี่ยนเป็นส้มส้ม ชอบสีส้ม ชอบกินส้ม อยู่ฝั่งประตูบริหาร โต๊ะไม้สีขาว จะมีส้มวางไว้ให้ลูกค้ากินบนโต๊ะ เจ๊แกบอกว่ามันแก้เมา แฮ้งค์ได้ชะงัด ไอ้เด็กวิศวะที่ไม่ค่อยจะได้มา ทำให้ประชาชนในร้านแตกตื่น พอควร ก็คนที่ติดอันดับ Top 5 หนุ่มฮอตมหาลัย มานั่งอยู่กลางร้าน สาวๆ หนุ่มๆ วนเวียนมาชนแก้วเรื่อย ยื่นมองมัน 3 คนก็ทำหน้างง ไอ้คนหน้าเบื่อโลก มันรักษามารยาทดีเชียว ว่าแล้วก็เข้าไปนั่งโต๊ะนั่น ฝาแฝดนั่งลงข้างกัน ตาร์ขยับให้พอสนั่งตรงข้ามเด็กวิศวะ และเพียวนั่งหัวโต๊ะ ฝั่งน้ำนิ่งและตาร์ “ไง” คนโตสุดของโต๊ะเอ่ยทัก “อือ” เพียวพลางนึกในใจ ดีนะ มันมีมารยาทตอบกลับ “ไหนบอกกลับบ้าน” แฝดน้องกระซิบถาม “แล้วพูดไรผิดละ” เออ มันก็พูดไม่ผิด ก็แค่บอกว่ากลับบ้าน ไม่ได้บอกว่าไม่มา “....... อย่ากินเยอะละ ไข้กลับ ไม่ไปสอบแทนนะ” ประโยคหลัง นี่ต้องยื่นหน้ากระซิบใกล้ๆ โต๊ะอื่นได้ยิน งานจะเข้า ไอ้คนพี่หันมามอง แก้มแทบจะชนจมูก และกระเถิบหน้าออกไปนิดหน่อย เป๊าะ! เอามะเหงกไปกินซะหน่อย “เป็นผู้ชาย อย่าขี้เสือก” พลางสบสายตากับคนหัวโต๊ะ สายตาเพียวที่มองมานั้น ช่างเป็นสายตาที่แสดงว่าความสงสัย ในการกระทำของฝาแฝดนัก แม้ว่าเห็นกันมาแต่เด็ก แต่ก็ไม่ชินสักที “อ๊ะ!ไหนๆ ก็มีโอกาสร่วมโต๊ะ กะหนุ่มฮอตละ ชนกันเถอะ” ตาร์เอ่ยก่อนที่จะมีคนจ้องกันตาหลุด “เชี่ยตาร์ เดี๋ยวก็ร้องเพลงไม่รู้เรื่องหรอกมึง” “โถ่ๆๆ....นี่ใครครับ กีตาร์น่ะครับ ระดับไหนแล้ว รีบชน รีบกิน กูจะไปร้องเพลงละ” ดูๆไปก็แปลก เพื่อนน้องตัวเองเล่นกีตาร์เก่ง ร้องเพลงเพราะ แต่เสือกเรียนบริหาร ได้ยินชื่อมานาน ไหนๆเจอตัวต้องถามสักหน่อย ทำไมมันไม่เรียนสายนี้โดยตรง “ทำไมไม่เรียนเอกร้องเพลงว่ะ” “ห๊ะ!!” อุทานพร้อมกันทั้งโต๊ะ … และต่อด้วยเดตแอร์ ที่อยู่ๆไอ้โหมดประหยัดแบตเสือกพูดขึ้นเฉยๆ ไม่เรียกชื่อใคร ตาร์ได้สติก่อน เพราะนึกได้ว่า เมื่อกี้คุยกันเรื่องที่ตัวเองร้องเพลงอยู่ก็เลยตอบไป “บริหารนะอยากเรียนให้เป็นความรู้ แต่ดนตรีคือ สิ่งที่ชอบทำให้มีความสุขก็เหมือน มึงชอบเตะบอล ฝนตกก็ยังเตะจนป่วยนี่ไง” ยังไม่ทันจบคำพูดตาร์ คนน้องก็หันมามองหน้าด้วยความเร็วสูง “อ้าว... ไอ้นิ่ง กูก็นึกว่ามึงรู้ เมื่อวานกูผ่านสนามพอดีเลยเห็น โทษทีว่ะน้ำ ไม่รู้ว่ามึงไม่ได้บอกมัน” ตาร์รู้ว่าหลุดความลับอีกฝ่ายไป จึงขอตัวไปเตรียมร้องเพลง ทั้งโต๊ะจึงเหลือพี่น้อง 2 คู่ เพียวขยับไปนั่งตรงข้ามน้ำนิ่ง ตาน้ำเห็นแล้วรู้สึกคิ้วกระตุกทันที พลางโอบไหล่คนที่บางกว่าเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยชอบเล่นกีฬา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ กระซิบ “ขอโทษ” ให้ได้ยินกัน 2 คน ‘กริยานี้ เหมือนแฟนกันชะมัด’ เพียวกับ พอส นึกในใจ ด้วยคำเดียวกัน “อือ” กลายเป็นฝ่ายโดนกระซิบเข้าโหมดประหยัดแบต หูแดงแทนซะงั้น ว่าแล้ว วงเหล้าก็ดำเนินไปอย่างเงียบๆ เพลินๆ พร้อมกับ ดนตรีเพราะๆ ของตาร์ หนุ่มสาวในร้าน ยังคงแวะเวียน มาชนแก้วกับหนุ่มฮอต แม้ว่าหนุ่มฮอตนั้นจะนั้งเอียงตัวซบไหล่ฝาแฝดอยู่ก็ตาม ก็แฝดที่โดนซบนั้น นั่งคุยกับเพื่อนสนิท และพี่ชายเพื่อน ถึงการบริหารจัดการร้าน ตัวเค้ามันเด็กวิศวะนี่หน่า จะไปคุยอะไรกันรู้เรื่องเล่า! กรอกเหล้าเข้าปากอย่างเดียวพอ ------------------------------- ก็แล้วทำไมเค้าต้องแบกมันกลับละ! คนที่มันนั่งคุยจ้อๆ เสือกเมา อ่อนเอ้ย!! จับส้มยัดปาดยังไม่หายเมา ไม่รู้เพราะคนมันอ่อนเกินไป หรือส้มมันของปลอม ถูลู่ถูกัง กันมาถึงคอนโด ก็ลากมันไปไว้ที่เตียงตัวเองละกัน อย่าหวังว่าจะลากขึ้นชั้น 2 ตกบันไดคอหักกันพอดี ว่าแล้วก็จัดแจงถอดเสื้อผ้า เช็ดตัวให้หายเหม็นซะหน่อย เค้าเองก็ต้องอาบน้ำเหมือนกัน นอนเน่ากันทั้งคู่คงไม่ไหว เช็ดตัว ให้อีกคนเสร็จ ก้มลงดมกลิ่นว่าพอจะหายหายเหม็นรึยัง ก็เดินไปจัดการตัวเอง ล้มตัวลงนี่งที่เตียง ก่อนจะก้มหน้าเอาปากไปแตะอีกคน พลางยัดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม แขนวางไปบนอก พร้อมๆกัน เอาขาก่ายอีกคน หลับสนิท มันก็เลยไม่เห็นว่าให้คนที่โดนตัวเองกอดนะ กระตุกยิ้มที่มุมปาก ก็ใครมันจะไม่หายเมาว่ะ แม่งเล่นจับส้มยัดปากมาตั้ง 2 ลูก จะเกือบจะแหวะออกมาแล้ว แต่ขอเอาคืนหน่อยเหอะนะ เล่นไปเตะบอลจนป่วยแล้วไม่ยอมบอก แถมมาขอให้ไปสอบเทสแทนเนี่ย มันน่าหมั่นไส้!! ............................................. เช้าแล้ว....เสียงบรรยากาศพาให้รู้สึกตัวได้ ไอ้คนกอด ก็กอดอยู่อย่างเดิม ส่วนคนโดนกอด พลางนึกในใจ มันไม่เมื่อยหรือไงว่ะ พะงกหัวมองมันหลับสนิท ละก็นอนหลับตาลงอีกรอบ เช้าแล้ว....เสียงบรรยากาศพาให้รู้สึกตัวได้ เหงยหน้ามองไอ้คนโดนกอดมันก็นอนหลับตานิ่ง ส่วนเค้าพอขยับตัวก็รู้สึกเมื่อย พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ที่โต๊ะหัวเตียงฝั่งมัน นึกได้ว่าต้องรีบรับ เดี๋ยวอีกคนจะหงุดหงิด ขยับตัวคร่อมร่างอีกฝ่าย แล้วเอื้อมรับโทรศัพท์ “ครับ แม่” “ตาน้ำ น้ำนิ่ง แม่กลับแด๊ดกำลังจะถึงไทย ตอนนี้เครื่องพักอยู่ที่ญี่ปุ่นอยากได้อะไรมั๊ยคะ” “พักนี้ไม่มีอะไรที่อยากได้เลยครับ น้ำนิ่งยังไม่ตื่น ช่วงนี้ยังไม่มีบ่นว่าอยากได้อะไรครับ” “ตกลงครับ งั้นเดี๋ยวไปเจอกันที่บ้านคุณตานะลูก” ก็ยังไม่ทันจะถามถึงเวลา แล้วตอบกลับ แม่ก็รีบวางสาย กลัวเค้าไม่ตกลงรึไงกัน แม่วางโทรศัพท์แล้ว ก้มหน้ามองคนที่อยู่ใต้ร่าง คุยโทรศัพท์ขนาดนี้มันยังไม่ตื่น คงต้องปลุก! ว่าแล้วก็ก้มหน้า เอาปลายจมูกลงไปชิดกับอีกฝ่าย ส่ายหน้าไปมา ให้มันรำคาญเล่น เมื่อคนโดนแกล้งเริ่มรำคาญ ตากระตุก เริ่มรู้สึกตัว ก็ยกหน้าออก ทันที่อีกฝ่ายยกมือ ปัดจมูก รอบแรกไม่ตื่นใช่มั๊ย งั้นเบิ้ล!! รอบ 2 ยังไม่ทันที่ส่ายหน้าได้เยอะเท่าไหร่ หมับ! คนโดนแกล้งก็ยกมือจับที่หน้าคนแกล้งทันที ลืมตามองคนบนร่าง ส่งสายตาหงุดหงิด พร้อมคิ้วขมวด ให้คนที่คร่อมอยู่ “กลับบ้านกัน” “อือ” -------------------------TBC--------------------------------- มีคนมาแอบรอดูแฝดพี่หวงน้อง ดีใจจัง คนเขียนก็รอเหมือนกัน แฮ่!! ตอนหน้าแพ็คกระเป๋า ตามฝาแฝดสุดหล่อกลับบ้านกันเนอะ ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
เพิ่งเห็นว่าตัวเอง เขียนชื่อเรื่อง สลับ บริบทกัน ตกลงคือ "Hot Café รัก ร้อน ลับ" #รักร้อนลับ นะคะ ขอโทษด้วยที่สร้างความมึนงง
OMG!!!! ฉันคิดเหมือนพี่น้องสองพ. นะ คริคริ
ตอน 4 กลับบ้าน และที่มา "กลับบ้านกัน” “อือ” คนโดนแกล้งตอบรับ พลางตาจะหลับลงอีกรอบ เพื่อปรับโฟกัส ฝ่ายที่คร่อมอยู่ก็ก้มหน้าลงมาขบหูทันที่ ที่ตาปิดทันที “อือ...รู้แล้ว” ตอบพลางดันคนข้างบนยกหน้าออก เจ้าตัวก็ยังไม่ยกตัวออก ว่าแล้วก็ยกแขนขึ้น จับอีกฝ่ายหมุนลงไปอยู่ร่างใต้ร่างตัวเอง เห็นหน้าคนที่โดนเปลี่ยนสถานะเหวอไปนิดนึงก็แอบขำ ยังไม่ทันจะแกล้งอีกฝ่ายกลับ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น พร้อมกัน 2 เครื่อง ต่างคนต่างหันไปหาของ ของตัวเอง แล้วก็หันมามองหน้ากัน ก่อนคนที่คร่อมอยู่จะลุกขึ้น คว้าโทรศัพท์ของตัวเองแล้วเดินกลับไปห้อง ส่วนเจ้าของห้อง ก็หยิบโทรศัพท์ ออกไปคุยที่ระเบียง “ไงครับคุณทิม” เอ่ยทักคนโทรเข้ามันที “แสรด..........ตากฝนวันเดี๋ยว ถึงขนาดส่งฝาแฝดมาเทสแทน” “ หึหึ มึงจับมันได้ด้วยหรอว่ะ อย่าให้มันรู้เชียว น้อยใจตายห่า ที่มีคนรู้ว่าสลับตัว” “โถ่...ไอ้น้ำ มึงลืมไปแล้วหรอ นอกจากเพื่อนรักของแฝดน้อง มึงก็กูเนี่ย แทบจะเป็นคนแรกที่แยกมึง 2 คนออก แถมเมื่อวาน น้องมึงใส่เสื้อกันหนาวคลุมฮูด ร้อนจะตายห่า กูก็เลยแกล้งไปซะหน่อย” “ห่าทิม กูบอกว่าอย่าแกล้งมัน เดี๋ยวมึงโดน” ตอบพลางเงยหน้ามองชั้นบน “ช่วยไม่ได้ ที่หลังบอกกูก่อนว่าจะสลับตัวมา กูจะเลี้ยงดูปูเสื่อจับนั่งตักอย่างดี แค่นี้นะ” มันไม่ถือสายรอ ให้ด่ากลับหรอก ส่ายหัวกับเพื่อนตัวเอง นึกถึงสมัยปี 1 ที่เข้ามหาลัยใหม่ๆ เค้าจำได้ ทิมเคยเดินสวนกับน้ำนิ่งแถวโรงอาหารกลาง พอมาถึงคณะวิศวะ มันเห็นเค้า ก็พลางนึกว่าตัวเองตาฝาดโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ พอเข้าเดินจะเข้าไปทัก มันก็เดินถอยหนี เรื่อยๆ จนใส่ตีนหมาวิ่งหนี พอจับตัวได้ มันก็เลยเล่าให้ฟัง ขำกับความเพี้ยนของมัน คนอะไร คิดว่าคนเป็นผี สุดท้าย หลังจากเลิกเรียนวันนั้น ก็ต้องเรียกอีกคนนึงมาเจอ ทิมมันก็นั่งจ้องอยู่นานสองนาน จนมันมั่นใจว่าต่อไปจะแยกเพื่อนตัวเองกับฝาแฝดออก มันบ้าดี คบมันเป็นเพื่อนก็ซะเลย -------------------- อาบน้ำ แต่ง ตัวเดินออกจากห้องนอน พร้อมๆกับ คนที่วิ่งลงมาจากชั้นบน จนเกือบจะชนกัน มองแล้วก็ต่างคนต่างยิ้ม ก็ใส่เสื้อผ้าเหมือนกันเป๊ะ! ราวกับใจตรงกัน เดินเข้าส่วนครัว ไปหาข้าวเช้ารองท้องก่อนเดินทาง เก็บของเสร็จ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปที่รถ ถึงรถก็ประจำที่ คนพี่ขับรถ น้องนั่ง อย่างที่ไม่ต้องตกลงอะไรกัน ขับรถไม่นาน ก็เข้าเขตจังหวัด “ซื้อไรมั๊ย” คนขับเอ่ยปากถาม “แป้งห่อน้ำตาลเส้น ร้านเดิม” ทำหน้าเบื่อโลก แต่แล้วก็เบี่ยงรถเข้าทางที่คนนั่งต้องการ น้ำนิ่ง ยังคงเป็นน้ำนิ่ง ตาน้ำไม่เข้าใจ กะอีกแค่โรตีสายไหม มันจะซื้อร้านไหน ตรงไหน ไม่ได้หรอ หน้าตาก็เหมือนกัน ทำไมต้องถ่อมาซื้อหน้าโรงพยาบาลอยุธยา ที่สำคัญ ต้องร้านนี้ ตรงประตูนี้เท่านั้น แต่ก็นั่นละ เค้าจำได้ มีครั้งนึงเคยจอดซื้อร้านอื่นให้ เพราะตอนนั้นมันหลับ ลืมตาตื่นขึ้นมา มันก็ทำหน้าบูดใส่ ก็ต้องวนรถไปซื้ออีกรอบ จากโรงพยาบาลจังหวัด ขับออกมาไม่นาน ก็ถึงที่หมาย บ้านทรงไทยริมแม่น้ำอยุธยา มองจากรั้วบ้าน มีต้นไม้ขึ้นสูงจนแทบจะไม่เห็นตัวบ้าน มองผ่านๆ ใครๆก็นึกสวนผลไม้ธรรมดา สมัยเด็ก เค้าเคยบอกเพื่อนเล่นแถวนี้บ้านอยู่ในรั้วนี้ ก็โดยหาว่าเป็นแฝดผี อยู่กับต้นไม้ จนต้องพามันเข้าไปถึงตัวบ้าน ทำไมมีแต่คนชอบหาว่าเค้า 2 คนเป็นผีอยู่เรื่อย ไม่รู้กันรึไงว่าบ้านเรือนไทยสมัยก่อนนะ หน้าบ้านมันหันไปทางแม่น้ำ มีเรือนแพ ไว้เป็นท่าขึ้นเรือ เข้าจอดรถเรียบร้อยว่าแล้วก็เดินไปที่เรือนแพ ก็ตามที่คิดไว้ ใส่บาตร ทานข้าวเช้า ตากับยายก็นั่งรับลม ชมบรรยาศสวีทหวานแหว๋ว ลงไปถึง ก็ก้มกราบที่ตักคุณตา พร้อมกอดเข้าซ้ายขวา คนละข้าง แล้วกระเถิบไปหาคุณยายทำเหมือนกันอีกที คราวนี้ล้มลงนอนที่ตักทั้ง 2 ข้าง “ไง ลูกลิง มาถึงก็อ้อนยายเลยนะ” คุณตาเอ่ยทัก พลางมอง 2 หนุ่ม ทีไม่ว่าโตขนาดไหน ก็ยังจะชอบนอนตักอยู่ดี “ซื้อโรตีสายไหมมาฝากคุณตาคุณยายด้วยครับ” คนขับรถมันชิงพูดก่อนคนลงไปซื้อเฉย ว่าแล้วก็หมั่นไส้ ผลักหัวมันซะที “เอ้าๆๆ มาถึงไม่ทันไร ตีกันซะแล้ว” คนโดนผลักหัว ลุกขึ้น ขยับไปนอนตักคุณตาแทน ใช่สิ!!! คนโตน่ะหลานตา คนเล็กนะหลานยาย ว่าแล้ว หลานยายก็ลุกขึ้น เอามือจุ่มกับขันล้างมือ พลางพันโรตีสายไหม “คุณยายอย่าทานเยอะนะครับ มันหวาน” นอนอยู่มองอย่างหมั่นไส้ ไม่ให้กินยอะแล้วมันจะซื้อทำไมว่ะ “รักกันจริงนะหลานยายเนี่ยย แล้วของตาละ” นอนมองมือเรียวกว่าพันแป้งพลางวางในจานให้คุณตา “ร้านนี้คุณตาชอบครับ สายไหมไม่หวานเกินไป” คนหมั่นไส้ชักสีหน้าใส่ พลางได้ยินเสียงตะกุกตะกัก ของวิทยุ คุณตาเอามือทุบๆ เลยต้องลุกขึ้นมาดูบ้าง “มันน่าจะไม่ไหวแล้ว แก่เหลือเกิน” “ขอน้ำดูหน่อยครับ” ว่าแล้ว คนเรียนวิศวะก็ขอรื้อหน่อย “เอาๆ ให้มันกลับมาเป็นวิทยุละ เป็นเศษเหล็กแบบสมัยเด็ก ตาไม่เอานะ” คุณตาเอ่ย พลางขำไป นึกถึงสมัยเด็กที่หนุ่มวิศวะ ช่างรื้อ ช่างงัด จะแปลงร่างของสารพัดอย่าง ใช้ได้ดีขึ้นบ้าง พังบ้าง แต่ก็ไม่เคยจะทำโทษ เพราะคิดว่าเป็นการเรียนรู้ของเด็ก ทุบๆ เคาะๆ สุดท้ายก็อู้อี้ เหมือนเดิม ก็เค้ามันเรียนวิศวกรรมทรัพยากรน้ำนี่หน่า ว่าแล้วก็ล้มตัวนอนมองแม่น้ำไปเรื่อยๆ แล้วเอ่ยปากถาม “คุณตาครับ น้ำวนที่สามแยกแม่น้ำวัดพนัญเชิงยังมีอยู่มั๊ยครับ” “มันจะมีช่วงฤดูหน้าน้ำมา เดี๋ยวนี้ตาก็ไม่ค่อยได้ไปดูแล้ว หน้าน้ำมา ก็น้ำท่วมกัน โลกเรามันแปรปรวนปหมด” นั่น คือที่มาของชื่อเล่นเค้า เรื่องส่วนนึงของอยุธยา แม่เล่าว่า ตอนที่ท้อง แม่รู้ว่าแน่แล้วได้ลูกชายแน่ ถึงขนาดบอกว่าไม่ต้องอัลตร้าซาวน์ดู คุณตาที่เห่อหลานชายมากๆ ถึงขนาดที่สั่งแม่ห้ามเดินทาง ให้กลับมาอยู่ที่บ้านอยุธยา เพราะอากาศดี ตัวเองก็พลางนั่นคิดชื่อหลานชาย จนคุณยายปวดหัว เพราะอยากได้ความเป็นไทยให้เด็กลูกครึ่ง ช่วงหน้าน้ำมา คุณตาพาคุณยาย กับแม่ไปไหว้พระขอพรให้หลานแข็งแรง พอดีกับเป็นช่วงน้ำวนที่หลังวัดพนัญเชิง ก็ไอเดียอยากจะให้ชื่อเกี่ยวกับน้ำ ไหนๆบ้านก็อยู่มันริมแม่น้ำแล้วด้วย แต่จะให้ชื่อน้ำวนก็ไม่ได้ เพราะมันไหลลงๆๆ ไป คิดกลับไปมาเลยนึกถึง ”ตาน้ำ” ที่เป็นน้ำผุดขึ้นมา จนเกิดแม่น้ำลำธารต่างๆ พอถึงวันคลอด คนโตออกมาเป็นผู้ชายตามที่แม่บอก แต่มันดันมีอีกคนไม่ยอมออกนะสิ แถมมันยังน้อยใจที่คุณตาไม่รู้ว่าตัว เองอยู่ในท้องด้วย ก็เลยไม่ยอมออกมาง่ายๆ ทิ้งห่างเกือบ 5 นาที จนแม่ต้องขอร้องกับหมอและพยาบาลให้พาคุณตากับคุณยายเข้ามาเรียก จนยอมออกมานนั่นละ คุณยายนะข๊ำ ขำ พอไอ้คนเล็กออกมา คุณตาเลยตั้งชื่อว่าน้ำนิ่ง เพราะมันร้องแค่แอ๊ะเดียว ละก็นอนนิ่งๆ เหมือนงอน ไม่ยอมคุยด้วย คุณยายได้ที ก็เลยแบ่งหลานกันคุณตาเสร็จสับ โอ๋หลานคนเล็กซะยกใหญ่ หาว่าคุณตาไม่เคยนึกถึง กลิ้งไป กลิ้งมา คุณตาก็พลางชวนแฝดพี่เข้าสวน ส่วนแฝดน้อง ก็ขึ้นบ้านไปอ่านหนังสือให้คุณยายฟัง เวลาผ่านไปจนเย็น แม่กับแด๊ด ก็มาถึง ทานข้าวเย็นเรียบร้อย ใช่เวลาอยู่ด้วยกันเรียบร้อย ก็อาบน้ำ เข้าห้องนอน บ้านเรือนไทยส่วนตัวบ้าน แบ่งเป็น 3 หลัง คือห้องนอน คุณตาคุณยาย แม่กับแด๊ด และฝาแฝด ทุกห้อง ปรับให้มีห้องน้ำในตัว ไม่เหมือนบ้านสมัยก่อน ของฝาแฝดจะมีห้องน้ำห้องเดียว ไม่แยกเป็น 2 ห้อง ส่วนห้องพระต้องเดินตามทางเดิน ส่วนของห้องคุณตาไปอีกหน่อย ห้องฝาแฝด มีประตูบานพับกั้น ระหว่าง 2 ที่นอน แต่ 2 แฝดไม่เคยปิดประตูบานพับเลย อาบน้ำกันเสร็จสรรพ ต่างคนต่างใช้เวลาส่วนตัว คนละมุม จนใกล้ง่วงเต็มที ทั้งที่ 2 ทุ่ม ก็ต่างจังหวัด มันมืดเร็วจะตาย เมื่อคนน้องล้มตัวนอน คนพี่ก็กระโจนคร่อม กดบ่าน้อง จ้องหน้าทันที “เมื่อเช้าค้างนะ!” “ไม่เห็นจะรู้สึก!!” “แน่ใจ? งั้นลองดูแบบเมื่อเช้าใหม่สิ” ว่าแล้วก็ก้มหน้าเอาปลายจมูกชน พลางส่ายไปมา “อื้ออออออ” น้องเบี่ยงหน้าหนี พี่มันก็งั๊บเข้าที่หู ขบเบาๆ พลางไล่ลิ้นไปมา ให้ได้ยินเสียงชัดเจน “อื้อออออ พอแล้ว จะเอายังไง” ยกหน้าขึ้นมาจ้องตาคนที่อยู่ใต้ร่าง พร้อมกับก้มหน้าลงไปกระซิบแนบชิดปาก “อยู่ห้องนี้ ก็น่าจะรู้ว่าจะเอาอะไร” -----------------TBC------------------------ บ้านฝาแฝดน่าอยู่จัง แต่เราไม่สิงต้นไม้นะ อิพี่มันจะเอาอะไรจากน้องงงงงง มันจะเอาอะไรน๊าาาาาา ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจนะคะ
หนุ่มๆเค้าทำอะไรกันน่ะ อร๊ายย
โอ๊ยยยยย คือดีงาม ทำไมฉันเขินแฝดพี่แบบนี้ล่ะ
ตอนที่ 5 ช่วงเวลาของฝาแฝด เช้านี้ น้ำนิ่งรู้สึกตัวก่อนเหมือนเดิม เพราะท่านอนท่าเดิมแบบเมื่อวาน พยายามขยับตัวจะลุกขึ้น ก่อนที่ส่วนอื่นของร่างกายมันจะตื่นตาม แม้ว่าเมื่อคืนจะปลดปล่อยออกไปบ้างแล้ว ส่วนไอ้คนที่กอดมันก็เหมือนจะแกล้ง ยิ่งขยับ มันก็ยิ่งล็อคแน่น ขยับกี่ที มันก็ขยับมาล็อคตาม จนเผลอถอนหายใจเบาๆ ไอ้คนที่กอดก่ายอยู่แอบยิ้ม แล้วยกหัวขึ้นมามอง พอมันเงยหน้ามองก็ต้องบอกเหตุผลที่ลุก “เดี๋ยวไม่ทันใส่บาตร” “หืมมม ยังเช้าอยู่เลย” “มีห้องน้ำห้องเดียว” “’งั้นไปอาบพร้อมกัน” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น พลางจับแขนอีกฝ่ายไปห้องน้ำ น้องมันก็ขืนตัวเองไว้ จนพี่ต้องหันมามอง “พอแล้ว” พูดพร้อม ขึงตาใส่ “อาบน้ำไง จะลุก หรือจะให้อุ้ม ไหนบอกกลัวสาย” มองหน้าคนที่ดึงแขนอยู่ ให้แน่ใจว่าจะลากไปอาบน้ำจริงๆ ก็ลุกตามไป มื้อเช้าวันนี้ นั่งที่โต๊ะกินข้าว ใต้ถุนเรือนไทย มื้อเย็นเมื่อวานคุยถึงสารทุกข์ดิบไปแล้ว มื้อเช้าก็กลายเป็นเรื่องเของธุรกิจ “น้ำนิ่ง ที่ร้านเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวแม่อยู่กับคุณตาคุณยาย สัก 2-3 วันแล้วจะเข้าไปดูนะ” “ช่วงนี้ก็เรื่อยๆครับ ยังไม่ยุ่งเท่าไร แต่นิ่งคิดว่า อยากจะได้ขนมไทย ไปวางที่ร้านบ้าง มีแต่ขนมฝรั่ง มองไปก็เหมือนร้านอื่น ไม่มีจุดขายอะไร คุณแม่กับคุณยายคิดว่าไงครับ” ฟังไอ้คนที่ตอบแม่ ละก็เบะปากใส่ สมัยนี้ใครมันจะกินขนมไทยกัน “อืม… แม่เห็นด้วย เด็กๆในบ้านจะได้มีรายได้เล็ก ๆน้อยๆ แม่เพ็ญ แม่ภา พอจะช่วยคุณยายดูไหวมั๊ย” หือ..... คนพี่ฟังคำตอบแล้วก็ตกใจ ถึงกับต้องเงยหน้ามามองแม่ “ไม่ต้องถึงคุณท่านหรอกคะ วิชาความรู้ที่ให้มา ฉัน 2 คน ก็พอจะรับมือกับเด็กไหว” “ใช่ค่ะ” แม่เพ็ญ แม่ภา โดนพ่อแม่เอามาทิ้งไว้ที่ตลาดแต่เด็ก จึงรับจ้างขายของและนอนที่ตลาด คุณยายไปเจอเข้าจึงรับอุปการะ ส่งเสียให้เรียนหนังสือ พร้อมกับสอนงานบ้านต่างๆ เลี้ยงดูมากับแม่ของฝาแฝด ถึงอย่างนั้นทั้ง 2 คนก็เกรงใจ พอเรียนจบ ม.3 ก็ขอหยุดเรียน เพื่อที่จะได้ช่วยทำงานบ้านอย่างเต็มตัว พอมี 2 แฝด ก็กลายพี่เลี้ยงทันที เพราะแม่แท้ๆ ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ คุณยายยังเคยพูดว่า โชคดีที่มีแม่เพ็ญ และแม่ภา เพราะถ้ามีพี่เลี้ยงคนเดียว ฝาแฝดคงตีกันตาย เพราะครั้งนึงสมัยยังเด็กมาก แม่ภาเคยเดินไปอุ้มตาน้ำ เพราะมองไม่ทันว่าเป็นใคร เท่านั้นละไอ้น้องมันก็ร้องไห้วิ่งเข้าไปกระชากดึงแขนดึงขาให้ลงมาทันที ต่างคนก็ต่างร้องไห้อยู่นานสองนาน กลายเป็นเล่าของฝาแฝดอีกเรื่องที่คุณยายขำ ส่วนเด็กๆ ในบ้าน ที่เป็นลูกมือของแม่เพ็ญ แม่ภา เป็นลูกของชาวบ้านแถวนั้น เมื่อหมดหน้านา ก็เอามาฝากขอทำงานจิปาถะ งานฝีมือต่างๆ คุณยายหาวิชามาสอนได้เรื่อยๆ อันไหนขายได้ก็ให้เป็นรายได้ของคนทำ ส่วนเงินทุนก็เก็บคืนคุณตาคุณยาย “ยายจะไปลองถามๆดูละกัน ขนมพวกนี้บางอย่างก็ทำยาก บางคนอดทนไม่พอก็คงไม่ไหว บ้านเราเองนะ มี ข้าวจากนา ที่นาที่แบ่งให้คนอื่นทำ โรงสี มีบริษัทที่รองรับการส่งออก ก็พอยู่แล้ว ไหนจะผลไม้ในสวน ที่ขายได้ทั้งสด ทั้งแปรรูปอีก แต่คนอื่นๆ เวลาน้ำท่วม นาล่ม ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกัน สอนให้เค้ามีวิชาชีพอื่นติดตัวบ้างก็ดี ช่วยได้ก็ช่วยกันไป” พลันเจ้าของความคิดขนมไทยกินข้าวเสร็จ ก็ลุกขึ้นไปกราบที่อกแม่และยาย มองแล้วก็หมั่นไส้ว่ะ! “แล้วเราละ ตาน้ำ” นั่นไง ไอ้นี่มันหาเรื่องให้โดนนี่หว่า “โธ่ แม่ครับ แด๊ดครับ คุณตา คุณยาย(อ้อนมันให้หมดบ้านเนี่ยละ) เด็กชายคณิน อยากเรียนให้ได้ 4.00 ทุกเทอมอย่างที่ตั้งใจ ยังจะอยากให้ทำอะไรอีกหรอครับ ” หันไปมองอีกคน ทำไมเห็นอีกคนมันนั่งยิ้มแปลกๆวะ “จ้า…พ่อคนเก่ง เลือกเองไม่ใช่หรือไง ทรัพยากรน้ำเนี่ย” ใช่! เค้าเลือกเอง แม้มันจะไม่ได้เข้ากับธุรกิจที่ครอบครัวมี แต่เพราะบ้านหลังนี้ เพราะอยุธยา เค้าเคยสงสัย เวลาหน้าน้ำ ทำไมบ้านเค้า ที่นาของที่บ้าน ไม่เคยโดนน้ำท่วม เหมือนของคนอื่นๆ คุณตาตอบกลับมาว่า คงเพราะบรรพบุรุษของคุณยายมองเห็นอนาคต ว่าบ้านเราจะเป็นคนที่คอยช่วยเหลือคนอื่น เวลาที่น้ำท่วม ที่นาของคนอื่นเสียหาย คุณยายจะแบ่งที่นาส่วนของที่บ้านให้ทำ โดยไม่คิดค่าเช่า หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเป็นบ้านๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีที่พอจะช่วยได้ทุกบ้าน แต่ก็ยังดีที่ได้ช่วย คุณยายคิดอย่างนั้น ตาน้ำจึงเลือกเรียนสาขานี้ เพราะเค้าคิดว่า เค้าจะช่วยคนอื่นได้แบบคุณตาคุณยายบ้าง “คร๊าบบบ เด็กชายคณินจะสู้เยอะๆเลยครับผ๊ม!” “เตรียมตัวกลับกันได้แล้วลูก สายมากแดดจะร้อน” “แม่ครับ นี่อยุธยานะครับ ไม่ใช่เชียงใหม่ จะได้ขับรถนานขนาดนั้น” “แหม่ พ่อลูกชาย คุณแม่ก็อยากขอเวลาอยู่กับพ่อแม่ตัวเองบ้าง แล้วก่อนกลับจะแวะไปหานะคะ” บ้านเรือนไทยริมแม่น้ำ มีเรื่องราวมากมาย มีความรัก ความอบอุ่น และมีความลับที่รู้กันแค่ 2 คน เช้าวันจันทร์ ที่กลับมาใช้ชีวิตนักศึกษา หลังจากไปเป็นลูกหมาออดอ้อน อยู่ที่อยุธยามา 2 วัน น้ำนิ่งแต่งชุดนักศึกษา ตามสไตล์เด็กบริหาร เสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ค นั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะ พลางอ่านข่าวธุรกิจ คนพี่เดินออกมาจากห้องนอน ด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ มีเสื้อช๊อปในมือ มองคนที่นั่งกินข้าว แล้วก็บ่นใจใน มันจะปลดกระดุมเสื้อทำไม คนโดนมอง เลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม ส่วนคนที่บ่นในใจก็นั่งกินส่วนของตัวเองที่อีกคนนึงวางเตรียมไว้ให้ คนที่มากินก่อน เก็บจาน เก็บของ เตรียมตัวออกไปเรียน พี่มันก็ลุกตาม กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ก็โดนอีกคนจับหมุนตัวกลับมาแล้วติดกระดุม ละก็จับแขนไว้ พลางตัวเองก็หันไปหยิบของ เดินออกจากห้องพร้อมกัน ถึงที่จอดรถ เด็กบริหาร เดินไปที่บิ๊กไบค์ ส่วนเด็กวิศวะ เดินไปที่ ฟอร์จูนเนอร์ ใครๆก็ว่าแปลก ที่เด็กบริหารดูออกจะเรียบร้อย ดันขับบิ๊กไบค์ ส่วนพ่อวิศวะหน้านิ่งดันใช้รถยนต์ ก็น้ำนิ่งเองนั่นละ ที่เป็นคนขอซื้อ ตอนแรกเค้าก็หงุดหงิด ปีหนึ่งก็ไปเรียนพร้อมกัน กลับพร้อมกัน ใครจะเลิกก่อน อีกคนก็รอ ไม่เคยมีปัญหา พอขึ้นปี 2 น้ำนิ่งขอซื้อรถคันนี้ เพราะให้เหตุผลว่าเทียวไปมา ระหว่าง คอนโด มหาลัย และร้าน ใช่รถแบบนี้คล่องตัวกว่า ไอ้พี่มันจะทำอะไรได้ นอกจากออกห้อง เพื่อที่จะขับรถออกไปพร้อมกัน ทั้งที่บางวันเรียนคนละเวลา น้องเองก็รู้ ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าพี่มันนะคิดอะไร ขาออกจากห้องมาก็เลยขับไม่เร็วมาก เพื่อที่ฟอร์จูนเนอร์จะได้เบรกทัน เวลาหมาตัดหน้ารถ ถึงมหาลัย ต่างคนต่างเลี้ยวเข้าคนละประตู จอดรถเสร็จ น้ำนิ่งเดินไปโรงอาหารกลาง ก็สวนทางกับทิม ส่งยิ้มเล็กๆให้กันแล้วก็เดินผ่านกันไป แต่ก่อนน้ำนิ่งเคยสงสัย ทำไมถึงเจอทิมแถวนี้ทุกวัน สงสัยจนเลิกสงสัย แต่ก็ไม่เคยถามอะไร คิดเองว่าทิมเข้าประตูนี้สะดวกกว่า ส่วนคนที่ไม่ได้มาเรียนวันศุกร์ จอดรถเดินเข้าคณะ ไปสาขา ระหว่างทางเดินก็เจอรูปตัวเองแปะประกาศไปทั่วถึงความฮอตยังกับโดนประกาศจับ จนไปถึงโต๊ะก็เห็นฝูงเพื่อนที่นั่งคอยกันอยู่แล้ว ก็แซวกันเกรียวกราว เจอเพื่อน กินข้าว ขึ้นเรียน เรียนเสร็จคนน้องไปร้าน คนพี่เล่นกีฬาทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย ใกล้เวลาที่น้องเลิกจากร้าน ตัวเองก็เตรียมกลับไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ชีวิตของ 2 แฝดก็ดำเนินต่อไป จนเข้าใกล้ช่วงสอบ ต่างคนต่างอ่านหนังสือกันคนละมุมโต๊ะเตี๊ยหน้าทีวี วิชาไหนที่มีเรียนเหมือนกัน ก็ช่วยกันติว วิชาอะไรที่น้องไม่เข้าใจพี่มันก็อธิบายให้ จนคืนก่อนวันสอบวันสุดท้ายของพี่ อ่านหนังสือเสร็จ ก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอน น้องมันก็ลุกเดินตาม กำลังจะหันกลับมาปิดประตู น้องก็กอดเข้าที่เอว “หืม?” “พรุ่งนี้สอบตัวสุดท้ายใช่มั๊ย” พูดเสร็จก็เอาหน้าแนบที่ไหล่ “อ้อนแบบนี้มีอะไรละ” “สอบเสร็จแล้วไปช่วยงานที่ร้านได้มั๊ย” พูดอู้อี้จนพี่ต้องจับดันตัวออกมา ก็ทำไมจะไม่รู้ไอ้แผนที่พูดอู้อี้ ให้ฟังไม่รู้เรื่องแล้วตอบตกลงเนี่ย โดนมาบ่อยแล้ว แต่พอจับดันตัวมันออกมา มองสบตากัน ก็พลอยใจอ่อน มือเผลอยกไล้ไปตามกรอบหน้า น้ำนิ่งหลับตาลุ้นคำตอบ และรับสัมผัสที่คนพี่ส่งมา “อืม…… เดี๋ยวจัดตารางให้ละกันว่าวันไหนจะเข้าไปช่วยได้บ้าง” ได้ยินคำตอบแล้ว น้องมันก็เขย่งตัวเอาปากแตะกับปากอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาที แล้วเดินออกไป พี่มันก็ได้แต่นึกในใจว่าน้องนะมันร้าย!!! -------------------------TBC------------------------- เจอพี่ออเซาะน้องไปแล้ว คราวนี้น้องมันอ้อนพี่บ้าง ใครว่าพี่มันร้ายแล้ว อิน้องมันร้ายกว่าจริงๆ เชื่อเค้าเถอะ!!! พาร์ทหน้า อิพี่จะบุกร้านแล้วววว ตามไปกินขนมไทยกันนะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณทุกกำลังใจที่ติดตามนะคะ
ยังงงๆ แต่ยังตามลุ้นแฝดอยู่น้าา
ชอบอ่ะ ความลับก็ยังเป็นความลับสินะ ปล.อยากให้เขียนตอนที่ลงในหัวข้อด้วยอ่ะเราจะได้รู้ว่าลงตอนใหม่แล้ว
ตอน 6 นอนไม่หลับ ถ้าไม่เพราะหนุ่มวิศวะมายืนหน้าบึ้ง เคาะนิ้วถามหาผ้ากันเปื้อนที่หน้าเคาเตอร์ จนใครที่มองเข้ามา ก็แทบจะวิ่งเข้ามาสั่งอาหารก่อนที่หนุ่มฮอตจะออกจากเคาเตอร์จนร้านวุ่นวาย เพียวก็อยากจะตบกะโหลกหนุ่มวิศวะให้หายหงุดหงิด แทนหัวตัวเองที่ตบอยู่ตอนนี้ ไอ้ที่มันทำให้ร้านขายได้ ก็ดี แต่มันไม่ดีตรงที่มันตั้งใจมากวน ก็รู้ว่ามันจะมา แต่ใครจะรู้ว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้ ยังเตรียมตัว เตรียมใจรับมือไม่ทันเลย แถมมันดันมาก่อนที่น้องมันจะมาถึงซะอีก!! แบบนี้มันตั้งใจมาแกล้งกันชัดๆ “เอาของน้ำนิ่งไปใส่ก่อนละกัน ผืนใหม่มาส่งพรุ่งนี้อ่ะ ผืนอื่นๆ ส่งซักยังไม่มาส่ง ป้ายชื่อจะถอดหรือไม่ถอดก็แล้วแต่” ตาน้ำรับผ้ากันเปื้อนมาใส่ แล้วก็เดินจากไปทำงาน เห็นร้านแล้วก็พอจะนึกออก ว่าทำไมถึงอยากจะให้มาช่วย เพราะไอ้ขนมไทย ที่อีกคนมันอยากจะทำนั่นละ ทำให้วุ่นวาย เพราะคนอื่นๆ แทบจะแนะนำคนซื้อไม่ถูกเลยทีเดียว ว่าอันนี้รสชาติยังไง ทองหยิบ ทองหยอดต่างกันยังไง อะไรต่างๆนานา ทั้งๆที่คิดว่า มันจะขายไม่ได้ เพราะไม่น่าจะมีใครกิน แต่ก็อย่างที่แม่บอก ว่ามันน่าสนใจและดูแตกต่างจากร้านอื่นนั่นละ สุดท้าย เค้าก็ต้องเป็นคนดูแลพวกนี้จนมันจะกลายเป็นคาเฟ่ขนมไทยไปแล้ว! ถึงว่า ไอ้ตอนที่มันคุยกับแม่และยายเรื่องขนมไทย ถึงยิ้มแปลกๆ มันมีแผนนี่เอง และแผนมันก็สูงมาก จนน่าเอาคืน!!! และถ้าไม่เป็นเพราะร้านอัพเดตลงโซเซียล โดยมีรูปเค้ายืนถือขนมไทยอยู่ว่า ‘ช่วงนี้หนุ่มฮอตวิศวะมาขายขนมไทยที่ร้าน สาวๆ ที่อยากลองชิมขนมไทยแท้จากอยุธยาให้รีบมาลองกันนะครับ ช้าหมด อดกิน ทั้งคนทั้งขนมนะครับ’ ขนมไทยมันก็คงไม่ขายดีขนาดนั้นหรอก เค้าเชื่อ! และที่มันทำให้ขายดีขนาดนี้ ทั้งคนที่ถ่ายและอัพไม่ใช่ใครที่ไหน ฝาแฝดตัวดีนั่นละ ก็บอกแล้วว่าน้องมันร้าย ร้ายจนต้องหาทางเอาคืน! ตาน้ำรับมือกับความชุลลุนวุ่นวาย กับที่ร้านอยู่ไม่นาน ก็ปรับตัวได้ ทุกวันช่วงปิดร้าน 3 คนจะสลับปิดร้านกันไป แต่วันของน้ำนิ่งก็จะมีตาน้ำอยู่ช่วย แล้วกลับบ้านพร้อมกัน จนกระทั่งวันศุกร์ วันนี้น้ำนิ่งต้องปิดร้านอีกครั้ง วันนี้คนเยอะมาก กว่าจะเคลียร์ของเสร็จก็เลยเวลามามากแล้ว ฝาแฝดตัดสินใจค้างที่ร้าน เพราะวันเสาร์ ร้านจะเปิดเร็วกว่าปกติ เพื่อเตรียมขายเต็มวัน จากวันธรรมดาที่เปิดขาย 3 ช่วง น้ำนิ่งนั่งเคลียร์บิลบางส่วน คนพี่จึงขึ้นไปอาบน้ำก่อน อาบน้ำเสร็จ ก็นอนลงนิ่งๆ เพื่อให้ร่างกายผ่อน ห้องพักที่ร้านฝั่งของน้ำนิ่ง ไม่มีอะไรมากมาย มีแค่เตียง ตู้เก็บเสื้อผ้าไว้เก็บเสื้อผ้าที่สำรองไว้ โซฟาเล็กๆ จัดแต่งคล้ายๆ คอนโดบิ้วอินทั่วไป ส่วนคอมจะอยู่ที่ห้องของเพียวและพอส มีเครื่องเดียว ไว้สุ่มหัวทำงาน และน้ำนิ่งก็คิดว่า ถ้าไม่พอใช้ก็เอาโน๊ตบุ๊คมาต่อแค่นั้นเอง ไม่นานน้ำนิ่งก็ตามขึ้นมา อาบน้ำ และก็ล้มตัวลงนอนลงนิ่งๆ สักพักก็ พลิกซ้าย พลิกขวา ตาน้ำหันมองแล้วก็ลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง หยิบโทรศัพท์มานั่งเล่น น้ำนิ่งพลิกตัวหันหน้าไปทางแฝดพี่ กระพริบตามองปริบๆ แล้วลุกขึ้นไปนั่งคร่อมที่ตัก ทำให้สัมผัสกลางลำตัวแนบชิดกัน “นอนไม่หลับหรอ ” ถามขึ้นพลางยกมือขึ้นคล้องคอ ตาน้ำเงยหน้าหน้ามองพลางวางโทรศัพท์ลงข้างเตียง สองมือสอดเข้าที่ชายเสื้อคนที่นั่งตักอยู่แล้วลูบขึ้น จนเสื้อรั้งขึ้นไปอยู่แนวอก มือบีบนวดที่ตัวน้อง “อื้อ…….”ได้ยินเสียงน้องครางรับสัมผัส ก็จับเสื้อที่เกะกะมือถอดออก แล้วกดจูบที่ขมับ ไล่ลงมาที่หู จนถึง ซอกคอ จนถึงตุ่มไตที่ใช้นิ้วบดคลึงอยู่ “อื้อ… อื้อ…อื้อ….”เสียงน้องร้องครางตามจังหวะการจูบ ร่างกายเกร็งจนแอ่นอกเข้าหาจังหวะจูบ มือพี่จับตัวน้องดันเข้าหา อีกมือลากลงผ่านขอบกางเกงเข้าไปจนถึงสะโพก บีบเคล้นคลึง ลิ้นร้อนไล้ขึ้นลงจากหน้าอก ไปซอกคอ ใบหู วนไปมาทั้งฝั่งซ้ายขวา จนน้องกัดฟัน แล้วสองมือก็จับที่สะโพกยกขึ้นแล้ว รั้งกางเกงนอนขาสั้นมาอยู่ที่เข่า คั่นระหว่างตัวทั้งสองคน “อือ…….ถอดทำไมเนี่ย” ถามทั้งๆที่ตัวเองยังอยู่บนตักของอีกคน นิ้วมือพี่ไล้วนอยู่ที่ปากช่องทาง ยิ่งทำให้น้องยิ่งบิดตัว ยิ่งบิดตัว ร่างกายก็ยิ่งแอ่นเข้าหาอีกคน นิ้วที่ไล้ก็เริ่มสอดแทรกเข้าไปในร่างกายของน้องที่ละนิ้ว ที่ละนิ้ว มือน้องเริ่มสั่นจนอยู่ไม่สุก ลากไล้เข้าไปในเสื้อพี่สัมผัสตามลอนกล้าม เคล้นคลึงตุ่มไตของอีกฝ่ายจนได้ยินเสียงคนพี่ที่โดนสัมผัส ที่อยู่แถวซอกคอ “ฮื้มมม จะถอดยัง” ได้ยินคำพี่ น้องก็ละมือถอดกางเกงจากขาอีก แล้วปัดไปอยู่อีกข้าง คนพี่ก็ยกตัวน้องแล้วขยับปลดกางเกงตัวเองแล้วหยิบเครื่องป้องกันมาใส่ จับแท่งอุ่นร้อนจ่อที่ช่องทางของน้องวนไปมา “อ … อ…อย่า แกล้ง” “หืมมม ยังไม่ทำอะไรเลย” กระซิบกันอยู่แถวซอกคอกับติ่งหู คนพี่ถอนนิ้วออกแล้วกดร่างน้องลง พร้อมๆกับ ค่อยๆดันตัวเองเข้า “อื้อ…อย่าเกร็ง” กระซิบบอกน้องพลางจูบไล้ตามไปร่างกาย ช่วยผ่อนคลาย “อ่า….” “ซี๊ดดดด……..” เสียงครางดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อร่างกายเข้าหากันแนบสนิท มือน้องบีบ บดบี้ เข้าที่ตุ่มไตของพี่จนแน่น มือนึงพี่ก็จับตัวน้องยกขึ้นลง ตัวเองก็เด้งรับตามจังหวะ อีกมือกำแก่นกายของน้องขยับขึ้นลง นิ้วโป้งกดที่ด้านบน “อ๊ะ อ๊ะ น้ำ…น้ำ…น้ำ….” นิ้วเรียวกำจิกเข้าที่หน้าอก ที่เคยบีบเมื่อกี้ พร้อมเสียงครางตามจังหวะที่ขยับตัว “เรียกไรนะ หืม?” “น้ำ…อื้อ… เบา “ “หืม?” ยิ่งบอกให้พี่เบา พี่ก็ยิ่งเหมือนไม่ได้ยิน “พี่….พี่…อ๊ะ..เสียว อื้อ…….” "ฮื้อ...." ได้ยินน้องคราง พี่ก็ครางตาม ขยับกันอยู่นาน สักพักคนน้องก็กระตุก พยายามจะปลดปล่อย เพียงแต่นิ้วพี่ที่ปิดไว้ยังไม่ยอมปลดออก คนน้องที่แทบจะทนความเสียวซ่านไม่ไหว ตัวบิดไปมาอยู่อย่างนั้น ยิ่งบิด พี่มันก็ยิ่งชอบ! “พ…พี่…เสียว อ๊า….” “เด็กดีของพี่ อื๊มมม” กดตัวน้องรับกับร่างตัวเองอีกไม่กี่ที่ คนพี่ก็กระตุก พร้อมๆกันปล่อยมืออกจากส่วนของน้อง ให้ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน คนน้องหมดแรงทิ้งตัวลงบนตัวพี่ ต่างคนต่างหันหน้าจูบที่ซอกคออีกฝ่าย สองคนได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่แนบติดกันพร้อมเสียงหายใจหอบ หายใจได้ปกติ คนน้องก็ถอนร่างออกลงไปนอนฝั่งตัวเอง “ล้างตัวมั๊ย” “ง่วงแล้ว”ได้ยินคำตอบ ตาน้ำก็ลุกขึ้นไปจัดการตัวเอง เสร็จแล้วก็พลางเช็ดตัว ใส่เสื้อให้อีกฝ่าย เห็นสภาพอีกฝ่ายเพลียจนหลับขนาดนี้ ก็นึกขำพลางยิ้มที่มุมปาก ‘ใครกันแน่ นอนไม่หลับ’ -----------------------TBC---------------------------------------------- ตกลงใครนอนไม่หลับ พี่หรือน้อง? คนเขียนมือใหม่มากๆเลยนะคะ ครั้งแรก เรื่องแรกเลย ใครที่เข้ามาอ่านแล้วยัง งง กะฝาแฝด เรามาเป็นโคนัน สืบความลับของไปด้วยกันเถอะ! ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณคำแนะนำ และทุกกำลังใจที่ติดตามมากนะคะ จะพยายามปรับปรุงแก้ไขค่ะ
:katai2-1: ในที่สุดก็ได้อ่าน nc. จั่วหัว incest นิดนึงค่ะ เผื่อใครไม่ชอบแนวพี่น้องกินกันเอง และในทางตรงข้ามคนที่ชอบแนวแฝดรักกันก้อจะเข้ามาติดตามด้วย ลงวันที่อัพด้วยนะคะ ชอบๆ
เขินอ่า~~ ต้นน้ำสายอ่อยรึป่าวคะ ? คริคริ
ตอน 7 มีอาการ ตาน้ำตื่นแล้ว หันมองอีกคนที่ยังนอนหลับสนิท แล้วก็ยิ้ม มือเผลอพลางยกขึ้นมาไล้ไปตามหน้าของอีกคน ไม่รู้ทำไมเค้าชอบสัมผัสแบบนี้ มันรู้สึกอ่อนโยน แผ่วเบา ไม่ได้โดนตัวมาก แต่ก็รู้สึกได้ หันมองนาฬิกา แล้วก็ลุกขึ้นอาบน้ำ ลงมาที่ร้าน เตรียมของเปิดร้าน ไม่นานโทรศัพท์ก็ดัง เค้าเดินไปเปิดประตูร้าน เห็นกลุ่มเพื่อนยืนอยู่ กัน 4 คน “ร้านยังไม่เปิดเว้ย ห่า! มาไม่ดูเวลา” เปิดประตูพลางบ่นเพื่อนตัวเอง “ก็พวกกูกลัวร้านเต็มนี่หว่า ช่วงนี้ร้านแม่งฮอตตตตต ว่ากันว่าเด็กเสิร์ฟแม่งหล่อ” “เออ แถมแม่งยังชอบกินขนมไทยด้วยนะเว้ย สาวๆแม่งแห่มาซื้อกันทุกวัน เพราะอยากคุยกะเด็กขายขนมไทย” “พอๆ ห่า! พวกมึงนี่ได้ที่เอาใหญ่ รายงานว่าไงบ้างถึงไหนกันแล้ว” “ไม่รู้ว่ะ! เพื่อนกูแม่งหนีมาเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านนี้ ไม่ค่อยได้คุยกันเรื่องรายงานเลย จะส่งตอนสอบปลายภาคละเนี่ย จะทันมั๊ย” “ห่า! ทิม” ด่าแล้วก็ตบกะโหลกไปที เหล่า 5 ทะโมนวิศวะยึดโต๊ะยาว เตรียมคุยกันเรื่องรายงาน มีแฝดคนพี่นั่งหัวโต๊ะ ก่อนร้านเปิด ครึ่งชั่วโมง คนน้องก็ลงมา “อ้าว….” เอ่ยปากขึ้นเมื่อเห็นแก๊งค์วิศวะ “ไง.. โทษทีมาก่อนร้านเปิด ไอ้ 3 ตัวนี้มันกลัวร้านเต็มเลยบอกให้รีบมา” ทิมเอ่ยทักก่อน เพื่อนอีก 3 คน ส่งยิ้มแหยๆ พลางมองฝาแฝด 2 ไปมา จนคนพี่ต้องยกไม่บรรทัดเคาะหัวเพื่อนทัก 3 คน “มองเหี้ยไรนัก ไม่เคยเห็นฝาแฝดรึไง ห่า!! ไม่ใช่ของแปลกงานวัด” “อ้าวหรอวะ พวกกูก็นึกว่า คน 2 หัว 4 มือ4 ขา เป็นนินจาแย่งร่างงี้ แฝดเหี้ยไร เหมือนกันชิหาย” “พวกมึงโง่ หรือโคตรโง่ ไหนพูด แฝดไม่เหมือนมันจะเป็นแฝดมั๊ย” ทิมพูดพลางขำ “แหม่ ถ้าพวกกู 3 คนฉลาด คงไม่ต้องมาพึ่งบารมีคุณทิม คุณน้ำเรื่องรายงานหรอกคร๊าบ” “เห้ย!! เลิกพูด จะกินอะไรกัน สั่ง! เปิดร้านแล้วกูจะขายคนอื่นแล้วนะ” คนพี่พูดพลาง ลุกขึ้นหมุนน้องที่ยืนขำกับทอล์คโชว์วิศวะยามเช้าให้ออกไปจากกลุ่มด้วยกัน “คาปู เฟรบเป้ เบท 1 ปั้ม วนิลา 2 ปั้ม “ “ 2 แก้ว” “ ลาเต้ ไม่หวาน 1 แยกวิปครีม” “พอแล้วไอ้เหี้ย” ตาน้ำตะโกนใส่เพื่อน หันไปดึงกระดาษจากมือน้อง เดินตรงไปวางที่โต๊ะ “อ้าวววววว ยังไม่เสร็จเลย” เหล่าทะโมนร้องค้าน “จดเองเลยพวกมึง สั่งเหี้ยไรข้อแม้เยอะชิปหาย ปวดหัว” “มึงเป็นคนทำรึไงไอ้น้ำ ดูน้องมึงยังไม่เห็นบ่นอะไรเลย” “เออ ….ลูกค้าคือพระเจ้านะเว้ย” “พระเจ้ากวนส้นตีนนี่ไม่ต้องแดกดีมั๊ย?” ระหว่างที่ตาน้ำโวยวายใส่เพื่อนทั้ง 3 ทิมที่ยังไม่ทันได้สั่ง หยิบกระดาษมาจดต่อเอง จดไปก็ยิ้มไป จดเสร็จก็ส่งให้ตาน้ำ คนพี่ก็เดินเอาไปส่งให้น้องที่เคาเตอร์ หยิบคุกกี้ มาใส่จาน แล้วเดินเอามาวางให้เพื่อนก่อน ตอนนี้ร้านเปิดม่านเรียบร้อยแล้ว น้ำนิ่งเริ่มลงมือทำกาแฟ พอสมาก็ช่วยทำขนมปัง สาวๆก็เริ่มทยอยมาสั่งอาหาร พลางเหล่มองพวกทะโมน หากแต่ยังเช้ามาก บางคนก็ซื้อกลับไป ส่วนหนุ่มๆ ที่ทำท่าจะเดินเข้าร้าน ก็กล้าๆกลัว เหล่าเด็กวิศวะ เพราะท่าทางมันเหมือนมานั่งดักตีใครมากกว่าทำรายงาน เสร็จแล้วคนน้องก็ยกไปเสิร์ฟ ทั้งขนมปัง ขนมไทย ครบสูตร ยกวางที่ท้ายโต๊ะ ไล่มาจนถึงของทิม จังหวะที่ยกแก้วจะลงวาง ทิมยกมือขึ้นรับแก้วน้ำ ทำให้นิ้วโป้งของทิม แตะโดนนิ้วชี้ของน้ำนิ่ง มือทั้ง 2 คนสัมผัสกัน น้ำนิ่งสะดุ้งเผลอปล่อยแก้ว จนน้ำหนักแก้วตกลงที่มือทิม ทิมเองก็ตกใจเล็กน้อยแต่โชคดีที่แก้วอยู่ในมือแล้ว เหตุการณ์นี้คนพี่หันไปเห็นพอดี น้ำนิ่งมือสั่น พยายามดึงมือกลับมาประคองแก้วที่เหลือให้ ตาน้ำลุกขึ้นหยิบแก้วน้ำที่น้ำนิ่งกำลังจะส่งให้วางลงบนโต๊ะ พร้อมๆกับอีกมือที่คว้าไปจับมือน้อง “เดี๋ยวมาแป๊ปนึง” เอ่ยพูดกับเพื่อนในโต๊ะ แล้วหันพูดกับน้ำนิ่ง “ขึ้นไปเอาของด้วยกันหน่อย” น้ำนิ่งตัวสั่น ไม่มีคำตอบใดออกจากปาก เดินเหมือนร่างไร้สติตามแรงลากของอีกฝ่ายไป 3 หนุ่มในโต๊ะ ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ผิดกับอีก 3 คน ทิม ที่รู้สึกอะไรบางอย่างตั้งแต่รับแก้วจากน้ำนิ่ง พอส ก็ดูงงๆ กับอาการเพื่อนตัวเอง เพราะความความโวยวายของตาน้ำ ส่วนอีกคน ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าเค้ามาเพราะยืนอยู่มุมหนึ่งของร้าน แต่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเท่าๆกับแฝดคนพี่ ‘เพียว’ ตาน้ำเดินจูงฝาแฝดขึ้นมาบนห้องพัก ไม่ทันจะปิดประตูให้สนิท จับน้องนั่งลงที่โซฟาตัวแอลฝั่งริมประตู ตัวเองนั่งข้างหน้าน้อง คนน้องที่ตัวกำลังสั่น จิกลงกับมือพี่ที่ประสานกันอยู่ตั้งแต่ข้างล่าง อีกมือกำจิกลงกับฝามือของตัวเอง แฝดพี่ค่อยๆสอดดันหัวแม่มือเข้าไปอยู่ในกำมือนั้น มือข้างที่จับกันอยู่ยกขึ้น แนบริมฝีปากอุ่นลงกับนิ้วมือของน้องที่แตะโดนกับนิ้วของเพื่อนตัวเอง น้ำนิ่งสะดุ้งจนค่อยๆคลายนิ้วออก เหลือเพียงแค่นิ้วเดียวที่ยังรับสัมผัสที่ริมฝีปากคนพี่ ปากก็เอ่ยเรียกน้อง ด้วยเสียงอ่อนโยน “น้ำนิ่ง” จูบซับวนรอบนิ้ว เรียกชื่อน้องไปเรื่อยๆ “น้ำนิ่ง” คนน้องเวลานี้ ยังคงตัวสั่น แม้จะลดลงบ้าง จากที่ได้รับการสัมผัสจากพี่ เมื่อยังไม่ดีขึ้น คนพี่ก็เผยอปากส่งลิ้นออกมาสัมผัสกับปลายนิ้วน้อง จนคนน้องสะดุ้ง “อือ” สายตาคนพี่ยังคงจ้องไปที่น้อง เห็นน้องเริ่มกระพริบตาเป็นปกติ ลมหายใจหอบเริ่มดีขึ้น แต่ลิ้นร้อนยังคงไล้ไปทั่ว ขยับนิ้วน้องเข้าปากตัวเอง ดูดพลางใช้ลิ้นไล่วนห่อนิ้วของน้องที่อยู่ในโพรงปากตัวเอง น้ำนิ่งปล่อยมือข้างที่กำนิ้วหัวแม่มือพี่แล้วยกแนบใบหน้าของอีกฝ่าย เมื่อเริ่มหายใจปกติ คนพี่ก็ถอนปากออก หันหน้าไปจูบกับฝามือของน้องที่แนบอยู่ แล้วจับมือน้องมาประกบอยู่ในกำมือตัวเอง ยกขึ้นจูบอีกที “โอเครึยัง” “อือ” “หายใจลึกๆ” พูดแล้วก็ขยับตัวทำตามให้น้องดู ปลอบประโลมกันอยู่ 2 คนพี่น้อง โดยไม่ได้รู้เลยว่ามีสายตา 1 คู่ มองเห็นทุกการกระทำผ่านประตูที่ปิดไม่สนิท ตาน้ำยกมือไล้ไปที่กรอบหน้าของแฝดน้อง สัมผัสแบบที่ตัวเองชอบ น้ำนิ่งหลับตารับสัมผัสนั้นเหมือนอย่างเคย อีกคนที่อยู่นอกห้องหมุนตัว กลับออกไปทางหลังร้าน เมื่อน้ำนิ่งลืมตา “ลงไปข้างล่างกันมั๊ย” ลุกขึ้นพลางดึงน้องขึ้นมากอดแน่นๆ หนึ่งที หันเอื้อมมือจะไปจับลูกบิดประตู ก็ชะงักไปเพราะเห็นว่าประตูปิดไม่สนิท ก็ได้แต่นึกในใจ ‘หวังว่าคงไม่มีใครขึ้นมาเห็นนะ’ หันมามองหน้าน้องให้เดินลงไปก่อน ตัวเองหันไปคว้าเป้ตัวเองที่วางติดกับที่นอน แล้วเดินตามลงไป ลงไปถึงก็เห็นหลังน้องไวๆ เดินไปอยู่ที่เคาเตอร์กับพอส ตัวเองก็เดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนที่โต๊ะ “โอเคป่าวว่ะ? ” ก็เป็นทิม ที่เอ่ยทักขึ้น ยกมือวางขึ้นที่ไหล่เพื่อน ส่งยิ้มให้แทนคำตอบ ทิมพยักหน้ากลายๆ มองเลยไปถึงเคาเตอร์ ทำให้ตาน้ำมองตาม เห็นฝาแฝดตัวเองมองมาที่โต๊ะ สบสายตากันแค่เสี้ยววินาที ต่างคนก็ต่างกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ร้านยังคงมีลูกค้าเอามาเรื่อยๆ ช่วงไหนเสิร์ฟไม่ทัน ทำไม่ทัน แก๊งค์ทะโมนก็ลุกขึ้นมาช่วยเสิร์ฟช่วยป่วน พอคนซา ก็ลงไปนั่งคุยงานกันต่อ 2 หนุ่มบริหาร ก็พากันลองทำนู่นนี่ มาให้เหล่าวิศวะชิม ชิมกันไป แนะนำกันไป สนุกสนาน แล้วเด็กบริหารอีกคน ไปไหน ? ทำไมยังมาไม่ถึง ----------------------------TBC-------------------------------- มาสั่นๆ แว๊บนึง งือออออออ แฝดพี่ทำไมละมุนขนาดนี้ อยากจะตัวสั่นแล้วมีคนปลอบเหมือนแฝดน้องบ้าง พาร์ทหน้าตาม 2 คู่ชู้ชื่นไปดินเนอร์กัน ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณคอมเม้นท์ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ รักคนอ่านทุกคนเลย
คนน้องเป็นอะไรอ่า. น่าสงสารจัง
ตอนที่ 8 อารมณ์ดี? ตาน้ำมองฝาแฝดที่วันนี้ดูจะยิ้มง่ายเป็นพิเศษ หู ก็ฟังเพื่อนคุยเรื่องรายงานไปพลางๆ แต่สมองประมวลหาเหตุผล ในความอารมณ์ดีของอีกคน เพราะอะไรกัน ? เพราะไอ้พวกนี้มา สร้างความกวนตีนให้ มันก็ไม่น่าจะยิ้มเหมือนบ้าได้ทั้งวัน หรือเพราะเมื่อคืน ? หืม…… ก็อาจจะใช่! น้ำนิ่งเป็นคนที่ปรับความคุ้นชินกับสิ่งต่างๆได้ยาก อาจเป็นเพราะอยู่ด้วยกันตลอด เมื่อไหรก็ตามที่ตัวเองรับความรู้สึกแปลก ก็จะมีอาการสั่น เกร็ง ทันที เช่น อาการที่เกิดเมื่อสัมผัสกับนิ้วของทิมเมื่อกี้ ใครจะว่าแปลก มันก็คงแปลกนั่นละ แต่เค้าชิน! คิดไปก็ส่ายหัว รึอาจจะเป็นเพราะขนมไทย เสาร์หน้าชวนมันกลับบ้านนดีกว่า!! ถ้าไอ้ 4 ตัวไม่มาป่วนนะ บ่ายแก่ๆ เหล่าทะโมนวิศวะขอลากลับ เห็นว่านั่งนานแล้วและก็เกรงใจ จะขอเสื่อปูนอนแดดก็ร้อนเกินไป กลับไป 3 เหลือ อีก 1 ‘ทิม’ น้ำนิ่ง ส่งสายตามองตามทิม ที่มาเป็นเด็กเสิร์ฟอย่างสนุกสนาน เพราะบอกว่ากลับไปก็ไม่มีอะไรทำ ไหนๆมาแล้วก็ช่วยดีกว่า มองไปก็เพลินดี คนอะไรโลกดูสดใสได้ตลอด ทิมเองก็รู้สึกสนุกที่ได้มาอยู่เล่นที่ร้าน ช่วยเสิร์ฟ ช่วยเชียร์อัพ รับน้ำรับกาแฟที่น้ำนิ่งวางไว้บนเคาเตอร์ให้ไปเสิร์ฟ แม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกันสักคำ มีแค่รอยยิ้มจางๆที่ส่งให้เหมือนที่เคยเห็นทุกวันยามเดินสวนกันแถวโรงอาหารกลาง ‘แค่นี้ก็ดีมากแล้ว’ พอสเห็นความอารมณ์ของเพื่อน ก็แปลกใจจนต้องเอ่ยแซว “บ้าไงมึง ยิ้มกะแก้วกาแฟ” “ไม่!” “ไม่บ้า?” “ไม่ เสือกนะ” “แสรดนี่ อารมณ์ดีไรบอกกูมั่ง ฝันได้เลขรึไง” น้ำนิ่งขำกับคำนี้ ใจพลางคิดถึงเมื่อคืนแล้วอยากจะตอบ ‘เลขมีตัวเดียว’ มึงอยากได้มั๊ย ถามไปก็กลัวเพื่อนจะรีบตอบว่า ให้ก็เอานะสิ! ก็ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าเพื่อนนะปลื้มฝาแฝดของตัวเองมาตั้งแต่สมัยมัธยม ก็ขานั้นนะ ได้ยีนส์เด่นมาสุดๆ เรียนดี กีฬาเลิศ กิจกรรมรุ่ง ส่วนเค้านะ ก็แค่เรื่อยๆทุกอย่าง ไม่ดี ไม่แย่ จนมาขอทำร้านนี้เนี่ยละ ถึงพอจะดูมีอะไรให้พูดถึงบ้าง “ 340 สนใจมะ” “ สาม ศูนย์ สี่ หรอว่ะ” “ ป่าว! 340 บาท ค่าขนมปัง แฮม ชีส ไข่ ที่มึงทำกินไปเมื่อกี้ รวมกะที่ไปเสิร์ฟโต๊ะวิศวะด้วย” หนุ่มวิศวะ 2 ที่เหลืออยู่ ฟังแล้วก็ขำ เดินมาหาอีก 2 คนที่คำนวณเลขกันอยู่ “ปิดร้านเร็วไปกินข้าวกันมะ” ทิมเอ่ยชวน น้ำนิ่งหันมองแฝดตัวเองจนอีกคนเอ่ยตอบเพื่อน “มึงเลี้ยงกูก็ไป” “โห่…. เสี่ยแห่งอยุธยาพูดแบบนี้ได้ไง เสียชื่อเสียงหมด” “เสี่ยห่าไร ช่วยนี้ข้าวขายไม่ได้ราคา ไม่ได้อ่านข่าวรึไง มึงอยากรับซื้อมั๊ย เดี๋ยวก็เหมาให้สักตัน” “พ่องมึง! กูหมายถึงขนมไทยที่มึงเป็นพรีเซ็นเตอร์เนี่ย ไม่ใช่ข้าวเว้ย” “นี่ ตังค์คนนี้เค้า หลอกกูมาช่วยอย่างเดียวเหอะ” น้ำนิ่งฟัง 2 เพื่อนซื้อคุยกันแล้วก็ขำ วิศวะเนี่ยมันก็น่ารักดีนะ เกรียนๆ กวนๆ เฮฮา โลกสดใสกันตลอด “ไปดิ ร้านไหนดี” พอสเก็บของล้างเสร็จ ก็หันมาตอบ ตาน้ำมอง พลางยกคิ้วสงสัย นึกในใจ ‘พี่ไม่อยู่ ก็จะไปหรอว่ะ’ “ไปห้างได้มะ กูกับน้ำต้องไปซื้อของพอดี” น้ำนิ่งหันไปตอบเพื่อน “ไงก็ได้ ขอให้ได้กินกูไปหมดละ” “เดี๋ยว! กูไม่ได้เลี้ยงนะพอส” “อ้าวเสี่ย! ทำไมพูดอย่างนี้ละครับ ขนมไทยออกจะขายดี หรือถ้ามึงไม่มีตังค์เอารถมึงมาจำนำก็ได้นะ กูรับ” พลั๊วะ! เสียงตบเข้าที่หัวพอส ทำให้อีก 2 คน ขำกิ๊ก “ถ้ามีตังค์รับจำนำรถกูมึงก็เอาไปจ่ายค่าข้าวมื้อนี้นะ” พอสลูบหัวตัวป้อยๆ บ่นไป พลางบ่นงุ๊บงิ๊บ จนน้ำนิ่งต้องหันมาถามอีกที “บ่นอยู่ได้ จะไปมั๊ยมึง?” “เออๆ ไปก็ไป แม่ง รังแกกูตลอด อยู่กับพี่มึงเก็บกดมากใช่มั๊ยเนี่ย กูถามหน่อยเหอะน้ำ มึงแกล้งมันมากจนมันเครียดหรอว่ะ ทำร้ายร่างกายกูจัง” สิ้นคำถามฝาแฝดก็นิ่งไป สบตากันเพียงชั่วครู่ น้ำนิ่งหันไปท้าวสะเอวใส่เพื่อน “คร๊าบบ คุณบอสครับ ทาสพอสรู้แล้วครับ รับทราบแล้วครับ วันนี้จะเลิกกวนตีนแล้วคร๊าบ” จบคำ 4 สี่หนุ่มก็เก็บของ เตรียมออกไปหาข้าวกิน ห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากร้านของพวกเค้า ฝาแฝดต่างคนต่างเดินคู่เพื่อนตัวเอง น้ำนิ่งและพอสเดินนำหน้า คนน้องสนใจอะไรก็จะหมุนตัวเองกลับมาหาคนพี่ให้ชวนดู อยากได้ก็เดินเข้าไปดูในร้าน ทิม กับ พอส ก็รอข้างนอกร้านบ้าง ตามเข้าไปบ้าง หากสนใจเหมือนกัน ต่างคนต่างยืนรอเพื่อนตัวเองอยู่ด้วยกัน จะเงียบก็เกินไป ทิมก็เป็นฝ่ายชวนคุยก่อน “เป็นไงมั่งเรียน” “ก็ดี แต่ไม่ยากเท่าวิศวะหรอก “ “ว่าไป..แล้วนี่ ดูทรงจะมากับไอ้แฝดบ่อยอะดิ” “ตั้งแต่ ม.ต้นได้ ช่วงที่ที่บ้านปล่อยให้มาเที่ยวกันได้บ้าง” เห็นทิมทำหน้าแปลกใจ ก็เลยอธิบายต่อ “เรากับน้ำนิ่งเป็นเพื่อนกันแต่ อนุบาลนะ “ “หืม!” “จริงๆ น้ำไม่เคยบอกหรอ “ “เคยบอกว่าพอสกับน้ำนิ่งสนิทกัน แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่อนุบาล” “ฮ่าๆ ก็นั่นละ ครอบครัวเป็นพาร์ทเนอร์ทางการค้า ให้เข้า รร. เดียวกันจะได้เพื่อนกัน พอลูกเป็นเพื่อนกัน เวลามีปัญหาทางธุรกิจจะได้นึกถึงลูกไว้ก่อนมั้ง” “ขนาดนั้น งี้ก็น่าจะสนิทกับทั้ง 2 คนเลยดิ ” พอสส่ายหน้า “ตาน้ำมันเรียนเก่งมาก รู้ใช่มะ" ทิมพยักหน้ารับกลายๆ "อืม..ก็นั่นละ มันอยู่ห้องtop ตลอด ไอ้นิ่งกะเรามันก็กลางๆ ไม่แย่ ไม่ดี แต่มีเทอมนึง รร.อยากเอาใจพ่อแม่ไอ้แฝดมั้ง เสือกจับไอ้นิ่งไปอยู่ห้องรอง top เปิดเทอมวันแรก ใครก็ไม่รู้นั่งข้างๆมัน มันช็อคสติหลุดไปแบบวันนี้ละ” ทิมแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน “จริง วันนั้นครูวิ่งมาตามทั้งเรา ทั้งไอ้น้ำ ตามผู้ปกครองมาด้วยนะ สุดท้ายก็ย้ายกลับมาอยู่ห้องเดียวกะเรา” “ทำไมขนาดนั้นอะ” “ก็นะ มันก็ตัวติดกันตลอด ตอนน้ำไม่อยู่ มันก็อยู่กับเรา พอมีใครที่มาอยู่ใกล้ๆก็เลยรู้สึกแปลก ไม่คุ้นชินกับคนอื่นนะ เหมือนกับว่า ความรู้สึกรอบตัวเองมันเปลี่ยนไปนะ” ฟังเพื่อนสนิทอีกฝ่ายเล่า ทิมเองก็เข้าใจอาการของน้ำนิ่งวันนี้เพิ่มมากขึ้น ‘ความรู้สึกรอบตัวเองเปลี่ยนไปงั้นหรอ’ พอสมองหน้าคนงง แล้วก็ยิ้มพลางยกมือตบไหล่เบาๆ “อย่าคิดมาก วันนี้ที่มันเป็นนะถือว่าเบาแล้ว เพราะมันคงคุ้นหน้าทิมบ้าง แถมยังเป็นเพื่อนน้ำ แต่ถ้าเป็นคนอื่นนะ หนักกว่านี้ ว่าแต่ ถามขนาดนี้ ชอบมันละสิ” ทิมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ส่งยิ้มกลับ เพราะเห็นฝาแฝดก็เดินกลับพร้อมของในมือ ในร้านอาหาร ฝาแฝดนั่งข้างกัน เพื่อนนั่งตรงข้าม นั่งรออาหาร คนพี่ก็ไถลไปเอียงซบน้อง จนน้องเอ่ยปากถาม “เหนื่อยหรอ?” “นิดนึง” “อือ รีบกินรีบกลับกัน” กินกันไป ต่างคนต่างคุยกับเพื่อนตัวเอง กินข้าวเสร็จแวะส่งเพื่อนเรียบร้อย ก็กลับมาคอนโด คนพี่เดินนำเปิดประตูเข้าห้องตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ ‘ล้า… เปิดน้ำแช่ตัวสักหน่อยก็ดี คิดแล้วก็ก็ไปนอนในอ่างจากกุชซี่ ‘ นั่งหลับตาไปรอน้ำไปเรื่อยๆ ไม่นาน ก็ได้ยินเสียง คนนั่งลงที่ขอบอ่างด้านหลังตัวเอง เพราะอยู่กันแค่ 2 คน ก็เลยไม่เคยล็อคทั้งห้องนอนและห้องน้ำ คนน้องยกมือนวดเข้าที่บ่า และไหล่ ทั้ง 2 ข้าง ให้พี่ผ่อนคลาย หัวพี่เงยพิงอยู่ที่หน้าท้องน้อง “อื้ออออ ไม่แหนื่อยหรอ” “ชินแล้วมั้ง” นวดไปได้สักพัก มือน้องก็เริ่มไล้ลงที่แผ่นอก วนกลับมาที่ท้ายทอย กกหู วนไปที่ตุ่มไตทั้ง 2 ข้าง พลาง สะกิดแล้ว บด บีบ อย่างเบามือ คนพี่ที่รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่าง หันหน้าเข้าหาน้อง สายตาเหลือบเห็น ของที่วางข้างกาย มือสัมผัสนวดเข้ากับสิ่งที่ทำให้รู้สึกด้านหลังเมื่อครู่ “อื๊อ…อย่า!” ได้ยินก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “หึ! ยั่วกูแล้วบอกอย่า ” จบคำ ก็ใช้ปากครอบครองแก่นกายของน้อง มือที่จับอยู่แล้ว ขยับขึ้นลงตามปาก อีกมือไล้วนไปตามสะโพก “ก...ก็แค่จะนวดให้ อื๊อ...น้ำ” คนพี่ได้ฟังเสียงน้องครางก็สอดนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านหลัง ที่ละนิ้วๆ ขยับเข้าออก เป็นจังหวะ “ตอดไรขนาดนี้เนี่ย” “อื๊อออ ส...เสียวนะ” ปากบอกพี่ พร้อมตัวที่บิดเร่า ได้ยินน้องร้องบอกแบบนั้นก็จับลุกขึ้นไปอยู่ข้างหน้า มือคว้าเอาถุงยางและเจลที่น้องเอามากองวางขึ้นมาใช้ คิดในใจ หยิบมาขนาดนี้ มันคงไม่ยอมจบง่ายๆ ว่าแล้วก็ดึงนิ้วของตัวเองออกจากช่องทางด้านของน้องแล้วดันร่างกายตัวเองเข้าไปแทน “น้ำ!” ก็ดันเข้าไปได้แค่ส่วนหัว พี่มันก็หยุดนิ่งๆ คนน้องก็บิดเร่าๆ ขยับตัวจะให้เข้าให้สุด 2 มือทาบกับกระจกใหญ่ที่มองเห็นวิวยามค่ำคืนของกรุงเทพ เงาในกระจกสะท้อนเห็นบทรักของฝาแฝด ยิ่งชวนให้เร้าร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก “อะไร เมื่อกี้ยังบอกอย่าอยู่เลย หืม...” พูดแล้วก็เอื้อมมือไปสัมผัสแก่นกายของน้อง จูบไปตามแนวหลัง มือรูดขึ้นลง คนน้องก็ยิ่งบิดตัว ขยับไปใหญ่ ก็มันทั้งอัดแน่น ทั้งเสียว ใครมันจะอยู่เฉยได้ “พ… พี่ ซี๊ด… จะเอายัง” “จะเอายังละ” ไม่พูดป่าว ตัวพลางส่ายหมุนควงไปมาให้น้องยิ่งเสียว มือก็รูดของน้อง ขึ้นลงช้าๆ “อ..เอาแล้วๆ เอาเร็วๆ อื๊อ พี่ ” พูดแล้วก็ยกขาอีกข้างขึ้นเหยียบขอบอ่างดันร่างกายตัวเองเข้าหา จังหวะคนพี่กระแทกเข้ามาจนแน่นพอดี “อ๊า …. น้ำ” “ฮื้มมม” 2 คนร้องครางขึ้นพร้อมๆกัน คนน้องเอื้อมมือมาจับสะโพก ยิ่งเร้าแรงกระแทกกระทันขึ้นไปอีก “อ๊ะ.. น้ำ น้ำ อื๊อ ” ได้ยินเสียงน้องเรียกก็หยุดจังหวะกระแทกอีก แต่มือยังคงขยับอยู่กับของน้องไม่หยุด “เรียกว่าไร หืม ไหนเรียกใหม่สิ” พูดจบก็ถอนร่างกายออกจนเกือบสุดแล้วดันเข้าใหม่อย่างแรง! “พ….พี่ พี่ น้องเสียว อ๊ะ เสียว ไม่ไหวแล้วนะ “ “พอแล้วหรอ อ๊า...น้ำนิ่ง ” กระแทกเข้าออกแรงๆ ไม่กี่ที ร่างกายก็กระตุก แล้วปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน ยืนหอบกันอยู่ไม่นาน คนน้องก็ถอนร่างกายออกแล้วหันกลับมาจับคนพี่นั่งลงในอ่าง พร้อมๆกับตัวเองนั่งคุกเข่าระหว่างขาคนพี่ มือดึงถุงยางออก พร้อมปากร้อนที่ก้มลงไปครอบครองแก่นกายของพี่ที่ยังตั้งรับ ลิ้นไล้วนไปตามแท่งอุ่นร้อนราวกับทำความสะอาด “อ๊า….นิ่ง อื๊อ” มือน้องกดนวดไล่ตามขาอ่อนด้านในของพี่ มือนึงของพี่ขย้ำเข้ากับกลุ่มผมน้อง อีกมือเอื้อมขยับแก่นกลางลำตัวของน้องอีกรอบ “อื๊อ….” ‘ก็บอกว่าไม่ไหว ไม่ได้บอกว่าไม่พอ’ ----------------------------TBC----------------------------------- ไปแอบอยู่ในห้องน้ำของ 2 แฝดกันเถอะ ใครที่ถามถึงอาการของน้ำนิ่ง ตอนนี้จะมีบอกอาการแล้วนะคะ จะเป็นประมาณว่า ประหม่าคนแปลกหน้า ยิ่งได้โดนสัมผัสด้วยจะยิ่งกลัว จน ตัวสั่น เหมือนกับว่ายอมรับสัมผัสนั้นๆ ไม่ได้ทันที ในพาร์ทต่อๆ ไป จะมีบอกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้คนน้องเป็นแบบนี้ รวมถึงวิธีการที่คนพี่รักษาว่าทำไมต้องทำแบบนี้ สปอยกันสุดๆ กลัวคนอ่านเบื่อซะก่อน แฮ่ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ และทุกกำลังใจนะคะ
แฝดร้อนแรงมาก กลัวจบเศร้าจัง
ไม่Bad end ใช่คะ เรากลัวความ เสียยไต :hao5:
ตอนที่ 9.1 ก็อยากให้หายเหนื่อย “อ๊า….นิ่ง อื๊อ” คนน้องใช้ปากครอบครองแก่นกายของพี่ 2 มือกดนวดเข้าที่ขาอ่อน ไล่ขึ้นจนถึงขาหนีบ แล้วกดเข้าใกล้จุดกึ่งกางลำตัว ไล่ออก คนพี่หยิบเจลทาจนชุ่มนิ้ว แล้วไล้วนที่ปากช่องทางด้านหลังอย่างที่ชอบ คนน้องสะดุ้งกับสัมผัสเย็น หมดความเย็นก็ทาใหม่ ก็มันอยากหยิบมาหลายหลอดดีนัก! ระหว่างที่น้องยังคนใช้ปาก พี่ก็เริ่มสอดนิ้วเข้าไปในตัวเหมือนอย่างเคย สอดเข้าจนสุด แล้วชักออกอย่างเร็ว เหมือนจะหลุดแต่ก็เสียบคาไว้ “อ๊า…” เสียว จนต้องละปากจากร่างกายพี่ แล้วร้องคราง เห็นน้องร้อง พี่มันก็ทำซ้ำๆ ดันเข้าแล้วชักออก น้ำนิ่งเริ่มหน้านิ่ว คนพี่กระตุกปล่อยน้ำสีขาวขุ่นเลอะเต็มโพรงปาก เงยหน้ามองแล้วยิ้มขึ้นที่มุมปาก จับหน้าน้องขยับมาใกล้ ส่งลิ้นร้อนออกมาเล็มซับน้ำคาวที่เลอะรอบปาก พลางถอนมืออกแล้วแล้วจับน้องหมุนนั่งซ้อนตัก เอาหลังพิงกับอก หยิบถุงยางมาใส่อีกครั้ง แล้วยกตัวน้องขึ้น ดันแท่งอุ่นร้อนของตัวเข้าในตัวน้องอีกรอบ ดันทีเดียวจนมิด! “อ๊า…...” “อ๊า….” เสียงครางพร้อมกันอีกครั้ง เมื่อร่างกายแนบกันสนิท คนพี่นั่งกอดน้องเข้ากับตัวจนแน่น นั่งกอดมันเฉยๆอยู่อย่างนั้นละ น้ำนิ่งบิดเร่าๆ อยู่บนตัวพี่ เหมือนอย่างเคย ยิ่งบิด มันก็ยิ่งเหมือนบดเบียดเข้ากับคนที่นั่งทับอยู่ ท่านี้พี่มันชอบอยู่แล้วก็ยิ่งไม่ปล่อยน้อง “น… น้ำ....” เรียกพี่เสียงสั่น คนพี่กำลังซุกไซร้ ตามแนวหลัง ไหล่ ซอกคอ พร้อมส่งลิ้นร้อนไล่ไปทั่วร่างกายด้านหลัง ราวกับไม่สนใจเสียงเรียกท้วง จนอีกคนต้องเอ่ยเรียกซ้ำ “น…น้ำ พ… พี่ อื้อ” ได้ยินแล้วก็คลายมือที่กอดรัดอยู่ เลื่อนขึ้นมาอยู่ที่ตุ่มไต คนน้องชันเข่า มือจับที่หน้าขา พร้อมกระแทกขึ้นลง “โอ๊ย…เชี้ย! น้ำนิ่ง ซี๊ด….” “อ๊า… อ๊า… เสียว เสียว” “อ๊า…น้ำนิ่ง” เห็นพี่ร้องคราง คนน้องก็ยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง “เรียกไรนะ อ๊า” “น..น้อง น้อง พี่ อ๊า เสียว โอ๊ย” “อ๊ะ..พี่ เสียว เสียว ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว อ๊า” น้ำนิ่งร่างกายกระตุกเกร็งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นิ้วพี่ปิดส่วนที่ต้องปลดปล่อยออกตามแบบที่ตัวเองชอบ น้องบิด บด เบียดตัวเองเร่าๆ อยู่บนตัก พี่ก็จับตัวน้องยกขึ้นลงอีกหลายที จนตัวเองกระตุก จึงละมือออกจากน้องให้ปล่อยออกมาพร้อมกัน เอียงตังพิงซบกันจนหายใจปกติ “อะไรเนี่ย หืม” เอ่ยถามคนน้องในสิ่งที่สงสัย มือยกเกลี่ยไรผมเรี่อย น้ำนิ่งทำเลิกคิ้วกับคำถาม เอ่ยปากตอบ “ก็ข้างบนไม่มีจากุซซี่นี่” ตาน้ำฟังคำตอบแล้วก็ยิ้ม ก็อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย แล้วเปิดน้ำแช่ตัว ผ่อนคลายจนได้ที่ ลุกขึ้นจะไปแต่งตัว คนน้องก็เดินตามเข้าไปกอดที่ด้านหลัง มือลูบเข้าที่ตัวด้านหน้า “หืม” “ตกลงเหนื่อยรึป่าว” ถามพลางไล้ลิ้นร้อนตามแนวหลัง สลับกับจูบวนไปทั่ว คนพี่เดินออกจากห้องน้ำไปเรื่อย คนน้องก็เดินกอด ไซร้ตาม “อยากรู้ไปทำไม หืม” ถามไปมือไล้ขึ้นลงตามลอนกล้าม “ก็อยากให้หายเหนื่อย” น้ำนิ่งก้มลงดูดซับตุ่มไตที่ยอดออก จนได้ยินเสียง แจ็บ จ๊วบ ปนเสียงครางของอีกฝ่าย “อื้อ…..” เดินนัวเนียกันไปจนถึงเตียง น้ำนิ่งก็ดันฝาแฝดตัวเองลงที่เตียงพลางขึ้นคร่อม จูบซับแผ่วเบา ตั้งแต่ใบหูไล่ลงมาเรื่อยๆ สัมผัสแผ่วเบาราวผีเสื้อแตะลงที่ดอกไม้แล้วผละออก ไปทั่วตัว ไล่ลงจนถึงเชิงกรานแล้ววนขึ้นอีกฝั่งของร่างกาย จนถึงใบหูอีกข้าง แล้วเอาปลายจมูกแตะกับของอีกฝ่าย ส่ายไปมาแบบที่ตัวเองชอบโดนแกล้ง คนที่อยู่ใต้ร่างดันอีกฝ่ายให้นอนลงแล้วขึ้นคร่อม ทำแบบเดียวกันอีกครั้งแล้วกระซิบแนบชิดปาก “ไหนว่าไม่ไหวแล้ว” “ก็ไม่ไหว ไม้ได้บอกว่าไม่พอนิ” ได้ยินแบบนี้คนพี่ก็ยกขาน้องขึ้นเกี่ยวที่แขน พร้อมดันร่างตัวเองเข้าจนสุด “โอ๊ย… น้ำ!.” “ว่าไง อื๊อ…..” “อื๊อ.. อื้อ… น้ำ” สองมือจิกเข้าที่ต้นเขนพี่ “เจ็บหรือ เสียว อ๊า” “ซื้ดดด อ๊ะ อ๊ะ” ถามไปก็ได้ยินแต่เสียงครางกลับ จนต้องกระแทกเข้าแรงๆ ซ้ำๆ “ ส… เสียว เสียวมาก อ๊า… น้ำ…” ยื่งน้องร้องคราง คนพี่ก็ยิ่งกระแทกกระทัน จับขายกขึ้นพาดที่ไหล่ “ว่าไงนะ อื๊มม" “พ…พี่… น้ำ น้อง เสียว อ๊ะ เสียวอ่า “ ครั้งนี้อารมณ์น้องเสียวซ่านขึ้นสูงจนปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาก่อน “อ๊า..น้อง..พี่ อ๊า เสียว ซี๊ด” ไม่จบเสียงคราง ตาน้ำก็ปลดปล่อยออกตาม ทิ้งตัวซบลงกับร่างข้างล่าง ตัวดีนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ ขากอดก่ายอยู่บนตัว ตาน้ำยังคงนั่งพิงหัวเตียง คิดอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้น้ำนิ่งอารมณ์สูงขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเรื่องที่สัมผัสโดนทิม ถ้าเป็นทิมจริงเค้าจะทำยังไง? สัปดาห์แห่งการเรียนเริ่มขึ้นอีกครั้ง ตาน้ำขอให้น้ำนิ่งใช้รถคันเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่ายังไงก็ต้องไปร้านด้วยกันอยู่ดี พอน้ำนิ่งหน้างอ คนพี่ก็เข้าไปกอดกระซิบเบาๆ ว่า ‘ก็อยากให้หายเหนื่อยไม่ใช่หรือไง’ วนรถเข้าประตูใกล้กับโรงอาหารกลาง น้ำนิ่งลงรถไปโดยไม่ได้สังเกตว่าฝาแฝดไม่ได้ออกรถไป ใช่! เค้ารอดูสิ่งที่ทำให้น้ำนิ่งมีอารมณ์ไม่ปกติ 4 วันที่ผ่านมา เค้าเห็นเหตุการณ์นึง ที่ไม่เคยรู้มาก่อน และครั้งนี้ ถ้ามันเป็นวันที่ 5 เค้าจะมั่นใจมากยิ่งขึ้น จอดรถเฝ้าดูอีกฝ่ายจนแน่ใจ ก็ออกรถไป ‘น้ำนิ่งเดินสวนกับทิมทุกวัน แถมทั้งคู่ยังส่งยิ้มให้กัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ’ แม้จะเคยได้ยินจากทิมว่าเคยเดินสวนกับน้ำนิ่งแถวนี้ แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะสวนกันทุกวันขนาดนี้? ทิมมาทำไมทุกวัน ? คำถามที่เค้ากำลังคิดว่าจะหาคำตอบจากใครก่อนดี? ---------------------------TBC-------------------------------- อ๋อยยยย คนเขียนงานเยอะช่วงนี้ สมองประมวลผลไม่ทัน ขอแบ่งเป็น 2 ตอน เพราะชอบชื่อตอน มันเกี่ยวกันมั๊ย? ขอบคุณทุกพื้นที่บอร์ด ทุกคอมเม้นท์ และขอบคุณคนอ่านนะคะ สปอยนิดนึง เรื่องนี้ทุกคนเป็นจอมวางแผนคะ เมื่อวางแผนแล้วทุกแผนมันต้องสำเร็จ อิอิ
เหย อย่าบอกนะว่าคุณน้องแอบร้ายอ่า ทิมทำอะไร?
ทิมชอบน้ำนิ่งแล้ว ดูเหมือนน้ำนิ่ง ก็รับรู้ความชอบของทิม ตาน้ำ จัดการดีๆ ล่ะ :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ทิมชอบน้ำนิ่งแน่ๆ คนพี่จะทำไงดีคะ
ตอนที่ 9.2 วางแผน เพราะเลิกเรียนก่อน น้ำนิ่งกับพอสเลยมานั่งรอตาน้ำที่คณะวิศวะ คนพี่มันติดคุยรายงานกับเพื่อน แถมนอกจากจะส่งข้อความบอกน้องตัวเอง มันยังโทรคุยกับพอส เพื่อให้พอสขับรถมาส่ง พอสเองก็สงสัยไอ้พี่มันก็รู้ว่าน้องมันกลัวคนแปลกหน้า มันก็ยังจะให้มา ไม่รู้ว่าพี่มันคิดอะไรอยู่ ก็เลยต้องนั่งรออยู่ด้วย เพราะว่าห่วงเพื่อน ลานเกียร์วิศวะเนี่ยมันธรรมดาที่ไหนกัน! ตาน้ำเดินลงจากตึกกับทิม หลังจากแยกกับทะโมน 3 ตัว ทิมเห็นคนนั่งรออยู่ก็ชะงักเท้าหยุดเดิน ตาน้ำเห็นอาการเพื่อนแล้วก็หมุนตัวเองหันเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย “ทิม….” ทิมมองตาอีกฝ่ายแทนการตอบรับ ตาน้ำถอนหายใจ แล้วพูดต่อ “มึงชอบน้ำนิ่งใช่มั๊ย” ได้ยินคำถามจากปากเพื่อนก็ตกใจ “มึง …มึงหมายถึง?” “กูหมายถึงชอบแบบเป็นแฟน และจะรักแบบเป็นแฟน” ทิมคิดไม่ออกว่าจะตอบคำถามเพื่อนไปในทางไหนดี เพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่าผลที่จะได้รับมันจะดีหรือร้าย ตาน้ำเห็นอาการของเพื่อนก็รู้ว่า ไอ้เพื่อนมันกลัวโดนตัวเองต่อย ยกมือ 2 ข้างวางบนไหล่ เหมือนบังคับให้ทิมมองหน้า “มึงฟังกูน่ะทิม น้ำนิ่งมันไม่เหมือนคนอื่น มึงพอจะรู้ใช่มั๊ย” ทิมพยักหน้ารับกลายๆ “และมึง! มึงคือเพื่อนที่ดีของกู มึงรู้ว่ากูไม่คบใครง่ายๆ เพราะมันจะมีผลกระทบกับน้ำนิ่ง ขนาดไอ้ 3 ตัวนั้น ถ้ามึงไม่รับประกันพวกมัน กูเองก็ไม่แน่ใจว่าจะคบกับพวกมันมั๊ย” อันนี้ทิมรู้ดี เพราะวันแรกที่เจอกัน ตาน้ำ มันนิ่ง เงียบ ราวกับคนมีอะไรในใจ ทิมมองออก พยายามเข้าไปทักทุกวันๆ หลายอาทิตย์กว่าที่จะยอมพูดคุยอย่างปกติ แล้วก็ได้คำตอบกลับมาว่าตอนนั้นที่เงียบๆ เพราะห่วงน้องตัวเอง กลัวว่ารับน้องแล้วจะเป็นอะไรไป ตอนนี้เค้าก็นึกออกถึงเรื่องที่ตาน้ำกังวลในครั้งก่อนแล้ว “เหตุที่กูถามมึงก็คือ ถ้ามึงชอบน้ำนิ่งจริงกูจะช่วย” ทิมมองหน้าเพื่อนอย่างตกใจ ใครก็รู้ว่ามันหวงน้องนักหนา แล้วมันมาไม้ไหนละว่ะ “มึงพูดจริง? ไม่ได้ผีเข้านะ?” ผั๊วะ! ได้ยินแล้วก็ยกมือตบหัวเพื่อนไปหนึ่งที “กูพูดขนาดนี้แล้ว มึงยังไม่เชื่ออีกหรอ เห็นกูเป็นแก๊งค์สามช่าหรือไง” ทิมขำ ยกมือจับคางเพื่อนหมุนไปมา “กูว่ามึงเหมือนอยู่นะ” “เชรี๊ยทิม! กวนตีนกูละ” พูดแล้วก็กระชากคอเสื้อเพื่อน ง้างมือจะต่อย ทิมเห็นอาการของเพื่อนแล้วก็รู้ว่าจริงจังกับคำที่ถามมา ก็เลยตัดสินใจพูดต่อ “ตกลงมึงจะช่วย?” ได้ยินคำตอบเป็นคำถาม ตาน้ำก็หรี่ตายกมือชี้หน้าเพื่อน “มึงยังไม่ตอบกู แล้วจะให้กูช่วยมึงยังไง” ทิมยิ้มขำ ตาน้ำซีเรียสจริงๆสินะ “อืม… กูชอบน้ำนิ่ง กูชอบฝาแฝดมึง ชัดยัง!! แล้วมึงจะช่วยกูแน่ใจใช่มั๊ย? อย่ามากลับคำพูดทีหลังนะ” ตาน้ำพยักหน้าเบา “แต่กูต้องรู้ก่อนว่าน้ำนิ่งคิดยังไงกับมึงด้วย เพราะฉะนั้นจากนี้กูพูดอะไร ให้มึงทำอะไร มึงห้ามขัด และอีก 1 ข้อแม้ที่กูจะขอ” พูดแล้วก็หยุดถอนหายใจเข้าออกลึกๆ 2 ที ทิมรอฟังคำขอนั้นด้วยใจที่เต้นรัว “มึง ห้าม แตะ ตัว นิ่งนิ่ง ก่อน” ทิมพยักหน้ารับ เหตุผลข้อนี้เค้ารู้มาจากพอสแล้วว่ามันจะเป็นยังไง “ได้! กูตกลง” ได้ยินแบบนั้น 2 เพื่อนรักก็สวมกอดกัน น้ำนิ่งตบเบาๆที่หลังเพื่อน แล้วพูดต่อ “มึงเป็นเพื่อนรักกูนะทิม มึงเป็นเพื่อนที่ดี กูให้โอกาสมึงแล้ว อย่าทำให้กูผิดหวัง” ทิมกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น แล้วตอบ “ขอบคุณมึงมาก กูสัญญา กูจะดูแลมันให้ดีเท่ากับที่มึงทำ” “มึงต้องทำให้ดีกว่ากูสิวะ” “เออ ห่า พอใจยัง” ตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ก็พากันเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่นั่งรอหน้างออยู่กับเพื่อน “ช้า!” พอสเอ่ยทักเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา น้ำนิ่งเงยหน้ามองอีกฝ่ายส่งยิ้มจางๆเหมือนเช่นเคย “ไม่บ่นนะพอสสสส ดูสิน้องกูยังไม่บ่นเลย” ว่าแล้วก็แหย่มันกลับซักหน่อย “แล้วนี่จะไปไหนกัน ไม่เข้าร้านหรอ ถึงให้มารอทีนี่” ตาน้ำพยักหน้ารับเบาๆ “ต้องไปซื้อของทำงานกับทิมหน่อยอะ เลยให้มานี่ก่อน จะไปด้วยมั๊ย?” ทิมทำหน้างง หันมองหน้าเพื่อนตัวเองแว๊บนึงแล้วก็ปล่อยผ่านไป “ไม่อะ ไอ้เพียวไม่เข้าร้านเลย ไม่รู้ตายห่าไปรึยัง กูไม่เข้าอีกคนเดี๋ยวเจ๊งแม่ด่ากันพอดี” ตาน้ำแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ นั่นสิ ปกติเพียวไม่ใช่คนที่จะทิ้งร้านหายไป นี่มันเกิดอะไรขึ้น “แล้วมึงไม่เจอมันที่คณะหรอ” พอสส่ายหน้า “เรียนคนละเวลามั๊ยละมึง! ละเนี่ยจะคุยอีกนานม่ะ ไอ้นิ่งมันร้อนหน้าแดงหมดแล้ว!” “เออ มึงนะละชวนคุย ถ้าเสร็จเร็วเดียวกูเข้าไปช่วย” พูดแล้วก็ยกมือลูบหัวน้อง “เออ กูตลอดละ ไปก็ได้” ได้เวลาแยกจากกัน ฝาแฝดและทิมก็ขึ้นรถไปที่ห้างเพื่อซื้อของ เดินเรียงหน้ากระดานมัน 3 คนเนี่ยละ! เพื่อน 2 คน แยกไปดูของ น้ำนิ่งแยกไปดูหนังสือ เสร็จก็มารอเจอกัน “หิวป่าว กินไรมั๊ย” เอ่ยถามน้อง “แล้วแต่เลย” ว่าแล้ว 3 คนก็พากันเข้าร้านอาหาร กินเสร็จก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อย สายตาของคนพี่ก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ทำให้เขาแปลกใจ ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความที่กดส่งไป ก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมา นานหลายวันจนลืมไปแล้ว ลองกดส่งดูอีกครั้ง ทว่า คนปลายทางก็ยังไม่ตอบ ไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจหันหน้าเข้าคุยกับน้องตัวเอง “นิ่ง… เดี๋ยวเราต้องกลับเข้ามหาลัยด่วนอะ อาจารย์ให้เข้าไปแก้งานที่ทำกับไอ้ 3 คนนั้น” ทิมได้ยินก็แปลกใจ ยังไม่อยากขัดอะไร รอมันฟังมันก่อนละกัน น้ำนิ่งเหล่ตามองทิมเล็กน้อย จึงทำให้คนพี่พูดต่อ “ทิมมันไปช่วยอีก 4คน อะ งานนี้ทำ 10 คนกลุ่มใหญ่ เลยแบ่งงานกันทำ แล้วเอามาประกอบรวมกัน” น้ำนิ่งยืนรอฟังคนพี่พูดต่อ “ถ้าไม่อยากเข้าไปร้านแล้ว น้ำนิ่งไปอยู่กับทิมก่อนได้มั๊ย ไปอยู่ที่หอก่อนเดี๋ยวเราไปรับ” เพราะรู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ใจวางแผนไว้ คนน้องอาจจะตั้งสติให้รับมือได้ไม่ทัน จะให้กลับไปอยู่ที่ร้าน ก็คงจะไม่มีสติทำงานเป็นแน่ จะกลับไปที่คอนโดตัวเองก็คจะกระวนกระวายเป็นห่วงเค้า จะเอาทิมไปอยู่ที่คอนโดด้วย ก็กลัวว่ามันจะรู้สึกแปลกไปอีก เพราะคอนโดนั้นมันเป็นโลกส่วนตัวของเค้า 2 คนนี่หน่า ทางนี้คงเป็นทางที่ดีที่สุดคือสถานที่ใหม่ๆ แม้อาจจะยังประหม่ากับทิมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะแย่ น้ำนิ่งประมวลผลตามคำพูดของฝาแฝด ก็พอจะนึกออกว่าอีกฝ่ายเองเข้าใจตัวเองไม่น้อย จึงพยักหน้ารับกลายๆ ตาน้ำส่งกุญแจรถให้ทิม พลางสวมกอดฝาแฝด แล้วพูดให้ได้ยินกันแค่ 2 คน “ไม่เป็นไรน่ะ ไม่ต้องกลัว ทิมเป็นคนดี เชื่อพี่” น้ำนิ่งพยักหน้ารับอีกครั้ง เพราะรู้ว่าคนที่พี่คบต้องเป็นคนดีอย่างที่พูดจริงๆ คลายกอดแล้ว คนพี่ยกมือชี้หน้าทิม 1 ที่ ทิมพยักหน้ารับ แล้วก็เดินจากไป ทิมเองก็ได้แต่คิดว่า ‘แผนมึงมาเร็วไปป่าวว่ะ กูเตรียมตัวไม่ทันเลย’ ส่วนน้ำนิ่งเองแม้จะมีรอยยิ้มจางๆ ส่งให้ทิม ใจก็พลางคิดว่า ‘ต้องอยู่กัน 2 คนจริงๆใช่นะ’ ตาน้ำเดินออกมาแล้ว สมองก็ยังคงคิดถึงสิ่งที่ทำลงไป ไม่คิดเลยว่าจะต้องทำตามแผนเร็วขนาดนี้ หากเพียงเขาหันไปเห็นใครบางคน และคนนั้นก็หันมาเห็นเค้าพอดี แล้วเดินหนีไป จึงต้องรีบขึ้นรถตามออกมา อีกใจนึงก็ถึงฝาแฝดตัวเอง ถ้าไม่มีอาการต่อต้านกับสิ่งที่เค้าบอกให้ทำ นั่นก็แสดงว่า ‘น้ำนิ่งมีใจให้ทิมอยู่บ้างละ’ ก็ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป น้ำนิ่งมันเจออะไรมาเยอะจนทำให้มันสร้างกำแพงขึ้นสูง เค้าก็หวังว่า ทิมและเค้าจะช่วยกันทำลายกำแพงนั้นได้ น้ำนิ่งและทิม เดินกลับมาจนถึงรถ น้ำนิ่งชะงักยืนนิ่งไป สมองประมวลผลถึงการที่จะต้องอยู่บนรถกับอีกฝ่าย ทิมมองแล้วคล้ายจะเดาใจออก จึงเอ่ยปากพูดขึ้น “น้ำนิ่งขับมั๊ย เดี๋ยวทิมนั่งเบาะหลังให้” ก็รู้ว่าฝาแฝดคนน้องนะ หวงบรรยากาศรอบตัวเองขนาดไหน ถ้ามันจะเปลี่ยนไปมันก็ต้องค่อยๆเปลี่ยน พี่มันก็ดันทะลึ่ง เร่งรีบซะขนาดนี้ มึงคิดถึงน้องบ้างมั๊ย น้ำนิ่งยืนคิดอยู่นานว่าจะจัดการกับความรู้สึกตัวเองอย่างไร หันมองทิมแล้วแบมือขอกุญแจรถ ทิมหย่อนใส่มือให้ แล้วตัวเองก็เดินไปเปิดประตูข้างที่นั่งคนขับ คล้ายกับบอกทิมกลายๆ ทิมทำหน้างงเล็กน้อยแล้วถามกลับ “เอ่อ…โอเคหรอ” น้ำนิ่งพยักหน้ารับ ก็ถ้าจะให้อีกคนนั่งเบาะหลัง เดี๋ยวจะหาว่ารังเกียจไปอีก และถ้าจะมีอะไรเปลี่ยน ขอเป็นส่วนของตัวเองที่เปลี่ยนไป ดีกว่าเป็นส่วนของตาน้ำ หากครั้งนี้ เขาขอรักษาความรู้สึกรอบตัวของฝาแฝดไว้ก่อน ออกรถได้ ทิมก็คอยบอกทาง แม้จะไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจากคนขับ แต่ขับถูกทางทิมก็ว่าโอเคนะ! บอกทางจนคิดว่าไม่หลงแล้ว ก็หยิบโทรศัพท์ส่งข้อความตอบเพื่อน TN : โอเคมั๊ยมึง ทิมทิม : อืม น้ำนิ่งขับ TN : ฮ่าๆ นิ่งมันกลัวว่ามันนั่งรถครั้งหน้าแล้วถ้ากูขับ ความรู้สึกเปลี่ยนไปนะ ทิมทิม : เออ กลายเป็นกูเกร็งชิบหาย แล้วนี่มึงยังไง แผนมาโคตรเร็ว TN : กูไม่บอกหรอก แต่รอบนี้บอกเลยว่านอกแผน ทิมทิม : อ่าวไอ้เหี้ยนี่ ตกลงเรื่องอะไร TN : ไม่เสือกนะทิม ไม่เสือก ทิมทิม : เสือกเหี้ยไรละ นี่กูอัพเดตชีวิตมึงอยู่นะ TN : ไปเอาตัวเองให้รอดก่อน อีกฝ่ายนึงเงียบไป รถก็จอดหน้าคอนโดตามที่เคยบอกทางไว้ ทิมหันมองคนขับ เอ่ยปากถามถึงเรื่องที่เพื่อนสั่งไว้อีกครั้ง “จะขึ้นไปด้วยกันมั๊ย” ก็จริงที่ไอ้พื่อนมันสั่งไว้แบบนี้ แต่ถ้าอีกคนตั้งสติได้แล้วเปลี่ยนใจ เขาก็ทำอะไรไม่ได้ น้ำนิ่งพยักหน้ารับ ทิมจึงบอกทางเข้าที่จอดรถอีกที ตาน้ำตามคนนึงคนมาถึงที่ ที่นี่เค้ามาไม่บ่อยนัก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จะเข้าคอนโดนี้ ก็ต้องใช้การ์ดกดลิฟท์ ไม่ยากหรอก เพราะว่าเขามี เดินไปถึงห้องที่คุ้นเคย หากจะแตะคีย์การ์ดเข้าไปเหมือนทุกที ก็ทำได้ แต่ครั้งนี้เค้าเลือกที่จะเคาะประตู ยืนรออยู่นาน ก็เข้าใจว่าคนในห้องมันคงลังเลอยู่ว่าจะเปิดหรือไม่เปิด แกร๊ก! ประตูเปิดออก พร้อมมัดสาวเข้าที่มุมปาก พลั๊ก! แล้วปิดประตูลง ยกมือแตะเข้าที่มุกปากของตัวเองตอนที่ได้รสชาติคาวเลือดในปาก ‘ไอ้เหี้ยนีก็ต่อยไม่คิด แล้วกูจะกลับบ้านไปตอบคำถามไอ้นิ่งยังไงว่ะ’ ยืนถอนหายใจอยู่ไม่นาน ก็พาตัวเองออกมา พอสมาตามใครบางคน ใครบางคนที่อยู่คนละที่ นั่นเพราะคอนโดนี้ถูกซื้อก่อน และคนที่มาเป็นเจ้าของเลือกเป็นแบบ 1 ห้องนอน จึงทำให้เค้าต้องไปอยู่อีกที เดินขึ้นมาจนเกือบจะถึงจุดหมาย สายตามองเห็นใครบางคนยืนอยู่หน้าห้องนั้น จึงถอยหลบเพื่อแอบดูเหตุการณ์ ไม่นาน คนในห้องก็เปิดประตูออกแล้วสาวมัดเข้าที่ปากคนหน้าห้องและประตูก็ปิดลง พอสหันกลับไปกดลิฟท์ แล้วเลือกที่จะนั่งรออีกฝ่ายนึงด้านล่าง ไม่นานคนที่รอก็ลงมา พอเห็นดังนั้นก็รีบเดินไปดักหน้า “ไง” “พอส...” “คุยกันหน่อยสิน้ำ” ‘ตาน้ำไม่คิดเลยว่าการที่ตัวเองผิดแผนกับฝาแฝดและทิม จะส่งผลถึงตัวเองเหมือนกัน’ -------------------------------------------TBC---------------------------------------- ยกป้ายไฟเชียร์ทิมกันเถอะ คริคริ แอบมาลงเบาๆ ยามบ่ายวันหยุด ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณคอมเม้นท์และคนที่อ่าน ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ตอนหน้าเราไม่สปอย แต่รับรองความแซ่บ และฟรุ้งฟริ้ง
เอ๊ะๆ อะไร อยู่ๆก็มาต่อย :hao7: ไม่เชียร์ใครได้เปล่า แอบกลัวแฝดเจ็บนะเนี่ย
คืออะไร ตาน้ำตามใครมา แล้วใครชกน้ำ ...น้ำอ่อนแอถึงขนาดให้ใครคนนั้นชกได้? พอส...มาหาใคร
แปลกๆ กับคำว่า เค้า ที่ไร้ท ใช้ คือรู้สึกถึงความมุ้งมิ้ง แบบผู้หญิงๆ ไม่แมน ดูเป็นภาษาพูดคุย หรือไร้ท ตั้งใจให้มันมุ้งมิ้ง หวานๆ น่าเอ็นดู ถ้าแทนด้วยคำว่า เขา จะไม่สะดุดๆ ก็ผู้ชายทั้งนั้น และวิศวะ มันน่าจะ เถื่อนๆ แมนๆ สายโหด เพียว ชอบตาน้ำ หรือชอบน้ำนิ่ง :katai1: :katai1: :katai1: แต่ต่อยตาน้ำ นี่แสดงว่าชอบกับตาน้ำ แต่ตาน้ำไปสัมผัสกับน้ำนิ่ง เลยโกรธ ? พอส จะคุยอะไรกับตาน้ำ:katai1: :katai1: :katai1: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณคอมเม้นท์นะคะ จะปรับปรุงแก้ไขให้น๊า
ตอนที่ 10 ชู้… พอสแปลกใจในคำพูดของตาน้ำที่บอกว่าจะพาน้ำนิ่งไปซื้อของกับทิม เพราะยังไม่รู้ว่าน้ำนิ่งคิดยังไงกับอีกฝ่าย จึงพาตัวเองตามทั้ง 3 คนมา เมื่อเห็นตาน้ำหันหน้าคุยกับน้ำนิ่ง แล้วสวมกอด นั่นก็ทำให้พอสมั่นใจว่าฝาแฝดคนพี่จะจับคู่น้ำนิ่งกับทิมแน่ แต่ที่สงสัยคือ ทำไมตาน้ำถึงตัดสินใจปล่อยฝาแฝดไว้กับทิม แล้วมันจะไปไหน? ตัดสินใจกลับไปที่รถจึงเพื่อขับตาม ดักรออยู่ไม่นานก็เห็นอีกฝ่ายเรียกแท็กซี่อยู่ ขับตามไปเรื่อยๆ แท๊กซี่ก็จอดส่งคนที่นั่งมา พอสก็เริ่มแปลกใจหนักขึ้น เพราะที่ที่ตาน้ำมาคือ ‘คอนโดของเพียว’ หากเพียงไม่แน่ใจ ตาน้ำอาจจะมีเพื่อนวิศวะอยู่ที่นี่ก็ได้! สมองสั่งการให้ขาก้าวขึ้นไปหน้าห้องที่ตัวเองเคยมา หากใจภาวนาคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายเค้าก็เห็นในสิ่งที่ใจเค้าปฏิเสธ ‘ตาน้ำยืนอยู่หน้าห้องเพียว’ “คุยกันหน่อยสิน้ำ” พอสเดินนำอีกฝ่ายมายังรถตัวเอง ที่ลานจอดรถ เปิดประตูรถด้านหลังให้อีกคนขึ้นไปนั่ง แล้วพาตัวเองตามขึ้นไป นั่งเงียบกันอยู่ไม่นาน พอสก็เริ่มพูดขึ้นก่อน “นานเท่าไหร่แล้ว?” “ช่วงติวเข้ามหาลัย มันช่วยกูติว” ตาน้ำเลือกจะตอบความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะอีกฝ่ายเรียนสายวิทย์มาเหมือนตาน้ำ แต่เลือกสอบเข้าบริหาร พอสจึงพอเข้าใจสถานการณ์ “เงียบมาก ทำไมกูไม่เคยรู้เลย” “กูไม่อยากให้ใครรู้ ไม่อยากให้น้ำนิ่งรู้ด้วย” ได้ยินแล้วก็สงสัย แต่มันก็ไม่แปลก เค้าเองก็ยังไม่รู้เลย “ทำไมวะ?” “มันมีบางอย่างที่กูบอกมึงไม่ได้ ขอโทษนะพอส” คำขอโทษพร้อมสายตาอ่อนโยนส่งกลับมา เห็นแล้วก็ทำให้ใจสั่น พอสได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ เอื้อมมือไปแตะที่รอยช้ำมุมปาก “ขอโทษกูทำไม” “ก็มึง….” “อืม…กูชอบมึง แล้วยังไง?” “มึงไม่…?” ได้ยินแบบนั้น พอสก็ขยับตัวเองขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักของอีกฝ่าย ตาน้ำตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดันตัวพอสออก “มึงรู้อะไรมั๊ยน้ำ บางทีเรื่องยากๆ มันก็ไม่ได้ยากแบบที่เราคิดหรอก” “มึงหมายถึง?” “หมายถึงมึงกับกู เราสองคน” พูดแล้วก็ยกนิ้วจิ้มเข้าไปที่แผงอกของอีกฝ่าย “มึงจะเอาอะไร” พอสยิ้มที่มุมปาก ขยับใบหน้าตัวเองให้ปลายจมูกแตะกับอีกฝ่าย หน้าผากแนบชิดกัน พร้อมจ้องตา นิ้วที่จิ้มอยู่ลากไล้ลงตามสาบเสื้อ “เอามึงไง” “หือ…” “ก็ไม่ยาก แค่มึงกับกู มาเป็นชู้กัน!” ตาน้ำได้ยินแล้วก็นิ่งไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าเรื่องของตัวเองกับอีกฝ่ายจะมาถึงเร็วขนาดนี้ นอกแผนของฝาแฝดแล้ว ของตัวเองยังหลุดแผนไปด้วย “นั่นพี่มึงนะพอส ทำไมมึงถึง….” “แล้วยังไง ทำไมต้องแคร์ ขนาดมันอยู่แบบนี้กะมึง ยังแสดงออกว่าชอบไอ้นิ่งเลย แล้วมันก็รู้ว่ากูชอบมึงมันยังทำ ทำไมกูจะทำบ้างไม่ได้ อีกอย่างกูก็คิดว่า กูรู้ความลับของมึงกับไอ้นิ่ง ถ้าจะให้ปิดความลับนี้อยู่ กูก็ต้องมีความลับของกูกับมึงที่บอกมันไม่ได้เหมือนกัน แต่แล้วแต่มึงนะ” พูดถึงท้ายประโยคตัวเองก็ทำท่าจะลงจากตักของฝ่าย ทว่าตัวเองโดนรั้งเอวไว้ก่อน “มึงแน่ใจนะพอส” พูดพลางจ้องตาอีกฝ่าย มือไล่บีบเข้าที่สะโพก พอสส่งยิ้มกลับ มือไล่แกะกระดุมเสื้อช๊อปของอีกคน “กูทำขนาดนี้แล้ว มึงยังไม่…. อื้อ….” ไม่ทันจบประโยค ตาน้ำก็รั้งคอคนที่นั่งคร่อมอยู่ลงมาจูบ หากเพียงยังทันไม่ได้สัมผัสริมฝีปากกันเท่าไร ลิ้นร้อนของอีกฝ่ายก็ส่งเข้ามาในโพรงปากของตัวเองเกี่ยวพันกันอย่างดูดดื่ม แล้วต่างคนก็ผลัดกันส่งลิ้นร้อนเข้าไปดูดซับความหวานในโพรงปากของอีกฝ่าย ยาวนานเจนจะขาดอากาศหายใจ ก็ผละออก จ้องตากันเพียงครู่แล้วก็พาริมฝีปากแนบกันอีกครั้ง ราวกับเติมเต็มความต้องการที่โหยหากันมานาน ‘สัมผัสและความรู้สึกที่ตาน้ำไม่เคยได้รับและให้ใครบางคน’ ‘สัมผัสและความรู้สึกที่พอสรอที่จะได้รับมาแสนนาน’ ตาน้ำซุกไซร้เข้าที่ซอกคอของอีกฝ่าย มือเริ่มไล่ปลดกระดุมเสื้อ พอสยกมือขึ้นจับแล้วเอ่ยถาม “จะเอาในรถจริงใช่มั๊ย?” ตาน้ำยิ้มที่มุมปาก พร้อมดันอีกฝ่ายลงแล้วขึ้นคร่อม “มึงรู้อะไรมั๊ยพอส คนเป็นชู้กัน ที่ไหนก็เอาได้” สายตา 2 คู่ยังคงจ้องกันอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนพอสจะพูดขึ้นต่อ “ถุงยางอยู่ในช่องเก็บของ” เพียวเปิดประตูขึ้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้คนที่อยู่ด้านนอกหายไปแล้ว หันตัวเองกลับมาในห้อง ปิดประตูแล้วทรุดลงร้องไห้ เพียวรู้ ว่าเรื่องระหว่างตาน้ำกับตัวเอง เขาก็เป็นคนเริ่มก่อน สร้างข้อแม้ขึ้นมาก่อน ถึงมันจะชดเชยความผิดที่เพื่อนตัวเองเคยทำไว้กับน้ำนิ่งไม่ได้ ยิ่งเพียวแสดงออกว่าชอบน้ำนิ่งมากเท่าไร ตาน้ำเองยิ่งแสดงอาการใกล้ชิดกับน้ำนิ่งต่อหน้าเค้ามากขึ้นราวกับไม่ใช่คนเป็นฝาแฝดกัน ก็รู้ว่ารัก หวง และ ห่วงน้อง แถมสิ่งที่เพื่อนตัวเองทำไว้มันก็หนักเอาการ! แม้อยากได้รับความรู้สึกนั้นบ้าง แต่ก็รู้ว่าตัวเออยู่ในฐานะที่เรียกร้องอะไรไม่ได้ จริงอยู่ที่อยากให้ตาน้ำหึง และ หวง ตัวเองบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้รับอะไรกลับมานอกจากเซ็กซ์ เซ็กซ์ที่เป็นแค่ข้อตกลงของเขาสองคน! ‘สัมผัสและสายตาที่อ่อนโยนที่ตาน้ำมีให้น้ำนิ่งนั้น มันทำให้เค้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าในสายตาของอีกฝ่ายเลย’ ภาพที่เค้าที่ตาน้ำจูบซับที่นิ้วของน้ำนิ่ง พร้อมทั้งดันนิ้วของอีกฝ่ายเข้าไปในโพรงปากตอนนั้น ทำให้เพียว ยืนตัวแข็งถื่อ รู้สึกตัวเองจะหมดแรงลงทันที หากสมองยังคงคิดว่าทั้ง 2 คนเป็นพี่น้องกัน แต่ใจกลับยอมรับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ พยายามหลบเลี่ยงไม่ออกไปเจอใคร เพื่อปรับสภาพจิตใจของตัวเอง แต่วันนี้ใครอีกคนตามกลับมายืนอยู่ที่หน้าห้อง ไม่รู้ว่าโมโห หรืออะไรก็เผลอไปต่อยมัน ก็นั่นละ เขา 2 คนมันเริ่มจากการต่อยตี และจบด้วยเซ็กซ์มาก่อน มันไม่ได้เริ่มจากความชอบและความรัก แต่หากเพียงครั้งนี้ เพียวอยากจะขอโทษและปรับความใจ แต่ก็ไม่ทัน โทรไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ทิ้งตัวร้องไห้อย่างนี้ เพราะรู้ความรู้สึกของตัวเองแน่ชัด ‘เขาไม่ได้ชอบน้ำนิ่งอีกแล้ว เขารักตาน้ำต่างหาก’ เบาะหลังของรถยี่ห้อ Porsche Macan ถูกปรับให้เอนจนสุดเพื่อรองรับบทรักที่ร้อนแรงของคน 2 คน เสียงร่างกายกระทบกันครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับทั้งคู่โหยหากันมานาน “โอ๊ย…เหี้ยน้ำ” “มึงแม่ง…ตอดดีชิบหาย อ๊า…พอส” “ บ…เบา ไอ้เหี้ย ตายอด ตายอยาก มาจากไหน อ๊า…” พอสพูดไป ครางไปทุกจังหวะที่ได้รับแรงกระแทกมา ก็เพราะกับน้องตัวเองมันรุนแรงได้ไม่มาก ส่วนกับเพียวมันก็แค่เซ็กซ์ที่มีไว้ระบายอารมณ์ พอเจอคนที่ตอบสนองได้ทั้งร่างกายและจิตใจมันก็ทำให้รู้สึกดี ดีมากจนอยากใส่ทุกอย่างลงไปให้สุด! “ก็มึง… อ๊า…โคตรเด็ด” พูดไปก็ครางไป แรงที่มีก็กระแทกลงไปที่ร่างของอีกคนอย่างเต็มที่ “อ๊า…น้ำเบา ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูระบมหมด อื๊อ” เมื่ออีกฝ่ายร้องท้วง หน้าที่ซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอหันมาจ้องหน้าคนที่อยู่ด้านล่าง รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปาก “มึงแน่ใจ?” พูดแล้วก็หยุดร่างกายอยู่เฉยๆ “ซี๊ด… เหี้ยน้ำ อย่ามากวนตีนตอนนี้ อ๊า” ก็อีกคนหยุดอยู่เฉยๆ ข้างในร่างกายมันก็อัดแน่ ทำให้อึดอัดไปหมด บิดไปมาอยู่ใต้ร่างที่คร่อมอยู่ ตาน้ำเห็นอาการนี้ก็ขยับหมุนอีกคนให้มาอยู่ด้านบน จนเสียงครางเกิดขึ้นพร้อมกัน “อ๊า...” “อ๊า….พอส” “มึงทำเองเลย จะเอาแรง เอาเบา ตามใจมึงเลย โอ๊ย เหี้ยพอส” พูดยังไม่ทันจบ พอสก็ขยับยกตัวขึ้นสูงแล้วดันตัวเองลงจนสุด มือตาน้ำจับเข้าที่เอวเป็นแรงส่งให้ยกตัวขึ้นลงแรงๆ “อ๊า….พอส พอส เหี้ย เสียว ไม่ไหวแล้ว” “อื้อ น้ำ กูไม่ไหวแล้ว อ๊ะ….” ตาน้ำจับตัวพอสขยับขึ้นลงอีกไม่กี่ทีก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน พอสหมดแรงซบลงที่แผงอกของคนด้านล่าง ยังไม่ทันจะถอนร่างกายออกจากกัน ของข้างในตาน้ำที่อยู่ในร่างกายพอสก็ลุกสู้อีกครั้ง “อ๊ะ…น้ำ” “เหี้ย พอส แบบนี้ 3 รอบแล้วนะ มึงแม่ง” ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันพร้อมส่งยิ้ม ก่อนที่พอสจะพูดต่อ “มึงอยากต่อรอบ 4 ป่าวละ กูมีถุงยางให้มึงพอนะ” ได้ยินแบบนั้นตาน้ำก็จับอีกฝ่ายที่เพิ่งอ่อนแรงเอนตัวนอนลง “ไม่ยากหรอกพอส มึงให้ กูก็เอา” คำพูดที่พอสเคยพูดให้อีกฝ่ายฟัง ตอนนี้มันวนกลับมาหาตัวเขาเอง ‘หากตาน้ำไม่หันไปเห็นพอสที่ห้าง แล้วเห็นเพียวที่กำลังจะเดินหนีอีกที คงไม่ตัดสินใจพาตัวเองมาถึงที่นี่ เพราะรู้ดีว่าพอสต้องตามมา และรู้อารมณ์ของเพียวในช่วงนี้ ก็เดาไม่ยากว่าตัวเองจะโดนต่อย จะทำไงได้ อยากได้คะแนนสงสาร มันก็ต้องยอมเจ็บตัวกันบ้าง ตาน้ำรู้ดี คำตอบของตัวเองวันนี้ ไม่ใช่เพียว แต่เป็นพอส และในใจก็คิดว่า Porsche Macan มันกว้างดีนะ ติดฟิล์มดำก็เท่ดี บอกแม่เปลี่ยนเป็นแบบนี้มั่งดีกว่า ’ ----------------------------------TBC---------------------------------------------- ฮือออออ แซ่บ ปน หน่วง กับ 2 พอพาน ตอนนี้เขียนเป็นวัน แก้แล้ว แก้อีก หวังว่าคงชอบกันนะคะ ตอนหน้าน้ำนิ่งขึ้นห้องทิม ฟรุ้งฟริ้ง มาจริงๆ ละ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณคอมเม้นท์และคนอ่าน ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ------------------------------------------- ป.ล.เรื่องสรรพนาม ที่มีคนแนะนำ คำว่า 'เขา' กับ 'เค้า' นั้น ตอนแรกไรท์คิดเองว่า แทนตัวเอง จะใช้ 'เค้า' พูดถึงคนอื่นจะเป็น 'เขา' แต่พอได้คำปรึกษามาแล้ว สรรพนามกล่าวถึง 'เขา' เหมือนกันทั้ง 2 คำ ส่วนตาน้ำกับน้ำนิ่งนั้น 2หนุ่มจะถูกเลี้ยงมาแบบมารยามดีงาม กู-มึง จะใช้กันเฉพาะช่วงดาร์ก แบบบิ้วอารมณ์ แต่กับเพื่อนพูดกู-มึงปกติค่ะ เพื่อความสุขของคนอ่าน ย้อนไปแก้สรรพนามให้เรียบร้อยแล้วค่า ขอบคุณทุกคนที่แนะนำนะคะ จะปรับปรุงแก้ไขต่อไปคะ
สนุกนะคะ ติดตามอยู่ค่า :mew1:
ทำไมตาน้ำเป็นคนแบบนี้ พอสเห็นแก่ตัวเกินไป เพียว น่าสงสาร แต่ก็เข้มแข็งมากๆ น้ำนิ่งล่ะ กับทิมไว้ใจได้แค่ไหน? มันจะเป็นความลับอย่างนี้ต่อไปไหม? หากล่วงรู้ความลับกันและกัน มีอันต้องเสียน้ำตาทุกคนเป็นแน่
งงกับสถานะ ณ จุดนี้ สรุปเป็นเรื่องของแฝด หรืออะไร เพียว พอส น้ำนิ่ง ตาน้ำ ทิม 5p เหรอ
o22. โอ้วววว. อึ้งแรงมากอ่า ตอนแรกนึกว่าจะหวานๆกันระหว่างแฝดเท่านั้น งานดาร์กก็มา สรุปแล้วแค่ชู้ใช่ป่าวอะ. แอบอยากรู้จักน้ำนิ่งมากกว่านี้อะ
Hot Café รัก ร้อน ลับ เอิ่ม.......สมชื่อจริงๆ :z1: :pighaun: :haun4: ตาน้ำ ชอบความร้อนแรงของพอส กับเพียว ก็ชอบแค่เซ็กส์ พอส ชอบตาน้ำ เป็นกิ๊กก็ยอม อยากรู้ความในใจของตาน้ำ จริงๆ ชอบใคร? ตาน้ำยอมให้ทิม จีบน้ำนิ่ง ทั้งที่หวง เพราะทิม ชอบน้ำนิ่งจริงๆ และน้ำนิ่ง ก็มีท่าทีพิเศษจากการสัมผัสกับทิม น้ำนิ่ง เคยเจอคนทำไม่ดี จนมีความหวาดผวาตามมาสินะ เพราะอย่างนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ตาน้ำ ดูแล อ่อนโยนกับน้ำนิ่ง กับน้ำนิ่ง เพราะอยู่ด้วยกัน ผูกพันใกล้ชิด ทำให้เลยเถิด แค่ช่วยกันระบายความใคร่เท่านั้นหรือ :katai1: :katai1: :katai1: รอ NC ทิม น้ำนิ่ง :ling1: :ling1: :ling1: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
Special Father Day : ฝาแฝด & Daddy และคุณตา เสียงวิ่งตึ่งๆๆ จากบ้านเรือนไทย ' “เอ๊าๆ ลูกลิง เดี๋ยวยายจะเคาะตาตุ่ม เดี๋ยวเถอะ” “แม่ Dad !!!” ตาน้ำเริ่มจะออกวิ่งอีกที หากน้ำนิ่งรั้งเสื้อไว้ เพราะคุณยายสายตาดุมา ฝาแฝดจึงค่อยๆย่องๆ เหมือนจะแซวคุณยาย พ้นกรอบประตูได้ ก็วิ่งลงบันไดเหมือนเดิม ตึ่ง!...ตึ่ง!....ตึ่ง! “เอ๊ะ! เจ้า 2 คนนี้” คุณยายยังคงดุไม่เลิก คุณตายังนั่งขำอยู่ข้างๆ พอถึงพื้นได้ ก็กระโจนกอดทั้งพ่อและแม่ สลับกัน “เอ๊าๆ เดี๋ยวแม่ล้ม ตัวไม่ใช่เล็กๆ แล้วนะ” “ทำไมไม่เห็นบอกก่อนเลยครับว่าจะมา” พอพูดขึ้นพร้อมกัน ไอ้น้องมันยื่นมือไปผลักพี่ หาว่าพูดเลียนแบบ “บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับ หืม” “โธ่ Dad ถ้าพวกผมไม่กลับมาก็ไม่ได้เจอใช่มั๊ย?” “ไม่กลับมา แม่กับ Dad ก็พาคุณตาคุณยายไปหาอยู่ดี” พูดแล้ว Dad กับ แม่ก็โอบฝาแฝดจะเดินขึ้นเรือน 2 คนชะงักเท้า หันมามองหน้ากัน “แม่กับ Dad ขึ้นไปก่อนนะครับ” “จะไปไหนกันละลูก” “เซอร์ไพรส์ครับ!!” พูดพร้อมกัน แถมยังหันไปหอมแก้ม แม่ละ Dad พร้อมกันอีกต่างหาก ว่าแล้วฝาแฝดก็วิ่งไปทางเรือนครัว “ลูกลิงนี่ ไม่โตกันจริงๆเลยนะคะ ป่วนยังไงก็อย่างนั้น” “ก็คุณอยากมีลูกเป็นผู้ชายเองนี่ หืม” แม่กับ Dad ก็พากันขึ้นบ้าน สวัสดีคุณตาคุณยาย แล้วก็นั่งคุยกันไปพลางๆ เห็นฝาแฝด ถือถาดขึ้นมาวางใกล้ๆ ในถาดมีพวงมาลัย 7 พวง “สงกรานต์รึยังละลูก” “โธ่ แม่ อย่าแซวสิครับ กว่าน้ำจะตกลงทำได้ นิ่งนะกล่อมแล้วกล่อมอีก” “ตลกละๆ อย่ามาแฉ!” บ่นน้องพร้อมมือที่ผลักหัวอีกที คนน้องก็ยกมือลูบหัวป้อยๆ “เอ๊าๆ ตีกันอีกแล้ว ลูกลิงเนี่ย พร้อมรึยังคะ เดี๋ยวพวงมาลัยเฉาหมด” ว่าแล้วฝาแฝดก็หยิบพวงมาลัย ขยับไปกราบที่ตัก Dad พร้อมพวงมาลัย “ขอให้ Dad แข็งแรง มีความสุขมากๆ ขอบคุณที่เลี้ยงดูพวกผมมาอย่างดีครับ” Dad ยกมือลูบหัวฝาแฝดน้ำตาคลอ “ Dad ก็ขอบคุณที่ลูกเป็นเด็กดีนะครับ” ฝาแฝดสบตากันเล็กน้อย กราบแล้วก็ขยับตัวเข้าไปกอดซ้ายขวา แล้วก็ขยับมากอดแม่ “ขอบคุณลูกมากนะครับ ที่ช่วยดูแลคุณตาคุณยายแทนแม่” “ก็แม่กับ Dad ต้องทำงานนี่ครับ” แม่กอดฝาแฝด ลูบไปตามตัวขึ้นลง “โอ๊ะ! ของแม่กับDadครับ” น้ำนิ่งพูด พร้อมขยับมือหยิบพวงมาลัยให้แม่กับ Dad แม่ขยับเข้าไปกราบคุณตา “ขอให้คุณพ่อแข็งแรง อยู่กับลูกและหลานไปนานๆ นะคะ ขอบคุณที่เลี้ยงดูลูกหลานเป็นอย่างดี” คุณตายกมือลูกหัวแม่ “ขอบคุณลูกที่เป็นคนดี มีลูกลิง 2 ตัว มาให้พ่อปวดหัวทุกวัน” “โธ่… คุณตา” แล้ว Dad ก็ขยับกราบคุณตา “ขอให้คุณพ่อแข็งแรง และก็ขอบคุณคุณพ่อมาก ที่เมตตาผม และลูกๆ” ฝาแฝดขยับกราบคุณตาอีกครั้ง พูดขึ้นพร้อมกัน “ขอบคุณคุณตาที่เลี้ยงดูพวกผมนะครับ ขอให้คุณตาแข็งแรง อยู่กับพวกผมไปนานๆ “ “โอ๊ย! ปวดหัวตายเลย ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ตาปวดหัวทุกวัน สงสัยจะปวดหัวจนตาย เป็นเด็กดีนะลูก ตาขอบคุณที่หลานเป็นเด็กดี” เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากทุกคน ฝาแฝดขยับไปกอดคุณยาย “เอ๊า! พวงมาลัยอีก 2 พวงละลูก” “โอ๊ะ!!” ฝาแฝด คลายอ้อมกอดคุณยาย แล้ววิ่งถลาไปตามแม่เพ็ญ กับแม่ภามา พร้อมเสียงโวยวาย “ดู๊ ดู ลูกลิงนี่ เพิ่งจะดุอยู่เมื่อกี้ วิ่งบนเรือนอีกแล้ว เรือนจะพังเอา” “โอ๊ยๆ คุณหนู ช้าๆ ผ้าถุงจะหลุด” ส่งพวงมาลัย ให้ แม่เพ็ญ และแม่ภา “ขอบคุณคุณท่านที่เมตตาเรา 2 คนนะคะ” หากแม่เพ็ญ และแม่ภา กราบลงที่พื้น แต่คุณตาเอามือรองรับไว้ “ขอบคุณทั้ง 2 คนที่ช่วยคุณยายดูและบ้าน และฝาแฝดนะ” “อาศัยอยู่บ้านคุณท่าน ก็ต้องปวดหัวเหมือนคุณท่านนั่นละคะ” สุดท้ายฝาแฝดก็หันหน้าหากัน น้ำนิ่งพูดขึ้นก่อน "ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันนะ" "อื้อ ขอบคุณเหมือนกันนะ แต่ถ้าเบื่อมากๆ จะหนีออกจากบ้านละ" จบคำ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้ง บ้านเรือนไทย มีเสียงหัวเราะที่มีความสุข เมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าในวันครอบครัว ‘หากแต่วันครอบครัวของฝาแฝดนั้น ไม่ใช่วันที่บอกรักกัน แต่เป็นวันขอบคุณที่ทุกคนยังอยู่ด้วยกัน -----------------------------TBC------------------------------------------------- สุขสันต์วันพ่อนะคะ :mew1: สำหรับใครที่ติดตามเรื่องพาร์ทปกติอยู่ มีคนทายถูกด้วย คนเขียนดีใจมาก อิอิ ระหว่าง เพียว และ ตาน้ำ มีเงื่อนไขข้อตกลง ตามที่เกริ่นไว้ ว่าเพียวเป็นคนสร้างข้อเสนอเอง ส่วน พอส และ ตาน้ำ คือ พอสชอบตาน้ำ แต่ตัวเองก็ไม่อยากที่จะขยับใกล้เพราะกลัวกระทบกับใจของน้ำนิ่งที่เห็นเพื่อนตัวเองเป็นแฟนกับฝาแฝด กลัวว่าน้ำนิ่งจะคิดว่าตัวเองโดนทิ้งอยู่คนเดียว แต่พอรู้ว่าเพียว มีอะไรกับตาน้ำ แถมยังแสดงออกว่าชอบน้ำนิ่ง พอสจะออกแนวเคือง คือทำกับตาน้ำแบบนี้ไม่ได้ ไม่ยอม ตัวเองก็เลยทำตามใจตัวเองบ้าง ตาน้ำชอบใคร มาลุ้นกันเถอะ ส่วนน้ำนิ่ง กับทิม น้ำนิ่งได้ยากคะ บอกเลย พี่ทิมไม่เริ่มก่อน อดทนอดกลั้นกันน้องมาก เพราะตาน้ำสั่งไว้ ต้องให้น้ำนิ่งปรับสภาพตัวเองให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องของฝาแฝดที่มีอะไรกัน เดี่ยวมีเฉลยในตอนต่อๆไปว่าเพราะอะไรคะ อยากให้ติดตามกันไปเรื่อยๆนะคะ ทุกคนมีแผน ฮ่าๆ นี่ไม่ได้สปอยเลยนะ ><" ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณคอมเม้นท์ และคนอ่าน ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
ไร้ท ต่อไว ดีใจมากๆ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: ครอบครัวแฝดเปี่ยมสุขจริงๆ แม้แต่แม่เพ็ญ แม่ภา คนในบ้าน ก็ได้รับความรักถ้วนทั่ว แสดงว่าแฝด มีจิตใจอ่อนโยน ได้รับการอบรมมาดี รอตอนต่อไป :mew1: :mew1: :mew1: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หึ........ อ่านแล้วเดาได้ไม่ยากเลยว่าแฝดน้องจะรู้สึกยังไง ถ้ารู้เข้า แล้วแฝดคนพี่จะโดนน้องเทหรือไม่ ก็นะ โดนทั้งแฝดทั้งเพื่อนทรยศขนาดนี้แล้วอ่ะนะ พูดได้คำเดียว..... ทั้งคนพี่ ทั้งเพื่อนคือเห็นแก่ตัว
ทุกคนมีแผนหมด ...แผนร้ายสินะ!!!!!!! เรายังคงชอบฝาแฝดอยู่แม้ว่าตาน้ำจะทำให้ผิดหวังไปแล้วกับความสัมพันธ์ลับๆนั่น
แฝดพี่แฝดน้อง ปรองดองสุขสันต์ พี่น้องร่วมกัน ทำร้านกาแฟ ร้านแฝดฮอตนัก คนรักตามแห่ มากินกาแฟ แชร์ถ่ายส่งไลน์ ขนมมีหลายหลาก ฝากขายได้ใจ น้ำนิ่งเพิ่มใหม่ ขนมไทยก็มี เพียวพอสพี่น้อง พ้องรักแฝดพี่ ตาน้ำยินดี เซ็กส์มีทั่วถึง ทิมมองน้ำนิ่ง รักจริงลึกซึ้ง ตาน้ำคำนึง ให้ทิมดูแล :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
บทที่ 11 รอยยิ้ม ทิมเดินนำน้ำนิ่งขึ้นมาจนถึงห้องตัวแล้วเปิดประตูให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปก่อน น้ำนิ่งยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วหมุนตัวซ้าย ขวา ราวกับสำรวจห้อง พร้อมๆ กันสร้างความเคยชินให้ตัวเองว่าอะไรอยู่ตรงไหน จนเจ้าของห้องต้องเอ่ยปากบอก “โทษทีนะ ห้องเล็กไปหน่อย” น้ำนิ่งส่ายหน้าเป็นคำตอบ ราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร ห้องของทิมไม่ใหญ่มาก เพราะคิดว่าอยู่คนเดียว เดินเข้ามาขวามือเจอโซฟา ตั้งตรงข้ามกับทีวี อยู่ริมประตู เยื้องไปด้านซ้ายเป็นห้องนอน เยื้องไปด้านขวา เป็นส่วนของครัว และออกไปจนถึงระเบียงที่เดินยาวจนถึงฝั่งห้องนอนได้ ทิมเคยคิดว่ามันก็อยู่ได้ หากแต่ตอนนี้มีอีกคนมานั่งอยู่ ทิมกำลังคิดว่ามันเล็กไปรึป่าว ก็คอนโดของฝาแฝดนะหรูจะตาย เอาจริงๆ ที่บ้านเค้าก็ซื้อได้ แต่ไม่รู้จะเอามาทำไมใหญ่โต ขี้เกียจทำความสะอาด “เอ่อ… น้ำนิ่งหิวมั๊ย มีขนมนะ” น้ำนิ่งมองคนพูดแล้วยิ้มกลับ ทิมเริ่มคิดว่า ตัวเองเริ่มอ่านอาการของอีกคนได้อย่างเข้าใจ หากเพียงยิ้มตอบ พยักหน้า หรือส่ายหัว นั่นคือการตอบรับ หากคิ้วขมวดนั่นคือสงสัยและไม่แน่ใจ น้ำนิ่งนั่งลงบนโซฟาที่ติดกับกำแพงริมประตู ทิมส่งจานขนมมาวางให้ เห็นขนมแล้วก็เงยหน้ามองอีกฝ่าย ‘ขนมไทย’ “ เอ่อ… ทิมชอบกินอะ อร่อยดีนะ แถมที่อร่อยๆก็หากินก็ยากมากๆ” ทิมเห็นอาการสงสัยก็เลยรีบตอบอย่างเขินๆ แล้วนั่งลงที่ริมโซฟาอีกฝั่ง ยืนรีโมททีวีส่งให้อีกคน ก็ได้รอยยิ้มกลับ “อ่ะ! กะทิ ” เจ้าของห้องเอ่ยทักแมวพันธุ์ บริติช ชอร์ตแฮร์ ของตัวเอง ที่เดินมาแล้วปีนขึ้นไปนอนเอาหัวพาดบนตักของน้ำนิ่งราวกับอยากจะทำความคุ้นเคย ทิมอยากจะพุ่งไปคว้าตัวมาแต่ก็ชะงักไว้เพราะกลัวน้ำนิ่งจะตกใจอีก แต่คนที่เป็นแขกตกใจกับแมวเพียงเล็กน้อยแล้วก็อุ้มขึ้นมาไว้บนตักแล้วลูบเล่นอย่างเบามือ “ชื่อ ‘กะทิ’ หรอ “ เพราะไม่รู้ว่าพูดกับคนหรือแมว ทิมจึงไม่ได้ตอบ จนอีกฝ่ายเงยหน้าหันมามอง จึงรู้ว่าเสียงที่เอ่ยมาเบาๆนั้นถามตัวเอง “เอ่อ…. ใช่ๆ ชื่อกะทิ จะได้เข้ากับทับทิม” น้ำนิ่งไม่เข้าใจคำตอบของอีกคนชัดเจน จึงยังคงมองหน้าด้วยความสงสัย “คือ… คือว่า ชื่อทิมอะ มาจากทับทิมกรอบ แม่ทิมชอบกิน แล้วทับทิมกรอบมันใส่น้ำกะทิใช่มั๊ย ก็นั่นละที่มา” เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจในคำตอบของตัวก็โล่งใจ น้ำนิ่งนั่งลูบเจ้ากะทิไปมาอย่างแผ่วเบา พร้อมรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า รอยยิ้มที่ทิมเฝ้ามองมาตลอด หากเพียงวันนี้ไม่คิดว่าจะได้มองเห็นใกล้ๆ มากกว่าการเดินสวนกัน ครั้งแรกที่ได้เจอตั้งแต่ปี 1 คือเดินสวนกันที่โรงอาหารกลาง ทิมชอบไปกินข้าวที่นั่น เพราะมันมีขนมไทย เดินเจอคนหน้าเหมือนเพื่อนตัวเองก็ตกใจ เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันมีฝาแฝด ครั้งแรกๆ ทิมก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเจอหรอก แต่การที่กลับจากโรงอาหารกลางจะเดินไปคณะนั้น ก็สวนกันตลอด หลังจากที่น้ำนิ่งรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนของตาน้ำ ทิมก็ตั้งใจไป ทุกๆวันที่เดินสวนกัน ทิมก็ได้รับรอยยิ้มจางๆ กลับมาเป็นการทักทาย ไม่มีการหยุดคุยใดๆ ทิมก็ได้แต่ส่งยิ้มตอบกลับ หากแต่ทิม ไม่กล้าที่จะขยับเข้าไปใกล้ ด้วยเพราะอีกคนเป็นฝาแฝดของเพื่อนตัวเอง และกลัวจะโดนมองว่าคบตาน้ำเพราะเข้าหาน้ำนิ่ง จึงได้แต่เฝ้ามองรอยยิ้มนั้นตลอดมา พร้อมคำถามที่ทิมเคยคิดหาคำตอบมานาน ‘ คนอะไรวะ อยู่กับพี่ อยู่กับเพื่อนตัวเอง โลกโคตรสดใส แต่พออยู่คนเดียว สายตาสดใสนั้น กลับประหม่า เหมือนโลกเป็นสีเทา ไม่พูดคุยกับคนอื่น คล้ายกลับหวาดกลัวคนรอบข้างอย่างนั้นนะ ‘ แต่คำตอบนี้ทิมก็ได้รู้แล้ว แม้ว่าตัวเองจะยังไม่รู้แน่ชัดในที่มาของอาการนี้ แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เขาจะทำให้น้ำนิ่งหายจากอาการแบบนี้สักวัน ใจนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่ได้คุยกันยาวๆ คือวันที่น้ำนิ่งมาสอบเทสแทนตาน้ำ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายชอบไปโรงอาหารกลาง ทิมจึงเข้าไปชวน ตอนนั้นทิมเองก็จำได้ว่า เห็นน้ำนิ่งตัวสั่น แต่คิดเองว่าอาจจะหนาว หรือไม่สบาย ไม่คิดว่าจะเป็นความสั่นที่ต้องตอบคำถามเขา ‘ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูดกับใคร เป็นแบบนี้ก็น่ารักดีนะ’ “แล้ว…กะทิ อยู่ยังไงอะทิม” เสียงเล็กๆ ส่งมากระทบโสตประสาทอีกครั้ง “ห๊ะ! ห๊ะ? ว่าไงนะ” “เราถามว่า ตอนทิมไปเรียน กะทิอยู่ตัวเดียวหรอ?” “อ๋อ… ใช่ๆ ให้ข้าว ให้น้ำไว้ นั่นไง ดีหน่อยกะทิมันไม่ค่อยซน เลยไม่ค่อยหนีออกไปเที่ยว” พูดพลางมือชี้ไปยังอุปกรณ์แมว “โหย น่าสงสารจัง” ทิมงงในคำพูดของอีกคน นี่บ่นกับคนหรือบ่นกับแมวละ ว่าแล้วก็แหย่เล่นไปสักหน่อย “สงสารก็มาเล่นด้วยบ่อยๆสิ ดูท่ากะทิจะชอบน้ำนิ่งนะ” น้ำนิ่งเงยหน้ามองทิม สายตา 2 คู่ส่งประสานกัน เพียงแป๊ปเดียว น้ำนิ่งก็เป็นฝ่ายหลบตาลง “เดี๋ยวไว้ลองขอน้ำดูนะ” คำนี้เอ่ยขึ้นมาเพียงแผ่วเบา แต่ทว่าทั้งห้องมันเงียบมาก ทิมจึงได้ยินชัดเจน พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “ถ้าน้ำไม่ให้มา ทิมพากะทิไปเล่นด้วยก็ได้นะ” คนฟังเงยหน้าขึ้นมามองอีกที พร้อมส่ายหัว “ทำไมละ” น้ำนิ่งถอนหายใจเบาๆ ก็ไม่รู้ว่าจะให้พาไปที่ไหน ไปที่ร้านมันก็ไม่ค่อยดีเพราะขายของกิน จะไปที่คอนโดก็กลัวตาน้ำบ่น “มาเล่นที่นี่ละ ทิมจะได้ไม่ต้องขนอุปกรณ์ไป” ก็รู้ ว่าคนเลี้ยงแมวมันอุปกรณ์เยอะแยะ ไม่เหมือนเลี้ยงหมานี่หน่า “ขอบคุณนะ” ทิมตอบพร้อมส่งรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกลับ น้ำนิ่งพยักหน้า “อือ” นั่งมองแขกผู้มาเยือนเล่นกับแมวตัวเองไปพลางๆ เดี๋ยวลูบหัว ลูบหาง เกาคาง ก็พาลจะหมั่นไส้ อิจฉาแมวขึ้นมาซะงั้น ก็ดูเอาเถอะ ขนาดเจ้าของแมวมองมาตั้งนาน ยังไม่เคยได้เข้าใกล้ แตะนิ้วโดนไปคราวก่อนก็ตัวสั่น ยิ่งไอ้เพื่อนรักมันสั่งไว้ ก็ยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้ไปอีก นั่งมันกันคนละมุมโซฟาอยู่เนี่ยละ หมั่นไส้แมวจริงเว้ย อดข้าวซะดีมั๊ยกะทิ! หลับตาแกล้งนอนดีกว่า นั่งมองนานๆ กลัวใจจะทนไม่ไหว ต้องเข้าไปสัมผัสรอยยิ้มนั้นเข้าให้ ไอ้เพื่อนคงตีหัวแตก! ว่าแล้วทิมก็ไถลตัวเอนลงกับโซฟา กึ่งนั่งกึ่งนอนหลับตา เมื่อกะทิเห็นเจ้าของเอนตัวนอน ก็กระโดดลงจากตัวน้ำนิ่งไปนอนบนตัวเจ้าของแทน ด้วยความเผลอหรืออะไรก็ตาม น้ำนิ่งขยับตัวเข้าไปหาคนเอนตัวนอนบนโซฟา โดยมือข้างนึงเท้าลงกับเบาะที่เว้นว่างของโซฟา ขยับหน้าเข้าไปมอง ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ห่าง มืออีกข้างนั้น ยกไล้ไปตามกรอบหน้า เหมือนจะสัมผัสโดน แต่ก็ไม่โดน อย่างที่ทำกับฝาแฝด ตัวเองกำลังสั่นเล็กๆ จึงรู้ถึงจังหวะลมหายใจที่ไม่ปกติ ตื่นเต้นเพราะกลัวคนหลับจับได้ว่าแอบเข้าใกล้ และก็กลัวว่าจะตัวเองโดนรังเกียจ ในใจพลางคิด ‘รอยยิ้มที่เคยเห็น มาจากใบหน้านี้ รอยยิ้มที่มีไม่ได้ทำให้ใบหน้าคมดูหวานขึ้น เพียงแต่มันทำให้ดูอบอุ่นมากกว่า หูที่เจาะใส่จิวยิ่งทำให้เข้ากับใบหน้านั้น คนอะไร ขนาดหลับ ยังมีความสุข หน้าตาดูเหมือนยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดีจังเลยนะ’ แอบมองคนแอบหลับอยู่นาน โทรศัพท์สั่นขึ้น ก็ตกใจจนสะดุ้ง ทิมได้ยิน ก็ลืมตาขึ้นมามอง น้ำนิ่งหันหน้าหนีไปอีกด้าน จึงไม่เห็นรอยยิ้มของคนแอบหลับส่งยิ้มตามมา แต่คนแอบหลับเห็นคนหันหน้าหนีหูแดง คุยเสร็จก็หันหน้ามาบอก “น้ำจะเอาของไปเก็บห้องก่อน เดี๋ยวจะมารับ” นี่ก็อีกคน อยากจะรู้จริงๆ ไอ้เพื่อนตัวดีมันหายไปไหนมา 3-4 ชั่วโมง “อาห๊ะ! จะรอมั๊ย? ถ้าไม่อยากรอทิมไปส่งมั๊ย” น้ำนิ่งส่ายหน้าก่อนตอบ “เดี๋ยวทิมจะกลับลำบาก” ได้ยินแล้วก็ยิ้ม ไม่คิดว่าน้ำนิ่งจะเป็นห่วงตัวเอง “แล้วแต่นะ อยู่นี่ไม่อึดอัดใช่ป่าว” คนฟังส่ายหน้า แล้วส่งยิ้มแทนคำตอบ แอบมองเจ้าของห้องแล้ว น้ำนิ่งได้แต่คิด ‘ทำไมทิมไม่นอนต่อแล้วละ’ ตาน้ำให้พอสขับรถมาส่งที่คอนโด เพื่อขึ้นไปอาบน้ำ แล้วไปส่งที่คอนโดทิม ได้ยินดังนั้น พอสก็แปลกใจ “เพื่อนมึงนะ จมูกไวยังกับหมา ถ้ารู้ว่ากูไปฟาดกะใครมา มันเอากูตายแน่” “แล้วที่ผ่านๆมามึงทำไงว่ะ” “ก็กลับบ้าน มาอาบน้ำก่อนมันจะกลับมาจากร้าน” “เคยไม่ทันมั๊ย” “ไม่เคยหรอก กูเทพ” “โธ่… พ่อเทพ กูจะคอยดูเหอะ แล้วนี่มึงจะยังไง จะปล่อยมันแล้ว มันยังไม่หายดีเลยนะเว้ย” “ทิมเป็นคนดี มึงก็รู้ว่ากูจะคบใครกูต้องมั่นใจ อีกอย่างกูว่าน้ำนิ่งมันก็สนใจทิมอยู่ มึงต้องช่วยกูนะพอส” พูดจบก็ส่งมือเอื้อมไปจับมือของพอสที่จีบเกียร์อยู่ พอสหันไปสบตา เพราะงงกับอาการนี้เล็กน้อยปากอยากจะเอ่ยด่า ‘เป็นชู้กันนี่มันต้องหวานซึ้งขนาดนี้มั๊ยละมึง’ ทำไมต้องทำให้หวั่นไหววะ “อ…เออ จะให้ช่วยอะไรละ” มือที่ยังคงจับอยู่ลูบไปมา ทำให้พอสหน้าขึ้นสี ตาน้ำเห็นอาการแล้วก็ต้องแอบยิ้ม ‘เด็กน้อยเอ๊ย เมื่อกี้ผ่านมากี่รอบแล้วยังเขิน” “ไม่รู้วะ กูก็แค่คิดว่า พามันมาเจอกันมากขึ้น น้ำนิ่งจะให้หายประหม่าทิม” “อืม… กูเข้าใจละ” ถึงคอนโดทิมก็เข้าจอดที่จอดรถ ให้ตาน้ำลง ก่อนลงผู้โดยสารก็ขยับมาหอมแก้มคนขับ ฟอด! “เฮ้ย!! ไอ้เหี้ยนี่” “เขิน หรอ เมีย…. แค่นี้เขิน ที่เมื่อกี้ 4-5 รอบไม่เห็นจะเขิน” “มึงรีบๆลงไปเลย” ฟอด! ว่าแล้วก็คว้าคอมาหอมอีกที “ถึงห้องแล้วบอกกูด้วย” ก่อนตาน้ำจะลงจากรถ ก็ได้เห็นรอยยิ้มของคนที่เขาชอบมองมากนาน รอยยิ้มที่ทำให้โลกของเขาสดใส พร้อมสีหน้าขึ้นสีแดงถึงใบหูของอีกคน “เออ! ไปได้แล้ว” “ขอจูบอีกที” ว่าแล้วก็คว้าคอมาจูบ ส่งลิ้นร้อนเข้าไปสัมผัสความหวานในโพรงปากของอีกฝ่าย “อื้อ…..” เสียงครางของพอส พร้อมมือที่ยกมือขึ้นทุบที่แผงอกของอีกคน “ไปจริงๆแล้วนะ” ถอนปากออกหากเพียงปลายจมูกยังคงแนบชิดกัน “อือๆ … ไปได้แล้ว ไอ้นิ่งรอนาน เสร็จทิมกูไม่รู้ด้วยนะ” “หึ! คนที่จะเสร็จนะ มึงกับกูต่างหาก ไปละนะเมีย” พูดจบก็เปิดประตูลงไป ก่อนที่คนขับรถจะด่าอีกรอบ ‘ไม่รู้ทำไม กับพอสแค่วันนี้วันแรก เขากับรู้สึกไม่พอ แต่กับอีกคน คิดแล้วก็เซ็ง’ อาจจะเป็นเพราะ พอสมีรอยยิ้มแบบที่เขาชอบ เวลามันอยู่กับน้ำนิ่งที่ไร โลกมันสดใสตลอด เหมือนพยายามจะทำให้น้ำนิ่งหายกลัวคนแปลกหน้า เห็นแล้วก็พลอยทำให้ยิ้มตาม มีความสุขไปด้วย ‘ต่างกับคนพี่ราวฟ้ากะเหว’ เพราะแบบนี้เมื่อพอสเข้ามาเสนอ เขาเองก็ไม่รอที่จะตอบสนองความต้องการ หากพียงมันผิดจากที่เค้าตั้งใจมากไปหน่อย แต่ก็ช่างเหอะ พอสเข้ามาเองแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องปวดหัวคิดวางแผนต่อๆไป เพียงแต่จะเหนื่อยกายมากขึ้นเท่านั้นเอง เดินผิวปากไปพร้อมรอยยิ้มไปอย่างสบายใจ ‘หากครั้งนั้นพอสไม่ได้วิ่งเข้ามาช่วยน้ำนิ่งไว้พร้อมๆกัน ตาน้ำคงคิดว่าพอสเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น และคงทำกับพอสแบบที่ทำกับเพียว’ -------------------------------------TBC---------------------------------------------- มาส่งยิ้มน้อยๆ รับต้นสัปดาห์ มีคนอิจฉาเจ้ากะทิซะแล้ว ช่วงนี้คนเขียนอึนๆ สมองเบลอเล็กน้อย อาจจะไม่ละมุน หรืออัพช้าบ้าง รอกันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งเค้านะ เพิ่งเขียนเรื่องแรก มันอาจจะไม่ดีมากนะ แต่ได้กำลังใจมาเพียบเลย ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณคอมเม้นท์และคนอ่าน ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
ตอนน้ำนิ่งมีเรื่องร้าย ตาน้ำ กับ พอส วิ่งเข้าไปช่วยน้ำนิ่งพร้อมกัน ใครนะ ที่ทำร้ายน้ำนิ่งเป็นโรคจิตหรือเปล่านะ รอ :mew1: :mew1: :mew1: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
เปลี่ยนใจเชียร์ทิมดีไหม ? แต่ก็กลัวแฝดพี่น้อยใจ55 ยิ่งทิมเลี้ยงกะทิด้วย มันดูอบอุ่น ฉันแพ้ผู้ชายอบอุ่น
บทที่ 12 ครั้งต่อไป “ครั้งหน้าขอไปห้องทิมอีกได้รึป่าว” ฝาแฝดคนน้องนอนซบอยู่กับแผงอกพี่พูดขึ้น นอนกองกันอยู่ที่พรมหน้าทีวี หลังเอนพิงโซฟา ได้ยินคำที่น้องชายฝาแฝดพูดก็ถึงกับต้องถามกลับ “หืม อยู่ได้หรอ โอเคใช่มั๊ย” น้ำนิ่งพยักหน้า “อยากไปเล่นกับกะทิ” ได้ยินคำนี้ก็ต้องหันไปมองหน้าคนพูด เพราะต้องอยู่กัน 2 คน ก็เลยย้ายจากบ้านที่เคยอยู่ตอนมัธยม มาอยู่คอนโด แม่เพ็ญกับแม่ภา มาช่วยทำความสะอาดให้บ้าง แถมยุ่งๆเรื่องร้าน ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน น้องก็คงเหงา “ได้สิ น้ำให้ไปรึป่าว?” “ได้สิ แล้วน้ำไปด้วยได้รึป่าว?” คนน้องขำ คนพี่ยกมือลูบไหล่ขึ้นลงไปเรื่อยๆ อย่างเคยชิน “ได้สิ กะทิน่ารักนะ เชื่องด้วย เล่นได้สบายมาก” จริงๆแล้ว เค้าเองมีคีย์การ์ดห้องทิม ทิมอยู่คนเดียว เขาขอไว้เพื่อทิมมีเหตุฉุกเฉิน หรือไม่สบายจะลงมาเปิดประตูคอนโดให้ไม่ไหว ไม่เหมือนกับอีกคนที่พยายามให้เขา หากแต่วันนี้ ตาน้ำเลือกที่จะรอที่รถ เพื่อให้ทิมใช้เวลากับน้ำนิ่งในช่วงที่ต้องเดินลงมาส่ง “อืม…ดีใจนะที่ชอบกะทิ” แต่จะชอบเจ้าของรึยัง เขาเองยังไม่กล้าถาม คงต้องรอให้เจ้าตัวพูดเองจะดีกว่า “นิ่งว่า น้ำก็ต้องชอบเหมือนกัน” “งั้นไปหาแมวมาเลี้ยงกันมั๊ย?” คนน้องส่ายหน้า “ไม่มีเวลาดูแลก็สงสารมัน ขนาดทิมทิ้งกะทิอยู่ที่ห้องยังน่าสงสารเลย” 2 ครั้งแล้วที่ได้ยินชื่อเพื่อนรักตัวเองออกจากปากฝาแฝด ได้ยินอย่างนี้ ตัวเองก็ก็เริ่มใจหาย แม้ว่าตาน้ำเองจะมีสัมพันธ์ทางกายกับเพียว แต่ก็ไม่เคยเอาใจไปผูกไว้ แต่วันนี้ เขาทั้งคู่กำลังรู้สึกดีกับคนอื่น นึกย้อนกลับไปถึงในช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อยากรู้ อยากลอง อยากที่จะเรียนรู้ในหลายๆเรื่องของผู้ใหญ่ ใครๆก็บอก ว่าเขาสองคนเป็นฝาแฝดที่เหมือนจนแทบจะหาความต่างไม่เจอ นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทที่แยกออก แต่พวกเขาคิดว่า เขาไม่เหมือนกันเลย เมื่อครั้งปิดเทอม พวกเขาต้องย้ายจากบ้านที่ กทม. กลับไปอยู่ที่ อยุธยา เพราะคุณตาคุณยายอยากให้กลับไปใช้ชีวิตที่นั่นบ้าง ชีวิตปิดเทอม ก็อยู่กัน 2 คน มีเพื่อนเล่นแถวๆนั้นบ้าง ก็ไม่ได้สนิทกันมากมาก นอนเล่นริมน้ำ ขลุกกันอยู่ในสวน ชีวิตที่เรียบง่าย ขณะที่สองคนกำลังเดินเล่นในสวน ก็ได้ยินเสียงๆ นึง ที่ไม่คุ้น ดังมาจากสวนอีกฟากที่ติดกัน เดินตามเสียงไป ก็เห็นหนุ่มสาวกำลังพลอดรักกันที่โคนต้นไม้ ยืนจ้องมองกันอยู่ซักพัก ก็พากันวิ่งกลับขึ้นบ้าน เข้ามาในห้องของตัวเอง นั่งหายใจหอบกันทั้งคู่ แล้วก็หัวเราะใส่กัน จนกลายเป็นจ้องตาใส่กัน คนพี่ก็พูดขึ้น “น้ำอยากรู้ ว่าร่างกายเราเหมือนกันมั๊ย นิ่งอยากรู้บ้างป่ะ” น้ำนิ่งแม้จะสงสัยในคำพูดของฝาแฝดตัวเอง แต่ก็พยักหน้าเพราะอยากรู้เหมือนกัน “อือ อยากรู้เหมือนกัน โตมาแล้วคนเรามันต่างกันยังไง แถมฝาแฝดแบบเราด้วย ตั้งแต่ขึ้นประถมมาก็ไม่ได้อาบน้ำด้วยกันเลย” “งั้นถอดเสื้อ” บอกน้อง แล้วตัวเองก็ขยับถอดตาม ต่างคนต่างมองร่างกายของอีกฝ่ายสลับกับร่างกายของตัวเอง “ถอดกางเกงมั๊ย” คนน้องพูดพลางขยับถอดกางเกงออกเหลือแต่กางแกงใน “อืม...ก็ไม่เห็นจะต่างกันยังไง งั้นถอดกางเกงใน” ถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือร่างกายเปลือยป่าว เมื่อต่างคนต่างเห็นร่างกายที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย ก็ขยับเข้าหากัน ขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็อ้ากว้างยกขาน้องมาพาดซ้อนขาตัวเอง มือยกขึ้นสัมผัสร่างกายกันและกัน ไล้ตั้งแต่กรอบหน้า ลงไปแผงอก เลื่อนลงไปจนถึงจุดกลางลำตัว เมื่อมือของอีกฝ่ายเข้ากอบกุมของตัวเองต่างคนก็ต่างรู้สึกได้ถึงความวาบหวาม “ทำมั๊ย?” ตาน้ำเป็นฝ่ายพูดขึ้น เมื่อคนน้องเห็นพี่อยากทำก็ทำตาม “อือ เอาดิ” มือนึงยับขึ้นลงตามแก่นกายของอีกฝ่าย อีกมือยกบีบเข้าที่ไหล่ตามความเสียว “อ๊ะ! น้ำ” “อื๊อ… อย่าดัง” “ก…ก็มันเสียว อ๊ะ! น้ำ เบาๆ” “อื๊อ…น้ำนิ่ง อ๊า…” ใช้มือช่วยกันอยู่ไม่นาน ต่างคนก็ต่างปลดปล่อยออกมา จ้องตาพร้อมส่งยิ้มให้กัน ก้มหน้าซบลงที่บ่าของอีกคน พลางหายใจหอบ ก่อนคนพี่จะพูดขึ้น “ดีป่ะ” ได้ยินคำถาม น้ำนิ่งก็พยักหน้า “ครั้งหน้าทำแบบนี้กันอีกมั๊ย?” “ได้หรอ?” “ทำไมจะไม่ได้ละ เราเป็นพี่น้องกันนิ ไม่ใช่คนอื่นซักหน่อย แต่อย่าบอกใครนะ เดี๋ยวน้ำโดนดุหาว่ารังแกนิ่ง” น้ำนิ่งขำ “ถ้าน้ำรังแกเรา เราก็คงรังแกน้ำด้วยละ” แล้วความต้องการปลดปล่อยของฝาแฝดครั้งต่อๆไป ต่างฝ่ายก็ต่างใช้มือช่วยกัน “น้ำ… วันนี้นอนด้วยได้ป่าว” ตาน้ำสะดุ้ง พาตัวเองกลับมาจากเรื่องที่นึกถึงเมื่อครู่ ขยับตัวขึ้นคร่อมอีกฝ่าย “เป็นไรตัวแสบ หืม ปกติไม่เห็นจะเคยถาม” พูดแล้วก็ก้มหน้าเอาปลายจมูกชิดกับของอีกคน ส่ายไปมา “ก็ถาม เห็นวันนี้เหนื่อยๆ กลัวว่าเดี๋ยวจะกวน นอนไม่สบาย” ตาน้ำชะงักเล็กน้อยกับคำพูดที่ได้ยิน ใจกลัวว่าน้องจะมองร่างกายของตัวเองออก “รู้ได้ไงว่าเหนื่อย หืม….” พูดแล้วก็จูบไซร้เข้าไปที่ใบหู ส่งลิ้นร้อนไล้วน จนคนโดนสัมผัสได้ยินเสียงเปียกอย่างเคย “ก็เห็นวุ่นๆ นี่ ไปมหาลัย ไปซื้อของ ต้องวนกลับไปมหาลัยอีก แล้วงานเสร็จรึยัง ” ได้ยินแล้วก็ขำ พลางโล่งใจ มือที่สอดเข้าไปในชายเสื้อลูบขึ้นมาจนเสื้อเปิดมาถึงแผงอก เลื่อนริมฝีปากตัวเองสัมผัสกับตุ่มไตที่แข็งขึ้น “อื๊อ…น้ำ อย่าแกล้งสิ” “ไม่ได้แกล้งซะหน่อย ทำเลยต่างห่าง” พูดแล้วก็เกี่ยวกางเกงของอีกฝ่ายลงมา พร้อมสอดนิ้วเข้าไปทางช่องทางด้านหลัง “อ๊ะ...น้ำ” “ว่าไง อื๊มม….” “รอบเดียวนะ เดี๋ยวน้ำเหนื่อย” ได้ยินแล้ว ตาน้ำก็รั้งขาฝาแฝดตัวเองขึ้นมาเกี่ยวไว้กับแขนพร้อมดันร่างกายตัวเองเข้าจนแนบสนิท “อ๊า….น้ำ” “อ๊า…..นิ่ง” เสียงครางดังขึ้นพร้อมกับขาที่เกี่ยวพันกันของทั้งคู่ ไม่รู้ทำไมตาน้ำไม่รู้สึกเหนื่อย ทั้งที่มีอะไรกับพอสตั้งหลายรอบ จะว่าเค้าไม่อิ่มจากพอสก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาทำกับน้ำนิ่งต่อ ก็มันเหมือนกันที่ไหนละ คนละคนกันชัดๆ ร่างกายก็คนละแบบ คนละอารมณ์ น้ำนิ่งกับพอสให้ความรู้สึกต่างกันมากมาย คนนึงคือร่างกายที่เค้าเคยชินมานานด้วยความรัก อีกคนคือร่างกายที่เค้าโหยหาและเฝ้ามองมาตลอด แต่หากครั้งนี้ คงจะเป็นเพราะในใจคิดว่า “ครั้งหน้าจะไม่มีอีกแล้ว” น้ำนิ่งเริ่มรู้สึกว่าตัวเองปรับตัวเข้ากับทิมได้บ้างแล้ว ความกลัวและความอึดอึดที่เคยมีกับทิมก็ลดลงบ้าง จากที่เคยเดินสวนกันทุกวันที่แถวโรงอาหารกลาง ก็นั่นแหละเขาเคยแปลกใจว่าทำไมทิมถึงมาที่นี่ วันนี้ก็ได้รู้คำตอบว่าทิมชอบมากินขนมไทย น้ำนิ่งก็แค่รู้สึกแปลกที่ได้ยิน ‘ทิมชอบขนมไทยเหมือนกันเลย’ รอยยิ้มที่คอยมองหาตลอด หากเพียงวันนี้ไม่คิดว่าจะได้มองเห็นใกล้ๆ มากกว่าการเดินสวนกัน แม้ไม่กล้าที่จะเข้าหาอีกฝ่าย ด้วยความรู้ว่าตัวเองไม่ปกติกับคนแปลกหน้า แต่ครั้งที่ไปสอบเทสแทนตาน้ำแล้วได้คุยกัน พยายามประคองตัวเองให้ไม่สั่นเทา ตอบคำที่อีกฝ่ายนึงถามมาให้เป็นปกติที่สุด น้ำนิ่งก็แค่คิดว่า ครั้งนั้นก็ดีมากพอแล้ว ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้อยู่กับทิมสองต่อสอง เขาขอตาน้ำไปห้องทิมครั้งต่อไปๆ เพราะอยากจะไปเล่นกับกะทิ ตาน้ำเองก็ดูไม่แปลกใจมากต่างจากที่เขาคิดไว้ นอนกองคุยกันอยู่หน้าทีวี ก็โดนอีกคนขยับขึ้นคร่อม ตอนที่เขาขอนอนด้วยที่ชั้นล่าง “เป็นไรตัวแสบ หืม ปกติไม่เห็นจะเคยถาม” ก็เห็นช่วงนี้มันเหนื่อยๆ ไหนจะช่วยเพื่อนทำงาน ไหนอาจารย์จะให้เข้าไปช่วยอีก เรียนเก่งก็ปวดหัวแบบนี้ละ “ก็ถาม เห็นวันนี้เหนื่อยๆ กลัวว่าเดี๋ยวจะกวน นอนไม่สบาย” ก็พูดไปตามที่ตัวเองคิดนั่นละ เพราะไม่ใครก็ใครจะต้องกวนกันก่อนสักคน มันคงกวนกันจนเป็นความเคยชินแต่เด็ก “รู้ได้ไงว่าเหนื่อย หืม….” ได้ยินเสียงพูดแป๊ปเดียว ลิ้นร้อนเปียกชื้นก็มาสัมผัสที่หูให้ได้ยินเสียง จนต้องบิดหน้าหนี “ก็เห็นวุ่นๆ นี่ ไปมหาลัย ไปซื้อของ ต้องวนกลับไปมหาลัยอีก แล้วงานเสร็จรึยัง ” พูดไปตัวก็เบี่ยงหลบอีกฝ่าย รู้ตัวอีกทีเสื้อก็ถกขึ้นมาพร้อมปากที่แนบเข้าแผงอกตัวเอง เสียวจนต้องบิดตัวหนี “อื๊อ…น้ำ อย่าแกล้งสิ” “ไม่ได้แกล้งซะหน่อย ทำเลยต่างห่าง” รู้สึกตัวอีกที กางเกงก็ถูกถอดออก พร้อมนิ้วของฝาแฝดที่ส่งเข้ามาทางช่องด้านหลังให้รู้สึกอัดแน่น “อ๊ะ...น้ำ” แล้วก็หลุดคราง ไปกับความรู้สึกที่ร่างกายได้รับ “ว่าไง อื๊มม….” เสียงครางที่คุ้นชินก็ทำให้เผลอตัวไปกับสัมผัสของฝาแฝดอีกครั้ง “รอบเดียวนะ เดี๋ยวน้ำเหนื่อย” พูดแบบนี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงอีกคนจริงๆ รู้สึกตัวอีกที ขาของตัวเองก็ถูกมือของตาน้ำเกี่ยวขึ้นมารั้งไว้ พร้อมร่างกายที่ดันเค้ามาแนบสนิท “อ๊า….นิ่ง” “อ๊า…..น้ำ” เสียงครางดังขึ้นพร้อมกับขาตัวเองเกี่ยวพันกันกับขาของฝาแฝด ฝาแฝดเสพติดร่างกายของกันและกันตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ครั้งที่ตาน้ำเอาร่างกายตัวเองเข้าปลอบโยนตัวน้ำนิ่ง แต่ใจของน้ำนิ่งวันนี้ไม่ได้อยู่กับร่างกายของตาน้ำเพราะมัวแต่คิดถึงรอยยิ้ม และสายตาอ่อนโยนที่ได้รับมา จึงทำให้เลี่ยงการลุกล้ำของฝาแฝดตัวเองได้ยาก ครั้งนี้ หากอยากจะปฏิเสธตาน้ำมากเพียงใด ในใจก็คิดว่า “ครั้งหน้าจะไม่มีอีกแล้ว” ---------------------------TBC--------------------------------------------------- พาฝาแฝดคนพี่ที่ร้อนตัวกลัวน้องจับได้ว่าทำความผิดมาส่งสั้นๆก่อนหยุดยาวค่าาาาา บางตอนสั้นบ้าง ยาวบ้าง อย่าว่ากันนะ บางตอนที่ยาวเนื้อเรื่องมันไม่จบจริงๆ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คอมเม้นท์ คนรอ และคนอ่านนะคะ ช่วงนี้คิดว่าสมองยังไม่ปกติพอที่จะเขียนให้เนื้อเรื่องละมุนได้ เพราะบางตอนมันซับซ้อน กลัวคนอ่านจะ งง หรือ เรียบเรียงไม่ถูก ขอใช้เวาลานานสักนิด แต่ไม่ทิ้งกันแน่นอนคะ
ตาน้ำ ชอบพอส ชอบมานานแล้วสินะ น้ำนิ่ง ก็ชอบทิมเหมือนกัน :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
น้ำนิ่ง-ทิม คู่กันจริงๆหรือคะ
ให้เค้าไปมีคู่กันเถอะนะ >< อย่าทำให้คนเขียน เขียนดราม่าเลย คนอ่านจะเศร้า แฮ่!
พี่น้องคู่นี้เหมือนจะทำทุกอย่างตามความเคยชินนะ กิจกรรมยามค่ำคืนของแฝดนั้น :hao6:
บทที่ 13.1 ความทรงจำของครั้งแรก ตาน้ำหลับไปแล้ว น้ำนิ่งนั่งมองตาน้ำ ยกมือไล้ตามกรอบหน้า พลางคิดถึงเรื่อราวของตัวเองที่เกิดขึ้น อยากจะทำให้ตัวเองหายกลัวคนแปลกหน้า อยากให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น ตาน้ำจะได้ไม่ต้องมาคอยดูแล แต่ทำยังก็ไม่หายซะที จะมีดีขึ้นบ้างก็แค่กับคนที่คุ้นเคยแล้ว เกรด 11 น้ำนิ่งเดินเข้าห้องน้ำที่โรงเรียนคนเดียว เพราะพอสเจอกับเพียว จึงหยุดคุยกัน ครั้งนั้นมีคนตามเข้ามาคุย “น้ำนิ่ง … พี่ชื่อเจ๋งนะ ” “ครับ พี่มีอะไรหรือป่าว” “คือ พี่ชอบน้ำนิ่งนะ ลองคุยกันได้มั๊ย” “เอ่อ… พี่ คือนิ่งยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ละ ขอโทษด้วยนะครับ” พูดแล้วก็หันตัวเดินหนี แต่กับโดนอีกคนดึงตัวไว้ “ทำไมละ หรือน้ำนิ่งชอบพอส?” “ป่าวครับ ผมกับ พอสเป็นเพื่อนกันไม่ได้คิดอะไร” “หรือว่าชอบเพียว?” น้ำนิ่งส่ายหน้าอีกครั้ง “พี่เพียวเป็นพี่ผม” “’งั้น…น้ำนิ่งให้โอกาสพี่ได้มั๊ย ” อีกฝ่ายพูดพลางยกแขนขึ้นมากั้นตัวน้ำนิ่ง “อ… อย่าเลยครับพี่ ผมยังไม่คิดเรื่องนี้จริงๆ” พูดแล้วก็ขยับตัวจะหนี หากคนที่รั้งอยู่ดึงตัวกลับมาแล้วต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรง ‘พลั๊ก!’ น้ำนิ่งทรุดลงทันที มือกุมเข้าที่ท้อง “ขอดีๆ ไม่ให้ก็ต้องใช้กำลัง” น้ำนิ่งหน้านิ่วด้วยความเจ็บปวด อีกฝ่ายขึ้นคร่อมยกมือแกะกระดุมเสื้อ “พี่…. อย่าทำผมเลย ปล่อยผมไปเถอะ” น้ำนิ่งร้องขอเสียงสั่น พยายามดันตัวเองหนี มือปัดป่ายป้องกันตัวเองไปทั่ว “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองดูกันหน่อยนะ เผื่อน้ำนิ่งจะเปลี่ยนใจ” มืออีกฝ่ายดึงกางเกงนักเรียนลง แล้วเริ่มสัมผัสที่ตัว น้ำนิ่งดิ้นหนี แต่ยังคงจุกอยู่ที่ท้อง จึงทำให้แรงที่มีลดลง มือนั่นแตะเข้าที่กึงกางลำตัวของน้ำนิ่ง เจ้าตัวก็ถอยหนีจนหลังชนกำแพง น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม ตัวสั่นเทาเพราะความกลัว มือของฝ่ายตรงข้ามเริ่มข้ามาสัมผัสปากช่องทางด้านหลัง ในช่วงที่สมองหาทางหนีไม่เจอ ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก พร้อมเสียงที่คุ้นเคย “น้ำนิ่ง!” “ไอ้นิ่ง!” ตาน้ำกระชากอีกฝ่ายมาต่อยไม่ยั้งจนสลบ พอสเข้าจับน้ำนิ่งแต่งตัวให้เรียบร้อยพร้อมสวมกอด น้ำนิ่งยังคงช๊อค ตัวสั่น น้ำตาไหลไม่หยุด สมองไม่รับรู้กับเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นตรงหน้าอีกต่อไป พอเกิดเสียงดังโวยวาย อาจารย์ก็มา พี่เจ๋งสารภาพ ว่าทำร้ายร่างกายจริงหากไม่ได้ตั้งใจทำแต่แรก ตาน้ำยืนยัน ว่าเป็นการตั้งใจ ทำร้ายร่างกาย และพยายามล่วงละเมิด เพราะขณะที่เข้าไปเจอ น้ำนิ่งเสื้อผ้าหลุดออกหมดแล้ว ต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และไม่ยอมความ พอสให้การตรงกันกับตาน้ำ เสร็จแล้วตาน้ำให้พอสพาน้ำนิ่งออกไปที่ห้องพยาบาลก่อน สิ่งที่ทั้ง 2 คนไม่รู้คือ ตาน้ำให้การว่า ‘เพียวสมรู้ร่วมคิด’ แม้มิตรภาพระหว่างครอบครัวจะยาวนานเพียงใด แต่บทสนทนาที่ตาน้ำบังเอิญได้ยินเพียวคุยกับเจ๋งนั้น ก็ส่งผลมาถึงครั้งนี้ “เพียว … กูชอบน้ำนิ่งวะ น่ารักชิบหาย” “ชอบก็ไปบอกสิว่าไอ้เจ๋ง บอกกูทำไมละ” “บอกให้มึงช่วยกู เกรด 12 เดี๋ยวก็จบแล้ว หมดโอกาส” “ช่วยเหี้ยไรละ กูยังเอาตัวไม่รอด” เพียวแค่คิดว่าเพื่อนตัวเองชอบน้ำนิ่ง และกล้ามากพอที่จะบอก ก็ยอมหลีกทางให้อีกฝ่ายได้สารภาพ “ก็น้องมึงอ่ะ อยู่กะน้ำนิ่งตลอด กูจะเข้าไปคุยยังไงละ กันออกไปทีสิ” “เออๆ ไว้จะบอกให้” แต่การรับปากเพื่อนส่งๆไปครั้งนั้น เพียวก็ไม่คิดว่าจะทำให้ตาน้ำเข้าใจไปแบบนั้น ตาน้ำเริ่มจับตามองความเคลื่อนไหวของเพียวและเจ๋ง บังเอิญอีกครั้งเมื่อเขาเดินตามหาน้ำนิ่งเพราะโทรหาแล้วไม่รับ เจอเพียวหยุดคุยกับพอส นั่นก็ทำให้ตาน้ำสงสัยว่าน้องตัวเองอยู่กับเจ๋ง สองต่อสอง จริงๆ ก็ไม่ได้จะหวงอะไร หากน้องชอบใคร เขาก็โอเค แค่จะเดินไปแอบฟังว่ามันจะทำยังไงกับคนที่มาบอกรัก เดินจะไปเข้าห้องน้ำปกติ พอถึงห้องน้ำกลับได้ยินเสียงร้องของน้องตัวเอง ประตูล็อค จนต้องพังเข้าไป! พอสเอ๊ะใจ ที่น้ำนิ่งเข้าห้องน้ำนานกว่าปกติ จึงวิ่งมาดู! สิ่งที่เพียวไม่รู้ คือเพื่อนตัวเองจะเข้าหาน้ำนิ่งวันนี้! บทสนทนาที่ตาน้ำได้ยินจึงเป็นหลักฐานมัดตัวเอง หากทาง ร.ร. จะไม่ทำตามที่ฝ่ายผู้เสียหายต้องการก็ไม่ได้ เพราะเงินบริจาคที่ทั้ง 2 ครอบครัวให้มันสูงอยู่ เพื่อนของเพียวโดนไล่ออกทันที เพียวโดนพักการเรียน แต่ขอย้าย ร.ร. แทน ตาน้ำโดนพักการเรียนในข้อหาทะเลาะวิวาท แม้จะเป็นการช่วยเหลือนักเรียนด้วยกัน ร.ร.ก็มองว่าควรจะแจ้งอาจารย์มากกว่า เขาและน้ำนิ่งขอย้าย รร. ด้วย หากแต่ทาง รร. ขอไว้ น้ำนิ่งจึงได้พักจนกว่าสภาพจิตใจจะปกติดี รวมถึงตาน้ำ ทาง รร. จะไม่ตัดคะแนนการขาดเรียน เพียงแต่ให้ทำงานส่ง เพื่อทบทวนบทเรียน เรื่องนี้ตาน้ำขอให้แม่ไม่บอกคุณตาคุณยาย โดยช่วงที่หยุดเรียนจะบอกแค่ รร. มีกิจกรรมกับ รร. อื่น อาจารย์จึงปิดให้หยุดชั่วคราว พอสให้รถที่บ้าน มารับฝาแฝดกลับ น้ำนิ่งยังคงตัวสั่น และน้ำตาไหลไม่หยุด ตาน้ำและพอสต้องโอบกอดลูบเนื้อลูบตัวตลอด โชคดี ที่วันนี้คุณตาคุณยายไม่อยู่บ้านเพราะมีธุระ บ้านเดี่ยวชานเมืองใกล้โรงเรียนหลังนี้ ฝาแฝดจึงอยู่กัน 2 คน ตาน้ำเครียดแทบสติหลุด จนจะเผลอต่อยกำแพง แต่พอสก็เข้ามายั้งไว้ พร้อมๆกันดึงอีกฝ่ายมากอดเรียกสติ “ใจเย็นๆมึง นิ่งไม่เป็นไรแล้วนะ กูขอโทษแทนเพื่อนไอ้เพียวมันด้วย “ “ขอบใจมากนะพอส ขอบใจ” พอสยังคงกอดปลอบตาน้ำ “เออ ดูแลกันดีๆ มีไรโทรหากูละกัน แล้วนี่มีข้าวกินกันใช่มั๊ย ” ตาน้ำพยักหน้าตอบรับ พอสกลับไปแล้ว ตาน้ำพาน้ำนิ่งที่ตัวสั่น และน้ำตายังคงไม่หยุดไหล ไปอาบน้ำ จับน้องนั่งลงในอ่าง 2 มือ ยกวางแนบหน้าน้องตัวเอง “น้ำนิ่ง ไม่เป็นไรแล้วนะ” “น้ำ น้ำ มัน มัน แตะตัวเรา มันจับ จับไปทั้งตัวเลย เรากลัว ฮือ” พูดแล้วก็ร้องไห้หนักขึ้น ตาน้ำดึงฝาแฝดเข้ามากอด สะกดให้ตัวเองใจเย็น น้ำนิ่งขืนตัวออก “น้ำอย่า อย่ามาจับ ไม่ๆ น้ำอย่ามาแตะเรา อย่ามาโดนเรา มันโดนคนอื่นจับมาแล้ว เราน่ารังเกียจ สกปรก” ได้ยิ่งคำที่น้ำนิ่งพูดออกมาพลางทำให้ตาน้ำชะงักไป จับน้องถอดเสื้อผ้าออก “อาบน้ำกัน” จับน้องอาบน้ำ ถูสบู่ หากแต่น้ำนิ่งยังคงขืนตัวหนี พยายามไม่ให้ตาน้ำแตะต้อง “อะ สะอาดยัง” “ไม่ๆ มันยังรู้สึกโดนจับอยู่เลย น้ำอย่ามาโดนเรา ออกไปๆ ออกไปไกลๆ ” ได้ยินแบบนี้ ตัวเองก็ยกมือน้องจับที่แผงหน้าอกฝั่งซ้ายของตัว พร้อมๆกับมือของตัวเองที่สัมผัสน้อง ให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้น น้ำนิ่งที่เกิดอาการช็อค ไม่รับรู้สิ่งใด เมื่อได้ยินเสียงหัวใจของฝาแฝดก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง “น้ำนิ่ง นี่น้ำนะ ตาน้ำ พี่น้ำนิ่งไง” เสียงหัวใจและเสียงที่เรียกทำให้หันกลับมาจ้องตา ตาน้ำพูดขึ้นต่อ “โดนจับตรงไหนบ้าง ไหนบอกสิ” จับมือของน้องมาจับที่มือของตัวเอง แล้วลากมือไปทั่วตัว “ตรงนี้ใช่มั๊ย ตรงนี้ใช่มั๊ย ตรงนี้ใช่มั๊ย” ปากพูดขณะที่มือลากสัมผัส ลากไปจนจึงแก่นกางลำตัว “ตรงนี้ด้วยใช่มั๊ย” น้ำนิ่งพยักหน้า “ข้างหลังด้วยใช่มั๊ย” พยักหน้าอีกที พร้อมน้ำตาที่คลอ คนพี่ก้มลงใช้ปากครอบครองแก่นกาย ให้น้องรู้ว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจ หากแต่น้องยังคงขืนตัวหนี “น้ำอย่า เราน่ารังเกียจ สกปรก ไม่เหมือนที่น้ำเคยจับอีกแล้ว มันโดนคนอื่นจับไปแล้ว” ได้ยินแล้วก็ถอนปากออกขึ้นมาพูด “น้ำนิ่ง เราเป็นฝาแฝดกัน เราเป็นพี่น้องกัน เราจะรังเกียจกันได้ยังไง ถ้าหากน้ำนิ่งคิดว่าตัวเองน่ารังเกียจ ไม่เหมือนเดิมเพราะคนอื่น พี่จะทำให้รู้ว่าพี่ไม่ได้รังเกียจ น้ำนิ่งยังเป็นน้องพี่คนเดิม” พูดจบ ก็ใช้ปากจูบซับไปทั่วร่างกายน้อง หากครั้งนี้ส่งนิ้วมือไล้วนไปตามช่องทางด้านหลัง อีกมือกอบกุมอยู่ที่แก่นกายน้องเหมือนอย่างที่เคยช่วยกัน “นี่พี่น้ำนะ ไม่ต้องกลัว ” น้ำนิ่งเริ่มได้สติ ยกมือแตะสัมผัสที่ตัวตาน้ำ คนพี่ส่งนิ้วตัวเองเข้าไป ขยับเข้าออก จนร่างกายน้องปลดปล่อย “อือๆ” ตาน้ำรู้ว่า แค่นี้มันคงยังไม่พอที่จะทำให้น้ำนิ่งลบความรู้สึกที่โดนสัมผัสอันเลวร้ายไปได้ จึงตัดสินใจจับตัวน้องมานั่งคร่อม พร้อมดันแก่นกายของตัวเข้าไปในตัวน้อง “อ๊า..” “พ...พี่น้ำ” เกิดเป็นเสียงครางขึ้นพร้อมกัน “อืม…น้ำเอง พี่เอง ตาน้ำไง นี่ร่างกายพี่อยู่ในตัวน้ำนิ่งแล้วนี่ไง น้ำนิ่งไม่ต้องกลัวนะ เห็นมั๊ย น้องไม่ได้น่ารังเกียจเลย” ร่างกายที่แนบกันสนิท พาให้เกิดความต้องการ จนทั้งคู่ขยับร่างกายเข้าหากันเป็นจังหวะ “อื๊อ...น้ำ พี่น้ำ” แล้วบทรักครั้งแรกของฝาแฝดก็เกิดขึ้น มันต่างจากครั้งอื่นๆที่ใช่มือช่วยกัน แต่ครั้งนี้ตาน้ำเพียงแค่คิดว่า จะทำให้น้ำนิ่งหายรังเกียจร่างกายตัวเอง และหายรังเกียจความรู้สึกที่โดนแตะต้องมาอย่างไม่เต็มใจ ก็เอาร่างกายของตัวเองไปอยู่ในตัวน้อง ให้น้องรู้สึกว่ามีร่างกายของพี่อยู่ และเค้าไม่ได้รังเกียจ หากแม้จะเป็นการกระทำที่ดูโง่ ตาน้ำก็คิดว่ามันช่วยให้น้องเค้าดีขึ้นจากอาการหลอนที่โดนสัมผัสอย่างหยาบคาย เพราะการได้รับสัมผัสจากครอบครัวด้วยความรัก คือสิ่งที่แสดงความรักได้ดีที่สุด แต่ครั้งนั้นเอง น้ำนิ่งก็รู้ว่า มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ไม่รังเกียจตัวเองที่โดนสัมผัสจากคนที่ทำร้าย แต่กลายเป็นการประหม่าคนแปลกหน้าแทน แม้ไม่รู้จะหายจากอาการนี้ได้อย่างไร หรือเขาต้องเลิกคิดว่าคนแปลกหน้าจะรังเกียจตัวเองก่อน เพราะเขาเองก็อยากที่หายเป็นปกติ อยากให้ตาน้ำมีชีวิตที่ปกติเหมือนคนอื่น 'ผ่านครั้งนั้นมาได้ ครั้งต่อๆมาก็กลายเป็นการสนองความต้องการของกันและกัน เพราะเหมือนจะเสพติร่างกายของอีกฝ่ายไปแล้ว' ----------------------TBC------------------------------------------- กลับมาแล้วค่าาาาา หลังจากพยายามที่จะเกลาตอนนี้เป็นอย่างมาก ถ้ามันไม่ละมุนหรือแปลกๆ ขอโทษไว้ล่วงหน้าเลยน๊า ตอนนี้ใช้สมองอย่างสูง แฮ่ เอาเป็นว่า FC ฝาแฝดรู้ความเป็นมากันแล้วเนอะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด ขอบคุณคนรอ คนอ่าน และทุกคอมเม้นท์นะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ
บทที่ 13.2ความทรงจำครั้งแรก หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่น้ำนิ่งโดนเพื่อนตัวเองทำร้าย เพียวขอย้ายตัวเองมาอยู่คอนโดที่ซื้อเตรียมไว้ตอนเข้ามหาลัย หากเคยคุยกับพอสว่า พอสจะเรียนที่อื่น คอนโดแห่งนี้ จึงมีเพียงห้องนอนเดียว แต่แม่ก็แวะมาหาอยู่ตลอด เหตุการณ์นั้นทำให้เขาขอแม่ย้าย ร.ร. ค่าเฉลี่ยของคะแนนที่เคยมีก็ลดลง เพราะกว่าจะย้ายได้ต้องให้หมดช่วงเวลาพักการเรียนไปก่อน พอย้ายไปเพียวก็ไม่ได้มีสมาธิเรียนได้ดีเหมือนเดิม เพราะเรื่องนั้นมันฝังใจ แม้รู้ว่าตัวเองแทบไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ก็ผิดที่ไว้ใจเพื่อนมากเกินไป ใกล้ช่วงสอบเข้ามหาลัย ทำให้จากที่ตั้งใจจะสอบเข้าวิศวะ จึงเปลี่ยนมาเป็นบริหารแทน พอสอบได้ แม่ก็ให้มาทำงานงานที่ร้าน ก็เหมือนจะควบคุมความประพฤตินั่นและ แม้แม่จะเข้าใจ เรื่องราวที่เกิด แต่ตัวเองก็รู้สึกผิดอยู่ดี หมดช่วงรับน้องเข้าสู่ช่วงการเรียนปกติ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าคอนโด เพียวตกใจกับคนที่มาหา เพราะเขาตัดการติดต่อจากทุกคนไปแล้ว กับพอสก็บอกแค่ว่าอยากออกไปอยู่คอนโด เพราะถ้าน้ำนิ่งมาเที่ยวที่บ้าน เขาก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี “ไม่คิดจะชวนกูขึ้นไปนั่งพักหน่อยหรอ” คำว่าพี่ไม่มีให้เพียวอีกต่อไปสำหรับตาน้ำ “อืม.. ไปดิ” พูดแล้วก็เดินนำอีกคนเข้ามาในลิฟท์ พอถึงห้อง เจ้าของห้องก็เปิดประตูเดินนำเข้าไป แขกจึงเดินตาม “อยู่สบายดีนี่มึง” ได้ยินคำพูดกระแทกตัวเองก็ต้องหันไปเผชิญหน้า “น้ำ! เรื่องนั้นกูขอโทษไปแล้ว มึงจะให้กูทำยังไงอีก” ตาน้ำเดินก้าวเข้ามาหา หากเขาไม่ได้ถอยหนี “ขอโทษ? ทำยังไง? ถามมาได้ว่าทำยังไง มึงรู้มั๊ย น้ำนิ่งทรมานแค่ไหน มันนอนฝันร้าย นอนร้องไห้ ละเมอถึงเรื่องนั้นแทบทุกคืน กลายเป็นคนหวาดระแวง กลัวคนแปลกหน้า กลัวคนจะเข้ามาทำร้ายมัน กว่าที่กูจะทำให้มันกล้าไปร.ร.ไปเจอคนที่โรงเรียนได้ ตัวมันทรมานแค่ไหน” ได้ยินแล้วก็ก็เม้มปากกลั้นความรู้สึกตัวเอง เขารู้ เขารู้ทุกอย่าง เพราะพอสเป็นคนเล่าให้ฟัง นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด “มึงคิดออกหรือยังว่าต้องทำยังไง กับความทรมานที่น้ำนิ่งได้รับ และความลับเรื่องที่มึงช่วยเพื่อนทำร้ายน้ำนิ่ง” ได้ยินแล้วก็ตกใจ หันมองหน้าคนพูด “มึงหมายถึง…..” “ใช่เรื่องนี้กูไม่ได้บอกใคร ไม่ได้บอกน้องมึง ให้มันรู้ว่ามีพี่เลวๆแบบมึง ไม่ได้บอกน้ำนิ่งให้มัน เสียใจกับความนับถือที่มีให้พี่ชายอีกคน พ่อแม่กูก็ไม่ได้บอก” ความกดดันนั้นทำให้เพียวตวาดอีกฝ่ายกลับเสียงดังพร้อมน้ำตา “แล้วมึงจะให้กูทำยังไง อยากให้กูโดนแบบน้ำนิ่งใช่มั๊ย มึงถึงจะหายแค้นกู” “มึงพูดเองนะเพียว” ว่าแล้วก็โดนอีกฝ่ายลากเข้าห้องนอน เพียวโดนเหวี่ยงลงไปที่เตียง ตาน้ำขึ้นคร่อมร่างนั้นทันที หากเพียว พยามจะดิ้นหนีอย่างทุรนทุราย “มึงยังคิดหนีอีกหรอเพียว อย่าหนีกูเลยจนถึงตอนนี้ ที่กูมาถึงที่นี่ มึงก็รู้ว่าหนีกูไม่พ้น รวมทั้งความจริงด้วย” พูดไปตาน้ำก็จับแขนทั้ง 2 ข้างเพียวผูกไว้ที่หัวเตียง เพียวเริ่มมีอาการตกใจ “น้ำ มึง…กูยอมแล้ว จะทำอะไรกับกูก็ได้” “มึงกลัวหรอเพียว มึงกลัวตัวเองเจ็บ กลัวตัวเองทรมาน แล้วน้ำนิ่งละมึงคิดมั๊ยว่ามันจะเป็นยังไง” พูดจบก็มีหมัดมากระทบหน้าตัวเอง เพียวเริ่มรับรู้ความต้องการของอีกฝ่าย เพราะเสื้อผ้าของตัวเองกำลังถูกปลดออก เหลือแค่ขาที่ยังไม่โดนพันธนาการ ก็ยังพยามขืนจะดิ้นหนี แต่อีกฝ่ายกลับขึ้นคร่อมกดไว้ มือลูบไล้ร่างกายเขาไปทั่ว “ไหนมึงบอกว่ายอมไง ยอมแล้วดิ้นหนีกูทำไม” ก็เพราะนิ้วมือของคนตรงหน้าส่งเข้าในช่องทางด้านหลัง มันทำให้เค้ารู้สึกเสียวซ่านจนอยากจะดิ้นหนีให้ลุ้นความทรมานนี้ แต่ก็รู้ว่ายังไงมันก็หนีไม่พ้น “ได้!! กูยอม ถ้ามึงจะไม่บอกเรื่องนี้ให้พอสกับน้ำนิ่งรู้” “อย่าคิดว่ามึงยอมกูแค่ครั้งนี้แล้วมันจะจบ เพราะกูจะทำให้มึงทรมานกว่าที่น้องกูได้รับเป็นร้อยเป็นพันเท่า และถ้าน้ำนิ่งหายเป็นปกติดีเมื่อไร กูจะปล่อยมึงไปเอง” “จนกว่าน้ำนิ่งจะหายเป็นปกติมึงจะทำอะไรกับกูก็เชิญ ให้มึงหายโกรธแค้นกู ให้พอสกับน้ำนิ่งไม่รู้เรื่องนั้นก็พอกูขอ” “ตกลง!!” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เพียวยิน ก่อนที่เขา 2 คนจะมีพันธะกันทางร่างกาย ตามข้อตกลงที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดจากความรู้สึกดี หรือความต้องการร่างกายของอีกฝ่าย แต่หากมันเกิดจากความแค้น เพียวรู้แล้วว่าสิ่งที่น้ำนิ่งได้รับมันเป็นยังไง ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการบังคับข่มขืนจิตใจ มันทำให้ทรมานไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ ตอนนี้เขาได้รับมันกลับคืน แม้คนทำจริงๆจะไม่ใช่เขา เพราะมันย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าเพราะตาน้ำเสียความไว้ใจที่เคยมีให้เขาไปหมด ตอนนี้มันเหลือแต่ความแค้น ความโกรธ ความเกลียด และความต้องการที่ให้เขาได้รับความทรมาน แม้ว่าพยายามจะทำดีกับน้ำนิ่งเพื่อไถ่โทษ แต่หากอีกคนนึงกับกันออกทุกทาง เพราะกลัวเหตุการ์เดิมจะเกิดซ้ำ เขาก็เข้าใจดี ตาน้ำยังคงมาหาเพียวที่คอนโดเรื่อยๆ หากถามว่าทำไมน้ำนิ่งไม่ได้สงสัยอะไร นั่นเพราะช่วงเวลาไปเรียนพิเศษ 2 คนนี้แยกกันติว 'เวลาที่คุยกันดีมันก็มี แต่คุยดีได้ไม่เท่าไหร่ เพียวก็โดนลากไปที่เตียง โดนมัดแขนบ้าง มัดขาบ้างตลอด จนร่างกายและจิดใจเริ่มด้านชากับความทรมานที่ตัวเองได้รับไปแล้ว' -------------------------------TBC----------------------------------------------- ความลับของตาน้ำกับพี่เพียว ฮือๆ พี่เพียวน่าสงสารจังเลย อิแฝดพี่มันโหดร้าย :sad11: ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน และคนเม้นท์นะคะ
เพียวน่าสงสาร ตาน้ำก็ทำเกินไป
สงสารทุกคน :hao7:
บทที่ 14 คนที่แวะมา ฤดูฝนผ่านไป จนกลายเป็นฤดูหนาว เพียวกลับมาดูแลร้านปกติ พร้อมๆกับน้ำนิ่งและพอสเหมือนเดิม จะไม่เหมือนเดิมก็แต่ ตาน้ำขอให้น้ำนิ่งเลิกใช้บิ๊กไบค์เพราะด้วยอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย กลัวตากแดดตากลมจะไม่สบาย เช้าจึงออกไปพร้อมกัน มาร้านพร้อมๆกับพอส และเย็นกลายเป็นทิมมารับกลับ แล้วพาแวะหากะทิ ส่วนตาน้ำก็บอกเพียงช่วงนี้ต้องช่วยอีกกลุ่มทำงาน เป็นกลุ่มที่อาจารย์เลือกไว้ช่วยงาน กีฬาคณะกำลังจะเริ่มขึ้น แก๊งค์ทะโมนวิศวะ ลงแข่งด้วย พร้อมๆกับ พอสและต้าร์ คนที่ไม่ชอบเล่นกีฬาแบบน้ำนิ่งก็ได้แต่มานั่งรอเพื่อนซ้อม จริงๆแล้วกับต้าร์ น้ำนิ่งก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะปรับตัวคุยปกติได้ ต้าร์เข้ามาขอเป็นเพื่อนเขา 2 คน เพราะบอกว่าเพื่อนตัวเองไปเรียนคณะอื่น พอสจึงเป็นคนขอดูพฤติกรรม หากต้าร์เองเมื่อรู้ว่าน้ำนิ่งกลัวคนแปลกหน้าก็พอจะเข้าใจ ก็ช่วยดูแลกันไป ตาน้ำเองก็คอยตามดูจนรู้ว่าต้าร์ไว้ใจได้ วันนี้ทั้งบริหารและวิศวะมีซ้อม พร้อมๆกับคณะอื่น หมุนเวียนขอซ้อมผลัดกันไป น้ำนิ่งจึงมานั่งรอยู่ในโรงยิมด้วย เดินเข้ามาก่อนเพราะเพื่อนเปลี่ยนเสื้อ เจอคนที่เคยส่งยิ้มให้กันทุกวัน ก็ยิ้มให้ พร้อมกับได้รอยยิ้มกลับคืน โรงยิมชั้นนี้ ไม่มีเก้าอี้นั่งเป็นตัวๆ แต่ที่นั่งเป็นไม้ยาวๆ แบ่งเป็นชั้นๆ เหมือนแสตนด์ทั่วไป พอสเดินตามเข้ามา ก็ลงไปวิ่งวอร์ม น้ำนิ่งนั่งหันหลังให้สนาม สอดตัวเข้ากับช่องว่างของที่นั่ง ใช้ชั้นที่สูงกว่าเป็นโต๊ะทำงานส่งอาจารย์เตรียมให้เพื่อนลอก ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝาแฝด โวยวายใส่เพื่อน หันไปก็เห็นตาน้ำมันล็อคคอพอส ก็ต้องส่ายหัวให้ แกล้งกันแต่เด็กยันโต “ไอ้เหี้ยน้ำ ปล่อยกูเลย แม่งกวนตีน” พอสโวยวาน มือก็ตุบ อั๊กๆ ไปที่คนที่ล๊อคคอตัวเองอยู่ “มึงกวนตีนกูก่อน แม่งแป้นมีไม่ชู๊ตใส่ เสือกชู๊ตใส่กู ถ้ากูเจ็บมึงจะทำไงห๊ะ” “เรื่องของมึงไอ้เหี้ย มายืนขวางลูกบาสกูเอง” “กูไม่ได้ขวาง แต่มึงมันเตี๊ย ชู๊ตไม่ลงห่วง เสือกจะมาลงแข่ง แพ้แล้วไม่อายเค้ารึไง” “เออ ไอ้คนหล่อ ไอ้คนเก่ง ไอ้คนฮอต” หากตาน้ำอยากจะก้มลงหอมคนที่ตัวเองล๊อคคออยู่มากแค่ไหน ก็ต้องกลั้นใจ ปล่อยตัวให้ไปซ้อมต่อ จากวันที่มีอะไรกันครั้งแรก พอสก็ยังคงทำตัวกับเค้าเหมือนเดิม จนเค้าเองก็แปลกใจ ไม่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ลดลง ราวกับว่าวันนั้นไม่เคยเกิดอะไรขึ้น น้ำนิ่งหันกลับมามองงานที่ทำก็ได้ยินเสียงคนมานอนเอนตัวอยู่ข้างๆ “เหนื่อย!” มองแล้วก็น่าจะเหนื่อย ตัวเปียกเหงื่อมาขนาดนี้ หมุนตัวหันหน้าออกมายังสนาม มองฝาแฝดที่มันบ้าพลังซ้อมกับเพื่อนไม่ลดละ หยิบน้ำที่วางข้างตัวให้คนที่นอนหอบอยู่ “ขอบคุณครับ” ได้ยินก็ส่งยิ้มกลับ นั่งทำงานก็เมื่อย เลยเอนตัวนั่งแบบคนข้างๆบ้าง พร้อมๆกับท้าวมือลงไปยังข้างตัว ทำให้นิ้วก้อยของทั้ง 2 คนอยู่ติดกัน รู้สึกถึงการสัมผัส แต่ครั้งนี้ น้ำนิ่งไม่ได้ดึงมือออก หันหน้าไปมองอีกคนนึง พร้อมกับคนที่ตัวเองมองหันมาสบตาพอดี ก็ต้องหันหน้าหนีไป รอยยิ้มน้อยๆเกิดขึ้นกับคน 2คน นั่งกันอยู่อย่างนั้นจนนาน หากทิมขยับตัวจะลุก ด้วยความเผลอหรืออะไรอีกนั่นละ น้ำนิ่งขยับนิ้วก้อยไปทับกับนิ้วก้อยของทิมไว้แค่ช่วงปลายเล็บ ราวกับจะบอกว่าไม่อยากให้ลุก ทิมก้มมองสัมผัสนั้น แล้วขยับนั่งต่อ น้ำนิ่งจึงเอ่ยถาม “ไม่ไปซ้อมแล้วหรอ” ได้ยินเสียงพูดก็ต้องเงยหน้ามองคนถาม “พักก่อน ปล่อยพวกบ้าพลังมันซ้อมไป” พูดแล้วก็เอนตัวหลับตา เหมือนที่เคยทำเวลาน้ำนิ่งไปหากะทิ ก็มองคนที่นั่งข้างๆ นานๆใจชักจะทนไม่ไหว หลับตาไปไม่นานก็ได้ยินเสียงคนมาใหม่ “อ้าว…หวัดดีน้ำนิ่ง” นิ้วก้อยที่ทับไว้หลุดออกเพราะมือนั้นยกขึ้นทักคนมาใหม่ กลุ่มวิศวะหยุดซ้อมยืนนิ่งเพราะตาน้ำหยุดขยับ “นี่นั่งรอไม่พอ ทำงานให้พวกมันลอกด้วยหรอ ทำไมน่ารักอย่างงี้ มาทำให้บ้างสิ” ทิมเห็นคนนั่งข้างๆ ขำน้อยๆก็แปลกใจ กับปฏิกิริยาที่มีให้คนที่มาใหม่ แต่หากคนที่มาใหม่โดนต้าร์ตบหัว แล้วรั้งเสื้อไว้เพราะจะเดินเข้ามาหาน้ำนิ่ง “ไอ้เหี้ยนี่ ที่นี่สนามบาส ไม่ใช่ร้านชาบูอย่ามานั่งหน้าหม้อ” “หม้อเหี้ยไร กูออกจะจริงใจ จริงจัง” ได้ยินแบบนั้น ทิมก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่งตรงๆ ส่งสายตาไปให้คนที่คุยกับน้ำนิ่งอยู่ทันที พร้อมๆ กับเสียงดังมาจากกลางสนาม ‘ตึ่ง!!!” ตาน้ำปาลูกบาสใส่ฝั่งแสตน เฉียดต้าร์ และเพื่อนที่ยืนอยู่ไปไม่มาก พร้อมส่งเสียง “ต้าร์ มึงจะซ้อมมั๊ย ให้พวกกูมาซ้อมด้วยแต่เสือกมาช้าไม่ซ้อมก็ออกไปข้างนอก เกะกะกู” ต้าร์รู้แล้วว่าตาน้ำโวยวายพราะเพื่อน ตัวเองที่ออกอาการกับน้ำนิ่ง ไม่ดูตาม้าตาเรือ ว่าฝาแฝดสุดโหดมันก็อยู่ หากผู้มาใหม่พยายามลดความตึงเครียดด้วยการส่งเสียงทักทาย “อ้าวว่าไงหนุ่มฮอต” สายตาคมดุยังคงจ้องกลับอย่างไม่ลดละ ต้าร์ลากเพื่อนตัวเองลงสนาม น้ำนิ่งได้แต่ทำหน้าแหย่ๆเพราะฝาแฝดตัวเองอาละวาดใส่เพื่อน “ทิม!! ” ได้ยินเสียงเรียกแบบนั้น คนข้างๆก็ลุกไป ก็มันไม่ใช่แค่เพื่อนน้ำนิ่งเถอะ มันอาละวาดยันเพื่อนตัวเองด้วย ได้ยินเสียงต้าร์เดินเข้าไปคุย ลูบหลังลูบไหล่ฝาแฝด สายตาคมของตาน้ำยังคงส่งไปหาต้าร์แบบดุๆ ซ้อมกันอยู่ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนล้มลงบนพื้น ตึ่ง!! น้ำนิ่งหันหน้าจากงานไปมองดู หากเป็นคนที่มากับตาร์ล้ม ก็หมุนตัววิ่งลงไปที่สนาม ก่อนจะเข้าถึงที่เกิดเหตุ ก็โดนตาน้ำรั้งแขนไว้ จนต้องหันกลับไปมองค้อน “น้ำ!!” ก็ไอ้พี่นะ เวลาไม่ได้ดังใจ มันก็ฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อย “ป่าวทำอะไรเลย มันล้มเอง” ส่งสายตามองทุกคนที่ยืนอยู่ในสนาม พอสกับตาร์พยักหน้ายืนยันเช่นนั้น น้ำนิ่งก็ได้แต่ถอนหายใจ จะเดินเข้าไปหาคนที่ล้ม หากเสื้อตัวเองก็โดนฝาแฝดรั้งอยู่ คนล้มลุกขึ้นยืนได้ ตาน้ำก็เข้าไปคุยแทน “ไม่ไหวก็ไปพัก” ว่าแล้วก็โวยใส่เพื่อนให้ไปพัก พร้อมลากฝาแฝดตัวเองออกมาที่ห้องพักนักกีฬา ห้องพักนักกีฬา ทะลุกับห้องอาบน้ำ ตาน้ำเดินเข้าห้องพักนักกีฬาแล้วล็อคประตู ลากน้ำนิ่งเดินทะลุถึงห้องอาบน้ำ แล้วล๊อคประตูอีกเหมือนกัน เดินไปเปิดฝักบัวให้น้ำไหล แล้วจับฝาแฝดหมุนตัวเผชิญหน้า “ไปทำเค้าทำไม นั่นเพื่อนไอ้ต้าร์มัน” “ก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไร มันหมุนตัวล้มเอง” น้ำนิ่งยังคงจ้องฝาแฝดอย่างไม่ลดละ “ไม่ได้ทำ แล้วร้อนตัวลากเรามาถึงนี่เนี่ยนะ” ตาน้ำถอนหายใจ “มันเรียกร้องความสนใจ จากน้ำนิ่งไม่รู้หรอ” น้ำนิ่งส่ายหน้า ยกมือ 2 ข้าง ลูบหัว ลูบไหล่ตาน้ำ “นั่นมันเพื่อนไอ้ตาร์ รู้จักกันตั้งแต่ปีนึง ต้าร์ก็บอกว่ามันนิสัยดี มันเป็นคนเฟรนลี่ ไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก” ตาน้ำหันหน้าหนี ทำให้น้ำนิ่งโผลเข้ากอด มือลูบทีหลัง เหมือนกับบอกว่าให้ใจเย็นๆ “ก็มันทำเหมือนมันชอบน้ำนิ่ง” เสียงบ่นพึมพำ ลอยมาจากคนที่ตัวเองกอด “ชอบก็ชอบ เราระวังตัวเองอยู่ น้ำอย่าคิดมาก เราไม่อยากให้เครียด อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คนเรามันกำหนดเหตุการณ์ทุกอย่างในชีวิตไม่ได้หรอกนะ เรารู้ว่าน้ำเป็นห่วง” ได้ยินแล้วก็หมุนตัวน้ำนิ่งเข้ากำแพง มือเลื่อนปลดเข็มขัดและกางเกงนักศึกษาออก น้ำนิ่งลูบที่แผงอกแล้วไล้มือลง ขยับเข้าไปในกางเกงกีฬาของฝาแฝดแล้วรั้งลงเหมือนกัน มือของตัวเองอยู่ที่แก่นกายของอีกฝ่าย ขยับมือเข้าออกพร้อมๆกันเป็นจังหวะ ตาน้ำไซร้เข้าที่ซอกคอ เหมือนอย่างที่เคยทำ มือน้ำนิ่งที่จับอยู่ไหล่พี่ ขยำเกร็งกับเสื้อกีฬา เพราะมือตาน้ำอีกข้างบีบเคล้นอยู่ที่สะโพก ได้ยินเสียงแหบพร่ากระซิบอยู่กับหูที่โดนเลียจนเปียกชุ่ม จนต้องเบี่ยงหน้าหนี “รู้ว่าเป็นห่วงก็ทำตัวดีๆหน่อย อย่าให้ต้องทำโทษแบบนี้อีก” “อื๊อ…น้ำ รู้แล้ว อื๊อ” คำตอบดังพร้อมเสียงคราง ไม่นานมือก็หยุดขยับเพราะน้ำคาวปลดปล่อยออกมาทั้งคู่ จับน้องล้างมือ ทำความสะอาด ก็ลากออกมาที่สนาม ลงไปซ้อมเหมือนปกติ หากก็แต่ ตาน้ำอารมณ์ดี และใจเย็นขึ้นกว่าเมื่อครู่ คนที่มากับต้าร์ ส่งสายตามองน้ำนิ่งพร้อมรอยยิ้มเมื่อน้ำนิ่งยิ้มกลับ ก็หันไปซ้อมต่อ 'เพื่อนทั้ง 2 กลุ่มรู้ดี หากตาน้ำอารมณ์ไม่ดี ก็มีแค่น้ำนิ่งที่ทำให้หายได้ แต่หากคนที่แวะมาที่ยังไม่ค่อยรู้อะไรดีก็ได้แต่สงสัยรอยยับบนเสื้อของฝาแฝด' -----------------------------------------TBC------------------------------------------ มาสั้นๆ คนมาใหม่เป็นใคร เดี่ยวรู้กันแน่ๆ ว่าแต่ แฝดน้องแตะตัวทิมก่อนแล้วเนี่ยสิ จะอ่อยใช่มั๊ยๆๆๆ ส่วนแฝดพี่ทำโทษน้องได้ลงคอ ฮือๆ ขอบคุณคอมเม้นท์ คนรอ คนอ่าน ทุกคนนะคะ
บทที่ 15.1 วันสำคัญกับคนสำคัญ สุดสัปดาห์นี้ ฝาแฝดต้องกลับบ้าน หากแต่อากาศดีๆ จึงคิดว่าจะขับบิ๊กไบค์ไปกัน แต่เนื่องจากมหาลัยหยุดแล้ว เพื่อนๆไม่รู้จะไปไหน จึงหาเรื่องร้องตามไปด้วย “กูไปด้วย” พอสรีบพูดขึ้นก่อนในวงโต๊ะที่ร้าน จนน้ำนิ่งหมั่นไส้ต้องเอื้อมมือไปตบหัวเบาๆ “จ้า พ่อหลานคนเล็กของบ้าน งานนี้ขาดมึง กูต้องโดนยายบ่นไปสามวันแปดวัน” “งั้นกูไปด้วย” ต้าร์ร้องตามบ้าง “งั้นทิมไปด้วย” คนพูดไม่ใช่ทิมหรอก หากแต่เป็นตาน้ำนั่นละ จนทำให้เจ้าของชื่อตกใจ “แต่กูต้องเอากะทิไปด้วยสิ” พอสเริ่มมองเห็นเคล้ารางของปัญหาที่จะเกิด จึงจ้องรีบถามต่อ “จะไปยังไง กูเอารถไปมั๊….” “ไม่ได้!” พอสยังพูดไม่จบ ตาน้ำก็หันไปแหวใส่ พลางจ้องหน้าพอส ทำให้พอสหน้าแดง เข้าใจความหวงพื้นที่ของฝาแฝด เพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่ทั้ง 2 คนเคยมีอะไรกันบนรถ จึงเข้าใจตาน้ำได้อย่างดี “รถมึงเด่นเกินไปที่จะขับ ต่างจังหวัด จอดข้างทางกูว่ามันอัตราย” หากน้ำนิ่งตีความออกมาแบบนั้น “เออๆ งั้นกูเอาคันอื่นไปก็ได้” เช้าวันเดินทาง ฝาแฝดอยู่ในชุดเตรียมพร้อมสำหรับรถบิ๊กไบค์ยืนรอพอสต้าร์มารับที่หน้าคอนโดทิม ที่เป็นจุดนัดเจอ ไม่นานพอสก็มารับด้วยรถเบนซ์ 5 ประตูที่เป็นรถของที่บ้านพร้อมเสียงบ่น “ชิบหาย…แม่กูเกือบจะให้เอารถตู้พร้อมคนขับมาแล้ว” เสียงหัวเราะเกิดขึ้น เพราะทุกคนเข้าใจในความจัดเต็มของบ้านพอสเป็นประจำ นั่งที่กันเรียบร้อย ก่อนออกพอสก็เปิดกระจกแซวฝาแฝดอีกครั้ง “ช้าๆนะมึง 2 คนนะ เดี๋ยวกูหลง” “โง่ไปไม่ถูกก็เรื่องมึงเลย ถึงที่หลังเลี้ยงข้าว” ตาน้ำพูดแล้วก็ออกรถที่มีน้ำนิ่งซ้อนอยู่ไป “ไอ้เหี้ยนี่” เบนซ์ขับตามบิ๊กไบค์ไม่ห่างมากนัก เข้าตัวจังหวัด ก็จอดซื้อของ น้ำนิ่งก็แวะซื้อโรตีสายไหมอย่างเดิม แต่ครั้งนี้มันดูเยอะมากจนน่าตกใจ “นี่มันเหมาไปเลี้ยงคนทั้งตำบลหรอว่ะ” พอสเปิดกระจกรถคุยกับตาน้ำที่คร่อมรถอยู่ “เดี๋ยวมึงก็รู้” ไม่นาน น้ำนิ่งเดินกลับมาพร้อมเหวี่ยงโรตีสายไหม่เข้าไปในกระจกที่พอสเปิดอยู่ 1 ถุง “เอาไปกิน จะได้เงียบปาก” ซื้อของเสร็จ ก็ออกเดินทางต่อ จากเมืองเข้าสู่บริเวณธรรมชาติ ทุ่งนาเขียวขจี บิ๊กไบค์ขับช้าลงเพื่อรับสัมผัสบรรยากาศ รถคันใหญ่ลดกระจกลงเหมือนกัน จอดแวะถ่ายรูปเล่นกันข้างทางบ้าง ไม่นานก็ถึง เลี้ยวรถเข้าบ้านจอดก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างบน พร้อมเสียงเดินลงมาของแม่ ทิมมองผู้หญิงตรงหน้าที่ดูไม่แก่ หน้าตาดูผิวพรรณดูได้รับการบำรุงอย่างดี แต่หากใส่ผ้าถุงและเสื้อธรรมดาเดินลงมา “มากันแล้ว” แฝดฝาลงรถ ปลดชุดนิรภัยออก เดินเข้าไปกอดแม่ “แม่สวัสดีครับ” พอสเอ่ยทักผู้ใหญ่ก่อนที่ต้าร์และทิมจะทำตาม “เดี๋ยวๆ ขอแม่ดูก่อน คนนี้ ทิม คนนี้ต้าร์ ใช่มั๊ย” “โหยยยย แม่ทายถูกด้วย เก่งจังเลย” พอสร้องแซว “อ้าว นี่ใครคะ นี่แม่นะ ไปๆ เล่นกันเสร็จแล้วตามไปนะลูก” ยืนคุยกันสักพัก 5 หนุ่มก็ได้ยินเสียงวิ่งควบมาอย่างเร็ว เห็นอีกทีน้ำนิ่งก็โดนตัวที่วิ่งมากระโจนใส่จนลงไปอยู่ใต้ร่าง "ลูกชุบ! ไปแช่น้ำมาอีกแล้วใช่มั๊ย” หมาพันธุ์โกลเด้นท์ที่มองยังไงมันก็ดูไม่ออก เพราะเนื้อตัวเปื้อนน้ำท้องร่องสีดำเต็มไปหมด กำลังเลียหน้าเลียตัวเจ้านายคนเล็กอย่างคิดถึง “เฮ้ย ลูกชุบหรอเนี่ย แข็งแรงแล้วสินะ” พอสร้องเอ่ยทักขึ้น ระหว่างที่ฝาแฝดฟัดกับหมา พอสก็หันไปที่มาของลูกชุบให้เพื่อนอีก 2 คนฟัง เจ้าหมาโกลเด้นท์ฟัดเจ้านายคนเล็กอยู่อย่างนั้น ตาน้ำก็เดินไปอุ้มออกมา จนเจ้าหมาหันมาเห็นเจ้านายคนโต ก็เปลี่ยนเป้าหมาย ยกขาหน้า ไล่ตะปบที่เท้าของตาน้ำ แต่ไม่โดน เพราะตาน้ำเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ เจ้าลูกชุบก็เดินเข้าหายกเท้าซ้ายขวาไล้ตะปบ ราวกับต้องการจะจับให้ได้ แล้วตาน้ำก็ออกวิ่งนำ มีลูกชุบวิ่งไล่ตาม น้ำนิ่งลุกขึ้นได้ ก็เดินไปหาทิมที่อุ้มกะทิ ส่งมือของตัวเองให้กะทิดม มืออีกข้างก็ลูบหัว พยายามให้กะทิคุ้นชินกับกลิ่นของลูกชุบ เพราะตอนนี้ต้องอยู่ร่วมกัน ไอ้หมานะ อ่อนโยน ใจดี น่ารักเหมือนเจ้าของคนเล็ก แต่ไอ้แมวเนี่ย มันก็ยังเป็นแมว กลัวจะตะปบหมาจนหน้าแหก ลูบอยู่นาน จากที่กะทิขยับตัวหนีขู่ฟ่อๆ เพราะกลัวกลิ่น ก็เริ่มคุ้นชิน “ได้ยัง” ได้ยินเสียงตาน้ำตะโกนมา พร้อมเสียงวิ่งที่ไม่หยุด “ลองดูก่อน” น้ำนิ่งตะโกนกลับ แป๊ปเดียวตาน้ำก็วิ่งนำเจ้าลูกชุบกลับมาทีเดิม น้ำนิ่งอุ้มกะทิมาจากทิม ค่อยๆขยับให้เข้าใกล้ลูกชุบที่มีตาน้ำล็อคคออยู่ เพื่อนทุกคนต่างก็นั่งลงตามพร้อมดูเหตุการณ์ว่าฝาแฝดมันจะทำอะไรกัน “ลูกชุบ นี่กะทินะ กะทิ นี่ลูกชุบนะ เป็นเพื่อนกันนะ” ได้ยินคนแนะนำ หมา กับ แมว ให้รู้จักเป็นเพื่อนกัน ทิมถึงกับยิ้ม ‘คิดได้ยังไงเนี่ย’ น้ำนิ่งจับขาหน้าของกะทิยื่นไปข้างหน้าลูกชุบ เจ้าหมาดมๆ เหมือนจะได้กลิ่นคล้ายของตัวเองก็ก็เข้าเลียที่ขานั้น และก็ที่หน้าแมว เจ้าแมวร้อง ประท้วงหากแต่ไม่กลัวเหมือนที่ได้กลิ่นครั้งแรก ตาน้ำปล่อยมือที่ล๊อคคออยู่ แล้วลุกขึ้น ลูกชุบก็งั๊บเข้าที่ปลอกคอของกะทิ “ก็แค่นี้ อย่าพากะทิไปลงท้องร่องละ พ่อมันมาตีหัวกูตายแน่” ตาน้ำบ่น ฝาแฝดออกเดินนำเพื่อนไป มีลูกชุบที่คาบเจ้ากะทิอยู่เดินตาม พร้อมๆกับเพื่อน เดินเข้ามาอีกฝั่งของพื้นที่ในบ้าน ที่อยู่ห่างจากเรือนไทยไม่มานะ จะเจอบ้านตึกแถว 2 ชั้น ด้านล่างเป็นห้องโถ่งโล่ง หากแต่ยังคงเป็นบ้านทรงสมัยก่อน ที่ดูเข้ากับเรือนไทยเป็นอย่างดี ทิมดูงงกับสถาปัตย์ตรงหน้า จนพอสต้องเอ่ยแซว “ wonderland มั๊ยละ” “มากๆ” คำตอบทำให้พอสขำไปอีก เดินเข้าไปในตัวบ้าน เห็นผู้ใหญ่นั่งอยู่กันมากหน้าหลายตา เด็ก 3 คนก็ยกมือ ทำความเคารพ หากแต่ตาน้ำ เดินเข้ากราบที่เท้าแม่ และ แด๊ด “สุขสันต์วันเกิดนะลูกชายคนโต มีความสุขมากๆ แข็งแรงๆ ขอบคุณที่เกิดมาอยู่กับแม่และแด๊ดนะครับ” ฝาแฝดคนโตโผลกอด แด๊ด และแม่พร้อมกัน “ขอบคุณที่ให้ชีวิตผมนะครับ” “เอ๊า! โตจะแย่ ยังจะร้องไห้อยู่อีก เอ๊…นี่แม่เริ่มไม่แน่ใจว่ามีลูกชายหรือป่าว” ตาน้ำนะแค่น้ำตาซึม แต่น้ำนิ่งนะมันร้องไปแล้ว “น้ำนิ่ง มาหาแม่มาลูก” น้ำนิ่งเดินเข้าไปกอดแม่ ตาน้ำก็ขยับกราบที่ตักคุณตา คุณยาย รวมถึงปู่ย่า ที่บินมาหา และแม่นมทั้ง 2 คนไปเรื่อยๆ แต่หากน้ำนิ่งที่นั่งกับแม่เฉยๆ ทำทิมคิ้วขมวด จนพอสแอบขำกับคนที่ชอบเพื่อนตัวเองไม่ได้ “มันเกิดคนละวันกัน รู้ป่ะ” “ยังไง มีแบบนี้ด้วยหรอ” พอสพยักก่อนตอบออกมา “ไอ้น้ำเกิด 24 ธันวา ตอน 5ทุ่ม 58 ไอ้นิ่งเสือกไปเกิด เที่ยงคืน 3 นาที มันก็เลยเป็นวันที่ 25 เพราะงั้น ไอ้นิ่งมันเลยเกิดพรุ่งนี้แทน ก็โชดดีที่มันเกิดที่ไทย ถ้าเกิดที่บ้านปู่นะ ยากแน่ๆ ช่วงเทศกาลประเทศเค้าหยุดยาว นี่ปู่ย่ามันก็เลยได้บินมาหา” ทิมที่พอจะนึกอะไรออกมา ก็ร้องอ๋อ “ถึงว่า เห็นปีก่อนลงรูป HBD คนละเวลากัน ตอนแรกก็งงว่าทำไม มันเป็นแบบนี้เอง ไม่ได้สังเกต” หากตาน้ำไหว้แม่เพ็ญแม่และแม่ภาเสร็จ ก็เดินกลับมาหาน้ำนิ่ง “ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันนะ” คำขอบคุณซ้ำๆที่ฟังกันทุกวันสำคัญ แต่คนฟังก็ไม่เคยเบื่อ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกดีที่ได้ฟัง เพราะมันยิ่งทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้นทุกครั้ง ผละจากน้ำนิ่งก็ก็เดินไปหากลุ่มเพื่อน พอสโดนคว้ามากอดแบบไม่ทันตั้งตัว ตาน้ำกดจูบเบาๆ ข้างที่ไม่มีใครมองเห็น “ขอบคุณนะพอส ขอบคุณทุกอย่าง” คำนี้พอสก็ได้ยินมันทุกปีที่งานวันเกิดฝาแฝดเนี่ยละ หากปีนี้ไอ้คนกอดมันแถมจูบเบาๆมาให้ หน้าแดงไปอีก ผละจากพอส ก็เป็นทิม ตาน้ำกอดทิมตบเบาๆที่หลัง “ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกูนะทิม” “อืม ขอบคุณมึงเหมือนกัน” แล้วก็เป็นต้าร์ ตาน้ำยกมือ 2 ข้างตบที่ไหล่ “ขอบคุณที่ช่วยกูดูแลน้ำนิ่งนะ” ต้าร์พยักหน้า ตบไหล่กลับคืน “เอ๊าๆ เด็กๆ ไปพักผ่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าไปลูก เดี๋ยวบ่ายมาทานของว่างกัน นี่กินข้าวกันมาแล้วใช่มั๊ย” “ครับแม่ พาไปกินในเมืองมา” น้ำนิ่งตอบ "เดี๋ยวเด็กๆ ไปนอน เรือนรับรองนะลูก หรือจะนอนที่นี่" “นอนหลังเล็กก็ได้ครับ นอนนี่เสียงดัง เดี๋ยวรบกวนปู่กับย่า” พอสตอบ ปู่กับย่ายังคงคุยกับหลานชายทั้ง 2 ไม่ได้เจอตัวเป็นๆมานาน จะมีเห็นหน้าก็แค่ วีดีโอคอลคุยกันประปราย เวลาของว่าง แก็งค์เด็กลงไปนอนเล่นที่เรือนแพ ด้านบนเป็นของผู้ใหญ่ จัดคล้ายทานอาหารอยู่ในสวนอังกฤษ น้ำนิ่งเห็นทิมมองดูบรรยากาศรอบตัว ก็เดินเข้าไปคุยด้วย “อยู่ได้มั๊ย?” “ได้สิ แค่มองว่าเหมือนในหนังเลยอะ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นของจริงสวยๆแบบนี้” “ดีใจที่ชอบนะ” หากทิมอยากจะบอกว่าชอบเจ้าของบ้านด้วยก็ต้องหยุดไว้ก่อน โรตีสายไหมที่น้ำนิ่งซื้อมาถูกแจกจ่ายให้กับบ้านของเด็กๆที่มาช่วยทำงานในบ้านเป็นประจำจนหมดตั้งแต่ช่วงบ่าย มื้อค่ำของปู่ย่านั้น กลายเป็นมื้อสำคัญที่อยู่กับครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันนานเป็นประจำทุกปี ในบ้านตึกแบ่งเป็นโต๊ะเด็กและโต๊ะผู้ใหญ่ มีต้นคริสต์มาสประดับไฟ รวมทั้งป้ายตกแต่ง Merry Christmas และ Happy Birthday บ้านไทยๆที่มีงานฉลองวันนี้ ไม่ได้ทำให้คนแถวนั้นแปลกใจมากนะ เพราะมันเป็นเรื่องปกติของบ้านนี้ทุกปีอยู่แล้ว กลุ่มเด็กเล่นเกมส์แข่งกันกินขนมกันอย่างสนุกสนาน ลูกชุบที่ถูกจับอาบน้ำ ก็แต่งตัวหล่อเป็นซานต้าเข้ากับกะทิที่มีที่คาดผมหมวกแดงอยู่บนหัว ดึกมากแล้ว ผู้ใหญ่แยกย้ายกันขึ้นนอน เด็กๆช่วยกันเก็บของ เสร็จแล้วก็เดินไปที่เรือนรับรอง เรือนรับรองนี้มีไว้ให้แขกที่เป็นญาติมาพัก เป็นเรือนไทย สำเร็จรูปที่มีขายกันทั่วไป ตัวเรือนยกสูงไม่มาก มีนอกชานทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน ด้านในเป็นโถ่งนั่งเล่น และห้องนอน 2 ห้อง ฝาแฝดอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็ออกมานอนดูดาวกันที่นอกชาน ใกล้ถึงเวลา 5 ทุ่ม 58 นาที น้ำนิ่งก็หยิบกล่องส่งให้ตาน้ำ “สุขสันต์วันเกิด” “หืม” “แกะดิ” “ขอทายก่อน” ให้กันทุกปี ก็ต้องทายกันทุกปี “เสื้อ” น้ำนิ่งส่ายหน้า “กระเป๋า” เห็นคนให้ส่ายหน้าก็เลยแกล้งกระซิบกลับ “กางเกงใน” ก็โดนตบไปที่อกเบาๆ 1 ที “ไม่แกะเราแกะเองละนะ” ส่งมือไปคว้าของ หากคนรับหมุนตัวหนี “อะไรเนี่ย ให้คนอื่นมีการแกะเองด้วย” “แกะสักที” แกะออกมาก็เป็นรองเท้ากีฬาแบบที่คนพี่ชอบ หากแต่มันเป็นแบบและสีที่หากยากเกินกว่าในไทยจะมี “โหยยยยย ไปหามาจากไหน” “ไม่ยากเลย บอกแม่ จบ ฮ่าๆ” ได้ยินแล้วก็ล็อคคอน้องมาหอมแก้ม ฟัดกันไปมา “ตกลงใครซื้อหืมๆ” “โอ๊ยๆ พอ ก็ให้แม่หาให้แต่ตังค์เรานะ” “แล้วไป” พูดจบ ก็กดจูบไปที่หน้าผากของน้ำนิ่งเบาๆ ขอบคุณนะ น้ำนิ่งหยิบกล้องโพลารอยด์แล้วก็ถ่ายรูปคู่กันพร้อมของขวัญที่อีกคนยังถือในมือ แล้วเอาโทรศัพท์นั้นถ่ายรูปจากกล้องโพลารอยด์อีกที ไม่บ่อยนักที่ฝาแฝดจะมีรู้คู่กัน ถ้าจะมีก็มีแค่วันสำคัญๆแบบนี้ เวลาล่วงเลยถึง เที่ยงคืน 1 นาที เพื่อนๆที่ฝาแฝดคิดว่าหลับไปแล้ว ก็เดินถือเค๊กออกมาร้องเพลง HBD ให้ โดยพอสเป็นคนถือ เที่ยงคืน 3 นาที เทียนที่อยู่บนเค๊กก็ดับลง พร้อมคำอธิฐานของน้ำนิ่ง ลืมตามาก็เจอกล่องของขวัญจากตาน้ำยื่นให้ “แกะ” “ทายก่อน” “เสื้อ” ตาน้ำส่ายหน้า “รองเท้า” คนให้ก็ยังส่ายหน้าอยู่ น้ำนิ่งตกใจกลัวตัวเองจะได้รับของแบบที่คนพี่ทายไว้ก่อนหน้าก็ต้องรีบแกะ หากเป็นกระเป็นเป้ยี่ห้อเดียวกับรองเท้าที่ซื้อให้ตาน้ำ "รู้ได้ไง" “แม่บอก” “โหยยย ถ้าแม่ไม่บอกก็รู้ใช่ม่ะ” “ป่าวเลย รู้ก่อนอีก เราฝากแม่ดู แล้วแม่มาบอกก็เลยบอกว่านิ่งฝากดู เราเลยบอกแม่ว่าของน้ำนิ่งเดี๋ยวซื้อเอง” น้ำนิ่งมองหน้าฝาแฝดทียักคิ้วให้จึกๆ “แน่ใจนะ” “โหยยยยยยย ระดับนี่แล้ว” เพื่อนขำกับความดักทางถูกของฝาแฝด ตาน้ำหยิบกล้องโพลารอยด์มาถ่ายรูปเหมือนที่น้ำนิ่งทำเหมือนกันแล้ว พอสส่งของขวัญให้น้ำนิ่งและตาน้ำ ของน้ำนิ่งเป็นสมุดโน้ตแบบที่เจ้าตัวชอบ ส่วนของตาน้ำเป็นเสื้อกีฬายี่ห้อเดียวกับรองเท้า ก็เพราะตาน้ำชอบแบรนด์นี้จนใส่ตลอด มันก็สังเกตได้ง่าย “โหยพอส ทำไมของน้ำมันดูดี ไฮโซกว่าของกูละ” “ไฮโซไร มาจากญี่ปุ่นทั้งคู่ละ ของมึง Midori เลยนะเว้ย ทำมาบ่น” “แต่หนังมัน Made in Thailand มั๊ยละ” “ก็เหมาะกับมึงแล้วไอ้ลูกครึ่ง กูรู้มึงชอบแบรนด์นี้ อย่ามางอแงน่า” ได้ยินคำเที่เพื่อน 2 คนคุยกัน ทิมก็เริ่มหวั่นใจกับของขวัญที่เตรียมมาให้ ก็ไม่รู้อีกคนจะชอบรึป่าวนะสิ ต้าร์ส่งของให้น้ำนิ่ง เป็นเซ็ตอุปกรณ์ทำขนมเล็กๆ ส่วนของตาน้ำไม่มี ต้าร์ให้เหตุผลว่า “มึงก็กินขนมที่น้ำนิ่งทำ เนี่ยมึงก็ได้ของขวัญจากกูละ” ฉลาดมากมึง ทิมส่งของให้ฝาแฝด เป็นปากกาสลักชื่อของทั้งคู่ ต่างกันที่สี “เชื่อได้ ไอ้นิ่งไม่ใช้” ทิมมองหน้าเจ้าของชื่อที่ขำกับความรู้ทันของเพื่อน ก็เอ่ยตอบทิมไป “เราเสียดายเวลาไส้มันหมดอะ” “เห้ย หมดก็บอก เดี๋ยวเราซื้อให้” “หร๋า ทิม งั้นมึงต้องซื้อให้กูด้วยแล้วละ” “มึงซื้อทีเป็นโหลไอ้น้ำ กูรู้ มึงแบ่งน้ำนิ่งใช้เลย” เสียงหัวเราะดังขึ้นยามขำคืน จนล่วงเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วโมง ฝาแฝดไล่เพื่อนไปนอน เพราะต้องตื่นเช้าใส่บาตร ---------------------------TBC----------------------------- พรุ่งนี้จะขอต่อ 15.2 วันเกิดของน้ำนิ่งนะคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนอ่าน คนเม้นท์ คนรอ และทุกกำลังใจคะ
:mew1:
:HBD2: ตาน้ำของพี่ :กอด1: :กอด1:
บทที่ 15.2 วันสำคัญวันกับคนสำคัญ “น้ำตื่น” น้ำนิ่งลุกขึ้นนั่งแล้วร้องปลุก แต่ตาน้ำคว้าตัวมากอดแล้วก็ขยับเอาตัวเองคร่อมร่าง ทำให้คนปลุกมีท่าทางเหมือนลงไปนอนเหมือนเดิม “เอ๊า นิ่งตื่น” น้ำนิ่งส่งสายตามองค้อนควับ “ตื่นสิ ลุก” ก็จะไปลุกได้ยังไง ไอ้พี่มันนอนทับอยู่ น้ำนิ่งขืนตัวเองให้ดันคนที่คร่อมอยู่ลงไปลงไปนอนใต้ร่าง พอตัวเองขึ้นไปอยู่ข้างได้ ก็ดันตัวยืนขึ้นทันที หากแต่คนพี่จับมือรั้งไว้ไม่ให้เดินหนี “เร็วๆ เดี๋ยวสาย” น้ำนิ่งส่งสายตาดุมองคนที่รั้งแขนตัวเองไว้ แล้วออกแรงดึง พอตาน้ำลุกขึ้นมาได้ ก็คว้าเอวน้องเข้ามากอด “สุขสันต์วันเกิดนะ” พูดจบก็หอมไปที่แก้มเบาๆ คนน้องหอมก็หอมตอบ ทำให้อ้อมกอดนั้นคลายลง คนโดนปล่อยตัวเลยวิ่งหนีไปอาบน้ำ อันที่จริง พาเพื่อนมานอนบ้าน ก็ควรจะนอนกับเพื่อนนั่นละ แต่กับฝาแฝดนั้นไม่ใช่ 2 คนจึงแยกกลับมานอนที่เรือนไทย ส่วนเพื่อนๆ ก็จัดสรรให้นอนกันไปคนละห้องที่เรือนรับรอง สมาชิกพร้อมหน้ากับที่เรือนแพ รอใส่บาตร เป็นบรรยากาศที่หาดูได้ยาก ที่ยังมีพระบิณฑบาตรทางเรือ ฝาแฝดช่วยกันใส่บาตร พร้อมแม่และแด๊ด ใส่เสร็จผู้ใหญ่ก็ขึ้นเรือนไปก่อน เด็กๆช่วยกันเก็บของ เดินกลับมาที่บ้านตึก ผู้ใหญ่ก็นั่งกันพร้อมหน้าเหมือนเมื่อวาน น้ำนิ่งเดินเข้าไปกราบที่เท้าแม่ และแด๊ด อย่างที่ตาน้ำทำ คำอวยพรที่เหมือนกันถูกส่งมาให้ “สุขสันต์วันเกิดนะลูกชายคนเล็ก มีความสุขมากๆ แข็งแรงๆ ขอบคุณที่เกิดมาอยู่กับแม่และแด๊ดและครอบครัวเรานะครับ” น้ำนิ่งกอดแม่และแด๊ดร้องไห้ สะอื้นไปด้วย “ขอบคุณ….อึก….ที่ให้ชีวิตผมนะครับ” แล้วก็ขยับกราบคุณตาคุณยายที่ช่วยเลี้ยงดู ปู่ย่า และแม่นมทั้ง 2 คน ผู้ใหญ่ทุกคนน้ำตาคลอกันภาพตรงหน้า เหมือนเช่นเมื่อวาน แล้วก็เดินมาหาฝาแฝดตัวเอง ตาน้ำดึงน้ำนิ่งเข้ามากอดน้องจนแน่น “ขอบคุณที่เกิดมาอยู่ด้วยกันนะ” แต่คนที่พูดนั้น ดันไม่ใช่เจ้าของวันเกิด แต่เป็นฝาแฝดคนพี่ ทำให้น้ำนิ่งน้ำตาไหลออกมาอีก น้ำนิ่งเดินออกไปหาพอส “มึงนี่ จะร้องทำไมเนี่ย วันเกิดนะ ขี้แยเหมือนพี่มึงเลย” พอสดุขณะที่กอดก็ลูบหลัง ลูบไหล่ไปเรื่อยๆ “ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีของกูนะพอส” แล้วก็ปล่อยตัวเพื่อนรักออก น้ำนิ่งขยับไปหาต้าร์ กอดกันเบาๆ ไม่นาน แล้วก็หันไปหาทิม ก็เขินเกินกว่าจะขยับตัวไปหา ทำให้ทำตัวไม่ถูกแต่ก็ยังมีรอยยิ้มส่งไปให้ ทิมที่ดูอาการออก ก็ส่งยิ้มกลับมา 'ไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจกันดี' “อ้าว ไปกันเถอะลูก เดี๋ยวจะสาย” เห็นกลุ่มเด็กคุยเล่นกัน ผู้ใหญ่ก็ต้องเอ่ยปากเตือนถึงเวลาเพราะกลัวจะล่าช้า รถ 3 คันเคลื่อนตัวออกจากบ้าน ตายา ปู่ย่า และแม่นมทั้ง 2 ไปรถตู้ ตาน้ำและน้ำนิ่งไปกับแด๊ดและแม่ ส่วนพื่อน 3 คนไปด้วยกันเหมือนเดิม ถึงจุดหมาย ก็เจอกลุ่มทะโมนอีก 3 คนของวิศวะมาจัดข้าวของที่ตาน้ำฝากให้เอามารออยู่แล้ว “สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า” ฝาแฝดรู้ว่าตัวเองมี และโชคดีกว่าเด็กเหล่านี้มากนัก จึงอยากที่จะช่วยเหลือ และแบ่งปัน ความรู้สึกของฝาแฝดนี้เพื่อนๆเองก็รับรู้และชอบใจ จึงกลายเป็นธรรมเนียมกันทุกปีตั้งแต่รู้จักกันมา กลุ่มเด็กวิศวะ เฮฮากันราวกันว่าไม่ได้เจอกันมานานปี ยืนคุยเล่นกันไม่นาน รถตู้อีกคันก็เข้ามาจอด พอสร้องทักขึ้น “ พ่อ แม่” คนที่ตามพ่อแม่ของพอสมานั้น ก็หนีไม่พ้นเพียว ไม่อยากมาก็ไม่ได้หรอก มันเป็นมารยาทที่บ้านฝาแฝดเชิญบ้านนี้มาร่วมทำบุญกันทุกปี ตาน้ำหน้านิ่งทันที หากแต่น้ำนิ่งกระตุกแขนเตือน เพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศ การแจกอาหารและของเล่นให้แก่เด็กๆ เป็นไปอย่างสนุกสนาน เหล่าทะโมนวิศวะที่ผ่านค่ายอาสาและการรับน้องมาอย่างเต็มที่ก็ส่งความบันเทิงให้แก่น้องๆ ที่สถานสงเคราะห์เป็นอย่างดี เสร็จจากสถานสงเคราะห์ ก็ย้ายกันไปที่ร้านอาหารริมน้ำ แบ่งเป็นโต๊ะ ผู้ใหญ่ และเด็กเช่นเคย หากแต่เพียวขอนั่งกับพ่อและแม่แทน “พี่เพียว ไม่มานั่งด้วยกันหรอ” น้ำร้องถาม “ไม่เป็นไร เผื่อแม่จะเรียกใช้ จะได้ไม่ต้องตะโกน” จบจากร้านอาหารก็ล่วงเลยเข้าช่วงเย็น กลุ่มเพื่อนแยกย้ายกลับกรุงเทพก่อน ฝาแฝดก็กลับไปเอารถที่บ้านอยุธยาแล้วตามไป ผู้ใหญ่รู้ดี วัยรุ่นเนี่ยมันก็อยากมีงานฉลองกับรุ่นเดียวกัน สมัยนี้น้อยคนนักที่จะกลับมาหาครอบครัวและพ่อแม่ก่อนแต่สำหรับฝาแฝดนั้นไม่ใช่เลย จุดนัดหมายก็เป็นร้านส้มเหมือนเดิม หากแต่มีโต๊ะของ 5 หนุ่มวิศวะเพิ่มเข้ามา นั่งกินนั่งเล่นกันอยู่ไม่นาน เสียงตาร์บนเวทีก็ดังขึ้น “สวัสดีครับ ก็วันนี้วันเกิดเพื่อนผม เดี๋ยวขอร้องเพลงให้เพื่อนผมหน่อยนะครับ” เสียงเพลง Happy BirthDay ดังขึ้นให้ฝาแฝดได้ยินอีกครั้ง หากไม่ใช่นักร้องประจำวงของต้าร์ เพราะต้าร์ขอร้องเอง เสียงเพลงอวยพรจบลง น้ำนิ่งเดินไปส่งแก้วให้ต้าร์ หากไฟหน้าเวทีก็ดับลง ขณะทีเวทีกำลังวุ่นวาย เสียงของพี่ส้มเจ้าของร้านก็ดังขึ้นก่อน “ค่ะ ก็เป็นธรรมเนียมของร้านนี้นะคะ หากว่าเจ้าของวันเกิดได้รับเพลงอวยพรจากทางร้าน ก็ร้องเพลงให้ฟังคืน 1 เพลง แล้วจะได้เหล้าฟรี 1 ขวด” จบเสียงเจ๊ส้มคนสวย เสียงดนตรีก็ดังขึ้น เพราะกลุ่มวิศวะคุยกันเสียงดังแทบไม่ได้ยินเสียงเจ๊ส้ม พอสจึงส่งสัญญาณมือไปให้ทิมที่นั่งอยู่ตรงข้าม บอกให้หันไปดูที่หน้าเวที เสียงร้องเพลงจากคนที่ปกติไม่ค่อยพูดก็ดังขึ้น “เธอ เธอเป็นสีชมพู เธอมีโลกของเธออยู่ ที่ฉันไม่อาจล่วงรู้และไม่เคยเข้าไป ส่วนฉันเป็นสีเทา มีแต่ความเหงารอบๆ กาย ไม่รู้เลยในความหมายอะไรมากกว่านี้ แต่เธอและฉันก็เดินเข้ามาชิดใกล้ มาทำให้ฉันแปรเปลี่ยนเป็นสีใหม่ เมื่อชีวิตของเราไหลปนกัน โลกของฉันก็ดูจะเปลี่ยนสีไป อะไรเป็นของเธอ ก็กลายเป็นอะไรของฉัน เมื่อเราต่างเทสีผสมละลายเข้าด้วยกัน โลกของฉันและเธอก็สดใส กว้างใหญ่ขึ้นกว่าวันนั้น เมื่อสีทั้งสองผสมกัน เมื่อนั้นมันก็จะเป็นสีของเรา เราผลัดกันเดินเข้าไป สู่โลกคนละใบ สุดท้ายก็ต่างไม่รู้ ว่าโลกของใครเป็นของใคร เมื่อในวันนั้นเธอเข้ามาใกล้ๆ มาทำตัวฉันแปรเปลี่ยนเป็นสีใหม่ และเมื่อสีของเราไหลรวมกัน โลกของฉันก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทั้งใบ อะไรเป็นของเธอ ก็กลายเป็นอะไรของฉัน เมื่อเราต่างเทสีผสมละลายเข้าด้วยกัน โลกของฉันและเธอก็สดใส กว้างใหญ่ขึ้นกว่าวันนั้น เมื่อสีทั้งสองผสมกัน เมื่อนั้นมันก็จะเป็นสีของเรา โอ้ เมื่อเธอได้เข้ามา ฉันก็ได้เห็นอะไรที่มากกว่า จากนี้และเรื่อยไป จากนี้ทั้งหัวใจ ก็คงจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมใช่ไหม อะไรเป็นของเธอ ก็กลายเป็นอะไรของฉัน เมื่อเราต่างเทสี ผสมละลายเข้าด้วยกัน ก็คงจะเป็นไปตามทฤษฏีที่เขาบอกไว้ว่ามัน เมื่อสีทั้งสองผสมกันนั้น ก็คงไม่มี อะไรที่จะเป็นเหมือนเดิมได้อย่างวันนั้น เมื่อสีทั้งสองผสมกัน เมื่อนั้นมันก็จะเป็นสีของเรา *ทฤษฎีสีชมพู – แสตมป์ อภิวัช เสียงเพลงจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือยาวนานจากคนในร้าน ทิมตกอยู่ในภวังค์ตั้งแต่ได้ยินเสียงน้ำนิ่งร้องเพลง หากตาน้ำและพอส ดันทิมที่ถือดอกกุหลาบที่หยิบจากบนโต๊ะให้เดินไปหน้าเวที นักร้องของวงต้าร์เดินออกมาส่งแก้วเหล้าให้น้ำนิ่ง ‘คนที่เจอที่สนามบาส’ ทิมเห็นแล้วหยุดชะงักไป แต่ต้าร์ที่มองมาเห็นทิมพอดี ก็ออกไปรับแก้วนั้นจากเพื่อนตัวเอง แล้วบอกให้กลับไปนั่ง น้ำนิ่งจะหมุนตัวลงมา แต่ต้าร์รั้งไว้ ส่งสัญญาณให้มองไปยังคนที่กำลังเดินมา เห็นแค่นั้น น้ำนิ่งก็หน้าขึ้นสีอ่อนๆ ทิมเดินมาจนถึงหน้าเวที ส่งดอกไม้ให้น้ำนิ่ง กระซิบให้ได้ยินกัน 2 คน “ร้องเพราะนะเนี่ย ครั้งหน้าร้องให้ฟังอีกนะ” ก็หยอดไปแค่นี้แล้วก็เดินกลับไป หากนักร้องจำเป็นหน้าแดงก่ำเหมือนกับเมา พี่ส้มเดินออกมา พร้อมเหล้าในมือ 2 ขวด “โอ๊ย..น้ำนิ่งร้องดีขนาดนี้พี่ให้ 2 ขวดเลย มาร้องให้ฟังบ่อยๆนะ จะไล่ไอ้โอมมันออกละ” “อ้าว…เจ๊ อย่าทำกับน้องตัวเองแบบนี้” เสียงโวยวายดังขึ้นข้างเวที น้ำนิ่งเดินกลับมานั่งข้างฝาแฝด ส่งเหล้าในมือให้กลุ่มเพื่อนตาน้ำ เอียงหัวพิงไปที่ไหล่ ตาน้ำยกไหล่ขึ้นคล้ายแกล้ง “ร้องเพลงแค่นี้เหนื่อย อ่อนวะ” พูดแล้วก็ส่งแก้วน้ำป่าวให้ดื่ม วันสำคัญของชีวิตแบบนี้ฝาแฝดไม่กินเหล้าหรอก เพราะถือว่าเป็นวันดีของชีวิต ไม่ควรมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ที่มานะมาแค่สนุกกับเพื่อนๆ แค่นั้นละ ‘แต่วันเกิดปีนี้ น้ำนิ่งได้รู้แล้ว มากกว่าการได้ให้ ได้รับ นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนแล้ว ก็มีคนที่ตัวเองรู้สึกดีด้วยเพิ่มเข้ามา แค่นี้ก็พอแล้วที่ทำให้ตัวเองรู้สึกมีค่า เลิกกลัวว่าคนแปลกหน้าจะรังเกียจตัวเอง เพราะการได้รัก และได้รับความรักคือยารักษาที่ดี และวิเศษที่สุด’ -----------------------------------------TBC------------------------------------------ HBD ฝาแฝดครบแล้ว อบอุ่น อบอวนไปด้วยความรักจริงๆ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนเม้นท์ คนรอ คนอ่านทุกคนนะคะ ที่ลงช้า เพราะคนเขียนอยากลงตรงวันเกิดขอฝาแฝดตามที่ตั้งใจ :กอด1:
เพียวกับตาน้ำนี่จะมีดีกันไหมอ่ะ
รู้ความลับของน้ำนิ่งและ เจ๋ง ถูกไล่ออก โทษของเจ๋ง น้อยกว่าเพียวซะอีก ที่ถูกตาน้ำลงโทษมาตลอด คนที่ตามต้าร์ มาหม้อน้ำนิ่งคือโอมใช่มั้ย น้ำนิ่งอ่อยทิม หรือไม่ได้คิดอะไร ที่นิ้วน้ำนิ่งทับนิ้วทิม :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
บทที่ 16 ระยะห่าง น้ำนิ่งเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินกับทิมได้บ้างแล้ว แต่เวลาอยู่ด้วยกันมันก็เหมือนเดิม เวลาน้ำนิ่งเล่นกับกะทิ ทิมก็หลับรอตลอด เวลาผ่านไป จนล่วงเข้าเกือบ 3 เดือน พอสที่เห็นทิมมารอน้ำนิ่งตลอด ก็อดทนกับความสงสัยตัวเองไม่ไหว ไม่เห็นมันจะบอกอะไร แต่เสือกยอมให้รับกลับทุกวัน ว่าแล้วก็ล็อคคอมันมาถาม “มึง!! ชอบทิมใช่มั๊ย” น้ำนิ่งตกใจกับคำถามเพื่อน เอาแต่หันหน้าที่ขึ้นสีจนถึงหูมุดหนีเพื่อน มันก็ยังจะตามตลอดๆ ก็จะไปรู้สึกอะไรกับใครได้ยังไง เค้ากลัวคนอื่นรังเกียจ หันหน้า หันตัวหนี จนพอสถอนหายใจใส่ จับล๊อคคอจ้องหน้า “ไอ้นิ่ง มึงฟังกูนะ มึงเลิกคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น มึงไม่ได้เป็นอะไรเลย เลิกคิดถึงเรื่องนั้นซะที ถ้ามึงชอบทิม มึงก็บอกไป กูว่ากูดูออกว่าทิมก็ชอบมึง" “กูกลัวทิมรับไม่ได้วะ” “อดีต ก็คือ อดีต มึงทำปัจจุบันให้มีความสุขไม่ดีกว่าหรอ จะจมกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ แล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ทำไม คนเราไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง มึงอยู่แบบนี้มึงมีความสุขแล้วหรอ กูถามจริง” น้ำนิ่งไม่ได้ตอบอะไร หากมีอีกคนเดินมาแทรกกลางพร้อมกอดคอเขาและพอสไว้ “เป่าหูไรน้องกูว่ะพอส” พอสชะงักพลางถอยตัวเองออก จนตาน้ำงงกับอาการที่เกิดขึ้น “ก็ป่าว ไมมาได้ละมึง เห็นทุกวันส่งเพื่อนมา” “ถามแบบนี้คิดถึงกูละสิ” น้ำนิ่งขำกับคำกวนที่ฝาแฝดยั่วเพื่อน ก็รู้ ไม่ใช่ไม่รู้ พอสมันก็ชอบตาน้ำ ไอ้น้ำก็หมาหยอกไก่ ไม่รู้เมื่อไรจะกินซะที “หลงตัวเองเหี้ยๆ “ “ไปกินข้าวกันเหอะ” ปากชวน พร้อมมือจูงฝาแฝดและ เพื่อนฝาแฝดเดินไปหาเพื่อนตัวเอง ระหว่างที่เดินหาร้านข้าว ตาน้ำก็ดึงทิมให้ห่างออกมา พร้อมกับถามข่าวคราวเพื่อนและฝาแฝด ทิมก็บอกเหมือนเดิม น้ำนิ่งเล่นกับกะทิ เค้าก็นอนรอ หลับจริงบ้าง หลับตาเฉยๆ บ้าง แต่ก็รู้ว่าอีกคนมานั่งมองหน้าตลอด แต่ไอ้ประโยคหลังนี่ไม่ได้บอกหรอก บางทีก็อยากเก็บเป็นความสุขของตัวเอง ไม่หลับก็ไม่ไหว กลัวใจจะทนไม่ได้กับตาใสๆ ปากแดงๆ ที่ทำให้หน้าดูหวาน ตัวบางๆ จนเผลอจะแตะต้อง “นี่ กูจะบอกอะไรให้” ว่าแล้วตาน้ำก็กระซิบอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ทิมรู้สึกเครียด กลับมาถึงคอนโด ฝาแฝดก็เอนตัวนั่งพักกันที่โซฟา “ไม่อยากไปที่ห้องทิมแล้ว”น้ำนิ่งเอ่ยขึ้น จนตาน้ำต้องหันไปมองหน้าคนพูด “มีอะไรรึป่าว หรือว่าทิมมัน....” พูดไม่ทันจบ น้ำนิ่งก็ส่ายหน้า “เรากลัวทิมอึดอัด พอไป เราเล่นกับกะทิไม่เท่าไร ทิมก็หลับ เราเกรงใจ ไม่อยากไปกวน อีกอย่างเราก็กลัวทิม....” พูดยังไม่ทันจบก็โดนฝาแฝดคนพี่ดึงเข้ามากอด พร้อมกระซิบอะไรบางอย่างจนทำให้แปลกใจ งานขายของประจำปีของมหาลัยมีขึ้น อากาศเย็นสบาย แม้จะทำให้น่าเดิน แต่แดดก็ยังคงร้อนอยู่บ้าง แต่ละคณะมีบูธประจำของตัวเอง หากแต่นักศึกษาต้องการจะขอเพิ่มเป็นชื่อตัวเองก็ได้ คณะบริหารหมุนเวียนแต่ละสาขาให้เป็นคนจัดงาน หากเงินที่ได้จะเป็นของนักศึกษาที่จัดงานเลย ไม่ได้เข้าคณะ เพียงแต่ขอความร่วมมือให้จัดบูธเท่านั้น และครั้งนี้ เป็นของสาขาน้ำนิ่งและพอส เพื่อนๆขอให้ทั้ง 2 คนเป็นคนดำเนินงาน เพราะเนื่องจากมีธุรกิจคาเฟ่อยู่แล้ว คงไม่ยากที่จะหาของมาขาย แต่หากน้ำนิ่งให้คำตอบกับพอสไปว่า “ถ้าเอาของที่ร้านมาขาย คนจะมาซื้อที่บูธทำไมละ เพราะมันเหมือนกัน” พอสคิดจนหัวแตก ก็ไม่รู้จะทำไร แต่หากน้ำนิ่งได้คำตอบแล้ว เป็นคำตอบที่พอสไม่คิดว่ามันจะกินได้และขายได้เหมือนขนมไทยนั่นละ แต่เอาเถอะ น้ำนิ่งมันมั่นใจขนาดนี้ ก็คงไม่พลาด วันงาน พอส ต้าร์ น้ำนิ่ง และเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มติวหนังสือ ช่วยกันทำของขาย เหนื่อยแต่ก็สนุกดี ทำกันอยู่เพลินๆ สองหนุ่มวิศวะพร้อมแก๊งค์ทะโมนก็ปรากฏตัวหน้าบูธ “ขายไรกันวะ” “อ่านสิมึง ไม่ทำเหี้ยไรกันเลย จนอ่านหนังสือไม่ออกรึไง” พอสเอ่ยตอบผู้มาเยือน ‘อะโวคาโด น้ำกะทิ’ ทิมเงยหน้าอ่านป้าย พอก้มหน้าลงมาปกติก็เห็น แก้วยื่นอยู่ตรงหน้าเค้าและตาน้ำ มาพร้อมกับรอยยิ้ม “กินไงอะ” มองอะโวคาโดสดสับเป็นชิ้นๆ ราดน้ำกะทิต้มใบเตยในถ้วยก็สงสัย “ทิม…เดือนคณะอย่างมึงไม่น่าโง่นะ” พอสตอบจนน้ำนิ่งเอาศอกกระทุ้งเพื่อน ก่อนหน้าร้านจะโวยวายไปมากกว่านี้ ต้าร์คว้าโทรโข่ง ปืนขึ้นถังไปยืนตะโกน “อะโวคาโด น้ำกะทิบูธบริหารจ้า ซื้อตอนนี้ได้ถ่ายรูปฟรีกับหนุ่มฮอตของวิศวะด้วยนะ ช้าอด หมดทั้งคนทั้งของกินนะ” เท่านั้นละ คนก็วิ่งเข้ามาซื้อจนทำขายแทบไม่ทัน ตาน้ำได้แต่ชี้หน้าด่าต้าร์ แต่หากต้าร์ยังคงตะโกนต่อไปอย่างไม่สนใจ พอคนซาลง ทิมแอบมากระซิบน้ำนิ่ง “เหนื่อยยัง ไปเดินเล่นกันมั๊ย” น้ำนิ่งหันมองเพื่อน ใจอยากไปเดินดูของที่คนอื่นขายเพื่อเกิดไอเดียบ้าง พอสพยักหน้าให้ แล้วบอก “ไปเถอะมึง เหนื่อยมาทั้งวันละ” พูดแล้วก็หยิบเสื้อแขนยาวตัวบางส่งให้ น้ำนิ่งเดินออกไปกับทิม ส่วนตาน้ำยังคงช่วยโปรโมทถ่ายรูปพร้อมๆ ยืนกินขนมไปเรื่อย เหตุการณ์นั้น เพียวที่แวะมาดูน้องๆจัดงาน ก็เห็นพอดี ยืนมองไม่นานก็เดินจากไป ทิมกับน้ำนิ่งเดินไปกันเรื่อยๆ ส่วนคนที่หยุดดูนั่นนี่ ก็เห็นน้ำนิ่งซะมากกว่า อีกคนก็หยุดตาม เดินมาจนถึงบูธคณะสัตวแพทย์ ที่มีชุดของสัตว์เลี้ยงมาขาย น้ำนิ่งก็เดินเข้าไป หยิบนั่น หยิบนี่ จนเดินออกมาถึงโต๊ะจ่ายตังค์ “อ้าว....ไอ้ทิม ยังไงเนี่ย ยังไง” คนถามมองทิม สลับกะน้ำนิ่ง ไปมา จนทิมเอื้อมไปตบหัว “มองไรนัก คิดตังค์!” “580 บาท” “ไม่คิดจะลดเลย?” “เค้าซื้อ เค้ายังไม่ต่อเลย มึงจะเดือดร้อนทำไม กะเพื่อนกะฝูงอย่ามางกน่า” หันมองคนเลือกของมากองยืนยิ้ม แล้วก็ส่ายหัว “มึงนี่ นอกจากเป็นหมอหมาแล้วยังปากหมาอีกนะ เรียนสัตวแพทย์นี่มันต้องใจบุญรักสัตว์ไม่ใช่หรอว่ะ” “ใจบุญกะหมา แต่ไม่ใจบุญกะมึง หรือถ้ามึงอยากให้กูใจบุญด้วย มึงต้องเป็นหมาแน่ๆ ถึงได้เดินตามเหมือนหมากะเจ้าของแบบนี้” “อ้าว..ไอ้เหี้ยนี่วอน” หากทิมจะตบเพื่อนอีกที น้ำนิ่งก็ยกมือไปกระตุกแขนเสื้อรั้งแขนที่ยกขึ้นให้ลงมา พร้อมส่งตังค์จ่ายให้อีกคน ไป 600 บาท ได้เงินทอนมา 50 บาท ก็ต้องหันไปมองหน้าคนคิดตังค์ “เราลดให้เจ้าของหมา แต่หมาอย่างไอ้ทิม ไม่ลดให้หรอก อยู่กะมันก็ระวังมันกัดนะ เงินส่วนที่ลดให้เก็บไว้ซื้อกระดูกให้ไอ้ทิมมันแทะหน่อย ปากมันจะได้ไม่ว่าง หรือจะเอาที่บูธเลย เดี๋ยวแถมให้”น้ำนิ่งส่งยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมก้มหัวเบาๆ เป็นการขอบคุณ แล้วเดินหน้ายุ่งออกมารอทิมอยู่หน้าบูธ ทิมมองหน้าที่ขมวดคิ้วนั่น แล้วก็แอบเสียวสันหลังเบาๆ “เพื่อนมัธยมอะ” น้ำนิ่งส่ายหน้า ราวกับจะบอกว่าไม่ได้สนใจในความสัมพันธ์นั้น ทำให้ทิมต้องยกคิ้วมองกลับเป็นคำถาม “ไปกวนตีนเค้า” ได้ยินคำดุแล้วก็ขำ พร้อมกับถุงที่ถูกส่งมาให้ คิดว่าคนส่งให้ช่วยถือ จึงรับไปถือ หากน้ำนิ่งพูดต่อ “ของกะทิ” พูดแล้วก็หันตัวเดินต่อ ทิมเดินตาม จนน้ำนิ่งได้ยินคำพูดลอยมาใกล้ๆ ‘กะทิน่าอิจฉาชะมัด’ ได้ยินแบบนั้น น้ำนิ่งก็แอบยิ้ม เดินมาจนถึงบูธของศิลปกรรม ที่ทำเครื่องประดับขาย น้ำนิ่งหยุดมองของบางอย่าง พร้อมส่งมือไปหยิบ แต่ก็มีอีกมือส่งมาหยิบพร้อมๆกัน น้ำนิ่งสะดุ้งชักมือกลับ พร้อมถอยตัวออกมา หากอีกฝ่ายร้องทัก “อ้าว... น้ำนิ่ง พอสกับต้าร์ไปไหนอะ ทำไมมากับ...” คนถามมองหน้าคนที่เยื้องอยู่ด้านหลัง ทำให้ทิมคิ้วขมวดทันที ‘คนที่มากับตาร์ที่สนามบาส’ “สลับกันขายของอะ เอ่อ....นี่ทิม เรียนวิศวะ เป็นเพื่อนสนิทกับฝาแฝดเราเอง ทิม นี่โอม เป็นเพื่อนของไอ้ต้าร์ เรียนศิลปะกรรมเนี่ยละ” ได้ยินน้ำนิ่งพูดกับคนเดิมเป็นประโยคยาวๆ ทิมก็ยิ่งแปลกใจ “อ้อ...เดือนวิศวะเป็นเพื่อนตาน้ำหรอ โทษทีนะ แค่ตกใจที่เห็นน้ำนิ่งเดินกะคนอื่นนะ” ทิมไม่ตอบ หากยิ่งขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่าย ‘ทำไมถึงรู้จักน้ำนิ่งแม้กระทั่งว่าเดินกะคนแปลกหน้าวะ’ หรือคำที่ตาน้ำบอกมันจะเป็นจริง ยืนคิดอะไรๆ คิ้วก็ยิ่งขมวด เพราะคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหน้า ดูคุยกันสนิทเหลือเกิน จนเสียงในบูธเอ่ยทักขึ้น “คุณโอมจะยืนจีบคุณน้ำนิ่งอีกนานมั๊ยครับ บังหน้าบูธ ไอ้เหี้ย!” เสียงนี้ทำให้ทิมหน้านิ่งขึ้นทันที หากแต่น้ำนิ่งหันไปตอบ “โทษที งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะ” “อ้าว เมื่อกี้เห็นจะดูข้อมือ” คนที่ยืนคุยกับน้ำนิ่งทักขึ้น แต่น้ำนิ่งส่ายหน้าตอบ “ซื้อไป ก็ต้องใส่ๆถอดๆ เดี๋ยวทำขนม ทำกาแฟ ล้างมือ ไม่ถอดก็กลัวมันเน่า” “งั้นไว้หาอย่างอื่นมาให้ละกันนะ” น้ำนิ่งไม่ได้ตอบอะไร หากเพียงมือ ส่งบ๊ายบายให้แค่นั้น หันกลับมาทิมก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว เดินจนเค้าเดินตามไม่ทัน ไม่รู้จะเรียกยังๆ เพราะไม่รู้อีกคนนึงโกรธอะไร ได้แต่ยกมือไปจับเสื้อช๊อป ทิมจึงหยุดหันกลับมามองหน้า พลางถอดหายใจ ยืนเงียบกันอยู่นาน เห็นแบบนั้นน้ำนิ่งก็รู้ว่าท่าจะไม่ดีเลยเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้น “คุยกันหน่อยได้มั๊ย” เห็นอีกคนเสตามองไปที่อื่นสักพัก ก็หันกลับมามองหน้า พร้อมพยักหน้า แขนที่จับแขนเสื้อช๊อปนั้นก็เหมือนจะใช้แรงมากขึ้น เพราะอีกฝ่ายเดินนำลิ่วๆ แทบจะลากกลับไปที่รถของตัวเอง นั่งประจำที่ก็ออกรถอย่างเร็ว รถสปอร์ตมันเร็วและแรง น้ำนิ่งก็รู้ แต่มันจำเป็นต้องตอนนี้มั๊ย นั่งไปก็เหลือบตามองคนขับ ที่ยังคงหน้านิ่งเป็นระยะๆ คนที่หน้านิ่งก็ยังคงจ้องมองไปที่ถนน แต่ที่น้ำนิ่งไม่รู้คือ เมื่อตัวเองหันหน้ามองกระจกอีกด้าน คนขับรถกำลังอมยิ้มอยู่ ต่อด้านล่าง
ต่อกันตรงนี้ ไม่นานก็ถึงคอนโด ทิมเปิดประตูเข้าไป เอาถุงของกะทิวางกองไว้ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ น้ำนิ่งมองตาม แล้วก็ถอนหายใจ พุ่งตัวไปหากะทิที่ส่งเสียงร้อง แง๊วๆ ลูบหัวลูบตัว อย่างกับจะบอกกะทิให้ช่วยง้อ เพราะไม่รู้เจ้าของโกรธอะไร นั่งรออยู่นานเจ้าของห้องก็ไม่ออกมาสักที ตัดสินใจอุ้มกะทิลุกขึ้น จะไปเคาะประตู กำลังจะยกมือ ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ใบหน้าที่เปียกหน้าของทิมหันมองน้ำนิ่งเพียงครู่แล้วก็เดินเลี่ยงเข้าห้องนอน น้ำนิ่งใจเสีย หันมองคนที่เดินหนีไป ชั่งใจว่าจะเดินตามเข้าไปดีมั๊ย อีกคนก็ยืนเงียบอยู่อย่างนั้น ก็เลยเดินตาม เพราะคิดว่าถ้าไม่ตามก็คงไม่ได้คุย เดินเข้าไปยืนจ้องหน้า ทิมก็ยกมือมาคว้ากะทิจับโยนไปนอกห้อง พร้อมปิดประตู “ทิมโกรธเราหรอ?” ทิมส่ายหน้า “’งั้นงอนอะไร?” เห็นอีกคนส่ายหน้าอีกครั้ง น้ำนิ่งเริ่มใจเสีย ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน แล้วทำไมอยู่ๆไม่คุยด้วย “แล้วทิมเป็นอะไร ทำไมอยู่ๆ ถึงเดินหนี” ตาของอีกฝ่ายที่มองพื้นอยู่ ตวัดขึ้นมามองกลับ น้ำนิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าเสีย ทิมเห็นคนหน้าเสีย แล้วก็คิดว่าได้เวลาที่จะต้องตอบ ระยะห่างที่มีมันคงมากเกินไปแล้ว “ไม่รู้เหมือนกัน เราก็บอกไม่ถูก” “ไม่ถูกยังไง ก็บอกมาแบบนั้นละ” ได้ยินแบบนั้น ทิมก็คิดถึงคำพูดที่เพื่อนตัวเองกระซิบ ‘ช้าเดี๋ยวหมาคาบไปแดกนะเว้ย’คงได้เวลาที่ต้องคุยกันจริงจัง “เราแค่รู้สึกไม่ดีที่เห็นน้ำนิ่งคุยกับคนอื่น ยิ้มให้คนอื่น เล่นกับคนอื่น มันดูเยอะกว่าที่ทำกับเรา เราก็เลยคิดว่าเราทำให้น้ำนิ่งรู้สึกไม่ดีเวลาที่อยู่ด้วยกันรึป่าว” ทิมหยุดถอนหายใจ แล้วพูดต่อ “จริงๆทิมก็รู้ว่าทิมไม่มีสิทธิที่จะคิดอะไรแบบนั้น มันคือตัวน้ำนิ่งไง จะคุยกับใคร ยิ้มกับใคร เล่นกับใคร มันก็เป็นสิ่งที่น้ำนิ่งเลือกทำ ทิมก็แค่หงุดหงิดตัวเอง โมโหตัวเองที่เป็นแบบคนที่น้ำนิ่งทำแบบนั้นด้วยไม่ได้ มันก็แค่เห็นแล้วทำตัวไม่ถูก” น้ำนิ่งได้ยินแบบนั้น ก็คิดถึงสิ่งที่ฝาแฝดตัวเองกระซิบ ’ทิมไม่ได้รังเกียจนิ่งนะ แต่ทิมมันกลัวนิ่งรังเกียจมันต่างหาก’ ตัวสั่นเทา เริ่มมีน้ำตาคลอที่เบ้าตา แล้วก็ทรุดลงนั่งยกมือกอดเข่าฟุบหน้าลงไป ทิมเห็นแบบนั้น ก็นั่งลงขัดสมาธิตรงหน้า น้ำนิ่งเงยหน้า น้ำตายังไม่ไหล “กับโอมมันเป็นเพื่อนของไอ้ต้าร์ รู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่ง เจอกันก็ทักกันปกติ แต่เราไม่ได้คิดอะไรกับมันนอกจากมันเป็นเพื่อนของเพื่อน แค่นั้น” ทิมฟังแล้วก็ถอดหายใจ วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องมั๊ยละเนี่ย “ไม่รู้ดิ ทิมไม่ชอบให้น้ำนิ่งทำแบบนั้นกับใคร มันเหมือนแค่ทิมอยากได้แบบนั้นแค่คนเดียว อยากพิเศษ แต่ทิมก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ก็นั่นละมันก็เลยหงุดหงิดตัวเองที่เป็นแบบนี้” เห็นทิมยกมือขึ้นจะสัมผัสหน้าของตัวเองแล้วก็ชะงักมือจะวางลง ตัวเองเลยยกมือไปคว้าไว้ให้มือนั้นมาแนบที่หน้า “เราไม่ได้รังเกียจทิมนะ เรากลัวทิมรังเกียจเรามากกว่า เราก็เลยทำตัวไม่ถูก” ได้ยินแล้วก็ยิ้ม แต่รีบยิ้มแล้วก็ต้องรีบหยุด กลัวน้ำนิ่งจับได้ว่าแกล้งโกรธ “เราไม่เคยรังเกียจน้ำนิ่งเลย ไม่เคยคิดแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ เรารู้แค่ว่าตอนนี้เราอยู่กับน้ำนิ่งแบบนี้เรามีความสุข แต่ที่เราเป็นมันก็คงเหมือนหวงละมั้ง ชอบอะไรก็อยากเก็บไว้คนเดียว ไม่อยากให้คนอื่นเห็น ไม่อยากให้ใครมอง ไม่อยากให้ใครสัมผัส” น้ำนิ่งได้ยินก็ตาโต ตกใจ “ท…ทิม พ..พูดว่าอะไรนะ” แอบขำกับอาการของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องกลั้นไว้ น้ำนิ่งนี่น่ารักกว่าที่คิดไว้เยอะเลยจริงๆ “เราบอกว่า เราชอบน้ำนิ่งนะ ทิมชอบน้ำนิ่ง” บอกไปมือตัวเองก็ยังโดนอีกคนจับข้างไว้ที่หน้า คนโดนจับหน้าส่ายหัวไปมาๆๆ ก็เลยต้องแกล้งทำหน้าเสีย “น้ำนิ่งไม่ชอบเราหรอ” ได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า ส่ายหัวอีกครั้ง ทิมเห็นแบบนั้นก็ต้องแกล้งทำหน้าเสียใส่ “เราแค่ไม่คิดว่าทิมจะชอบเรา” “ทำไมละ ที่ไปรอรับกลับบ้านนี่ยังไม่รู้อีกหรอว่าจีบ” น้ำนิ่งส่ายหัวอีกครั้ง “ก็แค่คิดว่า พามาให้ช่วยเลี้ยงกะทิ” เสียงบ่นอุ๊บอิบใส่ “ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ” “ก็มาทีไร ก็เห็นทิมหลับทุกทีนี่หน่า ขำอะไรเล่า” หากคนโดนบ่นขำ “ที่ทำแบบนั้น เพราะมีเหตุผลหรอกน่า” น้ำนิ่งตกใจอีกครั้ง “เหตุผลอะไรอะ” เหลือบตามองหน้าอีกฝ่ายก็เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ “ไม่บอก เพราะน้ำนิ่งยังไม่บอกเลยว่าคิดยังไงกับเรา” “ก็บอกแล้วว่าไม่ได้รังเกียจ” “แปลว่า…..” ถามกลับไปแบบนี้ พร้อมขยับหน้าเข้าไปใกล้ ก็เห็นคนหน้าขึ้นสี “ก็…..ก็…..” “ก็อะไร หืม?” “ก็ชอบ” “ยังไงนะ” เห็นอีกคนเขิน เค้าก็ยิ่งอยากแกล้ง “ก็เราก็ชอบทิม แต่ที่ไม่กล้าบอก เพราะเรากลัวทิมรับไม่ได้และก็รังเกียจ” รอยยิ้มหวานส่งหลับมาหากครั้งนี้กว้างกว่าทุกที “ขอบคุณนะ” “ขอบคุณเหมือนกันนะ” เงียบกันอยู่นานจนได้ยินเสียงเจ้ากะทิ ร้องแง๊วๆ โวยวายอยู่นอก ทิมขยับตัวจะลุก แต่น้ำนิ่งยังไม่ปล่อยมือตัวเองที่จับแนบกับหน้าไว้ “แล้วเหตุผลที่หลับทุกครั้งที่เรามาละ” คนได้ยินคำถาม ก็ส่งยิ้มกลับ หากรอยยิ้มนั้นน้ำนิ่งคิดว่ามันดูเจ้าเล่ห์มากนัก “ไว้ถึงเวลาจะบอก ไปเถอะ กะทิงอแงใหญ่แล้ว อีกห้องของคอนโดอีกที่ พอสยืนกอดอกมองคนที่นั่งกินขนม ดูทีวี อยู่บนโซฟาห้องตัวเอง ‘มันจะตามมาทำไมวะ’ ตาน้ำหันไปเห็นใบหน้ายุ่งนั้น ก็เอามือตบโซฟาที่ว่างราวกับบอกว่าให้มานั่งด้วยกัน แต่หากพอสเดินหนีไปทีระเบียง เผลอแป๊ปเดียว แขกผู้มาเยือนก็มาวางมือท้าวที่ระเบียงราวกับจะล็อคตัวเจ้าของห้องไว้ “เหี้ยไรมึง ปล่อยกู อยากมาก็ให้มาแล้วไง ไปนั่งดีๆสิ” ไม่มีคำตอบ แต่มือที่ล็อดคตัวพอสอยู่นั้น ก็เลื่อนขยับมากอดที่เอว “น้ำ” ไม่ได้ยินคำตอบ ก็ต้องเรียกอีกครั้ง “มึงเป็นอะไรพอส บอกกูหน่อย มึงแปลกๆนะ ” ถามจบก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของคนที่กอดอยู่ “ไม่รู้ว่ะ กูก็บอกไม่ถูก พอเห็นมึงมาอยู่ในห้องแบบนี้ อะไรๆ รอบตัวกูก็เปลี่ยนไป” “แล้ว?” “กูก็รู้นะเว้ยน้ำ ว่าไอ้ที่เป็นอยู่นะมันไม่ดี กูแค่ไม่อยากให้มันมากไปกว่านี้ กูกลัวใจตัวเองด้วยละมั้ง เพราะรู้อยู่แล้วว่ากูไม่ใช่คนที่มึงเลือก แต่กูก็ไม่อยากจะเป็นแค่คนที่เจอกันแล้วก็มีอะไรกัน นี่กูกำลังเรียกร้องรึป่าว มึงจะว่ากูก็ได้นะ” ได้ยินคำตอบ ก็ต้องร้องอ๋อในใจ ‘นี่สินะ ระยะห่างที่พอสพยายามเว้นไว้’ “พอส อยู่กับกูแบบนี้ มึงยังมีความสุขอยู่รึป่าว” หากคำถามนั้น ทำให้พอสหันตัวกลับมามอง “ทำไมมึงถึงถามแบบนี้” “กูรู้… ว่าเวลาที่อยู่ด้วยกัน มึงมีความสุข สีหน้า แววตามึงแสดงออก” หยุดพูดราวกับคำที่พูดต่อนั้น ต้องทำใจให้พูดออกมา ตาน้ำยกมือลูบ ที่แก้มของพอส ขยับตัวสวมกอด แล้วพูดต่อ “แต่กูขอมึงอย่างนึงได้มั๊ย ถ้าเมื่อไรที่มึงอยู่กับกูแล้ว มึงไม่มีความสุข มึงอยากจะไปจากกู ขอให้มึงบอกกู กูจะไม่รั้งมึงไว้ เพราะกูเองก็อยากที่จะเห็นมึงมีความสุข” ---------------------------TBC--------------------------------- เหนื่อยมากคะตอนที่อัพ เม้าท์คนเขียนเกเร ก๊อปจากไฟล์มาวางไม่ได้จนปวดแขน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ก๊อปซ้ำ ก๊อปตก ถ้ามันรวนๆก็แจ้งได้นะคะ ตกลงว่าทิมกับน้ำนิ่งคุยกันรู้เรื่องมั๊ยนั่น ส่วนตาน้ำมันกลัวพอสไม่รักเลยต้องอ้อนไว้ก่อน โอมออกตัวเป็นแรงกระตุ้นทิมเบาๆเนอะ ปล.เรื่องที่พี่เพียวได้รับโทษนั้น เพราะตาน้ำรักมาก รักเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ เลยทำให้แค้นมาก น้ำนิ่งเริ่มเปิดใจให้ทิม ก็เริ่มทำตามความเคยชินถึงเนื้อถึงตัวที่มีกับตาน้ำคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนเม้นท์ คนรอ คนอ่านทุกๆคนนะคะ
คิดว่าน้ำคู่เพียวซะอีก
คิิดว่่าแฝดนัั่่น จะรัักกัันสะอีีก
ทิม น้ำนิ่ง เข้าใจกันละ บอกชอบกันแล้ว :mew1: :mew1: :mew1: ตาน้ำ พอส ก็ปรับตัวเข้าหากัน แต่เพียว ล่ะ :katai1: :katai1: :katai1: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
บทที่ 17 “แต่กูขอมึงอย่างนึงได้มั๊ย ถ้าเมื่อไรที่มึงอยู่กับกูแล้ว มึงไม่มีความสุข มึงอยากจะไปจากกู ขอให้มึงบอกกู กูจะไม่รั้งมึงไว้ เพราะกูเองก็อยากที่จะเห็นมึงมีความสุข” ไม่ทันที่พอสจะได้ตอบอะไรกลับไป โทรศัพท์ของตาน้ำที่วางอยู่ในห้อง ก็ดังขึ้น เพราะเสียงที่ตั้งไว้เฉพาะจึงรู้ว่าเป็นของใครเลยต้องปล่อยคนในอ้อมกอดออก “ทิมโทรมา เดี๋ยวไปรับก่อน” ทิมที่ลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องนอนให้กะทิเข้ามา หันกลับมาอีกทีเห็นคนที่นั่งคุยกันอยู่เมื่อกี้ล้มตัวลงไปนอนกับพื้น ตกใจจนรีบขึ้นไปพยุงไว้บนเตียง แตะเข้าที่หน้าผากก็รู้สึกร้อนขึ้นกว่าเมื่อกี้ที่ได้สัมผัสหน้า รีบหาปรอทวัดไข้มาเสียบไว้ที่ใต้แขนน้ำนิ่ง “มึง น้ำนิ่งตัวร้อนว่ะ คุยกันอยู่ดีๆ หันมาอีกทีลงไปนอนกองแล้ว กูวัดไข้ไปแล้ว แล้วกูเช็ดตัวได้รึป่าววะ” โทรหาเพื่อนตัวเองแบบกล้าๆกลัวๆ “ไข้สูงมั๊ย” “38 นิดๆ มึง กูต้องทำไง” “ไอ้ห่าทิม มึงถามจริงจังใช่มั๊ย ถ้ามึงจริงจัง ก็เช็ดแบบไม่ต้องถอดเสื้อออก แป๊ปเดียว เดี๋ยวก็ดีขึ้น วันนี้มันคงตากแดดนานไปหน่อยอ่ะ กูฝากมันไว้ก่อน จนกว่ามันจะดีขึ้น ถ้าเอากลับมาอยู่ด้วยกันเดี๋ยวกูก็ติดมันอีก โอเคนะ ยังไงเดี๋ยวโทรหาเป็นระยะๆ อย่าหลอกแต๊ะอั๋งน้องกูละ แค่นี้” แม้ทิมจะสงสัย ก็คอนโดฝาแฝดมี 2 ห้องนอนไม่ใช่หรอ แต่ก็คิดว่าหากตาน้ำต้องมานั่งดูแลก็อาจจะติดกันไปด้วย เคยได้ยินมาว่าคู่นี้ถ้าใครป่วย อีกคนก็จะป่วยตามตลอด ว่าแล้วก็เตรียมเช็ดตัวให้อีกคน ไม่ถอดเสื้อเช็ดให้ ต้องเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ ไอ้น้ำมึงน่าจะรู้น่ะว่ากูแม่งโคตรทรมาน “ไอ้นิ่งเป็นไร” พอสที่ได้ยินการสนทนาเมื่อสักครู่ก็ถามขึ้น “ทิมบอกตัวร้อน แต่ยังไม่ได้มีอาการอะไรมาก” พูดจบ ตาน้ำก็ล้มฟุบลงที่โซฟาทันที “อ้าว เห้ย มึง!!!” พอสพาตาน้ำไปที่เตียง ขยับให้นอน แม้ใจจริงจะแทบไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายที่ห้องเลยก็ตาย ลองวัดไข้ก็ไม่สูงมาก ก็เลยปล่อยให้นอนไปก่อน ตัวเองนั่งลงที่เตียงอีกด้าน แล้วก็เผลอหลับไป น้ำนิ่งรู้สึกตัวอีกที ลืมตามองห้องที่ไม่คุ้นเคย หากแต่เสียงแมวร้องทำให้จำได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ก็สะดุ้งลุกขึ้นมานั่ง ทิมได้ยินเสียงกะทิร้องเรียก ก็รู้ได้ว่าคนในห้องรู้สึกตัวแล้ว ก็เดินเข้ามาดู “ไง รู้สึกดีขึ้นบ้างยัง” น้ำนิ่งกวาดตามองรอบตัว ก็เห็นอุปกรณ์เช็ดตัวอยู่ข้างเตียง ก็ทำให้ตัวเองหน้าขึ้นสี รีบสำรวจความเรียบร้อยของร่างกาย “อืม ก็ดีขึ้น” ทิมเห็นคนสำรวจตัวเองก็ต้องรีบบอก “เราไม่ได้ปลดเสื้อออก ไม่ต้องกังวลนะ น้ำบอกให้อยู่ที่นี่ก่อน เห็นบอกว่ากลับไปก็กลัวติดกัน อยู่ได้รึป่าว” ทิมเห็นคนหน้าเสีย ก็ต้องรีบหาโทรศัพท์มาให้คนที่นั่งเอนอยู่บนเตียง “ลองโทรหาน้ำก่อนละกัน ยังไงก็บอกเรานะ” น้ำนิ่งรับโทรศัพท์ของตัวเองแล้วก็กดโทรหาฝาแฝด ตาน้ำหลับไปนานเท่าไหรไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเองที่ตั้งไว้เฉพาะฝาแฝดดังก็ขยับตัวไปคว้ามารับ “น้ำ ไม่สบายหรอ เป็นไรรึป่าว” ได้ยินเสียงน้ำนิ่งกรอกมาตามสาย “อืม มึนๆอะ สงสัยตากแดดนานเหมือนกันมั้ง นิ่งเป็นไงบ้าง” “ดีขึ้นหน่อย แต่ก็รู้สึกว่ายังตัวร้อนๆอยู่อะ” “งั้นอยู่ที่นั่นกับทิมก่อนได้มั๊ย พรุ่งนี้ไม่ดีขึ้นค่อยไปหาหมอ” “จะดีหรอ แล้วน้ำอยู่ยังไงอะ อยู่คนเดียวได้หรอ เดี๋ยวเรากลับไปหามั๊ย” “อยู่ได้ นอนพักเดี๋ยวก็หาย มาอยู่ด้วยกันจะเป็นหนักทั้งคู่นะสิ จะสอบแล้วนะ” “อืมๆ ก็ได้ มีไรโทรมาหานะ” “อืม เดี๋ยวเราโทรหาเรื่อยๆ มีไรก็โทรมานะ” ตาน้ำกดวางสายโทรศัพท์ พร้อมกับเสียงประตู ของห้องพอสที่เปิดออก พอสเองที่หลับอยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงประตูเปิดก็ลุกขึ้นมาดู เพราะไม่ได้ปิดประตูห้องนอน จึงทำให้เห็นคนมาใหม่ชัดเจน 3 ชีวิตได้แต่ยืนอึ้ง ตะลึงงัน ที่เจอหน้ากัน “พ….พี่เพียว” พอสร้องทักขึ้น เรียกสติทัก 3 คนในห้องกลับมา “เอ่อ… โทษที พอดีพี่จะมาเอาสูทที่ติดมาวันก่อน โทรมาไม่รับ แล้วก็เห็นว่าไม่ตอบข้อความก็เลยคิดว่าไม่อยู่” พอสรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าซีด ตาน้ำมองหน้า เพียวและพอส สลับกันไปมา และก็เอ่ยขึ้นขัดความเงียบที่มี “เดี๋ยวกูไปก่อนละกันพอส ขอบใจมากที่ให้มาอยู่รอน้ำนิ่ง” พูดจบก็เดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองแล้วเดินออกไป เพียวกวาดสายตาสำรวจร่างกายของทั้งคู่พร้อมๆกับสภาพห้อง เสียงพอสก็ดังมาพูดคุย “พี่ พี่เพียวเอาสูทตัวไหนนะ เดี๋ยวเอาให้” “ อืม พี่รอด้านนอกนะ” ได้ของจากห้องน้องตัวเองแล้ว เพียวกลับลงมาด้านล่าง หากแต่ไม่ทันที่จะเดินถึงรถ ข้อมือก็ถูกคว้าไว้ก่อน “น้ำ!” “ไปส่งหน่อยดิ เมื่อเช้าพอสมันไปรับน้ำนิ่งอะ เลยมากับมันด้วย” ได้ยินแล้วก็ต้องถอนหายใจ “อืม ปล่อย เดี๋ยวมีคนมาเห็น” พูดแล้วก็พยายามแกะข้อมือตัวเองออกจากกับจับกุม “ใครเห็นแล้วจะกลัวอะไร หืม” “เดี๋ยวพอสลงมาเห็น” ก่อนจะปล่อยมือ ก็แบมือส่งไปข้างหน้าคนที่ยืนอยู่ด้วย “กุญแจมา เดี๋ยวขับเอง” เพียวส่งกุญแจรถให้ แต่ตัวเองก็ยังโดนมือของอีกฝ่ายจับกุมอยู่ แล้วจูงไปที่รถ เคยฟังกันที่ไหน บอกว่ากลัวพอสเห็น มันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ แต่ไม่ทันแล้ว พอสตามลงมาด้านล่างก็เห็นหตุการณ์ที่เพียวโดนจูงไปที่รถ โดนมีตาน้ำเปิดประตูด้านข้างคนขับให้นั่งแล้วตัวเองขึ้นไปนั่งที่คนขับเอง เหมือนใจหาย ความรู้สึกวูบวาบราวกับใจหายเกิดขึ้น นี่สินะ ที่น้ำเคยบอกไว้ หากวันใดที่อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข ก็ขอให้บอก “น้ำ จะไปไหนเนี่ย” เจ้าของรถเอ่ยทักเมื่อเห็นคนขับรถมุ่งหน้าไปทางที่ไม่ใช่คอนโดที่บอกให้ไปส่ง “ห้องมึงไง” ได้ยินก็ต้องเงียบลง จะให้แย้งอะไรได้ ก็ไม่ใช่คนขับรถนี่หนา ทิมเห็นคนที่นั่งอยู่บนเตียง วางโทรศัพท์ลง แล้วก็หันหน้ามาพูดด้วย “น้ำบอกให้เราอยู่กะทิมก่อน ให้เราอยู่ด้วยได้ไหม ทิมอึดอัดรึป่าว” ได้ยินคำถามก็ต้องหันไปส่งยิ้มให้คนถาม พร้อมกับส่ายหน้า “ไม่เลย ว่าแต่น้ำนิ่งอยู่ได้ใช่ไหม” “ได้สิ” “งั้นไปกินข้าวกันเถอะ ทิมทำไว้แล้วตอนน้ำนิ่งหลับ” พูดแล้วก็อุ้มกะทิลุกขึ้นยืน เดินนำออกไป น้ำนิ่งที่เดินตามออกไป ก็เอ่ยถามขึ้น “ให้เราช่วยอะไรไหม” “เสร็จแล้วละ นั่งรอที่โต๊ะได้เลย” น้ำนิ่งขยับตัวไปที่ตู้เย็น หยิบน้ำออกมาเท 2 แก้ว ก็จะนั่งรอเจ้าของห้อง ทิมที่เตรียมอาหารเสร็จแล้วก็เอามาวางให้ “ซุปมักกะโรนีหรอ ไม่ได้กินนานมากแล้วนะเนี่ย” “เห็นไม่ค่อยสบายอะ เลยทำอาหารอ่อนๆให้ ร่างกายจะได้อุ่นขึ้น” เสียงคนคุยกันจนแมวร้องประท้วง ทำให้ทิมอุ้มขึ้นมาบนตัก มือคนซุปขึ้นมาเป่าให้เย็น แล้วตักส่วนเนื้อทูน่าขึ้นมาเป่า “กินได้นิดเดียวนะกะทิ อันนี้ของทิมนะ” น้ำนิ่งมองภาพเจ้าของห้องที่ป้อนข้าวแมวอย่างเอ็นดู เจ้าแมวได้กินช้าก็ไม่พอใจ ส่งมือไปตะปบมือเจ้าของให้ส่งเข้าปากตัวเองเร็วขึ้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็เพิ่งเคยเห็นทิมเล่นกับกะทิแบบนี้ เพราะมาทีไรทิมก็ปล่อยให้น้ำนิ่งเล่นกับกะทิซะส่วนใหญ่ แถมน้ำนิ่งเองก็ไม่ค่อยกล้าจะให้อะไรแปลกๆกินด้วยนะสิ “ให้กินได้หรอ ของคนอ่ะ” “ได้สิ แต่ไม่อยากให้เยอะ มีผลต่อสุขภาพนะ แล้วก็เคยตัวด้วย จะไม่กินของตัวเองเอานะ” น้ำนิ่งมองคนและแมวตรงหน้า มองไปก็ยิ้มไป “อะ พอแล้ว ไปกินของตัวเองนู้น” ทิมปล่อยกะทิลงจากตัก แล้วตัวเองก็กินข้าวต่อ กินเสร็จ น้ำนิ่งก็ลุกขึ้นเก็บจาน “เฮ้ย! ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราล้างเอง ของห้องเรา” “ ไม่เป็นไร ทิมทำให้กินแล้ว เราอยากช่วยบ้าง” ล้างจาน เก็บโต๊ะเสร็จ ก็นั่งเล่นกับกะทิ เจ้าของห้องอาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาหา “น้ำนิ่ง ทิมเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ในห้องน้ำนะ ของใหม่หมดยังไม่ได้ใส่ อุปกรณ์อย่างอื่นอยู่ในตู้ด้านในนะ หยิบใช้ได้เลย” “ขอบคุณนะ” พูดจบ ก็พาตัวเองไปอาบน้ำ น้ำนิ่งพาตัวเองมาอยู่ในห้องน้ำแล้ว ก็รู้สึกแปลกไปกับตัวเอง มองไปรอบๆตัว ที่นี่ไม่มีบรรยากาศของฝาแฝด หากแต่มีบรรยากาศของตัวเองและทิมอยู่ ความรู้สึกใหม่นี้ไม่ได้ทำให้ตัวเองอึดอัดแต่อย่างใด เพียงแต่ทำให้ตัวเองรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น จนน่าแปลกใจ อาบน้ำเสร็จก็ออกไปนั่งเล่นด้านนอก เจ้าของห้องยังคงกวนเจ้าแมวให้ไล่จับริบบิ้นที่ส่ายไปส่ายมา เห็นน้ำนิ่งออกมาจากห้องน้ำก็เลยถามขึ้น “นอนเลยมั๊ย น้ำนิ่งนอนข้างในกับกะทิก็ได้นะ เดี๋ยวทิมนอนข้างนอก” “บ้าน่า ทิมจะนอนข้างนอกได้ไง เราเป็นแขกนะ” “แล้วใครให้แขกนอนโซฟาละ” ฟังแล้วก็คิดตาม คิ้วยิ่งขมวดยุ่ง “’งั้นนอนด้วยกันข้างในเลย ถ้าทิมนอนข้างนอก เราก็จะนอนข้างนอกด้วย”ทิมมองแมวตัวโต ที่ขู่ฟ่ออยู่อย่างน่าเอ็นดู “ โอเค โอเค ยอมแล้ว ไม่ต้องขู่ก็กลัวแล้วคร๊าบ ไปๆ นอนกัน” --------------------------TBC------------------------------------ มาสั้นๆ แป๊ปนึง คู่น้ำนิ่งกับทิม จะฟรุ้งฟริ้งๆ นะคะ ส่วนคู่ตาน้ำ และ 2 พ.พาน จะมีความหน่วงนิดนึง แฝดพี่นี่เปิดทางให้เพื่อนลุยเต็มที่ไปละ ห่วงน้องบ้างสิย่ะ ตาน้ำคู่ใคร เราจะไม่สปอย์นะคะ อิอิ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ทุกคนคะ
บทที่ 18 ความคุ้นเคย เหตุการณ์ทั้ง 3 ห้องเกิดขึ้นในคืนเดียวกันนะคะ ตาน้ำขับรถของเพียวจนมาถึงคอนโดที่คุ้นเคย แล้วก็เดินตามเจ้าของห้องเข้ามาด้านใน กวาดตารอบห้องเพราะหลังๆที่ไปช่วยน้ำนิ่งที่ร้านเค้าก็ไม่ค่อยมา สภาพห้องไม่เปลี่ยนไป ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ก็เดินไปนั่งที่ประจำตัวเองอย่างคุ้นเคย เพียวมองแขกประจำห้องแล้วแล้วก็ถอนหายใจ ก็ตัวเองอยู่ในช่วงตัดใจจนทำใจได้อยู่แล้ว ยังต้องมาเจอ แถมกลับมาอยู่ในบรรยากาศเดิมๆอีก กลัวตัวเองจะใจอ่อนนะสิ เดินเข้าครัว หาของสดขึ้นมาทำอาหารอย่างเคยชิน ทำเสร็จก็เรียกอีกคนมากิน “น้ำกินข้าว” ตาน้ำที่ยังเพลียกับอาการไข้ขึ้นเผลอหลับไประหว่างนั่งรอ ก็สลึมสลือ จนเพียวเดินเข้ามาเรียกถึงตัว “น้ำ! ไปกินข้าว อ้าว…ตัวร้อนนี่ แล้วเมื่อกี้ยังฝืนขับรถ” เพียวที่ส่งมือตัวเองไปจับตัวปลุกก็รู้ไว้ว่าอีกคนตัวร้อน ไม่สบาย ตาน้ำเดินตามไปยังโต๊ะกินข้าว มองจานข้าวที่วางอยู่หน้าตัวเองแล้วก็เงยหน้ามองเจ้าของห้อง ‘ไข่เจียวกุ้งสับใส่หอมแดง ของโปรดอีกอย่างของตัวเอง’ “กินไข่เจียวไปก่อนละกัน มีไข้ไม่อยากให้กินข้าวผัดต้มยำ รีบกินจะได้กินยา” ความรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ อะไรกันกับความรู้สึกนี้ คนตรงหน้าที่ตัวเองเคยโกรธ แค้น มากมาย ยามที่เกิดเรื่องกับฝาแฝด หากแต่ทุกครั้ง เพียวยังคงดีกับเขาเหมือนกับว่าเขาไม่เคยทำสิ่งไม่ดีด้วย ก็เพราะอีกคนไปๆมาๆ อยู่นานหลายปี ทำให้เพียวรู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทุกอย่างจึงทำออกมาด้วยความเคยชิน “วันนี้นอนนี่ได้มั๊ย” เสียงพูดอ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ หากแต่เจ้าของห้องได้ยินชัดเจน “แล้วน้ำนิ่งละ อยู่กับทิม?” “อืม ไม่สบาย ไข้ขึ้นเหมือนกันตอนไปห้องทิม เลยให้อยู่นู้นก่อน ถ้าอยู่ด้วยกันก็กลัวติดแล้วจะเป็นหนัก แต่ถ้าไม่สบายใจเดี๋ยวกลับก็ได้” เพียวถอนหายใจอีกครั้ง ไม่รู้ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ตั้งแต่ตาน้ำเดินกลับมาที่ห้องเขา “ก็รีบกินข้าว จะได้กินยา แล้วนอน” ได้ยินคำตอบก็เหลือบตามองคนพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ กินเข้าวเสร็จตาน้ำก็ลุกจะเก็บจาน เหมือนทุกที หากแต่เพียวรั้งไว้ “ไม่ต้องหรอก ไม่สบายไม่ใช่หรอ เดี๋ยวทำเอง” พูดไปใช่อีกคนจะฟัง มันก็ยังเก็บจานเดินไปล้างอยู่ดี เพียวจึงพาตัวเองไปอาบน้ำ อาบเสร็จออกมาก็เห็นคนนอนกองอยู่ที่โซฟา “น้ำ น้ำ” ขยับมือตัวเองไปตบที่หน้าเบาๆ จนคนโดนปลุกรู้สึกตัว “กินยารึยัง อาบน้ำไหวมั๊ย” “หายาไม่เจอ เปลี่ยนที่เก็บหรอ หนาวว่ะ ไม่อยากอาบน้ำเลย” ลืมตาขึ้นมาพูดก็เห็นหลังเจ้าของห้องเดินไหวๆ ไปที่ตู้ตรงครัว “อืม…วันก่อน ปัดตก ก็เลยเอาไปใส่ตู้” หยิบยาพร้อมน้ำมาส่งให้คนป่วย แต่คนป่วยนั้นไม่ได้ใช้มือตัวเองหยิบขึ้นมากิน แต่ก้มหน้าตัวเองลงไปหาฝ่ามือที่มียาอยู่ แล้วก็ขยับปากเอายาเข้าไป “กินดีๆ เดี๋ยวก็สำลัก” กินยาเสร็จก็เดินตามเจ้าของห้องเข้ามาในห้องนอน แล้วก็ปีนขึ้นเตียง “ไปเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อ” “ไม่เอา หนาว” “น้ำ อย่าดื้อ นอนแบบนี้มีแต่เชื้อโรค แล้วจะหายได้ไง” ตาน้ำรู้สึกได้ว่าตาตัวเองหนักมาก มกจนไม่สามารถลืมตาต่อได้ หากแต่ร่างกายของตัวเองยังไม่ได้จมไปกับความหลับ รู้สึกตัวว่ากำลังโดนปลดเสื้อผ้าออก แล้วถูกเช็ดตัว “เพียว กูหนาว” “รู้แล้ว ก็ไวๆสิเนี่ย ขยับตัวดีๆ จะได้นอน” เพียวถอดเสื้อเช็ดตัวให้ตาน้ำอย่างที่เคยทำเวลาที่อีกคนมาอยู่ที่นี่แล้วไม่สบาย แต่ดูเหมือนอีกคน วันนี้งอแงมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเพราะป่วยหนัก หรือเพราะจะแกล้งเขากันแน่ ตาน้ำขยับตัวขึ้นมามอง พร้อมๆกับเพียวที่ส่งเสื้อผ้าของเขามาให้ใส่ “อ่ะ เสื้อ เปลี่ยนซะ” “เปลี่ยนให้หน่อย” พูดจบก็ยกมือให้อีกคนใส่เสื้อให้ ก็จะให้ทำยังไงละ ก็ต้องทำให้นะสิ “อ่ะ กางเกง” “ถอดให้ด้วยดิ” “น้ำ! ” “หน่าเพียว ทำยังกับมึงไม่เคย” “ก็แล้วแต่เลย ไม่ใส่ก็อย่าใส่” พูดจบก็หมุนตัวออกไป หากตัวเองโดนรั้งไว้อีกครั้ง แล้วดึงกลับมาที่เตียง “นอนนี่ละ จะไปไหน” “ไม่กลัวกูจะติดมึงบ้างรึไง” “ถ้าติด เดี๋ยวกูเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อ แถมเปลี่ยนกางเกงให้ด้วย ไม่เหมือนมึงหรอก เปลี่ยนแต่เสื้อ” สุดท้าย เพียวก็คิดว่า เพราะความใจอ่อนของตัวเองที่ทำให้ต้องมานอนเตียงเดียวกันอีกครั้ง ใจจะไม่สั่นถ้าคนที่นอนอยู่ข้างกัน ไม่กอดก่ายเขา แล้วนอนปกติอย่างที่คนป่วยเป็น ‘นอนร้ายขนาดนี้ ป่วยจริงรึป่าวเนี่ย’ . . . . . . ทิมเดินเข้าห้องนอน ให้แขกที่มาเยือนเลือกฝั่งที่นอนก่อน น้ำนิ่งขยับไปนอนที่ฝั่งด้านในติดกำแพง ทิมก็ขึ้นไปนอนตาม ทั้งสองคนต่างใช่เวลาอยู่กับตัวเอง ทิมนั่งดูคลิปแมวต่างๆ น้ำนิ่งนั่งอ่านสูตรขนมใหม่ๆ เห็นทิมขำก็ต้องหันหน้าไปมอง ทิมก็ขยับเข้ามาใกล้เพื่อที่จะส่งโทรศัพท์ให้น้ำนิ่งดู “แมวอะ ตลกดี” คลิปแมวใส่เสื้อแปลกๆ แล้ววิ่งไล่ลูกบอล น้ำนิ่งขยับหน้ามาใกล้ เพื่อดูคลิป “น่ารักอะ ไว้ทำให้กะทิเล่นบ้างดิ” หันหน้ามาพูดกับอีก แต่ใบหน้านั้น ใกล้ชิดกันแค่ปลายจมูก สายตา 2 คู่จ้องสบตากันอย่างไม่มีใครละออกไป ทิมขยับหน้าตัวเองเข้าไปใกล้จนริมฝีปากสัมผัสกัน “ขอจูบได้มั๊ย” “อือ” ทิมขยับริมฝีปากตัวเองให้แนบชิดของอีกฝ่าย อย่างอ่อนโยน และแผ่วเบา ละเลียดชิมริมฝีปากของอีกฝ่าย แล้วส่งลิ้นไล่เล็มริมฝีปากบางกว่าอย่างทะนุทะนอม น้ำนิ่งเกร็งจนตัวสั่น แต่หากการสั่นนี้ไม่ใช่ความกลัว มันเป็นความตื่นเต้นที่ได้รู้รสชาติของการจูบ สัมผัสที่หวาบวามเกิดขึ้นจนทำให้ตัวเองสั่น แล้วเปิดปากรับลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามากวาดชิมความหวานไปทั่ว มือน้ำนิ่งจิกเกร็งเข้าที่ผ้าห่มนึงข้าง และอีกข้างขยำเข้าที่เสื้อของทิม ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน ความรู้สึกวูบวาบที่ตัว เกิดขึ้นเพราะการจูบหรอ จูบที่ใครๆพูดถึงกัน มันรู้สึกแบบนี้เองหรอ สงสัย เพราะฝาแฝดไม่เคยจูบกัน หากผ่านการมีอะไรกันมาหลายครั้งจนเป็นเรื่องประจำ นับตั้งแต่เกิดเหตุ แต่พวกเค้าก็ไม่เคยจูบกันอย่างดูดดื่ม อย่างเช่นที่ทิมทำกับเขาแบบนี้ อย่างมากก็แค่คิสกันแค่นั้น ที่คนพูดกันว่า จูบกับคนที่เรารู้สึกดี มันทำให้รู้สึกแบบนี้เองสินะ ทิมขยับถอนหน้าตัวเองออก หากแต่ปลายจมูกยังแตะกับของอีกฝ่าย เห็นคนเลือดขึ้นสีที่หน้าแบบเต็มตา สายตาที่ส่งมาอย่างโหยหาการจูบ มือและร่างกายของน้ำนิ่งยังเกร็ง ก็ยกมือลูบขึ้นที่แก้มแดงของอีกฝ่าย “ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าน้ำนิ่งยังไม่พร้อม เราก็ไม่ทำ” ความรู้สึกอบอุ่นเกิดขึ้นอีกครั้งที่ได้ยินทิมพูด แม้จะสงสัยจนต้องเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา “ทิม.. ทิม ทนไหวหรอ” “ทนไหวสิ ทนมาตั้งนานแล้วนิ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” น้ำนิ่งรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง จนต้องหันหน้าหนี จนทิมเอามือจับให้หันมาสบตาอีกครั้ง “คิดว่าแค่นอนด้วยกันคืนนี้แล้วเราจะทำงั้นหรอ” สายตาของน้ำนิ่งแทนคำตอบว่าคิดเช่นไร “ไม่ทำหรอก เราไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าน้ำนิ่งไม่อยากให้ทำเราก็จะไม่ทำ ตอนนี้แค่จูบก็พอแล้ว” ได้ยินทิมพูด น้ำนิ่งก็ขยับหน้าตัวเองเข้าหาอีกฝ่ายไปอย่างอัตโนมัติ ทิมเองก็ขยับเข้ามาจูบอีกครั้ง อย่างแผ่วเบา ‘ไอ้น้ำ มึงจะฝึกความอดทนกูไปถึงไหนวะ’ . . . . . . ตาน้ำรู้สึกว่าตัวเองนอนไปนานมาก ด้วยอาการสร่างไข้ที่เหงื่ออก จึงทำให้รู้สึกตัว หากแต่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นคนที่ตัวเองกอดก่ายอยู่นั้น นั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสือ “เพียว” “อืม ดีขึ้นยัง” “หนาวๆ ร้อนๆ อะ เหมือนจะสร่างไข้ แต่ก็ยังหนาวอยู่เลย” พูดแล้วก็ขยับเข้าไปกอดก่าย ซบที่อกของอีกคนแน่นขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าเพียวขืนตัวหนีเท่าไหร่ ตาน้ำก็ยิ่งขยับมากยิ่งขึ้นเท่านั้น “นอนดีๆ สิ กอดอยู่แบบนี้จะนอนสบายได้ไง” “กอดไม่ได้หรอ” ขยับคร่อมร่างกายของอีกคนพร้อมๆ กับคำถามที่ถามออกมา “น้ำ…ไม่สบายอยู่ เดียวก็เป็นหนักหรอก ลงไปนอนดีๆ” “ก็ตัวกูร้อน ข้างในมันร้อน มึงต้องทำให้มันหายร้อนแล้วละ” พูดจบ ตาน้ำก็ขยับหมุนร่างที่บางกว่าขึ้นมาอยู่บนตัวเอง ‘อาการนี้มันอะไรกันนะ อาการที่เพียวขืนตัวหนี หลบตา ไม่ยอมมองหน้าเขา นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น’ เมื่ออีกคนอยู่บนตัวเองแล้ว ตาน้ำก็ค่อยๆกดท้ายทอยของอีกฝ่ายให้ก้มลงมาหา ริมฝีปากประกบกันอย่างแนบชิด เพียวรู้สึกได้ว่าจูบครั้งนี้ มันอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมาอาจจะเป็นเพราะอีกคนนึงป่วยอยู่ก็เป็นได้ “เพียว วันนี้มึงดูแปลกไปนะ” “หรอ ไม่เห็นจะรู้สึก กูว่ามึงแปลกไปมากกว่า” “กูแปลกยังไง?” “ก็แปลกที่มึงทำแบบนี้” “ไม่ชอบหรอ” คำถามนี้ทำให้คนด้านบนหลบตาและหันหน้าหนีอย่างชัดเจน นั่นทำให้ตาน้ำรู้แล้วว่าเพียวเขิน และการเขินนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรารู้สึกอะไรกับคนที่เราเขิน “เพียว” ตาน้ำเรียกอีกฝ่าย พร้อมๆกับยกมือ จับคางให้มาเผชิญหน้า เพียวรู้สึกว่าตัวเองตัวสั่น ทำไมกัน หรือเพราะห่างจากเรื่องแบบนี้กับตาน้ำไปนาน หรือว่าเพราะความรู้สึกที่มีมากขึ้น ความเปลี่ยนไปของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ตัวเองสับสนมาก “น้ำนอนพักให้หายก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน” “แน่นะ” “อืม” ได้ยินคำพูดแบบนี้ ตาน้ำก็ปล่อยให้คนที่บนตัวเองขยับลงมานอนปกติ แต่ก็ยังไม่ยอมที่ปล่อยให้ร่างกายของอีกคนเป็นอิสระได้ “นอนกัน กอดด้วย กูหนาว” เพียวรู้ตัวเองว่าควรจะทำตามอย่างที่อีกฝ่ายบอก ไม่เช่นนั้น เค้าคงจะโดนก่อกวนอีกแน่ . . . . . . . พอสเดินเข้ามาที่ร้านส้ม ร้านประจำของพวกเขา สายตาส่งมองหาใครบางคนที่คิดว่าตัวเองน่าจะพบเจอที่โต๊ะของนักดนตรี เมื่ออีกฝ่ายเห็นก็ยกมือเรียกทัก “ไง มึง ทำไมฉายเดี่ยว” เป็นโอมที่ทักขึ้นก่อน “อืม น้ำนิ่งมาสบาย กูเบื่อๆ เลยออกมาหาพวกมึง” “พี่มึงอะ ไม่ชวนมาด้วยกัน” ต้าร์เอ่ยถาม คำถามนี้ไม่ได้ทำให้ใครสงสัย ร้านนี้เป็นร้านประจำของเด็กบริหาร มันก็ไม่แปลกที่ใครๆจะมากันเป็นประจำ “อืม ไม่ได้โทรหาอะ กูขี้เกียจ อยากมาเงียบๆ” ก็จะไปบอกได้ยังไง ว่าขับรถตามไปจนถึงคอนโดเพียว แล้วก็เห็นตาน้ำเดินจูงเพียวเข้าไป เหมือนกับที่เดินจูงไปขึ้นรถ “เออๆ ดราม่าไรมาละมึง อยากมาเงียบๆ แต่เสือกมานั่งร้านเหล้า เงียบตรงไหนวะ” “ช่างแม่งเหอะ ขี้เกียจพูดว่ะ” ได้เวลานักดนตรีขึ้นไปร้องเพลง พอสก็นั่งดื่มไปเรื่อยๆ คนเดียว ร้องเสร็จก็นั่งคุยกันเฮฮา ต้าร์รู้สึกได้ว่าพอสเมามากแล้ว “โอม! มึงชอบน้ำนิ่งใช่ไหม” “หือ…มาได้ไงว่ะ” “บอกกูมา กูอยากรู้” พอสขยับตัวเข้าหาโอม เพื่อต้องการคำตอบ แต่ต้าร์ก็พยามยามกันไม่ให้พอสเข้าไประรานอีกฝ่ายได้ “น้ำนิ่ง…ก็น่ารักดีนะ แต่คบกับทิมแล้วไม่ใช่หรอวะ” เพราะประกวดดาวเดือนปีเดียวกัน จึงทำให้รู้จักกันดี สิ่งที่โอมรู้มาตลอดคือทิมชอบมองน้ำนิ่ง และน้ำนิ่งก็ชอบมองทิม ก็จะไปมีโอกาสได้ยังไง ในเมื่อฝาแฝดเปิดทางให้เพื่อนตัวเองขนาดนั้น “มึงแม่งโง่ ชอบมาตั้งนานเสือกไม่จีบ” “เอ้า ด่ากูซะงั้น ก็เค้ามองกันมาตั้งนานแล้ว กูจะไปทำห่าไรได้ว่ะ จีบไปเขาไม่ชอบกูก็แห้ว” “ทำใจไงมึง คนมาทีหลังทำอะไรไม่ได้ ก็ทำใจอย่างเดียว” คำพูดนี้ ต้าร์รู้ดีว่าพอสไม่ได้พูดกับโอม หากแต่พูดกับตัวเอง เอาจริงๆ ต้าร์ก็รู้ ว่าพี่เพียวกับฝาแฝดคนพี่นะมันมีอะไรๆ กันอยู่ เพราะคอนโดอยู่ใกล้ๆกัน เลยทำให้รู้ว่าตาน้ำมันไปอยู่ห้องพี่เพียวบ่อยแค่นั้น แต่เพื่อนเขาเองคนนี้เพิ่งจะรู้ละมั้ง ถึงมานั่งเศร้ากรอกเหล้าเข้าปากแบบนี้ “พอส เมามากแล้ว กลับเถอะ กูไปส่ง ไอ้โอมมึงเอารถกูกลับให้ด้วยนะ” พูดจบก็ประคองกึงลากเพื่อนมาที่รถ ล้วงหาเอากุญแจเปิดรถ แล้วจับเพื่อนยัดเข้าไป “ต้าร์” เสียงคนเมาโวยวายเรียกชื่ออยู่ในรถซ้ำๆ ระหว่างทางกลับคอนโด ถึงคอนโด ก็พาเพื่อนขึ้นมาที่ห้องของเจ้าตัว ห้องที่ตัวเองมาบ่อยๆ ยามเพื่อนเรียกให้มา ว่าแล้วก็ประคองเจ้าของห้องไปที่เตียง ให้ลงนอนหันตัวจะเดินไปเอาอุปกรณ์เช็ดตัวอย่างเคย ตัวเองก็โดนคนเมารั้งไว้ “ต้าร์” “เออ มึงนอนก่อน เดี๋ยวกูเช็ดตัวให้” เพราะพอสแยกกันอยู่กันพี่ชาย เวลาที่เมาหรือไม่สบาย ต้าร์ก็ต้องมาคอยดูแลทุกที นั่นเพราะน้ำนิ่งอยู่กับฝาแฝด และพี่เพียวเองก็มีร้านที่ต้องรับผิดชอบ “เอ้าเห้ย ปล่อยกูสักที ไอ้พอส” เพราะมือคนเมานั้น ยังคงจับรั้งอยู่จึงต้องร้องบอกออกไป หากแต่คนเมาไม่ยอมปล่อยแบบที่ร้องขอ กลับดึงต้าร์ลงไปหาทำให้ร่างกายต้าร์นั้นคร่อมอยู่บนตัวอีกฝ่าย “จะไปไหน อยู่กับกูก่อน” เมื่อดึงต้าร์ลงมาอยู่กับตัวเองสำเร็จ พอสก็ใช้ทั้งมือและขากอดรัดไว้ แล้วขยับหมุนให้ตัวเองอยู่ด้านบน ระยะขนาดนี้ ต้าร์รู้ดีว่ามันทำให้ตัวเองใจสั่น ความต้องการของมนุษย์นั้น มันยากที่จะหักห้ามใจ “ไอ้พอส มึงเมามากละ ปล่อยกูก่อน” คำร้องขอไม่เป็นผลใดๆ คนเมากันคงกอดซบอยู่บนตัวเค้า แล้วซุกไซร้เข้าที่คอ “พอส…มึงอย่า” แม้ว่าต้าร์พยายามจะขืนตัวเองออกเท่าไร พอสก็ยิ่งกอดล๊อคแน่เข้าเท่านั้น จนต้าร์ใช้แรงที่มีดันร่างของอีกคนให้ลงไปอยู่ด้านร่าง “ต้าร์ มึง อึก มึงไม่รักกูหรอ ฮือๆ” ร่างกายที่มีการปฏิเสธนั้น ทำให้พอสมีน้ำตาออกมา ก็เพราะว่าวันนี้ เค้าโดนปฏิเสธถึง 2 ครั้ง “พอส มึงทำแบบนี้ไม่ได้ มึงเมา กูไม่อยากให้มึงเสียใจทีหลัง” “แปลว่า ถ้ากูไม่เมา มึงจะยอมกู” คำนี้ออกมาแล้ว ได้ยินแล้วก็ต้องถอนหายใจ ก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพอสเป็นคนยังไง ลูกคนเล็กที่พ่อแม่ตามใจ อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ต้องทำ คนมีเงื่อนไขทุกอย่างแบบพอส ไม่ยอมอะไรง่ายๆ “มึงนอนก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน” “ไม่นอน มึงตอบกูก่อน ไม่ตอบกูก็ไม่นอน” “เออๆ หายเมาแล้วว่ากัน” พอสรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้เมาถึงขนาดไม่มีสติ จึงถอดเสื้อตัวเองออกแล้วมัดต้าร์ไว้กับตัวเอง “ไอ้เหี้ยนี่ จะนอนทั้งเน่าๆ แบบนี้ไง” “ก็มึงสั่งให้กูนอน ก็นอนสิ” ‘แล้วต้าร์ก็หลับตาลงทั้งๆที่ตัวเองถูกมัดอยู่กับพอส ก็อยากจะรู้ตื่นมาพรุ่งนี้มันยังจะจำได้มั๊ย ว่าตัวเองพูดอะไร ทำอะไรไว้ แล้วถ้าพอสจำได้ แล้วทวงคำพูดที่เคยพูดไว้ ต้าร์จะทำยังไงดี’ ---------------------------------TBC------------------------------------ สุขสันต์วันสุดท้ายของปี วันนี้เมาไม่ขับให้เพื่อนมาส่งแบบพอสละกันเนอะ พาพี่เพียวมาหาแล้ว วันส่งท้ายปีพามาส่งกันครบทุกคนเลย พอสกับตาตน้ำกำลังสับสนกับชีวิตคะ บรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไป ทำให้อึดอัดจนไม่คุ้นชิน อันนี้เปรียบเทียบจากความรู้สึกของคนเขียน ไม่รู้มีใครเป็นไหม แบบห้องนอนเรา เวลามีคนอื่นเข้าห้องโดยที่เราไม่อยู่ พอเรากลับมาที่ห้องมันจะรู้สึกได้ว่าแปลกไปทันที พอสจะรู้สึกแบบนั้นตอนที่ตาน้ำมาห้องคะ นั่นเพราะก่อนหน้าเป็นต้าร์ที่มาอยู่ด้วยบ่อย ส่วนตาน้ำที่อยู่แต่กับห้องเพียวมานาน พอมาเป็นห้องพอสมันก็รู้สึกแปลกไป จนทำให้อยู่ห่างจากพอสไม่ได้ อันนี้คนเขียนใช้ความรู้สึกตัวเองเหมือนกัน เวลาอยู่ที่แปลกมันรู้สึกว่ามันโล่งเกินไป ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนเม้นท์ คนอ่าน คนรอ ทุกคนนะคะ
รออ่านพอสกะตาร์นะนะ :ling1: #แฮปปี้นิวเยียร์2017นะนนะะนะนะ :pig4: :L1: :3123:ไรต์
อะไรยังไงกันละนี่
บทที่ 19 รักแรกพบ ด้วยการหลับอย่าพะว้าพะวง ทำให้ต้าร์ตื่นขึ้นด้วยอาการนอนไม่เต็มตา หัน มองนาฬิกา ที่บอกเวลา 6 โมงเช้า ก็ต้องถอนหายใจ เมื่อคืนกว่าไอ้ตัวดีข้างๆจะยอมนอนแบบสงบได้ก็ปาไปเกือบตื่น 3 หันมองคนนอนข้างก็ก็ต้องนึกถึงครั้งแรกที่เจอกัน “ร้อนชินหาย ทำไมมหาลัยแม่งไม่รับสมัครตอนกลางคืนว่ะ แดดจะได้ไม่ร้อน” พลั๊ว! “มึงเพี้ยนหรอไอ้โอม เวลาราชการรู้จักมั๊ย แล้วเดี๋ยวพอเค้ารับสมัครตอนกลางคืน มึงก็บ่นอีกว่าเวลานอน จะให้มึงมาทำไม” เด็กนักเรียน ม.ปลาย กำลังนั่งพักกินน้ำที่โต๊ะไม้ใกล้ร้านค้าในมหาลัย เถียงกันไปมาในวันที่มาสมัครสอบตรง “เออ นั่นดิ งั้นกูเปลี่ยนใหม่ ทำไมแดดประเทศไทย มันร้อนแบบนี้ว่ะ ร้อนเหมือนอยู่นรกเลย” “นาย 2 คนเคยไปนรกมาหรอ” เสียงคนแปลกหน้าเอ่ยขึ้นคั่นบทสนทนา นักเรียน ม.ปลาย 2 คน จนต้องหันมองไปตามเสียง เงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กนักเรียนอินเตอร์ 2 คนยืนมองอย่างขำๆ ต้าร์สะดุดกับคนตัวผอม ผิวเหลืองที่ยืนอยู่ด้านหน้า หากโอมมองเลยไปยังเด็กผู้ชายที่เตี้ยกว่านิดหน่อย ผิวขาว ตาใส ยืนจับชาย เสื้อของเพื่อนตัวเองอย่างกล้าๆกลัวๆ “ไม่เคยอะ” ต้าร์เอ่ยตอบกลับ อย่างตัดบท หากคนตรงหน้ายังมีคำถามกลับมาอย่างต่อเนื่อง “แล้วรู้ป่ะว่า คณะบริหารไปทางไหน” เพื่อน 2 คน ชี้ไปคนละทาง จนเด็กอินเตอร์ขมวดคิ้ว “เอ่อ… โทษที ไปทางนั้นอะ รอรถของมหาลัยก็ได้นะ ตรงป้ายมีสีรถบอกว่าสีไหนไปทางไหน” “โอเค ขอบคุณนะ หวังว่าจะได้เจอกัน” นักเรียน ม.ปลาย 2 คนพยักหน้ารับเบาๆ เด็กอินเตอร์ก็เดินจากไป ‘หวังว่าจะได้เจอกันงั้นหรอ’ “โอม! มึงรออยู่นี่นะ เดี๋ยวกูมา” “มึงจะไปไหนไอ้ต้าร์” “ไปสมัครคณะบริหาร” “หือ… เอาจริง?” เห็นเพื่อนรักยักคิ้วจึกๆ เก็บของเตรียมลุกก็ต้องถามต่อ “ถ้าไม่ติดอะ?” พลั๊ว!! ก็ยังไม่ทันทำอะไร ไอ้เพื่อนรักก็เอ่ยปากแช่ง จนต้องเอามือไปเสยหัวมันสักที “ไม่ติดก็ยื่นคะแนนเอาศิลปกรรมเหมือนเดิม แค่นี้ เดี๋ยวกูมา” เปิดทอม ต้าร์มองหาเด็กอินเตอร์ 2 คนที่เค้าจำหน้าได้เป็นอย่างดีที่คณะบริหาร ใช่ เค้าสอบติด แล้วก็เห็น 2 คนนั้นวันรายงานตัวก็เลยรู้ว่า 2 คนนั้นสอบติดเหมือนกัน ยิ่งทำให้ไอ้โอมเพื่อนรักสาปแช่งอยู่ 3 วัน 7 วัน ในการทอดทิ้งครั้งนี้ ได้แต่ปลอบใจและสัญญากับมันว่าจะไปกินข้าวที่โรงอาหารกลางด้วยกันทุกวัน เพราะยังไงก็มหาลัยเดียวกันอยู่แล้ว นั่งมองซ้าย มองขวาเห็นคนคุ้นตาก็ลุกไปทัก เอาจริงๆ ต้าร์ก็จำได้แค่คนเดียว คนที่ยืนข้างหลังนั้นแทบจำหน้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ “ดี….” “อ้าว นายกูเกิ้ลวันนั้นนี่” “โห…จำกันได้ด้วย ดีใจจัง” “ฮา คนบอกทางแม่นเป๊ะขนาดนี้ เราต้องจำได้ขึ้นใจ ว่าแต่เรียนบริหารเหมือนกันหรอ” “ใช่ สิ แหม่ นี่ยืนอยู่คณะบริหารนะ” “อ้าวแล้วมาคนเดียวหรอ วันนั้นเห็นอยู่กับเพื่อนนี่” “อ๋อ เพื่อนเราติดศิลปกรรมอะ เราชื่อต้าร์นะ นาย 2 คน?” “เราชื่อพอส ไอ้ลูกลิงที่เกาะหลังอยู่ชื่อน้ำนิ่ง” “อ่าห๊ะ ยินดีที่ได้รู้จัก เราขอเป็นเพื่อนด้วยได้มั๊ย ติดบริหารคนเดียวไม่รู้จักใครเลย” การที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่นั้น ทำให้ต้าร์เห็นคนด้านหน้า หันไปมองคนที่ยืนเกาะอยู่ด้านหลัง เห็นคนด้านหลังพยักหน้าน้อยๆ คนที่ยืนเยื้องมาด้านหน้าก็หันมาตอบ ยอมรับว่าครั้งนั้นใจหาย เพราะคิดว่า2 คนเป็นมากกว่าเพื่อน แต่อยู่มาเรื่อยๆก็ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไร “ได้สิ เป็นเพื่อนกันนะ” “เย้!! ขอบคุณนะ” . . . . . . . “ทิม… นี่น้ำนิ่ง ฝาแฝดกู เรียนบริหาร” ทิมมองคนตรงหน้าสลับไปมากับเพื่อนตัวเอง พยามยามจะแยกให้ออกว่าใครเป็นใคร มองเพลินจนเผลอต้องไปที่ที่ตาใสๆ หน้าขาวๆ ปากแดงๆ ทำให้ดูหวานกว่าฝาแฝดคนพี่ ที่ตาดุ ผิวคล้ำเพราะชอบออกกำลังกาย “น้ำนิ่ง นี่ทิม เพื่อนน้ำ” คนตรงหน้าพยักหน้ารับน้อยๆ แล้วยิ้มให้ “โอเคนะมึง อย่ามาหลอนว่าเห็นผีอีกละ” “เออ เชื่อแล้วว่ามีแฝด ไม่เห็นต้องโหดถึงขนาดเรียกน้องมาเลยมึง” “รู้จักกันไว้ซะ” “ยินดีที่ได้รู้จักนะ เพื่อนฝาแฝด” เสียงหวานตอบกลับมาทำให้ใจกระตุก อะไรกัน หน้าเหมือนกันแท้ๆ เสียงคนละโทนกันเลย “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ฝาแฝดเพื่อน” นับตั้งแต่เดินเจอกันที่โรงอาหารกลาง และเพื่อนพามารู้จัก เมื่อเดินเจอกัน ต่างคนก็ต่างยิ้มให้กันเรื่อยมา กลุ่มเด็กบริหารเดินเข้าโรงอาหารกลาง หมุนซ้าย หมุนขวา ราวกลับมองหาใคร แต่คนที่อยู่ในสายตาทิมนั้น กลับเป็นคนที่หน้าเหมือนเพื่อนตัวเอง ทำไมกันนั่นทิมก็ไม่เข้าใจ หากแต่การนั่งมองอยู่ทุกวันทำให้รู้ว่าอีกคนชอบกินอะไร ซื้อร้านไหนเป็นประจำ “ช้าชิบหาย” เด็กศิลปกรรมเอ่ยทักเพื่อนขึ้น “ โอม นี่ พอส กับ น้ำนิ่ง 2 คน นี่โอมนะ เพื่อนเราที่เรียนศิลปกรรมที่เคยบอก” โอมยิ้มทักทายให้กับเพื่อนใหม่ 2 คน ก่อนที่ ทั้ง 2 จะลุกไปซื้อข้าว “ไง มึง บริหาร เปลี่ยนลุกชิบหาย” “หล่อปะละ” “หล่อโคตรๆ เรียนเกิน 4 ปี มึงจะหล่ออยู่อีกนานเลย จะเรียนไหวมั๊ยเนี่ย” “ไอ้เหี้ยนี่ แช่งกูอีกแล้ว คนติวดีเว้ย” พูดไปก็ยักคิ้ว จึกๆ ให้เพื่อนตัวเอง 2 คนกลับมา ก็ผลัดกันไปซื้อข้าว พวกเด็กศิลปกรรมก็เดินเข้ามาหาเพื่อนที่นั่งอยู่ท่ากลางเด็กบริหาร เลยกลางเป็นความสนิทในกลุ่มเพื่อนระหว่าง 2 คณะ พอสลุกไปซื้อขนม หากกลับมาด้วย ของ 2 อย่าง บัวลอยเผือกวางลงตรงหน้าน้ำนิ่ง ทำให้หันไปมองหน้าเพื่อน “มีคนฝากมาให้มึง” ได้ยินก็ต้องเลิกคิ้วถาม พอสพยักหน้าให้น้ำนิ่งมองตามสายตาไป ก็จะเห็นเพื่อนของฝาแฝดตัวเองส่งยิ้มพร้อมกับท่าทางให้ชิมขนม สิ่งที่โอมรู้คือน้ำนิ่งกินขนมไทยทุกวัน แต่ที่โอมเพิ่งรู้ไม่นานคือขนมที่น้ำนิ่งกินนั้น มีคนซื้อให้ทุกวัน . . . . . . . นักเรียนชั้น อนุบาล เลิกเร็วกว่านักเรียนชั้นอื่นๆ เสียงประกาศจากอาจารย์ว่าผู้ปกครองเด็กคนไหนมารับแล้วบ้าง ดังไม่ขาดสาย เด็กชาย 2 คน จูงมือกันออกมาพร้อมกัน พร้อมๆกับยืนรอผู้เป็นพี่ของตนเอง ไม่นานผู้เป็นพี่ของเด็กชายทั้ง 2 ก็เดินตรงมายังจุดที่แม่กับน้องยืนอยู่ “พี่พียว นี่น้ำนิ่ง เพื่อน พอส ส่วนคนที่หน้าเหมือนน้ำนิ่ง ชื่อตาน้ำ” เด็กชายพิธา ขมวดคิ้วมองเด็ก 2 ตรงหน้า ราวกับว่าอีกไม่นานความวุ่นวายจะเกิดขึ้น คิดไม่ทันขาดคำ เสียงของผู้เป็นมารดาก็เอ่ยทักเค้า “พี่เพียว ฝาแฝดเป็นลูกของคุณน้าสลิลทิพย์ ที่บ้านเราซื้อของกับเค้าไงคะ” “น้าฝากพี่เพียวช่วยดูแลฝาแฝดด้วยนะคะ” คำแนะนำของผู้เป็นมารดาทำให้ แฝดผู้พี่จ้องมองไปยังเด็กผู้ชายคิ้วขมวดตรงหน้า ทำราวกับว่าเค้าและน้องเป็นเรื่องวุ่นวายในชีวิต ‘นิสัยไม่ดีจริงๆ’ “ผมดูแลน้องเองได้ครับ ไม่เห็นต้องฝากใคร” “อ้าว พ่อลูกชาย ทำไมไม่น่ารักเลยครับ เดี๋ยวคุณน้าเค้าไม่ซื้อของบ้านเรานะครับ” “ขอโทษครับคุณน้าพิม” ผู้ใหญ่เข้าใจ เด็กกลัวโดนแย่งความรักเป็นธรรมดา ยิ่งฝาแฝดคนโตยิ่งแล้วใหญ่ กลัวน้องไม่รัก เด็กชั้นเกรด 4 2 คนนั่งรอผู้ปกครอง อีก 1 คนนั้น ไปเตะบอลเล่นกับเพื่อนๆ แถวนั้น เพื่อน 2 คนนั่งคุยกันเรื่องของเล่น หากคนโตสุดที่อยู่ เกรด 5 นั่งทำการบ้านรอเวลา ไม่นานบ้านผู้ใหญ่ของบ้านฝาแฝดก็มาถึง “คุณตาสวัสดีครับ” เด็ก 4 คน ทำความเคารพผู้ใหญ่ ทำให้ผู้เป็นตายิ้มรับอย่างพอใจ “ฝาแฝด พร้อมกลับบ้านกันรึยังครับ” 2 คนขยับมาเก็บของหากจะลุกขึ้นเดินกลับ คนพี่ก็เอ่ยทักตาว่า “คุณตา รถบ้าน พ.พาน ยังไม่มารับเลยครับ” “เอ….นี่ก็เย็นมากแล้วสิ ทำไงดีน้า” คุณตาเอ่ยถามหลานชายฝาแฝดเพื่อคนขอความเห็น “ให้เค้าไปกับเราได้มั๊ยครับ” เป็นคนน้องที่เอ่ยตอบ เมื่อคุณตาหันไปมองคนพี่ก็พยักหน้าตอบรัวๆ “เอ้า 2 หนุ่ม เย็นมากแล้ววันที่คุณพ่อคุณแม่ติดอะไรรึป่าว ถึงยังไม่มา” เพียวเงยหน้ามองท้องฟ้า นั่นสิถ้าแม่หรือพ่อไม่มา ก็ส่งคนรถมารับ แต่นี่เย็นมากแล้ว เค้าจะพาน้องกลับบ้านยังไงดี “ไม่ได้บอกไว้ครับมาจะมาช้า หรือส่งคนรถมา” เพียวเอ่ยตอบผู้ใหญ่ “งั้นกลับไปที่บ้านฝาแฝดก่อนนะครับ เดี๋ยวถึงบ้านตาจะโทรบอกที่บ้านให้ ดีมั๊ยครับ รออยู่ที่นี่ไม่รู้จะมาถึงกี่โมง แล้วจะฝากคุณครูบอกคนที่บ้านไว้ถ้ามารถมารับ เดี๋ยว ร.ร. ปิดแล้วจะกลับลำบาก” พอสมองหน้าผู้เป็นพี่ชาย ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าให้เก็บของ คำที่แม่บอกไว้ตั้งแต่อนุบาลว่าบ้านเค้าซื้อของกับบ้านฝาแฝด นั่นก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายใดๆ “ขอบคุณครับคุณตา” เด็กทั้ง 4 ก็เดินพากันไปที่รถตู้ พอถึงบ้าน ฝาแฝดก็เหวี่ยงกระเป๋าทิ้ง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้ววิ่งเข้าห้องครัวไปหาผู้เป็นยาย ช่วยกันยกขนมออกมาเสิร์ฟแขก “พอส มีการบ้านอะไรบ้าง เอามาทำรอแม่” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กชายพัชร ก็เปิดกระเป๋าเอาการบ้านออกมาทำทันที เพราะกลัวว่าพี่จะไม่ช่วยสอน “คุณตาโทรบอกที่บ้านให้แล้วนะครับ รถคุณพ่อเสีย คุณแม่ยังไม่ถึงบ้าน เดี๋ยวถ้าถึงบ้านแล้วจะมารับทั้ง 2 คนนะ” “ขอบคุณครับ คุณตา” “อ้าว ฝาแฝด เพื่อนทำการบ้านนะ ทำไมไม่ทำหืม ต้องให้ตาตีใช่มั๊ย” “โห่…คุณตา” เพียวมองฝาแฝดที่ลงไปนอนเกือกกลิ้งสบายใจกับพื้น ค่อยๆ ขยับขึ้นมาเปิดการบ้านทำ ของน้องชายตัวเองและฝาแฝดคนเล็กนั้น การบ้านเหมือนกัน ก็สบายหน่อย แต่ฝาแฝดคนพี่ที่อยู่คนละห้องเนี่ยสิ เห็นนั่งคิ้วขมวดมานานและ ต้องขยับไปดู “ข้อนี่ทำแบบนี้ อันนี้ไม่ใช่นะเดี๋ยวผิด” ตาน้ำหันมองคนสอนหน้ายุ่ง โตกว่าแค่ปีเดียวทำเป็นสอน แต่สีหน้าจริงจังอย่างเต็มใจของอีกคนนั้นอดเชื่อไม่ได้ว่าตัวเองไม่ได้โดนหลอกแน่นอน ไม่นาน รถของบ้าน พ.พาน ก็มารับ จากนั้นก็กลายเป็นว่า หากวันใดที่ฝาแฝดจะกลับบ้านแล้ว รถบ้านนั้นยังไม่มารับ ก็ให้กลับมารถบ้านฝาแฝดได้เลย ‘นั่นละ ความวุ่นวายที่เพียวมองเห็นตั้งแต่เด็ก สอนน้องตัวเองคนเดียวไม่พอ นี่เพิ่มอีก 2 แถมไอ้แฝดคนโตเนี่ย สอนอะไรก็เถียงตลอด ปวดหัว จนต้องลุกไปต่อยกันให้รู้แล้วรู้รอด ต่อยกันจบก็ลากมาให้ทำการบ้านต่อ’ -----------------------TBC-------------------------- สวัสดีปีใหม่คะ ไม่ช้าเกินไปเนอะ คนเขียนป่วยเลยมาช้าไปหน่อย คู่อื่นเป็นรักแรกพบ ส่วนพี่เพียว และตาน้ำเป็นเกลียดแรกพบ คิ้วจะผลัดกันขมวดไปไหน ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คอนอ่าน คนเม้นท์ ทุกคนนะคะ
คนเขียนป่วยงอแงม แวะเอาต้นแบบของกะทิมาให้เห็นหน้าแทน คนละสี แต่ความอยากได้เจ้าตัวนี้มาจากแมวขาวคะ
พอส ตาร์ เหรอ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ชอบทุกคู่เลยอะไรท์ ชอบตาน้ำเพียว ทิมน้ำนิ่ง ตาร์พอส รอตอนต่อไป เลิฟฟๆๆ ห่ายป่วยไวๆน้าาาาา :katai4: :katai2-1: :katai2-1:
บทที่ 20 เผชิญความจริง คิดอะไรเพลินๆ จนเผลอหลับ พอสก็ขยับขึ้นมานอนทับบนตัว ต้าร์ตกใจตื่นอีกครั้ง “เชี้ยพอส” “เมื่อคืนสัญญาไรไว้” พูดจบก็ซุกไซร้เข้าที่ซอกคอ ต้าร์พยายามจะดันออก “ไปอาบน้ำก่อน” พูดไปแบบนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะเลี่ยงไปได้อีกนานแค่ไหน “ไปอาบด้วยกัน เดี๋ยวมึงหนีกูกลับ” ว่าแล้ว เจ้าของห้องก็ลุกขึ้นลากแขกเดินไปห้องน้ำ “แล้วจะถอดเสื้อยังไง ผูกติดกันแบบนี้” พอสขยับเอาตัวเองมาบังประตูห้องน้ำ พร้อมกับแกะเสื้อที่ผูกไว้ที่ข้อมือทั้ง 2 คนออก ให้ต้าร์ถอดเสื้อ ถอดเสร็จก็ขยับไปผู้แขนต่อ “ไอ้พอส มึงเป็นไรมากมั๊ยเนี่ย” เพราะสนิทกัน จึงรู้ความเปลี่ยนแปลงของเจ้าของห้องเป็นอย่างดี “อาบน้ำสิ ไม่อาบกูอาบให้” การที่ร่างกายเปลือยป่าวแบบนี้ นั่นทำให้สัญชาตญาณในร่างการเริ่มปะทุ พอสผลักต้าร์เข้าไปที่ส่วนอาบน้ำ แล้วกดริมฝีปากจูบทันที ต้าร์พยายามดันร่างอีกคนออก “เออๆ อาบๆ มึงใจเย็นดิว่ะ” ต้าร์ขยับตัวอาบน้ำทันที การมาอยู่ที่นี่บ่อย ทำให้ของใช้เขามีเก็บไว้ พอต้าร์อาบเสร็จ พอสก็ขยับเข้าไปอาบ การที่โดนจู่โจมนั่นทำให้ต้าร์ใจเต้นแรง จนต้องยืนหลับตาช่วงระหว่างรอ 2 คนอาบเสร็จ ก็ใส่แค่บ๊อกเซอร์คนละตัว ออกมานั่งผูกติดกันอยู่อย่างนั้น "เอ้า ว่ามา" “เมื่อวาน พี่เพียวมาที่ห้อง เจอไอ้น้ำอยู่กับกู” คำที่ได้ยินทำเอาต้าร์ใจกระตุกวูบ แฝดพี่มาที่นี่หรอ อะไรกัน “……..” “กูคิดว่าพี่เพียวจะอาละวาด โวยวาย แต่ไม่ใช่เลย พี่เพียวพูดกับกูว่า ที่กูพยายามแสดงออกว่าชอบไอ้น้ำเพื่อลบความรู้สึกที่กูชอบไอ้นิ่ง ก็เลิกซะมันเป็นไปไม่ได้” ต้าร์หันมองคนข้าง นั่นเค้ารู้ดี แต่ที่ไม่รู้คือ ที่หันไปสนใจตาน้ำเพราะพยายามจะเลิกชอบน้ำนิ่งงั้นหรอ นี่มันบ้าอะไรกัน “กูไม่รู้ว่ากูชอบมันเมื่อไร กูรู้ว่ากูชอบมันไม่ได้ ก็เลยพยายามบอกตัวเองให้ชอบไอ้น้ำแทน พี่เพียวบอกกูว่า คนหน้าเหมือนกัน แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเหมือนกัน นั่นก็จริงเพราะตอนไอ้น้ำขึ้นมาอยู่บนห้อง กูดันรู้สึกแปลกไป ที่แปลกกว่านั้น คือกูกลับคิดถึงมึง ตอนที่มึงมาอยู่ห้องกับกู มันไม่เหมือนกับที่ตอนที่กูอยู่กับมึงเลย” “หืม” ต้าร์เข้าใจดี ห้องนี้เป็นตัวเองไปๆมาตั้งแต่ปี1 ก็ไม่แปลกที่เจ้าของจะคุ้นเคยกับต้าร์มากกว่าคนที่เพิ่งมาใหม่ “กูแม่งบ้าชิบหาย ปวดหัวจนประสาทจะแดก คิดเหี้ยไรไม่ออกสักอย่าง” “มึงใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่า” พอสสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ “กูไม่รู้หรอกว่ากูชอบไอ้นิ่งมันตอนไหน มันอาจจะเป็นเพราะความเคยชินที่อยู่ด้วยกัน จนมองไปเมื่อไหร่ก็เจอแต่มัน แต่ด้วยความที่มันคิดกับกูแค่เพื่อน แถมยังเป็นเพื่อนที่มันรักมาก กูก็ไม่กล้าที่จะล้ำเส้น กูก็เลยคิดว่ากูควรจะหันไปมองไอ้น้ำแทนมันอาจจะดีขึ้น แต่ไม่เลย ที่แย่ไปกว่านั้น กูเคยคิดว่าถ้ามันมีแฟนกูจะตัดใจได้ พอเพื่อนพี่เพียวมาขอให้กูช่วย เพราะเขาอยากจะคุยกะไอ้นิ่งว่าเขาชอบมัน กูก็ดันช่วย เพราะเอาจริงๆกูกับมันตัวติดกันตลอดมึงก็เห็น แต่พี่เค้าดันเกือบจะทำร้ายไอ้นิ่ง นั่นเป็นเหตุที่ทำให้มันหลอน กลัวคนแปลกหน้า มันเป็นเพราะกู มันเป็นเพราะกูอะต้าร์ กูหักหลังมัน หักหลังเพื่อนที่รักกูคนนึงด้วยการปล่อยให้คนอื่นทำร้ายมัน” พูดไปก็ร้องไห้น้ำตาไหล ต้าร์ทำได้แค่จับอีกคนมาเอียงสบไหล่ตัวเอง แม้จะช๊อคกับเรื่องที่ตัวเองได้ยินก็ตาม แต่ก็อยากจะปลอบคนที่อยู่ข้างๆ “พอส เรื่องมันผ่านมาแล้ว มึงรู้ตัวว่าผิด ที่ผ่านมามึงก็แก้ไขตัวเอง ดูแลไอ้นิ่งอย่างดีที่สุดแล้ว อย่าคิดมากน่า” “มึงคิดแบบนั้นหรอว่ะ” “มึงคิดว่ากูควรทำไง เอาเรื่องนี้ไปบอกไอ้แฝด ให้มันมาต่อยมึง งั้นหรอ ตอนนี้ น้ำนิ่งมันก็ดีขึ้นจากเดิมที่กูเจอตอนแรกแล้วนิ มันอยู่กับทิมได้ เปิดใจให้ทิมแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอ” “กูก็ไม่รู้ ตั้งแต่เกิดเรื่อง กูคิดมาตลอดว่าจะทำยังไงให้มันหาย กูควรจะบอกมันมั๊ยว่าวันนั้นกูเป็นคนแยกตัวออกมาเอง เพื่อเปิดโอกาสให้พี่เขาคุยกับมันตามลำพัง แต่ใจนึงก็ห่วง กลัวว่าพอมันรู้ว่ากูร่วมมือกับพี่เขามันจะเกลียดกู เลิกคบ ไอ้ใจที่จะรักแบบคนรักน่ะไม่มีแล้ว เพราะกูเองรู้สึกผิด ความรู้สึกผิดในตัวกูมันมีเยอะกว่า มึงเข้าใจมั๊ย ส่วนเรื่องไอ้น้ำ พอเอาเข้าจริงกูก็ว่ากูอยู่กับมันไม่ได้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน มึงเข้าใจกูป่ะ” คำถามซ้ำๆ ถูกส่งมาถึงต้าร์ เพราะคนถามต้องการคนที่เข้าใจเขาในยามที่สับสน “เข้าใจ แต่ที่กูไม่เข้าใจคือ ทำไมมึงบอกว่าตอนที่อยู่กับไอ้น้ำเมื่อวาน แต่มึงดันคิดถึงกู” “ไม่รู้ว่ะ มึงรู้มั๊ยละ” “ถ้ากูรู้ละ” “มึงอย่ามาเล่นลิ้น ไอ้เหี้…” พูดยังไม่ทันขาดคำ ต้าร์ก็คว้าคอพอสมาจูบ พอสตาโตตกใจกับสิ่งที่ได้สัมผัส แต่ก็ยอมเปิดปากให้อีกคนส่งลิ้นร้อนเข้ามากวาดชิมความหวานโดยอัตโนมัติ มือที่ผูกติดกันไว้กลายเป็นผสานกับจนแน่น ลิ้นที่ใหญ่กว่าไล่สัมผัสลิ้นอีกฝ่ายแม้ว่าจะขยับลิ้นหนีไปทางไหน ไม่นานก็ผละออกจากกัน “เล่นลิ้นแบบนี้ได้มั๊ย จะรู้สึกยัง?” ต้าร์ว่าไม่ได้ตาฝาดที่เห็นพอสหน้าแดง จนต้องหลบตาเขา “กูว่าถึงเวลาที่มึงจะเผชิญหน้ากับความจริงแล้วละ” พอสเม้มปากแน่น ราวกับจะยิ้มแต่ก็ฝืนไว้ “มึงแม่งหลงตัวเองชิบหาย” ก็ไม่ได้หลงตัวเองหรอก ก็คนพูดมันก็พูดอยู่ว่าเวลาอยู่กับคนอื่นมันคิดถึงเขา จะให้ไม่รุ้สึกอะไรก็แปลกไปแล้ว “หรือมึงจะเอาอีกรอบ ที่ตอนไซร้กูอะไม่คิดหรอก ที่งี้ละเสือกเขิน รอบหน้าถ้าไซร้กูจะไม่ปล่อยมึงรอดแบบวันนี้ บอกไว้เลย” “ไอ้เหี้ยต้าร์ กวนตีนละ” “เข้าใจตัวเองแล้วนะพอส แล้วก็เลิกยุ่ง เลิกมองไอ้แฝดสักที เพราะกูจะหึง!” “หึงกูทำไม?” “โอเค ไม่หึงก็ได้ ต่อไปอย่ามาบ่นว่ากูไม่หึงนะ” “มึงนี่แม่ง ต่อรองเป็นของขาย” “แน่นอน แต่ของขายกูอะ ต้องใช้ใจซื้อนะ มึงสนมั๊ยละ” “ไอ้เหี้ยต้าร์” พูดด่า แล้วก็ส่งมือไปตบหัวคนนั่งข้าง ไอ้พอสมึงจะเขินแรงไปไหน ต้าร์รู้แล้วว่า การแทรกซึมเข้าหาพอสที่ละน้อย ทำให้วันนี้ เค้าประสบความสำเร็จได้ระดับนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ขั้นต่อๆไปก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไปละกัน เพราะหากจะว่าไอ้แฝดมันโลกส่วนตัวสูง พอสก็คงเป็นเช่นนั้นละ “ไปกินข้าวกัน โดนตบแล้วรู้สึกหิว” “ข้าวไหน มีไรกิน” “ข้าวต้มอะ เดี๋ยวกูไปอุ่นก่อน” “มันมีข้าวต้มได้ไงว่ะ เมื่อคืนก็กลับมาพร้อมกัน” “กูลุกไปทำเองอะ” ก็การที่มาขลุกอยู่ที่นี่ บางทีดึกดื่นก็หิว ขี้เกียจจะลงไปหาอะไรกินกัน จะต้มมาม่ากันทุกวัน ก็กลัวผมจะร่วงก่อนวัยอันควร เจ้าของห้องเลยซื้อของสดมาไว้ในตู้เย็นเผื่อแขกเจ้าประจำจะแสดงฝีมือ “มึงลุกไปทำได้ไง ก็กูผูกมึงอยู่” “พอสสสสส ไอ้ที่มึงผูกตอนเมาเนี่ย มึงคิดว่ามันแน่นมากรึไง กูก็แค่ดึงมันออกแล้วผูกใหม่เนี่ย มันจะยากนักหรือว่ะ” “เออ บ่นชิบหาย บ่นกว่านี้แม่งจะเป็นยายกูละ” “ทำไมเป็นยายว่ะ?” “ยิ่งกว่าแม่ไง!! คอยดูรอบหน้ากูจะใช้กุญแจมือ” “ เอา โซ่ แซ่ เทียนไข ด้วยมั๊ย เดี๋ยวกูช่วยเตรียม” “ไอ้เหี้ยต้าร์!! มึงจะตายวันนี้ละ ไม่ต้องรอกุญแจมือละ” “ไป ลุก เดี๋ยวกูไปอุ่นข้าวให้” ‘พอสมองตามหลังแขกประจำห้องตัวเองแล้วก็ยิ้ม เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าใจตัวเองเอาแต่คิดถึงต้าร์เมื่อไร แต่ภาพเต้าร์ดินผ่านไปมา ทำนั่น ทำนี่ ในครัว ยกข้าวมาวางให้กิน นั่งดู ทีวี เล่นเกมส์ ติวหนังสือ ปรากฏชัดเมื่อวานที่แขกอีกคนขึ้นมาบนห้อง ทำให้ตัวเองรู้ว่าใจนึกถึงใคร ไม่ใช่นึกเพียงแค่สมองสั่งการให้นึกและต้องชอบ ต้องทำ แต่มันไปด้วยใจบอกและรู้สึกเอง’ -----------------------------------------TBC------------------------------------------ คู่ที่ประชาชนรอคอยมาถึงแล้ว สั้นๆ แต่ น่ารัก กุบกิบ ตามภาษาเด็กติสท์แบบต้าร์ ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ไม่สบาย 1 อาทิตย์ หายได้ 3 วัน กลับมาเป็นอีกแล้ว พี่เจ๋งแกแผนสูงเนอะ กลัวเพื่อนไม่ช่วย ก็ดันไปบอกน้องเพื่อนให้ช่วยด้วย สรุปตาน้ำมันลงโทษผิดคนใช่มั๊ยละ? ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นทุกคนนะคะ
สนุกจังเลย ตอนหน้าขอยาวๆครบทั้ง3คูู่เลยนะ :mew4: :mew3: :mew3:
บทที่ 21 ตกกระไดพลอยโจน ตาน้ำตื่นขึ้นเพราะได้กลิ่นที่ตัวเองไม่ชอบเข้าจมูก หันมองคนที่นอนข้างๆ หายไป จึงลุกขึ้นตามหา เดินออกมาจนถึงระเบียง เจอร่างเจ้าของห้องยืนอยู่พร้อมกับกลิ่นที่เขาไม่ชอบ จนพาลจะหงุดหงิดใจแต่เช้า สาวเท้าก้าวไปถึง มือซ้ายรวบเอวอีกฝ่ายรั้งเข้ามาพิงอก พร้อมกับมือขวา คว้าเข้าที่ข้อมือให้รั้งออกจากตัวอีกฝ่าย บิดข้อมือให้ปล่อยของในมือออก “อะ น้ำ!” “เคยบอกแล้วใช่มั๊ย ว่าไม่ชอบให้สูบ พูดนี่ไม่ฟังกันบ้างเลยใช่มั๊ย” “โทษที เพลินไปหน่อย” ได้ยินดังนั้นก็หันไปมองก้นบุหรี่ที่ถูกกดทิ้งไว้ เช้านี้กี่ตัวแล้วละ “แสดงว่า ช่วงที่กูไม่มา มึงสูบ?” “บางทีอะ เครียดๆ คิดไรไม่ออก อยากนั่งเพลิน” ฟังคนตอบคำถามอย่างไม่รู้สึกผิดแล้วก็อยากจะโมโห แต่ก็น่ะ นี่มันเช้าอยู่ ไม่ควรอารมณ์ไม่ดี “เพียว ตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอ ว่าจะเลิก ทำไมสูบอีก คำพูดกูนี่มันไม่ได้สำคัญจนเข้าหูเลยใช่มั๊ย” คำพูดที่ฟังแล้วดูเหมือนน้อยใจของอีกฝ่าย กลับทำให้เพียวใจสั่น ก็จริงที่ตกลงกันไว้ว่าจะเลิกสูบบุหรี่ แต่การที่อีกฝ่ายไม่ค่อยได้มาทีห้องก็ทำให้ตัวเองเผลอสูบอีก “รู้แล้ว ก็พยามเลิกอยู่นี่ไง” “ไหนเลิก นี่สูบไปกี่ตัวแล้ว ไหนจะช่วงกูไม่ได้มาอีก ทั้งตัว ทั้งห้องมึงมีแต่กลิ่นบุหรี่ ไม่รักตัวเอง ก็รักพ่อแม่บ้างเค้าเลี้ยงมึงมาจนโต ถ้ามึงเป็นอะไรไปตอนนี้ จะให้เค้ามานั่งดูแลมึงอีกหรอ” “อืม รู้แล้ว เดี๋ยวเลิกให้” ตาน้ำพลิกตัวอีกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหา แล้วขยับให้หลังอีกฝ่ายพิงกับราวระเบียง ลิ้นร้อนส่งออกไปไล้เลียที่ใบหู “ที่กูพูดเนี่ยเข้าหูนี้บ้างมั๊ย หือ หรืออยากจะให้กูทำโทษ ” “เข้า…ใจ แล้ว อื้อ น้ำ พอก่อน” “ทำไม เดี๋ยวนี้ขัดขืน ” เพียวเม้มปากแน่นสนิท ก็รู้ว่าขัดขืนไปก็ไม่ได้อะไร ยื้อกันไปมาก็จะเจ็บตัวซะเอง เปลี่ยนจากหูซ้าย ไล้ตามคอมาจนถึงหูขวา แต่เพียวก็ยั้งตัวอีกฝ่ายนึงไว้ “อื้อ น้ำ ไม่เอา” “ถ้ากูจะเอามึงจะทำไงหึ มึงห้ามกูได้หรอเพียว” ไม่ได้ นั่นคือคำตอบที่เพียวรู้ดี ขณะที่ตาน้ำกำลังนัวเนียเจ้าของห้องอยู่นั้น ทำให้ทั้ง 2 คน ไม่ได้ยินเสียงประตูที่ปลดล็อคออก จะกระทั่ง “โอ๊ะ ตายจริง” ได้ยินเสียงคนเข้าห้องมาเพียวก็ผละตาน้ำออกราวกับโดนของร้อน ตาน้ำหน้านิ่วกับการกระทำนั้น แต่ก็ต้องหันหน้าไปหาคนที่มาเยือน” “แม่!!” เพียวรู้สึกเดจาวู เหมือนที่เข้าห้องพอสเมื่อวาน แต่ครั้งนี้เป็นเค้าเองที่ต้องตกใจ สมัยนี้เวรกรรม 4 G จริงๆ ไหนใครว่าประเทศไทยมันยังไม่มีไง “คุณน้าพิม สวัสดีครับ” เพียวว่าตัวเองตาไม่ฝาดที่เห็นตาน้ำยิ้มน้อยๆ ไม่ได้มีสีหน้าตกใจใดๆ อะไรกัน “แม่โทรหา เห็นไม่รับ รอข้อความตอบกลับ ก็ไม่มี คิดว่า ไปอยู่ที่ร้านแล้วยุ่งอยู่ เลยขึ้นเอาของมาไว้ให้” เห็นของที่มารดา เพียวก็พุ่งเข้าไปรับ พร้อมๆ กับตาน้ำที่กุลีกุจอเข้าไปหา “แม่โทรมากี่โมง ผมไม่เห็นรู้เรื่อง” “ 8 โมง โทรมาไม่รับ แม่ก็ส่งข้อความมาบอกเลย” 8 โมง กว่าๆ คือเวลาที่ตาน้ำเดินออกมาจากห้องนอน อย่าบอกน่ะว่าเห็นข้อความที่แม่เขาส่งมาหา นี่มันบ้าอะไรกัน! “แล้วตาน้ำ ทำไมมาอยู่ที่นี่แต่เช้า อย่าบอกนะว่าลูก 2 คน เป็น……” “ไม่….” “ใช่ครับ” คนตอบไม่ใช่เพียว เพราะเค้ายังพูดไม่จบดี แต่อีกคนก็ชิงตอบมารดาไปเสียก่อน โอ๊ย…อยากจะบ้า ตาน้ำมันประสาทกลับหรือไง เมื่อทุกคนนั่งลงที่โซฟา ตาน้ำก็ลงไปคุกเข่าที่พื้นต่อหน้าแม่ของเพียว ทำให้เพียวต้องนั่งลงข้างๆ “เมื่อคืนผมไม่สบายครับ จะอยู่กับน้ำนิ่งก็กลัวจะติดกัน เลยขอเพียวมานอนที่นี่ เรื่องที่คุณน้าสงสัย ก็เป็นไปตามนั้นครับ ผมขอโทษด้วยที่ปิดบัง หากแต่คิดว่าเรายังเด็ก อีกอย่าง การเป็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่ หรือ ใครๆ จะรับได้ ผมขอโทษและยอมรับผิด ตัวผมเองคิดว่าจะเรียนให้จบ รับผิดชอบตัวเองให้ได้ดีกว่านี้ก่อน ถึงจะเรียนให้คุณน้ากับแม่ทราบ ” เพียวหันหน้ามองตาน้ำอย่าง งง ๆ ก็งง ทุกอย่างตั้งแต่ที่แม่เขาเข้ามาในห้องนี้ ที่พูดหมายความว่าไงนะ สมองอื้อ อึง ประมวลผลไม่ทัน หันหน้ามองแม่ตัวเอง สีหน้าไม่ได้มึนตึงแต่อย่างใด ยิ่งทำให้เพียวกลัว “อันที่จริง การที่ตาน้ำไปๆ มาๆ น้าเองก็รู้ เพราะพี่เพียวเขาเล่าให้ฟังอยู่ แต่เอาจริงๆ น้าไม่คิดว่าจะไปกันถึงขั้นนี้ แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย คบกันแล้วพากันเรียน น้าก็ดีใจ พี่เพียวเองก็เคยบอกน้าว่า ถ้าตาน้ำไม่ได้มาให้ติวหนังสือ เขาเองก็คงเรียนไม่ได้เกรดดีแบบนี้ เพราะการที่ต้องติวให้ก็ทำให้ตัวเองได้ทบทวนไปในตัว น้าดีใจที่เป็นคนกันเอง อย่างน้อยก็หมดห่วงว่าจะเกิดอะไรที่ไม่ดีกับลูกชายน้า ” ก็นั่นละ มารดาเขาก็รู้ตั้งแต่ตาน้ำก้าวมาที่คอนโดครั้งแรก ไม่รู้ก็แปลกแล้ว เสื้อผ้าก็คนละไซด์ ข้าวของบางอย่างมี 2 อัน จนต้องเอ่ยถาม เพียวก็บอกไปตาน้ำมาให้ช่วยติวหนังสือ นั่นก็เรื่องนึง แต่เอาจริงๆ ถ้าไม่มีคนข้างๆ ป่านนี้เขาก็ไม่รู้จะเป็นผู้เป็นคนอยู่รึป่าว ตาน้ำเองก็ไม่รู้ว่าแม่ของเพียวนั้นรู้เรื่องระหว่างเขา 2 คนมากแค่ไหน แต่ที่รู้ๆ ตั้งแต่ช่วงที่เพียวพักการเรียน ก็เอาแต่เที่ยว กินเหล้า จนเกือบจะติดยา ไม่ทบทวนบทเรียน จนแม่ของเพียว ให้ไปช่วยงานที่ร้าน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ปิดร้านก็ยังไปเที่ยวอยู่เหมือนเดิม แม้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วก็ตาม ได้ฟังเรื่องจากพอสผ่านๆ ก็เลยทำให้เขาพาตัวเองมาถึงที่นี่ สร้างเงื่อนไขกับเพียว เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาขู่ให้เชื่อฟัง แต่ตาน้ำเองก็คิดว่ามารดาของเพียวน่าจะมองออก ไม่งั้นคงไม่พูดออกมาแบบนั้น “ผมขอโทษนะครับแม่ ที่ไม่ได้บอก ผมรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันออกจะผิดแปลกไป ผมกลัวแม่รับไม่ได้ ผมไม่อยากทำผิดกับแม่อีก” คนเป็นแม่ส่งมือมาวางแนบแก้มลูกชายทั้ง 2 ข้าง นิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้าง ปาดน้ำตาที่ไหลออกมา “เพียวเป็นลูกของแม่นะครับ จะผิด หรือ จะถูก เพียวก็ยังเป็นลูกของแม่ อย่าคิดมากนะลูก” เพราะความผิดพลาดของลูกชายที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจครั้งก่อน ทำให้ผู้เป็นมารดายิ่งสงสารและเอ็นดู เมื่อได้กลับมาเห็นความตั้งใจเรียนและทำงานที่ร้าน เพียวกราบลงที่ตัก หากแต่ผู้เป็นมารดาเอามือรับไว้ ตาน้ำก็ทำตาม “แล้วนี่บอกน้องแล้วใช่มั๊ย เรื่องญี่ปุ่น” “ญี่ปุ่น? อะไรกันหรอครับ” ก็ว่าอยู่ทำไมเมื่อคืนถึงเห็นอ่านหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่น “อ้าวนี่ ไม่ได้บอกน้องหรอลูก พี่เพียวได้ทุนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นนะ” รังสีอำมหิตแผ่ซ่านมาอีกแล้ว เพียวคิดว่าคราวนี้โทษที่ได้รับ คงหนักกว่าสูบบุหรี่หลายเท่า “เอ่อ… ยังเลยครับแม่ พอดียุ่งๆ ตาน้ำไม่สบายเมื่อวาน แล้วแม่ก็มา” “อ่าว ตายจริง น้าขอโทษนะจ๊ะตาน้ำนึกว่าคุยกันแล้ว งั้นแม่ไปก่อนนะ ทั้ง 2 คน เย็นนี้อย่าลืมไปงานที่นัดไว้ ชุดที่แม่เอามาวันนี้นะเพียว ฝาแฝดไปกับคุณลิลด้วยใช่มั๊ย แล้วเจอกันนะจ๊ะ ” “ครับ คุณน้า” ‘เพียวหันมองคนหน้านิ่งที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี เรื่องที่จะต้องไปเรียนต่อญี่ปุ่น หรือเรื่องที่อีกฝ่ายบอกมารดาเขาไปว่าคบหากันอยู่ ปวดหัวยิ่งกว่าปวดหัว’ . . . . . . น้ำนิ่งกระพริบตามองเพดานปริบๆ พยายามทบทวนสมองตัวเองช้าๆ เพื่อปรับโฟกัส ‘ห้องทิม’ นึกออกก็ต้องหันไปมองข้างๆ หากแต่ที่นอนนั้นว่างป่าว บ้าจริง! ตื่นสายแบบนี้ได้ยังไงกัน หรืออาจจะเพราะไม่สบายเลยหลับลึกมากไปหน่อย ทำไมนอนไม่ระวังตัวเลยว่ะ หันหามือถือตัวเองคว้าดูนาฬิกา บอกเวลา 8 โมงเช้า นี่ก็เวลาตื่นปกติวันหยุดนี่หว่า ไม่ได้สายสักหน่อย ทำไมทิมตื่นเช้าจัง ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินตามหาเจ้าของห้อง เห็นหลังไวๆ อยู่ที่ครัว ทิมที่ได้ยินเสียงกะทิร้อง ก็หันไปตามเสียง “อ้าว ตื่นแล้วหรอ ล้างหน้า แปรงฟัน เดี๋ยวมากินข้าวกัน ” “ทำไมตื่นเช้าจัง เราว่าเราตื่นเช้าแล้วนะ ” ทิมอยากจะบอกว่าไม่ได้อยากจะตื่นเช้าเลย อยากจะนอนข้างๆไปนานๆ แต่การที่มีคนมานอนด้วยทำให้หลับไม่สนิท เพราะกลัวจะเบียดคนข้างๆ ไหนจะต้องห้ามใจตัวเอง พอรู้สึกตัวแต่เช้ามืดก็ลุกมาเลยซะดีกว่า “ชิน น้ำนิ่งจะอาบน้ำเลยมั๊ย ทิมซักชุดให้แล้ว แป๊ปเดียวคงแห้ง รีดสักหน่อยก็ใส่ได้” น้ำนิ่งตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “เอ๊ย ทิม ซักทำไม เกรงใจ มารบกวนแล้วจะมาทำนู้นทำนี่ให้อีก” คนฟังส่งยิ้มหวานให้ยามเช้า จนน้ำนิ่งใจสั่น “เต็มใจ แต่ถ้าไม่อยากใส่ชุดเมื่อวาน กลัวกะทิมันจำได้ ก็ใส่ชุดอื่นก็ได้นะ ของทิมมีที่ยังไม่ได้ใส่อีก” “พอแล้ว เราเกรงใจ ไว้จะซักมาคืนนะ” ทิมอยากจะตอบว่าไม่ต้องซักได้มั๊ย ก็กลัวว่าจะดูโรคจิตเกินไป เดี๋ยวจะรับไม่ได้กันพอดี “ตามสะดวกครับ จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ได้นะ หรือจะเอาไว้ที่นี่ไว้ใส่เวลามาอีกก็ได้นะ” น้ำนิ่งหน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ทิมนั้นยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น “งั้น เอาไว้ใส่เวลามาที่นี่ละกัน เราไปอาบน้ำก่อนนะ” คำพูดนี้พูดอย่างเร็วเพราะคนพูด พูดไปก็เดินหนีไป แต่ทิมนั้นได้ยินชัดเจนเป็นอย่างดี เอาจริงๆคนพูดมันไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะหลังๆ มาบ่อย ชุดนักศึกษาติดขนแมวกลับตลอด ก็เลยอยากมีชุดเปลี่ยน น้ำนิ่งเดินเข้าห้องน้ำ ก็เห็นชุดหนึ่งชุดวางเตรียมไว้ให้ มือส่งไปสัมผัสกับสิ่งของที่เห็นจนเผลอยิ้มออกมา อาบน้ำเสร็จก็ออกมานั่งกินข้าว ภาพกะทิตะกายอกเจ้าของ ขอกินข้าวจากมือนั้น เริ่มเป็นภาพชินตา “เดี๋ยวทิมต้องกลับบ้านอะ น้ำนิ่งจะอยู่นี่ก่อน หรือจะให้ไปส่ง หรือจะไปด้วยกัน” “กะทิละ” บางทีทิมก็เริ่มจะน้อยใจคนตรงหน้าที่ห่วงแมวมากกว่า “ก็เอาไปด้วย วันนี้แม่นัดหมอมาฉีดวัคซีนตัวอื่นที่บ้าน” “’บ้านทิมมีแมวตัวอื่นอีกหรอ งั้นเราไปด้วยได้มั๊ย อยากไปเห็นตัวอื่นๆ อ่ะ” แต่ก็นั่นละทิมก็คิดว่าการเอาแมวเข้าล่อได้ผลเสมอ “ได้ เจอตัวอื่นแล้วอย่าลืมกะทิกับเจ้าของมันนะ” น้ำนิ่งกินข้าวเสร็จพอดี ก็ลุกขึ้นเก็บจาน แต่ทิมมองว่าเหมือนจะลุกหนียังไงยังงั้น “บ้า ใครจะลืม เดี๋ยวกะทิเสียใจพอดี” น้ำนิ่งยืนล้างจานอยู่ที่เคาเตอร์ ทิมก็เดินตามเข้าไปเอามือท้าวไว้คร่อมตัวอีกฝ่าย คล้ายกับกอดจากด้านหลัง กระซิบเข้าที่ข้างหู “ลืมก็ไม่ว่าหรอก เพราะเราจะทำให้กลับมาจำได้เอง” ทิมพาน้ำนิ่งแวะเอาขนมที่ร้านตามคำขอที่บอกว่าไปหาผู้ใหญ่ต้องมีของติดไม้ติดมือไปด้วย ไม่นาน รถสปอร์ตยี่ห้อ audi ก็พาผู้โดยสารพร้อมแมวมาถึง น้ำนิ่งอยากจะเรียกมันว่า คฤหาสน์ แบบที่ในละครเรียกกันซะด้วยซ้ำ นี่มันบ้านตรงไหน มองบ้าน มองคนตรงหน้า มองแมว แล้วก็ถอนหายใจ ไม่เคยรู้เลยว่าบ้านทิมจะใหญ่ขนาดนี้ คนตรงหน้าทำตัวธรรมดาๆ ไม่ได้หวือหวาแบบพอส หรือใครๆ ที่เปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ ใช้เงินทิ้งขว้าง ก็มีแต่รถนี่ละที่ราคาแพงหน่อย ไม่เคยสงสัยอะไร เพราะใครๆ ก็ใช้กัน เปลี่ยนใจทันมั๊ย? คิดว่าคงไม่ทัน ก็มันดันชอบไปแล้วนิหน่า ก้มหน้ารับกรรมไปนะ รถจอดลงพร้อมๆกับเสียงจากคนในบ้าน ทิมเปิดประตูลงพร้อมเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งน้ำนิ่ง น้ำนิ่งเองตกใจที่ทิมทำแบบนี้ แต่ก็คิดว่าเพราะตัวเองอุ้มกะทิอยู่ ทิมคงคิดว่าน้ำนิ่งทำอะไรไม่ถนัดมากกว่า มีคนวิ่งมารับกะทิไปอุ้ม น้ำนิ่งยกมือไหว้สวัสดี “อุ้ย! พี่เป็นคนใช้ ไม่ต้องไหว้หรอกคะ “ “ไม่เป็นไรครับ ยังไงพี่ก็อายุมากกว่าผม” “คุณท่านอยู่ที่ห้องดูทีวีนะคะ” ทิมพยักหน้ารับรู้ในคำบอกนั้น ก่อนจะออกตัวเดินเข้าบ้าน ก็ยื่นมือมาจับมือน้ำนิ่ง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้รู้ไว้ว่าทิมอยู่ข้างๆ และจะไม่เปลี่ยนใจ ถ้าใครพูดอะไรก็ไม่ต้องคิดมากนะ นิ่งๆ เฉยๆไว้ อย่าเครียด โอเคป่ะ” แม้จะงงในเหตุผลที่เจ้าของบ้านพูดมา แต่ก็พยักหน้ารับไว้ก่อน เรื่องไม่พูดกับคนแปลกหน้านี่สบาย แต่กับผู้ใหญ่จะทำได้หรอ? ทิมพาน้ำนิ่งเดินเข้ามาถึงห้องที่สาวใช้บอก เปิดประตูเข้าไปก็เจอ ผู้ใหญ่ 2 คนนั่งอยู่ ไม่บอกก็รู้ว่าใครเป็นใคร “พ่อ แม่ สวัสดีครับ” คำทักทายนั้นทำให้น้ำนิ่งปล่อยมือทิมทำความเคารพผู้ใหญ่ พอทิ้งมือลงทิมก็คว้ามาจับไว้เหมือนเดิม “น้ำนิ่งใช่มั๊ย ตามสบายนะคะ” หญิงสูงวัยที่อุ้มกะทิอยู่ในมือกล่าวทักทาย ทำให้น้ำนิ่งยิ่งสงสัยว่าทำถึงรู้จักชื่อ ทั้งๆที่ทิมยังไม่ได้เอ่ยแนะนำด้วยซ้ำ “นี่แกกล้าพามาบ้านเลยหรอ คิดถึงคนในบ้านบ้างมั๊ย “ คำพูดจากชายสูงวัยทำให้ทิมกระชับมือที่จับน้ำนิ่งแน่นขึ้นไปอีก “คุณคะ” ”คุณไม่ต้องพูด ผมละปวดหัวกับลูกชายคุณจริงๆ ไม่ได้ดังใจซักอย่าง” “ก็ในเมื่อเป็นลูกชายฉัน ก็ปล่อยให้ฉันจัดการเองเถอะคะ” “จัดการโดยการพาแฟนผู้ชายเข้าบ้านเนี่ยนะ” น้ำนิ่งหันมองหน้าทิม แต่หากทิมยังมีท่าทางสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อนใดๆ กับคำที่กล่าวว่าน้ำนิ่งเป็นแฟน นี่มันอะไรกันละเนี่ย ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย “มีแฟนเป็นผู้ชาย ก็ดีกว่าโดนพ่อบังคับให้แต่งงานแล้วก็เลิกกัน จนลูกที่เกิดมาต้องกลายเป็นเด็กมีปัญหาแบบเท็ดดี้หรอครับ” ทิมไม่ได้พูด หากแต่คนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่เป็นคนพูดขึ้น น้ำนิ่งยกมือไหว้ เด็กผู้ชายที่ตามหลังวิ่งเข้ามาหา แม่ของทิมและกะทิ น้ำนิ่งยกมือไหว้ก็ได้รับการพยักหน้าและรอยยิ้มตอบกลับมา “อาทิม กะทิ คิดถึง” “ไทน์ แกเอาหลานเข้ามาทำไม นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่” “บางที่เท็ดดี้ก็ควรจะรู้จะครับ ว่าการที่แม่อยู่กับพ่อไม่ได้เพราะปู่มันบังคับให้แต่งงานกันเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ ” “พ่อจะบังคับน้องมันไปถึงไหนครับ ในเมื่อพี่ไทน์ก็ทำตามที่พ่ออยากได้ทุกอย่างแล้ว พ่ออยากให้พี่ไทน์แต่งงานกันมินตรา พี่ ไทน์ก็ยอมจนมีลูกอย่างที่พ่ออยากให้เป็น สุดท้ายก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเท็ดดี้มันไม่ได้เกิดมาในบ้านนี้ มันจะเป็นยังไงครับ ตอนนี้มันดีตรงที่มีพ่อ มีปู่ มีย่ามีอา คอยดูแล ถ้าวันนึงพ่อกับแม่ไม่อยู่ พี่ไทน์เอาแต่ทำงาน มันจะอยู่ยังไงครับ” ผู้ชายอีกคนที่เดินเข้ามาใหม่ ยืนกอดออกคุยกับบิดา น้ำนิ่งทำความเคารพอีกครั้ง ได้รับการพยักหน้าและส่งยิ้มกลับน้อยๆ เหมือนคนแรก น้ำนิ่งก็คิดว่า คนที่เข้ามาใหม่ 2 คนนั้น รอยยิ้มเหมือนกับทิม และแม่ของทิมราวกับพิมพ์เดียวกัน “ไทน์!!ทอย! แกอย่ามาสร้างเงื่อนไขกับฉัน” “พวกผมไม่ได้สร้างเงื่อนไขครับ ผมอยากจะบอกให้พ่อเข้าใจ ปล่อยๆมันไปบ้างเถะครับ นี่มันยุคไหนแล้ว การที่น้องมันเรียนดีขนาดนี้ มันก็มีหัวคิดเองได้แล้วว่าอะไรดีไม่ดี ผมว่าบางทีน้องมันอาจจะคิดได้ดีกว่า ผม พ่อ พี่ไทน์ ก็ได้” “ทอย! นี่แกด่าฉันหรอ” “ผมป่าวนะครับ พ่อคิดไปเองหรือป่าว แต่ถ้าพ่อไม่อยากจะให้น้องมันไม่เข้าบ้านแบบผมอีกคน พ่อจะทำอะไรก็แล้วแต่พ่อเลย” “ก็เพราะมันมีแกเป็นตัวอย่างนะสิ มันถึงทำตามมีแฟนเป็นผู้ชายแบบแก” “ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ผมก็ทำงานให้พ่อได้นิครับผมก็เห็นพ่อยอมรับดี หรือที่พ่อยอมรับผมเพราะโยชิเป็นลูกของหุ้นส่วนบริษัทเหมือนกัน อีกอย่างที่ผมกับน้องเป็นแบบนี้ พ่อก็น่าจะรู้ว่าเพราะตัวอย่างความล้มเลวของชีวิตคู่พี่ไทน์” คำพูดแทงใจดำบิดาที่ทุกคนในบ้านรู้ดี ถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น่าแปลก เรื่องราวที่พูดคุยอยู่ตรงหน้ามันเป็นเรื่องที่น้ำนิ่งคิดว่ามันเครียดมาก แต่น้ำเสียงและคำพูดที่คนในห้องกล่าวมานั้นดูเหมือนการพูดคุยปกติก็ไม่ปาน “เรื่องของพวกแกเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ พวกแกมันลูกแม่อยู่แล้วนิ ฉันมันจะทำอะไรได้ เรียนให้มันจบๆละ” “ขอบคุณครับพ่อ” ลูกชาย 3 คนกล่าวรับคำบิดา “ไปทิม น้ำนิ่ง เท็ดดี้ ย้ายไปกินหนมห้องอื่นกันเถอะ ปล่อยคนแก่คิดมากอยู่ไปคนเดียว” พี่ชายคนกลางกล่าวก่อนที่จะเปิดประตูออกไป ปิดท้ายด้วยสตรีสูงวัย “อ่อ ฉันจะบอกอะไรคุณอย่างนึง ขนมที่คุณกำลังเคี้ยวอยู่ น้ำนิ่งเป็นคนทำและเอามาฝากคะ” ได้ยินเช่นนั้น ผู้เป็นบิดาก็ชะงักตกใจ แต่ก็คิดว่าขนมมันก็อร่อยดี ออกมาจากห้อง พี่ชายคนโตก็อุ้มลูกขึ้นมา หันหน้าหาทิมและน้ำนิ่ง “เท็ดดี้ นี่อาน้ำนิ่ง เพื่อนอาทิม” เด็กชายตัวกลมยกมือไหว้ น้ำนิ่งยิ้มตอบ “อามีขนมมาฝากด้วยนะ” “กินๆ พ่อๆ ไปกินหนมๆ” “โธ่ พี่ไทน์ ก็แทนที่จะบอกเป็นแฟนไปก็จบ เดี๋ยวโตมาก็ต้องมาสอนกันใหม่อีก ปวดหัว” “ทอย หลานยังเด็ก ค่อยๆ สอนไปเถอะลูก อย่าไปทำให้สับสนเลย” “ก็ได้ครับแม่” “กะทิๆ กินหนมๆ” เด็กชายวัย 5 ขวบดิ้นลงจากอกผู้เป็นพ่อ วิ่งหาย่าที่อุ้มกะทิออกมาแล้วยกมือขออุ้มเอง พานำทุกคนเดินออกไป ยังศาลานอกบ้าน ริมสระว่ายน้ำ ‘ทิมก็คิดว่า ถ้าพาน้ำนิ่งมาบ้านตั้งนานแล้ว อะไรๆก็คงง่ายไปนานแล้ว แม่และพี่ชายเขารู้อยู่แล้วว่าน้ำนิ่งเป็นลูกใคร หากแต่ผู้เป็นพ่อนั้นมีท่าทีขัดขืนแหมือนเมื่อครั้งที่เกิดเรื่องพี่ทอยตอนที่ยังไม่รู้ว่าแฟนพี่ทอยเป็นใคร ทุกคนจึงช่วยกันปิดอีกครั้ง เพราะอยากให้พ่อยอมรับในตัวคนรักของลูกมากกว่ามองว่าเป็นลูกใคร ฐานะอะไรอย่างที่พี่ชายคนโตโดนบังคับให้แต่งงาน’ --------------------------------------TBC---------------------------------------------- สุขสันต์วันเด็กค่า พาคู่ฝาแฝดมาส่ง เด็กวิศวะมันร้าย บอกพ่อแมไปว่าเป็นแฟนกัน ทั้งๆที่ยังไม่เคยตกลงกันซะหน่อย ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ทุกคนนะคะ เอาตามจริงเรื่องแรกของเราคิดว่าเขียน 20 ตอนก็เยอะแล้ว แต่มาถึง 21 ตอนแล้ว ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
ตกกระไดพลอยโจร (โจร ----- ผู้ร้าย)คำที่ถูก ตกกระไดพลอยโจน พอตกบันได เลยกระโจนลงมา ดูเข้ากับที่ตาน้ำกำลังกอดจูบเพียว พอแม่เพียว เปิดประตูมาเห็นเลยสารภาพไปเลย จับคู่ที่ถูกต้องจริงๆ ตาน้ำ - เพียว ทิม - น้ำนิ่ง ตาร์ - พอส ดูท่าตาน้ำ เป็นตาน้ำจริงๆ เพราะน้ำเพียว น้ำพอส ไหลมาหา แต่น้ำพอสไหลไปหาตาร์ละ :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณค่า คนเขียนลืมหาคำที่ถูกต้อง ขอโทษด้วยนะคะ
สรุป เป็นพอสหรอ ที่แยกตัวออกมาอะ โห๊ย หรทอยังไง เพียวโคตรเลย หรือเพียวก็ด้วย โอ๊ย สุด ๆ พอสมันแค่อยากได้น้ำนิ่ง ?? แฝด เขารักกันผูกพันธื เพราะ น้องเป็นแบบนี้สินะ เห้อ ทิม อดทนเยอะ ๆ ส่วนเพียวน้ำนิ่ง ถ้าเพียวไม่ได้ทำ ปรับความเข้าใจกันนะ สงสารเพียว
บทที่ 22 แฟนหรอ? เพียวยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่พื้นหลังจากมารดาออกจากห้องไป พอได้สติจะขยับตัวลุกขึ้น ตาน้ำก็ส่งมือมาฉุดให้นั่งลง หมุนให้ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากัน “ทำไมไม่บอกเรื่องไปญี่ปุ่น” “ทำไมบอกแม่แบบนั้น” คำถามถูกเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน ความเงียบก่อตัวขึ้น แต่ยังไม่มีคำตอบจากใครหลุดออกมา มือของตาน้ำยังคงจับอยู่ที่ข้อมือเพียวอย่างนั้น ตาน้ำรู้ดีเค้าควรต้องตอบคำถามก่อน อารมณ์เพียวแบบนี้คงไม่พูดกับเขาแน่ “ก็แม่มึงมาเจอตอนกูจูบมึง จะให้บอกว่าไร ไม่ได้เป็นไรกัน แล้วทำไมกูมาอยู่กับมึง กอดมึง จูบมึง ไหนมึงบอกกูสิจะให้กูตอบแม่มึงว่าไรละ ” “ก็เลยบอกไปว่าเป็นแฟนหรอ? ” “อือ หรือจะให้กูบอกว่ามึงเป็นเมีย?” “น้ำ! รู้อยู่แล้วใช่มั๊ยว่าแม่จะมาที่ห้อง” “ก็เห็นข้อความ แต่ไม่คิดว่าจะมาทันทีนี่หน่า ก็เลยไม่ได้บอกมึง พอ…ได้เวลามึงตอบคำถามกูละ” ฟังคำตอบแล้ว ไม่อยากจะคิดว่าตาน้ำมันตั้งใจมานัวเนียเขาเพื่อรอเวลาที่แม่จะมาจริงๆหรอกนะ ถ้าเป็นงั้นจริงนี่มันคิดอะไรอยู่กันแน่ ว่าแล้วก็ถอนหายใจก็เอ่ยคำที่ต้องตอบอีกฝ่ายออกมา “อืม กูได้ทุนไปญี่ปุ่น ตอนแรกก็ลังเล แต่แม่กับพ่ออยากให้ไป เพราะน้อยคนที่จะได้ทุนด้านนี้ ” “ต้องไปเมื่อไร แล้วมึงคิดจะบอกกูเมื่อไรกัน มึงคิดจะหนีกูอีกแล้วใช่มั๊ยเพียว” ช่วงเวลาที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน ตาน้ำไม่ได้มองหน้าเพียวอย่างโกรธเคืองแบบที่เพียวคิดไว้เลย ทำให้เขาแปลกใจและรู้สึกผิดที่ตั้งใจปิดบังอีกฝ่าย “ขอโทษ ก็เพิ่งตัดสินใจได้ไม่นาน ช่วงนั้นเราก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ไม่รู้จะบอกยังไง คิดไว้ว่าบอกตอนเจอกันน่าจะคุยกันเข้าใจมากกว่า เรียนปีหน้าอีกเทอมเดียว ไม่ต้องฝึกงาน เพราะอาจารย์ให้ยื่นเรื่องที่ทำงานที่ร้านเป็นการฝึกงานแทน กูไม่ได้คิดว่าจะไปเพราะหนีมึงเลยนะ” เอาที่จริงเพียวก็คิดนั่นละ คิดว่าเขาควรจะไป ไปไกลๆ จะได้ตัดใจได้ เพราะยิ่งอยู่ ยิ่งผูกพัน ยิ่งรู้ว่าตอนนี้น้ำนิ่งเข้ากับทิมได้ดี ก็ดูเหมือนว่าเงื่อนไขเขาจะจบลงในเร็ววัน “ไม่หนี? แต่ไม่คิดจะบอก? กูต้องรู้เป็นคนที่เท่าไรว่ะ” เพียวเกลียดน้ำเสียงตัดพ้อของอีกฝ่าย แต่ตาน้ำรู้ดีน้ำเสียงแบบนี้ทำให้เพียวยอมเขาทุกอย่าง เพียวขยับเข้ากอด นี่เป็นวิธีง้อที่ดีที่สุดที่คิดได้ตอนนี้ ทำให้ตาน้ำตกใจเล็กน้อย “ขอโทษจริง ยังไม่ได้บอกใครเลย พอสก็ยังไม่รู้ เพิ่งตัดสินใจพร้อมพ่อกับแม่ไม่กี่วัน น้ำอย่าโกรธเลยนะ” “กูบอกไว้เลย ว่ากูไม่ปล่อยให้มึงหนีกูไปง่ายๆหรอก” หลังจากพูดจบ ตาน้ำก็หันหน้าตัวเองไซร้เข้าที่ซอกคอเหมือนจะทำต่อจากที่โดนขัดจังหวะเมื่อเช้า เพียวรู้แล้วว่าครั้งนี้เขาไม่มีทางขัดขืนอีกแล้ว “อือ อือ รู้แล้ว” ตาน้ำไม่ได้ตกใจกับการที่มารดาของเพียวมาที่นี่เลย เอาจริงๆ เขาออกจะดีใจด้วยซ้ำที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ แม้ว่าเรื่องที่อีกคนจะไปญี่ปุ่นทำให้ใจหายก็ตาม เอาจริงๆ เรื่องนี้มันไม่ได้ยากสำหรับเขาเลย . . . . . . . ทิมพาน้ำนิ่งขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องนอนของตัวเอง ถึงห้องก็เปิดประตูให้น้ำนิ่งเดินเข้าห้องไปก่อน ปฏิกิริยาของน้ำนิ่งยังคงคล้ายกับการที่ไปห้องที่คอนโดของทิมครั้งแรก คือการยืนหมุนไปหมุนมามองสภาพห้องรอบตัว ทิมเดินเข้าห้องแล้วก็จับน้ำนิ่งหันหน้าเข้าหากัน “พ่อกับแม่เข้าใจไปแล้วว่าเป็นแฟนกันอะ โกรธหรือป่าว?” ได้ยินคำถามก็ทำให้สมองประมวลผลตาม “แฟนหรอ?” นั่นสิ ผู้ใหญ่เข้าใจไปแบบนั้นแล้ว ทำไงดี “งั้น เป็นแฟนกันจริงๆ เลยได้มั๊ย” “ห๊า?” ได้ยินคำขอเป็นแฟนก็ตกใจ ไม่เคยคิดว่าตัวเองกับอีกคน จะก้าวมาถึงความสัมพันธ์ในระดับนี้ ใจพาลคิดไปถึงฝาแฝด หากเขามีแฟน แล้วตาน้ำละจะเป็นยังไง “ถ้ายังไม่พร้อม ไม่เป็นไรนะ ทิมรอได้” คำนี้อีกแล้ว คำว่ารอได้ของทิม ทำให้ความรู้สึกผิดในใจของน้ำนิ่งเริ่มก่อตัวเพิ่มขึ้น เขาทำให้ทิมเริ่มอึดอึดและและเบื่อหน่ายรึป่าว สมองที่ได้รับคำถามมากมายเกิดการประมวลผลช้ากว่าการกระทำ จึงทำให้ทำนิ่งขยับตัวเองเข้าไปสวมกอดทิม “ถึงเวลาแล้วเราจะบอกนะ”ไม่ใช่ไม่มั่นใจในคนตรงหน้า แต่การผ่านเรื่องราวเลวร้ายมา มันทำให้ตัวเองไม่มั่นใจว่าจะดีพอสำหรับทิมรึป่าว “ขอบคุณนะ ไปเถอะเดี๋ยวพาไปดูแมวของแม่” การที่มีทิมอยู่ข้างๆตอนนี้ น้ำนิ่งรู้ดีว่ามันทำให้ความเครียดที่เจอบทสนทนาของครอบครัวทิมหายไป มันกลายเป็นความอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก ทิมพาน้ำนิ่งลงมาที่ศาลาริมน้ำ ตามที่คุยกับแม่และพี่ชายไว้ “น้ำนิ่ง นั่งก่อนลูก ขนมอร่อยมากเลย ทำเองทุกอย่างเลยรึป่าวจ๊ะ” “ใช่ครับ” “เห็นทิมบอกว่าที่ร้านมีขนมไทยขายด้วยหรอ ดีจังเลยนะ แม่ชอบขนมไทย เดี๋ยวนี้หาทานยากมาก” “ขนมไทยของที่บ้านน้ำนิ่งทำมาส่งครับแม่ ยายเขาช่วยสอนเด็กๆแถวบ้านให้ทำแล้วเอามาขายจะได้มีรายได้ เป็นการสอนอาชีพไปในตัว” คำตอบยาวๆแบบนี้ ทิมรู้ดีว่าน้ำนิ่งไม่สามารถตอบได้ เลยต้องตอบแทน “ดีจังเลยนะ ไทน์ ทอย เราน่าจะทำอะไรแบบนี้บ้างนะลูก แม่ว่าดีนะ ไว้น้ำนิ่งเอามาให้แม่ชิมอีกนะคะ เจ้าลูกหมีเท็ดดี้จะได้รู้จักบ้าง ” “ได้ครับ” น้ำนิ่งตอบรับคำ “แม่ครับ ตามใจเจ้าลูกหมีเยอะไปแล้วนะครับ ให้กินแต่ขนม ตัวกลมหมดแล้ว” “อ้าว ก็หลานฉันนิยะ แกอย่ามาพูดเลยเจ้าทอย ใครกันมันหอบขนมจากญี่ปุ่นมาฝากหลานเยอะแยะละ” “โธ่ แม่ก็ …เออ น้ำนิ่ง พี่ซื้อขนมมาเผื่อด้วย เดี๋ยวให้ทิมไปจัดให้ เอากลับไปด้วยนะ” “ขอบคุณครับ” “เอ้านี่ 2 คน อย่ามาพาลนอกเรื่อง เรื่องที่แม่พูดเมื่อกี้ว่าไง แบบที่ยายน้ำนิ่งทำนะ แม่ชอบจริงๆนะ ไว้จะขอไปเที่ยวชมบ้างนะ” “แม่ครับ ผมพาน้ำนิ่งไปดูลูกสมุนของแม่หน่อยนะครับ” เมื่อมารดาเริ่มสั่งงาน ทิมก็คิดว่าควรจะพาอีกคนออกมาก่อน “ไปสิลูก โดนฉีดยา งอแงกันใหญ่แล้วมั้ง” ทิมพาน้ำนิ่งเดินมาถึงส่วนที่กั้นไว้สำหรับแมว มีพันธ์ไทย เปอร์เซีย เทอร์คิชแองโกรา แร็กดอลล์ รวม 4 ตัว ยังไม่รวมกะทิอีก อยู่กันได้ยังไง แขกที่มาเยือนตกใจกับบรรดาแมวที่เห็น ก็เจ้าของบ้านบอกว่าเยอะ แต่ ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ “เยอะมั๊ย” น้ำนิ่งพยักหน้ารับ เห็นเจ้าของบ้านขำแล้วก็แปลกใจ “พันธ์ไทยของพ่อ เปอร์เซียของแม่ เทอร์คิช ของพี่ไทน์ แร็กดอลล์ ของพี่ทอย” น้ำนิ่งมองตามนิ้วชี้ที่ทิมแนะนำ แมวของแต่ละคนช่างเหมือนเจ้าของสิ้นดี “ต้องมีเป็นของตัวเองกันหมดเลยหรอ” ทิมหยิบแมวของพี่ชายคนกลางส่งให้น้ำนิ่ง เจ้าแร็กดอลล์เล่นด้วยง่ายสุดแล้ว “ ฮ่าๆ เอาจริงๆ ตอนแรกแม่เลี้ยงก่อน พอแม่เลี้ยงพ่อก็บอกว่าแม่เล่นแต่แมวไม่สนใจ พอดีมีแมวไทยหลงมา พ่อก็เลยให้เลี้ยงไว้ บอกว่าจะได้เป็นเพื่อนกัน ส่วนที่เหลืออะ พวกลูกค้ารู้ว่าที่บ้านเลี้ยงแมว มีคนหามาเซ่น จะไม่รับก็ไม่ได้ เลยตกเป็นของเรากับพี่คนละตัว 3 ตัวสุดท้ายเนี่ย ราคาแพงสุดๆเลยนะ แต่เอาจริงๆ พ่อกับแม่อยากฝึกความรับผิดชอบด้วยละ โตแล้วดูแลตัวเองได้ก็ควรจะหัดดูแลอย่างอื่นบ้าง “ ท้ายประโยคของทิมนั้น ถ้าไม่ได้คิดไปเอง น้ำนิ่งคิดว่าทิมกำลังพูดกับตัวเองอยู่ เพราะอีกฝ่ายหันมาจ้องหน้าเขาอย่างชัดเจน ยิ่งทำให้เขาหน้าแดงไปใหญ่ “แล้วเท็ดดี้ละ ต้องมีมั๊ย” พูดแล้วน้ำนิ่งก็พาตัวเองนั่งลงกับพื้นข้างหน้ากรงแมว ทิมเห็นการกระทำของอีกคนที่นั่งลงไปอย่างนั้นก็ยิ้มชอบใจ น้ำนิ่งไม่เคยถือตัว ไม่ห่วงลุคว่าเสื้อผ้าจะเลอะ หรือดูไม่ดี ทิมเคยถาม น้ำนิ่งก็ตอบแค่ว่า เลอะก็ซักได้ ไม่เห็นเป็นไร “เท็ดดี้ เลี้ยงส่วนของพี่ไทน์ แต่ถ้าตาย แม่คงหาตัวใหม่มาให้ฝึกดูแล น่าสงสารสุดก็ตัวของพี่ทอยนั่นละ หอบไปมา ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นตลอด แม่ให้เอาไว้นี่ก็ไม่เอา บอกคิดถึง ช่วงไปทำงานที่นู้นก็ต้องหอบไปด้วย” “พี่ทอยไม่ได้อยู่นี่?” “อือ พอดีมีบริษัทที่ญี่ปุ่นขอร่วมทุน พี่ทอยก็เลยต้องไปดูแล 3 เดือนกลับมารายงานผลประกอบการทีนึง ไปๆมาๆ ได้แฟนเป็นคนญี่ปุ่นซะเลย” ชื่อที่ได้ยินก่อนหน้า ทำให้น้ำนิ่งได้ยินอะไรมากขึ้น “แล้ววันนี้ นิ่งไปงานด้วยหรือป่าว ตอนเช้าก็ลืมถามเลย มัวแต่ดีใจที่ได้พามาบ้าน” “เห็นน้ำบอกแม่ว่าจะไป เอาจริงๆ เราก็คิดว่ายังไม่ควรออกงานอะไรพวกนี้หรอกแถมคนเยอะ มีแต่คนอวดนั่นนี่ อวดเพชร อวดหุ้น อวดผลประกอบการ จนยันลูกตัวเอง นี่ไปเพราะเป็นงานบ้านทิมเลยนะ” ได้ยินประโยคสุดท้าย ทิมก็ยกมือไปยี้หัวของอีกคน “นี่ๆๆๆ นี่เราต้องดีใจมั๊ยหืม ที่ลูกเจ้าของผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศให้เกียรติมางาน” “ทิม เวอร์ไปแล้ว ก็น้ำบอกว่าทิมต้องไป ก็เลยไปกัน แค่นั้นเอง” “แล้วชุดละ มีชุดมั๊ย เอาจริงๆ น้ำนิ่งใส่ชุดทิมก็ได้นะ แม่น่าจะเตรียมไว้ให้เลือกเยอะ” “ขนาดนั้นเลย จะหล่อไปไหนครับคุณ” “หล่อ รอคนบางคนตกลงเป็นแฟน” น้ำนิ่งต้องหันหน้าหนี เพราะรู้ว่าตัวเองทำหน้าไม่ถูกแน่ๆ “เวอร์ไปแล้วทิม เราบอกน้ำไว้ว่าถ้ากลับไม่ทัน ให้เอาชุดไปให้ที่ รร อะ แด๊ดกับแม่คงตรงมาจากบ้านอยุธยาเลย” “นี่เวลาแม่กลับมาก็ไปอยู่อยุธยาเลยหรอ” “จริงๆ มีบ้านที่กรุงเทพ แต่อยู่กัน 2 คนก็กว้างไป เวลาใครกับดึก อีกคนอยู่คนเดียวก็อันตราย ก็เลยย้ายมาอยู่คอนโดกัน บ้านนั้นเอาไว้เวลามีธุระที่กรุงเทพนะ” ทิมพยักหน้าเข้าใจ ‘นั่งมองแขกเล่นกับแมวก็รู้สึกอดใจไม่ไหวอีกแล้ว แพ้ทางน้ำนิ่งตอนเล่นกับแมวสุดๆเลย จากที่เคยเห็นว่าน่ารัก อ่อนโยน พออยู่กับแมวแล้วยิ่งมองเห็นสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น สงสัยต้องเข้าวัดฝึกความอดทนซะแล้วมั้ง’ -----------------------------------TBC----------------------------------- ช่วงนี่เข้าสู่โหมดปรับความเข้าใจ พูดคุยกันไปเนิบๆ แมวบ้านทิมเยอะไปไหน ตอนหน้าตามไปงานกาล่าดินเนอร์กันนะคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนอ่าน คนรอ คนเม้นท์ทุกคนนะคะ
อยากเล่นกับแมว ชอบๆๆๆ รอน้ำนิ่งเป็นแฟนกับทิม :mew2: :mew1:
เพียว อยากไปญี่ปุ่น เพื่อตัดใจจากตาน้ำ ดูท่าไม่ต้องตัดใจนะ เพราะตาน้ำก็มีใจให้เพียว ทิม น้ำนิ่ง เข้ากันได้ดี :mew1: :mew1: :mew1: ไปงานคราวนี้ พ่อทิมคงรู้จักบ้านน้ำนิ่งได้ดีขึ้น :hao3: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
เอาหนูกะทิตัวจริงของคนเขียนมาส่งค่า ช่วงนี้ป่วยๆหายๆ เลยส่งตัวแทนมาก่อน รอกันก่อนนะ
บทที่ 23 หนี งานกาล่าดินเนอร์ของสมาคมนักธุรกิจนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศไทยถูกจัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจากภาคใต้ แน่นอนงานนี้มีนายกสมาคม “ ธรรศ ภวมงคล” เป็นหัวเรือใหญ่ ชายหนุ่มสูงวัย ยืนต้อนรับผู้เข้าร่วมงานมากหน้าหลายตาที่เข้ามาทักทาย ส่วนภรรยาก็ต้อนรับสมาคมแม่บ้านด้วยเช่นกัน สายตาหันไปเห็นหญิงสาวสูงวัยที่เคยคุ้นหน้าเป็นอย่างดี “สลิลทิพย์ ลักษณะวิจิตร” นักเรียนไทยปริญญาโทในออสเตรเลียรุ่น เดียวกัน จะพูดว่าสนิทกันก็ไม่ใช่ จะคนรู้จักก็ไม่เชิง เพราะธรรศอยู่ในกลุ่มนักเรียนทุน แต่หญิงสาวผู้นั้นอยู่ในกลุ่มที่ใช้เงินทุน ที่บ้าน จะว่าแบ่งแยกกันไม่ใช่ ถูกกีดกันก็ไม่เชิงอีกนั่นละ หากเป็นเพราะนักเรียนแต่ละกลุ่มนั้นมีเพื่อน และเพื่อนของเพื่อนมากัน เป็นเครือข่าย จึงทำให้ตัวเขาเองไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักหญิงสาวอย่างที่ใจอยากจะทำ ได้รู้จักกันเพียงผ่านๆจากการเรียน เท่านั้น หากเพราะชื่อเสียงนามสกุลของอีกฝ่ายทำให้หลายคนรู้จักดี เพราะเป็นถึงทายาทผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับต้นๆและ อันดับแรกๆของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ หญิงสาวไม่ได้ทำตัวเป็นลูกคุณหนูไฮโซแต่อย่างใด ขณะที่เรียนก็ทำตัวธรรมดา แถมยังหางานพิเศษทำแบบนักเรียนทุนคนอื่นๆด้วยซ้ำ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ธรรศประทับใจ เขาตั้งใจว่า หากเรียนจบ สำเร็จการศึกษาเมื่อไหร่ ก็อยากจะเข้าไปทำความรู้จักหญิงสาวมากขึ้น แต่แล้วบิดาเขาก็ขอร้องให้เขา หมั้นกับ “เพียงนภา” ลูกสาวของเพื่อนสนิท เพราะกำลังมีปัญหาด้านธุรกิจ ข้อเสนอของเพื่อนสนิทบิดาที่จะทำการช่วยเหลือใน การซื้อหุ้นของบริษัท ไม่อยากให้คนภายนอกมองว่าเทคโอเวอร์บริษัทของเพื่อนรักที่ก่อตั้งมาพร้อมๆกัน แถมตัวเองกำลังป่วยจึง เป็นห่วงลูกสาวคนเดียว ทำให้เกิดการหมั้นขึ้น เอาจริงๆ เพียงนภาไม่ใช่ผู้หญิงที่แย่ เพราะคุ้นหน้าคุ้นตา และทำความรู้จักกันมา แล้ว สวย เก่ง ฉลาด เพียบพร้อมทุกอย่าง รวมทั้งเป็นนักเรียนนอกจากอังกฤษ จนตัวเขารู้สึกด้อยกว่า ทำให้ต้องพยามๆฟื้นฟู ทุกๆ อย่างด้วยตัวเอง แต่เพียงนภาก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกแย่ แถมยังเป็นภรรยาและแม่ที่ดีของลูกด้วยซ้ำ ทำให้ความรู้สึกด้อย ค่าในตัวเขาหายไป รู้ข่าวตามหน้าหนังพิมพ์อีกที สลิลทิพย์ ก็แต่งงานกับลูกชายนักธุรกิจชาวออสเตรเลีย หลังจากนั้นเขาก็แต่งงาน ภาระครอบครัวและหน้าที่ที่มี ทำให้หญิงสาวหายไปจากห้วงความคิดของเขาไปโดยปริยาย หันไปทักทายแขกไปมา หันไปเห็นลูกชายคนเล็กและเด็กหนุ่มที่พามาบ้านวันนี้กำลังทักทายหญิงสาวที่กลับมาในความคิดของเขา ขาพาตัวเองก้าวไปหา เด็กหนุ่มสองคนขยับหลีกทางให้ผู้ใหญ่ได้คุยกัน “ลิล” “ว่าไงคะ ท่านนายกสมาคม” “อย่ามาแซวน่า หายหน้าหายตาไปเลย งานเลี้ยงก็ไม่ค่อยมา ทำไมงานนี้ถึงมาได้ละ แล้วคุณชโลธรสบายดีนะ?” เพราะรับตำแหน่งต่อจากพ่อของหญิงสาว จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเคารพ “พอดีตอนนี้อยู่ไทย คุณพ่อสบายดี หลีกหนีความวุ่นวายไปอยู่บ้านคุณแม่ที่อยุธยาแล้ว” “หรอ ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย ว่าจะไปขอให้รับตำแหน่งที่ปรึกษาซะหน่อย” “ลองดูละกัน แต่เราไม่แน่ใจหรอกว่าจะสำเร็จมั๊ย” เพราะยืนคุยกันอยู่นาน คอรบครัวของทิมจึงเดินเข้ามาร่วมกลุ่มด้วย จบคำทักทายของผู้ใหญ่ ทิมก็เอ่ยถามผู้เป็นบิดาอย่างสงสัย “คุณพ่อ รู้จักน้าลิลด้วยหรอครับ” คำกล่าวเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างสนิท ทำให้ผู้ป็นบิดาเกิดความรู้สึกสงสัย “ลิลเป็นเพื่อนนักเรียนไทยที่ออสเตรเลียตอนที่พ่อไปเรียนโทนะ แล้วเรารู้จักคุณลิลได้ยัไงกัน “ “อ้าว… ก็คุณน้าลิล เป็นแม่ของน้ำนิ่งไงครับ” จบคำพูดของทิม สลิลทิพย์ก็ยกมือโอบไหล่ลูกชายฝาแฝดคนเล็กไว้ ชายหนุ่มราวกับถูกตบหน้า เขารู้สึกว่าทั้งภรรยาและลูกชายอีกสองคนกำลังยิ้มในคำตอบที่ลูกชายคนเล็กมอบให้ น่าแปลกเขาคิดว่าเด็กที่ลูกชายมาพาหาวันนี้หน้าตาคุ้นราวกับเคยเห็นที่ไหน เหมือนกับเป็นภาพทีเคยติดตามานาน เพิ่งนึกออกก็ตอนนี้เอง ปรายตามองภรรยา ด้วยสายตาดุๆ อีกฝ่ายจึงยกมือมากอดแขนราวกับจะอดอ้อนปลอบใจ “สบายดีนะคะคุณลิล แล้วลูกชายอีกคนละคะ” “สบายดีค่ะคุณนภา ส่วนทะโมนอีกคน ไปเข้าห้องน้ำกับพ่อเขานะ” “ลิลมีลูกชายฝาแฝดไม่ใช่หรอ” จบคำถาม ตาน้ำและบิดาก็เดินมายืนเคียงข้าง ตาน้ำทำความเคารพผู้ชายพร้อมทักทายทิมเบาๆ "เอ๊ะคุณนี่ยังไง…ตาน้ำก็เป็นเพื่อนกันทิมลูกชายคนเล็กเราไงคะ” ธรรศรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกบอลที่โดนภรรยาและลูกชายเตะส่งกันไปมา แต่การหยอกครั้งนี้ ไม่คิดว่าจะเป็นการจุดใต้ต่ำตอ เขาเคยปฏิเสธโยชิแฟนของลูกชายคนกลางก่อนที่จะรู้ว่าเป็นใครนั้น ไม่คิดว่ามันจะย้อนกลับมาหาตัวเองอีกครั้ง การที่เอาแต่ทำงานมากเกินไปจนปล่อยให้หน้าที่ดูแลลูกเป็นของภรรยานั้น ไม่ดีเลยจริงๆ โชคดีที่ลูกชายทั้ง 3 คนไม่ได้เป็นเด็กมีปัญหา การสนทนาของ 2 ครอบครัวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จนการมาถึงของอีก 1 ครอบครัว และต้าร์เพื่อนที่สนิทที่กำลังจะเลื่อนขั้นของพอส “พิม” “ว่าไงลิล คุณนภา ไม่เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ” “สบายดีคะ แหม่ 2 ครอบครัวนี้ สนิทกันจังเลยนะ นภาเริ่มอิจฉาแล้วนะเนี่ย ลูกๆเราก็เพื่อนกันทั้งนั้น น่าจะสนิทกันไว้บ้าง ไว้ว่างๆ มาทานข้าวกันนะ 3 ครอบครัวเรา ” “คงต้องรอช่วงลิลกลับมาไทยละคะ ส่วนตอนนี้ ของพิม กับ ลิล คงไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วมั้งคะ” จบคำมารดา เพียวก็ยกมือไปจับมือของมารดาไว้ ราวกับจะบอกว่าไม่อยากให้พูดถึง “ยังไงนี่พิม ฉันตกข่าวอะไรกัน ว่าไงครับลูกชาย ใครมีความลับกับแม่บอกมานะ” “เอ….นภาสงสัย ของถามอะไรตามภาษาคนเป็นแม่หน่อยนะคะ ถ้าวันนึง บรรดาลูกชายของเราชอบกันเอง คนเป็นพ่อแม่อย่างเราๆ จะทำยังไงคะ ทำใจกันได้มั๊ย” เป็นฝ่ายแม่บ้านที่หันหน้าไปมองสามีของตนเองแล้วกว่าเอ่ยขึ้น “ลิลว่า เราให้เขาเกิดมา เลี้ยงเขามาจนแข็งแรง เติบโตมีชีวิตอยู่ได้ เป็นเด็กดี เป็นคนดี ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน นั่นก็เป็นหน้าที่พ่อแม่ที่ดีแล้วคะ เขาอยากจะเลือกทางเดินอย่างที่ทำให้เขามีความสุขก็ปล่อยเขาไปเถอะคะ เราอยู่กับเขาตลอดไปไม่ได้ แต่ความสุขที่เขาเลือกมันอยู่กับเขาตลอดไปได้นะคะ” พูดจบหญิงสาวก้มลงหอมลูกชายฝาแฝดสลับกันไปมาจนมีเสียเอ่ยร้องเพราะเด็กหนุ่มทั้ง 2 เกิดอาการเขินที่แม่ทำราวกับเป็นเด็กน้อย และคำพูดของหญิงสาวที่ตนเองเคยสนใจนั้น เหมือนเป็นมีดกรีดแทงใจของธรรศ หากเพราะต้นแบบของเขาคือการวางแผนของบิดามาทั้งหมด จนทำให้เขาเลือกขอทุกไปเรียนต่อเพื่อหนีสิ่งที่บิดาวางแผนไว้ ทำให้ตัวเองปฏิบัติกับลูกเฉกเช่นเดียวกัน ทำให้รู้ตัวว่าตัวเองได้ทำลายความสุขของลูกไปบ้างแล้ว นั่นสิทำไมเขาไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองก็เคยหนีบิดามาแล้วเหมือนกัน มือของผู้เป็นภรรยาที่ยังคงจับอยู่ เป็นกำลังใจ และปลอบใจราวกับล่วงรู้ความคิดเขาได้อย่างดี “จริงค่ะ พิมคิดเหมือนลิล แต่พิมขอแค่คนที่ลูกเลือกเป็นคนดี ดูแลลูกเราได้ก็หมดห่วง ดูตาน้ำกับเพียวสิคะ ไปๆมาๆ คบกันเฉยเลย แถมยังเรียนได้ดีทั้งคู่อีกต่างหาก “ สิ้นคำพูดของหญิงสาวผู้เป็นมารดาของเพียว ทำให้เพียวหน้าซีด เพราะรู้ดีว่าในกลุ่มเด็กๆด้วยกันต้องตกใจในประเด็นใหม่ครั้งนี้ รวมถึงน้ำนิ่งที่หันมองหน้าเพียวและตาน้ำสลับกันไปมาทันที “เอ๋…ตกลงเป็นพ่อลูกชายคนโตที่มีความลับกับแม่นี่เอง เดี๋ยวกลับบ้านแม่จะให้คุณยายตี” ตาน้ำร้องคร่ำครวญกับมารดาเพราะโดนยิกแกมหยอก ทำให้เขยิบตัวไปแอบหลังบิดา น้ำนิ่งที่รู้สึกช็อคกับเรื่องราวที่ได้ยิน ทำให้ถอยตัวเองออกมาอัตโนมัติ “แม่ครับ นิ่งว่าจะขอกลับก่อน รู้สึกจะไม่สบายอีกแล้ว” สลิลทิพย์ หันมาหาฝาแฝดคนเล็ก เพราะรู้ดีว่าค่อนข้างจะอ่อนแอกว่าอีกคน ลูบหัวลูบผมอย่างรักใคร่เอ็นดู “ไม่ไหวหรอครับ ให้แม่ไปส่งมั๊ย” “ ไม่ ไม่เป็นไรครับ แม่อยู่ต่อเถอะ” หลังจากกอดล่ำลามารดาและแด๊ด น้ำนิ่งก็กึ่งเดิน กึ่งวิ่งออกมาทันที ทิมที่รู้สึกถึงสีหน้าตกใจของน้ำนิ่ง ก็รู้ว่าอีกฝ่ายแปลกไปทันที รวมถึงตาน้ำเอง ความไม่ปกติของฝาแฝดคนเล็กทำให้กลุ่มเด็กร่ำลาผู้ใหญ่ออกมา โดยให้สาเหตุว่าจะไปปาร์ตี้กันตามสไตล์เด็กๆ พอพ้นประตูห้องจัดเลี้ยง ทุกคนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหาคนที่ออกมาก่อนทันที แล้วก็เป็นพอส ที่วิ่งไปกระชากแขนตาน้ำ รวมถึงพี่ชายตัวเอง “นี่มันอะไรกัน!! ทำไมไม่บอกมัน ทำไมต้องให้ผู้ใหญ่มาพูด คิดอะไรทำอะไรกันอยู่” ตาร์เห็นพอสยืนอาละวาดก็ต้องรีบเข้าไปห้าม คิดถูกที่มาด้วยก็ตอนนี้ละ “พอส คือ เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังได้มั๊ย มันฉุกละหุกนะ ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้” “ไปหาน้ำนิ่งก่อนได้มั๊ยว่ะ ค่อยมาเคลียร์กัน “ ทิมที่ทนไม่ไหวเป็นคนเอ่ยขึ้น แล้วรีบวิ่งต่อไป ทุกคนวิ่งตามทิมออกไป จนเหลือแค่ตาน้ำและพอส ก่อนที่ฝ่ายจะโดนรั้งแขนไว้เอ่ยขึ้น “มึงชอบน้ำนิ่ง มึงไม่ได้ชอบกูใช่มั๊ยพอส” การเบือนหน้าหนีของอีกฝ่ายเป็นคำตอบที่ชัดเจน ตาน้ำสะบัดแขนออกก่อนจะวิ่งตามกลุ่มเพื่อนออกไป น้ำนิ่งวิ่งหนีออกมาจนถึงหน้าโรงแรม ด้วยความรีบร้อน ทำให้ชนกับคนที่สวนมา บึก!!! 'การชนครั้งนี้ ทำให้น้ำนิ่งที่เพิ่งหายไข้และร่างกายอ่อนแรงอยู่แล้ว ล้มลงไปทันที “น้ำนิ่ง น้ำนิ่ง” คนที่ชนกับน้ำนิ่งรียกขึ้นเพิ่งต้องการเรียกสติ แต่อีกฝ่ายหมดสติไปแล้ว' -------------------------------TBC----------------------------------------- มาแล้วคะ หลังจากแอบเอาน้องกะทิตัวจริงของคนเขียนมาหยอดไว้ เพราะกลัวอาการป่วยจะไม่ไหว เนื่องจากปวดไหล่และแขนด้านขวามาเกือบอาทตย์เลยทำให้ไม่ได้อัพต่อ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว สัญญาว่าจะรักษาสุขภาพตัวเอง แฮ่ๆ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ ทุกคนนะคะ
นึกว่าแฝดxแฝดซะอีก ยอมรับว่าผิดหวัง(เพราะเห็นปูเรื่องมาแบบนั้น พอไม่ใช่เลยเฟลๆ) แต่ก็เป็นกำลังใจให้นะคับ
น้ำนิ่งชนใคร :mew2: รอตอนต่อไปน้ะๆๆๆ :mew2:
น้ำนิ่ง ชนใคร :katai1: :katai1: :katai1: รุ่นพ่อแม่ก็รู้จักกัน พอเปิดตัวตาน้ำ เพียว ก็อลหม่านเลย กับ น้ำนิ่ง พอส :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
บทที่ 24 บาดแผล ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้า 1 ชั่วโมง น้ำนิ่งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่เบาะหลังรถ มีตาน้ำนั่งอยู่ข้างๆ “บ้านทิมเป็นไงบ้าง” “แมวเยอะมาก ทุกคนมีคนละตัวหมดเลย ตัวของพี่ทอยน่าสงสาร ไปกลับ ญี่ปุ่นตลอด ทิมบอกพี่ทอยกลัวเหงา” หันหน้ามองฝาแฝดที่เล่าเรื่องอย่างมีความสุข ขณะกำลังเปลี่ยนเสื้อออกแล้วใส่ตัวใหม่ ผิวที่ขาวใสกว่าก็ทำให้ตาน้ำเผลอสัมผัสอีกครั้ง “แล้วน้ำนิ่งชอบทิมมั๊ย” คิดว่าถึงเวลาที่ต้องถามสักที ฝ่ายโดนถามสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ก็ดึงฝาแฝดตัวเองมาสวมกอด “น้ำ ไม่ต้องคิดมากนะ ถ้าน้ำยังไม่มีใคร เราจะไม่ให้น้ำอยู่คนเดียว เราไม่อยากทิ้งน้ำไปมีความสุขก่อน” เพราะผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาด้วยกัน การที่ตาน้ำดูแลเป็นอย่างดี ยิ่งทำให้น้ำนิ่งคิดว่า เขาไม่ควรทิ้งตาน้ำไปมีความสุขแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียว ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว “แล้ว….ถ้าเกิดว่า พี่มี….” >>>>RRRRRR<<<< ตาน้ำยังพูดไม่จบ เสียงโทรศัพท์น้ำนิ่งดังขึ้นก่อน “ครับแม่”/ “…….” “น้ำอยู่ด้วยกันแล้วครับ เสร็จแล้วกำลังจะเข้าไป”/ “……” “ครับ” “น้ำ เมื่อกี้ว่าไรนะ” ตาน้ำผละออก ยกมือลูบที่แก้มของฝาแฝดตัวเอง ขยับใบหน้าให้ปากชิดติดกันอย่างที่เคยทำ “พี่....รักน้ำนิ่งนะ” “อื้อ รักเหมือนกัน ไปกันเถอะ เดี๋ยวแม่รอนาน” . . . . . . น่าแปลก เวลาไม่ถึง 3 นาทีที่น้ำนิ่งเดินออกมาก่อน แต่กลายเป็นว่า ทั้ง 5 คน กลับหาไม่เจอ ตาน้ำยืนนิ่งส่งสายตาไปที่รถตัวเอง มือกดโทรศัพท์ชื่อที่ตั้งไว้ออกซ้ำๆ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายอาจปิดเสียงไว้ตั้งแต่เข้างาน “ห้องน้ำ ไม่มี กูกับต้าร์ แยกกันหาทั้ง 2 ฝั่งแล้ว ไม่มี “ “ door man บอกไม่เห็นว่ะ “ ”เราเช็คกับเคาร์เตอร์ ไม่มีเปิดห้องพักแน่นอน” “โวยยยยย นี่บ้าไรกันว่ะ กูจะไปหามันที่ไหน ” ได้ยินคำตอบก็แทบคลั่ง ยกมือจะขึ้นต่อยกำแพง แต่เพียวกับทิมก็รั้งตัวไว้ให้ออกห่าง “น้ำใจเย็นๆนะ” เพียวลูบหลัง ลูบไหล่ปลอบประโลม “มึงนั่นละ ทำเรื่องบ้าๆเอง ไอ้น้ำ อย่ามาโทษคนอื่นเลย” “พอส กูบอกอย่าเพิ่งตีกันได้มั๊ยว่ะ” ทิมรู้ดี ว่าเพื่อนสนิทของคนที่เขาชอบนั้น ตีกับเพื่อนรักประจำ ตอนนี้ก็ต้องคอยห้ามไว้ไม่งั้น หัวแตก ปากแตกทั้งคู่ >>>>RRRRRR<<<< เสียงโทรศัพท์ต้าร์ดังขึ้น “ว่าไงโอม” /”…...” “ห๊ะ!! มึงว่าไงนะ พูดใหม่ดิ” / “กูบอกน้ำนิ่งอยู่กับกู” “แล้วน้ำนิ่งไปอยู่กับมึงได้ไง” ชื่อบุคคลที่ทุกคนตามหาออกมาจากปาก ทำให้หันไปหา จนต้าร์ต้องเปิดลำโพง “ก็กูเอารถมารับมึง ที่ รร. เดินเข้ามาสวนกับเขา เขาชนกูแล้วนิ่งไปเลย กูเลยพามานั่งที่รถก่อน โทรหามึงก็ไม่รับ อยากให้เขานอนพัก ก็เลยว่าจะพากลับหอ รถเพิ่งติดเลยเพิ่งได้โทรบอกมึง” “โอม พาไป รพ……. ติดต่อ หมอชื่อ ภวิต นะ ขอบคุณมาก เดี๋ยวพวกกูตามไป” เป็นตาน้ำที่บอกอีกฝ่าย “อ้าว… เกิดไรขึ้นวะ ต้องพาไป รพ เลยหรอ นึกว่าง่วงนอนอย่างเดียว เออๆ เดี๋ยวกูพาไปก่อน” ตาน้ำไม่รู้ว่าจะไว้ใจโอมให้ไม่แตะต้องน้ำนิ่งได้มากแค่ไหน แต่การที่อีกฝ่ายโทรมาบอกต้าร์นั่นถือว่า โอมบริสุทธ์ใจระดับนึง ขาก้าวไปที่รถ หามือโดนคนรั้งไว้ พร้อมมือที่แบยื่นมาด้านหน้าตัวเอง “อะไรเพียว” “กุญแจมา ขับให้” “ไม่เอา มึงขับช้า” “ก็มึงขับรถเร็วนะสิ ไม่มีสติขนาดนี้ อยากตายก่อนเจอฝาแฝดรึไง” คำเตือนปนความเป็นห่วง ขณะที่ตัวเองโดนลากไปที่รถจนต้องส่งกุญแจรถให้อีกคนขับ “ขอบคุณนะ” คำขอบคุณลอยผ่านอย่างเบาๆ ขณะที่เพียวยัดคนตัวใหญ่นั่งในรถ . . . . . ห้องพักคนไข้ vip โรงพยาบาล มีโอมยืนรถอยู่หน้าห้อง ทั้ง 5 คน กึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างเร็วที่สุด “หมอยังอยู่ข้างใน มึงเข้าไปดิน้ำ” “ขอบคุณมาก ขอบคุณ” ตาน้ำยกมือตบไหล่โอม แล้วก็เปิดประตูเข้าไป “มีเรื่องอะไรกันว่ะต้าร์” “มันมีเรื่องตกใจนิดหน่อย เลยออกจากงานมาก่อน ค่อยคุยมึง กูไปดูมันก่อน” ทิมรอให้ทุกคนเข้าไปหมด จึงเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะเดินเข้าไป แขนตัวเองก็โดนคนที่มาก่อนคว้าไว้ “ถ้าดูแลไม่ได้ ก็ปล่อยเขาไปซะ” ทิมสะบัดแขนออก “รู้ได้ไงว่ากูดูแลไม่ได้ อย่าคิดไปเองดิ” “ถ้าดูแลได้ คงไม่มาถึงกูหรอกน่าทิม มึงอยู่กับเขาแท้ๆ” คำนี้เหมือนเป็นมีดกรีดแทงใจทิมให้เป็นแผล นั่นก็จริงเขาอยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่ทำไม ถึงคว้าตัวไว้ไม่ทัน ทำไมน้ำนิ่งถึงไม่เลือกที่จะขอความช่วยเลือกจากเขา “รอบนี้ มึงก็แค่ฟลุคว่ะ โอม ขอบใจมากที่ดูแลให้ ครั้งต่อไปอาจจะไม่มีอีกแล้ว” คำพูดขอบคุณอีกฝ่าย แต่ก็เหมือนปลอบใจตัวเองอีกทาง "ถ้ามีครั้งต่อไป มึงก็อย่าหวังว่าจะได้คืนเลยทิม" ในห้องพักผู้ป่วย ตาน้ำกอดหมอร้องไห้ ทิมไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเองร้องไห้หนักขนาดนี้ ต้าร์เองก็เหมือนกัน หากแต่ พอส ยืนมองราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนเพียวนั้นยืนอยู่ห่างออกมา แต่ก็ไม่ไกลนัก “พี่หมอๆๆ น้ำผิดเอง น้ำไม่บอกน้อง ฮึก! น้ำผิดเองที่ให้น้องรู้จากคนอื่น ฮือๆ น้ำทำน้องเจ็บ” ภวิตลูบหัวลูบไหล่ ญาติผู้น้องอย่างเอ็นดู นานหลายนาที ทีตาน้ำพร่ำบอกเขามาอย่างนี้ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง “หมอว่าไงบ้าง” ทิมเอ่ยถามพอสกับต้าร์ที่เข้ามาก่อน “ร่างกายอ่อนแอ เครียดสะสม นอนโรงบาลก่อน เพราะกลัวว่าจะเป็น Hyper” พอสเอ่ยตอบ “Hyper เลยหรอว่ะ” “แค่สงสัยอะ ไม่ต้องห่วงนะมึง พี่วิตเป็นญาติไอ้แฝดเขาเก่งอยู่” ทิมก้าวเท้าเดินไปหาคนป่วยที่นอนหลับอยู่บนเตียง ตอนนี้ดูเหมือน ทิมเป็นคนเดียวที่เคลื่อนไหวอย่างมีสติที่สุด ส่งมือตัวจับไปที่แขนซ้ายที่ไม่ได้เจาะน้ำเกลือลูบนิ้วแต่ละนิ้วอย่างแผ่วบาง ภวิตเห็นอาการของอีกฝ่าย ก็รู้ทันทีว่าคนนี้คือคนที่ชอบน้องฝาแฝดคนเล็ก “อยู่กันไปก่อนนะ ฟื้นแล้วกดแจ้งไป พี่แจ้งไปแล้วว่าเป็นญาติ เดี๋ยวพยาบาลเรียกพี่เอง ไม่ต้องคิดมากละเรา” ‘ภวิตรู้ดี บาดแผลครั้งนี้ของตาน้ำใหญ่นัก มันเหมือนกรีดซ้ำรอยเดิมที่เริ่มติดสนิท ตาน้ำโทษตัวเองเสมอว่าดูแลน้องไม่ดีทำให้เกิดเรื่อง ถึงแม้เขาจะพร่ำบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็ตาม’ ----------------------------------------TBC-------------------------------------------- ขอโทษที่ตอนนี้อัพช้านะคะ พักนี้ร่างกายอ่อนแรงเหลือเกิน ขอบคุณทุกคนที่ยังรอกันนะคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ ทุกคำติชมและกำลังใจนะคะ >>พยายามจะอัพให้จบก่อนจะโดนย้ายไปอยุ่ห้องนิยายไม่จบ แฮ่ๆ
น้ำนิ่งเป็นอะไรไปอีกหละ รอให้ทิมมาช่วยรักษาจะ :katai5: :katai3: :katai1:
น้ำนิ่ง คงรู้สึกว่าถูกตาน้ำทิ้ง เลยเกิดความรู้สึกเจ็บปวด เป็นความรู้สึกด้านอารมณ์ :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
บทที่ 25 รอยแผลเป็น หลังจากหมอผู้เป็นญาติออกไป ตาน้ำก็ทรุดตัวร้องไห้ข้างเตียงของน้ำนิ่งอีกครั้ง มือสอดเข้าไปใต้ฝ่ามือข้างขวา ข้างที่เจาะน้ำเกลือไล้รอยเจาะนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกลับกลัวคนที่หลับอยู่จะรู้สึกเจ็บ เพื่อนทุกคนตกใจกับอาการร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง จนต้องปลอบประโลมกันอีกครั้ง จนคนร้องไห้ฟุบหลับอยู่ข้างเตียง น้ำนิ่งตื่นขึ้น หลังจากรู้สึกว่าตัวเองหลับไปนานมาก ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพดานที่ไม่คุ้นตา กวาดตามองรอบตัว เห็นเพียว พอส กับต้าร์ ที่นอนเอนซบกันอยู่ และโอม นั่งเอนหลัยอยู่ที่โซฟา แล้ว 2 คนที่หลับอยู่ข้างเตียงนี่ใครกัน ความรู้สึกไหล่ไปอยู่ที่มือทั้ง 2 ข้างที่โดนกอบกุมไว้ รู้สึกเจ็บที่ด้านขวาก็พยายามจะถอนมือออกมา แต่คนที่จับอยู่นั้นรู้สึกตัวก่อน “น้ำนิ่ง น้ำนิ่ง ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้วหรอ เดี๋ยวพี่ตามพี่หมอแป็ปนึงนะ” อาการตกใจของตาน้ำทำให้ทุกคนในห้องตกใจตื่น “มึงๆ ไอ้นิ่ง มึงเป็นไงบ้าง” สมองที่เกิดจากอาการช็อคทำให้ยังประมวลผลไม่ได้ สัมผัสที่อยู่กับมือซ้ายยังไม่ถอนออกไปไหน ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้าสู่การประมวลผล สัมผัสจากมือข้างซ้ายและขวาที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภวิตตรวจร่างกายของน้ำนิ่งแล้วขอให้อยู่พักอีก 1 คืน เนื่องจากอาการเครียดสะสม แต่น้ำนิ่งกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเครียดเลย หากแต่ญาติผู้พี่ขอให้พักเพื่อดูอาการเช่นนั้น ต้าร์ ลากลับไปเรียน เพราะน้ำนิ่งขาดเรียนจึงต้องการเก็บเล็คเชอร์ให้ พร้อมกับโอม คนสุดท้ายที่อยู่ในความทรงจำของน้ำนิ่งก่อนหมดสติไป หากก่อนที่โอมจะก้าวพ้นประตูออกจากห้องนั้น คนป่วยที่เงียบมานาน ก็เอ่ยทักขึ้น “โอม” “…..” เจ้าของชื่อหยุดหันมองคนเรียก ด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะ” “อืม หายไวๆ เจอกันที่ม.นะ” คำทักทายเช่นนี้ ทำให้พอสรู้สึกเจ็บยิ่งนัก หากปกติแล้วจะต้องเป็นตัวเองที่คนป่วยจะเรียกหาต่อจากฝาแฝด แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ ห้องพักคนไข้เงียบลงอีกครั้ง นานเหลือเกินที่คนที่อยู่ในห้องรู้สึกว่า สายตาน้ำนิ่งเหม่อลอย ไม่โฟกัสกับสิ่งใด ราวกับไม่อยากรับรู้ และมองเห็นอะไร “นิ่ง… คือ น้ำ…” “ขอน้ำหน่อย” ตาน้ำยังไม่ทันที่จะพูดจบดี คนป่วยก็เรียกขอสิ่งที่ตัวเองต้องการราวกับไม่อยากฟัง การเรียกที่ไม่เรียกชื่อใครสักคนที่อยู่ในห้อง ทำให้คนที่นั่งอยู่รู้สึกเจ็บ ทำไมน้ำนิ่งถึงไม่เลือกที่จะเรียกใครสักคน “น้ำนิ่ง คือ พี่.. ฟังพี่ก่อนได้มั๊ย” สรรพนามที่แทนตัวเองเปลี่ยนไป ทำให้เพื่อนในห้องรู้สึกถึงความไม่ปกติในบรรยากาศนั้น เพียว พอส และ ทิม ขอตัวออกไปรอนอกห้อง “พี่อยากอธิบาย” ตาน้ำเริ่มพูดก่อนที่จะโน้มตัวกอดคนไข้ที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ “วันนั้นที่เราไม่สบาย หลังจากที่คุยกัน พี่ไปยืมหนังสือเพียว แล้วก็ไข้ขึ้นอีกรอบ กลับห้องไม่ไหว ก็เลยให้นอนพักที่นั่น ตอนเช้าน้าพิมก็มาเจอพอดี จะบอกว่ากลัวเพียวเสียหายมันก็ไม่ใช่ แต่คือน้าพิมเข้าใจไปแบบนั้นแล้วก็ไม่ทันได้อธิบายอะไร ไม่อยากให้ผู้ใหญ่เป็นกังวล พี่ก็เลยไม่ได้บอกอะไรน้อง พี่ขอโทษ อย่าโกรธพี่เลยนะ พอสกับทิมก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวอะไรด้วย อย่าไปโกรธมันเลย “ เสียงฝาแฝดที่คุ้นเคยพูดอยู่ข้างหู แต่น้ำนิ่งแทบจะจับใจความอะไรไม่เลยด้วยซ้ำ เหมือนข้อความทุกอย่างที่ตาน้ำพูดมาผ่านหูแล้วก็ออกไป ไม่ได้เข้าโสตประสาทสมองเลย หากคำเดียวที่ได้ยิน คือ ‘พอสและทิมไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวอะไรด้วย’ แต่สิ่งที่น้ำนิ่งมองเห็นตั้งแต่ฟื้นมา ทำให้ไม่รู้สึกเช่นนั้น ตาน้ำรู้ว่าเขาไม่ควรที่จะโกหก หากแต่ตอนนี้น้ำนิ่งไม่ได้เปิดใจที่จะรับฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้น ดีที่สุดคืออธิบายปัญหาที่เพิ่งเกิดตอนนี้ เพราะคนป่วยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แม้กระทั่งกอดเขากลับ ความรักและความไว้ใจที่น้ำนิ่งเคยมีให้กัน ตอนนี้เขาเป็นคนทำลายมันเอง แตกต่างกับตอนที่เกิดเรื่องเพียว ครั้งนั้นเขาเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ครั้งนี้เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ทำไมสิ่งนั้นถึงไม่ย้อนกลับมาเกิดกับตัวเขา ทำไมถึงเป็นฝาแฝดแทน การไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ ทำให้ตาน้ำเริ่มสะอื้นอีกครั้ง “พี่ขอโทษ พี่… อึก ขอโทษ พี่ควรจะบอกน้องก่อน ว่าน้าพิม เข้าใจไปแบบนั้น พี่ขอโทษ อึก พี่เป็นห่วงน้องเรื่องที่ไปบ้านทิมมากกว่า ก็เลยไม่ทันได้บอกอะไร ฮือ พี่ขอโทษ” หากถามว่าน้ำนิ่งรู้สึกอะไร สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกได้ คือเสื้อที่เปียกน้ำตาของอีกฝ่าย แค่นั้นจริงๆ เสียงโวยวายของตาน้ำทำให้เพื่อนที่อยู่บริเวรโซนรับแขกของห้องพัก เปิดประตูเข้ามา เพียวและทิม ช่วยแยกตาน้ำออกไปนั่งพัก เปลี่ยนเป็นพอสที่ยืนอยู่ข้างเตียง สายตาคนป่วยส่งมาด้วยคำถามราวกับต้องการให้บอกอะไรบางอย่าง หากแต่พอสไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เพราะรู้เรื่องราวจากเพียว ที่เล่าให้เขาและทิมฟังว่า ตาน้ำไม่สบายอยู่ที่ห้องพี่ชายตัวเองแล้ว แม่ก็เปิดมาเจอ ก็เลยตามเลย แค่นั้น หากจริงๆ พอสรู้มากกว่านั้นด้วยซ้ำไปแต่ก็ไม่อยากจะขัดอะไร “มึง….เป็นไง…..” “มีอะไรจะบอกมั๊ย” ถามคนป่วยยังไม่ทันจบ ก็ได้คำถามกลับมาซะก่อน “มึงจะให้กูบอกเรื่องไร เรื่องพี่เพียวกับน้ำกูก็รู้เท่าที่มึงรู้” เพราะอยากให้เพื่อนสบายใจ ก็เลยตอบไปอย่างนั้น หากแต่เห็นน้ำนิ่งส่ายหน้าก็พาให้ใจเสีย “เรื่องมึงกับต้าร์” “มึง… มึง รู้ได้ไง” ตอนแรกน้ำนิ่งคิดว่าภาพที่เห็นนั้นอาจจะเป็นการคิดไปเอง หากแต่พอสออกอาการเช่นนี้นั่นทำให้เขาเข้าใจถูกต้อง “เมื่อกี้มึง 2คนนอนกอดกัน นี่เห็นกูเป็นอะไรกันไปหมด ทั้งพี่กู เพื่อนรักกู กูมันไม่สำคัญกับพวกมึงเลยสินะถึงทำกันแบบนี้ เพราะแบบนี้ใช่มั๊ยถึงอยากให้กูคบกับทิมนัก รังเกียจกู อยากให้กูไปพ้นๆกันนักใช่มั๊ย” “ไม่… ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ กูแค่อยากให้มึงมีความสุขนะ” พอสจะโผลเข้ากอดอย่างเคย หากแต่น้ำนิ่งขยับตัวหนี “ไม่ต้องมาจับ รังเกียจกูกันนักก็อย่ามาจับ” “ไม่..ไม่ใช่นะ มึง มึงกูไม่ได้คิดอย่างนั้น” เสียงคนป่วยโวยวาย ทำให้ 3 คนที่อยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามา เป็นทิมที่เข้าถึงตัวก่อน คว้าเอามือจับแขนที่น้ำนิ่งจะปาแก้วน้ำลงพื้นได้ทันที “ไป…รังเกียจกูกันนัก ทั้งพี่ ทั้งเพื่อน ก็ไปเลย อย่ามาแตะตัวกู” คำพูดจากคนป่วยเข้ากระทบใจตาน้ำและพอสอีกครั้ง ความผิดพลาดครั้งนี้ส่งผลให้ความรู้สึกเดิมของน้ำนิ่งกลับคืน “ชู่ว์…..คนดี ไม่ทำแบบนี้นะครับ ไม่เอา นะ ไม่เอา ทุกคนเป็นห่วงนะครับ อย่าคิดมากนะเดี๋ยวเป็นลมอีก ทิมอยู่นี่นะ ไม่เอานะไม่ร้อง” อ้อมกอดของทิม ทำให้คนป่วยที่โวยวายสงบลงเหลือเพียงเสียงสะอื้น เพราะความรู้สึกอบอุ่นที่คุ้นเคยถูกส่งมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าทำให้ตาน้ำและพอส เบี่ยงหน้าหนี เพราะรู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่ใช่คนที่ถูกเลือกอีกต่อไป ‘หากถามว่าน้ำนิ่งรู้สึกอะไร โกรธ น้อยใจ เสียใจ คำตอบก็คงจะเป็นที่ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะทุกอย่างผสมปนเปกันไปหมดทุกอารมณ์ จนไม่รู้จะแยกออกมาเป็นอันไหนก่อนดี หากแต่รอยแผลเป็นของเขาถูกกรีดออกอีกครั้งโดยฝาแฝดและเพื่อนรัก’ -----------------------------------TBC---------------------------------- ตอนนี้มาไวแท้ เก็บสต็อกให้คนอ่านก่อน เพราะกลัวตัวเองยุ่ง :katai4: น้ำนิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ เพราะคนอื่นรู้เรื่องก่อนตัวเอง ทั้งที่เป็นเรื่องของคนที่ตัวเองรักและอยู่ด้วยกัน อีกส่วนคืออาการคล้ายอกหัก คนอีกคนมีคนอื่น แต่ไม่ยอมบอก เลยตั้งตัวรับไม่ทัน มองด้านของตัวเองคือ ตาน้ำรู้เรื่องน้ำนิ่งทุกอย่างแต่น้ำนิ่งรู้เรื่องตาน้ำอีกทีคือคบเพียวไปแล้ว *Hyperventilation เป็น อาการแสดงออก ที่เกิดจาก ความผิดปกติ ของภาวะทางจิตใจ แต่ไม่ใช่โรคจิต ส่วนใหญ่ มักพบเกิดอาการเมื่อ มีความวิตกกังวล มีเรื่องเครียด กลัว หรือ แม้แต่ ตกใจมากๆ ก็เป็นได้ หรือในบางคนที่ปวดหัวมาก มีไข้สูงมาก หรือเจ็บปวดจากอย่างอื่น ก็มีอาการเกิดขึ้นได้ เช่นกัน ใครดูพี่ว๊ากตัวร้ายมาจะรู้ดี แฮ่ๆ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ทุกคนนะคะ
ถ้าไม่คิดว่าเป็นการแสดงออกจากภาวะผิดปกติเราคงคิดเป็นการงอนพี่ชายตัวเอง แบบมากๆอ่ะนะ ขอบคุณนะคะ
บทที่ 26 ความคุ้นเคย ตาน้ำกลับไปเอาเสื้อผ้าเพื่อให้น้ำนิ่งเปลี่ยนในวันกลับบ้าน โดยมีเพียวขับรถให้เหมือนเคย เหลือแค่ทิมที่ยังคงนั่งอยู่ข้างคนป่วยไม่ห่าง ส่วนพอสก็กลับไปเรียนเนื่องจากกลัวต้าร์จะจดเล็คเชอร์เก็บให้คนป่วยไม่ทัน ถึงเวลาสลับเวร ทิมขอกลับเพื่อไปให้อาหารกะทิ หมอภวิตเรียก ตาน้ำ รวมทั้งคนใกล้ชิดที่อยู่ด้วยตอนนี้ คือ เพียว และพอสที่กลับมาหา เข้าพบ เพื่อแจ้งอาการและวิธีรักษาก่อนกลับ “ถ้าเป็นไปได้ อยากให้พามาเจอพี่อาทิตย์ละครั้ง ในช่วยนี้ ดูแล้วสภาพจิตใจกระทบกระเทือนพอสมควร พี่กลัวว่าจะเป็นแพนิค มากกว่า ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉิน โทรหาพี่ได้ตลอด ทุกคนเลยนะ ฝากไปบอกทิมด้วย” คุยกับหมออยู่นาน พอทั้ง 3 คน กลับมาที่ห้องพักฝื้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ คนไข้ไม่อยู่แล้ว! สอบถามกับพยาบาลที่เคาเตอร์ หรือ ประชาสัมพันธ์ก็ไม่มีใครพบเห็น คนแรกที่ตาน้ำคิดออกตอนนี้คือ ทิม “ทิม!! น้ำนิ่งหายไป” ทิมที่กำลังออกจากห้องเพื่อไป โรงพยาบาลรับโทรศัพท์ของเพื่อนสนิท “มึงว่าไงนะ!! นานรึยัง” “กูไม่รู้วะ ไปคุยกับพี่หมอมา กลับมาก็หายไปแล้ว แถมเปลี่ยนชุดออกไปด้วยคงไม่มีใครสังเกตคิดว่าเป็นกูกันหมด” “ไอ้เหี้ยน้ำ!!!! มึงนี่มัน… ดูยังไงของมึงว่ะ แม่ง จะไปไหนต่อ เดี๋ยวกูไปหา” ตาน้ำวนกลับไปที่คอนโดเป็นที่แรก ในใจเขาก็รู้คำตอบแน่ชัดว่าน้ำนิ่งไม่มีทางกลับมาที่นี่ เพียวและพอสไปหาที่บ้านชานเมือง ใกล้ รร. นานาชาติเดิม ก็ไม่เจอ หากตอนนี้ทุกคนกลับมารวมกันที่ร้านกาแฟใต้คอนโดพอส ที่ที่คิดว่าน้ำนิ่งจะมา “หรือว่ากลับบ้านที่อยุธยา” ทิมเอ่ยทัก เพราะที่นั่นดูแล้วอบอุ่น คิดว่าน้ำนิ่งน่าจะกลับไปพักได้ แต่ตาน้ำกลับส่ายหน้า “มันไม่กลับไปคนเดียวหรอก” “ไม่ใช่ที่นี่ คอนโดก็ไม่กลับ บ้านก็ไม่ไป แล้วมันไปไหนวะ”พอสเอ่ยขึ้นอย่างลอยๆ เขาเพียงแค่คิดว่า ถ้าน้ำนิ่งไม่อยากกลับไปที่ที่มีตาน้ำอยู่ก็น่าจะมาหาเขา “ร้านละเพียว ถามใครรึยัง” “พี่ที่ร้านบอกว่า ไม่มี แต่ถ้าไปจะโทรมาบอก” “เว้ย!! จะไปหาที่ไหนว่ะ แม่งเอ้ย” “ไอ้น้ำ มึงใจเย็นๆ ค่อยคิด” เป็นทิม ที่ปลอบใจเพื่อน แต่หากคำพูดของใครบางคนพาให้เข้ารู้สึกผิดอีกครั้ง ‘ดูแลไม่ได้ก็ปล่อยเขาไปซะ’ นานเท่าไรไม่รู้ที่น้ำนิ่งพาตัวเองออกมาจากโรงพยาบาลด้วยร่างกายที่สมองแทบจะไร้การประมวลผล หากแต่การเรียกแท๊กซี่ออกมาทำให้เขาพาตัวเองมาถึงที่นี่ได้ ‘คอนโดของทิม’ เพราะทุกๆที่เคยมีความรู้สึกที่มีฝาแฝดอยู่ อารมณ์ตอนนี้ไม่อยากที่รับรู้สิ่งใดที่จะทำให้ใจเจ็บอีก จึงได้หลีกเลี่ยงสถานที่ต่างๆ และปิดการติดต่อทุกอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ใจจึงพาขามาถึงที่นี่ ที่ที่พักหลังนี่เขามาบ่อยจนกลายเป็นความคุ้นเคย ไม่รู้จะติดต่อเจ้าของห้องยังไง เพราะถ้าเปิดมือถือฝาแฝดก็ต้องตามตัวเจอ พาตัวเองไปนั่งในซุปเปอร์มาเก็ตใต้ดอนโด ที่มีโซนนั่งทานอาหาร นานจนง่วงแล้วเผลอหลับไป ทิมกลับมาที่คอนโดตัวเองหลังจากแยกจากกลุ่มตาน้ำ เพราะคิดไม่ออกว่าจะตามหาอีกคนได้ที่ไหน เดินเข้าซุปเปอร์ หางตาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยฟุบหลับอยู่ พนักงานที่เพิ่งเปลี่ยนกะตอนที่น้ำนิ่งมาพอดี ก็เข้ามาทัก “น้องทิม เพื่อนมารอแนะ พี่เห็นมานั่งตั้งนาน ไปแจ้งที่ประชาสัมพันธ์ในตึกให้ เค้าบอกห้องไม่มีใครรับ มือถือก็โทรไม่ติด” เพราะคุ้นหน้าคุ้นตากับคนที่มาเป็นแขกของทิมบ่อยๆ เวลามาก็เห็นทั้ง 2 คนซื้อขนม ตุนเสบียงไปกันเสมอ และเพราะทุกครั้งเจ้าของห้องได้แต่ถือตะกร้าเดินตามแขกผู้มาเยือน จึงทำให้คนรอบข้างสนใจกันเป็นธรรมดา และเป็นภาพที่ติดตา กับบรรยากาศน่ารักของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี “มือถือผมแบตหมดครับ มานานแล้วใช่มั๊ย” ถามพลางเดินเข้ามาหาอีกฝ่าย “ก็นานจนหลับอย่างที่เห็นละคะ พี่ปลุกให้ไปนั่งที่ประชาสัมพันธ์ก็ไม่ไป บอกเดี๋ยวหิวจะออกมาซื้อขนมอีกไม่ได้” เพราะไม่เคยให้คีย์การ์ด ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะลำบากใจได้การรับ ทำให้ครั้งนี้ทิมรู้สึกผิดที่ทำให้คนที่เพิ่งหายป่วยมานอนฟุบที่โต๊ะเช่นนี้ “ขอบคุณมากนะครับพี่ที่ช่วยดูแลให้ “ พูดแล้วก็หันปลุกคนหลับอยู่ “น้ำนิ่งๆ “ส่งมือไปสัมผัสคนที่หลับให้รู้สึกตัว “อื้อ… ทิม ทิม มาแล้ว” ลืมตาตื่น เห็นคนที่ตัวเองมารอ ก็เผลอเข้าสวมกอด “อืม มาแล้ว อยู่นี่แล้ว ขึ้นข้างบนกันเถอะ” ก่อนจะลุกออกไป น้ำนิ่งก็หันไปขอบคุณพี่พนักงานในร้าน พาน้ำนิ่งขึ้นมาถึงห้อง ก็หาเสื้อผ้าให้อาบน้ำ เพื่อจะได้หาทางส่งข่าวบอกตาน้ำ “น้ำ กูเจอแล้ว อยู่คอนโดกู” “เหี้ยทิม! ทำไมเพิ่งมาบอก” “กูเพิ่งแยกจากมึงแล้วกลับมาถึงมั๊ยละ กลับมาก็เจอเขานอนหลับอยู่ในซุปเปอร์ ดีพี่พนักงานจำได้ เลยช่วยดู” ฟังคำจากเพื่อนตาน้ำก็ได้แต่ถอนหายใจ ตอนนี้น้ำนิ่งคงไม่อยากเจอเขา “ฝากมึงช่วยดูก่อนละกัน ตอนนี้มันคงไม่อยากเจอกู มีไรก็ไลน์มานะ” “ไม่มีปัญหา กูเคยบอกแล้วว่ากูจะดูแลเขาให้ดี” “ขอบใจมากมึง” รีบคุยรีบวาง เพราะกลัวคนที่อาบน้ำเสร็จจะออกมาโวยวาย หันตัวเองมองเข้าห้อง คนที่อาบน้ำออกมาพอดี มองคนเดินออกจากห้องน้ำ ก้มลงอุ้มแมวไว้ในอ้อมกอด เดินเข้าโซฟามุมประจำ ทิมก็ก้าวขาเดินกลับเข้าห้อง มองคนนั่งลูบแมวที่น้ำตาเริ่มเอ่อไหลในกระบอกตา ทิมก็ก้าวถึงตัวเข้าโอบไว้พร้อมก็ยกนิ้วปาดน้ำตาที่ไหลออกมาก่อนจะตกถึงแก้มใส ดันให้คนที่น้ำตาเอ่อซบเข้าที่อกตัวเอง “อึก!... ทิม” “ชู่ว์….คนเก่ง ร้องทำไมไหนบอกทิมสิครับ” “ทิม… น้ำ อึก! น้ำไม่รักเราแล้ว” ใจหายวูบกับคำที่ได้ยิน ฝาแฝดรักกันแบบไหน “ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ เล่าให้ฟังได้มั้ย” “ก็น้ำไม่ยอมบอกเราเรื่องพี่เพียว” เหตุผลนี้เองหรอที่ทำให้คนตรงหน้าเศร้า “อืม… น้ำนิ่ง ชอบทิมมั๊ย” คนที่อกยกหัวมามองหน้า ทิมก็รู้ว่าตัวเองเปรียบเทียบผิดพลาด จึงต้องเปลี่ยนหัวข้อใหม่ “เอาใหม่ น้ำนิ่งว่า กะทิรักทิมมั๊ย” คนนี้ต้องใช้แมวเข้าล่อเท่านั้น ถึงได้ผล “รักสิ ก็ทิมเป็นเจ้าของกะทินิ” “อาห๊ะ แล้วเวลาน้ำนิ่งมาเล่นด้วย ให้นมกิน ให้ปลาเส้น ให้ขนมปัง ยอมให้น้ำนิ่งอุ้ม เล่นด้วย แบบนี้ กะทิมันรักน้ำนิ่งมั๊ย” “ทิมรู้ด้วยหรอว่าเราแอบให้ขนม ไม่รู้สิ รักมั้ง” คนตอบเสียงอ่อยลง จากตอนแรก “แล้วพอน้ำนิ่งกลับไป กะทิอยู่กับทิมเหมือนเดิม กะทิจะยังรักทิมอยู่มั๊ย” ไม่พูดป่าว คว้าแมวที่ตัวอีกคนมาอุ้มไว้ ให้มองเห็นภาพ “ก็รักสิ ก็กะทิอยู่กับทิมนิ” คำตอบที่ได้ยินนั้นทำให้ทิมรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มลำดับความได้บ้าง “อืม…. น้ำนิ่งรู้มั๊ย ตอนที่ยังไม่ฟื้น น้ำมันร้องไห้ ร้องตลอด มันบอกว่ามันทำน้ำนิ่งเจ็บ ร้องจนเพลียแทบจะหมดแรง พี่หมอมาดูอาการก็ให้ให้น้ำเกลือ ให้นอนพักอีกห้อง มันก็บอกว่าไม่เอา จะอยู่ห้องนี้ เดียวน้ำนิ่งตื่นมาไม่เจอมัน พี่หมอก็ต้องเอาน้ำเกลือมาให้มันในห้อง หมดก่อนที่น้ำนิ่งจะฟื้นไม่นานเอง แบบนี้ยังคิดว่าน้ำไม่รักอยู่มั๊ย” เล่าไปก็เกิดความสงสัย แต่ใจคิดว่าเพราะฝาแฝดมีสัมผัสมากกว่าพี่น้องธรรมดาก็เป็นได้ “แต่น้ำอะ ไม่เห็นเราสำคัญเลย มีอะไรก็ไม่บอก ให้เรารู้เรื่องจากคนอื่น แบบนี้เรียกว่ารักหรอ ” “บางที น้ำมันอาจจะยังไม่พร้อมที่จะบอกก็ได้นะ แต่ดันเกิดเรื่องซะก่อน” เท่าที่ฟังเพื่อนเล่ามันก็เป็นเช่นนั้น ตาน้ำก็อยากที่จะเห็นน้ำนิ่งมีความสุข จึงรอให้เขาและน้ำนิ่งตกลงกันได้ก่อน “ทิมเข้าข้างน้ำ” นั่นไงละ น้ำนิ่งตอนนี้ไม่ได้นิ่งแล้ว เพราะกำลังไหลวนพาลไปเรื่อย “ไม่เอาสิครับ นั่งอยู่ด้วยกันนี่ ยังว่าทิมจะเข้าข้างน้ำอีก หืม” ปล่อยแมวลงพื้น หันกอดคนที่ซบอยู่อย่างแนบสนิท ลูบหลังปลอบโยนอย่างถนอม คนในอ้อมกอดสะอื้นขึ้นอีกครั้ง “เราไม่รู้ อึก! เราก็ไม่รู้ ทุกคนดูเหมือนอยากให้เราอยู่กับทิม ทั้ง น้ำ ทั้ง พอส ทำไมละ เราน่ารังเกียจหรอ ทำไมต้องไล่เรามาอยู่กับทิมด้วย” “คนเก่งของทิม ร้องไห้อีกแล้ว ชู่ว์ ไม่เอานะไม่ร้อง” ดันตัวอีกฝ่ายออก พร้อมจูบซับน้ำตาอย่างแผ่วเบา “’งั้นทิมถามอะไรอีกอย่าง น้ำนิ่งอยู่กับทิมแล้วมีความสุขมั๊ย” คนฟังคำถามมุดหน้าหนีซบลงกับบ่า “ก็มี” ตอบออกมาอย่างแผ่วเบา “เพราะทุกคน รักน้ำนิ่ง อยากเห็นน้ำนิ่งมีความสุขไง เขาถึงอยากให้น้ำนิ่งอยู่กับทิม แบบนี้ไม่เรียกว่ารักหรอ เวลาน้ำนิ่งอยู่กับกะทิน้ำนิ่งมีความสุข ทิมถึงอยากให้น้ำนิ่งมาหากะทิบ่อยๆไง” แอบบอกรักทางอ้อม หากแต่คนตรงหน้ายังวนเวียนกับเรื่องฝาแฝดและเพื่อนสนิท “….”ไม่มีคำตอบ เรื่องแบบนี้คงต้องให้เวลาสักหน่อย ‘กอดปลอบคนงองแ โยกซ้ายขวา ราวกับกล่อมเด็กนอน ทิมรู้สึกว่าเรื่องราวครั้งนี้สำหรับฝาแฝดมันใหญ่หลวงนัก แต่ก็มองไม่ออกว่าทำไมถึงใหญ่โตเพียงนี้ อย่างน้อยการมาของน้ำนิ่งครั้งนี้ ทำให้ทิมรู้ว่าเขาเป็นคนที่น้ำนิ่งเลือกที่จะไว้ใจ’ -----------------------------------TBC----------------------------- คนแบบน้ำนิ่งต้องเอาแมวเข้าล่อ ทิมว่าแบบนั้น อารมณ์น้อยใจ ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เครียด ปนกับความรู้สึกว่าคนอื่นรังเกียจตัวเอง ตีรวน ปนเปไปหมด ไหนจะเพื่อนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน แต่คบกันแล้วไม่บอกอีก ชีวิตมันเศร้านัก ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ ทุกคำติชมนะคะ
น้ำนิ่งสู้ :mew1:
น้ำนิ่ง มีภาวะทางอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าคนทั่วไป เพราะในอดีตเคยเกิดเรื่องไม่ดี จนตัวเองช็อค พอเกิดเรื่องที่กระเทือนทางอารมณ์ แล้วคิดเองเออเอง ว่าถูกเพื่อนๆผลักไส ตาน้ำก็ไม่รัก ไม่บอกเรื่องเพียว มาหาทิม ก็คงไว้ใจทิม ทิมน่าจะปลอบโยนได้ :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
นุ้งเหมียวเบื่อ มนุษย์คนเขียน อัพก็ช๊า คนอ่านก็รอ ปวดหัวๆ แวะเอาแมวมาอ้อนคนอ่านแป๊ปนึง
บทที่ 27 ง้อ เช้าวันเรียนวันสุดท้าย ทิมรู้สึกตัวตื่น เมื่อคนข้างๆ หายไป ลุกเดินตามหา จึงได้ยินเสียงคุยกับแมวที่โซนครัว “กะทิ ทิมจะชอบกินแบบนี้มั๊ย” แมวน้อยที่นั่งให้กำลังใจ ตอบเพียงเสียงเงี๊ยวง๊าว ทิมเดินเข้าไปด้านหลัง โผลเข้ากอด แล้วก้มจูบที่ท้ายทอยอย่างอ่อนโยน “ อะ ทิม” “ Morning Kiss” คนด้านหน้าก็หูแดงทันที นี่จุดอ่อนสินะ “ทำอะไรกิน หืม” “แซนวิสทูน่า กินได้ป่ะ” “แอบให้กะทิ กินแล้วใช่มั๊ย” “รู้ทันอีกแล้ว” “ไหนเอามาชิมสิ” น้ำนิ่งหมุนตัวหันหน้าเข้าหา ส่งแซนวิสยื่นให้ ทิมเอื้อมมือไปจับที่มืออีกฝ่ายแล้วขยับเอาแซนวิสที่มือเข้าปาก เจ้าของมือสีหน้าขึ้นริ้วแดง “ทิม! แกล้งอีกแล้ว” “แกล้งอะไรละ ก็อยากให้ป้อน ป้อนไม่ได้หรอ” “ได้ ก็ป้อนแล้วไง” “งั้นทิมป้อนมั่ง” ว่าแล้วทิมก็ก้มลงกัดแซนวิสคำเล็กๆ แล้วขยับหน้าเข้าหาอีกคน ใช้ปากป้อนแซนวิสแล้ว ผละออกมา “ทิม!” “อร่อยป่ะ” เห็นคนเคี้ยวแซนวิสแล้วกลืน ทำให้ทิมขยับปากเข้าประกบอีกคนอย่างแผ่วเบา จนคนโดนโอบไว้ต้องดันออก “อื้อ” “สัญญาอะไรอย่างนึงก่อน” “อะไรหรอ” “วันนี้ไม่ว่า ตาน้ำหรือ พอส มาคุยด้วย น้ำนิ่งต้องคุยด้วย” คนฟังได้ยินก็ส่งตาค้อนเล็กๆ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ “สัญญามั๊ย ถ้าไม่สัญญา ทิมจูบ” “สัญญาๆ ทิมไปอาบน้ำเร็วเดี๋ยวสาย” “ไม่อยากให้จูบหรอ” ส่งน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย “ไม่…ไม่ใช่นะ ก็สายแล้วทิมยังเล่นอีก” คนปฏิเสธหน้าขึ้นสี “ใครบอกเล่น จูบจริงต่างหาก” ว่าแล้วก็ขยับจูบคนในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา “สัญญาแล้วไม่ทำนะ โดนหนักกว่านี้แน่” น้ำนิ่งยังคงมึนงงในคำสัญญา ไหนบอกว่าสัญญาแล้วจะไม่จูบไง ทำไมถึงโดนจูบละ นี่โดนทิมแกล้งอีกแล้วใช่มั๊ย โรงอาหาร พอสนัดแนะกับทิมเป็นอย่างดี ให้พาน้ำนิ่งไปเจอกัน ทิมซึ่งรู้เรื่องราวดี ก็จัดที่ทางให้น้ำนิ่งนั่งชิดด้านใน เพื่อจะได้ลุกหนีเพื่อนได้ยาก “มึง ฟังกู 2 คนก่อน กู 2 คนยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะเว้ย” พอสเป็นคนเอ่ยทักขึ้น น้ำนิ่งนั่งเงียบจนทิมต้องส่งมือแอบไปจับใต้โต๊ะ “เอาจริงๆ กู 2 คนแค่อยู่ในระยะศึกษากัน ยังไม่ได้เป็นแฟนกันนะเว้ย มึงอย่าเพิ่งคิดไปไกล กูเองก็เพิ่งรู้ใจกันก่อนไปงานวันเดียว จะบอกก็ไม่รู้จะบอกยังไง เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ในสถานะไหน” ต้าร์เสริมขึ้น ตามที่ได้ตกลงกับพอสมาก่อนหน้า “อย่าโกรธกู 2 คนเลยน๊า” เพื่อน 2 คนเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างอ้อนวอน น้ำนิ่งหันสบตาทิม แววตาที่ให้กำลังใจและเหมือนจะบอกว่ายอมรับทุกการตัดสินใจ มือที่จับไว้บีบเบาๆ ย้ำเตือน สัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนออกมาเรียน “คิดดูก่อน” เพราะ 2 คนตรงหน้า คือเพื่อนที่ดีที่สุด แต่คนงอนใครเขาหายงอนง่ายๆกันละ “เดี๋ยวกูเลี้ยง มังกรเขียว ตอนนี้มีโปรบุฟเฟ่ต์ ด้วย” เสี่ยออกอาการเอาของกินมาล่อ “เห้ยจริงดิ! อยากกินอะ โอ๊ย! “ คนตอบรับไม่ใช่คนงอนเพื่อน แต่เป็นคนนั่งข้างพอสนั่นละ เลยโดนเสยไปซะหนึ่งที “อยากกินก็ทำให้มันหายงอนไวๆ” “น้ำนิ่ง หายงอนกู 2 คนเถอะนะ มึงงอนพวกกูนี่ เหง๊าเหงา ชีวิตไม่สดใสซาบซ่า เสมือนว่าไม่ได้กินน้ำอัดลม ขมขื่นยิ่งกว่ากินยาแก้ไออีก ดีกันน๊าๆ จะสอบแล้วนะมึง งอนเพื่อนเดี๋ยวสอบไม่ผ่าน เพราะสมองฟุ้งซ่าน มัวแต่คิดเรื่องอนพวกกูเนี่ย” ต้าร์จัดเต็มจนน้ำนิ่งหลุดขำไม่ได้ ก็จริง อาทิตย์หน้าก็สอบแล้ว ถ้าแยกสมองไม่ได้ คงไม่ไหวแน่นอน “จะเลี้ยงเมื่อไหร่ไอ้พอส” คนงอนเอ่ยถามเพื่อน ก็ของกินที่เอามาล่อนั่นร้านโปรดนี่หน่า เพื่อนรู้ใจขนาดนี้จะไม่ให้รักได้ไง “สอบเสร็จ ห๊ะ! ห๊ะ! มึงถามว่าไรนะ ตกลงหายโกรธแล้วใช่ปะ ใช่ป่ะทิม มันหายโกรธแล้วใช่ป่ะ” เพราะไม่เชื่อหูตัวเอง จึงต้องหันไปถามคนนั่งข้างเพื่อน ”หายก็ได้ แต่ต้องเลี้ยงทิมด้วย” “เดี๋ยว กูแถมอาหารแมวไอ้ทิมให้ 5 กิโลเลย” “ขนาดนั้นเชียว” เจ้าของแมวตอบรับ “แน่นอน” ทำให้เพื่อนรักกลับมาเข้าใจกันได้ก็โล่งใจ แต่เรื่องฝาแฝดนี่สิ ทิมไม่รู้ว่าจะทำยังไง ให้อีกคนรับฟัง แล้วคนที่ไม่เคยมาโรงอาหารกลางก็มาถึง มาพร้อมกับขนมหวานของโปรดฝาแฝดตัวเอง พอสและต้าร์ ขยับออกให้ตาน้ำนั่งลงตรงข้ามน้ำนิ่ง “ซื้อมาให้อะ” ไม่รู้จะทำยังไง ก็เริ่มจากการเอาของกินมาหลอกล่อก่อน สายตาว่างเปล่ามองขนมหวาน จนทิมต้องบีบมือเรียกสติ “ทิมกินมั๊ย?” ถามพร้อมกับเลื่อนถ้วยขนมไปให้ “กินด้วยกันสิ เดี๋ยวป้อน” ลอบสบตาเพื่อนแล้วก็ขยับจะป้อนอีกฝ่าย ยอมทำให้กินขนมได้ นั่นก็ถือว่า ลดความมึนตึงลงไปได้บ้าง แม้จะแค่ 10 % “บ้า ไม่เอา คนเยอะ” “ไม่ให้ป้อนก็กินดิ ไม่กินทิมป้อนนะ” น้ำนิ่งมองคนที่ตักขนมเข้าปากแล้วส่งช้อนให้ด้วยสายตาอ้อนวอนเหมือนเจ้ากะทิร้องขอเล่นด้วยไม่มีผิด “กินก็ได้” ตักขนมเข้าปากเพียงน้อยนิด แต่นั่นก็ทำให้ตาน้ำดีใจมากแล้วที่น้ำนิ่งยอมกินขนมที่ซื้อมาง้อ “กินแล้ว ทิมกินให้หมดเลย” ว่าแล้ว ทิมก็ต้องรับขนมมา กูช่วยได้เท่าที่ช่วยละว่ะไอ้น้ำ พยายามต่อไปนะเว้ย “ไวๆ ทิม จะได้เวลาเรียนแล้ว” พอสเอ่ยทัก เพราะเรียนวันสุดท้าย วิชาที่มีเรียนเหมือนกันอาจารย์จึงยุบรวม เพื่อให้มีเวลาหยุดอ่านหนังสือมากขึ้น “ไปๆ” เด็กบริหารเดินนำข้างหน้า มีวิศวะเดินตาม ปรับทุกข์กันอยู่ด้านหลัง “มึงจะยังไงน้ำ” “เดี๋ยวตอนเย็น กูไปหาที่ห้องมึง” “แล้วเรื่องพี่เพียว นี่มึงยังไง“ “ไม่รู้วะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” “อ่าว… มึงนี่” “ให้มันหายโกรธกูก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” น้ำนิ่งรอทิมมารับที่หน้าคณะ พอสกับต้าร์เมื่อส่งเพื่อนเสร็จก็แยกไป “เย็นนี้อยากกินอะไร” คนขับรถเอ่ยถามคนนั่งฮัมเพลงข้างๆ ปฏิกิริยาดูแตกต่างจากเมื่อวานที่บึ้งตึงกับฝาแฝด “ไม่รู้อะ ทิมอยากกินไรอะ” “แวะห้างมั๊ย จะได้ไม่ต้องล้างจาน” “ก็ได้ มีของต้องซื้อด้วย” เห็นคนหันมายักคิ้วลิ่วตาให้ก็แปลกใจ อารมณ์ดีอะไรหนอ 2 หนุ่มเขาร้านอาหาร สั่งอาหารจานเดียวทานอย่างง่ายๆ เพราะคนนึงไม่ทานของหนักช่วงเย็น ส่วนนักกีฬาก็รักษาหุ่นเต็มที่ เสร็จจากร้านอาหารก็ได้เวลาซื้อของ “ทิมมีอะไรต้องซื้อมั๊ย” “ว่าจะซื้อขนมให้กะทิหน่อย รู้สึกเหมือนเบื่ออันที่กินอยู่เลย” “งั้นแยกกันดีกว่า จะได้กลับไม่ดึก เสร็จแล้วเดี๋ยวเราโทรหา” “เดินคนเดียวได้นะ” เพราะห่วงเรื่องเข้าใกล้คนแปลกหน้า เลยอดถามไม่ได้ “ได้ แป๊ปเดี๋ยวเอง มีของในใจไม่เลือกนานหรอก ไปชี้ๆ จ่ายตังค์จบเลย” “ไม่นาน ก็ไม่เห็นต้องแยกกัน” ทิมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากออกห่างจากน้ำนิ่งมากขึ้นทุกที “ก็ทิมนานอะ กว่าทิมจะเลือก นู้นนี่นั่น เราซื้อเสร็จเดินไปหา ทิมเสร็จพอดี” “โอเคยอม” ซื้อของเสร็จ ก็ได้เวลากลับเขาที่พัก ถึงห้อง2 คนก็ทิ่งร่างลงบนโซฟา อย่างหมดแรง แมวน้อยเดินมาหาคลอเคลียไม่ห่าง “น้ำนิ่ง ทิมเอาขยะไปทิ้งแป๊ปนะ เดี๋ยวไปซื้อขนมด้วย เมื่อกี้ที่ห้างหมด” ว่าแล้วก็จัดการตัวเองตามแผนที่คุยไว้กับเพื่อน “อื้อ” น้ำนิ่งลุกขึ้นออกไปยืนเล่นที่ระเบียง ไม่นานเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น “ลืมอะไรหรอ อะ น้ำ” หันไปมองเห็นฝาแฝดตัวเองโผลเข้ามาสวมกอด น้ำนิ่งหมุนตัวหันหลังให้ในจังหวะนั้นทันที เพราะยืนอยู่ที่ระเบียง จะขยับหนีไปไหนก็ไม่ได้ ได้แต่ดิ้นขลุกขลักอยู่อย่างนั้น ตาน้ำสอดมือเข้าที่ชายเสื้อของน้ำนิ่ง ลูบขึ้นไปยังบริเวณหน้าอกซ้าย ทาบมือลงตรงหัวใจเต้นอยู่แผ่วเบา “ไม่รักพี่แล้วหรอ” คำถามที่ทำให้คนโดนกอดน้ำตาไหล เสียงหัวใจของอีกคนที่ทาบอยู่ด้านหลังส่งสัญญาณชัดเจน “ก็น้ำ อึก.. น้ำไม่รักเรา” สรรพนามที่ได้ยิ่นทำให้รู้ว่าอีกคนยังงอนอยู่ “รักสิ รักมาก มากจนไม่รู้ว่าจะขอโทษยังไง พี่รู้พี่ผิดที่ไม่ได้เล่าให้ฟังตั้งแต่แรก แต่เอาจริงๆ พี่ก็ไม่รู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับเขา มันอาจจะเป็นแค่ความผูกพันที่อยู่ด้วยจนชิน แต่วันนั้นแค่แม่ของเขาบังเอิญเปิดประตูมาเจอ ก็เลยทำให้เข้าใจกันไปแบบนั้น” คนฟังนิ่งเงียบไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่มีชื่อของบุคคลที่สามออกมา เพราะฝาแฝดรู้ดีว่าไม่ควรพูดถึง “น้องไม่ชอบเขาหรอ ถ้าไม่ชอบพี่เลิกยุ่งก็ได้” คนฟังส่ายหัว เล่นเอาไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน “งั้นบอกพี่ได้มั๊ย รู้สึกยังไง” “น้ำ น้ำพยายามให้เรามาอยู่กะทิม เพราะน้ำรังเกียจเราใช่มั๊ย เรามันไม่ใช่คนสำคัญ มีอะไรน้ำก็ไม่เคยบอก แถมยังให้เราไปอยู่กับคนอื่นอีก” รู้ว่าอีกคนนะรัก แต่ความน้อยใจมันมีมากกว่า “ถ้ารังเกียจ พี่จะกอดอยู่อย่างนี้หรอ หืม แล้วอีกอย่าง น้องกับทิมก็ชอบกัน พี่จะขัดขวางทำไม” “น้ำรู้ รู้ได้ไงว่าเราชอบทิม” “สัญชาตญาณ” พูดแล้วก็กดจูบลงที่ขมับ “พี่รักน้องนะ รู้ใช่มั๊ย แต่เราอยู่ด้วยกันแบบนี้มันจะไม่ดีต่อเราทั้งคู่ เราต้องมีชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่น ชีวิตเราต้องมีคนอื่นอยู่ ด้วย ไม่งั้นต่อไปเราจะช่วยพ่อแม่ทำงานยังไง พี่อยากให้น้องเข้มแข็งมากขึ้น เรื่องทิมพี่เห็นว่าชอบกันเลยไม่ได้ว่าอะไร ทิมเองก็ เป็นเพื่อนที่ดีของพี่ และถึงว่าน้องจะมีทิมพี่ก็ยังอยู่ด้วยนี่ไง ไม่ได้ไปไหนเลย เห็นมั๊ย ” พูดจบก็จับอีกคนหันหน้าเข้าหาตัวเอง พร้อมยกมือของอีกฝ่ายแนบเอาที่หน้าอกหน้าซ้ายเหมือนกัน คนน้อง พยักหน้าให้กับคำถามที่พี่ส่งมาให้อย่างเข้าใจ ตัวเองก็เคย คิดไว้นั่นละ ว่าอย่างให้ตาน้ำมีชีวิตปกติแบบคนอื่น หากแต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เตรียมใจนะสิ “เรื่องของพี่ พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอก ขอโทษที่ทำให้รู้จากคนอื่น แต่มันเป็นเพราะพี่เป็นห่วงเรื่องน้องกับทิมมากจนลืมนึกถึงเรื่องของตัวเอง อีกอย่างพี่เองก็ชิน ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกใหม่ ตื่นเต้นจนต้องเล่าให้ฟังก็แค่นั้นเอง” “เด็กดีของพี่ ยกโทษให้ได้มั๊ยครับ” เสียงหัวใจที่เต้นพร้อมกันของฝาแฝด ความรู้สึกที่ยังมีอีกคนอยู่ข้างๆกันไม่ได้หายไปไหนจริงๆ ตาน้ำยกมือปาดน้ำตาของฝาแฝดพร้อมจูบซับอย่างแผ่วเบา “พี่อยากให้น้องรู้ว่าน้องเป็นคนสำคัญของพี่นะ ไม่ว่าน้องจะมีใคร พี่จะมีใคร น้องก็ยังเป็นคนที่พี่รักและสำคัญกับพี่ตลอดเวลา” พูดจบก็เอาปลายจมูกของตัวเองสัมผัสกับปลายจมูกของน้อง ส่ายไปมาอย่างนุ่มนวลแบบที่อีกคนชอบให้สัมผัส ประตูห้องที่ปิดไม่สนิท ทำให้ทิมที่เดินตามกลับขึ้นมา ได้ยินบทสนทนาของฝาแฝด แม้จะไม่ชัดเจนมาก แต่ก็น่าแปลกคำพูดเล่า นี้เหมือนคนรักกันง้อกันมากกว่าจะเป็นพี่น้องที่ทะเลาะกัน ไหนจะภาพงอนง้อตรงหน้าที่ดูแปลกประหลาด แต่ก็ไม่อยากที่จะคิด เกินเลยไปไกล หายงอนกันก็ดีมากแล้ว “แต่เรายังไม่หายงอนหรอกนะ น้ำต้องโดนลงโทษ” “อะไรอ่า แล้วเมื่อไรจะหายงอนอะ จะสอบแล้วน๊า” “เมื่อไรที่น้ำรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับพี่เพียว เราจะหายโกรธ” --------------------TBC-------------------------------------- มาช้าอีกตามเคย ขอโทษนะคะ ตั้งใจจับอัพวันเสาร์ แต่โดนเพื่อนแกล้งให้เอาคอมไปช่วยทำงาน พอถึงเวลามันก็ไม่ทำ พอจะจะอัพนิยายมันก็ให้ทำงาน เซ็งชีวิตจริงๆ สรุปนี่น้องมันประมวลทันพี่มั๊ย อิพี่มันพูดๆๆ อยู่ฝ่ายเดียว ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ ทุกท่านนะคะ
บทที่ 28 Valentine Day’s & Chocolate Lover น้ำนิ่งนั่งกินขนมที่ทิมซื้อมาให้อย่างสบายใจบนโซฟา แอบเอาให้กะทิน้อยกินบ้างเวลาที่เจ้าของไม่หันมอง เจ้าแมวน้อยได้ใจตะกายหาขึ้นไปอยู่บนตัวจนแทบจะกินจากปากของคน ทิมหันมองอย่างอ่อนใจ ไม่รู้จะดุแมวหรือดุคนก่อนดี ได้แต่คว้าแมวออกมาจากตัวของอีกคน น้ำนิ่งขยับจะกินช็อคโกแลตสดที่พี่ชายทิมเอามาฝากจากญี่ปุ่น ทิมก็ต้องวางเอากะทิให้ออกห่าง คนนั่งกินขนมอยู่หันมองอย่างงุนงง “ทิมแกล้งกะทิทำไมอะ” “ไม่ให้กินช็อคโกแลตนะ สัตว์ไม่ควรกิน เป็นอันตรายต่อสุขภาพ” “’งั้นเรากินเองก็ได้” ทิมขยับไปจับมือของอีกคนที่ถือช็อคโกแลตไว้ “แมวกินไม่ได้ เจ้าของแมวกินได้นะ” จับมือที่เล็กกว่าหันป้อนเข้าปากอย่างตั้งใจริมฝีปากสัมผัสให้นิ้วของอีกคน น้ำนิ่งก็หน้าแดงทันที นี่จุดอ่อนที่ 2 ต่อจากท้ายทอยหรอ “ทิมอะ เรายังไม่ได้กินเลยนะ พี่ทอยซื้อมาฝากเราไม่ใช่หรอ” “อ้าว ไม่ใช่ให้แบ่งกันหรอ” “ไม่ใช่นะ นี่ของเราต่างหาก” คนฟังยิ้มขำ ก็เขาเองนั่นละที่บอกพี่ชายให้ซื้อมาให้เพราะจะให้อีกคนในวันนี้ เจ้าตัวกลับไม่ได้รู้สึกอะไร คิดว่าเป็นของฝากแบบทุกครั้ง “อยากกินป่ะ” คนฟังพยักหน้า หงึกๆ แต่มือนั้นถูกอีกฝ่ายรวบไว้ทั้ง 2 ข้างจะไปหยิบกินได้ไง ทิมที่ยังอมช๊อคโกแลตอยู่ในปาก ขยับตัวเข้าหา สัมผัสริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา นุ่มนวล แต่คนถูกสัมผัสนั้นแทบหยุดหายใจ เมื่อถูกลิ้นร้อนดันช๊อคโกแลตเข้ามาในปากของตัวเอง แถมลิ้นนั้นยังวนกวาดชิมรสชาติในปากราวกับอยากลิ้มรสทั้งคนและช๊อคโกแลตก็ไม่ปาน น้ำนิ่งกำมือ2 ข้างของตัวเองแน่น ทำให้ทิมต้องขยับส่งมือตัวเองเข้าผสานไว้ ไม่นานก็ผละออกมา “อร่อยปะ” คนถามยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ราวกับดีใจที่ได้แกล้งลูกแมวตัวโต บึ่ก! “ โอ๊ย” ก็โดนทุบเข้าที่อกอย่างจัง “ทิมอะ ไม่ให้กินแล้ว” คนหวงขนมลุกหนี หยิบขนมติดตัวไปที่ระเบียงด้วย “อะไรอ่า นี่ทิมให้พี่ทอยซื้อมาให้น้ำนิ่งนะ ไม่ใช่ของฝากพี่ทอยสักหน่อย” “จริงหรอ” คนถามหันหน้าไปหา พร้อมกับเอวตัวเองที่โดนรวบไว้ในอ้อมแขนของอีกคน เห็นคนที่กอดตัวเองยักคิ้วลิ่วตาอย่างกรุ่มกริ่มก็เชื่อได้ว่าที่พูดนะเรื่องจริง “Happy Valentine Day’s ครับ ” เสียงกระซิบที่หูทำเอาคนฟังหน้าแดงอีกแล้ว เขินง่ายจริงนะ น้ำนิ่งขยับตัววางช๊อคโกแลตไว้ข้างๆ พร้อมยกมือปิดตาทิมเบาๆ “อะไรอะ” “ชู่ว์ เด็กดีต้องไม่ดื้อ หลับตาก่อน” ได้ยินเสียงข้างหูตัวเอง กึกๆ เบาๆ พร้อมกับความรู้สึกจิวที่หูโดนถอดออก ก็ตกใจจนอยากจะลืมตา แต่คนในอ้อมกอดส่งเสียงทักขึ้นมาอีก “อย่าลืมตานะ ถ้าลืมตาจะโดนลงโทษ” สัมผัสเสียดที่หูทำให้ทิมยิ้มออก “เสร็จแล้ว ลืมตาได้” ความรู้สึกที่หูทำให้ทิมยกมือสัมผัสแบบไม่รู้ตัว “อยากเห็นอะ” น้ำนิ่งหยิบโทรศัพท์เปิดกล้องให้ทิมดู จิวหมุดอันเดิมถูกเปลี่ยนเป็นต่างหูห่วงเพชรแบบเป็นหนามเตยแบบติดหู “โอ๊ะตายพอดี พี่ว๊ากวิศวะใส่แบบนี้น้องจะกลัวมั๊ยเนี่ย” เพราะรู้ว่าขึ้นปีสามจะมีกิจกรรมมากมาย รุ่นพี่ก็เรียกรวมตัวแต่เนิ่นๆ “ไม่ชอบหรอ” คนโดนทักหน้าเสียลง “ชอบครับ แฟนซื้ออะไรให้ก็ชอบหมดละครับ ใครถาม ใครแซวก็จะบอกว่าแฟนซื้อให้ครับ แฟนผมชอบแบบนี้ ผมก็ชอบครับ โอ เคปะ” พูดจบก็หอมเข้าที่แก้มใสทั้งซ้ายขวา “ทิมอะ แกล้งเราอีกแล้ว” “แล้วอีกข้างอะ” เพราะอีกคนไม่เจาะหูเลยทำให้เอ่ยถามถึงอีกชิ้นที่คู่กัน น้ำนิ่งหยิบกล่องเล็กๆมาเปิดให้ดู ในนั้นมีสร้อยคอเส้นเล็กร้อยกับต่างหูอีกข้างที่เหมือนกันอยู่ ทิมจำได้ดี สร้อยเส้นนี้แม่ของเขาให้น้ำนิ่งวันที่ไปบ้าน เพราะบอกว่าซื้อมาให้ทิมแล้วเขาไม่ยอมใส่ อยากให้น้ำนิ่งช่วยรับไว้ใส่แทนที เอาจริงๆ แม่ซื้อเตรียมไว้ให้น้ำนิ่งนั่นละ “ใส่ให้” หยิบสร้อยที่อีกคนร้อยต่างหูเล็กใส่ไว้เป็นจี้คล้องลงที่คอ พร้อมกับเกี่ยวสร้อยขึ้นมาจูบที่ต่างหู “อยู่เป็นคู่กันนะ” พูดเสร็จก็เอ่ยขึ้น “อือ” เสียงตอบรับมีแค่นี้ เพราะเขินมาก ก็คิดแค่ว่าใส่ต่างหูให้อีกคนก็จบกับ สร้อยตัวเองใส่เองก็ได้ กลายเป็นของที่ตัวเองทำไว้ใส่อีกฝ่ายดันใส่ให้เฉย “แย่จัง ทิมไม่มีอะไรให้เลยสิเนี่ย” “ไม่เห็นเป็นไรเลย นี่ก็ได้กินช็อคโกแลตแล้วนี่ไง” “เดี๋ยวนะ มีช็อคโกแลตแล้วต้องมีกุหลาบใช่ป่ะ” คนฟังหน้าตาตื่นเพราะกลัวตัวเองโดนเซอร์ไพร์ส แต่ทิมไม่ได้ขยับตัวไปไหนก็ยิ่งมึนงง สัมผัสจากชายเสื้อของน้ำนิ่งทำให้ลมหายใจแทบขาดช่วง มือของทิมที่ลูบขึ้นมาจนทำให้เสื้อเปิดขึ้นทำให้ตกใจ “ท..ทิม” ตัวสั่น ใจสั่น ก็นี่มันตรงระเบียงนะ “หืม” คนถูกเรียกไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่โน้มตัวกดริมฝีปากที่หน้าอกหน้าซ้ายของคนในอ้อมกอด รอยคิสมาร์คสีกุหลาบถูกสร้างขึ้นตรงแนวที่หัวใจเต้นพอดี “อะ ทิม” คนถูกทำรอยรู้สึกเหมือนโดนตัวอะไรกัดเบาๆ จนร้องทักขึ้นอีกที “กุหลาบจริงไม่กี่วันก็เหี่ยวแล้ว รอยนี้อยู่ได้ตั้งหลายวัน หายก็ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อใหม่ ทำได้เรื่อยๆด้วย” คนฟังทุบอกคนพูด บึกๆ เพราะความเขิน มือคนพูดเกลี่ยอยู่ที่รอยที่ตัวเองทำไว้ แล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันนะ” จูบที่ขมับของคนตัวเล็กกว่า “ขอบคุณเหมือนกันที่ให้อยู่ด้วย” . . . . . . . เพียวนั่งมองคนที่ทำอะไรยุกยิกๆ โซนครัวห้องตัวเองก็ต้องแปลกใจ ร้อยวันพันปีก็ไม่เห็นจะเข้าครัว อารมณ์ดีรึไงกัน แต่เอาเหอะ ตามใจท่าน ขัดศรัทธา เดี๋ยวจะมีปัญหากันอีก เอาแค่เห็นว่าเคลียร์กับน้ำนิ่งได้เขาก็สบายใจแล้ว นี่ละนะ อยู่ดีไม่ว่าดี ชอบทำอะไรไม่คิดถึงผลที่จะเกิด ก็มานั่งปวดหัวตามแก้ปัญหาทีหลัง คิดแล้วก็ก็ปวดสมอง อ่านหนังสือต่อดีกว่า อ่านหนังสือเพลินๆ ส่วนครัวก็ส่งกลิ่นหอมจนต้องหันไปมอง สายตาปะทะกับคนที่ขมวดคิ้วจ้องมาพอดี คนที่อยู่ตรงครัวก็หันไปมองของตรงหน้าต่อ ทำอะไรนะ ก้มอ่านหนังสือต่อ ไม่นาน กลิ่นหอมๆ ก็มาอยู่ตรงหน้า ‘ช็อคโกแลตลาวา’ หันมองคนข้างๆ ก็ต้องแปลกใจ นี่ทำมาให้กินหรอ คนเอามาวางยังคงนั่งทำหน้านิ่งๆ เหมือนส่งกระแสจิตให้ช็อคโกแลตลาวานั้น พักเดียวก็หันมามองเพียว พร้อมคำถาม “ไม่น่ากินหรอ” “ก็น่ากินดี” ตอบอย่างไม่ได้หันไปมองหน้าคนถาม สายตายังคงจ้องมองขนมตรงหน้า “น่ากินก็กินดิ” คราวนี้หันมองหน้าอย่างเป็นคำถาม คนถูกมองขยับหยิบช้อนตักขนมหมุนหันมาจ่อที่ปาก เพียวหยิบช้อนจากมือนั้นส่งเข้าปากตัวเอง ความหอมของขนมตรงหน้า ที่ยังอุ่นเพราะเพิ่งออกจากเตา รสชาติไม่หวานและไม่ขมเกินไปของช็อคโกแลตแบบที่เขาชอบ รู้ได้ยังไงกันว่าชอบรสชาติแบบไหน ตาน้ำยังคงมองหน้าเพียว ด้วยแววตาสงสัย ‘รสชาติจะเป็นไงนะ อร่อยมั๊ย กินได้รึป่าว แต่ไม่คายออกมาก็แสดงว่าไม่แย่ละว่ะ’ “อร่อยดี เอาสูตรมาจากไหน” “ก็อยากทำ ลองเปิดหาสูตรดู” เด็กชายตรงหน้าโตขึ้นอีกแล้ว แต่ก่อนมีอะไรก็มาหาพี่เพียวตลอด แม้จะมีคำพูดไม่เข้าหูกันบ้าง ทะเลาะต่อยตีกันบ้าง แต่ครั้งนี้หาวิธีที่ทำอะไรด้วยตัวเอง ก็รู้สึกว่าคนข้างๆ โตขึ้นอีกนิด “กินอีกดิ” กินไปได้แค่คำเดียวก็ถูกสั่งให้กินอีก “แล้วน้ำไม่กินหรอ” คนทำส่ายหัว นี่น่าสงสัยเกินไปแล้ว ทำเองแต่ไม่กินนี่แปลกๆนะ “ทำมาให้กิน” คำพูดชวนใจกระตุก วูบวาบ อาการแบบนี้คืออะไรกัน คนพูดขยับตักขนมมาให้กินอีก เพียวก็ต้องยื่นมือไปรับช้อนมาส่งเข้าปากตัวเอง เป็นอย่างนี้เรื่อยจนขนมหมดไปเกือบครึ่งชิ้น เพียวรู้สึกว่าตัวเองเคี้ยวโดนอะไรบางอย่าง คิ้วขมวดอย่างสงสัย ตาน้ำเห็นปฏิกิริยาคนข้างๆ ก็วางช้อนลงแล้วหันมามอง “อะไรอะน้ำ” “อะไร อะไร” คำซ้อนคำของฝาแฝดที่แปลกประหลาดจะออกมาต่อเมื่อเวลาตื่นเต้น และตกใจ ตอนนี้เวลาไหนกันละ เพียวคายสิ่งที่ตัวเองสัมผัสในปากออก มองกระดาษโพสต์อิทเล็กๆ แบบกันน้ำอยู่ในมือ คนทำขนมพยักหน้าให้แกะดู เมื่อเปิดอ่านก็ทำให้เพียวหน้าขึ้นสี หลายคำเข้าก็ได้ออกมาหลายแผ่น ประกอบรวมกันได้เป็น ‘ Happy Valentine Day’S Thank You For Everything 14.02.17’ K. ลายมือที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะทุกๆครั้งที่อยู่ห้อง หากตาน้ำออกไปก่อน ก็จะเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้ รวมถึงวันสำคัญและเทศกาลต่างๆเช่นกัน “ขอบคุณนะน้ำ” ตาน้ำส่งกระดาษโพสต์อิทแผ่นใหญ่กว่าให้เพียวแปะแผ่นเล็กๆ รวมกัน ทำไมจะไม่รู้ ว่าเจ้าของห้อง แอบเก็บกระดาษที่เขาเขียนไว้ทุกแผ่นละ ไม่ใช่ว่ารื้อห้องหรอก แต่บังเอิญวันนั้นหาของไม่เจอ ก็เปิดดูมันทุกตู้ แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่องว่าเขารู้ เวลาหยิบเสื้อผ้าให้ก็หยิบให้เองอยู่ดี เพราะกลัวเขาเปิดตู้ไปเจอ “ลืมเลยว่าวาเลนไทน์ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปขนมไว้ก่อนกิน “ หันบอกคนทำขนมนั่งนิ่งดูทีวีกระดิกขาสบายใจ แหงละ ภารกิจตัวเองเสร็จเรียบร้อย ตาน้ำหันมองเพียวอีกครั้ง สายตาที่เพียวมองว่ามันเป็นสายตาของการเอือมระอา จึงต้องหันหน้าหนี เสียงแจ้งเตือนข้อความของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น รูปขนมที่มีผลไม้ในจานเมื่อกี้ถูกส่งมาจากเบอร์ของคนข้างๆ ก็ต้องอมยิ้ม ตาน้ำเห็นเพียวอมยิ้มได้บ้างก็สบายใจ ขนมหมดกลับเข้าสู่โหมดอ่านหนังสือ นั่งอ่านกันคนละมุมโซฟา อ่านไปเรื่อยๆ สายตาของตาน้ำก็สะดุดก็ของบางอย่างในหนังสือ การ์ดเขียนข้อความลายมือเจ้าของห้อง พร้อมรูปวาดเด็กผู้ชาย 2 คน คนละมุมกระดาษ เด็กผู้ชายตัวเล็กกว่า ทำท่าตะโกนบอก เด็กผู้ชายหน้าบึ้ง ‘ Happy Valentine Day’S Thank You For Everything 14.02.17’ P. เหมือนเป๊ะ นี่ไม่ได้ลอกมาใช่มั๊ย “เพียว” เรียกแล้วขยับเอาคางไปเกยที่ไหล่ “หืม” “ขอบคุณ และก็ขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่เคยทำไม่ดีด้วย ” ได้ยินคำขอโทษก็ทำให้น้ำตาคลอ วัยรุ่นเลือดร้อน แต่พอเวลาเลยผ่านมาตาน้ำก็เข้าใจได้ว่าสิ่งที่เคยทำไปมันทำร้ายจิตใจของอีกคน และเพราะการดูแลอย่างดีมาตลอดของเพียวทำให้รู้สึกผิดจนอยากจะขอโทษ “อือ” “ยกโทษให้ได้มั๊ย” “อือ” ก็เพราะรัก จึงยอม แต่ก็ไม่อยากให้อีกคนรู้ว่ารัก เพราะเพียวกลัวว่าจะไม่ได้รับความรักนั้นตอบ เพราะตอนนี้สิ่งที่ดีคือบรรยากาศตรงหน้าที่อยากจะรักษาไว้ก่อนจะจากไปไกล . . . . . . ตาร์มาให้พอสช่วยติวหนังสือเหมือนเดิม แต่วันนี้ความรู้สึกยังไม่อยากอ่านหนังสือก็ทำให้กลิ้งเกลือกกินขนมนอนดูทีวีไปเรื่อยๆ “ตาร์ เมื่อไรจะอ่านหนังสือ” “ก็ให้มึงอ่านนำก่อนไง เดี๋ยวกูอ่านตามใช่ป่ะ พอไม่เข้าใจมึงจะได้ตอบกูได้ไง” “มึงนี่น้า จะปี 3 แล้ว ตั้งใจหน่อย ปีหน้าก็ต้องทำกิจกรรมเยอะขึ้นอีก จะไหวมั๊ยห๊ะ เรียนไม่จบขึ้นมาอาจารย์แบบกูเสียใจตาย” “เสียใจที่กูเรียนไม่จบพร้อมมึง” “ป่าว เสียใจเสียดายเวลาที่ติวให้มึงแล้วมึงไม่จบ” “โห่…พอส อย่าใจร้ายกับกูเลยน๊ะๆๆๆ นี่กูอยู่ให้มึงติวทุกวัน ทั้งวันเลย” “หรอ อยู่ให้ติว หรืออยู่นอนเล่น “ “อะๆ อ่านก็ได้ ว่าแต่ มึงไปหยิบน้ำในตู้ให้หน่อยดิ ตะกี้กูแช่ไว้ เย็นละมั้ง” “เอ๊ะ นี่กูเจ้าของห้อง หรือมึง ใช้กูจัง” “น๊าๆๆๆ พอสน๊ะ ไปหยิบให้กูหน่อย ไปปุ๊ป กูปิดทีวีอ่านหนังสือเลย จริง สัญญา” คำออดอ้อนของอีนคนทำให้พอสใจอ่อน เดินไปเปิดประตูตู้เย็นก็ชะงักกํบของที่เห็นตรงหน้า ‘เค๊กป๊อปรูปขนมเค๊ก 3 ชั้น เรียงอยู่บนจาน ส่วนล่างของตัวเค๊กเขียนคำว่า ‘ Happy Valentine Day’S ‘ แยกแต่ละชิ้นเป็นคำ “ชอบป่ะ” เสียงพูดข้างหู ทำให้ตกใจ “มึงทำเองหรอ” อาการยักคิ้วของคนตรงหน้าคือคำตอบ “สวยจนไม่กล้ากินเลย ทำเก่งขนาดนี้ปิดเทอมไปทำงานที่ร้านมั๊ย” “แหนะ เอาเชียวนะมึง กินก่อน ไม่อร่อยมึงอาจจะเปลี่ยนใจไม่ให้กูไปทำขนมแล้วก็ได้” พอสหยิบขนมชิ้นที่ไม่มีคำเขียนออกมาชิม “อร่อย อร่อย” รอยยิ้มของคนตรงหน้าทำให้คนทำยิ้มออก “อร่อยก็กินเยอะๆ เดี๋ยวทำมาให้กินอีก” “สวย เสียดาย” “มึงนี่ เหมือนน้ำนิ่งเข้าไปทุกวัน” เสียงหัวเราะของคนที่กำลังกินขนมอย่างอารมรณ์ดี ทำให้อารมณ์ดีตาม “ขอบคุณนะต้าร์” “อือ เหมือนกัน” “ตกลงไปทำงานที่ร้านนะ?” “คิดดูก่อนดีกว่า เดี๋ยวเรียนไม่จบขึ้นมาอาจารย์สอนพิเศษจะว่าเอาได้” “อย่ามากวนตีนหน่า” ความสัมพันธ์ที่รอเวลาสร้างคำจำกัดความ มันคือบรรยากาศที่อยากจะรักษาไว้ เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้า ใครคนใดคนนึงจะเปลี่ยนไปหรือป่าว และคำจำกัดความนั้นมันจะเกิดขึ้นมั๊ย ชีวิตคนเรานั่น ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนเสมอ --------------------------------TBC------------------------------------ Happy Valentine Day’s นะคะ ทิมก็ตอดเข้าไปทีละน้อยๆเนอะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ ทุกคนนะคะ
:L2: :mew4: :mew4: Happy Valentine Day’s
Happy Valentine Day’s :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
บทที่ 29 ความลับ ผ่านภารกิจตะบี้ตะบันสอบกันมาอย่างดุเดือด ก็ได้เวลาปิดเทอม แต่ปิดเทอมใหญ่ครั้งนี้ทำให้เด็กที่เคยทำงานที่ร้านกลับต่างจังหวัดไปซะเกือบหมด ทำให้น้ำนิ่งขอร้องให้ทิมและตาน้ำไปช่วยงานที่ร้าน รวมถึงต้าร์ และเหล่าทะโมนวิศวะที่เข้ามาช่วย ปฏิบัติการทำเค๊กป๊อปอันลือเรื่องทำให้ต้าร์โดนจัดไปอยู่ฝ่ายทำขายชั่วคราว ปิดเทอมแบบนี้ร้านเปิดเต็มวัน แม้ว่าเด็กจะน้อยลงแต่ก็ยังขายได้เรื่อยๆ เพียวแอบลงเรียนซัมเมอร์โดยที่ไม่บอกใคร เพื่อเทอมหน้าจะได้มีเวลาเตรียมตัว เรียนภาษา “ทำไมพี่เพียวใส่ชุดนักศึกษา” ต้าร์ถามอย่างสงสัย หลายวันแล้วที่เห็น ก็อดไม่ได้ “เข้าไปช่วยงานอาจารย์อะ ไม่อยากแต่งตัวไม่เรียบร้อย” “ทุกวันเลยหรอ” “อือ” บรรยากาศระหว่าง ตาน้ำ น้ำนิ่ง และเพียว เรียกว่าอยู่ในช่วงอึมครึมก็ว่าได้ เพราะเห็นได้ชัดว่าน้ำนิ่งยังไม่คุยกับเพียวเหมือนเดิม รวมถึงอาการหน้างอเวลาที่เจอตาน้ำ แต่ระหว่างฝาแฝดนั้นก็มีการคุยกันเหมือนเดิม จะมีก็แต่การหยอกล้อให้เพื่อนเห็น ตาน้ำยังคงหาเรื่องแกล้งน้ำนิ่ง ทุกเวลาที่ว่าง คนโดนแกล้งก็น่างอไปเรื่อยๆ ทุกวัน ฝาแฝดกลับบ้านอยุธยาอาทิตย์เว้นอาทิตย์ มีเพื่อนๆ ตามไปสรวลเสเฮฮาตลอด คุณตาคุณยายก็ชอบใจนักที่บ้านมีเสียงหัวเราะ หากแต่อาทิตย์นี้ เหล่าวิศวะมีโครงการต้องไปศึกษาดูเขื่อน ที่กาจนบุรี 3 วัน 2คืน การจัดตารางทำงานใหม่ของร้านก็เกิดขึ้นอีก “ปิดร้านไปเที่ยวด้วยกันหมดนี่ละ” พอสเอ่ยด้วยอาการอยากเที่ยว “แม่ด่าตาย ถ้าอยากไปก็ไปกันเถอะ พี่อยู่ได้” ตาน้ำหันมองหน้าคนพูด สายตาดุที่ส่งไปทำให้เพียวต้องหลบตา “น้ำนิ่งอยากไปรึป่าว” ทิมหันถามคนที่ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ด้วยตั้งแต่ทะเลาะกับฝาแฝดโดยให้เหตุผลว่า’น้ำต้องโดนลงโทษ’ “ถ้าไปแล้วกะทิละ” “ก็ต้องเอาไปฝากแม่ดู” “ได้หรอ” คำถามกลับทำให้ทิมอมยิ้ม แอบอยากเที่ยวเหมือนกันสิท่า “เอาจริงๆ แค่กาญฯ ไปทำไมตั้ง 3 วัน 2 คืนว่ะ โอ๊ย ไอ้เชี้ยน้ำ” “เสือกได้ทุกเรื่องจริงมึง ความลับทางราชการวิศวะ ไม่เปิดเผยให้บริหารฟัง” “ไอ้งก!” บรรยากาศที่แปรเปลี่ยนไปก็มีแต่ คนที่เถียงกับตาน้ำเปลี่ยนเป็นต้าร์ แทนที่จะเป็นพอสเหมือนเดิม “ก็กว่าจะไปถึง กว่าจะเก็บข้อมูล ก็วันนึงละ อีกวันก็สรุปรีพอร์ต ที่นั่นเลย เผื่อมีข้อมูลตกหล่น จะได้เก็บทัน ถ้าวันเหลือก็เที่ยว เพราะเดี๋ยววิศวะต้องมีออกค่ายอาสาอีก” เป็นทิมที่ทำให้โลกรอบตัวน้ำนิ่งสงบสุขทุกครั้งไป “ไปด้วย” ต้าร์เอ่ยร้องอีกครั้ง “มึงนี่แม่งร้องตามทุกงาน” คู่กัดร้องทักอีกรอบ “เค้าเรียกตามหาแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตเว้ย” “ นู้นเลย เค๊กมึงนั่นอะ แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ไปทำให้เสร็จๆเลย “ โดนไล่ออกจากวงสนทนา ต้าร์ก็ลากพอสเดินบ่นงุบงิ๊บออกไป ตาน้ำสบตาทิมส่งสัญญาณไปที่เพียว “พี่เพียว จะไปด้วยกันรึป่าว” เพียวเงยหน้ามองตาน้ำ และน้ำนิ่ง รวมถึงคนที่ถาม “เอ่อ ที่ร้านไม่มีคนอยู่นะสิ” เอาจริงๆ ถ้าไปก็ต้องขาดเรียน 1 วัน แม้ซัมเมอร์จะไม่ยุ่งยาก แต่การที่เรียนโดยเพื่อนไม่มาลงเรียนด้วยนี่ลำบากนะ “ทิมเอาพี่ที่บ้านมาช่วยเอามั๊ย ถ้าแค่เสิร์ฟคงไม่อยาก” “อย่าเลย พี่เกรงใจ” “ไม่ต้องเกรงใจเลย รู้จักกันแล้วก็อยากให้ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง จะได้สนิทกันไว้ ที่ชวนทิมมาทำงานที่ร้านนี่สนุกจะตาย แถมให้เงินอีก ทิมต้องเกรงใจมากกว่า มีอะไรช่วยได้ก็อยากช่วยนะ” หันมองน้ำนิ่งที่พยักหน้าหงึกๆ การโต้ตอบที่ยังไม่มีคำพูดเอื้อนเอ่ย แต่ปฏิกิริยาทางร่างกายตอบกลับมาแบบนี้ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง “เดี๋ยวพี่ต้องบอกแม่ก่อนละ ว่าแม่ว่าไง เดี๋ยวบอกอีกที” สุดท้าย ทริปกาญจนบุรีก็มีสมาชิกครบทุกคน ตามที่คุยกันไว้ แก็งค์วิศวะ นำเที่ยวด้วยไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคว สันเขื่อนศรีนครินทร์ ประตูระบายน้ำ ชุมชนริมพื้นที่เขื่อน ฝ่ายเด็กวิศวะ ที่ถ่ายรูปเก็บข้อมูลกันไป เหล่าผู้ติดตามก็ถ่ายรูปเล่นกันเองบ้าง โดยเฉพาะ เพื่อนซี้บริหาร ที่มีเพียวเป็นตากล้องให้ เก็บข้อมูลได้พอประมาณก็เข้าที่พักแพริมน้ำ กลุ่มวิศวะนั่งทำรายงาน ผู้ติดตามที่เหลือ ก็พักผ่อนกันไป ต้าร์กับพอส เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน น้ำนิ่งนั่งห้อยขามองอยู่บนที่พัก ทุกอย่างอยู่ในสายตาของตาน้ำและทิม อย่างละไม่ได้ ไม่นานเพียวก็เดินมานั่งข้างๆ ทำให้ตาน้ำขยับจะลุกขึ้น แต่ทิมรั้งไว้ก่อน “มึงให้เขาคุยกันบ้างเถอะ” คุยนะคุยได้ แต่ใจนะกลัวว่าน้องอยู่ใกล้เพียวแล้วจะมีอะไรผิดพลาด เพราะนึกคิดจนเป็นความเคยชินไปแล้ว ไม่ได้ตอบอะไรทิมกลับ หากสายตายังไม่ละจากแฝดตัวเอง เพียวเห็นน้ำนิ่งยังมองต้าร์กับพอสเล่นน้ำ ก็เดินเข้าไปหา “ขอพี่นั่งด้วยได้มั๊ย” ไม่มีเสียงตอบรับ แต่ขยับตัวไปอีกฝั่ง นั่นก็แสดงว่านั่งได้ น้ำนิ่งคนเดิมที่เลือกคนพูดด้วยกลับมาอีกครั้งหลังจากเกิดเรื่องเขาและตาน้ำ “น้ำนิ่งโกรธพี่เรื่องน้ำรึป่าว? ถ้าโกรธ พี่ขอโทษนะ” ไม่มีคำตอบจากคนฟัง มีแต่การที่หันมามองหน้า แล้วหันกลับไป ก็ไม่รู้ว่าโกรธในแบบไหน โกรธที่เป็นเรื่องของคนใกล้ตัวหรือโกรธเพราะไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ หรือไม่โกรธดี สับสน ใจคิดถึงตัวเองและทิมในความรู้สึกที่เป็นอยู่ ทำให้คิดถึงตาน้ำ หันไปมองก็เห็นว่าอีกคนมองอยู่ สายตาที่มองไม่ได้มองเลยไปที่เพียว แต่มองอยู่ที่น้ำนิ่งเท่านั้น ถ้าเป็นความสุขของตาน้ำ ก็ไม่อยากจะขัด “พี่เพียว ชอบตาน้ำจริงๆหรอ” เพราะฝาแฝดให้คำตอบในความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ จึงอยากรู้ของอีกฝ่ายดู “ตอนแรก พี่ก็ไม่รู้ตัวหรอก เอาจริงๆ เพราะมองแต่น้ำนิ่งจนเคยชิน ช่วงพี่มีปัญหา เกเร เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง อยู่ดีๆ น้ำมันก็มาหา บอกว่าติวหนังสือให้หน่อย มันจะสอบวิศวะ พอได้ติวให้ มันก็กลายได้ทบทวนให้ตัวเอง หลายอย่างที่น้ำทำ ไม่รู้จะเข้าข้างตัวเองรึป่าวนะ พอพี่ย้อนกลับไปคิด มันเหมือนน้ำทำให้พี่ทุกอย่างทางอ้อม มาให้ติวหนังสือ ทำให้พี่ได้ทบทวนของพี่เอง ให้ทำกับข้าว ทำขนมให้กิน จนเอาไปทำที่ร้านได้ ทุกๆวันพี่ต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมจะติวให้น้ำ จนกลายเป็นพี่เลิกไปเที่ยวกลางคืนเลยละ” น้ำนิ่งหันมองคู่สนทนาแบบจริงจัง บรรยกาศหวานที่ออกมาระหว่างพูดนี่มันอะไรกันนะ “ ถามว่าพี่ชอบน้ำรึป่าว ก็คงชอบละ มันอยู่ด้วยกันจนชิน แต่ก็แปลกที่ความเคยชินมันทำให้เรามีความสุขได้ ถึงจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้หงุดหงิดกันบ้าง แต่มันก็ชินมาตั้งแต่เด็กแล้วละ” เพียวพูดจบก็หยุดมองน้ำนิ่ง “พี่ขออะไรอย่างนะ น้ำนิ่งอย่าบอกน้ำว่าพี่รู้สึกยังไง” เอ่อ… นี่ก็ยิ่งแปลก ชอบเขาแต่ไม่ให้บอก น้ำนิ่งยิ่งคิดถึงความแปลกของ 2 คนนี้ “ทำไมหรอ” “ พี่ไม่อยากให้น้ำรู้ เพราะเดี๋ยวพี่จะไปเรียนต่อแล้ว ห่างกันไป ความรู้สึกก็คงจะหายไปเอง พี่คิดแบบนั้นนะ ความลับนี้พี่ไว้ใจน้องชายพี่ได้ใช่มั๊ย” คำพูดนี้ทำให้น้ำนิ่งรู้สึกถูกบาด ตาน้ำไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกับเพียว เพียวชอบตาน้ำแต่ไม่อยากให้รู้ เพราะเดี๋ยวก็ห่างกันแล้วทำไมความรู้สึกมันยากจัง ทำไมไม่เข้าใจกันง่ายๆนะ แต่จะทำยังไงได้ ได้แต่พยักหน้าตอบรับไป ความรู้สึกที่ได้ความสับสนทำให้น้ำนิ่งหนักอึ้ง ลุกขึ้นหมุนตัวเองเข้าห้องพัก เป็นอีกครั้งที่ตาน้ำขยับจะลุกตาม แต่ทิมก็รั้งไว้ “ถ้ามึงวิ่งตามคนนึง คนที่ไม่ได้ถูกมึงตามจะรู้สึกยังไง” เพราะทิมรู้สึกว่า ตาน้ำก็คงรู้สึกกับเพียวอยู่บ้าง แต่อะไรบางอย่างยังทำให้สับสน เป็นทิมที่วิ่งเข้าไปหาน้ำนิ่งแทน เข้าห้องพัก ก็ปิดรูดม่านสนิท เห็นเป้าหมายยืนนิ่งๆเพื่อปรับตัวเองที่รับไม่ได้กับความสับสนที่ได้รับมาก็เข้ากอด ทิมไม่รู้หรอกว่า 2 คนนั้นคุยอะไรกัน แต่การกระทำของคนตรงหน้าทำให้รู้ว่ากำลังดึงตัวเองกลับสู่ภาวะปกติ เห็นเป้าหมายก็สวมกอดจากด้านหลัง กดจูบที่ท้ายทอยอย่างเคย คนโดนกอดหูแดงไปหมด “อ๊ะ ทิม” “คนเก่งทิม เป็นอะไรครับ บอกหน่อย” “ คุยกับพี่เพียวแล้วรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูก” เดาไม่ผิด แต่ไม่อยากถามต่อ คนนี้ต้องรอให้พูดเองทุกอย่าง คนถูกกอดหันหน้าเข้า ทิมขยับหอมที่แก้มใกล้ใบหู คนถูกหอมเอียงหลบเล็กๆ “เครียดหรอ หืม” ขยับดันตัวคนในอ้อมกอดให้นั่ง ข้างๆ ทีวีบนโต๊ะยาว น้ำนิ่งยกมือคล้องที่คอ “บอกไม่ถูกเหมือนกัน คงแค่คิดตามไม่ทัน” ทิมขยับให้ตัวเองอยู่ในหว่างขาของอีกคน มือสอดเข้าที่เสื้อด้านหลังลูบไล้สัมผัสราวกับปลอบโยน “งั้นก็อย่าเพิ่งคิด เดี๋ยวปวดหัวอีก” กระซิบที่หูเบาๆ แล้วขยับมาจูบ จูบแล้วผละออก “เข้าใจมั๊ยครับคนเก่ง” ขยับจูบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ส่งลิ้นร้อนไล่ชิมริมฝีปากหวาน ไม่นานเจ้าของริมฝีปากก็เปิดรับ จูบครั้งนี้ นุ่มนวล แผ่วเบา ลิ้นที่สัมผัสกันนั้น ราวกับปลอบโยนและให้กำลังใจ “อื้อ” ทิมขยับมือไล่เสื้อยืดของอีกคนขึ้นมา จนน้ำนิ่งยกมือขึ้นให้ถอดออก ไซร้เข้าที่แก้ม ใบหู คอ ไหล่ ไล่ลงไปจนถึงแผงอก น้ำนิ่งรู้สึกเหมือนลมหายใจจะขาดเสียให้ได้ เพราะลิ้นร้อนนั้น ไล่วนที่ฐาน อยู่นาน มืออีกข้างก็สัมผัสยอดอกอย่างแผ่วเบา ความเสียวซ่านที่ได้รับ ทำให้มือบางขยำเข้าที่ผมอันเดอร์วีคัทของอีกคน เสียดูดเริ่มดังขึ้นทำให้น้ำนิ่งเริ่มเกรณ็งจนเผลอแอ่นอก เข้าหาแบบไม่รู้ตัว “อื้อ ทิม” ทิมลากลิ้นลงตามร่างกาย จนถึงสะดือ ไล่วนอยู่อย่างนั้น เพราะคนในอ้อมกอด ช่างหอมหวานไปทั้งตัว ร่างกายที่ดุดันของอีกฝ่าย ทำให้ทิมรู้สึกถึงความต้องการ รั้งร่างบางมาจูบแล้วปล่อย ซ้ำๆ อย่างแผ่วเบา “พอก่อนนะ” คนตัวสั่น ใจสั่นทำหน้าตื่น “ ทำ ทำไมหรอ” ทิมขยับกอดอย่างแนบชิด หน้าซุกเข้าที่บ่าบางของอีกคน “ทิมไม่อยากให้รู้สึกว่า ชวนมาเที่ยว เพราะอยากทำอะไรแบบนี้ ” คำตอบทำให้น้ำนิ่งเขิน แม้จะเตรียมใจมาบ้างว่าเรื่องแบบนี้อาจจะเกิด แต่ก็ 2 จิต 2 ใจ เพราะเชื่อใจคนในอ้อมกอด “แต่ว่า….” จบคำทิมก็ละมือรั้งกางเกงขาสั้นของน้ำนิ่งเพื่อถอดออก ขยับจูบอีกครั้ง เพราะร่างกายที่แนบชิดกันอยู่ทำให้รู้สึกถึงความต้องการของทั้งคู่ไม่ต่างกัน “อะ ทิม” มือของอีกคนกอบกุมของตัวเองจนสะดุ้ง นิ้วใหญ่ปาดน้ำใสจากยอดแล้วรั้งขึ้นลง น้ำนิ่งส่งมือตัวเองเข้าไปในกางเกงของอีกฝ่าย จูบที่แผงอกอย่างแผ่วเบา “อะ น้ำนิ่ง อื้อ” เห็นคนตรงหน้ารู้สึกดี น้ำนิ่งก็เพิ่มแรงขยับมือขึ้นลงมากไปอีก มืออีกข้างที่ว่าง กดจิกที่ที่ไหล่หนาระบายความเสียวซ่านอย่างที่เคยทำเวลาโดนจูบ เสียงครางสอดผสานสลับกันไปมา พร้อมกับเสียงขยับมือของทั้งคู่ ไม่นานก็เงียบลง น้ำนิ่งโผลซบเข้ากับอกของคนที่ยืนอยู่อย่างหมดแรง “เช็ดก่อน หรือจะไปล้าง” คำถามดังขึ้นอย่างแผ่วเบาทำให้น้ำนิ่งเงยหน้ามอง หาคำตอบไม่ได้เพราะสมองยังคงไม่ประมวลผล ยกมือของตัวเองที่เลอะน้ำของอีกฝ่ายขึ้นมามอง ทิมคว้ามือนั้นมาซับด้วยกระดาษทิชู่อย่างแผ่วเบา แล้วก้มลงใช้ลิ้นไล่เลียสิ่งที่เลอะเทอะบนตัวของน้ำนิ่งออกจนหมด “ท… ทิม” “หืม… " "ทำไมไม่เช็ดดีๆ” “ก็อยากเช็ดแบบนี้” ลิ้นร้อนไล่เลียเช็ดคราบ และครอบครองส่วนกลางกายอีกครั้ง ความเสียวซ่านทำให้น้ำนิ่งรู้สึกวูบวาบไปหมด “ทิมๆ ไม่เอานะ มันสกปรกนะ” ลิ้นร้อนยังคงไล่วนตามความยาวไม่หยุด ทิมใช้ปากขยับเข้าออก หลายครั้ง จนน้ำนิ่งจะปลดปล่อยออกมา ก็ดันหน้าทิมออก แต่ทิมกับกอดรั้งตัวน้ำนิ่งแน่นกว่าเดิม “ทิม! เอาปากออกมานะ” คำพูดที่เรียบเรียงไม่ปกติของฝาแฝดเกิดจากอาการตกใจ และตื่นเต้นเสมอ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ทิมทำตามแต่อย่างใด ร่างกายน้ำนิ่งปลดปล่อยอีกครั้งโดยที่ทิมไม่ยอมถอนปากออก ความเสียวซ่านที่ได้รับนั้น ทำให้น้ำนิ่งเกร็งจนหอบ ทิมลุกขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน น้ำนิ่งยกมือเช็ดคราบที่เลอะริมฝีปากอย่างแผ่วเบา “รู้แล้วใช่มั๊ย ที่ไม่ทำที่นี่ ไม่ใช่เพราะว่าทิมรังเกียจ แต่แค่อยากกลับไปบ้านเรามากกว่า” ไม่ว่าทิมจะพูดออกมาให้ดูปกติอย่างไร คำพูดพวกนี้น้ำนิ่งก็เขินจนหน้าขึ้นสีทุกทีไป -----------------------------------TBC----------------------------- สุขสันต์วันหยุดค่า อยากไปเที่ยวกาญฯ บ้าง อิอิ ส่งหนุ่มๆ ไปกันก่อนเนอะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนรอ คนอ่าน คนเม้นท์ทุกคนนะคะ ป.ล.แถมรูปหนูกะทิตัวจริงของคนเขียนให้ แม่นางน้อยเป็นเชื้อรา ต้องตัดขนออกเกลี้ยง แปลงร่างจากแมวกลายเป็นไฮยีน่าตัวน้อย หมดสวยเลย :mew6:
เพียวอ่ะ จะหนีตาน้ำไปอีกแล้วหรอ
ลูกแมวตัวน้อยตัวสีขาว นอนกินขนมมองเจ้านาย 2 คนกอดก่ายกันอยู่บนโซฟา เบด ที่ตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นเตียงนอนสำหรับ 2 คนอย่างสบายๆ เสียงกระทบกันของร่างกายเจ้านายทั้ง 2 ทำให้ลูกแมวไม่กล้าที่จะวิ่งเข้าไปเล่นด้วย ได้แต่นอนมองสะบัดหางส่ายไปมา 2 ขาของเจ้านายตัวเล็ก เกี่ยวรัดร่างกายของเจ้านายตัวใหญ่เหมือนไม่อยากแยกออกจากกัน “อื้อ ทิม” ก็ตั้งแต่กลับมาจากการไปอยู่รวมกับบรรดาพี่แมวตัวอื่นที่บ้านใหญ่ กะทิน้อย ก็เห็นภาพเจ้านาย 2 คนเล่นกันแบบนี้ประจำ แรกๆ ก็วิ่งเข้าหาเพราะอยากจะเล่นด้วย แต่ก็โดนกันออกมา หลังๆจึงได้แต่นอนมอง เพราะรู้ว่าเมื่อเจ้านายเล่นกันเสร็จก็จะถึงคราวตัวเองได้เล่นด้วยบ้าง “อื้ม คนเก่ง” เสียงเจ้านายร้องสอดผสานกันในห้อง ทำให้เจ้าแมวน้อยตกใจรีบฟังเสียงนั้น แต่ไม่ใช่เสียงที่เรียกตัวเองก็หันไปกินขนมต่อ ทิมซุกไซร้เที่ร่างกายของน้ำนิ่งอย่างลุ่มหลง ใบหน้าที่คล้ายเพื่อนตัวเอง แต่ร่างกายกลับแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะบอบบางและหอมหวาน น่าสัมผัส ตลอดเวลา 2 มือ สอดผสานเข้ากับมือของคนด้านร่าง รับความเกร็งของร่างกายอีกฝ่ายที่ส่งผ่านมือที่จิกเพิ่มความเสียวซ่านยิ่งขึ้นไปอีก “อ๊ะ ทิม อื้อ” เสียงครางเรียกชื่อตัวเองจากอีกฝ่าย ทำให้ทิมเกือบจะยั้งแรงที่มีไว้ไม่อยู่ ด้วยร่างกายนักกีฬา ที่ใหญ่กว่าก็กลัวว่าจะทำให้น้ำนิ่งเจ็บทุกครั้งไป “เจ็บหรอ หืม” “อื้อ ทิม” ทิมละมืออกจากมือของน้ำนิ่ง สอดเข้าที่ด้านหลังเพราะอยากแนบชิดร่างกายให้มากขึ้น มือน้ำนิ่งปัดป่ายไปทั่ว จนต้องจับให้มากอดตัวเองไว้ที่ บ่า น้ำนิ่งไล้มือลงที่เนินอก มีรอยสักรูปอินฟินีตี้ที่ตัวเองเคยแอบมองเมื่ออีกคนถอดเสื้อ แต่ไม่นานมานี้ส่วนกลม 2 ข้าง มันถูกเพิ่มตัวหนังสือภาษาอังกฤษ คือ T และ N ตัวใหญ่ เล็กติดกัน พร้อมหัวใจเล็กๆสีแดงระหว่างกลาง มือบางลูบไล้อยู่อย่างนั้น มืออีกข้าง ไล้ลงที่ลอนกล้ามซิกแพ็ค จนถึงส่วนวี ยิ่งทำให้ทิมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกยั่วมากขึ้นเรื่อยๆ “ อื้ม..ยั่วทิมหรอ” “ป... ป่าว สักหน่อย” “ป่าวแล้วเป็นไร เสียวหรอ” ยิ่งถูกถามก็ยิ่งหน้าแดง แถมคำถามยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้ขึ้นสูงอีก หลังๆน้ำนิ่งเองยิ่งรู้สึกว่าทิมทะลึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมุดหน้าหนี “บอกเร็ว” “อื้อ เสียว ไม่ไหวแล้ว” ได้ยินคนด้านล่างร้องบอกแบบนั้น ทิมก็ยับตัวใช้มือรั้งรูดของอีกฝ่าย น้ำนิ่งที่ได้รับสัมผัสที่เสียดเสียวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ยิ่งทำให้รู้สึกแทบจะทนไม่ไหว ขยับตัวหนีแต่ก็เหมือนว่าจะไม่หลุดพ้น เพราะยิ่งทำให้ตัวเองแนบแนนกับทิมมากขึ้นไปอีก ร่างกาย บิดรวน เพราะต้องการจะหลุดพ้นความสียวนี้ มือของทิมที่ขยับขึ้นลงอยู่ที่เร่งอารมณ์มากขึ้น ไม่นาก็ปลดปล่อย “อ๊า...ทิม” “ครับ อื๊อ เสร็จแล้วหรอ” คนด้านล่างปลดปล่อยออกมา ทิมก็ถอดร่างกายออกมาจนหมด แล้วดันเข้าไปใหม่ “อ๊ะ ทิม ทิม” “หืม ชอบหรอ “ ขยับทำซ้ำๆ อยู่ไม่นาน ทิมก็ปลดปล่อยตาม “อ๊า” ซบลงที่ร่างบางด้านล่าง “รักนะครับ” “อืม” แม้ทิมจะยังไม่เคยได้ยินคำบอกรักตอบ แต่ที่ยอมถึงขนาดนี้ก็รู้ว่าน้ำนิ่งรักแหมือนกันละ แต่จะทำไงได้ ได้เมื่อคนตรงหน้ายังสับสนกับความรู้สึกของคนรอบตัวไปหมด ไม่ว่าจะเป็น ฝาแฝด เพื่อน หรือว่ารุ่นพี่ ทำให้คำนี้ไม่ออกมาให้ได้ยินสักที เสียงเจ้านาย 2 คนเงียบเสียงลง แมวน้อยก็ยกหัวมอง แต่ร่างกายเจ้านายทั้ง 2 ยังคงกอดรัดกันอย่างแนบแน่น ก็ได้แต่ล้มตัวลงนอนต่อ ทิมขยับหมุนร่างกายให้เปลี่ยนให้น้ำนิ่งอยู่ด้านบน ทั้งที่ส่วนที่เชื่อมต่อกันนั้นยังไม่ถอนออก “โอ๊ะ ทิม” “นอนข้างบนแบบนี้ จะได้ไม่หนัก” เสียงร้องของเจ้านายตัวเล็ก ทำให้กะทิลุกขึ้นมาหา เพราะคิดว่าโดนเจ้านายตัวโตรังแก เลยต้องเข้ามาช่วย แมวน้อยชอบนักเรื่องเล่นต่อสู้กับนายทั้ง 2 “ยังไม่เสร็จ ออกไปก่อนเลย เดี๋ยวโดนทับแบน” ทิมหันพูดกับแมวน้อย แต่คนที่ฟังรู้เรื่องมากกว่า สีหน้าขึ้นสีอย่างชัดเจน บอกกะทิไปแบบนั้นได้ไงเล้า อยากจะต่อว่า แต่ก็ทำได้แค่ ทุบลงไปที่อกเบาๆ เพราะอยู่ในช่วงพักเอาแรง “โอ๊ย! น้ำนิ่ง ทุบทิมทำไมเนี่ย” ไม่ได้เจ็บหรอก แต่ถ้าแอ็คชั่นไม่เนียน คนทุบจะเสียใจ “ก็ ทิมอะ พูดแบบนั้นได้ไง น่าอาย” “อายทิมหรอ” อยากจะตอบว่าอายทั้งคนทั้งแมว แต่ก็มุดหน้าหนีแทน จนทิมต้องจับดันตัวยกขึ้นเพื่อจะมองหน้าอย่างชัดเจน น้ำนิ่งลุกขึ้นนั่งตรงๆได้ก็รู้สึกถึงสิ่ที่อยู่ในร่างกายของทิมที่ขยายตัวบอกความต้องการอีกครั้ง “อ๊ะ ทิม” “ก็บอกแล้วว่ายังไม่เสร็จ” พูดจบ ทิมก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงตรงๆ ท่านี้ทำให้รู้สึกสอดลึกเข้าไปอีก ยกคนตัวบางขึ้นพร้อมขยับเปลี่ยนเครื่องป้องกัน แล้วจับตัวน้ำนิ่งค่อยๆกดลง “อ๊า…...” “อื้ม….” เสียงเจ้านาย 2 คนร้องสอดขึ้นอีกครั้ง ทำให้เจ้าแมวน้อยรู้ว่ายังไม่ถึงคิวตัวเอง “ขออีกนะ” จบเสียงทิมที่กระซิบอยู่ข้างหู น้ำนิ่งที่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็รู้สึกร่างกายตัวเองอ่อนระทวยเพราะโดนไซร้เข้าตามตัวอีกครั้ง ทิมที่โอบกอดอยู่นั้น ประคองตัวน้ำนิ่งยกสูงขึ้นแล้วปล่อยลง “อื๊อ…ทิม ทิม” คนถูกจับขยัยตัวร้องเสียงสั่น ก็ท่านี้มันรู้สึกลึกจริงๆนั่นละ ชักพาให้น้ำนิ่งขยับตัวเองแล้ว ทิมก็ขยับตัวขึ้นรับแรงกระแทก ยิ่งทำให้เกิดเสียงเนื้อกระทบกันดังอีก มือน้ำนิ่งที่คล้องคออยู่ ปล่อยจิกลงที่ตัวทิม ยิ่งทำให้เพิ่มความรู้สึกและสัมผัสมากขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งทำให้ทิมชอบ จนบางทีทิมเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองใกล้จะเป็นคนซาดิสม์ ก็เพราะเขาเองนั่นละ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ เขาเป็นคนบอกน้ำนิ่งเองว่า ถ้ารู้สึกเจ็บให้บอก แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นให้ระบายออกแบบนี้ ยิ่งน้ำนิ่งกดเล็บจิกลงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ทิมรู้ว่าน้ำนิ่งรู้สึกดียังไง ขยับจูบอย่างแผ่วเบาแล้วเพิ่มความรุนแรงขึ้นรื่อยๆ แล้วก็ละปากออก วิธีนี้ยื่งทำให้นิ่งโหยหาการจูบ จนเป็นฝ่ายขยับเข้ามจูบทิมเองอีกครั้ง “อ่า..ทิม” สะบัดจูบออกเพราะความเสียวทำให้ต้องร้องคราง ท่านี้ทิมเองก็รู้สึกเสียวมากกว่าท่าอื่นเหมือนกัน “ชอบมั๊ย ชอบมั๊ยครับ อืม…..” “อื๊อ…อื๊อ” “อะไรนะ อะ ไม่รู้เรื่องเลย” ยิ่งใช้เวลามากขึ้น น้ำนิ่งรู้สึกว่ตัวเองเริ่มเสียววาบทั้งตัวไปถึงสมอง “ถามไม่ตอบ ลงโทษแล้วนะ” ทิมยอกตัวน้ำนิ่งขึ้นสูงจนร่างกายเกือหลุดออกจากกัน แล้วดันลง พร้อมๆกับที่ตัวเองยกสะโพกขึ้นรับแรงกระแทก “อ๊า ทิม อื้อ “ ทิมทำซ้ำๆ อยู่อีกไม่นาน น้ำนิ่งก็ยังไม่สามารถตอบอะไรที่เป็นประโยคได้ “พอแล้ว พอแล้วนะ” เสียงคนด้านบนเอ่ยอย่างเหนื่อยหอบ “อื้อ พร้อมกันนะ” “อ๊า…. “ เสียงร้องสอดผสาน หน้าเงยรับความรู้สึกเสียวซ่านทั้ง 2 คน ทิมกดสะโพกน้ำนิ่งให้แนบสนิทตัวสะโพกตัวเอง ปลดปล่อยจนสุด ก็ดึงคนตัวบางเข้ามากอดให้ซบอยู่ที่อก ครั้งนี้ น้ำนิ่งหายหอบมากกว่าเดิม แต่ก็ยังดิ้นเล็กน้อยเมื่อถูกกอด “เหนียวตัวนะทิม” เพราะความร้อนรุ่มที่ร่างกายส่งออกมา แม้ในห้องจะแอร์เย็นขนาดไหนก็ยังไม่สามารถช่วยได้ “อาบน้ำกัน” “พอแล้วนะ เหนื่อย” “อาบน้ำไง คิดอะไรเนี่ย หืม” พูดแซวจนคนในอ้อมกอดหน้าขึ้นสี ทำให้ทิมอดใจไม่ไหวที่จะหันไปหอมแก้มแดงซ้ำๆ “อื้อ…ทิมอะ ชอบแกล้ง” “ไม่แกล้งคุณแล้วจะแกล้งใครละครับ หรือจะให้ผมไปแกล้งคนอื่น” คำพูดกึ่งแซวทำให้คนข้างหน้ายู่หน้าใส่ “ก็ลองดูดิ” แมวตัวใหญ่ในอ้อมกอดขู่ฟ่อๆ “ไม่กล้าหรอกครับ กลัวแม่แมวโกรธ ใช่มั๊ยกะทิ” “อ๊ะ” หันไปมองก็เห็นแมวน้อยนั่งตาแป๋ว ทำให้น้ำนิ่ง อยากจะมุดหน้าหนีอีกครั้ง ทิมเห็นก็ยิ่งขำ ยิ่งถ้ารู้ว่าที่ทำเมื่อกี้กะทินั่งมอง อยู่ตลอด ก็คงจะยิ่งเขินไปอีก ลูบหัว ลูบหลังคนเขินแมวอย่างแผ่วเบา “หายเหนื่อยยัง” “อื้อ” น้ำนิ่งลุกขึ้นมาตอบ ทิมตั้งท่าจะช้อนตัวไปห้องน้ำ แต่น้ำนิ่งขืนตัว ทำให้ทิมแปลกใจ “ว่าไงครับ” น้ำนิ่งขยับจูบรอยสักที่เนินอกของทิมอย่างแผ่วเบา แล้วยันตัวเองจะถอยร่างกายออก “เบาๆ เดี๋ยวเจ็บ” ทิมช่วยขยับออกพร้อมประคองไปที่ห้องน้ำ คนอ่อนแรงยืนพิงผนังเพื่อตั้งสติ แต่ทิมก็จัดการขยับให้หลังพิงหน้าอกตัวเอง แล้วอาบน้ำฟอกสบู่ให้ ลูบไปทั่วร่ากายจนถึงจุดกึ่งกลางตัว ก็อดไม่ได้ที่จะสัมผัส ขยับรั้งรูดอีกครั้ง สุดท้ายทั้ง 2 คนก็ใช้มือให้กันอีก ทิมจับคนหน้าบึ้งล้างฟองสบู่แล้วปล่อยให้ออกมาแต่งตัวก่อน รั้งไว้ก็ยิ่งจะหน้างอ ออกมาจากห้องน้ำ เห็นคนนอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีเจ้าแมวน้อยที่รู้หน้าที่ว่าได้เวลาออดอ้อนเอาใจเจ้านายตัวเล็กอยู่บนตัว แต่งตัวเสร็จ ทิมก็เดินไปอุ้มลูกแมวน้อยออก คนที่นอนอยู่ก็ลืมตามองอย่างหน้าบึ้ง “ไม่นอนกับกะทินะครับ เดี๋ยวเป็นภูมิแพ้นะ” เพราะเพื่อนบอกไว้ น้ำนิ่งไม่ค่อยแข็งแรง จึงต้องระวังไว้ก่อน แต่เจ้าตัวก็ชอบสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ไปทั่ว เจอที่ไหนเล่นได้เป็นต้องเล่น เอากะทิมานอนกอดจนหลับไปทุกคืน ทิมต้องคว้าแมวออกเป็นประจำ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง วันไหนรู้ตัวก็ทำหน้ายู่ใส่ตลอด แม้ทิมจะซื้อเครื่องกรองสำหรับคนเป็นภูมิแพ้เพื่อป้องกันน้ำนิ่งเป็น แต่ก็ต้องกันไว้ก่อน “กอดให้ทิมกอดแทนนะ” ขยับตัวนอนที่ประจำเพราะคนอีกเว้นที่ไว้ให้ด้วยความเคยชิน สอดแขนให้หนุน มืออีกข้างสอดเข้าชายเสื้อเลื่อนขึ้นวางแนบที่หน้าอกซ้ายตรงหัวใจเต้น เหมือนทุกวัน “ฝันดีนะทิม” กดจูบที่ขมับบนหัวอย่างแผ่วเบา “ฝันดีเช่นกันครับ” ----------------------TBC---------------------- แฮ่... NC แบบนี้ไม่รู้ถูกใจคนอ่านรึป่าว เขียนคู่อื่นร้อนแรงแล้ว อยากลองเขียนแบบนี้บ้าง ขอบคุณพื้นที่บอร์ด คนอ่าน คนรอที่ยังคงรอกันเสมอ คนเม้นท์ทุกคนนะคะ
ทิม น้ำนิ่ง :กอด1: :กอด1: :กอด1:
บทที่ 32 บทสรุป ตาน้ำมองห้องที่ตัวเองเคยอยู่มานาน ตอนนี้ข้าวของถูกปรับเปลี่ยนส่งกลับไปไว้ที่บ้านของเจ้าของห้องบางส่วน ทำให้ห้องดูแปลกไป ยืนหมุนคว้างอยู่กลางห้องจนเจ้าของห้องมายืนจ้องหน้า “เป็นอะไรรึป่าว” เพราะเลื่อนการเดินทางมาเร็วกว่าที่เคยบอกไว้ครั้งแรก ก็กลัวว่าคนตรงหน้าจะงอแง “แค่รู้สึกว่าห้องมันแปลกๆ” เพียวใจเสียกับคำตอบ เพราะรู้ว่าอีกคนจะต้องไปๆมาๆที่นี่ ก็อยากที่จัดใหม่ ไม่รู้ว่าคิดไปองหรือป่าว ว่ากลัวตาน้ำจะขึ้นถึงเขา ยกมือสัมผัสใบหน้าของคนตัวโตกว่าอย่างแผ่วเบา ตาน้ำยกมือจับข้อมือแล้วขยับมาจูบ “ติดต่อมาบ้างนะเพียว” คำขอร้องทำให้เพียวต้องกลั้นน้ำตา ถ้าจะไม่ติดต่อมาเลย กลัวจะเป็นแบบครั้งก่อนที่ยังไงตาน้ำก็ต้องหาเขาเจออยู่ดี แต่ครั้งนี้อยู่กันคนละประเทศ มันไม่ได้ง่ายๆแบบครั้งที่แล้วหรอก “อือ” ตอบรับไปแค่นั้น แค่ลดการติดต่อลงเรื่อยๆ ต่างคนก็คงจะชินไปเอง ตาน้ำดึงคนตัวเล็กกว่าขยับเข้าชิด ไม่ได้ยกมือโอบกอดแต่เอาคางเกยไว้ที่ไหล่บาง กลายเป็นเพียวที่กลั้นใจตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นโอบกอดแทน เด็กชายตัวน้อยที่คอยสอนหนังสือให้ประจำ เริ่มงอแงอีกแล้วสินะ ตั้งแต่เด็กเวลาตาน้ำหงุดหงิดตัวเอง ที่ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ ก็กลายเป็นเพียวที่ดึงเอาโอบกอดทุกครั้งไป แต่คราวนี้อะไรกันละที่ทำให้เป็นอย่างนี้ เพียวนึกไม่ออก แม้อยากจะเอ่ยว่าไม่อยากให้ไปมากเพียงใด แต่ตาน้ำก็ไม่อยากเป็นตัวทำลายความฝันของอีกคน เพราะเขาเคยทำมันพลาดมาแล้วครั้งนึง เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่ 2 คนยืนแนบชิดกันอยู่อย่างนั้น เพียวได้สติจึงผละออกก่อน แต่ตาน้ำก็ดึงเพียวเข้ามาจูบอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากสัมผัสความหวานเพียงชั่วครู่ ตาน้ำก็ขยับจูบที่หน้าผาก “ไปเถอะ” 2 ทั้งคนก้าวออกจากห้อง เพียวหันกลับมามองห้องที่มีความทรงจำต่างๆ มากมาย กับคนข้างๆ ตอนนี้มันกำลังจะถูกทิ้งไว้ที่ประเทศไทย เขากำลังจะเริ่มใหม่อีกครั้ง ข้าวของสำหรับเดินทางถูกส่งไปที่บ้าน มาสนามบินพร้อมรถตู้ แม่ของเพียวบอกว่า จะได้ไม่ทุกลักทุเลในการเดินทางไปสนามบิน บนรถฟอร์จูนเนอร์สีขาวที่มีตาน้ำเป็นคนขับ ช่างเงียบงัน ต่างคนอย่างอยู่กับตัวเอง ตาน้ำเองอย่างให้เพียวเก็บความทรงจำไว้ให้มากที่สุด ที่สนามบิน พ่อ แม่ของเพียว พอส ตาร์ และทิม กับน้ำนิ่งทุกคนรอพร้อมกันอยู่แล้ว ขาดแต่ทางบ้านของฝาแฝดที่ตาน้ำพาไปลา ขอพรคุณตาคุณยายมาก่อนแล้ว รวมถึงโทรศัพท์บอกลาพ่อแม่ของฝาแฝดด้วย เพียวเข้ากอดพ่อและแม่ “พ่อจะไม่บอกว่าให้ตั้งใจเรียน เพราะพ่อรู้ว่าที่เพียวทำได้ขนาดนี้เพราะความตั้งใจของลูกอยู่แล้ว แต่อย่าเครียดเกินไปนะลูก พ่อกับแม่เป็นห่วง แล้วจะไปหาบ่อยๆ” “เด็กดีของแม่ โตแล้วนะ ไปอยู่นู้นคิดถึงพ่อกับแม่บ้างนะลูก” เพียวเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เขาที่เริ่มงองแง แต่เป็นพ่อกับแม่รึป่าว “พ่อครับ แม่ครับ ญี่ปุ่นนะครับไม่ใช่ยุโรป บินแค่ 5 ชั่วโมงเองนะ” “นั่นสิ ถ้าเป็นยุโรป แม่คงไม่ให้ไป จริงมั๊ยพ่อ” “จริง ถึงพ่อจะชอบยุโรปนะ แต่การใช้เวลาเดินทางไปหาลูกนานๆ ก็ใจจะขาดนะ” เพียวรู้ว่าพ่อกับแม่อยากให้เขาผ่อนคลาย เป็นพอสที่ขยับกอดอีกคน ภาพครอบครัว 4 คน กอดกันตรงหน้า ทำให้คนผ่านไปมา อมยิ้ม “พี่เพียว อย่าลืมยูนิคอร์น แล้วก็ดูแลตัวเองด้วยนะ” “ไม่ได้ไปเที่ยวนะ แหม่” “งั้นหรอ เดียวพอสไปเที่ยวแทนเนอะ เนอะพ่อ แม่” “ก็ดีนะ” ที่จริงแล้ว พ่อ แม่ อยากจะตามไปส่งด้วย แต่เพียวเองขอร้องไว้ เพราะเวลาที่ลาจากกันนั้น มันน่าใจหาย อีกทั้งไม่อยากให้ชีวิตใหม่มีความทรงจำที่ทำให้ตัวห่วงหาอาทร “ต้าร์ ฝากพอสด้วยนะ” แม้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมา แต่พี่ชาย ก็ยังคงเป็นพี่ชายที่รักน้องที่สุด จนต้องฝากคนข้างตัวน้องให้ช่วยดูแล “แหม่ ญี่ปุ่น 5 ชั่วเองพี่เพียว จะบินมาดุมันแล้วบินกลับก็ไหวน่า” เพียวหันมองน้ำนิ่ง ขยับจะเข้ากอด แต่ก็ยั้งตัวไว้ จนกลายเป็นน้ำนิ่งเองที่ขยับกอด ทำให้ทุกคนในกลุ่มมองย่างแปลกใจ “ขอบคุณนะน้ำนิ่ง ขอบคุณมากๆ” “พี่น้องกันนะ ขอบคุณทำไมละ” ประโยคแปลกๆ ที่ออกมาจากฝาแฝด ทำให้รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้ไม่ปกติ น้ำนิ่งน้ำตาคลอ จนทิมขยับเข้ามาจับมือไว้ “โชคดีนะพี่เพียว” เพียวมองทิม ขยับสายตามองฝาแฝดทั้ง 2 “ฝากดูแลด้วยนะ” คนที่จะฝากได้ ยามฝาแฝดงอแงก็คงจะมีแต่ทิม เพราะอยู่กันมานาน ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันก็เหมือนใช่ รู้จักนิสัยใจคอเป็นอย่างดี คนสุดท้าย เพียวยืนมองหน้า สายตาปะทะกับคมนั้น ทุกคนถอยห่างเพื่อให้ 2 คนมีพื้นที่ส่วนตัว “ดูแลตัวเองนะน้ำ ไม่สบายก็กินยาบ้าง “คำลาของอีกคนทำให้ตาน้ำ มีน้ำใสคลออยู่ในดวงตา แม้พยามจะกลั้นมากเท่าไร แต่เหมือนน้ำนั้นจะไหลออกมาให้ได้ สุดท้ายเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าเห็นน้ำตา จึงต้องดึเข้ามากอดไว้ “ขอบคุณ สำหรับทุกๆอย่างนะเพียว” ตอบกลับคนลาอย่างเสียงสั่น เพียวเองรับรู้แรงสั่นคลอนได้อย่างดี น้อยครั้งที่เด็กชายตัวโตของเขาจะร้องไห้ “และก็ขอโทษสำหรับทุกๆอย่าง” เพียวไม่มีเสียงตอบ หากแต่พยักหน้าอยู่ในอ้อมกอดนั้น อ้อมกอดที่เขาอยากสัมผัสและเก็บความรู้สึกไว้ให้นานแสนนาน “ดูแลตัวเองนะน้ำ” คำเป็นห่วงซ้ำๆถูกส่งออกมา เพราะเป็ฯห่วงมาก จึงไม่อาจจะส่งคำอื่นออกไปได้ “อืม เพียวก็ดูแลตัวเองด้วยนะ” อ้อมกอด ถูกผละออก เพียวโบกมือลาทุกคน ตาน้ำยื่นมองคนเดินจากไปอย่างไม่ละสายตาจากร่างนั้น น้ำนิ่งขยับมาจับมือ ราวกลับจะเรียกสติ แต่ตาน้ำก็คว้าเอามากอดไว้ เป็นคนน้องที่ต้องปลอบคนพี่ ฝาแฝดยืนคุยกันให้ได้ยืนกัน 2 คน “น้ำไม่ร้องนะไม่ร้อง” “อึก อือๆ ไม่ร้อง” “เรารักน้ำนะ” คำพูดบอกรักราวกับคนเป็นคู่รักส่งออกมา “น้ำก็รักนิ่งนะ” คนพูดได้รับคำตอบกลับเช่นกัน “น้องรักพี่นะ อะไรที่พี่รักน้องก็รักเหมือนกัน อย่าทรมานตัวเองเลย พี่ดูแลน้องมามากพอแล้ว น้องอยากให้พี่ทำตามใจตัวเองบ้าง อย่าฝืนตัวเองเลย ถ้ารักเขาก็ไปบอกเขาเถอะนะ” คำพูดบอกรักถูกส่งออกมา แต่ครั้งนี้ เป็นคำพูดในการย้ำเตือนความเป็นพี่น้องได้อย่างดี ความรักของฝาแฝดถูกแตกออกมา จากความรักที่เคยมีให้กันแค่ 2 คน ตอนนี้มันแตกออกมาเป็นใครอีกคนสำหรับเขาทั้งคู่ แม้ว่าจะรักกันมากมาย สุดท้ายความรักที่มีมันก็เป็นแค่พี่น้อง และดูท่าครั้งนี้ เป็นคนน้องที่ดูเหมือนจะแยกความรู้สึกนี้ออกมาได้ก่อนตาน้ำผละออกจากอ้อมกอดน้ำนิ่ง มองอย่างงๆ น้ำนิ่งหันรับของที่ทิมส่งให้ แล้วส่งให้ตาน้ำ มองดูของในมือ อย่างแปลกใจ แต่ก็ดึงฝาแฝดมากอดไว้อีกครั้ง “พี่รักน้องนะ รักเสมอ ถึงแม้ว่าพี่จะมีใคร น้องก็ยังเป็นคนที่พี่รัก ขอบคุณมากๆ” “เหมือนกัน” . . . . . เพราะยังไม่ถึงเวลาขึ้นเครื่อง แต่เพียวต้องการเข้าเกตท์มาก่อน เพราะต้องการปรับตัวเองให้คุ้นชิน เดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ด้านใน จนถึงจุดรอขึ้นเครื่อง คนที่จะต้องจากบ้านไปไกล เริ่มใจหายขึ้นทุกที แม้จะปลอบใจตัวเองว่ามันก็เป็นแค่การเดินทาง เพียงแต่อยู่นานหน่อยแค่นั้นเอง ผู้โดยสารชั้น business class ถูกเรียกขึ้นเครื่องก่อน เพียวจึงเดินขึ้นเครื่องไป จัดแจงเก็บสัมภาระเสร็จสรรพ ก็หยิบโทรศัพท์ ขึ้นมาเตรียมจะถ่ายรูปสุดท้าย เสียงข้างตัวทำให้รู้ว่าที่นั่งด้านข้างมีคนถูกจับจองไว้ ขนาดบินไฟท์วันธรรมดานะเนี่ย แต่เมื่อเปิดกล้องจากโทรศัพท์จะถ่ายรูป เงาสะท้อนในโทรศัพท์กลับทำให้ตกใจ จนตั้งหันมองคนนั้งข้างๆ จังหวะเดียวกันที่คนข้างๆ ยกกล้องกดถ่ายรูปตัวเองสวนมาพอดี ทำให้รูปนั้นกลายเป็นรูปคู่ไปโดยปริยาย “น้ำ!! ทำไม ทำไม ถึง….” ความตกใจนั้นทำให้เพียว อื้อ อึงกับสิ่งที่เห็น อะไรกัน หลังๆอยู่ด้วยกันตลอด ทำไมถึงไม่รู้เลยว่าจะมาอยู่ตรงนี้ด้วย คนถูกถามส่งพาสปอร์ต และตั๋วเครื่องบินให้ดู “มีแค่นี้ ไปด้วยได้มั๊ย”แล้วจะให้เพียวตอบว่าอะไร ทำไมทุกอย่างมันช่างพอเหมาะพอเจาะอย่างนี้ละ เพียวเริ่มรู้สึกว่าตัวเองถูกคนรอบข้างหลอก นึกน้อยใจเสียใจจนน้ำตาเอ่อ ตาน้ำเห็นอาการของคนตรงหน้า เลยยื่นมือไปจับไว้ “น้ำนิ่งกับทิมจัดการให้ ” สายตาคนที่มีน้ำตาเอ่อล้นมองอย่างสงสัย แต่เมื่อสบตากับเจ้าของเรื่องว่าไม่ได้โกหก ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป หากแต่มือของตาน้ำนั้น จับมือของเพียวอยู่ตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย กระเป๋าเดินทางของเพียวที่เอามา 2 ใบนั้น ใบนึงถูกตกไปอยู่ที่มืออีกคนโดยปริยาย ตาน้ำกดส่งข้อความบอกคนที่ประเทศไทย เพราะรู้ว่าเพียวยังไม่ได้จัดการกับโทรศัพท์เป็นแน่ “ไหนเอาที่พักมาดู อยู่ตรงไหน” ตาน้ำเอ่ยถามคนที่ดูตื่นตาตื่นใจกับสถานที่ใหม่ ที่ทำการบ้านมาบ้างรึป่าวเนี่ย เมื่อดูที่พักแล้วก็ต้องแปลกใจ มันห่างจากมหาลัยอยู่นะ “ทำไมอยู่ตรงนี้ละ ใครเลือกให้” “แม่กับพ่อช่วยเลือก เราอยากได้ที่ห่างจากตัวเมืองหน่อย กลัวในเมืองวุ่นวายอะ ที่นี่มีคอนเน็คชั่นกับมหาลัยด้วย ” ญี่ปุ่นะครับ ไม่ใช่ประเทศไทย ได้แต่คิดแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป มีคนช่วยวางแพลนก็โล่งใจ อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ศึกษาข้อมูลมาบ้าง “แล้วกระเป๋าน้ำละ” “ไม่มี” เพียวตกใจในคำตอบ “ก็บอกแล้ว ว่าน้ำนิ่งกับทิมจัดการให้ตอนที่อยู่สนามบิน “ ถ้า 2 คนนั้นไม่จัดการให้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาใช่มั๊ย ความคิดน้อยใจถูกส่งขี้นมาในใจเพียว แต่ไม่ได้พูดออกไป “แล้วมีตังค์มารึป่าว” คนถูกถามทำหน้าตกใจเมื่อได้ยิน รื้อค้นของตัวเองวุ่นวาย แต่เปิด cover พาสปอร์ตดู ก็พบบัตรเครดิต และเงินของประเทศญี่ปุ่นอยู่ส่วนนึง นี่เขาคิดถูกใช่มั๊ยที่ให้น้ำนิ่งเรียนบริหารแทน จัดการอะไรทุกอย่างได้เป็นระบบขนาดนี้ “นี่ไง ว่าแต่ จะไปไหนยังไงก่อน จะได้ซื้อตั๋วรถถูก” “ก็เอาของไปเก็บที่พัก แล้วก็หาข้าวกิน เดินเล่น” ฟังคำตอบ ก็หงุดหงิด ชิลล์ไปมั๊ยครับคุณ ลืมรึป่าวว่าผมมาด้วยเนี่ย ตาน้ำแยกไปซื้อตั๋วรถไฟ แล้วก็พาคนมาเรียนเดินไปสถานี นั่งรถไฟออกจากสนามบินไปยังที่พัก คนที่ไม่เคย มาตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบข้างไปหมด ตาน้ำได้แต่ยิ้มขำ เผลอตื่นเต้นสักพัก ตัวเองก็รู้ตัว หันมองคนข้างๆ อย่างอายๆ แต่ตาน้ำก็ไม่ได้มีสีหน้าล้อเลียนอย่างใด มีแต่รอยยิ้มที่ส่งให้อย่างเอ็นดู ถึงสถานี ตาน้ำก็กระตุกแขนเพียวให้เตรียมตัวลง “น้ำเคยมาแล้วหรอ” ถาม เพราะคนตรงหน้าดูคล่องแคล่วไปหมด “ อือ เคยมา มากันหมดบ้านเลย แม่ชอบญี่ปุ่นมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นด้วยมั้ง ปิดเทอม ก็ไปบ้านปู่ ย่า สลับ กับมาที่นี่ละ สงสัยเบื่อออสฯจัด” เด็กหนุ่ม 2 คนกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เดินไปตามท้องถนน เพื่อเข้าที่พัก เพียวมองข้างทางตลอดเวลา ราวกับจะปรับตัว ไม่นาน ก็ถึง อาร์พาร์ทเม้น คล้ายกับที่ไทย แต่ทรงตึกดูทันสมัยกว่า ติดต่อเข้าที่พักได้ ก็พากันขึ้นมาบนห้อง ห้องที่เพียวเลือกไม่ใหญ่โต หรูหรา แต่เป็นห้องธรรมดาคล้ายเจ้าตัวอยู่ที่ กทม. เข้าไป ด้านขวาเป็นส่วนครัว ด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ เดินเข้าส่วนห้องนอน ก็มีโต๊ะเล็กๆ อยู่ด้านขวา ฟูกนอน ปูนอนกับพื้น “ โอ๊ย เหนื่อย เดินทางแบบไม่ได้เตรียมตัวนี่ หมดพลังจริงๆ” เพียวมองเด็กชายตัวโตเริ่มงอแง “ อาบน้ำมั๊ย” “ ไม่มีเสื้ออะ” หันมองเพียวค้นกระเป๋า หยิบอะไรบ้างอย่างออกมาส่งให้ก็ตกใจ เสื้อผ้าของเขาเอง “ทำไมถึงเอา..” “ไปอาบก่อน เดี๋ยวเราเก็บของก่อน” ตาน้ำเดินไปตรงห้องน้ำ แต่ก็ต้องเดินกลับมา ลากเพียวไป เพียวดิ้น ต้องการจะสะบัดออก แต่สุดท้าย ตัวเองก็ไปถึงห้องน้ำอยู่ดี “อันนี้ ใช้แบบนี้นะ จะตากผ้าก็เปิดอันนี้ มันจะมีลมออกมา ฝนตกตากในห้องน้ำได้ แบบนี้ๆๆๆ” ฟังตาน้ำสอนใช้อุปกรณ์ในห้องน้ำก็ขำ เพียวว่าเพียวเรียนภาษาญี่ปุ่นมานะ สงสัยตาน้ำจะลืม สุดท้าย 2 คนก็อาบน้ำพร้อมกัน ตาน้ำปล่อยเพียวออกมาแต่ตัวก่อน แล้วเดินตามออกมา เพียวหงุดหงิดกับตัวเอง ทั้งๆที่ตั้งใจจะมาคนเดียว ไม่อยากให้ที่นี่ มีกลิ่นอายของอีกคนอยู่ แต่สุดท้าย เขาก็หนีไม่ตาน้ำไม่พ้น อย่างที่อีกคนบอกไว้ ยืนมองห้องที่ตัวเองจะอยู่อาศัย ก็โดนสวมกอดจากด้านหลัง “ตอบมาทำไมถึงเอาเสื้อผ้าเรามาด้วย” คำถามตอบยาก ไม่รู้เหมือนกันว่าหยิบมาทำไม เผื่อคิดถึงละมั้ง “สงสัยหยิบติดมา แล้วน้ำ ทำไมถึงขึ้นเครื่องมา” จะว่าฝาแฝดกับเพื่อนจัดการให้ แต่จะไม่มีก็ได้นี่หน่า “ เพียว… น้ำขอโทษ น้ำขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่น้ำทำไม่ดีด้วย น้ำขี้ขลาดเกินกว่าจะรู้ว่ารู้สึกยังไง น้ำไม่รู้จะทำยังไงถึงจะเข้าหาเพียวได้ ถึงต้องหาเรื่องให้ติวหนังสือ น้ำรู้ ว่าน้ำทำลายความฝันที่เพียวจะเรียนวิศวะจากเรื่องของน้ำนิ่ง แต่ตอนนั้น น้ำรู้สึกแย่ รู้สึกแย่ที่คนที่ตัวเองรู้สึกดีด้วย เป็นคนที่ทำร้ายน้ำนิ่ง แต่น้ำก็พยายามที่จะเรียนวิศวะให้ได้ น้ำอยากทำความฝันเพียวแทน เพียวยกโทษให้น้ำได้มั๊ย ขอโอกาสน้ำได้มั๊ย เราเริ่มใหม่กันได้รึป่าว” คนฟังน้ำไหลอาบแก้ม ได้แต่นิ่งงันฟังคำพูดที่ออกมาจากปากคนที่โอบกอดอยู่ด้านหลัง ไม่มีเสียงตอบรับจากคนฟัง ทำให้ตาน้ำถอนหายใจ “แต่ถ้าเพียว ไม่โอเค น้ำก็จะไป ไม่อยู่ให้เพียวรำคาญอีก” คำบอกลาจากคนตรงหน้า ทำให้ใจหาย “แล้วเรื่องนั้น เรื่องน้ำนิ่ง น้ำไม่โกรธเราแล้วหรอ” “เรื่องมันผ่านไปแล้วนะ แต่ถ้าเพียวยืนยันเหมือนเดิมว่าเพียวไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าเพื่อนเพียวจะทำแบบนั้นกับน้ำนิ่ง น้ำจะเชื่อ” “แล้วน้ำ น้ำไม่ได้ชอบพอส หรอ” ตาน้ำหมุนคนในอ้อมกอดให้หันมาเผชิญหน้า “ ที่ทำแบบนั้น เพราะอยากให้หึง” เพียวหรี่ตามองคนตอบ “รวมถึงเรื่องบนรถด้วย” “ก็ทำไมไม่หึงละ “ วันนั้นก็เห็นอยู่ว่า เพียวเห็นเขาขึ้นไปบนรถกับพอส แต่คนตรงหน้าดันนิ่ง เฉย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดแผนไปใหญ่ “แล้วเพียวละ ชอบน้ำนิ่งรึป่าว” คนถูกถามส่ายหน้า “ที่ทำเหมือนชอบน้ำนิ่ง เพราะไม่อยากให้น้ำรู้ว่าเรารู้สึกยังไง เรากลัวน้ำปฎิเสธ “ห๊ะ!! ว่าไงนะ พูดใหม่ได้ป่ะ” “น้ำ!!” “ขอโทษนะเพียว ขอโทษ เราเริ่มกันใหม่นะ” “แล้วน้ำนิ่งละ” เพราะรู้ว่าความรู้สึกของฝาแฝดมันดูไม่ปกติมากกว่าพี่น้องทั่วไป เคยคิดแต่ก็ปฏิเสธความคิดนั้นออกไป สุดท้ายมันก็วนกลับมาใหม่เรื่อยมา “น้ำนิ่งเป็นน้อง เป็นน้องนะ ใครมันจะไปนอนกับคนหน้าเหมือนกันได้ทั้งชีวิตเล่า ตกลงว่าตกลงรึป่าว” ประโยคสับสนเริ่มออกมาจากปากทำให้เพียวเริ่มขำ ฝาแฝดแยกความรู้สึกที่สับสนออกแล้วสินะ “อื้อ ตกลง” ชีวิตใหม่ที่ญี่ปุ่น ดูราวกับมีแสงสว่างในความรักเกิดขึ้น ระหว่าคน 2 คน ตาน้ำอยู่พาเพียวเที่ยว จนรู้จักเส้นทาง และมั่นใจว่าดูแลตัวเองได้จึงกลับกระเป๋าเสื้อผ้าถูกฝากมากับพี่ชายทิม โชคดีที่เป็นปิดเทอมทำให้คนที่ตามมาพาคนมาอยู่ใหม่ได้เที่ยวก่อนเปิดเทอม . . . . 6 ชั่วโมงที่แล้ว ลานจอดรถด้านนอกสนามบินสุวรรณภูมิ ทิมและน้ำนิ่ง ยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีเครื่องบิน บินขึ้นลงสนุกสนานราวกับอยู่ในเกมส์ รถของฝาแฝดถูกฝากกลับโดยคนขับรถบ้านพอส 2 คนนั่งอยู่บนหลังคารถสปอร์ต ของทิม เมื่อได้เวลา ไฟท์ สุววรณภูมิ- นาริตะออกจากสนามบิน น้ำนิ่งก็หยิบโทรศัพท์ ขึ้นมาพร้อมถ่ายรูปตัวเองและทิม โดยมีฉากหลังเป็นเครื่องบินที่มุ่งหน้าประเทศญี่ปุ่น 2 คน มองหน้ากันราวกับซึบซับบบรกาศความอิ่มเอมนั้นไว้ จนเครื่องบินลับสายตา ทิมก็ลงมายืนด้านล่าง พร้อมกับส่งมือให้น้ำนิ่งจับราวกับจะช่วยประคอง แต่น้ำนิ่งจับมือทิมอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับตัว ทำให้ทิมยิ่งงง “ ทิม” “ หือ” “ เป็นแฟนกันนะ” นี่มันต้องมีอะไรประหลาดเกิดขึ้นบนโลกใช่มั๊ย ลำดับความสัมพันธ์ของมนุษย์ถึงผิดเพี้ยนแบบนี้ “อืมมมม ตอบว่าอะไรดีนะ” ตอนนี้ความรู้สึกสับสนขอฝาแฝดหายไปแล้วสินะ คนรอฟังคำตอบหน้างอ ทำให้ทิมยิ่งขำ “ ตกลงครับ ตกลง ใครจะไม่ตกลงกันละ แฟนน่ารักซะขนาดนี้” "เป็นแฟนกันแล้วนะ" -----------------------------------------The End--------------------------------------------- จบแล้วนะคะ สารภาพว่า บทลาที่สนามบินคนเขียนร้องไห้ น้ำตาซึม ความลับของทุกคนยังคงเป็นความลับต่อไป แฮ่ ขอบพระคุณ Mura_saki ที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนแรก รวมถึง bluerose ❣☾月亮☽❣ kiolkiol 3 words 8 letters ♥►MAGNOLIA◄♥ mintmiko Pimjean Jessiebier Supparang-k shcheribrand Tennyo_Y mareya.no7 รวมถึงทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาอ่านนะคะ เรื่องแรกได้กำลังใจเยอะเยอะมากมาย จะนำไปปรับปรุงต่อๆไปนะคะ เรื่องนี้ จะมีตอนพิเศษอีกเล็กน้อยคะ เดี๋ยวจะลงให้อ่านกันนะคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ดมากๆคะ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
:pig4: :pig4: :pig4: รอตอนพิเศษอยู่น้าาา รักน้ำนิ่งทิม รักตาน้ำเพียว ขอบคุณไรต์มากๆๆ เรื่องนี้ก็ สนุกกกๆo13 o13
ฝาแฝด ไม่สับสนและ ตาน้ำ เพียว :กอด1: ทิม น้ำนิ่ง :กอด1: ต้าร์ พอส :กอด1: รอตอนพิเศษ :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ชอบเพียวกับตาน้ำ สมหวังสักทีน้า
วันนี้คนเขียนมาอยุธยา คิดถึงฝาแฝดเลยต้องแวะเข้ามาทักทาย ตอนนี้ยุ่งมากๆ ขอเวลอีกสักพักจะอัพตอนพิเศษให้นะคะ
มันผิดเพี้ยนตั้งแต่แรกเนอะ....สรุป...ตาน้ำ..ได้หมดถ้าสดชื่น555
อมก อมก อมก รู้สึกเสียใจลึกๆเราเชียคู่แฝด แงงงงงง แต่ดีแล้วค่ะที่จบแฮปปี้ เย่ อ่านรวดเดียวจนจบ หน่วงสุดๆค่ะ ตอนหลังๆคิดนะว่า น้ำนิ่งนี่ใจอ่อนง่ายจริงๆค่ะ ฮึ่ม โกรธตาน้ำมากค่ะ เบื่อ ลำไย น่าจับตีสักที แง่ง พอสก็ดูน่ารัก ดีค่ะ เพียวก็ดูงงๆกับชีวิต ตบบ่าๆ ทิมเหมือนมาคั่นกลางแล้ว แยกสองแฝดออกจากกันนางเหมือนคนที่อยู่วงโคจรด้านนอกไม่รับรู้อะไรเลย สงสารเหมืนกันค่ะ ฮืออออ แต่สงสารน้องน้อยน้ำนิ่งสุดละค่ะ โฮฮฮ แต่จบแฮปปี้ค่ะ ย้ำไว้กลัวตัวเองลืม 55555
เป็นความสับสน ซับซ้อน วกวน แต่ก็นี่แหละ ใจคน ทุกอย่างเริ่มที่ตาน้ำ แล้วตาน้ำก็ต้องทำให้จบด้วยดี เพียวนิสัยดีนะ แต่เสียโอกาสไปหน่อย น่าสงสารสุดละ น้ำนิ่งน่าสงสาร ความรู้สึก ความคิด รวนง่าย เพราะเรื่องในอดีต ความสัมพันธ์ที่ผูกพัน ทำให้แยกยาก ทิมช่วยชีวิตน้ำนิ่งไว้ได้นะ ใจเย็น อบอุ่น น้ำนิ่งขอเป็นแฟนเลย เห็นไหม 555 พอสก็ยังมีความลับอยู่ แต่เก็บไว้ดีแล้ว อย่าฟื้นอดีตให้ต้องเจ็บกันอีก ตาร์มาแบบงงๆ คือชอบแต่แรกอะนะ แต่แค่รอให้พอสรู้สึกเหมือนกัน ตาร์เนียนและแผนสูง ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ เรื่องราวน่าลุ้นทุกตอนเลยค่ะ
:haun4: