พิมพ์หน้านี้ - พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: aiaea83 ที่ 16-10-2016 21:46:44

หัวข้อ: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 16-10-2016 21:46:44
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


พีี่ครับ ... ไอเลิฟยู



เรื่องนี้เป็นเรื่องของม่านนะคะ แล้วม่านเป็นใครล่ะ ม่านคือเพื่อนของกลอย (ประเกรียน) จาก Just you and i ค่ะ
ยังคงเป็นแนวมหาลัยใสๆ ดราม่าน่าจะมีบ้างนิดๆ หน่อย แต่เรื่องนี้ก็ยังเน้นสายฮาเพราะม่านเป็นดูโอ้ความเกรียน

หากผิดพลาดตรงไหนขอประทานอภัยด้วยค่า



**เนื้อเรื่อง บทนำ - ตอนที่ 5 ได้ทำการรีไรท์ใหม่ค่า ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ**



สารบัญ


 Intro  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56100.msg3493196#msg3493196)
 Chapter 1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56100.msg3495274#msg3495274)
 Chapter 2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56100.msg3501103#msg3501103)
 Chapter 3  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56100.msg3512780#msg3512780)
 Chapter 4  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56100.msg3517116#msg3517116)
 Chapter 5  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56100.msg3517610#msg3517610)
 Chapter 6  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56100.msg3574458#msg3574458)



ผลงานเรื่องที่ผ่านมา

 Just you and I เพราะนายคือของฉัน  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54801.msg3425771#msg3425771) [จบแล้ว]
 No Sugar ไม่หวานก็รักว่ะ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55243.msg3448636#msg3448636) [จบแล้ว]
 คำทำนาย...ทายว่าต้องรัก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55178.msg3445594#msg3445594) [จบแล้ว]






*** หมายเหตุ เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากจิตนาการ ไม่มีบุคคลในชื่อหรือสถาบันใดๆ เกี่ยวข้องทั้งสิ้น***
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ (Re-write)<< //[19/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 16-10-2016 21:51:00
บทนำ
(Re-write)




        ยิ่งกว่าถูกผีหลอก นี่คือนิยามในตอนนี้ ผมกำลังยืนอึ้ง ทึ่ง และเงียบ ไม่ใช่แค่ผม แม้แต่เพื่อนของผมก็เป็น สาเหตุมาจากไอ้เด็กต่างมหาลัยที่กล้าหยามเข้ามาหาผมถึงคณะ แล้วบอกผมโต้งๆ ว่าจะจีบ เดี๋ยวนะ รู้สึกว่า ผมน่าจะฟังผิด

   “มึง...” พอเอาเข้าจริงก็พูดไม่ออกเหมือนกัน ไอ้เด็กตรงหน้าทำหน้าตามุ่งมั่น “มึงพูดอีกทีดิ กูว่า กูน่าจะหูเพี้ยนว่ะ” ขยี้รูหูตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   “ผมบอกว่า ผมจะจีบพี่ครับ” เน้นคำอย่างกับครั้งแรกที่ได้ยิน

   “กูว่ามึงเพี้ยนแทนหูกูแล้วล่ะ” ผมว่าและจะเดินผ่าน แต่มันจับแขนผมไว้ “อะไรของมึง กูมีเรียน” นี่ไม่ใช่เวลาที่ผมต้องมาสนใจ เพราะผมมีเรียนจริงๆ

   “แต่ผมจริงจัง” ไอ้เด็กตัวสูงยังทำหน้านิ่ง ดวงตามันจ้องผมไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย

   “มึงไม่ได้จริงจัง แต่มึงกำลังสับสน กูบอกมึงได้เท่านี้ว่ะ” ผมตบบ่ามันไปเบาๆ มองเพื่อนตัวเองที่ยืนรออยู่ไม่ไกล ดีที่ตอนนี้ใต้ตึกไม่มีเด็กปีอื่นอยู่ ไม่อย่างนั้นผมคงถูกล้อไปเป็นปี

   “ผม...” ถึงกับหาคำพูดไม่เจอ   

   “กูจะบอกอะไรให้มึงฟัง มึงกำลังสับสนระหว่างกูกับคนที่มึงชอบ มึงควรไปคิดแล้วคิดอีกว่าตอนนี้มึงชอบอะไร ตัวตนมึงชอบผู้ชายหรือผู้หญิง และที่สำคัญที่สุด...” ผมสูดเอาลมหายใจเข้าปอดลึกๆ “กูไม่ใช่ตัวแทนเพื่อนกู จบนะ”

   ว่าเสร็จผมก็เดินไปหาเพื่อนตัวเองที่อยากจะล้อเต็มแก่ แต่ต้องเก็บอาการเมื่อฐานะที่พวกมันเป็นอยู่ไม่เอื้อสักเท่าไหร่

   ผมไม่ได้หันไปดูว่าไอ้เด็กต่างมหาลัยจะยังอยู่ที่เดิมหรือว่าเดินไป แต่ที่แน่ๆ ผมรู้สึกเบาใจที่ได้บอกออกไปตรงๆ ตั้งแต่วันที่ผมถูกเพื่อนรัก เพื่อนสนิทใช้ของฟรีมาล่อให้ไปติดกับ โดยที่ผมเพิ่งรู้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันอยากจะสลัดคนที่เข้ามาติดพัน นั่นก็คือไอ้คนที่บอกว่าจะจีบผม


   แล้วยังไงล่ะ มันก็ตามมาหาผมอยู่นี่ไง


   มันอาจจะคิดว่าผมนิสัยเหมือนคนที่มันชอบ แต่ผมอยากบอกเหลือเกิน ว่าผมไม่ได้ครึ่งของเพื่อนตัวเอง ผมไม่ได้น่ารัก น่าทะนุถนอมแบบมัน ผมก็แค่ไอ้เด็กต่างจังหวัดหน้าตาธรรมดาๆ มีเพื่อนหน้าตาดีเลยเกาะกลุ่มได้กุศลจากการมีสาวเข้าหาบ้างเป็นบางครั้ง


   เห็นไหม ผมไม่ได้ดีเด่นอะไร


   แล้วแบบนี้ ไอ้เด็กนั่นมันจะมาสนใจอะไรผมวะ นอกจากอยากหาตัวตายตัวแทน หรือไม่ก็อยากคบเพื่อประชด หรืออยากเอาใจคนที่มันชอบ

   แต่ขอบอกไว้ก่อน ไอ้ม่านคนนี้ไม่ใช่จะรักใครง่ายๆ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แม้ผมจะยอมรับกับตัวเองและเพื่อนว่าสนใจทั้งสองเพศ แต่ผมก็ไม่ได้มั่ว ไม่ได้ไปเรื่อย เพราะตอนนี้ เรื่องเรียนสำคัญกว่าคนรัก พ่อกับแม่ผมยังรอผมกลับบ้าน ผมเป็นคนดีใช่ไหมล่ะ ผมรู้ ไม่ต้องชมผมหรอก เพราะผมชมตัวเองทุกครั้งที่ส่องกระจก


   ไอ้ม่าน ไอ้คนดีเอ้ย

......................................

วันแรกที่ลงครั้งแรก (16/09/59)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: bluerose ที่ 16-10-2016 22:53:20
มาแล้วคู่นี้ แววมาเีน่ะเนี้ยยย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 16-10-2016 23:14:51
ในที่สุดก็เปิดตัวคู่นี้ซะที 55555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-10-2016 03:07:43
พี่ม่านกับน้องเม่นมาแล้ว :katai2-1: รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Coffeeblack ที่ 17-10-2016 06:18:33
เรื่องใหม่มาแล้ววว ติดตามฮะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 17-10-2016 06:35:39
มาต้อนรับเม่นม่าน 555+ ชอบมู่ลี่อ่า น่ารักจุง^^

รอติดตามความสนุกสนานเพลิดเพลินจำเริญใจอยู่นะคะ  :katai2-1:

ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับนิยายน่ารักๆอ่านแล้วมีความสุขทุกเรื่องเลย :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-10-2016 06:54:25
 :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 17-10-2016 07:03:41
 o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 17-10-2016 14:10:07
มันดีกับใจที่สุด น้องเม่นพี่ม่าน   :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 17-10-2016 18:52:34
ตกลงเม่นมาตามจีบม่านแบบจริงจังแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>บทนำ<< //[16/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 20-10-2016 11:28:00
น่ารัก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนที่ 1 [Re-write]< Up! //[19/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 20-10-2016 15:21:19
1
(Re-write)




        เหตุการณ์ก่อนหน้า

   ในช่วงค่ำผมกำลังนั่งก๊งเหล้ากับกลุ่มเพื่อน เสียงริงโทนบ้านๆ ดังขัดจนผมต้องลุกออกไปรับ ปลายสายคือเพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่มัธยม มันชื่อไอ้กลอย ปกติมันไม่โทรหาผมหรอก มีแต่หยอดมาให้โทรกลับ ไอ้นี่มันขี้งกตัวพ่อ

   “โทรมาได้แสดงว่ามีเรื่อง” กรอกเสียงไปตามความคิด

   (แหม รู้ทันกูตลอดนะไอ้ม่าน) น้ำเสียงมันกวนนิดๆ ตามสไตล์

   “ถ้าไม่รู้ กูก็ไม่ใช่เพื่อนมึงสิ มีอะไรวะ” ไอ้ปลายสายมันหัวเราะร่วน

   (พรุ่งนี้มึงว่างหรือเปล่าวะ กูว่าจะชวนมึงไปเที่ยว) ผมกำลังจะปฏิเสธ แต่เพราะมีประโยคถัดมาทำให้ผมตาวาว (ฟรีทั้งงานนะมึง กินเที่ยวฟรีตลอดสาย สนป่ะ)

   “สน” ตอบแบบไม่ต้องคิด ของฟรีที่ไหนมี ไอ้ม่านไม่พลาดอยู่แล้ว

   (แจ๋ว งั้นพรุ่งนี้มึงมาหากูเช้าๆ นะเว้ย แค่นี้ เลิกกัน) แล้วมันก็วางไป ของฟรีอะไรที่ถึงขั้นทำให้ไอ้กลอยมันโทรมาชวน จะชวนกินเหล้าที่ห้องแฟนมันอย่างทุกทีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น มันจะเอาเบอร์ของแฟนโทรมาแทน แปลกจริงๆ

   เดินกลับมานั่งในวงล้อมใหม่ ตอนนี้พวกมันกรึ่มได้ที่เลยทีเดียว เด็กเกษตรอย่างเราต้องคอแข็งครับ หากคออ่อนเราจะถูกกำจัดด้วยการมอมเหล้าทุกครั้งที่เข้าร้าน ดังนั้นต้องหัดและฝึกเข้าไว้

   นึกถึงปีหนึ่งของตัวเอง แม้ผมจะกินเหล้าได้แต่คอไม่แข็งมาก ถูกรุ่นพี่มอมเมาซะเหมือนหมา ยังดีที่ได้พวกเพื่อนลากกลับ ไม่อย่างนั้น ผมคงไปนอนเล่นที่พื้นกับไอ้ด่างของร้าน

   “ใครโทรมาวะ” ไอ้เจ เพื่อนคนแรกในคณะของผมครับ เจอกันครั้งแรกโคตรไม่ชอบในความขี้เก๊กเลย ก็อย่างว่า คนหล่อมันต้องเก๊ก แต่พอเริ่มคุย ไอ้เชี่ยนี่เพี้ยน ติดการ์ตูนอย่างหนัก

   “ไอ้กลอย” ผมบอก มือก็รับแก้วเหล้าจากไอ้มีน เพื่อนอีกคน

   “มันโทรมาทำไมวะ” ไอ้เกมส์ที่นั่งมุมสุดถามขณะตบมืออีแน่ว เพื่อนสาวที่อยากเป็นผู้ชายหนึ่งเดียวของกลุ่ม โคตรแปลกที่มันมาขอเข้ากลุ่ม

   “มันชวนกูไปเที่ยว ฟรีด้วย” ผมยักคิ้วบอกเพื่อให้กลุ่มขี้สอดหายสงสัย

   “อย่างไอ้กลอยเกรียนมันจะเลี้ยงเหรอวะ เป็นไปไม่ได้” ไอ้มีนรีบส่ายหน้ารัวๆ

   เพื่อนผมที่นี่รู้จักไอ้กลอยดีครับแม้จะอยู่คนละมหาลัย แต่ตอนคบกันใหม่ๆ ผมก็พาเพื่อนใหม่ไปกินเหล้ากับเพื่อนเก่าบ่อยๆ ไอ้กลอยที่มีฉายาเกรียนเป็นที่ร่ำลืออย่างดีในกลุ่มเพื่อน ความเกรียนที่ไม่มีใครเข้าถึงจิตใจของมัน ชอบนักกับการทำเรื่องที่ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน และมันก็ชอบกล่าวหาว่าผมเกรียนไม่แพ้มันสักนิด ซึ่งมันคิดผิด ผมโคตรเป็นคนดีศรีสังคมเถอะ แม่งใส่ร้ายผมว่ะ

   “พรุ่งนี้ก็รู้” ยกเหล้าขึ้นจิบ สายตาก็มองเพื่อนตัวเองที่ยกแก้วไม่ถนอมน้ำใจของคนซื้อเหล้าอย่างไอ้เจเลย มันถูกหวยครับ โคตรฮา เห็นว่าแม่มันให้เลขเด็ดมา รู้แบบนี้ตามมันสักหน่อยคงดี





   เช้าวันใหม่ ผมแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพราะถูกไอ้คนนัดโทรปลุก ไม่รู้จะตื่นเต้นดีใจอะไร หรือว่าคึกที่แฟนไปเที่ยวเมืองนอกมันเลยเที่ยวได้ คอยดูเถอะ แฟนมันกลับมาผมจะฟ้อง

   แต่งตัวธรรมดา เสื้อยืด กางเกงยีนส์ เดินลงหอพักพร้อมทักทายคนรู้จักที่เดินผ่าน พอดีไอ้ม่านเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ผมขับรถกระบะที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญตอนสอบเข้าที่นี่ได้ พ่อบอกมันจะทำให้ผมไม่ลำบากในการเดินทาง ผมเลยถนอมเช็ดล้างอย่างดีจนผ่านมาจะสามปี รถผมยังใหม่เอี่ยมไร้รอยขีดข่วนใดๆ โคตรภูมิใจตัวเอง

   ผมขับมาถึงคอนโดที่ไอ้กลอยพักอยู่ มันลงมายืนรออยู่แล้ว พอเห็นผมมันก็ยิ้มแป้นแล้นกวักมือให้ไปหา มันบอกว่าต้องรอคนเลี้ยง นี่ผมคิดผิดใช่ไหม ที่คิดว่าคนอย่างไอ้กลอยจะเลี้ยง สรุปมันมีคนเลี้ยงอีกทอดสินะ มิน่าถึงใจป้ำเลี้ยงตลอดทริป

   “กูว่าแล้ว ว่ามึงไม่มีทางออกเงิน” ตบหัวไอ้กลอยไป มันก็ทำหน้ามุ่ย “แล้วพี่โชติดต่อมาบ้างหรือเปล่าวะ” ถามเพราะเป็นห่วง ไอ้กลอยเป็นคนขี้เหงา แฟนมันไปต่างประเทศนานๆ แบบนี้มันต้องอยู่คนเดียว

   “เออ เมื่อคืน กูทวงของฝากแล้ว” ตอนแรกหน้ามันดูสลด แต่พอพูดถึงของฝาก หน้ามันบานเป็นจานสังกะสี

   “แบ่งกูด้วย” และผมก็บานไม่แพ้มันหรอก ไอ้กลอยมันรักผม รักเพื่อน แม้จะงกแต่ก็แบ่งปันของอร่อยเสมอ

   “ตลอด ของฟรีนี่ไม่มีพลาดนะมึง” โดนมันแขวะ แต่ผมก็ทำหูทวนลม
 
   รออยู่นานจนเบื่อ ขนมที่ผมหยิบมาจากห้องไอ้เจก็หมดเพราะไอ้คนข้างๆ มันกินเรียบ เห็นมันเงียบที่แท้กำลังฟาดขนมผมเรียบอยู่

   “นิดหน่อยน่า มึงนึกถึงขนมที่พี่โชซื้อมานู้น แพงกว่าซองนี้อีก” แม้อยากจะนึกตาม แต่ผมก็หวงขนมของผมอยู่ แม้จะเอามาแบ่งมันกิน แต่ผมไม่ได้กินสักอัน

   กำลังจะบ่น โทรศัพท์ไอ้กลอยมันก็ดัง คนโทรเข้าก็ไอ้คนที่มันนัด คุยไม่นานก็วางสาย ไอ้กลอยทำหน้าแหยหันมามอง

   “รถมันยางแบนว่ะ มารับไม่ได้”

   “งั้นกูกลับ”

   “เฮ้ย ไอ้ม่าน มาแล้วนะเว้ย” ผมมองหน้ามันนิ่ง “เราไปรับมันก็ได้ หอมันอยู่ไม่ไกล”

   “รถกู?”

   “เดี๋ยวกูเติมน้ำมันให้”
 
   ผมมองแบงค์สีม่วงที่มันยื่นมาให้ นานๆ จะได้เห็นเงินของไอ้กลอย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากเอารถของผมไป กลัวเด็กที่มันนัดจะทำรถผมเป็นรอย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด

   คนที่ไอ้กลอยนัดเป็นเด็กปีหนึ่งคณะมันนั่นแหละ ผมไม่รู้ว่าพวกมันนัดอะไรกัน แต่เท่าที่ผมคบกับไอ้กลอยมา มันต้องมีแผนอะไรสักอย่าง ที่สำคัญ ผมต้องมีส่วนเกี่ยวในเรื่องนั้นแน่ ดูได้จากรอยยิ้มและแววตาแพรวพราวของมัน

   “สวัสดีครับ” ทันทีที่จอดหน้าตึก ไอ้เด็กที่นัดไว้ก็รีบวิ่งมาหา มันยกมือไหว้ผมก่อนจะยิ้มเท่ของมัน “เพื่อนพี่ชื่ออะไร” พอมันนั่งบนรถแล้วก็เริ่มถามรุ่นพี่มัน ไอ้กลอยเหล่ตามองผมนิดๆ แต่ผมขัดใจรอยยิ้มของมัน รอยยิ้มที่กำลังคิดวางแผนชั่วร้าย

   “มันชื่อม่าน ชื่อมอม้าเหมือนมึงเลย ม่านกับเม่น” นั่นไง ว่าแล้ว ตงิดใจตั้งแต่มันบอกว่าจะเลี้ยงแล้ว เห็นมันยิ้มมากๆ เข้าก็หมั่นไส้ เลยตกหน้าผากเพื่อนตัวเองไปแรงๆ จนหน้าหงาย

   “รอยยิ้มมึงนี่กำลังคิดอะไรแผลงๆ อยู่ใช่ไหม กูรู้นะมึง” ผมกระซิบบอกกับไอ้กลอยอย่างรู้ทัน ตามันกรอกไปมาอย่างมีพิรุธ แปลว่าผมคิดถูก “อย่าคิดจะเอากูเป็นไม้กันหมา กูไม่สนุก”

   “อะไร” ไอ้กลอยขึ้นเสียงสูง ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดของเพื่อน แล้วไอ้เด็กนั่นมันก็คงพอจะรู้แหละครับ ผมดูหน้ามันผ่านกระจกมองหลัง หน้าตาหมองเชียว คงเพราะหลงคนไม่น่าหลงอย่างไอ้กลอยเนี่ย

   “พี่ชื่อม่านเหรอ เรียนที่ไหนอะ” ละสายตาจากท้องถนนแป๊บหนึ่งเพื่อมองหน้าคนถาม ไอ้เด็กที่ชื่อเม่นยิ้มให้เพราะมันก็กำลังมองผมผ่านกระจกมองหลังเช่นกัน

   “กูเรียนเกษตร แต่ไม่ใช่ที่มหาลัยมึง” ตอบเรียบๆ มีเสียงขำในลำคอของไอ้กลอยแทรกเบาๆ

   “อ่อ ก็ว่าไม่เคยเห็น” ไม่ได้สนใจเสียงตอบกลับ แต่พอเหลือบมอง ไอ้เด็กเม่นก็ยังจ้องผมอยู่ หรือหน้าผมมีอะไรติดวะ
 
   “แล้วมึงเป็นรุ่นน้องไอ้กลอยเหรอวะ” ถามไปอย่างนั้นเอง ที่จริงรู้อยู่แล้ว

   “ครับ แต่ไม่ใช่น้องรหัส อยากเป็นแต่ไม่ได้เป็น เศร้าเนอะ” เบ้ปากให้กับเสียงสำออยของเด็กปีหนึ่ง

   “ระวังเถอะมึง ผัวมันดุ” ไม่ได้คิดจะขัดคอ แต่ที่เตือนเพราะรู้นิสัยพี่โชดี ผมกับไอ้เด็กนั่นคุยต่ออีกนิดหน่อย ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าห้างสรรพสินค้า

   เพราะไม่รู้จะไปไหน เลยเลี้ยวเข้าห้างสัมผัสแอร์เย็นๆ ให้รู้แล้วรู้รอด ผู้ชายสามคนเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย ไอ้กลอยก็พูดมาก ไอ้เด็กปีหนึ่งก็เงียบ แล้วผมมาด้วยทำไมวะ เมื่อไม่รู้จุดหมายไอ้เด็กที่เงียบมันเอ่ยชวนกินข้าวแล้วไปดูหนัง ร้านข้าวที่เลือกก็ไม่เห็นจะมีข้าวสักเม็ด ร้านที่ไอ้เม่นมันเลือกเป็นร้านสเต็ก นานๆ ทีผมถึงจะเข้า แล้วไม่รู้ด้วยว่าอันไหนอร่อยหรือไม่ ผมกินได้ทุกอย่าง (ที่ฟรี)

   ทิ้งไอ้กลอยไว้ที่โต๊ะ ผมกับไอ้เม่นเดินมาตักสลัดก่อน ไอ้เด็กปีหนึ่งมันแนะนำอันไหน ผมก็ตักอันนั้น รู้ตัวอีกทีก็พูนจาน กว่าจะได้กินสเต็กผมก็อิ่มผักก่อน แถมไอ้กลอยมันเนียนใจดียกสเต็กมันให้ผม อยากจะเอาฟาดหน้า มันอิ่มจนล้นเลยเอาให้ รู้นิสัยกันอยู่

   ช่วยที่กินนั่นกินนี่ ผมแอบสังเกตคนที่กล้าจีบเพื่อนของผม ไอ้เด็กเม่นดูใจกล้าและเปิดเผยดี แต่มันไม่เอาใจไอ้กลอยเลย มีแต่จะตักผักอันที่ผมเขี่ยออกไปใส่จานตัวเอง มันควรเอาของไอ้กลอยหรือเปล่า ผักกองเต็มจานเลย ผมเหล่ตามองหน้ามันบ้าง ไอ้เม่นก็ยิ้มตอบกลับ ลางสังหรณ์เริ่มไม่ค่อยดี

   “กูอิ่ม” ไอ้กลอยลูบท้องโตๆ ของตัวเอง “แต่เหลือว่ะ มึงช่วยกูกินหน่อย” ตาเหลือกสิ ขนาดของผมเองยังไม่หมด

   “กูเอาถุงมา” เป้ผมมักจะมีถุงติดไว้เสมอ เผื่อฉุกเฉิน พอผมเอาถุงออกมา ไอ้เม่นก็หัวเราะหน้าดำหน้าแดง

   “พี่แม่งตลกว่ะ” หยิบหมูใส่ถุงไป มองไอ้คนหัวเราะไป

   “หัวเราะกูไอ้สัด” ด่าไปนิดๆ ถ้ามันหุบปากจะไม่มีใครมอง แต่พอมันอ้าปากหัวเราะ คนเลยมองมา ผมเก็บถุงแทบไม่ทัน ไอ้ห่า

   “ก็พี่แม่งตลก” มันยังหัวเราะต่ออีก

   หนังท้องตึงก็เริ่มอืด เพราะไม่รู้จะไปไหน นั่งอยู่กับที่ก็ง่วง พอเดินก็เบื่อ ไปดูรอบหนังยิ่งเบื่อ ไม่มีหนังสนุกให้ดู แต่ไม่มีที่ไปจริงๆ เลยต้องตัดสินใจดูหนังที่น่าจะดูดีที่สุดในรายการ

   หนังความรักกับสงคราม ก็น่าสนใจดี และมันน่าสนใจมากเมื่อได้ดูจริงๆ ผมว่าเขาเล่นดีเลยนะ สงครามดูน่ากลัว แต่พอมีความรักทำให้หนังดูซอฟต์ลง ไม่หนักหน่วงเท่าไหร่ แต่ไอ้กลอยหลับตั้งแต่สิบนาทีแรก ก็บอกแล้วว่ากินข้าวก่อนมันจะง่วง 
เมื่อหนังจบ ผมกับไอ้เม่น ก็เริ่มคุยกันมากขึ้น คงเพราะหนังเมื่อกี้ พอได้คุย มันก็เป็นเด็กที่มีความคิด มีเหตุมีผล ไม่รู้หลงมาชอบไอ้กลอยได้ยังไง หรือถูกมนต์ดำเป่าใส่ 

   เมื่อจบโปรแกรม พวกเราก็แยกย้าย ผมขับรถไปส่งไอ้กลอยก่อนเพราะมันบอกไอ้นี่แผนสูงจริงๆ เหลือบตามองไอ้เม่นที่ย้ายมานั่งข้างหน้าทำตาแป๋วอยู่ข้างๆ เราสลับกันมองไปมาอยู่ครู่ใหญ่ เพราะอยู่กันสองคนโดยไม่มีไอ้กลอย ไอ้เด็กนี่ดูนิ่งไม่กรุ้มกริ่ม ผมเหลือบตามองมันแต่ก็ไม่พูดอะไร รอจนมันเอ่ยออกมาก่อนถึงยอมคุย

   “พี่เป็นเพื่อนพี่กลอยนานแล้วเหรอ” เหล่ตามองนิดๆ แล้วพยักหน้าลง “เหรอ”

   “ทำไมถึงชอบไอ้กลอยวะ แฟนมันดุ มึงไม่รู้เหรอ” เห็นใจหรอกนะผมถึงบอกตรงๆ ไม่อยากให้มันมีความหวังกับเพื่อนตัวเอง อีกอย่าง ตีนพี่โชก็ไม่เบา เคยเห็นตอนกระทืบพวกที่ทำร้ายไอ้กลอยจนสาหัส กลัวแทนเลย

   “รู้ แต่ผมก็...” อยู่ๆ มันก็หยุดพูดจนผมต้องละสายตาจากถนนมอง

   “ถ้ามึงคิดว่า สิ่งที่มึงทำ ไอ้กลอยจะหันมาสนใจ มึงก็ทำไปเถอะ เอาตามที่มึงสบายใจ” ไม่ได้ประชดนะ แต่คนเรายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุไง แต่ถ้าเรายุ มันอาจจะหยุด

   “โหพี่” ไอ้เด็กเม่นลากเสียงยาวแล้วขำออกมา “คิดได้ว่ะ”

   “กูเก่ง” ยักไหล่ แต่ไอ้เด็กเม่นมันหัวเราะเอาซะผมเสียเซลฟ์ “หยุดขำเลยมึงน่ะ”

   “พี่ไม่เห็นเกรียนแบบพี่กลอยเลยว่ะ”

   “อ่าว กูผิดเหรอ”

   “เปล่า” กะจะพยักหน้า แต่ต้องตวัดตามองมันแทน เมื่อได้ยินประโยคหลัง “แต่พี่เกรียนแบบของพี่”

   “มึงลองจำกัดความคำว่าเกรียนของมึงซิ” อยากรู้จริงๆ คำว่าเกรียนคืออะไร สำหรับไอ้กลอยผมพอรู้ เพราะมันชอบคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน คิดแต่เรื่องแผลงๆ แต่ผมเนี่ย เกรียนตรงไหนวะ

   “ก็...” 

   “เอาดีๆ นะมึง”

   “ก็อย่างพกถุงเพื่อเอาสเต็กกลับ” คนมันเสียดายผิดเหรอวะ “เรอใส่หน้าไม่อายใคร” ก็คนมันอิ่ม “ชอบทำคิ้วขมวดเวลาได้ยินอะไรที่ไม่ตรงกับที่คิด” ไอ้นี่ชักจะรู้มากไปแล้ว

   “กูเนี่ยนะ ตรงไหนวะ” ผมชอบขมวดคิ้วเหรอวะ ไม่เห็นจะรู้

   “ก็อย่างเมื่อกี้ พี่กลอยกับผมพูดอะไรที่พี่ไม่เห็นด้วย ก็จะขมวดคิ้ว พอให้เดินไปอีกฝั่งก็เลือกไปอีกฝั่ง เอาซะพี่กลอยกับผมงงเลย”

   “แค่นั้นก็เรียกเกรียนเหรอวะ” ส่ายหน้าให้กับคำตอบ ใครๆ ก็ขมวดคิ้วหรือเปล่า “นั่นเพราะกูรำคาญต่างหาก พวกมึงถามกันอยู่นั่นว่าจะทำอะไร กูเลยตัดสินใจให้จะได้จบๆ มัวแต่ผลัดกันเมื่อไหร่จะได้ทำ” บ่นยาวเหยียด ไอ้เด็กเม่นก็พยักหน้ารับฟัง

   “พี่ดูเป็นผู้ใหญ่เนอะ”

   นี่มันชมหรือด่าผมอยู่หรือเปล่าวะ

   “มึงว่ากูแก่เหรอ”

   “ถ้าเทียบกับผมนะ” ตวัดสายตามองโหด “ล้อเล่นน่า ผมหมายถึงความคิดต่างหาก ตอนแรกคิดว่าจะง้องแง้งเหมือนพี่กลอย” ดูมันว่าผมสิ

   “กูไม่ได้ทำตัวไร้สาระ ปัญญาอ่อนแบบไอ้กลอย คิดผิดคิดใหม่ซะ” กำชับเสร็จก็เลี้ยวเข้าจอดหน้าหอพัก จะเรียกหอพักก็ไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นคอนโด แต่ไม่หรูมากเท่าไหร่ “ถึงละ โชคดีไอ้น้อง”
 
   “ผมขอไลน์พี่หน่อยได้ป่ะ” ก่อนจะลง มันยื่นมือถือเครื่องแพงมาตรงหน้า ผมเหล่ตามองอย่างระแวง “ผมไม่เอาไปทำเสน่ห์หรอกน่า”

   “กูไม่ได้กลัวแบบนั้นไอ้ห่า” คว้ามือถือมันมาค้นหาชื่อของตัวเอง เจอก็แอดไป รูปโปรไฟล์ผมเป็นรูปขวดเหล้าครับ ให้รู้ว่าคอแข็งพร้อมรับคำท้า และกลุ่มผมก็ใช้ขวดเหล้าเป็นรูปโปรไฟล์ทุกคน ต่างกันแค่ยี่ห้อเท่านั้น

   “โห หมกมุ่นว่ะ” ไอ้เม่นมันหัวเราะเมื่อเห็นรูปของผม

   “โชว์ความเทพเว้ยไอ้น้อง” ยักคิ้วให้มัน ไอ้เม่นก็หัวเราะ ก่อนมันลง ดูเหมือนจะลังเลอะไรสักอย่าง “อะไร ไม่ลงเหรอวะ”

   “พี่ ผมถามเรื่องหนึ่งสิ” ไอ้เม่นไม่หันมามองหน้าผม ตามันจ้องช่องแอร์เย็นช่ำ แต่คิ้วมันขมวดเป็นปม “ความรักมันคืออะไรวะ”

   เป็นคำถามที่ผมก็ไม่เคยรู้เลย

   “ไม่รู้ว่ะ” ตอบตามตรง “กูไม่เคยมีแฟน” พอผมบอก ไอ้เม่นรีบหันมา มันทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด

   “โม้ป่ะ อย่างพี่เนี่ยนะ”

   “เออ กูไม่คิดว่ามีแฟนมันจะดีตรงไหน” เห็นเพื่อนมีแฟนแล้วปวดหัว ขออยู่คนเดียวดีกว่า เต๊าะเด็กบ้างบางเวลา สบายอุรากระเป๋าเงิน (มันใช่กลอนเหรอเปล่าวะ)

   “พี่ไม่คิดจะมีแฟนบ้างเหรอ” ไอ้เม่นถามออกมาทำให้ผมมองหน้ามันนิ่ง
 
   “ก็กูกำลังบอกอยู่นี่ไง ว่ามันไม่มีดี”

   “พี่ไม่เคยมี จะรู้ได้ไงว่ามันไม่ดีวะ” ก็จริงของมัน ผมทำหน้ายุ่งคิดตามที่มันบอก “พี่ไม่อยากลองเหรอ”

   “ลองอะไร” เหล่ตามองไอ้เด็กที่ยิ้มกริ่ม

   “มีแฟนไง ผมลองเป็นให้เอาหรือเปล่า” มันพูดจบ ผมก็แจกนิ้วกลางให้ไป “โหย แจกของลับเลยเหรอ หยาบคายว่ะ”

   “พล่ามมากเกินไปแล้วไอ้น้อง ลงเลยมึงน่ะ” ออกปากไล่ครับ ไอ้เม่นก็หัวเราะลงจากรถผมไป แต่ก่อนมันจะปิดประตู ยังไม่ลืมพูดส่งท้ายจนผมต้องเอาซองขนมขว้างใส่หน้ามันไป

   “ผมยอมเป็นแฟนทดลองของพี่เลยนะ ไม่คิดเงินด้วย โอเคนะ”

   “โอเคพ่องมึงสิ ไอ้เหี้ย”




   ผมขับรถออกจากที่พักไอ้เด็กปากมากที่มันยังยืนหัวเราะอยู่ที่เก่า เพี้ยนแน่ๆ ไอ้เม่น เป้าหมายต่อไปเป็นมหาลัยครับ ตอนนี้เพื่อนผมกำลังสุมหัวอยู่ที่นั่น พวกมันกำลังเตรียมงานส่งท้าย กีฬาเฟชรชี่กำลังจะถึงแล้ว อีกอย่าง ห้องเชียร์ก็ใกล้ปิด ดังนั้นวันหยุดแบบนี้จึงเป็นเวลาดีในการเตรียมงาน ผมขอไปสาย ด้วยข้ออ้างเพื่อนมีปัญหาต้องปรึกษาอย่างเร่งด่วน

   ผมมาถึงตอนบ่ายแก่ๆ ห้องที่นัดเป็นห้องเรียนที่ถูกปิดทึบเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน แง้มประตูดู ในห้องมีปีสอง ปีสามและพี่ปีสี่อีกนิดหน่อย ทุกคนทำหน้าเครียดพอดู แต่พอผมเปิดประตูเข้าไป สายตาทุกคู่ก็พุ่งมา กดดันโคตรๆ เลยว่ะ โค้งศีรษะขอโทษแล้วเดินเรียบกำแพงด้านหลังไปยืนข้างเพื่อนสาวใจแมนอย่างแน่ว มันทำท่าทางล้อเลียนจนผมต้องเตะข้อพับมันไป

   “ทำไมมันเครียดกันวะ” กระซิบถามให้เบาที่สุด

   “เรื่องห้องเชียร์ปิดท้ายไง” อีแน่วมันกระซิบตอบ

   “แล้วเรื่องกีฬาละวะ”

   “คุยเสร็จตั้งแต่มึงไม่โผล่หัวแล้วไอ้ห่า”

   ดูเหมือนพวกผมจะคุยเสียงดังไปนิด เลยถูกสายตาตวัดมองอีกรอบ ผมเห็นไอ้เจ ที่ได้รับความไว้วางใจจากเฮดรุ่นก่อนให้สืบทอดเป็นเฮดว๊ากดูเครียดหนักสุด โชคดีของผมที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ทั้งที่ใจจริงก็อยากลองเป็นพี่ว๊ากสักครั้ง แต่ติดตรงพี่รหัสผมออกปากดูถูกน้ำหน้าว่าผมว๊ากใครไม่ได้ โคตรดูถูกเหอะ

   นั่งฟังพวกเป็นการเป็นงานคุยกัน ได้เรื่องได้ราวเสร็จก็แยกย้าย จะเหลือแค่พวกว๊ากปีสามที่ต้องอยู่ ผมไม่เกี่ยวข้องแต่ก็อยากอยู่ด้วย

   “ตามกูออกมาเลยไอ้มู่” เรียกซะผมเป็นหมูเลย

   อย่าแปลกใจกับการเรียกชื่อของผม ต้นเรื่องนั้นมาจากที่ผมมารายงานตัวตอนปีหนึ่ง เสียงกอง เสียงเพลงดังจนรุ่นพี่ที่เขียนป้ายชื่อไม่ได้ยิน ผมเลยตะโกนแข่งไปแล้วบอกว่าชื่อม่าน ม่านที่เหมือนมู่ลี่ แล้วพี่แกได้ยินแค่มู่ลี่ก็เลยเขียนไปแบบนั้น ที่สำคัญแก้ไม่ได้ ผมเลยต้องห้อยป้ายชื่อนั้นทั้งปี ผู้คนเลยชินกับการเรียกผมว่ามู่ลี่ ไม่ก็ไอ้มู่นี่แหละ นานๆ ทีถึงจะหลงเรียกชื่อม่านออกมา จนตอนนี้ผมกำลังสับสนว่าตัวเองชื่ออะไรกันแน่

   “โหยพี่เฟรนด์ ให้ผมอยู่ต่อเถอะนะ ไม่เอาไปบอกใครหรอกน่า” นี่ก็กลัวความลับรั่วไหลซะจริง

   “มึงกล้าหือกับพี่รหัสมึงเหรอวะ” โดนแขนหนีบคอแล้วลากออกไป ถูกรุ่นพี่ รุ่นน้องหัวเราะเยาะ คือพี่ครับ ผมอายรุ่นน้อง

   “ไอ้พี่เฟรนด์โว้ย” แหกปากโวยวายจนลั่นตึก พี่เฟรนด์เลยยอมปล่อย “ไม่เจอกันนาน พี่ขาวขึ้นหรือเปล่าวะ” ทักทายพี่รหัสสุดรัก มือก็จัดผมตัวเองที่ชี้ฟู

   “กูไปฝึกงานในไร่ตัวดำอย่างกับเมี่ยง มึงประชดกูใช่ไหม” โดนตบหัวไปอีกหนึ่งดอก

   “โหย ถ้าพี่ดำคนอื่นก็ถ่านแล้วเถอะ” ส่ายหน้ากับพี่รหัส พี่เฟรนด์เลือกไปฝึกงานในไร่ข้าวโพดที่ทำแป้ง เห็นว่าเพื่อนพ่อเป็นเจ้าของ แบบนั้นมันจะตัวดำได้ยังไง นั่งออฟฟิศสบายตูดมากกว่า

   “มึงเถอะ หายหัวไปไหนมาวะ ขึ้นปีสามแล้วขี้เกียจเหรอวะ ไม่ใช่ว่าแอบไปเที่ยวหรอกนะ” โดนเหล่ตาจ้องจับผิด ผมรีบยิ้มตาหยีกลบเกลื่อน

   “ไม่ได้ไปเที่ยวเลย” แก้ตัวไปแต่พี่เฟรนด์ไม่เชื่ออยู่แล้ว

   ก่อนที่จะโดนเค้นมากกว่านี้ ห้องที่ปิดสนิทก็เปิดออก บรรดาพี่ว๊ากทั้งปีสาม ปีสี่ก็เดินออกมา หน้าตาไอ้เจเครียดเหมือนเดิม รวมทั้งเพื่อนอีกสามคนของผม เห็นแล้วใช่ไหมว่าผมเป็นแกะดำ เพื่อนสี่คนเป็นพี่ว๊ากทั้งหมด โคตรเซ็ง

   “ไง” ผมยกมือไหว้พี่อินที่ทักทาย พี่เขาเป็นพี่รหัสไอ้เจครับ ซึ่งเป็นเฮดว๊ากปีสี่ด้วย เห็นหน้าตาใจดีแบบนี้โคตรโหด ตอนผมอยู่ปีสองถูกสั่งลงโทษให้วิดพื้นบ้าง สก๊อตจ้ำบ้าง วิ่งบ้าง จนเล็บเท้าผมหลุดก็มี ขนาดนัดแนะกันไว้แล้วนะ ปีนี้คงไม่ต่างมาก แต่เบาขึ้นเยอะ เพราะถูกจับตามอง ผมว่า การรับน้องที่เป็นระบบต้องมีผู้คุมกฎที่ดี แม้ใครหลายคนจะเกลียดระบบแต่ผมว่า มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย อยู่ที่ใครจะนำไปใช้อย่างไร

   คณะเกษตรของผมเราก็เป็นหนึ่งในมหาลัยที่ใช้ระบบรับน้องแบบโซตัส หรือระบบการเคารพรุ่นพี่ หากใครได้ผ่านระบบนี้มาจะรู้ได้ถึงแก่นแท้ของมัน หากคุณสัมผัสถึงนะ คุณจะมีทั้งพี่ ทั้งเพื่อน และมีระเบียบวินัย ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ส่วนข้อเสียมันก็มี แต่ผมเลือกจะมองข้ามมันไป ไม่ใช่ผมคิดบวกนะ แต่เพราะผ่านมาแล้วไม่อยากจำแค่นั้น

   “พวกพี่จะเชือดเมื่อไหร่” ลองถามดู เลยถูกพี่เฟรนด์ตบหัวซะผมปลิว รุนแรงตลอดว่ะ

   “ไอ้ขี้เสือก ไม่ต้องรู้ มึงไม่เกี่ยว”

   “พี่อะ ถ้าพี่ไม่ดักทาง  ผมก็ได้เป็นพี่ว๊ากแล้ว”

   “มึงอยากถูกน้องเกลียดเหรอวะ”

   “ไอ้เจยังไม่เกลียดพี่อินเลย” คนที่ผมพาดพิงทำตาโตก่อนจะหัวเราะออกมา “เห็นป่ะ”

   “อ่าว มึงอย่าเอากูเข้าไปเกี่ยวไอ้มู่” พี่อินรีบโบกมือเป็นพัลวัน ไม่ใช่อะไร แต่กลัวพี่เฟรนด์งับหัว “ส่วนมึง กลับเถอะ กูหิว”

   “แหม สวีทจริง” ไอ้เกมส์เหยียดยิ้มล้อเลียน พี่อินยักไหล่ไม่แคร์ แต่พี่เฟรนด์เตะไอ้เกมส์ไปแล้ว

   “พูดมากนะมึง กูจะให้ไอ้อินเอาพวกมึงให้หนัก” มีชี้หน้าสั่ง ก่อนจะถูกพี่อินลากออกไป

   “คบกันได้ไงวะ” เป็นอีแน่วที่พึมพำออกมาซึ่งทุกคนต่างก็เห็นด้วย

   เมื่อไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็แยกย้าย ผมกลับมาที่หอ ทิ้งตัวนอนกะจะงีบสักหน่อย แต่ข้อความมือถือดังมาขัดซะก่อน หยิบมาเปิดดูเป็นข้อความจากไอ้เด็กที่ผมไปส่งมันเมื่อตอนบ่าย

   ‘พี่ทำอะไรอยู่’ เหมือนมันรู้จังหวะที่ผมกลับห้องเลยว่ะ

   ‘อ่านข้อความมึงอยู่นี่ไง’ พิมพ์ตอบกลับ ไอ้เม่นมันส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะกลับคืน ‘ว่างมากเหรอมึง’
 
   ‘ถึงไม่ว่าง ผมก็มีเวลาให้พี่น่า ไม่ต้องห่วง’

   ‘ไอ้...’

   ไม่รู้จะพิมพ์ด่าอะไรดี ผมไม่ได้สนิทกับมันมาก เพิ่งเจอวันนี้วันแรก จะให้ด่าเสีย เทเสียก็ไม่ใช่ แม้มันจะปีนเกลียวก็เถอะ

   ‘พี่อยู่ไหนเหรอ’ มันคงเห็นผมเงียบ เลยส่งมาถาม ‘อ่านไม่ตอบว่ะ’

   ‘อยู่ห้อง มึงถามทำไม’

   ‘ก็เป็นห่วงไง’

   ‘ห่วงตัวมึงเองเถอะ’

   ‘ห่วงพี่นั่นแหละถูกแล้ว จำไม่ได้เหรอ ผมยอมเป็นแฟนทดลองของพี่อยู่นะ’ แทบอยากจะขว้างมือถือทิ้ง แต่ติดตรงที่มันแพงเกินที่ทำใจ

   ‘ประสาทนะมึง กูไปตกลงตอนไหน แล้วอีกอย่าง มึงจีบเพื่อนกูอยู่ อย่าเอากูไปเกี่ยว กูไม่เล่นด้วย’ พิมพ์จนนิ้วแทบพันกัน แต่ทำไมไอ้เด็กเม่นถึงตอบกลับมาไว สงสัยมันคงพิมพ์จีบสาวบ่อย แถมยังบ่นผมอีก ไอ้นี่
 
   ‘พี่ทำไมตอบช้าวะ’ ดูมันเร่งผมครับ

   ‘ให้เวลากูพิมพ์บ้างอะไรบ้าง’

   ‘แก่แล้วก็แบบนี้แหละ’

   ‘ไอ้เหี้ย’

   พิมพ์ด่ามันไป แต่มันกลับส่งตัวหัวเราะมาให้ ไอ้เด็กนี่ดูโกรธยากเหมือนกันแฮะ

   ‘ว่าแต่ ผมพูดจริงนะ เรื่องที่จะเป็นแฟนกับพี่น่ะ ผมอยากรู้และอยากให้พี่รู้ ว่าความรักมันเป็นยังไง วินๆ เห็นป่ะ’

   ‘ไม่โว้ย’ หาคำพูดคำด่าแทบไม่ได้ ยกมือขยี้ผมตัวเองซะเละเทะ

   ‘โหยพี่ ผมแซ่บนัวมากนะเออ’ แล้วมันก็ส่งตัวดุ๊กดิ๊กโคตรเสื่อมมา ผมรีบถ่ายรูปเท้าแล้วส่งให้มันทันที ‘ตีนพี่โคตรน่ารักอะ’
 
   พอครับ ผมปิดโทรศัพท์แล้วยัดไว้ในลิ้นชัก ไม่สนเสียงมันจะดังอีกสักแค่ไหน ไอ้ม่านไม่อยากรับรู้ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าชีวิตผมจะเจอเด็กปีนเกลียวได้ถึงขนาดนี้ ขยาดจริงๆ ไอ้ม่านขอบาย


...........................................

ขออภัยในความไม่สะดวกค่า เนื่องจากเนื้อเรื่องเดิมมันดูเดินไวไป เรื่องเร็วเกินจนสับสน เลยขอรีไรท์ใหม่ เพื่อให้ความเสี่ยวของน้องเม่นในการเต๊าะพี่ม่านได้กระจ่างมากกว่านี้

ต้องขอประทานอภัยอย่างสูงค่าา 

:pig4:  :pig4:

ครั้งแรกที่ลง (20/10/59)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 1<< Up!! // [20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-10-2016 17:18:22
 :L2: :L1: :pig4:

อ่านเรื่องกลอยมาก่อน  :pig4:แล้วก็พี่ฝอย 55 ชอบนะ สนุกดี
เป็ฯกำลังใจให้คนเขียน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 1<< Up!! // [20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-10-2016 17:32:11
มีเรื่องเป็นของตัวเองแล้วเพื่อนเกรียนกลอย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 1<< Up!! // [20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-10-2016 18:04:01
น่ารักดี ฮา
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 1<< Up!! // [20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-10-2016 20:00:47
เม่นให้พวกพี่ว๊ากสามคนนี้ช่วย เพื่อสารภาพรักกับพีม่านรึเปล่านะ :hao3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 1<< Up!! // [20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 20-10-2016 22:48:54
ว่าพี่ฝอยรุกแล้ว เจอเม่นรุกกว่าม่านท่าจะงานหนักแล้ว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 1<< Up!! // [20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 21-10-2016 12:21:47
เม่นรุกหนักมากๆๆๆ  ม่านเสร็จแน่ๆๆ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 1<< Up!! // [20/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 21-10-2016 19:59:31
ไม่ทันแล้วม่านนน มันไม่ทันตั้งกะโดนกลอยประเกรียนมันล่อลวงนายแล้ว o3 o3 o3
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 2<< Up!! // [28/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 28-10-2016 22:02:06

2
[Re-write : 05/02/60]




        ถึงแม้ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจข้อความที่ส่งมานับร้อยกว่าข้อความ แต่ไอ้คนข้างๆ ผมมันกำลังสน ไอ้เจทำตาสอดรู้ยื่นหน้ามาดู แต่ผมรีบยัดใส่กระเป๋าได้ทัน มันเลยเบ้ปากใส่

   “มีความลับกับพวกกูนะมึง ไอ้เชี่ยมู่” ไอ้เจพูดจบ คนอื่นเลยพลอยหันมาสนใจ

   “ความลับอะไรวะ” ไอ้มีนทำหน้าอยากรู้ขึ้นมาทันที

   “ไม่มีเว้ย อย่ามาใส่ร้ายกู” ผมรีบออกตัวครับ กลัวพวกนี้มันเค้นจนเจอ “ว่าแต่ พวกมึงเข้าห้องเชียร์กี่โมงวะ” ช่วงนี้พวกพี่ว๊ากเข้าห้องเชียร์แทบทุกวัน นั่นเพราะใกล้จะมีกีฬาของเด็กปีหนึ่ง ดังนั้นพี่ว๊ากมีหน้าที่คอยกระตุ้นให้ปีหนึ่งมีความตื่นตัว ถึงแม้จะไม่ใช่วิธีโดยละม่อม

   “ปีสองนัดตอนเย็น เอ่อ ตอนเที่ยงมีคัดนักกีฬาด้วยนี่หว่า” อีแน่ว ผู้หญิง (แต่อยากเป็นผู้ชาย) หนึ่งเดียวของกลุ่มว่า ตามันก็คอยสังเกตสาวๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมา

   “กูต้องไปดูซะแล้ว” ผมยิ้มพรายออกมา เห็นผมตัวแห้งไม่บึกบึนแบบนี้ ตอนปีหนึ่งผมเป็นตัวทำประตูให้ฟุตบอลคณะเป็นแชมป์นะครับ ปีแรกด้วย กลายเป็นเดือนเด่นแซงหน้าไอ้เดือนมหาลัยที่ไปแข่งบาสแล้วแพ้ ตอนนั้นผมโคตรยืด ข่มไอ้เจไปหลายเดือน

   หลังจากเลิกเรียนช่วงเช้า ก่อนเที่ยงผมเดินตามหลังเฮดว๊ากไปที่ห้องรับลงทะเบียนแข่งกีฬาของคณะ ภายในห้องมีเด็กปีหนึ่งพอประมาณ เสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวจนแสบแก้วหู แต่พอกลุ่มของผมก้าวขาเข้าไป เสียงที่ได้ยินก่อนจะถึงประตูก้เงียบสนิท บรรดาเด็กปีหนึ่งต่างก้มหน้าขยับไปยืนกองที่มุมห้อง

   พวกผมเดินไปดูรายชื่อนักกีฬาแต่ละประเภท ก็ถือว่าได้รับความสนใจจากเด็กปีหนึ่งเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะฟุตบอลที่มีคนสมัครเยอะกว่าปีก่อน ผมที่พลิกดูรายชื่อถึงกับยิ้มออกมา ต่างจากพวกที่ปั้นหน้านิ่ง พวกมันแค่ปรายตามองแล้วทำท่าไม่สบอารมณ์

   “คัดเมื่อไหร่” ไอ้เกมส์ถามปีสองที่รับลงทะเบียน

   “มะรืนครับ” น้องตอบออกมาด้วยใบหน้าเลิกลัก คงกลัวสายว๊ากจะพาลโมโห

   “เออ” ไม่มีการพูดคุยอะไรอีก ไอ้เจเดินนำกลุ่มออกไปด้านนอก จะมีแค่ผมที่ยังอยู่ ก็อยากเห็นหน้านักกีฬานี่หว่า

   ผมสะกิดไอ้จ๊อดที่คงมาดูตัวน้องๆ เหมือนกัน ไอ้นี่เคยเป็นกัปตันสมัยผมอยู่ปีหนึ่ง ฝีเท้ามันใช่ย่อย ไปสมัครเป็นนักกีฬาของมหาลัยมาแล้ว แต่ดันเมาเอารถล้มขาหัก เลยอดไปคัดตัวจริง

   “กูอยากเห็นน้องๆ ว่ะ” ผมว่า ไอ้จ๊อดมันก็พยักพเยิดหน้าไปทางกลุ่มเด็กที่จับกลุ่มอยู่ริมห้อง “กลุ่มนั้นเหรอวะ รูปร่างใช้ได้นี่หว่า” เด็กๆ ดูร่างกายบึกบึนสมส่วนใช้ได้ แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวคณะอื่นๆ แล้ว

   “มึงมาช่วยคัดด้วยสิ หัดทำอะไรเพื่อส่วนรวมบ้าง” โดนไอ้จ๊อดด่าแบบเชือดนิ่มๆ แต่วาจาเชือดเฉือน

   “ไอ้คนทำเพื่อส่วนรวม” แขวะมันไป ไอ้จ๊อดหัวเราะออกมาแล้วเดินไปหากลุ่มเด็กปีหนึ่ง ผมก็เดินตามมันไปเหมือนกัน อยากรู้จักนิดๆ

   ผมฟังไอ้จ๊อดทักทายน้องๆ มันเป็นพวกคนพูดจามีหลักการ ผมเคยบอกให้มันซิ่วไปเรียนพวกเกี่ยวกับวิชาการแต่มันบอกไม่ชอบ มันชอบกลิ่นดินกลิ่นหญ้า สงสัยชาติที่แล้วมันจะเป็นเกิดเป็นสัตว์ใหญ่

   กว่าจะฟังมันโม้เสร็จก็นานหลายนาที ผมเกือบหลับไปแล้วหลายรอบ เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลงอีกแล้ว หันไปมองก็เจอไอ้เกมส์เดินเข้ามา มันเรียกผมด้วยสายตา คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่ผมสนิทกับมันเลยรู้ มันกระพริบปริบๆ มองมา ผมก็รีบตบบ่าไอ้จ๊อดขี้โม้แล้วเดินไปหาเพื่อน

   “อะไรวะ” กระซิบถามเบาๆ

   “จะกินไหมข้าว” ตาโตให้กับคำถามที่ได้ยิน เพิ่งรู้ว่าพวกมันโคตรรักผม ถึงกับรอกินข้าวว่ะ

   เดินตามไอ้พี่ระเบียบออกมาด้านนอก พวกที่เดินออกมาก่อนนั่งตบหัวตบหางกันอยู่ พอเห็นผมเดินตามหลังมา มันก็แทบจะตะโกนด่า หากไม่มีเด็กปีหนึ่งอยู่แถวนี้ พวกมันต้องวางท่าให้น่าเกรงขาม

   ระหว่างทางที่จะไปกินข้าว เสียงริงโทนโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เอาออกมาดู หน้าจอมีแต่เบอร์ไม่มีชื่อ ใครวะ จะไม่กดรับก็เผื่อเป็นคนรู้จัก

   “ฮัลโหล” รับแบบคนปกติสำหรับเบอร์ไม่คุ้นเคย

   (พี่ม่านใช่ไหมครับ) เสียงที่ได้ยินมันช่างคุ้นหู อีกทั้งยังรู้จักชื่อผมอีก หรือว่าจะเป็นรุ่นน้องของที่นี่วะ

   “ใครวะ”

   (เราเพิ่งเจอกันเมื่อวาน จำไม่ได้แล้วเหรอ) นึกอยู่นานว่าเจอใครเมื่อวาน เพราะผมเจอคนเยอะมากตอนมามหาลัย (ที่ไปดูหนังไง)

   “ดูหนัง?” เริ่มคุ้นๆ “อ๋อ ไอ้เด็กคนนั้น” นึกหน้ามันออกแล้วครับ ในสมองมัวแต่คิดเรื่องฟุตบอลจนลืมคนที่ทำให้ผมนอนเอาหมอนอุดหูทั้งคืน “มึงมีอะไรวะ”

   (ไม่มีอะไร แค่โทรมาถามว่าพี่กินข้าวหรือยัง) ปลายสายพูดติดขำนิดๆ จนผมขมวดคิ้ว

   “ยัง มีไรวะ” ถามย้ำไปหลายรอบแล้วเนี่ย ยังไม่รู้ว่ามันโทรมาทำไม

   (ก็เป็นห่วงไง กลัวพี่ยังไม่กินข้าว ผมเพิ่งกินข้าวขาหมูไปเมื่อกี้ อิ่มมากเลย) ไอ้เม่นลากเสียงซะยาว เอาซะอยากกินข้าวขาหมูตามเลย (ทำไมเงียบ อยากกินข้าวขาหมูเหมือนผมล่ะสิ แหม)

   “อย่ามามั่วไอ้ห่า” ด่ามันไป เพราะมันดันรู้ทันผมซะได้ “แค่นี้นะ กูกำลังจะไปกินข้าว”

   (เดี๋ยวๆ) กำลังจะกดวางแต่เสียงมันดันแหลมมาก่อน (พี่เลิกเรียนกี่โมง)

   “ถามทำไมวะ” ปากก็ตอบคนปลายสาย แต่หน้าก็พยักพเยิดให้เพื่อนที่ยืนเท้าเอวรอ
 
   (เปล๊า) ไอ้เม่นปฏิเสธเสียงสูง (พี่เรียนที่ตึกพี่หรือตึกไหน)

   “ถามทำไมวะ” ประโยคเดิมเด๊ะ คราวนี้ผมถูกเพื่อนลากแล้วครับ มือถือเกือบร่วง “ไอ้เชี่ยมีน กูเดินเอง” ตาขวางใส่เพื่อนตัวเอง วิญญาณพี่ว๊ากเข้าสิงหรือไง

   (พี่ทำอะไรน่ะ) น้ำเสียงมันดูตกใจ คงเพราะผมตวาดเพื่อนตัวเอง

   “เดินอยู่” ตอบไปตรงๆ ได้ยินเสียงขำลอดออกมา “มึงถามทำไม”

   (เปล๊า)

   “ไม่มีอะไรกูวางละนะ”

   (เดี๋ยวๆ พี่ยังไม่ได้ตอบเลยว่าเรียนตึกไหน)

   “ตึกคณะ แค่นี้นะ เพื่อนกูจะงับหัวกูแล้ว”

   หลังจากวางสาย ผมก็รีบวิ่งตามหลังเพื่อนที่มันรำคาญเลยเดินไปโรงอาหารก่อน วันนี้พวกมันเกิดอยากชิมร้านเปิดใหม่ที่โรงอาหารกลางที่เป็นแหล่งรวมนักศึกษาต่างคณะ อีกนัยหนึ่งคือเป็นที่ๆ ทั้งหนุ่มและสาวต่างมามองหาคนถูกใจ

   ร้านข้าวแกงราคาประหยัดแต่อร่อย ผมโคตรชอบเลย มันดีต่อเงินในกระเป๋า ระหว่างยืนรอเหลือบเห็นเพื่อนสนิทที่มันเลิกเรียนในสิ่งที่ใฝ่ฝันจะตามรอยของพ่อ และมันคงเห็นผมแล้วเลยเดินมาพร้อมรอยยิ้มเท่ของตัวเอง มันคงไม่สังเกตว่าสาวๆ ร้านข้างๆ จะงาบมันอยู่แล้ว

   “หล่อนะมึงไอ้อัธ” แกล้งแซวมันไป ไอ้นี่ก็ยิ้มๆ “เลี้ยงกูหน่อย”

   “เจอหน้ากูจะแดกฟรีตลอดไอ้ห่าม่าน” โดนมันโบกหัวไปที แต่มันก็ยอมเลี้ยง ไอ้อัธมันเรียนนิติศาสตร์ครับ อยากเป็นทนายเหมือนพ่อ แต่หน้าตาดีได้แม่ของมัน

   “เพื่อนมึงล่ะ” ปกติมันจะตัวติดกับเพื่อนอีกคนที่ชื่อดีฟ

   “นู้น อยากแดกข้าวขาหมู” ไอ้อัธชี้นิ้วไปที่ร้านข้าวขาหมู จะว่าไป ผมก็อยากกินนะ “ไปเที่ยวกับไปกลอยมาเหรอ” รีบหันหน้ามามอง ไอ้อัธหูตาไวจริงๆ สงสัยชาติที่แล้วเกิดเป็นสับปะรด

   “รู้ได้ไงวะ”

   “ไอ้กลอยมันอัพรูปไง ไม่น่าถาม”

   อยากด่ามันกลับไป แต่กลัวเจ็บตัว ผมยื่นมือไปรับจานข้าวตัวเองก่อนขยับออกมายืนรอผู้มีพระคุณที่เลี้ยงข้าวทุกครั้งที่เจอ เพื่อนผมช่างเป็นคนดีเหี้ยๆ

   “มึงนั่งไหนวะ” มองหาโต๊ะไอ้อัธครับ

   “นั่งกับพวกมึงนั่นแหละ”

   “อ่อ”

   เดินมาที่โต๊ะพร้อมเพื่อนสนิทที่คบมานาน ไอ้อัธมันเป็นคนมีโปรไฟล์ดี แต่ไม่อยากอวด เดี๋ยวมันจะเด่นกว่าผม มาถึงโต๊ะ เพื่อนต่างคณะอีกคนก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว แถมยังคุยออกรสอยู่กับเพื่อนผม สงสัยพวกไอ้เจจะลืมคีฟลุคเก๊กเป็นพี่ว๊าก เพราะมันหลุดอ้าปากหัวเราะจนเห็นลิ้นไก่

   “ไข่ลูกเขย” ผมกำลังจะใช้ช้อนจิ้มไข่ลูกเขย แต่ไอ้ดีฟ เพื่อนคณะนิติศาสตร์ดันจับมือผมแล้วทำตาวาว “แลกกันเถอะเพื่อนม่าน”

   “หา?” งงสิครับ อยู่ๆ มันก็มาขอเปลี่ยนจาน

   “กูเพิ่งนึกออกว่าอยากกินไข่ลูกเขย แลกกันเถอะ” ไอ้ดีฟทำตาละห้อยจ้องไข่ลูกเขยในจานผม พอขยับ มันก็มองตาม
 
   “เออๆ เห็นมึงอยากกินหรอกนะ” ตลกดีเหมือนกัน

   พอสลับจานกันปุ๊บ ไอ้ดีฟก็กินข้าวอย่างอร่อย ปล่อยให้คนมองส่ายหน้าระอาไป ผมขำนิดๆ ก่อนเขี่ยข้าวขาหมู เดี๋ยวนะ นี่ผมกินแบบไอ้เม่นหรือเนี่ย

   “เป็นไรวะ” ไอ้อัธถาม คงเห็นผมเขี่ยไม่ยอมกินสักที

   “เปล่า” ตอบเสร็จก็ตักไข่ต้นครึ่งซีกเข้าปาก

   “ติดคอกูจะหัวเราะให้” ไม่สนเพื่อนจะพูดอะไร ตอนนี้กินอย่างเดียว เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน

   ทั้งโต๊ะกินไป คุยไป คนพูดมากอย่างไอ้ดีฟก็ชวนคุยไปเรื่อย มันก็รู้ว่าทั้งโต๊ะเนี่ย เป็นพี่ว๊าก แถวนี้มีเด็กคณะผมเดินประปรายจะปล่อยภาพหลุดไม่ได้ ผมเห็นไอ้มีนกลั้นยิ้มจนหน้าแดงไปหมด ไอ้เกมส์พยายามมองทางอื่น อีแน่วก็เอาแต่ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์ แต่ไอ้ที่เผลอคงจะเป็นเฮดว๊ากที่แสนดุอย่างไอ้เจ ที่มันฟังเรื่องขี้ขึ้น (อาการของคนไม่ได้ถ่ายอุจจาระนานแล้วลมตีขึ้นจะเป็นลม) ของไอ้ดีฟแล้วหัวเราะจนข้าวมันไก่พุ่งออกมาเต็มโต๊ะ

   “ไอ้เหี้ย” คนเล่ามันด่าครับ เพราะข้าวที่พุ่งออกจากปากไปอยู่ในจานข้าวไข่ลูกเขยด้วย โคตรสมน้ำหน้า เล่าไม่ดูเวลา

   “แค่กๆ มึงทำตัวมึงเอง” ไอ้เจก็ดื่มน้ำจนเกือบหมดขวด คงสำลักหนักเอาการ

   “หมดกันข้าวกู”





   
   มื้อกลางวันจบลงพวกเราก็แยกย้ายกลับคณะ ผมเดินตามเพื่อนตัวเองเข้าตึก วันนี้เหลืออีกวิชาเดียวก็จะได้กลับ ทำไมรู้สึกเหนื่อย อยากนอนจริงๆ ระหว่างที่ผมหลับตาอ้าปากหาว ลืมตาขึ้นเจอคนที่ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ยิ้มแป้นแล้นขวางหน้า ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ มอง

   “มึง...” ยังคิดหาคำพูดไม่ออก

   “พี่เรียนเสร็จแล้วเหรอ” ไอ้เม่นถาม ปากก็ฉีกยิ้มจนแทบถึงใบหู

   “ยังโว้ย มึงมาทำไมเนี่ย กูตกใจสัด” ตกใจจริงๆ นะครับ อยู่ๆ มันก็โผล่มา

   “ผมจะมารับไง ทำหน้าที่แฟนที่ดี”

   “ห๊ะ”

   ตกใจสะดุ้งประหนึ่งเหยียบขี้หมา ผมเบิกตาโตมองไอ้คนขี้ตู่ว่าผมเป็นแฟน มันทำหน้าลอยไปลอยมาไม่สนใจเพื่อนผมที่ยืนทำหน้าเป็นหมาสงสัยอยู่ด้านหลัง

   “ตกใจอะไร เราตกลงกันแล้วนี่”

   “กูไปตกลงตอนไหน” รีบเถียง

   “ตอนนั้นนั่นแหละ ไม่รู้ พี่ตกลงแล้ว” เอ๊ะ...ไอ้นี่

   “อย่ามามั่วไอ้น้อง กลับมหาลัยมึงซะ กูรุ่นพี่ ไม่ใช่เพื่อนเล่น” เริ่มโมโหนิดๆ กับการถูกปีนเกลียว รุ่นน้องมันนิสัยคล้ายรุ่นพี่มันเลยว่ะ การพูดไม่รู้เนี่ย

   “ผมไม่ได้คิดว่าพี่เป็นเพื่อนสักหน่อย”

   “ไอ้เม่น” เผลอตะคอกใส่อารมณ์ไป “กูไม่สนุกนะเว้ย มึงต้องการอะไรวะเอาจริงๆ”

   “ผมจะจีบพี่” น้ำเสียงกับใบหน้านิ่งไม่เหลือเค้าคนขี้เล่นอย่างตอนแรกที่เจอ “ผมพูดจริงๆ”

   “มึง...” ไปไม่เป็นเลยจริงๆ เจอพวกที่แกล้งเข้ามาสารภาพบ่อยจนชิน แต่ทำไมตอนนี้ถึงพูดอะไรไม่ออก “มึง...พูดอีกที กูน่าจะหูเพี้ยนว่ะ” พยายามยกมือแคะหู

   “ผมบอกว่า ผมจะจีบพี่ครับ” คราวนี้มาเน้น ชัด ทุกคำ คล้ายกับมีเสียงวิ้งในหูจนสมองเบลอ

   “มึงล้อกูเล่นอยู่แน่ ซึ่งกูไม่ตลก กลับไปคิดดูดีๆ ว่ามึงต้องการอะไรกันแน่” พูดจบผมก็เดินหนี พยายามไม่มองหน้าเพื่อนตัวเองที่ยืนทำตาโตให้ภาพที่ได้เห็นและคำพูดที่ได้ยิน ผมรู้ว่าพวกมันมีคำถามมากมาย แต่ผมก็ไม่รู้จะตอบอะไร ดังนั้นตอนนี้ขอไปนั่งเรียบเรียงคำพูดก่อน

   ช่วงเวลาที่เรียน ผมแสร้งเป็นตั้งใจเรียน ไม่สนแรงดึงจากไอ้เจหรืออีแน่ว พวกมันอยากรู้ตามสันดาร ผมเมินเพื่อนตัวเองได้แค่ช่วงที่เรียน แต่พอหมดคาบปุ๊บ ก็ถูกกักบริเวณปั๊บ ตอนนี้ผมกำลังถูกพี่ว๊ากล้อมกดดัน

   “ไอ้เชี่ยมู่ อธิบายมา” น้ำเสียงนิ่งแต่กดดันของเฮดว๊าก ผมรู้ดีว่าทำไมไอ้เจถึงถูกโหวตได้ตำแหน่ง มันหน้านิ่งแต่โคตรอึดอัด
 
   “อธิบายอะไร” ตอบแบบเรียบๆ แต่ดูพวกมันจะไม่พอใจ

   “อย่ามาสตอ” ถูกผู้หญิงหนึ่งเดียวของกลุ่มตวาดจนตกใจ

   “กูไม่ชอบกินสตอ”

   “ต้องตลกไหม”

   ทำยังไงดี ผมถูกพวกมันรุม พยายามก้มหน้าก้มตาแต่ก็ถูกตบหัว

   “กูก็ไม่รู้โว้ย” ผมตะโกนออกมา

   “ไม่รู้ได้ไง ไอ้เด็กนั่นมันเดินมาตะโกนปาวๆ ว่าจะจีบมึง” ไอ้เกมส์ว่า นิ้วชี้มันจิ้วหน้าผากผมอยู่หลายรอบ “บอกกูมา ตั้งแต่เริ่ม ทำไมพวกกูไม่เคยเห็น เคยเจอวะ”

   “มึงก็รู้ว่ากูต้องอัพเดตข้อมูลทุกๆ วินาที แต่มึงทำให้กูกลายเป็นพวกตกข่าว กูเสียใจมึงรู้ไหม” เหล่ตามองไอ้มีนที่ดราม่ายกมือกุมหน้าแสร้งเสียใจ โคตรตอแหลว่ะ

   “มึงเจอไอ้เด็กหล่อนั่นที่ไหน” ละสายตาจากเพื่อนสายดราม่ามามองหน้าคนที่ออกปากชมไอ้เม่นว่าหล่อ นี่ทอมชมผู้ชายว่าหล่อด้วย ตั้งแต่คบมันมา ไอ้เม่นเป็นผู้ชายท็อปเทนเลยนะครับที่ถูกอีแน่วชมว่าหล่อ

   “มันเป็นรุ่นน้องของเพื่อนกู” มันไม่ใช่เรื่องน่าปกปิดเพื่อนอยู่แล้ว

   “เพื่อนมึง? คนไหนวะ” ไอ้เจทำคิ้วขมวด “อย่าบอกว่าไอ้กลอยเกรียน” รีบพยักหน้า

   “ไอ้เด็กนั่นมันจีบไอ้กลอย” ผมบอกตามเรื่องจริง

   “ฉิบหาย แล้วมายุ่งกับมึงทำไมวะ” ไอ้เกมส์ตีหน้ายุ่งจ้องหน้าผมอย่างสงสัย

   “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” เพราะถ้ารู้ผมคงไม่มานั่งปวดหัวแบบนี้หรอก

   “ถามสิวะ ปากมึงก็มี” ระหว่างที่เงียบกันมาหลายนาที อีแน่วก็โพล่งออกมา

   เออว่ะ ทำไมผมโง่วะ

   กำลังนั่งหาคำถามอยู่ในหัว คอเสื้อผมถูกไอ้พวกเพื่อนชั่วหิ้วให้เดิน เดี๋ยวๆ พวกมันลืมไปหรือเปล่า ว่าเจอไอ้เม่นเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ตอนนี้มันก็กลับไปแล้วสิคงไม่อยู่...รอ

   “พี่ม่าน” เสียงทักทายอย่างสดใสกับรอยยิ้มแป้นแล้นคือภาพแรกที่เห็นหลังจากลงจากตึก นี่มันยังไม่กลับเหรอวะ สองชั่วโมงเลยนะเฮ้ย

   “มึง...มานั่งอะไรตรงนี้” ตกใจแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ

   “รอพี่ไง”

   “รอกู?”

   “อืม ก็เราจะไปกินข้าวกันไง พี่ไม่มีเรียนแล้วใช่ป่ะ”

   “ห๊ะ” ผมยังไม่ทันได้ตอบ ไอ้เม่นยื่นมือมาดึงแขนผมเฉย ยังดีที่ได้ไอ้เกมส์ดึงแขนอีกข้างไว้ทัน และตอนนี้พวกมันก็จ้องหน้ากันอยู่ ถ้าขู่แยกเขี้ยวด้วยนี่ใช่เลย...

   “ปล่อย” เสียงไอ้เกมส์โคตรนิ่ง

   “พี่นั่นแหละที่ต้องปล่อย” ไอ้เม่นก็นิ่งไม่ต่างกัน

   “นี่เพื่อนกู” เสียงเย็นได้อีก

   “นี่ก็...” เอาแล้ว ไอ้เม่นหาคำพูดไม่ได้ สีหน้ามันดูสับสน “ก็...แฟนในอนาคตของผม”

   “เชี่ย” เสียงสบถออกมาแทบจะพร้อมกันของผมและผองเพื่อน “มึงกินยาลืมเขย่าขวดเหรอวะ หรือเสียใจจากไอ้กลอยจนเพี้ยน”

   “ผมคิดดีแล้ว และผมก็ไม่ได้เสียใจที่พี่กลอยไม่รับรักผม” ไอ้เม่นพูดเสียงดังฟังชัดจนผมต้องหันซ้ายมองขวา ใต้ตึกตอนนี้มีนักศึกษาหลายชั้นปี แถมยังสนใจกลุ่มผมอีกต่างหาก “แต่เรื่องที่บอกว่าเพี้ยน ผมคงเพี้ยนจริง เพี้ยนใจมารักพี่ไง”


   ...เงียบ


   หลังจากไอ้เม่นพูดจบผมกับเพื่อนต่างก็นิ่งมองหน้ามัน ไม่ได้ซึ้งแต่กำลังสงสัยว่ามันพูดอะไร

   “เพี้ยนใจเหี้ยอะไรวะ” ไอ้มีนที่สติกลับคืนก่อนใครเพื่อนถาม

   “พี่ไม่เข้าใจภาษาวัยรุ่นเหรอ เพี้ยนใจมารัก ก็ผันมากจาก เปลี่ยนใจมารักไง” ไอ้เม่นชูนิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วก้อยเป็นสัญลักษณ์ชูมาตรงหน้าผม

   “เสี่ยวเหี้ย” สี่เสียงพูดออกมาพร้อมกัน ซึ่งผมรีบพยักหน้าเห็นด้วย ดูคนเสี่ยวจะพอใจกับสิ่งที่พูดออกมา ไอ้เม่นฉีกยิ้มจนตาหยีไม่กระดากปากที่พูดแบบนั้นออกมา

   อาศัยจังหวะที่ไอ้เม่นมัวแต่ชื่นชมคำพูดตัวเองรีบเดินหนี กว่ามันจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ไอ้มีนสะกิด ผมหันไปมองเห็นมันทำหน้าเหลอหลาก่อนจะรีบวิ่งตามผม

   “พี่ม่าน รอผมด้วย”

   “ไม่รอเว้ย” เร่งซอยเท้ายิกๆ จะวิ่งก็เดี๋ยวว่าป๊อด

   “พี่ ระวังหลุมนะ” ไอ้เม่นที่สาวเท้ายาวๆ มาจนเกือบจะถึงตะโกน เด็กปีสองที่นั่งอยู่แถวนั้นถึงกับหันมามอง

   “หลุมเชี่ยอะไร อย่ามาหลอกกูซะให้ยาก” ตะโกนตอบไป ขาก็ยังเร่งเดินอยู่ ทำไมไอ้เม่นขามันยาววะ อ่อ มันสูงนี่เอง

   “ไม่ได้หลอก นั่นหลุม”

   “เชี่ย” แล้วผมก็บ้าจี้กระโดดเฉย เอาซะอยากหัวเราะตัวเอง “มึงหลอกกู”

   “ไม่ได้หลอกจริงๆ นะ” ผมหยุดเดินแล้วครับ ไอ้เม่นเลยมายืนตรงหน้า เราต่างคนต่างหอบเพราะระยะทางที่เดินมามันไกลพอสมควร

   “แล้วไหนหลุมของมึงวะ” ขึ้นเสียงนิดๆ โมโหครับ

   “เต็มไปหมด นั่นก็ใช่ นี่ด้วย นู้นด้วย” ไอ้เม่นชี้ไปทั่ว มั่วไปหมดหลุมของมัน ผมกระพริบตาปริบๆ ไม่เห็นมีหลุมสักกะหลุม หรือสายตามันสั้นวะ “พี่มองไม่เห็นแบบนี้ เสี่ยงจริงๆ ด้วย”

   “เสี่ยงอะไร”

   “เสี่ยงที่จะเดินตกหลุมรักของผมไงล่ะ” ใครก็ได้ ขอกระโถนให้ไอ้ม่านหน่อย ผมจะอ้วก ผมส่ายหน้ารับไม่ได้แล้วออกเดินต่อ “พี่ ระวังหลุมรักของผม นั่นๆ จะเหยียบแล้ว ตกแล้วผมไม่ให้ขึ้นนะ”

   “ขอร้องอย่าเสี่ยว กูจะอ้วก”

   ผมตะโกนด่า แต่มันกลับยิ้มแถมยังเดินตามตูดผมต้อยๆ อย่างกับลูกเป็ด นี่ผมต้องทนเด็กเสี่ยวตามตูดแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่

   “พี่ออกเสียงดีๆ นะ เดี๋ยวจะกำกวน”

   “ไอ้...” กว่าจะนึกออกว่าเพราะอะไรถึงกำกวม ไอ้เม่นก็เดินนำหน้าผมไปแล้ว ไอ้เชี่ย กูพูดถูกเสมอ ไม่มีทางเผลอลืมไม้เอกหรอก ไอ้เสี่ยวเอ้ย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 2<< Up!! // [28/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 28-10-2016 22:20:49
มันแค่เริ่มต้นนะม่าน การเดินทางยังอีกยาวไกลลลลลลล :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 2<< Up!! // [28/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-10-2016 22:23:57
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 2<< Up!! // [28/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-10-2016 22:45:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 2<< Up!! // [28/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-10-2016 09:07:19
ม่านไหวม้ายยยยยแต่ดูแล้วไม่น่าไหวนะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 2<< Up!! // [28/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 31-10-2016 12:52:56
บอกเลยเม่นรุกหนัก จัดหนัก ม่านเอ๊ย หัวใจแกระทวยแน่ๆๆ :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 3<< Up!! // [13/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 13-11-2016 20:49:27

3
[Re-write : 05/02/60]




       “พี่ไม่กินเหรอ” เสียงมาพร้อมรอยยิ้ม ผมจ้องหน้าไอ้เด็กที่สามารถพาลากผมออกมาห้างด้วยได้
 
   ยอมใจมันจริงๆ

   ไอ้เม่นเดินตามผมไปที่รถ พอผมขับรถตัวเองออกมา มันก็รีบย้อนไปที่รถตัวเองแล้วขับตามผมจนถึงหอ แต่ผมรีบเข้าไปก่อนประตูเลยล็อก คนที่ตามมาเลยไม่ได้ตามเข้ามาด้วย

   ทำนั่นทำนี่อยู่ในห้องก็หลายชั่วโมง จากที่เลิกบ่ายสาม ตอนนี้เกือบทุ่ม ท้องก็เริ่มร้อง ผมคว้ากระเป๋าตังค์ หนีบแตะลงมาเพื่อจะไปหาข้าวกิน แต่กลับต้องตกใจเมื่อเห็นคนที่เพิ่งรู้จักนั่งสัปหงกอยู่ที่พื้น มันมีความพยายามมากจริงๆ ไอ้ม่านนับถือ

   ผมเดินไปสะกิด ไอ้เม่นค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาแล้วยิ้มให้ เมื่อมันยอมลงทุนขนาดนี้ ผมเลยยอมมากินข้าวด้วย แต่ใครจะคิดว่ามันจะพาผมมากินข้าวในห้องใจกลางเมือง มันฝ่ารถติดหนึบเพื่อจะมากินข้าวหน้าหมูทอด ยอมใจทุกๆ เรื่องที่มันทำ

   “มึงไม่บอกว่าจะมาที่นี่” ผมกอดอกจ้องหน้าคนตรงข้าม

   “พี่ไม่ชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหรอ แล้วพี่ชอบกินอะไรล่ะ ไว้คราวหน้า...”

   “กูหมายถึง มึงไม่บอกก่อนกูจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า” ไอ้เม่นยังอยู่ในชุดนักศึกษา แต่ผมเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกับกางเกงบอล หนีบแตะด้วย คนมองตั้งแต่ลานจอดรถ โคตรอาย นี่ถ้ามีเด็กในคณะมาเห็นนะ หมดเลยกับภาพที่ผมคีพลุคมานาน

   “อ๋อ ก็ว่าอะไร” ไอ้เม่นหัวเราะออกมา แม้จะอุบาทเพราะข้าวเต็มปาก แต่เพราะความหล่อทำให้พอหยวนได้ ดูได้จากสาวออฟฟิศที่ยิ้มมองมันบ่อยๆ “พี่แต่งแบบนี้ก็น่ารักดีนะ แปลกดี”

   “จะถือว่าชม”

   ผมจิ้มหมูทอดเข้าปาก ของฟรีไม่ว่าจะถูกจะแพง จะอร่อยหรือไม่อร่อย ไอ้ม่านกินได้หมด เคยไปกินส้มตำพริกร้อยเม็ดมาแล้ว ถ้าไม่เสียดายนะ ผมทิ้งไปตั้งแต่คำแรกแล้ว แต่นานๆ ทีไอ้กลอยจะเลี้ยง (มารู้ทีหลัง ว่าแอบยักยอกเงิน พี่โชแฟนของมันมา)
 
   “พี่ชอบกินอะไรเหรอ”

   “ทุกอย่างที่ฟรี” ผมตอบ ไอ้เม่นถึงกับขำ “กูพูดผิดตรงไหน” ยกถ้วยน้ำซุปเต้าเจี้ยวขึ้นซด อร่อยดีแบบนี้ไอ้เม่นชอบ

   “พี่กินโคตรอร่อยอะ” เพิ่งสังเกตว่าคนตรงข้ามไม่แตะข้าวแล้ว ไอ้เม่นนั่งจ้องหน้าผมที่ฟาดเรียบไม่เหลือ ที่จริง ใครๆ ก็บอกว่าผมกินอะไรก็ดูเหมือนจะอร่อยไปหมด

   “ก็มันอร่อยสมราคา” ผมยักคิ้วให้กับรุ่นน้องของเพื่อน “มึงเถอะ มานั่งเฝ้ากูตั้งแต่เช้า พ่อแม่ไม่ห่วงเหรอ” ดูเหมือนผมจะพูดอะไรผิด จากรอยยิ้มแย้มตอนนี้ไอ้เด็กตรงหน้าค่อยๆ นิ่งขึ้น

   “พ่อกับแม่ผมเสียไปแล้วครับ” น้ำเสียงราบเรียบซะจนผมอยากตบปากตัวเอง

   “เฮ้ย ขอโทษนะ พี่ไม่รู้ว่ะ” รีบบอกอย่างรู้สึกผิด ไอ้เม่นดูซึมๆ ไป แต่ก็ยิ้มพรายออกมาอีกรอบ “อะไร”

   “แทนตัวเองกับผมว่าพี่ โคตรน่ารักกว่ากูเยอะเลย”

   “นี่มึงเศร้าจริงปะเนี่ย หรือดราม่าเฉยๆ” ผมถามปุ๊บ ไอ้คนตรงหน้าก็ขำออกมา

   “เศร้าจริง แต่ไม่อยากให้พี่เศร้าด้วยไง” แววตาไอ้เม่นดูสั่นไหว ผมว่า มันคงเศร้าจริง “พี่รีบกินสิ เดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อยนะ”

   “เออ” ผมลงมือกินอีกรอบ แต่คราวนี้กินไปมองหน้าคนตรงหน้าไป ในสมองมีแต่ความสงสัยไปหมด จนอดไม่ได้ที่จะถามออกมาตรงๆ “กูถามอะไรหน่อยได้ไหม”

   “ครับ ทุกอย่าง” ไม่ต้องเอียงคอทำน่ารักก็ได้ เบ้ปากใส่มันไปที มันก็หัวเราะออกมา

   “คนเราจะชอบใครก็ต้องมีเหตุผล แล้วเหตุผลที่มึงมาตามตูดกูต้อยๆ เนี่ย คืออะไรวะ” อันนี้จริงจังมากครับ ทั้งชีวิตไม่เคยมีผู้ชายมาตาม หากน่ารักอย่างเพื่อนตัวเกรียนก็ว่าไปอย่าง “เพราะกูหล่อใช่ไหม” ไอ้เม่นส่ายหน้ารัว เอาความมั่นใจลดลงมาหน่อย “เพราะกูเป็นคนดี” จากยิ้มๆ อยู่หุบลงเมื่อข้อนี้ถูกส่ายหน้ารัวกว่าข้อแรก “เพราะกูตลก”

   “เพราะพี่ไม่รู้จักความรัก”

   “ห๊ะ” เหมือนหูจะเพี้ยนไป

   “ที่ผมตามตูดพี่ เหตุผลก็คือ เพราะพี่ไม่รู้จักความรัก และผมก็ไม่รู้จักเช่นกัน”

   “มันเกี่ยวกันยังไงวะ”

   “ก็เราเหมือนกันตรงที่ไม่รู้จัก ดังนั้นผมเลยอยากลองมีความรักดูสักครั้ง และผมก็อยากให้รู้จักด้วย เป็นไง เหตุผลของผม”

   “ปัญญาอ่อน” บอกเน้นๆ ไม่อ้อมค้อม “เหตุผลฟังไม่ขึ้นว่ะ”

   “แต่ผมจริงจังนะ” พอเห็นหน้ามุ่งมั่นของมันผมก็พูดไม่ออก

   “แล้วเหตุผลที่มึงชอบเพื่อนกูล่ะ”

   “ครั้งแรกที่ผมเจอพี่กลอย ตอนที่พี่เขาลงจากรถสปอร์ตสีดำ แต่พี่เขากลับบอกว่าจน พี่เขาใส่แว่นทั้งที่สายตาไม่ได้สั้น” เอาซะผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ไอ้กลอยมันพลาดอย่างจังสินะ

   “รู้ได้ไงว่าสายตามันไม่สั้น”

   “พี่เขาจะอ่านหนังสือแต่เอาแว่นออก” ฉิบหาย สมควรแล้วที่ถูกจับได้ “ในหัวผม มีแต่คำว่าทำไมอยู่เต็มไปหมด จนมารู้ว่าเพราะอะไรพี่เขาถึงต้องทำแบบนั้น ซึ่งผมไม่พอใจ”

   ผมจ้องหน้าคนบอกไม่พอใจ มันขมวดคิ้วเหมือนอารมณ์ค้างมาจนผมแอบเกรงนิดๆ ตามันดุนะเนี่ยเวลาทำหน้านิ่ง

   “บ้าป่ะ ไม่พอใจที่มันเป็นพี่เนียนเนี่ยนะ” ผมเป็นที่รองรับอารมณ์ของไอ้กลอยเลยตอนนั้น โทรมาบ่นเช้า บ่นเย็นเรื่องเป็นพี่เนียน (ที่ไม่เนียน)     
 
   “ไม่ใช่ ผมไม่พอใจที่พี่เขาทำตัวน่ารัก” แทบสำลักน้ำซุปที่เพิ่งยกซด เพิ่งรู้ว่าทำตัวน่ารักก็ผิดเว้ยเฮ้ย

   “มึงเลยตามตื้อมันเหรอ” แล้วไอ้เม่นก็พยักหน้า ผมว่า ไอ้เด็กนี่ตรรกะกำลังป่วยเข้าขั้นสุดยอด “กูว่ามึงอาการหนักแล้วว่ะ” ชี้สมองตัวเองบอก ไอ้เม่นหัวเราะออกมาจนคนหันมาสนใจ

   “ก็ผมอยากรู้ว่าการตามจีบผู้ชายยากแค่ไหนไง”

   “แล้วเป็นไง”

   “มาก” เผลอขำออกมาก่อนจะเก๊กหน้าขรึมต่อ “พี่กลอยว่ายากแล้ว พี่ยากกว่าอีก”

   “แล้วไหงวกมาถึงกูละวะ”

   “ก็ผมกำลังจีบพี่อยู่ ก็ต้องวกมาหาพี่สิ” หยิบผักในจานตัวเองปาหัวไอ้เด็กยิ้มตาหยี “พี่อยากป้อนผมก็ป้อนดีๆ สิครับ”

   “ไอ้...อี๋” ทำหน้าเหยเกเมื่อไอ้เม่นเอาผักที่แปะหัวเข้าปากแล้วเคี้ยว พอกลืนปุ๊บมันก็ขยิบตาส่งยิ้มพิฆาตมา ขนาดป้าข้างๆ ยังกรี๊ดขึ้นมาเอาซะตกใจ

   “ไม่รู้ล่ะ ผมจะตามตื้อจนกว่าพี่จะยอมทดลองมีความรักกันผม”

   “แล้วถ้าทดลองแล้วล้มเหลวละวะ”

   “พี่จะยอมทดลองกับผมแล้วเหรอ”

   “ยังเว้ย” แอบผงะ ที่ไอ้เม่นยื่นหน้าข้ามโต๊ะมาซะใกล้

   “โหย” ไอ้เม่นหน้างอถอยกลับไปนั่งตามเดิม

   “มึงยังเด็กเกินไป รอเรียนจบค่อยคิดไม่ดีเหรอวะ” ผมพูดตามที่พ่อเคยบอกกับผมเมื่อห้าปีก่อน

   “พี่หัวโบราณว่ะ”

   “ด่ากูแก่เลยเถอะแบบนี้”

   “ก็พี่แก่จริงไม่ต้องด่า”

   “ไอ้...” ยิ่งคุยยิ่งปวดหัว ทึ้งผมตัวเองเบาๆ “รีบๆ กิน กูมีงานต้องทำต่อ”

   “พี่มีการบ้านเหรอ”

   “ไปดูน้องคณะซ้อมบอล มหาลัยมึงไม่มีกีฬาเฟชรชี่เหรอวะ” ดูไอ้เม่นทำตัวว่างเกิน

   “มี แต่ผมไม่ได้ลงกีฬาอะไร อ๊ะๆ จะว่าผมไม่แมนใช่ป่ะ ผมรู้หรอกน่า” โดนดักทันทีที่เผยออ้าปาก “ที่ผมไม่ลงเนี่ย เพราะผมร่างกายไม่แข็งแรง”

   “มีโรคประจำตัวเหรอวะ” พอคนถูกถามพยักหน้า ผมก็ตาโต “โรคอะไร”

   “โรคหัวใจ” มองคนเป็นโรคกุมหัวใจตัวเอง “เนี่ย มันกำลังจะกำเริบแล้ว”

   “ฉิบหาย”

   อยู่ๆ ไอ้เด็กตรงข้ามเริ่มเกร็ง มือมันหงิกจนผมต้องรีบพุ่งเข้าไปดู หัวหนักๆ ของมันเอนมาพิงกับไหล่ ผมพยายามแกะมือที่มันกำแน่นให้คลายออก ตอนนี้ผมกำลังมึน ใช่ ต้องพามันไปหาหมอ

   “พี่ม่าน” เสียงเบาๆ ดังอยู่แทบชิดหูพร้อมกับลมหายใจอ่อนๆ เป่ารดต้นคอ

   “เดี๋ยวจะพาไปหาหมอนะ” ร้อนรนจนสั่นไปหมด กลัวมันจะตาย ผมอ้าปากจะขอความช่วยเหลือกลับถูกฝ่ามือหนายื่นมาปิดปาก “อะไออ๊ะ” (อะไรวะ)

   “มันกำเริบ...เลิฟ...ยู”

   “ไอ้เหี้ย”

   ด่าเสร็จผมลุกออกจากร้านทันที โมโหมากถึงมากที่สุด ไอ้เด็กนี่มันเล่นกับความรู้สึกห่วงของผม มันเห็นผมเป็นตัวตลกหรือไงวะ

   เดินเร็วจนคล้ายกับวิ่งไปโบกรถแท็กซี่ แต่เจ้ากรรมดันไม่มีรถคันไหนรับ นี่ก็น่าโมโห จะไปส่งรถบ้าง รับเฉพาะต่างชาติบ้าง แบบนั้นจะมีคนไทยในประเทศทำไมวะ (เริ่มพาลครับ)

   “พี่ ผมขอโทษ” หงุดหงิดแท็กซี่ยังไม่พอ ยังมาหงุดหงิดเพราะไอ้เด็กนิสัยเสียอีก ผมทำเป็นไม่สนใจ มือก็โบกหารถที่จะรับ แต่กลับถูกมือใหญ่กว่านิดหน่อยคว้าแล้วออกแรงลาก “มากับผม ก็ต้องกลับกับผมสิ”

   “ไอ้เม่น กูเจ็บ” ดึงซะอย่างกับข้อมือไม่มีเส้นเลือด แม้ผมบอกแล้วมันจะผ่อนแรงลง แต่ก็ไม่ยอมปล่อย ไอ้เม่นลากผมมาที่ลานจอดรถ ตอนเดินผ่านใคร เขาก็มองเหลียวหลังกันแทบทุกคน ผมพยายามก้มหน้าก้มตา แต่ไอ้คนดึงก็เดินไวซะจนหลบหน้าใครแทบไม่ได้

   ผมนั่งหน้านิ่งในรถ ถนนที่รถติดพอสมควรจนรู้สึกว่ามันช่างน่าเบื่อ จะเปิดเพลงก็ไม่กล้าเพราะมันไม่ใช่รถตัวเอง ผมเลยสำรวจรอบๆ รถด้วยสายตาแทน รถเก๋งคันนี้สะอาด ไม่มีขยะสักชิ้น แทบไม่อยากจะเชื่อ

   ไอ้เม่นเงียบมาตลอดทางจนรถแคมรี่จอดหน้าตึกที่ผมนัดกับเพื่อน ผมกำลังจะก้าวขาออกจากรถก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าคนขับ ไอ้เม่นหันมายิ้มแล้วโบกมือหยอยๆ

   “ขับดีๆ นะมึง อย่าเหม่อไปชนใครเข้าล่ะ” อดไม่ได้ที่จะพูด

   “ครับ” กำลังจะปิดประตูต้องชะงักอีกรอบที่ถูกเรียก “พี่ม่าน ผมขอโทษจริงๆ นะ”

   “เออๆ อย่าหลอกกูอีก กูไม่ชอบ”

   “ผมไม่มีทางหลอกพี่อีกแน่”

   มุ่ยหน้ามองไอ้คนทำตาประกาย ผมปิดประตูรถแล้วเดินหนี ไม่หันไปมองว่ารถมันจะขับไปหรือยังจอดอยู่ ตอนนี้ผมไม่อยากฟุ้งซ่าน ผมควรสนใจสิ่งตรงหน้า นั่นคือรุ่นน้องที่จะเข้าคัดเลือกเป็นนักกีฬาฟุตบอล

   สนามฟุตบอลสองมีแต่นักศึกษาคณะผม ไอ้จ๊อดซึ่งเป็นคนดูแลทีมทำหน้าที่คัดสรร ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมองเพราะวิ่งซ้อมด้วยจนเหนื่อย นานแล้วที่ไม่ได้วิ่งหนักขนาดนี้ รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ ผมนั่งหอบหนักขนาดกินน้ำยังไม่หาย

   “โทรศัพท์มึงอะ” ไอ้พัดที่นั่งหอบข้างๆ สะกิด ผมเหลือบมองมือถือตัวเองที่เปิดระบบสั้นเอาไว้สว่างวาบ หน้าจอมีแต่เบอร์ไม่มีชื่อ “รับสิวะ”

   “เออ” ตวัดตามองเพื่อนก่อนลุกออกมาจากห้อง “ฮัลโหล”

   (พี่ยังไม่เลิกอีกเหรอ) ไอ้เด็กนี่บ่ายถึง เย็นถึงวุ้ย

   “ยัง กูยังอยู่ที่มหาลัย”

   (พี่เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงหอบๆ หรือว่าพี่กำลัง...)

   “กูไปวิ่งมาเว้ย”

   (ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย พี่หื่นนะเนี่ย)

   “เดี๋ยวมึงจะโดนดี” ที่รู้ความคิดของผม...ไม่ใช่แล้วครับ “โทรมามีอะไรวะ แล้วนี่เบอร์มึงเหรอ” ที่ถามเพราะไม่ใช่เบอร์ที่โทรเข้ามาครั้งแรก

   (ของเพื่อน มือถือผมตกน้ำ ผมว่าจะให้พี่ไปช่วยเลือกให้หน่อย ได้ไหมครับ)

   “เห็นกูว่างมากเหรอ”

   (นะครับ)

   “เลี้ยงข้าวกูด้วย”

   นี่ผมไม่ได้เห็นแก่ของกินหรือของฟรีหรอกนะครับ แต่คนเราก็ควรจะมีอะไรตอบแทนคนมีน้ำใจบ้าง ปลายสายรีบตอบรับรัวๆ ก่อนผมจะวางแล้วกลับไปซ้อมบอลต่อ






   ตอนนี้ผมกำลังถูกกดดันอีกแล้ว จากกลุ่มเดิมด้วย พวกมันแทบจะเอาหน้าทิ่มกับหน้าของผม ขนาดเอามือดันออกไปมันก็ยังดาหน้าดันเข้ามา

   “อะไรของพวกมึงเนี่ย”

   “แถลงการณ์มา เรื่องเมื่อวาน หลังจากที่มึงแยกไป” อีแน่วใช้ปากกาจิ้มหน้าผากผมหลายจึ๊ก จะไม่ตบมือมันเลยถ้ามันไม่ถอดปลอกปากกาแล้วเอาหัวมันจิ้ม

   “ก็ไม่มีอะไร” ตอบพร้อมจ้องหน้าให้รู้ว่าไม่ได้โกหก

   “โกหก”

       นั่นไง ไม่ได้ผล

   “มันพามึงไปไหนมาบ้าง ทำอะไรกันบ้าง บอกพวกกูมาให้หมด แม้จะไม่เกี่ยวกับพวกกู แต่พวกกูอยากเสือก” หันไปมองไอ้เกมส์ที่พูด มันเผลอหัวเราะออกหลังจากพูดจบ

   “ไม่มีอะไรเลย มันพากูไปกินข้าวแล้วก็พากลับมาส่งมหาลัย”

   “แค่นี้?”

   “เออสิ จะให้แค่ไหนพวกห่านี่”

   ทำตาขวางให้กับพวกที่ทำหน้าเซ็ง ไอ้เจเบ้ปากแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ ส่วนที่เหลือก็หันไปคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

   พวกเรานั่งอยู่ได้ไม่นาน ผมก็ต้องแยกไป เพราะกลุ่มพี่ว๊ากต้องเข้าห้องเชียร์ ผมที่ไม่ได้มีหน้าที่ก็ต้องแยกไปที่อื่น ผมตบบ่าให้กำลังใจเฮดว๊ากที่นั่งทำอารมณ์ก่อนเข้าห้อง มันเป็นคนที่กดดันที่สุด ต้องแบกรับความกดดันและภาระทุกอย่าง

   ผมเดินย้อนกลับเข้าตึกคณะเพราะไอ้จ๊อดนัดประชุมเรื่องคัดตัวน้องปีหนึ่ง ระหว่างที่ผมกำลังจะผลักบานประตู เสียงโทรศัพท์ขัดขึ้นมา หน้าจอปรากฏชื่อของรุ่นน้องของเพื่อน ผมปล่อยให้สายตัดไปหลายรอบแต่ดูมันก็พยายามอย่างมากที่จะโทรมาติดๆ กัน สุดท้ายก็เลยรับ นับถือความพยายามจริงๆ

   “ว่าไง” กรอกเสียงลงไป

   (พี่ยุ่งเหรอ หรือว่าเรียน ผมโทรมากวนหรือเปล่า) ถามรัวๆ จะให้ตอบอันไหนก่อนวะ

   “กวนไม่กวนแล้วแต่มึงจะคิด” ผมว่า ได้ยินเสียงหัวเราะเล็ดลอดเข้ามา “โทรมามีอะไรวะ ถ้าไม่สำคัญมึงจะโดน”

   (คิดถึง...สำคัญพอป่ะ)

   “มึงพูดแบบนี้ขนลุกบ้างหรือเปล่าวะ” เอาจริงๆ ผมโคตรขนลุกกับมุกบาทสองบาทของมันจริงๆ

   (มากอะ) แล้วมันก็หัวเราะ ทำเอาผมหัวเราะตามเฉย (พี่เลิกเรียนกี่โมงผมลืมถาม)

   “ถามทำไมวะ”

   (พี่นัดกับผมแล้วนี่ว่าจะไปช่วยเลือกมือถือ อย่าบอกว่าลืม ผมน้อยใจนะเนี่ย) ไอ้เม่นพูดน้ำเสียงตอแหลได้น่าหมั่นไส้สุดๆ (ผมเลิกเรียนแล้ว พี่ล่ะ)

   “เออ เลิกแล้ว แต่...กูมีประชุมกับเพื่อน ไม่รู้ว่าจะเลิกกี่โมง”

   (งั้นเหรอ...) ปลายสายเงียบไปแป๊บหนึ่ง (เดี๋ยวผมไปรอพี่ก็ได้) บอกแค่นั้นก่อนมันจะวางสาย มันไม่คิดจะรอคำตอบจากผมเลยเหรอว่าจะให้มารอหรือเปล่า

   สะบัดหัวสองทีก่อนจะเดินเข้าห้อง ทักทายเพื่อนตามประสา ผมนั่งฟังพวกมันคุยกัน บ้างก็ออกความคิดเห็น ปีนี้มีเด็กฝีเท้าดีหลายคน ต่อให้คณะไหนพวกเราก็ไม่กลัว

   “ขอตัวแป๊บ” ผมบอกเพื่อนๆ เมื่อเห็นหน้าใครบางคนโผล่มา

   “ประชุมเสร็จแล้วเหรอ” ไอ้เม่นทำตาใสยืดคอมองเข้าไปในห้อง

   “ยัง”

   “โหย ผมมานั่งรอนานแล้วนะ” เหล่ตามองนิดๆ ที่จริงผมก็รู้แต่แรกแล้วตอนมันมานั่งรอหน้าห้อง “หิวด้วย”

   “เออ รออีกหน่อยเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ทำไมผมต้องใจอ่อนเวลาเห็นหน้ามันหงอยด้วยเนี่ย “รออยู่นี่แหละ” กำชับก่อนจะกลับเข้าห้องอีกรอบ

   รู้สึกกระสับกระส่ายแปลกๆ ทำไมไอ้จ๊อดมันพูดไม่จบสักที เปิดประเด็นใหม่อยู่นั่น...แล้วทำไมผมถึงกระวนกระวาย ตาก็มองแต่ประตูวะเนี่ย

   “ไอ้เชี่ยมู่ ถ้ามึงรีบก็ไปเถอะ” ไอ้จ๊อดออกปากไล่จนคนอื่นๆ พากันหัวเราะ

   “นี่มึงกล้าไล่กูเหรอวะ” ทำตาโตชี้หน้าเพื่อน หากไม่มีเสียงของปีสองลอยแทรกเข้ามา เอาซะเก็บนิ้วแทบไม่ทัน

   “พี่จ๊อดไม่ได้ไล่หรอก แต่เขากลัวคอพี่เคล็ด ห่วงเด็กขนาดนี้” จบปุ๊บ เสียงหัวเราะก็ดังลั่นห้อง ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้ก้อน เด็กปีสองที่มันกล้าแซว มันรีบยกมือคล้ายกับยอมแพ้แต่ปากมันยังหัวเราะ ไอ้นี่กวนฝ่าเท้าจริงๆ “พี่มู่”

   “สม” ถีบหลังไอ้เด็กปากมากก่อนคว้ากระเป๋าออกจากห้อง ที่มันกล้าต่อปากต่อคำหรือแซวผมได้ ก็เพราะฟุตบอลตอนงานปีหนึ่งของมัน เห็นปากดีแบบนั้นแต่นิสัยมันดีตามปากนะครับ

   ออกจากห้องมาแล้วแต่มองไม่เห็นคนนั่งรอ หรือมันเบื่อจนกลับไปแล้ววะ ผมลองเดินหามันแถวรอบๆ แต่ก็ไม่เจอ สงสัยจะกลับไปแล้วจริงๆ แต่ระหว่างที่ผมเดินผ่านด้านข้างของตึกที่เป็นแหล่งซ่องสุมของปีสามและปีสี่ เสียงตะโกนที่คุ้นหูเอาซะผมต้องรีบสาวเท้าไปหา ภาพที่ได้เห็นคือเด็กที่มานั่งรอผม กำลังถูกกลุ่มเฮดว๊ากกดดันอยู่ในวงล้อม นี่พวกมันทำบ้าอะไรกันวะเนี่ย

   ผมเดินเข้าไปยืนใกล้ เจออีแน่วที่ยกมือกันไว้ ผมจ้องหน้าทุกคนอย่างขอคำอธิบาย อยู่ๆ พี่ว๊ากเกิดเข้าสิงนอกห้องหรืออย่างไร ปกติพวกมันจะไม่นำอารมณ์ด้านในออกมา ที่สำคัญ ไอ้เด็กที่กำลังถูกกดดันนั่นไม่ใช่เด็กมหาลัยผมด้วย

   “พวกมันทำอะไรวะ” ยื่นหน้าถามอีแน่ว มันปรายตามองผมนิดๆ ก่อนจะตอบ

   “เค้นความจริง” คำตอบของเพื่อนทำเอาผมขมวดคิ้ว

   “ความจริงเชี่ยอะไร”

   “ก็เรื่องมึงไง”

   “ไร้สาระเหี้ยๆ” ผมไม่เห็นด้วยกับการทำแบบนี้ กะจะเข้าไปห้ามแต่ถูกพี่รหัสตัวเองดึงแขน ผมตวัดสายตามองพี่เฟรนด์ที่จ้องดุ “ผมว่ามันเกินไปนะพี่”

   “ทนแค่นี้ไม่ได้ แล้วคิดจะมาเอามึงไป กูไม่ให้หรอก” ไม่รู้จะซึ้งใจ หรือโมโหดี ไม่ใช่อะไร ผมกลัวว่า หากมีใครมาเห็นแล้วเอาไปฟ้องอาจารย์ ทุกคนจะต้องมาเดือดร้อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ซึ่งมันไม่คุ้มว่ะ

   ผมยืนมองไอ้เจที่กดดันรุ่นน้องของเพื่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้มีท่าทีจะกลัวอย่างเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆ คงเพราะมันไม่ได้อยู่คณะผม แล้วก็ไม่ได้อยู่มหาลัยนี้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ผมว่า มันก็ต้องมีใจสั่นอยู่บ้าง โดนรุมตั้งสี่ขนาดนั้น แค่ไอ้เจก็ว่ากดดันแล้ว ยังเจอพี่อิน เฮดว๊ากปีสี่พี่รหัสไอ้เจอีก ตายแน่เม่นเอ้ย

   “คุณไม่ใช่นักศึกษามหาลัยวิทยาลัยนี้ใช่ไหม” พี่อินถามแบบสุภาพ ไม่ลงน้ำเสียงกระแทกกระทั้นเท่าไหร่

   “ครับ ไม่ใช่” ไอ้เม่นก็ตอบเสียงเรียบๆ สายตามันมองตรงไม่วอกแหวก คงถูกสั่งให้ทำแบบนั้นแน่ ไอ้นี่ก็บ้าจี้ทำ

   “งั้นคุณบอกผมหน่อย ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ หน้าห้องประชุมของคณะของผม” พี่อินเริ่มหยุดเดินแล้วจ้องหน้าไอ้เม่นกดดัน
 
   ความเงียบของสถานที่ยิ่งสร้างความอึดอัด ขนาดผมที่ไม่ได้อยู่ในวงล้อมนั่นเหงื่อยังแตกเลยให้ตาย

   “พี่ผมถามคุณ ทำไมคุณไม่ตอบ” ไอ้เจถามเสียงนิ่ง หน้ามันไร้รอยของความขี้เล่นอย่างที่ผมเคยเห็น

   “ผมมาหาพี่ม่านครับ” ไอ้เม่นตอบ หางตามันปรายมามองผมนิดๆ ผมเลยยิ้มส่งคืนไป เห็นมุมปากยกขึ้นเล็กๆ

   “คุณมาหาไอ้มู่ เอ่อ น้องผมทำไม” คำเรียกผมหลุดปุ๊บ พี่อินก็รีบเปลี่ยนใหม่ ผมได้ยินพี่เฟรนด์หัวเราะด้วย

   “เพราะผม...” ทำไมผมต้องลุ้นกับคำตอบที่จะได้ยินด้วยเนี่ย “ผมกำลังตามจีบพี่ม่านอยู่ครับ”

   เสียศูนย์จนเกือบเซล้ม คราวนี้ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นจากพี่รหัสและเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่วนพวกที่ยืนล้อมต่างพากันหันหน้าคนละทิศละทางเพื่อกลั้นหัวเราะ ความฉิบหายอยู่ใกล้แค่เอื้อม

   “พูดได้ดี” ไอ้เจพยายามปั้นหน้านิ่ง แต่ผมรู้ว่ามันอยากหัวเราะ “แต่คุณก็รู้ ว่าเพื่อนผมเป็นผู้ชาย แล้วคุณก็ผู้ชาย”

   “ผมรู้ แต่ผมไม่สน รู้แค่ว่า ผมชอบพี่ม่าน” หารูหรือปิ๊บให้ผมที “ถ้าไม่ชอบ ผมก็ไม่มายืนตรงนี้หรอกครับ” คราวนี้ไอ้เม่นหันมายิ้มกว้างให้ผม ทั้งพี่เฟรนด์กับอีแน่วต่างก็หันไปโก่งคออ้วก แล้วผมต้องทำยังไง ต้องเขินไหม หรืออ้วกดี

   “ไอ้เหี้ย” ผมด่าไร้เสียงส่งตรงไปถึงไอ้เด็กที่มันใจกล้าบอกว่าชอบผม ไอ้เม่นหัวเราะออกมาเฉย

   “เลี่ยน” เสียงไอ้เกมส์ตะโกนออกมาเรียงสายตาทุกคู่ “เลี่ยนจนอยากกินส้มตำ พี่อินเลี้ยง”

   “อ่าวไอ้เหี้ยเกมส์ กูเกี่ยวอะไร” พี่อินโวยวายตบหัวคนอยากกินส้มตำ

   จากเหตุการณ์ตึงเครียด กลายเป็นบ้าบอ ไอ้เม่นก้มหยิบของตัวเองที่พื้นแล้วเดินเข้ามาหาผม แม้ใจอยากจะเดินหนี แต่ขามันกลับยกไม่ขึ้นซะงั้น จากที่ไม่คิดอะไร มาตอนนี้กลับวางหน้าไม่ถูก

   “แหม ออกตัวแรงจริงๆ เด็กมึงเนี่ย” อีแน่วใช้ขาหน้าสะกิดข้อศอกผมยิกๆ

   “เด็กกูห่าอะไร ไม่ใช่เว้ย”

   “ไม่ใช่แต่ปาก คอยดูเถอะ มึงเสร็จแน่” เหล่ตามองพี่รหัส ไม่กล้าด่าตอบ กลัวถูกฝ่ามืออรหันต์

   ไม่มีเวลาให้ผมสนใจคนอื่น เพราะตอนนี้ไอ้เม่นมายืนยิ้มแฉ่งต่อหน้าแล้ว อีแน่วก็ยังสะกิดยิกๆ พี่เฟรนด์ก็เป่าหูอยู่ข้างๆ ด้านหลังก็มีพวกโหดยืนหาร้านส้มตำ

        นี่คนรอบข้างผม จะปกติเหมือนผมสักคนไหมเนี่ย

   “อะไร ยิ้มให้กูทำไม” ถามไอ้เม่นที่มันเอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูดอะไร แหน่ะ ยิ่งว่าให้ มันก็ยิ่งยิ้มกว้าง “สงสัยจะบ้าว่ะ”

   “บ้ารักพี่อะดิ่” หลังพูดจบ เสียงอ้วกก็ดังเกรียวกราวทีเดียว

   “อย่าเสี่ยว ไอ้ห่า”

   “เสี่ยวแล้วชอบป่ะล่ะ” ผมกำลังจะอ้าปากท้วง แต่ไอ้เม่นดันขัดขึ้นมาซะก่อน “ห้ามขี้จุ๊ด้วย หน้าแดงแล้ว”

   “ไอ้เชี่ยเม่น จะไปกินไหมข้าวน่ะ” รีบหาวิธีหลบหลีก แต่กลับถูกเอาคืนซะต้องเดินหนีเอง

   “เราจะไปกินข้าวกันเหรอ พี่อยากกินข้าวกับผมใช่ไหม ดีใจจัง” เสียงเริงร่าดังตามหลังมาติดๆ พูดจบก็ลืมไปว่ามันแค่จะให้ไปช่วยเลือกซื้อมือถือไม่ได้จะไปกินข้าว

   “ปากหนอปาก” ตบปากตัวเองรัวๆ

   “พี่ม่าน รอผมด้วยสิ อยากกินข้าวกับผมมากถึงกับต้องรีบขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้เม่นดีใจนะเนี่ย”

   “อยากกินพ่องมึงสิ งั้นกูไม่ไปแล้วไอ้ห่า”

   “อย่างอนสิ ผมง้อไม่ค่อยเป็นด้วยนะ”

   “ไม่ได้งอนเว้ย ไม่ต้องมายุ่งกับกู”

   “พี่ม่านครับ รอเม่นด้วย”

   ยกมือปิดหูแล้วรีบเดินหนี ไม่รับรู้อะไรแล้วครับตอนนี้ หลบหน้าไอ้เด็กเดินตามได้เป็นดี ทำไมคิดว่าไอ้กลอยโชคดีที่หลุดพ้นมันได้ แล้วผมล่ะ ไอ้ม่านคนนี้....

   “ไอ้เชี่ยเม่น”

   “ครับพี่ม่าน”

   รอยยิ้มที่กว้างจนปากแทบฉีกถึงรูหู

   ทำไมไอ้ม่านคนนี้ถึงแพ้มันได้ ไม่เข้าใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 3<< Up!! // [13/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 13-11-2016 22:06:47
รอตอนต่อไปจ้าาาาาาาาาา :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 3<< Up!! // [13/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-11-2016 22:20:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 3<< Up!! // [13/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-11-2016 22:27:18
 :L2: :L1: :pig4:


ดีใจกลับมาแล้ววว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 3<< Up!! // [13/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-11-2016 23:09:06
กลับมาแล้ว เย้ๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 3<< Up!! // [13/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 14-11-2016 12:50:25
เม่นจะรุกแล้วนะม่านระวังหัวใจไว้ให้ดีละ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 3<< Up!! // [13/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 16-11-2016 01:55:34
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 4<< Up!! // [19/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 19-11-2016 20:53:39

4
[Re-write : 05/02/60]




        “จากการซ้อมมาหลายวันนั้น พี่ได้ลงชื่อนักกีฬาที่จะแข่งพรุ่งนี้แล้วนะ” ไอ้จ๊อดยืนอยู่หน้าห้องชี้เด็กปีหนึ่งที่ได้เป็นตัวจริงในการลงแข่งขันกีฬาเฟชรชี่ในวันพรุ่งนี้เป็นนัดแรก ตื่นเต้นแทนจริงๆ ตอนผมอยู่ปีหนึ่งถูกคัดเป็นตัวสำรองได้ลงนาทีสุดท้ายและเตะเข้าโกลทำให้ชนะมาแล้ว ไม่อยากจะคุย “วันนี้เราจะงดซ้อมเพราะพรุ่งนี้จะได้มีแรง พี่ขอให้น้องๆ เก็บแรงไว้ นัดแรกก็ศึกหนักแล้ว”

   “อย่าไปกลัว” ผมที่นั่งปะปนน้องๆ ลุกขึ้นพูด สายตาทุกคู่หันมามองหมด “เราต้องคิดว่า เราทำได้ พวกนั้นเก่งแค่ไหนเราเก่งกว่าร้อยเท่า” ผมชูกำปั้นอย่างมั่นใจ ก่อนจะถูกแฟ้มตบหัว

   “อย่าเพ้อเจ้อไอ้เชี่ยมู่” เสียงไอ้พัน ผู้ช่วยไอ้จ๊อดมันดับความมั่นใจของผม

   “กูเพ้อเจ้อตรงไหน เราต้องให้กำลังใจน้องๆ สิวะ”

   “ก็ถูกของมึง” แทบอยากตบหัวไอ้พันคืน ติดตรงที่มันมีแฟ้มหนาอยู่ในมือ ตบทีถึงกับมึน

   หลังจากคุยกันเสร็จก็ถึงเวลาแยกย้าย ผมถูกไอ้จ๊อดกอดคอเดินออกจากห้อง เจอกลุ่มพี่ว๊ากอย่างไอ้เจเดินมาพอดี เสียงคุยเฮฮาของเล่าบรรดาปีหนึ่งเงียบกริบทันที แค่เห็นหน้านิ่งของมัน เด็กๆ ก็กลัวแล้ว แม้หน้าตาจะหล่อเหลาปานพระเอกเกาหลี แต่ปากหมาเกินกว่าใครจะรู้

   ไอ้เจนำขบวนพี่ว๊ากเดินผ่าน มันปรายตามองทุกคนด้วยความนิ่ง แต่กลับสร้างความน่าหมั่นไส้ให้กับพวกเดียวกัน ได้ยินไอ้จ๊อดมันแขวะเบาๆ กันรุ่นน้องได้ยิน แต่ผมได้ยินเต็มสองหูและกำลังจะอ้าปากหัวเราะหากไม่เหลือบเห็นคนเดินรั้งท้าย
 
   “ฉิบหาย” เผลอสบถออกมาทำให้พวกไอ้จ๊อด ไอ้พันหันมาสนใจ

   “โอ้โห... ไอ้เหี้ยมู่ กูเจ็บ” ผมตบหัวไอ้จ๊อดที่ทำตาโตมองไอ้เด็กต่างมหาลัย ถ้าไม่ทำร้ายมันก่อน มันได้ทำร้ายผมแน่ ไม่การกระทำก็คำพูด

   “พี่ม่าน” ไอ้เม่นทักทายด้วยรอยยิ้มแป้นแล้น มันโบกมือโบกไม้อยู่หลังไอ้มีน ซึ่งเพื่อนผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้มาด้วยกันได้ยังไง แล้วภาพที่มันถูกพวกเดินนำว๊ากยังติดตาผมอยู่เลย แต่ทำไมมันยังกล้าเดินมาด้วย

   “เอาเด็กมาส่ง” ไอ้มีนตบบ่าผมแล้วเดินผ่านไป อยู่ต่อหน้าปีหนึ่งมันจะบ้าบอไม่ได้ผมเข้าใจ แต่สายตาวิบวับก็ควรซ่อนหรือเปล่าวะ

         เมื่อกลุ่มพี่ว๊ากเดินไป บรรดาปีหนึ่งต่างก็ถอนหายใจออกมา คงจะเกร็งกันน่าดู ต่างจากไอ้เด็กปีหนึ่งเหมือนกันแต่เรียนคนละที่ มันกระดี้กระด้าเข้ามาหาผมแล้วแย่งหนังสือในมือผมไปถืออีก

   “อะไรของมึง” กัดพูดถามไป ตอนนี้ปีหนึ่งเริ่มหันมามอง ไม่กล้าทำอะไรมาก

   “ผมช่วยถือไง” ไอ้เม่นตอบ ท่าทางไม่รู้สึกถึงสายตานับสิบๆ คู่ที่มอง “พี่ประชุมเสร็จแล้วใช่ไหมจะได้ไปกินข้าวกัน”

   “กูบอกตอนไหนว่าจะไปกินข้าวกับมึง” ที่จริงผมเห็นข้อความที่ไอ้เม่นส่งมาชวนตั้งแต่เช้า แต่ไม่ได้ตอบอะไรไปเพราะคิดว่ามันถามเฉยๆ ที่ไหนได้ บุกมาถึงที่

   “ก็พี่อ่านแล้วไม่ตอบ นั่นแหละคือคำตอบ”

   “ไม่อายคนอื่นเหรอวะ” ผมปรายตามองพวกรุ่นน้องที่ยังไม่ยอมไปไหน ไอ้เด็กพวกนี้คงอยากถูกด่า ไอ้เม่นมองผมปริบๆ ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ยืนด้วย

   “ผมหน้าด้าน” รับออกมาโต้งๆ จนถูกพวกที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หัวเราะ

   “ไอ้เม่น” ถลึงตาใส่คนที่ยอมรับในความด้านของหน้าตัวเอง

   “ก็จริงของเด็กมัน สู้ๆ ไอ้น้อง ด้านได้ อายอดแดก” ยกขาเตะไอ้จ๊อด แต่มันวิ่งหนีไปแล้ว เมื่อทำอะไรเพื่อนไม่ได้ เลยมาลงที่ไอ้ตัวต้นเหตุแทน

   “เพราะมึงเลย”

   “เอ้า ผมผิดเหรอ”

   “เออ”

   “ผิดก็ผิด” เหลือบตามองคนที่ยอมรับว่าผิด ไอ้นี่แปลกแหะ “ไปกินข้าวกันเถอะ หรือพี่จะกลับหอก่อน”

   “กลับหอก่อน” ไม่ได้อยากไปกินข้าวกับมันหรอกนะ แค่ดีกว่ากินคนเดียวเท่านั้น ตั้งแต่เพื่อนรับหน้าที่สำคัญ พวกมันมักจะเก็บตัวเงียบ หากจะกินก็ซื้อเข้าไปกินในห้อง

   ผมเดินนำไอ้เม่นไปที่ลานจอดรถ เจอรุ่นน้องยกมือไหว้พร้อมทำสายตาล้อเลียนแทบทุกคน เกือบปั้นหน้าไม่ถูก ดีที่หน้าด้านพอๆ ไอ้เม่น ไม่งั้นไม่รอดแน่ พอมาถึงรถก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนเดินตามหลัง หันไปมอง ไอ้เม่นก็แสร้งทำหน้านิ่ง ทั้งที่ปากมันกำลังกลั้นขำ

   ไอ้เม่นขับรถเก๋งหรูของมันตามหลังผม แม้เต่าจะเรียกผมว่าพี่ แต่ก็ไม่ยอมให้จักรยานแซงนะครับ ไอ้ม่านมีฝีมือพอ เมื่อถึงหอ กระบะคู่ใจก็เข้าจอดที่ประจำแสนจะกว้างขวาง ไม่ใช่ผมจะวีไอพีขนาดนั้น แต่เพราะตอนผมได้รถมาใหม่ๆ ได้ฝากสีกับรถคันข้างๆ ประจำ จ่ายเงินชดใช้จนต้องอาศัยข้าวจากผู้เมตตาอย่างพี่รหัสที่แสนใจดี มาตอนนี้แม้จะขับหรือถอยเก่งแล้ว แต่ก็ไม่มีคันไหนกล้าเข้ามาจอดข้างๆ อาจจะมีแต่จะขยับห่างพอสมควร โธ่

   “ผมรอพี่ที่รถนะ” ไอ้เม่นลดกระจกตะโกนบอก

   “เออ” ตะโกนตอบกลับ

   เดินขึ้นห้องพักที่อยู่ไม่สูงมากนัก ระหว่างทางก็เหมือนจะนึกอะไรออก ทำไมผมถึงใจง่าย มันชวนไปกินข้าวก็ไป เอ...หรือผมจะโทรไปปฏิเสธมันดี คิดได้ก็ล้วงโทรศัพท์ตัวเองออกมา แต่...โทรศัพท์อยู่ไหนวะ

   ผมตบกระเป๋ากางเกงสองข้าง เปิดเป้ค้นหาดูก็ไม่มี เทซากชีทในกระเป๋าออกมาก็ไม่มี เฮ้ย มือถือหาย เครื่องนั้นโคตรแพงอะสำหรับผม ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ผมรีบวิ่งเข้าห้อง ค้นทุกซอกทุกมุมที่คิดว่ามันจะร่วงหล่น ไม่สิ ตอนกลางวันนี้ผมยังเล่นเกมส์อยู่ที่มหาลัยอยู่เลย หรือลืมวางทิ้งไว้วะ โอย ทำยังไงดีเนี่ย

   โยนชีทกับหนังสือลงบนเตียงแล้วย้อนกลับลงไปด้านล่าง รถไอ้เม่นยังติดเครื่องรอไว้ ผมรีบเคาะกระจกเร่งจนเจ้าของรถตกใจแต่พอมันเห็นสีหน้าผมไม่สู้ดีมันก็รีบเลื่อนกระจกลงจนสุด

   “เป็นอะไรพี่ งูเข้าห้องเหรอ” ดูมันยังจะตลก

   “ไม่ใช่เว้ย มือถือกูหาย” ร้อนใจมากบอกเลย ไม่มีเวลามาพูดตลกๆ กับใคร “สงสัยจะลืมไว้ที่มหาลัยว่ะ”

   “พี่ลืมไว้ตรงไหน” ไอ้เม่นย้อนถาม

   “กูก็ไม่รู้” คิดไม่ออกจริงๆ ให้ตาย ไม่รู้ลืมวางไว้ที่ไหน

   “อ่าว”

   ไม่รออ่าว เอิ้วอะไร ผมเปิดประตูรถเก๋งของไอ้เม่นแล้วสอดตัวเข้าไปนั่ง นิ้วก็ชี้ให้มันออกรถย้อนกลับไปมหาลัย

   “มึงลองโทรดู ไม่รู้มีใครเก็บได้หรือยัง”

   “พี่ เข็มขัดไม่ได้คาดแบบนั้น”

   “หือ”

   มัวแต่คิดมากจนลืมสังเกต ไอ้เม่นดึงที่ล็อคออกจากกระเป๋ากางเกงของผมแล้วจิ้มลงที่ล็อคของมันเสียงดังแกร๊ก พร้อมๆ กับเสียงหน้าแตกของผมเอง อายฉิบหาย

   “พี่ไม่ต้องอายหรอก ผมรู้ว่าพี่คิดเรื่องมือถืออยู่” ไอ้เม่นมันว่าเหมือนเข้าใจ แต่มันขำอะ แม้ปากมันจะไม่ แต่ดวงตามันหยีซะขนาดนั้น

   “มึงหัวเราะออกมาเลยดีกว่าแบบนั้น” พูดจบปุ๊บ เสียงหัวเราะของมันก็ดังลั่นรถ “ประชดเว้ย”

   “เอ้า โอเคๆ” ไอ้เม่นพยายามหยุดขำแล้วยกมือยอมแพ้ “ลองโทรเข้าเครื่องพี่ดีกว่านะ”

   “มีคนรับไหม”

   “เพิ่งเลื่อนหาชื่อ”

   “ช้าว่ะ”

   นั่งลุ้นอยู่ข้างคนเอาโทรศัพท์เครื่องแพงแนบหู ไอ้เม่นขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า มันกดปิดแล้วโทรย้ำอีกหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครรับ เครื่องก็ยังติดอยู่ หรือว่าคนเอาไปจะไม่กล้ารับวะ

   “ผมว่า...” เสียงที่ขัดการคิดของผมดังขึ้น ทำให้ต้องปรายหางตามอง “ตอนผมขับตามรถพี่มา ผมยังโทรหาแล้วพี่ยังตะโกนด่าผมอยู่เลยนะ เมื่อกี้น่ะ”

   “มั่วป่ะวะ...” เออก็จริง เมื่อกี้ผมเหมือนรับโทรศัพท์จากไอ้เด็กข้างๆ นี่อยู่เลย ตะโกนด่าตอนที่สัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว “หรือว่า” เหมือนละเมอคนเดียว ผมรีบผลักประตูรถออกแล้วพุ่งไปที่รถของตัวเอง “ทำไมเปิดไม่ออกวะ”

   “พี่ยังไม่ได้ปลดล็อคเลย มันจะเปิดได้ยังไง” หันขวับไปมองคนพูดที่มายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “ใจเย็นครับ เดี๋ยวผมจูนให้” อยู่ๆ ไอ้เม่นก็ยกมือขึ้นมาสองข้างแล้วนวดขมับผมเบาๆ

   “เออๆ” เหมือนจะรู้สึกดีขึ้น...มั้ง ผมรีบเปิดรถ พยายามค้นหามือถือตัวเอง พร้อมๆ กับมีเสียงริงโทนดังขึ้น “นั่น มือถือ” โผล่หน้าออกมาแล้วชี้บอกไอ้คนที่โทรย้ำเข้าเครื่องของผม ไอ้เม่นมันชะโงกหน้าเข้าไปดู และไม่รู้มันจงใจหรือบังเอิญที่ปากมันชนแก้มของผม

   ละครน้ำเน่าชัดๆ

   “มือถือของพี่จริงๆ ด้วย” ไอ้เม่นหยิบโทรศัพท์ของผมออกมาพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง “หน้าบูดทำไม”

   “บูดเชี่ยอะไรล่ะ” ผมคว้าโทรศัพท์ของตัวเองมาถือ ลูบๆ คลำๆ ด้วยความรัก เกือบไปแล้วลูกพ่อ

   “เจอแล้ว งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะ” เหมือนได้ยินเสียงเบาๆ จากที่ไหนสักที่ ผมจูบหน้าจอมือถือตัวเองหลายๆ ครั้ง ก่อนที่จะถูกแย่งออกไป “ไปกินข้าวกันครับ”

   “ยุ่งว่ะ ไปก็ไป ไม่ได้หิวด้วยนะเนี่ย”






   ทำไมข้าวปั้นหน้าปลาไหลมันอร่อยวะ ไข่หวานก็อร่อย อันนั้นด้วย อันนี้ก็ใช้ได้ อร่อยหมดทุกอย่างเลยให้ตาย สมแล้วที่อยู่ในร้านแพงๆ แบบนี้

   “มองทำไม” เงยหน้าขึ้นมาเจอกับดวงตาตรงข้ามที่จ้องอยู่

   “มองคนบอกไม่หิวไง โห ถ้าหิวจะกินขนาดไหนเนี่ย”

   “กินไม่ให้เสียน้ำใจคนเลี้ยงเว้ย ไม่ได้หิวเลย” พูดจบก็ยัดหมูทอดชิ้นใหญ่เข้าปาก ยักคิ้วให้ไอ้คนที่มันส่ายหน้า “กินดิ่”

   “มองพี่ก็อิ่มแล้วไหมวะ กินขนาดนี้ เอาไปเก็บไว้ไหนหมด” ไอ้เม่นเหลือบตามองผมแล้วหัวเราะออกมา “ตัวแม่งโคตรผอม”
 
   “ร่างกายเผาผลาญดีเว้ย” อันที่จริงปกติไม่ได้กินดีแบบนี้ อาหารประทังชีวิตคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

   “วันเสาร์พี่ว่างป่ะ” ผมเงยหน้ามองคนถาม ท่าทางมันดูลังเลแปลกๆ

   “อืม...ไม่ว่างว่ะ กูนัดกินเหล้ากับเพื่อนไว้”

   “ที่ไหน”

   “คอนโดพี่โช” พอผมพูดชื่อเจ้าของห้องที่ผมจะไปกินเหล้า (ฟรี) เท่านั้น ไอ้เม่นก็หน้าสลด พี่โชคือแฟนของไอ้กลอยเพื่อนรักผม ซึ่งไอ้เม่นกับพี่เขาไม่ถูกกัน “มึงมีอะไรหรือเปล่าวะ”

   “เปล่าครับ”

   หลังจากคำปฏิเสธ ไอ้เม่นก็ดูเงียบลง ผมเริ่มกินช้าลงเพราะมัวแต่คอยสังเกตอาการของเด็กตรงหน้า หรือมันจะยังชอบเพื่อนผมอยู่เลยทำใจไม่ได้ที่ได้ยินชื่อ แต่มันถามก่อนนี่นา

   พอกินเสร็จก็ถึงเวลากลับ มื้อนี้มีเด็กเลี้ยง เงินในกระเป๋าของผมก็อยู่ครบ แอบเกรงใจมันเหมือนกันนะ ราคาอาหารทั้งหมดโดนไปหลายพัน เหงื่อผมแทบแตก ตอนสั่งมัวแต่หิวลืมดูราคา ไอ้เม่นดูแปลกไปจริงๆ บนรถมันขับแบบเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดกวนโมโหอะไรอีก จนมาถึงหอพักของผม

   “สองวันนี้ผมคงมาหาพี่ไม่ได้นะ มีสอบ” ไอ้เม่นบอกก่อนผมจะลงจากรถ ผมเลยพยักหน้าส่งๆ ไป

   “ดีแล้ว หัดไปเรียนบ้าง ไม่ใช่มาตามตูดกูเช้า กลางวัน เย็น เกรดออกมาห่วยระวังถูกไล่ออก”

   “พี่เป็นห่วงผมเหรอ” ทั้งแต่ออกจากร้านอาหารจนมาถึงหอ ผมเพิ่งเห็นรอยยิ้มของมันนี่แหละ ช่างมัน เอาใจมันหน่อย

   “เออ ก็มึง...”

   “ดีใจหล๊าย หลาย”

   กำลังจะพูดต่อ แต่ไอ้เม่นกลับพูดแทรก มันทำหน้าตากระดี้กระด๊าจนน่าหมั่นไส้

   “เออๆ ขับรถกลับบ้านดีๆ นะมึง อย่าไปเสยฟุตบาทล่ะ”

   ยืนรอจนรถเก๋งสีดำขับจนลับตา ผมเดินขึ้นห้องด้วยสภาพที่ท้องแน่นจนจะเป็นปลาพะยูน กินขนาดนี้น้ำหนักต้องขึ้นแน่เลย หาเวลาไปวิ่งสักวันดีกว่า...สักวันนะ






   “ทำไมกูไม่เห็นเด็กมึงเลยวะช่วงนี้” เหล่ตามองไอ้เกมส์ที่ปากมันคาบถุงนมเปรี๊ยวแต่ก็ยังถามออกมาได้ “หรือมันจะตาสว่างแล้ว”

   “ตาสว่างพ่อง” ฟาดสมุดเข้าหัวจนไอ้เกมส์ถลึงตาใส่

   “แนะๆ หลงชอบมันไปแล้วล่ะสิมึง”

   “หุบปากหมาของมึงเลยไอ้มีน” ด่าเสร็จ ผมก็ถูกหัวเราะเยาะ จะทำร้ายพวกมันทีเดียวก็ไม่ได้ เดี๋ยวถูกเอาคืนจะเจ็บตัวเปล่าๆ “มันสอบ”

   “ใครสอบวะ” ไอ้เจคงได้ยินเสียงลอยๆ ของผมบอก

   “ไอ้เม่น” ตอบนิ่งๆ

   “แหม ปากบอกไม่ชอบ แต่รู้เรื่องเขาหมดทุกอย่างนะมึง” ไอ้เจผลักหัวผมซะเกือบชนกับไอ้เกมส์ที่นั่งข้างๆ “เพื่อนกูจะมีผัวแล้ว”

   “ผัวพ่องมึงไอ้เชี่ยเจ”

   “พ่อกูมีผัวเหรอวะ”

        ดูความกวนบาทาของไอ้เจมัน ปากแบบนี้ไม่รู้พี่อินคายตะขาบให้มันเป็นเฮดว๊ากได้ยังไง

   “ไอ้เหี้ย” ด่าส่งท้ายก่อนจะก้มหน้าสนใจการบ้านตรงหน้าต่อ ยืมของสาวสวยประจำห้องมาลอกเลยนะครับเนี่ย ไม่อยากจะโม้

   “ว่าให้คนอื่น มึงเถอะ เมื่อวานกูเห็นซ้อนไอ้ดีฟไปไหนมาดึกๆ ดื่นๆ” จากผมที่ถูกเค้น ตอนนี้ไอ้มีนเปลี่ยนไปเค้นไอ้เฮดว๊ากแทน ไอ้เจเลิกคิ้วนิดๆ คงจะหาคำตอบที่ไม่ทำให้ตัวเองต้องถูกคาดคั้นหนัก ไอ้นี่แผนมันสูงนะครับ หน้าหล่อๆ ไว้ใจไม่ได้ “รีบๆ ตอบ อย่าตอบโลกสวยเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์นะมึง” ไอ้มีนดักทางอย่างรู้ทัน เลยได้เสียงหัวเราะรอบวง รวมทั้งผมที่เริ่มกดดันเพื่อนตัวเองบ้าง ทำกูไว้มาก โดนซะบ้าง

   “กูไปกินเหล้า” ไอ้เจตอบเรียบๆ มันยกขาไขว่ห้างท่าทางแบบสบายๆ

   “เหล้ากับไอ้ดีฟสองคนเนี่ยนะ” คราวนี้สาวหนึ่งเดียวของกลุ่มทักขึ้น อีแน่วขยี้รูหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไอ้เฮดว๊ากอย่างมึงไปแดกเหล้ากับคนอื่นที่ไม่ใช่พวกกูสองต่อสองเนี่ยนะ”

   “ไอ้ดีฟก็เพื่อนกู”

   “เพื่อนแต่ไม่สนิท มีอะไรปิดบังกูใช่ไหม”

       เขาว่ากันว่า คนทำผิดมักจะไม่กล้าสบตาตอนตอบคำถาม ไอ้เจก็คงเป็นหนึ่งในนั้น ยิ่งเจอสายตาคาดคั้นสี่คู่มันยิ่งทำหน้าไม่ถูก

   “มึงอย่ามาหาเรื่องกูอีแน่ว กูชวนมึงแต่มึงไปหาเมีย ไอ้พวกนี้ก็ไม่ว่าง” ไอ้เจมันบอกเหตุผล ซึ่งทุกคนรอบโต๊ะต่างพากันพยักหน้าเข้าใจ

   “แล้วไอ้ดีฟมายังไง” ยกเว้นอีแน่วที่ไม่ยอมปล่อย สัญชาตญาณของผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ

   “มันโทรมาชวนกูไปกินเหล้าพอดี นัดไอ้เชี่ยอัธด้วย แต่แม่งดันไปทำธุระ กูเลยได้ไปกับไอ้ดีฟ” เหตุผลที่สองถูกถ่ายทอดมาอีกรอบ “แล้วที่กูซ้อนมัน ก็เพราะมันมาส่งกูที่หอ หรือพวกมึงจะให้กูเดินกลับ”

   “รถมึงอะ” ผมถามปุ๊บ ถูกสายตาเหี้ยมโหดตวัดมามองทันที

   “ร้านอยู่ไม่ไกลหอกู มึงจะให้กูเอาน้องจูนไปเหรอวะ” น้องจูนคือฟอจูนเนอร์ครับ แต่มันเรียกสั้นๆ ของมัน “หยุดซักไซ้กู เพราะมันไม่มีอะไร” มีดักทางไว้ด้วย

   “อะไร กูบอกยังว่ามีอะไร แต่ถ้ามี กูกัดไม่ปล่อยเหมือนไอ้มู่แน่” อีแน่วชี้หน้าก่อนกัดลูกชิ้นที่มันซื้อมา

   “เกี่ยวอะไรกับกู”

   “เพราะมึงมีอะไรกับไอ้เด็กนั่นไง”

   “เชี่ย ไม่มีเว้ย”

   “โวยวายๆ ไม่มีก็ไม่มี แต่ถ้ามีละก็ หึๆ”

   ผมพับสมุด หนังสือแล้วเดินขึ้นห้องเรียนทันที เบื่อที่จะคุยกับพวกมัน ทำไมผมถึงเถียงสู้อีแน่วไม่ได้...ว่าแต่ ไอ้เม่นก็หายไปจริงๆ วันนี้เป็นวันที่สอง ไม่มีแม้แต่ข้อความใดๆ หรือมันจะอ่านหนังสือหนัก แต่ผมก็ยังเห็นไอ้กลอย รุ่นพี่คณะมันยังไปหาขนมหวานกินอยู่เลย หรือมันจะตาสว่างแบบที่ไอ้เกมส์ว่าจริงๆ

   หลังจากช่วงเช้าเรียนจนเต็มอิ่ม ตอนบ่ายเด็กปีหนึ่งมีแข่งกีฬา ผมแบกถังน้ำเดินตามไอ้จ๊อดไปที่สนาม ตอนนี้พวกปีหนึ่งเริ่มวอร์มร่างกายกับพวกปีสามสาขาอื่นที่มันเลิกเรียนก่อน มาถึงก็ทักทายนิดๆ หน่อยๆ เพราะวันนี้ต้องเจอศึกหนัก ดังนั้น เราจะมัวมาเล่นๆ กันไม่ได้ ต้องจริงจัง

   “เด็กมึงไม่มาเหรอ” ไอ้ป๋อง เพื่อนต่างสาขาแกว่งปากหาเสี้ยนจริงๆ

   “มึงเห็นไหมล่ะ ไม่เห็นแสดงว่าไม่มา” ตอบห้วนๆ แต่คนถามไม่ถือสา เพราะมันรู้จักผมพอใช้ได้ เรื่องปากหมาไว้ใจไอ้ม่านได้

   “สรุปแล้วมึงคบกับไอ้เด็กหน้าขาวนั่นจริงๆ เหรอวะ” ยังไม่หยุดถามอีก สงสัยอยากเจอหมาขั้นแอ๊ดวานซ์

   “ที่จริงกูก็ไม่ได้อยากตอบหรอกนะ แต่เห็นมึงอยากรู้กูก็จะบอก” ผมกระดิกนิ้วเรียกให้มันมาใกล้ๆ พอมันยื่นหูมาผมก็ตะโกนเต็มเสียง “เสือก”

   “ไอ้เหี้ยมู่ หูกู” ไอ้ป๋องหน้าบูดเป็นตูด มันยกมือกดหูตัวเองแล้วเดินแยกไปทันที สมน้ำหน้า อยากยุ่งเรื่องคนอื่นดีนัก

   ผมหัวเราะกับตัวเองเมื่อเพื่อนตัวกวนไปแล้ว มือก็หยิบนั่นหยิบนี่ ก่อนจะมีเท้าคู่หนึ่งมายืนตรงหน้า อยู่ๆ หัวใจก็เต้นคึกโครมจนแทบจะโดดออกมา ผมค่อยๆ ไล่มองจากรองเท้าขึ้นไปเรื่อยๆ จนเห็นหน้าขาวที่ยืนมองพร้อมรอยยิ้ม

   “ขอน้ำแก้วหนึ่งครับพี่ม่าน”

   “เออ”

   ไม่ใช่ไอ้คนที่ชอบก่อกวน แต่เป็นเด็กรุ่นน้องในคณะ ผมรีบหยิบน้ำในกระติกยื่นให้ พอได้มันก็ยกมือไหว้แล้วเดินไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนของมัน พอไม่ได้ห้อยป้ายชื่อ ผมก็ไม่รู้จัก ยิ่งสมองมีความจำสั้นอยู่ด้วย นี่ถ้าใส่เมมการ์ดได้คงต้องหาซื้อที่ความจำเยอะๆ หน่อย

   การแข่งขันฟุตบอลนัดรองชนะเลิศเริ่มต้น เสียงเฮ เสียงกลองก็ดังไปทั่วสนาม ผมยืนลุ้นอยู่กับเพื่อนตัวเอง มันแหกปากเหมือนถูกเหยียบหาง ทั้งที่ผมก็ควรเป็นแบบนั้น แต่คราวนี้กลับยืนมองเฉยๆ รู้สึกแปลกกับตัวเองที่เป็นอยู่

   “เชี่ย” เสียงสบถจากไอ้จ๊อดทำให้ผมสนใจเกมส์ ถูกนำไปแล้วหนึ่งประตู ลำบากแล้วคณะผม แต่เวลายังไม่หมด ชัยชนะยังคงรออยู่

   ผมพยายามตัดเรื่องกังวลใจทิ้งไป แล้วสนุกสนามกับเกมส์กีฬาตรงหน้า เริ่มแหกปากไปกับไอ้จ๊อด แล้วเรื่องไอ้เม่นก็หายไปจากหัวเมื่อคณะผมเตะเข้าตาข่ายไปเป็นลูกที่สอง นำหน้าคณะศึกษาแล้วเว้ย สุดท้ายเสียงนกหวีดเป่า คณะผมก็ลอยลำรอวันชิง ผมกระโดดกอดไอ้จ๊อดจนตัวลอย ปีนี้จะเป็นปีของคณะเกษตรของผม เห็นไหม ไอ้ม่านไม่ได้โม้
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 4<< Up!! // [19/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-11-2016 21:10:27
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 4<< Up!! // [19/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-11-2016 02:05:03
ตื้อเข้าไปเดี๋ยวพี่ม่านต้องใจอ่อนกันบ้างแหละ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 4<< Up!! // [19/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 20-11-2016 14:39:24
รุกหนักๆเขัานะเม่น ม่านใกล้จะใจอ่อนแล้วอีกนิด :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 5<< Up!! [P.2] // [20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 20-11-2016 16:35:57

5
[Re-write : 05/02/60]



       “กูนัดมึงกี่โมง” โดนครับ โดนไอ้อัธใส่รัวๆ ตั้งแต่ผมเปิดประตูห้องให้มันเข้ามา มันบ่นยิ่งกว่าพ่อแม่ผมอีก ชอบความสะอาดเป็นที่หนึ่ง แต่มันดีอย่างคือ ปากบ่น มือมันก็ตามเก็บเศษซากของๆ ผมลงถังขยะ ซึ่งมันทำแบบนี้กับเพื่อนทุกคน อย่าคิดอื่นไกล

   “ก็วันนี้วันเสาร์” ผมสะบัดกางเกงยีนส์ตัวโปรดแล้วสวมเข้าที่ขา

   “มึงไม่อาบน้ำเหรอวะ” คุณชายขี้บ่นเริ่มอีกแล้ว

   “กูอาบเมื่อคืนแล้ว” ไอ้อัธส่ายหน้ารัวๆ แต่ผมไม่สน ตอนนอนไม่ได้ทำอะไรก็นอนเฉยๆ ตอนเช้าจะอาบน้ำทำไมเล่า เปลืองน้ำเปล่าๆ “พวกพี่เขาไปที่ห้องแล้วเหรอวะ”

   “ยัง แต่เดี๋ยวกูว่าจะไปซื้อของเข้าไปด้วย” คุณชายขี้บ่นเก็บของเสร็จก็ทิ้งตัวนั่งบนเตียงเตี้ยๆ ของผม “ผ้าปูมึงซักบ้างหรือเปล่าวะ”

   “มึงไม่เมื่อยปากเหรอวะ บ่นตลอด”

   “ก็เพราะพวกมึงทำตัวให้บ่น ว่าแต่ กูได้ยินมาว่า มึงรับช่วงต่อเด็กจากไอ้กลอยเหรอวะ” ตาโตหลังจากได้ยินคำถาม

   “รับช่วงเหี้ยอะไร เอาที่ไหนมาพูด” ถามกลับเสียงสูง ข่าวแม่งผิดเพี้ยนไปหมด

   “กูรู้ก็แล้วกัน” ผมคงลืมความสามารถของว่าที่ทนายคนเก่ง ไอ้นี่หูตากว้างไกล อะไรก็รู้ไปหมด

   ไอ้อัธแวะซื้อของสดที่ตลาด ผมเป็นลูกหิ้ว มีหน้าที่หิ้วครับ ส่วนคุณชายท่านก็เลือก ดูเถอะ หากเอาของพวกนี้ไปถึงห้อง ต้องถูกไอ้กลอยด่าแน่ เพราะมันต้องเป็นคนทำ เพื่อนผมทำกับข้าวโคตรอร่อย ไม่อยากจะโม้ 

   เลือกของเสร็จก็ตรงดิ่งไปคอนโดหรูของพี่โช ช่วงรถติดไฟแดง เสียงข้อความมือถือผมดัง รีบควักออกมาดู ก็เป็นคนที่หายไปนั่นแหละครับ มันส่งมาถามว่ากลับกี่โมง...ผมจะกลับกี่โมงดีวะ แม้จะไม่รู้ แต่ก็พิมพ์บอกว่าดึก ไม่รู้ดึกเท่าไหร่ ตอบดึกไว้ก่อน ไอ้เม่นอ่านแล้วไม่ตอบอะไรอีก

   “กวนตีน”

   “ด่ากูเหรอ”

   นี่ผมเผลอคิดดังไปเหรอ ไอ้อัธหันมาทำหน้าฉงน แต่ผมส่ายหน้าให้ไป มันเลยหันไปสนใจถนนต่อ ฝ่ารถติดอยู่นานจนถึงที่หมาย ผมกอบถุงของสดลงจากรถแล้วเดินตามคนออกเงิน ไอ้อัธแม่งเดินตัวปลิวไม่มีรอ จะบ่นก็ไม่ได้เดี๋ยวถูกสายตาโหด

   ประตูห้องเปิดออก เจอหน้าไอ้กลอยยู่โผล่มา มันคงเห็นถุงในมือถือนั่นแหละ ผมเดินเข้าไปคนสุดท้าย ในห้องมีเพื่อนของพี่โชเต็มห้อง ทุกคนสายตึ๊ดทั้งนั้น ยังมีไอ้ทู เพื่อนอีกคนที่เรียนคณะเดียวกับไอ้กลอยนั่งกินองุ่นสดๆ อยู่ข้างแฟนมัน

   “มาช้านะพวกมึง” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ร่วมสถาบันทุกคน แม้พวกพี่เขาจะดูเฮฮา แต่เวลาโหดเอาเรื่องสุดๆ อย่าได้คิดจะมีเรื่องทีเดียวเชียว

   ผมนั่งข้างไอ้อัธที่ได้แก้วบรรจุน้ำสีอำพันใส กลิ่นหอมจนน้ำลายจะไหล พอได้ปุ๊บก็ซัดไม่ยั้ง หากไอ้กลอยไม่ดึงแก้วของผมออกก่อน

   “มาถึงก็ซัดเลยนะมึง” ไอ้นี่ชอบขัด มันถูกจำกัดการดื่มจากแฟนมัน

   “เรื่องของกูไอ้เชี่ยกลอย” ด่ามันไป แต่มันกลับยื่นหน้ามากระซิบข้างๆ หู

   “วันนี้วันเกิดไอ้เม่น” เสียงกระซิบเบาๆ แต่แช่แข็งผมได้

   “เรื่องของมัน” ผมแย่งแก้วเหล้าในมือเพื่อนมาถือ อย่ามีพิรุธให้ไอ้กลอยเห็น มันเป็นพวกเซ้นส์ดี (ในเรื่องของคนอื่น)

   “ขอให้จริง” มันจ้องผมนิ่ง ก่อนจะแยกออกไปทำกับแกล้มต่อ

   มิน่า มันถึงถามว่าวันนี้ว่างหรือเปล่า แล้วผมจะมากังวลเรื่องวันเกิดของมันทำไมเนี่ย

   แม้จะบังคับไม่ให้คิด แต่การยกแก้วของผมช้าลงไปมาก เสียงเพลงเพี้ยนๆ ยังไม่เข้าหู แม้ภาพรุ่นพี่ใส่วิกโยกหัวร้องเพลงช้าก็ไม่ทำให้ผมขำอย่างคนอื่นๆ ตอนนี้ในสมองไม่รู้มีข้อความอะไรมากมายไปหมด ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองหันไปดูนาฬิกาบ่อยแค่ไหน แต่ที่รู้ๆ คือ เข็มวินาทีแม่งโคตรเดินช้า เดินไม่พ้นเลขห้าสักที

   “มองขนาดนั้น มึงกลับเลยไหม” เสียงไอ้กลอยลอยมาเข้าหู ผมหันไปมองเพื่อนตัวเองที่มานั่งซ้อนหลัง มือมันถือยำวุ้นเส้นหอมๆ มาด้วย

   “กลับเชี่ยไร กูเพิ่งมา” แถไปให้สุด ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ทำเป็นสนใจเสียงเพลงเพี้ยนๆ ทั้งที่ไม่เข้าหูเลย นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย

   สุดท้ายก็ทนไม่ไหว นาฬิกาบอกเวลาเกือบจะสี่ทุ่มครึ่ง นี่ผมนั่งกระวนกระวายมากี่ชั่วโมงวะ ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยไอ้เชี่ยม่าน ผมสะกิดบอกไอ้อัธที่สติเริ่มไปบ้าง มันพยักหน้ารับรู้และยิ้มเหมือนรู้ทัน ไอ้เชี่ยนี่น่ากลัว ผมย่องออกจากห้องโดยที่ทุกคนไม่สนใจเพราะมัวแต่อุดหูให้กับเพลงเพี้ยนๆ

   ออกจากห้องผมก็รีบลงไปโบกแท็กซี่หน้าคอนโค ยังดีที่รถแถวนี้จอดรับตั้งแต่คันแรกที่โบก ลุงคนขับยิ้มตาหยีเมื่อผมนั่ง รถแท็กซี่ขับมุ่งตรงไปยังหอพักของผม ตอนแรกคิดจะไปหาไอ้เจ้าของวันเกิด แต่ไม่รู้บ้านมันอยู่ไหน อยากจะหัวเราะเยาะตัวเองดังๆ ออกมาโดยไม่รู้จะไปหามันที่ไหน

   รถแท็กซี่เหลืองเขียวจอดหน้าหอพักในเวลาเกือบๆ จะห้าทุ่มครึ่ง ผมเดินเลยไปอีกหน่อยเพื่อไปร้านสะดวกซื้อ อยากได้อะไรมาดื่มให้กับความโง่สักหน่อย ประตูร้านเปิดพร้อมกับเสียงทักทายของพนักงานคนสวย ผมเลือกของลงตะกร้าแล้วเดินมาจ่ายเงิน พนักงานคนสวยมองผมยิ้มๆ จนน่าสงสัย

   “กินเบียร์กับเค้ก ระวังเมานะคะ” อ่อ ที่แท้ก็ห่วงผมนี่เอง ทุกครั้งเวลาผมมาแล้วเจอน้องเขา ผมมักจะหยอกเอินนิดๆ หน่อยๆ แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์

   “หืม” พอได้ยินเสียงทัก ผมก็ยื่นหน้าไปดู เอ่อว่ะ ผมเผลอหยิบเค้กมาตอนไหนวะ “พอดีอยากเมา พี่คอแข็ง” พูดไปงั้น ทั้งที่จริง คอผมก็ไม่ได้แข็งมากเท่าไหร่

   ผมเดินหิ้วถุงกลับหอพัก หยิบมือถือมาดูก็ไม่มีข้อความอะไรมาอีก สงสัยมันไปกินกับครอบครัวไม่ก็เพื่อน ไอ้ม่าน มึงกำลังเพี้ยน มึงต้องตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งเป็นคนใจอ่อน ผมเดินลากขาขึ้นห้อง พอถึงชั้นของตัวเอง ผมเห็นก้อนกลมๆ นั่งขดอยู่หน้าประตูห้อง นี่ไอ้เด็กห้องข้างๆ ทะเลาะกับแฟนแล้วมานอนข้างนอกอีกแล้วเหรอวะ เป็นแบบนี้ประจำจนคนทั้งชั้นเอือมระอา เดินไปจนถึงหน้าห้อง ลองสะกิดดูเพื่อให้มันขยับ แต่พอเงยหน้าจากเข่าทำเอาของในมือเกือบร่วง

   “มึง...”

   “พี่ม่านมาแล้วเหรอ” ไอ้เม่นขยี้ตาตัวเอง ปากก็อ้าหาววอดๆ

   “มึงมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามพลางหันซ้ายหันขวา มันขึ้นมาบนนี้ได้ยังไงวะ จะขึ้นมาต้องมีบัตร

   “ตั้งแต่เย็นแล้ว”

   “ตอนเย็นเหรอวะ นั่งไม่ไปไหนเลยเนี่ยนะ” ไอ้เม่นพยักหน้าช้าๆ มันพยายามจะยืนแต่ขาคงถูกเหน็บกิน ใบหน้าขาวมันบิดเบี้ยวมือพยายามจับประตู จับกำแพง “มึงบ้าไปแล้ว” ผมว่า มือก็ยื่นไปให้มันจับ ไอ้เม่นมองมือผมก่อนมันจะคว้าแน่น

   “ก็ไม่รู้ว่าพี่จะกลับกี่โมง”

   “กูบอกดึกๆ ไง”

   “แต่ผมอยู่หน้าห้องพี่แล้วตอนถาม”

   “มึงโคตรโง่ว่ะ” ด่ามันก่อนเปิดประตูห้อง ไอ้เม่นเกาะไหล่ผมเพื่อเป็นหลัก ขามันคงชาไร้เรี่ยวแรง ทำให้ผมต้องก้าวขาช้าๆ “แล้วกินข้าวหรือยัง”

   “ยัง”

   “โง่จริง”

   “อย่าด่าผมสิ” เสียงเล็กๆ ดังอยู่ด้านหลัง ผมส่ายหน้าให้ไอ้เด็กโง่ “งานเลี้ยงเขาเลิกแล้วเหรอ พี่ถึงกลับมา”

   “เออ” โกหกไปนิดๆ เพราะกลุ่มนั้นถ้าไม่เมาจนหลับก็ไม่มีทางหยุดหรอก “ห้องกูมีแต่บะหมี่ กินได้หรือเปล่า”

   “กินได้ทุกอย่าง ผมกินง่าย เลี้ยงง่าย” เกลียดรอยยิ้มพร้อมตาหยีของมันซะจริงๆ

   ผมเสียบปลั๊กไฟต้มน้ำให้ ไอ้เม่นนั่งสำรวจห้องผมเงียบๆ ดีที่ไอ้อัธมันเก็บกวาดตอนเช้า ห้องเลยสะอาดเอี่ยม ผมวางถุงที่ซื้อมาบนโต๊ะ ไอ้เม่นคงไม่สังเกตว่าของในถุงมีอะไร พอมันได้บะหมี่ปุ๊บก็รีบตักกิน ทั้งที่เส้นมันยังไม่สุกซะด้วยซ้ำ คงจะหิวจริงๆ
 
   “ระวังติดคอนะเว้ย” วางน้ำไว้ให้ด้วย ไอ้เม่นเหมือนจะพูดแต่ปากเต็มไปด้วยบะหมี่ “มึงมันโง่จริงๆ” อดไม่ได้ที่จะด่าอีกรอบ มองคนกินบะหมี่จนหมดไม่เหลือแม้แต่น้ำ ไอ้เม่นลูบท้องตัวเองนิดๆ แล้วเรอออกมา มันขอโทษขอโพยแล้วหัวเราะแหยๆ

   “พี่ซื้ออะไรมาเหรอ” ผมรีบคว้าถุงมาถือก่อนที่มือใหญ่ของไอ้เม่นจะจับ ดูมันตกใจนิดๆ ด้วย “ขอโทษ ผมไม่ได้...”

   “กูไม่ได้หวง” รีบแก้ตัวเพราะเห็นหน้าหงอยๆ นั่น “ก็แค่...” สายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่เกือบจะเที่ยงคืน “อะ” สุดท้ายก็หยิบออกมาวางบนโต๊ะ

   “เค้ก?” ไอ้เม่นมองเค้กที มองหน้าผมที

   “เออ” ทำไมรู้สึกแปลกๆ วะ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มที่ค่อยๆ กว้างของไอ้เด็กตรงหน้า ก็อดจะยิ้มตามไม่ได้

   “พี่รู้ด้วยเหรอ ว่าวันนี้เป็นวันเกิดผม” ผมเห็นดวงตาของไอ้เม่นมีน้ำใสๆ เอ่อคลอขึ้น “โคตรดีใจว่ะ”

   “อย่าเว่อร์ได้ป่ะ” ทำหน้าไม่ถูก มือไม้ก็ดูเกะกะไปหมด

   “พี่ม่าน...”

   “อย่าร้องไห้นะมึง”

   “พี่ม่าน...”

   “ไอ้เชี่ยเม่น” ห้ามไปก็เท่านั้น ไอ้เม่นน้ำตาไหลลงมาแล้ว มันวางเค้กบนโต๊ะแล้วโผเข้ามากอดผมแน่น ไม่ว่าจะตบมันยังไงมันก็ไม่ปล่อย “หายใจไม่ออกเว้ย”

   “ผมดีใจ” ไอ้เม่นยอมผละออกมา หน้ามันมีแต่คราบน้ำตา แม่งโคตรเด็กว่ะ “เค้กก้อนแรกเลยนะ”

   “เว่อร์ มันก็แค่อันถูกๆ ป่ะว่ะ”

   “แค่บาทเดียวผมก็ดีใจ พี่ซื้อให้ผมอะ”

   “โอ้ย ไอ้เม่น” เอาอีกแล้ว มันกอดผมอีกแล้ว “จะได้กินไหมเค้ก”

   “กินๆ”

   เค้กกล่องเล็กๆ ถูกเปิด ไอ้เม่นยกเค้กขึ้นอธิฐานทั้งๆ ที่ไม่มีเทียน ตลกดีไอ้เด็กนี่ พอมันขอพรเสร็จก็ใช้ช้อนตักเค้กมาจ่อปากผม

   “อะไร”

   “ให้พี่กินก่อน”

   “มึงเป็นเจ้าของวันเกิด มาให้กูกินทำไม”

   “เพราะพี่เป็นคนสำคัญของผมไง อ้ำๆ”

   ถูกคะยั้นคะยอจนต้องอ้าปากกิน เค้กร้านสะดวกซื้อก็อร่อยดี แม้ไม่นุ่ม หวานเท่าเค้กร้านดังๆ ก็เถอะ พอผมกิน ไอ้เม่นก็จ้วงเค้กเข้าปาก คงจะหิว บะหมี่มันคงไม่อิ่มนั่นแหละ เด็กผู้ชายวัยกำลังโต กินไม่ยั้งแบบนี้แหละ

   “แล้วนี่ ที่บ้านมึงไม่รอแย่เหรอวะ” มองแล้วก็คิดได้ ว่าได้ถามเรื่องไม่น่าถามออกไป คนกินอร่อยก็ค่อยๆ หยุด ไอ้เม่นวางช้อนกับเค้กลงบนโต๊ะ 

   “บ้านผมไม่มีคนรอหรอก” น้ำเสียงอ่อนซะผมอยากตบหัวตัวเอง

   “ขอโทษๆ” ตบบ่ามันไปเบาๆ

   “พ่อกับแม่ของผม จากผมตั้งแต่ผมยังเด็ก” อยู่ๆ ไอ้เม่นก็เล่าเรื่องตัวเองออกมา เอาซะผมปั้นหน้าไม่ถูก เหมือนผมไปกระตุกต่อมเศร้าของมัน แถมวันนี้ยังวันเกิดของมันด้วย “ผมไม่มีใครเลย”

   “แล้วมึงอยู่กับใครล่ะ” ไม่ได้อยากถาม แต่ปากมันออกไปก่อน

   “ตากับยายพาผมไปอยู่ด้วย แต่ก็ไม่เหมือนพ่อกับแม่ พวกท่านสนใจแต่งานที่ทำ ส่วนผม...”

   “พอๆ ไม่ต้องเล่า ชีวิตโคตรดราม่า” ผมไม่อยากให้เด็กมันเศร้าเลยรีบห้าม ไอ้เม่นยิ้มบางๆ ออกมา “กินเค้กให้หมดเถอะ”

   “พี่อวยพรวันเกิดผมด้วยสิ” จากโหมดเศร้ากลายเป็นบทอะไรดี ไอ้เม่นทำตาแวววับจนผมต้องกระพริบตาปริบๆ “นะ อวยพรผมหน่อย”

   “ขอให้มึง...”

   “อย่าพูดไม่เพราะสิ ไม่น่ารักเลย”

   “ไอ้เม่น” ชี้หน้ามันไป

   “ก็มันจริง พี่ออกจะน่ารัก พูดโคตรห้าวเลยว่ะ”

   “ต้องให้พูด คุณ ผม นาย เรา งี้เหรอวะ ประสาทกินพอดี”

   “แค่แทนตัวเองด้วยชื่อ แล้วเรียกผมว่าเม่นก็พอ”

   “ฝันเถอะ”

   “พี่ม่านละก็”

   “จะเอาไหม คำอวยพรเนี่ย” ดูเหมือนจะออกนอกเรื่องไปนาน ไอ้เม่นรีบพยักหน้ารัวๆ “ขอให้มะ...เม่น มีความสุขมากๆ”

   “ขอบคุณครับ” ไม่รู้จะอวยพรอะไร เลยพูดแบบสั้นๆ เจ้าของวันเกิดทำตาเป็นประกาย “คำอวยพรยังไม่ดีใจเท่าที่พี่เรียกชื่อผมว่าเม่น”

   “อย่ามาเว่อร์ ปกติกูก็เรียก”

   “แต่พี่เรียก มึง ไม่ก็ไอ้เม่น แต่นี่เม่นเฉยๆ”

   “มันก็เหมือนกัน”

   “ไม่เหมือน”

   “เออ ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน” ขี้เกียจเถียงต่อ ผมโบกมือปัด “กินไป เค้กมึงน่ะ”
 
   “ครับผม”

   เปิดกระป๋องเบียร์แล้วยกซด มองไอ้เม่นจ้วงกินเค้กอย่างอร่อย จะว่าไป มันก็เหมือนเด็กทั่วไป ต่างมาหน่อยคือมันกำลังหลงผิดมาตามผมนี่ไง สมองมันคงเพี้ยนไปแน่ๆ

   “พรุ่งนี้มึงไม่มีเรียนเหรอ”

   “พรุ่งนี้วันอาทิตย์นะครับ” เอ่อว่ะ ผมลืมไปเลย “พี่อย่ากินคนเดียวสิ” ไอ้เม่นมองมาที่กระป๋องเบียร์ คงหมายถึงผมดื่มคนเดียวละมั้ง

   “ในถุง มึงก็เปิดเอาสิ นานๆ ทีกูจะแบ่ง เชี่ย” ไม่ทันแล้ว ไอ้เม่นดึงกระป๋องในมือผมไปดื่มเรียบร้อย “อะไรของมึงเนี่ย ทำไมไม่เปิดเองวะ”

   “แบบนี้ดีแล้ว” ทำหน้าฉงนมอง

   “ดีอะไรของมึง ลำบากกูต้องเปิดกระป๋องใหม่” หน้างอแล้วเปิดอีกกระป๋อง ไอ้เม่นจ้องหน้าผมแล้วอมยิ้ม “กระป๋องเดียวนะมึง”

   “คืนนี้ผมขอนอนด้วยได้ป่ะ”

   “ไม่ได้เว้ย” รีบปฏิเสธสิ อยู่ๆ จะให้คนอื่นมานอนด้วย

   “แต่มันดึกแล้วนะ” ไอ้เม่นทำปากยู่ ผมหันไปมองนาฬิกากิ๊กก๊อกของตัวเองบนผนัง

   “ดึกที่ไหน มึงไม่เคยเที่ยวเหรอ เวลานี้ผับยังไม่ปิดเลยเถอะ”

   “โห พี่บ้านนอกว่ะ เขาให้ปิดเที่ยงคืน แล้วนี่ก็เลยเที่ยงคืนแล้ว”

   “ทำตัวเป็นเด็กว่ะ”

   “ถึงผมเด็ก แต่ผมรักจริงนะ”

   “พอ อย่าเสี่ยว” รีบยกมือห้ามก่อนจะอ้วกเบียร์ออกมาซะก่อน “นอนก็นอน แต่มึงต้องอาบน้ำก่อนนะเว้ย อย่าทำตัวซกมก”
เหมือนด่าตัวเองชอบกล

   “ครับ ผมจะขัดขี้ไคลให้หมดเลย” ว่าแล้วมันก็เด้งตัวลุกขึ้น

   “แล้วจะไปไหน” ผมถามเพราะมันเปิดประตูห้องออกไป

   “ไปเอาเสื้อผ้า ผมเตรียมมาแล้ว เดี๋ยวมานะครับ” พูดจบมันก็วิ่งฉิวไป ไอ้นี่มันร้ายเว้ย เตรียมเสื้อผ้ามาเรียบร้อย ไม่น่าติดกับเลยให้ตาย

   ไอ้เม่นกลับมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ มันยิ้มยิงฟันหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เออ มันว่าง่ายดีนะ ผมส่ายหน้าช้าๆ แล้วยกเบียร์ขึ้นจิบต่อ ผมทิ้งเพื่อน ทิ้งพี่ เพื่อมาอยู่กับไอ้เด็กนี่เหรอวะ

   “พี่ม่าน ผมอาบเสร็จแล้ว” ไอ้เม่นเดินพันผ้าเช็ดตัวรอบเอวออกมา โชว์แผงอกล้ำๆ ไม่แคร์สายตาของผม

   “มึงอาบหรือวิ่งผ่านน้ำวะ โคตรเร็ว” ว่าจบก็รีบเบนสายตามามองขนมบนโต๊ะ ไม่ได้หื่นหรอก แต่อิจฉา ผมเคยพยายามเล่นกล้ามอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กับข้าวหลังมอไม่เป็นใจผมเลย มันหอมจนผมต้องแวะกินแทบทุกวัน 

   “พี่รีบไปอาบสิ จะได้นอนกัน” พูดโคตรกำกวมไอ้นี่ “ผมหมายถึงนอนหลับ พี่คิดหื่นกับรูปร่างผมอยู่ใช่ไหม” ไอ้เม่นแกล้งยกมือปิดหน้าอกสองข้าง หน้าตาโคตรกวนบาทา

   “หื่นกับผี หุ่นก็งั้นๆ” วางกระป๋องเบียร์แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ไอ้เม่นหัวเราะตามหลังมา ผมเลยแจกนิ้วกลางให้มันไป กวนตีนได้โล่

   ใช้เวลาอาบน้ำนานพอสมควร ปกติผมก็อาบนานนะครับ แต่วันนี้สระผมด้วยเลยนานไปหน่อย น้ำอุ่นไหลตั้งแต่หัว ความร้อนพอดีทำให้ผมชอบอยู่ใต้น้ำนานๆ กว่าจะออกมา ไอ้คนบนเตียงก็หลับปุ๋ยไปซะแล้ว เดินเอาผ้าไปตากที่ระเบียง พอลื่นประตูปิดก็เจอสายตาใสมองมา

   “อาบนานจนหลับไปตื่นหนึ่งแหน่ะ” ไอ้เม่นนอนตะแคงใช้มือค้ำหัวมองมาทางผม

   “ก็นอนไปสิวะ” ผมเดินไปปิดไฟแล้วสอดตัวลงนอนใต้ผ้าห่มอุ่น แอร์ถูกปรับให้ต่ำลงในยามค่ำคืน “นอนๆ”

   “พี่ม่าน” กำลังจะหลับตา แต่เสียงที่ดังเบาๆ ทำให้ต้องลืมตาตื่น แสงจันทร์ที่ลอดผ่านระเบียงทำให้เห็นหน้าไอ้คนข้างๆ แบบลางๆ “ขอบคุณนะ วันนี้เป็นวันเกิดที่ผมโคตรมีความสุข”

   “อย่าซึ้งๆ นอนครับ” รีบกระชับผ้าห่มแล้วนอนตะแคงหันหลังให้

   “ผมมีความสุขจริงๆ นะ แล้วก็...” จังหวะที่ผมเคลิ้มๆ (เป็นคนหลับง่าย) อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงรัด “คืนนี้ผมขอกอดพี่หน่อยนะ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร” เกือบจะด่าไป แต่น้ำเสียงเหงาๆ นั่นทำให้ผมเออออตกลง คงคิดถึงคนที่มันรักนั่นแหละ

   “พ่อกับแม่ของมึงต้องอวยพรให้มึงมีความสุข เชื่อกู”

   “อืม ผมเชื่อพี่”

   “ถ้าเชื่อก็นอน ก่อนที่กูจะถีบ”

   “ครับๆ ฝันดีนะครับ”

   “เออ ฝันดี แล้วก็อย่ารัดกูแน่น กูหายใจไม่ออก”

   เสียงหัวเราะชิดใบหูรู้สึกสยิวนิดๆ ก่อนคนด้านหลังจะคลายแรงกอดลง แล้วเราก็เข้าจมสู่นิทราในค่ำคืนที่เย็นฉ่ำ (จากแอร์)

   ผมไม่ได้เป็นคนใจอ่อน ใจง่ายนะ แค่วันนี้เป็นวันเกิดของไอ้เม่นแค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ เชื่อผมเถอะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 5<< [P.2] Up!! // [20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-11-2016 17:47:52
 :L2: :pig4: :L1:

มีเขิลๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 5<< [P.2] Up!! // [20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 20-11-2016 18:57:03
หึๆๆๆ ชอบเด็กแล้วล่ะสิ หึๆๆๆ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 5<< [P.2] Up!! // [20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-11-2016 20:34:24
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 5<< [P.2] Up!! // [20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 20-11-2016 22:37:57
ม่านแกเขินรู้ตัวรึเปล่า :katai5:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 5<< [P.2] Up!! // [20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: bluerose ที่ 21-11-2016 00:18:48
เอาแล้วไงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 5<< [P.2] Up!! // [20/11/59]
เริ่มหัวข้อโดย: hyukkiemai ที่ 18-01-2017 22:15:51
อ่านคู่ ฟลอยด์ ต้อม เสด แล้วก็มาอ่านคู่นี้ต่อเลยยยยย
รอคนเขียนมาเขียนต่อนะคะะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 6<< [P.2] Up!! // [08/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 08-02-2017 19:27:14
6




       บริเวณม้านั่งที่เป็นที่ประจำของกลุ่มผม ซึ่งคราวนี้มีคนแปลกหน้ามานั่งเสนอหน้าอยู่ข้างๆ ผมด้วย ไล่ก็ไม่ยอมไป ไอ้เม่นทำตัวติดกับผมอย่างกับปาท่องโก๋ หลังจากวันเกิดมันเมื่อวันเสาร์ วันอาทิตย์มันก็อยู่ห้องผม มาวันนี้อีก มันบอกไม่มีเรียนไม่รู้เรื่องจริงหรือเปล่า

   “มันมากับมึงได้ไงวะ” รีบหันไปมองไอ้มีนที่มันยื่นหน้ามากระซิบ เพื่อนผมมันเหล่ไอ้เด็กปีหนึ่งต่างมหาลัยตั้งแต่หย่อนก้นนั่ง พวกมันก็อยากพูด อยากว่า แต่ติดตรงที่มีปีหนึ่งนั่งแถวนี้ด้วย ขืนทำอะไรไปอาจจะดูไม่คีพลุคฐานะพี่ว๊าก (ที่ใกล้จะหมดวาระ)

   “มันนอนกับกูมาสองวันละ” ผมบอกปุ๊บ ไอ้มีนก็แทบแหกปาก ดีที่ผมคว้าไว้ทัน แม่ง “จะตะโกนทำห่าอะไร”

   “อื้อๆๆๆ”

   “กูไม่เข้าใจ”

   “มึงก็ปล่อยมือออกจากปากมันสิวะ” อีแน่วใช้ไม้บรรทัดตีเข้าที่มือผม “ว่าแต่ ใครนอนอะไรวะ” หน้าขาวของสาวหนึ่งเดียวในโต๊ะยื่นมาซะกลางวง

   “นอนเชี่ยไร ไม่มี” ผมรีบปัด

   “ก็ไอ้มู่มันแรด เอาไอ้เด็กนี่ไปนอนด้วย” โดนครับ ไอ้มีนโดนผมตบหัวเต็มฝ่ามือ “กูเจ็บ”

   “ก็มึง...”

   “นี่มึงเสียตัวให้ไอ้นี่ไปแล้วเหรอวะ” ผมกำลังจะแก้ข้อมูลที่ถูกบิดเบือน ไอ้เกมส์กลับแทรกขึ้นมา

   “ทำไมใจง่ายงี้วะเพื่อนกู” อีแน่วก็เข้าร่วม

   “ลีลาเพื่อนกูเด็ดไหมวะ” สุดท้ายไอ้เหี้ยเจที่หันไปถามไอ้เม่นแทน นี่ถ้ามันนั่งใกล้มือผมอีกสักหน่อย มีเลือดแน่นอน

   “ผมกับพี่ม่านยังไม่ได้ จุดๆ กันครับ” แทบอยากจะปรบมือให้ไอ้เม่นที่มันบอกความจริง “แต่อีกไม่นานหรอก ผมมั่นใจ” จัดไปอีกดอก ตบเน้นๆ กลางกบาลจนหน้าผากมันโขกกับโต๊ะ

   “ไม่มีวันนั้นเว้ยไอ้เชี่ยเม่น อย่าคิดๆ” ชี้หน้าคาดโทษ มันก็รีบกระพริบตาปริบๆ เอานิ้วจิ้มๆ ตามแขนของผม “อะไรของมึง”

   “อย่าโกรธเม่นสิ” ไอ้เม่นช้อนตามองผมได้โคตรน่าหมั่นไส้ “นะๆ” มีกระพริบตาด้วยว่ะ

   “เออๆ ไม่ได้โกรธ” ขมวดคิ้วบอกมันไป

   “จริงนะ” บางทีท่าทางดีใจเหมือนเด็กตัวเล็กๆ แล้วได้ของเล่น ก็ทำให้ผมเผลอยิ้มได้เหมือนกัน...หากไม่ติดตรงที่ว่า มีสายตาหลายคู่จ้องมอง

   “แหม สวีทไม่เกรงใจพวกกูเลยไอ้ห่ามู่” ผมส่ายหน้าให้กับคำล้อของเพื่อน ต่างจากไอ้เม่นที่ยิ้มรับนิ้วโป้งของเพื่อนผม

   วันนี้พวกผมไม่มีเรียน ใจจริงอยากจะนอนกินบ้านกินเมือง แต่เพราะฟุตบอลของผมชิงวันนี้ ผมเลยลากพวกไอ้เจมามหาลัยด้วย รวมทั้งไอ้เม่นที่เกาะติดผมอย่างกับปลิง ไอ้นี่ไม่ต้องไปดูอดีตชาติที่ไหน มาถามผมได้เลยว่าเมื่อก่อนมันเกิดเป็นอะไร

   แสตนเชียร์สองคณะเต็มไปด้วยนักศึกษาที่คาดผ้าสีประจำคณะกับอุปกรณ์เชียร์ ส่วนผมเดินนำพรรคพวกมาข้างสนาม เพราะไม่อยากทำให้รุ่นน้องหมดสนุกเมื่อมีพี่ว๊ากนั่งอยู่ด้วย ผมทักทายไอ้จ๊อดที่คุยแผนกับรุ่นน้องเสร็จ มันเดินมาใกล้พร้อมทำหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่าง

   “ไหนบอกไม่มีอะไร แต่พามาเปิดตัวเนี่ยนะ”

   “ก็ไม่มีอะไร เด็กมันอยากดู”

   พยายามไม่สนใจไอ้จ๊อดที่ทำหน้าทำตาล้อเลียน เมื่อเห็นผมนิ่งมันเลยเดินไปทักทายพวกไอ้เจแทน แต่ก็ยังเหล่ตามองเด็กต่างมหาลัย วันนี้ไอ้เม่นแต่งชุดธรรมดาครับ กระเป๋าเสื้อผ้าที่มันเตรียมมาเมื่อวันเสาร์ มีชุดที่สามารถใส่ได้เป็นอาทิตย์ มันเตรียมพร้อมเกินไปนะผมว่า แล้วผมก็ใจอ่อนเกินไปเหมือนกันที่ให้มันอยู่ด้วย

   เมื่อถึงเวลาลงสนาม พวกผมเรียกนักฟุตบอลปีหนึ่งรวมพลัง เสียงเรียกกำลังใจดังลั่นสร้างความฮึกเหิมสุดๆ ผมเดินไปยืนชิดขอบสนามแต่กลับถูกมือขาวลากกลับเข้ามายืนในเต็นท์ แต่ยืนแป๊บเดียวผมก็ออกไปยืนข้างนอก แล้วก็ถูกลากเข้ามาอีก

   “อะไรของมึงเนี่ย กูจะไปเชียร์ข้างสนาม” หันมาแหวไอ้เม่นที่มันไม่ยอมปล่อยแขน

   “ตรงนั้นแดดมันร้อน พี่ยืนในเต็นท์นี่แหละ” ไอ้เม่นทำหน้าตาจริงจังเหมือนเสียงของมัน พวกที่เฮฮาในเต็นท์ถึงกับเงียบกันหมด

   “กูรุ่นพี่มึงนะ” ไม่ยอมหรอกนะเฮ้ย

   “ผมรู้ว่าพี่แก่ ถึงเป็นห่วงนี่ไง”

        มันด่าผมหรือเปล่าวะ

   ผมกำลังจะอ้าปากเถียง ไอ้เจเดินมาตบบ่าเบาๆ เรียกสายตาของผมกับไอ้เด็กเม่นให้หันไปมอง

   “ทำตามเหอะ” ผมถลึงตาใส่เพื่อนที่เข้าข้างคนอื่นมากกว่าเพื่อน “ที่กูบอกแบบนี้เพราะมันดูเป็นห่วงมึงจริงๆ” แทบอยากขยี้หูเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าตาจริงจัง

   “นี่มึงคือไอ้เจเพื่อนกูจริงๆ ใช่ไหม” ถามไปเลยถูกตบหัวเน้นๆ ไอ้เม่นเห็นก็ทำตาโตรีบยกมือมาลูบตำแหน่งที่ถูกตบ “มึงทำอะไรเนี่ย”

   “ก็พี่เจตบโคตรแรง” นี่ไม่ใช่คำตอบที่ผมอยากได้ ประเด็นคือคนในเต็นท์เริ่มไม่สนใจเกมส์ในสนาม ทุกสายตาพุ่งมาที่ผมทั้งนั้น

   “มึงอย่าสปอยด์ไอ้มู่นักเลย เดี๋ยวมันได้ใจไอ้ห่า” ไอ้เจส่ายหน้าเอือมก่อนเดินกลับไปนั่งที่เดิม เหลือแค่ผมที่ถูกมือขาวลูบหัวอยู่จนแทบเคลิ้ม ถ้าเกาคางด้วยไอ้ม่านก็หมาเลยนะครับเนี่ย

   ผมเดินตามแรงจูงมานั่งข้างเพื่อนตัวเอง อีแน่วเกือบอ้าปากแซวแต่ถูกผมขู่ทางสายตามันเลยรีบงับปากไปซะก่อน แต่ก็ห้ามสายตาสอดรู้ของผู้คนไม่ได้หรอกครับ แทบอยากตะโกนให้สนใจฟุตบอลไม่ใช่ผม โธ่

   เกมส์ในสนามเริ่มดุเดือด ความเงียบค่อยๆ หายไป รอบตัวผมมีแต่คนโวยวายโวกเวก บ้างก็ออกไปยืนชิดขอบสนาม ขนาดไอ้มีนกับไอ้เกมส์ยังไปกอดคอกันด้านนอก ส่วนผมแค่ลุกขึ้นก็ถูกมือดึงให้นั่งลง ไอ้เม่นไม่ได้ดั่งใจเลยว่ะ แต่พอปีหนึ่งฝั่งผมไปป้วนเปี้ยนหน้าประตูอีกฝั่ง คราวนี้ผมพุ่งพรวดจนไอ้เด็กข้างๆ คว้าไม่ทัน

   “ยิงเลยๆ” ผมตะโกนสุดเสียงไปพร้อมคนอื่น “ยิงแล้วๆ ไอ้เชี่ย”

   เต็มๆ ตาข่ายเลยครับ ไอ้เด็กเบอร์สิบยิงเต็มข้อเท้าเข้าไปแล้ว ผมกระโดดโลดเต้นกอดคอไอ้เกมส์ แต่มันดันหน้าผมออกแล้วกอดกับไอ้มีนแทน ผมโดนเพื่อนทำร้าย

   “กูเจ็บนะเว้ย” ผมว่า ไอ้เชี่ยเกมส์มันผลักไม่เบามือ เล่นคอผมเกือบเคล็ด

   “นู้น ของมึง” ไอ้มีนชี้ไปที่เต็นท์ “มองตาแทบถลน ไอ้ห่า”

   ไอ้เม่นทำหน้านิ่งยืนพิงเสาเหล็ก มันยกแขนขึ้นกอดอกมองผมด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม หรือผมจะรู้สึกเองคนเดียว แต่ผมไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่บอกให้ได้รู้เฉยๆ ว่าถูกมองแบบนั้น ผมรีบหันไปสนใจเกมส์ในสนามต่อ แม้จะแอบเหล่มองด้านหลังอยู่บ้างบางครั้ง

   พักครึ่งแรก ผมรีบวิ่งไปแบกถังน้ำไปให้นักกีฬา แค่ยกขึ้นก็ถูกมือคนอื่นมาแย่ง พอเงยหน้ามอง คนแย่งคือไอ้เม่น มันถอนหายใจแล้วดึงไปถือเอง ผมขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนเดินนำมันไปที่กลุ่มนักฟุตบอล พอมาน้ำมาถึง ผมก็รีบแจกโดยมีคนยกเดินตาม ที่ต้องรีบเพราะอยากหลบสายตาของเพื่อนกับรุ่นน้อง แจกเสร็จก็กลับเต็นท์

   “พี่จะรีบเดินทำไม เดี๋ยวก็ล้มหรอก ขายิ่งสั้น...”

   “ขากูยาวเว้ย” อยู่ๆ มาว่าผมขาสั้น ผมถลึงตาใส่ไอ้เม่นที่หัวเราะ ผมสูงตั้งหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้านะครับ ไม่เตี้ยเห็นป่ะ “มึงไม่มีการบ้านทำเหรอวะ รายงงรายงานไม่มีให้ทำหรือไง” เริ่มเบื่อมันครับ เห็นหน้ามันจะเลยสี่สิบแปดชั่วโมงแล้วเนี่ย

   “เพิ่งเปิดเรียนไม่นาน ยังไม่มีหรอกครับ ถึงมีผมก็ทำเสร็จแล้ว ไม่ค้างดองเหมือนพี่หรอก” ดูความปากร้ายของมันครับ เห็นรายงานที่ไม่เสร็จของผมสามวิชาแค่นั้นเอง มีข่มเว้ย

   “รายงานมันต้องมีรายละเอียดเว้ย ข้อมูลกูยังไม่แน่นเลยต้องค้างไม่แบบนั้น ไม่รู้จริงนี่หว่า”

   “ข้ออ้างชัดๆ”

   เดินหนีสิครับ ไม่อยากเถียงกับเด็กที่พูดไม่รู้เรื่อง ผมเดินออกไปยืนข้างไอ้จ๊อดที่กำลังบอกแผนการเล่น เด็กปีหนึ่งต่างก็ช่วยกันออกความเห็น ปีที่แล้วไม่ได้แชมป์ก็เพราะไม่มีใครตื่นตัวแบบนี้ เห็นว่าปีนี้คณะผมมีนักกีฬาของจังหวัดด้วยหลายคน ไม่ได้แชมป์ก็บ้าแล้ว


   เกมส์ครึ่งหลังเริ่มขึ้น การต่อสู้ของฝีเท้าโคตรดุเดือด ตอนนี้พลังที่มีต้องใส่ให้สุด ผมแหกปากเชียร์จนเจ็บคอไปหมด จากรูปเกมส์กับการเล่นตรงหน้า นี่มันการแข่งระดับประเทศแล้ว

   “ไอ้เหี้ยๆ”

   สัตว์เลื้อยคลานออกมาเป็นฝูงจากปากพวกผม ขณะลุ้นหนักว่าไอ้ลูกกลมๆ ที่คนแย่งกันมันจะเข้าประตูหรือเปล่า ลุ้นจนขนลุกไปทั้งตัว รีบๆ เตะ ลุ้นจนปวดขี้แล้วเนี่ย

   ปรี๊ด!!!

   เสียงเป่านกหวีดของกรรมการดังขึ้นพร้อมๆ กับลูกสีขาวดำพุ่งเข้าตาข่าย เสียงโห่ร้องดังก้องบริเวณ ผมกระโดดกอดกับไอ้จ๊อดตัวลอย เหมือนๆ กับคนอื่นๆ ที่ดีใจจนลืมทุกอย่าง

   “คณะกูชนะ ไอ้เหี้ย” เสียงแหลมของไอ้จ๊อดดังอยู่ข้างหูเป็นร้อยรอบก่อนมันจะวิ่งไปกอดเด็กปีหนึ่งที่ทวงคืนแชมป์มาให้

   พอสิ้นสุดการแข่งขัน พวกไอ้จ๊อดนัดน้องๆ ปีหนึ่งไปกินเลี้ยงเพื่อฉลองแชมป์ ผมซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานก็ต้องไป ของฟรีแบบนี้ไอ้ม่านไม่เคยพลาดอยู่แล้ว

   “กลับยัง” เสียงลอยมาเข้าหูทำให้ต้องหันหน้าไปมอง “เกมส์จบแล้ว”

   “เกมส์จบ แต่ต้องไปกินเลี้ยงฉลองแชมป์”

   “พี่จะไปเหรอ” อยู่ๆ ไอ้เม่นก็จ้องกดดัน อะไรของมันวะ

   “อะไรของมึงเนี่ย” มองหน้าคนถามอย่างไม่เข้าใจ

   “ก็ผมไม่ชอบ” ขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก ผมกระพริบตามองคนบอกไม่ชอบ

   “ไม่ชอบอะไรวะ”

   “ไม่ชอบที่พี่กอดกับคนอื่น” เกือบหลุดขำ แต่ใบหน้าจริงจังของคนตรงหน้าทำให้ต้องกลั้นอย่างหนัก

   “หึงกูเหรอ” พูดเสร็จไอ้เม่นก็รีบหยักหน้า โคตรตรงต่อความรู้สึกตัวเอง “เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน จะมาหึงกูทำไมเนี่ย”
 
   “ตอนนี้ไม่เป็น แต่อีกไม่นานไง ผมหึงล่วงหน้าไว้ก่อน”

   คนแบบนี้ก็มีแหน่ะ

   “อาการหนักแล้วมึงน่ะ”

   “หนักเพราะพี่นั่นแหละ” ไอ้คนหึงหน้างอ ทำปากยู่ “พี่อยากกินอะไรเดี๋ยวผมพาไปกิน ไม่ต้องไปกับพวกเขาหรอก”

   “นั่นก็เพื่อนกู”

   “แล้วผมล่ะ” ทำไมรู้สึกพูดไม่ออก พอเห็นหน้าตาเป็นหมาหงอยก็ทำให้ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี “พี่ไปกินกับเพื่อนก็ได้” พูดจบก็เดินหนีไปเฉย ทิ้งให้ผมเบิกตาโตมอง

   “อะไรของมันวะเนี่ย” แทบอยากทึ้งผมตัวเองให้ร่วง

   “เด็กมึงงอน” เสียงไอ้เจลอยเข้ามา ผมเหล่หางตามองเพื่อนที่เดินมายืนข้างๆ “ไม่ไปง้อเหรอ”

   “กูต้องง้อเหรอวะ” ถามด้วยความซื่อ เลยถูกตบหัวเน้นๆ

   “จะคบกับเด็ก มึงต้องทำตัวให้เด็กกว่า”

   “แล้วถ้าคบรุ่นเดียวกัน ต้องทำตัวยังไงวะ” ผมลองพูดออกมา ไอ้เจถึงกับเดินหนี หนอย เรื่องมันกับไอ้ดีฟผมยังไม่ได้เค้นเลยนะ

   ผมตบแก้มตัวเองแรงๆ สองทีแล้วรีบเดินตามไอ้เด็กต่างมหาลัยที่งอนเดินหนีจนไม่เห็นตูด รู้ว่าขายาว แต่ทำไมถึงเดินไวอย่างกับหายตัวได้ มองซ้าย มองขวาก็ไม่เห็น หรือจะกลับไปอย่างที่มันบอก

   “พี่มองหาผมเหรอ” เสียงทักแบบไร้ทิศทำเอาผมสะดุ้งโหยง เกือบกระโดดขาคู่ใส่ไปแล้วเพราะนึกว่าผี

   “ไอ้เหี้ย กูตกใจ” ลูบหน้า ลูบอกเรียกขวัญกำลังใจที่ตกไปอยู่ตาตุ่ม “ไหนบอกกลับ” แกล้งถามไป ไอ้เม่นกระพริบตาปริบๆ มอง

   “ก็จะกลับนั่นแหละ”

   “กลับแล้วทำไมมายืนตรงนี้”

   “ก็รอดู เผื่อพี่จะตามมาไง แล้วก็มาจริงๆ ด้วย โคตรดีใจ” ไอ้เม่นยิ้มยิงฟันจนตาหยี

   “มาดีจงดีใจอะไร กูแค่...” เอาล่ะสิ ผมจะพูดอะไรดี แค่อะไรดีวะ “แค่...”

   “แค่อะไร” ไอ้นี่ก็เร่งจังวะ

   “แค่...เอ่อ...แค่อะไรดีวะ” ผมเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกเสียง ไอ้เม่นได้ยินถึงกับทรุดลงไปนั่งขำกับพื้น
 
   หมดกันภาพลักษณ์ของไอ้ม่าน

   “พี่ตลกว่ะ”

   “ยัง ยังไม่หยุดขำกูอีก แค่นี้กูก็จะเอาหน้ามุดดินอยู่แล้ว” ผมรีบหันหลังเตรียมเดินหนี แต่ถูกมือขาว (กว่า) คว้าแขนไว้ “อะไรของมึง” ไม่อยากให้มันเห็นหน้า เดี๋ยวมันจะรู้ว่าผมพยายามกลั้นยิ้ม

   “ซื้อของไปฉลองที่ห้องกันสองคนก็ได้ เนอะ”

   “มานง มาเนอะเชี่ยไร ไม่เว้ย” ปวดแก้มแล้วนะเว้ย
 
   “หมูกระทะดีไหม หรือไก่ทอดดี พี่ว่าอันไหนอร่อย” 

   “ไก่ทอดดิ่ หมูกระทะเบื่อ...เชี่ย” พอมันถาม ภาพไก่ทอดก็ลอยออกมาทำให้เผลอพูด ไอ้เม่นขำแล้วพยักหน้ารับ “เพราะมึงทำให้ภาพพจน์กูเสีย”

   “ผมชอบนะ พี่เป็นตัวของตัวเอง” เบื่อมากกับรอยยิ้มและสายตาแบบนี้ที่มันมองผม เบื่อ โอ้ย เบื่อ

   แล้วทำไมผมต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้มเนี่ย




   สรุปแล้ว ไอ้เม่นก็พาไปซื้อไก่ทอดเซ็ทใหญ่สุดสองเซ็ท ที่ซื้อเยอะเพราะมีกาฝากมาด้วย พวกไอ้เจ ไอ้มีน ไอ้เกมส์มารถอีแน่วครับ พวกมันแยกไปซื้อของมึนเมากันชั้นบน ส่วนผมถูกเด็กพามาซื้อไก่ ระหว่างที่ยืนรอไก่ทอด หันไปเห็นเด็กตัวเล็กกินไอศกรีม ยิ่งพอเห็นผมมองยิ่งแกล้งเลียซะไอศกรีมหล่นพื้น สมน้ำหน้า เอาซะผมอยากกินเลย

   “เดี๋ยวมา” ผมทิ้งให้ไอ้เม่นยืนรอของ ส่วนตัวเองก็ออกไปสั่งไอศกรีมมากินบ้าง และต้องสั่งเหนือกว่าไอ้เด็กเมื่อกี้

   “โห นี่พี่กินอยากกับเด็กว่ะ” พอได้ของที่อยากก็กลับมายืนกินข้างไอ้เม่นเหมือนเดิม เด็กที่กินล่อหน้าล่อตาผมเมื่อกี้มองของในมือผมตาเป็นมัน ก็ของผมมีช็อกโกแลตเคลือบด้วย เจ๋งป่ะล่ะ “ดูดิ่ เลอะปากหมดแล้ว” นี่ไม่ใช่เวลาต้องมาสนใจเสียงบ่นของไอ้เม่น เพราะผมกำลังเยาะเย้ยเด็กที่เพิ่งจะกินหมดไป

   “หึๆ” เผลอหัวเราะเมื่อเด็กนั่นเริ่มเบ้ปาก ไอ้ม่านชนะใสๆ ไม่แน่จริงอย่ามาท้านะ

   “แกล้งเด็ก” ได้ยินเสียงขำในลำคอจากคนข้างๆ ก่อนจะมีมือยื่นมาเช็ดมุมปากของผม จะผละหน้าออกแต่ถูกสายตาดุตวัดมองเลยได้แต่ยืนเฉยๆ ให้มันเช็ด “อายุเท่าไหร่แล้ววะเนี่ย”

   “มึงก็บ่นจังวะ” เช็ดเสร็จผมก็อ้าปากงับไอศกรีมต่อ ลืมสนใจคนรอบข้างจนพนักงานเรียกรับของถึงได้เห็นว่าสายตาเกือบทุกคู่ในร้านมองมา เล่นเอาหมดความมั่นใจ “เขามองอะไรกันวะ” สะกิดถามไอ้เม่นที่ยื่นมือรับของจากพนักงานที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองผม

   “ไม่รู้เหมือนกัน” ไอ้นี่ขี้จุ๊แน่ ผมว่ามันต้องรู้ว่าเพราะอะไรแต่ไม่ยอมบอก “ไปเถอะ พวกพี่เจซื้อของเสร็จแล้วมั้ง” ไอ้เม่นเอ่ยชวน มันยื่นมือมาจับมืออีกข้างของผมแล้วจูงออกนอกร้าน

   “จับทำไมเนี่ย” เริ่มรู้สาเหตุนิดๆ แล้วล่ะ พอไอ้เม่นจับปุ๊บ คนในร้านก็สะกิดเพื่อน พี่ น้องให้ดูทันที

   “ก็เดี๋ยวเดินชนนั่นชนนี่ไง พี่กินไอศกรีมไปเถอะ” จ้องหน้าไอ้เด็กขี้บ่น “อะไร”

   “ขอบใจ” แล้วผมก็ก้มหน้ากินไอศกรีมอย่างอร่อย เดินจะชนอะไรก็จะถูกมืออีกคนดึงหลบ รู้สึกปลอดภัยจริงๆ อย่างที่มันบอก

   ซื้อของเสร็จ พวกเราก็ขับรถตามกันมาที่ห้องของผม พอไอ้พวกเพื่อนตัวดีเข้าประตูห้องปุ๊บ พวกมันก็ทำตาโตมองไปรอบๆ ไอ้เกมส์ใช้นิ้วปาดไปตามตู้ ตามโต๊ะแล้วหันมามองหน้าผม

   “นี่ห้องมึงจริงๆ เหรอเนี่ย” ดูมันถาม

   “ก็ห้องกูน่ะสิ จะห้องคนหล่อที่ไหนอีก” ตอบพร้อมยืด

   “มึงไม่ต้องตกใจ กูว่า ห้องสะอาดเพราะเด็กมันทำ ใช่ไหม” ไอ้มีนถามไอ้เม่นที่เดินเอาของไปใส่จาน แล้วพอได้คำตอบคือพยักหน้า พวกเพื่อนเลวต่างก็พากันหัวเราะแล้วยกนิ้วโป้งให้ “มึงตามใจมันเกินไปไอ้เม่น เดี๋ยวเพื่อนกูก็เป็นง่อย”

   “ไอ้เชี่ยมีน” ตะโกนด่าพร้อมชี้นิ้วใส่หน้า

   “ไม่ต้องมาขึ้นเสียง แหม พาเด็กมาซุกหอพัก ร้ายนะมึง” แล้วพวกมันก็หัวเราะกันอีกรอบ

   “ไอ้เชี่ยเม่น คืนนี้มึงกลับบ้านมึงเลย” เล่นเพื่อนไม่ได้ ก็เล่นไอ้เม่นแทน มันทำหน้าเหวอแล้วส่ายหัวรัวๆ

   “ว่าแต่ พวกมึงสองคน...” ผมกับไอ้เม่นมองหน้าสาวหนึ่งเดียวในห้อง อีแน่วถามพร้อมชูสองนิ้วเกี่ยวกัน อะไรของมันวะ และคงเห็นว่าผมทำหน้างง มันเลยพูดออกมาตรงๆ “กูลืมไป ว่าไอ้มู่มันโง่...ได้กันยัง”

   “ได้พ่อง” ตอบแบบไม่ต้องคิด

   “นี่เพื่อนกูเวอร์จิ้นอยู่หรือนี่ ไอ้เม่น มึงช่างเป็นสุภาพบุรุษ” อีแน่วตบบ่ารุ่นน้องที่มันยิ้มรับคำชม

   “แต่กูว่า ป๊อดว่ะ” คำชมมลายหายไปเมื่อไอ้เจขัด

   “ไม่ต้องเสี้ยมไอ้ห่า” ผมเอาถั่วทอดปาใส่หน้าไอ้เจ มันเลยหัวเราะออกมา “มันกับกูยังเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเว้ย”
 
   “รอผมจีบติดเมื่อไหร่ ค่อยขยับ” ไอ้เม่นว่า พลางยกแก้วขึ้นชนรอบวง

   “ขยับอะไรวะ ขยับขั้น หรือขยับเอว โอ้ว ซี๊ด” ในเมื่ออยากซี๊ด ผมเลยสงเคราะห์ด้วยการยกขาถีบสีข้างไอ้เกมส์จนมันแทบถลา แต่เหล้าในแก้วกระเฉาะใส่หน้าไอ้เจเต็มๆ

   “หน้ากูหล่ออยู่แล้ว ไม่ต้องการเหล้าพอก ไอ้เชี่ย เสียดายของ” อยากจะขำแต่ยังต้องฟาดฟันสายตาใส่ไอ้มีนที่มันแกล้งผม ทำไมผมถึงสู้ไอ้พวกนี้ไม่ได้สักคน ขนาดอีแน่วผมยังเถียงแพ้ มีไอ้เม่นเข้ามาก็กะจะเป็นผู้ชนะ แต่ก็ยังสู้ไม่ได้ ไอ้ม่านเครียด

   การฉลองชัยชนะให้แก่ฟุตบอลที่ได้ที่หนึ่งมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อเหล้าหมดขวด พวกไอ้เจพากันนอนตามพื้นเพราะออกไปมีหวังถูกจับเป่า ติดคุกโดนปรับระนาวแน่นอน ผมนอนมองรุ่นน้องที่ลุกเก็บกวาดซากทุกอย่างจนสะอาดเกลี้ยง ขนาดคราบน้ำยังไม่เหลือ

   “ได้มึงมาโคตรสบาย” ผมว่า ไอ้เม่นเงยหน้าจากถุงขยะมามองผมพร้อมรอยยิ้ม

   “ผมดีใจที่พี่ชอบ” ว่าจบ มันก็ลุกเอาถุงขยะลงไปทิ้งข้างล่าง

   จะว่าไป มันก็เจ้าระเบียบเหมือนกันนะ ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าเป็น มาเห็นก็ตอนวันที่มันมาอยู่ที่ห้องนี้นี่แหละ ผมได้แต่นั่งมองไอ้เม่นเก็บกวาด ถูเช็ดพื้นจนห้องผมสะอาดแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ดูจากเพื่อนผมยังตกใจที่เห็นห้องสะอาด ผมว่า ไอ้เม่นคงถูกเลี้ยงมาดีพอสมควร

   แต่ผมพูดจริงๆ นะ ได้มันมา โคตรสบายไปทุกอย่าง

   “พี่ไปอาบน้ำก่อนนอนด้วยนะ เมื่อเช้ามีแต่เหงื่อสกปรก เดี๋ยวจะคัน”


   สบายทุกอย่าง ยกเว้นหู


   “มึงนี่ขี้บ่นจังวะ” ถึงจะรำคาญเสียงบ่น แต่ก็ลุกไปอาบน้ำตามที่มันบอก

   “บ่นเพราะห่วงนั่นแหละ พี่ม่าน อย่าถอดกางเกงนอกห้องน้ำสิ โธ่”

   สนไหม ไม่สน ผมเขวี้ยงกางเกงยีนส์กับเสื้อลงพื้น แล้วเดินโชว์กางเกงในลายตัวการ์ตูนเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงบ่นตามมาแต่ไม่สน ผมว่าจะยกไอ้เม่นเป็นแม่คนที่สองแล้วเนี่ย บ่นได้บ่นดี บ่นทั้งวัน


......................................................

หายไปนานมากเรื่องนี้ ต้องขอประทานอภัยจริงๆ ค่า ช่วงที่แต่งมันชนกับคำทำนาย ทายว่าต้องรัก พยายามประคองไปด้วยกันแต่ไม่รอด เลยรีบแต่งเรื่องนั้นให้จบก่อน แต่พอมาเรื่องนี้ อารมณ์ไม่ต่อซะงั้น เลยทำการรีไรท์ใหม่ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อปรับเรื่องให้แน่นขึ้น เพราะตอนเดิมดูเรื่องเดินเร็วไป หากไม่อ่านกลอยเกรียนอาจจะไม่รู้ ตอนนี้ได้ปรับใหม่หมดตั้งแต่แรกเริ่ม หากยังงงๆ ก่งก๊งตรงไหน บอกได้เลยค่า จะรับนำไปปรับปรุงให้ดีมากกว่าเดิม

ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ  :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 6<< [P.2] Up!! // [08/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 08-02-2017 20:59:59
55555 ใครพี่ใครน้องกันแน่เนี่ยยยยย  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 6<< [P.2] Up!! // [08/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angelhani ที่ 08-02-2017 21:15:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 6<< [P.2] Up!! // [08/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 09-02-2017 15:34:17
 o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 6<< [P.2] Up!! // [08/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 09-02-2017 23:26:02
กินเด็กเป็นอมตะ รอวันม่านเป็นอมตะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 6<< [P.2] Up!! // [08/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 13-02-2017 16:55:19
ม่านเสร็จแน่ๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 6<< [P.2] Up!! // [08/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hyukkiemai ที่ 18-02-2017 23:21:21
ชอบๆๆ อ่านรีไรท์ใหม่มีความค่อยเป็นค่อยไป soft ลงกว่าเดิมดีอ่ะ รอติดอ่านต่อออออ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 7<< [P.2] Up!! // [11/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 11-03-2017 12:37:26

7



       “จะยุ่งยากทำไมวะเนี่ย” บ่นครับ ผมนี่แหละที่บ่น ก็เพราะไอ้เม่นบังคับให้ผมมาส่งมันที่มหาลัยแถมให้ผมขับรถมันอีก รถแพงแบบนี้หากผมเอาไปทิ่ม ไปตำแล้วไม่มีปัญญาใช้คืนหรอกนะ แต่เจ้าของรถก็ไม่ยอมเข้าใจ มันยังดึงดันจะให้ผมมาส่ง ทั้งๆ ที่ผมก็มีเรียน รถก็มีคนละคัน แยกกันไปก็จบ

   “เดี๋ยวผมเลิกแล้ว ผมจะให้เพื่อนไปส่งเอง พี่จะได้ไม่ต้องมารับ” ไอ้เม่นมันว่า มือก็เปิดประตูรถออกไป “อ่อ พี่อยากกินอะไร เดี๋ยวผมซื้อเข้าไป”

   “อะไรก็ได้ที่อร่อย” บอกนิ่งๆ ตาก็คอยสอดส่องกลัวเพื่อนผมจะมาเห็น ไอ้กลอยแม่งเซ้นส์แรงอยู่ด้วย

   “งั้นซื้อของง่ายๆ ก็ได้เนาะ”

   “เออๆ”

   ไอ้เม่นลงไปแล้วผมก็รีบตบไฟเลี้ยวออกรถ จังหวะที่ชะลอเห็นฟีโน่คุ้นตากับคนขี่ที่สวมหมวกสีส้ม ไอ้เชี่ยกลอยมาแล้ว ดูมันก็มองๆ รถคันนี้เหมือนกัน ดีที่ติดฟิล์มดำ พอรถออกได้ ผมก็รีบเหยียบ ไม่ใช่ไม่อยากบอกเพื่อน แต่ผมกับไอ้เม่นมันยังไม่มีอะไร หากคุยกับไอ้กลอย มันต้องพยายามทำให้มีอะไรจนได้

   การจราจรติดขัดพอสมควรกว่าผมจะถึงมหาลัย พวกสาวๆ ต่างเหล่ตามองเมื่อเห็นผมมาเร็ว ไอ้ม่านก็เป็นนักศึกษาดีเด่นได้เหมือนกันนะครับ แค่ไม่เปิดเผยก็เท่านั้นเอง

   นั่งหลับรออยู่นานกว่าพวกไอ้เจจะมา และก็ได้เห็นสายตาแปลกใจเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ มอง นี่ผมไม่มีดีในสายตาเพื่อนเลยใช่ไหม น้อยใจว่ะ

   “ฝนท่าจะตก ไอ้เชี่ยมู่มาเร็ว” ไอ้เกมส์เอาชีทที่มันถือตีหัวผม

   “ทำไมกูไม่เห็นรถมึงวะ” ไอ้เจเปิดประเด็นทำให้อีกสามจ้องกดดันผมต่อ

   “กูก็ขับรถมาเหอะ” ทำเป็นคนสนใจชีทวิชาที่ได้จากคนที่ตีหัวตัวเอง แต่ถูกไอ้มีนดึงออกไปซะงั้น

   “รถแปลกที่จอดในลานคณะ ของมึงเหรอ?” เหล่ตามองไอ้คนดึงชีทผมไป “ไม่ต้องมามอง ตอบกูมา” ไอ้พวกนี้หูตาไวซะจริง แม่งจำรถทุกคันในลานได้

   “ไม่ใช่ของกู” ปิดบังไปก็แค่นั้น เพื่อนผมจมูกหมา ได้กลิ่นไวอย่างกับล็อตไวเลอร์

   “ไม่ใช่ของมึง งั้นของไอ้เด็กเม่นเหรอวะ” พยักหน้ารับคำถามของไอ้เจ “ไอ้มู่ มึงเอาแน่เหรอวะ”

   “เอาแน่อะไรของมึง” ไอ้เจโคตรพูดกำกวมว่ะ เอาเอิ้วอะไร

   “เด็กนั่น มึงคิดจะคบกับมันเหรอวะ” เงียบ ตอนนี้ผมไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับเพื่อนตัวเอง เพราะผมก็กำลังคิดหาคำตอบนี้ให้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน

   “หรือมันอยากลองของแปลกวะ” เหตุผลของไอ้เกมส์ทำให้ผมรีบหันไปมอง “มึงคิดดู ถ้าไอ้เด็กนั่นมันจะชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ มันควรไปหาคนน่ารักๆ ขาว ตี๋ ปากแดง แก้มหอมไม่ใช่เหรอวะ แล้วดูไอ้นี่...” แล้วสายตาสี่คู่ของเพื่อนก็หันขวบมามองหน้าผม 

   “ไอ้เชี่ยเกมส์!” ตะโกนด่าสุดเสียงจนคนในห้องหันมาสนใจ แต่ไอ้คนโดนด่าไม่แคร์เพราะมัวแต่หัวเราะงอหงายอยู่ “อย่างกูเรียกหล่อเหอะ”

   “หน้าอย่างมึงหล่อ ก็ไม่มีใครขี้เหล่ละเพื่อนมู่” โดนอีแน่วพูดเหน็บ เจ็บไปจนถึงเส้นเลือดฝอย

   “กูขอแนะนำ ถ้ามึงจะคบไอ้เด็กนั่น มึงก็อย่าใจง่ายเอาเวอร์จิ้นให้ล่ะ เผื่อคบไปนานๆ แม่งท่าแท้ออก มึงจะได้เก็บไว้ให้ผัวคนต่อไป” ไอ้เหี้ย ผมไม่เอาแต่ด่าเหมือนเมื่อกี้ แต่วิ่งไล่เตะไอ้เกมส์ที่ปากวอนโดนกระทืบตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว 

   ตั้งแต่รู้จักพวกมันมา ผมถูกตราหน้าว่าต้องมีผัว นี่ผมก็ชอบผู้หญิงนะเว้ย 




   คาบเรียนที่แสนง่วงแต่ก็นอนไม่ได้เพราะกลัวปากกาบิน แทบนับเข็มนาฬิกาเพื่อรอให้หมดเวลาเรียน โคตรง่วง กว่าอาจารย์จะเข้าเนื้อหาก็ต้องทนฟังการบ่นเป็นชั่วโมง เป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับผม

   ช่วงเวลาที่แสนน่าเบื่อกลับมาคึกครื้นได้เมื่ออาจารย์บอกพอแค่นี้ก่อน ความง่วงที่มีมาหายเป็นปลิดทิ้ง ผมยืดเส้นยืดสายบิดเอาความขี้เกียจออกจากตัว 

   “แดกข้าวแล้วประชุมนะพวกมึง” เสียงกำชับพร้อมการมองแรงจากประธานรุ่นส่งตรงมาถึงกลุ่มของผม พวกผมก็ได้แต่พยักหน้ารับส่งๆ ไม่อยากมีเรื่อง เพราะความสบายจะหายไปหากมีปัญหากับประธานรุ่น แต่ก่อนร่างโปร่งของมันจะเดินไป มิวายทำให้ผมแทบตกเก้าอี้ “ไอ้เชี่ยมู่ เด็กมึงหล่อมาก” กำลังอ้าปากหาวอยู่ดีๆ เกือบงับลิ้นคิดดู

   “เด็กกูเหี้ยไร” ไอ้ประธานรุ่นมันยิ้มกวนจนอยากตบหัว ถ้าไม่ติดตรงที่มันเป็นนักกีฬาเทควันโดของมหาลัยน่ะนะ

   “แหม รูปมึงกับเด็กแพร่ในเว็บเยอะจะตาย” ขมวดคิ้วกระพริบตามองอย่างงงๆ รูปผมกับไอ้เม่นเนี่ยนะ ตอนไหนวะ “รูปตอนวันแข่งบอลนัดชิงไง” แล้วมันก็เฉลยให้ผมคลายสงสัย

   “รูปเชี่ยไรวะ ทำไมกูไม่เห็น” เกาหัวสิ ถึงแม้ปกติจะไม่เข้าเว็บมหาลัยก็เถอะ แต่เพื่อนผมมันต้องเข้าบ้าง หากมีจริงพวกมันคงถล่มผมแล้วสิ

   “ไม่เห็นก็เข้าไปดูซะ หึๆ” ไอ้ประธานรุ่นมันตบบ่าผมแล้วเดินออกห้องไป ทิ้งเสียงหัวเราะแปลกๆ ไว้ให้ผมกังวล

   ผมหันมองเพื่อนตัวเองที่ทำหน้าตานิ่งดูเหมือนไม่รู้ไม่เห็น จนต้องเอามือถือออกมาดูเอง เว็บมหาลัยเหรอวะ ระหว่างผมกดๆ เลื่อนๆ อีแน่วก็รีบยื่นหัวยื่นหน้ามาดูด้วย...

   “เหี้ย” ปล่อยสัตว์เลื้อยคลานทันทีที่เห็นกระทู้รูป ใครเป็นคนเขียนชื่อกระทู้เนี่ย

   “คู่จิ้นดีต่อใจวันฟุตบอลนัดชิง เชี่ย ชื่อโคตรเลี่ยนอะ” อีแน่วมันอ่านออกเสียงก่อนหันไปอ้วก ก่อนจะหันมาดูต่อ ในกระทู้มีรูปผู้ชายมากมายหลายคณะที่ส่วนมากจะถูกถ่ายเป็นคู่ เท่าที่เลื่อนดู เกินครึ่งเป็นรูปผมกับไอ้เม่น ปาปารัสซี่เลยทีเดียว “ไอ้มู่ รูปนี้มึงโคตรน่ารักว่ะ” เสียงเพื่อนสาวทำให้กลับมาสนใจรูปต่อ

   “ไหนวะ” กระพริบตามองรูปที่เพื่อนชี้ “นี่มัน...” รูปที่ผมยืนหันหลังกลั้นยิ้มไอ้เม่นตอนไปง้อมันนี่หว่า เพิ่งเห็นหน้าตัวเองว่ายิ้มกว้างแค่ไหน ผมจำได้ว่ากลั้นยิ้มนะ ไม่ได้ยิ้มออกมา แล้วไหงมันเป็นรูปที่ผมยิ้มได้

   “ดูสายตาเด็กนี่สิ เป็นกูละลายไปแล้ว”

   “อย่าชงๆ” รีบเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง อีแน่วทำหน้าตาล้อเลียน ต่างจากพวกไอ้เจที่ยังนิ่งเงียบไม่เหมือนนิสัยพวกมันที่ผ่านมา “พวกมันเป็นอะไรวะ” แอบกระซิบถาม แน่วเหยียดยิ้มออกมาแล้วกระซิบกลับ

   “พวกมันกำลังเครียดเรื่องห้องเชียร์วันสุดท้ายไง”

   “แล้วมึงไม่เครียดเหรอวะ” เพราะแน่วมันก็เป็นพี่ระเบียบคนหนึ่ง

   “ไม่ว่ะ กูแค่กองหลัง ปล่อยให้กองหน้าคิดไป กูสบาย เริ่ดจะตาย”


   ตามสบายเพื่อน เอาที่คิดว่าทำแล้วสบาย


   โรงอาหารที่แสนวุ่นวายเช่นทุกวัน พวกผมเลือกกินข้าวง่ายๆ เพื่อจะให้ไปทันการประชุม จบมื้อเที่ยงแสนเร่งรีบ ผมพยายามทำตัวปกติไม่สนใจ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะเหล่ตามองขณะยกน้ำขึ้นดื่ม รู้สึกไม่ชินกับการเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น แม้กลุ่มเพื่อนของผมจะเป็นชายงามจนคนมองเหลียวหลัง แต่คราวนี้ต่างออกไปเมื่อทุกสายตามองมาที่ผมตรงๆ เอาซะความมั่นใจหดหายไปเลย

   ผมเดินตามเพื่อนมาถึงห้องที่ประธานรุ่นนัด บรรดาปีสามหลายสาขามานั่งคุยกันจนเสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์ ยังมีน้องปีสองกับพี่ปีสี่เริ่มมาบ้างประปราย ไอ้เจพากลุ่มพี่ว๊ากแยกไปรวมกับกลุ่มพี่ว๊ากปีอื่นๆ ตอนนี้เลยเหลือแค่ผมที่ยืนเคว้งคว้างกลางห้องอย่างเปล่าเปลี่ยว

   “ม่าน มานั่งตรงนี่สิ” เสียงใสประดุจแก้วเอ่ยเรียกพร้อมกวักมือ ผมรีบหันไปยิ้มหวานให้ปุย สาวสวยคนละสาขาที่เรียกผม เห็นไหม เสน่ห์ไอ้ม่านก็มีนะครับ อ้อ หากเป็นเพื่อนต่างสาขาของผม จะเรียกชื่อม่านกันหมด จะมีก็แต่เพื่อนสาขาเดียวกันกับรุ่นพี่บางคนที่ยังเรียกผมว่ามู่ลี่ หรือสั้นๆ ว่ามู่นั่นแหละครับ 

   “ขอบใจนะ” เก๊กเสียงหล่อนิดๆ แล้วเดินไปนั่ง พอก้นแตะเก้าอี้ปุ๊บก็ถูกสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลังทันที “เอ่อ อะไรกันเหรอ” รู้สึกเหมือนเป็นอาหารปลาที่แตะผิวน้ำแล้วปลาตัวเล็กๆ พากันตอด ผมกลืนน้ำลายเมื่อรู้สึกถึงพลังในสายตาบางอย่างของสาวๆ ที่จ้องมอง

   “คือ...” แค่คือมาเหงื่อผมก็เริ่มแตกแล้วครับ ตัดสินใจผิดใช่ไหม ที่มานั่งตรงนี้ “พวกเราชอบแล้วอยากรู้จักน้องคนนี้ ม่านพามาหน่อยได้ไหม” ปุยยื่นมือถือที่มีรูปไอ้เม่นยิ้มตาหยีมาให้ผมดู

   “เอ่อ ปุยชอบมันเหรอ” ถามออกไปทั้งที่ตายังมองรูป แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องผงะเมื่อเจอสายตาจ้องมองพร้อมรอยยิ้มกริ่ม “มะ มองอะไรเหรอ”

   “ม่านไม่ต้องหึงนะ พวกเราแค่ปลื้มเฉยๆ เขาน่ารักมากเลย”

   “เฮ้ย เราไม่ได้หึง” รีบยกมือโบกปัดทันที

   “ม่านล่ะก็ ไม่ต้องเขินหรอกน่า อีกอย่างพวกเราแค่ปลื้มเฉยๆ น้องเขาหล่อมากเลย” ปุยยังคงทำหน้าตาน่ารักเพ้อฝันถึงไอ้เด็กในรูป รวมถึงเพื่อนๆ ของเธอด้วย “ถ้าม่านพาน้องเขามาวันไหน บอกเราด้วยนะ”

   “เอ่อ...” ไปไม่เป็นเลยไอ้ม่าน “ถ้ามันมานะ” สุดท้ายก็แพ้ทางคนสวยจนได้ 

   เมื่อทุกคนได้คำตอบที่พอใจแล้ว ก็หันไปรวมกลุ่มคุยจนผมเข้าหาไม่ถึง นี่ให้ผมมานั่งด้วยเพราะอยากเจอไอ้เม่นแค่นั้นน่ะเหรอ รู้สึกเหมือนถูกถีบหัวส่งหลังจากใช้งานเสร็จยังไงพิกล

   พอคนเริ่มเข้ามากันเกือบครบ ประธานรุ่นปีสามก็เริ่มเปิดหัวข้อการประชุม หลักๆ ก็เรื่องรับน้องส่งท้ายก่อนจะปิดห้องเชียร์ ผมขยับมานั่งข้างไอ้จ๊อดแทน ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องอะไร หน้าที่หลักๆ ก็แค่ดูรุ่นน้องแค่นั้น

   “ปีนี้เราก็ยังจัดที่เดิมนะ ปีสองไปจัดให้เรียบร้อย” พี่อินปีสี่พูดออกมาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นฟัง เกือบหลับไปแล้วด้วยผมน่ะ “ปีสามก็หาของให้ดี อย่าลืมเหมือนปีที่แล้ว”

   “อีอิน ถ้ามึงจะมองแบบนั้น ด่ากูมาเลย” พี่ก้อยปีสี่แหวออกมา พี่เขาเป็นคนหาของเมื่อปีที่แล้วครับ ของขาดๆ เกินๆ โคตรชุลมุน

   “ว่าแต่ เกี่ยวข้าวกันเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอวะ” พี่ปีสี่อีกคนถามขึ้นมา ซึ่งพี่อินพยักหน้าตอบ

   “เออ แต่กูบอกไว้แล้วว่าให้เหลือให้ปีหนึ่งด้วย”

   การรับน้องส่งท้ายจะเป็นการแจกรุ่นด้วยครับ หากจะให้รับในมหาลัยคงไม่สะดวกเท่าไหร่ ดังนั้นทุกปีของการปิดห้องเชียร์ จะต้องมาจบที่ท้องนาของคณะ

   “ปีนี้มีอะไรต่างจากปีอื่นไหมวะ” ผมกระดึ๊บๆ ไปถามไอ้เจที่มันเขียนแผนการยิกๆ มันหันมามองแล้วส่ายหน้าตอบ

   “มันก็เหมือนๆ กันทุกปีนั่นแหละ” ไอ้มีนที่ยืนข้างๆ พูดขึ้นมาแทน “หรือมึงมีอะไรจะเสนอ”

   “ไม่มีๆ” รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน เสียงไอ้มีนดังแหวกความเงียบของคนใช้ความคิดทั้งห้อง พวกปีสี่และคนอื่นๆ หันมามองหน้าผมกันหมด “ไม่มี” หันไปย้ำกับคนทั้งห้องก่อนเล่นงานเพื่อนตัวเองที่มันขำเยาะ ชอบนักทำให้ผมขายหน้าเนี่ย

   เมื่อการประชุมเสร็จสิ้น ทุกคนก็เริ่มทยอยออกจากห้อง ผมนั่งรอพวกไอ้เจที่ยังคุยเรื่องรับน้อง ดูไอ้เฮดว๊ากมันจะเครียดหนักเอาการ อีกทั้งกีฬาเฟรชชี่ก็กำลังจะปิดลง งานเยอะจริงๆ (หมายถึงไอ้เจนะ ไม่ใช่ผม)

   “ข้าวเหลือฝั่งไหนวะ” ไอ้เกมส์เอ่ยถามพวกที่เหลือในห้อง

   “แปลงฝั่งขวาว่ะ พวกกูจัดให้แบบน่ารักๆ” กลุ่มสาขาที่ไปเกี่ยวข้าวในนาตอบ จากสายตาและน้ำเสียง มันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

   “น่ารักเชี่ยอะไรล่ะ” ผมสบถออกมา “กูไม่มีวันลืม ไอ้แปลงฝั่งขวาเนี่ย” นึกแล้วก็สยองขนลุกขอพองสุดๆ จำฝังใจไม่มีวันลืมกับการถูกรับน้องในนาฝั่งขวาสมัยผมอยู่ปีหนึ่ง เรียกง่ายๆ นรกในนานั่นเอง

   “นั่นแหละ พวกกูก็จะทำให้น้องจำไม่มีวันลืมแบบมึง” มองหน้าพวกมันแล้วกลัวแทนปีหนึ่งเลยครับ “แล้วตอนค่ำล่ะวะ”

   “พวกกูให้อีเป้จัดการแล้ว” ไอ้เจตอบ มือมันเก็บสมุดใส่กระเป๋าเตรียมออกจากห้อง

   “กูว่าปีหนึ่งปีนี้ต้องมีน้ำตาแน่นอนว่ะ” ผมว่าอย่างมั่นใจ

   “ซึ้งใช่ไหม” ไอ้มีนถามออกมา

   “คัน” พูดแล้วก็หัวเราะออกมากับไอ้มีนลูกคู่ ผมแตะมือเพื่อนที่ตอบรับมุกอย่างเข้าขาเพียงแค่มองตามันเฉยๆ แต่ความเฮฮาจะถูกขัดจากพวกไร้มุก

   “ไปเล่นนอกห้องไปพวกมึงสองคน” โดนไอ้เกมส์ตบหัวคนละที นี่ผมทำผิดอะไรเนี่ย

   ออกมาจากห้อง ผมเดินกอดคอไอ้เกมส์ ไม่สิ กอดไหล่มากกว่าเพราะผมกอดคอมันลำบาก (มันสูงกว่าผม) คุยเฮฮากันไปเรื่อยจนมาหยุดหน้าตึก ม้าหินอ่อนหน้าคณะมีคนที่ทำให้ผมกลายเป็นอากาศในห้องเมื่อกี้ ไอ้เม่นไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวนะครับ รอบๆ ตัวมันมีแต่ผู้หญิงคณะของผม ขนาดปุยยังไปนั่งคุยด้วย ไอ้นี่ฮอตไม่เบา 

   “เด็กมึงโดนสาวรุมว่ะ” ไอ้เกมส์พูดข้างหู

   “ไม่ใช่เด็กกูไอ้ห่าเกมส์” ตอบเพื่อน แต่ตาก็มองไอ้เด็กเม่นที่ยิ้มตาหยีให้กับสาวๆ “สาวเยอะกว่าไอ้เจอีก” แอบพาดพิงเลยถูกมันตบหัว

   “กูก็มีเว้ย รอกูสละตำแหน่งก่อน” ไอ้เจโว พวกผมเลยเดินหนี มันเลยโวยวายตามหลังมา

   เพราะเสียงโวยวายของไอ้เจทำให้ไอ้ไข่แดง เอ้ย ไอ้เม่นหันมามอง พอเห็นผมปุ๊บ มันก็ลุกขึ้นโบกมือพร้อมรอยยิ้มประจำตัวให้ สาวรอบโต๊ะต่างจ้องหน้ามันด้วยความเพ้อฝัน

   “พี่ม่าน” รอยยิ้มพิฆาตของมันทำให้สาวๆ ที่นั่งอยู่แทบกรี๊ด “พี่ม่านไปไหน รอผมด้วย พี่ครับ” ไอ้เม่นตะโกนเมื่อเห็นผมเดินหนี มันรีบวิ่งตามจนมายืนหอบหนักขวางหน้า “พี่จะไปไหน” 

   “ไปไหนวะ” ผมหันไปถามไอ้เกมส์ มันส่ายหน้าเหมือนระอาแล้วดันตัวผมไปชนกับไอ้เม่น

   “ไปกับเด็กมึงไป” พูดจบเพื่อนผมก็เดินหนีไป ไอ้พวกเพื่อนชั่ว ทิ้งกันลงได้ยังไง

        ส่วนผมจะเดินหนีอีกรอบกลับถูกคว้าแขนไว้ “อะไรของมึง”

   “พี่จะไปไหน ผมเรียกตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นสนใจ” ไอ้เม่นยู่หน้าทำเหมือนเด็กไม่พอใจ

   “ก็กลับไง” ตอบโดยการพยายามไม่มองหน้าของคนถาม สักหลังมานี้เวลามองหน้าไอ้เม่นทีไร มันจะรู้สึกแปลกๆ หัวใจจะเต้นผิดจังหวะเดิมแทบทุกครั้ง ผมก้าวขาจะเดินต่อ แต่ก็ยังถูกมันจับแขนไว้แน่น “อะไรของมึงเนี่ย” ผมไม่ได้เหวี่ยงกลบเกลื่อนนะ อย่าเข้าใจผิด

   “คือ ผมมีเรื่องจะบอก” ผมเหล่ตามองคนบอกมีอะไรจะคุย “คือ...ผมต้องกลับบ้าน” ไอ้เม่นมันว่า

   “ก็ดี กลับบ้านซะบ้าง อยู่ห้องกูจนกูแทบเป็นคนอาศัย” พูดตามจริง หลายวันมานี้ผมถูกไอ้เม่นสั่งให้ทำนู้นทำนี่ตลอด 

   “ผมไม่อยากกลับ” สีหน้าและน้ำเสียงจริงจังจนผมต้องจ้องหน้ามันตรงๆ “บ้านที่มีผมคนเดียว ผมไม่อยากกลับ”

   “อ่าว แล้วตากับยายมึงล่ะ” ผมจำได้ว่ามันอยู่กับตายายหลังจากพ่อแม่เสีย

   “ตากับยายก็อยู่อีกหลัง ส่วนบ้านผมตอนนี้เหลือแค่ผมคนเดียว”

   “เออๆ ช่างมันๆ แล้วกลับเดี๋ยวนี้เลยเหรอ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องไม่อยากเห็นมันทำหน้าเศร้า ผมเป็นคนดีมากเห็นป่ะ

   “ครับ” ไอ้เม่นรับเบาๆ “พี่...ไปกับผมไหม”

   “ไปกับมึง? ไปทำไมเล่า” ผมตอบปุ๊บ คนชวนก็เม้มปากแน่น “ไว้วันหลังค่อยไป วันนี้กูมีรายงานต้องทำส่ง” พอเห็นมันหน้าเศร้าลงไปอีก ผมก็รีบหาเหตุผลที่น่าจะฟังขึ้นมากที่สุดมารองรับ พูดเสร็จก็แทบอยากตบปากตัวเอง ทำไมถึงไม่ชอบเห็นหน้าเศร้าๆ ของมันก็ไม่รู้

   ไอ้เม่นได้ยินผมพูดแบบนั้น มันก็ยิ้มออกมา “สัญญาแล้วนะ”

   “เออ” ตอบรับแบบรำคาญ

   “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งพี่ที่หอก่อน” คนเศร้ามีท่าทีดี๊ด๊าจนน่าหมั่นไส้ ไอ้เม่นมันก็ดึงแขนผมลากผมไปที่รถของมันจนผมต้องรีบเบรกตัวเอง

   “เดี๋ยวๆ ไม่ต้องโว้ย กูกลับเองได้” ว่าแล้วก็ยัดกุญแจรถใส่มือมัน “นี่รถมึง รีบๆ กลับไปไป๊ เบื่อหน้ามึงเต็มทน”

   “พูดแบบนี้จ้องหน้าผมบ่อยล่ะสิ” ไอ้เม่นทำตาเยิ้มอย่างน่าหมั่นไส้ ผมเลยแจกนิ้วกลางให้มันไป “หึๆ พี่ห้ามหลับเร็วนะ โทรศัพท์ก็ชาร์ตไว้ให้เต็ม คืนนี้ผมจะโทรหา”

   “มึงกล้าสั่งกูเหรอ” ถึงจะด่า แต่ผมกลับยิ้มออกมาเฉย “ไปๆ”

   “แล้วพี่กลับยังไง”

   “เหาะมั้งไอ้ห่า ไม่น่าถาม”

   “กวนตีนว่ะ...แต่ผมก็ชอบนะ” ผมไล่เตะไอ้เม่นรอบรถ มันหัวเราะเหมือนจะลืมความเศร้าเมื่อกี้ไปจนหมด กว่าจะหยุดวิ่งก็ตอนที่ผมเหนื่อยนี่แหละ “พี่อย่าลืมนะ เดี๋ยวผมโทรหา”

   “จะโทรทำไมเล่า”

   “คิดถึง”

   ไม่มีคำตอบใดๆ ให้คำบอกเล่านี้ ผมหันหลังเดินหนีทันที ไม่สนเสียงตะโกนบ้าบอของไอ้เด็กต่างมหาลัย ไม่ ผมต้องไม่ยิ้ม ผมต้องไม่เป็นบ้าคนเดียว หยุดยิ้มได้แล้วไอ้ม่าน

   ผมกุมแก้มตัวเองเดินมาตามทาง รถคัมรี่ของไอ้เม่นขับมาชะลอ พร้อมกระจกด้านข้างคนขับถูกลดลง ไอ้เม่นนั่งประจำที่คนขับโบกมือส่งยิ้มหวานมาให้เป็นการบอกลาส่งท้าย ผมถลึงตาใส่แต่มันกลับหัวเราะ หนอย ก่อนไปยังมาอ่อยให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะอีก แม้งเอ้ย ผมยกเท้าตามหลังรถคันนั้นไป ก่อนจะเดินเตะนั่นเตะนี่ไปเรื่อยๆ มือก็ยกตบแก้มตัวเอง ดีที่ไม่มีใครเดินสวนทาง ไม่อย่างนั้นเขาคงว่าผมบ้าแน่ที่ยิ้มคนเดียว



   “ไอ้ม่าน” เสียงตะโกนเรียกมาพร้อมรถที่ชะลอข้างผม ตอนแรกคิดว่าเป็นไอ้เม่นวนรถกลับมา แต่สีรถกับยี่ห้อไม่ใช่ “มาเดินห่าอะไรแถวนี้วะ”

   “โหพี่ นี่คือคำทักเหรอวะ” ผมเดินหน้าบึ้งไปยืนข้างรถที่จอดนิ่ง คนทักหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี

   “มึงหยุดทำหน้างอเหมือนเพื่อนมึงเลย กูขนลุกสัด” พี่แทมทำหน้าแขยง คงขยาดไอ้กลอยทำให้ซวยหลายรอบแน่ “จะไปไหนวะ”

   “กลับหอครับ พี่แทมล่ะ มาเรียนเหรอ” ถามคนที่อ้าปากหาววอดๆ ดูเหมือนต้องถามว่ามานอนหรือเปล่ามากกว่า

   “มาส่งรายงาน ใช้ไอ้เชี่ยซันแม่งไม่ยอมมา จะกลับเหรอ ขึ้นมาๆ เดี๋ยวกูไปส่ง” โชคดีของไอ้ม่านจริงๆ ที่ไม่ต้องเสียเงิน ผมรีบเปิดประตูเข้าไปนั่ง ก่อนพี่แทมจะออกรถต่อ “ทำไมมึงเดินกลับ รถมึงล่ะ”

   “จอดที่หออะ” ขามาขับคัมรี่ ขากลับนั่งเบนซ์ บุญตูดเหลือเกิน

   “เสียเหรอวะ ปกติกูเห็นมึงขับมาเรียน” พี่แทมพูดไป ตาก็มองถนนไป

   “พี่สังเกตเหรอ คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย” แกล้งหยอกไปปุ๊บ เจอสายตาโหดปั๊บ

   “ถ้าตีนกูไม่ต้องเหยียบเบรกนะ กูเหยียบหน้ามึงแล้วไอ้ม่าน คิดมาได้” ผมกับพี่แทมไม่มีนอก มีในอะไรกันหรอกนะครับ อย่าคิดไปไกล “หิวว่ะ”

   “เลี้ยงผมป่ะล่ะ เดี๋ยวไปกินเป็นเพื่อน”

   “ของฟรีตลอดไอ้ห่า” แม้จะโดนด่า แต่พี่แทมก็เลี้ยงจริงๆ ครับ รถเบนซ์เลี้ยวเข้าห้างซุปเปอร์สโตร์ เป้าหมายคือร้านขายไก่ทอด พี่แทมสั่งไก่ทอดชุดใหญ่ กินสองคนจนเริ่มอืดและมองหน้ากันไปมา ผมยกมือไหว้ผู้มีพระคุณหลังกลืนไก่คำสุดท้ายลงคอ คนเลี้ยงทำหน้าเอือมๆ “เจอหน้ามึงทีไร กูเสียเงินทุกที”

   “นี่น้องนะ พี่อย่าคิดมากสิ” ตบบ่าพี่แทมไป

   กินเสร็จ ก็พากันขึ้นไปซื้อของในห้างอีกหน่อย พี่แทมก็มาส่งผมที่หออย่างครบสมบูรณ์สามสิบสอง โบกมืออำลารุ่นพี่ร่วมสถาบันแล้วเดินขึ้นห้อง ไก่กรอบที่กินเริ่มอืดจนขี้เกียจก้าวขา ถ้าเลื้อยขึ้นได้ผมคงทำไปแล้ว

   มาถึงห้อง เหวี่ยงข้าวของทุกอย่างลงพื้นพร้อมกับทิ้งตัวนอนบนเตียง อืม รู้สึกเตียงกว้างจริง ทั้งที่เมื่อก่อนรู้สึกว่ามันโคตรแคบ ผมพลิกตัวไปมา หยิบมือถือขึ้นมากดดู หน้าจอยังนิ่งเงียบไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ลองเข้าโซเชี่ยลต่างๆ ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากไอ้กลอยแต่งรูปแฟนมันเป็นปีศาจ ไอ้นี่วอนโดนปีศาจกินหัว

   กดมือถือเลื่อนไปเลื่อนมาก็ชักเบื่อ ว่าแต่ นี่ผมกำลังรออะไร รอไอ้เม่นโทรมาอย่างที่มันว่าเหรอ ไม่ใช่มั้ง แน่ล่ะ ผมจะรอมันทำไม มันไม่กวนนั่นแหละดีที่สุด...จริงไหม


..........................................................

ค่อยๆ เต๊าะกันไปค่า ฮ่าๆ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจ ทุกๆ ยอดวิว แค่มีคนคลิกเข้ามา แม้ไม่ตั้งใจ ก็ดีใจมากๆ แล้วค่า (ก้มกราบ)

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 8<< [P.2] Up!! // [11/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 11-03-2017 13:39:48

8




        นั่งจ้องโทรศัพท์มาค่อนคืน เมื่อไม่มีสัญญาณอะไรผมเลยลุกไปอาบน้ำปะแป้งหน้าขาววอกเตรียมเข้านอน หนังตากำลังจะหย่อน เสียงริงโทนธรรมดาก็ดังขัด เปลือกตาที่ปรือลงรีบลืมขึ้น มือรีบคว้าโทรศัพท์มาเปิดดู...ไอ้เม่นวีดีโอคอลมาหา แล้วผมต้องทำยังไง ระหว่างสับสน มือก็เผลอไปกดรับเฉย หน้าไอ้เม่นเลยปรากฏขึ้นมา แว๊บแรกที่มันเห็นหน้าผม เห็นมันดูตกใจนิดๆ

   (นั่นพี่ม่านหรือเด็กห้าขวบวะ) ดูมันทักผมสิครับ พูดจบมันก็หัวเราะเสียงแหลม

   “กวนตีนว่ะ” ผมด่ามันไป กะอีแค่เอาแป้งเด็กป้ายเต็มหน้าแค่นั้น เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก แม่ชอบประแป้งแบบนี้ให้ โตมาเลยติด เวลานอนอยู่ห้องคนเดียวไม่ต้องไปไหน ผมก็มักจะเอาแป้งมาทาให้หน้าขาววอก แป้งเด็กมันทำให้หน้าเนียนนุ่มเหมือนก้นเด็ก “โทรมามีไร กูจะหลับแล้วเนี่ย” โวยวายไป แต่ปลายสายเอาแต่หัวเราะหน้าผม

   (เดี๋ยวนะ ผมขอขำก่อน ตลกพี่ว่ะ แม่ง) ไอ้เม่นมันนั่งขำ นอนขำจนผมอยากจะยื่นเท้าเข้าไปในหน้าจอเพื่อถีบ (ขำจนปวดท้องอะ)

   “อยากไปขำต่อให้นรกไหม ไอ้ห่า” โมโหครับ ทำเอาความมั่นใจหายหมด

   (โห อย่างอนผมสิ ไม่ขำก็ได้) เบ้ปากใส่ไอ้เม่น ตอนนี้มันใส่เสื้อยืดคอวีสีขาว ผมเปียกดูเหมือนเพิ่งสระผม

   “ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้งวะ เดี๋ยวแม่งเป็นหวัด” พูดออกไปลืมคิด พอสติมาก็แทบอยากตบหัวตัวเอง ต่างจากอีกฝั่งที่ทำตาโตแล้วรีบลุกไปเอาผ้ามาเช็ด “ยิ้มเหี้ยอะไร” ด่าไอ้เม่นและตัวเองครับ

   (ก็พี่เป็นห่วงผม โคตรดีใจ)

   “อย่ามาเว่อร์ แล้วทำไมมึงโทรมาดึกขนาดนี้วะ กูจะหลับอยู่แล้วเนี่ย”

   (พี่...รอผมโทรหาเหรอ เชี่ย ดีใจว่ะ)

   “มะ ไม่ใช่เว้ย กูหมายถึงมึงโทรมากวนตอนกูจะหลับ” เหตุผลผมฟังขึ้นใช่ไหม ไม่น่าพลาดเพราะปากมากเลยไอ้ม่าน “มึงอาบน้ำแล้วเหรอวะ” รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนครับ ไม่อยากเห็นยิ้มตาหยีของมัน

   (อาบเสร็จก็โทรหาพี่เลย ที่จริงจะโทรหาตั้งแต่หัวค่ำ แต่พอดี...) สีหน้ากับท่าทางอ้ำอึ้งของปลายสายทำให้ผมขมวดคิ้ว (พอดี...)

   “กูไม่ได้อยากรู้ ไม่ต้องเล่า” ผมว่า สีหน้าไอ้เม่นดีขึ้น มันยิ้มบางๆ ส่งมาให้

   (ไว้ผมจะเล่าเรื่องของผมให้พี่ฟัง)

   “ก็กูบอกว่าไม่อยากรู้ เอ๊ะ ไอ้นี่” 

   เสียงหัวเราะอีกฝั่งทำให้ผมต้องยิ้มออกมา ชีวิตคนเราต่างก็มีเรื่องทั้งนั้น แม้แต่คนรวยๆ ก็ยังมี โชคดีที่พ่อกับแม่ของผมอยู่อย่างพอเพียงและเลี้ยงให้ผมเป็นคนคิดดี ไอ้ม่านคนนี้เลยดี๊ดีเช่นนี้แล

   (พี่ม่าน ทำอะไรอยู่ ผมเรียกตั้งหลายครั้ง) มัวแต่หลงตัวเองจนสะดุ้งกับเสียงไอ้เม่น

   “ก็...คิดเรื่องรายงานสิวะ กูไม่ได้ว่างเหมือนมึง”

   (โห พ่อคนขยัน) หน้ามันโคตรกวนตีน (พรุ่งนี้ผมเรียนเช้า พี่เรียนบ่ายนี่ ไว้ตอนเย็น...)

   “ไม่ต้องมารับกู”

   (ขี้ตู่ ผมไม่ได้บอกจะไปรับสักหน่อย) ฉิบหาย ไอ้เชี่ยเม่นเล่นผมแล้ว (แหม อยากให้ผมไปรับเหรอ ใช่ไหม พี่นี่โคตรน่ารักว่ะ)

   “ไอ้เม่น ไม่ใช่โวย” ผมโวยวายไปแต่คนอยู่อีกด้านแม่งเอาแต่หัวเราะ
 
   (พี่น่ารักจริงๆ นะ ขนาดหน้าขาวๆ ยังปิดแก้มแดงไม่อยู่เลย พี่เขินผม ผมรู้)

   “พอเลย กูจะนอนแล้ว” รีบตัดจบก่อนจะถูกไล่ต้อนหนักกว่านี้ “แค่นี้นะ”

   (เดี๋ยวๆ) เสียงตะโกนเรียกยั้งมือของผมไม่ให้กดปิด

   “อะไรอีกวะ มึงนี้เซ้าซี้จริง”

   (ผมแค่จะบอกราตรีสวัสดิ์ หลับฝันดี แล้วก็ อย่าลืมฝันถึงผมด้วยล่ะ) แลบลิ้นใส่เด็กรุ่นน้องของเพื่อนที่มันเสี่ยว (คืนนี้ไม่ได้กอดพี่ ผมคงนอนไม่หลับแน่เลย)

   “อย่ามาเพ้อไอ้ห่า แค่นี้นะ หลับเลยมึง” กดวางปุ๊บผมก็ล้มตัวนอน ไม่ มึงอย่ายิ้มไอ้ม่าน มึงต้องทำตัวเฉยๆ เข้าไว้ เชี่ยเอ้ย ทำไมผมต้องยิ้มด้วยว่ะ มองเพดานแป๊บเดียวก่อนดึงผ้าห่มเน่าขึ้นคลุมหน้าข่มตานอนหลับ



   ผมกำลังจะตกหลุมรักมันแน่ๆ




   
   “โห หน้ามึงโคตรโทรม ไปทำอะไรมาวะ” ไอ้มีนทักผมหลังจากอยู่ในสภาวะทิ้งตัวนั่งข้างมัน “ได้ยินกูไหมไอ้มู่” อยากเงยหน้าจากโต๊ะ แต่ตาผมยังลืมไม่ขึ้นเลย

   “แค่กูขับรถมาได้ก็บุญแล้วไอ้ห่า” ปากขยับตอบ ขนาดถูกตบหัว ผมยังไม่รู้เลยว่าใครทำ

   “กูว่าเป็นบุญคนอื่นต่างหากไอ้ห่า ทีหลังถ้าง่วงก็อย่าขับ เกิดไปชนคนอื่นตายขึ้นมาจะทำไง ทำอะไรไม่คิด สมองน่ะมีไหมวะ” เสียงบ่นยาวขนาดนี้ทำให้รู้เลยว่ามือหนักที่ตบเข้าหัวผมเป็นมือใคร

   “มึงเรียนจบควรไปบวชนะไอ้เชี่ยเกมส์” ผมต่อสู้กับความหนักของหน้าเพื่อจะด่าเพื่อนตัวเอง

   “เออ ไม่จบกูก็จะบวชอยู่แล้ว” ได้ยินคำตอบปุ๊บ พวกผมก็พากันหัวเราะ ที่จริงไอ้เกมส์มันก็คิดจะบวชทดแทนบุญคุณพ่อกับแม่มันช่วงปิดเทอมครับ

   “ใต้ตามึงน่ากลัวมาก” เสียงแน่วแทรกขึ้นมา พวกที่หัวเราะต่างก็หันมาสนใจหน้าผมแทน “อายครีมมึงควรซื้อ”

   “กูแค่นอนไม่หลับ” ผมว่า

   “ทำไม คิดเรื่องไอ้เด็กนั่นเหรอ” ไอ้มีนรีบจี้

   “ไม่ใช่เว้ย กูคิดเรื่องรายงานไอ้ห่า อย่าเปิดประเด็น” ยื่นมือโบกหัว แต่ไอ้มีนมันโยกหลบ “ว่าแต่ เรื่องปิดห้องเชียร์เป็นยังไงบ้าง”

   “เปลี่ยนเรื่องเลยนะมึง” ไอ้เจแขวะ แต่ผมไม่สน มันขำก่อนจะบอกความลับ “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ปีนี้กูคิดจะรับแบบสร้างสรรค์ตามที่อาจารย์เขาว่ามา”

   “ยังไงวะ” คงจะมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่เข้าใจ ก็แหม ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้อยู่ในกลุ่มพี่ว๊าก เวลาประชุมอะไรก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง

   “ถึงเวลามึงก็รู้เอง” ถูกปิดประเด็นเฉย แม่ง

   “กูเกลียดมึงมาก” ตะโกนกราดใส่หน้าเพื่อนตัวเอง แต่พวกมันกลับหัวเราะ

   “เอาน่า ไม่มีอะไรหรอก สนุกๆ” ไอ้เกมส์วาดแขนมากอดคอแล้วดึงหัวผมไปซุกในวงแขนเป็นมัดของมัน “มึงเถอะ เรื่องไอ้เด็กนั่นควรเอาให้มันชัดเจน พวกกูเป็นห่วง”

   “ชัดเจนเหี้ยอะไร” พยายามดึงหัวออกจากแรงหนีบจากกล้ามแขนของไอ้เกมส์

   “แหม เอามันไปซุกหอขนาดนั้น” ถลึงตาใส่อีแน่ว นับวันปากมันจะยิ่งร้าย สงสารแฟนของมันมาก “ที่พวกกูพูดก็เพราะห่วงมึงนั่นแหละ เด็กนั่นมาจากการส่งไม้ต่อจากไอ้กลอยเพื่อนมึง ความจริงใจมันจะมากแค่ไหนกัน”

   “อีแน่วพูดถูก” ไอ้มีนยกนิ้วโป้งส่งให้คนพูดดี

   “กูรู้น่า กูไม่ได้ใจง่าย...มั้ง” คำห้อยท้ายผมพูดอยู่ในลำคอ “เออๆ ถ้ายังไงกูจะบอกพวกมึง ขอบใจนะเว้ย ที่ห่วงกู” ผมเปลี่ยนจากดึงหัวออกเป็นกอดเอวไอ้เกมส์ มันยืดตัวสะดุ้งก่อนรีบปล่อยผมทันที “เขินกูเหรอ”

   “เขินพ่อง เดี๋ยวเรทติ้งกูตกเว้ย” ผมขำท่าทางของเพื่อน พวกมันปากร้ายแต่ใจดี แถมยังรักและหวังดีกับผมทุกคน “ไม่ต้องทำตาเยิ้ม กูไม่ตาถั่วชอบมึงแบบไอ้เม่นอะไรนั่นหรอก ขนลุกสัด”

   “ไอ้เชี่ย”

   มิตรภาพของพวกผมมันเกิดขึ้นจากการเขม่น มาตอนนี้รักกันปานจะดูดดม แต่พวกเราไม่กินกันเองแน่นอน และไม่แย่งกันด้วย เพราะคนละสเปค

   แม้วันนี้พวกผมปีสามจะมีเรียน แต่ปีหนึ่งก็มีแข่งกีฬาชิงแชมป์ในวันสุดท้าย ซึ่งแอบได้ยินเสียงบ่นเสียดายของรุ่นน้องที่จะต้องถูกเกณฑ์เข้าห้องเชียร์อีกครั้ง ก็แหม ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีขึ้นมีลงกันบ้าง เดี๋ยวนะ ผมว่าเริ่มไม่เกี่ยวแล้ว แต่ก็เอาเถอะ อย่าใส่ใจในคำพูดผมเลย

   พอดีผมเป็นคนจริงจังและจริงใจไม่จิงโจ้ จุ๊กกรู๊ว

   หลังจากหมดคาบเรียน พวกผมก็พากันยกโขยงใหญ่มาที่หน้าตึก บรรดาเหล่าปีสองกับปีหนึ่งที่นั่งล้อมวงคุยกันอยู่เห็นผมและเพื่อนๆ เดินมา ต่างก็พากันยกมือไหว้ส่งเสียงขานซะดัง แต่พอเห็นว่าในกลุ่มมีพี่ว๊ากอยู่ด้วย เสียงนกแตกรังเลยเงียบกันหมด รู้สึกเหมือนพาไอ้พวกนี้มากดดันรุ่นน้อง...ทำไมผมนิสัยไม่ดีวะ

   แล้วนี่ผมจะด่าตัวเองทำไม

   “วันนี้คณะเรามีแข่งอะไรบ้างวะ” ผมเดินแยกไปถามน้องปีสองซึ่งตำแหน่งมันคือน้องรหัสผู้เลอเลิศ นั่นเพราะมันเป็นลูกคุณหนูแต่ดันอยากทำไร่ หวังเดินตามรอยพ่อหลวงของปวงชน ผมนับถือมันนะครับ ลูกคนรวย มือเท้านุ่มเนียนต้องมาจับจอบจับเสียมขุดดินจนตอนนี้มือมันด้านกว่าผมอีก

   “เหลือเปตองพี่” ไอ้เตหันมาตอบผม มันส่งยิ้มโชว์ฟันเหล็กสีฟ้า

   “เมื่อไหร่มึงจะเอาเหล็กออกวะ โคตรเกะกะ” ผมหยอกมันตั้งแต่มันเข้ามาปีหนึ่งแล้วล่ะครับ ที่จริงก็ไม่ได้ตลกอะไร แต่มันขัดกับหน้าขาวๆ ของมัน

   “พี่ม่านล่ะก็ พูดซะเหล็กดัดฟันผมอยากฝังเข้าไปในเหงือก” พูดจบมันก็หัวเราะพาผมขำไปด้วย “แล้วพวกพี่มาที่นี่เพื่อกดดันพวกผมเหรอ”

   “อย่าใส่ร้ายกูไอ้เหี้ย พวกกูแค่มาพักผ่อนบ้างอะไรบ้าง” บอกมันไป ผมปรายตามองเด็กปีหนึ่งที่สวมเสื้อสีประจำคณะสำหรับกีฬาเฟรชชี่ “นอกจากฟุตบอลมีอะไรได้ที่หนึ่งบ้างวะ”

   “ไม่มีครับ” หันไปมองคอแทบเคล็ด นี่คณะผมได้แชมป์แค่ชนิดเดียวหรือนี่ ปีที่แล้วว่าแย่แล้วนะ ปีนี้ยังมาลดลงอีก “แต่ก็ได้ที่สองที่สามมาหลายอยู่”

   “เออๆ ดีละ อย่างน้อยก็ได้รางวัล พวกมึงจะได้ไม่ถูกจัดหนักมาก” อันนี้ผมกระซิบครับ เพราะพวกปีสองต้องถูกเล่นงานแน่นอนอยู่แล้ว มันอยู่ในแผนทั้งนั้น

   “ผมเตรียมใจไว้แล้ว” ไอ้เตยิ้มรับ ผมตบบ่ามันเบาๆ แล้วเดินกลับไปหาเพื่อน พวกมันก็ถามนิดๆ หน่อยๆ เพราะส่วนใหญ่ต่างก็จ้องไปที่เหล่ารุ่นน้อง

   นี่พวกผมไม่ได้มากดดันจริงๆ นะ   
      
   นั่งคุยไป เหล่รุ่นน้องไปไม่นานก็แยกย้าย กีฬาที่เหลือก็ปล่อยให้ปีสองดูแล ส่วนผมแยกกับเพื่อนเพราะพวกมันต้องไปเตรียมการปิดห้องเชียร์ วุ่นวายน่าดู

   ผมเดินกลับไปที่รถเตรียมกลับหอ แต่มือถือในกระเป๋ากางเกงยีนส์ดันร้องขัดจังหวะ หยิบออกมาดูก็เห็นหน้ายิ้มตาหยีก่อน ไม่ใช่ผมตั้งรูปไอ้เม่นนะครับ มันแอบเอาไปถ่ายแล้วก็ตั้งค่าสายเรียกเข้าเอง

   “โทรมาเพื่อ?” บอกขณะขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย

   (โห ทักแบบนี้ผมต้องตอบว่ายังไงละครับ) น้ำเสียงติดขำตอบกลับมา ผมเบ้ปากอมยิ้มหมั่นไส้ (พี่เรียนเสร็จหรือยัง)

   “ทำไม จะมารับกูเหรอ” แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละครับ เวลานี้ไอ้เด็กปลายสายมันคงรอเรียนคาบบ่าย

   (ให้ไปรับจริงๆ ไหมล่ะ) ดูความกวนของมัน

   “เฮอะ” ผมพ่นเสียงขำออกมา

   (เอาจริงๆ สิ ให้ผมไปรับไหม)

   “จะมารับทำไม เรียนของมึงไป กูจะกลับหอแล้ว” เตรียมสตาร์ทรถ แต่มือกลับจิ้มแต่พวงมาลัย

   (โหย ให้ความหวังแล้วก็จากไปว่ะ) ถ้าไอ้เม่นอยู่ใกล้ๆ ผมคงตบหัวมันไปแล้ว คำพูดกับน้ำเสียงแบบนี้ (ผมเลิกเรียนแล้วจะรีบกลับไปหานะครับ)

   “มาหาทำไม กลับบ้านมึงนู้นไป” ปากก็ไล่ แต่ทำไมต้องยิ้มวะ “แค่นี้นะ กูจะขับรถแล้ว”

   (ขับรถดีๆ นะครับ อย่าเอาแต่คิดถึงผมจนใจลอย)

   ติ๊ด... ผมรีบกดปิดทั้งที่ปลายสายยังพูดไม่ทันจบดี ไม่ไหวหรอกครับ ฟังมันจบผมอาจจะยิ้มเป็นคนบ้าก็ได้ แค่นี้ก็แทบเป็นบ้าอยู่แล้ว



   การจราจรยังคงหนาแน่นเช่นทุกวัน ผมฟังเพลงไปด้วยขับรถไปด้วย พอดีกับเพื่อนรักต่างมหาลัยโทรมา ใจจริงไม่อยากจะรับ แต่กลัวมันจะมีเรื่องสำคัญ (เช่นการกินฟรี) ถึงโทรมาหา

   “ว่าไงมึง” กรอกเสียงถามไป

   (ทำไรอยู่วะ รับช้าเหี้ยๆ) ไอ้กลอยแจกสัตว์เลื้อยคลานอีกแล้ว

   “ขับรถ”

   (อ่าว มึงขับรถแล้วรับโทรศัพท์ได้ไง ตำรวจจับนะมึง)
 
   “แล้วมึงจะโทรมาหากูทำไมเล่า”

   (นี่กูผิดเหรอ มึงว่ากูเป็นคนผิดเหรอ)

   น้ำเสียงมันโคตรตอแหล

   “คุณกลอยโทรมา มีเรื่องอะไรมิทราบ”

   (ของเด็ด ของดี ของฟรีตลอดงาน สนหรือเปล่าเพื่อนม่าน) ไอ้กลอยว่าไปหัวเราะไป (ถ้ามึงสน ปลายทางคือหอพี่โชนะคืนนี้ กูกับมึงเลิกกัน)

   ผมกระพริบตาปริบๆ จ้องมือถือตัวเองที่ยังไม่ได้พูดล่ำลาอะไรไป แต่ไอ้กลอยกลับวางสายไปเฉย เออ เลิกก็ได้วะ เดี๋ยวนะ ไอ้กลอยบอกคืนนี้เหรอ แล้วไอ้เม่นล่ะ ผมต้องโทรไปบอกให้มันกลับบ้านสินะ คิดได้ก็รีบยื่นมือไปหยิบ พอกดเบอร์มันปุ๊บ ก็เพิ่งนึกได้ว่ามันคงเรียนอยู่ เอาไว้ส่งข้อความบอกมันเอา

   ขับรถกลับถึงหอก็ส่งข้อความหาไอ้เม่นบอกให้มันกลับบ้านเพราะผมมีธุระ จากนั้นก็ส่งข้อความหาไอ้อัธ ไม่รู้มันจะไปด้วยหรือเปล่า ถ้ามันไป ผมจะได้ให้มันมารับ ประหยัดน้ำมันไปอีก

   ทำนั่นทำนี่จนใกล้ค่ำ ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวรอเพื่อนอัธสุดหล่อให้มารับ ฉีดน้ำหอมสุดโปรดจนหอมฟุ้งไปทั่วห้อง ช่วงเวลาสูดความสดชื่น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา ผมเดินฮัมเพลงที่ดังจากแลปท็อปตัวเองไปเปิดรับเพื่อน บานประตูไม้เปิดออกก็เจอเพื่อนตัวเองยืนหน้านิ่งอยู่

   “มึง...” ผมคงจะไม่ทำตาโตตกใจหากไม่เห็นไอ้เม่นยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ เพื่อนผมด้วย ฉิบหายล่ะ “มึงมาได้ไงวะ”

   “มึงถามใคร กูหรือไอ้เด็กนี่” ไอ้อัธถามเสียงโคตรนิ่ง ดูจากแววตาเพื่อนผมแล้ว มันพร้อมหาเรื่องได้ทุกเมื่อหากรุ่นน้องอยากมี ไอ้เม่นได้ยินก็เหล่ตามองคนถามด้วย ก่อนจะหันมาจ้องหน้าผม


   กดดันสุดๆ


   “เอ่อ...” ทำไมต้องอึกอักวะ (ด่าตัวเอง)

   “พี่ม่านจะไปไหนหรือครับ” ไอ้เม่นถามออกมา มันเดินเบียดเพื่อนผมมายืนข้างๆ ไอ้อัธมองตาเป็นมัน ผมล่ะกลัวจะมีเรื่องกันจริงๆ

   “กูจะไป...”

   “เสือก”

   ตาโตมองไอ้อัธที่ขัดขึ้นมา ผมรีบจับแขนไอ้เม่นทันที กลัวมันพุ่งไปหาเรื่อง คนหนึ่งก็เพื่อน อีกคนหนึ่งก็...เอ่อ รุ่นน้อง ผมไม่อยากให้ใครต้องมีเรื่องกัน

   “กูจะไปกินเหล้า” ผมตอบเพื่อเรียกสายตาของไอ้เม่นให้หันมามอง กลัวจ้องตากับไอ้อัธมากๆ ไม่คนใดก็คนหนึ่งจะท้องไปซะก่อน

   “ที่ไหน ผมไปด้วย” ตอนนี้รู้สึกปวดตา เพราะต้องมองเพื่อนที ไอ้เม่นที เหนื่อยจริงๆ

   “มึงไปไม่ได้หรอก” ผมบอก ไอ้เด็กที่จับแขนผมขมวดคิ้วสงสัย “กูไปกินที่ห้องพี่โช แฟนไอ้กลอย” จบปุ๊บ คนเซ้าซี้ก็นิ่งไป ผมคิดว่ามันจะเข้าใจ แต่เปล่าเลย มันยังพยักหน้าจะไปด้วย “ห้องพี่โชนะ”

   “อืม ผมรู้” กระพริบตามองคนบอกว่ารู้ ผมก็รู้ว่ามันเคยเกือบมีเรื่องกับพี่โชที่คณะ ขืนพามันไปก็เหมือนพามันไปให้ถูกรุมน่ะสิ

   “ไอ้เม่น” เริ่มอ่อนใจนิดๆ

   “นะพี่ม่าน ผมไปด้วย” คราวนี้ผมหันไปมองเพื่อนตัวเอง ไอ้อัธยักไหล่ก่อนหันหลังพิงกำแพงหน้าห้อง “พี่ม่าน ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้พี่เขาขัดใจ นะครับ”

   “ไม่ต้องทำน้ำเสียงตอแหล” ด่ามันไป “เออๆ แต่มึงห้ามก่อเรื่องนะเว้ย”

   ไอ้เม่นพยักหน้ายิ้มตาหยี ผมผลักหัวมันนิดๆ ก่อนเดินกลับเข้าไปเอากระเป๋าเป้ พอออกมาก็เหล่ตามองเพื่อนสนิทตัวเอง ไอ้อัธเดินนำไปแล้ว ผมเลยต้องเดินข้างไอ้เม่นแทน นี่มันรู้หรือเปล่า ว่ากำลังจะเข้าสู่ดงคนโหด

   รถคัมรี่ของไอ้เม่นขับตามมินิสีดำของไอ้อัธ ส่วนผมจะนั่งมากับใครถ้าไม่ใช่รถคันหลัง แต่ก็ดีนะครับ ขืนให้ไอ้เม่นไปนั่งรถไอ้อัธ หรือให้ไอ้อัธมานั่งรถไอ้เม่น แบบนั้นคงไปไม่ถึงแน่ อาจมีเรื่องข้างถนนสักเส้นก็เป็นได้ ระหว่างทาง ไอ้เม่นยังพูดคุยน้ำเสียงธรรมดา เล่าเรื่องเรียนบ้าง เพื่อนบ้าง ผมก็ฟังๆ ไป ถามมาก็ตอบ สมองตอนนี้มีแต่คำพูด คำตอบที่จะต้องใช้เวลาเจอคนอื่น

   ลำบากไอ้ม่านอีกแล้ว

   พอรถสองคันจอดใต้ตึกปุ๊บ ผมก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ยิ่งใกล้ห้องมากเท่าไหร่ เหมือนลมหายใจมันติดๆ ขัดๆ ไอ้เม่นท่าจะดูผมออก มันรีบกุมมือแล้วบีบเบาๆ อยากบอกเหลือเกินว่าเป็นแบบนี้เพราะมันนั่นแหละ ฮ่วย

   ไอ้อัธกดกริ่งหน้าประตูเรียกคนด้านใน ช่วงยืนรอ เหงื่อผมผุดขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ มือที่จับกับไอ้เม่นก็ชุ่มไปหมดแต่มันก็ไม่ยอมปล่อย จังหวะที่ประตูห้องเปิดออก ผมแทบกลั้นหายใจ

   “ซื้อของเข้ามาหรือปะ...เปล่า เชี่ย” ไอ้กลอยถามหน้าระรื่นก่อนจะค่อยๆ เหวอแล้วแหกปากชี้นิ้วมาที่คนข้างๆ ผม “มึง...มึง” คราวนี้มันกราดนิ้วมาที่ผมที ไอ้เม่นที

   “หลีกๆ กูหนัก” ไอ้อัธแค้นเสียงขำในลำคอก่อนเดินแทรกแฟนเจ้าของห้องเข้าไปด้านใน เหลือแค่ผม ไอ้เม่น แล้วก็ไอ้กลอยที่อ้าปากค้าง

   ดูเหมือนสติเพื่อนรักผมจะเตลิด ไอ้กลอยมันขยับตัวให้ผมกับไอ้เม่นเข้าห้อง เมื่อกี้มันแค่เริ่มต้น ความฉิบหายมันต่อจากนี้ต่างหาก แค่ผมกับไอ้เด็กข้างๆ เข้าไปยืนด้านใน ทุกสายตาต่างก็พุ่งเข้ามาหา นั่นไม่น่าสนใจเท่าสายตาหนึ่งที่เหมือนหอกแหลมคมพุ่งเข้ามาปัก



   พูดได้แค่ห้าคำ...ฉิบหายละทีนี้

............................................................................
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 7 , 8 << [P.2] Up!! // [11/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 11-03-2017 14:22:23
ม่านเริ่มใจอ่อนแล้วอ่ะเด่....
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 7 , 8 << [P.2] Up!! // [11/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-03-2017 20:57:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 7 , 8 << [P.2] Up!! // [11/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 11-03-2017 22:10:35
เอาจริงพี่ม่านนี่ใจดีกับน้องมากนะ ว่าแต่ตอนล่าสุดนี่ม่านจะรอดไหม จะรับมือได้ป่าวเนี่ย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 7 , 8 << [P.2] Up!! // [11/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hyukkiemai ที่ 12-03-2017 02:26:07
ม่านหลงเสน่ห์หญ้าแฟกเม่นแล้ววววววว 55555
พี่โชยเอาไงน่าาาาา
สนใจเพื่อนเจด้วยยวย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 7 , 8 << [P.2] Up!! // [11/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 12-03-2017 16:09:03
ม่านเริ่มรักเม่นแล้วละสิ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 9 << [P.2] Up!! // [31/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 31-03-2017 23:33:01

9




        ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกคนที่ถูกแต่งตัวเป็นเมียงูนั่งอยู่ในตู้กระจกแล้วคนต่างก็จ้องกดดันและพากันสงสัยแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้ผมก็ถูกจ้องมองแบบนั้น มีทั้งแปลกใจและสงสัย ที่แน่ๆ มีสายตาคู่หนึ่งจ้องแทบทะลุตัวผมไปหาคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

   ไอ้เม่นขยับมายืนซ้อนหลังผมเพราะถูกพี่คณะอย่างไอ้กลอยจ้อง ผมว่า ไอ้กลอยก็มีส่วนที่ทำให้พี่โชจ้องเหมือนกัน ในเมื่อมันไม่ยอมเข้าห้อง มัวแต่จ้องมองน้องคณะ

   “มึงจะจ้องอีกนานไหมวะ” สุดท้ายผมก็ถามออกไป

   “กูจ้องมึงเหรอ” ไอ้กลอยตอบผม แต่ตามันจ้องไอ้เม่นนู้นครับ “เข้าไปๆ”

   ผมก้าวขาปุ๊บ เสื้อด้านหลังก็ถูกมือไอ้เม่นดึงทันที ไม่ใช่ดึงห้ามหรอกนะครับ แค่กำแน่นแล้วเดินตาม ไอ้นี่ก็น่าสงสารปนน่าสมน้ำหน้า อยากดื้อมาเอง เตือนแล้วก็ไม่เชื่อ

   “กลับไหม” เอียงหน้าไปถามคนด้านหลัง ไอ้เม่นส่ายหน้ารัวๆ ผมเลยได้แต่ถอนหายใจออกมา “ตามใจ” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วล่ะครับตอนนี้

   ผมดันไอ้เม่นนั่งข้างไอ้อัธ ส่วนผมนั่งข้างไอ้ทูที่มันยังทำหน้าอึ้งไม่ขยับเขยื้อนร่างกายใดๆ คล้ายเมดูซ่าสาป ก็น้องคณะมันเหมือนกันนี่เนอะ แถมวีรกรรมก็เยอะยิ่งอีก ดูเหมือนสติจะเริ่มกลับเลยอ้าปากจะถาม แต่ก็ถูกพี่เบแฟนของมันปิดปากไปซะก่อน คงรู้สึกถึงรังสีโหดเหี้ยมจากพี่โช

   “แหมไอ้ม่าน ซุ่มนะมึง” ละความสนใจจากคนที่มันยังไม่ยอมปล่อยมือจากชายเสื้อผม คนที่ทักชื่อพี่ตินครับ เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของห้อง น้ำเสียงกรุ้มกริ่มกับสายตาแวววาวแบบนั้น คิดอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องกามๆ เท่านั้นแหละ

   “นี่มึงอินเทรนมีผัวเหมือนกันเหรอวะ” เสียงนิ่งๆ ดังขึ้นเรียกสายตาของทุกคู่ คนพูดแบบนี้ได้ มีแค่คนเดียว นั่นคือพี่จอม เพื่อนสนิทอีกคนของพี่โช ผมหันไปมองคนพูดที่ดูไม่ใส่ใจในความหมาย เพราะมัวแต่ปากอ้ารอพี่ซันแฟนของพี่เขาป้อนลูกชิ้นทอด “ร้อน ทำไมมึงไม่เป่าวะ” พี่ซันนี่โคตรอดทน ทนอารมณ์ไม่พอ ยังทนมือทนตีนพี่จอมอีก โคตรอยากยกนิ้วโป้งให้

   “กูว่า กูคุ้นหน้าผัวไอ้ม่านว่ะ พวกมึงคิดแบบนั้นไหม” พี่ตินยังคงไม่หยุดพูด แถมยังหันไปถามความเห็นคนอื่นอีก “คุ้นๆ เหมือนไอ้คนที่มีเรื่องกับ...” พูดพร้อมชี้นิ้วมาที่หน้าไอ้เม่น ก่อนเลื่อนไปหยุดชี้อยู่ที่หน้าเพื่อนตัวเอง “ไอ้โช...เชี่ยแล้ว”

   ความเงียบก่อตัวขึ้นทันที ผมโคตรกลัวเลยบอกตรงๆ

   “พะ พวกพี่ละก็ เด็กมันกลัวหมดแล้ว” ผมพูดขึ้น แม้จะพยายามหัวเราะ แต่มันช่างฝืดเหมือนหน้าเพิ่งฉีดโบท็อกซ์จนมันตึงยิ้มไม่ออก 

   “เด็ก? เด็กมึง? นี่มึงกับไอ้เด็กนี่ได้กันแล้วเหรอ” หันขวับไปมองพี่จอม พี่แกใช้ไม้จิ้มลูกชิ้นชี้หน้าผมกับไอ้เม่นสลับกันไปมา

   ผมหันไปมองหน้าคนที่พามาด้วย พยายามตีความหมายหาคำตอบที่จะไม่ทำให้ไอ้เม่นถูกเตะโด่งออกห้อง สุดท้ายผมก็เลือกที่จะช่วยมันก่อน ไม่อยากเห็นมันถูกกระทืบ ทำไมผมเป็นคนดีแบบนี้วะ

   “ไม่ได้มีอะไรกัน ก็แค่...ดูๆ” รับคำออกมา สร้างเสียงฮือฮารอบทิศทาง โดยเฉพาะ...

   “จริงดิ่ พี่พูดจริงใช่ป่ะ พี่ม่าน จริงๆ ใช่ไหม” เสียงมาพร้อมแรงเขย่าแขนเอาหัวสั่นหัวคลอน “พี่ม่าน”

   “เก็บอาการหน่อยไอ้เด็กแปลกหน้า เดี๋ยวน้องกูหัวหลุด” พี่จอมเขวี้ยงไม้เสียบลูกชิ้นใส่ไอ้เม่น มันปล่อยมือจากแขนผม แต่ปากกับตามันยังยิ้ม “ออกตัวแรง สมแล้วที่เป็นน้องรักกู”

   อยากหัวเราะให้กับคำชมของพี่จอม แต่ผมขำไม่ออกว่ะ ถึงแม้จะรู้สึกว่ารังสีเข้มข้นในห้องค่อยๆ จางลง แต่พี่โชก็ยังคงจ้อง มีไอ้กลอย ไอ้ทู อีก เรื่องมันไม่จบง่ายๆ แน่ ชีวิตไอ้ม่านทำไมวุ่นวายและปวดหัวขนาดนี้

   จากเรื่องน่าอึดอัดที่ผ่านไปไม่กี่นาที ตอนนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อพี่แทมก้าวขาเข้าห้องมาเพิ่มอีกคน ห้องนี้เลยหาความสงบเงียบไม่ได้อีกเลย ช่างน่ายินดี

   “ไอ้ม่าน” เสียงกระซิบจากเพื่อนสุดเกรียนของผม ไอ้กลอยใช้สายตาสั่งให้ผมลุกตามมัน แต่พอผมขยับ ไอ้เด็กข้างๆ มันก็เตรียมขยับด้วย

   “อยู่นี่แหละ เดี๋ยวมา” ผมบอก

   “พี่ไปไหนอะ ทิ้งผมเหรอ” ไอ้เม่นทำหน้าทำตาเหมือนหมาเหงาเอาซะผมหันไปมองหน้าเพื่อนตัวเอง “พี่ม่าน”

   “กูไปแป๊บเดียว โอเค๊” ตบบ่ามันปุๆ ก่อนจะลุกตามไอ้กลอยมาที่เคาน์เตอร์โซนครัวของห้อง “อะไร”

   “มึงกับไอ้นั่น...คบกันจริงๆ เหรอวะ” ไอ้กลอยขมวดคิ้วถาม “เอาจริงๆ นะมึง กูซีเครียด”

   “ซีเรียสหรือเปล่าวะ” ผมแก้คำผิดให้ แต่ไอ้คนพูดมันส่ายหน้า

   “มันคือคำบวกกันระหว่างซีเรียสกับเครียดเว้ย” แทบกรอกตาบนให้เพื่อนตัวเกรียน “มึงคบมันจริงๆ เหรอวะ”

   “ไม่รู้” ตอบออกไปส่งๆ ไอ้กลอยเบิกตาโต “กู...”

   “นี่ไอ้ม่านเพื่อนคู่เกรียนของกูจริงหรือเปล่า” ผมกำลังจะอ้าปากพูดกลับถูกขัดขึ้น ไอ้กลอยมันจับผมหมุนไปมาเล่นเอามึนไปหมด “ไอ้ม่านที่เคยเฮฮาของกู ใช่มึงเหรอวะ”

   “เวียนหัวเว้ย” ผมแหกปากแข่งกับเสียงเพี้ยนๆ ของกลุ่มชอบไมค์ “กูก็ไอ้ม่านนั่นแหละ”

   “ไม่จริง มึงนิ่งเกินไปเหมือนไม่ใช่...หรือมึงถูกผีสิง”

   “สิงบ้านพ่องมึงสิ” ตบหัวไอ้กลอยเต็มมือ มันส่งสายตาค้อนดูน่ารักปนน่าถีบ “กู...แค่ไม่ชิน มึงก็รู้ว่ากูเคยมีคนมาจีบที่ไหน”
 
   “กูลืมไป ว่ามึงเป็นพวกไร้เสน่ห์แบบกู” ความมั่นหน้าให้มันเถอะครับ “แล้วมึงคบมันจริงเหรอวะ”

   “ถามกูรอบที่ร้อยแล้วไอ้ห่า”

   “ย้ำเพื่อความมั่นใจไง แม่ง คู่เกรียนของกูจะมีแฟนทั้งที” ผมแค้นเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นหน้าเพ้อฝันของเพื่อน “มึงต้องขอบคุณกูนะ กูชักนำความรักให้มึง กูนี่มันคิวปิดชัดๆ ว่ะ ฮ่าๆ อ่าว ไอ้เชี่ยม่าน”

   ผมเดินหนีไอ้คนหลงตัวเองมานั่งข้างไอ้เม่นตามเดิม มันกำลังถูกมอมเหล้าจากทั้งวง โดยเฉพาะพี่จอม มีไอ้อัธชนแก้วด้วยเป็นระยะ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ยังจ้องมอง แม้จะน้อยครั้งก็ตาม

   “กลับไหม” ผมถามไอ้เม่น มันวางแก้วเหล้าลงบนพื้นปุ๊บ มือของไอ้อัธก็รีบดึงแก้วไปให้พี่จอมชงใหม่ทันที มีการทำงานเป็นทีมเว้ย แต่แม่ง ใส่เหล้าเยอะเหี้ยๆ 

   “แล้วแต่พี่ม่านเลย ผมยังไงก็ได้” ตอบกลับน้ำเสียงปกติ ไอ้เม่นคอแข็งนี่หว่า

   “เชื่อฟังกูจริงนะ” ผมว่า “พวกพี่หยุดมอมเหล้ามันได้แล้ว เดี๋ยวก็ตายห่าพอดี” หันไปโวยวายรุ่นพี่ที่ชงเหล้าแทบไม่ผสมน้ำหรือโซดา ถ้าจะชงแบบนี้ให้มันกินเพียวๆ ยังจะดีซะกว่า

   “อะไรของมึงฮะไอ้ม่าน มึงหวงเหรอ หวงเด็กกับพี่มึงเหรอ นี่กูพี่จอมพี่มึงนะ” เพราะขัดเลยถูกน้ำแข็งปาใส่หัว แล้วน้ำแข็งก้อนนั้นก็กระเด็นลงไปนอนในถ้วยต้มยำซึ่งพี่ตินตักเข้าปากด้วยใบหน้าแสนฟิน

       ขอให้อร่อยนะครับ ผมสระผมแล้วเมื่อวาน   

   “ไม่ได้หวงครับพี่ครับ แต่กลัวมันตาย พวกพี่คอแข็งยิ่งกว่าคอนกรีตอีก” พูดตามความจริง พี่ซันถึงกับยกนิ้วโป้งให้ผมทันที “ผมจะกลับแล้ว”

   “อะไรใครจะกลับ ไอ้ม่าน มึงจะกลับได้ไง มาไม่ถึงชั่วโมงมึงจะกลับไม่ได้” พี่แทมว่า แต่จะดีกว่านี้ถ้าพี่แกไม่ตะโกนใส่ไมค์ เล่นเอาไมค์หอนจนหูแทบหนวก

   “พวกมึงอย่าไปขัด ข้าวใหม่ปลามัน ซัดกันนัวเนีย กูรู้ กูเห็น หึๆ” สายตากรุ้มกริ่มของพี่ตินเหมือนตอนแรกที่ผมเห็นเป๊ะ ความคิดที่มีแต่เรื่องใต้เข็มขัดตลอดๆ

   “ไม่ใช่เว้ย พวกพี่คิดแต่เรื่องไม่ดีว่ะ” ผมส่ายหัวเอือมๆ ให้กับรุ่นพี่ร่วมสถาบัน ไม่สิ ต้องเป็นอดีตเพราะพวกพี่ๆ จบกันไปแล้ว “พรุ่งนี้ผมมีประชุมรุ่น”

   “ประชุมรุ่นหรือจะไปชุลมุนยุ่งบนเตียงวะ” แทบอยากยกมือกราบพี่เบให้หยุดพูด เรื่องใต้เข็ดขัดไว้ใจพวกนี้ได้ครับ ทุกเรื่องสามารถเชื่อมโยงได้

   “ผมกับไอ้นี่ยังไม่ได้กันครับ อย่าเพิ่งคิดไปไกล” รีบอธิบาย พลางหันไปหาไอ้เม่นให้มันแก้ตัวบ้าง แต่มันกลับยิ้มตาหวานมองมาแทน “เดี๋ยวกูจิ้มตาบอดไอ้สัด”

   “โหดว่ะ” ไอ้เม่นเปรยออกมา เล่นเอาทุกคนในห้องหัวเราะท้องแข็ง เชี่ยเอ้ย

   “กลับๆ ลุกสิวะ” โมโหครับ ไม่มีคนเข้าข้าง

   ระหว่างที่ไอ้เม่นกำลังจะเดินตามผม พี่โชกลับเดินมาขวางพลางชี้นิ้วสั่งไอ้เม่นไปที่ระเบียง ทุกคนในห้องจากที่ส่งเสียงโวยวายเริ่มเงียบ สงครามกำลังจะปะทุแล้วครับ

   “พี่มีอะไรกับไอ้เม่นเหรอครับ” ใจกล้าไหมล่ะผมน่ะ พอถามจบปุ๊บ ถูกสายตาโหดเหี้ยมตวัดมองทันที พี่โชโคตรน่ากลัว

   “กูไม่ฆ่ามันหรอก” น้ำเสียงเย็นกว่าแอร์อีก ขนาดไอ้กลอยยังอ้าปากค้างไม่กล้ายุ่ง “ตามกูมา”

   ผมและทุกคนในห้องต่างก็มองตามร่างสูงใกล้ๆ กันออกไปนอกระเบียง ด้วยความโหดของสายตาพี่โชสะกดให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่ไม่มีใครกล้าขยับตาม

   ไอ้เม่นจะตายไหมนี่ กูต้องสวดมนต์ให้มึงใช่ไหมวะ

   “พี่โชไม่ฆ่ามันหรอก มึงสบายใจได้” แรงตบที่บ่ากับเสียงให้กำลังใจของไอ้กลอยไม่ทำให้ผมสบายใจนักหรอก ก็เพราะรู้ฉายาตีนโหดกระทืบแหลกของพี่โชมามากไง มีแต่ตายกับตายเท่านั้น

   “ไอ้เม่นไม่ตายแต่อาจสาหัสใช่ไหมวะ” ถามโดยไม่หันไปมองหน้าเพื่อนสนิท ไอ้กลอยหัวเราะออกมา “ขำพ่อง”

   “ปีศาจของกูไม่โหดร้ายขนาดนั้น คิดมาก กินเหล้าๆ” เบ้ปากใส่เพื่อนสนิท ผมรู้หรอกว่ามันจะรีบกินให้เกินข้อตกลงห้าแก้วอะไรนั่น

   ภายในห้องกลับมาคึกคักเหมือนเดิม แต่ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมสักเท่าไหร่ มันรู้สึกพะวง สายตาก็คอยมองออกไปนอกระเบียงทั้งที่ผ้าม่านบังมิดก็เถอะ

   “อย่าห่วงเลย” เสียงไอ้อัธลอยเข้ามากระทบหู ใบหน้านิ่งๆ ของมันเริ่มมีรอยยิ้มบางๆ ส่งมาให้ผม

   “แดกมากเดี๋ยวก็ไปเคาะห้องมั่วอีกหรอกมึง” ผมแขวะ

        ไอ้อัธเพิ่งย้ายเข้าคอนโดใหม่ครับ ห้องใหม่ของมันดันอยู่ตรงข้ามกับห้องไอ้เจ แล้วดันมีประเด็นว่า ไอ้อัธเมาหิ้วสาวไปเปิดประตูห้องไอ้เจ แต่เปิดไม่ได้มันก็เคาะห้องโวยวายเสียงดังว่าขโมยขึ้น จนไอ้เจเปิดออกมา เท่านั้นแหละ จากที่กรึ่มๆ แทบกลับมาเป็นปกติ สงสัยตกใจเจอหุ่นแห้งๆ ของไอ้เจ มันเป็นพวกถอดเสื้อผ้านอน ตอนได้ยินผมหัวเราะจนไส้ติ่งแทบระเบิด 

   “ชอบจังนะ ซ้ำกูเนี่ย” คุณชายอัธผู้มีระเบียบทำหน้างอโคตรน่ารัก

   “กูซ้ำเพื่อนอัธตอนไหนกัน ไม่มี๊” เสียงสูงโคตรจริงใจว่ะ

   “หึ โน่น เด็กมึงมาละ” 

   รีบหันไปมองทันทีที่ได้ยิน พี่โชเดินหน้านิ่งเข้ามาก่อน ส่วนไอ้เม่นเดินตามหลัง ผมสำรวจหน้าตากับลำตัวของมัน  มีอะไรบุบหรือช้ำบ้างหรือเปล่าวะเนี่ย ไอ้เม่นเดินยิ้มเข้ามานั่งข้างผมต่อ พอมาอยู่ใกล้ ผมก็รีบจับแขนจับหน้ามันสำรวจ

   “ไอ้ม่าน กูไม่ได้กระทืบ” เสียงพี่โชมาพร้อมก้อนน้ำแข็งก้อนเล็กๆ

   “ใครจะไปรู้เล่า” หน้างอใส่แฟนของเพื่อน “ฉายาพี่ก็ไม่ธรรมดา” ผมว่า ไอ้กลอยถึงกับยกนิ้วโป้งให้แต่มันกลับถูกแฟนมันดึงแก้มจนยืดแทน ผมเลิกสนใจเจ้าของห้องมามองไอ้เด็กข้างๆ ซึ่งไอ้เม่นก็จ้องหน้าผมอยู่ “อะไร”

   “พี่จับมือผมอยู่” คำบอกเล่าพร้อมสายตาและความรู้สึกที่มือ

   “เชี่ย” รีบดึงมือกลับ แต่ถูกบีบแน่นจนชักออกไม่ได้ “ปล่อยสิวะ” กัดฟันพูดเพราะกลัวคนในห้องได้ยิน แต่คนบีบแน่นไม่ยอม แถมยังออกแรงดึงให้ผมเซไปจนนั่งชิดอีก

   “พี่จับก่อนนะ” รอยยิ้มโคตรเจ้าเล่ห์

   “เออ” ถลึงตาใส่ ไอ้เม่นก็ขำ “กลับไหม”

   “พี่อยากกลับ ผมก็กลับ” พยักหน้าให้กับคำตอบ ผมเอ่ยลาพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคน ไม่สนคำหยอกล้อหรือแซวแรง เพราะพวกนี้ถ้าเกิดเราต่อล้อต่อเถียง เรื่องมันจะไม่จบ เพราะสุดท้าย เรื่องที่พูดมันจะอยู่ใต้เข็ดขัด

   ผมเดินนำไอ้เม่นออกมาจากตึก เห็นมันเดินช้าเลยต้องหยุดรอ

   “เดินช้า” ผมว่า คนเดินช้ายิ้มพรายออกมา

   “พี่รอผมเหรอ ดีใจจัง” เบื่อรอยยิ้มของไอ้เม่นแล้วเนี่ย จะยิ้มทำไมบ่อยวะ (เริ่มพาล)

   “กูไม่รอมึง แล้วจะทำยังไงกลับ” หนึ่งในเหตุผลที่รอ ส่วนเหตุผลอื่นๆ ไม่บอกหรอก

   “ดีใจอยู่ดี” เบ้ปากใส่ ก่อนไอ้คนที่เดินช้าจะรีบก้าวมาหา ไอ้เม่นยื่นมือมาจับมือผมแน่น “กลับกันเถอะ”

   แม้ระหว่างประตูคอนโดไปถึงตัวรถจะอยู่ใกล้ แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันโคตรไกล อ่อ รู้แล้ว เพราะไอ้เม่นมันพาผมเดินอ้อมไปอ้อมมา แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้กลับ พอผมท้วงมันก็หัวเราะแล้วพาไปที่รถ ไอ้นี่กวนได้โล่

   รถยนต์คัมรี่ถูกขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ภายในรถ เจ้าของเปิดเพลงสบายๆ บวกกับแอร์เอาซะผมเคลิ้มแทบหลับ

   “หิว” ผมว่า มือเริ่มลูบท้อง คงเพราะเมื่อกี้กินกับแกล้มไปนิดเดียว นอกนั้นเหล้าล้วนๆ ไอ้เม่นไม่ตอบไม่พูด แต่หักเลี้ยวเข้าจอดข้างทางที่มีร้านบะหมี่ “มึงต้องกลับบ้านไหม” ถามขณะปลดเข็มขัด

   “ตอนแรกก็จะกลับ แต่ตอนนี้ไม่กลับแล้ว” ผมเลิกคิ้วมองคนที่ดูเงียบๆ ไป ทำไมผมรู้สึกว่า ไอ้เม่นแปลกๆ หลังจากคุยกับพี่โช “พี่มองหน้าผมทำไม”

   “มึงเป็นอะไร เห็นเงียบๆ ตั้งแต่ออกจากห้องมาแล้ว” ถามแล้วจ้องหน้ากดดัน ไอ้เม่นยิ้มก่อนยื่นมือมาดีดหน้าผากผม “กูรุ่นพี่มึงนะเว้ย” ดีดมาไม่ออมมือเลย

   “ผมแค่กำลังคิดว่าจะทำยังไงกับพี่ดี” ขมวดคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน “พี่หิวไม่ใช่เหรอ”

   “เออๆ” ผมว่า แต่มือยื่นไปดึงแขนคนที่กำลังจะก้าวขาลงรถ ไอ้เม่นหันมามองด้วยความสงสัย “มีเรื่องอะไรก็บอกกูด้วย กูไม่อยากตกข่าว โอเค๊”

   “ครับๆ” ไอ้เม่นหัวเราะร่วนแล้วลงรถไป ผมรีบตามมันลงมา ร้านบะหมี่ข้างทางดูธรรมดาแต่รสชาติอร่อยสุดแล้วผมว่า อร่อยกว่าร้านอาหารบางที่ซะอีก





   กว่าจะกินบะหมี่เสร็จ แล้วกว่าจะถึงห้องก็ปาไปค่อนคืน ผมแทบทิ้งตัวนอนหลับเพราะขี้เกียจอาบน้ำ แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ในเมื่อแขนถูกฉุดดึงพร้อมคำสั่งให้อาบน้ำ นี่ขนาดผมเป็นรุ่นพี่มันยังสั่งขนาดนี้ ถ้าหากผมเป็นรุ่นน้องของมัน มีหวัง...ตายหยั๋งเขียด

   ผมอาบเสร็จไอ้เม่นก็เข้าต่อ เพราะความร้อนทำให้สระผมแล้วมาลำบากต้องเปิดพัดลมเป่า ขนาดไอ้เม่นออกมาแล้วผมของผมยังไม่แห้งเลย

   “พี่ทำไมไม่เป่าไดร์ แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้นอน”

   “นี่มันกี่โมงแล้ว ขืนเป่าไดร์ ข้างห้องได้มาด่าพอดี เป่าพัดลมนี่แหละ เดี๋ยวก็แห้ง” ปากก็ว่า มือก็เช็ดผม “มึงง่วงก็นอนก่อนเลย...” แขนที่รัดมาจากด้านหลังทำให้ผมหยุดพูด ไอ้เม่นมานั่งซ้อนหลังตั้งแต่เมื่อไหร่

   “พี่ม่าน” เสียงทุ้มชิดข้างหูกับคางแหลมที่วางบนบ่าทำเอารู้สึกขนลุก

   “ไอ้เหี้ย กูขนลุก” ผมว่า พยายามสะบัดแต่อ้อมแขนนั่นรัดแน่นจนต้องยอมอยู่นิ่ง “เป็นอะไรของมึงเนี่ย”

   “ผมคิดได้แล้วนะ” เอียงหน้าได้นิดเดียวแก้มก็ชนกับจมูกโด่งๆ ของไอ้เม่น เสียงหัวเราะขึ้นจมูกของมันแทบอยากตบหัว “ตอนนี้ผมจะรุกพี่อย่างหนัก พี่ต้องเป็นของผมคนเดียว”

   “ห๊ะ” ตกใจยิ่งกว่าถูกมันกอดตอนนอนครั้งแรกซะอีก

   “ที่พี่ถามว่า ทำไมผมเงียบไปหลังจากคุยกับพี่โหดนั่น” อยากขำที่มันเรียกพี่โชว่าพี่โหดแต่บรรยากาศคงไม่เหมาะ เลยเลือกจะเงียบรอฟังมันต่อ “พี่เขาถามผมว่า ผมชอบพี่จริงๆ หรือแค่อยากหาเพื่อนแก้เหงา”

   “แล้วมึงว่าไง เชี่ย” ถูกกัดแก้มเฉย

   “ฟังผมเล่าก่อน ห้ามขัด” แทบอยากด่าแต่กลัวถูกกัดอีก แม่งกัดจริงๆ ด้วยนะ ชาติก่อนคงเกิดเป็นหมา “พี่เขาให้ผมลองคิดทบทวนว่าเพราะพี่ม่านเป็นเพื่อนของพี่กลอยหรือเปล่า เพราะผมอยากเอาใจพี่กลอยหรืออยากเรียกร้องความสนใจไหม”

   “อืม แล้ว” แอบเอียงหน้าหนีกลัวถูกมันกัด

   “ผมก็มาคิดแล้วคิดอีก นั่งก็คิด กินก็คิด ยืนก็คิด ขี้เมื่อกี้ก็ยังคิด” เกือบดีอยู่แล้วเชียวไอ้ประโยคเมื่อกี้ “ผมถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนตอนนี้ได้คำตอบแล้ว...พี่ม่านครับ”

   “อะไร” ทำไมรู้สึกระแวงคำพูดที่จะได้ยินต่อจากนี้วะ แถมใจยังเต้นอีกต่างหาก ไอ้คนที่ซ้อนกอดผมคงจะรู้สึก ในเมื่อแขนของมันวางพาดตรงหัวใจของผมพอดี

   “หัวใจพี่เต้นโคตรแรง” เกลียด...เกลียดน้ำเสียง เพราะมันทำให้ผมใจเต้นแรงกว่าเดิม ไอ้เชี่ย

   “กูก็คนไหมล่ะ หัวใจไม่เต้นกูก็ตาย” พูดติดตลกไปงั้น เผื่อหัวใจจะเต้นเบาลง “รีบๆ พูด กูง่วง”

   “ผมชอบพี่” โดนจู่โจมจนแทบเซ ขนาดเคยได้ยินมาหลายครั้งแล้วนะ

   “บอกหลายครั้งแล้ว กูจำได้” ทำให้เหมือนชิน แต่รู้สึกใจเต้นทุกครั้งที่ได้ยิน

   “ไม่เหมือน เพราะคราวนี้...” อ้อมแขนที่รัดคลายออก ก่อนผมจะถูกหมุนให้หันหลังกลับ ตอนนี้สายตาที่จับจ้องมาดูอ่อนโยน มือของผมถูกดึงไปวางอยู่บนหน้าอกของคนตรงหน้า “คราวนี้...มันออกมาจากหัวใจ”


   หัวใจที่ผมจับอยู่ก็เต้นแรงไม่แพ้ผมเลย


   “เอ่อ...” ถึงกับหาเสียงตัวเองไม่เจอ

   “รู้สึกไหม หัวใจผมก็เต้นแรง” พยักหน้าตอบ “มันเต้นแรงก็เพราะพี่ ผมระ...”

   “อย่าพูดว่ารักเพราะเราเพิ่งรู้จักกัน” ผมรีบยกมืออุดปากไอ้เม่นก่อนที่มันจะพูดจบ “สำหรับกู คำว่ารัก ถ้าพูดออกมาง่ายๆ ไม่นานก็จะจากไปอย่างง่ายๆ มึงเข้าใจที่กูพูดใช่ไหม”

   “แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะบอกได้ล่ะ” ไอ้เม่นเริ่มงอแง มันยู่ปากเหมือนเด็กถูกขัดใจ


   ไอ้คนจริงจังเมื่อกี้หายไปไหนวะ


   “เมื่อถึงเวลาของมันนั่นแหละ” สะบัดมือให้หลุดแต่ก็ถูกดึงไปจับอยู่ดี

   “ขอบคุณนะที่ยอมคบกับผม”

   “บอกตอนไหนว่าจะคบ”

   “พี่ไม่ได้บอก แต่หัวใจพี่บอก ผมรู้”

   “ไอ้บ้า” ปากด่ามันแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ ยิ่งได้เห็นไอ้เม่นยิ้มจนตาหยีก็ยิ่งทำให้หยุดยิ้มไม่ได้ “ไปนอนไป๊”

   “แล้วพี่ล่ะ”

   “ผมกูยังไม่แห้ง” ข้ออ้าง แท้ที่จริงเขินมันอยู่

   “ไม่เป็นไร ผมรอได้” ไอ้เม่นขยับตัวไปนอนเหยียดยาวบนเตียงโดยวางหัวบนฝ่ามือและใช้ข้อศอกค้ำกับเตียงมองผมตาแป๋ว “พี่ม่าน”

   “เรียกทำไม”

   “ผมไม่อยากเรียกพี่ว่าพี่เลย”

   “อยากพูดกูมึงกับกูเหรอ” เหล่ตาไปมอง ไอ้เม่นรีบส่ายหน้าแรงๆ

   “ไม่ใช่ๆ ผมแค่คิดว่า อยากมีคำเรียกที่ใช้แค่เราสองคน พวกพี่กลอยก็เรียกชื่อพี่ว่าม่าน ส่วนที่มหาลัยพี่ก็เรียกมู่ลี่” อยากขอบคุณที่มันเรียกชื่อมู่ลี่ ไม่ได้มาแค่มู่เหมือนพวกไอ้เจ

   “จะให้เรียกอะไร” ทำไมผมต้องขมวดคิ้วคิดชื่อที่จะเรียกด้วยเนี่ย นี่ผมเต็มใจคบมันแล้วเหรอวะ

   “อืม...” ไอ้เม่นกัดริมฝีปากล่างดูเซ็กซี่ ไม่สิ มันทำเพราะกำลังใช้ความคิดมากกว่า “รู้แล้ว ผมจะเรียกพี่ว่าบี๋ที่ย่อมาจากเบบี๋”

   “เบบี๋พ่อง” ใช้ผ้าเช็ดผมฟาดขาคนคิด ไอ้เม่นหัวเราะก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง
 
   “น่ารักจะตาย ส่วนพี่ก็เรียกผมว่าเบ๊”

   “ย่อมาจากอะไรอีก”

   “ไม่ย่อ”

   “เบ๊ที่หมายถึงคนรับใช้อะนะ” ไอ้เม่นพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “มึงจะเป็นคนใช้กูเหรอ”

   “เบ๊หมายถึงทาส เพราะผมเป็นทาสของพี่ ทาสความรัก”

   “ไอ้เพ้อ นอนไปเลย” อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปพร้อมคนอยากเป็นเบ๊

   “ไม่เอา เบ๊จะรอบี๋”

   “ขนลุกสัด”

   “บี๋อะ ไม่โรแมนติกเลย มามะ มานอนข้างเบ๊”

   ผมคลานขึ้นเตียง ไม่ใช่ไปนอนข้างๆ อย่างที่มันตบให้นอนหรอกนะ แต่ขึ้นไปคว้าหมอนฟาดหน้าแทน ไอ้เม่นกลิ้งหนีจนตกเตียง มันคงลืมว่าเตียงผมไม่ได้กว้างใหญ่พอให้คนตัวใหญ่กลิ้งเล่น

   “สมน้ำหน้า”

   “บี๋ใจร้าย แต่เบ๊ก็รัก จุ๊บๆ”
 
   แล้วผมต้องทำยังไงให้ไอ้เด็กที่อยากเป็นทาสความรักของผมเนี่ย ไอ้ม่านเขิน เอ้ย ปวดหัว


........TBC

.........................................................................................


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 9 << [P.2] Up!! // [31/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-04-2017 13:41:22
 :L2: :pig4:

ดีใจที่กลับมา
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 9 << [P.2] Up!! // [31/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 02-04-2017 13:45:40
 :m20: น่าร๊ากกก..เบ๊..บี๋... :jul3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 9 << [P.2] Up!! // [31/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 02-04-2017 14:47:44
ช่างคิดได้นะ 5555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 9 << [P.2] Up!! // [31/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 02-04-2017 15:09:13
น่ารักจัง เบ๊ บี๊ อร๊าย 555แต่ ขำอัธหิ้วสาวแต่ไปเคาะห้องเจ555 รงจะเมาจัด คู่นี้อัธเจ สักเรื่องเถอะ คงฟินสุดๆมันๆสุดๆเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 09-04-2017 13:24:57

10




       “บี๋เลิกเที่ยงใช่ไหม เดี๋ยวเบ๊จะมารับนะ” โคตรไม่ชินที่ถูกเรียกแบบนี้ แต่ก็นะ สักครั้งในชีวิต ไอ้ม่านจะลองดู ผมสูดเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะพยักหน้ารับ “บี๋น่ารักอะ แล้วเจอกันนะครับ” ไอ้เด็กที่แทนตัวเองว่าเบ๊โบกมือลาหยอยๆ ก่อนขับรถไป

   หวังว่าเรื่องคงไม่ยุ่งยากมากไปกว่านี้...

   “แหม หวานจริง” เหยด เสียงแหลมแหวกความเงียบมาจนตกใจแทบกระโดดหนี มัวแต่มองไฟท้ายรถจนลืมสังเกตผู้คนรอบข้าง ไม่รู้เลยว่าเพื่อนผมมายืนอยู่ข้างๆ นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมครบทีมซะด้วย

   ยิ่งกว่าหูฟังที่พันกันอีก (ยุ่งยากนั่นเอง)

   “มีเรียกบี๋ เรียกเบ๊ กูขนลุกสัด” ไอ้มีนทำหน้าสยอง มือก็ลูบแขนตัวเองไปมา

   “เพื่อนกูมีความเลี่ยน” นี่ไอ้เกมส์ครับ มันทำหน้าเหมือนรับไม่ได้

   “บราโว่” ปิดท้ายด้วยไอ้เจยืนปรบมือแต่หน้ามันโคตรนิ่ง

   ...จบแล้วครับ ชีวิตไอ้ม่าน โดนสี่ยอดกุมารเค้นจนไส้แห้งแน่

   ผมถูกกดดันด้วยสายตาสี่คู่มาที่โต๊ะประจำ แทบจะอ้าปากพูดไม่ได้ แค่อ้าปุ๊บก็ถูกสวนกลับทั้งที่ผมยังไม่ได้ส่งเสียงสักแอ๊ะ
 
   “พวกมึงจะฆ่ากูทางสายตาเลยไหมวะ” พูดหลังจากถูกดันให้นั่ง แต่พวกมันยังยืนล้อมไม่มีท่าทีจะนั่งตาม

   “เล่ามาๆ อะไรยังไง” ไอ้มีนเค้นคนแรก ผมเงยหน้าสบตาแต่ถูกดีดหน้าผากอย่างแรง “ไม่ต้องด่ากูด้วยสายตา เล่ามา!”

   เชี่ย ผีพี่ว๊ากเข้าสิงพวกมันหรือไงเนี่ย

   “มัน...ไม่มีอะไร” ตอบผมอ้อมแอ้ม

   “ไม่มีอะไรบ้านมึงสิ กูได้ยินเต็มสองหูตอนมันเรียกมึงว่าบี๋” อีแน่วตบหัวผมซะผมเสียทรง

   “ก็กูไม่รู้ มันเรียกของมันเอง” บอกความจริง แต่ไม่มีใครเชื่อว่ะ “จริงๆ ว่าแต่ พวกมึงได้ยินตั้งแต่ตรงไหนล่ะ” เพราะไม่รู้พวกมันได้ยินอะไรไปบ้าง

   “เมื่อกี้นี้ ไอ้เด็กนั่นมันจงใจเรียกให้พวกกูได้ยิน” หันขวับไปมองไอ้เจจนคอแทบเคล็ด
 
   “ยังไงวะ” ทำตาปริบๆ มองเพื่อนสลับกันไปมา

   “ไอ้มู่โง่ ก็มันเห็นพวกกูเดินเข้าไปหา ก็เลยจงใจพูดเสียงดังไง” มิน่า ตอนเรียกชื่อนั่น ไอ้เม่นเรียกซะดัง “สรุปได้กับมันแล้ว?”

   “เชี่ย ยังเว้ย” ปฏิเสธเสียงแข็ง “จริงๆ” ย้ำไปอีกเมื่อเพื่อนทำหน้าไม่เชื่อ

   “ยังไม่ได้แต่เรียกซะเลี่ยน กูไม่เชื่อ” แล้วพวกมันก็พากันพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของไอ้เกมส์

   “ถึงกูจะใจง่าย แต่กูก็รักตัวกูไหมละ แม่ง” ทำหน้างอเป็นปลาทูเมื่อนึกถึงการสัมผัสจับจูบลูบคลำจากเพศเดียวกัน ที่นึกถึงนั่นเพราะไอ้ทูชอบดูซีรี่ย์ต่างประเทศแล้วส่งผ่านไลน์มาแบ่งผม ตอนแรกๆ ก็ดูผ่านๆ เพราะเป็นซีรี่ย์ ดูไปก็เพลินสนุกดี

   “ดี ใจง่ายอย่างเดียวก็พอ อย่าเพิ่งเอาตูดให้มันไว เดี๋ยวได้แล้วแม่งก็ทิ้ง” เผลอขำคำคมแปลกๆ ของไอ้มีน “แต่กูข้องใจ”
   “ข้องใจอะไรวะ” อีแน่วถามแทนทุกคน นี่ผมเป็นตัวประกอบของพวกมันหรือเปล่าวะ 

   “ชื่อที่มันเรียกมึงกูก็พอจะเข้าใจ ไอ้บี๋ เบบี๋อะไรแบบนี้ แต่เบ๊นี่สิ มันมาจากคำไหนวะ เบเบ๊ก็ไม่ใช่ เบ้เบ๊ก็แปลกๆ” สายตาที่จ้องไอ้มีนเมื่อกี้ เบนมาทางผมหมด “บอกกูมา”

   “ไม่รู้” ปฏิเสธเสียงแข็งอีกรอบ ใครจะไปกล้าพูดวะ แค่นึกถึงตอนไอ้เม่นบอกผมก็ขนลุกแล้ว

   “มึงมีความลับกับพวกกูเหรอ พวกกูเพื่อนมึงนะ หรือมีผัวแล้วลืมเพื่อน นิสัยไม่ดีนี่หว่า ไอ้เหี้ยมู่” โดนไอ้เจร่ายยาว เอาซะผมสะเทือน “ใช่สิ พวกกูไม่สำคัญนี่...”

   “เออๆ” ทนความดราม่าไม่ไหว ก็ต้องบอกไป “อย่าอ้วกนะเว้ย” สูดเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะพูดออกมา “ไอ้เม่นมันบอกกูว่า มันเป็นทาสรักของกู เลยเรียกแทนตัวเองว่าเบ๊ ที่แปลว่าทาส” กลั้นใจบอกสุดๆ
 
   พูดจบปุ๊บ ความเงียบก็เข้าปกคลุมรอบตัว ผมเงยหน้ามองบรรดาเพื่อนสนิทที่ยืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหว หรือพวกมันจะอึ้งกับความคิดเพี้ยนๆ นี่วะ ก็แน่ล่ะ ขนาดผมยังอึ้งตอนได้ยิน ไม่รู้มันเอาสมองที่ไหนมาคิด 

   “ปรบมือ” อยู่ๆ ไอ้เกมส์ก็สั่งทำเอาผมที่อยู่ในความคิดของตัวเองสะดุ้งเฮือก สิ้นคำสั่ง พวกที่ยืนนิ่งก็ปรบมือเสียงดัง เรียกสายตาคนนอกให้มองมาอย่างสงสัย “ฉลาดมาก ช่างคิดสุดๆ”

   “มึงชมกูเหรอ”

   “ไอ้เม่นเว้ย”

   กะจะหยอดเข้าตัวเองสักหน่อย โดนตะคอกใส่หน้าพร้อมกันซะได้ เจ็บปวด

   “พวกมึงไม่ขนลุกเหรอวะ กูได้ยินแม่งขนลุกสัด” ผมลูบแขนตัวเองไปมายามนึกย้อนไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

   “นิดๆ แต่มันคงจริงจังกับมึง” ไอ้เจว่า ก่อนมันจะจ้องด้วยสายตาจริงจัง “ว่าแต่มึงเถอะ จริงจังกับมันแค่ไหน” อยู่ๆ ก็ถูกถาม เอาซะผมพูดไม่ออก

   “ไอ้เจพูดก็ถูก ถ้ามึงไม่จริงจังที่จะคบ ก็ไม่ควรไปให้ความหวัง ตกลงคบ กูสงสาร” อีแน่วเสริมขึ้นมา

   “สงสารกูเหรอ” ลองแหย่อีกรอบ คราวนี้เลยถูกตบหัวเน้นๆ เต็มฝ่ามือ

   “สงสารไอ้เด็กเม่นนั่นสิ กูจะสงสารมึงทำเหี้ยอะไร มึงคิดดู ถ้ามึงคบกับคนที่ชอบแล้วมารู้ว่า ไอ้บ้านั่นไม่ได้ชอบหรือจริงจังด้วย มึงจะเสียใจไหม ใช้สมองอันน้อยนิดของมึงคิดให้ดี” 

   “ตอนนี้มึงผิด”

   “มึงควรซื่อกับความรู้สึก ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็เลิก”

   พวกพี่ว๊ากกำลังกดดันผมครับ

   “กู...”

   “ถ้าตามที่มึงบอก ไอ้เด็กนั่นมันซื่อตรงกับความรู้สึกแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่มึง คิดอะไรก็พูด ปากมีไว้พูด ไม่ได้มีไว้ให้ลากไก่ไปแดกในน้ำอย่างเดียว”


   ด่าผมว่าเหี้ยยังไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่านี้


   “เออๆ กูจะทำตามที่พวกมึงบอก” ผมต้องทำตามความรู้สึกของตัวเองสินะ “จ้องกูทำไม กูหล่อ กูรู้ตัว” แกล้งพูดติดตลกเผื่อพวกมันจะขำ แต่เปล่าเลย พวกมันยังจ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละ

   “มันแป้ก มุกนี้ไม่ผ่าน” ความมั่นใจตกวูบเลยไอ้ม่าน “เร็วๆ พวกกูรอฟังมึงเนี่ย ว่ามึงจะเอายังไง จะเลิกหรือไปต่อ”

   “จะให้กูตอบตอนนี้เนี่ยนะ” 

   “เออ” มาพร้อมกันสี่เสียง เอาซะสะดุ้ง

   “ไอ้เม่นมันก็...เป็นคน เอ่อ คนพอใช้ได้” พยายามเรียบเรียงทำความเข้าใจความคิดของตัวเอง “คบกับมันก็คง...ไม่เลวมั้ง”
 
   “ไม่เอามั้ง” ไอ้เจตบโต๊ะจนน้ำในแก้วกระฉอกออกมา ไอ้เหี้ยนี่ชอบใช้ความรุนแรง “พูดให้มันหนักแน่นทำได้ไหม”

   “เออๆ คบกับมันก็ดี แม้จะปวดหัวแต่ก็มีความสุขดี” ผมตอบเสียงดังฟังชัดตามที่พวกมันต้องการ

   “ดี มึงคือเพื่อนกู พวกกูยังไงก็ได้” พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้เพื่อนรักทั้งสี่ ผมรู้ว่าพวกมันรักและหวังดี ไม่อยากให้ผมค้างคาไม่ว่าเรื่องอะไร “แต่พามาให้กูเต๊าะเล่นก็ดีนะ กูชอบ”

   “สรุปมึงจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชายวะ เอาให้แน่” ไอ้มีนส่ายหน้ารัวๆ

   “ได้หมดถ้าสดชื่น” ได้สดชื่นกับฝ่ามือจริงๆ คนโดนถึงกับโวยวาย

   เพื่อนดี มีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ ผมโคตรรักพวกสี่ยอดกุมารเลย พวกมันคนละสไตล์กับพวกไอ้กลอย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเรารักกัน เป็นเพื่อนยามท้อ เป็นพ่อยามหวั่นไหว ถุย ไม่ใช่ละ พวกมันเป็นเพื่อนที่ผมรัก ทั้งหมดทุกคนเลย





   การเรียนที่แสนง่วงนอนได้ผ่านไปแล้ว ผมอ้าปากหาววอดๆ หลังจากอาจารย์ออกห้องไปแล้ว โคตรง่วงให้ตายเถอะ เนื้อหาก็เดิมๆ เพิ่มเติมคืออาจารย์บ่นพนักงานร้านอาหารให้ฟังเกือบครึ่งชั่วโมง แค่ไม่อยากให้ถูกเรียกว่ามนุษย์ป้า เลยต้องอดทนด้วยความใจเย็น ตรรกะแปลกดี ทนไม่ไหวก็ลุกออกมาก็จบ ถ้าเป็นผมนะ

   “กินข้าวแล้วห้องเดิมนะเว้ย ประชุมเรื่องปิดห้องเชียร์พรุ่งนี้ ห้ามขาด ห้ามสาย” ไอ้หัวหน้ารุ่นมันตะโกน ผมลืมเรื่องนี้ไปเลยว่ามีประชุมตอนบ่าย รับปากไอ้เม่นไปแล้วว่าจะให้มันมารับ ทำไงดีวะ

   ผมรีบกดโทรศัพท์ไปหาคนที่เพิ่งตัดสินใจคบแบบงง (ในตอนแรก) รอสายไม่นาน เสียงร่าเริงก็ตอบกลับ ได้ยินเสียงเพลงคลอเบาๆ ต้องขับรถอยู่แน่นอน

   “ขับรถเหรอวะ” ผมกรอกเสียงถามไป

   (ครับ ใกล้จะถึงแล้ว เบ๊กำลังเลี้ยวเข้าหน้ามหาลัยบี๋เลย) เอาไงดีวะ ให้มันกลับไปก่อนจะดีไหม เพราะไม่รู้ว่าประชุมนั่นจะนานหรือเปล่า (บี๋มีอะไรหรือเปล่า)

   “กูลืมว่าต้องประชุมต่อ” รู้สึกผิดนิดๆ ปลายสายเงียบไป คงเพราะรถมันเลี้ยวมาหน้าคณะผมแล้วนี่ละมั้ง

   (ไม่ทันแล้ว เบ๊เห็นบี๋แล้ว)

   “เออ เห็นเหมือนกัน” ผมชี้ไปที่รถไอ้เม่น เพื่อให้พวกเพื่อนไปกินข้าวก่อน ผมเก็บมือถือแล้วเดินแยกไปหา “ทำไมเลิกเรียนไววะ” ถามออกไปหลังจากไอ้เม่นลดกระจกลง

   “ก็มันไม่มีอะไร เลยออกมา กลัวบี๋รอด้วย เป็นแฟนที่ดีป่ะ” ชูมือจะตบขู่ไปงั้น ไอ้เม่นขำที่เห็นผมถลึงตาใส่ “จะประชุมที่ไหน นานหรือเปล่า”

   “เรื่องปิดห้องเชียร์ ไม่รู้นานหรือเปล่า” ผมบอก ไอ้เม่นขมวดคิ้วทำหน้าคิดก่อนจะดับเครื่องแล้วเปิดประตูออกมา “จะไปไหน”

   “ก็ไปนั่งรอไง ไม่อยากกลับแล้วมาอีก เปลืองน้ำมัน” ก็จริงของมันนะครับ ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินนำมันไปที่โรงอาหารที่ตอนนี้พวกไอ้เจคงไปจองที่กันแล้ว “บี๋”

   “อะไร” บางทีผมก็รู้สึกแปลกๆ ที่ถูกเรียกแบบนั้น แถมยังเรียกเสียงดังจนคนที่เดินสวนทางเหลียวมอง

   “บี๋ไม่เคยเรียกเบ๊เลยอ่า ไม่ชอบเหรอ” น้ำเสียงคล้ายกับน้อยใจ ผมถึงกับต้องหยุดเดิน ไอ้คนที่เดินตามไม่ทันระวังชนเข้าเต็มๆ หน้าเกือบคว่ำ “บี๋หยุดไม่บอกวะ”

   “มึงไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอวะ ที่ต้องเรียกผู้ชายด้วยกันเองแบบนั้น” ถ้าเป็นผู้หญิงผมจะไม่ว่าเลยนะครับเนี่ย

   “แปลกสิ แต่เพราะคนที่ผมเรียกเป็นแฟนผมนี่นา” ไอ้เม่นพูดพร้อมฉีกยิ้ม เหมือนถูกความขาวของฟันมันแอคแทคต้องหรี่ตามอง “หิวแล้ว ไปหาเพื่อนบี๋กันเถอะ” พูดจบก็ยกแขนขึ้นมาพาดบ่าของผม ไอ้นี่เสี่ยวไม่พอ ยังแอบเนียนอีกด้วย ต้องมอบโล่ให้ซะแล้วแบบนี้

   และแทบไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้เม่นจะเข้าขากับเพื่อนผมได้ดีขนาดนี้ มีการชวนไปกินเหล้าที่หอด้วย วันแรกที่เจอกับวันนี้มันช่างต่างกันซะจริง คราวนั้นไอ้เม่นเกือบโดนกินหัว นี่สินะที่ไอ้มีนว่า สุราชนะทุกอย่าง

   กินข้าวอิ่มพวกผมก็ทยอยขึ้นห้องที่ใช้ประชุม ส่วนไอ้เม่นรออยู่ด้านนอกกับพี่เฟรนด์ เดี๋ยวนะ พี่รหัสผมมันโดดประชุมเพราะอยากสืบประวัติแฟนผมหรือนี่...แฟน? เชี่ย นี่ผมเรียกมันว่าแฟนเต็มปากขนาดนี้เลยเหรอ

   การประชุมแสนเครียดแต่ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่ เพราะตาต้องคอยเหล่มองคนเฝ้า ไม่รู้ป่านนี้หลับไปหรือยัง หรือว่าถูกพี่เฟรนด์รัดคอตายไปแล้ว

   “สนใจเพื่อนมึงหน่อย” ถูกอีแน่วตบหัวเน้นๆ “เด็กมึงถ้าทนไม่ได้ก็เลิก”

   “เออ”

   แม้จะรับคำแบบนั้น แต่ก็อดที่จะเหล่มองเป็นระยะไม่ได้ จากหนึ่งชั่วโมง เพิ่มไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เกือบเย็น รุ่นพี่ปีสี่ปิดการประชุมแสนเคร่งเครียดปุ๊บ ผมคนแรกที่พุ่งออกประตู ที่นั่งด้านหน้าไม่มีร่างของไอ้เม่นอยู่ หายไปไหนวะ หรือกลับไปแล้ว แต่ถ้ากลับก็ต้องโทรบอกผมก่อนสิ

   “หาเด็กมึงเหรอ” เสียงไอ้เกมส์ดังจากด้านหลัง มันอ้าปากห้าววอดๆ ทำหน้าง่วง

   “กลับไปแล้วมั้ง” ผมตอบเพื่อนเบาๆ

   “นู้นไง” ผมกับไอ้เกมส์หันหน้าไปทางที่ไอ้มีนชี้ “สนิทกันอย่างน่าใจหาย”

   เป็นอย่างที่ไอ้มีนว่าจริงๆ ไอ้เม่นดูสนิทกับพี่เฟรนด์มากกว่าผมซะอีก ถึงขนาดกอดคอกันกินขนม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่ พอทั้งคู่เดินมาถึงที่พวกผมยืนอยู่ พี่เฟรนด์เดินผ่านไปหาพี่อิน แต่ไม่วายเอาซองขนมตีหัวผมพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก อะไรของพี่เขา

   “เสร็จแล้วเหรอ” ไอ้เม่นยิ้มแป้น มือก็ยื่นขนมให้ผม แต่ถูกไอ้มีนดึงไปกินเอง

   “อืม หิว” ผมบอก แต่ตากำลังส่งเลเซอร์ฆ่าเพื่อนตัวเองที่แย่งขนมไป 

   “งั้นเดี๋ยวแวะไปกินร้านที่บี๋อยากกิน” พูดจบปุ๊บ เสียงโก่งคออ้วกก็ตามมาหลายเสียง ผมทำหน้าแทบไม่ถูก มันทั้งอายทั้งเขิน

   “เออ” กระแอมเบาๆ ก่อนตอบรับ ทำไมตรงนี้มันร้อนๆ วะ

   “แหม เรียกกันซะน้ำตาลจืดเลยนะพวกมึง” ไอ้มีนหยอก ปากยังเคี้ยวขนมของผม (ที่ไอ้เม่นซื้อ) อยู่เลย ผมรีบดันไอ้เม่นให้รีบเดินแต่คนที่ผมดันกลับถูกดึงเอาไว้ “เดี๋ยวๆ”

   “พวกกูยังไม่ได้สัมภาษณ์เลย อย่าเพิ่งไป” ไอ้เจที่เมื่อตอนประชุมยังทำหน้าเครียด ตอนนี้แม่งเหยียดยิ้มโคตรสยอง “มานี่” แล้วมันก็ล็อคคอไอ้เม่นเข้าไปในห้องตามเดิม

   ผมรีบเดินตามเข้าไป คนออกไปหมดแล้วทำให้เหลือแค่พวกผมที่เดินย้อนเข้าไป ไอ้เม่นถูกดันให้นั่งที่เก้าอี้โดยมีพวกไอ้เจยืนกอดอกล้อมเอาไว้

   “พวกพี่มีอะไรกับผมเหรอครับ” ถามแบบไม่เกรงกลัวการจ้องกดดันเลยสักนิด หรือมันอาจเจอจนชิน

   “กูรู้ว่ามึงจริงจังกับเพื่อนกูแล้ว” ไอ้เจว่า ผมก็อดที่จะตั้งใจฟังด้วยไม่ได้ “แต่มึงคงอยากฟังว่าเพื่อนกูคิดยังไงกับมึง...ใช่ไหม”

   “อ่าว” ผมถึงกับอ้าปากค้าง อยู่ดีๆ ผมก็ตกเป็นจำเลยแทนซะงั้น ไอ้เม่นทำตาวาวพยักหน้ารัวๆ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึง

   “มึงจะปล่อยให้ค้างคาเหรอวะ กูกำลังช่วยมึงอยู่นะเพื่อนมู่” กัดฟันแจกสัตว์เลื้อยคลานเพื่อนรักไป ผมจ้องหน้าไอ้เม่นไม่กล้าพูดอะไร ลำพังแค่อยู่กับมันสองคนยังไม่กล้า นี่เพิ่มเพื่อนมาอีกตั้งสี่แบบนั้นยิ่งไม่กล้าใหญ่ จะออกห้องก็ไม่ได้เพราะถูกล็อคทุกด้าน ไม่น่าเกิดมาสายเสือกแล้วสอดเข้ามาเลย

   “ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ไอ้เม่นรีบออกปากช่วยเหมือนวีระบุรุษ คงเห็นผมอึดอัดที่จะต้องพูด

   “ไม่อยากให้พวกกูได้ยินล่ะสิ” ไอ้เกมส์ว่า “เออๆ ก็เรื่องของพวกมึง กูก็ไม่ได้อยากรู้มาก”

   “แต่กูอยากรู้” ผลของการอยากรู้ของไอ้มีนทำให้ถูกฝ่ามือหวดเข้าหัวไปหลายรอบ

   ผมรู้ครับว่าต้องแสดงจุดยืนให้ไอ้เม่นได้เห็น ไม่ใช่เอาเปรียบมัน แต่บางทีผมก็ต้องการเวลาทำใจที่จะบอก ผมไม่ใช่คนเปิดเผยความรู้สึกแบบไอ้กลอยหรือไอ้ทู สองคนนั้นมันรู้สึกยังไงก็จะพูด จะทำแบบนั้นออกมาตรงๆ แม้ผมจะดูเป็นคนกวนๆ หน้าด้าน แต่จริงๆ แล้วก็ขี้อายเหมือนกันนะครับ...

   พวกไอ้เจแยกไปเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้ ส่วนผมเดินตามหลังเด็กปีหนึ่งต่างสถาบันมาที่รถ

   “รอได้จริงๆ เหรอ” ผมเอ่ยถามหลังจากขึ้นไปนั่งบนรถ ส่วนคนที่ผมถามยังยืนจับประตูรถเพื่อจะปิดให้ ไอ้เม่นยิ้มตาหยีอย่างทุกทีแล้วพยักหน้า “แล้วถ้า...”

   “ถ้า?”

   “ไม่มีอะไร” แม่ง ทำไมพูดไม่ออกวะ มันติดอยู่ที่ปากแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา ผมมองตามร่างสมส่วนเดินอ้อมมาอีกฝั่ง ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ผมทีหนึ่งก่อนออกรถ ไอ้นี่ช่างต่างจากที่เห็นครั้งแรกมาก หรือว่านี่จะเป็นแฝดเหมือนในละครที่สลับตัวมาวะ หลอนนะเฮ้ย



   การจราจรติดอย่างทุกวัน เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงบ้านทุกครั้ง บ้านผมอยู่เชียงใหม่ซึ่งห่างจากตัวเมืองพอสมควร การจราจรแถวนั้นไม่มีติดขัดมากนัก แต่ความเจริญก็ยังมีนะครับ อย่างไฟฟ้า น้ำประปาหรือสัญญาณอินเตอร์เน็ต ก็แหม ไม่ได้อยู่ในป่าสักหน่อย

   “บี๋อยากกินอะไร...”

   “กูคิดว่า กูอยากคบกับมึงแบบจริงจัง” หลับตากลั้นใจพูดรัวๆ พอหรี่ตาขึ้นดู ไอ้เม่นก็ยังนั่งเฉย ตามันมองถนนเหมือนไม่ได้ยินที่ผมบอกเมื่อกี้จนต้องถามย้ำ “ได้ยินที่พูดป่ะ”

   “ได้ยินครับ” ตอบพร้อมรอยยิ้ม

   “แล้วไม่ตกใจเหรอวะ” โคตรแปลกใจ ไอ้เม่นส่ายหน้าก่อนจะละสายตามามองเมื่อจอดติดไฟแดง “หรือมึงไม่เชื่อ”

   “เชื่อสิ แต่เบ๊เคยได้ยินมาแล้ว ดีใจไปแล้วรอบหนึ่ง”

   “ได้ยินแล้ว? ตอนไหนวะ”
 
   เอ๋อเลยสิไอ้ม่าน นี่ผมไปเผลอพูดแบบนั้นกับมันตอนไหน หรือตอนเมาแล้วเผลอ หรือนอนละเมอวะ

   “เมื่อเช้า” เสียงพูดดังผ่านความคิดเข้ามา พอหันไปมอง เจอหน้าคนที่ฉีกยิ้มกว้าง...เมื่อเช้าเหรอวะ

   “เชี่ย อย่าบอกว่าได้ยินตอนที่พูดกับพวกไอ้เจ” ไอ้เม่นพยักหน้ารับช้าๆ “ไอ้เพื่อนชั่ว” ตะโกนลั่นรถ เมื่อเช้าเห็นไอ้เกมส์ถือมือถือ คิดว่ามันเล่นเกมส์เลยไม่สนใจที่ไหนได้ แม่งทรยศกันเฉย

   “เบ๊ดีใจนะ ที่บี๋บอกกับเบ๊เอง”

   “แต่ได้ยินมาก่อนหน้าแล้วไง เฮอะ” หงุดหงิดจริงๆ 

   “บี๋อ่า อย่าโกรธเบ๊สิ พี่เขาโทรมาไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงบี๋บอกคบก็ดี แม้จะปวดหัว แค่นั้นก็ดีใจจนต้องจอดรถลงไปกระโดดอยู่ข้างถนน”

   “ไอ้ขี้โม้”

   “ไม่ได้โม้...ขอบคุณครับ ที่ยอมเปิดใจยอมคบกันแบบจริงจัง” ไอ้เม่นพูดติดตลกแต่ผมไม่ตลก รู้สึกหงุดหงิดเพื่อนสนิทจนไม่มีอารมณ์เขินใดๆ ทั้งสิ้น “บี๋”

   “เงียบ” ยกนิ้วเป็นสัญญาณให้หุบปาก ผมแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหู จนปลายสายกดรับปุ๊บ “ไอ้เพื่อนเหี้ย กูขอแช่งให้พวกมึงติดเอฟ” แหกปากด่าลั่นรถก่อนตัดสายทิ้ง ไม่สนใจว่าไอ้เม่นจะหูตึงหรือเปล่า ขอแค่ได้ด่าก็รู้สึกสบายใจ

   “บี๋ดีขึ้นไหม” คนถามสะดุ้งโหยงเมื่อผมหันขวับไปมอง

   “เออ หิวแล้วด้วย” เสียงโครกครากเป็นสิ่งที่ยืนยันคำพูดได้ดี

   “ครับๆ ได้ยินเสียงท้องร้องแล้ว งั้นเบ๊จะเลี้ยงมื้อใหญ่ ฉลองที่เราคบกัน”

   “โกๆ ขอปลาแซลมอนด้วยนะ”

   “บี๋ได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้”

   ความสุขที่ได้อยู่กับคนที่ชอบมันหน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง มิน่า พวกไอ้กลอยถึงได้หน้าบานยิ่งกว่ากระด้งนักเวลาอยู่กับแฟน เดี๋ยวนะ แล้วตอนนี้หน้าผมเป็นกระด้งหรือยัง...

   “บี๋หาอะไรเหรอ”

   “หากระจก”

   “กระจก? เอาไปส่องอะไร”

   “ส่องหน้าตัวเอง ไม่รู้เป็นกระด้งแบบไอ้กลอยไหม” พูดจบ ไอ้เม่นก็เบิกตาโตก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ขำอะไร”

   “น่ารักอะ”

   “อย่าชม กูเขิน”

   “ไม่กูมึงสิ บอกให้เรียกบี๋กับเบ๊”

   “ไม่เว้ย กูเขิน”

   “บี๋อย่ามาทำหน้าตาน่ารักได้ป่ะ”

   “ไอ้เหี้ยเม่น กูบอกว่ากูเขิน”







   
   เมื่อคืนเราอยู่ในสถานะที่ก่ำกึ่ง เอ่อ สำหรับผมนะ แต่คืนนี้ต่างออกไป ผมยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ปลายเตียงของตัวเอง บนเตียงมีไอ้เด็กร่างใหญ่นอนแอ่งแม้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วแบบนี้ผมจะลงไปนอนที่ของตัวเองได้ยังไงเนี่ย

   “มานอนสิบี๋” ไอ้เม่นตบที่ว่างข้างๆ ด้วยท่าทางโคตรกวน ผมยกเท้าให้มันไปที “ไม่สุภาพซะเลย”

   “เออ” ปกตินอนแบบไม่คิดอะไร ไม่ๆ ตอนนี้ก็ไม่คิดเหมือนกัน “ฟู่ว” ถอนหายใจแล้วคลานขึ้นเตียง ไม่สนสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมอง

   “ยั่วว่ะ”

   “ยั่วพ่อง”

   หน้าก็มีมันกลับไม่มอง ดันมองลอดเข้ามาที่คอเสื้อยืดเน่าๆ ของผมที่คอมันคว้านลึก

   “บี๋ขาวอะ เป็นคนเหนือใช่ป่ะ” เสียงโคตรไม่น่าไว้วางใจที่จะนอนข้าง ผมเหล่ตามองคนที่ยังนอนตะแคงใช้ข้อศอกค้ำเตียงหนุนฝ่ามือจ้องหน้า “จังหวัดอะไรเหรอ”

   “เชียงใหม่” บอกเสร็จก็หันหลังหนี แต่พอคิดอีกที หันหลังแบบนี้ไม่น่าไว้ใจมากกว่าเลยต้องรีบหันกลับไป “จ้องทำไม นอนๆ”

   “ถ้าบี๋กลับบ้านเมื่อไหร่ เบ๊ไปด้วยนะ อยากเห็นบ้าน อยากเจอพ่อกับแม่ จะได้ฝากตัวเป็นลูกเขย”
 
   “ลูกเขยพ่อง นอนสิวะ” ด่าไปงั้น กลั้นยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้วเนี่ย

   “ด่ามาก็ไม่เจ็บหรอก เพราะเขาว่า คนรักด่า แปลว่ารักมาก” เสียงลากกอไก่ยาวเหยียดอย่างน่าหมั่นไส้

   “เลิกเสี่ยวแล้วนอนได้แล้วครับ ไอ้คุณเบ๊...เชี่ย อะไรวะ” อยู่ๆ ก็ถูกดึงให้ลุกขึ้นนั่ง

   “เมื่อกี้บี๋เรียกอะไรนะ เรียกเบ๊ว่าเบ๊เหรอ นี่บี๋ยอมเรียกแล้วเหรอ” ไอ้เม่นดูตื่นเต้นจนผมขำออกมา “ไม่ตลกนะ นี่เบ๊จริงจังอยู่”

   “ก็จริงจังนี่ไง หรือไม่ต้องเรียก”

   “เรียกๆ บี๋โคตรน่ารักอะ ปลื้ม”

   “ไอ้เชี่ย กูหายใจไม่ออก”

   ถูกดึงเข้าไปรัดโคตรแน่น นี่คนหรืองูวะ รัดจนกระดูกจะแหลกอยู่แล้ว

   “ดีใจ ไอ้เม่นดีใจ เป็นเรื่องที่น่าดีใจที่สุดหลังจากอายุสิบห้า บี๋ครับ ขอบคุณนะ”

   มึงดีใจ แต่กูกำลังจะตายเพราะหายใจไม่ออก นี่ผมรักคนถูกแล้วใช่ไหม อืม ถูก (ถามเองตอบเอง) 



...TBC


 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 09-04-2017 15:12:55
ดูๆไปแล้วเบ๊ของบี๋จะเป็นงูเหลือมซะด้วย.. :laugh:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 09-04-2017 21:49:41
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย น่ารักเกินไปแล้วววววววววววววว :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angelhani ที่ 09-04-2017 22:31:57
5555 เม่นน่ารักไปอีก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-04-2017 22:39:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 10-04-2017 16:34:03
โอ้ยอิชั้นฟินๆๆๆๆอิชั้นหลงรักเบ๊ๆ อิชั้นจะตบตีแย่งเบ๊มาจากนางบี๋ :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-04-2017 20:00:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 16-04-2017 01:19:11
ก่อนอ่านเรื่องนี้ก็ไปตามอ่านเรื่องก่อนหน้านี้มาทุกเรื่องแล้ว
สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆ
ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 16-04-2017 10:53:03
น่ารักมากก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 10 << [P.3] Up!! // [09/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-04-2017 18:21:12
55555 คิดได้ไงเม่น เป็นทาสรักเลยเบ๊ จัดไปเลยค่ะ เบ๊บี๋
สมหวังดั่งใจแล้วนะเม่น ทำพี่ม่านหลงหนักแน่

ตลกม่าน คนปากแข็ง สุดท้ายก็ห่วงเค้าไปหมด ทำไรก็คิดถึงตลอด
ม่านน่ารักดี เพื่อนหวงมากหรอ ถึงบอกว่าขี้เหร่อะ คิเรเนะ รึป่าว

รอติดตามเบ๊บี๋ตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 11 << [P.3] Up!! // [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 05-05-2017 21:09:34

11



         ผมย่องออกจากห้องตอนตีสอง แฟนหมาดๆ ของผมยังนอนหลับน้ำลายยืดอยู่บนเตียง ไอ้นี่มันบ้ามากครับ ขนเสื้อผ้าข้าวของมากองเต็มห้องผมไปหมด มีหน้ามาโทษว่าผมไม่ยอมไปอยู่ด้วย มันเลยต้องขนของมาอยู่ห้องผมแทน นี่ผมผิดเหรอวะ

   ไอ้มีนสะดุ้งตื่นตอนผมเคาะกระจกรถ วันนี้ให้มันมารับครับ เพราะตอนกลับจะมีคนไปรับ หน้าตาเพื่อนผมดูเหมือนยังไม่ตื่นเต็มตา มันเบลอๆ มึนๆ จะขับไปหน้า ดันถอยหลังซะได้ ผมเลยอาสาขับให้แทน ขืนปล่อยไอ้มีนขับ ผมกับมันคงไปไม่ถึงที่นัดพอดี

   ท้องถนนเวลาตีสองกว่ารถก็ยังเยอะ ไม่รู้ว่าตื่นนอนหรือกำลังกลับบ้านกัน แต่ผมว่า น่าจะอย่างหลังมากกว่า ผมโทรหาเพื่อนคนอื่นๆ พวกมันก็พร้อมที่จุดนัดกันหมด โคตรตื่นเต้นเอาจริงๆ

   วันนี้เป็นวันปิดห้องเชียร์ครับ ที่เห็นไปเช้าแบบนี้เพราะต้องไปเตรียมการก่อนที่น้องๆ จะมาในช่วงเช้ามืด ผมว่า ผ่านพ้นวันนี้ไป ทุกคนคงนอนหลับเป็นตายแน่นอน อย่างปีที่แล้ว ผมนอนยาวสองวันติดจนเพื่อนสนิทคิดว่าตาย พวกมันเกือบเรียกรถร่วมมารับศพผมด้วย โคตรตลก

   ใช้เวลาบนท้องถนนไม่นานก็ถึงแปลงนาของคณะ ที่นี่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยพอสมควร เป็นสถานที่ที่ไว้ใช้ในการเรียนในหลักสูตรของคณะ แม้ตอนนี้จะมองไม่เห็นต้นข้าวในนา แต่แสงไฟก็พอทำให้เห็นกลุ่มคนหลายสิบนั่งๆ ยืนๆ อยู่ ผมจอดรถข้างรถคนอื่นๆ เรียกไอ้มีนให้ตื่น มันยังคงเบลอเดินตามไปหาคนอื่นๆ

   ไหวไหมเพื่อนผม

   “มาช้าว่ะ” ไอ้เกมส์ทัก พร้อมตบหัวเพื่อนคู่หูให้ตื่นเต็มตา

   “ถึงไหนแล้ววะ” ไม่ตอบเพื่อน แต่ถามกลับแทน ผมมองบรรดาเฮดว๊ากสองชั้นปีคุยหน้าเครียดอยู่ไม่ไกล

   “ก็เกือบเรียบร้อยแล้ว แม่ง หิวว่ะ” พอไอ้เกมส์ว่า ไอ้คนที่ตายังหลับก็รีบพยักหน้า พอเรื่องกินละรีบตื่นเลยนะไอ้เชี่ยมีน

   “แล้วอีแน่วล่ะ” ถามขณะเดินตามหลังไปคุ้ยหาของกินที่ท้ายรถพวกสวัสดิการ แต่ยังไม่ได้คำตอบ ผมก็เจอคนที่ถามถึง “กินเหลือให้พวกกูบ้าง” นั่นละครับ มันมานั่งกินบะหมี่คัพก่อนใครเพื่อน

   ทั้งกิน เดิน นั่ง นอน จนฟ้าใกล้สาง รถบัสของคณะที่พาเด็กปีหนึ่งและปีสองก็แล่นมาไกลๆ ตื่นเต้นแทนจริงๆ วันนี้น้องๆ จะได้ประสบการณ์ ได้พี่ ได้เพื่อนที่แท้จริง แต่กว่าจะได้ มันก็ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและพลังใจ

   พอรถบัสจอด ไอ้เจก็ทำหน้าที่ของมัน สั่งเรียกรวมปุ๊บ น้องๆ เกือบร้อยก็รีบวิ่งมายืนเข้าแถว หน้าแต่ละคนก็ยังดูง่วงๆ อยู่เลย เดี๋ยวได้ตื่นเต็มตาแน่นอน ไอ้ม่านฟันธง

   เสียงพูดที่ดังกว่าระดับการพูดปกติ หรือตะคอกนั่นแหละครับ ดังแข่งกับเสียงนกที่ร้อง ไอ้เจพูดเรื่องกิจกรรมของวันนี้

   “กิจกรรมวันนี้ พวกผมจะให้พวกคุณใช้ความสามารถ พลังแรงกายที่มีในการเกี่ยวข้าว แปลงฝั่งนั้น ผมจะให้เวลาพวกคุณถึงเที่ยง หากใครทำไม่เป็น ให้ถามพี่ปีสอง เข้าใจไหมครับ!” คำสั่งดูเบาๆ แต่ถ้าได้ลงมือทำจะรู้ว่า ไม่เบาเลยสักนิด ผมเห็นน้องหลายคนหน้าถอดสี คงเพราะทำไม่เป็น การเกี่ยวข้าวดูเหมือนง่าย แต่มันไม่ง่ายเลยนะครับ ไอ้ม่านขอบอก

   “ปีสอง สอนน้องใช้เคียวให้ดี หากน้องคนไหนบาดเจ็บ พวกคุณต้องรับผิดชอบ!” ไอ้เกมส์ปิดท้าย ก่อนพวกมันจะเดินหนีไปทางอื่น ปล่อยให้ปีสองได้อธิบายการเกี่ยวข้าวทุกขั้นตอนให้น้องๆ ได้ฟัง

   ผมยืนฟังรุ่นน้องแล้วก็นึกถึงตอนตัวเองอยู่ปีหนึ่ง เคียวคมๆ นั่น เกี่ยวขาผมเป็นแผลมามากจนแทบอยากกราบให้มันเลิกบาดสักที

   เสียงนกหวีดดังสนั่น ปีสองตาลีตาเหลือกสั่งปีหนึ่งลงไปในแปลงนา เหตุการณ์ชุลมุนยิ่งกว่าผู้หญิงเห็นป้ายเซลล์ในห้างซะอีก ทุกคนรุมเกี่ยวข้าวในนา บ้างก็ดี บ้างก็เสีย จนผมโคตรเสียดายข้าว

   “ไม่ผ่าน กลับมา!” เสียงดังผ่านโทรโข่งหยุดการเกี่ยวข้าว ปีหนึ่งที่อยู่ในแปลงนา รีบวิ่งกลับขึ้นมาด้านบนด้วยสภาพหอบแหก “พวกคุณปลูกเองหรือไง ถึงกล้าทำลายข้าวที่รุ่นพี่ของพวกคุณปลูก ข้าวทุกเม็ดเกิดจากหยาดเหงื่อของรุ่นพี่ พวกคุณทำเล่นๆ ได้เหรอ!” ไอ้เจตะคอกเสียงดังทำเอารุ่นน้องก้มหน้ากันหมด “ปีสอง!”

   “พวกเราผิดเองค่ะ/ครับ” เหล่าปีสองที่เข้าแถวพร้อมใจกันรับผิด

   “ใช่ พวกมึงนั่นแหละที่ผิด พวกมึงสอนน้องให้เหยียบข้าว ปาเม็ดข้าวเล่นเหรอวะ พวกกูกับเพื่อนๆ ต้องเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้ แต่พวกมึงไม่ช่วยดูแล กูยังหวังอะไรได้จากพวกมึงอีก!”

   “พวกเราผิดไปแล้วค่ะ/ครับ” สีหน้าปีหนึ่งแต่ละคนสลดหดหู่เมื่อปีสองถูกด่าแทน

   “กูจะให้โอกาสอีกรอบ ถ้าสอนน้องไม่ได้ พวกมึงจะโดนลงโทษหนัก!” คำคาดโทษถูกพูดออกไป ก่อนคนพูดจะเดินหน้านิ่งไปรวมกับคนอื่นๆ อีกด้าน

   “สอนใหม่ๆ” ผมพูดขึ้นเมื่อทุกคนยังยืนนิ่ง ปีหนึ่งที่บางคนทำเป็นเล่นก็ตั้งใจฟังการใช้อุปกรณ์และวิธีการเกี่ยวข้าวมากขึ้น ในช่วงที่ผมมองการตั้งใจฟังของปีหนึ่ง แขนผมก็ถูกสะกิด “ครับ?”

   “มือผมถูกเคียวบาด” เด็กคนที่สะกิดยื่นมือมาให้ผมดูครับ ท่าทางดูกล้าๆ กลัวๆ คงเพราะคำขู่ของไอ้เจที่จะทำโทษปีสองถ้าเกิดปีหนึ่งบาดเจ็บ “ไปทำแผลๆ” ตาโตสิครับ แผลแม้ไม่ลึก แต่เลือดก็ยังออกอยู่

   “เดี๋ยวครับ” เด็กนั่นรั้งแขนที่ผมดึงไว้ “ผมไม่อยากให้พี่ว๊ากรู้”

   “เออๆ” พยักหน้าเข้าใจ ผมเลยเดินไปหยิบยามาหามันเอง ไอ้เด็กปีหนึ่งสูงกว่าผมไม่มาก ใส่แว่นซะด้วย “ตัวมึงไม่เหมาะกับการเรียนเกษตรเลยนะ” ทำแผลมันไป ปากก็พูดไป

   “พี่ก็ไม่เหมาะ” ตวัดสายตามองรุ่นน้องที่กล้าย้อน “ขอโทษครับ”

   ผมเรียนเกษตรก็เพราะอยากกลับไปช่วยพ่อกับแม่ที่บ้าน หากบ้านผมไม่ทำไร่ ทำสวน ผมคงไปเรียนพวกวิศวะ ไม่ก็ครู เห็นแบบนี้ ไอ้ม่านก็รักเด็กนะครับ (แต่ขอเด็กที่คุยรู้เรื่องแล้วนะ ไม่ถนัดเด็กเล็กจริงๆ)

   แอบทำแผลเสร็จ ไอ้เด็กแว่นก็รีบวิ่งไปเกี่ยวข้าวในแปลงต่อ แล้วที่ผมเคยคุยกับเพื่อนเรื่องแปลงฝั่งนี้ว่าโหด นั่นเพราะ ระยะทางมันไกลมากหากถูกเรียกกลับขึ้นมาบ่อยๆ ยิ่งพวกปีสามที่เกี่ยวเหลือไว้ให้ท้ายแปลงอีก แรงที่มีต้องใส่ให้หมด อย่างตอนนี้ ไอ้เจก็ตะโกนเรียกอีกแล้ว มันเรียกจนน้องบางคนถึงกับจะเป็นลม ขนาดผู้ชายยังไม่ค่อยไหว ส่วนที่เรียกมาแค่คุยไม่กี่ประโยคก็สั่งให้วิ่งกลับไปใหม่ คราวนี้มีหิ้วเพื่อนที่หน้ามืด พวกกลุ่มพยาบาลก็วิ่งวุ่นสิ


   ความรู้สึกหายใจไม่ออกบอกไม่ถูกแบบนั้น ไอ้ม่านเคยผ่านมาแล้ว


   แปลงนาที่มีข้าวไม่ถึงหนึ่งในสี่ของพื้นที่ถูกเกี่ยวไปเกินครึ่ง เด็กปีหนึ่งปีนี้น่าจะไวกว่าปีที่แล้ว ตอนผมปีสอง ถูกพี่ปีสามสั่งทำโทษจนเดินไม่ไหว แต่ปีนี้กลับไม่มีการสั่งโหดๆ คงเพราะระบบรับน้องที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น ลดความเกรี้ยวกราดและรุนแรงลง

   เวลาค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ แดดก็เริ่มร้อนแรง ยิ่งใกล้เที่ยงเข้าไปแล้วยิ่งร้อน เด็กบางคนถึงกับเป็นลม ยิ่งคนหายไปเท่าไหร่ การเก็บเกี่ยวก็จะช้าไปเท่านั้น อย่างตอนนี้ใกล้ถึงเวลาที่ไอ้เจกำหนด ข้าวก็ยังเหลืออีกเยอะ จะไหวไหมเนี่ย

   “กูว่าไม่ไหวหรอกว่ะ” ผมเดินไปกระซิบไอ้มีน มันก็พยักหน้าเห็นด้วย

   “ปีนี้เด็กอ่อนแอเยอะไป” ก็จริงของมัน “สงสัย ปีสองปีนี้จะหนักซะแล้ว”

   นึกแล้วสยองแทนจริงๆ


   เวลาไม่เคยหยุดเดิน แดดก็เช่นกัน ยิ่งพอใกล้จะเที่ยง แดดยิ่งร้อนแรงชนิดแทบไหม้ ตัวผมนี่แหละจะไหม้ นึกโมโหพวกพี่ว๊ากที่ไปนั่งหลบมุมใต้ต้นไม้ โคตรเอาเปรียบ

   แล้วเวลาแสนระทึกก็มาครับ ไอ้เฮดว๊ากเดินหน้าเหมือนยักษ์ออกมายืนข้างคันนา มือที่มีโทรโข่งยกจ่ออยู่ที่ปาก

   “พอ!” คำเดียวสั้นๆ แต่น้ำเสียงเกรี้ยวกราดสุดๆ “ปีหนึ่ง ปีสอง รวม! นับหนึ่ง” ความโกลาหลเกิดขึ้นทันใด เด็กปีหนึ่ง ปีสองรีบวางของแล้ววิ่งกลับมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ระยะทางไกลเอาเรื่องขนาดนั้น

   “ช้า!” คราวนี้เป็นบรรดาพี่ระเบียบคนอื่นๆ เริ่มกดดันบ้าง

   “ในเลือดมีเต่าอยู่หรือไง ถึงช้าขนาดนี้ หรือเสกหอยทากเข้าท้องวะ!” หันไปมองไอ้มีนที่พูด นี่มันเอาโหดหรือฮากันแน่ แต่พอเฮดว๊ากยกมือขึ้นปุ๊บ ทุกเสียงที่ตะคอกกดดันก็เงียบ

   โคตรน่ากลัว ไอ้ม่านขอบอก

   “ผมให้เวลาพวกคุณตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง แต่ทำไมพวกคุณยังทำไม่เสร็จ หรือเพราะคำสั่งของผมไม่มีความหมาย” แม้จะไม่ได้ตะคอก แต่คำพูดทุกคำสามารถสร้างความกดดันได้เป็นอย่างดี ปีหนึ่งพากันก้มหน้า คางแทบชิดอก “ส่วนพวกปีสอง พวกมึงเป็นน้อง พวกกูเลยตั้งความหวังไว้มาก แต่นี่อะไร พวกมึงกลับช่วยน้องไม่ได้ นี่เหรอวะน้องที่พวกกูไว้ใจ”

   “พวกมึงมันห่วย! ปีสองห่วย!” หลายเสียงตะโกนเกือบจะพร้อมกันในหลายๆ ครั้ง ผมแอบเห็นน้องผู้หญิงปีสองบางคนสะอื้นด้วย

   “ขอโทษครับ/ค่ะ” คำขอโทษดังกึกก้องจากบรรดาปีสอง ก่อนปีหนึ่งจะตะโกนเพิ่มอีกแรง

   “หึ สามัคคีกันจริงนะ พวกคุณเห็นหรือยัง ว่ารุ่นพี่ปีสองของพวกคุณมันห่วยแค่ไหน แล้วแบบนี้ พวกคุณยังจะปกป้องอีกหรือครับ”


   ผมโคตรเกลียดไอ้เจเลยให้ตาย


   พอถูกถามแบบนั้น เหล่าบรรดาเด็กใหม่ต่างก็พากันเงียบ มีเพียงเสียงสะอื้นคลอเบาๆ มาจากกลุ่มที่ยืนรวม แต่พอไอ้เจจะอ้าปากด่าอีก เสียงจากโทรโข่งดังขัดมาจากด้านหลัง เสียงที่ทำให้ผมขนลุก

   “พวกมึงคิดว่าแน่หรือไงวะ ปีสามรวม!” สิ้นคำสั่งของพี่อิน เฮดว๊ากปีสี่ปุ๊บ ผมกับเพื่อนๆ ต่างก็รีบวิ่งไปยืนเข้าแถวตอนลึกด้วยความเร็วแสง “พวกมึงไม่เห็นสภาพของน้องหรือไง มีตาไหม หรือมันบอดวะ” พี่อินยืนตะคอกตรงหน้าไอ้เจ ผมได้แต่เหล่ๆ มอง ไม่กล้าหันไป กลัวถูกด่าแทน

   “ไม่บอดครับ” ไอ้เจตอบ

   “ไม่บอด แต่ดูมึงสั่ง คิดว่าแน่ใช่ไหมสั่งแบบนั้น ได้ งั้นปีสาม กูขอสั่งให้พวกมึงเกี่ยวข้าวให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง ถ้าไม่เสร็จ ไม่ต้องกินข้าว เข้าใจไหม! เริ่ม!”


   เริ่มก็เริ่มครับ พวกปีสามพากันวิ่งลงแปลงนากันหมด ว่าแล้ว เมื่อวานเห็นพวกเฮดว๊ากคุยกันหน้าเครียด ไอ้มีนก็บอกให้ผมนอนเยอะๆ เก็บแรงเอาไว้ มันเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง

   “เชี่ยเอ้ย ปีสองกูก็ถูกสั่งให้เกี่ยว ปีนี้ก็ว่ารอด แต่ก็ไม่รอด” ผมเกี่ยวข้าวไปบ่นไป อีแน่วอยู่ข้างๆ มันก็พยักหน้าเห็นด้วย

   เวลาที่ให้ปีหนึ่งกับปีสองนั้น มันมากโขหากจะเอ้อระเหยบ้าง แต่นี่ชั่วโมงเดียวกับข้าวที่เหลือเกือบครึ่ง ตายแน่ไอ้ม่าน

   “ทำไมโลกโหดร้ายกับกูขนาดนี้” ไม่ใช่แค่ผมที่บ่น พวกปีสามคนอื่นๆ ก็บ่นกันระงม แต่มือก็ไม่หยุด

   แม้จะเกี่ยวข้าวบ่อยแค่ไหน ก็ยังมีบาดแผลอยู่เสมอ อย่างตอนนี้ เคียวเกี่ยวมือผมซะเลือดอาบ ความเจ็บจี๊ดจนต้องนิ่วหน้า แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะถ้าหยุด เพื่อนก็ต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะเช็ดเลือดที่มือกับกางเกงยีนส์สีดำ

   อากาศร้อนอบอ้าวกับเหงื่อที่ไหลท่วมจนเสื้อชุ่ม ดูนาฬิกาแล้วเหลือไม่ถึงยี่สิบนาทีกับข้าวที่เกือบหมด เรี่ยวแรงคึกๆ ก็เบาลง ก่อนพวกผมจะแห้งตาย เสียงวิ่งกับเสียงหอบดังเข้ามา พอหันหลังไปก็เจอบรรดาปีหนึ่ง ปีสองที่ลงมาช่วย น้องบางคนถือเคียวที่เหลือช่วยเกี่ยว

   “ผมช่วยครับพี่” ไอ้เด็กแว่นยิ้มพร้อมกับแย่งเคียวผมไปถือ

   “มึงเกี่ยวเป็นเหรอวะ” ถามขณะยกแขนเปียกๆ เช็ดหน้า

   “ไม่เป็น” ถ้าไม่ติดว่าซึ้งมัน ผมคงตบหัวมันไปแล้ว

   “กูทำเอง มึงช้า” แล้วผมก็แย่งเคียวมาถือเอง ไอ้แว่นมันจะอ้าปากเถียง แต่ความเร็วของผมมากกว่ามันแน่นอน มันเลยใช้มือพัดให้มีลมแทน “ดีๆ”

   ตอนนี้ปีหนึ่งดูจะไม่เกร็งเวลาอยู่กับปีสาม โดยเฉพาะพวกพี่ว๊ากที่ถึงแม้จะกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็พากันเข้าไปช่วย นี่สินะ ผลลัพธ์ที่ทุกคนคาดไว้

   “เลือด” มัวแต่คิดเพลินๆ ไอ้แว่นมันสะกิดผมยิกๆ “มือพี่มีเลือด” มองตามนิ้วที่ชี้มา อืม...มือผมเลือดเต็มที่จับเลย “ไปทำแผลพี่”

   “อีกแป๊บ มึงไม่เห็นเหรอ จะหมดเวลาแล้ว” ผมรีบขยิบตาแล้วบอก ไอ้แว่นมันพูดเสียงดังจนอีแน่วหันมามอง แต่ผมส่ายหัวคล้ายว่าไม่มีอะไร มันเลยก้มหน้าเกี่ยวข้าวต่อ

   “แต่บาดทะยักนะพี่” สีหน้ามันโคตรกังวล แต่ผมยังยิ้มให้

   “กูเคยฉีดยากันมันมาแล้ว ปลอดภัยๆ” พูดไปงั้น ยานั่นฉีดเมื่อตอนอายุสิบห้า ไม่รู้ยามันสลายไปหมดหรือยัง

   สปีดการเกี่ยวเพิ่มมากขึ้นเมื่อไอ้เจตะโกนว่าเหลือสิบนาที และมันสั่งให้ปีสองกับปีหนึ่งแบกข้าวที่เกี่ยวเสร็จไปกองอยู่กลางแปลง หลายร้อยแรงแข็งขัน สุดท้ายก็เสร็จ...

   “เชี่ยเอ้ย กูคิดว่าจะตายแล้ว” ผมทิ้งเคียวแล้วล้มนอนทันที โคตรเหนื่อย ไม่สนใจแดดที่แยงตาจนลืมแทบไม่ขึ้น ไม่ใช่แค่ผมที่นอนลงกับแปลงนา พวกคนอื่นๆ ต่างก็พากันนอน มันเหนื่อยจริงๆ นะครับไม่ได้โม้เลย นอนอยู่ครู่ใหญ่กว่าปีสี่จะเรียกรวม ขาผมแทบก้าวไม่ออกแต่ก็ต้องวิ่ง พอวิ่งมาถึงก็หอบลิ้นห้อยกันเลยทีเดียว         

   ความเงียบยังคงปกคลุมไปทั่ว คงปล่อยให้พวกผมได้หายใจให้ทั่วท้องก่อน ตอนนี้น่าจะบ่ายกว่าแล้ว กลิ่นข้าวกะเพราก็เริ่มโชยมาเตะจมูกจนท้องร้อง

   “ทำได้ดี” เสียงชมจากเฮดว๊ากปีสี่สร้างรอยยิ้มให้ทุกคน “แต่...” โคตรไม่ชอบคำนี้เลยให้ตาย “ปีสามห่วย ถ้าไม่มีปีสองกับปีหนึ่งไปช่วย จะทำกันเสร็จหรือเปล่า”

   “ไม่ครับ/ค่ะ”

   “แม่งห่วย” พี่อินตีหน้านิ่งกวาดคำด่าซะหน้าชาไปหมด “เอาล่ะ น้องปีหนึ่งกับปีสองคงหิวกันแล้ว ผมอนุญาตให้พวกคุณพักกินข้าวได้” เสียงเฮดังไปรอบๆ ทันที แต่พอจะก้าวขาปุ๊บ คำสั่งของพี่อินก็หยุดทุกจังหวะของทุกคน “ส่วนปีสาม ผมไม่ให้กิน”

   ความทรมานอยู่ที่ไหน ความทรมานอยู่ที่นั่นจริงๆ

   ผมเหล่ตามองพี่รหัสตัวเองที่ยืนหน้านิ่งข้างๆ พี่เฟรนด์กระพริบตาปริบๆ มอง คงทำอะไรไม่ได้ เห็นอ้าปากจะขัดหลายรอบ แม้พี่รหัสผมจะติส แต่ก็รักผมมากนะเออ

   “ไปกินข้าวสิ ปีหนึ่ง ปีสอง”

   กลิ่นหอมกับภาพคนดีใจที่จะได้กินข้าวตรงหน้าทำให้ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ท้องก็ร้องจนแสบไปหมด ไหนบอกจะทรมานปีสอง ทำไมมาทรมานปีสามแทน ไอ้ม่านไม่เข้าใจ

   ปีหนึ่ง ปีสองที่เปิดกล่องข้าวตั้งท่าจะกิน แต่ก็พากันวางกันหมด ผมเห็นไอ้เจเผลอยิ้มออกมา มันคงลองใจอยู่สินะ นั่นก็พอเข้าใจ แต่มาทรมานเพื่อนแบบนี้ มันไม่ถูกต้องนะเฟ้ย ขนาดปีสองที่ได้นัดแนะกันมา ยังหน้าเสีย

   “เรื่องนี้ปีสองไม่รู้เหรอ” แอบเอนไปกระซิบถามเพื่อนสาว มันพยักหน้าช้าๆ “อ่อแบบนี้นี่เอง” ลองใจทั้งสองชั้นปีเลยสินะ
 
   แล้วข้าวกล่องจากทุกคนก็ถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะที่เดิม ก่อนจะทยอยเดินกลับมายืนข้างพวกผมอีกรอบ

   “ทำไมพวกคุณไม่กินข้าว” เป็นไอ้เจที่ถามออกไป น้องๆ ต่างพากันส่ายหน้า “ถ้าไม่กินตอนนี้ พวกคุณอาจไม่ได้กินนะ”

   “พวกพี่ก็ไม่ได้กินเหมือนกัน” ไอ้ประธานรุ่นปีสองว่า “พวกผมก็จะไม่กินครับ”


   เยี่ยมจริง ผลลัพธ์ในรูปแบบนี้


   “แต่ปีหนึ่ง...”

   “ผมเป็นตัวแทนปีหนึ่ง พวกเราก็จะไม่กินเหมือนกันครับ หากพี่ปีสามไม่ได้กิน”

   ภาพความประทับใจคงไปกระตุกต่อมของบรรดาปีสี่ ที่ถึงกับหันไปอ้วก และพี่อินก็เดินมาด้วยใบหน้าที่อ่านไม่ออก

   “รักกันจริงนะ ทั้งที่ปีสามด่าพวกคุณขนาดนั้น...” พี่อินมองกราดมาที่เหล่าปีสามครับ สายตานิ่งมากที่สุด “ผมอนุญาตให้พวกคุณทุกคน ทุกชั้นปีกินข้าวได้ กินเสร็จแล้วก็กลับคณะ ยังมีเรื่องอีกเยอะ” ทิ้งท้ายเสร็จก็แยกย้ายครับ ส่วนพวกผมก็แตกฮือไปหยิบกล่องข้าวแล้วเปิดกินอย่างหิวโหย

   กล่องหนึ่งหมดไป กล่องสอง กล่องสามค่อยๆ หมดไป ไอ้ม่านคนนี้ไม่เคยกินเหมือนยัดขนาดนี้มาก่อน แม้จะชอบกินของฟรีก็เถอะ

   “แดกอย่างกับปอบลง” อีแน่วมันด่าผมครับ ของมันก็ไม่น้อยไปกว่าผมหรอก “มือมึงเป็นไงมั่ง”

   “มึงรู้เหรอ” เบิกตาโต ไม่คิดว่าเพื่อนจะรู้

   “ก็ไอ้เด็กแว่นนั่นพูดเบาซะเมื่อไหร่ อีกอย่าง มือมึงก็มีแต่เลือด” อีแน่วพยักพเยิดหน้ามาที่มือผมที่ตอนนี้เลือดแห้งหมดแล้ว
 
   “ปวดว่ะ กินยาคงหาย” หยุดพูดกับเพื่อนเมื่อไอ้เจตะโกนเรียกรวม ตอนนี้จะต้องกลับคณะเพื่อไปรอปิดห้องเชียร์อย่างเป็นทางการ




   รถบัสขนนักศึกษากลับมหาวิทยาลัย ในส่วนของพวกผมก็ต้องรีบกลับก่อนเพื่อเตรียมของ แม้ความเหนื่อยจะทำให้เกือบวูบอยู่หลายครั้งก็ตาม สวรรค์ยังไม่ต้องการพวกผมหรอก
 
   พอถึงมหาลัยก็เจอพวกพี่อินก่อน คำขอโทษมากมายถูกถ่ายทอดออกมา แต่พวกผมก็ไม่ได้โกรธ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องๆ ทุกคนได้แสดงออกถึงความเคารพรุ่นพี่ ว่าจะมีมากแค่ไหน

   “เล่นหนักว่ะพี่” ผมว่า พี่อินเดินมาขยี้หัวผมซะยุ่ง

   “เอาน่า พรุ่งนี้พวกมึงก็เป็นอิสระแล้ว” เป็นคำปลอบโยนที่ไม่ได้ทำให้ดีขึ้นเลยสักนิด “ว่าแต่ ของเตรียมเสร็จแล้วใช่ไหมพวกมึง”

   “ครับ”

   และเมื่อปีหนึ่งมาแล้ว ไอ้เจก็สวมบทเฮดว๊ากอีกรอบ มันตะโกนสั่งปีหนึ่งให้รีบเข้าไปในห้องประชุมเชียร์ แอบได้ยินเสียงบ่นของรุ่นน้องว่าแม่งโหดอีกแล้ว บ้างก็ว่า ไม่น่าช่วยเลย

   ตอนนี้เวลาบ่ายแก่ๆ แดดข้างนอกร้อนยังไง ด้านในห้องก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน ไอ้เจจัดเต็มทุกอย่าง มันเคลียร์ทุกเรื่อง ตั้งแต่มีปีหนึ่งหลายคนโดดห้องเชียร์ หรือไปฟ้องครูเรื่องถูกว๊าก เรื่องนี้เคยทำให้พวกไอ้เจถูกทัณฑ์บนด้วยนะครับ กว่าจะพูดเสร็จก็ค่ำพอดี

   “ผมไม่รู้ว่า ผมจำเป็นต้องรับรุ่นพวกคุณหรือเปล่า พวกคุณเหมาะจะเป็นรุ่นน้องของผมไหม” ไฟในห้องดับพรึ่บพร้อมกับเสียงตกใจของน้องๆ “แต่ผมจะลองเปิดใจดูสักครั้ง” เสียงไอ้เจนุ่มขึ้น หน้าของมันเป็นสีเหลืองเมื่อมันถือเทียนที่จุดไว้

   ความมืดมิดค่อยๆ มีแสงสว่างจากแสงเทียนหลายร้อยแท่งจนทั้งห้องเป็นสีส้ม ผมอดไม่ได้ที่จะยกมือถือมาถ่ายเก็บภาพความประทับใจนี้ไว้ จากนั้นพวกเราปีสามต่างก็เอ่ยขอโทษน้องๆ ที่เคยล่วงเกินทั้งคำพูด น้ำเสียง และสายตา

   “พี่ขอโทษนะ” ผมบอกขณะผูกสายสิญจน์ให้น้องแว่น อันที่จริง เด็กนี่เป็นหลานรหัสผมครับ ผมถึงดูแลดีเป็นพิเศษ

   “โคตรประทับใจว่ะพี่” ไอ้แว่นมันพูดปนเสียงสะอื้น ไอ้นี่ขี้แยว่ะ

   “เออๆ ตั้งใจเรียนนะมึง” อวยพรส่งท้ายก่อนจะเดินแยกออกมาด้านนอก ไม่ได้มาตามไอ้เจที่ออกมาก่อนหรอกนะครับ แต่เพราะข้อความที่ส่งมาตอนผมถ่ายรูปทำให้ต้องออกมา “ไง”

   “เลิกแล้วเหรอ” ไอ้เม่นยิ้มแป้นแล้นตามสไตล์

   “อีกแป๊บ” ตอบไป มือก็ล้วงถุงขนมถุงใหญ่ที่ไอ้เม่นยื่นมา “กินข้าวแล้วเหรอ”

   “ยัง รอกินพร้อมบี๋” คำพูดธรรมดาๆ แต่ทำให้ผมเขินว่ะ “เมื่อกี้เห็นพี่เจตาแดงด้วย สงสัยร้องไห้”

   “มันอ่อนไหว” เพื่อนผมดูแข็งนอก แท้จริงแล้วอ่อนนุ่มจะตาย “หิว”

   “อ้อนป่ะเนี่ย น่ารักอ่า”

   “อ้วก” เสียงอ้วกดังขัดจนต้องหันไปมอง “เหม็นความรักเหี้ย” อีแน่วยกมือปิดจมูกจนผมต้องยกขาเตะมันไป

   “อิจฉาก็บอกมาเถอะ” ผมยักคิ้ว มือก็คว้าแขนไอ้เม่นมาคล้อง แต่พวกสามสหายกลับเดินหนีไปเฉย สรุปง่ายๆ พวกมันอิจฉาผมนั่นแหละครับ “อะไร”

   “น่ารักเกินไปอะบี๋” สายตาไอ้เม่นโคตรเป็นประกายยามผมเกาะแขน

   “อย่ามาเสี่ยวแถวนี้ กลับเถอะ หิว” ไม่รงไม่รอมันแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วด้วย ผูกข้อมือเสร็จก็กลับ ปล่อยให้ปีสองจัดการไป

   “บี๋ มือเป็นอะไร” หน้านิ่วคิ้วขมวดของมันทำเอาผมขำ “ไม่ตลกนะ ไปโดนอะไรมา” ไอ้เม่นลูบผ้าพันแผลที่พันรอบฝ่ามือผมไปมา

   “เคียวบาด” มันไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะตอนเรียนผมโดนโคตรบ่อย เกี่ยวขาจนเลือดไหลเป็นสายน้ำก็เคยมาแล้ว

   “ไปทำยังให้มันบาดวะ ใครทำแผลให้อะ ไปหาหมอกัน”

   “เดี๋ยว ไม่ต้องๆ มันไม่ได้ลึกมาก”

   “แต่มันก็อันตราย”

   “อย่าห่วงมากเลยน่า ไม่เป็นอะไรหรอก”

   “ไม่ห่วงได้ไง แฟนทั้งคน บี๋นะบี๋ ไม่ระวังเลย เบ๊เป็นห่วงนะเนี่ย”

   “ขออะไรอย่างได้ป่ะ อันนี้จริงจัง” ผมรั้งมือที่จับกันเพื่อให้ไอ้เม่นหยุดเดิน “เลิกเรียกบี๋กับเบ๊ได้ป่ะ มันจักจี้ว่ะ” พูดเสร็จ หน้าของคนที่ผมจับมือก็ถอดสี “เดี๋ยวๆ อย่าทำปากเป็ด คือหมายถึง ให้เรียกชื่อเฉยๆ เหมือนเดิมอะไรแบบนี้น่ะ”

   “แล้วบี๋กับเบ๊ไม่ดียังไง” ไอ้เด็กโข่งหน้างอแล้วครับ

   “ไม่ใช่ไม่ดี แต่มัน...ไม่ชิน ได้ไหม...นะ นะ” ทำตาใสบ้องแบ้ว (เลียนแบบไอ้กลอย) แบบโคตรลุ้นอะตอนนี้ สุดท้ายก็ได้การพยักหน้าเป็นคำตอบ “น่ารักจริง” ดึงแก้มไอ้เม่นเล่นจนถูกแขนใหญ่มันล็อกคอ

   “คิดจะแกล้ง ช่วยดูความสูงด้วยครับที่รัก” คำเรียกไม่ตกใจเท่าถูกหอมแก้ม แม่งเอ้ย คนเยอะด้วย ดีที่พวกเขาไม่สน ผมพยายามต่อยคนที่ล็อกคอผมแน่น แต่คนที่ยืนอยู่ไกลๆ กำลังดึงดูดสายตาของผม

   ไอ้เจมันกอดกับใครวะ

   “ไอ้เจ...” หรือผมตาฝาด ช่างมันเถอะ ตอนนี้ท้องประท้วงอีกแล้ว ไปกินข้าวดีกว่า กินเสร็จจะได้นอนยิงยาว เหนื่อยเหลือเกินวันนี้ เหนื่อยสายตัวแทบขาด

   “พี่ม่านครับ สนใจเม่นหน่อย พี่ม่าน”

   “ก็สนตลอดนั่นแหละ ไป หิวแล้ว”

   รู้สึกแปลกกว่าตอนถูกเรียกบี๋อีกครับ เหมือนได้ยินเรียกแบบนั้นทุกวันจนชิน แต่พอเปลี่ยนกลับมาเป็นแบบเดิมอีก ก็เลยรู้สึกแปลกๆ นี่ผมปกติดีใช่ไหม

   หรือผมจะเพี้ยนวะ เออ น่าจะเพี้ยนว่ะ



........................................

พอเรากดดันตัวเอง เราก็จะรู้สึกเครียด พอเครียดก็ปล่อยวาง พอปล่อยวางตัวเกียจคร้านก็ครอบงำ ... กราบขอประทานอภัยอย่างสูงค่า ตอนนี้ฟื้นคืนชีพแล้วววว อย่าเพิ่งลืมกันเด้อค่าเด้อ กราบขอพระคุณค่า

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 11 + 12 << [P.3] Up!! // [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 05-05-2017 21:25:05
12


[Part : เม่น]



   ผมเชื่อว่า หลายคนคงจะเกลียดผม ไม่ชอบผม เพราะผมไปตามตอแยรุ่นพี่อย่างพี่กลอย ผมยอมรับครับ ว่าหลงเสน่ห์พี่เขาตั้งแต่เดินชนกันครั้งแรก นัยน์ตากลมโตเหมือนกวางจ้องขู่ในตอนนั้นยังติดตาผมอยู่เลยครับ ผมตัดสินใจตีสนิทอย่างไม่ลังเล แต่มันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด นั่นคือเพื่อนใหม่อีกสองคนก็หลงเสน่ห์ดวงตาคู่นั้นเหมือนกัน

   โคตรแย่เลย

   ผมกับไอ้ไม้ ไอ้เบียร์ตกลงกันว่าจะอยู่ในส่วนของตัวเองและไม่ก้าวก่ายหากพี่กลอยจะชอบใคร แต่แล้วความจริงที่ว่า พี่เขาเป็นรุ่นพี่ก็แดงออกมาเมื่อพวกเราไปกินของหวานเจอเพื่อนต่างคณะของพี่กลอยมาทักทาย จากการแต่งตัวดูยังไงก็ไม่ใช่ปีหนึ่ง ที่สำคัญ หน้าของคนโดนทักซีดไร้สี ผมยอมรับเลยว่าตอนนั้นโคตรรู้สึกผิดหวังที่ถูกหลอก ยิ่งไปกว่านั้น พี่เขามีคนรักอยู่แล้ว ช็อกสองเด้งเลยทีเดียว

   แต่ผมไม่ยอมหรอก

   พวกเราสามคนยังเดินหน้าจีบรุ่นพี่ ไม่สนว่าแฟนพี่เขาจะหวงแค่ไหน เพื่อนพี่เขาจะด่ายังไง ก็ในเมื่อพี่กลอยยังไม่แต่งงาน ผมก็ยังมีสิทธิ์

   ผมได้สิทธิ์การเดทที่พี่กลอยหยิบยื่นให้เป็นคนสุดท้าย โดยไม่รู้ว่าพี่กลอยจะพาเพื่อนไปเป็นก้างขวางคอด้วย แม้จะไม่พอใจ แต่ผมก็เลือกที่จะยิ้มให้เพื่อนของพี่กลอยที่ทำหน้าหงิกงอเหมือนเด็กไม่พอใจ คงเพราะรถผมเสียทำให้ต้องใช้รถของพี่เขา แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่หว่า ผมคงไม่บ้าจี้ปล่อยลมยางรถตัวเองหรอกจริงไหม

   เพื่อนของพี่กลอยชื่อม่าน ตัวขาวๆ แก้มป่องๆ ความกวนโอ๊ยคงไม่ต่างจากเพื่อนตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะหากนิสัยไม่ไปในทางเดียวกัน คงคบกันลำบาก

   และมันก็จริง ความเกรียนของพี่ที่ชื่อม่านก็ไม่น้อยหน้าสักเท่าไหร่ แม้จะไม่น่ารักเท่าพี่กลอย แต่เสียงหัวเราะกับอารมณ์ขันก็ทำให้ผมขำออกมาแทบทุกครั้งที่ฟังเรื่องตลก ผมรู้ว่าพี่กลอยจงใจเอาเพื่อนมาเป็นไม้กันผม แค่นี้ผมก็พอรู้แล้วว่าสิทธิ์ที่ผมเรียกร้องตอนแรกคงจะไม่ได้รับมัน

   วันนั้นทั้งวันผมแทบไม่ได้พูดกับพี่กลอย เพราะมัวแต่ฟังและสนใจเรื่องของเพื่อนพี่เขา มารู้ตัวอีกทีก็ต้องแยกจาก พี่ม่านขับรถวนมาส่งผมที่คอนโดที่ผมซื้อไว้ ที่จริงบ้านผมก็มีครับ แต่ไม่อยากกลับ

   ช่วงที่อยู่ภายในรถ ผมจ้องมองพี่ที่เพิ่งรู้จักจากด้านข้าง เวลาปากพี่เขาขยับก็น่ามองเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่คุยก็ไม่พ้นเรื่องพี่กลอยนั่นแหละครับ มาขู่เรื่องแฟนพี่กลอยอีก ตลกดี

   และไม่รู้อะไรดลใจให้ผมบอกพี่เขาออกไปแบบนั้นก่อนกลับ ว่าผมยอมเป็นแฟนทดลองให้พี่เขาแบบฟรีๆ นี่ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆ แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ ไม่งั้นไม่พูดออกไปหรอก เชื่อสิ

   ขึ้นห้องไปก็ทำนู้น คิดนี่ ตาก็มองนาฬิกา ตอนนี้คนมาส่งผมคงถึงห้องตัวเอง นอนสบายบนเตียงแล้วมั้ง พอคิดแบบนั้นก็ยิ้มออกมา มือก็ควานหาโทรศัพท์ตัวเองพร้อมกดพิมพ์ข้อความไป

   ‘ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่จะมาส่ง’ ผมพิมพ์ไลน์ขอบคุณอย่างสุภาพส่งให้เพื่อนพี่กลอย ดีที่ขอไว้ก่อนกลับ ไม่งั้นก็ติดต่อไม่ได้ รอไม่นานก็มีข้อความตอบกลับ

       ‘เออ’ มาแค่คำสั้นๆ จนผมแอบหงุดหงิด ก่อนจะมีประโยคถัดมาแบบติดๆ กัน ‘ถ้ามึงรักไอ้กลอยจริง มึงจะไม่ทำให้มันเครียดจนจะเป็นบ้าแบบนี้’ พี่ม่านตอบกลับมาพร้อมสติ๊กเกอร์หมีถือมีด ‘ความรักหากมันทำให้อีกคนอึดอัด มันก็ไม่ใช่หรือเปล่าวะ’

   ‘แฟนก็ไม่เคยมี ทำไมรู้ดีจริง’ พิมพ์ไปขำไป ปากก็บอกไม่เคยมีแฟน แต่กลับมาสอนผมซะงั้น คนเรานี่นะ

   ‘กูจำในทีวีมา’

   เห็นข้อความปุ๊บ มือถือถึงกับหลุดลงเตียง ผมนอนงอหงายหัวเราะจนท้องแข็ง นี่พี่เขาบอกเป็นคนจริงจัง ไม่ใช่คนตลก


   โคตรเชื่อเลยครับพี่


   ‘แล้วพี่รักใครมากๆ บ้างหรือเปล่า’ ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามแบบนั้น รู้แค่ว่า อยากรู้เท่านั้น

   ‘มีสิวะถามแปลก’ ย่นคิ้วทันทีที่เห็น ความรู้สึกไม่พอใจนิดๆ ตีตื้นขึ้นมาหากไม่ได้ประโยคถัดมา ‘พ่อกับแม่กูนี่ไง ไอ้ก้านด้วย แม่มันทิ้งตั้งแต่เกิด กูเลี้ยงอย่างกับลูก โคตรรักอะ’ มองข้อความอธิบายถึงคนรักอย่างทึ่งๆ ไม่ใช่ทึ่งเพราะซาบซึ้งนะครับ แต่ทึ่งเพราะคาดไม่ถึงเรื่องรักในรูปแบบนั้น คือผมหวังคำตอบไว้มากเกินไปจริงๆ

   ‘พี่เป็นคนตลกจริงๆ สินะ’

   ‘เอ๊ะ ไอ้นี่ กูบอกกูเป็นคนจริงจังเว้ย’ โคตรตลกว่ะ ‘มึงเถอะ เลิกยุ่งกับไอ้กลอยได้แล้ว ก่อนที่จะถูกผัว เอ๊ย ไม่สุภาพ แฟนมันกระทืบ’ 

   ‘ผมไม่กลัวหรอก’ พิมพ์ไปยิ้มไป ที่จริงครั้งแรกที่เจอตอนงานโอเพ้นเฮาส์ ผมก็พอรู้ ว่าแฟนพี่กลอยโหดแค่ไหน สายตาที่จ้องผมนั่นเหมือนจะกินหัวผมอยู่ตลอดเวลา

   ‘โห ไอ้น้อง พี่ไม่อยากจะเล่าถึงความโหดของตีน เอ๊ย ไม่สุภาพ...’

   ‘พิมพ์ธรรมดาก็ได้ครับพี่ ไม่ต้องสุภาพหรอก’ เห็นความก่ำกึ่งแล้วมันตลกจนเหนื่อยที่จะหัวเราะจริงๆ

   ‘ก็กูไม่สนิทกับมึงไง เลยอยากสุภาพกับมึงหน่อย’ โคตรอยากเถียงเลยครับ เจอกันครั้งแรกเมื่อเช้าก็พูดกูมึงใส่แล้ว มานึกได้ว่าไม่สนิทเลยอยากสุภาพ มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอวะ เหี้ยเอ๊ย ปวดแก้ม ปวดท้องไปหมด ‘เออๆ นั่นแหละ มึงยังเด็ก ยังมีเวลาหาเมียอีกเยอะ มหาลัยมึงคงไม่สิ้นสาวสวยงามงอนที่จะมาตอมมึงหรอก’

   ‘พี่ด่าผมเป็นขี้ยังรู้สึกดีกว่า’

   ‘มึงด่าตัวเองนะ กูไม่ได้เจาะจง’ ดูคำพูดสิครับ แหม ‘แต่กูเชื่อว่า มึงต้องเจอคนที่ทำให้มึงหลงเสน่ห์ได้แบบจริงๆ จังๆ และเขาก็หลงเสน่ห์ของมึงเหมือนกัน โชคดีไอ้น้อง’

   ‘ผมก็หวังแบบนั้น’ ยิ้มให้กับข้อความตัวเอง ‘แต่ผมไม่ลืมหรอกนะ ที่จะยอมเป็นแฟนทดลองของพี่น่ะ พี่ม่าน’ แทบโยนมือถือลงเตียงแล้วเอาหน้าหมุดหมอน มันเขินหน่อยๆ ไม่ได้มากหรอก   

   ว่าแต่ คนที่ผมหลงเสน่ห์ได้แบบจริงๆ และเขาก็หลงผมเหมือนกันเหรอ หึ กล้าพูดจริงๆ นะ ความรักก็ไม่เคยมีกับเขา แฟนก็ไม่มี ยังกล้ามาสอนอีก เชื่อเขาเลย

   พี่ม่านเงียบหายไปแล้ว คงจะอาบน้ำ ไม่ก็หลับไปแล้ว คืนนี้เป็นคืนที่ผมรู้สึกมีความสุข ได้หัวเราะทั้งวันเหมือนคนบ้า หรือว่าผมจะบ้าแล้วจริง


   หลังจากวันที่ไปเดทสามคนกลับมา พี่กลอยก็มักจะหลบหน้าผมอยู่ตลอด หรือเพราะผมก็คอยหลบด้วยก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ เพื่อนผมอีกสองคนมันเลิกสนใจพี่กลอยแล้วด้วย พวกมันบอกว่าหลงผิดชั่วขณะ ผมก็ได้แต่เออออไป เพราะผมก็ไม่รู้ว่า ตัวเองยังหลงอยู่หรือเปล่า





   “กูว่า มึงเลิกยุ่งกับพี่กลอยดีที่สุด” ไอ้ไม้มันตบหัวผมแล้วบอก พวกผมกำลังนั่งทบทวนวิชาที่จะใช้ควิสคาบบ่าย “พี่เขาดูไม่ได้สนใจมึงเลย มึงก็รู้ดี”

   “นั่นสิ ไม่แน่ มึงอาจจะหลงผิดแบบพวกกูก็ได้” ไอ้เบียร์เสริมออกมา “แต่แม่ง ผู้ชายเหี้ยอะไรโคตรน่ารัก ตาก็โต ยิ้มก็น่ารัก”

   “แต่กวนตีนมากไปหน่อย” ประโยคนี้สร้างเสียงหัวเราะได้ดี รวมถึงผมด้วย

   “มึงลองมองไปรอบๆ สิวะ ผู้หญิงตั้งมากมายที่เขาแอบมองมึง หรือถ้ามึงเบี่ยงเบนไปแล้ว ก็หัดมองหนุ่มน่ารักๆ ในมอก็ได้ มีตั้งเยอะ เชี่ย ตบหัวกูทำไม”

   “ให้มึงหุบปากยังไงไอ้เชี่ยเบียร์” นั่นแหละครับ คนที่ผมตบ มันพูดจาโคตรน่าหงุดหงิด ผมไม่ได้เบี่ยงเบนสักหน่อย ผู้หญิงผมก็ยังชอบนะ ส่วนผู้ชายก็มีแค่พี่กลอยเท่านั้นแหละที่สน

   รอยยิ้มของพี่เขา...ดวงตาฉายแววขี้เล่น...คำพูดคำจาที่ทำเป็นคนจริงจัง รู้ไปทุกเรื่อง แต่ที่จริงโคตรโง่เลย...ชอบทำตัวอวดรู้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้อะไร

   นี่ผมหมายถึงพี่กลอยอยู่ใช่ไหม

   “ยิ้มแบบนี้กูสยองนะเว้ย” เสียงที่ดังแทรกทำให้ผมหันไปมอง ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสองมันเอนหลังหนี

   “กูไม่ได้ยิ้มเว้ย” ผมเถียง

   “ไม่ยิ้มบ้านมึงสิ” พวกมันคงเห็นผมไม่เชื่อ เลยยื่นโทรศัพท์มาให้ส่อง “เห็นป่ะ ว่ามึงยิ้ม แถมยิ้มสยองด้วย” ผมยื่นมือถือคืนเพื่อนก่อนส่ายหัวตัวเอง ผมกำลังจำเรื่องใครอยู่กับแน่

   ผมเลิกเรียนแล้วยังไม่อยากกลับ ถึงกลับก็ต้องไปอยู่ห้องคนเดียว แม้จะชิน แต่บางครั้งผมก็รู้สึกกลัว ผมกลัวการอยู่คนเดียว ผมกลัวการถูกทิ้ง กลัวการถูกลืม และกลัวถูกไม่รัก ผมมันก็แค่เด็กขาดความอบอุ่นคนหนึ่งเท่านั้น

   การมาเดินห้างโดยไร้จุดหมายมันโคตรน่าเบื่อ ผมเข้าออกร้านนั้นร้านนี้จนขี้เกียจเดิน ม้านั่งด้านหน้าจึงเป็นทางเลือก แต่พอก้าวขา เสียงที่เหมือนจะคุ้นอยู่หน่อยๆ ก็ดังมาจากด้านหลัง และพอหันไปก็เจอเจ้าของเสียงทำหน้าง้ำงอกับคนข้างๆ ที่คงจะเป็นเพื่อนสนิท ผมขยับไปยืนข้างเสา ไม่ได้หลบนะ แค่ไม่อยากให้เขาเห็น...ไม่รู้เหมือนกันทำไมถึงคิดและทำแบบนี้


   “มึงชิมที ไอติมกูแทบหมด” เสียงเง้างอดดูเข้ากับหน้างอๆ ดีนะครับ พี่ม่านกำลังเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ เสียงนั่นเลยได้ยินชัดเจน

   “หวงเหี้ยอะไร ไอติมนั่นก็เงินกูไอ้ห่ามู่” แทบจะขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อ มู่? หรือนี่จะเป็นแฝดพี่ม่านวะ

   “เงินมึงแต่ไอติมกู มึงแพ้กูก็ต้องเลี้ยงสิวะ” คำตอบกลับกับน้ำเสียง ฟังยังไงมันก็พี่ม่านนี่หว่า

   “แค่สอบแพ้ไปแค่คะแนนเดียว ไอ้เชี่ยนี่” เพื่อนที่สูงกว่าตบเข้าหัวคนกินไอศกรีมจนหน้าคะมำทิ่มใส่ถ้วยที่ถืออยู่ “เห้ย ไอ้มู่ลี่ กูไม่ได้ตั้งใจ” คนบอกไม่ได้ตั้งใจรีบหากระดาษทิชชู่มาเช็ด แต่ปากอ้ากว้างหัวเราะขัดกับคำพูดชัดๆ

   “ไอ้เจ มึงทำร้ายกู” จมูกรั้นเปื้อนไอศกรีมสีชมพู ดูแล้วตลก มิน่าเพื่อนเขาถึงหัวเราะไม่หยุด

   “กูก็เช็ดให้มึงนี่ไง เดี๋ยวๆ มึงมีจมูกสีชมพูเหมือนหมาเลยว่ะ”

   “หมู ไอ้เหี้ย”

   ประโยคที่ได้ยินเล่นเอาผมขำไปด้วย ส่วนคนมีจมูกเหมือนหมา เอ๊ย หมูก็หน้างอไปตามระเบียบ

   “โอ๋ๆ กูไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่” ผมมองพี่คนตัวสูงลูบหัวลูบแก้มด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันรู้สึกว่า ถ้าผมทำแบบนั้นได้ ผมจะรู้สึกยังไง

   “ดี แบบนี้สิถึงจะสมเป็นเพื่อนไอ้ม่านคนนี้หน่อย” ชื่อที่ผมได้ยินหลุดมาจากปากคนยิ้มแป้น ม่าน...พี่ม่านจริงๆ ด้วยว่ะ แต่ทำไมเพื่อนเรียกมู่วะ

   “แน่นอน กูลดตัวมาคบกับมึงได้นี่ เป็นบุญของมึงมาก” แล้วพี่ม่านก็วิ่งไล่เตะเพื่อนตัวเองจนห่างผมไป ผมมองคนสองคนวิ่งไล่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ปากยังมีรอยยิ้มอยู่ตลอด

   มันหน่วงพิกลอาจปนความอิจฉาเล็กๆ

   ผมรีบสลัดความคิดบ้าๆ ออกจากสมอง ก่อนตัดสินใจกลับห้อง ไม่สนว่ายายจะโทรตามให้กลับบ้านกี่สาย จะให้ผมกลับทำไม ในเมื่อบ้านนั้นมีหลานที่เขารักอยู่แล้วตั้งหลายคน ผมไม่ไปสักคนคงไม่มีสนเดือดร้อนหรอก


   ลานจอดรถของห้างมีรถจอดแน่นขนัด ผมยื่นรีโมทปลดล็อกรถตัวเองก่อนเข้าไปนั่ง เพราะมัวแต่มองนั่นมองนี่ในรถจนลืมมองด้านนอก พอหันกลับมาก็เจอคนยืนหน้ายักษ์อยู่หน้ากระโปรงรถ พี่ม่านยืนเท้าเอวจ้องรถผมนิ่ง ขมวดคิ้วเป็นปม ตาก็จ้องแบบไม่พอใจ มีอะไรของเขา

   “เชี่ยเอ๊ย จอดรถไม่ลงเบรกมือ แล้วกูจะออกยังไง” เสียงแว่วๆ ดังเข้ามาในรถ ผมเผลอยิ้มออกมา สายตาก็มองตามร่างผอมๆ ที่เดินวนรอบรถผม อ่า ผมจอดขวางหน้ารถพี่เขาสินะ ถึงว่า ตอนจอดแรกๆ เห็นรถกระบะคุ้นๆ

   รถของผมติดฟิล์มดำไปหน่อย คนด้านนอกเลยไม่เห็นว่ามีเจ้าของรถนั่งอยู่ พี่ม่านเดินวนไปวนมา ก่อนมาหยุดหน้ากระโปรงรถตามเดิม

   “แม่งหนัก” หลุดขำออกมาอีกแล้ว คนหน้ารถออกแรงผลักรถผมให้ขยับ แต่มันไม่ขยับหรอก ก็ผมขึ้นเบรกมือไว้ อยากแกล้งสักหน่อย “เชี่ยเอ๊ย” คราวนี้หัวเราะเลยครับ พี่ม่านเตะเข้ารถผมเสียงดัง โชคดีที่รถผมเป็นเหล็กหนามันคงไม่บุบง่ายๆ แต่ที่บุบคงจะเป็นเท้าใครบางคนที่กระโดดเหยงๆ หน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

   หัวเราะจนปวดท้องไปหมด สุดท้ายผมก็สตาร์ทรถ นั่นทำให้คนเตะรถตกใจแล้ววิ่งไปหลบหลังรถตัวเอง คงกลัวความผิดแน่ๆ นี่พี่เขาจะทำให้ผมหัวเราะจนขาดอากาศตายใช่ไหมครับเนี่ย

   พอเห็นว่าพี่ม่านคงกลัวจริงผมก็เลยขับรถออกมา แต่ตายังมองกระจกหลัง เห็นคนหลบวิ่งออกมาชูนิ้ว ชูเท้าใส่ผม ความน้อยใจเมื่อครู่ปลิวหายไปกับอากาศทันที แทบลืมด้วยซ้ำว่าใครโทรมาก่อนหน้านี้ รู้แต่เพียงว่า ผมยังหัวเราะไม่หยุดก็แค่นั้น ยามนึกถึงหน้ายักษ์ของคนอวดเก่ง


   คนนี้สินะ ภาพซ้อนของผม



   จากวันที่เจอที่ห้าง ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ปัญหาที่มันเข้ามาทำให้ผมลืมเสียงหัวเราะของตัวเองไปหลายวัน มาวันนี้ พวกไอ้เบียร์ชวนผมมากินเหล้าที่ร้านแถวหอมัน ไม่สนเหตุผลที่มันยกมาอ้างว่าสาวเยอะ แต่ที่ผมตามมาเพราะอยากเมา

   “วันนี้กูต้องได้สาวสักคนสิวะ” ไอ้เบียร์ดูกระดี๊กระด๊าอย่างน่าขำ ผมเห็นมันเที่ยวขอเบอร์สาวไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็นจะจริงจังกับใคร ต่างจากไอ้ไม้ที่ดูมีเป้าหมาย มันกำลังจีบสาวครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจีบใคร

   “ขอให้จริงเถอะ” ไอ้ไม้ก็คงหมั่นไส้ไม่แพ้ผม

   “ระวังเขาท้องนะมึง” อดไม่ได้ที่จะเตือน แม้ป้องกันอย่างดีก็อาจมีผิดพลาด

   “ไอ้พวกเชี่ย กูไม่ได้หื่นขนาดนั้น” ส่ายหน้าให้กับเพื่อนที่บอกไม่หื่น ไม่หื่นน้อยน่ะสิ “ไปๆ กูจองโต๊ะไว้แล้ว”
 
   ไอ้เบียร์โชว์ความเป็นเจ้าถิ่น มันเดินนำหน้าไปทักทายพนักงานเสิร์ฟ ก่อนพวกเราจะเดินตามไปที่โต๊ะ เอาจริงๆ ร้านนี้ก็ร้านอาหารนั่นแหละครับ มีดนตรีสดให้ฟัง ไม่ได้เป็นผับหรือร้านเหล้าหรูๆ อะไร พอนั่งโต๊ะปุ๊บ พวกเราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งทั้งกับแกล้ม ทั้งเหล้ามาแบบจัดเต็ม วันนี้ขอเมาหนักๆ สักวัน

   “เมื่อไหร่ดนตรีเล่นวะ” ไอ้ไม้ถามขณะยกแก้วขึ้นจิบ

   “ไม่รู้” ผมกับคนถามร้องอ้าวพร้อมกัน “แต่น่าจะใกล้ละ ปกติกูมาดึกกว่านี้ไง”

   ผมเลิกสนใจหน้าเพื่อนตัวเองแล้วมองไปรอบๆ ร้าน ลูกค้าร้านนี้ค่อนข้างเยอะ สงสัยจะอร่อยจริงอย่างไอ้เบียร์โม้ไว้ มองไล่ตั้งแต่เวทีไปยังด้านนอกร้าน...หืม ผมว่า ผมเหมือนเห็นคนรู้จักว่ะ

   “เป็นอะไรวะ” ไอ้ไม้ถาม มันคงเห็นผมหันหน้าไปๆ มาๆ เพื่อจะหลบคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา

   “ไม่มีอะไร” รีบบอกปัดก่อนจะก้มหน้าลงกับโต๊ะ

   ทำไมมันบังเอิญแบบนี้วะ

   เสียงพี่ม่านพูดเจื้อยแจ้ว ร่างผอมๆ เดินไปนั่งอีกฝั่ง ผมแอบเหล่ตามอง เพื่อนที่มาด้วยเป็นเพื่อนคนเดียวกับที่เจอวันนั้น คงจะสนิทกันมาก

   “มองอะไรวะ” ชักสีหน้าใส่เพื่อนตัวเอง มันจะถามอะไรมากมายวะเนี่ย

   “เปล่า”

   ความคิดจะเมาหนักตอนแรกหายไปทันที ก็เพราะผมแทบไม่ยกแก้วขึ้นดื่ม ตาก็คอยมองแต่คนที่นั่งอีกฝั่ง พี่ม่านหัวเราะงอหงายอยู่กับเพื่อน หลายครั้งถูกเพื่อนตีหัว เจ้าตัวก็ชักหน้าบึ้งแล้วก็ยิ้มออกมาเองโดยไม่ต้องง้ออะไร แปลกดี

   บนโต๊ะฝั่งนั้นมีหมูย่างที่คงจะร้อนไปหน่อย คนกินโดยไม่เป่าเลยต้องรีบคายออกมาแล้วโวยวาย ผมหลุดขำพร้อมกับเพื่อนของพี่เขา บ้างก็กินผักแล้วทำให้ดูติดฟัน คือพี่เขาเป็นคนตลกจริงๆ สินะครับ

   เวลาผ่านไปนานจนนักดนตรีออกมาเล่นเพลงให้ฟัง เสียงเพราะๆ คลอเคล้าสร้างบรรยากาศยามค่ำคืน แต่น่าแปลก ทำไมผมถึงไม่ชอบ ไม่อยากให้นักดนตรีออกมาเล่นเลย มันทำให้ผมไม่ได้ยินเสียงพูดของอีกฝั่ง

   ผมไม่ได้ขี้เสือกหรอกนะ อย่าคิดแบบนั้นเชียว

   นั่งฟังเพลงไป จิบเหล้าไปเริ่มเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนพี่ม่านเตรียมจะกลับ มองคนที่เดินผ่านไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ผมมองตามจนสุดสายตาก่อนรีบลุกออกไปตาม ไม่ลืมวางเงินส่วนของตัวเองให้พวกเพื่อน และไม่สนเสียงร้องเรียกใดๆ รู้แค่ว่า ผมต้องกลับเหมือนกัน

   พี่ม่านเดินไปที่รถตัวเองที่บังเอิญจอดข้างรถของผม แอบเห็นจดๆ จ้องๆ คงจะคุ้นน่าดู

   “มีอะไรวะไอ้มู่” พี่ที่มาด้วยถาม คงเห็นเพื่อนตัวเองไม่ยอมขึ้นรถสักที

   “กูว่า กูคุ้นๆ รถคันนี้ว่ะ” พี่ม่านเดินวนไปมารอบตัวรถเก๋ง “คุ้นจริงๆ ว่ะ” ใบหน้าครุ่นคิดขมวดบึ้งตึง แต่ผมกลับชอบ...

   “คุ้นเพราะอยากได้หรือเปล่าไอ้ห่ามู่”

   “อยากได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่ราคาแพงเกินไม่มีปัญญา ถุ้ย ไม่ใช่เว้ย กูหมายถึง กูคุ้นเหมือนเคยมีเรื่องกับคันแบบนี้ สีแบบนี้ ป้ายทะเบียน...” โคตรลุ้น ไม่รู้จะจำได้หรือเปล่า “จำไม่ได้”

   “ไอ้ห่า ไปๆ เดี๋ยวกูต้องไปคุยเรื่องรับน้องอีก” ผมว่า ถ้าเพื่อนไม่เรียก พี่ม่านคงเดินวนรอบรถผมถึงเช้าแน่

   พี่เขาทำให้ผมยิ้มเหมือนเป็นบ้า...สงสัยต้องให้รับผิดชอบซะแล้ว


   ผมตัดสินใจเดินหน้าบุกไปหาพี่เขาถึงที่มหาลัยในวันถัดมา ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ในการหาตึกเรียน แค่ลองถามคนแถวๆ นั้นดูก็จะรู้ว่าปีสามเรียนตึกไหน เลิกประมาณกี่โมง ผมอยู่รอไม่นาน เสียงโวกเวกโวยวายก็ดัง หนึ่งในเสียงนั้นผมจำได้ดี

   พี่ม่านมาแล้ว

   สูดเอาความกล้าเพื่อเพิ่มพลังตัวเอง จังหวะที่กลุ่มพี่ม่านเดินมา ผมรีบเดินไปขวาง เห็นคนตัวเตี้ยกว่าผมเบิกตาโต ท่าทางดูงงๆ ปนตกใจ

   “ผมจะจีบพี่ครับ” โพล่งออกไป สร้างเสียงฮือฮาไปทั่ว

   “มึง...” พี่ม่านช็อกไปแล้วครับ “มึงพูดอีกทีดิ๊ กูว่า กูหูเพี้ยนว่ะ”

   “ผมบอกว่า ผมจะจีบพี่ครับ” เน้นทีละคำให้ดูหนักแน่น

   “กูว่า มึงเพี้ยนแทนหูกูแล้วล่ะ” พูดจบก็จะเดินหนี ดีที่ผมคว้าแขนไว้ทัน “อะไรของมึง กูมีเรียน” เสียงโคตรเหวี่ยง ไม่รู้อายหรือโกรธ

   “แต่ผมจริงจัง” ผมยืนยันในสิ่งที่พูดไป แต่ดูอีกคนไม่เชื่อ พี่ม่านบอกว่าผมกำลังสับสน
 
   “กูไม่ใช่ตัวแทนของเพื่อนกู จบนะ” ว่าเสร็จก็เดินหนีไปทันที ส่วนผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกหน้าชายามที่ถูกสายตาของคนที่ผมขอจีบมอง แววตาไม่ได้ตำหนิแต่ไม่พอใจ

   หรือผมจะรุกเร็วไปนะ

   โชคดีที่ผมมีนิสัยเป็นพวกไม่ยอมแพ้ หากชอบอะไรแล้วมันก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ท้ายที่สุดหากไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้พยายาม ต้องขอบคุณอดีตที่ไม่ค่อยดี ที่สร้างให้ผมเป็นคนแบบนี้ ถ้าไม่สู้ ก็ไม่มีตัวตน

   ผมตีมึนส่งข้อความไปหาพี่ม่านอยู่ตลอด มีตอบกลับบ้าง อ่านไม่ตอบบ้าง หรือไม่อ่านเลยก็มี แต่ไอ้เม่นไม่เคยยอม ผมคิดอย่างดีแล้ว ทบทวนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่มีแต่พี่กลอย เล่น หยอกเหมือนเดิม แต่ก็ทำแค่นั้น ไม่มีอาการใจสั่นเหมือนครั้งแรกที่เจอ

   ผมคงแค่หลงพี่กลอยตามพวกไอ้ไม้ ไอ้เบียร์นั่นแหละครับ ไม่ได้รักหรอก ต้องโทษตาแป๋วๆ กับปากแดงๆ นั่นที่ทำให้หลงจนทำตัวแย่ๆ ในสายตาคนอื่นแบบนั้น 

   ไม่ปล่อยเวลาไปเปล่าๆ ผมรีบรุกเร็วอีกรอบโดยการไปดักรอพี่ม่านที่คณะ คราวนี้ผมขอจีบอีกครั้งด้วยเสียงหนักแน่นและจริงจังที่สุด ผมรู้ว่าพี่ม่านไม่ได้น่ารักเรี่ยราดแบบพี่กลอย แต่พี่ม่านก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง เวลาอยู่หรือคุยด้วย ไม่ได้รู้สึกต้องม้วนเป็นไข่หวาน แต่มันทำให้ยิ้มและหัวเราะได้ตลอด สรุปคือ มีความสุขเวลาอยู่ด้วยนั่นแหละครับ

   “มึงล้อกูเล่นอยู่แน่ ซึ่งกูไม่ตลก กลับไปคิดดูดีๆ ว่ามึงต้องการอะไรกันแน่” พี่ม่านยังคงยืนยันเหมือนคราวแรกที่ผมบอก และเดินหนีไปเหมือนเคย

   คิดว่าไอ้เม่นคนนี้จะยอมเหรอ ไม่มีทางซะหรอก

   เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงที่ผมนั่งรอ ไม่สนสายตาที่หลายคนมองมา บ้างก็ดูแปลกๆ บ้างก็ยิ้มให้ จนเห็นกลุ่มพี่ม่านเดินมาแต่ไกล

   “พี่ม่าน” ฉีกยิ้มกว้างจนเกือบถึงหู คนที่ผมเรียกทำหน้าเหวอตกใจ คงไม่คิดว่าผมจะอยู่รอเป็นชั่วโมงแบบนี้

   “มึง...มาทำอะไรตรงนี้” พี่ม่านมองผมตาพริบๆ

   “รอพี่ไง ก็เราจะไปกินข้าวกันไง พี่ไม่มีเรียนแล้วใช่ป่ะ” อาศัยจังหวะพี่ม่านงง ผมรีบยื่นมือจับแล้วออกแรงดึง หากไม่มีอีกมือมาดึงไว้ซะก่อน สายตาเจ้าของมือจ้องผมซะโหด แต่ไอ้เม่นไม่เคยกลัวนะครับ เพราะผมเคยเจอสายตาที่โหดกว่านี้มาแล้วเมื่อตอนวันงานโอเพ้นเฮาส์ที่มหาลัยตัวเอง

   “ปล่อย” เจ้าของมือนั่นกดเสียงต่ำบอก ถ้าหากไม่บอกว่าเพื่อน ผมต้องคิดว่า พี่เขาต้องเป็นคู่แข่งอีกคนของผมแน่ๆ “นี่เพื่อนกู”

   “พี่นั่นแหละที่ต้องปล่อย นี่ก็...ก็แฟนในอนาคตของผม” พูดเต็มปากเต็มคำ ไม่สนตาโตๆ ของใครทั้งนั้น

   “หรือเสียใจจากไอ้กลอยจนเพี้ยน”

   “ผมคงจะเพี้ยนจริง เพี้ยนใจมารักพี่ไง” ดูเหมือนผมจะใช้ศัพท์วัยรุ่นไป เลยไม่มีใครเข้าใจ “เพี้ยนใจมารัก ก็ผันมาจาก เปลี่ยนใจมารักไง” ยิ้มแป้นแล้นให้กับความเสี่ยวของตัวเอง ผมก็เพิ่งรู้ตัวเองนี่แหละครับว่ามีมุมนี้เหมือนกัน มัวแต่ยิ้มภูมิใจจนลืมสังเกตว่าพี่ม่านเดินไปแล้ว คงทนความน่ารักของผมไม่ไหว แน่ละ ไอ้เม่นซะอย่าง “พี่ ระวังหลุมนะ”

   “หลุมเชี่ยอะไร อย่ามาหลอกกูซะให้ยาก” ไม่บ้าจี้ด้วย แถมยังเร่งซอยขายิกๆ แต่ขาสั้นแบบนั้น จะสู้ขายาวๆ แบบผมได้ยังไง

   “ไม่ได้หลอก นั่นหลุม” ผมตะโกนพร้อมชี้ คราวนี้พี่ม่านกระโดดเลยครับ โคตรฮา

   “เชี่ย มึงหลอกกู” ทำปากยื่นเหมือนเป็ด โคตรน่ารักอะ “แล้วไหนหลุมของมึง”

   “เต็มไปหมด” ชี้ไปทั่ว “นั่นก็ใช่ นี่ด้วย นู้นด้วย” พี่ม่านขมวดคิ้วมองไปรอบตัว “พี่ไม่เห็นแบบนี้ เสี่ยงจริงๆ ด้วย”

   “เสี่ยงอะไร”

   “เสี่ยงที่จะเดินตกหลุมรักของผมไง” แม้อยากอ้วกกับมุกตัวเอง แต่ก็เอาวะ ไม่เสี่ยวก็ไม่เป็นที่สนใจ พี่ม่านหันไปโก่งคออ้วกแล้วรีบเดินหนี “พี่ ระวังหลุมรักของผม นั่นๆ จะเหยียบแล้ว ตกแล้วขึ้นไม่ได้นะ”

   “ขอร้องอย่าเสี่ยว กูจะอ้วก” ถึงแม้ปากจะด่า แต่ผมเห็นพี่ม่านยิ้มนะ ติดกับไอ้เม่นแล้วล่ะสิ
 
   “พี่ออกเสียงดีๆ นะ เดี๋ยวกำกวม” พี่ม่านหยุดเดินกึก แล้วจ้องหน้าผมด้วยความสงสัย ผมได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้พี่ม่านเป็นอะไร
 
   “ไอ้...” อยู่ๆ คนทำหน้างงก็เบิกตาโตแล้วชี้นิ้วมาที่หน้าผม สงสัยจะรู้ความหมายที่ผมบอกให้พูดดีๆ ไม่งั้นมันจะฟังอีกอย่าง... จากเสี่ยวจะกลายเป็นเสียวยังไงละครับ


   ด่านแรกตีมึนผ่านไปแล้ว ด่านอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถไอ้เม่นคนนี้หรอกครับ จะหนัก จะโหด จะต้องผ่านเพื่อนพี่เขาสักกี่คน ไอ้เม่นคนนี้ก็บ่ยั่นแน่นอน


   เพราะพี่ม่าน ต้องเป็นของไอ้เม่นครับ


.........................................................

มีแฟนเด็ก ต้องหมั่นตรวจเช็คสมอง (หือ)

ขอบพระคุณค่า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 11 + 12 << [P.3] Up!! // [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 05-05-2017 22:08:49
ความมึนเนียนชนะเลิศ...
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 11 + 12 << [P.3] Up!! // [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 05-05-2017 23:43:18
อะร๊ายเขาเรียกกันเบ๊บี๋ด้วย. แต่เอ เจกอดกับใครนะ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 11 + 12 << [P.3] Up!! // [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 06-05-2017 12:28:31
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 11 + 12 << [P.3] Up!! // [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-05-2017 15:58:24
55555 เค้ามีโมเมนท์ร่วมกันนะ ไม่ใช่อยู่ๆ จะมาชอบ
เม่นก็บ้าจี้ ไปหลงรักคนจริงจังไปได้
ม่านก็ปากแข็ง กว่าจะยอมรับ

น่ารักมากค่ะ พี่ม่านกับเม่น 5555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 11 + 12 << [P.3] Up!! // [05/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hyukkiemai ที่ 06-05-2017 17:30:54
ความมั่นของเม่น เอาไป 100ค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 13 << [P.3] Up!! // [06/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 06-05-2017 21:05:08

13



         หลังจากปิดห้องเชียร์ด้วยความประทับใจ การมาเรียนจึงเป็นอะไรที่โคตรสดชื่น ไม่มีความเครียด ความเกร็งหน้า หรือแม้แต่ทำขรึมต่อหน้าคนอื่น ตอนนี้ได้กลับมาเป็นตัวเอง แม้ผมจะไม่ได้อยู่โหมดนิ่ง แต่บางครั้งก็ต้องนิ่งเวลามีพวกไอ้เจอยู่ด้วย ต่อจากนี้ไป ความสนุกจะกลับมาเยือนผมสักที

   “มึงซั่มกับเด็กมึงหรือยัง” คำถามจัญไรออกมาจากปากไอ้เจ ทั้งที่มีขนมอยู่เต็มปาก หล่อๆ อย่างมัน ไม่รู้จักหรอกครับ คำว่า คีฟลุค

   “ซั่มพ่อง กูคบแบบบริสุทธิ์ใจเว้ย” ยื่นมือแย่งขนมไอ้เพื่อนปากหมา พอหลุดจากตำแหน่งก็ออกลายเลยไอ้ห่า

   “พวกมึงชอบคิดอกุศลกับไอ้มู่” ไอ้มีนมันออกโรงปกป้องผมครับ โคตรซึ้ง “อย่างไอ้มู่ มันอ่อนจะตาย ไม่กล้าหรอก ใจแม่งเสาะ เชี่ย” ตบเน้นๆ กลางกบาลแบบไม่ออมแรงด้วย ไม่สนว่าไอ้มีนหน้าจะพุ่งไปโดนอะไร

   “เกือบจะดีอยู่แล้ว ไอ้เชี่ยมีน” เขม่นแรงใส่เพื่อนตัวเอง “ไอ้เกมส์ ช่วยกูหน่อย กูรู้ ว่ามึงเข้าข้างกู” หันไปเขย่าแขน เอาแก้มถูเพื่อนตัวโตแต่มันกลับดันหน้าผมให้ออกห่างคล้ายรังเกียจ

   “ทำแบบนี้กูจะอ้วกไอ้ห่า ไปอ้อนเด็กมึงนู้น” แล้วทุกคนก็หัวเราะเยาะผม แม่ง ไม่มีใครเข้าข้างผมเลย “ว่าแต่ อีแน่วละวะ” ตั้งแต่มานั่ง ผมก็ไม่เห็นเพื่อนสาวใจชายเลย

   “โอย ตอนนี้มันไม่สนเพื่อนหรอก สนแต่สาวที่ได้ใหม่” ไอ้มีนว่า

   “ใครวะ” ทำไมเหมือนมีแค่ผมที่ไม่รู้เรื่อง

   “เด็กปีหนึ่งคณะเรานี่แหละ รองดาว” พยักหน้าให้คำตอบของไอ้มีน ร้ายกว่ายุงก็แน่วเพื่อนผมนี่แหละครับ แป๊บๆ ได้สาวใหม่อีกแล้ว


   แล้วแบบนี้ผู้ชายอย่างพวกผมจะมีไปทำไมเนี่ย   


   ผมเลิกสนใจเรื่องความรักของเพื่อน เพื่อมาสนใจข้อความในมือถือที่มันสั่นอย่างต่อเนื่อง ไอ้เม่นท่าจะบ้าเกินไปแล้วจริงๆ นะผมว่า ขนาดอยู่ในห้อง นอนบนเตียงข้างกัน มันยังส่งข้อความมาหา พอผมด่า มันก็ว่า คำพูดเป็นแค่ลมปาก ถ้ามีตัวอักษรด้วย หากลืมหรือคิดถึง ก็จะได้กลับมาเปิดดูอีกได้ 

   ชักอยากรู้ว่า ไอ้เด็กนี่โตมายังไงแล้วล่ะสิ

   “เอ่อ มหาลัยปิดอาทิตย์หนึ่ง ไปไหนกันดีวะ” ไอ้เจเปิดประเด็นหลังจากกินขนมหมดถุง ไอ้นี่ เรื่องกินไว้ใจได้ แต่กินหนักก็ไม่อ้วน โคตรอิจฉา

   “กูว่าจะล่องใต้ ไปว่ายน้ำดูปะการัง ดูสาวใส่ชุดบิกินนี่” อือฮือ แทบอยากมุดกระเป๋าเดินทางไปกับไอ้มีนเลยครับ “พวกมึงล่ะ”

   “กูคงไปนั่งปฏิบัติธรรมกับแม่ว่ะ” ไอ้เกมส์พูดออกมาหน้าตาย แต่พวกผมกลับแตกตื่นสุดๆ

   “เรื่องจริงเหรอวะ” ผมถามออกไปอย่างไม่เชื่อหู หน้าโหดๆ อย่างไอ้เกมส์เนี่ยนะ

   “อืม แม่กูบอกว่ากูกำลังจะมีเคราะห์ พอดีหยุดเลยสั่งให้กูไปปฏิบัติธรรม” น้ำเสียงมันโคตรโมโนโทน ผมตบบ่าเพื่อนรักตัวโตอย่างเห็นใจ “พวกมึงว่า ที่นั่นเขาจะมีไมโครเวฟหรือเปล่าวะ”

   “ฮะ มึงว่าอะไรนะ” ไอ้เจแทบยื่นหน้ามาติดกับไอ้เกมส์

   “ก็กูเห็นข้อห้ามโคตรเยอะ ถ้าแม่งมีแต่กับข้าวเจ กูจะได้แอบเอาข้าวกล่องไป เผื่อเวฟกินตอนดึกๆ” ได้บุญโคตรๆ ครับเพื่อนผม “มึงล่ะไอ้มู่ หยุดนี้ไปไหน”

   “ทำไมมึงไม่ถามไอ้เจก่อนล่ะ” ไอ้เจมันก็ยังไม่ได้พูดเลย

   “เกี่ยวอะไรกับกู คนอย่างกู ก็นอนตายอยู่ในห้องนั่นแหละ พ่อแม่กูหนีไปทะเลนู้น” ไอ้นี่ก็น่าสงสารเหมือนกัน พ่อแม่ชอบไปเที่ยวโดยไม่พาลูกไป

   “กูว่าจะกลับบ้านว่ะ” ผมบอก

   “พาผัวไปให้พ่อแม่ดูตัวเหรอวะ” แทบอยากกระโดดถีบเพื่อนตัวเองที่แหกปากหัวเราะไม่แคร์เด็กปีอื่นๆ ที่มองมา “แต่จะเรียกผัวก็ไม่เต็มปาก เพราะยังนกอยู่ จิ๊บๆๆ”

   “ไอ้พวกเหี้ย” ได้แต่โวยวาย เพราะขืนไปทำอะไรพวกมันได้รุมผมเละแน่ ถ้าคนเดียวพอเอาคืนได้ นี่สามเลยนะ คูณมือ คูณตีนเข้าไป ตายแน่นอนผมน่ะ

   จะว่าไป ผมยังไม่ได้บอกไอ้เม่นเลยว่าจะกลับบ้านที่เชียงใหม่ ไม่รู้มันจะว่าไง...







   “ไปด้วย ไม่หยุดก็จะไป นะๆๆๆ” ผมยืนเท้าเอวมองไอ้เด็กปีหนึ่งต่างมหาลัยนอนดิ้นไปมาอยู่กลางเตียง คือมึงจะปัญญาอ่อนแบบพี่คณะมึงไม่ได้ “พี่ม่าน ให้เม่นไปด้วย”

   “แต่มหาลัยมึงไม่หยุด จะไปได้ไง” พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นที่สุด ผมนั่งลงบนเตียงปุ๊บ ไอ้เม่นก็รีบไถตัวขยับหัวหนักๆ มาหนุนตัก “มึงก็อยู่เฝ้าห้องให้กูไป”

   “ไม่เอา” รีบแขม่วพุงเมื่อถูกหน้าขาวหันมาซบ แขนยาวของมันรัดรอบเอวผมจนขยับหนีไม่ได้อีก “งั้นก็ไปวันหยุดสิ นะๆ ให้เม่นไปด้วย”

   “แต่...” ไม่ชอบเด็กก็เพราะผมขัดใจไม่ได้นี่แหละครับ “เออๆ ไปวันศุกร์กลับวันอาทิตย์ โอเค๊” วันศุกร์มันไม่มีเรียนครับ ไอ้เด็กที่นอนหนุนตักผมเนี่ย

   “เย้ๆ ขอบคุณครับ รักพี่ม่านโคตรๆ จุ๊บๆ” ฉิบหาย ไอ้เม่นจูบหน้าท้องผมจนขนลุก ผมรีบดันหน้าผากมันให้ห่าง “อะไร”

   “ขนลุกไอ้ห่า แล้วอย่าพูดว่ารักกูบ่อย ฟังแล้วมันไม่ศักดิ์สิทธิ์” ที่จริงเขินหรอก

   “อะไรที่พี่บอก เม่นพร้อมทำตามทู๊กอย่าง” เกลียดสายตาแป้วๆ ของมันมาก โคตรอยากเอานิ้วทิ่มตานัก

   “เลิกเสี่ยวด้วย กูขี้เกียจอ้วก”

   “ไม่เสี่ยวไม่ได้ เดี๋ยวพี่ม่านจะเหงาหัวใจ” ไม่พูดปากเปล่าด้วยนะ มือมันยื่นมาจับหน้าอกผมด้วย ไอ้นี่แอบเนียนตลอด

   “ไอ้....” อ้าปากจะด่า แต่ก็หุบ ไม่อยากเถียงมาก ผมว่า ตั้งแต่รู้จักไอ้เม่น พลังชีวิตผมโดนสูบไปมากโข “มึงไปบ้านกู ไม่กลัวพ่อกับแม่กูเหรอ”

   “ไม่กลัวหรอก” ผมเลิกคิ้วมองคนที่ผละจากตักผมไปนอนคว่ำ ไอ้เม่นใช้ข้อศอกค้ำเตียงวางคางบนหลังมือ “พี่ม่านน่ารักแบบนี้ พ่อกับแม่ก็ต้องน่ารักเหมือนกัน”

   “มั่นใจขนาดนั้น” หลุดยิ้มให้คนมั่นหน้าที่ยักคิ้ว “พ่อกูดุมาก มีปืนโคตรเยอะ”

   “ปืน? เอาไว้ยิงนกเหรอ”

   “ยิงนกห่าอะไร บาป”

   “ขนาดนก พ่อพี่ยังไม่ยิง เม่นเป็นแฟนของลูกเขา พ่อไม่ยิงหรอก”

   “ไอ้เม่น ไอ้เสี่ยวแดก” ใช้เท้าถีบจนไอ้เสี่ยวหน้าหงายเลยครับ ไม่มีสงสารหรอกสำหรับไอ้นี่

   “พี่ม่านอ่า...”

   ผมรู้สึกดีนะ ที่เรากลับมาเรียกกันแบบครั้งแรก ผมว่ามันฟังแล้วรื่นหูมากกว่า แล้วผมก็ถนัดเรียกแบบนี้ด้วย มาให้เรียกบงเรียกเบ๊ ไอ้ม่านไม่ไหว มันทรมานปากเหลือเกิน

   “ไอ้เม่น มึงใส่กางเกงในกูอีกแล้ว” มัวแต่คิดบ้าบอ หันมาอีกที เห็นคนยืนแก้ผ้าเหลือแค่กางเกงในสีขาวลายหมีที่ก้น

   “ของพี่ก็เหมือนของผมนั่นแหละ” ว่าแล้วมันก็รูดหมีขาวลงจากเอว “แล้วผมก็ไม่ถือด้วย”

   “มึงไม่ถือ แต่กูถือ ไอ้เหี้ย” แม้อยากจะวิ่งไปหยิบกางเกงในตัวเองที่ม้วนเป็นเลขแปด แต่ดูแล้วคงต้องให้มันเอาไปซักก่อน เชี่ยเอ๊ย ขนาดผมสนิทกับพวกไอ้อัธ ไอ้กลอย ยังไม่เคยเอากางเกงในพวกมันมาใส่ แม่ง “มึงเอาไปซักมาคืนกูด้วย”

   “เม่นก็ซักให้ทั้งของตัวเองแล้วก็ของพี่นั่นแหละ นู้นไง ที่ระเบียง”

   “ฮะ?” รีบวิ่งไปเปิดประตูระเบียงดูแทบไม่ทัน ที่แขวนชั้นในมีทั้งกางเกงในของผมกับไอ้เม่นห้อยเต็มไปหมด “นี่มึงซักของกูด้วยเหรอ” ผมนี่อึ้งไปเลยครับ

   “อื่อ ไม่เห็นเป็นไร ก็เราเป็นแฟนกัน เม่นไม่ถือ” ผมมองรอยยิ้มที่ปากของมัน คือไม่อยากมองช่วงล่างที่เป็นชีเปลือย “พี่น่ะ ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ผมเปิดใจ เปิดแม่งทุกอย่างแล้ว พี่ก็ต้องเปิดบ้าง” สายตาที่มันปะทะกับผม เหมือนบังคับให้ผมมองตามมาที่ตัวเอง... “อย่างเช่น แก้ผ้า อาบน้ำด้วยกันอะไรแบบนี้”

   “ไอ้...” ไม่ทันได้ด่า มันก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมควรรับมือยังไงดีกับไอ้เด็กเม่น หรือจะถามไอ้กลอย แต่แฟนมันคงไม่เสี่ยวเหมือนไอ้เม่น หรือไอ้ทู ไม่ๆ ไอ้เพื่อนคนนี้ปากมาก “โอ๊ย กูเครียด” ขยี้ผมจนยุ่งเหยิง ขัดกับเสียงร้องเพลงในห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี

   ผมต้องรับสภาพพร้อมเปิดตัว เอ๊ย เปิดใจจริงๆ ใช่ไหม

   เฮ้อ ไหวหรือเปล่าเนี่ยกู






   เวลาช่างผ่านไปเร็วดั่งนิยาย ปุ๊บๆ ก็วันศุกร์สุดสัปดาห์แล้ว ผมแบกกระเป๋าใส่ในรถกระบะของตัวเอง ผมว่า ผมโคตรจะพร้อมแล้วนะ แต่ยังมีคนพร้อมกว่าผมอีก ไอ้เม่นพกทั้งผลไม้สด กระเช้าอีกสามสี่กระเช้า นี่ถ้าผมอยู่ตอนมันซื้อ ผมคงตบหัวมันไปแล้ว นี่ก็บ่นไปหลายรอบ แต่มันก็แบกมาใส่รถจนได้

   “มึงนี่นะ จะซื้อทำไมเยอะแยะ” ก้าวขาขึ้นรถก็เริ่มบ่นอีกรอบครับ กลับบ้านคราวนี้ผมมีโชเฟอร์ ที่จริงก็คิดว่าจะสลับกันขับนั่นแหละครับ ขืนให้มันยิงยาวอาจจะล้าแล้วพากันลงข้างทางได้

   “พี่เลิกบ่นสักทีสิ ก็ซื้อมาแล้ว อีกอย่าง เม่นไม่รู้ว่าพ่อกับแม่พี่กินอะไรได้บ้าง เลยซื้อมาหมดเลย” ได้แต่ถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้ คืนก็ไม่ได้ “หิว”

   “เดี๋ยวแวะซื้อหมูปิ้งตรงมุมซอย” ผมชี้นิ้วแล้วดึงสายเข็มขัดมาคาดตัว

   “มา เดี๋ยวแฟนสุดหล่อคนนี้จะทำให้” ไอ้เม่นตีมือผมจนสายมันเด้งกลับที่เดิม เกือบโดนหน้าผมแล้ว “พี่กินก็เยอะ ทำไมไม่อ้วน” ดูมันบ่นครับ “ไม่เป็นไร อยู่กับเม่น เดี๋ยวเม่นบำรุงเอง”

   “บำรุงอะไร รีบๆ เลย เดี๋ยวออกสายถึงค่ำพอดี” เกลียดนัก รอยยิ้มจนตาหยีของมันเนี่ย

   “ครับๆ”

   รถกระบะของผมล้อหมุนแล้วครับ เวลาดีหกโมงเช้าพอดี เส้นทางก็สายเอเชียยิงยาวถึงบ้าน ถ้าผมมาคนเดียวคงขึ้นรถทัวร์ เพราะง่ายและสะดวกกว่า ประหยัดกว่า ปลอดภัยกว่าด้วย ขืนขับรถกลับเองคงหลับในก่อนพอดี

   “กินข้าวเหนียวมากเดี๋ยวก็ง่วงหรอก” ผมเตือนคนขับรถที่มันอ้าปากรอข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ผมปั้นเป็นก้อนทีละคำ มันกินจนจะหมดถุงแล้วครับ สิบบาทเนี่ย

   “ถ้าเม่นง่วง พี่ก็เปลี่ยนมาขับก่อน งีบสักสิบนาที ตาก็สว่างแล้ว” เบ้ปากให้คนที่แสนมั่นใจ

   “ตาสว่าง แล้วยายไม่สว่างเหรอ” เล่นมุกกากๆ ตามสไตล์ ไอ้เม่นหันมาอ้าปากรอข้าวไม่สนว่าผมจะเล่นมุกอะไร
นี่มันยิ่งกว่าด่าว่ามุกเหี้ยอีก 

   “มุกพี่เจ๋งว่ะ” ผ่านไปสิบกว่านาที ข้าวหมดปากมันถึงพูดออกมา

   “ขอบใจ...ไอ้เหี้ย” หน้างอสิผม ไอ้เม่นหัวเราะจนน้ำตาไหล แม่ง “ขับๆ ไปเลย เอ่อ เดี๋ยวแวะซื้อปลาแดดเดียวแถวสิงห์บุรีด้วยกูอยากกิน” ไม่น่าเชื่อ ว่าผมจะมีคนให้ออกคำสั่ง แล้วมันฟังแทบทุกครั้ง เริ่มมองเห็นข้อดีของการจะมีแฟนแล้วสิ


   ถนนสายเอเชียมุ่งหน้าขึ้นภาคเหนือ รถราก็คับคั่งเป็นช่วงๆ ผมเปลี่ยนมาเป็นคนขับแถวๆ กำแพงเพชร เพื่อให้ไอ้เม่นได้นอนหลับ เห็นมันหาวหลายครั้งติด ฤทธิ์ของข้าวเหนียวคงเพิ่งจะกำเริบ ส่วนผมนั้น กำเริบตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงหลังกินอิ่มนั่นแหละครับ

   “ขับดีๆ นะครับ เม่นเป็นห่วง” แม้ปากมันจะพูด แต่ตามันปิดสนิทไปแล้ว ผมส่ายหน้าให้กับเด็กที่กล้าบุกไปขอจีบผม ทั้งที่ตอนเจอครั้งแรก ที่มันจะยอมเป็นแฟนนั่น ผมก็คิดว่ามันพูดเล่นๆ ที่ไหนได้ มันกลับเอาจริงเฉย
 
   ผมขับรถมาเรื่อยๆ ถนนก็แบ่งสร้างใหม่ทำให้เวลาที่คิดไว้พลาดไปมาก ยังไม่ถึงบ้านท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีส้มแล้ว แม่ก็โทรมาถามผมเป็นระยะ คงกลัวว่าจะง่วง พอเข้าเขตจังหวัดเชียงใหม่ ผมก็ยิ้มออกเลยทีเดียว ตอนนี้โคตรเมื่อย ขยับก้นไปมาเพื่อให้เหน็บที่กินเบาลงอยู่หลายรอบ แบบว่า มันชาไปหมด

   ผมเลี้ยวเข้าแยกเพื่อออกนอกตัวเมือง บ้านของผมอยู่เขตชนบท ช่วงที่รถขับลงหลุมเพราะหลบไม่พ้น แรงส่ายของรถทำให้คนนอนหลับสะดุ้งตื่น ไอ้เม่นงัวเงียมองออกนอกหน้าต่างที่มีแต่ทุ่งนา

   “ที่นี่ที่ไหนเนี่ย” มันขยี้ตาไปมา คงมึนๆ สมองทำงานไม่เต็มที่อยู่

   “เชียงใหม่” ผมบอก ไอ้คนเพิ่งตื่นรีบทำตาโตหันมามอง

   “เฮ้ย ทำไมพี่ไม่ปลุกผม ผมกะจะนอนสักสิบนาทีแล้วเปลี่ยนมาขับ” ยังมาหน้ามาพูด ไอ้เม่นกรนมาตลอดทาง เสียงกรนทำให้เพลงที่เปิดแทบฟังไม่รู้เรื่อง

   “ปลุกแล้ว แต่มึงไม่ตื่น ใกล้ถึงบ้านกูละ” พูดจบ ไอ้เม่นก็ทำหน้าตื่น ไหนใครบอกไม่ตื่นเต้นวะ ผมขำหน้าเหลอหลาของมัน จนมันค้อน “อย่าลืมนะ ว่าพ่อกูมีปืน มึงพูดไม่เข้าหู พ่อกูยิงไส้ทะลุแน่”

   “ไม่กลัวหรอก เพราะพ่อพี่จะไม่ทำร้ายคนรักของลูก”

   “มั่วตลอดมึงน่ะ”

   ท้องถนนที่แสนคุ้นเคย ต้นไม้ที่เคยปีนเล่น และบ้านที่โตมา ผมเลี้ยวรถเข้าหน้าบ้านตัวเอง มีแม่ยืนรอรับอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พอรถจอดสนิท ไอ้เม่นก็ดูเกร็งทันที เจอของจริงเข้าไป ไอ้คนกล้าหายไปเลยเว้ย

   “ตื่นเต้น” ผมขำให้กับคนข้างๆ ที่มันยังไม่กล้าเปิดประตูออกไป “ต้องลงแล้วใช่ไหม”

   “เออ” ผมโบกมือให้แม่ขณะที่ดับเครื่อง และแค่เปิดประตูลงไป หมาที่ผมเลี้ยงมาก็กระโดดโลดเต้นเกาะแข้งเกาะขาดีใจจนผมต้องอุ้มมัน ดีที่ตัวไม่ใหญ่ “แม่ ม่านมาแล้ว” ผมโยนหมาลงก่อนเพื่อไหว้แม่ อยากจะกอดเหมือนกัน แต่บังเอิญกอดหมาไปก่อนหน้า มันเลยดูไม่เหมาะเท่าไหร่ อันที่จริงไม่เหมาะกอดหมาก่อนผมรู้ดี

   “มาค่ำแต้” (มาถึงค่ำจริง) แม่ยิ้มให้ผม ก่อนหันไปรับไหว้คนที่เพิ่งลงมา ไอ้เม่นดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด “แล้วนี่...”

   “สวัสดีครับ ผมชื่อเม่นครับ” ดีที่ไม่ต้องให้ผมบอก ไอ้เม่นยิ้มตาหยีแนะนำตัวกับแม่ผมเอง ผมลองสังเกตดูท่าทางของมันแล้ว มันคงเข้าหาผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่งแน่นอน

   “มาๆ เข้าบ้านมาก่อน กินข้าวหรือยังลูก” แม่ผมเดินไปแตะแขนไอ้เม่น มันสะดุ้งแล้วยิ้มแหยๆ “ไปๆ ม่าน พาเพื่อนเข้าบ้าน แม่เตรียมข้าวไว้แล้ว” พอแม่เดินเข้าบ้านไปก่อน ผมก็รีบเดินไปประกบคนยืนเกร็งทันที
 
   “เป็นไรมึง” ใช้ข้อศอกสะกิด ไอ้เม่นส่ายหน้านิดๆ แล้วยิ้มให้ผม

   “เปล่า แค่ไม่ชิน” หรี่ตามองคนบอกไม่ชิน สงสัยปมของครอบครัวมันคงมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วทำไมผมถึงไม่ถามน่ะเหรอ ก็เพราะว่า เรื่องละเอียดอ่อนอย่างเรื่องครอบครัว ถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจเล่าเอง ก็ไปบังคับไม่ได้หรอก “ไปเถอะ”

   “เออ กูควรเป็นคนพูดมากกว่า นี่บ้านกู” นี่ไม่ใช่ประโยคที่น่าขำขัน แต่ไอ้คนเดินตามกลับหัวเราะเฉย

   นี่ผมไม่ใช่คนตลกนะเว้ยเฮ้ย

   เดินตามคนเพิ่งมาบ้านผมครั้งแรก ดูท่าทางจะอยากรู้อยากเห็นพอสมควร ไอ้เม่นมันหยุดเดินทุกๆ ก้าวเพื่อถามผม อะไรจะอยากรู้ขนาดนั้น

   “นี่ถ้วยรางวัลของพี่เหรอ” คำถามกับแรงดึงที่ชายเสื้อ ทำให้ผมหยุดเดิน ทั้งๆ ที่อีกแค่สองก้าวก็จะถึงห้องครัวอยู่แล้ว

   “เออ”

   “โห ถ้วยอะไร ทำไมเยอะ”

   “วิ่งควาย” ไอ้เม่นทำตาโตหลังจากได้ยิน มันเชื่อผมว่ะ

   “พี่เป็นควายใช่ไหม เฮ้ย ผมล้อเล่น”

   จัดไปเน้นๆ ที่ก้น ผมยกขาเตะจนมันเกือบล้ม พอดีกับแม่เดินออกมา ไอ้ม่านคนนี้เลยถูกฝ่ามือตีเน้นๆ

   “แม่อ่า”

   “ไม่ต้องเลยนะ ไปทำแบบนั้นกับเพื่อนได้ไง”

   “มันไม่เจ็บหรอก...ใช่ไหม” ทั้งผมกับแม่รีบหันไปหาไอ้เม่น มันกระพริบตาปริบๆ ก่อนพยักหน้า “เห็นป่ะ”

   “นิสัยไม่ดีจริงๆ ม่านนี่” แล้วก็โดนแม่บ่นรัวๆ ยังดีที่พ่อเดินเข้าบ้านมา เสียงบ่นเลยหายไป

   ผมไหว้พ่อแล้วเดินไปกอด ส่วนไอ้เม่นก็ทำเหมือนเดิมคือไหว้ แล้วก็ยืนอยู่เงียบๆ

   “คนนี้เหรอที่บอก” พ่อถามปุ๊บ ผมก็ยิ้มให้ “อืม” แล้วพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก



   มื้อค่ำของวันนี้ช่างมีความสุขซะจริงๆ แม่ทำกับข้าวของโปรดให้ผม พ่อก็คอยแกะหอยขมให้ โคตรสุขใจ เมื่อก่อนตอนผมจะไปเรียนที่อื่น ผมแอบเห็นแม่กับพ่อร้องไห้บ่อยๆ ก็นะ ลูกชายหล่อเหลาขนาดนี้ก็ต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา (มั่นหน้าสุดๆ)

   “แล้วนี่ เป็นเพื่อนม่านเขาหรือ” พ่อผมวางปลาเผาที่เอาก้างออกใส่ในจานข้าวไอ้เม่นครับ มันดูตกใจนิดๆ แล้วพยักหน้าลง ก่อนจะส่ายหน้าทำเอาทุกคนงงไปตามๆ กัน “อ่าว แล้วมันยังไงละ” พ่อผมถามไปขำไป

   “มันเป็นรุ่นน้องไอ้กลอย” เป็นผมที่ตอบแทน

   “อ๋อ รุ่นน้องกลอยเหรอ แล้วมาสนิทกันได้ยังไง” นี่แม่ครับ คำถามโคตรตอบยากเลย

   “คือผม...” ท่าทางอึกอักของไอ้เม่นมันดูขัดตาซะจริงๆ จะเกร็งอะไรนักหนา 

   “มัน...”

   “กลัวพ่อกับแม่หรือลูก เกร็งเชียว หรือข้าวไม่อร่อย” แม่ผมแย่งพูด ผมเลยต้องหุบปากลงก่อนแมลงวันจะบินเข้าปาก ส่วนไอ้เม่นก็กัดริมฝีปากล่างตัวเองอย่างลังเล

   “อร่อยครับ” กว่ามันจะตอบ ผมก็ลุ้นจนเกือบกินเปลือกหอยขมไปแล้ว

   “อร่อยก็กินเยอะๆ สิลูก ไม่ต้องเกรงใจหรอก” แม่ผมตักแกงเผ็ดหมูให้ไอ้เม่นครับ “แกงนี่ไม่เผ็ดมากหรอก เพราะพ่อเขากินเผ็ดมากไม่ได้” 

   “คือ...” แค่ไอ้เม่นพูดปั๊บ ทั้งครอบครัวผมก็หยุดทุกอย่าง “ผมไม่เคยกินข้าวพร้อมหน้าพ่อแม่แบบนี้นานแล้ว ก็เลย...”

   “อย่าดราม่าสิวะ” กระแทกข้อศอกเข้าท้องคนจุดความเศร้า “กินๆ อย่าคิดมาก” ผมส่งซิกให้พ่อกับแม่กินข้าวต่อครับ ไม่อยากให้การกินมันหมดอร่อย

   “กินเยอะๆ ลูก ตอนเช้าอยากกินอะไรบอกแม่ได้ แต่อาหารฝรั่งแม่ทำไม่เป็นนะ” เป็นไงล่า แม่ผม

   “ขอบคุณครับ” ผมยังกินไปจ้องคนเขี่ยข้าวไป พอมันตักข้าวเข้าปากก็เริ่มเงียบ “แกงนี้อร่อยครับ”

   “แกงแคหอยขมน่ะลูก ของโปรดม่านเขา” ยิ้มอ้อนแม่ทันที โคตรรักอะ ผู้หญิงคนนี้ ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ผมแล้วตักหอยที่พ่อผมแกะให้เข้าปาก “อร่อยไหม”

   “ครับ” คำตอบกับรอยยิ้มทำเอาผมกับแม่ถอนหายใจออกมา ต่างจากพ่อที่เริ่มวางหอยขมใส่จานไอ้เม่นมากขึ้นโดยไม่พูดอะไรออกมา เดี๋ยวๆ แล้วผมล่ะ นี่แกงโปรดของเม่นนะพ่อ



   มื้อค่ำแสนอิ่มท้องและอุ่นใจผ่านไป ผมอยู่ช่วยแม่เก็บกวาด ส่วนไอ้เม่นถูกไล่ไปอาบน้ำที่บ้านเล็กก่อน บ้านเล็กของผมสร้างแยกจากเรือนไม้ของพ่อกับแม่ครับ ได้ฤกษ์เข้าอยู่ครั้งแรกพร้อมกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ที่ไม่อยากเสียเงินค่าโรงแรม ความคิดโคตรดีจริง

   จานชามถูกล้างและเช็ดใส่ตู้เรียบร้อย ผมกับแม่ก็ออกมานั่งรับลมที่แคร่ไม้หน้าบ้าน โดยที่ผมนอนหนุนตักแม่ เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก ตักแม่จะมีหัวผมแล้วก็หมาสุดที่รักแย่งกันนอนด้วย มิน่า ผมของผมถึงไม่มีเหา เพราะมีแต่เห็บ...ล้อเล่น

   “แม่ว่า ไอ้เม่นมันมีอดีตฝั่งใจป่ะ” ผมถามแม่ มือก็ลูบฝ่ามือกร้านเพราะทำงานหนัก

   “ทุกคนย่อมมีอดีตเสมอแหละลูก” แม่ตอบ “แต่แม่ว่า น้องเม่นเขาอาจจะไม่มีคนที่ให้คำปรึกษาที่ดี”

   “จะชมว่าตัวเองเป็นที่ปรึกษาที่ดีว่างั้น โอ๊ย แม่ ม่านเจ็บ” โดนสิครับ หยิกจนเนื้อที่แขนริ้วเลย แค่หยอกนิดเดียวเอง

   “เรานี่นะ ว่าแต่ พอรู้เรื่องไหมล่ะ” ผมส่ายหัวบนตักแม่ เพราะเรื่องที่รู้ก็เท่าหัวไม่ขีดเลยไม่อยากบอก “เหรอ ดูน้องเศร้าๆ นะ”

   “แม่ก็ให้คำปรึกษามันสิ” รีบขยับพลิกตัวมาจ้องหน้าแม่ “ม่านว่า มันต้องเป็นเด็กขาดความอบอุ่นแน่นอน” ดูจากการที่มันไม่กล้าเข้าหาผู้ใหญ่ ผมว่า มันต้องขาดสิ่งนี้ไปแน่ๆ เพราะมันเคยบอกอยู่กับตาและยายแต่ไม่สนิทกัน อืม ต้องใช่แน่ๆ

   “แม่เนี่ยนะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ไอ้เม่นก็เดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นผมนอนคุยกับแม่ และเป็นแม่ของผมที่กวักมือเรียกมันให้มานั่งด้วยกัน “อาบน้ำแล้วสบายตัวไหมลูก”

   “ครับ” ยังคงพูดน้อยเช่นเดิม ทั้งที่อยู่กับผม ไอ้เม่นพูดเป็นต่อยหอย “นะ น้ำเย็นดีครับ” อยากจะขำให้กับมัน คงไม่รู้จะพูดอะไรนั่นแหละครับ ก็ในเมื่อแม่ผมจ้องมันอยู่

   “นั่นสิ น้ำที่นี่เป็นน้ำบาดาลที่สูบขึ้นมากรองน่ะ ไม่ใช่น้ำประปาอย่างในเมืองหรอก” แม่พูดเรียบๆ ก่อนปรายตามองผม “ม่าน ไปเอามะม่วงที่แม่ปอกมาให้น้องเขาสิ...ไป” ผมทำอิดออดเล็กๆ แต่พอเจอสายตาโหด จำเป็นต้องจรลี แต่คิดเหรอ ว่าไอ้ม่านคนนี้จะยอมเชื่อ

   ผมย่องกลับมาแอบอยู่ที่มุมประตู ก้มตัวให้ต่ำเพื่อหลบสายตาของแม่แล้วก็ไอ้เม่น ด้านในบ้าน มีเสียงของทีวีที่พ่อกำลังนั่งดูข่าวอยู่

   “ไม่ต้องเกร็งหรอกลูก แม่ไม่ได้ใจร้ายแบบม่าน” นั่นไง ขืนไปก็ไม่ได้ยินแม่นินทาตัวเอง ไอ้เม่นพอได้ยินก็ขำออกมา “เม่นมาเชียงใหม่ ได้บอกที่บ้านหรือยังลูก”

   “ยังครับ” สีหน้าของมันเวลาตอบคำถามดูอึดอัดพิกล คิ้วก็ขมวดอยู่ตลอดเวลา “คือ พวกเขาไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่อยู่แล้ว”

   “ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะลูก พ่อกับแม่ก็รักลูกทุกคนนั่นแหละ ไม่มีใครไม่สนใจลูกตัวเองหรอก”

   “พ่อกับแม่ผม...ท่านเสียไปตั้งแต่ผมอยู่มอต้นแล้วครับ” เงียบ...ทั้งแม่และผมที่ได้ยิน “ที่จริงผมก็อยู่ในรถด้วย เจ็บไม่มาก แต่พ่อกับแม่ก็...เสีย”

   “แม่เสียใจด้วยนะลูก” แม่ผมถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เป็นผม ผมก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกันครับ มันสะเทือนใจไปด้วยกับเหตุการณ์นั้น

   “ผมออกโรงพยาบาลไปอยู่กับปู่ที่ต่างจังหวัด แต่ตากับยายไปรับผมมาอยู่ด้วย” สีหน้าและแววตามันดูเจ็บปวดยามย้อนนึกถึงอดีต

   “เม่นมีอะไร ปรึกษาแม่ได้นะลูก เม่นก็เหมือนลูกแม่อีกคนนั่นแหละ” แม่ผมยื่นมือลูบแก้มไอ้เม่น ผมเห็นหรอก น้ำตาของมันน่ะ

   “ขอบคุณครับ” ตอนมันยกมือไหว้ ผมถึงกับต้องรีบกระพริบตาตัวเอง ไม่ได้ร้องไห้ตามนะครับ แค่ลมมันพัดขี้ฝุ่นเข้ามาให้ระคายเคืองแค่นั้น “ตากับยายยังไม่เคยพูดแบบนี้กับผมเลย”

   “ตากับยายก็รักเม่นนั่นแหละ แต่ท่านคงไม่แสดงออก”

   “ผมก็ไม่รู้ว่าเขารักผมหรือเปล่า เพราะพวกเขาก็มีหลานน่ารักกว่าผมอีกตั้งหลายคน ผมคงเป็นคนเดียว ที่พวกเขาไม่สนใจ” เอาอีกแล้วครับ ไอ้เม่นร้องไห้อีกแล้ว มันยกแขนขึ้นปาดน้ำตา คงจะอัดอั้นเรื่องนี้คนเดียวมานานนม “ผมอยู่บ้านที่พ่อกับแม่สร้างไว้คนเดียวตั้งแต่ไปอยู่ที่นั้น ทั้งที่บ้านในนั้นมีหลายหลัง แต่ กลับมีผมแค่คนเดียวที่ไม่มีใครมาสนใจ”

   “โถ เม่น” แม่ผมดึงคนร้องไห้มากอดปลอบ ไอ้เม่นสะอื้นเบาๆ อย่างน่าสงสาร

   ชีวิตคนเรา มันจะเศร้าได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ยิ่งกว่าละครอีกนะ ผมว่า

   “พวกเขา...พวกเขาไม่เคยมาสนใจสักครั้ง มีแค่แม่บ้านที่มาดูแลเก็บกวาด...” เล่าพร้อมเสียงสะอื้นขึ้นจมูก “หลายครั้งที่ผมถูกตีในความผิดที่ผมไม่ได้ทำ เพราะพวกเขาเชื่อหลานรักของเขา ผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลยนะครับ”

   “พอแล้วลูก พอแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้วนะ อดีต ยังไงมันก็แค่อดีต มันแก้ไขไม่ได้ เม่นต้องอยู่กับปัจจุบันนะ ตอนนี้เม่นมีแม่ มีอะไรก็โทรมาปรึกษาได้ คิดซะว่า แม่เป็นแม่อีกคนของเม่นก็แล้วกัน ดีไหม” ผมเห็นไอ้เม่นพยักหน้าพร้อมน้ำตาแล้วบ่อน้ำตาตัวเองจะแตก โอย ทำไมแสบจมูกขนาดนั้น

   “ขอบคุณครับ” แขนที่เคยกอดผมตอนนอน ตอนนี้มันรัดเอวแม่ผมซะแน่น หมดกัน ไอ้เด็กเสี่ยว ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็กเล็กไปเลย (ด่าตัวเอง)

   “แรกๆ มันอาจไม่ชิน เม่นต้องลองเปิดใจ เหมือนที่เม่นตามลูกชายแม่นั่นไง ถ้าไม่เปิดใจ คงไม่ใจกล้าไปขอจีบกลางมหาลัยหรอกจริงไหม” คราวนี้ผมแทบหงายหลัง แม่ไปบอกมันทำไมเล่า โว๊ะ

   พอดีผมเป็นพวกไม่มีความลับกับแม่ครับ แม่กับพ่อท่านเลี้ยงผมมาแบบเพื่อน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้หมด ด่าไหม ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นคำปรึกษา คำเตือนหรือชี้แนะมากกว่า

   “ครับ” ไอ้เด็กขี้แยหัวเราะออกมาเฉย นี่ก็ไม่มีความอายอยู่บนหนังหน้า

   ผมแอบอยู่อีกไม่นานก็เดินกลับเข้ามาในบ้านเพื่อเอามะม่วง ที่ป่านนี้แม่คงบ่นแล้วบ่นอีกว่าผมหายออกมานานเกินไป

   “ได้เรื่องเยอะไหมล่ะ” จังหวะที่เดินผ่านพ่อ เสียงนี้ก็ลอยมาพอดี ผมหันไปมอง เห็นพ่อปรายตามาแวบหนึ่ง
 
   “พ่อจะด่าว่าม่านขี้เผือกใช่ป่ะ” ถึงกับต้องย่นคิ้วหยุดถาม

   “เออ” จบครับ คำตอบคำเดียว แต่ตอบได้ใจความ

   เพิ่งรู้ว่าพ่อตัวเองก็ปากร้ายเหมือนกัน สงสัยติดจากแม่แน่เลย



   ค่ำคืนแรกของการกลับมานอนบ้าน ผมยืนมองด้านหลังของคนที่นอนบนเตียงและดูเหมือนจะหลับไปแล้ว ไอ้เม่นที่ผมเห็นยิ้มแป้นแล้นดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรื่องอะไรคนนั้น กับคนที่ร้องไห้เมื่อกี้ช่างดูต่างกัน มันก็เป็นแค่เด็กที่ชอบเก็บปัญหาไว้คนเดียว แล้วสร้างกำแพงขึ้นมาปกปิดเพื่อไม่ให้ใครเห็นด้านหลัง

   ความทรมานคงสาหัสน่าดู

   ผมลงไปนอนข้างๆ ตัดสินใจอยู่นานว่าจะทำยังไง สุดท้ายก็ยกแขนขึ้นพาดตัวมัน และกำลังจะหลับตา คนที่ผมโอบก็ขยับถอยมาชิดจนหลังมันชนกับอกผม มือมันก็จับมือผมไว้แน่น

   แม้ไม่หันมา ผมก็รู้ว่ามันยิ้ม...เหมือนที่ผมกำลังยิ้ม
 
   “ฝันดีไอ้เสี่ยว”


.........TBC

บางที คนที่เราเห็นเขามีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เบื้องหลังอาจกำลังเจ็บปวดจนอยากร้องไห้อยู่ก็ได้ (คมจนบาด) อิอิ

 :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 13 << [P.3] Up!! // [06/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: hyukkiemai ที่ 06-05-2017 22:05:53
ปมของเม่นดราม่าาาาา แต่ก็อยากรู้นะว่าที่ยายเป็นแบบนี้เพราะอะไร
ว่าแต่พ่อแม่ม่านรู้หมดแล้วเรอะ 55555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 13 << [P.3] Up!! // [06/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-05-2017 22:08:19
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 13 << [P.3] Up!! // [06/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 06-05-2017 22:14:03
เม่นน่าสงสารอ่ะ ม่านมาปลอบใจทีดิ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 13 << [P.3] Up!! // [06/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 06-05-2017 23:50:03
สงสารเม่นร้องไห้ตามเม่นเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 14 << [P.3] Up!! // [08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 08-05-2017 20:29:01

14



         “แน่ใจว่าไหว” พ่อผมถามเป็นรอบที่สิบแล้วครับ หลังจากมีคนขยันอาสาจะยกลังมะม่วงสุกให้ ไอ้เม่นมันตื่นเช้ากว่าผมเพื่อไปช่วยแม่ในครัว และตามพ่อลงสวน กว่าผมจะตามมาก็ตอนที่ถูกแม่ไปปลุก เพราะมันทำให้ผมโดนก้านมะยมตี ไม่รู้จะรีบตื่นไปไหน ฮ้าว

   “ครับ” คนรับคำดูแข็งขัน แต่พอดึงลังขึ้นจากพื้น หน้ามันก็บู้บี้ ลังนั้นไม่รู้กี่กิโล คนไม่เคย มันจะยกขึ้นได้ไง พอมันยกไม่ขึ้นก็ได้แต่หัวเราะแห้ง แต่พ่อผมกับคนงานพากันหัวเราะ

   “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวให้กอบเขายกให้ดู” พ่อเรียกคนงานมายกให้ดูเป็นคนอย่าง ไอ้เม่นก็ดูจะสนใจ มันก้มๆ เงยๆ ดูวิธียก คือต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ “เป็นไง พอได้ไหม”

   “น่าจะไหว...ผมคิดว่างั้นครับ” ไร้ซึ่งความมั่นใจเหมือนครั้งแรก ก่อนมันจะยก มันหันมาโบกมือให้ผม มันออกแรงยกอีกรอบ คราวนี้ขึ้นจากพื้นประมาณสามสิบเซนแล้วก็วางลงพื้นใหม่

   “พอๆ ไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเส้นยึดหมด” พ่อคงสงสารนั่นแหละครับ แต่ผมนั่งขำ “เอาสมุดตามคนงานไปจดดีกว่า ตรงนี้เดี๋ยวพ่อให้คนงานยกไป”

   “ครับ” ไอ้เม่นรับคำเบาๆ มือยื่นไปรับสมุดจดรายการของที่ทางลูกค้าสั่งเข้ามา ผลผลิตของสวนผมมีลูกค้าสั่งอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง ลำไย กล้วย หรือแม้แต่ผักหลายชนิด ทุกอย่างในสวนล้วนปลอดสารพิษหมด ไอ้ม่านรับรอง

   ผมเดินตามคนสวนคนใหม่มาที่หน้าบ้าน ตอนนี้ลังมะม่วงถูกวางเรียงรายรอคนมารับ มะม่วงสีเหลืองทองหอมหวนชวนหิว ถ้าได้ข้าวเหนียวมูลหวานๆ ทานด้วยนี่คงฟินไปชาติหน้า

   “พี่ม่านๆ” ภาพข้าวเหนียวมะม่วงลอยหายวับเมื่อถูกสะกิด ผมชักสีหน้าใส่ไอ้เม่นทันที แต่ดูมันไม่สนใจ “มะม่วงลังนี้กับลังนั้นทำไมไม่เหมือนกันอะ ลูกมันไม่เท่ากัน หรือคนละเกรด”

   “ถามถูกคนแล้วไอ้น้อง” ตบอกตัวเองโชว์ความเทพ “ลังนี้เกรดเอ ลูกโต ลังนั้นเกรดบี ลูกเล็ก”

   “มันไม่เหมือนที่เม่นพูดตรงไหน ว่ามันคนละเกรด”

   “ไม่เหมือนโว๊ย” แถครับ เพิ่งมานึกออกตอนไอ้เม่นพูด นี่แหละครับ ที่เขาว่า ฟังไม่ศัพท์ “นั่นๆ เขามารับแล้ว”

   “คนแบบนี้ก็มีว่ะ” ยกนิ้วใส่ไอ้คนที่หัวเราะเยาะ ไอ้เม่นแยกไปคุยกับคนมารับมะม่วง สักพักพ่อผมก็ตามมาคุยด้วย ผมว่า ไอ้เม่นดูกล้าพูดกับพ่อผมมากขึ้น จากครั้งแรกที่ต้องถามคำตอบคำ คราวนี้เริ่มพูดเป็นต่อยหอย

   เมื่อของหมด ทุกคนก็แยกย้าย พ่อผมกลับเข้าสวนโดยมีลูกมือคนใหม่ที่ดูกระตือรือร้นซะเหลือเกิน นี่ผมหรือมันที่เป็นลูกบ้านนี้กันแน่ เริ่มสงสัยแต่ไม่เข้าใจมากๆ ผมเดินกลับเข้าบ้านกะจะไปนอนดูทีวีกลับเจอแม่ใช้ให้ไปซื้อของ พออิดออดก็ถูกหยิก ถ้าแขนผมร้องไห้ได้ น้ำตาคงท่วมโลกไปแล้ว

   จักรยานโบราณถูกเข็นมาหน้าบ้าน สภาพยังใหม่พร้อมใช้ เพราะพ่อผมเช็ดถูทุกวัน บางทีรักกว่าผมอีก เริ่มอิจฉาจักรยานแล้วนะ

   “พี่จะไปไหน” เสียงทักดังมาจากด้านข้าง ไอ้เม่นจับเสื้อกระพือไปมาคลายความร้อน

   “ไปซื้อของ” บอกปุ๊บ คนที่ยืนห่างหลายเมตรวิ่งมาควบซ้อนท้ายเฉย นี่วิ่งหรือเหาะเอาจริงๆ “อะไรของมึงเนี่ย กูหนัก” รถถึงกับเซ

   “ไปด้วย” บอกพร้อมกอดเอวแน่น เตรียมพร้อมสุดๆ

   “แต่ตัวมึงเหม็นเหงื่อ อยู่บ้านนี่แหละ” มันเหม็นจริงๆ นะครับ กอดแบบนี้กลิ่นยิ่งชัด ดีไม่มีกลิ่นเต่า

   “เหรอ” ไอ้เด็กข้างหลังดึงเสื้อแล้วก้มลงไปดม “งั้นพี่รอก่อน เม่นอาบน้ำแป๊บเดียว นะๆ อย่าเพิ่งไป”

   “เออๆ” ถูกมันกอดเอวแล้วโยกไปมาจนต้องรับปาก

   ผมจูงจักรยานกลับไปเก็บที่เดิม คราแรกคิดจะปั่นกินลมชมวิวสักหน่อย หากมีไอ้เม่นไปด้วย น่องผมคงโป่งก่อนถึงตลาดพอดี ระหว่างนั่งรอก็เล่นหมาสุดที่รักไปด้วย มันแก่มากแล้วครับ แต่ก็ยังแข็งแรงไม่มีโรคภัย คงเพราะมันกินแต่ผัก เป็นพวกมังสวิรัติ เอาหมูให้กินนี่เมินหน้าหนีเลยนะครับ หมาของผมเนี่ย

   ผ่านไปหลายนาทีกว่าคนอาบน้ำจะเดินออกมา ไอ้เม่นยิ้มแป้นมานั่งข้างผม กลิ่นสบู่นกแก้วลอยมาแตะจมูก ทั้งๆ ที่มันก็พกครีมอาบน้ำแพงๆ ของมันมา แต่กลับเลือกใช้สบู่ก้อนไม่กี่สิบบาท แต่ผมก็ชอบนะครับ หอมแบบแปลกๆ ดี โดยเฉพาะสูตรดั้งเดิม

   ผมขี่มอเตอร์ไซค์มีไอ้เม่นนั่งกอดเอวอยู่ด้านหลัง คือแค่ตัวใหญ่กว่าซ้อนก็ว่าแปลกแล้ว นี่ยังมากอดเอวซะแน่นอีก ใครเห็นเข้า คงจะคิดดีไม่ได้เลยครับ ท่าทางแบบนี้

   “มึงจะกอดทำไมเนี่ย” พูดโต้ลมที่ตีหน้าจนสั่น ไอ้เม่นยื่นคางมาวางบนบ่า เอาซะผมหันไปแล้วแก้มชนปากมัน

   “ก็พี่ขี่น่ากลัว เม่นกลัวตก” น้ำเสียงโคตรกวนตีน “เฮ้ย พี่เม่น เหี้ย”

   “มึงด่ากูทำไมเนี่ย” อยู่ดีๆ มันก็ด่าผมออกมาเฉย แถมเอะอะโวยวาย ชี้มือชี้ไม้ซะมอเตอร์ไซค์เซ

   “ไม่ได้ด่าพี่ แต่นั่น ตัวเหี้ย” สายตามองตามมือที่ชี้ เอ่อ ตัวเหี้ยจริงๆ ครับ ไม่ใหญ่มาก “ทำไมมันอยู่แถวนี้อะ”

   “ก็แถวนี้มีร่องสวน มันอาจชอบก็ได้” เอาจริงๆ ผมเพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน หรือจะมีคนเอามาเลี้ยงวะ



   กว่าจะถึงตลาด น้ำลายเกือบแห้ง ไอ้เด็กอยากรู้เล่นถามมันซะทุกอย่าง ตลาดที่ผมมาเป็นตลาดสด ของทุกอย่างส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านแถวๆ นี้นำมาขาย ผมเริ่มเดินซื้อของตามที่แม่เขียนบอก ซื้อเสร็จก็มักจะมีคนแย่งไปถือ เออ ดีเหมือนกัน ไม่หนัก

   “พี่ๆ อันนี้อะไรอะ”

   “แอปเปิ้ลเมือง”

   “อร่อยป่ะ อยากกินอะ ซื้อนะ”

   สรุปคือซื้อมากิโลหนึ่งครับ ไอ้เม่นดี๊ด๊าอยากจะกินตรงนั้น แต่ผมห้ามไว้ ลูกแอปเปิ้ลเมือง หรือสตาร์แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ลูกสีเขียว กลิ่นหอม รสชาติจะหวานอร่อย

   เมื่อซื้อของครบก็กลับครับ ขากลับไอ้เม่นอาสาขี่ให้ แต่ผมก็ต้องคอยบอกทาง บางครั้งก็ต้องบอกให้มันเพิ่มความเร็วบ้าง เพราะที่มันบิดคือสี่สิบ คืนนี้ไม่รู้จะถึงบ้านผมหรือเปล่า ขี่แค่นี้

   กว่าจะถึง กว่าจะกินข้าวมื้อเที่ยง ผมต้องคอยบ่นไอ้เด็กที่เอาแต่เม้าท์ แหม พอสนิทกับพ่อแม่ผมละคุยแตกฟองเชียวนะ เอาซะไอ้ม่านกลายเป็นธาตุอากาศ หมูที่อยู่ในแกงผักกาดจอกลายเป็นของไอ้เม่นเกือบหมด แม่ผมเริ่มลำเอียงแล้วว่ะ

   “พี่เป็นอะไร ทำไมทำหน้างอ” ผมเดินกลับมาที่บ้านหลังเล็กเพื่ออาบน้ำคลายโมโห เอ๊ย คลายร้อน แต่ดันมีปลิงเกาะตามมาด้วย ไอ้เม่นถือตะกร้าใส่ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อกี้มาด้วย

   “มึงไม่เอามีดมาด้วยวะ” เลือกที่จะถามกลับแทน ก็จะให้ผมตอบมันว่าอะไร จะบอกว่าผมงอนพ่อกับแม่ที่เอาใจไอ้เม่นเหรอ ผมไม่ใช่เด็กน้อยขนาดนั้นหรอกนะเออ

   “เอามาทำไม...แต่พี่ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลยนะ” คราวนี้ผมก้มหน้าก้มตาไม่มองหน้า มือก็ทำเป็นเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ “อี๋ ไม่เห็นอร่อยเลยว่ะ” เสียงโวยวายด้านหลังทำให้ต้องหันไปมอง เจอไอ้เม่นทำหน้าบูดบี้ แลบลิ้นไปมา

   “เป็นอะไรวะ” เห็นหน้าตาแบบนั้นก็อยากหัวเราะ แต่ต้องรู้สาเหตุก่อน

   “ก็เนี่ย...ไหนพี่บอกมันหวาน หอม อร่อยไง แล้วทำไมมันทั้งขม ทั้งเฝื่อน ไม่อร่อยเลย หรือมันยังไม่สุก เขาต้องเอามาหลอกขายแน่ๆ” มาเป็นชุดกับสาเหตุการทำหน้ายับของมัน

   “เชี่ย กูขำ” ผมลงไปนั่งหัวเราะที่พื้น เมื่อเห็นของในมือมัน เปลือกสตาร์แอปเปิ้ลมีรอยฟันครูดเป็นทางยาว

   “โหย พี่ม่านแกล้งเม่นเหรอ มันกินได้จริงป่ะเนี่ย” ไอ้เม่นยังใช้หลังมือเช็ดลิ้นอยู่เลยครับ โคตรตลก

   “ใครเขาให้มึงกินแบบนั้นวะ เปลือกมันกินไม่ได้เว้ย” พยายามกลั้นขำ แต่ก็ทำไม่ได้ก็เลยต้องขำไปทำตัวอย่างวิธีการกินให้มันดูไป ในเมื่อไม่มีมีด ผมก็เลยบีบให้มันมีรอยแยกแล้วดึงออกจากกัน “เขากินข้างใน เนื้อขาวๆ เนี่ย ไม่มีใครเขากินเปลือกแบบมึงหรอก แม่งตลก”

   “ก็คนมันไม่รู้นี่หว่า” แอบเห็นหูแดงๆ ของคนไม่รู้ สงสัยจะเขิน “พี่บอกแอปเปิ้ลๆ ก็คิดว่ากินเหมือนกัน” มีทำปากยื่นเป็นเป็ดซะด้วย แต่พอมันลองกัดเนื้อผลไม้ดูก็ยิ้มออกมา “อร่อยอะ”

   “เออ นั่นแหละ ต่อไปก็ไม่ต้องกินเปลือกแล้วนะ แม่งขำเหี้ย” ผมขำไปด้วย เดินเข้าห้องน้ำไปด้วย ปล่อยให้มันอร่อยกับของใหม่ไปครับ


   คนเราก็ต้องลองอะไรใหม่ๆ ซะบ้าง ถึงแม้ครั้งแรกอาจจะลองแบบผิดๆ แต่เราก็จะรู้และหาวิธีที่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่ถูกในครั้งต่อมา


   ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็ออกมาด้านนอก เจอไอ้เม่นนั่งกินผลไม้กับแม่ที่แคร่หน้าบ้าน พอเดินเข้าไปหา แม่ก็เริ่มบ่นว่าผมผอมลอง นี่แม่เห็นผมผอมเหรอ ไม่น่าเชื่อ เพราะมีแต่คนทักว่าผมอ้วน

   “เย็นนี้แม่จะทำแกงอะไร” ถามแม่หลังจากจิ้มมะม่วงสุกเข้าปาก

   “แม่ว่าจะทำขนมจีนน้ำเงี๊ยว เม่นกินได้ไหมลูก” ผมเบ้ปากทันทีที่แม่แทนไอ้เม่นว่าลูก ตอนนี้มีแต่ลูกเม่น เม่นลูก โอย ไอ้ม่านเซ็ง

   “ได้ครับ อยู่กรุงเทพฯ เม่นก็เคยไปกินตามห้างที่เขาจัดงานครับ อร่อย แต่เผ็ดมากไปหน่อย” ไอ้นี่ก็ฉอเลาะเก่งกาจ

   นี่ผมกลายเป็นคนขี้อิจฉาไปตั้งแต่เมื่อไหร่

   “แม่ทำไม่เผ็ดหรอก พ่อกินเผ็ดมากไม่ได้”

   “ดีแล้วครับ ยิ่งมีอายุ กินเผ็ดมากไม่ดี เป็นอันตราย”

   “ใช่จ้ะ ช่วงนี้ก็งดของหวานบ้าง บลาๆ”

   ผมนั่งจิ้มมะม่วงกิน ฟังแม่ตัวเองคุยกับลูกรักคนใหม่ ตั้งแต่เรื่องนู้น เรื่องนี้ ฟังจนจะหลับ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนถูกใช้ให้ไปช่วยทำขนมจีน

   “แม่ก็ใช้ไอ้เม่นบ้างสิ ลูกแม่เหมือนกันนี่” งอนครับ

   “ม่านนี่นะ” แม่จิ๊ปาก แต่พอไอ้เม่นฉอเลาะก็ยิ้มออกมา ด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยยกขาเตะมันไป “ดูๆ ทำน้องอีก นิสัยไม่ดีติดมาจากใครล่ะ”

   “แม่ นี่ม่านลูกแม่นะ” พูดจบ ผมก็จิ้มมะม่วงหลายๆ อันขึ้นมาแล้วเดินหนีเข้าบ้าน งอนครับ พอได้คนใหม่ ก็ลืมคนเก่า ไอ้ม่านงอน

   ถึงจะงอน แต่ก็เข้าไปช่วยในครัวอยู่ดี ไอ้เม่นก็ช่วยครับ ช่วยให้มันยุ่งยากขึ้น ผมเลยใช้ให้มันเดินไปเดินมา ส่วนผมนั่งอยู่กับที่ สบายครับ

   “อร่อยไหมครับแม่” ไอ้เม่นมันเรียกแม่ผมเต็มปากเต็มคำซะเหลือเกิน ตอนนี้มันเสนอหน้าไปขอชิมน้ำแกง และดูเหมือนจะชอบ “อร่อย”

   “ฝีมือแม่ซะอย่าง”

   “ขี้โม้”

   โดนครับ ผมนี่แหละ ถูกแม่เดินมาเขกหัวซะเจ็บ มีลูกคู่หัวเราะเยาะอีก ไอ้ม่านเซ็ง





   มื้อค่ำสุดแสนอร่อยผ่านไปอย่างเชื่องช้า พวกเราสี่คนนั่งกินขนมจีนไป คุยกันไป ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องเรียน แต่จะเน้นเรื่องเรียนซะมากกว่า

   “พรุ่งนี้กลับกี่โมง” พ่อถามขณะนั่งจิ้มแตงโมเข้าปาก

   “น่าจะออกสายหน่อย ม่านขี้เกียจตื่นเช้า” บอกปุ๊บ ไอ้เม่นก็ขำออกมาจนต้องถลึงตาใส่ “ที่จริงไม่อยากกลับเลย” โหมดอ้อนก็มานะครับ

   “ก็รีบๆ เรียนให้จบ แล้วกลับมาช่วยพ่อทำงาน” จบประโยคปุ๊บ ผมถูกไอ้เม่นหันมาจ้องทันที แต่มันก็ไม่พูดอะไรออกมา คงรู้ว่าไม่เหมาะที่จะถาม

   “นี่ก็รีบเรียนแล้ว” ผมว่า

   “รีบเรียนหรือขี้เกียจ” พ่อพูดซะผมดูเป็นเด็กไม่ดีเลย

   “เขาไม่ได้เรียกขี้เกียจ เขาเรียกพักสมองบ้างบางเวลา”

   “ดูมัน...เม่นล่ะ เรียนสนุกไหม คณะอะไรนะ”

   “เม่นเรียนศิลปกรรมครับ”

   “จบมาแล้วจะทำงานอะไรล่ะ”

   “ไม่รู้ครับ” คำตอบไอ้เม่นทำเอาพ่อผมไปต่อไม่ถูก “ที่จริงผมเรียนเพราะลงคณะมั่วๆ”

   ขนาดลงมั่วๆ มันยังติด แปลว่ามันเป็นคนฉลาด

   “ไม่เสียดายเวลาเหรอวะ ถ้าเกิดมึงจบไปแล้วมารู้ตัวทีหลังว่าไม่ชอบ” ถามในสิ่งที่คิด ไอ้เม่นยิ้มบางๆ ก่อนส่ายหน้า “อนาคตไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะมึง”

   “พี่เป็นห่วงเม่นเหรอ” น้ำเสียงกับสายตาแวววับจนต้องถลึงตาโตเข้าใส่ นี่มันกล้าถามต่อหน้าพ่อผมเลยนะ ไม่กลัวปืนที่ห้อยเต็มบ้านเลยไอ้ห่า “ไม่ตอบ แปลว่าเขินอะดิ่”

   “หุบปากเลย” กัดฟันด่าไป ก่อนคว้าจานที่กินเสร็จเข้าไปล้างด้านใน ซึ่งแม่ผมก็กำลังล้างอยู่ พอมีของผมไปเพิ่มก็เหล่ตามอง

   “งอนอะไรมาอีกละ ทำหน้าบูดเชียว” แม่พูดปนขำ แต่ไอ้ม่านไม่ขำหรอกนะ

   “พ่อกับแม่สปอยไอ้เม่นเกินไป” ผมบอก มือคว้าจานที่ล้างแล้วมาเช็ดให้แห้ง

   “อิจฉาล่ะสิ ม่านกลายเป็นคนขี้อิจฉาตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “แม่อ่า” เสียงหัวเราะของแม่ กับเสียงโวยวายของผมคงดังไปด้านนอกทำให้ไอ้เม่นเดินตามเข้ามา “มาทำไม” ทำหน้างอถามคนที่เดินหน้าบานเข้ามา

   “ไม่รักก็คงไม่มา~” มันตอบเป็นเพลงใส่ทำนองซะด้วย ขนาดผมปั้นหน้านิ่งยังหลุดขำ ส่วนแม่ก็หัวเราะหนักขึ้นไปอีก

   “ปัญญาอ่อน” ด่าไปงั้น แต่ปากก็ยิ้มนั่นแหละครับ






   ผมกับไอ้เม่นอยู่ช่วยแม่ล้างจาน เก็บของจนเสร็จก็แยกย้ายกลับบ้านเล็กเพื่อเตรียมเก็บของกลับในเช้าวันอาทิตย์ วันหยุดของผมกลับบ้านมายังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย เสียดายจริงๆ

   “เป็นอะไร” มือพับเสื้อลงกระเป๋า แต่บรรยากาศในห้องดูเงียบจนต้องถามออกไป “เม่น เป็นอะไร ทำไมเงียบๆ”

   “ไม่อยากกลับ” เสียงเบามาก แต่ผมนั่งอยู่แทบชิดเลยได้ยิน

   “อะไรของมึงเนี่ย ดราม่าอีกแล้ว” ขำเบาๆ แต่หน้าคนไม่อยากกลับทำให้ต้องหยุดขำ “บ้านกู พ่อกับแม่กูไม่ได้หนีไปไหน วันหยุดก็ค่อยมาใหม่” ผมว่า คราวนี้สีหน้ามันดีขึ้นมา

   “จริงนะ พี่จะพาผมมาด้วยจริงนะ” หน้าบานเชียว

   “เออ แต่ถ้ามึงไม่อยากมา กูก็จะไม่บังคับ”

   “มาสิ ผมรักพ่อกับแม่” เบ้ปากหมั่นไส้ไอ้เด็กง้องแง้ง ก่อนจะตกใจเมื่ออยู่ๆ ถูกแรงโถมเข้าใส่ แขนยาวรัดตัวผลักให้นอนลงบนเตียง “รักพี่ม่านด้วย รักมาก” เชี่ย ดิ้นไม่หลุดไม่พอ ยังต้องส่ายหน้าหนีจูบที่มันระดมมายิ่งกว่ากระสุนในสนามรบอีก

   “ไอ้เม่น กูหนัก” ตัวมันทับผมแบบไม่มีผ่อนแรง ตัวก็ควาย

   “ทับบ่อยๆ จะได้ชิน”

   “ชินพ่อง”

   คราวนี้แรงรัดคลายลงแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนที่กอดผม ไอ้เม่นวางหน้าผากลงบนกลางอกของผม มันคงจะไม่เป็นอะไรหากมันไม่จูบหนักลงไป โคตรขนลุก

   “ขอบคุณที่พาผมมาด้วย” มันพูดจบก็เลื่อนหน้าต่ำลงไปกดจูบแนวเดียวกัน “ขอบคุณที่พี่ยอมเปิดใจให้ผม” ผมกระพริบตาปริบๆ มือสองข้างดูเงอะงะไม่รู้จะทึ้งหัวมันดีหรือดึงหูมันดี “ขอบคุณที่พี่คบกับผม”

   จบประโยคปุ๊บ มันก็กดจูบลงบนสะดือ ขนทุกส่วนของร่างมันลุกชันจนผมต้องดึงหน้ามันขึ้นมา แม่งเอ่ย ความรู้สึกเชี่ยอะไรไม่รู้ตีรวนกันไปหมด แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดที่ดึงหน้ามันขึ้นมาเสมอหน้าตัวเอง ตาแป๋วของมันคล้ายกับสะกดไม่ให้ผมหันหน้าหนี ทำให้เห็นว่า หน้ามันค่อยๆ เลื่อนลงมาต่ำเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนปากเราแตะกันเบาๆ


   เหมือนถูกไฟช็อตที่ปาก


   ทั้งที่เคยถูกมันลักจูบบ่อยๆ แต่ความรู้สึกมันต่างจากตอนนี้มากโข ยามที่ปากของมันแตะที่ริมฝีปากบนของผมพร้อมดูดเบาๆ แค่นี้ตัวก็ชาวาบ สมองดูเบลอๆ จนลืมขัดปัดป้อง ทำให้ไอ้เม่นยิ่งได้ใจ มันรุกจูบหนักขึ้น ขบไม่พอ ยังสอดลิ้นเข้ามาในปากผมอีก ความไม่เคยผมเลยดิ้น อยู่ดีๆ ก็มีลิ้นเข้ามา แต่ก็ขยับหนีไม่ได้ ส่ายหน้าหนีก็ถูกมือมันล็อคให้รับจูบ

   ไอ้ม่านจะตายแล้ว

   เคยดำน้ำนานๆ ไหมครับ ตอนนี้ผมรู้สึกแบบนั้นเลย มันต้องกลั้นหายใจ พอมีจังหวะ ก็หายใจไม่เต็มที่ การรุกล้ำมันเริ่มคืบคลานหนัก มือมันล้วงเข้ามาในเสื้อ ลูบอยู่ที่เดียวที่หน้าอก จนผมต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักมันออก พอปากนั่นหลุดไป ผมก็หอบหนัก พยายามอ้าปากเอาอากาศเข้าปอด

   “มึงจะฆ่ากูหรือไง” ด่าไปหอบไปโดยที่ตัวไอ้เม่นคุกเข่าบนเตียงคร่อมช่วงเอวผมอยู่ พอมองมุมแบบนี้ ไอ้เม่นแม่งโคตรเอ็กซ์อะ

   “ใครจะกล้าฆ่าพี่ม่าน” คราวนี้มันจะโน้มตัวลงมา ผมก็รีบพลิกตัวหันหลังให้ ไอ้เม่นหัวเราะออกมาเฉย “โห หันหลังแบบนี้อันตรายกว่านะครับ”

   “ห้ามบีบตูดกูไอ้ห่า ลุกออกไป ก่อนที่กูจะถีบ” โวยวายเสียงพอประมาณ ขืนมากไปพ่อกับแม่วิ่งมาหาแน่

   “ท่านี้ถีบเม่นได้ก็ให้ถีบเลยเอา” มีท้าทายซะด้วย ผมพยายามถีบ แต่มันนอนผิดท่าเลยได้แต่ถีบอากาศ “ขำพ่อง”

   “พี่ม่านพูดไม่เพราะเลยอะ ไม่น่ารักน้า” คราวนี้มันนอนทับหลังผมเลยครับ ตัวโคตรหนัก “เรื่องนี้ผมไม่รีบหรอก ผมรู้ว่าเราต้องศึกษากันก่อน ผมไม่รีบชิงสุกก่อนห่ามแน่นอน”

   “ไอ้สุภาพบุรุษ” แขวะอย่างหมั่นไส้ แต่มิวายถูกมันฉกหอมแก้ม “ลุกเลย จะได้เก็บไหมเสื้อผ้า”

   “ครับๆ”

   พอมันลุกไปแล้ว ผมก็นั่งเก็บของต่อ อาศัยจังหวะที่มันเก็บของ ยกมือจับปากตัวเอง มันวาบวามจริงๆ นะครับเมื่อกี้ ถ้าไม่ถูกบีบเค้นหน้าอก สติผมคงไม่กลับมา อาจเตลิดจนเสร็จมันไปแล้ว เชี่ยเอ๊ยไอ้ม่าน มึงจะมีอารมณ์กับไอ้เม่นไม่ได้นะเว้ย

   “พี่ม่าน” เสียงเรียกสติที่หลุดให้กลับมา ผมรีบชักมือลง แต่คงช้าไป เพราะคนเรียกมันยิ้มกว้าง “พี่มีอารมณ์ร่วมใช่ป่ะ ผมรู้สึกว่าของพี่ก็คึกสู้ของผม”

   “คึกบ้าคึกบออะไร รีบเก็บของมึงเลยไอ้เม่น” โวยวายกลบเกลื่อน ก็โดนจูบขนาดนั้น มันก็ต้องเตลิดบ้างสิ

   “พี่จะไปไหน” พอผมลุกปุ๊บ มันก็รีบอ้าปากถาม

   “ห้องน้ำ”

   “ให้ผมช่วยไหม”

   “ช่วยเก็บศพมึงน่ะสิ กูปวดขี้”

   “โหย รู้หรอกน่า”

   “กูปวดขี้ จะดมตดกูไหมฮะ”

   “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย พี่ร้อนตัวนี่หว่า”

   “ไอ้เชี่ย” หยิบหนังสือที่ใกล้มือที่สุดเขวี้ยงใส่ แม้ไม่โดนตรงๆ แต่ก็เฉียดหัวมัน

   “รุนแรงว่ะ คนเรานี่นะ....”

   ไม่อยู่รอฟังมัน ผมเดินปึงปังเข้าห้องน้ำ ปวดขี้ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็นะ ต้องจัดการไอ้ที่มันคึกให้ลงซะก่อน ไม่รู้จะคึกทำไมตอนนี้ ต่อไปนี้คงต้องระวังการอยู่ใกล้ไอ้เม่นให้มาก เกิดถูกปลุกบ่อยๆ จะกลายเป็นผมนี่แหละที่ข่มขืนมัน


....TBC

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 14 << [P.3] Up!! // [08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 08-05-2017 21:12:02
สู้ๆนะพี่ม่าน 5555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 14 << [P.3] Up!! // [08/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 08-05-2017 23:32:01
ว๊ายๆม่านเกือบเสียตัวซะเเล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 15 << [P.3] Up!! // [12/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 12-05-2017 22:48:49

15




       ได้แต่ถอนหายใจอยู่เงียบๆ กับตัวเองหลังพวงมาลัยรถเพื่อรอไอ้เม่นบอกลาพ่อกับแม่ของผม ประหนึ่งมันเป็นลูกของบ้านนี้ ส่วนผมคือคนนอก พ่อกับแม่ผมนี่ก็โอ๋มันเกินไป กอดบ้าง จูบบ้าง หอมแก้มอีก ไอ้ม่านคนนี้เริ่มจะกลายเป็นหมาหัวเน่าโดยสมบูรณ์แล้วครับ

   “ไอ้เม่นเร็วๆ เดี๋ยวถึงค่ำ” ผมตะโกนเรียกเป็นครั้งที่สอง “อย่าช้าๆ”

   “อย่าขับเร็วนะม่าน ค่อยๆ ไป” แม่ผมกำชับ

   “ครับ” ลากเสียงยานคางเลยถูกมือยื่นเข้ามาดึงหู “ม่านไปนะครับ ไว้วันหยุดเดี๋ยวมาหาใหม่” ผมยกมือไหว้พ่อกับแม่ แต่กับไอ้เม่นมันยังยืนอยู่นอกรถทำอ้อยอิ่งไม่ขึ้นมาสักที ผมเลยสตาร์ทรถพร้อมใส่เกียร์ ไอ้เม่นได้ยินก็รีบกระโดดเข้ามานั่งด้านข้าง ในจังหวะที่เหยียบคันเร่งออกตัวอย่างช้าๆ

   “พี่จะทิ้งเม่นเลยเหรอ ใจร้าย” ไอ้เม่นขยับตัวยุกยิก ทำนั่นทำนี่จนผมเบ้ปาก

   “ก็ใครใช้ให้ช้าวะ”

   “ผมต้องบอกลาพ่อกับแม่ไง อีกนานกว่าจะได้มาอีก ไม่เหมือนพี่หรอก จะกลับก็กลับเลย”

   “อ่าว นี่กูผิดเหรอ”

   “ไม่ถูก แต่ก็ไม่ผิด”

   เอากับมันครับ ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว เดี๋ยวไม่มีสมาธิขับรถ แม้ไอ้เม่นจะทำตัววุ่นวายวอแวว เดี๋ยวเปิดเพลง เดี๋ยวบ่นร้อน บ่นหิว

   อยากเรียกร้องความสนใจจากผมล่ะสิ...ฝันไปเถอะ   





   ถนนมุ่งหน้าสู่ภาคกลางรถค่อนข้างหนาแน่น ผมสลับกับไอ้เม่นตามเดิม คราวนี้ไม่ได้กินข้าวเหนียว อีกทั้งมีมะม่วงไว้กินแก้ง่วงตลอดทาง ยาวเลยครับคราวนี้

   “ไม่อยากกลับเลยเอาจริงๆ” พอเข้าใกล้เขตกรุงเทพ ไอ้เด็กงอแงก็เริ่มบ่นอีกแล้ว

   “มึงพูดแบบนี้เป็นร้อยรอบแล้ว”

   “พี่ม่านอ่า ก็ผมชอบบ้านพี่จริงๆ นี่นา”

   “เออกูรู้ กูเห็น แล้วอย่าเสล่อเล่นมุกอับดุล” ว่าอย่างรู้ทันเมื่อเห็นมันอ้าปาก ไอ้เม่นส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจที่ถูกผมขัดคอ “แล้วนี่มึงจะเอามะม่วงไปให้ที่บ้านมึงป่ะ” พ่อผมเอามะม่วงใส่หลังรถมาสองลังครับ ทั้งสุกและดิบ

   “พวกเขามีเงิน ถ้าอยากกิน ก็ให้พวกเขาก็ซื้อกินเอง” พูดธรรมดาแต่เริ่มดึงหน้าตึงนิดๆ

   “มึงนี่นะ โกรธขนาดนั้นเลยเหรอ” แม้จะ (แอบ) ฟังเรื่องจากปากมันมาแล้ว แต่ผมก็ยังอดสงสัย ผมแค่คิดว่า ตากับยายจะเกลียดหลานแท้ๆ ตัวเองได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ

   “ถ้าพี่ได้เจอ พี่ก็จะรู้เอง” หน้ามันเลยคำว่าตึงกลายเป็นบึ้งแล้วครับ “อยากเจอป่ะล่ะ เดี๋ยวผมพาเข้าบ้าน”

   “เรื่องอะไร ไม่ไปเว้ย” ส่ายหน้าเป็นพัลวัน เรื่องอะไรจะไปให้โดนด่า “ว่าแต่ พรุ่งนี้มึงมีควิซนี่ อ่านหนังสือหรือยัง” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อรู้สึกบรรยากาศในรถมันเริ่มเงียบๆ

   “ฮึ” ไอ้เม่นปฏิเสธเสียงขึ้นจมูก “จะเอาเวลาที่ไหนอ่าน”

   “มีเวลา แต่มึงไม่อ่านเอง”

   “กลับไปค่อยอ่าน เม่นเก่งอยู่แล้ว”

   “เออ ถ้าตกนะ กูจะหัวเราะให้”

   “แล้วถ้าผ่าน พี่ม่านจะให้อะไรเม่น” สายตาที่เหล่มาโคตรเจ้าเล่ห์ “พี่จะให้อะไร ไหนว่ามาซิ”

   “มะเหงกนี่ไง” พูดพร้อมชูกำปั้น ไอ้เม่นส่ายหน้าขำพรืดออกมา

   ผมกับไอ้เม่น บ้างก็ทะเลาะ บ้างก็หัวเราะ เอาแน่เอานอนไม่ได้ มันเป็นแบบนั้นจนมาถึงทางเข้าหอพัก ไอ้เม่นเลี้ยวรถเข้าหน้าประตู แต่อยู่ๆ มันกลับเบรกจนผมหน้าทิ่ม พออ้าปากจะด่าก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นรถสีดำคันหรูวิ่งมาจอดขวางหน้าก่อนเลื่อนมาเทียบด้านข้าง กระจกด้านหลังรถคันนั้นจะเลื่อนลงเผยให้เห็นคนนั่งคอตรงด้านใน

   “ใครวะ” ผมชะเง้อคอมองลอดเข้าไปเห็นแค่ถึงคางเท่านั้น ไอ้เม่นไม่ตอบ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลย

   “เม่น กลับบ้านกับยาย เดี๋ยวนี้!” คำสั่งดังออกมาจากด้านในรถ

   “ทำไมผมต้องกลับ” 

   “เพราะยายสั่ง”

   “ผมเคยเชื่อยายด้วยเหรอ”

   “เม่น!” ตวาดเสียงดังจนผมตกใจ “กลับบ้านตอนนี้ เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดบอกส่งท้าย ก่อนรถคันนั้นจะเคลื่อนห่างออกไป

   “เม่น” ผมลองแตะแขนไอ้เม่นเบาๆ เพราะมันยังคงนิ่งไม่ขยับ “กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวเรื่องจะแย่นะเว้ย” พยายามหว่านล้อม ดูจากน้ำเสียงเมื่อกี้แล้ว ผมว่า ยายไอ้เม่นโคตรน่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้สักนิด

   “ครับ” เสียงรับคำของคนข้างๆ ดูจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

   “เออดี” ผมกำลังจะดึงเปิดประตู ไอ้เม่นกลับกดล็อกเฉย “ล็อกทำไมวะ” ไม่รอเสียงตอบเป็นคำพูด เพราะมันตอบโดยใช้การกระทำ รถกระบะของผมถูกถอยหลังแล้วกลับรถเพื่อตามคันดำคันนั้นไป เดี๋ยวนะ ผมว่า มันมีอะไรกำลังผิดพลาด “ไอ้เม่น เอากูลงก่อน”

   “ก็ยายบอกให้กลับเดี๋ยวนี้ พี่ก็ได้ยิน” มันพูดออกมาหน้าตาย แต่ไม่มีแววขี้เล่นเหมือนทุกที

   “แต่มึงควรเอากูลงก่อน” ทีงี้ละเชื่อฟัง ไอ้ห่า

   “พี่อยากรู้จักยายผมไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไปด้วยกันนี่แหละ” แล้วมันก็เงียบตลอดทาง ไม่ว่าผมจะโวยวาย จะด่า จะแหย่ยังไงมันก็นิ่ง ผมเห็นคิ้วเข้มๆ ของมันขมวดเป็นปม  แล้วอยู่ๆ มันก็พูดในสิ่งที่ทำให้ผมต้องย่นคิ้วตาม “ถ้าเกิดอะไรขึ้น พี่อย่าเข้ามาขวางนะ เม่นไม่อยากให้พี่เดือดร้อน”

   “หมายถึงอะไรวะ”

   “ก็นั่นแหละ ตามที่พูดเลย” ไอ้เม่นหันมาฉีกยิ้มให้ทีหนึ่ง ก่อนหันกลับไปสนใจท้องถนนต่อ

   มันพูดแบบนี้ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยจะดีในการไปบ้านมันครั้งนี้เลยว่ะ






   ฝ่ารถติดอย่างหนักในยามค่ำจนรถของผมจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ที่มีบริเวณโคตรกว้าง ประตูรั้วสูงตระหง่านค่อยๆ เปิดออกเผยให้เห็นสภาพอันน่าตกตะลึง จากประตูรั้วไปถึงตัวบ้านน่าจะเป็นกิโล คือมันไกลกันมาก ด้านซ้ายที่รถกำลังผ่าน มีบ้านหลังสีขาวตกแต่งสวยเปิดไฟสว่างจ้า ด้านขวาก็มีโรงรถแสนกว้าง มีรถหรูหลายคันที่ราคาบวกกันแล้วคงหลายสิบล้านบาท

   นี่ผมหลงเข้ามาในดงคนรวยใช่ไหมเนี่ย อะไรมันจะหรูขนาดนี้ 

   ไอ้เม่นขับรถเข้าไปจอดในช่องว่าง ข้างๆ รถผมคือเจ้ากระทิงดุสีแดงสดสวย ถ้าสัมผัสได้ ผมอยากกอดจูบลูบคลำสักครั้ง แต่คงได้แค่มอง เมื่อต้องเดินตามไอ้เม่น ที่จริงต้องบอกว่าถูกลากให้เดินตามมากกว่า

   “กูรออยู่ที่รถก็ได้นะ”

   “ไปด้วยกัน ผมจะแนะนำพี่ให้ทุกคนได้รู้จัก”

   ฉิบหาย คำนี้ผุดมาทันที นี่ผมยังไม่พร้อมนะเว้ย

   ผมมัวแต่ตกตะลึงกับบ้านหลังใหญ่จนลืมสังเกตว่า ประตูเข้าบ้านมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด พอเลื่อนสายตาไปเจอแทบสะดุ้งเมื่อสบสายตาสองคู่ที่จ้องมองมาทางผมกับไอ้เม่น สายตาสองคู่นั้นเต็มไปด้วยความหยามเหยียดอย่างตัวร้ายนางอิจฉาในละครมอง ไอ้เม่นดันผมให้ไปยืนซ้อนด้านหลังเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มพวกนั้น

   “มาได้แล้วเหรอ ไอ้เด็กนอกคอก” คำทักทายนี้เล่นเอาผมต้องชะโงกหน้าไปมอง คนพูดยังสวมชุดนักเรียนอยู่เลยนะ เป็นผู้หญิงแถมยังอายุน้อยกว่าแท้ๆ ทำไมปากคอเราะร้ายขนาดนี้

   “หึ ไม่ได้มาคนเดียวด้วยนะพี่ พาคู่ขามาด้วย อี๋ น่าขยะแขยง” นี่ก็เหมือนกัน หัวยังเกรียน ความคิดก็โคตรเกรียน เดี๋ยวจะเจอเกรียนวัยมหาลัยแล้วจะหนาวไอ้น้อง

   “ยายอยู่ไหน” ไอ้เม่นไม่ตอบโต้อะไร แต่เลือกที่จะถามหายายตัวเองแทน ผมไม่รู้หรอกว่าสายตามันตอนนี้เป็นยังไง เพราะมัวแต่ส่งรังสีทางสายตาไปฆ่าพวกตัวอิจฉาอยู่ แต่จากที่ได้ยิน น้ำเสียงมันโคตรจะนิ่งเกือบเย็นเป็นน้ำแข็ง

   “ทำไม จนตรอกแล้วเหรอ ถึงจะกลับมาขออะไรยาย”

   “หึ ฉันไม่เคยขออะไร ไม่เคยประจบสอพลอเอาดีเข้าตัว โยนชั่วให้คนอื่น” ไอ้เม่นตอบกลับ จุดเสียงกรี๊ดเป็นบ้าเป็นหลัง

   เออ เป็นไบโพล่าหรือเปล่าวะ

   “อย่ายอมมัน” ไอ้เด็กเกรียนข้างๆ มียุด้วยนะ ส่วนพวกที่ยืนมุงดูข้างๆ พวกนั้นคงเป็นคนใช้ของบ้าน หน้าตาแต่ละคนก็ดูเด๋อด๋า คงไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อนั้นก็เจ้านาย นี่ก็เจ้านาย

   “ฉันไม่มีเวลามาคุยกับพวกไร้สาระ ยายอยู่ไหน” ไอ้เม่นถามโดยไม่สนเสียงกรีดร้อง หากไม่มีเสียงกระแอมดังมาจากด้านหลังหยุดเสียงกรี๊ดให้เงียบลง

   การปรากฏตัวของเจ้าของบ้าน เล่นเอาผมขนลุก คุณยายที่ยังดูสาวสวยไม่ได้แก่ผมขาวเหมือนที่คิดไว้ ท่าทางนิ่งคอตั้งวางอำนาจอย่างเต็มที่ ยายไอ้เม่นปรายตามองพวกตัวอิจฉาปุ๊บ พวกนั้นก็รีบก้มหน้าถอยหลังกรูจนน่าขำ

   “ไม่มีมารยาท” อยู่ๆ ป้าที่ยืนด้านหลังยายไอ้เม่นก็ตวาดผม คงเพราะผมขำเสียงดังมากไปหน่อย

   “ขอโทษครับ” โค้งศีรษะเชิงโทษ ก่อนขยับซ้อนหลังไอ้เม่นตามเดิม

   ทำไมต้องดุด้วยวะ

   “พามาด้วยทำไม ยายไม่ได้สั่ง” ผมเบ้ปากอยู่หลังไอ้เม่นเมื่อได้ยินเสียงห้วนๆ ถามขึ้นมา นี่ถ้าชะโงกหน้าไปดู อาจโดนสายตาจิกด้วย ผมเห็นในละครบ่อย

   “ผมไม่เคยฟังคำสั่งยายอยู่แล้ว” ไอ้เม่นก็คนจริงครับ ตอบกลับอย่างไม่กลัวเหมือนพวกตัวอิจฉาเมื่อกี้

   “ทำไมถึงย้ายไปอยู่ที่นั้น คอนโดตัวเองก็มี” ได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนยายจะพูดออกมา “หรือเพราะอยากประชดยาย”

   “ไม่มีเหตุผลว่าทำไมผมถึงจะต้องประชด แล้วที่ผมย้ายไป ก็ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนสักคน หรือยายเดือดร้อนล่ะครับ” แทบอยากเห็นหน้าไอ้เม่น ไม่ได้จะชมนะ จะด่ามันครับ นี่มันกล้าต่อปากต่อคำยายมันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ

   “เมื่อไหร่จะเลิกพูดจาแบบนี้กับยายของแกฮะ” เสียงทุ้มของคนมาใหม่ ผมแอบเอนหัวออกไปดู เห็นผู้ชายผมขาวที่น่าจะเป็นคุณตา มีผู้ชายตาขวางเดินเคียงข้างมาด้วย คงเป็นญาติไอ้เม่นอีกคน “แล้วก็เลิกทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เลิกทำตัวแปลกแยกกับลูกหลานบ้านนี้สักที”

   “ตากับยายยังเห็นผมเป็นลูกหลานบ้านนี้อยู่หรือครับ นึกว่าเห็นเป็นอากาศซะอีก” ไอ้เม่นตอบพร้อมเสียงขำในลำคอ แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่น่าขื่นขมซะจริงๆ

   “ไอ้เม่น” ไม่ใช่แค่เสียงที่กระชากนะครับ แต่ลุงตาขวางนั่นพุ่งเข้ามาดึงคอเสื้อไอ้เม่นจนขาแทบลอย ผมตาโตมือก็คว้าแขนไอ้เม่นโดยอัตโนมัติ “ปล่อย!” คงเพราะเห็นผมดึงแขนไว้ เลยหันมาตะคอกให้ใส่

   “พี่ม่าน ปล่อยผมก่อน” ไอ้เม่นเห็นผมยังยื้อไว้เลยหันมาบอกพร้อมรอยยิ้มบางๆ และพอผมปล่อยปุ๊บ ร่างมันก็ถูกเหวี่ยงลงไปกองกับพื้น

   เชี่ย!!

   “แกชักจะปากดีเหมือนพ่อเหมือนแม่แกซะจริงๆ เชื้อไม่ทิ้งแถว” เสียงนี้ดังมาจากคนที่ยืนข้างยายมันครับ สีหน้าป้านี่รู้เลย ว่าตัวอิจฉาแน่นอน

   นี่บ้านนี้มีแต่ตัวร้ายเหรอเนี่ย

   “อย่ามาว่าพ่อกับแม่ของผม ป้าควรสอนลูกตัวเองให้ดีก่อน แล้วค่อยว่าคนอื่น” บราโว่ แทบอยากปรบมือให้ แต่สถานการณ์คงยังไม่ใช่ตอนนี้

   “แก ไอ้เด็กเหลือขอ” ป้านั่นเกือบพุ่งมาแล้ว หากไม่ติดมือของยายที่ยกมาขวางไว้

   “ขอโทษป้าแกเดี๋ยวนี้ ไอ้เม่น”

   “งั้นลุงก็ให้เมียลุงขอโทษผมก่อนสิ เมียลุงว่าพ่อกับแม่ของผม” แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาผมตกใจจนอ้าปากค้าง เมื่อลุงมันต่อยหน้าไอ้เม่นจนหน้าขาวหันตามแรง พอไอ้เม่นหันกลับมา สายตามันโคตรกร้าวยามจ้องหน้าคนต่อย “หึ”

   “ทำไมแกนิสัยแบบนี้ฮะ พ่อกับแม่แกสั่งสอนให้เป็นแบบนี้หรือไง” ลุงมันตวาด มือก็ขย้ำคอเสื้อไอ้เม่นแล้วเขย่าจนหัวสั่น “พ่อกับแม่ฉันไปเอาแกมาเพราะเห็นแก่อนาคตของแก ไม่อย่างนั้น ตอนนี้แกคงไปนอนบ้านเช่าแคบๆ นั่นกับปู่แกไปแล้ว หัดจำใส่หัวไว้บ้าง”

   “ผมขอหรือไง ผมขอให้ตากับยายไปเอาผมมาหรือไง ผมอยู่ที่นั่นอาจจะดีกว่านี้” ไอ้เม่นหันไปมองตากับยายที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน สีหน้าและแววตามันเต็มไปด้วยความตัดพ้อ ท่าทางแบบนั้นทำเอาน้ำตาผมรื้นขึ้นมา

       “ไอ้เม่น” อีกแล้วครับ โดนต่อยอีกแล้ว ทำไมพวกเขาถึงต้องทำกับหลานตัวเองได้ ทำไมต้องใช้กำลังความรุนแรง แถมยังทำต่อหน้าเด็กอีก ผมมองซ้ายมองขวา รู้สึกอยากเข้าไปกระชากไอ้เด็กที่นอนอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น อยากตะโกนใส่หน้าว่ายอมให้เขาทำร้ายทั้งคำพูดและร่างกายทำไม “จ้องหน้าทำไมวะ!!”

   “พอแล้วครับ พอแล้ว” สุดท้ายผมก็ทนดูเฉยๆ ไม่ได้เลยเข้าไปผลักลุงมันออกก่อนที่หมัดนั่นจะพุ่งมาอีกรอบ พอลุงมันขยับไป ผมก็รีบพยุงไอ้เม่นให้ลุกขึ้นนั่ง เลือดกำเดามันไหลออกมาแต่เจ้าตัวดูไม่ใส่ใจ “เจ็บไหม” ผมดึงชายเสื้อตัวเองขึ้นเช็ดให้ ก่อนหันไปจ้องตำหนิทุกคน “ทำไมแบบนี้ มันไม่เกินไปหน่อยหรือไงครับ”

   “คนนอกอย่ายุ่ง” เสียงแจ๋นจากเด็กผู้หญิงที่เจอครั้งแรก ผมตวัดสายตาไปมองด้วยความไม่พอใจ

   “ผมเป็นแฟนมัน ทำไมจะยุ่งไม่ได้” ตะคอกอย่างเหลืออด

   “พวกประหลาด สกปรก โสโครก”

   “ถึงจะประหลาด สกปรกโสโครก แต่ไม่เคยเหยียดคนอื่น คุณคงเป็นพวกคนปกติแต่ชอบเหยียดคนอื่น โรงเรียนไม่สอนเหรอ คำว่าสมบัติผู้ดีและมารยาท” ตอบโต้อย่างไม่กลัว เด็กผู้หญิงนั่นถึงกับร้องกรี๊ดๆ

   “ปากดี ไอ้เด็กบ้า กล้าด่าลูกฉันเหรอ” หันมาอีกด้าน (เริ่มเมื่อยคอแล้วนะเว้ย) “คิดว่าตัวเองเป็นใครฮะ ไอ้เด็กบ้านนอก”

   “บ้านนอกแล้วไง ไม่ได้ขอเงินป้ากินนี่ครับ” ไม่กลัวแล้วโว้ยตอนนี้ “ด้วยความเคารพนะครับ อย่าหาว่าสอนเลย ป้าควรสอนลูกตัวเองบ้าง ไม่ใช่ให้สืบสายพันธุกรรมตัวอิจฉามา”

   “ไอ้ๆๆ” มาครับ ด่ามา ไอ้ม่านพร้อมด่ากลับเสมอ รู้ว่าไม่ดี แต่มันเกินไป นี่ไม่ใช่ละครที่ตัวเอกต้องยอมตัวร้ายเสมอไป “คุณแม่คะ ดูไอ้เด็กนี่สิคะ” พอหาคำด่าไม่ได้ก็เริ่มฟ้องครับ ผมเหล่ไปมองยายและตาของไอ้เม่น ดูทั้งคู่จะยืนนิ่ง ไม่ด่าหรือโวยวายอะไร “คุณแม่”

   “เลิกโวยวายสักที ฉันปวดหูจะแย่” ยายไอ้เม่นตวาด ป้านั่นถึงกับเงียบ สมน้ำหน้า ก่อนยายมันจะเดินลงมายืนข้างๆ คนที่ทำร้ายไอ้เม่น “เธอคิดว่า เธอเป็นใครถึงได้กล้ามาด่าคนของบ้านฉัน”

   “ผมไม่ได้กล้านะครับ แค่พูดตามสิ่งที่เห็น” จ้องกลับอย่างไม่กลัวสายตากดดัน “ผมไม่รู้ว่า ไอ้เม่นโตมายังไง แต่ที่อยากรู้คือ ตากับยาย เคยรักมันบ้างไหมครับ เคยเห็นมันเป็นหลานบ้างไหม เคยอยากกอดปลอบตอนมันทุกข์ใจ เคยอยากถามความรู้สึก ความคิดของมันบ้างไหม เคยถามไหมว่ามันชอบกินอะไร เกลียดสัตว์อะไรที่สุด นอนคนเดียวได้ไหม กลัวผีหรือเปล่า แค่นี้ที่อยากรู้ครับ” 

   “กล้าถามฉันขนาดนี้เชียวรึ” ผมเหยียดยิ้มให้เมื่อได้ยิน

   “ผมรู้ ว่าผมเป็นคนนอกไม่ควรก้าวก่าย แต่ยายไม่สงสารหลานตัวเองบ้างหรือครับ”

   “รู้ตัวว่าเป็นคนนอกแต่ก็ยังกล้ามาถามเรื่องเม่นกับฉันอีกหรือไง”

   “ที่จริงก็ไม่ได้กล้า แต่เพราะผมเป็นห่วง แม้มันจะกวนตีนบ้าง เสี่ยวบ้าง แต่ผมก็ห่วง ผมห่วงความรู้สึกของมัน แล้วตากับยายเคยห่วงความรู้สึกมันเหมือนคนนอกแบบผมหรือเปล่าครับ”

   “พี่ม่าน” ผมก้มลงไปยิ้มให้ไอ้เม่นที่มันมองผมอย่างอึ้งๆ

   “เห็นกูบ้าบอแบบนั้น แต่กูก็จริงจัง เป็นคนจริงสองพันสิบเจ็ดนะเว้ย” ว่าอย่างขำๆ และไอ้เม่นก็ขำออกมาจริงๆ

   “ขอบคุณครับ” แขนสองข้างมันกอดเอวผมพร้อมกับหน้าซบที่อก ผมเงยหน้ามองหน้าตากับยายของมันอีกรอบเพราะอยากรู้คำตอบ

   “กลับไปได้แล้ว” อ่าว...เฮ้ย นี่เหมือนไม่ใช่คำตอบที่ผมอยากได้นะครับ แต่ก็เท่านั้น เมื่อพวกเขาไม่อยู่ให้ถามต่อเพราะพากันเดินพาเหรดกลับเข้าไปในบ้านหมดแล้ว

   แล้วคำตอบผมละเฮ้ย เดี๋ยว!!

   ผมดึงไอ้เม่นให้ลุกขึ้นยืน และเพิ่งเห็นว่าป้ากับลูกสองคนเดินย้อนกลับออกมาตั้งท่าหาเรื่อง แต่พอเจอไอ้เม่นตวัดสายตามองก็รีบวิ่งกลับเข้าบ้าน โธ่ ไม่แน่จริงนี่หว่า

   “กลับเถอะ หิวแล้วเนี่ย กี่โมงกี่ยามแล้วก็ไม่รู้” จะว่าไป มัวแต่โมโหจนลืมดูว่านาฬิกา



   ผมขับรถกลับมาที่หอพัก ไอ้เม่นนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา มันคงเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นผมๆ ก็เสียใจ แถมยังน้อยใจด้วย ตายายจริงๆ หรือเปล่าวะ ไม่ห้ามเลย เห็นอยู่ว่าไอ้เม่นถูกต่อยแบบนั้น พอคิดแล้วก็โมโห

   ไอ้เด็กต่างสถาบันมันกินข้าวที่ผมเวฟเสร็จก็อาบน้ำแล้วเข้านอน นี่มันจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอวะ ก็ช่างเถอะ มันอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ผมนี่สิ มันรู้สึกอึดอัดเหมือนกินเยอะจนลมในท้องมันตีขึ้นมาจุกอกจนอยากเรอ เอ๊ย ระบาย ผมคว้ามือถือเดินปึงปังออกไปนอกระเบียง กดสายตรงถึงคนที่คิดถึง รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ ผมรีบกรอกเสียงเล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง รู้ว่ามันดึกมาก แต่ผมต้องระบาย ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ เพราะมันเครียด


   ไอ้ม่านเครียด


   ระบายให้แม่ฟังเสร็จก็รู้สึกโล่งทันที ผมเดินกลับเข้ามา เจอไอ้เม่นนอนบนเตียงมองตาแป๋วจนผมต้องย่นคิ้ว

   “เมื่อกี้มึงหลับไปแล้วไม่ใช่หรือไง” ถามพร้อมกับขึ้นไปนอนบนเตียง พอหลังผมแตะเตียงปุ๊บ ไอ้เม่นก็พาแขนกับขาหนักๆ มาทับ “หนักเว้ย”

   “เม่นโคตรตกใจที่เห็นพี่เถียงยาย” แรงดิ้นของผมหยุดลงเมื่อไอ้เม่นพูด “ปกติไม่ค่อยมีใครกล้าถามแบบนั้นกับยายหรอกนะครับ ถึงจะมี แต่ยายก็จะถามกลับจนอีกฝ่ายต้องถอยหนีแทบทุกครั้ง”

   “ยายมึงมีสายตาและท่าทางเย็นชาเป็นอาวุธ” ผมว่า ไอ้เม่นมันขำออกมา สงสัยจะเห็นด้วย “กูโคตรบ้าจริงๆ ตอนนั้น แต่พอเห็นมึงถูกต่อยแล้วมันทนดูเฉยๆ ไม่ได้ กูเป็นคนดีป่ะล่ะ”

   “เพราะพี่ม่านรักเม่นแล้วไงถึงกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้น” หันหน้าไปโก่งคออ้วกเมื่อได้ยิน ไอ้เม่นมันเอาแก้มถูเข้าที่ไหล่ของผมอย่างน่าหมั่นไส้

   “กูถามจริงๆ มึงถูกทำร้ายร่างกายบ่อยหรือเปล่าวะ” ผมถามไป ไอ้เม่นก็เงียบเลยครับ “มึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวกูแล้ว แต่กูยังไม่รู้เรื่องของมึงนะ คนรักกันไม่ควรมีความลับต่อกันหรือเปล่าวะ” ขยับตัวนอนตะแคงเพื่อจ้องหน้ากดดัน ไอ้เม่นมันขยับไปนอนหงาย วางแขนพาดหน้าผากอย่างคนกำลังใช้ความคิด

   “เรื่องเม่นไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าไหร่หรอก”

   “แต่กูอยากฟัง”

   ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ผม ก่อนมันจะหันกลับไปมองเพดานตามเดิม

   “แม่มีผมตอนเรียนมหาลัยปีหนึ่ง ตากับยายโมโหสั่งให้ไปเอาผมออกแต่แม่ไม่ยอม” แค่เริ่มแรก ผมก็อ้าปากค้างแล้วครับ น้ำเสียงมันนิ่งมาก ขนาดคำแทนตัวเองยังไม่มีท่าทางเล่นๆ อย่างทุกที “แม่บอกพ่อว่ามีผมแต่ยายให้ทำแท้ง พ่อเลยพาแม่กลับไปที่บ้านต่างจังหวัด ตากับยายสั่งให้แม่กลับ แต่แม่ไม่ยอม จนเกิดผมออกมา ตอนนั้นผมก็เป็นแค่เด็กธรรมดาอยู่กับพ่อแม่แล้วก็ปู่ย่า ทุกอย่างน่าจะปกติหากตากับยายไม่ไปหาพวกเราอีก”

   “เม่น มึงโอเคใช่ไหม” ที่ถามเพราะน้ำเสียงมันมีร่องรอยของเสียงสะอื้นเบาๆ

   “ยายบอกกับทุกคนว่าสร้างบ้านให้กับผม และไม่ถือโทษโกรธอะไรอีก ยายยกเหตุผลเรื่องเรียนของผมมาอ้าง จนทุกคนเริ่มคล้อยตามสุดท้ายก็ยอมตกลงจะกลับ ตอนนั้นผมอยู่มอสาม พี่เข้าใจไหม ว่าเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง พอรู้ว่าจะได้ไปอยู่กรุงเทพฯ มันดีใจแค่ไหน จังหวัดที่เพื่อนๆ อยากไป แต่ผมได้ไป ผมดีใจจนนอนไม่หลับ วันเดินทาง พ่อกับแม่นั่งเงียบตลอด ไม่มีใครดีใจเหมือนผม ผมมันโคตรโง่ ไม่รู้เลยว่าเพราะอนาคตของผม ทำให้พ่อกับแม่ต้องตาย”

   “เม่น” คราวนี้น้ำตามันไหลออกมาจากหางตา ผมยื่นมือไปแตะแขนมันเบาๆ “ไม่ต้องเล่าแล้วก็ได้”

   “มีรถตัดหน้ารถของเรา พ่อหักหลบจนพลิกคว่ำลงข้างทาง ผมควรตายไปพร้อมพ่อกับแม่ใช่ไหม เพราะผมอยากไปกรุงเทพฯ พ่อกับแม่ถึงต้องตาย ถ้าไม่ใช่เพราะผม พ่อกับแม่ก็ไม่ต้อง...ตาย”

   “เม่น ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะมึง” ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดึงไอ้เม่นมากอด มันซบหน้าที่บ่าจนเสื้อตรงนั้นผมชุ่มด้วยน้ำตา “อย่าโทษตัวเองสิวะ”

   “ถ้าตอนนั้นผมบอกแม่ว่าไม่อยากมา พ่อกับแม่ก็คงไม่มา” เสียงพูดปนสะอื้นอย่างเจ็บปวด “พอผมหาย ยายก็ไปรับผมและทิ้งให้ผมอยู่ในบ้านที่เขาสร้างให้ ตลอดเวลาที่อยู่บ้านหลังนั้น พวกเขาไม่เคยสนใจ พวกเขาปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว ผมกลัว ผมนอนคนเดียว ร้องไห้คนเดียว ไม่มีพ่อกับแม่อีกแล้ว ตอนนั้นผม...”

   “ชู่ว ไม่ต้องกลัวนะ ตอนนี้มึงมีกูแล้ว เม่นมีพี่อยู่นี่ไง” ผมลูบหัวมันเบาๆ เพื่อปลอบ

   “ผมนอนฝันร้ายทุกคืนที่อยู่ที่นั่น ฝันถึงแม่ ฝันถึงพ่อ เหตุการณ์วันนั้นตามหลอกหลอนผมมาตลอด พอบอกยาย พวกเขาก็ด่า ผมโดนหลานของเขาแกล้ง และพวกเขาก็เข้าข้าง ผมถูกตีทุกวัน ผม...”

   “พอแล้วๆ ไม่ต้องเล่าแล้ว แค่นี้กูก็ร้องไห้แล้วเนี่ย” พยายามสร้างบรรยากาศไม่ให้เศร้าไปกว่านี้ ผมแกล้งบีบน้ำตาตัวเอง ที่จริงไม่ต้องบีบมันก็ไหล แต่เพื่อให้มันตลกดู เลยทำหน้าบูดเบี้ยว

   “พี่เป็นคนเดียวที่ปกป้องผม” นี่มันพูดให้ซึ้งใช่ไหม

   “กูคนดีสองพันสิบเจ็ดไง ต่อไปน้องเม่นไม่ต้องกลัว พี่ม่านจะปกป้องเอง” ตบหลังไอ้เม่นหลังป๊าบๆ จนมันขำทั้งน้ำตา

   “เลือกคนไม่ผิดจริงๆ” ไอ้เด็กขี้แยเช็ดน้ำตาจนเหลือแต่คราบติดแก้ม

   “กูว่า ตากับยายมึงก็รักมึงเหมือนกัน แค่ไม่แสดงออก หรือไม่ก็ เป็นคนแสดงออกไม่เก่ง” ผมเริ่มออกความคิดเห็น “เขาไม่ได้เลี้ยงมึงมาตั้งแต่แรก ไม่ได้ผูกพันเหมือนหลานตัวอิจฉานั่นที่เกิดปุ๊บก็ได้อุ้มเลย อีกอย่าง มึงก็เห็นว่าพวกนั้นตอแหล เอ๊ย ฉอเลาะเก่งแค่ไหน คนแก่น่ะ ชอบลูกหลานที่เข้าหามากกว่าเสมอ แต่มึงติสไง ไม่ยอมไปหา”

   “โห พี่คิดดีมากอะ คิดบวกสุดๆ” ไอ้เม่นขำออกมา

   “ต้องดีสิ ก็กูเอาประโยคจากแม่มาทั้งดุ้นเลย” ว่าแล้วก็หัวเราะ

   “นั่นไง ว่าแล้วเชียว พี่ม่านไม่น่าจะพูดมีเหตุ มีผลขนาดนี้”

   “ดูถูกกูนี่หว่า”

   “ก็ไม่เคยดูผิดสักครั้ง ไม่ใช่เหรอ”

   “เออ ถูก”

   ผมอมยิ้มเมื่อเห็นไอ้เม่นมีสีหน้าดีขึ้น ชีวิตคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมากหรอกครับ เงินทองมีร้อยล้านพันล้าน ตายไปก็พกติดตัวไปด้วยไม่ได้ ความรักและความดีต่างหากที่จะติดตัวเราไป...คำคมของไอ้ม่านคนจริงสองพันสิบเจ็ด (ที่จริงเอามาจากคำพูดของแม่ครับ จุ๊ๆ)


...TBC


โอย แต่งดราม่ายากเหลือเกินค่า กินพลังชีวิตพอสมควร  :sad4:

หากผิดพลาดก็ขอประทานอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่า จะพยายามพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ

ขอบพระคุณมากๆ ค่า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 15 << [P.3] Up!! // [12/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 13-05-2017 00:06:08
สงสารเม่นจัง แต่แต่งดราม่าเบาๆได้แบบนี้ก็ถือว่าสุดยอดเเล้วค่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 15 << [P.3] Up!! // [12/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 13-05-2017 07:39:04
เม่นน่าสงสารรรรรอ่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 16 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 23-05-2017 16:11:42

16




        “โคตรน้ำเน่าว่ะ” ไอ้เจออกความคิดเห็นหลังจากผมปรึกษามันเรื่องไอ้เม่น เรียนเช้าเสร็จผมก็ติดรถมันมาที่คอนโดมัน ก่อนมาโทรบอกสารถีเรียบร้อยว่าให้มารับที่ไหน “ชีวิตแม่งโคตรละครสัดๆ”

   “กูก็คิดแบบนั้น แต่พอดีกูเห็นเองกับตาไง ถ้าไม่เห็นก็คิดว่าแม่งโม้แน่นอน” ผมย่นคิ้วบอก ภาพยังติดตาอยู่เลยนะ

   “มึงนี่ก็กล้าเกินกว่าที่กูคิดอีก ตอนนั้นไม่กลัวเหรอวะ ถ้าเกิดลุงมันส่งตีนมากระทบหน้าเหี้ยๆ ของมึงน่ะ”

   “ตอนนั้นกูลืมคิดไง มาคิดได้ทีหลัง ดีที่ลุงมันตกใจที่กูเถียง”

   “บ้าบิ่นจริง ไอ้มู่เพื่อนกู”

   “เขาเรียกคนจริงเว้ย”

   “คนบ้าต่างหาก”

   ผมเลือกที่จะคุยกับไอ้เจเพียงคนเดียว ไม่ใช่เพื่อนคนอื่นไม่ดี แต่เพราะเรื่องบางเรื่อง รู้น้อยมันจะดีมากกว่า อย่างที่เขาว่า คนมากก็จะมากเรื่อง

   “แล้วมันจะเอาไง จะตัดขาดตายายได้เหรอวะ” คำถามนี้โคตรยาก ไม่ใช่เพราะคิดยากนะ แต่เพราะผมไม่ใช่ไอ้เม่น จะไปรู้ความคิดมันได้ไงเล่า “ที่แน่ๆ มึงนั่นแหละ ตัวปัญหา”

   “ทำไมวะ”

   “ก็มันเอามึงเข้าบ้านแล้ว หลานชอบเพศเดียวกันนะเว้ย สังคมบางที่ มันไม่ได้เปิดกว้างขนาดนั้น”

   ผมคิดตามคำพูดของเพื่อน สังคมของมันกับผมก็ต่างกันจริงๆ คิดแบบนั้นแล้ว นึกถึงไอ้กลอยเลยครับ สังคมของมันกับพี่โชก็โคตรต่างกัน แต่ทำไมมันบรรจบกันได้วะ

   “คิดมากปวดหัวว่ะ เลิกคิดๆ” ยีหัวตัวเองจนผมยุ่ง ขนาดเรื่องเรียนเรื่องสอบยังไม่ปวดหัวเท่านี้ “ว่าแต่ มึงจะไปแดกเหล้าป่ะ ที่ไอ้เกมส์นัดคืนนี้”

   “ไม่ว่ะ ขี้เกียจ” ไอ้เจนอนเหยียดยาวบนเตียงสีขาวของมัน สภาพเฮดว๊ากที่แต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าหายไปแล้ว เหลือแค่ไอ้คนกาก แต่งตัวโคตรโทรม ไม่รู้กางเกงมันซักบ้างหรือเปล่า

   ระหว่างที่ผมกำลังเปิดหน้าหนังสือการ์ตูน เสียงข้อความก็ดังขึ้น คนส่งคือสารถีที่บอกรออยู่ด้านล่างตึกแล้ว ช่วงนี้ต้องทำตัวดีกับมันหน่อย ชีวิตมันดราม่ามากเกินไป ให้พบกับสิ่งดีๆ อย่างเช่น คนดีแบบผมบ้าง

   “เชี่ยเจ กูกลับนะ” สะกิดขายาวๆ ของมัน ไอ้เจเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะลุกขึ้น “จะไปส่งกูเหรอ”
 
   “กูจะไปล็อกห้องตอนมึงออก”

   “ไอ้เหี้ย” เอาจริงๆ มันก็มาส่งหน้าห้องนั่นแหละครับ เพื่อนผมนิสัยดีนะ แม้ปากมันจะวอนโดนกระทืบมากไปหน่อย ไอ้เจยืนพิงกรอบประตูหลังจากผมออกมาจากห้อง กำลังจะอ้าปากบอกลา แต่คนที่เดินตรงมาหากลับทำให้ผมต้องขมวดคิ้วและส่งเสียงทักแบบเบาๆ ไป “ไอ้อัธ”

   “อ่าว มึงมาทำไมไอ้ม่าน” เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมเอ่ยทัก หน้าตามันดูเบลอๆ สงสัยจะเพิ่งสอบมา มือมันถือถุงกระป๋องน้ำมึนเมามีฟอง ร้ายนะเนี่ย แอบกินคนเดียวไม่แบ่งเพื่อน

   “กูมาห้องไอ้เจ แล้วมึงล่ะ” ผมชี้ไอ้เจที่ยังยืนพิงประตู

   “นี่ห้องกู” คำตอบกับนิ้วที่ชี้ไปด้านข้างยิ่งทำให้ต้องขมวดคิ้วหนัก

   “ห้องมึง? ตรงข้ามห้องไอ้เจเนี่ยนะ? มึงย้ายคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่อง”

   “เป็นเมียกูหรือไงถึงต้องบอก” ปากคอเราะร้ายจริงๆ “กูเห็นเด็กมึงรออยู่ข้างล่าง”

   “เออ กูก็กำลังจะลงไป แต่มึงย้ายคอนโดไม่บอกเพื่อนเลยนะ กูแม่งน้อยใจ เชี่ย” ถูกไอ้เจตบหัวซะหน้าคว่ำ

   “รีบๆ ลงไป เดี๋ยวเด็กมึงงอแงหรอกไอ้ห่ามู่” ตวัดมองไอ้เจอย่างขุ่นเคือง ทำไมผมมีแต่เพื่อนปากร้ายวะ

   “ไล่กูจัง หรือพวกมึงมีซัมติงกันไม่บอกกู อย่าให้กูรู้นะมึง” ผมหรี่ตามองเพื่อนสองคนสลับกันไปมา เลยถูกฝ่ามือสองขนาดตบหน้าคว่ำ แม่งเอ้ย สมองไหลหมด “ตีนหนักโคตร” ว่าแล้วก็วิ่งครับ ไม่วิ่งก็ถูกกระทืบน่ะสิ เห็นขาไอ้อัธยกแล้วด้วย

   เรด้าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นี้ผมไม่มีอย่างไอ้กลอยหรอก ขนาดเรื่องไอ้เม่นผมยังเอ๋อๆ เด๋อๆ อยู่เลย





   ผมลงลิฟต์มาก็เจอไอ้เม่นยืนพิงกำแพงรออยู่ พอเห็นผมมันก็ยิ้มโบกมือทักทาย มันคงไม่คิดว่าผมจะเห็นหน้าตาบึ้งตึงของมันเมื่อกี้ ไม่รู้มีอะไรในใจหรือเปล่า ดูเครียดพิกล

   “เป็นไร ทำควิซไม่ได้เหรอ” ถามขณะเดินตามหลังมันไปที่รถ ไอ้เม่นส่ายหัวเบาๆ “แล้วเป็นไร”

   “พี่เป็นห่วงเม่นเหรอ” ยังมีหน้ามาย้อนถาม

   “เออ” กระแทกเสียงใส่ ไอ้เม่นเลยขำออกมา มันยื่นมือมาขยี้หัวซะผมของผมฟู “กูรุ่นพี่มึงนะ” ด่ามัน หลังปัดมือมันออก

   “จะรุ่นพี่หรือแฟนก็คนๆ เดียวกันนั่นแหละ เม่นไม่ถือ” เออ เอากับมันสิ “เม่นนอนคิดมาทั้งคืน เรียนก็คิด ยืนรอเมื่อกี้ก็คิด” อยู่ๆ มันก็พูดออกมา ผมก็ทำหน้ามึนงง ไม่รู้มันจะสื่ออะไร “เม่นตัดสินใจแล้ว ว่าจะไปคุยกับยายตรงๆ”

   “ก็ดีนะ จะได้เคลียร์”

   “เคลียร์ที่เป็นวงดนตรีเหรอ”

   “ไม่ใช่เว้ย ยี่ห้อแชมพูต่างหาก ถุย ไอ้ห่า กูอุตส่าห์จริงจัง”

   “เม่นไม่อยากให้พี่ม่านเครียดไง”

   เลิกเถียงเพื่อสนใจเส้นทางถนน ถนนรถที่วิ่งนี่เหมือนไม่ใช่ทางกลับหอผมนะ “จะไปไหน...อย่าบอกว่าจะพากูไปหายายมึง”

   “ครับ”

   “อ่อ เชี่ย ไม่ไปแล้วโว้ย ไปส่งกูก่อน ไม่ก็จอด กูจะขึ้นรถกลับเอง” โวยวายสิครับ ใครจะอยากไปเจอแบบนั้นอีก แค่ครั้งเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ไม่รู้พวกนั้นอยู่ไปได้ยังไง บ้านหลังใหญ่แต่มีตัวอิจฉายั้วเยี้ยเต็มไปหมด

   “ครับ” ว่าง่ายเฉย ไอ้เม่นตบไฟเลี้ยวแล้วเข้าจอดเทียบฟุตบาท ผมกำลังจะเปิดประตูลงไป แต่ภาพตอนมันถูกต่อยแวบเข้ามาทำให้ชักประตูกลับ “พี่ไม่ลงล่ะ” มันคงเห็นผมนั่งเฉย

   “เปลี่ยนใจละ จะไปด้วย” บอกหน้าตาย

   “อ่าว”

   “เออน่า รีบๆ ไป”

   แม้ไอ้เม่นจะดูงงๆ แต่ก็ขับรถต่อ ผมชวนคนขับรถคุยเรื่องไร้สาระ ไม่อยากให้มันคิดมาก กลัวหน้าแก่ก่อนวัยอันควร แต่พอถึงหน้าประตูรั้วกลับกลายเป็นผมที่ต้องย่นหน้าเครียดแทน ไม่รู้เข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

   “ไม่ต้องกลัว ผมไม่ให้ใครทำอะไรพี่หรอก” ผมมองมือที่บีบมือผมอยู่

   “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” เหล่ตามองคนที่ขำ “กูรออยู่ในรถได้หรือเปล่าวะ” พอเปิดประตูแล้วใจสั่นอะ

   “ก็ได้นะ” แม้จะพูดแบบนั้น แต่ผมก็อดที่จะเดินตามมันไม่ได้ กลัวยายมันก็ใช่ แต่กลัวถูกหาว่าป๊อดมากกว่า ไอ้ม่านคนจริงสองพันสิบเจ็ดต้องไม่กลัว ไม่หวั่นแม้วันมามาก ติดปีกบินเลยทีเดียว





   ประตูเข้าหน้าบ้านที่เคยมีอดีตวันนั้น ตอนนี้ผมได้ก้าวผ่านมาแล้วครับ ขาสองข้างเหยียบพื้นหินแกรนิตอ่อนที่ใช้ปูพื้น ห้องโถงใหญ่มีระย้าห้อยจากเพดานสูง แอบหวั่นใจถ้าตกลงมาโดนหัวคงตายแน่นอน ผมละสายตาจากเพดานมามองรอบๆ ตัว มีประตูที่ถูกแบ่งเป็นห้องๆ ซึ่งไม่รู้ว่ามีห้องอะไรบ้าง แต่ก่อนจะอ้าปากถาม เจ้าที่ เอ๊ย ป้าของไอ้เม่นก็เดินตีหน้ายักษ์ออกมา

   “มาทำไมอีกยะ” ดูคำทักทายก็รู้ว่านางร้ายชัดๆ

   “มาหายาย” ไอ้เม่นว่า “นัดยายไว้แล้ว” ป้าแกคงจะอยากกันท่า แต่โดนไอ้เม่นขัดไว้เลยส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแทน

   “แล้วทำไมไม่มาคนเดียว พาคู่ขามาด้วยทำไม เหม็นขี้หน้า” คุณป้าเบ้ปากใส่ผมพร้อมสายตาที่เหยียดมองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออก “ขำอะไรยะ”

   “ขำคุณป้านั่นแหละครับ” พยายามกลั้นขำแล้วแต่ไม่สำเร็จ

   “ทำไม ฉันมันทำไม” ดูเหมือนจะเริ่มโมโห ป้าแกยกแขนขึ้นกอดอก แถมมองหน้าผมแบบหาเรื่องสุดๆ

   “คุณป้าชอบดูละครหลังข่าวใช่ไหมครับ ท่าทาง คำพูด หน้าตา มันใช่เลยอะ หลุดมาจากตัวร้ายในละครเปี๊ยบเลย” พูดจบ ไอ้เม่นยังหลุดขำออกมา ส่วนป้าแกก็ทำตาโต ยืนสั่นชี้หน้าผม “ต้องกราบขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ” ยกมือไหว้ขอโทษ “อ่อ ผมลืมสวัสดี...สวัสดีครับคุณป้า”

   “แกๆ”

   ยอมเป็นคนนิสัยไม่ดี แต่ทนเฉยไม่ได้จริงๆ แบบนี้

   “เอะอะอะไรกัน เสียงดังเข้าไปถึงในห้องทำงานฉันเลย” เสียงทรงอำนาจดังขึ้น ผมกับป้าไอ้เม่นเลยพากันเงียบ ยายที่ยังสาวเดินออกมาจากประตูด้านในสุด ซึ่งคงจะเป็นห้องทำงานอย่างที่ว่าเมื่อกี้ ใบหน้านิ่ง ปรายตาดุมองมาที่ทุกคน และหยุดอยู่ที่ไอ้เม่น “มาช้านะ”

   “ขอโทษครับ” ไอ้เม่นพูดเสียงเรียบๆ แต่ถ้าเป็นผม คงจะบอกว่ามานานแล้วแต่ป้าตัวร้ายขวางไว้

   “ตามเข้ามา” ยายไอ้เม่นกลับเข้าไปในห้องที่เพิ่งเดินออกมา ผมกะจะหันหลังกลับไปรอที่รถก็ถูกเรียกไว้ “ตามมาด้วย”

   “ยายมึงเรียกกูด้วยเหรอ” ผมถามหลานชายของบ้าน ซึ่งมันก็พยักหน้า ยายมันเรียกผมทำไมวะ หรือจะด่าย้อนหลัง

   “อย่าทำหน้ายุ่งสิ ไม่มีอะไรหรอก เม่นบอกแล้วไง ไม่ให้ใครทำอะไรพี่ม่านหรอก” รอยยิ้มของไอ้เม่นทำให้รู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง แค่นิดๆ เท่านั้นแหละครับ

   ผมเดินตามไอ้เม่นเข้ามาในห้องทำงานที่โอ่อ่ากว้างขวางมาก ทั้งห้องมีชั้นหนังสือสูงถึงฝ้าเพดานเรียงยาวทั้งสองด้าน ในชั้นมีหนังสือหลากหลายประเภทอย่างกับห้องสมุดในหนัง เหมือนหลุดเข้ามายังโลกที่มีแต่ตัวหนังสือ โลกที่ไอ้ม่านไม่อยากเข้ามา แค่ได้กลิ่นหนังสือ หนังตาก็จะปิด

   “นั่งสิ” เสียงแข็งๆ ดังฉุดสติผมให้หันกลับไปมอง เห็นไอ้เม่นนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานไปแล้ว ผมรีบเดินไปนั่งข้างๆ พยายามไม่สนสายตาที่จับจ้องตลอดเวลา “เรียนที่เดียวกับเม่นหรือ” อยู่ๆ ก็โดนถาม ผมรีบหันรีหันขวาง ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย

   “ครับ? ถามผมเหรอ” หน้าผมคงจะเหมือนเด็กเอ๋อไร้สติยายไอ้เม่นถึงขมวดคิ้วนิดๆ “อ๋อ ถามผมเอง ผมเรียนเกษตรครับ”

   “ฉันถามว่าเรียนที่เดียวกันหรือเปล่า ไม่ใช่ถามว่าเรียนอะไร” โดนดุด้วยสายตาจนต้องก้มหน้าลง

   กดดันยิ่งกว่าตอนสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนอีก

   “เปล่าครับ คนละที่” ผมตอบออกไปพร้อมรอยยิ้มแหยๆ ใต้โต๊ะมีมืออุ่นยื่นมาบีบให้กำลังใจเบาๆ

   “แล้วมาล่อลวงหลานฉันได้ยังไง” โห คำถามนี้อยากจะบอกเหลือเกินว่าต้องถามหลานคุณยายเอง

   “รุ่นน้องของเพื่อนครับ เลยรู้จักกัน” เลือกจะบอกอ้อมๆ ขืนบอกตามตรงว่าไอ้เม่นจู่โจมจีบผมอย่างหนักหลังจากแห้วจากไอ้กลอย ยายอาจหัวใจวายได้

   “อืม” ดูเหมือนจะหมดคำถามสำหรับผม เพราะตอนนี้ยายมันหันไปจ้องไอ้เม่นแทน “มีเรื่องอะไรจะคุย”

   “ที่ผมอยากคุยก็เรื่องของผมกับพี่ม่าน” รีบหันไปเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง “ผมจะบอกยายว่า ผมจะคบพี่เขา ไม่มีวันเลิก จะอยู่ด้วยกัน จะรับส่งพี่เขาทุกวัน” เดี๋ยวๆ ประโยครัวๆ ของไอ้เม่นชักแปลกๆ “ผมแค่อยากบอกยายไว้”

   “แกเบี่ยงเบนทางเพศหรือไง นี่ผู้ชายนะ” แม้น้ำเสียงจะนิ่ง แต่ตาโคตรดุ

   “ครับ” นี่ก็นิ่งพอๆ กัน มีแต่ผมนี่แหละ ที่ลุกลี้ลุกลน

   “ถ้าฉันขัดขวางล่ะ ถ้าฉันสั่งให้เลิกคบ...”

   “ยายก็รู้ ว่ายายหรือใครก็สั่งผมไม่ได้” เถียงแทบจะทันทีจนยายมันนิ่งไป “ตั้งแต่เกิดเรื่องกับพ่อและแม่ ผมไม่เคยได้รับความรักจากใคร กับยายหรือตาผมก็ไม่เคยได้”

   “แกจะบอกว่า แกได้จากไอ้เด็กนี่หรือ”

   “ครับ”

   น้ำเสียงหนักแน่นกับดวงตามั่นคงยามหันมามองผม คุณเคยรู้สึกใจเต้นแรงเหมือนวิ่งมาสักสิบกิโลเมตรไหมครับ ตอนนี้ผมรู้สึกแบบนั้นเลย ทั้งที่นั่งอยู่กับที่ แต่รู้สึกหัวใจสูบฉีดอย่างหนัก แค่ถูกมืออุ่นกุมไว้กับสายตาที่นัยน์ตามีผมอยู่ในนั้น และรอยยิ้มสวยที่ฉายบนหน้าหล่อ

   ใจเต้นสุดๆ

   “มึง...” พูดไม่ออก เหมือนเสียงถูกดูดวิญญาณจนเหือดแห้ง

   “พี่เม่นไม่ใช่คนเพอร์เฟค แต่ทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้ง อกพี่เขาไม่นุ่ม แต่ก็อุ่นจนไม่อยากห่างไปไหน มือที่กร้านจากการจับจอบเสียม แต่มันกลับน่ากุมมากกว่ามือนุ่มๆซะอีก”

   ผมควรจะพูด หรือด่า หรือทำยังไงกับตอนนี้ดี มันเหมือนจะถูกชมนิดๆ ด่าหน่อยๆ ใช่ไหม

   “แล้ว?”

   “ผมจะคบพี่ม่าน ขอแค่ยายไม่เข้ามายุ่งก็พอ”

   “แล้วฉันจะได้อะไร จากการไม่ต้องยุ่ง ในเมื่อแกเป็นหลานของฉัน ใช้เงินของฉัน”

   “ผมจะย้ายไปเรียนบริหารตามที่ยายต้องการ”

   “หืม..คิดว่าเอาเรื่องเรียนมาอ้าง แล้วฉันจะยอมหรือ”

   “ถ้าให้ผมเรียน คงดีกว่าสองคนนั้นเรียนมั้งครับ”

   “หึ แกมันนิสัยเหมือนแม่ ชอบต่อล้อต่อเถียงฉัน” ยายไอ้เม่นนิ่งเงียบไปหลังจากจบประโยค แม้จะไม่พูด แต่สายตายังคงทำงานได้ดี แถมกดดันผมซะเหงื่อแทบไหล บ้านนี้เขาไม่เปิดแอร์หรือไงเนี่ย “ก็ได้ แต่...ถึงแม้ฉันจะตกลง ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันยอมรับหรอกนะ”

   “ผมไม่ได้หวังอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว แค่พาพี่เขามาให้รู้จัก ก็แค่นั้น” พูดจบ ไอ้เม่นก็ลุกขึ้น มือที่กุมมือผมฉุดดึงให้ผมลุกตาม “ไปนะครับ”

   “ลาครับ” ยกมือไหว้ลาแทบไม่ทัน ไอ้เม่นไม่สนใจเหลียวมองยายมันอีก เดินได้ก็จ้ำอ้าวเหมือนควายที่บ้านจะหาย ผมรู้ว่าขามันยาว แต่มันควรสงสารคนขาสั้นแบบผมที่ซอยขายิกๆ เพื่อให้ทันการลาก

   ออกมาจากห้องก็เจอป้อมตัวร้ายที่ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นซะจนน่าขำ ไอ้เม่นไม่อยู่รอให้ถูกถาม เพราะมันเล่นเดินผ่านหน้าไปแบบไม่สนใจ ไม่สนเสียงเรียกใดๆ ทั้งสิ้น คำพูดที่ผมเตรียมมาเลยไม่ได้ใช้ โคตรเสียดายจริงๆ 



   ตลอดทางกลับหอ ผมไม่พูดอะไร ไอ้เม่นก็เงียบ เหมือนเรากำลังอยู่ในหม้อคนละใบ หม้อไอ้เม่นต้มอะไรไม่รู้ แต่ของผมคงเป็นหม้อต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เส้นเริ่มสุก ก็ใส่หมู ใส่ไข่ ใส่เครื่องปรุง คิดแล้วก็หิว บ้าเหรอ.. ผมหมายถึง ผมกำลังคิดหลายๆ อย่างปนกันอยู่ในหัว

   “อยากกินอะไรไหม” ไอ้เม่นถามแหวกอากาศมา

   “บะหมี่ เอ๊ย ไม่ใช่” มัวแต่นึกภาพหม้อต้มบะหมี่ ปากเลยพูดออกมาทั้งอย่างนั้น “กินอะไรก็ได้ ง่ายๆ”

   “ง่ายๆ นี่อย่างเช่นอะไรบ้าง”

   “ก๋วยเตี๋ยวอะไรแบบนี้ เอาร้านที่อร่อยๆ นะ ขำอะไรวะ” ไอ้เม่นมันหัวเราะเยาะผมอะ ไม่รู้เรื่องอะไร

   “พี่แปลกดี”

   “แปลกดีนี่คือชมหรือจะด่าวะ” โคตรกำกวม เมื่อกี้ก็ถูกมันแขวะทั้งมือกร้าน ทั้งอกแข็ง
 
   “ชมสิ คือผมหมายถึง ถ้าถามคนอื่น คำว่าอะไรก็ได้ มันไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ”

   “ก็กูไม่ใช่คนอื่นของมึง” ว่าปุ๊บ ไอ้เม่นค่อยๆ หันมามองหน้าผมแบบอึ้งๆ “ไม่มองถนนละวะ” 

   “อ๋อ ครับ” ถึงแม้มันจะหันไปดูถนน แต่สักพักก็หันมามองผมใหม่พร้อมรอยยิ้ม “นั่นสินะ พี่ก็พูดถูก เพราะพี่ไม่ใช่คนอื่น...พี่น่ะ เป็นหัวใจของผม”

   “ชะ เชี่ย ไอ้เม่น ไอ้เสี่ยว กูจะอ้วก” จากที่เครียดๆ เบลอๆ เจอมุกเสี่ยวเข้าไป ถึงกับสมองโล่งเลยทีเดียว ไอ้เม่นหัวเราะจนตาหยี คงภูมิใจกับมุกเสี่ยวๆ มันนั่นแหละ “เอ่อ มึงแน่ใจเหรอที่จะไปเรียนบริหาร ถ้าไม่ชอบ ก็ไม่ควรฝืนใจตัวเองนะเว้ย”
 
   “ผมเรียนอะไรก็ได้”

   “แต่มึงไม่ได้ชอบไง ถ้ามึงจะใช้เรื่องเรียนขู่ยายเพื่อให้เราได้คบกัน กูไม่เห็นด้วยว่ะ” ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำให้มันต้องฝืนใจทำอะไรในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง

   “พี่คิดมากอีกแล้ว คิดมากเดี๋ยวแก่นะ แล้วก็ ผมน่ะ เรียนได้ทุกอย่างจริงๆ แบบว่า สมองดีอะไรแบบนั้น”

   “โห มั่นหน้ามากนะมึง”

   “แน่นอน” ผมเบ้ปากให้คนมั่นใจในมันสมองตัวเอง “แล้วผมก็คิดแล้ว ว่าจะย้ายไปเรียนที่เดียวกับพี่ม่าน” 

   “อ่าว ทำไมไม่เรียนที่เดิมวะ จะย้ายให้ยุ่งยากทำไม” แค่ต้องสอบใหม่ก็ยุ่งแล้ว นี่ยังจะมาย้ายมหาลัยอีก วุ่นวายแน่นอน
 
   “ทุกวันนี้ผมอยู่มหาลัยพี่มากกว่ามหาลัยตัวเองอีก”

   “มึงว่ากูเป็นตัวทำให้ยุ่งยากเหรอวะ”

   “คิดมากอีกละ ผมแค่คิดว่า ถ้าย้ายที่เรียนจะได้สะดวก...”

   “สะดวกอะไร”

   “สะดวกรอพี่ไง ไปหาก็ง่ายด้วย กลับบ้านก็ไวไม่ต้องรอนาน” ดูความคิดของไอ้เม่นสิ 

   “แล้วคิดว่าจะสอบเข้าได้เหรอวะ มหาลัยกูไม่ใช่ง่ายๆ นะเว้ย” ข้อสอบแม่งโคตรยาก แต่ที่ผมทำได้ก็เพราะผมเก่งไง ไม่อยากจะคุย เดี๋ยวหาว่าโม้

   “จีบพี่ยากกว่าสอบอีกนะ ผมว่า” แล้วทำไมมันต้องวกกลับมาเรื่องนี้เนี่ย

   “เหรอ” ลากเสียงยาวด้วยความหมั่นไส้ “แล้วนี่กูจะได้กินไหม ก๋วยเตี๋ยว” เปลี่ยนเรื่องเมื่อเจอรอยยิ้มพิฆาตของไอ้เม่น 

   “ครับๆ” ผมรีบเสหน้ามองออกนอกหน้าต่าง ทำเป็นสนใจสภาพรถติด ที่จริงอยากยิ้มครับ แต่ไม่อยากให้ไอ้เม่นเห็น มันเขินอยู่หน่อยๆ ในช่วงที่ผมแอบยิ้ม เสียงโทรศัพท์ที่วางข้างๆ ก็ดังขึ้น ของไอ้เม่นครับ “เออ” ไม่ได้ยินเสียงปลายสายหรอกว่าคุยอะไรกัน แต่ไอ้เม่นมักจะหันมามองผมบ่อยๆ จนเริ่มระแวงและสงสัย “เออๆ”

   “ใครวะ” พอมันวางปุ๊บ ผมก็รีบถาม เจอสายตาล้อเลียนนิดๆ ให้ต้องถลึงตาใส่ “มองเชี่ยไร”

   “หึงผมเหรอ” น้ำเสียงมันโคตรกวนโมโห

   “ใครหึงมึ๊ง กูแค่อยากรู้” อยากตบปากตัวเองที่ขึ้นเสียงสูงเฉย มันดูมีพิรุธก็ตรงนี้แหละ

   “ไม่หึงก็ไม่หึง พอดีเพื่อนผมโทรมาชวนไปกินเหล้าคืนนี้อะ” ผมพยักหน้าให้กับคำอธิบายของมัน “พี่ไปด้วยกันป่ะ”

   “ไปเถอะ เพื่อนมึงกูไม่รู้จักสักคน ถ้าไปด้วย เดี๋ยวมึงจะหมดสนุก” ที่จริงกลัวมันไปสนุกกับเพื่อนแล้วปล่อยให้ผมอยู่เวิ้งว้างท่ามกลางคนไม่รู้จัก

   “พาไปจะได้รู้จักไง พวกมันเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผม ที่สำคัญ ของฟรีนะครับ” เหล่ตามองคนชวน ไอ้เม่นมันเหมือนจะรู้จุดอ่อนของผมแฮะ ก็ไอ้ประโยคห้อยท้ายนั่นแหละ ทำเอาจมูกบานเลยผม

   “เออๆ ไปก็ได้ ไม่ได้เห็นแก่ของฟงของฟรีอะไรนะ...แต่ตอนนี้กูหิวแล้ว เร็วๆ รีบขับรถ”

   “หึ คนเรานี่นะ” เบื่อมากคนรู้ทัน “แล้วรถติดไม่ขยับแบบนี้ คงรีบตามที่พี่บอกไม่ได้ แต่อีกไม่นานได้กินแน่นอน ร้านนี้อร่อยมาก ไอ้เม่นคนนี้คอนเฟิร์ม”

   “เออดี เลี้ยงด้วยนะ”

   “ครับๆ เลี้ยงตลอดไปยังได้”

   “กูจะกินให้มึงหมดตัวเลยไอ้เสี่ยว”

   “พี่กินผมหมดตัว งั้นผมก็กินพี่ทั้งตัว แฟร์ดี”

   “แฟร์บ้านมึงสิ เร็วๆ หิว”

   “รถมันติดครับพี่ครับ”

   “งั้นอย่าชวนกูพูด กูหิว”

   “ครับพี่ครับ...แม่ง เอาแต่ใจตัวเองมากแฟนของกู”

   “อย่าบ่นๆ”

   หวังว่าค่ำคืนนี้เพื่อนมันคงจะไม่สร้างปัญหาหรือก่อความวุ่นวายให้ผมหรอกนะครับ ไม่อย่างนั้น จะเจอไอ้ฤทธิ์ไอ้ม่านคนนี้ อ้อ ไม่ได้จะฆ่าจะแกงอะไรหรอกนะครับ แค่จะร้องเพลงทำลายรูโสตประสาทของพวกมันให้เซลล์มันตายห่าไปเลย



...TBC


เว้นช่วงไปอีกแล้ว ขอประทานอภัยจริงๆ ค่า เม่นม่านจากที่วางคร่าวๆ แล้ว ตอนจบน่าจะอยู่ในราวๆ ยี่สิบกว่าๆ ยังไงแล้ว ขอฝากด้วยนะคะ จะพยายามไม่หายไปนานๆ อีก ขอบคุณมากๆ ค่า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 17 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 23-05-2017 16:32:40

17




         สาบานได้ว่านี่คืองานเลี้ยงไม่ใช่สมรภูมิรบ บ้านจัดสรรถูกแปลเปลี่ยนให้เป็นผับ มีทั้งดนตรี คาราโอเกะ ดิสโก้หลายสีหมุนควงไปมาสร้างความคึกคัก ยิ่งไปกว่านั้น สาวๆ ที่เดินแทบเหยียบหัวผม ด้านบนของพวกเธอใส่บิกินนี่โชว์ร่องหน้าอกดูมๆ ด้านล่างแม้จะใส่กางเกงแต่ก็โชว์แก้มก้นเหมือนไม่ได้ใส่ แฟชั่นที่โคตรน่ามอง เอ๊ย น่ากลัว

         “นี่งานอะไรวะ” อดไม่ได้ที่จะสะกิดถามคนที่พามา ไอ้เม่นยกมือทักทายแทบทุกคนที่เดินผ่าน สาวๆ มันก็ทักครับ มีหอมแก้มบ้าง จูบบ้าง ถามว่าหึงไหม ทำไมต้องหึง บอกว่าอิจฉาซะมากกว่า

   “วันเกิด” ไอ้เม่นว่าสั้นๆ เพราะมันกำลังถูกสาวคลุกวงใน อือฮื่อ ถ้าจะโชว์จูบต่อหน้าผมขนาดนี้ ไม่ลากเข้าห้องเลยละวะ...แต่ก็เอาตามที่มันสบายใจ คิดซะว่าผมไม่ได้มาด้วย เอาเลย เชิญเลย (ไม่ได้พูดกัดฟันนะครับ)

   ผมเดินเลี่ยงๆ มาที่โต๊ะเครื่องดื่ม สั่งแบบเบาๆ มาจิบ นี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่มางานนี้ คิดว่าจะมีข้าวฟรีให้กิน แต่ที่เห็นมีแค่กับแกล้ม ข้าวไม่มีปรากฏให้เห็น พอพูดถึงข้าวแล้วก็เริ่มหิว ถ้ารู้ว่าเป็นงานแบบนี้ ตอนเที่ยงจะยัดมาให้แน่นๆ ท้องจะได้ไม่ว่าง

   นั่งมองทุกคนสนุกสนานอย่างเซ็งๆ สาวไซส์โตไม่ได้ทำให้อารมณ์ผมดีสักเท่าไหร่ หรือเพราะโมโหหิวก็ไม่รู้

   “สวัสดีค่ะ” เสียงทักชิดใบหูทำให้หันไปมอง สาวหน้าตาจิ้มลิ้มยิ้มหวานอยู่ข้างๆ หน้าของเธอแทบจะชนกับหน้าของผมด้วยซ้ำ “ทำไมดูไม่สนุกเลยล่ะคะ”

   “พอดีหิวน่ะครับ” บอกตามตรง แม่คนจิ้มลิ้มทำตาโตก่อนหัวเราะร่วน น่ารักดีนะครับ สเปคไอ้กลอยเลย ตัวเล็กหน้าอกตูม ส่วนสเปคของผมเหรอ...ไม่มีหรอก

   “แย่จัง อ้นไม่ได้สั่งข้าวมาด้วย อ้นเจ้าของวันเกิดน่ะค่ะ แต่ถ้าหิว เรามีวิธีนะ” รู้สึกคันหูเลยตอนเสียงนั่นกระซิบข้างหู

   “วิธีไหนเหรอ” อยากบอกปัดเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็มีคนคุย ในเมื่อคนพามามันเอาแต่สนุกกับเพื่อนแล้วก็สาวๆ ไงล่ะ เป็นแบบที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด สุดท้ายมันก็ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว

   “ตามมาสิ” สาวจิ้มลิ้มขยิบตาก่อนจูงมือผมเดินผ่านกลุ่มเต้นกลางบ้าน ผมถูกพามาหลังบ้าน ที่นี่มีเครื่องครัว สงสัยจะเป็นห้องครัวละมั้ง “เราต้มบะหมี่ให้ รองท้อง”

   “โห ใจดีอะ” ตาเป็นประกายเลยไอ้ม่าน เจอนางฟ้าเข้าให้แล้ว

   สาวจิ้มลิ้มพอมาอยู่ในแสงไฟปกติดูสวยน่ารักดีครับ ติดตรงที่เธอใส่สั้นไปหน่อย เห็นละหนาวแทน  ผมยืนมองคนน่ารักต้มบะหมี่ด้วยท่าทางจริงจัง ไม่นานชามบะหมี่ก็วางอยู่ตรงหน้า แม้ไม่มีหมู ไม่มีไข่หรือผัก แต่แค่นี้ก็เป็นบุญของท้องแล้ว

   “รองท้อง เวลาดื่มจะได้ไม่เมามาก” ผมยิ้มขอบคุณและพยายามไม่เงยหน้ามองคนที่ใช้แขนค้ำกับโต๊ะแล้วยื่นหน้ามายิ้มหวานให้ กลัวจะโฟกัสผิดจุด มันจะเปลี่ยนไปจากหน้าไปที่หน้าอกแทน

   “ขอบคุณครับ” เอ่ยแล้วค่อยกิน ผมนั่งกินบะหมี่ มีสาวนั่งมอง ความรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน ปกติไม่เคยมีสาวเข้าหา
 
   “ชื่ออะไรเหรอ แล้วเป็นเพื่อนอ้นที่โรงเรียนหรือมหาลัย”

   “ชื่อม่าน ไม่ได้รู้จักเจ้าของวันเกิดหรอก มากับเพื่อนน่ะ แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ” ผูกมิตรไว้ไม่เสียหาย

   “ชื่อม่านเหรอ ชื่อน่ารักจัง เราชื่อยิ้มนะ”

   “ชื่อยิ้มก็น่ารักเหมือนกัน” ชมมา ชมกลับ แฟร์ๆ ครับ “ทำไมผู้หญิงทุกคนถึงแต่งตัวแบบ...เอ่อ” ตอนแรกก็ไม่อยากจะถามหรอกนะครับ แต่มันก็อดไม่ได้ ไหนๆ ก็เริ่มสนิทกันแล้ว

   “ชุดนี้เหรอ” แทบผงะเมื่อยิ้มเล่นดึงสายบิกินี่ขึ้นแล้วปล่อย “มันเป็นงานน่ะสิ เจ้าของวันเกิดเขาชอบ”

   “งาน? ยิ้มไม่ได้เป็นเพื่อนพวกเขาเหรอ” สาวเจ้าพยักหน้าช้าๆ อ่อ มิน่า ถึงกล้าใส่เดินว่อนทั่วงานกัน ได้ค่าจ้างนี่เอง แต่แหม มันเปลืองตัวไปหน่อยไหม ถ้ามองเฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง นี่จับได้ ลูบได้ “ไม่รู้สึกแปลกเหรอ ถูกพวกเขาทำแบบนั้น”

   “มันชินน่ะสิ นี่ยังไม่เท่ากับที่เคยทำที่อื่นเลยนะ” สะดุ้งจนไหล่ยกเมื่อยิ้มเล่นยื่นแขนมาพาดบนไหล่แล้วเลื้อยมือลูบอกผมไปมา “ถอดหมดก็เคยมาแล้วนะ”


   บอกได้สองคำคือ ขนลุก


   ผมนั่งตัวแข็งทื่อเมื่อถูกมือไล้ตามอก ไม่ใช่มีอารมณ์อย่างว่านะครับ แต่เริ่มกลัว อยากเดินหนีแต่ก็ทำไม่ได้ จนมีคนเดินมาผมถึงรีบสะบัดยิ้มออกจากตัว แต่คงจะไม่ทันเมื่อไอ้คนมาใหม่กระชากแขนผมให้ยืนขึ้น สีหน้าเหมือนกินรังแตนไปสักสิบอัน

   “เจ็บๆ” ผมตีมือไอ้เม่นที่มันบีบข้อมือตัวเองรัวๆ

   “พี่มาทำอะไรที่นี่วะ!” ไอ้เม่นตะคอกจนผมต้องหลับตา “ไอ้อ้นตามหา” พอว่าผมเสร็จมันก็หันไปพูดเสียงแข็งกับสาวจิ้มลิ้มที่ชื่อยิ้ม

   “โห ขัดจังหวะว่ะ” สาวเจ้าสะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในงาน แม่คุณทิ้งระเบิดแบบนี้แล้วหนีไปไม่ได้นะเว้ย

   ผมมองตามหลังบางนั่นจนลับตาก่อนเงยหน้ามามองคนที่มันยังบีบแขนผมอยู่ ไอ้เม่นตอนนี้หน้าตามันโคตรน่ากลัว เหมือนยักษ์ที่พร้อมจะหักคอผมจิ้มน้ำพริก

   “ปล่อยสิ กูเจ็บ” ตีมือมันไปอีกที แต่ก็ดูไม่ได้ผล

   “ทำไมถึงอยู่ด้วยกันสองคน แล้วทำไมถึงให้เขาแตะเนื้อต้องตัว” ไม่ตอบ ไม่ทำ แต่มันถามกลับ แรงบีบที่ข้อมือก็ไม่มีคลายออกแต่อย่างใด “ผมถาม!”

   “ทำไมต้องตะคอกด้วยวะ” ยอมรับว่าตกใจที่เห็นท่าทางมันแบบนี้ ปกติเคยเห็นมันขี้เล่น มีจริงจังตอนไปบ้านยาย แต่คราวนี้มันดูน่ากลัวมากกว่าอีก

   “ผมขอโทษ” ดูเหมือนจะรู้ว่าตัวว่าใส่อารมณ์มากเกินไป ไอ้เม่นยอมปล่อยมือผม แต่ก็ยังไม่เลิกจ้องหน้า “ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่กับแฟนไอ้อ้น”

   “หา? แฟนไอ้อ้น? เจ้าของงานอะเหรอ” เหมือนวิ้งๆ อยู่ในสมอง เมื่อกี้ผมได้ยินจากปากแม่สาวจิ้มลิ้มนั่นว่าพวกเธอถูกจ้างมา แล้วทำไม...หรือผมฟังผิดวะ

   “อืม” เสียงตอบนิ่งพอๆ หน้าตา “ผมถามรอบที่สาม ทำไมถึงอยู่ด้วยกันที่นี่”

   “กูหิว” ผมบอกพร้อมชี้ไปที่ชามบะหมี่ที่เริ่มอืด “ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ในงานนั่นมีแต่เหล้า มึงจะให้กูแดกเหล้าจนท้องทะลุหรือไง”

   “แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม”


   นี่ผมผิดเหรอวะเนี่ย


   “แล้วมึงอยู่ให้กูบอกป่ะล่ะ มัวแต่จับนม จับก้นผู้หญิงพวกนั้น” พูดเสร็จก็เบ้ปากใส่ พอจะกลับไปนั่งกินก็ถูกรั้งไว้ “อะไร กูจะกินบะหมี่”

   “งั้นกลับ” หน้าตามันเอาจริงครับ แถมดึงผมจนออกไปด้านนอกได้ ผมเห็นยิ้มหันมาโบกมือให้ แต่ถูกไอ้เม่นปิดตาเลยเห็นแค่นั้น แม่ง เป็นบ้าอะไรของมัน “กูกลับล่ะ” มันลากผม (ทั้งที่มือยังปิดตา) ไปบอกลาเพื่อน แต่ดูเหมือนเพื่อนมันไม่เข้าใจ ไอ้เม่นถูกดึงไปนั่งรวมเพื่อน ผมเลยจำเป็นต้องถูกดันนั่งข้างๆ ในเมื่อมันไม่ยอมปล่อยมือผม

   “โหย ไอ้เชี่ยเม่น เปลี่ยนแนวเหรอวะ” ไอ้เด็กฟันเหล็กเอ่ยแซว มือมันดีดน้ำมาใส่หน้า “เปลี่ยนซะพวกกูคิดไม่ถึง”

   “ไอ้เสือผู้หญิง หิ้วสาวเข้าโรงแรมเป็นว่าเล่นตั้งแต่มอสี่ มึงแม่งไอดอลกูเลยนะตอนนั้น” ส่วนไอ้ผมตั้ง สงสัยจะทารองพื้นผิดเบอร์ หน้าเทาเชียว ไอ้หน้าเทาพูดจบ ทุกคนก็หัวเราะออกมา “แม้ตอนนี้จะเปลี่ยนแนวมาเป็นผู้ชาย แต่มึงก็ยังถือเป็นไอดอลของกู ไอดอลที่ลองของแปลก”

   “ยอร์ชไปว่าเขาทำไม” คนต้มบะหมี่ให้ผมว่า รอยยิ้มน่ารักที่ส่งมาถูกไอ้เม่นแยกเขี้ยวใส่จนเธอต้องทำหน้าบึ้ง

   “ชื่ออะไรเหรอครับ” ไอ้นี่เป็นเจ้าของวันเกิด เพราะยิ้มกำลังนั่งตักมันอยู่ ไหนบอกถูกจ้างมาไงวะ แม่ง หลอกลวง พอผมจะอ้าปากตอบ สาวที่นั่งตักมันก็เป็นคนตอบแทน เล่นเอานิ่งกันทั้งกลุ่ม

   “ชื่อม่าน ชื่อน่ารักมากเลยอะ” ผมแอบเหล่ตามองไอ้เม่นก่อนใครเพื่อน ซึ่งมันก็ตีหน้านิ่งจนผมเริ่มกลัวอีกแล้ว

   “ยิ้มรู้จักได้ไง อ๋อ เมื่อกี้อ้นเห็นแวบๆ ว่าเดินไปหลังบ้าน อย่าบอกนะว่า” ไอ้เด็กอ้นนี่คงไม่โมโหจนจะฆ่าผมใช่ไหม ถ้าหึงหน้ามืดมา ไอ้ม่านตายนะเฮ้ย

   “ไปต้มบะหมี่ให้ ยิ้มบอกแล้วว่างานนี้ไม่มีข้าวเลย” แล้วพวกเขาก็ง้องแง้งกันโดยไม่มีใครสนใจ เออ ดีว่ะ ดูรักกันดี ถ้าไม่ติดว่ามาหลอกผมก่อนนะ คงจะอิจฉาไปแล้ว

   ผมละสายตาจากคู่รักมาสนใจแก้วเหล้าที่ถูกส่งมา พอมือยื่นไปจับ กลับถูกดึงไปจากไอ้คนข้างๆ ไอ้เม่นยกดื่มจนหมดแก้วเรียกเสียงโห่รอบวง บ้ามาก

   “เมียมึงเด็ดไหมวะ” อยู่ๆ คำถามนี้ก็ดังขึ้นมา เสียงเฮฮาก็เงียบไปทันที สีหน้าแต่ละคนดูมีความอยากรู้จนหางสั่นระริก
 
   “เขาว่า เอาผู้ชายมันเสียวกว่าผู้หญิงจริงไหมวะ” พอมีคนแรก คนต่อไปก็มาครับ แล้วมันก็มาเรื่อยๆ จนไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี

   “พอๆ หยุด” ทั้งคำถามทีเล่นทีจริง หรือโคตรเหี้ยทำเอาความอดทนผมขาด ผมยกมือขึ้นห้ามแล้วมองกราดไปรอบๆ วง “พวกมึงอยากรู้ เดี๋ยวกูบอกเอง” ไอ้เม่นทำตาโต สะกิดผมยิกๆ ก็มันเล่นเงียบไม่พูด พวกเพื่อนมันก็ได้ทีรัวคำถามจัญไรๆ แบบนั้นมา

   “นายเด็ดป่ะ” นี่คือผู้กล้าคนแรก ไอ้เด็กหน้าเทา (เรียกซะเหมือนอายุเท่ากัน ถือว่าหยวนๆ เพราะผมหน้าเด็ก)

   “เด็ดสิ” ผมว่า มันทำตาโตกันทั้งกลุ่มเมื่อเห็นผมกัดปากล่างแล้วขยิบตา “ถ้าไม่เด็ด เพื่อนพวกมึงจะติดใจเหรอ” พูดปุ๊บ พวกมันก็ร้องอูยกันรอบวง

   “เด็ดจริง งั้นผมขอลองมั่งดิ่” ไอ้ฟันเหล็กยื่นหน้าเข้ามา แต่โดนมือของไอ้เม่นตบเข้าเต็มหัว

   “ลองพ่องมึงสิ นี่แฟนกู” ไอ้เม่นหน้าบึ้งหนักมาก “กลับ พี่ม่านกลับ”

   “อย่าเพิ่งกลับสิวะ พวกกูยังถามไม่จบ”
 
   “จะถามเชี่ยไร ถ้าอยากรู้ก็ไปหาลองเอง อย่ายุ่งกับแฟนกู”

   “หวงเหรอมึง” ดูจากท่าทางและสีหน้าไอ้เม่น ผมว่ามันคงใกล้ถึงจุดพีคแล้ว

   “พอดีเม่นลีลาเด็ดมาก มันมากซะจนไม่อยากได้คนอื่นอีก พอคิดแล้วก็อยากเลยอะ...กลับเถอะ” ผมฉุดแขนไอ้เม่นให้ลุก แต่ถูกมือไอ้หน้าเทาดึงไว้ ไอ้เด็กนี่วอนโดนตีนซะแล้ว “อะไร”

   “เด็ดจริงหรือโม้...”

   ฟังไม่จบประโยคผมก็ดึงหน้าไอ้เม่นมาจูบโชว์ เสียงโห่ดังกว่าเดิมอีกหลายเท่า ผมทั้งบด ทั้งจูบ ทั้งดูด เอาให้ตายไปข้างหนึ่ง ถามว่าทำเป็นเหรอ เปล่าหรอก ดูหนังมามากเลยคิดว่าน่าจะใช่แบบนี้ ผ่านไปหลายวินาทีกว่าผมจะผละออกมา

   “ไม่ต้องพูด แค่เห็นก็คงรู้...กลับ” คราวนี้ไม่รอให้ใครดึงได้ทัน ผมรีบลากไอ้เม่นที่ยังนิ่งเป็นหิน ดีที่ขามันยังก้าวตามมา “จะกลับไหม” ถามย้ำจนไอ้เด็กสติหลุดสะดุ้ง ผมเห็นมันจับปากตัวเองแล้วคลี่ยิ้มกว้างออกมา

   “พี่จูบผมอะ” ความรู้สึกช้าจริงไอ้ห่านี่ “พี่จูบอะ จูบผมเมื่อกี้ พี่จูบ...”

   “เออ อย่าย้ำ แม่ง” ผมก็เขินเป็นนะเว้ย พอถูกย้ำมากๆ เข้า ดอกยางอายขึ้นเลยครับ “กลับ”



   บนรถ ผมนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพที่ผมจูบกับไอ้คนข้างๆ ยังคงทำงานจนต้องหลับตาไปหลายรอบ ไอ้ม่านเอ๊ย มึงกล้าทำไปได้ยังไง บ้าไปแล้ว กล้าจูบต่อหน้าคนอื่น

   “พี่ม่าน” ไอ้เม่นเรียกปุ๊บ ผมก็สะดุ้ง

   “อะ อะไร” กลัวมันพูดเรื่องจูบ เพราะผมไม่รู้จะปั้นหน้ายังไงดี

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ถูกมันหัวเราะใส่เฉย “ผมแค่จะถามว่า...” ทำไมมันต้องเว้นวรรคให้ลุ้นวะเนี่ย “พี่อยากกินอะไร”
 
   “ฟู่ว” ถึงกับถอนหายใจออกมา “กูอยากกิน...”

   “ถึงกับถอนหายใจ ตอนพูดไม่คิดหนอคนเรา” นั่นไง ว่าแล้วว่ามันต้องรอจังหวะ

   “ก็มึงเล่นไม่ทำห่าอะไรเลย เพื่อนมึงก็ถามแต่ละอย่างโคตรเหี้ยมาก” อารมณ์โมโหยังค้างอยู่ โดยเฉพาะไอ้เด็กฟันเหล็กที่มันอยากลองกับผม คิดได้ไงวะ

   “ขอโทษ ก็เม่นไม่รู้จะต้องทำยังไงนี่นา พี่ม่านอย่างโกรธเม่นน้า” พออ้อนละพูดเสียงอ่อนเชียว น่าหมั่นไส้

   “มึงเถอะ เลือกคบเพื่อนหน่อย ไอ้พวกนี้แม่งไม่เห็นจะน่าคบ” สภาพวันนี้ผมรู้สึกกลัวนะ งานมันดูมั่วไปหมด เรื่องผู้หญิงไม่กลัวเท่าไหร่ แต่เรื่องยา ผมก็ไม่แน่ใจ เห็นมีพวกตาลอยๆ ด้วย ขืนคบไปนานๆ เกิดโดนหางเลขโดนจับไปด้วย จะซวยเอา

   “พวกมันเป็นเพื่อนตอนมอปลาย ก็ไม่ได้สนิทกันมากเท่าไหร่...ขอบคุณที่ห่วงผม”

   “เออ รู้ก็ดี แล้วต่อจากนี้ถ้าจะมาเที่ยวโดยมีไอ้พวกนี้ละก็ กูไม่ไป” เข็ดครับ

   “ผมก็ไม่ชวนมาหรอก ถ้ารู้ว่ามีคนจะเคลมพี่ตั้งหลายคนแบบนี้”

   “เคลมเหี้ยน่ะสิ ไม่ๆ” รีบตบปากตัวเองเมื่อพูดจบ รู้สึกว่ากำลังด่าตัวเองเป็นเหี้ยพิกล “พวกมันแม่งปากดี”
 
   “แต่ไม่เท่าพี่ใช่ป่ะ”

   “ปากดีอะเหรอ”

   “ฮื่อ ปากหมา”

        นั่นไง โดนมันเล่นแล้ว

   “กูคนจริงเว้ย ม่านคนจริงสองพันสิบเจ็ด”

   “คนจริงที่ไหนได้แค่พูดกันว้า” อ่าว ไอ้นี่มันดูถูกกันนี่หว่า “พี่เด็ดจริงอ่ะ”

   “อะไรเด็ด”

   “เรื่องนั้นอะ” ผมจ้องหน้าคนถาม ไอ้เม่นขยิบตาก่อนมองมาที่เป้าของผม ใช่ มันมองที่เป้าจริงๆ ไม่ได้คิดไปเอง “เด็ดจริงป่ะ”

   “เด็ดไม่เด็ดก็เรื่องของกู ตามีก็มองถนนนู้น กูยังไม่อยากตายตอนนี้ไอ้ห่าเม่น” แม้จะรู้ว่ามันก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่บางทีมันก็แปลกๆ คือมันอธิบายความรู้สึกไม่ถูก จะเขินก็คงใช่ จะอายก็มีหน่อยๆ แต่น่ากระทืบคงจะมากกว่า

   “พี่เขินแล้วน่ารักว่ะ” ต้องเอนหน้าหลบมือที่ยื่นมาบีบแก้ม ไอ้นี่ลามปาม “กินก๋วยเตี๋ยวแล้วค่อยกลับนะ”

   “เออ หิวไส้จะขาดแล้วเนี่ย หยุดหัวเราะด้วย กูรำคาญ”

   “เขินก็บอก ไหนบอกเป็นคนจริงสองพันสิบเจ็ดไง”

   “ไอ้เชี่ยเม่น มึงอยากนอนหยอดน้ำข้าวต้มไหมฮะ” โมโหครับ โมโห แต่ไอ้เม่นเอาแต่หัวเราะไม่มีท่าทางที่จะเกรงกลัวความเอาจริงของผม

   “น่ารักอะ”

   “จะชมทำไมเยอะแยะวะ หิวแล้วเร็ว”

   “น่ารักอะ”
 
   โอ๊ย ไอ้ม่านจะบ้าตายแล้วครับ ใครก็ได้ เอาไอ้เม่นไปเก็บที

   “หุบปาก”

   “เกรี้ยวกราดยังน่ารัก”

   เอาตามที่มันสบายใจ ผมนั่งนิ่งให้ไอ้เม่นดึงแก้มเล่น ดูมันทำครับ มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย อีกข้างดึงแก้มผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมว่ามันเริ่มบ้าแล้วล่ะ บ้ามากจริงๆ ดึงเข้าๆ มันหยิกแก้มผมเลยครับ เออ เอาให้เต็มที่เลยมึง คิดซะว่ากำลังดึงตุ๊กตายาง เอาเล้ย



...TBC

คนขี้หึง จะหึงได้มากกว่านี้หรือเปล่า อิอิ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 18 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 23-05-2017 16:49:01

18




        เสียงบรรยายหน้าห้องไม่ได้ทำให้หนังตาที่หย่อนเปิดขึ้นแต่อย่างใด ผมเปิดหนังสือเล่มโตไว้ ก่อนใช้ข้อศอกค้ำกับโต๊ะเพื่อวางคางกับมือทำเป็นตั้งใจเรียน ที่จริงแอบงีบหลับ ทำได้โดยไม่ถูกจับนี่ เป็นทักษะที่ต้องใช้สมองนะครับ ยิ่งกว่าการเรียนอีก

   ไม่รู้เวลาผ่านไปนานหรือยัง รู้แค่ว่า ผมหลับไปแล้วหลายตื่นมาก มาสะดุ้งรอบสุดท้ายจนตาสว่างก็ตอนถูกไอ้เจตบหัวหน้าผากชนกับโต๊ะเสียงดังลั่นห้อง ดีที่ห้องไม่มีคน เหลือแค่เพื่อนสนิทของผมเท่านั้น

   “ไปอดหลับอดนอนที่ไหนมาวะ” ไอ้เกมส์เปิดประเด็นคนแรก มือมันเก็บชีทใส่กระเป๋าเน่าๆ ของตัวเอง

   “เล่นเกมส์” ผมว่า

   “เล่นเกมส์หรือเล่นกับผัว เอาให้แน่ เชี่ย” พอดีขาผมทำงานโดยไม่ต้องพึ่งสมอง มันเลยดีดออกไปใส่ก้นไอ้มีนเต็มๆ แรง

   “สมองมึงมีแต่เรื่องต่ำตม” ด่าเสร็จก็เก็บหนังสือใส่กระเป๋าบ้าง “หิวว่ะ”

   “ไปแดกชาบูกัน” คำชวนของไอ้เจเรียกเสียงฮือฮาของผมแล้วก็พวกไอ้เกมส์ได้เป็นอย่างดี “อะไรของพวกมึง” ไอ้เจเลิกคิ้วเมื่อถูกจ้องอย่างหนัก

   “นี่มึงชวนพวกกูไปแดกชาบูเหรอวะ” ไอ้เกมส์ว่า ผมก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำถาม “ผีเข้าป่ะเนี่ย ไอ้ขี้เซาชวนไปกินในห้าง”

   “กูก็คนนะเว้ยไอ้พวกเหี้ย จะไปไหม” ไอ้เจม้วนชีทวิชาแล้วไล่ตีหัวทีละคน “อีแน่ว เลิกพิมพ์โทรศัพท์สักที”

   “กูขอบาย เมียกูรออยู่ข้างล่าง ไปล่ะ” พูดจบก็เผ่นแนบเลยครับ เดี๋ยวนี้ติดหญิงมากกว่าเพื่อนอีก นิสัยเสียจริงๆ

   “ตอนบ่ายมีเรียน กูว่า....” ไม่ทันพูดจบก็ถูกม้วนชีทตีเข้าเต็มๆ หัว

   “บ่ายนี้เขายกเลิกคลาสเว้ยไอ้มู่” ย่นคิ้วมองไอ้เจที่พูด

   “ทำไมกูไม่เห็นรู้วะ” มิน่า ได้ยินแว่วๆ ว่าไอ้พวกเพื่อนในห้องนัดกันไปเที่ยว หรือไม่ก็กลับไปนอน

   “ก็เพราะมึงไม่ยอมอ่านไลน์กลุ่มไง มัวแต่ติดผัว” คำด่าที่ผมด่าอีแน่วถูกย้อนกลับมาหาตัวเองเฉย แต่เพราะเป็นไอ้เกมส์ด่าเลยยกขาเตะไม่ได้ เกรงใจน่องโป่งๆ ของมันที่อาจฝังต้นคอผมจนคออาจหักได้

   “งั้นก็ไป กินให้พุงแตกไปเลย” รีบเปลี่ยนเรื่องจนพวกมันส่ายหน้า ไม่อยากต่อปากต่อคำพวกมันมาก เดี๋ยวจะเข้าตัว

   ผมอาศัยรถไอ้เจไป ตั้งแต่คบไอ้เม่น รถของผมแทบไม่ได้ออกจากลานจอดเลยให้ตาย ไม่รู้เฉาหรือยัง ภายในรถไอ้เจมันทำให้มันแปลกใจจนต้องหันซ้าย หันขวา

   “เป็นอะไรของมึง ขี้ติดตูดเหรอ”

   “แปลกว่ะ รถมึงทำไมสะอาด” ปกติรถไอ้เจมีแต่ขยะนะครับขอบอก กินขนมอะไรมันก็ทิ้งถุงไว้ในรถ แต่ตอนนี้ด้านหลังมันมีถังขยะใบเล็กๆ

   “รถกูจะสะอาดบ้างไม่ได้หรือไง” แม้น้ำเสียงจะเหวี่ยง แต่ผมก็ไม่ยอมหยุดจ้องกดดัน ผมจะไม่คิดมากหากถังขยะใบนั้นมันไม่เหมือนรถของเพื่อนสุดรักนายอัธของผม ตั้งแต่ห้องตรงข้าม มารถสะอาดอีก

   ไอ้เจกับไอ้อัธคงไม่ได้มีซัมติงกันหรอกนะ ถ้ามีละก็ ความบรรลัยอาจจะเกิด คนสองขั้วเลยนะครับนั่น





   ไอ้เจเลี้ยวรถจอดใต้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มีรถไอ้เกมส์กับไอ้มีนมาจอดข้างๆ ในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วพวกเราก็เดินเข้าห้างที่มีผู้คนพลุกพล่าน ผู้ชายหน้าตาดีสี่คนเดินเรียงหน้ากระดานเข้าไปเลยเป็นที่สนใจของสาวๆ นี่ไม่ได้โม้นะครับ แต่มันคือเรื่องจริง

   พวกเราขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้นบนเพื่อมาร้านชาบู ระหว่างกำลังคุยเฮฮากันอยู่ เสียงโวยวายหน้าร้านก็ดังเรียกความสนใจ ผมมองเห็นผู้ชายใส่ชุดนักศึกษานั่งหันหลัง มือก็แนบโทรศัพท์ที่หู เสียงโวยวายคงมาจากคนนี้สินะ แต่...ทำไมหลังคุ้นๆ

   “ไอ้พวกเลว” คำด่านั่นทำเอาพวกผมสะดุ้งกันเป็นแถว นั่นเพราะมัวแต่จ้องคนที่คุยโทรศัพท์เสียงดังไม่เกรงใจใคร กำลังจะด่า แต่พอมันหันหน้ามาเล่นเอาเหวอ “ไอ้ม่าน” เสียงเรียกชื่อผมลากยาว แถมคนเรียกยังพุ่งเข้ามากอดผมอีก

   “ไอ้เหี้ยกลอยปล่อย คนมองแล้วแม่ง” ผมพยายามแกะแขนที่รัดเอวออก คนในร้านชาบูมองกันเป็นแถว “ไอ้กลอย”

   “ฮือ” มันเงยหน้าเบ้ปากเหมือนจะร้องไห้

   “อะไรของมึงไอ้กลอย เพื่อนทิ้งหรือไง” ไอ้เจเลิกคิ้วถาม ซึ่งไอ้กลอยก็พยักหน้ารัวๆ แล้วไปเกาะแขนไอ้เจแทน “อะไร”

   “พวกมึงมากินชาบูเหรอ” มันไม่ตอบ แต่เลือกจะถามแทน ไอ้เจพยักหน้า มันก็ยิ้มแป้น “ดีอะ เพื่อนกูแม่งเทไปหาเมียหมด นัดกูมาหน้าร้านแต่แม่งเทกู ไอ้พวกเพื่อนเลว”

   “คำว่าเลวของมึงโปรดหันไปทางอื่น” ไอ้มีนขยับหนีเลยครับ โคตรตลก

   พูดคุยอีกนิดหน่อยก่อนพวกเราจะเดินเข้าร้าน ไอ้กลอยเลือกโต๊ะกลางร้านมันว่าของมาถึงไว แต่ผมว่า นั่งโต๊ะในสุดของมันถึงไวกว่าว่าไหม

   หม้อน้ำซุปสองแบบกำลังถูกเติมของลงอย่างกระหน่ำ ใครกินอะไรก็โยนๆ ลงไป ของผมเน้นหมูสามชั้นสไลด์ครับ ร่างกายต้องการโปรตีนที่สุด

   “รุ่นน้องมึงจีบไอ้มู่ มึงรู้ป่ะ” ไอ้เชี่ยมีนเริ่มเปิดประเด็นกวนบาทา ผมถลึงตาใส่แต่มันกลับหัวเราะรอฟังคำตอบจากไอ้กลอยที่ยัดของซะเต็มปาก

   “อู้” (รู้) เต็มปากแล้วยังจะพูด พอมันกลืนหมดก็เริ่มโม้ “กูเป็นพ่อสื่อ ไอ้ม่านมีแฟนได้เพราะกูเลยนะ”

   “ได้ข่าวว่า มึงเทมาให้มันไม่ใช่เหรอ” เสียงเรียบๆ ของไอ้เกมส์แต่มันโคตรสะใจในความคิดของผม ไอ้กลอยยู่ปากแล้วยัดหมู (ของผม) เข้าปาก

   “ถ้ากูไม่เท ไอ้ม่านก็ไม่มีแฟนไง” ดูความคิดมันครับ “ว่าแต่ ช่วงนี้กูไม่ค่อยเจอไอ้เม่นเลยว่ะ” ไอ้กลอยมันหันมาถามผมที่นั่งข้างๆ

   “มันเรียนที่เดียวกับมึงไม่ใช่หรือไง” ผมว่า

   “ก็ใช่ แต่มันนอนห้องเดียวกับมึงไง” จบครับ ผมเลือกจะยัดหมูเข้าปากแทนคำตอบ “แหม เงียบแดกนะมึงไอ้ม่าน คบกันแล้วไม่บอกความคืบหน้าให้กูรู้บ้างเลย”

   “มึงเสือกแบบนี้ผัวไม่ว่าเหรอ” อยากจะป้อนหมูขอบคุณไอ้เจมากที่ถามให้ แต่คิดว่า คนอย่างไอ้กลอยมันจะแพ้เหรอครับ คำถามแค่นี้น่ะ

   “ผัวกูไม่ว่า เพราะรู้สันดานกูดี” ไอ้เจถึงกับส่ายหน้าเมื่อได้คำตอบ อย่าคิดจะชนะไอ้กลอย ถ้าเกรียนไม่มากพอเท่ามัน ขนาดผมยังสู้ไม่ไหวจริงๆ

   “กูโคตรสงสารผัวมึง ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้” ไอ้เกมส์ยังคงพูดน้ำเสียงเรียบแต่กัดได้เจ็บจริงๆ

   “ถูก” แยกย้ายครับ ไอ้กลอยตอบปุ๊บ ทุกคนก็ก้มหน้าสนใจของกินในหม้อแทน อย่าไปต่อปากต่อคำ เพราะมันจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากความไร้สาระของมัน




   ของที่ใส่รวมในหม้อต้มตรงหน้าค่อยๆ หมดลง สปีดการกินของแต่ละคนก็ค่อยๆ ลดลง จากที่ยัดๆ ครั้งแรก ตอนนี้เริ่มโบ๊ยกันแล้วครับ อย่างตอนนี้ ไอ้เจกลายเป็นคนใจดีคีบหมู คีบกุ้งใส่ถ้วยไอ้กลอย เมื่อกี้พวกมันแย่งกันครับ พอหมูถูกวางในถ้วย ไอ้กลอยก็เงยหน้าจ้องเจ้าของตะเกียบ แก้มสองข้างยังเต็มไปด้วยลูกชิ้นและหมู

   “กูรู้ว่ามึงชอบกิน เนี่ย กูให้มึงเลยนะ” ไอ้เจพูดไปยิ้มไป ไม่สนตาโตๆ ของไอ้กลอย “อะนี่อีก ไข่มันมีประโยชน์ กูเป็นห่วงสุขภาพมึงเลยนะไอ้กลอย”

   “เห็นไอ้เจใจดีแบบนี้ กูก็อยากใจดีบ้าง” ไอ้เกมส์มันเอาด้วยครับ มือมันหยิบลูกชิ้นมาใส่หม้อต้มอีกสองจาน เล่นเอาของในปากไอ้กลอยแทบพุ่ง

   ผมควรสงสารเพื่อนใช่ไหม แต่ผมกลับหัวเราะ ไอ้กลอยก็กินนะครับ แม้จะเคี้ยวช้ามากถึงมากที่สุด บางทีมันกลืนทั้งที่ไม่เคี้ยวก็มี

   “อิ่มก็พอสิวะ” ผมทนไม่ไหวเลยยื่นมือไปหยุดการยัดของเข้าปากของไอ้กลอย มันอมของกินไว้ที่แก้มหันมามองผมตาละห้อย “อะไร”

   “กูยังกินได้” แม้จะพูดแบบนั้น แต่ตามันโคตรสื่อสารว่าไม่ไหว

   “เดี๋ยวมึงก็อ้วกหรอกไอ้ห่า สงสารกระเพาะมึงบ้าง” เถียงไม่ออกมันก็เงียบแล้ววางตะเกียบ ไอ้กลอยพยายามเคี้ยวเอื้องในปากให้หมด

   “มึงโคตรแปลก กินจนอิ่มแต่ไม่หยุด เป็นโรคป่ะ” ไอ้มีนถามอย่างสงสัย แต่กว่าจะได้คำตอบก็ต้องรอของในปากไอ้กลอยหมด ซึ่งแทบหลับรอ จะเคี้ยวช้าไปไหน

   “กูเสียดาย นานๆ มากินที” ไอ้กลอยว่า

   “แฟนมึงเลี้ยงแบบอดๆ อยากๆ เหรอ ถึงไม่ค่อยได้กิน” ไอ้เจสวนกลับแทบจะทันที

   “เลี้ยงดีดิ่ แต่ช่วงนี้ทำงานเยอะ เลยนานๆ มากินที” ทุกคนพยักหน้าให้กับคำตอบที่ได้ อิจฉามันเหมือนกันนะครับ พี่โชแฟนมันแม่งโคตรสปอยด์มันอะ แบบตามใจทุกอย่าง “กูว่า...” อยู่ๆ ไอ้กลอยมันก็เอ่ยออกมา พวกผมก็ตั้งใจฟัง “กูปวดขี้ว่ะ”

   “เชี่ย ไปเลยไอ้ห่า” ผมรีบผลักมันเลยครับ แต่แค่มันขยับ เสียงบางอย่างก็เล็ดลอดออกมา “มึงตดใช่ไหม เหี้ยโคตร” แตกสิครับรออะไร

   เสียงอาจไม่ดัง แต่กลิ่นตดมันโคตรแรงกว่ากลิ่นทุกอย่างในร้านนี้ กลิ่นมันทะลุทะลวงจนของที่ยัดเข้าไปเกือบพุ่งออกมา ไอ้กลอยวิ่งหางจุกตูดไปเข้าห้องน้ำ ก่อนไปยังสั่งให้พวกผมรออีก เอากับมันสิ

   “แม่ง ขมคอเหี้ย” ไอ้เจใช้มือปัดๆ แถวหน้าตัวเองตอนเดินออกจากร้านหลังจากจ่ายเงินเสร็จ

   “เพื่อนมึงโคตรของโคตรบ้าอะ” ไอ้เกมส์ยังปิดจมูกไม่ยอมเอาออก สงสารจริงๆ จมูกคงตันแบบสุดๆ ส่วนไอ้มีนมันเอายาดมออกมายัดรูจมูก “มึงรอมันไป พวกกูขอบาย สงสัยต้องไปซื้อยากิน แม่งกลิ่นมันจี๊ดขึ้นสมอง” แล้วพวกมันก็เดินบ่นลงบันไดเลื่อนไปครับ

   แล้วคิดว่าผมจะไม่มีอาการเหรอ ยังดีที่สนิทกับมันมานาน ยังพอรับไหว ผมเจอบ่อยครับ หนักกว่านี้ก็เคยมาแล้ว อย่างเช่นมันท้องเสียแล้วขี้แตกใส่กางเกง นึกย้อนแล้วไปก็โคตรเหี้ยอะ ดีที่ตอนนั้นไม่ไหลลงขามา...อ้วก!

   “พวกไอ้เจล่ะ” คนขี้แตกเดินหน้าบานมาหาผมที่นั่งรอ

   “มันกลับไปแล้ว ดังนั้นมึงต้องไปส่งกู” ไม่รู้มันเอารถมาหรือเปล่า แต่มันต้องไปส่ง

   “โอ้โห ไอ้นี่แผนสูง” โดนไอ้กลอยเตะเท้าไปที ไอ้นี่วอนโดนถีบ “ไปๆ วันนี้กูเอารถมา” พอผมยืนขึ้น ไอ้กลอยก็โผเข้ามากอดคอ มันตัวเตี้ยกว่าผม แม้ไม่มาก แต่ก็เตี้ย “ขี้ท้องโล่งเลย เข้าไปกินอีกรอบได้ป่ะ”

   “มึงสงสารท้องกูด้วย ไอ้ห่า”

   “ทำไมกูต้องสงสารมึงด้วย โอ๊ย ไอ้เชี่ยม่าน” ชกท้องโล่งๆ ของมันเป็นการลงโทษ




   วันนี้ไอ้กลอยเอารถยนต์มา สงสัยฟ้าจะผ่า นี่แฟนมันปล่อยให้เอารถมาได้ยังไง ล่าสุดเหมือนได้ยินว่า มันถอยไปจูบเสาซะท้ายรถบุบ เกิดมาเป็นรถของไอ้กลอยโคตรน่าสงสาร

   ...เอ่อ แต่ว่าตอนนี้ชักสงสารตัวเองซะแล้วสิ

   ไอ้กลอยมันขับรถความเร็วพอดีนะครับ แต่มันขับเหวี่ยงไปมา ขนาดผมไม่ใช่คนเมารถยังเวียนหัวเลย แม่ง มันสอบได้ใบขับขี่มาได้ยังไงวะเนี่ย

   “นี่มึงขับรถยังไงของมึงเนี่ย” บ่นสิครับ

   “ก็กูไม่ได้ขับนาน มึงต้องโทษพี่โชนู้น ถ้ากูขับบ่อยๆ ก็เก่งไปแล้ว” ดูมันเถียงสิครับ ไปโทษคนอื่นอีก

   “ถ้ามึงไม่ขับชนนู้นชนนี่ พี่เขาคงไม่ห้ามมึงหรอก กูว่า มึงไปเรียนขับรถใหม่เถอะ” ไม่ได้สงสารไอ้กลอยหรอกนะครับ สงสารเพื่อนร่วมทางของมัน “เชี่ยๆ เบรกสิวะ ไฟแดงแล้ว”


   เมื่อไหร่จะถึงหอผมเนี่ย


   “เอ่อ ถ้าไปหอมึงจะเจอไอ้เม่นไหมวะ” ช่วงติดไฟแดง มันก็เริ่มอ้าปากคุย “แม่ง เจอแต่พวกไอ้ไม้ ไอ้เบียร์ ส่วนไอ้เม่นหายหัว” ไอ้กลอยย่นคิ้วถาม ก็อยากบอกมันเหมือนกันว่า ที่ไม่เจอเพราะต้องรีบมารับผม “พอเลิกสนกูละไม่เคยเจอ”

   “มึงจะอยากเจอทำไม อยากให้ความหวังมันใหม่เหรอ” พูดน้ำเสียงปกติที่สุด แต่ไอ้กลอยกลับยิ้มล้อแล้วยื่นหน้ามาหา “อะไรของมึง”

   “หึงเหรอ หึงไอ้เม่นกับกูเหรอ แหมๆ เพื่อนม่านของกูมีมุมหึงหวงกับคนอื่นด้วย”

   “ไม่ใช่โว้ย”

   “โห มีโวยวายด้วย เพื่อนม่านของกูมาถึงจุดมีผัวแล้วน่ารักเหรอเนี่ย”

   “ผัวเชี่ยไร กูคบแบบใสๆ เว้ย”

   “ใส? ใสว่าสิบ่ถิ่มกันเหรอวะ” มันเน้นคำว่าถิ่มกัน แล้วมันก็หัวเราะลั่นรถ “เพื่อนม่านของกูเป็นคนใสๆ”

   “ไอ้เหี้ยกลอย มึงเคยอยู่ดีๆ แล้วตกรถมะ” ทำหน้าขึงขังใส่ แต่ก็ไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะของไอ้กลอยได้ “ไอ้เชี่ยกลอย”

   “มึงต้องลอง” มันหยุดขำแล้วพูดออกมา แม่งปรับอารมณ์โคตรไว อะไรของมัน

   “ลองอะไรของมึง”

   “ถิ่มกันไง เชี่ย” ยื่นมือไปตบหัวมันเน้นๆ จนโดนถลึงตาใส่

   “ถิ่มมึงสิไอ้ห่า”

   “หรือว่ามึงกลัว? ไม่กล้าหรือไง เพื่อนม่านป๊อดเหรอ”

   “อย่ามายุกูซะให้ยาก กูไม่ใช่ไอ้ทูที่มึงยุขึ้นไอ้กลอย มึงพลาดแล้วเพื่อน” ผมยักคิ้ว ยกไหล่ให้ ไอ้กลอยส่งเสียงจิ๊จ๊ะที่ยุผมไม่ขึ้น เพราะลูกยุนี่แหละ ทำให้เพื่อนรักนายทูนอนติดเตียงเต็มๆ สองวัน สมน้ำหน้า

   “กูยุมึงไม่ขึ้น กูจะไปยุไอ้เม่น” ถ้าไม่ชั่วจริงคิดไม่ได้นะครับแบบนี้

   “คงยาก เพราะเดี๋ยวมันจะย้ายแล้ว”

   “ย้าย? ย้ายอะไร ย้ายไปไหน”

   “เห็นว่าจะย้ายคณะไปเรียนบริหาร”

   “บริหารเหรอ รุ่นน้องพี่ฝอยอะนะ ก็ดี”

   “ไม่ใช่ที่เดิม” เหมือนจะขัดความคิดของไอ้กลอย มันขมวดคิ้วหันมาทำตาใสใส่ผม “มันจะย้ายทั้งคณะแล้วก็มหาลัย”

   “มันจะย้ายไปที่เดียวกับมึงเหรอ โหย จะตัวติดเพื่อนกูมากไปละไอ้เม่น”

   ผมส่ายหน้าให้เพื่อนสุดรักที่มันเริ่มบ่นคนเดียว ไอ้กลอยเป็นพวกคนที่คิดอะไรแปลกแยกกว่าชาวบ้าน หรือง่ายๆ คือเพี้ยนนั่นแหละครับ แต่มันก็น่ารักนะ ถ้าทนกับมันได้

   “เออใช่ มึงรู้เรื่องไอ้อัธย้ายคอนโดป่ะ” เห็นถังขยะข้างถนนแล้วก็นึกขึ้นได้

   “รู้ดิ่ วันย้ายกูยังไปช่วยอยู่เลย” ย่นคิ้วหลังจากได้ยิน แล้วทำไมผมไม่รู้วะ “คอนโดนั่นเป็นของเพื่อนพี่ซัน ราคาเลยได้ส่วนลด ถ้าห้องพี่โชไม่กว้างกว่า กูคงอ้อนให้ไปซื้อละ”

   “อวดผัวรวยเหรอมึง” แขวะไป ไอ้กลอยยักไหล่อย่างหมั่นไส้ “ห้องไอ้อัธอยู่ตรงข้ามห้องไอ้เจ มึงคิดว่าไงวะ” ที่ผมถามเพราะไอ้กลอยเป็นพวกเซ้นส์แรงครับ ถ้ากระตุ้นต่อมมันปุ๊บ ระดับความสอดก็จะค่อยๆ ถูกปล่อยออกมา อย่างตอนนี้ มันค่อยๆ หันหน้ามามองผม

   “ตรงข้ามห้องไอ้เจกูก็รู้ แต่ที่มึงพูด หมายความว่ายังไง จะว่าพวกมันมีซัมติงกันเหรอ” เห็นไหมครับ กระตุ้นต่อมสอดมันปุ๊บ เซ้นส์มันก็ออกเลย

   “แล้วมึงคิดว่าไง” รอฟังความคิดเห็น

   “อืม...ไม่รู้วะ มึงก็รู้ ว่าไอ้อัธมันเป็นพวกเดายาก”

   “มึงจำถังขยะที่ไอ้อัธซื้อมาจากญี่ปุ่นได้หรือเปล่า”

   “ไอ้กระป๋องสามสีนั่นนะ ทำไมวะ” ไอ้อัธมันหวงของรักมาก ผมกับเพื่อนทุกคนจะรู้ดี “มึงพูดออกมาตรงๆ เลยได้ป่ะ ทำให้กูอยากรู้แล้วอย่าเงียบ”

   “ถังใบหนึ่งอยู่ในรถไอ้เจ” พูดจบปุ๊บ ไอ้กลอยแทบเหยียบเบรก ดีที่ไม่มีรถตามหลังมา ไม่อย่างนั้นมีจูบตูดรถเป็นแถวแน่ “จะเบรกทำไมของมึงเนี่ย”

   “ก็กูตกใจ ถังพวกนั้นมันโคตรหวง ขนาดกูขอมันยังไม่ให้” เห็นไหมครับ ไอ้อัธหวงของจริงๆ “แน่ใจนะว่าเป็นของไอ้อัธ”

   “เออ กูเล็งใบสีนั้นตั้งแต่มันกลับมา” เคยอ้อนขอตอนเห็น ไอ้อัธแทบถีบหน้าผมอะคิดดู “หวงเบอร์นั้นแต่กลับไปอยู่ในรถไอ้เจ มึงว่าแปลกหรือเปล่าวะ”

   “ไม่แปลก” อ่าว อะไรของมัน “มันไม่แปลกเลย ถ้ากูจะต้องไปเสือกเรื่องนี้”

   “ได้ความแล้วส่งต่อด้วยนะมึง”




   ตกลงเสร็จรถก็มาจอดหน้าหอพักผมพอดี เพราะคุยกันมาตลอดทางเลยกลบอาการเมารถได้ แต่ผมก็ยังยืนยันว่าให้มันไปเรียนขับรถใหม่ เรียนแบบติวเข้มๆ ว่าขับยังไงไม่กินเลน หรือเปิดไฟเลี้ยวยังไงไม่ให้โดนที่ปัดน้ำฝน

   ผมลงจากรถยืนรอส่งไอ้กลอยจนรถมันหายไปจากสายตา ลานจอดหน้าหอพักยังไม่เห็นรถไอ้เม่น คงยังไม่เลิกแน่ แต่พอก้าวขาจะเดิน เสียงบีบแตรก็ดังจนสะดุ้ง เจ้าของรถเลื่อนกระจกส่งสายตาหวานมาให้

   “พี่จะไปไหน” ไอ้เม่นยิ้มตาปิดถาม

   “กำลังมาถึงเนี่ย” ผมว่า “เพิ่งเลิกเหรอ”

   “ครับ เพราะพี่บอกจะกลับเอง ผมเลยรีบกลับมารอ เป็นแฟนที่ดีป่ะ”

   “แต่ไม่ทันไง กูมาถึงก่อน”

   “โหย นิดเดียวเอง”

   เสียงบีบแตรไล่จากด้านหลัง ไอ้เม่นเลยเลื่อนรถไปจอดที่ลาน ผมยืนรอจนมันเดินมาหาแล้วเราก็เดินขึ้นหอพักพร้อมกัน

   “วันนี้เรียนโคตรง่วง เผลอหลับไปด้วย บลาๆ” ไอ้เม่นเจื้อยแจ้วมาตลอดทางจนถึงห้อง ก็ดีนะครับ เวลาฟังมันเล่าเรื่องที่มหาลัย ไม่ก็เพื่อนของมัน “พี่ม่านฟังอยู่หรือเปล่า พี่ม่าน”

   “เออๆ ฟังอยู่เนี่ย”

   “แล้วเหม่อทำไม”

   “กูเนี่ยนะเหม่อ”

   “อืม เหม่อ ตอนนี้ก็ตาลอยๆ อาบน้ำแล้วไปกินข้าวกัน”

   “ชาบูกูยังเต็มท้องอยู่เลย”

   “แต่ผมท้องว่างมาก”

   “แต่กูอิ่ม”

   “แต่ผมยังไม่ได้กิน”

   โอเคครับ สรุปอาบน้ำพร้อมกันเพื่อประหยัดเวลาจะได้รีบไปกินข้าว แรกๆ ก็เขินนะเออ การแก้ผ้าอาบน้ำกับคนอื่นนอกเหนือจากเพื่อน ก็เพื่อนไม่เคยมองจ้องร่างกายผมตาแวววาวแบบนี้ ทั้งที่ให้มันอาบก่อนก็ไม่เอา ผมจะอาบก่อนก็ไม่ยอม สุดท้ายเลยต้องอาบด้วยกัน บ้ามาก

   “พี่ม่านครับ”

   “อะไร”

   ตอนนี้เรากำลังนั่งกินข้าวแถวๆ หน้าหอพัก ไอ้เม่นสะกิดผมยิกๆ ตั้งแต่อยู่บนห้อง
 
   “พี่ม่าน”

   “เรียกอีกทีกูเอาส้อมจิ้มตามึงแน่ พูดมา”

   “พี่โคตรขาวอะ เห็นแล้วมีอารมณ์เลย”

   “ไอ้เหี้ยเม่น อยากโดนถีบหรือไง”

   “พี่อ่า ผมเป็นวัยรุ่น วัยคึกคักนี่นา” พูดไปกัดปากไป น่าเอาส้อมจิ้มอย่างที่ว่าจริงๆ “พี่ไม่อยาก...”

   “ไม่โว้ย ไม่อยาก”

   “ผมยังไม่ได้พูดเลยว่าอยากอะไร ฮั่นแน่ คิดลามกกับผมล่ะสิ” ผมกระทืบเท้าไอ้เม่นใต้โต๊ะแต่มันชักหลบทัน “ผมรอได้น่า บอกแล้ว รอพี่พร้อม...แต่สำหรับผมนั้นพร้อมทุกเมื่อ เพราะของผมฟิตมาก”

   ผมทิ่มส้อมไปแต่ไอ้เม่นหลบทัน มันหัวเราะปากกว้างกวนโมโห ปล่อยผ่านไม่ได้นะครับ มันนอนอยู่ข้างๆ ทุกวัน กลัวว่าสักวันมันจะลักหลับผม สงสัยต้องเพิ่มชุดนอนตัวเองไปอีกสักสองสามชั้น ป้องกันไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย

   หรือผมจะต้องกลัวตัวเองก่อนวะ รูปร่างไอ้เม่นก็ทำให้ใจเต้นเหมือนกันนะ

   ไม่สิ ผมต้องไม่นึกภาพตาม

   โอเค ภาพมันชัดเกินไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมก็จ้องมันเหมือนกัน...


   แยกครับ


...TBC


กลอยประเกรียนมาแจมแบบเบาๆ (แต่กลิ่นไม่เบา) ฮ่าๆๆๆ ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 16 +17 +18 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 23-05-2017 16:58:47
เม่นรักม่านสุดๆเลยอะ ส่วนอัธกับเจอะไรยังไง อัธอะไรยังถึงย้างหอมาอยู่ตรมข้ามกับห้องเจเนี่  อิอิ  :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 16 +17 +18 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-05-2017 18:33:54
 :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 16 +17 +18 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 23-05-2017 19:05:17
555 นางกลอยจะไปเผือกเรื่องของอัธกับเจอีกแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 16 +17 +18 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 23-05-2017 19:44:32
 :m20:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 16 +17 +18 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 25-05-2017 07:29:18
ตดกลอยนี่ทำพิษตลอดเลยนะ 555555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 16 +17 +18 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-05-2017 08:56:14
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 16 +17 +18 << [P.4] Up!! // [23/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-05-2017 09:03:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 19 << [P.4] Up!! // [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 14-06-2017 21:09:46

19



        วันหยุดที่ควรจะได้นอนพักผ่อน แต่ผมกลับต้องลากสังขารง่วงๆ มาหอไอ้อัธ เห็นแก่เพื่อนรักนะครับเลยมา ส่วนเรื่องกินฟรีนี่แค่ส่วนเล็กน้อยมากในเหตุผลที่มา...จริงจริ๊ง

   ผมไม่ได้มาคนเดียว วันนี้หนีบไอ้เม่นมาด้วย อันที่จริงไม่พามา มันก็ต้องดิ้นรนโวยวายงอแงจะมาอยู่ดี แม้มันจะไม่ค่อยระรื่นสักเท่าไหร่ คงเพราะรู้ว่า มีใครรออยู่บ้างให้ที่แห่งนั้น วันนี้พวกเพื่อนๆ ของผมนัดสังสรรค์ ซึ่งปกติจะไปกินที่ห้องแฟนไอ้กลอย แต่วันนี้มีแหล่งมั่วสุม เอ๊ย คอนโดใหม่ จึงต้องฉลองกันหน่อย...เขาว่าไง ผมก็ว่างั้นแหละครับ

   “พี่เดินลืมตาปะเนี่ย” ที่โดนถามเพราะเมื่อกี้เดินชนกับประตูลิฟต์ครับ คิดว่ามันเปิดแล้วไง ได้ยินเสียงดังติ๊งก็คิดว่าเปิดทันทีเลยเดินออกไป ที่ไหนได้ ชนไปเต็มๆ แม่งโคตรเจ็บหน้าผาก

   “มึงก็ไม่คิดจะดึงกูเลย” แอบพาลเล็กๆ แถน้อยๆ กลบความอายครับ

   “ก็ดึงไม่ทัน” ไอ้เม่นพูดไป มือก็ยื่นมาลูบหน้าผากผมไป “ดีที่ไม่ปูด”

   “ถ้าปูดกูกลับ” ตาขวางใส่คนหัวเราะหลังผมพูดจบ เออ หัวเราะได้หัวเราะไป ผมเดินหน้ามุ่ยมาถึงประตูห้อง ยกมือเคาะเรียก รอไม่นานก็มีคนมาเปิด “ของฟรีมาไวนะมึง” แขวะเพื่อนรักไป ไอ้กลอยมันก็ยักไหล่ไม่แคร์

   “เชิญครับเพื่อนม่านและแฟนเพื่อน” ดูมันกวน ถ้าไม่ติดว่าแฟนมันจ้องมาละก็ ผมยกขาเตะมันไปแล้ว “คิดซะว่า เป็นห้องของมึงเลยนะ นั่งๆ ไอ้เม่นนั่งเลย ไอ้ทู แจกแก้วสิวะ” ทำตัวเยี่ยงเจ้าของห้อง ทั้งที่เจ้าของห้องตัวจริงกำลังวุ่นอยู่หน้าเตา

   “ไอ้อัธมันทำอะไรวะ” ผมถามขณะรับแก้วน้ำอัดลมจากไอ้ทู เพื่อนสนิทสุดเลิฟ คู่หูของผมเอง เมื่อก่อนตัวติดกัน เดี๋ยวนี้มันติดแฟนมันแทน

   “ทำมื้อเที่ยง” ไอ้ทูว่า ผมเห็นมันหรี่ตามองไอ้เม่นตอนเอาแก้วให้ “ได้ยินจากไอ้กลอยว่ามึงคบกันแบบใสๆ เหรอวะ” พอไอ้ทูโพล่งออกมา ทุกเสียง ทุกสายตาต่างก็พุ่งมาที่ผมกับไอ้เม่น

   “ถามทำพ่อง” ตบหัวไอ้เพื่อนคู่หูเป็นการตอบแทนสำหรับคำถาม ผมกระพริบตาปริบๆ ให้สมองเตรียมคำตอบที่กำลังจะถาโถมมาจากบรรดาผู้สอด เอ้ย ผู้อยากรู้ทั้งหลายที่ส่งสายตากดดันแล้ว “มองกันขนาดนี้ถามมาเลยก็ได้นะครับ” บอกบรรดารุ่นพี่มหาลัยที่สนิท แม้เราจะเรียนคนละคณะ แถมพี่เขาก็เรียนจบไปแล้ว แต่ความรักและความสนิทสนมกลมเกลียวยังคงแน่นแฟ้น

   “นี่...พวกมึงสองคนยังไม่ได้กันอีกเหรอวะ” พี่คนถามชื่อแทมครับ หากจำกันได้ พี่เขาคือคนที่พาผมไปเลี้ยงข้าว

        “รักกัน เรื่องอย่างว่าไม่จำเป็นก็ได้” ตอบแบบเซเลปนิดๆ เลยโดนตบหัวข้อหาหมั่นไส้จนสมองแทบจะไหล เบามือบ้างครับพี่ครับ 

   “ตอแหลสัด” ตวัดสายตามองเจ้าของห้องที่มันตะโกนมา



   โลกมันโหดร้ายจังนะครับ ผมถูกทำร้ายและใส่ร้ายจากพวกคนนิสัยไม่ดี



   “กูไม่ได้ตอแหลไอ้ห่า” เถียงคอแทบจะเป็นเอ็น “พี่แทม หน้าพี่จะทิ่มหน้าไอ้เม่นอยู่แล้ว” ผมรีบดึงเสื้อไอ้เม่นให้ขยับถอยหลัง ไอ้นี่ก็นั่งนิ่งให้พี่เขายื่นหน้ามาหา สงสัยจะเกร็ง หรือไม่ก็ อยากลองของแปลก

   “หวงกับกูเหรอ กูไม่พิศวาสผัวเด็กมึงหรอก ไม่ใช่สเปค” พี่แทมพูดจบเสียงหัวเราะก็ดังรอบทิศ “นี่ไอ้น้อง อย่าหาว่าพี่สอนเลยนะ คิดจะเอาเมียต้องรวบรัด ถ้าไม่ยอมแม่งก็มัดแล้วลากขึ้นเตียงเลย”

   โว๊ย ผมกระทืบพี่แทมได้ไหมเนี่ย

   “พี่แทม!”

   “ไม่ก็ ถามเคล็ดลับเพื่อนกูได้ มันเชี่ยว” พี่แทมยังพูดต่อไม่สนรังสีอำมหิตจากสายตาคนถูกพาดพิง “เรื่องนี้อย่าอาย ได้ยินมะ ด้านได้เมีย อายอดได้เมียนะมึง”

   “พี่แทม ผมไหว้ล่ะ” ยกมือขึ้นไหว้จริงๆ แต่ก็ยังถูกเมิน ไอ้เม่นกระพริบตาปริบๆ ดูตั้งใจฟัง ไอ้นี่ก็อีก อย่าไปฟังสิวะ คนไร้สาระ เรื่องมันก็มีแต่เรื่องไร้สาระ

    “มึงอย่าแกล้งน้องมัน” เสียงสวรรค์ดังจากด้านใน ผมเบะปากอยากจะขอบคุณพี่จอมที่ช่วยห้าม แต่... “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องสอนเพราะถ้าจระเข้ว่ายน้ำไม่เป็นก็จม”

   “เกี่ยวอะไรกับจระเข้เหรอพี่” ไอ้กลอยถามออกมาอย่างสงสัย

   “ไอ้โง่ ก็เรื่องบนเตียงไม่มีใครสอนได้หรอกเว้ย ลีลาใครลีลามัน” พี่จอมพูดเสร็จก็หันไปยักคิ้วให้แฟนตัวเอง

   โว้ย พวกเขากำลังปลุกความหื่นในตัวไอ้เม่นอยู่นะ

   “ไอ้เม่น อย่าไปฟัง” ยื่นมือไปปิดหูคนของผม “พวกพี่นี่นะ ให้ผมอยู่แบบธรรมดาบ้างก็ได้”

   “มึงจะเป็นคนธรรมดาในฝูงเทวดาไม่ได้” พี่ตินพูดขึ้นหลังจากเอาแต่นั่งขำ

   “ฝูงนี่มันใช้กับควายหรือเปล่าพี่” โดนครับ ไอ้กลอยถูกเท้าพี่ตินถีบหลังเต็มๆ ข้อหากวนตีน

   “พอเถอะ ได้โปรดเห็นใจไอ้ม่านคนนี้บ้าง” ว่าอย่างเหลืออด

   “จะให้กูเห็นใจมึง? ถอดเสื้อสิ กูจะได้เห็น”

   “เห็นแต่นมน่ะสิพี่”

   “งั้นไอ้อัธ เอามีดมาดิ๊ กระซวกเอาใจไอ้ม่านออกมาดู มันบอกให้เห็นใจมัน”

   โว้ย พวกพี่เขาทำไมเป็นคนคุยยากแบบนี้วะ

   ผมถอนหายใจมองกลุ่มรุ่นพี่ที่สนิทนั่งสอนไอ้เม่นให้กดผมลงเตียง วิธีแต่ละคนแม่งโคตรจะรับไม่ได้ อยากตอกกลับเหลือเกินว่าให้เก็บไว้ใช้เอง แต่หาจังหวะแทรกไม่ได้เลย


         แล้วความสนใจเรื่องบนเตียงก็ถูกขัด เมื่อกับข้าวหอมๆ ถูกวางลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า กลิ่นหอมของสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสกำลังทำให้น้ำย่อยในท้องปั่นป่วน แม้ฝีมือเจ้าของห้องจะสู้ร้านอาหารหรูๆ ไม่ได้ แต่ก็อร่อย ยืนยันได้จากการแย่งชิงของคนที่อยู่ในห้อง ผมคาบส้อมไว้ในปากมองบรรดารุ่นพี่ร่วมสถาบันแย่งของอร่อยในชามใหญ่ ผมแย่งมาได้แค่คำเดียวเอง

   “พี่ม่าน” เสียงกับส้อมที่ม้วนสปาเก็ตตี้มาจ่อที่ปาก ผมหันไปมองเจอไอ้เม่นยิ้มตาหยี “ผมแย่งมาได้”

   “กินเถอะ” แม้จะกลืนน้ำลายเวลาพูดอยู่หน่อยๆ ก็ตาม

   “พี่กินเถอะ เพราะยังไงแล้วมันก็ไม่อิ่ม” ไอ้เม่นว่าพร้อมขำ ก็จริงของมัน ชามใหญ่แต่คนในห้องอยู่นับสิบ มันจะไปพอยาไส้อะไร

   “ค่อยซื้อไปทำกินที่ห้องก็ได้” ผมว่า

   “พี่ทำเป็นเหรอ”

   “ซื้อแบบสำเร็จรูปไปเวฟเอา”

   “ว่าแล้ว”

   ผมกับไอ้เม่นเริ่มไม่สนใจการแย่งชิงอาหาร ถึงจะสนไปก็เท่านั้น ยังไงก็ไม่ได้กินอยู่ดี ส่วนเจ้าของห้องเอาแต่หัวเราะที่เห็นคนอื่นด่ากันเมื่อแย่งกินไม่ได้

   ผมว่า ผมมีเรื่องที่ควรสนใจใหม่แล้วล่ะ

   “มึงไม่ชวนคนอื่นมาด้วยเหรอ” ลุกเดินไปหาไอ้อัธที่ยืนพิงโต๊ะอาหาร มันมองผมอย่างหน้างงๆ คงไม่เข้าใจคำถาม “ก็ห้องตรงข้ามมึงอะ”

   “ไอ้เจไง” ไอ้กลอยโผล่มาจากไหนไม่รู้ ทำเอาผมกับไอ้อัธสะดุ้งโหยง

   “ทำไมกูต้องชวน” เสียงกับหน้านิ่งๆ ของเพื่อนยิ่งกระตุกต่อมความอยากรู้ของผมกับไอ้กลอย

   “อ่าว คนรู้จักไง อีกอย่าง มันเป็นเพื่อนกูนะ” ผมว่า

   “เพื่อนมึง มึงก็ไปชวนเองสิ” ว่าอย่างไร้เยื่อใยสุดๆ

   “โห ไอ้คนแล้งน้ำใจ” ไอ้กลอยว่า ซึ่งผมก็เห็นด้วย “งั้นกูไปชวนเองก็ได้”

   ผมกับไอ้กลอยเดินปึงปังออกจากห้อง ก่อนไป ผมไม่ลืมฝากไอ้เม่นให้รุ่นพี่ดูแล ไม่รู้ว่ากลับมาไอ้เม่นจะมีสภาพยังไง แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันมองผมตาละห้อยแบบนั้นตอนเดินผ่าน




   ออกจากห้องมา ผมก็เดินไปฝั่งตรงข้าม เคาะประตูจนมือแทบหักก็ไร้เสียงตอบกลับ ไอ้เจมันไม่น่าจะหลับลึกแบบนั้นนี่นา คนประสาทไวแบบนั้น

   “ทำไมมันไม่มาเปิดประตูวะ” ผมว่า ไอ้กลอยย่นคิ้วใช้ความคิด

   “มึงก็โทรไปหาสิ มือถือมีไว้ทำไม” โดนมันด่า แต่ก็จริงของมัน

   ผมกดโทรออกหาเพื่อนสนิท รอสายอยู่นานกว่ามันจะรับ เสียงที่ดังเล็ดลอดออกมาทำเอาขมวดคิ้ว

   “มึงอยู่ไหนวะไอ้เจ” ผมกรอกเสียงลงไป
 
   (กูอยู่ห้างกับแม่ มึงมีอะไรหรือเปล่า) เสียงดังอึกทึกคึกโครมทำให้พอรู้ว่า มันพูดจริง

   “กูแค่จะชวนมึงมากินเหล้าห้องไอ้อัธ” ผมพูดพลางเหล่ตามองไอ้กลอยที่ยื่นหูมาแนบฟังด้วย 

        (อ่าว เมื่อเช้ากูก็บอกไอ้อัธแล้วนะว่ากลับบ้าน มันไม่ได้บอกมึงเหรอ ไอ้มู่แค่นี้นะ กูโดนคุณนายบ่นแล้ว)

   แล้วไอ้เจก็วางไปแล้ว ผมกับไอ้กลอยเลยมองหน้ากันแบบนิ่งๆ ต่อมอยากรู้กระดิกสั่นริกๆ แบบรัวๆ มันต้องมีอะไรแน่นอนล้านเปอร์เซ็น แม้จะผิดแผนไปหน่อย แต่ก็มีพิรุธที่จับได้

       ผมกับไอ้กลอยคิดว่าหากพาไอ้เจเข้าห้อง น่าจะได้รู้ ได้เห็นปฏิกิริยาอะไรบ้าง เพราะไอ้อัธเป็นพวกเก็บความลับโคตรเก่ง ถ้าเรื่องไหนมันไม่บอกเองก็ไม่มีทางรู้ ดังนั้น ต้องใช้วิธีนี้วิธีเดียว

   แต่ก็แห้วรับประทาน

   “กลับห้อง” ผมว่า


   เปิดห้องกลับเข้ามาเห็นคนที่ผมฝากฝังกำลังนั่งดีดกีต้าร์ร้องเพลงให้คนอื่นฟัง แต่ละคนทำหน้าเคลิ้มซะเหมือนเมา หรือว่าอิ่มจนง่วงก็ไม่รู้ ผมละสายตาจากไอ้เม่นแล้วตรงดิ่งไปหาเพื่อนชายนายอัธที่กำลังหาอะไรอยู่หน้าตู้เย็น

   “ไง” พอไอ้อัธเห็นผมกับไอ้กลอยก็ถามขึ้น

   “มันไม่อยู่” ผมว่า

   “เหรอ” ไอ้อัธขานรับแบบเฉยเมยมาก ผมเลยต้องสะกิดไอ้กลอยให้พูดบ้าง เพราะมันเอาแต่จ้องอย่างเดียว

   “มึงรู้อยู่แล้วว่ามันไม่อยู่ ทำไมไม่บอก แถมยังให้พวกกูออกไปเรียกมันอีก” พอไอ้กลอยว่า ไอ้อัธก็หันมามองอีกรอบ ไม่ใช่ว่าผมไม่สังเกต หากเป็นไอ้กลอยหรือเรื่องไอ้กลอย ไอ้อัธมักจะดูกระตือรือร้นมากกว่าคนอื่น อย่างเช่นตอนนี้ที่มันยืนขึ้นเต็มความสูง หลังจากนั่งค้นหาของในตู้เย็น “มึงแกล้งกูเหรอ”

   “มึงไม่ถามเองจะให้กูบอกว่าไง” ผมมองไอ้อัธที่ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากไอ้กลอยจนหน้าหงาย แม้เซ้นส์ไอ้ม่านไม่แรง แต่ก็พอใช้ได้นะครับผม

   “กูผิดเหรอ” ไอ้กลอยปัดมือที่จิ้มหน้าผากมันออก

   “อืม”

   “อ่อ”

   ถึงกับต้องยกมือขึ้นเกาหัวเมื่อสองเพื่อนซี้ต่างแยกย้ายไปคนละที่ อะไรของพวกมันเนี่ย ไอ้ม่านงง



   พอไม่ได้ความอะไร ผมก็เดินย้อนกลับมาหาไอ้เม่น ตอนนี้มันวางกีต้าร์แล้วเพราะทุกคนที่นั่งฟังหลับ ดีเนาะ กินฟรี มีเพลงให้ฟัง มีแอร์เย็นๆ ให้นอนสบาย ดีจริงๆ

   “เพื่อนพี่ไม่มาเหรอ” ไอ้เม่นกระซิบถาม คงกลัวพวกรุ่นพี่จะตื่น ผมส่ายหน้านิดๆ บอก “เหรอ แล้วนี่เราต้องอยู่ถึงค่ำป่ะ”

   “กูว่าจะไม่อยู่ ขี้เกียจ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนผมตัวคนเดียวคงอยู่รอนั่นแหละครับ ของฟรี ของดีอีก ไม่รอก็บ้าแล้ว แต่นี่มีไอ้เม่น ผมกลัวว่ามันจะเบื่อ

   “งั้นเราซื้อไปกินบนห้องก็ได้เนอะ” ยักคิ้วให้เมื่อเห็นว่าเป็นความคิดที่ดี “กลับเลยไหม”

   “ใจร้อนจริง” ไอ้เม่นดูระริกระรี้ตอนชวนกลับ สงสัยจะเบื่อนั่นแหละครับ ก็นะ อยู่กับบรรดาคนไม่ค่อยเต็ม คงปวดหัวน่าดู ดีนะที่ผมเป็นคนสติเต็มร้อย

   ผมตัดสินใจเดินไปสะกิดไอ้กลอยที่นั่งอ้อนแฟนมัน ได้ยินมันฟ้องว่าถูกไอ้อัธแกล้ง ผมบอกว่าจะกลับ ไอ้กลอยก็โบกมือไล่ ส่วนพี่โชแฟนมันยิ้มให้น้อยๆ บอกคู่รักแห่งปีเสร็จ ผมก็เดินไปบอกไอ้อัธ จะกลับไม่บอกเจ้าของห้องคงไม่ดีเท่าไหร่

   “ไปเถะ” ผมเดินนำไอ้เม่นออกมาจากห้อง มือที่ว่างถูกจับหมับจนเกือบจะดึงออกเพราะตกใจ คนจับยิ้มตาหยีให้ “อะไรของมึงเนี่ย”

   “เดี๋ยวพี่หลง” ตอนแรกก็ทำหน้างงว่าผมจะหลงไปไหน แต่เห็นรอยยิ้มของมันแล้วก็พอจะรู้ว่าไอ้เม่นหมายถึงหลงอะไร “จับไว้แบบนี้ดีจัง อุ่นด้วย”

   “ร้อนสิไม่ว่า” มือมันร้อนจริงๆ ครับ เหงื่อเต็มมือเลย “หิวอะ ไปหาอะไรกินก่อน”

   “ได้ขอรับ นายเม่นคนนี้พร้อมรับคำสั่งจากพี่ม่านเสมอ” ผมหลุดขำ เมื่อเห็นไอ้เม่นตะเบ๊ะเหมือนทหาร “ว่าแต่ รุ่นพี่พวกนั้นโคตรตลก”

   “ปกติ แรกๆ อาจจะดูน่ากลัว พออยู่นานๆ พวกพี่เขาก็น่ารักดี เป็นที่พึ่งได้ดีมากเชียวล่ะ” ผมว่า

   “ก็คงงั้น” เหล่ตามองไอ้เม่นที่ยิ้มแปลกๆ

   “ดีทุกเรื่อง ยกเว้นคำแนะนำ มึงอย่าไปฟังมาก มีแต่เรื่องไร้สาระ” ต้องรีบขวางก่อน ไม่รู้ไอ้เม่นถูกเป่าหูอะไรมาบ้างช่วงที่ผมออกจากห้อง

   “บางอย่างก็มีสาระนะ” หันขวับไปมอง ไม่นะ มึงอย่ายิ้มสยองแบบนั้น “อย่างเช่น แนวข้อสอบเข้ามหาลัย” ถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ยิน

   “มึงถามพวกพี่เขาเหรอ” อันที่จริง เห็นไร้สาระแบบนั้นเรียนเก่งกันทุกคนนะครับ หัวกะทิทุกคน ไอ้เม่นพยักหน้าลงเป็นคำตอบ “ก็ดี พวกพี่เขาเรียนเก่ง”





   ผมเลือกจะซื้อข้าวกลับไปกินที่ห้อง สังเกตเห็นไอ้เม่นเงียบๆ บางครั้งคิ้วมันก็ขมวดเหมือนกำลังใช้ความคิด หรือมันเครียดเรื่องจะสอบเข้าก็ไม่รู้ ผมเก็บจานที่กินเสร็จไปล้าง ปล่อยให้ไอ้เด็กต่างมหาลัยนั่งเงียบๆ ของมันไป เก็บจานเสร็จก็พอดีกับมือถือตัวเองดัง ผมรีบวิ่งไปรับ หน้าจอโชว์เบอร์ไม่คุ้น

   “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงนิ่งๆ ตาก็เหล่มองคนที่ยื่นหน้ามาแนบฟังด้วย

   (พี่ม่านใช่ไหมครับ ผมแว่นเองนะ) ชื่อที่ได้ยินทำเอานิ่งไปนิดๆ ก่อนหน้าเด็กที่ใส่แว่นกลมๆ จะลอยเข้ามา
 
   “อ๋อ จำได้ละ มีอะไรหรือเปล่า แล้วรู้เบอร์พี่ได้ยังไง” สุภาพนิดหนึ่ง กับเด็กปีหนึ่งต้องปั้นหน้าทำตัวเป็นคนดีนิดหนึ่ง แม้รู้ว่าไม่ค่อยจะทันก็เถอะ ช่วงแรกหยาบใส่มันพอดู ว่าแต่ มันรู้เบอร์ผมได้ยังไงวะครับ ผมไม่เคยให้เบอร์เด็กปีหนึ่ง หรือมันได้มาจากพี่รหัสมัน ไอ้เชี่ยนี่แจกเบอร์ไปเรื่อย

   (ได้มาจากพี่รหัสครับ) นั่นไง ทำไมไม่ถูกหวยแบบนี้วะ

   “แล้วมีอะไร”

   (คือผมจะเอาขนมให้พี่ เลยจะโทรถามว่าอยู่ในมอหรือเปล่าตอนนี้) ไอ้เด็กนี่มีน้ำใจ

   “พี่ไม่เข้ามอวันนี้อะ แต่ขอบใจมาก” ผมว่า “เอาจริงๆ พี่ต้องเลี้ยงหรือเปล่าวะ” กำลังคิดจะเลี้ยงเหมือนกันครับ แต่ต้องรอนัดสายก่อน อีกอย่าง ตังค์หมด 

   (งั้นผมจะรอนะครับ แล้วนี่เบอร์ผมนะ พี่อย่าลืมบันทึกเบอร์หลานรหัสนะครับ สวัสดีครับ) ปลายสายวางไปแล้วหลังคุยจบ แต่ดูเหมือนมีคนยังไม่จบ ไอ้เม่นหน้างอจ้องหน้าผมในระยะประชิด

   “อะไรของมึง จะนับขนตากูหรือไง” หน้ามันแทบจะชนหน้าผมอยู่แล้ว

   “ใครอะ” เสียงไอ้เม่นโคตรนิ่ง หน้าที่ขยับออกห่างนิดๆ ฉายแววโหดเหี้ยม

   “หลานรหัส” ผมบอก ก่อนจะลุกขึ้น แต่กลับถูกดึงให้นั่งลงตามเดิม “อะไร”

   “ห้ามทำให้ผมหึงนะ ผมขี้หึงมาก” เลิกคิ้วมองคนบอกว่าตัวเองขี้หึง “ไม่ได้ล้อเล่น”

   “เออ กูเชื่อ” จิ้มหน้าผากคนบอกขี้หึงไปจนหน้ามันหงาย ผมยังจำภาพงานวันเกิดเพื่อนมันได้ดี หน้าตาไม่ได้โหดแบบเล่นๆ บอกปุ๊บไอ้เม่นก็เริ่มคลี่ยิ้มพร้อมส่งแขนยาวๆ มาโอบเอวผม หน้าขาวซบที่อกจนรู้สึกจั๊กจี๋

   “พี่ห้ามมองคนอื่น เพราะพี่เป็นของผมคนเดียว เข้าใจหรือเปล่า” ก็อยากจะตอบแต่ต้องกลั้นหายใจเมื่อถูกจูบตรงหน้าอกด้านซ้าย

   “ทำเชี่ยอะไร ขนลุก”

   “จูบหัวใจไง”

   “หัวใจหรือหัวนม”

   “ทั้งคู่”

   “ไอ้!”

   ยกมือเขกหัวไอ้คนหื่น ไอ้เม่นหัวเราะร่าไม่เหลือเค้าตอนขากลับ ไม่รู้ว่าที่เงียบๆ นั่นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ อยากถามตามต่อมเผือก แต่ก็ไม่กล้า

   “พี่ม่าน” เสียงเรียกของคนที่กอดเอวทำให้ผมก้มหน้ามอง ไอ้เม่นช้อนสายตาขึ้นมาโคตรน่ารัก “ถ้าผมสอบติด...”

   “อยากได้อะไร” ผมขัดขึ้นเมื่อรู้ทัน

   “ผม...” รอฟังของที่อยากได้ แต่มือที่ลูบอยู่แถวๆ ก้นมันช่างดึงความสนใจซะจริงๆ “คือผม...”

   “ผมอยู่บนหัว แต่มือมึงอยู่ที่ก้น จะลูบให้เลขขึ้นหรือไงวะ” ผมดึงหูไอ้คนหัวเราะแห้งๆ แต่มันก็ไม่มีท่าทางสลด

   “โหย ก็อยู่ใกล้พี่ทีไร กลิ่นพี่ทำให้ผมเบลอเผลอคึกทุกทีเลย”

   “งั้นมึงก็อยู่ไกลๆ” ยิ่งว่ายิ่งดันหัว ไอ้เม่นยิ่งรัดเอวผมแน่นขึ้นไปอีก ผมไม่ได้เป็นเด็กอมมือที่ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ทั้งสายตา ทั้งการกระทำมันเห็นชัดอยู่แล้วกับสิ่งที่มันอยากขอ แต่บางทีมันก็ต้องให้เวลาผมทำใจบ้าง “กูรู้ว่ามึงอยากได้อะไร แต่...แต่กู” ผมอึกอักไม่กล้าพูด ต่างจากไอ้เด็กที่จ้องหน้าผมตาแป๋วฉายแววอยากรู้เต็มแก่ “แต่กูไม่กล้า” ไอ้เม่นทำตาโตก่อนปล่อยเสียงหัวเราะออกมา แค่นี้ผมก็อายจะแย่ที่พูด มันยังมาหัวเราะใส่อีก 

   “เรื่องพวกนี้มันต้องใช้ความกล้าด้วยเหรอ” ไอ้เม่นถาม มือมันยกเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกจากหางตา
 
   “เออสิ มึงลองนอนให้กูเอาป่ะล่ะ แบบนั้นกูจะไม่กลัวเลย” ผมรู้ตัวดีว่ากดไอ้เม่นไม่ได้แน่นอน ดังนั้นผมก็ต้องเป็นฝ่ายรับ ผมคิดถูกใช่ไหม ดีนะที่อ่านการ์ตูนแนวนี้มาบ้าง ต้องขอบคุณไอ้กลอยที่เอามาให้อ่านทำให้ไม่ตกเทรน   

   “เอาจริงอะ” คนกอดเอวผมผละลุกไปนั่ง ดวงตามันจ้องอย่างตื่นๆ

   “เออ” ไอ้เม่นถึงกับกระโดดไปยืนข้างเตียงมือจับก้นตัวเองเมื่อได้คำยืนยัน หน้ามันโคตรตลกจนต้องขำออกมา “หน้ามึงโคตรตลก”

   “พี่แกล้งผมเหรอ” หน้าหงิกยิ่งตลก ผมล้มตัวนอนหัวเราะตัวงออยู่บนเตียง แกล้งเด็กมันดีอย่างนี้นี่เอง “โอ๊ย ปวดท้อง”

   “ได้” มัวแต่หัวเราะจนเปิดโอกาสให้ไอ้เม่นตะครุบ มันทิ้งน้ำหนักตัวกดทับซะผมแบนติดเตียง “เล่นผิดคนซะแล้วนะจะบอกให้”

   “เชี่ย ไอ้เม่น” ถูกมันคลุกวงในอีกแล้ว ผมรีบจับมือร้อนของมันที่พยายามลวนลาม ไอ้นี่เปิดช่องว่างไม่ได้เลยนะ “โอ๊ย กูจั๊กจี้” ดิ้นเป็นไส้เดือนถูกขี้เถา พอผมดึงมือมันออกจากท้อง มันก็เปลี่ยนมาจี้เอวผมแทน ตอนนี้หัวเราะใกล้จะตายแล้วครับ แม่ง

   “ยอมหรือยัง” ไอ้เม่นไม่มีท่าทีจะหยุด มือย้ายจากเอวมาจิ้มแถวอก พอปัดที่อกย้ายลงไปที่เอว “ยอมหรือยัง จะยอมผมหรือยัง”

   “เออๆ กูยอม พอแล้วๆ” ขำจนหน้าแดงแน่ๆ ตอนนี้ ผมพูดปุ๊บ มือที่จี้ก็หยุด “จะทำให้กูหัวเราะตายหรือไง” นอนหอบเหนื่อยจากการหัวเราะ มือก็ยกเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลออกมาอย่างเยอะ

   “ใครจะฆ่าคนรักตายได้เล่า รักออกขนาดนี้” ดูปากมันครับ ไอ้เม่นยิ้มก่อนจะซบหน้าบนอกของผม มือมันสอดไปด้านหลัง ตอนนี้ผมถูกมันกอดไว้ทั้งตัวและแนบชิดสุดๆ

   “จะอ้อนเอาอะไร หรือจะเอาของขวัญถ้าสอบได้?” ลองถามอีกรอบ อยากรู้มันจะกล้าบอกในสิ่งที่ต้องการหรือเปล่า

   “ถ้าผมสอบได้ พี่ย้ายไปอยู่กับผมที่คอนโดนะ” คำขอที่ผิดคาดไปนิด ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน “ห้องของพี่ผมก็อยู่ได้นะ แต่มันแคบไปแถมดูไม่ปลอดภัยด้วย”

   “ไม่ปลอดภัยยังไง” ผมอยู่มาเข้าปีที่สามยังไม่เห็นมีอะไร

   “เมื่อวานผมได้ยินคนข้างล่างคุยว่า ของหาย มีโจรงัดห้อง”

   “จริงดิ่ ทำไมกูไม่เห็นรู้” ป้าที่นั่งเคาน์เตอร์ไม่เห็นบอกผมเลย “โม้หรือเปล่ามึง”

   “ผมพูดจริงๆ พี่ไปถามได้เลย พี่ห้องสองสองหนึ่ง” น้ำเสียงโมโนโทนดูไม่น่าจะโกหก “นะ ไปอยู่คอนโดผม แม้มันจะไกลมหาลัยไปหน่อย แต่ก็ปลอดภัยกว่าเยอะเลย”

   “จำเป็นเหรอวะ”

   “มาก”

   “ถ้าสอบติดนะ” เห็นจากสายตาเว้าวอนนั่นก็ใจอ่อนทุกที สุดท้ายก็ต้องรับปาก ทั้งที่ไม่อยากจากห้องนี้ไป ผมรู้สึกผูกพันนะ อยู่มาหลายปี เคยร่วมทุกข์จากท่อน้ำรั่ว ร่วมสุขจากการได้มิตรภาพดีๆ จากข้างห้องเมื่อตอนปีแรกๆ

   “ได้อยู่แล้ว ไอ้เม่นซะอย่าง คอยดูเถอะ จะเอาท็อปให้ดู” ผมถูกหอมแก้มซ้ายแก้มขวาจนแทบช้ำ “ขอบคุณนะ”

   “อย่าเพิ่งขอบคุณ ทำให้ได้ก่อน”

   “รับทราบ”

   นี่ผมรักไอ้เด็กคนนี้มากเกินไปใช่ไหม ใช่ เกินไปมาก มากซะจนยอมตามใจ ยอมให้มันคลุกวงใน ยอมให้มันหอมแก้ม ให้จูบ ทั้งที่ผมโคตรหวงตัวกับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนสนิท นี่ผมรักมันแบบปฏิเสธไม่ได้แล้วสินะ

   ก็ได้



   ผมรักไอ้เม่น



...TBC

ขอโทษที่มาช้า (อีกแล้ว)  :mew2:
ต่อไปจะไม่สัญญา แต่จะพยายามทำให้ดีขึ้นค่าา
ขอบพระคุณค่า (ก้มกราบ)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 19 << [P.4] Up!! // [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 14-06-2017 23:06:25
ม่านเสร็จเม่นแน่ๆๆ :katai5:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 19 << [P.4] Up!! // [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 15-06-2017 00:45:42
เม่นน่ารักน้าาา ยอมๆไปเถอะม่าน
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 20 << [P.4] Up!! // [20/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 20-06-2017 21:22:36

20



        บรรยากาศตอนเช้ากับตอนค่ำช่างแตกต่าง ผมหมายถึงในห้องพักผมนี่ละ สาเหตุมาจากไอ้แฟนเด็กของผมที่กลับมาจากมหาลัยก็เอาแต่นั่งหน้าเครียดอ่านหนังสือเอาเป็นเอาตาย ผมมาเห็นกับตาก็วันที่มันทำโจทย์คณิตได้คะแนนเต็มจากหนังสือที่ซื้อมา

   สมกับที่มันโม้ไว้จริงๆ

   “กินข้าวเลยไหม” ผมถามขณะนั่งยองๆ ข้างคนตั้งใจอ่านหนังสือ ไอ้เม่นเงยหน้ามามอง นิ้วมือยกดันแว่นกรอบสีน้ำเงินที่จมูกขึ้นแล้วพยักหน้าช้าๆ “วันนี้ซื้อราดหน้านะ”

   “ผมกินได้หมดถ้าพี่ม่านซื้อมา” ไอ้เม่นพับหนังสือเก็บไว้เพื่อให้ผมวางชามราดหน้า

   ตั้งแต่มันรับปากเรื่องสอบเข้ามหาลัยผม ไอ้เม่นก็กลายเป็นเด็กมุ่งมั่นตั้งใจกับหนังสือ ชวนไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่ค่อยจะไปหากไม่จำเป็น ผมว่า หากผมได้ส่วนนี้มันมาสักครึ่ง การเรียนผมคงได้ท็อปแน่นอน

   “เอาแต่อ่านหนังสือสอบ หนังสือเรียนอ่านบ้างหรือเปล่า” ถามคนตั้งใจกินและอ่านหนังสือ ขนาดตอนกินมันยังอ่านคิดดู
 
   “อ่านแล้ว” ไอ้เม่นตอบหลังกลืนราดหน้าคำโต “เอ่อ ผมต้องไปทำรายงานกลุ่ม”

   “ที่ไหน วันนี้เหรอ” อยู่กันมานานมันก็ต้องถามเป็นธรรมดา ไอ้เม่นเงยหน้าจากหนังสือมายิ้มให้ผม

   “ตอนแรกจะให้มาทำที่นี่แต่เกรงใจ เลยนัดกันไปทำที่ใต้ตึกคณะแทน”

   “เพื่อนกลุ่มนั้นอะนะ”

   “ไม่ใช่ครับ นี่เพื่อนคนละกลุ่ม รุ่นน้องพี่กลอย” พอได้ยินชื่อเพื่อนตัวเองผมก็พยักหน้ารับ “พี่ไปด้วยกันไหม”

   “ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไปเถอะ” ว่าก่อนตักราดหน้าเข้าปาก

   “ช่วยสิ ช่วยเป็นกำลังใจไง” แทบสำลัก ผมมองคนเสี่ยวตาขวาง “ไปนะ ไปด้วยกัน” เหล่ตามองคนคะยั้นคะยอ ก่อนพยักหน้ารับ เห็นแก่สายตาออดอ้อนของมันหรอกนะ

   ราดหน้าในชามหมดอย่างไว ไอ้เม่นดูกระตือรืนร้นเอามากๆ มันแบกเป้ที่มีทั้งหนังสือกับแล็ปท็อปราคาแพงของมันขึ้นหลัง เห็นแล้วกลัวหลังมันจะหัก

   ไอ้เม่นขับรถของมันพาผมมุ่งหน้าสู่มหาลัยที่มันเรียน ผมก็เคยมาบ่อยอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนี้เรียนหนัก อีกอย่าง ไอ้กลอยก็ยุ่ง มาก็ไม่ได้เจอ ต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด

   มหาลัยที่นี่ดูไม่ต่างจากมหาลัยผมมากนัก โดยเฉพาะต้นไม้ที่ปลูกเยอะพอๆ กัน กลางวันให้ร่มเงา กลางคืนก็หลอนเบาๆ ไอ้เม่นเลี้ยวรถไปเรื่อยๆ จนมาหยุดหน้าตึกสูง ผมเปิดประตูรถออกมาโดยมีไอ้เม่นยืนยิ้มแป้นรออยู่

   “เพื่อนมึงรออยู่แล้วหรือต้องมารอวะ” ที่ถามเพราะบรรยากาศดูเงียบๆ ทั้งที่ยังไม่ดึกมากแต่คณะนี้ดูเงียบพิกล

   “รออยู่แล้ว พี่กลัวผีเหรอ” มองตาขวางใส่ไอ้เด็กที่หัวเราะเยาะ “ล้อเล่นน่า ผมอยู่มาตั้งนานยังไม่เคยเจอ” อยู่ๆ ผมก็ถอนหายใจออกมาเฉย

   เดี๋ยวนะ ผมไม่ได้กลัวผีสักหน่อย

   “รีบๆ เดิน พูดมากจริงมึง” รีบเดินกระแทกไหล่แซงมันไป ไม่สนเสียงหัวเราะที่ตามหลังมาติดๆ

   “พี่รู้ทางเหรอ” ไอ้นี่ดูถูกจริง

   “รู้ดิ่ กูมาบ่อย เพื่อนกูเรียนที่นี่นะโว้ย” พูดข่ม

   “อ่าวเหรอ เพิ่งรู้ เพื่อนพี่คนไหน” แล้วมันก็หัวเราะ ผมเหวี่ยงขาไปด้านหลังเพื่อเตะมัน แต่กลับหลบได้ ไอ้เม่นหัวเราะเสียงดังเดินมาชิดก่อนยกแขนขึ้นพาดคอผม “พี่นี่ตัวพอดีกับที่วางแขนเลยอะ”

   “ไอ้เชี่ย” สาดคำด่าแต่ก็ไม่สะทกสะท้าน ผมพยายามสะบัดตัวให้หลุดจากแขนที่รัด แต่ก็ยากเต็มทน





   เราสองคนเดินเข้ามาในตึก ข้างนอกดูเงียบเหงาวังเวง แต่พอเข้ามาแล้วต้องรีบเปลี่ยนความคิด เพราะตอนนี้มีนักศึกษานั่งอยู่เต็มไปหมด บางโต๊ะก็โวยวาย บางโต๊ะก็ทำงาน อ่านหนังสือ

   “มองหาใครเหรอ” เสียงกระซิบเบาๆ ชิดใบหูเอาซะคันหูหน่อยๆ

   “ไอ้กลอย” ผมบอกไป

   “พี่เขาคงมานั่งทำงานที่นี่ไม่ได้หรอก” ย่นคิ้วให้สิ่งที่ได้ยิน แต่ประโยคต่อไปก็พอจะเข้าใจ “ก็แฟนพี่เขาคงไม่ปล่อยให้มานั่งที่นี่”

   “ก็จริง” แฟนมันหวงชนิดที่ว่า ยุงไม่ไต่เลยทีเดียว “ไหนเพื่อนมึง” มัวแต่เดินเอ้อระเหย กว่าจะได้ทำงานคงเช้าพอดี

   “นู้นไง นั่งอยู่ตรงนั้น” ผมมองตามนิ้วที่ชี้ เห็นผู้ชายสวมเสื้อยืดสีขาวกับสีดำนั่งอยู่สองคน บนโต๊ะมีกองหนังสือที่น้อยกว่ากองซองขนม

   ผมถูกกอดไหล่เดินเข้าไปหา พอไปถึงโต๊ะ ผมเห็นเพื่อนมันเงยขึ้นมาอ้าปากเตรียมทัก แต่คงจะหนักไปทางด่ามากกว่า เห็นผมมาด้วยเลยพากันหุบปากแล้วยิ้มแห้งๆ

   “สวัสดีครับ” ผมพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเมื่อถูกยกมือไหว้สวัสดี “พี่ม่านแฟนไอ้เม่นใช่ไหมครับ” ไอ้เด็กเสื้อดำมันถาม สีหน้ากับรอยยิ้มโคตรกวน ก่อนจะถูกฝ่ามือใหญ่ๆ ของเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆ ตบเข้าเต็มหัวจนหน้าคะมำ

   “นี่มึงโง่หรือเปล่าไอ้เชี่ยเบียร์”

   “ตบหัวกูหาพ่อง แล้วด่ากูโง่อีก กูโง่เรื่องอะไร”

   “พี่เขามากับไอ้เม่น ก็ต้องเป็นแฟนไอ้เม่นสิ แล้วมึงยังถามว่าใช่ไหม ไอ้งั่ง”

   “แค่นี้กูก็ผิดเหรอวะ”

   ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับเด็กทะเลาะกัน โคตรไร้สาระ ยังดีที่ไอ้เม่นห้ามทัพได้ พวกมันสองคนเลยยอมเปลี่ยนเรื่องคุย กองหนังสือบนโต๊ะคงเป็นส่วนหนึ่งของการทำรายงาน ผมนั่งดูเด็กผู้ชายสามคนนั่งหน้าเครียด ขีดๆ เขียนๆ ในหนังสือ คงหาข้อมูลรายงาน

   “พี่คิดยังไงถึงคบกับไอ้เม่นเหรอครับ” ไอ้เด็กเสื้อดำที่ชื่อเบียร์ถามขึ้นมา เลยถูกตบเน้นๆ กลางหัวโทษฐานที่มันไม่สนใจรายงานสองป๊าบใหญ่ จนหน้ายู่ “อูย”

   “สนใจงานโว้ย ไม่ใช่แฟนกู” คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่าใครทำ ไอ้เม่นตีหน้าโหดขยับมานั่งชิดผมจนแทบจะเกยตักอยู่แล้ว “พี่อย่าไปสนใจมันนะ”

   “เออ” ตอบสั้นๆ พร้อมกับส่งศอกใส่ท้องไอ้เม่นเบาๆ เพื่อให้มันขยับไปบ้าง 

   การทำรายงานของเด็กสามคนเริ่มอีกรอบ ผมนั่งเบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไร เอามือถือมากดเล่นก็เบื่อ จะดูหนัง ฟังเพลงก็กลัวจะไปกวนสมาธิ สุดท้ายเลยฟุบหน้ากับโต๊ะแทน

   “พี่เขาดูไม่เหมือนพี่กลอยเลยว่ะ” เสียงลอยเข้าหูหลังจากฟุบหน้าไม่นาน พวกมันคงคิดว่าผมหลับแน่ๆ “แต่ตัวขาวกว่า”

   “เดี๋ยวโดนตีนกูไอ้ห่าไม้” เสียงไอ้เม่น ผมหรี่ตามอง เห็นมันยืดตัวไปเขกหัวเพื่อนมันด้วย

   “ขี้หึงซะด้วยเพื่อนกู” นี่เสียงไอ้เด็กเสื้อดำผมจำได้ “แต่กูว่า ปล่อยให้พวกกูรู้จักมากๆ บ้างก็ได้ เดี๋ยวมึงก็ย้ายแล้ว นานๆ ถึงจะได้เจอ”

   “จริงอย่างที่ไอ้เบียร์ว่า” แล้วพวกมันก็หัวเราะ เพื่อนไอ้เม่นโคตรไร้สาระ

   “พวกมึงไม่ต้องอยากรู้จักกับแฟนกูเลย...” ก่อนไอ้เม่นจะพูดยาวกว่านั้น ผมก็แกล้งขยับตัวพร้อมกับเงยหน้าทำตาตี่ๆ เหมือนพึ่งตื่น แถมอ้าปากหาวเพิ่มความเนียน “ทำไมตื่นไวล่ะ เสียงพวกผมดังไปเหรอ”

   “เปล่า กูแค่พักสายตาแป๊บๆ” เห็นคนถามพยักหน้า แปลว่าผมโกหกเนียน รางวัลออสก้าควรมอบถ้วยให้ผมบ้างนะ “ทำงานกันเสร็จแล้วเหรอ”

   “ยังครับพี่” เป็นไอ้เด็กที่ชื่อเบียร์ตอบ “ไอ้เม่น มึงพาพี่เขามาลำบากว่ะ”

   “พี่ม่านกลับก่อนไหม เอารถผมไป เดี๋ยวทำเสร็จผมจะให้ไอ้ไม้ไปส่ง” พอได้ยินเพื่อนพูด มันก็หันหน้ามาถามผม ซึ่งผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธไป

   “ไม่เป็นไร กูรอได้” ตอบไอ้เม่นก่อนหันไปมองเพื่อนมัน “แล้วก็ พี่ไม่ลำบากอะไร แค่หิว”

   “หน้ามอมีร้านสะดวกซื้อนะพี่” เพื่อนอีกคนของไอ้เม่นว่า จะว่าไปเหมือนได้ยินว่าชื่อไม่ๆ อะไรนี่แหละ (คนอะไรชื่อไม่วะ)

   “พี่ก็พอรู้เหมือนกัน เคยมาหาเพื่อนเมื่อก่อน” ผมตอบ

   “พี่กลอยสินะครับ แหม เป็นเพื่อนที่ไม่เหมือนกันเลยนะครับ” ไอ้เบียร์ยื่นหน้ามาถาม

   “เพื่อนกันก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหรือเปล่าครับน้อง” ช่วงที่ผมตอบ ไอ้เม่นกลับสะกิดผมยิกๆ จนต้องหันไปมอง “อะไรของมึงวะ”     

   “ทำไมพี่พูดกับไอ้พวกนี้เพราะล่ะ” งงสิครับ อยู่ๆ ก็ถูกง้องแง้งใส่
 
   “พูดเพราะยังไงวะ” จ้องหน้าคนทำหน้างอ

   “ก็แทนตัวเองว่าพี่ตลอด ทีคุยกับผม มึงงี้ กูงี้”

   “กูไม่สนิทกับเพื่อนมึงไง จะให้กูมึงกับคนไม่สนิทเหรอวะ” เงียบครับ ไอ้คนงอนเริ่มเงียบใส่ “โอเค งั้น พวกมึงสองคน...อื้อ” กำลังจะคุยต่อกลับถูกมือไอ้เม่นปิดปากเฉย อะไรของมันเนี่ย

   “โอเคๆ เข้าใจแล้ว ไม่ต้องยกตัวอย่างก็ได้”

   “เอ้าไอแอ้วอ่อเอาอือออด” (เข้าใจแล้วก็เอามือออก) ข่มขู่ทางสายตาไปมือที่อุดปากถึงถูกเอาออก “มือโคตรเค็ม” ยกหลังมือเช็ดปาก ไม่รู้มันเข้าห้องน้ำมาหรือเปล่า อี๋

   “มันโคตรหลงพี่อะ” ไอ้เด็กเบียร์ว่า

   “ผมเห็นด้วย หลงมากกว่าตอนหลงเพื่อนพี่อีก” ไอ้เด็กไม่ว่า

   “น้องชื่อไม่เหรอ ทำไมชื่อโคตรแปลกวะ” เมินคำถามมาถามเอง ก็มันอดไม่ได้ที่จะถามนี่นา ความอยากรู้อยากเห็นมันพุ่งพล่าน คือผมอยากรู้ที่มาของชื่อจริงๆ “ทำไมอะ” แต่ดูเหมือนสามคนที่นั่งจะตกใจในสิ่งที่ผมถาม หรือผมถามจี้จุดดราม่าหรือเปล่า

   “ชื่อไม่? ไอ้นี้เหรอครับ” ไอ้เด็กกวนตีนย้อนถามผมตาโต พอพยักหน้าตอบ พวกมันก็พากันหัวเราะลั่น “โอ๊ยพี่ครับ ขอขำแป๊บนะ” หน้าตูบเลยไอ้ม่าน

   “เออ ขำให้อากาศติดคอพวกมึงตายไปเลย” ตวัดเสียงและสายตาใส่พวกมันไปแต่ก็ดูไม่สะทกสะท้าน

   “พี่ครับ” ไอ้เด็กชื่อไม่หยุดขำก่อนใครเพื่อน มันยิ้มโชว์ฟันขาว “ผมไม่ได้ชื่อไม่ครับ”

   “อ่าว แล้วชื่ออะไรอะ”

   “ไม้ครับพี่ ชื่อไม้ ต้นไม้แบบนี้ ไม่ใช่ชื่อไม่”



   ได้ยินอะไรกันไหมครับ หน้าผมไง เสียงแตกของหน้าที่ดังลั่นพร้อมเศษกระจัดกระจายเต็มพื้น เกิดมาไม่เคยอายขนาดนี้มาก่อน



   “พวกมึงห้ามหัวเราะแฟนกู” ไอ้เม่นออกโรงปกป้อง แต่ผมเห็นมันหัวเราะคนแรกเลย ไอ้ห่านี่

   ในช่วงที่ผมเอียงซ้ายเอียงขวาหลบความโง่ของตัวเอง เสียงเอะอะของคนกลุ่มใหญ่ดังมาก่อนจะเห็นตัว ไม่ถึงนาทีคนกลุ่มนั้นก็เดินมาทางที่ผมนั่ง ไอ้เม่นกับเพื่อนมันพากันหยุดขำแล้วยกมือไหว้ น่าจะรุ่นพี่มันนั่นแหละครับ

   “พี่ม่านใช่ไหม” เสียงทักจากด้านข้างทำให้หันไปมอง คนเรียกผมหน้าตามันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักที่ “พี่ม่านเพื่อนพี่กลอยใช่ไหมครับ” ถูกถามย้ำอีกรอบ คราวนี้ผมพยักหน้าช้าๆ เมื่อจำหน้าลางๆ ของมันได้บ้างแล้ว

   “น้องรหัสไอ้กลอย ใช่ไหม?” ถามน้ำเสียงบางเบาเพราะกลัวหน้าแตกรอบสอง แต่พอมันพยักหน้าผมก็รีบถอนหายใจ


   เกือบหน้าแตกรอบสองแล้วกู


   “นึกว่าพี่จะจำผมไม่ได้ซะอีก” ยิ้มแห้งๆ ให้ ทั้งที่อยากบอกเหลือเกินว่าตอนแรกก็จำไม่ได้นั่นแหละ “พี่ทำไมมานั่งกับเด็กปีหนึ่งละครับ พี่กลอยน่าจะกลับตั้งแต่เช้าแล้วนะ”

   “เออกูรู้” ผมว่า “แล้วนี่จะกลับแล้วเหรอ” เพราะเห็นมันแบกเป้กัน

   “เปล่าครับ แค่เปลี่ยนที่ ตรงนั้นยุงกัด”

   “เหรอ ก็ดีนะ ไข้เลือดออกจะได้ไม่ถามหา”

   ทำไมรู้สึกแปลกๆ เหมือนกำลังถูกจ้อง

   “ผมว่าจะไปซื้อของหน้ามอ พี่อยากไปด้วยกันไหม” เป็นคำชวนที่ทำให้ตาวาว “สนไหมครับ”

   “ไม่...”

   “ไปๆ พวกมึงอยากได้อะไรไหม” เหมือนผมจะได้ยินไอ้เม่นพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่ได้สนใจ เด็กขาวดำสั่งของรัวจนผมต้องชี้กระดาษให้พวกมันจด “ไม่เอาอะไรเหรอ” หันกลับมาถามคนข้างๆ ที่ตอนนี้จ้องหน้าอย่างกับจะกินหัวผม

   “ไม่” คำตอบสั้นๆ แต่ชัดเจน

   “ตามใจ” ผมว่า ก่อนเดินตามหลังน้องรหัสไอ้กลอย รู้แค่นั้นแต่จำชื่อมันไม่ได้ “มึงชื่ออะไรนะ” ผมถามขณะซ้อนมอเตอร์ไซต์ที่มันเพิ่งยืมเพื่อนมันมา

   “รอนครับ” เสียงตะโกนแข่งกับลมแต่ก็ได้ยิน ผมพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้รู้ชื่อ อีกไม่กี่วันผมก็ลืมชื่อนี้ เชื่อผมไหมครับ “พี่สนิทกับปีหนึ่งกลุ่มนั้นเหรอครับ”

   “ก็...นิดหนึ่ง” ผมตอบ ตอนนี้ไอ้เด็กรอนมันลดความเร็วลง คงอยากเผือกเรื่องผมเต็มแก่ “มึงไม่ชอบเด็กสามคนนั่นเหรอ”

   “ก็ไม่เชิงหรอกครับ แค่ไม่ถูกชะตาตอนแรก” เรื่องนี้ผมอยากรู้มากกว่าอีก

   “ถ้าให้เดา เรื่องไอ้กลอยใช่ป่ะ” ที่จริงไม่ต้องเดาก็รู้ครับ เพราะไอ้เด็กรอนก็เคยชอบไอ้กลอยเหมือนกัน เพื่อนผมเสน่ห์แรงเพราะความเพี้ยนของมัน ผมได้ยินเสียงไอ้รอนหัวเราะออกมา “กูทายถูกใช่ป่ะ”

   “ก็คงงั้น” มียอมรับด้วยว่ะ คนจริงนี่ “ผมขอถามพี่ตรงๆ เลยนะ”

   “อะไร” เริ่มกลัวคำถามที่จะได้ยิน ไอ้รอนมันจอดรถแล้วหันมาจ้องหน้าผมเลยคราวนี้

   “พี่คบกับไอ้เม่นใช่ไหม คือผมได้ยินว่ามันคบกับเพื่อนพี่กลอย แต่ก็ไม่รู้ว่าใคร จนวันนี้เห็นพี่อยู่กับมัน ผมคิดถูกใช่ไหม” ไอ้นี่ได้เชื้อพี่รหัสมันมาแน่ๆ

   “คงงั้นมั้ง” ตอบแบบกึ่งรับกึ่งสู้ ที่จริงบอกออกไปตรงๆ ก็ได้ว่าคบ แต่เดี๋ยวไม่เซเลป “มึงเถอะ เลิกตามติดชีวิตเพื่อนกูแล้วใช่ไหม”

   “เจ้าของดุ....แบบนั้น ผมก็คงต้องถอยแล้วล่ะครับ” จ้องหน้าไอ้เด็กที่ยอมถอย ผมอ่านปากมันออกนะ หลังคำว่าดุน่ะ แต่ไม่บอกหรอก “ไปซื้อของเถอะครับ”

   มองตามหลังน้องรหัสเพื่อน มันก็มีน้ำใจนักกีฬาเหมือนกันนะครับ สู้ไม่ไหวก็ถอย แต่ถึงมันไม่ถอย แฟนไอ้กลอยก็พร้อมชน หากได้สู้กันแล้ว ไอ้เด็กรอนนี่มีแต่ตายกับตาย แถมยังตายศพไม่หล่อด้วยนะ คิดแล้วก็สยอง

   ผมเดินหยิบของตามที่เขียนมาในกระดาษ แต่ดูเหมือนไอ้เด็กพวกนี้จะลองดีกับผมแล้วล่ะ มันเล่นเขียนแต่เครื่องดื่มมึนเมาทั้งนั้น ไม่รู้จะทำงานหรือเมากันแน่  ถ้ามันกล้าสั่งแบบนี้มา ผมก็จะจัดให้ อยากนักก็ต้องกินให้หนัก


   ซื้อของเสร็จผมก็ซ้อนไอ้รอนกลับมาที่เดิม โบกมือลาเมื่อต้องแยกกับคนพาไปซื้อของ พอกลับมาที่โต๊ะก็ต้องเจอบรรยากาศแสนเงียบงัน ไอ้เด็กสองคนที่นั่งตรงข้ามก้มหัวแทบจะติดกับรายงาน อะไรของพวกมัน

   “ของที่พวกมึงสั่งซื้อ” ผมวางถุงของไว้ตรงกลาง ไอ้เบียร์เงยหน้ามายิ้มแย้มทันที


   ได้เมาตามที่ต้องการแน่


   “โห...พี่” ทันทีที่ไอ้เบียร์เปิดถุงดู มันก็ทำหน้าผิดหวัง พอๆ กับเพื่อนอีกคนของมันที่หยิบของที่ผมซื้อขึ้นมาดู

   “สั่งเบียร์ได้นม โคตรตรงกับที่จดอะ” ไอ้ไม้มันบ่น แต่ผมขำ

   “กินๆ ไปเถอะ เมานมดีกว่าเมาเหล้านะมึง” หวังดีกับพวกมันหรอกนะ ถึงซื้อนมมาให้ ไอ้เบียร์เบ้ปากแต่มือก็เจาะนมกล่องไปเรียบร้อย

   “ก่อนพี่จะหัวเราะ ดูหน้าเพื่อนของผมด้วยครับ”

   ผมหันไปดูหน้าคนข้างๆ ก็อย่างที่ไอ้เบียร์บอกนั่นแหละครับ หน้าเด็กของผมบูดบึ้งเหมือนกินนมบูด ไอ้เม่นจ้องหน้าซะผมต้องหลบสายตา

   “อะไร” ถามขณะแกล้งหาของในถุง

   “พี่รู้จักเขาได้ไง” คำถามห้วนๆ ที่ทำให้ผมเลิกแกล้งมองหาของ “สนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงสนิท สนิทกันนานหรือยัง แล้ว...”

   “พอเลยๆ ถามรัวเป็นชุด สมองกูไม่ได้แปลรหัสมอสนะเว้ย” ผมยกมือปิดปากไอ้เม่น ถามไม่เว้นให้ตอบแล้วจะถามทำไมวะ “กูรู้จักเพราะกูเป็นเพื่อนไอ้กลอยหรือพี่คณะของมึง แล้วมันก็เป็นน้องรหัสไอ้กลอย ถามว่าสนิทไหมก็ไม่เท่าไหร่ เคยไปกินเหล้าด้วยกันไม่กี่ครั้งเองมั้ง”

   “อำไออึ๋ง...” (ทำไมถึง...) ผมรีบปล่อยมือออกจากปากไอ้เม่น เมื่อฟังมันไม่รู้เรื่อง พอไม่มีมือปิด ประโยคมันก็ไหลยาวๆ “พี่ไปกินเหล้ากันตอนไหนทำไมผมไม่รู้ พี่แอบผมไปเหรอวะ ไม่ยอมนะเว้ย” ยกมือตบหัวคนโวยวายไปชุดใหญ่ข้อหาไร้สาระแล้วก็บ้า

   “ก็บอกว่าเคยๆ ไม่ได้ไปในตอนปัจจุบัน เพื่อนพวกมึงนี่โคตรบ้าอะ” ผมหาพวก ไอ้เด็กตรงข้ามสองคนก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก สงสัยจะเมานมจริงๆ

   “ผมบ้าได้ทุกเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องของพี่” แม้จะหันไปโก่งคออ้วกพร้อมๆ เพื่อนมัน แต่ผมก็ลอบยิ้มน้อยๆ ให้ความเสี่ยวที่เพิ่งได้ยิน “ถึงแม้จะเคย แต่ต่อไปจะไม่มีอีก โอเค๊”

   “ทำไมต้องตกลง”

   “อ่าว แล้วทำไมถึงไม่ตกลง”

   “ก็เพราะทุกครั้งที่ไป มันไปกับไอ้กลอยไง”

   “ก็ถ้าพี่เขาไปกับพี่กลอย พี่ม่านก็ต้องเจออีก เชี่ย ตบหัวกูทำไมวะไอ้เบียร์” ผมกำลังจะอ้าปากตอบ ไอ้เม่นก็ถูกเพื่อนมันตบหัวจนหน้าเกือบทิ่ม

   “สมองมึงเอาไว้คั่นหูเหรอวะ แฟนพี่กลอยแม่งดุขนาดนั้น คงปล่อยให้ไปกับคนที่เคยชอบแฟนตัวเองหรอก” ไอ้เด็กเบียร์มีสติคิดได้เว้ย “ถึงไปได้ มึงก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว จะไปกลัวอะไร มึงคงไม่ปล่อยให้แฟนมึงไปอ่อยคนอื่นหรอก ใช่ไหม” ด้วยความปากดีของไอ้เบียร์ ผมเลยให้รางวัลด้วยการตบหัวเน้นๆ “พี่ตบหัวผมทำไมเนี่ย”

   “กูไม่เคยอ่อยใครไอ้ห่า” แล้วมันก็ยกมือไหว้ผมปลกๆ “รีบทำจะได้รีบกลับ มัวแต่คุย ชาตินี้ก็ไม่เสร็จ” ถูกผมดุปุ๊บ สามสหายก็รีบก้มหน้าก้มตาปั่นรายงาน

       ยิ่งดึกยิ่งเงียบ เสียงพูดคุยใต้ตึกเรียนเริ่มน้อยลงเมื่อบรรดานักศึกษาทยอยกลับเกือบหมด ไอ้รอนโบกมือลาผมตอนมันจะกลับ พอผมโบกกลับ ก็ถูกไอ้เม่นจับให้หันหน้าเข้าหามัน โรคบ้ากำเริบอีกตามเคย 

   “ใกล้เสร็จยัง” ความเบื่อกลับมาอีกรอบหลังจากขนมหมด ผมฟุบหน้ากับโต๊ะรอเวลาที่จะได้กลับห้อง ง่วงเต็มทน ไอ้เม่นเงยหน้าจากกองหนังสือมายิ้มบางๆ ให้ผม “ง่วง”

   “ใกล้แล้วครับ” ผมยู่ปากเมื่อถูกมือของมันเขี่ยปอยผมที่หล่นปิดหน้า “ถ้าง่วงก็นอนได้นะ เสร็จแล้วเดี๋ยวผมปลุก”

   “ไม่เอา เดี๋ยวไม่ตื่น” พอดีรู้ตัวว่าเป็นคนขี้เซา “รีบทำ”

   “ครับๆ”

   ผมไม่รู้หรอกว่าอีกสองคนที่นั่งตรงข้ามจะมองมายังไง หรือจะแอบหัวเราะ แอบแซวอะไรมา ในเมื่อคนที่ผมต้องสนมันกำลังนั่งจับมือผมอยู่ใต้โต๊ะ นอกจากความเสี่ยวที่มีมากของมันแล้ว ความหวานก็มีมากไม่แพ้กัน ซึ่งมันทำให้ผมแพ้ทุกครั้งที่ได้สัมผัส


   ไอ้ม่านแพ้เด็กแล้วจริงๆ


   มียาแก้แพ้เด็กให้ผมกินบ้างไหมครับ


...TBC


ขอบพระคุณค่า อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วเด้อจ้า  :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 20 << [P.4] Up!! // [20/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-06-2017 22:32:14
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 20 << [P.4] Up!! // [20/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 20-06-2017 22:46:20
 :-[..ความหวานมาเต็ม
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 20 << [P.4] Up!! // [20/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 20-06-2017 23:05:43
น้องเม่นคนหวงแฟน. แล้วน้องเม่นจะได้กินพี่ม่านเมื่อไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 21 << [P.4] Up!! // [21/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 21-06-2017 20:52:12
21




       “พี่ให้ผมไปได้เหรอ แน่ใจนะ พี่ไม่ได้ให้ความหวังผมใช่ไหม” ไอ้เม่นถามย้ำอยู่หลายๆ รอบจนผมอยากจะยกขาถีบมันซะเหลือเกิน จะให้ผมย้ำอีกสักกี่รอบว่าไปได้ๆ

   มหาลัยผมจะจัดงานครับ คนนอกสามารถเข้างานได้ คล้ายๆ กับโอเพ้นเฮ้าท์นั่นแหละ ดังนั้นผมเลยออกปากชวนไอ้เม่นไป แต่ถึงไม่ชวน ผมว่า มันก็ต้องมาหาผมอยู่ดี ดื้อไม่มีใครเกิน

   “ห้ามโดดเรียนนะ เลิกแล้วค่อยไป” ผมย้ำอีกรอบ รู้ดีว่าวันนั้นมันมีเรียนตอนเช้า ขืนไม่ย้ำ ต้องมีคนโดดเรียนไปหาแน่นอน คนถูกชวนยิ้มแป้นพยักหน้า “ดีมาก”

   “ไหนล่ะรางวัล” ผมทำหน้างงเมื่อถูกทวงรางวัล “ก็รางวัลที่ผมเชื่อฟังไง อย่างเช่นหอมแก้ม” แล้วไอ้เม่นก็ทำแก้มป่องยื่นมาหา

   “หวังมากไปแล้วไอ้น้อง” ผมตบแก้มไอ้เม่นเบาๆ ไปหลายรอบ คนทวงของถึงกับหน้าหุบ “ขับรถดีๆ ล่ะ”

   คนหน้างอสะบัดเหมือนงอนออกรถไป ผมยืนมองรถเก๋งของไอ้เม่นจนลับตา ก่อนเดินขึ้นตึก สายตาบรรดาเพื่อนพี่น้องร่วมคณะก็ดูจะเฉยชาไปแล้ว คงเห็นบ่อยจนขี้เกียจตื่นเต้นละมั้ง

   เดินขึ้นห้องเรียน ภายในห้องก็ยังคงคึกคักเช่นทุกครั้ง ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างไอ้เจ เห็นมันนั่งยิ้มไปหัวเราะไปกับอ่านการ์ตูนเล่มโปรด เอ่อ ไอ้นี่ท่าจะบ้า ว่าแต่ ขอถามเรื่องค้างคาใจหน่อยเถอะ คิดได้แบบนั้นผมก็ยื่นมือไปสะกิด รอบแรกมันสะบัดหนี พอบ่อยๆ เข้ามันก็ตีหน้ายุ่งหันมามอง

   “สะกิดกูทำเชี่ยอะไร กูไม่มีอารมณ์” ตอนแรกผมก็ทำหน้างงอยู่หน่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เข้าใจพร้อมชูนิ้วกลางส่งคืน “กว่าจะรู้เรื่อง มิน่า มึงถึงยังซิง เด็กมึงคิดผิดที่เลือกมึง”

   “พูดซะกูไม่มีดีเลยไอ้เจ” แทบลืมคำถามตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังจำได้ “มึงกับเพื่อนกูไปถึงไหนแล้ววะ” พอผมถามเสร็จ ไอ้เจก็เลิกคิ้วทำหน้าสงสัย “กับไอ้อัธอะ”
 
   “ไอ้อัธ? ทำไม” ผมย่นคิ้วเมื่อไอ้เจตีหน้างง

   “ก็มึงกับมันแบบว่า คบกันไรงี้” ต้องพาเข้าเรื่องก่อนออกนอกอ่าว

   “กูเนี่ยนะ คบกับไอ้อัธเพื่อนมึง เอาเรื่องนี้มาจากไหน มั่วสัด” คำปฏิเสธที่ดูจริงจัง แต่ไม่จริงใจ สายตาไอ้เจมันดูมีพิรุธ “ไปๆ กูจะอ่านการ์ตูน”

   “จ้องตากูไอ้เจ” ไม่มีการให้ความร่วมมือ ผมเลยต้องจับหน้ามันให้หันมาพร้อมส่งสายตากดดัน “มึงจ้องตากูแล้วพูดความจริงออกมา” คล้ายสะกดจิตนิดๆ “ไอ้เจ พูดออกมา”

   “พวกมึงจะจูบกันเหรอ” ระหว่างที่ผมกดดันไอ้เจทางสายตา เสียงทักก็ดังอยู่ข้างๆ ไอ้เกมส์กระพริบตาปริบๆ มองมา ก่อนที่ผมจะสะดุ้งเมื่อเห็นว่าหน้าผมกับหน้าไอ้เจห่างไม่ถึงคืบ เราสองคนเลยรีบดีดตัวออกจากกันอย่างไว “กูตกใจ แม่ง”

   “จูบเชี่ยไร กูกำลังหาความจริงในแววตามันอยู่” พูดเหมือนเพลง แต่มันคือความจริง

   “ความจริงบ้าบออะไร ไม่มีเว้ย” ไอ้เจโวยวายแล้วมันก็ก้มหน้าอ่านการ์ตูนต่อ

   “เพราะมึงเลยไอ้เชี่ยเกมส์” ผมหันไปแหวคนขัด ไอ้เกมส์ส่ายหน้าระอาพร้อมกับนั่งลง ไม่นานไอ้มีนก็กอดคอแน่วเข้ามา กลุ่มผมครบทีมแล้ว การเรียนก็เริ่ม แต่สมาธิเรียนจะมีไหมนี่อีกเรื่อง





   หลังจากเรียนช่วงเช้าจบ พวกผมก็หอบหิ้วกันไปกินข้าว เจอบรรดานักศึกษาที่เลิกเรียนพร้อมกันนั่งอยู่แทบล้น นี่อย่าบอกว่าพวกผมต้องเดินย้อนกลับไปกินที่โรงอาหารคณะนะ เพราะมันอย่างไกล

   “เพราะมึงเลยอีแน่ว” ไอ้มีนตบหัวเพื่อนสาวคนเดียวของกลุ่ม นั่นแหละครับ เพราะอีแน่วจริงๆ มันบอกอยากมาดูสาวๆ ที่โรงอาหารกลาง แต่สุดท้ายก็ไร้ที่นั่ง เซ็ง

   “ไปกินโรงอาหารนิติไหมพวกมึง” อยู่ๆ ผมก็คิดอะไรบางอย่างออก “ใกล้ๆ นะเว้ย กูว่า โต๊ะต้องว่างชัวร์”

   “สาวนิติมีสวยบ้างไหมวะ” คำถามที่ทำให้เพื่อนแน่วถูกตบหัวอีกรอบ “ตบหัวกูจนจะหลุดอยู่แล้วไอ้มีน”

   “ขาดสาวสักวันมึงจะตายไหมฮะ บ้าผู้หญิง” ไอ้มีนทำหน้างอเดินนำไปแล้ว ก่อนคนที่ทำให้งอนจะรีบเดินตามไปกอดคอ กอดเอว



   รู้สึกเหมือนมีดาวติดที่หางตาแบบในการ์ตูน



   “กูว่าไม่ธรรมดานะแบบนี้” ไอ้เกมส์ว่าออกมา ไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วที่คิด

   “มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ” เสียงไอ้เจทำเอาผมกับไอ้เกมส์พยักหน้ารับ ก็จริง มันดีแล้ว ถ้าเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลง

   พวกเราทั้งหมดเดินข้ามถนนไปยังโรงอาหารใต้ตึกนิติ แม้คนไม่เยอะเท่าโรงอาหารกลาง แต่ก็คึกคักพอดู ผมเดินกอดคอไอ้เจไปที่ร้านข้าวราดแกง ด้านหลังคนที่ยืนข้างหน้านี่ดูคุ้นเหลือเกิน ผมชะเง้อดูจนเขาคงรู้สึก ถึงได้หันหน้ามา

   “ไอ้ดีฟ”

   “อ่าวไอ้ม่าน” ผมยิ้มแป้นให้กับเพื่อนของเพื่อน ไอ้ดีฟยิ้มทักทายเผื่อแผ่ไอ้เจด้วย “ทำไมมากินที่นี่วะ”

   “หวงของกินโรงอาหารมึงหรือไง” ถามล้อเล่นไป ไอ้เพื่อนของเพื่อนเลยหัวเราะร่วน “ไอ้อัธล่ะ”

   “มันไปซื้อน้ำนู้น” ผมหันไปมองตามที่ไอ้ดีฟชี้ “ไอ้เชี่ยเจ กูทักเกมส์ไปแม่งเงียบสัด”

   “กูก็ต้องอ่านหนังสือบ้าง ใครจะบ้าเล่นเกมส์เหมือนมึง” ไอ้เจตอบสีหน้านิ่งๆ ก่อนไอ้ดีฟจะหันไปสั่งข้าวเมื่อถึงคิว พอมันได้ก็ยังคงยืนรอทำเอาผมย่นคิ้วนิดๆ แต่ก็ไม่คิดจะถาม

   “พวกมึงนั่งตรงไหนวะ” พอพวกผมได้ข้าว มันก็เดินตีคู่มาด้วย นี่มันรอพวกผมเหรอ เออดีว่ะ เป็นเจ้าบ้านที่ดี

   “นั่งที่มันว่าง” ไอ้เจตอบกวนๆ เลยถูกขัดขาซะเกือบล้ม แล้วไอ้ดีฟก็โดนด่าไปตามระเบียบ ไอ้นี่สงสัยจะชอบโดนด่า บ้าจริง


   ผมสามคนเดินมานั่งที่โต๊ะ เจอไอ้อัธที่มานั่งรออยู่ก่อนกับพวกไอ้เกมส์ ผมรีบเดินไปดันไอ้เจให้เข้าไปนั่งข้างไอ้อัธก่อนที่ผมจะนั่งประกบอีกข้าง เอาวะ เรื่องนี้ต้องช่วยตัวเองซะแล้ว

   แม้จะโดนไอ้เจบ่นแต่มันก็ยอมตักข้าวกิน ผมแอบเหล่เพื่อนสองคนที่นั่งข้างกัน ไอ้อัธก็ทำตัวปกติคุยเล่นคนอื่นปกติ แต่ที่มีสิ่งที่ผิดแปลกไปคือ ไอ้เจเงียบครับ ไม่มีเสียงมันแทรกมาสักประโยค ทั้งที่ปกติเป็นพวกสอดขนาดนั้น

   “วันนี้ไม่เอาปากมาเหรอวะ” ผมรีบหันไปทันทีที่ไอ้อัธถามคนนั่งข้างมัน คงเพราะคนอื่นๆ ถามความเห็น แต่ไอ้เจนั่งเงียบ ผมเห็นไอ้เจมองคนว่าให้แป๊บหนึ่ง ก่อนจะอ้าปากด่ากลับ

   “เรื่องของกู”


   ป๊าดติโท๊ะ ไอ้เจไม่สู้เว้ย


   “ด่ากูเสือกเหรอวะ”

   เฮ้ยๆ ทำไมเพื่อนชายนายอัธมันดูดุดันขนาดนี้

   “ในประโยคกูด่ามึงว่าเสือกตรงไหน อย่าหาเรื่องกู”

   “พอๆ พวกกูจะแดกข้าว ไอ้ห่า” ไอ้เกมส์ออกโรงขัด สงครามสองคณะเลยหยุดลง “ไอ้เชี่ยมู่ ข้าวกินทางปากไม่ใช่จมูก”

   “หือ อ่าวเหรอ” ผมหัวเราะแห้งไป เพิ่งรู้ว่าผมยกช้อนทิ่มรูจมูกตัวเอง ก็ว่าทำไมกินข้าวไม่ได้สักที

   “ไอ้ขี้เสือก” ถูกไอ้เจด่าอีก


   เจ็บปวด




   ข้าวหมดก็แยกย้ายครับ ไอ้อัธกอดคอเพื่อนซี้ไปเรียน ส่วนพวกผมแม้ไม่มีเรียนแล้วแต่ก็ต้องไปประชุมเรื่องงาน ปีนี้พวกผมต้องรับหน้าที่คุมซุ้มขายของ ซึ่งมันโคตรดี จำได้เมื่อปีที่แล้ว ผมวิ่งวุ่นไปทั่วงานเพราะพี่รหัสโยนงานประสานงานตัวเองมาให้ผม โคตรซวย

   บรรยากาศการประชุมก็มีหลายแบบ บ้างก็เคร่งเครียด บ้างก็โวยวาย บ้างก็นั่งก้มหน้าเป็นสังคมโซเชียล ส่วนผมอยู่ในส่วนหลังครับ ไอ้เม่นรัวข้อความมาตั้งแต่เที่ยง แต่ผมเพิ่งจะมีโอกาสตอบ พอตอบครั้งแรกปุ๊บ มันก็รัวมาจนไม่รู้จะตอบอันไหนก่อน

   “มึงช่วยเงยหน้ามาสนคนรอบข้างบ้าง” โดนตบหัวพร้อมประโยคที่เรียกคนมองทั่วห้อง

   ผมโดนไอ้เจเอาคืนแล้วครับ

   “ไอ้สัด” ด่าแบบเบาๆ แต่ไอ้เจกลับยักคิ้วเยาะเย้ยที่เล่นงานผมได้

   การมอบหมายงานถูกจดลงในกระดาษ ผมขายของอย่างเดียวไม่มีงานอื่น โคตรดี พอๆ กับไอ้เจนั่นแหละครับ ที่ขายของกับผม คงเพราะพวกเราหน้าตาดี เรียกลูกค้าสาวๆ ได้ คนมันหล่ออะเนอะ

   “กลับไงวะ” ขาผมถูกเท้าสะกิด พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เจอพี่เฟรนด์พี่รหัสยืนกอดอกจ้อง “มองหน้ากูอีก กูถามว่ามึงกลับยังไง”

   “ผัวมารับ ตอบพี่เขาไปสิวะ” ผมตบหัวเพื่อนสนิทเป็นสิ่งตอบแทน “ตบหัวกูอีก”

   “ก็มึงเสือก” ด่าเพื่อนก่อนเงยหน้ายิ้มแหยๆ ให้พี่รหัส “พี่เฟรนด์มีอะไรกับผมหรือเปล่า”

   “กะจะชวนไปแดกเหล้าคืนนี้ แต่มึงคงไม่ว่าง ไม่สนใจกู ใช่ซี้ กูก็แค่พี่รหัส ไม่ใช่ผัวมึงสักหน่อย”

   “โหย พี่เฟรนด์ ใครจะไปสำคัญเท่าพี่รหัสสุดเลิฟของไอ้ม่านคนนี้ได้” ผมกอดแข้งพี่รหัสไว้แน่น “คืนนี้ถ้าฟรีก็ตกลง”

   “ไอ้ห่า กูเคยให้มึงออกเงินเหรอ” แม้ถูกสะบัดขาให้หลุด แต่ผมก็กอดแน่น “ปล่อยสิวะ”

   “ไม่เอา เดี๋ยวพี่เฟรนด์จะไม่รู้ว่าไอ้ม่านรัก” ยิ่งสะบัดยิ่งกอดแน่น

   “มึงจะเกาะขาเมียกูอีกนานไหมวะ” มาแล้วครับ ผู้พิทักษ์พี่เฟรนด์ พี่อินเดินหน้าโหดเข้ามา แต่ดูก็รู้ว่าแกล้ง โด่ จะข่มขู่ไอ้ม่านไม่มีวันซะหรอก “ไอ้เจ คืนนี้มึงด้วยนะ”

   “ได้ขอรับ” ไอ้เจทำท่าตะเบะแบบทหารส่งให้พี่รหัสมัน

   “ดี ส่วนมึงไอ้ม่าน” ผมถูกพี่อินใช้เท้าเขี่ยอีกแล้ว “ปล่อยขาเฟรนด์ได้แล้ว ก่อนที่กูจะกระทืบมึง”
 
   “พี่อินจะทำร้ายผมได้ลงคอเหรอ” แกล้งทำตาใสใส่ พี่อินคงรักและเอ็นดูผมมากเลยกระชากหัวเอาซะผมหน้าหงาย “เจ็บๆ พี่อินเจ็บโว้ย”

   “กูเตือนมึงแล้ว” หน้างอจัดทรงผมตัวเอง ไม่รู้มีเส้นผมติดมือพี่อินไปหรือเปล่า “อย่ามาสำออย กูไม่ได้ดึงแรงเลยไอ้ม่าน”

   “นิสัยเสียเหมือนกันทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง” พูดเสร็จก็รีบวิ่งหนี ไม่วิ่งอาจถูกกระทืบได้

   ผมวิ่งหนีออกมาใต้ตึก เจอบรรดารุ่นน้องกำลังง่วนทำซุ้มกันอย่างคึกคัก ผมเข้าไปป่วนนิดๆ หน่อยๆ ก่อนแยกไปหาคนมารับ ไอ้เม่นนั่งฟังเพลงรออยู่ในรถ พอผมขึ้นไปนั่ง มันก็หันมายิ้มหวาน

   “พี่หิวป่ะ”

   “นิดหน่อย” แต่ท้องดันร้องซะงั้น ไอ้เม่นทำตาโตก่อนหัวเราะออกมาเสียงดัง “กินอะไรง่ายๆ ก็พอ ตอนค่ำต้องไปกินเหล้า” ผมว่า

   “กินเหล้า?” ไอ้เม่นหยุดขำเปลี่ยนมาตีหน้ายุ่งแทน “พี่ไม่เห็นบอกผมเลย”

   “ก็บอกอยู่นี่ไง” ใช้นิ้วจิ้มๆ ไอ้เม่นที่หน้างอเป็นปลาทู “พี่รหัสกูนัดเลี้ยง”

   “พี่รหัสผมก็นัด”

   “ก็ไปสิ”

   “แต่ผมบอกพี่เขาว่าไม่ไป”

   “อ่าว ทำไมไม่ไปวะ”

   “ไม่อยากให้พี่อยู่คนเดียว ผมเป็นห่วง”

   “มึงอย่าเว่อร์น่า กูผู้ชายนะเว้ย อีกอย่าง มึงไป กูก็ไป” ไอ้เม่นจ้องหน้าผมไม่ยอมหลับตา “อะไร”

   “ผมจะไปกับพี่”

   “ตลกละ พี่รหัสมึงก็เลี้ยง จะไปกับกูทำไม”

   “พี่ไปกินร้านไหน”

   “ทำไมวะ” เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย พอโดนกดดันก็จำเป็นต้องบอก “เออๆ ร้านปากมอม รู้จักป่ะ” ไอ้เม่นกระพริบตาปริบๆ ก่อนกดโทรศัพท์หาใครสักคน

   “พี่ติ๊กรู้จักร้านปากมอมหรือเปล่าครับ... อ่อ ใช่ๆ ...ครับ ...ได้ครับ เจอกันครับ” วางเสร็จไอ้เม่นก็หันมายิ้มแป้น “ผมนัดพี่รหัสแล้ว ร้านเดียวกับพี่เลย เราจะได้ไปด้วยกัน”

   “มึงกำลังทำให้กูกลัว ไอ้เม่น”






   เกือบหนึ่งทุ่มที่ผมกับไอ้เม่นเดินเข้าร้าน เห็นฝั่งตัวเองยังมาไม่ครบ ส่วนฝั่งไอ้เม่นมาครบแล้ว ผมเลยรีบดันหลังให้มันรีบเดินไปหาพวก แม้มันจะอ้อยอิ่งนิดๆ แต่ก็ยอมเดินไป มองจนมันนั่งลงกับพวกรุ่นพี่ผมถึงเดินไปหาเพื่อนตัวเอง โต๊ะผมยังขาดคนชวนครับ

   “พี่เฟรนด์ยังไม่มาเหรอวะ” ตบบ่าไอ้เจเบาๆ ถาม ไอ้เจกระดกเหล้าเข้าปากโดยที่คิ้วมันยักขึ้นลงเป็นคำตอบแทน “ชงให้กูดิ๊ ขอแบบไม่เข้มเพราะต้องขับรถ”

   “มาแดกเหล้ายังห่วงขับรถ กลับบ้านมึงไปเลยไป” ถูกไอ้เกมส์ไล่ครับ
 
   ที่จริงวันนี้ที่มาก็ไม่ได้เลี้ยงสายรหัสแบบไอ้เม่น แค่รุ่นพี่อยากกินเลยชวนรุ่นน้องมาแค่นั้น ส่วนเจ้ามือก็คือคนชวนครับ พวกผมเลยลอยตัว กินเท่าไหร่ก็สบายกระเป๋า

   “อย่าไปไล่มัน ผัวมันมาคุมก็ต้องเข้าใจ เมาแล้วจะเสียลุค” อยากยืดมือไปตบหัวไอ้มีน แต่มันอยู่ไกลเกินเอื้อมไปหน่อย ผมค่อนขอดในใจไม่นานพี่อินก็เดินนำหน้าพี่เฟรนด์เข้ามา รุ่นพี่สองคนแต่งตัวสบายๆ แต่เรียกสายตาสาวๆ ได้ทั้งร้าน “พวกพี่จะหล่อไปไหนเนี่ย”

   “ไม่ได้ไปไหน ก็กูมาแดกเหล้าเนี่ย” ความกวนของไอ้มีนสู้ความเกรียนของพี่รหัสผมไม่ได้สักนิด “ไอ้ม่าน ไหนผัวเด็กมึงวะ” ทำหน้าเซ็งเมื่อถูกถามหาไอ้เม่น ผมพยักพเยิดหน้าไปอีกด้าน เห็นไอ้คนที่ถูกถามหาก็มองมาเหมือนกัน “ผัวมึงคงหวงกูว่า”

   “พี่เฟรนด์อย่าเปิดประเด็น” ผมว่า มือก็ยกแก้วขึ้นดื่ม ผมรู้ดี เพียงแค่ผมกวักมือเรียก รับรองไอ้เม่นแทบจะวิ่งมาหา ไม่สิ แค่มองเฉยๆ ก็มีสิทธิ์ที่มันจะทิ้งพี่มหาลัยมาหาผมแทน

   แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมกลัวมันได้ยังไง

   “กูไม่เข้าใจ มึงมีดีอะไรนักหนาวะ มันถึงได้ตัวติดขนาดนี้” ไอ้เจถาม แต่ผมเลือกจะเงียบใส่

   “มึงถามไม่คิดไอ้เจ ไอ้มู่ต้องลีลาเด็ดอยู่แล้ว” ผมพ่นก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ใส่อีแน่วครับ มันก็โวยวายออกมาแต่ผมไม่สนใจ “มึงมันไอ้ตัวโสโครก”

   “มึงลีลาเด็ดจริงเหรอวะ” พี่รหัสผมทำตาโตเลยครับ

   “พี่เฟรนด์อย่าบ้าจี้ตามพวกมันดิ่” ผมว่า

   “แต่กูได้ข่าวมาว่า พวกมึงยังไม่ได้กันนี่หว่า” คนเปิดประเด็นนี้คือไอ้เกมส์ครับ ใช่ผมเคยบอกมัน แต่ไม่คิดว่ามันจะปากโป้งแบบนี้ ไอ้เหี้ย

   “โอ้ว น้องม่านมู่ลี่ของพี่เฟรนด์ มึงโคตรอ่อนเลยว่ะ” ผมถูกพี่เฟรนด์ดึงเข้าไปกอด แขนที่รัดแม่งรัดโคตรแน่นแถมยังโยกตัวผมไปมาจนเกือบล้มจากเก้าอี้ ผมกำลังจะอ้าปากโวยวาย พี่เฟรนด์กลับโวยวายขึ้นมาซะก่อน “ไอ้เหี้ย”

   สิ่งที่เห็นคือไอ้เม่นมันเดินมาตอนไหนไม่รู้ ที่แน่ๆ มันล็อกตัวพี่เฟรนด์ออกจากตัวผม พี่รหัสตัวผอมบางแทบจะปลิวตอนถูกมันเหวี่ยงออก

   “อะไรของมึงวะ” พี่อินเลือดร้อนทันทีที่เห็นคนรักตัวเองถูกลอบทำร้าย ผมเห็นท่าไม่ดีก็รีบไปยืนคั่นกลาง “ถอยไอ้ม่าน”

   “พี่อินถือว่าผมขอร้อง อย่ามีเรื่องเลยนะ คนในนี้เยอะ” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่แต่พี่อินดูจะไม่ยอม “นะพี่อิน”

   “มึงควรสั่งสอนคนของมึงบ้าง” ถูกชี้หน้าด่า ผมเลยได้แต่พยักหน้ารับ

   “ทำไมต้องเชื่อเขาด้วย” เรื่องมันกำลังจะดี แต่ไอ้เม่นกลับโวยออกมา ผมเบิกตาโตมองคนยังจะหาเรื่อง “เป็นรุ่นพี่ไม่ใช่พ่อสักหน่อย”

   “ไอ้เม่น” แหกปากลั่นพร้อมๆ กับพี่อินพุ่งหมัดเข้าหน้าจนไอ้เม่นล้ม


   งานเข้าแล้ว


   การตะลุมบอลเกือบเกิดขึ้น ดีที่ฝั่งผมกับฝั่งไอ้เม่นไม่ได้เลือดร้อน สองฝั่งพุ่งเข้าใส่กันเพื่อห้าม พี่อินเป็นคนแรงเยอะพอๆ ไอ้เม่นนั่นแหละครับ คนเกือบหกเจ็ดคนแทบเอาไม่อยู่

   “กูว่า มึงพาเด็กมึงกลับเถอะ ก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะต้องไปแดกข้าวแดงในคุกแทนเหล้า” พี่เฟรนด์ออกปากไล่ สองแขนก็โอบรัดพี่อินแน่น ผมพยักหน้ารับพร้อมกับออกแรงลากไอ้เม่นให้เดินตาม พวกรุ่นพี่มันก็ร่วมด้วยช่วยผมลากออกมาด้วย

   “ขอบคุณครับ” โค้งศีรษะขอบคุณเพื่อนพี่น้องต่างมหาลัย ไอ้เด็กที่ผมรัดยังดิ้นพล่านจะเข้าไปด้านในอยู่ตลอด “ไอ้เชี่ยเม่น หยุดดิ้น กูเหนื่อย” หมดแรงจะต้านแล้วจริงๆ ตอนนี้

   “ทำไมพี่ต้องไปยอมมันวะ” ไอ้เม่นสะบัดตัวอีกครั้งก็หลุดจากการรัดของผม หน้าตามันตอนนี้เหวี่ยงไม่แพ้น้ำเสียง “แม่งเอ๊ย”

   “นั่นพี่รหัสกูนะไอ้เม่น” ผมว่า แต่ได้ตาขวางตวัดมามอง

   “พี่รหัสแล้วไง ทำไมต้องให้กอดวะ” เอ๊า ไอ้นี่

   “มันก็ปกติหรือเปล่าวะ พี่เขาก็กอดกูปกติ”

   “นั่นมันเมื่อก่อนที่ปกติ แต่ตอนนี้พี่มีผมแล้ว มันไม่ปกติ ผมไม่ชอบ”

   “มึงเริ่มพาล...”

   “เออ พาลแถมโมโหมากด้วย แม่งเอ๊ย” สะดุ้งตกใจตอนไอ้เม่นหันไปเตะเสาไฟฟ้า ไม่แข้งเขียวก็ได้เลือดนะผมว่า

   ไอ้เม่นเดินดุ่มๆ ไปขึ้นรถ ผมที่มาพร้อมมันก็ต้องรีบไปขึ้นรถด้วย นั่งยังไม่ทันจะดีรถก็ถูกกระชากออกสู่ท้องถนน ผมรีบคาดเข็มขัดนิรภัยทันทีที่เห็นความเร็วด้านหน้า ไอ้เม่นทำให้ผมกลัวอีกแล้ว


   นรกจ๋า อย่าเพิ่งมาพรากชีวิตไอ้ม่านคนนี้ไป


   “ใจเย็นๆ ดิ่วะ ขับช้าๆ ด้วย” ไม่กล้าโวยวายกลัวสติมันแตกกระเจิงมากกว่านี้ รถเก๋งของมันขับไปดูไร้จุดหมาย กว่าอารมณ์คนขับจะเย็นลงก็ปาไปหลายชั่วโมง เอาซะผมเกือบหลับ “จอดซื้ออะไรวะ” กำลังจะเคลิ้มรถก็หยุดหน้าร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม ผมมองตามไอ้เม่นที่หายเข้าไปในร้าน รอไม่นานก็ออกมาพร้อมถุงใบใหญ่

         ไม่มีเสียงพูดคุยหรือตอบกลับใดๆ ทั้งสิ้น ผมเลยเลือกจะเงียบตาม แม้จะแอบเหล่ๆ มันบ้างเป็นระยะ เส้นทางนี้ไม่รู้ปลายทางอยู่ตรงไหน แน่นอนว่าไม่ใช่หอผมแน่นอน จะถามก็กลัวแพ้เลยปล่อยให้มันขับไปตามใจ

.
.
(มีต่อค่า)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 21 << [P.4] Up!! // [21/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 21-06-2017 20:53:15
.
.


   รถคันสวยเข้าจอดใต้ตึกสูงลิ่ว ไม่รู้ว่าที่ไหน แน่ๆ ชื่อป้านด้านหน้าบ่งบอกได้อย่างดีว่าที่นี่มีแต่คนมีเงิน ก็มันอยู่ใจกลางเมืองซะขนาดนี้

   “ถือด้วย” เสียงนิ่งสั่งผม นี่มันกล้าใช้ผมถือของเหรอวะ แต่ถามว่าถือไหม...ก็ไม่น่าจะถาม

   “มาหาใครวะ” ผมหิ้วถุงหนักๆ สองมือ ขาก็ต้องรีบเดินกลัวไม่ทัน ผมมองรอบๆ ตัวอย่างตื่นๆ หลังจากเดินเข้ามาในตึก ประชาสัมพันธ์สาวสวยนั่งหน้าเต็มอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์ พอเห็นพวกผมเดินเข้ามาก็ยิ้มให้เพียงเท่านั้น นี่เขาไม่คิดจะมีแลกบงแลกบัตรหน่อยเหรอ คนนอกเข้าตึกนะเว้ยเฮ้ย ความปลอดภัยอยู่ที่ไหน

   ผมรีบสาวเท้ายาวๆ เท่าที่ขาตัวเองจะอำนวยเข้าในลิฟต์ ตู้ขนาดกลางทะยานขึ้นสู่ชั้นบนจนหูแทบอื้อ ตัวเลขดิจิตอลบอกชั้นที่สิบสี่ประตูถึงเปิดออก แม่งสูงไปไหน ส่วนไอ้เม่นก็เดินหน้าบึ้งปึงปังออกไป ไอ้นี่บ้ามาก ผีเข้าผีออกจนปวดหัว ผมเดินตาม ปากก็บ่นไป มือชาไปหมดแล้วครับ ของในถุงมีแต่กระป๋องเบียร์ ไม่รู้จะซื้อมากินหรืออาบ

   ประตูห้องหนึ่งสี่สี่เก้าเปิดออก ผมชะโงกหน้าเข้าไปมองนิดๆ กลัวจะเจอเพื่อนหรือคนที่ไอ้เม่นมาหา แต่ปรากฏว่าไม่เห็นใครสักคน ขนาดเดินเข้ามายังไม่เจอใคร แม้แต่เงายังไม่มี ไอ้สิ มีเงาไอ้เม่นคนหนึ่ง

   “เอาวางบนโต๊ะ” ถูกใช้อีกแล้ว ไอ้เม่นชี้นิ้วสั่งให้ผมวางถุงบนโต๊ะ

   “ห้องใครวะ เพื่อนมึงเหรอ” พอวางถุงหนักแล้วผมก็รีบสะบัดมือคลายความชาของการถูกเหน็บกิน ความสอดรู้ก็สั่งให้ขาเดินไปสำรวจทั่วห้อง “โห มุมดีว่ะ” กระจกใสบานใหญ่ทำให้เห็นบรรยากาศเมืองหลวงที่คลาคล่ำไปด้วยรถราและแสงไฟของตึก มันสวยมากจริงๆ ผมวางหน้าแนบกระจกมองความสวยตรงหน้า ชักอยากได้ห้องสวยๆ วิวดีๆ แบบนี้ซะแล้วสิ

   “ชอบหรือเปล่า” เสียงเบาๆ กับแรงรัดช่วงเอว ไอ้เม่นกำลังกอดผมจากด้านหลัง คางแหลมของมันวางบนบ่าของผม มิน่าเวลามันพูด ลมเบาๆ ถึงเป่ารูหูจนขนลุก

   “ก็ดีนะ ห้องสวยดี” ผมตอบ พยายามทำเมินแรงกอดที่เริ่มรัดแน่น “ว่าแต่ ห้องใครวะ”

   “ห้องผมเอง ที่ผมเคยบอกพี่ไง” ย่นคิ้วหลังจากได้ยิน ไอ้เม่นบอกอะไรผมวะ “ที่จริงยายซื้อไว้ให้แม่ แต่ตอนนี้มันเป็นของผม”

   “จริงดิ่ ห้องมึงโคตรสวย” ทำไมรู้สึกแปลกๆ วะ ผมย่นคอหนีความร้อนจากปากของไอ้เม่น “เฮ้ย ตรงนั้นวิวก็สวย” ผมทำท่าว่าจะเดินไปอีกมุม แต่แขนที่รัดเอวไม่ยอมปล่อย “ไอ้เชี่ยเม่น” ผมแหวออกมาเมื่อถูกงับเข้าที่คอ แม่งเป็นแวมไพร์กลับชาติมาเกิดหรือเปล่า


   ที่แน่ๆ คอผมเค็มจากขี้ไคลแน่นอน


   “ขอโทษครับ แต่พอผมได้กลิ่นพี่ทีไร ห้ามใจไม่ได้ทุกที” เสียงขำเบาๆ ชิดใบหู ไม่ทำให้หายใจโล่งท้องสักเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น ลมเบาๆ นั่นทำให้ขนแขนผมลุกมากกว่าเดิมซะอีก

   “ปล่อยก่อน กูเหมือนจะปวดขี้” แกล้งบอกไปงั้น แต่ขนที่แขนทำให้ไอ้เม่น (เหมือนจะ) เชื่อ “ห้องน้ำอยู่ไหนวะ” ต้องตีเนียนปวดขี้จริงๆ ไอ้เม่นชี้ห้องน้ำในห้องนอน ผมก็พยักหน้าเบาๆ

   ประตูห้องนอนที่เป็นแบบล้อเลื่อน ดูดีมีสไตล์ทีเดียว จากการคำนวณแล้ว แบบผมคงไม่มีปัญญาซื้อหรอก ผมทำธุระส่วนตัวอยู่นานกว่าจะออกห้องน้ำ ตอนแรกไม่ได้ปวดจริง พอไปนั่งมันกลับออกมาจริงๆ สงสัยส้มตำจะทำพิษ เพราะมันออกซะท้องโล่งเลย


   “นาน” ออกจากห้องนอนมาก็เจอไอ้เม่นเปิดเบียร์ไปแล้วหลายกระป๋อง

   “ก็กูขี้” ผมบอกพลางทิ้งตัวนั่งบนโซฟานุ่มหน้าทีวี ไอ้เม่นลดขาที่พาดโต๊ะเตี้ยลง มันหยิบเบียร์มาให้ผม “ขอบใจ แต่ห้องมึงสวยจริงๆ ว่ะ” ว่าห้องแฟนไอ้กลอยสวยแล้วนะ ห้องนี่ก็ไม่แพ้กันเลย มีบันไดขึ้นชั้นลอยด้วย

   ผมจิบเบียร์ไป ตาก็มองสำรวจห้องไป นี่ผมอาจจะต้องมาอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอเนี่ย ดูจากความสะดวกสบายแล้วคงจะดีไม่น้อย ติดอยู่อย่างเดียว มันไกลมหาลัยผมไปหน่อย หากขับรถไปคงเปลืองน้ำมันแน่นอน

   “ดีใจนะ ที่ม่านชอบ” การสำรวจหยุดลงเมื่อได้ยินชื่อโดดๆ ของตัวเองออกมาจากปากไอ้เม่น

   “เดี๋ยวจะโดน เรียกชื่อกูเฉยๆ ได้ยังไง” ผมว่า พลางกระดกเบียร์จนหมดกระป๋อง คงเพราะติดพันมาจากร้านเหล้า กะจะเมาสักหน่อย อดเลย

   “ได้ดิ่ ก็เราเป็นแฟนกัน” ไอ้เม่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างน่าหมั่นไส้ปนน่าถีบ

   “เฮอะ” เค้นเสียงในลำคอ ไอ้เม่นดันผมให้ขยับไปนั่งริมโซฟาอย่างงงๆ ก่อนมันจะล้มตัวหนุนตัก ผมดีดหน้าผากเหม่งเบาๆ “มึงอย่าหึง อย่าบ้ามาก กูกลัว”

   “กลัวทำไม ไม่ต้องกลัวเม่นนะ” ผมจ้องหน้าคนบนตัก แววตาไอ้เม่นดูสั่นไว “ม่านไม่ต้องกลัวเม่นนะ” ผมเบี่ยงหน้าหนีฝ่ามือที่ยื่นมาจับแก้ม แต่พอเห็นท่าทางชะงักและแววตาเสียใจผมก็ยอมซบหน้าเข้าหามือที่ยังค้างอยู่

   “มึงควรลดอารมณ์รุนแรงลงบ้าง ใช้สติให้มากหน่อย” พูดไปแก้มก็ถูฝ่ามืออุ่นไป รู้สึกเหมือนแมวเลยว่ะผมเนี่ย แต่มือนุ่มๆ ของไอ้เม่นมันลูบแล้วเคลิ้มดีเหมือนกันนะ มิน่าแมวถึงชอบให้ลูบหัวเกาคาง

   “เม่นขอโทษ ก็เม่นหึง ไม่ชอบให้ใครมาจับม่านนี่นา” ไม่ค่อยชอบใจที่ถูกเรียกด้วยชื่อเฉยๆ ถ้าเป็นรุ่นน้องคนอื่น ผมอาจกระโดดเตะขาคู่ไปแล้ว “ม่านห้ามให้ใครมาแตะตัวสิ”

   “ตัวกูไม่ใช่ทองคำที่ใครแตะแล้วจะหลุดลอก ทำไมต้องหวง” พูดตามความจริง แต่คงจะไม่ถูกใจไอ้คนหนุนตักสักเท่าไหร่ “ทำไม...” กำลังจะถามบางอย่าง มือที่ลูบแก้มก็ยืดเหนือหัวแล้วก็ถูกดันให้ก้มลงพร้อมๆ กับใบหน้าคนบนตักยื่นเข้าหา

   ...จูบแบบตกใจน้อยไปถึงปานกลาง

   “ตัวม่านยิ่งกว่าทองคำอีก” ทันทีที่ผละออก ผมก็รีบโกยอากาศเข้าปอด เมื่อกี้เกือบตายแล้วไหมล่ะ

   “กดหัวกูทำเชี่ยอะไร เกือบตายแล้วเห็นป่ะ” ด่าไปหอบไป ไอ้เม่นดูไม่กลัวเอาซะเลย กลับกัน มันขำออกมาซะงั้น “ไม่ตลก”

   “นี่แค่เริ่มต้นเอง เจอของจริงจะยิ่งหายใจไม่ทัน” คำพูดกำกวมนั่นได้นิ้วกลางของผมเป็นรางวัล “ของผมใหญ่กว่านี้อีก” ผมดึงมือกลับแต่ถูกรั้งไว้ ไอ้เม่นจูบนิ้วกลางของผมเบาๆ เล่นเอาหน้าร้อนผ่าวๆ

   “เชี่ย” สบถคำหยาบไปแก้อาการหน้าร้อน

   “ตั้งแต่พ่อแม่จากไป ม่านคือคนเดียวที่เม่นรัก” ผมปล่อยให้มันพูด มือก็ปล่อยให้มันจับๆ ลูบๆ บางครั้งมันก็ดึงมือผมไปจูบ แต่ที่ไม่เข้าใจคือมันจะเลียทำเพื่ออะไร พอจะดึงกลับก็ถูกยึดไว้อีก “ม่านอย่าทิ้งเม่นนะ ได้โปรด”

   “เออน่า” แพ้สายตาวาวใสแบบนี้ของมันทุกทีสิน่า ผมเบือนหน้าหนีไม่อยากมองนิ้วตัวเองที่ถูกลิ้นร้อนไล้ตามร่องนิ้ว ตอนนี้หัวใจผมเหมือนจะเด้งออกมาด้านนอก ความแรงของมันดังทะลุออกมา ไม่แน่ ไอ้เม่นอาจจะได้ยิน “เอาเบียร์มาดิ๊”

   “เขินล่ะสิ” ไม่ได้เบียร์ แถมยังถูกล้ออีก ผมตวัดสายตามองคนล้อขุ่นๆ แต่พอประสานสายตา ก็เหมือนถูกตราตรึงไม่ให้หลบหนีไปไหนอีก “ม่านครับ”

   คราวนี้เป็นผมเองที่ก้มหน้าลงไปจูบ ผมจูบย้ำๆ บนริมฝีปากนุ่มหยุ่น จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าลงมานอนราบบนโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมจ้องหน้าเด็กที่เคยกล้าตะโกนบอกจีบผมใต้ตึกที่ยังใช้จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ แววตาที่จ้องผมระยะใกล้คู่นี้มีผมอยู่ในนั้น แถมยังจ้องมองซะเหมือนจะดูดให้ผมเข้าไป และที่น่ามองอีกอย่างคือปากแดงๆ ที่ผมเพิ่งจูบไปเมื่อกี้

   “กลับไหม” ผมถามเสียงเบาหวิว คนที่คร่อมผมทั้งตัวยิ้มบางๆ ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ นอกจากส่งปากแดงที่ผมจ้องแนบลงมาอีกรอบ

   จูบคราวนี้ช่างเนิ่นนานและซาบซ่าน ความร้อนของลิ้นที่ตอนนี้ไม่รู้ของใครร้อนกว่ากันกำลังตวัดเกี่ยวไปมา ผมอาศัยช่องว่างเล็กๆ ยามถูกรุกไล้เพื่อหายใจ

   “ม่าน” เสียงชิดริมฝีปากกับมืออุ่นที่ไล้ไปทั่วอกทำให้ผมเหมือนคนจะจมน้ำ จากที่โกยอากาศตอนแรก ตอนนี้กลับหายใจไม่ออก “ม่าน”

   “เชี่ย” สบถเบาๆ หลังความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นมา ผมผงกหัวมองดูคนที่กำลังหยอกล้อกับยอดอกทั้งที่เสื้อผมก็ยังอยู่ รอยเปียกเป็นวงกว้างนั้นเจอแอร์เย็นๆ ทำเอาขนลุกหนักกว่าเดิม ยิ่งลิ้นร้อนตวัดไปมาสมองผมยิ่งเบลอหนัก “อื้อ” จนเผลอหลุดเสียงครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

   “ม่านครับ” ผมรีบยกมือสองข้างปิดปากตัวเอง เสียงครางเมื่อกี้ใช่ของผมแน่เหรอวะ “ม่าน” นึกค่อนขอดในใจที่ถูกเรียกซ้ำๆ แค่นี้ผมก็อายจะแย่ จะเรียกชื่อทำแมวอะไรวะ

   “พะ พอ เชี่ย” คำพูดโคตรกระท่อนกระแท่น ก็ว่าทำไมมันหนาว ผมถูกรูดเสื้อออกจากหัวไปแล้ว ตอนนี้ด้านบนเปลือยเปล่า และไอ้เม่นกำลังปลดกางเกงผมอยู่ “มะ เม่น พอ” พยายามรวบรวมสติเท่าที่มีบอก แต่ดูคนคร่อมตัวผมจะไม่ได้ยินเสียงสั่งอันเบาหวิว

   “ม่านโคตรน่ารัก” เกลียดน้ำเสียงอ่อนโยนที่กระซิบข้างหู เพราะมันทำให้ผมใจอ่อนทุกครั้งไป

   “กู...กลัว” แม้รู้ว่าเสียงตัวเองช่างบางเบา แต่ก็ยังอยากจะพูด คราวนี้ไอ้เม่นคงได้ยิน เพราะมันส่งยิ้มให้ผมก่อนกดจูบย้ำๆ ทั่วใบหน้าของผม

   “เม่นรักม่านนะ เชื่อใจเม่น ไม่ต้องกลัว มองหน้าเม่นเอาไว้นะ” มันจะเชื่อได้จริงหรือเปล่าวะ ผมย่นคิ้วไม่เชื่อ แต่ริมฝีปากอุ่นเมื่อกี้กลับสร้างความมึนเบลอให้ผมอีกรอบ

   นี่ผมกำลังจะถูกเขมือบใช่ไหม จะเจ็บ จะปวด จะรวดร้าวแค่ไหน ไอ้ม่านจะตายหรือเปล่า ขอเหล้าแรงๆ ย้อมใจก่อนได้ไหม ไม่อยากจะคิดถึงวันพรุ่งนี้เลยให้ตาย...ตาย...ไม่นะ โนว ต้องไม่ตาย




...TBC

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 21 << [P.4] Up!! // [21/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-06-2017 21:43:48
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 21 << [P.4] Up!! // [21/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 21-06-2017 21:50:18
เสร็จแน่ม่าน ไม่น่ารอดแล้ววววว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 21 << [P.4] Up!! // [21/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 22-06-2017 16:02:41
ม่านจะได้ผัว 1000 เปอร์เซ้นก็คราวนี้แล้วเว้ย ม่านดดนเด็กกิน :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 22 << [P.4] Up!! // [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 25-06-2017 22:06:08

22




         แอร์เย็นแค่ไหนก็เอาความระอุตอนนี้ไม่อยู่ ผมถูกอุ้มมาที่เตียงเมื่อสามสิบนาทีก่อนด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ทันทีที่หลังแนบเตียง ผมก็เบลอมึนเหมือนสมองหยุดการทำงานทุกอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างร้อนแรงกับดุดันมันแยกกันยังไง ที่แน่ๆ ผมควรแยกกับไอ้คนที่กำลังขยับมาซ้อนบนหลังผมอีกรอบ

   “หนัก” ผมออกแรงขยับทั้งที่ยังนอนคว่ำ

   “เมื่อกี้ไม่เห็นบ่นว่าหนัก” น้ำเสียงกับคำพูดโคตรน่าถีบ ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่คนที่ทำให้ผมนอนนิ่งมาหลายนาที “ม่านโคตรสุดยอดอะ”

   “สุดยอดเชี่ยไร ลุกเลยกูหนัก” ผมถูกไอ้เม่นนอนทับทั้งตัว ทำให้รู้ได้ทันทีว่า อาวุธของมันพร้อมรบอีกครั้ง “เอาของของมึงออกจากก้นกูด้วย แม่ง จะคึกอะไรนักหนา” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ไอ้เม่นหัวเราะร่วนแถมยังใช้อาวุธร้ายๆ ของมันถูไถตามร่องก้น ผมจะขยับหนีก็ไม่ได้ในเมื่อถูกมันทับไว้ทั้งตัว “ไอ้เชี่ยเม่น”

   “ทำไมพูดไม่เพราะอ่ะ แล้วก็ นี่ก้นม่านที่ไหน ก้นเมียของเม่นต่างหาก” อยากข่วนหน้าด้วยเล็บสั้นๆ เมื่อถูกมือขยำ “ก้นเมียโคตรเด้ง”

   “ไอ้เชี่ยเม่น” ผมวาดมือไปด้านหลังเพื่อตบตีมัน แต่กลับได้ยินแค่เสียงหัวเราะ

   “อะไรนะ อยากได้อีกเหรอ เดี๋ยวเม่นจัดให้ยันเช้าเลยนะ” ผมว่ามันเริ่มบ้าแล้ว พูดเออออคนเดียว

   “ไอ้เม่น ไม่เอาแล้วโว้ย ไอ้ๆๆ” ห้ามไปคิดว่ามันจะฟังเหรอครับ ยากบอกเลย ตอนนี้ผมถูกดึงให้ขยับนอนตะแคงข้าง มีไอ้เม่นซ้อนอยู่ด้านหลัง “ทำอะไรของมึงวะ ไอ้...เชี่ย อ๊ะ” มันบ้าไปแล้ว

   “สุดยอดจริงๆ เมียไอ้เม่น” ปล่อยมันพูดไปครับ เพราะผมดึงหมอนมากัดเรียบร้อย ไม่อยากส่งเสียงกระตุกต่อมหื่นเหมือนรอบแรกที่ดุดันจนแทบจะจมเตียง “ม่านครับ” เสียงหอบกระเส่าครางอยู่ข้างหู สะโพกมันยังทำงานได้ดี แถมท่าแบบนี้ผมเคยเห็นแค่ในเว็บเท่านั้น ไอ้ท่าตะแคงข้างแบบนี้เนี่ย

   “กูเจ็บ...อือ...ช้าๆ สิวะ” พูดไปมันก็ไม่ฟังหรอกครับ ผมถูกมันรุกทั้งหน้าและหลัง ยาวนานกว่าศึกครั้งนี้จะจบลง น่วมมากบอกเลย

   “อา...สุดยอดเมียกู” เสียงครางยาวดังมาจากด้านหลัง ผมไม่เห็นหน้ามันหรอก เพราะหน้าผมฝังกับหมอนที่ดึงมาปิดอยู่ “เดี๋ยวเม่นจะทำให้ม่านบ้างนะ” ยังไม่ทันที่ผมจะแย้ง ของๆ ผมก็ถูกมือร้อนกอบกุม ไอ้เม่นขยับมือจนผมถึงกับดิ้น แต่ยิ่งดิ้น ไอ้ที่ยังฝังในตัวก็เริ่มคึกอีก

   “มะ เม่น” หอบจนน้ำตาจะไหล มันเหมือนเห็นฝั่งอยู่ไม่ไกล แต่เรือที่นั่งมากลับถูกดับเครื่องซะงั้น ผมยื่นมือจะช่วยตัวเองแต่ถูกมืออีกข้างไอ้เม่นจับไว้ “เม่น...กูไม่ไหว”

   “พูดเพราะๆ สิครับ” มันแกล้งผม “ไหนพูดเพราะๆ สิครับ”

   “ชะ...เชี่ย” พอด่าไป มันกลับขยับสะโพกแกล้ง

   “พูดเพราะๆ กับผัวสิครับ” โคตรขัดใจแต่ตอนนี้ผมตกเป็นรอง

   “เม่น” ต้องผ่านตรงนี้ให้ได้ก่อน ไม่งั้นผมขาดใจตายแน่ “เม่น ช่วยม่านหน่อยครับ” เสียงหอบเครือของผมจุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้คนด้านหลัง ไอ้เม่นกัดเข้าต้นคอด้านหลังของผมพร้อมกับขยับมือที่กอบกุมของๆ ผมไว้ ไม่นานผมก็ปลดปล่อยออกมา สมองมันโล่งไปหมด เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งผลัดสี่คูณร้อยซะอีก

   “เหนื่อยแล้วเหรอ” ผมมองคนแกล้งอย่างเคืองๆ ไอ้เม่นหัวเราะชอบใจที่เห็นผมสิ้นฤทธิ์ “ม่านเสร็จแล้ว เม่นยังเลยนะ”

   “มึงกี่รอบแล้ว อ๊ะ” ตาโตเมื่อถูกแกล้ง

   “รอบสุดท้ายนะ ม่านทำให้เม่นรู้สึกเอง” มาโทษผมได้ไงเนี่ย แต่โวยวายไปแค่นั้น ตอนนี้ต้องรีบให้มันเสร็จๆ ไป ตาผมเหมือนจะปิดได้ทุกวินาที

   “สุดท้ายนะ”

   “ครับ สุดท้าย....สำหรับคืนนี้”

   กำลังจะอ้าปากด่าก็ไม่ทันซะแล้ว เสียงด่าของผมกลายเป็นเสียงครางกระเส่าแทน ไอ้เม่นมันโคตรเชี่ยวเรื่องบนเตียงจริงๆ ทำเอาผมอ่อนระทวย หมดเรี่ยวแรงได้ขนาดนี้ ไม่อยากนึกถึงพรุ่งนี้เลยจริงๆ






   แม้ไม่อยากนึกถึงแต่มันก็มาถึง เพียงแค่ก้าวขาลงจากเตียงก็เหมือนไร้ความรู้สึก ผมบีบนวดขาตัวเองเพื่อให้มีแรงเดิน จากที่คิดว่าจะเจ็บจนลุกไม่ขึ้นหรือนอนซม มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นซะทีเดียว มันรวดร้าว ตึงๆ แสบๆ ซะมากกว่า

   “ตื่นแล้วเหรอเมียจ๋า” ถ้าไม่ติดว่าเล็บสั้น ผมข่วนหน้าไอ้เม่นเละไปแล้ว

   “ห้ามเรียกเมียจ๋า” ผมสั่ง ไอ้คนเรียกไม่สนใจ มันเลื้อยตัวเอาหน้าซบหลังของผม แขนยาวๆ ก็รัดช่วงเอวของผมไว้ “ปล่อย กูจะเข้าห้องน้ำ”

   “พูดกับผัวไม่เพราะอีกละ” ผมส่งศอกใส่หน้าของไอ้เม่นจนมันกลิ้งไป “เจ็บนะเนี่ย”

   “ก็ทำให้เจ็บ อย่าพูดผัวๆ เมียๆ ได้ไหมวะ” มันโคตรไม่ชิน ทำใจไม่ได้ด้วย นี่ผมเป็นเมียจริงๆ เหรอวะ “อะไร มองทำไม” รู้สึกโดนจ้องหน้า และก็จริง

   “มองเมีย” ผมยื่นมือจะไปต่อย แต่กลับกลายว่าทำร้ายร่างกายตัวเอง แม่งปวดร้าวจนต้องนิ่วหน้า “เจ็บมากเหรอ ไหนเม่นดูหน่อย”

   “ไม่ต้องมาจับ” ตีมือที่จับก้น แค่นี้ก็เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว แทบไม่มีแรง 

   “เม่นอาบให้ไหม รับรองสะอาด ถูจนไม่มีขี้ไคลแน่นอน”

   “เสือก”

   “ด่าผัวอีกละ”

   เลิกต่อล้อต่อเถียง ผมทำเมินลุกไปเข้าห้องน้ำ ตอนเดินมันขัดๆ ตึงๆ แต่ก็ยังเดินได้ ผมอาบน้ำขัดๆ ถูๆ เอาคราบที่เปรอะตัวออก แต่รอยจ้ำแดงที่แผงอกนี่มันไม่ยักจะออก วันนี้ได้ใส่เสื้อแขนยาวแน่นอน

   อาบน้ำเสร็จไอ้เม่นก็เดินผิวปากอารมณ์ดีเข้าห้องน้ำต่อ อยากยกขาเตะแต่สภาพไม่ไหวเลยได้แค่กัดฟันฝากความแค้นเอาไว้รอชำระวันหลัง แต่แล้วความเครียดบางอย่างก็พุ่ง นี่ไม่ใช่ห้องของผม ชุดศึกษาเลยไม่มี ซวยแล้วไง ชุดที่ใส่มาก็เป็นชุดธรรมดา ผมเลยเลือกจะนั่งรอเจ้าของห้องแทน นานมากกว่าคนในห้องน้ำจะออกมา ไอ้เม่นเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมนั่งพันแค่ผ้าเช็ดตัวที่เอว

   “ทำไมไม่แต่งตัวอีก หรือรอผมอยู่” ยกเท้าใส่ไอ้คนปากมาก “โหย ไม่ต้องโชว์หรอก เห็นมาทั้งคืน”

   “ไอ้เหี้ย” ด่าเน้นๆ ลืมไปว่าไม่ได้ใส่กางเกงใน “กูไม่มีชุดนักศึกษา”

   “เออใช่ งั้นพี่ใส่ของผมก่อนไหม น่าจะใส่ได้นะ” ว่าแล้วมันก็ค้นชุดของตัวเองออกมา พ่วงกางเกงในตัวใหม่ให้ด้วย ผมรีบดึงมาถือแล้วเดินไปใส่ในห้องน้ำ ทั้งที่เมื่อก่อนตอนอยู่ห้อง เสื้อผ้าผมก็แก้ต่อหน้ามัน แต่คราวนี้รู้สึกเขินแปลกๆ ทั้งที่ไม่น่าจะเขินด้วยซ้ำ 

   แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาไปเรียน ผมสั่งให้คนทำผิดตามเข้าตึกด้วย ไอ้เม่นเดินตามทำหน้างอไปจนถึงกลุ่มของรุ่นพี่ปีสี่ ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ทุกคนก่อนลากไอ้เม่นมาไหว้ด้วย แม้ทุกคนจะดูไม่สนใจเพราะไม่รู้เรื่อง แต่มีอยู่คนหนึ่งที่เดินออกมาหาทันที

   “พามันมาทำไมวะ” พี่อินกระชากเสียงใส่จนคนหันมามองทั่ว

   “คือผมจะพามันมาขอโทษ” ผมว่า ข้อศอกก็สะกิดให้ไอ้เม่นพูด ผมเห็นพี่อินจ้องหน้าคนของผมอยู่นานกว่าไอ้เม่นจะยอมยกมือไหว้

   “ขอโทษครับ ผมใจร้อนไปหน่อย” ไอ้เม่นว่า

   “ไม่หน่อยหรอกไอ้ห่า” พี่เฟรนด์เพิ่งเดินมารวมกลุ่มรีบเดินเข้ามาหา “ถ้ามึงจะหวงกูกับไอ้ม่าน บอกเลยไอ้นี่ไม่ใช่สเปคกู” ผมแทบสำลักน้ำลายเมื่อได้ยิน ไอ้เม่นเม้มปากก่อนยกมือไหว้ขอโทษพี่เฟรนด์ด้วย “เออๆ ต่อไประงับสติบ้าง เกือบได้เข้าคุกยกแก๊งแล้วไหมละ”

   “ขอโทษครับ”

   “พี่อินหายโกรธเถอะนะ นี่น้องนะ” พี่รหัสไอ้เจยังตีหน้ายักษ์อยู่ ผมเลยต้องส่งเสียงออดอ้อน ได้ยินเสียงฮึดฮัดมาจากไอ้เม่นแต่ไม่ใช่เวลาสนใจ “พี่อิน” ลากเสียงยาวจนคนโกรธถอนหายใจ

   “เออๆ ต่อไปอย่าให้มันทำอีก” พี่อินว่า

   “หวงแฟนไม่ต่างกันหรอก” ผมพูดกวนเลยถูกเตะเข้าก้นมาทีหนึ่ง หากเป็นเวลาปกติคงไม่ออกอาการขนาดนี้ แต่นี่เพิ่งผ่านศึกครั้งใหญ่หลวงมาทำให้แทบทรุดเมื่อถูกเตะ “เฮ้ย”

   ทั้งพี่อินและพี่เฟรนด์ต่างตกใจที่ผมแข้งขาอ่อนลงไปนั่งที่พื้น ไอ้เม่นรีบมาประคองทันทีด้วยสีหน้าและสายตาที่เป็นห่วง

   “มึงทำน้องกูทำไมวะ” ไม่ต้องให้ไอ้เม่นออกโรง พี่เฟรนด์ก็จัดการให้แล้วครับ พี่อินที่ว่าโหดก็ต้องยอมเป็นลูกไก่เชื่องๆ ที่จะบีบก็ตาย จะคลายก็ตาย หากคนสั่งคือพี่เฟรนด์

   ผมดึงไอ้เม่นออกมาจากกลุ่มรุ่นพี่จนมาถึงโต๊ะตัวเอง เจอไอ้เกมส์นั่งเล่นมือถืออยู่คนเดียว ผมตบบ่าเพื่อนสนิททักทาย มันแค่เงยหน้ามามองแป๊บหนึ่งก่อนก้มหน้าเล่มเกมส์ต่อ

   “ไปเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนสาย” ผมว่า แต่ไอ้เม่นกลับย่อตัวนั่งข้างผม “เอ๊า กลับไปดิ่”

   “ยังไม่อยากไป” พูดไม่พอ ยังขยับมานั่งชิดกับผมอีก

   “นั่งงี้ไม่ขึ้นมาบนตักเลยล่ะ”

   “นั่งได้เหรอ”

   “ประชด”

   “รู้หรอกน่า” รอยยิ้มกวนจนอยากตบหัว “ผมทำให้สะโพกพี่เจ็บ ขึ้นไปนั่งเดี๋ยววันนี้ต่อไม่ได้พอดี”

   “ไอ้เชี่ยเม่น!” ถลึงตาใส่ ไอ้เม่นกลับขยิบตาเจ้าเล่ห์ตอบ “จะไปไหนก็ไป เหม็นขี้หน้า”

   “ไปไม่ได้” ผมมองหน้าคนบอกไปไม่ได้ เห็นสายตามันจ้องคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์ และดูว่า ไอ้เกมส์ก็พอจะรับรู้ถึงสายตาที่มองเหมือนกัน

   “มองกูทำไม” ไอ้เกมส์ถามออกมา ตาจ้องตา ทำเอาผมคิดดีไม่ค่อยได้ ถ้าเป็นปลาทองพวกมันคงท้องหลายรอบแล้ว

   “พี่ไม่คิดอะไรกับแฟนผมใช่ไหมครับ” คำถามที่แทบสำลักน้ำลาย ไอ้เกมส์หันหน้ามามองหน้าผมอย่างสโลว์โมชั่น สายตามันบ่งบอกถึงความไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน

   “มึงคิดว่า กูจะพิศวาสไอ้มู่เนี่ยนะ หมาที่บ้านกูยังน่ารัก น่าหลงมากกว่าไอ้มู่เลย” โห ดูความเปรียบเทียบของไอ้เกมส์สิครับ

   “ก็ดีครับ” ยังไปพูดต่อมันอีก ผมส่ายหน้าให้กับความคิดบ้าๆ ของไอ้เม่น กับความชั่วร้ายของไอ้เกมส์ที่มีต่อผม พวกมันเห็นผมนั่งอยู่ด้วยหรือเปล่าเนี่ย

   “รีบไปมหาลัยมึงได้ละ” ออกปากไล่เพราะไม่อยากถูกทำให้รู้สึกต่ำต้อยกว่าหมา ไอ้เกมส์พูดซะผมไปไม่เป็น เพิ่งรู้นะเนี่ย
 
   “ครับๆ ไว้พี่เลิก...”

   “กูกลับเอง เวลาเลิกของกู มึงยังเรียนไม่เสร็จ”

   “แต่ว่า...”

   “เอาตามนี้ รีบไปเรียนได้แล้ว บาย”

   ผมโบกมือส่งท้าย แม้ไอ้เม่นไม่อยากไปก็ต้องไป ผมเห็นมันหันหน้ามามองอยู่หลายรอบกว่าจะยอมลงจากตึก ไอ้นี่มันบ้าหนักมากจริงๆ

   “มึงทำเสน่ห์ใส่หรือเปล่าวะ” คำถามชั่วร้ายดังเรียกให้ผมต้องหันกลับมามอง ไอ้เกมส์จ้องผมตาไม่กระพริบ พลางสำรวจหน้าตาของผม “หน้าตามึงก็บ้านๆ ไม่มีส่วนไหนที่ทำให้หลงใหลขนาดนี้ หรือมันเพี้ยนวะ”

   “มึงคิดว่ากูต้องทำเหรอ” ผมถามออกมา ไอ้เกมส์ถึงกับขยำกระดาษเปล่าใส่หน้า

   “ความมั่นใจมึงกูขอซื้อไปทิ้ง” ยักไหล่ไม่สนใจ ใช่ซี้ ผมไม่ใช่หมาบ้านมันนี่ถึงจะได้น่ารัก


   เดี๋ยวนะ ผมอิจฉาหมาไอ้เกมส์เหรอ


   เรียนวันนี้ก็ไม่มีอะไร นั่นเพราะผมหลับ ความเพลียจากการนอนไม่พอทำให้ผมหลับทั้งคาบ ดีที่นั่งอยู่หลังสุด เลยไม่เป็นที่สนใจ อีกอย่าง วิชานี้ก็แค่ฟังบรรยายแล้วสรุปทำรายงาน มันช่างเหมาะกับการอู้ซะจริง พอหมดคาบเรียนผมก็ตื่นแบบเบลอๆ

   “ไปอดนอนที่ไหนมาวะ” ไอ้มีนทำหน้ายุ่งถาม

   “กูก็...”

   “มั่วแต่เอากับผัวล่ะสิ”

   ผมกำลังจะอ้าปากตอบ ไอ้เจกลับพูดขัดขึ้นมา แต่ก็ทำเอาผมตาโต มันรู้ได้ไงวะ

   “มึงรู้ได้ไง” นั่นไง อีแน่วยังสงสัย

   “รอยที่ต้นคอมัน ไม่ใช่แมลงกัดแน่นอน” พอไอ้เจตอบปุ๊บ เพื่อนอีกสามคนก็รุมทึ้งผมทันที พวกมันกดหน้าผมลงที่โต๊ะแล้วแย่งกันดู ผมพยายามดิ้นหนี แต่หัวเดียวหรือจะสู้สามหัว

   “โหย ท่าจะเร่าร้อน” อีแน่วยิ้มโคตรเจ้าเล่ห์

   “ไม่ใช่เว้ย” ผมโวยวาย มือก็จัดเสื้อจัดทรงผมให้เข้าที่เหมือนเดิม “มดกัดกูต่างหาก”

   “มีแถๆ คิดว่าพวกกูเป็นเด็กสามขวบหรือไง” ไอ้มีนว่า

   “ถึงว่า เมื่อเช้าไอ้เด็กนั่นติดมึงแจขนาดนี้ ที่แท้ก็ติดใจ” ไอ้เกมส์เสริมเพิ่มเติมเรียกเสียงหัวเราะแบบชั่วร้ายจากทุกคน “เพื่อนกูมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วว่ะ”

   “ไอ้เชี่ยเกมส์” ผมโวยวายเหมือนถูกหัวเราะเยาะ

   “โอ๋ๆ เพื่อนมู่ของกู ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ยอมรับมาเถอะ พวกกูรับได้ กะอีแค่เพื่อนมีผัว ใช่ไหมวะ” คำพูดของไอ้เจทำให้ผมตัดสินใจวิ่งไล่เตะพวกมัน แต่พวกมันตีนหมาไล่ยังไงก็ไม่ทัน อีกอย่าง เพราะสภาพร่างกายไม่อำนวยด้วย ทำให้วิ่งไม่ไหว

   พวกผมพากันมาที่โรงอาหารกลาง แม้คนจะเยอะแต่ก็พอมีที่นั่ง ระหว่างมื้อแสนอร่อย อยู่ๆ แขนผมก็ถูกกอดแน่น หันไปมองก็เป็นเพื่อนสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มนั่นแหละครับ อีแน่วมานั่งทำตาละห้อย ใช้แก้มถูแขนผมไปมา

   “อะไร” ถามอย่างระแวง ไม่รู้คิดจะแกล้งอะไรผมอีก

   “กูมาอย่างเป็นมิตรน่า ไม่ทำร้ายแล้ว” น้ำเสียงไม่ค่อยน่าเชื่อถือ “มู่เพื่อนรัก ช่วยเพื่อนตาดำๆ คนนี้หน่อยสิ นะๆ”

   “ช่วยอะไรวะ” คำถามของผมคงแทนใจของเพื่อนร่วมโต๊ะที่รอฟังเช่นกัน

   “มึงช่วยไปขอเบอร์สาวให้กูหน่อย” น้ำมะนาวในปากแทบพุ่ง “นะๆ ช่วยกูหน่อย”

   “ทำไมมึงไม่ให้ไอ้เจไปขอ มันหล่อ ดีกรีเดือนอีก”     

   “ขืนให้มันไปขอ สาวกูก็เทไปหาสิ ไม่เอาหรอก” เผลอหัวเราะหน้าหงิกของเพื่อนสาว พูดตามตรงแล้ว อีแน่วมันสวยมากนะครับ แต่กลับคิดว่าตัวเองหล่อมากกว่า ผมเป็นแค่เพื่อนเลยยอมตามน้ำไป เพื่อนว่ายังไงก็ตามนั้น




   หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็แยกกัน ผมถูกควงแขนมาที่ตึกคณะอักษร ไม่รู้สาวคนนี้หน้าตายังไงถึงทำให้เพื่อนผมหลงใหลได้ขนาดนี้ คงจะสวยหยาดเยิ้มเลยทีเดียว แน่วเดินจูงผมไปใต้ตึก ม้านั่งไม้ด้านในสุดมีกลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่กำลังอ่านหนังสือ แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่ามีอะไรแปลกแยก คงเพราะมีเด็กสวมชุดนักเรียนสามถึงสี่คนนั่งรวมอยู่ด้วย

   “ไหนสาวสวยของมึงวะ” ตั้งแต่ขึ้นมา ผมยังถูกลากให้เดินไม่หยุด ผ่านโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ก็ไม่ยังไม่ใช่อีก

   “นั่นไง” พอจะหยุด มันกลับพาผมมายืนหลบด้านหลังเสา อะไรของมัน

   “อะไรของมึงวะ แล้วคนไหน” ทำหน้ามุ่ยไม่ค่อยเข้าใจ แต่เห็นเพื่อนสาวกระพริบตาปริบๆ ก็เลยไม่ถามมากนัก ส่วนนั่นไงของแน่วน่าจะอยู่ในกลุ่มใหญ่ๆ เท่าที่เห็นมีผู้หญิงหน้าตาสะสวยตั้งหลายคน

   “ก็นั่นไงเล่า คนน่ารักๆ ที่ใส่ชุดนักเรียน ผมเปียนั่นไง” ผมถ่างตาโตๆ เพื่อจะได้เห็นถนัดๆ แต่สิ่งที่เห็น ทำให้ผมยืนนิ่ง ตาก็ยังเบิกโตอยู่อย่างนั้น “เป็นไงล่ะ อึ้งเลยละสิ โคตรน่ารัก กูเห็นมาหลายวันแล้ว” คำชื่นชมไม่ค่อยจะเข้าหูผมสักเท่าไหร่ เพราะคนที่แน่วบอก “ไอ้มู่ เป็นอะไรวะ ทำไมอึ้งไม่หาย อย่าบอกว่าแอบหลงรักสาวที่กูเล็งนะเว้ย มึงต้องจำใส่หัวว่ามึงมีผัว...” ผมยกมือปิดปากเพื่อนสนิทที่พล่ามออกทะเล

   “มึงเงียบก่อน” ผมว่า ก่อนถอนมือออกจากปาก “กูว่า มึงควรเลิกชอบ เลิกสนใจผู้หญิงคนนั้น”

   “เป็นไรของมึง รู้จักเขาเหรอ” คำถามที่ทำให้ผมพยักหน้าลง “จริงดิ่ รู้จักได้ไงวะ ดีเลย มึงจะได้ช่วยกู”

   “กูไม่ช่วยมึงเด็ดขาด กูขอบอกเลยว่า กูจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น” ผมบอกเพื่อนด้วยใบหน้าจริงจัง “มึงก็ด้วย อย่าไปยุ่ง ถ้าไม่อยากปวดหัวจนเส้นเลือดแตก”

   “ไอ้มู่ เชี่ย อะไรของมึงเนี่ย” เสียงแหลมโวยวายตามหลัง แต่ผมไม่สนใจ ตอนนี้รีบเดินจ้ำอ้าวเพื่อให้พ้นจากที่นี่โดยไว ต้องรีบไปซื้อน้ำยาล้างตามาล้างก่อนที่ความน่ารักจอมปลอมจะติดตา

   ผมขึ้นรถไฟฟ้าต่อด้วยพี่วินจนมาถึงหอ ช่วงการเดินทาง ภาพเด็กผู้หญิงที่ยิ้มแย้มเป็นมิตรมันฉายซ้ำไปซ้ำมา ผมไม่ได้ปลื้มหรือหลงใหลหรอกนะครับ แต่ขนลุก ไม่รู้พวกที่นั่งอยู่ด้วยเผลอยิ้มไปด้วยได้ยังไง ภาพลวงตาชัดๆ           


   ช่วงเวลาที่รอไอ้เม่น ผมปัดกวาดเช็ดถูห้องจนสะอาดเอี่ยมอ่อง พอมองไปรอบๆ แล้วก็รู้สึกเสียดาย นี่ผมต้องไปจากหอนี้จริงๆ เหรอวะ อยู่มาตั้งสามปี แม้ห้องจะไม่ได้ใหญ่โตหรือมีอะไรสะดวกสบาย แต่มันก็ผูกพัน ผมยืนนิ่งจำภาพห้องด้วยความรัก ก่อนเสียงเคาะประตูห้องจะดังขัด

   “ใคร” ที่ถามเพราะไอ้เม่นมีกุญแจ มันกลับมาก็ต้องเปิดเอง ผมเดินไปส่องที่ช่องตาแมวแต่ด้านนอกไม่มีคนอยู่ แล้วใครมาเคาะห้องวะ ผมหันหลังกลับ เสียงเคาะก็ดังอีกรอบ คราวนี้ไม่ดงไม่ดู เปิดไปเลยดีกว่า “ใครวะ เหี้ย”

   ถึงกับร้องเสียงหลง ทันทีที่เปิดประตู จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้ากระโดดมาตรงหน้าแล้วเปิดเสื้อคลุมสีดำออก ที่น่าตกใจคือมันโชว์ของลับแล้วส่ายเอวไปมา ผมกระพริบตาปริบๆ ตกใจปนอึ้ง มารู้สึกตัวก็ตอนไอ้คนชอบโชว์กระเด็นไปนอนที่พื้น

   “ไอ้เหี้ย” เสียงด่าดังลั่นหอ ไอ้เม่นกำลังกระทืบคนโชว์ของไม่ยั้ง เมื่อกี้มันกระโดดถีบเลยนะครับ โคตรโหด

   เมื่อสติผมมาเต็มก็รีบเข้าไปดึงร่างคนกระทืบให้หยุด พร้อมๆ กับหลายๆ ห้องเปิดประตูออกมาดู บางคนถึงกับตกใจ บ้างก็เตรียมถ่ายคลิป

   “ใจเย็นๆ สิวะ” ผมพยายามเรียกสติคนโมโห ไอ้เม่นสะบัดตัวจะพุ่งไปกระทืบต่อ “เม่น!”

   “เกิดอะไรขึ้นๆ” เสียงจากด้านหลังตะโกนถาม ผมหันไปมองป้าเจ้าของหอวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา คงมีคนโทรไปแจ้ง “นั่นใคร แล้วเกิดอะไรขึ้น”

   “คือ...” กำลังจะตอบ กลับถูกพูดตัดหน้า

   “ไอ้เหี้ยนี่มันโรคจิตโชว์ของ” พอทุกคนได้ยินถึงกับตาโต มีผู้ชายหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์พากันเข้าไปดึงคนโรคจิตขึ้นนั่ง นั่นทำให้ของลับที่โชว์ผมเมื่อกี้เปิดเผยจนทุกคนพากันร้องเสียงหลง โดยเฉพาะผู้หญิงและป้าเจ้าของหอ “ไอ้เหี้ยเอ๊ย”

   “เม่น!” ช่วงรอตำรวจ ไอ้เม่นมันพร้อมจะพุ่งไปกระทืบอยู่ตลอดเวลา ผมเลยต้องกอดมันไว้ ไม่รู้ไปบ้าเลือดที่ไหนมา หรือกินยาลืมเขย่าขวดก็ไม่รู้

   “พี่เป็นอะไรมากไหม มันทำอะไรหรือเปล่า” ดูเหมือนคนบ้าจะเริ่มระงับอารมณ์พุ่งพล่านลงไปบ้าง ไอ้เม่นเลยหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมสายตาที่กำลังสำรวจร่างกายของผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

   “ไม่เป็นอะไร มันยังไม่ได้ทำอะไร” ผมตอบ ไอ้เม่นพยักหน้ารับช้าๆ “ที่กูนิ่งเพราะตกใจ”

   “โชคดีที่ผมมาทัน แต่แม่งเอ๊ย” มันจะพุ่งอีกแล้วครับ

   ไอ้ม่านเหนื่อยเน้อ

   กว่าเรื่องจะจบก็ตอนตำรวจมา ไอ้โรคจิตถูกจับไปโรงพักตามระเบียบ ผมก็ไม่ได้เอาเรื่องอะไรเพราะไม่ได้ถูกทำร้าย แต่เสียสายตานิดๆ ที่ต้องมาเห็นของเล็กยิ่งกว่าแหมตุ้มจิ๋ว
 
   “มึงทำอะไร” เลิกคิ้วมองคนที่ตั้งตาตั้งตายัดเสื้อผ้าผมใส่กระเป๋าเดินทาง

   “ย้าย! ย้ายออกวันนี้เลย ไม่ต้องอยู่มันแล้ว” ไอ้เม่นหันมาตอบแล้วหันกลับไปยัดเสื้อผ้าผมอีกรอบ “เงินประกันก็ไม่ต้องเอา ถ้าพี่เสียดาย เอาเงินผมไปก็ได้”

   “เดี๋ยวๆ มึงไม่ถามกูหน่อยเหรอวะ” มือที่ยัดเสื้อผมหยุด ไอ้เม่นมันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “อะไร”

   “ผมห่วงพี่มากกว่าพี่ห่วงตัวเองเสียอีก ถ้าเกิดไอ้บ้านั่นมันมีมีดหรือปืน พี่ตายไปแล้วนะ” ผมถูกดึงเข้าไปกอด รับรู้ถึงความสั่นของมือที่โอบหลัง “ตอนนั้นผมกลัวมาก กลัวว่าพี่จะเป็นอะไร”

   “เอาจริงๆ กูก็ตกใจนิดๆ ตอนมันกระโดดเข้ามา” ตอบเสียงอู้อี้ที่บ่า “ถ้ามันมีอาวุธจริง กูก็คงตายอย่างที่มึงว่า” พอย้อนกลับไปนึกถึงแล้วก็สยองจริงๆ ครับ

   “เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย”

   “เออ รู้แล้วเนี่ย”

   “ดีมาก งั้นย้ายวันนี้เลยนะ ใช่ๆ ต้องโทรหารถขนส่งเพื่อขนของ เบอร์อะไรวะเนี่ย แล้วต้องโทรบอกแม่บ้านไปทำความสะอาดห้องผมด้วย อ๋า ซื้อของสดด้วย ของใช้อีก แล้วก็ บลาๆๆ”

   ผมได้แต่ยืนเค้นเสียงหัวเราะแบบแห้งๆ มองคนรักสาละวนอยู่กับข้าวของของผม แถมยังจัดการทุกอย่างโดยที่ผมไม่ต้องยุ่งอะไรเลย

   นี่ผมต้องย้ายก่อนกำหนดเหรอ ผมยังรักห้องนี้อยู่เลยนะ แม้ภาพหนอนเมื่อกี้ยังชวนหลอน แต่ก็ยังผูกพัน ห้องที่รัก ถึงเวลาต้องจากแล้วหรือนี่ พี่ม่านจะคิดถึงเสมอ



   “มึงหยุดพูดสักนาทีได้ไหมเนี่ย กูเมื่อยปากแทน”

   “รอผมจูบ พี่จะเมื่อยกว่านี่”

   “ไอ้!”

   ชูนิ้วกลางใส่เมื่อขี้เกียจเถียงต่อ คุยทีไรวกเรื่องใต้เข็มขัดตลอด ชาติที่แล้วเป็นนักมวยหรือเปล่าไม่รู้

   “พี่ครับ กางเกงในลายการ์ตูนผมทิ้งนะ”

   “ไม่โว้ย”

   “เห็นแล้วแม่งทำให้หมดอารมณ์”

   “ก็ไม่ต้องมอง ไอ้เม่น กางเกงในแบดแมนของกู ไอ้เม่น!!!”



...TBC


 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 22 << [P.4] Up!! // [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 26-06-2017 11:12:05
5555 เม่นจัดม่านเสียหนักหน่วงเลยเน๊าะ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 22 << [P.4] Up!! // [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 26-06-2017 13:57:01
หุๆๆๆท่าทางเม่นจะเล่นหนักหน่วงมากนะเนี่ยยยยย :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 22 << [P.4] Up!! // [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-06-2017 14:21:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 23 << [P.4] Up!! // [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 28-06-2017 20:21:12

23




        ผมเดินมึนๆ มาที่คณะ หลังจากย้ายออกจากหอเดิมมาห้องใหม่ แทบไม่ได้หลับได้นอน อย่าเพิ่งคิดทะลึ่งกันครับ แค่ต้องจัดของให้เข้าที่ มันใช้เวลามากโขเพราะไอ้เม่นมันเห็นขัดกับผมทุกอย่าง

   “ทำหน้าดีๆ สิวะ หน้าบูดเป็นตูด วันนี้จะมีคนมาซื้อของไหม” ไอ้เจที่เดินข้างๆ ทักขึ้น ผมเจอกับมันหน้าตึก วันนี้เรามีงานมหาลัยครับ เลยต้องมาเช้า นี่ก็เพิ่งจะหกโมงเอง

   “มึงก็ทำหน้าหล่อเรียกลูกค้าไปสิวะ” พูดไปหาวไป ง่วงจริงๆ ครับ

   “แล้วมึงได้เอาเรื่องไอ้โรคจิตนั่นหรือเปล่า” เมื่อคืนนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่นอนดึก ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง พวกมันไม่ยอมหลับยอมนอนถามซ้ำไปซ้ำมา “มึงนี่นะ เป็นกูหน่อยไม่ได้ กูจะกระทืบให้ไข่มันแตก ไส้ทะลัก ให้มันตายอย่างอนาถ”


   ไอ้นี่ก็โหดไป   


   “ช่างมัน” ตอบแบบปัดๆ ไม่อยากยุ่งยากครับ เดี๋ยวเรื่องจะยาว

   ผมบอกแม่ด้วยนะ แม่ขำอย่างเดียว บอกสงสารโจรที่เอาหนอนมาโชว์คนมีพญามังกรแบบผม แม่ชอบพูดเรื่องจริงอยู่เรื่อย
 



   งานช่วงเช้าก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก นอกจากจัดข้าวของที่ต้องขาย คณะผมมีข้าวโพดคลุกเนยกับผลผลิตจากคณะที่ขายในราคาย่อมเยา

   “ไข่ไก่แม่งโคตรสด” ผมมองไอ้เจที่กำลังสำรวจไข่ไก่สดใหม่จากฟาร์ม

       “มึงซื้อไปฝากแม่มึงสิ” บอกไปมันก็ส่ายหน้า

   “แม่กูอยากได้จะซื้อเอง คนอื่นเลือกไม่เคยถูกใจนางหรอก” คำพูดของไอ้เจทำให้ผมขำ มันสนิทกับแม่ครับ เรียกได้ว่า แม่มันคือเพื่อนอีกคนเลยก็ว่าได้ ก็คล้ายๆ กับแม่ของผม แต่แม่ไอ้เจจะดูสมัยใหม่หน่อย เจอครั้งแรกคิดว่าพี่สาวมันด้วยซ้ำ “แล้วคอนโดไอ้เม่นดีหรือเปล่าวะ”

   “ก็ดีนะ ห้องใหญ่ดี ข้าวของก็อย่างหรูอะ” พูดไปมือก็จัดของไป “หรูพอๆ ห้องมึงนั่นแหละ”

   “โห ไม่ธรรมดานี่หว่า ผัวเด็กมึง” ตบหัวเฮดว๊ากเพราะความปากสุนัข ไอ้เจหน้าหงิกลูบหัวตัวเองป้อยๆ มองหน้าผม “มือหนักเหี้ยๆ”

   “น้อยกว่าตีนกูแล้วกัน” เขม่นมองซะไอ้เจต้องรีบเดินหนีไปที่อื่น

   กว่างานจะเริ่ม นักศึกษาต่างคณะก็แทบจะเหมาข้าวโพดคลุกเนยเกือบหมดคงเพราะหิว ยังมีป๊อบคอร์นทำสดๆ ข้าวโพดปิ้งด้วย อร่อยมากเพราะผมชิมมาหมดทุกอย่างแล้ว ชิมจนอิ่มไปถึงมื้อเที่ยง

   ผมกับไอ้เจขายของหัวหมุนนิดๆ เพิ่งรู้ว่ามีคนชอบสินค้าปลอดสารพิษมากขนาดนี้ แม้แต่นักศึกษาบางคนยังมาเลือกซื้อ บ้างก็เหมาไปหลายถุง คงเพราะตอนนี้หลายคนหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น ผักปลอดสารเลยเป็นที่นิยม

   “ผักสดจังเลยนะคะ” ผมเงยหน้าจากการเช็ดโต๊ะเมื่อได้ยินเสียงดัดให้แหลมเป็นผู้หญิง “ไฮ”

   “อ่าวพี่ มาด้วยเหรอ” ทันทีที่เห็นหน้า ผมก็ถามออกไปตามความคิดแรก

   “กูเรียนที่นี่ก่อนมึงอีก ทำไมจะมาไม่ได้วะ” พี่แทมว่า “เอามาให้กูแก้วดิ๊ ขอหวานๆ ชีวิตกูขาดความหวานมานานไร้ชีวิตชีวาสุดๆ”

   “ขาดแน่เหรอพี่ ได้ข่าวว่าเพิ่งควงสาวหมวยไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนนี่นา” ผมล้อเลียนรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว พี่แทมถึงกับถลึงตาใส่

   “มึงรู้ได้ไง รู้มาจากไอ้กลอยล่ะสิ ไอ้เชี่ยนี่ปากไม่ดี” ถึงกับขำประโยคด่าคนปากไม่ดียาวเหยียด “ไอ้เจ มึงไม่คิดจะทักรุ่นพี่หล่อๆ แบบกูหรือไง”

   “อ่าว พี่หล่อเหรอ เพิ่งรู้” ผมกับไอ้เจขำก๊ากเมื่อเห็นพี่แทมถลึงตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า “พี่มาคนเดียวแล้ว เดอะแก๊งไม่มาด้วยเหรอ”

   “มาดิ่ แต่อยู่คณะ” พี่แทมว่า “ไหนข้าวโพดคลุกเนยกู”

   “รอแป๊บดิ่ ใจร้อนเป็นวัยรุ่นเลยวุ้ย” ผมขำเมื่อพี่แทมถูกรุม วันนี้พี่แกมาแนวสบายๆ กางเกงยีนส์เสื้อยืด “พี่โชพาเพื่อนผมมาหรือเปล่า”

   “ไม่มาด้วยก็ดีแล้วไอ้ห่า กูขี้เกียจทะเลาะกับหมาในปากมัน ไม่รู้ไอ้โชอยู่ด้วยได้ยังไง ปวดหมองพอดี”

   “หมาในปากพี่ก็ใช่ย่อยนะครับผมว่า”

   “ไอ้เหี้ยเจ มึงไม่พอใจกูใช่ไหม ออกมาต่อยกับกูเลยมา”

   แม้พี่แทมจะอยู่คนละคณะ แต่ความสนิทสนมนั้นกลมเกลียวกับผมและเพื่อนมากเลยทีเดียว แม้ช่วงปีหนึ่งผมจะกลัวกลุ่มพี่เขาก็เถอะ ขึ้นชื่อว่ากลุ่มพี่ว๊ากวิศวะขาโหดก็ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย เห็นพี่แทมบ้าบอแบบนี้ ตอนว๊ากทีรุ่นน้องถึงกับเป็นลมเลยนะครับ ไม่ใช่เล่นๆ เลยคนๆ นี้

   “สิบบาท” หลังจากยื่นถ้วยข้าวโพดคลุกเนยให้ ผมก็แบมือรอเงิน

   “อะไรวะ สิบบาทมึงก็คิดเงินกับกูเหรอ กูพามึงไปเลี้ยงข้าวเสียเป็นร้อยๆ นี่สิบบาทมึงยังจะให้กูจ่ายเหรอ” พูดแบบนี้มาเอาซะไอ้ม่านเป็นคนใจหมาเลยทีเดียว พอพี่แทมเห็นผมหน้าเสียก็หัวเราะพร้อมยื่นแบงค์สีเขียวมาให้ “กูล้อเล่นน่า หน้าซีดเป็นหมาต้มเลย”

   “ไก่ต้มก็พอแล้วพี่ ทำให้ผมรู้สึกผิดคงชอบใจมากสินะ” ผมว่างอนๆ พี่แทมยิ่งหัวเราะ พอๆ กับไอ้เจที่เอิ๊กอ๊ากไปด้วย
 

   กลายเป็นว่า ผมกำลังถูกรุมแทนเฉย อะไรวะเนี่ย


   “นมในขวดนั่น เป็นนมสดเหรอวะ” คนกินข้าวโพดคลุกเนยใช้ช้อนชี้ ผมกับไอ้เจก็พากันพยักหน้า “บีบจากเต้าวัวผู้หญิงใช่ป่ะ”

   “เขาเรียกตัวเมียครับพี่” ไอ้เจพยายามกลั้นขำตอบ

   “วัวตัวผู้บ้านพี่มีนมให้บีบด้วยเหรอครับ” ผมถามต่อไอ้เจ พี่แทมถึงกับมองหน้าเราทั้งคู่แบบนิ่งๆ

   “เออว่ะ กูนี่ก็โง่เนอะ” สุดท้ายเราสามคนก็ขำออกมา “ไปดีกว่า เขาว่าสาวบริหารปีนี้ดี กูไปส่องก่อน”

   “พี่ไม่เอานมสดสักขวดเหรอ” ผมรีบทักเมื่อพี่แทมกำลังจะหันหลังไป

   “กูชอบนมจากเต้ามากกว่า แบบนี้มันเฉาแล้ว”

   “นมเฉา? มันคืออะไรวะพี่” ไอ้เจก็งงเหมือนกับผมเด๊ะ

   “ก็มันบีบทิ้งไว้นานไง ไม่สด ไม่อร่อยเหมือนมาจากเต้า” พี่แทมพูดไปก็ทำจมูกบานไป คิดเรื่องต่ำตมแน่นอนคนแบบนี้

   “งั้นผมจะพาไปดูดจากเต้าแม่วัวดีไหม ไม่เฉา แถมสดเด้งดึ๋งๆ ด้วยนะ” พอได้ยินคำชวนของผม พี่แทมถึงกับทำเมินแล้วเดินหนีไป เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้เล่นมุกนะเว้ย

   พอพี่แทมไปแล้ว ผมกับไอ้เจก็นั่งรอลูกค้าคนต่อไป ซึ่งตอนนี้เริ่มบางตา อาจเพราะซุ้มอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้คณะของผม อย่างเช่นนิเทศที่มีละครให้ดู มีดาวเดือนหล่อๆ หรือแม้แต่เน็ตไอดอลหน้าตาดี แล้วแบบนี้คนหน้าตาบ้านๆ จะสู้ไหวเหรอ



   “ไง” เสียงทักยามผมกำลังอ้าปากจะกินข้าวโพดปิ้ง พอเงยหน้าขึ้นมองก็เจอคนกลุ่มใหญ่ยืนหล่อเป็นนายแบบหน้านิตยาสาร “มึงกินของขายแล้วจะได้กำไรเหรอวะ”

   “ผมจ่ายเงินเหอะ” ตอบหน้ายู่ “พวกพี่มาอุดหนุนผมเหรอ ดีๆ เหมาให้หมดเลยนะ”

   “สงสารเงินในกระเป๋าตังค์กูมั่ง ว่าแต่ เห็นไอ้แทมป่ะ” พี่ตินถาม สายตาก็มองหาเพื่อนตัวเองที่เพิ่งมาอุดหนุนซุ้มผม

   “เพิ่งไปเมื่อกี้อะพี่” เป็นไอ้เจที่ตอบแทน มันกำลังง่วนอยู่กับการคลุกข้าวโพดให้กลุ่มรุ่นพี่บัณฑิตคณะวิศวะ

   “ไอ้เชี่ยนี่ทิ้งเพื่อนว่ะ”

   ซุ้มของผมจากที่เงียบเมื่อครู่ ตอนนี้คึกคักสุดๆ ครับ คงเพราะมีพวกรุ่นพี่หน้าหล่อระดับดารามายืนเรียกลูกค้าช่วย ที่จริงก็ไม่ได้ช่วยฟรี ทุกคนได้นมสดผสมน้ำผึ้งไปคนละขวดใหญ่ ไม่รู้จะคุ้มทุนหรือเปล่านี่สิ

   “พี่โชไม่เหมาผักไปให้ไอ้กลอยทำกับข้าวเหรอ” ผมลองถามรุ่นพี่ผู้นิ่งเงียบ แต่ความเงียบนั้นแค่ปรายตามอง สาวๆ ก็ตามติดเป็นขบวน เมื่อกี้มีคนมาขอถ่ายรูปโคตรเยอะ ทั้งที่เป็นคนธรรมดาไม่ได้เป็นเน็ตไอดงไอดอลอะไรแท้ๆ พี่โชมองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนกำลังใช้ความคิด “ไม่สนเหรอฮะ”

   “เอาผัก...อะไรดีวะ” กำลังจะไปหยิบถึงกับเซ “เดี๋ยวขอถามกลอยก่อนนะ” ว่าแล้วพี่โชก็วีดีโอคอลหาไอ้กลอยครับ ผมยืนกระพริบตาปริบๆ ดูคนรักกันคุยผ่านโทรศัพท์ ไม่รู้คุยอะไรกัน พี่โชถึงกับลุกไปที่ถุงผัก มือก็โชว์ผักแต่ละอย่าง อันไหนที่ไอ้กลอยจะเอา พี่โชก็วางแยกต่างหาก มีหวัง เหมาหมดร้านแน่

   สรุปแล้ว พี่โชซื้อผักไปเยอะมาก ถึงขนาดต้องให้เพื่อนตัวเองช่วยหิ้วออกร้าน ฝั่งผมกับไอ้เจก็ยิ้มหน้าบานนับเงินเป็นฟ่อน หมายถึงแบงค์ยี่สิบนะครับ ไม่ใช่แบงค์พัน ก็แหม ผักถุงละสิบบาท จะเอาอะไรมากละครับ



   เวลาผ่านไปจนเกือบเย็น คนที่ร่ำๆ จะมาตั้งแต่รู้ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น ไม่รู้ทำอะไรอยู่ หรือเบี้ยวนัดก็ไม่รู้ นี่ใกล้จะเลิกงานแล้วด้วย ซุ้มคณะอื่นเขาก็เริ่มเก็บกันแล้ว

   “กูว่าเก็บซุ้มเถอะ เด็กมึงเบี้ยวแล้วละ” ไอ้เกมส์ว่า ปากก็เคี้ยวปลาหมึกปิ้งตุ้ยๆ แอบอยากกินเหมือนกัน หอมยั่วน้ำลายมาก
 
   “กูก็ว่างั้น เก็บเหอะ แล้วเราไปแดกเหล้ากัน” ไอ้มีนเห็นดีเห็นงาม ทำกระดี้กระด๊าเมื่อนึกถึงร้านเหล้า “เก็บๆ” ผมยังไม่ทันตอบ พวกมันก็พากันเก็บซุ้มครับ ผักที่เหลือก็ช่วยๆ หารกันทั้งคณะ เพราะเงินส่วนนี้ต้องใช้เป็นทุนต่อให้รุ่นน้องไม่ก็รุ่นอื่นๆ

   ผมยกลังผักไปขึ้นท้ายรถกระบะตัวเอง นี่เหมาทั้งลังโดยไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ทำกับข้าวรึก็งูๆ ปลาๆ อีกอย่าง ครัวที่คอนโดไอ้เม่นมันหยิบจับหรือใช้ยังไงก็ไม่รู้ กลัวทำของมันพังซะจริง

   “กูกลับก่อนนะพวกมึง” ผมโบกมือลาเพื่อนๆ ที่เริ่มทยอยกลับ งานมหาลัยที่เป็นไปอย่างเรียบๆ ง่ายๆ หรือเป็นเพราะผมไม่ค่อยสนุกก็ไม่รู้ มัวแต่กังวลเรื่องไอ้เม่น กลัวมันจะเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่นรถชน วิ่งล้ม ขาหัก กระดูกทะลุอะไรแบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน

   ผมขับรถกลับที่พักใหม่ซึ่งอยู่ไกลจากที่เดิม และรถติดนรกแตกมาก นี่ขยับมาสามรอบผมก็ยังติดไฟแดงอยู่ตรงแยกเดิม โคตรน่าเบื่อ จังหวะที่กำลังเซ็ง เสียงโทรศัพท์ข้างตัวก็ดังขึ้น พอเอามาดู ชื่อหน้าจอคือคนที่ผมกังวลมาทั้งวันมามันจะเป็นอะไรหรือเปล่า

   “ว่าไง” ผมถามเสียงนิ่งๆ โกรธก็ไม่ใช่ คงแค่ไม่พอใจเฉยๆ

   (ขอโทษน้า ผมมาไม่ทัน งานเก็บหมดแล้วด้วย) แอบยกคิ้วนิดๆ ที่ได้ยิน (พี่ม่านอยู่ตรงไหนอะ ผมยืนอยู่หน้าซุ้ม)

   “กลับแล้วไหม งานเลิกจะอยู่ต่อไปทำไม” ว่าอย่างเคืองๆ เพิ่มน้ำเสียงโหดเข้าไป

   (อ่าว) มาแค่อ่าวก็ทำเอาอารมณ์ปรี๊ดครับ

   “มึงไม่มาทำไมไม่โทรบอกวะ” ปล่อยให้ผมรอเก้อได้ยังไง

   (ขอโทษน้า พอดียายโทรเรียกเลยต้องไป ไม่รู้ว่าจะอยู่นานแบบนี้...อย่าโกรธเลยน้า)

   “กูไม่ได้โกรธ” มือถือร่วงบนตักตอนตกใจเสียงบีบแตรไล่เมื่อสัญญาณไฟเป็นสีเขียว ผมรีบออกตัวไม่เหลียวมองรถด้านหลังที่แซงขึ้นไป ผมว่า คงโดนด่าแหงๆ ผมขับรถมาเรื่อยๆ กว่าจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้วางสายโทรศัพท์ก็เกือบถึงคอนโด “ฮัลโหล ยังอยู่ป่ะ โหลๆ” หน้าจอมืดสนิทแปลว่าวางสายไปแล้ว


   ผมแบกลังผักลงจากรถ เห็นคุณป้าที่กำลังจะเข้าคอนโด ผมก็รีบเดินเร็วเข้าไปหา ตอนแรกป้าแกก็กลัวๆ ผมคงดูเหมือนคนโรคจิต แต่พอบอกว่าเอาผักมาฝาก จากที่กลัวๆ กลายเป็นดี๊ด๊าเลือกอย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งบอกปลอดสารเพราะปลูกเอง ป้าแกก็แทบเอาหมด

   “ขอบใจนะจ๊ะพ่อหนุ่ม น่ารักไม่พอยังใจดีอีก”

   “ไม่เป็นไรครับ คุณป้าชอบผมก็ดีใจ”

   “ใจดีจริงๆ เลย พ่อหนุ่มมีแฟนไหมจ๊ะ ลูกป้ายังโสดนะสนใจไหม” ไอ้ม่านตาวาวเลยครับ “แต่ต้องรอหน่อย ลูกป้าเพิ่งจะเข้ามอหนึ่ง” ลังผักแทบร่วง แค่คิดก็แทบขาข้างหนึ่งก็เหยียบเข้าคุกแล้ว

   ความล้อเล่นของป้า ทำเอาผมเหงื่อตก ร่ำลากันเสร็จผมก็แบกลังเปล่าขึ้นห้อง (ทำไมผมไม่เอาไปไว้หลังรถวะ) ขึ้นมาถึงห้อง ก็เงียบๆ เพราะไม่มีคนอยู่ ห้องแสนกว้างดูไม่ใช่แนวไอ้ม่านเลยให้ตาย ไม่ใช่ไม่ชอบนะครับ แต่ลำบากตอนทำความสะอาดแน่นอน หอเดิมแคบๆ นั่นผมยังขี้เกียจเลย

   ผมเข้าไปอาบน้ำคลายความเหนียวทั้งตัว ออกมาก็เจอคนหน้าเครียดนั่งอยู่ปลายเตียง ไอ้เม่นค่อยๆ หันมามองหน้าผม

   “โทรมาทำไมไม่รับ!” โคตรตกใจตอนถูกตะคอกเสียงดัง “รู้ไหม ว่าเป็นห่วงแค่ไหน ช่วงสายตัดไปผมเป็นห่วงแทบบ้า พยายามไม่คิดอะไรร้ายๆ แต่เสียงพี่มันทำให้คิด โทรหาซ้ำๆ ก็ไม่คิดจะรับ พี่ทำอะไรอยู่ ไม่นึกถึงใจผมบ้างเหรอวะ! แม่ง”


   ไปไม่ถูก พูดไม่ออก เลยยืนเช็ดผมเงียบๆ


   เมื่อไม่มีเสียงพูดอีก ผมก็เดินไปแต่งตัว พอเสร็จก็เดินมานั่งข้างๆ คนโมโห ไอ้เม่นตวัดสายตามองซะผมสะดุ้ง จะโหดไปไหนวะ หรือวิญญาณล็อตไวเลอร์เข้าสิง

   “กู...ขอโทษ” ผมพูดออกมาเมื่อรู้สึกว่าตัวเองผิดจริง “ตอนสายหลุดไฟเขียวพอดีมันเลยร่วง ตอนมึงโทรมาอีกก็ยกลังผักอยู่ไม่ว่างรับ คิดว่าขึ้นห้องจะโทรหา...แต่ก็ลืม” ทำไมกลายเป็นผมผิดไปได้วะเนี่ย “ขอโทษ อย่าโกรธกูสิวะ” ใช้นิ้วจิ้มๆ ที่แขนมันเป็นการง้อ แต่ไอ้คนโกรธก็ไม่คิดจะหาย “เม่นอ่ะ”

   “ผมไม่ได้โกรธ แต่เป็นห่วง” ย้ำชัดทุกคำจนผมต้องยู่ปาก “ต่อไปห้ามลืมอีก เมื่อกี้ผมขับรถวนหาไปทั่ว มาถึงคอนโดเห็นรถพี่จอดอยู่ก็ใจชื้นขึ้นมา”

   “ก็ขอโทษนี่ไงเล่า” ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาพูดเสียงงุ้งงิ้งที่ไม่เคย

   “แล้วไหนผัก”

   “หา?”

   “ก็พี่บอกยกลังผัก แล้วไหนผัก เห็นแค่ลังเปล่า”

   “เอาให้ป้าเขาไปหมดแล้ว” ได้ยินปุ๊บ ไอ้เม่นก็ย่นคิ้วจ้องหน้าผมเครียดๆ “คือผักมันเยอะไง แล้วถ้าเอากลับห้องก็ไม่รู้จะกินหมดหรือเปล่า อีกอย่าง กูก็ทำกับข้าวไม่เก่ง”

   “แล้วพี่ก็ให้หมดทุกอย่างงั้นเหรอ” ผมพยักหน้าช้าๆ “เชี่ย ทำไมไม่รอถามผมก่อน ผมทำกับข้าวเป็น” ตกใจสะดุ้งเมื่อไอ้เม่นสบถเสียงดัง

   “ก็กูไม่รู้”

   “ต่อไปก็รู้ไว้ ว่าผัวพี่ทำกับข้าวเป็น”

   ผมตวัดสายตาตอนได้ยินมันเรียกแทนตัวเองว่าผัว จะโวยวายเดี๋ยวความโกรธมันกลับมาอีก เลยได้แต่กัดฟันข่มความปรี๊ดเอาไว้

   “ว่าแต่ ยายเรียกไปทำไม” ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วเรื่องของยายมันนี่แหละดีที่สุด “หรือเรียกไปด่าวะ”

   “เรียกไปเรื่องคอนโดนี่แหละ” ตาโตทันทีที่ได้ยิน ซวยแล้ว ยายมันต้องด่าแน่ๆ ที่ผมมาอยู่ที่นี่

   “ยายมึงจะไล่กูออกเหรอ บอกก่อนสักวันนะ กูจะได้มีเวลาเก็บของ” นั่นไง ผมว่าแล้วว่ายายมันต้องไม่ให้อยู่ แม้ห้องจะเป็นชื่อไอ้เม่น แต่ยายจ่ายเงินซื้อไง ช่วงที่ผมลนลานความเจ็บจี๊ดตรงหน้าผากก็เรียกสติ “ดีดหน้าผากทำไมเนี่ย”

   “คิดอะไรร้ายๆ อยู่ใช่ไหม” ไอ้เม่นมันขำออกมา ก่อนมันจะดึงผมเข้าไปกอด “ยายเรียกผมไปถามว่าอยากได้อะไรเข้าคอนโดเพิ่มหรือเปล่า ยายจะได้ซื้อให้ แค่นั้น”

   “รู้ได้ไงว่ากูคิดอะไร” พอได้ยินก็แทบอยากถอนหายใจที่ไม่เหมือนเรื่องร้ายๆ ที่คิดไว้

   “หน้าพี่บอก” แล้วก็ถูกฉกหอมแก้มฟอดใหญ่

        หอมแบบนี้ไม่ดูดแก้มกูไปเลยล่ะ

   “แล้วมึงว่าไง”

   “บอกว่าจะมาถามพี่ก่อน”

   “ยายมึงไม่ด่าเหรอ เขาไม่ชอบกูนี่หว่า” ที่จริงก็ไม่ได้ไม่ชอบซะทีเดียว แค่ไม่อยากให้มาคบหลานเขานั่นแหละครับ คนมีตังค์นี่เนอะ ก็อยากให้ลูกให้หลานแต่งงานเพื่อต่อธุรกิจ

   “ยายก็ไม่ว่าอะไร ถึงยายผมไม่เห็นด้วยที่เราคบกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง” ผมมองคนที่กอดมีรอยยิ้มอยู่ตรงมุมปาก “พี่อยากได้อะไรเพิ่มไหม ตู้ โต๊ะ หรือเตียงใหม่ดี”

   “ไม่ต้องเลย กูไม่ได้อยากได้อะไร เตียงก็ไม่เอา” รีบปฏิเสธเสียงแข็ง ผมพยายามดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่น

   “ไม่เอาเตียง แต่เอาตรงระเบียงก็ได้ใช่ป่ะ โอ๊ยๆ เจ็บ” เป็นความคิดที่ดีมากผมเลยดึงหูมันเป็นของรางวัล

   ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมยายมันถึงยอม จะว่าไอ้เม่นยอมเข้าเรียนคณะที่ต้องการก็ไม่น่าจะใช่ พอนึกถึงหน้ายายมัน ภาพคนที่เจอก็ลอยเข้ามา เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย

   “เอ่อใช่ เมื่อวันก่อน กูเจอลูกของลุงมึงด้วย ที่คณะอักษร” พอผมพูดจบ ไอ้เม่นก็หุบยิ้มทันที “ดูเหมือนจะมาติวเข้ามหาลัยนะ”

   “ติดผู้ชายมากกว่า” หันจนคอแทบเคล็ด

   “มึงมองโลกในแง่ร้ายมากไป กูดูแล้วก็น่าจะมาติวหนังสือกับเพื่อน...”

   “ยายเพิ่งบอกว่า...ติดผู้ชายจนเกือบถูกไล่ออก” แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก็ภาพตั้งใจฟังเรื่องเรียนมันเด่นชัดขนาดนั้น แต่เมื่อกี้ผมไม่ได้ยินไอ้เม่นเรียกชื่อเลย คงเกลียดจนไม่อยากเอ่ย ผมเข้าใจ ตอนเด็กผมก็เคยทะเลาะกับเพื่อนจนไม่อยากพูดชื่อเหมือนกัน

   “ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ”

   “เลิกพูดเรื่องคนพวกนั้นเถอะ ผมไม่อยากสนใจ”

   ผมยักไหล่เอาตามที่มันสะดวก ไอ้เม่นแยกไปอาบน้ำแล้ว ส่วนผมมีสายโทรเข้ามาพอดี ปลายสายคือคนที่ผมรักสุดหัวใจ สุดตับไตไส้พุง แค่เห็นชื่อก็ทำให้ยิ้มหน้าบาน

   (หายเงียบเลยนะ ไม่มีโทรหากันบ้าง สงสัยจะลืมคนทางนี้ไปแล้ว) เสียงตัดพ้อดังขึ้นทันทีที่ผมกดรับสาย หากพูดประโยคนี้ต่อหน้า ผมจะต้องได้เห็นปากคว่ำด้วย แค่คิดก็ขำ (อยู่ไหนน่ะเรา มหาลัยหรือหอ)

   “อยู่ห้องแล้วครับคุณนาย” พูดน้ำเสียงกวนประสาทอย่างเคย คนเก๊กโหดปลายสายเลยหลุดขำออกมา “แม่ทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง”

   (ก็โทรหาแกนี่ไง จะให้ซักผ้ารึ) เป็นไงครับ แม่ผม ย้อนได้แม้กระทั่งลูก (ข้าวก็กินแล้วสิยะ นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว ว่าแต่ ม่านกินข้าวหรือยังลูก)

   “ยังเลย” ลากเสียงยานคางให้ดูน่าสงสาร “อยากกินข้าวฝีมือแม่ที่สุด”

   (ขี้จุ๊แต้ อยากกินข้าวของแม่แต่ไม่เคยโทรหา เชื่อไม่ได้ผู้ชายคนนี้)

   “แม่อ่า” แล้วเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ที่จริงได้ยินเสียงพ่อด้วย คงจะเปิดลำโพงให้ได้ยินเหมือนกัน “เอ่อแม่ครับ คือม่านย้ายหอแล้วนะ” เพราะไม่เคยมีความลับกับพ่อและแม่ เลยไม่จำเป็นต้องคิดมากที่จะบอก “คือม่าน”

   (อย่าบอกว่าย้ายไปอยู่กับไอ้เด็กนั่นนะ) เสียงพ่อแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงแม่ดุ (จริงหรือม่าน ลูกย้ายไปอยู่กับเม่นหรือ)

   “ครับ” ตอบแม่พร้อมเงยหน้ายิ้มให้คนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ “ห้องมันโคตรใหญ่ สะดวกสบายมาก ห้องน้ำมีอ่างด้วยนะ”
 
   (ยังมีหน้ามาโม้อีก แล้วค่ำมืดทำไมยังไม่กินข้าว เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก ชอบนักดื้อเนี่ย)

   “ก็กำลังจะไปกินครับ” ผมย่นคิ้วเมื่อถูกมือดีแย่งโทรศัพท์ไปกดเปิดลำโพงแถมยังส่งเสียงทักทายเป็นกันเองจนอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้

       “สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ ผมเม่นเองนะครับ” เสียงแหลมแนะนำตัวของมันถูกหัวเราะจากปลายสาย ให้เดาคงแสบหู 

   (กินนกหวีดมาหรือเปล่าเนี่ย) โดนแม่ผมแซวเข้าเต็มๆ ไอ้เม่นถึงกับหัวเราะ (อย่าลืมพากันไปกินข้าวด้วยล่ะ เดี๋ยวจะปวดท้องกัน เข้าใจไหม)

   “ครับ” ผมรับคำ แต่ไอ้คนข้างๆ กลับเงียบ ผมพูดไร้เสียงถามว่าเป็นอะไร ไอ้เม่นก็เอาแต่จ้องหน้าผม “แม่ งั้นม่านไปกิน...”
 
        “...ผมขอโทษที่พาพี่ม่านมาอยู่ด้วยโดยไม่ขออนุญาตพ่อกับแม่ก่อนนะครับ” กำลังจะบอกลา ไอ้คนเงียบก็พูดแทรกออกมายาวเหยียด

   (...) ปลายสายเงียบ คงรอฟังอยู่เหมือนผมแน่ๆ อยากรู้ว่ามันจะพูดอะไร

   “แม้ตอนนี้มันคงไม่ค่อยดี แต่ผมขอพี่ม่านนะครับ ขอพี่ม่านมาอยู่กับผม แม้ไม่รู้ว่า ต่อไปเราทั้งคู่จะเป็นยังไง แต่ผมสัญญาว่าจะไม่ยอมปล่อยมือกร้านๆ นี่เด็ดขาด” ผมคงจะซึ้งไปแล้วหากไม่ได้ยินคำวิจารณ์เรื่องมือที่กำลังถูกกุมไว้ “ตั้งแต่พ่อกับแม่ของผมจากไป พี่ม่านคือคนแรกที่ผมอยากอยู่ด้วย คือคนแรกที่ผมยอมเปิดใจรับและรัก แล้วก็...”

   (พอๆ พูดสวยหรูแบบนี้มันขนลุก) ประโยคของแม่ทำเอาสี่เสียงหัวเราะประสานกันโดยมิได้นัดหมาย (แม่เองก็พูดคำหรูๆ ไม่ค่อยเป็นหรอกนะ แม่รู้ว่าเม่นเป็นเด็กดี ม่านจะได้อยู่กับคนที่ดีและรัก แม่ก็ดีใจ แต่ขออย่างเดียว...)

   “ครับ?”

   (เอาแล้วเอาเลย ห้ามเอามาคืนนะ พ่อกับแม่ไม่รับ)

   “แม่! นี่ลูกนะ” ผมรีบแหวทันทีที่ถูกหัวเราะเยาะ

   (ก็ลูกน่ะสิ ถึงพูด เอาล่ะๆ ไปกินข้าวกันเถอะ ถ้าแม่ว่างจะโทรหาอีก เพราะลูกรักไม่ยอมโทรหา) ประชดจนหน้าชาไปหมด (แค่นี้นะ)

   “ถ้าไม่มีเรียน ผมจะพาพี่ม่านกลับบ้านที่เชียงใหม่นะครับ รักพ่อกับแม่นะครับ จุ๊บๆ” แล้วสายก็ตัดไป

   ทำไมกลายเป็นไอ้เม่นที่บอกรักพ่อกับแม่ผมวะ ผมลูกนะเว้ย ยังไม่ได้พูดสักคำ

   “ทำไมทำหน้างอแบบนั้นล่ะ” ผมจ้องหน้าคนถามด้วยความรู้สึกเคืองปนหมั่นไส้

   “กูเป็นลูก ยังไม่ได้บอกลาเลย” หน้างอจนปลาทูเรียกพี่แล้วครับ ไอ้คนได้บอกลากลับหัวเราะออกมา “ไม่ขำเว้ย”

   “จะพี่หรือผมก็ลูกพ่อกับแม่เหมือนกัน ใครบอกก็ได้”

   “ไม่เหมือน กูลูกในไส้ มึงลูกนอกไส้”

   “แต่ผมผัวในไส้พี่นะครับ”

   “ไอ้เหี้ย!”

   ด่าไปมันก็ไม่สลดหรอกครับ แถมยังเดินผิวปากปลดผ้าขนหนูพันเอวออกเพื่อแต่งตัว ออกจากห้องน้ำมามันก็ตรงมานั่งข้างๆ โดยไม่ยอมแต่งตัว เป็นไงล่ะ ผิวแห้งจนต้องเกายิกๆ สมน้ำหน้ามันจริงๆ

   แม้จะทำไม่แยแส แต่สุดท้ายผมก็ต้องทาโลชั่นให้ไอ้เด็กเสี่ยวนี่อยู่ดี

   ทำไมแม่ถึงยอมยกผมให้มันง่ายๆ เนี่ย ไม่ยุติธรรมสักนิด แม่อาจไม่รู้ ว่าไอ้นี่มันบ้าพลัง แถมยังชอบเอาเปรียบอีก ไม่เห็นเป็นเด็กดีอย่างที่แม่ว่า...


   มันไม่ดี แต่ทำไมผมถึงตกหลุมรักมันวะ


...TBC


มาถึงโค้งสุดท้าย ท้ายสุดแล้วเน้อ ตอนหน้าก็ตอนจบแล้วค่าาาาา เย้ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดองได้ยาวนานซะจริง (น้อมรับความผิด) ขอบคุณสำหรับการติดตามคนขี้เกียจคนนี้นะคะ เจอกันตอนสุดท้าย ขอบพระคุณมากๆ ค่าาาา จุ๊บๆ 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 23 << [P.4] Up!! // [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-06-2017 21:23:39
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 23 << [P.4] Up!! // [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-06-2017 21:31:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 23 << [P.4] Up!! // [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 29-06-2017 11:33:47
รักเม่นม่านมากๆๆๆ น่ารัก :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 23 << [P.4] Up!! // [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 29-06-2017 20:43:57
ว้าาาาา จะจบแล้วหยอิิอ :mew2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END]<< [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 04-07-2017 20:59:57

24




       “เลิกเรียนแล้วผมจะมารับนะครับ” ยังไม่ทันลงจากรถก็ถูกดึงไปหอมแก้มฟอดใหญ่ ผมยกมือเขกหัวแต่ไอ้เม่นมันดึงตัวหลบทัน เลยได้แต่ฮึดฮัดที่เขกอากาศ “เจอกันครับ”

   “เออ พูดมาก” โมโหอารมณ์เสียที่ทำร้ายร่างกายมันไม่ได้ ตั้งแต่ย้ายไปอยู่คอนโดมัน ผมไม่เคยทำร้ายร่างกายมันได้เลย มีแต่มันที่ทำร้ายผม


   มีศาลไหนให้ความยุติธรรมกับผมได้บ้าง


   ผมเดินหน้ามุ่ยขึ้นตึก เพียงแค่เหยียบบันไดขั้นแรกก็เกือบหงายหลังเมื่อเห็นคนกำลังเดินสวนลงมา ความตกใจอยู่ในระดับมาก ยิ่งกว่าเห็นแหนมตุ้มจิ๋วซะอีก

   “ไฮ เพื่อน” เพื่อนสาวใจแมนของกลุ่มทักผมด้วยรอยยิ้มประหนึ่งเป็นบ้า ต่างจากคนที่เดินเคียงข้างที่ทำตาโตเหมือนเห็นผี “เป็นไรวะ ทำหน้าเหมือนผัวไม่รัก”

   “พ่องมึงสิ” ชูนิ้วกลางส่งคืน อีแน่วมันก็หัวเราะร่าโดยไม่สนว่าสาวน้อยที่มันควงมาจะทำหน้าบึ้งแค่ไหน “สบายดีนะครับ” ผมเอ่ยทักคนที่เพื่อนหลง

   “ก็ดี” เสียงใสตอบกลับแบบห้วนๆ ตามนิสัย เอ๊ย สไตล์

   “เฮ้ย ไอ้มู่ กูจะแนะนำให้มึงรู้จัก นี่...”

   “กูรู้จักแล้ว ไม่ต้องแนะนำ” ผมว่า และไม่รอฟังอะไรต่อ บอกตามตรง ผมทนคุย ทนมองเด็กผู้หญิงนิสัยแบบนี้ไม่ได้ ต่อหน้าเพื่อนผมยิ้มแย้ม แต่พอมองหน้าผมอย่างกับจะกินหัวซะงั้น ยัยเด็กผู้หญิงนิสัยไม่ดี ปกติไอ้ม่านไม่ใช่คนปากร้ายนะครับบอกเลย แต่ก็ไม่ได้ใจดีพ่อพระแบบไอ้กลอย ไม่โหดอย่างคุณชายอัธ และไม่เพี้ยนเหมือนไอ้ทู สรุป เป็นตัวเองนี่แหละครับปกติสุด

   ผมเดินหนีขึ้นมาด้านบน เจอพวกไอ้เจนั่งคุยบ้าบอรออยู่แล้ว พอพวกมันเห็นผมก็รีบอวดสรรพคุณสาวใหม่ของเพื่อน แต่ผมรีบยกมือห้ามก่อนที่จะได้ยินอะไรมากไปกว่าความน่ารักและขี้เล่น เพราะฟังยังไงมันก็ไม่ใช่

   “กูไม่ได้อิจฉา แต่กูไม่ชอบ” บอกไปตรงๆ จนเพื่อนทั้งโต๊ะเลิกคิ้วอย่างสงสัย

   “ทำไมวะ กูว่าน่ารักดีนะ ลูกคุณหนูอีก” ไอ้มีนว่า แต่ผมรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “อะไรของมึง”

   “คือมันก็ไม่ใช่เรื่องของกูนะ แต่กูยืนยันได้เลยว่า สิ่งที่พวกมึงเห็นนั้น...” เว้นวรรคให้ดูน่าสนใจ

   “อะไรวะ รีบๆ พูด กูอยากเสือกเต็มแก่” ไอ้เกมส์ถึงกับวางมือถือ ผมสอดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าของเพื่อนทั้งสามแล้วยืนขึ้น

   “เพราะ...มันก็เป็นแค่เพียงภาพลวง หลอกตา ที่เธอสร้างขึ้นมาให้ฉันได้ใจ มันไม่เคยจะเป็นของจริง แค่ลวง แค่หลอกกันไป แค่นั้น” เค้นพลังเสียงอันสุดยอดแล้วถ่ายทอดออกมา เพื่อนทั้งสามของผมคงจะชอบน้ำเสียงอันไพเราะนี้ เพราะพวกมันถึงกับแย่งกันดึงผมให้นั่ง

   “กูว่า คราวหน้ามึงพูดเฉยๆ เถอะ สงสารหูของกูบ้าง” ไอ้เจขยี้รูหูตัวเองไปมาพลางทำหน้ายุ่ง ส่วนผมก็หัวเราะอย่างเดียว

   ที่จริงเสียงผมก็เพราะนะครับ แต่มันต้องเค้นอารมณ์ไง บรรยายถึงเด็กนั่นน่ะ เลยเพี้ยนบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง...อะไร มากก็ได้ โธ่

   “ไร้สาระไอ้ห่ามู่ กูไปขี้ดีกว่า” ไอ้เกมส์ลุกไปเลยครับ แถมไอ้มีนยังเดินตามอีก
 
   ไปขี้หรือไปกินขี้กันก็ไม่รู้

   พออยู่กับไอ้เจสองคน แววตาเสือกคนตรงหน้าก็ฉายแววอย่างเด่นชัด ผมรู้ว่ามันคงอยากถามตั้งแต่เมื่อกี้ แต่คนอื่นอยู่มันเลยต้องสงบปากสงบคำไว้

   “จะแดกหัวกูหรือไง จ้องขนาดนั้น” ผมว่า ไอ้เจเลยเอานิ้วจิ้มหน้ผากผมจึ๊กๆ

   “หัวมึงกูไม่ชอบแดก มีแต่ขี้เลื่อย แต่ที่กูจ้องเพราะอยากรู้ และกูขอเดาว่า เด็กนั่นคือญาติไอ้เม่นใช่ป่ะ” สกิลการเดาของไอ้เจขั้นเทพจริงๆ ครับ ผมรีบพยักหน้าหงึกๆ “กูว่าแล้ว”

   “ทำไมวะ มึงรู้ได้ไง”

   “ก็ตอนอีแน่วแนะนำว่าย่าเป็นใคร ทำธุรกิจอะไร กูนี่มีดาวที่หางตาเลยไอ้ห่า”

   “มึงโคตรความจำดี กูเล่าให้ฟังครั้งเดียวแม่งจำได้หมด” แทบอยากปรบมือให้

   “แน่นอน กูใคร กูเจ ว่าที่เกียรตินิยมเหรียญทองเว้ย” ก็อยากจะอ้วกคำอวดตัวมันอยู่หน่อยๆ แต่เผอิญมันพูดจริง “แต่หน้าตาโคตรขัดกับนิสัย ถูกเลี้ยงมายังไงนี่รู้เลย”

   “มึงต้องเจอของจริง แล้วจะไม่อยากเข้าใกล้เหมือนกู” ภาพครั้งแรกที่เจอยังติดตาตรึงใจในความปากร้ายของเขา “เลิกพูดๆ กลัวเก็บไปหลอกหลอนในฝัน”

   เมื่อเลิกพูด ผมกับไอ้เจก็หอบข้าวของขึ้นห้อง วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเช้า ไอ้เม่นก็ด้วย เราเลยนัดกันว่าจะไปกินข้าวกับยายมันครับ ตอนแรกที่รู้ก็เกร็งๆ นะ แต่ผมว่า อยู่กับหลานเขาแล้วก็ต้องกล้าๆ หน่อย เหมือนจะเอาหลานเสือก็ต้องเข้าถ้ำของยายเสือ...
   




   “โชคดีนะมึง” ไอ้เจตบหลังผมอวยพรตอนแยก ผมยิ้มน้อยๆ ส่งให้เพื่อนก่อนเดินข้ามถนนไปหาคนที่นั่งรออยู่บนรถ

   บนรถที่แอร์เย็นเฉียบมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แปลกปลอมจนต้องขมวดคิ้ว ผมหันซ้ายหันขวามองหาต้นเหตุแต่ก็ไม่เห็น หรือมันเปลี่ยนน้ำหอมใหม่วะ

   “พี่หาอะไรเหรอ”

   “เปลี่ยนน้ำหอมใหม่เหรอ โคตรหอม”

   กลิ่นเหมือนดอกกุหลาบตามสวน ผมเคยไปฝึกงานที่ไร่กุหลาบด้วยนะ ไปแค่เดือนเดียว ตอนนั้นโคตรหลงที่นั่น ทั้งบรรยากาศ ทั้งพี่ที่ทำงานที่นั่น อีกทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ตอนเช้ามันโคตรฟิน

   “ไม่นะ” เจ้าของรถตอบ “คงเพราะเมื่อเช้าผมไปซื้อของกับเพื่อนละมั้ง กลิ่นมันเลยติด”

   “เหรอ” ที่จริงแอบหวังเล็กๆ ว่ามันอาจซื้อดอกไม้มาให้ผมงี้ โคตรบ้าเลยผมเนี่ย คิดไปได้ “แล้วนัดยายมึงหรือยัง”

   “ครับ ยายจองที่นั่งไว้แล้ว ร้านโปรดของยาย” ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ “พี่ไม่ต้องกลัว มีอะไรเกิดขึ้นเดี๋ยวผมช่วยเอง”

   “ยายมึงไม่ใช่ปีศาจ จะน่ากลัวอะไรมากมายวะ” ปากกล้าไปงั้นแหละครับ ที่จริงปิดบังความสั่นอยู่ “แล้วนี่ ลุงกับป้ามึงจะมาด้วยไหม”

   “ไม่หรอก คงมีแค่ตากับยายเท่านั้นแหละ” ค่อยโล่งอกนิดๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนมองหน้าคุณป้ามหาภัย ขืนมาคงรอแขวะผมเต็มที่


   ฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดจนมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่น ผมเคยผ่านร้านนี้นะ แต่ไม่เคยเข้าหรอก ส่วนมากถ้าอยากกินอาหารญี่ปุ่นก็นู้น ร้านบนห้าง แบบบุฟเฟ่ต์ก็มี ไม่แพงมากด้วย

   “ร้านนี้เหรอวะ” ถามขณะไอ้เม่นกำลังถอยรถจอดข้างรถยายมัน “แพงหรือเปล่า”

   “เราคงไม่ได้จ่ายหรอก กินได้เต็มที่”

   “อืม”

   แม้จะตอบไปแบบนั้น แต่คิดเหรอว่าผมจะกินเต็มที่ แม้จะเป็นของฟรีที่ชอบก็เถอะ

   ผมเดินตามไอ้เม่นเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นที่เหมือนยกร้านจากญี่ปุ่นมา ทั้งการตกแต่ง โทนสี หรือแม้แต่การแต่งตัวของพนักงานที่พูดต้อนรับ


   น้ำเสียงน่ารักเหมือนหน้าตาเลยวุ้ย


   “จ้องอีกนานป่ะ” เสียงพร้อมแรงสะกิดทำให้ต้องละสายตาจากหน้าขาวๆ ของพนักงานไปมองหน้าคนสะกิด “หึงนะเนี่ย”
 
   “เชี่ย” ด่าไปเบาๆ เมื่อไอ้เม่นพูดออกเสียง ที่สำคัญ แม่สาวน่ารักได้ยินยังหัวเราะ “ทำไรเนี่ย” พอด่าไป มันยิ่งบ้าหนักด้วยการพาดแขนมาโอบไหล่แล้วดึงผมไปชิด

   “ก็บอกว่าหึงไง หวงด้วย” แทบอยากเอานิ้วจิ้มตาไอ้คนลอยหน้าซะเหลือเกิน ผมหันไปยิ้มแห้งๆ ให้พนักงานสาวก่อนเธอจะเดินนำไปที่ห้องที่ถูกจองไว้

   “ปล่อยสิวะ” พยายามดันมือที่โอบไหล่ออก แต่ก็เกาะแน่นซะเหลือเกิน “ไอ้เม่น ปล่อย”

   “ไม่ และจะทำมากกว่าเดิมถ้าพี่ยังมองคนนั้นคนนี้อีก”

   “ก็ตากู กูจะมองคนไหนก็ได้”

   “ตาของพี่ต้องมองผมแค่คนเดียว เข้าใจ๊?”

   “จะให้มองแต่มึง ไม่ให้มองทาง ถ้ากูล้มจะทำไง”

   “ผมจะนำทางพี่เองไม่ต้องห่วง ไม่ล้มแน่นอน ไว้ใจได้”

   “ไอ้เสี่ยว”


   ด่าไปแต่ปากก็ยิ้ม ทำไมผมดูขัดแย้งในตัวเองวะ


   เราสองคนเดินไปหยุดหน้าห้องที่ยายจองไว้ ก่อนไอ้เม่นจะเคาะประตูไม้เบาๆ เมื่อมีเสียงตอบรับมันถึงเลื่อนเปิดประตู ตากับยายมันมารออยู่ก่อนหน้าแล้วแถมทั้งคู่ยังจ้องมาที่พวกผม เอาซะผมทำตัวไม่ถูก

   “ขอโทษที่มาช้าครับ” ไอ้เม่นว่าพลางยกมือไหว้ ผมก็รีบไหว้ตาม

   “สวัสดีครับ” พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ขาที่ก้าวเข้าไปโคตรสั่น ผมนั่งลงบนเบาะนุ่มบนพื้นตรงข้ามกับยายของไอ้เม่น ตอนนี้เกร็งไปทุกส่วน ขนาดมือที่วางบนขาตัวเองยังสั่น

   “ฉันสั่งอาหารไปแล้ว อยากกินอะไรก็สั่งมาเพิ่มเอง” เสียงเรียบๆ ของยายดังขึ้น ผมได้แต่นั่งก้มหน้าดูเมนูที่ไอ้เม่นเอามากางไว้ตรงหน้าผม “สั่งสิ”

   “ครับ? เอ่อ ผมกินอะไรก็ได้” สะดุ้งเมื่อยายมันบอก ผมปิดเมนูแล้วยื่นคืนให้ไอ้เม่นที่กำลังรอพนักงานมาเพื่อจะสั่งอาหาร
 
   “พี่ไม่สั่งเหรอ” รีบส่ายหน้าทันทีที่ถูกถาม “อ่าว งั้นเดี๋ยวผมสั่งให้”




   ช่วงรออาหารยายหลานเขาคุยกันแบบนิ่งมาก ถามคำตอบคำ ไม่ถามก็เงียบ บรรยากาศอึดอัดสุดๆ ผมจะอยู่รอดปลอดภัยไปถึงตอนเลิกไหมเนี่ย

   “เรียนจบจะไปทำการทำงานอะไร” เสียงเข้มของตาไอ้เม่นดังขึ้น ทั้งผมกับไอ้เม่นต่างก็มองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าถามใคร “ถามเธอนั่นแหละ คิดจะทำงานอะไรหลังเรียนจบ”

   “อ๋อ จบแล้วผมจะกลับไปช่วยพ่อกับแม่ทำสวนที่บ้านครับ” ความตั้งใจในการมาเรียนคณะนี้ของผม

   “สวนผลไม้หรือผักล่ะ”

   “มีทั้งผักและผลไม้ครับ” ตอบพร้อมรอยยิ้ม ตาไอ้เม่นชวนคุยทำให้ความตึงเครียดของคนในห้องเริ่มผ่อนคลายลง “พ่อผมทำสวนผักและผลไม้แบบผสมผสานและปลอดสารพิษครับ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนปลูกและคนกิน”

   “ผลไม้คราวที่แล้วก็มาจากสวนเธอสินะ”

   “ครับ”

   “มะม่วงหวานดี ฉันชอบ” คราวนี้เป็นยายไอ้เม่นพูด ผมหันไปมองคอแทบเคล็ด

   “ขอบคุณครับ”

   ตอนนี้กลายเป็นว่า ผมคุยกับตายายอยู่คนเดียว ไอ้เม่นมันนั่งนิ่ง มีเหล่ตามองบ้างเป็นระยะ คงเพราะความห่างที่ผ่านมา ทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันมากหน่อย แต่ผมว่า ปลายทางมันต้องคุ้มแน่นอน

   อาหารมื้อนี้อร่อยสมราคา ผมยัดทุกอย่างจนพุงยื่น ไม่เชื่อถามไอ้เม่นที่ลูบดูก็ได้

   “ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณตากับยายก่อนแยกกันกลับ ไอ้เม่นยังคงนิ่งเหมือนเดิม แม้จะไหว้ลาเหมือนกัน แต่พูดลาไม่มี จะปากหนักไปไหนก็ไม่รู้

   “อยากกินอะไรไหม” พอรถยายมันผ่านหน้าไป ไอ้เม่นก็ถามออกมา

   “ไม่กลัวดอกพิกุลร่วงแล้วเหรอวะ” ล้อไปเลยถูกมือมันขยี้หัวซะผมฟู     
       
   “ไม่อยากทำให้พี่อึดอัดมากกว่า ผมกับยายคุยกันดีๆ ได้ไม่นานหรอก” ผมกระพริบตาปริบๆ มองตามหลังไอ้เม่นที่เดินไปที่รถ

   “แต่ยายกับตาดูรักมึงนะ แต่คงไม่รู้จะแสดงออกยังไง” ในความรู้สึกผมมันบอกแบบนั้น ผมเห็นยายชอบแอบมองเวลาไอ้เม่นคีบของกิน คงคอยสังเกตว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร “เปิดใจบ้างก็ได้ เหมือนเรื่องกูอะ”

   “ไม่เหมือน” เสียงตอบกลับทันทีที่ผมถาม “พี่ไม่เหมือนกับใคร”

   “ไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไหร่” แม้หน้าตาจะจริงจัง แต่ก็อดที่จะว่าไม่ได้ “ประตูล็อคอะ” ผมบอกไอ้เม่นที่นั่งประจำที่คนขับแล้วด้วย อย่าบอกว่าจะทิ้งผมนะเฮ้ย

   “พี่ม่าน คือแบบ...” เสียงเรียกพร้อมกับหน้าขาวๆ โผล่พ้นหลังคารถ “น้ำมันหมด”

   “ฉิบหาย ล้อเล่นหรือเปล่าวะ” ผมรีบเดินอ้อมไปฝั่งไอ้เม่น กลัวว่ามันจะโกหก แต่น้ำมันหมดจริงๆ ครับ ไม่ได้ล้อเล่นเลย “ปล่อยให้หมดได้ไง แล้วจะทำไงดีเนี่ย”

   “เดินไปซื้อไหม ผมเห็นปั้มอยู่ไม่ไกล” ได้แต่กระพริบตาปริบๆ เพราะทำอะไรไม่ได้สักอย่าง “หรือพี่จะรออยู่ที่นี่...”

   “ไม่เอา กูไปด้วย” เกิดมันทิ้งผมไว้ที่นี่กับรถมันจะทำไง ไม่เอาหรอก

   “กลัวผมทิ้งเหรอครับ” อยากด่าคนที่หัวเราะเยาะ แต่มันคือเรื่องจริง พอเห็นผมไม่ตอบโต้ ไอ้เม่นก็หยุดขำ “ผมไม่ทิ้งพี่หรอก ไม่มีวัน”

   “กูไม่ได้กลัวมึงทิ้งเว้ย”

   “จริงอะ ไม่เชื่อหรอก พี่กลัวผมทิ้ง หน้าพี่บอก”

   “ไม่จริงเว้ย”

   “ไม่จริงแล้วเดินหนีผมทำไม พี่ม่าน”

   ไม่รู้ไม่ชี้ ผมเดินหนีมันออกมาหน้าร้าน ปั้มน้ำมันอยู่ตรงไหนวะ เมื่อกี้ก็ลืมมอง มัวแต่นั่งง่วง ไอ้เม่นรีบสาวเท้ายาวๆ ของมันมาเดินข้างผม พร้อมส่งแขนหนักๆ พาดคอ

   “เดินดีๆ สิวะ” เบี่ยงตัวให้หลุดจากแขนที่รัด แต่มันกลับดึงผมไปชิดจนไหล่ชนกับอก “ไอ้เม่น”

   “นี่ก็ดีแล้วไง พี่นั่นแหละ เดินดีๆ” ดูมันยอกย้อนสิครับ

   “กูหนัก”

   “แต่ผมไม่หนัก”

   “อย่ามากวนตีนกู”

   “ไม่กวนตีน แต่กวนใจได้ป่ะ”

   “ไม่ได้เว้ยไอ้เสี่ยว”

   “ถึงเสี่ยวก็เสี่ยวแค่กับพี่นะ เพราะผมโคตรของโคตรรักพี่เลย” ไอ้เม่นขยิบตาเจ้าชู้พร้อมรอยยิ้มกวน

   “ไอ้...” ด่าไม่ออกเพราะหน้าร้อนๆ ของตัวเองทำให้สมองไม่ค่อยทำงาน “โว้ยย” หงุดหงิดที่ด่าไม่ได้ จังหวะที่สัญญาณไฟข้ามถนนเป็นสีแดงห้าวินาที ผมรีบผลักไอ้เม่นออกแล้ววิ่งข้ามไป

   “พี่ม่าน เฮ้ย” ตามมาไม่ทันแล้วครับ เพราะตอนนี้ผมมาอยู่อีกฝั่งถนน ไอ้เม่นหน้าหงิกหน้างอกวักมือเรียกผมให้กลับไปหา “พี่ม่าน ข้ามไปทำไม กลับมา!”

   “ไม่โว้ย!” ตะโกนคุยกันแบบนี้โคตรเจ็บคอ ผมรีบเดินไปด้านหน้าต่อ ส่วนคนอีกฝั่งก็รีบเดินตาม

   “พี่ม่าน! ข้ามมาเดี๋ยวนี้! พี่ม่าน!!”

   “ไม่โว้ย! เจอกันสะพานลอยข้างหน้านะพวก!” 


   ผมรีบเดินหนี เห็นสะพานลอยข้ามถนนอยู่ไกลๆ แต่ขาอาจจะลากหน่อย เดินตามฟุตบาทไปเรื่อยๆ มองอีกด้านก็ยังเห็นไอ้เม่นเดินเอื่อยๆ เป็นคู่ขนานกับผมไป เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงครั้งแรกที่เจอ ผมกับไอ้เม่นดูเหมือนถนนสองเส้นที่ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ด้วยซ้ำ

   มันชอบเพื่อนผม นั่นคือสิ่งแรกที่รับรู้ แม้ว่าตอนนี้มันจะไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนผมแล้วก็ตาม แต่นั่นคือความทรงจำแรกและการรู้จักมัน แล้วอยู่ๆ เส้นทางคู่ขนานกลับเบี่ยงมาบรรจบกันเฉย ที่สำคัญ เป็นทางบรรจบที่ถูกเทด้วยปูนคอนกรีตชนิดแข็งแรงที่สุดซะด้วย

   “พี่ม่าน!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อทำให้สะดุ้ง ผู้คนที่เดินตามทางเท้าก็ดูจะตกใจไม่แพ้กัน มันเรียกผมที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ทำไมเนี่ย ผมรีบก้มหน้าก้มตาเดินทำเป็นไม่รู้จัก แต่... “พี่ม่านที่สวมชุดนักศึกษา รองเท้าผ้าใบสีขาวเก่าๆ สะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่กำลังยกมือปิดหน้า” อือหือ ไอ้เม่นบรรยายออกมาคือตัวผมชัดๆ ก่อนพี่คนข้างหน้าจะสะกิดเรียกให้ผมหันไปดู

   “ไอ้เหี้ย” ด่าแบบไร้เสียง ไม่รู้ว่ามันจะรู้หรือเปล่า เพราะความห่างของถนนสองเลนแบบนี้

   “พี่ม่านครับ! ผมมีบางอย่างจะบอกกับพี่ครับ!” มันจะตะโกนทำหอกอะไรเนี่ย ผมอาย “พี่ม่านครับ! ไอเลิฟยู เวรี่มัช!”

   แทบกระอักออกมาเป็นความอาย ไอ้เม่นตะโกนบอกรักผมท่ามกลางรถราที่วิ่งเต็มท้องถนนไม่พอ ผู้คนยังแน่นหนาอีก คิดว่าผมจะอายไหมล่ะครับ

   “ไอ้เหี้ย!” คราวนี้ตะโกนกลับเสียงดังฟังชัด โคตรหน้าร้อนเลยตอนนี้ พยายามก้มหน้าหลบสายตาผู้คนที่มองมา

   “ถึงเป็นเหี้ย ก็เป็นเหี้ยที่รักพี่นะครับ!” มันยังตอบกลับมาอีก มีปิ๊บไหมครับ ผมจะเอาคลุมหัว “จุ๊บๆ” มีจูบใส่มือแล้วเป่ามาทางผมอีกต่างหาก คราวนี้คนที่ยืนฝั่งผมพากันหัวเราะแถมยังส่งเสียงแซวมาอีก ขนาดยกมือปฏิเสธแล้วแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ

   “ไอ้เม่น มึงโดนตีนกูแน่ ไอ้เชี้ย!!” ตะโกนด่าไป ก่อนถูกสะกิดแขนเบาๆ จากป้าที่ขายกล้วยทอดบนฟุตบาท “ครับ?”

   “ด่าผัวไม่ดีนะหนู มันบาป”

   ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่รีบเดินหนีให้พ้นจากที่นั่นโดยเร็ว เพราะตอนนี้ ทั้งเสียงแซว เสียงโห่ เสียงเชียร์ดังมาตลอดทางที่เดิน ความอายนี้หาซื้อที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว!!

   พอทางขนานมาบรรจบ ผมก็กระโดดถีบไอ้คนต้นเรื่องทันที ไอ้เม่นหัวเราะทั้งน้ำตา มันคงเจ็บแต่ผมไม่สน ไอ้เหี้ยนี่ทำให้ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี

   “ก็พี่บอกผมให้พูดตามที่ใจอยากพูดไง ผมผิดเหรอ” นั่นเป็นประโยคที่ผมเคยพิมพ์บอกไปในข้อความช่วงแรกที่ได้คุย
 
   “ไม่ผิดที่มึงพูด แต่ผิดที่สถานที่” กระชากคอเสื้อมันขึ้นมาแล้วเขย่าๆ “เพราะมึงเลยนะ กูอายจน...”

   คำด่าถูกดูดหายไปเมื่อปากผมถูกปากนุ่มไอ้เม่นกดจูบ

   “ผมรักพี่ ตรงนี้ไม่มีคน พูดได้ใช่ป่ะ”

   “ตรงนี้ก็ไม่ได้โว้ย”

   มันจูบผมกลางสะพานลอย คิดได้ไงวะเนี่ย เกรงใจฟ้ากับนกบ้างไหม

   “ผมรักพี่ม่าน ผมรักพี่!”

   “ตะโกนทำไม กูบอกว่า พูดตรงนี้ไม่ได้!”

   “ผมรักพี่ม่าน!”

   “ไอ้เชี่ยเม่น!”

   “พี่ครับ ไอเลิฟยู!!”


   ผมหยุดคำพูดมันด้วยปากของผมเอง ไม่รู้ต่อไปเส้นทางของผมจะเป็นยังไง แต่ที่รู้ๆ ผมจะไม่เหงาอย่างแน่นอน


   “ไอ้เสี่ยว หยุดตะโกนบอกรักกูสักที กูเขิน!”

   “พี่โคตรน่ารักอะ โคตรรักพี่ โคตร! รัก! พี่! ม่าน! เลย! ครับ!!”

   “กูบอกว่าให้เงียบๆ กูเขิน!!”

   “น่ารักเกินไปแล้ว!”

   “บอกว่าห้ามตะโกนไงเล่า!”

   พวกเราจะได้ไปซื้อน้ำมันมาเติมรถไหมครับเนี่ย

   “ไม่ตะโกนก็ได้...ผมรักพี่ครับ”

   “เออ กูก็รักมึง”

   ไม่สนว่าใครจะเงยหน้ามองขึ้นมา หรือกำลังเดินขึ้นบันได ตอนนี้ขอจูบกับมันก่อน เรื่องปิ๊บคลุมหัวค่อยว่ากันทีหลังแล้วกันนะครับผม อะไรนะ นี่กลางสะพานลอยเหรอ ไม่แคร์แล้วล่ะ ก็คนอยากจูบก็ต้องจูบสิครับ...เนอะ


-- THE END --

จบแล้วค่าาาา เย้ๆๆๆ  :mc4: :mc4: กว่าจะจบได้ อู้อยู่นาน (ก้มกราบ)

ขอบพระคุณทุกๆ คนที่ติดตามเรื่องนี้ค่า จะพยายามพัฒนาฝีมือตัวเองไปเรื่อยๆ ตรงไหนติดขัดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่า

แล้วเจอกันตอนพิเศษเด้อค่าเด้อ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-07-2017 21:54:17
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 05-07-2017 13:13:17
เม่นน่ารักกกกก ถึงเสี่ยวก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 05-07-2017 15:40:15
รักเม่นม่าน  ขอตอพิเศษหลายๆตอนเลยนะ ตอพิเศษขอให้มีผู้ชายมาจีบม่านและเม่นก็หึงจนกลายร่างเป็นปิศาจ ปิศาจคนที่ 3 ต่อจากพี่โช พี่ฟลอย   :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: b2uty_pang ที่ 09-07-2017 17:46:29
ม่านน่ารักๆมากอ่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมากๆจ้ส
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 13-07-2017 10:45:47
น่ารักจริงๆอ่านรวดเดียวจบเลย รอตอนพิเศษครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 13-07-2017 21:12:20
น่ารักตามสไตล์นายม่าน - น้องเม่น ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: dyomonrain ที่ 15-07-2017 19:44:09
สนุกค่ะ ขอบคุณค่ะ
กู้ความรู้สึกเราที่เกลียดเม่นจากเรื่องนู้นได้ดีเลยค่ะ

รอตอนพิเศษนะคะ :)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 01-08-2017 20:21:55
ขอบคุณมากครับ น่ารักจริงๆคู่นี้
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Evil ที่ 02-08-2017 23:19:54
สนุกค่ะ  บางทีก็หมั่นไส้ บางทีก็น่ารักนะม่าน
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 17-10-2017 07:20:25
จบเร็วไปหน่อย น่าจะขยายพาร์ทของเพื่อนกับนังชะนีน้อยนั่นไปอีกสักนิดว่ายังไงต่อ

 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 27-10-2017 20:39:20
สนุกมาก ๆ ครับ เม่น-ม่าน น่ารักมาก



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 31-10-2017 04:54:46
       o13 o13 o13 o13 o13
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >>ตอนที่ 24 [END] << [P.5] Up!! // [04/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-10-2017 13:35:43
ชอบบบบบบ  :mew1: :mew1: :mew1:

เม่น ม่าน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เม่น มีคนที่รักตัวเองแล้ว ไม่ต้องอยู่แบบโดดเดี่ยวไร้คนรักอีก
ม่าน เพื่อนรัก เพื่อนเกรียนกลอย ก็รู้จักความรักครั้งแรก
เป็นรักครั้งแรก รักแท้ของทั้งคู่  :L2: :L2: :L2:

มีกลุ่มเพื่อนๆม่าน มาจอยให้หายคิดถึงแล้วยิ่งคิดถึงมากขึ้นอีก
โดยเฉพาะกลอยเกรียน ไม่มาเกรียนอย่างเดียว
พากลิ่นสุดสะพรึงมาให้เจ เกมส์ขมคอเลย

พี่โช กลอย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

อัธ เจ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เก็บความลับได้สนิทแต่มีแอบโหว่ๆให้ม่าน กลอยรู้
จะได้อ่านความรักของพี่แทม พี่ติน หรือเปล่านะ   :z3: :z3: :z3:

ยังค้างความรักของแน่ว กับญาติตีสองหน้าของเม่น จะเป็นยังไงต่อ   :hao3:
ขอบคุณไรท์ มากกกกกกกกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 07-11-2017 22:55:43
ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่




        แม้จะมีวันหยุดแค่ไม่กี่วัน แต่ผมก็อยากกลับบ้าน อีกอย่าง แม่บอกว่าพ่อมีอาการปวดหลัง เพราะคิดว่าตัวเองยังหนุ่มเลยโชว์แบกลังมะม่วงขึ้นรถให้ลูกค้า สรุป หลังเกือบเดาะ แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก หาหมอ กินยาก็ดีขึ้นมาก แต่ผมก็ยังเป็นห่วง และอยากกลับไปดูกับตาอยู่ดี เพื่อความสบายใจ

   “ทำไมพี่ไม่นั่งเครื่องบิน” ไอ้เม่นถามผมรอบสอง รอบแรกถามขณะซื้อตั๋ว อีกรอบคือตอนนี้ที่เราขึ้นมานั่งบนรถทัวร์แล้ว

   “ขี้เกียจ” ตอบแบบเดิมเหมือนคราวแรก ไอ้เม่นก็ยังนั่งหน้ามุ่ย “หรือมึงเมารถทัวร์?”

   “บ้าน่า ผมเนี่ยนะ นั่งรถทัวร์มาตั้งหลายรอบ” ผมสังเกตอาการของมันแล้วก็นึกแปลกใจ มือไอ้เม่นเหงื่อออกเยอะมาก หรือมันจะกลัวจริงๆ วะ

   “กูมียาแก้เมารถ สักเม็ดไหม” ลองหยั่งเชิงดู ไอ้เด็กข้างๆ หันมามองก่อนพยักหน้าลง “กูว่าแล้ว” พูดขำๆ ไอ้เม่นหน้ายู่ลงเลยทีเดียว

   ผมเอายาแก้เมารถให้เด็กเมืองกรุงกิน ไอ้นี่ก็สำออยอิดออดอยากให้ผมป้อนยา ป้อนน้ำ มือมึงเป็นง่อยหรือไงวะ แม่ง ถึงจะบ่น ผมก็ป้อนมันอยู่ดี


   ไม่น่ามีแฟนเด็กเลยไอ้ม่าน


   พอถึงเวลาออกรถ ไอ้เม่นก็มองไปรอบๆ มันนั่งด้านนอกติดทางเดิน ส่วนผมนั่งด้านใน เห็นอาการมันแบบนี้ผมก็ชักหวั่นๆ เลยลุกสลับที่นั่ง รถทัวร์ขับออกมาจากเมืองกรุงมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ สองข้างทางในตอนเย็นๆ โพล้เพล้แบบนี้ก็สวยดีนะครับ แต่แดดสีส้มก็ยังแสบตาจนต้องปิดผ้าม่าน ละสายตาจากนอกหน้าต่างกลับเข้ามา ไอ้คนข้างๆ หลับไปแล้ว

   ไอ้เม่นจะรอดถึงเชียงใหม่ไหมวะเนี่ย

   ที่ผมไม่อยากเอารถมาเองก็เพราะกลัวขับไม่ไหว ผ่านการสอบมาอย่างหนักซึ่งสติแทบไม่มี อีกอย่างไปแค่ไม่กี่วัน นั่งรถไปแบบนี้ประหยัดกว่าเยอะ หากเอารถไปเอง เสียค่าน้ำมันแถมต้องเอารถไปเช็คเพื่อความปลอดภัยอีก เปลืองนะครับนั่น

   มองไอ้เม่นหลับได้ไม่นานผมก็ผล็อยหลับไปด้วย แต่ก็หลับๆ ตื่นๆ เพราะรถจอดรายทาง อันนี้แหละที่เริ่มคิดว่าตัดสินใจผิด จะจอดเยอะไปไหนครับพี่ พอจะหลับๆ ดันจอดอีก คนขึ้นมาอีก ไม่ได้นอนเต็มตาเลยให้ตาย

   จากท้องฟ้าเป็นสีส้ม ตอนนี้มืดสนิทชนิดที่มองไม่เห็นอะไรเลยด้านนอกตัวรถ แอร์เย็นๆ ชวนให้นอนอีกรอบ คราวนี้ผมเอนหัวซบกับหัวอีกคนที่วางบนไหล่ ไอ้นี่ก็หลับสบายเกินไป สบายจนน่าอิจฉา และกว่าจะรู้ตัวอีกทีบนรถทัวร์ก็เปิดไฟและพนักงานเดินมาบอกว่าถึงปลายทางแล้ว

   นี่ผมหลับลึกขนาดไม่รู้อะไรเลยเหรอเนี่ย คงเพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงใกล้เช้า นาฬิกาดิจิตอลของรถบอกเกือบๆ ตีสอง โคตรเช้า ไม่สิ ถ้าตอนอยู่มหาลัย บางวันเวลานี้ผมเพิ่งจะเข้านอน

   “ไอ้เม่น ตื่น” เขย่าร่างเด็กยักษ์ที่ทำเอาไหล่ผมชาไปครึ่งซีก “เม่น ถึงแล้ว”

   “ถึงแล้วเหรอ” พูดเสร็จก็อ้าปากหาวออกมาจนเห็นถึงลำไส้

   “เออ ลงได้แล้ว” ผมเริ่มเก็บกระเป๋า ส่วนคนข้างๆ ยังนั่งตาปรือ “เม่น”

   “ครับๆ รู้แล้วครับ”

   เก้าชั่วโมงกว่าในการนั่งรถมาเชียงใหม่ โคตรเมื่อยตัว ลงจากรถได้ผมก็บิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นไปหมด ไอ้เม่นยืนหน้าง่วงรอกระเป๋าข้างตัวรถ มาถึงเวลานี้ผมไม่ได้บอกพ่อกับแม่ให้ออกมารับหรอกนะครับ เพราะผมจองโรงแรมไว้แล้ว อย่างน้อยก็รอให้เช้าก่อนค่อยกลับบ้าน

   ยานพาหนะที่ผมเลือกคือรถสี่ล้อแดง เคยอ่านผ่านๆ เขาว่าถ้าพูดภาษาไทยจะได้อีกราคา แต่ผมคนเหนือก็ต้องพูดเหนือสิ โรงแรมที่จองก็ไม่ได้ไกลมาก ลุงคนขับแกก็ใจดี คิดคนละยี่สิบบาทแถมนั่งบ่นให้ฟังเรื่องราคาค่าโดยสารที่เขาว่าคิดแพง ทั้งที่ราคาน้ำมันก็ขึ้นเอาๆ คนขึ้นก็น้อย ภาระแกก็เยอะ และอีกสารพัดเรื่อง เอาซะหายง่วงเลย พอลงจากรถได้ ผมกับไอ้เม่นก็รีบเข้าไปเช็คอิน ขอขึ้นไปนอนให้คลายเมื่อยหน่อยเถอะ

   “พี่ทำยังไงให้เขาคิดเงินแค่ยี่สิบเหรอ” ระหว่างเดินขึ้นห้อง ไอ้เม่นก็ถาม

   “กูเก่ง” ตอบปุ๊บ ถูกตบหัวปั๊บจนผมต้องถลึงตาใส่ แต่ไอ้คนทำมันไม่สำนึกสักนิดว่าตบหัวคนแก่กว่า เล่นกูซะแล้วไอ้เม่น

   ห้องสามสองห้าคือห้องที่จองได้ ผมเปิดประตูเข้าไป เสียบบัตรไฟกับแอร์ก็ติด ห้องราคาไม่แพงแต่สภาพดีมาก ผมทิ้งข้าวของสัมภาระทุกอย่างแล้วทิ้งตัวนอนบนที่นอน ข้างๆ คือไอ้เม่นนอนคว่ำหน้าอยู่

   “มึงนอนดีๆ” ผมพูดออกมาทั้งที่ยังหลับตา

   “ครับ” เสียงตอบกลับไม่ได้ทำให้ผมคลายคิ้วที่ขมวด

   “ไอ้เม่น กูบอกให้นอนดีๆ” บอกอีกรอบ พร้อมเพิ่มเสียงเข้มขึ้น

   “ก็นอนดีๆ แล้วไง”

   “นอนดีเชี่ยไร เอามือมึงออกจากเสื้อกู” คราวนี้ผมลืมตาขึ้นมา จับมือที่ล้วงเข้ามาในเสื้อออก “นอนดีๆ ไม่เป็นหรือไงวะ ล้วงๆ ควักๆ อยู่นั่น” ง่วงครับ รำคาญด้วยส่วนหนึ่ง

   “ก็มันเคยล้วงๆ ควักๆ เกือบทุกวันนี่นา” ไอ้เม่นขยับนอนตะแคง สายตามันโคตรชั่วร้ายยามจ้องหน้าผม ดูท่าจะไม่ค่อยดีผมเลยพลิกตัวหันหลังให้มันแทน แล้วอย่าไปเชื่อเรื่องล้วงๆ ควักๆ มันโกหก “พี่ม่าน”

   “ไอ้เม่น กูง่วง” ขยับตัวหนีเริ่มลำบาก รู้สึกพลาดอีกแล้วที่นอนหันหลัง แต่ไม่ว่าจะนอนยังไงผมก็พลาดตลอดนั่นแหละ “ปล่อย กูง่วง”

   “แค่นอนกอดเฉยๆ เอง ไม่กอดนอนไม่หลับ” พูดจบมันก็ดึงผมเข้าไปจนแทบจะจมในอกอุ่น “ฝันดีเมียเม่น”
 
   “เออ”




***************

   เช้าวันใหม่ ผมนั่งรอพ่ออยู่ที่จุดนัด รอไม่นานรถกระบะป้ายแดงสี่ประตูก็โฉบเข้ามาจอด รถใหม่ที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงนะครับ เพราะปีนี้ผลไม้สวนในราคาดี พ่อกับแม่ผมเลยอยากได้ของขวัญให้กับตัวเอง เลยไปจิ้มรถคันนี้มา

   “พ่อกินข้าวหรือยังครับ” ไม่ใช่ผมหรอกนะครับที่ถาม ไอ้เม่นเสนอหน้าไปนั่งข้างพ่อผม โดยขับไล่ให้ผมมานั่งเบาะหลัง

   “กินแล้วสิ แล้วนี่กินข้าวกันหรือยัง” พ่อตอบไอ้เม่น ก่อนหันมาถามผม

   “กินโจ๊กที่เซเว่นเมื่อกี้” ผมตอบ พ่อก็พยักหน้า จากนั้นก็นั่งคุยกับไอ้เม่นจนลืมว่าผมนั่งอยู่ด้วย

   นี่ผมหรือไอ้เม่นเป็นลูกแท้ๆ วะ รู้สึกเป็นส่วนเกิน

   พอรถจอดสนิทหน้าบ้าน แม่ผมยืนรอรับด้วยรอยยิ้ม ผมรีบเปิดประตูลงไปกะจะเข้าไปกอด แต่แม่ผมเดินผ่านหน้าไปกอดไอ้เม่นแทน

   “แม่ ม่านอยู่นี่” หน้างอจนแม่หัวเราะแล้วเดินมากอด “คิดถึง” กอดเต็มรัก

   “กระดูกแม่จะหักแล้ว” พอแม่พูด ผมก็รีบคลายอ้อมกอด “เข้าบ้านๆ”

   ผมกับไอ้เม่นเอากระเป๋าไปเก็บที่บ้านหลังเล็กก่อนจะเดินเข้าไปบ้านใหญ่ แม่ทำกับข้าวหอมจนท้องร้องโครกคราก ผมที่กำลังจะอ้าปากอ้อนก็ถูกตัดหน้าจากไอ้เม่น ไอ้นี่มันเด็กขี้อิจฉาแน่ๆ...หมายถึงผมเนี่ย

   “เม่นคิดถึงแม่ม๊ากมาก” เบะปากใส่ไอ้คนที่เสนอหน้าอ้อนแม่ผม ส่วนแม่ก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ เห็นหัวไอ้ม่านคนนี้บ้าง อิจฉาจนตาจะเหล่อยู่แล้ว

   “แล้วนี่มากี่วันล่ะ” พอถามเรื่องนี้แม่ก็หันมาหาผม

   “กลับพรุ่งนี้” ผมบอก แม่ก็ทำตาโต

   “มาวันสองวันจะมาทำไม เปลืองเงิน” แม่หน้าบึ้งจนไอ้เม่นต้องกอดเอวอ้อน

   “จะวันหรือสองวัน แค่ได้มาหาแม่ เม่นก็สุขใจแล้วครับ เรื่องเงินมันน้อยนิด โอ๊ย พี่ม่าน” ที่มันโวยวายเพราะผมยื่นมือไปตบหัว เสี่ยงต่อการถูกแม่หยิกมากแต่ก็จะทำ น่าหมั่นไส้เหลือเกินลูกอ้อนมัน “เม่นพาพี่ม่านมาเองครับ”

   “แม่ไม่ต้องเชื่อมัน ม่านจะมาตั้งแต่วันพุธแล้ว แต่ไอ้นี่มันมีเรียนเลยต้องมาเมื่อวาน” เมื่อวานคือวันศุกร์ ฉะนั้นก็อยู่ได้แค่เสาร์อาทิตย์ น้อยนิดเหลือเกิน

   “ก็เม่นคิดถึงแม่นี่”

   “อ้อนได้กวนตีนมาก โอ๊ย แม่”

         นั่นไงครับ โดนหยิกจนได้ คนทำให้ผมโดนก็ลอยหน้าลอยตาจนอยากตบกะโหลกสักที คุยกันอีกนิดหน่อยก็กินข้าวเช้าที่ค่อนสาย กินเสร็จก็ถึงเวลาไปช่วยงานพ่อ ตอนแรกคิดว่าอาการปวดหลังนั่นจะรุนแรง แต่เท่าที่เห็นคงไม่เป็นอะไรมาก พ่อผมยังขุดดิน ใส่ปุ๋ยได้เป็นปกติ

   ไอ้เม่นเดินไปช่วยพ่อผมขุดดิน เห็นแล้วก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ ตั้งแต่มาคบกับผม ผิวขาวๆ ของมันก็เริ่มคล้ำขึ้น เพราะมันชอบไปรอผมที่แปลงบ่อยๆ

   “พ่อ ใช้งานมันหนักๆ ไอ้นี่มันแรงเยอะ” ผมตะโกนบอก ไอ้เม่นทำตาโตส่วนพ่อผมก็ขำอย่างเดียว

   แสงแดดตอนเที่ยงเริ่มทำให้ร้อนอบอ้าวจนต้องเข้าที่ร่ม ไอ้เม่นมานั่งบนแคร่หน้าบ้าน ส่วนผมก็เดินตามพ่อเข้าไปเอาน้ำเย็นมาให้คุณชายที่นั่งรับลมอยู่ด้านนอก

   “ครอบครัวมันเป็นยังไงบ้าง ดีกันหรือยัง” พ่อผมถามขณะเทน้ำเย็นใส่แก้ว

   “ก็ดีนะพ่อ ช่วงนี้ไอ้เม่นไปหายายมันบ่อย เมื่อก่อนไม่เข้าไปเหยียบด้วยซ้ำ” ผมพูดขณะกินส้มที่แม่ซื้อมาจากตลาด ช่างเปรี้ยงโด่ง และเปรี้ยวตามเหลือเกิน สรุปคือเปรี้ยวมาก ไม่มีความหวานโผล่มาให้ลิ้มรสจนต้องคายทิ้ง

   “ดีแล้ว ทำให้ครอบครัวดีกัน ได้บุญ” ผมขำในสิ่งที่ได้ยิน

   “มันมีด้วยเหรอพ่อ บุญแบบนั้น”

   “มีสิ ทำให้คนเข้าใจกันมันก็ได้บุญ”

   “สาธุ”

   ผมหยิบเอาน้ำที่พ่อเทใส่แก้วออกมาให้ไอ้เม่น มือก็ลูบหัวตรงที่ถูกเขกส่งท้าย ชอบทำร้ายลูกเหลือเกิน พอเดินออกมาเห็นไอ้เม่นนั่งตัวแข็งทื่อมองที่เสาข้างๆ

   “ทำอะไรวะ” ส่งเสียงไป ไอ้เม่นก็ยังเงียบ “เม่น เป็นไร”

   “พะ พี่ดู” ไอ้เม่นเสียงสั่นชี้นิ้วไปที่เสาหน้าบ้านด้านหลังแคร่

   “อะไรวะ เชี่ย” พอเงยหน้าขึ้นก็ตกใจผงะ ตุ๊กแกตัวเท่าแขนเกาะอยู่ แถมยังจ้องหน้าไอ้เม่นด้วย “ตัวโคตรใหญ่”

   “ใช่พี่ มันมองผมด้วย ทำไงดี ถ้าวิ่งมันจะกระโดดใส่ผมหรือเปล่า” ไอ้เม่นทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมก็หัวเราะตัวงอ “ไม่ตลกนะเว้ย”

   “มึงกลัวตุ๊กแกเหรอวะ อ่อนว่ะ” ผมว่า ไอ้เม่นมองค้อนเพราะเถียงไม่ออก “กูสนิทดี นี่ตุ๊กแกสมัยกูยังเป็นเด็ก สนิทกัน ซี้กันเลย” อวดครับ ผมเห็นพี่ตุ๊กแกตัวนี้ตั้งแต่เด็กจริงๆ ถ้าจำไม่ผิดนะ

   “จริงเหรอ งั้นพี่ไล่ไปให้หน่อย ขาผมไม่มีแรงแล้วเนี่ย” คนกลัวตุ๊กแกเบ้หน้าอย่างตลก

   “เออๆ แค่นี้เอง มึงนี่นะ” มองหาไม้ที่จะเอามาไล่ พอเจอก็ไปหยิบมา ไม้ยาวเมตรกว่าๆ น่าจะจิ้มตัวมันได้พอดี “มึงคอยดู กูซี้กับพี่เขา” ว่าแล้วก็เอาไม้จิ้ม “เชี่ย”

   ทั้งผมกับไอ้เม่นสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆ ตุ๊กแกก็ขยับแถมอ้าปากส่งเสียงขู่ ดวงตาสีเหลืองจ้องตรงมาคล้ายกับพร้อมตะครุบเหยื่อ

   “ไหนพี่ว่าซี้กัน มันจะกัดเราหรือเปล่า” ไอ้เม่นกระโดดออกมาจากแคร่มายืนซ้อนหลังผม

   “ก็กูไปอยู่กรุงเทพนาน พี่เขาอาจจะจำหน้ากูไม่ได้ไง เดี๋ยวลองคุยกับพี่เขาก่อน” ยังทำใจดีสู้เสือ ผมเอาไม้เขี่ยๆ ก่อนจะลองคุย “พี่ตุ๊กแกครับ จำม่านคนนี้ไม่ได้เหรอ เราเคยเจอกันมาแล้วนะ ตอนที่ม่านยังเด็กๆ ไง จำได้ไหม ม่านที่น่ารักๆ ไง พี่จำ เชี่ย” ตุ๊กแกเหมือนจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะขยับหันหัว ปากก็ยังอ้า แถมส่งเสียงขู่ดังกว่าเดิม

   “พี่ มันจะกระโดดมาหาเราหรือเปล่า” ไอ้เม่นก็บิ้วจังวะ

   “กูลืมไป พี่เขาอาจฟังภาษากลางไม่ออก เดี๋ยวกูพูดคำเมืองใส่ แป๊บเดียวก็น่าจะรู้เรื่อง” ว่าแล้วผมก็พูดภาษาเหนือใส่ “อ้ายต๊กโตจ๋ำน้องม่านคนนี้บ่ได้กา น้องม่านคนเดิมที่หล่อๆ น่ะ อ้ายจ๋ำได้ก่” (แปล พี่ตุ๊กแกจำน้องม่านคนนี้ไม่ได้เหรอ น้องม่านคนที่หล่อน่ะ พี่จำไม่ได้เหรอ)

   “พี่ม่าน มันจ้องหนักกว่าเดิมด้วย” ใช้หางตาแลไอ้เม่นที่จับเสื้อที่ไหล่ผมแน่นมาก “พี่ม่าน”

   “กูเห็นแล้ว เขาฟังกูรู้เรื่องไง” พูดเสร็จก็ต้องถอยหลัง เมื่อพี่ตุ๊กแกเริ่มขยับขาเดิน “หรือไม่รู้วะ”

   “ผมว่า ต้องไม่รู้แน่ พี่ม่าน”

   “กูก็ว่างั้น วิ่งสิวะ เชี่ย”

   ทั้งผมกับไอ้เม่นแหกปากร้องลั่น เมื่อตุ๊กแกตัวเท่าแขนอ้าปากขู่พร้อมไต่ลงจากเสามาอย่างไวแถมกระโดดมาบนแคร่ โกยอย่างไม่คิดชีวิตครับตอนนี้ ก่อนเราสองคนจะมาหยุดหอบอยู่นอกเขตบริเวณบ้าน เหนื่อยยิ่งกว่าเล่นฟุตบอลอีก

   “พี่ว่า มันจะตามมาไหม”

   “ไม่มาแล้วมั้ง” ถึงตอบแบบนั้นแต่ตาก็ยังชะเง้อมอง “แม่ง ทำไมมันดุวะ”

   “หรือมันหวงตัวเมีย” ผมหันไปมองหน้าไอ้เม่นที่พูดเหมือนมีเหตุผล ถ้าหากไม่ใช่... “แบบที่เวลาผมหวงพี่กับคนอื่นไง ผมก็ดุแบบนี้แหละ”

   “มันใช่เวลาที่จะมาเปรียบเทียบไหมวะ”

   “ที่พูดเพราะอยากบอกพี่ไว้ไง ว่าผมโคตรดุ ถ้าพี่แอบมีกิ๊กนะ ผมไปฆ่ามันตายแน่”

   “อย่ามาเว่อร์”

   “ไม่ได้เว่อร์ แต่จะทำจริง”

   พอเห็นสายตาจริงจังของไอ้เม่น ผมก็แอบเสียวอยู่เหมือนกันนะ และดูออกมามันทำจริง

   “เออๆ กลับเข้าบ้านเถอะ ตุ๊กแกคงไปแล้ว” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไอ้เม่นก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ แต่ก็ยอมเดินตาม

         สารภาพเลยว่ามีหลอน ตาสองข้างมองลอกแลกอย่างหวาดๆ ตุ๊กแกยักษ์นั่นคงไม่แอบดักรอใช่ไหมเนี่ย พอผมเข้าบ้าน ก็ถึงเวลากินข้าวเที่ยง เพราะมัวแต่หนีเลยต้องมานั่งกินสองคน พ่อกับแม่ผมเรียบร้อยก่อนหน้าแล้ว และหลังจากกินเสร็จ เราก็แยกย้ายไปช่วยงาน ไอ้เม่นไปช่วยพ่อที่สวนผลไม้ ส่วนผมก็ตามแม่ไปตลาด มีแต่คนรุมถามว่าเมื่อไหร่จะเรียบจบ แต่คำถามที่ถูกถามมากที่สุดคือ มีแฟนหรือยัง

   ผมต้องตอบว่ายังไงดี มีแล้ว เป็นผู้ชายด้วย งี้เหรอ

   ไม่หรอก ผมก็ตอบว่ามีคนคุยๆ แล้ว แต่แม่ผมนี่สิ เล่นบอกไปหมดแบบไม่ปิดบัง ไม่แคร์ด้วยว่าชาวบ้านร้านตลาดจะมองมายังไง ด้วยสายตาแบบไหน แค่แม่ปิดท้ายสวยๆ ว่า ขอแค่ผมได้คนที่ดีและรักผมก็พอใจแล้ว เพราะพ่อกับแม่ก็อยู่กับผมได้อีกไม่นาน หากมีคนดูแลดีและรักจริง ก็ตายตาหลับ จากนั้นทุกคนก็ไม่มีใครกล้าถามอีก

   ต้องปรบมือรัวๆ ให้แม่ผมนะครับ มงกุฎต้องลงแล้วแบบนี้

   กลับมาถึงบ้าน ผมก็ขลุกอยู่แต่ในครัวกับแม่ จนกับข้าวเสร็จก็เย็น พอดีกับพ่อและไอ้เม่นเข้าบ้านมา มื้อค่ำนี้เลยได้กินพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที ความสุขอยู่ไม่ไกลหรอกครับ แค่ได้นั่งล้อมวงกินข้าวกับครอบครัว ได้พูดคุยแปลกเปลี่ยนความคิดสร้างเสียงหัวเราะให้แก่กัน แค่นั้นก็สุขใจสุดๆ แล้ว

   “พรุ่งนี้กลับกี่โมงล่ะ” พ่อถามขณะช่วยกันเก็บจานข้าวที่อิ่มกันหมดแล้ว

   “ก็สายๆ หน่อยครับ ถึงที่นู้นจะได้ไม่ดึกมาก” ไอ้เม่นตอบ

   “แล้วเรียนเป็นไง เห็นม่านบอกจะย้ายที่เรียน”

   “รอสอบครับ”

   “ดี ตั้งใจมากๆ ล่ะ ไม่มีอะไรที่เราตั้งใจแล้วจะทำไม่ได้”

   “ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจเรียนให้จบไวๆ จะได้เลี้ยงดูพี่ม่านได้”

   “ไอ้นี่ก็พูดตลก”

   ผมเผลอยิ้มออกมาเมื่อแอบยืนฟัง พ่อผมกับไอ้เม่นดูสนิทกันดี แม้ครอบครัวผมจะไม่ใช่คนหัวสมัยใหม่มาก แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นสิ่งใหม่ๆ ผมโคตรจะภูมิใจที่ตัวเองเกิดมาในครอบครัวนี้เลย

   “เป็นอะไร เป็นบ้าเหรอ ยืนยิ้มคนเดียว”

   “แม่อ่า”

   ถูกแซวจนได้ ผมรีบเดินตามแม่เข้าไปในครัว อยู่กับแม่แล้วไม่อยากกลับเลย อยากกินๆ นอนๆ อยู่บ้าน ตื่นเช้าก็กินข้าวฝีมือแม่ เที่ยงก็ได้กิน เย็นก็ได้กิน ไม่มีที่ไหนสบายเท่าบ้านเราอีกแล้ว

   เก็บของหมดทุกอย่าง ผมกับไอ้เม่นก็ปลีกตัวมาที่บ้านหลังเล็กที่อยู่ตรงข้ามบ้านของแม่ บ้านที่พ่อกับแม่สร้างไว้ให้ผมโดยเฉพาะ

   “รีบไปอาบน้ำก่อนเลย” ผมไล่ไอ้เม่นที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ตัวมีแต่เหงื่อมานอนบนเตียง “ไอ้เม่น”

   “เท้าเขี่ยผัว บาปนะครับ โอ๊ย” ตอนนี้ไม่เขี่ย แต่ผมถีบเลย ไอ้เม่นรีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำหลังจากกวนโมโหผมได้ ไอ้นี่ชอบให้เลี้ยงด้วยลำแข้ง

   ระหว่างที่ไอ้เม่นอาบน้ำ ผมก็นั่งเก็บของ พรุ่งนี้ว่าจะไปซื้อของฝากแล้วเลยไปขึ้นรถ ดังนั้นก็ต้องจดด้วยว่าจะซื้ออะไรดี

   “เอาน้ำพริกหนุ่มด้วยนะ เม่นชอบ” เสียงกระซิบข้างหูกับลมที่เป่ามาทำเอาขนแขนลุก ผมย่นคอหลบ มัวแต่จดจนลืมดูว่าไอ้เม่นอาบน้ำเสร็จแล้ว

   “อยากซื้ออะไรก็จด เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลืม” ยื่นกระดาษให้ไป ก่อนผมจะลุกไปอาบบ้าง ใช้เวลาไม่นานก็ออกมา กระดาษจดวางอยู่บนโต๊ะ แต่คนที่ผมยื่นให้หลับปุ๋ยบนเตียงไปแล้ว สงสัยจะเหนื่อย เห็นขึ้นต้นมะม่วงด้วย ใช้เวลาแต่งตัวนิดหน่อยก็เดินมานั่งบนเตียง ไอ้เม่นพลิกตัวมาถึงได้เห็นหน้ายามมันหลับ “มึงนี่นะ” อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วจิ้มหน้าผากมัน

   ผมจดรายการที่ต้องซื้ออีกหน่อยก่อนเดินไปปิดไฟ แล้วสอดตัวเข้าผ้าห่มผืนเดียวกับไอ้เม่น เหมือนมันจะรู้ พอผมนอนปุ๊บมันก็คว้าตัวผมเข้าไปในอ้อมกอด

   “ฝันดีครับ”



*************


   “นี่พี่จะซื้อไปกินหรือให้ใครวะ” ไอ้เม่นบ่นขณะที่ผมกำลังจ่ายเงินซื้อกาละแม

   “ฝากด้วยกินด้วย” ก่อนออกจากร้านไม่ลืมยิ้มหวานให้แม่ค้าที่แถมให้ผม “พูดมากจริง รีบๆ ซื้อ เดี๋ยวไปขึ้นรถไม่ทัน” ผมให้พ่อเข้ามาส่งที่ตลาดวโรรสเพื่อซื้อของ หลังจากนี้ค่อยโบกสี่ล้อแดงไปที่สถานีขนส่ง “น้ำพริกหนุ่มมึงเอากี่ถุง”

   “เอาเยอะๆ” เหล่ตามองคนชอบกิน ที่จริงแม่ผมจะทำให้ แต่ลืมซื้อพริกหนุ่มมา เลยต้องมาหาซื้อเอง

   กว่าจะซื้อของเสร็จ และกว่าจะมาถึงสถานีขนส่งรถก็เกือบจะออก โชคดีที่บนรถสี่ล้อแดงไม่มีคนอื่นนั่ง ไม่งั้นผมกับไอ้เม่นคงได้นั่งรถรอบเมืองก่อนจะมาถึง

   “มึงต้องกินยาป่ะ” ถามคนที่กำลังรัดเข็มขัด

   “คิดว่าไม่ต้องนะ” ไอ้เม่นตอบ แต่ก็ดูไม่ค่อยมั่นใจ “หรือกินดี”

   “กินเถอะ กูกลัวมึงอ้วก”

   ไอ้เม่นกินยาแก้เมารถไปเม็ดหนึ่ง ส่วนผมไม่ต้อง เพราะแค่นี้ไม่ทำให้ผมมีอาการได้ ก็ตอนปีหนึ่งผมนั่งไปๆ มาๆ บ่อย มันก็ชิน

   “ไว้วันหยุดยาวๆ เรามาอีกนะ” ไอ้เม่นยิ้ม มันเอนหัวมาซบที่ไหล่ของผม “ผมชอบบ้านพี่ ชอบพ่อกับแม่ของพี่ และชอบพี่”

   “อย่าเสี่ยวบนรถทัวร์ กูจะอ้วก”

   “พี่แพ้ท้องเหรอ”

   “แพ้ท้องเชี่ยไร กูเหม็นมุกมึงต่างหาก”

   “ก็คิดว่าท้อง ผมทำไปตั้งเยอะ”

   “ไอ้นี่...”

   เบื่อหน้ามัน ผมเลยเลือกที่จะหลับตา ไม่สนเสียงขำที่ดังใกล้ๆ ไอ้เม่นพิงไหล่ผมหลับเพราะฤทธิ์ยา และผมก็หลับเพราะง่วง ไว้เจอกันอีกทีที่เมืองกรุงนะครับ เพราะนี่นั่น ยังมีเรื่องให้เคลียร์อีกเยอะ



.....

เรื่องนี้ไม่มีตอนพิเศษเลยย เลยมาสักกะหน่อย ฮ่าๆๆ

และในส่วนของญาติเม่นนั้นจะมีในตอนหน้าค่ะ เพราะขึ้นชื่อเรื่องตอนพิเศษเยอะกว่าตอนหลักอยู่แล้ว (พูดแล้วจะร้องไห้เลย)

เจอกันตอนพิเศษหน้าค่าา ขอบคุณค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 07-11-2017 23:32:00
ชอบครอบครัวม่านอ่ะ น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 08-11-2017 00:23:25
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 08-11-2017 00:43:59
มีคำผิดนะคะ

แม้ครอบครัวผมจะไม่ใช่คนหัวสมัยใหม่มาก แต่ก็ไม่ได้ปิดกลั้นสิ่งใหม่ๆ
ผมโคตรจะภูมิใจที่ตัวเองเกิดมาในครอบครัวนี้เลย

ปิดกั้น ... ค่ะ
แบบกั้นฝาย กั้นคนมุงอะไรแบบนั้น

ส่วน กลั้น ใช้กับ กลั้นลมหายใจ กลั้นอารมณ์ อดกลั้น ... ประมาณนั้นค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leemmm ที่ 08-11-2017 07:59:37
เม่นน่ารักเหมือนเดิมเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 08-11-2017 11:04:15
มีคำผิดนะคะ

แม้ครอบครัวผมจะไม่ใช่คนหัวสมัยใหม่มาก แต่ก็ไม่ได้ปิดกลั้นสิ่งใหม่ๆ
ผมโคตรจะภูมิใจที่ตัวเองเกิดมาในครอบครัวนี้เลย

ปิดกั้น ... ค่ะ
แบบกั้นฝาย กั้นคนมุงอะไรแบบนั้น

ส่วน กลั้น ใช้กับ กลั้นลมหายใจ กลั้นอารมณ์ อดกลั้น ... ประมาณนั้นค่ะ

ขอบคุณค่าาา แก้ไขแล้วว  :pig4: :pig4:  :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 08-11-2017 11:58:34
 o13 น่ารัก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tuuili ที่ 15-12-2017 20:33:58
ยังคงรอตอนพิเศษของคู่มอม้านะคะ : )
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: punpunn ที่ 19-02-2018 00:53:58
น่ารักดีชอบบบบ กวนกันไปกวนกันมา
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-08-2019 18:07:35
จบแล้ววววว โอ๊ยยยสนุกมากกก สนุกจริง #เม่นม่าน มีครบทุกอารมณ์ ต้องไม่พลาดเลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 13-08-2019 08:11:16
 o13 :pig4: o13 :pig4: :bye2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...ไอเลิฟยู >ตอนพิเศษ กลับบ้านเรา รักรออยู่< [P.5] Up!! // [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 26-08-2019 13:24:45
มีความเกรียนเหมือนเพื่อนกลอยจริงๆน้องมู่ลี่ แต่ก็น่ารักและจริงใจ ดีใจกับเม่นที่เจอความรักดีๆซักที :mew1: