พิมพ์หน้านี้ - วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: KimYoonBe ที่ 23-08-2016 20:25:08

หัวข้อ: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 23-08-2016 20:25:08
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


--------------------------------------------



วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล

(http://kimyoonbe.exteen.com/images/chunsa/14330170_1743526355910646_7164399534191287630_n.jpg)

รายละเอียดรวมเล่ม http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0)

แนะนำตัวละคร


선인 (善人) ซอนอิน
- คิม ซอนอิน -

เด็กหนุ่มผู้เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทงซก 'วังชอนซา'
เป็นลูกชายคนโตของกษัตริย์แห่งแคว้นเชินอัน

지룡 (知龍) จีรยง
 - ชอง จีรยง -

ในฐานะนักรบ เขามีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพกองพลที่เจ็ด
ในฐะนะบุตรชายคนโตของแคว้นฮานึล เขาคือองค์รัชทายาทผู้เก่งกาจ

영주 (英主) ยองจู
- ปาร์ค ยองจู -

ราชครูผู้ปราดเปรื่อง และเป็นอาจารย์คนสนิทของซอนอิน
เรื่องบุ๋นเขาเป็นที่หนึ่ง ส่วนเรื่องบู๊เขาก็มีวิชาไม่แพ้ใคร

희우 (喜雨) ฮีอู
- คิม ฮีอู -

คุณชายฮีอู เป็นคนสนิทของจีรยงตั้งแต่เล็กๆ
เขาเป็นบุตรชายของราชเลขาแห่งแคว้นฮานึล

지문 (知文) จีมุน
- ชอง จีมุน -

องค์ชายรองแห่งแคว้นฮานึล
เพียงแค่สบตาครั้งแรก เขาก็ถูกชะตากับ ซอนอิน เป็นอย่างมาก


--------------------------------------------------------------

เรื่องนี้เป็นนิยายย้อนยุคเกาหลี ดัดแปลงเรื่องราวตามจินตนาการของผู้แต่ง
เพราะฉะนั้น ชื่อต่างๆ สถานที่ต่างๆ และเหตุการ์ต่างๆ ภายในเรื่องจึงไม่มีอยู่จริง

*โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน*
หัวข้อ: Re: [พีเรียตเกาหลี] วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [ปฐมบท] 23/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 23-08-2016 20:29:28
ปฐมบท


กล่าวกันว่า ในปีหนึ่งช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของเดือนห้า แคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ทั้งสินทรัพย์และสิ่งดำรงชีพอย่างแคว้น เชินอัน ได้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้น ภูเขาแซทงที่โอบล้อมด้านหนึ่งของแคว้นนั้นเกิดอัคนิรุทรอย่างไร้สาเหตุ ไพร่ฟ้าประชาชนต่างวิ่งวุ่นอลม่านตื่นกลัวกับความร้ายกาจที่แผดเผาความร้อนแรงอย่างไม่ปราณี เสียงกรีดร้องและเสียงเพลิงกัลป์ดังสะท้อนไปทั่วทั้งผืนนภา ความหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นในจิตใจคนทุกผู้ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขุนนางเชื้อสายราชวงศ์ที่อยู่อย่างปลอดภัยในวังหลวง

ภูเขาแซทงถูกเผาไหม้อย่างไม่ลดละความร้ายกาจอยู่สองวันเต็ม กลิ่นไหม้ของกลุ่มควันและเศษผงธุลีลอยอบอวลบดบังทัศนียภาพที่สวยงามของแคว้นเชินอันเกือบทั้งส่วนของทิศบูรพา

ในวันที่สามซึ่งย่างเข้าจนเลยผ่านมาเพียงสองชั่วยาม ขณะที่เพลิงไหม้กำลังโหมกระหน่ำนั้น นักโหราศาสตร์ประจำพระราชวังได้รีบร้อนขอพบ คิมอุนเซ กษัตริย์แห่งเชินอัน และกราบทูลถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่เทพพระเจ้าแห่งทงซกทรงพิโรธ

เนื่องจากตามประเพณีของแคว้นเชินอัน ทุกครั้งก่อนเริ่มทำการเกษตรในเดือนสามจะต้องมีการบวงสรวงเทพเจ้าแห่งทงซก แต่ทุกอย่างในช่วงเวลานั้นถูกละเลยไปเนื่องจากศึกสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างแคว้นเชินอันและแคว้นฮานึลนั้นส่งผลให้กษัตริย์อุนเซได้รับบาดเจ็บสาหัส เหล่าขุนนางและไพร่ฟ้าประชาชนไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากสวดอ้อนวอนให้กษัตริย์ของตนปลอดภัย

กลางเดือนสี่ยุวราชาหนุ่มก็ฟื้นตัวดีขึ้น เกิดงานรื่นเริงในเวลาต่อมา และวันเวลาก็ได้เลยผ่านเข้าเดือนที่ห้า ผู้คนต่างกลับไปทำมาหากินอย่างปกติสุข ไม่มีการจัดงานบวงสรวงเทพเจ้าทงซกแต่อย่างใด หรือความเป็นจริงแล้ว ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพิธีกรรมได้ล่วงเลยมาถึงสองเดือน ถ้าเช่นนั้นก็ควรจัดอีกทีในปีหน้าเสียเลยจะดีกว่า การเก็บเกี่ยวก็ใกล้เข้ามาทุกที หากเสียเวลาจัดงานก็อาจส่งผลกระทบในหลายๆ ส่วน ซึ่งก่อนหน้าตอนช่วงสงคราม ชาวไร่ชาวนาก็ได้รับผละกระทบมากพออยู่แล้ว

จากการบอกเล่าคาดการณ์ของผู้เฒ่าโหราศาสตร์ มีเพียงวิธีเดียวที่จะหยุดอัคนิรุทรร้ายกาจนี้ได้คือการยกตำแหน่งราชินีของแคว้นเชินอันให้แก่สตรีผู้เป็นดั่งตัวแทนของเทพพระเจ้าแห่งทิศตะวันออก ผู้ที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทงซก

หากพูดถึงสตรีผู้นั้น คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวแทนของเทพแห่งชนเผ่าชินซอง วังชอนซาองค์ปัจจุบันในเวลานั้น ซึ่งต่อมาหลังจากที่ได้ทำตามคำทำนายของผู้เฒ่านักโหราศาสตร์ และได้แหกกฎของชนเผ่าชินซองที่ห้ามให้คนในชนเผ่าผู้ใดก็ตามแต่งงานกับคนภายนอกแล้วนั้น ภัยพิบัติของเพลิงกัลป์ก็ได้มอดดับลงภายในเวลาหนึ่งวันอย่างน่าอัศจรรย์
 
 



“ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี การที่ท่านพ่อกับท่านแม่อภิเษกสมรสกันจะช่วยให้ไฟป่านั่นสงบลงได้อย่างไร?”

คนพูดขมวดเรียวคิ้วบางเข้าหากันอย่างสงสัย ริมฝีปากสีแดงสดเผยอน้อยๆ เมื่อเจ้าตัวส่งผลอิงผิงซึ่งเป็นผลไม้สีม่วงลูกเล็กคล้ายผลองุ่นเข้าปาก

ชายร่างสูงโปร่งตรงกลางห้องสะบัดปลายพู่กันตรงตัวอักษรสุดท้ายบนแผ่นกระดาษสีขาวบนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเรือนร่างบอบบางภายใต้ชุดสีขาวของคนเอ่ยถามที่นั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะเล็กตรงข้าม แก้วตาสวยพราวประกายที่จ้องตอบกลับมาอย่างสงสัยใคร่รู้บ่งบอกว่าลูกศิษย์คนนี้คงหาเรื่องหลีกเลี่ยงการเรียนอีกแล้วเป็นแน่แท้

“วังชอนซา ทรงคัดอักษรเสร็จแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้น เราควรเรียนเรื่องบทกลอนกันต่อ”

“ท่านราชครูอย่าเปลี่ยนเรื่องสิ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเรื่องไฟไหม้ที่ชาวบ้านเค้าเล่ากันมันเป็นเรื่องจริงหรือนิทานหลอกเด็กกันแน่”

“ซอนอิน” ก่อนที่ราชครูหนุ่มจะได้เอ่ยตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ก่อนที่ร่างอรชรขององค์ราชินีในชุดตัวยาวสีทองอร่ามจะก้าวเข้ามาในตำหนักส่วนตัวของบุตรชาย

“ท่านแม่!” ร่างบอบบางของคนที่มีตำแหน่งเป็นวังชอนซา หรือตัวแทนของเทพแห่งทิศตะวันออกของชนเผ่าชินซอง ระบายรอยยิ้มกว้างแล้วโผเข้ากอดคนเป็นมารดา

ราชครูหนุ่มนามว่า ปาร์ค ยองจู โค้งกายให้สตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดของแคว้นเชินอันอย่างนอบน้อม ก่อนขยับกายไปยืนที่ด้านข้างของห้อง

“ลูกคิดว่าเดือนนี้ท่านแม่จะไม่มาหาลูกแล้วเสียอีก”

รอยยิ้มขององค์ราชินีซองอึนที่ถูกขนานนามให้เป็นบุบผาแรกแย้มที่งดงามที่สุดนั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจากบุตรชายของเธอเลยแม้แต่น้อย

ซองอึนลูบไล้เส้นผมสีดำยาวนุ่มลื่นของซอนอินด้วยความหวงแหน เธอจับจูงมือเล็กลงนั่งข้างกัน

“เราตัดสินใจได้แล้วเรื่องของลูก พรุ่งนี้เช้า ลูกจะต้องเข้าพิธีรับตำแหน่งวังชอนซาอย่างเป็นทางการ”

ประโยคที่ได้รับฟังนั้นยังผลให้ร่างบางขืนมือออกจากมืออีกฝ่ายแล้วลุกพรวดขึ้นในทันที

“ไม่ได้นะ! ท่านแม่บอกลูกเองนี่ว่าจะให้รับตำแหน่งแค่ในนามเท่านั้น ลูกไม่ต้องการไปอยู่ในหุบเขาชินซอง แล้วก็ไม่ต้องการไปอยู่กับนักบวชพวกนั้นด้วย!!”

“ซอนอิน ลูกก็รู้ไม่ใช่หรือว่าในเวลานี้ลูกเป็นที่ต้องการของคนพวกนั้นมากแค่ไหน หากว่าจะมีสิ่งใดช่วยให้ลูกของแม่อยู่อย่างปลอดภัยได้ แม่และท่านพ่อก็ต้องทำทั้งนั้น”

ซอนอินนึกไปถึงเรื่องของแคว้นฮานึล ซึ่งถือเป็นแคว้นใหญ่ไม่แพ้แคว้นเชินอันที่พยายามขยายอาณาเขตแก่งแย่งอำนาจกับแคว้นของท่านพ่ออยู่ตลอดมา ศึกสงครามตามชายแดนก็มีขึ้นอยู่เป็นระยะ หากแต่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะศึกชั้นเชิงทางอำนาจระหว่างเชินอันและฮานึล หรือศึกรบตามแคว้นต่างๆ ที่ฮานึลกำลังบุกยึดกลับหยุดชะงักอย่างกะทันหัน เนื่องจากเมื่อเจ็ดวันก่อนภายในแคว้นฮานึลได้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้น

ตามที่ซอนอินได้ยินพวกนางกำนัลคุยกัน ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดกับฮานึลนั้น เหมือนกับไฟป่าที่เคยเกิดขึ้นกับเชินอันเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนไม่มีผิด จะต่างกันก็แค่ แคว้นฮานึลได้รับผลกระทบร้ายแรงกว่ามาก เพลิงกัลป์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันเจ็ดวันสร้างความเสียหายไปทุกหย่อมหญ้า ผู้คนต่างหวาดกลัวจนไม่เป็นอันทำอะไร เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ก็หาทางหยุดอัคนิรุทรที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เสียที

จนกระทั้งเมื่อสามวันก่อน ชาวบ้านแคว้นฮานึลพากันเรียกร้องให้กษัตริย์ของตนไปขอความช่วยเหลือจากเชินอัน ซึ่งจุดประสงค์ของคนพวกนั้นก็คือ การขอยืมตัววังชอนซาองค์ปัจจุบันไปประทับอยู่ที่นั่นสักหนึ่งเดือนเพื่อแก้คำสาปที่น่ากลัวนี้

ดังนั้น เมื่อวานนี้เองที่ท่านพ่อของเขาบอกปฏิเสธราชทูตจากฮานึลเรื่องยืมตัวเขาไปเป็นตุ๊กตาไล่คำสาป เหตุผลที่ท่านพ่อทำเช่นนั้นก็ง่ายแสนง่าย ใครกันจะยอมปล่อยให้บุตรชายคนโตไปอยู่ในกำมือของศัตรูนานเป็นเดือน และอีกเหตุผลที่เขาตัดสินเอาเอง คือการที่เขาไปแคว้นฮานึลแล้วไฟป่าจะมอดดับมันเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าจะรับได้ มันก็แค่นิทานที่บอกต่อกันเท่านั้น แค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้นแหละ

“ไม่มีทาง ลูกไม่เห็นว่าการที่ลูกรับตำแหน่งวังชอนซาจะปลอดภัยตรงไหน ลูกว่ายิ่งน่ากลัวเสียมากกว่า ต้องอยู่ในหุบเขา แถมยังไม่มีเวรยามของทหารหลวงอีกต่างหาก”

“อย่าลืมสิซอนอิน ชนเผ่าของเราไม่ใช่แค่คนธรรมดา ศาสตราวุธหรือจะสู้คาถาอาคมของท่านลุงท่านทวดของลูกได้ ลูกก็เห็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ว่าชนเผ่าของเราอาศัยอยู่ในหุบเขาชายแดนของเชินอันทางทิศบูรพาซึ่งบริเวณใกล้เคียงนั้นเกิดสงครามอยู่บ่อยครั้ง แต่คนในชนเผ่ากลับไม่ได้รับบาดเจ็บหรือผลกระทบอันใดเลย”

ราชินีซองอึนลุกยืนขึ้นแล้วเดินเข้าใกล้ลูกชาย มือหนึ่งสางเส้นผมสีดำเงาที่ยาวละอยู่ข้างเอวคอด อีกมือนั้นลูบไล้ใบหน้าเนียนนุ่มแผ่วเบา

“เชื่อแม่เถอะนะ อย่าให้แม่ต้องเป็นห่วงลูกมากไปกว่านี้เลย พรุ่งนี้หลังจากเสร็จพิธี ท่านราชครูยองจูจะคอยติดตามอยู่ดูแลลูกตลอดเวลานับจากนี้”

ใบหน้าเรียวสวยเกินกว่าจะเป็นบุรุษเพศเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านแม่ขี้โกง ที่ผ่านมาลูกอุตส่าห์ยอมเป็นวังชอนซาให้แก่ชนเผ่าเพราะเห็นว่าท่านแม่ขอร้อง ท่านแม่ก็รู้ว่าลูกไม่ชอบสวดมนต์ ไม่ชอบอยู่ในระเบียบ แค่ต้องไปที่หุบเขาชินซองเดือนละครั้งเพื่อสวดอ้อนวอนเทพเจ้าลูกก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว แล้วนี่ท่านแม่กลับบอกให้ลูกรับตำแหน่งวังชอนซาจริงๆ แล้วยังคิดส่งลูกไปอยู่ที่นั่นอีก...”

น้ำเสียงในตอนท้ายสั่นไหว ก่อนที่หยดน้ำใสจะไหลกลิ้งลงมาจากดวงตาสุกสกาว

ซองอึนเกลี่ยหยาดน้ำตาให้ลูกชายพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“แม่รักลูกมากนะซอนอิน” เธอโอบกอดลูกชายแนบแน่น สายตาเรียวคมดุจนางพญาประสานเข้ากับแววตาคมของราชครูหนุ่ม เมื่อฝ่ายนั้นพยักหน้ารับถึงความหมายจากสายตาของเธอ มือเรียวก็คลายอ้อมกอดจากบุตรชายคนโต

“แม่ต้องรีบไปเตรียมงานพิธีแล้ว คืนนี้ลูกอย่านอนดึกนักล่ะ” ก่อนจะก้าวออกจากตำหนัก ราชินีซองอึนหันไปเอ่ยกล่าวกับร่างสูงในชุดพื้นบ้านของชนเผ่าชินซอง “ข้าฝากดูแลลูกชายด้วยนะท่านราชครู”

ซอนอินมองตามแผ่นหลังของผู้เป็นมารดาออกไปจากห้อง พลันสายตาก็เห็นน้องชายตัวเล็กที่ยืนเกาะแขนแม่นมผู้ดูแลอยู่ที่ด้านหน้าตำหนัก เด็กคนนั้นรีบวิ่งเข้าหาเมื่อเห็นเสด็จแม่

ภาพหญิงสาวที่กำลังก้มลงโอบอุ้มลูกชายวัยหกขวบเศษแล้วกอดจูบระบายยิ้มกว้างนั้นทำให้คนที่ยืนมองอยู่รู้สึกเจ็บแปลบในอก

“นี่ ท่านราชครู ถ้าหากว่าข้าไปอยู่ที่ชินซองแล้ว ท่านแม่จะลืมข้าหรือเปล่า” น้ำเสียงหวานฟังแผ่วเบาจนคล้ายว่าจะกลืนหายไปกับสายลม แก้วตาสวยก็คล้ายว่าจะไร้แววสะท้อนภาพสิ่งใด

หากแต่ชายหนุ่มร่างสูงนั้นกลับได้ยินชัดเจน และยังรับรู้ได้ว่าลูกศิษย์ของตนกำลังรู้สึกอย่างไร
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

“ทำไมล่ะ? ก็ข้าอยากเล่น” เด็กตัวน้อยวัยเพียงสี่ขวบเศษทำหน้าย่นยู่อย่างไม่พอใจเมื่อโดนเหล่านางกำนัลร้องห้ามเมื่อเขาอยากออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ นอกตำหนัก

“ไม่ได้เพคะองค์ชาย อีกเพียงหนึ่งชั่วยามองค์ชายก็จะเข้ารับตำแหน่งวังชอนซาแล้ว ดังนั้นจะปล่อยตัวไปยุ่งกับใครอื่นไม่ได้นะเพคะ” นางกำนัลคนหนึ่งพยายามร้องห้าม เธอไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัวบุตรชายของแคว้นเชินอันมากนัก ด้วยเพราะกลัวโทษอาญา

“แต่ข้าจะเล่น! ทำไมพวกเจ้าต้องห้ามด้วย! ถ้าพวกเจ้าห้ามอีก ข้าจะไปฟ้องท่านแม่!”

ในขณะที่เหล่านางกำนัลมีสีหน้าลำบากใจนั้น ขบวนเสด็จของราชินีซองอึนก็เดินทางมายังตำหนักของบุตรชาย

“คิมซอนอิน” ราชินีที่เอ่ยกล่าวเสียงดังนั้นไม่ได้ฟังกระดากหูแต่อย่างใด หากแต่สุรเสียงนั้นกลับทำให้ทุกคนต่างอยู่ในความเงียบทันที

“ท่านแม่” เด็กชายตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปเกาะชายเสื้อคลุมเนื้อดีของสตรีที่มีความงามที่สุดในแผ่นดิน

“ทำไมเสื้อผ้ามอมแมมอย่างนี้ พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ หากฝ่าบาทเห็นว่ายังเตรียมตัวไม่เสร็จจะทรงกริ้วแค่ไหนพวกเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร”

ระดับสายตาของราชินีนั้นกวาดมองไปยังเหล่านางกำนัลอย่างตำหนิ ทำเอาคนต้นเหตุที่ไม่ถูกกับการเห็นใครถูกต่อว่าอดไม่ได้ที่จะกระตุกชายเสื้อผู้เป็นแม่แล้วเอ่ยเสียงเบา

“ท่านแม่อย่าว่าพวกนางเลย ข้าผิดเอง...เมื่อครู่ข้าออกไปเล่นกับจุนนัน ตันทง แล้วก็ซันโป”

มือเล็กกลมป้อมกำชายเสื้อเนื้อแพรเสียแน่น ศีรษะเล็กก้มลงไม่กล้าสบตา

ราชินีซองอึนถอนหายใจเบา แล้วย่อตัวลงโอบประคองวงหน้าเล็ก

“แม่บอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าต่อจากนี้เจ้าจะต้องระมัดระวังตัว หลังจากที่เจ้าได้เป็นวังชอนซา การพบปะพูดคุยกับใครนั้นต้องเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นจริงๆ ถึงจะเข้าหาได้ นับแต่นี้ เจ้าจะต้องทำตัวให้คุณเคยกับการอยู่คนเดียว”

“ทำไมลูกต้องอยู่คนเดียว? ลูกไม่ได้ต้องการจะเป็นวังชอนซาอะไรนั่นเสียหน่อย”

“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าอยากพูดคุยกับองค์ชายเพียงลำพัง”

เมื่อบานประตูปิดลง ซองอึนก็พาเด็กชายผู้มีใบหน้าสิริโฉมยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงคนใดเข้าไปนั่งที่โต๊ะเล็กกลางห้อง

“ฟังแม่นะซอนอิน ตอนนี้ชนเผาชินซองขาดวังชอนซามาเกือบห้าปีแล้วหลังจากที่แม่แต่งงานกับเสด็จพ่อของลูก ผู้คนมากมายไร้ที่พึ่งทางจิตใจมานานเกินไปแล้ว ท่านทวดของลูกจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกจะต้องเข้ารับตำแหน่งนี้”

“แต่ลูกไม่อยาก...”

“แม่ก็ไม่อยาก” ใบหน้าสวยของหญิงสาวหมองลงเพียงชั่วครู่ ก่อนจะตีสีหน้าอบอุ่นมองตอบเด็กชายเช่นเดิม “ซอนอิน ฟังแม่ให้ดีนะ พิธีนี้จะเป็นการจัดขึ้นแค่ในนาม ลูกจะเป็นวังชอนซาแค่เพียงชื่อ หน้าที่ของลูกคือการไปที่เผาชอนซาเพื่อทำพิธีสวดเดือนละครั้งเท่านั้น หากแต่ต่อจากนี้ลูกต้องย้ายไปอยู่ตำหนักฝั่งตะวันออก และจะถูกจำกัดบริเวณ ทั้งยังมีผู้ดูแลเพียงคนเดียวคือคุณชายยองจู บุตรชายของท่านราชครูปาร์ค”

“ลูกต้องอยู่คนเดียวอย่างนั้นเหรอ? ไม่เอานะ! ลูกไม่ต้องการ!!” เด็กชายรีบซุกกายกอดมารดาแนบแน่นพร้อมทั้งส่ายศีรษะปฏิเสธเสียงแข็ง

“เพื่อที่จะต้องแลกกับการที่ลูกไปอยู่ที่หุบเขาชินซอง ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ถึงแม้ลูกจะออกไปไหนไม่ได้ แต่ก็ยังอยู่ใกล้ๆ แม่ และแม่เองก็ยังได้มีโอกาสไปหาลูกด้วย เชื่อฟังแม่เถอะนะซอนอิน”

แม้ว่าอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่เด็กน้อยกลับเลือกที่จะพยักหน้ารับเมื่อเห็นว่ามารดาของตนกำลังร้องไห้อย่างไม่มีทางเลือกอื่นที่จะมีให้กับตนได้ดีไปกว่านี้

วงแขนเล็กกอดพระมารดาแล้วซุกใบหน้าเข้าแนบ “ลูกจะเป็นวังชอนซาให้ท่านแม่ก็ได้...”

การเป็นวังชอนซาไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่ซอนอินคิด เพียงแค่สามสี่เดือนเขาก็เริ่มชินกับการอยู่คนเดียว แม้ไม่ได้ออกไปเล่นกับเด็กคนอื่น แต่ก็ยังมีคุณชายยองจูที่อายุห่างกันเจ็ดปีคอยสอนเรื่องต่างๆ ให้อยู่ตลอด และท่านแม่ก็มั่นมาเยี่ยมอยู่บ่อยครั้ง

หากแต่นานวันเข้า ซอนอินก็รู้สึกได้ว่าท่านแม่เว้นระยะห่างในการมาพบเขามากขึ้น จากสามวันเป็นห้าวัน และจากห้าวันก็กลายเป็นสิบวัน

และเมื่อซอนอินอายุสิบสอง เขาก็ได้รู้ข่าวว่าท่านแม่กำลังตั้งครรภ์ จากที่เคยมาเยี่ยมนานวันครั้ง ก็ยิ่งเว้นระยะมากขึ้น จนกลายเป็นเดือนละครั้ง และบางเดือนเขาก็พบว่าไม่ได้เจอหน้าท่านแม่เลย
 
.
.
.
 

เสียงกุกกักคล้ายเสียงปลดกลอนประตูทำให้ร่างบางบนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้น แผงขนตาดำยาวกระพริบถี่เพื่อขับไล่อาการง่วงงุน ก่อนจะกดขมับอย่างต้องการขับไล่ความฝันเดิมๆ ที่ทำให้ปวดหัวออกไป มือบางถลกผ้าม่านข้างเตียงออกเพื่อมองหาที่มาของเสียง

“ท่านราชครู?”

เสียงที่ดังอยู่เมื่อครู่พลันเงียบลง ซอนอินขมวดคิ้วมองบางประตูตรงหน้าอย่างสงสัย ก่อนจะส่งเสียงเรียกบุคคลเพียงคนเดียวที่อยู่ตำหนักแห่งนี้อีกครั้ง

“ท่านราชครูมีอะไรหรือเปล่า? นี่มันดึกแล้วนะ พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าพิธี...!!”
 

โครม!
 

บานประตูไม้ถูกกระแทกเข้ามาในคราวเดียว ที่ด้านหน้าทางเข้านั้นมีชายชุดดำปิดหน้ามิดชิดอยู่สามคน และหนึ่งในนั้นก็กำลังก้าวเข้ามาหาเจ้าของตำหนัก

“พวกเจ้าเป็นใคร! เข้ามาในนี้ได้ยังไง อ่ะ! หยุดนะ เจ้าจะทำ อุบ!...”

ซอนอินดิ้นขลุกขลักภายใต้วงแขนกว้างใหญ่ ริมฝีปากบางถูกข้อนิ้วหนาสอดเข้าให้เผยอออกก่อนจะถูกยัดก้อนผ้าชิ้นเล็กที่ถูกดึงกระชากจากม่านข้างเตียงเพื่อปิดกั้นเสียงร้อง และเพียงแค่ชั่วพริบตา ทั้งข้อมือและข้อเท้าก็ถูกผืนผ้าเดียวกันนั้นผูกมัดจนไร้อิสระ

“ท่านแม่ทัพ เรารีบไปกันเถอะขอรับ ข้าเกรงว่าราชครูนั่นจะรู้กลลวงของเราแล้ว”

คนถูกเรียกว่าแม่ทัพหันไปพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับมามองร่างบางที่ไร้ทางสู้ในวงแขน ซอนอินจ้องมองดวงตาคมที่โผล่พ้นจากผ้าคลุมหน้านั้นอย่างหวาดกลัว เห็นแค่เพียงสายตา ก็รู้ได้เลยว่าคนคนนี้น่ากลัวมากเพียงไร

“ตัวสั่นเชียว นี่น่ะหรือวังชอนซาที่ชาวบ้านเคารพนับถือกันนัก หึ! มาดูกันซิว่าเจ้าจะทำอะไรได้บ้าง”

แม้แต่น้ำเสียงก็ยังทุ้มต่ำแสดงถึงอำนาจและความแข็งแกร่ง

วังชอนซาที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธ์เพื่อเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการมองการเคลื่อนไหวของชายแปลกหน้าทั้งสามด้วยความกังวลจับใจ

...นี่หรือว่าเขากำลังจะโดนลักพาตัวกันนะ?...

ซอนอินมองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาหนทางหลบหนี หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เขารอด แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางใดเลย มือและเท้าก็ถูกมัด ปากก็ถูกปิด และในฉับพลันที่หันกลับไปมองชายชุดดำตรงหน้า แรงกระแทกที่ท้ายทอยก็ทำให้ซอนอินตาพร่าก่อนที่ร่างทั้งร่างจะทรุดฮวบ

...ไม่นะ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ! นี่ข้ายังไม่ได้จะเริ่มทำอะไรเลยนะ! ซอนอินโวยวายในใจก่อนจะหมดสติไปพร้อมกับแววตาคมกร้าวที่จ้องมองลงมา

ชายหนุ่มชุดดำสอดมือเข้าช้อนร่างที่สลบอยู่แนบอกขึ้นอุ้ม เรียวคิ้วเข้มภายใต้ผ้าคลุมเลิกขึ้นอย่างนึกแปลกใจเมื่อพบว่าร่างในวงแขนนี้เบากว่าที่คิดไว้มากนัก และยังนุ่มนิ่มเกินกว่าจะเป็นผิวกายของผู้ชาย หรืออาจจะนุ่มเกินกว่าผิวของสตรีที่เขาเคยสัมผัสมาด้วยซ้ำ

“ท่านแม่ทัพชอง เร็วเข้าเถิด เราช้ากว่ากำหนดแล้วนะขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว”

ชายหนุ่มละสายตาจากใบหน้าเชลยคนสำคัญ แล้วรีบพาร่างไร้สตินั้นออกจากอาณาเขตของวังหลวงไปพร้อมกับทหารคนสนิททั้งสองคนด้วยความเงียบงันของยามราตีที่มืดมิด
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน
หัวข้อ: Re: [พีเรียตเกาหลี] วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 1] 23/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 23-08-2016 20:34:55
บทที่ 1



“อิงอิง...”

“อิงอิง...”

ภายในวังหลวงกว้างใหญ่ ด้านหน้าของตำหนักขุนนางชั้นสูง บริเวณสวนหย่อมของดอกไม้นานาพรรณ เสียงร้องแว่วหวานจากบุรุษหนุ่มรูปร่างเล็กบางดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณ

“เจ้าอยู่ที่ไหนอิงอิง...” เจ้าของเสียงถลกจับชายเสื้อคลุมที่ยาวรุ่มร่ามก่อนจะก้มศีรษะลงใต้รูปปั้นหินจำลองเพื่อมองหาเจ้าสัตว์เลี้ยงจอมซนที่บังอาจหนีเที่ยวนานเกินเวลา ปอยผมสีดำพลิ้วไหวคลอเคลียต้นคอเพรียวระหงยามที่ร่างเล็กขยับก้าวเดิน

“อย่าเข้าไปใกล้สระมากนักสิคะคุณชายฮีอู”

นางกำนัลสาวอายุราวยี่สิบปีเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าคุณชายของเธอชะโงกกายไปใกล้สระบัวด้วยท่วงท่าน่าหวาดเสียวว่าจะตกลงไป เธอรีบลัดเลาะเหล่าพุ่มไม้และก้อนหินเข้าไปใกล้นายของเธอ

“อ่ะ นั่นไงคะคุณชาย อิงอิงอยู่ตรงนั้น!!”

“อ๊า~  นันโซ เจ้าไปดักตรงนั้นไว้!”

ร่างเล็กบางขยับก้าวย่างไปด้านหน้าด้วยความระมัดระวัง และพยายามเงียบเสียงอย่างที่สุด สองมือขาวนวลนุ่มยื่นไปข้างหน้า โดยมีนางกำนัลวัยกำดัดประคองมือโอบอยู่ฝั่งตรงข้าม ระยะขอบกำแพงจากคนสองคนที่โอบล้อมเข้ามานั้นทำให้สิ่งมีชีวิตสีขาวตัวเล็กกลมป้อมหมดหนทางหลบหนีอีกต่อไป

“เจ้าหมูอ้วนจอมเกเร! เราบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าห้ามออกมานอกตำหนัก ระวังเถิด เราจะจับเจ้าขังกรงสักสามวันเลย”

สุนัขจิ้งจอกขนฟูสีขาวสว่างขดตัวกลมอยู่บนฝ่ามืนนุ่มของบุรุษหนุ่มหน้าหวาน แก้วตากลมเม็ดเล็กส่องประกายสุกใสสบนัยน์ตาสีอ่อนของคนร่างเล็ก ปลายหางฟูฟ่องงอม้วนโอบรอบลำตัวจนแทบจะกลายเป็นก้อนหิมะขนาดใหญ่
 

หงิง~
 

“ไม่ต้องมาร้องเลย หากเราเอาเจ้าคืนองค์ชายใหญ่เมื่อไหร่ ไม่พ้นเจ้าได้กลายเป็นจิ้งจอกย่างรมควันแน่” เจ้าของเสียงหวานตีหน้าเข้มอย่างไม่สมกับความงดงามที่เป็นอยู่ เขาแยกเขี้ยวใส่เจ้าสิ่งมีชีวิตในอุ้งมือคล้ายการขู่ให้กลัว แต่ไหนเลยที่สุนัขจิ้งจอกตัวนี้จะกลัวเจ้านายที่แสนน่ารักกันเล่า

“คุณชายฮีอูรีบเข้าตำหนักเถิดค่ะ ผืนฟ้าแปรปรวนเช่นนี้ช่างน่ากลัวนัก”

ยังไม่ทันจะจบคำของนางกำนัลดี สายฟ้าสีเงินสว่างก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่นหวั่นไหว กลุ่มเมฆสีดำที่ก่อตัวมาได้เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้วเริ่มแผ่ขยายทั่วผืนนภาของแคว้นฮานึล จนความมืดมิดปกคลุมลงมามืดครึ้มไปหมด แรงลมที่นิ่งสงบเริ่มมีเค้าว่าอาจจะเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน

ใบหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นมองความแปรปรวนของสภาพอากาศที่เกิดขึ้น สองมือกอดสัตว์เลี้ยงไว้แน่นด้วยความกังวล อาการตัวสั่นทำท่าจะกระโดดหนีของอิงอิงที่เป็นอยู่นี้คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเมื่อรู้ว่ารอบตัวกำลังมีภัย เมื่อเช้านี้เพียงแค่เขาเปิดประตูกรง อิงอิงก็วิ่งหนีออกมา กว่าจะหาเจอก็ใช้เวลาไปร่วมครึ่งค่อนวัน บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อิงอิงกลัวก็เป็นได้

“นันโซ เจ้าคิดว่าองค์ชายใหญ่ทรงพาวังชอนซาแห่งแคว้นเชินอันมาได้หรือไม่?”

นี่ก็ล่วงเข้าครึ่งเดือนมาแล้วที่องค์ชายใหญ่ ชองจีรยง บุตรชายคนโตของกษัตริย์ฮานึล ผู้มีตำแหน่งทางกองทหารเป็นถึงแม่ทัพกองพลที่เจ็ด ซึ่งเป็นกองทัพหลวงพิเศษได้รับภารกิจให้เดินทางไปยังแคว้นเชินอันเพื่อดำเนินการขอยืมตัว วังชอนซา มายังฮานึลเป็นการชั่วคราว แต่จากที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าทางเชินอันจะไม่ยินยอมตามคำร้องขอนั้น และจากที่ฮีอูได้สอบถามคนส่งสารจากนายทหารเมื่อสามวันก่อน จึงได้รู้ว่าองค์ชายใหญ่คิดจะลักลอบจับตัววังชอนซามาอย่างไม่สนการเชื่อมสัมพันธไมตรีแม้แต่น้อย

จากที่แต่เดิมเชินอันและฮานึลมีสายสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกันมาตลอด หากว่าองค์ชายใหญ่จับตัววังชอนซาซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของแคว้นเชินอันมาได้จริงละก็ น่ากลัวว่า ศึกสงครามระหว่างสองแคว้นที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งได้เปิดศึกปะทะกันอีกครั้งเป็นแน่

ตามประวัติศาสตร์แล้ว เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนเชินอันและฮานึลได้ยกทัพปะทะกันด้วยจำนวนคนและม้ารบเกินกว่าจะคาดคะเนได้ ในตอนนั้นทั่วทั้งแผ่นดินไม่ว่าจะแคว้นน้อยใหญ่หรือเมืองโดยรอบต่างก็เกรงอำนาจทั้งสองแคว้นนี้ไม่น้อย จึงมีการแลกเปลี่ยนคาดเดาผลลัพธ์กันไปต่างๆ นาๆ เป็นเพราะภูมิศาสตร์ที่ใช้สู้รบนั้นเป็นหุบเขาขนาดใหญ่คล้ายแอ่งกระทะ ไม่มีทางหนีบนพื้น มีแต่เพียงการเดินขึ้นเขาเท่านั้น เหล่าทหารที่เสียชีวิตระหว่างรบนอนเกลื่อนทับถมจนมองคล้ายแหล่งน้ำสีเลือดส่งกลิ่นคาวโชยไปทั่วทั้งหุบเขา ชาวบ้านจึงเรียกสงครามครั้งนั้นว่า ‘สงครามหุบเขามรณะ’

มีหลายคนที่ลงความเห็นว่าสงครามหุบเขามรณะเป็นสงครามที่จะทำให้การสู้รบตามชายแดนหมดไป เพราะการที่เชินอันและฮานึลยังไม่รู้ผลแพ้ชนะกันจริงๆ จังๆ นั้นทำให้ชาวบ้านถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่แต่เพียงในเขตปกครองพื้นที่เท่านั้น จะทำอะไรก็เสี่ยงต่อการถูกจับ ความสงบไม่เคยอยู่ยาวนานก็เกิดการท้ารบอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น หากว่ามีแคว้นที่ชนะเพียงหนึ่งเดียวที่จะสามารถเป็นผู้นำได้ ย่อมดีกว่าการแก่งแย้งไม่สิ้นสุดอยู่แล้ว

แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาและการคาดหวังของชาวบ้านที่ดับสลาย กษัตริย์ของทั้งสองแคว้นได้ปะทะกันเองจนได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกัน ไม่มีใครรู้ว่าสงครามหยุดลงได้อย่างไร ทหารทั้งสองฝ่ายหยุดการสู้รบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับว่า เมื่อแสงอรุณรุ่งในเช้าวันใหม่ส่องประกายพ้นขอบฟ้า ความโกลาหลที่มีในยามราตรีก็ถูกอาบลบล้างหายไปเสียสิ้น หลงเหลือไว้แต่ความเงียบเหงาและน่าเศร้าสลดของร่างไร้วิญญาณนับหมื่นนับแสน

ตั้งแต่นั้น เชินอันและฮานึลก็เลี่ยงการสู้รบกันไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด ไม่มีการติดต่อถึงกัน ไม่มีการท้ารบเป็นกิจจะลักษณะ ต่างฝ่ายต่างหันไปบุกยึดดินแดนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบ้างที่เชินอันและฮานึลมีการปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ ตามชายแดนต่างๆ ความสัมพันธ์ที่เรื่อยมาตลอดสิบเจ็ดปีกว่ามานี้คือเส้นบางๆ สองเส้นที่ขนานคู่กันเพียงเท่านั้น
 


“องค์ชายใหญ่ทรงคิดจะทำสิ่งใดแล้ว ย่อมสำเร็จแน่นอนอยู่แล้วค่ะ คุณชายฮีอูเองก็คิดเช่นนั้นมาตลอดนี่คะ?” นางกำนัลสาวเอ่ยตอบบุตรชายของขุนนาง คิมฮยอนจา ผู้เปรียบดังเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของกษัตริย์ฮานึล ด้วยรอยยิ้มสดใส มือเรียวของนางจัดแจงปลดเสื้อผ้าตัวนอกให้ร่างเล็กอย่างเบามือเมื่อพากันเข้ามาอยู่ในตำหนักเรียบร้อยแล้ว

“จริงของเจ้า เราว่าที่ท้องฟ้าปรวนแปรไปเช่นนี้ต้องเป็นเพราะวังชอนซาแน่ๆ” ฮีอูวางลูกสนุขจิ้งจอกสีขาวลงบนตักแล้วลูบขนนุ่มตรงแผงคอแผ่วเบา ใบหน้ากลมหันมองไปยังบานหน้าต่างที่ปรากฏเมฆฝนครึ้มมาแต่ไกล

แปลก ตั้งแต่เกิดอัคนิรุทรเพลิงกัลป์ ไม่มีเลยสักวันที่ฝนทำท่าจะตกเสียให้ได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพียงฝนธรรมดา แต่เป็นพายุลูกใหญ่ที่น่ากลัวเลยก็ว่าได้ อาจจะจริงอย่างที่ทุกคนว่าไว้ วังชอนซา คือเทพแห่งหงส์เพลิงจากทิศบูรพาที่เป็นผู้กำหนดให้ไฟกัลป์ลุกโชนหรือมอดดับได้ เป็นดังตัวแทนของเทพเจ้าทงซก

ฮีอูปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับความสงสัยและความสนใจในตัวขององค์วังชอนซาว่าบุคคลผู้นี้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แม้ไม่เคยมีคนนอกได้พบเห็นโฉมพักตร์ที่แท้จริง แต่จากคำล่ำลือที่ว่า คิมซอนอิน มีความงดงามไม่ต่างจากหญิงงามที่สุดในแผ่นดิน ราชินีแห่งแคว้นเชินอัน ก็น่าเชื่ออยู่ไม่น้อย

อ๊า~ ชักอยากเจอเร็วๆ แล้วสิ!

“เอาล่ะ เราตัดสินใจแล้ว”

“ตัดสินใจสิ่งใดคะคุณชาย?”

จู่ๆ คนร่างเล็กก็ลุกพรวดขึ้น เขาเดินดุ่มๆ ไปยังมุมห้องแล้วจับเจ้าตัวกลมสีขาวที่ผล็อยหลับไปแล้ววางลงนอนในกรงขนาดใหญ่ ใบหน้าขาวหันไปยิ้มกว้างให้กับสาวใช้คนสนิท

 “วันที่ขบวนทัพมาถึงเมื่อไหร่ เราจะไปรอรับองค์ชายใหญ่ที่หน้าประตูเมืองหลวง”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

“ท่านแม่ทัพ เราควรหยุดพักกันก่อนดีหรือไม่ขอรับ”

เสียงตะโกนของทหารหนุ่มคนสนิทดังแทรกเสียงลมพายุที่พัดต้องรุนแรง เขาขยับบังเหียนให้กระชับมือมากขึ้นแล้วเตะสีข้างของม้าสีน้ำตาลแดงให้วิ่งไปด้านหน้าเร็วขึ้น จนไปยืนเทียบเคียงกับคนเป็นนายเพื่อรอรับคำสั่ง

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำยังไม่ให้คำตอบในทันที มือข้างหนึ่งของผู้เป็นแม่ทัพกองพลที่เจ็ดเหยียดยื่นออกไปลูบลงบนหลังคออาชาสีขาวพิสุทธิ์เชื่องช้า นัยน์ตาคมจ้องเขม็งไปยังผืนฟ้าเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด

แรงลมของพายุพวกนี้มันเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีที่พวกเขาเดินทางมายังเขตของแคว้นฮานึล สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นต่อสายตาคมคู่นี้ทำให้ชองจีรยง ชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อเรื่องเพ้อพกอันใดถึงกับสะดุดความคิดที่เคยยึดถือไว้แต่เดิม

จะว่าเป็นเพราะความบังเอิญก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เพราะมันเป็นส่วนน้อยเหลือเกินที่จะเชื่อว่ามันบังเอิญเสียขนาดนี้ แต่จะให้เชื่อว่าเป็นเพราะผู้ชายตัวเล็กๆ ที่นอนสลบอยู่ในอ้อมอกนี้หรือ แม่ทัพหนุ่มก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้เช่นกัน

ดวงตาคมสีเข้มดุจรัตติกาลไร้แสงดาวทอดลงมองใบหน้าขาวนวลที่นอนแนบซบอยู่กับแผงอกของตน

ตลอดการเดินทางไม่ว่าใครก็เอาเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้ไม่อยู่ คลาดสายตาเพียงแวบเดียวก็ก่อเรื่องหาทางหลบหนีด้วยวิชางูๆ ปลาๆ แต่ก็ทำเอาลำบากไม่น้อยเพื่อจับกลับมา ครั้นจะใช้เชือกหรือผ้ามัดแขนไว้ก็ทำได้ไม่นานเมื่อเจ้าตัวโวยวายจะทำธุระส่วนตัวบ้าง เหมื่อยบ้าง แล้วแต่จะสรรหามาอ้อนเจ้าทหารปลายแถวพวกนั้นให้ได้ใจอ่อนแล้วก็เกิดเรื่องไปตลอดทาง สุดท้ายด้วยความรำคาญของแม่ทัพหรือจะเพราะอะไรก็ตามแต่ เหล่าทหารทั้งขบวรเป็นต้องมึนงงเมื่อพบว่าม้ารบชั้นหนึ่งที่แม่ทัพไม่เคยอนุญาตให้ใครขึ้นขี่ ‘อันนุน’ อาชาสีขาวสง่านอกไปจากคุณชายฮีอูแล้ว วังชอนซาผู้นี้นั้นเป็นคนที่สองที่พวกเขาได้เห็นว่าท่านแม่ทัพชองยอมให้นั่งซ้อนก็คราวนี้เอง

แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่ว่าจะใครที่คุมตัวเด็กหนุ่มวัยสิบหกเศษคนนี้ไว้ ก็ไม่เว้นโดนแผลงฤทธิ์ใส่จนได้ ในตอนหัวค่ำของเมื่อวาน ยาที่ให้ร่างบางดื่มนั้นได้หมดฤทธิ์ลง พอเจ้าตัวลืมตาสุกใสขึ้นแล้วพบว่าถูกจับนั่งซ้อนอยู่บนหลังม้าสีขาวโดยมีคนที่คุมตนเป็นชายหนุ่มคนใหม่ก็ไม่รีรอที่จะก่อปัญหา แต่คราวนี้คนหน้าสวยคงคิดผิดที่ไปหาเรื่องให้ชายผู้นั้นหงุดหงิด เพราะนอกจากจะไม่หลงกลหลอกล่อแล้ว ยังถูกเอ็ดเสียงดังพร้อมกับถูกจับโยนลงพื้นแล้วมัดข้อมือให้ออกวิ่งตามฝีเท้าม้า ที่แค่เดิน ก็ยังถือว่าเร็วสำหรับคนที่เดินเท้า

ระหว่างที่ทำหน้ายุ่ง เม้มริมฝีปากบางสีชมพูจนขึ้นสีจัดด้วยความไม่ยอมแพ้แม้จะเดินมาไกลหลายกิโลเมตรแล้วก็ตาม ซอนอินก็ยังไม่ลดละที่จะจ้องมองเสี้ยวหน้าคมของคนบนหลังม้าสีขาวด้วยสายตามาดร้าย ทั้งยังสาปแช่งในใจไม่หยุด จวบจนกระทั่งผ่านธารน้ำตื้นๆ ในชั่วยามต่อมานั่นแหละ คนที่ใจแข็งปากแข็งทั้งที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ล้มขลุกลงกับผืนหญ้า ถูกลากไปอีกเล็กน้อยคนร่างสูงก็กระโดดลงมายืนตรงหน้า

“หากเจ้ายังดื้ออีก คราวนี้ข้าฆ่าเจ้าแน่”

ในตอนนั้นเองที่ซอนอินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นดวงตาคมคู่นี้ที่ไหน

เจ้าคนบ้านี่คือคนที่ทุบท้ายทอยจนเขาสลบแล้วก็จับตัวเขาออกมาจากวัง!

ด้วยความที่คิดได้ว่าผู้ชายตรงหน้าคงไม่ใช่พวกทหารทั่วไปอย่างที่เจอมา ซอนอินจึงไม่คิดจะต่อปากต่อคำอีก ซ้ำตอนนี้ร่างกายก็ปวดระบมไปหมดด้วย ไหนเลยจะมีแก่ใจมาต่อความให้ยาวยืดกินเวลาพักให้สูญเปล่า ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความเคยชิน ก่อนจะลุกขึ้นยืนทั้งที่ขาแทบจะทรงตัวไม่ได้ ก้มลงปัดเศษฝุ่นเศษหญ้าแล้วก็ต้องยืนเซไปเซมา กว่าจะนึกได้ว่าไม่ได้ทานข้าวมากี่วันแล้วก็ตอนที่เป็นลมหน้ามืดลงกับร่างตรงหน้านี้นั่นเอง

...เอาเถอะ อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกไก่ในกำมืออยู่แล้วนี่ เรื่องหนีค่อยคิดใหม่ก็แล้วกัน ซอนอินบ่นงึมงำในใจขณะที่รู้สึกว่าร่างกายถูกอุ้มลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะปล่อยให้หัวสมองค่อยๆ หยุดทำงานด้วยความอ่อนล้า
 

“ไปอีกหน่อย ถึงหมู่บ้านข้างหน้าแล้วค่อยพัก” จีรยงละสายตาจากใบหน้าเนียนขาวของร่างผอมบางในอ้อมแขน ตั้งแต่เมื่อวานที่สลบไป ไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นเสียที

หลังจากที่หาที่พักได้ทันก่อนที่พายุจะอาละวาด เหล่าทหารก็ได้เข้าพักผ่อนตามห้องต่างๆ ในโรงเตี๊ยมเรียบร้อยแล้ว มีเพียงบางส่วนที่รับหน้าทีเฝ้ายาม ส่วนเชลยคนสำคัญได้ถูกพาไปนอนในห้องที่มีทหารฝีมือดีจับตามองอยู่ถึงสี่คน

กลางดึก เสียงเคาะประตูห้องที่ท่านแม่ทัพชองพักอยู่ก็ดังขึ้น

“มีเรื่องอะไร?”

นายทหารหนุ่มก้าวเข้าไปหาร่างสูงที่ยังไม่มีเค้าความง่วงงุนให้เห็นแม้แต่น้อย “วังชอนซานะขอรับ” เมื่อเล่าอาการละเมอเพ้อจนตัวรุมร้อนน่ากลัวว่าอาจเป็นไข้ของเชลยให้กับผู้เป็นนายฟัง เขาก็ถูกสั่งให้ไปเตรียมน้ำอุ่นและไปตาม จากึน แพทย์หลวงที่เดินทางร่วมขบวรมาด้วยให้ตามไปที่ห้อง

สัมผัสแรกที่จีรยงรู้สึกเมื่อทาบหลังมือลงบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อคือความร้อนราวกับเตาที่มีไฟลุกโชน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วทั้งดวงหน้าซีดขาวจนชื้นไปหมด เส้นผมสีดำยาวแผ่กระจ่ายไปทั่วหมอนหนุนเมื่อเรือนร่างบอบบางบิดกายคล้ายกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง จีรยงไล้ปลายนิ้วลงตรงกลางหว่างคิ้วเส้นบางที่ขมวดมุ่น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวฝันร้ายอะไรถึงได้แสดงสีหน้าทรมานขนาดนี้

ดวงตาคมทอดมองใบหน้าราวอิสตรีแล้วให้ไพล่นึกไปถึงใครอีกคนที่แม้เป็นชาย แต่กลับมีใบหน้าหวานสวยราวกับหญิงสาว เขาละสายตาจากความงามเบื้องหน้าแล้วมองท้องฟ้าที่เกิดพายุหมุนคว้างกลางอากาศมาหลายชั่วยามแล้ว แต่กลับยังไม่มีเม็ดฝนสักเม็ด

ในขณะที่ยังจ้องมองออกไปยังช่องว่างของกรอบบานหน้าต่างนั้น ปลายนิ้วที่เกลี่ยเส้นผมนุ่มของคนบนเตียงก็พลันรู้สึกถึงหยาดน้ำอุ่นที่ไหลลงตามไรผมสีเข้ม

ร้องไห้งั้นหรือ?

“ท่านแม่...”

เสียงหวานแหบพร่าที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางแห้งเรียกให้เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสนใจ ความอ่อนแอที่แสดงออกมาจากสีหน้าทำให้จีรยงนึกขัดอยู่ในใจ ใบหน้าที่สดใสของเจ้าตัวยามตื่นนั้นไม่มีเค้าความน่าสงสารให้เห็นแม้แต่น้อย คนที่หาเรื่องหลอกล่อตบตา สารพัดอย่างที่คิดจะหนีการถูกจับมาตลอดทางคนนั้นน่ะหรือจะเป็นคนที่อ่อนแอถึงขนาดร้องไห้แม้ในความฝันอย่างนี้?

จีรยงเพ่งพิศดวงหน้ายามหลับของคนบนเตียงอย่างต้องการค้นหาคำตอบ คนที่มีฐานะเช่นองค์ชายย่อมถูกเลี้ยงดูอย่างรักใคร่จนเป็นที่น่าอิจฉาไม่ใช่หรือไร อยากได้สิ่งใดก็มีคนจัดหาให้ถึงที่ แล้วยังจะมีเรื่องกระทบจิตใจอะไรกันเล่า? หรือจะเป็นเพราะเจ้าตัวมีตำแหน่งเป็นวังชอนซา ไม่สิ นั่นยิ่งทำให้ใครต่อใครเคารพนบนอบพร้อมจะให้ทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ แล้วมันเพราะอะไรกัน

เพราะอะไรถึงได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดขนาดนี้...แต่ก่อนที่จีรยงจะได้คิดไปไกลกว่านั้น เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยจากึนและทหารช่วยอีกหนึ่งคนที่ยกกล่องยาเข้ามา การขัดจังหวะความคิดนี้เองที่ทำให้จีรยงถึงกับก่นด่าตัวเองในใจที่คิดเรื่องของเชลยทั้งที่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด

คิมซอนอินจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดให้รกสมองเลยสักนิด

ถึงแม้ตั้งใจจะจับคิมซอนอินมาเพื่อหวังให้เป็นเชลยในการต่อรองทางการเมือง เพราะอย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อย่างเสด็จพ่อที่ทนยอมให้มีแคว้นใหญ่ปกครองขยายอำนาจถึงสองแคว้นโดยไม่คิดจะสู้รบกันตรงๆ ทั้งที่ทั้งฮานึลและเชินอันไม่ได้อยู่ห่างกันไกลมากนักอย่างแคว้นใหญ่อื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้น บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็มีตำแหน่งเป็นถึงองค์ชายคนโตของกษัตริย์ ซ้ำยังเป็นองค์วังชอนซาที่ชาวบ้านเคารพนับถือ การดูแลแม้จะเป็นเพียงเชลยก็ต้องให้สมเกียรติ์

จีรยงปล่อยให้จากึน แพทย์หลวงส่วนตัวของตนคอยเฝ้าไข้ซอนอินอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งคืน โดยตัวเขาได้พาทหารคนสนิทสองคนขึ้นม้าออกไปสำรวจสภาพอากาศบนเนินเขาสูงเพื่อมองดูไฟป่าที่เผาไหม้เทือกเขาสำคัญของฮานึลที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายลี้ แม้เห็นเปลวไฟเป็นเพียงจุดเล็กๆ จากที่ตรงนี้ แต่ก็ทำให้คนทั้งสามรู้ว่าในความจริงแล้วไฟป่าพวกนั้นมันมากมายแค่ไหน

“จริงหรือขอรับท่านแม่ทัพ ที่ว่าทันทีที่น้ำตาของวังชอนซาไหลอาบแก้มลงมา ลมพายุก็บังเกิดห่าฝนขึ้นในฉับพลัน”

ยูกึมซอง เด็กหนุ่มวัยเพียงสิบห้าปีแต่กลับเป็นยอดฝีมือคนสนิทของแม่ทัพชองเอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างตื่นเต้นท่ามกลางพายุฝนที่ยังตกกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย

ก่อนจะออกมาจากที่พัก ยูโทซอง พี่ชายฝาแฝดที่ได้เข้าไปในห้องของวังชอนซาพร้อมกับหมอจากึนนั้นได้เล่าให้ฟังถึงความอัศจรรย์ที่เกิดนี้ให้ผู้น้องฟัง แต่ดูเหมือนว่าคนเป็นน้องเพียงสองวินาทีคนนี้จะไม่เชื่อแม้แต่น้อย

แม่ทัพหนุ่มย่นคิ้วยามที่นึกย้อนกลับไป จริงอย่างที่โทซองบอกไม่ผิด ทันทีที่สัมผัสถึงน้ำตาของคิมซอนอิน เม็ดฝนก็ตกกระทบหลังคาตามมาติดๆ ก่อนจะเริ่มหนักขึ้นจนกลายเป็นพายุฝนที่เกิดอยู่นี้ แม้ตรงหมู่บ้านที่พวกเขาพักอยู่จะไม่รุนแรงนัก แต่นั่นก็ทำให้จีรยงนึกสงสัยจนต้องขี่ม้าฝ่าสายฝนออกมาดูให้เห็นกับตาว่าความร้ายกาจของพายุลูกนี้จะทำให้เพลิงกัลป์ร้ายกาจนั้นดับได้หรือไม่

และตอนนี้ เขาก็เห็นแล้วว่า ในที่ไกลสุดสายตาตรงนั้นคงไม่เพียงแค่มีพายุฝนธรรมดา แต่เป็นความร้ายกาจของเทพเจ้าบนฟ้าแน่ที่สร้างความปั่นป่วนของผืนนภาได้ขนาดนี้

ทั้งสายฟ้าสีเงินสว่างที่ฟาดผ่าลงมาจนคล้ายเม็ดฝนดาวตก หรือจะเป็นกลุ่มหมอกควันที่หมุนวนปกคลุมเทือกเขาจนมองไม่เห็นปลายยอด ทุกอย่างนี้มันเกินกว่าที่เจ้าของดวงตารัตติกาลคิดไว้ไปไกลลิบ

ใบหน้างามสง่าสมชื่อบุรุษนักรบแห่งมังกรฟ้าหันกลับมองข้ารับใช้คนสนิททั้งสอง นัยน์ตาคมปลายมองยูกึมซองแล้วพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงว่าจริงตามที่พี่ชายของเจ้าตัวว่าไว้ ก่อนจะหันไปสั่งเด็กหนุ่มอีกคนด้วยวาจาและสีหน้าเฉียบคม

“โทซอง พรุ่งนี้เจ้าออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน กราบทูลองค์กษัตริย์ว่าให้เตรียมสถานที่คุมขังวังชอนซาไว้ที่ส่วนในของวัง จัดหาตำหนักที่แบ่งแยกจากส่วนอื่นไว้ แล้วทูลบอกไปว่า ห้ามใครยุ่งเรื่องเชลยคนนี้นอกจากข้า ที่เหลือข้าจะไปกราบทูลเอง”

“รับทราบขอรับท่านแม่ทัพ”
 

สายเนตรคมเข้มประกายแววพอใจกับภาพเบื้องหน้าของภัยธรรมชาติที่เห็น นอกจากไฟจะดับมอดแล้ว ฮานึลยังได้ตัวบุตรชายของเชินอันมาเป็นเชลยคนสำคัญอีกด้วย และดูท่าว่า หงส์เพลิงตัวนี้จะมีค่ามากกว่าแค่ชื่อตำแหน่งของพวกชนเผ่านักบวชพวกนั้น

หึ หากว่าคิมซอนอินสำคัญและพิเศษถึงขนาดนี้ ดูท่า เชินอันคงสั่นคลอนไม่น้อยที่ถูกคู่อริอย่างฮานึลชิงตัวคนที่ถูกคุ้มกันแน่นหนาถึงขนาดนั้นมาได้ด้วยคนเพียงไม่กี่คน

จีรยงเหยียดยิ้มท่ามกลางสายฝนจากสรวงสวรรค์ เลือดในกายนักรบของชายหนุ่มวัยเพียงยี่สิบปีเศษปลุกกระตุ้นความต้องการที่อยากจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวปกครองทั่วล้าในผืนแผ่นดินใหญ่นี้ให้สำเร็จโดยเร็ว
 


ในยามราตรีที่มืดมิดไร้แสงดาว เม็ดฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำทั่วทั้งผืนฟ้าแคว้นฮานึล สายฟ้าสีเงินสว่างส่องประกายไม่หยุดพัก คลื่นพายุลูกใหญ่หมุนคว้างคล้ายปีศาจใต้พิภพ หากแต่เพียงแค่ข้ามคืน เมื่อแสงอรุณรุ่งของวันใหม่ส่องประกายสีทองระยิบพ้นขอบฟ้าสีคราม ทุกสรรพสิ่งก็กลับคืนสู่ฮานึลเช่นเดิมอย่างที่เคยเป็นมา
 

...ยกเว้นแต่เพียง วิหคเพลิงตัวงามที่พลัดถิ่นเข้าสู่แดนดินแห่งใหม่


 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน

หัวข้อ: Re: [พีเรียตเกาหลี] วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 2] 23/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 23-08-2016 22:29:19
 
บทที่ 2


เนื่องจากหมู่บ้านนัมกีมีเส้นทางลัดที่ทอดยาวไปยังเมืองหลวงโดยตรง ทำให้ขบวนทัพหลวงที่เจ็ดใช้เวลาเดินทางจากที่พักแรมในคืนแรกเมื่อเข้าเขตแคว้นฮานึลเพียงสามวันก็ถึงตลาดกลางก่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวง

ตั้งแต่ที่ออกจากโรงเตี้ยมเมื่อคืนก่อนนั้นได้มีการเตรียมรถม้าให้กับเชลยต่างแดนเพื่อการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็ว เพราะเส้นทางต่อจากนี้เริ่มมีชาวบ้านตามสองข้างทางเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการที่ขบวนทัพเป็นจุดสนใจนั้นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้วังชอนซาได้เปิดเผยตัว

...แน่นอน ไม่ใช่เพราะท่านแม่ทัพเห็นแก่ความสูงส่งในตัวเชลย หากแต่เพราะชาวบ้านรับรู้เพียงแค่การพาตัววังชอนซามาอย่างชอบธรรม ไม่ใช่การลักพาตัวมาอย่างที่เป็นอยู่นี้

ภายในเกี้ยวไม้ขนาดเพียงหกคนนั่ง ที่ด้านหนึ่งตรงข้ามกับม่านบังทางเข้า ร่างบอบบางนั่งกระสับกระส่ายไม่ติดที่ นัยน์ตาเรียวสวยเป็นประกายพราวสอดส่ายสายตาอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะมองพ้นช่องม่านหน้าต่างที่กระพือเข้าออกเพียงน้อยนิดตามแรงลมให้ได้เห็นความเป็นไปที่ด้านนอกสักนิดก็ยังดี

ข้อมือขาวทั้งสองข้างที่ถูกไพล่มัดไว้ด้านหลังเริ่มมีรอยแดงช้ำเมื่อเจ้าตัวบิดไปมาโดยตลอดตั้งแต่ออกเดินทาง เขี้ยวฟันซี่เล็กขบกัดลงบนก้อนผ้าที่ถูกยัดปิดปากเสียแน่นอย่างต้องการหาที่ระบายความเจ็บและความหงุดหงิด

“เครื่องแก้วเจียระไนแคว้นเมืองเหนือชั้นดี เร่เข้ามาๆ”

“ผ้าขนสัตว์จากพวกคนผิวขาวแผ่นดินไกล ราคาเพียงสิบสองเหรียญเท่านั้น สามชิ้นสุดท้าย!”

เสียงร้องเร่ของพ่อค้าคนกลางดังลอดเข้ามาให้คนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ในเกี้ยวไม้ได้ยินไม่ขาดสาย ซอนอินกระทืบเท้าขัดใจที่ไม่อาจออกไปเดินดูข้าวของพวกนั้นได้

...ทั้งที่ได้ออกจากวังมาทั้งที แต่กลับต้องมาถูกจับมัดอยู่แบบนี้นี่มัน!!!!...

“อื้อๆๆๆ!!”

เจ้าของร่างบางแถตัวไปด้านข้างแล้วใช้ปลายเท้าที่ถูกมัดรวบเตะใส่ผนังไม้แล้วส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเพื่อเรียกนายทหารที่ขี่ม้าขนาบข้างตัวรถอยู่ใกล้ๆ

แต่ไม่ว่าหงส์แสนงามจะพยายามเรียกร้องความสนใจอย่างไร ดูเหมือนว่าคำสั่งจากท่านแม่ทัพชองที่สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดพูดคุยกับเชลยคนสำคัญจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ขัดไม่ได้

เจ้าคนบ้าอำนาจนั่น ไม่เห็นแก่ตำแหน่งองค์ชายของเขา ก็เห็นแก่คุณประโยชน์ที่บ้านเมืองกลับมาสงบสุขได้เพราะเขาไม่ได้หรือไงกัน!

ซอนอินไม่เคยคิดหรอกว่าตนเองจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไฟป่ามอดดับได้ภายในค่ำคืนเดียว อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไฟบ้านั่นมันดับไปเมื่อไหร่ จำได้แค่ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกจับมานั่งบนรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ซ้ำสองข้างทางที่ตัดผ่านก็ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องสรรเสริญวังชอนซาไม่ขาดไปตลอดเส้นทาง ถามไถ่เด็กหนุ่มที่เข้ามาคุมการทานข้าวของเขาถึงได้รู้ว่ามันเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้น

“วังชอนซา ทรงพิเศษจริงๆ นะขอรับ”

ได้ยินเด็กหนุ่มผู้นั้นพูด ซอนอินก็ปั้นหน้ารับคำได้ยากลำบากเสียจริง

พิเศษบ้าอะไรกัน เขาก็แค่องค์ชายอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!

แต่ช่างเถอะ การที่มีคนเห็นความสำคัญในตัวเชลยต่างแดนอย่างนี้มันก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย ซอนอินยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ถูกเด็กหนุ่มนายทหารคนนี้จ้องมองนั้นไม่มีความเกรงกลัวต่อฐานะหรือตำแหน่งใดๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย ผิดจากในเวลานี้ที่มีประกายตาฉายแววชื่นชมเสียเหลือเกิน  “วังชอนซา ทรงหิวหรือยังขอรับ”

รู้สึกว่าล้อเกวียนหยุดลง ม่านทางเข้าถูกเลิกขึ้น ก่อนที่ร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มผิวขาวสว่างทั้งที่เป็นนายทหารออกศึกจะก้าวเข้ามานั่งที่ด้านใน

เมื่อเห็น ยูกึมซอง คนเพียงคนเดียวที่ซอนอินได้มีโอกาสพูดคุยด้วยตลอดการเดินทาง ใบหน้าเรียวสวยก็ฉายแววดีใจอย่างไม่ปิดบัง ทันทีที่ผ้าสีขาวที่ใช้ปิดปากถูกปลดออก เสียงหวานก็รีบเอ่ยทักคนตรงหน้า

“กึมซอง ทำไมเจ้ามาช้าอย่างนี้เล่า! ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว!!”

และไม่ลืมที่จะอ้อนขอเสียงหวาน “ข้างนอกนั่นคือตลาดใช่ไหม? เจ้าช่วยให้ข้าออกไปได้หรือไม่?”

กึมซองมองประกายตาสดใสขององค์วังชอนซาด้วยความชื่นชม นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยผิดบุรุษเพศแล้ว น้ำเสียงที่ใช้ หรือแม้จะเป็นบรรยากาศรอบกายของคนคนนี้ก็น่าดึงดูดสายตาไปเสียหมด อีกทั้งกิริยาคล้ายเด็กเล็กๆ อยากออกไปเที่ยวนี่อีกเล่าที่น่าดูไม่น้อย

แต่ถึงเด็กหนุ่มอยากจะช่วยตามคำร้องขอมากแค่ไหน ก็ทำไม่ได้หากท่านแม่ทัพไม่อนุญาตด้วยตัวเอง

“ขออภัยที่ข้าช่วยท่านไม่ได้ อีกเพียงไม่ถึงครึ่งวัน เราก็จะเข้าตัวเมืองหลวงแล้ว หากถึงที่นั่นเมื่อไหร่ ท่านแม่ทัพคงจะลดการคุมตัววังชอนซาแล้วล่ะขอรับ”

ซอนอินฮึดฮัดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง “ท่านแม่ทัพของเจ้าจะกลัวอะไรนักหนา มาถึงนี่แล้วยังคิดว่าข้าจะหนีไปไหนได้อีก บ้านเมืองรึก็ของพวกเจ้า ชาวบ้านก็ของพวกเจ้า ทหารพวกนี้ก็ของพวกเจ้า คิดหรือว่าข้าจะหนีพ้นสายตาท่านแม่ทัพของเจ้าได้”

และถึงแม้จะเข้าไปในเมืองหลวงแล้ว เจ้าคนบ้าอำนาจนั่นก็ไม่คิดจะปล่อยเขาลงจากรถนี่หรอก

งี่เง่าสิ้นดี!

เด็กหนุ่มไม่เอ่ยต่อประโยคของคนสวย เขาเพียงแต่ยิ้มบางพร้อมกับหันไปรับอาหารเที่ยงจากด้านนอกเข้ามาส่งต่อให้กับร่างบาง

กลิ่นหอมกรุ่นของไก่ย่างร้อนๆ ลอยแตะประสาทสัมผัสรับกลิ่นของคนภายในรถ อาการอยากอาหารเริ่มก่อตัวขึ้นจนแทบกลืนน้ำลาย แต่ซอนอินก็ไม่มีแก่ใจอยากจะทานสักเท่าไหร่เมื่อความหงุดหงิดนั้นมีมากกว่า

บ่อยครั้งที่ราชครูปาร์คยองจูเป็นต้องปวดหัวกับนิสัยอยากได้ต้องได้ของวังชอนซาคนงาม แต่ถึงแม้นิสัยเอาแต่ใจเล็กๆ นี้จะน่าปวดหัวสักเพียงไหน หากท่านราชครูลดหย่อนทำเป็นมองข้ามไปได้ก็จะทำ เพราะมันก็มีไม่มากนักหรอกที่นกในกรงทองอย่างองค์ชายซอนอินจะร้องขอ อิสระที่ถูกลิดรอน ยังจะมีเหลือสักกี่เรื่องกันล่ะที่จะทำได้

“ข้าไม่ทาน”

“แต่ท่านต้องทานนะขอรับ หมอจากึนกำชับนักว่าต้องให้วังชอนซาทานอาหารให้ถูกเวลา แล้วทานยาลดไข้”

“ข้าหายดีแล้ว”

“แต่...”

“บอกไม่ทานก็คือไม่ทานไม่เข้าใจหรือไง เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว” จบคำด้วยการเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง พลางคิดว่าป่านนี้ที่เชินอันจะเป็นอย่างไรบ้าง ราชครูยองจูจะออกตามตัวเขาหรือยัง เสด็จพ่อและเสด็จแม่จะวิตกกังวลแค่ไหนที่ลูกชายของตนถูกลักพาตัวมาเช่นนี้

ไม่หรอก คำว่า ‘ลูกชาย’ คงเป็นฐานะที่ถูกลืมไปแล้ว หากจะมีใครเป็นห่วงเขา ก็คงจะเป็นเพราะตำแหน่งวังชอนซาที่สูงส่งนี่เสียมากกว่า

ซอนอินแทบไม่มีความทรงจำอันใดที่คนเป็นลูกมีต่อบุพการีอย่างใครคนอื่น ช่วงชีวิตหลายปีมานี้เขาต้องอยู่เพียงลำพังในตำหนักใน พบเจอผู้คนในวันสวดมนต์ประจำชนเผ่ามากมายแต่ก็ไม่มีใครที่ตนรู้จักอย่างแท้จริง วันหนึ่งๆ เจอหน้าราชครูยองจูมากกว่าเจอหน้าบิดามารดาเสียอีก

นึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้วก็ทำให้แผ่นอกบางกระเพื่อมช้าลงอย่างถอนหายใจนึกสมเพชตัวเอง นัยน์เรียวสวยหรี่ลงขณะเอนศีรษะพิงกับผนังไม้

เป็นวังชอนซา เป็นเชลย ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็ไม่ต่างกันเลย ทำไมชีวิตของเขามันถึงได้หดหู่อย่างนี่นะ

“กึมซอง” ซอนอินเอ่ยเรียกชื่อคนที่กำลังจะออกจากตัวรถ

“ขอรับ?”

แก้วตาสวยยังคงหลุบต่ำอยู่เช่นเดิมขณะเอื้อนเอ่ยเสียงเบา “หากว่าข้าไม่ใช่คนพิเศษอย่างที่พวกเจ้าคิด ข้าจะเป็นอย่างไรในฐานะเชลยของฮานึล?”

แน่นอนอยู่แล้วว่าเชลยย่อมถูกคุมขังในคุกหลวง แต่สำหรับวังชอนซา หรือ คิมซอนอินบุตรชายองค์โตแห่งเชินอันผู้นี้ย่อมมีฐานะที่สูงเกินกว่าจะถูกคุมขังในที่แบบนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องการตัดสินก็ขึ้นอยู่กับท่านแม่ทัพชองเพียงผู้เดียว

“เรื่องนี้ มีเพียงท่านแม่ทัพชองเท่านั้นที่จะตอบท่านได้”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

 พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วกว่าที่ขบวนทัพจะเคลื่อนตัวผ่านเข้าประตูเมืองหลวงในที่สุด แม้ตลอดทางจะมีเสียงชาวบ้านคอยตะโกนสรรเสริญวังชอนซาที่ซ่อนตัวอยู่เพียงในรถม้ามาตลอดทาง แต่ก็ไม่ได้มีพิธีอะไรมากนักนอกจากคำขอบคุณจากชาวบ้าน เนื่องจากว่าในเขตพื้นที่ที่โดนไฟป่านั้นห่างไกลจากตัวเมืองหลวงไปทางตะวันออกหลายลี้ ส่วนใหญ่ผู้คนที่ประสบภัยจริงๆ คือชาวบ้านที่ทำไร่การเกษตรเรียบแถบภูเขา แต่นั่นก็ส่งผลกระทบให้กับชาวบ้านทั่วทั้งแคว้นเมื่อแหล่งผลิตไม่อาจส่งสินค้าสู่ตลาดได้
 

บนท้องถนนที่ทอดยาวจากประตูเมืองหลวง ชาวบ้านมากมายรวมถึงข้าราชการหลวงทั้งหลายต่างพร้อมใจกันหลบอยู่ข้างเส้นทางพร้อมทั้งน้อมศีรษะให้กับร่างสูงสง่าบนหลังอาชาสีหิมะที่นำขบวนทัพอยู่ด้านหน้าสุด

แรงเบียดเสียดของผู้คนที่ต่างก็ถอยกรูดหาที่ทางนั่งคุกเขาอวยพรสรรเสริญให้กับองค์วังชอนซาและองค์ชายชองจีรยงนั้นทำให้ร่างเล็กๆที่เพิ่งเดินมาถึงจุดต้อนรับขบวนทัพเกือบจะหงายเซไปด้านหลังด้วยแรงกระแทกจากคนข้างหน้า

“คุณชายระวังค่ะ!”

สาวใช้นันโซตะโกนก้อง เธอพยายามเบียดผู้คนเพื่อเข้าไปให้ถึงตัวของผู้เป็นนายอย่างยากลำบาก “คุณชายฮีอู รอก่อนสิคะ ระวังเดินหลงเข้าไปในฝูงชนนะคะ!” ประโยคสุดท้ายพอดีกับที่เธอหลุดออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนขวางได้สำเร็จ แต่ปรากฏว่าเจ้านายของเธอกลับหายไปจากที่เดิมแล้ว

แย่ล่ะ!

นางกำนัลสาววัยกำดัดแสดงสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที แล้วรีบหันซ้ายหันขวาออกตามหาคนตัวเล็ก

ห้ามก็แล้ว เตือนก็แล้ว แต่คุณชายของเธอก็ไม่คิดจะฟัง ยืนยันหนักแน่นว่าจะออกจากวังมารับองค์ชายใหญ่ด้วยตนเอง ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าถ้าเกิดองค์ชายใหญ่เห็นว่าคุณชายฮีอูออกมาอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายอย่างนี้จะทรงกริ้วแค่ไหน แล้วยังจะหายตัวไปแบบนี้อีก แย่แน่แล้วจางนันโซ! เธอแย่แน่ๆ!!
 

“โอ๊ะ~!”

ฮีอูหลุดเสียงหลงออกมาเมื่อพบว่าไหล่ด้านซ้ายถูกชนรุนแรงจนเสียหลักการทรงตัว เตรียมใจไว้แล้วว่าคงต้องหงายหลังล้มไม่เป็นท่าแน่ๆ กลับรู้สึกถึงวงแขนกว้างใหญ่ที่สอดเข้าใต้แผ่นหลังเสียก่อน แล้ววินาทีต่อมารอบเอวก็ถูกตวัดรัดเกี่ยวแน่นก่อนที่ร่างทั้งร่างจะลอยตามเจ้าของมือนั้นมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของมุมถนนที่ปลอดคน พอลืมตาขึ้นมอง ก็พบดวงตาเรียวคมดุจปลายกระบี่เงินจ้องตอบกลับมาจากด้านบน

อึก...

ไม่เคยรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างนี้มาก่อน ฮีอูทำได้เพียงนิ่งค้างจ้องสบนัยน์ตาลึกล้ำนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก กระแสอุ่นในอกไหลวนลามไปทั่วสรรพางกายจนรู้สึกได้

แม้แต่ริ้วรอยสีแดงบนใบหน้า เขาก็ยังรับรู้ได้โดยไม่ต้องส่องกระจก

“แม่นางเจ็บตรงไหนหรือไม่?”

“มะ...ไม่ เราไม่เป็นอะไร ขอบคุณท่านมาก”

ขณะที่ขยับตัวผละออกจากชายหนุ่มร่างสูงด้วยความมึนงง อะไรบางอย่างก็แล่นฉิวเข้าสู่สมองการรับรู้ ใบหน้าเรียวเล็กรีบเงยขึ้นจ้องบุคคลตรงหน้าเตรียมอ้าปากจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับอีกฝ่าย

แม่นางอะไรกัน?! หรือเพราะเขาเอาชุดของนันโซมาใส่เพราะแอบนายทหารออกจากวังทำให้ชายคนนี้เข้าใจผิด?!

“แม่นางไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คราวหลังอย่ามายืนกลางฝูงชนอย่างนี้อีกล่ะ มันอันตราย เพราะถ้าล้มขึ้นมา ไม่พ้นได้โดนเหยียบแน่ ถือว่าครั้งนี้เป็นบทเรียนแล้วกัน ข้าขอตัวก่อน”

ยังไม่ทันจะได้อ้าปากอธิบาย หรือร้องเรียกถามชื่อ ร่างสูงสง่าในชุดสีขาวตัวยาว สวมด้วยหมวกสานทรงแหลมปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่งก็หายลับไปแทบจะในทันทีที่กระพริบเปลือกตา

“อ่ะ ตราหยก?” ร่างเล็กก้มลงเก็บแผ่นหยกที่ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นจะทำตกเอาไว้ นิ้วเรียวสวยไล้สัมผัสไปตามนูนต่ำของผิววัตถุ ฮีอูเพ่งสายตามองหาความหมายของตัวอักษรสองคำบนนั้น

‘ชิน ซอง’ ชื่อชนเผ่าที่อยู่ในแคว้นเชินอันอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ชายผู้นั้นก็ต้องเป็นคนของเชินอันน่ะสิ?

มาทำอะไรที่ฮานึลนะ...

“หรือว่าจะเกี่ยวกับ วังชอนซา....?”

“คุณชายฮีอู!!!” เสียงของกำนัลสาวตะโกนตัดความคิดของร่างเล็กฉับพลัน นันโซวิ่งกระหืดกระหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยมายืนตบอกหายใจเข้าออกลำบากต่อหน้าคนเป็นนาย

“คุณชายมาอยู่ตรงนี้เอง! ข้าตามหาท่านตั้งนาน ตอนนี้ขบวนทัพใกล้จะผ่านไปแล้วนะคะ!”

“อ่ะ จริงสิ รีบไปกันเถอะ!!” ฮีอูยัดตราหยกเก็บใส่กระเป๋าในอกเสื้อแล้วรีบฉุดแขนสาวใช้วิ่งกลับไปยังถนนเส้นเดิมด้วยความเร็ว

 
.
.
.

โอยยย ปวดหัว!

ริมฝีปากบางแดงสดเม้มแน่นเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์ การนั่งรถม้าเป็นเวลานานอย่างนี้มันทำให้เขามึนหัวไปหมด คนไม่เคยออกเดินทางนานๆ อย่างองค์ชายใหญ่แห่งเชินอันคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มันน่าคลื่นไส้มากแค่ไหน!

“เมื่อไหร่จะไปถึงเสียทีนะ” เสียงหวานโอดโอยครวญครางอยู่กับตัวเอง นึกดีใจที่เมื่อตอนกลางวันไม่ได้ทานอะไรลงไป ไม่อย่างนั้นในเวลานี้ได้อ้วกออกมาจนหมดแน่

มือบางคลำข้อมือตัวเองสลับไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บแสบจากการถูกเชือกมัด ตั้งแต่ผ่านประตูเมืองหลวงเข้ามา ก็มีคนมาปลดเชือกที่รัดไว้ที่ข้อมือและขา รวมถึงผ้าที่ใช้ปิดปากออก นี่คงเตรียมจะหลอกตาผู้คนสินะว่าไม่ได้ลักพาตัววังชอนซามา หึ! ชาวบ้านน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนในวังน่ะสิ อยากจะรู้นักว่าเจ้าคนหน้าตายนั่นจะปิดข้าราชการได้นานแค่ไหน

แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ จะอย่างไร ก่อนที่จะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ท่านราชครูยองจู รีบๆ มาช่วยข้าเร็วๆ เถิด!
 

ปึก!
 

“โอ้ย!~” ศีรษะกลมที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีดำยาวสลวยกระแทกเข้ากับผนังไม้ด้านซ้ายเต็มแรงเนื่องจากจู่ๆ รถก็หยุดเคลื่อนตัวกะทันหัน

หยุดทำบ้าอะไรเนี่ย!

ขณะที่แอบเลิกม่านออกดู เสียงโห่ร้องยินดีที่มีต่อวังชอนซาก็กระแทกเข้าประสาทสัมผัสการรับฟังทันที ดวงตากลมโตกวาดมองผ่านเหล่าทหารบนหลังม้าสีน้ำตาลแดง ผ่านฝูงชนชาวบ้าน ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งด้านหน้าสุดของขบวนแถวที่ห่างจากรถม้าไปไม่ไกลมากนัก

ใบหน้าคมที่ซอนอินไม่เคยเห็นว่ามันจะเปลี่ยนไปแม้สักรอยย่นของผิวหนัง ในเวลานี้กลับแสดงออกถึงความอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาคมกร้าวที่ใช้จ้องมองเขาอย่างกับจะกลืนกินนั่นอีกเล่า ในตอนนี้กลับเปล่งประกายสดใสราวกับบุรุษหนุ่มนักปราชญ์ที่ชอบการท่องบทกลอนรักแว่วหวาน

มือหยาบที่เอาแต่จับดาบคาดคั้นให้เขาเชื่อฟัง กลับดูอบอุ่นยามที่โอบเอวของคนร่างเล็กคนนั้นขึ้นนั่งซ้อนบนหลังอาชาหิมะด้วยกัน

ทุกการเคลื่อนไหวที่ได้เห็น ทำเอาคนในเกี้ยวรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก ทุกอย่างที่ชายคนนั้นปฏิบัติต่อเขา ทำไมถึงได้ตรงกันข้ามชนิดที่ว่าสีดำเป็นสีขาวได้ขนาดนี้กัน

แม่นางคนนั้นคงจะเป็นคนที่พิเศษมากสินะ

“อะไรกัน คนใจดำบ้าอำนาจอย่างนั้น ยังมีคนที่ชอบด้วยหรือ สงสัยบ้านเมืองนี้คงป่าเถื่อนไม่ต่างจากเจ้าคนพรรค์นั้นสินะ”

แม้จะพูดบ่นพึมพำราวกับไม่ใช่เรื่องน่าใส่ใจ แต่ซอนอินกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นเอาแต่แอบมองคนทั้งสองบนหลังม้าสีขาวอยู่ตลอดจนเข้าสู่ประตูวัง

หรือแม้กระทั้งได้ลงมายืนอยู่ต่อหน้าขุนนางกว่าครึ่งค่อนวังที่ออกมารอรับ แววตาสีดำกลมโตก็ยังเหลือบมองรอยยิ้มของคนสองคนที่มีให้กันโดยตลอดจนกระทั้งฝ่ายคนที่ตัวสูงกว่าเดินกลับมายังกลุ่มคนด้านหน้า

“ยินดีต้อนรับกลับพระเจ้าค่ะ องค์ชายชองจีรยง”

“อืม พวกท่านไม่ต้องพิธีมากนักหรอก ตอนนี้ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”

“องค์กษัตริย์ทรงรออยู่ที่ท้องพระโรงแล้วพระเจ้าค่ะ”

องค์ชายใหญ่แห่งฮานึลพยักหน้ารับ ก่อนหันไปสั่งผู้ติดตามคนสนิททั้งสองคนที่ตอนนี้ยืนอยู่คู่กัน

“โทซอง กึมซอง พวกเจ้าตามพวกนางกำนัลไปจัดการเรื่องตำหนักในให้กับวังชอนซา แล้วรออยู่ที่นั่น ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสร็จเมื่อไหร่แล้วจะตามไป จัดการให้เรียบร้อย”

“ขอรับ องค์ชายใหญ่”
 

ซอนอินมองสองพี่น้องฝาแฝดที่เอ่ยปากรับคำอย่างพร้อมเพรียง เอ๋? กึมซองมีพี่น้องฝาแฝดหรอกหรือนี่ แล้วสายตาแบบนั้น โธ่ เจ้ามันโง่จริงๆ เลยคิมซอนอิน คนที่ใช้สายตามองเขาอย่างไร้ความรู้สึกเกรงกลัวน่ะคือยูโทซองต่างหาก ไม่ใช่ยูกึมซอง

“เชิญขอรับ ตามหม่อมฉันมาทางนี้ องค์วังชอนซา”

จะให้เรียกว่าตามทั้งที่มีทหารล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่คิดว่ามันห่างไกลจากคำว่า ‘เชิญ’ ไปหน่อยหรือไง ซอนอินจิ๊เสียงในคอแต่ก็ยอมเดินตามสองพี่น้องไปอย่างไม่เอ่ยคำใดออกมา

ก็จะให้เอ่ยอะไรได้ มีแต่เรื่องที่น่าแปลกใจให้คิดตั้งขนาดนี้

เจ้าคนป่าเถื่อนนั่น ทำไมถึงกลายเป็นองค์ชายใหญ่ไปได้เล่า!
 

ซอนอินลอบถอนหายใจเบาขณะเดินลึกเข้าไปในเขตวังหลวงฮานึลมากขึ้นเรื่อยๆ พลางคิดในใจว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว
 

หวังว่าการสวดมนต์ทุกเดือนให้กับคนในชนเผ่า จะช่วยให้ลูกมีบุญรอดพ้นกลับไปยังเชินอันโดยไม่มีอะไรบุบสลายเถิด!
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน

หัวข้อ: Re: [พีเรียตเกาหลี] วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 3] 24/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 24-08-2016 08:09:00
บทที่ 3


ท้องพระโรงที่ใช้สำหรับว่าราชกิจพลันเงียบเสียงลงเมื่อองค์ชายใหญ่ โอรสองค์แรกแห่งจักรพรรดิฮานึลก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าองอาจแสดงถึงความน่าเกรงขามที่มีอยู่

ใบหน้าเรียวคม สันจมูกโด่งได้รูป สายตาแข็งกร้าวลึกล้ำ ริมฝีปากหยักหนา ทุกอย่างที่ร่วมเป็นองค์ประกอบของดวงหน้าไร้ที่ตินี้ ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือชายหนุ่มรูปงามที่หาตัวจับได้ยาก และเมื่อรวมกับความสามารถทั้งด้านการวางแผนรบและด้านการปกครอง ถึงเวลานี้ ทุกคนไม่ว่าจะขุนนางชั้นผู้น้อยหรือชั้นสูงต่างก็ยอมรับกันโดยทั่วกันว่า ตำแหน่งองค์รัชทายาทคงหนีไม่พ้น ชองจีรยง บุรุษหนุ่มผู้เปรียบดังมังกรทองจ้าวแห่งอัมพรพิภพไพศาลนี้

องค์ชายใหญ่ก้าวเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าที่ประทับขององค์กษัตริย์ เขาตวัดชายชุดทรงก่อนถวายความเคารพบุคคลตรงหน้า

“ถวายพระพรเสด็จพ่อ”

ชอง ฮวาจี ผู้เป็นกษัตริย์นั้นมีพระชนมายุเพียงสี่สิบสามชันษา ดวงหน้าเรียวทรงไข่และผิวเนียนขาวนั้นเคยเป็นที่ประจักรต่อผู้พบเห็นว่าเป็น บุรุษผู้งดงามราวกับรูปสลักเทพเจ้า แต่ทว่า ในเวลานี้กลับมีใบหน้าที่อิดโรย ร่างกายบอบบางที่เป็นรูปลักษณ์แต่เดิมก็ผ่ายผอมไม่ค่อยแข็งแรงนัก อาการป่วยเรื้อรังที่รุมเร้าร่างกายขององค์กษัตริย์นั้นยาวนานมากว่าสองปี แล้ว แพทย์หลวงพยายามที่จะรักษาทุกวิถีทาง เชิญผู้เฒ่าดาบสมาก็หลายท่าน หากแต่โรคที่องค์กษัตริย์เป็นอยู่นี้นั้นเกินความสามารถของพวกเขา พิษจากดอกอังฮวา หากโดนสักครั้งก็เท่ากับว่าช่วงชีวิตของคนคนนั้นได้ถูกลิดรอนไปแล้วกว่า ครึ่ง ซ้ำในแต่ละค่ำคืนที่พ้นผ่านยังผลให้ชีพจรที่ไหลเวียนทั่วกายอ่อนเบาลงในทุก ทุกช่วงลมหายใจ อีกทั้งธาตุในกายก็ปรวนแปร บ่อยครั้งที่ทำให้กษัตริย์ฮานึลตื่นขึ้นมาด้วยพิษไข้จนไม่สามารถว่าราชกิจ หรือแม้แต่ลุกขึ้นจากที่บรรทมได้เลย

“ลุกขึ้นเถิดจีรยง”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”

เมื่อจีรยงยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ฮวาจีจึงเริ่มบทสนทนา โดยมีขุนนางคนอื่นๆ เตรียมตัวรับฟังพร้อมจดรายงานด้วยความตั้งใจ พร้อมกันนั้น ขุนพลนายกองฝ่ายการทหารก็ยังเข้าร่วมการรับฟังครั้งนี้ด้วยอย่างพร้อมเพรียง

เรื่องราวส่วนหนึ่งจีรยงได้ส่งโทซองมาถวายรายงานก่อนล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเพียงไม่กี่ประโยค จีรยงก็พูดถึงเรื่องของวังชอนซา

“...หากพูดอย่างไม่อ้อมค้อม ลูกเห็นควรว่าเราจะไม่ส่งตัววังชอนซากลับไป”

“แต่องค์ชายใหญ่ การที่เราลักพาตัววังชอนซามาเช่นนี้ ทางเชินอันคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ อย่างไรเสีย ชาวบ้านต้องไม่ยอมรับวิธีการนี้อย่างแน่นอน องค์วังชอนซาทรงสำคัญต่อจิตใจพวกเขานะพระเจ้าค่ะ” ขุนนางระดับสูง คังอูอิน เอ่ยค้านด้วยความกังวล เพราะหากชาวบ้านรับรู้ว่าความจริงแล้ววังชอนซาไม่ได้มาฮานึลในฐานะราชทูต อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายด้วยความไม่พอใจได้

“เรื่องนั้นพวกท่านไม่ต้องห่วง นอกจากทุกคนในที่นี้และคนของข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าวังชอนซามาที่นี่ด้วยฐานะอะไร รวมถึงเชินอันที่จะไม่มีวันปล่อยข่าวว่าโอรสองค์โตถูกลักพาตัวมาด้วย ทางเดียวที่เหลือของฝ่ายนั้น คือการยอมเปิดศึกสงครามระหว่างฮานึลและเชินอัน”

พอพูดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง เหล่าขุนนางต่างก็ส่งเสียงพึมพำแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทั่วทั้งโถงว่าราชการ ทุกผู้ล้วนต่างรู้ดีว่าองค์ชายใหญ่ ชองจีรยง นั้นมีเป้าหมายสูงสุดคือการรวมแคว้นใหญ่เข้าด้วยกันเพื่อขยายอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียว ในอาณาเขตแคว้นใกล้เคียงส่วนใหญ่หลังจากแพ้ศึกก็ยอมเป็นเมืองขึ้นให้แก่ฮานึลแล้วทั้งนั้น จะเหลือก็แต่แคว้นที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันอย่างเชินอันที่ไม่ยอมเปิดศึกกับฮานึลมานานกว่าสิบเจ็ดปีแล้ว ซึ่งนั่นทำให้แม่ทัพที่เจ็ดอย่างองค์ชายใหญ่ทนยอมเห็นสองแคว้นขยายอำนาจข่มกันเองทั้งที่ไม่มีการปะทะกันอย่างจริงจังไม่ได้

การปะทะกันของทหารตามชายแดนยิบย่อยนั่น ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำสงครามรบ

“เสด็จพ่อ ลูกเข้าใจว่าเรื่องนี้ยังไม่ควรตัดสินใจกะทันหัน” ขณะที่ทุกคนเริ่มจับกลุ่มแสดงความคิดเห็นกันอยู่นั้น จีรยงก็หันไปชี้แจงกับผู้เป็นพ่ออย่างนอบน้อม ตัวเขาเองไม่เคยรู้ว่าทำไมพอพูดถึงเรื่องเชินอันทีไร พ่อของเขาถึงได้ค้านที่จะรับฟัง เรื่องเล่าสมัยที่กษัตริย์สองแคว้นสู้รบกันเองนั้นไม่มีใครรู้ความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ทำไมทั้งสองแคว้นถึงไม่ติดต่อกันอีก ไม่ยุ่งเกี่ยวทั้งทางด้านความช่วยเหลือหรือการคุกคามกันและกัน และในเมื่อคนเป็นพ่อไม่เคยพูดถึง จีรยงก็ไม่มีทางเข้าใจถึงเหตุผลอีกฝ่าย “...แต่เพราะลูกเห็นถึงโอกาส ถึงได้ตัดสินใจลักพาตัววังชอนซามา หากเสด็จพ่อไม่เห็นพ้อง ลูกก็ขอทำเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว หากฝ่ายนั้นรับการเปิดศึก คนของลูก รวมถึงตัวลูกเอง จะรับผลกระทบที่อาจผิดพลาดไว้เอง”

องค์กษัตริย์หลับตาลงครุ่นคิดอย่างอ่อนล้า นิสัยของลูกชายที่มีปณิธานคือการรวมแผ่นดินนั้นทรงทราบดีแก่ใจ จีรยงคือเด็กหนุ่มที่กระตือรือร้นทุ่มเทเพื่อบ้านเมืองเป็นอย่างมาก ในบรรดาลูกชายของพระองค์ทั้ง 3 คน จีรยงซึ่งเป็นคนโตที่สุดมีความเหมาะสมแก่ตำแหน่งรัชทายาทอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

หากแต่...

การจะทำศึกกับเชินอัน ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ประสงค์เลยแม้แต่น้อย

ชองฮวาจีพลูลมหายใจเบาก่อนลืมตาขึ้นเชื่องช้าแล้วเอ่ยด้วยสุรเสียงทุ้มต่ำ “หากเกิดความผิดพลาดจริง เจ้าคิดหรือว่าพ่อจะยอมให้ลูกชายรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ฮานึลปกครองด้วยความรักและความสามัคคี กระทำสิ่งใดแล้วย่อมต้องกล้ายอมรับสิ่งที่ทำ เอาเถิด หากเจ้าตัดสินใจดีแล้ว พ่อเองก็ไม่คิดขัดความต้องการของเจ้า...”

คนพูดระบายลมหายใจอีกครั้งก่อนพาร่างผอมบางของตนเองลุกขึ้นจากแท่นประทับ อิริยาบถที่เปลี่ยนไปขององค์กษัตริย์ทำให้ทุกคนในท้องพระโรงพากันเงียบเสียงแล้วน้อมกายต่ำต่อเจ้าเหนือหัว

“ทุกท่านจงฟัง นับจากวันนี้ไปอีกสิบสองวัน ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวจัดพิธีแต่งตั้งองค์ชายชองจีรยงขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ทุกสิ่งที่บุตรชายของเราพูดหรือตัดสินใจ เราขอให้ทุกท่านยอมรับฟังเฉกเช่นเป็นคำตัดสินของเราเอง นับจากวันที่องค์ชายจีรยงได้รับตำแหน่ง ราชกิจทุกอย่างจะขึ้นตรงต่อองค์รัชทายาทแต่เพียงผู้เดียว”

พร้อมกับความหลากใจที่มีต่อการตัดสินใจของคนเป็นพ่อเพิ่งจุดขึ้น เสียงของขุนนางทั่วทั้งห้องโถงก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

“น้อมรับพระเจ้าค่ะ!!”
 
 

“ให้คำมั่นกับพ่อ ว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรเกินเลยต่อวังชอนซา แม้โอรสแห่งเชินอันจะเป็นเชลยของเจ้า ก็อย่าได้หมิ่นประหมาทหรือข่มเหงเขาเด็ดขาด จงดูแลเขาเฉกเช่นคนสำคัญที่สุดในชีวิตเจ้า”

“เหตุใดลูกต้องทำเช่นนั้น เขาเป็นเชลยของลูก ลูกย่อมมีสิทธิ์จะทำสิ่งใดกับคนผู้นั้นก็ได้” ถ้าเขาอยากให้ตาย คนผู้นั้นก็ต้องตายอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

“จีรยง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอำนาจที่เจ้ามีเมื่อได้เป็นรัชทายาท สามารถทำให้ทั้งฮานึลเป็นไปตามที่เจ้าต้องการได้เพียงแค่เจ้าเอ่ยวาจาออกมา ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย หากเป็นความต้องการของเจ้าย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขัด เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพ่อถึงเลือกเจ้าทั้งที่การได้อำนาจทั้งหมดมาอยู่ในมือนั้นเสี่ยงต่อจิตใจแค่ไหน? เพราะพ่อรู้ว่าเจ้าเป็นคนมีคุณธรรมเพียงพอที่จะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จงอย่าได้กระทำสิ่งที่ไม่สมควรต่อผู้ไม่มีความผิด วังชอนซานั้นเป็นถึงบุคคลที่เหล่าไพร่ฟ้าทั่วทุกสารทิศเคารพนับถือ ซ้ำยังเป็นถึงโอรสองค์โตแห่งเชินอัน พ่ออยากให้เจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี อย่าได้ผลีผลามทำอะไรด่วนสรุป...เจ้าเข้าใจหรือไม่ ชองจีรยง”

บทสนทนาสุดท้ายก่อนที่จะออกมาจากท้องพระโรงยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของร่างสูงขณะเดินไปตามเส้นทางที่นำพาไปยังตำหนักใน

เรื่องไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์นั้นเขาเข้าใจดี แต่กับเชลย ทั้งที่ไม่ว่าจะเป็นคนจากแคว้นไหนที่เคยถูกจับตัวมา เสด็จพ่อไม่เคยก้าวก่ายการตัดสินใจของเขาเลยสักครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้เจาะจงนักว่าไม่ให้ทำร้ายวังชอนซา ซ้ำยังทรงตรัสให้เขาดูแลเชลยเยี่ยงคนสำคัญเสียอีก

ศึกเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนระหว่างเสด็จพ่อกับกษัตริย์เชินอัน มันเป็นอย่างไรกันแน่...

“องค์ชายใหญ่!” พลันเสียงหวานที่ดังลอยมาหยุดความคิดและช่วงจังหวะการเดินของชายหนุ่มได้ในทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบคนร่างเล็ก บุตรชายของขุนนางคนสนิทของเสด็จพ่อกำลังวิ่งเข้ามาใกล้

รากไม้ตรงนั้น...

ไม่ต้องเสียเวลาร้องเตือนให้กับคนที่วิ่งตาหยีได้ระวัง จีรยงก็จัดการสาวเท้าเข้าใกล้แล้วรวบร่างเล็กบางนั้นได้ทันก่อนที่เจ้าตัวจะสะดุดรากไม้และล้มลงไปตามที่เขาคาดคิดไว้

“เหตุใดถึงได้วิ่งรีบร้อนอย่างนี้ ฮีอู”

“แหะ แหะ ก็หม่อมฉันดีใจนี่ เลยอยากจะมาแสดงความยินดีกับองค์ชายใหญ่เร็วๆ ในที่สุด ท่านก็จะได้เป็นรัชทายาทแล้วนะ!” คนตัวเล็กหัวเราะแก้เก้อในอ้อมแขนใหญ่ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับประโยคสุดท้าย

เรื่องราวต่างๆ ในวัง หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถแพร่กระจายให้คนทั้งพระราชวังรับรู้ได้เร็วเสียยิ่งกว่าโรคระบาดเสียอีก

“เรื่องนั้นช่างเถอะ” จีรยงกวาดสายตามองชุดที่ร่างเล็กได้จัดการเปลี่ยนเป็นชุดคุณชายเช่นเดิมด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างปกติ ก่อนเลื่อนสายตาสบคนในวงแขน แล้วก้มกระซิบใกล้ใบหูคนฟัง “เรื่องที่เจ้าออกจากวัง คืนนี้ข้าจะทำโทษเจ้าให้หลาบจำจนไม่คิดจะทำผิดซ้ำอีก” ก่อนจะละใบหน้าออกมาแล้วเอ่ยต่อราวกับเมื่อครู่ไม่ได้หยอกเย้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทั้งที่ตอนนี้คนถูกเป่าลมร้อนใส่ใบหูหน้าแดงเถือกไปหมด “ไปรอข้าที่ตำหนัก เสร็จธุระเมื่อไหร่ข้าจะตามไป”

เมื่อพูดจบ จีรยงก็คลายวงแขนให้ร่างเล็กเป็นอิสระแล้วออกเดินต่อ โดยมีจุดมุ่งหมายคือตำหนักใน ‘โยกัน’
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

แม้ว่ากึมซองจะบอกยืนยันให้ฟังสักกี่ครั้ง ซอนอินก็ยังไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่านี่คือตำหนักในที่อยู่ในส่วนของการดูแลขององค์ราชินี ด้วยเพราะขอบเขตของตำหนัก โยกัน นั้นราวกับถูกแบ่งแยกออกมาอย่างสันโดษคล้ายเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดออกจากส่วนอื่นๆ ภายในวังหลวง

ตัวตำหนักนั้นทำด้วยไม้เนื้อดีและถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายคล้ายกับตำหนักของซอนอินในเชินอัน ผิดก็แต่ที่ฮานึลจะเน้นการประดับผ้าแพรผืนบางสีแดงสลับกับสีขาวเกือบจะทุกส่วนของห้องหับ ทำให้ตำหนักไม้เรียบง่ายดูอ่อนโยนและสวยงามนุ่มนวลไม่น้อย

ในฐานะของเชลยแล้ว การได้อยู่ในตำหนักเป็นสัดส่วน ทั้งยังมีขอบกำแพงรอบตำหนักที่กว้างขวางพอควรเช่นนี้ก็นับว่าดีอยู่มาก ดังนั้นซอนอินจึงเลิกสนใจถึงสภาพแวดล้อมอื่นที่เงียบสงัดไร้ผู้คน

อย่างน้อย ก็ยังดีกว่าการอยู่ในคุกที่แม้แต่แสงแดดก็ยังไม่ได้เห็น

“ทรงจะทำสิ่งใดขอรับ วังชอนซา?”

“แค่นอนไม่ได้หรือไง?”

หากเป็นการนอนภายในห้อง กึมซองคงไม่ตื่นตกใจเช่นนี้ นั่นเพราะว่าร่างบางซึ่งมียศศักดิ์สูงส่งกลับเดินลิ่วออกไปยังผืนหญ้าใกล้กับศาลาริมสวนจำลอง แล้วล้มตัวลงนอนราบทั้งอย่างนั้น

นางกำนัลสองคนที่ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้ดูแลวังชอนซาแสดงสีหน้าที่บอกได้ว่าไม่รู้จะทำอย่างไร จะเข้าไปบอกห้ามก็เห็นไม่สมควรด้วยเพราะตนเป็นแค่สาวใช้ แต่จะปล่อยไว้เช่นนี้ก็เห็นไม่สมควรอีก

“โทซอง เจ้าทำอะไรสักอย่างสิ หากองค์ชายใหญ่ทรงมาเห็นเข้า ข้ากับโซยอนต้องโดนว่าแน่”

นางกำนัล แบยอนอา ผู้เป็นพี่สาวของโซยอนสะกิดชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเป็นกังวล

“เฮ้ พี่ชาย ไม่คิดบ้างหรือว่าวังชอนซาทรงมีความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น” กึมซองเอ่ยทักก่อนที่พี่ชายฝาแฝดผู้เงียบขรึมจะเดินเข้าไปใกล้เชลยคนสำคัญ

“เห็นหรือเปล่า สีหน้าของวังชอนซา ไม่ต่างจากนกที่ถูกปลดปล่อยออกจากกรงเลยสักนิด”

เมื่อมองตามอย่างที่คนเป็นน้องว่า โทซองก็เห็นพ้องต้องกันในทันที ร่างบางที่นอนอยู่นั้นสวมด้วยชุดสีขาวปลอดพลิ้วไหวต้องลมอ่อนๆ เส้นผมสีดำยาวตัดกับชุดที่สวมใส่แผ่ขยายไปบนผืนหญ้าสีเขียว ดวงหน้าใสสว่างภายใต้แสงแดดของยามเย็นขับให้ผิวขาวเป็นประกายระยิบ หากได้มองจากที่สูง สิ่งที่เห็นตรงหน้านี้คงไม่ต่างไปจากภาพวาดของหงส์ตัวงามที่กำลังแผ่ขยายปีกกว้างหยุดค้างอยู่บนผืนนภากว้างใหญ่ ปล่อยให้สายลมนำพาทิศทางไปอย่างไม่มีจุดหมาย

งดงาม สวยสง่า ทว่า กลับรู้สึกได้ถึงความอ้างว้าง...

โทซองเดินเข้าไปใกล้คนที่นอนหลับตาอยู่ที่พื้น เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงแล้วโน้มศีรษะเข้าไปใกล้ “องค์วังชอนซาทรงเข้าตำหนักเถิด เพิ่งเดินทางมาถึงร่างกายคงเหนื่อยล้า หากขาดตกบกพร่องสิ่งใดทรงสั่งกับนางกำนัลทั้งสองได้ทุกอย่าง”

ซอนอินเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมถอนหายใจเบา เขาเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้าเรียบเฉยของโทซองแล้วให้ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมทั้งที่หน้าตาเหมือนกัน แต่โทซองกับกึมซองกลับให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไปอย่างสุดขั้วได้ขนาดนี้ “ข้าเป็นเชลยของพวกเจ้า ไหนเลยที่ข้าจะกล้าร้องขอสิ่งใด”

มือเรียวจัดการปัดเศษใบไม้ออกจากเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นยืน “สรุปแล้ว ขอเพียงยังอยู่ภายในกำแพงของตำหนักนี้ ข้าจะทำสิ่งใดก็ได้ใช่หรือไม่” ขณะที่เดินกลับเข้าตำหนัก ซอนอินก็เอ่ยถามผู้ติดตามคนสนิทของแม่ทัพที่เจ็ด ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะกลมกลางห้อง พร้อมทั้งยกมือขึ้นเท้าคางจ้องมองชายสองคนตรงหน้า

ระหว่างนั้นนางกำนัลสาวทั้งสองก็รีบเข้าครัวไปจัดการอาหารเย็นและน้ำชาร้อนๆ ให้กับวังชอนซา

“ขอเพียงไม่ออกไปด้านนอก วังชอนซาทรงทำสิ่งใดก็ได้ขอรับ” โทซองเป็นผู้ตอบ แต่ถึงแม้วังชอนซาคิดจะออกไปด้านนอกจริงก็ทำไม่ได้ ด้วยเพราะรอบกำแพงด้านนอกของตำหนักโยกันนั้นมีนายทหารฝีมือดีคอยยืนคุมอยู่หลายนาย

“ถึงแม้ว่าข้าจะฆ่าตัวตาย ก็ได้งั้นหรือ?”

“หากเจ้าทำจริงเช่นนั้น ข้ารับรองว่าร่างกายของเจ้าจะกลายเป็นอาหารชั้นเลิศให้กับนกกาเป็นแน่”

วาจาร้ายกาจดังมาจากคนที่เพิ่งก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาที่ด้านใน

“องค์ชายใหญ่” โทซองและกึมซองต่างก็รีบหลีกทางไปยืนด้านข้าง

จีรยงสาวเท้าเข้ามาใกล้กับโต๊ะกลางห้อง พลันเสียง ‘ปัง’ ของฝ่ามือใหญ่ที่ตบลงบนโต๊ะก็ดังขึ้น ตามติดด้วยมืออีกข้างที่เคลื่อนเข้าบีบปลายคางมนให้ดวงตากลมโตเงยขึ้นสบสายตา

“อย่าแม้แต่จะคิดเรื่องฆ่าตัวตาย ไม่เช่นนั้น...”

“หากข้าคิดแล้วเจ้าจะรู้หรือไง” ซอนอินพูดสวนขึ้นทันที มือขาวยกขึ้นปัดมือใหญ่ให้พ้นใบหน้า “หึ! อย่ามาทำท่าวางอำนาจกับข้าหน่อยเลย ที่เจ้าจับข้ามาก็เพราะต้องการให้ข้าเป็นตัวล่อให้เสด็จพ่อของข้ายอมทำศึกใช่ไหมล่ะ? แล้วถ้าหากข้าตาย เจ้าก็จะไม่มีเรื่องใดมาขู่ให้เชินอันยอมจำนนด้วยการรบอีก ดังนั้นเจ้าควรจะทำตัวดีๆ กับข้าหน่อยนะ เพราะยังไงเสีย ชีวิตของข้าก็สำคัญกับเจ้าเช่นกัน” ซอนอินจบคำพูดด้วยรอยยิ้มบางที่แสนยั่วยุอารมณ์คนฟังให้ยิ่งเกิดความไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก

“อ่ะ! ถวายบังคมองค์ชายใหญ่” ชาร้อนถูกวางลงที่โต๊ะ ก่อนที่สองสาวใช้จะค้อมศีรษะให้กับชายร่างสูง

“พวกเจ้าสองคนกลับไปยังห้องครัว วันนี้นอกจากน้ำชากานี้ อย่าให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทำอาหารให้วังชอนซาทาน”

“เอ๊ะ?! ไม่ให้ทำอาหารถวายงั้นหรือเพคะ? แต่ว่าวังชอนซาทรง...”

“พวกเจ้าได้ยินที่ข้าสั่งแล้ว!!”

“อ่ะ ค่ะ รับทราบเพคะองค์ชายใหญ่”

โซยอนและยอนอาต่างรีบผลุนผลันกลับไปยังห้องครัวเพื่อดับเตาและเก็บข้าวของตามรับสั่งในทันที

จีรยงที่ยังไม่แม้แต่จะละสายตาไปจากดวงหน้าขาวที่เชิดสายตาท้าสู้ตั้งแต่ที่ สั่งความกับนางกำนัลเอื้อมมือไปรั้งข้อมือบางให้เจ้าของร่างนั้นขยับเข้ามา ใกล้ แรงขัดขืนเล็กๆ ที่มีของอีกฝ่ายไม่อาจทำให้ชายหนุ่มที่เจนจัดด้านการสู้รบออกศึกสะเทือนแม้ แต่น้อย

ซอนอินกัดฟันแน่น เม้มริมฝีปากจนขึ้นสีจัด นัยน์ตากลมโตวาวโรจน์แสดงออกถึงความไม่ยอมแพ้อย่างที่สุด

“จะทำอย่างไรนะ หากข้าอดอาหารทั้งวันไปแบบนี้ บางที วันพรุ่งข้าอาจจะหิวตายก็ได้ อึก!”

ลำคอเพรียวระหงถูกบีบรัดโดยฉับพลัน พร้อมกับที่ดวงตาคมเข้มจ้องลึกเข้ามาราวกับจะกลืนกินเจ้าของนัยน์ตาสวยให้จมหายไปในห้วงเหวลึกที่ดำมืด

“ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง คิมซอนอิน ไม่ว่าจะชีวิต ลมหายใจ หรือร่างกายของเจ้า ในเวลานี้ข้าเป็นผู้กำหนดทั้งหมด หากข้าไม่สั่งให้ตาย เจ้าก็ตายไม่ได้ และหากข้าสั่งให้เจ้าตาย แม้แต่เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอนี้ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์!”

นาน กว่าจะรู้สึกถึงอากาศเย็นๆ ที่แย่งกันพุ่งเข้าสู่ปอดทันทีที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ ซอนอินหน้าแดงก่ำด้วยเพราะขาดอากาศหายใจชั่วเวลาหนึ่ง อีกทั้งความเจ็บที่ลำคอนั้นส่งผลให้ดวงหน้าซับสีเลือดจนทั่ว

“พวกเจ้าสองคน” เสียงทุ้มตวัดห้วนเรียกนางกำนัลสองพี่น้องที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาที่ห้องรับแขก “หน้าที่ดูแลวังชอนซาเป็นของพวกเจ้า หากวันใดวังชอนซาฆ่าตัวตาย คงรู้นะว่าพวกเจ้าจะเป็นเช่นไร” คนพูดไม่แม้แต่จะเหลียวมองร่างโปร่งบางที่ยืนโงนเงนเพราะสมองขาดอากาศแม้แต่น้อย

โซยอนและยอนอาต่างมีสีหน้าซีดเผือดทันที ครั้งแรกที่ได้รับรู้ว่าพวกเธอถูกเลือกให้มาทำหน้าที่ดูแลวังชอนซา ซึ่งมีฐานะความจริงคือเชลยศึกขององค์ชายใหญ่ พวกเธอก็กังวลมากพออยู่แล้ว ด้วยใครๆ ต่างก็ทราบดีว่าเรื่องใดที่ขึ้นตรงต่อองค์ชายจีรยง นั่นย่อมหมายความว่างานนั้นๆ ต้องไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น

เพราะไม่เช่นนั้น บทลงโทษที่ได้รับ ไม่แค่ปลิดลมหายใจ หากแต่ญาติพี่น้องอีกหลายชั่วโคตรก็จะถูกสังหารไม่ต่างกัน

นางกำนัลทั้งสองนึกถึงคำพูดของเหล่าเพื่อนร่วมงานที่เคยเล่าให้ฟังถึงคนที่ทำงานให้กับองค์ชายใหญ่ผิดพลาด แล้วก็ให้นึกกลัวขึ้นมา พวกนางรีบก้มหัวน้อมรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นไม่น้อย

แล้วยิ่งมาเห็นนายเหนือหัวบีบลำคอของวังชอนซาราวกับจะกระชากลมหายใจให้หมดไปต่อหน้าแบบนี้ด้วยแล้ว

องค์ชายชองจีรยง ช่างเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก!

ขณะที่จีรยงกำลังเดินออกจากตำหนักไปพร้อมกับคนสนิททั้งสอง ซอนอินก็ยกมือขึ้นคลำลำคอตนเองเบาๆ ด้วยความเจ็บ ดวงตาสีนิลคู่โตมองตามหลังร่างสูงจนลับสายตาพลางครุ่นคิดถึงความรู้สึกตัว เองที่ไม่รู้ว่าทำไม ในอกมันถึงได้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะเข้าใจอย่างนี้

“วังชอนซา ทรงเจ็บมากไหมเพคะ ให้หม่อมฉันทายาให้นะเพคะ”

“เจ้าชื่ออะไร? อายุเท่าไหร่?”

“เอ๊ะ? อ่ะ หม่อมฉันชื่อ แบยอนอา อายุ 16 เพคะ”

“อืม ยอนอา...แล้วเจ้าล่ะ?”

“หม่อมฉันชื่อ แบโซยอนเพคะ เป็นน้องสาวของพี่ยอนอา อายุ 15 เพคะ”

“โซยอน ยอนอา พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักนี้อยู่ส่วนไหนของพระราชวัง?”

หากให้พูดปากเปล่า ดูเหมือนจะอธิบายยากอยู่สักหน่อย นางกำนัลสาวทั้งสองนิ่งคิดก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของร่างบาง พวกเธออธิบายประตูทางเข้าทางเหนือของวัง ไล่จนถึงประตูทั้งสี่ทิศจนครบ วังหลวงฮานึลจะแบ่งเป็นลำดับชั้นทั้งหมด สามชั้น นั่นคือ ส่วนวังต้น ส่วนวังกลาง และส่วนวังใน แม้ตำหนักในความดูแลขององค์ราชินีจะเรียกว่าส่วนใน แต่ความจริงแล้วสถานที่ส่วนในนั้นจะถูกกั้นบริเวณถัดมาจากส่วนกลางสุดของพระราชวัง ซึ่งเป็นส่วนขององค์กษัตริย์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ซอนอินก็สรุปได้ว่า ที่ที่ตนอยู่นั้น น่าจะอยู่เกือบกลางสุดของราชวัง

...แย่ชะมัด แล้วอย่างนี้ ราชครูยองจูจะเข้ามาช่วยเขาได้อย่างไรกัน!

พอคิดถึงความจริงที่ตัวเองคงติดอยู่ในวังศัตรูอย่างไม่มีทางออกก็คอตกเดินดุ่มๆ เข้าห้องนอน ถึงเตียงสี่เสาที่ตั้งอยู่ริมซ้ายของห้องได้ก็ทิ้งตัวแปะข้างแก้มลงกับฟูกหนา ในหัวก็นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาหลายอาทิตย์ที่ถูกจับตัวเดินทางมายังฮานึล นึกถึงสายตาคมคู่นั้นที่มองตรงมาที่เขาอย่างไร้ความรู้สึก

โธ่สวรรค์ ข้าไม่อยากอยู่ใกล้คนคนนั้นเลย ใจของข้านับวันก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นทุกที เฮ้อ~

สีหน้าของซอนอินที่เปลี่ยนเป็นเศร้าสลดทำเอาสองสาวใช้หน้าแดงวาบไปกับความมีเสน่ห์ขององค์วังชอนซา ดูเอาเถิด ขนาดท่าทางการถอนหายใจยังน่ามองขนาดนี้ น่ากลัวว่า ระยะเวลาที่ได้อยู่รับใช้วังชอนซาของพวกนางคงยากจะรับมือเป็นแน่

 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

หัวข้อ: Re: [พีเรียตเกาหลี] วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 3] 24/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 24-08-2016 08:09:46
 

ในตอนสายของวันที่สามที่วังชอนซาได้เข้าพักในตำหนักโยกัน เสียงร้องของสาวใช้สองคนก็ดังขึ้นด้วยความตื่นกลัวต่อภาพตรงหน้า

“วังชอนซา ทรงลงมาเถิดเจ้าค่ะ!”

“นั่นสิเจ้าคะ รอให้โทซองกับกึมซองมาก่อนดีกว่านะเจ้าคะ!”

ที่ด้านหน้าตำหนัก ยอนอาและโซยอนต่างกุมมือไว้ที่หน้าอกด้วยความหวาดกลัว ในใจของพวกนางพร่ำสวดภาวนาไม่หยุด ด้วยกลัวว่าคนร่างบางที่กำลังยืนกางแขนหาจุดศูนย์ถ่วงอยู่บนหลังคาห้องครัวนั้นจะตกลงมา

“พวกเจ้าอย่าเสียงดังนักสิ! อีกนิดเดียวข้าก็จะเอื้อมถึงอยู่แล้ว!”

ลูกนกสีขาวที่ไม่รู้ว่าบินอย่างไรถึงได้มาหมดแรงเอากลางอากาศ พลัดตกลงบนหลังคาเสียดังลั่นจนคนที่กำลังนั่งดื่มชาในศาลาถึงกับสะดุ้งรีบวิ่งออกมาดู และนั่นเองที่เป็นต้นเหตุให้องค์วังชอนซาพุ่งตัวขึ้นไปบนหลังคาอยู่ในตอนนี้

“พี่ยอนอาทำอะไรสักอย่างสิ ถึงวังชอนซาทรงบอกว่าเป็นวรยุทธ แต่จากที่ดู ข้าไม่ค่อยเชื่อเลย”

ไม่ต้องให้น้องสาวบอก ยอนอาก็คิดเช่นเดียวกัน แม้จะกระโดดทีเดียวขึ้นไปบนหลังคาได้ แต่นั่นน่าจะเรียกว่าความบังเอิญมากกว่า ก็ดูอย่างในตอนนี้สิ ท่าทางแบบนั้น จะทรงตัวอยู่บนหลังคาได้นานเกินสองอึดใจหรือเปล่ายังไม่รู้เลย!

กำลังคิดหาทาง เสียงคนบนหลังคาก็ร้องตะโกนขึ้นว่าจับลูกนกได้แล้ว ยอนอาจึงรีบร้องเรียกให้เจ้านายของเธอลงมาที่พื้น พร้อมทั้งรู้สึกโล่งอก

“รีบลงมาเถิดเจ้าค่ะ หม่อมฉันกับโซยอนหัวใจจะวายอยู่แล้วนะเจ้าคะ”

“นั่นสิเจ้าคะ รีบๆ ลงมาเถิด”

ซอนอินขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจที่เห็นว่านางกำนัลสาวทั้งสองไม่เชื่อในฝีมือตนเอง ถึงจะไม่เรียกว่าเก่งเหมือนอย่างราชครูยองจูที่เป็นผู้สอนทุกอย่างให้กับเขา แต่ใช่ว่าเขาจะไร้น้ำยาซะเมื่อไหร่ล่ะ!

“รู้แล้วล่ะน่า พวกเจ้านี่ขี้โวยวายเสียจริง!”

มือบางกอบกุมตัวลูกนกไว้ด้วยความระมัดระวัง แต่ในขณะที่กำลังจะกระโดดลงไปยังพื้นเบื้องล่าง นัยน์ตาคู่สวยก็เหลือบเห็นแผ่นกระดาษเล็กๆ ผูกติดกับข้อเท้าของลูกนกไว้เสียก่อน และเมื่อจัดการเขี่ยแผ่นกระดาษออกมาดู เห็นหมึกสีแดงเล็กๆ ที่เพ่งมองดีๆ แล้วก็พบว่ามันเป็นตราสัญลักษณ์ชนเผ่าเชินอัน

นั่นหมายความว่า ราชครูยองจูกำลังจะมาช่วยเขาใช่ไหม!

ด้วยความดีใจ ทำให้ร่างบางเผลอปล่อยให้ความสมดุลในร่างกายสลายไป เป็นเหตุให้ร่างทั้งร่างเซไปทางขวาซึ่งเป็นแนวราบดิ่งของหลังคา ซ้ำปลายสุดขอบนั้นอยู่พ้นขอบเขตกำแพงของตำหนักโยกัน

“วังชอนซาทรงระวังเจ้าค่ะ!!!”

สิ้นเสียงของสาวใช้ทั้งสองคน เสียง ‘ฟุบ’ ของวัตถุตัดผ่านอากาศก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างของหงส์แสนงามหายลับไปนอกกำแพงเรียบร้อยแล้ว
 

ตุบ!


เปลือกตาบางหลับแน่นด้วยความกลัวเมื่อตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง กำลังจะกรีดเสียงร้องด้วยความเจ็บ หากแต่ร่างกายกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บแม้แต่น้อย ซ้ำยังไม่รู้สึกถึงพื้นดินด้วยซ้ำ!

ซอนอินค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเอง ถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังนอนทับใครบางคนอยู่

“ขะ ข้าขอโทษ! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?!...โอ้ย!~” ทั้งที่เอ่ยปากถามคนใต้ร่าง แต่ตัวเองกลับร้องด้วยความเจ็บเสียนี่ สงสัยว่าตอนที่ตกลงมา แขนคงไปฟาดกับขอบกำแพง

“เจ้าต่างหาก เป็นอะไรหรือไม่” ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเอ่ยถามคนตัวเล็กกว่าอย่างเป็นห่วง เขาจับร่างบนตัวให้ลุกขึ้นยืนแล้วประคองสองไหล่บางไว้หลวมๆ ก่อนจะหันไปสั่งนายทหารรอบกำแพงตำหนักที่ตีวงเข้ามาดูอย่างตกใจให้กลับไป ประจำที่

“แย่ล่ะสิ เจ้าเลือดไหลด้วย ให้ข้าพาไปส่งในตำหนักแล้วกันนะ”

ซอนอินเงยหน้าขึ้นมองสบชายร่างสูงโปร่งด้วยน้ำตาคลอเบ้าอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ แล้วพยักหน้ารับหงึกหงัก มือข้างหนึ่งยังคงกอบกุมลูกนกตัวน้อยไว้ไม่ยอมปล่อย รวมถึงแผ่นกระดาษเล็กๆ ในมืออีกข้างที่พยายามยัดมันเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างสุดความสามารถ

“อ๊ะ! องค์ชายรอง” นางกำนัลสาวที่เพิ่งวิ่งออกมาจากตำหนักร้องทักเสียงดังพร้อมน้อมกายต่ำถวายความเคารพ

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก รีบไปเตรียมน้ำอุ่นกับผ้าสะอาดมา ข้าจะรีบทำแผลให้วังชอนซา”

“เอ๋ เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?” ขนาดเขายังไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย แต่ทำไมพ่อหนุ่มรูปหล่อหน้าตาดีถึงได้รู้จักเขากันเล่า?! ซอนอินเอ่ยถามพลางเดินตามแรงพยุงไปยังที่นั่งในห้องรับแขก

เจ้าของดวงหน้าเรียวคมยิ้มบางแล้วเอ่ยตอบเสียงนุ่ม “ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าในเพลานี้ ตำหนักโยกันคือสถานที่ต้อนรับองค์วังชอนซา”

เหอๆ ซอนอินยิ้มแหยๆ ให้กับบุรุษตรงหน้า ไอ้คำว่าสถานที่ต้อนรับเนี่ย มันดูไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่เลยนะ

ไม่นานนัก ข้อศอกซ้ายของซอนอินก็ถูกพันผ้าสีขาวอย่างเรียบร้อย รวมถึงนกน้อยที่บาดเจ็บตรงปีกซ้ายถูกทายาและนำไปใส่ไว้ในกรงเรียบร้อยด้วยเช่นกัน

“จริงสิ เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกนางเรียกว่าองค์ชายรอง? เจ้าเป็นน้องชายขององค์ชายชองจีรยงหรือ?” ระหว่างที่นั่งจ้องเจ้านกน้อยในกรงนอนพะงาบๆ ดวงหน้าขาวหมดจนก็หันไปหาชายหนุ่มในชุดสีฟ้าอ่อน

“ข้าเป็นน้องชายต่างมารดาของเสด็จพี่จีรยง ชื่อของข้าคือ ชองจีมุน”

“ชอง จีมุน...อื้ม! ข้ารู้สึกถูกชะตาเจ้ามากเลย ให้ข้าเรียกเจ้าว่า จีมุน ได้ไหม? ส่วนเจ้าก็เรียกข้าว่า ซอนอิน ตกลงตามนี้นะ!” สรุปเองเสร็จสรรพก็ระบายยิ้มกว้างให้กับคนตรงหน้า วินาทีแรกที่ซอนอินเห็นจีมุน ฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับราชครูยองจูไม่ผิด ทั้งรูปลักษณ์สูงสง่าอ่อนโยน ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าชายหนุ่มคนนี้เก่งเรื่องบุ๋นอย่างหาตัวจับยากอย่างแน่นอน

งดงามจริงๆ...แม้จะเคยได้ยินคำร่ำลือมามากมายนักถึงความสวยงามของวังชอนซา หากแต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเอง จีมุนก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ หัวสมองก็ว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกเสียดื้อๆ

“นี่ จีมุน เจ้าจะมาหาข้าที่นี่บ่อยๆ ใช่หรือเปล่า?” เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง สามวันมานี้จีรยงคนบ้านั่นไม่โผล่มาให้เห็นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก หากแต่การอยู่คนเดียวเงียบๆ มันก็น่าเบื่อ จะคุยอะไรกับสาวใช้ พวกนางก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนอกไปจากเรื่องของสาวใช้ที่พวกนางเป็นอยู่นั่นแหละ
 

ขณะที่พยักหน้าตอบรับความต้องการของคนสวย จีมุนก็นึกขอบคุณสวรรค์นับพันครั้ง ที่ทำให้ตนได้มีโอกาสรู้จักกับคนตรงหน้านี้ เพราะหากไม่ใช่ความบังเอิญที่หงส์แสนงามตัวนี้ไม่พลัดตกลงมาจากฟากฟ้าให้เขาได้โอบอุ้ม เขาก็คงไม่มีทางคิดจะเข้ามาในตำหนักโยกันนี้อย่างแน่นอน
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-


จบตอน
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 4] 'เจ้าน่ะกำลังให้ท่าข้าอยู่ชัดๆ' 24/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 24-08-2016 14:48:40
บทที่ 4



เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับเส้นขอบฟ้า ไอแสงอ่อนยามโพล้เพล้ก็ได้สาดส่องย้อมทุกสรรพสิ่งบนตรอกถนนซินชนให้กลายเป็นสีแดง ร้านรวงมากมายเริ่มพากันเก็บข้าวของ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ข้างทางก็ไร้เพิงร้านค้า รวมถึงผู้คนที่เริ่มบางตา ช่วงเวลานี้ สถานที่ที่คึกคักจึงหนีไม่พ้นโรงเตี๊ยม ภัตตาคารอาหาร และหอเริงรมย์ทั้งหลาย

เนื่องจากเป็นเวลามื้อเย็น ภายในโรงเตี๊ยมชั้นหนึ่งของตันโย จึงเต็มไปด้วยลูกค้ามากมายที่ต่างจับจองโต๊ะเพื่อดื่มเหล้าสังสรรค์ เสียงพูดคุยดังจอแจสลับกับเสียงช้อนเสียงตะเกียบที่กระทบภาชนะจานชาม ที่ด้านหนึ่งของโถงชั้นล่างนั้น บุรุษต่างถิ่นในชุดคลุมสีขาวได้นั่งลงที่โต๊ะตัวริมสุด

“พี่ชายท่านนี้จะรับอะไรดีครับ?”

เด็กหนุ่มในร้านเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสดใส เขาจดรายการอาหารเพียงสองอย่างจากชายร่างสูงตรงหน้าแล้วจึงเดินกลับไป

ปาร์คยองจู ถอนหายใจเบาเมื่อนึกถึงเรื่องหนักใจที่ยังหาหนทางแก้ไขไม่ได้ จะว่าไม่มีทางเลยมันก็ไม่ใช่ แต่การจะลงมือทำนั้นเสี่ยงต่อการถูกจับมากเกินไป การจะช่วยวังชอนซาออกมาจากวังหลวงฮานึล จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิน

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าวังชอนซาถูกลักพาตัว แม้แต่คนของเชินอันเอง หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ฮานึลจะไม่ไว้ชีวิตวังชอนซา ดังนั้นการที่องค์ราชินีส่งเขามายังฮานึลนั้นจึงเป็นเรื่องที่ผิดต่อข้อตกลงที่ชองจีรยงทิ้งข้อความไว้กับองค์กษัตริย์เชินอัน และเมื่อใดที่ทางฮานึลรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนไหวเพื่อช่วยวังชอนซาแม้เพียงเล็กน้อย ก็เท่ากับว่าทางเชินอันไม่ยอมรับข้อเสนอจากฮานึล

เมื่อนั้น วังชอนซาจะต้องสิ้นลมหายใจ

และเขา ในฐานะราชครูของวังชอนซา จะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นแน่

กระบี่เงินที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าถูกผู้เป็นเจ้าของบีบกระชับแน่น ความโกรธพวยพุ่งอยู่ในอกเมื่อนึกย้อนกลับไปในคืนที่ตนหลงกลกับดักที่ชองจีรยงวางไว้ สายสืบของเขาโดนต้มเสียจนไม่เหลือชิ้นดี จากข่าวว่าจะมีโจรจากฮานึลบุกเข้าวังทางทิศตะวันออก กลับกลายเป็นว่า ทั้งเวลาและสถานที่ที่ถูกบุกรุกเข้ามานั้นผิดเพี้ยนไปหมด พอรู้ตัวก็สายไปแล้วเมื่อเขากลับไปที่ตำหนักวังชอนซาก็พบเพียงความว่างเปล่า เหลือเพียงม้วนกระดาษข้อความที่วางทิ้งไว้บนเตียง

น่าแค้นใจนัก!

คำสบถนั้นดังก้องอยู่ในใจ ในเวลานี้มีแต่ความรู้สึกเจ็บแค้นคับแน่นอยู่เต็มอก ทั้งตัวเองที่สะเพร่า ทั้งชองจีรยงที่มีอายุน้อยกว่าตนแต่กลับทำให้คนอย่างเขาหลงกลเอาได้ แล้วนี่ก็ยังทำอะไรไม่ได้เลยนอกไปจากการส่งข่าวให้กับลูกศิษย์ได้รู้ว่าตนกำลังหาทางช่วยอยู่

ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ ซอนอินจะเป็นอย่างไรบ้าง เด็กคนนั้นยิ่งชอบคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ว่าเขาจะสอนอะไรไปก็ดูจะเป็นการเรียนรู้แบบขอไปทีเสียหมด หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนที่จะช่วยได้คงดี

ระหว่างที่คิดคาดการณ์ไปต่างๆ นาๆ อยู่นั้น เสียงจากกลุ่มคนที่โต๊ะด้านหน้าทางซ้ายก็ดังแทรกความคิด ความจริงแล้วคนกลุ่มนั้นพูดเสียงดังมาตั้งแต่ที่ยองจูเดินลงมาที่ชั้นล่างนี้แล้ว แต่เพราะสิ่งที่คนพวกนั้นพูดคุยกันเป็นเรื่องไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย คนเมาก็มักพูดเอะอะไปเรื่อย จะน่าสนใจก็ตรงประโยคล่าสุดนี่แหละ ที่ทำให้ร่างสูงเกร็งตัวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วรวบรวมสติตั้งใจฟัง

“ฮ่าๆ ใช่ๆ ตอนที่ทัพหลวงกลับมา ข้าเองก็เห็นเหมือนกัน หูย พูดก็พูดเถ๊อะ คุณชายตระกูลคิมนี่สวยยิ่งกว่าผู้หญิงในหอนางรมย์อี๊ก! เอิ๊กกก” คนพูดตบโต๊ะป้าบใหญ่แล้วซัดเหล้าไปอีกหนึ่งจอก พร้อมกับหัวเราะร่วนลงคอ

“ใช่ๆ ข้าเห็นด้วย ยิ่งคนเล็กนี่สวยที่สุดแล้ว เห็นว่าองค์ชายใหญ่ถึงกับขอให้คุณชายฮีอูเข้ามาอยู่ในวังด้วยนะ”

“แน่นอนสิ! จะให้เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านขุนนางกับพระราชวังบ่อยๆ ได้อย่างไรเล่า เจ้าไม่รู้หรือไง ว่าคิมฮีอูน่ะ เป็นคนโปรดขององค์ชายใหญ่ยิ่งกว่าใครเลยนะ น้องสาวของข้าที่เป็นนางกำนัลในวังเล่าว่า ถึงแม้จะมีตำหนักให้คุณชายฮีอูเป็นส่วนตัว แต่เกือบทุกคืนองค์ชายใหญ่ก็จะเรียกหาให้คุณชายฮีอูไปนอนที่ตำหนักของพระองค์อยู่ตลอด”

ชายร่างท้วมที่นั่งกระดกเล่าอยู่เมื่อครู่พยักหน้าหงึกหงักไปตามที่เพื่อนร่วมโต๊ะเอ่ยบอก “ถูกต้องๆ เป็นข้า ข้าก็อยากให้อยู่ใกล้ๆ เหมือนกันนั่นล๊า~ คิดดูสิ ก็สวยซะขนาดนั้น นี่ๆ น่าเสียดายนะ ที่พวกเราไม่เห็นวังชอนซา ข้าล่ะอยากรู้นัก ว่าระหว่างคุณชายฮีอูที่วันนั้นแต่งเป็นหญิงแล้วถูกองค์ชายใหญ่อุ้มขึ้นซ้อนม้า กับวังชอนซาที่ใครๆ ต่างก็ล่ำลือว่างดงามราวกับองค์เทพ ผู้ใดจะสวยกว่ากัน”

“ข้าว่าไม่มีใครงามเท่าบุรุษแห่งฮานึลร๊อก ยังไงคุณชายฮีอูก็ครองใจข้าล่ะ”

“แต่ข้าว่าองค์วังชอนซาต้องงดงามกว่าไม่ผิดแน่ พวกเจ้าไม่รู้อะไร ข้าน่ะเคยถูกส่งไปขายของที่เชินอัน แล้วบังเอิญไปตรงกับวันที่เค้ามีพิธีอะไรสักอย่าง ข้านั่งหลบอยู่ข้างทาง แล้วขบวนแห่ก็เดินผ่านหน้า ข้ายังจำติดตาได้ถึงตอนนี้เลย ว่าใบหน้าขององค์ราชินีเชินอันที่อยู่ห่างไกลกับข้านั้นงดงามเพียงใด ช่างเป็นสตรีที่สวยสมฉายางามเพียงหนึ่งเดียวจริงๆ! ...ถึงแม้ว่าจะน่าเสียดายก็เถอะที่วังชอนซาใส่ผ้าคลุมปิดหน้า ข้าก็เลยไม่เห็น”

“แล้วอย่างไรเล่า แม่ลูกอาจไม่เหมือนกันก็ได้” คนที่นั่งตรงข้ามแย้งกลับ “แต่พูดก็พูดเถอะ นี่ก็หลายวันมาแล้วตั้งแต่ที่วังชอนซามาอยู่แคว้นเรา ทั้งที่งานเฉลิมฉลองแสดงความขอบคุณเรื่องไฟป่านั่นก็ผ่านมาแล้ว แต่ทางวังหลวงไม่เห็นเชิญองค์วังชอนซาออกมาให้พวกเราได้เห็นกันเลย...พวกเจ้าว่ามันแปลกไหม?”

จากการที่ดื่มสังสรรค์คุยเรื่องสัพเพเหระมั่วซั่วไปเรื่อยกลายเป็นนั่งหน้าเครียดคิ้วย่นกันไปทั้งโต๊ะ เป็นความจริงที่ว่าจนถึงบัดนี้พวกชาวบ้านก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นราชทูตแสนงามจากเชินอันแม้แต่น้อย พิธีแสดงความขอบคุณที่จัดอย่างยิ่งใหญ่เมื่อสามวันก่อนนั้นก็มีแต่พวกขุนนางคอยจัดการเพียงเท่านั้น

“คงไม่แปลกหรอกมั้ง วังชอนซาเป็นคนของเผ่าชินซอง ทุกคนก็รู้ว่าคนเผ่านี้น่ะเก็บตัวขนาดไหน อ๊ะ! จริงสิ!!” ชายตัวผอมซีดทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือเมื่อนึกเรื่องดีๆ ขึ้นมาได้ “อีกไม่กี่วันก็จะมีพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้วนี่? ไม่แน่ว่า วันนั้นที่แท่นพิธีสาบาน องค์วังชอนซาอาจได้รับเกียรติ์ให้เข้าร่วมด้วยก็ได้นะ!!”

เสียงพูดคุยออกความเห็นกันอย่างครึกครื้นของชายกลุ่มนั้นยังคงดังต่อเนื่องไปอีกจนกระทั่งร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหลังนั้นลุกออกไปจากโต๊ะหลังทานอาหารเรียบร้อยแล้ว

ยองจูเดินกลับเข้าห้องพักที่อยู่ในโรงเตี๊ยมชั้นสาม เขาวางกระบี่คู่ใจลงกับโต๊ะข้างเตียง พลางทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกนอน นัยน์ตาเรียวคมสีดำสนิทมองตรงไปข้างหน้าแน่นิ่ง ซึ่งสิ่งที่อยู่ตรงข้ามสายตานั้นคือโต๊ะกระจก

ในบานกระจกเงานั้นราวกับมีม่านหมอกบางๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่บนเตียง และเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเมื่อไอควันสีจางนั้นมลายหายไป เนตรสีเพลิงก็จ้องตอบกลับมายังบานกระจกนั้น

โชคดีเสียจริงที่ตราหยกนั้นตกอยู่ในมือของคิมฮีอู

รอยยิ้มเฉียบบางระบายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ตั้งแต่ที่พบว่าตราหยกที่ท่านพ่อมอบให้มาตั้งแต่ที่ตนได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชครูนั้นหายไป มาจนถึงวันนี้เขาก็มั่นใจแล้วว่าได้ทำตกไปตอนที่ช่วยหญิงงามคนนั้น จากที่คิดว่าจะตัดใจเพราะถึงอย่างไรก็คงไม่ได้คืน กลับกลายเป็นว่าหญิงงามผู้นั้นที่ตนเห็นว่าองค์ชายชองจีรยงพาขึ้นซ้อนม้าไปวันนั้นกลับเป็นคุณชายที่อาศัยอยู่ในวังหลวงไปเสียนี่

ชนเผ่าชินซองนั้นมีความลึกลับมากมายที่ถูกซ่อนเก็บไว้ ความสามารถเหนือธรรมชาติคือวิชาลับที่คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ละคนในเผ่าชินซองนั้นมีความพิเศษในตัวหลายรูปแบบแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด สำหรับปาร์คยองจู นอกจากความสามารถด้านการจำเป็นเลิศแล้ว การเรียนรู้ที่รวดเร็วก็นับเป็นความสามารถขั้นสูงที่หาจากคนรุ่นใหม่ได้ยาก ดังนั้นวิชาต่างๆ ที่ถูกสั่งสอนมาจากญาติผู้ใหญ่รุ่นเก่ามาตั้งแต่เด็ก ในเวลานี้ชายหนุ่มจึงถือเป็นผู้ที่เก่งกาจอันดับต้นของชนเผ่าเลยทีเดียว

แม้ยองจูจะมีอายุเพียงยี่สิบห้า แต่ความสามารถนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ต่อยุทธภพไม่น้อย

นัยน์ตาสีแดงฉานที่ปรากฏอยู่นี้คือหนึ่งในวิชาที่ได้ฝึกฝนมา ตราหยกที่หายไปนั้นไม่ใช่แผ่นหยกธรรมดา แต่ยังมีไอบางอย่างที่แฝงเร้นไว้ นั่นทำให้ยองจูรู้ว่าวัตถุชิ้นนั้นอยู่กับใครคนหนึ่ง เขาสามารถรับรู้ได้ว่าตราหยกอยู่กับใครบางคนที่จับต้องของสิ่งนั้นอยู่บ่อยครั้งได้ เพราะหากใครคนนั้นมีความคุ้นเคยต่อแผ่นหยกนี้มากเท่าไหร่ การมีตัวตนของคนคนนั้นก็จะแสดงให้ผู้เป็นเจ้าของรับรู้ได้แม้กระทั่งตำแหน่งของคนคนนั้นว่าอยู่ที่ใด

หรือแม้กระทั่ง ล่วงรู้ความนึกคิดของอีกฝ่ายได้ หากว่าคนผู้นั้นมีความคุ้นเคยกับวัตถุเป็นอย่างมาก

แววตาสีเพลิงเปล่งประกายวาววาบอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวพยายามมองให้เห็นความเป็นไปของผู้ที่มีตราหยกของตนติดตัว การรวมสมาธิขั้นสูงนี้เองที่ทำให้พลังธาตุในกายของร่างสูงเผยออกมามากกว่าปกติ ทั้งดวงตาสีแดง ทั้งไอควันสีจางที่หมุนวนอยู่รอบกาย สิ่งเหล่านี้บอกแน่ชัดว่า ปาร์คยองจูอยู่ในกลุ่มคนจำพวกธาตุไฟ

และในตอนนี้เขากำลังหวังว่าคิมฮีอูจะให้ความสนใจกับตราหยกมากกว่านี้อีกสักนิด บางที การช่วยวังชอนซาออกมาจากวังหลวงฮานึล คงไม่ยากนัก
 

...มากกว่านี้ คิมฮีอู สนใจให้มากกว่านี้สิ...
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

“คุณชายดูอะไรอยู่หรือคะ?” เสียงสาวใช้นันโซเอ่ยสดใสขณะวางของว่างลงที่โต๊ะในศาลากลางสวน “เอ๋ นี่มันตราหยกนี่คะ เป็นของผู้ใดกัน?”

ร่างเล็กพรูลมหายใจเบาแล้วเท้าคางจ้องมองวันตุเย็นเฉียบในมือ พลันในอกก็อุ่นวาบเมื่อนึกถึงดวงตาคมเข้มของบุรุษปริศนาผู้นั้นที่จ้องมองลงมาที่เขา ฮีอูกำหยกเย็นในมือแน่นแล้วหลับตาลง

อยากรู้จัก...

นั่นคือความปรารถนาในใจที่ก่อตัวขึ้นอย่างที่ฮีอูเองก็ไม่คิดว่าตัวเขาจะต้องการรู้จักชายหนุ่มผู้นั้นมากถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่หัวใจสั่นไหวเพียงแค่ได้สบตา และเป็นครั้งแรก ที่เขานึกถึงชายอื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ชีวิตของเขามีเพียงองค์ชายชองจีรยงเท่านั้น

“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย...”

“เอ๋? คุณชายว่าอะไรนะคะ?”

“เปล่า” ศีรษะกลมส่ายไปมา มือเล็กเอื้อมหยิบขนมสีหวานขึ้นทาน ก่อนจะมองซ้ายขวาหาเจ้าตัวซนที่เมื่อครู่ยังวิ่งไล่จับผีเสื้ออยู่ไม่ไกลเพื่อที่จะป้อนขนมให้ “อ๊ะ! อิงอิงหายไปไหน?!”

ฮีอูลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจ มือเล็กสอดแผ่นหยกเก็บไว้ในอกเสื้อแล้วหันไปสั่งให้นางกำนัลสาวออกไปหาดูที่ด้านหลังตำหนัก ส่วนตนก็วิ่งออกมายังด้านหน้าด้วยความร้อนใจ

เนื่องจากสองสามวันมานี้เมฆฟ้าครึ้มฝนอยู่บ่อยครั้ง เมื่อช่วงเช้าก็มีเม็ดฝนตกประปรายอยู่หลายชั่วยาม ทำให้ดินบริเวณแปลงสวนหย่อมชื้นแฉะไปทั่วตลอดแนวข้างทางเดิน คนตัวเล็กจึงสังเกตเห็นรอยเท้าของเจ้าสุนัขจิ้งจอกเล็กๆ ที่ย่ำเดินลงไปบนดินเหล่านั้น

“เจ้าหมูอ้วนหนีเที่ยวอีกแล้ว!”

เจ้าของร่างเล็กบางตีหน้าเข้มขัดกับความสวยหวานของเจ้าตัวได้น่ารักเสียจนนายทหารเวรยามแถวนั้นหน้าแดงกันไปหมด สิ้นเสียงบ่นถึงสัตว์เลี้ยงแสนรัก บุตรชายของคิมฮยอนจาก็มุ่งหน้าเดินตามรอยเท้าของจิ้งจอกหิมะไปอย่างรวดเร็ว

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

เมื่อพูดถึงวังชอนซา ย่อมนึกถึงหงส์แสนงามในกรงทองล้ำค่า

ตั้งแต่เล็กที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำในลัทธิของเผ่าชินซอง ในนามของคิมซอนอินก็ถูกบดบังด้วยชื่อฐานะแห่งตัวแทนเทพเจ้าทงซก ตัวตนของเด็กหนุ่มถูกความหวังและความศรัทธาของชาวบ้านกัดกร่อนความเป็นอิสระในชีวิต จากที่เคยเป็นเพียงโอรสที่ร่าเริงสดใสราวกับหงส์ฟ้าแสนงามแห่งท้องนภาเชินอัน บัดนี้กลับเป็นเพียงความงดงามที่ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดคล้ายนกน้อยในกรงทอง

เป็นความสวยงามในความเดียวดายที่อ้างว้าง

สูงสง่า ล้ำค่า แต่ทว่า สิ่งเหล่านั้นแลกมาด้วยชีวิตที่ไร้อิสระโดยสิ้นเชิง

ซอนอินไม่เคยต้องการสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ไม่เคยหวังให้ใครมากมายที่ไม่รู้จักมาสนใจ ไม่ต้องการฐานะตำแหน่งที่สูงส่ง เขาก็แค่ต้องการชีวิตที่สงบสุขเหมือนเด็กคนอื่น มีช่วงเวลาในแต่ละวันผ่านไปกับการเล่นกับเพื่อนๆ มีความทรงจำดีๆ กับพ่อแม่ที่สร้างร่วมกัน นอนหลับไปบนตักที่แสนอบอุ่นของแม่ นั่งหน้ากระจกปล่อยให้แม่คอยสางผมให้ในตอนเช้า ได้รับคำชมเมื่อเรียนได้ดีจากผู้เป็นพ่อ ที่เขาต้องการมันก็แค่นั้น...

การเป็นวังชอนซาให้ผู้คนมากมายเคารพนับถือ หากไม่ใช่เพื่อคำร้องขอของแม่แล้ว ซอนอินไม่ยินยอมที่จะเดินไปในเส้นทางนี้อย่างแน่นอน

เพราะแม้ว่าจะมีใครต่อใครคอยให้ความสำคัญมากเพียงใด หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากราชครูยองจู ซอนอินกลับไม่รู้สึกถึงใครอยู่เคียงข้างเขาเลย

ในแต่ละวันที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่เขามีความทุกข์ มีเรื่องที่ไม่เข้าใจ คนที่อยู่เคียงข้างคอยอธิบายเรื่องราวต่างๆ คอยรับฟังความรู้สึกของเขาก็มีแต่ราชครูยองจูเท่านั้น

แล้วในเวลานี้ ในเวลาที่มีความรู้สึกที่ไม่เข้าใจมากมายผุดขึ้นมาอยู่นี่ล่ะ ใครกันจะอธิบายให้เขาฟัง!

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ข้าก็ยังไม่มีใคร” น้ำเสียงหวานฟังเศร้าหมองไม่แพ้สีหน้าของเจ้าตัวแม้แต่น้อย

ซอนอินเท้าคางลงกับขอบหน้าต่าง ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความเคยชิน ปลายนิ้วเรียวยาวยื่นออกไปเกี่ยวปลายคางนกตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ซอนอินนำกรงนกมาแขวนไว้ที่ขอบหน้าต่างเพื่อที่อากาศเย็นๆ จะได้คอยพัดผ่านอยู่ตลอด และเขาก็ยังเลือกที่จะแขวนกรงไว้ที่หน้าต่างห้องนอน เพื่อว่าเจ้านกน้อยจะได้ไม่เหงา เพราะส่วนใหญ่แล้วห้องนอนคือที่ที่เขาอยู่บ่อยที่สุด

“นี่ เจ้านกน้อย เมื่อไหร่คนที่ส่งเจ้ามาจะมาช่วยข้าเสียทีล่ะ?”
 

จิ๊บ~
 

“เจ้าก็ไม่รู้เหรอ?” ซอนอินตีความหมายจากหัวกลมๆ ของนกน้อยที่ส่ายไปมา ความจริงแล้วเขาไม่รู้หรอกว่าเจ้านกสื่อสารอะไรกับตน เพียงแต่หลายวันมานี้ นอกจากนกตัวนี้แล้ว ซอนอินก็ไม่รู้จะคุยกับใคร ความอัดอั้นในใจที่ไม่สามารถบอกใครได้มันทำให้เขารู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ได้ระบายมันออกมากับสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้

ซอนอินเลื่อนมือที่เท้าคางลงราบไปกับขอบหน้าต่าง ตามติดด้วยการซ้อนใบหน้าแนบลงไป นัยน์ตาสุกสกาวจ้องมองนกในกรง “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าเหตุใด ในหัวของข้าถึงมีแต่ภาพของเจ้าคนบ้าอำนาจผู้นั้นวนเวียนอยู่ทุกเวลา”

เมล็ดข้าวเปลือกถูกปลายนิ้วขาวหยิบป้อนให้ผู้ป่วยตัวเล็ก “มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นใจร้ายกับข้า เป็นคนลักพาตัวข้ามาที่นี่ แต่ข้าก็ยังนึกถึงเค้า...ข้าไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจจริงๆ”
 

จิ๊บ~
 

“งั้นเหรอ เจ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันใช่ไหม” รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าสวย “นั่นสินะ ขนาดว่านี่มันเป็นความรู้สึกของข้า ข้าเองยังไม่เข้าใจมันเลย”

...ทำไมนะ ข้าถึงลืมแววตาคมกร้าวคู่นั้นไม่ได้ ทำไมน้ำเสียงทุ้มหนักของคนผู้นั้นถึงได้ดังก้องอยู่ในหัวเช่นนี้ ทำไมนะ ทำไม...

...เพราะอะไรกัน คิมซอนอิน เจ้าต้องบ้าไปแล้วไม่ผิดแน่...
 

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 4] 'เจ้าน่ะกำลังให้ท่าข้าอยู่ชัดๆ' 24/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 24-08-2016 14:49:32



“วังชอนซาเพคะ องค์ชายรองมาเยี่ยมเพคะ!”

“จีมุนมาเหรอ!!” ร่างบอบบางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างหน้าต่างแล้วออกไปยังห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว ปลายเท้าเล็กที่ก้าวพ้นขอบระดับพื้นที่กั้นระหว่างทางเชื่อมทั้งสองห้องนั้นพลันสะดุดด้วยความรีบร้อนของเจ้าตัว ซอนอินถลาไปข้างหน้าอย่างไร้สมดุล ก่อนที่ร่างทั้งร่าง รวมถึงดวงหน้าสวยจะแปะตุบเข้ากับอกกว้างของร่างสูงที่รีบปราดเข้ามาโอบรับ

“ทำไมเจ้าถึงขยันหาเรื่องเจ็บตัวบ่อยเช่นนี้เล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจนักกับคนในวงแขน ซ้ำยังตีหน้าเข้มขมวดคิ้วใส่คนสวยเสียอีก

“ข้าไม่ได้ขยันหาเรื่องเจ็บตัวนะ มันช่วยไม่ได้นี่ ชุดที่เจ้าส่งมาให้ข้ามันยาวเกินไปต่างหาก!” โทษชุดเสียอย่างนั้น!

สองสาวใช้พี่น้องปิดปากหัวเราะคิกกับท่าทางของผู้เป็นนาย แม้จะขำเรื่องความไม่ยอมใครของคนสวย แต่แท้จริงแล้วพวกนางกำลังรู้สึกยินดีที่วันนี้วังชอนซาได้ยิ้มแล้ว สำหรับเรื่องชุดที่วังชอนซาทรงสวมอยู่ยาวไปนั้น ไม่เป็นเรื่องจริงแม้แต่น้อย

เมื่อสองวันก่อนวังชอนซาทรงบ่นว่าชุดของฮานึลหลากสีเกินไป ซ้ำเนื้อผ้าก็ยังหนากว่าของเชินอันมากกว่า ใส่แล้วรู้สึกไม่คุ้นเคย ครั้นจะให้ใส่ชุดเดิมที่ติดตัวมาทุกวันก็ไม่ได้ โซยอนซึ่งมีความสามารถด้านการเย็บจึงสรรหาเนื้อผ้าที่ใกล้เคียงมาตัดเย็บให้กับนายคนสวย แต่ก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี โชคดีที่องค์ชายรองได้ยินเรื่องนี้เข้า จึงอาสาหาผ้าจากเชินอันมาให้ แล้วยังให้นางในวังเป็นคนตัดเย็บให้อีกด้วย แล้วอย่างนี้จะเกิดข้อผิดพลาดได้เช่นไรเล่า

“ไหน ให้ข้าดูหน่อยสิ” จีมุนจับคนตัวเล็กหมุนเป็นวงกลมหนึ่งรอบ แล้วปราดสายตาตั้งแต่ใบหน้าหวานลงไปยังปลายเท้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยรองเท้าผ้าสีขาว ก่อนจะวกกลับมายังดวงตากลมโต “ข้าว่าไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่ยาวไปหรอก แต่เป็นเพราะเจ้าตัวสั้นลงต่างหาก!”

“ชองจีมุน เจ้า!!!” เมื่อฝ่ามือขาวเริ่มง้างขึ้น เสียงหลุดหัวเราะของสาวใช้ก็ดังก้องไปทั้งตำหนัก

ยอนอาและโซยอนต่างพากันเดินหลบฉากปล่อยให้นายทั้งสองวิ่งไล่กันอยู่เช่นนั้น เห็นว่าองค์ชายรองทรงชอบแหย่องค์วังชอนซาเช่นนี้แล้ว สำหรับสาวใช้ที่เข้าวังมานานอย่างพวกนางนับเป็นเรื่องหาดูได้ยากยิ่งนัก ไหนเลยที่องค์ชายชองจีมุนผู้เงียบขรึมจะมีอารมณ์ขันได้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเข้าหาวังชอนซา ซึ่งเป็นคนในปกครองขององค์ชายใหญ่อีกเล่า...หาดูได้ยากนัก!

เสียงเอะอะเริ่มเงียบลงเมื่อคนร่างบางหมดแรงกระแทกตัวลงนั่งที่โต๊ะกลมกลางห้อง ดวงหน้าสวยแดงก่ำไปด้วยความเหนื่อยหอบ หลังจากที่ดื่มน้ำชาไปหลายอึก ซอนอินก็คว้าพัดติดตัวของคนข้างกายขึ้นพัดอย่างไม่เกรงใจ

“ข้านึกว่าวันนี้เจ้าจะไม่มาหาข้าเสียอีก”

“พอดีมีเรื่องให้จัดการเยอะน่ะ” ระหว่างที่เอ่ยตอบ จีมุนก็ยื่นมือเข้าเกลี่ยซับเหงื่อข้างแก้มใสให้แผ่วเบา “เจ้ารู้เรื่องที่เสด็จพี่ของข้าจะเข้ารับพิธีแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้วใช่ไหม?”

ซอนอินพยักหน้าหงึกหงัก จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร ต่อให้เจ้าคนบ้านั่นไม่มาที่นี่ก็เถอะ แต่สาวใช้ในตำหนักนี้ทั้งสองคนก็พร่ำพูดให้เขาฟังอยู่บ่อยครั้งว่าองค์ชายใหญ่ของพวกนางดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ไม่จบไม่สิ้นเสียที

“อ้อ ที่เจ้าไม่ค่อยมาหาข้าก็เพราะเรื่องนี้?”

“ใช่ เป็นเพราะเสด็จพ่อตัดสินใจกะทันหัน ทำให้ตอนนี้ในวังวุ่นวายน่าดูเชียวล่ะ”

“เห็นว่าพรุ่งนี้แล้วใช่ไหมที่จะจัดงาน?”

จีมุนพยักหน้าตอบพลางรับพัดคืน “ข้าหวังว่าเสด็จพี่จะพาเจ้าเข้าร่วมงาน”

“ไม่มีทาง” มือขาวสะบัดไปมาตรงหน้า “คนอย่างพี่ชายเจ้าไม่คิดเอาเชลยศึกอย่างข้าไปออกงานหรอก” เอาแค่ว่าหมอนั่นจะแวะมาดูเขาที่นี่ว่าตายหรือยังเป็นครั้งที่สองก่อนเถอะ

ซอนอินฟึดฟัดอยู่ในใจ พลันความคิดก็เรียกสติให้ดวงหน้าสวยเงยขึ้นอย่างตกใจ “อ๊ะ!! ข้าหมายความว่า...”

“ไม่ต้องปิดข้าหรอก ข้ารู้ว่าซอนอินมาฮานึลในฐานะอะไร”

“งะ งั้นเหรอ” ค่อยโล่งอกหน่อย เกิดสุ่มสี่สุ่มห้าเปิดเผยออกไป มีหวังเขาได้ตายด้วยน้ำมือของเจ้าคนบ้าอำนาจนั่นสมใจแน่ ซอนอินยกมือตบอกปลอบใจตัวเองเบาๆ ก่อนจะถูกจีมุนเชยคางขึ้นให้สบตา

จู่ๆ ใบหน้าคมก็เลื่อนเข้ามาใกล้ ทำเอาร่างบางหายใจติดขัดขึ้นมาฉับพลัน

“อะ...อะไร?”

“เจ้าร้องไห้บ่อยงั้นหรือ?”

ก็แค่สองสามวันมานี่เอง! ซอนอินนึกคำตอบอยู่ในใจ แต่กลับเอ่ยตอบปฏิเสธสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้ร้องไห้เสียหน่อย! อย่าคิดว่าข้าจะกลัวที่ถูกจับมาเป็นเชลยนะ!” แม้ว่ามันจะจริงก็เถอะ “...บุรุษเชินอันน่ะเข้มแข็งมากกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้เสียอีก!!” ว่าไปนั่น แต่กลับก้มหลบสายตาร่างสูงเสียอย่างนั้น

แนบเนียนมากเลยแบบนี้!

จีมุนยิ้มบางให้กับท่าทางของคนตัวเล็ก เขาเชยคางมนนั้นขึ้นอีกครั้งแล้วทอดเสียงนุ่ม “ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย เพียงแต่ที่ถามก็เพราะเป็นห่วง อย่างไรเสีย ข้าก็ยังเห็นเจ้าเป็นแขกของฮานึลนะซอนอิน”

เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันให้กับความอ่อนโยนของคนตรงหน้า “เจ้านี่ แน่ใจเหรอว่าเป็นพี่น้องกับองค์ชายชองจีรยง?”
 
 

กว่าที่แขกของตำหนักโยกันจะลากลับ ก็ล่วงเข้าพลบค่ำแล้ว

ภายในห้องอาบน้ำที่ด้านหลังตำหนัก เวลานี้อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานจากถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ภายในอ่างไม้นั้นคือร่างบอบบางผู้มีผิวพรรณเนียนละเอียดกำลังนอนแช่น้ำอยู่อย่างสบายใจ โดยมีสองสาวใช้คอยกวักน้ำเช็ดร่างกายปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ

ยอนอาและโซยอนค่อยๆ ใช้ผ้าลูบทำความสะอาดผิวกายนุ่มอย่างตั้งอกตั้งใจ นายของเธอผู้นี้ช่างมีผิวพรรณที่งดงามเสียจนพวกนางที่เป็นหญิงเองยังอาย ทั้งความนุ่มลื่นและความขาวสะอาดอมชมพูเช่นนี้ เรียกได้ว่าหากมีผู้ใดพบเห็นเป็นต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน เหมือนกับพวกเธอเองที่เข้ามาสรงน้ำให้กับวังชอนซาครั้งแรก...ในตอนนั้น อึ้งเสียจนหน้าแดงเถือกไปหมด เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ที่ใด

“พอแล้วล่ะ” ซอนอินเอ่ยบอกพลางดันตัวขึ้นยืน เมื่อก้าวออกมาจากอ่างไม้ ผ้าผืนใหญ่ก็ถูกหุ้มมาที่ตัวทันที

ในตอนนั้นเอง ที่เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น “พวกเจ้าออกไปให้หมด” พร้อมกันนั้น เจ้าของเรือนร่างสูงสง่าในชุดว่าราชการก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่สนใจว่าคนภายในห้องกำลังทำสิ่งใดอยู่

“เพคะองค์ชายใหญ่” สองสาวใช้รีบทำความเคารพแล้วผละจากอย่างรวดเร็ว พวกนางได้แต่นึกขออภัยอยู่ในใจให้กับสายตาวิงวอนแกมร้องขอให้อยู่ด้วยกันของคนสวย...ขอโทษนะเพคะวังชอนซา~

“คนไร้มารยาท” เมื่อเหลือกันอยู่เพียงสองคน ซอนอินก็เอ่ยจิกกัดบุรุษหนุ่มตรงหน้า มือเรียวดึงกระชับผ้าผืนบางที่คลุมตัวอยู่ให้แน่นขึ้น พลางนึกก่นด่าในใจ เวลาไหนไม่รู้จักมา เจ้าคนสมควรตายทำไมถึงเลือกมาเอาตอนนี้เล่า!

เห็นร่างบางพยายามดึงผ้าปกปิดเรือนร่างเสียเหลือเกิน จีรยงก็จุดยิ้มที่มุมปาก เขาสาวเท้าเข้าใกล้เชลยแสนงามอย่างไม่ลังเล อีกฝ่ายก็ถอยกรูดไปติดกำแพงอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดเช่นกัน

เมื่อสิ้นหนทางหนี ใบหน้าขาวหมดจดที่ระเรื่อสีแดงอ่อนๆ ก็เงยขึ้นค้อนสายตาใส่ “เจ้ามีอะไรก็ว่ามาสิ!”

สบตาได้เพียงอึดใจ ซอนอินก็ต้องเสหน้าหนีไปอีกทาง

อากับกิริยานั้นทำให้คนมองนึกชมความงามของคนร่างบางไม่น้อย ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ถือได้ว่าเป็นคนที่สวยงามอย่างไม่มีข้อติจริงๆ

น่าเสียดาย ที่คนสวยเช่นนี้กลับมีฐานะสูงเกินกว่าที่ใครจะคิดเอื้อม หากว่าคนผู้นี้เป็นเพียงสามัญชน หรือแค่โอรสกษัตริย์ธรรมดาแล้วล่ะก็ การใช้ความงามหลอกล่อให้ติดกับคงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเย็น เสียก็แต่ตอนนี้กลับมีตำแหน่งวังชอนซาที่พวกนักบวชเคารพนับถือ เรื่องการใช้ร่างกายคงเป็นเรื่องผิดบาปมหันต์ต่อชนเผ่า

หึ! แต่สุดท้าย คนผู้นี้ก็เป็นดังนกในกำมือของข้า หากวันใดข้าคิดอยากจะลิ้มลองแล้วละก็ ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นใคร มีฐานะอะไร เมื่อข้าต้องการ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

จีรยงลากปลายนิ้วแตะลงที่ช่วงลำคอเพรียวระหงด้านข้างอย่างต้องการหยอกเย้าอีกฝ่าย เห็นท่าทางของร่างบางแล้วก็นึกอยากจะแกล้งขึ้นมา เขาพ่นเสียงรอดไรฟัน “เจ้าจะกลัวอะไรนัก ข้าไม่พิศวาสเจ้าหรอกนะ”

ก็ไม่ได้หวังให้พิศวาสเสียหน่อย! ซอนอินหันขวับกลับมาจ้องดวงตารัตติกาลอีกครั้ง ริมฝีปากสีสดเม้มแน่น รู้สึกเดือดดาลกับท่าทางอีกฝ่ายอย่างสุดแสน ต้องการอะไรก็รีบๆ พูดมาเสียที ไม่เห็นจะต้องมายื้อเวลากันอย่างนี้เลย!

“ไม่สิ ข้าว่า คงเป็นเจ้ามากกว่าที่พิศวาสข้า” สิ้นคำพูดหลงตัวเองอย่างไม่มียางอายแล้ว ริมฝีปากอุ่นก็แนบลงใกล้ใบหูเล็ก “ทรงทำสีหน้าเชิญชวนหม่อมฉันเสียเหลือเกินนะ องค์วังชอนซา”

สรรพนามที่ถูกเรียกเปลี่ยนไปนั้นทำให้หัวใจของคนฟังเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ ไอร้อนที่เป่ารดอยู่ข้างแก้มยิ่งกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดบริเวณนั้นมากยิ่งขึ้น มือที่กุมผ้าคลุมตัวอยู่คล้ายจะหมดแรง ความร้อนในตัวเกือบจะมีมากพอๆ กับไอควันร้อนภายในห้องอาบน้ำ

ซอนอินสูดหายใจเข้าลึกแล้วกลั้นใจหันไปสบดวงตาคม “เจ้ามีสิ่งใดก็ว่ามา หรือแค่จะมายั่วโมโหข้า?!!”

“ยั่วโมโหอะไรกัน หากเป็นยั่วยวนอารมณ์ละก็ใช่” ขาข้างหนึ่งของคนพูดแทรกเข้ากลางหว่างขาที่มีเพียงผ้าผืนบางปิดกั้นเรียวขาเล็กไว้เพียงเท่านั้น หน้าแข้งขององค์ชายใหญ่แห่งฮานึลจงใจเสียดสีเข้ากับส่วนกลางลำตัวของเชลยคนงาม

“เจ้าคนสารเลว! ถอยออกไปนะ!!” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจ สัดส่วนที่ไม่เคยถูกผู้อื่นแตะต้องกำลังถูกปลุกอารมณ์อย่างไร้เดียงสา มือบางข้างหนึ่งยกขึ้นดันอกแกร่งให้ออกห่างอย่างสั่นๆ

จีรยงยกยิ้มพอใจกับท่าทางหวาดกลัวของหงส์แสนงาม พอเห็นอย่างนี้แล้ว คิมซอนอินก็เหมือนกับลูกนกในกำมือของเขาจริงๆ นั่นแหละ!

ร่างสูงจงใจใช้ฝ่ามือหยาบกร้านแหวกผ้าคลุมสอดเข้าลูบหน้าท้องแบนราบ และช่วงเอวคอดจนร่างเล็กกว่าสั่นสะท้านไปทั้งกาย “นี่อย่างไรเล่าหลักฐาน เจ้าน่ะกำลังให้ท่าข้าอยู่ชัดๆ”

“หุบปาก อึก เดี๋ยวนี่นะ!!” ร่างบางตะโกนลั่นทั้งที่ลมหายใจสะดุดขาดห้วง แนวฟันขาวขบริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างต้องการควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นมากไปกว่านี้

“อ๊ะ!!!!” ซอนอินสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกปลายนิ้วร้อนแตะโดนเนินอกข้างซ้าย

จีรยงกดปลายนิ้วลงบริเวณนั้นรุนแรง เสียงทุ้มดังก้องอยู่ใกล้ดวงหน้าแดงซ่าน “อย่าบังอาจขึ้นเสียงกับข้า!” เขาดันไหล่เนียนที่โผล่พ้นผ้าคลุมที่แทบหลุดลุ่ยติดกับกำแพงไม้อย่างไร้ความปราณี

ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงหวานที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีแดงสดด้วยความเจ็บ “วันพรุ่งข้าจะมารับไปงานเลี้ยงตอนค่ำ จำเอาไว้ ไม่ว่าใครที่เข้ามาคุยกับเจ้า อย่าได้เปิดเผยว่าเจ้าเป็นเชลยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย!”

แค่นี้ยังไม่เรียกว่าร้ายอีกหรือไงเจ้าคนน่ารังเกียจ!

“สายตาแบบนี้แปลว่าเข้าใจสินะ” ริมฝีปากหยักเผยยิ้มเยาะ ก่อนจะผละออกจากเรือนร่างบางแล้วใช้สายตาจ้องมองคนที่ยืนพิงกำแพงตัวสั่น ที่บัดนี้ทั่วทั้งเรือนกายชวนมองนั้นแดงก่ำไปหมด

สักอึดใจหนึ่งที่ดวงตากลมโตนั้นเชื่อมแสงเสียจนจีรยงเผลอจ้องมองอย่างไม่รู้ตัว กลิ่นหอมเย้ายวนจากผิวกายขาวก็คล้ายกับจะรุนแรงขึ้นกว่าในตอนแรก สีหน้าไม่ยอมแพ้แต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์หวามไหวนั่นอีกเล่าที่ยั่วยวนคนมองได้ดีนัก โดยเฉพาะ ช่วงเรียวขาขาวที่โผล่พ้นชายผ้าอย่างใกล้สิ้นแรงนั้นก็เรียกสายตาของแม่ทัพหลวงที่เจ็ดให้จ้องมองได้ไม่ยาก

“ต้องการให้ข้าช่วยไหม?”

ช่วยกับผีน่ะสิ!

“มะ....ไม่ต้อง ข้ารู้แล้วที่เจ้าบอก แค่นี้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ออกไปได้แล้ว” ซอนอินเลือกที่จะไม่ใช้น้ำเสียงกระชากกับคนตรงหน้าอีก อันที่จริงถึงเขาจะอยากตะโกนด่าใส่มากแค่ไหน ในตอนนี้เขาทำไม่ได้ต่างหาก

แค่แรงยืนยังจะไม่มีอยู่แล้ว!

“ถ้าเช่นนั้น เชิญองค์วังชอนซาสรงน้ำต่อเถิด หม่อมฉันขอทูลลา”

วินาทีที่เงาของชองจีรยงหายลับไปจากฉากกั้นห้อง ซอนอินก็คว้าหินขัดตัวที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ขึ้นขว้างไปยังทิศทางนั้นสุดแรง “เลวที่สุด!!!!!”

ก่อนจะทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง

“เกิดอะไรขึ้นเพคะวังชอนซา!” เสียงโครมครามที่ดังขึ้นเรียกให้สาวใช้สองคนที่คอยอยู่ด้านนอกทำท่าจะเข้ามาในห้องอาบน้ำ

“พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา!!”

“อ่ะ แต่ว่า...รับทราบเพคะ!” เสียงของโซยอนเงียบไปทันทีเมื่อโดนตวาดกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เธอเองก็พอจะรู้แล้วว่านายของเธอเป็นอะไร
.
.
.

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ข้าไม่เข้าใจเลย!

ทั้งความร้อนในกาย และยังไอความร้อนที่อบอวนอยู่รอบตัวยิ่งพัดพาความสงสัยให้ล่องลอยไปไกลอย่างไม่มีคำตอบ ความปรารถนาที่เกิดขึ้นนี้ยากที่คนอย่างคิมซอนอินซึ่งมีอายุเพียงสิบหกปีเศษจะเข้าใจ

เพราะไม่เคยอยู่ใกล้ใครอื่นนอกจากราชครูยองจู เพราะไม่เคยรู้จักเรื่องของการเติมเต็มในด้านความลุ่มหลงให้กับร่างกายตนเอง และเพราะนี่เป็นครั้งแรก สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในเวลานี้จึงสร้างความยุ่งยากใจให้กับเจ้าของเรือนร่างบางไม่น้อย

ซอนอินมองหยาดน้ำสีขาวขุ่นในมือตนเองด้วยความสับสน ประสบการณ์ครั้งแรกในการช่วยตัวเองทำไมถึงได้แย่ขนาดนี้ ทำไมเขาถึงได้มีอารมณ์กับผู้ชายพรรค์นั้นได้ ไม่สิ ทำไมเขาถึงได้เกิดอารมณ์กับผู้ชายด้วยกันได้เล่า!!!
 

ย่ำแย่ที่สุด!
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 5] 24/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 24-08-2016 21:47:19

บทที่ 5


ช่วงเวลาที่สาวใช้ของตำหนักโยกันพากันเข้านอนไปเกือบชั่วยามแล้วนั้น ร่างผอมบางของใครคนหนึ่งก็ย่องเงียบออกมายืนยืดเส้นยืดสาย บิดเอวไปมา ก่อนจะแหงนเงยใบหน้ารับสายลมเย็นของค่ำคืน โดยมีแสงสีนวลของจันทราอาบไล้ดวงหน้างดงามช่วยขับให้ผิวที่ขาวกระจ่างดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น

ซอนอินหลับตาแล้วสูดเอาอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอด เฮ้อ~ ค่อยยังชั่ว หัวค่อยเย็นลงหน่อย!

หลังจากผ่านประสบการณ์สุดหฤหรรษ์เป็นครั้งแรกเมื่อตอนหัวค่ำ ไม่ว่าอย่างไรซอนอินก็ข่มตาให้หลับไม่ได้สักวินาที ทั้งใจ ทั้งความคิด ต่างก็ทรยศต่อต้านไม่ยอมหยุดพักเสียที สุดท้ายก็ได้แต่ต้องทนรอให้พวกยอนอากับโซยอนหลับไปก่อนกว่าจะได้ออกมาคิดอะไรคนเดียวอย่างนี้

ตั้งแต่เด็ก บ่อยครั้งที่ซอนอินมักนอนไม่หลับ และวิธีที่เขาเลือกใช้ฆ่าเวลานั้นก็คือการนอนเล่นบนหลังคา และในเวลานี้ เขาก็เลือกที่จะทำเช่นนั้น

เพียงแค่กระโดดครั้งเดียว ร่างบางในชุดสีขาวสะอาดก็ขึ้นไปอยู่บนหลังคาของตำหนัก

ซอนอินทรุดตัวลงนอนตามแนวราบของหลังคาอย่างไม่รีรอ นัยน์ตากลมโตส่องประกายระยิบยามที่ได้มองภาพเบื้องหน้า

ท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดสายตา กลุ่มดาวมากมายที่เรียนอย่างไรเขาก็จำได้ไม่หมดเสียที เมฆที่ลอยเอื่อยราวกับไม่สนใจไยดีช่วงเวลาบนโลกที่ดำเนินไปในทุกทุกลมหายของทุกสรรพสิ่ง

เพียงแค่ได้มองภาพเหล่านี้ ซอนอินก็รู้สึกว่าใจของตนเองได้สงบลง ไม่ว่าจะมีเรื่องไม่สบายใจเรื่องใด หากได้มานอนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นนี้แล้ว มันทำให้เขารู้สึกว่าเป็นอิสระทั้งความคิดและตัวเอง ราวกับทุกอย่างรอบกายล้วนไร้ค่า สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าของเขามีเพียงท้องฟ้าที่พร้อมจะรับฟังและมอบอ้อมกอดให้กับเขา

บางครั้ง ซอนอินก็เคยคิดว่า อาจจะเป็นอย่างที่ชาวบ้านเคยพูดไว้ ‘ผู้ที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทงซก ก็เปรียบดังหงส์เพลิงแห่งทิศตะวันออก’ ดังนั้น ในเมื่อใครก็ตามถูกแต่งตั้งให้เป็นวังชอนซา นั่นก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นก็ไม่ต่างจากนกที่บินอยู่บนท้องฟ้าแม้แต่น้อย

อุทิศตนเพื่อพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อให้ใจเป็นบริสุทธิ์ ท้ายที่สุดแล้ว วังชอนซาก็มีเพียงแผ่นอัมพรไพศาลกว้างไกลนี้เท่านั้นที่คอยเป็นเพื่อนใจ แม้จะไปไม่ถึง หากแต่ใจก็ได้โบยบินไปยังดินแดนที่พร้อมจะให้แต่ความอิสระ

...ไม่ต่างอะไรกับนกในกรงที่ได้แต่รอวันโผบินไปสู่ท้องฟ้า
 

นึกๆ ดูแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มานอนมองท้องฟ้าจากสถานที่อื่น นัยน์ตากลมโตเหลือบมองไปยังรอบๆ ภูมิทัศน์ของฮานึล แม้จะเป็นฟ้าเดียวกัน แต่ร่างบางกลับพบว่าฟ้าแห่งนี้ดูสวยงามกว่าฟ้าที่เชินอันอย่างไม่มีสาเหตุ

“ได้ยังไงกัน ทำไมเจ้าถึงได้ชมฟ้าของแคว้นอื่นเล่า!” ฝ่ามือบางยกขึ้นตบปากตัวเองไม่เบานักอย่างถี่ๆ พลันความคิดก็หวนถึงบ้านเกิดตนเองขึ้นมาจับใจ

นี่ก็ล่วงเข้าวันที่สิบแล้วที่มาอยู่ในวังหลวงของศัตรู ไม่รู้ว่าท่านพ่อและท่านแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง ใช้กลอุบายต่อเวลากับฮานึลด้วยวิธีไหนเพื่อให้เขาอยู่อย่างมีลมหายใจเช่นตอนนี้ แล้ววิธีพวกนั้นจะยื้อเวลาได้สักเท่าไหร่กัน ...ชองจีรยงจะปล่อยให้เชินอันหาทางหลบเลี่ยงสงครามไปได้อีกสักกี่วัน

อ๊ะ! ดันไปนึกถึงเจ้าคนสมควรตายนั่นเสียได้! ซอนอินยกมือขึ้นตบแปะหน้าผากตัวเองอย่างเจ็บใจ อุตส่าห์หนีออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อที่จะลืมเรื่องงี่เง่าเมื่อตอนหัวค่ำนั้นได้แล้วเชียว ในตอนนี้กลับนึกถึงใบหน้าของคนผู้นั้นขึ้นมาเสียได้!

 
“เหตุใดเจ้าถึงยังไม่กลับตำหนักอีก!!!”

หลอนไปแล้ว!

ซอนอินผุดลุกขึ้นนั่งทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มหนักตะโกนลั่นท่ามกลางความเงียบสงบของค่ำคืน มองรอบตัวก็ไม่เห็นมีใคร มานึกขึ้นได้ว่าคงจะมีผู้ใดปีนมานั่งบนหลังคานี้หรอกก็ยิ้มแห้งๆ ออกมากับตัวเอง ก่อนจะขยับตัวคลานสี่ขาไปใกล้ชายหลังคาของห้องครัว ขยับกายยื่นใบหน้าออกไปอีกนิด...เอ๋? นั่นมัน...
 

“ข้าถามว่าทำไมเจ้ายังไม่กลับตำหนักอีก!” คนที่ยืนตะโกนอยู่นั่นแทบจะเขย่าร่างเล็กๆ จนสั่นคลอนคล้ายเป็นโรคชัก

“ฮึก....อิงอิง....หม่อมฉันตามหาอิงอิงอยู่” ดวงหน้าแดงก่ำเงยขึ้นเล็กน้อยตามแรงมือใหญ่ที่จับปลายคาง เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือสะอื้นไห้

“คนตั้งมากมายทำไมไม่ให้พวกเขาหา ทำไมเจ้าจะต้องออกมาตากลมตากน้ำค้างเองด้วย ชอบทำให้ข้าโกรธนักใช่ไหม คิมฮีอู!” แม้น้ำเสียงที่ใช้จะทุ้มกังวานอย่างน่ากลัว แต่คนร่างสูงกลับใช้สองมือประคองดวงหน้าขาวไว้อย่างทะนุถนอมพร้อมกับเกลี่ยซับหยดน้ำตาเม็ดใสให้แผ่วเบา

“ก็หม่อมฉัน...ฮึก รีบร้อนออกมา ใจก็กังวลกลัวว่าอิงอิงจะหายไป ฮึก...เดินตามรอยเท้าไปทั่ววัง รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว กำลังจะตัดใจกลับ ฮึก...องค์ชายใหญ่ก็เดินมาเอ็ดหม่อมฉันเสียก่อน ฮืออออ~” พร้อมกับเสียงร้องปล่อยโฮนั้น ร่างเล็กก็ซุกหน้าเข้าหาอกกว้างขององค์ชายใหญ่แล้วร้องไห้หนักหน่วง

ร่างที่สั่นเทิ้มอยู่แนบอกนั้นพาเอาอารมณ์คุกรุ่นของชายหนุ่มมลายหายไปเสียสิ้น อยากจะต่อว่ามากกว่านี้ก็ทำไม่ลง แค่เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อครู่ก็แทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว

จีรยงถอนหายใจหงุดหงิดแล้วรวบแขนเข้ากับเรือนร่างเล็กบางแนบแน่นเพื่อใช้อ้อมกอดปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “เลิกร้องเสียที ยังไงวันนี้ก็กลับตำหนักก่อนเถิด แล้วข้าจะให้คนมาหาอิงอิงของเจ้าให้เอง”

“...ฮึก...ฮือออ” ศีรษะเล็กกลมพยักขึ้นลงอยู่กับอ้อมอกกว้าง ก่อนจะเงยดวงหน้าฉ่ำน้ำตาขึ้นสบสายตาคมเข้ม “ฮึก ...องค์ชายใหญ่ยังทรงสวมชุดว่าราชการอยู่อีกหรือ ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว...ฮึก~”

คนตัวสูงกว่าอยากจะตอบกลับไปด้วยความโมโหว่า ก็เพราะใครกันถึงทำให้เขาไม่เป็นอันทำอะไรเมื่อพบว่าคนที่อยากจะเข้าไปกอดให้หายเหนื่อยกลับหายตัวไปเสียอย่างนี้ แต่พอเห็นดวงหน้าหวานนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเสียใจอย่างน่าสงสารแล้ว ชองจีรยงก็ได้แต่ทอดถอนใจเหนื่อยอ่อน แล้วว่า

“เรื่องชุดทรงของข้าเป็นหน้าที่ของเจ้าไม่ใช่หรือ” ใจความประโยคที่แฝงเร้นความหมายไว้อย่างไม่ปิดบังนั้นทำให้ดวงหน้าหวานซับสีเลือดแดงซ่านจนทั่ว แล้วยิ่งลามเรื่อยลงมายังลำคอเมื่อถูกประกบริมฝีปากอย่างนุ่มนวล

จูบลึกซึ้งอยู่ชั่วครู่ ริมฝีปากหยักได้รูปก็เคลื่อนเข้ากระซิบใกล้ใบหูเล็ก “กลับเถอะ ข้ารอให้เจ้าปรนนิบัติแทบไม่ไหวแล้ว”
 


วิญญาณของคิมซอนอินลอยออกจากร่างไปไกลแล้ว

ลับหลังของคนสองคนที่พากันเดินจากไปไกลแล้วนั้น ร่างบางบนหลังคาของตำหนักโยกันกลับยังนั่งนิ่งคล้ายหินรูปปั้นแกะสลักอยู่อีกหลายอึดใจ กว่าที่สติจะกลับมา

ถ้าเขาจำไม่ผิด หญิงงามที่เคยเห็นวันที่ถูกพาเข้าวังมา คือคนคนเดียวกับชายหนุ่มหน้าหวานผู้นั้นไม่ผิดแน่ ถ้าเช่นนั้น คนรักของชองจีรยงก็เป็นผู้ชายน่ะสิ?!!!

โอ้ สวรรค์ นี่หรือคือโลกภายนอกที่ข้าไม่รู้จัก?!

แผ่นหลังบางเอนราบลงกับกระเบื้องหลังคาอย่างอ่อนแรง มือขาวข้างหนึ่งยกขึ้นทาบหน้าอกตัวเองพลางจับเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงแทบจะทะลุออกมาเสียให้ได้ ภาพของคนสองคนที่ยืนแลกจูบกันเมื่อครู่นั้นทำให้อะไรบางอย่างในอกมันบีบรัดตัวอย่างแปลกประหลาด ความรู้สึกอิจฉาร่างเล็กของคนผู้นั้นก่อตัวขึ้นโดยไร้สาเหตุ

ซอนอินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองต้องอิจฉาคนผู้นั้นด้วย ไม่ใช่เรื่องเลยที่ชองจีรยงจะไปทำดีกับใครคนอื่นแล้วเขาต้องเก็บมาใส่ใจอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องเลยจริงๆ!

ใบหน้าเรียวสวยสะบัดไปมาอย่างต้องการไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เจ้าคนร้ายกาจจะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่เห็นต้องสนใจหรือใส่ใจแม้แต่น้อย นัยน์ตากลมโตฉายแววมุ่งมั่นกับความคิดตนเองอย่างเต็มที่ แต่ก็เพียงไม่นาน แผ่นอกบางก็กระเพื่อมขึ้นลงยามเจ้าของร่างถอนหายใจแผ่วเบา สายตาเลื่อนลอยไปยังหมู่ดาวบนท้องฟ้า
 

“ว่าแต่ ชองจีรยงกระซิบอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้นกันนะ?”
 

ไหนบอกจะไม่สนใจแล้วอย่างไรเล่าคิมซอนอิน!
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

เลวร้ายที่สุด!

คำบรรยายความรู้สึกนั้นดังก้องอยู่ในใจของร่างบางเป็นรอบที่สิบตั้งแต่เข้ามาในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทแห่งแคว้นฮานึล

ซอนอินนั่งตีหน้านิ่งเฉยอยู่ที่ด้านหนึ่งของท้องพระโรงขนาดใหญ่ที่ถูกประดับประดาอย่างสวยหรู แขกเหรื่อมากมายต่างเสวนาคุยกันเสียงดัง ยกจอกชนจอกดื่มกินน้ำจัณฑ์กัน  ในสถานที่แห่งนี้นั้นถูกจัดแบ่งให้ขุนนางและแขกสำคัญนั่งอยู่โดยรอบเป็นวงกลม โดยที่ด้านหนึ่งจะถูกยกระดับให้สูงกว่าส่วนอื่นเนื่องจากเป็นที่ประทับของกษัตริย์และราชวงศานุวงศ์  ซึ่งองค์กษัตริย์นั้นอยู่แค่เพียงตอนเริ่มงานเท่านั้น พื้นที่ตรงกลางที่เว้นไว้นี้ก็เพื่อเป็นที่แสดงของคณะนางรำ และการแสดงอื่นๆ ที่น่าสนใจ

หากแต่ไม่ว่าจะสาวงามที่เผยผิวเนียนขาวของเนินสะโพก หรือหนุ่มผมยาวที่ควงไฟไว้ในมืออย่างน่าหวาดเสียว ไม่ว่าจะการแสดงอะไร กลับไม่เรียกความสนใจของคนสวยเลยได้แม้แต่อย่างเดียว

นอกไปจากคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากตนมากนัก

ไม่ใช่เพราะท่าทางเอาอกเอาใจกันไม่ห่างของกลุ่มสาวนางระบำสองสามคนที่คอยป้อนน้ำป้อนอาหารให้ร่างสูงนั่นหรอกนะที่เรียกสายตาของราชทูตคนงามไว้ได้อย่างนี้ แต่เพราะเจ้าคนที่เพิ่งได้รับอำนาจสูงสุดแห่งแคว้นฮานึลนี้ต่างหากเล่าที่ขยันส่งสายตามาจ้องมองเขาบ่อยเสียเหลือเกิน!

ชิ จะคลอเคลียกันก็ทำไปสิ ทำไมจะต้องคอยหันมามองเขาด้วย!

เขาเดาะลิ้นขัดใจพลางนึกรังเกียจคนผู้นั้นมากยิ่งขึ้น ตนก็มีคนรักอยู่แล้วยังจะหาความสำราญกับหญิงอื่นได้หน้าตาเฉย ไม่รู้จักมียางอายบ้างเลย ทำไมผู้ชายถึงชอบมีคนรักหลายๆ คนด้วยนะ มีคนเดียวไม่พอหรือไง โลภมากจริงๆ เลย!

ริมฝีปากบางเม้มแน่นยามที่มองไปยังพระมารดาของจีมุน ซึ่งเธอเป็นพระสนมเอกของกษัตริย์ฮานึล

...ดีนะ ที่เสด็จพ่อมีเพียงแม่ของข้าเพียงคนเดียว

แล้วนี่เมื่อไหร่จีมุนจะกลับมานะ ซอนอินเลื่อนสายตากลับแล้วชะเง้อคอมองผ่านผู้คนเพื่อหาคนที่ขอตัวไปต้อนรับราชทูตจากแคว้นใหญ่ฮีอูมันจาได้สักพักแล้ว

“องค์วังชอนซา ทรงทานอะไรบ้างสิพะย่ะค่ะ” เสียงของกึมซองดังอยู่ข้างหูทางฝั่งซ้าย พอจะหันไปทางด้านขวาก็เจอสายตานิ่งเฉยของโทซองมองกลับมา

“นี่! ข้าไม่หนีไปไหนหรอกน่า พวกเจ้าจะนั่งประกบซ้ายขวาข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน?!” ซอนอินกัดฟันแล้วพูดเสียงต่ำให้พี่น้องฝาแฝดได้ยินกันส่วนตัว นอกจากจะไม่มีจีมุนนั่งเป็นเพื่อนแล้ว ยังต้องถูกสองคนนี้จ้องตาแทบไม่กระพริบอีก!

“ถึงจะตรัสเช่นนั้นก็เถิด แต่พวกหม่อมฉันต้องอยู่คอยถวายงานองค์วังชอนซาอย่างใกล้ชิดถึงจะถูกนะพะย่ะค่ะ” กึมซองเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง เด็กหนุ่มคะยั้นคะยอลูกพลับที่ถูกแบ่งซีกแล้วส่งเข้าใกล้ริมฝีปากสีสดอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดซอนอินก็ยอมอ้าปากรับแต่โดยดี

ขณะที่ย่นคิ้วขัดใจ ในปากยังเคี้ยวผลไม้หอมหวานหงุบหงับอยู่นั้น สายตาก็พลันไปสบกับรัชทายาทคนสำคัญอีกครั้ง

สิ่งที่ซอนอินเห็นคือ ร่างสูงที่โอบหญิงสาวร่างเล็กข้ามาหอมแก้มอย่างไม่สนใจสายตาผู้ใด ก่อนจะซุกไซ้จมูกเข้ากับลำคอของคนในอ้อมแขน ในจังหวะที่คนสวมกอดนั้นยื่นปลายลิ้นเข้าแตะผิวเนียนขาวบริเวณนั้นเอง ที่จู่ๆ สายตาคมก็ตวัดมาจ้องมองร่างบางที่หันมาสบตากันพอดี ริมฝีปากหยักยกยิ้มครั้งหนึ่งให้กับคนที่ลอบมองคล้ายจะยั่วอารมณ์ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วแลบลิ้นเลียที่นิ้วกลางของตัวเองด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่าต้องการจะล้อเลียนคนสวยให้ได้อายกับเหตุการณ์ก่อนหน้า

 
ปัง!
 

ซอนอินตบมือลงกับโต๊ะตรงหน้าเต็มแรง พาเอาองครักษ์จำเป็นทั้งสองคนสะดุ้งเล็กน้อย

“สงสัยจะมาผิดเวลา ดูเหมือนองค์วังชอนซาจะทรงกริ้วอยู่” เสียงทุ้มของบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหน้าเรียกให้สายตาของคนที่อยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวเงยขึ้นมอง

อืม...ใครอีกล่ะนี่?

ตอนที่เข้ามาในงาน ซอนอินจำแทบไม่ได้ว่าได้พูดคุยทักทายกับผู้ใดไปบ้าง จีรยงแนะนำเขาให้คนสำคัญจากแคว้นอื่นได้รู้จัก ดูเหมือนว่า ข่าวเรื่องวังชอนซาเดินทางมาเป็นราชทูตถึงฮานึลจะแพร่ออกไปกว้างไกลพอดู ดังนั้นในพิธีแต่งตั้งรัชทายาทเมื่อตอนเช้าที่ผ่านพ้นไปนั้น แทนที่แคว้นเมืองอื่นๆ จะส่งเพียงของกำนัลแก่ฮานึล กลับเลือกที่จะส่งตัวแทนคนสำคัญมายังพิธีแต่งตั้งรัชทายาท และอยู่พักแรมเพื่อแสดงความยินดีอีกครั้งในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้...เหตุผลหลักก็เพื่อหวังได้พบเจอกับวังชอนซา

และเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยแก่ไพร่ฟ้า จีรยงจึงเลือกให้ซอนอินได้ออกมาพบผู้คนในงานเลี้ยงนี้ หากเหล่าขุนนางได้เห็นว่าวังชอนซามาฮานึลในฐานะใด ก็ไม่ต้องกลัวว่าชาวบ้านจะรู้ความจริงแล้วก่อความวุ่นวายในภายหน้า

ซอนอินเอียงคอเล็กน้อยเมื่อได้เห็นบุรูษรูปงามตรงหน้า

“ข้าคือ อันชิลฮยอน องค์ชายสามแห่งแคว้นพกซอ” เห็นแววตาสงสัยของคนสวยที่แสดงออกอย่างไร้เดียงสา ทำเอาหัวใจของคนมองกระตุกไหวไม่น้อย

.......แล้ว ยังไง?

ซอนอินเงียบรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ จะแนะนำตัวเองก็เห็นว่าอีกฝ่ายคงรู้อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องบอกอีก แล้วที่สำคัญ ขืนเขาพูดอะไรมากไปเดี๋ยวเจ้าแฝดสองพี่น้องนี่ก็จ้องจับผิดเขาให้ได้อึดอัด

ดวงหน้าหวานภายใต้แสงไฟสีนวลดูสวยราวกับภาพวาดจากปลายพู่กันของช่างฝีมือดีจนอยากจะมีเก็บไว้เป็นของตัวเองสักภาพ องค์ชายสามแห่งพกซอจุดรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะสะบัดชายเสื้อแล้วทรุดกายลงนั่งใกล้ๆ ร่างบาง

“เป็นวาสนาของข้าที่ได้มีโอกาสเจอกับวังชอนซาผู้งดงาม ถ้าอย่างไร เรามาดื่มกันสักจอก ถือว่าให้ข้าได้แสดงความยินดีได้หรือไม่?” อันชิลฮยอนจัดการเทน้ำจัณฑ์ให้ด้วยตนเอง

กึมซองที่ดูเหตุการณ์อยู่แต่แรก เมื่อเห็นว่าซอนอินดูลังเลที่จะดื่มก็เอ่ยขัดอย่างนอบน้อมกับแขกเมือง

“ทูลองค์ชายสาม องค์วังชอนซาทรงไม่ใคร่ดื่มน้ำจัณฑ์มากนัก เห็นทีคงจะไม่ได้” เด็กหนุ่มว่าพลางเตรียมคว้าจอกเหล้าส่งคืนให้นางกำนัล แต่กลับถูกมือเรียวคว้าตัดหน้าไปก่อนเสียนี่

“ใครบอกว่าข้าจะไม่ดื่มกัน” ซอนอินตีหน้าเข้มใส่คนรู้ดี ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้กับบุรุษตรงหน้า “คิมซอนอินขอดื่มให้กับการพบกันของเรา”

กึมซองได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่เข้าใจ เขารู้ว่าองค์วังชอนซาไม่ชอบดื่มน้ำจัณฑ์ไม่ใช่เพราะเดาเอาเอง แต่เพราะเจ้าตัวเป็นคนบอกกับเขาตั้งแต่ที่ร่วมเดินทางในขบวนทัพแล้วต่างหากล่ะ แล้วทำไม เวลานี้กลับทรงนึกอยากดื่มเสียได้!~

ความสงสัยยังคงไม่หายไปจากหัวเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มใช้นิ้วมือของแฝดผู้พี่นับจำนวนจอกเหล้าที่วังชอนซาทรงดื่มไม่หยุดราวกับกลืนน้ำเปล่า องค์ชายสามผู้นี้ก็ขยันหาเรื่องชวนคุยพลางรินน้ำจัณฑ์ไม่ขาดมือเสียเหลือเกิน

นานเข้า อาการของคนคออ่อนก็เริ่มเห็นผล

“คิก...ไว้ข้าได้กลับไปเมืองเกิดเมื่อไหร่ จะให้เสด็จพ่อเชิญท่านมาหาบ้าง อึก~ อ๊ะ แต่คงต้องรออีกนาน เอ๊ะ หรือไม่นาน อึ๊ก!~ ไม่สิๆ ข้าว่าบางทีข้าอาจจะไม่ได้กลับไปอีกแล้วล่ะ คิกๆ~” มือบางยกขึ้นปัดไปปัดมา พูดไปก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปด้วยความมึนเมา ดวงหน้าก็แดงซ่านลามไปจนถึงลำคอ

“เจ้าหมายความเช่นไร?”

“ไม่มีสิ่งใดหมายความเช่นไรหรอกองค์ชายสาม องค์วังชอนซาทรงเมามากแล้ว พูดจาเลอะเลือน หม่อมฉันว่าองค์ชายสามพอเท่านี้เถิด” จีมุนเอ่ยแทรกกลางวง เขาหันไปพยักหน้าให้กับกึมซองหนึ่งทีเป็นเชิงว่าเดี๋ยวทางนี้เขาจัดการเอง ก่อนจะหันไปหาโทซอง “ทูลเสด็จพี่ว่าข้าจะพาองค์วังชอนซากลับตำหนัก” จากนั้นจึงโอบคนร่างบางที่มีท่าทางใกล้สลบเต็มทีลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินออกไปทางประตูด้านหลัง

อันชิลฮยอนส่งเสียงหึขึ้นจมูกเมื่อถูกจีมุนซึ่งมีอายุน้อยกว่าตนมากนักมาตัดหน้าพาคนงามไปเสียดื้อๆ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าคมที่ราบเรียบเมื่อครู่พลันปรากฏรอยยิ้มร้าย เมื่อสายตานั้นได้สบเข้ากับชองจีรยง

ตลอดหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา ชิลฮยอนได้ถือวิสาสะแตะต้องผิวกายของราชทูตแห่งเชินอันอยู่หลายครั้ง แม้จะเป็นการสัมผัสแค่เพียงมือและท่อนแขนเรียวเท่านั้นก็ตาม หากแต่เพียงแค่นั้นเขากลับรู้สึกได้ถึงสายตาของใครคนหนึ่งที่จ้องมองมา และเมื่อรู้ว่าเป็นสายตาของผู้ใด ชิลฮยอนก็ยิ่งสนุกที่ได้หยอกเย้าฝ่ายนั้น เขายกยิ้มมุมปากทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่เดิมของตนเอง

งานเลี้ยงฉลองแต่งตั้งรัชทายาทยังคงดำเนินต่อไปอีกเกือบสองชั่วยาม ทว่า ภายในท้องพระโรงนั้นกลับเหลือเพียงพวกขุนนางและแขกภายนอกอีกไม่มากนัก ส่วนรัชทายาทนั้นได้ออกจากงานไปเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว
 
 

ภายในตำหนักรัชทายาท แสงไฟยังคงเปิดสว่างแม้จะเป็นเวลายามสามแล้วก็ตาม

“ออกไปได้แล้ว”

เสียงทุ้มก้องกังวานนั้นดังออกมาจากห้องนอนใหญ่ ไม่นานนัก นางกำนัลที่ยืนรอถวายงานก็เห็นหญิงสาวในสภาพเสื้อผ้ายังสวมใส่ไม่เรียบร้อยดีสองสามคนรีบเดินออกมา

“ข้าว่า เจ้าไปบอกดีกว่า” กึมซองที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนใหญ่ของผู้เป็นนายหันไปกระซิบกระซาบกับคนเป็นพี่

คนฟังขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเป็นคนรับข่าวมา เหตุใดไม่ทูลองค์รัชทายาทเอง”

“แต่เจ้าเป็นพี่ข้านี่?!”

“แล้วยังไง? หน้าที่ของเจ้า เจ้าก็ทำเองสิ” คนพูดไม่พูดเปล่า ซ้ำยังทำท่าจะเดินหนีไปเสียอีก เห็นอย่างนั้นแล้วคนเป็นน้องก็อยากจะหลั่งน้ำตาเสียให้ได้ สู้ให้ไปออกรบแบบหนึ่งต่อร้อยยังไม่น่ากลัวเท่าเข้าไปกราบทูลองค์รัชทายาทว่า คุณชายคิมฮีอูที่เมื่อเช้าบอกว่าจะแวะกลับไปที่บ้านหลังงานพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทในตอนเช้าแล้วจะกลับมาอีกครั้งตอนค่ำนั้น ได้ส่งคนมาบอกเขาว่าขอเลื่อนวันกลับไปอีกสองวัน เนื่องจากพี่สาวคนโตเกิดป่วยร้ายแรงทำให้ต้องอยู่เฝ้าอาการ

เรื่องกราบทูลองค์รัชทายาทว่าคุณชายฮีอูยังไม่กลับเข้าวังหลวงนั้นจะไม่ร้ายแรงเลย หากไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้นายเหนือหัวของเขากำลังอยู่ในอารมณ์กริ้วเช่นนี้

ยังยืนทำใจไม่ได้ เสียงทุ้มทรงอำนาจก็ดังลอดออกมาให้เด็กหนุ่มได้ใจหล่นวูบ “ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ทำไมฮีอูยังไม่มาหาข้าอีก พวกเจ้าไปตามฮีอูมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”

โธ่ คุณชายฮีอู เวลาเช่นนี้ จะมีใครฉุดอารมณ์องค์รัชทายาทให้เย็นลงได้เล่า...~

กึมซองถอนหายใจปลง ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปรายงานนายเหนือหัวอย่างเตรียมใจรับอะไรก็ตามแต่ที่พระองค์จะทรงระบายความไม่สบอารมณ์ออกมา แต่นอกจากคำสบถเสียงดังแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น กึมซองกลับที่พักของตัวเองด้วยความโล่งใจ นึกแปลกใจหน่อยๆ ที่ไม่โดนลงโทษ อย่างเช่นว่า โทษฐานที่เจ้าไม่รู้จักบอกข้าให้เร็วกว่านี้ ไปตรวจผลคุมนักโทษในคุกฝั่งเหนือให้หมดแล้วนำมารายงานข้าวันพรุ่ง หรือเช่นว่า หน้าที่เฝ้าไข้เป็นของหมอไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ไปรับฮีอูกลับมาหาข้า แค่นี้เจ้าคิดไม่ได้หรือไง และอีกมากมายที่นายของเขาจะสรรหามาจนได้ เรียกได้ว่า หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคิมฮีอูแล้ว องค์รัชทายาทจะเป็นเดือดเป็นร้อนเสมอ

เอ...หรือว่าที่พระองค์ทรงกริ้วอยู่นี้ไม่ใช่เพราะว่าไม่เห็นคุณชายคิมฮีอูในงานตอนค่ำ แต่เป็นเพราะเรื่องอื่น?

แล้วมันเรื่องอะไรกัน??

คำถามนั้นยังไม่ได้รับคำตอบแม้เด็กหนุ่มจะเข้านอนแล้ว แต่ยูกึมซองคงไม่รู้ว่า แม้แต่เจ้าของอารมณ์โกรธเคืองที่เป็นอยู่นี้ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

เช้าวันรุ่งขึ้น ตำหนักโยกันได้เกิดความโกลาหลเมื่อนางกำนัลสาวสองพี่น้องตื่นมาพบว่าทั่วทั้งเรือนกายขององค์วังชอนซาเต็มไปด้วยผื่นแดงหนาน่ากลัว ซ้ำไม่ว่าจะเรียกอย่างไรร่างบางก็ไม่ตื่นอีกด้วย

ความถูกเรียนถึงหูขององค์รัชทายาทในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก หมอหลวงกว่าห้าคนก็เข้าทำการตรวจร่างกายวังชอนซาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตรวจกันเพียงไม่นานผู้เฒ่าผมขาวก็คุยปรึกษาหารือ ก่อนจะพากันไปตรวจชีพจรร่างบนเตียงอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่ร่วมหนึ่งชั่วยาม พาเอาใจของนางกำนัลสาวเป็นกังวลอย่างที่สุด

รัชทายาทหนุ่มก้าวเข้ามาในตำหนักในตอนใกล้เที่ยง เขาอยู่ว่าราชกิจในตำแหน่งรัชทายาทเป็นวันแรกทำให้ต้องจัดการอะไรหลายอย่างกว่าจะเสร็จสิ้นถึงได้ปลีกตัวมาดูอาการเชลยคนสำคัญเอาในเวลานี้ได้

“เป็นอย่างไร?” จีรยงเอ่ยถามหมอหลวงที่คุกเข่ารอพบองค์รัชทายาทอยู่ที่หน้าประตู

“ทูลฝ่าบาท องค์วังชอนซาทรงเป็นโรคแพ้น้ำจัณฑ์พะย่ะค่ะ” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยตอบนอบน้อม “...แต่ว่า”

“แต่ว่าอันใด?”

“แต่ว่าอาการที่องค์วังชอนซาเป็นนั้น พวกกระหม่อมไม่ใคร่เคยพบเห็น ตามปกติแล้ว คนที่แพ้น้ำจัณฑ์จะมีผืนขึ้นตามร่างกาย แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอาการอื่นใด ต่างจากองค์วังชอนซา นอกจากผืนแดงจะขึ้นรุนแรงแล้ว ยังทรงไม่ได้สติ มีอาการเพ้อ ซ้ำยังมีไข้สูงอีกด้วย และที่น่าแปลกปละหลาดกว่าสิ่งใด เอ่อ.....องค์รัชทายาททรงทอดพระเนตรด้วยองค์เองเถิดพะย่ะค่ะ”

เพียงแค่ชายหนุ่มพยักหน้า ทุกคนก็ขยับเปิดทางให้ร่างสูงได้เดินเข้าไปในห้องนอนโดยสะดวก

สิ่งแรกที่จีรยงรู้สึกถึงทันทีที่เปิดประตูเข้าไปคือความหอมหวานคล้ายกลิ่นของดอกมะลิที่ถูกปลูกอยูในสวนบ่อน้ำพุร้อน ทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้นน่ะหรือ นั่นก็เพราะชายหนุ่มยังรู้สึกถึงไอความร้อนอุ่นๆ อบอวลไปทั่วทั้งห้อง โดยที่มาของทั้งสองอย่างนั้นเดาได้ไม่อยากว่ามาจากสิ่งใด

บนเตียงสี่เสา ม่านผืนสีแดงขาวถูกมัดไว้ทั้งสองด้าน เผยให้เห็นร่างบอบบางนอนคว่ำอยู่บนฟูกนอน ศรีษะตะแคงข้าง ริมฝีปากบางซีดหอบหายใจอ่อนแรง จีรยงจ้องมองชุดสีขาวที่ถูกเลื่อนลงถึงช่วงเอวคอด บนแผ่นหลังเนียนขาวนั้นมีผ้าชุบน้ำหมาดๆ ปิดคลุมไว้เพียงผืนเดียว

ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งแผ่วเบา คิ้วเข้มเกร็งเข้าหากันเมื่อรับรู้ถึงความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นยามที่ได้อยู่ใกล้ร่างบนเตียง ปลายนิ้วเรียวยาวได้รูปเปิดผ้าชื้นน้ำนั้นออกเชื่องช้า ในวินาทีแรกที่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาคมที่ไม่เคยแสดงออกถึงสิ่งใดพลันปรากฏแวววาบขึ้นมาอย่างตื่นตลึง

จุดกึ่งกลางของแนวกระดูกสันหลังช่วงด้านบนของแผ่นหลังเปลือยเปล่านั้น ปรากฏภาพเรืองแสงคล้ายเกล็ดปลาสว่างวูบวาบสลับกับผิวเนื้อขาวเนียนละเอียด พอลองแตะลงบริเวณนั้น ความร้อนวูบหนึ่งก็แล่นเข้าหาจนต้องรีบดึงมือกลับออกมา

“วังชอนซาเป็นอะไร?” ใบหน้าคมหันกลับไปเอาคำตอบกับผู้เฒ่าทั้งห้าคน เห็นสีหน้าอึกอักแล้วก็เลือนสายตาจงใจมองไปยังแพทย์ประจำตัวของตน “ว่าอย่างไรจากึน ข้าถามว่าวังชอนซาเป็นอะไร?”

“กระหม่อม...ก็มิอาจทราบได้ สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับเผ่าชินซอง แม้แต่นักพรตนอกรีตก็ไม่อาจล่วงรู้พะย่ะค่ะ”

“พวกเจ้าจะบอกว่า วังชอนซาเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้งั้นหรือ!” หากมีข้อแม้บางอย่างของเชลยที่ตนไม่อาจล่วงรู้ได้ แล้วจะคุมตัวเชลยให้อยู่ในกำมือได้อย่างไร

ด้วยน้ำเสียงและสายตาที่วาวโรจน์ ทำให้ทั้งสาวใช้และหมอหลวงต่างรีบก้มหน้าก้มตาลง จากึนรีบเอ่ยตอบผู้เป็นนาย “กระหม่อมตรวจชีพจรขององค์วังชอนซาแล้ว คิดว่าเมื่อไข้ลดลง และอาการผืนแดงหายไป ความผิดปกตินี้ก็จักหายไปด้วยพะย่ะค่ะ”

“เมื่อใด?”

“เรื่องนี้...กระหม่อมก็ไม่แน่ใจพะย่ะค่ะ อาจสัก สองถึงสามวัน”

กว่าที่ตำหนักโยกันจะเงียบสงบลงก็เป็นเวลาช่วงบ่าย รัชทายาททรงกลับไปดูงานราชกิจจนถึงยามหนึ่ง พระองค์เปลี่ยนชุดทรงก่อนจะกลับมายังตำหนักโยกันอีกครั้งเพื่อดูอาการเชลยคนสำคัญ

ยอนอาและโซยอนทูลตอบอาการขององค์วังชอนซาว่ายังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ไม่ทรุดลงแต่ก็ไม่ดีขึ้น จากนั้นรัชทายาทหนุ่มก็ปัดมือเป็นเชิงให้สาวใช้ทั้งสองออกไปจากห้อง

จีรยงดึงผ้าชุบน้ำออกจากแผ่นหลังบางเปลือยเปล่า แล้วจัดการดึงสาบเสื้อใส่กลับให้กับเรือนร่างบนเตียง หากความร้อนที่เกิดขึ้นเกิดจากธาตุในกาย การช่วยบรรเทาความร้อนด้วยสิ่งอื่นก็ไม่ช่วยให้เกิดผลสิ่งใด เขาอุ้มร่างของซอนอินนอนหงายแล้วดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นคลุม

เส้นผมสีดำยาวแผ่สยายยุ่งไปทั่วทั้งหมอน เขาปัดเกลี่ยเส้นผมบางให้พ้นดวงหน้าขาว ความนุ่มลื่นของผิวแก้มอุ่นยังผลให้ข้อนิ้วหนาไม่อาจละออกมาได้ในทันที

วังชอนซาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม ข้อนี้จีรยงไม่เคยปฏิเสธ เพียงแต่ไม่ได้นึกอยากเป็นเจ้าของก็เท่านั้น

หากแต่ในเวลานี้ ยามที่ได้มองดวงหน้างดงามยามหลับใหล ความอ่อนหวานน่าทะนุถนอมอย่างที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งที่เจ้าตัวเคยล้มป่วยช่วงที่ออกเดินทางนั้นก็ทำให้เขานึกสนใจคนคนนี้ไม่น้อย

จีรยงไล้ปลายนิ้วแผ่วเบาไปตามดวงหน้าอุ่นนุ่ม เขาหยุดวนเวียนแถวริมฝีปากซีดบาง

“หึ เวลาที่เจ้าไม่ขึ้นเสียงกับข้า ริมฝีปากของเจ้าดูน่าหลงใหลมากทีเดียว ...คิมซอนอิน”

เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกนามจริงของคนบนเตียงค่อยแผ่วลง ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะเข้าประทับกดลงแนบสนิท ลิ้นอุ่นเลาะเล็มดูดดึงกลีบปากบางหอมหวานหลายต่อหลายครั้งอย่างไม่อาจห้ามใจ
 

...พร้อมกับจูบที่เกิดขึ้นนั้น จีรยงไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ตนเองได้ทำสิ่งใดลงไปกับเชลยผู้สูงศักดิ์
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 6] 25/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 25-08-2016 09:13:56
บทที่ 6


ถนนซินชนในตอนกลางวันคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย เสียงร้องเร่ขายของจากร้านค้าข้างทางดังขึ้นอยู่เป็นระยะ ลานกว้างด้านหนึ่งกำลังเป็นจุดสนใจ ชาวบ้านพากันตีวงล้อมเพื่อรอดูกายกรรมของนักแสดงร่อนเร่ ไม่ไกลกันนั้นคือร้านขายยาชื่อดังที่ตั้งอยู่ตรงมุมถนน

“นันโซ เจ้ากลับไปก่อน เราอยากเดินเล่นคนเดียวอีกสักพัก” บุรุษร่างเล็กละสายตาจากกลุ่มคนตรงหน้าแล้วหันไปหาสาวใช้ผู้ติดตาม

“จะดีหรือคะคุณชาย ให้นันโซอยู่ด้วยเถอะค่ะ เกิดคุณชายเป็นอะไรไป...”

“เราจะเป็นอะไรได้? แค่เดินเที่ยวเล่น ไม่ได้ไปทำเรื่องอันตรายเสียหน่อย” คนหน้าหวานขมวดคิ้วยุ่ง “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว แล้วก็นี่ เจ้าเอากลับไปให้ท่านแม่เร็วๆ เข้า บอกท่านด้วยว่าข้าเดินเล่นไม่นานนักหรอก” มือเล็กยื่นซองกระดาษที่บรรจุวัตถุดิบในการปรุงยาไว้จำนวนหนึ่งให้กับสาวใช้

จางนันโซรับของจากนายน้อยด้วยความกังวล เธอยังคงยืนมองแผ่นหลังเล็กบางเดินจากไปจนลับสายตา กว่าที่จะหันหลังเดินกลับบ้านตระกูลคิม ขุนนางข้าหลวงชื่อดังแห่งฮานึล

มีสิ่งหนึ่งในตอนนี้ที่คิมฮีอูยังหาคำตอบให้กับความสงสัยที่เกิดขึ้นไม่ได้ ร่างเล็กกำมือแน่นขณะเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงข้ามกับกลุ่มคนมากมายที่รวมตัวกันดูการแสดงของนักกายกรรม

เมื่อวานนี้ ระหว่างที่ได้เข้าร่วมพิธีสาบานของรัชทายาท ฮีอูซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มของเหล่าขุนนางนั้นได้เห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนปะปนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่เข้ามามุงดูพิธีนั้นด้วย เขาจำเอกลักษณ์ของบุรุษผู้นั้นได้ชัดเจน และยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อเขาได้เห็นแววตาคมคู่นั้นจ้องมองไปยังองค์รัชทายาท ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังบริเวณรอบๆ ราวกับต้องการจะมองหาใครคนหนึ่ง

...เจ้าของตราหยกคนนี้ต้องการมองหาองค์วังชอนซาอย่างนั้นหรือ?

คำถามนั้นผุดขึ้นในใจของฮีอูอยู่ตลอดตั้งแต่เมื่อวาน หากแต่ความสงสัยของเรื่องนี้เขาหวังว่าจะได้รับคำตอบในไม่ช้าแล้ว

หลังเสร็จพิธีสาบานตนขององค์รัชทายาทในตอนเช้า ระหว่างที่ทุกคนเตรียมเดินทางกลับเข้าวัง ฮีอูได้บอกกับรัชทายาทไว้ก่อนแล้วว่าจะไปเยี่ยมพี่สาวที่ป่วยเป็นไข้หนัก ในตอนที่เดินทางกลับบ้านนั้นเองที่เขาได้เห็นชายร่างสูงคนนั้นอีกครั้ง และเพราะเหตุนั้น จนกว่าจะได้เจอชายคนนั้นอีก เขาถึงเลือกที่จะไม่เข้าวังในสองสามวันนี้ ฮีอูแน่ใจว่าคนร่างสูงจะต้องอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนี้แน่

ร่างเล็กเดินเตร็ดเตร่จนเลยออกมาจากตรอกถนนซินชน ดวงตาเรียวรีกวาดมองทุ่งหญ้าเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ขณะที่ล้วงมือหยิบตราหยกในอกเสื้อ สายตาก็พลันไปสบกับอะไรบางอย่างอ้วนๆ กลมๆ กำลังมุดเข้ามุดออกอยู่บริเวณหลังพุ่มไม้ขนาดใหญ่ ถ้าดูไม่ผิด นั่นมัน...

“อิงอิง!!!” ร่างเล็กรีบถลาวิ่งเข้าไปหาเจ้าตัวกลมทันทีอย่างรวดเร็ว
 

พลั่ก!
 

“อ๊า!~” ฮีอูร้องลั่นด้วยความเจ็บ ตวัดสายตาไปมองสิ่งที่ทำให้สะดุดหกล้มก็พบกับท่อนขายาวของใครคนหนึ่ง และเมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมองคนที่ตนล้มลงทับอยู่ก็พบหมวกสานวางปิดใบหน้าไว้มิดชิด ดูจากการแต่งตัวแล้วก็คงจะเป็นชาวสวนแถวนี้เป็นแน่

กว่าจะสำนึกได้ว่าตนกำลังนั่งทับร่างผู้อื่นอยู่ก็กินเวลานานพอดู

“ขะ...ขอโทษ” ร่างเล็กรีบเคลื่อนตัวไปนั่งแหมะข้างๆ ร่างสูงที่ยังคงนอนนิ่ง สองแขนเรียวยาวซ้อนทับไว้หลังศีรษะ ดูเหมือนว่าเขาจะมาขัดจังหวะการนอนเล่นของชายผู้นี้เข้าให้แล้ว

ใบหน้ากลมหันขวับไปจ้องสุนัขจิ้งจอกหิมะแล้วคว้าหมับมานั่งตัก จับยืดแก้มยุ้ยๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มแล้วตีหน้ายุ่งพลางว่าด้วยน้ำเสียงแหบต่ำอย่างไม่ต้องการปลุกคนหลับ “เจ้าออกจากวังมาได้ยังไงห๊ะ! แล้วนี่ยังมาอยู่กับคนอื่นอีกด้วย เจ้านี่มันน่านัก!~” เน้นเสียงตอนท้ายแล้วจับสิ่งมีชีวิตตัวกลมหันหลังตีปับลงกับก้นนุ่มนิ่มไปสองที
 

หงิง~
 

“เจ็บแค่นี้ร้องซะดังเชียว เจ้าไม่รู้หรอกว่าเราเสียใจแค่ไหนที่เจ้าหนีหายไป ฮึก~” เขากอดสุนัขจิ้งจอกไว้แนบอก ถึงแม้จะเจอสัตว์เลี้ยงแสนรักแล้ว แต่คนตัวเล็กก็ยังอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ เพราะอิงอิงสำคัญกับเขามาก ตั้งแต่ที่ต้องอยู่ในวังตามความต้องการขององค์รัชทายาทชองจีรยง ฮีอูก็ได้อิงอิงมาอยู่เป็นเพื่อนแก้เหงาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เรียกได้ว่า อิงอิงนับเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฮีอูเลยก็ว่าได้

ฮีอูยกหลังมือปาดน้ำตา เขาอุ้มอิงอิงแนบอกแล้วลุกขึ้นยืน ตัดใจว่าวันนี้คงต้องหยุดตามหาชายผู้นั้นไปก่อน สำคัญที่เขาเจอเจ้าหมูอ้วนแล้วทำให้อยากกลับบ้านเร็วๆ กลัวว่าถ้าปล่อยให้ออกเดินเล่นไปด้วยกันจะหายไปอีก

เพิ่งจะหมุนตัวเดินกลับออกมาจากหลังพุ่มไม้ใหญ่ได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เจอเข้ากับกลุ่มคนหน้าตาห่างไกลจากคำว่ามิตรสหายไปไกลหลายลี้ประมาณสามสี่คน ฮีอูรีบก้มหน้าแล้วเดินจ้ำอ้าวพยายามไม่สนใจคนพวกนั้น

เกือบจะเดินเลยอยู่แล้ว ไหล่เล็กกลับถูกมือหยาบใหญ่ตะปบลงมาจับให้หันหน้าไปมองเสียนี่ “เห๋? ลูกพี่ เราเจอของดีเข้าให้แล้ว”

“อะไรของแกวะ” ชายร่างใหญ่กำยำเอ่ยถามลูกน้องเสียงห้วน ในมือของเขามีถุงผ้าขนาดใหญ่มัดรวบไว้แน่นหนาพาดอยู่บนไหล่ “แกอย่ามาเสียเวลากับแค่ความใคร่ของแกให้มากนัก ของยังอยู่ในมือ เกิดพวกทหารตรวจมันตามมาทันได้จบแน่”

เหงื่อกาฬบนใบหน้าหวานแตกพลั่กเมื่อประมวลผลได้ว่าคนพวกนี้คือโจรอย่างไม่ต้องสงสัย

“เฮ้ย ลูกพี่ หันมาดูก่อนสิ ไอ้โกมิมันพูดถูกนะ เราเจอของดีเข้าให้แล้ว!!” ชายร่างสูงผอมที่เดินอยู่ระหว่างกลางกลุ่มตะโกนด้วยน้ำเสียงยินดี จนคนที่เดินนำอยู่จำใจต้องหันมามอง

หัวหน้ากลุ่มโจรที่กำลังถูกหมายจับราคาสูงลิ่วขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน ยิ่งทำให้ใบหน้าที่มีรอยบากพาดผ่านตาข้างซ้ายไปยังแก้มข้างขวาดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้นในสายตาของคนตัวเล็ก

ฮีอูกระชับอ้อมกอดให้อิงอิงแนบตัวมากยิ่งขึ้นด้วยอาการสั่นๆ หากจะถามว่าสิ่งใดที่คิมฮีอูไม่มีพรสวรรค์มากที่สุด คำตอบก็คือวิชาการต่อสู้นี่แหละ ขนาดที่ว่าองค์ชายชองจีรยงเป็นผู้สอนด้วยตัวเองก็ยังไม่ได้ผล

“คิมฮีอู ลูกชายคนเล็กของราชเลขาคิมฮยอนจาอย่างงั้นรึ? ดี! มาดูกันสิว่าตาแก่พวกนั้นจะทำยังไงหากลูกชายคนเล็กถูกโจรขืนใจ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะทุ้มหนักก้องสะท้อนในอกคนฟังจนเผลอหลุดเสียงร้องตอนที่โดนกระชากแขนรุนแรงให้ออกเดินตาม

“เดี๋ยวก่อนนะ ข้าได้ยินมาว่าคิมฮีอูเป็นคนโปรดขององค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ? แล้วถ้าเราจับตัวเค้ามาอย่างนี้...”

“แกจะกลัวอะไรนักหนา หุบปากแล้วรีบขนของกลับเร็วๆ เข้า” คนที่ดูจะเป็นลูกไล่แสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยกับพวกในกลุ่มทั้งสามคน แต่ก็ยอมเงียบแล้วออกเดินตามแต่โดยดี
 

บรู๊วววว!~
 

“อิงอิง!” ฮีอูพยายามใช้มือที่ว่างข้างหนึ่งกอดอิงอิงที่ดิ้นไปดิ้นมาซ้ำยังเห่าหอนขู่แง่งแยกเขี้ยวที่มีอันน้อยนิดใส่โจรหน้าโหดเสียอีก จะตายเร็วไม่รู้ตัวนะแบบนี้!

“แม่งเอ้ย จะร้องให้ทหารมันแห่มาหรือไงวะ จับมันหักคอซะ คืนนี้มีของกินแกล้มเหล้าชั้นดีแล้วพวกเรา ฮ่าๆ” คนที่จับยึดแขนของฮีอูให้เดินตามหันไปบอกเพื่อนในกลุ่มอย่างอารมณ์ดี

“ไม่นะ! ไม่ๆๆๆ” ฮีอูร้องลั่นพยายามยื้อสุนัขตัวเล็กกลับมาจากคนชั่ว

“ปล่อยสิวะ! โกมิจับมัดมือไปเลย โอ้ย!!!” เสียงร้องนั้นดังลั่นเมื่อโดนคนตัวเล็กก้มลงกัดท่อนแขนสุดแรง จนเจ้าของมือทำสุนัขจิ้งจอกขาวหลุดลงกับพื้น ความดีใจที่ได้ช่วยสัตว์เลี้ยงยังไม่ทันจะได้ก่อตัว ใบหน้าก็ถูกมือใหญ่ต่อยเข้าเต็มแรง ก่อนจะถูกต่อยซ้ำอีกทีที่หน้าท้องจนจุกไปหมด

“ฤทธิ์มากนักนะคุณหนู”

รสขมเฝื่อนของเลือดในปาก และความเจ็บที่ช่วงท้องทำให้หัวสมองของฮีอูเริ่มลางเลือน

“ชักช้าอะไรอยู่ได้วะ มีปัญหานักก็ฆ่าทิ้งไปเลย!” หัวหน้ากลุ่มหันกลับไปมองลูกน้องอย่างอารมณ์เสีย นอกจากจะปล้นของมาได้น้อยแล้ว ยังต้องมาโดนทหารไล่ตาม กว่าจะหลุดหนีออกมาได้ยังต้องมาเสียเวลากับเรื่องงี่เง่านี่อีก “พวกแกอยากได้มันนักก็รีบๆ ทำให้มันเงียบซะ แล้วรีบออกเดินทางได้แล้ว”

กลุ่มโจรเริ่มออกเดินอีกครั้ง แต่เมื่อคนพวกนั้นเดินถึงพุ่มไม้ใหญ่ หัวหน้ากลุ่มก็เตะโดนอะไรบางอย่างเข้า เขาสบถเสียงดังเมื่อเห็นว่าเป็นท่อนขาของใครคนหนึ่ง

ฮีอูที่สติเริ่มลางเลือนนึกขึ้นได้ว่ามีคนนอนอยู่ที่ตรงนั้น จะตะโกนเรียกให้ตื่นก็ดันถูกสันมือคนด้านหลังทุบหลังคอจนหมดสติไปเสียก่อน

เห็นว่าคนที่นอนอยู่ไม่ได้ขยับหรือพูดอะไรออกมา หัวหน้าโจรจึงไม่คิดใส่ใจ แต่เพียงแค่เดินไปสองก้าว เสียงทุ้มใต้หมวกฟางก็เอ่ยเรียบเรื่อยคล้ายคุยเรื่องลมฟ้าอากาศยามบ่าย

“เจ้าเหยียบเท้าข้า”

ใบหน้าที่มีรอยบากพาดผ่านหันไปมองเจ้าของเสียง แล้วหัวเราะลงคอ “หึ ข้าเหยียบเท้าเจ้าแล้วอย่างไร ข้าจะเหยียบอีกสักกี่สิบครั้งก็ยังได้” พูดแล้วก็หันกลับไปกดปลายเท้าใส่ท่อนขายาวอย่างไม่เกรงกลัว พาเอาลูกสมุนหัวเราะร่วนไปกับการกระทำของผู้นำ

“ไง หรืออยากมีเรื่องนักก็ลุกขึ้นมา ข้าจะสนองให้”

มือเรียวได้รูปของคนที่นอนราบอยู่บนผืนหญ้ายกขึ้นหยิบหมวกออกจากใบหน้าอย่างเชื่องช้า ก่อนจะค่อยดันตัวขึ้นนั่ง ทุกอิริยาบถเป็นไปอย่างเรียบเรื่อยราวกับไม่สะทกสะท้านสิ่งใด ทั้งที่แรงกดปลายเท้าของหัวหน้าโจรที่เหยียบท่อนขาของเขาอยู่นั้นแรงไม่ใช่น้อย

ปาร์คยองจู ปรายสายตามองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยแววตาเฉยเมย เขาหยิบหมวกสานขึ้นสวมพลางว่า “ไม่ขอโทษก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยปล่อยมือจากเด็กคนนั้นด้วย”

“มันพูดอะไรของมันวะ ฮ่าๆ ลูกพี่อย่าเสียเวลาคุยเลย” ชายร่างสูงผอมเอ่ยกลั้วหัวเราะ หาได้ดูไม่ว่าหัวหน้าของตนกำลังมีสีหน้าเช่นไร

หัวหน้าโจรกำมือแน่น ใช่ว่าเขาจะโง่จนสังเกตไม่ได้ว่าชายตรงหน้านั้นไม่ธรรมดา ถึงขนาดว่าแค่เขาออกแรง 2 ใน 3 หากเป็นคนทั่วไปกระดูกคงหักไปแล้ว แต่นี่นอกจากจะไม่สะทกสะท้าน ซ้ำเขายังรู้สึกได้ว่าขาข้างที่เหยียบอยู่นั้นชาหนึบไปหมดจนแทบขยับไม่ได้

“ปล่อยเด็กนั่นลง”

“ว่าไงนะลูกพี่?”

“ข้าบอกให้ปล่อยไงเล่า! เราไม่มีเวลามากนักหรอกนะ...ข้าสั่งก็ทำตามสิวะ!!!” โดนตวาดเสียดังลั่น ลูกน้องจึงจำยอมปล่อยร่างเล็กลงกับพื้นอย่างไม่เข้าใจ

ยองจูระบายยิ้มบางขัดกับสถานการณ์ “ขอบคุณ” ทันทีที่จบคำนั้น หัวหน้าโจรก็สามารถขยับขาได้ดังเดิม เขารีบชักเท้ากลับแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนหันไปสั่งลูกน้องเสียดังอย่างหงุดหงิด “กลับ!!”

“ทำไมล่ะลูกพี่?”

“นั่นสิ ไปยอมมันง่ายๆ ทำไม? ข้าไม่เห็นว่าเจ้าผมยาวนั่นมันจะทำอะไรเลยนะ ดูท่าทางจะอ่อนหัดด้วยซ้ำ!”

เสียงคำถามยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ จนลับสายตาของชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
 

หงิง~
 

สุนัขจิ้งจอกสีขาวหิมะครางหงิงอยู่ข้างๆ ร่างเล็กบางที่นอนสลบอยู่ตรงหน้าของร่างสูง ปลายลิ้นสีชมพูเลียไปทั่วทั้งดวงหน้าหวานของคนเป็นเจ้าของอย่างแสนรักแสนห่วง

“เปราะบางกว่าที่คิดนัก” ความหมายของคำนั้นชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยถึงร่างกายของฮีอู หากแต่เขาพูดถึงจิตใจของเด็กอายุ 17 คนนี้ต่างหากที่เปราะบางเกินไป จิตใจที่ซื่อบริสุทธิ์พร้อมจะโอนเอียงตามการชักนำของผู้อื่นอยู่เสมอโดยไม่คิดถึงความต้องการของตนเองเท่าที่ควรนี้คือสิ่งที่ทำให้ยองจูใช้เวลาในการรับรู้ความนึกคิดของฮีอูได้ง่ายดายเหลือเกิน

ยองจูคิดอยู่แล้วว่าฮีอูจะต้องตามหาตัวเขาหลังจากที่ได้เห็นเขาเมื่อวานแน่ การมองให้เห็นถึงความนึกคิดของผู้อื่นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่การใช้ของเป็นตัวสื่อถึงกันก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น ยองจูกลับพบว่า การจะมองให้เห็นถึงความนึกคิดของคิมฮีอูนั้นง่ายเกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก

ความใสซื่อของคิมฮีอูนั้นต่างจากซอนอิน สำหรับซอนอินแล้ว เป็นเพราะถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก สิ่งที่ลูกศิษย์ของเขาไม่รู้นั้นมีมากมาย แม้แต่เรื่องของตัวเองก็ตาม... แต่สำหรับคิมฮีอู ยองจูมองเห็นแต่เพียงความใสซื่อบริสุทธิ์จากส่วนลึกในจิตใจ ไม่ใช่เพราะสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเพราะนิสัยของเจ้าตัวมากกว่าที่อ่อนไหวเปราะบางราวกับเด็กเล็กๆ

หึ...อย่างนี้ การจะหลอกใช้ฮีอูก็คงไม่ใช่เรื่องยากล่ะนะ

รอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาปรากฏบนเรียวหน้าคม เขาช้อนร่างเล็กที่สลบไสลขึ้นอุ้ม ก่อนจะผิวปากเรียกให้สุนัขจิ้งจอกตัวเล็กเดินตาม โดยที่อิงอิงก็ว่านอนสอนง่ายยอมเดินตามชายหนุ่มร่างสูงไปอย่างไม่รีรอ
 

อืม...สัตว์เลี้ยงนิสัยเหมือนเจ้านายไม่มีผิด
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

ห้องทรงอักษรพลันเงียบลง เมื่อนายอากรชางซีกลับออกไปแล้ว รัชทายาทหนุ่มพรูลมหายใจเบาเมื่อยังคิดแก้ไขปัญหาชาวเกษตรที่อยู่ตามชายแดนและแถบภูเขาที่เกิดเพลิงกัลป์เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนให้ดีไปกว่านี้ไม่ได้เสียที

เรียวนิ้วยาวได้รูปเคาะลงกับโต๊ะพลางครุ่นคิด ขณะที่อีกมือนั้นยังคงเปิดหนังสือเก่าแก่เพื่อศึกษาหาแนวทางการแก้ไขไปด้วย การปกครองของสองรุ่นที่แล้วยังอ่านได้ไม่ครบถ้วน เสียงของสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าก็ดังขึ้นเอ่ยบอกว่าองครักษ์คนสนิทขอเข้าเฝ้า

“มีอะไร โทซอง”

“คุณชายฮีอูส่งคนมาบอกว่าจะยังไม่กลับเข้าวังเร็วๆ นี้ ทรงต้องการให้กระหม่อมไปตามไหมพะย่ะค่ะ?” คนพูดก้มหน้านิ่งรอรับคำสั่งอย่างนอบน้อม

“คิมฮโยซูเป็นอะไรมากหรือไง?”

“เห็นว่าเป็นไข้ป่าพะย่ะค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ฮีอูไม่ค่อยได้กลับบ้าน บางทีข้าอาจจะเก็บตัวฮีอูไว้คนเดียวมากเกินไป พอได้เจอกับครอบครัวถึงได้อยากอยู่นานๆ” จีรยงปิดหนังสือพลางลุกขึ้นยืน “แล้ววังชอนซา ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เป็นเพราะเมื่อวานต้องเตรียมส่งราชทูตจากแคว้นเมืองใหญ่ต่างๆ กลับ แล้วยังต้องว่าราชกิจสำคัญในตอนบ่ายยาวไปจนถึงค่ำ ทำให้ไม่มีเวลาไปที่ตำหนักโยกัน และถึงต่อให้มีเวลาว่างหลังจากนั้น ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัชทายาทหนุ่มไม่อาจไปเยี่ยมเชลยคนสำคัญได้

ในเวลานี้ ชองจีรยงยังไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่า เศษเสี้ยวหนึ่งในใจของเขาเกิดความสนใจในตัวคิมซอนอิน เขาไม่อาจปล่อยให้ใจเกิดความรู้สึกใดๆ ต่อเชลยได้ เพราะหากแม้มีความสงสารหรืออะไรมากกว่านั้นเพียงน้อยนิด นั่นจะเป็นเรื่องร้ายแรงต่อการควบคุมเชลยให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ได้ ไม่ว่าอย่างไร คิมซอนอินจะต้องไม่มีผลใดๆ ต่อจิตใจของเขา

เมื่อสองวันก่อนที่เผลอจูบไปนั้น เขาไม่ทันได้ยั้งตัว เผลอปล่อยให้ความสวยงามของคนผู้นั้นดึงดูดเอาได้ มาคิดดูแล้ว วังชอนซาเป็นคนสวยหาใครเปรียบได้จริงๆ ซ้ำกลิ่นกายยังหอมราวกับดอกไม้กลีบขาวที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ บุรุษผู้งดงามเช่นนี้ หากเข้าใกล้มากๆ ต่อให้เป็นคนใจแข็งสักเพียงไหน ก็อาจตกเป็นทาสเอาได้โดยไม่รู้ตัว ดูเอาจากงานฉลองพิธีแต่งตั้งรัชทายาทของเขาคืนนั้นก็ได้ ไม่ว่าแขกคนไหนต่างก็สนใจราชทูตแสนงามผู้นี้กันทั้งนั้น

แล้วกับคนอย่างเขาที่ชื่นชอบความสวยงามของหญิงนางโลมเป็นเรื่องปกติอยู่ทุกวี่วันอย่างนี้ น่ากลัวว่า หากเข้าใกล้คิมซอนอินมากเกินไปจะเผลอทำอะไรโดยไม่คิด ต่อให้คิดจะทำเพียงการบังคับขืนกอดที่ไร้ความรู้สึกพิเศษใดๆ ก็ตาม หากแต่เมื่อวันที่ได้ลิ้มรสจูบจากกลีบปากนุ่มหวานในวันนั้นแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า หากเขาได้กอดชายผู้นั้นเพียงสักครั้ง  ร่างกายของเขาไม่อาจเพียงพอในครั้งเดียวแน่ และหากการกอดคิมซอนอินคือสิ่งที่เขาต้องการจนขาดไม่ได้ ทุกอย่างที่วางแผนไว้ก็จะล่มไม่เป็นท่า

...ในเวลาเช่นนี้ คนที่จะช่วยเขาสลายความต้องการได้ก็มีเพียงฮีอูเท่านั้น ทว่า เวลานี้ฮีอูกลับไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา

“เมื่อวานท่านหมอจากึนเข้าไปตรวจแต่เช้า พบว่าบนแผ่นหลังขององค์วังชอนซาทรงกลับเป็นปกติแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงพิษไข้ที่ยังไม่ค่อยทุเลาลงมากนักพะย่ะค่ะ”

จีรยงพยักหน้ารับ ขณะยกมือลูบริมฝีปากตัวเองเบาๆ พลางหันออกไปยังบานหน้าต่างที่เปิดโล่ง “ช่วงนี้เจ้ากับกึมซองไม่ต้องติดตามข้าไปทุกที่ คอยเฝ้าตำหนักโยกันไว้ มีเรื่องอะไรก็มาแจ้งข้า” ร่างสูงสง่าละสายตาจากผืนฟ้าสีส้มของยามเย็นหันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างเพรียวบาง “แล้วเรื่องสายลับที่ลอบเข้าเมืองมา ไปถึงไหนแล้ว?”

เมื่อนายเหนือหัวเอ่ยเข้าประเด็นสำคัญ ใบหน้าเรียบนิ่งของโทซองก็แสดงสีหน้าจริงจัง ทั้งน้ำเสียงก็ยังเข้มขึ้น “กระหม่อมให้คนไปถามหาจากคนตรวจประตูเมืองแล้ว สายลับผู้นั้นเป็นคนของเชินอันไม่ผิดแน่ แต่ราวกับว่าพอทางเรารู้ตัว เบาะแสของสายลับผู้นั้นก็ไม่เหลือร่องรอยให้ตามหาแม้แต่น้อย”

เชินอันคงไม่คิดจะส่งคนด้อยฝีมือมา เพราะหากถูกฮานึลจับได้ นั่นก็เท่ากับว่าข้อตกลงเป็นอันโมฆะ และคิมซอนอินจะต้องตาย คนสำคัญขนาดนี้ไม่มีทางที่เชินอันจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ...หึ จีรยงระบายรอยยิ้มเย็นขณะครุ่นคิด งั้นก็ลองมาดูกัน จนกว่าจะครบกำหนดวันที่เขายื่นเสนอไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาจะจับสายลับนั่นได้ก่อนจะมีการทำสงครามหรือไม่

“สายลับยังอยู่ในเมืองหลวงแน่ ข้าต้องการให้ตามหาอย่างเงียบที่สุด ใช้คนของเราเท่านั้น อย่าให้ขุนนางข้าหลวงผู้ใดล่วงรู้ ข้าไม่อยากให้เหยื่อตื่นตกใจ”

“น้อมรับพะย่ะค่ะ”

เมื่อคนสนิทลับออกไปจากห้อง ร่างสูงสง่าก็เดินกลับตำหนักรัชทายาทพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วยไม่หยุด ทั้งกำลังพล และม้า อาวุธรบ ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ไม่ว่าอย่างไร สงครามระหว่างฮานึลและเชินอันจะต้องเกิดขึ้น แคว้นใหญ่ในแถบแผ่นดินตะวันออกแห่งนี้จะต้องมีเพียงแคว้นเดียวเท่านั้น
 

...ชัยชนะครั้งนี้จะต้องเป็นจุดเริ่มต้นในการขึ้นครองราชย์ของเขา
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-


หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 6] 25/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 25-08-2016 09:15:06
 

สามวันให้หลัง หงส์งามที่ถูกคุมขังในตำหนักโยกันได้ตื่นขึ้นจากพิษไข้ที่รุมเร้าในที่สุด

นางกำนัลสาวสองคนรีบร้องเรียกให้นายทหารหน้าตำหนักไปตามหมอหลวงมาตรวจเสียยกใหญ่ ไม่นานนัก หลังจากที่หมอหลวงจากึนทำการตรวจชีพจรและร่างกายขององค์วังชอนซาจนแน่ใจว่าไม่หลงเหลือไข้ใดๆ แล้ว ทั้งยอนอา และ โซยอนต่างก็พากันร้องไห้พร่ำขอบคุณเทพฟ้าดินเป็นการใหญ่

“ขอบคุณสวรรค์! องค์วังชอนซาทรงหายไข้เสียที ขอบคุณสวรรค์!!!!”

“พวกเจ้านี่นะ เสียงดังจริงๆ ไม่เห็นหรือไงว่าองค์วังชอนซาทรงยังไม่ฟื้นไข้ดีน่ะ แล้วนั่น ยังจะร้องไห้อีก ตกลงเจ้าดีใจหรือเสียใจกันแน่?” กึมซองเอ็ดสาวใช้ ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งก้มหัวขอบคุณท่านหมอเสียงดังลั่นไปเมื่อวินาทีก่อน

“ข้าต้องดีใจแน่อยู่แล้ว! เจ้านั่นแหละ ใครอนุญาตให้เข้ามาในห้องบรรทมขององค์วังชอนซากัน ออกไปได้แล้ว!” ยอนอาหันไปค้อนขวับใส่เด็กหนุ่ม

เสียงเอะอะเริ่มดังขึ้นเมื่อคนสองคนเริ่มต้นปะทะวาจากันอย่างเคยชิน จนไม่ทันสังเกตว่าร่างบางที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงนั้นยังมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

โทซองถอนหายใจเหนื่อยอ่อนกับนิสัยของคนทั้งสองที่ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องจิกกัดคำพูดกันเป็นเด็กๆ เขาคว้าคอน้องชายตัวแสบจนร่างที่เล็กกว่าปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างของตน มือข้างนั้นรีบยกขึ้นปิดริมฝีปากบางของแฝดผู้น้องที่คิดจะโวยวายอย่างรู้ทัน ก่อนหันไปมองโซยอน “ข้าว่าเจ้ารีบไปเตรียมยาต้มที่ท่านหมอสั่งดีกว่า ส่วนเจ้า ยอนอา เห็นหรือไม่ว่าองค์วังชอนซาทรงสีหน้าซีดเซียวนัก ข้าว่าเจ้าหายาดมหรือ...” ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างบนเตียงก็โกงคออาเจียนออกมาอย่างฉับพลัน

“องค์วังชอนซาทรงเป็นอะไรเพคะ!!”

ยอนอารีบถลาไปรองรับแผ่นหลังบางให้เอนราบลงกับที่นอนดังเดิม เมื่อนายของเธออ้วกเอาน้ำออกมามากมายจนทั่วผืนผ้าผวยไปหมด เธอรีบดึงผ้านั้นออกทันที พร้อมกับวิญญาณการเป็นสาวใช้ได้กลับเข้าร่างอย่างที่ควรเป็น เธอรีบหันไปไล่ชายหนุ่มฝาแฝดให้ออกไปจากห้อง แล้วสั่งกำชับน้องสาวให้รีบต้มยาตามที่ท่านหมอสั่ง โดยตัวเธอก็รีบเปลี่ยนชุดทรงและเช็ดทำความสะอาดเรือนกายขาวไม่รอช้า

“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ทรงอยากอาเจียนอีกหรือไม่เพคะ?” หลังจากเปลี่ยนชุดให้กับร่างบางแล้ว ยอนอาก็เอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างเป็นห่วงขณะที่ยกผ้าห่มขึ้นคลุมร่างนั้นไปด้วย

ซอนอินขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าเบา ริมฝีปากสีชมพูเม้มแน่นพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ยังคาใจ เขาเหลือบสายตามองสาวใช้ที่กำลังเก็บอ่างน้ำอยู่ข้างเตียงอย่างชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยปากถามในที่สุด

“ยอนอา ระหว่างที่ข้าไม่ได้สติ มีใครมาหาข้าหรือไม่?”

“มีองค์ชายรอง กับองค์รัชทายาทเพคะ อ่ะ แล้วก็ เมื่อวานนี้ องค์กษัตริย์ฮวาจีทรงเสด็จมาที่นี่ด้วยเพคะ”

“กษัตริย์ฮวาจีอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่เพคะ ทรงมาเยี่ยมองค์วังชอนซาด้วยองค์เองเลยเพคะ ทั้งยังถามไถ่อาการเสียถี่ยิบ ก่อนจะขออยู่เยี่ยมไข้องค์วังชอนซาเพียงลำพังเพคะ”

ซอนอินพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงบอกว่าต้องการอยู่คนเดียว

“แต่ว่าทรงต้องทานยา...”

“ให้ข้าอยู่คนเดียว แล้วข้าจะเรียกเอง” เป็นครั้งแรกที่ยอนอาเห็นสีหน้าเคร่งเครียดขององค์วังชอนซา ซ้ำน้ำเสียงยังดูมีอำนาจมากกว่าทุกทีจนเธอทำได้เพียงก้มศีรษะน้อมรับอย่างไม่อาจขัดได้

เมื่อบานประตูห้องนอนปิดลง ซอนอินก็พลิกกายนอนตะแคงเข้าหากำแพงไม้ นิ้วเรียวแตะสัมผัสกลีบปากตนเอง

แม้ว่าไข้จะทำให้เขานอนเพ้อไม่ได้สติ แต่ถึงกระนั้น ซอนอินก็ยังรับรู้ว่าร่างกายตนเองถูกสัมผัสเช่นไร มันคล้ายกับว่าเขาไม่มีแรงที่จะลืมตาเพราะไข้ที่รุมเร้า ทำได้แต่เพียงนอนซมนิ่งอยู่บนเตียงเท่านั้น แล้วการที่มีใครคนหนึ่งมาถือวิสาสะฉวยโอกาสด้วยการจูบเขาทำไมเขาจะไม่รู้สึกล่ะ แล้วยัง...จูบนิ่งค้างนานถึงขนาดนั้น

เสียงทุ้มที่ดังแว่วอยู่ข้างหูของคนที่นั่งอยู่ข้างกายในเวลานั้นยังดังก้องในหัวใจ เสียงที่เป็นดังลูกศรที่พร้อมจะพุ่งตรงปลิดชีพคนตรงหน้าได้ทุกวินาที หากไม่ใช่เสียงของรัชทายาทชองจีรยงแล้ว จะเป็นใครได้?
 

“เวลาที่เจ้าไม่ขึ้นเสียงกับข้า ริมฝีปากของเจ้าดูน่าหลงใหลมากทีเดียว ...คิมซอนอิน”
 

เพียงแค่คิดถึงประโยคนั้น ใบหน้าก็ร้อนผ่าวไปหมด นี่กระมังที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดจนอาเจียนออกมาเมื่อครู่ เจ้าคนหยาบคายนั่นทำให้ใจของเขาหวั่นไหวได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

แล้วยังเรื่องในงานพิธีค่ำนั่นอีก ทำไมข้าต้องไม่สบอารมณ์ที่เห็นคนผู้นั้นไปยุ่งย่ามกับนางโลมพวกนั้นด้วย ทำไมข้าต้องนึกอิจฉาเด็กหนุ่มคนนั้นที่เป็นคนรักของคนผู้นั้นด้วย โอ้ย! ข้าปวดหัว ปวดท้อง ไปหมดแล้วนะ!!

ทำไมความรู้สึกที่ข้าไม่รู้จักและไม่เข้าใจมันถึงได้มีมากมายอย่างนี้!
 

“นั่นเพราะเจ้าชอบข้าไงล่ะ”
 

“ไม่มีทาง!!!” ทันเสียงในจินตนาการผุดขึ้นในสมอง ซอนอินก็ตะโกนลั่นด้วยความตกใจราวกับเห็นเจ้าตัวมาพูดเองต่อหน้า ทั้งที่มันเป็นแค่จินตนาการที่แว่บเข้ามาในสมองเพียงเท่านั้น

ซอนอินกอดตัวเองแน่น ราวกับว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเหมันต์ฤดูท่ามกลางหิมะหนาวเย็นอย่างนั้นแหละ

ฮึ่ย! แค่คิดก็หนาวเยือกไปทั้งตัวแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะชอบคนใจร้ายพรรค์นั้นได้เด็ดขาด!

ศีรษะเล็กที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มผมนุ่มสีดำยาวแผ่สยายไปทั่วหมอนเมื่อเจ้าตัวส่ายหน้าแรงๆ อย่างต้องการไล่ความคิดไร้สาระออกไป เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วเอื้อมมือไปวักน้ำจากอ่างกระเบื้องข้างเตียงมาถูปากด้วยน้ำหนักมือที่ไม่เบานัก จนปากสีชมพูนั้นแดงช้ำไปหมด ก่อนจะตะโกนเรียกสาวใช้ให้เข้ามา

 
ชิ...ดื่มยาขมๆ ลบรสจูบของเจ้าคนใจร้ายนั่นให้ลืมๆ ไปซะก็สิ้นเรื่อง!
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

กลางดึก ภายในห้องบรรทมขององค์รัชทายาทอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมยั่วยวนจากผิวกายของหญิงนางโลมที่กำลังปรนนิบัติเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่บนเตียงอย่างเอาอกเอาใจ

หญิงงามหนึ่งในสองกำลังมอบความสุขให้แก่รัชทายาทหนุ่มด้วยการใช้ริมฝีปากปรนเปรอสัดส่วนกลางลำตัวของร่างสูงใหญ่อย่างรู้งาน ทว่า ความรื่นรมย์ที่ได้รับนั้นกลับไม่เป็นที่ต้องการได้ดีพอ ร่างสูงใหญ่ผลักหญิงผู้นั้นออกจากตัว ก่อนจะตวาดเสียงก้องอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

“ออกไป!”

ตรัสเสียงห้วนเพียงคำเดียว หญิงนางโลมทั้งสองคนก็รีบกระวีกระวาดสวมเสื้อผ้าอย่างรีบร้อนแล้วทูลลาอย่างไม่รอช้าด้วยความหวาดกลัว

ร่างสูงที่มีเพียงเสื้อคลุมเนื้อแพรลื่นผืนบางสวมกายลุกขึ้นจากที่นอนตรงไปยังสระสรงที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของตำหนักด้วยสีหน้าที่ยากเกินใครจะคาดเดา

ทันทีที่ร่างกายสัมผัสผืนน้ำที่เย็นเฉียบภายในสระสรงที่ทำจากหินก่อขึ้นโดยรอบขนาดใหญ่กว้างขวาง ฝ่ามือหยาบใหญ่ก็ไม่รอช้าที่จะกอบกุมสัดส่วนสำคัญที่ใกล้จะทานทนแทบไม่ไหวเพียงแค่นึกถึงใบหน้าของคนที่ตนเคยไปยั่วยุอารมณ์ฝ่ายนั้นถึงในห้องสรงน้ำ

แผ่นอกเปลือยเปล่ากำยำกระเพื่อมขึ้นลงพร้อมกับเสียงหอบหายใจหนักๆ ดังขึ้นอย่างกระชั้นถี่ยามที่ขีดความอดทนใกล้จะทานทนแทบไม่ไหวอีกต่อไป ระลอกคลื่นของน้ำในสระหินตีวงกระจายรุนแรงตามจังหวะการชักนำขึ้นลงที่บีบคั้นเค้นคลึงความร้อนผ่าวในมือภายใต้ผิวน้ำที่เย็นเฉียบอย่างรัวเร็ว จนในที่สุด ความสุขสมในอารมณ์ใคร่ขององค์รัชทายาทหนุ่มก็พวยพุ่งจนถึงที่สุด

ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเสยเส้นผมที่ปรกลงให้พ้นใบหน้า เผยให้แสงจันทร์เบื้องบนทอแสงลงมาให้เห็นถึงดวงหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์น่าเกรงขาม แม้ในยามที่ชายผู้นี้จะไม่ได้อยู่ในชุดทรงแสดงถึงยศถาบรรดาศักดิ์ก็ตาม

“ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!” เสียงทุ้มสบถดังลั่น ขณะที่ถดกายไปพิงขอบหินข้างสระ ก่อนจะสอดมือลงกลับไปใต้น้ำแล้วกอบกุมสัดส่วนที่ยังแข็งขึงไว้อีกครั้ง

...และเป็นอีกครั้งที่ภาพในห้วงความคิดของชายหนุ่มยังคงเป็นภาพใบหน้าของคนคนเดิม

หากแต่ในครั้งนี้ นอกจากจะยังคิดถึงหงส์แสนงามแล้ว เสียงทุ้มยังเอ่ยแหบต่ำเพื่อเร่งฉุดอารมณ์ให้โบยบินไปกับความสุขสมให้เร็วมากขึ้นอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความต้องการที่เอ่อล้นขึ้นมานี้เลย
 

“คิมซอนอิน...อ่ะ....ซอนอิน...ซอน..อึก...อิน....ซอนอินอ่า....”
 

ท่ามกลางความเงียบในค่ำคืน เสียงทุ้มนั้นดังสะท้อนก้องไปทั่วสระสรงที่ตั้งอยู่ภายในตำหนักขององค์รัชทายาทอยู่หลายต่อหลายครั้ง

นี่ไม่ใช่คืนแรกที่เกิดความต้องการอย่างห้ามไม่อยู่เช่นนี้ ทว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่รัชทายาทหนุ่มได้เผลอจูบกับวังชอนซา เชลยของพระองค์ไปในวันนั้นแล้วต่างหาก...
 

และเพื่อจะหยุดความรู้สึกนี้ ชายหนุ่มควรจะทำเช่นไรกัน?
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 


 
จบตอน



ปล. ยังมีคนอ่านอยู่ใช่มั้ยคะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 6] 25/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: mholic ที่ 25-08-2016 12:04:06
 :o8:
สนุกเจ้าค่ะ. อัพบ่อยๆนะคะ เป็นกำลังใจให้
เนื้อหาตัวละครมีเหตุมีผล มีมิติดีค่ะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 6] 25/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: numberll ที่ 25-08-2016 12:10:52
อ่าว ฮีอู เป็นคนรักของพระเอกรึเนี่ย นึกว่าเป็นน้องชายสะอีก  :a5:
รออ่านตอนต่อไปอยู่จ้า.. สนุกมาก..
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 6] 25/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 25-08-2016 18:57:02
บทที่ 7


“จะออกไปอีกแล้วเหรอฮีอู?”

ท่าทีของคนเป็นแม่ที่เอ่ยทักเด็กหนุ่มร่างเล็กนั้นแฝงไว้ด้วยแววกังวลไม่น้อย ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนที่ลูกชายของเธอกลับมาบ้านในตอนค่ำทั้งที่ควรจะกลับมาเร็วกว่านั้น ถามไถ่ถึงได้รู้ว่าถูกโจรเถื่อนทำร้ายร่างกาย และที่กลับช้าก็เป็นเพราะคนที่ช่วยลูกชายของเธอไว้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงต้องอยู่ดูแล แต่นี่มันก็เข้าวันที่สี่เข้าไปแล้ว ทำไมฮีอูยังจะต้องไปดูแลคนผู้นั้นอีก

แม้ว่าการตอบแทนบุญคุณในความช่วยเหลือนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่คิมโฮชอนก็ยังอดรู้สึกกังวลไม่ได้ อะไรบางอย่างเตือนเธอว่าการพบกันระหว่างลูกชายของเธอกับคนผู้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญธรรมดา ฮีอูไม่เคยปฏิเสธการกลับเข้าวังเลยสักครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป นอกจากจะยังไม่กลับเข้าวังตามกำหนดการเดิมแล้ว ลูกชายของเธอยังส่งคำร้องขอต่อองค์รัชทายาทว่าอยากพักอยู่ที่บ้านอีกสักพัก...นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าฮีอูคิดตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง

เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ผิดแปลกไปนี้ เธอก็สมควรที่จะไม่ไว้วางใจชายผู้นั้นไม่ใช่หรือ?

“ให้แม่ไปดูอาการเค้าด้วยดีไหม?”

คนที่เตรียมจะเดินออกจากประตูหันขวับไปหาผู้พูด “ไม่เป็นไรครับ” ศีรษะเล็กรีบส่ายปฏิเสธทันที มือที่ถือถุงกระดาษกำแน่นขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ฉายแววคล้ายการจับผิด “คือ...ผมหมายความว่า แค่ไปรักษาบาดแผลให้เท่านั้น ยังไงก็จะรีบกลับ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“จำเป็นมากเลยหรือที่ลูกต้องไปรักษาให้ด้วยตัวเอง?”

“ขา...ขาของเค้าหักเพราะลูก ถ้าจะต้องไปให้หมอรักษาก็ต้องเดินไป ลูกแค่อยากตอบแทนเขาจนกว่าเขาจะหายดี ท่านแม่อย่าเพิ่งซักไซ้ลูกเลยนะครับ เรื่องของชายผู้นั้น ลูกเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพียงแต่ลูกเชื่อว่าเค้าไม่ใช่คนไม่ดี อีกทั้ง ตอนที่ลูกสลบไปนั้นเค้าก็คอยดูแลลูกอยู่ตลอดทั้งที่ตัวเองนั้นบาดเจ็บสาหัสกว่าลูกตั้งไม่รู้กี่เท่า” ฮีอูนึกไปถึงตอนที่ตนฟื้นขึ้นมาในกระท่อมไม้เล็กๆ เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเก่าๆ โดยมีคนร่างสูงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านข้าง ชายคนนั้นมีเลือดเปรอะไปทั่วทั้งตัว ที่ขาซ้ายและตามบาดแผลต่างๆ นั้นพันไว้ด้วยผ้าที่มัดไว้อย่างขอไปที บ่งบอกถึงคนที่ไม่ถนัดการปฐมพยาบาล

ฮีอูไม่รู้ว่าคนร่างสูงที่เขาตามหามาตลอดนั้นมาช่วยเขาไว้ได้อย่างไร แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง เขาได้เจอกับชายคนนั้นแล้ว ซ้ำยังเป็นการเจอครั้งที่สองด้วยการช่วยชีวิตเขาไว้อีก

“แล้วจะรีบกลับมานะครับ” ร่างเล็กก้มหัวให้มารดา แล้วเดินออกจากประตูไปโดยไม่คิดจะอธิบายอะไรให้มากความมากไปกว่านั้น

ถึงจะบอกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่ตัวฮีอูนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเหตุผลที่แท้จริงแล้วเพราะเขาอยากรู้จักชายร่างสูงคนนั้นให้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้

อยากรู้ทุกอย่างของคนผู้นั้น...

อยากรู้ ...ว่าเขาจะสามารถเข้าถึงใจของร่างสูงได้หรือไม่
 
 

ใช้เวลาในการเดินทางจากบ้านไปยังกระท่อมไม้ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงไปทางทิศตะวันตกนานพอสมควร กว่าที่ร่างเล็กจะมายืนอยู่หน้าทางเข้าของป่าไม้ตรงเนินเขา

เมื่อเปิดประตูเข้าไปในกระท่อมไม้ ฮีอูก็พบกับสายตาคมจ้องตอบกลับมาในทันที คนที่นั่งอยู่บนเตียงดูเหมือนจะรอคอยให้ร่างเล็กมาถึงอยู่ทุกวินาที ดังนั้นเมื่อเห็นว่าใครมา ชายหนุ่มจึงยิ้มกว้างตอบกลับไปด้วยสีหน้าแสดงออกถึงความสุข

ฮีอูวางห่อยาและข้าวของลงบนโต๊ะไม้กลางห้อง แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง

“วันนี้เจ้ามาช้า” ขณะที่มือเล็กเริ่มทำการเปลี่ยนผ้าพันที่ท่อนแขน เสียงทุ้มก็เอ่ยคล้ายตัดพ้อ

เรียวคิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบาดแผลยังไม่มีทีท่าว่าจะหายเลยแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าจ้องมองดวงตาคมอย่างพินิจ ในขณะที่อีกคนก็ยังรอคอยคำตอบด้วยท่าทางไร้พิษภัย

สามวันที่ผ่านมาฮีอูใช้ยารักษาตามสูตรเฉพาะของที่บ้าน ซึ่งได้ผลดีเทียบเท่าการรักษาให้เชื้อพระวงศ์ เนื่องจากแม่และพ่อของฮีอูเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยา ส่วนตัวเขาก็ได้รับการถ่ายทอดวิชานี้มาอย่างเชื้อไม่ทิ้งแถว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการถูกฟันหรืออาการบวมช้ำ เขาก็สามารถรักษาให้หายได้ภายในเวลาไม่นาน แต่นี่ ผ่านมาตั้งสามวันแล้ว นอกจากเลือดจะยังไม่หยุดไหลซึม ปากแผลที่ถูกฟันยังไม่สมานกันเลยด้วยซ้ำ

ดวงตากลมโตจ้องลึกลงไปในแก้วตาสีดำสนิท อยากจะมองให้เห็นถึงสิ่งที่คนตรงหน้าเก็บซ่อนไว้ภายใต้แววตาคมกริบคู่นั้น ทว่า ไม่ว่าจะพยายามมองแค่ไหน สิ่งที่ฮีอูได้กลับมาคือความว่างเปล่าแต่เพียงเท่านั้น

“เราเห็นว่าร่างกายท่านยังไม่หายดีนัก น่าจะทานซุปไก่สมุนไพรที่ช่วยให้บาดแผลสมานเร็วขึ้น เราก็เลยแวะซื้อของที่ตลาดมา อาหารเที่ยงวันนี้ท่านต้องทานฝีมือเราแล้วล่ะ” ดวงหน้าหวานระบายยิ้มบาง “...หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจนะ?”

“ไม่เลย เจ้าทำซุปเพื่อข้า มีหรือที่ข้าจะรังเกียจ?”

“เช่นนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้น เราเริ่มทำแผลเลยนะ เสร็จแล้วจะรีบไปทำอาหารให้ท่าน”

ดวงหน้าใสบริสุทธิ์เริ่มจับจ้องบาดแผลต่างๆ บนร่างกายของคนบนเตียง ยองจูมักแปลกใจเสมอที่เห็นว่าเด็กใสซื่อคนนี้จะมีสีหน้าจริงจังยามที่ทำการรักษาให้กับเขา ดูราวกับว่าเป็นคนละคนกับเวลาปกติโดยสิ้นเชิง

เมื่อหัวเข่าถูกเปลี่ยนผ้าที่พันดามคู่กับไม้ไว้เสร็จสิ้น ร่างเล็กก็เก็บอุปกรณ์ไว้ในกล่องดังเดิม ฮีอูจ้องมองท่อนขายาวที่เหยียดตรงนั้นด้วยความรู้สึกสับสน แน่นอนว่าเขารู้สึกซึ้งในบุญคุณครั้งนี้ที่ร่างสูงช่วยเขาไว้จนได้รับบาดเจ็บ แต่ที่ฮีอูไม่เข้าใจ คือวันที่ได้เจอกันครั้งแรก ชายผู้นี้น่าจะเก่งวรยุทธมากไม่ใช่หรือ แล้วทำไมกับแค่โจรเถื่อนพวกนั้นถึงได้พลาดพลั้งขนาดนี้?

ความสงสัยมากมายในโลกนี้เกิดขึ้นในใจของฮีอูอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะพยายามหาคำตอบ เพราะเรื่องใดก็ตามที่เกิดขึ้นรอบตัวของเขาล้วนไม่สำคัญเท่าความต้องการขององค์ชายชองจีรยง หากองค์รัชทายาทต้องการให้เขารับรู้ ก็จะทรงตรัสออกมาโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องร้องขอหรือปฏิเสธ หากสิ่งใดไม่ควรรู้ เขาก็จะไม่เอ่ยถามให้อีกฝ่ายเกิดความรำคาญ ตั้งแต่เล็ก ฮีอูนั้นเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังผู้ใหญ่เป็นอย่างดี ท่านพ่อและท่านแม่เฝ้าบอกเขาอยู่เสมอว่าให้เชื่อฟังองค์ชายชองจีรยง ห้ามต่อต้าน ห้ามขัดขืน ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม หากเป็นสิ่งที่องค์ชายชองจีรยงต้องการ คิมฮีอูมีแต่ต้องยินยอมตามรับสั่งแต่เพียงเท่านั้น ตั้งแต่จำความได้ เพื่อนเล่นเพียงคนเดียวที่มีก็คือองค์ชายใหญ่ และเพราะตลอดมาสิ่งที่ได้รับจากเพื่อนผู้สูงศักดิ์คนนี้คือความอบอุ่นอ่อนโยน และความใจดี จิตใจของฮีอูจึงมีแต่จะจงรักภักดีต่อชายผู้นั้นอย่างไม่มีข้อแม้

ฮีอูกลายเป็นคนขององค์รัชทายาทชองจีรยงโดยสมบูรณ์ จะไม่มีวันหักหลัง ไม่มีวันคิดทรยศ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยหายไปจากจิตใต้สำนึกของฮีอู เขายอมรับเหตุผลทั้งหมดนี้ด้วยใจบริสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว ในชีวิตที่ผ่านมานี้ องค์รัชทายาทมีความหมายต่อเขามากที่สุด ...ฮีอูเชื่ออย่างนั้นมาตลอด 17 ปี

แต่ทว่า ครั้งนี้กลับต่างออกไป...

เป็นครั้งแรกที่หัวใจของฮีอูมีพื้นที่ไว้ให้ใครอีกคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ เป็นครั้งแรกที่ฮีอูอยากหาคำตอบในความสงสัยที่เกิดขึ้นมากมายนี้อย่างที่ต้องแลกด้วยอะไรก็ยอมทั้งนั้น

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” อาการนิ่งเงียบของคนตัวเล็กทำให้ร่างสูงต้องเอ่ยถาม เพราะหากเป็นอย่างวันก่อนๆ ที่ผ่านมา ฮีอูจะชวนคุยมากกว่านี้ ...และยิ้มมากกว่านี้

มือเล็กทาบลงบนหัวเข่าซ้ายของชายหนุ่มแผ่วเบา “หากท่านไม่มาช่วยไว้ ป่านนี้เราคงถูกจับไปทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ ท่านยอมเจ็บเพื่อเราถึงขนาดนี้ นั่นหมายความว่าเราเป็นหนี้ชีวิตท่าน ...จะเป็นอะไรไหม หากเราอยากรู้จักนามที่แท้จริงของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเราไว้”

ราชครูหนุ่มในคราบชาวบ้านต่างเมืองจ้องมองดวงหน้าหวานของคนพูดเรียบนิ่ง ความจริงยองจูไม่ได้คิดจะปิดบังชื่อแต่อย่างใด แต่ถ้าไม่รู้ย่อมดีกว่า ดังนั้นเขาจึงเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงชื่อตัวเอง อีกทั้งร่างเล็กไม่เคยเอ่ยปากถามตรงๆ ด้วยเพราะความเกรงใจที่ไม่คิดละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของเขา แต่ในเมื่อคราวนี้เจ้าตัวถามออกมาโดยตรง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปิดบังอีก

“ยองจู”

“ยองจู...” ร่างเล็กทวนคำเสียงเบา จดจำคำเพียงสองคำนั้นให้ขึ้นใจ ...ยองจู

“เราเรียกท่านว่า ยองจูได้ไหม? เอ่อ...ถ้าไม่สะดวก เราไม่เรียกก็ได้” เมื่อคิดได้ว่าเป็นการก้าวก่ายอีกฝ่ายมากเกินไป เสียงเล็กก็รีบเอ่ยต่อท้ายประโยคด้วยสีหน้าสลดลง

“รู้ชื่อของข้าแล้ว ทำไมเจ้าจะเรียกไม่ได้ล่ะ?”

ดวงหน้าหวานรีบเงยขึ้นสบสายตาคมอย่างยินดี “เราเรียกท่านว่ายองจูได้จริงหรือ?!”

“ได้สิ” ระหว่างที่เอ่ยตอบไปนั้น ยองจูกลับรู้สึกแปลกใจตัวเองที่นึกเป็นสุขเพียงแค่เห็นคนตัวเล็กนั้นยิ้มได้เสียที

“ยองจู...ยองจู...” ฮีอูลองเรียกชื่อนั้นสองสามครั้ง แล้วก็รีบหันหน้าไปอีกทางพลางยกมือขึ้นสะบัดไปมาตรงหน้าอย่างต้องการไล่ความร้อนที่แล่นฉิวมาสุมอยู่ที่ผิวแก้มจนน่ากลัวว่าจะแดงเถือกลามไปถึงคอ ทั้งดีใจที่ได้เรียกชื่อของยองจู ทั้งเขินอายเวลาที่เรียกชื่อแล้วอีกฝ่ายก็ขานรับด้วยรอยยิ้ม อ่อย~ ทำไมเขาถึงเป็นไปได้ขนาดนี้เนี่ย!~

“อ๊ะ จริงสิ เราเรียกยองจูด้วยชื่อ งั้นยองจูก็เรียกเราว่าฮีอูนะ เราเคยบอกไปแล้วว่าชื่อคิมฮีอู จำได้ไหม?”

จำได้สิ จำได้แม่นเลยทั้งหน้าตาและชื่อ ยองจูตอบตนเองในใจ พลางพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบาง

“ตอนนี้แผลก็ทำเสร็จแล้ว งั้นยองจูนอนพักผ่อนก่อนนะ เราจะไปทำอาหารให้ทาน”

“อืม...”

เมื่อร่างเล็กเดินออกจากประตูไป เสียงหัวเราะเบาๆ ก็หลุดออกมาจากริมฝีปากหนาได้รูปไม่ดังนัก นานเท่าไหร่แล้วที่ชีวิตของปาร์คยองจูไม่ได้เจอใครที่ร่าเริงเช่นนี้ นอกจากจะต้องมุมานะฝึกวิชาทั้งบุ๋นและบู้มาตั้งแต่ยังเล็ก ที่เหลือจากนั้นคือการเป็นราชครูที่ดีให้กับวังชอนซา อ่า...จริงสิ เขาอยู่กับซอนอินตั้งแต่ที่ฝ่ายนั้นยังเป็นแค่เด็กไร้เดียงสา แต่ทว่า ซอนอินกลับโดนสิ่งแวดล้อมผลักดันให้ไม่มีช่วงเวลาเหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ไม่ได้เที่ยวเล่นอย่างที่เด็กในวัยนั้นสมควรได้รับโอกาส แม้ว่าตอนนี้ซอนอินจะอายุย่างเข้าปีที่ 17 แล้ว แต่ความเป็นเด็กยังคงถูกซุกซ่อนอยู่ในตัวไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่พยายามที่จะไม่แสดงมันออกมา โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้ฮีอูและซอนอินที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันมีความแตกต่างทางนิสัยอย่างนี้

ยองจูขยับกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เขาเหม่อมองออกไปยังกรอบบานหน้าต่างด้านข้าง แหงนมองท้องฟ้าสีครามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หากเป็นคนทั่วไป การเห็นก้อนเมฆที่ลอยเอื่อยอย่างสงบอยู่บนท้องนภาสดใสนี้คงไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับปาร์คยองจู ราชครูหนุ่มที่ถูกผู้เป็นพ่อเฝ้าสอนถึงการดูโหราศาสตร์ของเผ่าชินซองอยู่เกือบตลอดชีวิตนั้นเข้าใจดีถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

เดือน 7 กำลังจะใกล้เข้ามา มีเวลาไม่มากแล้ว ก่อนที่ตัวตนที่แท้จริงของวังชอนซาจะถูกเปิดเผย

...ไม่สิ ทุกอย่างมันสายไปแล้วตั้งแต่คืนวันที่ซอนอินโดนลักพาตัวไป สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการพาซอนอินออกมาจากฮานึล ก่อนที่ทุกอย่างที่ชินซองพยายามปิดบังมาตลอดจะสูญเปล่า

สถานที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับซอนอินในเวลานี้ มีเพียงหุบเขาของชนเผ่าชินซองเท่านั้น

“นายท่าน” เสียงของชายชราเรียกให้ร่างสูงที่กำลังครุ่นคิดต้องหันไปมอง ที่ด้านนอกของตัวกระท่อม เมื่อมองจากบานหน้าต่างก็จะเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล “...ที่ห้องครัว เด็กคนนั้นมาทำอาหารด้วยตัวเอง ข้าไม่สามารถทำอย่างที่ท่านบอกไว้ได้เหมือนวันก่อนๆ”

“อืม ข้ารู้แล้ว นี่ค่าจ้างสำหรับวันนี้ พรุ่งนี้ก็ขอให้มาเวลาเดิม เข้าใจนะ” เหรียญสีทองสองเหรียญถูกส่งให้ชายชราที่รีบยื่นมือออกมารับอย่างกระตือรือร้น “จำเอาไว้ด้วย ว่าเจ้าไม่เคยรู้จักข้า ไม่เคยเห็นอะไรในที่นี้ ...หากเจ้าปากพล่อยเมื่อใด คงรู้นะว่าจะเป็นอย่างไร”

“ข้าไม่เคยรู้จักท่าน ไม่เคยเห็นที่แห่งนี้ ข้าสาบาน ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณที่ทำให้ข้ามีรายได้ไปรักษาลูกของข้า ขอบคุณ ขอบคุณ”

“ไปได้แล้ว”

ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังของชายชราที่ค่อยๆ วิ่งออกไปทางเนินเขา ชายผู้นั้นคือคนที่เขาบอกกับฮีอูว่าเป็นเจ้าของกระท่อม และเป็นคนที่คอยทำอาหารให้กับเขาทุกมื้อ ดังนั้นที่ผ่านมาสามวัน เขาและฮีอูจะได้ทานอาหารเที่ยงด้วยกันจากฝีมือของชายแก่ผู้นั้น

มือหยาบใหญ่กำแผ่นหยกที่ฮีอูคืนเขาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนไว้ในมือแน่น ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแผน เขาจะไม่ยอมให้อะไรมาขวางทางเด็ดขาด

 
ครึ่งชั่วยามต่อมา ซุปไก่ร้อนๆ และกับข้าวอีกสองสามอย่างก็วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะไม้กลางห้อง ร่างเล็กยิ้มร่าขณะเดินเข้าไปประคองร่างสูงให้ลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้

วงแขนเล็กกอดรอบเอวของคนที่ตัวสูงกว่า ทุลักทุเลเหมือนอย่างเคยที่ต้องพยายามประคองร่างของยองจูที่ทั้งสูงและหนักกว่าตนให้ก้าวเดินไปพร้อมกัน

“อ๊ะ!~”

เสียงเล็กอุทานลั่นเมื่อร่างทั้งร่างตกลงไปบนตักของร่างสูงที่เพิ่งจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ได้สำเร็จ วงแขนกว้างรวบคนตัวเล็กไว้แน่นด้วยกลัวว่าจะตกลงไปบนพื้น ทำให้ใบหน้าหวานจมลงกับอกอุ่นแนบสนิท

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“มะ...ไม่เป็นไร” ฮีอูเอ่ยตอบผ่านแผ่นอกหนาด้วยเสียงอู้อี้ มือขาวยกขึ้นดันอีกฝ่ายไม่แรงนัก เพื่อละตัวเองออกมายืนหน้าแดงหูแดง ซ้ำหัวใจก็ยังเต้นไม่เป็นส่ำ

อาการเขินอายของคนตัวเล็กนั้นไม่อาจปิดบังอีกคนได้ ยองจูระบายยิ้มยามที่ยกมือขึ้นลูบผิวแก้มอุ่นร้อนนั้นแผ่วเบา “ข้าว่าวันนี้เจ้าแปลกไปจริงๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงอย่างนี้?”

“ฮีอู?...”

“อ่ะ ป่ะ...เปล่า เราไม่ได้เป็นอะไร” ดวงหน้าแดงซ่านส่ายรัวไปมา ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบนั่งลงที่เก้าอี้ถัดจากร่างสูง มือเล็กรีบตักน้ำซุปให้กับคนป่วยทั้งที่ยังก้มหน้าหลบสายตาคม “ยองจูรีบทานดีกว่า เดี๋ยวเย็นหมด”

“อืม ฮีอูก็รีบทานเข้าเถิด”

บรรยากาศอบอุ่นบางเบาค่อยๆ โรยตัวลงมาเชื่องช้า ฮีอูลอบมองยองจูที่ทานอาหารฝีมือตนเองอย่างมีความสุข แอบยิ้มให้กับตัวเองไปก็หลายครั้ง ความรู้สึกของกระแสอุ่นซ่านที่เกิดขึ้นในอกนี้ทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก แม้จะเคยรู้สึกดีกับสิ่งที่องค์ชายใหญ่เคยมอบให้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยทำให้หัวใจของฮีอูปรวนแปรได้เท่ากับชายผู้นี้

...ใจของข้ากำลังมีความรักให้กับท่านใช่หรือเปล่า ยองจู...
 

“...ฮีอู ข้าวติดปากเจ้าแหนะ”

“.................”

“...ฮีอู” เป็นเพราะคนตัวเล็กเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวในถ้วยอย่างคนเหม่อลอย ทำให้เจ้าของเสียงทุ้มต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อเรียกซ้ำอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นเช่นเดิม ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังคิดเพลินเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ “ถ้าอย่างนั้น ข้าเอาออกให้นะ” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ใกล้ในระยะประชิด ทำให้ลมร้อนกระทบลงบนผิวแก้มนุ่ม ในจังหวะที่ปลายนิ้วเรียวยาวกำลังจะแตะดวงหน้าขาวนั้นเอง จู่ๆ ฮีอูก็หันขวับมาอย่างเพิ่งรู้สึกตัว

“อ่ะ!!”

ช่วงเวลาที่สองสายตาได้สบกัน ราวกับมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้ไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้ แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ทำให้ร่างสูงหลงใหลอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่ดวงตาคมกริบที่ราวกับเป็นกระบี่ปลายแหลมกำลังฟาดฟันลงมาที่กลางใจคนมองนั้นทำให้เกิดความลุ่มหลงอย่างที่คนตัวเล็กรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าตนพ่ายแพ้ให้กับชายผู้นี้อย่างสิ้นเชิง

ยามที่สายตายังสอดประสาน ปลายนิ้วอุ่นก็แตะแผ่วเบาเพื่อปัดเม็ดข้าวออกจากมุมปากบางสวย ใช้เวลาไม่นานที่จะปัดเม็ดข้าวเพียงสองเม็ดนั้น แต่กลับใช้เวลาเนิ่นนานที่ฝ่ามือหยาบไล้สัมผัสผิวแก้มนุ่มลื่นตรงหน้าอย่างไม่คิดจะถอยห่าง

ความอบอุ่นบนผิวแก้ม และดวงหน้าหล่อเหลาที่โน้มลงมาใกล้เรื่อยๆ ทำให้เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า ทันทีที่ความมืดมิดครอบงำลงมา ริมฝีปากสีสดก็ถูกประกบทาบทับแนบสนิท

มือเล็กยกขึ้นเกาะเกี่ยวบ่ากว้างขณะที่ริมฝีปากยังคงบดเบียดเข้าหากันราวกับเป็นแม่เหล็กดึงดูดไม่ให้แยกจาก รสจูบเร่าร้อนดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบ ริมฝีปากหนาค่อยๆ สำรวจดูดดึงกลีบปากบางคล้ายต้องการลิ้มรสความหอมหวานให้คุ้มค่ามากที่สุด

“อึก...” ข้อนิ้วเล็กที่จับยึดบ่ากว้างเกร็งแน่นขึ้นยามที่ถูกเรียวลิ้นร้อนแทรกลึกเข้ามาในโพรงปาก เสียงหวานครางอื้ออึงในลำคอยามที่ต้องตอบรับการเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นเข้าหากัน หยาดน้ำใสเอ่อล้นผ่านทางริมฝีปากของกันและกันจนเกิดเสียงเปียกลื่นดังก้องสะท้อนในความเงียบสงบภายในกระท่อมไม้

นานเท่าไหร่ไม่อาจล่วงรู้ กว่าที่คนทั้งสองจะผละจูบออกจากกัน เจ้าของกลีบปากบวมช้ำสีสดหอบหายใจรัวถี่จนแผ่นอกกระเพื่อมน้อยๆ ดวงหน้าเล็กยังคงเค้าของความฉ่ำหวานทั้งดวงตาและผิวแก้ม ท่วงท่าที่แสนน่ารักจากร่างเล็กนั้นยังผลให้คนตัวสูงก้มใบหน้าลงใกล้แล้วประทับจูบมุมปากสีสวยนั้นอีกครั้งทิ้งท้าย

ในตอนนี้ ร่างสูงโปร่งหันกลับมาจัดการกับอาหารตรงหน้าอีกครั้งแล้ว แต่คนตัวเล็กกลับยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง

“หากเจ้าไม่รีบทาน งั้นข้าจะป้อนเจ้าเองด้วยปากของข้านี่แหละ”

“เห๋?!!!”

“รู้สึกตัวเสียที” คนพูดปล่อยเสียงหัวเราะในคอแล้วระบายยิ้มกว้าง “ทานข้าวเถิด เกิดเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะช่วยดูแลข้าล่ะ”

“อ่ะ...อือ...” ก้มหน้างุดรับคำในคอ ตะเกียบในมือก็วนเขี่ยข้าวในถ้วยอยู่นานสองนานกว่าเจ้าตัวจะจับจังหวะหัวใจให้เป็นปกติได้ ถึงค่อยเริ่มทานข้าวจริงๆ จังๆ เสียที
 

แต่ถึงกระนั้น ฮีอูกลับพบว่า การกลืนข้าวให้ลงคอทั้งที่ตัวเองยังยิ้มไม่หุบอยู่แบบนี้ช่างเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งนัก...
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 7]
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 25-08-2016 18:57:35


เรื่องของนางสนมมากมายภายในวังหลวง เป็นที่รู้กันว่าเหล่าสาวงามแต่ละคนต่างก็ต้องการแก่งแย่งกันให้เป็นที่โปรดปรานขององค์กษัตริย์ ในหลายๆ แคว้นบนแผ่นดินนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น อย่างน้อยที่สุด นางสนมที่ได้รับแต่งตั้งไม่ว่าจะทางการเมืองหรือเป็นการแต่งตั้งเพราะผลประโยชน์ต่างๆ จะได้รับความเอ็นดูจากองค์กษัตริย์หนึ่งคืนเป็นอย่างต่ำ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษผู้ใด หากเป็นเรื่องของหญิงงาม ล้วนหลงมัวเมาในอารมณ์ไม่ต่างกัน

ทว่า กลับยังมีกษัทตริย์อยู่พระองค์หนึ่ง ที่ไม่ใคร่การสุขสำราญกับบรรดาสาวงามเท่าใดนัก แต่เป็นเพราะหน้าที่และเพื่อให้คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตได้ยอมรับสิ่งที่ตนเลือก พระองค์จึงตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีต่อคนผู้นั้นแล้วขึ้นครองราชย์ปกครองแคว้นฮานึลอย่างห้าวหาญ

...แม้ว่าหัวใจจะอ่อนแอมากเพียงไรก็ตาม

การให้กำเนิดโอรสองค์แรก นับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้อื่น กษัตริย์ชองฮวาจีทรงตั้งใจไว้เช่นนั้น ขอเพียงมีผู้สืบทอดบันลังก์ เรื่องที่เหลือต่อจากนี้ก็เพียงทุ่มเทให้กับบ้านเมืองจนสิ้นลมหายใจแล้วเท่านั้น การร่วมชีวิตกับราชินีที่เพียบพร้อมและจิตใจงดงามอย่างอึนจอง เพียงพอแล้วสำหรับพระองค์ แต่เรื่องทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ในคืนหนึ่งหลังจากที่มีการแต่งตั้งพระสนมชิมฮีวอน พระองค์ได้ให้กำเนิดโอรสองค์รองอีกหนึ่งองค์ด้วยความไม่ตั้งใจ หลังจากนั้นอีกหลายปีต่อมา ความสงบสุขที่พระองค์ปรารถนามาตลอดกลับไม่เป็นผล ความวุ่นวายภายในวังหลวงมีมากเกินกว่าที่จะควบคุมได้อย่างใจคิด ในคืนที่พระองค์ถูกลอบวางยาจากพิษดอกไม้อังฮวาเมื่อสองปีก่อนนั้นทำให้ทั่วทั้งวังเกิดโกลาหล และที่น่าเศร้าเสียใจที่สุด คือการพบหลักฐานว่าองค์ราชินีของพระองค์เป็นคนลอบวางยา ในวันประหาร ชองฮวาจี ไม่อาจช่วยเหลือภรรยาของตนได้เลย ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบของวังหลวง แม้ตัวของพระองค์จะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันได้

นับตั้งแต่นั้น ไม่มีวันใดที่องค์กษัตริย์แห่งฮานึลไม่นึกเสียใจต่อพระมารดาของจีรยง อึนจองดีต่อพระองค์มากนัก ทั้งยังเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องทุกอย่างของพระองค์ดีที่สุด นางไม่เคยได้รับความรักอย่างชู้สาวจากผู้เป็นพระสวามี แต่กระนั้น นางก็ยังรักและเข้าใจในชองฮวาจีมากกว่าใครทั้งหมด แม้อยากจะตอบแทนความรักที่มีให้นั้นมากเพียงใด ในตอนนี้ พระองค์กลับทำได้เพียงเลี้ยงดูบุตรชายของนางให้ดีที่สุดเท่านั้น

และเพราะความรักขององค์กษัตริย์ที่ทุ่มเทให้แต่เพียงโอรสองค์โตอย่างไม่ปิดบังนี้เอง ที่กำลังทำให้เรื่องในวังหลวงยุ่งยากมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
 

“เจ้าจะไปไหน จีมุน”

“เสด็จแม่...” ร่างสูงโปร่งหันกลับไปตามเสียงเรียก เด็กหนุ่มโค้งกายให้ผู้เป็นมารดาอย่างนอบน้อม ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพตามนิสัย “ลูกกำลังจะไปที่ตำหนักโยกัน เสด็จแม่มีสิ่งใดจะคุยกับลูกหรือ?”

“ตำหนักโยกัน? ที่ที่วังชอนซาพักอยู่น่ะหรือ?”

“ใช่พะย่ะค่ะ”

เรียวคิ้วบางที่ผ่านการดูแลมาอย่างดีเลิกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงสดตัดกับผิวหน้าขาวราวหิมะขยับเอ่ยวาจา “เสด็จพ่อตรัสกับแม่ว่า วังชอนซาผู้นี้อยู่ในความดูแลขององค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใด เจ้าถึงไปยุ่งกับคนของพี่ชายเจ้า ทั้งที่แม่เคยบอกตั้งไม่รู้กี่ครั้งว่าอย่าหาเรื่องให้เสด็จพ่อเคืองพระทัย!”

จีมุนก้มหน้านิ่ง เขารู้ดีว่าแม่ของเขาต้องการให้เขาเอาอกเอาใจเสด็จพ่อ พยายามทำทุกอย่างให้เสด็จพ่อเชื่อใจเพื่อที่ตนเองจะได้เป็นผู้ถูกเลือกให้ครองบัลลังก์ ทั้งที่ทั้งเขาและแม่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เสด็จพี่มีความสามารถมากกว่าเขามากมายนัก อีกทั้ง ลูกสนมอย่างเขามีหรือจะกล้าเทียบเสด็จพี่ที่เป็นถึงโอรสขององค์ราชินี ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่เสด็จพ่อเอ็นดูเขาอย่างทุกวันนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว

สิ่งที่เป็นของเสด็จพี่ ไม่มีวันที่เขาจะแย่งมาได้ จีมุนรู้ดี แต่เฉพาะกับเรื่องของคนคนนี้ ที่เขาทนยอมมองผ่านไปไม่ได้

“ลูกไม่สนว่าวังชอนซาจะเป็นคนของใคร ตราบใดที่ลูกสนใจเค้า ลูกก็จะทำตามหัวใจของลูก”

“ชองจีมุน! เจ้าหมายความเช่นไร!!!!” ดวงตาของสนมเอกเบิกกว้างราวกับได้ยินเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต

“เสด็จแม่เข้าพระทัยถูกแล้ว ถึงแม้เสด็จพี่จะเป็นคนดูแลวังชอนซาตลอดเวลาที่อยู่ฮานึล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ‘ตัวของวังชอนซา’ เป็นของเสด็จพี่ ดังนั้นลูกย่อมมีสิทธิ์ที่จะเข้าหาวังชอนซาอย่างบริสุทธิ์ใจ”

จีมุนโน้มกายลงต่ำกล่าวลาผู้เป็นมารดาแล้วหันกลับเดินต่อไปโดยไม่คิดจะหยุดฟังสิ่งใดอีก

“ชองจีมุน!! เจ้า!!....”
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

หลังเสร็จว่าราชกิจ รัชทายาทหนุ่มใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามเพียงเพื่อตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนเชลยคนสำคัญดีหรือไม่ ใจหนึ่งของชายหนุ่มนั้นอยากเห็นดวงหน้างดงามของวังชอนซาสักเศษเสี้ยวของชั่วยามก็ยังดี หากแต่อีกใจหนึ่งของเขากลับร้องเตือนว่าไม่สมควรทำตามใจตนเองเช่นนี้

ทว่า จนแล้วจนรอด จีรยงก็ต้องยอมสิโรราบให้กับความต้องการในส่วนลึกของจิตใจ

ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนในห้องโถงที่กว้างใหญ่เงียบสงัด นิ่งค้างอยู่บนแท่นประทับเพียงชั่วครู่ ก่อนจะออกเดินจากโถงว่าราชการ ตรงไปยังสถานที่ที่มีใครบางคนในห้วงความคิดพักอาศัยอยู่

...องค์รัชทายาทหนุ่มเพียงหวัง ว่าความหลงใหลนี้ จะเป็นเพียงอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะในเวลานี้พระองค์ไม่มีฮีอูคอยเติมเต็มให้อยู่ข้างพระวรกายดังเช่นที่เคย
 
 

“อ่ะ ถวายบัง.....” เสียงถวายความเคารพต่อองค์รัชทายาทยังหลุดออกจากปากข้ารับใช้ได้ไม่ครบประโยค มือใหญ่ก็รีบโบกปัดบอกให้เงียบ แล้วเดินผ่านสาวใช้ทั้งสองคนเข้าไปยังด้านในของตำหนักโยกันอย่างเงียบเสียง

 
ยามบ่ายแก่ๆ ซอนอินเลือกที่จะนั่งรับลมเล่นอยู่ริมหน้าต่างในห้องนอน เขาแกะเมล็ดทานตะวันป้อนให้เจ้านกน้อยในกรงไปพลาง แกะยัดเข้าปากตัวเองไปพลาง ฟังเสียงธรรมชาติไปพลาง  รื่นรมย์อะไรอย่างนี้เนี่ย~

ก็ไม่ใช่ว่ามีความสุขดีอะไรมากมายหรอกนะ แต่จะให้กระตือรือร้นให้เปลืองแรงไปไย ในเมื่อไม่มีหนทางให้หลบหนีเลยสักนิด อยู่ในวังหลวงฮานึลมาเป็นเดือนแล้ว ยังไม่มีข่าวอะไรคืบหน้าจากภายนอกเลยสักอย่าง ราชครูปาร์คก็หายเข้ากลีบเมฆ ทิ้งไว้แต่เจ้านกในกรงตัวนี้เท่านั้น

“ชิชะ เจ้านี่รู้มากจริงนะ รู้แล้วๆ ...โซยอน เจ้าไปเอาเมล็ดทานตะวันมาให้ข้าอีกถุงสิ” กำลังครึ้มอกครึ้มใจ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ปากแหลมๆ ของนกน้อยก็จิกลงมาที่นิ้วเป็นเชิงบอกว่าอยากกินอีก ทำเอาคนสวยต้องขมวดคิ้วยุ่งร้องสั่งสาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านนอกตัวห้อง

ดวงหน้าเรียวสวยแยกเขี้ยวใส่สิ่งมีชีวิตในกรงคล้ายการเย้าแหย่ “ข้าเป็นนายเจ้า หรือเจ้าเป็นนายข้ากันแน่ หืม!~~~~” ปลายนิ้วเรียวขยี้ปอยขนบนหัวกลมเล็กจ้อยอย่างหมั่นเขี้ยว

“เฮ้อ~ ข้าเริ่มเบื่อจริงๆ แล้วนะ วันๆ คุยแต่กับเจ้า อีกไม่นานข้าต้องเป็นบ้าตายแน่”

ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำยาวสลวยเอนซบท่อนแขนที่ทาบอยู่กับขอบหน้าต่าง ดวงตากลมโตจ้องมองเม็ดตาสุกใสของนกน้อยแล้วให้ถอนหายใจเบา

“ข้ารู้น่า เจ้าสงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมพักนี้ข้าถึงสติแตกต้องมานั่งคุยกับเจ้าบ่อยๆ”
 

จิ๊บ!~
 

“รู้ดีอีกแล้ว เฮ้อ~ ความจริงข้าก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันแหละ รู้แต่ว่าตอนนี้ข้ามีความสุขนิดๆ แหละ หุหุ” พูดไปแล้วก็นึกมึนกับตัวเองว่าคงเข้าขั้นคนเสียสติไม่น้อยที่มานั่งระบายความในใจกับสัตว์มีปีกตัวเท่าฝ่ามือ แต่จะให้เขาไปพูดแบบนี้กับใครได้เล่า จะให้บอกใครได้ว่าที่ยิ้มบ้ายิ้มบอได้ทั้งวันแบบนี้มันเพราะจูบแรกที่ถูกชิงไปในคืนนั้น

ในทีแรก ซอนอินไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงลืมรสสัมผัสในตอนนั้นไม่ได้เสียที ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แถมยังปวดหัวเข้าอีก จนแล้วจนรอด พอลองปล่อยให้ใจตัวเองเป็นผู้คิด ถึงได้รู้ว่า ทุกครั้งยามที่นึกถึงใบหน้าของคนผู้นั้น หัวใจก็จะเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ ซ้ำความร้อนในร่างกายยังพุ่งพล่านลามไปทั้งหน้าทั้งคออีก

แม้จะไม่รู้ว่าอาการพวกนั้นหมายถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ ซอนอินรู้ว่า ยามที่คิดถึงชองจีรยง มันเป็นความรู้สึกที่ดี

“นี่เจ้านกน้อย เจ้าว่าเวลาที่ชองจีรยงทำหน้าแบบนี้ ใจจริงแล้วจะเป็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า?” ศีรษะเล็กยกขึ้นจากท่อนแขน ซอนอินทำหน้าเลียนแบบเจ้าของชื่อด้วยการใช้นิ้วดันหางคิ้วให้ชี้สูง แล้วปั้นหน้าเข้มดุน่าเกรงขาม

“ฮ่าๆ เจ้ายังกลัวเลยใช่ไหมล่ะ” เสียงหวานใสหัวเราะร่วนเมื่อเห็นนกน้อยตีปีกพับๆ บินว่อนไปทั่วกรง

ซอนอินระบายยิ้มบาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเซื่องซึม “...ข้าว่า ชองจีรยงเป็นคนตรงไปตรงมา สิ่งที่ข้าเห็น ย่อมตรงกับใจของคนผู้นั้นไม่ผิดแน่ เค้าเกลียดข้าเช่นไร ย่อมต้องการแกล้งข้ามากเท่านั้น ถ้าใจของข้าไม่คล้อยตามก็ดีสิ ข้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บอย่างนี้”

ดวงหน้าหวานเศร้าแนบซบลงกับท่อนแขนอีกครั้ง ปลายนิ้วแตะผะแผ่วบนริมฝีปากตัวเองอย่างเลื่อนลอย “...ข้าอยากกลับบ้านมากเลย ที่นี่มีแต่เรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ คนพวกนั้นต้องการอะไรจากข้า ถ้าแค่เรื่องสงคราม ไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจข้าเลย แค่จับข้ามาขังก็น่าจะพอใจแล้ว ทำไมจะต้องเข้ามาทำให้ใจของข้ารู้สึกแปลกประหลาดอย่างนี้ด้วย”

“...ไม่คิดจะให้ข้าอยู่อย่างเป็นสุขสินะ เชลยย่อมต้องโดนทรมาน ถ้าเช่นนั้น จับข้าไปขังไว้ในคุกเสียก็สิ้นเรื่อง” ซอนอินเอ่ยเสียงแผ่วขณะที่เปลือกตาค่อยๆ หรี่ลง

ความรู้สึกที่แจ่มชัดในใจนี้ส่งผลให้ร่างบางรู้ตัวว่าตนเองกำลังถลำลึกไปอย่างไม่ทันได้รู้ตัว จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ในเมื่อทุกอย่างที่เกี่ยวกับชองจีรยงกำลังทำให้ใจของเขาหวั่นไหวจนยากจะเข้าใจ ทั้งคนรักของคนผู้นั้น ทั้งการที่มีหญิงนางโลมล้อมหน้าล้อมหลัง เพียงแค่เห็นก็นึกฉุนนึกอิจฉาคนพวกนั้นไปหมด

เหตุผลเดียวที่ชองจีรยงเข้าใกล้เขาอย่างเช่นจูบในวันนั้น มันก็เป็นเพียงการกระทำที่ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆ ต่อเขา นอกไปเสียจากความชิงชังต่อโอรสของแคว้นศัตรู

ทั้งคิมซอนอิน ทั้งวังชอนซา ไม่ว่าจะตำแหน่งใด ก็ไม่อยู่ในสายตาของชองจีรยงแม้แต่น้อย

สายลมเย็นยามบ่ายแก่ๆ พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบางเบา ฉุดดึงให้คนร่างบางคล้อยหลับไปอย่างง่ายดายโดยที่เจ้าตัวลืมเรื่องเมล็ดทานตะวันไปเสียสนิท

 
จิ๊บๆ!~

 
“ชู่ว...” ร่างสูงสง่าในชุดว่าราชการขยับออกจากมุมห้องที่อับแสงหลังจากที่ยืนหลบอยู่นานสองนานแล้ว เขาเดินก้าวไปใกล้บานหน้าต่างแล้วยกนิ้วขึ้นส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกให้นกน้อยเงียบเสียงซะ พร้อมทั้งเทเมล็ดทานตะวันกว่าครึ่งถุงลงไปในกระบวยไม้ภายในกรงนก

รูปหน้าคมเข้มก้มลงมองสีหน้ายามหลับของเชลยคนสวย ริมฝีปากหยักหนายกยิ้มบางยามที่นึกไปถึงถ้อยคำของคนร่างบางเมื่อครู่ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่เพราะอีกคนเล่นเอ่ยความในใจออกมาเสียขนาดนั้น ทำให้เขาเกิดความสนใจจึงได้แต่ยืนเงียบหลบอยู่ที่มุมห้อง

...หึ ช่างเป็นหงส์แสนงามที่น่าสนใจนัก

ข้อนิ้วหนาเกลี่ยปอยผมที่ปรกลงมาให้พ้นดวงหน้าเรียวสวยอย่างเบามือ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมของร่างบางนั้นยาวเกินพอดี แม้เจ้าตัวจะมัดรวบครึ่งศีรษะไว้จำนวนหนึ่งแล้วก็ตาม

จีรยงยกยิ้มที่มุมปากอย่างคนที่เพิ่งนึกเรื่องดีๆ ได้ เขาเดินไปหยิบหวีที่หน้ากระจก แล้วพาตัวเองกลับมายืนที่เดิม มือใหญ่ค่อยๆ คลายปมมวยที่มัดอยู่บนศีรษะเล็กอย่างเบามือ เขาจัดการสางเส้นผมนุ่มลื่นดุจแพรไหมเนื้อดีให้แผ่สยายเรียงตัวยาวลงมาอย่างสวยงาม ก่อนจะเริ่มจับนั่นม้วนนี่อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก

 
กว่าที่องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับ ก็ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น นางกำนัลสาวทั้งสอง และองครักษ์ฝาแฝดน้อมกายต่ำถวายบังคมลาอย่างนอบน้อม แต่ทันทีที่นายเหนือหัวเดินลับหายไปจากประตูทางเข้าของตำหนักโยกัน เด็กหนุ่มตัวเล็กก็โพลงขึ้นเสียงดัง

“พวกเจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือเปล่า?!! อ่ะ!!!!”

ก่อนจะตามมาด้วยแรงฝ่ามือใหญ่ที่เสยเข้ากลางหัว

“พี่ใหญ่ตบหัวข้าทำไม?!!” ร่างเล็กบางคลำหัวป้อยน้ำตาซึม

“ก็เพราะเจ้าเสียงดังน่ะสิ! ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าองค์วังชอนซาทรงบรรทมอยู่น่ะ!” เป็นยอนอาที่ตอบข้อสงสัยให้กับเด็กหนุ่มได้เข้าใจ

“อ่าๆ ข้ารู้แล้วๆ ...แต่มันน่าแปลกใจนี่น่า ข้าไม่เคยเห็น พระพักตร์อ่อนโยนเช่นนั้นขององค์รัชทายาทเลยนะ จะให้ถูก ก็ไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่ที่องค์ราชินีสิ้นพระชนม์  ...เนาะ พี่ใหญ่” ท้ายประโยค ดวงหน้าใสหันไปขอความเห็นกับแฝดผู้พี่อย่างต้องการหาแนวร่วม แต่ดูจากสีหน้านิ่งเฉยเรียบสนิทแล้ว กึมซองก็ได้คำตอบแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาถามซ้ำสอง

“กึมซอง ทำไมเจ้าถึงได้ช่างสอดรู้นักนะ เป็นนายทหารต้องรู้จักกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดไม่ใช่หรืออย่างไร ดูอย่างพี่ชายเจ้าสิ นิ่งขรึมสมกับเป็นองครักษ์ขององค์รัชทายาท ส่วนเจ้านี่นะ ข้าไม่เข้าใจเล้ยว่ามาอยู่ตำแหน่งเดียวกับโทซองได้อย่างไร”

“น้อยๆ หน่อยแม่นางดีเลิศประเสริฐศรีทุกสิ่งอย่าง เห็นข้าเป็นอย่างนี้ ขอบอกว่าเรื่องสอดแนม หลอกล่อ ปล้นสวาทนี่ไม่มีใครเก่งเกินข้า อย่างพี่ใหญ่น่ะ ยังสู้ข้าไม่ได้ครึ่งเลย!! อ่ะ...!!!” ยังอวดสรรพคุณตนเองไม่จบดี คนที่ถูกปรามาสก็รวบเอวเล็กบางของน้องชายขึ้นพาดบ่าอย่างง่ายดาย

โทซองถอนหายใจเบาพลางว่า “หากเจ้ามีดีแค่หน้าตา ก็อย่าใช้ให้มันพร่ำเพรื่อนัก หัดรู้ใจคนอื่นเสียบ้าง เอาแต่สอดรู้เรื่องไม่เป็นเรื่อง”

“อ๊า~ ปล่อยข้าลงนะพี่ใหญ่~ แล้วรู้ใจคนอื่นนี่ใคร? อะไรของเจ้า ทำไมพูดอะไรข้าไม่เห็นเข้าใจ??!~” มือเล็กทุบอักๆ ลงบนแผ่นหลังกว้างขณะที่คนเป็นพี่ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา

“ฮ่าๆ” สาวใช้สองพี่น้องต่างลอบมองตากัน ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะให้กับคู่ฝาแฝดที่ต่างกันคนละขั้ว

“อ่ะ จริงสิ พี่ยอนอา พวกเราลืมทูลองค์รัชทายาทเลย ว่าองค์ชายรองแวะมาที่นี่ตอนที่พระองค์กำลังสางเส้นผมให้กับวังชอนซา”

ยอนอาหันขวับไปจ้องหน้าน้องสาวทันที ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “เลยตามเลยแล้วกัน” จะมาหรือไม่มาก็มีค่าเท่ากัน ในเมื่อองค์ชายรองเดินเข้าไปในตำหนัก แต่กลับไม่ได้เข้าไปในห้องบรรทม เพียงแต่ยืนมองภาพในห้องนั้นอยู่ชั่วครู่แล้วก็เดินกลับออกมาเสียอย่างนั้น

 
 
อาหารมื้อเย็นใกล้จะตั้งโต๊ะ คนที่นอนขดอยู่บนเตียงตั้งแต่ท้องฟ้ายังสว่างเพิ่งจะเริ่มขยับกายบิดไปมาด้วยอาการสะลึมสะลือ เรือนร่างบอบบางพาตัวเองลุกขึ้นนั่งขยี้ตาด้วยสีหน้ามึนงง

“ตื่นแล้วหรือเพคะ? ทรงหิวหรือยังเพคะ โซยอนใกล้จะตั้งสำรับแล้ว รอสักครู่นะเพคะ”

“อือ~ ยอนอา?...ทำไมข้ามานอนบนเตียงได้ล่ะ?” จำได้ว่าฟุบหลับที่ขอบหน้าต่าง แล้วทำไมถึงตื่นมาบนเตียงละนี่? ขณะที่รับผ้าชุบน้ำจากสาวใช้มาเช็ดหน้าเช็ดตา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่พาดผ่านไหล่มากองอยู่ด้านหน้า

“อ้อ ตอนที่องค์วังชอนซาทรงหลับ องค์....” จู่ๆ เสียงหวานของคนบนเตียงก็ร้องดังลั่นกลบเสียงของคนที่กำลังเอ่ยตอบเสียมิด ทำเอานางกำนัลยอนอาถึงกับผงะไปด้านหลังเล็กน้อยด้วยความตกใจ
 
 

“ใครบังอาจมาถักเปียให้ข้า?!!!!!!!!!”
 
 
...เป็นเรื่องปกติที่ คิมซอนอิน โอรสองค์โตแห่งเชินอันจะหงุดหงิดเช่นนี้ ในเมื่อ การถักเปียในยุคสมัยนี้ มีแต่พวกผู้หญิงเท่านั้นแหละ!!
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 7]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-08-2016 23:54:38
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 8] 26/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 26-08-2016 14:29:16

บทที่ 8


เป็นเวลากว่าครึ่งวันที่คนสวยบนเตียงเอาแต่นั่งบิดแพรพกในมือไปมา สลับกับการบ่นงึมงำคล้ายกำลังสวดมนต์ดำสาปแช่งเจ้าของผืนผ้าแพรพกเนื้อดีที่มีลวดลายการปักบรรจงประณีตบ่งบอกสถานะของเจ้าของผู้สูงส่ง

เป็นใครจะทนได้? ถูกดูหมิ่นว่าเป็นผู้หญิงเช่นนี้น่ะ!!

ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องมองผืนผ้าในมือแล้วก็ให้หงุดหงิดจนต้องก้มลงกัดทึ้งเสียเต็มแรง ภาพของหงส์ตัวเล็กที่กำลังฟัดนัวเนียกับผ้าแพรในมืออยู่บนเตียงนั้น ยังผลให้ข้ารับใช้ทั้งสองคนที่ยืนชะเง้อคอมองอยู่ที่ขอบประตูห้องต้องปิดปากหัวเราะคิกอย่างควบคุมไม่อยู่

จะไม่ให้นางกำนัลสาวทั้งสองหัวเราะได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อตั้งแต่เย็นวานที่นายของพวกเธอตื่นขึ้นมาพบว่าถูกองค์รัชทายาทถักเปียให้นั้นหงุดหงิดจนหน้าแดงหูแดงเสียขนาดนั้น ทั้งยังโกรธจัดจนไม่ยอมทานข้าว เอาแต่นั่งสะบัดแพรพกที่องค์รัชทายาทหยิบออกจากอกเสื้อของพระองค์มาใช้มัดปลายผมให้กับองค์วังชอนซา ทันทีที่แกะเปียออกได้ เจ้านายคนสวยก็นั่งวุ่นวายอยู่กับของสิ่งนั้นมาตลอด โชคยังดีที่เมื่อตอนเช้าทรงหิวจนยอมทานข้าวแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นจากเรื่องสนุก คงได้กลายเป็นเรื่องทุกข์เป็นแน่

“พี่ว่าวันนี้องค์รัชทายาทจะเสด็จมาหรือเปล่า?” เสียงของโซยอนกระซิบเบา

“มีแต่สวรรค์เท่านั้นแหละที่รู้”

เนื่องจากวันนี้โทซองและกึมซองมีภารกิจที่ต้องออกนอกวัง ทำให้ไม่มีผู้ใดมาพูดขัดสองสาวให้เสียอารมณ์ ขณะที่กำนัลสองพี่น้องยังคงยืนซุบซิบกันอยู่นั้นเอง เสียงของนายทหารเวรยามหน้าตำหนักโยกันก็ดังขึ้น ร้องบอกว่าองค์รัชทายาทกำลังเสด็จมา

“ถวายพระพรเพคะองค์รัชทายาท”

จีรยงเพียงแค่พยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปในตัวตำหนัก

“วังชอนซาทานอาหารกลางวันหรือยัง?”

“ทูลฝ่าบาท องค์วังชอนซาทรงยังไม่ได้เสวยเลยเพคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเจ้าไปเตรียมสำรับให้พร้อม ข้าจะทานที่ตำหนักโยกัน” คนพูดจุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ก่อนจะรีบสาวเท้าพาร่างสูงสง่าของตนเองเข้าไปในห้องนอนตามที่สาวใช้ทั้งสองบอกว่าคนร่างบางอยู่ในนั้น

เมื่อก้าวพ้นประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือภาพของคนตัวเล็กนั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเตียงสี่เสา สองมือจับขยุ้มอะไรบางอย่าง ดวงตากลมโตเป็นประกายนั้นก็จ้องมองของในมือราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ ซ้ำริมฝีปากบางสีสดยังเอาแต่ขยับพึมพำ บ้างก็ขบเม้มเป็นเส้นตรง ชวนมองไม่น้อย

ดูท่าคนบนเตียงจะหมกมุ่นอยู่กับแพรพกในมือมากเกินไป ถึงเพิ่งมารู้สึกตัวว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องก็ตอนที่ฝ่ายนั้นทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียง ทั้งยังยกยิ้มน่าโมโหให้อีก!

“เจ้า! มาที่นี่ได้ยังไง!!” ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างมากขึ้นราวกับตุ๊กตา

“ที่นี่วังหลวงของข้า”

คำตอบง่ายๆ บวกกับท่าทางสบายๆ อย่างไม่สะทกสะท้านกับการมานั่งที่เตียงผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นทำเอาคนสวยยิ่งเกิดอาการเดือดจัด

แต่ที่ยิ่งทำให้เดือดจนเส้นเลือดแทบจะปุดๆ ออกมาอยู่รอมร่อคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นี่ต่างหาก!

ริมฝีปากสีแดงเม้มแน่น ดวงหน้าสวยเชิดขึ้นเล็กน้อย “เจ้ามาก็ดี! ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการกับเจ้าอยู่พอดี” ร่างบางขยับถอยไปติดกับหัวเตียงเล็กน้อยแล้วยืดแผ่นหลังตั้งตรง มือขาวหยิบแพรพกขึ้นชูต่อหน้าองค์รัชทายาทแห่งฮานึล “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งวุ่นวายกับผมของข้า?! ข้าไม่ยักรู้ว่า องค์รัชทายาทแห่งฮานึล จะไร้มารยาทได้เช่นนี้!!!”

ไหล่กว้างยักขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไข จีรยงเอื้อมมือขึ้นหมายจะคว้าแพรพกของตนคืน แต่พอเห็นท่าทางของร่างบางที่สะดุ้งถดกายหนีไปสองคืบก็นึกสนุก เขาละมือลงต่ำแล้วคว้าข้อมือขาวไว้แทน ก่อนออกแรงกระชากร่างบางที่ไม่ทันได้ขัดขืนให้ขยับเข้ามาใกล้

“ปล่อยข้านะ!!”

เห็นมือบางอีกข้างเตรียมยกฟาดลงมา จีรยงก็รีบรวบมือข้างนั้นมากำไว้รวมกันด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา

“อ่ะ! ข้าบอกให้ปล่อยไงล่ะ!! ปล่อยข้านะเจ้าคนไร้มารยาท!!”

นอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว คนร่างสูงยังสอดวงแขนตวัดรอบเอวเล็กให้เจ้าของร่างลอยตุบมานั่งดิ้นขลุกขลักอยู่บนตักได้อย่างไม่ยากเย็น

เมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนและอ้อมอกของรัชทายาทหนุ่มอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้เป็นเชลยต่างแคว้นก็ยิ่งดีดดิ้นอย่างเอาตัวรอดมากขึ้นเป็นเท่าตัวโดยไร้ความหมาย เพราะนอกจะไม่เกิดผลอันใดแล้ว ยังส่งผลให้วงแขนกว้างกอดรัดตนมากขึ้นเท่านั้น

“ปล่อยข้า!! อย่าเห็นว่าข้าเป็นเชลยแล้วเจ้าจะมาทำแบบนี้กับข้าได้นะ!!! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้เจ้าคนไร้สำนึก!!!!”

“ชู่ว์” ใบหน้าคมก้มลงกระซิบใกล้ใบหูเล็ก ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบซอกคอขาวยามที่คนด้านหลังเอื้อนเอ่ยราวกระซิบ ทำให้ร่างเล็กกว่าแข็งทื่อขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ข้าย่อมต้องเห็นว่าเจ้าเป็นเชลยของข้า และสิทธิ์ของข้าย่อมมีในตัวเจ้าทุกประการ”

จีรยงเกี่ยวข้อนิ้วเข้ากับเรือนผมนุ่มที่คลอเคลียลำคอเพรียวระหงของคนที่ยังนั่งนิ่งตัวแข็งอยู่บนตัก “ไหนเจ้าลองบอกข้าสิว่า คนที่เป็นเชลย มีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งใดได้?” สิ้นคำพูดนั้น สันจมูกโด่งก็ขยับเข้าใกล้ซอกคอขาวเนียน ก่อนจะสูดดมผิวเนื้อนุ่มหอมบริเวณนั้นอย่างถือวิสาสะ

ร่างที่นิ่งค้างอยู่เมื่อครู่พลันสะดุ้งเฮือก ซอนอินขืนแรงอีกครั้งราวกับเพิ่งได้สติ “เจ้าจะทำอะไร! หยุดนะ!!” สองแขนไม่อาจขยับได้ ศีรษะเล็กจึงทำได้เพียงเอียงหลบไปด้านข้างอย่างสุดกำลัง เพื่อหลีกหนีริมฝีปากอุ่นที่เริ่มคลอเคลียแตะผะแผ่วสัมผัสเน้นย้ำลงมามากขึ้น

“หยุดนะ!! ปล่อยข้า! ปล่อยข้าสิ!!”

ริมฝีปากหยักผละออก หลังมือใหญ่ข้างหนึ่งแนบลงกับผิวแก้มสีแดงปลั่งจากอารมณ์ของเจ้าตัว น้ำเสียงทุ้มเอ่ยเรียบเรื่อย “เจ้าอย่าดิ้นให้มากนักเลย เจ้าชอบให้ข้าสัมผัสไม่ใช่หรือไง?”

ดวงหน้าสวยแดงวาบยิ่งกว่าเดิม ศีรษะเล็กหันขวับไปหาคนพูดอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่……..!!!” คำปฏิเสธที่เหลือดูเหมือนจะกลืนหายลงไปในลำคออย่างช่วยไม่ได้ เมื่อดวงตาคมกริบที่แสนเย็นชาแต่กลับแฝงไว้ด้วยความน่าหลงใหลจ้องตอบกลับมาในระยะที่มีเพียงลมหายใจกั้น

ซอนอินรู้สึกได้ว่าก้อนเนื้อในอกกำลังเต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมา เสียงหัวใจดังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาทจนน่ากลัวว่าอีกคนจะได้ยิน

“เจ้าไม่สิ่งใด?” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา แต่กระนั้นเมื่อระยะห่างมีเพียงแค่อากาศกั้น คนสวยจึงได้ยินชัดเจน แต่ทว่า กลับให้คำตอบแก่องค์รัชทายาทแห่งฮานึลไม่ได้แม้แต่น้อย

ข้าไม่สิ่งใดล่ะ? ...ซอนอินทวนคำถามนั้นในใจซ้ำไปซ้ำมา ตัวเขาไม่ต้องการสิ่งใดจากคนตรงหน้านี้งั้นหรือ?

ไม่ต้องการแม้แต่สัมผัสที่แสนอบอุ่นนี้หรือ?...

ไม่ใช่ ต่อให้รู้ว่าเป็นแค่เรื่องสนุกของอีกฝ่าย ...ซอนอินก็ต้องการ

มือที่ลูบไล้ผิวแก้มนุ่มเลื่อนลงที่ริมฝีปากสีสด ปลายนิ้วหนากดน้ำหนักลงบนกลีบปากบางเล็กน้อย “หากเจ้าไม่ตอบ ข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับสิ่งที่ข้าพูดไป”

จีรยงเคลื่อนหน้าเข้าใกล้มากขึ้น ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นเป็นเส้นตรงที่เห็นอยู่นี้ดึงดูดให้เขาอยากสัมผัสจนทนแทบทนไม่ไหว หากแต่ในจังหวะนั้นเอง เสียงหวานก็เอ่ยขึ้น

“ข้าไม่ชอบที่เจ้าสัมผัสข้า ปล่อยข้าได้หรือยัง องค์รัชทายาท?”

เรียวคิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเรียบเฉยขององค์รัชทายาทหนุ่มไม่ได้แปรเปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่จับยึดปลายคางมนของคนที่ก้มหน้าให้เงยขึ้นสบสายตา

“ผู้ใดสนว่าเจ้าจะคิดเช่นไร?” วาจาที่เอ่ยออกมาจากคนที่กำลังจะได้เป็นกษัตริย์นั้นทรงพลังไปด้วยอำนาจ แม้น้ำเสียงนั้นจะไม่ได้ฟังดูคุกคามบังคับแต่อย่างใด แต่ซอนอินกลับรู้สึกว่าทุกคำพูดที่เอ่ยออกจากปากของบุรุษผู้นี้นั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนฟังไม่อาจปฏิเสธหรือต่อต้านสิ่งใดได้เลย

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าเป็นของข้า ตราบใดที่เจ้าอยู่ในฮานึล ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า เป็นของข้า”

ในเวลานี้ ต่อให้มือทั้งสองไม่ได้ถูกพันธนาการด้วยมือใหญ่ ซอนอินก็ไม่อาจผลักไสหรือต่อต้านได้อีกต่อไป ทันทีที่ริมฝีปากถูกครอบครองด้วยรสจูบอุ่นร้อนที่มาพร้อมกับความหอมหวานนั้นได้ฉุดดึงอารมณ์ของเขาให้หวั่นไหวคล้อยตาม ยากจะปฏิเสธ แต่กลับง่ายที่จะทำให้ร่างทั้งร่างรวมถึงหัวใจโอนอ่อนอย่างว่าง่าย

ครั้งแรกที่ซอนอินรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจูบจากคนตรงหน้านั้นเป็นเพียงความทรงจำที่ลางเลือน ในเวลานี้เขาได้รับรู้อย่างชัดเจนแล้วว่าครั้งนั้นมันไม่ใช่ การแตะสัมผัสเพียงผิวเผินไม่อาจเรียกว่าจูบได้อย่างเช่นในตอนนี้

ริมฝีปากที่บดเบียดเข้าหาอย่างรุกเร้าทำให้คนร่างบางยิ่งทำอะไรไม่ถูก ร่างกายสั่นสะท้านน้อยๆ อยู่บนตักกว้าง ลมหายใจสะดุดขาดห้วงเมื่อในที่สุดโพลงปากก็ถูกรุกล้ำเข้ามา

“อื้อ...อือ........”

แนวฟันขาวถูกเรียวลิ้นหนาสำรวจซอนเซาะจนทั่ว เสียงอื้ออึงในลำคออย่างคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการถูกช่วงชิงลมหายใจไปเช่นนี้ยิ่งกระตุ้นให้ร่างสูงอยากเสพสุขความหอมหวานจากคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น จีรยงดูดคลึงลิ้นเล็กที่คอยแต่จะหลีกหนี ไล่ต้อนด้วยความเพลิดเพลินราวกับราชสีห์ที่ต้องการจะเล่นไล่จับกับเหยื่อตัวน้อย ที่พอเหนื่อยเมื่อใด กรงเล็บแหลมคมทั้งหมดก็พร้อมที่จะขย้ำเหยื่อให้ยอมสิโรราบอยู่ภายใต้ร่างกายของตนได้อย่างไม่ยากเย็น

และก็เป็นเช่นนั้น ไม่นานนัก จากคนที่เป็นฝ่ายหลีกหนีกลับเป็นฝ่ายไล่หา องค์รัชทายาทหนุ่มนั้นเป็นผู้เจนจัดในเรื่องเล้าโลมเป็นอย่างดี ดังนั้นวิธีการที่ใช้กับคนตรงหน้าจึงได้ผลแทบจะในทันที การปลุกอารมณ์ให้อีกฝ่ายเคลิบเคลิ้มนั้นยังผลให้ไม่อาจต่อต้าน และยิ่งไม่อาจยอมให้หยุดได้ เพียงแค่เขาดึงลิ้นกลับแล้วขบกัดริมฝีปากบางนุ่มทั้งบนล่างอย่างหยอกเย้าเล่นอยู่เพียงครู่ ลิ้นเล็กกลับเป็นฝ่ายหาโอกาสเรียกร้องเชิญชวนให้เข้าหาอีกครั้ง

ครั้งที่สองของการแลกจูบที่ยาวนานได้เริ่มขึ้น ทว่าคราวนี้ต่างจากครั้งแรก ร่างบางยอมไล่ตามคนที่มีอำนาจมากกว่าแต่โดยดี ซ้ำยังตอบรับได้หวานล้ำจนนัยน์ตาเรียวคมดุจรัตติกาลที่เฉยชาปรากฏประกายแววตาที่แปลกไป หากซอนอินไม่ได้หลับตาอย่างในตอนนี้ เขาคงได้เห็นรอยยิ้มในดวงตาคมคู่นั้นขององค์รัชทายาทหนุ่ม

“อือ อือ...อึ...อืออออ”

ผลพวงจากการจูบดูดดื่มอย่างไม่เว้นจังหวะ คือปอดเล็กของคนที่ไม่เคยจูบใครเริ่มโหยหาอากาศจนเสียงหวานร้องครางเครือด้วยความทรมานที่แฝงไว้ด้วยความสุขสม เรือนกายบอบบางที่เกร็งขึ้นทำให้เจ้าของอ้อมกอดรู้ว่าเวลาของอาหารเรียกน้ำย่อยได้หมดลงแล้ว

จีรยงผละจูบจากคนตรงหน้าอย่างแสนเสียดาย หยาดน้ำใสที่เชื่อมโยงกันถูกริมฝีปากอุ่นแนบซับตามมุมปากให้คนที่นั่งหอบหายใจหนักหน่วงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะละใบหน้าออกมาจ้องมองดวงหน้าหวานที่ซับสีเลือดจนทั่ว ดวงตากลมโตคู่นั้นเล่าก็เชื่อมแสงเสียจนไม่อยากจะคลาดสายตาไปไหน

ขณะที่นั่งมองคนที่ยังจับจังหวะหายใจไม่ได้ ริมฝีปากหยักก็เกิดแห้งผากจนต้องส่งลิ้นเข้าช่วยเลีย แต่ไม่ว่าอย่างไร ดูเหมือนว่าเขายังต้องการความชุ่มชื้นจากริมฝีปากหวานฉ่ำนั้นอีกครั้ง

ร่างสูงไม่รอให้ความคิดแล่นไปไหนอีก เขาก้มลงมอบจูบให้ร่างบางอีกครั้ง จูบซ้ำๆ โดยไม่ฟังความเห็นอื่นใด ไม่สนมือเล็กที่เริ่มบิดไปมาอย่างต้องการปฏิเสธ ไม่สนเสียงอื้ออึงร้องขออากาศจนน้ำตาเม็ดใสคลอปริ่มอยู่ในดวงตาคู่สวย เขาเพียงแต่เน้นย้ำจูบหนักๆ ดูดคลึง ขบกัด แนบสัมผัสเข้าหาแล้วผละออกไม่ถึงอึดใจ ก่อนจะเริ่มจูบลึกล้ำอีกครั้ง...และอีกครั้ง

ภายในห้องที่เงียบสงบ เสียงจูบเร่าร้อนดังสะท้อนอยู่ภายในห้องที่มีไอแดดอุ่นๆ ส่องไล่เข้ามา ย้อมร่างสองร่างที่นั่งอยู่บนเตียงให้กลายเป็นสีทองสว่างไสวเป็นประกายระยิบ ขับให้มวลอากาศโดยรอบดูอ่อนโยนและอบอุ่น เฉกเช่นอากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

จวบจนกระทั่งหนำพระทัยขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลในจูบครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้นั่นแหละ คนร่างเล็กถึงได้เริ่มหายใจได้อย่างเป็นอิสระ

ปากสีแดงสดบวมเจ่อเพราะถูกฟันคมขบกัดไปไม่รู้กี่ครั้ง น่ากลัวว่าริมฝีปากล่างจะแตกด้วยซ้ำ แต่เพราะจูบที่ไม่รู้จักพอของร่างสูงถึงได้ทำให้เลือดหยุดไหลไปนานแล้ว

“ปล่อย...ปล่อยข้าได้หรือยัง?” หลังจากที่นิ่งเงียบจ้องตากันอยู่นาน เสียงหวานก็เอ่ยอึกอักทำตัวไม่ถูก

“เหตุใดข้าต้องฟังเจ้า?” วงแขนกว้างกอดแน่นขึ้น

ซอนอินก้มหน้าหลบทุกความรู้สึกจากคนตรงหน้าและของตัวเอง ริมฝีปากสีสวยเม้มแน่นอย่างเคยชิน ทว่าก็ต้องร้อง ‘อ่ะ’ ออกมาทันทีที่ทำเช่นนั้น ด้วยเพราะความเจ็บจากการถูกขบกัดอย่างไม่ปราณีเมื่อครู่

“ให้ข้าดูหน่อย” จีรยงจับปลายคางมนให้เงยขึ้น แต่อีกฝ่ายขืนแรง พร้อมส่ายศีรษะรัวจนเรือนผมดำขลับขยับเป็นลอนคลื่นสวย

ใครจะยอมให้ดูกัน? ...ซอนอินนึกฉุนในใจ แค่นี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว จูบเมื่อครู่เขาต้องทำอะไรหน้าไม่อายไปนับไม่ถ้วนแน่ๆ วิธีการต่อกรอะไรก็ไม่มี เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เคยจูบกับใคร คิดแล้วก็น่าขายหน้านัก!

“จะเงยหน้าขึ้นดีๆ หรือจะให้ข้ากดเจ้าลงบนเตียง?” คำขู่นั้นได้ผลชะงัด ซอนอินรีบเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่จีรยงจะได้ตรวจดูริมฝีปากบาง เสียงของยอนอาที่เดินก้มหน้าก้มตาอย่างนอบน้อมเข้ามาในห้องก็ดังขึ้น

“ทูลฝ่าบาท สำรับเตรียมพร้อมแล้วเพคะ....อ่ะ...” เด็กสาวเกือบสะดุดคำพูดตนเองเมื่อเงยหน้าขึ้นพบว่าวังชอนซาคนสวยของเธอนั่งอยู่บนตักขององค์รัชทายาท ซ้ำยังอยู่ในวงแขนของพระองค์เสียแนบแน่น

จีรยงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมองคนบนตัก ที่ตอนนี้ก้มหน้างุดหลบสาวใช้ด้วยความเขินอาย เขาคลายวงแขนออกจากเรือนร่างหอมกรุ่น เพราะหากเขายังยึดร่างนั้นไว้นานกว่านี้ จากทานอาหารกลางวัน คงได้ทานหงส์แสนงามตัวนี้เป็นแน่

ซอนอินรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่เป็นอิสระ และโดยไม่พูดอะไร ร่างบางก็รีบเดินปุบปับออกไปจากห้องโดยไม่เงยหน้าสบตาใครทั้งนั้น
 

ตามความเห็นของนางกำนัลสาวแห่งตำหนักโยกันแล้ว การที่อาหารกลางวันมื้อนี้มีองค์รัชทายาทมาเป็นแขกของตำหนัก ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งกว่าเรื่องใดทั้งหมดในวังหลวง แต่ทว่า ที่น่าแปลกมากกว่านั้น คือบรรยากาศแปลกๆ ระหว่าง องค์รัชทายาท กับ องค์วังชอนซา นี่สิที่พวกเธอเดาไม่ออกเลยว่า ท่าทางเคอะเขินของเชลยคนสวย กับท่าทางนิ่งเฉยเรียบสนิทของนายเหนือหัว จะเรียกว่า ‘อบอุ่น’ หรือ ‘อบอ้าว’ กันแน่?
 

ทว่า นางกำนัลทั้งสองกลับพบว่ายังมีเรื่องแปลกประหลาดมากกว่านั้น เพราะในวันต่อมา องค์รัชทายาทก็ยังทรงเสด็จมาที่ตำหนักโยกันอีกครั้งเพื่อร่วมทานอาหารกลางวันกับองค์วังชอนซา และอีกครั้งในตอนเย็น...
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

ผ้าสะอาดสีขาวถูกพันรอบหัวเข่าที่มีไม้ดามยาวจนถึงหน้าแข้งจนแน่นสนิท มือเล็กจัดแจงเก็บอุปกรณ์รักษาบาดแผลลงในกล่องไม้อย่างคล่องแคล่ว

“เป็นอะไรไป วันนี้เจ้าดูเงียบๆ นะฮีอู”

ดวงหน้าเล็กเงยขึ้นสบสายตาคม ก่อนจะเลื่อนลงมองตามบาดแผลบนเรือนร่างสูงที่ตนเพิ่งทำความสะอาดให้ ถึงจะผ่านมาร่วม 10 วันแล้ว แต่บาดแผลก็ยังไม่หายเสียที ฮีอูไม่เข้าใจเลยว่าทำไม

“ยองจู อีกไม่กี่วันเราคงมารักษาให้ท่านไม่ได้อีกแล้ว”

“ทำไมล่ะ?” คนบนเตียงแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน

“ข้าต้องกลับเข้าวังหลวง”

“วัง?”

ฮีอูพยักหน้ารับช้าๆ เขาไม่เคยบอกยองจูว่าตนเองเป็นใคร มีฐานะอะไร แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาไม่ได้คิดจะไม่บอก แต่เพราะมันไม่สำคัญอะไร เขาจะเป็นใครก็ช่าง แค่ยองจูรู้ว่า คิมฮีอู คนนี้มีความรู้สึกเช่นไรต่อฝ่ายนั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ที่เป็นปัญหา คือเรื่องอื่นต่างหาก

“รู้ไหมยองจู เราไม่สบายใจเลยที่ต้องทิ้งท่านไว้คนเดียวทั้งที่ท่านยังไม่หายดี”

สีหน้าเศร้าหมองของร่างเล็ก ทำให้คนบนเตียงต้องเอื้อมมือเข้าลูบแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าดูแลตัวเองได้ ข้าแค่อยากอ้อนเจ้าถึงได้ทำตัวเสาะแสะไม่ยอมทำแผลเอง”

คำสารภาพทำเอาผิวแก้มคนฟังแดงระเรื่อ แต่ก็ยิ่งทำให้ดวงหน้าสวยเศร้าหมองลงถนัดตา

“มานี่มา” มือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงเรียกให้ร่างเล็กลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่งลงบนที่นอนใกล้กัน ซึ่งฮีอูก็ไม่อิดออด เขาทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย วงแขนใหญ่โอบร่างเล็กบางเข้าแนบตัว ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากมน

“เจ้าไม่ได้ไปแล้วจะไม่กลับมาใช่ไหม?”

“เราจะกลับมาหาท่านแน่นอนยองจู” แม้จะไม่มั่นใจกับอิสระที่ต้องการ แต่ศีรษะเล็กก็พยักขึ้นลงหนักแน่น

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนี้อีกเลย ข้าเองก็จะรอเจ้า ...รออย่างใจจดจ่อเลยล่ะ” พูดแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างให้คนในวงแขน “แต่ก่อนที่เจ้าจะเข้าวัง เจ้าห้ามทำหน้าเศร้าอีกนะ เจ้าต้องยิ้มมากๆ เพราะข้าชอบรอยยิ้มของเจ้าที่สุด”

“ได้ ข้าจะยิ้ม” ริมฝีปากระบายยิ้มกว้างทันที ก่อนที่ร่างเล็กจะพลิกกายหันไปโผเข้ากอดรอบคอคนตัวสูง ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่แกร่ง “ยองจู....”

“หืม?” ขานรับพร้อมกับโอบกอดเอวเล็กคอดไว้หลวมๆ

“ท่าน.......” เสียงเล็กกลืนหายไปกับบรรยากาศอ่อนหวานนุ่มนวล ฮีอูสูดกลิ่นกายของคนร่างสูงราวกับต้องการที่จะจดจำตัวตนของคนผู้นี้ไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“...มีอะไร ฮีอู?”

“....อือ เปล่า ...ขออยู่อย่างนี้อีกสักพักได้ไหม?”

“ได้สิ อยู่อย่างนี้นานๆ ก็ได้”

ขณะที่มอบอ้อมกอดให้กันและกัน ในใจของฮีอูนั้นกลับไม่ได้รู้สึกอบอุ่นเท่าใดนัก เรื่องบางอย่างกำลังทำให้ก้อนเนื้อในอกรู้สึกหนาวเยือกจนแทบจะชาด้านไร้ความรู้สึก

แน่นอน ใจของเขามีความรู้สึกในคำว่ารักกับยองจู แต่อีกด้าน กลับไม่อาจเชื่อสนิทใจได้ว่าสิ่งที่ตนรู้สึกจากอีกฝ่ายนั้น จะเป็นเหมือนกันหรือไม่

“ยองจู...เราชอบท่าน” จู่ๆ เสียงเล็กก็เอ่ยผ่านไหล่กว้าง มือขาวจับยึดเสื้อของร่างสูงแน่นขึ้นยามที่เอ่ยประโยคต่อมา “เราชอบท่านทันทีที่ได้เจอครั้งแรก เรารู้ว่าท่านไม่เหมือนคนอื่น ไม่ใช่ใครที่จะเข้าหาได้ง่ายๆ ดังนั้น...”

ดวงหน้าหวานละออกมาเพื่อมองให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดถนัด

“...เรามีโอกาสที่จะเสียท่านไปใช่หรือไม่?”

คำถามและสีหน้าแสนบริสุทธิ์นั้นตรึงสายตาคมให้จ้องมองนิ่งค้าง เขาไม่อาจเอ่ยตอบอะไรได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ยองจูไม่อาจบอกความจริงที่จะทำให้ร่างเล็กเสียใจ และไม่อาจบอกคำโกหกที่จะทำคนตรงหน้าต้องพบกับความผิดหวังได้

“หลับตาเสีย ฮีอู” เสียงทุ้มที่เอ่ยไม่ใช่คำสั่งจริงจัง แต่คนร่างเล็กก็ทำตามแต่โดยดี

เมื่อไม่อาจบอกสิ่งใดได้ ยองจูจึงเลือกใช้จูบตอบคำถามนั้นแทน
 

...ราชครูหนุ่มไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ความรู้สึกของคิมฮีอูมีผลกับเขาถึงขนาดนี้?...
 
 

ทันทีที่ร่างเล็กหายลับไปจากบานประตูในตอนเย็น ร่างสูงบนเตียงก็ถลกผ้าห่มออกจากตัว แล้วหยัดกายลุกขึ้นนั่ง เปลือกตาหนาปิดลง ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งเผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงฉานที่ไม่มีเค้าแววตาคมยามรัตติกาลเช่นเดิมให้เห็นแม้แต่น้อย

ไอควันสีจางแผ่ขยายออกจากร่างของชายหนุ่มเป็นวงกว้าง มือเรียวยาวข้างหนึ่งแตะลงบนขาข้างที่หัก ก่อนจะผละออก แล้วปล่อยให้หมอกควันโอบล้อมรอบกายจนมิด และเมื่อกลุ่มควันเหล่านั้นหายไป รวมถึงเนตรสีเพลิง ร่างสูงโปร่งก็ลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินไปนั่งลงบนโต๊ะกลางห้องราวกับอาการขาหักไม่เคยเกิดขึ้น และตามร่างกายก็ไม่เคยมีบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น

ยองจูล้วงหยิบแผ่นกระดาษในอกเสื้อขึ้นมากางลงบนโต๊ะ เขากวาดสายตามองข้อความที่เพิ่งได้รับจากชนเผ่าชินซองอย่างละเอียดอีกครั้งหลังจากที่ได้ดูไปเมื่อตอนเช้า ก่อนที่ฮีอูจะมา

ใช้เวลาทำความเข้าใจกับจดหมายไม่นาน ก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษนั้นขึ้น แล้วปล่อยให้เปลวเพลิงบนฝ่ามือเผาไหม้แผ่นกระดาษนั้นจนเหลือแต่เศษเถ้าธุลี

ร่างสูงลุกขึ้นจากโต๊ะตัวเดิมแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขาเหม่อมองออกไปยังท้องนภาที่กว้างใหญ่ไพศาล ทุกสรรพสิ่งภายใต้ผืนอัมพรนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกต้องอย่างบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับไม่มีสิ่งใดบนผืนแผ่นดินนี้ที่คงอยู่อย่างยั่งยืน
 

ปาร์คยองจู ไม่เคยรู้สึกผิดในสิ่งที่ตนตัดสินใจทำลงไปแม้สักครั้ง
 

...ทว่า ครั้งนี้กลับไม่ใช่
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

 
“กำลังนั่งนับเงินเดือนอยู่หรือไง ยอนอา?” เสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้นอยู่เหนือศีรษะเจ้าของชื่อที่กำลังนั่งซักผ้าอยู่ที่ด้านหลังของตำหนัก

“นับเงินบ้าอะไรล่ะ!” เด็กสาวตวาดแว้ด ก่อนจะรีบตักน้ำล้างมือแล้วลุกขึ้นยืนจ้องมองเด็กหนุ่มร่างเล็กบาง “นี่กึมซอง เจ้ารู้หรือเปล่าตอนที่พวกเจ้าไม่อยู่ องค์รัชทายาททรงมาที่นี่ได้สี่วันแล้ว มาทั้งกลางวันทั้งตอนเย็นเลยด้วย ข้าลองมานั่งนับดู ก็ประมาณ 7-8 ครั้งแหน่ะ!!”

คนฟังขมวดคิ้วมุ่น “ทรงมาทำสิ่งใด?” หากเป็นการเย้าแหย่องค์วังชอนซา ก็ไม่น่าจะมาทุกวันเช่นนี้?

“ทรงมาเสวยอาหารกลางวัน และอาหารเย็น”

“กับวังชอนซา?”

“แล้วยังจะมีผู้ใด? ฝ่าบาทคงนั่งร่วมโต๊ะกับข้าหรอกนะ”

“เหอๆ” กึมซองหัวเราะฝืดในคอที่โดนย้อนกลับ

“นี่ เจ้าว่าเป็นเพราะเหตุใด?...เจ้ารู้เหรอ?!” เห็นหน้าตาเด็กหนุ่มฉายชัดว่ารู้ดี ยอนอาก็รีบรบเร้า “ว่าอย่างไร? เจ้ารู้อะไรก็พูดมาสิ!!”

“ก็เพราะ......” กึมซองเว้นจังหวะ ทำให้เด็กสาวยิ่งตื่นเต้น เธอกระตุกชายแขนเสื้อเด็กหนุ่มรุนแรงให้บอกเสียที “เฮ้อ~ เจ้านี่นะ ว่าแต่ข้าชอบสอดรู้ เจ้าเองก็ไม่ต่างจากข้าหรอก ...ข้าจะบอกให้ก็ได้ เรื่องนี้น่ะนะ ต่อให้เป็นคนทื่อๆ อย่างโทซองยังรู้เลย”

แม้คิดอยากจะเถียงว่าคนที่ทื่อจนซื่อบื้อน่ะไม่ใช่โทซอง แต่เป็นกึมซองนั่นแหละที่ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของแฝดผู้พี่เลยสักนิด แต่นางก็กลืนคำโต้เถียงลงคอ เพราะตอนนี้สิ่งที่อยากรู้สมควรต้องได้รับความกระจ่างโดยเร็ว “อย่ามาเล่นลิ้นมากนัก บอกข้าเสียทีสิ!!”

“ก็ฝ่าบาททรงสนใจวังชอนซาอย่างไรเล่า”

ยอนอาย่นคิ้ว “แต่ฝ่าบาททรงมีคุณชายฮีอู?”

“ไม่เห็นจะแปลก ก็เพราะคุณชายฮีอูผู้น่ารักอยู่นอกวังตั้งหลายวัน”

“.........................”

ประโยคของเด็กหนุ่มไหลเข้าสู่กระบวนการคิดของนางกำนัลน้อย ยอนอาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง “ถ้าเช่นนั้น หากคุณชายฮีอูกลับมา ฝ่าบาทก็จะทรงเลิกสนใจองค์วังชอนซาของข้างั้นหรือ?” คำว่า ‘ของข้า’ ที่เอ่ยออกจากปากนางนั้น เปรียบราวกับนางให้ความภักดีต่อวังชอนซาอย่างจริงใจ

“แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรหรือไง?”

“ข้าก็แค่เสียดาย องค์วังชอนซาทรงงดงามถึงขนาดนี้ ข้าไม่อยากให้คนผู้นั้นต้องเศร้าใจ” เพียงแค่ดูก็รู้ ว่านายของเธอนั้นหลงรักองค์รัชทายาทเข้าให้แล้ว ในทีแรก เธอนึกสนับสนุนองค์ชายรอง แต่ดูจากปฏิกิริยาแล้ว ทุกครั้งที่องค์รัชทายาททรงมาเยี่ยม องค์วังชอนซาจะดูมีความสุขมากกว่า แม้ว่าตอนอยู่กับองค์ชายรองจะทรงยิ้มและหัวเราะมากกว่าก็ตาม แต่บรรยากาศมันต่างกัน ต่อหน้าฝ่าบาท ผิวแก้มขององค์วังชอนซาจะขึ้นสีระเรื่อชวนมอง ดวงตาเป็นประกายสดใส ดูแล้ว ก็ราวกับคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักนั่นแหละ!

“แต่ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้คุณชายฮีอูก็ยังไม่กลับมา”

“ใครบอกเจ้า ข้าเพิ่งไปรับคุณชายกลับมาหลังเสร็จภารกิจที่นอกวังเมื่อครู่เอง”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 8] 26/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-08-2016 15:23:30
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
คนรักองค์รัชทายาทมาแล้ววววว :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 9] 27/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 27-08-2016 11:26:59
บทที่ 9


ศาลาเล็กๆ ภายในสวนจำลองของตำหนักโยกันถูกจับจองด้วยสองบุรุษหนุ่ม คนหนึ่งคือโอรสองค์รองแห่งฮานึล ส่วนอีกคน คือโอรสองค์โตแห่งเชินอัน

บนโต๊ะไม้กลางศาลานั้นเต็มไปด้วยขนมหวานสีสันมากมาย นางกำนัลโซยอนผู้เชี่ยวชาญทางด้านการทำอาหารได้พิถีพิถันบรรจงทุกชิ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ นางรู้ว่าขนมชนิดไหนที่วังชอนซาโปรดและไม่โปรด ดังนั้น บนโต๊ะจึงมีแต่ขนมหวานที่ร่างบางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งนั้น

ทั้งที่เป็นเช่นนั้น แต่ในวันนี้ดูเหมือนนายของเธอจะไม่ชอบการทานขนมอย่างที่ควรเป็น

ไม่ใช่แต่นางกำนัลน้อยทั้งสองที่ดูเป็นกังวลใจ แม้แต่จีมุนเองที่รู้ว่าซอนอินชอบทานขนมมากแค่ไหนยังเห็นถึงความผิดแปลกนี้

ร่างสูงโปร่งบอกให้สาวใช้ทั้งสองคนกลับเข้าตำหนัก เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ร่างบางที่ยืนพิงรั้วศาลา ใบหน้าหวานหม่นหมองทำเอาหัวใจของคนมองรู้สึกปวดแปลบตามไปด้วย

“ซอนอิน...” คำปลอบใจ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ชายหนุ่มเตรียมจะพูดกับคนตัวเล็กกว่านั้นเงียบหายไป เมื่อร่างบางหันกลับมาหาอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยขึ้น

“พี่ชายของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่” คนพูดไม่ได้สบตาอีกฝ่าย เขาเพียงแต่เหม่อมองเลยออกไปยังบริเวณด้านข้างของตัวตำหนักที่มีบ่อน้ำตั้งอยู่

“แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เป็นข้าเองที่ยอมโง่เพื่อคนผู้นั้น ทั้งที่รู้ แต่ข้าก็ไม่สนใจ” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลแว่วหวาน ในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเศร้าที่กัดกินหัวใจของคนพูดจนเป็นบาดแผลที่ยากจะรักษา ซอนอินเลื่อนสายตาขึ้นสบกับนัยน์ตาเรียวคมที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของจีมุน “...เจ้าก็คิดว่าข้าโง่สินะ?”

“ไม่มีคำว่าโง่สำหรับหัวใจของมนุษย์” มือเรียวยาวเกี่ยวเส้นผมสีดำนุ่มลื่นของคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ยิ่งอยู่ใกล้คนคนนี้มากเท่าไหร่ จีมุนก็เห็นแต่ความเป็นเด็กที่ไร้มลทินของซอนอินมากเท่านั้น “ซอนอิน ข้าไม่อยากเห็นเจ้ามีสีหน้าอย่างนี้เลย หากความรู้สึกของซอนอินที่มีต่อเสด็จพี่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ถ้าเช่นนั้น เจ้าหยุดมันเสียตอนนี้จะได้ไหม?”

มือของคนพูดเลื่อนลงกอบกุมมือเล็กทั้งสองไว้ “หยุดความรู้สึกไว้ก่อนที่ซอนอินจะเจ็บไปมากกว่านี้” จีมุนจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของซอนอิน “ตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเสด็จพี่ก็คือ คิมฮีอู ดังนั้น สิ่งที่เสด็จพี่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างที่ผ่านมาสามสี่วันก่อนนั้น มันทำให้ข้ารู้สึกปวดใจทุกครั้ง เพราะข้ารู้ว่า สักวัน เจ้าจะต้องเจ็บเพราะพี่ชายของข้า”

จีมุนกระชับมือเล็กที่กอบกุมอยู่ให้แน่นขึ้น

“ข้าชอบเจ้าซอนอิน และข้าก็ไม่ได้หวังที่จะเห็นเจ้าเจ็บ...หัวใจของเจ้า ให้เป็นข้าได้ไหม?”

คำสารภาพอย่างตรงไปตรงมาทำเอาร่างบางเบิกตาโตอย่างตะลึง ด้วยไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะมีความรู้สึกเช่นนั้นกับตน ซอนอินไม่เคยมองจีมุนมากไปกว่าเพื่อนที่ถูกใจ และแน่นอน ซอนอินไม่เคยมองชองจีรยงมากไปกว่าคนใจร้ายที่จับตนมาเป็นเชลย ถึงจะมีความรู้สึกพิเศษกับคนผู้นั้นมากแค่ไหน แต่ซอนอินก็ยังไม่เข้าใจมันดีพอ รู้แค่ว่าชอบสัมผัสของคนผู้นั้น และไม่ชอบที่คนผู้นั้นไปสัมผัสใครคนอื่น นั่นเพราะซอนอินไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ความรัก

ที่รู้สึกเสียใจอยู่ตอนนี้ ก็เพราะสิ่งที่เรียกว่าของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว จีรยงเห็นเขาเป็นนางบำเรอหรืออย่างไรกัน ถึงได้คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป ไม่สนใจความรู้สึกของเขาแม้แต่น้อย พอคนคนนั้นไม่อยู่ ก็มายุ่งวุ่นวายกับเขา และพอคนคนนั้นกลับมา ก็ไม่คิดจะมาให้เขาเห็นหน้าเลยสักครั้ง

ทว่า สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ซอนอินรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังยอมปล่อยไปตามความต้องการของตัวเอง แต่ไรมา จีรยงไม่เคยชอบหรือสนใจเขาอยู่แล้ว ซ้ำยังเกลียดกันด้วยซ้ำ รุนแรงกับเขา ไม่เคยคิดจะพูดดีด้วยเลย แต่เพราะอย่างนั้น พอจีรยงมาทำดีด้วย อ่อนโยนด้วย เขาถึงได้หลงใหลไปกับสิ่งเหล่านั้น ผลสุดท้ายที่เขาเจ็บเช่นนี้ มันก็สมควรแล้ว

หึ คิมซอนอิน เจ้าเป็นเชลยให้ฮานึลไม่พอ เจ้ายังจะเป็นของเล่นยามว่างให้กับชองจีรยงอีกด้วย

อาการเงียบไปของร่างเล็กยังผลให้อีกคนจุดรอยยิ้มบาง เห็นสีหน้าว่าไม่เคยคิดอะไรกับเขาถึงขั้นนั้นแล้วก็ได้แต่นึกผิดหวังเล็กๆ ในใจ ยิ่งเห็นว่าซอนอินแสดงออกถึงความไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ดีนัก เขาก็ยิ่งไม่อาจปล่อยซอนอินไปให้ใครอื่นได้มากเท่านั้น หากจะมีใครสักคนที่ได้ครอบครองหัวใจที่ทั้งสวยงามและใสบริสุทธิ์ของคนคนนี้ ก็อยากจะให้เป็นเขาเพียงคนเดียวที่ได้เป็นเจ้าของ

“ทานขนมกันดีกว่านะ เดี๋ยวจะชืดไปเสียหมด”

“อ่ะ อื้อ!” ซอนอินรีบตอบรับทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องพูด เขานั่งลงตามแรงจูงของจีมุน เสียงพูดคุยเบาๆ และเสียงหัวเราะลอยเอื่อยออกมาจากศาลาตลอดทั้งช่วงบ่าย ระหว่างที่นั่งพูดคุยกันนั้น ซอนอินก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่ส่งจีมุนมาอยู่ที่ฮานึล ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เหงาตายแน่ อย่างน้อย จีมุนก็ทำให้เขาสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วย

แต่ว่าเรื่องที่จีมุนชอบเขานี่สิ อืม...มันยังไงกันนะ?
 

หากจะให้นั่งนับวันกันจริงๆ จังๆ แล้วล่ะก็ ซอนอินสามารถตอบได้ทันทีเลยว่าชองจีรยงหายไปจากตำหนักโยกันทั้งที่ก่อนหน้านี้มาบ่อยถึงขนาดนั้นไปแล้วราวๆ 5 วันไม่ขาดไม่เกิน ที่ตอบได้ชัดเจนเช่นนี้ เพราะซอนอินเองนั่นแหละที่คาดหวังอยู่ทุกวี่วันว่าจะได้เจอกับคนผู้นั้น เมื่อตอนบ่ายแก่ๆ หลังจากที่จีมุนกลับไปแล้ว ซอนอินก็มานั่งแหมะอยู่ในห้องนอนริมหน้าต่างเช่นเดิมเพื่อคุยกับเจ้านกตัวน้อย ดูท่าว่า พอกลับไปเชินอันเมื่อใด เขาคงได้ภาษานกมาเพิ่มแน่ๆ

นั่งเล่นอยู่ไม่นาน ท้องฟ้าก็เข้ายามสิบ ช่วงหัวค่ำเช่นนี้คือช่วงเวลาที่ตำหนักโยกันเตรียมสำรับอาหารเย็น ซอนอินที่นั่งเอื่อยอยู่ริมหน้าต่างนานสองนานจึงลุกขึ้นบิดกายไล่ความเมื่อยตามร่างกายออกไป เขาเดินออกจากห้องไปด้วยท่วงท่าเรียบเรื่อยอย่างคนที่ไม่มีแก่ใจจะทำอะไรทั้งนั้น

“วังชอนซา...”

เสียงเล็กๆ ที่เอ่ยเรียกนั้นทำเอาดวงหน้าสวยของคนที่ก้มหน้าก้มตาเดินรีบผงกขึ้นมองเจ้าของเสียงทันที ดวงตาสีนิลมองสบกับชายหนุ่มรูปร่างเล็กบาง ส่วนสูงน่าจะไม่ต่างจากเขามากนัก แต่ก็ยังเรียกว่าตัวเล็กกว่าเขา ไม่ต้องใช้เวลาคิดนานนักว่าคนคนนี้เป็นใคร ซอนอินก็รู้ในทันที

“คุณชายฮีอู?”

รอยยิ้มบางที่ฉายอยู่บนใบหน้าหวานนั้นแทนความหมายว่าคนร่างบางเข้าใจถูกแล้ว ฮีอูเดินเข้าไปใกล้ผู้ที่เป็นเจ้าของตำหนักอยู่ในตอนนี้

“ให้หม่อมฉันร่วมโต๊ะกับท่านได้หรือไม่องค์วังชอนซา?”

ความตกตื่นและความมึนงงยังไม่ทันจะได้จางหายที่เห็นคนตรงหน้า คำถามแบบสายฟ้าแลบก็พุ่งตรงมาเสียนี่ ซอนอินอึกอักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงพร้อมรอยยิ้มสวยที่มีให้ฝ่ายนั้น ทั้งที่ในใจแทบจะยิ้มไม่ออกเลยสักนิด

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบเสียยิ่งกว่าตอนทานคนเดียว เพราะซอนอินมักจะหาเรื่องชวนนางกำนัลสาวทั้งสองคุยเล่นเสมอ แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคน

เนื้อไก่ต้มที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ ในถ้วยส่วนตัวของซอนอินยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย เนื่องจากซอนอินเป็นคนชอบทานไก่ต้มมากเป็นพิเศษ นางกำนัลน้อยนั้นรู้ดีว่านายของเธอจะต้องวุ่นวายกับการฉีกไก่ไว้เยอะๆ ก่อนแล้วค่อยทาน นางจึงจัดการไว้ให้เสร็จสรรพเช่นนี้จนเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้นายของเธอไม่ได้สนใจอาหารจานโปรดนั้นแม้แต่น้อย

ในขณะที่ซอนอินยังกลืนอะไรไม่ค่อยลง ฮีอูกลับทานอาหารได้อย่างไม่มีสะดุด ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่บนโต๊ะอาหารไม่นานนัก เมื่อเห็นคนตัวเล็กทานเสร็จ ซอนอินก็บอกให้นางกำนัลเก็บสำรับทันที เพราะต่อให้นั่งต่อไป ตนก็ทานอะไรไม่ลงอยู่ดี

“ไม่ทราบว่า คุณชายฮีอูมาหาข้า มีเรื่องอะไรกับข้างั้นหรือ?” เป็นซอนอินที่หมดความอดทนต่อบรรยากาศที่แสนอึดอัดก่อน

คนถูกถามละสายตาจากเชิงเทียนที่มุมห้องแล้วมองสบนัยน์ตาคู่สวยของคนตรงหน้า “เราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันไหม?”

ซอนอินย่นคิ้วเข้าหากันทันทีเมื่อถูกชวนไปเดินเล่น “เอ่อ...คือ ข้าออกไปไม่ได้หรอก” ขณะที่เอ่ยตอบ ในใจก็ลุ้นว่าคนตัวเล็กคนนี้จะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตนบ้างนอกเหนือไปจากการเป็นราชทูตที่ถูกดูแลอย่างดีด้วยการมีทหารเวรยามเฝ้าอยู่รอบรั้วตำหนักอย่างแน่นหนา...จนเกินพอดีเช่นนี้

แน่นอนว่าฮีอูรู้ตั้งแต่แรกแล้ว จากตำแหน่งที่เป็นถึงคนสนิทของชองจีรยง ใครเล่าจะกล้าไม่ตอบความจริงเมื่อครั้งที่ฮีอูเอ่ยถามทหารม้าเร็วเมื่อคราวนั้น

“แค่ตรงสวนจำลองของตำหนักนี้ก็ได้” ฮีอูไม่ได้แสดงสีหน้าเอะใจต่อคำตอบที่แฝงความนัยไว้ของอีกฝ่าย เขาระบายยิ้มที่ซอนอินคิดว่ามันช่างดูนุ่มนวลที่สุดเท่าที่เคยเห็นให้ แล้วออกเดินนำหน้าเมื่อเจ้าของตำหนักพยักหน้าน้อยๆ

ถึงจะบอกว่าเป็นการเดินเล่น แต่เพราะสวนจำลองในตำหนักโยกันนั้นเล็กนิดเดียว สระบัวนั้นก็เป็นเพียงบ่อน้ำตื้นที่กว้างกว่าศาลาริมสระไม่มากมายนัก แต่ก็ยังมีที่กว้างพอที่ปลาสีส้มตัวใหญ่สองตัวจะแหวกว่ายได้อย่างสบาย ทั้งสองคนจึงลงเอยด้วยการนั่งรับลมเย็นภายในศาลา

ซอนอินรู้สึกเกร็งไปทั้งตัวยามที่ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองตนอย่างจงใจ ถึงจะไม่ใช่สายตาคุกคาม ซ้ำยังเป็นสายตาใสซื่อด้วยซ้ำ แต่ซอนอินเดาไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้าต้องการสิ่งใด หรือคิดอะไรอยู่

“ท่านงดงามจริงๆ องค์วังชอนซา”

“เอ๋?” ถูกชมเอาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซอนอินถึงกับงงทำตัวไม่ถูก

ฮีอูมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มให้กับท่าทางน่ารักนั้น เขาพอจะรู้จากใครหลายคนว่าคิมซอนอิน โอรสองค์โตแห่งเชินอันนั้นมีรูปโฉมงดงามเพียงใด แต่หากจะให้ฟังเพียงอย่างเดียว คงเทียบไม่ได้เลยกับการได้เห็นด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่งดงาม หากแต่ยังสวยราวกับรูปภาพสรรค์สร้างจากจิตรกรฝีมือดีที่มีปณิธานถึงความหมายของภาพเป็นทูตสวรรค์ผู้มีความงามหาใดเปรียบ

ดวงตากลมโตราวกับเนตรที่เปล่งประกายของหงส์แสนงามผู้ร่ายรำอยู่บนผืนทิฆัมพรอันกว้างใหญ่ไพศาล รูปร่างบอบบางชวนให้ผู้พบเห็นอยากปกป้องไว้ด้วยชีวิต หรือแม้กระทั่งบอบบางจนอยากจะทำลายลงด้วยมือของผู้ที่พบเจอ เรียกได้ว่า คิมซอนอินผู้นี้ มีความงามอย่างหาใครเปรียบได้จริงๆ

ร่างเล็กจ้องมองวังชอนซาด้วยสายตาชื่นชม หากแต่ในใจของเด็กหนุ่มแล้วกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากก้อนเนื้อที่บีบรัดเข้าหากันอย่างสุดแสน

...มิน่าเล่า คนผู้นั้นถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยคนคนนี้...

...ยอมทำแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรหากรับรู้ความจริง...
 

...ยองจู ท่านไม่เคยชอบเราเลยใช่ไหม?...
 

“เอ่อ...เจ้าทำข้าอายนะ” ซอนอินหัวเราะแก้เก้อ มือเรียวภายใต้ชายเสื้อสีขาวยกขึ้นเกาหัวอย่างวางตัวไม่ถูก “ความจริงแล้วควรจะเป็นข้าที่ต้องชมว่าเจ้าเป็นบุรุษผู้งดงามมากกว่า ข้าไม่เคยเห็นชายคนไหนน่ารักได้เท่าเจ้าเลยนะ!” ซอนอินพูดความจริงอย่างที่สุด จากสายตาของเขา ฮีอูเป็นผู้ชายที่ดูไม่ออกเลยว่าตามจริงแล้วอาจเป็นผู้หญิงก็ได้! ก็ทั้งรูปร่างเล็กบาง เอวเล็กนิดเดียว ซ้ำใบหน้ายังหวานเสียขนาดนี้...ก็ถูกต้องแล้วล่ะที่คนปากร้ายผู้นั้นจะมีเพียงคนผู้นี้ในใจ พอนึกถึงตรงนี้ ในอกของซอนอินก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแล่นผ่านให้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

จังหวะที่คนทั้งสองกำลังตกอยู่ในห้วงความรู้สึกของตนเองอย่างไม่รู้ตัวนั้น ร่างสูงของใครคนหนึ่งได้เดินเข้ามาในเขตตำหนักโยกันพร้อมทหารติดตามอีกจำนวนหนึ่ง

แสงไฟจากโคมถือของทหารสองนายที่เดินนำหน้าทำให้คนในศาลารู้สึกตัว

ซอนอินรีบหันไปมองยังทิศทางนั้นทันทีด้วยรู้ว่าเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามามากมายนั้นเป็นขบวนผู้ติดตามของใคร และก็จริงดั่งใจคิด ชองจีรยงกำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนน่าจะเรียกว่ารีบร้อนเสียมากกว่า

“ไม่ยักรู้ว่าเจ้าอยากมาหาวังชอนซา คิมฮีอู” น้ำเสียงทุ้มฟังเรียบนิ่ง เยือกเย็น

ร่างสูงหยุดยืนอยู่ห่างจากศาลาไม่มากนัก เขาเหลือบสายตามองซอนอินเพียงแวบเดียว ก่อนจะเดินเข้าไปจับมือของฮีอูให้ลุกขึ้นยืน “ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้ายังมานั่งเล่นอยู่ที่นี่”

ดูเหมือนฮีอูจะรู้อยู่แล้วว่าร่างสูงต้องมาตามหาจึงไม่ได้แสดงท่าทีตกใจแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทผู้เป็นดั่งทุกสิ่งของชีวิตเสมอมา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “หม่อมฉันสงสัยว่าผู้ที่องค์รัชทายาทถึงกับแวะเวียนมาหาไม่ขาดในช่วงที่หม่อมฉันไม่อยู่จะเป็นคนเช่นไร จึงได้มาที่ตำหนักนี้ แต่ยังไม่ได้คุยอะไรมากนัก ฝ่าบาทก็มาเสียก่อน”

จีรยงหันไปมองคนร่างบางที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ “แล้วเจ้าว่าเป็นเช่นไรล่ะ ฮีอู?”

“วังชอนซาเป็นคนสวย” ฮีอูตอบทันทีพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ

“แล้วยังไงอีก” ดวงตาคมยังไม่ละไปจากดวงหน้าสวยของหงส์งามที่ตีสีหน้าเรียบนิ่งอย่างไม่สมกับเป็นเจ้าตัว

“หากหม่อมฉันเป็นฝ่าบาท หม่อมฉันจะต้องชอบวังชอนซาเป็นแน่”

“เหลวไหล” ใบหน้าขององค์รัชทายาทหันกลับมามองคนตัวเล็กข้างกาย เขาวาดวงแขนโอบเอวคอดให้เข้ามาใกล้แล้วก้มใบหน้าเข้าประชิดปลายจมูกได้รูป “เหตุใดข้าต้องชอบผู้อื่น ในเมื่อข้ามีเจ้าอยู่แล้วทั้งคน?”

ฮีอูไม่ได้เอ่ยอะไรต่อจากนั้น หรืออันที่จริง เพราะเขาไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีกในเมื่อริมฝีปากถูกครอบครองแนบสนิทจากคนตัวสูง

ราวกับถูกสาดด้วยน้ำที่เย็นเฉียบ ซอนอินคว้าขอบเก้าอี้ไว้เป็นหลักยึดไม่ให้รู้สึกหน้ามืดไปเสียก่อน เรี่ยวแรงเหมือนจะหายไปอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ในใจกำลังรู้สึกหวั่นไหวและสับสน แต่เมื่อดวงหน้าขององค์รัชทายาทผละจากคนข้างกายแล้วหันมาทางเขา ซอนอินก็ตีสีหน้าเรียบนิ่งจ้องสายตาตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังยิ้มให้คนทั้งคู่อีกด้วย

“หากพวกเจ้าสองคนอยากจะอยู่ดูดาวบนฟ้าที่นี่ ก็เชิญตามสบายนะ ข้าต้องขอตัวก่อน”


หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 9] 27/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 27-08-2016 11:27:21

จีรยงแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ตอนที่ร่างบางเดินกลับเข้าไปในตำหนัก ต่อให้แสร้งตีหน้าเรียบอย่างไร เขาก็ดูออกว่าเชลยของเขากำลังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดูจากอาการเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงนั่นอย่างไรเล่า!

ด้วยความที่นึกถึงหน้าสวยๆ นั้นจะดูน่ามองมากแค่ไหนเมื่อเจ้าตัวแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทำให้ริมฝีปากหยักเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ขณะที่ฮีอูจ้องมองรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่วางตา ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ใช่ว่าเขาจะคิดไปเองว่าองค์รัชทายาทจะสนใจวังชอนซา เพราะเขาไม่เคยเห็นว่าคนคนนี้จะให้ความสนใจหญิงงามหรือเด็กหนุ่มคนใดถึงขนาดต้องไปหาติดกันทุกวัน ที่มาที่นี่ก็เพื่อให้ความมั่นใจกับตัวเองเท่านั้น

ไม่รู้ว่า องค์รัชทายาท จะทรงรู้สึกตัวไหมนะ ว่าพระองค์กำลังรู้สึกเช่นไรต่อวังชอนซา...
 

หลังจากที่ได้แกล้งหงส์งามอย่างพออกพอใจแล้ว จีรยงก็พาฮีอูกลับมายังตำหนักของตน

ขณะที่โอบกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนด้วยร่างกายเปลือยเปล่าที่แนบสนิทกัน เสียงทุ้มที่ไม่มีเค้าของความเหนื่อยทั้งที่ปลดปล่อยในร่างกายหอมหวานของคนในวงแขนไปแล้วถึงสามครั้งได้เอ่ยผ่านความมืดสลัวภายในห้อง

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะชอบวังชอนซา?”

ดวงหน้าหวานเชื่อมแสงยามเหนื่อยอ่อนต่อกิจกรรมเมื่อครู่แนบซบอยู่กับอกหนา โดยมีมือใหญ่ลูบเส้นผมของเขาเบาๆ อย่างอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง “หากฝ่าบาทไม่พอพระทัย หม่อมฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก”

“เจ้าไม่ได้ตอบคำถามข้า ตอนนี้ข้าอยากฟังความเห็นของเจ้า”

วงแขนเล็กที่โอบกอดเอวหนาเลื่อนขึ้นมายังบริเวณแผงอกกว้าง ฝ่ามือเล็กวางทาบอยู่ที่ตรงนั้น “พระองค์ชอบพอใครเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะหญิงงามพวกนั้น หรือแม้แต่หม่อมฉันเอง...”

“เจ้าไม่เหมือนคนพวกนั้น ฮีอู”

รอยยิ้มบางฝืนระบายในความมืดเมื่อถูกเสียงทุ้มเอ่ยแทรก “...หม่อมฉันอาจไม่เหมือนคนพวกนั้น แต่กับวังชอนซา ฝ่าบาทจะทรงคิดเช่นไร?”

“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?” เสียงทุ้มฟังห้วนจัด ร่างสูงที่นั่งเอนพิงหัวเตียงอยู่นั้นจับให้คนตัวเล็กลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหากัน

ฮีอูมองสบสายเนตรคมกร้าวดุจสายตาของมังกรที่น่ากลัว หากแต่สำหรับฮีอู คนตรงหน้านี้มีแต่ความอ่อนโยนและใจดีต่อตนเสมอมาเพียงเท่านั้น “ตั้งแต่เด็ก หม่อมฉันและฝ่าบาทถูกจับให้อยู่ด้วยกันเสมอ ฝ่าบาทเคยคิดบ้างไหมว่า ในวันข้างหน้า ฝ่าบาทจะต้องอภิเษกสมรส หรือเจอคนที่พระองค์อยากจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ให้กับคนผู้นั้น แม้กระทั่งหัวใจของพระองค์ก็ตาม”

“ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้า คิมฮีอู” จีรยงจ้องร่างเล็กเขม็งด้วยรู้ความหมายถึงสิ่งที่ได้ฟัง ที่พูดออกมาทั้งหมดก็เพราะคนตรงหน้าอยากจะให้เขาปล่อยมืออย่างนั้นสินะ

...คิดจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่ข้าน่ะหรือ? ข้าไม่มีวันยอม!

ร่างสูงใหญ่ดันคนตัวเล็กกว่าลงกับเตียงอีกครั้ง รัชทายาทหนุ่มเคลื่อนกายขึ้นทาบทับเรือนกายบอบบางนั้นอย่างไร้ความอ่อนโยนเช่นเมื่อหัวค่ำ เขากดริมฝีปากฝังรอยขบกัดลงกับลาดไหล่เล็กจนเกิดรอยเลือดซิบ ราวกับจะตอกย้ำตราตรึงให้เจ้าของร่างนั้นได้รู้ว่าใครกันที่เป็นเจ้าของร่างกายนี้ ฝ่ามือหยาบหนาจับข้อเท้าเล็กยกขึ้นพาดบ่าแล้วยัดเหยียดความต้องการเข้าสู่ช่องทางบวมช้ำภายในคราวเดียวโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเจ็บหรือไม่

“ฮึก!! อ๊า!!!”

ฮีอูกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บที่แล่นปราดจากเบื้องล่างไปสู่ทุกเส้นประสาททั่วทั้งกาย ดวงตาหวานเอ่อคลอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเม็ดใส มือเล็กไร้เรี่ยวแรง สมองพร่าเลือนด้วยความปั่นป่วนที่พลุ่งพล่าน ยามที่ร่างกายถูกชักนำไปอย่างไม่สิ้นสุด ก่อนสติจะหลุดลอย เสียงทุ้มประโยคสุดท้ายก็ได้บาดลึกลงไปในหัวใจของเขาเป็นแผลฉกรรจ์ที่ไม่มีทางรักษา

 
“เจ้าเป็นของข้า คิมฮีอูเกิดมาเพื่อเป็นของของข้า ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองเจ้านอกจากข้า จำเอาไว้!!!”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

วันรุ่งขึ้น หลังเสร็จว่าราชกิจกับเหล่าขุนนางฝ่ายต่างๆ รัชทายาทหนุ่มก็ได้เรียกให้องครักษ์ยูโทซองมายังห้องทรงอักษรเพื่อรายงานผลของการติดตามสายลับของเชินอัน

โทซองเอ่ยถึงสายลับคนหนึ่งที่เข้าเขตฮานึลคนล่าสุด ก่อนหน้านั้นไม่มีเคยหาตัวผู้ที่ลักลอบเข้ามาได้เลย ดังนั้นการจับคนผู้นี้ได้จึงถือเป็นเบาะแสสำคัญที่จะใช้ตามรอยพวกแรกเจอ แต่โทซองกลับไม่ได้ความอะไรจากชายต่างแคว้นผู้นั้นแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจอช้าไป ชายคนนั้นเพียงแค่นำสารมาส่งกับใครคนหนึ่งได้สำเร็จแล้ว เมื่อเขาถามอย่างคาดคั้น คนผู้นั้นก็วิ่งเข้าหาดาบของทหารเพื่อปลิดชีพตัวเองตายไปเสียก่อน

“...แต่กระหม่อมยังสงสัย” สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “ตอนที่กระหม่อมกับกึมซองไปรับคุณชายฮีอูที่บ้านตระกูลคิม กระหม่อมได้ไถ่ถามอาการของคิมฮโยซูว่าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว ท่านหญิงคิมเธอบอกว่าลูกสาวของนางหายเป็นปกติได้หลายวันแล้ว กระหม่อมไม่เข้าใจว่า เหตุใดคุณชายฮีอูถึงประสงค์กลับวังช้านักจึงเผลอถามนางออกไปตรงๆ ไม่นึกว่าท่านหญิงคิมจะคิดวิตกเรื่องนี้เช่นกัน ทำให้กระหม่อมได้รู้ว่าคุณชายฮีอูถูกปองร้าย และคนที่มาช่วยคุณชายไว้ก็คือสาเหตุที่ทำให้คุณชายปฏิเสธจะกลับเข้าวังตามกำหนดการเดิม”

“คนผู้นั้นเป็นใคร”

“กระหม่อมไม่ทราบพะย่ะค่ะ คุณชายฮีอูไม่ได้บอกอะไรกับท่านหญิงคิมเลย...นอกไปจากรู้ว่า ชายคนนั้นเป็นคนต่างแคว้นพะย่ะค่ะ”

“เชินอัน” สุรเสียงทุ้มหลุดออกจากริมฝีปากหนาทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าขององครักษ์คนสนิท ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงบานหน้าต่าง ใบหน้าคมเคร่งเครียดขึ้นอย่างใช้ความคิด

จากที่เคยสืบรู้มา ราชครูปาร์คยองจูผู้เป็นคนดูแลวังชอนซานั้นแต่เดิมเป็นคนของชนเผ่าชินซองซึ่งอยู่อย่างสันโดษในหุบเขาแทบชายแดนของเชินอัน ถึงจะเรียกไม่ได้ว่าชินซองอยู่ในความปกครองของเชินอันเต็มตัว แต่จากที่องค์ราชินีของเชินอันนั้นเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าชินซอง ทำให้ในตอนนี้ชินซองและเชินอัน ถือเป็นคนแคว้นเดียวกัน กระนั้นแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีใครทราบความเป็นอยู่ของชนเผ่าชินซองมากไปกว่าเรื่องทั่วไปในการดำเนินชีวิต ความลับมากมายของคนในหุบเขาชินซองนั้นยังคงเป็นปริศนาแก่คนภายนอกจนถึงบัดนี้

คนที่ลักลอบเข้าฮานึลมา คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปาร์คยองจู จีรยงให้คำตอบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ความสามารถที่ฝ่ายนั้นถนัดล่ะคืออะไร? เข้าหาฮีอูเพื่ออะไรกัน หากจะใช้วิธีลักพาตัวเพื่อแลกเปลี่ยนเชลยฝ่ายนั้นก็ย่อมทำได้ แต่อาจต้องเสี่ยงกับข้อตกลงการทำศึก หรือเพราะหนทางการหลบหนีโดยมีอีกคนเป็นภาระนั้นไม่ง่ายดายนักฝ่ายนั้นถึงได้ไม่เลือกใช้วิธีนี้ ...ยิ่งคิด องค์รัชทายาทหนุ่มก็ยิ่งมองไม่เห็นถึงคำตอบ

...คนผู้นั้นต้องการจะทำอะไรกันแน่...

ไม่สิ ราชครูนั่นต้องทำอะไรบางอย่างกับฮีอูไม่ผิดแน่ แต่มันคืออะไรกัน เพียงแค่คิดว่าคนสำคัญถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ รัชทายาทหนุ่มก็รู้สึกทนไม่ได้ ยิ่งคิดถึงคำพูดของฮีอูเมื่อคืนด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งปล่อยไปไม่ได้!
 

“คอยให้คนเฝ้าไว้ หากเชินอันส่งใครมาอีก คราวนี้อย่าให้พลาด เจ้าออกไปได้แล้ว” หลังจากที่สั่งความเสร็จ ร่างสูงก็เดินกลับไปตรวจรายงานบนโต๊ะอีกครั้ง คล้อยบ่าย การตรวจรายงานจากเหล่าขุนนางตามสาขาต่างๆ ก็ได้สิ้นสุดลง จีรยงมุ่งหน้าออกจากห้องทรงอักษรโดยมีจุดหมายเป็นตำหนักโยกัน

เป็นเพราะชายหนุ่มร่างสูงนั้นห่างหายจากการมาเยี่ยมเยือนเชลยคนสวยเสียหลายวัน พอเขาปรากฏตัว คนในตำหนักจึงแสดงท่าทางไม่คาดคิดมาก่อน นางกำนัลน้อยทั้งสองรีบถวายความเคารพก่อนจะพากันไปจัดเตรียมน้ำชาให้กับแขกคนสำคัญ โดยที่ร่างบางเจ้าของตำหนักในเวลานี้นั้นยังไม่เอ่ยคำทักทายต่อคนตรงหน้าแต่อย่างใด

เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยกับท่าทางนิ่งเฉยของอีกฝ่าย จีรยงเดินเข้าใกล้ร่างบางอย่างต้องการดูปฏิกิริยาตอบโต้ แต่ซอนอินก็ไม่ได้ขยับถอยแต่อย่างใด ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กน้อยอย่างนึกสนุกที่จะได้เห็นว่าคนสวยจะทำอย่างไรหากเขารุกมากกว่านี้

“อ่ะ” ซอนอินร้องออกมาอย่างตกใจ ถูกฉุดให้จมอยู่ในอ้อมกอดอย่างกะทันหัน เป็นใครก็คงทนเฉยไม่ได้ ซอนอินพยายามขืนกายออกจากวงแขน ใช้ทั้งหน้าผากทั้งมือพยายามดันอกกว้างให้ออกห่าง

ดูแล้วก็เหมือนเด็กขี้งอนที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับคนชอบแกล้งอย่างไรอย่างนั้น

จีรยงดูจะพอใจกับการตอบสนองครั้งนี้ของหงส์งามไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มากพอ เขารวบเอวบางเข้าแนบมากขึ้นพลางก้มลงกระซิบใกล้ใบหูนุ่มให้ผิวแก้มเนียนแดงปลั่งขึ้นสีจัด

“เหตุใดองค์วังชอนซาทรงเย็นชากับหม่อมฉันถึงขนาดนี้เล่า?” จีรยงยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบผิวแก้มแดงของคนที่ก้มหน้าชิดอกของเขาอย่างหยอกเย้า “...หรือที่ผ่านมา หม่อมฉันกับท่านยังสนิทกันไม่มากพอ?” ขณะที่พูด มือข้างที่ลูบผิวแก้มอยู่เมื่อครู่นั้นได้เลื่อนลงยังช่วงเอวคอด วนเวียนอยู่แถวสะโพกมนเพียงครู่ ก่อนที่มือหนาข้างนั้นจะสอดผ่านเข้ารอยแยกของอาภรณ์สีขาวบริเวณต้นขาเนียนลื่น

“ปล่อย!” คำแรกที่เอ่ยออกมานั้นเจือไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง หากแต่ก็ยังฟังหวานหูคนร่างสูง

“แน่ใจนะว่าเจ้าต้องการให้ข้าปล่อย?” สรรพนามที่ถูกเปลี่ยนมาเรียกเช่นเดิมนั้นมาพร้อมกับน้ำเสียงที่ทรงอำนาจต่างจากการเย้าแหย่ในประโยคแรก ร่างสูงเพิ่มน้ำหนักลงกับต้นขานุ่มมือใต้อาภรณ์นั้นมากขึ้น จนร่างบางสั่นน้อยๆ

“เอามือของเจ้าออกไปนะ!” ปลายเสียงหวานสั่นจนรู้สึกได้ มือเล็กกำเสื้อคนตรงหน้าแน่นอย่างต้องการบังคับร่างกายไม่ให้คล้อยตาม แค่จูบธรรมดาก็จะแย่อยู่แล้ว หากจีรยงยังสัมผัสเขามากกว่านี้ไม่พ้นสุดท้ายคงเป็นเขาเองที่ปฏิเสธคนคนนี้ไม่ได้

เอาเข้าจริง เวลานี้ซอนอินก็ปฏิเสธชองจีรยงไม่ได้อยู่แล้ว ที่ไม่อยากจะยุ่งด้วยอีกก็เพราะกลัวว่าหากนานวันเข้า ความรู้สึกของเขาจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้น หากการโอนอ่อนคล้อยตาม แปรเปลี่ยนเป็นความต้องการจนขาดไม่ได้ วันนั้นคิมซอนอินคงได้เจอความเจ็บปวดครั้งใหญ่แน่

ถ้าคิดจะทรมานกัน ขอเป็นแค่ร่างกาย ไม่ใช่หัวใจได้ไหม...

“เป็นอะไรไป? นึกกลัวขึ้นมาหรือไง?” จีรยงมองคนที่หยุดขัดขืนในวงแขน เขาละมือออกจากต้นขานุ่มแล้วจับปลายคางมนให้เงยขึ้นสบตา ทว่าดวงตาสวยไม่จ้องมองตอบ “หรือเจ้ากำลังคิดว่าข้าสนใจเจ้าจริงๆ ถึงได้ยอมยืนนิ่งอย่างนี้?”

คำพูดนั้นทำให้นัยน์ตาสีนิลตวัดมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยแม้แต่จะชายตาแลเชลยต่างแคว้นอย่างข้า แต่ก็อย่างที่เจ้าเคยบอก ข้าจะทำอะไรได้ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเจ้า บอกไว้ก่อนเลยนะชองจีรยง ต่อให้เจ้าทรมานข้าแค่ไหน ข้าก็ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เจ้าทำแม้แต่น้อย เพราะข้ารู้ดีว่าคนอย่างเจ้ามันร้ายกาจและต่ำช้าแค่ไหน!!” ออกจะพูดเกินไปสักนิด แต่ตอนนี้ซอนอินไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกไปจากความโมโหที่มีต่อคนตรงหน้า

จีรยงรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรถึงได้แกล้งกันอย่างนี้ รู้ว่าเขาไม่อาจปฏิเสธมือคู่นั้นได้แต่ก็ยังแกล้งไม่สิ้นสุด อยากจะให้เชลยคนนี้ยอมศิโรราบถึงขั้นไหนกันคนผู้นี้ถึงจะพอใจ? ต้องยกร่างกายและวิญญาณให้เลยไหมถึงจะสมใจอยาก ถ้าอย่างนั้นก็ฆ่ากันไปเลยสิ! จะศึกสงครามหรือเชินอันเขาก็ไม่สนทั้งนั้น ที่ผ่านมาทั้งชีวิตตัวเขาก็ไม่ได้มีความสุขอะไรอยู่แล้ว เสด็จแม่มีน้องชายอยู่แล้วทั้งคน ยังจะต้องการลูกที่ตัวเองขังลืมไว้ที่วังหลังอีกทำไม อย่างไรเสียสุดท้ายแล้วคนที่จะปกครองเชินอันก็ไม่ใช่นักบวชอย่างวังชอนซา ตำแหน่งงี่เง่าที่เขาเป็นอยู่นี่อยู่ดี!

ความเสียใจและความโกรธตีกันจนยุ่งไปหมด อดีตและปัจจุบันกำลังทำให้คนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์ความวุ่นวายจากโลกภายนอกรู้สึกสับสนจนคิดอะไรไม่ออก อยู่ที่เชินอันก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร อยู่ที่ฮานึลก็เป็นแค่เชลยศึกไร้อำนาจ ถูกใครต่อใครกำหนดหนทางชีวิตที่ตนไม่ต้องการแม้แต่น้อย ไม่คิดจะถามความเห็นของเขา ไม่สนใจความต้องการที่แท้จริง ชีวิตที่ไร้อิสระอย่างนี้จะมีค่าให้รักษาไว้อีกทำไม

ทุกคนใช้เขาเป็นเครี่องมือในการไขว่คว้าความต้องการของตนเอง เขาเป็นวังชอนซาให้เสด็จแม่ก็เพราะเสด็จแม่อยากให้ชนเผ่ามีผู้สืบทอด เขาถูกจับมาฮานึลก็เพราะชองจีรยงต้องการทำศึกกับเชินอัน

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว มันก็คงไม่ผิดนักหากเขาจะทำลายความต้องการพวกนั้น

...พอเสียที ทั้งความเหงาจากครอบครัว ความเจ็บปวดจากชองจีรยง ในตอนนี้ตัวเขาเป็นอะไรไปแล้วกันแน่ ซอนอินยังไม่อาจเข้าใจด้วยซ้ำ รู้เพียงแต่ว่า หากเขายังมีลมหายใจต่อไป วันข้างหน้า หัวใจของเขาจะต้องเจ็บปวดอย่างสุดแสนจากความรู้สึกที่เขาไม่รู้จักพวกนี้เป็นแน่

หัวใจของเขากำลังจะถูกครอบงำด้วยผู้ชายคนนี้...
 

“ไม่รู้สึกรู้สางั้นหรือ? ดี! งั้นเจ้าอย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน!!” สิ้นเสียงทุ้มที่ตะโกนก้อง ข้อมือบางก็ถูกฉุดกระชากไปทางห้องนอนในทันที ท่ามกลางความตกตื่นของนางกำนัลสาวที่รีบวิ่งเข้ามาดูเพราะสุรเสียงดังกังวานเมื่อครู่ จีรยงก็หันไปตวาดเสียงดังไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง ก่อนจะกระแทกประตูปิดโดยแรง

ซอนอินถูกจับโยนลงบนเตียงอย่างรุนแรง จนร่างบอบบางนั้นกระแทกไปด้านข้างชนกับกำแพงห้อง มือเรียวทั้งสองข้างกำผ้าปูเตียงแน่น ขณะที่สายตาฉายแววไหวระริกด้วยความกลัวจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ จนเงาร่างของคนผู้นั้นทาบทับลงมาบนตัวของเขา ราวกับว่า ไม่มีทางใดที่เขาจะหนีพ้นเงื้อมมือของรัชทายาทแห่งฮานึลได้เลย

 
“เจ้าว่าง่ายอย่างนี้ก็ดี เพราะข้าต้องการให้เจ้าเจ็บปวดทั้งตัวและหัวใจ ให้ราชครูงี่เง่านั่นได้รู้ว่า กล้าเล่นกับคนของข้า ข้าก็จะเล่นกับคนที่มันเป็นห่วงที่สุดเหมือนกัน!!!”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 


จบตอน

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 9] 27/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-08-2016 13:37:50
 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:
เราจะรอวันวังชอนซาเอาคืนจีรยง
 :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 9] 27/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: mholic ที่ 27-08-2016 19:18:23
 :z6: แล้วองค์รัชทายาทจะรู้ซึ้ง
ถ้านางเอกท้องได้คงจะสนุกพิลึกกกก  :laugh:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 10] 28/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 28-08-2016 11:28:27
บทที่ 10(NC)


ข้อมือขาวทั้งสองข้างถูกมัดด้วยผ้าคาดเอว ปลายสุดของผ้านั้นผูกแน่นกับหัวเตียงขึงร่างบอบบางไว้ไม่ให้ขยับหนี เรียวขาขาวภายใต้อาภรณ์ที่ถูกกระชากออกหลุดลุ่ยจนเปิดเผยเรือนกายผุดผ่องนั้นพยายามต่อต้านร่างสูงใหญ่ที่ขึ้นคร่อมอยู่ด้านบนให้ออกห่างอย่างสุดกำลัง

ท่าทางปัดป้องตัวเองที่ไร้ความหมายของหงส์งามนำพาให้องค์รัชทายาทหนุ่มปล่อยเสียงหัวเราะทุ้มห้าวดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ดวงเนตรคมกร้าวโลมไล้เรือนกายขาวนวลอย่างหยาบโลน

“เมื่อครู่เจ้ายังยอมนอนเฉยอยู่แท้ๆ ตอนนี้นึกกลัวขึ้นมาแล้วหรืออย่างไร?”

ซอนอินกัดฟันแน่นเงยขึ้นสบสายตาคนด้านบน รอยยิ้มเย้ยหยันกับดวงตาคมกริบที่จ้องมองลงมานั้นเต็มไปด้วยราคะอันรุนแรงที่มีต่อร่างกายของเขา เป็นสายตาที่เขาไม่เคยรู้จัก และเป็นสายตาที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าชองจีรยงจะทำอะไรกับเขา จะเป็นการทรมานร่างกายด้วยวิธีใดก็ตาม ในตอนนี้ซอนอินสัมผัสถึงกลิ่นอารมณ์ตัณหาได้อย่างไม่ต้องให้ใครมาบอก สิ่งที่เขาไม่รู้จักคือเรื่องพวกนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

ทว่า อย่างไรแล้ว สำหรับซอนอิน เรื่องบนเตียงเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับตนที่เป็นผู้นำชนเผ่าและถือคำสัตย์ด้วยกายบริสุทธิ์ต่อแท่นบูชาทุกครั้งที่มีพิธีสวดสรรเสริญเทพเจ้า ทุกคนล้วนแล้วแต่หลีกเลี่ยงความแปดเปื้อนเช่นนี้ให้แก่วังชอนซามิให้ได้รับรู้ จำกัดการเปิดเผยใบหน้าต่อปวงชน มีวิถีชีวิตเพียงตำหนักในวังหลัง เก็บเนื้อเก็บตัวโดยแม้แต่ราชครูยองจูเองยังไม่เคยแตะต้องตัวเขาหากไม่จำเป็นเลยสักครั้ง แล้วการที่มาถูกชองจีรยงคร่อมทับไว้อย่างนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ซอนอินจะไม่รู้สึกหวาดกลัว

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่มีทางเผยความกลัวให้คนกักขฬะผู้นี้ได้เห็นเป็นอันขาด

“เหตุใดข้าต้องกลัวเจ้า? นอกเสียจากว่าข้าจะขยะแขยงเจ้ามากจนทนไม่ได้ก็เท่านั้น อึก!!!” พลันลำคอเพรียวถูกบีบรัดโดยแรง ไม่มีการผ่อนแรงแม้แต่น้อย ลมหายใจที่ถูกตัดขาดทำให้เรี่ยวแรงที่มีน้อยนิดหมดไปด้วย

“ปากกล้าดีนี่ วังชอนซา” ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ เขาแสยะยิ้มใส่ดวงตาฉ่ำน้ำเพราะขาดอากาศหายใจ มือหยาบจากการจับดาบมาตลอดช่วงชีวิตลากไล้ไปบนผิวแก้มนุ่ม “ผิวพรรณเจ้าดีกว่าพวกหญิงนางโลมเสียอีก แต่น่าเสียดาย ที่ความงามของเจ้าจะต้องกลายเป็นของข้า ฮึ มาดูกันซิว่า หลังจากที่นักบวชอย่างเจ้าถูกข้าช่วงชิงความบริสุทธิ์ไปแล้ว ยังจะมีผู้ใดให้ความเคารพเจ้าได้อีก” จีรยงยิ้มเยียบเย็นพลางผ่อนแรงที่บีบรัดลำคอ ก่อนเปลี่ยนเป็นลูบไล้แผ่วเบา

“ข้าว่า คนที่เจ้าจะต้องขยะแขยงจนทนไม่ไหว คงไม่ใช่ข้า แต่เป็นตัวเจ้าเองเสียมากกว่า คิมซอนอิน”

สิ้นคำพูดนั้น ยอดอกสีอ่อนก็ถูกดึงขึ้น ก่อนจะถูกบีบเคล้นคลึงรุนแรง

“อ่ะ!!!!”

ความรู้สึกที่ซอนอินไม่รู้จักเข้าจู่โจมร่างกายของเขาพร้อมกับความเจ็บปวดตรงบริเวณที่ถูกสัมผัสอย่างฉับพลัน ราวกับมีหัวใจอีกสองดวงเต้นกระหน่ำอยู่ที่เนินอกทั้งสองข้าง ไม่เคยเห็นปฏิกิริยาของตนเองแปลกประหลาดไปได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่ถูกนิ้วแข็งคู่นั้นบีบสัมผัส เนินเนื้อเม็ดเล็กก็เต้นตุบชูชันขึ้นมาคล้ายไม่ใช่ร่างกายตนเอง เมื่อทนมองความผิดแปลกที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดวงหน้าสวยก็เบือนหนีไปด้านข้าง เปิดทางให้ริมฝีปากร้อนระอุดุจแสงอาทิตย์ที่แตกต่างจากท่าทีการพูดที่แสนเยียบเย็นราวภูเขาน้ำแข็งได้กดแนบประทับลงมาที่ซอกคอขาว

ซี่ฟันคมขบกัดผิวนุ่มบนลำคอที่สั่นเทิ้ม ลากปลายลิ้นวนเวียนสองสามครั้ง ก่อนจะกดน้ำหนักลงไปแล้วฝังคมเขี้ยวทิ้งไว้เป็นวงกว้างราวกับราชสีห์ตีตราเหยื่อตัวน้อยให้ได้รู้ถึงชะตากรรมว่าไม่มีทางใดที่จะหนีรอดไปได้

เลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากช่วงคอขาว ความเจ็บนั้นมีมากจนเสียงหวานร้องลั่นออกมา

ร่างสูงยืดแผ่นหลังขึ้นตรง เขาลูบเบาๆ ไปบนบาดแผลสดอย่างนุ่มนวล อ่อนโยน ทว่าสิ่งที่รัชทายาทหนุ่มได้เอ่ยออกมาขณะปลดอาภรณ์ตัวเองออกนั้นกลับเป็นดั่งมีดแหลมคมที่กำลังกรีดลึกลงบนเรือนร่างบอบบางก็ไม่ปาน “แม้ว่าร่างกายเจ้าจะยั่วกิเลสข้าได้มากเพียงไรก็ตาม แต่อย่าได้คิดว่าข้าจะพิศวาสเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นเชลยศึกของข้า การจะเล่นกับเหยื่อ ย่อมต้องเล่นให้ถึงที่สุด ...เจ้าว่าเช่นนั้นไหม? องค์วังชอนซา”

น่ากลัว... รอยยิ้มช่างน่ากลัวนัก ซอนอินจ้องมองคนที่นั่งคร่อมตนและกำลังปลดเสื้อผ้าออกอย่างเชื่องช้าด้วยความรู้สึกที่หวาดกลัวอย่างแท้จริง ชองจีรยงในเวลานี้ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่สนุกกับการล่าเหยื่อเลยแม้แต่น้อย

เพียงแค่ได้เห็นแผ่นอกกำยำเปลือยเปล่าปรากฏแก่สายตา ซอนอินก็ทนมองไม่ได้แล้ว นับประสาอะไรกับสัดส่วนที่แสดงถึงความปรารถนาของอีกฝ่ายในเวลานี้กันเล่า คนตัวเล็กรีบหลับตาแน่นหลีกหนีภาพเหล่านั้นทันที

อากัปกิริยาของคนสวยนั้นทำเอาจีรยงอดจะนึกขันขึ้นมาไม่ได้ บนแผ่นดินนี้ยังจะมีคนที่ไร้เดียงสาต่อการร่วมสัมพันธ์ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้วอีกหรือ ต่อให้คิดว่าเป็นวังชอนซาที่ถือศีลด้วยกายบริสุทธิ์ก็เถอะ แต่ท่าทางที่เห็นอยู่ตอนนี้ เป็นสิ่งที่รัชทายาทหนุ่มไม่คิดมาก่อนว่าจะไร้ประสบการณ์ได้ถึงเพียงนี้

แน่นอนว่าจีรยงไม่รู้ว่าการรุกซอนอินในห้องสรงน้ำคืนวันนั้นจะเป็นครั้งแรกที่ซอนอินรู้จัก ‘การช่วยตัวเอง’ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในเวลานี้ ซอนอินจะดูตื่นกลัวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น

น่าสนุกนัก! จีรยงจ้องมองผิวแก้มแดงปลั่งราวกับเด็กสาวแรกรุ่น ก่อนจะไล้สายตาลงตามเรือนกายขาวหมดจดตรงหน้า ก่อนหน้านี้เขากำลังเดือดจัด อารมณ์คุกรุ่นจนไม่ทันได้มองอย่างละเอียดว่าหงส์ตัวนี้นั้นมีความสวยงามเพียงใด ...ใช่ สวยงาม เขาไม่ปฏิเสธว่าคิมซอนอินมีรูปโฉมงดงามมากกว่าใครเท่าที่เขาเคยได้เห็นมา

มือใหญ่เกี่ยวอาภรณ์สีขาวที่ปกปิดช่วงล่างอย่างหมิ่นเหม่นั่นออก ทำเอาคนที่นอนหลับตาอยู่สะดุ้งเฮือก พยายามบิดกายหนีสายตาคมที่กำลังจ้องมองด้วยความอับอายอย่างที่สุดที่ตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบถึงเพียงนี้

จีรยงจับกดเรียวขาเล็กด้วยหน้าแข้งของตน ...หึ แค่ได้เห็น อารมณ์ของเขาก็แทบจะถึงจุดแล้ว เป็นร่างกายที่ปลุกอารมณ์ในเพศรสได้ดียิ่งนัก

“หยุดนะ! อย่ามอง!!!!” เงียบมาตั้งนาน กลับมาตะโกนขัดขืนเอาตอนนี้

“หน้าบางเสียจริงนะ แต่ข้ารับประกันได้ว่า อีกเดี๋ยว เจ้าจะหน้าบางน้อยลงกว่านี้เยอะ”

“เจ้า...เจ้าจะทำอะไร”

“ทำให้เจ้ากลายเป็นผู้หญิงของข้าน่ะสิ” ทั้งที่พูดคำน่าเกลียดออกมาแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับยิ้มกว้างราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศได้น่าโมโหเป็นที่สุดในสายตาของซอนอิน

“ชองจีรยง! เจ้ามันต่ำช้าที่สุด!! เจ้ามันทุเรศ!!! เจ้ามัน...อื้อๆๆๆๆๆ”

จูบหนักๆ ถูกประกบลงมา ดวงตากลมโตเบิกกว้างกลอกกลิ้งซ้ายทีขวาทีอย่างทำอะไรไม่ได้ นานเข้าก็ได้แต่ปิดเปลือกตาลงเมื่อเรียวลิ้นนั้นถูกเกี่ยวกระหวัดจนหูอื้อตาพร่า จะคิดอะไรก็ดูเหมือนจะบินหนีออกไปหมดพร้อมเสียงจูบที่ดังก้องอยู่ในหูเพียงเท่านั้น

“ข้าจะไม่ปิดปากเจ้าหรอกนะ ดังนั้น เจ้าจะร้องห้ามก็ดี ร้องด่าข้าก็ดี จะร้องดังแค่ไหนข้าก็พร้อมจะรับฟังทั้งนั้น ยิ่งถ้าเจ้าร้องครวญครางด้วยแล้วละก็ ข้ายิ่งยินดีจะรับฟังและทำตามที่เจ้าร้องขอแต่โดยดีเชียวล่ะ!”

“ข้าไม่มีวันร้องครวญคราง! เจ้าอย่าได้ฝัน... อ่ะ อื๊อออออออ” ยังไม่ทันขาดคำ คนสวยก็เผลอหลุดเสียงหวานออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

จีรยงบดจูบลงกับหน้าท้องแบนราบใต้สะดืออย่างไม่เบานัก ยิ่งลิ้นร้อนลากลงต่ำมากเท่าไหร่ ร่างบางก็ยิ่งสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งสรรพางกาย ความรู้สึกราวถูกฉุดลงสู่ห้วงเหวสูงชันท่วมท้นขึ้นมาจากแนวสันหลัง ก่อนกระจ่ายไปทั่วทั้งร่าง จุดบนหน้าอกที่ถูกปลายนิ้วหยาบกดคลึงนั้นตอบสนองจนแข็งขึงสู้รับการสัมผัสอย่างที่ซอนอินไม่อาจห้ามความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย

ทั้งที่เป็นร่างกายของตนเองแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไม่เข้าใจร่างกายนี้เลยสักนิดเดียว!

ท่ามกลางความสับสนที่ก่อตัวขึ้นนั้น ความรู้สึกบางอย่างจากส่วนลึกภายในร่างกายของซอนอินก็แล่นปราดขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง ราวสายฟ้าที่ฟาดผ่านลงมาอย่างฉับพลัน

“หึ นักบวชอย่างเจ้าก็ความรู้สึกไวเหมือนกันนี่?”

“ม...ไม่ใช่!!!.......”

ซอนอินตะโกนกลับด้วยความอับอายและความโกรธที่ถูกคำพูดของคนตรงหน้ากลั่นแกล้งไม่สิ้นสุด

“ใช่หรือไม่ใช่ เจ้าก็ดูเอาเองแล้วกัน” ทันทีที่สัดส่วนที่เพิ่งตื่นตัวถูกกอบกุมด้วยมือหยาบใหญ่ เสียงหวานก็กระตุกครางออกมา รัชทายาทหนุ่มยกยิ้มชั่วร้าย ก่อนจะเริ่มขยับมือช้าๆ

“ฮ๊ะ อ่ะ!!! อื้อออออ”

“ว่าอย่างไรเล่าองค์วังชอนซา ยังจะบอกว่าไม่ใช่อีกหรือ?”

เส้นผมสีดำยาวยุ่งเหยิงแผ่สยายไปทั่วเตียง ดวงหน้าแดงก่ำแหงนเงยขึ้นสูงอย่างควบคุมไม่ได้ เรียวขาขาวถูกจับแยกออกกว้าง จีรยงละมือลงจับต้นขานุ่มไว้แล้วเอ่ยเย้าให้เจ้าตัวได้เห็นถึงส่วนไวสัมผัสนั้นกำลังชูชันขึ้นมาจนหยาดน้ำใสเปียกชุ่มอยู่ตรงส่วนปลาย ซอนอินแทบอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกมากมายที่หมุนวนเป็นมวลสารอยู่ภายในท้องน้อย แน่นอนว่าประสบการณ์การช่วยตัวเองนั้นเคยผ่านมาแล้ว แต่การถูกมือของคนอื่นมาจับต้องจนเกิดความรู้สึกและอารมณ์ได้อย่างนี้มันเกินจะทนรับไหว

แม้ร่างกายของบุรุษเพศจะตอบสนองรุนแรงและรวดเร็วด้วยการกระตุ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับซอนอินแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ มันเหมือนราวกับว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของตนอีกต่อไปแล้ว ซอนอินไม่สามารถควบคุมร่างกายนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

น้ำตาเม็ดใสบนดวงหน้าแดงซ่านของซอนอินนั้นกระตุ้นอารมณ์ของคนมองให้เกิดอารมณ์อยากจะบีบบังคับทุกอย่างมาไว้ในครอบครองโดยเร็ว จีรยงขบกรามอย่างนึกฉุนเมื่อพบว่าร่างกายของเขาดูจะตื่นตัวและต้องการเชลยคนนี้มากกว่าที่ตนคิดไว้ ด้วยความที่ไม่ต้องการให้เชลยแห่งเชินอันมาเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์อยู่เหนือการควบคุมของตน ดังนั้นความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจของรัชทายาทหนุ่มอยู่นี้นั้นจึงสร้างความไม่สบอารมณ์แก่เจ้าตัวอย่างที่สุด

แววตาคมแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัด ร่องรอยของการนึกสนุกที่เผลอไผลเมื่อครู่แปรเปลี่ยนกลับไปเป็นสายตาที่เย็นชาเช่นเดิม จีรยงปลุกเร้าสัดส่วนกลางลำตัวของร่างบางอีกครั้ง

สัมผัสจากฝ่ามือร้อนที่เปลี่ยนไปทำให้ซอนอินรู้สึกทรมานยิ่งกว่าเดิม ทั้งจังหวะและแรงมือเต็มไปด้วยความหนักหน่วง ไม่มีความอ่อนโยนเลยแม้สักนิด และในที่สุด การกระตุ้นปลุกเร้านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นความเร่าร้อนที่แผ่กระจ่ายไปทั่วทั้งเรือนร่าง ทุกจังหวะที่ความรู้สึกพุ่งขึ้นสูง สะโพกของซอนอินก็ขยับสูงขึ้นด้วยเช่นกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่นานนัก ของเหลวอุ่นร้อนจากส่วนลึกสุดของร่างกายก็เอ่อท่วมท้นออกมา พร้อมกับที่เรือนร่างบางบิดเร่ากระตุกเกร็ง

“ฮึก... ฮ๊ะ!!”

ซอนอินรู้สึกเหมือนในหัวขาวโพลนไปหมดในช่วงเวลาสั้นๆ ซ้ำร่างกายก็เหมือนจะไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะได้สติที่มีเพียงน้อยนิดเพื่อพบว่าทั่วทั้งหน้าท้องของตนนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำเหนียวข้นสีขาวขุ่น

ความอับอายแผ่กระจ่ายไปทั่วทั้งดวงหน้าสวย ซอนอินหอบหายใจจนแผ่นอกบางสะท้อนขึ้นลง

สะโพกเล็กถูกตรึงไว้ด้วยเข่าที่แทรกระหว่างขาทั้งสองข้าง ก่อนจะถูกมือใหญ่จับเรียวขานั้นแยกออกกว้าง จีรยงรั้งต้นขาข้างหนึ่งของซอนอินขึ้นเพื่อให้เรียวนิ้วยาวได้สำรวจช่องทางคับแน่นได้สะดวก หยาดน้ำสีขาวขุ่นที่ไหลล้นลงมาถึงด้านหลังช่วยอำนวยความสะดวกให้ แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ซอนอินไม่รู้สึกเจ็บได้เลย

“ม...ไม่ ฮึก....เจ็บ...อย่า!!”

ศีรษะเล็กส่ายไปมา ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว ในที่ที่เขาเองยังไม่เคยได้เห็นสักครั้ง คนตรงหน้ากลับสัมผัสมันอย่างกับเป็นเรื่องปกติ ซ้ำยังสอดปลายนิ้วรุกล้ำเข้ามาจนนึกอยากจะอาเจียนด้วยความที่ไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน แต่ที่แย่ยิ่งกว่าสิ่งใด คือความรู้สึกเสียวซ่านที่เกิดขึ้น นอกจากความเจ็บที่มีแล้ว ซอนอินยังรู้สึกเหมือนร่างกายต้องการสัมผัสพวกนั้นมากกว่านี้ ทั้งภายในและภายนอกล้วนเป็นไปตามการควบคุมของร่างสูงทั้งสิ้น

นี่เขาเป็นอะไรไปกันแน่?! ตัวเขากำลังถูกทำลายศักดิ์ศรี ร่างกายถูกกระทำราวกับเป็นพวกหญิงในหอนางโลมแล้วทำไม เขาถึงเกิดความรู้สึกยินดีกับสัมผัสของชองจีรยงได้ถึงเพียงนี้ ร่างกายนี้เป็นอะไรไปแล้ว ทำไมเขาถึงไม่สามารถควบคุมมันได้เลย นี่เขากำลังสุขสมกับความอัปยศที่เกิดขึ้นงั้นหรือ?

ซอนอินเบี่ยงหน้าเอนซบกับฟูกนอน น้ำตามากมายจากความรู้สึกที่ไม่มีวันเข้าใจไหลทะลักออกมาจากดวงตาคู่สวย เปลือกตาบางปิดลงอย่างไม่อาจทนเห็นสภาพร่างกายที่ทรยศได้อีกแล้ว รวมถึงริมฝีปากบางที่ถูกซี่ฟันเล็กปิดผนึกไว้เพื่อไม่ให้ตนได้เผลอร้องออกมาอีก แม้ร่างกายจะรู้สึกดีแค่ไหน แต่ในความเป็นจริง ในส่วนลึกสุดของหัวใจ ซอนอินรับรู้เพียงความเจ็บปวดและความทรมานแต่เพียงเท่านั้น

เห็นคนใต้อาณัติมีท่าทางต่อต้าน ร่างสูงก็ถอนนิ้วออกจากส่วนลึกล้ำ จับเข่าทั้งสองข้างงอขึ้นจนชิดแผ่นอกบางเรียบ ยกสะโพกเล็กให้ลอยขึ้นสูง ก่อนจะแทรกกายร้อนผ่าวเข้าไปในคราวเดียวอย่างไม่สนใจว่าในที่ตรงนั้นจะพร้อมรับได้หรือไม่

“ฮึก!! อ๊า!!!!!!” ริมฝีปากบางชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด ซอนอินทนเก็บเสียงไว้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล เขากรีดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทรมาน

รัชทายาทหนุ่มดันตัวเองเข้าสู่ภายในอันอบอุ่นมากยิ่งขึ้น และได้พบว่า เชลยแสนงามคนนี้นั้นมีอะไรบางอย่างที่สามารถกระตุ้นความต้องการของเขาได้ไม่เหมือนกับใครคนอื่น เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากจะปลดปล่อยออกมาโดยไม่ต้องเสียเวลาปลุกอารมณ์เลยแม้แต่น้อย

ทว่า ตัวของวังชอนซานั้นไม่สามารถรองรับเขาได้ทั้งหมด เพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ส่วนนั้นก็บีบรัดแน่นเหลือเกิน ความอึดอัดก่อตัวขึ้นบริเวณหน้าท้องแข็งแกร่ง คิ้วเข้มขมวดยุ่งเมื่อความต้องการทวีความรุนแรงมากขึ้น รู้ดีว่าร่างกายบอบบางนี้ยังไม่สามารถตอบรับความปรารถนาของตนได้ แต่ก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว เสน่ห์และความยั่วยวนอย่างไร้เดียงสาของคิมซอนอินปลุกตัณหาและราคะของมังกรตัวใหญ่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของท้องนภาแห่งฮานึลให้ขึ้นตื่นขึ้นได้อย่างที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานานนักหนา

หรืออาจจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ที่จีรยงไม่อาจควบคุมตัวเองได้เช่นนี้

เขากดกายแทรกลึกฝืนความคับแคบที่บีบรัดแน่น ทันทีที่ผิวเนื้อนุ่มอ่อนบางถูกขยายอย่างไร้ความอ่อนโยน เลือดสีแดงสดก็ไหลซึมออกจากส่วนที่ปริแยกฉีกขาดลงตามผิวเนื้อขาวนวล พร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากคนร่างบาง

“อ๊า!!!!!”

หยดน้ำตามากมายเอ่อทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความเจ็บจากส่วนล่างด้านหลังทำให้เรือนกายบางสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ เรียวขาเล็กสั่นระริกด้วยความเจ็บอย่างหาที่สุดไม่ได้ ซอนอินรู้สึกเหมือนถูกฉุดกระชากร่างกายออกเป็นสองซีก บาดแผลในส่วนลับสายตาค่อยๆ พรากสติที่ลางเลือนไปอย่างช้าๆ

เจ็บจนทนไม่ไหว... ซอนอินได้ยินเสียงความเจ็บปวดประท้วงขึ้นมาดังก้องอยู่ในหัว ทุกจังหวะที่ถูกความร้อนรุ่มดึงดันเข้ามา ราวกับเส้นประสาทแต่ละเส้นขาดผึ่งออกจากกัน ความว่างเปล่าและหมอกควันค่อยๆ โรยตัวกดทับลงมาจนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ไม่ว่าจะพยายามไขว่คว้าหาอากาศอย่างไร ก็ดูเหมือนจะไร้หนทาง ไม่นานนัก เมื่อความปรารถนาของคนด้านบนได้เข้ามาจนลึกสุด ซอนอินก็เห็นเพียงความว่างเปล่าตรงหน้า ก่อนหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
 

ท่ามกลางมวลอากาศแสนอึดอัดและกลิ่นหอมหวานรุนแรงในรสเพศแผ่กำจ่ายไปทั่วห้อง ร่างสูงใหญ่ของรัชทายาทหนุ่มแห่งฮานึลก็ได้ใช้ความเหนืออำนาจในทุกอย่างที่มีครอบครองย่ำยีร่างบอบบางของบุตรชายองค์โตแห่งเชินอันที่สลบไสลอย่างไม่รู้จบ ครอบครองครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเลือดสีแดงที่ไหลซึมไม่หยุด ทั้งหยาดหยดแห่งกามารมณ์ที่ล้นทะลักจากการปลดปล่อยในกายเย้ายวน ล้วนแล้วแต่ยิ่งเพิ่มอารมณ์รุนแรงแก่ชายหนุ่มได้มากพอที่จะไม่สนใจว่าคนเบื้องล่างของตนนั้นจะสลบและตื่นขึ้นเพราะความเจ็บไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

จวบจนกระทั่งความมืดมิดของท้องฟ้าครอบงำให้ทุกสิ่งภายในห้องให้จมอยู่ในความมืดสลัว เสียงนกน้อยตัวเล็กในกรงร้องระงมเพราะล่วงเลยเวลาการให้อาหารมาเกือบชั่วยามแล้ว

จีรยงเหยียดร่างโถมกายเข้าหาซอนอินที่นอนหมดสติเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนถอนกายออกมา แผ่นอกหนากระเพื่อมหอบหายใจหนักหน่วง เขามองดูช่องทางบวมช้ำที่มีบาดแผลฉีกขาดน่ากลัว เลือดสีสดที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ไหลผ่านตามร่องลืบและโคนขาขาวเนียนด้านใน

ต่อให้เป็นหญิงบริสุทธิ์ก็ไม่น่าจะบอบบางถึงเพียงนี้...

หลังจัดแจงเสื้อผ้าของตนเรียบร้อยแล้ว จีรยงก็นั่งลงที่ขอบเตียง เขามองเรือนร่างขาวอมชมพูระเรื่อสีจัดเกือบทุกจุดที่ถูกเขาแตะต้อง ก่อนจะปลดผ้าออกจากข้อมือเล็ก ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งเห็นว่า แม้แต่ข้อมือของซอนอินก็บอบบางไม่แพ้ส่วนอื่นของร่างกาย รอยช้ำแดงอมม่วงนั้นน่ากลัวเกินไปเพียงเพราะผ้าที่มัดรวบไว้ ไหนยังจะรอยกัดของเขาที่ลำคอนั่นอีกเล่า ที่ถึงตอนนี้แล้วก็ยังจะมีเลือดซึมออกมา แม้แต่ริมฝีปากบวมช้ำที่เจ้าตัวกัดจนเลือดออกนั่นอีก

เห็นอย่างนั้น จีรยงก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองคงจะรุนแรงมากเกินไปจริงๆ หรือเพราะคิมซอนอินคนนี้มีร่างกายที่อ่อนแอมากเกินไปกันแน่

เป็นบุรุษแท้ๆ แต่กลับอ่อนปวกเปียกเสียยิ่งกว่าอิสตรี ซ้ำยังมีร่างกายที่เชิญชวนเพศเดียวกันเสียอีก ไม่สิ ต่อให้เป็นหญิงใดมาเห็นก็คงอดคิดไม่ได้ว่าอยากได้คนผู้นี้ไว้ในครอบครองเป็นแน่

...หากเขาได้คนที่สวยงามเช่นนี้มาไว้ข้างกายล่ะก็ คงน่ายินดีไม่น้อย

ข้อนิ้วหนาถูกยื่นออกไปซับหยดน้ำใสที่หางตาบาง ก่อนจะหยุดชะงัก จีรยงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เรียวคิ้วเข้มกดลงด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง เมื่อครู่เขาเผลอคิดไปได้อย่างไรว่าอยากได้เชลยศึกผู้นี้มาไว้ข้างกาย ถึงจะสวยงามเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงแค่คนในแคว้นศัตรู ...หากจะได้มาครอบครองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่จะให้ความสำคัญไม่ได้ คิมซอนอินจะต้องเป็นเพียงของเล่นสำหรับเขา

โอรสแห่งเชินอันผู้นี้จะเป็นได้ก็แค่ที่ระบายความใคร่ของรัชทายาทแห่งฮานึลเท่านั้น!
 

“ความสวยงามของเจ้า ไม่มีค่าอันใดสำหรับข้าแม้แต่น้อย คิมซอนอิน”
 

จีรยงเดินจากคนบนเตียงไปอย่างไม่เหลียวมองอีกเป็นครั้งที่สอง เขาทิ้งร่างบอบช้ำไว้บนเตียงนั้นโดยไม่แม้แต่จะหาผ้ามาปกปิดร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการร่วมสัมพันธ์ เขากระแทกประตูออก เดินผ่านสาวใช้ทั้งสองที่รีบลุกลี้ลุกลนถอยห่างจากประตูห้องของคนเป็นนายไปโค้งกายต่ำอยู่ที่ผนังกำแพง

หลังส่งองค์รัชทายาทกลับที่หน้าตำหนักแล้ว นางกำนัลน้อยก็รีบรุดกลับเข้าห้องบรรทมของวังชอนซาอย่างรวดเร็ว และเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า ทั้งยอนอา และโซยอนต่างก็ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกตะลึง สภาพของซอนอินที่พวกนางได้เห็นนั้นช่างน่าเวทนานัก ยามที่ได้ฟังเสียงหวานร้องครวญครางอย่างทรมานอยู่ด้านนอก พวกนางก็รู้สึกใจเสียมากพออยู่แล้ว ยิ่งได้มาเห็นว่านายของตนถูกย่ำยีจนสลบและมีบาดแผลน่ากลัวจนเลือดสีแดงซึมเป็นวงกว้างบนผ้าปูก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นใจอย่างที่สุด

“โธ่ องค์วังชอนซา...” ยอนอาครางในคอด้วยสีหน้าเจ็บปวดไม่แพ้น้องสาว ก่อนจะพากันเข้าไปประคองร่างหมดสตินั้นออกจากกองผ้าที่เปรอะเปื้อน โชคยังดีที่ระหว่างนั้นกึมซองได้มาที่ตำหนักโยกัน เด็กหนุ่มจึงเข้าช่วยสองพี่น้องทำความสะอาดเรือนกายของวังชอนซาได้สะดวกขึ้น

 
ทว่า เด็กทั้งสามกลับพบว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นนั้น ร้ายแรงกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากนัก...
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 10] (NC) 28/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 28-08-2016 11:29:02


“อึก!”

“เป็นอะไรหรือเปล่าฮีอู?” จีมุนเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปประคองร่างเล็กที่อยู่ๆ ก็มีสีหน้าท่าทางเหมือนกำลังจะอาเจียน

จีมุนเพิ่งกลับจากห้องเก็บหนังสือประวัติศาสตร์เผอิญเจอกับฮีอูที่ออกมาเดินเล่นกับเจ้าอิงอิงตัวน้อยที่สวนกลางของวังหลวง พวกเขาจึงพากันเดินกลับมาด้วยกัน

ศีรษะเล็กส่ายเบาๆ ก่อนจะระบายยิ้มกว้างให้คนตัวสูงได้วางใจ ฮีอูผิวปากเรียกอิงอิงที่เอาแต่วิ่งวนเป็นวงกลมไล่งับผีเสื้อกลางคืนให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือลงยกเจ้าตัวกลมขึ้นอุ้มแนบอก

“องค์ชายไม่ต้องมาส่งหม่อมฉันแล้วก็ได้ ฟ้ามืดแล้ว เกิดพระสนมทรงเรียกหาจะเกิดเรื่อง อีกอย่าง หม่อมฉันคิดว่าจะเดินเล่นต่ออีกสักหน่อย องค์ชายกลับไปก่อนเถิด”

“แต่สีหน้าเจ้าดูแย่ๆ นะ ข้าว่า เจ้าควรจะรีบกลับตำหนัก”

“อีกประเดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ” ฮีอูเอ่ยย้ำหนักแน่นอีกครั้งว่าตนไม่เป็นอะไรจริงๆ ก่อนโค้งกายให้องค์ชายเมื่อฝ่ายนั้นตัดสินใจเดินแยกไปอีกทางเพื่อไปยังตำหนักของพระสนมฮีวอนผู้เป็นพระมารดา

ฮีอูเดินเอื่อยอยู่ตรงบริเวณสระบัวขนาดใหญ่ในส่วนหน้าก่อนจะเข้าถึงตำหนักของตน อาการปวดแปลบเกิดขึ้นอีกครั้งจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก เขาปล่อยให้สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยได้วิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะย่อกายลงนั่งกอดเข่าอยู่บนสะพานไม้ที่ยื่นออกไปในสระน้ำ

มือเล็กที่ปิดทับริมฝีปากและปลายจมูกอยู่เมื่อครู่ขยับหงายออกเบื้องหน้า แสงจันทร์อ่อนๆ ที่ส่องกระทบลงมาทำให้ดวงตาเรียวเล็กได้เห็นคราบเลือดสีแดงเหนียวข้นอยู่บนฝ่ามือขาวของตน

ฮีอูล้วงหยิบแพรพกขึ้นซับเลือดทั้งที่มือและที่ปลายจมูก เขากดหน้าอกที่พลันเกิดรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบก้อนเนื้อหัวใจให้แหลกสลายด้วยสีหน้าเจ็บปวดทรมาน ร่างเล็กๆ สั่นสะท้านอย่างเจ็บปวดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ทว่า ความเจ็บปวดสุดจะทนได้นั้นก็พลันหายไปในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว

“พิษกำลังออกฤทธิ์แล้วสินะ” เสียงเล็กพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ฮีอูซุกแพรพกที่เปื้อนเลือดกลับเข้าอกเสื้อ เขาเว้นจังหวะบังคับลมหายใจให้เป็นปกติ พลางคิดย้อนกลับไปถึงบุคคลที่เป็นผู้แพร่พิษร้ายแรงนี้แก่ร่างกายของตน
 

แต่ไรมา ฮีอูมักจะได้เรียนเรื่องการปรุงยาจากผู้เป็นแม่ตั้งแต่เล็ก ทั้งยารักษาโรคภัยทั้งภายในและภายนอก รวมถึงยาพิษบางประเภทที่แม่ของเขาสอนไว้เพื่อให้เป็นอีกหนทางหนึ่งในการป้องกันตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ฮีอูจะจับผิดสังเกตต่อปฏิกิริยาการรักษาให้กับชายผู้นั้นได้

ราวๆ สามวันที่ฮีอูเอะใจเรื่องบาดแผลของยองจูที่ตนเป็นผู้รักษา เขาไม่รู้ว่ายองจูต้องการอะไรถึงต้องหลอกเขาอย่างนี้ ด้วยความอยากรู้ และเพราะเป็นยองจู ฮีอูจึงทำเป็นไม่สนใจสิ่งหลอกลวงเหล่านั้น จนกระทั่งในวันหนึ่ง เขาบังเอิญเห็นซองยาบางอย่างตกอยู่ที่ด้านหลังของกระท่อมไม้แห่งนั้น เมื่อตรวจดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นสมุนไพรบางอย่างที่ตนไม่รู้จัก ในตอนนั้นเองที่ได้รู้ว่า ในทุกวันที่ได้ทานอาหารเที่ยงกับยองจู ชายชราที่อ้างว่าเป็นเจ้าของกระท่อมนั้นจะเทผงยาพวกนี้ลงในหม้อน้ำแกง ...เพื่อให้เขาได้ทานมันอย่างต่อเนื่องทุกวัน

ครั้งที่ฮีอูอาสาเป็นคนทำกับข้าว ยองจูไม่ได้แสดงท่าทีเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ทว่า ในตอนกลางคืนของวันนั้น ฮีอูถึงได้รู้ว่า ตนโดนยองจูล่อลวงให้ทานยาพิษนั้นผ่านทางจูบของอีกฝ่าย

แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นแล้ว ฮีอูก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจ ไม่ว่ายองจูจะต้องการอะไรจากเขา ฮีอูก็ไม่สนทั้งนั้น เพราะสิ่งเดียวที่ฮีอูต้องการ คือการได้อยู่ใกล้ชิดกับยองจู แม้จะรู้ว่าโดนหลอกให้ทานยาพิษพวกนั้นในทุกๆ วันอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ทว่า สิ่งที่ทำให้ฮีอูรู้สึกเสียใจกลับไม่ใช่การโดนหลอกด้วยยาพิษ แต่กลับเป็นเพราะเหตุผลที่ฝ่ายนั้นกระทำกับตน ทุกอย่างที่ยองจูทำก็เพื่อต้องการช่วยวังชอนซา ยองจูเป็นคนของเชินอัน เรื่องนี้เขารู้ได้จากตราหยกของคนผู้นั้นที่เขาได้ทำการประทับลงบนหมึกขี้ผึ้งให้เถ้าแก่ที่รู้จักกันเป็นคนตรวจสอบให้ แม้จะเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าชินซอง แต่ใครๆ ก็รู้ว่าในเวลานี้ ชินซองเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเชินอัน และเหตุผลเดียวที่ยองจูทำทั้งหมด ก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือการช่วยวังชอนซาออกมาจากฮานึล

การใช้ยาพิษกับศัตรูนั้นฮีอูพอเข้าใจ แต่ถึงกับหลอกลวงความรู้สึกของเขาถึงเพียงนี้นั้นมันทำให้ฮีอูเสียใจจนเจ็บปวดไปหมดทั้งหัวใจ ยิ่งคิดว่ายองจูอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อวังชอนซาด้วยแล้ว ฮีอูก็ยิ่งรู้สึกเจ็บร้าวในอกอย่างสุดแสน

บุรุษคนแรกที่ทำให้รู้จักคำว่ารัก กลับเป็นคนที่หลอกลวงเขาทุกสิ่งทุกอย่าง

หากไม่ใช่ยองจู หากไม่ใช่เพราะหัวใจดวงนี้ที่รักคนผู้นั้น ฮีอูจะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นเครื่องมือการแลกเปลี่ยนเชลยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจนี้เลย
 

“เพื่ออะไรกัน...” ดวงหน้างดงามที่จ้องมองผืนน้ำนิ่งสงบนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศก เสียงเล็กๆ ที่เอ่ยออกมานั้นสั่นเครือไม่แพ้ร่างกาย หากแต่รอยยิ้มบางนั้นกลับปรากฏขึ้นบนผิวน้ำตรงหน้า

ฮีอูยิ้มขืนใส่เงาของตัวเอง “ทั้งหมดที่เรายอมเพื่อความต้องการของท่าน เราทำไปเพื่ออะไร สิ่งที่เราได้รับมีเพียงความหลอกลวง แต่สิ่งที่เราต้องเสียสละกลับเป็นชีวิตของเรา ...วังชอนซาสำคัญกับท่านถึงขนาดต้องแลกด้วยชีวิตของเราเลยอย่างนั้นหรือ? ท่านไม่คิดว่ามันใจร้ายเกินไปสำหรับเราเลยใช่ไหม ความรักของเราที่มอบให้ท่านไม่มีค่าเลยใช่หรือเปล่า ยองจู...”

ดวงหน้าเล็กซุกลงกับท่อนแขนที่ยกขึ้นกอดเข่า เสียงสะอื้นดังแผ่วเบาในอากาศที่เย็นเฉียบ สุนัขจิ้งจอกหิมะขยับกายเข้าใกล้เจ้าของ ก่อนจะบดเบียดตัวเองเข้ากับแผ่นหลังที่สั่นสะท้านอย่างต้องการปลอบ
 

...ยองจู ท่านคิดว่าองค์ชายใหญ่จะทรงยอมแลกชีวิตเรากับเชลยศึกที่แสนสำคัญอย่างนั้นหรือ ชีวิตของเราไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้นเลยแม้แต่น้อย แม้องค์ชายใหญ่จะลุ่มหลงในตัวของเรา แต่หากเป็นเรื่องของบ้านเมืองแล้ว ไม่พ้นที่ชีวิตของเราจะต้องจากไปอย่างสูญเปล่า
 

“ฮึก...ถึงตอนนั้นแล้ว ท่านจะรู้สึกผิดต่อเราไหม ท่านจะเกิดความรู้สึกเสียดายที่เราตายไปหรือเปล่า ยองจู... ฮึก....ฮือ......”
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 10] (NC) 28/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-08-2016 13:23:45
 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 10] (NC) 28/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 28-08-2016 15:42:55
ตอนแรก ยอมรับว่าสับสน ตัวละครเยอะ ตอนนี้เริ่ม จัดระเบียบความเข้าใจพอได้แล้ว สงสาร ท่านซอนอินอ่ะ รัชทยาท แลดูแปรปรวนชอบกล 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 11] (NC) 29/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 29-08-2016 16:43:36
   

บทที่ 11


 

“ฮึก! อึก!!!!”
 
“อ้วกออกมาอีกเพคะ!! อย่าฝืนนะเพคะ!!”
 
เสียงนางกำนัลน้อยสองคนดังโหวกเหวกอยู่ภายในห้องบรรทมของตำหนักโยกัน กระโถนหินเคลือบลวดลายวิจิตรถูกขยับเข้าจ่อริมฝีปากบางซีดอีกครั้งเมื่อคนร่างบางบนเตียงมีอาการสำรอกของเหลวในท้องรุนแรง
 
ยอนอาซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงกดน้ำหนักมือลงไปบนแผ่นหลังบางแล้วลูบขึ้นด้วยความกังวล พลางเอ่ยปากบอกคนเป็นนายไม่หยุดว่าให้อ้วกเอาสิ่งที่ตีตื้นขึ้นมาจากช่องท้องออกเสียให้หมด อย่าฝืนทนไว้ ไม่อย่างนั้นทั้งไข้ ทั้งอาการคลื่นไส้ก็จะไม่หายไปเสียที
 
สองวันเต็มมาแล้วตั้งแต่คืนที่องค์รัชทายาทได้ข่มเหงวังชอนซาอย่างทารุณ เป็นสองวันเต็มที่ซอนอินมีไข้หนักรุมเร้า เนื้อตัวร้อนเป็นไฟ คลื่นไส้อยู่ทุกๆ สองชั่วยาม หน้าซีดและเหงื่อผุดตามผิวเนื้อแทบทุกที่ อีกทั้งบาดแผลในส่วนลับก็ยังไม่หายสนิท นางกำนัลทั้งสองพยายามขอร้องกึมซองให้ทูลองค์ชายใหญ่โปรดส่งแพทย์หลวงมาดูอาการบ้างสักคน แต่ก็ไร้ผลเมื่อในเวลานี้ ไม่ว่าจะแพทย์หลวงหรือหมอเกือบทุกคนในเมืองหลวงถูกเรียกตัวให้ไปยังตำหนักรัชทายาทแทบทั้งสิ้น ซ้ำเวลานี้ แม้แต่ตัวกึมซองเองก็ยังเข้าหน้านายเหนือหัวของตนไม่ติดเลยด้วยซ้ำ
 
ว่ากันว่า...คุณชายฮีอูเป็นโรคประหลาด กระอักเลือดจนน่ากลัวว่าจะหมดตัวไปทั้งอย่างนั้น ซ้ำยังไม่ได้สติ รู้สึกตัวทีก็พ่นเลือดเหนียวข้นออกมาอยู่เช่นนั้นแทบทุกครั้ง ไม่ว่าจะหมอเทวดาคนใดก็หาสาเหตุไม่ได้เลยสักคน จนกระทั้งมีชายชราคนหนึ่งซึ่งเป็นนักพรตยาสมุนไพรอาศัยอยู่แทบปลายเขาถูกจับมาที่วังหลวงนั้นได้บอกว่าอาจเป็นพิษชนิดหนึ่งที่ไม่มียารักษาก็เป็นได้ หลังจากนั้นไม่พ้นหนึ่งชั่วยาม นักพรตชราผู้นั้นก็ถูกสั่งประหารทันที
 
...นั่นเป็นตอนที่กึมซองกำลังจะเข้าไปขอร้องนายของตนให้เชิญหมอไปดูอาการวังชอนซาเป็นครั้งที่สองพอดี ได้เห็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่กล้า ทั้งสุรเสียง ทั้งสีหน้าและแววตาขององค์รัชทายาทน่าเกรงขามเสียยิ่งกว่าตอนที่พระองค์ออกคำสั่งตีข้าศึกเสียอีก โทซองเองก็ส่ายหน้าว่าไม่ควรเข้าไปตอนนี้ เพราะนอกจากจะไม่ได้ตามที่ร้องขอแล้ว วังชอนซาอาจจะโดนพระอารมณ์ของนายเหนือหัวกริ้วใส่เสียเปล่าๆ
 
ครั้งแรกก็โดนตะวาดใส่ หากขอร้องอีกครั้ง คงไม่ใช่แค่เขาจะได้รับโทษขั้นพื้นฐานแน่ กึมซองเองก็อยากช่วยวังชอนซา แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ที่โทซองบอกมานั่นก็มีส่วนถูก อารมณ์ขององค์รัชทายาทเพลานี้น่ากลัวเกินกว่าที่จะสนใจคนที่เป็นเพียงเชลยศึก แค่ตอนนี้ก็นับว่าดีแล้วที่พระองค์ไม่ไประบายอารมณ์ใส่ร่างกายบอบช้ำนั้นอีกครั้ง ครั้นจะไปหาองค์ชายรองให้หาทางช่วยเหลือ ด้วยตำแหน่งที่เป็นถึงพระเชษฐา แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง องค์กษัตริย์เพิ่งออกรับสั่งให้องค์ชายจีมุนเป็นตัวแทนไปยังแคว้นพกซอเพื่อเจราการค้าทางน่านน้ำทะเลเมื่อวันก่อน
 
สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับคนในตำหนักโยกันตอนนี้มีเพียงการประคับประคองร่างกายของวังชอนซาไปอย่างตามมีตามเกิดเท่านั้น
 
ซอนอินโก่งคอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะทรุดฮวบลงกับหมอนใบใหญ่ที่ตั้งพิงหัวเตียงเอาไว้ เขาหอบหายใจหนัก รู้สึกเหมือนอะไรในหัวกำลังจะระเบิดเสียให้ได้ ความร้อนในกายก็เพิ่มขึ้นจนรู้สึกหน้ามืดไปหมด
 
“โซยอนไปเปลี่ยนน้ำมาใหม่ เร็วเข้า” ยอนอาหันไปสั่งความน้องสาว ก่อนจะใช้ผ้าที่พึ่งบิดน้ำหมาดๆ เมื่อครู่เช็ดไปตามใบหน้าชื้นเหงื่อ เรียวคิ้วบางของนางขมวดยุ่งเมื่อพบว่าอุณหภูมิจากตัวของวังชอนซานั้นสูงมากขึ้นจนน่ากลัว ไม่ใช่แค่ร้อนราวกับไฟ แต่นี่ราวกับร่างทั้งร่างของวังชอนซากำลังจะมอดไหม้เสียอย่างนั้น
 
ขณะที่นางกำนัลซับผ้าไปตามใบหน้าซีดขาว ลมหายใจร้อนระอุก็พ่นออกจากริมฝีปากซีดไม่หยุด นัยน์ตาสีสวยปรือปรอยอย่างเหนื่อยอ่อน ตั้งแต่เกิดมา ซอนอินไม่เคยรู้สึกว่าร่างกายตนเองอึดอัดได้เท่านี้มาก่อน อาจจะมีบ้างหากเขาแอบดื่มน้ำจัณฑ์ตอนที่ราชครูยองจูเผลอ แล้วก็เกิดอาการแพ้ หรือจะเป็นตอนที่ถูกองค์ชายสามแห่งพกซอชวนดื่มน้ำจัณฑ์ในงานเลี้ยงนั่น แม้จะรู้สึกว่าแพ้มากกว่าที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกแย่กว่ามากไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า
 
เหมือนมีอะไรที่ร้อนมากๆ อยู่ในร่างกาย และมันก็กำลังพยายามขยายตัวระเบิดออกมาอย่างสุดกำลัง
 
...คิดแล้ว ก็อยากอาเจียนอีกรอบ
 
ไม่ทันไร ซอนอินก็ต้องรีบคว้าโถกระเบื้องมาจากโต๊ะข้างเตียงอีกครั้ง
 

 
หลังทำความสะอาดผิวเนียนละเอียดอย่างทะนุถนอมแล้ว นางกำนัลสาวจึงเริ่มแต่งตัวให้ผู้เป็นนายอย่างเบามือที่สุดเพื่อไม่ให้ไปกระทบกระเทือนบาดแผลตามจุดต่างๆ บนเรือนกายขาวที่เต็มไปด้วยผื่นสีแดงเข้ม และร่องรอยของการถูกขบกัดจนได้เลือด ตามข้อมือยังคงมีผิวฟกช้ำให้เห็นสะดุดตา
 
“เอ๋? นี่มัน เหมือนตอนนั้นเลย...” เสียงอุทานลอยๆ ของโซยอนเรียกให้คนเป็นพี่สาวที่กำลังเตรียมเสื้อตัวในสวมให้กับร่างบางต้องอ้อมไปมองตามสายตาของน้องสาว
 
ที่แผ่นหลังบางนั้น ตรงจุดกึ่งกลางของแนวกระดูกสันหลังช่วงบนปรากฏเนื้อผิวคล้ายเกล็ดปลาเรืองแสงสีเงิน เมื่อลองลูบลงไปเบาๆ กลับรู้สึกเพียงผิวเนื้อที่นุ่มลื่นไม่ต่างจากส่วนอื่นๆ สองสาวยิ่งพากันกังวลหนัก
 
“องค์วังชอนซาทรงเจ็บหรือไม่เพคะ?” ยอนอาเอ่ยถามพลางลูบเบาๆ ลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ปรากฏรอยประหลาด
 
ซอนอินเพียงแค่ส่ายศีรษะตอบ เขารู้สึกเหนื่อยจนแม้แต่จะออกเสียงพูดยังต้องหอบหายใจเข้าลึก อีกทั้งตอนนี้เขายังปวดหัวจนนึกอะไรไม่ออกแล้ว ...อยากจะนอนหลับเร็วๆ
 
...หลับไปตลอดกาลได้เลยยิ่งดี
 
ยาสมุนไพรสามัญถูกดื่มรวดเดียวหมดถ้วย ซอนอินเอนตัวลงนอนหลังจากนั้นแทบจะทันที ปล่อยให้นางกำนัลทั้งสองคอยซับเหงื่อให้อย่างที่เขาก็ห้ามพวกนางไม่ได้ แม้ว่าจะต้องอดหลับอดนอนมาดูแลเขาอย่างนี้อยู่ตลอดคืนก็ตาม
 

 

“ครานี้องค์รัชทายาททรงทำเกินไปจริงๆ” ยอนอาเอ่ยเสียงไม่พอใจเท่าใดนัก คนเป็นน้องก็พยักหน้าหนักๆ อย่างเห็นด้วย พลางว่า “ใช่ แม้แต่จะส่งท่านหมอมาสักคนยังไม่ทรงอนุญาต”
 
“...ไม่รู้ว่าคุณชายฮีอูเป็นอะไรมากหรือเปล่า พระองค์ถึงได้ไม่คิดจะเหลียวแลองค์วังชอนซาของพวกเราเลยแม้แต่น้อย ข้าล่ะอยากจะรู้นัก กับแค่หมอเพียงคนเดียว ไยพระองค์ถึงพระทัยดำได้ลงคอเช่นนี้!” ว่าแล้วยอนอาก็อดจะเกิดความไม่ชอบใจต่อทั้งองค์รัชทายาทและคุณชายฮีอูไม่ได้ แม้เธอจะเข้าใจดีว่าคุณชายฮีอูไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องใดก็ตามในความต้องการขององค์รัชทายาท แต่ด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อวังชอนซาที่เธอมีมากกว่า ก็อดจะพาดพิงไปด้วยไม่ได้
 

 
ก็มันน่าไหมเล่า อีกคนมีแพทย์ล้อมหน้าล้อมหลัง ในขณะที่อีกคนได้แต่นอนซมไข้อยู่อย่างนี้น่ะ!
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
สองวันมาแล้วที่อารมณ์ของมังกรหนุ่มแห่งฮานึลร้อนรุ่มราวกับไฟกัลป์ที่ยากจะมอดดับ ทุกอย่างรอบตัวดูจะพร้อมใจกันทำให้อารมณ์ของรัชทายาทชองจีรยงระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
 
หมอหลวงจากึนตรวจดูชีพจรของร่างเล็กบนเตียงที่นอนหมดสติอย่างอับจนหนทาง ตนซึ่งศึกษาศาสตร์ทางการแพทย์มาเป็นเวลายาวนานกว่าค่อนชีวิต ยังไม่เคยพบเห็นอาการที่คุณชายฮีอูเป็นอยู่นี้เลย พิษร้ายกาจที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายนี้รุนแรงและน่ากลัวมาก วิธีรักษานั้นแทบจะไม่มีอยู่ในตำราและความรู้ของเขาแม้แต่น้อย แค่วิธีจะหยุดยั้งยังหาหนทางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เวลานี้ นอกจากจะคอยตรวจสอบชีพจรอยู่เป็นระยะแล้ว จากึนก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้อย่างสัตย์จริง
 
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ทันทีที่เห็นว่าหมอหลวงละมือออกจากแอ่งชีพจรบนข้อมือเล็ก จีรยงซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างร่างบนเตียงก็รีบเอ่ยถาม
 
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอตอบตามตรงว่า พิษที่คุณชายฮีอูได้รับเข้าไป เป็นพิษที่กระหม่อมไม่รู้จัก และไม่สามารถหาวิธีหยุดยั้งได้จริงๆ”
 
จบประโยคนั้น เครื่องเรือนบนโต๊ะข้างเตียงได้ถูกปัดลงบนพื้นเสียงดังสนั่น เหล่าแพทย์ที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่เกือบสิบคนพากันสะดุ้งตกใจ
 
“ข้าไม่ต้องการคำว่าไม่รู้ของพวกเจ้า!! หากฮีอูเป็นอะไรไป พวกเจ้าทุกคนจะต้องถูกประหารทั้งหมด!!!” สุรเสียงคมกร้าวดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง มวลอากาศหนาหนักกดทับหัวใจของคนฟังทุกดวง หมอทุกคนในที่นี้ต่างรู้ว่าไม่มีหนทางใดจะรักษา ดังนั้นสิ่งที่รออยู่ก็มีเพียงความตายของพวกเขาเท่านั้น
 
รัชทายาทหนุ่มสบถเสียงดังเป็นคำรบด้วยความกริ้วโกรธรุนแรง เขาตวาดไล่ทุกคนออกไปจากห้อง สั่งความเสียงดังให้แต่ละคนไปค้นหาวิธีรักษามาให้ได้ก่อนหมดวันพรุ่ง ไม่เช่นนั้นก็เตรียมตัวรับโทษประหาร
 
หลังบานประตูไม้ถูกปิดลง ภายในห้องบรรทมตกอยู่ในความเงียบสงัด
 
จีรยงรู้ดีว่าการทำร้ายตัวเองเป็นเรื่องโง่เขลา เขาจึงเลือกระงับอารมณ์ของตนเองด้วยการต่อยเข้ากับกำแพงเพียงแค่สองสามครั้งให้คลายความโกรธลง เขาเดินกลับมานั่งลงที่ข้างกายร่างเล็กบาง มือหนาลูบไล้ใบหน้าซีดฮีมินวอย่างหวงแหน ฮีอูที่เป็นอย่างนี้ทำให้หัวใจของรัชทายาทหนุ่มเจ็บร้าวไปหมด ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนที่จู่ๆ ฮีอูก็ล้มลงต่อหน้า หัวใจของเขาก็มีแต่ความรู้สึกวูบโหวงอยู่เช่นนั้นมาโดยตลอด
 
ฮีอูเป็นคนของเขา เป็นเพียงคนเดียวที่เขาจะได้ถือสิทธิ์ครอบครองทุกอย่าง
 
ทั้งร่างกาย หัวใจ และชีวิต ทุกอย่างของคิมฮีอูจะต้องเป็นไปตามที่เขาต้องการเพียงเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งเหล่านั้นคือทุกอย่างที่รัชทายาทหนุ่มรับรู้
 
จนกระทั้งถึงวินาทีนี้ สิ่งเดียวที่มีอยู่ในความรู้สึกของจีรยงในตอนนี้มีเพียงความรู้สึกที่เรียกได้เพียงอย่างเดียวว่า รัก เท่านั้น ...ฮีอูเป็นมากกว่าคนสนิทขององค์ชายใหญ่ ฮีอูเป็นมากกว่าทุกความรู้สึกของเขา จีรยงเพิ่งได้เข้าใจก็วันนี้
 
มือหนาไล้ข้างแก้มเย็นชืดเบาๆ ก่อนสันจมูกโด่งจะนาบลงในที่ตรงนั้น
 

 
“ข้าไม่มีวันยอมเสียเจ้าไปเด็ดขาด คิมฮีอู”
 

 
วาจาที่ดังก้องอยู่ใกล้ใบหูตอกย้ำให้ก้อนเนื้อในอกของร่างเล็กบีบรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ คำผูกมัดขององค์รัชทายาทส่งผลให้หยาดน้ำใสไหลรื้นลงจากขอบตาบาง แม้ว่าฮีอูจะไม่รู้สึกตัวก็ตาม
 

 

 
ในตอนค่ำของคืนนั้น จีรยงยังคงอยู่ตรวจราชกิจภายในห้องทรงอักษร เนื่องจากในตอนกลางวัน เขามักจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเฝ้าอินอู หากงานที่คั่งค้างก็ยังมีให้จัดการอยู่ตลอด
 
“ฝ่าบาท” โทซองรีบร้อนเดินเข้ามาจนคนเป็นนายต้องหยุดมือวางพู่กันลง แล้วเงยหน้าขึ้นมององครักษ์คนสนิทด้วยเรียวคิ้วกดลึก บ่งบอกถึงความหงุดหงิดใจของเจ้าตัวที่ถูกขัดเวลาการตรวจราชกิจ
 
“ลุกขึ้น มีอะไรก็รีบว่ามา”
 
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ร่างสูงสง่าของนักรบหนุ่มยืดตัวขึ้นตรง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้โต๊ะไม้เนื้อดีตรงหน้าแล้ววางเศษกระดาษที่พับปิดยู่ยี่ลงตรงหน้า
 
“สาส์นจากราชครูปาร์คยองจูพะย่ะค่ะ นายทหารยามหน้าประตูแวซอเป็นคนนำมา บอกว่ากระดาษแผ่นนี้ถูกผูกติดกับลูกศรที่ยิงเข้ามาจากเงามืดทางป่าด้านหลัง บนหน้ากระดาษถูกเขียนถึงฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
 
แผ่นกระดาษสีหมอกถูกคลี่ออกพอดีกับที่โทซองเอ่ยจบประโยค แววเนตรคมกวาดมองข้อความบนเนื้อกระดาษ ก่อนจะกำของในมือแน่นด้วยความโกรธอย่างหาที่สุดไม่ได้
 
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว
 
“ฝ่าบาทจะไปที่ใดพะย่ะค่ะ?” โทซองตะโกนถามพลางรีบหมุนกายเดินตามผู้เป็นนายออกจากห้องอังษรโดยไว หนทางที่คนข้างหน้าก้าวเดินไปนั้น เริ่มชี้ชัดให้เด็กหนุ่มหน้าถอดสีขึ้นมาเรื่อยๆ
 
ดึกดื่นเช่นนี้ พระองค์คิดจะไปที่ตำหนักโยกันทำไม?
 
ความสงสัยและความกังวลของโทซองดำเนินไปได้ไม่นาน ประตูตำหนักโยกันก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว
 


หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 11] (NC) 29/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 29-08-2016 16:43:54



แสงไฟสว่างจากภายในบอกให้ผู้ที่มาเยือนรู้ว่าคนในตำหนักยังไม่เข้านอน รัชทายาทหนุ่มไม่สนใจที่จะรอให้ใครออกมาต้อนรับ เขาผลักบานประตูไม้เข้าไปด้วยจังหวะที่เร่งรีบเช่นเดียวกับที่พระองค์เดินมา
 
“อ่ะ ถวายพระพรองค์รัชทายาท” โซยอนซึ่งเห็นผู้มาเยือนก่อนรีบโค้งกายถวายอย่างรวดเร็ว ทว่า ร่างสูงไม่แม้แต่จะชายตามองหรือหยุดเดินแม้แต่น้อย เด็กสาวจึงรีบหันไปส่งสายตาถามเอากับเด็กหนุ่มที่เดินตามเข้ามาติดๆ แต่กลับได้เพียงการส่ายหน้าอย่างไร้หนทางอธิบายตอบกลับมา
 
“หลบไป!!!!” เสียงทุ้มที่ดังก้องพาเอาโซยอนสะดุ้งวาบ เด็กสาวรีบวิ่งไปตามทางเดินที่นำพาไปยังห้องบรรทมของวังชอนซาโดยไว ที่หน้าประตูทางเข้าห้องนั้น พี่สาวของเธอกำลังนั่งคุกเข่าแล้วส่ายศีรษะไปมาราวกับเป็นคนไร้สติ
 
“ไม่เพคะ!”
 
“เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาขัดคำสั่งของข้า!!! ข้าสั่งให้หลบไป!!!!” ในตอนนี้ แม้แต่คำว่ากริ้วคงยังน้อยไปกับท่าทีขององค์รัชทายาท ดูจากอารมณ์ของนายเหนือหัวแล้ว โทซองจึงรีบเข้าไปฉุดให้ยอนอาลุกขึ้นแล้วดึงหลบออกมาด้านข้าง เกือบจะพอดีกับที่พระหัตถ์ของรัชทายาทหนุ่มคว้าจับกระบี่ที่บั้นเอว
 
เมื่อไม่มีใครมานั่งขวางทางอีก จีรยงจึงกระแทกประตูแล้วก้าวเข้าไปในห้อง พร้อมสั่งความกับโทซองเสียงห้วน “อย่าให้ใครเข้ามา”
 
สิ่งแรกที่ลอยแตะจมูกคือกลิ่นยาสมุนไพร และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้สีขาวอย่างที่เขาเคยได้สัมผัสเมื่อครั้งก่อนที่คนร่างบางป่วย รวมถึงไอความร้อนจ่างๆ ที่ตอนนี้มีอุณหภูมิสูงกว่าคราวที่แล้วมากนัก
 
บนเตียงสี่เสา ร่างบางในชุดสีขาวของชนเผ่าชินซองกำลังนอนหอบหายใจหนักหน่วงอยู่ภายใต้ผืนผ้าห่ม เปลือกตาบางปิดสนิท แต่เรียวคิ้วโก่งบางนั้นกลับขดเข้าหากันคล้ายกำลังทรมานกับอะไรบางอย่างอยู่
 
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จีรยงถึงได้รู้ว่าความร้อนรอบๆ ห้อง ยังเทียบไม่ได้กับไอร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวของคนบนเตียงในระยะใกล้เช่นนี้ ตามใบหน้าและไรผมมีเม็ดเหงื่อใสๆ ผุดพรายอยู่ทั่วไปหมด ริมฝีปากที่เคยเป็นสีชมพูสวยตอนนี้ซีดจัดไร้สีเลือด ดวงหน้าก็ขาวซีดไปหมดราวกับกระดาษ
 
แต่ก่อนที่ความรู้สึกเป็นห่วงต่ออาการของคนตรงหน้าที่เป็นไข้หนักกว่าที่ตนคาดไว้จะเกิดขึ้น ข้อความจากแผ่นกระดาษที่เพิ่งได้อ่านมาก็ได้กระตุ้นหยุดทุกความคิดไว้เพียงเท่านั้น
 
จีรยงกำมือแน่น ก่อนจะคลายออกแล้วยื่นเข้าไปกระชากอกเสื้อคนบนเตียงให้รู้สึกตัว
 
“ตื่นเดี๋ยวนี้! ข้าสั่งให้เจ้าตื่น!! ลืมตาขึ้นมาคิมซอนอิน!!!” แรงกระชากบวกกับเสียงทุ้มใหญ่ที่ตะคอกอยู่ตรงหน้าส่งผลให้เปลือกตาบางของคนที่เพิ่งได้นอนพักผ่อนปรือปรอยขึ้นมาเล็กน้อย
 
เสียงเอะอะโวยวายจากหน้าห้อง และภาพร่างสูงใหญ่ของคนที่อยู่เหนือร่างกายในขณะนี้ทำให้สมองของซอนอินทำงานหนักอย่างมึนงง พิษไข้ที่รุมเร้าแต่เดิมนั้นมากพอจะรับไหวอยู่แล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรให้ต้องดิ้นรนหลีกหนีอีกหรือ
 
“ชองจีรยง...” พูดได้แค่นั้น ซอนอินก็ต้องหลับตาแน่นเมื่ออาการปวดศีรษะแล่นปราดเข้ามาถึงเส้นประสาทจนรู้สึกเจ็บ
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่น หอบหายใจหนัก มือไร้เรียวแรงค่อยๆ เอื้อมขึ้นจับข้อมือหนา ดวงตาสีดำเป็นประกายสวยหรี่ปรือจ้องมองแววเนตรคมเข้มดุจภูติแห่งราตรีด้วยท่าทางอ่อนแรง “หากเจ้าจะฆ่าข้า ก็รีบๆ ทำเสียที...”
 
“คิดว่าข้าไม่กล้าหรือ!!!” จีรยงตะคอกกลับเสียงดัง เขากดกระแทกร่างบางลงกับที่นอนอย่างรุนแรง
 
“อึก” แรงกระแทกทำให้ซอนอินรู้สึกจุกที่หน้าอกไปหมด
 
จีรยงจ้องมองสีหน้าเจ็บปวดของคนใต้ร่าง ลมหายใจร้อนระอุที่อีกฝ่ายหอบหายใจออกมาไม่อาจหยุดยั้งความโกรธของเขาที่ก่อตัวขึ้นได้ แม้ว่าคนตรงหน้านี้จะเจ็บสักเพียงไหน หากแต่ยังเทียบไม่ได้กับใครอีกคนที่กำลังนอนรอความตายอยู่บนเตียงของเขา
 
เพียงแค่นึกถึงใบหน้าที่ซีดฮีมินว และเลือดเหนียวข้นมากมาย แววคมกร้าวก็ฉายชัดขึ้นในม่านตาของรัชทายาทหนุ่ม
 
“บอกข้ามาคิมซอนอิน ปาร์คยองจูอยู่ที่ไหน!” จีรยงกดไหล่บางนาบลงกับที่นอน มืออีกข้างบีบกรามข้างแก้มร้อนให้เงยหน้าขึ้นสบตา
 
ปาร์คยองจู? ...ราชครูปาร์คยองจูน่ะหรือ? คำถามที่ได้ยินทำให้ซอนอินจับต้นชนปลายไม่ถูก ในเมื่อเขาไม่ได้รับการติดต่อจากราชครูปาร์คเลย แล้วเหตุใดชองจีรยงถึงถามหาราชครูปาร์คกับเขา
 
...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
 
เห็นสีหน้าไม่เข้าใจของคนใต้ร่าง จีรยงก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น “บอกข้ามาว่าปาร์คยองจูอยู่ที่ไหน!!!” แรงมือที่เพิ่มขึ้นทำให้ซอนอินรู้สึกเจ็บไปทั้งใบหน้า
 
“...ไม่ ไม่รู้ ข้าไม่รู้”
 
“อย่ามาต่อเวลากับข้า อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้านะคิมซอนอิน!!” จีรยงกดน้ำหนักมือบีบให้ดวงหน้าหวานต้องทรมานมากยิ่งขึ้น “เพราะหากฮีอูเป็นอะไรไปล่ะก็ ไม่ใช่แค่เจ้าที่ต้องรับผิดชอบ แต่ข้าจะทำลายทุกอย่างของเชินอันให้พินาศ!”
 
เชินอัน...ไม่ใช่สิ่งที่ซอนอินสนใจแม้แต่น้อย แต่กับชื่อของใครอีกคนที่ร่างสูงเอ่ยถึง มันมากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงเข้ามาไม่หยุด
 
เจ็บ...กับคำพูดที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของตน
 
เจ็บ...กับความเป็นจริงที่ตัวเองเป็นได้แค่เชลยศึก
 
เจ็บ...กับความห่วงใยที่ไม่ได้มีไว้เพื่อเขาคนนี้
 
นามของ คิมฮีอู มีค่ามากพอที่จะทำให้เขายอมตายเสียยังดีกว่าทนเห็นความรู้สึกของชองจีรยงที่มีต่อคนผู้นั้น
 
ใครจะสนเรื่องศึกสงคราม ใครจะสนเรื่องตำแหน่งของวังชอนซา ใครจะสนว่าคิมซอนอินจะอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ ...ไม่อีกแล้ว เขาไม่อยากฟังคนทั้งแผ่นดินพูดอะไรอีก ไม่อยากได้ยินเสียงสรรเสริญของคนที่ไม่รู้จัก ไม่อยากสนใจความต้องการของชนเผ่า ไม่อยากรอวันที่แม่จะหันมาสนใจ ...ไม่ว่าตอนนี้ราชครูกำลังจะพยายามช่วยเหลืออะไรเขาอยู่ก็ตามแต่ เขาไม่ต้องการมันอีกแล้ว
 
หลังจากที่รู้ว่าหัวใจตกเป็นทาสของรัชทายาทแห่งฮานึล ซอนอินก็ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ถ้าจะรอดไปโดยไม่มีคนผู้นี้อยู่ข้างกาย สู้เขาตายไปด้วยมือของชองจีรยงเสียตอนนี้ยังดีกว่า
 
เพราะถึงอย่างไร ไม่นาน เขาจะต้องตายเพราะหัวใจของตัวเองเป็นแน่
 
ความรู้สึกที่ก่อตัวถาโถมเข้ามาหนักหน่วงจนทำให้ซอนอินรู้สึกว่าร่างกายเหมือนถูกกดทับด้วยเหล็กหนาหนักที่มองไม่เห็น ลมหายใจที่ยากจะไขว่คว้าแต่แรกก็ยิ่งเหมือนค่อยๆ ห่างไกลออกไปทุกขณะ ความร้อนในกายราวกับใกล้ถึงจุดเดือดที่พร้อมจะปะทุออกมาเผาผลาญทั้งตัวและหัวใจให้หลอมละลายหมดสิ้นทุกความรู้สึกไปเสียสิ้น
 
จะตาย...
 
“...ข้าไม่รู้ว่าราชครูปาร์คอยู่ที่ไหน แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อ จะฆ่าข้าตอนนี้เลยก็ตามใจเจ้า...อึก!........” ลมหายใจพลันถูกปิดกันด้วยมือหยาบใหญ่ที่กดทับลงรอบลำคอ
 
มืออ่อนแรงที่จับยึดข้อมือร่างสูงไว้สั่นน้อยๆ ซอนอินหลับตาแน่น แต่ละเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปช่างยาวนานเหลือเกินในความรู้สึกของซอนอิน นำหนักที่บีบรัดอยู่รอบคอไม่มีทีท่าว่าจะคลายลงแม้แต่น้อย
 
ในตอนที่คิดว่าจะต้องตายแล้วแน่ๆ มือคู่นั้นก็ผละออก
 
แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงหนักหน่วงทันทีที่หลอดลมได้รับอิสระ ซอนอินไอออกมาไม่หยุด รู้สึกแสบลำคอไปหมด อาการคลื่นไส้ก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาอีกครั้งจนต้องโก่งคอไปด้านข้าง หากแต่ก็มีเพียงน้ำใสเหนียวหนืดออกมาจากริมฝีปากบางซีดเท่านั้น เมื่อตลอดสองวันที่ผ่านมาซอนอินไม่อาจทานอะไรได้เลยสักอย่าง
 
เส้นผมสีดำยาวแผ่สยายยุ่งไปทั่วเตียง ร่างบอบบางขดตัวกอดรอบท้องที่กำลังปั่นป่วนจนปวดไปหมดแน่น ขณะที่ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะกระจกอีกมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับแท่งหยกสำหรับบดแป้งผงในมือ
 
โดยไม่พูดอะไร จีรยงจับยึดข้อมือขาวรวบเข้าหากันด้วยปลายผ้าห่ม เขาใช้ที่เหลืออีกด้านผูกมันเข้ากับขื่อด้านบนของเตียง ทำให้ช่วงบนของร่างบางนั้นลอยสูงขึ้นจากที่นอน
 
“จะทำอะไร...” เสียงแหบพร่าเอ่ยถาม ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าอีกคนคงไม่สนใจจะฟัง
 
ซอนอินมองดูผ้าคาดเอวที่ถูกปลดออก อาภรณ์ถูกแหวกออกไปด้านข้าง ขาเปลือยเปล่าทั้งสองข้างของตนถูกแยกออกกว้าง ผ้าม่านหน้าเตียงถูกกระชากหลุดอย่างไม่ยากเย็น ก่อนถูกนำมาสอดเข้าใต้ข้อพับเข่า เมื่อขาถูกงอพับเข้าหาตัว ปลายผ้าใต้เข่าทั้งสองข้างก็ถูกผูกมัดกับขื่อของเตียงไว้เช่นเดียวกับข้อมือ ยกสะโพกบางให้สูงขึ้นเล็กน้อย ในตอนนี้ ร่างอ่อนแรงของซอนอินเกือบจะลอยอยู่รอมร่อ
 
ท่วงท่าที่ถูกจับแยกขาออก รวมถึงเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย นำพามาแต่ความอับอายและความสมเพชให้แก่ซอนอินแทบทั้งสิ้น แล้วยิ่งอีกฝ่ายกำลังรุกล้ำช่องทางบอบช้ำด้วยแท่งหยกเย็นเหยียบเช่นนี้...
 
“ฮึก!!” ซอนอินกัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกถึงคาวเลือด ข้อมือที่ถูกมัดรู้สึกเจ็บไปหมดเพราะรอยช้ำเก่ายังไม่หายดี แค่ขยับนิดหน่อยน้ำตาก็ไหลรื้นออกมาแล้ว ซ้ำช่วงล่างยังถูกยัดเยียดวัตถุแปลกปลอมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ อีก ช่องทางคับแคบถูกฝืนบังคับให้เปิดรับอย่างฝืนธรรมชาติ
 
“ฮึก! เฮือก!!! เจ็บ ไม่....ไม่เอา......!!!” ยากจะหยุดร้องขอ ความรุนแรงตรงส่วนลับสายตานั้นเจ็บเกินกว่าที่ซอนอินจะยอมนิ่งเงียบได้ ความหยาบใหญ่ที่เย็นเฉียบนั้นส่งผลให้ผนังอ่อนนุ่มรู้สึกระคายเคือง ช่องทางที่ปริแยกออกจากกันอย่างกะทันหันทำให้บาดแผลเก่าที่ยังไม่หายดีฉีกขาดอีกครั้ง เลือดสีสดไหลซึมออกมา และเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่คนร่างสูงดันแท่งหยกในมือให้เข้าไปลึกมากยิ่งขึ้น
 
“ไม่เอาแล้ว...หยุด...พอที เจ็บ...ฮึก.....ไม่.......”
 
“ยังหรอก แค่นี้ยังไม่พอ เจ้าจะต้องเจ็บมากกว่านี้คิมซอนอิน!!!” จีรยงกดแท่งหยกไปจนเกือบสุดปลาย
 
ซอนอินกรีดร้องออกมาทันที ท่อนขาเรียวบางที่ถูกพาดห้อยสูงสั่นไม่หยุด ไม่ต่างจากเสียงแหบแห้งที่วอนขออย่างน่าสงสาร ก่อนที่ศีรษะเล็กจะหมดแรงหงายเงยลอยอยู่กลางอากาศอยู่เช่นนั้น ทว่า หยดน้ำตายังคงไหลรินลงมาไม่หยุดราวกับสายน้ำ
 

 
...เจ็บจนทนไม่ไหว ...เขาที่ทำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้ ก็มีแต่ความเจ็บปวดรออยู่ตรงหน้าเท่านั้น
 
...บางที เขาอาจจะถูกทรมานจนตายก็ได้
 
นั่นสินะ ชองจีรยงต้องการให้เขาตาย ...นั่นเป็นสิ่งที่เขาควรจะยอมรับ อยู่อย่างไร้ค่าก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว ตายไปทั้งแบบนี้แหละ...
 
...ตายด้วยความต้องการขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลอย่างเต็มใจ
 

 
หึ จะว่าน่าขัน หรือน่าสมเพชดีนะ คิมซอนอิน...
 
 

 
เกือบสองชั่วยามที่ร่างสูงของรัชทายาทหนุ่มนั่งมองร่างบอบบางที่ถูกตนจับมัดลอยตัวอยู่บนเตียงเช่นนั้นโดยไม่พูดหรือทำอะไร ...ทั้งน้ำตา หยดเลือด ชายหนุ่มได้แต่นั่งมองมันไหลออกมาจากกายของคนที่เป็นถึงวังชอนซาเพียงเท่านั้น
 
ไม่ได้รู้สึกอยากจะช่วย เพราะสิ่งที่เขาทำลงไปมันสมควรแล้วกับที่ฮีอูได้รับ แต่เพราะอะไร...เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้
 
คิมซอนอินเป็นเพียงเชลยของแคว้นศัตรู ต่อให้เขาทรมานมากกว่านี้ มันก็สมควรแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเคลือบแคลงใจแม้แต้น้อย ต่อให้เขาปล่อยให้คนผู้นี้ตายไปจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดเลย
 
“หากไม่ใช่เพราะฮีอู ข้าจะต้องฆ่าเจ้าได้อย่างใจต้องการแน่” เสียงทุ้มเอ่ยบอกตัวเองราวกับต้องการหาเหตุผลมาปิดกั้นความรู้สึกบางอย่างของตนเอาไว้ ราวกับจะบอกว่าที่ตนฆ่าคนผู้นี้ไม่ได้ก็เพราะข้อต่อรองจากราชครูปาร์คยองจูที่ต้องการให้เขาแลกตัววังชอนซา กับยาถอนพิษที่ฮีอูได้รับ
 
อรุณรุ่งของวันใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่นาน จีรยงหันไปมองนกตัวน้อยที่ตีปีกบินว่อนอยู่ในกรงราวกับกำลังต่อว่าตนที่ทำร้ายร่างกายเจ้านายคนสำคัญ ก่อนจะหันกลับมายังร่างไร้สติบนเตียงอีกครั้ง
 
แท่งหยกถูกดึงออกจากส่วนลับ ทันทีที่ส่วนปลายหลุดพ้น เลือดสีแดงก็ทะลักไหลลงตามร่องหลืบหยดลงบนผ้าปูสีขาวซ้ำกับรอยเลือดแห้งกรังก่อนหน้า
 
จีรยงปลดสิ่งที่พันธนาการร่างบางออกจนหมด จับอาภรณ์รวบเข้าหากันอย่างขอไปที คว้าผ้าคลุมเตียงที่ผับซ้อนทับกันอยู่บนโต๊ะปลายเตียงขึ้นมาห่อหุ้มร่างของเชลยตลอดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะรวบร่างบางที่ยังหมดสติขึ้นพาดบ่าแล้วก้าวเดินออกจากห้อง
 
ทันทีที่เห็นองค์รัชทายาทออกมาโดยมีร่างของวังชอนซาสลบไสลอยู่บนบ่ากว้างของนายเหนือหัว นางกำนัลสาวทั้งสองก็ได้แต่สะอึกสะอื้นออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้
 
“ฝ่าบาท พระองค์ ฮึก พระองค์จะพาองค์วังชอนซาไปที่ใดเพคะ?” ยอนอาสะอึกสะอื้นก้มหน้าถามตัวสั่น
 
“ฝ่าบาท ทรงจะทำสิ่งใดกับวังชอนซาพะย่ะค่ะ?” กึมซองที่ตามพี่ชายมาเมื่อหลายชั่วยามก่อนก็อดจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองร่างใต้ผ้าผืนหนาอย่างเป็นกังวล แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับวังชอนซามากเท่าเด็กสาวทั้งสองคน แต่ก็อดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
 
แต่แทนที่จะได้คำตอบ เด็กหนุ่มกลับได้คำสั่งกลับมาแทน
 
“กึมซอง เจ้าไปบอกหมอหลวงจากึนให้มาหาข้าที่นี่ ส่วนโทซอง เจ้าไปจัดเตรียมรถม้ามาให้ข้าเท่าที่จะเร็วได้” ในคราแรก ทุกคนรู้สึกโล่งอกด้วยนึกว่าจะให้หมอจากึนมาดูอาการของวังชอนซา แต่พอรัชทายาทหนุ่มเอ่ยสั่งความเรื่องรถม้า ก็มีแต่ความสงสัยงุนงงแก่ข้ารับใช้กันถ้วนหน้า
 
“ฝ่าบาท...” โทซองเปรยขึ้น ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถาม รัชทายาทหนุ่มก็ตรัสขัดเอาเสียก่อน ทำให้แฝดทั้งสองคนจำยอมที่จะต้องหยุดความสงสัยไว้เพียงเท่านั้น
 
“ได้ยินที่ข้าสั่งหรือไม่?!”
 
“น้อมรับพะย่ะค่ะ!”
 

 
ภายในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป ขบวนรถม้าเล็กๆ ก็ถูดจัดเตรียมพร้อมอยู่ที่ด้านหน้าของตำหนักโยกัน พร้อมกับหมอหลวงจากึนที่ถูกเรียกตัวมาอย่างกะทันหันแต่เช้าตรู่
 
ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน ร่างของวังชอนซาก็ถูกวางลงในรถม้าที่ว่างเปล่า จีรยงปิดบานไม้ตามด้วยผืนผ้าหน้ารถม้าลง ก่อนหันไปหาเหล่าข้ารับใช้
 

 
“ข้าจะแลกตัววังชอนซากับยาถอนพิษที่ฮีอูได้รับ จากึน เจ้าต้องไปกับข้าเพื่อตรวจดูว่ายาถอนพิษเป็นของจริงหรือไม่ ส่วนเจ้า โทซอง กึมซอง ข้าต้องการให้พวกเจ้าคอยตามขบวนรถม้าไปอย่างลับๆ หากเห็นว่าเป็นกับดัก ข้าอนุญาตให้เจ้าออกคำสั่งกับกองทัพส่วนตัวของข้าได้เลย”
 
“ฝ่าบาท แต่หากมันเป็นกลลวง หากฝ่าบาททรงนำรถม้าที่มีเพียงพระองค์ ท่านหมอจากึน และวังชอนซาไปเพียงเท่านี้ ต่อให้กระหม่อมเรียกทัพยอดฝีมือมาก็อาจจะไม่ทัน...” โทซองพลันขมวดคิ้วยุ่งทันที เกือบจะพร้อมๆ กับแฝดผู้น้อง เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด สำหรับเด็กหนุ่มทั้งสองแล้ว ระหว่างชีวิตของวังชอนซากับองค์รัชทายาทแห่งฮานึล พวกเขาก็เลือกที่จะอยู่ข้างผู้เป็นนายมาตั้งแต่เกิดเพียงผู้เดียว ชีวิตขององค์รัชทายาทชองจีรยงสำคัญเป็นอันดับแรกสำหรับยูโทซองและยูกึมซอง
 
“...ตราบใดที่คิมซอนอินยังอยู่กับข้า ราชครูนั่นคงไม่ยอมลงมือทำอะไรแน่ แต่จะประมาทไม่ได้ จนกว่าข้าจะแน่ใจเรื่องยาถอนพิษ ชีวิตของโอรสแห่งเชินอันจะต้องอยู่ภายใต้กำมือของข้า”
 
“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมจะรีบไปเตรียมตัว ฝ่าบาทจะทรงออกเดินทางเมื่อใดพะย่ะค่ะ?”
 
“ก่อนฟ้าเปิด เราจะต้องไปถึงหุบเขาพยอนซู”
 

 
นั่นหมายความว่า ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเขาทั้งหมดจะต้องไปถึงจุดนัดหมาย ไม่เช่นนั้น ข้อแลกเปลี่ยนที่ราชครูปาร์คยองจูเสนอไว้เป็นอันจบลง และหากยาถอนพิษเป็นกลลวง นั่นก็เท่ากับว่า ฮีอูจะต้องตาย ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม รัชทายาทหนุ่มเหลือหนทางให้เลือกไม่มากนัก
 

 

หากสุดท้ายแล้วฮีอูจะต้องตาย
 
ชองจีรยงก็สาบานได้เลยว่า คิมซอนอินจะต้องตายเช่นกัน...
 

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 11] (NC) 29/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 29-08-2016 21:10:52
ไอ้.....................ห่านจิก ขอบทลงโทษที่เหมาะสมแก่ไอ้........... ด้วยค่ะ ขอให้ราชครูคู่กับฮีอูนะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 11] (NC) 29/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 29-08-2016 21:51:17
โอยๆๆๆๆ กลับมาอีกรอบ โอยยยยยยยยยยย โมโหอ่ะะะะะะะะ ไอ้ฟ่วยยยยยนนน #กรีดร้อง อย่าถือสาตนอ่านบ้าๆแบบเราเลยนะ 555 ขอจบแบบงามๆนะคะ หมายถึงงามอย่างสาสม แต่ช่างเถอะ เราเชื่อใจคนเขียนค่ะ หึยยยยๆ แต่แบบอารมณ์ค้างมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 11] (NC) 29/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-08-2016 21:59:04
บอกได้คำเดียวว่า รอวันวังชอนซาเอาคืน :z6: :z6: :z6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 11] (NC) 29/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: เรารักน้องเจี้ยบ ที่ 29-08-2016 23:20:24
อยากชูนิ้วกลางให้อีเมะรัวๆๆ :katai1: :katai1: อย่านะ อย่าให้ลูกสาวฉันเอาคืนนะ จะเอาให้สมใจเลยยยยยย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 11] (NC) 29/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 30-08-2016 02:37:16
รู้สึกว่า องครัชทายาท อยู่ดีๆก็เลวขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไป เหมือนเป็นโรคสองบุคลิกเลย  คือมันไม่เป็นเหตุเป็นผล
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 12] 31/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 31-08-2016 07:31:00
 
บทที่ 12
 
 
ขบวนรถม้าออกเดินทางจากประตูวังหลวงทางทิศเหนือในตอนฟ้ามืด เส้นทางที่ใช้นั้นเลี่ยงออกไปยังชานเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงหมู่บ้านต่างๆ ทำให้ตลอดเส้นทางนั้นมีอุปสรรคเล็กน้อยอย่างพวกธารน้ำ และป่าไม้โปร่งตามแนวแม่น้ำสายหลักของฮานึล
 
ในตอนที่สูรยาทิตย์ส่องสว่างทั่วทั้งผืนนภาบ่งบอกถึงช่วงเวลาอรุณรุ่งของวันใหม่ ขบวนรถม้าซึ่งเดินทางมาหนึ่งชั่วยามเต็มโดยไม่หยุดพักก็ได้มาถึงที่หมาย บริเวณเนินเขาพยอนซูทางทิศตะวันตกคือจุดนัดพบของราชครูแห่งเชินอัน
 
บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าขบวนรถม้า คือชายหนุ่มร่างสูงสง่าผู้มีนัยน์ตาเรียวคมราวศรเพลิงที่พร้อมจะพุ่งใส่ใครก็ตามที่เผลอสบสายตา กลุ่มผมสีดำยาวที่มัดรวบไว้ขับให้เจ้าตัวน่าเกรงขามมากขึ้นเมื่อความดุดันของสีดำตัดกับเสื้อผ้าสีขาวสว่างตาภายใต้ผ้าคลุมสีแดงเข้ม
 
ชองจีรยง รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งฮานึลตวัดขาลงจากม้าสีหมอก แววตาเฉียบคมไม่แพ้อีกฝ่ายจ้องสบคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ความเป็นผู้อยู่เหนืออำนาจในทุกสรรพสิ่งแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทนกับความกดดันที่เกิดขึ้นนี้ได้ ยกเว้นเพียงชายต่างแคว้นผู้นี้ที่ยังคงสีหน้าและท่าทางไว้เช่นเดิม
 
“ยินดีที่ได้พบท่าน องค์รัชทายาท” แม้คำพูดจะแสดงถึงความเคารพ ทว่าท่าทางของปาร์คยองจูกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เขาเพียงแต่ยืนมองอีกฝ่ายราวกับไม่ใช่คนพิเศษเท่าใดนัก
 
“ข้าคงบอกไม่ได้ว่าเป็นความยินดี” จีรยงเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ยาถอนพิษ แลกกับวังชอนซา ข้ามาเพื่อสิ่งนี้” นั่นหมายความว่ารัชทายาทหนุ่มไม่ต้องการเสียเวลาพูดอะไรให้มากความ ร่างสูงหันไปบอกให้หมอหลวงจากึนเปิดม่านหน้ารถม้าเพื่อให้เห็นว่าร่างของวังชอนซาอยู่ในนั้นจริง
 
ยองจูมองคนตรงหน้าอย่างหยั่งเชิง ก่อนจะล้วงหยิบขวดยาใบเล็กจากอกเสื้อ “ปล่อยรถม้าไว้ตรงนั้น คนของข้าจะเป็นคนดูแลต่อเอง” จบคำพูดนั้น กลุ่มคนบนหลังม้าจำนวนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากเงาของพุ่มไม้ แล้วตรงไปล้อมวงรถม้าไว้ บังคับให้รัชทายาทหนุ่มและแพทย์หลวงต้องขยับออกมายืนอยู่ที่ฝั่งตรงกันข้าม
 
ยองจูก้าวออกมาด้านหน้า แล้วโยนขวดยาให้หมอหลวงชราที่รีบยื่นมือออกมารับอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
 
“ข้าแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องให้คนของท่านตรวจสอบ เพราะคนของท่านจะไม่มีวันรู้ว่ามันเป็นยาถอนพิษจริงหรือไม่ ...ข้าขอเสนอให้องค์รัชทายาทรีบเอายากลับไปให้คนของท่านเสียตอนนี้จะดีกว่า เพราะหากช้าไปกว่านี้ แม้แต่ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้”
 
ร่างสูงของราชครูหนุ่มตวัดตัวขึ้นหลังอาชาสีน้ำตาลเข้ม “การแลกเปลี่ยนเป็นอันสำเร็จ” กล่าวทิ้งไว้เพียงเท่านั้น ยองจูก็ควบม้านำขบวนรถม้าที่มีคนของตัวเองคอยควบคุมอยู่จากไปในทันที
 
หมอหลวงจากึนก้มลงตรวจสอบขวดยาในมือ ก่อนจะพบว่ามันเป็นอย่างที่ราชครูผู้นั้นว่าไว้ ตัวยาพวกนี้ตนไม่รู้จักแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับพิษร้ายกาจในร่างกายของคุณชายฮีอูที่ตนก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาทูลตอบองค์รัชทายาทไปตามความสัตย์จริงเช่นนั้น และโดยไม่มีคำตอบรับของนายเหนือหัว ขวดยาใบเล็กก็ถูกส่งให้กับผู้เป็นนายได้เก็บเอาไว้ ก่อนที่คนทั้งสองและทหารติดตามอีกสองคนที่เป็นคนควบรถม้ามาเมื่อครู่จะรีบมุ่งหน้ากลับไปยังวังหลวงโดยเร็ว
 
จีรยงกำขวดยาในอกเสื้อแน่นขณะที่ควบม้าไปข้างหน้า เขาไม่สงสัยเรื่องยาถอนพิษว่าจะเป็นกลลวงหรือไม่ หลังจากที่ได้เจอกับราชครูผู้นั้นด้วยตนเองแล้ว จีรยงก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เขาจะประมาทด้วยแม้แต่น้อย ไม่ต้องแสดงฝีมือให้เห็น ก็รู้สึกได้ถึงวรยุทธที่แข็งแกร่ง ความสามารถของคนผู้นั้นตัวเขายังไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อมองจากสิ่งเหล่านี้ การยึดคำสัตย์ไม่กลับกลอกของจอมยุทธก็น่าจะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าปาร์คยองจูจะทำตามข้อตกลงที่ได้ตั้งไว้
 

...ปาร์คยองจู สักวัน ข้าต้องได้เจออีกแน่ และคนที่จะแข็งแกร่งกว่าก็คือข้า
 

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
ครั้งแรกที่ได้เห็นสภาพร่างกายของวังชอนซา ราชครูหนุ่มถึงกับโกรธจนระงับอารมณ์แทบไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนตามร่างกาย ก็มีแต่รอยช้ำเต็มไปหมด เนื้อตัวร้อนเป็นไฟด้วยพิษไข้ที่รุมเร้า แต่ที่ทำให้อารมณ์ของปาร์คยองจูแทบจะระเบิดออกมาคือส่วนลับที่ถูกกระทำรุนแรงจนเกิดบาดแผลฉีกขาด
 
วังชอนซาไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ข้อนี้เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้วจากโหราศาสตร์ที่ได้ศึกษามา ธาตุเย็นและธาตุร้อนในกายถูกทำลายจนเสียสมดุล อันตรายข้อนี้ยองจูคิดไว้แล้วว่าต้องเกิดขึ้นเมื่อลูกศิษย์ของตนตกอยู่ในกำมือศัตรูอย่างชองจีรยง แต่ถึงขนาดทำร้ายร่างกายมากถึงเพียงนี้ เขาคงประเมินเหตุการณ์น้อยเกินไป
 
สำหรับคิมซอนอิน โอรสองค์โตแห่งเชินอันผู้นี้ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้ารับตำแหน่งการเป็นองค์วังชอนซา ในเมื่อคิมซอนอินเป็นบุตรชายโดยตรงของผู้นำชนเผ่าชินซองรุ่นก่อน ซ้ำยังเป็นบุตรชายที่มีสายเลือดโดยตรงจากผู้เฒ่าซังซู ยังผลให้คำจารึกบนแท่นหินเหนือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำของหุบเขาชินซองเป็นไปตามคำทำนายอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เหล่าผู้อาวุโสในชินซอง รวมถึงตัวของยองจูเองนั้นรู้ดีแก่ใจต่อเรื่องสำคัญนี้
 
คิมซอนอิน ไม่ใช่เพียงตัวแทนต่อตำแหน่งของวังชอนซา แต่คิมซอนอินคือผู้ที่ถูกเลือกจากสวรรค์แล้ว
 
ความจริงเหล่านี้ทำให้ราชครูหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเมื่อพบว่าสิ่งที่ทุกคนหวาดกลัวอาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดความผิดพลาดต่อผู้ที่ถูกเลือก มีเพียงสองทางเท่านั้นที่จะตัดสินเรื่องราวทั้งหมด หากไม่เป็นแสงสว่าง หนทางเดียวที่เหลืออยู่ของวังชอนซาผู้นี้ก็คือความมืดมิดตลอดกาล
 

 
“ท่านราชครู...” เสียงของอูรัม หนึ่งในผู้ฝึกวิชาลับแห่งชนเผ่าชินซองเอ่ยเรียกราชครูหนุ่มผู้มีฐานะสูงกว่า ขณะที่ตนค่อยๆ ประคองร่างอ่อนแรงของวังชอนซาลงอย่างนุ่มนวล
 
ยองจูที่ยืนอยู่หน้ากระโจมพักหลังจากที่ออกเดินทางมาจนพระอาทิตย์ตกดินหันกลับไปมองตามเสียงเรียกของเด็กหนุ่ม เขาเดินกลับเข้าไปในกระโจมขนาดกลาง แล้วหยุดยืนใกล้กับร่างของซอนอินที่ยังคงนอนสลบไสล
 
“อีกสองวันกว่าจะออกจากฮานึล ข้าเกรงว่า ธาตุเย็นอาจจะต้านพลังปรวนแปรต่อไปได้อีกไม่นาน”
 
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่จะให้ออกเดินทางโดยไม่หยุดพัก เห็นทีจะเป็นการเร่งให้พลังธาตุทั้งหมดแตกซ่านเสียมากกว่า” ดวงตาคมของผู้พูดจ้องมองแผ่นหลังขาวนวลที่ปรากฏภาพเลืองแสงน่าประหลาด เรียวคิ้วเข้มกดลึกลงอย่างใช้ความคิด ยองจูนั่งลงบนแท่นไม้ เขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของร่างบางเบาๆ กระแสอุ่นร้อนแผ่กำจายจากฝ่ามือกว้างสู่ผิวเนื้อร้อนระอุด้วยพิษไข้ ไอควันสีอ่อนหมุนวนปะทะกันภายใต้ฝ่ามือของร่างสูง
 

ระหว่างที่ใช้พลังธาตุประคองความสมดุลให้กับวังชอนซา ความกังวลบางอย่างก็ได้ก่อตัวขึ้นในใจของราชครูหนุ่ม
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
คุณชายฮีอูหายไป
 
เกิดความโกลาหลในตอนรุ่งสางเมื่อนางกำนัลนันโซพบว่าบนเตียงของผู้เป็นนายนั้นว่างเปล่า หลังจากเมื่อวานที่องค์รัชทายาทนำยาถอนพิษมา คุณชายฮีอูยังคงไม่ได้สติ แต่นอกเหนือจากนั้นดูเหมือนว่าจะหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งอาการกระอักเลือด และอาการผิดปกติอื่นๆ หมอหลวงทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับยาถอนพิษที่เป็นราวกับยาวิเศษ เมื่อการรักษาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกนอกจากรอให้คุณชายฮีอูฟื้นสติ ภายในห้องนอนนี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวน ยิ่งองค์รัชทายาทเป็นผู้ดูแลคุณชายฮีอูด้วยพระองค์เอง ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ห้องนอนเลยแม้แต่คนเดียว ทว่าในตอนรุ่งสาง เพียงแค่องค์รัชทายาททรงออกว่าราชกิจได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางกำนัลคนสนิทของคุณชายฮีอูกลับเข้าไปในห้องแล้วพบเพียงความว่างเปล่าไร้ร่างเล็กบางที่น่าจะนอนอยู่บนเตียง
 
นายทหารเวรยามหน้าตำหนักออกตามหาคุณชายฮีอูหลังได้ยินเสียงนางกำนัลสาวร้องบอกในทันที ทั้งด้านในและโดยรอบของตำหนักไม่มีวี่แววของคุณชายฮีอูแม้แต่น้อย รวมถึงสุนัขจิ้งจอกขนฟูที่มักจะนอนคดตัวอยู่ใกล้ๆ ร่างเล็กไม่ห่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
 
ความถูกส่งถึงองค์รัชทายาทในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ทหารเกือบทั้งวังถูกสั่งให้ออกตามหาคุณชายฮีอูจนเกิดความวุ่นวายไปหมด หมูบ้านที่อยู่ในเขตเมืองหลวงถูกค้นทุกบ้าน ไม่เว้นแม้แต่กระท่อมไม้ของชาวไร่ชาวสวนตามชานเมือง ทางครอบครัวตระกูลคิมเองก็ได้แต่กระวนกระวายใจ เรื่องยาพิษเพิ่งผ่านพ้นไปไม่เท่าไหร่ ลูกชายคนสำคัญกลับหายตัวไปเสียอีก
 
เป็นเวลากว่าค่อนวันที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของฮีอู
 
“ฝ่าบาทจะทรงเสด็จไหนพะย่ะค่ะ?!” โทซองรีบร้อนทูลถามนายเหนือหัวที่กำลังจะขึ้นหลังม้า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มเดาได้ไม่ยากว่าไม่ส่วนใดส่วนหนึ่งต้องเชื่อมโยงกับราชครูหนุ่มจากเชินอันเป็นแน่ ดังนั้นการที่คุณชายฮีอูหายไป ก็อาจจะเป็นกลลวงหลอกล่อให้ฝ่าบาทของตนติดกับก็เป็นได้
 
“อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยฝ่าบาท ปล่อยให้พวกกระหม่อมจัดการเองเถิดพะย่ะค่ะ” กึมซองเองก็ช่วยห้ามอย่างไม่สบายใจ ด้วยความกังวลที่มีไม่ต่างจากแฝดผู้พี่
 
“เจ้าหรือข้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ!” ร่างสูงบนหลังอาชาสีขาวคู่ใจหันไปตวาดกร้าวกับองครักษ์หนุ่ม “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะคิดเช่นไร  ในเมื่อข้าสูญเสียฮีอู ราชครูนั่นก็ไม่มีสิทธิ์ได้คิมซอนอินไปเช่นกัน!!”
 
“แต่ว่าฝ่าบาท หากเรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเชินอันล่ะพะย่ะค่ะ! หากคุณชายฮีอูหายไปด้วยเหตุผลอื่น ฮานึลกับเชินอันมิต้องขัดแย้งกันเพราะความเข้าใจผิดหรือ?!!”
 
“เจ้าคิดว่าข้าสนใจนักหรือไงว่าฮานึลกับเชินอันจะยังเป็นพันธมิตรกันหรือไม่?” ดวงตาคมวาวโรจน์จ้องใบหน้าเรียวคมของโทซองนิ่ง “ข้าไม่เชื่อว่าที่ฮีอูหายไปจะไม่ได้เป็นเพราะราชครูนั่น และข้าก็จะไม่ยอมเสียเวลารอคอยข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น!”
 
ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เหลือให้สองแฝดหนุ่มได้รั้งองค์รัชทายาทไว้อีก ทั้งสองคนจำต้องรีบตวัดตัวขึ้นหลังม้าแล้วออกเดินทางตามหลังนายเหนือหัวไปอย่างรวดเร็ว
 
ม่านฟ้ากว้างไกลเริ่มถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดของยามค่ำคืนที่เย็นยะเยือก แนวไม้ไหวลู่ลมไปตามแรงพัดผ่านของม้าเร็วทั้งสามตัว สามบุรุษหนุ่มบนหลังอานไม่แม้แต่จะผ่อนแรงลงทั้งที่ออกเดินทางมาตลอดสองชั่วยามโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งเข้ายามหนึ่ง พวกเขาจำเป็นต้องหยุดเพื่อให้ม้าได้พักฝีเท้า
 
จีรยงเลือกที่จะนั่งพักสายตาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง โดยมีองครักษ์ทั้งสองคนคอยเฝ้ายามอยู่ไม่ไกลนัก
 
อาจจะเป็นเพราะความเครียด อาการล้าของกล้ามเนื้อ หรือความกังวลใจที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทำให้ร่างสูงรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ เขาลดเปลือกตาลงจนปิดสนิท
 

 

 

ทั้งที่คิดว่าจะพักสายตาไม่นาน แต่พอรู้สึกตัวอีกที จีรยงกลับเห็นใครบางคนจากความทรงจำในส่วนลึกปรากฏอยู่ตรงหน้า ...ก่อนที่เขาจะทันได้หยุดยั้งความคิดเช่นทุกครั้งที่เคยทำ
 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอ ความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้านั้นคือคำจำกัดความเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในห้วงความคิด ‘งดงาม’ นั่นคือความเป็นจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ก็ไม่ได้อยากที่จะยอมรับมัน
 
วังชอนซางดงามเกินกว่าที่เคยได้ยินมา
 
ร่างกายบอบบาง ไร้เดียงสา แววตาเป็นประกายใสซื่อ บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ทั้งที่เป็นถึงโอรสของกษัตริย์ แต่กลับไม่เอาอ่าวเรื่องวรยุทธ ซ้ำยังมีรูปโฉมงดงามเกินบุรุษเพศ เพียงแค่เห็น ก็อดจะเกิดความหงุดหงิดขึ้นในใจไม่ได้ ...หรือความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิด คือการที่ถูกคนตรงหน้ายั่วอารมณ์โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ปั่นป่วนความรู้สึกของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามจะไม่สนใจ แต่กลับมีบ่อยครั้งที่กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าตนเองปล่อยความรู้สึกให้หลงใหลไปกับร่างบางตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
 
อดไม่ได้ที่จะแกล้ง รอยยิ้มเล็กๆ ที่ถูกเจ้าตัวซ่อนไว้ยามที่ได้สบตากัน เสียงหวานยามที่เอื้อนเอ่ย น่าฟังแม้จะเป็นน้ำเสียงแข็งกร้าวยามใส่อารมณ์กับเขา แววตาดุดันเต็มไปด้วยประกายสดใส ริมฝีปากบางสีหวานฉ่ำยามที่มันเม้มแน่นเข้าหากัน...
 
คิดถึงตรงนี้ กระแสอุ่นบางอย่างในวันที่ได้ลิ้มลองรสจูบกับริมฝีปากสีหวานครั้งแรกนั้นก็ได้ไหลวนอุ่นซ่านอยู่ในอก เป็นจูบที่ยาวนานและหอมหวานกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยรู้สึก จูบซ้ำๆ อย่างไม่คิดเบื่อ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมนุ่ม รสหวานจางๆ จากริมฝีปากสีสด ร่างบอบบางที่โอบกอดไว้แนบอกยังรู้สึกได้ในวงแขนคู่นี้
 

 

“ไม่เอาแล้ว...หยุด...พอที เจ็บ...ฮึก.....ไม่.......”
 

 
จู่ๆ ภาพในคืนวันที่เขาได้ทารุณร่างบอบบางก็ปรากฏแทนที่ความทรงจำแสนหวาน ใบหน้าสวยงามนั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด หยดน้ำตามากมายหลั่งไหลลงตามผิวแก้มราวสายน้ำ เสียงที่เคยอ่อนหวานนั้นแหบแห้งขาดห้วงและสั่นเครือ ร่างกายขาวนวลเรียบลื่นเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำ
 
หากไม่ใช่เพราะฮีอูถูกวางยาพิษ เขาคิดไม่ออกเลยว่ายังจะมีเหตุผลใดที่ทำให้เขารู้สึกอยากทำร้ายคนตรงหน้านี้ได้มากถึงเพียงนี้อีก หากไม่ใช่เพราะคนสำคัญของเขาต้องเจ็บ ...หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการให้ร่างบางต้องได้รับความทรมานมากขนาดนี้
 
สิ่งที่เขาต้องการคือการที่เชินอันย่อยยับ โดยที่โอรสองค์โตตกเป็นทาสของฮานึล ชัยชนะที่รอคอยดำเนินไปตามแผน ต่อให้เป็นเชลยศึกก็ตามที อย่างมาก...ก็แค่ทำให้ยอมอยู่ใต้อำนาจของเขา เชื่อฟังเขา ต้องการเขา ทำให้คนผู้นั้นขาดเขาไม่ได้ ทำให้คิดเพียงแต่เรื่องของเขา
 

 
ทำให้คิมซอนอิน เป็นคนของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว...
 

 
ความน่าละอายของเชินอันที่เกิดจากคิมซอนอิน เป็นความสำเร็จที่น่ายินดีไม่น้อย สูญเสียแคว้น สูญเสียบุตรชาย ในแผ่นดินนี้ ความแข็งแกร่งเท่านั้นคือผู้ชนะ กษัตริย์ที่ไม่คิดจะทำศึกเพื่อเป็นที่หนึ่ง ก็ไม่สมควรจะปกครองผู้ใด การแก่งแย่งชิงดีทางอำนาจ ไม่นานจากแคว้นอื่นที่ห่างไกลก็จะรุกรานมาถึง หากไม่เตรียมพร้อม แม้แต่ประชาชนสักคนก็ไม่มีเหลือให้ได้ปกครอง
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่การใช้เชลยศึกเป็นเครื่องมือการทำสงคราม กลายเป็นความรู้สึกอื่นที่เพิ่มเติมเข้ามา
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คิมซอนอิน เริ่มมีตัวตนในสายตาของเขา
 

 
จีรยงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้...
 

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 12] 31/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 31-08-2016 07:31:23


 

 

 
หลังการหยุดพักไม่นาน จีรยงปลุกตัวเองขึ้นจากห้วงนิทราแสนสั้น ทันทีที่ภาพแห่งความเป็นจริงปรากฏอยู่เบื้องหน้า ภาพของหงส์งามได้ถูกฝังลึกลงในหัวใจของมังกรหนุ่ม ปิดผนึกทุกความรู้สึกที่ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ มีเพียงฮีอูเท่านั้น
 
“ไปต่อ” เสียงทุ้มห้วนสั่งให้องครักษ์แฝดเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง
 
ระหว่างที่ควบม้าฝ่าความมืดของค่ำคืนไปนั้น กึมซองก็ได้เบียดม้าของตนเองไปใกล้ผู้เป็นพี่ แล้วโยกตัวเข้าไปใกล้
 
“เจ้าคิดว่าราชครูของเชินอันผู้นั้นจะพาวังชอนซาออกจากแคว้นเราไปหรือยัง?”
 
“ผ่านมาสองวันแล้ว หากคนพวกนั้นไม่หยุดพัก เพลานี้น่าจะออกจากเขตฮานึลไปไกลพอควร ...กึมซอง! เจ้าอย่าเบียดข้านักได้ไหมเนี่ย!”
 
“ขอโทษๆ ก็ข้าเหนื่อยแล้วนี่ ง่วงด้วย! ต่อให้ข้ามีแรงมากแค่ไหนก็ไม่พอหรอกถ้าจะให้ขี่ม้าทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้” เด็กหนุ่มโอดครวญเสียงอ่อน แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชะรอความเร็วลงแม้แต่น้อย และยังไม่หยุดกระซิบกระซาบกับผู้เป็นพี่ “เมื่อครู่เราพักกันยังไม่ทันจะหายเหนื่อยเลย เหตุใดฝ่าบาทถึงได้รีบร้อนนัก จะอย่างไรเราก็ยังไม่แน่ชัดด้วยซ้ำเรื่องของคุณชายฮีอู”
 
โทซองถอนหายใจหนักๆ ไปหนึ่งที ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหัวของกึมซองเบาๆ โดยที่จังหวะการควบม้านั้นยังคงความเร็วเช่นเดิม “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าอ่อนซ้อมเรื่องสมาธิ พอต้องมาทำอะไรนานๆ เข้าหน่อยสติก็เริ่มรวน ...เจ้าก็รู้ดีนี่ ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคุณชายฮีอู ฝ่าบาททรงไม่เคยปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ”
 
“มันก็จริงของเจ้า แต่ว่า...ข้าแค่สมมตินะ ถ้าเกิดว่าเราไปเจอขบวนรถม้าของราชครูนั่นแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เรื่องที่คุณชายฮีอูหายไป ฝ่าบาทจะยังคงเอาเรื่องคนพวกนั้นอีกหรือไม่?”
 
“สวรรค์เท่านั้นแหละที่รู้ว่าคุณชายฮีอูหายไปเพราะเหตุใด”
 
“เจ้าจะบอกว่า ไม่ว่าราชครูปาร์คผู้นั้นจะพูดอะไร ล้วนหาข้อเท็จจริงไม่ได้งั้นหรือ?”
 
“เจ้าคิดเช่นไรล่ะ?” เมื่อโดนคำถามสวนกลับ เด็กหนุ่มก็ถึงกับขมวดคิ้วยุ่งครุ่นคิด จะว่ามีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้มันก็ถูก นอกจากตัวของคุณชายฮีอูแล้ว ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด และถ้าหากไปถามความเอากับคนที่เป็นศัตรู ต่อให้ฝ่ายนั้นพูดความจริง ก็ไม่มีหลักฐานอะไรให้เราเชื่อถือได้ เท่ากับว่า จะถามหรือไม่ถาม ตอบหรือไม่ตอบ ก็มีค่าเท่ากัน
 
“เช่นนั้น ฝ่าบาทคงไม่ยอมปล่อยให้วังชอนซากลับเชินอันเป็นแน่ ในเมื่อคุณชายฮีอูหายตัวไป”
 
“นั่นเป็นเหตุผลที่เรากำลังไล่ตามขบวนรถม้าอยู่” โทซองต่อประโยคให้น้องชาย ก่อนจะพูดทิ้งท้ายพลางเร่งความเร็วเมื่อร่างสูงของนายเหนือหัวเริ่มห่างจากพวกตนมากขึ้นกว่าเดิม
 

 
“...และจนกว่าจะพบคุณชายฮีอู เจ้าคิดว่าคิมซอนอินมีสิทธิ์รอดพ้นกำมือของฝ่าบาทไปไหนได้งั้นหรือ?”
 

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
พ้นป่าไม้โปร่งทางตอนเหนือของฮานึล บริเวณโดยรอบต่อจากนั้นทั้งหมดเป็นพื้นที่ว่างโล่ง ทางฝั่งซ้ายคือเนินภูเขาลูกใหญ่บ่งบอกสัญลักษณ์ของเขตแคว้นฮานึล เมื่อข้ามสะพานไม้ของแม่น้ำหลักตรงหน้าไป ก็จะพ้นจากฮานึลโดยสมบูรณ์
 
ร่างสูงควบม้าไปข้างหน้าเล็กน้อย เรียวคิ้วเข้มกดลึกเมื่อเห็นความผิดปกติเกิดขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ กลุ่มควันหนาแน่นอบอวลจนมองไม่เห็นว่าอีกฟากฝั่งของสะพานไม้เกิดอะไรขึ้น
 
“ไฟไหม้หรือ??!!” กึมซองหันไปถามคนข้างตัว อาการงัวเงียที่มีมาตลอดวันแม้จะเข้าช่วงสายของวันแล้วก็ตามพลันหายเป็นปลิดทิ้ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่จู่ๆ ก็มืดครึ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน
 
ไม่ใช่ฟ้าที่มืดครึ้มเพราะเมฆฝน แต่เป็นฟ้าที่กำลังก่อพายุขนาดย่อมขึ้นมาอย่างฉับพลัน กลุ่มควันที่ปรากฏเริ่มขยับเคลื่อนเป็นวงกลมคล้ายมังกรตัวใหญ่พุ่งทะยานสู่เบื้องบนเป็นวงกว้าง ลมพายุพัดตีรุนแรงจนสะพานไม้ขยับไหว ผิวน้ำตีระลอกกระทบฝั่ง
 
“พี่ใหญ่ว่าไงล่ะ! มันเกิดอะไรขึ้น?”
 
“ข้าไม่รู้” โทซองเอ่ยตอบน้องชายโดยที่สายตายังจับจ้องความแปลกประหลาดตรงหน้า เขาขยับเชือกให้ม้าเดินหน้าไปอีกสามสี่ก้าว “ฝ่าบาท จะทรงข้ามไปหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
 
รัชทายาทหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร แต่กลับควบม้าไปยังสะพานไม้แทนคำตอบ
 
โทซองและกึมซองตามหลังผู้เป็นนายไปอย่างใกล้ชิดเพื่อคุ้มกันความปลอดภัย ที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่า หากเป็นภัยธรรมชาติแล้ว จะเอาชนะมันได้อย่างไร
 
น่าแปลก ที่ถึงจะมีพายุรุนแรงเพียงใด หรือเมฆดำพยับก่อตัวมากเท่าไหร่ เพลิงกัลป์ที่โชติช่วงก็ยังคงอยู่ในวงล้อมของกลุ่มพายุลูกใหญ่ไม่ได้ขยายอาณาเขตออกมาเลยแม้แต่น้อย
 
ทั้งสามคนควบม้าไปรอบๆ หมอกควันหนา จีรยงยกท่อนแขนขึ้นป้องเศษฝุ่นที่พัดกระจ่ายออกมา เรียวตาคมหรี่ลงพยายามมองเข้าไปตรงจุดกึ่งกลางของความวุ่นวาย
 
และเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง เสียงทุ้มก้องกังวานก็ตะโกนลั่นสั่งให้องค์รักษ์ทั้งสองถอยห่างออกไปโดยเร็ว
 

 
“ถอยออกมา!!!!!!!!”
 

 
สิ้นคำพูดนั้นเพียงลมหายใจ แรงระเบิดที่มีมากจนพื้นดินสะเทือนก็เกิดขึ้น จากจุดกึ่งกลางนั้น เปลวไฟแดงฉานได้พุ่งขึ้นสูงราวกับภูเขาไฟ ก่อนแตกกระจายเป็นวงกว้าง สะเก็ดสีเพลิงตกลงมาราวปุยหิมะ ก่อนที่จะกลายเป็นขนนกสีดำสนิทค่อยๆ ร่วงลงกระทบพื้นดินเชื่องช้า พร้อมกับกลุ่มควัน และเมฆครึ้มมลายหายไปอย่างน่าประหลาด
 
“แค่กๆ! นี่มัน...เรื่องอะไรกันเนี่ย!!” ร่างเล็กที่กลิ้งคลุกๆ ลงมาจากหลังม้าตะเกียดตะกายพยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ใบหน้าเรียวเล็กเปรอะเปื้อนเศษหญ้าทั้งยังสำลักควันไม่หยุด จนคนเป็นพี่ต้องมาตบหลังช่วยอีกแรง
 
“เร็วเข้า ฝ่าบาททรงหายไปไหนแล้ว” โทซองฉุดน้องชายเดินฝ่าควันจางๆ ที่เริ่มสลายตัวเข้าไปยังวงล้อมของกลุ่มควันหนาที่ก่อตัวอยู่เมื่อครู่ สะเปะสะปะไม่นานนัก เด็กหนุ่มทั้งสองก็เห็นเงาตะคุ่มของคนสองคนอยู่ห่างไปไม่ไกล พวกเขาเดินผ่านซากไม้ที่กระจัดกระจ่ายอยู่เกลื่อนพื้น คาดเดาว่าคงเป็นรถม้าที่พังยับไม่เหลือให้ประกอบใหม่ รวมถึงร่างของคนจำนวนหนึ่งที่ทั่วทั้งตัวกลายเป็นสีดำไหม้เกรียมนอนเกลื่อนอยู่โดยรอบ
 
โทซองและกึมซองไม่ได้สนใจศพไร้วิญญาณพวกนั้น เพราะเมื่อม่านตาของเด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น สายตาของพวกเขาทั้งสองได้ถูกดึงดูดไปยังภาพที่เกินจะจินตนาการตรงหน้าเข้าเสียก่อน
 
“สวรรค์ ข้าตายไปแล้วหรือไง?” เสียงของกึมซองไม่อาจส่งผ่านถึงพี่ชายที่มีอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน
 

 
 
ในที่ตรงนั้น จุดกึ่งกลางของวงล้อมที่ต้นหญ้าทุกต้นมอดไหม้เป็นวงกลมขนาดกว้างใหญ่ ท่ามกลางขนนกสีดำที่ค่อยๆ ร่วงลงมา ท่ามกลางหมอกควันสีจางที่กลืนหายไปในอากาศ ที่ตรงนั้นปรากฏร่างบอบบางของวังชอนซาซึ่งนั่งอ่อนแรงอยู่กับพื้น
 

โดยที่เรือนร่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยปีกสีดำขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างกายภายใต้อาภรณ์ขาวที่ขาดวิ่นเอาไว้
 

 
 
ความตกตะลึงทำให้เด็กหนุ่มฝาแฝดนิ่งค้างอยู่กับที่ ต่างจากร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของวังชอนซา
 
นัยน์ตารัตติกาลลุ่มลึกจ้องมองสภาพร่างกายของผู้ที่เคยเป็นเชลยศึก ปีกสีดำที่งอกออกมาจากกลางแผ่นหลังขาวนวลไม่ได้ทำให้ผู้มองรู้สึกกลัว ไม่ใช่เพราะทำใจยอมรับความผิดแปลกนี้ได้ในทันที แต่เป็นเพราะสภาพของคนตรงหน้านั้นไม่ผิดไปจากคนที่กำลังหวาดกลัวอย่างที่สุด
 
ท่อนแขนผอมบางกอดตัวเองแน่นด้วยอาการสั่นรุนแรง ปลายเล็บแหลมจิกลึกลงกับท่อนเนื้อบนต้นแขนจนเกิดเลือดซิบ ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำขลับแผ่สยายยุ่ง ดวงหน้าสวยขาวซีดแต่กลับยังคงความงดงามราวกับรูปลักษณ์ของเทพสวรรค์ ทว่า...ดวงตาที่เคยเป็นประกายสดใส ในตอนนี้เต็มไปด้วยม่านน้ำตามากมาย รวมถึงแววตาเหม่อลอยไม่จับจุดสิ่งใด ซ้ำริมฝีปากบางยังขยับพึมพำฟังไม่ได้ความราวกับต้องมนต์
 
จีรยงย่อตัวลงนั่งตรงหน้าร่างบาง มือหยาบใหญ่แตะลงเบาๆ ที่ท่อนแขนเล็ก ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะสะดุ้งขนาดที่เงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขา ปีกขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยขนนกนุ่มสีดำขยับแผ่ออกกว้าง ทำให้เกิดแรงลมขึ้นวูบหนึ่ง
 
เขาขยับมือออกด้วยความสับสน แต่กลับถูกมือที่เล็กกว่าคว้าแขนเสื้อเอาไว้ด้วยอาการสั่นเทา
 
“เจ้า...” สมองพยายามประมวลผล แต่ก็ยากเกินกว่าจะหาคำพูดใด จีรยงยังไม่อาจเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าได้
 
“ไม่...อย่าทิ้งข้า ...อย่า....ฮึก....อย่าทิ้งข้า ได้โปรด.......” เสียงที่เคยฟังแว่วหวานบัดนี้ให้เพียงแต่ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างหาคำอธิบายไม่ได้
 
มือเล็กพยายามฉุดรั้งไม่ให้ร่างสูงขยับไปไหน สายตาเว้าวอนราวลูกนกหลงทิศ กลีบปากระเรื่อคล้ายสีลูกท้อเม้มแน่นสั่นระริก
 
ซอนอินไม่อาจคิดอะไรได้อีก มีคนที่ตายเพราะเขานอนเกลื่อนอยู่รอบตัว สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาทำให้สมองและร่างกายปฏิเสธการรับรู้ที่มากเกินรับไหว ร่างสูงที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ คือคนคนเดียวที่เขาต้องการมากกว่าสิ่งใด...มากกว่าใครทั้งหมด
 
“ชองจีรยง ถ้าเจ้าไม่ต้องการข้า ก็ฆ่าข้าเสียตอนนี้...ฮึก...ได้โปรดหยุดข้า หยุดลมหายใจของข้า หยุดร่างกายของข้า ...หยุดหัวใจของข้า......ฮึก......” พลันเสียงแหบแห้งที่อ่อนลง ร่างบางก็ทรุดฮวบลงกับอกกว้าง
 
จีรยงประคองไหล่เล็กไว้ เขาสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อที่ยังรุ่มร้อน ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าตัวมีไข้ หรือเพราะเหตุผลอื่น แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่วงแขนทั้งสองข้างของเขาก็ได้คว้าร่างตรงหน้าเข้ามากอดไว้แนบอกก่อนได้คิดอะไรอื่นอีก
 
“ฝ่าบาท...” เสียงของโทซองดังอยู่ด้านหลัง
 
“ตรวจสอบศพทั้งหมดว่ามีราชครูปาร์คยองจูหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งความ เขาปลดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออกเพื่อนำมาห่อหุ้มร่างบางที่ตอนนี้ปีกทั้งสองข้างได้หุบแนบสนิทกับแผ่นหลังบาง “กึมซอง เจ้าไปจัดหารถม้ามาให้ข้า”
 
“รถม้า? ฝ่าบาทจะทรงพา... กระหม่อมหมายความว่า ฝ่าบาท....” เด็กหนุ่มอธิบายไม่ถูก กึมซองไม่แน่ใจว่านายเหนือหัวของตนจะทรงพาวังชอนซาที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ กลับเข้าวังจริงๆ น่ะหรือ?! ต่อให้เป็นชาวบ้านทั่วไป ก็น่าจะดูออกว่า วังชอนซา ผู้นี้นั้นไม่ใช่คนปกติ!!
 
“ยูกึมซอง” โดนขานชื่อเต็มยศ ความสงสัยที่มีเป็นอันปลิวหายไปในสายลมทันที
 
“กระหม่อมจะจัดหามาโดยเร็วพะย่ะค่ะ!”
 
หลังกึมซองควบม้าไปได้ไม่ไกล โทซองก็ได้เอ่ยคำพูดหนึ่งขึ้นมาขณะที่ร่างสูงอีกคนกำลังอุ้มร่างอ่อนแรงขึ้น
 
“ฝ่าบาท ทรงเคยได้ยินคำจารึกของชนเผ่าชินซองไหมพะย่ะค่ะ?”
 
“คำจารึก?”
 
“พะย่ะค่ะ คำจารึกบนแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน กระหม่อมคิดว่า คิมซอนอินผู้นี้อาจเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากสวรรค์แล้วก็เป็นได้ ทว่า...มีเพียงสองทางที่สวรรค์เลือกที่จะให้เป็น คือแสงสว่าง กับความมืดมิด นั่นคือ มีคุณสมบัติที่จะอยู่ หรือจากไปด้วยการเสียสละเลือดเนื้อ”
 
จีรยงก้มลงมองเสี้ยวหน้าสวยที่แนบชิดอยู่กับอก ก่อนเงยขึ้นมองนายทหารคนสนิท “เจ้าจะบอกว่า คิมซอนอินคือตัวแทนของเทพเจ้าทงซก แต่ไม่ใช่ตัวแทนของการมีอยู่ที่นักบวชพวกนั้นต้องการงั้นหรือ?”
 
“กระหม่อมคิดว่า การที่มีศพคนพวกนี้มากเกินกว่าจะเป็นขบวนรถม้าของราชครูปาร์ค คือสิ่งที่บอกให้รู้ว่ามีคนต้องการสังหารวังชอนซาก่อนที่ปีกสีดำจะปรากฏขึ้น เพราะนักบวชพวกนั้นกลัวว่าพลังอำนาจมืดอาจทำร้ายแสงสว่างบนโลกมนุษย์ ...และจากที่เห็น ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนั้นจะต้านพลังของวังชอนซาไม่ได้เลย”
 
“หึ ความงมงายของพวกนักบวชช่างน่าสมเพช” จีรยงพ่นเสียงในคออย่างดูแคลน “จะโลกหรือสวรรค์ คนที่เอาตัวเองยังไม่รอดอย่างคิมซอนอินจะมีปัญญาทำอะไรได้?” แววเนตรคมดุจมังกรในสายหมอกทอดลงมองคนในวงแขน
 

 
“จะเป็นเทพเจ้าก็ช่าง เป็นปีศาจก็ดี สุดท้ายแล้ว สิ่งเดียวที่คิมซอนอินจะเป็นได้ คืออยู่ใต้การควบคุมของข้า!”
 

 
วาจาของรัชทายาทหนุ่มที่เอ่ยกังวานทั่วทั้งลานกว้างนั้นมาพร้อมกับสายลมแรงวูบหนึ่งที่พัดผ่าน แม้ว่าโทซองจะรู้สึกไม่สบายใจนักกับการตัดสินใจของนายเหนือหัวที่จะพาวังชอนซากลับเข้าวัง แต่อะไรบางอย่างได้บอกกับเด็กหนุ่มว่า การที่คิมซอนอินเกิดมา และการที่องค์รัชทายาทชองจีรยงไม่สนพระทัยการตัดสินของตำนานพวกนี้ นั้นอาจเป็นสิ่งที่สวรรค์ต้องการก็เป็นได้
 
ถึงกระนั้น ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วสวรรค์กำหนดสิ่งใดไว้ หากแต่ หนทางของคิมซอนอินที่มีได้ในตอนนี้ คือการกลับเข้าวังหลวงแห่งแคว้นฮานึลเพียงเท่านั้น
 
ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่าในกลุ่มคนที่ถูกไฟเผาไหม้ร่างกายจนเกรียมทั้งหมดนี้ไม่มีร่างของราชครูแห่งเชินอัน ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้าขณะที่หนึ่งรถม้า และบุรุษหนุ่มทั้งหมดเดินทางกลับไปยังวังหลวง
 
 

หงส์ที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกมังกรแห่งฮานึลพากลับมายังดินแดนที่เป็นจุดเริ่มต้นระหว่างพวกเขาอีกครั้ง
 

 

ทว่า การกลับเข้าวังครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นได้อีกตลอดกาล
 

 

.
.
 

 

 

บุรุษหนึ่งผู้เกิดลัคนาสถิตราศีกุมภ์ ธุมเกตุบังเกิดฉายประภาทั่วทิศทิฆัมพร เพลิงพลายส่องสว่างสู่ทุกสรรพสิ่งเหนือธราดล สายโลหิตแห่งผู้นำทิศาดรบูรพาถือกำเนิด ...วังชอนซา
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน
 

 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 12] 31/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 31-08-2016 08:00:43
เฮ้อ ปวดหัว ยังไม่เชียร์พนะเอกนะ สงสารนายเอก ขอให้ราชครูคูกับฮีอู
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 12] 31/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-08-2016 08:43:27
เฝ้านับวันเวลารอชอนซาเอาคืนจีรยง  :interest: :z6: :z6: :z6: :z6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 12] 31/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-08-2016 09:32:27
ทำไมพระเอกเรื่องนี้ดูเป็นตัวร้ายจัง ตัวเองก็มีคนรักอยู่แล้ว (หรือเปล่านะ) ยังมาทำร้ายนายเอกซ้ำ ๆ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 13] 1/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 01-09-2016 08:56:37

บทที่ 13


 
ตำนานกล่าวขานเกี่ยวกับเรื่องของ ‘เทพเจ้าทงซก’ เทพเจ้าผู้ปกปักษ์รักษาทิศบูรพานั้นถูกพูดกันปากต่อปากมาหลายชั่วอายุคนนัก ทว่า เรื่องราวมากมายที่ใครต่อใครได้ล่วงรู้กลับเป็นเพียงแค่ตำนานของความเชื่อและความศรัทธาเพียงเท่านั้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าตำนาน ไม่ใช่เพียงนิทานก่อนนอน หากแต่คำจารึกบนแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ เปรียบดั่งคำทำนายที่จะกลายเป็นความจริงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในชั่วอายุคนแต่ละรอบ หนึ่งในลูกหลานผู้สืบเชื้อสายแห่งชินซอง จะกลายเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากสวรรค์
 
...ทันทีที่ลมหายใจแรกของทารกน้อยนามว่าคิมซอนอินได้เริ่มต้นขึ้น แม้แต่สวรรค์ผู้ลิขิตชะตา ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเส้นด้ายบางๆ ที่ผูกชีวิตของเด็กคนนี้ได้
 
 
ชะตาชีวิตของคิมซอนอิน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ชั่วนิจนิรันดร์...
 
.
.
.
 
 
“เกิดอันใดขึ้นหรือท่านราชครูปาร์ค?” เสียงกังวลของอูรัมเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่าร่างสูงของราชครูคนสำคัญได้เผากระดาษจดหมายด้วยเปลวเพลิงจากฝ่ามือจนกลายเป็นผุยผง ยิ่งเห็นว่าสีหน้าคมเข้มนั้นเคร่งเครียดขึ้นมา อูรัมที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าก็ยิ่งเกิดความกังวล
 
“เราจะไม่เดินทางกลับเชินอัน” ยองจูเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เรียวคิ้วของชายหนุ่มกดลึกเข้าหากัน “...และจะไม่กลับไปยังชินซองด้วย”
 
“เพราะเหตุใด?!” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสับสน “จดหมายนั่น มาจากราชเลขาแบซองจีไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใด...?”
 
ใจความในจดหมาย อูรัมไม่อาจรู้ แต่เพราะมันมาจากราชเลขาแบซองจี ผู้ซึ่งเป็นคนสนิทของราชินีซองอึน ก็น่าจะเป็นจดหมายที่เกี่ยวกับองค์วังชอนซาไม่ใช่หรือ แล้วจะให้เดา ก็มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น บุตรชายของตนเองถูกจับไปเป็นเชลยศึกนานขนาดนี้ ก็ต้องรู้สึกเป็นห่วง เมื่อรู้ข่าวจากสารน์ที่ราชครูปาร์คส่งไป ...นอกจากจะบอกให้รีบเดินทางกลับเข้าวังแล้ว ยังจะมีเหตุผลใดอีกเล่า?
 
ยองจูไม่เอ่ยตอบเด็กหนุ่มในทันที เขารีบเดินกลับเข้าไปในกระโจมพักแรมไม่รอช้า
 
“ท่านราชครู...” ทันทีที่ร่างสูงปรากฏตัวอยู่หน้าทางเข้า เสียงหวานแหบแห้งของร่างบางก็ร้องขึ้น ท่าทางเหมือนจะพยายามลุกจากที่นอนอย่างอ่อนแรงทำให้ราชครูหนุ่มต้องรีบก้าวเข้าไปช่วยประคอง
 
“ทรงฟื้นนานหรือยัง?” ยองจูเอ่ยถามขณะที่มือก็ประคองให้ร่างบางได้นั่งพิงกับอกของตน
 
ซอนอินทิ้งศีรษะซบอกกว้าง พลางเอ่ยเสียเบา “สักพักแล้ว...ข้า ...ข้าอยู่ที่ไหน แล้วทำไมท่านราชครูถึง..อึก!!” เอ่ยถามได้ไม่กี่คำ อะไรบางอย่างในอกก็บีบรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งกาย มือเล็กรีบยกขึ้นกดทับแผ่นอกด้วยความทรมาน ลมหายใจพลันติดขัด อึดอัดจนน้ำตาซึมคลอหน่วง
 
“อย่าพึ่งคิดอะไรตอนนี้ทั้งนั้น ร่างกายขององค์วังชอนซายังไม่แข็งแรงนัก ธาตุในกายแปรปรวนจนเสียสมดุล” ขณะที่เอ่ยคำพูด ยองจูก็ค่อยๆ ประคองร่างบางขึ้นอุ้มแนบอก “...เรายังต้องออกเดินทางอีกไกล หลับเสียก่อนเถิด ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น หม่อมฉันจะถวายด้วยชีวิตเพื่อปกป้องท่านให้ถึงที่สุด”
 
ไม่เข้าใจเลยสักนิด... ซอนอินไม่เข้าใจสิ่งที่คนเป็นอาจารย์เอ่ยบอกแม้สักคำ ในหัวสับสนไปหมด เหตุการณ์ก่อนหน้ายังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดไม่จางหาย ความโหดร้ายที่ชองจีรยงมอบให้ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดกับร่างกาย สายตาคมกร้าวที่ราวกับจะกระชากลมหายใจของเขาเป็นเหมือนมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจ
 
เจ็บจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป...
 
ความสับสนที่พบว่าตื่นขึ้นมาก็มีราชครูยองจูอยู่ข้างกายยังผลให้ซอนอินปวดศีรษะเพราะคิดอะไรไม่ออก อีกฝ่ายไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ฟัง ซ้ำยังบอกให้เขาไม่ต้องคิดอะไรอีก ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คิมซอนอินคนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้สิ่งใดเลยอย่างนั้นใช่ไหม ตัวเขาไม่มีความสำคัญกับผู้ใดเลยใช่หรือเปล่า
 
ไร้ค่าเสียจริงคิมซอนอิน เสียงในความคิดตอกย้ำถึงความเป็นจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า ชองจีรยงปล่อยเขาออกมาโดยไม่บอกอะไรกับเขาเลย ทั้งราชครูยองจูที่ทำราวกับว่าเขาไม่ต้องรู้อะไรทั้งนั้น ให้ทำตามคำสั่งเพียงเท่านั้น ...น่าสมเพชจนแม้แต่ตัวเองยังคิดเช่นนั้น
 
ซอนอินซุกกายเข้าหาอกกว้างของคนที่อุ้มตนอยู่มากขึ้น ฝังใบหน้าลงแนบสนิท มือเล็กเกาะยึดเสื้อของร่างสูงไว้แน่นด้วยอาการสั่นน้อยๆ คล้ายลูกแมวที่ถูกเจ้าของทิ้งขว้าง
 
ยองจูกระชับร่างบอบช้ำทั้งตัวและหัวใจไว้แนบอก เขาไม่รู้ว่าตลอดช่วงเวลาที่ซอนอินตกอยู่ในกำมือของชองจีรยงเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเป็นไปในทิศทางใด เหตุใดลูกศิษย์ของเขาถึงได้อ่อนไหวมากเช่นนี้ นอกจากร่างกายสวยงามนี้แล้ว ชองจีรยงยังจะได้หัวใจแสนบริสุทธิ์ดวงนี้ด้วยอีกงั้นหรือ? คำถามนี้ ปาร์คยองจูก็ได้แต่หวัง ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น
 
“ท่านราชครู ท่านจะไม่ทิ้งข้าใช่ไหม ...หากข้าหลับ เมื่อลืมตาอีกครั้ง ท่านก็ยังจะอยู่กับข้าใช่หรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยผ่านแผ่นอกหนา คนที่หวังให้ต้องการในตัวเขากลับไม่เคยคิดจะสนใจแม้เพียงนิด เช่นนั้นแล้ว คนที่จะอยู่เคียงข้างเขาก็มีเพียงราชครูปาร์คยองจูเท่านั้น นอกจากอาจารย์คนนี้แล้ว ซอนอินก็ไม่เห็นว่ายังจะมีใครต้องการเขาเลยสักคน
 
เพราะมีเพียงคนเดียว ซอนอินจึงอยากจะมั่นใจ ว่าตนจะไม่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
 
“หม่อมฉันจะอยู่ตรงหน้า เมื่อทรงลืมตาตื่น”
 
 
 
“ท่านราชครู ทำแบบนี้มันจะดีหรือ?” หลังจากที่จัดการเก็บกระโจมพักแรมแล้ว ยองจูได้พาร่างของซอนอินที่นอนหลับด้วยความอ่อนแรงไว้ในรถม้า ร่างสูงจัดการคลุมผ้าให้กับเรือนร่างคนสำคัญจนเรียบร้อย ก่อนจะลงจากตัวรถม้าแล้วหันกลับไปหาเจ้าของเสียงที่เอ่ยถาม
 
“ราชเลขาแบซองจีคิดจะให้ข้าปลิดชีพองค์วังชอนซา เพียงเพราะคำทำนายนั่น” หลายวันก่อนเขาพอจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าเรื่องทำนองนี้จะต้องเกิดขึ้น ในเมื่อคิมซอนอินถูกทำลายความบริสุทธิ์ก่อนที่จะถึงเดือนเจ็ด การตัดสินของพระเจ้าจึงเป็นไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น การบูชาร่างกายเพื่อเทพเจ้าทงซก หากผิดคำพูดก็มีแต่หายนะของความมืดมิดที่รอคอย ความเชื่อที่ว่าหากผู้ที่ได้รับตำแหน่งเป็นวังชอนซาจะต้องดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ในหุบเขาชินซองเพื่อประกาศตัวการเป็นตัวแทนของเทพเจ้านั้น ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับซอนอินแม้แต่น้อย ชะตาของซอนอินเกิดมาเพื่อเป็นคนที่ถูกเลือกไว้แต่แรกแล้ว คิมซอนอินมีสายเลือดของเทพไหลเวียนอยู่ในกายมาตั้งแต่ต้น
 
“แต่ท่านคิดดีแน่แล้วหรือว่าไม่ใช่กลลวงของผู้ใด แบซองจีเป็นคนสนิทของทั้งองค์กษัตริย์และองค์ราชินี จะเป็นไปได้อย่างไรที่ทั้งสองพระองค์จะคิดฆ่าบุตรชายของตนเองได้?”
 
“ไม่ใช่กลลวงของผู้ใดทั้งนั้น อาทิตย์ก่อนผู้เฒ่าลีซางลอบส่งนกนำสาส์นมาถึงข้า ในตอนนี้คำทำนายบนแท่นหินสร้างความหวาดกลัวแก่เหล่านักบวชในชนเผ่าจนถึงขั้นเรียกชุมนุมกันวุ่นวายไปหมด คำตัดสินสุดท้ายที่ได้คือหยุดวังชอนซาเสียก่อนที่จะถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลง”
 
“แต่ถึงอย่างนั้น องค์ราชินีทรงยอมได้หรือ? องค์วังชอนซาเป็นถึงบุตรชายคนโตของพระนางเชียวนะ” อูรัมยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อยู่ในช่วงฝึกฝนวรยุทธให้ก้าวไกล ดังนั้นเรื่องภายในบางอย่างของชินซอง แม้แต่ตนที่เป็นลูกหลานก็ยังล่วงรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้ไม่ลึกซึ้งพอ
 
“ตั้งแต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นวังชอนซา แม้แต่องค์กษัตริย์เองก็ไม่อาจกำหนดอะไรในตัวขององค์ชายซอนอินได้อีกต่อไป การรับหน้าที่เป็นตัวแทนเทพเจ้าทงซกถือเป็นสิทธิ์ขาดของเหล่านักบวชในการตัดสินใจต่อความประสงค์ที่สมควร หากนักบวชเห็นพ้องว่าควรทำเช่นไร ก็ไม่อาจต่อต้านอะไรได้อีก”
 
ยองจูสะบัดตัวขึ้นหลังอาชาสีน้ำตาลเข้ม “...และหากจะให้ข้าพูดตรงๆ องค์ราชินีเองก็ทรงคาดการณ์ไว้อยู่แล้วตั้งแต่ที่องค์วังชอนซาถูกลักพาตัวไป ว่าถึงที่สุดแล้ว บุตรชายของพระนางคงไม่มีทางบริสุทธิ์ได้เหมือนเช่นเดิม ...วันที่พระนางสั่งให้ข้าลอบเข้าฮานึลมา พระนางเองก็ไม่มั่นใจว่าจะได้ผล การพาองค์วังชอนซาออกมาจากวังหลวงฮานึลไม่ใช่เรื่องง่าย และคำสั่งสุดท้ายที่ข้าไม่อาจยอมรับได้แม้จะเป็นคำสั่งขององค์ราชินีแห่งเชินอันก็ตาม คือคำสั่งที่บอกให้ข้าทำตามความประสงค์ของเหล่านักบวชพวกนั้น”
 
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นยามที่ตวัดตัวขึ้นหลังม้าอีกตัว “ถ้าเช่นนั้น ผู้เฒ่าลีซางก็ทำผิดต่อชนเผ่าน่ะสิ!”
 
เรียวตาคมดุจเหยี่ยวกลางเวหาแหงนเงยมองท้องฟ้าสีมืดครึ้มในคำคืน แววตาสีแดงฉานฉายประกายสะท้อนกับแสงจันทร์สีนวล ยามที่เจ้าตัวเอื้อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ข้าเองก็ทรยศต่อชนเผ่า ข้าไม่เห็นพ้องกับนักบวชพวกนั้น ไม่ว่าจะใครก็ตาม ชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับลมปากหรือคำทำนายในตำนาน คิมซอนอินไม่ใช่สิ่งของไร้ชีวิต ลมหายใจของเขามีความสำคัญเทียบเท่าตัวข้าเอง”
 
ราชครูหนุ่มเลื่อนสายตาลงจ้องมองเด็กหนุ่ม “...เจ้าจะตัดสินใจเช่นไรข้าไม่คิดบังคับ”
 
ศีรษะเล็กรีบสะบัดซ้ายขวารัวๆ ก่อนตอบฉะฉานเสียงดังฟังชัด “องค์วังชอนซาเป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครที่ข้าเคยรู้จัก หากจะมีใครไร้มลทินที่สุดในแผ่นดินนี้ ข้าคิดว่าเป็นองค์ชายซอนอินแต่เพียงเท่านั้น การตัดสินของนักบวชเกินไปจริงๆ ไม่มีใครรู้แน่ชัดจริงๆ เสียหน่อยว่าสวรรค์ตัดสินชะตาขององค์ชายซอนอินไว้ว่าอย่างไร บางทีสิ่งที่พวกนักบวชคิดอาจจะไม่ถูกก็ได้...ข้าก็เป็นอีกคนที่จะทรยศชนเผ่าเพื่อปกป้ององค์ชายซอนอินไว้ด้วยเช่นกัน!!”
 
“ข้าดีใจที่เจ้าคิดเช่นนี้” ยองจูระบายยิ้มบางให้กับเด็กหนุ่มที่ถือเป็นลูกศิษย์อีกคน ก่อนจะหันไปหากลุ่มคนติดตามที่ซื่อสัตย์ต่อผู้เฒ่าลีซาง เสียงทุ้มตะโกนก้องภายในป่าที่เงียบสงัด “แบ่งเป็นสองกลุ่ม! พวกเจ้าห้าคนมากับข้า ส่วนอินจอง พูซา ซันแท นัมจา ไปกับอูรัม เราจะแยกไปกันคนละเส้นทาง องค์วังชอนซาจะไปกับกลุ่มของพวกเจ้า กลุ่มของข้าจะเป็นตัวล่อล่วงหน้าไปก่อน ในวันพรุ่งตอนฟ้าสาง นักบวชผู้ฝึกวรยุทธจะต้องดักเข้าโจมตีเป็นแน่ เพื่อให้องค์วังชอนซาปลอดภัย จนกว่าการสู้จะสิ้นสุด พวกเจ้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวเด็ดขาด พ้นสะพานที่ข้ามแม่น้ำข้างหน้าก็ให้ปักหลักไว้ก่อน เข้าใจหรือไม่?!”
 
“รับทราบขอรับ!!”
 
ร่างสูงโปร่งชักม้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มที่กระตือรือร้นต่อหน้าที่สำคัญ “ข้าไว้ใจเจ้านะอูรัม จงปกป้ององค์วังชอนซาไว้ด้วยชีวิต”
 
“ข้าจะปกป้ององค์วังชอนซาจนสิ้นลมหายใจขอรับท่านราชครู!”
 
“ดี! ออกเดินทางได้!!!”
 
 
 
ท่ามกลางเมฆฟ้าครึ้มที่ปกคลุมยามค่ำคืน สายลมเย็นของอากาศพัดต้องกลุ่มคนบนหลังม้าที่เคลื่อนตัวฝ่าความมืดไปอย่างรวดเร็วนั้น จุดเล็กๆ ของดวงดาวบนฟ้าได้ปรากฏขึ้นอยู่ในที่ไกลแสนไกล หมอกหนาที่ลอยตัวต่ำได้บดบังแสงสว่างเล็กๆ นั้นจนทำให้ราชครูผู้เก่งกาจไม่อาจมองเห็นลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
 
ไม่มีใครคาดคิด ว่าในตอนที่แสงแรกของอรุณรุ่งได้เริ่มต้น คือความพินาศครั้งใหญ่หลวงที่เกิดกับพวกเขา
 
 
“เร็วเข้าอูรัม! เจ้าต้องตัดสินใจตอนนี้ว่าจะเอายังไง!!!”
 
“ท่านราชครูอาจไม่รอดก็เป็นได้! เราจะเอายังไงกันต่อ!!!”
 
“พูซา! เจ้านำรถม้าขององค์วังชอนซาย้อนกลับไปที่ฮานึลเร็วเข้า ส่วนทางนี้....!!!”
 
“ไม่ทันแล้ว!! เราถูกล้อมแล้ว มันเป็นกับดัก!!!”
 
“ล้อมรถม้าไว้เร็วเข้า! อย่าให้เข้าถึงตัวองค์วังชอนซา!!!!”
 
 
เสียงโหวกเหวกและแรงสั่นสะเทือนของรถม้าปลุกให้คนที่นอนหลับใหลตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา เปลือกตาบางปรือปรอยด้วยความอ่อนล้า ตามร่างกายยังปวดแปลบจากบาดแผลฟกช้ำและบาดแผลฉีกขาดในส่วนลับ
 
หัวสมองยังไม่อาจรับรู้ความเป็นไปรอบด้านที่เกิดขึ้น ในหัวยังมึนงงและปวดหนึบจนแทบระเบิด แรงกระแทกแรงๆ ก็ปะทะเข้าที่ด้านข้างของรถม้าจนศีรษะกระแทกผนังไม้อย่างแรง
 
เกิดอะไรขึ้น?! คำถามเพิ่งจะผุดขึ้นในหัวสมอง ม่านประตูตรงหน้าก็ถูกเลิกขึ้น ก่อนที่ใบหน้าที่แสนคุ้นตาจะปรากฏให้เห็น
 
“ท่านราชเลขาแบซองจี!!” ริมฝีปากบางระบายยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนสนิทของผู้เป็นแม่ ร่างบอบบางไร้แรงพยายามลุกขึ้น แต่ก็สะดุดปลายผ้าล้มลงกับพื้นไม้ ความเจ็บแล่นปราดจากส่วนเร้นลับด้านล่างขึ้นมาทันที มือบางสั่นกึกกักกำผืนผ้าแน่น น้ำตาเอ่อซึมในดวงตาคู่สวย ใบหน้าเรียวได้รูปเงยขึ้นมองผู้สูงอายุที่ตนนับถือเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งด้วยสีหน้าเรียกร้องอย่างเด็กคนหนึ่งด้วยความเคยชิน ทว่า นัยน์ตาที่ฉายแววระคนดีใจนั้นค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม แววตาที่เคยคุ้นบัดนี้มีแต่ความว่างเปล่าที่ซอนอินไม่รู้จัก
 
“ท่านราชเลขา?” ซอนอินร้องเรียกด้วยความไม่เข้าใจ หากเป็นทุกที เพียงแค่เขามีบาดแผลเท่ารูเข็ม ราชเลขาแบซองจีก็วุ่นวายเดือดร้อนดูแลเขาอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ สายตาที่เคยอบอุ่นยามมองมาที่เขา ในเวลานี้ไม่มีหลงเหลือให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
 
“องค์วังชอนซา ทรงยกโทษให้กระหม่อมด้วยพะย่ะค่ะ”
 
“ยกโทษ? ทำไม... อ๊ะ! อื้อ!!!!” มือเล็กรีบตะกายขึ้นจับมือใหญ่หยาบกร้านที่คว้าลำคอของเขาอย่างรุนแรง ลมหายใจที่ถูกปิดกั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับเจ้าของร่างบาง
 
“ป...ปล่อย....อื้อ!!!” แรงกระชากจากมือที่คว้าลำคอขาวนั้นยังผลให้ร่างของซอนอินเซถลาไปตามแรงฉุดออกมาจากรถม้า ร่างทั้งร่างทรุดฮวบลงกับผืนหญ้าโดยแรง
 
มือเล็กตะเกียดตะกายพยายามดึงมือของชายสูงวัยให้พ้นจากลำคออย่างทุลักทุเล
 
“อย่าขัดขืนอีกเลยพะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นจะทรงทรมานมากกว่านี้”
 
เสียงทุ้มต่ำของแบซองจีพาเอาซอนอินตัวสั่นไปทั้งกาย ดวงตาคู่สวยจ้องมองราชเลขาตรงหน้าอย่างไม่อาจเข้าใจ ริมฝีปากบางแห้งผากขยับเอื้อนเอ่ยไร้เสียงเพื่อถามถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้กับตน
 
“กระหม่อมไม่อาจฝืนชะตาสวรรค์ได้ องค์วังชอนซาทรงกระทำผิดต่อคำสัตย์ ร่างกายของท่านจะนำพามาแต่ความอัปยศแก่พวกเราทุกคน”
 
ศีรษะที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำยาวส่ายไปมาทั้งที่ยังถูกบีบรัดที่รอบลำคอด้วยแรงมือที่ไม่ลดลงแม้แต่น้อย ความตื่นกลัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้นพร้อมกับคำถามมากมาย อากาศที่ค่อยๆ จะหมดไปทำให้ร่างบางทุ่มกำลังเท่าที่จะมีได้ทั้งหมดจิกเล็บลงไปบนหลังมือหยาบกร้าน
 
...แต่ก็ไร้ผล
 
“ทรงอย่าพยายามอีกเลยพะย่ะค่ะ ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณแก่พระมารดาของพระองค์เถิด”
 
ตอบแทนเสด็จแม่? นัยน์ตาสีนิลจ้องมองคนพูดนิ่งค้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รับสั่งของเสด็จแม่งั้นหรือที่ทำให้ราชเลขาพยายามทำร้ายเขาเช่นนี้?
 
เสด็จแม่ของเขาน่ะหรือที่สั่งให้คนมาฆ่าเขา?
 
ไม่จริงใช่ไหม?
 
สิ่งที่ได้ยินนำพาให้มือบางทั้งสองตกลงข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง คำพูดของราชเลขาดังก้องอยู่ในโสตประสาทพร้อมๆ กับหยาดน้ำตามากมายที่ไหลลงจากหางตาเชื่องช้า ในตอนนี้ ซอนอินไม่อาจมีแรงต่อต้านอะไรได้อีกต่อไป เสียงของความวุ่นวายรอบตัวค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศ ความเงียบสงัดโรยตัวลงมากดทับทุกสัมผัสของร่างกาย ขณะที่ลมหายใจของเขาก็ใกล้จะสิ้นสุดลง
 
 
“เสด็จแม่จะรักลูกมากกว่าใครใช่หรือเปล่า?”
 
“เจ้าเป็นลูกของแม่ จะไม่รักได้อย่างไร?”
 
“แล้วรักที่สุดหรือเปล่า?”
 
“อ้อนเก่งจริงนะเรา พอหัดพูดได้ไม่เท่าไหร่ก็อ้อนเชียวนะ มาให้แม่กอดหน่อยมา ...ลูกเป็นดวงใจของแม่นะซอนอิน เหตุใดแม่จะไม่รักลูกมากกว่าใครล่ะ หืม?”
 
“ถ้างั้น รักมากกว่าเสด็จพ่อด้วยใช่ไหม??”
 
“รักมากกว่าเสด็จพ่อด้วย”
 
“รักมากกว่าท่านปู่ด้วย??”
 
“มากกว่าท่านปู่ด้วย”
 
“คิก คิก...ลูกก็รักเสด็จแม่มากกว่าใครเลย!!!”
 
 
...รักงั้นหรือ? มันเป็นอย่างไรนะ ซอนอินได้แต่ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาโดยตลอดเพียงลำพังยามที่อยู่ในตำหนักส่วนวังหลังของเชินอัน สิ่งที่เรียกว่าความรัก แท้จริงแล้ว มันไร้ค่าใช่หรือเปล่า เป็นเพียงแค่ลมปากที่ไร้ความสำคัญเฉกเช่นตัวตนของเขาสินะ
 
ไร้ค่า...
 
ไร้ความหมาย...
 
ชีวิตที่ไม่มีใครต้องการ จะอยู่ต่อไปอีกทำไม?
 
เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ตายไปซะแบบนี้แหละดีแล้ว...
 
 
เปลือกตาบางชื้นน้ำตาหลับลงแนบสนิท ปล่อยให้มือคู่นั้นปลิดลมหายใจของตนเองไปอย่างยอมจำนน ไม่คิดจะขัดขืนเรียกร้องอะไรอีกต่อไป ซอนอินไม่มีแก่ใจจะฝืนอะไรได้อีกแล้วเมื่อรับรู้ว่าคนที่เป็นมารดาคาดหวังให้เขาตาย ...เช่นนั้นเขาก็จะตายตามพระประสงค์ของเสด็จแม่อย่างที่พระนางต้องการ
 
หากแต่ ทันทีที่หลับตาและความมืดมิดบดบังทุกสิ่งทุกอย่าง ใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในม่านหมอกของความนึกคิด เสียงทุ้มห้าวก้องกังวานดังสะท้อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ...เสียงของใครบางคนที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวสะท้านเยือกขึ้นมายามที่คิดว่าต่อจากนี้ไปจะไม่ได้พบเจอกับคนผู้นั้นอีกแล้วชั่วนิจนิรันดร์
 
น่าขำเสียจริงคิมซอนอิน แม้แต่วินาทีสุดท้ายของชีวิต เจ้าก็ยังจะคิดถึงชองจีรยงที่ไม่เคยเหลียวมองตนเลยสักครั้ง ที่ผ่านมายังเจ็บไม่พอสินะ การตกเป็นของเล่นให้กับชายผู้นั้นยังสร้างความเสียใจไม่พออย่างนั้นใช่ไหม
 
ไม่เคยพอ...
 
ต่อให้เจ็บมากกว่านี้ก็ตาม ซอนอินรู้ดีว่าตนเองไม่อาจเพียงพอเลยสักครั้งหากเป็นเรื่องของชองจีรยง
 
แต่ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว เขากำลังจะตาย...
 
นับจากนี้จะไม่มีคนที่ชื่อคิมซอนอินอีกแล้ว...
 
หัวใจของเขาที่ร้องหาแต่ชองจีรยงจนวินาทีสุดท้าย ...จะเรียกว่าเป็นความรักได้หรือเปล่า?
 
 
สิ่งที่เรียกว่ารัก คือความรู้สึกแบบนี้ใช่ไหม?
 
 
ก่อนที่สติจะดับวูบ ก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ก่อนที่ร่างกายจะไม่เป็นเช่นเดิม ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป คำถามสุดท้ายที่ดังก้องอยู่ในหัวใจ เป็นสิ่งเดียวที่ซอนอินหวังจะได้คำตอบยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
 
 
ชองจีรยง ...ข้ารักเจ้าใช่หรือเปล่า?
 
.
.
.
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ภายในตำหนักโยกันซึ่งตั้งอยู่ในเขตของวังหลวงฮานึลเงียบสะงัดในช่วงบ่ายของวัน อากาศอบอ้าวเมื่อใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนทำให้นางกำนัลสาวประจำตำหนักต้องผลัดเปลี่ยนกันเช็ดตัวให้กับร่างบางบนเตียงอยู่ตลอดทั้งวัน
 
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับผู้เป็นนายที่ยังนอนซมไข้ได้ไม่นาน ร่างสูงสง่าขององค์รัชทายาทก็ได้เสด็จมาถึงหน้าประตูตำหนัก นางกำนัลสองสาวรีบออกไปต้อนรับด้วยความเคยชินดั่งเช่นตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
 
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชองจีรยง องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันแห่งฮานึลเอ่ยถามสาวใช้ พลางเดินเข้าตำหนักอย่างไม่สนใจพิธีรีตองใดๆ ช่วงขายาวก้าวเดินไปจนถึงห้องนอนราวกับพระองค์รอคอยที่จะเข้ามาให้ห้องนี้มาโดยตลอด
 
“ทูลฝ่าบาท องค์วังชอนซายังไม่ฟื้นเลยเพคะ แต่เมื่อตอนสาย หม่อมฉันได้ยินเสียงขององค์วังชอนซาทรงพึมพำคล้ายละเมอเพคะ ...เป็นครั้งแรกเลยเพคะที่องค์วังชอนซาทรงมีปฏิกิริยาอื่นนอกไปจากการนอนหลับใหลเช่นที่ผ่านมา” แบยอนอาก้มศีรษะเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม โดยมีน้องสาวคอยจับปลายผ้าห่มหลบออกเพื่อให้นายเหนือหัวได้นั่งลงบนเตียงข้างกายร่างบอบบาง
 
ร่างสูงโบกมือปัดในอากาศบอกให้นางกำนัลทั้งสองออกไปจากห้อง นัยน์ตาคมเลื่อนสายตาลงมองดวงหน้าขาวไร้ที่ติ ข้อนิ้วหนาเกลี่ยผิวแก้มอุ่นนุ่มแผ่วเบา คล้ายกลัวว่าหากจับต้องแรงไปคนตรงหน้าอาจแหลกสลายได้ในชั่วพริบตา
 
ยิ่งนับวัน จีรยงกลับพบว่าคิมซอนอินเปราะบางมากขึ้นทุกวัน
 
ถึงเจ้าตัวจะยังไม่ฟื้น แม้ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ทว่า ทุกครั้งที่ดูเหมือนว่าคนคนนี้กำลังฝันร้าย สีหน้าเจ็บปวดแสนทรมานที่ได้เห็นก็ทำให้เขาค้นพบอีกด้านของคนคนนี้ ว่าความจริงแล้ว นอกจากจะปกป้องตัวเองไม่ได้ คิมซอนอินยังอ่อนแอราวกับคนที่ไม่เคยพบเจอสิ่งดีๆ ในชีวิตเลยสักครั้ง
 
หลายวันที่ผ่านมา ยิ่งได้เห็นถึงความอ่อนแอภายใต้เกราะแข็งแกร่งที่เจ้าตัวสร้างขึ้น จีรยงก็ยิ่งอยากรู้เรื่องราวของคนคนนี้มากขึ้น เหตุใดคนที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นผู้ที่มีคนเคารพนับถือของใครต่อใครอย่างองค์วังชอนซาผู้นี้ถึงได้เก็บซ่อนความทุกข์ได้มากถึงเพียงนี้
 
ความโกรธมากมายที่สุมอกเกี่ยวกับการหายตัวไปของคิมฮีอูมีมากจนสามารถทำลายร่างตรงหน้านี้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แต่พอได้เห็นร่างบางที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็คร้านจะคิดแค้นได้อีก ถึงจะยังตะขิดตะขวงใจเกี่ยวกับราชครูปาร์คยองจูผู้นั้น แต่จากสายตาของเขา ต่อให้คิมซอนอินฟื้นขึ้นมาก็คงจะไม่รู้เรื่องอยู่ดี แล้วยังจะปีกสีดำที่เขาเห็นในวันนั้นอีก ...คิดได้เลยว่าแม้แต่เจ้าตัวเองก็คงจะไม่รู้สาเหตุ
 
ภาพของร่างบอบบางที่ถูกปกคลุมด้วยปีกสีดำขนาดใหญ่ดูสับสนจนทำอะไรไม่ถูกยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ สีหน้าหวาดกลัวและท่าทางที่หวาดหวั่นต่อทุกสิ่งรอบกายทำให้หงส์ที่เคยสง่างามกลับกลายเป็นเพียงลูกนกที่ถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพัง
 
คิมซอนอินที่เป็นเช่นนั้น สร้างความรู้สึกบางอย่างในใจของชายหนุ่มให้เกิดความหวั่นไหว จีรยงไม่อาจหาคำตอบให้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ รู้เพียงอย่างเดียวว่าไม่อาจปล่อยเชลยคนนี้ให้หลุดมือไปได้ก็เท่านั้น
 
ปีกสีดำ... ขณะที่นึกถึงวันที่แสนวุ่นวายคราวนั้น มือหนาก็เคลื่อนจากผิวแก้มไปเกลี่ยปอยผมนุ่มลื่นอย่างเบามือ ...ในวันนั้น เมื่อเดินทางกลับถึงวังหลวง ตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปในรถม้าเพื่อจะอุ้มร่างที่หมดสตินั้น ปีกสีดำที่เคยปรากฏอยู่บนแผ่นหลังขาวสว่างก่อนหน้านั้นได้หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนถึงวันนี้ ชายหนุ่มยังไม่อาจไขปริศนาเกี่ยวกับร่างบางได้เลย
 
ความลับของชนเผ่าชินซองมีมากมายนักที่ไม่เคยเปิดเผย ...แต่ใครจะสนกัน? ไม่ว่าคิมซอนอินจะเป็นอะไร จีรยงก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าคนคนนี้จะต้องเป็นคนใต้อาณัติขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลผู้นี้เท่านั้น
 
 
“ฮึก!”
 
 
จู่ๆ เปลือกตาบางก็เปิดขึ้นกะทันหัน ดวงตากลมโตเหม่อลอยอยู่เพียงครู่ ก่อนจะสบเข้ากับใบหน้าคมเข้มของคนที่นั่งอยู่ข้างกาย
 
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยพูดกับคนตรงหน้ามาก่อน
 
ลูกแก้วสีนิลจ้องมองคนถามนิ่งค้าง ก่อนที่มือเรียวเล็กจะยกขึ้นทาบแก้มสากของคนเหนือร่าง แววตาที่ฉายออกมานั้นเหมือนกับเจ้าตัวยังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน คล้ายสายตาของคนที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้เห็น
 
จีรยงปล่อยให้คนตัวเล็กลูบใบหน้าของตนโดยไม่เอ่ยอะไรอีก เขากำลังรอคอยว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร
 
 
“...ชองจีรยง”
 
เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหบแห้งไม่ต่างจากเด็กที่หัดพูดเป็นครั้งแรก ทั้งยังฟังดูอ่อนแรง น้ำเสียงที่หลุดรอดจากกลีบปากบางนั้นเบาเสียจนแทบจะกลืนหายไปกับสายลม
 
“ความจำเจ้าไม่ได้เลอะเลือนนี่? ยินดีด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยตอบแววตาสงสัยของคนสวย มือข้างขวาของซอนอินยังคงไม่ละไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม
 
“ทำไมถึงไม่ฆ่าข้า?”
 
“ไม่มีเหตุผล”
 
“การจะฆ่าใครสักคน ในสายตาของเจ้าจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยงั้นหรือ?”
 
“ใครสักคนที่เจ้าว่า ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ยกเว้นแต่คนของข้า” จีรยงกุมมือเล็กที่ทาบแก้มของตนไว้หลวมๆ
 
“แต่ข้าไม่ใช่คนของเจ้า”
 
“เจ้าย่อมเป็นคนของข้า ลืมไปแล้วหรืออย่างไร ทุกอย่างของเจ้าเป็นของข้าตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน”
 
“ถ้าเช่นนั้น...” ซอนอินกระชับมือตอบมือหนาที่กอบกุมด้วยแรงที่มีน้อยนิด “...หัวใจของข้า เจ้าจะยอมรับด้วยหรือไม่?”
 
ซอนอินใช้สายตาเว้าวอนอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไปแล้วจริงๆ
 
“หากว่าตัวของข้าเป็นของเจ้าแล้ว แล้วหัวใจของข้าจะทำเช่นไร”
 
คำถามที่เกินกว่าจะคาดคิดทำให้เจ้าของร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มคล้ายเห็นเรื่องสนุกที่น่าสนใจ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้าใกล้ดวงหน้าสวย ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนอย่างนุ่มนวล ก่อนกระซิบใกล้ใบหูเล็กด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก  แต่กลับดังก้องสะท้อนเข้าไปถึงในอกของคนฟัง
 
 
“หัวใจขององค์วังชอนซา ผู้ใดเลยจะกล้าปฏิเสธ หากทรงยกให้หม่อมฉันแล้ว วันข้างหน้าอย่าได้เสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
 
 
ขณะที่ริมฝีปากหนาเคลื่อนทับลงมาแนบสนิท เปลือกตาบางก็ได้หลับลงอีกครั้ง รสจูบอ่อนหวานที่ได้รับครั้งนี้เป็นราวกับข้อสัญญาแลกเปลี่ยนของกันและกัน
 
รู้ว่าเป็นกับดัก แต่ซอนอินก็คิดว่าคำหลอกล่อขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลช่างเป็นกับดักแสนหวานเสียเหลือเกิน ต่อให้ต้องเจ็บมากเพียงไร หากเป็นชายผู้นี้เขาก็ยอมทั้งนั้น
 
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมา หัวใจของเขาก็ร้องเรียกแต่คนตรงหน้านี้เท่านั้น ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร จะต้องเจ็บมากกว่าที่เคยกี่ร้อยพันเท่าเขาก็ไม่สนอีกแล้ว
 
 
เพราะซอนอินรู้แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่าความรัก สำหรับเขาก็คือ ชองจีรยง...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 13] 1/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-09-2016 10:06:48
ตัวเอกพาเข้าดราม่าอยู่เรื่อย
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 13] 1/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-09-2016 11:40:09
 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 14] 02/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 02-09-2016 14:54:59
 
บทที่ 14

 
หงิง~ หงิง~
 
 
“ไม่เอาน่าอิงอิง เจ้าอย่าดิ้นนักจะได้ไหม!” เสียงหวานฟังอ่อนแรง พยายามขึ้นเสียงขู่ให้สุนัขจิ้งจอกหิมะตัวเล็กในวงแขนหยุดดิ้นอย่างสุดความสามารถ
 
แต่ไม่ว่าจะดุ หรือจะตีหน้าโหดเท่าที่จะทำได้มากแค่ไหน เจ้าตัวกลมขนฟูก็ยังไม่ยอมนิ่งเสียที อุ้งเท้าเล็กตวัดใส่ดวงหน้าขาวไม่ให้เจ้าของได้ตั้งตัว ก่อนจะกระโดดปุลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
 
“อิงอิง! เจ้าจะไปไหน โอ้ย!....อิงอิง!”
 
ศีรษะพลันปวดแปลบขึ้นมา แรงที่มีน้อยยิ่งลดหายเป็นเท่าตัว ฮีอูกัดริมฝีปากแน่นฝืนร่างกายให้ก้าวเดินต่อ มือเล็กกดศีรษะขณะที่พยายามออกเดินให้ทันสัตว์เลี้ยง พิษในร่างกายที่เพิ่งสลายไปได้ไม่นานยังคงส่งผลให้ร่างกายไม่เป็นไปตามที่ต้องการ จะก้าวเดินแต่ละทีก็ติดขัดไปหมด
 
ด้วยหนทางที่เป็นป่าสนโปร่ง ทำให้ร่างเล็กมองเห็นในระยะไกลสายตาว่าสุนัขจิ้งจอกของตนกำลังวิ่งข้ามสะพานไม้ตรงปลายสุดของแนวป่า เมื่อพาร่างกายแสนเหนื่อยล้ามาถึงที่ฟากหนึ่งของแม่น้ำแล้ว ฮีอูก็เห็นร่องรอยของการต่อสู้ในบริเวณว่างโล่งของพื้นที่นั้น มีซากไม้ที่ถูกเผ่าไหม้ และกลิ่นคาวเลือดยังลอยอบอวล บนพื้นหญ้ามีร่องรอยไหม้สีดำเกรียมเป็นวงกลมขนาดกว้างอย่างแปลกประหลาด ร่างเล็กมองไปรอบๆ บริเวณอย่างฉงน ก่อนจะเห็นกกลุ่มทหารจำนวนหนึ่งอยู่ไกลๆ คิดว่าน่าจะเป็นนายทหารที่ได้รับมอบหมายมาจัดการพื้นที่แห่งนี้
 
ร่างเล็กรีบหลบไปหลังพุ่มไม้ใหญ่ ถึงอย่างไรเรื่องที่เขาหลบหนีมาก็น่าจะรู้ถึงทหารทุกคนแล้ว
 
ฮีอูหลบหนีออกมาจากวังทันทีที่สบโอกาส เขาติดสินบนกับนายทหารเฝ้าประตูนายหนึ่ง จะว่าติดสินบนก็ไม่ใช่นัก นายทหารคนนั้นเป็นญาติกับสาวใช้ที่บ้านของเขาเอง เมื่อเห็นความต้องการของเขา ฝ่ายนั้นก็สุดจะคัดค้านได้ เห็นแก่ความเมตตาของตระกูลเขาที่มีให้มาโดยตลอดจึงจำยอมที่จะปล่อยเขาออกมา
 
ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทจะทรงทำเช่นไร จะทรงกริ้วมากแค่ไหนหากรู้ว่าเขาหนีจากพระองค์มา พระองค์ต้องส่งทหารมาตามจับเขากลับไปแน่ ถึงจะรู้สึกผิดมากเพียงไร แต่ฮีอูก็ตัดสินใจในวินาทีที่ลมหายใจของเขาหวนกลับมาอีกครั้งแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในชีวิต ขอเพียงเขาได้ทำตามหัวใจที่เรียกร้องนี้ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ไม่ว่าจะตกนรกหรือถูกสาปแช่งที่ผิดต่อองค์รัชทายาทชองจีรยง ฮีอูก็พร้อมจะยอมรับคำตัดสินเหล่านั้น
 
...ยาถอนพิษมาพร้อมลมหายใจที่กลับคืนมา ยองจูเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ
 
 
หงิง~
 
 
เสียงร้องของอิงอิงดังแว่วลึกเข้าไปด้านหลังของพุ่มไม้ที่ฮีอูหลบอยู่ ร่างเล็กละสายตาจากภาพเบื้องหน้าแล้วก้มตัวต่ำเดินไปตามเสียงร้องของอิงอิง
 
แมกไม้หนาทึบทำให้ต้องเสียเวลาในการปัดกิ่งก้านที่รกตามทางเดิน กว่าจะถึงตัวเจ้าสัตว์เลี้ยง ผิวขาวของคนตัวเล็กก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทางยาวมีเลือดซึมเล็กน้อย ปัดใบไม้ตามตัว เงยหน้าขึ้น ภาพร่างสูงของใครคนหนึ่งที่นอนจมกองเลือดก็ปรากฏแก่สายตา
 
“ยองจู!” ฮีอูถลาลงไปนั่งข้างกายเจ้าของชื่อ
 
ความน่ากลัวของบาดแผลที่ถูกแทงด้วยกระบี่ส่งผลให้ดวงตาเรียวเล็กเอ่อคลอด้วยหยดน้ำใส ฮีอูไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวของยองจู ไม่เพียงแต่แผลที่เกิดจากของมีคม ร่องรอยดำไหม้ตามข้อมือและท่อนแขนซ้ายนั้นดูก็รู้ว่าเป็นวรยุทธเก่งกล้าที่เกิดจากการทำลายธาตุในกายให้แปรปรวน
 
ฮีอูเลื่อนสายตาขึ้นมองดวงหน้าคมเข้มที่บัดนี้มองเห็นแต่เพียงเลือดสีแดงสดเปรอะอยู่ทั่ว ดูเหมือนว่าบริเวณเปลือกตาทั้งสองข้างของยองจูจะถูกปลายกระบี่ตวัดผ่าน ฮีอูจับอิงอิงที่เลียข้างแก้มของยองจูให้ออกห่าง เขาแตะข้อมือหนาเพื่อจับชีพจร ยังเต้นอยู่ ...แต่ก็อ่อนแรงนัก
 
...ใครกันที่ทำร้ายท่านถึงเพียงนี้
 
ในเวลานี้ ยองจูแทบจะเรียกไม่ได้ว่ายังมีชีวิต ฮีอูคิดว่าหากไม่ใช่เพราะยองจูฝึกวรยุทธมาจนแกร่งกล้าแล้วละก็ อาจจะสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว ไม่รู้ว่ายองจูอยู่ในสภาพนี้นานแค่ไหนแล้ว เมื่อมองจากรอยเลือดตามพื้นหญ้า พอจะทำให้เดาได้ว่ายองจูพยายามที่จะพาตัวเองไปให้ถึงบริเวณลานโล่งที่เขาเห็นเมื่อครู่ แต่เพราะคงจะหมดสติลงเสียก่อน ถึงได้มานอนสลบอยู่ตรงนี้
 
ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตา หรือเพราะอิงอิงมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมหายองจู ถึงทำให้เขาได้มาเจอร่างสูงที่นี่ ...จะเพราะอะไรก็ตามแต่ จากวันนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่ห่างจากยองจูอีกเป็นครั้งที่สอง
 
 
 
หลังจากจ่ายเงินให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นค่าลากเกวียนมาจนถึงเนินเขาของหมู่บ้านชาวสวน ฮีอูก็ขอร้องให้เด็กคนนั้นช่วยอุ้มร่างหมดสติของยองจูเข้าไปในกระท่อมไม้ที่ตนเพิ่งขอซื้อมาจากหญิงร่างท้วมเจ้าของไร่เมื่อครู่
 
“โห เลือดท่วมขนาดนี้ เขายังไม่ตายอีกหรือ?” เด็กหนุ่มชาวไร่เอ่ยอย่างตกตะลึงเมื่อวางร่างคนเจ็บลงบนเตียง
 
“ยังหรอก นี่ เจ้าช่วยอะไรเราอีกสักอย่างได้ไหม?”
 
“ได้สิ คุณชายมีอะไรให้ข้าช่วยอีกก็บอกมาเถอะ ท่านให้ค่าจ้างข้าเสียเยอะแยะจนไม่ต้องไปทำสวนให้แม่ได้ตั้งสองอาทิตย์เชียวนะ” คนพูดฉีกยิ้มกว้าง ความใสซื่อที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างไม่มีพิษมีภัยทำให้ร่างเล็กรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
 
“เราอยากได้สมุนไพรประมาณสิบอย่าง เจ้าช่วยหาให้เราได้ไหม?”
 
“สมุนไพรเหรอ? ความจริงบ้านข้าปลูกพวกสมุนไพรขายด้วย ยังไงถ้าชนิดไหนไม่มี ข้าจะไปซื้อที่ตัวเมืองมาแทนแล้วกัน”
 
“จริงเหรอ! บ้านเจ้าปลูกสมุนไพรเหรอ? ถ้าเช่นนั้น ให้เราไปเลือกดูได้ไหม? เราจะจ่ายให้สมราคาแน่นอน”
 
เด็กหนุ่มหัวเราะร่วนพลางว่า “ฮ่าๆ แม่ข้าต้องเพิ่มวันหยุดให้ข้ายาวเลย ได้ลูกค้าเงินหนักขนาดนี้” แล้วก็กวักมือเรียกให้ร่างเล็กเดินตามลงเนินเขาไปอย่างอารมณ์ดี “...ไม่ไกลมากหรอก บ้านของข้าอยู่ที่หมู่บ้านตรงเชิงเขา หากคุณชายมีอะไรอยากให้ช่วยก็มาหาได้เลย อ่ะ นั่นไง บ้านข้าเอง...”
 
ร่างเล็กรีบเดินตามเด็กหนุ่มจนเรียกว่าจะเป็นการวิ่งตามเสียมากกว่า พอมองไปยังทางที่เด็กหนุ่มชี้ไป ก็เห็นหญิงวัยกลางคนกำลังตากผ้าอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
 
ระหว่างที่วิ่งไล่ตาม เด็กหนุ่มที่เดินนำมาตลอดทางก็หันขวับกลับมาอย่างกะทันหัน
 
“...อ๊ะ ข้าลืมบอก เอามืออุดหูไว้นะ”
 
“...ห่ะ...อะไรนะ?...” กำลังหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ยังไม่ทันเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เสียงแหลมสูงแบบที่เสียงของระฆังหลักเมืองยังต้องยอมแพ้ก็แผดลั่นขึ้น
 
“คิ-ม-มู-ฮ-ย-อ-น !!!!!!!!” หลังเน้นคำเรียกชื่อ ก็ต่อด้วยประโยคยาวเหยียดที่จับใจความแทบไม่ทัน “แกหายไปไหนมาตั้งแต่เช้าห๊ะ! บอกให้ไปเก็บกะหล่ำปลีกับหัวหอมยังไม่ได้เลยสักอย่าง! แล้วจะเอาอะไรไปขายที่ตลาดห๊ะ ไอ้ลูกคนนี้นี่พึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ! ดูสิ พระอาทิตย์จะตกดินอยู่รอมร่อเพิ่งจะโผล่หัวกลับบ้าน มันน่านั~ก!!!”
 
ฮีอูเห็นอะไรไหวๆ พุ่งเข้ามา ดูคล้ายท่อนไม้ที่ใช้ตากผ้าก็รีบก้มหลบอย่างตกใจ
 
“แม่ฟังก่อนสิ!” มูฮยอน เด็กหนุ่มที่ฮีอูเพิ่งจะรู้จักชื่อรีบปราดเข้าไปหาผู้เป็นแม่ “เห็นไหมว่าผมมีแขกน่ะ คุณชายคนนี้เค้าจะมาซื้อสมุนไพรของเรานะ!”
 
กว่าจะพูดคุยถามหาสมุนไพรที่ต้องการ ก็เสียเวลาไปมากโขอยู่ เมื่อได้ตัวยาเพียงพอแล้วฮีอูก็กล่าวขอบคุณพร้อมจ่ายเงินก้อนสุดท้ายที่มี ก่อนจะรีบขึ้นเขากลับไปยังกระท่อมไม้โดยเร็ว
 
กระท่อมไม้ที่เขาใช้ปิ่นปักผมและกำไลซึ่งทำจากทองคำแท้แลกเป็นเงินมาซื้อนั้นมีข้าวของพร้อมทุกอย่างที่เขาต้องการ ในครัวมีอุปกรณ์การทำอาหารพร้อมสรรพ ใช้เวลาต้มยา สลับกับเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ร่างสูงพร้อมกับทำแผลอยู่ราว 1 ชั่วยามถึงจะเสร็จ
 
ฮีอูประคองศีรษะของยองจูขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้อนยาสมุนไพร ยาในถ้วยครึ่งหนึ่งล้นออกมาจากริมฝีปากหยักหนา ทำให้ฮีอูต้องกลับไปเทมาเพิ่มแล้วป้อนอีกครั้ง
 
หนึ่งอาทิตย์เต็มที่ฮีอูไม่ได้ทำอะไรนอกจากดูแลคนเจ็บอยู่ข้างกายไม่ห่าง มูฮยอนคอยหอบเอาอาหารสดมาให้ทุกสองวัน แม้ว่าฮีอูจะบอกกับเด็กหนุ่มแล้วว่าตนไม่เหลือเงินจะจ่ายให้ แต่มูฮยอนก็บอกเพียงว่าปลาพวกนี้เป็นปลาที่เหลือจากเอาไปขายที่ตลาด ไม่มากเกินไปที่จะแบ่งให้คนรู้จัก
 
“คนผู้นั้นยังไม่ฟื้นอีกเหรอ?” วันนี้เป็นอีกวันที่มูฮยอนเอาหัวกะหล่ำปลีมาฝาก
 
“อืม เราพยายามดูแลอย่างดีที่สุดแล้ว คิดว่าอีกไม่นาน...” จู่ๆ เสียงดังโครมใหญ่ก็ดังขึ้นภายในกระท่อมไม้ ฮีอูและมูฮยอนรีบเข้าไปด้านในก็เห็นว่าร่างสูงล้มอยู่ที่ข้างเตียง ฮีอูรีบปราดเข้าไปช่วยพยุง โดยมีมูฮยอนประคองแขนร่างสูงไว้อีกข้าง
 
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง อย่าเพิ่งขยับร่างกายตอนนี้นะ” จับคนเจ็บขึ้นนั่งบนเตียงได้สำเร็จ มือเล็กก็ยกปลายผ้าห่มขึ้นคลุมร่างสูงไว้จนถึงอก
 
“ข้า...โอ้ย!!” เสียงทุ้มเอ่ยได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องร้องด้วยความเจ็บ มือหนาที่พันรอบด้วยผ้าสีขาวยกขึ้นสัมผัสใบหน้าของตนเอง ปลายนิ้วเรียวแตะบริเวณดวงตาที่ถูกผ้าพันไว้โดยรอบ “ตา...ตาของข้า...”
 
“ท่านได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา ต้องรักษาอีกสักพักถึงจะหาย” ฮีอูเอ่ยตอบอย่างกังวลเมื่อเห็นท่าทางของยองจูเหมือนกับจะลุกจากเตียงเสียให้ได้ “...รวมถึงร่างกายของท่านด้วย บาดแผลของท่านหากไม่รักษาให้ดีจะทำให้เป็นแผลเรื้อรังได้นะ”
 
“ข้าเสียเวลาไม่ได้...ข้าต้องไป...” ร่างสูงสะบัดผ้าออกจากตัวทั้งที่มองอะไรไม่เห็น แต่ก็ถูกมือเล็กคว้าต้นแขนไว้ให้นอนลงที่เดิม เพียงแค่โดนจับที่แขน ความเจ็บปวดอย่างร้ายกาจก็แล่นปราดไปทั่วกาย จนเสียงทุ้มเผลอร้องออกมา
 
“เห็นหรือเปล่าว่าแม้แต่จะขยับตัว ท่านก็เจ็บร้าวไปหมดเช่นนี้ ท่านยังจะคิดไปที่ใดอีก ...เชื่อเราเถอะ พักรักษาตัวก่อน เพราะต่อให้ท่านอยากจะออกไปจริงๆ ละก็ เราบอกได้เลยว่ายังไม่ทันจะได้ไปถึงไหนท่านก็สลบเหมือดก่อนอย่างแน่นอน” ฮีอูเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วน หงุดหงิดที่เห็นว่ายองจูบาดเจ็บถึงเพียงนี้ยังจะคิดออกไปหาใครอื่นอีก
 
“เชื่อคุณชายเถอะครับ ข้าว่าเจ้าเองก็น่าจะเจ็บจนทนไม่ไหวนะ นอนพักเถอะ” มูฮยอนเอ่ยเสริมทับ
 
“คุณชาย?” ร่างสูงดูสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว เขาทวนคำของเด็กหนุ่มเมื่อครู่
 
“ก็คุณชายผู้นี้อย่างไรเล่า อาทิตย์หนึ่งเต็มๆ เลยที่ท่านไม่ได้สติ คุณชายผู้นี้คอยดูแลมาโดยตลอดเลย”
 
หนึ่งอาทิตย์? ...ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วหรือ? ยองจูทวนคำของเด็กหนุ่มด้วยความกังวล เหตุการณ์ก่อนหน้าหวนเข้ามาในความทรงจำอย่างรวดเร็ว หลังถูกพวกนักบวชเล่นงานใส่เขาพร้อมกันถึงแปดคน กว่าที่เขาจะหยุดพวกนั้นได้ร่างกายของเขาก็แทบจะฉีกออกจากกันเสียทุกส่วน เปลวไฟและหมอกควันที่เห็นเบื้องหลังทำให้เขาฝืนสังขารออกเดินกลับไป เสียงสู้ฟันกันของกลุ่มคนทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว ในหัวมีแต่คำสั่งที่ต้องกลับไปช่วยวังชอนซา ทว่า ร่างกายไม่อาจทานทนได้อย่างที่ใจต้องการ เขาหมดสติก่อนจะได้เห็นว่าวังชอนซาปลอดภัยหรือไม่
 
ผ่านอาทิตย์หนึ่งมาแล้ว ซอนอินจะเป็นอย่างไรบ้าง จะปลอดภัยหรือเปล่า หรือถูกพวกนักบวชสังหารไปแล้วกันแน่ หากดวงตายังใช้การได้ เพียงแค่ได้มองผืนฟ้าเขาก็จะรู้ถึงตัวตนของคิมซอนอิน เพราะซอนอินไม่ใช่เพียงโอรสของกษัตริย์ ไม่ใช่เพียงตัวแทนของเทพเจ้าทงซก แต่คิมซอนอินคือส่วนหนึ่งของท้องฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของเทพเจ้าเบื้องบน เป็นเทพวิหคเพลิงแห่งทิศตะวันออกอย่างแท้จริง
 
ดวงตาใช้การไม่ได้ อย่าว่าแต่ร่างกาย พลังธาตุของเขาตอนนี้ก็ใช่ว่าจะมีมากถึงกับช่วยชีวิตผู้ใดได้ ...เช่นนั้น เขาควรเชื่อใจในสิ่งที่สวรรค์เป็นผู้ลิขิต
 
“ข้าขอบคุณมากในความช่วยเหลือ ...ไม่ทราบว่า คุณชายชื่ออะไรหรือ?”
 
เห็นได้ชัดว่ายองจูจำน้ำเสียงของฮีอูไม่ได้แม้แต่น้อย ร่างเล็กเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน
 
“อ๊ะ จริงด้วย! ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคุณชายมีนามว่าอะไร?” มูฮยอนตื่นเต้นขึ้นมาทันที
 
 
“เราชื่อฮีมิน”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ปากกาขนนกถูกวางลงบนแท่นหมึก
 
“รอยเลือดใกล้กับลานโล่ง?” เสียงทุ้มทวนคำจากนายทหารปลายแถวที่คุกเข่าก้มศีรษะอยู่เบื้องหน้าโต๊ะอักษรภายในห้องทรงงานขององค์รัชทายาท
 
“พะ...พะย่ะค่ะ” ความประหม่าของนายทหารนั้นเห็นได้ง่ายนัก น้อยครั้งในชีวิตที่ทหารปลายแถวอย่างชายผู้นี้จะได้มาอยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทชองจีรยง
 
“...กระหม่อมเห็นว่ามันแปลกประหลาด เพราะตรงที่ต่อสู้กันอยู่ห่างจากจุดที่พบรอยเลือด เมื่อตามรอยเลือดไปเรื่อยๆ ก็พบกับร่องรอยของการต่อสู่ที่ห่างออกไปจากจุดแรกพอสมควรพะย่ะค่ะ”
 
ดวงตาคมดุจลูกแก้วลึกล้ำของเจ้าแห่งมังกรจ้องมองนายทหารแน่นิ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาสบกับองครักษ์ส่วนพระองค์
 
“เจ้าว่าเช่นไรโทซอง”
 
เด็กหนุ่มร่างสูงโค้งกายก่อนตอบรับสั่ง “กระหม่อมได้ไปดูที่เกิดเหตุตามรอยเลือดนั้นแล้ว เป็นการต่อสู้ของราชครูปาร์คยองจูไม่ผิดแน่ มีการใช้วรยุทธที่รุนแรงมาก กระหม่อมคิดว่าการต่อสู้ของนักบวชชินซองแบ่งเป็นสองกลุ่มพะย่ะค่ะ”
 
เรียวคิ้วเข้มกดลึกอย่างใช้ความคิด รอยเลือดที่พบหยุดอยู่กับที่ก่อนจะไปถึงที่ที่เขาพบวังชอนซา เช่นนั้นเวลานี้ ราชครูปาร์คยองจูก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ ดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ราชครูนั่นคงรู้มาล่วงหน้าว่าจะถูกโจมตีจึงวางแผนแบ่งเป็นสองกลุ่ม แต่คาดการณ์ผิดทำให้ต้องวกกลับมาที่ลานกว้างนั้นอีกครั้งเพื่อช่วยวังชอนซา แต่ก็ช้าไป...
 
มีเรื่องเกี่ยวเนื่องของชนเผ่าและแคว้นตัวเองให้ต้องต่อต้านเช่นนี้ การหายตัวไปของฮีอูไม่น่าที่ราชครูนั่นจะลงมือ ...แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้
 
“ทางบ้านตระกูลคิมเป็นอย่างไรบ้าง”
 
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยพะย่ะค่ะ ท่านหญิงคิมเองก็ได้แต่เศร้าเสียใจ ยังดีที่มีบุตรสาวคนโตคอยปลอบใจอยู่ไม่ห่าง”
 
“อืม... นายพลคัง ส่งคนไปบอกท่านหญิงคิมและราชเลขาคิมฮยอนจา ว่าข้าจะพยายามหาตัวของฮีอูให้พบโดยเร็วที่สุด”
 
“น้อมรับพะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนเจ้าของชื่อก้มศีรษะต่ำรับคำสั่ง
 
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ...โทซอง เจ้าอยู่ก่อน”
 
เมื่อภายในห้องทรงงานเหลือเพียงสองคน ร่างสูงสง่าก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “โทซอง เจ้าคอยส่งคนของเราไปสอดแนมที่เชินอันเป็นระยะ การใช้ตัวประกันไม่เป็นผลอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าทางเชินอันจะไม่ไยดีต่อหงส์ตัวนี้แม้สักนิด สำหรับวังชอนซาข้าไม่คิดคืนพวกมันแน่ เช่นเดียวกับเชินอันที่ต้องตกเป็นของข้า ...สงครามระหว่างเชินอันและฮานึลจะไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
 
สุรเสียงทุ้มห้าวที่ตรัสนั้นบอกให้เด็กหนุ่มได้รู้ว่านายเหนือหัวของตนไม่มีแม้แต่ความลังเลที่จะดำเนินแผนการนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าอาจจะต้องสังหารพระบิดาขององค์วังชอนซาก็ตาม โทซองไม่ใคร่เข้าใจนายของตนมากนัก ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงพาองค์วังชอนซากลับมาก็แสดงออกแต่ความห่วงใยแก่ฝ่ายนั้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การทำสงครามครั้งนี้ ไม่เท่ากับทำร้ายจิตใจขององค์วังชอนซาไปด้วยหรือ?
 
“ออกไปได้แล้ว ...เดี๋ยว ผลไม้ที่ข้าสั่งให้เจ้าไปจัดการ หามาได้หรือยัง?”
 
“ผลอิงผิง หากไม่ใช่ที่เชินอันเกรงว่าจะหาที่ดีไม่ได้ ...กระหม่อมจึงฝากให้คนสอดแนมนำกลับมา คิดว่าเย็นนี้น่าจะได้แล้วพะย่ะค่ะ”
 
“ดี ถ้าเรียบร้อยแล้วก็นำมาให้ข้าที่ตำหนักโยกัน”
 
“พะย่ะค่ะ”
 
นั่นอย่างไรเล่า! ขณะที่เดินออกจากห้องทรงอักษร โทซองก็ได้แต่พึมพำอยู่กับตัวเองในใจ ตั้งแต่ที่องค์วังชอนซาฟื้นก็แทบไม่ยอมทานอะไร ตอนที่นางกำนัลยอนอาทูลว่าเคยได้ยินองค์วังชอนซาบอกว่าชอบทานผลไม้อิงผิงมาก เช้าตรู่พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้เขาไปหาผลไม้ชนิดนั้น เฮ้อ องค์รัชทายาททรงเป็นห่วงองค์วังชอนซาถึงเพียงนี้ ยังทรงคิดทำศึกต่อไปอีกได้อย่างไรกัน
 
...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
 
 
 
 
 
วันนี้ภายในตำหนักโยกันก็ยังคงมีแต่เสียงสาวใช้สองคนกำลังเอ่ยอ้อนวอนร่างบางอยู่เช่นเคย
 
“ทานอีกสักหน่อยเถิดเพคะองค์วังชอนซา”
 
ช้อนสีทองถูกยกขึ้นใกล้ริมฝีปากบาง “ทานอีกคำเดียวก็ได้เพคะ” นางกำนัลยอนอาพยายามรบเร้าอีกครั้งอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ได้เพียงการส่ายหน้าตอบกลับมา พร้อมมือเรียวที่จับมือของสาวใช้ให้วางช้อนลง
 
“แต่ว่าเพิ่งทรงหายไข้ บาดแผลตามร่างกายก็พึ่งจะฟื้นตัว ทานอีกสักหน่อยเถิดเพคะ”
 
“ข้าอิ่มแล้ว”
 
ซอนอินไม่รอให้นางกำนัลได้พูดอะไรอีกก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร เขาเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนเช่นเคย หากไม่ถูกเรียกให้ออกมาทานอาหาร ซอนอินก็จะเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่างในห้องนอนกับเจ้านกตัวน้อย เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ที่ฟื้นขึ้นมา ไม่เพียงแต่เก็บตัว นิสัยน่ารักบางอย่างที่นางกำนัลสองสาวเคยรู้จักก็ลดหายไปจนหมด ไม่ช่างคุยเหมือนแต่ก่อน รอยยิ้มที่สวยราวบุบผาแรกแย้มก็ไม่มีให้เห็นอีกเลย
 
นับวันร่างกายของหงส์แสนงามผ่ายผอมลงทุกวันจนยอนอาและโซยอนอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็สุดจะฝืนนายของพวกเธอให้ยอมทานอาหาร พวกนางก็ได้แต่ดูแลอยู่ห่างๆ เช่นนี้ ไม่กล้าเข้าไปรบกวนเวลาส่วนตัวของผู้เป็นนายมากจนเกินไป
 
ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ซอนอินลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงทั้งที่ก่อนหน้านี้เขานั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง เมื่อมองผ่านผ้าม่านออกไปก็เห็นว่าท้องฟ้ามืดครึ้มแล้ว
 
ยังง่วงอยู่เลย... เสียงในใจเอ่ยบอกให้หลับตาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้พาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา เสียงทุ้มก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
 
“จะไม่ทานอาหารเย็นหรือ?”
 
ซอนอินหันไปตามเสียงของคนที่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
 
“...ไม่อยากทาน”
 
ดวงหน้าสวยหันหลบสายตาของคนที่เดินเข้ามาใกล้ มือเล็กยกปลายผ้าห่มขึ้นสูงจนชิดปลายคาง
 
เห็นท่าทางปฏิเสธเต็มที่ของร่างบางแล้วก็ให้นึกขัดใจขึ้นมา รัชทายาทหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียง จับปลายผ้าที่มือเล็กพยายามยึดไว้ให้พ้นตัว
 
“อยากหรือไม่อยาก เจ้าก็ต้องทาน”
 
“ข้าไม่หิว”
 
“เจ้าไม่หิว แต่ร่างกายเจ้าน่ะจะแย่เอา” ว่าพลางถลกผ้าห่มจนพ้นตัวได้ในที่สุด เรือนร่างบอบบางภายใต้อาภรณ์สีขาวดูเปราะบางจนน่ากลัวว่าหากจับแรงเกินไปอาจจะหักเป็นสองท่อน
 
มือหนาจับคนตัวเล็กกว่าให้ลุกขึ้นนั่ง ซอนอินเองก็ไม่มีแก่ใจจะต่อต้านอีกฝ่าย ทำให้เพียงแรงฉุดเดียว ร่างทั้งร่างของซอนอินก็ลอยมานั่งลงบนตักของคนตัวสูงอย่างง่ายดาย
 
จีรยงโอบเอวเล็กไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เขาใช้อีกมือสอดผ่านทบอาภรณ์เข้าลูบผิวเนื้อนุ่มลื่นบริเวณอกแบบบาง
 
ซอนอินตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย มือทั้งสองยึดชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น ดวงหน้าขาวระเรื่อสีจาง
 
“เห็นไหม ตัวเจ้ามีแต่กระดูก จับตรงไหนก็แห้งไปหมด หากคิดว่าจะยกร่างกายเจ้าให้ข้าแล้ว ก็ช่วยทำให้เป็นที่น่าพอใจด้วย ไม่เช่นนั้น เจ้าก็เป็นแค่สิ่งไร้ค่าที่ข้าไม่ต้องการ”
 
มือเล็กที่กำชายแขนเสื้อเนื้อดีออกแรงแน่นขึ้น ริมฝีปากบางสีสดเม้มแน่นอย่างที่เจ้าตัวพยายามอดทนต่อความรู้สึกบางอย่างไว้
 
พระพักตร์คมก้มลงมองร่างบางในอ้อมแขน เขาเกี่ยวเส้นผมนุ่มลื่นที่ยุ่งสยายขึ้นทัดใบหูเล็กจนเห็นเนินแก้มสีขาวสว่างถนัดตา ปลายจมูกโด่งแตะสัมผัสผิวหอมนุ่มบริเวณนั้นแผ่วเบา
 
“สองสามวันมานี้เจ้าเอาแต่เงียบ ข้าจะบอกให้รู้ว่าข้าเกลียดการเล่นตุ๊กตามากที่สุด”
 
ริมฝีปากหยักกดลงที่หลังใบหูเล็ก ก่อนส่งปลายลิ้นเข้าชิมความหวาน พลางกระซิบเบา “...อย่าทำให้ข้าเบื่อ คิมซอนอิน”
 
น้ำเสียงทุ้มที่ได้ฟังทำให้ซอนอินหลุดสะอื้น เสียงหวานเอ่ยสั่นพร่า “...ทานไม่ลง มันจะอ้วก ...ข้าทานไม่ได้ ฮึก... ข้าไม่รู้สึกว่าหิว แล้วข้าก็กลืนของพวกนั้นลงไม่ได้ ข้า...ฮึก ข้าฝืนตัวเองไม่ได้”
 
ก็เท่านี้ที่จีรยงต้องการ ซอนอินไม่ได้ร้องไห้ออกมาเลยสักครั้งตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา หากเป็นไปตามปกติแล้ว จีรยงเชื่อว่าซอนอินเป็นคนอ่อนไหวได้ง่าย เจอเรื่องกระทบกระเทือนใจมามีหรือจะไม่ร้อง เจ้าตัวเอาแต่ฝืนอยู่เช่นนี้ถึงได้ทำให้ร่างกายต่อต้าน
 
...คิดจะมาเข้มแข็งเอาตอนนี้ เจ้าทำไม่ได้หรอกซอนอิน
 
จีรยงจับให้คนตัวเล็กนั่งหันหน้าเข้าหากัน แล้วกดศีรษะกลมที่ปกคลุมด้วยเส้นผมบางนุ่มสลวยลงกับอก มือหนากอดกระชับร่างเล็กที่สั่นไม่หยุดไว้แนบกาย
 
“...ฮึก ฮือ...” ซอนอินยิ่งสะอื้นหนักเมื่อถูกความอบอุ่นอ่อนโยนจากคนตรงหน้าส่งผ่านมาให้ “...ฮือ ข้าไร้ประโยชน์ ข้าไร้ความหมาย ฮึก ไม่มีใครต้องการข้าแม้แต่ท่านแม่ ฮือๆ...” ความรู้สึกที่เก็บกดเอาไว้ถาโถมเข้ามาในคราวเดียว ไม่อยากจะยอมรับถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า แต่ก็หนีความจริงไม่พ้น
 
ความจริงที่ว่าวังชอนซาเป็นแค่ความว่างเปล่า คิมซอนอินเป็นแค่อากาศที่ถูกลบเลือน...
 
...ไม่มีเขา ก็ไม่มีผู้ใดเดือดร้อน
 
น่าสมเพช...
 
จีรยงทนปลอบคนร้องไห้ได้ไม่นานก็ผละมือออก เขาไม่ชินกับการดูแลใครอย่างนี้ แม้แต่กับฮีอูเองก็ตาม ฝ่ายนั้นไม่เคยร้องไห้หรือแสดงความอ่อนแอเช่นนี้ต่อหน้าเขา เป็นเรื่องยากนักที่คนอย่างเขาจะทนเห็นได้นานนัก
 
“ฟังข้าให้ดีคิมซอนอิน” จีรยงจับไหล่เล็กไว้แน่นทั้งสองข้าง “เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองตาข้า”
 
คนตัวเล็กไม่ยอมเงยหน้าแต่โดยดี เอาแต่ก้มหน้าสะอึกสะอื้นไม่สนใจคนตัวสูงแม้แต่น้อย จนกระทั่งมือใหญ่ต้องเป็นฝ่ายเชยคางเล็กให้สบสายตากัน
 
“หยุดคิดถึงคนเหล่านั้น ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่ที่เชินอันอีกแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องคิด คือข้าคนนี้ จะความสุขหรือความทุกข์ ต้องเกิดจากข้าแต่เพียงผู้เดียว ...ไม่มีใครตัดสินเจ้าได้ว่าควรอยู่หรือตาย นอกจากข้า ...เข้าใจหรือเปล่าคิมซอนอิน ลืมคนพวกนั้นไปซะ ลืมเชินอัน และลืมเผ่าชินซองของเจ้าไปเสีย”
 
“...แต่สักวัน เจ้าก็ต้องทิ้งข้า” เสียงหวานเอ่ยพลางจ้องสายตาลึกเข้าไปในแววตาอีกฝ่าย
 
“ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้าเป็น หากเจ้าไม่ทำให้ข้าเบื่อ ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทิ้งเจ้า”
 
ไร้หนทางให้เลือกเดิน ซอนอินมองเห็นแต่เพียงเส้นทางเส้นเดียวตรงหน้า ที่สุดของปลายทางนั้นซอนอินไม่อาจมองเห็นว่าคืออะไร หากก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ จะต้องพบเจอสิ่งใดไม่อาจล่วงรู้ได้เลย แต่จะให้ยืนอยู่กับที่เช่นนี้น่ะหรือ? หากไม่ก้าวเดิน ก็เหลือเพียงเขาตามลำพัง ...ไม่เอาแล้ว พอแล้วกับการถูกลืม เขาไม่ต้องการอยู่คนเดียวอีกแล้ว
 
ในเมื่อหัวใจของเขายกให้ชองจีรยงไปแล้ว จะถอยหลังกลับไม่ได้เด็ดขาด
 
จุดมุ่งหมายของเขาเริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่วินาทีที่ฟื้นขึ้นมา การไขว่คว้าหัวใจของคนตรงหน้านี้อย่างไรเล่าที่เขาสมควรจะทำ แม้โอกาสจะน้อยเท่าผงธุลี แต่การได้คาดหวังบางสิ่งบางอย่างก็เป็นดั่งน้ำที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของชีวิต
 
“...ข้าเข้าใจแล้ว” หลังมือบางปาดหยาดน้ำตามากมายให้พ้นดวงหน้า มือเล็กเกาะเกี่ยวบ่ากว้างตรงหน้าแล้วซบข้างแก้มลงแนบสนิท “รู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว”
 
ริมฝีปากหยักหนายกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตัวเล็กว่าง่าย “งั้นมาทานอาหารเย็นกัน ข้าเอาของที่เจ้าชอบทานมาด้วย” ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียง ฉุดคนสวยให้ลุกตาม แล้วกุมมือเล็กเดินนำออกไปจากตัวห้อง
 
“ของที่ข้าชอบทาน?”
 
“ผลอิงผิงอย่างไรเล่า”
 
“เอ๋! จริงเหรอ!! เจ้าหามาให้ข้าเหรอ?”
 
“ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร?”
 
“เช่นนั้นก็ต้องขอบพระทัยฝ่าบาท”
 
“เก็บคำพูดของเจ้าไว้ตอบแทนข้าบนเตียงเถอะ”
 
 
ระหว่างที่เดินตามแผ่นหลังสูงเบื้องหน้า ซอนอินเอาแต่มองมือของตนที่ยังถูกกุมไว้แน่น ความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดมาที่ฝ่ามือนั้นเป็นราวกับสิ่งหลอกล่อสำหรับเขา
 
กับดักที่เลือกกระโดดลงไปนี้ จะมีสักหนทางไหมที่เขาจะเอาชนะได้ ความหวังเพียงน้อยนิดที่จะครอบครองหัวใจของมังกรหนุ่มผู้นี้จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
 
 
ความรักของชองจีรยง เขาจะสามารถคว้ามาได้หรือเปล่านะ?
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 

 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 14] 02/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-09-2016 22:42:47
สำหรับจีรยงคือหลุมรักที่มีแต่หนามแหลมคมรอชอนซาอยู่ :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 15] 04/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 04-09-2016 19:39:22
 
บทที่ 15
   

สัมผัสเล้าโลมตามร่างกายทำให้มวลอากาศรอบตัวเต็มไปด้วยไอความร้อน หยดเหงื่อไหลซึมตามไรผม โพรงจมูกทำงานไม่ได้อย่างใจยามที่ปอดร้องหาอากาศจนต้องรับเข้าทางริมฝีปากแทน กระนั้นแล้ว ซอนอินก็ยังรู้สึกเหมือนว่าจะขาดใจเสียให้ได้ เพราะเพียงแค่ริมฝีปากหยักหนาผละออกเข้าหาส่วนอื่นของร่างกายได้ไม่นาน ก็วกกลับเข้ามาบดเบียดกลีบปากบางสลับกันอยู่อย่างนั้น
 
เสื้อผ้าสีขาวถูกปลดเปลื้องออกจนหมด สิ่งที่สะท้อนแก่เนตรคมกร้าวคือเรือนร่างบอบบางขาวผ่อง สัดส่วนโค้งเว้าของร่างกายที่ได้เห็นนั้นงดงามราวประติมากรรมสรรค์สร้างของจิตรกรเอก ผิวขาวนุ่มลื่นมือนั่นอีกเล่าที่ไม่ว่าจะสัมผัสสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าเพียงพอ ยิ่งรู้จักร่างกายนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากเรียกร้องมากขึ้นเท่านั้น ...ไม่มีวันพอ
 
“อึ...อืม หายใจ...ไม่ออก”
 
เสียงหวานเอ่ยท้วงผ่านรสจูบเร่าร้อนอย่างยากลำบาก มือเรียวเกาะบ่ากว้างสมส่วนไว้แน่น ทั้งมือหยาบใหญ่ที่ประโลมทั่วเนินอก และเนินสะโพก ทั้งรสจูบที่เรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกอย่างที่ถูกเล้าโลมพร้อมกันนั้นล้วนทำให้ร่างเล็กไขว่คว้าหาอากาศได้ยากเหลือเกิน ยามที่ปลายนิ้วแข็งกดเน้นย้ำบนเรือนกายได้ถูกจุดก็แทบอยากจะร้องออกมา แต่ก็ติดที่ยังถูกปิดปากอยู่เช่นนี้
 
ซอนอินรู้สึกเหมือนว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง หัวสมองพร่าเลือน สติหลุดลอย ประสาทสัมผัสที่เหลือดูจะเป็นใจกันอย่างพร้อมเพรียงอยู่ที่ปลายนิ้วของคนร่างสูงที่เอาแต่เคล้าคลึงร่างกายของเขา จับตรงไหนก็ล้วนแต่ทำให้รู้สึกดีไปเสียหมด เหมือนมีกระแสธารแล่นปราดไปตามจุดที่โดนสัมผัสอย่างไรอย่างนั้น
 
“อือ...อืม....” ดวงหน้าหวานเอนซบหมอน ตั้งใจจะหลบปลายลิ้นสากที่ลากไล้ข้างลำคอ แต่กลายเป็นเปิดโอกาสให้คนตัวสูงได้สัมผัสบริเวณนั้นมากยิ่งขึ้น
 
“อ่ะ!....เจ็บ....” ร่างบางครางออกมาด้วยความเจ็บเมื่อถูกกัดเข้าที่ลำคอ
 
ร่องรอยสีกุหลาบที่มีกว่าสามจุดบริเวณลำคอระหงถูกเน้นย้ำซ้ำรอยเดิมจนกลายเป็นสีเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตารัตติกาลจ้องมองรอยแดงที่เด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางผิวขาวสว่างตาอย่างพอใจ
 
เห็นสายตาของคนตัวสูงแล้ว ดวงหน้าสวยก็ระเรื่อสีเข้มด้วยความเขินอาย ซอนอินบิดกายน้อยๆ อยู่ภายใต้การทาบทับของร่างสูงใหญ่ พยายามเบือนหน้าหนี แต่ก็ถูกจับปลายคางให้หันมาสบตาจนได้
 
อย่าว่าแต่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่ดังโครมครามอยู่ตอนนี้เลย แม้แต่กระพริบตาต้องทำอย่างไรซอนอินก็ลืมไปแล้ว เพียงแค่สบตากันโดยที่ร่างกายยังแนบชิด ซอนอินก็ไม่อาจละสายตาหรือปล่อยให้สมองคิดอะไรอื่นได้เลย สิ่งเดียวที่รับรู้อยู่ตอนนี้คือชองจีรยงเพียงเท่านั้น
 
“ยั่วยวนกันอย่างนี้ คิดจะยอมข้าถึงขั้นไหนกันล่ะ?” ขณะที่เสียงทุ้มเอ่ยถาม ข้อนิ้วหนาก็เกลี่ยเส้นผมนุ่มชื้นเหงื่อให้พ้นพวงแก้มใสที่แดงจัดขึ้นกว่าเมื่อครู่จนแทบจะกลายเป็นสีเดียวกับผลลูกท้อ
 
“ยะ...ยั่วอะไรกัน...” ซอนอินเอ่ยตะกุกตะกัก มือเล็กรีบยกขึ้นดันอกหนาที่ทำท่าจะแนบกายลงมา สีหน้าหวาดหวั่นปรากฏบนดวงหน้าสวยอย่างเป็นกังวล
 
จีรยงจุดรอยยิ้มเล็กๆ แล้วก้มลงกระซิบเสียงเบา “คิดจะทรมานข้าไปจนถึงเมื่อไหร่ หืม? แผลของเจ้าหายดีแล้วแท้ๆ อย่าใจร้ายกับข้านักเลยซอนอิน”
 
ใจร้ายอะไรกัน? คนสวยตัดพ้ออยู่ในใจ อดคิดไม่ได้ว่าคนที่ใจร้ายน่าจะเป็นจีรยงเองเสียมากกว่า จริงอยู่ที่แผลของเขาหายดีแล้ว แต่เขาก็ยังหวาดกลัวกับความเจ็บปวดที่คนตรงหน้าเคยยัดเยียดขืนใจเขาด้วยแท่งหยกบดแป้ง รวมถึงก่อนหน้านี้ด้วยที่ใช้กำลังบังคับเขาให้ยอมจำนน ใช่ว่าซอนอินจะรังเกียจสัมผัสจากจีรยง แต่ทุกครั้งที่จีรยงพยายามล่วงล้ำเข้ามา เขาก็อดไม่ได้ที่จะต่อต้าน ร่างกายปฏิเสธไปเองเนื่องจากยังจำความรู้สึกจากความโหดร้ายที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
 
ตั้งแต่ที่ฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว หนึ่งเดือนที่ซอนอินว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังจีรยงแต่โดยดี ซอนอินยอมให้จีรยงปลุกเร้าร่างกายตนเองอย่างเต็มใจ เว้นแต่เพียงการกอดอย่างลึกซึ้งเท่านั้นที่ซอนอินกลัวเกินกว่าจะยอมได้
 
“...เจ้าเบื่อข้าแล้วใช่ไหม” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป ซอนอินรู้ดีว่าการต่อต้านแบบนี้เป็นการขัดความต้องการของจีรยง ทั้งที่เคยบอกว่ายกร่างกายให้อีกฝ่ายแล้วแท้ๆ แต่กลับทำไม่ได้อย่างที่พูด ...ไม่รุ้ว่าจะโดนทิ้งเมื่อไหร่ แรกๆ ก็อาจจะยังสนุกกับร่างกายของเขาเท่าที่จะสัมผัสได้ แต่ต่อไป ซอนอินไม่แน่ใจเลยว่าจีรยงยังจะทนเขาที่เอาแต่ใจแบบนี้ได้นานสักแค่ไหน
 
ปลายนิ้วหยาบลากลงจากใบหน้าสวย ผ่านช่วงลำคอเพรียว เรื่อยลงแตะเน้นย้ำบนเนินอกสีสวย กดน้ำหนักบดเบียดจนเม็ดสีชมพูแข็งขึงสั่นระริก
 
ซอนอินหลุดเสียงร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
 
“ถ้าข้าบอกว่าเบื่อ เจ้าจะยอมให้ข้ากอดหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยทั้งที่ยังส่งปลายลิ้นดุนดันเนินอกอีกข้างจนได้ยินเสียงเปียกลื่น
 
ร่างบางบิดกายอย่างทรมานเมื่อถูกปลุกเร้าอย่างเร่าร้อน เสียงที่ดังสะท้อนเข้าหูมีแต่จะเพิ่มความอายให้กับคนตัวเล็กกว่า
 
“...ถะ...ถ้าหากเจ้าต้องการ......”
 
เปลือกตาบางปิดลงเมื่อมีริมฝีปากอุ่นแนบซับหยาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ที่พูดออกไปนั้นเต็มไปด้วยความกลัว แต่สิ่งที่ซอนอินกลัวมากที่สุดคือการที่จีรยงไม่ต้องการเขาอีกแล้ว
 
“เอาเถิด ข้าจะรอเจ้าอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
 
คำพูดนั้นทำเอาดวงตากลมโตลืมขึ้นจ้องสบอีกฝ่าย ความรู้สึกอุ่นซ่านบางอย่างก่อตัวขึ้นในอกจนแทบจะห้ามรอยยิ้มแห่งความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ ความอ่อนโยนที่คนตรงหน้ามอบให้เป็นสิ่งที่ร่างบางฝันถึงมาโดยตลอด การที่ได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตนเช่นนี้เป็นราวกับแสงแห่งความหวังที่สว่างไสวอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
 
ไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าจีรยงเริ่มจะสนใจเขาบ้างแล้ว
 
เศษเสี้ยวของหัวใจ ถึงแม้จะเล็กน้อยสักเพียงไหนก็ตาม...
 
“...แต่เจ้าเตรียมใจไว้ได้เลย เพราะข้าจะคิดรวบยอดเจ้าให้คุ้มกับที่เฝ้ารอ” คนตัวสูงพลิกกายลงนอนแล้วจับร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งอยู่บนอกของเขาเอง มือหยาบใหญ่เคล้นคลึงสะโพกบาง ดึงตัวของคนสวยขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะส่งริมฝีปากเข้าปลุกเร้าส่วนไวสัมผัสที่ชื้นแฉะมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
 
“ฮ่ะ!...อา....”
 
ซอนอินกดมือทั้งสองข้างลงกับหมอนด้วยอาการเกร็ง ส่วนกลางลำตัวที่ถูกปลุกเร้าอย่างช่ำชองทำให้ร่างทั้งร่างสะท้านวาบ ทั้งอาย ทั้งสุขสม ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรเมื่อถูกเร่งจังหวะจนแทบหายใจไม่ทัน ร่างกายก็เป็นไปตามแรงอารมณ์ที่ฉุดกระชากขึ้นลงไม่หยุด ไม่ได้ตั้งใจ แต่สะโพกก็แอ่นไปตามการชักนำอย่างว่าง่าย
 
และเพราะเป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายต่อการถูกปลุกเร้า ไม่นานนักซอนอินก็ปลดปล่อยออกมาภายในโพรงปากอุ่นร้อนที่ยังครอบครองตัวตนของเขาเอาไว้อยู่
 
“อ๊า!....”
 
“หึ ออกมาเยอะเชียว” ซอนอินได้แต่ก้มหน้าจนปลายคางติดอก ไม่กล้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่เปรอะเปื้อนสิ่งที่ตนเพิ่งปลดปล่อยออกไป แต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อถูกฉุดต้นแขนให้ก้มลงจูบแนบสนิท รสชาติของตนเองเป็นอย่างไรซอนอินเพิ่งจะรู้ก็วันนี้เอง
 
“...ถึงตาเจ้าแล้ว”
 
“เอ๊ะ?”
 
“เจ้าไม่ยอมให้ข้ากอด ดังนั้นเจ้าก็ต้องช่วยให้ข้าพึงพอใจเป็นการตอบแทนสิ”
 
“ตอบแทน...” ศีรษะเล็กเอียงไปด้านข้างด้วยความไม่เข้าใจ
 
“ใช้ปากของเจ้าอย่างไรเล่า”
 
 
ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเองจะรู้สึกเจ็บถึงเพียงนั้นยามที่โดนกกกอด ซอนอินพยายามกลืนสัดส่วนตรงหน้าอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรอีกฝ่ายถึงจะพอใจ ทำได้แค่ขยับเข้าออกอย่างเงอะๆ งะๆ อยู่อย่างนั้น จนได้ยินเสียงทุ้มสั่งว่าให้ใช้ลิ้นด้วย
 
แค่นี้ก็คับจะแย่แล้ว ยังจะให้ขยับลิ้นอีกงั้นเหรอ?
 
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่ง ไม่แพ้เส้นผมสีดำยาวที่ถูกมือใหญ่ขยำเสียจนสยายเต็มแผ่นหลังเพื่อกดให้ศีรษะเล็กขยับไปตามความต้องการ ซอนอินไร้เดียงสาต่อเรื่องบนเตียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่จีรยงจะเกิดความขัดใจในบางจังหวะ แต่นับว่าการไม่ประสีประสาของซอนอินก็ช่วยปลุกอารมณ์ให้ชายหนุ่มได้ดีเช่นกัน
 
“อะ...อา...ซอนอินอา...”
 
ได้ยินเสียงทุ้มครางอย่างสุขสมเช่นนี้ ซอนอินก็พลอยสุขใจไปด้วย
 
หากสนองความต้องการให้กับจีรยงได้ด้วยวิธีนี้ ซอนอินก็คิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักทีเดียว
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย
 
ความสิ้นหวังที่เกิดขึ้นทำให้ยองจูอยากจะฆ่าตัวตายเสียให้จบเรื่อง ในตอนนี้นอกจากตาจะยังใช้การไม่ได้ สัมผัสอื่นที่เขาเคยร่ำเรียนฝึกวิชามาก็ดูท่าจะหายไปหมดแล้วเช่นกัน ซ้ำธาตุในกายก็ปรวนแปรไร้ระบบระเบียบ ไม่มีเหลือทั้งพลังวรยุทธและพลังพิเศษ ในตอนนี้ ปาร์คยองจูไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านที่พิการเลยแม้แต่น้อย
 
น่าสมเพชสิ้นดี!
 
หลังคำสบถในใจนั้น ยองจูก็ทุบกำปั้นลงกับเสาเตียงข้างตัวเต็มแรง ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาทันที แต่ยองจูก็ไม่ได้ร้องออกมา เวลานี้เขาโกรธตัวเองจนอยากจะลงโทษร่างกายที่ไร้ประโยชน์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะสาสมกับความล้มเหลวในหน้าที่
 
หนึ่งเดือนมาแล้วที่เขายังทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนอยู่บนเตียง หนึ่งเดือนที่เขาไม่รู้ว่าซอนอินเป็นอย่างไร ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งเกิดความกังวล แม้จะเห็นเพียงความมืดมิด แต่ยองจูก็ไม่อาจหลับลงได้เลย
 
“ยองจู...” พร้อมเสียงเล็กๆ นั้น มือของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็แตะข้อมือเจ้าของชื่อ “อาหารเย็นเสร็จแล้วนะ ไปทานกันเถอะ”
 
“เอายามาให้ข้าก็พอ”
 
“ถ้าเอาแต่ทานยาไม่ทานข้าวก็ไม่มีความหมายหรอกนะ” เสียงกดเข้มขึ้นเพื่อดุคนตัวสูง ฮีอูจับข้อมือของยองจูแน่นขึ้นแล้วออกแรงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นตาม “...เรารู้ว่าท่านมีบางสิ่งที่ต้องออกไปหา แต่เชื่อเราเถอะว่าตอนนี้ท่านทำอะไรไม่ได้ ถ้ายังเอาแต่ทำร้ายตัวเองอย่างนี้จะหายได้อย่างไร อะ!”
 
มือเล็กถูกสะบัดออกเต็มแรง “เจ้าจะรู้อะไร! ถ้าไม่พอใจก็ปล่อยข้าเอาไว้เสียสิ! ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาดูแล ไม่ได้ขอที่จะมีชีวิตอยู่อย่างคนที่ทำอะไรไม่ได้อย่างนี้!!” เสียงทุ้มใหญ่ที่ตะโกนก้องบ่งบอกว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์ที่สุดจะทนแล้วจริงๆ
 
ฮีอูมองยองจูที่ทุบมือลงกับหน้าอกตัวเองเป็นการระบายความโกรธจนเลือดสีแดงซึมผ่านผ้าสีขาวที่พันทบไว้ออกมา ไม่รู้หรอกว่ายองจูต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน ไม่รู้หรอกว่าภายในใจของคนผู้นี้ทรมานมากเพียงไร แต่ที่ฮีอูรับรู้คือความเจ็บแสนสาหัสราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบก้อนเนื้อในอกให้หยุดเต้นทุกครั้งที่เห็นคนตรงหน้าทำร้ายตัวเอง
 
ยองจูเจ็บ ฮีอูก็เจ็บ
 
น้ำตาเม็ดใสไหลรื้นลงจากดวงตาคู่สวย เขาพอจะจินตนาการได้บ้างว่ามันเป็นการสูญเสียที่ร้ายแรงแค่ไหน ยองจูเคยเป็นราชครูผู้เก่งกาจ เป็นคนของเผ่าชินซองที่ฝึกวิชาลับจนบรรลุขั้นสูงเทียบเท่าอาจารย์ผู้สอน ทว่าในตอนนี้กลับไม่หลงเหลือความสามารถพวกนั้นเลยสักอย่างเดียว
 
เขาจะทำอะไรให้ชายที่ตนรักสุดหัวใจได้บ้าง จะมีทางไหนที่ฮีอูช่วยเหลือยองจูได้...
 
ความเจ็บปวดของยองจู หากเป็นไปได้ฮีอูก็อยากจะรับไว้เสียเอง
 
ฮีอูทนมองเห็นยองจูทำร้ายตัวเองนานกว่านี้ไม่ได้ เขาคว้ามือของยองจูไว้ด้วยแรงทั้งหมดเท่าที่มีเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้น
 
“พอเสียที! ท่านคิดว่าเราทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไรกัน! เราจะปล่อยให้ท่านตายอยู่ในป่านั่นก็ย่อมได้ แต่เราก็ไม่ทำ! เราเป็นคนช่วยชีวิตท่านไว้นะยองจู ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็เห็นแก่คนที่ช่วยชีวิตท่านไว้บ้างเถอะ! หยุดทำร้ายตัวเองเสียที ต่อให้ท่านคิดว่าตายไปเสียยังดีกว่า แต่คิดบ้างไหมว่าคนที่รอท่านอยู่ไม่ว่าจะที่ใดก็ตามจะรู้สึกอย่างไร!!”
 
ยองจูไม่ได้ขืนแรงอีก คำพูดของฮีอูทำให้ยองจูสงบใจลงได้มากทีเดียว ใช่ เขาจะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าซอนอินตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
 
คราวนี้ไม่มีการต่อต้านอะไรอีก ฮีอูประคองยองจูให้นั่งลงที่โต๊ะอาหาร เขาจับมือใหญ่ให้สัมผัสกับตะเกียบ ก่อนจะเลื่อนจานข้าวไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม
 
“ทางขวาคือผัดผัก ตรงกลางคือซุปไก่ต้ม เราวางช้อนไว้ในจานรองข้างๆ ถ้วยข้าวของท่าน ส่วนทางซ้ายคือกิมจิ แก้วน้ำอยู่ทางขวา”
 
หลังจากนั้นก็มีเพียงเสียงตะเกียบ เสียงช้อนที่กะทบภาชนะกระเบื้องดังขึ้นอยู่เป็นระยะภายในกระท่อมไม้หลังเล็กเพียงเท่านั้น
 
เมื่อทานยาและเปลี่ยนผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว ฮีอูก็เตรียมจะลุกจากที่นอนของร่างสูง แต่ก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ให้นั่งลงตามเดิม
 
“...ขอบคุณ”
 
ฮีอูจ้องมองคนพูดนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไร” และทำท่าจะลุกขึ้น
 
“เดี๋ยวก่อน ข้าถามอะไรเจ้าสักอย่างได้ไหม”
 
“ว่ามาสิ” ฮีอูวางอุปกรณ์ทำแผลลงข้างตัว แล้วรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
 
ยองจูหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?”
 
รอยยิ้มเล็กดูฝืดฝืนเต็มทนที่ต้องตอบคำถามนั้น “ไม่หรอก เราไม่เคยรู้จักกัน” ฮีอูไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เขาไม่เคยรู้จักยองจู ราชครูปาร์คยองจูไม่ใช่คนที่เขารู้จัก แต่เป็นยองจูในกระท่อมไม้นั้นต่างหากที่เขาเคยรู้จัก แต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วในที่แห่งนั้น
 
ร่างสูงตรงหน้านี้ ฮีอูไม่เคยรู้จักเลยสักนิด ทั้งอย่างนั้นแล้ว ฮีอูก็ไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้หยุดรักชายที่หลอกลวงเขาได้เลย
 
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราขอตัวนะ”
 
ยองจูปล่อยข้อมือของฮีอู เขารู้สึกถึงน้ำหนักบนเตียงที่เบาขึ้น ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป ขณะที่ยังครุ่นคิดในคำตอบที่ได้ฟัง กลับมีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจของชายหนุ่มว่ามันไม่ใช่อย่างที่อีกฝ่ายพูด อะไรบางอย่างที่เขาเองก็หวังจะซ้อนทับภาพของใครคนหนึ่งให้เป็นอย่างใจต้องการ
 
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน คนผู้นั้นไม่มีทางจะอยู่ที่นี่ได้
 
 
“ฮีอู...”
 
 
ยองจูพึมพำชื่อของคนในห้วงความคิดแผ่วเบา ก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นพาให้ความคิดจมลงสู่ห้วงแห่งนิทรารมย์
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
การกลับเข้าวังขององค์ชายรองชองจีมุนนั้นได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เนื่องจากองค์ชายรองไม่ได้กลับมาเพียงพระองค์เดียว แต่กลับมาพร้อมกับราชทูตคนสำคัญแห่งแคว้นพกซอ องค์หญิงห้านามว่าอันแฮซู
 
จีมุนถูกส่งตัวไปตั้งแต่เมื่อเกือบสองเดือนก่อนเพื่อเจรจาการทำสัญญาทางน่านน้ำกับแคว้นพกซอ แต่เพราะในเวลานั้นพกซอกำลังอยู่ในช่วงทำสงครามกับแคว้นทางเหนืออยู่ทำให้การเจรจาล้าช้าไปมาก จนกระทั่งสามอาทิตย์ก่อน ศึกสงครามก็ยังยืดเยื้อไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ องค์ชายสามอันชิลฮยอนซึ่งเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งจึงส่งน้องสาวให้มายังฮานึลเพื่อเป็นผู้ตัดสินใจการทำสัญญาครั้งนี้แทน
 
หากเอ่ยนามถึงองค์หญิงห้าแห่งแคว้นพกซอแล้วล่ะก็ เป็นที่รู้กันว่านางเป็นสตรีที่งดงามเพียงใด เป็นเด็กสาวที่มีความสามารถทางด้านการคำนวณข้อได้เสียในการวางแผนระบบต่างๆ ภายในแคว้นได้อย่างดีเยี่ยมจนเป็นที่ล่ำลือไปหลายแคว้น ความงดงามของเธอเป็นที่หมายปองขององค์ชายแคว้นน้อยใหญ่อยู่มากมาย ทว่า ภายในใจขององค์หญิงห้าผู้นี้นั้นกลับมีตัวเลือกไว้เพียงคนเดียวมาตั้งนานแล้ว
 
คนผู้นั้นก็คือชายตรงหน้านี้อย่างไรเล่า
 
“ยินดีต้อนรับองค์หญิงห้าสู่แคว้นฮานึล” เจ้าของร่างสูงสง่าในชุดว่าราชการสีทองอร่ามโค้งศีรษะให้สตรีตรงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย
 
“หากมีสิ่งใดที่ต้องประสงค์ก็ขอให้บอกมาได้เลย อย่าได้เกรงใจ ชองจีรยงยินดีที่จะดูแลองค์หญิงห้าให้ดีที่สุด” รอยยิ้มของบุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นจ้าวแห่งมังกรผู้เกรียงไกรนั้นได้สะกดแววตาของเด็กสาวให้นิ่งค้างจ้องมองอย่างหลงใหล
 
“ถ้าอย่างไรองค์หญิงห้าทรงเข้าที่พักก่อนเถิด ข้าจะให้คนนำทางไป”
 
“คนนำทางงั้นหรือ? ข้าไม่ต้องการ องค์รัชทายาทชองจีรยงนำทางให้ข้าได้หรือไม่?” เสียงหวานใสราวเสียงกระดิ่งเอื้อนเอ่ยกับชายตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ สมกับวัยของเจ้าตัว
 
การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ซ้ำยังเป็นการเอาใจผู้ที่อยากจะร่วมทำการค้าด้วยกัน มีหรือที่จีรยงจะปฏิเสธความต้องการของนาง
 
“เช่นนั้น ข้าจะนำทางให้ท่านเอง”
 
ขบวนขององค์หญิงห้าที่ประกอบไปด้วยสาวใช้จำนวนสิบคน และองครักษ์อีกสี่นาย รวมถึงข้าวของอีกสองรถม้าค่อยๆ ทยอยผ่านเข้าไปยังด้านในของส่วนตำหนักที่ไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
 
“ข้าว่าองค์หญิงห้าผู้นี้ดูร้ายๆ ยังไงอยู่นะ” กึมซองอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกับผู้เป็นพี่ชายขณะเดินตามหลังขบวนคนตรงหน้าไป
 
โทซองเพียงปรายสายตาลงมองน้องชายอย่างหน่ายใจกับนิสัยสอดรู้สอดเห็น
 
“อะไรเล่า! ข้าก็แค่ออกความเห็นเท่านั้นแหละ!!” เสียงเล็กหงุงหงิงตอบโต้แฝดผู้พี่เมื่อเห็นสายตาตำหนิตอบกลับมา ร่างเล็กขมุบขมิบปากพึมพำทำนองว่า ไว้เดี๋ยวไปเล่าให้พวกยอนอากับโซยอนฟังดีกว่า
 
 
เป็นธรรมเนียมของแคว้นทั่วไป ที่เมื่อมีแขกมาก็ต้องมีการจัดเลี้ยงต้อนรับในตอนค่ำ
 
อาหารรสเลิศ รวมถึงการแสดงเล็กๆ น้อยๆ เป็นการต้อนรับแขกนั้นถูกจัดอย่างสมเกียรติให้แก่องค์หญิงห้าแห่งแคว้นพกซอ
 
ระหว่างที่มีการแสดงระบำไฟ จีรยงก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ตอนนี้เป็นช่วงท้ายๆ ของงานแล้วจีรยงจึงเห็นสมควรที่จะขอตัวเสียที
 
“เอ๋? ท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือ?” เด็กสาวร้องถามอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะกลับด้วย”
 
“อย่าเพิ่งกลับเลยองค์หญิงห้า งานเลี้ยงนี้เป็นของท่าน หากเจ้าของงานไม่อยู่ งานจะสนุกได้อย่างไร?”
 
“แต่ถ้าท่านไม่อยู่ งานก็ไม่สนุกอยู่ดี”
 
น้ำเสียงฟังเอาแต่ใจจะว่าน่าเอ็นดูก็น่าเอ็นดูอยู่เพราะคนพูดก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหก ซ้ำยังตัวเล็กน่ารักชวนมอง
 
“ตามใจท่านแล้วกัน”
 
“ถ้าเช่นนั้น ท่านไปส่งข้าที่ตำหนักด้วยได้ไหม?”
 
“ได้”
 
จีรยงไม่เอ่ยอะไรต่ออีก ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ยิ่งอยากจะไปหาใครอีกคนมากเท่านั้น ชายหนุ่มเดินนำราชทูตคนสำคัญออกจากโถงจัดเลี้ยงโดยมีขบวนทหารตามติดเป็นแถว
 
“โทซอง” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกองครักษ์ให้ขยับเข้ามาเดินใกล้ๆ
 
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท?” เด็กหนุ่มก้มศีรษะเล็กน้อย
 
“ไปสั่งความให้นางกำนัลจัดเตรียมชุดวันพรุ่งของข้าไว้ที่ตำหนักโยกัน คืนนี้ข้าจะค้างที่นั่น”
 
“พะย่ะค่ะ” หลังตอบรับ เด็กหนุ่มก็ปลีกตัวออกไปจากแถวขบวนทันที จีรยงไม่ได้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อคิดได้ว่าคืนนี้ยังมีเวลาอยู่กับคนร่างบางทั้งคืน
 
แฮซูลอบมองสีหน้าคมเข้ม คำรับสั่งเมื่อครู่นางได้ยินชัดเจน และนางก็ยังรู้ด้วยว่าที่ตำหนักโยกันมีผู้ใดพักอาศัยอยู่ ตามที่เสด็จพี่ชิลฮยอนเคยบอก ในเวลานี้ทางฮานึลทำการต้อนรับราชทูตคนสำคัญของแคว้นเชินอันอยู่ เป็นที่น่าสงสัยถึงการมาอยู่ที่ฮานึลของราชทูตคนนี้ไม่น้อย แรกเริ่มเพราะเกิดจากเรื่องภัยพิบัติของเพลิงกัลป์ แต่นี่ก็ผ่านมาร่วมสามสี่เดือนแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าฮานึลจะเชิญแขกผู้นี้กลับเลยแม้แต่น้อย
 
ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่เสด็จพี่เคยพูดถึงอีกเล่าที่น่าสงสัย
 
 
ระหว่างที่เดินเคียงคู่ร่างสูงขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลไปนั้น ดวงหน้าสวยของเด็กสาวก็ได้ปรากฏรอยยิ้มเฉียบบางอย่างแฝงเลศนัย
 
...หึ คิมซอนอิน อย่างนั้นหรือ อยากจะพบเหลือเกินว่าคู่แข่งคนนี้จะน่ากลัวเพียงไร
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 15] 04/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-09-2016 20:25:25
ตัวแปร (ฝ่ายร้าย) เพิ่มเข้ามาอีกแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 15] 04/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 05-09-2016 05:09:02
สงสารซอนอิน อยากจะให้จีรยงรักซอนอินมากๆ แบบรู้ใจตัวเองจริงๆ สงสารยองจูด้วย เฮ้อ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 15] 04/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 05-09-2016 23:11:06
โอ้ววว sm โดนพระเอกทำร้ายสารพัดยังไม่เข็ด
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 16] 06/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 06-09-2016 08:51:53


บทที่ 16

 

โถงว่าราชการในเช้าวันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศวุ่นวายสับสน เสียงพูดคุยของเหล่าขุนนางดังสลับกันไปไม่หยุดจนกระทั่งนายทหารเวรยามหน้าประตูร้องบอกการเสด็จมาถึงขององค์รัชทายาทชองจีรยง
 
เสียงที่ดังระงมเมื่อครู่พลันเงียบลงในฉับพลัน ทุกสายตาต่างก้มมองผู้เป็นนายเหนือหัวเดินผ่านไปจนถึงที่ประทับด้านหน้า เมื่อร่างสูงสง่ารับสั่งให้ลุกขึ้นได้ เหล่าข้าหลวงก็พากันโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงก่อนเงยหน้าขึ้น
 
“ฝ่าบาท อาการของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเช่นไรบ้างพะย่ะค่ะ?” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นตัวแทนของทุกคนเพื่อจะถามถึงพระอาการของกษัตริย์ชองฮวาจีที่ล้มป่วยหนักเมื่อสามวันก่อน ในตอนนี้ทั่วทั้งวังต่างใจคอไม่ดีกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
 
“ดีขึ้นแล้ว” จีรยงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เช่นเคย ความสุขุมไม่หวั่นเกรงต่อเหตุการณ์ต่างๆ นี้เองที่ทำให้ขุนนางทุกแขนงให้ความเคารพนับถือในว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปพระองค์นี้
 
นายพลซูวอน หนึ่งในทหารหลวงชั้นสูงขยับเดินออกมาจากแถวแล้วโค้งกายต่ำก่อนเริ่มถวายรายงานสำคัญ เนื่องจากในเวลานี้ทางฮานึลกำลังอยู่ในช่วงประกาศทำศึกอย่างเป็นทางการกับแคว้นคันเซ ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของฮานึล ดังนั้นความเคลื่อนไหวของคันเซจึงอยู่ในสายตาของผู้นำทัพโดยตลอด เพราะหากการปะทะกันครั้งนี้ไม่เป็นผลสำเร็จ อาจก่อให้เกิดการกุมอำนาจของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณช่วงรอยต่อทะเลสาบของทั้งสองแคว้นได้ หากชาวบ้านเหล่านั้นโอนเอียงไปหาอีกพวกแล้วละก็ ผลเสียที่ฮานึลจะได้รับก็อาจเป็นปัญหาในภายภาคหน้าได้มากพอสมควร เพราะบริเวณทะเลสาบตรงนั้นถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีต่อการวางแผนรบได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่าบริเวณอื่น
 
“ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าแคว้นเล็กยอฮวาจะให้ความร่วมมือกับคันเซตามสายข่าวที่สืบรู้มาอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ”
 
แคว้นเล็กยอฮวาเป็นแคว้นที่อยู่ถัดจากทะเลสาบเออินชุน เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อการเมืองใดๆ การปกครองของแคว้นเล็กยอฮวานั้นมีผู้นำราชวงศ์ไม่กี่พระองค์ อาศัยจากการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีกษัตริย์และชาวบ้านที่รักใคร่กัน อยู่อย่างพอเพียง ทว่า แคว้นเล็กๆ แห่งนี้ถือเป็นแคว้นที่มีกำลังการผลิตอาวุธชั้นเลิศที่สุดเท่าที่แคว้นใดจะสามารถทำได้ รายได้หลักที่หมุนเวียนภายในยอฮวาก็มาจากการส่งออกอาวุธเหล่านี้ แม้แต่ทางฮานึลเองยังต้องสั่งลูกธนูเงินจากยอฮวา
 
แล้วเหตุใด แคว้นที่ไม่คิดจะแย่งชิงอำนาจถึงได้ร่วมมือกับคันเซ? ซ้ำหากเป็นจริงดังว่า การรบครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
 
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าราชบุตรเขยขององค์หญิงเยอินจะเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้? กระหม่อมมองไม่เห็นเหตุผลอื่นใดเลยที่ยอฮวาจะร่วมมือกับคันเซ ในเวลานี้ องค์หญิงเยอินเป็นราชธิดาเพียงพระองค์เดียว ซ้ำผู้เป็นกษัตริย์ก็เตรียมสละราชบันลังก์แล้วด้วย ...ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นราชบุตรเขย องค์ชายสองแห่งแคว้นพกซอแน่!”
 
หลายเสียงเอ่ยพ้องเห็นด้วยกับนายพลซูวอน ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าองค์ชายสองแห่งแคว้นพกซอ อันแจอุค นั้นทะเยอทะยานมากเพียงไร แต่ทว่าความสามารถกลับไม่เป็นที่ประจักษ์ แม้แต่ในพกซอเองยังไม่มีใครสนใจในตัวของอันแจอุคสักเท่าใด ส่วนหนึ่งอาจเพราะองค์ชายสองเป็นบุตรของสนมที่เลื่อนขั้นมาจากนางโลม การศึกษานั้นก็อยู่ในระดับกลาง เป็นบุคคลที่ไม่มีอะไรโดดเด่น เมื่อเห็นหนทางจะผลักดันตนเองให้เป็นผู้นำได้ก็ไม่รอช้า การอภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งแคว้นเล็กยอฮวาจึงเป็นเหมือนการเบิกทางให้คนผู้นี้ได้คว้าอำนาจมาเป็นของตนเองเท่าที่จะทำได้
 
ร่างสูงยืดตัวขึ้นยืนจากที่ประทับ ท่วงท่าอิริยาบถขององค์รัชทายาทที่เปลี่ยนไปทำให้เสียงของเหล่าขุนนางเงียบลง ดวงเนตรคมกร้าวกวาดมองกลุ่มคนตรงหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เบื้องหน้า บนโต๊ะขนาดใหญ่มีผังเมืองการรบภูมิศาสตร์ของคันเซอย่างละเอียด
 
เรียวคิ้วเข้มกดลึกลงยามที่เจ้าของรูปหน้าคมเข้มใช้ความคิด ริมฝีปากหยักขยับพึมพำคำนวณผลได้ผลเสียต่อแผนรบกับตนเองไม่นานนัก ก่อนเอ่ยขึ้นกับนายพลทหาร “หากยอฮวาร่วมมือกับคันเซ กองกำลังม้าและพลธนูที่อยู่ทางเชิงเขาเออินชุนต้องเพิ่มอีกห้าพันนาย กระจายให้รอบไม่ให้มีช่องทางออกได้ทั้งด้านข้างและด้านหลัง ออกคำสั่งให้ชัดเจนว่าให้ปะทะแค่กับทหารเท่านั้น ชาวบ้านแม้แต่คนเดียวก็ห้ามแตะต้อง”
 
“แต่ฝ่าบาท หากรับสั่งเช่นนี้ เราจะเสียเปรียบนะพะย่ะค่ะ”
 
“อย่าได้ห่วงเรื่องนั้นนัก ข้าเห็นสำคัญต่อชาวบ้านริมทะเลสาบมากกว่า ถึงอย่างไรยอฮวาก็เคยเป็นพันธมิตรกับเรา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าชาวบ้านพวกนั้นจะทนรับให้อันแจอุคเป็นผู้นำบ้านเมืองได้ ดีไม่ดี เราเองเสียอีกที่จะได้เปรียบในการรบครั้งนี้ เพราะหากชาวบ้านต่อต้านอันแจอุคล่ะก็ มีเหลือทางเดียวคือสนับสนุนทหารของเรา แต่ถ้าไม่ เราเองก็มีกำลังมากพอจะเอาชนะได้อยู่แล้ว จะมีก็แต่ว่าใช้เวลามากน้อยแค่ไหนเท่านั้น”
 
รับสั่งขององค์รัชทายาทนำพาให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนออกปากชื่นชมยกย่องต่อไหวพริบและความคิดของชายหนุ่ม แม้จะยังมีพระชนมายุเพียง 22 ชันษา แต่ความสามารถไม่เป็นรองกษัตริย์องค์ปัจจุบันแม้แต่น้อย
 
สงครามระหว่างแคว้นของคันเซถูกหยิบยกมาถกปัญหาอย่างต่อเนื่อง แผนการรบที่วางไว้ตอนแรกมีการปรับเปลี่ยนใหม่ให้รองรับกองทหารของฝ่ายศัตรูที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มกองกำลังทัพหลวงที่เจ็ด ซึ่งมีองค์ชายชองจีรยงเป็นแม่ทัพด้วยตนเองร่วมออกรบครั้งนี้ด้วย
 
“ฝ่าบาทจะออกเดินทางทันทีที่มีการปะทะเลยหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
 
“หากรอให้เกิดการปะทะก่อนมิต้องเสียเวลาหรืออย่างไร? ...อีกสองอาทิตย์ข้าจะนำกองทัพที่เจ็ดตามขบวนของเจ้าออกไปตั้งแต่รุ่งสาง เมื่อถึงค่ายทหาร ข้าจะออกคำสั่งโจมตีด้วยตนเอง”
 
“เช่นนั้นกระหม่อมจะรีบจัดการทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จถึงพะย่ะค่ะ!”
 
หลังสรุปเรื่องของคันเซ ภายในโถงว่าราชการก็เหลือเพียงขุนนางฝ่ายการเมืองการปกครองด้านต่างๆ รายงานเกี่ยวกับความเสียหายของชาวไร่ชาวนาในแถบภูเขาที่เคยเกิดเพลิงกัลป์ครั้งก่อนเป็นไปในทางที่ดีขึ้นจนได้ผลผลิตเทียบเท่าคุณภาพเดิมนั้นยังผลให้รัชทายาทหนุ่มพอใจเป็นอย่างมาก เพราะการฟื้นฟูสภาพพื้นที่บริเวณที่เสียหายนั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ยากมากทีเดียว รายได้ที่ขาดหายไปนานหลายเดือนของชาวบ้านจะได้กลับสู่สภาวะปกติเสียที
 
กว่าที่ราชทายาทหนุ่มจะเสร็จสิ้นการประชุมที่โถงว่าราชการ ท้องฟ้าก็คล้อยบ่ายมากแล้ว
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ริมหน้าต่าง กรงนกเปิดอ้าไร้สิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ด้านในนั้นเป็นเหตุผลให้คนร่างบางขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาของตำหนักโยกันในเวลานี้
 
“องค์วังชอนซาเพคะ ทรงลงมาเถิด! นกน้อยตัวนั้นอาจจะบินหายไปแล้วก็ได้นะเพคะ!!”
 
“นั่นสิเพคะ! เชื่อพี่สาวหม่อมฉันเถิดนะเพคะ ทรงลงมาเถิด!!”
 
นางกำนัลสองสาวตะโกนบอกผู้เป็นนายด้วยความกังวล ยิ่งเห็นท่าทางน่าหวาดเสียวไม่ต่างจากครั้งก่อนแล้วก็กลัวจับใจว่าหงส์งามจะพลัดตกลงมาอย่างเมื่อคราวนั้น
 
“เวลานี้กึมซองหายไปไหนของเขากันนะ!” ยอนอาบ่นหงุดหงิดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้
 
โซยอนเองก็พลอยต่อว่ากึมซองไปด้วย ทั้งที่เด็กหนุ่มนั้นมีหน้าที่คอยคุ้มครององค์วังชอนซาตามรับสั่งของฝ่าบาทไม่ให้คลาดสายตา แต่ตั้งแต่เช้าวันนี้นางยังไม่เห็นเงาของกึมซองเลยแม้แต่น้อย
 
“แย่แน่ๆ โอ้ย! ข้าจะทำอย่างไรดี!!!” ยอนอาเริ่มสงบสติอารมณ์ไม่ได้เมื่อเจ้านายไม่คิดจะลงจากหลังคาง่ายๆ ซ้ำยังดื้อไม่ยอมฟังคำเตือนของพวกนางอีก จะว่าอะไรไปก็ไม่ได้เพราะนางก็เป็นแค่สาวใช้
 
แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับองค์วังชอนซา พวกนางมิแย่หรอกหรือ?!
 
“สวรรค์ ขออย่าให้องค์วังชอนซาของหม่อมฉันทรงเป็นอะไรไปเลยเถิด!” ก้มหน้ากุมมืออ้อนวอนได้ไม่ทันไร เสียงหวีดร้องอย่างตกใจของน้องสาวก็ดังแทรกผ่านกลบคำร้องขอต่อสวรรค์ของยอนอาไปเสียสนิท
 
“กรี๊ดดด----”
 
“องค์วังชอนซา~!!”
 
 
ซอนอินรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ย้อนกลับไปหาอดีตอย่างไรอย่างนั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาพบใบหน้าของคนที่รวบตัวของเขาไว้ได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะตกกระแทกพื้นแบบไม่ตายก็พิการกันไปข้าง
 
“ข้าชักสงสัยแล้วล่ะว่าเจ้าเป็นหงส์ฟ้าหรือเป็นไก่ฟ้ากันแน่?”
 
“ชองจีมุน!!!!”
 
หลังคำเรียกชื่อที่แสนจะสูงปรี๊ดแต่ไม่ระแคะระคายหูคนฟัง ร่างเล็กก็ดิ้นขลุกๆ ในอ้อมแขนใหญ่ลงมายืนหน้ายุ่งหัวยุ่ง แต่ริมฝีปากบางกลับระบายยิ้มกว้างอย่างไม่สนสภาพตัวเองที่ดูไม่ได้เลยสักนิด
 
...แต่กระนั้นจีมุนก็ยังมองเห็นแต่ความน่ารักในตัวของคนตรงหน้าอยู่วันยันค่ำ
 
“เจ้ากลับมาตั้งสามวันแล้วทำไมเพิ่งจะมาหาข้าล่ะ!” เจอหน้าปุ๊บก็ขึ้นเสียงทันที
 
จีมุนหัวเราะในคอกับท่าทางแก้มป่องพองลมจนหน้าอูมของคนตัวเล็กกว่า เขาจับร่างบางให้ขยับเข้ามาใกล้แล้วปัดเศษฝุ่นตามตัวให้ ก่อนจะเช็ดคราบสีดำบนผิวแก้มนุ่มที่คงเปื้อนมาจากฝุ่นบนหลังคาตอนที่กลิ้งตกลงมา
 
ซอนอินเอียงหัวไปด้านข้างตามแรงมืออีกฝ่าย
 
“นี่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากลับมาพร้อมองค์หญิงห้าจากแคว้นพกซอเหรอ?”
 
“อืม”
 
“แล้ว...เค้าเป็นอย่างไรเหรอ?”
 
“อะไรเป็นอย่างไรล่ะ?”
 
“ก็...” ซอนอินเม้มริมฝีปากทำท่าครุ่นคิด เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
 
จีมุนจิ้มนิ้วเข้ากับหว่างคิ้วคนสวย เกือบจะพร้อมๆ กับที่ยอนอาและโซยอนวิ่งเข้ามาถึงที่ด้านข้างของตำหนัก พวกนางพากันตบอกโล่งใจที่เห็นว่าองค์วังชอนซายังปลอดภัยไม่มีอะไรบุบสลาย ก่อนจะก้มหัวให้องค์ชายรองอย่างนอบน้อมแล้วปลีกตัวกลับเข้าไปในตำหนัก
 
“อยากรู้เหรอว่าองค์หญิงสามนางสวยหรือไม่?” คนตัวสูงเอ่ยถามขึ้นเสียเอง และมันก็ตรงใจร่างบางเสียด้วย
 
ซอนอินไม่กล้าเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย จะให้บอกตรงๆ ได้อย่างไรเล่าว่าเขาอยากรู้ว่าแขกต่างเมืองผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงได้ทำให้เกิดข่าวลือในวังว่านางจะได้อภิเษกกับองค์รัชทายาทชองจีรยง
 
ความจริงแล้วเรื่องที่เขาได้ยินมานี้ก็ไม่ได้มีมูลแต่อย่างใด เป็นเพียงเรื่องที่บอกกันปากต่อปากในกลุ่มนางกำนัล ไม่ควรจะเชื่อง่ายๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าข่าวลือนี้จะกลายเป็นจริงขึ้นมาในสักวัน
 
เพราะอย่างไรแล้ว ชองจีรยงก็ต้องมีคู่สมรส และมีทายาทสืบราชวงศ์
 
 
แต่...
 
 
หากเป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้ร่างสูงได้คู่กับใครคนอื่น...
 
 
พลันความคิดสะดุดลง ...แย่จริง! ทำไมถึงได้คิดโลภมากอย่างนี้นะคิมซอนอิน
 
ดูเหมือนท่าทางและสีหน้าที่เผยออกมาไม่อาจปิดบังสายตาของอีกฝ่ายที่เฝ้ามองอยู่ได้ จีมุนลูบข้างแก้มเนียนแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน จับปลายคางมนให้เงยขึ้นสบสายตา
 
“ใครจะว่าเช่นไรข้าไม่อาจรู้ ในสายตาของข้า ไม่มีผู้ใดงดงามได้เท่าคิมซอนอิน คนตรงหน้าข้าคนนี้อีกแล้ว”
 
สายตาสบประสานกันอย่างที่ซอนอินเองก็ไม่อาจละจากอีกฝ่ายได้ ความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่แนบอยู่ข้างผิวแก้ม และวงแขนใหญ่ที่โอบแผ่นหลัง ล้วนเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ราวกับการสัมผัสเหล่านี้กำลังพันธนาการร่างกายและจิตใจให้โอนอ่อนคล้อยตามอย่างยากจะฝืนได้
 
ซอนอินแทบจะหยุดหายใจตอนที่ใบหน้าของร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ ถึงแม้อยากจะหลีกหนีไปมากสักเท่าใด แต่ขาก็ไม่อาจขยับได้ แม้แต่มือจะยกขึ้นห้ามยังทำไมได้ เหมือนร่างกายชาหนึบไปหมด
 
ตอนที่รู้สึกถึงแรงกดดันที่ทำให้ต้องหลับตา ลมหายใจร้อนที่ต้องสัมผัสใบหน้าอยู่เมื่อครู่ก็พลันหายไปเสียเฉยๆ รู้สึกตัวอีกทีร่างทั้งร่างก็จมแนบสนิทอยู่กับอกของร่างสูงอีกคนที่ซอนอินเองก็ไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าของมือใหญ่ที่กำรอบแขนเขาเสียแน่นอยู่ตอนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
 
“คุยอะไรกันอยู่?”
 
ประโยคแสนธรรมดา แต่ทำไมคนตัวเล็กถึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างไรพิกลก็ไม่รู้ได้
 
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก หม่อมฉันเพียงแวะมาทักทายองค์วังชอนซาก็เท่านั้น” จีมุนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าและท่าทางสุภาพอย่างไม่มีอะไรผิดแปลก ผิดจากคนตัวเล็กที่ยังหน้าซีดอยู่ในวงแขนขององค์รัชทายาททั้งที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมต้องนึกกลัวคนตัวสูงเช่นนี้ด้วย
 
“ทักทายกันเสร็จหรือยัง?”
 
“เสด็จพี่มีสิ่งใดรีบร้อนหรือ? ถ้าอย่างไร เรามานั่งคุยกันสามคนน่าจะดี” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นนิสัย ซอนอินเองก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่เคยมีสักครั้งที่ตนจะเห็นพี่น้องสองคนนี้นั่งคุยกัน อย่าว่าแต่พูดคุย เดินด้วยกันเขายังไม่เคยเห็นสักครั้ง!
 
“นั่นสิ! ให้จีมุนอยู่คุยที่ตำหนักโยกันด้วยสิ” ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองดวงหน้าคมของคนที่ยังรวบรัดร่างของตนไว้อย่างแน่นหนา ทว่าเรียวคิ้วเข้มที่กดลึกทำให้คนสวยมึนงงที่เห็นสีหน้าไม่พอใจปรากฏบนใบหน้านั้น
 
โกรธอะไรของเขากัน?
 
ซอนอินไม่รู้ว่าจีรยงเป็นอะไร แต่จีมุนรู้ดีว่าผู้เป็นพี่ของตนกำลังไม่พอใจสิ่งใดอยู่ ยิ่งรู้ จีมุนก็ยิ่งอยากทำลายความเย็นชาที่เคลือบคนตรงหน้านี้ไว้ให้มลายหายไป
 
“เสด็จพี่ว่าอย่างไร? หม่อมฉันเองก็อยากอยู่คุยต่อจากเมื่อครู่กับซอนอินเช่นกัน”
 
คำเรียกชื่ออย่างสนิทสนมทำให้มือใหญ่บีบท่อนแขนเล็กแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าคนที่ถูกรวบรัดกลับเจ็บจนต้องร้อง ‘อ๊ะ’ ออกมาเบาๆ
 
“เสด็จพี่?”
 
“...จะคุยอะไรกันก็เชิญ” จบคำพูดนั้น ซอนอินก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ร่างสูงสะบัดชุดทรงเดินจากไปในทันที
 
ท่ามกลางความมึนงงของคนร่างบางที่มองตามแผ่นหลังกว้างเดินจากไปอย่างไม่เข้าใจ เสียงของจีมุนก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
 
“ซอนอิน เราเข้าไปข้างในตำหนักกันเถอะ ตัวเจ้ามอมแมมไปหมดแล้ว ไปเปลี่ยนชุดดีกว่านะ”
 
“อ่ะ อือ อืม....” ซอนอินละสายตาจากร่างสูงที่เดินหายไปหลังสวนหย่อมขนาดใหญ่ ร่างบางเดินตามแรงจูงมือของจีมุนกลับเข้าไปในตำหนักทั้งๆ ที่ยังมีคำถามวิ่งวนอยู่ในหัว
 
 
...หรือเขาจะทำอะไรให้จีรยงไม่พอใจหรือเปล่านะ?
 
...คิมซอนอิน เจ้าทำผิดพลาดเรื่องอะไรไปกันแน่?!
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
เลยเวลาอาหารเที่ยงมาได้พักใหญ่แล้ว แต่เสียงหวานที่มักเรียกให้เขาไปทานอาหารยังไม่ดังขึ้นเลย
 
ยองจูขยับผ้าห่มออกให้พ้นตัว เขาคลำมือลงไปที่เสาเตียง โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะค่อยๆ ไล่ไปตามตู้ตามผนังกำแพง ขาที่ไม่ค่อยมีแรงขยับเดินไม่ได้ดังใจคิด แต่ร่างสูงก็พยายามสูดหายใจเข้าลึก แล้วออกก้าวเดินต่อไป
 
จะว่าไปแล้ว เขาแทบไม่ค่อยได้เดินไปไหนไกลนัก วนเวียนอยู่แต่ในบ้านมาตลอด ถือโอกาสนี้ลองออกไปด้านนอกตัวบ้านบ้างท่าจะดี
 
ถึงจะคิดไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงยองจูก็ไม่รู้อยู่ดีว่าประตูทางออกนั้นอยู่ส่วนไหนของตัวบ้าน เดินวนไปวนมาอยู่พักใหญ่จนเผลอเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่ไม่รู้สึกคุ้นเคย กลิ่นหอมอ่อนๆ กลิ่นเดียวกับตัวของคนที่คอยดูแลเขาอยู่ข้างกายทำให้เดาได้ว่าห้องนี้คงเป็นห้องส่วนตัวของฮีมิน
 
ยองจูตัดสินใจจะหมุนตัวกลับเพื่อเดินออก เพราะการเข้าห้องคนอื่นโดยพละการไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ทว่าเท้ากลับสะดุดขาตู้เข้าจนทำให้ล้มลงกับพื้นไม่เป็นท่า
 
เจ็บตามตัวจนแทบอยากจะร้อง
 
บาดแผลฟกช้ำตามร่างกายยองจูไม่มีวันได้เห็นว่าน่ากลัวมากเพียงใดเพราะตาที่ยังถูกปิดสนิท แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่าคงไม่ใช้สีเนื้อปกติธรรมดาเป็นแน่
 
มือใหญ่ไล่หาเครื่องเรือนข้างตัวเพื่อพยุงกายลุกขึ้น เขาคลำไปจับที่ขอบโต๊ะทางขวาได้ถนัดมือก็ออกแรงลุกขึ้นยืน ในตอนนั้นเองที่ปลายนิ้วของเขาไปจับโดนวัตถุอะไรบางอย่างเข้าโดยบังเอิญ
 
 
“ยองจู ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เสียงเล็กดังขึ้นที่ด้านหน้าตัวห้อง
 
เห็นร่างสูงไม่ขยับก็เตรียมเดินเข้าไปหา แต่เท้าที่กำลังก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็พลันหยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยผ่านความเงียบขึ้นมา เมื่อเลื่อนสายตาลงมองที่มือของร่างสูงก็เห็นว่าฝ่ายนั้นกำสร้อยข้อมือที่เจ้าตัวเป็นคนทำให้เขาสมัยอยู่ที่กระท่อมไว้ในมือแน่น
 
 
“คิมฮีอู”
 
 
 
ราวกับเสียงที่ได้ยินเป็นเหมือนแท่งน้ำแข็งที่แหลมคมทิ่มแทงลงทั่วทุกส่วนของร่างกาย
 
 
...เหตุผลที่หนีออกมา ก็เพราะมีเพียงท่านที่ทำให้เราอยากมีลมหายใจอีกครั้ง
 
...เหตุผลที่ปิดบัง ก็เพราะไม่อยากถูกท่านส่งตัวเรากลับไปเพื่อแลกกับใครอีกคน
 
 
ปาร์คยองจู ...ไม่ว่าท่านจะหลอกเราว่าเป็นใคร จะเป็นเพียงยองจูในกระท่อมไม้คนนั้น หรือจะเป็นราชครูคนสำคัญของวังชอนซา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ท่านก็ยังเป็นเพียงคนเดียวที่หัวใจของเราเรียกร้อง
 
 
ได้โปรด... อย่าส่งเรากลับไปให้ใครอีกเลย
 
อย่าผลักไสเราไปจากท่านเลยนะยองจู...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
เข้ายามหนึ่งแล้ว แต่คนร่างบางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอนแม้แต่น้อย
 
ซอนอินนั่งเท้าคางอยู่ริมหน้าต่าง เรียวนิ้วสวยเขี่ยกรงนกที่ว่างเปล่าตรงหน้าอย่างใจลอย เมื่อหลายชั่วยามก่อนเขายังคิดกังวลเรื่องที่เจ้านกน้อยหลุดหายไปจากกรงอยู่เลย แต่ในตอนนี้ในหัวกลับมีแต่ภาพของร่างสูงที่เดินจากไปเมื่อตอนบ่าย
 
หลังจากที่ได้นั่งคุยกับจีมุนจนเย็น ฝ่ายนั้นก็ขอตัวกลับตำหนัก จากนั้นซอนอินก็เอาแต่นั่งรอว่าเมื่อไหร่ชองจีรยงจะมา ถึงแม้ว่าจีรยงจะไม่ได้มาทานอาหารเย็นที่ตำหนักโยกันทุกวัน แต่ก็อดรอไม่ได้ว่าวันนี้จะมา ทว่า ล่วงเลยมาจนค่ำมืดก็ยังไม่เห็นวี่แววของฝ่ายนั้น
 
ความกังวลใจที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายยังผลให้ซอนอินนอนไม่หลับ อยากจะถามให้รู้เรื่องว่าเป็นอะไร หากเขาทำอะไรให้ฝ่ายนั้นไม่พอใจก็อยากจะแก้ตัว ไม่ว่าสิ่งไหนก็จะพยายามทำให้ได้
 
ตอนที่ซอนอินรู้สึกถึงสายตาที่เย็นชาของจีรยงเมื่อตอนบ่ายนั้นมันทำให้เขานึกถึงความสัมพันธ์แรกเริ่มระหว่างพวกเขา สายตาที่มองเขาอย่างเฉยชา สายตาที่ไม่มีแม้แต่ความสนใจในตัวตนของเขา ...สายตาที่บอกว่า คิมซอนอินไม่มีความสำคัญใดๆ กับชองจีรยง
 
ไม่เอานะ... ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว...
 
ขอร้องล่ะ อย่าเกลียดข้า...
 
 
“...แค่เจ้าเท่านั้น อย่าเกลียดข้าเลย......”
 
.
.
.
 
“ทำไมตำหนักยังสว่างอยู่อีก?”
 
“อ่ะ ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ ...เพลานี้องค์วังชอนซาทรงยังไม่บรรทมเลยเพคะ หม่อมฉันกับโซยอนก็เลยต้องอยู่รอถวายงานที่หน้าห้องเพคะ” ยอนอารีบรายงานบอกนายเหนือหัวที่ไม่รู้ว่าเดินเข้ามาในตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่ ซ้ำยังมาพระองค์เดียว ไม่มีขบวนเดินตาม
 
ร่างสูงยกมือปัดไปในอากาศ “พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ดับไฟเสียให้หมด ข้าจะพานายของเจ้าเข้านอนเอง”
 
“รับทราบเพคะ”
 
จีรยงผลักบานประตูเข้าไปในห้อง ภาพแรกที่เห็นคือร่างบอบบางภายใต้ชุดสีขาวสว่างฟุบหลับอยู่ที่ขอบหน้าต่างซึ่งเปิดอ้าพาเอาลมเย็นเฉียบของค่ำคืนเข้ามาด้านในจนรู้สึกถึงไอเย็นไปทั้งห้อง
 
ร่างสูงอดบ่นในใจไม่ได้ที่เห็นว่าซอนอินมักจะนอนหลับไม่รู้เรื่องที่ริมหน้าต่างเช่นนี้อยู่เป็นประจำ
 
จีรยงสอดวงแขนขึ้นอุ้มคนหลับไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดายคล้ายอุ้มปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น เมื่อวางร่างบางลงกับที่นอนแล้วเขาก็เดินไปปิดหน้าต่าง ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงที่เตียงข้างกายคนหลับ
 
มือหนาเกลี่ยเส้นผมสีดำนุ่มลื่นดุจแพรไหมเนื้อดีให้พ้นดวงหน้าขาว เขาไล้ปลายนิ้วไปตามรูปหน้าของซอนอินราวต้องมนต์สะกด
 
ใช่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกมนต์สะกดจากคนตรงหน้านี้ปั่นป่วนความรู้สึก เป็นครั้งแรกที่เขานึกหวงใครได้มากเท่านี้ เพียงแค่เห็นจีมุนแตะต้องซอนอินเขาก็ทนมองไม่ได้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับซอนอินรุนแรงเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด และมันก็ทำให้เขาปฏิเสธที่จะยอมรับมัน
 
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแตกต่างจากที่เขารู้สึกกับฮีอูจนน่ากลัวว่าจะให้ผลที่ต่างกัน ยิ่งนับวันซอนอินก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขามากขึ้น มาก...จนอาจจะเรียกได้ว่าสร้างความหวั่นไหวให้กับใจของเขาได้เพียงพอต่อคำว่าหลงใหล
 
 
คิมซอนอินทำให้เขาหลงใหล จีรยงไม่อาจปฏิเสธความจริงนี้ได้อีกต่อไป
 
 
จีรยงแนบจูบลงที่หน้าผากมนแผ่วเบา พาตัวเองเข้าใต้ผ้าผวยผืนเดียวกัน สอดแขนช้อนร่างบางเข้าไว้ในอ้อมกอดอย่างหลวมๆ ภายใต้แสงไฟสลัวจากโคมไฟ นัยน์ตาคมจ้องมองใบหน้ายามหลับของหงส์งามนิ่งค้าง เนิ่นนาน และโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มก็ได้หลับใหลไปพร้อมกับความเงียบงันของค่ำคืน
 
 
ลมหายใจของคนทั้งสองขยับเข้าออกเป็นจังหวะเดียวกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนนั้นเอง
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 16] 06/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-09-2016 10:03:05
จีรยงปฏิเสธที่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อชอนซา
ระวังจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้ในวันที่สายไป

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 16] 06/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 06-09-2016 17:26:40
อยากให้รัชทายาทได้บทเรียนซะบ้าง
ปล.เชียร์คู่ราชครู  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 16] 06/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 07-09-2016 00:17:21
ห่วงเรื่ององค์หญิงห้าแคว้นพกซอนี่แหละ ยังไงคงต้องได้ดราม่า อยู่ที่ว่าจีรยงจะจัดการได้เร็วแค่ไหน ลุ้นคู่ยองจูกับฮีอูด้วย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 16] 06/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 07-09-2016 07:34:40
ซอนอิน รู้สึกตัวเร๊วเร็ว อย่ามัวแต่กลุ้มใจ ตื่นๆๆ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 17] 07/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 07-09-2016 14:00:35
 
บทที่ 17

 
บรรยากาศอึดอัดกดทับคนทั้งสองจนยากจะสั่งให้ร่างกายควบคุมระดับการหายใจให้เป็นปกติ ที่ด้านหนึ่งของโต๊ะไม้กลางห้อง ฮีอูนั่งก้มหน้านิ่งแม้จะรู้ว่าถึงอย่างไรร่างสูงตรงข้ามไม่สามารถจ้องมองตนได้ก็ตาม
 
หลังจากที่ยองจูเรียกชื่อเขาไปเมื่อตอนบ่าย ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อไปอีก มูฮยอนก็เคาะประตูตะโกนเรียกโหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน ทำให้การสนทนาต้องหยุดไป ฮีอูบอกยองจูเพียงว่าต้องออกไปที่ตลาดกับมูฮยอนเพื่อเอาตัวยาที่เพิ่งปรุงเสร็จไปฝากขายที่ตลาดกลางในหมู่บ้าน และโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ฮีอูก็พูดต่อไปอย่างปกติว่าเตรียมอาหารเสร็จแล้ว จากนั้นก็เดินเข้าไปประคองแขนของยองจูที่ไม่คิดขัดขืนหรือพูดอะไรออกมาไปยังโต๊ะอาหาร จากตอนนั้นก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้วจนฟ้ามืด กว่าที่ฮีอูจะกลับเข้ามาในบ้าน และพบว่ายองจูยังนั่งอยู่ที่เดิม และอาหารก็ยังไม่ลดปริมาณลงเลยแม้แต่น้อย
 
ทุกอย่างวางนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน แม้แต่เม็ดข้าวที่เรียงตัวกันอยู่ในถ้วยชาม
 
ยองจูรับรู้ถึงการมาของฮีอู แต่ก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ทางด้านฮีอูเองก็กระอักกระอวนจนรู้สึกจุกแน่นในอกไปหมด ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปเมื่อถูกจับได้แล้วว่าตนเองเป็นใคร
 
ไม่กล้าที่จะร้องขอ เพราะรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์
 
แต่ถ้าจะให้เงียบต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ ฮีอูก็รู้สึกได้ว่าตัวเขาเองจะต้องขาดอากาศหายใจตายไปก่อนเพราะความกดดันเป็นแน่
 
“อาหารเย็นหมดแล้ว เราไปทำให้ใหม่แล้วกัน ถึงอย่างไรก็ต้องทำอาหารค่ำอยู่แล้ว”
 
เป็นการทำลายความเงียบที่อ้อมค้อมที่สุด แต่ฮีอูก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อแล้ว เขาลุกขึ้นเพื่อเตรียมยกจานชามออกไป
 
ไม่รู้ว่าเพราะความเคยชินที่อยู่ดูแลกันมามากกว่าหนึ่งเดือนหรือเปล่าที่ทำให้มือใหญ่คว้าข้อมือเล็กของคนที่เดินอ้อมโต๊ะมายืนอยู่ด้านข้างได้อย่างแม่นยำ
 
“ทำไมต้องโกหก”
 
เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นทำให้คนฟังอยากจะย้อนคำถามกลับไปเหมือนกัน ...ทำไมต้องหลอกกันด้วย?
 
“ไม่สำคัญที่ท่านจำเป็นต้องรู้หรอก” ฮีอูแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดนานนักที่จะตอบสวนกลับไป “ถึงท่านจะไม่พอใจยังไง ตอนนี้เราก็จะทำหน้าที่ดูแลท่านอยู่ดี ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่ปล่อยให้ท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้ตามลำพังแน่”
 
ฮีอูบิดข้อมือออกจากการกอบกุม ทว่าขืนแรงไปก็เปล่าประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะปล่อย
 
“เจ้า...” เสียงทุ้มเอ่ยค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินกลับไปยังเตียงนอนที่อยู่ไม่ห่างกันด้วยความเคยชิน
 
ร่างเล็กมองยองจูที่ทรุดกายลงนั่งบนเตียงด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อครู่ยองจูอยากจะพูดอะไรกันแน่?
 
คิดไป ...ก็ไม่ได้คำตอบ
 

 
อาหารค่ำผ่านพ้นไปด้วยความเงียบ ยองจูทานยาตามปกติ ในตอนนี้ที่เหลือก็เพียงเปลี่ยนผ้าพันแผลและใส่ยาตามร่างกายให้เท่านั้น
 
ทั้งที่ก็ทำเหมือนเคย แต่มือเล็กกลับสั่นไปหมด ผ้าสีขาวค่อยๆ ถูกปลดออกทีละชั้น จนกระทั่งมองเห็นท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำน่ากลัวเกือบจะทั่วทั้งแขน แทบไม่มีสีผิวที่เป็นปกติ
 
ฮีอูโปะยาลงไปอย่างเบามือ พยายามหยุดอาการสั่นไม่ให้รุนแรงมากเกินไป แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกินเมื่อความเงียบคอยเป็นแรงกดดันอยู่เช่นนี้ อีกทั้งความคิดในสมองก็ไม่ยอมหยุดเสียที
 
ได้ยินแต่เสียงตัวเองร้องบอกว่าความสัมพันธ์นี้คงยืดต่อไปได้อีกไม่นาน
 
พลันน้ำตาหยดลงอย่างไม่ทันได้รู้ตัว
 
หยดน้ำอุ่นๆ ที่ตกกระทบท่อนแขนทำให้ร่างสูงรับรู้ได้ว่าคนตัวเล็กกำลังร้องไห้ ช่วงเวลาผ่านไปในความเงียบ แม้จะไม่ได้ยินเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเลย แต่ยองจูก็รู้ว่าคนตรงหน้ายังไม่หยุดร้องไห้
 
เขาเองก็สับสน การที่ได้รู้ว่าฮีมินคือฮีอูมันทำให้เขาเรียงลำดับความคิดยุ่งเหยิงไปหมด คิดมาเสมอว่าจะไม่มีวันพบเจอคนตรงหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง แต่อยู่ๆ กลับเป็นคนที่มาช่วยชีวิตเอาไว้ คอยดูแลอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เป็นอย่างนี้แล้ว ความตั้งใจเดิมที่มีก็สั่นคลอนไปหมด
 
รู้ดีแก่ใจ ว่าหากเจอกันอีกครั้ง หากคิมฮีอูมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง มือคู่นี้ของเขาคงไม่อาจปล่อยให้จากไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง
 
กับคิมฮีอูคนนี้ ยองจูไม่อาจหยุดความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นกับหัวใจได้เลย
 

 
และจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยองจูอยากจะทิ้งทุกอย่างออกไปก่อนชั่วคราว แล้วสนเพียงความรู้สึกของตนเอง และความรู้สึกของคนตรงหน้าแต่เพียงเท่านั้น
 

 
“...ขอโทษ” พร้อมเสียงทุ้มที่เอ่ยนั้น มืออบอุ่นก็เลื่อนขึ้นทาบผิวหน้าของคนตัวเล็กแผ่วเบา ปลายนิ้วหยาบไล้สัมผัสเบาๆ ไปตามดวงหน้าหวาน
 
ฮีอูปล่อยอุปกรณ์ทำแผลในมือลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงสะอื้นที่ทนเก็บกลั้นเอาไว้พังทลายลงพร้อมทำนบน้ำตาที่ไหลรื้นลงสองข้างแก้มอย่างห้ามไม่อยู่
 
เสียงเล็กสะอึกสะอื้นหนักหน่วง ขณะที่มีมือใหญ่ทาบใบหน้าอยู่เช่นนั้น
 
“ฮึก....ฮือออ...”
 
“ข้าขอโทษที่ทำร้ายเจ้า”
 
ศีรษะเล็กส่ายไปมาทั้งที่ยังร้องไห้ มือขาวทั้งคู่ยึดชายเสื้อคนตัวสูงไว้ด้วยอาการสั่นสะท้าน
 
“ข้าขอโทษที่หลอกเจ้า...”
 
ฮีอูยังคงสั่นศีรษะปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นแม้ว่าอีกคนจะมองไม่เห็นก็ตาม คำขอโทษใดๆ ฮีอูก็ไม่ต้องการทั้งนั้น ไม่จำเป็นเลยกับวาจาที่เป็นเพียงอากาศธาตุ สิ่งที่ฮีอูต้องการคือคนตรงหน้านี้ต่างหาก
 
“ฮึก...อย่าทิ้งเราไปอีก...ได้ไหมยองจู ฮึก ฮืออ”
 
มือเล็กจับยึดชายเสื้อแน่นขึ้น แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง
 
ในตอนนี้ ฮีอูเพียงต้องการรั้งยองจูอย่างไม่สนเหตุผลอื่นใด
 
“ฮึก...ถ้าจะจากเราไปอีก ฮึก ก็ช่วยพาลมหายใจของเราไปด้วย ฮือๆ ...ไม่มีท่าน เราก็อยู่ไม่ได้ ...ยองจู เราทำทุกอย่างเพื่อท่านได้ทั้งนั้น แค่เพียงอย่างเดียวที่เรายอมไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมเด็ดขาด ฮึกฮือ... แค่เรื่องนี้เท่านั้น....” มือสั่นเทายกขึ้นนาบกับมือใหญ่ที่จับใบหน้าของตนอยู่ให้เลื่อนลงมาที่บริเวณหน้าอก
 
เสียงคลื่นหัวใจบ่งบอกการมีชีวิตอยู่แล่นผ่านจากฝ่ามือใหญ่ที่ทาบทับไปสู่การรับรู้ของร่างสูง
 
“...หากเป็นความต้องการของท่าน จะให้เราไปตายที่ไหนก็ได้ แต่แค่สิ่งนี้เท่านั้นที่เรายอมให้ท่านผลักไสไปไม่ได้ หัวใจของเรา ความรู้สึกของเรา ความรักของเรา... ยองจูอย่าปฏิเสธอีกเลยนะ ฮึก... หากท่านเองก็มีใจ ได้โปรด บอกให้เรารับรู้ด้วยเถิด ปาร์คยองจู”
 
อย่าทำเมินเฉยอีกเลย ขอร้องล่ะ ตอบรับความรู้สึกที่ท่วมท้นจนแทบจะหยุดลมหายใจในทุกวินาทีนี้ทีเถิด
 

 
ร่างสูงไม่ได้ใช้คำพูดในการตอบรับความในใจของคนตัวเล็ก เขาเพียงแต่ปล่อยให้ช่วงเวลาดำเนินผ่านไปอย่างเชื่องช้า รับรู้ถึงมือเล็กๆ ที่กอบกุมมือของเขาด้วยอาการสั่นน้อยๆ ซึมซับเสียงหัวใจของคนตรงหน้าที่ร้องบอกว่ารักเขามากเพียงไร
 
รัก... ความรู้สึกที่ยองจูไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีวันได้สัมผัส
 
สิ่งที่เรียกว่าความรัก แท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่? ที่ผ่านในชีวิต ยองจูรู้จักเพียงคำว่าหน้าที่ ตั้งแต่เล็ก สิ่งที่ถูกพร่ำสอนมาคือการปกป้องดูแลคิมซอนอิน มีชีวิตอยู่เพื่อคิมซอนอิน และเพราะตลอดมาข้างกายเขามีแต่เพียงลูกศิษย์คนนี้คนเดียวเท่านั้น จึงไม่คิดสนใจเรื่องอื่นใดนอกเหนือจากคนสำคัญคนนี้เลย ด้วยความใกล้ชิดนี้ ยองจูเองเคยคิดด้วยซ้ำว่าคนที่จะทำให้เขารู้สึกดีๆ ได้ก็มีแต่เพียงคิมซอนอินเท่านั้น
 
หากจะรักใครสักคน ก็คงเป็นคนคนนี้
 
ทว่า... คิมฮีอูกลับทำลายทุกอย่างที่เขาเคยเข้าใจมาตลอด
 
เขาหวงและห่วงซอนอิน รักและทะนุถนอมมากกว่าใคร ยอมแลกชีวิตได้อย่างไม่ต้องคิด ความรู้สึกเหล่านั้นเกิดมาจากความรักอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่รักอย่างที่ยองจูเข้าใจมาตลอด เขารักซอนอินเหมือนครอบครัว รักซอนอินเหมือนกับน้องชาย เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต
 
คิมซอนอินสำคัญสำหรับเขามากที่สุด...
 
หากแต่ในตอนนี้ คนอีกคนหนึ่งก็ได้ครอบครองหัวใจของเขาไว้จนหมดแล้วเช่นกัน
 
จะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี เขาควรจะยอมรับใช่ไหม? แล้วหากวันข้างหน้าเขาต้องเลือกระหว่างซอนอินกับฮีอูเล่า เขาจะทำเช่นไร? หากปล่อยให้ความรู้สึกเป็นผู้นำ แล้วที่สุดของทางออกเขาจะฝ่าฟันมันไปได้อย่างไร?
 
ซอนอินเป็นครอบครัวของเขา ส่วนฮีอูก็เป็นคนที่เขาอยากจะตอบรับความรู้สึกที่มี
 

 
หากวันข้างหน้าต้องเลือกแล้วล่ะก็ ยองจูไม่อาจมองเห็นคำตอบได้เลย
 

 
และเพื่อไม่ให้คนตรงหน้านี้ต้องเสียใจมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่ยังไม่อาจเลือกคิมฮีอูแทนซอนอินได้โดยไม่สนข้อแม้ เขาก็ไม่ควรสร้างบาดแผลในใจให้กับฮีอูมากไปกว่านี้
 

 
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ กว่าที่เสียงสะอื้นไห้จะเงียบลง ดูเหมือนฮีอูจะตัดใจที่จะรอฟังคำตอบรับของร่างสูง ร่างเล็กเช็ดน้ำตาด้วยชายแขนเสื้อสองสามที คว้าอุปกรณ์ทำแผลไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะลุกจากเตียงไปโดยไม่พูดอะไรอื่นอีก
 
ฮีอูเก็บข้าวของเข้าที่ เรียงต้นสมุนไพรที่จะใช้ทำยาลงบนโต๊ะไม้อย่างเป็นระเบียบ ดับเตาไฟที่เคี่ยวตัวยาค้างไว้เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน นั่งรอให้ยาที่ต้มหายร้อนอยู่เงียบๆ ภายในห้องครัวที่เหลือเพียงแสงไฟจากโคมสองดวงบนโต๊ะตรงหน้า ใบหน้าหวานดูเหม่อลอยยามที่ต้องแสงสีเหลืองอ่อน ดวงตาคู่สวยไม่สะท้อนประกายสดใส บานหน้าต่างทางซ้ายเปิดโล่งเผยให้เห็นดวงจันทร์สีนวลที่ลอยเด่นอยู่กลางผืนนภาอย่างโดดเดี่ยว บรรยากาศรอบตัวของร่างเล็กนั้นทั้งดูซึมเศร้าและอ้างว้างจับใจ
 
เช้าแล้ว ตัวยาก็เย็นจนชืด แต่ร่างเล็กๆ ที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องครัวกลับยังไม่คิดจะเทยาเหล่านั้นลงในขวดแก้วใบเล็กเพื่อเตรียมขายในตอนฟ้าสาง อีกหนึ่งชั่วยามมูฮยอนก็จะมาตามแล้ว การขายยารักษาโรคนี้เป็นเพียงวิธีเดียวที่ฮีอูจะหาเงินมาใช้จ่ายได้ ทว่า ตอนนี้ฮีอูไม่ได้สนใจเลยสักนิด ความผิดหวังที่เกาะกินหัวใจของฮีอูนั้นบดบังทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าไปจนหมด
 

 
โบร๋ววววววววววว!!!
 

 
จู่ๆ เสียงหอนของสุนัขจิ้งจอกก็ดังขึ้น ฮีอูกระพริบตาปริบราวกับเพิ่งหลุดออกจากห้วงภวังค์ เสียงหอนของสุนัขจิ้งจอกดังขึ้นอีกสองครั้ง คราวนี้ฮีอูได้ยินอย่างชัดเจน และถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว มือเล็กผลักบานประตูหลังของห้องครัวออกไปที่ลานโล่งข้างตัวบ้าน ดวงตาเรียวเล็กกวาดมองไปยังเพิงไม้เล็กๆ ทันที พร้อมกับเท้าที่ออกวิ่งด้วยความตกตื่น
 
อิงอิง ไม่เคยหอนเสียงดังขนาดนี้!
 
ความตกตื่นและความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นในทันที ฮีอูทำเพิงไม้ล้อมคอกไว้เล็กๆ ให้อิงอิงอยู่ตรงเนินเขาไม่ห่างจากตัวบ้านมากนัก เขากลัวว่าหากเลี้ยงไว้ใกล้ๆ ยองจูจะได้ยินเสียงของอิงอิง
 
เท้าเล็กก้าวกระชั้นถี่มากขึ้น หัวใจก็เต้นโครมครามรุนแรงเมื่อมองเห็นจากที่ไกลๆ ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งรุมล้อมอยู่บริเวณนั้นมากกว่าสามคน และหนึ่งในนั้นกำลังใช้ทวนปลายแหลมแหย่เข้าไปในคอกเพื่อไล่ต้อนสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยให้ออกมา
 
“ถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!!”
 
“เฮ้ย มีคนมา” ชายคนหนึ่งในกลุ่มตะโกนขึ้นเมื่อเห็นฮีอูวิ่งตรงเข้ามา
 
“สงสัยจะเป็นเจ้าของ กันมันไว้อย่าให้เข้ามา ตอนนี้สุนัขจิ้งจอกกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ยังไงก็ต้องจับกลับไปให้ได้!”
 
“ปล่อยน่ะ!! อย่าทำร้ายอิงอิง!!” ทันทีที่ฮีอูวิ่งมาถึง ชายตัวใหญ่สองคนก็พุ่งตัวเข้ายึดแขนทั้งสองข้างของฮีอูไว้แน่น ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด เพราะแรงและขนาดของร่างกายที่ต่างกันกว่าเท่าตัว
 
“อย่าดิ้นนักสิวะ!”
 
“ปล่อยนะ!! ช่วยด้วยยยย!!!!”
 

 
เพี้ยะ!!!
 

 
“แหกปากอีกคำเดียว ข้าปาดคอเจ้าแน่!” มีดเงินเย็นเฉียบถูกกดแนบลงกับลำคอขาว ฮีอูฝืนดิ้นอย่างไม่ยอม และไม่สนใจว่าที่มุมปากจะมีเลือดซึมออกมาจากการถูกตบเมื่อครู่ จนรู้สึกถึงความเจ็บแสบตรงช่วงลำคอขึ้นมาเมื่อถูกมีดบาดลงกับผิวเนื้อ
 
ดวงตาของฮีอูสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว เสียงของอิงอิงดังก้องสะท้อนไปทั่วทุ่งหญ้า แต่เพราะบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนเขาเพียงหลังเดียว ผู้คนที่หมู่บ้านตรงเชิงเขาคงไม่มีทางได้ยินเป็นแน่
 
 
ไม่สิ อีกเดี๋ยวมูฮยอนก็จะมาแล้ว ขอให้ทันทีเถิด!
 

 
“ได้ตัวแล้ว!” มือของคนที่ถือหอกอยู่ข้างหนึ่งชูสุนัขจิ้งจอกหิมะตัวเล็กให้คนในกลุ่มเห็น
 
ฮีอูสะอื้นฮักอย่างเจ็บปวดเมื่อเห็นว่าที่ขาของอิงอิงโดนแทงเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดสีแดงสดเปรอะเปื้อนขนสีขาวสว่างดูน่ากลัว
 
“ไม่นะ อย่าเอาอิงอิงไป ขอร้องล่ะ!”
 
“หุบปากน่าคุณชายตกยาก ถ้าจนนักก็กลับบ้านไปเสียสิ ชาวบ้านเค้าลือกันว่าแกเป็นลูกคนรวยนี่? แค่สุนัขจิ้งจอกตัวเดียว ยกให้พวกเราเถอะ” ชายคนที่จับอิงอิงแสยะยิ้มชั่วร้าย ทว่ายิ้มนั้นกลับต้องค้างอยู่บนใบหน้าที่ซีดขาวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นสัตว์ร้ายน่ากลัว
 
“ลูกพี่เป็นอะไรไป?!” ชายฉกรรจ์สามคนในกลุ่มมองหัวหน้าของตนเองอย่างมึนงง ก่อนหันสายตาตามอย่างสงสัย และเมื่อคนทั้งหมดหมุนกายหันไปมองด้านหลัง ความตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโจรทั้งกลุ่ม
 
ที่สุดปลายสายตาของทุกคนนั้น คือร่างสูงในชุดคลุมสีเข้มที่สวมอย่างรุ่มร่าม ตามเนื้อตัวมีผ้าสีขาวผืนยาวหลายเส้นพันเกือบจะทั่วร่าง ที่ศีรษะก็มีเศษผ้าหลุดลุ่ยที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะกระชากทึ้งออกไปจนเผยให้เห็นนัยน์ตาข้างหนึ่งที่เป็นสีแดงฉานราวกับมีเพลิงกัลป์โชติช่วงอยู่ในดวงตาคมคู่นั้น
 
ทั้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งกลุ่มตกตื่นคือมวลสารโดยรอบของร่างสูง ไอควันสีดำสนิทลอยวนอยู่รอบร่างทั้งร่างราวกับเป็นเกราะอีกชั้นหนึ่ง และเพียงแค่คนคนนั้นยกมือที่เต็มไปด้วยร่อยรอยของบาดแผลฟกช้ำขึ้น หอกปลายแหลมในมือของโจรก็ถูกดึงกระชากออกมาอยู่ในมือร่างสูงคล้ายมีเอ็นเบ็ดตวัดเกี่ยวเข้าหาตัว
 
“นั่นมัน... อะไรกัน!!!”
 
โจรคนหนึ่งร้องถามเสียงหลง ในขณะที่ร่างเล็กก็ได้แต่พึมพำชื่อยองจูออกมาเบาๆ อย่างตกใจ
 
“ปล่อยคนของข้า แล้วก็ปล่อยสุนัขจิ้งจอกซะ” เสียงทุ้มไม่ได้ตะโกนดังนัก แต่กลับฟังกดดันอย่างที่สุด
 
“ปล่อยให้โง่! เห้ย ยืนบื้ออะไรอยู่ วิ่งสิวะ!!....อ๊าคคคคค” ยังไม่ทันจะได้ขยับเท้า ขาของคนพูดก็บิดงอไม่เป็นท่า คนที่เหลือเห็นดังนั้นก็รีบก้าวถอยหลังสีหน้าตื่น ปล่อยร่างเล็กลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
 
ฮีอูรีบถลาไปคว้าอิงอิงที่ถูกโยนลงพื้นอย่างไม่ไยดี ร่างกลมๆ ของสัตว์ตัวน้อยสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาเม็ดเล็กสีดำหรี่ปรือเคล้าน้ำตาด้วยความเจ็บจากบาดแผล
 
ก่อนที่จะมีใครโดนบิดขาเป็นคนที่สอง กลุ่มคนทั้งหมดก็พากันวิ่งกุลีกุจอลงเนินเขาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่พ้นสายตาไปเท่านั้น ร่างสูงที่ยืนอยู่ก็ทรุดฮวบลงกับผืนหญ้าทันที
 

 
“ยองจู!!!!”
 

 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 17] 07/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 07-09-2016 14:00:51
 

 
เป็นฝันที่วุ่นวายดีพิลึก
 
ซอนอินตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ดวงหน้าสวยงามขมวดยุ่งยับย่นไปหมด จนนางกำนัลสาวแบยอนอาอดไม่ได้ต้องเอ่ยถามขณะสางเส้นผมให้ผู้เป็นนายอย่างเบามือ
 
“เป็นอะไรไปหรือเพคะองค์วังชอนซา?”
 
“ข้าฝันแปลกๆ”
 
“ฝัน? ทรงฝันถึงสิ่งใดเพคะ?” โซยอนที่กำลังเปลี่ยนชุดทรงให้เอ่ยถามด้วยความสนใจ
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง คิ้วบางกดลึกอย่างใช้ความคิดนึกย้อนกลับไปหารายละเอียดในความฝัน “ข้าฝันว่าข้าเห็นตัวเอง ไม่สิ ข้าฝันว่าข้ากำลังคุยกับตัวเองที่เป็นอีกคนหนึ่ง อ๊า!~ ข้าจะอธิบายอย่างไรดีนะ เอาเป็นว่า ข้าฝันว่าตัวข้ามีสองคน แบบนี้พวกเจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”
 
สาวใช้ทั้งสองย่นคิ้วตาม “แบบที่เป็นเหมือนฝาแฝด อย่างกึมซอง โทซอง ใช่ไหมเพคะ?”
 
ซอนอินมองยอนอานิ่งคิด ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เหมือน แต่ก็คล้ายๆ มันเหมือนกับว่าข้าส่องกระจกดูตัวเองอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ ทั้งหน้าตา รูปร่าง เหมือนกันไปหมด”
 
“ฝันประหลาดแท้”
 
“ทูลให้ฝ่าบาททราบดีไหมเพคะ? จะได้ให้นักโหราศาสตร์มาตีความหมายให้อย่างไรล่ะ!”
 
“ไม่เอาหรอก เรื่องไม่เป็นเรื่อง น่าขายหน้าออกจะตายไป กับแค่ฝัน”
 
คนตัวเล็กยู่หน้าเมื่อนึกว่าตนเองต้องเล่าความฝันให้คนตัวสูงฟัง ถ้าไม่โดนหัวเราะเยาะก็แปลกไปล่ะ!
 
ซอนอินถูกสองสาวเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา สางเส้นผมจนเสร็จ ก่อนจะออกมายังห้องทานอาหาร ร่างบางจัดการกับข้าวต้มตรงหน้าจนหมดในเวลาไม่นาน นั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่ที่ศาลาในสวนจำลองจนถึงช่วงสายที่แดดเริ่มแรงจัด
 
อากาศร้อนจนต้องตัดใจที่จะเฝ้ามองท้องฟ้าเผื่อว่าจะได้เห็นเจ้านกน้อยบินกลับมา ร่างบอบบางลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเพื่อจะเดินกลับเข้าตำหนัก ทว่าก็ชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งเข้าเต็มอกเสียนี่
 
ดวงหน้าสวยจมมิดกับอกของร่างสูง ทั้งเนื้อผ้า และกลิ่นกาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร
 
“ทำไมไม่ปลุกข้าล่ะ? เมื่อคืนเจ้ามาใช่ไหม?” คนสวยตัดพ้อทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง เอวของเขาถูกรวบไว้ด้วยวงแขนของคนตรงหน้า
 
“ใครกันเล่าที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่ริมหน้าต่าง ขนาดข้าอุ้มยังไม่รู้สึกตัว พอเช้าขึ้นมาเห็นว่ายังนอนหลับตาพริ้มก็ไม่อยากรบกวน” ริมฝีปากอุ่นหยอกเย้าผิวแก้มนุ่มของคนในวงแขน ก่อนจะเริ่มรุกไล่ไปหาริมฝีปากสีสวย
 
ซอนอินหลับตาลงตอบรับจูบแรกของวันอย่างว่าง่าย ยิ่งเห็นว่าท่าทางของร่างสูงในวันนี้ไม่มีเค้าความโกรธเคืองอย่างเมื่อวานก็พลอยโอนอ่อนผ่อนตาม ตอบรับเรียวลิ้นที่ล่วงล้ำเข้ามาด้วยการเกี่ยวกระหวัดเข้าหา อึกอักเล็กน้อยกับการจูบไม่เว้นจังหวะหายใจ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
 
จีรยงก้มลงจูบซับมุมปากฉ่ำหวานให้จนสะอาด
 
“ตัวเจ้าอุ่นไปหมดแล้ว เข้าตำหนักเถิด”
 

 
ตำหนักโยกันในตอนสายอบอวลไปด้วยกลิ่นไอแดด มีเพียงแต่ในห้องนอนที่เจือกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้สีขาวที่ชวนให้รู้สึกลุ่มหลงไม่ต่างจากกายงดงามของเจ้าของห้อง
 
ซอนอินถูกฉุดลงมาให้นั่งที่ตักขององค์รัชทายาทแห่งฮานึล ร่างผอมบางภายใต้อาภรณ์สีขาวสว่างตาเอนซบอิงกายร่างสูงด้วยท่าทางออดอ้อนเล็กน้อย วงแขนเล็กๆ วาดรอบลำคออีกฝ่ายไว้อย่างหลวมๆ ดวงหน้าใสระเรื่อสีแดงยามที่ถูกมือใหญ่สอดผ่านทบเสื้อเข้าลูบไล้แผ่นอกชื้นเหงื่อ
 
“ข้าเช็ดตัวให้เจ้าดีไหม?” จมูกโด่งซุกซนอยู่แถวบริเวณลำคอขาว ลิ้นสากลากไล้ใบหูของคนตัวเล็กอย่างหยอกเย้า ขณะที่มือยังสำรวจผิวเนียนนุ่มลื่นน่าสัมผัส
 
คนสวยช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองคนพูดอย่างเขินอาย “เจ้ามีเวลาว่างนักหรืออย่างไร องค์รัชทายาทชองจีรยง?” คำถามแฝงนัยของหงส์งามทำเอาจีรยงอดไม่ได้ที่จะก้มลงงับกลีบปากที่ช่างพูดเสียทีหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว
 
นับวันคนสวยของเขาชักจะก้าวหน้าขึ้นมากทีเดียว
 
จีรยงเอ่ยกระซิบ “หม่อมฉันมีเวลาปรนนิบัติองค์วังชอนซาทั้งวัน อยู่ถวายงานให้ถึงยามค่ำยังได้”
 

 

 
เพราะองค์รัชทายาทแห่งฮานึลรับสั่งว่าทรงว่างทั้งวัน ดังนั้น ตลอดทั้งวันนางกำนัลสาวของตำหนักโยกันจึงได้ยินเพียงแต่เสียงแว่วหวานหอบกระเส่าเล็ดลอดออกมาจากภายในห้องบรรทมให้คนฟังได้รู้สึกหน้าร้อนหูร้อนไปตามๆ กัน
 
“องค์รัชทายาทก็ทรงนักเชียว อาหารเที่ยงก็ไม่ทรงเสวย นี่ก็ใกล้พลบค่ำแล้วยังไม่ทรงปล่อยองค์วังชอนซาของพวกเราออกมาอีก” แม้คำพูดของยอนอาจะฟังเหมือนขุ่นใจในการกระทำของนายเหนือหัว  แต่ใบหน้าของนางนั้นยิ้มแก้มแทบปริ
 
ก็แน่ล่ะสิ นางพอใจที่องค์วังชอนซาเป็นที่ต้องการขององค์รัชทายาทมากกว่าใครนี่นา!
 
“เจ้าไม่รู้สิใช่ไหมยอนอา ว่าอีกสองอาทิตย์องค์รัชทายาทจะทรงออกรบ หากไม่ประสงค์จะใช้เวลาส่วนพระองค์กับองค์วังชอนซาให้มากๆ สิพวกเจ้าค่อยโอดครวญ” กึมซองที่นั่งเอนหลังพิงกับผนังเงยหน้าขึ้นมองนางกำนัลสาวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ เนื่องจากเด็กหนุ่มเพิ่งกวาดขนมหวานที่ยอนอานำมาทานเล่นกับผู้เป็นน้องอยู่ที่หน้าห้องเพื่อรอถวายงานเสียจนเกลี้ยงชาม
 
“เห๋? องค์รัชทายาทหรือจะทรงออกรบ?!”
 
“กับผู้ใดกัน?”
 
เกี่ยวกับเรื่องศึกสงครามบ้านเมืองแล้วละก็ สำหรับพวกนางกำนัลสาวใช้ก็เหมือนเป็นเรื่องนอกเหนือจากสารบบในชีวิตประจำวันโดยสิ้นเชิง
 
กึมซองยืดตัวขึ้นยืน แล้วเอ่ยตอบสองพี่น้อง “ฝ่าบาททรงวางแผนไว้ว่าจะนำทัพที่เจ็ดออกรบกับแคว้นคันเซด้วยพระองค์เอง โดยมีกองทัพนายพลซูวอนเป็นกำลังหนุนเสริมอีกแรง”
 
โซยอนยกมือทาบหน้าอก “ใช้ทหารถึงสองกองทัพเลยหรือ? ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้” เด็กสาวเป็นประเภทอ่อนไหวง่ายต่อเรื่องน่าหวาดเสียว จึงทำให้อดตื่นกลัวไม่ได้
 
“เพราะคันเซใช้ยอฮวาเป็นอาวุธในครั้งนี้น่ะสิ เฮ้อ ช่างเถิด พูดไปพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ข้าว่า เรามาคุยเรื่องที่พวกเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีกันดีกว่านะ” กึมซองถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นปัดไปมาในอากาศ ก่อนยิ้มทะเล้น “นี่ ข้าขอถามหน่อย ฝ่าบาททรงค้างแรมกับองค์วังชอนซาเกือบทุกวันเลยใช่ไหม?”
 
ยอนอาพยักหน้าตอบ “ใช่สิ องค์วังชอนซาของพวกเรางดงามถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็เถอะ อดพระทัยไม่ไหวหรอก!”
 
“ถ้าเช่นนั้น ข่าวลือที่ว่าองค์หญิงห้าจะทรงอภิเษกสมรสกับฝ่าบาทก็ไม่น่าจะเป็นจริงน่ะสิ...แค่ตอนนี้น่ะนะ”
 
“อะไรกัน เจ้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันหรือกึมซอง? แล้วตอนนี้ ของเจ้านี่หมายความว่าอย่างไร”
 
“เค้าพูดกันตั้งแต่ประตูวังหน้าจนสุดกำแพงวังหลังนั่นแหละ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบพลางยกน้ำชาขึ้นจิบ “แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีมูลความจริงเสียเมื่อไหร่ ถึงตอนนี้ฝ่าบาทจะทรงชอบพอองค์วังชอนซาก็เถอะ”
 
“พูดอะไรของเจ้าน่ะกึมซอง!! รู้อะไรก็เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ยอนอาแทบจะพุ่งไปคว้าคอองครักษ์หนุ่มอยู่รอมร่อ
 
กึมซองไอค่อกแค่กเพราะน้ำชาติดคอตอนโดนเด็กสาวพุ่งตัวเข้ามากระชากเสื้อ
 
“เรื่องการเปิดน่านน้ำการค้าจากแคว้นพกซอนั่นแหละ องค์หญิงห้าต้องการใช้การอภิเษกเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
 
“ร้ายกาจ!” ยอนอากระแทกเสียงอย่างลืมตัว
 
“ฝ่าบาทไม่ได้ตอบรับข้อเสนอใช่ไหม?” โซยอนรีบแทรกคำถามก่อนที่พี่สาวจะโวยวาย
 
“ข้าไม่รู้หรอก เป็นเรื่องส่วนพระองค์น่ะ ไม่ได้เจรจากันในที่ประชุม ข้าแค่บังเอิญได้ยินมาจากพี่ชายข้า”
 
“แล้วเจ้าก็เอามาป่าวประกาศ ข้าควรจะลงโทษเจ้าเสียหน่อยดีไหม ยูกึมซอง” เสียงทุ้มหนักที่ดังแทรกขึ้นทำให้คนทั้งสามสะดุ้งโหยงกับการปรากฏตัวของโทซอง
 
ยอนอาไม่รอช้ารีบรบเร้าขูดรีดความจริงโดยพลัน
 
“อย่าถามข้าเลย เรื่องส่วนพระองค์ข้าไม่อยากสอด อีกอย่าง ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็เป็นผู้ตัดสินพระทัย พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์หรอก” โทซองไม่สนใจสีหน้าขัดใจของเด็กทั้งสาม เขากระแอมไอเล็กน้อยปรับสีหน้าให้เรียบนิ่ง แล้วก้าวเข้าไปยืนชิดบานประตู เคาะลงไปสองสามที
 
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ กระหม่อมยูโทซอง เพลานี้องค์หญิงอันแฮซูไม่ยอมเสวยอาหารเย็น เรียกร้องให้ตามฝ่าบาทไปหาที่ตำหนักพะย่ะค่ะ”
 
.
.
.
 
“พะ...พอ...ฮ่ะ ฮั่ก...โทซอง...มา อื้อ!!” ซอนอินบิดกายทรมานต่อความวูบไหวที่ถูกปลุกเร้า มือขาวจับขยุ้มเส้นผมหนานุ่มที่ซุกอยู่ตรงหว่างขาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ที่จะเรียกร้องมากขึ้น
 
จีรยงจับเนินสะโพกเล็กยกขึ้นสูงแล้วส่งปลายลิ้นหยอกเย้า เร่งทวีความพลุ่งพล่านในกายให้กับคนสวยจนหลุดเสียงร้องชวนฟังออกมาอีกครั้ง
 
ดวงหน้าขาวเต็มรื้นไปด้วยน้ำตาจากการถูกกลั่นแกล้งไม่รู้จบมาทั้งวัน ร่างกายเหนื่อยล้าจนแทบสลบแต่คนตัวสูงก็ไม่ยอมให้ได้พัก นอนซบกายกันนิ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกจับพลิกหน้าพลิกหลังโลมเลียตะโบมจูบจนเนื้อตัวมีแต่ร่องรอยน่าอายเต็มไปหมด นับเวลามาจนถึงตอนนี้ซอนอินก็จำไม่ได้ว่าตนเองถูกช่วยจนเสร็จไปสาม หรือสี่ครั้งกันแน่
 
“ฮ๊ะ!! ฮ๊า อื้ออออ....!!!”
 
ดวงหน้าสวยแหงนเงยขึ้นพลางร้องออกมาสุดเสียงยามที่กลั้นเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ความสุขสมในกามารมณ์ถูกปลดปล่อยในช่องปากขององค์รัชทายาทหนุ่มทุกหยาดหยด
 
อายจนไม่เหลือความอายแล้วในเวลานี้ คนสวยได้แต่สมเพชตัวเองในใจ
 
“ปากบอกว่าพอ แต่ร่างกายเจ้าดูอย่างไรก็ไม่คิดว่าพอเลยนะ องค์วังชอนซา” ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก ซ้ำยังใช้ปลายลิ้นเลียคราบขาวข้นที่มุมปากให้คนขี้อายรีบเบือนสายตาหนีเสียอีก
 
ร่างสูงหยัดกายขึ้นนั่งหลังตรงทั้งที่ยังยึดต้นขาเล็กไว้ข้างตัวไม่ให้ได้ปกปิดส่วนที่หน้าอายซึ่งในตอนนี้ก็ยังสั่นระริกหลังการปลดปล่อยไปเมื่อครู่ เมื่อมองจากสายตาขององค์รัชทายาทหนุ่มในตอนนี้แล้ว เรือนร่างขาวผ่องเต็มไปด้วยอารมณ์ในรสเพศของหงส์แสนงามนั้นช่างดูเย้ายวนเสียยิ่งกว่าสาวนางโลมที่มีประสบการณ์เรื่องบนเตียงเสียอีก
 
จีรยงยกต้นขาข้างหนึ่งของซอนอินขึ้นแล้วไล้ริมฝีปากจูบไปตามผิวเนื้อนุ่มหอมเบาๆ ลากปลายลิ้นไปตามท่อนขาเรียวเรื่อยราวกับกำลังเพลิดเพลิน จนกระทั้งไปถึงปลายเท้าเล็ก ที่แม้แต่ตรงส่วนนี้ก็ยังทั้งนุ่มและหอมจนไม่น่าเชื่อ คนที่หันหน้าหนีเมื่อครู่สะดุ้งเล็กน้อยหันกลับมามองอย่างตกใจ
 
ตัวเป็นถึงองค์รัชทายาท เหตุใดถึงได้ใช้ริมฝีปากกับปลายเท้าของเขาเช่นนี้กัน!
 
“เป็นอะไร หืม? ตกใจที่ข้าทำเช่นนี้หรือ?” เห็นคนตัวเล็กเบิกตาโตแล้วชายหนุ่มก็ยกคิ้วขึ้นถาม ก่อนจะก้มลงจูบหนักๆ ที่ปลายนิ้วเท้าของร่างบาง
 
ซอนอินสะดุ้งเตรียมจะชักเท้ากลับ แต่ก็ถูกยึดข้อเท้าไว้เสียแน่น แล้วก็ต้องรีบหลับตาอย่างรวดเร็วด้วยความเสียวซ่านเมื่อปลายนิ้วเท้าข้างนั้นถูกลิ้นอุ่นร้อนดูดดุนหนักหน่วงครบทั้งห้านิ้ว
 
“จำไว้นะ ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกายเจ้า เป็นของข้าทั้งหมด อย่าได้ทรยศคนที่เป็นเจ้าของร่างกายเจ้าเป็นอันขาด”
 
จีรยงก้มลงประกบริมฝีปากบวมช้ำอีกครั้งทิ้งท้าย ก่อนจะลุกจากที่นอน แล้วคว้าเพียงเสื้อคลุมตัวนอกที่ถอดวางไว้ขึ้นสวม เมื่อมองจากสายตาของคนอ่อนแรงบนเตียงแล้ว ก็ให้รู้สึกอายอย่างที่สุด ดูเอาเถิด อีกคนนอนเปลือยเปล่าไม่เหลือเศษผ้าสักชิ้นปกปิดร่างกาย แต่อีกคนยังสวมชุดทรงว่าราชการเสียเรียบร้อย
 
เอาเปรียบกันจริงๆ!
 
ร่างสูงที่สวมเสื้อคลุมตัวนอกเสร็จแล้วก็ก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากชื้นเหงื่อของคนสวย เรียวคิ้วเข้มขมวดนิดๆ เมื่อผละริมฝีปากออกมา
 
“บอกว่าจะเช็ดตัวให้เจ้าแท้ๆ กลายเป็นว่าข้าทำให้เจ้าเปียกเยอะกว่าเดิมเสียอีก” พูดจาหน้าไม่อายอีกแล้ว ซอนอินได้แต่ส่งสายตาต่อว่าอย่างหมดแรง จะโวยวายยังไม่มีเสียงเลย รู้สึกแสบคอไปหมด
 
“เฮ้อ ข้าคิดว่าจะว่างแล้วเชียวนะ เอาเถิด หากคืนนี้ข้ามาได้ก็จะมาแล้วกัน เจ้าก็ไม่ต้องรอหรอก หากง่วงก็หลับก่อนได้เลย”
 
หลังแผ่นหลังขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลก้าวออกไปจากบานประตู ดวงหน้าสวยที่เชื่อมแสงน่ามองอยู่เมื่อครู่ก็พลันเศร้าหมองลง ตั้งแต่ที่โทซองเคาะประตูเรียกเมื่อครู่ เขาก็เอาแต่คิดถึงคำพูดของโทซองที่ว่าองค์หญิงห้าต้องการให้จีรยงไปหาที่ตำหนัก
 
ทั้งสองคนสนิทสนมกันถึงขั้นไหนกัน ถึงได้เรียกหากันง่ายๆ เช่นนี้?
 
แล้วท่าทางของร่างสูงที่คิดจะทิ้งเขาไว้เช่นนี้ก็ทำได้อย่างไม่สนใจนี่อีกเล่า เหมือนตัวเขาเองเป็นแค่คนในหอเริงรมย์ อยากจะมายุ่งวุ่นวายด้วยก็มา อยากจะผละจากก็ไปง่ายๆ ไม่ต่างกันเลยสักนิด
 

ระหว่างที่ถูกนางกำนัลสาวพาไปอาบน้ำ ซอนอินก็ยังไม่หลุดจากห้วงแห่งความคิด
 

 
ที่ว่าตัวของเขาเป็นของจีรยง ก็เพียงแค่ร่างกายจริงๆ ใช่ไหม?
 
ความรู้สึกของเขา วันใดกันจะส่งไปถึงใจของคนผู้นั้นได้
 

 
ซอนอินไม่อาจล่วงรู้คำตอบของตนเองในข้อนี้ได้เลย
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 17] 07/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-09-2016 14:40:48
ทำซอนอินอยู่กับความเสียใจอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 17] 07/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 07-09-2016 15:32:13
องค์หญิง 5 นี้มัน่า :fire:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 17] 07/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 07-09-2016 16:48:52
คอยดูเถอะจีรยง ไม่มีเขาแล้วจะรู้สึก
 :hao7:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 18] 08/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 08-09-2016 10:08:16
 
บทที่ 18

 
จริงหรือเปล่า ที่องค์รัชทายาททรงรับสั่งว่าจะอภิเษกสมรสกับองค์หญิงห้าแห่งแคว้นพกซอ
 
ซอนอินอยากจะถามคำถามนี้กับร่างสูงเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่กล้าพอ ความกล้าของซอนอินหมดไปแล้วตั้งแต่คืนวันนั้น วันที่ร่างสูงผละจากเขาไปหาองค์หญิงแฮซู นับเวลามาจนถึงวันนี้ก็ร่วมสองอาทิตย์แล้วที่ชองจีรยงไม่ได้มาที่ตำหนักโยกันอีกเลย
 
เป็นสองอาทิตย์ที่ซอนอินรู้ตัวแล้วว่าตนเองไม่สามารถครอบครองหัวใจของมังกรหนุ่มแห่งฮานึลผู้นี้ได้เลย
 
พยายามสักเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่มีวันสำเร็จ ทุ่มเททุกอย่างเท่าที่ตัวเขาจะมีได้ ศักดิ์ศรีและร่างกาย จิตวิญญาณและหัวใจ ตัวตนของคิมซอนอินไม่มีความหมายหรือความสำคัญใดๆ ต่อองค์รัชทายาทแห่งฮานึลแม้แต่น้อย
 
ของเล่น ...ใช่ เขาเป็นเพียงของเล่นในความแปลกใหม่ของร่างสูงเท่านั้น ทั้งก่อนหน้าเขา และถัดจากเขา ชายผู้นั้นยังมีหญิงสาวและเด็กหนุ่มมากมายคอยปรนนิบัติ
 
ยังจำได้ดีถึงช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันทั้งที่อีกฝ่ายนั้นมีแต่กลิ่นกายของใครอีกคนที่เพิ่งได้กกกอดกันมา เขาที่ได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นทั้งเจ็บทั้งทรมาน เหมือนหัวใจถูกบีบขยำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก้อนเนื้อในอกใกล้แหลกสลายเต็มที ตัวเขาที่เป็นเช่นนี้ ไม่อยากจะรับรู้อะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อชองจีรยง เป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากรู้จักมันเลย
 
อยากย้อนทุกอย่างให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม
 
อยากให้เขาเป็นเพียงคิมซอนอินที่มีแต่เรื่องการสวดขอพรต่อเทพเจ้า
 
เป็นวังชอนซาที่อาศัยอยู่แต่ในวังหลัง
 
ไม่ต้องพบเจอใคร ไม่ต้องรู้จักใคร ...ไม่ต้องรักใคร
 
 
แต่ซอนอินก็รู้ดี ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
 
ความรู้สึกของเขาถลำลึกมากเกินกว่าจะถอยกลับ รักจนไม่อาจมองเห็นถึงจุดสิ้นสุด รักจนแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม ทำไมเขาถึงรักคนที่ให้แต่ความเจ็บปวดคนนี้นัก ทำไมถึงได้รักคนที่เป็นศัตรูต่อแคว้น ทำไมถึงได้รักผู้ชายที่ไม่เคยเห็นค่าในตัวเขา
 
ทำไมถึงได้รักชองจีรยง...
 
รักจนทรมานไปทั้งหัวใจ
 
น้ำตาที่ควรจะไหล ในเวลานี้กลับเหือดแห้ง ซอนอินนั่งเหม่อมองปลาตัวใหญ่สองตัวแหวกว่ายอยู่ในสวนจำลองเพียงลำพัง เขาปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงร่างสูงของใครอีกคน ขณะที่สายตาก็ทอดมองสระน้ำขนาดย่อมเบื้องหน้า
 
ดวงหน้าขาวหมดจดทอประกายระยิบต้องกับแสงแดดอ่อนๆ ที่กระทบผิวน้ำ ความงดงามของวังชอนซาไม่เคยเป็นที่ครหาต่อผู้พบเห็น แม้แต่คนที่ไม่เคยได้ยลรูปโฉมยังพูดกันปากต่อปากราวกับเป็นนิทานก่อนนอนว่าวังชอนซารูปโฉมงามเพียงใด ทั้งงามและสง่าสมกับที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทงซก
 
ทว่า ความงดงามที่ชาวบ้านเล่าลือกัน จะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความงามนี้บ้าง แม้ว่าดวงหน้าสวยสะคราญตาดวงนี้จะสะกดสายตาของใครต่อใครได้ แต่ความจริงแล้วความสวยนี้ฉาบทับด้วยความเศร้าหมองของเจ้าตัวที่ผู้ใดก็ไม่อาจหยั่งถึง
 
ยิ่งในเวลาที่หัวใจอ่อนแอเช่นนี้ ร่างบอบบางที่นั่งอยู่ภายในศาลาแห่งนี้ช่างดูโดดเดี่ยวยิ่งนัก หากจะให้กล่าวเปรียบเทียบแล้ว ก็ราวกับเป็นนกแสนงามในกรงทองที่ประเมินราคาไม่ได้ ไม่มีผู้ใดยอมทุ่มเงินซื้อของมีราคาที่ทำได้เพียงแค่เชยชม แม้จะสูงค่า แต่ก็ไร้ประโยชน์ ...วังชอนซาที่น่าสงสารจึงเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีแต่ความว้าเหว่โอบล้อมร่างกาย ความสุขและความทุกข์ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก
 
วังชอนซา เป็นบุคคลที่คนทั้งแผ่นดินต้องการ แต่กลับไม่เป็นที่ต้องการของคนที่รัก
 
ดวงหน้าสวยนิ่งเรียบพลันปรากฏรอยยิ้มฝืดฝืน รอยยิ้มที่ราวกับจะเย้ยหยันตัวตนอันไร้ค่าของตัวเอง ซอนอินหัวเราะในลำคอคล้ายเหยียดหยามตัวตนที่เป็นอยู่ แล้วม่านตาที่แห้งสนิทอยู่เมื่อครู่ก็พลันฉ่ำน้ำขึ้นมา ภาพเบื้องหน้าที่เห็นตัวปลาสีส้มกำลังแหวกว่ายหมุนเป็นวงกลมในสระเล็กๆ พร่าเลือนสั่นไหว
ยังจะร้องไห้ได้อีกทั้งที่ก็ร้องอยู่ทุกคืน คิดไปแล้วก็ได้แต่ยิ้มหยันทั้งน้ำตาที่พบว่าตัวเองอ่อนแอเพียงใด
 
...เมื่อไหร่จะสิ้นสุดกันนะ ความรู้สึกแบบนี้
 
 
 
ช่วงหัวค่ำ ที่ตำหนักโยกันมีแขกผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน
 
“ยินดีต้อนรับ องค์หญิงอันแฮซู” ร่างบางเจ้าของตำหนักในเวลานี้เอ่ยต้อนรับเด็กสาวตรงหน้าอย่างสุภาพ มือเรียวผายออกเล็กน้อยเพื่อเชื้อเชิญให้แขกผู้สูงส่งได้นั่งที่เก้าอี้รับรอง
 
“ท่านคือคิมซอนอินสินะ” เด็กสาวไม่สนใจท่าทางเป็นมิตรของคนตรงหน้า ไม่สนใจจะเรียกอีกฝ่ายด้วยตำแหน่งที่คนทั้งแผ่นดินยกย่องด้วยซ้ำ ริมฝีปากสีแดงสดระบายยิ้มน้อยๆ ที่ดูไร้เดียงสา ...หากจะมองอย่างผิวเผิน
 
“พวกเจ้าออกไปให้หมด ไม่ได้เรียกก็อย่าเสนอหน้าเข้ามา ข้าไม่ได้จะมานั่งจิบชาอะไรกับนายของเจ้า” แฮซูตวัดน้ำเสียงใส่นางกำนัลสองพี่น้องที่ช่วยกันรินน้ำชาอย่างไม่ไยดี
 
ไม่ใช่เจ้านาย ไยต้องฟัง? หากจะคิดก็คิดได้อยู่หรอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่อยู่สูงกว่าก็ถือเป็นนายทั้งนั้น คงเพราะยอนอาและโซยอนอาศัยอยู่กับซอนอินมากเกินไป จึงได้เข้าข้างผู้เป็นนายและต่อต้านผู้ที่ไม่ให้เกียรตินายของตนเสียเต็มที่จนเป็นนิสัย
 
ซอนอินละสายตาจากเด็กสาวที่มีอายุห่างจากเขาเพียงปีเศษ แล้ววาดรอยยิ้มบางให้สาวใช้ทั้งสองคน เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด มีอะไรแล้วข้าจะเรียก”
 
“เพคะ องค์วังชอนซา” เด็กสาวทั้งสองจำต้องยอมปล่อยให้ผู้เป็นนายอยู่ในห้องตามลำพังกับอสรพิษร้ายกาจที่ยอนอาเพิ่งให้คำเปรียบเทียบได้เมื่อครู่
 
ซอนอินเดินนำไปนั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง โดยไม่คิดจะเชิญชวนอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง อยากจะยืนเขาก็ไม่บังคับ “องค์หญิงอันแฮซูมีสิ่งใดกับหม่อมฉันหรือ?”
 
ว่ากันตามศักดิ์แล้ว คนทั้งสองก็ถือเป็นลูกกษัตริย์เหมือนกัน ดังนั้นท่าทางที่แสดงออกของซอนอินจึงเป็นไปในทางให้เกียรติกันแบบที่บุรุษมีต่อสตรีเท่านั้น
 
อันแฮซู หมุนกายหันไปยังทิศทางตรงข้ามกับร่างบาง นางเดินไปยังโต๊ะเครื่องเรือนรอบห้อง ใช้ปลายนิ้วแตะวัตถุภาชนะเครื่องเคลือบไปเรื่อยๆ ทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ซอนอินพูด อันที่จริงแล้ว นางทำราวกับในห้องนี้มีเพียงนางคนเดียวมากกว่า
 
ผ่านไปในความเงียบที่ซอนอินยังนั่งนิ่งรอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูด
 
ปลายนิ้วของเด็กสาวหยุดลงที่อ่างแจกันซึ่งวางอยู่ใกล้กับบานหน้าต่าง ในอ่างกระเบื้องเคลือบลวดลายวิจิตรบรรจงนั้นมีดอกไม้สีทองอร่ามลอยเอื่อยอยู่เหนือผิวน้ำ
 
ดอกไม้ที่มีกลีบหกแฉก ซ้อนทับกันสามสี่ชั้น ตัวดอกและรากล้วนเป็นสีทองทั้งสิ้น ความสง่าสูงศักดิ์ของดอกไม้ชนิดนี้จึงเป็นเพียงดอกไม้ชนิดเดียวที่ปลูกขึ้นแต่เพียงในวังหลวงเท่านั้น และเพราะสายพันธุ์ของดอกไม้ชนิดนี้ก่อกำเนิดที่ฮานึล ทั่วทั้งผืนแผ่นดินนี้จึงมี ดอกซากึมฮา เลี้ยงไว้ในสระน้ำรอบตำหนักองค์รัชทายาทและกษัตริย์แห่งฮานึลเพียงเท่านั้น
 
แล้วเหตุใด ในตำหนักโยกันท้ายวังนี่ถึงได้มีดอกซากึมฮา!
 
“องค์หญิงจะทรงทำสิ่งใด!” ซอนอินลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เมื่อเห็นเด็กสาวรวบดอกซากึมฮาขึ้นไว้ในกำมือ
 
ดวงตาสีนิลไหวระริกกับภาพของคนตรงหน้าที่บีบดอกไม้ในมือจนแหลกเละ ก่อนจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง ซอนอินกำมือแน่นอยู่ข้างตัว นึกไปถึงวันที่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้ครั้งแรกแล้วรู้สึกถูกใจเป็นที่สุด เป็นดอกไม้ที่องค์รัชทายาททรงประทานให้กับคนของตำหนักโยกันเป็นกรณีพิเศษ
 
แน่นอนที่ความหมายของดอกซากึมฮาจะหมายถึงตัวแทนของผู้นำแห่งฮานึล ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงดู ที่ผ่านมา แม้แต่พระญาติเองยังไม่อาจเอื้อมจะเป็นเจ้าของด้วยซ้ำ
 
เป็นดอกไม้แสนสำคัญถึงเพียงนั้นแท้ๆ กลับถูกผู้หญิงตรงหน้าทำลายจนย่อยยับต่อหน้าต่อตา
 
“ของสิ่งนี้ไม่เหมาะจะอยู่กับคนอย่างท่านหรอก คิมซอนอิน” แฮซูระบายยิ้มเหยียดหยาม ดวงตาเรียวคมจ้องเขม็งคนร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาดูถูกอย่างไม่ปิดบัง
 
“องค์หญิงไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าสิ่งใดเหมาะกับข้าหรือสิ่งใดไม่เหมาะกับข้า” ถึงคราวนี้ แม้แต่มารยาท ซอนอินก็ไม่อยากจะรักษาอีกต่อไปแล้ว
 
“ตัดสินงั้นหรือ? แม้แต่ชาวบ้านยังแทบไม่ต้องคิดว่าคนอย่างท่านไม่สมควรแม้แต่จะอยู่ที่ฮานึลด้วยซ้ำ!” แฮซูไม่ปล่อยช่องว่างให้อีกคนได้สวนคำ นางก้าวเดินเข้าไปใกล้ร่างบางแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราวกับคุยกับขอทานไม่ต่างกัน
 
“ท่านปิดข้าไม่ได้หรอก ตำแหน่งวังชอนซาของท่านน่ะ ความจริงแล้วตอนนี้มันก็เป็นแค่เปลือกนอก แคว้นของท่านไม่ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่อีกต่อไปสิใช่ไหม หึ มาทำตัวเป็นหงส์ให้ใครๆ เค้านับหน้าถือตาพากันยกย่อง ทั้งที่คิมซอนอินก็เป็นได้แค่กาฝาก เกาะติดองค์ชายใหญ่แห่งฮานึลไม่ยอมปล่อย ไหนท่านลองบอกข้าสิ ว่าท่านมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร?”
 
คำพูดทุกคำของเด็กสาวตีแสกหน้าคนฟังจนแตกละเอียด ไม่รู้ว่าองค์หญิงห้าผู้นี้รู้เรื่องราวของเขามากน้อยแค่ไหน ใช่สิ วังชอนซาอะไรนั่น สำหรับเขามันไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครอ้างสิทธิ์เป็นตัวแทนเทพเจ้าได้หากผู้นำชนเผ่าไม่เห็นชอบ แล้วจากการที่เขาถูกลอบฆ่า ตัวเขายังจะเหลือสิทธิ์อะไรในการครองตำแหน่งสูงศักดิ์นี้อีก
 
...เหตุผลเดียวที่เขายังอยู่ที่นี่ ก็เพราะชองจีรยง
 
“ว่าอย่างไรเล่าคิมซอนอิน ท่านเป็นถึงบุตรชายของกษัตริย์ กลับลดศักดิ์ศรียอมอยู่ภายใต้อำนาจของแคว้นศัตรูอย่างว่าง่าย ท่านไม่นึกละอายใจบ้างเลยหรืออย่างไร? หรือความละอายในตัวท่านมันไม่เคยมีแต่แรก? นั่นสินะ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ทำตัวเหมือนหญิงสาวในหอนางโลมเช่นนี้หรอก”
 
แฮซูหยุดปลายเท้าตรงหน้าร่างบางที่สูงกว่าตน นางระบายยิ้มคล้ายสนุกเสียเต็มประดา ยิ่งเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ให้นึกสนุกมากขึ้นหลายเท่าตัว “ท่านควรประเมินตัวเองเสียใหม่นะ กับการที่มาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทจีรยงเช่นนี้ มันถูกต้องแล้วหรือ? ข้าเองก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับการที่มีท่านอยู่ที่นี่หรอกนะ แต่บอกตามตรงว่าข้ารู้สึกเกะกะขวางหูขวางตาที่มีท่านเหลือเกิน ที่ข้ามาพูดกับท่านก็เพราะอยากให้ท่านคิดให้ดีๆ ว่าอยากจะเป็นคนที่อยู่อย่างปิดบังเช่นนี้ตลอดไปหรือเปล่า วันข้างหน้า ต่อให้ไม่ใช่ข้าที่เป็นชายาเคียงคู่กับองค์ชายจีรยง แต่แน่นอนว่าข้ายอมเป็นสนมให้คนผู้นั้นได้อย่างเต็มใจ ส่วนท่าน...ก็ยังจะเป็นแค่คนที่อยู่ในตำหนักโยกันในส่วนของวังหลังเช่นนี้ เป็นวังชอนซาที่ถูกลืมเลือนยามที่แคว้นของท่านแต่งตั้งวังชอนซาคนใหม่ขึ้นมา”
 
เด็กสาวลากปลายนิ้วไล้โครงหน้าเรียวได้รูปของซอนอิน “...แล้วสักวัน ข้าแน่ใจเลยว่าองค์รัชทายาทจะต้องทรงเบื่อหน่ายบุรุษรูปงามอย่างท่าน ระหว่างหญิงที่มีบุตรให้ กับชายที่ทำให้ได้ก็แค่ความใคร่ คิดดูให้ดีก็แล้วกันว่าท่านยังสมควรอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า”
 
 
องค์หญิงอันแฮซูกลับไปแล้ว
 
ภายในห้องรับรองแขกเหลือเพียงแต่ความเงียบงัน ร่างบางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สิ่งที่เพิ่งได้ยินมาทำให้ร่างทั้งร่างไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ ทุกประสาทสัมผัสของร่างกายชาด้านไปหมด ในหัวหมุนคว้างราวกับถูกโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
 
 
ตัวเขาที่ยังยืนอยู่ที่นี่ ...ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องใช่ไหม
หัวใจที่มีเพียงแต่ชองจีรยง ...ไม่สมควรจะเกิดขึ้นใช่หรือเปล่า
 
คนอย่างเขา ไม่สมควรจะรักใครเลยสินะ...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ฮีอูวางตะกร้ากับข้าวลงบนโต๊ะไม้ภายในห้องครัว ตามด้วยไก่อีกสองตัวที่ถูกลอกขนออกไปจนเหลือแต่เนื้อสีชมพูน่าทาน ยกหลังมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพักหอบหายใจ
 
เหนื่อย!
 
อดจะโอดครวญไม่ได้ เดินขึ้นเขามาด้วยข้าวของพะรุงพะรังแบบนี้จะให้ทนยิ้มยังไงไหว ดวงตาเรียวสวยหันมองหม้อต้มยาข้างตัว ไฟที่จุดไว้ตั้งแต่เช้าตอนนี้มอดดับไปแล้ว เหนื่อยอีกแล้วไหมละ!
 
ร่างเล็กตบข้างแก้มตัวเองสองสามทีเป็นการเรียกกำลังใจและกำลังกาย เขาลุกขึ้นถลกชายแขนเสื้อ ก่อนหันไปหยิบฟืนเพื่อเตรียมจุดเตาไฟอีกครั้ง
 
ไม่นานนัก ยาในหม้อก็เดือดปุดๆ อย่างน่าพอใจ
 
ยาต้มสามถ้วย ซุปไก่เข้มข้นสองถ้วย ปิดท้ายด้วยน้ำสมุนไพรสีเขียวเข้มที่คนทำเองเห็นแล้วยังอยากจะอ้วกอีกหนึ่งถ้วยใหญ่ ถูกวางลงบนโต๊ะอาหารเรียงเป็นแถวน่ากระดานอย่างเรียบร้อย
 
“ขาดอะไรหรือเปล่านะ” ดวงหน้าน่ารักที่มีเค้าของความเหนื่อยล้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ปลายนิ้วก็ชี้ไปยังถ้วยบนโต๊ะเพื่อนับว่าทุกอย่างครบหรือยัง กำลังไล่นับไปด้วยความตั้งใจ พลันวงแขนปริศนาก็รวบเอวเล็กคอดของเจ้าตัวจากด้านหลังไม่ให้ทันระวังตัว จนเผลอร้อง “อ๊ะ” ออกมาเสียดังลั่น แต่พอหันไปเห็นว่าเป็นใครเท่านั้นแหละ คนตัวเล็กก็จัดการสั่งสอนด้วยการหยิกแรงๆ บนท่อนแขนนั้นอย่างไม่ออมมือ
 
“อ๊ะๆ เจ็บ โอ้ย เจ็บๆ ขอโทษคร๊าบบบบ~”
 
“เล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยนะมูฮยอน!”
 
“แหะๆ ก็เห็นพี่ฮีอูแล้วอยากกอดอ่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกลบเกลื่อน
 
มูฮยอนขอโทษร่างเล็กอีกครั้งแล้วยกถาดไม้มาวางบนโต๊ะ จัดเรียงถ้วยชามทั้งหมดลงไปอย่างระมัดระวัง ระหว่างที่จัดการลำเลียงถ้วยซุปเด็กหนุ่มก็ชวนเจ้าของบ้านคุยเล่นไปเรื่อย ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้คนทั้งสองมีความสนิทสนมกันมากขึ้น จากแต่เดิมที่มูฮยอนเรียกร่างเล็กว่าคุณชาย ก็เปลี่ยนมาเรียกว่าพี่ฮีอู
 
“อี๋~ นี่พี่ฮีอูทำอะไรให้คนรักพี่ดื่มอ่ะ” เห็นน้ำเขียวๆ แล้วมูฮยอนก็ต้องหันหน้าหนี
 
“บอกว่าไม่ใช่คนรัก...สมุนไพรนี่จะช่วยให้เลือดที่คั่งอยู่ลดลงเร็วขึ้นน่ะ”
 
“อ๊ะๆ ไม่ใช่ก็ไม่ไช่” มูฮยอนพยักหน้าหงึกหงักรับคำ พลางประคองร่างสูงที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นอย่างเบามือเพื่อให้คนตัวเล็กได้ทำการกรอกยาได้ถนัด
 
ตอนเย็นของทุกวัน มูฮยอนจะแวะมาที่บ้านของฮีอูเพื่อช่วยดูแลร่างสูงที่เจ็บหนัก ในวันที่เกิดเรื่องคราวนั้น มูฮยอนมาถึงที่เกิดเหตุตอนที่ร่างสูงสลบไปแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็ยังสามารถวิ่งลงเนินเขาด้วยทางลัดจนไปบอกกับผู้ดูแลหมู่บ้านได้ทัน ทำให้โจรทั้งหมดถูกรวบตัวจับส่งทางการได้อย่างฉิวเฉียด
 
“อ่ะ จริงสิ พี่ฮีอูมาจากในเมืองหลวงใช่ไหม?” เมื่อวางร่างหมดสติลงนอนตามเดิมแล้ว มูฮยอนก็หันไปหาคนตัวเล็กที่จัดเก็บถ้วยชามอยู่ข้างตัว
 
“อืม มีอะไรหรือ?”
 
“อย่างนี้พี่ฮีอูก็ต้องรู้จักวังชอนซาน่ะสิ! ข้าน่ะเคยได้ยินเค้าเล่าๆ กัน ไม่มีโอกาสไปในเมืองหลวงเลยไม่เคยได้เห็นเลย พี่ฮีอูเคยเห็นไหม?”
 
คำถามของเด็กหนุ่มทำเอาฮีอูชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบ “ถึงจะบอกว่ามาจากเมืองหลวงก็เถอะ แต่ผู้ที่เป็นวังชอนซาน่ะ ใช่ว่าจะมาเดินเปิดเผยหน้าตาให้ชาวบ้านได้เห็นกันเสียเมื่อไหร่”
 
“ว้า น่าเสียดาย ข้าล่ะอยากเห็นสักครั้ง นี่ก็ไม่รู้เนอะ ว่าองค์รัชทายาทจะส่งตัววังชอนซาคืนเชินอันเมื่อไหร่ ...ข้าได้ยินมานะ ว่าตอนที่วังชอนซามาถึงฮานึลปุ๊บ พายุฝนก็เทกระหน่ำลงมาจนไฟป่าดับไปเลย!”
 
“อยู่ๆ ทำไมเจ้าถึงถามเรื่องของวังชอนซาล่ะ?”
 
“อ้อ พอดีมีชาวบ้านต่างแคว้นที่เพิ่งแวะมาพักแรมที่หมู่บ้านเค้าถามหามาน่ะ ข้าก็เลยเพิ่งคิดได้ว่าที่แคว้นเรากำลังต้อนรับแขกคนสำคัญอย่างวังชอนซาอยู่”
 
“ชาวต่างแคว้น?”
 
“ช่าย~ ดูๆ ไปก็เหมือนพวกนักบวชมากกว่าจะเป็นชาวบ้านนะ”
 
คนของเผ่าชินซองหรือ? พลันสีหน้าของฮีอูเป็นกังวลขึ้นมา ตอนที่เขาพบร่างของยองจู ก็ดูเหมือนสถานที่ตรงนั้นมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง วังชอนซาที่น่าจะแลกตัวกับเขาเรียบร้อยแล้วก็ไม่อยู่ในที่ตรงนั้น เป็นไปได้ว่าองค์รัชทายาททรงรับตัววังชอนซากลับเข้าวัง เพราะข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวังชอนซาก็ไม่มีให้ได้ยิน ในเมื่อทางชินซองมาตามหาตัวเช่นนี้ ความเป็นไปได้นี้ก็น่าจะใกล้เคียงที่สุด
 
ถ้าอย่างนั้น ยองจูก็ต้องพยายามพาวังชอนซาออกมาจากวังหลวงน่ะสิ?
 
เขา ...จะถูกแลกตัวอีกครั้งหรือเปล่านะ
 
 
“พี่ฮีอูเป็นอะไร?” เห็นว่าเงียบไปนาน ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มก็ขยับเข้าใกล้พลางถามอย่างเป็นห่วง “ไม่สบายหรือเปล่า หลายวันมานี้ดูพี่เหนื่อยๆ นะ พักผ่อนเยอะๆ หน่อยสิ มีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”
 
“อืม เปล่า คิดอะไรเพลินๆ น่ะ”
 
“ข้าว่าพี่น่าจะดื่มยาบำรุงสักหน่อยนะ มัวแต่ดูแลคนรัก เอ้ย ดูแลคนเจ็บอยู่เนี่ย ตัวเองจะแย่เอานะ”
 
“เข้าใจแล้วน่า” ร่างเล็กตีหน้าย่นใส่คนรู้ดี ก่อนจะลุกขึ้นยืน “มูฮยอนจะทานอะไรก่อนกลับไหม เดี๋ยวจะทำให้ทาน”
 
“ไม่เป็นไร พอดีแม่บอกว่าจะทำของโปรดของข้าตอนอาหารเย็นน่ะ สักพักข้าก็จะกลับแล้วล่ะ”
 
“ตามใจเจ้าละกัน ถ้างั้นจะไปดูอิงอิงก่อนกลับไหมล่ะ ตอนนี้อิงอิงเริ่มเดินได้แล้วนะ”
 
“จริงเหรอ! ไปๆๆ” พูดถึงอิงอิงขึ้นมา เด็กหนุ่มก็ยิ้มร่าหน้าบาน ก็ตั้งแต่แรกน่ะ คนที่คอยไปดูแลสุนัขจิ้งจอกที่เพิงไม้อยู่เสมอๆ ก็คือมูฮยอนนี่แหละ
 
พลบค่ำ หลังจากที่มูฮยอนขอตัวกลับบ้านไปแล้ว ฮีอูก็จัดการกับปากท้องของตัวเองภายในห้องครัว จากนั้นจึงเก็บกวาดเครื่องใช้และวัตถุดิบทำยาต่ออีกราวครึ่งชั่วยาม ถึงจะได้มาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งพักหายใจหายคอได้บ้าง
 
อาจเป็นเพราะไม่ค่อยจะได้ทำงานใช้แรงงานหนักอย่างนี้มาก่อน พอทำไปสักพักร่างกายจึงเริ่มประท้วง ปวดไปหมดทั้งตัว คิดแล้วก็เพิ่งจะได้รู้ตัวว่าตนเองอยู่สุขสบายมากแค่ไหนที่ผ่านมา
 
ขณะที่นั่งทุบไหล่ตัวเองสลับไปมาซ้ายขวา เรื่องที่เพิ่งได้คุยกับมูฮยอนก็ไหลเข้าสู่กระบวนการคิดอีกครั้งจนได้ ไม่ต้องพักกันแล้ววันนี้
 
ฮีอูทอดสายตามองไปยังร่างสูงโปร่งที่นอนสลบอยู่บนเตียงอย่างเลื่อนลอย หากว่าเป็นอย่างที่เขาคาดเดาจริง ยองจูจะต้องพยายามหาหนทางพาคิมซอนอินออกมาจากวังหลวงเป็นแน่ เชื่อได้เลยว่า หากฟื้นขึ้นมาแล้วรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าตัวคงไม่สนใจร่างกายตัวเองแล้วออกเดินทางทันที
 
จะปิดบังเอาไว้ดีหรือเปล่า ...ความคิดที่แล่นเข้ามาทำให้คนตัวเล็กอยากจะกัดลิ้นตาย เพื่อความรักแล้ว ถึงกับยอมโกหกเชียวหรือ? คิมฮีอู เจ้าจะถลำลึกไปกับความรู้สึกมากเกินไปแล้ว
 
 
เขาจะเสียใจก็ไม่เป็นไร ขอแค่ยองจูไม่เสียใจ ก็พอ...
 
 
“รีบๆ หายเข้าล่ะ คนที่ท่านอยากจะไปหากำลังรอท่านอยู่นะ ยองจู”
 
 
ดีที่สุดแล้ว ...เขาที่ทำเพื่อยองจูได้ทุกอย่าง ดีที่สุดแล้วจริงๆ...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 18] 08/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 10-09-2016 00:37:32
อ้าว จะออกศึกแล้วรึ คำตอบก็ไม่ตอบ ไม่ทำอะไรให้มั่นใจได้ซักอย่าง ถ้าซอนอินทำตัวเป็นนางพญาขึ้นมาก็คงดี จะได้เห็นจีรยงต้องหมอบแทบเท้า แต่เรื่องที่มีนักบวชเข้ามาก็น่าห่วง จีรยงก็จะออกศึก หวังว่าจะตามไปช่วยทัน ยองจูกับฮีอูนี่ก็ต้องลุ้นอีก
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 18] 08/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 10-09-2016 01:40:17
 :ling1: :ling1:
อยากอ่านต่อออออออ
สนุกมากเลยค่ะ
ชอบคู่รองมากๆ ชอบคนสู้ชีวิตแบบฮีอู
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 19] 10/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 10-09-2016 17:44:54
 

บทที่ 19


 

ทันทีที่ลืมตาขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ก็สาดเข้ากระทบนัยน์ตาจนต้องปิดเปลือกตาลงรวดเร็ว ตอนที่ลืมตาขึ้นเป็นครั้งที่สองนี่เองที่พบว่าตาข้างหนึ่งของเขายังคงถูกผ้าพันปิดไว้
 
ยองจูขยับลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ บ้านไม้ ทุกอย่างจัดวางเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ไม่ผิดเพี้ยน เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกินที่ต้องอยู่แต่ในความมืดมิด เขาสำรวจร่างกายตนเองที่มีผ้าสีขาวพันอยู่รอบลำตัว ที่ท่อนแขนและท่อนขาก็มีผ้าสีขาวพันไว้ไม่ต่างกัน ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งนอนซบหน้าอยู่ข้างเตียง
 
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร ทุกๆ คืน และทุกๆ เช้า เขารู้ว่าฮีอูมักจะมานอนหลับอยู่เช่นนี้เกือบทุกวันตลอดเวลาที่ผ่านมา กลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวกลายเป็นสิ่งที่ประสาทสัมผัสของเขาจดจำมันได้ดีที่สุด
 
คนเจ็บขยับตัวเล็กน้อย เขาดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วยันตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนโดยไม่ให้เกิดเสียงและแรงขยับมากที่สุด เมื่อลุกขึ้นยืนได้เขาก็พบว่าร่างกายของตนเองฟื้นฟูมาได้ระดับหนึ่งแล้ว ตอนที่วิ่งออกไปช่วยฮีอูเมื่อคราวนั้นเขาฝืนร่างกายอย่างที่สุด จนคิดไปว่าอาจจะเจ็บหนักและทรุดลงมากกว่าเดิม โชคยังดีที่เพราะการฝืนร่างกายใช้วรยุทธครั้งนั้นจะเป็นการปลุกธาตุในกายที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้
 
อีกไม่นาน สภาพร่างกายของเขาคงจะกลับมาเป็นปกติได้
 
ใบหน้าคมเข้มทอดสายตาลงมองร่างเล็กบอบบางที่นอนฟุบอยู่ที่ข้างเตียง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจนถึงตอนนี้คิมฮีอูยังคงทำเพื่อเขา อยู่ดูแลเขา ยอมกลายเป็นชาวบ้านเดินดินคนธรรมดา ทั้งที่เขาทำร้ายคนคนนี้ไปตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วแท้ๆ
 
ราชครูหนุ่มพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองได้ปฏิเสธความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มีต่อตนเอง แต่ยิ่งควานหามันเท่าไหร่ก็ยิ่งเจอแต่ความว่างเปล่า คำว่ารักที่ฮีอูมอบให้เขานั้นบริสุทธิ์และมากเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะปฏิเสธได้ เช่นนั้นแล้ว เขาควรจะยอมรับความรู้สึกที่ถูกยื่นให้ตรงหน้านี้หรือ?
 
หากว่าตอบรับความรู้สึกนั้นแล้ว คิมฮีอูจะไม่เสียใจที่รักเขาแน่หรือเปล่า
 
เป็นเขาดีแล้วแน่หรือ?
 
 
ยองจูอุ้มคนที่ยังนอนหลับขึ้นวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล จับผ้าขึ้นห่มร่างเล็กๆ ที่บิดกายเล็กน้อยด้วยความสบาย ข้อนิ้วหนาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากขาวให้พ้นไปด้านข้าง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงแทนคนตัวเล็กเมื่อครู่
 
ร่างสูงนั่งมองดวงหน้าใสที่หลับตาพริ้ม เขาใช้ปลายนิ้วไล้ใบหน้าอ่อนล้านั้นอย่างแผ่วเบา สีหน้าอิดโรยและร่างกายผ่ายผอมลงทำให้เขารู้ว่าฮีอูต้องลำบากแค่ไหนที่ต้องดูแลเขาและจัดการเรื่องอื่นๆ ด้วยตนเอง
 
 
“ทุ่มเทมากมายเสียขนาดนี้ คิดบ้างไหมว่ามันทำให้ข้าลำบากใจ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับที่จรดริมฝีปากลงกับหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเรื่อยไล้แตะสัมผัสลงเข้าหากลีบปากบางสีหวาน แล้วเอ่ยเสียงกระซิบ
 
“ข้าต้องใช้ทั้งชีวิตชดเชยให้เจ้าเลยหรือเปล่า ถึงจะเพียงพอกับที่เจ้ามอบให้ข้า คิมฮีอู”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
อึดอัดจนหายใจไม่ออก ราวกับมีมือของใครบางคนมาบีบรัดปิดกั้นลมหายใจ หน้าอกรู้สึกปวดหนึบ ร่างกายร้อนราวกับมีเปลวเพลิงปะทุร้อนระอุอยู่ภายใน ช่วงเวลาโหยหาลมหายใจช่างยาวนานเหลือเกิน
 
คิดว่าต้องตายแล้วแน่ๆ พลันเปลือกตาก็ลืมขึ้น
 
ฝันอีกแล้ว...
 
ซอนอินลุกขึ้นนั่งหอบหายใจหนักหน่วงจนรู้สึกร้าวไปทั้งหน้าอก มือเรียวบางชื้นเหงื่อไม่ต่างจากผิวกายลูบคลำลำคอตัวเองด้วยอาการสั่นเทา
 
ความฝันซ้ำๆ ที่ชักจะถี่ขึ้นทุกวันทำให้คนร่างบางอดรู้สึกกลัวขึ้นมาไม่ได้ ในฝันที่มีใครอีกคนหน้าตาเหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน รูปร่างหน้าตา แม้แต่ดวงตาคู่นั้นที่จ้องตรงมาก็ยังเป็นแววตาที่เหมือนกับเขาไม่ผิดเพี้ยน
 
จะผิดก็แต่ คนที่เหมือนกับเขาคนนี้คิดจะฆ่าเขาทุกครั้งที่เขาตกอยู่ในความฝันซ้ำซากนี้
 
ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่ความฝันไร้สาระเท่านั้น ซอนอินบอกตัวเองในใจ อาจจะเป็นเพราะหลายวันมานี้เขาคิดอะไรหลายเรื่องจนส่งผลไปถึงในความฝัน หลับตาลงก็เหมือนไม่ได้หลับ ทุกชั่วยามที่พ้นผ่านในใจเอาแต่คอยกังวลถึงคนผู้นั้นอยู่ตลอด ดวงหน้าสวยหันมองออกไปยังหน้าต่างที่เผยให้เห็นท้องนภาสีน้ำทะเล คงใกล้จะเข้ายามสามแล้ว ...ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วสินะที่ชองจีรยงออกไปทำศึก ผ่านมาหลายวันขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
 
เป็นเพราะสะดุ้งตื่นเอาตอนใกล้รุ่งสาง ความง่วงที่มีจึงมลายหายไปหมดแล้ว ร่างบอบบางตัดสินใจลุกจากที่นอนโดยไม่เรียกสาวใช้ให้มาคอยปรนนิบัติ เรียวขาบางที่โผล่พ้นทบชายชุดนอนตัวบางยังมีเม็ดเหงื่อเกาะซึม ร่างกายยังรู้สึกถึงความร้อนจนต้องพาตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่
 
กว่าที่คนร่างบางจะสวมเสื้อผ้าเสร็จ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ซอนอินนั่งลงที่หน้าโต๊ะกระจกแล้วเริ่มสางเส้นผมอย่างเบามือ ขณะที่ก้มหน้าก้มตาแกะปลายเส้นผมที่ขมวดยุ่ง สายตาก็เหลือบเห็นเงาวูบไหวในกระจก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกลับเห็นว่าทุกอย่างปกติดี
 
แต่นั่นไม่ใช่หลังจากที่ซอนอินก้มหน้าลง เพราะเงาสะท้อนในบานกระจกยังคงปรากฏดวงหน้าสะสวยที่เหมือนกับคนร่างบางไม่ผิดเพี้ยนจ้องตอบกลับมาอยู่เช่นเดิม รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเงานั้นบ่งบอกถึงความพึ่งพอใจ ก่อนที่จะจางหายไปในชั่วพริบตา
 
 
“องค์วังชอนซาทรงทำเช่นนี้ไม่ดีนะเพคะ เกิดองค์รัชทายาททรงรู้เข้า พวกหม่อมฉันได้โดนลงโทษเป็นแน่” ยอนอาครางเสียงน่าสงสาร ทั้งที่ตัวเองเป็นสาวใช้แท้ๆ แต่กลับตื่นหลังผู้เป็นนายเสียได้ เตรียมตัวมาปรนนิบัติเสียดิบดี ปรากฏว่าเจ้านายคนสวยแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วเสียนี่ น่าละอายนัก น่าละอายจริงๆ!
 
“ไม่หรอกน่า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีใครเขาว่าเจ้าหรอก ข้าเองก็ตื่นเร็วด้วย เจ้าไม่ผิดอะไรทั้งนั้นแหละ” ซอนอินบอกปัดไปอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนักเพื่อเพิ่มความเบาใจให้กับสองสาวใช้
 
“กึมซอง เจ้านั่นแหละที่ผิด ตัวยืนเฝ้ายามอยู่แท้ๆ กลับไม่ได้ยินว่าองค์วังชอนซาตื่นได้อย่างไร” ไม่วายหันไปหาผู้ร่วมกระทำผิดที่ยืนทำหน้าเหรอหราเพราะถูกใส่ความเอาดื้อๆ
 
“ชิชะ คิดว่าข้าจะเหมือนเจ้าหรือ ข้าน่ะเอ่ยถามองค์วังชอนซาแล้วหรอกว่าให้ช่วยสิ่งใดหรือไม่ แต่องค์วังชอนซาทรงปฏิเสธต่างหากเล่า” องครักษ์หนุ่มแยกเขี้ยวใส่ยอนอาด้วยท่าทางเหนือกว่า
 
“พอๆ หยุดเลยทั้งสองคน ทะเลาะกันได้ทุกวันสิน่า” เจ้านายคนสวยส่ายศีรษะระอา ใจจริงเขาก็รู้หรอกว่าที่กึมซองและยอนอาโวยวายใส่กันได้ทุกวันแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้ตำหนักเงียบเหงาเกินไป ไม่อยากให้เขาเอาเวลาไปนั่งซึมอยู่คนเดียว แต่นี่ก็มากเกินไปหน่อย ทุกวันเป็นต้องได้ยินเสียงแหลมๆ สูงๆ โต้คารมกันไม่หยุดหย่อน
 
“กึมซอง เจ้าได้ข่าวอะไรคืบหน้าบ้างไหม?” ซอนอินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พลางเดินไปนั่งลงที่โต๊ะกลางห้องเพื่อทานขนมต้มหลากสีอย่างเสียไม่ได้
 
เห็นเจ้านายยอมทานขนมที่โซยอนตั้งใจทำถวายแต่โดยดีแล้ว นางกำนัลแบยอนอาก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยขัดอะไรอีก อย่างน้อยถ้าไม่ทานข้าว ทานขนมก็ยังดี!
 
“กระหม่อมได้รับสาส์นล่าสุดก็เมื่อสามวันที่แล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวคืบหน้าเลยพะย่ะค่ะ”
 
สาส์นเมื่อสามวันที่แล้วบอกว่ากองกำลังฮานึลและคันเซยังเท่าเทียมกันอยู่ แล้วเพลานี้ผู้ใดกันที่เสียเปรียบ ผู้ใดกันที่ได้เปรียบ ซอนอินอยากจะรู้ให้แน่แก่ใจเหลือเกิน
 
ถึงจะรู้ว่าชองจีรยงเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจก็เถอะ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ ไม่มีสักวินาทีใดที่เขาจะเบาใจได้เลย
 
ซอนอินใช้เวลาในตอนบ่ายของวันหมดไปกับการนั่งเล่นในศาลา ฟังสองสาวใช้และกึมซองเล่าเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย มีบ้างในบางช่วงที่จะถูกถามความเห็น ทำให้ซอนอินต้องหยุดพักเรื่องกังวลใจเพื่อตอบคำถามต่างๆ นาๆ ที่สรรหาจะมาเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่ตลอด เรียกได้ว่าไม่ยอมปล่อยให้เขาได้คิดฟุ้งซ่านได้นานเกินอึดใจ
 
“อา...จริงสิ อีกสองวันก็จะถึง วันพยอลดัลนิม แล้ว น่าเสียดายที่ปีนี้องค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ร่วมงานด้วย”
 
“วันอะไรนะ?” ซอนอินเลิกคิ้วสนใจ โซยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามรีบเอ่ยตอบรวดเร็วด้วยสีหน้าตื่นเต้น
 
“วันพยอลดัลนิม เป็นวันขอบคุณเทพแห่งท้องฟ้าเพคะ เป็นประเพณีของฮานึลที่ทุกคนจะต้องร่วมกันจัดงานขอบคุณต่อเทพแห่งท้องฟ้าผู้ปกปักษ์รักษาแคว้นฮานึลให้สงบร่มเย็นมาโดยตลอด แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านก็จะเรียกงานนี้ว่าวันชมจันทร์ชมดาวเพคะ เพราะว่าพิธีจัดเลี้ยงจะดำเนินในตอนค่ำ”
 
“และที่สำคัญ ขนมจองเจที่พระสนมฮีวอนทรงลงมือทำด้วยพระองค์เองยังอร่อยมากๆ ด้วย!” กึมซองรีบออกความเห็นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น สีหน้าของเด็กหนุ่มเริงรื่นเสียจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา
 
“พูดอย่างนี้หมายความว่าขนมจองเจที่น้องสาวข้าทำไม่อร่อยสินะ? ต่อไปเจ้าไม่ต้องมาขอกินขนมที่ตำหนักโยกันเลยนะกึมซอง!”
 
“ข้าเปล่าพูดว่าขนมที่โซยอนทำไม่อร่อยเสียหน่อย!” เจ้าตัวพูดพร้อมกันส่ายหัวหนักๆ เพื่อยืนยัน คราวนี้สีหน้าที่แสดงออกกลายเป็นตื่นตูมขึ้นมาฉับพลัน ด้วยกลัวว่าจะอดกินขนมอร่อยๆ จากพวกนางอีก “ขนมที่โซยอนทำน่ะอร่อยที่สุดอยู่แล้ว แต่พวกเจ้าก็รู้นี่ ว่าขนมจองเจที่พระสนมทำแม้แต่องค์กษัตริย์ก็ยังชื่นชอบ ใครๆ ก็ลงความเห็นว่าพระนางทำอร่อยที่สุด ...เจ้าก็อย่าได้กลัวว่าจะด้อยฝีมือไปเลย พระสนมทรงทำขนมด้วยองค์เองก็เพื่อวันพยอลดัลนิมเพียงวันเดียวเท่านั้น นอกจากวันนั้นแล้ว เจ้าก็ยังเป็นคนทำขนมที่ข้าชอบมากที่สุดอย่างแน่นอน!” คนพูดยิ้มหน้าบานฉีกปากจนเห็นซี่ฟันขาว
 
“ข้าไม่ได้หวังให้เจ้าชอบทานเลยเถอะ!” โซยอนงึมงำคล้ายกำลังงอน เด็กสาวสะบัดชายแขนเสื้อใส่อีกฝ่าย
 
ซอนอินมองเด็กสาวสองคนและเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนโต้คารมกันไปมาอยู่สักพักก็มีคนจากตำหนักของพระสนมฮีวอนมาหา คนที่มานี้เป็นสาวใช้รูปร่างหน้าตางดงาม การแต่งกายแตกต่างจากยอนอาและโซยอน บ่งบอกถึงระดับตำแหน่งที่สูงกว่า นางมาพร้อมกับทหารติดตามสองคนเพื่อมารายงานว่าในวันพรุ่งนี้จะมีคนมารับองค์วังชอนซาไปที่ตำหนักของพระสนมฮีวอน เป็นประสงค์ของพระนางที่อยากจะให้แขกคนสำคัญได้ร่วมทำขนมในวันพยอลดัลนิมด้วยกัน
 
“แต่ข้าไม่เคยทำความรู้จักกับพระสนมเลยนะ? ข้าคิดว่า...”
 
ซอนอินยังไม่ทันได้พูดต่อ นางกำนัลตรงหน้าก็เอ่ยต่อประโยคเสียเอง
 
“เรื่องนี้องค์วังชอนซาไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ พระสนมฮีวอนเพียงต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์วังชอนซาให้มากขึ้น ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่อยู่ พระสนมจึงประสงค์จะเป็นเพื่อนคุยกับองค์วังชอนซาเพคะ”
 
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก หากจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เท่าที่ซอนอินจำได้ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่ฮานึล เขาไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับพระสนมฮีวอนเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่คุย เคยพบหน้ากันยังแทบจะนับครั้งได้ จีมุนเองก็ไม่ได้พูดถึงผู้เป็นแม่ให้เขาฟังเลยสักนิดเดียว แล้วอยู่ดีๆ นางคิดอย่างไรถึงได้อยากคุยกับเขากัน?
 
แล้วเขาควรจะตอบรับหรือเปล่านี่สิยังเป็นปัญหา ก็ในเมื่อคนที่จะสั่งเขาให้ทำสิ่งใดได้ก็มีแต่ชองจีรยงเท่านั้น หากเขาตอบรับ แล้วเกิดจีรยงมารู้ทีหลังแล้วไม่พอใจที่เขาไปยุ่งวุ่นวายกับพระญาติขึ้นมา เขามิต้องโดนต่อว่าเละหรอกหรือ?
 
เป็นแค่คนอาศัยนี่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงเลยจริงๆ!
 
“องค์วังชอนซาเตรียมตัวให้พร้อมนะเพคะ วันพรุ่งจะมีคนมารับที่ตำหนักตั้งแต่เช้าตรู่”
 
“เอ๋? เดี๋ยวก่อนสิ ข้ายัง...”
 
ข้ายังไม่ได้ตอบตกลง ซอนอินกลืนคำที่เหลือลงคอเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้าพากันลากลับโดยไม่คิดจะฟังความเห็นของตนแม้แต่น้อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่คิดจะรอฟังคำปฏิเสธใดๆ เลยต่างหาก
 

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 19] 10/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 10-09-2016 17:45:24


 
ซอนอินยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ เช้าวันต่อมาก็มีขบวนสาวใช้มาตั้งแถวรอรับอยู่ที่หน้าตำหนักโยกันเรียบร้อยแล้ว
 
“ให้ยอนอากับโซยอนไปกับข้าด้วยได้ไหม?” คนสวยวอนขอด้วยสีหน้าน่าสงสาร ถึงอย่างไรก็อยากให้มีคนรู้จักไปด้วยกัน อยู่ๆ จะให้เขาเพียงคนเดียวไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้ามันก็น่ากลัวเกินไป
 
“ไม่ได้เพคะ การจะเข้าออกตำหนักของพระสนมเป็นเรื่องที่เข้มงวดยิ่งนัก จะให้ใครเข้าๆ ออกๆ ตามอำเภอใจไม่ได้ อย่าได้เสียเวลาไปมากกว่านี้อีกเลย เชิญองค์วังชอนซาทางนี้เพคะ”
 
สวยซะเปล่า ทำไมถึงได้ใจร้ายอย่างนี้นะ! ไม่เพียงแต่ซอนอินที่คิดเช่นนี้ แต่ยอนอาและโซยอนก็อดจะคิดต่อว่าไปด้วยไม่ได้ นางกำนัลส่วนพระองค์ของพระสนมนี่เล่นด้วยไม่ได้เลยจริงๆ
 
เสียงหัวใจค่อยๆ ได้ยินชัดมากขึ้นตามย่างก้าวที่เดิน จนกระทั่งมายืนนิ่งอยู่ที่หน้าตำหนักที่มีขนาดใหญ่และสวยงามกว่าตำหนักโยกันหลายเท่าตัว
 
“ยินดีต้อนรับองค์วังชอนซา ข้าคือสนมเอกนามว่าฮีวอน เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ต้อนรับท่าน” น้ำเสียงอ่อนหวานเอื้อนเอ่ยราวกับท่วงทำนองของบทเพลง ดวงหน้างดงามเสียจนคนมองรู้สึกแสบตาอย่างไรชอบกล เมื่อได้มามองใกล้ๆ เช่นนี้แล้ว ซอนอินก็ไม่แปลกใจเลยที่คนคนนี้ได้เป็นถึงพระสนมเอก
 
แต่ก็อีกนั่นแหละ ซอนอินก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้ สายตาคมกริบของนางที่จ้องเขานิ่งเช่นนี้มันทำให้เขาเสียวสันหลังวาบแปลกๆ
 
“เป็นเกียรติแกหม่อมฉันเช่นกันที่ได้มาที่ตำหนักของพระสนมฮีวอน” ซอนอินโค้งกายเล็กน้อยอย่างสุภาพ ร่างบอบบางที่ไม่ได้แตกต่างจากอิสตรีอีกคนสักเท่าใดนักถูกพาเข้าไปยังด้านในตำหนักพร้อมกับสาวใช้อีกกว่าสิบคน
 
ขนมจองเจแท้ที่จริงแล้วก็ทำมาจากแป้งที่มีส่วนผสมหลักคือน้ำผึ้งนั่นเอง ซอนอินดูจะสนใจกับขนมของต่างแคว้นจนลืมความประหม่าที่ต้องอยู่กับพระสนมไปเสียสนิท กลิ่นหอมหวานของวัตถุดิบที่จะใช้ทำขนมอบอวลไปทั่วทั้งห้องครัวขนาดใหญ่ ซอนอินสังเกตว่าการทำแม่พิมพ์และนวดแป้งเป็นหน้าที่ของนางกำนัล ส่วนการผสมจะเป็นหน้าที่ของพระสนมเสียส่วนใหญ่
 
ซอนอินสนุกกับการทำแม่พิมพ์หลังจากที่มีพระสนมเป็นคนสอนด้วยตัวเองอยู่นานกว่าจะทำได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ รูปทรงของขนมจองเจคล้ายกับดอกบ๊วย มีขนาดเล็กเท่าตราหยกทั่วไป สีสันที่แตกต่างกันบ่งบอกถึงรสชาติของชิ้นขนม อย่างสีดำก็จะเป็นรสงาดำ บางสีก็จะเป็นรสของผลไม้ชนิดต่างๆ
 
เพลิดเพลินกับการทำขนมที่คนร่างบางบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นครั้งแรกที่เคยเข้าครัวอยู่นานโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว จนจีมุนที่เพิ่งกลับจากการไปเยี่ยมไข้องค์กษัตริย์เดินเข้ามาทักทายคนสวยที่เกือบจะทั่วใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยผงแป้ง
 
“เสด็จแม่บอกว่าเจ้าไม่ยอมทานข้าว เอาแต่จะช่วยนางกำนัลทำขนมไม่หยุด” ก่อนหน้าที่จะมายังห้องครัว จีมุนแวะไปหาเสด็จแม่ในห้องรับรองมาก่อน คิดว่าจะต้องเจอซอนอินอยู่ที่นั่นด้วย เพราะในส่วนของการผสมวัตถุดิบเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่การทำพิมพ์และจัดวางเท่านั้น ซึ่งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางกำนัลได้
 
“ก็มันสนุกนี่นา ถ้าข้ารู้ว่ามีอะไรที่ทำแล้วสนุกอย่างนี้นะ ข้าไม่เอาแต่นั่งเอ๋ออยู่ทุกวันหรอก” คนสวยหันไปฉีกยิ้มกว้าง พลางเอียงใบหน้าไปตามแรงมือใหญ่ที่จับปลายคางของเขาให้เงยขึ้นเพื่อใช้ชายเสื้อเช็ดผงแป้งให้พ้นผิวแก้มเนียน
 
“ดูท่าเจ้าจะเป็นเจ้าสาวที่ดีได้นะ” พูดแล้วก็หัวเราะลั่น ทำเอาคนสวยหน้าแดงวาบเพราะถูกสายตาของเหล่านางกำนัลแอบมองกันเป็นตาเดียว
 
คนสวยเชิดจมูกขึ้นเล็กน้อยแล้วปั้นหน้าขึงขัง “เจ้าอย่ามั่วนะ ข้าเป็นผู้ชาย จะไปเป็นเจ้าสาวได้ยังไง พอเลย ข้าไม่ทำแล้วก็ได้ขนมเนี่ย” สะบัดหน้าใส่เสียจนคนตัวสูงกว่าต้องรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ จับไหล่เล็กให้หันหน้าเข้าหากันแล้วช่วยเช็ดดวงหน้าขาวจนสะอาด
 
“เดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าที่ตำหนัก แล้ววันพรุ่งตอนหัวค่ำข้าจะไปรับเจ้ามาที่งานเลี้ยง”
 
“ข้าไม่ไปไม่ได้เหรอ?”
 
“ไม่ได้หรอก งานนี้เสด็จพ่อของข้าก็เข้าร่วมพิธีจัดเลี้ยงด้วย ยังไงเจ้าก็ต้องให้เกียรติไปที่งานนะ”
 
“แต่ข้าไม่อยากเจอคนคนนั้นเลย เจ้าก็รู้นี่จีมุน ว่านางไม่ชอบข้า แล้วยังรู้ด้วยว่าแท้จริงแล้วข้าอยู่ในฐานะอะไร”
 
“ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าได้หรอก อย่ากังวลไปเลย ข้าจะอยู่ใกล้ๆ เจ้า”
 
ถึงจีมุนจะรับปากอย่างนั้นแล้วก็ตาม แต่เอาเข้าจริง ในวันงานจัดเลี้ยงอันยิ่งใหญ่นั้นกลับพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เหล่าบรรดาขุนนางน้อยใหญ่มาร่วมงานเลี้ยงวันพยอลดัลนิมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา นับดูจากสายตาคร่าวๆ แล้วก็ร่วมหลายร้อยคน ยังไม่รวมเหล่าบ่าวไพร่ข้ารับใช้และทหารภายในวัง ทั้งยังจะมีคนที่มาทำการแสดงถวายอีกหลายคณะ ความวุ่นวายและความเอิกเกริกครึกครื้นเช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่โอรสองค์รองอย่างชองจีมุนจะอยู่นิ่งกับที่ได้
 
“องค์ชายรอง ท่านหญิงคิมต้องการพูดคุยกับองค์ชายเกี่ยวกับเรื่องของคุณชายคิมฮีอู นางรออยู่ตรงปีกซ้ายทางด้านนั้นพะย่ะค่ะ” จีมุนเพิ่งจะกลับมานั่งข้างซอนอินได้ไม่นานก็มีข้ารับใช้หนุ่มมาเรียกตัว
 
“เจ้าไปเถอะ” ซอนอินพูดขึ้นทันทีที่เห็นว่าจีมุนหันมามองเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ เกือบจะตลอดเวลาที่เริ่มงานมาที่จีมุนต้องผละจากไปหาคนอื่นด้วยฐานะองค์ชายรองแห่งฮานึล ซ้ำในตอนนี้องค์รัชทายาทไม่อยู่ หน้าที่หลักในการดูแลคนสำคัญในงานจึงเป็นของจีมุนเต็มๆ
 
“เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
 
ซอนอินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องกังวล เขาไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับใครอยู่แล้วเพราะถือเป็นแขกคนสำคัญ ซ้ำยังมีตำแหน่งวังชอนซาเป็นเกราะช่วยไว้จากการทักทายอย่างผิวเผินกับคนอื่นๆ เพราะยังไงซะ ตำแหน่งที่เป็นถึงตัวแทนเทพเจ้าก็ย่อมมีหลายคนที่ยำเกรงการเข้าหา อีกทั้งคนในวังต่างก็รู้ว่าองค์รัชทายาททรงให้ความสำคัญต่อวังชอนซามากเป็นพิเศษ เกิดผู้ใดถือวิสาสะตอนที่องค์ชายใหญ่ไม่อยู่เข้าหาแขกผู้นี้ อาจจะโดนลงทัณฑ์เอาง่ายๆ ตำแหน่งที่ซอนอินนั่งอยู่ก็ใกล้กับพระสนมและองค์กษัตริย์อยู่มากจึงไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเดินเข้าหา
 
แต่นั่นก็ยังเท่ากับว่า ซอนอินได้นั่งใกล้กับแขกคนสำคัญอีกคนหนึ่งเช่นกัน
 
“ไม่รู้ว่าที่ท่านยังอยู่ที่นี่ เป็นเพราะรักองค์ชายจีรยงจนยอมเป็นนางบำเรอได้ หรือเพราะไม่มีที่ไปกันแน่ แต่เอ๊ะ คงเป็นทั้งสองอย่างสินะ”
 
ซอนอินไม่ได้หันไปมองคนที่พูดอยู่ทางขวา เพราะเขาก็รู้ดีว่าอีกคนนั้นพูดทั้งๆ ที่ยังหันหน้าไปทางเวที และแย้มยิ้มกับการแสดงได้อย่างแนบเนียน นางก็เพียงต้องการพูดยั่วยุเขาเท่านั้น
 
หุบปากไปสักทีจะได้ไหม!
 
“แต่ข้าว่าท่านควรจะเริ่มเก็บข้าวของได้แล้วนะ ไม่สิ ท่านมาตัวเปล่า ก็ต้องกลับไปตัวเปล่าถึงจะถูก คงไม่ต้องเสียเวลานานนัก”
 
“ท่านพูดเรื่องอะไร” คราวนี้ซอนอินหันไปเขม่นมองเด็กสาวอย่างไม่เกรงว่าใครจะจ้องมองมาหรือเปล่า เขาอดทนมานานแล้วที่จะนั่งนิ่งไม่ต่อคำ แต่สิ่งที่เพิ่งได้ยินมันทำให้เขาเหลืออดแล้วจริงๆ เหตุใดเขาต้องไปไหนด้วย!
 
“บอกท่านไปก็ไม่สนุกน่ะสิ คิกๆ” เสแสร้ง! เสแสร้งชัดๆ เลย! ซอนอินอยากจะกรีดร้องเสียเดี๋ยวนั้น ท่าทางน่ารักขององค์หญิงห้าที่หัวเราะคิกคักไปกับการแสดงละครใบ้ทำเอาร่างบางควันออกหู ปากต่อว่าเขาไม่หยุด แต่กลับแสดงท่าทางหลอกตาได้แนบเนียนเสียยิ่งกว่านักแสดงละครเวทีเสียอีก!
 
คิดจะปล่อยให้เขาของขึ้นอยู่คนเดียวหรือไงกัน!
 
“หึ! ท่านจะคิดยังไงข้าก็ไม่สนหรอกนะ ตราบใดที่องค์ชายจีรยงไม่ไล่ข้า ท่านก็ทำอะไรข้าไม่ได้” ดวงหน้าสวยหันกลับไปมองการแสดงตรงหน้าบ้าง พลางเอื้อนเอ่ยตอบโต้ “อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง ข้าได้ข่าวว่าท่านถูกปฏิเสธข้อเสนอนี่? เช่นนั้น แม้แต่ตำแหน่งพระสนมขององค์ชายจีรยง เจ้าก็คงไม่ได้ครอบครองสินะ”
 
“ปากดี! แล้วมาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะโดนไล่ตะเพิดออกไป!!”
 
“ข้าไม่ว่างมานั่งแย่งผู้ใดกับท่านหรอกนะองค์หญิง ต่อให้องค์ชายจีรยงเลือกท่าน ข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เอาไว้รอให้ข้าถูกไล่เสียก่อนเถิด ค่อยมาถมน้ำลายใส่ข้า อย่ามัวแต่ตีตนไปก่อนไข้ ข้ารำคาญ!”
 
จบคำของร่างบาง เสียงดนตรีของการแสดงก็สิ้นสุดลง ความเงียบที่มีเพียงเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบถึงการแสดงเมื่อครู่ดังระงมคล้ายเสียงหึ่งๆ ของแมลงมีปีก ทว่า คนสองคนที่เพิ่งโต้คารมกันเมื่อครู่กลับรู้สึกแต่เสียงลมหายใจของตัวเอง รอบกายเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
 
ไม่มีฝ่ายใดพูดอะไรอีกหลังจากที่การแสดงชุดต่อไปได้เริ่มขึ้น อาหารคาวถูกเปลี่ยนเป็นของหวาน ขนมมากหน้าหลายตาถูกจัดวางลงตรงหน้า ซอนอินก้มลงมองขนมจองเจที่ตนเพิ่งได้ช่วยพระสนมลงมือทำเมื่อวานแล้วก็ให้นึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เขาหันไปยิ้มให้กับพระสนมฮีวอนที่หันมาทางเขาพอดี อดคิดในใจไม่ได้ว่าพระสนมฮีวอนก็เป็นคนที่ใจดีเหมือนกัน ...แต่ก็อีกนั่นแหละ จะด้วยเพราะคิดไปเองหรืออะไรก็ตาม สายตาที่พระสนมจ้องมองเขาก็ดูน่ากลัวอยู่ดี
 
“เฮ้อ หวังว่าข้าคงหมดหน้าที่แล้วนะ” เสียงทุ้มดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงจะทรุดตัวลงนั่งทางด้านซ้ายของซอนอิน ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบขนมจองเจตรงหน้าคนสวยขึ้นทานแทบจะทันที
 
“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง? เรื่องของคุณชายคิมฮีอูน่ะ ข้าเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย” คนตัวเล็กสอบปากคำชายหนุ่มทันทีอย่างไม่รีรอ สิ่งที่รู้มาคือการแลกตัวกันระหว่างเขากับคิมฮีอู แต่หลังจากที่เขาถูกลอบฆ่าและถูกพากลับมาที่ฮานึล คิมฮีอูก็ไม่อยู่ที่วังแล้ว ครั้งจะถามความจากชองจีรยง ฝ่ายนั้นก็พูดปัดไปเหมือนไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ จึงไม่กล้าถามอีก
 
พอนึกถึงใครอีกคนที่ชองจีรยงให้ความสำคัญขึ้นมา ซอนอินก็รู้สึกปวดหนึบที่ก้อนเนื้อในอก มีคนเพียงคนเดียวที่เขาไม่อาจเอาชนะได้ ก็คือคิมฮีอูผู้นี้ คิมฮีอูคนที่ชองจีรยงโอบกอดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คิมฮีอูที่ชองจีรยงหวงนักหวงหนาจนต้องเก็บไว้ใกล้ตัวมาตั้งแต่เด็ก คิมฮีอูผู้กำหัวใจของมังกรหนุ่มแห่งฮานึลมาโดยตลอด
 
หากจะคิดถึงสถานะปัจจุบันของตัวเอง ซอนอินก็รู้ดีว่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้ ที่จีรยงเข้าหาเขาบ่อยขึ้น ใจดีกับเขามากขึ้น อ่อนโยนกับเขาอย่างที่เขาไม่คิดฝัน ก็คงเป็นเพราะในตอนนี้ไม่มีคิมฮีอูอยู่ข้างกายฝ่ายนั้น
 
ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว ตัวแทนที่ว่านอนสอนง่าย...
 
...ความเป็นจริงที่รู้อยู่แก่ใจ ทำได้ดีที่สุดก็เพียงเท่านี้
 
ซอนอินรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว ถึงได้เลิกคิดใส่ใจกับคำพูดขององค์หญิงแฮซู ก็เป็นอย่างที่จีมุนเคยบอก เขาไม่สามารถหยุดรักชองจีรยงได้ แล้วจะสนใจใครอีกทำไม ใครจะว่าอย่างไรเขาก็ไม่สน ตราบใดที่ใจของเขายังเป็นของชองจีรยง เขาจะไม่ฟังใครทั้งนั้นนอกจากผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจดวงนี้
 
“ยังไม่มีข่าวอะไรเลย ทหารยังหาตัวคุณชายฮีอูไม่พบ ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากนัก เรื่องของคิมฮีอูคงมีแต่เสด็จพี่ที่รู้ดีที่สุด”
 
“อืม” ซอนอินตอบรับในคอ พยักหน้าเล็กน้อย รู้สึกโกรธตัวเองที่จู่ๆ ก็ถามเรื่องของคิมฮีอูออกไป ...ทำร้ายตัวเองชัดๆ!
 
ยิ่งดึกการแสดงก็ยิ่งคึกคัก ซอนอินเพลิดเพลินไปกับขนมหวานและการแสดงตรงหน้า สลับกับการพูดคุยกับจีมุนอย่างออกรส จนใกล้ๆ เวลาสำคัญของพิธีที่ต้องจุดพลุขึ้นฟ้า ซอนอินก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันผิดปกติไป ร่างกายรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เรี่ยวแรงเหมือนจะหายไปเสียดื้อๆ ดวงหน้าขาวพลันซีดเผือด ริมฝีปากแห้งผาก
 
“เป็นอะไรซอนอิน!” จีมุนที่เห็นว่าคนร่างบางมีอาการแปลกๆ รีบเอ่ยถามพลางยื่นมือออกไปโอบไหล่บางไว้
 
“กลับ...จีมุน อยากกลับ....” มือเล็กจับยึดท่อนแขนใหญ่แน่น ร่างทั้งร่างสั่นกึกกัก สีหน้าแสดงออกถึงความทรมานบางอย่าง จีมุนไม่รีรออะไรอีก รีบโอบประคองคนตัวเล็กออกไปจากงานทันที
 
“เป็นอะไรไปซอนอิน เกิดอะไรขึ้น?” จีมุนถามอย่างเป็นห่วงขณะที่ก้าวย่างไประหว่างทางเดินที่เชื่อมกันของตำหนักแต่ละตำหนัก
 
ศีรษะเล็กส่ายไปมา ร่างกายเริ่มสั่นรุนแรงมากขึ้นอย่างไม่เข้าใจ จู่ๆ ก็เหมือนมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ภายในร่างกาย ร้อนจนต้องหอบหายใจหนักหน่วง
 
“จีมุน ร้อน...” ซอนอินไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อร่างกายสั่งให้เกาะยึดคนตัวสูงไว้แน่น ดวงหน้าสวยเชื่อมแสงหยาดเยิ้มเชิญชวนอย่างที่เจ้าตัวไม่อาจหยุดความต้องการที่พุ่งพล่านขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจได้
 
จีมุนหยุดชะงักด้วยความตกใจ เขาก้มลงมองร่างบางที่พยายามเบียดร่างกายเข้าหาเขา ทั้งสีหน้าและท่าทางที่ซอนอินแสดงออกสร้างความมึนงงให้แก่จีมุนอย่างที่สุด จีมุนจับประคองสองข้างแก้มของซอนอินให้เงยขึ้นสบตา “อย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำนะซอนอิน ข้าจะรีบพาเจ้ากลับตำหนัก!” โดยไม่ต้องคิดให้มากความ มือใหญ่โอบเอวเล็กและท่อนขาเรียวยกขึ้นอุ้ม พร้อมกับก้าวเดินอย่างรวดเร็ว
 
ทันทีที่ถึงตำหนักโยกัน จีมุนตะโกนสั่งให้นางกำนัลรีบเตรียมน้ำเย็นเพื่อให้ซอนอินได้แช่ตัว ยอนอาและโซยอนไม่ได้ถามอะไรให้เสียเวลา พอเห็นสภาพของคนเป็นนายแล้วก็รีบช่วยเหลือตามคำสั่งขององค์ชายรองทันที
 
“พยายามใช้น้ำเย็นราดหัวไปเรื่อยๆ เดี๋ยวข้าจะกลับมา” จีมุนเอ่ยบอกนางกำนัลที่ช่วยกันปลดชุดทรงออกจากร่างขาวผ่องที่แดงจัด ก่อนจะพลุนพลันวิ่งออกไป
 
สภาพของซอนอินที่แปลกไปเช่นนี้ เป็นผลมาจากยาปลุกอารมณ์ไม่ผิดแน่ จีมุนไตร่ตรองขณะก้าวย่างออกไปอย่างโกรธจัด คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้จะต้องเป็นคนที่ใกล้ตัว คนที่นั่งข้างซอนอินนอกจากเขาแล้วก็มีแต่องค์หญิงห้า!!
 
“ท่านมีหลักฐานอะไรหรือเปล่า? อย่ามาใส่ความข้านะ!!” เป็นอย่างที่จีมุนคาดไว้ว่านางไม่มีทางยอมรับแน่
 
“องค์หญิงแฮซู ท่านก็รู้ว่าเสด็จพี่ทรงให้ความสำคัญกับวังชอนซามากเพียงไร หากเสด็จพี่รู้เข้า ข้าไม่คิดว่าท่านจะได้อยู่เป็นสุขแน่ ข้าคิดว่าท่านส่งยาถอนมาให้ข้าจะดีกว่า”
 
“ยาถอน? หลักฐานก็ยังไม่มี อย่ามาทำขู่ข้าหน่อยเลย ...จริงสิ ไหนๆ ท่านก็ชอบคิมซอนอินอยู่แล้ว ไยไม่ช่วยเสียเองล่ะ?” เด็กสาวยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ปลายนิ้วของหล่อนลากไล่ไปที่แผ่นอกของคนตัวสูงคล้ายต้องการยั่วเย้า “ถือเป็นโอกาสของท่านนะองค์ชายรอง พี่ชายท่านไม่อยู่เช่นนี้ ใครกันจะช่วยปลอบโยนหัวใจของคิมซอนอินล่ะ?”
 
“ข้าไม่คิดอะไรต่ำๆ หรอกนะ!” จีมุนปัดมือเด็กสาวอย่างไม่เกรงใจ
 
“งั้นก็เชิญท่านทำตัวเป็นสุภาพบุรุษต่อไปเถอะ!” แฮซูตะคอกเสียงแข่งกับเสียงวงดนตรีของคณะนางรำ แล้วสะบัดตัวเดินตึงตังกลับไปนั่งที่เดิมอย่างไม่สนใจอะไรคนตัวสูงอีกเลย
 
จีมุนกำมือแน่นเมื่อไม่อาจทำอะไรได้อีก ถ้าไม่ได้ยาถอนมา ซอนอินจะต้องทรมานเป็นอย่างมาก จนกว่ายาจะหมดฤทธิ์ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เลวร้ายที่สุดก็คงเป็นตอนฟ้าสาง แล้วระหว่างนั้นซอนอินจะทนได้อย่างไรกัน!
 
 
“ทำอย่างไรดีเพคะองค์ชายรอง องค์วังชอนซาทรงทรมานถึงเพียงนี้ ยอนอาสุดปัญญาจะคิดแล้วจริงๆ ฮึก!” ยอนอาร้องไห้น้ำตาท่วม แม้ว่าจะจับร่างบางลงแช่ในอ่างน้ำเย็นแล้วก็ตาม เปลี่ยนน้ำอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้อุณหภูมิต่ำอยู่เสมอแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ผู้เป็นนายยังคงทรมานต่อความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
 
“พวกเจ้าออกไปให้หมด แล้วไปตามกึมซองออกมาจากงานจัดเลี้ยง บอกว่าข้าเรียกตัวให้มาโดยเร็ว”
 
จีมุนหันกลับไปมองร่างเปลือยเปล่าที่กอดเข่าตัวสั่นอยู่ในอ่างไม้ เขาเดินเข้าไปใกล้ ทันทีที่แตะมือลงกับช่วงเนินไหล่เนียน ร่างบางก็โผเข้ากอดเขาจนน้ำในอ่างกระเซ็นเปียกไปหมด
 
“ซอนอิน อดทนอีกหน่อยได้ไหม อีกไม่ถึงสองชั่วยามยาก็น่าจะหมดฤทธิ์แล้ว” จีมุนโอบวงแขนตอบอย่างอ่อนโยน เขาลูบลงกับเส้นผมสีดำเปียกชื้น ใบหน้าสวยซบแนบอยู่กับซอกคอของเขา
 
“จีมุน...ได้โปรด ทรมาน ไม่ไหวแล้ว... ข้าทนไม่ไหว.....” แม้ดวงหน้าที่เงยขึ้นสบสายตาจะเต็มไปด้วยความต้องการ แต่จีมุนรู้ดีว่าในตอนนี้ซอนอินไม่อาจบังคับตัวเองได้ ทั้งคำพูดและร่างกายเป็นไปตามอารมณ์ที่เจ้าตัวคงไม่ได้สติแล้วในเวลานี้ สัญชาตญาณแห่งความต้องการในราคะครอบงำสติสัมปชัญญะไปจนหมดแล้ว
 
ริมฝีปากบางกัดแน่นจนน่ากลัวว่าจะแตก จีมุนใช้นิ้วของตนพยายามแยกริมฝีปากนั้นออกจากกันก่อนที่คนร่างบางจะได้เลือด แต่กลับเป็นการกระทำที่ผิดพลาด คนที่หลงมัวเมาในไฟตัณหาใช้ปลายลิ้นไล้เลียเรียวนิ้วของชายหนุ่มราวกับโหยหามานานแสนนาน ซอนอินไม่ยอมให้จีมุนชักปลายนิ้วกลับ มือเล็กทั้งสองยึดข้อมือหนาไว้แล้วระดมดูดดึงโลมเลียมากกว่าเดิม
 
“ซอนอิน อย่าทำแบบนี้....” จีมุนกัดฟันพูด แค่เห็นว่าคนที่หลงรักเปลือยกายอยู่ต่อหน้าก็เกินจะทนแล้ว นับประสาอะไรกับทวงท่าเชิญชวนจากฤทธิ์ปลุกกำหนัดเช่นนี้!
 
ได้โปรดซอนอิน หากมากกว่านี้ข้าจะหยุดตัวเองไม่ได้
 
จีมุนตัดสินใจบีบข้างแก้มของซอนอินให้อ้าปาก ถึงจะกลัวว่าซอนอินจะเจ็บ แต่ถ้าไม่หยุด เขาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
 
“อ่า...” เสียงหวานครางขัดใจเมื่อโดนดันให้จมลงกับอ่างน้ำอีกครั้ง ดวงหน้าสวยเชื่อมแสงช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวสูงที่ตกลงมาอยู่ในอ่างด้วยกันเพื่อที่จะกดร่างบางไม่ให้ลุกขึ้นจากน้ำได้อีก
 
ดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาทำให้จีมุนเกิดความหวั่นไหว ยากที่จะต่อต้าน เหมือนเวลาหยุดเดิน และโลกใบนี้มีเพียงแค่เขาและคนตรงหน้าเท่านั้น
 
วงแขนบอบบางขาวนวลยกขึ้นคล้องลำคอคนที่คร่อมตนอยู่ให้ก้มหน้าลงมาใกล้ เหมือนสมองหยุดทำงานชั่วคราว จีมุนไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งริมฝีปากของพวกเขาแนบสัมผัสกัน ลิ้นเล็กไร้เดียงสาที่พยายามล่วงล้ำเข้ามาฉุดอารมณ์ของชายหนุ่มให้ดิ่งวูบ สติที่ใกล้จะกลับมาถูกพัดปลิวออกไปไกลมากกว่าเดิม
 
“อือ....อืม.......” เสียงหวานครางเครือพอใจกับรสจูบที่อีกฝ่ายตอบสนองกลับมา ริมฝีปากของคนทั้งคู่บดเบียดแนบสนิทครั้งแล้วครั้งเล่า จูบดูดดื่มที่ทั้งชีวิตของจีมุนยังไม่เคยได้ลิ้มรสรุนแรงและหอมหวานมากเช่นนี้มาก่อน
 
เคลิบเคลิ้มจนยากจะหยุดยั้ง มัวเมาลุ่มหลงจนร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง
 
 
“...จีมุนอ่า......”
 
 
ชั่ววินาทีหนึ่งที่ได้สบตากับคนร่างบาง อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าให้ทิ้งทุกอย่างไป ช่างเรื่องของพี่ชาย ช่างเรื่องของความถูกต้อง ช่างคนทั้งแผ่นดิน จะเพราะฤทธิ์ยาหรืออะไรก็ตามแต่ ช่างปะไรหากซอนอินต้องการเขาถึงเพียงนี้
 
 
แค่ครั้งเดียวที่อยากให้คนคนนี้ต้องการเขาบ้าง
 
 
แค่ครั้งเดียวเท่านั้น...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
จบตอน

 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 19] 10/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 10-09-2016 18:27:29
อย่าให้ซอนอินต้องตกเป็นของจีมุนเลยนะขอล่ะ เราติดเรื่องนี้มากถ้าซอนอินต้องตกเป็นของจีมุนเราคงต้องหยุดอ่านแน่ๆทำใจไม่ได้จริงๆ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 19] 10/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 10-09-2016 20:54:01
นิยายบางเรื่อง ชอบมากแค่ไหน บางทีก็หยุดอ่าน ถ้าเรารู้สึกเนื้อเรื่อง มันชอบกล แต่เคารพคนเขียนนะ อย่างมากก็แค่ ไม่ได้ติดตามแล้ว
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 19] 10/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-09-2016 00:55:16
สำหรับเรา ถ้าซอนอินจะมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกับจีมุน (ตอนต่อจากนี้) เราก็ไม่คิดว่าจะแปลกนะ
แต่มีข้อสะกิดใจอยู่บ้าง
1. ซอนอินเรียกหา จีมุน ไม่ใช่ จีรยง แสดงว่าน่าจะมีสติอยู่บ้าง (แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้) ถ้าคิดตามพล็อตนิยายทั่วไป (ซึ่งมีอยู่สองทาง) อาจจะสรุป (ไปเอง) ได้ว่า ซอนอินไม่ได้รักจีรยงแบบลึกซึ้งมากนัก แต่เท่าที่อ่านมามันไม่ใช่อ่ะ
2. ถ้าซอนอินกับจีมุนมีอะไรเกินเลยกันจริงจากเหตุการณ์นี้ แล้วจีรยงรู้เข้า จะรับได้ไหม จะยังยอมให้ซอนอินอยู่ข้างกายอยู่ไหม (ณ ตอนนี้เราไม่รู้ว่าจีรยงคิดยังไงกับซอนอินแน่) ถ้ารับไม่ได้ (ในสายตาเราจะมองว่า) ความรักของจีรยงที่มีต่อซอนอินยังน้อยกว่าความรักของจีรยงที่มีต่อตนเอง (ต่อศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ตาม) ซึ่งอาจจะนำไปสู่การกระทำที่กระทบกระเทือนจิตใจของซอนอินมาก ๆ
3. จากความฝันของซอนอิน ในตอนนี้ (น่าจะ) มีจิตฝ่ายดำซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของซอนอิน รอคอยและค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของซอนอิน ทำให้กลายเป็นฝ่ายทำลาย (แบบที่แสดงออกในรูปปีกสีดำ ณ ตอนก่อนโน้น) การได้รับผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรงอาจจะส่งผลเร่งให้ด้านมืดกลืนกินได้เร็วขึ้น
4. ถ้าเหตุการณ์ต่อจากนี้มีการล่วงละเมิดทางเพศกันจริง ๆ เราจะไม่ชอบจีมุนมาก ๆ เลย เพราะถือว่าเป็นคนที่มีสติมากกว่าซอนอิน ควรจะใช้เหตุผลถูกผิดยับยั้งความต้องการของตัวเองได้ การทำตามความต้องการส่วนลึกโดยไม่นึกถึงจิตใจของซอนอินเมื่อมีสติรู้ตัว เป็นการเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด (ไม่ได้บอกว่าจีรยงดีหรอกนะ นั่นก็เลวไม่ต่างกัน)
5. การที่จีมุนไปเอาเรื่ององค์หญิงห้าได้เร็วแสดงว่าสถานที่จัดงานกับตำหนักโยกันอยู่ไม่ไกลกันใช่ไหม ดังนั้นนางกำนัลที่ไปตามกึมซองก็น่าจะกลับมาทันท่วงทีหรือเปล่า (กึมซองเป็นหมอหรือเปล่า ที่จริงน่าจะตามหมอนะ แต่จริง ๆ แค่ทำให้ซอนอินสลบไปก็น่าจะได้นี่นา อารมณ์คล้าย ๆ ให้กินยานอนหลับ)
รอตอนต่อไปค่ะ
ยังคงเชื่อว่านิยายกลิ่นอายเกาหลีนี่เป็นเจ้าแห่งความดราม่าหรือไร
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 20 - 21] (ลง 2 ตอน) 11/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 11-09-2016 11:44:37
 
บทที่ 20

 
เช้าวันรุ่งขึ้นเหล่าบรรดาข้ารับใช้ภายในตำหนักโยกันต่างใจคอไม่ดี หลังจากที่ผู้เป็นนายถูกแช่น้ำอยู่หลายชั่วยามทำให้ในตอนนี้มีอาการไข้ขึ้นสูงอย่างน่ากลัว
 
วังชอนซาป่วยเพราะพิษไข้มาหลายครั้งแล้ว และแต่ละครั้งก็ร้ายแรงน่ากลัวทั้งนั้น โชคยังดีที่คราวนี้องค์ชายรองเป็นผู้จัดการด้วยตนเองทั้งหมด หมอหลวงถูกเชิญตัวมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ผลสรุปที่ได้ในเช้านี้คือยาปลุกที่องค์วังชอนซาได้ทานเข้าไปนั้นสลายหมดแล้ว เหลือเพียงแต่พิษไข้เท่านั้น
 
แม้ว่าหมอหลวงจะบอกเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วก็ตาม แต่จีมุนก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ซอนอินตัวร้อนผิดวิสัยคนทั่วไปถ้าจะเป็นเพียงแค่ไข้หวัด เรียกได้ว่าแค่แตะปลายนิ้วสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นผ่านเข้ามา
 
“เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลยหรือ?”  จีมุนหันไปถามกึมซองที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน ไม่ใช่แค่เพียงความร้อนในตัวของซอนอินที่ชายหนุ่มเอ่ยถาม แต่เขาหมายรวมถึงแผ่นหลังบางที่ปรากฏร่องรอยเลื่อมแสงแปลกประหลาด
 
“พะย่ะค่ะ แต่ครั้งนี้...ดูจะเด่นชัดกว่าทุกครั้ง” แม้แต่กึมซองเองยังขมวดคิ้วยุ่ง เขารู้มากกว่าใครในห้องนี้ว่าแท้ที่จริงแล้วองค์วังชอนซามีความลับอะไรซ่อนอยู่ ปีกสีดำขนาดใหญ่ที่เขาเคยเห็นมากับตาย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด ตั้งแต่ที่พาคนผู้นี้กลับมายังฮานึลก็ไม่รู้ว่าปีกได้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากนั้นที่เขาได้เฝ้าติดตามรับใช้อยู่ที่โยกันมาตลอดก็ไม่เห็นทีท่าว่าปีกสีดำจะปรากฏออกมาให้เห็นอีกเลย
 
ในช่วงที่องค์รัชทายาทไม่อยู่ หากปีกคู่นั้นงอกออกมาแล้วละก็ จะทำอย่างไรกัน!
 
ความกังวลขององครักษ์หนุ่มดำเนินไปได้ถึงแค่ช่วงพลบค่ำ ม้าเร็วก็ได้ส่งสาส์นมาถึงวังหลวงว่ากองทัพของฮานึลเป็นฝ่ายชนะสงครามแล้ว และในตอนนี้ฝ่าบาทก็ได้ควบม้ากลับมาล่วงหน้าก่อนโดยไม่หยุดพัก อีกไม่เกินสองวันก็น่าจะถึงวังหลวง คนส่งสาส์นไม่ได้บอกรายละเอียดของเหตุผล แต่ดูเหมือนว่าจะได้ข่าวเรื่องของคุณชายคิมฮีอู จึงได้ตัดสินใจรีบกลับก่อนที่ทัพจะได้รับชัยชนะเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้น ทหารของฮานึลก็ได้ตีค่ายของคันเซแตกย่อยยับไปเยอะแล้ว โดยที่มีฝ่าบาทเป็นผู้วางแผนด้วยพระองค์เอง ตอนที่ฝ่าบาทเสด็จกลับมาก่อนนั้นก็เดาผลแพ้ชนะออกกันแล้ว
 
กึมซองจ้องมองดวงหน้าซีดขาวของคนที่นอนอยู่บนเตียงนิ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบพอดีกับคนร่างสูงที่หันมา ความหมายบางอย่างในสายตาของผู้เป็นนายที่ส่งมาทำให้เด็กหนุ่มพยักหน้ารับนิ่งๆ โดยไม่ต้องพูดอะไรต่อกัน
 
“องค์ชายรองจะอยู่ต่อหรือไม่เพคะ?” โซยอนยกอ่างแก้วบรรจุน้ำเย็นเข้ามาในห้องเอ่ยถาม พลางคุกเข่าลงข้างเตียงแล้วใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเพื่อเช็ดตามตัวคนเป็นไข้
 
“ไม่ล่ะ” หากนางกำนัลน้อยได้หันมามอง จะรู้ได้เลยว่าสีหน้าของคนพูดนั้นดูเจ็บปวดมากเพียงไร จีมุนไม่อาจมาเจอหน้าซอนอินได้อีกแล้ว เขารู้ดีว่าเมื่อใดที่ซอนอินฟื้น ฝ่ายนั้นคงไม่ต้องการพบเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ...ไม่ใช่หลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อคืนนี้
 
“พวกเจ้าดูแลซอนอินให้ดีล่ะ ข้าจะให้แพทย์หลวงคอยอยู่ที่นี่จนกว่าพิษไข้จะทุเลาลงมากกว่านี้” องค์ชายรองหันไปรับสั่งกับเฒ่าชราสองสามคำ แล้วเดินออกไปจากตำหนัก
 
 
 
สองวันให้หลัง องค์รัชทายาทแห่งฮานึลก็ได้เสด็จกลับถึงวังหลวง
 
พิธีต้อนรับไม่ได้ถูกจัดขึ้นอย่างเอิกเกริก เพราะเป็นการเดินทางที่เร่งรีบ มีเพียงองค์รัชทายาท องครักษ์ยูโทซองและนายพลซูวอนเท่านั้นที่ร่วมเดินทางอย่างกะทันหันกลับมาพร้อมกัน
 
โถงว่าราชการถูกเปิดใช้เป็นที่ประชุมทันทีที่องค์รัชทายาทเสด็จกลับมาถึง ขุนนางน้อยใหญ่ต่างวิ่งวุ่นกับการรับราชบัญชาคำสั่งใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าเสร็จจากศึกทางคันเซแล้ว ฝ่าบาทจะทรงประกาศสงครามกับเชินอันรวดเร็วเช่นนี้!
 
เสียงพูดคุยกันในโถงราชการดังระงมไปทั่วทุกทิศเมื่อสิ้นสุดการประชุม
 
“เดือนหน้านี้มันอีกแค่อาทิตย์เดียวไม่ใช่หรือ!” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งออกอาการตกตื่นกับรับสั่งที่ได้ฟังมาเมื่อครู่
 
“เรื่องนั้นน่ะช่างก่อนเถิด เรื่องขององค์วังชอนซาต่างหากที่น่าตกใจ!” เหล่าขุนนางเริ่มตีวงจับกลุ่ม
 
“ข้าเอะใจอยู่แล้วเชียวว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้ใช้ทหารมากมายนัก เพื่อให้คุมตัวเชลยนี่เอง!”
 
“เป็นข่าวใหญ่แน่ถ้าชาวบ้านได้รู้ว่าองค์วังชอนซาอยู่ที่แคว้นเราด้วยฐานะของเชลยศึก!!”
 
เสียงเอะอะดังสลับกันไปไม่หยุดถูกปิดกั้นด้วยบานประตูหนาหนักขนาดใหญ่ ร่างสูงในชุดว่าราชการอย่างเรียบง่ายเนื่องจากมีเพียงแค่เสื้อคลุมตัวยาวลวดลายวิจิตรที่สวมทับชุดรบสีดำตัวในไว้ ก้าวเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ใครก็เดาไม่ได้ว่าเจ้าตัวคิดสิ่งใดอยู่ภายในใจ
 
“ฝ่าบาท ทำเช่นนี้ไม่วู่วามเกินไปหน่อยหรือ?” นายพลซูวอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแฝงแววกังวล สีหน้าของนักรบวัยกลางคนดูอิดโรยเล็กน้อยจากการเดินทางและการรบที่ผ่านมา
 
“ข้าไม่เห็นว่ามีตรงไหนที่เรียกว่า ‘วู่วาม’ อย่างไรข้าเองก็ตัดสินใจได้นานแล้วที่จะทำศึกกับเชินอัน ครั้งนี้ถือเป็นฤกษ์ดีที่ฝ่ายนั้นเร่งเวลาให้เร็วมากขึ้น ถ้าคิดจะใช้อุบายแลกตัวเชลยแล้วจบกันก็คิดผิดมหันต์” สีหน้าคมเข้มไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ยังคงเรียบนิ่ง ทว่าดวงตาคมลุ่มลึกคู่นั้นกลับทอประกายแวววาวคล้ายดวงตาของมังกรใหญ่ยักษ์ที่พร้อมจะตะปบบดขยี้ผืนแผ่นดินให้ย่อยยับ
 
“คิมฮีอู แลกกับคิมซอนอินงั้นรึ? จะได้ใจเกินไปหน่อยแล้ว!!” ฝ่ามือใหญ่กำแน่น ก่อนจะรีบก้าวเดินให้เร็วมากขึ้นตรงไปยังห้องทรงอักษร ปลายพู่กันบนโต๊ะถูกหยิบขึ้นใช้ทันที หมึกสีดำที่ถูกฝนรอไว้ล่วงหน้าถูกวาดลงบนผืนกระดาษขาวอย่างรวดเร็ว
 
ใจความบนเนื้อกระดาษอ่านได้เพียงแค่ปรายตามองเท่านั้น
 
 
‘แลกเปลี่ยน และ เปิดศึก’
 
 
ม้วนกระดาษถูกสอดไว้ในกระบอกสีทองลวดลายมังกรสีมรกต ก่อนจะถูกยื่นส่งให้ทหารส่งสาส์นหนุ่มที่น้อมกายรอรับอย่างรู้หน้าที่
 
“จัดการส่งให้ถึงมือคิมอุนเซ และบอกคนผู้นั้นไปด้วยว่าข้าจะคืนบุตรชายให้ แต่หากมีครั้งที่สอง แม้แต่หน้าตาของคิมซอนอินข้าก็จะไม่มีวันให้ได้เห็น”
 
“น้อมรับพระบัญชาพะย่ะค่ะ”
 
คล้อยหลังคนนำสาส์นออกไปจากห้อง จีรยงก็เรียกให้ทหารหลวงคนหนึ่งเข้ามาด้านใน เอ่ยถามถึงกระท่อมไม้บนเนินเขาตันซานว่ามีสิ่งใดหลงเหลืออยู่บ้าง นายทหารหนุ่มรีบทรุดกายคุกเข่าถวายรายงานอย่างขยันขันแข็ง
 
“ทูลฝ่าบาท ข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงตัวบ้านถูกเผาไหม้จนเกรียม แทบไม่เหลือซากอันใดเลยพะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มสุนัขจิ้งจอกของคุณชายคิมฮีอูวิ่งลงเนินเขาอยู่ไม่ไกลจึงตามไปพะย่ะค่ะ”
 
“ชาวบ้านแถวนั้นหรือ?”
 
“เป็นลูกของชาวบ้านแถบนั้นพะย่ะค่ะ กระหม่อมได้พูดคุยแล้ว ได้ความว่า คุณชายฮีอูอาศัยอยู่กับจอมยุทธท่านหนึ่งซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส อยู่ดูแลกันเรื่อยมาตั้งแต่ที่ย้ายมาที่เนินเขาแห่งนี้ แต่เมื่อหลายวันก่อน จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งบุกขึ้นไปทำร้ายคนทั้งสอง ประจวบเหมาะกับที่ทางทหารหน่วยพิเศษได้เบาะแสของคุณชายฮีอูพอดีว่าอยู่ที่ไหน พอไปถึงก็พบแต่เพียงซากปรักหักพังแล้วพะย่ะค่ะ”
 
ตามรายงานที่บอกมานั้น ดูเหมือนฮีอูจะขายปิ่นปักผมและของมีค่าให้กับโรงรับจำนำในตัวเมืองแถบภูเขาตันซาน แต่เพราะสินค้าเป็นที่สะดุดตาต่อพ่อค้าหากำไรมากนักจึงได้สืบสาวเอาได้ง่ายว่าเป็นเครื่องประดับของคุณชายคิมฮีอู และสืบย้อนขึ้นมาจนได้ความว่าเจ้าของเครื่องประดับนี้มุ่งหน้าเดินทางไปทางไหน
 
แต่ก็ยังช้าไปที่จะพาตัวกลับมา
 
“เจ้าบอกว่ามีกลุ่มคนบุกเข้าไปทำร้ายสองคนนั้น?”
 
“พะย่ะค่ะ ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกตรงกันหมดว่าจอมยุทธที่ได้รับบาดเจ็บพยายามต่อสู้กับกลุ่มคนที่บุกเข้ามาจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง หากไม่เพราะคุณชายฮีอูวิ่งเข้าไปห้ามแล้วยอมจำนนแต่โดยดี จอมยุทธท่านนั้นคงสิ้นชีพไปแล้วพะย่ะค่ะ”
 
เรียวคิ้วของคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษรกดลึกยามที่ต้องใช้ความคิด หากว่าราชครูปาร์คยองจูต่อต้านคนของเชินอันเพื่อปกป้องคิมฮีอูไว้ก็น่าแปลก คนผู้นั้นน่าจะเป็นคนที่อยากใช้ฮีอูต่อรองเพื่อให้ได้คิมซอนอินกลับไปมากที่สุดไม่ใช่หรืออย่างไร? อ่า...ไม่สินะ ตอนนี้พวกคนเผ่าชินซองต้องการปลิดชีพวังชอนซาคนปัจจุบัน ทางเชินอันเองก็ร่วมมือกับชินซองในการตัดสินใจที่จะปลิดชีพองค์ชายคนโตแห่งเชินอันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคงเป็นเหตุผลที่ราชครูผู้นั้นไม่ยอมให้จับฮีอูไปเพื่อทำข้อแลกเปลี่ยน
 
ปาร์คยองจูไม่ต้องการเห็นคิมซอนอินตาย
 
และเขาเอง ก็ไม่ต้องการให้คิมฮีอูตกอยู่ในมือของศัตรู
 
จีรยงโบกมือให้ทหารหนุ่มออกไปจากห้อง พลางครุ่นคิดถึงแผนการ หลังจากการเปลี่ยนตัวเป็นผลสำเร็จ เขาจะประกาศทำศึกในสามวันให้หลังทันที ในเมื่อเชินอันเสนอข้อตกลงมาแล้วเขาก็จะไม่รอช้า แคว้นใหญ่เชินอันมีข้อได้เปรียบที่มีพวกนักบวชเผ่าชินซองเป็นกำลังเสริม นี่คงเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการที่เชินอันช่วยพาคิมซอนอินกลับไป เพราะโดยปกติแล้วเหล่านักบวชชินซองไม่ใคร่ต้องการยุ่งเรื่องบ้านเมืองเท่าใดนัก
 
“โทซอง เจ้าเคยบอกข้าใช่ไหมว่าวังชอนซาที่ถูกเลือกจากสวรรค์หรืออะไรก็ตามแต่ ในวัยที่มีอายุย่างเข้า 17 ปีเต็ม เมื่อถึงวันที่ 7 เดือน 7 จะเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น?”
 
องครักษ์หนุ่มก้าวออกมาจากมุมห้องแล้วเอ่ยตอบรับคำ “เป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ”
 
“ในกรณีของคิมซอนอิน อย่างที่เจ้าบอกมาว่าปีกสีดำคือความหายนะสำหรับพวกชินซอง เจ้าคิดว่านักบวชพวกนั้นจะทำอย่างไร? อีกสองอาทิตย์คือเดือน 7 วันที่เราเคลื่อนทัพไปถึงก็น่าจะไม่พ้นวันที่ 7 พอดิบพอดี เจ้าคิดว่าก่อนหน้านั้นสามวัน คิมซอนอินที่ตกไปอยู่บ้านเมืองเกิดแล้วจะถูกปลิดชีพทันทีเลยหรือเปล่า?”
 
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจตอบได้ ชินซองกลัวเกรงการมีชีวิตอยู่ของวังชอนซาองค์ปัจจุบันมากนัก อาจจะปลิดชีพทันทีที่ได้ตัวไปเลยก็เป็นได้ แต่ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง...” โทซองหันไปเรียกแฝดผู้น้องให้เข้ามา ในมือของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามานั้นมีนกน้อยสีขาวเกาะอยู่ที่ปลายนิ้ว จีรยงจำได้ทันทีว่าเป็นนกเลี้ยงของผู้ใด
 
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ยูกึมซองโค้งกายต่ำ ก่อนเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นสัญญาณจากผู้เป็นพี่ว่าให้ถวายรายงานได้เลย
 
“นกน้อยตัวนี้สื่อถึงความคิดของมนุษย์ได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยเรียนวิชาประเภทนี้มาจากท่านแม่...” ไม่ต้องขยายความมากนักจีรยงก็รู้ดีว่าเป็นเช่นไร ยูโทซองและยูกึมซองแท้ที่จริงก็มีเชื้อสายของชินซอง ผู้เป็นมารดาหนีออกจากชนเผ่าเพื่อมาแต่งงานกับนายทหารเอกของฮานึล “...ทันทีที่กระหม่อมรู้ว่านกน้อยตัวนี้มีความสามารถพิเศษก็ได้สื่อเจตจำนงให้เข้าไปสอดแนมในวังหลวง กระหม่อมปล่อยนกให้บินออกจากกรงตอนฟ้ามืด จนถึงเมื่อคืนนี้ที่มันได้บินกลับมา ทำให้กระหม่อมได้รู้ว่าราชินีซองอึนผู้เป็นมาดาขององค์ชายซอนอินเสียพระทัยมากกับการตัดสินให้ชินซองปลิดชีพบุตรชายตนเอง ตอนที่พระนางรู้ว่าบุตรชายยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ต่อรองให้ชินซองกักขังบุตรชายของนางไว้ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แทนที่จะสังหารพะย่ะค่ะ เห็นได้ชัดว่านกตัวนี้ถูกฝึกมาอย่างดีว่าให้จงรักภักดีต่อองค์วังชอนซา และถ้าให้กระหม่อมเดา นกน้อยตัวนี้เป็นนกเลี้ยงของราชครูปาร์คพะย่ะค่ะ”
 
“ใช้วิธีกักขังสินะ” รัชทายาทหนุ่มเปรยเสียงเบา
 
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทแน่พระทัยเรื่องของวังชอนซาผู้นี้ให้ดี การที่ฝ่าบาทประกาศออกไปว่าแท้จริงแล้วองค์วังชอนซาคือเชลยศึก กระหม่อมเข้าใจดีว่าฝ่าบาทหมายความเช่นไร” โทซองเอ่ยท้วงขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง เขารู้ว่าเหตุใดนายเหนือหัวของตนถึงได้ยอมเผยความจริงทั้งที่จะทำให้ชาวบ้านแตกตื่นโกลาหล เพราะหากทรงประกาศทำศึกออกไปก็เท่ากับว่าฝ่าบาททรงเห็นองค์วังชอนซาเป็นเพียงคิมซอนอิน บอกอย่างชัดเจนให้ทางเชินอันได้รู้ว่าพระองค์ไม่สนใจว่าฐานะของคิมซอนอินคืออะไร พร้อมกันนั้น ยังเป็นการเปิดเผยความต้องการของฝ่าบาทที่มีในตัวของคิมซอนอินอีกด้วย
 
“เหตุใดข้าต้องเสียเวลาไตร่ตรองอีกครั้ง?” นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมององครักษ์คนสนิท
 
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้ดีว่าสิ่งใดที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่กับวังชอนซาผู้นี้ ฝ่าบาทก็ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วว่าคิมซอนอินไม่ใช่คนที่รับตำแหน่งวังชอนซาแค่เพียงนาม แต่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าอย่างแท้จริง และยังเป็นผู้ที่ถูกเลือกในทางตรงกันข้ามกับแสงสว่าง... ฝ่าบาทอาจไม่ทรงเชื่อ แต่ตามตำนานที่กล่าวสืบทอดกันมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เมื่อพ้นผ่านคืนวันที่ 7 เดือน 7 ปรากฏการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายแรงเพียงใดก็ตามแต่ กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาทเสี่ยงที่จะรับคนคนนี้กลับมายังฮานึล”
 
“เจ้ากลัวว่าข้าจะตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะคิมซอนอินกลายเป็นเทพด้านมืดหรือ?”
 
“ฝ่าบาท...” เสียงของโทซองฟังคล้ายเสียงครางอย่างอ่อนใจ เพราะท่าทางของคนที่พูดด้วยนั้นไม่ใคร่จริงจังสักเท่าใด “เห็นแก่ตำแหน่งองค์รัชทายาทบ้างเถิดพะย่ะค่ะ หากทรงได้รับอันตรายจริง...”
 
“เอาเถิด ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าเป็นห่วงข้าแค่ไหน แต่ก็อย่างที่เจ้าเข้าใจ สิ่งใดที่ข้าตัดสินใจแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าคิมซอนอินจะเป็นอะไร ข้าก็ยังต้องการให้คนผู้นั้นอยู่เคียงข้างข้า”
 
“กระหม่อมคิดแล้วว่าฝ่าบาทจะต้องทรงหลงรักองค์วังชอนซาเป็นแน่!!” อยู่ๆ เสียงของกึมซองก็โผลงขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบลอบฟังอยู่เป็นนาน เห็นสายตาของแฝดผู้พี่ตวัดดุเข้าให้ก็สะดุ้งโหยงสุดตัว ยิ้มแห้งๆ ยามที่เงยหน้าขึ้นขออภัยโทษต่อนายเหนือหัว
 
จีรยงโบกมือเป็นเชิงให้กึมซองหยุดก้มหัวขออภัยโทษ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งดุจสายน้ำที่เย็นเฉียบ แต่เด็กหนุ่มทั้งสองก็ยังคงเห็นริ้วรอยแห่งความอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าที่มักจะเคร่งขรึมอยู่เสมอ “รักงั้นหรือ? ข้าไม่คิดว่ามันจะมากถึงเพียงนั้นได้”
 
“อ้าว! แต่ฝ่าบาททรงต้องการให้องค์วังชอนซาอยู่เคียงข้างพระวรกายนี่พะย่ะค่ะ? ...โอ้ย!” ไม่วายกึมซองก็เสียมารยาทอีกจนได้ แต่คราวนี้มีสันมือของพี่ชายโบกศีรษะเป็นการลงโทษแทนนายเหนือหัวเสียเอง
 
“พวกกระหม่อมอยู่รบกวนมานานแล้ว ฝ่าบาททรงเดินทางมาเหนื่อยๆ ทรงกลับตำหนักเพื่อพักผ่อนเถิดพะย่ะค่ะ กระหม่อมสองคนขอทูลลา” จบคำและการโค้งกายถวายคำนับ โดยที่ใช้มือหนึ่งบังคับกดศีรษะคนที่ตัวเล็กกว่าให้ก้มตาม โทซองก็กึ่งลากกึ่งอุ้มแฝดผู้น้องพาออกไปจากห้องทรงอักษรอย่างรวดเร็ว
 
เมื่อในห้องเหลือเพียงคนเดียว รัชทายาทหนุ่มก็ได้เท้าคางวางศอกลงกับพนักแขน เปลือกตาหนาเริ่มรู้สึกหนักอึ้งเพราะความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าจนไม่รู้สึกว่าอยากจะลุกเดินไปไหน ทว่า สีหน้าของชายหนุ่มกลับดูคลายเครียดลงจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เปลือกตาปิดลงอย่างช้าๆ ความคิดค่อยๆ ไหลเวียนบางเบา ภาพของใครคนหนึ่งปรากฏเด่นชัดในม่านหมอกความมืดมิด ก่อนที่รอยยิ้มจะถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากหยักหนา
 
ยอมรับว่าหลงใหลคิมซอนอิน ถึงขนาดไม่อยากปล่อยให้หลุดจากมือคู่นี้ไป
 
แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้จะมากถึงเพียงไหน รัชทายาทหนุ่มทรงประสงค์ทราบให้แน่พระทัยนัก
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

(ต่อ)

 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 20 - 21] (ลง 2 ตอน) 11/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 11-09-2016 11:45:07
 

 
ใจหนึ่งก็อยากเจอ อีกใจก็อยากหนีไปให้ไกลๆ
 
ภายในใจของหงส์งามว้าวุ่นไปหมด ตั้งแต่ที่ฟื้นลืมตามาก็ได้ข่าวว่าชองจีรยงกลับจากศึกแล้วเมื่อวานนี้ และเมื่อตอนเช้าฝ่ายนั้นก็ได้มาเยี่ยมเขาที่ยังสลบไสลไม่ค่อยได้สติเพราะพิษไข้แล้วหนหนึ่ง และจะกลับมาอีกครั้งในตอนเย็นตามที่นางกำนัลบอกกับเขา
 
โธ่สวรรค์ ข้าอยากเจอชองจีรยงมากพอๆ กับไม่อยากเจอเลย!
 
คนสวยที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงพลิกกายไปด้านข้างแล้วซุกใบหน้าจมลงกับผืนผ้าผวยที่ยกขึ้นมากอดรัด เสื้อผ้าสีขาวตัวบางยับย่นยามที่เจ้าตัวพยายามมุดตัวเองลงกับเตียง เส้นผมสีดำแผ่สยายเป็นระลอกคลื่น
 
ความทรงจำแรกที่ผุดขึ้นมาตอนที่ลืมตายังผลให้ร่างเล็กหยุดการเคลื่อนไหวแล้วนิ่งคิดทบทวน สัมผัสบางอย่างที่ร้อนรุ่มตามร่างกายเหมือนว่ายังรู้สึกได้แม้ในตอนนี้ ภาพของชองจีมุนที่คร่อมอยู่บนตัวของเขาไม่ค่อยเด่นชัดมากนัก แต่ก็ยังจำได้ว่าเขาทำอะไรลงไป
 
เขาจูบจีมุน!
 
ซอนอินแน่ใจและมั่นใจว่าตนเองทำเช่นนั้น เขายังมีสติแม้ว่าจะน้อยนิดก็ตามตอนที่รู้สึกว่าร่างกายแปลกไป แต่หลังจากนั้นความร้อนในกายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความต้องการอันน่ารังเกียจปลุกเร้าอารมณ์ร้อนเร่าจนสมองเริ่มตัดขาดจากสิ่งอื่นใด แล้วเหตุการณ์ต่อจากนั้นก็เหมือนว่ามันขาดหายไปเสียเฉยๆ เขาจำอะไรไม่ได้อีกจนกระทั่งฟื้นขึ้นมาเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนนี้เอง
 
มือเรียวยกขึ้นกดศีรษะ ก้มหน้าบังคับตัวเองให้นึกให้ออก แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มองเห็นแต่ความว่างเปล่า ร่างกายของเขาทำเรื่องสกปรกไปมากแค่ไหน เขาจำไม่ได้เลยจริงๆ สิ่งที่รู้ในตอนนี้คือร่างกายที่รู้สึกได้ว่าถูกใครอื่นสัมผัสมา
 
ไม่ใช่แค่สัมผัส แต่ซอนอินรู้ดีว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น
 
“ไม่ร้อง...” เสียงหวานสั่งแหบพร่า ทั้งที่ร่างกายสั่นไม่หยุด ริมฝีปากบางถูกขบกัดจนแน่น มือเล็กยกขึ้นทาบใบหน้า ในตอนนี้เองที่ถูกวงแขนปริศนารวบตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ...บนตัก
 
“ชองจีรยง! ฮึก!!” ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของอ้อมกอดเป็นใคร ตกใจเสียจนหลุดเสียงสะอื้น
 
“ร้องไห้?” เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดผิวแก้มเนียน ปลายนิ้วหยาบช่วยเกลี่ยน้ำตาที่ทำท่าจะไหลลงมาราวกับสายน้ำตอนที่ถูกเขาทัก
 
“เห็นหน้าข้าแล้วอยากร้องไห้เลยหรือ? ดีใจหรือเสียใจกันล่ะ หืม?” ถึงจะถามอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ก้มลงจูบกลีบปากเล็กๆ ที่ทำท่าจะเอื้อนเอ่ยตอบเสียก่อน ริมฝีปากบางที่เผยอค้างถูกเรียวลิ้นหนารุกเข้าหาได้อย่างง่ายดาย จีรยงกวาดต้อนความหวานจนทั่วโพรงปากอุ่น บดเบียดริมฝีปากสีหวานราวกับจะกลืนกิน
 
“อืม....” ซอนอินบีบไหล่หนาแน่นตอนที่ถูกมือใหญ่กดท้ายทอยให้เงยขึ้นรับรสจูบรุนแรงเรียกร้อง เปลือกตาบางที่ยังฉ่ำน้ำปรือปรอยเชื่อมแสงน่ามอง ผิวแก้มขาวระเรื่อสีแดงคล้ายผลไม้สุกปลั่งน่ากัดกิน แน่นอนว่ามังกรหนุ่มนั้นชื่นชอบของหวานชั้นเลิศเช่นนี้นัก เมื่อผละจากกลีบปากบวมช้ำ ปลายลิ้นร้อนก็ไล้เลียจากมุมปากไปยังพวงแก้มนิ่ม ใช้ซี่ฟันหยอกเย้าเบาๆ จนถึงใบหูเล็ก ก่อนจะงับลงไปเบาๆ
 
“คิดถึงข้าหรือเปล่า?”
 
เสียงทุ้มที่ดังชิดริมหูทำให้หัวใจของคนฟังสะท้านวาบ
 
“เจ้าก็น่าจะรู้” คนสวยก้มหน้าหลบซ่อนความอาย ขมุบขมิบปากตอบเสียงเบา
 
“เจ้าไม่บอก ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
 
คนถูกคาดคั้นเอาคำตอบเบี่ยงหน้าหลบไปด้านข้างเมื่อปลายจมูกโด่งเริ่มซุกไซ้เรื่อยลงถึงช่วงลำคอ
 
“ตอบข้าคิมซอนอิน”
 
“อึ! อือออ....” ซอนอินกัดฟันแน่น ความเจ็บแปลบที่มาจากการถูกกัดซ้ำรอยสีแดงจางๆ บริเวณลำคอทำให้ซอนอินดูจะตัวเล็กลงภายในวงแขนกว้างใหญ่ขององค์รัชทายาทหนุ่ม หลังจากถูกคนเอาแต่ใจจูบดูดดึงและขบกัดซ้ำรอยแสดงความเป็นเจ้าของจนพอใจแล้ว ซอนอินก็หอบหายใจแรงเอนซบร่างหนาทั้งตัว วงแขนเล็กเกาะเกี่ยวท่อนแขนใหญ่ที่โอบอยู่รอบเอว
 
“...ข้าคิดถึงเจ้า”
 
เสียงหวานไม่ได้ดังมากมายนัก ซ้ำยังปะปนกับเสียงหอบหายใจของเจ้าตัว แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวสูงก็ยังได้ยินเสียงของหงส์งามในวงแขนอย่างชัดเจน
 
 
 
เนื้อตัวเปลือยเปล่า สัมผัสรุ่มร้อนวนเวียนอยู่ทั่วร่างกาย
 
ซอนอินนอนหอบหายใจหนักหน่วงอยู่ภายใต้ฝ่ามือหยาบใหญ่ ไม่ว่ามือคู่นั้นจะเลื่อนสัมผัสไปที่ใด ก็ล้วนแต่สร้างความรู้สึกโหยหาไปเสียทุกที่ ต้องการสัมผัสจนน่ากลัว อยากให้จูบ อยากให้กอด มากเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ
 
ถ้าเป็นชองจีรยง เขาก็ยิ่งต้องการ
 
“อือ...พะ...พอ...หยุดก่อน อื้อออ!!” เสียงห้ามถูกปัดผ่านไปในอาการ ซอนอินบิดกายเร้าอย่างน่าสงสารเมื่อถูกควบคุมไว้ด้วยปากคู่นั้นที่ไม่ยอมให้เขาได้ปลดปล่อย เรียวนิ้วแทรกลึกลงกับเส้นผมสีน้ำตาลหนา กดขยุ้มอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป
 
“ฮ๊ะ อ้าาาาา!!!!” เรือนกายบอบบางกระตุกเกร็ง ก่อนที่ทุกหยาดหยดจะถูกกลืนลงคอขององค์รัชทายาทหนุ่ม จีรยงไล้เลียริมฝีปากตนเองก่อนจะหยัดกายขึ้นมอบรสจูบดูดดื่มให้คนที่ยังหอบหายใจแรง
 
ซอนอินเกาะเกี่ยวแผ่นหลังกว้างชื้นเหงื่ออย่างสะเปะสะปะ ผละจูบได้ไม่นานก็เป็นคนสวยเองที่ยื่นใบหน้าเข้าหาริมฝีปากอุ่นตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง จีรยงเพียงยกยิ้มพึงใจกับความต้องการของอีกฝ่าย เขาสอดวงแขนรองรับแผ่นหลังบางยกขึ้นสูงแล้วก้มลงจูบให้อย่างที่เจ้าตัวต้องการ
 
ปลายลิ้นถูกแลกเปลี่ยนสลับกันจนในหูอื้ออึงไปหมด เสียงเปียกชื้นแฉะของน้ำลายฟังดูน่าอาย แต่ซอนอินกลับปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปอย่างง่ายดาย แล้วคล้องแขนกระชับลำคอคนด้านบนไว้แน่น พร้อมกับตอบสนองจูบของอีกฝ่ายอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน
 
ผิวกายเปลือยเปล่าแนบสนิทกันและกัน สัดส่วนช่วงล่างของรัชทายาทหนุ่มแสดงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง ดวงตาคู่สวยเสหลบไม่กล้าสบคนที่ขึ้นคร่อมอยู่บนตัว
 
ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อเห็นคนสวยหน้าบางเสียเหลือเกิน เขาก้มลงจูบผิวแก้มนุ่ม แล้วกระซิบเสียงเบา
 
“ช่วยข้าหน่อยสิ”
 
คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะต้องการการกระทำมากกว่าทำเอาวิหคเพลิงแสนงามหน้าแดงจัดราวกับถูกแดดแผดเผา มือเล็กที่ยังสั่นไม่หยุดถูกจับรวบให้กอบกุมอะไรบางอย่างที่ร้อนรุ่มและขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
 
“ข้าคิดถึงเจ้านะซอนอิน”
 
คำพูดง่ายๆ ที่ไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมากมายนักในการเอื้อนเอ่ยออกมา แต่มันมากพอที่จะทำให้คนฟังเป็นสุขจนคิดไปว่าอาจจะหูฝาดด้วยซ้ำตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยย้ำอีกครั้ง
 
“ข้าคิดถึงเจ้า”
 
ไม่รู้ว่าทำไปแบบไหน ไม่รู้ว่าข้ามความอายไปได้อย่างไรตอนที่เปลี่ยนจากมือเป็นริมฝีปากขยับเข้าออกตรงส่วนนั้นไม่หยุด ความชื้นแฉะตรงส่วนปลายที่เริ่มเอ่อออกมาตั้งแต่ที่ใช้มือกอบกุม เวลานี้กลับผสมปนเปไปกับน้ำลายของเขาจนมั่วไปหมด
 
เสียงเหนอะหนะขยับเข้าออกดังสะท้อนเข้าโสตประสาท ทว่าเสียงครางในลำคอทุ้มลึกก็แทรกทุกอย่างเข้ามาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ยิ่งใกล้ถึงจุดมากเท่าไหร่ เสียงครางราวเสียงหายใจของมังกรตัวใหญ่ก็กระชั้นมากขึ้น
 
“ฮ่ะ อ่า...ซอนอินอ่า.....”
 
จีรยงหยัดกายเข้าหาริมฝีปากเล็กบางจนสุด จับให้คนที่ยังนั่งกลืนกินน้ำสีขุ่นไม่หมดให้เอนตัวลงกับเตียงแล้วตามลงไปประกบปากแนบสนิท มอบรางวัลเป็นรสจูบหวานๆ ที่ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยนให้อย่างเนิ่นนานจนแทบจะหมดลมกันไปทั้งคู่
 
“ข้าอยากกอดเจ้าจนแทบบ้า” เสียงทุ้มสั่นพร่าบ่งบอกถึงขีดจำกัดของความอดทนที่ใกล้จะหมดลง มือหยาบใหญ่วนเวียนแถวสะโพกมนกลมกลึง ก่อนจะลูบคลำต้นขาขาวอย่างต้องการปลุกเร้าอารมณ์ในเพศรส
 
ซอนอินสะดุ้งเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ ในตอนนี้นอกจากความหวาดกลัวจากการถูกทารุณครั้งก่อน ยังมีเรื่องของจีมุนปะปนเข้ามาด้วย และก่อนที่จะห้ามตัวเองได้ทัน มือเล็กก็ดันไหล่กว้างให้ออกห่าง
 
“ยังกลัวอยู่หรือ?”
 
“อืม...ขอโทษ” ซอนอินพยักหน้ารับ ทั้งที่ความจริงแล้วในเวลานี้ต่อให้ถูกคนตรงหน้าทำรุนแรงเขาก็ไม่สนใจเลยสักนิด ขอเพียงเป็นชองจีรยงเท่านั้น แต่ที่เขากลัวจากใจจริงตอนนี้ คือร่างกายที่เพิ่งผ่านใครอื่นมา แม้จะไม่มั่นใจว่าร่างกายตนเองได้ทำเรื่องน่าอายอะไรกับจีมุนไปบ้าง แต่เขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะเสี่ยงให้จีรยงรู้
 
กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ถ้าได้สัมผัสในส่วนนั้น ...กลัวว่าจะถูกรังเกียจ
 
“กลัวมากขนาดนี้เลยหรือ?” จีรยงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าใดนัก ในตอนนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วเสียงสดใสของเด็กสาวก็ดังลอดเข้ามา
 
 
“องค์รัชทายาท ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่าน!”
 
 
ซอนอินได้ยินเสียงยอนอาและโซยอนร้องห้ามไม่ดังนัก อาจเพราะกลัวจะเป็นการรบกวนพวกเขา แต่กับองค์หญิงอันแฮซู คิดว่าคงไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนสองคนภายในห้องนี้จะทำสิ่งใดกันอยู่ ถึงได้เคาะประตูและตะโกนเสียงดังเช่นนี้
 
 
ร่างสูงขมวดคิ้วยุ่ง เขากอดร่างบางไว้แนบอก ถอนหายใจยาว “เอาเถิด เจ้าเองก็ยังไม่หายไข้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อนก็แล้วกัน” จีรยงหันไปคว้าเสื้อที่กองอยู่ข้างตัว แต่ยังไม่ทันได้สวมใส่ มือเล็กก็ดึงรั้งไว้เสียก่อน
 
“ไม่ออกไปหานางได้ไหม?!” ซอนอินรัวคำพูดออกไปจนลิ้นแทบพันกัน องค์หญิงแฮซูเกลียดเขา และเขาก็รู้ว่านางสลับแก้วน้ำของเขาให้ดื่ม ตอนนั้นเขาไม่ได้เอะใจ แต่เมื่อครู่ จู่ๆ ภาพวันงานพยอลดัลนิมก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด แก้วน้ำของเขาควรจะวางอยู่ทางขวา และของนางก็เช่นกัน แต่ตอนที่มีนางกำนัลมาเติมน้ำ แก้วน้ำของนางกลับวางอยู่ทางซ้ายข้างกับแก้วของเขา!
 
นางมาถึงที่นี่ก็เพื่อจะพูดเรื่องคืนนั้นให้จีรยงฟังไม่ผิดแน่!
 
“ทำไม?”
 
“ข้า...ข้าคิดถึงเจ้า อยากให้เจ้าอยู่กับข้าเพียงคนเดียว ...ข้า ...ข้า ฮึก...” ลนลานจนแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าผิดแปลกไป สายตาของจีรยงที่จ้องมองมาอย่างจับผิดอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะคาดไม่ถึงเลย เขาโกหกไม่เก่ง ปิดบังความรู้สึกไม่ได้ แต่ได้โปรดเถอะ อย่าหยุดรักข้าแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนของเจ้าเพียงคนเดียวอีกแล้วก็ตาม...
 
“แต่งตัวซะ ข้าจะออกไปหาองค์หญิงอันแฮซู” จีรยงไม่เอ่ยถามถึงน้ำตา ไม่เอ่ยถามถึงอาการสั่นสะท้านไปทั้งตัว ชายหนุ่มไม่เอ่ยถามสิ่งใดจนกระทั่งแต่งชุดทรงเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกไปจากห้อง
 
 
ทิ้งให้ร่างบอบบางที่มีเพียงผืนผ้าห่มคลุมกายซุกหน้าร้องไห้อยู่บนเตียงเช่นนั้น
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
จบตอน

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 20 - 21] (ลง 2 ตอน) 11/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 11-09-2016 11:46:14
บทที่ 21


ทันทีที่ร่างสูงก้าวออกมาจากห้อง ร่างอรชรขององค์หญิงอันแฮซูก็รีบตรงเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่มอย่างถือสิทธิ์

“เจ้ามีสิ่งใดก็ว่ามา” เจ้าของเสียงทุ้มหนักไม่ได้แกะวงแขนเล็กๆ นั้นออก แต่ก็ไม่ได้ตอบสนองการกระทำใดกลับไป

ความเฉยชาเสมอต้นเสมอปลายจากคนตัวสูงทำให้เด็กสาวรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก นางปรายตามองนางกำนัลสองสาวที่ไม่แสดงความเคารพยำเกรงต่อนางด้วยอาการฉุนเฉียว แล้วตวัดเสียงขึ้นสูง

“พวกเจ้าสองคนอย่างเพิ่งไปไหน ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า” ยอนอาที่เตรียมจะเข้าไปหาผู้เป็นนายภายในห้องหยุดยืนอยู่กับที่พร้อมน้องสาว ดวงหน้าขาวเชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดดันอีกฝ่าย “คืนวันงานพยอลดัลนิม นายของพวกเจ้ากระทำสิ่งใดกับองค์ชายรอง?”

สีหน้าของนางกำนัลน้อยทั้งสองซีดลงอย่างฉับพลัน อึกอักพูดไม่ออก ไม่กล้าเงยหน้าสบสายตาชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

“ว่าอย่างไรเล่า? อย่าคิดจะช่วยนายเจ้าปกปิดความสำส่อนเชียวนะ!!”

“องค์วังชอนซาไม่ใช่คนสำส่อน!!” ยอนอาเงยหน้าขึ้นสวนคำพูดของเด็กสาวตรงหน้าทันทีอย่างไม่ทันคิด ผลที่ได้กลับมาคือแรงมือที่ตบลงกลางข้างแก้มของนางเต็มแรง

“อย่ามาขึ้นเสียงกับข้า!” แฮซูตวาดลั่น มือที่ง้างขึ้นเตรียมจะฟาดลงอีกครั้งถูกมือใหญ่คว้าไว้ให้หยุด เด็กสาวหันไปมองคนด้านหลังแล้วก็ให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาคมที่วาวโรจน์อย่างดุดันน่ากลัว

“อย่าทำให้ข้าต้องโกรธ องค์หญิงอันแฮซู คนที่วางยาคนของข้าถึงในวังคือเจ้า” จีรยงกำข้อมือเล็กของแฮซูแน่นขึ้น “แค่ข้อนี้ข้อเดียวข้าสามารถสั่งประหารเจ้าได้แล้ว ถ้าคิดจะมาพูดเรื่องนี้เพื่อให้ข้าขับไล่คิมซอนอินออกไปก็เสียเวลาเปล่า ต่อให้ข้าไม่ได้สนใจคิมซอนอิน ข้าก็ไม่ตอบรับข้อเสนอของเจ้า ตามสัญญาที่อันชิลฮยอนระบุมาเพื่อเจรจา มีแค่เพียงการส่งเสบียงและยอมจ่ายค่าผ่านทางน่านน้ำที่สูงกว่าสามเท่าจากที่ข้าเสนอไปเท่านั้น”

เมื่อได้ฟังดังนั้น เด็กสาวก็เบิกตากว้างคล้ายเด็กที่ถูกจับได้ไล่ทัน เป็นความจริงที่นางมาที่นี่เพื่อเจรจาทำสัญญา แต่นางไม่ใช่ผู้กำหนดข้อสัญญา หากแต่เป็นเสด็จพี่ของนาง แต่นางก็ไม่ได้เปิดเผยความจริงออกไปเสียหน่อย แล้วชองจีรยงรู้ได้อย่างไรกัน!

สีหน้าของแฮซูที่แสดงออกทำให้จีรยงรู้ทันว่านางคิดสิ่งใดอยู่

“พี่ชายเจ้าเร่งให้ข้าตอบข้อสัญญาตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะออกรบ ดูเหมือนบ้านเมืองเจ้าตอนนี้จะขาดแคลนเสบียงอาหารอยู่มากโข หากข้าสามารถบริจาคเสบียงหนึ่งพันเกวียนให้กองทหารของพี่ชายเจ้าได้ในทันที ข้อสัญญาการเปิดน่านน้ำก็จะเป็นผลโดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องลงลายลักษณ์อักษรยินยอม เพราะข้าได้สัญญาฉบับนั้นจากพี่ชายเจ้าแล้ว” จีรยงปล่อยข้อมือของเด็กสาว แล้วเปลี่ยนเป็นจับไหล่เล็กด้วยมือเพียงข้างเดียว ใช้สายตาบังคับไม่ให้อีกฝ่ายหลบเลี่ยง

“ข้าจะถือว่าการที่เจ้าวางยาคนของข้าเป็นเรื่องไร้สาระ หากเจ้ารับปากว่าจะยอมช่วยงานข้าหนึ่งอย่าง”

มือที่วางอยู่บ่นไหล่เล็กกดน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น

จะยอมตาย หรือยอมช่วย แฮซูแทบไม่ต้องชั่งน้ำหนักคิดให้เสียเวลา แม้จะรู้สึกเสียหน้าและอับอาย แต่นางก็เป็นนางพญาร้ายกาจมากพอที่จะเชิดหน้าขึ้นสู้สายตาคมกริบของมังกรหนุ่มแล้วเอ่ยตอบรับข้อเสนอด้วยรอยยิ้มที่ไม่ไร้เดียงสาอีกต่อไป

“ครั้งนี้ถือว่าท่านชนะ องค์รัชทายาทชองจีรยง” แฮซูไม่เสียเวลายืนอยู่ในตำหนักโยกันอีกแม้แต่วินาทีเดียว นางสะบัดหน้ากระแทกเท้าเดินออกไปพร้อมกับข้ารับใช้ติดตามกว่าสิบคน

จีรยงถอนสายตาจากแผ่นหลังขององค์หญิงวายร้าย แล้วเลื่อนสายตาลงมองสาวใช้ที่คุกเข่าก้มหน้าตัวสั่นไม่หยุด

“กึมซองสารภาพให้ข้าฟังหมดแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ให้มากนัก” โดยปกติร่างสูงไม่ใคร่สนใจบ่าวไพร่ในเรือนมากเท่าใดนัก ยิ่งกับความรู้สึกชายหนุ่มยิ่งไม่เก็บมาคิดให้เสียเวลา แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่มาเยือนตำหนักแห่งนี้ เขาอดจะรู้สึกถึงความอบอุ่นแบบครอบครัวไม่ได้ อาจเพราะซอนอินไม่ใช่คนที่จะมาแบ่งชนชั้นนายบ่าวทำให้พวกนางรักซอนอินได้มากถึงเพียงนี้ และเขาก็พอใจที่มันเป็นอย่างนั้น

“พวกเจ้าไปเตรียมน้ำอุ่นรอไว้ ข้าจะพาซอนอินไปอาบน้ำ” นางกำนัลสองสาวรีบก้มหน้ารับคำสั่งอย่างกระตือรือร้น แล้วพากันหลบออกไป ปล่อยให้รัชทายาทหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องนอนของผู้เป็นนาย
 

ซอนอินได้ยินหมดแล้ว ทั้งเรื่องที่ชองจีรยงจะไม่แต่งงานกับองค์หญิงอันแฮซู และเรื่องที่ชองจีรยงรู้แล้วเกี่ยวกับคืนวันพยอลดัลนิม

จะให้ดีใจ หรือจะให้เสียใจ เขาสับสนไปหมดแล้ว

“ข้าบอกให้แต่งตัวไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงไม่สนใจสีหน้าหวาดผวายามที่เขายื่นมือเข้าไปจับคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นมายืนที่พื้น

เมื่อถูกจับลงมายืนซอนอินก็ได้แต่หลับตาแน่นเพราะกลัวอะไรก็ตามที่คนตรงหน้าจะทำร้ายตนได้ ร่างกายผอมบางที่มีเพียงผ้าห่มแพรไหมคลุมกายหมิ่นเหม่สั่นกึกกัก จะให้ดูน่าสงสารก็ได้อยู่ แต่จากสายตาคมกริบ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดไม่น้อย

จะกลัวอะไรกันนักหนา

ชายหนุ่มอาจไม่สนใจว่าเคยทำอะไรให้คนตัวเล็กต้องหวาดกลัวไปบ้าง แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะเกิดความรู้สึกอยากถนอมคนคนนี้ ไม่อยากให้ต้องเจ็บ และไม่อยากเห็นคนตรงหน้าถูกใครอื่นแตะต้อง

แน่นอนเขาโกรธ โกรธมากตอนที่จีมุนมาสารภาพกับเขาเมื่อคืนก่อนวันที่เพิ่งกลับมาจากศึก หากว่ากึมซองไม่เป็นพยานรู้เห็น เขาอาจตีความหมายของน้องชายไปว่าการช่วยด้วยมือและปลายนิ้วที่ล่วงล้ำร่างกายของซอนอินนั้นเป็นเรื่องโกหก เพราะสภาพของซอนอินที่เป็นเช่นนั้นไม่ง่ายเลยที่บุรุษหนุ่มและยังเป็นคนที่หลงรักอย่างชองจีมุนจะอดทนไหว คำสารภาพที่บอกว่าล่วงล้ำแค่ปลายนิ้วและช่วยให้ซอนอินปลดปล่อยเท่านั้นจึงทำให้เขาปักใจเชื่อโดยไม่สงสัยอะไรอีก

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต่อยจีมุนเสียเต็มแรง นั่นเองที่ทำให้ระดับความโกรธของเขาลดลง และไม่มาระบายใส่ซอนอิน อันที่จริง ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่สั่งประหารองค์หญิงอันแฮซูทันทีที่รู้ความจริงจากพระสนมฮีวอน พระนางบอกกับเขาและจีมุนเรื่องยาปลุกกำหนัดว่าเป็นขององค์หญิงอันแฮซู คนของพระนางเก็บห่อยาได้ที่ตำหนักของแฮซูตอนไปทำความสะอาดจึงได้รู้ความจริง

หากอันแฮซูโดนประหาร ไม่พ้นคนตรงหน้าได้โทษตัวเองไม่หยุดแน่

ขณะที่คิดเรื่องราวเหล่านั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นลูบผิวแก้มชื้นน้ำตาของคนที่ยังก้มหน้าตัวสั่น

เบื่อที่จะต้องเห็นน้ำตาของคนคนนี้นัก

เลิกทำสีหน้าเหมือนว่าคนทั้งโลกกำลังดาหน้าทับถมเสียทีเถอะ

คิมซอนอิน ข้าชอบเห็นเวลาที่เจ้ายิ้ม...

ปลายนิ้วหนาหยุดลงที่กลีบปากบาง จีรยงกดปลายนิ้วให้ริมฝีปากเล็กเผยอขึ้น ก่อนจะสอดผ่านแนวฟันขาวเข้าแตะลิ้นเล็กที่ตื่นตระหนก และเมื่อดวงหน้าสวยยอมเงยขึ้นสบสายตา จีรยงก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้แล้วจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มใส กระซิบเสียงนุ่มหวานหู “หากไม่คิดจะสวมเสื้อผ้า ก็อย่าได้หวังว่าจะได้ใส่อะไรจนถึงวันพรุ่ง”

สิ้นคำพูดนั้น ร่างเล็กบางที่มีเพียงผ้าห่มแพรไหมคลุมกายก็ถูกอุ้มลอยขึ้นจากพื้นในท่าเจ้าสาว ดวงหน้าสวยระเรื่อสีแดงจางชวนมอง ดวงตากลมโตยังมีร่องรอยของน้ำตาเอ่อคลอ ริมฝีปากอุ่นแนบจูบลงที่หางตาทั้งสองข้างนั้นเอง

“เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าเจ้าจะร้องไห้ได้ก็ต่อเมื่อถูกข้ารังแกบนเตียง”
 
 
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 20 - 21] (ลง 2 ตอน) 11/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 11-09-2016 11:46:39


น้ำในอ่างไม้อุ่นกำลังพอดี สองสาวใช้คอยวักน้ำให้นายทั้งสองที่ลงแช่พร้อมกันอย่างเบามือ และด้วยเพราะตำหนักโยกันเป็นเพียงตำหนักเล็ก จึงไม่มีห้องอาบน้ำโอ่อ่าหรูหราเทียบเท่าตำหนักรัชทายาทได้ อ่างไม้ยาวเพียง 4 ศอกจึงกลายเป็นที่รองรับคนทั้งสองโดยที่คนตัวเล็กกว่านั่งซ้อนทับร่างของคนตัวสูง แผ่นหลังบอบบางแนบสนิทแผงอกกว้างใหญ่

จีรยงโบกมือปัดให้สองสาวใช้หยุดปรนนิบัติ “ออกไปได้แล้ว” รับสั่งไม่ดังนัก แต่นางกำนัลน้อยกลับตอบรับเสียงดังฟังชัดรีบโค้งกายต่ำทูลลารวดเร็ว

หากไม่มีไอควันอุ่นอบอวล ชายหนุ่มคงได้เห็นว่าผิวแก้มของสาวใช้นั้นแดงจัดเสียจนน่ากลัวว่าเป็นไข้

เป็นใครจะไม่รู้สึกขัดเขินบ้าง คนหนึ่งก็เทพบุตรส่งมาจุติ อีกคนก็งดงามราวฟ้าประทาน เป็นไปได้ก็ไม่อยากอยู่ขัดบรรยากาศอวลกลิ่นหอมหวานนี้นานนักหรอก!

จีรยงรวบเอวคนบนตักให้เอนลงมาแนบสนิทกันมากขึ้น สันจมูกโด่งคลอเคลียต้นคอขาว สูดดมกลิ่นกายหอมระเรื่อยไล้ลงจนถึงลาดไหล่เล็ก ก่อนจะจับให้คนที่เอาแต่เงียบอยู่นานหันหน้านั่งเข้าหากัน

เสียงน้ำแตกคลื่นกระเซ็นลงข้างขอบอ่างไม้

ปลายคางเล็กถูกจับเงยขึ้น “อยากจะบอกอะไรข้าหรือเปล่าซอนอิน?”

ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ดวงตาคู่สวยไหววูบสะท้อนแววตาคมที่สอดประสานสายตากัน มือเล็กทั้งสองข้างจับยึดไหล่กว้างไว้หลวมๆ ซอนอินปล่อยให้มือใหญ่วนเวียนไล้สัมผัสแผ่นหลังของเขาขณะที่กลั้นใจขยับริมฝีปากเอ่ยคำพูดอย่างเชื่องช้า

“ข้า ...ข้าขอโทษ”

“ข้าไม่ได้ต้องการฟังคำขอโทษจากเจ้า”

“แต่ข้าทำผิด ข้า...ข้าทรยศเจ้าที่เป็นเจ้าของร่างกายข้า” เสียงที่เอ่ยตอบเบาเสียจนแทบจะกลืนหายไปกับอากาศ

จีรยงรู้สึกได้ว่ามือของซอนอินเริ่มมีอาการสั่นเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้ซอนอินกำลังรู้สึกกลัว ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอก

“เจ้าทรยศข้าเช่นไร?”

“ข้า... ข้าจูบกับจีมุน...อ่ะ! อือออ” ยังไม่สิ้นประโยคดี เรียวปากอุ่นก็นาบลงมาแนบสนิท บดเบียดริมฝีปากเล็กให้เผยอขึ้นรองรับการสอดแทรกปลายลิ้นช่ำชองที่กวาดต้อนโพรงปากฉ่ำหวานในคราวเดียวอย่างลึกล้ำและร้อนแรง

หยาดน้ำใสที่เอ่อล้นยังเชื่อมถึงกันไม่ขาดดี ริมฝีปากทั้งสองก็ประกบเข้าหากันอีกครั้ง

ซอนอินถูกรุกต้อนหนักหน่วงขึ้นจนต้องบีบมือลงกับไหล่กว้าง ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยังคงทาบอยู่กลางแผ่นหลัง แต่อีกข้างกลับสอดลึกเข้าใต้ไรผม กดศีรษะเล็กให้เงยรับองศาการจูบรุ่มร้อน

จูบยาวนานกว่าจะสิ้นสุดลง

“เจ้าทรยศข้าอย่างไรอีก?” จีรยงลูบริมฝีปากบวมเจ่อแผ่วเบายามเอ่ยถาม

ศีรษะเล็กส่ายเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบผ่านปลายนิ้วหนา “จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าโดนสัมผัส ร่างกายร้อนไปหมด ไม่ว่าจะถูกจับตรงไหนก็ร้อน แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาว แล้วข้าก็จำอะไรไม่ได้อีก...”

เรียวคิ้วคนฟังเลิกขึ้นเล็กน้อย มือที่วนเวียนแผ่นหลังเรียบลื่นเคลื่อนขึ้นแตะที่ท้ายทอยขาวสว่างตา ก่อนจะไล้เรื่อยลงมาตามแนวสันหลังอย่างเชื่องช้า

ซอนอินสะดุ้งเฮือกยามที่ถูกแตะลงมาถึงช่วงเนินสะโพก เขากดไหล่เจ้าของตักแน่นขึ้นด้วยความรู้สึกเสียวซ่านอย่างประหลาด ความร้อนบางอย่างแล่นวูบจากก้นบึ้งภายในร่างกายกระจายไปทั่วร่าง

“รู้สึกร้อนอย่างนี้หรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะที่ยังส่งปลายนิ้วลากไล้ลงด้านล่างอย่างช้าๆ ก่อนจะวนผ่านต้นขาขาวเข้ากอบกุมส่วนไวสัมผัสที่ตื่นตัว

“ไม่... ไม่ร้อนอย่างนี้ อ่ะ...อ่า...” ซอนอินเบียดกายเข้าหาร่างสูงมากขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ คลื่นน้ำในอ่างแตกกระจายเป็นวงกว้าง มือเล็กปัดป่ายไหล่กว้างเรื่อยลงมายังแผงอกหนั่นแน่นที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของนักรบ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสร่างกายของคนที่รัก และแรงพายุโหมกระหน่ำจากการถูกปลุกเร้าความกระหายอยากในเพศรส นำพาให้ร่างบางแอ่นกายเหยียดแผ่นหลังขึ้นสูงยามที่ถูกฉุดอารมณ์จนใกล้จะถึงขีดสุด

“จี...จีรยง จะ...ออก....” เสียงหวานครวญครางร้องขอสั่นพร่าอย่างน่าสงสาร แต่คนเจ้าอำนาจไม่ยอมให้ปลดปล่อยง่ายๆ

รัชทายาทหนุ่มยิ้มพึงใจกับดวงหน้างดงามเชื่อมแสง เขากดปลายนิ้ววนเวียนที่ส่วนปลายเพื่อเพิ่มความต้องการที่จะไปถึงจุดให้คนบนตักแทบทนไม่ไหว ง่ามนิ้วกลางและนิ้วชี้ขยับขึ้นลงจากส่วนโคนจนเกือบจะถึงปลายที่มีนิ้วโป้งปิดกั้นไม่ให้หยาดน้ำขาวข้นซึมออกมาได้ง่ายๆ

“ฮ๊ะ อ๊ะ  จี...จีรยง...ปล่อย ฮึก จะถึง....”

ดูเหมือนมังกรหนุ่มจะเริ่มสนุกกับสีหน้าหวานฉ่ำด้วยอารมณ์เพศของหงส์งามไม่น้อย เพราะเขายังไม่มีทีท่าว่าจะยอมให้ง่ายๆ  ริมฝีปากหยักหนายกยิ้มก่อนจะเคลื่อนเข้าหาเม็ดสีชมพูสดตรงหน้าที่สั่นระริกล่อสายตา  มือข้างซ้ายที่ไล้วนเวียนเนินสะโพกกลมกลึงอยู่เมื่อครู่เลื่อนขึ้นนาบแผ่นหลังขาวลื่นมือให้อกแบบบางขยับเข้าหามากขึ้น

“อ๊ะ! อ๊าาาาา...” ซอนอินครางเสียงสูงด้วยอาการสะดุ้ง ปลายลิ้นร้อนที่แลบเลีย และริมฝีปากที่ดูดดึงรุนแรงทำให้สติของซอนอินแทบจะหลุดลอย ยิ่งบวกกับส่วนหน้าที่ยังถูกปลุกเร้าไม่หยุดด้วยแล้ว เสียงหวานแทบจะหยุดร้องครวญครางไม่ได้

จีรยงจัดการขบกัดยอดอกเล็กทั้งสองข้างจนมันตั้งชูชันอย่างพอใจ ก่อนจะประกบริมฝีปากเข้าหากลีบปากสีหวานเพียงผิวเผิน แล้วเอ่ยเสียงทุ้มทั้งที่ยังแตะจูบกันไม่ห่าง

“เจ้าปลดปล่อยบนมือของชายอื่น รู้ไหมว่าทำให้ข้าโกรธมาก”

“ฮึก! อื้อออ” ซอนอินพยายามเม้มปากปิดกั้นเสียงร้องเมื่อจีรยงกดปลายนิ้วที่ส่วนปลายของเขาหนักขึ้น

“ตรงนี้ของเจ้า...” จีรยงเลื่อนมือจากแผ่นหลังบางลงหาเนินสะโพกเล็ก ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะส่วนลับด้านหลังของคนบนตัก “...ถูกน้องชายของข้าใช้นิ้วล่วงล้ำ เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงโทษเจ้าอย่างไรดีที่ทรยศข้า?”

แม้อยากจะเอ่ยตอบว่าทำอย่างไรก็ได้ถ้าจะทำให้เจ้าหายโกรธ แต่ซอนอินก็สุดจะเอื้อนเอ่ยเมื่อร่างกายยังถูกปลุกกระตุ้นไม่หยุดอยู่เช่นนี้

“ทรมานหรือ?” จีรยงเอ่ยถามเสียงเรียบไม่ต่างจากสีหน้า

คนถูกถามเพียงพยักหน้ารับเบาๆ ใช้สายตาเว้าวอนอย่างสุดความสามารถ

...อยากจะไป ทนไม่ไหวแล้ว

“ได้ ข้าจะปล่อย แต่เจ้าต้องไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง”

ซอนอินพยักหน้ารัวแทนคำตอบ

“อย่าจูบใครอื่นนอกจากข้า”

คนตัวเล็กส่ายหน้าทันที ก่อนจะโน้มใบหน้าแตะจูบบนเรียวปากหยักหนาหนึ่งครั้ง

“อย่าให้ชายหรือหญิงอื่นใดเล้าโลมร่างกายของเจ้านอกจากข้า”

“แค่...จีรยง” ซอนอินเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า ดวงหน้าสวยแดงก่ำด้วยแรงปรารถนาจะไปให้ถึงที่สุด

“หากเจ้าทรยศอีกครั้ง ข้าจะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด เข้าใจไหม”

เมื่อส่วนปลายถูกปล่อยเป็นอิสระ เสียงร้องแว่วหวานก็ดังขึ้นทันที พร้อมอาการกระตุกเกร็งอย่างต้องการปลดปล่อยให้หมดทุกอยาดหยด

ซอนอินเอนซบใบหน้าลงกับลาดไหล่แข็งแรงอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่จะถูกอุ้มลอยขึ้นจากน้ำ และถูกพาไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กข้างขอบอ่าง

น้ำเย็นเฉียบจากถังไม้ที่วางเรียงรายกันอยู่ริมผนังห้องถูกหยิบขึ้นราดลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของชายหนุ่มร่างสูง ก่อนจะทำเช่นเดียวกันให้กับร่างบาง ซอนอินสะดุ้งเฮือกด้วยความหนาวเย็น แต่ในวินาทีต่อมา ผ้าเนื้อนุ่มผืนหนาก็ถูกคนตัวสูงคลุมกายให้เสียมิดชิด เมื่อหยิบเสื้อคลุมสวมใส่แล้วจีรยงก็อุ้มพาคนที่นั่งตัวสั่นกลับเข้าไปยังห้องนอน

จีรยงจับให้คนตัวเล็กนั่งลงบนเตียง ส่วนเขาก็เดินไปหยิบผ้าที่นางกำนัลเตรียมไว้ให้บนโต๊ะมานั่งลงที่ด้านข้าง เขาค่อยๆ เช็ดเส้นผมสีดำยาวดุจแพรไหมเนื้อดีอย่างเบามือ

เสียงหัวใจเต้นดังกระหน่ำอยู่ภายในอก ซอนอินไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน เขานั่งตัวแข็งทื่อปล่อยให้รัชทายาทหนุ่มเช็ดผมให้จนหมาด ถึงได้ยอมตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตารัตติกาลลุ่มลึก

“หายโกรธข้าหรือยัง? เจ้ารังเกียจข้าไหม? จะทิ้งข้าหรือเปล่า?”

เอ่ยถามด้วยริมฝีปากแห้งผาก และหัวใจที่เต้นผิดจังหวะจนน่ากลัว

ผ้าเช็ดผมถูกโยนพาดไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนจะหันมาจ้องมองดวงตาคู่สวย ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยชั่วครู่ขณะคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะส่งมือเข้าลูบไล้ผิวหน้างดงามของเชลยศึกแสนสวย

“เหตุใดองค์วังชอนซาผู้งดงามถึงยอมเป็นเบี้ยล่างให้กับคนร้ายกาจอย่างข้ากัน?” ชายหนุ่มใช้คำแทนตนเองที่คนร่างบางเคยต่อว่าเขาหลายต่อหลายครั้ง และมันก็อาจจะจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า เขาทำร้ายคนตรงหน้ามากมายนักที่ผ่านมา ไม่มีเหตุผลใดที่คนอย่างคิมซอนอินจะหลงรักเขาได้

ทว่าในทางกลับกัน สำหรับซอนอินแล้ว ทุกอย่างที่ชองจีรยงกระทำ มันทำให้คนที่ไม่เคยได้รู้จักความรักได้ตระหนักถึงความรู้สึกนั้นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะถูกรังแก แต่เพราะอะไรบางอย่างที่ซอนอินเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไร อาจจะเพราะแค่เพียงสบสายตา แค่ถูกมือคู่นั้นโอบกอด อะไรก็ตามแต่ ทุกการสัมผัสที่ส่งผ่านมาจากชองจีรยงทำให้ซอนอินรู้สึกแตกต่างออกไปเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น

มากกว่าความอบอุ่น มากกว่าความต้องการ

ชองจีรยงทำให้เขารู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่มากกว่านั้น

ซอนอินยกมือขึ้นทาบหลังมือหนาที่ยังลูบข้างแก้มของเขาอยู่ นัยน์ตาคู่สวยไม่แสดงออกถึงความลังเลเลยแม้แต่น้อยยามที่เอื้อนเอ่ยคำตอบผ่านริมฝีปากที่เจือรอยยิ้มบางๆ

“ไม่มีเหตุผล ...ความรัก ข้าไม่เข้าใจหรอกว่าสุดท้ายแล้วมันคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าเจ้าอยากจะรู้เหตุผลนักล่ะก็ ข้าจะบอกให้ก็ได้...ข้าน่ะ หากไม่มีเจ้าอยู่ใกล้ๆ ข้าคิดว่าข้าอาจจะตายได้”

มือเล็กบีบกระชับมือหนาที่ตนกอบกุมอยู่แน่นขึ้น

“ชองจีรยง เจ้าทำให้ข้าได้รู้จักถึงความปรารถนา เจ้าทำให้ข้าได้รู้จักถึงความเสียใจและความสุขใจยามที่คิดถึงคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะทำอย่างไร ตัวข้าที่มีแต่เรื่องของเจ้าวนเวียนอยู่ในหัวเช่นนี้ไม่อาจหยุดหรือลืมมันไปได้อีกตลอดกาล หากข้าไม่เดินหน้าไขว่คว้าตัวเจ้าไว้ แล้วข้าจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร ในเมื่อทุกอย่างที่เป็นข้าถูกเจ้าเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วเช่นนี้”

คำสารภาพตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมปิดบัง ทว่าชวนฟังยิ่งกว่าคำประพันธ์บทกลอนร้อยแก้วบทไหนๆ ที่เคยได้ยินมา ในชีวิตของชองจีรยง จะมีสักกี่คนกันที่ทำให้หัวใจด้านชาของชายหนุ่มนักรบมังกรคนนี้ได้เกิดความหวั่นไหวเช่นนี้ได้ จะมีใครอีกไหมที่เขาอยากจะได้ครอบครองไว้แต่เพียงคนเดียวเช่นคนตรงหน้านี้

“คิมซอนอิน ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายของเจ้า หัวใจของเจ้า แม้แต่วิญญาณของเจ้า เจ้ายินดีมอบให้ข้าแต่เพียงผู้เดียวเช่นนั้นหรือ?”

“ทุกอย่างของข้าเป็นของเจ้า เป็นของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว”

มือเล็กจับให้มือใหญ่แทรกผ่านผ้าคลุมกายเข้าทาบหน้าอกเปลือยเปล่าตรงกลางตำแหน่งของหัวใจ

“ขอเพียงเจ้าไม่ทิ้งข้าเท่านั้น...”

จีรยงค่อยๆ ดันร่างบอบบางลงกับที่นอน แล้วตามขึ้นคร่อมทับ ฝังปลายจมูกโด่งซุกไซ้พวงแก้มนิ่มหอม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง พร้อมกับมือที่เคลื่อนเข้าบีบรอบลำคอระหงไม่แรงนัก

“ในเมื่อเจ้าเป็นของข้า ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เจ้าอย่าผิดคำพูดที่ให้ไว้กับข้า ไม่เช่นนั้น รับรองว่าข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง ...เป็นอย่างนี้แล้ว เจ้ายังจะยอมเป็นของข้าอีกไหม?”

ซอนอินไม่ใช้มือต่อต้านมือที่กอบกุมรอบลำคอราวกับจะพรากลมหายใจของเขาออก เขาเพียงแต่ยกวงแขนขึ้นคล้องลำคอคนด้านบน แล้วระบายรอยยิ้มงดงามสมคำล่ำลือว่าเป็นรอยยิ้มของบุปผาแรกแย้ม
 

“ข้ายอมตายด้วยมือของเจ้า”
 

สิ้นสุดคำถามและคำตอบอื่นใด ร่างสูงโน้มกายลงบดเบียดเรือนร่างบอบบาง พร้อมๆ กับริมฝีปากที่ประกบเข้าหาอย่างดูดดื่ม ขณะที่การจูบยังดำเนินไป ร่างกายของคนทั้งสองก็ไร้สิ่งปกปิดอื่นใด มีเพียงเนื้อแนบเนื้อเท่านั้นที่โอบกอดกันและกัน

สัมผัสเล้าโลมรุ่มร้อนลามเรื่อยไปทั่วผิวกายขาวผุดผ่อง แตะสัมผัสที่ใดก็ขึ้นสีแดงระเรื่อชวนมอง กลิ่นกายหอมหวานเหมือนจะแผ่กำจายรุนแรงขึ้นจากหงส์งาม ราวกับเป็นยาพิษแสนหวานที่ชวนให้มังกรหนุ่มลุ่มหลงมัวเมาจนยากจะถอนตัว

ต้นขานวลถูกยกขึ้นจนหัวเข่าแตะหน้าอกบาง จีรยงแทรกกายเข้าหว่างกลาง จับให้ข้อพับขาของซอนอินพาดผ่านลาดไหล่ของเขา ท่วงท่าที่ทำให้อีกฝ่ายสามารถเห็นช่องทางด้านหลังได้ถนัดตาทำให้ซอนอินรู้สึกอายจนต้องเบือนหน้าหนีไปด้านข้าง

เพียงแค่แตะตรงปากทางเข้า ซอนอินก็สะดุ้งเฮือกทั้งที่พยายามสั่งตัวเองแล้วว่าไม่ต้องกลัว

“ถึงบอกให้หยุด ข้าก็ไม่ฟังหรอกนะ” เสียงทุ้มเอ่ยดักทาง ซึ่งอีกคนก็รีบหันหน้ากลับมาสบตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

“ไม่ได้อยากให้หยุด ...แต่ ทำช้าๆ ได้ไหม...อือออ” จูบเร็วๆ ถูกประกบลงมา

“ข้ารู้แล้ว”

ขวดน้ำมันหอม ซอนอินเห็นจากหางตาว่าคนตัวสูงหยิบมันออกมาจากใต้ฟูกนอน อดสงสัยไม่ได้ว่าของแบบนั้นมาอยู่ในที่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

มัวแต่คิดเรื่อยเปื่อย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกความเย็นของน้ำมันหอมชโลมทั่วส่วนที่ลับตา ก่อนตามติดด้วยปลายนิ้วที่ล่วงล้ำ

“อ๊ะ เจ็บ!!”

“อย่าเกร็งสิ” เสียงทุ้มฟังลำบากเมื่อในตอนนี้เขาเองต้องพยายามอดกลั้นไม่ให้วู่วามทำอะไรรุนแรง

ซอนอินยอมผ่อนลมหายใจตามคำแนะนำ แล้วเขาก็รู้สึกว่าตรงส่วนที่ถูกขยับขยายนั้นไม่ถูกฝืนเท่าครั้งแรก จนกระทั่งนิ้วที่สองและสามตามเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วซอนอินก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี

“ซอนอิน ลืมตา เร็ว” จู่ๆ เสียงทุ้มก็เรียกให้คนที่ตั้งสติทุ่มเททุกประสาทสัมผัสไปยังส่วนล่างให้ตื่นขึ้นมาดูความเป็นจริงตรงหน้า “ทำให้ข้าเร็วเข้า ก่อนที่ข้าจะทนไม่ไหวแล้วขืนใจเจ้า”

ปุบปับมือเล็กก็ถูกจับให้กอบกุมความปรารถนาที่ขยายใหญ่จนน่ากลัว รุ่มร้อนราวกับจะแผดเผามือของเขาให้ไหม้เกรียม ยังไม่หายตื่นตะลึงดี น้ำมันหอมขวดเดียวกันก็ถูกเทพรวดลงมาให้มือเล็กได้ขยับชักขึ้นลงอย่างสะดวกสบาย

เสร็จก่อนครั้งหนึ่งท่าจะดีกว่ายอมให้ดึงดันเข้ามา เมื่อสมองคิดผลลัพธ์อันน่าอันตรายได้แล้ว มือเล็กก็ไม่รอช้ารีบรูดขึ้นลงตามคำสั่งทันที

แรกๆ ก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเท่าใดนัก เพราะทุกครั้งที่ช่วยให้ชายหนุ่มเสร็จเขาก็ทำไปอย่างไม่ประสีประสา แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป จีรยงไม่ปล่อยให้ช่องทางคับแคบได้หยุดพัก ยังคงขยับนิ้วเข้าออกจนชื้นแฉะเหนอะหนะ ในขณะที่เขาเองก็รูดรั้งของคนตรงหน้าไม่หยุด แทบจะทำไปเป็นจังหวะเดียวกันกับของอีกคนด้วยอารมณ์ที่ยากจะควบคุม

“อ่ะ! อ่าาาาา....” เสียงทุ้มครางต่ำ หยัดเกร็งในมือเล็กจนถึงหยดสุดท้าย ก่อนจะโน้มกายส่งจูบดูดดื่มลึกล้ำกวาดต้อนทั่วทั้งโพรงปากหวานให้เป็นรางวัล

ซอนอินยังเอี้ยวหน้าไล่ตามหาจูบนุ่มๆ ที่ผละจากได้ไม่เท่าไหร่ ความตื่นตัวที่คิดว่าคงใช้เวลาอีกสักพักถึงจะใช้งานได้อีกครั้งก็เข้าประชิดจ่อส่งความร้อนเข้าหาบริเวณช่องทางด้านหลัง เผลอกลั้นหายใจไปนิดนึงตอนที่ถูกความร้อนนั้นแทรกผ่านเนินเนื้อเข้ามา

“เจ็บ! จีรยง เจ็บ!!” มือเล็กเกาะเกี่ยวไหล่กว้างสะเปะสะปะ ก่อนจะหาที่เหมาะๆ บนแผ่นหลังกว้างได้ก็จิกปลายเล็บลงไปอย่างไม่ลังเล และซอนอินก็พบว่าการทำแบบนี้ช่วยให้เขาระบายความเจ็บออกไปได้เยอะทีเดียว

“ทนอีกนิด เข้าไปจะหมดแล้ว” จีรยงจับสะโพกเล็กให้ยกขึ้นสูง แล้วยัดเยียดความต้องการเข้าไปให้ลึกที่สุด เมื่อทั้งหมดของเขาอยู่ภายในกายของคนตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มก็หยุดให้คนสวยได้พักหอบหายใจ

ริมฝีปากอุ่นโน้มลงจูบที่ขมับชื้นเหงื่ออย่างต้องการปลอบประโลม นึกทึ่งตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้อดทนได้มากถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะกับใครเขาไม่เคยต้องทรมานเพียงเพื่อจะให้คนที่รองรับอารมณ์ของเขาได้เตรียมความพร้อมได้มากขนาดนี้ แม้แต่กับฮีอูเองก็ตาม หากเขาต้องการ ฝ่ายนั้นก็จะตอบสนองเขาอย่างไม่มีขัดขืน อาจเป็นเพราะฮีอูเข้าใจเรื่องบนเตียงง่ายกว่าซอนอินก็เป็นได้ ชายหนุ่มพยายามให้เหตุผลกับตัวเอง

คลื่นพายุลูกใหม่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นยามที่คนตัวสูงขยับสะโพกช้าๆ เป็นการเบิกทาง ก่อนที่จะเร่งจังหวะเร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนเริ่มจะคุ้นชิน จนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่นอกเหนือจากความเจ็บปวด

“ฮ๊ะ ฮั่ก ฮัก อ๊าาาาาาา!!!!!!” ซอนอินบิดกายเร้าอยู่ภายใต้เรือนร่างกำยำสมส่วนของนักรบหนุ่ม ปลายเล็บกดจิกลากยาวไปทั่วแผ่นหลังกว้าง ความสุขสมอย่างแปลกประหลาดทวีเพิ่มมากขึ้นจนสติแทบจะหลุดลอย
 

ร่างของคนทั้งสองขยับขึ้นลงพร้อมๆ กัน กลิ่นเหงื่อและกลิ่นของคราบกามารมณ์ปะปนผสมปนเปรวมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของซอนอินจนมั่วไปหมด มวลอากาศแห่งเพศรสหล่อหลอมคนทั้งสองให้หลงลืมว่าอยู่ที่ใด สิ่งที่รู้สึกและเห็นได้มีแต่เพียงคนตรงหน้าเท่านั้น

ม่านหมอกบดบังในตายามที่ไปถึงจุดพร้อมกัน และไม่รีรอที่จะโอบกอดไขว่คว้าโหยหาสัมผัสเมื่อครู่อีกครั้ง ความเจ็บในตอนนี้ไม่หลงเหลือให้ร่างบางได้รู้สึกอีกแล้ว จะมีก็แต่ตัวตนของร่างสูงที่หลอมรวมอยู่ภายในกายของเขาจนรู้สึกได้ และคงไม่มีวันลืมเลือนความรู้สึกนี้

เช่นเดียวกับอีกคนที่เกิดความรู้สึกมากเกินกว่าจะเรียกว่าร่วมสัมพันธ์กัน กับคนอื่นอาจใช่ที่เพียงแค่อยากนอนด้วย แต่กับคิมซอนอิน ความรู้สึกมันมากกว่านั้น
 

จะกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกว่าเพียงพอ หากเป็นไปได้ก็อยากจะกกกอดไว้ชั่วกัลปาวสาน

ในช่วงเวลานั้น ชองจีรยงอยากให้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
 
 

เกือบรุ่งสางที่ร่างสองร่างหยุดกิจกรรมแล้วนอนกอดกันภายใต้ผ้าผวยผืนหนา ดวงหน้าเล็กนอนซบอกกว้างด้วยสีหน้าที่ยังรู้สึกเหนื่อย มือของเขาที่วางอยู่บนตัวของจีรยงถูกอีกฝ่ายจับเล่นลูบคลำไปมา

ซอนอินผินหน้ามองใบหน้าคมเข้มที่หันมองไปยังนอกบานหน้าต่าง ดวงตารัตติกาลคู่นั้นที่ทอดมองออกไปไกลนั้นเองเป็นสิ่งแรกที่ซอนอินใช้จดจำคนตรงหน้าตั้งแต่วันที่ถูกลักพาตัวมายังฮานึล

เป็นดวงตาของมังกรตัวใหญ่ที่ตรึงร่างกายของเขาไว้ได้ทุกสัดส่วนแม้แต่ความคิดและหัวใจ

อ่า... นี่เขาเพิ่งจะถูกมังกรเขมือบกินไปกี่รอบเมื่อคืนนี้กันนะ?

คิดแล้วพวงแก้มใสก็ขึ้นสีจัด หลับตาสั่งตัวเองให้หยุดคิดเพ้อเจ้อเป็นการใหญ่

“ซอนอิน” เสียงทุ้มเรียกให้ดวงหน้าสวยเงยขึ้นมอง เขาก้มลงจูบกลางหน้าผากขาวนั้นหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาที่ทำให้หัวใจคนฟังดิ่งวูบราวกับถูกผลักลงสู่หุบเหวลึกที่ดูจะไร้การสิ้นสุด
 

“ข้าจะส่งเจ้ากลับเชินอันเพื่อแลกตัวกับฮีอู หลังจากนั้นข้าจะเปิดศึกกับแคว้นของเจ้าทันที”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
จบตอน

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 20 - 21] (ลง 2 ตอน) 11/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 11-09-2016 13:32:44
ช้อค ตาตั้ง คือคำจำกัดความ ของตอนจบนี้
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 20 - 21] (ลง 2 ตอน) 11/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 11-09-2016 15:42:25
จีรยงทำไมต้องบอกหลังเสร็จกิจด้วยล่ะ จะมีบอกว่าจะรับกลับด้วยไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 20 - 21] (ลง 2 ตอน) 11/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-09-2016 16:06:16
เข้าใจว่าจีรยงจะทำสงครามเพื่อชิงตัวซอนอินกลับ (และเพื่อขุดรากถอนโคนพวกที่ต้องการสังหารซอนอิน) แต่ซอนอินจะเข้าใจด้วยหรือเปล่า ทำไมพวกพระเอกในนิยายไม่ชอบอธิบายเรื่องจำเป็นกับนายเอกนะ ก็ไม่รู้จะอมพะนำไปทำไม
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 20 - 21] (ลง 2 ตอน) 11/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 11-09-2016 20:47:24
สงสารซอนอิน แต่คิดว่าจีรยงคงจะมีแผนอะไรอยู่ แต่ตราบใดที่ซอนอินไม่รู้ถึงแผนการ ก็คงทุกข์ทรมานที่สุด แถมยังเป็นการแลกเปลี่ยนกับฮีอูอีกต่างหาก เครียดแทนเลย ไม่ใช่ว่าแค่พอจะเข้าใจกันก็จะมีเรื่องต่อใช่มั้ย แอบกลัวว่าจะจบไม่แฮปปี้น่ะสิ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 22] 13/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 13-09-2016 08:13:47
 
บทที่ 22

 
สามวันต่อมา ขบวนรถม้าส่งเชลยได้ถูกจัดเตรียมขึ้นตั้งแต่รุ่งสางที่ด้านหน้าตำหนักโยกัน การเดินทางครั้งนี้มียูกึมซองเป็นผู้ควบคุมขบวนรถม้าทั้งหมด และยังเป็นตัวแทนทำการแลกเปลี่ยนเชลยที่ทางเชินอันจับคิมฮีอูไว้ด้วย
 
นางกำนัลสองพี่น้องร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดมาตั้งแต่ที่รู้เรื่องการส่งตัวกลับของวังชอนซา
 
“ฮึกๆ ทรงกลับไปแล้ว เดี๋ยวก็เกิดสงครามที่นั่นอีก พวกหม่อมฉันอดเป็นห่วงไม่ได้เลยจริงๆ ฮือ~” โซยอนสะอึกสะอื้นยกแพรพกเช็ดน้ำตาเป็นการใหญ่ ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องศึกบ้านเมืองนัก แต่นางก็พอจะรู้ว่าการทำสงครามแย่งชิงแคว้นเป็นเรื่องร้ายแรงใหญ่โตเพียงใด
 
“นั่นสิเพคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงยอมแลกเปลี่ยนตัวเชลยง่ายๆ ถึงคุณชายคิมฮีอูจะถูกจับไปเป็นข้อต่อรองให้ฝ่าบาทคืนองค์วังชอนซาก็เถอะ แต่น่าจะมีทางอื่นนี่นา! แล้วยัง...ทรงจะทำสงครามกับเชินอันอีก องค์วังชอนซาของหม่อมฉันไม่แย่แล้วหรือเพคะ! โฮ~~~” ยอนอากอดคอน้องสาวนั่งก้มหน้าร้องไห้ฟูมฟายหนัก พาเอาร่างบางที่นั่งรอเวลาออกเดินทางต้องถอนหายใจยาว
 
“พวกเจ้าไม่ต้องร้องไห้ถึงขนาดนี้ข้าก็ซึ้งใจจะแย่แล้ว แต่เดิมทีข้าก็ไม่ใช่คนของฮานึล ซ้ำยังเป็นโอรสแคว้นศัตรูของพวกเจ้าอีก ไยต้องเสียใจให้คนอย่างข้าถึงขนาดนี้ด้วยเล่า?”
 
หากไม่ใช่เพราะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันเป็นระยะเวลานานพอสมควร นางกำนัลน้อยคงดูไม่ออกว่าสีหน้าเรียบนิ่งและรอยยิ้มบนดวงหน้างดงามนั้นเป็นเพราะเจ้าตัวฝืนแสร้งทำ ดังนั้นยิ่งเห็นว่าคนร่างบางทำตัวเข้มแข็งมากเพียงไร ใจของพวกนางก็รู้สึกปวดแปลบตามไปด้วยมากเท่านั้น
 
ถัดจากตำแหน่งสาวใช้ในวังหลังที่ทำงานแต่ในส่วนไม่สำคัญ การได้รับเลือกให้เป็นนางกำนัลในตำหนักโยกันก็คืองานแรกที่สองพี่น้องได้รับใช้ใกล้ชิดกับคนเป็นนายเป็นเจ้า และเจ้านายคนแรกที่พวกนางได้ปรนนิบัติรับใช้ก็คือองค์วังชอนซาผู้นี้
 
เช่นนี้แล้ว จะไม่ให้พวกนางรู้สึกผูกพันกับซอนอินได้อย่างไร?
 
“แต่ว่ายอนอากับน้องสาวเป็นห่วงองค์วังชอนซาจริงๆ นะเพคะ”
 
เห็นสีหน้าท่าทางของสาวใช้แล้ว ซอนอินก็ทนปั้นหน้านิ่งต่อไปไม่ไหวอีก หากให้เปรียบเทียบความรู้สึกของยอนอาและโซยอน ซอนอินเองก็รู้สึกผูกพันกับพวกนางไม่ต่างกัน ครั้งที่อยู่เชินอัน ซอนอินถูกตีกรอบให้อยู่เพียงในวังหลัง คนที่จะคุยด้วยเกินสองสามประโยคต่อวันก็มีแต่เพียงราชครูยองจูเท่านั้น นางกำนัลในตำหนักที่คอยปรนนิบัติซอนอินเป็นราวกับตุ๊กตาผ้าไร้ชีวิต ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจากับองค์ชายซอนอินผู้มีตำแหน่งเป็นวังชอนซา กฎเกณฑ์มากมายที่เหล่านักบวชชินซองกำหนดไว้ทำให้คิมซอนอินเป็นราวกับเทพเจ้าที่อยู่สูงเกินกว่าใครจะกล้าเอื้อม
 
ซอนอินเอื้อมมือลงจับไหล่ของนางกำนัลน้อยทั้งสองซึ่งมีอายุอ่อนกว่าเขาไม่กี่ปี ริมฝีปากเล็กระบายยิ้มบาง
 
“อย่าร้องไห้เลยนะ ข้าอยากให้พวกเจ้าส่งข้าด้วยรอยยิ้ม ยิ้มแบบที่ข้าจะมั่นใจได้ว่าข้ามีความทรงจำดีๆ กับพวกเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมา”
 
“ฮึกฮืออออ” แทนที่นางกำนัลน้อยจะยิ้ม กลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม
 
ซอนอินสุดจะหาวิธีมาปลอบจึงปล่อยให้เด็กสาวร่ำไห้อย่างทำอะไรไม่ได้ ไม่นานนักกึมซองก็เดินเข้ามาตามตัวเขาให้ออกเดินทาง ภาพของยอนอาและโซยอนที่เดินออกมาส่งทั้งน้ำตาถูกม่านหน้าประตูรถม้าค่อยๆ บดบัง ตามด้วยบานไม้ปิดทับอีกชั้นหนึ่ง
 
รู้สึกใจหายเหมือนกันขณะที่รถม้าเคลื่อนที่ออกจากประตูวังหลวงของฮานึล ซอนอินไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตนมาอาศัยอยู่ที่ฮานึลถึงสี่เดือนหรือไม่ แต่แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ นี้ซอนอินกลับพบช่วงชีวิตที่น่าจดจำมากกว่าครั้งไหน เหตุการณ์มากมายที่แตกต่างจากที่เคยเป็นมาเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับดวงตาคมของมังกรลึกลับผู้นั้น
 
บุรุษชุดดำที่จับตัวของเขาไว้ในคืนวันก่อนจะได้ทำพิธีดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ไม่น่าเชื่อว่าล่วงเลยมาจนตอนนี้ ชายผู้นั้นจะกลายเป็นผู้กำหัวใจของเขาไว้ด้วย
 
 
ไม่เพียงแค่ลักพาตัว แต่ชองจีรยงยังลักพาหัวใจของเขาไปด้วยตลอดกาล
 
 
ดวงหน้าสวยถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มบางยามที่นึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับชองจีรยง แม้ส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องที่น่าเจ็บปวดเสียใจก็ตาม แต่ทั้งหมดนั่นก็มีค่ามากพอที่จะจดจำทุกรายละเอียด ไม่ว่าชองจีรยงจะกระทำต่อเขาเช่นไร ล้วนมีค่าสำหรับคนอย่างเขาที่ได้แต่ใช้ชีวิตตามความต้องการของผู้อื่น
 
ยกเว้นแต่เพียงครั้งนี้ เขาไม่ฟังใครอื่นอีกแล้วนอกจากจีรยง หากจีรยงต้องการแลกตัวเขากับคิมฮีอู เขาก็เต็มใจยอมทำตาม
 
ไม่ใช่เพื่อใครทั้งนั้น แต่เพื่อชองจีรยงเพียงคนเดียว
 
 
 
“ข้าจะส่งเจ้ากลับเชินอันเพื่อแลกตัวกับฮีอู หลังจากนั้นข้าจะเปิดศึกกับแคว้นของเจ้าทันที”
 
 
 
คำพูดของร่างสูงในคืนนั้นยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำแจ่มชัด เพียงแค่ประโยคเดียวของจีรยงสามารถทำให้หัวใจของซอนอินแทบจะหยุดเต้นได้อย่างน่ากลัว
 
...แม้แต่ในตอนนี้
 
มือบางยกขึ้นกดหน้าอกด้วยสีหน้าทรมานราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดก้อนเนื้อของชีวิตให้แหลกละเอียด จีรยงจะรู้บ้างไหมว่าเขาเสียใจมากเพียงไรกับการที่ต้องถูกส่งตัวกลับไปเช่นนี้ เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อจีรยงก็จริง แต่มันก็แลกมาด้วยหัวใจที่แหลกสลายดวงนี้
 
การรักใครสักคน เหตุใดถึงได้ทรมานนัก
 
หรือมีเพียงเขา ที่เจ็บปวดมากขนาดนี้...
 
ไม่ทันไร แก้วตาใสที่ไม่ทันได้หล่อเลี้ยงธารแห่งความเสียใจ หยดน้ำตาเม็ดใสก็ไหลรื้นลงสองข้างแก้มอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
 
ร้องไห้ไม่รู้ตัว เขากลายเป็นคนอ่อนแอได้มากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
 
ซอนอินได้แต่ยิ้มหยันกับตัวเอง ยังจะต้องตั้งคำถามใดอีกว่าเหตุใดตนเองถึงอ่อนแอเช่นนี้ เขามันคนขี้ขลาดและขี้กลัว ดูเหมือนว่าความกล้าหนึ่งเดียวที่มีคือการรักชองจีรยง
 
มือที่หมายจะยกขึ้นเช็ดหมดแรงเอาเสียดื้อๆ จำยอมต้องปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ต่อไปอย่างช่วยไม่ได้
 
นึกแล้วก็น่าสมเพชตัวเองไม่น้อย จีรยงคงไม่เห็นค่าในตัวของเขาเลยด้วยซ้ำ เอ่ยบอกว่าจะส่งเขากลับเชินอัน หลังจากนั้นก็ผละจากกลับไปที่ตำหนักรัชทายาทตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จนถึงวันที่เขาออกเดินทางออกจากวังหลวงฮานึลในวันนี้ เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้เอ่ยลาจีรยงเลยสักคำ
 
ไม่แม้แต่จะได้เห็นหน้าคนผู้นั้นเป็นครั้งสุดท้าย
 
“ชองจีรยง เจ้าใจร้ายกับข้าเหลือเกิน” เสียงหวานแหบต่ำเอ่ยย้ำความน้อยใจกับตัวเอง กี่ครั้งแล้วที่ต้องเสียใจเพราะชายที่ชื่อชองจีรยง และกี่ครั้งกันที่เขาพยายามจะตัดใจแต่ก็ไร้ผล
 
รัก... ความรู้สึกนี้ ไม่อาจลบเลือนได้เลย
 
 
 
รถม้าเคลื่อนที่ออกจากเมืองหลวงของฮานึลในตอนบ่าย ก่อนจะเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางของป่าไม้โปร่งตามพื้นที่ชนบท ข้ามลำธารสายสำคัญของฮานึล ผ่านบริเวณที่ซอนอินเคยถูกลอบสังหารครั้งก่อน จนฟ้ามืด รถม้าที่วิ่งอยู่ราวสองวันก็ได้หยุดลงตรงบริเวณกลางป่าไม้ทึบที่เป็นเส้นทางสุดท้ายก่อนจะพาออกจากเขตแดนของฮานึล และเข้าสู่แคว้นเชินอัน
 
ซอนอินนั่งนิ่งอยู่ภายในรถม้า เขาหลับมาได้สักพักเมื่อช่วงบ่ายจึงไม่เกิดอาการง่วงนอน ร่างบางนั่งจับปลายผมเล่นอย่างเหม่อลอยด้วยไม่มีอะไรทำ บานหน้าต่างไม้ไม่สามารถเปิดได้ เป็นเพียงบานหน้าต่างที่ทำจากไม้สานมีช่องว่างเล็กๆ ไว้ให้แสงและอากาศเล็ดลอดเข้ามาเพียงเท่านั้น ข้าวของเครื่องใช้ติดตัวก็ไม่มีสักอย่าง
 
สิ่งเดียวที่ซอนอินได้กลับมาจากฮานึล ก็คือความทรงจำเพียงเท่านั้น
 
เสียงกึกกักที่ด้านหน้าประตูดังลอดเข้ามาให้คนสวยได้หลุดจากห้วงภวังค์ เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าบานประตูถูกเปิดออก เงาทะมึนร่างหนึ่งไหววูบผ่านผืนผ้าม่านเข้ามา ก่อนที่ม่านตรงหน้าจะถูกเลิกขึ้น และภาพของคนที่อยู่ในห้วงความคิดทุกวินาทีก็ปรากฏแก่สายตา
 
“ชองจีรยง?!”
 
คิดว่าฝันไปด้วยซ้ำตอนที่ถูกร่างสูงดึงเข้าไปรับจูบเร็วๆ ก่อนจะถูกคนที่มุดลอดเข้ามานั่งในเกวียนจับกอดเสียจนแทบหายใจไม่ออก
 
ดวงตากลมโตยังคงเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ ริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นลงคล้ายหาเสียงของตัวเองไม่เจอ ทำเอาร่างสูงทนไม่ไหวต้องก้มลงกดจูบแบบหนักหน่วงให้อีกครั้งหนึ่ง
 
“อึ อือออ” ดูเหมือนคนสวยจะเรียกเสียงตัวเองกลับมาได้แล้ว มือเล็กบีบไหล่หนาเป็นเชิงบอกว่าหายใจไม่ออก แต่ก็โดนยื้อเรียกร้องให้ตอบรับเรียวลิ้นอีกพักใหญ่กว่าจะได้เป็นอิสระ
 
ดวงหน้าเนียนแดงระเรื่อภายใต้แสงไฟสลัวที่ส่องลอดเข้ามา
 
“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” จับจังหวะหัวใจตัวเองให้เต้นเป็นปกติได้แล้ว ซอนอินก็เอ่ยถามด้วยความมึนงง
 
รัชทายาทหนุ่มในชุดสีดำแบบที่ซอนอินเคยเห็นครั้งแรกจับคนตัวเล็กให้ลงมานั่งตรงกลางหว่างขาของตนแล้วโอบเอวบางไว้หลวมๆ ปลายจมูกซุกไซ้ซอกคอขาว สูดดมกลิ่นกายหอมหวานที่แสนคิดถึงจนพอใจ ก่อนเอ่ยตอบ
 
“ข้ามาเตรียมเรื่องกองทหารที่จะใช้ออกรบกับเชินอัน”
 
คำตอบของร่างสูงนำพาให้คนฟังรู้สึกวูบโหวงในช่องท้อง
 
“เตรียมกองทหารหรือ?...” ซอนอินพึมพำทวนคำของร่างสูง ดวงหน้าเศร้าหมองก้มลงอย่างเซื่องซึม มือเล็กที่กุมกันอยู่บิดไปมาอยู่บนตัก พยายามสั่งไม่ให้ร่างกายสั่นไหวอย่างยากลำบาก ทว่า ก็ไม่อาจสะกดกลั้นหยาดน้ำตาที่ไหลรินไว้ได้
 
จีรยงเห็นแล้วว่าคนในวงแขนร้องไห้ เขาถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง ก่อนจับให้คนตัวเล็กขยับขึ้นมานั่งบนขาข้างหนึ่งของเขา แล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา
 
“บอกไม่รู้กี่ครั้งว่าอย่าร้องไห้ ทำไมไม่รู้จักจำ รู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้หน้าตาตัวเองเป็นเช่นไร นี่คงจะร้องมาตลอดทางเลยสิใช่ไหม?”
 
คนที่นั่งปล่อยให้มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าไม่เอ่ยตอบ เอาแต่เม้มริมฝีปากสะอึกสะอื้นในลำคอ
 
ถูกคนที่รักสั่งให้ออกจากแคว้น เป็นใครจะไม่ร้องไห้กัน? ซอนอินอยากจะเถียง แต่ก็เถียงไม่ออก
 
แต่ถึงอย่างนั้น จีรยงก็เข้าใจดีว่าซอนอินกำลังคิดสิ่งใด เขาใช้ชายแขนเสื้อเช็ดผิวแก้มที่ชื้นน้ำตาจนผิวเนียนกลายเป็นสีแดงเถือก วงแขนข้างหนึ่งที่คล้องเอวคอดไว้กระชับให้แน่นขึ้นเพื่อบังคับให้คนที่นั่งบนขาของเขาได้หันมาสบตา
 
ปลายนิ้วหยาบเกี่ยวเส้นผมที่ปรกข้างแก้มใสให้ทัดหลังใบหูเล็กขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนฟัง
 
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าฮีอูถูกคนของแคว้นเจ้าจับตัวไป?”
 
ซอนอินพยักหน้าหนึ่งที เม้มริมฝีปากแน่นกว่าเดิม
 
...เจ้าก็เลยต้องใช้ข้าแลกตัวคิมฮีอูคืนมา
 
“เพราะอย่างนั้น เพื่อความปลอดภัยของฮีอู ข้าถึงไม่มีทางเลือก ต้องส่งเจ้ากลับไปตามที่เชินอันเรียกร้อง เจ้าเข้าใจเหตุผลของข้าใช่ไหม?”
 
ดวงหน้าสวยพยักขึ้นลงเป็นการตอบรับ มือเล็กที่จับยึดอาภรณ์ไว้เริ่มสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
 
…ไม่ต้องบอกย้ำ ข้าก็เข้าใจสถานะตัวเองดี
 
“ที่ข้าประกาศทำศึกกับแคว้นเจ้าหลังจากที่แลกตัวเชลย ก็เพราะเมื่อข้าได้ตัวฮีอูกลับคืนมา ข้าก็จะไม่มีห่วงใดๆ ให้ต้องกังวลยามที่ส่งทหารเข้าบุกตีเชินอัน...”
 
“ฮึก...” พยายามกลั้นแล้วจริงๆ แต่ก็หลุดสะอื้นออกมาจนได้
 
“อย่าเพิ่งร้องไห้ได้ไหม” เสียงทุ้มฟังเหนื่อยหน่ายไม่น้อย ยิ่งทำให้ร่างบางรู้สึกอยากร้องไห้มากขึ้น
 
จีรยงลูบประคองดวงหน้าสวย ใช้ปลายนิ้วลูบเนินแก้มเบาๆ อย่างอ่อนโยนคล้ายต้องการปลอบประโลม บอกให้หยุดร้องไห้ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์
 
“เจ้าจะร้องไห้ก็ได้ข้าไม่ห้ามแล้ว แต่ช่วยฟังข้าพูดให้จบก่อนจะได้ไหม ...แล้วนี่ทำไมข้าต้องมานั่งอธิบายให้เด็กขี้แยอย่างเจ้าฟังด้วยนะ” อดจะบ่นออกมาไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังระงับความขัดข้องใจไว้แล้วเอ่ยต่อ โดยที่มือก็ยังลูบใบหน้าของคนฟังไว้อย่างอ่อนโยน
 
“ฐานะวังชอนซาของเจ้าถือเป็นสิทธิ์ขาดของเผ่าชินซองที่มีในตัวเจ้าใช่ไหม? ตอบข้าซอนอิน” จีรยงพยายามให้คนร่างบางได้มีส่วนร่วมในการสนทนา เพื่อที่เจ้าตัวจะได้หยุดสะอื้นไห้แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี
 
“ฮึก...ใช่”
 
“แล้วเมื่อข้าส่งเจ้าคืนให้เชินอัน เจ้าก็คงหนีไม่พ้นถูกจับไปที่หุบเขาของเผ่าชินซอง ข้าพูดถูกหรือไม่?”
 
ก็คงจะอย่างนั้น ไม่แน่ว่า ทันทีที่เขาถูกส่งคืนให้เชินอัน พวกนักบวชอาจจะพากันจับเขาไปสังหารก็เป็นได้ แล้วต่อจากนี้ไป เขาก็คงไม่ได้พบเจอชองจีรยงอีกตลอดกาล
 
“ตอบข้าซอนอิน อย่าหลบตาข้า”
 
“เจ้าพูดถูก” ถึงจะตอบแบบขอไปที แต่จีรยงก็พึงพอใจแล้ว
 
“แล้วเจ้าคิดว่า ข้าควรจะทำอย่างไรเพื่อช่วยคนของข้าให้พ้นอันตรายจากพวกชนเผ่าชินซอง หากไม่ให้ทำสงครามแย่งชิงแคว้นมาเป็นของข้าเอง แล้วเจ้าคิดว่ายังจะมีวิธีใดที่จะล้มล้างอำนาจงมงายของคนพวกนี้ได้อีก ยังจะมีวิธีใดที่ข้าจะได้เป็นเพียงคนเดียวในแผ่นดินนี้ที่มีสิทธิ์ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเจ้า ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิซอนอิน ว่าข้าควรจะทำอย่างไร?”
 
ประโยคยาวตั้งมากมาย แต่ซอนอินกลับเก็บใจความได้เพียงสามคำ ‘คนของข้า’ ฟังไม่ผิดใช่ไหม เข้าใจถูกต้องทุกอย่างใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเขาหูฝาดคิดไปเองหรอกนะ!
 
ความคิดแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน ทำให้เรียวคิ้วเข้มกดลึกอย่างจำยอมต่อกระบวนความคิดของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่เคยคิดอะไรในแง่ดีให้กับตัวเองเลยสักครั้ง
 
 
“ต้องให้ข้าพูดซ้ำอีกครั้งไหมว่า ‘คนของข้า’ ที่ข้าพูดถึงนั้นหมายถึงเจ้า คิมซอนอิน”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 22] 13/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 13-09-2016 08:14:09
 
 
เพล้ง!!
 
 
เสียงกระเบื้องแตกดังสะท้อนอยู่ภายในถ้ำที่มืดสลัว ร่างร่างหนึ่งถูกโซ่ตรวนไว้ทั้งข้อมือและข้อเท้า ห่วงโซ่ระโยงระยางจากเพดานถ้ำลงมาถึงข้อมือที่บวมช้ำสีเลือดนั้นสั่นไหวเล็กน้อยเกิดเป็นเสียงของโลหะกระทบกันเบาๆ เปลือกตาหนักอึ้งข้างหนึ่งที่อยู่นอกเหนือผ้าสีขาวที่ชุ่มด้วยเลือดขยับเชื่องช้า ก่อนจะเผยให้เห็นแก้วตาสีแดงฉานไม่ต่างจากเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วง
 
 
เพล้ง!!
 
 
เสียงกระเบื้องแตกดังขึ้นอีกครั้งสะท้อนไปตามแนวกำแพงหิน ปาร์คยองจูหลับตาลงเพียงครู่ก่อนจะลืมขึ้นเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดสลัว เสียงเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาจากห้องขังภายในถ้ำที่อยู่ห่างไกลจากส่วนลึกที่เขาถูกคุมขังอยู่
 
ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าตนเองอยู่ที่ใด ยองจูก็รู้ดีว่าที่แห่งนี้คือถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของหุบเขาชินซอง
 
ใบหน้าคมเข้มของราชครูหนุ่มเงยขึ้นมองสำรวจโซ่ตรวนและสถานที่รอบกาย ทุกอย่างล้วนถูกลงคาถาสลายพลังวรยุทธทั้งสิ้น เรื่องคิดจะหนีคงเป็นไปไม่ได้เลย
 
 
แกร็ง!
 
 
ประตูเหล็กเปิดผ่างออกพร้อมกับกลุ่มนักบวชกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามา ดวงเนตรเพลิงจ้องมองร่างเล็กๆ ที่ถูกคุมตัวอยู่กลางกลุ่มนักบวชตรงหน้า มือที่ถูกพันธนาการกระตุกรุนแรงทันทีที่พบว่าร่างมอมแมมนั้นคือคิมฮีอู
 
“ไม่เลวเลยนี่ท่านราชครูปาร์ค ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะมีคนรักแล้ว”
 
นักบวชวัยหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนนำอยู่หน้ากลุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน มือสากหยาบใหญ่บีบปลายคางเล็กของฮีอูให้เงยหน้าขึ้นด้วยน้ำหนักมือรุนแรง
 
ยองจูเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าบริเวณลำคอของฮีอูมีรอยโดนบาดพาดผ่านทำให้เลือดไหลซึมออกมา ซ้ำดวงหน้ายังมีรอยฟกช้ำประปราย
 
เพียงแค่เห็น ใจของราชครูหนุ่มก็เจ็บปวดแสนสาหัส
 
“อีซังโฮ เจ้าจะทำอะไรกับข้าก็ได้ แต่อย่าแตะต้องคิมฮีอู” เสียงทุ้มต่ำของยองจูปะปนไปด้วยเสียงหอบหายใจหนักหน่วง
 
“ท่านว่าอย่างไรนะท่านราชครู? ท่านได้ดูสภาพตัวเองหรือเปล่า ร่างกายของท่านตอนนี้แค่ข้ากระดิกนิ้วเดียวท่านก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว” นักบวชหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะพอใจ นานมากแล้วที่อีซังโฮคิดอิจฉาริษยาปาร์คยองจู มีอายุมากกว่าตนเพียงสองปี กลับได้รับยกย่องแต่งตั้งสูงส่งเกือบจะเทียบเท่าผู้นำเผ่าต่อหน้าต่อตา!
 
“รู้สถานะตัวท่านไว้เถิดท่านราชครูปาร์ค หากว่าคิมฮีอูไม่หาเรื่องคิดฆ่าตัวตายหากพวกเราสังหารท่าน ป่านนี้ท่านได้ลงไปอยู่ในหลุมแล้ว! ...เจ้านี่ก็ฤทธิ์มากนัก!” ซังโฮหันไปกระชากปลายคางเล็กแล้วบีบแน่น “...คิดจะใช้ชามกระเบื้องกรีดคอเพื่อให้ได้มาอยู่ห้องขังเดียวกับท่าน หึ! รักกันเหลือเกินนะ เมื่อไหร่ที่คิมฮีอูถูกแลกตัวกับวังชอนซาเรียบร้อยแล้วล่ะก็ ข้านี่ล่ะจะเป็นคนจบประวัติศาสตร์ของท่านเอง ราชครูปาร์คยองจู!!”
 
ร่างเล็กบอบช้ำถูกผลักเข้าหาร่างที่ถูกโซ่ตรวนริมผนังอย่างรุนแรง ก่อนที่กลุ่มนักบวชจะพากันออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูซี่เหล็กด้วยโซ่ขนาดใหญ่ถึงสามชั้น
 
ฮีอูผละจากร่างสูงที่ยืนโงนเงนเพราะแรงกระแทก ก่อนจะทรุดตัวลงไอเอาก้อนเลือดออกมาจนน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บจุกที่ท้องน้อยเพราะถูกต่อยก่อนจะมาที่ห้องขังของร่างสูง
 
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ยองจูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน อยากจะเข้าไปโอบประคองดูแล แต่ก็ทำไม่ได้
 
ศีรษะเล็กส่ายไปมา แล้วสะอื้นไห้อย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเห็นสภาพของคนที่รักสุดหัวใจว่าสะบักสะบอมมากเพียงไร เลือดสีแดงที่ซึมผ่านผ้าพันรอบตัวมีปริมาณมากจนน่ากลัว ตามเนื้อตัวที่ก่อนหน้านี้ทำท่าว่าจะหายดีแล้วบัดนี้กลับมีร่องรอยของผิวช้ำเลือดอีกครั้ง
 
“ยองจู ฮึกฮือออ ท่านเจ็บมากหรือเปล่า ฮือๆ เป็นเพราะเราทำให้ท่านต้องเจ็บตัวแบบนี้ ฮึกฮือ...” มือเล็กสั่นสะท้านยามที่แตะสัมผัสร่างสูงตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่าหากจับแรงไปจะเป็นการทำให้อีกฝ่ายเจ็บ
 
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าต่างหาก แผลที่คอ หาอะไรมาพันเสียก่อนเถิด”
 
“แผลแค่นี้เราไม่สนใจหรอก ฮึก แต่ท่าน...ยองจู เราจะทำอย่างไรดี เราจะช่วยท่านยังไงดี ฮือ...”
 
เพิ่งจะรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองงี่เง่ามานานแค่ไหนแล้ว ก่อนหน้านี้มีโอกาสได้เข้าไปปลอบโยนคนตรงหน้าตั้งไม่รู้กี่ครั้งเขากลับไม่ทำอะไรเลย ในเวลานี้ แม้อยากจะเช็ดหยาดน้ำตาให้มากแค่ไหน อยากจะโอบกอดปลอบโยนให้แนบแน่นมากเท่าไหร่ เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
 
“ฮีอู ขอร้องล่ะ จัดการกับเลือดของเจ้าเสียก่อนได้ไหม”
 
น้ำเสียงทุ้มวอนขอทั้งสีหน้า ปิดโอกาสให้คนตัวเล็กเลิกทำเป็นไม่สนใจ ฮีอูฉีกชายเสื้อรุ่ยร่ายของตัวเองออกมาส่วนหนึ่งแล้วกดแนบบริเวณบาดแผล เขากดค้างไว้ไม่นานนักก็เช็ดคราบเลือดออกจากช่วงลำคอ แม้เลือดยังไม่หยุดซึมผ่านรอยแยก แต่ก็ไม่มากเท่าตอนแรก ฮีอูไม่ได้ออกแรงมากนักตอนที่ใช้เศษกระเบื้องทำร้ายตัวเอง
 
คนตัวเล็กมุ่งมั่นกับการดึงชายผ้าส่วนปลายของเสื้อออกเป็นผืนยาวได้ทบหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เอื้อมแขนขึ้นเช็ดใบหน้าเปื้อนเลือดให้ยองจูอย่างเบามือ
 
ขณะที่เช็ดเลือดให้อยู่เงียบๆ นัยน์ตาคมก็จ้องมองดวงหน้าหวานฉ่ำน้ำตาอย่างเพ่งพิศ
 
บางที นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็เป็นได้ ที่เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดคิมฮีอูอย่างนี้
 
 
“ข้ารักเจ้า”
 
 
มือที่ประคองเช็ดอยู่หยุดค้างกะทันหัน แก้วตาคู่สวยไหววูบกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะหันสบสายตาคมเข้มตรงหน้าอย่างต้องการความมั่นใจ
 
 
“ข้ารักเจ้า คิมฮีอู”
 
 
ทำนบน้ำตาพังทลายลงในวินาทีนั้นเอง
 
“ฮึกฮือ! กว่าท่านจะยอมบอกเราได้ ฮึก แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไรล่ะ ฮึกฮือออ...คนรักของเรากำลังจะตาย แล้วเราจะอยู่ต่อไปได้ยังไง ยองจู ฮือๆๆๆ”
 
กำปั้นเล็กๆ ทุบลงบนอกแกร่งแสนบอบช้ำไม่แรงนัก เลือดสีสดเปรอะเปื้อนมือทั้งสองข้างของฮีอู แต่ร่างเล็กก็ไม่สนใจเมื่อใช้หลังมือนั้นปาดไปทั่วใบหน้าของตนเองเพื่อเช็ดม่านน้ำแห่งความเสียใจให้พ้นดวงตา
 
ยองจูจ้องมองดวงหน้าขาวที่มีคราบเลือดของเขาเปรอะไปทั่วด้วยหัวใจที่เจ็บร้าวไม่แพ้กัน เขามันงี่เง่า ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่างเดียว ดูแลปกป้องใครไม่ได้สักคน ทั้งซอนอิน ทั้งฮีอู มือคู่นี้ไม่สามารถช่วยเหลือคนสำคัญของเขาทั้งสองคนไว้ได้เลย
 
“ฮึก...เราจะไม่กลับฮานึล เราจะไม่แลกตัวอะไรทั้งนั้น ถ้ายองจูต้องตาย เราก็จะตายด้วย!!”
 
“ไม่ได้นะฮีอู เจ้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้!”
 
“ทำไมล่ะ ถ้าคิมซอนอินมาที่นี่ก็จะถูกทำร้ายเหมือนท่านไม่ใช่หรือ? ฮึก ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องให้คิมซอนอินมา ถ้าเราชิงฆ่าตัวตายก่อน เชินอันก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีเชลยให้แลก ฮานึลก็ไม่ต้องส่งคิมซอนอินคืนกลับมา ฮึก แบบนั้น ไม่ดีหรือไง”
 
มือเล็กเกาะชายเสื้อด้านข้างของชายหนุ่มไว้ด้วยอาการสั่นเทา น้ำตายังคงไหลไม่หยุด
 
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าตายเสียเปล่าหรอกนะฮีอู คิดหรือว่าถ้าเจ้าตายแล้วพวกนักบวชจะบอกความจริงออกไป ถึงอย่างไรพวกผู้เฒ่าก็ต้องหาทางให้ได้วังชอนซาคืนมาอยู่ดี”
 
ยองจูไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงดุดันเช่นประโยคก่อนหน้า เขาเอ่ยด้วยระดับเสียงที่นุ่มนวลลง
 
“แต่เราทนทิ้งให้ยองจูตายไม่ได้ เราเสียท่านไปไม่ได้อีกแล้ว ฮึกฮือ...”
 
“ฮีอู เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองตาข้า”
 
“ฮึก ไม่เอา เราไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น...”
 
“คิมฮีอู มองตาข้า ได้โปรด เจ้าเป็นดวงใจของข้านะฮีอู ช่วยฟังคำขอร้องจากคนที่รักเจ้าด้วยเถอะ”
 
ศีรษะเล็กๆ ยังไม่ยอมเงยขึ้น จนกระทั่งสายตาเหลือบเห็นหยดน้ำที่ร่วงเผาะลงมาบนหลังมือที่เกาะยึดเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่น
 
ฮีอูเงยหน้าขึ้น เพื่อพบว่าดวงตาสีแดงฉานที่มักดุดันฉายประกายกร้าวน่ายำเกรง เวลานี้เอ่อคลอไปด้วยม่านน้ำตาจนท่วมท้น
 
“ยองจู...”
 
“สัญญากับข้า ว่าเจ้าจะมีชีวิตต่อไปเพื่อข้า ให้ข้าได้จากเจ้าไปพร้อมกับความรู้สึกที่น่าจดจำ อย่าให้ข้ารู้สึกผิดที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ ที่ทำให้เจ้าต้องมารักคนอย่างข้า ได้โปรดฮีอู ฟังคำขอร้องจากข้าสักครั้งเถิด อย่าทิ้งชีวิตเพื่อคนอย่างข้าแบบนี้เลย แค่เจ้ารักข้า เพียงแค่นี้ชีวิตของข้าที่ได้เกิดมาก็คุ้มเหลือเกินแล้ว”
 
“ฮึก ท่านพูดอะไร ฮือๆ เราไม่เคยเสียใจที่ได้รักท่านเลยนะยองจู ไม่เคยเลย...”
 
ริมฝีปากหยักระบายยิ้มบางกับท่าทางปฏิเสธของร่างเล็ก
 
“เช่นนั้น เจ้าก็ต้องรักข้าให้มากๆ มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อคนที่เจ้ารัก เพื่อความต้องการของคนที่รักเจ้า”
 
“ฮึก ฮืออออออ” คราวนี้ฮีอูไม่เอ่ยปฏิเสธหรือตอบรับ เอาแต่ร้องไห้อยู่เช่นนั้น มือที่เกาะชายหนุ่มไว้อยู่ยิ่งมีอาการสั่นเทามากขึ้น ยองจูปล่อยให้ฮีอูซึมซับความเสียใจเพียงครู่ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
 
“ข้าอยากฟังคำรักจากเจ้าเหลือเกินฮีอู บอกให้ข้าฟังเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม”
 
ดวงตาฉ่ำน้ำเงยขึ้นมองคนเอ่ยขอ ริมฝีปากบางกัดเม้มแน่น
 
“ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ฮึก นี่ต้องไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ท่านจะได้ฟังคำว่า เรารักท่าน ปาร์คยองจู”
 
ยองจูระบายยิ้มกับถ้อยคำของคนรักที่แสนบริสุทธิ์ใสซื่อ เขาไม่สนใจประโยคอื่นใดนอกไปจากคำบอกรักที่คนตรงหน้ามอบให้เท่านั้น
 
 
“ข้าก็รักเจ้า คิมฮีอู”
 
“ข้ารักเจ้ามากเหลือเกิน”
 
“ปาร์คยองจูรักคิมฮีอู”
 
“รัก รัก...”
 
 
“ฮึก พอแล้ว!! ฮือๆๆๆ” คนตัวเล็กตะโกนแทรกคำรักหวานหูที่ตลอดมาเฝ้าฝันว่าอยากได้ยินจากคนตรงหน้าแม้เพียงสักครั้งก็ยังดี แต่ในตอนนี้ ยิ่งอีกฝ่ายบอกรักเขามากเท่าไหร่ ฮีอูก็ยิ่งไม่อยากฟังมากเท่านั้น
 
เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่า ต่อจากนี้ไป เขาจะไม่ได้ฟังคำคำนี้จากยองจูอีกแล้วตลอดกาล
 
“บอกรักตอบรับข้าหน่อยสิฮีอู”
 
สีหน้าของยองจูยังคงเจือด้วยรอยยิ้มบาง ดวงตาคมไม่แสดงอาการเศร้าหมองแต่อย่างใด มีแต่ความรักและความอบอุ่นส่งมอบให้คนที่สบสายตาอยู่ตรงหน้าเพียงเท่านั้น แล้วไยเล่าที่อีกฝ่ายจะไม่ยินยอมตอบรับความรู้สึกนั้นแต่โดยดี
 
“ฮือๆ เรารักท่าน ยองจู รัก รัก รัก รักมากที่สุด”
 
เพียงเท่านั้น รอยยิ้มกว้างก็ฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลาของราชครูหนุ่ม
 
“ข้าอยากดึงเจ้าเข้ามากอดจูบเหลือเกิน”
 
ฮีอูหลุดสะอื้นฮักสองครั้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายคล้องวงแขนรอบลำคอร่างสูงที่ถูกโซ่ตรวนข้อมือทั้งสองข้าง แล้วเขย่งปลายเท้ายื่นใบหน้าเข้าหา ส่งมอบจูบนุ่มนวลให้คนเรียกร้องอย่างเต็มใจ
 
ริมฝีปากบางนุ่มแตะจูบเนิ่นนานกับกลีบปากหยักหนา ไม่อยากผละออกเลยสักนิด เพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าคมก็ขยับยื่นแนบลงมาประกบปากของฮีอูมากขึ้น ลิ้นสากไล้ต้อนให้อีกฝ่ายเปิดทางผ่านให้ จนเรียวลิ้นทั้งสองได้แตะสัมผัสกันในที่สุด
 
จูบลุ่มลึกหนักหน่วง แต่ทว่าหอมหวานเบาบางราวปุยนุ่นที่ล่องลอยในอากาศ
 
ฮีอูโอบวงแขนกดลำคอของคนตัวสูงอย่างลืมตัว เพียงเพื่ออยากจะให้อีกฝ่ายได้ตักตวงความหวานจากโพรงปากของเขาได้มากขึ้น จูบรุ่มร้อนเริ่มเนิบนาบและเชื่องช้า หยาดน้ำใสที่เชื่อมเข้าหากันจนมั่วไปหมดไหลล้นออกทางมุมปากทั้งสองข้าง เสียงโซ่ตรวนกระทบกันดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องขัง ผสมปนเปไปกับเสียงเปียกลื่นของการแลกเปลี่ยนน้ำลายของคนสองคนไม่รู้จบ
 
 
และไม่รู้ว่า พวกเขาจะยังมอบจูบให้กันอีกกี่ครั้ง จนกว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้อีก
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
การเดินทางของขบวนรถม้าส่งเชลยล่วงเลยจนเข้าวันที่หนึ่งของเดือนเจ็ด
 
คืนนี้ก็เป็นอีกคืน ที่รัชทายาทหนุ่มแห่งฮานึลใช้เวลายามค่ำคืนในการพักแรมตามค่ายทหารของพระองค์เองกับคนร่างบางแสนสำคัญ
 
ภายในกระโจมผ้าตรงกลางของค่ายกองทหารฮานึลกลางป่าใหญ่ เขตแคว้นเชินอัน
 
ร่างบางในชุดสีขาวบิดกายน้อยๆ อย่างน่ารักอยู่บนตักของร่างสูงที่เอาแต่กลั่นแกล้งด้วยการซุกไซ้ปลายจมูกไปทั่วลำคอขาวที่มีแต่จุดสีแดงแต่งแต้มอยู่ประปราย
 
“ข้าไม่อยากส่งตัวเจ้าให้พวกนักบวชเลย” เสียงทุ้มพึมพำผ่านผิวเนื้อนุ่มลื่นที่กำลังโลมไล้อยู่อย่างเพลิดเพลิน
 
ซอนอินหยุดดิ้นทันทีแล้วก้มมองศีรษะที่ซุกอยู่กับเนินไหล่เปลือยเปล่าเพราะถูกคนตรงหน้าถลกอาภรณ์ลงไปถึงข้อศอกเรียบร้อยแล้ว
 
รอยช้ำสีแดงเหนือจุดเล็กๆ บนเนินอกขาวถูกคมเขี้ยวของมังกรหนุ่มขบกัดจนขึ้นสีชัดถนัดตา
 
“อื้ออออ” เสียงหวานครางด้วยความเจ็บแปลบ
 
“จำได้หรือเปล่าว่าข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่างไรซอนอิน”
 
ดวงหน้าหวานยังแดงจัด สีผิวบนพวงแก้มยังมีร่องรอยแห่งความลุ่มหลงด้วยถูกปลุกอารมณ์มาแทบจะตลอดทางขณะที่นั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน เห็นจะมากที่สุดก็คงไม่พ้นการประกบปากจูบนั่นแหละ ทำให้ริมฝีปากของหงส์งามในตอนนี้ทั้งฉ่ำสีสดและบวมเจ่อน้อยๆ น่าประทับจูบอีกสักหลายๆ ครั้ง
 
“ตอบข้าสิซอนอิน เร็วเข้า”
 
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดเล้าโลมผิวกายสั่นสะท้านตรงหน้า ริมฝีปากอุ่นยังคงแตะผะแผ่วทั่วทั้งผิวกายบอบบางอย่างถือสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของ
 
“จำได้  อ่ะ อ่า...เจ้า เจ้าบอกว่า อย่าให้ใครได้แตะต้องข้าอย่างเกินเลย จนกว่า อ่ะ...จนกว่าเจ้าจะพาข้าออกมาจากคนพวกนั้น อื้ม...!”
 
จูบเร็วๆ ถูกส่งให้คนตัวเล็กต้องตอบรับอย่างกะทันหัน
 
“เข้าใจก็ดีแล้ว อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าเจ้าถูกใครอื่นแตะต้อง แค่สามวันเท่านั้น ข้าจะต้องได้เจ้ากลับมาอยู่กับข้าเหมือนเดิม”
 
มือหยาบใหญ่สอดลึกผ่านผ้าคาดเอวของร่างบางลงสู่เบื้องล่าง แล้วกอบกุมส่วนไวสัมผัสที่เพิ่งเกิดอารมณ์มาได้ไม่นาน แล้วจัดการพาคนสวยส่งให้ถึงสรวงสวรรค์แห่งเพศรสได้อย่างไม่ยากเย็น
 
ซอนอินหอบหายใจจนตัวโยนอยู่บนตักของจีรยง ริมฝีปากบางหอบกระเส่ายามที่หยาดหยดสุดท้ายถูกรีดออกจนเต็มฝ่ามือใหญ่
 
“เจ้าไปรอข้าที่ธารน้ำตก กึมซองจะเป็นคนพาไป อาบน้ำรอข้าอยู่ที่นั่น ข้าคุยเรื่องแผนรบกับนายพลซูวอนเสร็จแล้วจะตามไป” ริมฝีปากอุ่นนาบจูบลงที่ขมับชื้นเหงื่อ
 
ได้ฟังว่าให้อาบน้ำที่ธารน้ำตก คนสวยก็ตาเป็นประกาย ตั้งแต่ออกเดินทางมา ยังไม่ได้ลงแช่น้ำแบบเต็มๆ ตัวเลยสักครั้ง เหนียวตัวจะแย่แล้ว อดคิดไม่ได้ว่าจีรยงหาเศษหาเลยกับร่างกายของเขาทุกวันแบบนี้ได้อย่างไรกัน
 
ตัวเขาน่าจะเหม็นได้ตั้งแต่สองวันแรกที่ไม่ได้อาบน้ำแล้วนะ?
 
 
 
“กระหม่อมรอตรงนี้นะพะย่ะค่ะ” ยูกึมซองโค้งกายให้ร่างบางที่เดินอีกเพียงสิบก้าวก็ถึงธารน้ำตกกลางป่าแล้ว
 
ซอนอินขมวดคิ้วมุ่นมองเด็กหนุ่มที่เลือกยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
 
“ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องจับตาดูข้าไม่ให้คลาดสายตาอยู่แล้วนี่ ไยต้องไปยืนหลบๆ ซ่อนๆ ตรงนั้นด้วยเล่า?!”
 
กึมซองยิ้มกว้างขณะเอ่ยตอบฉะฉานเต็มปากเต็มคำ “กระหม่อมไม่อยากถูกตัดหัวทิ้งไว้กลางป่าต่างแคว้นพะย่ะค่ะ!”
 
“ใครจะตัดหัวเจ้ากัน? ก็เจ้าต้องคุ้มครองข้าไม่ใช่หรือ?...อ่ะ” เหมือนสมองเพิ่งจะไตร่ตรองเรียบเรียงความคิดได้ เกิดกึมซองมายืนดูเขาอาบน้ำเสียชิดริมลำธาร เจ้าคนบ้าพลังอำนาจนั่นคงควันออกหูออกจมูกเป็นมังกรตกมันเป็นแน่ ขนาดเมื่อคืนก่อนตอนที่เขาจะลงรถม้าแล้วเสียหลัก นายทหารที่อยู่ใกล้ๆ ก็หวังดีรีบเข้ามาประคอง แต่ดันโดนจีรยงสั่งให้เดินเท้าเปล่าตามขบวนรถม้าตั้งครึ่งชั่วยามข้อหามาแตะตัวของเขาเสียอย่างนั้น
 
เหอๆ นี่เขาก็เกือบจะชวนกึมซองลงมาแช่น้ำด้วยกันแล้วนะเนี่ย!
 
ซอนอินพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะหันหลังกลับเดินต่อไปยังริมลำธาร
 
ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืนส่องกระทบผิวเนื้อละเอียดขาวผุดผ่องของร่างบางจนเกิดประกายระยิบสะท้อนกับผิวแม่น้ำใสสะอาด ร่างเปลือยเปล่าของหงส์แสนงามแหวกว่ายอยู่ในลำธารด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
 
ตั้งแต่ออกเดินทางมาร่วมหนึ่งอาทิตย์ ซอนอินได้รับความสุขมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหวแล้ว จีรยงแสดงความต้องการกับเขาอยู่ตลอด ซ้ำยังอ่อนโยนอย่างที่สุด ถึงจะมีขึ้นเสียงดุเขาบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องไร้สาระน้อยนิดเท่านั้น
 
มีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ที่รบกวนจิตใจอันเป็นสุขของเขา เรื่องของคิมฮีอู
 
ซอนอินไม่กล้าเอ่ยถามว่าหลังจากที่ได้ตัวคิมฮีอูคืนมาแล้ว อีกฝ่ายจะสานสัมพันธ์กับคนผู้นั้นต่อหรือไม่ แล้วหากพาเขาหนีออกมาได้สำเร็จ จีรยงจะให้เขาอยู่ที่ฮานึลในฐานะอะไร
 
คนรัก หรือแค่คนรองรับอารมณ์เพียงเท่านั้น
 
อ่า...คนรักงั้นหรือ นี่เจ้าคิดสิ่งใดอยู่คิมซอนอิน เจ้าเคยได้ยินชองจีรยงบอกคำรักกับเจ้าแล้วหรืออย่างไร เพ้อฝันไปเองแท้ๆ
 
เรื่องแบบนั้น ฝันเอาคงง่ายกว่ามั้ง!
 
ศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำเงายาวแผ่สยายลอยอยู่เหนือผิวน้ำยามที่เจ้าตัวสั่นหัวปฏิเสธความคิดฟุ่งซ่านที่เกินกว่าจะหาความเป็นจริงได้ยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
 
กำลังควบคุมสติอย่างตั้งอกตั้งใจ จู่ๆ แก้วตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อเห็นเงาตนเองสะท้อนผิวน้ำกระทบแก้วตาขึ้นมา
 
ทันความคิด คนตัวเล็กก็รีบหันไปมองกึมซองที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักอย่างตกใจ แล้วก็พบว่าเด็กหนุ่มเองก็มีสีหน้าตื่นตะลึงไม่ต่างจากตนเองมากนัก
 
ซอนอินได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่กลางลำธารอย่างทำอะไรไม่ถูก ต่อให้ไม่มีแสงจันทร์ช่วยส่องแสงสว่างลงมา ซอนอินก็ยังรับรู้ได้อยู่ดี ว่าที่แผ่นหลังของเขามีปีกสีขาวขนาดใหญ่แผ่กางออกไม่ต่างจากวิหคเหิรแม้เพียงนิด
 
แล้วที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น คือเงาของเขาเองที่จ้องตอบกลับมาจากผิวน้ำ โดยที่เงากระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่นที่เห็นอยู่นี้ กลับมีปีกสำดำสนิทเฉกเช่นตัวเขาเมื่อครั้งก่อน ซ้ำรอยยิ้มที่ต่างจากของเขาที่ส่งกลับมาให้นี่มัน...หมายความว่าอย่างไรกัน!!
 
 
สวรรค์ ท่านเล่นตลกอันใดกับข้าอีกแล้ว!!
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 22] 13/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-09-2016 08:52:30
งานเข้า!! ลึกลับได้อีก ทำไมถึงดูเหมือนจะมีสองคนล่ะ เพียงแต่อีกคนยังอยู่ในเงาไม่ปรากฏรูปร่างที่จับต้องได้เท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 22] 13/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 13-09-2016 09:51:01
ที่เห็นแบบนี้เพราะว่าซอนอินยังไม่ได้เป็นทั้งทางแสงสว่างและความมืดใช่หรือเปล่าเพราะมีปีกสีขาวให้ได้เห็นหลังจากที่มีสีดำออกมาเมื่อคราวก่อนเหมือนกับว่าอยู่ที่ใจของซอนอินเองว่าจะเลือกเป็นฝ่ายไหนใช่มั้ยนะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 22] 13/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 13-09-2016 11:01:55
ในที่สุดจีรยงก็บอกแผนให้ซอนอินรู้ แต่แบบเรื่องปีกกับเรื่องอีกตัวตนนึงนี่คือยังไง จำได้ว่าเคยมีโผล่มาตอนที่แล้วด้วย เรื่องต่างๆ คงไม่ง่ายอย่างที่จีรยงวางแผนไว้หรอก สงสารทางยองจูกับฮีอูด้วย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 22] 13/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 14-09-2016 00:36:28
สงสารท่านราชครูเป็นที่สุด
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 23] 14/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 14-09-2016 11:39:27

บทที่ 23
 
วังชอนซาจมน้ำ
 
ยังตื่นตะลึงกับความงดงามราวกับได้พบเห็นทวยเทพวิหคเหิรจากสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน ภาพของหงส์งามที่ผลุบหายลงไปในชลาสินธุ์ก็ทำให้ดวงเนตรคมเกิดประกายวาววาบเบิกกว้าง ก่อนที่แม่ทัพแห่งฮานึลประจำกองพลที่เจ็ดจะรีบวิ่งลงไปในลำธารตรงหน้าด้วยความว่องไว
 
ร่างปวกเปียกของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งเทพเจ้าทงซกถูกแม่ทัพหนุ่มนามว่าชองจีรยงอุ้มลอยขึ้นเหนือธารา ปีกสีขาวขนาดใหญ่ไม่ได้แผ่กางออกดังเช่นในคราแรก บัดนี้มันหุบแนบสนิทอยู่บนแผ่นหลังเปลือยเปล่า และแม้ว่าร่างทั้งร่างของวังชอนซาจะจมหายลงไปในแม่น้ำจนมิด แต่ปีกสีขาวสว่างตานี้กลับไม่มีหยดน้ำแม้แต่เพียงหยดเดียว ปุยขนสีอ่อนยังแห้งสนิทและพลิ้วไหวน้อยๆ ยามที่ต้องสายลมเย็น
 
แพทย์หลวงจากึนซึ่งอยู่ประจำในกองทัพถูกตามตัวในเวลาไม่นาน ภายในกระโจมพักขนาดใหญ่ของแม่ทัพที่เจ็ดมีคนเพียงห้าคนเท่านั้น คือตัวแม่ทัพเอง วังชอนซา ยูกึมซอง ยูโทซอง และหมอหลวงจากึน ความเป็นส่วนตัวนี้เองทำให้คนภายในกระโจมพักทำอะไรได้สะดวกขึ้น เพราะการที่วังชอนซามีปีกโผล่ออกมาจากแผ่นหลังเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติเลยสักนิด
 
หลังจากที่ท่านหมอได้จับชีพจรของร่างบางซึ่งนอนซบไหล่กว้างอยู่บนตักของนายเหนือหัวแล้ว ชายชราก็ได้สรุปผลอาการของวังชอนซาว่าเป็นเพราะความตกใจอย่างกะทันหันทำให้หมดสติไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ให้นอนพักสักครู่ก็จะดีขึ้นและจะทรงฟื้นขึ้นมาเอง
 
ส่วนเรื่องที่มาของปีกนั้น จากึนไม่สามารถอธิบายได้
 
“ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเพลานี้เข้าเดือนเจ็ดแล้วหรือเปล่าขอรับ ถึงทำให้สิ่งแปลกประหลาดเริ่มปรากฏกับองค์วังชอนซาเช่นนี้” โทซองเอ่ยความคิดเห็นออกมาด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลใจไม่น้อย จริงอยู่ว่าเรื่องเกี่ยวกับวังชอนซาได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่อาจยอมรับได้อย่างเต็มที่ ในเมื่อนายเหนือหัวของตนยังคงยืนกรานว่าต้องการองค์วังชอนซาอยู่เช่นนี้ หากเกิดสิ่งใดร้ายแรงขึ้นมาโทซองก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเขาเองจะรับมือได้หรือไม่
 
“แต่นี่แค่เข้าวันที่หนึ่งเองนะ ข้าไม่อยากคิดเลยว่าเมื่อถึงวันที่เจ็ดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?!” สีหน้าของกึมซองไม่ได้ดูวิตกกังวลเหมือนแฝดผู้พี่ แต่เป็นสีหน้าตกตื่นระคนตื่นเต้นกับเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างไม่ปิดบัง
 
“จะเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวก็รู้เอง” เสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบ ทว่ากลับทำให้คนอีกสามคนภายในกระโจมเงียบเสียงทันที ดวงหน้าคมเข้มไม่ได้ละไปจากใบหน้าของหงส์งามยามที่เอื้อนเอ่ยต่อกับหมอหลวง “เจ้ากลับไปที่พักได้แล้ว หากซอนอินมีอาการนอกเหนือจากนี้ข้าจะเรียกอีกที”
 
“ขอรับท่านแม่ทัพ” ชายชราน้อมรับคำสั่งนายเหนือหัวด้วยสรรพนามที่ใช้สำหรับบุคคลซึ่งเป็นแม่ทัพกองพลทหาร เมื่อพ้นจากการกำแพงวังหลวง ชองจีรยงในชุดนักรบก็เปรียบดั่งนายทหารยศสูงผู้หนึ่งเท่านั้น
 
หลังแพทย์หลวงเดินกลับออกไป ร่างสูงก็ได้เงยหน้าขึ้นสั่งความกับองครักษ์ฝาแฝด
 
“กองพลธนูอีกห้าพันนายน่าจะเดินทางมาถึงค่ายนี้ตอนฟ้าสาง โทซอง เจ้าจัดการชี้แจงรายละเอียดการวางแผนรบที่ข้าได้สรุปไปให้พวกทหารที่เพิ่งเดินทางมาถึงให้ครบถ้วน อย่าได้ขาดตกแม้แต่คำเดียว”
 
“รับทราบขอรับท่านแม่ทัพ”
 
“ส่วนเจ้ากึมซอง จัดเตรียมขบวนรถม้าที่จะใช้แลกเปลี่ยนเชลยให้พร้อม วันพรุ่งข้าจะขึ้นรถม้าไปด้วยจนถึงยามหนึ่ง หลังจากนั้นเจ้าต้องดูแลขบวนรถม้าให้ดีจนเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยนตัวเชลย แล้วกลับมาพบข้าที่ค่ายทหารบนเนินเขาซางซา”
 
เมื่อเอ่ยถึงภูเขาซางซา กึมซองก็รีบเอ่ยตอบรับคำร่างสูงอย่างกระตือรือร้น ด้วยรู้ดีว่าใกล้ถึงเวลาที่จะต้องทำศึกสงครามอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว
 
ภูเขาซางซานั้นเดินทางจากค่ายพักแรม ณ ปัจจุบันนี้เพียงครึ่งวันก็ถึงแล้ว นั่นหมายความว่าหากพ้นเทือกเขาซางซาซึ่งเป็นคล้ายกับกำแพงหน้าด่านของแคว้นเชินอันได้ ก็จะทำให้ศัตรูรับรู้ถึงการเปิดศึกได้ในทันที
 
ตามกำหนดการณ์ของท่านแม่ทัพที่วางไว้คือ เดินทางพาเชลยไปแลกเปลี่ยนที่ประตูหลักเมืองของเชินอันและกลับมายังค่ายทหารที่รวมตัวกันอย่างลับๆ ตรงเนินเขาซางซาภายในเวลาสามวัน เมื่อถึงวันที่ห้าของเดือนเจ็ด ทหารที่แบ่งกระจายซุ่มซ่อนอยู่ตามเนินเขาซางซาจะเริ่มเคลื่อนทัพข้ามภูเขาเพื่อยกธงประกาศสงครามกับเชินอันอย่างเป็นทางการ
 
ศึกครั้งนี้ไม่ใช่เพียงศึกเล็กๆ ไม่อาจเทียบเท่าการทำศึกกับแคว้นคันเซได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เหล่าบรรดาชาวบ้านทั่วทุกสารทิศต่างตกตื่นกับใบติดประกาศท้ารบระหว่างฮานึลและเชินอันได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ดีก็ต้องรีบอพยพย้ายหลักแหล่งเมื่อพบว่าอยู่ในเส้นทางการรบของทหารทั้งสองแคว้น ถึงแม้ว่าการรบครั้งนี้จะรบกันในหุบเขาซางซาเฉกเช่นศึกสงครามเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนของทั้งสองแคว้นก็ตาม แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคาดเดาจนปล่อยปละละเลยได้ เพราะเพียงแค่แถวขบวนกองทัพวิ่งผ่าน พื้นที่ตรงนั้นก็อาจเกิดความเสียหายได้ไม่มากก็น้อย
 
จำนวนทหารเมื่อรวมกันทั้งสองแคว้นแล้ว ไม่อาจคาดคะเนนับได้เลย
 
เมื่อคิดถึงตรงนี้ กึมซองก็อดรู้สึกขนลุกวูบขึ้นมาไม่ได้ ศึกครั้งนี้ถือเป็นศึกใหญ่ชิงแคว้นเรืองอำนาจครั้งแรกสำหรับเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีอย่างเขา ราวกับเลือดในกายกำลังเดือดพล่าน เด็กหนุ่มน้อมรับคำสั่งอย่างแข็งขึงอีกครั้งก่อนโค้งกายลาท่านแม่ทัพพร้อมกับพี่ชาย
 
ม่านกระโจมถูกปิดลงซ้อนถึงสามชั้น บ่งบอกให้รู้ว่าสิ้นสุดการเจรจากับท่านแม่ทัพชองในราตรีนี้แล้ว
 
กว่าครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ที่แผงขนตาดำยาวขยับเล็กน้อย ก่อนจะเผยให้เห็นแก้วตาสีดำสุกใสล่อแสงเทียนเป็นประกายระยับ
 
เส้นผมสีนิลถูกข้อนิ้วหนาเกี่ยวทัดหลังใบหูเล็กแผ่วเบา ขณะที่เสียงทุ้มเอ่ยถามคนบนตักที่มีเพียงอาภรณ์ตัวเดียวปกปิดร่างกายอย่างหมิ่นเหม่ เนื่องจากปีกคู่ใหญ่ที่ปรากฏอยู่นี้ทำให้ไม่อาจดึงคอเสื้อขึ้นมาได้ ชุดแพรไหมเนื้อดีจึงถูกสวมได้ถึงแค่ข้อศอกขาวเท่านั้น
 
“เป็นอย่างไรบ้าง ปวดหัวหรือไม่?”
 
วินาทีแรกซอนอินยังไม่อาจเข้าใจคำถามของอีกฝ่ายได้ ด้วยหัวสมองยังมึนงงอยู่เล็กน้อย เมื่อนิ่งคิดจ้องสบสายตารัตติกาลตรงหน้าได้สักพักถึงเพิ่งจำเรื่องราวขึ้นมาได้
 
มีปีกงอกออกมาจากหลังของเขา...
 
ดวงหน้าสวยพลันซีดเซียว แววตาใสจ้องมองชายหนุ่มเจ้าของตักด้วยความกังวล
 
“ข้า...” ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาที่จ้องสบเมื่อครู่หรุบลงต่ำ นำพาให้มือใหญ่ต้องเชยปลายคางเล็กให้เงยหน้าสบสายตากันอีกครั้ง
 
ขืนรอให้เจ้าตัวพูด มีหวังชายหนุ่มคงได้รอเก้อ
 
“เจ้ามีปีกแล้วอย่างไรเล่า? ถึงอย่างไรตัวเจ้าก็เป็นของข้า เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือ หรือคิดจะกลับคำกัน?”
 
“ข้าเป็นของเจ้า! ไม่กลับคำเป็นแน่!!” ดวงหน้าเรียวรีบส่ายปฏิเสธทันควัน เส้นผมที่แห้งหมาดแผ่สยายยุ่งคลอเคลียผิวเนื้ออ่อนนุ่มและขนปีกสีขาวสว่างตา
 
ดวงตาคมกริบของมังกรหนุ่มจ้องมองความสวยงามของคนตรงหน้าราวกับต้องมนต์สะกด แน่ล่ะว่าชายหนุ่มไม่เคยเห็นคนที่เป็นตัวแทนเทพเจ้าเช่นนี้มาก่อน ไม่ใช่เพียงตัวแทน แต่เป็น ‘เทพเจ้า’ จริงๆ เลยต่างหาก คงไม่แปลกนักหากเขาจะยิ่งเกิดความหลงใหลในตัวของคนตรงหน้านี้มากยิ่งขึ้น
 
“เข้าใจแล้วก็ดี ตัวของเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง รู้ไว้อย่างเดียวก็พอว่าข้าไม่มีทางปล่อยมือจากเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” พูดไป มือใหญ่ก็ลูบไล้พวงแก้มนุ่มไปด้วยอย่างแผ่วเบา
 
ซอนอินรู้สึกได้ว่าทั่วทั้งใบหน้าของตนกำลังร้อนผ่าวด้วยวาจาของคนที่รัก ความรู้สึกสุขล้นมันเต็มตื้นขึ้นมามากมายจนน่ากลัว ยิ่งได้รับความอ่อนโยนจากชองจีรยงมากเท่าไหร่ ซอนอินก็ยิ่งคาดหวังมากเท่านั้น หากมีวันใดที่ความหวังต้องพังทลายลง ซอนอินไม่อาจรู้ได้เลยว่าตนเองจะทนรับได้อย่างไร
 
ยิ่งรักก็ยิ่งต้องการ ...ไม่อาจหยุดได้
 
หากคิดจะไขว่คว้าบุรุษผู้นี้ เขาต้องแลกด้วยอะไรถึงจะได้มาครอบครอง ซอนอินคิดถึงคำถามนี้อยู่เสมอ ชองจีรยงอยู่สูงเกินกว่าคนอย่างเขาจะเอื้อมถึง แม้ตอนนี้ตัวเขาได้ใกล้ชิดชองจีรยงด้วยร่างกาย ทว่าหัวใจกลับห่างไกลนัก ซอนอินไม่เพียงต้องการแค่สัมผัสจับต้อง แต่ยังต้องการสัมผัสถึงความรู้สึกของหัวใจดวงนั้นด้วย
 
อยากให้สายตาคู่นั้นมองแต่เขา มือคู่นั้นโอบกอดเพียงเขา หัวใจดวงนั้น...มีไว้เพื่อเขาเพียงคนเดียว
 
นับวัน ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นนี้ก็ยิ่งละโมบโลภมากอย่างน่ารังเกียจ
 
...แต่ก็ไม่อาจยับยั้งความรู้สึกได้เลย
 
ซอนอินหลับตาลงเชื่องช้าตอบรับจูบนุ่มนวลที่อีกฝ่ายมอบให้ ริมฝีปากเล็กถูกดูดเม้มไม่แรงนัก ก่อนเผยอออกเล็กน้อยอย่างยินยอมให้อีกฝ่ายได้สอดเรียวลิ้นรุกไล่ควานหาความหวานภายในโพรงปาก หยาดน้ำใสเริ่มทานทนต่อการเกี่ยวกระหวัดลิ้นของคนทั้งสองไม่ไหวจนไหลเยิ้มผ่านทางมุมปากของทั้งคู่ สายน้ำใสเชื่อมต่อพวกเขายามที่ผละออกเนิบนาบ ก่อนจะเริ่มประกบริมฝีปากเข้าหากันอีกครั้ง
 
จูบครั้งที่สองไม่ได้อ่อนหวานนุ่มนวลเช่นในคราแรก ทว่าก็ไม่ได้รุนแรงหยาบโลน ความรุ่มร้อนจากการจูบเมื่อครู่ปลุกกระตุ้นความต้องการที่มากกว่านั้นให้กับพวกเขา มือใหญ่แทรกผ่านเส้นผมสีดำยาวเพื่อรองรับศีรษะเล็กให้เงยรับองศาของการจูบเร่าร้อนดูดดื่มได้มากยิ่งขึ้น เสียงสัมผัสปากของกันและกันฟังคล้ายคลื่นพายุลูกใหญ่ที่โถมเข้าพัดพาอารมณ์ให้หลุดลอยไปไกลกว่าที่เป็น
 
จีรยงจับเอวเล็กด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อยกร่างของคนบนตักให้นั่งคร่อมบนตัวของเขา ซอนอินไม่อิดเอือนต่อการถูกจับเปลี่ยนท่านั่ง และไม่ขัดขวางมือที่ปัดป่ายอาภรณ์เพียงตัวเดียวบนร่างของเขาจนหลุดร่วงกองอยู่กับพื้น
 
“อื้อ...!!”
 
เสียงหวานครางเครืออยู่ในลำคอเมื่อถูกปลายนิ้วแกร่งลากไล้แนวสันหลังพร้อมกับกดจูบอย่างหนักหน่วง ปีกสีขาวที่เจ้าตัวไม่อาจควบคุมได้แผ่ออกเล็กน้อยตามอารมณ์วาบหวามของวิหคคนงาม
 
ดวงตาสุกใสดุจอัญมณีใต้ท้องทะเลดูเชื่อมแสงและเป็นประกายมากกว่าที่เคยด้วยหยาดน้ำตาและความปรารถนาที่ฉายชัดบ่งบอกความต้องการ มือเล็กเกาะเกี่ยวไหล่กว้างของคนที่สวมชุดรบหนังสีดำ ริมฝีปากบางบวมช้ำและขึ้นสีจัดยั่วเย้าสายตาคมจนต้องก้มลงกัดเบาๆ เสียทีหนึ่ง
 
จีรยงเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อให้พ้นดวงหน้าขาวระเรื่อสีแดงจัด ก่อนส่งริมฝีปากนาบจูบเบาๆ บนหน้าผากมนระเรื่อยลงมาตามโครงหน้าได้รูปผะแผ่ว จากปลายคางลงสู่ลำคอเพรียวระหง ปลายลิ้นรุ่มร้อนตระโบมจูบประทับรอยกลีบกุหลาบจนถึงตุ่มไตสีชมพูสดตัดกับสีผิวขาวผุดผ่อง หยอกเย้าด้วยซี่ฟันและปลายลิ้นจนกระทั่งยอดอกเล็กๆ นั้นตั้งชูชันสั่นระริกสู้ริมฝีปากหยักหนา
 
เหมือนร่างกายคล้ายล่องลอยในอากาศ ซอนอินรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งสรรพางค์กาย ฝ่ามือใหญ่ที่วนเวียนลูบคลำช่วงเอวและเนินสะโพกยิ่งตอกย้ำถึงแรงปรารถนาราวกับไฟราคะที่ใกล้ปะทุ
 
ซอนอินช้อนสายตาเชื่อมแสงขึ้นสบสายตาคมอย่างวอนขอ
 
“ทนไม่ไหวแล้วหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยผ่านรอยยิ้มเล็กๆ อย่างต้องการหยอกเย้าคนบนตัก ซ้ำยังลากปลายนิ้ววนเวียนหน้าท้องแบนราบนุ่มลื่นปัดผ่านความปรารถนาที่เริ่มสั่นระริกโหยหาสัมผัสอย่างจงใจ
 
“อยากให้ข้าทำอย่างไร หืม? บอกข้าสิซอนอิน”
 
ร่างเล็กบางสั่นเทิ้มกับสัมผัสเล้าโลม พวงแก้มใสแดงจัดลามไปถึงใบหู เก็บความกระดากอายไว้ลึกสุดใจแล้วยื่นใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย กระซิบเสียงหวานสั่นพร่า แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนไม่แพ้หญิงสาวในหอนางโลมแม้แต่น้อย
 
“ช่วยให้ข้าถึง ...ได้ไหมจีรยง”
 
 
เพลิงปรารถนาก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างช่วยกันจนเสร็จไปแล้วครั้งหนึ่ง มือเล็กที่เพิ่งละจากความร้อนรุ่มขนาดใหญ่ที่ได้ปลดปล่อยในฝ่ามือของเขาจนล้นทะลักทุกหยาดหยดถูกเจ้าของตักบังคับจับให้กอบกุมสัดส่วนที่ยังตื่นตัวทั้งของตนเองและของอีกฝ่ายรวบไว้ด้วยกัน แล้วขยับขึ้นลงด้วยมือของพวกเขาที่ซ้อนทับกันอยู่ไปพร้อมกัน
 
“อ่ะ! อะ..อา...”
 
จังหวะของมือที่เร่งเร็วมากขึ้นทำให้ร่างบางไม่อาจทนเก็บเสียงไว้ได้ เสียงเปียกลื่นเหนอะหนะของหยาดหยดครั้งแรกสร้างความอับอายให้แก่คนสวยเท่าทบทวีในทุกการขยับเคลื่อนไหว เพียงไม่นานนักหยาดน้ำสีขาวขุ่นก็ถูกรีดเค้นออกมาอีกครั้ง ทั้งของคนตัวเล็กและของร่างสูงผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก
 
ซอนอินหอบหายใจหนัก ซบใบหน้าลงกับช่วงไหล่กว้างอย่างหมดแรง ทว่า นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ร่างเล็กถูกจับให้ขยับนั่งชิดหน้าท้องอีกฝ่ายมากขึ้น เสียงทุ้มเอ่ยสั่งใกล้ใบหูเล็ก
 
“ยกสะโพกขึ้น”
 
แม้ว่าเท้าแทบจะไม่มีแรงยืน แต่ซอนอินก็ยังทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ช่วงขาเรียวเล็กสั่นน้อยๆ ยามที่ยืนพยุงตัวให้อีกฝ่ายได้ใช้ปลายนิ้วล้วงล้ำช่องทางเบื้องล่างเพื่อขยับขยายเตรียมพร้อมต่อการรองรับสิ่งที่ใหญ่กว่า
 
มือเล็กจิกขยำเสื้อหนังสีดำของอีกฝ่ายด้วยมือที่สั่นเทาเมื่อรับรู้ถึงจำนวนนิ้วที่เพิ่มขึ้น หยาดน้ำตาใสไหลรินลงข้างพวงแก้มขาว ริมฝีปากบางเม้มแน่นกัดฟันทนต่อความเจ็บแปลบที่ถูกฝืนความเป็นธรรมชาติต่อการสอดแทรก
 
“ฮ๊ะ! อ๊ะ!! อื้อออ!!!!!”
 
ม่านตาเบิกกว้างเมื่อจู่ๆ ก็ถูกความร้อนและใหญ่กว่าเรียวนิ้วพยายามแทรกผ่านร่างกายเข้ามาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ปีกสีขาวขนาดใหญ่แผ่ออกกว้างจนสุดส่งผลให้ขนนกสีขาวเบาบางลอยละล่องหลุดร่วงออกมาเป็นจำนวนมาก เกือบจะพร้อมๆ กับที่ส่วนปลายได้ผลุบผ่านความคับแคบหายลับเข้าไปในกายของวิหคเพลิงแสนงาม
 
ซอนอินหอบหายใจลำบากด้วยความอึดอัดที่ค้างคา ทั้งยังรู้สึกถึงผิวเนื้อที่ถูกขยายได้อย่างชัดเจน
 
“จ...เจ็บ จี…รยง”
 
เหงื่อกาฬซึมทั่วดวงหน้าสวย สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมานทำให้ชายหนุ่มต้องจูบปลอบ พร้อมกับใช้สองมือช่วยประคองสะโพกเล็ก
 
“ขยับช้าๆ กดสะโพกเจ้าลงมาบนตัวข้า”
 
“ฮึ! อื้อ มันเจ็บ...เจ็บ ฮึก.....จีรยง ข้าเจ็บ...”
 
เจ็บจนต้องร้องไห้กลั้นน้ำตาไม่อยู่ ศีรษะเล็กเริ่มส่ายปฏิเสธทั้งน้ำตา
 
“ไม่เอาแล้ว ฮึก ข้าเจ็บ จีรยง ฮึก...”
 
อาจจะเร็วไปสักหน่อยกับการทำด้วยท่านั่งสำหรับซอนอิน หากจีรยงยังฝืนมีหวังซอนอินคงได้เลือดเป็นแน่ ...แต่ถ้าจะให้หยุด ก็ยากจะยั้งใจนัก
 
จีรยงสอดแขนเข้าใต้ข้อพับขาของซอนอินแล้วยกขึ้น มือเล็กรีบคว้าไหล่หนาคล้องแขนรอบลำคอคนตัวสูงเมื่อร่างกายเสียสมดุล
 
“เกาะข้าไว้นะ ผ่อนลมหายใจช้าๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”
 
พูดง่ายแต่ทำยากนักสำหรับคนฟัง ซอนอินหลับตาลงแล้วผ่อนลมหายใจตามที่อีกฝ่ายบอก เขาทิ้งน้ำหนักลงบนท่อนแขนของจีรยงแล้วปล่อยให้ชายหนุ่มเป็นคนจัดการ ‘ส่วนที่เหลือ’ ตามความต้องการ
 
ในคราแรก ซอนอินรู้สึกเหมือนร่างกายจะฉีกออกเป็นสองซีก แต่ในเวลาต่อมาไม่นานนัก ความรู้สึกบางอย่างก็ได้กลบทับความเจ็บไปจนหมดสิ้น แทนที่ด้วยความเสียวซ่านและเพลิงความปรารถนาในกามารมณ์ที่ลุกโชติ
 
“ฮ่ะ! อ่ะ อื้อ!!.....”
 
สะโพกเล็กถูกจับขยับขึ้นลงรองรับสัดส่วนของร่างสูงครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงหวานหอบครวญครางปะปนไปกับเสียงของความเปียกแฉะของการกระทบผิวเนื้อในส่วนที่เชื่อมถึงกัน ไอร้อนตลบอบอวลไปกับกลิ่นของเพศรสที่แพร่ฟุ้งไปทั่วกระโจมพักแรมของแม่ทัพหนุ่ม
 
“เรียกชื่อข้า คิมซอนอิน” เสียงทุ้มต่ำฟังแหบพร่ากว่าทุกที
 
วงแขนเล็กกอดกระชับลำคอคนตรงหน้า ก่อนหอบหายใจติดขัด
 
“จีรยง...อื้อ...จีรยง จีรยง ...ฮ่ะ ...ชองจีรยง.....”
 
“จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดีคิมซอนอิน ไม่ว่าเมื่อไหร่ เจ้าก็เป็นของข้า” จีรยงกดสะโพกเล็กลงมาจนสุด เรียกเสียงหวานหวีดครางแหลมสูง “...ตรงนี้ของเจ้าจะต้องจดจำเพียงข้าเท่านั้น”
 
“อ๊าาาาาาาาาา!....”
 
จีรยงกระแทกกระทั้นกายเข้าหาช่องทางอุ่นร้อนหนั่นแน่นซ้ำๆ เอวเล็กคอดขยับไหวตามจังหวะการชักนำ เรียวขาขาวทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดรัดรอบเอวนักรบหนุ่มไว้แนบแน่น ดวงหน้าสวยแหงนเงยหอบกระเส่า ร่างกายกระตุกเหยียดเกร็งเมื่อจุดสูงสุดแห่งอารมณ์มาถึง
 
จีรยงจับเอวเล็กคอดยกขึ้นช่วยอีกฝ่าย ก่อนจับให้นั่งพิงเอนซบหอบหายใจอยู่กับอกของเขา
 
ผิวกายขาวนวลไม่ต่างจากน้ำนมระเรื่อสีแดงเป็นจ้ำด้วยเพราะการสูบฉีดของเลือดภายในร่างกายทำงานหนักต่อกิจกรรมเมื่อครู่ จีรยงไล้จูบเบาๆ ตามไรผมชื้นเหงื่อของคนอ่อนแรง
 
“ปีกของเจ้า...”
 
เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมเรียวคิ้วเข้มที่กดลึก ทำเอาคนสวยใจคอไม่ดี ยิ่งกังวลอยู่ว่าจะถูกรังเกียจที่ตัวเขาไม่ปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ทันความคิดของเจ้าตัว ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ได้ทันจากสีหน้าไร้เดียงสาอย่างไม่อาจปิดบังความนึกคิดของตนเองไว้ได้
 
หน้าผากมนพลันถูกดีดเบาๆ
 
“คิดว่าข้ากอดเจ้าทั้งที่ก็รู้ว่าเจ้ามีปีกลงได้อย่างไร หากข้ารังเกียจเจ้า?”
 
ซอนอินยู่หน้าด้วยความเจ็บตรงตำแหน่งที่ถูกนิ้วแกร่งดีดใส่ ยกมือคลำป้อยๆ ด้วยท่าทางน่าสงสารราวกับสัตว์ตัวเล็กถูกราชสีห์ตัวใหญ่กลั่นแกล้ง อดช้อนสายตาเคืองนิดๆ ใส่อีกฝ่ายไม่ได้ จีรยงเห็นอย่างนั้นก็ต้องถอนหายใจยาว ก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าผากเล็กนั้นเบาๆ
 
“ฟังที่ข้าพูดให้จบเสียก่อนสิ อย่าได้เอาแต่คิดไปเอง ข้าเพียงจะบอกว่าปีกของเจ้าน่ะ มันหายไปแล้ว”
 
หายไปต่อหน้าต่อตาของจีรยงเลยด้วยซ้ำ เหมือนมีม่านหมอกที่ทำให้ปีกค่อยๆ เลือนหายไป
 
“อ๊ะ?! จริงด้วย! ข้าไม่เห็นรู้สึกตัวเลย” คนตัวเล็กหันซ้ายทีขวาทีเพื่อจะมองหาปีกสีขาวของตนเอง และเพราะเจ้าตัวเอาแต่ขยับยุกยิกไม่หยุด จีรยงเลยต้องอุ้มเอาร่างทั้งร่างของซอนอินลอยหวือขึ้น ก่อนจะวางปุลงบนฟูกต่างเตียงที่ด้านหนึ่งของกระโจมพัก แล้วตามขึ้นคร่อมทาบทับในทันที
 
“จี...จีรยง...?”
 
“เจ้าเริ่มก่อนเองนะซอนอิน” น้ำเสียงทุ้มลึกกดต่ำคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ป่าอย่างไรอย่างนั้น ซอนอินขยับปากพะงาบแต่ก็หาเสียงตัวเองที่จะใช้ร้องห้ามไม่เจอ ดวงตาสุกใสได้แต่จ้องมองคนตัวสูงถอดอาภรณ์ออกจากกายทีละชิ้น จนเหลือเพียงมัดกล้ามของชายหนุ่มนักรบ ที่ค่อยๆ แนบทับผิวกายเปลือยเปล่าขาวเนียนละเอียดของเขาอย่างเชื่องช้า
 
เล้าโลมเพียงไม่นานนัก อารมณ์ที่ยังไม่จางหายก็ได้พัดพาโหมกระหน่ำคลื่นพายุแห่งความปรารถนาให้ปะทุขึ้นอีกครั้งได้ไม่ยากนัก
 
 
ภายใต้ราตรีที่ปกคลุมมืดมิดทั่วทั้งผืนฟ้า แสงไฟสลัวจากคบเพลิงรอบค่ายกองกำลังทหารแห่งฮานึล สองร่างกอดก่ายแนบชิดหลอมรวมกันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับอรุณรุ่งจะไม่ส่องแสงอีกตลอดกาล
 
นักรบหนุ่มจากแดนมังกรฟ้า และบุรุษรูปงามจากแดนวิหคเพลิง ความสัมพันธ์ของพวกเขานับจากนี้มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่ล่วงรู้ ว่าด้ายสีแดงที่ผูกปลายนิ้วของพวกเขา จะสิ้นสุดลง ณ ที่แห่งใด
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
“ปล่อยนะ! ฮึก...ปล่อยเรา!!!” ร่างเล็กพยายามสะบัดตัวออกจากมือของนักบวชร่างสูงทั้งสองคน แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจต้านแรงอีกฝ่ายได้เลย ยิ่งดิ้นรนก็เหมือนแรงจะยิ่งหดหาย ขาและแขนเริ่มรู้สึกชา
 
ยองจูรู้ดีว่าเป็นเพราะเหตุใด
 
...นักบวชพวกนี้กำลังใช้ศาสตร์พลังลับของชนเผ่ากับฮีอู
 
ร่างสูงฝืนออกแรงขยับมือให้โซ่ตรวนดังกระทบกันเพื่อเรียกสายตาของฮีอูให้หันมามอง
 
“อย่าต่อต้านพวกเขาอีกเลยฮีอู เจ้าไม่สามารถทำอะไรคนพวกนี้ได้หรอก ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าขอโทษฮีอู.....ข้ารักเจ้า และจะรักตลอดไป ไม่มีวันสุดท้ายสำหรับคำรักที่ข้ามอบให้เจ้า....ข้าสัญญา...”
 
เสียงที่กำลังจะเปล่งออกไปพลันกลืนหายลงไปในลำคอ ฮีอูจ้องสบนัยน์ตาของยองจูนิ่งค้างอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหลุดสะอื้นไห้พลางบอกรักกลับไปทั้งน้ำตา ทว่าก็ไม่ได้ขืนแรงนักบวชอีก ฮีอูถูกคุมตัวออกมาจากคุกภายในถ้ำ
 
นานเป็นอาทิตย์ที่ไม่ได้ต้องแสงแดดอย่างนี้
 
“รักกันดีเหลือเกินนะ หึ หลังจากแลกตัวเจ้าเสร็จแล้ว มีสิ่งใดอยากจะฝากบอกราชครูปาร์คก่อนที่ข้าจะกลับมาจัดการลมหายใจของคนผู้นั้นไหมล่ะคิมฮีอู?” อีซังโฮยิ้มเยาะขณะดันร่างเล็กเข้าไปนั่งในรถม้า
 
ฮีอูตวัดสายตามองคนน่ารังเกียจอย่างเคืองแค้น ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นอย่างต้องการควบคุมอารมณ์ เขาไม่ได้ต่อปากต่อคำอันใดแล้วขยับเดินเข้าไปนั่งในรถม้า ตลอดการเดินทาง มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงความคิดของฮีอู
 
คำพูดของยองจูที่ว่า ‘ไม่มีวันสุดท้ายสำหรับคำรักที่ข้ามอบให้เจ้า’ ความหมายในประโยคนั้น ฮีอูไม่ได้เข้าใจผิดแน่ๆ ยองจูต้องการบอกกับเขาให้เชื่อว่ายองจูจะไม่ตาย จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยองจูได้สัญญากับเขาแล้ว
 
หากคิดจะผิดคำพูดกันล่ะก็ เขาก็จะตายตามยองจูไปอย่างไม่ลังเล!
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
(ต่อ)

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 23] 14/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 14-09-2016 11:39:58

 
เมื่อล้อเกวียนหยุดลงตอนฟ้ามืด ร่างสูงที่โอบกอดคนตัวเล็กอยู่ในวงแขนมาตลอดทางก็ได้ก้มลงจูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ
 
“ข้าส่งเจ้าได้เท่านี้ ที่เหลือจากนี้กึมซองจะเป็นคนดูแลจนกว่าเจ้าจะไปถึงที่หมาย...” จีรยงเอ่ยบอกคนในวงแขน อีกเพียงสองวันก็จะไปถึงประตูหลักเมืองเพื่อแลกเปลี่ยนตัวกับฮีอู เขามีเวลาไม่มากนักเพื่อจัดเตรียมกองทัพ หากคิดจะทำศึกให้ทันวันที่เจ็ดก่อนที่นักบวชชินซองจะทำร้ายซอนอิน เขาก็ต้องเร่งมือจัดการเสียตั้งแต่ตอนนี้
 
ซอนอินก้มหน้านิ่งจับแขนเสื้อของจีรยงแน่น ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง เรียวคิ้วได้รูปกดลึกอย่างวิตกกังวล เขาไม่ปิดบังว่ากำลังหวาดกลัว กลัวที่จะต้องกลับไปหาคนที่หมายจะฆ่าตนเอง กลัวที่จีรยงจะต้องทำศึกกับพ่อของเขา
 
กลัวว่าเมื่อพ้นจากวันนี้แล้ว เขาอาจไม่ได้พบเจอกับชองจีรยงอีกชั่วนิรันดร์
 
“ซอนอิน เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่?”
 
“ข้าฟังอยู่...” เสียงเล็กตอบแผ่วเบา
 
“กลัวหรือ?” จีรยงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเป็นอย่างมาก แค่เห็นท่าทางของซอนอินว่ากลัวเพียงไร ใจของเขาก็พลอยเป็นห่วงกังวลไปด้วย จีรยงกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีกนิด
 
“เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือซอนอิน?”
 
“ข้าย่อมต้องเชื่อใจเจ้าแน่อยู่แล้ว เพียงแต่...”
 
“เพียงแต่อันใด?”
 
ซอนอินขยับตัวออกห่างจากร่างสูงเล็กน้อยเพื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตารัตติกาล ริมฝีปากบางเม้มแน่นยามที่จ้องมองแววตาคมกริบอย่างต้องการจะมองให้เห็นถึงเบื้องหลังสายตาที่แสนเย็นชา
 
 
...เพียงแต่ข้าอยากได้ยินสักครั้ง หากว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา
 
 
ชองจีรยง ...เจ้ารักข้าบ้างหรือไม่
 
ภายในใจเจ้า มีข้าอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า...
 
 
ความรักของข้าที่มีให้เจ้า มีค่ามากพอที่เจ้าจะตอบรับบ้างไหม...
 
 
 
 
“ท่านแม่ทัพ ได้เวลาออกเดินทางต่อแล้วขอรับ” ยังไม่ทันที่ซอนอินจะได้เอ่ยความในใจ กึมซองก็เปิดม่านหน้าประตูร้องเรียกขึ้นเสียก่อน จีรยงพยักหน้ารับรู้ให้เด็กหนุ่ม ก่อนก้มลงมองคนร่างบางข้างกาย
 
“ซอนอิน เจ้า...”
 
“ข้าจะรอเจ้า” ซอนอินรีบพูดแทรกเสียงทุ้ม ดวงหน้าสวยฝืนระบายยิ้มให้ชายหนุ่ม “ข้าจะรอเจ้าไม่ว่าจะนานแค่ไหน แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่สนใจข้าอีกแล้ว แต่ข้าก็ยังจะรอเจ้า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ข้าจะรอเพียงเจ้า ชองจีรยง ข้าจะรอ..........”
 
ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของอีกฝ่าย จึงเป็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มทั้งน้ำตา เป็นความงดงามของดอกไม้ท่ามกลางสายฝน ...ทั้งสวย และทั้งเศร้าโศก
 
ความเจ็บแปลบบางอย่างเล่นงานนักรบหนุ่มให้รู้สึกปวดหัวใจยามที่เห็นน้ำตาของคิมซอนอิน
 
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่า ความเสียใจของเจ้า เหตุใดถึงได้มีมากมายนัก
 
 
ข้าพูดแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไปรับเจ้า
 
ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต้องการเจ้า
 
ข้าย้ำให้เจ้าฟังตั้งกี่ครั้งว่าข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปให้ใครอื่น
 
 
คิมซอนอิน ข้าต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะเชื่อใจข้า?
 
 
จีรยงใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ซอนอินแผ่วเบา ก้มลงจูบแนบซับที่เปลือกตา ก่อนนาบประกบริมฝีปากกันและกัน จูบนุ่มนวลยาวนานราวกับต้องการจะยื้อเวลาไว้ให้มากที่สุด
 
“ข้าต้องไปแล้ว”
 
“อืม”
 
จีรยงกดจูบเร็วๆ ที่หน้าผากของซอนอิน ก่อนจะพาตัวเองลงจากรถม้า สั่งความกำชับกับกึมซองไม่นานนัก ม่านหน้าประตูก็ถูกปิดลง ตามด้วยบานไม้ปิดทับอีกชั้นหนึ่ง
 
รถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทางอีกครั้ง พร้อมกับหัวใจของร่างบางที่ติดตามใครอีกคนห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
 
.
.
 
กลางดึกก่อนถึงวันที่ต้องแลกเปลี่ยนตัวเชลย ภายในรถม้าที่จอดพักแรม ซอนอินสะดุ้งตื่นขึ้นจากห้วงแห่งความฝัน หยดเหงื่อซึมทั่วทั้งใบหน้า แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงหนักหน่วง
 
เกือบลืมไปแล้วถึงเงาในน้ำนั่น เงาที่มีใบหน้าเหมือนกันกับเขาและมีปีกสีดำ เงาที่เขาเห็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะฝัน เขาคงลืมไปแล้ว
 
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่งเมื่อนึกถึงความฝันซ้ำซาก ที่ไม่ว่าจะเห็นคนที่เหมือนกับเขาในฝันเมื่อไหร่ ก็จะเป็นเหตุการณ์เดิมทุกครั้ง มือเย็นเฉียบคู่นั้นคอยแต่จะบีบรัดคอของเขา แววตาวาวโรจน์ที่จ้องลึกลงมาราวกับจะเผาร่างของเขาให้กลายเป็นจุล
 
ทั้งปีก ทั้งเงา ทั้งความฝัน ทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องกันกับตัวของเขาทั้งสิ้น แต่ซอนอินไม่เข้าใจเลยสักอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปีกของเขามันงอกออกมาได้อย่างไร ทำไมครั้งแรกถึงเป็นสีดำ แล้วตอนนี้ถึงเป็นสีขาว แล้วยังความฝันรวมถึงเงานั่นอีก เพราะอย่างนี้ใช่ไหมที่ทำให้คนในชนเผ่าชินซองต้องการฆ่าเขา เพราะเขาเป็นตัวประหลาดใช่ไหม!
 
“ฮึก ถ้าอย่างนั้น ข้ายังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกทำไม ...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร ไม่คิดจะทำด้วย แต่ข้าก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะถูกตัดสินให้มีชีวิตอยู่ แม้แต่ท่านแม่ก็ยัง.....”
 
ซอนอินสะอื้นไห้ออกมาอีกทำนบใหญ่ ยิ่งอยู่คนเดียว และอารมณ์ปรวนแปรเช่นนี้ ยากนักที่ซอนอินจะหยุดคิดฟุ้งซ่านได้ ด้วยนิสัยเดิมที่ชอบคิดแต่ในแง่ลบให้กับตัวเองก็ยิ่งพาให้อารมณ์ของเจ้าตัวเตลิดไปกันใหญ่
 
แต่ไม่นานนักความอ่อนล้าก็ได้รุมเร้าให้ร่างบางผล็อยหลับในที่สุด
 
ทว่า ในวินาทีนั้น ซอนอินมั่นใจว่าเขายังไม่หลับสนิทดี ตอนที่ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังอยู่ใกล้ๆ
 
 
 
“เป็นร่างกายที่น่ากลืนกินนัก คิมซอนอิน ...วังชอนซาของข้า...”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
“องค์ชายจีรยง!” ทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า ฮีอูก็รีบวิ่งเข้าหาร่างสูงในชุดนักรบ ร่างเล็กทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเจ้าของชื่อทั้งน้ำตา
 
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว โปรดอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วย ฮึก คิมฮีอูทรยศฝ่าบาท....”
 
จีรยงเลื่อนสายตาลงมองร่างเล็กในชุดชาวบ้านซอมซ่อ นานทีเดียวที่เขาไม่ได้เจอคิมฮีอู ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะผ่ายผอมได้ขนาดนี้ เนื้อตัวก็เปรอะเปื้อนไม่เหลือเค้าของความเป็นคุณชายให้เห็นแม้แต่น้อย
 
จะมีก็แต่แววตาคู่สวยนั้นที่ส่องสว่างเป็นประกายมีชีวิตชีวาแตกต่างจากเมื่อก่อน
 
“ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่เคยคิดโทษเจ้า” จีรยงเอ่ยเสียงราบเรียบ ขณะช่วยประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน
 
อาจเพราะเกือบอาทิตย์เต็มที่ฮีอูไม่ได้ทานอาหาร เมื่อลุกขึ้นในฉับพลัน ร่างกายถึงได้หมดสติเอาเสียดื้อๆ เช่นนี้ จีรยงช้อนวงแขนรองรับร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะลมลงกับพื้น
 
“ไปตามจากึนมาที่กระโจมของข้า!!”
 
ความร้อนใจของแม่ทัพหนุ่มดำเนินไปนานอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม เปลือกตาบางก็กระพริบถี่ก่อนจะเผยแก้วตาสีอ่อนคู่สวยให้เห็น
 
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ข้อนิ้วหนาเกี่ยวปอยผมชื้นเหงื่อด้วยพิษไข้อย่างอ่อนโยนไม่แพ้น้ำเสียง
 
“หม่อมฉันดีขึ้นแล้วพะย่ะค่ะ”
 
“ไม่ต้องใช่วาจาสุภาพนักหรอก ตอนนี้ข้าเป็นแม่ทัพ”
 
ฮีอูนิ่งเงียบไป เขาปล่อยให้ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ขณะที่สายตาก็จ้องมองดวงหน้าคมเข้มที่ค่อยๆ โน้มลงมาใกล้ จนกระทั่งริมฝีปากของพวกเขาแตะสัมผัสกัน
 
องค์ชายจีรยงมีใจให้กับเขา ฮีอูรับรู้ได้จากทุกการกระทำและคำพูดของฝ่ายนั้น ...เพื่อให้ทุกอย่างถูกต้อง เขาก็ควรจะบอกกับองค์ชายเสียตั้งแต่ตอนนี้
 
มือเล็กออกแรงดันอกกว้างให้ออกห่างไม่แรงนัก
 
“องค์ชายจีรยง หม่อมฉันมีเรื่องต้องทูลบอก” แม้ว่าร่างสูงจะให้ใช้คำพูดเป็นกันเอง แต่ฮีอูก็ยังคงเรียกด้วยสรรพนามเช่นเดิมตามความเคยชิน
 
“ในใจเจ้าต่อต้านข้าใช่หรือไม่ ร่างกายของเจ้าไม่ได้มีไว้เพื่อข้าอีกแล้วอย่างนั้นใช่ไหม?” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากพูด จีรยงก็เอ่ยขึ้นก่อน “ตอบข้ามาตามตรง คิมฮีอู”
 
“หม่อมฉัน...” ร่างเล็กอึกอักที่จะเอ่ยตอบ แต่ก็ตัดสินใจว่าถึงอย่างไรเรื่องมันก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว “...ใจของหม่อมฉันเป็นของชายผู้นั้นแล้ว ร่างกายของหม่อมฉันก็เป็นของคนผู้นั้นด้วยเช่นกัน ...ได้โปรด องค์รัชทายาท ทรงลงโทษหม่อมฉันเถิด คิมฮีอูไม่อาจทรยศใจตัวเองได้ ไม่อาจร่วมเตียงกับพระองค์ได้อีกแล้ว....”
 
มีเพียงความเงียบที่ก่อตัวขึ้นหลังคำสารภาพของฮีอู
 
จีรยงขยับตัวนั่งแผ่นหลังตรง เขายกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะ
 
“ข้าได้เจ้ากลับมาไว้ในกำมือเช่นเดิม แต่ทำไม ใจของข้าถึงไม่ยินดีอย่างที่คิด”
 
“ฝ่าบาท...”
 
“แทนที่ข้าจะโกรธเคืองราชครูปาร์คที่แย่งเจ้าไปจากข้า แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกเพียงว่าเจ้าสนใจเพื่อนใหม่มากกว่าข้าก็เท่านั้น ...นั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเหมือนเพื่อนคนสำคัญสำหรับข้าใช่หรือเปล่า?” จีรยงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นรอยยิ้มหรือไม่ ชายหนุ่มไม่สันทัดเรื่องความรู้สึกละเอียดอ่อนเช่นนี้นัก หากจะให้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง คงยากเกินไปสำหรับบุรุษหนุ่มผู้กรำศึกอย่างชองจีรยง
 
“ฝ่าบาท ...ที่พระองค์ตรัส เป็นความรู้สึกจากใจจริงของพระองค์ใช่ไหมพะย่ะค่ะ?”
 
“เจ้าคิดเช่นไรล่ะฮีอู?”
 
ฮีอูตื่นตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของร่างสูง เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง โดยที่มีมือใหญ่ช่วยประคองไว้ไม่ให้เซล้มลงไป
 
“หม่อมฉันเห็นฝ่าบาทเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าใครอีกคนที่หม่อมฉันรักสุดหัวใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้แตกต่างในความรู้สึกเหล่านี้ คือหัวใจของหม่อมฉัน ...ฝ่าบาทเป็นทั้งเพื่อนและครอบครัว เป็นคนรักแบบที่พี่น้องมีให้กัน แต่กับปาร์คยองจู ความรู้สึกของคำว่ารักมันแตกต่างออกไป หม่อมฉันเองก็อธิบายไม่ได้ รู้แต่ว่าหัวใจของหม่อมฉันเรียกร้องแต่ปาร์คยองจูเท่านั้น ไม่เจอหน้าก็คิดถึง อยู่ห่างกันก็ห่วงหา ...ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
 
“สรุปก็คือ ข้าเข้าใจถูกใช่ไหม?”
 
“หม่อมฉันไม่อาจตอบพระทัยของฝ่าบาทได้หรอกพะย่ะค่ะ ทรงคิดเช่นไร ไยหม่อมฉันจะกล้าบอกว่าถูกหรือผิด”
 
“ช่างเถิด เอาเป็นว่า เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นห่วงเจ้า”
 
ฮีอูชั่งใจเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนโผลงคำถามออกไป
 
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงรักองค์วังชอนซาใช่ไหมพะย่ะค่ะ?”
 
คำถามตรงๆ ทำให้ชายหนุ่มนิ่งค้าง นัยน์คมเลื่อนสบคนถาม เขาไม่ได้เอ่ยตอบรับ และไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ นั่นทำให้ฮีอูเข้าใจได้ในทันที
 
“เช่นนี้เอง...ฝ่าบาทเพียงต้องการลองใจยามที่ได้เจอหม่อมฉัน เพื่อที่พระองค์จะได้ค้นหาคำตอบให้กับความรู้สึกของพระองค์ว่าคิดเช่นไรกันแน่ ...หม่อมฉันพูดถูกหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
 
จีรยงถอนหายใจเสียทีหนึ่ง ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าใกล้ดวงหน้าหวานแล้วจูบเบาๆ ที่กลีบปากเล็กอย่างผิวเผิน พลางเอ่ยว่า “เจ้าช่างรู้ใจข้าเหลือเกิน เสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนของข้าอีกต่อไปแล้ว”
 
“เอ๋?”
 
“ข้าไม่คิดยื้อเจ้าไว้กับตัวเองอีกแล้ว”
 
“ฝ่าบาท...ฮึก...ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ!!” ฮีอูรู้สึกเต็มตื้นในอก เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด สิ่งที่เขาควรจะทำเมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเพื่อนเล่นกับองค์ชายชองจีรยงคือการเชื่อฟังอีกฝ่ายอย่างไม่คิดปฏิเสธ ต่อให้ถูกทำร้ายก็ไม่อาจต่อต้านได้ เมื่อถูกมอบให้แล้ว ก็ย่อมเป็นสมบัติขององค์ชายชองจีรยงตลอดไป แล้วการที่ตัวของเขาถูกปล่อยเป็นอิสระเช่นนี้ ...ต่อให้ภายภาคหน้าต้องลงนรกเพื่อชดใช้ คิมฮีอูก็ยินยอมแต่โดยดี
 
มือใหญ่ล้วงหยิบเศษกระดาษจากอกเสื้อ แล้วยกให้ฮีอูดู “...ข้าลักลอบติดต่อกับผู้เฒ่าลีซาง อาจารย์ของราชครูปาร์ค ศึกครั้งนี้ข้าเองต้องยอมรับว่าหนักหนามาก คนของเผ่าชินซองต่อกรได้ยากนัก ต่อให้มีคนของผู้เฒ่าลีซางมาช่วยก็ยังน่าหวั่นใจไม่น้อย แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง คนรักของเจ้าจะต้องปลอดภัยแน่ ข้าไม่คิดขัดขวางความรักของเจ้าหรอกฮีอู ...แต่ตอนนี้เจ้ายังต้องฟังข้า นอนพักเสีย ข้ามีภารกิจต้องออกไปจัดการเรื่องทหารอีก”
 
เขาพอจะได้ยินมาบ้างแล้วระหว่างทางจากการบอกเล่าของกึมซองถึงแผนรบที่ฝ่าบาทได้วางไว้ ที่ทำให้เขาได้มั่นใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายชองจีรยงกับองค์วังชอนซา ส่วนหนึ่งก็เพราะแผนที่ได้ฟังมานี้เอง
 
หากฝ่าบาทไม่คิดมีใจให้องค์วังชอนซา ไยต้องทรงหาทางรับคนผู้นั้นกลับมาด้วยเล่า?
 
เมื่อคิดถึงการรบ ก็อดคิดถึงใครอีกคนขึ้นมาไม่ได้ ฮีอูขืนแรงมือที่บังคับให้เขาล้มตัวลงนอน แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
 
“ฝ่าบาทแน่พระทัยนะพะย่ะค่ะ ว่ายองจูจะไม่เป็นอะไร”
 
“ข้าไม่รับปากว่าราชครูปาร์คจะไม่เป็นอะไร แต่หากเจ้าเชื่อใจคนผู้นั้น คำถามนี้ข้าคิดว่ามันไม่สำคัญอันใดเลย”
 
คำพูดขององค์ชายจีรยงทำให้ฮีอูรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย คิดมาตลอดว่าองค์วังชอนซาจะต้องเป็นผู้ที่ทำให้องค์ชายจีรยงเปลี่ยนไปได้แน่ๆ ...ถึงตอนนี้ เขาก็รู้แล้วว่าตนเองคิดถูกมาตั้งแต่ต้น
 
 
หัวใจที่เคยเย็นชาของมังกรหนุ่ม เริ่มละลายลงแล้วอย่างช้าๆ
 
.
.
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด
 
ม่านฟ้าในรุ่งอรุณปลอดโปร่ง แสงสีทองอร่ามส่องพาดผ่านผืนนภาลงสู่ทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดิน
 
ในที่หนึ่ง หุบเขาแอ่งกระทะอันกว้างใหญ่ไพศาลของเทือกเขาซางซา กองกำลังทหารรบกว่าสองแสนนายแห่งแคว้นฮานึลได้โบกสะบัดธงสัญลักษณ์ขึ้นชูพร้อมกับเสียงเป่าแตรดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วทั้งแนวเขา
 
ที่หน้าสุดของเหล่าทหารมังกร ชายในชุดดำเด่นสง่าอยู่บนหลังอาชาสีขาวเพียงตัวเดียวของม้าศึกทั้งหมด แววเนตรคมกริบดุกร้าวจ้องเขม็งไปยังภาพเบื้องหน้าอีกฝั่งของภูเขา ในที่ที่มีกองกำลังทหารไม่น้อยไปกว่ากันของแคว้นเชินอันที่โห่ร้องดังกึกก้องตอบรับคำท้ากลับมา
 
ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มกระชับกระบี่เงินในมือแน่น ขณะตะโกนออกคำสั่งฮึกเหิม
 
“บุก!!!”
 
.
.
 
 
...เป็นครั้งแรกที่จีรยงไม่ได้รู้สึกว่าตนเองกำลังจะทำศึกเพื่อแย่งชิงแคว้น เพราะครั้งนี้คือการชิงหัวใจของวิหคเพลิงลงมาสู่กำมือของเขาต่างหาก
 
 
หากคิมซอนอินจะโบยบิน ก็จักต้องกางปีกอยู่ภายใต้ร่างกายของเขาคนนี้แต่เพียงผู้เดียว!
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 23] 14/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 14-09-2016 15:27:41
เกาะขอบสนามรบค่ะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 23] 14/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-09-2016 16:07:49
รอตอนต่อไปค่ะ จะมีอะไรให้ตื่นเต้นอีกไหมนะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 23] 14/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 14-09-2016 17:10:15
ตื่นเต้นนนนนนนนนน
 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 24] 15/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 15-09-2016 09:54:38
 
บทที่ 24

 
ราชครูปาร์คยองจูหายไปแล้ว
 
สีหน้าโกรธเกรี้ยวของนักบวชอีซังโฮฉายชัดขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าภายในคุกนั้นว่างเปล่า ร่างที่ควรจะถูกโซ่ตรวนจนหนีไปไหนไม่ได้กลับหายไปอย่างง่ายดาย
 
“แยกย้ายกันออกตามหาให้ทั่ว ราชครูปาร์คต้องวางแผนอะไรอยู่เป็นแน่!”
 
และแผนนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องของวังชอนซา! อีซังโฮไม่รอช้ารีบไปแจ้งให้นักบวชชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเรื่อง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไปดังใจคิด สายฟ้าก็ได้ฟาดเปรี้ยงลงมาอย่างรุนแรงจนแผ่นดินสะเทือน พายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นฉับพลัน ความโกลาหลก่อตัวขึ้นนับตั้งแต่วินาทีนั้นทันที
 
 
 
...สิ่งที่ถูกจารึกไว้มานมนาน ถ้อยอักษรที่บรรจงอยู่ในคัมภีร์ลึกลับ บัดนี้ ความเร้นลับอันทรงพลังอำนาจได้ปรากฏแก่สายตาของทุกผู้แล้ว
 
 
วังชอนซาถูกพิพากษาจากสวรรค์ในที่สุด...
 
.
.
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 

 
เสียงกัมปนาทของแตรทัพดังกระหึ่มก้องสะท้อนทั่วทุกสารทิศ กระบี่เงินฟาดฟันต้องวัตถุโลหะสลับกับเสียงของของมีคมทะลุผ่านผิวเนื้อคนแล้วคนเล่า ทหารศึกกว่าสี่แสนนายปะทะกันอย่างไม่มีใครคิดถอย ที่ด้านบนเหนือเหล่ากองพลทหารศึก ศรเงินนับหมื่นพุ่งทะยานจากกองกำลังพลธนูจนพรายตา เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดถูกกลืนหายไปด้วยเสียงของอาวุธรบ
 
ท่ามกลางความวุ่นวายอลหม่านที่ดำเนินไปได้เพียงแค่สองชั่วยาม พลันผืนอัมพรที่เปิดกว้างกลับถูกเมฆพยับหมอกทะมึนเคลื่อนเข้าปกคลุมน่านฟ้า ความมืดมิดโรยตัวลงทอดเงาอาบไล่เหล่าทหารศึกที่ต่างหยุดมือแล้วแหงนเงยมองปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติอย่างพร้อมเพรียง
 
เสียงอึกทึกพลันเงียบสงบ ได้ยินแต่เพียงเสียงหอบหายใจ เสียงอ่อนระโรยรินของช่วงชีวิตสุดท้าย และเสียงลมอ่อนๆ ที่พัดต้องพฤกษานานาพรรณ
 
จวบจนความมืดมิดครอบคลุมทั่วทั้งหมดของพื้นที่ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาซางซา ชายชราในชุดขาวก็ได้ปรากฏกายขึ้นที่ด้านข้างของแม่ทัพกองพลที่เจ็ดแห่งฮานึลอย่างไม่ทันได้มีใครสังเกตเห็น
 
“สั่งทหารของเจ้ากลับค่ายเสีย!”
 
พร้อมกับที่ผู้เฒ่าลีซางเอ่ยนั้น ความโกลาหลก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง จีรยงสังเกตเห็นว่าทหารฝ่ายศัตรูในชุดสีน้ำเงินสดได้พากันก้าวถอยหลัง แล้วรีบวิ่งกรูกันกลับไปยังทิศทางเดิมก่อนที่จะเคลื่อนพลลงมายังจุดล่างสุดของหุบเขา เสียงสวดบทหนึ่งที่ฟังไม่เข้าใจดังมาจากกลุ่มทหารของเชินอันที่ต่างก็วิ่งไปและพึมพำบทสวดไป
 
ยูโทซองวิ่งฝ่ากลุ่มคนเข้ามาใกล้นายของตน เขากระหวัดกระบี่หนึ่งครั้งเพื่อกำจัดศัตรูที่หมายจะลอบแทงข้างหลัง ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูง สภาพของเด็กหนุ่มนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสดเกือบจะทั่วทั้งตัว ทว่าไม่ใช่เลือดของตนเองแม้แต่หยดเดียว
 
“ท่านแม่ทัพ! แย่แล้วขอรับ ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับวังชอนซาเป็นแน่! อ่ะ ท่านผู้เฒ่าลีซาง...”
 
“เรื่องนั้นค่อยพูดเถิด ชองจีรยง เจ้ารีบออกคำสั่งให้คนของเจ้ากลับไปยังค่ายพักเร็วเข้า!!” ลีซางตัดบทสนทนาของทุกคน “พวกเจ้ากลับไปยังค่ายพักกันก่อน เดี๋ยวข้าจะตามไป” เมื่อพูดจบ เพียงพริบตาเดียว ชายชราผู้มีเส้นผมสีขาวก็ได้หายตัวไป
 
จีรยงกำกระบี่ในมือแน่น เขาละสายตาจากเมฆดำแล้วตะโกนออกคำสั่งให้เหล่าทหารศึกสลายตัวกลับไปยังค่ายพักที่ซ่อนอยู่ในแนวเทือกเขาซางซา
 
โทซองและกึมซองพบกันอีกครั้งหลังจากที่ส่งข่าวให้ทหารถอยทัพจนเกือบครบหมดแล้ว ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถูกพาไปปฐมพยาบาลอย่างทุลักทุเล เวลานี้ลมที่พัดเอื่อยอยู่เมื่อครู่เริ่มเพิ่มกำลังแรงมากขึ้นจนต้นไม้พากันสั่นไหวน่ากลัว
 
เหล่าบรรดานายพลนายกองยศสูงต่างมายืนรอผู้เป็นนายอยู่ภายในกระโจมพักขนาดใหญ่ที่สุดของแม่ทัพที่เจ็ด แม้ว่าตามร่างกายจะยังคงมีคราบเลือด และความเหนื่อยล้ายังไม่จางหายไปจากสีหน้า คนทั้งหมดก็ไม่เสียเวลาที่จะรีบเข้ามารอฟังสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้
 
ทันทีที่ม่านกระโจมเปิดออก ร่างสูงสง่าในชุดรบสีดำก็ได้ก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์ยูโทซองและยูกึมซอง ตามด้วยนักบวชชราลีซางแห่งชนเผ่าชินซอง
 
“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย!” นายพลซูวอนก้าวออกมายืนด้านหน้า คำถามประโยคนี้ตรงกับใจทุกคนที่เฝ้ารอคำตอบ ภายในกระโจมจึงเงียบกริบ
 
ฮีอูที่ยืนกระวนกระวายใจอยู่ที่มุมหนึ่งของกระโจมก็รอคำตอบข้อนี้อยู่เช่นกัน ด้วยเพราะใจนั้นนึกประหวั่นห่วงร่างสูงของคนที่รักอย่างสุดแสน
 
“ข้าเองก็อยากจะรู้ ...ผู้เฒ่าลีซาง ท่านจะบอกข้าได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” ผ้าคลุมตัวนอกถูกดึงกระชากออกเขวี้ยงลงกับพื้นเต็มแรง เห็นได้ชัดว่าร่างสูงนั้นอดทนรอฟังคำตอบมานานไม่ต่างจากคนอื่นแม้แต่น้อย และอาจจะอยากได้คำตอบมากกว่าใครด้วยซ้ำ
 
ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันเกี่ยวข้องกับคนสำคัญของเขา
 
สีหน้าลำบากใจที่จะเอ่ยตอบของลีซางทำเอาเลือดในกายของมังกรหนุ่มแล่นพล่าน เขาเกือบจะก้าวเข้าไปกระชากชายแก่ตรงหน้าอยู่รอมร่อหากไม่ถูกเสียงของใครมาขัดจังหวะเสียก่อน
 
“ท่านผู้เฒ่าลีซาง พวกข้าร่ายมนต์รอบค่ายพักนี้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
 
เด็กหนุ่มในชุดนักบวชชินซองคนหนึ่งตะโกนอยู่หน้ากระโจม เมื่อเห็นสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่ายเป็นการพยักหน้าแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้ก้าวออกจากกระโจมไป
 
มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบเคราเงินที่ยาวเกือบถึงเอวขณะหลับตาลงเชื่องช้า เสียงสวดเบาๆ ที่ลอดออกมาจากริมฝีปากหยาบกร้านนั้นทำให้ทุกคนไม่พูดอะไรออกมา รอจนดวงตาสีเทาอ่อนเผยขึ้นอีกครั้ง
 
“นักบวชพวกนั้นไม่อาจต้านพลังของวังชอนซาได้ บัดนี้ทั่วทั้งเชินอันคงเกิดภัยพิบัติขึ้นแล้ว”
 
“ไม่อาจต้านได้หรือ ท่านหมายความเช่นไร อะไรคือต้านไม่ได้!!” เสียงทุ้มคำรามตวาดก้อง “ไหนท่านบอกว่าซอนอินถูกกักบริเวณอยู่ในข่ายอาคมไม่ใช่หรืออย่างไร!”
 
“ข่ายอาคมถูกร่ายไว้โดยผู้มีพลังเวทย์สูงก็จริง แต่ก็อย่างที่ข้าเคยเปรยไว้แต่แรก วังชอนซาผู้นี้ไม่ใช่เพียงผู้ที่รับตำแหน่งตัวแทนเทพเจ้าทงซกแค่นาม แต่เป็นผู้ที่ถูกสวรรค์เลือกแล้ว ข้าเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าการจำกัดพื้นที่ให้ข้ามพ้นวันที่เจ็ดนี้ไปไม่มีทางสำเร็จได้ การจะต่อต้านพลังของสายเลือดแห่งเทพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ตัวข้าเองผู้ซึ่งเป็นทวดของคิมซอนอินยังไม่อาจฝืนลิขิตได้...”
 
ลีซางถลกชายแขนเสื้อข้างซ้ายของตนขึ้น เมื่อทุกสายตาได้เห็นความน่ากลัวบนท่อนแขนของชายชราบางคนก็ถึงกับอุทานออกมาเบาๆ
 
บริเวณท่อนแขนก่อนถึงข้อศอกหนึ่งคืบ ผิวเนื้อที่ควรจะเป็นปกตินั้น กลับกลายเป็นสีดำสนิท ซ้ำร่องรอยของแผลยังดูคล้ายฝ่ามือที่กุมแขนของลีซางไว้
 
ราวกับเป็นมือของปีศาจก็ไม่ปาน
 
“สิบกว่าปีก่อน คำทำนายบนแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ทำให้ข้ามั่นใจว่าองค์ชายคิมซอนอินคือผู้ที่ถูกสวรรค์เลือก ข้าจึงพาองค์ชายมาที่สระน้ำภายในถ้ำของเผ่าชินซองเพื่อทำพิธีเปิดตาสวรรค์ ตอนนั้นเองที่นักบวชทุกคนในที่นั้นได้เห็นกับตาว่าองค์ชายซอนอินเป็นตัวแทนของเทพทั้งสองภพ นักบวชกว่าครึ่งลงความเห็นให้สังหารองค์ชายซอนอินเสียตั้งแต่ตอนนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เทพด้านมืดได้ฟื้นชีพขึ้นในร่างของเจ้าตัว แม้ว่าความเป็นไปได้ที่เทพด้านสว่างจะเป็นฝ่ายฟื้นคืนชีพจะมีเท่ากันก็ตามที แต่เพื่อความปลอดภัยแล้วจึงจำเป็นต้องสังหาร ...แต่ก็อย่างที่พวกเจ้าเห็น แผลบนแขนของข้า มาจากมือของเด็กวัยสี่ขวบเศษที่พยายามปกป้องตัวเองอย่างสุดความสามารถ และหากจะให้ข้าบอกตามตรง เด็กที่อยู่ต่อหน้าข้าในตอนนั้น ...ไม่ใช่คิมซอนอิน”
 
“ไม่ใช่คิมซอนอิน?” ฮีอูทวนคำออกมาอย่างลืมตัว ผู้เฒ่าลีซางจึงหันไปมองเด็กหนุ่มแล้วพยักหน้ารับ
 
“เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ที่ข้าได้เห็นร่างเร้นลับอีกร่างหนึ่งภายในตัวขององค์ชายซอนอิน”
 
นั่นหมายความว่า ตั้งแต่แรกเริ่มถือกำเนิด ส่วนหนึ่งของคิมซอนอินยังมีจิตวิญญาณอีกหนึ่งดวงที่ซ่อนเร้นหลับใหลอยู่เช่นนั้นหรือ? คำถามนี้ประกฎชัดในสีหน้าของแม่ทัพที่เจ็ด
 
“ชองจีรยง ข้าขอบอกตามตรง ถึงแม้ว่าข้าเคยคิดทำร้ายวังชอนซาเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว ความผิดชอบชั่วดีก็ทำให้ข้าไม่อาจปลิดลมหายใจของวังชอนซาได้ จริงอยู่ว่าร่างปีศาจอาจครอบครองกายของวังชอนซาไว้ได้ แต่กับตัวของวังชอนซาเองเล่าจะเป็นเช่นไร คิมซอนอินก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่มีสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากใครอื่น สำหรับข้าแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการกำจัดด้านมืดให้พ้นไปต่างหาก”
 
เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว กึมซองก็รีบเอ่ยเสริมขึ้นมาทันทีอย่างไม่เข้าใจ
 
“แต่ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่า ‘ไม่อาจต้านได้’ ขนาดตัวท่านเองยังรับมือไม่ไหว แล้วจะมีหนทางใดอีกเล่า?”
 
“แน่นอนว่าลำพังเพียงข้า หรือต่อให้นักบวชนับสิบก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะถึงอย่างไรปีศาจก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว หากแต่เดิมทีคิมซอนอินนั้นเป็นเทพแห่งสวรรค์โดยกำเนิด สายโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในกายไม่มีทางถูกสลายได้โดยง่าย ดังนั้นโอกาสที่จะขจัดเงาปีศาจให้พ้นไปจึงมีมากทีเดียว เพียงแต่ว่า วิธีการนั้นข้าเองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าจะสำเร็จหรือไม่”
 
“ท่านรีบบอกมาเสียทีว่าต้องทำอย่างไร เรื่องอื่นจะเป็นเช่นไรข้าไม่สนทั้งนั้น ศึกก็หยุดชะงักเพราะเกิดวาตภัย และข้าเองก็รู้ว่าเชินอันไม่ได้คิดจะสู้กับฮานึลอย่างเต็มกำลัง ดูแค่จากกษัตริย์อุนเซไม่ได้ร่วมทัพด้วยก็เพียงพอแล้ว หึ! เห็นกองกำลังทัพของข้าเป็นเรื่องล้อเล่นถึงเพียงนี้ ข้าเองก็จะไม่เกรงใจที่จะบุกเข้าเมืองหลวงเชินอันเช่นกัน!!” น้ำเสียงของจีรยงนั้นเฉียบขาดแสดงออกถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ต่อสิ่งที่ตั้งใจจะทำ
 
“เจ้าจะทำอะไรวู่วามไม่ได้ ชาวบ้านไม่รู้เรื่องราว หากยกกองกำลังไปจริง ไม่เพียงจะวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ แต่เกรงว่าเรื่องของวังชอนซาจะยืดเยื้อเกินแก้ไข” ลีซางท้วงขึ้นเตือนสติชายหนุ่ม ท้ายประโยคที่เอ่ยนั้นทำให้ชายหนุ่มระงับอารมณ์ไว้ได้
 
...ศึกชิงแคว้นไม่สำคัญเท่าวังชอนซา
 
แม้จะเป็นเสียงที่ก้องบอกอยู่ในใจของตนเอง แต่ชายหนุ่มก็ยังอดทึ่งในความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมานี้ไม่ได้ แต่ไรมาปณิธานสูงสุดของเขาคือการรวมแคว้นใหญ่ทั้งตะวันออกนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อกรกับรัฐแคว้นอื่น ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าบ้านเมืองและการสู้รบ
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คิมซอนอินมีอิทธิพลต่อเขาถึงเพียงนี้...
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่... ที่หัวใจของเขาถูกคนผู้นั้นควบคุมเอาไว้จนหมดสิ้น
 
...ช่างเป็นความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจนัก
 
“เช่นนั้นท่านก็บอกมาว่าข้าต้องทำอย่างไรเพื่อช่วยซอนอิน เรื่องศึกข้าจะหยุดไว้เพียงเท่านี้ก่อน” ถึงอย่างไรแล้วตอนนี้ก็ออกทำสงครามไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อท้องฟ้ายังแปรปรวนอยู่เช่นนี้
 
แม้ว่าภายในกระโจมและบริเวณโดยรอบของค่ายพักทหารฮานึลนี้จะอยู่ในความสงบ ทว่ารอบนอกของข่ายเขตอาคมกลับยังมีพายุโหมกระหน่ำไม่หยุด เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องทั่วน่านฟ้า
 
“เรื่องนี้ข้าได้ปรึกษากับราชครูปาร์คมาก่อนแล้ว แม้ว่าจะหาผลสำเร็จที่แน่นอนไม่ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะช่วยกำจัดเงาร้ายออกจากร่างของวังชอนซาได้...” นักบวชชราหยุดคำพูดไว้เล็กน้อย “มีประโยคหนึ่งที่บรรพบุรุษชินซองเคยกล่าวไว้ในคัมภีร์  ‘ร่างหนึ่งหากแบ่งเป็นสองจักต้องสละวิญญาณเสียก่อนจะถูกยึดครอง’ ประโยคนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยยี่สิบปีที่แล้วในครั้งที่วังชอนซาในเวลานั้นตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับองค์ชายซอนอิน”
 
“ท่านหมายความเช่นไร” เรียวคิ้วเข้มกดลึก ดวงตาคมจ้องคนตรงหน้านิ่ง
 
“แทงกระบี่เพียงครั้งเดียวให้ทะลุถึงขั้วหัวใจ นั่นคือหนทางเดียวที่ข้าคิดออก”
 
ราวกับคนทั้งกระโจมพากันหยุดหายใจพร้อมกัน ...ทำอย่างนั้นไม่เท่ากับฆ่าองค์วังชอนซาหรอกหรือ?!
 
“เหลวไหล! เพียงแค่อักษรไม่กี่ตัวใช่ว่าจะเชื่อถือได้ ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดแตะต้องซอนอินเป็นแน่!!”
 
“เดี๋ยวก่อนนะขอรับท่านแม่ทัพ” โทซองก้าวขาออกมาครึ่งก้าว สีหน้าขององครักษ์หนุ่มนั้นครุ่นคิดหนัก ก่อนเอ่ยออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย “ข้าจำได้! เมื่อตอนเด็กท่านแม่เคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องของวังชอนซาที่ถูกเลือกจากสวรรค์องค์ก่อนเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะแทงกระบี่เข้ากลางอกของวังชอนซา แต่ต้องเป็นบุคคลที่มีดวงจิตสื่อถึงกันอย่างแน่นแฟ้น เพราะการจะเรียกให้ดวงวิญญาณเดิมกลับมานั้นต้องอาศัยภาพสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนจะสิ้นลม ...ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นไปได้นะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้ากับกึมซองคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่!!”
 
ที่แท้แล้ว ต้นสายของตระกูลยูนั้นก็มาจากวังชอนซาองค์นั้นนั่นเอง
 
เมื่อเห็นถึงความกระจ่างนี้ จีรยงจึงจำยอมต่อแผนการ ใช้เวลาในการเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไม่นาน กลุ่มนักบวชจำนวนห้าคนก็ได้นำทางข้าศึกต่างแคว้นผู้ซึ่งเป็นคนรักของวังชอนซาเดินทางไปยังหุบเชาชินซองด้วยเส้นทางลับของอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งทำให้สามารถหลบเลี่ยงสายฟ้าและแรงพายุจากภายนอกได้
 
เทือกเขาซางซาอยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงเชินอันถึงสองวัน แต่เมื่อใช้เส้นทางลับนี้ก็สามารถร่นระยะเวลาได้ถึงเท่าตัว เมื่อร่างสูงได้ก้าวออกมายืนอยู่กลางแสงแดดอีกครั้งก็เข้าสู่วันใหม่แล้ว
 
ลมพัดวูบหนึ่งพัดต้องกลุ่มคนทั้งหมด แม้น่านฟ้าจะมืดมัว แต่ราวกับมีเกราะที่มองไม่เห็นครอบคลุมหุบเขาชินซองไว้ไม่ให้ลมพายุร้ายกาจทำลายล้างได้
 
“พี่ใหญ่ นั่นมันอะไร?!” กึมซองที่เดินทางติดตามมาพร้อมแฝดผู้พี่นั้นตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น เด็กหนุ่มก้าวออกมาจากหลังพุ่มไม้เล็กน้อยเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น
 
ตรงสุดสายตานั้น ปากถ้ำด้านหนึ่งของหุบเขาซางซาถูกปิดสนิทด้วยหินนับหมื่นก้อนจนมิด โดยที่บริเวณด้านนอกกลางลานกว้างด้านหน้านั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดที่ถูกสาดลงบนผืนหญ้าแห้งเป็นวงกว้าง ซากนกนางแอ่นกว่าร้อยตัวกระจัดกระจายทั่วพื้น ถัดมาไม่ไกลนัก นักบวชราวห้าสิบคนกำลังคุกเข่าสวดทำพิธี
 
“พวกนั้น...ถึงกับต้องใช้ศาสตร์ต้องห้ามกันเลยหรือ!!” ลีซางเอ่ยอย่างเคืองแค้น พิธีที่นักบวชพวกนั้นกำลังทำกันอยู่นี้นั้นเป็นศาสตร์ต้องห้ามของชนเผ่า นี่คงเห็นว่าไม่สามารถหยุดยั้งพลังของวังชอนซาได้ถึงได้ทำการบวงสรวงปีศาจเพื่อกักกันให้อยู่แต่เพียงในถ้ำ
 
ผ่านมาหนึ่งวันกว่าแล้ว หากไม่ทำเช่นนี้ก็คงขังวังชอนซาไว้ไม่ได้ ชายชรารู้ดีว่าพลังอำนาจของวังชอนซาเวลานี้นั้นร้ายกาจเพียงไร แต่การปล่อยทิ้งให้อยู่ในถ้ำเพียงลำพัง ซ้ำยังถูกตรวนโซ่อยู่กลางสระน้ำภายในถ้ำอย่างนี้ก็เท่ากับทรมานร่างกายของคิมซอนอินไปด้วย แม้จะไม่ได้สติ แต่ร่างกายก็บอบช้ำเป็นอย่างมาก ผลที่ตามมาย่อมตกอยู่กับคิมซอนอินเท่านั้น
 
สิ่งที่ได้เห็นและได้รับรู้นั้นยังผลให้จีรยงแทบอดรนทนไม่ไหว อยากจะพุ่งตัวออกไปฆ่าทุกคนที่ขังคนสำคัญของเขาไว้ในถ้ำมาทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ยังมีสติพอที่จะไม่ทำให้เสียเรื่อง นักบวชชินซองต่อกรด้วยยาก เพราะนอกจากวรยุทธแล้วยังมีวิชาลับอีกมากมาย กำลังคนเพียงเท่านี้ไม่อาจปะทะกันได้
 
กลุ่มคนหลังพุ่มไม้ซุ่มเงียบอยู่ราวครึ่งชั่วยาม นกน้อยตัวหนึ่งก็บินลงมาเกาะบนท่อนแขนของลีซาง
 
“ได้เวลาแล้ว!” ทันคำของลีซาง กลุ่มคนในชุดดำจำนวนกว่าร้อยคนก็พุ่งตัวออกจากที่หลบซ่อนหลังพุ่มไม้มาโอบล้อมนักบวชที่พากันลุกขึ้นตั้งรับตอบโต้
 
จีรยงเห็นว่าผู้นำกลุ่มคนชุดดำนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือราชครูปาร์คยองจูนั่นเอง เขาพยักหน้าให้ฝ่ายนั้นทีหนึ่ง ก่อนที่กลุ่มของตนเองจะวิ่งไปยังปากถ้ำที่ถูกปิดด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ ปล่อยให้ราชครูปาร์คและพวกพ้องนั้นทำหน้าที่ปะทะกับนักบวชทั้งหมด
 
การทำลายหินเปิดทางเข้านั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้เฒ่าลีซางและนักบวชอีกสี่คน ฝุ่นผงฟุ้งกระจายเป็นหมอกควันขาว จีรยงเป็นคนแรกที่มุดตัวเข้าไปในถ้ำก่อน ตามด้วยผู้เฒ่าลีซาง ยูกึมซองและยูโทซอง คนที่เหลือรอดูต้นทางที่ปากถ้ำ
 
ภายในถ้ำนั้นมืดสนิท ยกเว้นแต่เพียงสระน้ำสีฟ้าใสที่ส่องประกายระยิบระยับสะท้อนผนังหินอยู่ที่สุดของปลายถ้ำ ความสวยงามแปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นสะกดสายตาได้ไม่ยากเย็น หากแต่สิ่งที่เรียกสายตาของทุกคนได้ดีกว่าผืนน้ำศักดิ์สิทธิ์ คือร่างบอบบางร่างหนึ่งที่ถูกตรึงร่างกายเกือบจะทุกส่วนอยู่ที่กลางสระ
 
ปลายของโซ่เส้นหนานั้นถูกขึงอยู่บนเพดานถ้ำอย่างแน่นหนา เหล็กเย็นเฉียบรัดแนบผิวเนื้อเนียนละเอียดซึ่งถูกปกปิดด้วยอาภรณ์ขาวบางขาดลุ่ย ปีกสีดำขนาดใหญ่แผ่กว้างอย่างที่โซ่เส้นหนาก็ไม่อาจยึดรั้งไว้ได้ ศีรษะเล็กตกจนปลายคางชิดอก เส้นผมสีดำยาวลู่ลงแผ่สยายยุ่ง ตั้งแต่ช่วงเอวเล็กคอดลงมาจมอยู่ใต้ผืนน้ำที่เย็นยะเยือก ดูแล้วก็ราวกับเจ้าของเรือนร่างสวยสง่านี้ไม่มีพิษภัยอันใด เว้นแต่ไอสีดำเบาบางที่หมุนวนอยู่รอบร่างนั้นที่ทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงภัยอันตราย
 
“ถือว่าเป็นเรื่องดี การสวดบวงสรวงปีศาจทำให้เจ้าตัวหมดสติไปชั่วขณะ ชองจีรยง ลงมือตอนนี้ล่ะ!!”
 
แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่การจะใช้กระบี่ปักอกคนแสนสำคัญคนนี้ช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากนัก แต่หากมัวยื้อเวลามากกว่านี้ก็เห็นจะเสียโอกาส ดูจากสภาพโดยรอบที่ถูกเผาไหม้จนผนังหินกลายเป็นสีดำแล้วควรจะรีบลงมือเสียดีกว่า
 
ช่วงขายาวก้าวออกไปด้านหน้า กระชับกระบี่ในมือแน่น พร้อมกับที่กึมซองและโทซองกลั้นหายใจลุ้นอย่างระทึกนั้น ร่างสูงก็ได้ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตรงเข้าหาร่างบางกลางสระอย่างรวดเร็ว
 
อีกแค่เพียงคืบเดียวเท่านั้นที่ปลายกระบี่จะแตะโดนเรือนร่างของวังชอนซา จู่ๆ ร่างที่ควรจะอยู่ตรงหน้ากลับสลายหายไปเหลือเพียงอากาศที่ว่างเปล่า ร่างทั้งร่างของจีรยงตกลงสู่สระน้ำสีมรกตโดยฉับพลัน
 
ยังไม่ทันจะได้เรียบเรียงความคิด เสียงกระแทกรุนแรงก็ดังขึ้น
 
“อ๊าคคคคคคคคค!!” เสียงร้องโหยหวนของลีซางดังก้องสะท้อนภายในถ้ำ ร่างของชายแก่ชราถูกอะไรบางอย่างซัดกระเด็นไปกระแทกกับผนังหินเต็มแรง
 
“ท่านผู้เฒ่าลีซาง!!” สองแฝดรีบวิ่งไปหมายจะช่วยพยุงร่างที่ทรุดฮวบ แต่เพียงแค่ขยับเท้า แรงมหาศาลวูบหนึ่งก็พัดเด็กทั้งสองไปอีกทาง เสียงกระแทกดังไม่แพ้ครั้งแรก ดีที่มือของโทซองรองศีรษะของกึมซองคนน้องไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นแทนที่หลังมือจะแตก จะต้องเป็นหลังศีรษะของกึมซองต่างหากที่แตก
 
 จีรยงรีบพาตัวเองขึ้นมาจากสระน้ำ มองไปยังคนทั้งสามที่ไม่อาจขยับตัวหรือพูดอะไรได้ ทั้งที่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมาพันธนาการไว้
 
“ใจร้ายเสียจริง คิดจะใช้กระบี่ในมือนั่นทำร้ายวังชอนซาได้ลงคอเชียวหรือ ชองจีรยง?” น้ำเสียงหวานชวนฟังไม่ต่างจากคนที่เป็นห่วงสุดหัวใจดังขึ้นจากมุมมืดด้านหนึ่ง ร่างสูงหมุนตัวกลับไปมองทันที แล้วก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
 
ซอนอินอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!
 
“ซอนอิน!!” ความรู้สึกแรกคืออุ่นใจอย่างที่สุดที่เห็นว่าร่างบางนั้นปลอดภัยดีไม่มีบุบสลาย ผิวนวลเนียนภายใต้เสื้อผ้าสีขาวบางนั้นไม่มีร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย สีหน้าก็ผ่องใสสวยงามไม่เปลี่ยนแปลง ริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาสีดำสุกสกาว...
 
ไม่ใช่...
 
จีรยงที่กำลังจะเดินเข้าไปประชิดตัวร่างบางหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน สายเนตรรัตติกาลจ้องลึกลงไปในแววตาของซอนอินอย่างไม่เข้าใจ
 
แววตาของซอนอินที่เขารู้จักไม่ใช่แบบนี้...
 
คนคนนี้ ไม่ใช่คิมซอนอิน!!!
 
รู้ตัวก็ช้าไปแล้ว ร่างทั้งร่างเหมือนถูกโซ่ที่มองไม่เห็นตรึงไว้จนขยับไม่ได้ มือเรียวเล็กได้รูปไม่ผิดแผกจากคิมซอนอินที่ร่างสูงคุ้นเคยนั้นนาบลงที่ข้างแก้มของชายหนุ่ม ริมฝีปากสีสดขยับเข้าใกล้ใบหู ก่อนเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงแฝงความพึงพอใจอย่างไม่ปิดบัง
 
“ในที่สุดข้าก็ได้สัมผัสเจ้าเสียที ชองจีรยง” ร่างบางหยอกเย้าด้วยการใช้ปลายลิ้นแตะลงที่ใบหูเบาๆ
 
“เจ้าเป็นใคร!!”
 
“อย่าขึ้นเสียงใส่ข้าสิ” เรียวนิ้วขาวแตะลงบนริมฝีปากหนา รอยยิ้มเล็กที่ระบายกว้างยิ่งยั่วยุอารมณ์โกรธให้ร่างสูงมากขึ้นอีกเท่าตัว “ซอนอินอยู่ที่ไหน! เจ้าทำอะไรกับซอนอิน!!!”
 
“ซอนอินก็อยู่ตรงหน้าเจ้านี่อย่างไรเล่า”
 
“ไม่ใช่! เจ้าไม่ใช่ซอนอิน!!”
 
“ตรงไหนกันที่บอกว่าข้าไม่ใช่ซอนอิน? ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิ”
 
จีรยงจ้องสายตาตอบร่างบาง นอกจากแววตาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่บอกว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่คิมซอนอิน
 
“เจ้าเอาซอนอินไปไว้ที่ไหน บอกข้ามา! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้า........”
 
“เจ้าจะทำไม? ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้อีกหรือ เอาเถอะๆ ข้าเองก็ยังไม่ชิน แต่อีกสักพักก็คงเข้ากันได้ดี” คนตัวเล็กกว่าโบกมือไปมาในอากาศ ก่อนจะคลายจุดให้ชายหนุ่มได้ขยับเป็นปกติ
 
แน่นอนว่าจีรยงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปง่ายๆ เขารวบต้นคอเล็กไว้ทันที มือที่ถือกระบี่เตรียมง้างขึ้นจ่อลำคอขาว
 
“คราวนี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง ว่าซอนอินอยู่ที่ไหน!!!”
 
ร่างบางไม่ได้ขืนแรง ไม่ขยับถอย ซ้ำยังระบายยิ้มท้าสายตาคม
 
“ชองจีรยง สิ่งแรกที่เจ้าควรเรียนรู้ในตัวข้า คือข้าไม่ชอบถูกบังคับ หากข้าไม่อยากตอบ ก็อย่าได้คาดคั้นซักถาม”
 
“เจ้าเป็นใครถึงมาต่อรองกับข้า? คิดว่าข้าจะสนงั้นหรือ!!”
 
“สนหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า รู้ไว้ก็แล้วกัน ว่าคิมซอนอินจะเป็นหรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับข้า”
 
ปลายกระบี่ที่จ่อชิดติดลำคอเพรียวระหงสั่นกึกเมื่อได้ฟัง
 
“อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าท่านจะเก่งกาจสักเพียงใด...” ร่างบางที่สมอ้างเป็นซอนอินใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่ปลายกระบี่ “...ก็ไม่มีทางเอาชนะพลังของข้าได้!!”
 
เคร้ง!!!
 
เร็วกว่าชั่วพริบตา รุนแรงเกินกว่าจะตั้งรับได้ทัน กระบี่เงินคู่ใจกลิ้งขลุกลงกับพื้นภายในเสี้ยววินาที
 
จีรยงจ้องตอบดวงหน้างดงามด้วยสายตาที่ราวกับจะเผาคนตรงหน้าให้มอดไหม้
 
...ปีศาจตนนี้ ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะได้เลย!
 
สายตาที่จ้องมองมานั้นแฝงความหมายไว้ชัดเจน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่คนร่างบางจะทำความเข้าใจ
 
ฝ่ามือนุ่มที่จีรยงมักกอบกุมเล่นด้วยความเพลิดเพลินยกขึ้นลูบข้างแก้มของเขาราวกับจะหยอกล้อ
 
“สัมผัสด้วยตัวเองดีกว่าจริงๆ เจ้ารู้ไหม ทุกครั้งที่ข้ามองผ่านสายตาของคิมซอนอินไปยังเจ้า ข้ารู้สึกอิจฉามากเพียงไร หึ...เจ้าอาจจะไม่รู้ตัว แต่คนที่ปลุกให้ข้าตื่นขึ้นมาในร่างนี้ ก็คือเจ้า ชองจีรยง”
 
“ข้า....”
 
“หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ทำให้ข้าได้เป็นเจ้าของร่างนี้แทนคิมซอนอินคนของเจ้า” มือเล็กวนไล้ผิวแก้มสากอย่างถือสิทธิ์ “จำได้หรือไม่ ครั้งแรกที่เจ้าขืนใจคิมซอนอิน เจ้ารุนแรงกับเขามากเพียงไร ภายในใจที่แสนเปราะบางจนน่าสมเพชนั้นเกิดช่องว่างที่แสนเจ็บร้าว ความอ่อนแอที่ข้าแสนรังเกียจ จิตใจที่หวั่นไหวจนน่ารำคาญ เมื่อทุกอย่างถูกสั่นคลอน การมีตัวตนของข้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุด ข้าก็ได้ร่างนี้มาเป็นของตัวเอง ...คิมซอนอินที่เสียความบริสุทธิ์ก่อนถึงวันตัดสินชะตา ทำให้ข้าครอบครองร่างกายนี้ได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะเจ้า”
 
ริมฝีปากเล็กขยับเข้าใกล้อีกฝ่าย จีรยงก้าวถอยอย่างไม่ลังเล ทว่าสายตาของปีศาจตนนี้ก็ฉายแววบ่งบอกว่าอย่าได้ขัดขืน ริมฝีปากของทั้งคู่จึงประกบเข้าหากันในที่สุด
 
และเพราะมันเป็นริมฝีปากของซอนอินที่แสนคุ้นเคย ชายหนุ่มจึงเผลอไผลล้วงล้ำลึกซึ้งตามการนำแสนยวนใจจากอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
 
จวบจนกระทั้งผละออกจากกัน และประโยคต่อมาของคนตรงหน้านั้นเองที่ทำให้มังกรหนุ่มได้เห็นความเป็นจริงที่ยากจะรับมือปรากฏอยู่ตรงหน้า
 
 
 
“ชีวิตของคิมซอนอินขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของข้า อย่าทำให้ข้าหมดสนุกเสียก่อนล่ะ ชองจีรยง”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 24] 15/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 15-09-2016 12:40:42
ตอนนี้ อ่านแล้ว ต้องกำพระแน่นๆๆๆไปด้วย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 24] 15/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 18-09-2016 13:19:24
หายไปหลายวันจังเลยวันนี้จะมาไหมคะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 25] 18/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 18-09-2016 14:04:11
 
บทที่ 25
 

 
“ไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด! ขอร้องล่ะ ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!!!”
 
“องค์วังชอนซาโปรดอภัยด้วย พวกเราผิดไปแล้ว ทรงไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด!!!”
 
เสียงวอนขอชีวิตกว่าร้อยคนไม่อาจทำให้ร่างบางที่ยืนค้ำอยู่เหนือทุกคนภายในท้องพระโรงแห่งนี้ใจอ่อนลงได้เลย ถัดจากปลิดชีพนักบวชชินซองที่บังอาจกักขังเจ้าตัวไว้จนหมดสิ้นแล้ว สิ่งต่อมาที่องค์วังชอนซาแสนงามได้กระทำต่อ คือการจับเหล่าบรรดาขุนนางและข้าหลวงเชินอันมาในที่แห่งนี้
 
ไม่เว้นแม้แต่องค์กษัตริย์คิมอุนเซ...
 
รอยยิ้มสวยราวบุปผาแรกแย้มระบายอย่างงดงามอยู่บนใบหน้าสะคราญตา ดวงตากลมโตสุกใสกวาดมองคนที่เอ่ยร้องขอชีวิตไล่ไปทีละคน กระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้เป็นบิดาของคิมซอนอิน ซึ่งยังไม่เอ่ยวาจาใดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
 
ร่างบอบบางก้าวเดินไปใกล้กษัตริย์วัยกลางคน ใช้ปลายกระบี่แตะเชยใบหน้านั้นให้เงยขึ้น
 
“ข้าจะถามเจ้าเพียงครั้งเดียว ราชินีซองอึนอยู่ที่ไหน!”
 
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาและน้ำเสียงจะเหมือนกับผู้เป็นบุตรชายราวต้องกระจกเงา แต่คิมอุนเซก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนตรงหน้านี้หาใช่โอรสของพระองค์ไม่ สายเนตรคมเข้มจ้องตอบปีศาจจำแลงอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนเอ่ยวาจาตอบเรียบเรื่อย ทว่าเด็ดเดี่ยวสมคำร่ำลือ
 
“ข้าจะตอบเจ้าเพียงครั้งเดียวเช่นกัน ว่าเจ้าจะไม่มีวันได้รู้คำตอบจากข้า”
 
ปลายกระบี่เงินบางเบาเลื่อนลงที่ลำคอของอุนเซโดยฉับพลัน เสียงกลั้นหายใจของเหล่าข้าหลวงแทบจะเป็นไปอย่างพร้อมเพรียง
 
“หึ! เจ้าคิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะช่วยชีวิตคิมซอนอินได้งั้นหรือ? อย่าดูถูกกันให้มากนักนะ!! เจ้าไม่ตอบข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เจ้าหวังมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!!!”
 
เปลือกตาของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเชินอันได้ปิดลงแนบสนิทเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว ก่อนที่ปลายกระบี่ในมือของบุตรชายนั้นจะกระทำการสังหารพระบิดาอย่างรวดเร็ว
 
เลือดสีแดงฉานพุ่งกระจายไปทั่ว เปรอะเปื้อนทั้งคนรอบข้างและมือที่กำกระบี่ ภาพของศีรษะที่ยังคงสวมมงกุฎกษัตริย์ตกหล่นอยู่แทบเท้านั้นเรียกสายตาของคนทั้งท้องพระโรง ยกเว้นก็แต่เพียงคิมซอนอินที่ยืนอยู่ตรงนั้น
 
“ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!! ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!!!!”
 
ความตกตื่นที่ได้เห็นผู้เป็นกษัตริย์ของตนเองถูกตัดศีรษะนั้นอย่างง่ายดาย ยังผลให้เหล่าขุนนางรีบก้มหัววอนขอชีวิตกับองค์วังชอนซาแทบไม่เป็นคำ
 
“ผักปลาอย่างพวกเจ้า กล้าดียังไงมาร้องขอชีวิตกับข้ากัน!”
 
ลมแรงวูบหนึ่งหมุนวนรอบกลุ่มคนนับร้อยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่หมอกควันสีดำจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าครอบคลุมเหล่าขุนนางจนมิด ไม่นานนักเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น แต่เพียงแค่มือขาวบางของวังชอนซาได้โบกในอากาศสองครั้ง เสียงโหยหวนก็เงียบลง เมื่อหมอกสลายตัว ก็เหลือเพียงซากไร้ชีวิตของคนนับร้อยเท่านั้น
 
ดวงหน้างดงามหันมองร่างของอุนเซอย่างเคืองแค้นที่ตนไม่ได้คำตอบจากสิ่งที่เอ่ยถาม ข้อมือเล็กหักลงเล็กน้อยแล้วใช้กระบี่แทงกลางลำตัวไร้ลมหายใจนั้นจนล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะดึงกระบีออกแล้วหมุนตัวเดินออกจากท้องพระโรงไป
.
.
.
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
หลังจากที่หาจังหวะหลบหนีออกมาได้ตอนที่วังชอนซาให้ความสนใจชองจีรยงนั้น ผู้เฒ่าลีซาง โทซอง และกึมซองก็ได้รีบบอกข่าวให้ราชครูปาร์คได้รับรู้ ก่อนจะพากันไปหลบซ่อนตัวได้ทันตอนที่วังชอนซานั้นออกมาตามฆ่าพวกนักบวชฝ่ายตรงข้ามจนหมดสิ้น
 
เพราะลีซางมีอาคมวิเศษที่พร่ำเรียนมาค่อนชีวิต ทำให้ข่ายอาคมที่ปกปิดอุโมงค์ซ่อนตัวสามารถพรางตาของวังชอนซาในคราบของปีศาจได้
 
สมาชิกนักบวชในกลุ่มต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยบรรยากาศตึงเครียด ผ่านไปไม่ถึงสองวันที่จิตด้านมืดตื่นขึ้น แคว้นเชินอันก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว พายุลูกแรกไม่เพียงสร้างความเสียหายให้กับชาวบ้าน แต่ยังพรากชีวิตของคนนับหมื่นแสนอย่างง่ายดาย ป่าเขาที่เคยเขียวขจีกลับกลายเป็นสีเหลืองใกล้เฉา เพลิงกัลป์บังเกิดขึ้นนับร้อยที่ เกรงว่าไม่พ้นเจ็ดวัน แคว้นเชินอันคงเหลือแต่เศษผงธุลีเป็นแน่!
 
ถัดจากนักบวชมาที่หน้าถ้ำ ร่างสูงซึ่งอยู่ในสภาพสะบักสะบอมทั่วทั้งตัวพยายามขืนแรงออกจากมือของกึมซองที่รั้งตัวไว้เพื่อทำแผลจนสำเร็จ แล้วหันไปคาดคั้นเด็กหนุ่ม
 
“ไม่ต้องสนใจแผลของข้า บอกมาว่าค่ายพักทหารของเจ้าอยู่ที่ใด!”
 
“ใจเย็นๆ ก่อนยองจู” ลีซางจับไหล่ของเด็กหนุ่มไว้ “ที่ค่ายพักทหารของฮานึลข้าได้ลงอาคมไว้แล้ว ยังมีคนของเราคอยดูแลอยู่อีก เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป”
 
“ถึงอย่างไรข้าก็จะไปดูให้เห็นกับตา!” แค่คำบอกเล่าไม่อาจเพียงพอสำหรับยองจู คิมฮีอูสำคัญกับเขามาก หากไม่ไปดูให้เห็นด้วยตนเองว่าฝ่ายนั้นปลอดภัยหรือไม่ เขาก็ไม่มีวันสงบใจได้
 
ห่างกันด้วยสภาพเช่นนั้น ไม่เพียงยองจูที่กังวลใจ แต่กับฮีอูเองก็คงว้าวุ่นไม่ต่างกัน ยิ่งตอนนี้เภทภัยจากพลังอำนาจของวังชอนซากำลังอาละวาด มีหรือที่ชายหนุ่มจะวางใจได้
 
แต่ยังไม่ทันได้ถกเถียงว่าจะไปหรือไม่ไป นกพิราบตัวใหญ่สีเทาเข้มก็กลิ้งหลุนๆ ผ่านลมพายุเข้ามาในถ้ำ กระดาษข้อความม้วนหนึ่งที่ผูกติดข้อเท้าเล็กนั้นทำให้ผู้เฒ่าลีซางรีบอุ้มนกพิราบขึ้นมา
 
แผ่นกระดาษมีขนาดไม่ใหญ่นัก บนเนื้อกระดาษมีข้อความอัดแน่น ลีซางกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้ค้นพบแผนการบางอย่างจากผู้ที่ส่งมา ชายแก่เงยหน้าขึ้นจ้องสบสายตาของยองจู
 
“จากผู้ใดกัน?”
 
“องค์ราชินีคิมซองอึน...”
 
เนื้อความในกระดาษถูกลีซางบอกเล่าออกมาท่ามกลางนักบวชคนอื่นๆ ภายในถ้ำ
 
เดิมทีองค์กษัตริย์คิมอุนเซรับรู้เรื่องการเรียกร้องของนักบวชที่เชื่อเรื่องภัยร้ายของวังชอนซา ในตอนนั้นพระองค์ได้ปรึกษากับราชินีซองอึนว่าควรปล่อยให้เป็นเรื่องของชนเผ่าชินซองหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร บุตรชายคนนี้ก็ถือเป็นคนของชินซองโดยสมบูรณ์ตั้งแต่รับหน้าที่เป็นวังชอนซาแล้ว หากคิดจะต่อต้านเกรงว่าชินซองจะเกิดความเคลือบแคลงใจในกฎข้อตกลง และก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างเชินอันและเผ่าชินซองได้ ครั้นเมื่อพระองค์ได้รับคิมซองอึนเป็นพระชายาก็นับว่าเกินกว่าที่ชินซองจะยอมรับได้ง่ายๆ ความต้องการที่จะสังหารบุตรชายของพระองค์จึงยกให้ชินซองตัดสินใจ
 
แต่เมื่อแผนการสังหารล้มเหลว และราชินีซองอึนได้ทราบข่าวก็เกิดความเสียใจอย่างสุดแสนที่นางคิดจะปล่อยให้โอรสของนางตายไปทั้งๆ อย่างนั้นโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว และนางก็ได้คิดไปว่าหากชองจีรยงรับซอนอินไว้ด้วยความต้องการจากใจจริง นางก็จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่คิดหาความเจ็บปวดมาสู่ซอนอินอีก จนเมื่อนักบวชชินซองได้จับคนของชองจีรยงมาใช้แลกเปลี่ยนตัวของวังชอนซานั่นเอง ราชินีซองอึนถึงทนไม่ไหวที่จะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อัปยศซ้ำสอง ทว่าการเจรจาให้กักขังซอนอินไว้ในถ้ำแทนการสังหารนั้นไม่อาจเป็นผล ...กว่าจะรู้ว่าบุตรชายคนโตของนางไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์สามัญที่มีร่างทรงของทวยเทพแฝงกายรอวันที่จะถูกตัดสินว่าจะเป็นแสงสว่างหรือความมืดมิด แต่กลับกลายเป็นว่าตัวของซอนอินเองคือเทพแห่งสวรรค์ และจิตอีกหนึ่งดวงคือเทพแห่งปีศาจ พลังอำนาจมากล้นไม่สำแดงผลเข้าสักวันคงเป็นไปไม่ได้
 
‘หนึ่งคือสวรรค์ อีกหนึ่งคือปีศาจ’ ...ชะตาลิขิตที่ไม่อาจหลีกพ้น
 
ใจความที่ราชินีซองอึนกล่าวเริ่มต้นด้วยประโยคนี้ ก่อนจะเอ่ยเข้าประเด็นสำคัญทันที หลายวันก่อนกษัตริย์อุนเซได้ตัดสินใจพาพระนางและบุตรชายคนเล็กไปหลบซ่อนเพื่อทำพิธีบางอย่าง ที่แม้แต่ผู้เฒ่าลีซางเองก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ การทำพิธีนี้ต้องใช้เลือดของผู้ให้กำเนิดซอนอินเท่านั้นจึงจะสำเร็จ เข็มเงินเล่มเล็กที่แนบมาในซองกระดาษมีอยู่หนึ่งเล่ม เข็มนี้ถูกลงอาคมมาอย่างดีเพื่อปลดปล่อยจิตด้านมืดออกจากร่างของซอนอิน และเพื่อให้การนี้เป็นผลก็จำต้องใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจตามหลังจากนั้นด้วย ดังเช่นที่บรรพบุรุษเคยกล่าวไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน
 
สิ่งที่พระนางต้องการให้ลีซางดำเนินตามแผน คือหาทางเข้าประชิดวังชอนซา และบอกให้ชองจีรยงได้จัดการปลิดชีพวังชอนซาเสียเมื่อได้ฝังเข็มนี้ลงไปแล้ว
 
แม้ว่าลีซางไม่สามารถทำพิธีกรรมนี้ได้ด้วยตนเองเพราะบารมีไม่ถึง แต่ชายชราก็รู้ดีว่าขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นอย่างไร ผู้ที่มอบเลือดให้กับการทำส่วนผสมของเข็มเล่มนี้จะต้องใช้เลือดกว่าครึ่งในร่างกาย หากไม่มีความสามารถจริง คนที่มอบเลือดอาจจะตายได้ในทันที แต่จากจดหมายที่ส่งมานี้บ่งบอกว่าราชินีซองอึนกำลังพักฟื้นอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ที่ทำพิธีนี้ให้องค์ราชินีซองอึนก็คือนักพรตกูเจ ผู้ที่ไม่ฝักใฝ่สิ่งใด บำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาสูงตามลำพัง ...ผู้ที่เป็นบิดาของลีซางนั่นเอง
 
 “กษัตริย์คิมอุนเซไม่ได้ทรงออกรบก็เพราะเหตุนี้เองหรอกหรือ!” ยูโทซองเอ่ยขึ้นเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว แล้วนักบวชคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นต่อ
 
“พระองค์ย้อนกลับไปที่วังหลังจากพาองค์ราชินีซองอึนไปหลบซ่อนแล้ว เช่นนั้น...ตอนนี้พระองค์อาจจะ......” ถ้อยคำต่อจากนั้นเงียบหายไป หลายคนไม่อาจหายใจได้เป็นปกติเมื่อคิดว่าผู้นำแห่งเชินอันอาจจากไปแล้ว
 
แม้แต่กึมซองเองถึงเป็นศัตรูแคว้นก็ยังอดใจหายไม่ได้ เด็กหนุ่มขยับตัวเข้ายืนชิดแฝดผู้พี่ มือหนึ่งเกาะยึดแขนพี่ชายไว้แน่น สำหรับเด็กหนุ่มแล้วความตายไม่ได้น่ากลัวหากเผชิญมันอย่างปกติ ออกรบฆ่าฟันไม่เคยหวั่น แต่กับเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ใจของกึมซองก็อดกลัวไม่ได้
 
ลีซางแกะปลายของแผ่นกระดาษออกก็พบเข็มเงินเล่มหนึ่ง
 
“องค์ราชินีซองอึนต้องการดำเนินแผนภายในสองชั่วยาม ข้าคิดว่านี่ก็ผ่านมาชั่วยามกว่าแล้วน่าจะรีบลงมือก่อนจะคลาดกับเวลาที่เหมาะสม” ใบหน้าชราภาพหันมองเหล่านักบวชที่เตรียมตัวลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
 
“ชเวอันยัง ท่านอยู่รอกับคนอื่นๆ ที่นี่ การลักลอบเข้าวังยิ่งจำนวนคนน้อยก็ยิ่งสะดวกรวดเร็ว ข้าจะไปกับนันอีแค่สองคนเท่านั้น...”
 
“ไม่ได้! ข้าจะไปกับท่านเอง” ยองจูสวนขึ้นทันที
 
“สภาพเจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้อย่าฝืนนักเลย ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงวังชอนซายิ่งกว่าใคร แต่...”
 
“ท่านอย่าห้ามข้าให้เสียเวลา ท่านก็รู้ว่าข้าห่วงวังชอนซายิ่งกว่าใคร แล้วท่านคิดว่าข้าจะไม่แอบตามพวกท่านไปทีหลังหรืออย่างไร” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแดงฉานกล่าวเสียงเข้ม เขารู้ดีว่านันอีเป็นนักบวชที่เก่งกาจ คนคนนี้เป็นคนช่วยเขาออกจากคุกในถ้ำ แต่การจะให้รอข่าวอยู่ที่นี่เขาทำไม่ได้
 
ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด!!
 
ความมุ่งมั่นของยองจูทำให้ลีซางยอมแพ้แต่โดยดี สรุปคือไปกันทั้งหมดสามคน ลีซาง นันอี และยองจู…
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
วังหลวงเชินอันโอ่อ่าใหญ่โต สถาปัตยกรรมเน้นไปทางศิลปะการวาด ผนังไม้เกือบทั้งหมดเต็มไปด้วยภาพวาดเรื่องราวของเทพสวรรค์เสียส่วนใหญ่ แสดงออกถึงความศรัทธาเคารพนับถือเทพเจ้าทงซกที่มีมาแต่ดั้งเดิม การประดับประดาภายในห้องหับใช้ผ้าม่านผืนบางหลากสีคล้ายสายรุ้ง แตกต่างจากฮานึลที่เน้นเพียงสีแดงและสีขาว การตกแต่งก็เรียบง่ายกว่าเชินอัน หากจะเปรียบเทียบแล้วก็พูดได้ว่าเชินอันเป็นแคว้นเพ้อฝันกาพย์กลอนและศิลปะจิตรกรรม ส่วนฮานึลเป็นแคว้นที่มองแต่ความเป็นจริง ให้ความสนใจกับการเป็นอยู่มากกว่าความสวยงาม
 
ภายในห้องบรรทมอันสูงศักดิ์ขององค์กษัตริย์เชินอันนั้นงดงามไม่แพ้ยศถาบรรดาศักดิ์ของผู้อยู่อาศัย หากแต่ในเวลานี้ผู้ที่กำลังยึดครองห้องบรรทมกลับเป็นบุตรชาย วังชอนซาองค์ปัจจุบัน
 
ร่างสูงของจีรยงถูกจับมัดข้อมือนอนอยู่บนแท่นบรรทมกลางห้อง สายตาคมกวาดมองรอบตัวอย่างหาหนทางหลบหนี แต่ก็พบแต่ทางตันทั้งสิ้น ปีศาจจำแลงตนนั้นใช้พลังสะกดใจให้ทหารวังคุมแน่นหนาทุกประตูทุกบานหน้าต่าง ซ้ำเชือกที่มัดเขาขึงกับเตียงอยู่นี้ก็แน่นหนาราวกับเป็นเหล็กเส้นก็ไม่ปาน
 
จีรยงถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวในห้องนี้มาร่วมสองชั่วยามแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ปีศาจตนนั้นทำสิ่งใดอยู่ แม้จิตใจจะเป็นปีศาจ แต่ร่างกายนั้นเป็นของซอนอิน ไม่ว่าทางใดจีรยงก็เป็นห่วงทุกการกระทำของวังชอนซาในเวลานี้
 
ความกระวนกระวายใจของชายหนุ่มดำเนินต่อไปไม่นานนัก บานประตูก็เปิดผ่างออก ร่างบอบบางของวังชอนซาเดินเข้ามา เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด กระบี่เงินในมือที่เคยเป็นของจีรยงก็มีคราบเลือดมากมายไม่ต่างกัน
 
“เจ้าไปทำอะไรมา!!” ทันทีที่เห็นเลือดจำนวนมากจีรยงก็แทบควบคุมสติไม่อยู่
 
แก้วตากลมโตจ้องสบคนถาม เขาโยนกระบี่ในมือลงบนพื้นหน้าแท่นบรรทม ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งลงข้างกายร่างสูง ใช้ปลายนิ้วลากไล้ใบหน้าของจีรยงเบาๆ
 
พลันสายตาของจีรยงที่มองร่างบางอยู่นั้นสังเกตเห็นอะไรบางอย่างไหววูบอยู่ที่หลังบานประตู เขารีบชักสายตากลับมาจ้องปีศาจจำแลงอีกครั้งด้วยความว่องไว
 
“ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าอยากให้เจ้าช่วย”
 
“ช่วย...”
 
“อย่าทำเป็นอ่อนโลกนักเลยชองจีรยง เจ้ารู้ดีว่าข้าหมายถึงอะไร” ปลายนิ้วเล็กลากลงที่กระดุมเม็ดแรกของคนที่นอนหมดทางหนีอย่างเชื่องช้า จากเม็ดที่หนึ่งลงสู่เม็ดที่สองและเม็ดถัดไป ชุดสีดำถูกปลดออกจนหมดแถว กล้ามเนื้อท้องเป็นมัดกล้ามเรียกสายตาเป็นประกายของร่างบางได้ดีนัก
 
มือนุ่มสัมผัสลงบนร่างแกร่งของจีรยงด้วยสีหน้าไร้ความขัดเขิน
 
จีรยงมองสีหน้านั้นพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาด หากเป็นซอนอินคนของเขา ไม่มีทางที่จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้แน่ ดวงหน้าที่เห็นอยู่นี้จะต้องแดงระเรื่อขึ้นสีจัด ริมฝีปากบางที่เห็นอยู่ตอนนี้จะต้องเม้มแน่นเป็นเส้นตรงด้วยความสะกดกลั้นของเจ้าตัว แววตาคู่สวยที่ฉายประกายจ้องมองเขาจะต้องเต็มไปด้วยความใสซื่อ ...และความรู้สึกที่มีต่อเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ
 
คิมซอนอิน ข้าอยากได้เจ้ากลับมาเหลือเกิน...
 
 
ความรู้สึกที่สื่อออกมาทางสายตาของจีรยงอย่างไม่ปิดบังสร้างความรำคาญใจให้กับคนร่างบางยิ่งนัก ริมฝีปากบางสวยยกยิ้ม ลากไล้ปลายนิ้ววนเวียนบนแผงอกหนา
 
“เจ้าเองก็พึงพอใจในร่างกายนี้ ไยต้องคิดให้มากความ จะเป็นข้าก็ดี เป็นคิมซอนอินก็ช่าง ถึงอย่างไรเจ้าก็ได้เสพสุขอยู่ดีนั่นแหละ”
 
จีรยงจ้องมองรอยยิ้มยั่วเย้า ก่อนไล่สายตาไปตามมือขาวที่เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากกาย กระทั่งผิวสีขาวกระจ่างตาปรากฏให้เห็น ไม่มีตรงไหนบ่งบอกว่าไม่ใช่ร่างกายของซอนอินเลยสักนิดเดียว เรือนร่างที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นร่างกายที่เขารู้จักดีที่สุด
 
สัมผัสตรงไหนเจ้าตัวถึงจะรู้สึกดี จับตรงไหนเจ้าตัวถึงจะเกิดอารมณ์ ...ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
 
“ว่าอย่างไรเล่าชองจีรยง จะกอดข้าได้หรือยัง?” เมื่อร่างกายเปลือยเปล่า วังชอนซาแสนงามก็ได้ขยับตัวเบียดสะโพกเข้าหาร่างกายของจีรยงด้วยท่วงท่าเชิญชวน มือเล็กลูบคลำกล้ามเนื้อหนาแกร่งอย่างต้องการปลุกเร้าอารมณ์อีกฝ่าย สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มเคลื่อนลงสู่ผ้าคาดเอวของร่างสูง ก่อนที่มือข้างนั้นจะลับหายเข้ากอบกุมสัดส่วนที่ตื่นตัวของคนด้านล่าง
 
“ความปรารถนาของข้ากำลังรอคอยให้เจ้าช่วยปลดปล่อยอยู่นะชองจีรยง”
 
“อยากจะทำอะไร อึก... ก็เชิญ....ข้าไม่มีทางร่วมมือกับเจ้า” จีรยงกัดฟันแน่นพยายามอดทนต่อความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน ซอนอินคนนี้ชำนาญเรื่องบนเตียงจนน่าเหลือเชื่อ พลิกพลิ้วปลายนิ้วไม่เท่าไหร่ก็สร้างความเกษมศานต์ให้กับเขาจนแทบทนไม่ไหว
 
“ทนได้ก็ลองดู!” เสียงหวานตวาดก้องขัดใจ ก่อนจะก้มลงบังคับจูบอีกฝ่ายอย่างกระหายอยาก ลิ้นเล็กพลิกพลิ้วทำอย่างที่ใจต้องการ เพราะรู้ดีว่าร่างสูงไม่กล้าขัดขืนมากนักด้วยกลัวจะกัดโดนลิ้นของซอนอิน
 
จูบดูดดื่มแทบลืมหายใจดำเนินไปพร้อมกับมือเล็กที่ขยับขึ้นลงจนส่วนนั้นเริ่มชื้นแฉะ ทว่าคนที่มีความอดทนสูงอย่างจีรยงก็สะกดกลั้นไม่ยอมหลั่งออกมาจนแล้วจนรอด
 
กลับกลายเป็นว่าในเวลานี้คนที่ต้องการจนทนไม่ไหวคือร่างบางเอง มือเล็กที่เฉอะแฉะไปด้วยคราบขาวข้นเพียงเล็กน้อยละจากสัดส่วนของอีกฝ่ายแล้วหันมาสนใจกับความต้องการของตนเองแทน
 
จีรยงหอบหายใจหนัก และแทบสำลักอากาศเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนตัวของเขากำลังช่วยตัวเองด้วยสภาพเร่าร้อนมากแค่ไหน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกิริยาของพวกนางโลมที่ร่านจนสุดจะทนได้ด้วยซ้ำไป
 
ริมฝีปากสีสดหอบหายใจหนักหน่วง มือเล็กขยับขึ้นลงเร็วขึ้นอย่างทรมาน ไม่นานนักคนร่างบางก็ไปถึงจุดสูงสุด สายน้ำขาวเหนียวข้นพุ่งลงสู่หน้าท้องแกร่ง เกือบจะทำให้จีรยงปลดปล่อยตามไปอยู่รอมร่อ
 
คิดว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ แต่กลับไม่ใช่ ปีศาจแสนสวยเกิดความต้องการมากยิ่งขึ้น จนแม้แต่เจ้าตัวเองแทบระงับสติอารมณ์ไว้ไม่ไหว ปลายเล็บของซอนอินยาวขึ้นเป็นเท่าตัว นัยน์ตาสีดำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหมอก และยังไม่ทันที่จีรยงจะได้ตั้งตัว ปีกสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏ ขนนกรัตติกาลลอยละล่องหลุดร่วงยามที่ปีกคู่นั้นแผ่ออกจนสุดความกว้าง
 
รูปร่างของซอนอินทั้งเล็กและบอบบาง แต่กลับมีแรงมหาศาลที่จะกระฉากเสื้อผ้าอาภรณ์ของร่างสูงจนฉีกขาดภายในครั้งเดียว มองจากสายตาของชายหนุ่มร่างสูงแล้ว ร่างบางในเวลานี้คงถูกแรงอารมณ์บดบังความนึกคิดไปจนหมดสิ้น
 
“มีสติหน่อยสิ!!” ขณะที่ตะโกนบอกนั้น จีรยงก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกปลายเล็บแหลมคมจิกลากตั้งแต่ไหล่ลงมาถึงหน้าท้อง เลือดสีแดงขึ้นเป็นริ้วตามรอย เจ็บแสบราวถูกของมีคมบาดไม่ต่างกัน
 
มือที่ถูกมัดแน่นหนาสร้างความลำบากให้กับจีรยง ขนาดจะเบี่ยงหน้าหลบยังทำไม่ได้ จำต้องตอบรับจูบรุนแรงรุกเร้าอย่างเสียไม่ได้ ปลายลิ้นยังพัวพันไม่รู้เหนือใต้ จีรยงก็รู้สึกถึงมือเล็กที่เลื่อนลงกอบกุมสัดส่วนของเขาอีกครั้ง
 
ใบหน้าเรียวคมพลิกหลบไปด้านข้าง “ไม่ได้นะ! อย่าทำอย่างนั้น!!”
 
“หุบปาก!! ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า อ่ะ...! ....อ๊าาาาาา” เสียงหวาดหวีดลั่นพร้อมกับเนินเนื้อสีอ่อนที่ค่อยๆ ปรีแยกออกจากกันอย่างฉับพลัน
 
ร่างกายของซอนอินบอบบาง จีรยงรู้ดีจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยฝีมือของเขาเอง แล้วการที่จะให้ผิวเนื้ออ่อนในส่วนนั้นรองรับของเขาอย่างรวดเร็วกะทันหันเช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่ร่างกายของซอนอินรับได้ไหว บวกกับจิตใต้สำนึกที่หวาดกลัวของซอนอินด้วยแล้ว จีรยงไม่รู้เลยจริงๆ ว่าถ้าออกมาในรูปแบบนี้แล้ว ซอนอินจะเป็นอะไรหรือไม่
 
“อึก! ฮ่ะ ฮ่ะ อื้อออ” ริมฝีปากสีสดถูกเจ้าตัวกัดจนเลือดไหล ส่วนล่างที่ถูกฝืนซ้ำๆ โดยไม่มีการเตรียมพร้อมค่อยๆ ฉีกขาดออกจากกัน แล้วเลือดสีแดงก็ไหลซึมออกมาตามร่องหลืบโคนขาขาวเนียนในที่สุด
 
“ขยับ! ขยับเดี๋ยวนี้!!” ร่างบางสั่งเสียงหอบครางปนตวาดลั่น สำหรับปีศาจตนนี้ ถึงจะมีความเจ็บเนื่องด้วยเนื้อกายได้รับบาดแผล แต่ทว่าความสุขสมและความต้องการทางร่างกายนั้นมีมากกว่าหลายเท่านัก และดูท่าว่า ยิ่งเจ็บมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าสนุกมากเท่านั้น
 
แน่นอนว่าจีรยงไม่อยากให้ร่างกายของซอนอินเป็นอะไรไป ดังนั้นคราวนี้เขาจึงยอมทำตามอีกฝ่ายแต่โดยดี เขาขยับสะโพกขึ้นลงช้าๆ แต่ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจของอีกฝ่าย
 
“ขยับให้เร็วกว่านี้ ฮ๊ะ อ่า... เร็ว.... ชองจีรยง เร็วกว่านี้ ทำให้ข้ารู้สึกมากกว่านี้!! ...อ่าา อ่าาาา…!”
 
“ปลดมือข้าออกสิ อึก... แล้วข้าจะทำให้อย่างที่เจ้าต้องการ”
 
ภายในร่างกายที่อุ่นร้อนของซอนอินทำให้จีรยงเหมือนจะควบคุมสติได้ยากนัก หากปล่อยไปอย่างนี้น่ากลัวว่าเขาจะเดินตามหมากของปีศาจจำแลงไปจนเสียเรื่อง จีรยงหลับตาลงสูดหายใจลึก ต่อรองอีกฝ่ายด้วยแววตาสัตย์ซื่อ
 
“ข้าเป็นห่วงร่างกายของซอนอินถึงทำไม่ได้อย่างใจ จะขยับก็กลัวจะได้แผลมากขึ้น เพราะงั้น ปลดมือให้ข้า แล้วข้าจะตอบสนองความต้องการของเจ้า”
 
ปีศาจที่กำลังถูกความหฤหรรษ์ของเพศรสกามารมณ์ควบคุมสติไว้หยุดฟังเสียงทุ้มที่เอ่ยบอก คงต้องขอบคุณสวรรค์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เรื่องราวมาถึงตรงจุดนี้ได้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้วังชอนซาหงุดหงิดอารมณ์เสียจนต้องมาปลดปล่อยอารมณ์กับร่างกายของเขาก็ล้วนต้องขอบคุณทั้งสิ้น เพราะดูเหมือนว่าเวลานี้ ปีศาจผู้มีพลังมากมายร้ายกาจกำลังตกอยู่ในห้วงราคะจนมองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว
 
ทันทีที่มือถูกปลดออก จีรยงก็จับร่างบอบบางให้ขึ้นมานั่งบนตัก จับแยกขาขาวให้ออกกว้างแล้วกระแทกกระทั้นกายเข้าหาจนเสียงหวานกรีดร้องไม่เป็นคำ เล็บแหลมคมปัดป่ายทั่วแผ่นหลังกว้างสร้างความเจ็บแสบให้ร่างสูงไม่น้อย ปีกสีดำขยับพัดแรงลมจนข้าวของรอบๆ ตกแตกเกลื่อนพื้น กระทั่งจุดสูงสุดครั้งที่สองของร่างบางใกล้มาถึง ดวงหน้างดงามก็แหงนเงยเกร็งร่างหยัดขึ้นตามแรงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ
 
ในจังหวะที่สติของคนบนตักกำลังหลุดลอยนั้นเอง เข็มเงินที่ผู้เฒ่าลีซางหาจังหวะใช้วิชาเงามาวางไว้ให้ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีก็ถูกหยิบขึ้นมาปักลงที่ช่วงเอวคอดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเงาของคนสามคนที่ปรากฏขึ้นในความมืดของมุมมืดด้านหนึ่งภายในห้อง
 
กระบี่เงินถูกโยนส่งให้จีรยงรับอย่างแม่นยำ พร้อมกับที่ร่างบางรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดกับร่างกาย
 
“เจ้า!!! อ๊ากกก เจ้า!!”
 
วังชอนซาผู้เลอโฉมบิดสีหน้าเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ผิวกายที่ขาวผ่องค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยริ้วรอยสีม่วงที่แผ่กระจายออกมาจากส่วนที่ถูกเข็มทิ่มแทง ท่อนขาอ่อนแรงขยับออกห่างจากร่างสูงจนติดปลายเตียง สองแขนบอบบางจับต้องกอดร่างกายตนเองด้วยสีหน้าหวาดกลัวตื่นตระหนก
 
“พวกเจ้า!...เลือดของคิมซองอึน! ชองจีรยง เจ้าหลอกข้า!!!!”
 
สายตาสีหมอกกวาดมองกลุ่มคนที่ยืนล้อม ก่อนตวัดตามองร่างสูงที่ยังนั่งอยู่ตรงหน้า โดยที่ในมือนั้นถือกระบี่จ่อมาที่ตน
 
“หึ... เอาสิ แทงเลย ถ้าเจ้าคิดว่าแทงข้าแล้วจะได้คิมซอนอินคืนมาละก็ แทงเลย!!!”
 
เสียงหวานที่ตะโกนก้องด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัวทำให้จีรยงชะงักมือ
 
“ชองจีรยงอย่าไปฟัง รีบจัดการเร็วเข้า!” เสียงของลีซางตะโกนแทรก แม้จะหวั่นใจในคำพูดของปีศาจแสนสวย แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้ลองเสี่ยงอีกแล้ว
 
“เป็นอะไร? ไม่กล้าแทงข้าหรือ?” แม้ว่าร่างกายหมดเรี่ยวแรง แต่ร่างบางก็ยังตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน “ใจเสาะเสียจริงนะ เป็นถึงนักรบผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับพ่ายแพ้ให้บุรุษที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างอย่างคิมซอนอิน!”
 
มือที่กำกระบี่อยู่กระตุกขึ้นมาหนึ่งครั้ง ก่อนที่นัยน์ตาคมเข้มจะฉายแววเป็นประกายวูบหนึ่ง แล้วมือที่ถือดาบก็พุ่งเข้าหาแผ่นอกบางเปลือยเปล่าเบื้องหน้าตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี
 
 
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!”
 
 
จีรยงกดแรงกระแทกปลายกระบี่ในมือให้ลึกขึ้นจนมันทะลุออกแผ่นหลังขาวนวล เลือดสีแดงสดพวยพุ่งออกมาจากบาดแผลและริมฝีปากบาง ปีกสีดำค่อยๆ กลายเป็นผงธุลีจากปลายสู่โคน
 
แก้วตากลมโตสีหมอกค่อยๆ เปลี่ยนคืนเป็นสีดำสนิท
 
ในตอนที่ร่างบางนั้นเอนซบลงมาบนตัวของชายหนุ่ม น้ำตาหยดแรกในชีวิตของชองจีรยงก็ได้ไหลรื้นลงผ่านสองข้างแก้ม มือสั่นเทาของเขาโอบกอดแผ่นหลังเย็นชืดของคนสำคัญไว้อย่างทะนุถนอม
 
 
“คิมซอนอิน เจ้ามีดีทุกอย่างเพียงพอสำหรับข้า เพราะฉะนั้น ได้โปรดกลับมา...”
 
 
ความเจ็บปวดต่อจากนี้ ข้าจะรับไว้เอง
 
ความเสียใจต่อจากนี้ ให้เกิดแต่กับข้า
 
 
ได้โปรด กลับมาหาข้าอีกครั้ง กลับมารับสิ่งที่เจ้าต้องการ
 
 
...กลับมารับหัวใจของข้า
 
 
แค่เจ้าเท่านั้นที่หัวใจข้าต้องการ คิมซอนอิน...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
จบตอน


หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 25] 18/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-09-2016 15:04:32
หวังว่าซอนอินจะกลับมา
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 25] 18/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 18-09-2016 16:22:20
เริ่มสงสารร่างปีศาจขึ้นมานิดๆ  :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 25] 18/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 18-09-2016 19:17:13
ฮออออล บีบหัวใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 26] 19/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 19-09-2016 12:52:37
บทที่ 26
 
 

แสงสีขาวสว่างบาดตาทำให้ชายหนุ่มที่นอนฟุบอยู่กับขอบเตียงต้องยกมือขึ้นป้องใบหน้า เปลือกตาหนาขยับสองสามครั้งก่อนที่ลูกแก้วรัตติกาลจะปรากฏให้เห็น
 
ความพร่าเลือนของภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ต้องหรี่สายตา พร้อมกันนั้นมือหนาก็กระชับมือเล็กที่ตนกอบกุมมาตลอดให้แน่นขึ้น ทว่าสัมผัสผิวเนื้อนุ่มที่หวังจะได้รู้สึกกลับมีเพียงผืนผ้าแพรว่างเปล่า
 
“ซอนอิน!” กว่าที่สายตาจะคุ้นชิน ก็พึ่งตระหนักว่าคนร่างบางที่คอยเฝ้านั้นหายไปจากที่นอนแล้ว
 
ชายหนุ่มพลุนพลันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วหันหลังกลับไปยังที่มาของแสงสีขาวบาดตา ร่างร่างหนึ่งปรากฏให้เห็นไม่ชัดนักเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงเหล่านั้น เขาป้องแขนขึ้นพยายามเพ่งสายตามอง ตอนนั้นเองที่ความสว่างค่อยๆ จางสลายหายไป เหลือเพียงร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีขาวปลอดที่อุ้มร่างหมดสติของซอนอินไว้
 
“เจ้าเป็นใครกัน!” ถึงจะเดาได้ไม่ยากนักว่าคนตรงหน้านี้คงเป็นเทพสักองค์หนึ่ง เพราะปีกสีขาวขนาดใหญ่นั่นไม่ใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่อาจเจาะจงได้ว่าเป็นผู้ใดกัน
 
“คืนซอนอินมาให้ข้า!”
 
“ชองจีรยง” เสียงหวานนุ่มนวลนั้นฟังแตกต่างจากน้ำเสียงกระแทกกระทั้นของเจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยนามอย่างที่สุด
 
ชื่อที่ถูกเรียกอย่างไม่ผิดเพี้ยนทำให้ร่างสูงกดเรียวคิ้วลงต่ำ แววตาคมฉายประกายกร้าวจ้องสบสายตาสีชาอย่างไม่เกรงกลัว
 
“ต้องการสิ่งใดก็จงเอาจากข้า ซอนอินไม่ใช่คนที่เจ้าคิดจะแตะต้อง”
 
รูปหน้าหล่อเหลาสะอาดหมดจดของชายร่างสูงโปร่งแย้มยิ้มบาง “ผิดแล้ว ผู้ที่ข้าต้องการย่อมเป็นคิมซอนอิน ไม่ใช่มนุษย์เลือดคาวอย่างเจ้า”
 
“หมายความเช่นไร! ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์พรากซอนอินไปจากข้า!” จีรยงชักกระบี่ออกจากฝักที่บั้นเอวขึ้นชี้จ่อไปยังคนเบื้องหน้า แก้วตากร้าวฉายแววคุกคามพร้อมสู้
 
ทว่าเพียงแค่อีกฝ่ายใช้สายตาจ้องมอง กระบี่เล่มนั้นก็หงิกงอราวกับถูกบิดด้วยมือที่มองไม่เห็นอย่างง่ายดาย
 
“ใช้กำลังคงเป็นเรื่องถนัดของเจ้าสินะ ชองจีรยง” บุรุษปริศนาเอ่ยดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง แม้น้ำเสียงจะยังคงเรียบเรื่อยชวนฟังไม่ต่างจากท้วงทำนองดนตรีไพเราะก็ตาม
 
“ต้องการสิ่งใด” เสียงทุ้มเอ่ยถามรอดไรฟันอย่างต้องการสะกดอารมณ์ไม่ให้โกรธไปมากกว่านี้ เขาโยนกระบี่ไร้ความหมายลงข้างตัว
 
“ไม่ต้องการสิ่งใด ...แค่คิมซอนอิน”
 
“เช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
 
บุรุษชุดขาวพ่นลมออกทางริมฝีปาก “คิดหรือว่าเจ้ามีโอกาสชนะ?”
 
“ข้าไม่สน แต่ถ้าเจ้าต้องการซอนอินล่ะก็ มีทางเดียวคือต้องข้ามศพข้าเท่านั้น!”
 
“มนุษย์ หนอ มนุษย์ ไยไม่รู้จักเจียมตัว” ชายผู้มีปีกสีขาวส่ายศีรษะเล็กน้อย ท่าทางอย่างนั้นยิ่งทำให้คนฟังไม่สบอารมณ์ จีรยงกัดฟันกรอดเมื่อคิดว่าทำไมตนต้องมาถูกดูหมิ่นจากคนอื่นเช่นนี้ด้วย
 
“ฟังข้าให้ดีชองจีรยง คิมซอนอินมิใช่คนของเจ้า สิทธิ์ของเจ้าที่มีต่อคิมซอนอินนั้นหามีไม่ เจ้าไม่มีความเหมาะสมในทุกประการต่อทูตสวรรค์คนสำคัญของเรา ...เทพชอนอา คือนามที่แท้จริงของคิมซอนอิน ทั้งก่อนหน้าและปัจจุบันที่ที่คนคนนี้ควรค่าดำรงอยู่คือแดนสวรรค์ หาใช่โลกมนุษย์ ความผิดทุกอย่างที่เทพชอนอาเคยก่อไว้ได้ถูกชดใช้หมดสิ้นแล้ว เวลานี้ข้าจึงมารับเขากลับไป ไม่ว่าเจ้าจะขัดขวางเช่นไรก็ไร้ประโยชน์”
 
คำบอกเล่านั้นทำให้มังกรหนุ่มรู้สึกว่าในหัวตื้อตัน
 
เทพชอนอา? ชดใช้ความผิด? ...เรื่องบ้าอะไรกัน! คิมซอนอินเป็นคนของเขา เป็นทุกอย่างของเขาเท่าที่ใจเขาต้องการ จะเป็นเทพหรือปีศาจก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ เพราะไม่ว่าอย่างไรคิมซอนอินก็คือคนที่เขาต้องการมากกว่าใคร
 
เทพชอนอาอะไรนั่น ...ใครจะยอมรับกัน!
 
“คนที่เจ้าอุ้มอยู่คือคิมซอนอิน เป็นคนของข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าจะพล่ามอะไร ...อึก!!”
 
พลันลำคอถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น แรงที่บีบรัดเข้ามานั้นมากพอที่จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ลมหายใจถูกลิดรอนมากขึ้นเรื่อยๆ
 
“อย่าปากกล้าให้มากนัก เจ้าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรองสิ่งใดได้” แก้วตาสีชาฉายแววกระด้างจ้องลึกเข้าไปในเนตรรัตติกาล ริมฝีปากบางฉาบรอยยิ้มดูแคลน “หึ จิตใจมนุษย์ช่างโลเลนัก คนที่คิดแค้นอาฆาตอยากได้ชีวิตคิมซอนอินก็คือเจ้ามิใช่หรือ แล้วเหตุใดเพลานี้ถึงต้องการคิมซอนอินเล่า?”
 
หากเป็นเมื่อครั้งแรกที่ได้ตัวคิมซอนอินมาไว้ในกำมือ คำพูดของฝ่ายนั้นก็ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย คราแรกก็เพราะการเมือง แต่กับเรื่องของฮีอูนั้นเองที่ทำให้เขาสติขาดจนอยากจะฆ่าซอนอินเสียเดี๋ยวนั้น ...แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะเกิดความต้องการในตัวของซอนอิน ก่อนที่ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนแปลงไป
 
จะด้วยความจริงจากเหตุผลใดก็ตามแต่ ตอนนี้ ณ เวลานี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือซอนอิน ...หัวใจของวิหคเพลิงที่มีเพื่อเขา หัวใจ...ที่เขาพร้อมจะยอมรับทั้งหมด
 
“ปฏิเสธคำพูดของข้าไม่ได้สิใช่ไหม?”
 
จีรยงสูดหายใจเข้าลึกทันทีเมื่อแรงรัดที่ลำคอคลายลง เขาจ้องสายตาตอบกลับอีกฝ่าย “ข้าไม่ปฏิเสธความจริงที่เจ้าพูด และข้าก็ไม่ปฏิเสธหัวใจของข้าที่ต้องการซอนอิน ...ตกลง ข้ายอมทุกอย่าง ต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะคืนซอนอินให้ข้า”
 
บุรุษหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสนใจ “ข้าคงพูดให้เจ้าฟังไม่เข้าใจ ข้าจะบอกอีกครั้ง คิมซอนอินเป็นคนของสวรรค์ ลิขิตชะตานี้ไม่มีผู้ใดฝืนได้ ทั้งคิมซอนอิน ทั้งเจ้า ทุกอย่างเป็นไปตามเส้นด้ายแห่งชีวิต”
 
“ไม่! ข้าไม่ยอมรับเรื่องไร้สาระเช่นนี้! ลิขิตสวรรค์อะไรกัน เกิดมาหนึ่งชีวิตย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง เจ้าคิดจะพาซอนอินไปจากข้า เจ้าได้ถามความต้องการของซอนอินหรือไม่!!”
 
ความรู้สึกลึกๆ ของจีรยงเริ่มเกิดความกังวล แน่นอนว่าให้สู้กันจริงๆ เขาไม่มีทางชนะคนตรงหน้าได้ แล้วยังเหตุผลไร้สาระแบบนั้น ...ใครจะยอมรับกัน!
 
“พูดอะไรผิดไปหรือเปล่าชองจีรยง เจ้าเองต่างหากที่เป็นคนแทงกระบี่ใส่คิมซอนอิน ในเมื่อเจ้าฆ่าคิมซอนอินแล้ว ก็อย่าได้ถามหาหัวใจของคิมซอนอินอีก”
 
“นั่นมัน....” เป็นเพราะปีศาจที่สิงร่างซอนอินไม่ใช่หรือไง เขาถึงต้องทำเช่นนั้น!!!
 
แก้วตาสีชาหรี่ลง เขามองท่าทางอึกอักของชายหนุ่มอย่างพิจารณา ก่อนเอ่ยต่อเรียบเรื่อย “ลิขิตสวรรค์ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เสียทีเดียว หากเจ้ายอมทำทุกอย่างจริงล่ะก็ ข้าอาจจะคืนคิมซอนอินให้เจ้า”
 
“ทุกอย่าง! ข้าทำได้ทุกอย่าง!!” จีรยงตอบแทบไม่ต้องคิด เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าความรู้สึกมากล้นที่เกิดขึ้นนี้มันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด รู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาจะปล่อยให้ซอนอินหลุดจากมือของเขาไปไม่ได้เด็ดขาด
 
“อย่างที่เจ้าว่ามา แม้ข้าจะไม่ได้ถามความต้องการของคิมซอนอิน แต่ข้าก็รู้ว่าใจจริงแล้วคิมซอนอินต้องการสิ่งใด การกลับไปเป็นเทพไม่อาจชักจูงหัวใจที่มีเพียงแต่เจ้าได้ เป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย และข้าก็ไม่พอใจที่เห็นคิมซอนอินถูกเจ้ารังแกอย่างร้ายกาจ แค่ถูกลงโทษให้ลงมาเกิดข้าก็ทุกข์ใจเกินจะทนอยู่แล้ว แต่เจ้าก็ยัง...”
 
คนพูดหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนใช้ดวงตาสีชาจ้องมองชายหนุ่มร่างสูง “ถ้าเจ้ายอมรับความเจ็บปวดจากการเกิดใหม่แทนคิมซอนอินได้ ข้าจะคืนเขาให้กับเจ้า”
 
“ข้าจะรับไว้ทั้งหมด” จีรยงตกปากรับคำในทันทีอย่างไม่ลังเล
 
“และเจ้าต้องสาบานต่อหน้าข้าด้วยคำสัตย์ ว่าน้องชายของข้าผู้นี้ จะมีเจ้าคอยดูแลปกป้องตราบชีวิตเจ้าจะหาไม่”
 
บุรุษปริศนาที่ยืนโต้คารมกันอยู่นานสองนาน ที่แท้ก็เป็นพี่ชายของซอนอิน! ไม่สิ เป็นพี่ชายของเทพชอนอาต่างหาก
 
จีรยงสลัดความคิดยืดเยื้อนั้นออกจากหัวแล้วรีบคุกเข่าลงทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งทาบลงตรงกลางอก
 
 
“ฟ้าดินเป็นพยาน ข้า ชองจีรยง สาบานว่าจะดูแลปกป้องคิมซอนอินจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความเจ็บปวดที่ก่อเกิดกับคิมซอนอินให้ตกลงที่ข้าแต่เพียงผู้เดียว!”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ห้องว่างห้องหนึ่งภายในตำหนักเอกของเชินอัน ร่างเล็กชาวต่างแคว้นได้แต่ลุกๆ นั่งๆ อยู่กับที่ร่วมหนึ่งชั่วยามเต็ม เรียวคิ้วบางขมวดมุ่นด้วยความกังวลจับใจ สายตาคอยเพ่งมองว่าเมื่อไหร่ม่านทางเข้าตรงหน้าจะเปิดออกเสียที
 
ยองจูบาดเจ็บสาหัสมานานหลายเดือนแล้ว ทำท่าว่าจะหายก็ได้แผลใหม่ขึ้นมาอีก ซ้ำยังถูกจับไปทรมานแสนสาหัส แม้ว่าคนผู้นี้จะเก่งกาจสักเพียงใด แต่ร่างกายก็บอบช้ำเกินกว่าจะฝืนไปได้มากกว่านี้ ตอนที่ได้เจอกับยองจูอีกครั้งหลังจากที่ต้องแยกจาก ฮีอูแสนเจ็บปวดหัวใจอย่างที่สุด เพียงแค่เห็น...ก็อยากจะแบ่งเบาความเจ็บมาที่ตนบ้าง
 
“คุณชายคิมฮีอู เชิญข้างในได้แล้ว” ผ้าม่านถูกแหวกเปิดกว้าง นักบวชท่านหนึ่งเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงเค้าของสีหน้ายินดีกับผลที่ได้
 
ฮีอูรีบก้มศีรษะให้ชายตรงหน้าทันที พูดขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปด้านในตัวห้อง
 
บนเตียงที่ตั้งติดชิดริมผนัง ร่างสูงของราชครูหนุ่มกำลังนั่งจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง ปลายเชือกที่ใช้มัดเส้นที่สองยังไม่ทันจะผูกเป็นปม ร่างเล็กก็ถลาเข้ากอดจนพากันเอนล้มลงไปกับที่นอน
 
“ยองจู! ยองจู! ฮึก ท่านหายแล้ว!! ท่านหายแล้ว!!!”
 
ริมฝีปากของคนถูกสวมกอดวาดรอยยิ้มกว้าง สองแขนโอบกอดร่างเล็กนุ่มไว้หลวมๆ พลางกดปลายจมูกลงกลางกลุ่มผมหอมกรุ่น
 
“ทำไมเจ้ายังดูซีดเซียวเช่นนี้เล่า” เสียงทุ้มเอ่ยติร่างเล็ก ที่ถึงจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แต่สีหน้าก็ยังไม่สดชื่นเท่าที่เขาหวังไว้
 
ฮีอูซุกใบหน้าลงกับไหล่กว้าง “เราเป็นห่วงท่านจนนอนไม่หลับ จะทานอะไรก็ทานไม่ลง ฮึก ยองจู ต่อจากนี้อย่าห่างจากเราอีกเลยนะ อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยได้ไหม”
 
ฝ่ามือใหญ่ลูบผมเส้นเล็กเบาๆ “ข้าจะไปไหนได้ ตัวข้ายังจะไปที่ใดได้อีก ในเมื่อหัวใจของข้าติดอยู่กับเจ้าเช่นนี้”
 
“ยองจู ฮึก ฮืออออ” ดวงหน้าหวานที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเม็ดใสเงยขึ้นสบสายตาคนพูด ริมฝีปากเล็กขยับเอื้อนเอ่ยยากลำบากเมื่อเสียงสะอื้นคอยแต่จะขัดจังหวะ “เรา ฮึก เรารักท่าน รักท่าน รักท่าน ปาร์คยองจู!!”
 
“ข้าก็รักเจ้า คิมฮีอู” ยองจูประคองสองข้างแก้มชื้นให้ก้มลงมาใกล้ เขาทาบทับแนบจูบริมฝีปากเล็กอย่างอ่อยอิง สัมผัสอย่างนุ่มนวลทะนุถนอม ลิ้มรสความหอมหวานจากปากเล็กเชื่องช้าราวกับไร้ห้วงกาลเวลา
 
วงแขนเล็กคล้องกอดไหล่กว้างกระชับแน่น ตอบรับจูบแสนหวานลึกล้ำชวนให้เกิดความรู้สึกวาบหวาม ความสุขมากมายเอ่อล้นอยู่ในอก ก่อนจะแตกกระจายเป็นอณูเล็กๆ ที่วิ่งพล่านไปทั่วทั้งกาย
 
...รัก รักมากเหลือเกิน...
 
ยองจูเช็ดน้ำตาให้คนบนตัวเมื่อพวกเขาผละจูบออกจากกันได้ในที่สุด
 
ฮีอูปล่อยให้ปลายนิ้วหยาบลูบไล้ใบหน้า ขณะที่ตนสำรวจร่างกายของชายคนรัก มือเล็กจัดการปลดเชือกเส้นบนของเสื้อออกเพื่อดูให้แน่ใจกับตาว่าตามร่างกายของยองจูไม่มีร่องรอยบาดแผลแล้วจริงๆ
 
ฝ่ามือเล็กลูบคลำไปตามผิวกายแกร่ง ทั้งรอยถูกแทง รอยช้ำเลือด แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ ก็ไม่มีให้เห็น ครั้นเลื่อนสายตาขึ้นสบดวงตาคมเข้ม ก็ปรากฏเพียงแก้วตาสีน้ำตาลเข้มตอบกลับมา ไม่มีเค้าแววตาสีแดงให้เห็น ทุกอย่างนี้คงบอกได้แล้วว่ายองจูหายเป็นปกติ ชายหนุ่มสามารถควบคุมพลังธาตุในกายได้เหมือนเดิมแล้ว
 
ฮีอูขยับลุกจากตัวของคนรักไปนั่งปุลงข้างๆ ปล่อยให้ยองจูจัดการใส่เสื้อผ้าของตนเองไปจนเสร็จ
 
“เป็นอะไร หืม?” ราชครูปาร์คเลิกคิ้วถาม เขาขยับใบหน้าเข้าไปใกล้คนที่นั่งทำแก้มพองลม
 
คนตัวเล็กก้มหน้างุด “ท่านคงรู้สึกแย่สิใช่ไหมที่เราเป็นคนดูแลท่านก่อนหน้านี้ การรักษาของเราเทียบกับคนของท่านไม่ได้เลยสักนิดเดียว ท่านคงรู้สึกเสียเวลามากเลยล่ะสินะ”
 
ที่แท้ก็น้อยใจหรอกหรือนี่
 
ยองจูจับร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งบนตัก เขาโอบวงแขนกอดร่างของฮีอูเอาไว้ให้เอนพิงแนบอก
 
“การรักษาของเจ้าเอามาเทียบกับนักบวชชินซองไม่ได้หรอก เจ้าก็รู้ว่าเราใช้วรยุทธต้านวรยุทธ การรักษาก็ต้องใช้วรยุทธเช่นกัน แต่ถ้าตอนนั้นเจ้าไม่พาตัวข้าไปรักษา คิดว่าตอนนี้ข้าคงขึ้นสวรรค์ ไม่ก็ลงนรกไปแล้ว”
 
ร่างสูงเลื่อนมือลงกอบกุมมือเล็กทั้งสองข้าง “ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเจ้าไม่ไร้ค่าแม้แต่น้อย ...คิมฮีอู ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้านะ ชีวิตของข้าเป็นของเจ้าฮีอู”
 
มือเล็กกระชับตอบมือใหญ่ “เราก็อยากให้ท่านรู้ว่า ชีวิตของเราก็เป็นของท่านเหมือนกัน”
 
ดวงหน้าหวานหันมองคนรัก “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านสัญญากับเรานะ ว่าจะไม่ผลักไสเราไปไหน ต่อให้ต้องเจ็บปวดเสียใจก็จะไม่ห่างจากเราไปอีก ...นะยองจู”
 
สายตาที่สบประสานมีความหมายมากเกินพอจะเอื้อนเอ่ย ยองจูก้มลงจูบริมฝีปากเล็กนั้นอีกครั้งหนึ่งราวกับต้องการจะตีตราทำสัญญาระหว่างกัน
 
 
 
“ยองจู ท่านจะไปไหนน่ะ?” เมื่อคนทั้งสองดื่มยาสมุนไพรบำรุงร่างกายเรียบร้อยแล้ว เสียงเล็กก็เอ่ยถามคนที่เพิ่งหายบาดเจ็บที่ลุกขึ้นจากเตียง
 
“ผ่านมาหนึ่งวันเต็มแล้ว ข้าจะไปดูวังชอนซา”
 
“เราไปด้วย”
 
ยองจูและฮีอูพักอยู่ที่ห้องทางปีกซ้ายของตำหนักเอก ดังนั้นไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงทางเข้าห้องกลางขนาดใหญ่ที่ผู้เฒ่าลีซางใช้ในการประกอบพิธีกรรมปลุกองค์วังชอนซาให้ฟื้นคืน
 
 
“อ๊าคคคคคคคคคคคคคค!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
 
 
เสียงทุ้มหนักดังแผดลั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮีอูยึดชายแขนเสื้อของคนรักแล้วสบสายตาเป็นเชิงถาม ทว่ากลับยังไม่ได้รับคำตอบ คนข้างตัวก็รีบหุนหันวิ่งเข้าไปในห้องเสียก่อน
 
ฮีอูรีบวิ่งตามเข้าไป และภาพที่เห็นก็ทำให้ร่างเล็กมึนงงสับสน


(ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 26] 19/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 19-09-2016 12:52:58

 

เรื่องราวขององค์วังชอนซาฮีอูรับรู้หมดแล้วจากการบอกเล่าของคนรอบตัว เขารู้ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทชองจีรยงกำลังอยู่ในช่วงเฝ้าอาการขององค์วังชอนซาอย่างใกล้ชิด การประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าลีซางจะต้องอันเชิญเทพยดาลงมาเพื่อจุติชุบชีวิตขององค์วังชอนซาอีกครั้ง
 
มันก็น่าจะแค่นั้น แล้วเหตุใด ทุกคนถึงไปรุมล้อมอยู่รอบเตียงอีกหลังหนึ่งที่มีองค์ชายจีรยงนอนอาละวาดอยู่เล่า?!
 
“จับมัดขาไว้!” เสียงของนักบวชคนหนึ่งตะโกนสั่งเมื่อเห็นว่าแรงดิ้นของชายหนุ่มนั้นมีมากจนน่ากลัวว่าจะทำให้เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บ
 
ความโกลาหนวุ่นวาย บวกกับกลิ่นธูปที่ตีตลบอบอวลทำให้ร่างเล็กที่ยังอ่อนเพลียรู้สึกหน้ามืด ทำท่าว่าจะเซจนยืนไม่ไหว ร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้กันจึงรวบเอวไว้ให้พิงกายกัน
 
“จะออกไปก่อนหรือเปล่าฮีอู?”
 
ดูเหมือนว่าตอนนี้คนกว่าสิบคนภายในห้องจะไม่ทันสังเกตเห็นผู้มาใหม่ทั้งสอง เพราะความวุ่นวายนั้นดูเร่งรีบจนพาให้ไม่สนใจสิ่งอื่น
 
ศีรษะเล็กส่ายไปมา “ทำไมองค์ชายจีรยงถึงเป็นอย่างนั้น”
 
แววตาคมจ้องมองชายหนุ่มร่างสูงผู้มีสายเลือดนักรบแดนมังกรอย่างยอมรับในความจริงใจที่มีต่อคิมซอนอิน “องค์ชายของเจ้ากำลังรับความเจ็บปวดที่ก่อเกิดจากการฟื้นคืนชีวิตแทนวังชอนซา”
 
“รับความเจ็บปวดแทน?”
 
“ใช่ ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ต้องแลกกับหัวใจที่แหลกสลาย เพื่อการกลับคืนของเถ้ากระดูกและเลือดเนื้อทั้งหมดอีกครั้ง ...การเกิดใหม่ครั้งที่สองของวังชอนซา”
 
“แต่ร่างกายของวังชอนซายังอยู่ครบไม่ใช่หรือ?” ฮีอูถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
 
ยองจูยังคงจ้องมองร่างสูงที่อาละวาดอยู่บนเตียงขณะตอบ “แม้ร่างกายจะยังอยู่ แต่ความรู้สึกที่เกิดกับร่างกายนั้นคือการแลกเปลี่ยนของการมีชีวิตใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะได้มีชีวิตครั้งที่สอง สิ่งที่ต้องแลกมาคือความทรมานทางร่างกายอย่างแสนสาหัส ..ราวกับเนื้อถูกแล่ออกเป็นชิ้นๆ ฉีกกระชากไปทุกส่วนของร่างกาย ความทรมานที่เกิดขึ้นนี้แม้ไม่เห็นได้ด้วยตา แต่คนที่รับความเจ็บปวดนั้นสัมผัสได้ทุกความรู้สึก”
 
ทั้งก้อนเนื้อหัวใจที่ถูกปลายกระบี่เสียบแทง ทั้งการฟื้นคืนของกระดูกทุกตารางนิ้ว ทั้งเลือดเนื้อที่ก่อเกิดเริ่มสร้างขึ้นใหม่ ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ชองจีรยงได้รับนั้นแลกมาด้วยการตื่นขึ้นอีกครั้งของคิมซอนอิน
 
หากไม่เป็นคนที่รักอย่างสุดใจ หากไม่ใช่คนสำคัญมากกว่าชีวิตของตนเอง การรับผลกรรมเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ และตอนนี้ ชองจีรยงก็ทำให้เขาเห็นแล้วว่าฝ่ายนั้นให้ความสำคัญกับลูกศิษย์ของเขามากเพียงไร
 
ซอนอิน ต่อจากนี้ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะได้รับความสุขเหมือนคนอื่นๆ...
 
 
ความกดดันภายในห้องนั้นดำเนินต่อไปราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด ฮีอูทนยืนมองได้ไม่นานก็ต้องซบหน้าลงกับอกของยองจู สีหน้าขององค์ชายจีรยงทั้งดูบิดเบี้ยว ทั้งดูเจ็บปวด เสียงทุ้มที่ร้องไม่หยุดยิ่งสร้างความปวดใจให้ร่างเล็กมากขึ้นเรื่อยๆ
 
ตอนนี้องค์ชายจีรยงกำลังรู้สึกยังไงนะ ร่างกายคงจะเจ็บไปหมดทุกส่วน คงเหมือนว่าร่างกายกำลังถูกฉีกทึ้งทั้งเป็นไม่หยุด ทรมาน... แค่คิดก็ทรมานเหลือเกิน หากเป็นเขาคงทนแบบนี้ไม่ได้แน่
 
ฮีอูละใบหน้าออกจากอกของยองจูแล้วมองไปยังเตียงอีกฝั่งหนึ่งที่มีร่างบอบบางขององค์วังชอนซานอนแน่นิ่ง โดยมีผู้เฒ่าลีซางยืนสวดทำพิธีอยู่ที่ปลายเตียงไม่หยุดพัก
 
น่าเหลือเชื่อนัก องค์ชายชองจีรยงคนนั้น ยอมทำถึงเพียงนี้เพื่อช่วงชิงชีวิตของใครคนหนึ่งกลับมา หากเป็นเมื่อก่อน ชายผู้มีใจแกร่งดั่งหินผาที่แสนเย็นชาผู้นี้ คงไม่มีทางทำอะไรเช่นนี้แน่ ...ในที่สุด องค์ชายจีรยงก็ได้พบกับคนของพระองค์ที่แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีเหลือเกิน
 
 
เข้ายามสิบ เสียงทุ้มที่ดังก้องอย่างเจ็บปวดมาร่วมสองชั่วยามก็ได้เงียบสงบลง ชองจีรยงหมดสติทันทีเมื่อความทรมานนั้นสิ้นสุด ตามร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬผุดพรายราวกับใครเอาถังน้ำมาสาดใส่
 
ฮีอูรีบเข้าไปช่วยดูแลเรื่องการเช็ดตัวให้กับจีรยงพร้อมกับโทซองและกึมซองที่รอปรนนิบัติถวายอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่แรก ยองจูปลีกตัวออกมาที่เตียงของวังชอนซา
 
“บาดแผลหายไปหมดแล้ว ชีพจรก็เต้นอีกครั้ง” ราชครูปาร์คใช้สองนิ้วทาบข้อมือขาวเพื่อวัดชีพจรหลังจากที่เปิดอาภรณ์ช่วงบนออกเพื่อดูบาดแผลบนเนินอกเนียนละเอียด
 
“คิดว่าคงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เหลือเพียงรอให้วังชอนซาฟื้นขึ้นมา” ชายชรามีสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ยองจูประคองผู้เฒ่าลีซางลงนั่งที่เก้าอี้
 
“ต่อจากนี้ให้ข้าดูแลเองเถอะ ท่านควรจะพักผ่อนเสีย”
 
มือหยาบย่นกร้านโลกโบกไปมาในอากาศ “ช่างเถิด ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เฮ้อ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่อยากจะเชื่อ คำทำนายทั้งหมดนั่นเป็นความจริงทุกประการไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยเลย ไม่รู้ว่าอีกกี่สิบกี่ร้อยปี ที่วังชอนซาองค์ต่อไปจะได้รับเลือกให้เป็นร่างที่รองรับเทพสวรรค์ที่ทำผิดกฎอีก”
 
“จะกี่สิบกี่ร้อยปี ถึงตอนนั้นชินซองก็ยังคงดำรงอยู่ด้วยประสงค์ของสวรรค์”
 
“นั่นสินะ...”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
สองวันหลังจากที่พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ผ่านพ้นไป แผงขนตาดำยาวก็ได้ขยับเคลื่อนไหวเชื่องช้า ท่ามกลางสายตาของคนกลุ่มหนึ่งที่รอคอยอย่างคาดหวัง ไม่นานนักแก้วตาคู่สวยที่หลับใหลมานานก็ได้เผยให้เห็นถึงประกายสดใสอีกครั้ง
 
ทว่าทันทีที่ลืมตาขึ้น หยดน้ำตาเม็ดใสก็ได้ไหลรินลงจากหางตาทั้งสองข้าง ก่อนที่แก้วตาคู่นั้นจะเอ่อคลอด้วยม่านน้ำตาจนท่วมท้น
 
แผงขนตาสีดำถูกเม็ดน้ำเกาะเป็นประกายระยิบ ริมฝีปากบางเฉียบเม้มแน่นจนขึ้นสีจัด ปลายจมูกโด่งรั้นระเรื่อสีแดงเข้ม ผิวหน้าขาวนวลสูบฉีดด้วยเลือดฝาดทั้งสองข้างแก้ม
 
เป็นความสวยงามบนความปวดร้าวที่ยากเกินจะห้ามใจไม่ให้ชื่นชมไม่ได้ นั่นเป็นความคิดของทุกคนในที่แห่งนี้ คิมซอนอินเป็นบุรุษที่งดงามหาใดเปรียบ แม้กระทั่งยามที่มีน้ำตาเช่นนี้...ก็ยังคงงดงามยิ่งกว่าผู้ใด
 
จีรยงทรุดตัวลงนั่งที่ข้างเตียง การเคลื่อนไหวของเขาเรียกสายตาของคนที่นอนลืมตาเหม่อลอยให้หันมองสบ และเมื่อใบหน้าที่แสนคุ้นเคยได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว ร่างบอบบางที่ยังไร้เรี่ยวแรงก็รีบขยับลุกโถมกายเข้าหาอ้อมกอดที่ผายออกรอรับในทันที ท่อนแขนเล็กสวมกอดกายชายคนรักแนบแน่น ฝังใบหน้าแห่งความเศร้าโศกลงกับอกกว้างที่แสนอบอุ่น
 
“ฮึก เสด็จพ่อ... ข้าฆ่าเสด็จพ่อ!!!! ฮึก ฮือ!!!”
 
เรียวคิ้วเข้มกดลงต่ำ สองแขนตระกองกอดคนที่กำลังอ่อนแออย่างที่สุด ไหล่บอบบางสั่นสะท้านจนทำให้ใจของชายหนุ่มรู้สึกปวดร้าวเหลือแสน ความเสียใจเหล่านี้ เป็นไปได้เขาก็อยากจะรับไว้เอง
 
แต่เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ในตอนนี้ซอนอินได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ความรู้สึกของซอนอินแม้จะสื่อมาถึงเขาได้ราวกับเป็นฝาแฝด แต่เขาก็ไม่อาจบรรเทาความเสียใจเหล่านั้นให้กับซอนอินได้เลย
 
น่าเจ็บใจนัก ที่ทำได้ดีที่สุดก็เพียงแค่โอบกอดปลอบโยนอยู่เช่นนี้
 
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นค่อยๆ จางหายไปตอนที่คนอื่นๆ ที่เหลือพากันเดินออกมาและปิดบานประตูให้คนสองคนภายในห้องนั้นได้อยู่กันตามลำพัง
 
“องค์วังชอนซาทรงฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว ต่อจากนี้จะทำเช่นไรต่อไป ท่านผู้เฒ่าลีซาง ...ตำแหน่งวังชอนซา ยังเป็นขององค์ชายคิมซอนอินอยู่หรือไม่?” นักบวชชั้นผู้ใหญ่เอ่ยถามบุคคลที่เป็นผู้นำอย่างสงสัย
 
“พระอนุชาขององค์ชายคิมซอนอินยังเด็กเกินไปที่จะรับตำแหน่งนี้ คนอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ข้ายังไม่เห็นว่ามีผู้ใดเหมาะสม”
 
“แล้วเชินอันล่ะจะทำเช่นไร หากองค์ชายไม่ทรงขึ้นครองราชย์ แล้วยังจะมีผู้ใดเล่า?”
 
“เชินอันล่มสลายแล้ว ไยต้องมีกษัตริย์ปกครอง” โทซองเอ่ยขัดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “กองทัพของเรายังอยู่พร้อม หากคนของท่านยังคิดสู้ก็ไม่ขัด”
 
“ใช่ ฝ่าบาทของเราก็พร้อมจะสู้รบอีกครั้งได้ในทันทีด้วย” กึมซองรีบสนับสนุนคำพูดของพี่ชาย ถึงอย่างไรแล้ว ใจของเด็กหนุ่มทั้งสองก็ยังคงจงรักภักดีต่อฮานึลอย่างหาที่สุดไม่ได้
 
“ใจเย็นๆ ก่อน พวกเจ้าจะมาเป็นปฏิปักษ์ต่อกันทำไม ...ยูโทซอง ยูกึมซอง พวกเจ้าสองคนก็มีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นชินซอง อย่ามุ่งคิดร้ายนักเลย” ลีซางถอนหายใจยาว เขาพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ “ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี กาลอวสานต้องมาเยือนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ไม่มีเชินอัน แต่ชินซองก็ยังคงอยู่ องค์รัชทายาทชองจีรยงเองก็รับปากกับข้าแล้วว่าจะปกครองแคว้นแห่งนี้อย่างเต็มความสามารถ อีกอย่าง การจะฟื้นระบบเชื้อสายพระวงศ์ที่เหลืออยู่ของเชินอันในตอนนี้ เห็นทีคงจะยากนัก”
 
ปีศาจตนนั้นฆ่าคนไม่เว้นราวกับเห็นเป็นผักปลา สายเลือดเชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่เห็นจะมีก็แต่โอรสทั้งสองพระองค์ขององค์ราชินีซองอึนเท่านั้นกระมัง
 
ยังไม่นับเรื่องบ้านเมืองที่ถูกเพลิงกัลป์เผาผลาญทำลายจนประเมินค่าความเสียหายไม่ได้นั่นอีก ชาวบ้านล้มตายก็นับไม่ถ้วน บ้านเมืองเสียหายชำรุดขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะฟื้นตัวเองขึ้นมาได้ง่ายแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ต้องจำยอมสวามิภักดิ์ต่อผู้ปกครองคนใหม่ ชองจีรยง เท่านั้นเอง
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ซอนอินร้องไห้จนสลบไปอีกครั้งในอ้อมกอดของจีรยง
 
กลางดึกในคืนนั้น ความอบอุ่นจากกายที่ได้สวมกอดกันกลับว่างเปล่า จีรยงเปิดเปลือกตาขึ้นในทันทีท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้อง ตะเกียงข้างเตียงถูกจับยกขึ้นเพื่อส่องหาคนร่างบางที่หวังว่าจะอยู่ไม่ห่างกายมากนัก หากแต่ก็ยังไม่มีแม้เงาของคนที่นึกห่วงสุดใจ
 
เมื่อหัวค่ำก็เพิ่งจะฟื้นตื่นขึ้นมา แล้วยังร้องไห้จนสลบไปอีก ร่างกายอ่อนเพลียขนาดนั้นยังจะมีแรงเดินไปไหนอีก!
 
จีรยงคว้าเสื้อตัวนอกขึ้นสวมรวดเร็ว ก่อนจะเอื้อมจับกระบี่ด้วยความคุ้นเคย ทว่าคราวนี้กระบี่ในมือกลับเบากว่าที่เคยเมื่อมีเพียงแต่ฝักที่เหลืออยู่
 
แน่นอนว่ากระบี่ที่ใช้จ่อเทพสวรรค์ในตอนนั้นเป็นแค่ภาพมายาของความฝัน กระบี่ของเขายังคงสภาพอยู่ดีจนถึงเมื่อตอนที่เขาวางมันก่อนหน้านี้
 
ทันความคิด ร่างสูงสง่าก็รีบผลุนผลันวิ่งออกจากตำหนักไปอย่างรวดเร็ว
 
 
อากาศเย็นเฉียบของค่ำคืนตัดผ่านผิวเนื้อให้รู้สึกหนาวเยือก ริมฝีปากหยักหนาพ่นไอร้อนออกมาขณะที่วิ่งไปยังท้องพระโรงของวังหลวงเชินอัน
 
เหนื่อยจนเหมือนร่างกายจะฉีกขาด ความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อสองวันก่อนยังหลงเหลือให้รู้สึกสะท้านไปทั้งร่างกาย เรี่ยวแรงยังไม่อาจฟื้นคืนได้เต็มที่ แต่จีรยงก็ยังไม่หยุดฝีเท้า เขาผลักบานประตูขนาดใหญ่ที่ห่างไกลจากสภาพเดิมออกให้พ้นทาง
 
ตรงกลางของห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีแต่ซากศพและกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง ร่างบางในอาภรณ์ขาวยืนเด่นอยู่ที่สุดปลายสายตา ในมือเล็กๆ นั้นกำกระบี่ของเขาเอาไว้ด้วย
 
หัวใจของมังกรหนุ่มดิ่งวูบกับการกระทำของคนตรงหน้า
 
 
เคร้ง!
 
 
“ทำบ้าอะไรของเจ้า!” เมื่อเข้าประชิดตัวได้ จีรยงก็รีบปัดกระบี่ออกให้พ้นท่อนแขนขาวที่มีเลือดสีแดงสดไหลอาบอย่างน่ากลัว เขาสบถอีกหลายคำขณะที่ฉีกเสื้อผ้าของตนมามัดปิดปากแผลให้อย่างร้อนรน
 
“อย่าได้คิดทำเช่นนี้อีกนะ! คิดว่าข้าทำทุกอย่างนี้เพื่ออะไรกัน!! ชีวิตของเจ้าจะเอามาทิ้งง่ายๆ ได้ที่ไหน!!!”
 
ซอนอินไม่ได้ตอบโต้คำพูดที่ตะโกนก้องอยู่ข้างหู สายตาที่มีแต่ม่านน้ำใสบดบังมองเห็นแต่เพียงร่างกายของพระบิดาที่นอนไร้วิญญาณอยู่ตรงหน้าเท่านั้น แม้แต่แรงยืนก็ไม่เหลือแล้วหากไม่มีมือของจีรยงคอยจับประคองไว้
 
สภาพของซอนอินในตอนนี้จีรยงเข้าใจดี แต่ก็ยังอดเคืองในการกระทำงี่เง่าไร้ความคิดนี้ไม่ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์โกรธแล้วจับศีรษะเล็กให้เอนพิงอก ฝ่ามือใหญ่ลูบเบาๆ ที่ข้างแก้มชื้น
 
“เจ้าจะร้องไห้อีกสักเท่าไหร่ข้าไม่ห้ามแล้ว แต่ข้าขอได้ไหม อย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้อีก”
 
“ข้าไม่อยากอยู่แล้ว” เสียงหวานแหบพร่าสั่นเครือ “...จีรยง ข้าไม่อยากมีชีวิตอีกแล้ว”  หยดน้ำตาร่วงหล่นกระทบผิวแก้มราวหยดน้ำฝน
 
จีรยงประคองไหล่เล็กให้คุกเข่าลงนั่ง ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้พ้นดวงหน้าสวยอย่างเบามือ ก่อนเชยปลายคางมนบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบสายตา
 
“ชีวิตที่เจ้าไม่ต้องการ ก็ยกมันให้ข้าเสีย ทั้งปัจจุบันและอนาคต มอบมันให้กับข้า คิมซอนอิน”
 
ริมฝีปากอุ่นนาบจูบเข้าหาราวเป็นพยานแลกเปลี่ยนข้อตกลงที่ไม่เปิดโอกาสให้อีกคนได้ปฏิเสธ จูบนุ่มนวลหอมหวานลึกล้ำมีแต่จะทำให้ใจของซอนอินยอมรับไปอย่างไร้หนทางหลีกหนี
 
ความเป็นจริงที่เห็นอยู่ตำตา เพียงสิ่งเดียวที่ซอนอินไม่อาจตัดทิ้งได้ ก็คือชองจีรยงผู้นี้
 
หากไม่มีจีรยง ชีวิตนี้คงไม่มีค่าพอที่จะดำรงอยู่เป็นแน่
 
แค่ชองจีรยง...
 
“ฮึ อืม...อือออ” เรียวลิ้นเล็กตอบสนองช้ากว่าปกติด้วยสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่บอบช้ำ ทว่าก็ยังคงสร้างความพึงพอใจในทุกจูบที่มีให้กันระหว่างคนทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง
 
จูบหวานล้ำลึกซึ้งสิ้นสุดลงในที่สุด
 
ริมฝีปากแดงบวมเจ่อเล็กน้อย ซอนอินช้อนสายตาฉ่ำน้ำขึ้นสบสายเนตรรัตติกาล มือข้างที่ไม่ถูกบาดยื่นขึ้นทาบลงกับผิวแก้มของคนที่รักสุดหัวใจเพียงหนึ่งเดียว
 
“หากวันใดที่ข้าไม่มีเจ้า ข้าจะทำเช่นนี้อีก”
 
จีรยงจับมือเล็กผอมบางข้างนั้นเลื่อนต่ำลงมายังตำแหน่งของริมฝีปาก เขานาบจูบเบาๆ ลงบนเรียวนิ้วข้างนั้น พร้อมสบสายตาจ้องลึกลงไปในแก้วตาคู่สวยตรงหน้า
 
 
 
“จะไม่มีวันใด ที่เจ้าไม่มีข้า”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 26] 19/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-09-2016 13:30:04
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 26] 19/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 19-09-2016 17:23:42
จีรยงกลายเป็นอีกคนไปเลยอ่ะ ดีจัง
แต่คู่ราชครูน่ารักมากกกกกกกก
 :mew3:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 27] 20/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 20-09-2016 19:56:57
 

บทที่ 27
 

 
ประวัติศาสตร์หน้าสุดท้ายของเชินอันถูกจารึกไว้ในวันประกาศพ่ายสงครามต่อฮานึล เหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งเภทภัยธรรมชาติและการยกทัพทำศึกยุติลงในเจ็ดวันให้หลัง โดยมีราชินีซองอึนเป็นตัวแทนของเชินอันในการกล่าวคำสัตย์สวามิภักดิ์ต่อฮานึลนับแต่นี้เป็นต้นไป
 
หากแต่เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านั้น ทันทีที่ไพร่ฟ้าประชาชนของเชินอันรับรู้ถึงชะตากรรมที่ต้องถูกผลัดเปลี่ยนผู้ปกครองแคว้นต่างพากันแสดงท่าทีต่อต้าน เหตุอันเนื่องมาจากความต้องการขององค์รัชทายาทชองจีรยงที่ว่า คิมซอนอิน หรือ องค์วังชอนซาองค์ปัจจุบัน จะต้องย้ายเข้าวังหลวงของฮานึลอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ประกอบศาสนพิธีของชินซองจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในเขตแคว้นของฮานึลใกล้กับวังหลวง ด้วยเพราะแต่เดิมจิตใจของประชากรนั้นแสนบอบช้ำต่อสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลาย รวมถึงการที่แคว้นต้องพ่ายแพ้ต่อศึกสงคราม ความต้องการขององค์รัชทายาทชองจีรยงข้อนี้จึงกระทบจิตใจของชาวเมืองเชินอันเป็นอย่างมาก ราวกับว่าพวกเขาถูกช่วงชิงผู้เป็นที่พึ่งทางใจและความหวังเพียงหนึ่งเดียวไปต่อหน้าต่อตา
 
แต่ไหนแต่ไรมา วังชอนซา เป็นผู้ที่ชาวบ้านเคารพนับถือเสียยิ่งกว่าองค์กษัตริย์หรือราชนิกูลองค์ใด ตำแหน่งที่เป็นถึงตัวแทนเทพเจ้าทงซก นั้นให้ความหมายของฐานะที่สูงส่งกว่าคนสามัญทั่วไป แม้แต่ผู้ปกครองแคว้นก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านจะให้ความสำคัญต่อองค์วังชอนซามากถึงเพียงนี้
 
การประท้วงต่อต้านของชาวบ้านนับว่าสร้างปัญหาไม่น้อยเลยทีเดียว ขบวนศึกของฮานึลไม่อาจใช้เส้นทางปกติในการเดินทางกลับได้ เนื่องจากมีกลุ่มคนขวางเส้นทางอย่างไม่คิดถอย รวมถึงคำสั่งของท่านแม่ทัพที่เจ็ดที่ว่าห้ามผู้ใดแตะต้องทำร้ายประชากรของเชินอันแม้แต่ปลายเล็บ จึงทำให้ต้องเลี่ยงเส้นทางอย่างช่วยไม่ได้
 
เช่นเดียวกับที่ประตูวังหลวง ชาวบ้านนับร้อยนับพันต่างพากันปิดทางเข้าออกเพื่อกันไม่ให้ผู้ใดก็ตามพาองค์วังชอนซาออกไปได้ ชาวบ้านเหล่านี้ต่างคุกเข่าอ้อนวอนข้ามวันข้ามคืนถึงสามวัน จนในที่สุดองค์ราชินีต้องออกมากล่าวชี้แจงต่อหน้าประชาชนด้วยองค์เอง
 
พระนางลำบากใจไม่น้อยกับสิ่งที่ต้องเอ่ยบอกกับไพร่ฟ้าถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วที่เมื่อไหร่ก็ตามบ้านเมืองถูกช่วงชิง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมตกอยู่ในกำมือของผู้ชนะ ไม่เว้นแม้แต่เศษเถ้าธุลีเพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าชินซองจะเป็นเพียงชนเผ่าที่อยู่อย่างสันโดษเพียงลำพัง แต่พื้นที่อาณาเขตก็อยู่บนผืนดินของเชินอัน ความเป็นจริงนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ยังนับว่าดีด้วยซ้ำ ที่ฮานึลไม่คิดควบคุมความเป็นอยู่ของชินซอง ทุกอย่างของชินซองยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีการรุกราน ไม่มีการบังคับให้แตกศาสนาความเชื่อเดิมที่ศรัทธา ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือตัวของวังชอนซาที่ต้องย้ายไปยังวังหลวงฮานึล
 
หากจะพูดให้ถูก ยกเว้น คิมซอนอิน เท่านั้นที่ต้องย้ายไปอยู่กับชองจีรยง
 
เพราะความจริงแล้วจีรยงไม่ได้ต้องการผู้ที่เป็นวังชอนซา แต่ต้องการคิมซอนอินต่างหาก ต่อจากนี้ใครจะรับตำแหน่งวังชอนซาชายหนุ่มก็ไม่สนใจทั้งนั้น ใจจริงแล้วชายหนุ่มอยากจะให้ซอนอินเป็นเพียง ‘คิมซอนอิน’ เท่านั้นด้วยซ้ำ แต่เพราะยังไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะรับตำแหน่งนี้ต่อจากซอนอิน เขาถึงได้จำยอมให้ร่างบางเป็นวังชอนซาต่อไปเช่นนี้
 
ราชินีซองอึนเอ่ยบอกถึงสถานะที่เปลี่ยนไปของแคว้นเชินอัน พระนางกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนกับไพร่ฟ้าว่าถึงแม้แคว้นนี้จะถูกช่วงชิงไปแล้ว แต่พระนางรับรองว่าชาวบ้านจะได้รับการดูแลไม่ต่างจากเดิม ฮานึลเป็นแคว้นใหญ่ที่มีศักยภาพการปกครองที่ดีมาก และการที่วังชอนซาต้องย้ายไปก็เพื่อเป็นหลักฐานการแสดงตนว่าเชินอันยอมอยู่ภายใต้อำนาจของฮานึลอย่างแท้จริง เพื่อสร้างสัมพันธภาพและสานต่อความสัมพันธ์ของสองแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียว การเสียสละครั้งนี้แลกมาด้วยความสงบสุขภายในแคว้น ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น
 
เมื่อพระนางเอ่ยชี้แจ้งเรื่องราวให้ได้เข้าใจแล้ว ชาวบ้านที่นิ่งฟังต่างก็หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ วันนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง พวกเขาถึงยังทำใจไม่ได้ หากแต่ในอนาคต รุ่นลูกรุ่นหลานก็จะไม่มีการแบ่งแยกประชากรของแคว้นใหญ่ทั้งสองแคว้นอีกต่อไป ศึกสงครามในดินแดนตะวันออกแห่งนี้ก็จะหมดไปด้วย ปณิธานของชองจีรยง แม้แต่ชาวเชินอันเองก็รู้ดีว่าคนผู้นี้นั้นต้องการรวมแคว้นในทิศตะวันออกให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันแคว้นใหญ่จากทิศต่างๆ ที่รายล้อม ถึงจะขัดใจกับการโยกย้ายผู้ที่ตนศรัทธาไปยังสถานที่ห่างไกล แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ อย่างที่องค์ราชินี่ตรัสบอก ว่าถึงอย่างไรแล้วก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้นเอง
 
กลุ่มชาวบ้านที่ยืนประท้วงมาสามวันยอมล่าถอยกลับแต่โดยดีหลังจากที่ราชินีซองอึนได้แถลงชี้แจงด้วยองค์เอง หลังจากนั้นอีกสองวัน วังชอนซาก็ได้เดินทางไปยังมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำพิธีสวดอวยพรให้กับประชาชนของเชินอัน ในวันนั้นมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์คลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านหลายพันคนที่ร่วมเข้าฟังสวด ระยะเวลาที่วังชอนซาสวดขอพรนั้นยาวนานถึงห้าวันเต็ม ชาวบ้านเองก็อยู่จนวันสุดท้ายของการสวดเช่นกัน กระทั่งรุ่งสางในวันต่อมา ขบวนรถม้าก็ได้ถูกจัดเตรียมรอรับวังชอนซาให้เดินทางไปยังวังหลวงฮานึล
 
เสียใจที่ต้องแยกจากมารดา โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเจอกันอีกไหม
 
เสียใจที่ไม่อาจอยู่เคารพศพเสด็จพ่อได้มากกว่านี้
 
เสียใจที่ยังไม่ทันได้รู้จักใครก็ต้องพลัดพรากลาจาก นอกจากตำหนักในวังหลังและมหาวิหาร ซอนอินแทบไม่รู้จักสถานที่ใดในเชินอัน แม้แต่ผู้คนก็เช่นกัน
 
ทว่าในความเสียใจเหล่านั้น ซอนอินพูดได้ไม่เต็มปากนัก ว่าในใจลึกๆ แล้วเขาไม่ได้อยากลาจากไปไหน นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งในความเสียใจที่ก่อตัวขึ้นและรู้สึกได้อย่างชัดเจน ซอนอินรู้สึกโกรธที่หัวใจของตนทรยศบ้านเมือง เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดคือการได้อยู่ใกล้ชิดกับชองจีรยง ไม่ว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ใด เขาก็อยากติดตามไปในทุกทุกที่ ถึงจะดูผิดบาปที่ตนรู้สึกเช่นนี้ก็ตาม แต่ซอนอินก็หยุดความรู้สึกนี้ไม่ได้
 
นอกจากคอยสวดขอพรให้กับทุกคนแล้ว ซอนอินก็ไม่มีทางอื่นจะทดแทนให้กับเชินอันอีก ต่อจากนี้ไป เขาจะทุ่มเทกับการเป็นวังชอนซาให้มากกว่าเดิม นั่นคือสิ่งที่ซอนอินตั้งมั่นอยู่ในใจตอนที่เดินทางออกมาจากเชินอัน
 
...อย่างน้อย ก็จนกว่าชินซองจะหาใครรับตำแหน่งต่อจากเขา
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
กลิ่นยาหอมจากเทียนหลากสีที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงสร้างความรู้สึกมึนเมาจนยากจะควบคุมสติ สัมผัสรุ่มร้อนที่วนเวียนไม่รู้ห่างจากใบหน้ายิ่งพรากสติของร่างบางให้หลุดลอย
 
ซอนอินปรือตาเชื่อมแสงขึ้นมองเจ้าของจูบที่ยังแนบซับใกล้ชิดอย่างเลื่อนลอย แก้วตาคู่สวยฉายประกายแววของความลุ่มหลงในสัมผัสอย่างไม่ปิดบัง วงแขนเล็กเกาะเกี่ยวไหล่กว้างไว้อย่างอ่อนแรง ดวงหน้าขาวระเรื่อสีแดงจัดลามมาจนถึงลำคอขาวที่แหงนเงยหลีกทางให้ซี่ฟันคมได้ทำสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของ
 
“อ๊ะ! อื้อ!! เจ็บ....”
 
เสียงหวานครางฟังคล้ายลูกแมวตัวเล็กถูกกลั่นแกล้ง ทว่าราชสีห์ตัวใหญ่กลับไม่สำนึกผิดที่ทำให้ลูกแมวตัวน้อยได้เลือดซิบเป็นแนวฟัน ซ้ำยังคำรามเสียงต่ำแสดงความพอใจ ปลายลิ้นร้อนจัดการแลบเลียแผลช้ำเลือดบริเวณนั้นอย่างอ่อนโยน พร้อมกับฝ่ามือหยาบที่ฟ้อนเฟ้นผิวเนื้อนุ่มละเอียดมืออย่างเร่งเร้า
 
ร่างบางบิดกายเล็กน้อยอยู่ภายใต้การทาบทับของคนตัวใหญ่ แผ่นอกเนียนขาวสะท้อนขึ้นลงหนักหน่วง ลมหายใจกระชั้นถี่เมื่ออารมณ์ความใคร่ค่อยๆ พุ่งขึ้นสูงจนยากจะควบคุม
 
ริมฝีปากสีแดงบวมช้ำถูกประกบช่วงชิงลมหายใจอีกครั้ง
 
“อ้าขาให้มากกว่านี้สิซอนอิน”
 
คำพูดน่าอายถูกส่งใกล้ใบหูเล็กที่แดงจัด ลมร้อนเป่ารดข้างผิวแก้มให้รู้สึกใจสั่นจนแทบเตลิดไปไกล
 
วิหคงามเสหันหน้าหนีไปด้านข้างเพื่อหลบสายตาคมดุจแววตาของมังกรตัวใหญ่ที่พร้อมจะกลืนกินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ทว่า ท่อนขาผอมเพรียวกลับยอมแยกออกกว้างตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
 
ริ้วรอยความเขินอายพาดผ่านผิวแก้มซ้ายมายังข้างแก้มขวาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มที่เฝ้ามองทุกอิริยาบถของคนใต้อาณัติมาตั้งแต่เริ่มเล้าโลมจนเนื้อตัวเปลือยเปล่ากันทั้งคู่ยกยิ้มพึงใจ
 
มือใหญ่จับยึดท่อนขาเล็กขึ้นพาดกับไหล่ ร่างกำยำของชายหนุ่มนักรบแนบลงเข้าหาเรือนร่างของทูตสวรรค์แสนงามจนแนบสนิท ความรุ่มร้อนจ่อเข้าช่องทางที่รอคอยการรุกล้ำอย่างโหยหา ในขณะที่การมอบจุมพิตก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งไปพร้อมกัน
 
“อึ อืมมม อ๊ะ อ๊าาาาาา!!!”
 
เรือนกายผอมบางสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บแม้ว่าจะได้รับการเตรียมพร้อมมาแล้วก็ตาม ซอนอินจิกปลายเล็บลงบนท่อนแขนใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม แก้วตาใสเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา
 
เรียวคิ้วของรัชทายาทหนุ่มขมวดยุ่งเมื่อความคับแคบนั้นส่งผลให้การขยับเป็นไปอย่างติดขัด ยิ่งฝืดฝืนทั้งเขาและซอนอินก็ยิ่งทรมาน เขาจับสะโพกเล็กให้ลอยขึ้นสูงอีกเล็กน้อย หามุมองศาให้พวกเขาเข้ากันได้ดีมากกว่าที่เป็นอยู่
 
ตลับเนื้อยาเหนียวข้นถูกปลายนิ้วหยาบควักออกมาชโลมเพื่อเพิ่มความหล่อลื่นอีกครั้ง ความพยายามครั้งที่สองของชายหนุ่มเป็นผลสำเร็จ เขาก้มลงมอบจูบหนักหน่วงให้คนร่างบางขณะที่กายของพวกเขาค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
 
ความหฤหรรษ์ในเพศรสเป็นสิ่งที่น่าพิสมัยนัก ทั้งที่เจ็บเจียนจะขาดใจ แต่กลับรู้สึกดีเจียนจะขาดใจด้วยเหมือนกัน ซอนอินรู้สึกเหมือนร่างกายไม่ใช่ของตนเอง ไม่อาจควบคุมอะไรได้เลย ทั้งความรู้สึกและความต้องการมีแต่จะนำพาตัวตนของเขาไปยังเส้นแสงแห่งความสุขที่ถูกหยิบยื่นจากอีกฝ่าย
 
เสียงสอดประสานของร่างกายและเสียงร้องครางอย่างสุขสมดังเอื่อยอยู่ในบรรยากาศหอมอบอวลของกลิ่นเทียนหอมภายในห้องนอนของตำหนักโยกัน ความสุขมากล้นที่ไหลเวียนอยู่ภายในอกนั้นเต็มตื้นจนแทบจะล้นทะลัก ซอนอินรู้สึกมีความสุขมากจนน่ากลัวว่าความสุขนี้จะมากเกินไปที่คนอย่างเขาจะสมควรได้รับ
 
เพียงแค่ความคิดเล็กๆ นี้ผุดขึ้นมาในสมอง แผ่นหลังก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาจนต้องรีบตวัดแขนกอดรัดคนด้านบนไว้เพื่อไขว่คว้าความอบอุ่นและเพื่อตอกย้ำให้ตนเองได้รู้ว่าทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝัน
 
“อืม...” จีรยงครางในคอยามที่เร่งจังหวะมากขึ้น เขาก้มลงจูบดวงหน้าสวยซ้ำๆ อย่างไม่รู้เบื่อ
 
“ซอนอินของข้า อ่า...เจ้าเป็นของข้า เป็นของข้าทั้งหมด...”
 
ซอนอินได้แต่หวัง หวังว่าคำพูดที่ได้ยินอยู่นี้จะเป็นความจริงตลอดกาล
 
 
ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวที่มี อย่าได้พรากมันไปจากเขาเลย...
 


(ต่อ)

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 27] 20/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 20-09-2016 19:57:34

 
 
 
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างมายังคนที่ยังอยู่ห้วงนิทรารมย์ ร่างบางขยับพลิกกายอยู่ภายใต้ผ้าผวยผืนหนา ไม่นานนักเปลือกตาบางก็ขยับเผยดวงตาสีนิลสุกสกาวให้สาวใช้ได้ระบายยิ้มตอบ
 
“องค์วังชอนซาทรงตื่นบรรทมเถิดเพคะ อาหารเช้าตั้งโต๊ะเสร็จหมดแล้ว”
 
“อืม...โซยอน.....” ซอนอินงัวเงียยันกายลุกขึ้นนั่ง อาภรณ์ตัวบางที่สวมหมิ่นเหม่นั้นเผยช่วงไหล่ขาวเนียนที่ถูกแต่งแต้มด้วยร่องรอยฝากรักขององค์รัชทายาท ทำเอาเด็กสาวหน้าแดงวาบขึ้นมาทันที
 
เห็นมานับไม่ถ้วนแล้วแท้ๆ แต่นางก็ยังอดรู้สึกเขินไม่ได้
 
“มาเถิดเพคะองค์วังชอนซา อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เด็กสาวเข้าไปพยุงคนร่างบางให้เดินไปยังห้องอาบน้ำเพื่อล้างตัวและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่
 
ย่างเข้าเดือนสิบแล้วตั้งแต่ที่องค์วังชอนซาถูกพาตัวกลับมายังตำหนักโยกันอีกครั้ง ภูมิอากาศช่วงนี้ที่ฮานึลเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว และยังจะเป็นฤดูนี้ต่อไปอีกถึงสี่เดือนเต็ม
 
ซอนอินออกมานั่งทานอาหารเช้าในครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงร้อง ‘จิ๊บๆ’ ของนกน้อยพาให้ดวงตาสีนิลละจากชามข้าวขึ้นมองอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มแรกของวันฉายชัดบนดวงหน้าสวย
 
“ราชครูปาร์ค!!!” อารามดีใจทำให้คนตัวเล็กลุกพรวดวิ่งถลาไปหาชายผู้เปรียบเสมือนญาติสนิท และเป็นที่แน่นอนว่าคนซุ่มซ่ามอย่างคิมซอนอินมีหรือจะไม่สะดุดขาเก้าอี้ที่ตั้งขวางเส้นทางอยู่ตรงหน้า
 
ยองจูคว้าท่อนแขนเล็กของลูกศิษย์ไว้ได้ก่อนที่เจ้าตัวจะล้มหน้าทิ่มลงไป
 
“เห็นทีข้าต้องเริ่มสอนเจ้าตั้งแต่หนึ่งใหม่เสียกระมัง”
 
คนตัวเล็กย่นหน้ายู่ทันทีเมื่อได้ยินคำว่าสอน ห่างหายจากการเรียนมานานพอควรแล้วก็อดหลงลืมไม่ได้ว่าตนยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก พอนึกว่าต่อไปนี้ราชครูปาร์คจะคอยมาสอนหนังสือเหมือนอย่างแต่ก่อนก็อดรู้สึกขยาดขึ้นมาไม่ได้
 
แต่เมื่อคิดว่าดีกว่าที่จะต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ คนตัวเล็กก็ยิ้มกว้าง
 
“ทำไมท่านมาช้าเช่นนี้ล่ะ? ข้ารอท่านตั้งเกือบสามเดือนเชียวนะ มัวทำอะไรอยู่?” ซอนอินถามด้วยความสงสัย พลางพาตัวเองและอาจารย์ประจำตัวไปนั่งลงที่โต๊ะ โดยมีสาวใช้รินน้ำชาให้อย่างรู้งาน
 
ตั้งแต่เดินทางออกจากเชินอัน ซอนอินก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ราชครูปาร์คจะตามมาอยู่ด้วยกัน เพราะราชครูของเขาคนนี้เอ่ยข้อตกลงกับจีรยงไว้อย่างชัดเจนว่าเขาอยู่ที่ใด ราชครูก็จะต้องได้ตามไปคุ้มกันถึงที่นั่นด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดให้มากความ แต่เดิมสิ่งที่เป็นเชินอันต้องถูกฮานึลรวบไว้เป็นของตนอยู่แล้ว แต่ราชครูปาร์คซึ่งเป็นคนของชินซองเป็นข้อยกเว้น จีรยงไม่คิดกดขี่ตำแหน่งของราชครูปาร์คที่เป็นอยู่ ซ้ำยังยกตำหนักของคุณชายฮีอูให้ราชครูของเขาได้อาศัยด้วยกันอีกต่างหาก ที่สำคัญ จีรยงยังเป็นธุระในการเจรจากับพ่อและแม่ของคิมฮีอูด้วยถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ก็เรียกได้ว่าหมดปัญหาล่ะนะ!
 
“หม่อมฉันต้องเดินทางไปดูชายแดนของเชินอันที่ติดกับแคว้นทางเหนือ” ยองจูส่งนกน้อยให้มือขาวรับไป
 
“อ๋อ แคว้นที่ท่านพ่อยกทัพไปขับไล่บ่อยๆ ใช่ไหม?”
 
ซอนอินพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว จีรยงเคยพูดเปรยๆ อยู่เหมือนกันว่าพักนี้คงต้องยุ่งกับการตั้งรับแคว้นที่อยู่โดยรอบของเชินอัน ดูเหมือนว่าแคว้นเหล่านั้นหวังจะใช้ความบอบช้ำของเชินอันเป็นหนทางในการทำลายช่วงชิงแผ่นดินมาจากฮานึล
 
แววตาคู่สวยเหล่มองชายร่างสูง “ท่านราชครูไปตรวจชายแดนตามคำสั่งของจีรยงหรือ? น่าแปลกมากเลย ท่านยอมฟังจีรยงตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
 
ครั้งล่าสุดที่ซอนอินเห็น คืออาจารย์ของเขาที่ขึ้นเสียงอย่างไม่เกรงกลัวต่อหน้าจีรยง ตอนที่จีรยงประกาศจะเอาตัวเขากลับฮานึล ดูยังไงก็ไม่น่าจะมาญาติดีกันได้เลยแท้ๆ
 
คำถามของลูกศิษย์นำพาให้คิ้วหนากดลึกเข้าหากัน ที่เขาต้องมายอมฟังเจ้าคนบ้าอำนาจที่อายุน้อยกว่าอย่างนี้มันก็เพราะคนตรงหน้าเขาไม่ใช่หรืออย่างไรกัน ยังจะมาทำเป็นพูดดีอีก หากไม่เพราะชองจีรยงเป็นคนดูแลซอนอิน มีหรือที่เขาจะยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ เช่นนี้ ต่อให้เชินอันพ่ายต่อฮานึล แต่ชินซองก็ไม่จำเป็นต้องก้มหน้ารับใช้ใคร พูดกันให้ถูกแล้วก็มีเหตุผลเดียวคือคิมซอนอินลูกศิษย์ของเขาคนนี้เท่านั้นแหละ
 
เพราะสำหรับคิมฮีอู เขาไม่คิดคืนให้ใครอยู่แล้ว ทว่าการเดินทางมาอยู่ที่ฮานึลก็ใช่จะเป็นเรื่องร้ายแรง อย่างดีที่สุด ฮีอูก็ยังได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัว และเขาก็ยังได้ดูแลซอนอินไม่ห่างสายตา ก็นับว่าเป็นข้อตกลงที่ลงตัวและน่ายินดีอยู่มาก
 
“องค์วังชอนซาอย่าทรงเบี่ยงประเด็นเลย โต๊ะทรงอักษรเตรียมเครื่องใช้ไว้หมดแล้ว เมื่อเสวยอาหารเสร็จก็เริ่มเรียนกันเสียเลยดีกว่า”
 
ดวงหน้าที่ระบายยิ้มพรายอย่างสุขใจที่ได้เอ่ยเย้าแหย่ท่านราชครูผู้เงียบขรึมมีอันต้องสลดลงอย่างฉับพลัน
 
เรียนอีกแล้ว... น่าเบื่อจริงๆ!
 
การเรียนครั้งนี้ซอนอินเพิ่งได้รู้ว่าที่ผ่านมาตนยังไม่มีความรู้พื้นฐานอีกมาก ซ้ำตอนนี้ยังต้องเรียนรู้เรื่องราวของฮานึลเพิ่มเข้าไปอีก ของเก่ายังจำไม่หมด ยังจะมีของใหม่เพิ่มเข้ามาให้ได้ปวดหัวเสียอีก
 
สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งวิหคเพลิงแสนงามนัก
 
ตกเย็น การคัดอักษรอันแสนยาวนานของซอนอินก็สิ้นสุดลง ร่างบางถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะวางพู่กันลงบนแท่นไม้ เรียวคิ้วสวยขมวดยุ่งริมฝีปากเม้มแน่นเมื่อเห็นตัวอักษรโย้เย้ของตนเอง
 
เอาเถอะๆ ไม่สวยมากแต่ก็ใช้ได้แหละ! ซอนอินให้คำตอบกับตัวเองก่อนจะเป่าเบาๆ ให้หมึกตัวสุดท้ายแห้ง แล้วม้วนกระดาษเดินออกไปส่งให้ราชครูปาร์คที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมห้อง
 
“เสร็จแล้ว” มือเล็กยื่นกระดาษส่ง ยืนบิดมือไปมารอฟังคำตัดสินของท่านอาจารย์ว่าเป็นอย่างไร ดวงตากลมโตจ้องมองลุ้นทุกการเลื่อนสายตาของคนตรงหน้าไปยังบรรทัดถัดไปจนสุดหน้ากระดาษ
 
“ลายมือขององค์วังชอนซายังไม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น ห่างหายไปนานอย่างนี้คงต้องเข้มงวดกันหน่อย”
 
“อย่าใจร้ายกับข้านักสิท่านราชครู จะให้คัดอีกสักกี่สิบครั้งก็ได้เท่านี้แหละ” ซอนอินโอดครวญ
 
“ให้เราช่วยสอนดีไหม?” เสียงเล็กที่เอ่ยแทรกขึ้นทำให้คนร่างบางหันขวับไปมองพร้อมรอยยิ้มกว้าง
 
“ฮีอู!~ อ๊ะ อิงอิง!!~” เมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินเข้ามา ซอนอินก็ยิ้มหน้าระรื่นทันที พร้อมกับก้มลงอุ้มเจ้าสุนัขจิ้งจอกขึ้นแนบอก “ดีเลยๆ ให้ฮีอูสอนข้าก็ได้ ข้ารู้หรอกว่าท่านกำลังศึกษางานที่จีรยงมอบหมายให้ทำอยู่ ไม่ต้องเสียเวลามาเฝ้าข้าหรอก!”
 
ยองจูปิดหนังสือในมือ เขาปรายสายตามองคนตัวเล็กสองคนที่ยืนชิดสนิทสนมกันอย่างใช้ความคิด เขาเพิ่งเดินทางมาถึงวังหลวงฮานึลเมื่อยามสอง เจอกับชองจีรยงและได้พูดคุยกันนิดหน่อยก่อนจะไปหาฮีอูที่ตำหนัก แต่เพราะเห็นว่าคนตัวเล็กของเขายังหลับอยู่จึงไม่คิดรบกวน จากนั้นก็มาที่ตำหนักโยกัน ถึงจะพอได้ฟังมาจากชองจีรยงมาบ้างแล้วว่าซอนอินกับฮีอูเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่ไม่คิดว่าจะสนิทกันมากขนาดนี้
 
สงสัยว่าเกือบสามเดือนที่ผ่านมาคงจะเป็นเวลายาวนานเกินกว่าที่เขาคาดคิดกระมัง
 
ในความรู้สึกของยองจูแล้วอาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับซอนอิน ในช่วงเวลานั้นทั้งเสียใจและหดหู่กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น การที่ร่างกายถูกใครอื่นควบคุม แต่ตนกลับเห็นทุกสิ่งที่สองมือของตัวเองเป็นผู้กระทำนั้นยากเกินจะทนรับไหว ซอนอินเศร้าซึมมาตลอดการเดินทาง ถึงจะมีจีรยงคอยกอดปลอบประโลมไม่ห่าง แต่ก็ยังช่วยลดความทุกข์ใจของซอนอินไปได้ไม่มากมายนัก แต่เมื่อฮีอูเข้ามาพูดคุยด้วย ซอนอินกลับพบว่าตนเองรู้สึกดีที่ได้ระบายความรู้สึกกับฮีอู อะไรบางอย่างบอกว่าฮีอูนั้นคล้ายกับจีมุน นั่นคือเป็นคนที่มีจิตใจดี อยู่ด้วยแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ อย่างที่เค้าว่า มิตรสหายสำคัญกว่าเงินทองนั่นแหละ นับๆ ดูแล้ว นอกจากจีมุนก็มีฮีอูนี่แหละที่ซอนอินนับได้ว่าเป็นเพื่อน
 
“สองสามวันนี้หม่อมฉันยังไม่ต้องทำอะไรมาก องค์วังชอนซาไม่ต้องกังวลไป หากหม่อมฉันไม่ว่างเมื่อใดก็คงต้องขอให้คุณชายฮีอูช่วยดูแล”
 
“อะไรกัน อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็กได้ไหม อายุของข้าก็พอๆ กับฮีอูเลยนะ” จะต่างกันก็แค่เดือนเกิดเท่านั้นแหละ
 
สองสาวใช้ที่ยกน้ำชามาให้นายทั้งสามลอบส่งสายตายิ้มขำให้กัน ดูจากสายตาของพวกนางแล้ว องค์วังชอนซาดูเป็นเด็กกว่าคุณชายฮีอูตั้งเยอะ ก็อย่างคุณชายฮีอูน่ะ ทั้งเรียบร้อย เรียนเก่งมีความรู้มากมาย รู้จักการวางตัว สุภาพก็ที่หนึ่ง ต่างกับนายของพวกเธอเป็นไหนๆ
 
“ยองจู ท่านอย่าเร่งรัดองค์วังชอนซาให้มากนักเลย มีเวลาเรียนรู้อีกมากนัก ท่านเองก็เถอะ เพิ่งเดินทางมาถึง ไม่รู้จักเหนื่อยบ้างหรืออย่างไร?” ประโยคนั้นฟังดูเผินๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ท้ายประโยคนี่สิที่ซอนอินจับเค้าน้ำเสียงได้ความว่าคนตัวเล็กกำลังน้อยใจท่านอาจารย์ของเขาอยู่
 
เดินทางกลับมาทั้งทีไม่คิดจะอยู่พูดคุยกันสักคำ กลับออกมาตำหนักโยกันก่อนเสียนี่!
 
ใช้ไม่ได้! ท่านอาจารย์นี่ใช้ไม่ได้เลย!
 
“เฮ้อออ ข้าง่วงนอนมากๆ เลย! พวกท่านสองคนกลับกันไปก่อนเถอะนะ เรียนมาทั้งวันข้ารู้สึกเพลียสุดๆ อยากจะนอนสักงีบ” มือขาวยกขึ้นปิดปากทำท่าหาววอด “ยอนอา โซยอน ข้าฝากส่งท่านราชครูกับคุณชายฮีอูด้วยนะ” สั่งความเสร็จก็เดินตัวปลิวหลีกหายเข้าห้องนอนไปทันที แต่ยังไม่ทันไรเจ้าตัวก็รีบวิ่งกลับมายื่นส่งอิงอิงคืนให้เจ้าของรับไปแล้วก้าวฉับๆ กลับไปที่ห้องอีกรอบอย่างรวดเร็ว
 
ซอนอินทิ้งตัวนั่งปุลงบนเตียง ยกสองขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ ดวงหน้าเรียวได้รูประบายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อนึกถึงภาพของราชครูปาร์คกับคุณชายฮีอูที่มองตากันอยู่เมื่อครู่
 
คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เห็นคนรักของผู้เป็นอาจารย์เสียแล้ว คิก...คุณชายฮีอูนี่แน่จริงๆ จับอาจารย์ของเขาเสียอยู่หมัดเลย!
 
“หัวเราะอะไรอยู่คนเดียว หืม?” กำลังหัวเราะคิกคักกลิ้งตัวเกลือกไปบนเตียงด้วยความสุข จู่ๆ ก็มีวงแขนปริศนารวบตัวเข้าไปนั่งแหมะอยู่บนตักคนด้านหลังเสียชิดแนบสนิท ตามติดมาด้วยริมฝีปากอุ่นที่ฉกความหอมไปจากผิวแก้มนุ่ม
 
“เสร็จราชกิจแล้วหรืออย่างไร? ถึงได้มานั่งนัวเนียข้าอย่างนี้?” ไม่ผิดจากคำพูดนั้นแม้สักน้อย ชองจีรยงกำลัง‘นัวเนีย’ ร่างบางอยู่จริงๆ เผลอหน่อยเดียวอาภรณ์ที่สวมอยู่ก็หลุดลุ่ยติดไปกับมือช่ำชองคู่นั้นอย่างแนบเนียน
 
จีรยงหัวเราะขำในคอกับสีหน้าและวิธีการพูดของคนในวงแขน ซอนอินที่เป็นแบบนี้นี่แหละช่างน่ารักนัก แววตาเป็นประกายสดใสแบบนี้คือตัวตนของคิมซอนอินที่เขาต้องการนักหนา
 
“งานราษฎร์งานหลวงวันนี้เสร็จหมดแล้ว ยกเว้นแต่งานส่วนตัวของข้าที่ยังไม่ได้เริ่มเสียที”
 
“งั้นเจ้าก็รีบๆ ไปทำ..อื้อ....เสียสิ” ขณะที่พูด ซอนอินก็ต้องหลับตาแน่นเมื่อยอดอกถูกสะกิดยอกเย้า
 
“ข้าทำคนเดียวไม่ได้หรอก เจ้าต้องช่วยข้าด้วย”
 
“ช่วย...อึก...อะไร” อยากจะตอบไปว่า ตอนนี้แม้แต่จะช่วยตัวเองให้พ้นมือเจ้าข้ายังทำไม่ได้ แล้วจะให้ข้าช่วยอะไรได้อีก แต่ยังไม่ทันจะได้ต่อปากต่อคำให้มากความกว่านั้น ร่างสูงก็จัดการกดคนตัวเล็กลงนอนราบไปกับที่นอนหนา ริมฝีปากอุ่นจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มใส ก่อนส่งความหมายผ่านวาจาให้เจ้าตัวได้เข้าใจ
 
 
“การครอบครองร่างกายเจ้า ถือเป็นงานส่วนตัวที่สำคัญยิ่งของข้า มา เจ้าต้องให้ความร่วมมือกับข้าแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นคงต้องสะสางงานกันจนถึงรุ่งสางกว่าจะเสร็จเป็นแน่”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
ซอนอินได้ข่าวมาหลายวันแล้วว่าองค์ชายจีมุนเดินทางไปรับเสด็จย่าที่หุบเขาพูซาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดในการเข้ารับพิธีถือศิลกินเจของฮานึล ดูเหมือนว่าเสด็จย่าของจีรยงจะเข้ารับศีลที่นั่นถึงครึ่งปีเต็มเพื่อทำบุญแผ่ส่วนกุศลในตอนที่เกิดเพลิงกัลป์ร้ายแรงกับฮานึลเมื่อครั้งก่อน และวันนี้ก็เป็นวันที่จะเสด็จกลับวัง
 
“นี่ฮีอู ข้าว่าข้ากลับไปตำหนักโยกันดีกว่านะ อันที่จริงแล้วข้าเป็นแค่คนอาศัย มายืนตอนรับแบบนี้จะดีเหรอ?” ซอนอินกระซิบกระซาบกับร่างเล็กอย่างเป็นกังวล
 
ตอนนี้คนกว่าครึ่งวังต่างมายืนรอต้อนรับเสด็จอยู่ที่ลานโล่งด้านหน้าของประตูวังหลวง พระสนมฮีวอนยืนอยู่หน้าสุดของบรรดาพระสนมนางใน ดูท่าคนมียศถาคงมาอยู่ที่นี่กันครบ ยกเว้นแต่องค์กษัตริย์ที่ยังป่วยจนลุกไม่ได้เท่านั้นเอง
 
“ได้อย่างไรกัน องค์วังชอนซาเป็นคนขององค์รัชทายาท จะเรียกว่าผู้อาศัยธรรมดาได้อย่างไรกัน”
 
“แต่ว่าข้า...” แต่ว่าข้าอะไรยังไม่ทันจะได้ฟัง ฮีอูก็รีบคว้าท่อนแขนบางภายใต้อาภรณ์สีขาวให้ค้อมตัวลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับเสียงก้องกระหึ่มที่ดังสะท้อนไปทั่วทั้งลานกว้าง
 
 
“ถวายพระพรพระแม่เจ้าชองโยฮวา และองค์หญิงอิมยูนา!!!”
 
 
หืม?...องค์หญิงอิมยูนา? ซอนอินที่ก้มหัวไปตามแรงมือของฮีอูขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ฟังเสียงสรรเสริญของคนรอบข้าง เสด็จย่าของจีรยงเขารู้แล้วว่าชื่อชองโยฮวา แต่ไม่เห็นรู้ว่าฮานึลมีองค์หญิงด้วย?
 
“ฮีอู องค์หญิงอิมยูนาเป็นน้องหรือพี่จีรยงเหรอ?” ขบวนรถม้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ยิ่งเพิ่มความดังของเสียงสรรเสริญมากอีกเท่าตัว ซอนอินจึงต้องป้องมือข้างหนึ่งเข้ากับหูซ้ายของฮีอู
 
“องค์หญิงอิมยูนาเป็นบุตรบุญธรรมขององค์กษัตริย์ อายุสิบหกชันษา ก็ถือว่าเป็นน้องขององค์ชายจีรยงและองค์ชายจีมุน”
 
“อ๋อ บุตรบุญธรรม” ซอนอินพึมพำไปตามเรื่องราวที่ได้ฟัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงรอบตัวได้พากันเงียบไปหมดแล้ว ตอนนี้ที่ด้านหน้า คือภาพของชองจีรยงที่ยืนรอรับเสด็จย่าก้าวลงมาจากรถม้า ก่อนตามมาด้วยองค์หญิงอิมยูนาที่จับมือของจีรยงก้าวตามลงมา
 
รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวนั้นงดงามเสียจนซอนอินยังอดชื่นชมไม่ได้ ดีจริงๆ เลยนะชองจีรยง เจ้ามีน้องสาวน่ารักขนาดนี้ก็ไม่บอกกันสักคำ ภายในใจคิดตำหนิชายหนุ่มไปเรื่อยเปื่อยขณะรอให้กลุ่มคนตรงหน้าเคลื่อนขบวน
 
ทว่าเสียงซุบซิบของสนมที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังกลับวิ่งเข้าหูของซอนอินราวกับพลุที่วิ่งพุ่งขึ้นฟ้า กลบเอาความคิดไปจนหมดสิ้น แล้วแทนที่ด้วยประโยคที่ทำเอาร่างกายชาไปทุกส่วน ราวกับอยู่ดีๆ ก็ถูกโยนลงไปในสระน้ำที่ใกล้จะกลายเป็นน้ำแข็ง
 
 
“ครานี้พระแม่เจ้าต้องได้ฤกษ์วันแต่งขององค์หญิงยูนากับองค์รัชทายาทเป็นแน่!”
 
 
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเอ่ยขึ้น ซอนอินที่ยังไม่เข้าใจความหมายดีนักก็รู้สึกถึงมือที่ถูกบีบเบาๆ จากคนตัวเล็กข้างกาย ก่อนตามมาด้วยแรงกระตุกเพื่อเรียกสติให้เขาได้โค้งกายตอนที่จีรยงเดินนำกลุ่มคนสำคัญผ่านไป
 
ใช้เวลาเดินทางกลับมายังตำหนักโยกันรวดเร็วจนน่ากลัว ซอนอินไม่รอให้เสียเวลา รีบเปิดปากถามถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาจากฮีอูทันที
 
“องค์หญิงอิมยูนาเป็นลูกสาวของขุนนางคนสนิทที่ได้เสียชีวิตไปในสนามรบ เสด็จย่าขององค์ชายจีรยงทรงรับเลี้ยงเป็นหลานบุญธรรมด้วยความรักใคร่มาแต่ไหนแต่ไร จุดมุ่งหมายของพระแม่เจ้าก็เพื่อให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายขององค์ชายชองจีรยง”
 
“คู่หมั้นคู่หมาย?” ซอนอินรู้สึกเหมือนเสียงตัวเองลอยมาจากที่ไหนสักที่ที่ไกลแสนไกล “แต่ว่าก่อนหน้านี้จีรยงชอบเจ้าไม่ใช่หรือ? แล้วจีรยงไปมีคู่หมายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
 
“องค์วังชอนซาทรงทราบดีอยู่แล้วว่าองค์ชายจีรยงเป็นองค์รัชทายาท” ฮีอูเอ่ยตอบคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเห็นใจไม่น้อย “...ดังนั้นสักวันฝ่าบาทก็จะได้ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็ต้องทรงตกแต่งชายา เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมานานแล้ว ตัวเราเองก็ทราบดีอยู่ตลอด ถึงองค์ชายจีรยงจะเคยชอบพอเรา แต่นั่นก็เป็นคนละเรื่องกับการแต่งตั้งชายา”
 
เสียงหวีดของอะไรบางอย่างแล่นผ่าเข้ากลางสมองจนรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ซอนอินทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความกลัวที่มักก่อตัวขึ้นในหัวใจอยู่เสมอๆ นั้นคืออะไร ใช่สิ สักวันจีรยงก็จะต้องแต่งชายาและสืบทอดบัลลังก์ มีลูกหลานสืบสกุล หนทางที่ถูกต้องเหล่านี้ไม่มีพื้นที่พอให้เขาเข้าเบียดแทรก
 
 
จุดยืนของเขา สักวันก็จะต้องถูกลบเลือนหายไป
 
 
ความจริงที่ไม่อยากยอมรับและไม่อยากเข้าใจ
 
 
ชองจีรยง ข้าน่ะไม่ได้เข้มแข็งมากมายอะไรเจ้าก็รู้ เพราะอย่างนั้น ได้โปรดบอกข้าที ว่าทุกอย่างที่ข้าได้ยินมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง...
 
 
 
ปิดหูปิดตาของข้าทีเถอะ ชองจีรยง
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 

ประกาศเปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ลิ้งรายละเอียดค่ะ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0)
(http://kimyoonbe.exteen.com/images/chunsa/14330170_1743526355910646_7164399534191287630_n.jpg)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 27] 20/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 20-09-2016 20:31:13
รักกับจีรยงนี่ไม่ง่ายเลย  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 27] 20/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-09-2016 20:49:16
เฮ้อ... อุปสรรค์รัว ๆ เลย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 27] 20/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 20-09-2016 23:59:22
โอย เมื่อไหร่ องค์ซอนอิน จะได้มีความสุขจริงๆเสียทีเนี่ย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 27] 20/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: urmein ที่ 21-09-2016 16:58:54
ซอนอินตั้งสติก่อนนะ ใจเย็นๆ ลองคุยกับจีรยงก่อนนะๆๆ

สงสารมาก เมื่อไหร่จะมีความสุขแบบจริงๆ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 28] 21/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 21-09-2016 17:15:01

บทที่ 28
 
 
 
“เจ้าลองทานทีสิว่าอร่อยหรือยัง ต้องใส่น้ำผึ้งเพิ่มไหม?”
 
ภายในห้องครัวของตำหนักโยกันในวันนี้ดูคึกคักมากกว่าที่เคย เนื่องจากในตอนสายของวันมีบุรุษรูปงามหมายมั่นปั้นมือที่จะเข้ามาทำขนมจองเจด้วยตัวเอง ทำให้สาวใช้คนสนิททั้งสองพากันวุ่นวายคอยเป็นลูกมือให้เจ้านายคนสวย ไม่เว้นแม้แต่กึมซองที่วันนี้ไม่มีธุระอะไรก็แวะมาที่ตำหนักโยกัน
 
ยูกึมซองไม่รีรอที่จะคว้าก้อนขนมสีชมพูน่าทานขึ้นมากินอย่างรวดเร็ว
 
“ไร้มารยาทมาก! กึมซอง! ทำไมเจ้าหยิบทานทีละสามลูกเช่นนี้เล่า!!” ยอนอาร้องลั่นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา นี่ขนาดอยู่ต่อหน้าองค์วังชอนซาเชียวนะ เจ้าคนนี้ยังกล้าได้อีก
 
“อ้ออันอ่าอานอี่!!” กึมซองพยายามจะพูดว่า ‘ก็มันน่าทานนี่’ ทั้งที่มีก้อนขนมอัดแน่นอยู่เต็มปาก
 
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าทำไว้ตั้งเยอะ เดี๋ยวเสร็จแล้วพวกเจ้าก็เอาไปแบ่งกันทานด้วยล่ะ ...ว่ายังไงกึมซอง อร่อยไหม? ต้องเพิ่มอะไรหรือเปล่า” ซอนอินรบเร้าเอาคำตอบจากเด็กหนุ่มด้วยความตื่นเต้น
 
องครักษ์ร่างเล็กทุบกำปั้นลงกับอกดัง อั่ก สองสามครั้งเพราะรีบกลืน ก่อนจะรีบถวายคำตอบ “อร่อยเหมือนพระสนมฮีวอนทำเลย! องค์วังชอนซาทำได้อย่างไรพะย่ะค่ะ?!”
 
“ก็ข้าจำวิธีการทำรวมถึงการใส่ส่วนผสมมาจากพระสนมนี่น่า นี่แปลว่าข้าทำถูกต้องทุกอย่างเลยใช่ไหม ดีล่ะ งั้นข้าจะเอาถาดนี้ไปให้จีรยง”
 
คนตัวเล็กยิ้มร่าอย่างมีความสุข โดยไม่สนเลยว่าสภาพตนเองในตอนนี้จะเป็นอย่างไร ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมเต็มปื้นไปด้วยผงแป้งสีขาวจนทั่วไปหมดแล้ว
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรงขณะที่กำลังจะยกถาดขนมจองเจขึ้น เรียวคิ้วบางขมวดมุ่นอยู่เพียงครู่ ก่อนจะร้องสั่งให้โซยอนเอาโถเล็กมาใส่ขนมจองเจเพิ่มอีก
 
“เอาใส่ทุกสีเลยนะ ข้าจะเอาไปให้จีมุนด้วย”
 
“เอ๋ องค์วังชอนซาจะทรงเสด็จไปตำหนักขององค์ชายรองด้วยหรือเพคะ?”
 
“อื้ม”
 
“ไม่ได้นะเพคะ องค์รัชทายาททรงรับสั่งให้ไปได้แค่ตำหนักรัชทายาทเท่านั้นนะเพคะ”
 
“พวกเจ้าไม่บอกจีรยงก็ไม่รู้หรอกน่า อีกอย่าง ข้าแค่จะแวะไปทักทายเท่านั้น ให้ขนมเสร็จเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว จริงสิ ไหนๆ ก็ทำเสียเยอะขนาดนี้ ข้าเอาไปฝากฮีอูกับท่านราชครูด้วยดีกว่า”
 
จากหนึ่งที่เป็นสอง และสาม นี่เจ้านายของพวกนางคิดจะเดินร่อนไปทั่วราชวังหรืออย่างไรกันนะ!
 
“งั้นให้กระหม่อมตามไปด้วยนะพะย่ะค่ะ” กึมซองจบปัญหาความว้าวุ่นใจของนางกำนัลน้อยทั้งสองด้วยการอาสาติดตามนายคนสวยไปด้วย
 
ซอนอินกลอกตาไปมาก่อนจะพยักหน้ารัวๆ “ก็ได้ๆ ยอนอาไปด้วย โซยอนไปด้วย กึมซองไปด้วย ทีนี้ก็ไม่ต้องปิดจีรยงเป็นความลับแล้วว่าข้าไปที่ใดบ้าง แห่กันไปเป็นกลุ่มอย่างนี้ไม่มีใครเห็นก็แปลกเกินไปแล้ว”
 
“ไม่ใช่ว่าพวกกระหม่อมคิดจะคุมตัวองค์วังชอนซานะพะย่ะค่ะ แต่เป็นพระประสงค์ขององค์รัชทายาทที่รับสั่งให้คอยดูแลองค์วังชอนซาอย่างใกล้ชิด” กึมซองรีบแก้ตัวเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นนาย ยอนอาและโซยอนเองก็รีบแก้ต่างเป็นพัลวัน ด้วยกลัวว่าเจ้านายจะคิดมากว่าตนเองไม่มีอิสระใดๆ เฉกเช่นเชลยศึกเหมือนแต่ก่อน
 
“ข้ารู้หรอกน่าว่าพวกเจ้าหวังดี แล้วนี่ก็เป็นคำสั่งของจีรยงด้วย พวกเจ้าไม่กล้าฝ่าฝืนใช่ไหมล่ะ” ซอนอินพูดเนืองๆ สองมือก็จัดเตรียมขนมหวานลงภาชนะไปด้วย
 
ความจริงแล้วถึงร่างบางจะไม่ใช่เชลยศึกของฮานึลอีกต่อไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคิมซอนอินมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในวังหลวงฮานึลได้อย่างปกติสุข เพราะถึงอย่างไรแคว้นที่พ่ายศึกก็ไม่ต่างจากการยอมเป็นผู้ที่อยู่ใต้อำนาจของฝ่ายที่ชนะ มันก็ไม่ได้ต่างจากการเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ดีๆ นี่เอง ดังนั้นความเป็นอยู่อย่างที่เป็นอย่างตอนนี้ซอนอินก็พึงพอใจมากแล้ว
 
จีรยงดูแลเขาอย่างให้ความสำคัญเช่นนี้ นับว่าดีที่สุดสำหรับซอนอินแล้ว
 
 
 
ตำหนักของจีมุนอยู่ในบริเวณของตำหนักพระสนมเอกซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตำหนักโยกันมากมายนัก ไม่นานขบวนแถวขององค์วังชอนซาก็มาถึงหน้าประตูตำหนักของชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง
 
“เอ๋?” ดวงหน้าขาวเอียงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าด้านหน้าตัวตำหนักนั้นมีขบวนแถวตั้งขวางทางอยู่ ซอนอินจึงบอกให้คนติดตามทั้งคนสนิทและข้ารับใช้ของโยกันรออยู่ที่ด้านนอก ก่อนเจ้าตัวจะเดินผ่านกลุ่มคนตรงหน้าไปยังด้านในตำหนักของจีมุน
 
“องค์วังชอนซาเสด็จ!”
 
ทหารหนุ่มที่ยืนประจำประตูร้องตะโกนเมื่อเห็นซอนอินเดินเข้ามาใกล้
 
“จีมุนมีแขกเหรอ?”
 
“พะย่ะค่ะ เพลานี้องค์หญิงอิมยูนาประทับอยู่ในห้องรับรองด้านในพะย่ะค่ะ”
 
“อ้อ....”
 
“ซอนอิน” เสียงทุ้มที่ร้องเรียกทำให้ร่างบางหมุนกายหันไปมอง ซอนอินระบายยิ้มบางให้ชายหนุ่มแล้วก้าวเดินเข้าไปหา
 
“ข้าทำขนมจองเจมาฝากเจ้าล่ะ” มือเล็กส่งโถกระเบื้องให้ชายหนุ่มรับไป รอยยิ้มสดใสที่มีเมื่อครู่พลันหมองลงเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของชายตรงหน้าที่มองมาที่ตน “จีมุน ข้าอยากจะคุยกับเจ้าตามลำพังสักครั้ง หากวันไหนที่เจ้าว่าง ช่วยแวะไปหาข้าที่ตำหนักได้ไหม?”
 
“เห็นทีคงไม่เหมาะ องค์วังชอนซาเองก็เถิด เหตุใดถึงมาที่ตำหนักของหม่อมฉัน รู้หรือเปล่าว่าถ้าเสด็จพี่ทรงทราบจะกริ้วท่านได้” นับจากวันนั้นที่ได้สารภาพความจริงไป จีมุนก็เฝ้าระวังตัวตลอดไม่ให้ตนเองเข้าใกล้ซอนอินอีก เพราะจีมุนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่มีทางใดเลยที่เขาจะลืมคนตรงหน้านี้ได้ การไม่พบเจอกันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขา คนคนนี้เป็นคนของเสด็จพี่ เป็นคนที่อยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมไขว่คว้า ...สูงเกินกว่าที่จะคิดหมายปองด้วยซ้ำ
 
คำพูดห่างเหินและแววตาเฉยชาที่ได้รับจากอีกฝ่ายทำให้ซอนอินรู้สึกอึดอัดใจเป็นที่สุด
 
“ข้าไม่สนหรอกว่าจะเหมาะหรือไม่เหมาะ หากข้าอยากเจอเจ้าข้าก็จะมา”
 
“แต่ข้าไม่อยากเจอท่าน ...องค์วังชอนซา ท่านควรจะทราบถึงจุดยืนของท่านบ้างว่าอย่าทำอะไรตามอำเภอใจให้มากนัก หม่อมฉันเองถึงจะมียศศักดิ์เป็นองค์ชาย แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะคอยตามใจท่านได้ทุกอย่าง ...อย่าได้ทรงมาหาหม่อมฉันอีกเลย”
 
.
.
.
 
“จีมุน ทำไมเจ้าพูดกับข้าอย่างนี้ ข้าไม่ใช่เพื่อนของเจ้าอีกแล้วใช่ไหม...”
 
 
เพล้ง!!
 
 
แจกันตั้งโต๊ะถูกมือใหญ่ปัดทิ้งลงพื้นด้วยความแรง ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะรู้สึกถึงก้อนเนื้อในอกที่บีบรัดเข้าหากัน ภาพของดวงหน้าขาวที่จ้องมองมาที่เขายามเอื้อนเอ่ยคำพูดประโยคนั้นยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำจนวินาทีนี้ แก้วตาสวยคู่นั้นคลอเคล้าด้วยความเสียใจและความผิดหวังในตัวเขา
 
จีมุนสบถอยู่ในใจ
 
ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าเสียใจ ข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายความรู้สึกของเจ้า แต่ซอนอิน ข้าไม่อาจลืมเจ้าได้ ข้าทนเห็นเจ้าอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่ข้าไม่อาจแตะต้องเจ้าได้ ...ข้าทนไม่ได้!
 
“เป็นบุรุษรูปงามเช่นนี้เอง มิน่าเล่าองค์ชายรองถึงได้หลงเสียขนาดนี้” เสียงหวานใสถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางสีชมพู เจ้าของเรือนร่างอรชรนั่งเท้าคางอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ แก้วตาสีชาทอดมองร่างสูงผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย
 
เหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่ายังมีหญิงสาวนั่งอยู่ภายในห้องนี้ด้วย จีมุนปรับสีหน้าเสียใหม่ก่อนหันไปจ้องมองเด็กสาว พลางเอ่ยประโยคที่คุยกันค้างคาเมื่อครู่ก่อนที่ซอนอินจะมา
 
“ยูนา ข้าจะขอพูดกับเจ้าอีกครั้ง ห้ามทำตามรับสั่งของเสด็จย่าเป็นอันขาด”
 
“ทำไมล่ะ องค์ชายรองน่าจะยินดีมิใช่หรือ? หากข้าอภิเษกกับเสด็จพี่จีรยง ก็เปิดโอกาสให้ท่านเข้าหาองค์วังชอนซาได้ไม่ใช่หรืออย่างไร”
 
“ข้าไม่ต้องการ โอกาสของข้าไม่เคยมีแต่แรก ข้าไม่ใช่คนที่จะทำให้ซอนอินมีความสุขได้ คนคนเดียวที่ซอนอินรักคือเสด็จพี่เพียงคนเดียว ดังนั้นหากเจ้าไม่ฟังคำร้องขอจากข้า ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อหยุดการอภิเษกครั้งนี้”
 
ยูนาไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเรียบนิ่งทว่างดงามนั้นแต่อย่างใด นางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้เชื่องช้า  ก้าวเดินอ้อมโต๊ะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของจีมุน
 
แก้วตาที่มักเก็บซ่อนความรู้สึกอย่างอิสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีจ้องลึกลงไปในแววตาของชายหนุ่มตรงหน้า “องค์ชายรองไม่ใช่ผู้กุมอำนาจเหนือยูนา ท่านสั่งความสิ่งใดไยข้าต้องทำตาม รับสั่งของเสด็จย่าท่านเองก็น่าจะรู้ว่าใครก็ไม่อาจต่อต้านได้ ท่านคิดว่าข้าเป็นใครมาจากไหนกันถึงคิดว่าข้าจะทรยศผู้มีพระคุณที่รับข้ามาเลี้ยงดูได้ง่ายๆ เพียงเพราะองค์วังชอนซาที่แม้แต่พูดคุยกันสักคำข้าก็ยังไม่เคย ...กับข้าเองที่ถือเป็นน้องของท่าน ท่านกลับมาพูดจาสั่งความบังคับกันอย่างนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่ามันอาจจะทำร้ายจิตใจของข้า” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นไม่ได้แฝงความรู้สึกอื่นใดไว้เลย ท่วงทำนองการเอื้อนเอ่ยเป็นไปอย่างเรียบเรื่อยยากจะคาดเดาใจคนพูด
 
“ธุระของท่านที่เรียกข้ามาที่นี่มีแค่เรื่องนี้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน” จีมุนรั้งแขนของเด็กสาวไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนกายจากไป
 
“เดี๋ยว! ยูนา เจ้าคิดให้ดีสิ เจ้ากับเสด็จพี่ถูกเลี้ยงดูให้เป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่เกิด แล้วเจ้าจะร่วมหอกันได้อย่างไร”
 
รอยยิ้มบางระบายฉาบใบหน้าสวยให้ชวนมองมากยิ่งขึ้น “ท่านพี่...ท่านอย่าลืมว่าถึงแม้จะมีการนับญาติกันในพวกเราสามคน แต่ข้าเองก็รู้อยู่แก่ใจตั้งแต่เด็กว่าข้าเป็นเพียงลูกบุญธรรม ท่านคิดว่าเวลาที่ได้ใกล้ชิดใครสักคนมาตลอดสิบกว่าปีนี้จะไม่เคยคิดชอบพอกันได้เลยหรือ? ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
 
“ยูนา เจ้า!!...”
 
“อย่าเสียเวลามาขอร้องข้าเลย ถ้าจะพูดก็ไปพูดกับเสด็จย่าเองเถอะ” ท่อนแขนบางสะบัดออกจากการเกาะกุม ยูนาไม่รีรอให้สาวใช้คนใดน้อมส่งถวายก็ก้าวเดินออกจากตำหนักขององค์ชายรองไปอย่างไม่สนใจใครหน้าไหน
 
จีมุนกำมือแน่นอยู่ข้างกาย เขาอุตส่าห์หลีกทางให้พี่ชายขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมยังไม่มีค่าพอให้คนที่เขารักได้มีความสุข เหตุใดสวรรค์ถึงทำร้ายกันอย่างนี้ หากเสด็จพี่เข้าพิธีอภิเษกจริงล่ะก็ สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดก็ไร้ความหมายน่ะสิ!!
 
 
 

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
ถาดกระเบื้องที่มีขนมจองเจวางเรียงรายอย่างสวยงามไม่อาจเรียกความอยากทานให้กับร่างเล็กได้มากเท่าใด แม้ว่าจะลองทานไปแล้วชิ้นหนึ่งซึ่งพบว่ามันอร่อยมากก็ตามที
 
ฮีอูหยิบขนมจองเจสีเขียวส่งให้สุนัขจิ้งจอกตัวเล็กคาบไปทานที่มุมห้อง ริมฝีปากบางพรูลมหายใจเหนื่อยอ่อนต่อเหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วนที่เพิ่งได้รับรู้มาเมื่อวานนี้ ข่าวการประกาศเรื่องการเปิดตัวชายาขององค์รัชทายาทชองจีรยงในอนาคตที่ใกล้จะถึงนี้ทำให้ร่างเล็กเกิดความวิตกกังวลใจนัก
 
ทันทีที่ได้ทราบเรื่องว่าพระแม่เจ้าต้องการแต่งตั้งองค์หญิงอิมยูนาให้เป็นชายาขององค์ชายจีรยงจริงๆ ฮีอูก็รีบไปที่ตำหนักโยกันเพื่อหวังปลอบใจองค์วังชอนซา แต่เขากลับพบว่าคนร่างบางนั้นไม่แม้แต่จะมีอาการเศร้าเสียใจ ซ้ำยังยิ้มต้อนรับเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปนั่งทานขนมจิบน้ำชากันเสียอีก เขาเองก็ไม่กล้าปริปากเอ่ยถามว่าเพราะเหตุใดถึงยังยิ้มได้อย่างนี้ เหตุใดถึงยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมยังยิ้มได้...ทำไมถึงต้องแสดงออกในทางตรงกันข้ามกับความรู้สึกเช่นนี้ด้วย
 
มันทรมานไม่ใช่หรือที่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใจ...
 
คิมซอนอิน...เรารู้ดีว่าท่านเสียใจ และเราก็รู้ว่าการรักใครสักคนย่อมเสียสละให้ได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อย ท่านก็ควรจะต่อสู้เพื่อความต้องการของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปเช่นนี้
 
ก่อนที่ท่านจะต้องเจ็บ ...ทำไมถึงไม่สู้เสียก่อน
 
ฮีอูเพิ่งได้พูดประโยคนั้นให้วังชอนซาฟังเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน และได้คำตอบจากอีกฝ่ายมาว่า “ข้าไม่คิดขวางทางคนที่จะได้เป็นกษัตริย์หรอก การแต่งตั้งชายาเป็นเรื่องสำคัญที่ข้าไม่อาจเรียกร้องสิ่งใดได้ ตราบใดที่จีรยงไม่ทอดทิ้งข้า ข้าก็ไม่คิดจากจีรยงไปไหนเหมือนกัน ต่อให้ข้าเป็นได้แค่ใครบางคนที่ไร้ตำแหน่งใดๆ ก็ตามที”
 
ไม่ใช่ว่า ‘ไม่อาจ’ เรียกร้อง แต่วังชอนซา ‘ไม่คิด’ ที่จะเรียกร้องมากกว่า คนคนนี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างโดดเดี่ยว ไม่กล้าร้องขอเพราะกลัวจะถูกทอดทิ้ง ไม่กล้าคาดหวังเพราะกลัวคำตอบที่จะมีแต่ความว่างเปล่า ในเมื่อตอนนี้มีองค์ชายจีรยงอยู่ตรงหน้าแล้ว หากไม่รักษาไว้ก็อาจเสียคนคนนี้ไปก็เป็นได้
 
ความคิดของซอนอินดูเหมือนว่าฮีอูจะอ่านออกจนหมด เพราะสิ่งที่ฮีอูเข้าใจนี้ไม่ต่างจากความจริงเลยแม้แต่น้อย ซอนอินในตอนนี้ก็เหมือนกับตุ๊กตาผ้า ยอมถูกเจ้าของชักจูง ดีกว่าที่จะยอมถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
 
น่ากลัวก็แต่ว่าองค์ชายจีรยงจะคิดเห็นชอบกับการอภิเษกสมรส ยิ่งฝ่ายนั้นมุ่งมั่นจะครองบัลลังก์ด้วยแล้ว การแต่งชายาอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรที่ถึงขั้นจะต้องปฏิเสธ นิสัยขององค์ชายใหญ่แต่เดิมก็ไม่คิดจริงจังอะไรในสิ่งที่พระองค์ไม่ใคร่ให้ความสนใจ ต่อให้แต่งชายาก็คงเหมือนได้นางบำเรอมาอยู่ในตำหนักก็เท่านั้น ดีไม่ดี พระองค์อาจตกปากรับคำแต่งตั้งชายาอย่างไม่ต้องคิดอะไรให้มากความเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงจะเข้าห้องหอกับใครนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดสำหรับชายหนุ่มที่ชอบหาความสำราญเป็นทุนเดิมอย่างองค์รัชทายาท ที่จะให้ความสำคัญก็มีแต่องค์วังชอนซาเท่านั้น
 
ถึงจะให้ความสำคัญมากกว่าใครก็ตาม แต่ถ้าต้องมาเห็นใครอื่นยืนอยู่เคียงข้างคนที่รัก ใครที่ไหนจะทนได้...
 
ถ้าเป็นเขาล่ะก็ ไม่ยอมปล่อยให้ยองจูไปแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนเป็นแน่!!
 
“ว่าแต่ยองจูหายไปไหนของเขากันนะ!” คิดไปคิดมาก็มาลงกับร่างสูงที่ตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นตัว ฮีอูสะบัดศีรษะไล่ความคิดชวนปวดหัวออกไป คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี วังชอนซาเองยังไม่คิดจะทำอะไรแล้วเขาจะไปหาทางช่วยได้ยังไงกัน ถ้าเจ้าตัวไม่คิดสู้มันก็ไร้ความหมายที่จะลงมือ เฮ้อ! ทำไมเรื่องราวมันถึงได้วุ่นวายซับซ้อนอย่างนี้นะ!!
 
“ถอนหายใจมากๆ ระวังจะแก่เร็วนะฮีอู” ร่างสูงที่เดินเอื่อยเข้ามาในตำหนักทักขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง ก่อนที่วงแขนกว้างจะสอดคล้องเอวคอดไว้หลวมๆ รั้งแผ่นหลังบางให้ขยับชิดเข้าแนบอก
 
ฮีอูไม่เคลิ้มตาม คนตัวเล็กตวัดสายตาเงยหน้าขึ้นจ้องดวงตารัตติกาล
 
“อย่าให้เรารู้เชียวนะ ว่าท่านแอบไปมีสาวที่ไหนเก็บไว้ในกระท่อม!!”
 
คนตัวเล็กมาอารมณ์ไหนตามไม่ทัน ราชครูหนุ่มขมวดคิ้วงุนงงอยู่อึดใจกว่าจะรู้ว่าคนรักของเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอะไร ร่างสูงลอบยิ้มลับหลัง
 
“ก็ไม่รู้สินะ ถ้าข้ามีเจ้าจะรู้ได้อย่างไรล่ะ หืม? อ่ะ ...โอ้ย!!” ยองจูสะบัดแขนออกจากตัวของฮีอูด้วยความเร็ว หลักฐานจากการกระทำเมื่อครู่คือรอยฟันวงกว้างที่กัดเข้าเต็มท่อนแขนแกร่ง
 
“มีไม่มีเดี๋ยวได้รู้แน่! เราไม่ยอมหรอกนะปาร์คยองจู!!”
 
“เอาล่ะๆ พอแล้วๆ โอ้ยฮีอู! ข้ายอมแล้ว อย่ากัดกันสิ!! ข้าจะไปมีใครที่ไหนได้นอกจากเจ้า” กว่าจะรั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดได้สำเร็จก็โดนกัดไปอีกสองแผล ซ้ำที่ขายังมีเจ้าอิงอิงวิ่งเข้ามาร่วมวงช่วยเจ้านายกัดกระชากชายผ้าของเขาเสียอีก ยองจูรวบแผ่นหลังบางไว้แน่น ปัดปลายจมูกลงกับเรือนผมหอมนุ่ม
 
“ใจของข้ามีแต่เจ้า เจ้าเป็นคนแรกที่ข้ารัก และจะเป็นคนสุดท้ายสำหรับข้าจนวันตาย”
 
ฝ่ามืออบอุ่นโอบประคองข้างแก้มใสให้เงยขึ้นสบสายตา จูบเบาๆ ประทับลงบนหน้าผากมน
 
“ข้าไม่เหมือนองค์ชายของเจ้าหรอกนะฮีอู ทั้งข้าทั้งเจ้า จะมีแค่สองเราเท่านั้น เจ้าให้ความสำคัญกับข้าเช่นไร ข้าเองก็ให้ความสำคัญกับเจ้าไม่ต่างกัน อย่าได้คิดว่าข้าจะมีใครที่ไหนอีกเลย เพราะไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็เจอแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
 
ฮีอูซึมซับคำพูดหวานหูนั้นเข้าสู่กลางอก สองมือเกาะเกี่ยวไหล่กว้างโอนอ่อนไปตามอ้อมกอดที่รั้งให้แนบชิดกันมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากเล็กที่ปัดป่ายกับริมฝีปากหยักหนาเพียงผิวเผินขยับเอ่ยวาจาแว่วหวานไม่แพ้กัน
 
“ท่านไม่รู้หรอกว่าเรารักท่านมากกว่าที่ท่านคิดไว้มากแค่ไหน แค่รู้ไว้ว่ามากจนไม่เหลือเผื่อไว้ให้ใครนอกจากปาร์คยองจูก็พอ”
 
จุมพิตนุ่มนวลหอมหวานตามติดประโยคนั้นแทบจะทันที สองร่างโอบกอดส่งผ่านความรักผ่านริมฝีปากของกันและกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ว่าจะแลกจูบให้กันมากเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอกับรักที่พวกเขามีให้กันและกันได้เลย
 
 
 
“ตกลงว่า เราจะเอายังไงกับเรื่องขององค์วังชอนซาและองค์ชายจีรยงดีล่ะยองจู?”
 
 
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-


 (ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 28] 21/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 21-09-2016 17:15:17

 
 
“เรื่องเรือรบองค์หญิงอันแฮซูจัดการให้เราเรียบร้อยแล้ว ท่านนายพลซูวอนเตรียมสั่งการให้ทหารไปประจำได้เลย แล้วสั่งให้ขึ้นไปป้องกันน่านน้ำของเชินอันที่ติดกับแคว้นทางเหนือไว้จนกว่าทหารม้าจะเดินทางไปถึง”
 
“โชคดีจริงๆ นะพะย่ะค่ะ ที่องค์หญิงอันแฮซูทำสัญญาการยืมเรือรบของพกซอไว้ ไม่อย่างนั้นเราคงแย่แน่ หลังจากนี้คงต้องเตรียมสร้างเรือรบไว้บ้างแล้ว เป็นเพราะแคว้นเราไม่ติดน่านน้ำมหาสมุทรแท้ๆ ถึงได้ขาดสิ่งนี้” นายพลซูวอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้งนี้ถือว่าเป็นโชคดีของฮานึลที่ฝ่าบาททำสัญญาไว้กับองค์หญิงอันแฮซูที่กระทำความผิดคราวนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนการปล่อยตัวไว้ การขับไล่แคว้นทางเหนือให้เลิกราไปคงไม่ยากเกินไปนัก
 
“อืม ข้าก็คิดไว้เหมือนกัน เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ พวกท่านก็เตรียมส่งรายงานการจัดกองทัพมาให้ข้าพรุ่งนี้เช้าด้วย ...โทซอง เดี๋ยวเจ้าเอาผลสรุปของเดือนที่แล้วไปถวายให้องค์กษัตริย์หลังจากนี้ด้วย”
 
“รับทราบพะย่ะค่ะ”
 
เมื่อรัชทายาททรงลุกขึ้นยืน ทั่วทั้งโถงว่าราชการก็เงียบกริบอีกครั้ง ขุนนางข้าหลวงน้อมส่งนายเหนือหัวจนอีกฝ่ายลับสายตาไป
 
จีรยงออกมายืนอยู่ด้านนอกท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กลายเป็นสีส้มอมแดง ไม่คิดว่าการประชุมในวันนี้จะยาวนานล่วงเลยจนใกล้พลบค่ำ ป่านนี้ใครบางคนที่บอกว่าจะมาทานข้าวเที่ยงด้วยกันคงหลับไปแล้วเป็นแน่
 
เพียงแค่คิดถึงหน้าขาวๆ ที่นอนฟุบหลับคาโต๊ะจนเป็นนิสัยขึ้นมา ริมฝีปากหยักก็ยกยิ้มอยู่กับตนเอง ช่วงขายาวก้าวเดินเร่งจังหวะเร็วขึ้นเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ประตูตำหนักรัชทายาทอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ทว่าปลายเท้าของชายหนุ่มกลับหยุดเดินกะทันหันอยู่กลางสะพานข้ามสระน้ำที่ด้านหน้าตำหนัก
 
สายตาคมเข้มทอดมองไปยังร่างร่างหนึ่งที่นั่งกอดเข่าเขี่ยกิ่งไม้อยู่ริมสระไม่ไกลจากสะพานมากนัก ท่าทางที่เจ้าตัวพยายามจะคว้าดอกซากึมฮาเสียสุดปลายแขนน่ากลัวว่าจะตกลงไปนัก
 
ทันความคิด ช่วงขายาวก็รีบพาตัวเองไปให้ถึงคนร่างบาง พอดีกับที่อีกฝ่ายนั้นเหมือนจะเสียสมดุลจนต้องรีบคว้ายอดหญ้าเอาไว้
 
...คิดได้ยังไงว่ายอดหญ้าจะช่วยชีวิตได้?!
 
เอวเล็กคอดถูกรวบไว้ได้ทันการ
 
“อ่ะ!~...มาแล้วเหรอจีรยง” คนสวยระบายยิ้มกว้างให้เจ้าของอ้อมแขนของคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง มือข้างที่จับไม้อยู่เมื่อครู่ถูกจับให้แบออก
 
“อยากได้ดอกไหนบอกมา ข้าหยิบให้เอง”
 
ซอนอินสั่นศีรษะไปมา เขาขยับตัวให้ลุกนั่งได้ถนัดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีอ้อมกอดของคนด้านหลัง ซ้ำยังอิงแอบแนบกายพิงอกกว้างอย่างน่ารัก
 
“ไม่ได้จะเอาดอกซากึมฮา ข้าแค่จะปัดให้ดอกตรงนั้นมันหลุดจากกกบัว” เรียวนิ้วเล็กชี้ไปที่ดอกไม้สีทองที่ลอยอยู่ใกล้กกบัวขนาดย่อม
 
จีรยงก้มลงมองดวงหน้าคนพูด เขาเห็นว่าสีผิวบนใบหน้าของซอนอินนั้นซีดจัด เจ้าตัวคงใช้เวลานั่งเล่นอยู่ตรงนี้นานพอสมควรแล้ว ฤดูหนาวเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะนั่งเล่นอยู่นอกตำหนัก เขาใช้ปลายนิ้วเกี่ยวทัดปอยผมให้พ้นใบหน้า ก่อนใช้อ้อมแขนกระชับอ้อมกอดมากขึ้นอีกนิด
 
“ทำไมไม่นั่งรอข้าในตำหนัก?”
 
“อยู่ในตำหนักแล้วข้าจะหลับ เลยออกมานั่งดูดอกไม้” เปลือกตาบางหลับลงเมื่อถูกฝ่ามืออุ่นอังใบหน้าอย่างต้องการวัดไข้ให้ ซอนอินปล่อยให้จีรยงลูบไล้ใบหน้าอย่างไม่มีอาการขัดขืน
 
“จริงสิ ครั้งก่อนองค์หญิงอันแฮซูทำลายดอกไม้ที่ข้าให้เจ้าไปแล้ว เจ้าจะเอาใหม่เลยหรือเปล่าล่ะ ข้าจะได้เก็บให้”
 
“ไม่เอาแล้ว ดอกไม้ที่อยู่ตามลำพังมันไม่สวยเลย ไม่เหมือนกับดอกไม้ในสระพวกนี้” ซอนอินตอบทั้งที่ยังหลับตา ความอบอุ่นจากอ้อมกอดและแสงแดดอ่อนๆ ที่ใกล้ลาลับขอบฟ้านั้นช่วยขับให้บรรยากาศที่หนาวเย็นพลันอุ่นขึ้นมา
 
จีรยงหยุดบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้น เขาเกี่ยวเส้นผมนุ่มลื่นเล่นไปมา สายตาทอดมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะมองมันเลย น่าแปลกนักที่ความสวยงามของธรรมชาติสามารถตรึงสายตาได้มากถึงเพียงนี้ จีรยงอดรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยหยุดมองความสวยงามนี้เลยสักครั้ง
 
ไรแสงอ่อนที่ใกล้จะถูกความมืดมิดครอบงำนั้นสวยงามประหลาดตา เหมือนจะร้อนแรงแต่ก็เย็นสงบในเวลาเดียวกัน สวยงาม...แต่ว่างเปล่า เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกน่าทึ่งนัก
 
คนในอ้อมแขนของเขาก็เช่นกัน ช่างเป็นบุรุษที่มีแต่เรื่องให้นึกประหลาดใจอยู่บ่อยครั้งนัก...
 
“พระอาทิตย์ตกแล้ว” เสียงหวานเอ่ยเลื่อนลอย สองมือยังคงเกาะเกี่ยวท่อนแขนหนาที่คล้องกอดอยู่รอบเอว
 
“แต่พระอาทิตย์ของข้ายังฉายแสงอยู่เลย”
 
“..............”
 
ซอนอินรู้สึกเหมือนว่าพระอาทิตย์ยังลอยเด่นอยู่กลางนภา ระหว่างที่ถูกทาบทับริมฝีปาก ความร้อนก็รุมเร้าร่างกายของเขาราวถูกแสงอาทิตย์อาบไล้ไปทุกส่วน อบอุ่นอ่อนโยนจนอยากร้องไห้ ซอนอินเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นตามการชักนำของคนรักอย่างว่าง่าย ไล่ตามไปในทุกจังหวะ เก็บเกี่ยวความหอมหวานของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลกเปลี่ยนหยาดน้ำใสราวคนที่โหยหามานานนักหนา จวบจนรอบกายเหลือเพียงแต่ความมืดมิดของค่ำคืน
 
เสื้อคลุมตัวนอกถูกถอดออกจากเจ้าของแล้วสวมทับให้ร่างเล็กกว่าที่มีเพียงอาภรณ์ตัวบางสวมใส่ จีรยงโอบกระชับไหล่ของซอนอินให้เดินกลับเข้าตำหนักก่อนที่อากาศในฤดูหนาวจะเย็นไปมากกว่านี้
 
ซอนอินนั่งลงที่เตียงของรัชทายาทหนุ่ม
 
“ลองทานดูสิ ข้าเพิ่งหัดทำด้วยตัวเอง” ซอนอินพยักเพยิดหน้าไปยังถาดกระเบื้องที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง
 
“ข้าไม่ชอบขนมหวาน” จบคำพูดนั้นคนสวยก็ขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมาทันที
 
“ข้าอุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้เจ้าเลยนะ” เมื่อยังไม่เห็นทีท่ายอมรับ ซอนอินก็เม้มริมฝีปากแน่น “ชิ้นเดียวก็ได้ ทานสักคำเถอะนะ”
 
“ก็ได้ เจ้าป้อนข้าสิ” จีรยงยกถาดขนมจองเจมาจ่อตรงหน้าคนสวย เขาพาตัวเองลงนั่งข้างกัน “ไม่ใช่มือ ป้อนด้วยปากของเจ้า”
 
ซอนอินตีหน้าขึงขึ้นมาทันที “ไม่ต้องทานแล้วก็ได้!”
 
“ข้าหยอกเจ้าเล่นน่า เอาสิ ป้อนข้าด้วยมือนั่นแหละ” จีรยงฉุดข้อมือเล็กไว้ไม่ให้เจ้าตัวลุกหนีไปไหน ปิดกั้นหนทางบ่ายเบี่ยงด้วยการยื่นใบหน้าเข้าใกล้อีกนิด
 
ซอนอินชั่งใจอยู่เพียงครู่ก็หยิบขนมจองเจสีชมพูส่งให้ริมฝีปากหยักรับไป หากแต่ตอนที่จะชักมือกลับนั้นเอง ปลายนิ้วของตนกลับถูกซี่ฟันคมยึดไว้เสียนี่ ก่อนตามติดด้วยปลายลิ้นร้อนที่แลบเลียข้อนิ้วของเขาอย่างหยอกเย้ากลั่นแกล้ง นิ้วถูกอมเข้าไปถึงข้อแรก ตามมาด้วยแรงกัดไม่เบานัก
 
“หวาน”
 
ไม่รู้ว่าหมายถึงขนมหรืออะไร แต่ทั้งสายตา สีหน้า และคำพูดมันทำให้คนฟังหน้าแดงวาบจนเจ้าตัวยังรู้สึกได้ ซอนอินเสก้มหน้าหลบ มือข้างที่ใช้ป้อนขนมยังถูกยึดไว้ แต่เปลี่ยนจากถูกอมนิ้วเป็นการประทับพรมจูบเบาๆ ที่หลังมือ ตอนนี้นอกจากจะรู้สึกหายใจไม่ทันแล้ว ซอนอินยังรู้สึกเหมือนจะลอยได้อย่างไรชอบกล
 
เพราะว่าเอาแต่หลบตา จึงมารู้สึกตัวว่าถูกจับนอนราบกับฟูกเตียงก็ตอนที่ร่างสูงขยับกายขึ้นทาบทับแล้ว
 
“เป็นอะไรไป หืม?” แม้ไม่ต้องเอ่ยบอก จีรยงก็จับเค้าสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความกังวลบนใบหน้าของร่างบางได้ เขาไล้ปลายนิ้วไปตามข้างรูปหน้าเรียวสวย “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ คิมซอนอิน”
 
ซอนอินส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธที่จะพูด เพราะสิ่งที่เขาคิดไม่อาจเอ่ยบอกอีกฝ่ายได้ ถึงแม้จีรยงจะรู้ว่าเขากำลังปิดบังความรู้สึก แต่เขาก็ไม่อาจเอ่ยบอกด้วยปากของตัวเองได้ เขาจะไม่มีวันทำทุกอย่างพังเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวที่เกิดขึ้นนี้ ...ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ซอนอินก็ไม่อยากเสียจีรยงไปทั้งนั้น
 
“ซอนอิน ข้าอยากฟังความคิดของเจ้า บอกข้ามาให้หมดว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่” ร่างกายของซอนอินเป็นอย่างไร นิสัยของซอนอินเป็นอย่างไร จีรยงรู้จักดียิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จีรยงจะไม่รู้ว่าซอนอินกำลังทุกข์ใจเรื่องใดอยู่ เพียงแต่เขาอยากได้ยินเจ้าตัวพูดออกมาเท่านั้น
 
แสดงให้ข้าเห็น ว่าเจ้ารักข้ามากแค่ไหนซอนอิน...
 
“ข้ากำลังคิด คิดถึงวันที่เจ้าได้ครองราชย์ คิดถึงวันที่เจ้าประสบความสำเร็จในทุกด้าน” ซอนอินไม่ได้หลบตาขณะที่ตนเอ่ยตอบ เขาพยายามแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในสิ่งที่เอ่ยออกมา “...ข้าคิดถึงวันที่เจ้ามีครอบครัวพร้อมหน้าคอยปรนนิบัติรับใช้ ...คิดว่าลูกคนแรกของเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง.....”
 
จีรยงหยุดคำพูดที่พลั่งพรูออกมาจากริมฝีปากบางด้วยการประทับจูบหนักๆ
 
“ข้าให้โอกาสเจ้าพูดอีกครั้งซอนอิน เจ้าอยากให้ข้าตัดสินใจอย่างไร”
 
“ข้าอยากเห็นเจ้าปกครองบ้านเมืองโดยมีคู่ครองยืนอยู่เคียงข้างเจ้า...อึก!...”
 
ริมฝีปากบางถูกกระแทกจูบรุนแรงกว่าครั้งแรก
 
“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ?! เจ้าอยากให้ข้าแต่งงานกับยูนาใช่ไหม?!!”
 
เปล่าเลย ซอนอินไม่ได้อยากให้จีรยงแต่งงานกับใคร ...พอๆ กับที่ไม่อยากรั้งจีรยงไว้กับความพินาศที่ติดตัวของเขาอยู่อย่างนี้ จีรยงจะเลือกหนทางที่ผิดไม่ได้ เขาจะดึงจีรยงลงมาไม่ได้
 
“ข้ารักเจ้านะจีรยง ไม่ว่าเจ้าจะแต่งงานกับใคร ไม่ว่าเจ้าจะมีหญิงสาวมากมายแค่ไหน แต่ข้าก็ยังเป็นคนของเจ้า เป็นคนที่รักเจ้า ดังนั้น ความสำเร็จของเจ้า ข้าเองก็อยากจะมีส่วนผลักดันให้เจ้าไปถึงจุดหมาย”
 
คำตอบที่ได้รับยังผลให้จีรยงกดไหล่บางติดกับที่นอนอย่างรุนแรง เขากดปลายจมูกลงกับซอกคอขาว ใช้ทั้งลิ้นและฟันตอดต้อนผิวเนื้อขาวละเอียดจนแดงก่ำอย่างไร้การทะนุถนอม
 
ซอนอินหลับตาแน่นด้วยความเจ็บ หยาดน้ำตาที่ไม่อาจเก็บกลั้นไหลลงจากหางตาทั้งสองข้าง
 
“เจ้าคิดจะเป็นแค่นางโลมเพื่อข้าอย่างนั้นหรือซอนอิน ทั้งที่ข้าให้ความสำคัญกับเจ้ามากถึงเพียงนี้ แต่เจ้าก็ยัง!” จีรยงสบถในท้ายประโยค ก่อนบีบปลายคางเล็กให้เงยขึ้นรับจูบหนักหน่วงเร่งเร้า มือหยาบใหญ่ฟ่อนเฟ้นเรือนร่างบางผ่านอาภรณ์สีขาวอย่างหยาบโลน ก่อนที่เสื้อผ้าแต่ละชั้นจะถูกทึ้งดึงกระชากออกเผยผิวเนื้อนวลเนียนลื่นมือ
 
จีรยงรู้สึกโกรธอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ เขาหวังว่าซอนอินจะเรียกร้องอะไรกับเขาบ้าง หวังว่าซอนอินจะรักเขามากเกินกว่าจะเห็นใครมายืนเคียงข้างเขาได้ เขาหวังเพียงคำพูดแค่ไม่กี่คำที่จะบอกให้เขามีแต่ซอนอินเพียงคนเดียว...
 
คิมซอนอิน เจ้าไม่คิดที่จะพยายามเพื่อที่จะมีข้าบ้างเลยหรืออย่างไร!
 
.
.
.
 
เข้ายามสองแล้วกว่าที่พายุโหมกระหน่ำในเพศรสจะสิ้นสุดลง ร่างสูงหลับไปแล้ว สองแขนแกร่งโอบกอดร่างผอมบางไว้ไม่ห่างกาย ในความมืดมิดของค่ำคืนนั้น กลับยังมีแสงสะท้อนเล็กจากสองแก้วตาใสที่สะท้อนกับแสงจันทร์อยู่อย่างเงียบๆ
 
ซอนอินนอนไม่หลับ ในหัวมีแต่ความคิดที่วิ่งวนไม่หยุด ซอนอินรู้ว่าจีรยงโกรธและไม่พอใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เช่นเดียวกับจีรยง ที่ไม่รู้ว่าใจจริงแล้วซอนอินต้องการจะบอกอะไรกับเขากันแน่
 
 
 
ซอนอินรักจีรยง
 
 
และจีรยงก็รักซอนอิน
 
 
ทว่า ความรักของพวกเขาแสดงออกไม่เหมือนกัน...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 
เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0)

(http://kimyoonbe.exteen.com/images/chunsa/14330170_1743526355910646_7164399534191287630_n.jpg)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 28] 21/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-09-2016 19:59:18
เศร้าตลอด
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 28] 21/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 21-09-2016 21:36:07
ชีวิตองค์ซอนอิน ช่างเป็น ศาลาคนเศร้า
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 28] 21/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 21-09-2016 22:04:16
ทำไมเศร้า สงสารซอนอินอ่า ฮือ จะมีทางที่ทำให้รักกันอย่างราบรื่น และปกครองบ้านเมืองได้ดีมั้ย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 28] 21/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 23-09-2016 07:04:20
ลุ้นคู่หลักต่อไปปป

แต่คู่รองน่ารักมากกกกกกกกกกกก
 :hao6:
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 29] 26/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 26-09-2016 09:35:22
 

บทที่ 29
 
 
 
รุ่งสางมาเยือนพร้อมอากาศที่เย็นเหยียบจนต้องคว้าร่างอุ่นนุ่มเข้ามาแนบกันมากกว่าเดิม จีรยงโอบกอดซอนอินไว้ด้วยสองแขน ส่งผ่านความอบอุ่นให้เรือนร่างบางได้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
 
จีรยงหลับต่ออีกเพียงครึ่งชั่วยาม เปลือกตาหนาก็ได้ขยับเผยดวงตาของมังกรหนุ่มผู้เก่งกล้า แก้วตารัตติกาลจ้องมองดวงหน้าใสที่อิงซบท่อนแขนของเขาเป็นสิ่งแรกของวัน ริมฝีปากอิ่มสวยยังบวมช้ำจากการถูกจูบหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อคืนนี้ จีรยงลูบกลีบปากสีสดนั้นเบาๆ ก่อนไล่สายตาลงตามช่วงไหล่เนียนไปจนท่อนแขนขาวที่หายลับเข้าไปในผืนผ้าห่ม ทว่าเพียงแค่ส่วนที่โผล่พ้นออกมาจากผวยผ้านี้ก็ทำให้ชายหนุ่มได้เห็นถึงร่องรอยช้ำเป็นจ้ำกระจายอยู่ประปราย
 
เมื่อคืนนี้เขาทำรุนแรงกับซอนอินถึงเพียงนี้เชียวหรือ ความสำนึกผิดเพิ่งได้ก่อตัวขึ้นก็ตอนนี้เอง
 
ข้อนิ้วหนาเกี่ยวเส้นผมสีดำมันเงาที่แผ่สยายให้รวบตกไปยังด้านหลัง หัวไหล่ขาวเนียนดูเป็นประกายต้องสายตามากยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีเส้นผมมาบดบัง จีรยงเลื่อนสายตาวกกลับไปมองดวงหน้าสวยอีกครั้ง เขาเห็นว่าเปลือกตาบางมีอาการบวมเล็กน้อย เมื่อใช้ปลายนิ้วแตะลงที่หางตาก็รู้ได้ว่าซอนอินร้องไห้จนผล็อยหลับไป
 
ร้องไห้อีกแล้ว...
 
จีรยงอยากจะชกปากตัวเองนัก ไม่เพียงแค่ปาก แต่อยากจะชกทุกส่วนของร่างกายที่ทำให้คนสำคัญคนนี้ต้องเสียน้ำตาและทุกข์ใจครั้งแล้วครั้งเล่า ...ชองจีรยง เจ้าจะคาดหวังอะไรกับคนคนนี้นักหนา ทำไมเจ้าจะต้องคาดคั้นซอนอินให้จนมุมด้วย ก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าซอนอินมีนิสัยอย่างไร รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าซอนอินยอมเสียใจดีกว่าที่จะเสียเจ้าไป
 
ซอนอินจะไม่มีวันเรียกร้อง หากเขายังตั้งมั่นที่จะสืบทอดราชบัลลังก์
 
...กษัตริย์ที่ไม่มีชายา ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะปกครองแคว้น
 
ซอนอินรู้ดีถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะรู้ถึงได้ยอมที่จะยืนอยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อเขา...และเพื่อซอนอินเอง
 
ริมฝีปากอุ่นนาบลงกับหน้าผากขาว ก่อนพรมจูบเบาๆ ไล้ลงตามสันจมูกโด่งรั้น
 
“ข้าจะไม่ถามเจ้าให้ช้ำใจอีกว่าเจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใด ข้าจะไม่ฝืนความรู้สึกของเจ้าอีกแล้ว ข้าจะอภิเษกสมรสหรือไม่ ไม่สำคัญอะไรเท่ากับเจ้า หากข้าอภิเษกสมรสเจ้าก็เสียใจ หากข้าทิ้งมงกุฎเจ้าก็เสียใจอีก ...ซอนอินของข้า... ข้าจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับเราสองคน เพราะฉะนั้น ระหว่างนี้เจ้าช่วยเข้มแข็งหน่อยจะได้ไหม เข้มแข็งเพื่อข้าและเพื่อตัวเจ้าเอง”
 
จีรยงลูบผิวแก้มคนที่ยังอยู่ในห้วงนิทราอย่างแสนรักใคร่
 
 
“เจ้าแค่อยู่ตรงนี้ มองแต่ข้า รักเพียงข้า ที่เหลือนอกจากนี้ให้เป็นข้าเองที่ทำเพื่อเจ้า”
.
.
.
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา สาส์นท้ารบฉบับหนึ่งจากแคว้นทางเหนือได้ถูกส่งมายังฮานึล จีรยงตัดสินใจตอบรับทันทีด้วยคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ ทหารกองพลก็ได้จัดเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว การทำศึกครั้งนี้ไม่ใช่สงครามครั้งใหญ่มากมายนัก แต่ก็ไม่อาจละเลยได้ แคว้นทางเหนือยังไม่มีการแก่งแย่งชิงแคว้นกันอย่างจริงจัง ดังนั้นแต่ละแคว้นก็ยังคงรักษาเขตแดนของตนเองอย่างสันโดษ การที่แคว้นใดแคว้นหนึ่งท้ารบกับเมืองอื่นนั้นหากไม่มีศักยภาพจริงคงทำไม่ได้ เพราะนอกจากจะไม่มีใครคอยช่วยหนุนหลังแล้ว ยังต้องใช้ประชากรของตนเองให้คุ้มค่าที่สุดด้วย จีรยงทราบมาว่าแคว้นทางเหนือ ‘แฮอัน’ นั้นมีผู้นำที่เยาว์ชันษากว่าตน แต่กลับเก่งกาจเกินตัวนัก จากที่สืบรู้มา ดูเหมือนว่าผู้นำคนนี้ได้จัดการเรื่องทุพภิกขภัยได้อย่างน่ายกย่อง เพียงครึ่งปีชาวบ้านที่คลาดแคลนอาหารก็ได้ฟื้นตัวระบบการเกษตรใหม่อีกครั้งหลังจากถูกพายุมหาสมุทรทำลายมานานกว่าสองปี เป็นแคว้นที่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
 
จีรยงออกตัวว่าจะร่วมศึกครั้งนี้ด้วย ใช้กองทัพที่สามและสี่เป็นแกนนำ ส่วนกองทัพที่เจ็ดของพระองค์นั้นจะคอยหนุนหลังเป็นกองกำลังเสริมอีกที
 
ในการเดินทางครั้งนี้ยังมีอีกผู้หนึ่งที่จะเข้าร่วมด้วย นั่นก็คือราชครูปาร์คยองจู เนื่องจากเป็นน่านน้ำของเชินอันจึงจำเป็นต้องมีกุนซือคอยชี้ทางที่ดีที่สุดในการวางแผนรบ ทันทีที่ฮีอูรู้เรื่องนี้เข้าก็ถึงกับหมกมุ่นปรุงยาให้คนรักเก็บติดตัวไว้เป็นการใหญ่
 
 
“อันนี้แก้ไข้หวัดทั่วไป แต่ถ้าหากท่านเป็นไข้ป่า ท่านต้องทานนี่ กับนี่ แล้วก็นี่ เข้าไปด้วยรู้ไหม” มือเล็กจัดการหยิบกระปุกยานับสิบลงในห่อผ้าที่ดูจะใหญ่เกินกว่าจะนำติดตัวไปออกรบของชายหนุ่ม
 
“แล้วถ้าหากท่านน้ำมูกไหลเพราะอากาศเย็นล่ะก็ ต้องดื่มโสมผสมน้ำผึ้งในขวดนี้นะ” ดวงหน้าขาววุ่นวายอยู่กับการหันซ้ายทีขวาทีจนผมเผ้ายุ่งเหยิงนั้นเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับชูขวดน้ำที่ทำจากไม้เนื้อดี กำลังจะอธิบายสรรพคุณเพิ่มเติม จู่ๆ คนตัวสูงก็ลุกพรวดเดินจ้ำอ้าวเข้ามาคว้าเอวไว้แล้วลากลงมานั่งด้วยกันบนเตียง
 
ฮีอูที่ถูกจับนั่งลงบนตักของร่างสูงเอียงศีรษะเล็กน้อยเหมือนรู้ใจยามที่ริมฝีปากอุ่นนั้นแนบลงที่ข้างแก้ม
 
“แล้วถ้าหากข้าเป็นไข้ ‘คิดถึงฮีอู’ ล่ะ จะทำเช่นไร มียาให้ข้าทานหรือเปล่า”
 
เจ้าจิ้งจอกตัวโตนี่นิสัยต่างจากบุคลิกเสียจริง! ฮีอูแอบเหน็บแนมราชครูหนุ่มในใจ นึกจะพูดจาหวานหูก็พูดออกมาดื้อๆ ทั้งที่ปกติออกจะเย็นชานิ่งขรึมเสียขนาดนั้นแท้ๆ ปาร์คยองจูเป็นผู้ชายที่ดูแค่ภายนอกไม่ออกเลยจริงๆ
 
ฮีอูขยับตัวให้หันไปมองหน้าเจ้าของตักได้ถนัดขึ้น “ยาทานไม่มีหรอก มีแต่ยาป้องกัน!” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็จัดการยื่นริมฝีปากนุ่มๆ เข้าประทับจูบเป็นการป้อนยาป้องกันโรคหวัดที่ว่านั่นเสียชุดใหญ่ กะเอาให้อีกฝ่ายหมดลมหายใจกันไปข้าง
 
จูบกันไปจูบกันมา ร่างกายที่แนบชิดก็เริ่มอ่อนระทวยต่อบรรยากาศ ขณะที่ปลายลิ้นและริมฝีปากยังแนบสนิทกัน ร่างของคนทั้งสองก็เอนลงกับที่นอนหนา แต่ถึงแม้ว่าระดับการจูบจะเร่งเร้ามากขึ้นเป็นเท่าตัว ทว่าคนตัวสูงก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดตอบสนองนอกไปจากการแทรกปลายนิ้วผ่านเรือนผมเส้นเล็กอยู่แค่นั้น
 
“อืม...” ฮีอูครางทรมานอยู่ในลำคอ อารมณ์ตอนนี้ของร่างเล็กนั้นปั่นป่วนจนเหมือนอะไรในกายจะระเบิดออกมาเสียให้ได้หากไม่ได้รับการปลุกเร้ามากกว่านี้ แน่นอนว่าร่างกายของฮีอูไวต่อการถูกสัมผัสมากเป็นพิเศษ เพราะการขึ้นเตียงครั้งแรกกับองค์ชายใหญ่นั้นเป็นประสบการณ์ที่ถือว่าเริ่มต้นเร็วกว่าวัยนัก ซ้ำฝีมือการฝึกสอนขององค์ชายใหญ่เก่งกาจเสียขนาดนั้น ย่อมทำให้ร่างกายของฮีอูจดจำและอ่อนไหวได้อย่างง่ายดาย
 
ยากเกินจะสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน หากแต่ท่าทีของอีกฝ่ายที่ไม่คิดจะรุกไล่ ฮีอูก็ไม่ด้านพอจะเป็นฝ่ายเริ่ม ร่างเล็กผละจูบออกมาด้วยสีหน้าแดงก่ำ ลมหายใจหอบกระชั้นติดขัด ฮีอูนั่งคร่อมร่างของยองจูอยู่หลายอึดใจเพื่อระงับสติไม่ให้เตลิดไปไกลแล้วถึงค่อยขยับลงมานั่งบนฟูกเตียงข้างๆ คนตัวสูง
 
“พรุ่งนี้ท่านต้องออกเดินทางแต่รุ่งสางเลยใช่ไหม?”
 
“อืม ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน จึงจำเป็นต้องรีบเร่ง”
 
ศีรษะเล็กพยักหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปจัดสัมภาระให้ยองจูต่อ
 
ช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกนั้น คนที่ไม่ได้แวะเวียนมาที่ตำหนักของคุณชายฮีอูมาได้พักใหญ่นั้นกลับเดินทางมาหาถึงที่ พร้อมขบวนทหารติดตามสมตำแหน่ง
 
“องค์ชายจีรยง” ฮีอูออกมายืนตอนรับที่ด้านหน้าตำหนักพร้อมกับยองจู
 
“ไม่ต้องมากพิธี” เขาปัดมือไล่สาวใช้ ก่อนเดินนำเจ้าของตำหนักเข้าไปยังด้านใน ชายหนุ่มสะบัดชายชุดทรงก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้รับรอง เมื่อคนทั้งสองนั่งลงตามแล้ว เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่รอช้า “ฮีอู ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนซอนอินได้ไหม นอนที่ตำหนักนั้นเลยยิ่งดี ข้ากลัวใจของเสด็จย่านัก เวลานี้เห็นแก่ข้าถึงไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับซอนอิน แต่หากข้าไม่อยู่ไม่รู้ว่าพระนางจะไปที่ตำหนักโยกันหรือไม่”
 
ตั้งแต่ที่เริ่มมีการพูดถึงเรื่องอภิเษกสมรส จีรยงก็หาได้นิ่งนอนใจไม่ ชายหนุ่มคัดค้านคำของเสด็จย่าทันที ทว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สูงวัยกว่า ซ้ำยังมีศักดิ์เป็นถึงพระมารดาขององค์กษัตริย์ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อีกฝ่ายจะยอมฟังความของหลานชาย แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีการตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ แต่หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดก็คงค้างคากันไม่มีวันจบแน่ แล้วยิ่งยูนาเองยังเชื่อฟังเสด็จย่าด้วยแล้ว ยากนักที่จะหาเหตุผลดีๆ มายุติความต้องการนี้
 
เมื่ออาทิตย์ก่อน หลังจากที่เขาได้คาดคั้นซอนอินไป สุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าตนเองทำอะไรไม่คิด จึงได้ตัดสินใจไปคุยกับเสด็จย่าว่าตนแต่งงานกับใครไม่ได้ทั้งนั้น พอพูดไปอย่างนั้นกลับโดนสวนกลับมาว่าเป็นเพราะคิมซอนอินที่ทำให้เขาต่อต้านพระนาง ได้ฟังเช่นนั้นแล้วจีรยงก็กังวลใจขึ้นมา เสด็จย่ารู้ทันเขา... เขาเอ่ยดักทางฝ่ายนั้นไม่ให้ไปยุ่งกับซอนอิน แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมฟังไหม ตอนนี้เขายังเป็นแค่รัชทายาท อำนาจในมือมีแค่เรื่องการเมืองเท่านั้น ถึงอย่างไรพระแม่เจ้าก็เป็นผู้ที่ปกครองอาณาเขตวังหลังไว้ทั้งหมด ใครจะอยู่หรือไป ผู้ใดทำอะไร ล้วนอยู่ในสายพระเนตรของเสด็จย่าทั้งสิ้น
 
“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัยอันใดเลย หม่อมฉันจะอยู่เป็นเพื่อนองค์วังชอนซาจนกว่าฝ่าบาทจะเสด็จกลับ”
 
เมื่อได้รับคำมั่นจากฮีอูเช่นนี้ จีรยงก็ค่อยเบาใจ
 
“แต่ว่า...” ฮีอูขมวดคิ้วยุ่ง “ฝ่าบาทไม่คิดจะอยู่รอจนกว่าองค์วังชอนซาจะเดินทางกลับจากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อนหรือ?”
 
ทุกกลางเดือน เป็นเวลาสี่วัน องค์วังชอนซามีหน้าที่ที่จะต้องไปที่มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ใกล้กับวังหลวงของฮานึลเพื่อทำพิธีสวดสรรเสริญขอพรองค์เทพเจ้าทงซกเป็นประจำ
 
ตอนนี้ซอนอินไปที่มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้สองวันแล้ว
 
“ข้าจะเดินทางไปพร้อมกองพลทหารชุดสุดท้ายในวันพรุ่ง ไปถึงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หากจบจากศึกนี้แล้วแคว้นเราคงได้อยู่อย่างสงบไปอีกนานพอควร” เป็นอย่างที่จีรยงว่าไว้ไม่ผิด หากศึกนี้ฮานึลชนะอย่างไม่สูญเสียมากนัก แคว้นอื่นๆ ที่อยู่รายล้อมจะเกิดความเกรงกลัวในอำนาจของฮานึล กว่าที่จะมีผู้ใดคิดสู้ขึ้นมาอีกก็คงผ่านไปอีกหลายสิบปีแล้ว
 
จีรยงอยู่คุยกับฮีอู และนัดหมายการเดินทางกับยองจูไม่นานนักก็เดินออกจากตำหนักไป
 

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 29] 26/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 26-09-2016 09:35:58
 
 
 
ก่อนจะหมดวัน จีรยงได้แวะไปหาองค์กษัตริย์ฮวาจีผู้เป็นพระบิดาที่ตำหนักหลวง
 
 
แสงสลัวภายในห้องบรรทมขององค์กษัตริย์แห่งฮานึลชวนให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงกาลเวลาที่ต่างออกไปจากเดิม เจ้าของเรือนร่างสูงสง่าภายใต้อาภรณ์สีทองอร่ามซึ่งถูกปักเย็บด้วยเส้นด้ายเนื้อดีลวดลายมังกรตัวใหญ่ก้าวย่างไปยังแท่นบรรทมของผู้เป็นพระบิดา
 
กว่าสองเดือนแล้วที่จีรยงพบว่าเสด็จพ่อของตนเอาแต่นอนซมไม่ทรงประสงค์ทำสิ่งใด ทั้งโอสถและพระกระยาหารไม่ใคร่เสวยสักเท่าใดนัก ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่เป็นนิจเวลานี้ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ความกังวลก่อตัวขึ้นในจิตใจของรัชทายาทหนุ่มไม่เว้นแต่ละวันยามที่เห็นเสด็จพ่ออ่อนแรงลงทุกครั้งที่มาเยี่ยม
 
เก้าอี้ที่ไม่เคยถูกจับย้ายห่างจากข้างเตียงถูกชายหนุ่มร่างสูงรั้งเข้ามานั่ง
 
“เสด็จพ่อ ทรงทานยาหน่อยเถอะพะย่ะค่ะ อย่าทรงทรมานตนเองเช่นนี้เลย” จีรยงวนช้อนในถ้วยกระเบื้องที่รับมาจากแพทย์หลวงประจำตัวสองสามครั้ง ก่อนเอ่ยแกมวอนขอต่อผู้เป็นพ่อ “จู่ๆ เสด็จพ่อก็ดื้อขึ้นมาอย่างนี้ หม่อมฉันเป็นห่วงนัก เสด็จพ่อทราบหรือไม่ว่าร่างกายของเสด็จพ่ออ่อนแอลงมากเพียงไร เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังท่านหมอหลวง พิษจากดอกอังฮวา หากเว้นระยะการรักษาจะทำให้ไม่สามารถรักษาสมดุลของธาตุในกายได้นะพะย่ะค่ะ”
 
เรียวหน้าขาวซูบตอบ ทว่ายังคงเค้าของความเป็นบุรุษรูปงามระบายรอยยิ้มบางคล้ายฝืนทน นัยน์ตาอ่อนแสงไร้แววประกายสุกใสหลุบลงเชื่องช้า ก่อนลืมขึ้นทอดสายตาไปไกลไร้จุดหมาย สุรเสียงแหบแห้งเอื้อนเอ่ยราวกับกำลังพร่ำรำพึงกับตนเอง
 
“ชองฮวาจีมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันนี้นับว่านานเกินกว่าที่คิดไว้นัก”
 
“เสด็จพ่อตรัสเช่นนั้นได้อย่างไรกัน...”
 
“หึ พ่อจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะจีรยง ความเป็นจริงที่พ่อพยายามปกปิดมาโดยตลอด คือการที่หัวใจและวิญญาณของพ่อได้ตายจากไปตั้งแต่วันที่พ่อได้ขึ้นครองราชย์ สิ่งที่เจ้าและใครๆ ต่างเห็นอยู่นี้ คือชองฮวาจีที่มีแต่เพียงร่างกายและสามัญสำนึกในหน้าที่เท่านั้นเอง ตัวตนจริงๆ ของพ่อได้ตายจากไปนานแล้ว”
 
คำพูดเลื่อนลอยไร้เหตุผล เป็นครั้งแรกที่คนเป็นลูกเพิ่งเคยได้รับฟัง
 
“เสด็จพ่อทรงกล่าวไร้สาระ ...ตายจากไปที่ไหนกัน อย่าทรงล้อเล่นกับหม่อมฉันให้มากนักเลย” จีรยงพยายามปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่เพิ่งได้ฟังนี้เป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ
 
ชองฮวาจีหันศีรษะมองลูกชาย เขาวาดรอยยิ้มแบบที่จีรยงเห็นแล้วรู้สึกทรมานหัวใจนัก มือผอมแห้งยกขึ้นวางทาบบนหลังมือของเด็กหนุ่มแล้วกำไว้หลวมๆ
 
“ความหมายของพ่อ สักวันเจ้าจะเข้าใจ”
 
มีหลายครั้งที่จีรยงสะกิดใจในคำพูดของผู้เป็นพ่อ หลายครั้งที่เขาเกี่ยวโยงเรื่องราวขององค์กษัตริย์ฮานึลและเชินอันเข้าด้วยกัน ศึกรบระหว่างสองแคว้นเมื่อครั้งก่อนเกิดอะไรขึ้นนั้นชายหนุ่มเริ่มจะจับความอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว เหลือก็แต่รอให้อีกฝ่ายเปิดเผยให้ฟังเท่านั้น ทว่าหากปล่อยให้เวลาผ่านไปเช่นนี้ก็เกรงว่าจนถึงวินาทีสุดท้ายของเส้นชีวิต พ่อของตนอาจจะจบทุกความทรงจำนั้นลงไปพร้อมกับลมหายใจก็เป็นได้
 
จีรยงวางถ้วยยาลงที่โต๊ะเล็กเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าคนบนเตียงจะสนใจทาน ชายหนุ่มล้วงหยิบห่ออะไรบางอย่างจากอกเสื้อ
 
“ความหมายของเสด็จพ่อ คือสิ่งนี้ใช่หรือไม่”
 
ห่อผ้าแพรลื่นมือสีเหลืองถูกคลี่ออกเผยให้เห็นสร้อยคอที่ทำจากเชือกหนังอย่างดี สิ่งที่สะดุดตาคนมองครั้งแรกคือจี้หยกแบนเรียบไร้ลวดลาย แต่เมื่อมือขาวบางเอื้อมหยิบสร้อยเส้นนั้นจากมือของลูกชายขึ้นมาก็ได้เผยให้เห็นที่ด้านหลังตัวหยกซึ่งมีลายสลักอักษรฮันจาสองคำ มีความหมายตรงกับพระนามขององค์กษัตริย์ฮานึลองค์ปัจจุบัน ‘ฮวาจี’
 
ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ได้ว่าคนทั้งสองนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน จีรยงเห็นสร้อยเส้นนี้นอนนิ่งอยู่ในอุ้งมือของกษัตริย์เชินอันตอนที่เขาวิ่งไปห้ามซอนอินไม่ให้ทำร้ายตัวเอง ร่างไร้วิญญาณนั้นถูกแยกระหว่างกายกับศีรษะ หากแต่รูปแบบการกำสร้อยคอไว้ในอุ้งมือนั้นราวกับว่าเจ้าตัวจงใจให้ใครสักคนได้เห็นถึงวัตถุชิ้นนี้ในฝ่ามือของตน และจีรยงก็ได้เห็นมันก่อนจะเก็บกลับมา
 
ตัดสินใจอยู่นานกว่าจะนำสิ่งนี้มาให้เสด็จพ่อ เพราะถ้าปล่อยให้พูดออกมาเอง เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้
 
“เสด็จพ่อ...” แววตาสีอ่อนที่สลดวูบยามจ้องมองจี้หยกทำให้คนเป็นลูกต้องเอ่ยเรียกเบาๆ แต่แล้วจีรยงก็ตัดสินใจเงียบเสียงลง
 
ฮวาจีใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าที่หยดน้ำตาที่เอ่อคลอม่านตาจะสลายหายไป เหลือเพียงแต่เค้าร่องรอยของความเสียใจในดวงตาที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อย
 
“จีรยง เจ้าช่วยใส่ให้พ่อได้ไหม” แม้น้ำเสียงจะยังคงนิ่งเรียบ แต่คนฟังก็ยังรู้สึกได้ว่าเสียงที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีซีดคู่บางนี้สั่นเครือเล็กน้อย
 
จีรยงประคองแผ่นหลังแบบบางให้พิงหัวเตียง ก่อนบรรจงสวมสร้อยที่มีเพียงจี้หยกคล้องอยู่ให้กับเสด็จพ่อ
 
“เสด็จพ่อกับกษัตริย์อุนเซ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร บอกลูกได้ไหมพะย่ะค่ะ”
 
“หากเจ้าเลือกที่จะเดินอยู่บนเส้นขนานระหว่างกัน วาจาหนึ่งคำที่ข้าให้เจ้าได้ก็มีเพียง ‘เวลา’ เท่านั้น”
 
ประโยคดังกล่าวเรียกให้เรียวคิ้วหนากดลึกอย่างใช้ความคิด ฮวาจีงมองสีหน้าของลูกชาย ก่อนเอ่ยต่อไป “พ่อไม่จำเป็นต้องบอกเจ้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับอุนเซหรอกใช่ไหม” แน่นอนว่าจีรยงคาดเดาคำตอบได้เองแล้วตั้งแต่เห็นจี้หยก เมื่อเห็นลูกชายพยักหน้ารับ กษัตริย์ฮวาจีก็ยิ้มให้บางๆ “ประโยคเมื่อครู่นี้ เป็นประโยคสุดท้ายที่พ่อได้ฟังจากคนผู้นั้น ในฐานะของคิมอุนเซและชองฮวาจี ไม่ใช่รัชทายาทจากแคว้นใด ...หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ พ่อก็ขึ้นครองราชย์ทันที และมีเจ้าในเวลาต่อมา จนกระทั่งเจ้าอายุได้ห้าขวบเศษ ฮานึลและเชินอันก็ได้ประกาศทำสงครามกันอย่างเป็นทางการ ทั้งพ่อและอุนเซต่างบาดเจ็บสาหัสไม่แพ้กัน ความจริงแล้ว พ่อเองอาจจะต้องจบชีวิตไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ หากอุนเซไม่ประกาศเลิกทัพกะทันหัน ...นั่นเป็นทั้งหมดที่เจ้าอยากรู้มาตลอด เหตุผลที่พ่อไม่คิดจะทำศึกกับเชินอันอีกก็เพราะหนี้ชีวิตครั้งนั้น”
 
ร่างผ่ายผอมระบายลมหายใจบางเบา ขณะที่สายตาเหลือบขึ้นมองใบหน้าคมเข้มของลูกชาย
 
“แต่มันก็เหมือนเป็นโชคชะตา ที่เจ้าไปลักพาตัวบุตรชายของอุนเซ...”
 
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าเสด็จพ่อเป็นหนี้ชีวิตกษัตริย์อุนเซ” เมื่อได้ฟังข้อเท็จจริง จีรยงก็รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ เพราะสาเหตุของเรื่องราวที่เป็นอยู่นี้ ทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นจากวันที่เขาไปลักพาตัวซอนอินมาที่ฮานึล
 
“ถึงเจ้าไม่เริ่มตั้งตัวก่อสงคราม สักวันข้างหน้าฮานึลและเชินอันก็ต้องปะทะกันอยู่ดี จะช้าหรือเร็วเท่านั้น...อย่างที่อุนเซเคยบอกไว้ หากพ่อเลือกหนทางนี้ สิ่งที่กั้นกลางระหว่างพ่อและเขาก็คือเวลา...”
 
ฮวาจีนึกย้อนไปถึงช่วงเวลายาวนานที่ผ่านพ้นมา
 
‘เวลา’ ที่อุนเซเคยบอกนั้นเป็นคำพูดที่กรีดลึกลงในหัวใจของเขาแทบทุกวัน ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีแต่กาลเวลาเท่านั้นที่ดำเนินไปไม่หยุด เฉกเช่นความรู้สึกของเขาที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะผ่านคืนวันมาเนิ่นนาน รวมถึงความเจ็บปวดเสียใจที่ต้องทนกับช่วงเวลาเหล่านี้อย่างไม่มีสิ้นสุด
 
มือซีดขาวอมโรคยกขึ้นทาบจี้หยก ...ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าเองก็เจ็บปวดไม่แพ้ข้าใช่ไหม คิมอุนเซ...
 
จีรยงหยุดคิดทบทวนคำถามอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจเอ่ยด้วยความสงสัย “ไยเสด็จพ่อถึงเลือกครองราชย์  ในเมื่อเสด็จพ่อเองก็ยังมีใจให้อีกฝ่ายอยู่เช่นนี้”
 
“เวลานั้นพ่อเด็กกว่าเจ้านักจีรยง ความสัมพันธ์ที่มากเกินกว่าจะเข้าใจระหว่างพ่อกับอุนเซเหมือนเป็นแค่เรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเพียงความฝันที่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความจริง ทุกอย่างที่พ่อต้องทำล้วนเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น ภาระหน้าที่ทุกอย่างตกอยู่ที่พ่อทันทีที่เสด็จปู่ของเจ้าสวรรคต สิ่งที่พ่อทำได้และต้องทำก็คือการสืบทอดราชบัลลังก์ให้ฮานึลคงอยู่ต่อไป”
 
ภาระหน้าที่ คำคำนี้ช่างบาดลึกลงในหัวใจของจีรยงนัก
 
“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ว่าแต่เจ้าจะตัดสินใจเช่นไร หืม จีรยง?” คำถามของผู้เป็นพ่อไม่ต้องขยายความให้ยืดเยื้อจีรยงก็รู้ว่าพระองค์ทรงถามถึงสิ่งใด
 
การแต่งตั้งชายา...
 
“เรื่องนั้นลูกตัดสินใจได้แล้ว เพียงแต่หนทางอาจจะยากสักหน่อย”
 
ได้ฟังคำตอบจากบุตรชาย คนเป็นพ่อก็ได้แต่ยิ้มฝืดฝืน “พ่อเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้ข้องแวะกับวังชอนซาให้มากนัก พอมาถึงตอนนี้คิดจะถอนตัวเจ้าก็ทำไม่ได้แล้ว อย่าว่าแต่แต่งตั้งชายาเลย หากคิมซอนอินยังอยู่ในตำแหน่งของวังชอนซาเช่นนี้ แม้แต่ตำแหน่งของนางสนมนางบำเรอเจ้าก็แต่งตั้งให้คนผู้นั้นไม่ได้ ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของพวกเจ้านั้นเป็นความผิดบาปต่อแรงศรัทธาของผู้คนทั้งแผ่นดิน หากเจ้ายังคิดจะดำเนินความสัมพันธ์เช่นนี้ต่อไป ก็มีแต่จะต้องปกปิดเป็นความลับอยู่อย่างนี้เท่านั้น ...และมันก็อาจจะทำร้ายทั้งเจ้าและคิมซอนอินด้วย”
 
ซอนอินเป็นชาย เรื่องนี้เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยกตำแหน่งให้ยืนเคียงข้างเขาได้ ซ้ำคนที่เขาเลือกให้เป็นหนึ่งเดียวคนนี้ยังมีตำแหน่งวังชอนซาที่นักบวชชินซองยัดเยียดให้คล้องคออยู่อย่างแน่นหนาอีก ไม่ต่างจากการถูกล่ามโซ่ไม่ให้ออกไปไหนเลยสักนิดเดียว
 
การหยุดความสัมพันธ์กับซอนอินเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่างแน่นอน และการขึ้นครองราชย์ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจละทิ้งได้เช่นกัน
 
การแต่งชายาไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา จีรยงมีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวนางใดก็ให้ได้แค่ความใคร่ทางร่างกายกับเขาเท่านั้น ไม่มีผู้ใดพิเศษไปกว่ากัน ไม่มีคนไหนที่อยู่เหนือคิมซอนอินของเขาได้แม้สักคนเดียว
 
“เสด็จพ่อไม่ต้องกังวลไป ถึงอย่างไรลูกก็จักขึ้นครองราชย์ต่อจากเสด็จพ่อแน่ ส่วนเรื่องนี้ ลูกจะจัดการเอง ไม่ว่าเสด็จย่าจะว่าอย่างไรก็ไม่มีวันบังคับลูกได้”
 
ภายในใจลึกๆ ของฮวาจีแล้ว เขาคาดหวังในตัวของบุตรชายคนนี้ไว้มาก ถึงจะเห็นแก่ความสำคัญต่อความรู้สึกของลูกชายมากมายเพียงไร แต่ฮวาจีก็หวังให้ลูกคนนี้ได้เป็นกษัตริย์สืบทอดบัลลังก์ต่อจากเขา เมื่อได้รับคำมั่นจากเด็กหนุ่มว่าจะไม่ทิ้งแคว้นเช่นนี้ฮวาจีก็ค่อยเบาใจ
 
“เจ้าจะทำอะไรก็คิดให้ดีแล้วกัน พ่อเชื่อในการตัดสินใจของเจ้า ถ้าเจ้าเลือกคิมซอนอินแล้ว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจเป็นอันขาด ครั้งที่พ่อได้เจอครั้งแรก เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า แล้วตอนนี้ยังไม่มีที่ให้อยู่ ซ้ำพ่อก็มาตายจาก จีรยง เจ้าต้องเป็นที่พึ่งให้กับคิมซอนอิน รู้ไหม ...ในเมื่อเลือกเขา ก็จงดูแลให้ดีที่สุด”
 
“ลูกทราบแล้ว”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
ไม่มีสมาธิเลย
 
ซอนอินพยายามตั้งใจกับบทสวดที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าคล้ายท่วงทำนองของบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์ กว่าสองร้อยยี่สิบหน้าที่ต้องอ่านให้จบก่อนตะวันลาลับฑิฆัมพร แต่สมาธิของซอนอินกลับไม่ได้จดจ่อในตัวอักษรละลานตาเหล่านั้นเลย ทั้งที่ก็รู้ว่ากลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันอยู่ดี จีรยงออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ทั้งอย่างนั้น ซอนอินก็อยากจะรีบกลับไปที่ตำหนัก อยากไปอยู่ในที่ที่จะรับรู้ได้ถึงตัวตนของฝ่ายนั้น แม้จะเป็นเพียงมวลอากาศและภาพความทรงจำก็ตามที
 
สวรรค์ รับฟังคำขอพรทั้งหมดนี้ของข้าเพื่อปกป้องคุ้มครองชองจีรยงด้วยเถิด
 
ถึงแม้จะรู้สึกผิดต่อผู้คนที่เข้าร่วมพิธี แต่ตอนนี้ซอนอินขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง ขอให้พรของเขาในคราวนี้ส่งผลให้ชองจีรยงได้รับเพียงคนเดียวเท่านั้น
 
.
.
.
 
 
“องค์วังชอนซาทรงรักษาวรกายด้วย” กลุ่มนักบวชที่เข้าร่วมการสวดพากันบอกลาร่างบางที่ไม่ต้องเดินทางกลับเผ่าชินซองเหมือนคนอื่นๆ ซอนอินยืนส่งคณะนักบวชจนภายในห้องโถงกว้างของวิหารศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงเขาคนเดียว
 
บรรยากาศเงียบสงบทำให้ซอนอินเผลอนิ่งคิดอะไรไปคนเดียวอยู่นาน ก่อนที่สายตาจะสังเกตเห็นปุยหิมะแรกของฤดูกาลร่วงหล่นลงจากม่านฟ้าผ่านบานหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกหลากสี
 
ต้องเปลี่ยนชุด คำสั่งการดังขึ้นในหัว ซอนอินละสายตาจากรูปสลักองค์เทพทงซกเบื้องหน้าแล้วเดินไปยังประตูด้านข้าง ถัดจากโถงกว้างที่ใช้ทำพิธีออกไปด้านหน้านั้นถูกกั้นด้วยกำแพงหินหนา โทซองและกึมซองรอรับอยู่ในที่ตรงนั้น
 
ซอนอินเปลี่ยนชุดสีเงินสว่างที่ทำจากเส้นไหมคุณลักษณะพิเศษแบบที่เมื่อต้องแสงแล้วจะเกิดประกายเลื่อมสีสันนับเจ็ดสีคล้ายสายรุ้งกลางแดดส่องระยิบระยับ ผลัดเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ขาวประจำตัวอยู่หลายนาทีจนสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ชิ้นสุดท้ายเพื่อกันความหนาวเย็นของอากาศภายนอก
 
ซอนอินเก็บอุปกรณ์ของใช้ทุกอย่างไว้ในหีบที่ตั้งอยู่ชิดผนังห้อง มือเรียวจัดการลงกลอนจนแน่นหนาแล้วจึงหมุนกายเตรียมจะเดินออกจากห้องขนาดเล็ก ตอนที่หันตัวไปนั้นเอง จู่ๆ ก็มีชายสวมผ้าคลุมหน้าสีดำสองคนพุ่งเข้ามาจับตัวของเขาไว้ สติที่ตื่นตัวยังไม่ทันได้ทำงานมากไปกว่าความตกใจก็พลันวูบดับลงเพราะอะไรบางอย่างที่มากับผ้าปิดปาก
 
ร่างของซอนอินทรุดลงในวงแขนของบุรุษลึกลับ
 
“พาตัวไปเร็วเข้า” เสียงทุ้มใหญ่ของชายที่ตัวสูงกว่าเอ่ยสั่งความเร่งผู้ร่วมกระทำ
 
 
 
อีกด้านหนึ่ง โทซองที่จับความผิดปกติระยะเวลาการเปลี่ยนอาภรณ์ของวังชอนซาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปที่ด้านในห้องโถง เขาสั่งให้กึมซองวิ่งไปเคาะที่ประตูห้องด้านข้าง เคาะเรียกอยู่สามครั้งจนมั่นใจว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่
 
ประตูไม้เนื้อดีถูกเด็กหนุ่มสองคนช่วยกันพังเข้าไปในเวลาไม่นาน
 
ห้องเล็กๆ ที่ไร้ประตูอื่นใดว่างโล่ง หีบเก็บสัมภาระถูกลงกลอนแน่นหนาบ่งบอกว่าวังชอนซาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้องค์วังชอนซาอยู่ที่ใดกันเล่า?!
 
“กึมซอง เจ้ารีบออกไปทางประตูหลังวิหารเร็วเข้า ข้าจะวิ่งไปดูที่เนินเขาด้านข้าง”
 
“ได้ ข้าจะวิ่งไปดูจนถึงหน้าผาเลย” เด็กหนุ่มรับคำหนักแน่นแล้วรีบพาตัวเองออกมาจากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่บนเนินภูเขา
 
แต่กว่าที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะรู้ตัวว่าเกิดเรื่องขึ้นกับวังชอนซา ชายลึกลับในชุดดำก็ได้พาร่างหมดสติของวิหคเพลิงไปถึงปลายหน้าผาแล้ว
 
เสียงสายน้ำที่ไหลเชื่อมต่อมาจากน้ำตกขนาดใหญ่ภายในป่าลึกดังสะท้อนก้องหน้าผาทั้งสองฝั่ง ธารากว้างใหญ่เบื้องล่างไหลเชี่ยวกราดอย่างน่ากลัว
 
ความสูงขนาดนี้หากตกลงไปในน้ำก็คงไม่ตาย หากแต่แม่น้ำเชี่ยวกราดขนาดนี้ก็ยากนักที่จะรอดขึ้นฝั่งไปได้ ยิ่งกับคนที่หมดสติเช่นนี้ด้วยแล้ว ไม่มีทางรอดไปได้อย่างแน่นอน
 
“โยนลงไปเร็วเข้า เดี๋ยวยาก็หมดฤทธิ์เสียก่อนหรอก!!!”
 
ชายที่อุ้มร่างบางอยู่พยักหน้ารับ เขาก้าวออกไปจนปลายเท้าแตะเฉียดปลายผา จังหวะที่กำลังจะโยนร่างนั้นลงไปสู่ห้วงเหวมรณะ เปลือกตาบางก็ได้ขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย
 
ด้วยความตกใจ ชายคนนั้นรีบโยนร่างของซอนอินลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คนทั้งสองจะพากันวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้น
 
 
 
เสียงหวีดของอากาศดังแว่วอยู่ข้างหู ซอนอินยังไม่ได้สติดีเท่าใดนัก สมองยังคงมึนงงและสับสนจากฤทธิ์ยาที่ได้รับ ศีรษะเพิ่งจะเกิดอาการปวดหนึบ สัญชาตญาณของร่างกายเพิ่งได้เริ่มทำงาน แรงกระแทกรุนแรงก็เกิดขึ้น
 
 
ซ่า!!!!!!!!!!!
 
 
น้ำเย็นเฉียบในต้นฤดูหนาวบาดลึกตามร่างกาย ปากและจมูกสำลักน้ำอย่างทรมาน สองแขนผอมบางวักน้ำไร้ทิศทางพยายามอย่างที่สุดที่จะพาตัวเองโผล่พ้นผิวน้ำ ทว่าสายน้ำนั้นรุนแรงเกินกว่าจะควบคุมอะไรได้
 
ราวกับเทพแห่งกระแสสินธุทรงพิโรธอยู่ก็ไม่ปาน
 
 
 
...หายใจไม่ออก
 
...ทรมาน
 
...ช่วยด้วย!
 
...ใครก็ได้!!!
 
...ช่วยข้าด้วย!!
 
 
..จีรยง ช่วยข้าด้วย!!!!....
 
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 
 

เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0)

(http://kimyoonbe.exteen.com/images/chunsa/14330170_1743526355910646_7164399534191287630_n.jpg)

หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 29] 26/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 26-09-2016 18:43:43
ลุ้นชะตากรรมองค์ซอนอิน จนเพลีย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 30] 27/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 27-09-2016 10:26:29
 
บทที่ 30
 
พระสนมฮีวอนมีความลับเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจได้รับการให้อภัย พระนางปกปิดความลับนี้ไว้กับตัวด้วยความรู้สึกผิดบาปที่ยากจะหาสิ่งใดชดใช้ได้ ทว่าความลับข้อนี้ยังมีอีกผู้หนึ่งที่ล่วงรู้อยู่ด้วยเช่นกัน
 
สิบกว่าปีก่อน สาเหตุการลอบปลงพระชนขององค์กษัตริย์ชองฮวาจีถูกตัดสินว่าราชินีอึนจองเป็นผู้กระทำการลอบวางยาดอกอังฮวา ทว่าความจริงแล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายครั้งนี้คือพระสนมฮีวอน พระนางไม่คิดถึงขั้นว่าอยากให้อีกฝ่ายตายเพื่อหลีกทางให้ลูกชายของนางได้อยู่เหนือกว่าชองจีรยง แต่เพราะขาดความยั้งคิดทำให้นางกระทำการไปเช่นนั้น และผลที่ตามมาก็มากเกินกว่านางจะรับไหว
 
เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่ราชินีอึนจองจากไปตลอดกาล ตำแหน่งพระสนมเอกของพระนางก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยิ่งนานวันเข้าพระนางก็ยิ่งเกิดความรู้สึกจงเกลียดชองจีรยงบุตรของราชินีอึนจองที่ได้รับการดูแลจากองค์กษัตริย์มากขึ้นอีกหลายเท่านัก ส่วนชองจีมุนบุตรชายของพระนางกลับได้รับการเอาใจใส่น้อยเหลือเกิน ความน้อยใจและความอิจฉาริษยานี้เองที่ทำให้นางจ้องแต่จะหาโอกาสผลักชองจีรยงให้พ้นทางของจีมุน
 
แต่สวรรค์ไม่ใจดีอย่างนั้น พระสนมฮีวอนถูกต้อนจนมุมด้วยหลักฐานและพยานเมื่อหลายเดือนก่อน จีรยงเปิดเผยเรื่องจริงต่อหน้าพระนางราวกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ในเวลานั้นพระนางคิดว่าตนเองคงถูกจับตัวไปประหารแน่ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด จีรยงไม่คาดโทษที่ทำให้แม่ของเขาต้องตาย พระนางรู้ดีว่าใจจริงแล้วเด็กหนุ่มคงอยากจะฆ่าพระนางด้วยมือตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะผลที่ตามมาไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
 
ไฟป่ากำลังรุมเร้าฮานึลอย่างหนัก ภัยแล้งมาเยือนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด หากพระสนมเอกถูกกล่าวหาและโดนประหารตอนนั้นล่ะก็ ชาวบ้านจะยิ่งหมดกำลังใจในการดำรงชีวิต ดังนั้นชองจีรยงจึงให้เหตุผลที่จะยอมปล่อยพระนางไปด้วยการบอกให้พระนางเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างนี้ต่อไป แต่นับจากนี้ห้ามข้องเกี่ยววุ่นวายกับการดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มอีก ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามแต่ จะไม่มีการออกเสียงความเห็นชอบใดๆ จากพระนางอย่างเด็ดขาด
 
แม่ที่ถูกใส่ร้ายจนตัวตาย เหตุใดยังยอมทำตามหน้าที่ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นนี้อีก? ฮีวอนเคยสงสัยครั้งแล้วครั้งเล่าจนมองไม่เห็นคำตอบอยู่ที่ใด และด้วยการไม่เอาเรื่องครั้งนั้นเองที่ทำให้พระนางสำนึกผิดขึ้นมาได้อีกครั้ง พระนางไม่ขัดขวางทางเดินของจีรยงอีกนับจากนั้น ซ้ำยังรับปากรัชทายาทหนุ่มว่าจะดูแลองค์วังชอนซาตามที่ฝ่ายนั้นต้องการ
 
ที่ผ่านมา พระนางก็ทำตามที่อีกฝ่ายไหว้วานมาอย่างดี กับคิมซอนอิน พระนางไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย พระนางขัดขวางจีมุนให้เลิกยุ่งกับคนของจีรยง สำหรับข้อนี้แล้ว พระนางไม่ปฏิเสธว่าพระนางยินดีทำเป็นอย่างยิ่งนัก เพราะภายในใจลึกๆ แล้ว พระนางก็หวังอยากให้จีมุนมีคู่ครองที่เป็นอิสตรีที่จะสามารถมีบุตรสืบสกุลได้ ในเมื่อรัชทายาททรงคิดที่จะมีเพียงวังชอนซา ดังนั้นผู้หญิงใฝ่สูงอย่างนางก็อดคาดหวังในรุ่นหลานไม่ได้
 
ถึงกระนั้นก็ตาม การเลือกข้างระหว่างรัชทายาทชองจีรยงกับพระแม่เจ้าชองโยฮวานั้นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากนัก หากบทสรุปไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ มีสิทธิ์ที่พระนางจะโดนพระแม่เจ้าลงทัณฑ์ได้ ...แต่ที่สุดแล้วจะมีสิ่งได้ร้ายแรงไปกว่าการพรากชีวิตเล่า หากครั้งนั้นองค์ชายจีรยงคาดโทษพระนางละก็ ตอนนี้ก็คงไม่ได้มานั่งคิดตัดสินใจอยู่นี่หรอก
 
 
ฟุบ!
 
 
แรงลมวูบหนึ่งที่พัดกิ่งไม้ทำให้พระสนมเอกหลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิด กลางป่ารกทึบแห่งนี้ไม่มีสัตว์ร้ายเพราะเป็นอาณาเขตของพื้นที่หลวง รู้อย่างนั้นแล้วก็ยังอดรู้สึกหวาดระแวงไม่ได้ พระนางขยับปลายท้าวเดินถอยหลังไปอีกเล็กน้อยเพื่อหวังว่าต้นไม้ใหญ่เบื้องหลังจะช่วยเป็นเกราะกำบังจากอะไรก็ตามแต่ได้บ้าง
 
“พระสนม” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้คนถูกเรียกรีบหันกลับไปมองโดยเร็ว
 
ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนหลบอยู่ที่เงาแมกไม้ แม้ไม่เห็นหน้าตาอีกฝ่าย แต่เพียงน้ำเสียงพระนางก็รู้ดีว่าเป็นใคร ชายคนนั้นเอ่ยถามอย่างไม่รอช้า
 
“ได้ตัววังชอนซาหรือไม่”
 
พระนางพยักหน้ารับหนึ่งครั้ง
 
“ดี ที่เหลือปล่อยให้คนของข้าจัดการต่อเอง ระหว่างนี้ขอให้พระสนมอยู่แต่ที่ตำหนัก เช้าเย็นไปเยี่ยมเสด็จพ่ออย่างที่เคย อย่าให้มีพิรุธอันใดเด็ดขาด”
 
เสียงตอบรับของพระนางเอ่ยอย่างมั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ก่อนที่ฮีวอนจะหมุนตัวเดินกลับวังไปนั้น เสียงทุ้มก็ได้เอ่ยสั่งความสุดท้าย
 
“องค์หญิงยูนา ฝากเป็นธุระให้ท่านด้วย”
 
ลับแผ่นหลังบอบบางของพระสนมเอก ชายหนุ่มร่างสูงในเงาไม้ก็เดินหมุนตัวกลับไปยังทิศทางตรงกันข้าม
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
“พวกเจ้าหมายความว่ายังไง หายตัวไป?!!!!” เสียงแหลมเล็กของฮีอูแหวกลั่นผ่านอากาศอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ด้วยบุคลิกของฮีอูนั้นเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและใจเย็นอย่างที่สุด แต่เวลานี้ห่างไกลจากสิ่งเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง
 
คนตัวเล็กคาดคั้นเอาคำตอบเสียงดังลั่นตำหนักโยกันอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่!!”
 
สีหน้าของกึมซองซีดเผือดกับสิ่งที่ต้องเอ่ยตอบ โทซองจึงเป็นฝ่ายเปิดปากอธิบายเอง “หลังจบพิธีสวด องค์วังชอนซาหายตัวไปจากมหาวิหาร กว่าที่เราสองคนจะรู้ตัวก็ตามไปไม่เจอแล้ว พยายามหาจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม” ตอนนี้ที่ว่าคือยามสิบ
 
“ตามไม่เจอ?!! พวกเจ้าพูดออกมาง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร! คนทั้งคนจะหายไปเฉยๆ ได้ที่ไหน!! ป่าด้านหลังมหาวิหารดูทั่วแล้วหรือยัง หมู่บ้านตรงเชิงเขาล่ะ!!”
 
“พวกเราดูทั่วหมดแล้วขอรับคุณชาย ไม่ว่าที่ใดก็ไม่เจอเลย”
 
ได้ฟังอย่างนั้นฮีอูก็แทบจะลมจับ ร่างเล็กรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาเสียดื้อๆ ยอนอาและโซยอนที่ยืนฟังก็พลอยใจคอไม่ดีไปด้วย แต่ก็ยังพอมีสติประคองฮีอูให้นั่งลงที่เก้าอี้
 
“แล้วจะทำอย่างไรกันดี องค์วังชอนซาหายไปเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทรงพิโรธแค่ไหนกัน ...โธ่ องค์วังชอนซาของบ่าว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง” ยอนอาลูบอกอย่างต้องการปลอบขวัญที่กระเจิดกระเจิงของตนเอง
 
“ขออย่าให้มีเรื่องร้ายแรงเลยเถิด สวรรค์...” โซยอนเองก็ถึงกับนั่งคุกเข่ายกมือประกบขอพรจากสวรรค์
 
“ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่” ฮีอูพึมพำขึ้นมา โทซองที่ได้ยินชัดถนัดหูก็รีบเสริม
 
“คนที่จับตัวองค์วังชอนซาไปต้องมีวรยุทธสูงถึงจะทำได้รวดเร็วและไร้ร่องรอยอย่างนี้ หากไม่ใช่ทหารลับแล้วล่ะก็คงเป็นจอมยุทธรับจ้างจากสำนักใดสำนักหนึ่ง”
 
“ข้อมูลกว้างอย่างนี้เราจะไปหาตัวคนร้ายได้ยังไงกันล่ะ ยองจูก็ไม่อยู่ องค์รัชทายาทก็ด้วย โอ้ย แล้วเราจะทำอย่างไรดี!!!”
 
ฮีอูรู้สึกคลื่นไส้แปลกๆ ปัญหานี้มันหนักหนาเกินตัวของเขาอยู่มากโข จู่ๆ องค์วังชอนซาหายไปอย่างนี้จะอธิบายให้องค์ชายจีรยงฟังได้อย่างไร คนสำคัญทั้งคนถูกจับไปเช่นนี้...
 
โอ้ย คิมฮีอู เจ้าจะทำยังไงกันล่ะทีนี้!!!
 
ขณะที่เสียงกรีดร้องในใจของฮีอูยังโหยหวนอยู่นั้น เด็กหนุ่มฝาแฝดผู้เป็นองครักษ์รับหน้าที่ดูแลองค์วังชอนซาก็มีอาการไม่ต่างกัน
 
 
หน้าที่โดยตรงของพวกเขาคือการปกป้ององค์วังชอนซา แต่กลับทำงานพลาดเสียได้!!!
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
คิดว่าจะต้องตายเสียแล้ว
 
ซอนอินสะดุ้งตื่นพร้อมกับปอดที่เรียกร้องอากาศจนต้องสูดหายใจเข้าไปอย่างรุนแรง กำปั้นเล็กทุบอกตามติดแทบจะในทันทีเพราะความรู้สึกที่เหมือนว่าตนเองกำลังจมน้ำนั้นยังคงอยู่ พลันศีรษะก็ปวดแปลบขึ้นมาจนต้องรีบยกมือขึ้นกดหน้าผาก ริมฝีปากสีซีดจากอากาศที่หนาวเย็นเม้มแน่นสนิท
 
รู้สึกร้าวไปทั้งตัว
 
ซอนอินปวดแปลบตามร่างกายไปหมด ปวดจนรู้สึกไปถึงกระดูก ...คงเป็นเพราะอากาศที่หนาวเกินจะทน
 
ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แล้วสติทุกอย่างก็ค่อยคืนกลับมา ซอนอินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่บนแคร่ไม้ภายในกระโจมหนังสัตว์ขนาดใหญ่ที่ไม่คุ้นตา ผ้าขนสัตว์ฟูฟ่องตกอยู่ข้างตัว เมื่อมองดูตามตัวก็พบว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ใช่ของตนเอง
 
ทุกอย่างรอบตัวที่แปลกไปทำให้ซอนอินจับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนหน้านี้เขาถูกจับโยนลงหน้าผา จำได้ว่าตอนตกลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบนั้นทรมานอย่างที่สุด หวาดกลัวจนคุมสติไม่ได้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดสนิท แล้วถึงมารู้สึกตัวเอาตอนนี้
 
ดวงหน้าขาวที่ค่อนไปทางซีดเซียวหันมองไปรอบกระโจม ภายในที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกนอกจากแคร่ไม้ที่เขานั่งอยู่ และเก้าอี้หนึ่งตัวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ นอกนั้นก็เป็นคบเพลิงที่ตั้งอยู่โดยรอบเพื่อสร้างความอบอุ่น แต่อาจเพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำลงมากเกินไปจึงทำให้ร่างบางยังคงรู้สึกหนาวจนตัวสั่น
 
มือผอมเพรียวคว้าผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นคลุมตัว ก่อนหย่อนปลายเท้าเปลือยเปล่าลงบนผืนหนังที่ปูแผ่ต่างพื้น ชายชุดที่ถลกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นท่อนขาเรียวงามขาวนวลของผู้เป็นเจ้าของ ซอนอินก้าวเดินไปได้เพียงสองก้าว ม่านกระโจมด้านหน้าก็ถูกแหวกเปิดออก
 
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่งทันทีที่เห็นว่าบุคคลที่มายืนอยู่เบื้องหน้าตนเองนั้นคือใคร
 
และแทนด้วยคำอธิบาย จูบอุ่นๆ ก็นาบลงบนกลีบปากเย็นชืดเป็นการทักทาย
 
ซอนอินได้แต่ยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง มือที่กำผ้าห่มไว้สั่นน้อยๆ จนกระทั่งใบหน้าของคนที่แนบชิดกันอยู่เมื่อครู่เคลื่อนถอยห่าง น้ำตาเม็ดใสก็ไหลลงสองข้างแก้มพร้อมกับวงแขนเล็กที่โผเข้ากอดคนตรงหน้า
 
“ฮึก จีรยง!!”
 
เจ้าของชื่อโอบร่างบางเข้าหาไออุ่นของกันและกัน ทั้งโอบกอดทั้งลูบแผ่นหลังจนแทบจะอุ้มร่างบางขึ้นทั้งอย่างนั้น ฝ่ามือใหญ่รั้งไหล่เล็กที่สั่นสะท้านไม่หยุดแน่นขึ้น
 
“ไม่ต้องกลัวนะซอนอิน ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยปลอบโยนคนในวงแขน เขากดริมฝีปากลงบนกลุ่มผมนุ่มหอม
 
ความหวาดกลัวของซอนอินที่เพิ่งผ่านเรื่องน่ากลัวมาชายหนุ่มเข้าใจได้ดี ต่อให้เป็นทหารที่เก่งกาจแค่ไหนแต่ถ้าต้องถูกจับโยนลงไปในน้ำที่เชี่ยวกราดแบบนั้นย่อมต้องเกิดความกลัวด้วยกันทั้งนั้น
 
“ฮึก ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายแน่ๆ ข้าคิดว่าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกแล้ว ฮือๆ” ซอนอินขยุ้มเสื้อของจีรยงแน่น ฝังใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงกับอกอุ่น
 
ร่างของซอนอินสั่นน้อยๆ อยู่ในวงแขนของจีรยง
 
“ไม่เชื่อใจข้าเลยหรือไง หืม? ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะดูแลชีวิตเจ้า หัดเชื่อใจกันบ้างสิ” ปลายนิ้วอุ่นลูบไล้ดวงหน้าสวยเพื่อซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน แววตาของคนพูดนั้นสะท้อนความจริงใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้
 
“หนาวมากใช่ไหม มาตรงนี้ ข้าจะโอบกอดเจ้าเอง” จีรยงคว้าเอวคอดให้เจ้าของร่างขึ้นมานั่งบนแคร่ด้วยกัน จับให้ร่างเล็กนั่งอิงแอบแนบอกแล้วก็คว้าผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นมาคลุม ก่อนที่จะใช้วงแขนโอบร่างเล็กไว้อีกชั้น
 
“อุ่นหรือไม่ รู้ไหมตอนที่ข้าเจอเจ้า ตัวเจ้าเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว” ขณะที่พูด วงแขนกว้างใหญ่ไม่ต่างจากผืนนภาบนฟากฟ้าสำหรับซอนอินก็กระชับเข้าหาแน่นขึ้นอีก
 
ซอนอินซุกซบทั้งตัวทั้งใบหน้าเข้าหาอกกว้าง ใช้สองมือกอดคล้องท่อนแขนของคนรักอย่างไม่กระดากอาย “ตอนที่จมน้ำ แม้ว่าร่างกายจะรู้สึกหนาวก็จริง แต่ใจของข้าหนาวเย็นยิ่งกว่าเมื่อคิดว่าจะต้องจากเจ้าไปตลอดกาล”
 
คำสารภาพตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมนั้นทำให้จีรยงต้องก้มลงมอบจุมพิตปลอบขวัญคนที่ยังตื่นกลัว
 
ริมฝีปากของซอนอินแดงระเรื่อน้อยๆ แตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ จีรยงจ้องมองคนสวยของเขาอย่างพึงใจ ริมฝีปากเล็กๆ นี้ยิ่งจูบยิ่งแดงขึ้นทุกวัน
 
“แล้ว...ทำไมเจ้าถึงมาช่วยข้าได้ล่ะ? เจ้าออกไปรบไม่ใช่หรือ อ่ะ!!” ซอนอินร้องเสียงหลงออกมาเมื่อถูกจับให้นอนลงกะทันหัน ท่อนแขนหนาหนักกกกอดร่างบอบบางไม่ให้ขืนหนี จีรยงสอดมืออีกข้างเข้าใต้ร่างเล็กแล้วรวบร่างนั้นเข้ามากอดให้ถนัดขึ้นพลางว่า
 
“เจ้ายังมีไข้อยู่ นอนฟังอย่างนี้จะดีกว่า”
 
.
.
.
 
ก่อนจะประกาศตอบรับทำศึกกับแคว้นทางเหนือสามวัน องค์หญิงอิมยูนาได้เข้ามาพบจีรยงที่ห้องทรงงาน สิ่งที่นางบอกเล่าให้จีรยงฟังนั้นคือแผนร้ายที่เสด็จย่าแอบกระทำลับหลังเขา ในเย็นวันก่อนหน้านั้นยูนาได้เข้าไปที่ตำหนักเสด็จย่าเพื่อจะทูลถามเรื่องอาหารของวันพรุ่ง แต่เผอิญไปได้ยินพระนางพูดคุยสั่งความกับชายชุดดำท่าทางลึกลับไม่น่าไว้ใจ แล้วก็เป็นอย่างที่ยูนาคาดไว้ นางได้ยินพระแม่เจ้าสั่งให้จอมยุทธชุดดำไปจับตัวองค์วังชอนซาหลังจบพิธีสวดที่มหาวิหาร ...รับสั่งให้จับโยนลงหน้าผา
 
จีรยงโกรธเคืองจนร่างกายแทบจะลุกเป็นไฟ ในวินาทีนั้นชายหนุ่มไม่รีรอที่จะตรงไปยังตำหนักของเสด็จย่า ทว่าความคิดอย่างหนึ่งก็ได้หยุดเขาไว้เสียก่อน เขาบอกกับยูนาที่ทำสีหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงให้นางทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องลอบทำร้ายองค์วังชอนซา จีรยงไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรให้ยูนาเข้าใจมากมายนัก รับสั่งแต่เพียงให้เก็บสิ่งที่รู้มานี้ไว้ในใจ แล้วทำเหมือนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
 
จากนั้นจีรยงก็ได้ไปหาพระสนมฮีวอน จีรยงลอบวางแผนซ้อนแผนโดยมีพระสนมเป็นคนคอยช่วยเหลือ เขาสั่งให้พระสนมนำดอกไม้ธูปเทียนไปเปลี่ยนที่สุสานหลังวังซึ่งติดกับป่าหลวงในวันครบรอบทำความสะอาดสุสานทุกสองสัปดาห์ซึ่งตรงกับวันสุดท้ายที่ซอนอินสวดขอพรเทพเจ้าพอดี ในวันนั้นรัชทายาทหนุ่มรับสั่งให้พระนางนำทหารของพระองค์สวมชุดทหารติดตามประจำตัวตามออกไปจากวัง แล้วให้ทหารเหล่านั้นไปดักรอรับร่างของซอนอินที่จะไหลลงมาตามกระแสของแม่น้ำ แม้ใจของเขาจะยังเป็นห่วงกังวลในสวัสดิภาพของซอนอิน แต่เขาก็เชื่อมั่นในฝีมือของทหารลับของตนและเชื่อมั่นในโชคชะตาว่าซอนอินจะไม่เป็นอะไร
 
เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปตามที่จีรยงคาดการณ์ไว้ การทำแผนครั้งนี้เขาไม่อาจบอกให้องครักษ์ฝาแฝดคนสนิทให้รู้ได้ เพราะจะดูไม่สมจริงหากมีการลักพาตัวซอนอินไปโดยที่องครักษ์ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ต่อให้วางแผนแล้วก็ตามก็ยากที่จะตบตาเสด็จย่าได้ นอกไปจากพระสนมฮีวอนแล้ว หายากนักที่จะมีคนเล่นละครเก่งได้เท่านาง ซ้ำเสด็จย่ายังมีสายลับปะปนอยู่แทบทุกตำหนักไม่เว้นแม้แต่ตำหนักของฮีอู ที่เขาจงใจสั่งให้ฮีอูไปอยู่เป็นเพื่อนซอนอินก็เพื่อให้ดูสมกับความเป็นห่วงที่เขามีให้ฝ่ายนั้น และก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้เสด็จย่าได้กระทำตามแผนก่อนที่ซอนอินจะกลับเข้าวัง
 
 
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ คนฟังก็ได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
 
ฟังไปฟังมาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จีรยงบอกว่ารู้เรื่องที่เขาจะต้องจมน้ำ แต่ก็ปล่อยให้เขาถูกลอบทำร้ายก่อนค่อยมาช่วย ...เพื่ออะไรกัน?
 
ข้อนิ้วหนาเกี่ยวผมเส้นเล็กให้พ้นดวงหน้างดงามของคนในอ้อมกอด “ซอนอิน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจ้า ...เจ้าจะยอมรับไหม หากข้าจะบอกเจ้าว่าวังชอนซาได้เสียชีวิตไปแล้ว”
 
พลันดวงตาที่ง่วงงุนอ่อนเพลียขยายกว้างขึ้น แก้วตาสุกใสจ้องมองชายหนุ่มอย่างตกใจ
 
“ข้าเสียชีวิตแล้ว?!”
 
“ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นวังชอนซา”
 
จีรยงจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากมน “แม่น้ำสายหลักจะกลายเป็นน้ำแข็งในสามสี่วันข้างหน้า ร่างของวังชอนซาจะถูกแช่อยู่ใต้น้ำแข็งอีกหลายอาทิตย์กว่าที่น้ำแข็งจะละลาย จากนั้นอีกหลายวันทีเดียวกว่าที่ร่างของวังชอนซาจะลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ถึงตอนนั้น ต่อให้เป็นศพปลอมก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
 
ซอนอินรับฟังคำอธิบายนั้นอย่างตั้งตัวไม่ถูก จีรยงจะบอกว่าตัวเขาได้ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ ถึงจะพูดว่าเป็นวังชอนซาที่ตายไปก็เถอะ แล้วยังศพปลอมอีก แต่นั่นก็หมายถึงตัวของเขานี่? แล้วต่อจากนี้จะทำอย่างไรล่ะ ร่างกายของเขาที่ยังหายใจอยู่นี้จะเป็นยังไง ...จีรยงไม่ต้องการเขาอีกต่อไปแล้วใช่ไหม
 
ทันความคิดของซอนอิน จีรยงก็ช้อนปลายคางเล็กให้สายตาคู่สวยเงยขึ้นสบ “คิดอะไรให้มันดีกว่านี้หน่อยเถอะ นิสัยเจ้าแบบนี้ต่อไปจะเป็นชายาของข้าได้อย่างไรกัน หืม?”
 
“ช...ชายา?”
 
“เจ้าย่อมต้องเป็นชายา”
 
“ต...แต่ข้าเป็นผู้ชาย จะเป็นชายาของเจ้าได้ยังไง”
 
“ใครบอกกัน เจ้าน่ะเป็นผู้หญิงของข้าต่างหาก”
 
ความหมายของคำว่า ‘เป็นผู้หญิงของข้า’ ทำให้ดวงหน้าสวยแดงจัด ต่อให้เป็นคนอ่อนต่อโลกแค่ไหนก็ต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แน่ล่ะ ก็ตลอดมาเขาเป็นคนที่ถูกกกกอดราวกับเป็นผู้หญิงของจีรยงนี่นา แต่ความจริงแล้วเขาเป็นผู้ชายนะ เหตุใดถึงได้เอามาเปรียบเทียบกันอย่างนี้เล่า
 
“พูดอะไรของเจ้า ไม่เห็นจะเข้าใจ” คนสวยย่นหน้ายู่ ริมฝีปากเล็กเม้มน้อยๆ
 
เริ่มหัวค่ำ อากาศก็ยิ่งเย็นมากขึ้น ซอนอินเบียดกายเข้าหาจีรยงอีกนิด
 
จีรยงโอบเอวซอนอินให้ขยับตัวได้สะดวกขึ้น ริมฝีปากอุ่นปัดป่ายอยู่กลางศีรษะเล็กที่ซุกหาไออุ่นจากแผ่นอกของเขา จีรยงกดปลายจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มหอมหนักๆ หนึ่งครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มไม่ดังนัก ทว่าก้องกังวานอยู่ในอกของคนฟังราวกับเสียงระฆังจากแดนสวรรค์
 
 
“ข้ารักเจ้า”
 
 
เสียงหัวใจดังโครมครามจนแทบจะทะลุออกมาจากอกเสียให้ได้ น่ากลัวว่าเสียงหัวใจที่เต้นอยู่นี้จะสะท้อนไปถึงอีกคน
 
ซอนอินเผลอหยุดหายใจไปเสียด้วยซ้ำ
 
จู่ๆ ก็พูดออกมาไม่ให้ตั้งตัว ไม่รู้เลยหรือไงว่ามันทำให้หัวใจของเขาเกือบจะหยุดเต้น
 
“ข้ารักเจ้า ซอนอิน ข้ารักเจ้าไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร จะเป็นวังชอนซา จะเป็นเทพหรือปีศาจ หรือจะเป็นเพียงคิมซอนอิน เจ้าก็คือคนที่ชองจีรยงหลงรัก เป็นคนเพียงคนเดียวที่จะได้หัวใจของข้าไป และเป็นคนเพียงคนเดียวที่ข้าต้องการตลอดไป”
 
เป็นเพราะคำสารภาพที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ให้เวลาได้ทำใจ ซอนอินจึงไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป เขาทำได้เพียงแค่ก้มหน้าฟัง มือที่เกาะเกี่ยวแผ่นหลังไว้สั่นน้อยๆ ไม่ได้อยากร้องไห้แต่ก็หยุดร้องไม่ได้ สิ่งที่ได้ยินอยู่นี้มันทะลุทะลวงเข้าไปตามร่างกายของเขาทุกส่วน กระแสของความสุขแล่นพล่านอยู่ภายในกายจนรู้สึกเจ็บที่หัวใจยามที่มันแตกกระจายออกมา
 
เป็นสุขจนรู้สึกเจ็บ ซอนอินคิดว่าตัวเองคงผิดปกติเป็นแน่
 
“ซอนอิน เงยหน้าขึ้นเร็วเข้า” จีรยงสั่งให้คนสะอึกสะอื้นแหงนศีรษะขึ้น ขณะที่ปาดปลายนิ้วซับน้ำตาให้ เขาก็เอ่ยต่อไป “วังชอนซาตายไปแล้ว นั่นหมายถึงคิมซอนอินก็ได้ตายไปด้วย ...ช่วงที่รัชทายาทออกไปรบกับแคว้นทางเหนือ ได้พบกับหญิงงามนางหนึ่งระหว่างทาง รัชทายาทถูกใจนางเป็นอย่างมากจึงคิดที่จะพานางกลับไปยังวังหลวงหลังจบศึก และยกย่องนางให้เป็นชายาของพระองค์เมื่อรัชทายาทได้รับมงกุฎสืบทอดราชบัลลังก์”
 
“หญิงงาม...” ซอนอินทวนคำอย่างมึนงง “เจ้าหมายถึงข้า?” คนตัวเล็กคาดเดาเอาจากสายตาของคนพูดที่จ้องมองเขาแทบไม่กระพริบตา
 
“แม่นางชอนอา เป็นหญิงงามที่ข้าค้นพบเพียงหนึ่งเดียวในแผ่นดินนี้”
 
จีรยงไม่สงสัยกับสีหน้าของคนสวยที่ไม่คุ้นเคยกับชื่อที่เขาเรียก ‘ชอนอา’ เพราะอดีตชาติที่ผ่านมาของซอนอินนั้นเจ้าตัวไม่เคยรับรู้ ‘ชอนอา’ ที่เคยเป็นเทพบนสวรรค์นั้นเป็นเรื่องราวอีกภพหนึ่งของมนุษย์ ระหว่างรอยต่อของเส้นแบ่งเล็กๆ ในวันที่เขาใช้กระบี่แท่งขั้วหัวใจของซอนอิน หากซอนอินได้ลืมตาขึ้นในร่างของเทพสวรรค์ เจ้าตัวก็จะระลึกชาติก่อนหน้าได้ทุกอย่าง แต่จะถูกสวรรค์ลบเรื่องราวตอนเป็นมนุษย์ออกไปจนหมดสิ้น การจะเป็นใครคนหนึ่งนั้นมีสิทธิ์ได้เห็นเพียงสิ่งที่เลือกแล้วเท่านั้น หากจะให้นับ จีรยงคิดว่าเขาคงเป็นคนจำนวนน้อยหรืออาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้พบเจอกับเทพสวรรค์จริงๆ ต่อหน้า ซ้ำยังได้สนทนากันอีก...
 
พอนึกย้อนกลับไป จีรยงก็พึ่งได้รู้ตัว ว่ากว่าจะได้คนคนนี้มา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดเดียว
 
โชคดีที่ก่อนหน้านี้ชาวบ้านไม่เคยได้เห็นใบหน้าของวังชอนซาเท่าใดนัก เพราะซอนอินต้องสวมชุดเวลาออกไปสวดซึ่งมีผ้าคลุมหน้าผืนบางคอยพรางสายตามาตั้งแต่ต้น ส่วนคนในวังหลวงก็มีน้อยคนนักที่จะได้เห็นซอนอิน แต่เรื่องนี้เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะจัดการยังไงต่อไป
 
กว่าจะได้เจ้ามา แม้จะยากเย็นแสนเข็ญ แต่ข้าก็ยินดีเพื่อเจ้าซอนอิน ...ขอเพียงเจ้ายอมตอบรับเท่านั้น
 
ฝ่ามือใหญ่ประคองดวงหน้าเล็กที่ยังชื้นน้ำตา เขาทอดมองอย่างอ่อนโยนระคนรักใคร่ในแววตาอย่างแสดงออก “คิมซอนอิน เจ้ายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะเป็น ชอนอา ของข้าได้ไหม หากเจ้าต้องเป็นหญิงในสายตาผู้อื่นยามที่ยืนเคียงข้างข้าในฐานะชายา เจ้าจะยอมหรือเปล่า ...เจ้าจะยอมโกหกคนทั้งแผ่นดินไปพร้อมกับข้าผู้นี้หรือไม่...ซอนอิน”
 
แผนการที่จีรยงวางไว้ ก็เพื่อหาช่องทางให้เขาได้เป็นคู่ครองกับอีกฝ่ายงั้นหรือ ซอนอินรู้สึกเหมือนตัวเองรับเรื่องพวกนี้เข้าไปอีกไม่ไหวแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงกระอักความสุขตายเสียก่อนจะได้สมหวังอย่างแน่นอน
 
ซอนอินยันมือลงกับแคร่ไม้แล้วลุกขึ้นนั่ง เส้นผมสีดำยาวที่ไม่ได้มัดรวบไว้ไหลตกลงตามไหล่บอบบาง ผิวกายของซอนอินในตอนนี้ขาวกว่าปกติด้วยอากาศที่หนาวเย็นทำให้เส้นผมนั้นตัดกับสีผิวอย่างชัดเจน เป็นภาพที่สวยงามนักในสายตาของคนมอง
 
นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายสุกใสมองสบสายตาคมเข้มของคนที่นอนอยู่ ฝ่ามือเล็กวางทาบแผ่นอกแกร่ง
 
“ต่อให้ต้องลงนรกไปกับเจ้าข้าก็ยินยอมที่จะคว้าหัวใจดวงนี้ไว้ตลอดไป”
 
ริมฝีปากหยักระบายยิ้มกว้าง ชายหนุ่มเอื้อมแขนขึ้นฉุดร่างบางให้นอนทับลงมาที่ตัวของเขา
 
“ซอนอิน ข้าอยากจะกอดเจ้านัก อยากจะกลืนกินเจ้าเสียตอนนี้เลย”
 
ถึงปากจะบอกว่าอยาก แต่มือก็ได้นำไปก่อนแล้ว จีรยงลูบไล้เรือนร่างนุ่มนิ่มผ่านอาภรณ์อย่างห้ามใจไม่อยู่ จับพลิกให้ร่างเล็กนอนอยู่ด้านล่างแล้วตามขึ้นคร่อม ตามติดด้วยจูบหนักๆ ที่เน้นย้ำจนคนตอบรับหายใจแทบไม่ทัน
 
“อื้มมมม”
 
จีรยงถอนจูบออกมา ดวงหน้าแดงก่ำของซอนอินตอนนี้ทั้งดูสวยทั้งดูน่ารัก
 
“หากข้ากอดเจ้าตอนนี้ มีหวังเป็นไข้กันทั้งคู่แน่ มา คืนนี้ข้าจะนอนกอดเจ้าไว้ทั้งคืน หายไข้เมื่อไหร่ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”
 
ผ้าห่มขนสัตว์ถูกยกขึ้นคลุมตัวพวกเขาอีกครั้ง เช่นเดียวกับอ้อมกอดที่มอบให้คนรักอีกครั้งเช่นกัน
 
เสียงหัวใจและจังหวะการหายใจของจีรยงค่อยๆ ขับกล่อมให้ซอนอินคล้อยหลับ แต่ก่อนที่สติจะจมสู่ห้วงนิทรา เรียวคิ้วบางก็ขมวดยุ่ง เสียงหวานเอ่ยถามผ่านแผ่นอกคนกอด
 
“จีรยง แล้วอย่างนี้ที่วังไม่วุ่นวายกันแย่เหรอ ก็ข้าหายไปทั้งคนนี่?”
 
“ไม่หรอก เสด็จย่าย่อมต้องปิดข่าวทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะพระนางเองเป็นคนสั่งให้จับเจ้าโยนลงหน้าผา ส่วนคนของข้าก็คงไม่กล้าประกาศอะไรออกไปจนกว่าข้าจะกลับเข้าวัง อืม...เห็นจะน่าห่วงก็แต่คนของข้านี่แหละ จะบอกใครก็ไม่ได้ ป่านนี้คงแทบอกแตกตาย นั่งนับวันรอข้ากลับไปอยู่เป็นแน่”
 
ทั้งฮีอู โทซอง กึมซอง แล้วยังคนในตำหนักโยกัน เวลานี้คงร้อนใจกันน่าดู
 
น่าสงสารพวกเขานัก!
 
ซอนอินคิดถึงความรู้สึกของฮีอู แล้วยังยอนอากับโซยอนอีก ทั้งสามคนต้องเป็นห่วงเขาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่
 
ส่วนชองโยฮวา ตอนนี้ก็คงจะพออกพอใจที่เขี่ยเขาออกจากหลานชายได้สินะ พระนางจะแค้นข้าไปจนตายหรือเปล่าหากพบว่าข้ายังมีชีวิตอยู่อย่างนี้
 
โอ้ย ทั้งที่ข้าเคยอยู่แต่ในกรอบของศีลธรรมมาตลอด แต่ตอนนี้กลับเลือกทางเดินตรงข้ามเสียได้ คิมซอนอินอยากจะร้องไห้นัก แต่ก็ไม่รู้ว่าที่ร้องไห้นี้เพราะเสียใจหรือยินดีกันแน่ คิดแล้วก็ได้แต่จนกับคำตอบ
 
คงมีเพียงสิ่งเดียวที่ตอบซอนอินจากคำถามนับร้อยเหล่านี้ได้
 
 
...เพราะชองจีรยง
 
 
“ข้าว่าเจ้าเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด ไม่มีแคว้นไหนมีผู้นำร้ายกาจได้เท่าเจ้าอีกแล้วล่ะชองจีรยง”
 
“แต่ข้าว่าเจ้าน่ากลัวกว่าใครทั้งหมด ไม่มีผู้ใดทำให้ใจของชองจีรยงหวั่นไหวได้เท่าเจ้าอีกแล้วล่ะคิมซอนอิน”
 
“นอกจากจะนิสัยร้ายแล้ว เจ้ายังปากร้ายเกินใครอีกด้วย!”
 
“นอกจากจะน่ากลัวแล้ว เจ้ายังปากหวานจนข้าอยากจะกินมันทั้งคืน!”
 
“.......”
 
ซอนอินกับจีรยงมองตากัน ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
 
เสียงตอบโต้ของคนทั้งสองค่อยๆ เงียบหายไปในค่ำคืนของต้นฤดูหนาว รสจูบนุ่มนวลหอมหวานดำเนินไปอย่างเชื่องช้าไม่ต่างจากปุยหิมะที่ลอยเอื่อยอยู่ท่ามกลางผืนฟ้ากว้างใหญ่ ความอบอุ่นจากสัมผัสกายที่โอบกอดกันปิดกั้นไม่ให้ความหนาวเย็นได้กร่ำกราย
 
 
ค่ำคืนนี้ วิหคแสนงามได้หลับใหลไปในวงแขนของมังกรหนุ่มผู้เป็นที่รักนั้นเอง
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน

 

เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0)

(http://kimyoonbe.exteen.com/images/chunsa/14330170_1743526355910646_7164399534191287630_n.jpg)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 30] 27/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-09-2016 13:17:54
จะมีใครจับได้ไหมนะ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 31] 29/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 29-09-2016 08:38:28
บทที่ 31

 
เกือบคิดไปว่าได้ออกมาท่องเที่ยวชมทิวทัศน์เสียอีก
 
คนร่างบางมัวแต่สุขสันต์หรรษาเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติระหว่างที่นั่งซ้อนอยู่บนหลังของอันนุน อาชาสีขาวสว่างตาของจีรยงระหว่างเดินทางตามกองทัพไปยังค่ายที่อยู่เหนือสุดของเชินอัน จนลืมไปเสียสนิทว่าภารกิจสำคัญคือการออกรบของชายหนุ่มคนรักต่างหาก
 
ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งว่างโล่ง คนตัวเล็กนั่งดึงยอดหญ้าเล่นอยู่ตามลำพัง โดยมีอันนุนยืนเล็มหญ้าอ่อนอยู่ไม่ไกล สายตาของคนที่นั่งเฉาอยู่คนเดียวละจากกลุ่มชายในชุดศึกที่เกาะกลุ่มวางแผนรบอยู่เบื้องหน้าไปมองทิวเขาสีเขียวชอุ่มของภาคเหนือเชินอัน ภูมิอากาศของเชินอันไม่หนาวจัดเหมือนอย่างฮานึล กว่าหิมะจะตกก็อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ดังนั้นช่วงกลางเดือนสิบเช่นนี้จึงถือว่าเป็นช่วงที่เชินอันมีภูมิอากาศดีที่สุด คือไม่เย็นมากจนเกินไปนั่นเอง
 
ทั้งที่อากาศออกจะดีขนาดนี้ แล้วเหตุใดถึงต้องมารบกันด้วยเล่า!
 
คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องศึกสงครามได้แต่คิดขัดข้องใจอยู่คนเดียว สถานภาพของซอนอินตั้งแต่เล็กนั้นถูกเลี้ยงดูมาห่างไกลจากคำว่าสงครามมากนัก ทั้งที่เป็นโอรสแท้ๆ แต่กลับอยู่แต่ในวังหลัง วันๆ เอาแต่เก็บตัวไม่ได้ออกไปไหนหรือพบปะกับผู้ใด หน้าที่อย่างเดียวที่มีคือการสวดขอพรต่อเทพเจ้าเท่านั้น ผ่านมาก็หลายปีคิดจะให้สนใจเรื่องพวกนี้ตอนนี้ ทำได้ยากนัก
 
ซอนอินขมวดคิ้วยุ่งเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าคนตัวสูงที่บอกว่าประชุมเสร็จจะพาขี่อันนุนไปเดินเล่นรอบๆ จะพูดคุยกันเสร็จเสียที ร่างบอบบางยันตัวเองลุกขึ้นยืน สถานที่แบบนี้ถึงจะเป็นเชินอันแคว้นเกิดก็ตาม แต่สำหรับซอนอินเป็นสถานที่ที่แปลกใหม่ในสายตามากเหลือเกิน
 
ชิ! ข้าไม่มาเสียเวลานั่งรอเจ้าหรอก!
 
หลังจากจบศึกก็ต้องกลับเข้าวัง เวลาอันแสนอิสระเช่นนี้มีหรือที่ซอนอินจะยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ มือเรียวจัดการผูกเชือกของอันนุนคล้องไว้กับต้นไม้ ก่อนจะพาตัวเองเดินตรงไปยังทุ่งดอกไม้สีเหลืองสดที่อยู่เบื้องหน้า
 
จากสายตาที่เห็นไม่คิดว่าลำต้นของดอกไม้จะสูงเสียมิดศีรษะขนาดนี้ ซอนอินตื่นเต้นกับดอกไม้ตรงหน้าราวกับเด็กเล็กๆ ได้ชื่อว่าเป็นโอรสแห่งเชินอัน แต่กลับเพิ่งเคยเห็นดอกไม้ขึ้นชื่อของแคว้นก็วันนี้ ปกติแล้วถ้าจะได้เห็นก็คือดอกที่ตัดออกมาแล้วเท่านั้นเอง
 
“อ๋า~ นึกออกแล้วๆ ดอกเฮบารากิ!” คนตัวเล็กระบายยิ้มกว้างเมื่อหยุดคิดอยู่นานว่าชื่อของดอกไม้ชนิดนี้คืออะไร
 
พลันสายตาคู่สวยก็สบเข้ากับผีเสื้อหลากสีสองสามตัว
 
โดยไม่สนใจจะคิดให้มากความ ซอนอินเดินฝ่าดงดอกเฮบารากิเข้าไปเพื่อที่จะไล่ตามผีเสื้อตัวน้อย ระยะห่างของลำต้นเฮบารากินั้นไม่เบียดเสียดจนเกินไป ทำให้มีช่องว่างมากพอที่คนคนหนึ่งจะเดินแทรกตัวเข้าไปกลางทุ่งได้
 
จากสายตาคมที่เฝ้ามองอยู่เป็นระยะ ชายหนุ่มสังเกตเห็นชายอาภรณ์ที่คนร่างบางสวมใส่นั้นหายลับเข้าไปในทุ่งดอกเฮบารากิ เรียวคิ้วเข้มกดลึก นึกเหนื่อยใจกับคนสวยที่ทำตัวไม่ต่างจากเด็กที่คลาดสายตาเป็นไม่ได้ต้องก่อเรื่องให้ใจของเขาว้าวุ่นอยู่เป็นประจำ
 
“ตกลงตามนี้ล่ะ จัดการเรื่องเรือรบทั้งสองลำนั้นก่อน เมื่อเราไปถึงค่อยจู่โจมที่เหลือในคราวเดียว” เสียงทุ้มสรุปสั่งความกับทหารม้าเร็วที่นำสาส์นมาส่งจากค่ายทหาร
 
เมื่อม้วนกระดาษตีตราประทับส่งให้นายทหารเรียบร้อยแล้ว ชองจีรยงก็หันไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนกอดอกคอยออกความเห็นมาตลอด “ราชครูยองจู ข้าขอถามอะไรอย่างสิ”
 
นัยน์ตาคมเข้มไม่แพ้คนถามเหลือบขึ้นมองเป็นเชิงตอบรับ
 
“ปกติซอนอินเป็นอย่างนี้หรือ”
 
“คงเรียกว่าปกติไม่ได้ เรียกว่าเป็นนิสัยที่แท้จริงน่าจะถูกกว่า” ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านั้นจีรยงก็เข้าใจได้ดี เพราะโดยปกติของซอนอินคือการถูกฉาบด้วยหน้าที่ของวังชอนซา บ่อยครั้งเข้าสิ่งเหล่านี้ก็ได้กลืนกินตัวตนของซอนอินให้ถูกฝังลึกลงไปเรื่อยๆ
 
“ชองจีรยง ข้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักลูกศิษย์ การที่เด็กคนนั้นยิ้มได้อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นเพราะท่านปลดปล่อยโซ่ที่พันธนาการเจ้าตัวมาตลอดถึงทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ได้ ...ข้ารู้สึกขอบคุณท่านยิ่งนัก และข้าก็หวังว่าท่านจะไม่ละทิ้งเด็กคนนั้นในภายภาคหน้า”
 
“ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าต้องทิ้งซอนอิน คนที่จะมาเป็นชายาของข้าในอนาคต”
 
“ได้ฟังเช่นนี้ข้าก็เบาใจ คนสำคัญคนนี้ต้องฝากท่านแล้ว รัชทายาทชองจีรยง”
 
จีรยงไม่ตะขิดตะขวงใจเมื่อเห็นว่าราชครูผู้มีอายุมากกว่าตนถึงสองปีก้มศีรษะให้ตนเช่นนี้ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว มันคือการให้ความเคารพในฐานะจอมยุทธที่นับถือซึ่งกัน
 
“ท่านเองก็เถิด คิมฮีอูเป็นเหมือนน้องชายของข้า ข้าต้องฝากท่านด้วยเช่นกัน”
 
การพยักหน้ารับคำพูดของราชครูหนุ่มทำให้จีรยงระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาฝากงานที่เหลือให้ยองจูจัดการให้เรียบร้อยแล้วปลีกตัวออกไปตามซอนอิน ที่ตอนนี้ไม่รู้วิ่งเล่นทะลุออกนอกทุ่งเฮบารากิไปถึงไหนแล้ว
 
ช่วงขายาวก้าวเดินไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว เขาสาวเท้าจนไปถึงแนวทุ่งดอกเฮบารากิ แต่ยังไม่ทันจะได้แหวกลำต้นเดินเข้าไป กลุ่มลำต้นตรงหน้าก็ขยับไหว แล้วร่างของใครคนหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาสู่อ้อมแขนของเขาพอดิบพอดี
 
“อ๊าคคคคค!!~ จีรยง!!~”
 
คนตัวเล็กตะปบแขนเกาะร่างหนาเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้าที่เปื้อนดินเงยขึ้นมองคนรักด้วยดวงตาตกตื่น “ตรงนั้นมีงูด้วยล่ะ! งูตัวใหญ่มากกกก!!” เดาเอาจากการลากเสียงของคนในวงแขนแล้ว คงตัวใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว
 
“แปลว่าเจ้าจะได้เจอเนื้อคู่น่ะสิ ซึ่งก็คือข้าคนนี้” จีรยงพูดขำพลางสางเส้นผมสีดำยาวที่ยุ่งเหยิงให้เป็นทรง
 
ซอนอินยู่หน้า “ไม่ตลกเลยนะ แล้วอะไรเนื้อคู่ ข้าเคยได้ยินแต่ว่าต้องฝันเห็นงูรัด เจ้าอย่ามาซี้ซั้ว” ความกลัวปลิวหายไปตั้งแต่ได้วงแขนกว้างโอบกอด คนสวยแหงนหน้าปล่อยให้ชายหนุ่มลูบไล้ผิวแก้มเช็ดรอยเปื้อนดินออกให้ทั้งที่สายตายังตวัดค้อน
 
“อะไรกัน อย่ามาจ้องหน้าคาดโทษข้าอย่างนี้นะ เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ” พูดไป มือก็จัดการปัดเศษดินเศษหญ้าตามตัวคนร่างบางออกให้ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปล้มท่าไหนถึงได้หมดสภาพอย่างนี้
 
“ก็เจ้ามัวแต่คุยอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ข้านะ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว” สองแขนเล็กยกขึ้นสูงตามแรงมือบังคับของอีกฝ่ายเพื่อความสะดวกในการปัดเศษดินตามจุดต่างๆ ได้มากขึ้น
 
“แล้วเป็นอย่างไรล่ะ หายเบื่อเลยไหม หืม?”
 
ดวงหน้าคมเข้มที่ก้มลงมาใกล้จนลมหายใจรดกันทำให้คนสวยคลายอาการขัดเคืองใจ แววตาเป็นประกายสุกใสจ้องสบสายตารัตติกาลด้วยหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
 
สัมผัสบางเบานุ่มละมุนที่ทาบทับริมฝีปากสร้างความหวั่นไหวในอกได้มากพอจะทำให้หมดแรง ซอนอินเกาะเกี่ยวแผ่นหลังกว้างแล้วปล่อยให้วงแขนใหญ่โอบรอบแผ่นหลังเพื่อพยุงตัวให้ ใบหน้าเรียวเล็กแหงนเงยตามองศาจูบที่ถูกหยิบยื่น ปลายลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดตอบรับอีกฝ่ายอย่างว่านอนสอนง่าย
 
“อือ...” จูบยาวนานไม่เว้นจังหวะให้พักหายใจทำให้โพรงปากเล็กเก็บกักหยาดน้ำใสที่แลกเปลี่ยนไปมาระหว่างกันไม่หมด
 
เสียงเปียกลื่นของน้ำลายที่เอ่อล้นเรียกความอายให้ดวงหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อ
 
จีรยงขบเม้มกลีบปากล่างสีแดงสดทิ้งท้ายก่อนจะผละจูบออก แล้วกระซิบเสียงนุ่มหวานหูในระยะประชิดให้คนตัวเล็กได้เขินอายอีกระลอก
 
“หงส์ตัวน้อยของข้าซนได้ขนาดนี้ แปลว่าหายไข้สนิทแล้วสินะ”
 
.
.
.
 
เป็นเพราะต้องเร่งเดินทางให้เร็วขึ้น ทั้งกลางวันและกลางคืนแทบไม่ได้หยุดพัก เส้นตายของคนตัวเล็กจึงยืดยาวออกไปอีกหน่อย
 
ทว่าสามวันหลังจากนั้น ขบวนกองทัพที่เจ็ดของรัชทายาทหนุ่มก็มาถึงค่ายทหารเป็นที่เรียบร้อย
 
ภายในกระโจมพักขนาดใหญ่ที่สุดถูกสร้างขึ้นด้วยผ้าหนังสัตว์ถึงสามชั้นเพื่อกันความหนาวให้กับคนด้านใน เตียงไม้ก็ได้ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้ามาเป็นอย่างดีตามคำสั่งของแม่ทัพที่เจ็ด ดังนั้นในเวลานี้จึงเหมาะสมที่สุดในการใช้สอยสิ่งนี้
 
บนผืนผ้ายับย่นที่คลุมทับฟูกเตียงนั้น ร่างเปลือยเปล่าขาวนวลนอนบิดกายน้อยๆ อย่างทรมานต่อสัมผัสที่รุกไล่จากฝ่ามือหยาบใหญ่
 
ผิวเนื้อเนียนละเอียดค่อยๆ เปลี่ยนจากสีขาวมุกเป็นสีชมพูระเรื่อตามแรงบีบเฟ้นของคนที่คร่อมทับ เนื้อตัวของซอนอินในตอนนี้เป็นที่น่าพอใจของจีรยงยิ่งนัก เพราะตลอดการเดินทางชายหนุ่มคะยั้นคะยอเป็นผู้ป้อนอาหารให้ร่างบางด้วยตนเองมาตลอด เริ่มตั้งแต่ที่เจ้าตัวฟื้นขึ้นหลังจากที่จมน้ำนั่นแหละ ผ่านมาร่วมสองอาทิตย์ ไม่ว่าจับไปตรงไหนก็ดูจะเต็มไม้เต็มมือมากกว่าแต่ก่อนเยอะทีเดียว
 
“อ๊ะ”
 
ปลายนิ้วแกร่งสะกิดผ่านตุ่มไตสีชมพูสดเรียกเสียงหวานครางจากลำคอเพรียวระหง
 
“ความรู้สึกเจ้าไวเสมอเลยนะซอนอิน” จีรยงเอ่ยเย้า เขาลากไล้ฝ่ามือไปตามส่วนโค้งเว้าของร่างบางอย่างถือวิสาสะ สำรวจไปตามเรือนร่างที่ไม่ว่าจะจับตรงไหนก็ล้วนแต่สร้างกระแสแห่งเพศรสให้เขาได้ทั้งสิ้น
 
เอวเล็กคอดถูกบีบเฟ้นลามเรื่อยลงถึงเนินสะโพกบาง
 
สัมผัสมือร้อนระอุราวเปลวเพลิงที่จงใจเพิกเฉยต่อสัดส่วนที่ตื่นตัวนั้นทำให้ซอนอินหายใจติดขัดด้วยความทรมาน ร่างเล็กบิดกายด้วยท่าทางเย้ายวนอย่างต้องการเรียกร้อง ทว่าจีรยงยังไม่คิดจะสนใจ
 
นัยน์ตาเชื่อมแสงปรือมองคนรักเว้าวอน ริมฝีปากบางกัดเม้มจนแดงจัด ในใจนึกโกรธขึ้นมาที่ถูกอีกฝ่ายแกล้งให้เกิดอารมณ์แต่กลับไม่ยอมตอบสนองเสียที
 
คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง จีรยงยกยิ้มที่มุมปาก “ทนไม่ไหวแล้วหรือ ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเจ้าเลยนะ”
 
ไม่ทำอะไรที่ไหนกัน เจ้าคนเสแสร้ง! ซอนอินอยากจะตะโกนใส่นักว่าที่ถูกเล้าโลมอยู่ตั้งนานนี่เรียกว่าไม่ทำอะไรงั้นหรือ แต่ติดตรงที่มีปลายลิ้นอุ่นๆ มาแลบเลียต้นขาทำให้เสียงที่เปล่งออกมากลายเป็นเสียงครางไปเสียนี่
 
“ฮ๊ะ อะ....”
 
มังกรหนุ่มลอบยิ้ม เขาจงใจกดซี่ฟันลงไปที่เนินเนื้ออ่อนของต้นขาเล็กแล้วขบกัดจนเกิดรอย ก่อนจะเลื่อนไปกัดอีกสามจุดใกล้กับโคนขา วิธีปลุกเร้าที่เร่าร้อนรุนแรงมากขึ้นทำให้ซอนอินยิ่งควบคุมสติไม่อยู่
 
มือเล็กที่จับบิดผ้าข้างตัวเมื่อครู่เลื่อนลงขยุ้มกลุ่มผมของคนที่ก้มหน้าวุ่นวายอยู่กับหว่างขาของตนให้ขยับมาตรงกลางอย่างห้ามใจไม่อยู่ ความต้องการของคนร่างบางที่ดูจะชัดเจนกว่าที่ผ่านมาทำให้จีรยงยอมหยุดแกล้งแต่โดยดี เขาครอบครองสัดส่วนที่ตื่นตัวได้อย่างน่ารักด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน
 
“อ๊ะ อาาาา.....” ดวงหน้าขาวชื้นเหงื่อแหงนเงย แผ่นหลังบางแอ่นขึ้นรับสัมผัสจากการถูกโลมเลียหยอกเย้าด้วยปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดตั้งแต่ส่วนปลายจนถึงส่วนโคน ปลายลิ้นร้อนที่ลากไล้ขึ้นลงด้วยจังหวะที่เน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกยิ่งเพิ่มความรุ่มร้อนในกายของซอนอินให้พุ่งขึ้นสูง เสียงหวานครางหลายต่อหลายครั้งเมื่อที่สุดของอารมณ์ถูกกระตุ้นเร้าให้ปลดปล่อย ร่างกายที่ถูกปั่นป่วนมาตั้งแต่เริ่มทำให้ซอนอินไม่อาจฝืนทนได้มากกว่านี้
 
“จีรยง อ่ะ อาาาาา” หยาดน้ำขาวขุ่นพวยพุ่งเต็มช่องปากของแม่ทัพหนุ่ม ซอนอินเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นว่าของของตัวเองนั้นถูกอีกฝ่ายกลืนกินจนหมด ยังไม่ทันจะได้พักหายใจซึมซับกับอารมณ์ที่หลุดลอยไป ช่วงเอวก็ถูกจับยกให้ร่างทั้งร่างลอยขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตัวของร่างสูงอย่างกะทันหัน
 
ซอนอินตัวอ่อนปวกเปียกจนจีรยงต้องประคองสีข้างของซอนอินเอาไว้ แก้วตาคู่สวยฉ่ำหวานทอดมองคนด้านล่างคล้ายกำลังยั่วยุอารมณ์ราชสีห์ ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้น
 
จีรยงมองคนสวยของเขาอย่างพึงใจ รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ต่อให้เป็นสตรีมาเห็นเข้าก็คงไม่ปล่อยให้พ้นมือเป็นแน่ นับประสาอะไรกับบุรุษเพศอย่างเขากัน จีรยงจ้องมองสีหน้าเชิญชวนของซอนอินที่ยังอยู่ในวังวนของอารมณ์ที่เจ้าตัวเพิ่งไปถึงที่สุด เส้นผมสีดำยาวจากศีรษะได้รูปตกระผิวกายหยาบของเขายิ่งสร้างภาพลักษณ์ให้ซอนอินดูมีเสน่ห์มากเป็นเท่าตัว เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งที่ประคองร่างบางขึ้นเกลี่ยไล้ใบหน้าขาว ปลายนิ้วกดลงที่กลีบปากสีแดง ออกแรงเพียงเล็กน้อยข้อนิ้วก็ล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากเล็ก
 
คนที่ยังอยู่ในห้วงแห่งความสุขสมเกาะกุมข้อมือหนาด้วยสองมือ ลิ้นเล็กตอดรัดปลายนิ้วแกร่งราวกับทานขนมหวาน แลบเลียดูดคลึงจนไม่น่าเชื่อว่าเจ้าตัวจะไร้เดียงสากับเรื่องบนเตียง ดูท่าว่าคนร่างบางคงตกเป็นทาสของอารมณ์แล้วกระมัง
 
ใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพหนุ่มเผยรอยยิ้มร้าย จีรยงปล่อยให้ซอนอินสนุกกับการเล่นมือของเขาไม่นานนัก เขาก็ใช้มืออีกข้างกอบกุมสัดส่วนที่อ่อนตัวไปเมื่อครู่อีกครั้ง
 
ซี่ฟันเล็กพลันกดลึกลงบนข้อนิ้วหนา
 
มือหยาบขยับขึ้นลงถี่รัว รู้สึกได้ถึงสิ่งที่กอบกุมอยู่นั้นขยายตัวและแข็งสู้การปลุกเร้า หยดน้ำสีขุ่นซึมจากปลายยอดเกิดเป็นเสียงเหนอะหนะ สะโพกเล็กแอ่นขึ้นลงอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงร้องแว่วหวานครางดังเป็นระยะ ไม่ถึงอึดใจต่อมา แผ่นหลังขาวนวลก็หยัดแอ่นขึ้น ลำคอเพรียวแหงนเงย ก่อนที่ร่างผอมบางจะกระตุกเกร็งพร้อมกับปล่อยสายธารแห่งห้วงอารมณ์ออกมาเต็มฝ่ามือหยาบใหญ่
 
“ฮึก....” ก่อนที่ร่างของซอนอินจะทรุดลงอย่างหมดแรง จีรยงก็ลุกขึ้นนั่งจับประคองคนร่างบางไว้บนตัก เขายื่นมือที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นๆ เข้าจ่อกลีบปากสีกุหลาบ
 
“เลียซะ”
 
หากเป็นเวลาปกติ คำสั่งแบบนี้คงไม่มีทางที่ซอนอินจะยอมทำตาม
 
“อึ อืมมม” เรียวคิ้วบางขมวดยุ่ง ขณะที่ปลายลิ้นก็แลบเลียของของตนเองตามคำสั่ง รสเฝื่อนขมที่ได้ลิ้มรสทำให้ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเล็กน้อย ซอนอินไม่อาจเลียทั้งหมดได้ ศีรษะเล็กส่ายปฏิเสธพร้อมกับไอสำลัก จีรยงจูบปิดปากคนที่พยายามทำตามคำสั่งเป็นการปลอบโยน ก่อนที่เขาจะใช้มือข้างนั้นกอบกุมสิ่งที่กำลังจะทนรอไม่ไหวของตนเอง
 
ร้อนราวกับเปลวเพลิง ซอนอินรู้สึกถึงสิ่งที่นาบอยู่บริเวณหน้าท้อง สิ่งนั้นทั้งใหญ่และร้อนจนราวกับจะถูกแผดเผาหากโดนสัมผัสมากกว่านี้ คนตัวเล็กขยับยุกยิกอยู่บนตักเมื่อสัญชาตญาณเริ่มทำงาน
 
“จะไปไหน หืม? ตัวเองสบายไปถึงสองครั้ง คิดจะปล่อยให้ข้าทรมานหรืออย่างไร?”
 
“ไม่เอาท่านี้ จีรยง...ไม่เอาแบบนี้นะ” ซอนอินรีบร้องบอกเมื่อเห็นทีท่าว่าจะถูกเจ้าป่าผู้มากราคะกลืนกินทั้งตัวไปในท่านี้จริงๆ
 
การถูกกกกอดด้วยท่านั่งอย่างนี้เขาเข็ดแล้วจริงๆ!!
 
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แล้วยังความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นอีกตัวตนหนึ่งของตัวเองมีอะไรกับจีรยงด้วยท่านี้ แค่คิดซอนอินก็ทำใจยอมรับไม่ได้ การถูกจีรยงกอดคือสิ่งที่เขาต้องการ แต่เขาไม่อยากเจ็บอีกแล้ว หากทำท่านี้จริงๆ มีหวังต้องได้เลือดแน่
 
สำหรับซอนอินแล้ว ร่างกายของตนเองบอบบางยังไงเจ้าตัวก็รู้ดี ขีดจำกัดที่ทนได้มีเท่าไหร่ ทั้งความทรงจำที่เคยถูกจีรยงทรมานก็มากเกินพอที่จะทำให้ซอนอินต่อต้านการถูกรุกรานอย่างรุนแรง เมื่อครั้งที่ถูกปีศาจครอบงำก็ยังจำความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดทรมานได้อย่างชัดเจน ตัวตนของปีศาจอาจจะชอบความรุนแรงโหดร้ายอย่างนั้น แต่กับซอนอินไม่ใช่เลย
 
น้ำตาเม็ดใสที่ไหลเอ่อถูกปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยซับให้
 
“กลัวเจ็บหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ซอนอินก็เคยมีอาการต่อต้านมาก่อนจึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดเสียอารมณ์ ที่มากกว่านั้นยังทำให้จีรยงรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เขาอยากจะทะนุถนอมคนรักคนนี้ให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
 
เขาจับพลิกซอนอินให้นอนราบลง หลังมืออุ่นไล้ใบหน้าสวยชื้นน้ำตาเบาๆ “ข้าจะค่อยๆ ทำ เชื่อใจข้านะ”
 
ให้หยุดตอนนี้ซอนอินก็ไม่เอาเหมือนกัน คนสวยจึงพยักหน้ารับ
 
จีรยงก้มลงจูบเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะจับท่อนขาเรียวเล็กขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้า ยกสะโพกเล็กให้สูงขึ้นแล้วใช้หมอนสอดรองรับน้ำหนักของเจ้าตัว ชายหนุ่มแลบเลียนิ้วของตนจนชุ่มก่อนจะค่อยๆ ใช้เปิดทางให้ส่วนนั้นได้คุ้นเคย เขากวาดไปรอบๆ ราวกับกำลังวาดรูปวงกลมจนกระทั่งช่องทางเล็กเริ่มอ่อนตัวพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งที่ใหญ่กว่า ฝ่ามือใหญ่ตรึงข้อพับขาขาวไว้ให้กดต่ำลงขณะที่เขาดันกายเข้าหาอย่างเชื่องช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
ซอนอินหลับตาแน่น สองมือกำผ้าปูไว้จนยับย่น หยาดน้ำสีขุ่นที่เชื่อมทับรอบกายของร่างสูงไว้ทำให้การรุกล้ำเป็นไปอย่างนุ่มนวลง่ายดาย ทว่าก็ยังคงสร้างความเจ็บให้กับร่างบางอยู่ดี
 
“อื้อ!!!” ซอนอินผวาเกาะไหล่กว้าง ปลายเล็บกดจิกลงไปบนมัดกล้ามของนักรบหนุ่มอย่างไม่ออมแรง
 
“มา ให้ข้าจูบที” ใบหน้าเล็กที่หันซ้ายขวาด้วยความเจ็บถูกสั่งให้เงยหน้าขึ้นรับจูบหวานๆ
 
จีรยงจูบซอนอินซ้ำๆ ไม่ยอมผละห่าง รู้สึกตัวอีกทีซอนอินก็พบว่าร่างกายของตัวเองรับตัวตนของอีกฝ่ายไว้จนหมดสิ้น
 
“หายเจ็บแล้วหรือไม่?”
 
คำถามนั้นทำให้ซอนอินหน้าแดงไม่ต่างจากถูกแสงแดดแผดเผา จะไม่ให้อายได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงตัวตนของจีรยงที่เต้นตุบตุบ อยู่ภายในร่างกายของเขา
 
คนสวยช้อนสายตาขึ้นมองคนถาม ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นก่อนจะเผยอน้อยๆ เอ่ยตอบเสียงเบาเสียยิ่งกว่าสายลมพัดผ่าน
 
 
“ข้าจะเจ็บยิ่งกว่านี้ หากเจ้าไม่ขยับเสียที”
 

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [บทที่ 31] 29/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 29-09-2016 08:39:24
 
.
.
.
 
 
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนรบที่จีรยงวางไว้ จำนวนคนของแคว้นทางเหนือมีไม่มากพอที่จะตั้งรับทหารของฮานึล ดังนั้นการโจมตีเรือรบทั้งหมดที่มีของฝ่ายศัตรูไปในเวลาพร้อมกันจึงสร้างความปั่นป่วนให้กับฝ่ายนั้นได้เป็นอย่างมาก ทั้งยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเสียหายไม่น้อยด้วย หากแต่ในวันที่ห้าของการทำศึกนั้นเอง ดูเหมือนว่าฝ่ายเหนือจะยอมพ่ายต่อสงครามแล้ว จึงใช้วิธีการสกปรก ระหว่างที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายประกาศยุติสงคราม จีรยงที่ยืนอยู่บนฝั่งของเชินอันนั้นวางอาวุธตามข้อตกลงยุติการรบ ผู้นำอีกฝ่ายก็วางอาวุธเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นเอง เรือรบที่ผู้นำฝ่ายเหนือยืนอยู่กลับยิงระเบิดขึ้นมาบนฝั่งถึงสามครั้ง ควันสีเทาคลุ้งตลบอบอวลทั่วบริเวณ ภายในม่านหมอกที่มองไม่เห็นนั้นเอง ลูกธนูหลายพันดอกก็ถูกยิงใส่ทหารฮานึล ความวุ่นวายดำเนินไปไม่นานมากนัก หลังจากที่กลุ่มควันหายไป เรือรบฝ่ายศัตรูก็หายไปด้วยเช่นกัน เหลือไว้แต่ผืนผ้าสีขาวที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเลเป็นสัญญาณบอกถึงการยอมจำนน
 
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของทหารหลายคนดังขึ้นเป็นระยะ ขณะที่พลทหารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บช่วยกันปฐมพยาบาลกันอย่างเร่งรีบ
 
นายพลซูวอนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรวิ่งวุ่นไปทั่ว ก่อนจะเห็นราชครูยองจูประคองทหารที่เจ็บอยู่ไม่ไกล
 
“ท่านราชครู! ท่านเห็นองค์รัชทายาทหรือไม่ ข้าหาจนทั่วแล้วก็ไม่พบ!!”
 
“แย่ล่ะ รัชทายาทยืนติดริมฝั่งมากเกินไป อาจได้รับบาดเจ็บจนตกทะเลก็เป็นได้” ยองจูเรียกทหารที่อยู่ใกล้ๆ มารับร่างคนเจ็บไป ก่อนจะหันกลับไปหาซูวอนอีกครั้ง “ท่านนายพลไปสั่งให้ทหารเอาเรือเล็กออก ข้าจะวิ่งไปดูในจุดที่รัชทายาทยืนอยู่เมื่อครู่”
 
ราชครูหนุ่มรีบสาวเท้าไปที่ชายฝั่ง ที่ตรงนี้เป็นผาสูง นอกจากท่าเรือที่ยื่นออกไปแล้วก็ไม่มีบริเวณใดที่จะพาลงไปสู่น้ำทะเลได้ เพราะบริเวณนี้เป็นทะเลน้ำลึก ชายหาดที่มีเม็ดทรายละเอียดอยู่เลยจากที่ตรงนี้ไปอีกไกลนัก
 
ยองจูก้มมองผิวน้ำทะเลที่นิ่งสงบ
 
ชองจีรยงไม่น่าจะจมน้ำ ชายผู้นั้นย่อมว่ายน้ำเป็น นอกเสียจากจะได้รับบาดเจ็บจนไม่มีแรงว่าย
 
ลูกธนูที่ยิงมาอาจมีสักดอกสองดอกที่พุ่งโดนร่างของชองจีรยง เพราะฝ่ายนั้นยืนอยู่หน้าสุดของคนทั้งหมด ไม่มีทางที่จะโดนสะเก็ดระเบิดที่ตกเลยไปด้านหลังไกลขนาดนั้น
 
นับเวลาที่จมน้ำ หากเป็นตอนนี้ก็อาจจะยังทัน
 
คิดคำนวณเวลาเสร็จสรรพ ราชครูหนุ่มก็ปลดกระบี่ลงจากบั้นเอว แล้วกระโดดลงไปในน้ำทะเลทั้งอย่างนั้น
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
หอม...
 
 
กลิ่นดอกไม้หรือ?
 
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดคือสัมผัสรับรู้ทางกลิ่นที่ชัดเจนจนอดสงสัยไม่ได้ จากนั้นความเจ็บปวดรุนแรงที่หน้าอกและแขนซ้ายก็ตามมา
 
เจ็บจนแทบอยากจะร้อง แต่ก็ร้องไม่ออก
 
นัยน์ตาพร่าเลือนพยายามปรับแสงให้คุ้นชิน ภาพของเพดานกระโจมที่เห็นทำให้ความทรงจำทั้งหมดไหลคืนสู่สมอง
 
ก่อนหน้านี้เขาโดนลูกธนูแทงเข้าที่หน้าอกกับแขนซ้ายอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
 
ประสาททั้งหมดตื่นตัวในเวลารวดเร็ว จีรยงผุดลุกขึ้นนั่งในทันที เขามองไปรอบกระโจมพักของตนเอง ก่อนเลื่อนสายตาลงมองต้นกำเนิดของกลิ่นหอมหวาน
 
ศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีนิลเป็นประกายนั้นฟุบหลับอยู่ข้างกาย มือเล็กทั้งสองข้างยังคงเกาะเกี่ยวท่อนแขนขวาของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย แม้จะเจ็บบาดแผลที่ตอนนี้ถูกพันด้วยผ้าสีขาวอย่างดีแล้วก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังลุกไปจัดการอุ้มร่างบางขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน
 
ดูเหมือนว่าซอนอินจะอดหลับอดนอนมาหลายชั่วยาม ตอนนี้ถึงได้ไม่รู้สึกตัว ...เห็นแล้วก็ชวนให้ลักหลับเสียเหลือเกิน
 
จีรยงเอนตัวลงนอนอย่างยากลำบากด้วยบาดแผลยังสดใหม่
 
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ร่างสูงเอาแต่นอนมองใบหน้ายามหลับของคนรัก กระทั่งเปลือกตาบางนั้นขยับเผยแก้วตาสุกใส
 
“อะ! จีรยง!! เจ้าฟื้นแล้ว!!”
 
“โอ้ย! เจ้าจะฆ่าข้าหรืออย่างไร!”
 
ซอนอินรีบปล่อยอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าสวยระบายยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น “ข้าขอโทษ เจ็บมากไหม เจ้านอนรอก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะออกไปตามหมอจากึนมาให้”
 
“ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่กับข้าที่นี่แหละ ดึกดื่นอย่างนี้ให้ทุกคนได้พักผ่อนเถิด”
 
“แต่ว่า...”
 
“ไม่มีแต่ มานั่งตรงนี้เร็วเข้า ข้าอยากได้จูบจากเจ้าเป็นยาแก้ปวด”
 
ซอนอินเดินกลับไปนั่งบนเตียงแต่โดยดี คนตัวเล็กก้มลงจูบชายหนุ่มตามคำขอ จูบหนึ่งครั้งไม่น่าจะพอแก้ปวดได้ ซอนอินเลยเพิ่มให้อีกสองครั้ง เป็นทั้งยาเป็นทั้งรางวัลที่อีกฝ่ายออกไปรบจนได้รับชัยชนะกลับมา
 
“หายปวดหรือไม่?”
 
“ยังปวดอยู่ จูบอีกสิ”
 
“ได้คืบจะเอาศอกเชียวนะ”
 
บ่นอุบอิบแต่ก็ยอมก้มลงจูบแต่โดยดี เมื่อผละจูบออก จีรยงกลับยังรั้งท้ายทอยขาวให้ก้มค้างในระยะประชิด
 
“ไม่ใช่ซอนอินของข้า ข้าก็ไม่เอาสิ่งใดหรอก”
 
“ปากหวาน พูดอย่างนี้กับหญิงสาวทุกคนเลยล่ะสิ”
 
“หึงหรือ?”
 
“ใครจะกล้าหึงองค์รัชทายาทอย่างเจ้ากัน วันๆ มีแต่คนเข้าหาไม่ขาดสาย ข้ายอมรับได้อยู่แล้ว”
 
จีรยงลูบไล้ดวงหน้าขาวแผ่วเบา “ซอนอิน มีแต่เจ้าที่ข้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ด้วย อย่าว่าแต่ผู้ใดเลย แม้แต่กับฮีอูข้าก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหวั่นไหวได้เท่ายามที่อยู่ใกล้ชิดเจ้า ข้าคิดไม่ออกเลยว่า หากข้าไม่ได้พบเจอเจ้า ข้าจะกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกหรือไม่ ชั่วชีวิตนี้ข้าอาจไม่รู้จักกับการรักใครสักคน”
 
ข้อศอกเล็กที่เท้าอยู่กับเตียงเพื่อพยุงตัวไม่ให้ทับแผลของร่างสูงทำท่าจะหมดแรงเอาเสียดื้อๆ คำสารภาพที่ไม่คิดว่าจะได้ฟังจากคนรักทำให้ซอนอินอยากร้องไห้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
 
ตอนที่รู้ว่ารักจีรยง ก็คิดว่ายอมได้ทุกอย่างเพื่อคนคนนี้ ทว่าในตอนนี้เมื่อรู้ว่าจีรยงก็รักตน กลับอยากผูกมัดให้จีรยงมองแค่เขาเพียงคนเดียว ไม่อยากให้ใครได้ใกล้ชิด ไม่อยากยอมในทุกๆ สิ่งที่จะเป็นการกัดกร่อนหัวใจของเขา
 
“น้ำตาของเจ้า เมื่อไหร่จะเหือดแห้งเสียทีนะ” จีรยงเช็ดหยาดน้ำให้พ้นจากดวงตาที่บวมช้ำมาก่อนหน้า ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเจ้าตัวคงจะร้องไห้ที่เห็นเขาบาดเจ็บ
 
“ต่อไปภายหน้าเจ้าก็จะเป็นชายาแล้ว อย่าได้ร้องไห้ให้ผู้ใดเห็นนอกจากข้าเสียล่ะ”
 
ชายา... คำคำนี้ทำให้ซอนอินหลุดออกจากห้วงความคิดของตนเอง แล้วเริ่มวังวนความคิดใหม่ที่มีแต่ม่านหมอกบดบัง เขาอาจจะเป็นชายาให้กับจีรยงได้ แต่เขาเป็นผู้หญิงให้กับจีรยงไม่ได้ ถึงจะได้ยืนเคียงข้าง แต่ไม่สามารถสืบเชื้อสายให้กับจีรยงได้อย่างที่ควรจะเป็น ...ที่สุดแล้ว จีรยงก็ต้องมีหญิงอื่นนอกจากเขาอยู่ดี
 
ทำไมชองจีรยงถึงมีแค่คิมซอนอินไม่ได้...
 
เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกเห็นแก่ตัวนี้ดีนะ...
 
โดยไม่รู้ตัว น้ำตาก็ได้ไหลเอ่อออกมาราวกับสายน้ำ หยดลงตามผิวแก้มและใบหน้าของคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง
 
“ซอนอิน เจ้าเป็นอะไร” เขาแน่ใจว่าซอนอินหยุดร้องไห้แล้วเมื่อครู่นี้ แต่ครั้งนี้ร้องไห้เพราะอะไรกัน ทั้งยังตัวสั่นไปหมดอย่างนี้
 
ฝ่ามือใหญ่ข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บบีบไหล่เล็กบังคับให้คนร่างบางเงยหน้าสบตา แต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่งไม่ขยับ เอาแต่ส่ายศีรษะไปมาอยู่อย่างนั้น
 
“เจ้าเป็นอะไรบอกข้าสิ ร้องไห้ทำไม”
 
พูดดีๆ คงไม่ยอมฟัง จีรยงจึงจับปลายคางเล็กให้เงยหน้าขึ้น ถึงอย่างนั้นแล้วซอนอินก็ยังเสหลบสายตาไปทางอื่น ปฏิกิริยานั้นทำเอาความอดทนของจีรยงแทบขาดผึง
 
“ข้าเจ็บแผลมากนะ เจ้าอยากให้ข้าลุกขึ้นมาขืนใจเจ้าตอนนี้เลยใช่ไหม!”
 
“ฮึก...”
 
เสียงตวาดทำให้คนตัวเล็กสะดุ้ง จีรยงถอนหายใจครั้งหนึ่ง หลับตาลงแล้วลืมขึ้นใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง
 
“ซอนอิน อย่าทรมานข้าอย่างนี้ เห็นเจ้าร้องไห้คิดว่าใจของข้าเป็นสุขหรือ”
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ทั้งกลั้นเสียงร้องไห้ทั้งพยายามกัดไม่ให้หลุดพูดความในใจออกไป แต่สุดท้ายประโยคของร่างสูงที่เอ่ยออกมาก็เอาชนะทุกอย่างของซอนอินได้เหมือนเช่นทุกครั้ง
 
“ข้าโกรธตัวเอง”
 
“โกรธ? เพราะเหตุใด” คำตอบของซอนอินทำเอาจีรยงต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
 
“โกรธสวรรค์ด้วย โกรธทุกอย่างที่ทำให้ข้าเป็นอย่างนี้ โกรธหัวใจของข้าที่รักเจ้า โกรธชะตาชีวิตของข้าที่ทำให้เจ้าไม่ได้ทุกอย่าง ฮึก...จีรยง ข้าโกรธที่ตัวเองอยากผูกมัดเจ้าไว้คนเดียว ทั้งที่ข้าไม่มีค่าเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นกับเจ้า...”
 
จีรยงกดท้ายทอยที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มแล้วจูบปิดปากที่ยังพูดไม่จบ
 
ประกบริมฝีปากกันอยู่นาน จูบราวกับจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้หายใจอีกเป็นครั้งที่สอง
 
“ชอนอาจะเป็นชายาเพียงคนเดียวของข้า ไม่มีสนม ไม่มีหญิงนางโลม ไม่มีผู้ใดทั้งนั้น ตั้งแต่ที่ข้าช่วงชิงชีวิตเจ้ากลับมาจากสวรรค์ ข้าไม่คิดมีใครอื่นอีก มีแต่เจ้าที่อยู่ตรงหน้าของข้านี้เท่านั้น”
 
ดวงตาที่ยังฉ่ำน้ำจ้องมองคนพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ...ไม่มีสนมงั้นหรือ? จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน
 
จีรยงยกยิ้มเมื่ออ่านสายตาที่จ้องมองมาออกราวกับได้ยินความคิดของอีกฝ่าย เขาลูบผิวแก้มเปียกน้ำอย่างอ่อนโยนขณะเอ่ย “ข้าหวังที่จะครองราชย์ แต่ไม่ได้หวังที่จะมีลูก นอกจากข้าแล้วก็ยังมีจีมุน ยูนา เสด็จน้าของข้าก็มีบุตรมากมาย ฮานึลเป็นแคว้นใหญ่ย่อมมีผู้คนมากมายที่เหมาะสมกับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วข้าเองก็ใช่จะอายุมากเสียเมื่อไหร่ นับตามอายุข้าไปก็คงอีกหลายสิบปีนั่นแหละกว่าที่ข้าจะตาย ถึงตอนนั้นก็มีผู้ที่เหมาะสมนับไม่ถ้วนแล้ว”
 
ทุกอย่างมันจะง่ายอย่างนั้นจริงหรือ? แม้แต่จีรยงก็ไม่อาจตอบได้อย่างชัดเจน ทว่า ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดและตัดสินใจ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำเพื่อซอนอินและตัวของเขาเอง เมื่อกลับถึงวังหลวง เขาจะต้องจัดการทุกอย่างตามที่หวังนี้ให้สำเร็จลุล่วง แม้แต่เสด็จย่าก็ไม่สามารถขัดขวางได้
 
“ข้าบอกว่าจะมีเพียงเจ้า ได้ยินหรือไม่?”
 
ศีรษะเล็กพยักตอบเบาๆ
 
“แล้วเหตุใดยังร้องไห้อยู่อีก”
 
ถ้าบอกว่าดีใจจนหยุดร้องไห้ไม่ได้ จะเป็นอะไรไหมนะ? ซอนอินแอบคิดในใจ ก่อนจะสูดจมูกเสียงดังเพื่อระงับอาการสะอื้น
 
“ชองจีรยง เป็นข้าดีแล้วจริงๆ หรือ?”
 
ซอนอินอดถามออกไปไม่ได้ ที่จีรยงต้องทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อเขา ทั้งที่อีกฝ่ายสมควรจะมีลูกหลานสืบทอดต่อไป แต่กลับหยุดอยู่กับเขาคนนี้...
 
“บนแผ่นดินนี้ข้าเห็นแต่เจ้า”
 
แววตามั่นคงที่ส่งมานี้สะท้อนใจของซอนอินอย่างรุนแรง
 
“ชองจีรยง ข้ารักเจ้า ฮึก ข้ารักเจ้า รักเจ้ามากที่สุด”
 
จีรยงประคองดวงหน้าเล็กให้ก้มลงมาใกล้แล้วจูบลงกลางหน้าผากมน ก่อนไล้ลงจนถึงริมฝีปากอิ่ม
 
 
 
“รักข้าให้มากๆ เพราะข้าจะเรียกร้องความรักจากเจ้าไปชั่วชีวิต คิมซอนอิน”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

 จบตอน

 
เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0)

(http://kimyoonbe.exteen.com/images/chunsa/14330170_1743526355910646_7164399534191287630_n.jpg)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 30-09-2016 08:17:23
 
บทที่ 32

 
“ค...คุณชายฮีอู.....”
 
เสียงของนางกำนัลหน้าตำหนักร้องเรียกร่างเล็กที่เดินตึงตังเข้ามาอย่างไม่สนใจว่าใครจะยืนขวาง นายทหารหน้าประตูก็ไม่กล้าจะใช้กำลังกับคนสำคัญขององค์รัชทายาทผู้นี้ ข้ารับใช้ทั้งหมดจึงได้แต่ครางเรียกอย่างทำอะไรไม่ถูก
 
“พวกเจ้าหลีกทางให้เราเดี๋ยวนี้นะ!” เมื่อก้าวเข้ามาถึงหน้าห้องทรงอักษรภายในตำหนักรัชทายาทแล้ว ฮีอูก็ขึ้นเสียงเกรี้ยวกราดใส่สาวใช้อย่างที่ไม่มีใครเคยได้เห็นมาก่อน ถึงแม้เสียงเล็กที่เอ่ยจะฟังดูไม่น่ากลัวสักเท่าใดก็ตาม
 
อารมณ์ของคิมฮีอูในตอนนี้นั้นมากกว่าจะเรียกว่าโกรธ เหตุเพราะการกลับเข้าวังขององค์รัชทายาทที่มาพร้อมกับข่าวลือที่มีเค้าความจริงว่าพระองค์ได้พาหญิงสาวรูปงามนางหนึ่งเข้าวังมาด้วย ซ้ำยังคิดจะแต่งตั้งนางให้เป็นชายา ทั้งๆ ที่ในตอนนี้องค์วังชอนซาหายตัวไป พระองค์คิดอะไรอยู่กันแน่!!
 
ฮีอูรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในหัวทำท่าจะระเบิดออกมาเสียให้ได้
 
โกรธจนมือไม้สั่นไปหมดแล้ว
 
“คุณชายฮีอูเข้าไปไม่ได้นะขอรับ”
 
“หลีกทางไปให้พ้นนะ! เราจะเข้าไปคุยกับองค์ชายจีรยงให้รู้เรื่อง!!!”
 
“แต่ว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงว่าราชกิจอยู่กับราชครูปาร์คยองจู...”
 
“ดีเลย! เราจะเข้าไปหาทั้งสองคนนั่นแหละ! โอ๊ย อย่ามาขวางได้ไหม!!”
 
ฮีอูปัดแขนของข้ารับใช้หนุ่มออกให้พ้นทาง พอดีกับที่บานประตูด้านหน้าเปิดออกพร้อมกับร่างสูงคุ้นตาที่ตั้งแต่กลับเข้าวังมาเมื่อกลางดึกก็เพิ่งจะได้เห็นหน้ากันก็ตอนนี้
 
“ให้คุณชายฮีอูเข้ามา”
 
“อ่ะ ขอรับท่านราชครู”
 
เมื่อเดินเข้ามาด้านในแล้ว คนตัวเล็กก็ไม่รอช้าที่จะหันไปหาร่างสูงที่ปิดประตูเดินตามหลังมา
 
“ทำไมท่านถึงปล่อยให้องค์ชายพาใครที่ไหนก็ไม่รู้เข้าวังมาอย่างนี้เล่า! ไม่ห่วงองค์วังชอนซาแล้วหรืออย่างไร!!”
 
“องค์วังชอนซาเสียชีวิตแล้ว” สีหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่มนั้นทำเอาริมฝีปากของฮีอูที่เตรียมเผยอขึ้นได้แต่อ้ากว้างด้วยความตกใจ
 
“อะไรนะ ท่าน...ท่านหมายความว่ายังไงยองจู องค์วังชอนซา....ไม่จริง....” ศีรษะเล็กหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษร แววตาคมเข้มเรียบนิ่งดุจสายหมอกกลางหุบเหวที่จ้องตอบกลับมาทำให้ขาของฮีอูหมดแรงทรุดลงกับพื้น
 
แม้จะไม่ได้สนิทสนมกันมากมายนัก แม้ว่าช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันเพิ่งจะเริ่มต้น แต่สำหรับฮีอูแล้ว คิมซอนอินก็เหมือนเพื่อนคนสำคัญคนหนึ่งในบรรดาคนทั้งหมดที่ได้ใกล้ชิดด้วย ทั้งอายุที่ไล่เลี่ยกัน ทั้งความรู้สึกภายในใจมากมายที่เคยปรับทุกข์ให้กัน มีคนรักที่เป็นคนสำคัญของกันและกัน ระหว่างฮีอูกับซอนอินถือว่าเป็นเพื่อนคนสนิทมากที่สุดในตอนนี้ก็ว่าได้
 
ขอบตาที่บวมช้ำมาแต่เดิมถูกกลบด้วยหยาดน้ำใสอีกครั้ง หลายวันมานี้ฮีอูร้องไห้ไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปของวังชอนซาไม่รู้วันละกี่รอบ ยิ่งได้มารับรู้ว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วก็ยิ่งทำใจไม่ได้
 
“ราชครูปาร์ค” เสียงทุ้มเอ่ยกลบเสียงสะอื้นของฮีอู ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ตัวใหญ่ ช่วงขายาวภายใต้อาภรณ์สีเงินสว่างตาก้าวตรงไปยังประตูห้อง รัชทายาทหนุ่มไม่พูดอะไรอีกแล้วเดินออกไปจากห้องราวกับคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ ร่างสูงอีกคนภายในห้องก็รู้หน้าที่ดีว่าต้องทำอย่างไร
 
ยองจูย่อตัวลงนั่งตรงหน้าของฮีอู ข้อนิ้วใหญ่เกลี่ยซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน “ข้าดีใจที่เจ้าเป็นห่วงวังชอนซาถึงเพียงนี้ แต่อย่าได้เสียใจไปเลย ถึงไม่มีวังชอนซาแต่เจ้าก็ยังมีข้า”
 
“ฮึก! ยองจู ท่านพูดอะไรน่ะ วังชอนซาเป็นคนสำคัญของท่านนะ ทำไมท่านพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยที่วังชอนซาเสียชีวิตไปแล้ว! ฮือออ”
 
คนร่างสูงระบายยิ้มบางอย่างที่หาได้ยากนักบนใบหน้าได้รูปนี้ “แน่นอนว่าวังชอนซาเป็นคนสำคัญของข้า ชอนอา ก็เป็นคนสำคัญของข้าเช่นกัน”
 
“ชอนอา...?” เรียวคิ้วเล็กขมวดยุ่ง นี่มันชื่อของหญิงสาวที่องค์ชายจีรยงพาเข้าวังมาไม่ใช่หรือ แล้วยองจูไปรู้จักอะไรกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ซ้ำยังเป็นคนสำคัญด้วย?
 
“มาเถิด ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักกับชอนอา คนสำคัญของพวกเรา” ยองจูใช้จังหวะที่ร่างเล็กหยุดสะอื้นไห้จูบปิดปากเล็กๆ เสียนานสองนานราวกับจะกลืนความเสียใจนั้นไปเสียเอง แล้วฉุดแขนบางให้ลุกขึ้นยืน สอดมือเข้ากอบกุมมือเล็กจนแนบสนิทแล้วก็ออกเดินนำไปทั้งที่อีกคนยังจับต้นชนปลายของเรื่องราวไม่ถูก
 
แต่ที่แน่ๆ ฮีอูไม่ได้อยากรู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อชอนอาเลยสักนิด!
 
 
 
 
วังชอนซา... คิมซอนอิน... ชอนอา...
 
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่กลับใช้เวลานานพอดูที่คนร่างเล็กเรียบเรียงเรื่องราวจนเข้าใจ ฮีอูนั่งอยู่ภายในห้องบรรทมขององค์รัชทายาท สายตาจับจ้องไปยังร่างบางบนเตียงที่วันนี้อาภรณ์ที่สวมใส่แปลกตาไปอย่างมาก สีสันของสีแดงและสีขาวที่ตัดกันอย่างลงตัว รวมถึงลวดลายวิจิตรที่ปักอยู่บนเนื้อผ้าก็ยิ่งขับให้คนที่สวมใส่ดูสูงส่งสง่างามอีกหลายเท่าตัว ผิวพรรณขาวนวลต้องตาที่มักจะปล่อยโล่งคราวนี้มีเครื่องประดับสีทองมาเสริมให้เจ้าตัวดูงดงามไม่แพ้สตรีนางใดเท่าที่เคยพบเห็นมา
 
...หากไม่เรียกว่านางฟ้า เห็นทีคงสรรหาคำใดมาเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ว
 
“อ่ะ จีรยง...” เสียงหวานที่เอ่ยอย่างเขินอายยามที่ถูกคนที่นั่งข้างตัวนาบปลายจมูกเข้าหาข้างแก้มทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งตาม สมองที่คิดประมวลผลอยู่เมื่อครู่กลับเข้าที่เข้าทางได้ในที่สุด
 
“ที่แท้ ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้องค์วังชอนซาได้เป็นชายาขององค์ชายจีรยงหรอกหรือ!” สีหน้าของฮีอูแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี ริมฝีปากเล็กระบายยิ้มกว้างจนยองจูกลัวว่าแก้มป่องคู่นั้นจะปริแตกออกมาเสียก่อน
 
“ถูกต้อง นอกจากซอนอินแล้วเจ้าคิดว่าข้าจะสนใจผู้ใดได้อีกหรือฮีอู” จีรยงไม่สนใจอาการต่อต้านเล็กๆ ของคนร่างบางที่พยายามเบี่ยงตัวออกจากวงแขน เขาจับร่างที่ดิ้นอย่างน่ารักนั้นขึ้นมานั่งบนตักของตนเอง แล้วคล้องแขนกอดรอบเอวเล็กคอดไว้อย่างต้องการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนางฟ้าองค์นี้
 
จะบอกว่าแอบคิดไปว่าที่พระองค์พาหญิงสาวที่มีหน้าตาคล้ายกับวังชอนซาเข้ามาเพราะหวั่นไหวในรูปลักษณ์นั้นคงจะโดนต่อว่าอย่างแน่นอน ฮีอูจึงเก็บคำสารภาพนั้นลงไปแล้วส่ายหัวพึ่บพั่บ
 
“ก็หม่อมฉันไม่รู้เรื่องที่พระแม่เจ้าวางแผนนี่ แล้วฝ่าบาทก็ทำอะไรไม่ปรึกษาหม่อมฉันเลย อ๊ะ จริงสิ โทซองกับกึมซองก็โดนท่านหลอกด้วย น่าสงสารจริง!”
 
“สองคนนั้นใช่ว่าจะไม่มีความผิด ความปลอดภัยของวังชอนซาสำคัญถึงเพียงใด ยังปล่อยให้โดนคนร้ายจับตัวไปได้ ต่อให้เป็นแผนที่ข้าวางไว้ก็ตามที แต่เพราะความสะเพร่าเลินเล่อถึงทำให้วังชอนซาโดนจับโยนลงหน้าผา หากว่าข้าไม่ได้วางแผนเอาไว้มีหรือที่ซอนอินจะมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ ความผิดนี้ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลงโทษ”
 
ฮีอูนึกไปถึงเมื่อตอนเช้าที่เขาเรียกหาตัวเด็กหนุ่มฝาแฝดทั้งสองคนไม่พบ เป็นเพราะองค์ชายจีรยงเรียกตัวไปลงโทษนี่เอง
 
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซอนอินที่กังวลเรื่องนี้มาได้สักพักก็หันไปหาเจ้าของตัก “พอเถอะจีรยง เจ้าปล่อยให้สองคนนั้นแช่อยู่ในน้ำมาหนึ่งชั่วยามแล้วนะ แล้วสระน้ำนั่นก็แทบจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้วด้วย ข้าไม่อยากให้พวกเขาเป็นอะไรไป”
 
“เจ้าเองก็แทบจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้วตอนที่ข้าพบเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลงโทษ เจ้าก็ไม่ต้องห่วงให้มากนัก สองคนนั้นถูกฝึกมาอย่างดี แค่นี้ไม่ถึงกับทำให้เป็นอะไรมากมายนักหรอก”
 
ฮีอูมองภาพคู่รักตรงหน้าแล้วก็พลอยหัวใจพองโตอย่างเป็นสุข องค์ชายจีรยงมีนิสัยไม่ฟังใคร ทั้งยังดุถึงเพียงนั้น แต่กลับอ่อนโยนได้มากมายอย่างนี้ก็เพราะคิมซอนอิน สายตาและการกระทำของชองจีรยงล้วนเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อคิมซอนอิน นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าคู่แท้ที่มีเพียงหนึ่งเดียวของชีวิต
 
เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องมีอุปสรรคอันใดขวางทางอีกเลย
 
ฮีอูเอ่ยถามถึงเรื่องของพระแม่เจ้าว่าจะทำเช่นไรต่อไป ถึงแม้ชาวบ้านจะเข้าใจว่าองค์รัชทายาทหมายมั่นให้หญิงสาวผู้งดงามเป็นชายา แต่กับคนในวังหลวงไม่มีทางที่จะปิดบังได้ ใบหน้าของวังชอนซาถึงจะมีน้อยคนนักที่ได้พบเห็นแต่นั่นก็ถือว่ารู้จักหน้าของวังชอนซาไปแล้ว ซ้ำจะให้วังชอนซาแสดงตัวเป็นหญิงสาวตลอดเวลาก็ใช่ว่าจะทำได้ ถึงแม้ว่าแค่การแต่งตัวและรูปร่างของวังชอนซาจะทำให้ชวนคิดไปว่าเป็นสตรีไปโดยปริยายก็ตามที
 
เรื่องการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของซอนอิน จีรยงเองก็คิดมาหลายครั้งแล้วว่าทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด ชายหนุ่มไม่อยากฝืนใจซอนอินให้แสดงตัวเป็นใครคนอื่น ดังนั้นเวลาที่อยู่ในตำหนักส่วนพระองค์ ซอนอินจะยังเป็นซอนอินเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคนในตำหนักของเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ หรือต่อให้มีใครคิดร้ายเขาก็พร้อมจะจัดการกับคนผู้นั้นอย่างไร้ความปรานี แน่นอนว่าเรื่องนี้จีรยงไม่ได้บอกให้ซอนอินรู้ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรับความโหดร้ายนี้ไม่ได้
 
“เรื่องของเสด็จย่าข้าเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทำอย่างไร เพียงแต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ นอกจากจะเลี่ยงไม่พบเสด็จย่าตอนนี้แล้ว ข้าต้องรอให้เสด็จพ่อเตรียมการใหญ่ให้เสร็จเสียก่อน ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่ข้าต้องการ”
 
จีรยงลูบไล้เส้นผมสีดำยาวของคนในวงแขนอย่างเคยชิน ขณะเอ่ยกับเจ้าตัว “ซอนอิน ระหว่างที่ข้าเตรียมทุกอย่างเพื่อเจ้า ข้าอยากให้เจ้าอยู่แต่ในตำหนักของข้าเท่านั้น อย่าได้ออกไปไหนจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะให้ฮีอูอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า หลายวันหลังจากนี้ข้าอาจจะกลับเข้าตำหนักไม่บ่อยนัก ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ข้าอยากให้เจ้าเข้มแข็งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เจ้าจะทำได้ไหมซอนอิน”
 
หัวใจของซอนอินหวั่นไหวมานับครั้งไม่ถ้วนกับคำพูดและการกระทำของจีรยง ทั้งเศร้าสุขทุกข์ใจหรือแม้แต่ความยินดี ทุกอย่างที่มาจากชองจีรยงล้วนทำให้หัวใจของคิมซอนอินโอนเอียงได้เสมอไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม
 
ในเมื่อจีรยงไม่ท้อถอย แล้วเขาจะกล้ายอมแพ้ได้อย่างไรกัน
 
“ข้าจะเข้มแข็ง” ซอนอินตอบหนักแน่นพร้อมพยักหน้าแรงๆ หนึ่งครั้ง ริมฝีปากบางได้รูปถูกประทับแนบเป็นรางวัล ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยวาจาที่ทำให้หัวใจของคนฟังสั่นคลอนด้วยความเป็นสุขอย่างที่สุด
 
“ข้าสัญญาว่าพวกเราจะต้องมีความสุขตลอดไป”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
“องค์ชายซอนอิน นกน้อยของท่านไม่คิดจะตั้งชื่อให้หรือ?”
 
ภายในตำหนักรัชทายาทในช่วงบ่ายของวัน ร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างมาได้สักพักเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะกลางห้องอย่างสงสัย ขณะที่มือก็ยื่นเข้าไปในกรงนกเพื่อเล่นกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเท่าฝ่ามือ
 
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษตรงหน้า ซึ่งมีตัวอักษรถูกเขียนซ้ำๆ อยู่เกือบสิบบรรทัด มือเรียววางพู่กันลงกับแท่นหมึก ก่อนยกหลังมือขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกลงมาบนใบหน้าออกให้พ้นตา
 
“ข้าตั้งแล้วนะ ชื่อเจ้านกน้อยไง”
 
“เจ้านกน้อย? แบบนั้นเรียกว่าชื่อได้ที่ไหน”
 
ฮีอูหันไปขมวดคิ้วใส่คนตอบคำถาม ในขณะที่อีกคนก็ขมวดคิ้วยุ่งตอบกลับมาเช่นกัน
 
“ความจริงก่อนหน้านี้ข้าก็ตั้งชื่ออื่นๆ ให้แล้วนะ แต่เวลาเรียกก็ไม่บินมาหา นอกจากว่าข้าจะเรียกว่าเจ้านกน้อยนั่นแหละถึงจะยอมเชื่อฟัง สงสัยว่าข้าเรียกแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วถึงได้จำแต่ชื่อนี้”
 
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง... ว่าแต่เจ้านกน้อยของท่านนี่เก่งเนอะ ถูกฝึกให้ทำงานลับก็ได้ด้วย อิงอิงของหม่อมฉันทำอะไรไม่เห็นจะเป็นสักอย่าง” ว่าแล้วก็หันไปมองเจ้าตัวกลมที่นอนซุกขดอยู่บนโต๊ะที่มีกองผ้าสุมอยู่ อาจเพราะอากาศที่หนาวจัดถึงทำให้สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยเอาแต่นอนทั้งวันไม่ยอมออกมาวิ่งเล่นเหมือนปกติ
 
ฮีอูปิดประตูกรงนกแล้วเดินเข้าไปหาร่างบางที่เริ่มต้นเขียนอักษรอีกครั้ง ศีรษะกลมเอียงมองลายมือของซอนอินอย่างพินิจ ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อย
 
“อื้อ ลายเส้นสวยขึ้นเยอะเลย! แต่อืม... ลายมือของท่านคล้ายกับขององค์ชายจีรยงมากเลยนะ ถ้าตวัดปลายเส้นอีกนิดนี่ใช่เลย” ฮีอูออกความเห็นตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากคนรักว่าให้ฝึกองค์ชายซอนอินคัดอักษรให้สวยงาม
 
ซอนอินหยุดมองลายมือของตัวเอง แล้วก็เห็นด้วยกับที่ฮีอูบอกไว้ ก่อนหน้านี้เขามีลายมือแทบดูไม่ได้ นั่นก็เพราะลายมือของราชครูปาร์คที่เขาเฝ้าเอาเป็นตัวอย่างมาตั้งแต่เล็กนั้นเขียนยากเกินจะลอกเลียนแบบได้ เรียกว่าเป็นลายมือของนักกวีตัวจริงเลยก็ว่าได้ แต่ลายมือของชองจีรยงที่เขาเพิ่งหันมาเอาเป็นแบบอย่างนี่เขียนง่ายกว่า น้ำหนักเส้นก็หนักแน่นไม่พลิ้วไหวเหมือนอาจารย์ของเขา อีกอย่าง ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในตำหนักนี้ก็เห็นแต่ลายมือของจีรยงเต็มไปหมด ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคุ้นตาจนจำมาใช้แบบนี้
 
“จีรยงจะโกรธไหมเนี่ยที่ข้าเลียนแบบลายมืออย่างนี้”
 
“ฮ่าฮ่า ใครว่า องค์ชายจีรยงคงยิ้มหน้าชื่นตาบานมากกว่ากระมัง” นอกจากซอนอินแล้ว เห็นจะมีก็แต่ฮีอูที่กล้าล้อเล่นกับผู้มียศถาสูงศักดิ์อย่างองค์รัชทายาทชองจีรยง แม้ว่าจะมีความเคารพยำเกรงบ้างก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นคนสนิทที่สามารถเอ่ยถึงคนสำคัญของฮานึลเช่นนี้ได้
 
ซอนอินลอบยิ้มเมื่อคิดว่าจีรยงจะเอ่ยชมที่เห็นว่าตนเองมีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้น อาจเพราะสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ซอนอินไม่ได้ทำอะไรนอกจากฝึกคัดลายมือกับฮีอู อีกทั้งราชครูยองจูและจีรยงแทบไม่ได้เข้ามาที่ตำหนักรัชทายาทเลย นับๆ ดูแล้วก็มีแค่สองครั้งเท่านั้นที่ซอนอินได้เจอกับจีรยงตอนกลางคืน
 
ร่างบางก้มหน้าก้มตาคัดอักษรต่อไปอีกห้าบรรทัดจนสุดกระดาษก็วางพู่กันลง เรียวแขนเล็กเหยียดขึ้นอย่างต้องการคลายกล้ามเนื้อที่ต้องนั่งเขียนมาครึ่งค่อนวัน ซอนอินกับฮีอูพากันไปนั่งทานขนมว่างที่ห้องรับแขก เนื่องจากช่วงนี้อากาศหนาวจนแม้แต่เสื้อคลุมขนสัตว์ที่สวมใส่ยังเอาไม่อยู่ จึงต้องพึ่งเตาผิงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องแห่งนี้
 
ขนมหลากสีถูกจัดวางอย่างน่าทานบนภาชนะกระเบื้องลวดลายวิจิตร ซอนอินไม่รอช้าที่จะหยิบผลไม้สีม่วงในถ้วยตรงหน้าขึ้นมาทานอย่างรวดเร็ว
 
อื้ม~ ผลอิงผิงนี่อร่อยที่สุดจริงๆ!
 
“ที่เชินอันหมดหน้าผลไม้ชนิดนี้แล้วไม่ใช่หรือ?” ฮีอูเอ่ยถามขึ้นมาขณะหยิบขนมที่ทำจากมันเผาขึ้นมาทาน
 
“อื้อ แต่ถ้าปลูกบนพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ดีล่ะก็ ยังพอจะหาผลอิงผิงทานได้อยู่ ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่ว่าตอนอยู่ที่เชินอัน ข้าก็กินผลอิงผิงแทบทุกวันเลยล่ะ” แก้มของคนเอ่ยตอบนั้นป่องจนน่าใช้นิ้วจิ้มสักที ฮีอูมองท่าทางของซอนอินแล้วก็พอจะนึกภาพออกว่าองค์ชายคนนี้แม้จะอยู่แต่ตำหนักในส่วนของวังหลัง แต่ก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี อยากทานอะไรก็ได้ทาน จะมีก็แต่อิสระที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางได้มา
 
ฮีอูเท้าคางมองคนที่มีอายุน้อยกว่าไม่ถึงปี คิมซอนอินในตอนนี้แตกต่างจากคิมซอนอินที่ยังมีตำแหน่งเป็นวังชอนซาเมื่อครั้งที่ได้เจอกันเป็นครั้งแรกมากนัก ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาที่ดูงดงามขึ้น บางสิ่งบางอย่างรอบกายของคนผู้นี้ยังชวนให้ผู้พบเห็นหลงใหลได้มากกว่าแต่ก่อนนัก
 
สดใสจนน่าอิจฉาเลยล่ะ
 
องค์ชายจีรยงคงจะดูแลคนคนนี้เป็นอย่างดี ยิ่งคิมซอนอินผ่านการถูกองค์ชายจีรยงกอดมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าท่าทางของคิมซอนอินไม่ว่าจะทำอะไรก็ชวนให้คนมองเคลิ้มได้ตลอดเวลา แม้แต่กับเขาเองแค่นั่งมองอยู่อย่างนี้ก็เพลินใจไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
 
ความรักทำให้คนสวยขึ้นได้จริงๆ
 
“เราเองก็อยากถูกยองจูกอดบ้างนะ”
 
“เอ๋ ว่าไงนะฮีอู?”
 
เสียงพึมพำของฮีอูทำให้ซอนอินหันมาถาม
 
“เปล่า ไม่มีอะไร” มือเล็กปัดไปมาในอากาศแล้วยิ้มกลบเกลื่อน สายตาจับผิดของซอนอินทำให้ฮีอูเริ่มไปต่อไม่ถูก แต่แล้วจู่ๆ เสียงตะโกนของนายทหารก็ดังขึ้นที่ด้านหน้าตำหนัก พร้อมกับการประกาศว่ามีคนของตำหนักหลวงขอเข้าพบ ฮีอูจึงรีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วใช้โอกาสนี้หลีกเลี่ยงสายตาของซอนอินไปซะ
 
“ซอนอินรออยู่ในห้องนี้นะ เราจะออกไปดูเอง”
 
ตั้งแต่อยู่ที่ตำหนักรัชทายาทมาไม่เคยมีคนนอกมาหาเลยสักครั้ง ซอนอินในตอนนี้จึงเกิดความกังวลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จีรยงกำชับนักหนาให้เขาเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักจนกว่าอีกฝ่ายจะจัดการเรื่องราวได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วซอนอินเองก็ไม่รู้ว่าจีรยงกำลังทำสิ่งใดอยู่ อีกฝ่ายบอกให้รอเขาก็รอ แต่การรอโดยไม่รู้อะไรเลยเป็นเรื่องที่ทำได้ยากนัก
 
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาอดทนมาได้ถึงตอนนี้ก็เพราะเชื่อใจจีรยง
 
ไม่ว่าตอนนี้จีรยงจะกำลังทำอะไรอยู่ ซอนอินก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายทำเพื่อเขา ดังนั้น เขาจะกลัวไม่ได้เด็ดขาด
 
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ซอนอินก็นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ ปล่อยให้ฮีอูจัดการคนของตำหนักหลวงที่ขอเข้าพบ คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไรมากเดี๋ยวก็พากันกลับไป แต่แล้วอะไรบางอย่างก็แล่นเข้ามาในความคิด ในเมื่อรัชทายาทไม่ได้อยู่ในตำหนัก แล้วคนของตำหนักหลวงมาที่นี่ทำไม นอกเสียจากว่า...
 
“ซอนอิน ใช้ผ้าคลุมหน้าเร็วเข้า!” ร่างเล็กรีบเบียดตัวเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูอย่างรวดเร็ว “พระแม่เจ้าต้องการพบกับหญิงสาวที่ชื่อชอนอา!”
 
“เอ๊ะ!”
 
“เร็วเข้าเถิด เราเองก็ขัดรับสั่งที่ส่งมาโดยตรงอย่างนี้ไม่ได้ ไว้ท่านออกไปพร้อมขบวนของคนจากตำหนักหลวงแล้ว เราจะรีบตามองค์ชายจีรยงมาช่วย” ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ารัชทายาทหนุ่มผู้ทรงอิทธิพลนี้อยู่ที่ใดในวังหลวงก็ยังพูดให้ซอนอินได้เบาใจ เพราะตอนนี้ฮีอูเองก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว เหตุใดองค์ชายจีรยงถึงได้ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนะ!
 
“แต่ว่าข้าไม่...” ซอนอินละล้าละหลังที่จะเดินออกไป ผ้าที่ปิดหน้านั้นถึงแม้จะพลางสายตาได้บ้างแต่ก็ยังอดกลัวไม่ได้
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนขึ้นสี คราวนี้ซอนอินรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ
 
“ฮีอูไปกับข้าไม่ได้หรือ?”
 
“พระแม่เจ้ารับสั่งเรียกหาชอนอาแต่เพียงผู้เดียว เราไปกับท่านไม่ได้”
 
ฮีอูเดินเข้าไปบีบมือของซอนอิน “ต้องไม่เป็นไรแน่ ถึงอย่างไรองค์ชายจีรยงก็ไม่ปล่อยให้ท่านต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน”
 
รู้อยู่แล้วว่าเป็นคำปลอบใจ แต่ซอนอินก็เลือกที่จะยึดคำพูดนั้นของฮีอูมาเป็นที่พึ่ง เขาพยักหน้ารับหนึ่งครั้งให้กับฮีอู ก่อนจะหันหลังเปิดประตูออกไปจากห้อง
 
 

 (ต่อ)
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 30-09-2016 08:18:14
ทุกย่างก้าวที่เดิน ซอนอินไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยนอกจากแผ่นหลังของนางกำนัลที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมายว่าเมื่อไปถึงตำหนักหลวงแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
 
ชองโยฮวาเคยคิดจะกำจัดเขาทิ้งให้สิ้นซากมาแล้วครั้งหนึ่ง หากพระนางรู้ว่าเขาคือใครจะเกิดอะไรขึ้น พระนางจะฆ่าเขาอีกครั้งไหม แล้วถ้าเกิดว่าเขาก้าวเข้าไปในตำหนักของพระนางแล้ว เขาจะได้กลับออกมาอีกครั้งหรือเปล่า
 
ซอนอินไม่เสียดายชีวิต เพียงแต่เขาไม่อยากจากจีรยงไปไหน
 
จะทำอย่างไรดี...
 
ขณะที่คิดถึงตรงนี้ คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้าลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตนเองเดินทางมาถึงหน้าตำหนักหลวงของพระแม่เจ้าแล้ว
 
“เชิญที่ด้านใน” นางกำนัลที่แต่งกายแตกต่างจากข้าหลวงสาวใช้คนอื่นเพราะเป็นคนของตำหนักพระแม่เจ้าเอ่ยบอกให้ซอนอินก้าวเข้าไปในห้องโถงตรงหน้า ซอนอินสังเกตเห็นว่าสาวใช้ในตำหนักนี้ส่วนใหญ่จะมีสีหน้าท่าทางเงียบขรึม ไม่ยิ้มแย้มเหมือนอย่างยอนอาและโซยอน
 
แม้แต่บรรยากาศภายในตำหนักยังชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าอากาศภายนอกที่มีหิมะตกบางเบา ยืนอยู่ไม่ถึงอึดใจเสียด้วยซ้ำกลับรู้สึกได้ถึงความกดดันรอบๆ ตัว
 
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว” เสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้นจากคนที่เพิ่งปรากฏตัวที่ประตูทางเชื่อมตรงหน้าของซอนอิน
 
สายตาคู่นั้น ราวกับเหยี่ยวที่จ้องจะกินเหยื่อไร้ทางสู้
 
น่ากลัว...
 
เหมือนสายตาของจีรยงในครั้งแรกที่ได้เห็น สายตาที่พร้อมจะขย้ำเหยื่ออย่างเขาให้แหลกละเอียด
 
ซอนอินมองผ่านผ้าผืนบางไปยังหญิงสูงวัยตรงหน้า เครื่องประดับและอาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีดำตัดกับสีแดง ยิ่งทำให้เจ้าของร่างดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ทั้งน่ากลัวทั้งมีพลังอำนาจ ...พระแม่เจ้าที่ใครๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ชองโยฮวา...
 
อึก... ซอนอินรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก รู้สึกถึงเหงื่อเย็นๆ ที่หยดซึมตามฝ่ามือทั้งที่อากาศเย็นจนหายใจออกมาเป็นควันสีขาว
 
คิมซอนอิน เจ้าจะกลัวอะไรนักหนา ใจเย็นๆ สิ!
 
ภายในใจตะโกนบอกตัวเองไปอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังรู้สึกได้ว่ามือที่กำอยู่ข้างตัวเริ่มสั่นนิดๆ
 
“นั่งลงสิ ชอนอา”
 
รับสั่งเรียบง่าย แต่คนฟังกลับหนักใจเป็นที่สุด “...ขอบพระทัยเพคะ” ซอนอินเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหนึ่งของโต๊ะกลมกลางห้อง
 
ร่างของหญิงชรานั่งลงตรงข้ามกับซอนอิน
 
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอก ข้าไม่ได้คิดจะจับเจ้ากิน”
 
แต่สายตาท่านบอกว่าอยากกินข้าจะแย่อยู่แล้ว! ซอนอินยิ้มเฝื่อนในใจ
 
“เปิดผ้าออกซะ ข้าอยากเห็นใบหน้าของคนที่จะมาเป็นชายาของรัชทายาท” ซอนอินไม่เคยเจอกับชองโยฮวามาก่อน จึงมั่นใจว่าพระนางไม่รู้จักหน้าตาของตน ตอนที่ถูกจับโยนลงหน้าผาตอนนั้น เขาก็คลุมผ้าผืนบางไว้อย่างที่เคยทำมาตลอดเวลาที่ต้องออกจากวัง เพราะตอนที่อยู่เชินอัน ใบหน้าของวังชอนซาไม่อาจเปิดเผยให้บุคคลภายนอกได้พบเห็นอยู่แล้ว หรือถ้าคนร้ายที่เคยจับตัวเขาไว้จะเห็นใบหน้าของเขาตอนที่เขาสลบไปแล้วละก็ คงไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดหรอกว่าเขามีหน้าตาเช่นไร
 
พยายามหาข้ออ้างมากมายให้ตัวเองได้สบายใจ แต่มือเรียวก็ยังสั่นน้อยๆ ยามที่ดึงผ้าบังตานั้นออกให้พ้นจากใบหน้า นึกภาวนาอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าให้พระนางล่วงรู้ตัวตนจริงๆ ของเขาเลย
 
สวรรค์ ข้าหวังว่าข้ารับใช้ในตำหนักนี้จะไม่เคยเห็นหน้าของข้า
 
แต่แล้วคำสวดภาวนานั้นก็ต้องแหลกสลายไปในสายลม เมื่อหญิงสาวในชุดอาภรณ์สีฟ้าก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารของว่างสีสันสดใส
 
...องค์หญิงอิมยูนา!
 
พระแม่เจ้าไม่ได้มีทีท่าสนใจองค์หญิงที่กำลังจัดวางของว่างลงบนโต๊ะ พระนางเอาแต่จ้องใบหน้าของซอนอินแทบไม่กระพริบตา จ้องจนคนถูกมองกลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว
 
“หึ” ชองโยฮวาเปล่งเสียงในคอออกมาครั้งหนึ่ง ทำเอาซอนอินสูดหายใจเข้าไปอย่างไม่ทันระวังจนต้องไอออกมาสามสี่ครั้ง “เป็นอะไรไป ไม่อยากร่วมโต๊ะกับข้างั้นหรือ”
 
“หาใช่ไม่เพคะ หม่อมฉันเพียงแต่...” ซอนอินอึกอัก ทั้งสรรพนามทั้งภาษา ท่วงท่า ทุกอย่างที่อิสตรีควรทำซอนอินไม่เคยรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ตอนนี้เขาทั้งประหม่าทั้งกลัวจนลนลานไปหมดแล้ว
 
“เช่นนั้นก็ดี ทานของว่างกับข้าเสียหน่อยก็แล้วกัน”
 
ทั้งที่กินขนมมาแล้วตั้งหลายชิ้น แต่ซอนอินก็ยังหยิบก้อนสีขาวตรงหน้าขึ้นมากัดเข้าปากราวกับว่าอยากทานนักหนา
 
“ยูนา เจ้าเทน้ำชาเสร็จแล้วก็ออกไปได้ ข้ามีเรื่องจะคุยกับชอนอาตามลำพัง”
 
ซอนอินรู้มาจากจีรยงแล้วว่ายูนาเป็นคนบอกข่าวเรื่องสายลับของชองโยฮวา เมื่อครู่เขาถึงเบาใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้จักตน คิดไว้ว่าอย่างน้อยก็ยังมีใครอีกคนที่อยู่ในที่นี้หากเขาโดนจับเชือดคอขึ้นมาจริงๆ จะตายทั้งทีก็อยากให้ศพถูกพาไปที่ดีๆ หน่อย ไม่ใช่จับโยนลงเหวลงน้ำไปทั้งอย่างนั้น
 
“เพคะเสด็จย่า” ยูนาโค้งกายต่ำ ก่อนเดินออกไปจากห้องไม่แม้แต่จะเหลียวมองสายตาขอความช่วยเหลือของร่างบางที่ใกล้จะถูกสูบวิญญาณออกไปจากร่างอยู่รอมร่อ
 
ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ชองโยฮวาน่ากลัวออกเพียงนี้ ใครจะกล้าขัดขืนกัน
 
เมื่อเหลือกันอยู่สองคนภายในห้อง ซอนอินก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากกว่าเมื่อครู่อีกหลายเท่าตัว ร่างบางกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองด้วยการหยิบขนมตรงหน้ากินราวกับตั้งอกตั้งใจเป็นที่สุด
 
“ได้ยินมาว่ารัชทายาทเจอกับเจ้าระหว่างออกเดินทางไปรบ”
 
คำถามสายฟ้าแลบทำเอาขนมแป้งพองแทบพุ่งออกมาจากปาก “แค่ก...เพคะ”
 
“เจอกันได้ยังไงล่ะ? รัชทายาทไม่น่าจะแวะกลางทางที่ไหนใช่ไหม?”
 
“เอ่อ...หม่อมฉัน หม่อมฉันถูกขบวนม้ารบขององค์รัชทายาทชนระหว่างเดินอยู่ในป่าเพคะ แล้ว แล้วหม่อมฉันก็สลบไป ...ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้ดูแลหม่อมฉันเพคะ”
 
นิทานก่อนนอนชัดๆ
 
“งั้นหรือ เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่าล่ะ”
 
“หม่อมฉันไปเก็บ เอ่อ เสบียงอาหารเพคะ พวกเผือก มัน หน่อไม้...” ซอนอินอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายนัก ขืนถูกรุกมากกว่านี้เขาคงตอบออกนอกทะเลเป็นแน่
 
“ผิวพรรณเจ้าไม่เหมือนคนที่ต้องเข้าป่าไปหาเสบียงอาหารเลยสักนิด น่าแปลกนะ”
 
“หม่อมฉัน เอ่อ...”
 
“เอาเถิด ข้าไม่สนใจนักหรอกว่าเจ้าเจอกับรัชทายาทได้อย่างไร ที่ข้าสนใจก็คือ เหตุใดโอรสของคิมอุนเซถึงมาอยู่ในวังหลวงฮานึลได้ ทั้งยังเปลี่ยนชื่อเป็นชอนอา”
 
เหมือนถูกค้อนหินฟาดลงมากลางศีรษะ ซอนอินจนกับคำพูดของตัวเอง สมองประมวลผลสับสนไปหมด อยากจะหาคำพูดมาแก้ตัวแต่ก็คิดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
 
“เจ้าปิดข้าไม่ได้หรอกคิมซอนอิน ข้าเคยเห็นพ่อของเจ้า หน้าตาของเจ้าไม่ต่างจากคิมอุนเซเลยสักนิด แม้ดวงตาของเจ้าจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ได้แม่เจ้ามาก็ตามที แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้าย่อมต้องเป็นบุตรของคิมอุนเซ คนที่ทำให้โอรสของข้าหลงผิดเมื่อครั้งก่อน”
 
“หลงผิด...?”
 
“ข้าพูดไม่ได้หรอกนะว่าเจ้าหน้าตาไม่ดี ทั้งพ่อเจ้า ทั้งเจ้า ล้วนเป็นบุรุษรูปงามด้วยกันทั้งคู่ ถึงจะดูแตกต่างกันไปคนละแบบ เจ้าดูอ่อนต่อโลกและบอบบางกว่ามากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นบุรุษที่ทำให้คนพบเห็นหลงใหลได้ไม่ยากเย็น หึ...คราวนี้อุนเซส่งเจ้ามาทำลายชองจีรยงสินะ ตายไปแล้วแต่ก็ยังร้ายกาจนัก!”
 
แม้จะไม่เข้าใจที่คนตรงหน้าพูดแม้สักนิด แต่ซอนอินก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังให้ร้ายบิดาของตนเองอยู่ ร่างบางพลุนพลันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ความกลัวที่มีแทนที่ด้วยความโกรธ แม้แต่มารยาทซอนอินก็ไม่สนใจอีกแล้ว
 
“เสด็จพ่อของหม่อมฉันไม่เคยคิดร้ายกับจีรยง! หม่อมฉันเองก็ด้วย เหตุใดท่านถึงพูดเช่นนี้!!”
 
“ไม่คิดร้ายงั้นหรือ?” โยฮวาไม่ได้ลุกขึ้นยืน เขาปล่อยให้คนที่เด็กกว่ายืนค้ำหัวอยู่เช่นนั้นขณะเอ่ยต่อไป “รัชทายาทที่ไม่คิดจะมีบุตรถือว่าเป็นกบฏต่อบ้านเมือง ที่เจ้าเข้ามาวุ่นวายกับหลานชายข้าก็เพราะอยากทำลายระบบเชื้อสายของหลานข้าให้หมดไปไม่ใช่หรืออย่างไร ข้าเคยบอกกับจีรยงแล้วว่าจะมีนางบำเรออีกสักกี่ร้อยคนก็ย่อมได้ จะเป็นหญิงหรือชายข้าไม่ว่า แต่ชายาต้องเป็นคนที่ข้าเลือกให้เท่านั้น แต่นี่อะไร นอกจากจะเอาเจ้ามาตบตาแล้ว ยังไม่คิดจะมีสนมอีก ฮานึลไม่พินาศไปแล้วหรืออย่างไรที่มีผู้นำเช่นนี้!!!”
 
ข้าไม่ได้จะทำลายจีรยง ข้าเพียงแต่รักจีรยง...ไม่ได้หรือ แค่ข้ารักจีรยง แค่เราสองคนมีกันและกันเท่านั้นไม่ได้หรือ
 
ซอนอินรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่คลอหน่วงบดบังสายตา เขาปฏิเสธคำพูดของพระนางไม่ได้ เพราะเขาเองก็หวังให้จีรยงมีแค่ตนเพียงคนเดียว การที่จะมีเขาเท่านั้นคือการทำลายจีรยงงั้นหรือ แค่ความรักที่มีให้กันไม่ใช่สิ่งที่พระนางต้องการใช่ไหม
 
“คิมซอนอิน ข้ายอมให้เจ้าเป็นคนรักของรัชทายาทได้ แต่ข้าขอร้องให้เจ้าเกลี่ยกล่อมให้รัชทายาทยอมแต่งตั้งยูนาเป็นชายา ถ้าเจ้ายอม ข้าเองก็ยอมให้เจ้าอยู่กับรัชทายาทต่อไป”
 
เสียงหัวใจที่เต้นรุนแรงอยู่นี้ทำให้ซอนอินรู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างที่สุด มือเรียวเล็กกำแน่นเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บถึงปลายเล็บที่ทิ่มแทงผิวเนื้อบนฝ่ามือ
 
ชองจีรยง ข้าตัดสินใจแล้ว เป็นตายอย่างไรข้าจะเชื่อในความรักที่เรามีให้กัน
 
“หม่อมฉันยอมไม่ได้ ถึงอย่างไรจีรยงก็ไม่คิดฟังความคิดเห็นของหม่อมฉันอยู่แล้ว ไยหม่อมฉันต้องบากหน้าไปบอกให้จีรยงแต่งตั้งผู้หญิงอื่นเป็นชายานอกจากหม่อมฉัน ถึงหม่อมฉันจะไร้ประโยชน์ ถึงหม่อมฉันจะเป็นคนไม่ดี แต่หม่อมฉันก็รู้ตัวดีว่าหม่อมฉันเป็นคนที่รักชองจีรยงมากกว่าใครทั้งหมด ...นอกจากหม่อมฉันแล้ว บนแผ่นดินนี้ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกับชองจีรยงอีกแล้ว”
 
จีรยงรักเขา ซอนอินเชื่ออย่างนั้น เป็นครั้งแรกที่ซอนอินอยากจะเชื่อทุกคำพูดของจีรยงมากกว่าคำพูดของใครทั้งหมด เป็นครั้งแรกที่เขาซื่อสัตย์ต่อเสียงภายในใจของตัวเอง
 
ใช่แล้ว บนแผ่นดินนี้ ข้าเองก็เห็นแต่เพียงเจ้าเท่านั้น ชองจีรยง
 
ในเมื่อเราเห็นแค่กันและกัน ยังจะมีใครคนไหนอีกที่จะเหมาะสมไปกว่าพวกเราสองคน
 
ชะตาชีวิตของเขาถูกขีดเส้นให้บรรจบกับกรงเล็บของมังกรหนุ่มแห่งฮานึลมาตั้งนานแล้ว ในเมื่อจะต้องตกเป็นเหยื่อของใครสักคน ซอนอินก็ยินดีที่จะเป็นเหยื่อของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว
 
สีหน้าและแววตาจริงจังของวิหคแสนงามทำให้โยฮวานึกทึ่งอยู่ภายในใจ พระนางขยับตัวลุกขึ้นยืนเชื่องช้า ท่วงท่าที่เปลี่ยนไปทำให้ซอนอินเผลอก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว
 
“กล้าพูดดีนี่ เจ้าบอกว่าเจ้าเหมาะสมกับชองจีรยงมากที่สุดใช่ไหม”
 
ซอนอินไม่ได้เอ่ยตอบรับ ใช้เพียงสายตาจ้องตอบกลับไปแทนความหมาย
 
“หยิบช้อนเงินตรงนั้นขึ้นมา” คำสั่งที่แปลกไปจากบทสนทนาทำให้ร่างบางต้องใช้เวลาคิดนานกว่าปกติ
 
มือเรียวหยิบช้อนเงินข้างจานกระเบื้องขึ้นมาตามคำสั่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย
 
“น้ำซุปตรงหน้านั้น เจ้าตักขึ้นมาครึ่งช้อน”
 
ซอนอินทำตาม และทันทีที่ช้อนเงินแตะเข้ากับน้ำซุปนั้น ปลายช้อนก็กลายเป็นสีม่วงอ่อนราวกับกระแสน้ำที่ค่อยๆ พัดขึ้นฝั่ง
 
“นี่มัน...” ซอนอินรู้สึกถึงเสียงของตัวเองที่หายลงคอไปอย่างน่าประหลาด
 
“น้ำซุปนี้มียาพิษ หากเจ้าคิดว่าตนเองเหมาะสมกับชองจีรยงจริงละก็ เจ้ากล้าที่จะทานของสิ่งนี้แทนจีรยงหรือไม่ เพราะถ้าเจ้าไม่ทาน เห็นทีว่าข้าจะต้องกำจัดหลานชายแท้ๆ ของข้าเอง ข้าไม่ยอมให้ฮานึลมีผู้นำที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้แน่”
 
ความหมายของพระนาง ก็คือให้เขาหายไปจากชีวิตของจีรยงใช่ไหม
 
พระนางไม่ยอมรับเขา หากเขาไม่ทาน จีรยงก็ต้องตาย เพราะถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าพระแม่เจ้าพูดอะไรจีรยงก็ไม่มีทางยอมรับฟังเด็ดขาด
 
แต่หากว่าเขาตายไปล่ะก็ สักวันจีรยงก็จะทำใจลืมเลือนเขาไปได้ และก้าวไปข้างหน้าตามเส้นทางที่ชองโยฮวาต้องการ...
 
“ว่าอย่างไรล่ะคิมซอนอิน เจ้ายินดีจะสละชีวิตเพื่อคนที่เจ้ารักหรือไม่”
 
 
แน่นอนอยู่แล้ว ว่าเขายินดีทำทุกอย่างเพื่อชองจีรยง
 
อย่างน้อย ชีวิตนี้เขาก็ได้รักชองจีรยงอย่างสุดหัวใจแล้ว
 
 
ชองจีรยง ชีวิตของข้านับตั้งแต่ที่ถูกเจ้าช่วงชิงตัวไปในวันนั้น ข้าก็รู้แล้วว่าตัวเองจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนอย่างเดิมได้อีก
 
หัวใจของข้าหวั่นไหวไปตั้งแต่ที่เจ้าทำร้ายร่างกายของข้า
 
หัวใจของข้าถูกคว้าไปทั้งดวงตั้งแต่ที่เจ้าอ่อนโยนกับข้า
 
หัวใจของข้าไม่อาจเต้นอยู่ได้หากไม่มีเจ้าตั้งแต่ที่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นทุกอย่างในชีวิตของข้า
 
 
ข้าอ่อนแออีกแล้วล่ะชองจีรยง
 
ข้าอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า ข้าทนรับไม่ได้หากเจ้าจะต้องจากข้าไปตลอดกาล
 
ข้าขอโทษที่ไม่เข้มแข็งอย่างที่เจ้าต้องการ
 
 
...ข้ารักเจ้าชองจีรยง
 
 
รักเจ้ามากเหลือเกิน...
 
.
.
.
 
เคร้ง!
 
 
ช้อนเงินที่ว่างเปล่าตกลงสู่พื้น ก่อนที่ร่างบอบบางจะทรุดฮวบตามลงไป
 
 

 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
 
จบตอน

 
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: KimYoonBe ที่ 30-09-2016 08:19:51
 
ปัจฉิมบท

 
ซอนอินคิดว่าตนเองคงตาฝาดไป หรือไม่สมองก็คงถูกทำลายจนเห็นภาพเพ้อฝันว่าชองจีรยงมายืนอยู่ตรงหน้า จะใช่ตัวจริงหรือเปล่า ภายในใจเกิดความสงสัย และคาดหวังอย่างที่สุดว่าจะเป็นอย่างใจคิด แต่ทุกอย่างกลับมืดสนิทลงก่อนจะได้คำตอบ
 
ร่างอ่อนแรงของซอนอินทรุดฮวบลงทันทีหลังจากที่ปลายลิ้นได้แตะสัมผัสกับน้ำซุปที่ถูกผสมยาพิษ แต่ก่อนที่ศีรษะเล็กจะกระแทกลงกับพื้น วงแขนใหญ่คู่หนึ่งก็ช้อนร่างนั้นขึ้นมาอุ้มไว้ได้ทันเสียก่อน
 
“เท่านี้คงพอพระทัยเสด็จย่าแล้ว นอกจากซอนอินคนนี้ หม่อมฉันไม่คิดจะครองคู่กับใครอื่นอีก” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยอย่างหนักแน่นนั้นกระชับร่างของคนรักในวงแขนให้แนบอก ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นสบผู้เป็นย่า
 
“เสด็จย่าทำความผิดสิ่งใดไว้ย่อมรู้พระองค์เอง หม่อมฉันจะไม่ถือสาหาความผิดในเรื่องนั้น จริงอยู่ว่าเสด็จย่ามีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกเรื่องในวังหลัง แต่คิมซอนอินเป็นคนของหม่อมฉัน เสด็จย่าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแตะต้องเขาแม้เพียงเล็กน้อย และนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ในฐานะของกษัตริย์แห่งฮานึล หม่อมฉันขอสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดก็ตามต่อต้านคิมซอนอินเป็นอันขาด”
 
เบื้องหน้าของชองโยฮวาในเวลานี้ คือกษัตริย์หนุ่มผู้เพียบพร้อมทั้งปัญญาและความสามารถรอบด้าน อีกทั้งอาภรณ์และเครื่องประดับยศที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่ก็ยิ่งส่งเสริมความองอาจและความงามสง่าสมตำแหน่งที่ถือครอง รวมถึงความน่าเกรงขามที่ดูเหมือนว่าชองจีรยงจะมีมากกว่าชองฮวาจีผู้เป็นบิดามากมายนัก
 
โยฮวาเดินมาถึงทางตันแล้ว กำแพงที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแข็งแรงเกินกว่าที่นางจะทำลายให้พังทลายลงได้ หญิงชราทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ สายตาของนางไม่หลงเหลือเค้าของความมุ่งร้ายอีกต่อไป ทั้งความจริงใจของคิมซอนอินและความมุ่งมั่นของชองจีรยง ล้วนทำให้นางยอมแพ้ได้ในที่สุด
 
มาถึงตรงนี้แล้ว โยฮวาก็มีแต่จะต้องทำใจ ในเมื่อบุตรชายของนางถึงกับยอมสละราชบัลลังก์ก่อนถึงเวลาอันควรเพื่อให้ชองจีรยงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์โดยชอบธรรม ทั้งที่ความจริงแล้วหากกษัตริย์องค์ปัจจุบันไม่สวรรคตก็ไม่สามารถยกใครขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งนี้ได้ แต่ฮวาจีกลับยอมตายด้วยนามก็เพื่อบุตรชาย ยอมให้ป่าวประกาศว่าตนเองสิ้นแล้วทั้งที่แท้จริงยังมีชีวิตอยู่ พ่อลูกคู่นี้คงช่วยกันวางแผนหาทางออกมาได้สักพักแล้ว เพราะการจะสละราชบัลลังก์ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องตระเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดแล้วว่าฮวาจีเองก็สนับสนุนบุตรชายให้ทำเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่รีบร้อนแต่งตั้งจีรยงให้เป็นกษัตริย์ทั้งที่ยังไม่มีการทำพิธีตามธรรมเนียมที่ถูกต้อง
 
เมื่อวานนี้เองที่นางรู้ว่าจีรยงได้เป็นกษัตริย์ตอนที่เจ้าตัวมาบอกกับนางถึงตำหนักด้วยตนเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามแต่ ราชินีของจีรยงจะเป็นชายไม่ได้เด็ดขาด การมีลูกหลานสืบสกุลไม่ใช่เรื่องที่จะละเลยกันได้ง่ายๆ ดังนั้นการเดิมพันระหว่างนางกับจีรยงจึงเกิดขึ้น หากว่าคิมซอนอินเหมาะสมกับหลานชายของนางถึงเพียงนั้นจริงล่ะก็ การจะตายแทนคนรักที่มีความสำคัญต่อแคว้นก็ย่อมต้องทำได้อย่างไม่มีลังเล ...จะมีใครบ้างที่ยอมทานยาพิษทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีทางที่คิมซอนอินจะทำได้ โยฮวาเชื่อเช่นนั้นจึงใช้เป็นข้อต่อรองกับหลานชาย
 
และการเดิมพันครั้งสุดท้ายของนางก็ได้ถูกคิมซอนอินทำลายจนหมดสิ้น
 
ไม่เพียงไม่ลังเล แต่คิมซอนอินยังเต็มใจที่จะตายเพื่อชองจีรยงจากใจจริง
 
ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสิ้นคิด หรือเสียสติไปแล้วกันแน่ หญิงชราจนกับความคิดของเด็กหนุ่มที่ชื่อซอนอินคนนี้จริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าถ้ากินไปแล้วจะต้องตายก็ยังกลืนยาพิษลงคอไปจนได้ ถึงจะรักมากเพียงไรก็ตาม แต่การทานยาพิษทั้งที่รู้อยู่แก่ใจก็เกินไปจริงๆ
 
ชองจีรยงเองก็ร้ายเหลือเกิน เมื่อวานนี้โยฮวาถึงกับพูดไม่ออกเมื่อรับรู้ว่าหลานชายได้ตลบหลังซ้อนแผนของนาง ศพที่เวลานี้คงอยู่ใต้ผืนน้ำแข็งตรงไหนสักที่ของแม่น้ำเป็นศพของชาวบ้านไร้นาม จากที่นางคิดจะกำจัดคิมซอนอินให้พ้นทาง กลับกลายเป็นแรงเสริมให้หลานชายได้พา ‘ชอนอา’ กลับมาแต่งตั้งเป็นชายาไปเสียนี่ ทุกอย่างนี้ชองจีรยงได้วางแผนเอาไว้หมดแล้ว ชาวบ้านจะรับรู้เพียงว่าราชินีของพวกเขาคือหญิงงามนามว่าชอนอา ในขณะที่วังชอนซาองค์ปัจจุบันได้หลับใหลไปตลอดกาลแล้ว คิมซอนอินก็จะเป็นคนของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว
 
เป็นการวางกับดักที่ร้ายกาจนัก
 
“ได้ เจ้าชนะ ข้าจะล้มเลิกเรื่องคู่ครองของเจ้าตามข้อตกลง และจะเป็นธุระจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวังให้ทั้งหมด” โยฮวาผ่อนลมหายใจออกมาบางเบา แม้จะเหนื่อยใจและนึกอยากขัดขวางเพียงไร แต่นางก็รู้แล้วว่าไม่ว่าจะทำสิ่งใดไปก็คงไร้ประโยชน์ที่จะพรากสองคนนี้ให้ห่างออกจากกัน และชองจีรยงเองก็เป็นหลานแท้ๆ นางเองก็ปล่อยให้ผ่านไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องของชาวบ้านนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่เดิมวังชอนซาคนนี้ไม่ใคร่เผยโฉมหน้าให้ผู้คนพบเห็นอยู่แล้ว ที่น่าห่วงเห็นจะเป็นแต่ในวังหลวงนี่เอง แม้รับสั่งของกษัตริย์จะเป็นวาจาสิทธิ์ แต่ก็ไม่อาจละสายตาได้ นอกจากคอยจับตาแล้วยังต้องคอยระวังไม่ให้ผู้ใดเผยแพร่ความเป็นจริงออกไป
 
จีรยงเผยรอยยิ้มเล็กๆ เมื่อเห็นทีท่าของผู้เป็นย่าที่อ่อนลง แต่เดิมเสด็จย่าเป็นคนใจดีโดยพื้นฐานอยู่แล้ว แต่จะเข้มงวดกับทุกสิ่งที่พระนางไม่เห็นว่าสมเหตุสมผลพอที่จะยอมรับ นี่ก็ถือว่าเขาพยายามมาจนสำเร็จแล้ว “หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จย่าที่ทรงเข้าใจ นอกจากซอนอินแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฮานึล หม่อมฉันสัญญาว่าจะทำหน้าที่ของกษัตริย์ให้ดีที่สุดพะย่ะค่ะ”
 
“เอาเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นฮานึลเป็นสำคัญมากเพียงไร นับแต่นี้ก็จงทุ่มกายใจเพื่อฮานึลแทนส่วนของเสด็จพ่อของเจ้าด้วยก็แล้วกัน” โยฮวาเอ่ยเรียกให้ยูนาเข้ามาในห้อง เด็กสาวรู้หน้าที่ดีจึงเดินเข้ามาพร้อมกับขวดยาใบเล็ก โยฮวารับของสิ่งนั้นมาแล้ววางมันลงบนโต๊ะ “ยาถอนพิษนี้ให้ทานได้เลย หลังจากนั้นประมาณสามชั่วยามคิมซอนอินก็จะฟื้น”
 
“จีรยงขอบพระทัยเสด็จย่าอีกครั้ง”
 
ระหว่างทางที่เดินกลับตำหนักรัชทายาท จีรยงก็ได้พบกับจีมุนซึ่งยืนอยู่กลางสะพานที่ข้ามสระดอกซากึมฮาไปยังตำหนักของเขา
 
สายตาของจีมุนตวัดมองร่างของซอนอินที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่ชายทันที
 
“ซอนอิน...”
 
“เข้าไปในตำหนักก่อนค่อยว่ากัน” จีรยงตัดบทสนทนาอย่างรวดเร็วแล้วเดินผ่านร่างของน้องชายตรงเข้าประตูตำหนักไป
 
ภายในตำหนักมีฮีอูยืนคอยอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับราชครูปาร์คที่คงเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟังเรียบร้อยแล้ว ฮีอูรีบเข้าไปช่วยประคองซอนอินลงกับฟูกนอน พอดีกับที่หมอหลวงจากึนรีบร้อนเข้ามาในตำหนักตามคำสั่งของจีรยงที่ให้คนไปตามมาก่อนหน้า
 
ยาแก้พิษถูกกรอกลงไปในลำคอเรียวเล็กของซอนอิน หลังจากที่จากึนตรวจชีพจรอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยบอกให้กษัตริย์หนุ่มเบาใจลงได้ เมื่อกำชับนางกำนัลเรื่องยาบำรุงเสร็จแล้วจากึนก็ออกจากตำหนักไป
 
ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วจนชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจับต้นชนปลายไม่ถูก
 
“คิดจะมาต่อว่าข้าล่ะสิใช่ไหม” จีรยงที่นั่งอยู่บนเตียงข้างกายซอนอินเอ่ยขึ้น เขารู้ดีว่าจุดประสงค์ของจีมุนในการมายืนรอเขาอยู่หน้าตำหนักคงไม่ต่างจากฮีอูที่ตั้งใจมาต่อว่าเขาเรื่องที่พาหญิงงามเข้าวังมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
 
“เสด็จพี่เจอซอนอินตั้งแต่เมื่อไหร่ ...แล้วยศนั่น...” สายตาของจีมุนเลื่อนขึ้นมองเครื่องประดับที่บ่งบอกถึงผู้ที่เป็นกษัตริย์ซึ่งสวมอยู่ที่ศีรษะของพี่ชาย
 
“เจ้าสงสัยสิ่งใดให้ถามเอากับราชครูปาร์ค เวลานี้ข้าขออยู่กับซอนอินตามลำพัง พวกเจ้าออกไปให้หมด” ชายหนุ่มไม่เสียเวลาเหลียวมองผู้ใดอีก เขาเลื่อนสายตาลงมองดวงหน้าขาวของคนที่ยังหลับใหลอย่างเป็นห่วง มือข้างหนึ่งลูบไล้ผิวแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยน
 
สายตาของชองจีรยงในเวลานี้ บ่งบอกถึงความรักที่มีต่อคิมซอนอินอย่างที่สุด
 
ฮีอู ยองจู และจีมุน ไม่มีใครสักคนเอ่ยสิ่งใดออกมาราวกับกลัวว่าเสียงของตนจะไปขัดช่วงเวลาที่แสนสำคัญของร่างสูงผู้นั้น พวกเขาออกมาจากห้องบรรทมพร้อมกับปิดประตูให้อย่างเบาเสียง
 
ฮีอูเดินนำชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองคนไปยังห้องโถงกลางที่ใช้รับรองแขก แล้วปล่อยให้ยองจูอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้องค์ชายรองได้เข้าใจ
 
“แม้แต่คนของชินซองก็ไม่รู้งั้นหรือ?” หลังจากที่ฟังอยู่นาน จีมุนก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยที่วังชอนซาจะตายจากไปอย่างนี้ นั่นเท่ากับว่าตำแหน่งวังชอนซาที่แสนสำคัญก็ต้องว่างลง
 
“มีเพียงผู้เฒ่าลีซางที่รู้ว่าคิมซอนอินยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงคิมซองอึนด้วย และเป็นเพราะนางเองก็รู้ดีว่าบุตรชายของนางต้องทุกข์ใจกับการรับตำแหน่งนี้มานานแค่ไหน นางจึงยินดีที่จะให้ชองจีรยงจัดการทุกอย่าง ที่สุดแล้วนางเองก็หวังให้ซอนอินได้มีความสุขกับคนที่รัก เรื่องตำแหน่งของวังชอนซาที่ว่างลงก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เฒ่าลีซางว่าจะทำเช่นไรต่อไป การหาตัวแทนมาทำพิธีสวดไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะหาผู้ที่เหมาะสมมารับตำแหน่งวังชอนซาซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำเผ่าชินซองนั้นต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับสวรรค์จะชี้ให้ใครมาดำรงตำแหน่งนี้ เรื่องวิธีการเลือกข้าเองก็บอกไม่ได้ ตอนนี้ที่รู้ก็เพียงวังชอนซาองค์ปัจจุบันสิ้นแล้วเท่านั้น”
 
ได้ฟังเช่นนี้จีมุนก็รู้สึกเหมือนความอึดอัดใจที่กดทับสะสมมานานสลายไปในสายลม ถึงเขาจะเจ็บปวดเสียใจในความรักที่มีต่อซอนอินมากเพียงไร แต่เขาก็หวังอย่างสุดซึ้งที่จะให้ซอนอินมีความสุข
 
แค่ชีวิตนี้ได้มีโอกาสรักคนผู้นั้น จีมุนก็ขอบคุณสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
 
ความขมขื่นในแววตาของจีมุนนั้นแม้จะไม่เด่นชัด แต่ฮีอูที่เฝ้ามองอยู่ก็รับรู้ได้ไม่ยากนัก การรักใครสักคนไม่ยากเท่าการตัดใจจากคนที่รัก ความรู้สึกที่มีไม่อาจลบเลือน และแน่นอนว่าสำหรับองค์ชายรองแล้ว ไม่มีวันที่ความรู้สึกนี้จะลดน้อยลง สิ่งที่ทำได้ก็เพียงการยอมรับความเป็นจริงเท่านั้น ฮีอูรู้สึกเลื่อมใสในจิตใจขององค์ชายจีมุนอย่างที่สุด
 
“เอาอย่างนี้ไหม ไหนๆ องค์ชายรองก็มาแล้ว ให้หม่อมฉันทำของว่างให้ทานระหว่างรอซอนอินฟื้นดีกว่า” ฮีอูว่าพร้อมกับเตรียมลุกขึ้นจากโต๊ะ เขาอยากให้บรรยากาศดูสดใสมากกว่านี้
 
“ไม่ต้องหรอกฮีอู ข้าได้รู้ว่าซอนอินปลอดภัยดีก็เพียงพอแล้ว ข้ากลับตำหนักตอนนี้เลยดีกว่า”
 
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปส่ง” ยองจูอาสาเดินไปส่งจีมุนที่ประตูตำหนัก และไม่ลืมที่จะเอ่ยคำขอบคุณกับฝ่ายนั้นที่เป็นห่วงซอนอินไม่แพ้ใคร ยองจูอดคิดไม่ได้ว่าที่ฮานึลมีคนที่รักซอนอินมากมายถึงเพียงนี้ราวกับเป็นชะตาของซอนอินที่ต้องมายังแคว้นแห่งนี้
 
ราวกับว่าวิหคที่ถือกำเนิดผิดที่ผิดทางได้กลับคืนสู่ท้องนภาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
 
ซ้ำแผ่นอัมพรที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ยังมีจ้าวแห่งมังกรคอยคุ้มครองอยู่เคียงข้าง
 
ยองจูละสายตาจากแผ่นหลังของชองจีมุนแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ที่ในเวลานี้มีละอองหิมะตกโปรยปรายบางเบา
 
 
สวรรค์ ท่านกำหนดชะตาของคิมซอนอินให้เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วสินะ เส้นทางของคิมซอนอินและชองจีรยงบรรจบกันที่ปลายเส้นด้ายมาโดยตลอด รอเพียงให้พวกเขาได้พบเจอกันในสักวันเท่านั้น
 
 
...และวันนั้นก็ได้มาถึงแล้วในที่สุด
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
ชองจีรยงอีกแล้ว...
 
ภาพพร่าเลือนที่กระทบสายตาเป็นสิ่งแรกคือชายหนุ่มคนรัก ซอนอินคิดว่าตนเองคงจะคิดถึงจีรยงมากเกินไป ขนาดตายเป็นผีไปแล้วก็ยังจะเพ้อมองเห็นผู้ชายคนนี้ไม่ต่างจากตอนที่ยังมีชีวิต
 
อ่า... นี่เขาตายแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นที่นี่ที่ไหนกันล่ะ เขาตกนรกหรือขึ้นสวรรค์กันแน่?
 
เอ๊ะ? นี่ข้านอนอยู่บนเตียงอย่างนั้นหรือ ซอนอินขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นเพดานไม้ของเตียงที่อยู่เบื้องหลังใบหน้าคมเข้มของคนรัก อืม... สงสัยข้าจะได้ขึ้นสวรรค์ ถึงได้นอนสบายอยู่บนเตียงอย่างนี้ แถมยังได้เห็นภาพหลอนของชองจีรยงเป็นการปลอบใจอีกด้วย
 
เดี๋ยวสิ นี่มันจะชัดเจนเกินไปหรือเปล่า ทำไมถึงสัมผัสภาพที่สร้างขึ้นเองได้ล่ะ?!
 
“คิดจะลูบหน้าของข้าไปจนถึงเมื่อไหร่ หืม?”
 
เหวอ~ พูดได้ด้วย!
 
“สวรรค์นี่ดีจริงๆ เลย” เสียงเล็กที่พึมพำออกมาทำเอาคนตัวสูงหยุดชะงักใบหน้าที่ก้มลงหมายจะจูบเรียกสติของคนตัวเล็ก เรียวคิ้วเข้มข้างหนึ่งกระตุกขึ้นเล็กน้อย และขยับใบหน้าถอยห่างครึ่งศอก
 
ดวงหน้าสวยที่เห็นอยู่นี้ช่างใสซื่อเสียจนจีรยงอยากจะกลืนกินเจ้าของความงดงามนี้ลงไปทั้งตัว คิดว่าเขาเป็นภาพหลอนหรืออย่างไรกัน เพ้อถึงสวรรค์อย่างนี้เห็นทีคงต้องเรียกสติด้วยวิธีอื่นเสียแล้ว
 
“สวรรค์งั้นหรือ? ใช่แล้ว ที่นี่คือสวรรค์ และข้าก็เป็นพระเจ้าที่จะกุมชะตาชีวิตของเจ้า คิมซอนอิน ชีวิตของเจ้านับจากนี้จะต้องปรนเปรอพระเจ้าที่มีนามว่าชองจีรยงด้วยร่างกายของเจ้าไปชั่วชีวิต เอาล่ะ แยกขาออกเร็วเข้า ข้าจะได้จัดการลงทัณฑ์ดวงวิญญาณใหม่อย่างเจ้าเสียที”
 
ไม่เพียงคำพูด มือใหญ่ยังจัดการสอดใต้เข่าอ่อนแรงนั้นให้ยกตั้งขึ้นทั้งสองข้าง สีหน้าเลื่อนลอยของซอนอินพลันตกตื่นขึ้นมาทันที แววตาใสเป็นประกายฉายแววสะท้อนสิ่งที่เห็นตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้นกว่าตอนแรก
 
“ชองจีรยงตัวจริง!!!”
 
“ก็ใช่น่ะสิ ลองเจ้ายังเพ้ออยู่อีก ข้าได้ขืนใจเจ้าจริงๆ แน่”
 
คำพูดไร้ยางอายไม่เคยเปลี่ยนของชายหนุ่มไม่ทำให้คนหน้าบางนึกสนใจแต่อย่างใด วงแขนเรียวเล็กคว้ากอดคนที่นั่งอยู่ด้านข้างไว้ด้วยแรงอันน้อยนิด แค่เพียงได้แตะสัมผัสการมีตัวตนของคนตรงหน้าให้รู้ว่าตนเองไม่ได้ฝันไปก็เพียงพอที่จะทำให้ซอนอินหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเป็นสุขที่สุด
 
“ฮึก...ข้าคิดว่าตัวเองตายไปแล้วเสียอีก”
 
“ยาพิษที่เจ้ากินไม่ทำให้ถึงกับตายได้หรอก เสด็จย่าเพียงต้องการลองใจเจ้าเท่านั้น”
 
“จีรยง...ฮึก ข้าคิดจริงๆ ข้าคิดว่าให้ตายยังดีกว่าที่ข้าจะอยู่โดยไม่มีเจ้า ...เจ้าโกรธข้าไหมที่ข้าคิดอย่างนี้ ข้าเห็นแก่ตัวมากเลยใช่หรือเปล่า”
 
“ข้าจะโกรธเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อความเห็นแก่ตัวของเจ้าอยู่ภายใต้คำว่ารักที่เจ้ามอบให้ข้า เพียงแต่หลังจากนี้ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ข้าอยากให้เจ้ารักชีวิตตัวเองมากกว่านี้ ต่อให้เป็นเรื่องของข้า ก็อย่าได้ใช้ลมหายใจของเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน เข้าใจไหมซอนอิน หากข้าไม่มีเจ้า ข้าก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้เช่นกัน”
 
ภายในอกของซอนอินรู้สึกปวดแปลบอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่อาการปวดอย่างเจ็บร้าว แต่เป็นอาการปวดหนึบที่ถูกความรู้สึกมากมายทับถมลงมาจนล้นหัวใจ
 
ความสุขที่มากเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด หรือแม้แต่ปฏิกิริยาของร่างกายที่แสดงออกมา ความรู้สึกของซอนอินในเวลานี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ตัวเองจะทำความเข้าใจได้ด้วยซ้ำ
 
จีรยงโอบไหล่บอบบางที่มีอาการสั่นน้อยๆ อย่างต้องการปลอบขวัญ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังของคนรักอย่างทะนุถนอม เขากดปลายจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า โอบกอดกระชับวงแขนแนบแน่นอยู่อย่างนั้นอยู่หลายนาที ก่อนจะเชยคางมนให้ดวงตาชื้นน้ำใสได้จ้องสบกัน
 
ริมฝีปากที่เม้มแน่นเข้าหากันเพื่อระงับเสียงสะอื้น ถูกข้อนิ้วหนาแทรกเข้าเพื่อไม่ให้เจ้าตัวกัดจนปากของตัวเองได้เลือดไปเสียก่อน
 
ปลายนิ้วอุ่นแตะเบาๆ บนกลีบปากสีสด ก่อนจะใช้หลังมือไล้ไปตามผิวแก้มชื้นน้ำด้วยความรู้สึกรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง ซอนอินเอนตัวลงนอนเมื่อหมดเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวอีกต่อไป จีรยงเอนตัวลงตามเข้าจุมพิตคนร่างบางอย่างเชื่องช้า เหมือนกับว่าร่างกายของคนทั้งคู่ตอบสนองต่อกันได้อย่างเป็นธรรมชาติจนน่าประหลาด ทันทีที่ปลายลิ้นลักลอบช่วงชิงลมหายใจซึ่งกัน มือทั้งสองข้างของพวกเขาก็สอดประสานแนบสนิทราวกับรู้ใจของอีกฝ่าย
 
ซอนอินกระชับมือตอบมือใหญ่ของจีรยง ความอบอุ่นถูกถ่ายเทไปในทุกสัมผัสของปลายนิ้วที่กอบกุมมือของกันและกัน
 
เสียงจูบทิ้งท้ายดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่ชายหนุ่มผละจูบออก
 
จีรยงคลายมือข้างหนึ่งออกจากการกอบกุมเพื่อปัดเส้นผมบางให้พ้นดวงหน้าสวย ขณะที่อีกมือยังคงกักขังมือเล็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
 
ซอนอินเอียงศีรษะไปตามสัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนจากคนรัก นอกจากเสียงหายใจที่ได้ยินแล้ว มีเพียงสายตาเท่านั้นที่สื่อถึงกันแทนคำพูดและความรู้สึก
 
ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่หากไม่พูดออกไป อีกฝ่ายคงไม่มีทางเข้าใจได้เองเป็นแน่
 
“คิมซอนอิน เจ้าจะเป็นชายาของชองจีรยงได้หรือไม่ เจ้าจะรับตำแหน่งเป็นราชินีของฮานึล เป็นคนที่จะยืนอยู่เคียงข้างข้าไปจนชั่วชีวิตหรือไม่”
 
เป็นคำถามที่สร้างความสับสนให้คนร่างบางอย่างที่สุด ทั้งที่เพิ่งหายสับสนจากภาพของความฝันและความเป็นจริงมาได้ไม่ถึงอึดใจ อยู่ดีๆ ก็ถูกกระชากกลับเข้าไปในความฝันอีกครั้งเสียนี่ แน่นอนว่าคำถามของจีรยงคือสิ่งที่ซอนอินคาดหวังอยู่ภายในใจลึกๆ มาโดยตลอด จนคิดว่าความหวังนี้คงเป็นไปได้แค่เพียงความฝันเท่านั้น คำถามนี้ช่างมีอิทธิพลมากมายนัก มากเสียจนซอนอินกลัวว่าหากความจริงที่เผชิญอยู่นี้ต้องสูญสลายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เขาอาจจะหยุดหายใจไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้
 
สวรรค์ เมื่อจีรยงเอ่ยออกมาแล้ว ก็อย่าได้มีเรื่องโหดร้ายมาเล่นตลกกับข้าอีกเลย
 
อย่าทำให้ความจริงที่เห็นอยู่นี้กลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ อีกเลย...
 
“เจ้าจะเป็นชายาของข้าได้ไหมซอนอิน”
 
คำขอแต่งงานของกษัตริย์หนุ่มไม่ได้ร้อนแรงอะไรเลยสักนิดเดียว แต่กลับเป็นการขอแต่งงานที่นุ่มนวลและอบอุ่นที่สุดเท่าที่ใครในแผ่นดินนี้ก็ไม่สามารถทำได้
 
ไม่ต้องมีพิธี ไม่ต้องมากความ แค่คำถามซื่อตรงที่มาพร้อมกับความจริงใจเท่านั้น
 
มือเล็กกระชับตอบมือใหญ่ที่กอบกุมอยู่ครั้งหนึ่งราวกับเป็นสัญญาณตอบตกลง ก่อนที่ดวงหน้าสวยจะเสหลบไปด้านข้าง ริ้วรอยสีแดงพาดผ่านจากแก้มซ้ายมายังแก้มขวาด้วยความเขินอายของเจ้าตัว
 
“อย่าถามอะไรที่เจ้าเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วจะได้ไหม”
 
“หากเจ้าไม่เอ่ยออกมาด้วยตนเอง ก็เท่ากับข้าบังคับเจ้าน่ะสิ”
 
“ตลอดมาเจ้าก็ชอบบังคับข้าอยู่แล้วนี่?”
 
“ได้ เจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่รบเร้า เอาเป็นว่าเจ้าเป็นชายาของข้าอย่างชอบธรรมแล้วนับแต่วินาทีนี้ไป”
 
“เอ๋?” ซอนอินหันกลับมาหาคนพูดอย่างไม่เข้าใจ ในตอนนั้นเองที่เห็นว่าคนตัวสูงลงไปนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น แล้วหลังมือของเขาก็ถูกริมฝีปากอุ่นแนบจุมพิตตามติดเป็นสัญญาณของการประกาศการครองคู่ที่กษัตริย์จะมีให้กับราชินีผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียว
 
การจุมพิตที่หลังมือพร้อมกับคุกเข่าลงต่ำ เปรียบเสมือนการเทิดทูนคนสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ
 
“จีรยง...” ซอนอินทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นว่าคนที่เป็นถึงกษัตริย์ลงไปนั่งคุกเข่าให้กับตนเองอย่างนี้ แม้จะยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบันมากมายนัก แต่ซอนอินก็รู้ว่าสิ่งที่จีรยงสวมศีรษะอยู่ในเวลานี้ คือเครื่องประดับที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายคือกษัตริย์ผู้เกรียงไกร
 
ร่างบางรีบยันกายลุกขึ้นนั่ง พยายามดึงมือใหญ่ให้คนตัวสูงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงดีๆ แต่อีกฝ่ายกลับยังขืนแรงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม นัยน์ตารัตติกาลจ้องมองตอบกลับมาแสดงออกถึงความจริงใจจนยากจะต้านทาน
 
นี่ตกลงว่าจะฟังคำตอบรับให้ได้เลยใช่ไหม ...ซอนอินคิดอย่างเหนื่อยใจ จะมีสักครั้งไหมที่เขาไม่ถูกคนตรงหน้าไล่ต้อนจนหมดหนทางที่จะหนีอย่างนี้
 
ซอนอินปัดความอายออกไปให้พ้นทาง
 
คนตัวเล็กออกแรงบีบกระชับมือของจีรยง
 
“ข้าจะเป็นชายาของเจ้า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า คิมซอนอินจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชองจีรยงนับแต่นี้และตลอดไป...”
 
 
 
“จนกว่าฟากฟ้าจะไร้สายลม คิมซอนอินจะไม่มีวันหยุดรักชองจีรยง”
 
 
“จนกว่ามหาสมุทรจะไร้คลื่น ชองจีรยงก็จะไม่มีวันหยุดรักคิมซอนอินเช่นกัน”
 
 
 
ดวงหน้าสวยเคลื่อนลงเข้าหารูปหน้าหล่อเหลาที่ขยับเข้ามาใกล้ คนทั้งสองแลกจุมพิตแห่งคำสัญญาที่มีให้กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับกลัวว่าหากผละจูบออกตอนนี้ อีกคนจะบินหนีหายไปต่อหน้าต่อตา
 
 
ต้องจูบกันอีกสักกี่ครั้งนะ ถึงจะเพียงพอให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่เต็มอกนี้ได้
 
ต้องจูบกันไปจนหมดลมหายใจเลยไหม ถึงจะบอกให้อีกคนรู้ว่าตนเองนั้นรักคนตรงหน้ามากเพียงไร
 
 
รัก... ความรู้สึกนี้ ใช้เพียงจูบไม่กี่ครั้งคงไม่อาจเพียงพอที่จะอธิบายได้
 
หากว่าในทุกๆ วันต่อจากนี้ จูบหนึ่งครั้งจะหมายถึงความรักที่เพิ่มพูนในแต่ละวัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะแลกจุมพิตซึ่งกันและกันเช่นนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์...
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
กล่าวกันว่า ในปีหนึ่งของฤดูหนาวที่เหน็บหนาวยิ่งกว่าปีใดที่เคยผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์แห่งแคว้นฮานึลได้เกิดขึ้น การสวรรคตของชองฮวาจีเกิดขึ้นอย่างกะทันหันในปลายเดือนสิบ นำพาให้โอรสองค์โตนามว่าชองจีรยงได้ขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมาแทบจะในทันที พิธีการถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก ความตื่นตกใจของชาวบ้านต่อเหตุการณ์เศร้าสลดที่ต้องสูญเสียผู้นำไปถูกปลอบขวัญด้วยกษัตริย์คนใหม่ที่พร้อมจะปกครองแคว้นอย่างห้าวหาญ พร้อมกันนั้น ชาวบ้านยังได้ร่วมพิธีเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสราชินีคนปัจจุบันแห่งฮานึลอีกด้วย
 
ทว่าในความลึกลับซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น ใครหลายคนทั้งในวังและนอกวังต่างรู้อยู่แก่ใจว่าหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างคู่บารมีขององค์กษัตริย์ชองจีรยงผู้นี้ แท้ที่จริงแล้วก็คือองค์วังชอนซาที่ใครต่อใครรับรู้กันถ้วนหน้าว่าเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งที่รู้อย่างนั้นแล้ว แต่ทุกคนกลับเก็บสิ่งที่รู้นี้ลงไปให้ลึกจนสุดใจอย่างเป็นที่รู้กันว่าความลับนี้ไม่ควรใช้เป็นข้อสนทนาพร่ำเพรื่อ แม้ชองจีรยงจะหวังให้ทุกคนรู้จักเพียง ‘ชอนอา’ แต่ช่างน่าเสียดายที่ความลับไม่เคยซ่อนเร้นได้อย่างมิดชิด หากแต่ไพร่ฟ้าที่รับรู้ความเป็นจริงต่างก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปล่อยให้วังชอนซาผู้ที่พวกเขาเคารพนับถือได้ครองคู่กับกษัตริย์ของตนชั่วฟ้าดินสลายเช่นนี้ตลอดไป
 
หากชองจีรยงและคิมซอนอินได้รับรู้ถึงการกระทำของไพร่ฟ้าเหล่านี้ พวกเขาคงรู้ตัวว่าตนเองเป็นที่รักของคนทุกผู้บนแผ่นดินนี้มากเพียงไร
 
มีนิทานเรื่องหนึ่งถูกคัดลอกขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นิทานพื้นบ้านของฮานึลที่ถูกแต่งขึ้นหลังชองจีรยงครองราชย์ได้สามปีเศษ นิทานเล่มบางๆ ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของหงส์แสนงามที่พลัดถิ่นจนกระทั่งได้พบกับมังกรฟ้าผู้กำชะตาชีวิตของหงส์ผู้งดงามไว้ จุดจบของเรื่องราวคือภาพประกอบหน้าสุดท้ายของกระดาษที่บอกเล่าให้เด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าต้องเงยหน้ามองท้องฟ้า ว่าบนผืนนภาที่กว้างใหญ่นี้ จะมีหงส์และมังกรบินเคียงคู่กันอยู่บนนั้นเหมือนในนิทานหรือไม่
 
 
 
 
“แม่! แม่!”
 
เด็กตัวน้อยวิ่งตึงตังออกมาจากห้องนอน หลังจากที่พี่เลี้ยงเล่านิทานให้ฟัง มือเล็กๆ โบกหนังสือเก่าคร่ำครึในมือไปมาส่งให้ผู้เป็นแม่ดู
 
“แม่! โตขึ้นหนูอยากเป็นหงส์แสนงาม หนูอยากเจอมังกรฟ้า!”
 
“เพ้อเจ้อ! รีบๆ ไปนอนได้แล้วไป”
 
หญิงวัยกลางคนรุนหลังเด็กน้อยวัยสี่ขวบให้เดินกลับไปหาพี่เลี้ยง นางหยิบสมุดนิทานเล่มบางเก่าแก่ออกจากมือของลูก ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเท่าใดนัก
 
แสงจันทร์ที่ส่องแสงสีเหลืองอ่อนนั้นตกกระทบลงบนหน้าปกของนิทานเล่มเก่าเป็นสีนวล หมึกสีดำที่ตวัดเขียนอยู่เหนือภาพหงส์และมังกร คืออักษรคำว่า ‘ลำนักรักแห่งฮานึล’
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
- จบ -
 
 
คิมยุนบี : ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามจนจบเรื่องนะคะ เรื่องนี้พระเอกดาร์คมาก นายเอกก็อ่อนมาก ฮ่าๆๆ โดยส่วนตัวแล้วชอบเห็นนายเอกถูกกระทำค่ะ (โรคจิต ฮ่า) จริงๆ เรื่องนี้แต่งจบไว้หลายปีแล้วค่ะ นำกลับมารีไรท์ใหม่ จึงสามารถโพสได้เกือบทุกวัน แฮะๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอ่อนประสบการณ์ค่ะ ยิ่งเป็นพีเรียตย้อนยุคด้วยแล้ว หนักใจค่ะ ยากจริงๆ หวังว่านักอ่านจะสนุกไปกับนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ! (สามารถติดตามตอนพิเศษได้ภายในเล่มค่ะ)

 
เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0)

(http://kimyoonbe.exteen.com/images/chunsa/14330170_1743526355910646_7164399534191287630_n.jpg)


หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-09-2016 09:05:28
ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :pig4:

อ่านตอนแรก ๆ คิดในใจว่าคงดราม่ามาก น้ำตาท่วมจอแน่ แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ถึงขนาดนั้น
พระเอกก็ไม่ได้ดาร์กจนเราเกลียด ฮา
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 30-09-2016 09:36:47
จบแล้ว ขอบคุณคนแต่งที่นำมาลงให้ได้อ่าน ถึงแม้เราจะเกลียดจีรยงมากก็ตามที ซอนอินอีก แต่ตามจนจบเลย หุหุ
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 02-10-2016 21:12:09
จบดีมากกกกค่ะ
บอกตรงๆ ตอนแรกเรานึกภาพตอนจบไม่ออกเลย
แต่จบสวยมาก
ประทับใจ

ขอบคุณมากนะคะที่แต่งนิยายดีๆ มาให้กัน
หลังจากนี้ต้องคิดถึงแน่เลย
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: aonan5042 ที่ 25-10-2016 03:32:44
อีรัชทายาทจีรยงงงงง อิเลวววววววว อิสองจิตสองใจจจจ โอ้ย หงุดหงิด ขอให้สุดท้ายฮีอูคู่กับยองจู ซอนอินก็ไม่เอานาง อยู่โดดเดี่ยวไปเถอะ ขอโทดอินน
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 25-10-2016 13:31:22
อ่านไปก็สงสารซอนอิน ดีใจที่สุดท้ายก็มีความสุขเสียที เป็นนิยายที่อ่านสนุกจริงๆนะ ต้องชื่นชมคนแต่งจริงๆ ขอบคุณน้า
หัวข้อ: Re: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 01-11-2016 21:06:15
ขอบคุณคะ ตอนจบอ่านแล้วยิ้มเลย จบดีมากเลยค่ะ