ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
ผลงาน
- บ้ า น ซ่ อ น ศ พ -
นิยาย / Romantic Thriller / จบแล้ว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50956.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50956.0)
ภพ พราก จาก ตาย
เรื่องสั้น / Thriller (Mpreg) / จบแล้ว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54904.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54904.0)
♪ ♫ อยากให้เพลงนี้... ไม่มี 'ผี' ร้าย ♫ ♪
นิยาย / Romantic Horror / จบแล้ว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55828.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55828.0)
▼ Bedtime Story ▲นิยาย / Erotic-Drama-Thriller / จบแล้ว- Deleted- △▽ Rush Hour △▽
เรื่องสั้น / Romantic / จบแล้ว
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70696.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70696.0)
Bloody Buddy X เล่นให้ได้เลือด
นิยาย / Romantic-Thriller / ยังไม่จบ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70947.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70947.0)
- โ ล กี ย วิ สั ย -
รวมเรื่องสั้น / Erotic / ยังไม่จบ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71103.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71103.0)
คุณเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม?
หลายคนไม่เชื่อและรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่หลายคนกลับเชื่อถืออย่างสนิทใจเพียงเพราะดูจากรายการโทรทัศน์หรืออ่านบทความจากเว็บไซต์
แต่จะมีสักกี่คน ที่เชื่อ… จากประสบการณ์จริงของตัวเอง
เหมือนผม
“เป็นยังไงบ้างครับ” เสียงนุ่มดังขึ้นจากไกลๆ ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของเสียงซึ่งคาดว่าอยู่ในสูทสีดำพอดีตัวจะเดินเข้ามาใกล้
“เพิ่งหลับไปหลังจากทานข้าวเสร็จน่ะ” หญิงชราซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งของเตียงนอนพูดเสียงเบาอย่างไม่อยากรบกวน
“งั้น… เดี๋ยวเสร็จจากงานแล้วผมจะรีบมานะครับ”
“แล้วเอวาอยู่กับใครล่ะ”
“แกอยู่กับย่าน่ะครับ ผมบอกท่านแล้วว่าคืนนี้จะมานอนเฝ้าเพชร” เสียงนุ่มดังใกล้ขึ้นกว่าเมื่อครู่
“ก็ค่อยเบาใจหน่อยนะ” เสียงของหญิงชราเองก็ใกล้ขึ้นเช่นกัน
“พรุ่งนี้เช้า ผม…” ชายหนุ่มเม้มปากลง คล้ายกับว่าไม่มั่นใจนักในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ “ผมว่าจะพาเอวามาเยี่ยมเพชรสักหน่อย”
“อุ้ย!” หญิงชราอุทานทันทีที่เขาพูดจบประโยค และคงยกมือที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นขึ้นทาบกับหน้าอกอย่างที่เคยทำเป็นประจำ “จะ… จะดีเหรอ แม่ว่าทั้งคู่อาจจะยังไม่พร้อมนะ”
“แต่ผมกลัวว่า ถ้าปล่อยทิ้งไว้ มันจะยิ่งเป็นปมในใจนะครับ” เสียงของชายหนุ่มถูกปรับให้ทุ้มต่ำลงเพื่ออธิบายเหตุผล เขาคงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาสักระยะแล้ว “อีกอย่าง เมื่อวาน เอวาก็ถามถึงเพชรนะครับ”
“จริงเหรอ” น้ำเสียงของหญิงชราฟังดูตื่นเต้นไม่น้อย
“เขาถามว่าแม่ไปไหน คิดถึง อยากเจอแม่นะครับ”
‘ตอแหล’
แต่ท่ามกลางความยินดีของสามีและผู้เป็นมารดา คงไม่มีใครมีโอกาสได้ยินเสียงแห่งความคิดจากผม ผู้ป่วยที่ทุกคนต่างคิดว่าหลับใหล ไม่ง่ายเลยที่จะฝืนลมหายใจให้พ่นออกและสูดเข้าอย่างสม่ำเสมอเหมือนคนกำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา ทั้งที่ความจริงอยากจะพ่นมันออกมาแรงๆ เพื่อระบายความร้อนในจิตใจ
ขณะที่คู่สนทนาซึ่งยังคงพูดคุยกันด้วยอารมณ์ดีค่อยๆ เดินห่างออกจากเตียง ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวอำลาอย่างนอบน้อม หญิงชราเองก็ทำหน้าที่เจ้าของบ้านโดยการเดินลงไปส่งชายหนุ่มที่รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ในโรงรถของบ้านหลังเล็กเพื่อให้เขาเดินทางต่อไปยังงานเลี้ยงรุ่นที่ถูกจัดขึ้นสำหรับอดีตนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกรุ่นที่สามสิบสามของโรงเรียนแห่งหนึ่ง
และเมื่อเสียงสตาร์ทรถยนต์ของเขาดังขึ้น ผมจึงลืมตาทันที...
ใบหน้าซีดผาดจากอาการเจ็บป่วยที่สะท้อนอยู่บนกระจกตรงหน้าไม่สามารถบั่นทอนสายตามุ่งมั่นซึ่งเกิดจากความมั่นใจเต็มล้นได้ ผมไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว และวันนี้นี่แหละ โอกาสเดียวที่ผมจะกลับไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด
สองเท้าก้าวเหยียบพื้นไม้ปาร์เก้อย่างแผ่วเบาไปที่หน้าต่างซึ่งเมื่อมองจากด้านในห้องนอนจะเห็นโรงรถ รั้วเหล็ก และถนนด้านหน้าบ้านพอดี ผมเดาว่าแม่ของผมน่าจะกำลังเก็บล้างอุปกรณ์ประกอบอาหารในห้องครัวซึ่งอยู่ด้านหลังของบ้าน จึงไม่หวาดกลัวที่จะจับขอบหน้าต่างไว้แน่นด้วยมือทั้งสอง ก่อนยกขาข้างซ้ายที่มีเฝือกรัดอยู่รอบหน้าแข้งจนถึงใต้หัวเข่าขึ้นพาดบนนั้นเพื่อดันตัวเองให้พ้นขอบหน้าต่าง แล้วปีนลงมาด้านล่าง
คุณอาจจะสงสัยกับความบ้าบิ่นของผม
คนป่วยขาหักที่กำลังพยายามปีนป่ายผ่านระเบียงลงมาเพื่อหนีออกจากบ้าน
แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณได้ฟังเรื่องของผมแล้ว คุณจะไม่แปลกใจเลย
ผมชื่อเพชร – เมื่อสิบสามปีที่แล้ว ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกซึ่งเป็นชั้นที่ต้องเตรียมตัวเพื่อสอบเข้าเรียนต่อในระดับชั้นอุดมศึกษา
วัยแห่งการเรียนรู้ วัยแห่งการเริ่มเข้าสู่สังคมใหม่ และวัยแห่งรักครั้งแรก
ห้องที่ผมเรียนถูกจัดว่าเป็นห้องที่นักเรียนมีเกรดเฉลี่ยดีที่สุด หรือที่เรียกว่าห้องคิง แต่มันไม่ได้น่าภูมิใจนักหรอกนะ เพราะท่ามกลางนักเรียนในห้องเรียนที่เก่งที่สุด ยังมีนักเรียนที่เรียนเก่งกว่าทุกคนในห้อง ซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่ผม
แต่คือ เอม
เอมเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาดีมาก จึงมักถูกอาจารย์ชวนไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนอยู่เสมอ ทั้งถือป้ายโรงเรียนในงานกีฬาสี เป็นนางนพมาศ หรือแม้กระทั่งนำสวดมนต์หน้าเสาธง ถึงกิจกรรมที่เธอต้องรับผิดชอบจะล้นมือ แต่เอมยังสามารถรักษามาตรฐานด้านการเรียนของเธอได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์และคะแนนดิบสูงที่สุดในทุกวิชาคือเครื่องยืนยันความสามารถของเธอ ปมด้อยปมเดียวซึ่งเป็นปมที่เล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับสิ่งที่กล่าวไปแล้วนั้นคงเป็นการที่ความสมบูรณ์พร้อมของเธอทำให้ใครๆ ต่างอิจฉาและหมั่นไส้ จึงไม่มีเพื่อนผู้หญิงร่วมชั้นคนไหนอยากพูดคุย ชวนเข้ากลุ่ม หรือยอมเป็นเพื่อนด้วย เพื่อนผู้ชายก็มักให้ความสนใจในตัวเธอเกินขอบเขตของคำว่าเพื่อน
เธอจึงมีแต่ผม
ผมในวัยสิบแปด เพื่อนคนเดียวของเอม เป็นคนที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับที่สองรองจากเอมในทุกวิชา หากคนอื่นมองมาคงชื่นชมไม่น้อยที่มีผลการเรียนเป็นอันดับต้นๆ ของห้อง แต่ผมกลับไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น เพราะสำหรับผม ไม่มีใครจำรองอันดับหนึ่งในการแข่งขันได้หรอก หากผู้ชนะตัวจริงยังคงยืนอยู่จุดสูงสุดแบบนี้ ดังนั้นผมจึงไม่เคยรู้สึกภูมิใจหรือคิดว่าตำแหน่งรองแชมป์แตกต่างอะไรจากเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องเลย ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือต่อให้ผมพยายามอ่านหนังสืออย่างหนักเพียงใด ก็ไม่มีทางชนะเอมที่ทำกิจกรรมจนแทบไม่มีเวลาทบทวนบทเรียนที่เรียนไปได้เลยสักครั้ง
ผมยอมรับว่าในใจลึกๆ รู้สึกอิจฉาเอมไม่น้อย เวลาที่ผลการเรียนถูกประกาศ เวลาที่อาจารย์บอกให้นักเรียนในชั้นปรบมือชื่นชมเอม หรือเวลาที่แสงแฟลซถูกสาดเข้าสู่เอมในทุกๆ งานโรงเรียน หากแต่มุมหนึ่งก็ยอมรับว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอที่ฉลาดหรือสวยกว่าคนอื่น อีกทั้งนิสัยส่วนตัวของเอมซึ่งไม่ค่อยมีใครเคยสัมผัสนักนั่นคือความน่ารักและอ่อนโยน ทำให้ผมอดรู้สึกสงสารไม่ได้เวลาที่เห็นเธอต้องอยู่ลำพัง มิตรภาพของเราจึงชนะความริษยาไปได้ทุกครั้ง
เราสนิทกันจนผมรู้เรื่องราวส่วนตัวของเธอมากพอสมควร ผมรู้ว่าเอมเป็นคนรักสัตว์มากเพราะเคยเห็นเธอวิ่งไปช่วยลูกสุนัขจรจัดข้างถนน รู้ว่าเธอชอบทานผักและผลไม้เกือบทุกชิ้น ยกเว้นอย่างเดียวที่เธอไม่ชอบเลยนั่นคือส้ม รวมถึงการที่เธอชอบใช้นิ้วม้วนปลายผมเล่นขณะกำลังใช้ความคิด ส่วนเธอ ผมไม่แน่ใจนักว่าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้าง แต่เรื่องหนึ่งที่เธอรู้แน่นอน นั่นคือ ผมชอบผู้ชาย และผู้ชายคนหนึ่งที่ผมแอบชอบมานาน
ชื่อว่าวิน
วินในวัยสิบแปด เขาเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาธรรมดา การเรียนปานกลาง ทั้งยังไม่มีความถนัดใดๆ ที่จะดึงดูดสาวๆ ให้เข้ามาหาได้เลย
แต่ผมก็ยังแอบรักเขา
ส่วนเขา… ก็ยังแอบรักเอม ผู้หญิงที่ไกลเกินเอื้อมของเขาเหลือเกิน แม้ว่าเขาไม่เคยบอกใคร แต่ผมเดาได้จากแววตาที่เขามองเอมพร้อมรอยยิ้มเขินอายในที แววตาที่เขาไม่เคยใช้มองผมหรือใครทั้งนั้น
ถึงจะรู้สึกหวาดกลัว แต่ผมยังคงวางใจ ในเมื่อวินไม่มีคุณสมบัติใดจะคู่ควรกับดาวโรงเรียนเช่นเอม เอมคงไม่คิดเหลียวมามองวินเป็นแน่ อีกอย่าง เอมก็รู้อยู่เต็มอกว่าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอคิดเช่นไรกับวิน อย่างน้อย ความสัมพันธ์ของผม วิน และเอมคงเป็นการแอบรักข้างเดียวแบบนี้ตลอดไป
แต่ผมคิดผิด!
ในวันหนึ่ง เมื่อผมเห็นวินถือกระเป๋านักเรียนให้เอมในระหว่างที่เอมยืนรอผู้ปกครองมารับ ผมรู้ได้ในทันทีว่ากำลังจะกลายเป็นที่สองอีกครั้ง
และครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ทั้งที่มีคนสนใจเอมมากมายและแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นดาวเด่นของโรงเรียนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประธานนักเรียน นักกีฬา ดรัมเมเยอร์ หรือนักดนตรี ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผมชอบวินมานานเท่าไรและหากทำแบบนี้ผมจะรู้สึกอย่างไร แต่เอมก็ยังยอมให้วินคอยดูแล เดินตาม ถือกระเป๋าให้ ความเกลียดชังจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของผมอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าผมจะยังทำตัวเหมือนไม่รู้เห็นในเรื่องนี้และยังคงเป็นเพื่อนคนเดิมของเธอก็ตาม
ผมซึ่งสายตามองเห็นแต่ความเลวร้ายของเอมด้วยอคติทนเก็บกดความรู้สึกเจ็บแค้นมานานจนกระทั่งวันหนึ่งที่โชคชะตาเข้าข้าง เอมมีอาการเจ็บป่วยอย่างหนักด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย เซลล์มะเร็งลุกลามจนแพทย์วินิจฉัยว่ามีโอกาสเสียชีวิตสูงและขอให้ญาติของผู้ป่วยทำใจ
แม้ว่าทุกคนที่เคยหมั่นไส้และอิจฉาเอมจะเริ่มเห็นใจและสงสาร แต่นั่นไม่เคยรวมความรู้สึกสะใจของผมไปด้วยเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เอมเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องแสร้งเป็นคนดีอีก ผมจึงไม่เคยคิดที่จะไปเห็นหน้าเธอให้รู้สึกอึดอัดใจ แต่เมื่อรู้ว่าเอมกำลังจะถูกส่งตัวไปรักษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยผู้ปกครองที่ตั้งใจจะยื้อชีวิตของเอมเป็นครั้งสุดท้าย จึงอดไม่ได้ที่จะมาเยี่ยมเยือนซะหน่อย
โรงพยาบาลในวันนั้นไม่หนาวเย็นเหมือนปกติที่ผมเคยรู้สึก หากแต่ลมจากเครื่องปรับอากาศเย็นสบายพร้อมกลิ่นหอมสะอาดกลับเข้ากันกับแดดอ่อนๆ บริเวณทางเดินได้อย่างลงตัว ผมฮัมเพลงอย่างใจเย็นขณะกำลังเดินไปตามทางเชื่อมระหว่างอาคารที่เงียบสงบ เพราะอีกไม่กี่อึดใจก็จะได้เห็นสภาพของอดีตเพื่อนรักที่เขาว่ากันว่าแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิม
และเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป จึงได้เห็นร่างผอมซูบนั่นบนเตียงคนไข้ สายระโยงระยางมากมายถูกเชื่อมต่อจากเครื่องมือแพทย์ด้านข้างไปยังอวัยวะของคนไข้เพื่อช่วยหล่อเลี้ยงระบบภายใน ร่างกายซูบผอมพร้อมผิวแห้งเกรียมด้วยผลจากการทำเคมีบำบัด ใบหน้าเต็มไปด้วยผื่นหนอง ดวงตากลมโตโบ๋ลึกจนน่ากลัว ผมร่วงจนเกือบหมดศีรษะ
แย่กว่าที่คิดไว้อีก...
ใจคิดว่าเลือกวันได้ถูกมากๆ เพราะคนป่วยใกล้ตายตรงหน้าอยู่ในห้องเพียงลำพัง ไม่มีคนเฝ้าไข้สุดหล่อ ไม่มีเพื่อนพ้องมาเยี่ยมเยือน ไม่มีแม้กระทั่งวินซึ่งได้ข่าวว่ายังคอยเฝ้าดูแลแทบทุกวันหลังเลิกเรียน
ผมเม้มปากแน่นเพราะไม่อยากเผลอแสยะยิ้มต่อหน้าคนป่วยใกล้ตาย ก่อนเดินไปที่เตียง เกาะราวเหล็กซึ่งกั้นไว้รอบด้านแล้วมองเอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
‘จะอยู่ได้อีกกี่วันกัน’
ดูเหมือนว่าคลื่นความเกลียดชังของผมจะส่งถึงคนป่วยบนเตียงรุนแรงเกินไปจนสามารถปลุกให้ดวงตาคู่สวยคู่นั้นลืมขึ้นก่อนที่เธอจะกระพริบตาถี่ๆ หลายแล้วเพ่งมองมาที่ผม
รอยยิ้มบางจากคนไข้แสดงถึงความยินดีที่เห็นว่าผมมาเยี่ยม แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมเชื่อว่าต่อให้รักษาอย่างไร เอมก็คงไม่มีทางกลับไปเป็นปกติได้ ดังนั้น ผมคงไม่ต้องฝืนใจตัวเองอีก คำพูดใดที่คิดอยากพูดกับเพื่อนทรยศคนนี้ ผมจะพูดออกมาให้หมด
“เป็นยังไงบ้าง” ผมแสดงความห่วงใยทั้งที่น้ำเสียงและสายตากลับตรงกันข้าม
เอมส่งสายตาที่เปล่งประกายด้วยความดีใจตอบกลับมาแทนคำถาม ก่อนที่ผมจะพูดต่อ
“ไหนๆ จะไปถึงอเมริกาแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาหรอกนะ”
เสียงเครื่องวัดการเต้นของหัวใจดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับว่าอารมณ์ของคนป่วยจะพลุ่งพล่านด้วยความสับสน
“ฉันเห็นนะ ว่าแกไปไหนมาไหนกับวินตลอด”
ผมสังเกตว่าแววตาคู่สวยที่จับจ้องมาทางผมเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ไม่สะท้อนความรู้สึกผิดบาปแม้แต่น้อย คงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ใช่เรื่องผิดสินะ คิดว่ายังไงวินซึ่งเป็นผู้ชายก็ไม่มีวันรักผมได้สินะ
“เพื่อนทรยศ คนอย่างแก ไม่สมควรจะมีเพื่อนอยู่แล้ว ฉันไม่น่าสงสารแกเลย”
ในเมื่อไม่มีคำพูดใดออกจากปาก จึงถือเป็นข้อได้เปรียบของผมที่จะสามารถพูดต่อในเรื่องตรงใจ
“ไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว
วินน่ะ…
ฉันขอแล้วกันนะ”
เสียงเตือนจากเครื่องถี่รัวราวกับว่าหัวใจของเธอจะกระแทกรัวจนหลุดออกมาข้างนอกอย่างนั้น ดวงตาที่มีน้ำใสเข้าเคลือบคลอแสดงความโกรธแค้นออกมาถึงผม แต่ขณะที่ผมยังคงจ้องเธอกลับอย่างไม่เกรงกลัวอยู่นั้น มือผอมบางติดกระดูกที่ยังคงมีเข็มคาอยู่เพื่อหล่อเลี้ยงน้ำเกลือเข้าสู่เส้นเลือดก็เอื้อมมาบีบเข้าที่แขนของผมเต็มแรงโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว
“โอ้ย!” ไม่ใช่แค่บีบแต่เล็บยาวกลับจิกเข้าจนเป็นรอยลึกทำให้ผมเผลอร้องออกมา “ปล่อยนะ”
การตะคอกไม่เป็นผล เช่นเดียวกับการที่ผมพยายามแกะมือของเธอหรือบิดแขนของตัวเองออกจากกรงเล็บ ในความเจ็บแสบจนน้ำตาเริ่มรื้นปริ่ม ผมยังคงมองเห็นรอยยิ้มยกบนมุมปากซีดเซียวนั่น มันบ่งบอกว่าเธอจะไม่ยอมยกให้ในสิ่งที่ผมต้องการ
แค้นเหรอ
ผมต่างหากที่ควรจะแค้น
มือที่พยายามแกะนิ้วเรียวอยู่จึงเลื่อนไปที่หลังมือของเอมก่อนกระชากพลาสเตอร์ซึ่งปิดทับเข็มที่เจาะคาไว้เพื่อให้น้ำเกลือเต็มแรงจนหลุดออกมา
ไม่มีเสียงกรีดร้องทว่าเอมยอมปล่อยมือออกจากแขนของผมแต่โดยดี เธอดึงมือที่สั่นระริกกลับเข้าหาตัวขณะที่ผมเริ่มสังเกตเห็นเลือดสีสดซึ่งเริ่มหยดไหลออกจากบาดแผลนั้น จึงรีบเดินออกจากห้องพักคนไข้ทันทีเพื่อหลีกหนีความผิด โดยทิ้งเพื่อนทรยศไว้เบื้องหลัง
ทราบภายหลังว่าเอมเกิดอาการช็อคและต้องถูกนำตัวส่งเข้าห้องฉุกเฉิน ก่อนจะถูกส่งตัวไปรักษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันรุ่งขึ้นจึงไม่มีใครรู้เรื่องที่ผมไปหาเธอ หลังจากนั้น ผมได้ยินข่าวว่าเธอเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในฟลอริด้า บางแหล่งข่าวว่าเธอเสียชีวิตก่อนจะถึงมือแพทย์เสียอีก แต่อีกข่าวเชื่อว่าหัวใจของเธอหยุดเต้นตั้งแต่ที่ประเทศไทยแต่ครอบครัวพยายามยื้อไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจแล้วนำตัวส่งไปโดยเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำ
แต่ไม่ว่าจะสาเหตุใด...
เธอตาย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
(มีต่อด้านล่าง)
หลังจากนั้น ท้องฟ้าของผมก็พลันสว่างขึ้นอีกครั้ง ด้วยการได้รับทุกอย่างที่ผมสมควรได้จากเอม ทุกอย่างที่ควรค่ากับความพยายามทั้งชีวิตของผม ทั้งการเป็นที่หนึ่งในชั้นเรียน หรือแม้กระทั่งวินที่ผมใช้เวลาหลายปีจนถึงวัยทำงานกว่าที่เขาจะยอมใจอ่อนและเห็นคุณค่าของคนที่อยู่ข้างๆ เขามาตลอด
หกปีที่แล้ว วินและผมตัดสินใจแต่งงานกัน เราจัดพิธีอย่างเรียบง่าย และเริ่มปรึกษาแพทย์ในเรื่องการมีบุตร เป็นโชคดีของผมที่วิวัฒนาการด้านการแพทย์ในปัจจุบันก้าวไกลเกินกว่าที่ผมจะคาดคะเนได้ การปลูกถ่ายมดลูกเป็นกระบวนการใหม่ที่ทำให้ผู้ชายสามารถตั้งครรภ์ได้ ผมจึงไม่รีรอที่จะดำเนินการ ซึ่งครอบครัวของวินก็ยินดีและช่วยเหลือในเรื่องค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
สองปีถัดจากนั้น ผมก็ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติอย่างที่ผมและวินคาดหวังไว้ ซึ่งผมคงยินดีมากที่ความฝันของเรากำลังจะกลายเป็นจริง หากว่าผมไม่ได้กำลังไปได้ดีในเส้นทางสายอาชีพของตัวเอง เพราะในเวลานั้น ผมได้เลื่อนขั้นขึ้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการผลิตภัณฑ์ และได้รับคัดเลือกไปทำงานกับบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น
สุดท้าย ผมซึ่งเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง บ้างาน และคิดถึงความก้าวหน้าอยู่เสมอต้องยอมสละสิทธิ์การไปต่างประเทศและลาออกมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน ตามคำแนะนำของแพทย์และความต้องการของครอบครัวสามี
เมื่อทางที่ผมเลือกเดินไม่ใช่ทางเลือกที่ออกมาจากหัวใจ ความสุขที่ควรเกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ลูกคนแรกจึงไม่ปรากฏชัดอย่างที่ควรจะเป็น และอย่างไรก็ตาม ผมพยายามคิดในแง่ดีถึงการมีโซ่ทองคล้องใจ โซ่ทองที่ผมวาดฝันมาโดยตลอดว่าจะผูกรัดวินให้อยู่กับผมด้วยความรัก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คนรักเด็กมากนัก แต่ก็เชื่อว่าการมีลูกคงทำให้ผมได้รับความใส่ใจจากวินและครอบครัวของวินมากขึ้นกว่าเดิม และชีวิตครอบครัวของเราคงถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์
แต่เพราะผมเป็นผู้ชาย การตั้งครรภ์จึงไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างธรรมชาติ ผมต้องเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศหญิงอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังต้องได้รับยาเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของครรภ์อีกหลายชนิด เป็นผลให้เกิดอาการข้างเคียงมากมาย ทั้งอาการวิงเวียนหน้ามืด มึนงง ขยับเขยื้อนร่างกายได้ช้าลง และรู้สึกอยากอาเจียนตลอดเวลาจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างที่ควรจะเป็น ซ้ำอาการดังกล่าวยังแสดงผลนานเกือบเท่าอายุครรภ์ ที่แย่กว่าการเจ็บป่วยคืออารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างเคย ส่งผลให้ผมทะเลาะกับวินบ่อยครั้งในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน เช่นการที่วินทำงานอย่างหนักจนกลับมาถึงบ้านช้ากว่าปกติ หรือเรื่องที่ผมแข็งขืนไม่ยอมรับประทานอาหารเสริมและยาบำรุงต่างๆ ที่วินซื้อมาให้ทั้งที่รู้ว่าจำเป็น
ถึงแม้ว่าการที่ลูกตัวน้อยค่อยๆ เจิญเติบโตภายในร่างกายของผมจะไม่ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ของเราเท่าไรนัก ความหวังของผมก็ยังไม่เลือนรางเสียทีเดียว ผมยังคงเชื่อว่าหากได้พบหน้าลูกสาวของเราเมื่อแรกคลอด และได้มีโอกาสอุ้มลูกไว้แนบอก ความแนบชิดนั้นคงก่อเกิดเป็นสายใยเส้นบางที่เชื่อมทั้งผมและลูกไว้ด้วยกัน และความรู้สึกแปลกๆ ที่มีต่อเธอนั้นคงสลายไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่เปล่าเลย… เมื่อเอวาคลอดออกมา ญาติหลายคนที่มาเยี่ยมเยือนต่างทักเป็นเสียงเดียวกันว่า ใบหน้าของเอวาไม่เหมือนผู้เป็นพ่อและแม่เอาเสียเลย ทั้งวินและผมมีดวงตาเล็กด้วยเชื้อสายจีน แต่เอวากลับมีใบหน้าคมและจมูกโด่ง ในวันนั้นเราทั้งคู่ทำเพียงพยายามปลอบใจกันและกันว่าลูกสาวยังไม่เติบโตพอที่จะสามารถระบุถึงความคล้ายคลึงได้อย่างเต็มปาก
ไม่เพียงเท่านั้น ปัญหาใหม่ผุดขึ้นในทันที เมื่อเอวาไม่ยอมให้ผมอุ้มตั้งแต่นาทีแรกที่เราพบกัน แต่กลับเลือกอยู่กับพ่อแทน ไม่ว่าผมจะพยายามเปลี่ยนท่าอุ้มหรือหรือปลอบประโลมเช่นไร ก็ไม่สามารถทำให้เธอหยุดร้องไห้และดิ้นรนออกจากผมเพื่อไปสู่อ้อมกอดวินได้เลย
เพราะอย่างนั้น… สายสัมพันธ์แม่ลูกน่ะเหรอ หึ! ลืมไปได้เลย
แต่เชื่อเถอะ การไม่ยอมให้อุ้มยังไม่ใช่ที่สุดหรอก เมื่อลูกสาวซึ่งวินตั้งชื่อว่า ‘เอวา’ เริ่มเติบโตขึ้นจนกลายเป็นเด็กในวัยเตาะแตะ เธอเป็นเด็กน้อยแสนน่ารัก ร่าเริง ซ้ำยังขี้อ้อนสำหรับวินและคนอื่นในครอบครัว โดยเฉพาะคุณปู่และคุณย่าที่เห่อหลานเอามากๆ หรือแม้กระทั่งคนภายนอกที่พบเห็นเธอตามสถานที่สาธารณะ เธอก็ยังส่งยิ้มหวาน โบกมือทักทายอย่างน่าเอ็นดู
คุณอาจจะเคยได้ยินว่า ลูกมีอาการติดพ่อหรือแม่ แต่คุณยังไม่เคยเจออาการของเอวาแน่ๆ เพราะเธอมีอาการติดทุกคน ยกเว้นผม
แน่นอนเธอมักจะติดพ่อมากที่สุด วินจะเป็นตัวเลือกแรกที่เธอเลือกเวลาต้องการอ้อนให้ใครอุ้มหรือเล่นด้วย หากวินไม่อยู่ ปู่หรือย่าจะเป็นตัวเลือกถัดมา ส่วนผม… เรียกว่าไม่ใช่ตัวเลือกเลยดีกว่า
แน่นอนว่าคุณพ่อที่ลูกมอบความรักให้อย่างเต็มล้นเช่นวิน ไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดนั้นหรอก เขามักปลอบใจผมเสมอว่าคิดมากไปเองในเรื่องนี้ เขาคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะรูปลักษณ์ของผมที่ดูไม่ใช่คนจิตใจดีหรือรักเด็กมากนัก แต่ครอบครัวของวินไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบนั้น พวกเขาพาลคิดไปว่าเด็กสามารถรับรู้ได้ว่าใครรักหรือเกลียด ใครเป็นมิตรหรือดูน่ากลัว นั่นหมายความว่าผมผู้ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ อาจแสดงบางท่าทีที่ทำให้เอวารู้สึกว่าผมไม่ชอบเธอ เธอจึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น
กลายเป็นความผิดของผมอย่างเต็มประตู
ผมเถียงอย่างหัวชนฝาเลยว่า ผมไม่เคยแสดงท่าทีแบบนั้นต่อเอวาเลย เพราะอย่างไรก็ตาม เอวาก็ยังเป็นลูกสาวของผม ต่อให้เธอจะไม่ชอบผม ผมก็ไม่อาจรู้สึกต่อเธอในทางลบได้
แต่ความคิดนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเริ่มค้นพบว่า เอวาไม่ยอมทานส้มที่พวกเราปอกเปลือกและแกะกลีบไว้ให้ ทั้งที่สามารถรับประทานผลไม้อื่นได้ทุกชนิด ยังไม่รวมถึงการที่เอวารักและเอ็นดูสุนัขที่บ้านของปู่และย่าอย่างมาก ถึงขนาดขอนำกลับมาเลี้ยงที่บ้านของตนเอง ซ้ำยังพยายามขออนุญาตจากวินเพื่อเลี้ยงสุนัขและแมวไว้ในบ้านอีก
ความคล้ายคลึงนำมาซึ่งความสงสัย…
เอวามีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเพื่อนวัยเด็กคนนั้นของผมอย่างประหลาด
หากเพียงใจที่ไม่เคยเชื่อเรื่องบาปกรรมหรือการเวียนว่ายตายเกิด อาจคิดถึงสาเหตุได้เพียงเพราะความบังเอิญ ใครๆ ก็รักสัตว์ได้ หรือไม่ชอบส้มก็ได้ทั้งนั้น แต่ทันทีที่ผมพยายามไม่จับผิดในพฤติกรรม เอวาซึ่งเติบโตขึ้นจนพูดได้คล่องก็เริ่มถามคำถามในเชิงเปรียบเทียบความสำคัญระหว่างผมและเธอแบบนี้…
"พ่อคะ พ่อรักเอวามั๊ยคะ" เสียงใสดังขึ้นหลังจากที่เอวาวิ่งเข้ามากอดผู้เป็นพ่อ
"รักสิคะ รักมากที่สุดเลย" วินหันหน้าไปทางเธอ ก้มลงเล็กน้อยก่อนใช้สองมือแกร่งยกลูกสาวขึ้นมาจนตัวลอยแล้วกอดไว้แน่น
"รัก... มากกว่าแม่รึเปล่าคะ"
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำถามของเอวา คำถามที่กระตุ้นอารมณ์โมโหของผมได้ในทันที มันใช่คำถามที่ลูกสาวควรถามผู้เป็นพ่อเหรอ? ผมว่าไม่ใช่แน่ๆ เอวาต้องการอะไรกัน!
"อืม..." ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างครุ่นคิด พลางเหลือบมองผมซึ่งยืนกอดอกพิงประตูอยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบแบบไหน ในเมื่อไม่มีคำตอบใดที่จะถูกใจทั้งสองฝ่าย
"ว่าไงคะ" ลูกสาวตัวดียังย้ำคำถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีก
"รัก... เท่ากันเลยจ้ะ"
ทันทีที่จบประโยคของวิน บรรยากาศของบ้านหลังเล็กซึ่งควรให้ความรู้สึกอบอุ่น กลับมืดทึมจนแม้แต่ผู้ตอบคำถามยังรู้สึกโหวง จากมุมที่ผมยืนอยู่เห็นใบหน้าของเอวาซึ่งเก็บกักอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ไม่อยู่ได้ชัด ก่อนที่เธอจะส่งเสียงใสขึ้นอย่างไม่สนใจผมที่อยู่ด้านหลัง
“ไม่ได้ค่ะ คุณพ่อต้องรักเอวามากกว่านะคะ”
คิ้วเรียวขมวดกันแน่นอย่างไม่คิดว่าจะพบเจอลูกสาวที่เรียกร้องความรักจากบิดาในรูปแบบนี้ ทั้งที่เด็กหลายต่อหลายคนต่างมีความรักและต้องการความรักตอบแทนจากทั้งพ่อและแม่เท่าเทียมกัน แต่เอวากลับสนใจแต่พ่อและไม่เคยเหลียวแลผมเลยสักครั้ง ซ้ำยังพยายามแย่งความรักที่ผมควรได้รับกลับไปหาเธอ
“นะคะ” เสียงอ้อนยังดังขึ้นเพื่อให้วินยอมรับในคำขอกึ่งบังคับ
“จ… จ้ะ พ่อรักเอวาคนเดียวเลย”
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวหรอกนะที่ผมได้ยินคำถามแบบนี้ เอวายังคอยถามย้ำวินอีกหลายครั้งโดยเฉพาะเวลาที่ผมอยู่ในบริเวณนั้นด้วย ราวกับว่าเธอต้องการให้ผมได้ยินคำตอบของวินทุกครั้งเท่าที่เป็นไปได้
แววตาพึงพอใจต่อคำตอบของเอวาที่ผมเห็นทุกครั้งผลักดันให้ความหมั่นไส้ก่อตัวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าสามีและคนรอบข้างรักและยึดเอวาเป็นศูนย์กลางมากขึ้นเท่าไร ยิ่งทำให้ผมกลายเป็นส่วนเกินของครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมเพิ่งได้รับรูปวาดครอบครัวที่เอวาเป็นคนวาดในวิชาศิลปะจากคุณครูประจำชั้น รูปวาดด้วยสีเทียนแสดงภาพผู้ชาย จับมือกับเด็กผู้หญิง ถัดไปคือชายชราและหญิงชราจับมือกัน โดยมีสุนัขตัวเล็กสีน้ำตาลอยู่ข้างๆ พื้นหลังของภาพเป็นบ้านชั้นเดียว ภูเขาและดวงอาทิตย์ลูกกลมเหมือนที่เด็กๆ ชอบวาด
ผมปราดตามองเพียงชั่วครู่ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวกับภาพที่มีสมาชิกในครอบครัวของเอวาครบทุกคนแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง
แต่ไม่มีผม…
ขณะกำลังทบทวนเรื่องราวจากความทรงจำที่มีต่อเอวาให้คุณฟังอยู่นี้ ผมได้โบกมือเรียกรถแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้านของผมเรียบร้อยแล้ว
บ้าน… ที่ตอนนี้คงมีแต่เด็กเอวาและคุณย่าของเธอ
ความรู้สึกของผมในเวลานี้คงไม่ต่างจากยานพาหนะที่กำลังพาผมขับเคลื่อนไปตามเส้นทางตรงยาวซึ่งมีเพียงแสงจากเสาไฟฟ้าคอยส่องสว่างโดยไม่อาจวนกลับหรือถอยหลัง หากแต่ผมยังคงตั้งมั่นในความคิดอย่างไม่หวั่นเกรงต่อผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
สายตายังจับจ้องบนฝ่ามือของตัวเองที่มีรอยของมีคมบาดลึก ถึงจะมองไม่ชัดด้วยภายในรถที่มืดเกือบสนิท รอยบาดที่เกิดจากกระจกกรอบรูปบรรจุภาพถ่ายในชุดแต่งงานของผมและวินซึ่งผมตั้งใจสั่งทำมาเป็นอย่างดีเพื่อประดับไว้ในบ้านของเราหล่นลงมากระทบกับพื้นจนแตกละเอียด
ไม่ต้องเดาว่าเป็นฝีมือของใคร… ลูกสาวตัวดีที่อยู่ๆ ก็นึกสนุก นำลูกเบสบอลมาปาเล่นในบ้านจนกระทบเข้ากับกรอบรูปในที่สุด
รอยบาดดังกล่าวจึงเกิดขึ้นหากแต่ไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่หลายคนเข้าใจ เป็นเพราะผมเองที่สติหลุดทันทีเมื่อเห็นสภาพของสิ่งที่ผมตั้งใจสร้างและดูแลรักษาเป็นอย่างดีกลับพังทลายลงโดยฝีมือของเด็กที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวแท้ๆ ของผม จึงเผลอกำเศษกระจกในมือจนเลือดสีข้นไหลหยดลงมา
แน่นอน ทั้งพฤติกรรมของเอวาที่ผมไม่อาจทนได้และความหวั่นเกรงต่ออดีตที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ทำให้ผมตัดสินใจพูดคุยกับวินเพื่อพาเอวาไปพบจิตแพทย์เด็ก ซึ่งต้องใช้ทั้งไม้อ่อนคือขอร้องด้วยเหตุผลจนถึงไม้แข็งคือทะเลาะวิวาทกว่าที่วินจะยอมตกลงใจพาเอวาไปพบจิตแพทย์เด็กพร้อมกับผม ผมเดาว่าวินเองก็คงเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติของเอวาเช่นกัน แต่ยังคงสองจิตสองใจอยู่จึงต้องการจิตแพทย์เพื่อช่วยตัดสิน
แต่แทนที่จะสามารถลบล้างอคติที่คนภายนอกมองผมได้ด้วยการยืนยันว่าลูกสาวของผมมีปัญหาต่อผู้เป็นแม่จริงๆ จิตแพทย์กลับลงความเห็นว่าไม่พบอาการแปลกประหลาดใดๆ จากเอวาเลยแม้แต่น้อยและสันนิษฐานว่าเป็นเพราะผมเองที่ไม่อาจปรับตัวกับการเป็นแม่ได้ กลับกลายเป็นการผลักดันความมั่นใจของวินให้เลิกคล้อยตามผมและหันกลับไปเอาใจใส่ลูกสาวโดยสมบูรณ์เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดในใจ ขณะที่คนอื่นๆ มองผมด้วยสายตาเบื่อหน่ายเพราะคิดว่าผมนั่นแหละคือตัวปัญหา
เมื่อไม่เหลือใครอยู่เคียงข้าง...
ความเจ็บแค้นจึงเพิ่มอีกเป็นทวีคูณ
ล้อรถยนต์หมุนรอบเร็วสะบัดน้ำฝนที่เจิ่งนองอยู่บนถนนจนกระเซ็นสาด ไม่ต่างจากแรงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของผมบนเบาะหลัง ฟันเรียงขบกันแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตหากแต่สายตามองตรงไปด้านหน้าแสดงถึงความจดจ่อต่อเป้าหมาย
เหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นทำให้ผมตระหนักได้ว่าไม่มีคำว่าแม่หรือลูกอีกต่อไป สำหรับผมเราต่างเป็นศัตรูที่ยื้อแย่งวินมาไว้ในครอบครองเท่านั้น ผมเชื่อว่าเอวาเองก็คิดเช่นเดียวกัน
ความเกลียดชังที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยทำให้ความคิดที่ว่าเธอมีความคล้ายคลึงกับเอมกลับคืนมาในสมองของผมอีกครั้ง ยิ่งบางอิริยาบถที่ลูกสาวของผมแสดงออก เช่น การใช้นิ้วม้วนปลายผมระหว่างนั่งทำการบ้าน หรือการฮัมเพลงเก่าซึ่งเป็นเพลงดังในช่วงปีที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ทั้งที่ไม่เคยมีใครร้องให้ฟังหรือเปิดวิทยุให้ได้ยิน ยิ่งสั่นคลอนความไม่เชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิดของผมมากขึ้นไปอีก
สุดท้าย มันได้ถูกหักโค่นลงเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา...
วันนั้นเป็นวันวาเลนไทน์ วินได้มอบดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ให้ผมเป็นของขวัญ ซึ่งนั่นคือดอกไม้ช่อแรกในชีวิตที่ผมได้รับจากเขา ผู้ชายที่ไม่เคยแสดงออกในเรื่องความรักไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ จนบางครั้งผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่าเขายังคงไม่ลืมรักครั้งเก่า ยิ่งเมื่อมีเอวา ความคิดเห็นที่ไม่เคยตรงกันยิ่งสร้างความห่างเหินให้แก่เราทั้งคู่มากขึ้น
แต่เมื่อผมได้รับดอกไม้จากเขา หัวใจกลับพองโตขึ้นในทันที รอยยิ้มบางที่เผยออกมาพร้อมสายตาอบอุ่นจากเขากอบกุมเอาความหวังและความมั่นใจในความรักของเรากลับคืนมาได้อีกครั้ง
แต่ทันทีที่เด็กนั่นเห็นดอกกุหลาบช่อสวยในมือของผม เธอกลับร้องโวยวายกับวินโดยทันทีว่าอยากได้ดอกไม้ช่อนั้น ไม่ว่าวินจะพยายามอธิบายเหตุผลใด หรือแม้แต่บอกว่าจะซื้อดอกไม้อีกช่อมาให้แทน ก็ไม่ทำให้เอวาหยุดงอแงได้เลย
เมื่อหมดสิ้นหนทางเพราะเอวายังคงร้องไห้และตื้ออยากได้ดอกไม้ช่อนี้โดยไม่ฟังคำทัดทานของใคร สายตาของวินที่มองมาทางผมจึงส่งผ่านคำขอร้องตามมาด้วยโดยไม่ต้องออกเสียง
ขอร้อง… ให้ผมมอบดอกไม้ช่อนี้แก่เอวา
ฟันเรียงขบกันแน่นอย่างลืมตัวพร้อมๆ กับช่อดอกไม้ที่ถูกกำไว้ในมือทั้งสอง เมื่อสายตามองเห็นวินกำลังปล่อยเอวาลงจากการโอบอุ้มหลังจากบอกกับเธอว่าผมจะยอมมอบดอกไม้ให้ เธอจึงหยุดร้องไห้โดยทันที ซ้ำสีหน้าทุกข์ทนยังเปลี่ยนเป็นสดใสขณะที่เดินเข้ามาหาผม
วินรู้ดีว่าครั้งนี้เอวาเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป หากแต่พ่อผู้ตามใจคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเดินลงบันไดไปรอผมที่ด่านล่างเพื่อปรับความเข้าใจ
ขณะที่เอวายังคงยืนอยู่ตรงหน้าผมด้วยรอยยิ้มกว้าง พลางยื่นมือข้างที่ถนัดออกมาเพื่อรับช่อดอกไม้จากผม แต่เสี้ยววินาทีหนึ่ง แววตาของเธอที่สะท้อนใบหน้าของผมกลับเปลี่ยนไปจากเด็กที่ผมรู้จัก กลายเป็นคนที่ผมคุ้นเคยอย่างดี ขณะเดียวกัน มือเล็กๆ อีกมือซึ่งเธอยื่นมาจับที่แขนของผมกลับปรากฏรอยปานสีเข้มที่ผมไม่เคยสังเกตเห็น รอยปานอยู่ด้านหลังมือตำแหน่งเดียวกับพลาสเตอร์ปิดแผลและเข็มน้ำเกลือของเอมที่ผมเคยดึงกระชากจนเลือดออก
แต่ก่อนที่ผมจะนึกอะไรได้ต่อ เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นพร้อมกับการขยับริมฝีปากของเอวา
แต่มันไม่ใช่…
ไม่ใช่เสียงของเอวา
“ขอคืนนะจ้ะ”
เสียงนุ่มหวานพร้อมรอยยิ้มของคนด้านหน้าได้นำพาผมกลับไปยังโรงเรียนมัธยมแห่งเดิมเมื่อสิบสามปีที่แล้ว ความเคลือบแคลงสงสัยที่เคยไต่ระดับขึ้นช้าๆ กลับทะยานขึ้นจนเต็มล้นเมื่อสมองสามารถประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ครบถ้วน ตั้งแต่เอวาเกิดขึ้นมา ทั้งหน้าตา บุคลิก นิสัย และความชื่นชอบย้ำเตือนความทรงจำให้ผมระลึกถึงคนที่ตายไปแล้ว คำว่า ขอคืน ของเธอยังคงดังก้องในสมอง มันคลี่คลายทุกเหตุผลของพฤติกรรมที่เอวาปฏิบัติต่อผม
เธอกลับมา เพื่อขอคืนความสุขจากผม… ขอคืนความรักจากผม…
ในเวลาที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ยกเว้นเราสองคน ในเวลาที่ผมได้ยินแต่เสียงลมหายใจหอบถี่และเสียงของความตึงเครียดที่หวีดขึ้นในหูคล้ายเสียงไมค์หอน ในเวลาที่เอวา…
ไม่ใช่สิ! นั่นไม่ใช่เอวา แต่เป็นเอมต่างหากที่ยืนยกยิ้มมุมปากอยู่ตรงหน้า
เวลาแบบนี้แหละ ที่ทำให้เส้นสติของผมขาดผึง จึงก้าวเข้าใกล้ก่อนเอื้อมมือไปจิกผมนิ่มของเอวาอย่างแรงจนศีรษะเล็กๆกระตุกหงาย แล้วใช้มืออีกข้างฟาดเข้าที่แก้มนิ่มด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจจะหยุดยั้ง
“แกกลับมาทำไม… ห้ะ! แกกลับมาทำไม”
เสียงหวีดร้องของเอวาไม่อาจต้านทานต่อความแค้นที่อาบร่างของผมได้ เพราะมือทั้งสองยังคงตบตีไปที่เด็กตัวน้อย แม้ว่าเธอจะยกแขนเรียวขึ้นบังและพยายามถอยหลังเพื่อลดทอนความรุนแรง แต่ไม่สามารถหลบหนีความอาฆาตของผมได้เลย
เราทั้งคู่ยืนอยู่ที่ปลายบันไดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ คงด้วยความเคียดแค้นที่ทำให้ผมจดจ้องแต่เป้าหมายตรงหน้าโดยไม่ทันระวังจนเท้าข้างหนึ่งเผลอก้าวพลาดและทำให้ผมพลัดตกลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย
ตุบ!
“เพชร…” เสียงวินดังขึ้นก่อนที่เขาจะวิ่งมานั่งลงข้างร่างของผมซึ่งนอนนิ่ง รู้สึกเจ็บที่หน้าแข้งจนไม่สามารถขยับได้ สายตายังคงเห็นเอวาที่เดินลงบันไดมาช้าๆ หากแต่ไร้ซึ่งความห่วงใยหรือรู้สึกผิดบาป ก่อนที่ภาพตรงหน้าของผมจะค่อยๆ เลือนรางและสติของผมจะดับวูบลง
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องพักรักษาตัวที่บ้านของมารดาของผมด้วยอาการกระดูกขาหัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมายืนอยู่ที่นี่
หน้าบ้านของผมและวิน
ผมมองไปที่หน้าต่างด้านหน้าซึ่งจำได้ดีว่าเป็นที่ตั้งของห้องนอนห้องเล็กของเอวา ดูจากเวลาที่ปรากฏบนนาฬิกาข้อมือแล้วเดาได้ว่าเอมในร่างของเอวาคงกำลังหลับสนิทอย่างใจเย็น รวมถึงคุณย่าของเธอที่มีอาการประสาทหูเสื่อมคงถอดเครื่องช่วยฟังก่อนเข้านอนในห้องรับรองแขกแล้วเช่นกัน
‘อยากให้มึงมาด้วยจัง’
‘รอบนี้มากันเยอะมากเลย พวกไอ้โก้ ไอ้ต้าร์ก็มา’
หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏข้อความจากวินซึ่งหมายความว่าเขายังไม่รู้เรื่องนี้ ซ้ำยังไม่มีสายเรียกเข้าจากแม่ของผม แสดงว่าแม่อาจนั่งดูรายการโปรดในโทรทัศน์ต่อจากการเก็บกวาดในครัวโดยยังไม่ขึ้นมาดูผมบนห้อง
ดูสิ อะไรก็เป็นใจให้ผมมาถึงที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะวินซึ่งจำเป็นต้องไปงานเลี้ยงรุ่นจึงทิ้งเอวาไว้กับหญิงชราที่ไม่อาจได้ยินเสียงใดอีกหากถอดเครื่องช่วยฟัง แม่ของผมซึ่งติดตามรายการทำอาหารจนยังไม่ขึ้นมาที่ห้องนอนของผมอย่างเคย แท็กซี่ที่มารับผมได้ทันเวลา
โชคดีเป็นของผมไม่ต่างอะไรกับวันที่รู้ว่าเอมป่วย
ริมฝีปากจึงกระตุกยิ้มอย่างฝืนไม่ได้
กลับชาติมาเกิดเหรอ… หึ…
ไม่มีวันหรอก
แกก็ทำได้แค่กลับชาติมา ‘ตาย’ เท่านั้นแหละ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
(มีต่อด้านล่าง)
มือเรียวล้วงหยิบกุญแจดอกเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนใช้มันเพื่อเปิดประตูอย่างเบามือแล้วจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปในบ้านและปิดประตูลง
บ้านของผมในเวลานี้เงียบสงบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ดวงไฟภายในบ้านทุกดวงถูกดับสนิท แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคหรอกเพราะนี่คือบ้านของผม สองอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีการเคลื่อนย้ายเครื่องใช้หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใดทำให้ผมอาศัยความเคยชินเดินตรงเข้าไปอย่างง่ายดาย
ผมเดินผ่านผนังที่เคยแขวนรูปถ่ายในชุดแต่งงานของผมและวิน เดินผ่านโต๊ะกลางด้านหน้าโซฟาที่มีดอกกุหลาบคล้ายกับดอกไม้ช่อที่วินเคยมอบให้ผมปักอยู่ในแจกันใบสวย จนไปถึงส่วนครัว เดินไปที่ลิ้นชักเก็บอุปกรณ์ทำอาหารซึ่งถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ หยิบมีดขนาดพอดีมือขึ้นมาแล้วกระชับไว้ข้างกาย ก่อนเดินกลับมาที่โซฟาอีกครั้ง
ผมใช้แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพื่อส่องไปที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะเพียงเครื่องเดียวในบ้าน ก่อนใช้มีดตัดสายสัญญาณที่ติดอยู่จนขาดวิ่น เพียงเท่านี้ เอวาก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากพ่อหรือใครๆ ได้แล้ว
แต่ยังไม่พอหรอก… ผมรู้ดี จึงเดินไปที่ห้องรับรองแขกซึ่งเป็นห้องนอนสำหรับย่าของเอวาในคืนนี้ ก่อนออกแรงดันลิ้นชักไม้สักขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านข้างให้เคลื่อนไปปิดตรงหน้าประตูห้องพอดี เพราะรู้ว่าประตูของห้องนี้เป็นแบบเปิดออกจากด้านใน สิ่งนี้จะทำให้ผู้เป็นย่าไม่สามารถออกมาช่วยเหลือหลานได้แม้จะได้ยินเสียงก็ตาม
เมื่อเสร็จสิ้นแผนการที่เตรียมมาแล้วจึงเดินไปที่บันได ปลายเท้าเหยียบลงบนขั้นบันไดเพื่อเดินขึ้นไปอย่างแผ่วเบา แม้จะรู้สึกตื่นเต้นจนมือเริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้แต่ใจที่มุ่งมั่นได้นำพาผมมาถึงจุดมุ่งหมาย
ห้องนอนของเอวา
ประตูของห้องนี้ถูกติดตั้งในแบบไม่มีปุ่มกดล็อคเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับเด็กโดยผู้ปกครองไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ทัน ผมจึงเข้ามายืนอยู่ด้านในห้องได้อย่างรวดเร็ว
สายตายังคงมองผ้านวมผืนหนาบนเตียงนอนขนาดเล็กที่ห่อหุ้มร่างของเอวาซึ่งนอนหลับสนิทเอาไว้จนมิดปลายเท้าถูกกดลงบนพื้นพรมอย่างเบาที่สุด ก่อนกระชับมีดในมือให้แน่นในท่าทางที่พร้อมสำหรับการพุ่งเข้าหาเป้าหมาย อาวุธแหลมคมสะท้อนแสงแวววับเข้ากับแสงไฟจากด้านนอกคล้ายเชื้อเชิญให้ผมเดินเข้าไปใกล้ แล้วกระชากผ้าห่มนั้นออกโดยพลัน
แต่ไม่มี…
ภายใต้ผ้าห่มมีเพียงแค่หมอนนิ่มสองใบซ้อนกันเท่านั้น
ขณะที่ผมกำลังตกใจกับภาพตรงหน้าซึ่งดูเหมือนว่าเป้าหมายจะเตรียมพร้อมสำหรับค่ำคืนนี้เช่นกัน เสียงแหลมเล็กที่ผมคุ้นเคยก็ดังขึ้น
“ทำอะไรอะ”
พร้อมกับการฟาดโคมไฟหัวเตียงเข้าที่ศีรษะของผมเต็มแรง
“โอ้ย” ผมล้มลงบนเตียงนิ่มหากแต่สายตายังคงมองเห็นร่างเล็กซึ่งทิ้งโคมไฟลงบนพื้นแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไป ผมจึงลุกขึ้นพร้อมใช้มือปาดเลือดสีสดที่ไหลลงมาตามหน้าผากและแก้มออกก่อนวิ่งตามไปทันที
เอมคงลืมไปว่าตัวเองกลับชาติมาเกิดในร่างซึ่งเล็กกว่าผมถึงสองเท่า แรงเหวี่ยงที่กระทบกับศีรษะของผมเมื่อครู่จึงไม่รุนแรงพอให้ผมหมดสติลงได้ ตรงกันข้าม เลือดที่ไหลซึมออกยิ่งกระตุ้นความเจ็บแค้นของผมได้เป็นอย่างดี
จะหนีไปไหนพ้น ในเมื่อบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านของผมเช่นกัน ผมจึงเดินลงไปชั้นล่างอย่างใจเย็น สายตาพลันเห็นร่างเล็กวิ่งจากบริเวณโซฟาซึ่งมีโทรศัพท์บ้านเข้าไปทางห้องครัว จึงเดินตามเข้าไปโดยทันที
เอวาร้องลั่นเมื่อเห็นว่าผมเดินตามเธอมาติดๆ เช่นเดียวกับผมที่กำมีดในมือไว้แน่น เธอวิ่งไปที่ด้านหลังโต๊ะทานอาหาร ใช้ระยะห่างของโต๊ะไม้เป็นเครื่องกำบัง แต่ไม่ว่าเธอจะขยับไปทางไหน ผมซึ่งอยู่อีกฝั่งก็จะขยับตัวไปดักไว้ทางนั้น
ในระหว่างที่เราทั้งคู่ต่างใช้สายตาหยั่งเชิงอีกฝ่าย เอวาซึ่งยืนอยู่ติดกับเคาน์เตอร์ประกอบอาหารพยายามหยิบสิ่งของใกล้มือเข้าเขวี้ยงใส่ผมเพื่อป้องกันตัว ทั้งผลไม้ กล่องใส่กระดาษทิชชู่ จนถึงจานกระเบื้อง แต่ไม่มีชิ้นใดต้านทานความอาฆาตของผมได้
เอวาคงไม่รู้หรอก ว่าผมไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับลอบสังหารเธอเท่านั้น แต่ผู้เป็นแม่คนนี้แหละที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางจนความตายจะมาเยือนเธอ
เมื่อผมมองเห็นว่าไม่หลงเหลือสิ่งของใดบนเคาน์เตอร์ในบริเวณที่เอวายืนอยู่แล้ว มือทั้งสองของผมจึงดันโต๊ะเข้าใส่เอวาเต็มแรงโดยหวังให้ขอบโต๊ะไม้หนีบร่างเล็กไว้กับเคาน์เตอร์ด้านหลังจนกระดูกแหลก แต่เอวากลับไหวตัวทันหลบลงใต้โต๊ะ ก่อนอาศัยความคล่องตัววิ่งสวนผมออกไปทางด้านหน้าบ้านอีกครั้ง
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป แต่ด้วยขาที่ยังบาดเจ็บจึงไม่สามารถวิ่งเร็วได้ดังใจอีกทั้งสายตาเหลือบเห็นว่าเด็กตัวเล็กกำลังเข้าไปใกล้ประตูหน้ามากขึ้นทุกที หากเธอวิ่งออกจากบ้านไปได้ แผนการทั้งหมดคงล้มเหลว
ผมจึงตัดสินใจกระโจนร่างทั้งร่างเข้าใส่เอวาจนเราทั้งคู่ล้มลงไปด้วยกันก่อนจะขึ้นคร่อมร่างน้อยพลางเงื้อมือที่จับด้ามมีดไว้แน่นเพื่อเตรียมกดเข้าสู่เป้าหมายด้านใต้ที่กรีดร้องเมื่อรู้ว่ากำลังจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
“แม่จ๋า”
น้ำใสไหลออกจากดวงตากลมโตทั้งสองข้าง ร่างเล็กสั่นระริกพลางเปล่งเสียงแผ่วเบาหากแต่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและโศกเศร้า
“แม่อย่าทำอะไรเอวาเลย เอวากลัวแล้ว”
แววตาของผมสะท้อนร่างบอบบางที่สั่นเทาพร้อมเสียงละล่ำละลักอ้อนวอนให้ผู้เป็นแม่หยุดการกระทำ กลับทำให้มือของผมหยุดเคลื่อนไหวต่อไปเสียดื้อๆ ความสับสนเข้าปะทะจนเสียศูนย์
ชั่ววินาทีหนึ่งผมมองเห็นเอวาในแบบที่คนอื่นเคยเห็น เด็กตัวเล็กที่อาศัยอยู่ในร่างของผมนานถึงเก้าเดือนจนกระทั่งคลอดออกมา เด็กที่มาจากเลือดเนื้อของผมเอง
หรือผมเข้าใจผิด?
หรืออันที่จริง เอวาเป็นเพียงลูกสาวแท้ๆ ของผมที่มีอาการทางจิต หรือความหวาดกลัวต่อเรื่องราวในอดีตจะเข้ากัดกินใจจนทำให้ผมขาดสติและเห็นภาพหลอน
เพราะตอนนี้เด็กคนที่ผมเกลียดนักหนา ก็ไม่แตกต่างอะไรจากเด็กธรรมดาที่กำลังร้องขอชีวิตจากฆาตกรอย่างผม
มือที่ใช้กำอาวุธเริ่มคลายออกช้าๆ รวมถึงอีกมือที่กางกดลงบนลำคอเล็ก หากผมหยุดสิ่งที่ตั้งใจกระทำในตอนนี้ ทั้งผม วิน หรือแม้กระทั่งเอวา เราทั้งหมดก็อาจจะกลับมาเป็นครอบครัวได้อย่างที่เคยฝันไว้
แต่ขณะที่ผมกำลังคิดทบทวนด้วยสติหลุดลอย สายตาพลันเห็นมือเล็กค่อยๆ เอื้อมมือออกไปแตะเข้าที่สิ่งของบางอย่างซึ่งอยู่ปลายนิ้วของคนใต้ร่างพอดีทั้งที่ริมฝีปากยังคงร้องขอความเมตตาเพื่อให้ผมไว้ชีวิต
สิ่งนั้นคือแจกันซึ่งถูกเอวาปัดตกลงมาจากโต๊ะกลางขณะกำลังดิ้นรนหนีเอาตัวรอดจากผมจนแตกเป็นเสี่ยง และชิ้นที่เธอตั้งใจจะหยิบมานั้นมีลักษณะแหลมคมเพียงพอจะใช้ต่อสู้กับผมเป็นครั้งสุดท้ายได้
ในเวลานั้น ผมรู้ได้ทันทีว่า
ยังไงซะ…
เอมก็ยังเป็นเอม
เพื่อนทรยศที่พร้อมจะหักหลังผมทุกเมื่อ
ไม่ใช่ลูก และไม่มีวันเป็น
เธอกลับมาเพื่อแก้แค้น และทวงทุกอย่างที่เธอคิดว่าเคยเป็นของเธอคืน
แต่ไม่มีวันหรอก…
มือที่กำมีดอยู่จึงปักลงกลางอกของเอวาทันที
มันถูกกดลงลึกจนเด็กน้อยแน่นิ่งไปในที่สุด โดยดวงตายังคงเบิกโพลงและม่านตาขยายค้างเป็นสัญญาณบ่งบอกการเสียชีวิต
ลมหายใจจึงถูกทอดถอนออกจากปลายจมูกของผม
มันจบแล้ว…
ผมลากร่างเหนื่อยล้าของตัวเองขึ้นนั่งบนโซฟา ปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งด้วยคราบเลือดลงโดยฝังภาพสุดท้ายนั่นคือร่างไร้วิญญาณของเอวาไว้ในสมองเพื่อให้มันสั่งการกับตัวเอง
ว่าผมเป็นผู้ชนะ
ใช่… ผมชนะแล้ว
แม้จะต้องแลกด้วยความผิดหวังจากวิน ต้องแลกด้วยความเกลียดชังจากผู้คนรอบข้าง
อาจต้องติดคุก หรือถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ้า
แต่ผมก็ยอม
เพราะถ้าสุดท้ายแล้ว ผมจะต้องเสียวินไป ก็จะต้องไม่มีใครได้วินไปทั้งนั้น
โดยเฉพาะเอม
ผมทำทุกอย่างเพื่อชนะเธอ
ชนะ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
(มีต่อด้านล่าง)
‘ติ้ด… ติ้ด…’
เสียงเตือนจากแอพพลิเคชั่นไลน์ที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องฝืนลืมตาอีกครั้งแล้วเหลือบไปดูที่โทรศัพท์มือถือซึ่งถูกวางไว้บนโซฟาก่อนที่ผมจะขึ้นไปหาเอวา จึงพบว่าหน้าจอปรากฏข้อความหลายข้อความ
เมื่อเห็นว่าเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากวิน มือจึงเอื้อมออกไปหยิบเครื่องขึ้นมาแล้วใช้นิ้วโป้งเลื่อนบนหน้าจอเพื่อปลดล็อค ก่อนอ่านข้อความทั้งหมดนั้น
โดยไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ว...
ผมไม่เคยชนะ
“เพชร”
“วันนี้ที่งาน กูเจอเอมด้วยแหละ”
“เอมยังไม่ตายเว้ย โคตรอึ้งอ่ะ”
“คือเค้ารักษาตัวจนหาย แล้วก็อยู่อเมริกาเลย เพิ่งบินกลับมาเนี่ย”
“เค้าถามถึงมึงด้วย บอกว่าอยากเจอเอวา”
“กูจะพาเค้าไปเยี่ยมมึงกับเอวานะ”
เอม… ยังไม่ตาย...
แล้วผมฆ่าใครไป?
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จบแล้วค่ะ
เรื่องสั้นเรื่องแรกของสาววาย ^^
แนะนำติชมกันได้เช่นเดิมนะคะ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนมากค่ะ