พิมพ์หน้านี้ - The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 24-07-2016 18:28:13

หัวข้อ: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 24-07-2016 18:28:13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


_____________________________________________________________________________


THE  SCALPEL  นักฆ่าสองโลก
[YAOI,Boy’s Love]


นิยาย Boy’s Love แนวแฟนตาซี

+++เปิดเรื่องเมื่อวันที่ 24/05/2016+++

(https://www.img.in.th/images/e950f7106310e773236fb93f18e5c51d.png)
[illustrator : W i w i i L]

ไม่ว่าจะโลกใบไหนๆ ผู้แข็งแกร่งย่อมรังแกผู้อ่อนแอกว่าตนเสมอ...และเมื่อผู้อ่อนแอค้นพบพลังที่ยิ่งใหญ่
จึงลุกขึ้นสู้เพื่อทวงความเป็นธรรม กับเหล่าพวกพ้องที่พร้อมจะมอบชีวิตให้
.......................................................
ชีวิตที่เคยตกต่ำในโลกเดิม เขาจะเปลี่ยนมันในโลกใบใหม่นี้
เมื่อชีวิตมีครั้งที่ 2 สำหรับเขา เขาจะรอรับมันไว้ แม้ผู้มอบให้จะกำหนดให้ชีวิตใหม่นี้เป็นชีวิตที่เจ็บปวดทรมาน
.......................................................
สองชีวิตที่เขาต้องปกป้อง คือตัวเขา และพี่ชาย แล้วใครล่ะ จะปกป้องผู้ถูกรังเกียจอย่างเขา ประสบการณ์สอนให้เขาไม่อาจเชื่อใจใคร อยู่ร่วมกับผู้อื่นเพียงเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น  และใครกันจะมองเห็นหัวใจของคนเลือดเย็นที่เปราะบางนี้
.......................................................
S.P. หรือ The Scalpel นักฆ่าไร้หัวใจอาชญากรระดับโลก อายุ 30 ปี ต้องแบกรับชะตากรรมที่เจ็บปวดของ แร็กนาร์ คูฟฟ์   เด็กน้อยวัย  8 ขวบ เขาตั้งปฏิภาณกับตัวเองว่า  จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนี้เพื่อตัวของเขาเอง!!
.......................................................
พบกับนิยายหลากอารมณ์ เรื่องแรก ของ Green Head (หัวเขียว)
และติดตามฮาเร็มเล็กๆของนักฆ่าผู้แสนฉลาด รอบครอบ พูดน้อย ซึน และเวอร์จิ้น!!
ที่ไม่อาจเข้าใจหัวใจตนเอง
และติดตามว่าใครกันจะเป็นผู้ทำลายกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นมาปกป้องหัวใจแสนอ่อนแอดวงนี้
.......................................................
นิยายเรื่องแรก  ฝากตัวด้วยนะคะ
ผิดพลาดประการใดติชมกันได้จ้า
สามารถพูดคุย และทวงนิยายได้ที่
V
V
V
Green Head - หัวเขียว (https://www.facebook.com/greenheadzoro/)
หรือ twitter : greenheadzoro

ตัวละครหลัก

แร็กนาร์ คูฟฟ์ (ลูกครึ่ง)
[คิดเท่าขุนเขา กล่าวเพียงต้นหญ้า]
รูร์กัส คูฟฟ์ (มนุษย์ผู้ใช้ธาตุดิน)
 [ตงฉินโอนอ่อน นอบน้อมใจดี]
ยาฉะ ฮิเดโอะ (ปีศาจเผ่าพยัคฆ์)
[เก่งเรื่องวางแผน แต่แฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจ]
ยาฉะ ฮิโรกิ (ปีศาจเผ่าพยัคฆ์)
[เก่งเรื่องต่อสู้ สัญชาตญาณเป็นหนึ่ง]
เอลลูญ์ ริชแมน (มนุษย์ผู้ใช้ธาตุสายฟ้า)
[เชื่อใจหรือระแวง เพียงเพื่อสูจน์ใจตน]
โกยาตเลย์ เจอโรนีโม (ปีศาจเผ่าวิหค)
[รักที่สุดคือแร็กนาร์ รอวันพากลับบ้านเกิด]
หรง ชุนหลัน (ปีศาจเผ่ามังกรวารี)
[กล้าหาญดั่งบุรุษ เกลียดชังคนอ่อนแอ]
 



เรื่อง The Scalpel นักฆ่าสองโลก โครงสร้างที่ร่างไว้ มีทั้งหมด 6 ภาค
ปฐมบท จำนวน 6 ตอน
สยบแดนพยัคฆ์ ประมาณ 20-25 ตอน
พิทักษ์มังกรวารี ประมาณ  20-25 ตอน
ขย้ำฝูงวิหค ประมาณ 20-25 ตอน
ปลดแอกแดนมนุษย์ ประมาณ 20-25 ตอน
ปัจฉิมบท ประมาณ 6 ตอน

ในแต่ละภาคจะมีตอนพิเศษเพิ่มขึ้นมาตามความเห็นสมควรของเราค่ะ
เราได้ร่างโครงเรื่องของแต่ละภาคไว้แล้วเพื่อความเกี่ยวโยงกัน ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าเรื่องจะไม่ปะติดปะต่อกันนะคะ
อาจจะแพลนไกลไปหน่อย แต่จะแต่งให้ถึงค่ะ
ขอขอบคุณที่ทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่าน ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเรานานๆนะคะ

เรื่องแยกของคู่หูแร็กนาร์ในโลกเดิม

EXECUTE ผู้ส่งสารแห่งความตาย  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63755.msg3737158#msg3737158)

ใครสนใจเข้าไปช่วยกันรักช่วยกันหลงหนูคิลล์กันนะคะ

เรื่องอื่นๆของกรีน

= P A Y = เปย์ข้าด้วยบุฟเฟ่ต์สิ (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66372.0)
#####################

#####################

@สารบัญ

Intro (รีไรท์) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3431635#msg3431635)
#ปฐมบท
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3431704#msg3431704)
ตอนที่ 2 เรียนรู้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3435549#msg3435549)
ตอนที่ 3 เรื่องราว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3440532#msg3440532)
ตอนที่ 4 ช่วยเหลือ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3443189#msg3443189)
ตอนที่ 5 แดนเถื่อน และ คำสาบาน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3444724#msg3444724)
ตอนที่ 6 หวั่นไหว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3448833#msg3448833)
#สยบแดนพยัคฆ์
ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3455361#msg3455361)
ตอนที่ 8 ลอบเข้าบ้านใหญ่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3460278#msg3460278)
ตอนที่ 9 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3466668#msg3466668)
ตอนที่ 10 ค้นพบพลัง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3474995#msg3474995)
ตอนที่ 11 หมอชรา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3483512#msg3483512)
ตอนที่ 12 สับสน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3524243#msg3524243)
ตอนที่ 13 รวมพล (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3524249#msg3524249)
ตอนที่ 14 ศัตรูใหม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3524254#msg3524254)
ตอนที่ 15 ยาแก้พิษ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3524261#msg3524261)
ตอนที่ 16 ถ่วงเวลา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3524267#msg3524267)
ตอนที่ 17 ตัดสินใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3524277#msg3524277)
ตอนที่ 18 ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3524279#msg3524279)
ตอนที่ 19 ฟักไข่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3524283#msg3524283)
ตอนที่ 20 ผ่านประตู (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3542170#msg3542170)
ตอนที่ 21 เชื่อใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3560881#msg3560881)
ตอนที่ 22 เค้าลางของอดีต 100% (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3593046#msg3593046)
ตอนที่ 23 จุดร่วม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3608967#msg3608967)
ตอนที่ 24เคลื่อนไหว (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3614834#msg3614834)
ตอนที่ 24 เคลื่อนไหว (ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3615528#msg3615528)
ตอนที่ 25 พิสูจน์(ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3625299#msg3625299)
ตอนที่ 25 พิสูจน์(ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3625882#msg3625882)
ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3638711#msg3638711)
ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3661947#msg3661947)
ตอนที่ 27 การพบเจอ 60% (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3673550#msg3673550)
ตอนที่ 27 การพบเจอ 61-100% (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3675381#msg3675381)
ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3679594#msg3679594)
ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3680764#msg3680764)
ตอนที่ 29 ความเป็นไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3693110#msg3693110)
ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3701738#msg3701738)
ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3704934#msg3704934)
ตอนที่ 31 เปิดฉากฟาดฟัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3736845#msg3736845)
ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3742100#msg3742100)
ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 (ครึ่งหลัง)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3746176#msg3746176)
ตอนที่ 33 เผชิญความจริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3750583#msg3750583)
ตอนที่ 34 เงาร้ายกล้ำกราย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3755432#msg3755432)
ตอนที่ 35 ท่าไม้ตายสุดท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3761683#msg3761683)
ตอนที่ 36 ศัตรูตัวฉกาจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3765429#msg3765429)
ตอนที่ 37 รุกไล่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3774971#msg3774971)
ตอนที่ 38 โต้วาที (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3781096#msg3781096)
ตอนที่ 39 ริษยา (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3788938#msg3788938)
ตอนที่ 39 ริษยา (ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3789959#msg3789959)
ตอนที่ 40 วิกฤติ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3796582#msg3796582)
ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม (ครึ่งแรก) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3804905#msg3804905)
ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม (ครึ่งหลัง) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3805161#msg3805161)
ตอนที่ 42 ตัวตนที่แท้จริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3810671#msg3810671)
ตอนที่ 43 ศรัทธา  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3819844#msg3819844)
ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3880360#msg3880360)


#ตอนพิเศษ
ตอนพิเศษที่ 1 ร่องรอยของความสุข NC18+ (เอจิXยาจิ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54897.msg3527031#msg3527031)

**ยังไม่จบ**
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก ตอน Intro (รีไรท์)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 24-07-2016 18:36:18
Intro


“อ้าก!”

‘เพิ่มระดับความรุนแรงอีก 10’

‘เพิ่มระดับ ตอนนี้ความรุนแรงอยู่ที่ 80 ครับ’

“อ้าก!”

‘เพิ่มอีก’

‘แต่ร่างทดลองจะตายเอานะครับ’

‘ไม่เป็นไร สำหรับอาชญากรการเสียสละเพื่อการทดลองนี้ถือเป็นประโยชน์สูงสุดแล้ว เพิ่มอีก!!’

“อ้าก!!”

‘ความแรงระดับ 90 ความดันเลือดพุ่งสูงขึ้น ร่างเกิดการไม่เสถียร ครับ’

‘ดี!! เพิ่มความแรงสูงสุด’

“อ้าก!!”

ตุบ!!

‘ความแรงระดับ 100 ความดันเลือดลดลง เกิดอาการช็อก ทำให้ร่างทดลองเสียชีวิตครับ’

‘พลาดอย่างนั้นเหรอ ชิ...สรุปผลการทดลอง ร่างทดลองหมายเลข 21 เกิดการผิดพลาด การทดลองไม่ประสบผลสำเร็จ’

บทสนทนาของชายร่วม 10 คน ในชุดคลุมสีขาว ที่ยืนห้อมล้อมเครื่องจักรขนาดใหญ่สีดำทะมึน โดยไม่สนใจร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่ม ซึ่งมีสายระโยงรยางค์ นอนหลับใหลอยู่ภายในดังขึ้นไม่ขาดสายเพื่อสรุปผลการทดลองครั้งนี้ พวกเขาไม่สนใจร่างทดลองที่ผิดพลาดนี้อีกแล้ว สำหรับพวกเขาร่างนี้ไม่ต่างจากหนูทดลอง

          ..

          ..

          ..

เกิดอะไรขึ้น นี่ผมตายไปแล้วอย่างนั้นสินะ โลกถึงได้หมุนติ้วๆแบบนี้...เวียนหัวชะมัด จะอ้วก!!

อ๊ะ!! ทำไมยังรู้สึกตัวนะ แปลกชะมัด ขา กับ แขนก็ขยับไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็หายทรมานจากการทดลองบ้าๆของนักวิทยาศาสตร์โง่งมพวกนั้นล่ะนะ อยู่ดีๆไม่ชอบ อยากข้ามมิติเวลาซะอย่างนั้น เหอะ!! มันจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าทำได้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา อยากย้อนกลับไปในอดีต บ้าชัดๆอะไรที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขให้มันได้อะไรขึ้นมา สู้ยอมรับชะตากรรม แล้วเดินหน้าต่อมันไม่ดีกว่ารึไงนะ จะฝืนมันไปทำไมกัน...

เอ๊ะ นั่นมันแสงอะไรน่ะ

ดวงไฟดวงหนึ่งกำลังล่องลอยต่อหน้าผม มันห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นดวงไฟสีเหลืองนวล เหมือนกับดวงไฟวิญญาณที่เคยเห็นในหนังผีที่เคยดู ผมมองอยู่นานจนกระทั่ง...

‘มนุษย์ผู้โง่เขลา บังอาจคิดบิดเบือนมิติของเวลา เราจะลงโทษเจ้า! จงยอมรับชะตากรรมอันโหดร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าเคยเจอมาซะ! ถ้าจะโทษโชคชะตา ก็จงโทษความละโมบของพวกเจ้าซะเถอะ!’ เมื่อเสียงนั้นจบลง ดวงไฟก็ค่อยๆลอยห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อยๆ...

‘ไม่นะ พระเจ้า! คุณคือพระเจ้าสินะ ผมไม่ได้เป็นคนทำ เป็นเพียงผู้ถูกใช้เท่านั้น เฮ้!!ฟังกันก่อนสิ รอเดี๋ยว อย่าเพิ่งหายไป รอก่อนสิ พระเจ้า! โถ่โว้ย! บ้าอะไรวะเนี่ย!’  ดวงไฟนั้นลอยหายไปจนลับตา ผมพยายามที่จะตามไป แต่กลับขยับร่างไม่ได้ดังที่ใจคิด ไม่ทันเสียแล้ว หายไปแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี ทั้งๆที่ทิ้งความกลัวไปหมดแล้ว ทำไมนะ ทำไมตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมากนัก ทำไม...

          ..

          ..

          ..

เมื่อผมตั้งสติได้ ถึงได้รู้สึกตัวว่า ตอนนี้ตัวผม ไม่มีทั้งแขน ทั้งขา ทั้งร่างกาย เป็นเพียงดวงไฟวิญญาณ ไม่ต่างจากดวงไฟที่ปรากฏออกมา พร้อมพูดประโยคที่โหดร้ายกับผม นี่ผมอยู่ในมิติเวลาแล้วจริงๆสินะ ถึงได้ทำให้พระเจ้าโกรธขนาดนั้น หึ! แต่พวกนักวิทยาศาสตร์บ้านั่นคงไม่รู้หรอกว่าการทดลองสำเร็จ เพราะก่อนจะหมดสติ ผมได้ยินว่าการทดลองล้มเหลวนี่นะ ถ้าพวกนั้นล้มเลิกไปซะคงจะดีไม่น้อย ถึงผมจะคิดเหมือนเป็นคนดี แต่จริงๆผมกับพวกนั้นก็ไม่ต่างกันนักหรอก...

          ..

          ..

          ..

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ วิญญาณของผมได้แต่ล่องลอยอยู่ในห้วงมิตินี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปลายทางที่มีแสงสว่างอยู่ ผมพยายามเร่งให้ตัวเองไปให้ถึงแสงนั้นโดยเร็ว เร็วที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

          ..

          ..

          ..

และแล้วก็ถึงปลายทาง...สู่โลกที่ช่างแตกต่างจากโลกของเรา โลกที่เหมือนกับนิยายแฟนตาซี...

 

 

To Be Continued...

 
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 24-07-2016 19:57:10
ตอนที่ 1
จุดเริ่มต้น

“แร็ก...แร็กนาร์ ฮึก  แร็กนาร์! แร็กนาร์!” เสียงอะไร

“แร็กนาร์ตื่นสิ! ฮึก ตื่นสิ!  ฟื้นขึ้นมาสิ แร็กนาร์ ฮือออออ” เสียงตื่นตระหนกปนเสียงร้องไห้ ของเด็กชายที่ประคองกอดร่างของเด็กชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งอยู่ ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและห่วงใย

ร่างเล็กในอ้อมกอดค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ   ภาพแรกที่เห็นคือท้องฟ้าสีประหลาด  การตัดกันระหว่างสีฟ้ากับสีแดงอมส้ม ดวงอาทิตย์กลมโตสองดวง ดวงที่อยู่ในฝั่งของท้องฟ้าสีฟ้าเหมือนดวงอาทิตย์ที่เราเคยเห็นกันบนโลก แต่อีกดวงในท้องฟ้าสีแดงอมส้มนั้นกลับเป็นสีแดงเลือดอันน่าพรั่นพรึง และใบหน้าเคล้าน้ำตาของเด็กชายตัวเล็กอายุน่าจะไม่เกิน 12 ปี ที่กำลังประคองกอดร่างของเขาอยู่

เด็กชายตรงหน้ามีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าคมเข้มแต่กลับแลดูใจดี  แม้ในตอนนี้ใบหน้าของคนคนนี้จะเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

“แร็กนาร์!   เจ้าฟื้นแล้ว...ฟื้นแล้ว”  เสียงตะโกนดังขึ้น และแผ่วลงกลายเป็นพึมพำ  ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแห่งความปิติยินดีขึ้น  พร้อมกับโอบกอดร่างของเด็กชายตัวเล็กอีกครั้ง

พรึ่บ

“นายเป็นใคร” เสียงร่างที่โตกว่าเล็กน้อยของเด็กชายที่ประคองกอดร่างเล็กถูกผลักออก  พร้อมกับเสียงถามด้วยความสงสัยของร่างเล็ก

‘หมอนี่เป็นใครวะ?  ร้องไห้แล้วกอดเราทำไมกัน?  แล้วใครชื่อ  “แร็กนาร์”? และที่สำคัญนี่มันภาษาอะไร?  เราจำได้ว่าไม่มีภาษาแบบนี้บนโลกนี่ ที่น่าตกใจที่สุดคือ ทำไมเราฟังออกล่ะ?’

ร่างเล็กได้แต่คิดในใจด้วยความสงสัยในเรื่องต่างๆแต่กลับเอ่ยปากพูดเพียงประโยคสั้นๆแค่นั้น พร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ส่งกลับไปยังเด็กชายตรงหน้า

“พูดอะไรของเจ้าแร็กนาร์ ข้าคือ พี่รูร์กัส ของเจ้า ข้าเป็นพี่ชายของเจ้า จำพี่ไม่ได้เหรอ?” คำตอบจากเด็กชายนามว่า รูร์กัส เอ่ยขึ้น  ทำให้ร่างเล็กนึกบางอย่างออก  บางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในความทรงจำอันแสนจะเลือนราง  ความทรงจำที่เขาได้พูดคุยกับดวงไฟวิญญาณดวงหนึ่ง

นึกได้ดังนั้นเขาก็เริ่มสำรวจตัวเอง   อย่างแรกยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู ปรากฏมือเล็กๆทั้งสองข้าง ทั้งขา ทั้งเท้า ทั้งลำตัวดูเล็กไปหมด หัวใจของเขาเต้นระรัว แข่งกับเสียงน้ำที่ไหลอยู่ไม่ไกล เขาตัดสินใจลุกวิ่งไปทางที่ได้ยินเสียงน้ำไหลทันที โดยไม่สนใจเสียงเรียกของรูร์กัสแม้แต่น้อย

เด็กชายร่างเล็กวิ่งไปได้ซักพักก็เจอกับลำธารกลางป่า ที่มีน้ำใสสะอาด ไม่รอช้าร่างเล็กวิ่งไปนั่งข้างลำธารพร้อมชะโงกดูภาพของตนที่สะท้อนในน้ำ

หัวใจแทบหยุดเต้นกับภาพที่สะท้อนอยู่   ในน้ำปรากฏร่างของเด็กชายตัวเล็ก อายุประมาณ 8 ปี ใบหน้าขาวซีด  ดวงตารีเล็กสีดำสนิทที่แสดงถึงความลึกลับและมืดมน ไม่เข้ากับใบหน้าที่น่ารักนี้เอาเสียเลย   แต่ผมสีดำตรงกลางมีสีแดงตรงปลายนั่น ช่วยขับให้มันเข้ากันอย่างลงตัว

หลังจากที่นั่งผ่อนคลายจนหัวใจที่เต้นระรัวกลับเป็นปกติ ก็นั่งพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้า ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัว มันรวดเร็ว และคลุมเครือ แต่เป็นความทรงจำที่หดหู่ใจระคนสงสารของเด็กชายตัวเล็กเจ้าของร่างกายนี้

ตั้งแต่จำความได้ก็ถูกพ่อของตนทุบตี ด่าทอสารพัด และถูกพี่ชายคนรองกลั่นแกล้ง บางวันต้องทำงานจนหมดสติ บางวันได้กินอาหารบูด บางวันก็ไม่ได้กินข้าวเลย ถูกเลี้ยงไม่ต่างจากทาสที่ต้องคอยรับอารมณ์  และก้มหน้าก้มตาทำงานตามที่สั่ง สิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาจิตใจ คือพี่ชายคนโต ซึ่งคอยช่วยเหลือตนจนต้องเดือดร้อนหลายต่อหลายครั้ง พี่ชายคนนี้คือ รูร์กัส คูฟฟ์  คนที่อยู่กับเขาก่อนหน้านี้ และตัวของร่างเล็กนี้ เป็นลูกชายคนเล็กชื่อ แร็กนาร์  คูฟฟ์

ชีวิตของทั้งสองวนเวียนอยู่ในวัฏจักรวันแล้ววันเล่าจนถึงปัจจุบัน ในความทรงจำที่เลือนรางไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับแม่อยู่ แต่คนที่อยู่ข้างกายของร่างเล็กเสมอมามีเพียงพี่ชายคนนี้เท่านั้นที่ความทรงจำปรากฏชัดเจนที่สุด

‘แล้วสถานการณ์ก่อนหน้านี้คืออะไรกัน ทำไมร่างกายมีแต่บาดแผล แล้วทำไมเจ้าของร่างนี้ถึงตายกันนะ’

เหมือนความคิดนี้ไปกระตุ้นความทรงจำในร่างกาย ทำให้ความทรงจำก่อนที่เจ้าของร่างกายนี้จะสิ้นลมหายใจปรากฏขึ้น

..

..

..

3 วันก่อน

วันนั้นในเวลาที่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า  แร็กนาร์ เด็กชายร่างเล็กวัย 8 ปี  ตื่นขึ้นมาหาบน้ำ   และผ่าฟืน อันเป็นงานที่ร่างเล็กต้องทำทุกเช้า  เพราะถ้าทำงานทั้งสองอย่างนี้ไม่เสร็จ ก็จะไม่มีอาหารให้เขากิน

ร่างเล็กจัดแจงแขวนถัง  2 ใบ ใส่ไม้หาบแล้วยกขึ้นพาดบนบ่าอันบอบบาง เดินมุ่งหน้าไปที่ลำธารซึ่งมีระยะทางไม่ไกลมากนัก ประมาณ  1 กิโลเมตรเห็นจะได้  พอไปถึงลำธารก็ตักน้ำ  หาบเดินกลับมาเทน้ำใส่ถังใบใหญ่ทำอยู่เช่นนั้นจนน้ำเต็มถัง  พอดีกับที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า แร็กนาร์จึงเข้าไปในห้องเก็บฟืน ที่ใช้ซุกหัวนอนมาหลายปี หอบฟืนสำหรับใช้วันนี้ออกมายังด้านหน้า แล้วใช้ขวานอันใหญ่ที่แสนหนักผ่าครึ่งฟืนที่หอบมา ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสร็จงาน นั่งพักเพียงชั่วครู่ก็เดินเข้าไปหยิบเสื้อผ้า เดินมุ่งหน้าไปที่ลำธารอีกครั้ง  เพราะเขาต้องไปอาบน้ำหลังทำงานเสร็จจะได้กลับมากินข้าว ส่วนน้ำที่หาบมานั้นสำหรับพ่อ และพี่ๆเท่านั้น

ครอบครัวของแร็กนาร์มีทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย  พ่อ  พี่ชายคนโตรูร์กัส อายุ 12 ปี คนรองรูซ อายุ 11 ปี และเขาเป็นลูกคนเล็กของบ้าน อายุ 8 ปี   ทั้งพ่อ พี่รูร์กัส และพี่รูซ ต่างมีตาสีน้ำตาล และผมสีดำสนิททั้งหัว ต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง พี่รูซเคยเรียกเขาว่า “พวกลูกครึ่ง” ซึ่งร่างเล็กไม่เข้าใจ  ถามพี่รูร์กัสก็ได้คำตอบกลับมาว่า “เมื่อถึงเวลา พี่จะบอกเจ้าเอง” จึงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจรอให้ถึงเวลาเท่านั้น

พี่รูซชอบแกล้ง  ชอบด่าทอ และชอบมองด้วยสายตาแห่งความเกลียดชังเช่นเดียวกับท่านพ่อ และบอกว่าเขาไม่ใช่น้องชายของตน  ต่างจากพี่รูร์กัส ที่มองร่างเล็กด้วยความรัก คอยดูแล และช่วยเหลือเสมอ ในวันที่พี่รูซบอกว่าเขาไม่ใช่น้อง ไม่ใช่คนในครอบครัว พี่รูร์กัสก็บอกกับเขาว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แร็กนาร์จะยังเป็นน้องของพี่เสมอ” นั่นเป็นคำพูดที่เยียวยาจิตใจของร่างเล็กเสมอมา

หลังจากอาบน้ำเสร็จก็กลับมานั่งรอที่ห้องเก็บฟืน  รอให้พ่อและพี่ๆกินเสร็จ อาหารที่เหลืออยู่ก็จะมีคนยกมาให้ แร็กนาร์อยากให้คนที่ยกมาเป็นพี่รูร์กัส เพราะวันใดที่พี่รูร์กัสเป็นคนยกมา  จะเป็นวันที่เขาได้กินของดีๆ ซึ่งพี่รูร์กัสเป็นคนแอบเก็บแยกไว้ให้ ไม่ใช่ของที่กินเหลือทิ้ง

ร่างเล็กนั่งอยู่อย่างนั้นสักพัก ก็รู้สึกแน่นที่หน้าอก ทำให้หายใจไม่ออก รู้สึกทรมานแต่ก็พยายามฝืนลุกขึ้น แล้วเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่รูร์กัส

บ้านที่เขาอาศัยอยู่เป็นบ้านสร้างจากปูน มีขนาดไม่เล็กมาก หรือใหญ่จนเกินไป มีขนาดกลาง เป็นบ้านสองชั้น ด้านล่างเป็นห้องโล่ง มีห้องแยกเป็นห้องครัว และห้องหนังสือ ด้านบนเป็นห้องนอนของคนในบ้าน ร่างเล็กจำสภาพในบ้านได้ไม่มากนัก ล่าสุดที่เข้ามาคือ เมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งพี่รูร์กัสแอบพาเขาเข้าไปบนห้องเพื่อทำแผล ที่ต้องแอบเข้ามานั้น เพราะพ่อสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้ามาเหยียบในบ้านของตน

แร็กนาร์ค่อยๆเดินเกาะผนังไปที่ห้องสำหรับทานอาหาร แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ในห้องมีเพียงอาหารวางอยู่เท่านั้น ด้วยความทรมาน จึงตัดสินใจที่จะเสี่ยงเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ถึงจะจำห้องของพี่รูร์กัสไม่ได้ ก็ต้องขึ้นไปดูเท่านั้น

มือเล็กพยุงตัวเกาะราวบันไดจนขึ้นมาถึงชั้นสอง แล้วมองห้องที่เรียงกัน 4 ห้อง จากนั้นก็เลือกห้องจากความคุ้นเคย เลือกห้องแรกที่ติดกับบันได มือที่สั่นระริกค่อยๆเปิดประตูเข้าไปในห้อง ในห้องว่างเปล่า แต่สิ่งที่สะดุดตา  เผลอไผลจนลืมอาการที่เป็นอยู่ คือ ภาพวาดผืนใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังห้อง

ในภาพเป็นรูปของพ่อของตน และผู้หญิงแสนสวย ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่เขาเคยอ่านในหนังสือ ผู้หญิงในภาพนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่โดยมีพ่อของตนกอดจากด้านหลัง พ่อกำลังยิ้มอย่างมีความสุข เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็น ที่มุมล่างฝั่งขวาของภาพมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘ด้วยรัก รูเฟรียส&ริเรน่า’ ผู้หญิงในภาพมีดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และผมสีน้ำตาลเข้มทั้งหัว ไม่ต่างจากพ่อของเขามากนัก

แร็กนาร์ได้แต่คิดว่า ถ้าผู้หญิงในรูปคือแม่ของตน แล้วทำไมเขาถึงต่างจากคนอื่นๆ มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อ และพี่รูซรังเกียจเขาก็เป็นได้

ในขณะที่คิด ร่างกายของเขาเหมือนต้องมนต์ จนใช้มือลูบไล้ภาพวาดด้วยความโหยหา

“ท่านแม่ท่านจะรังเกียจข้าเหมือนท่านพ่อกับพี่รูซ  หรือจะใจดีเหมือนพี่รูร์กัสกันนะ”คำถามที่ไร้คำตอบหลุดออกจากปากบาง แล้วก็เงียบไป ทำเพียงลูบไล้ และจ้องมองผู้หญิงในภาพเท่านั้น

ปึ้ง!

ประตูถูกเปิดออกเสียงดัง ด้วยมือของผู้ชายตัวใหญ่  ซึ่งมีใบหน้าเดียวกับชายในรูปวาด ใช่แล้วพ่อของแร็กนาร์เปิดประตูเข้ามาด้านในด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวของคนโกรธจัด

“แกทำอะไรไอ้ปีศาจ!” เสียงตะคอกดังลั่นจนร่างเล็กสะดุ้งเฮือก จ้องมองพ่อของตนด้วยความหวาดกลัว

“แกกล้าดียังไง เอามือสกปรกๆนั่นมาแตะต้องริเรน่าของข้าฮะ!!” พูดจบก็เดินเข้ามาหาร่างเล็กด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ขะ...ขอโทษ ฮึก! ท่านพ่อ ฮึก!ข้าขอโทษ” เสียงของแร็กนาร์ที่สะอื้นไห้ด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นอย่างตะกุกตะกัก แล้วค่อยๆเดินถอยหลังจนชนเข้ากับภาพวาดนั้น มันยิ่งเป็นการเพิ่มความโกรธให้กับชายตรงหน้า

“แก!บังอาจนัก แกต้องตาย!”

ผลั่วะ

“โอ๊ย!!” ด้วยความโกรธที่เพิ่มเท่าทวีคูณ พ่อใช้มือตบไปที่ใบหน้าของเขาจนขึ้นรอยช้ำ เซล้มลงตามแรงเหวี่ยงจนทรุดลงไปกับ
พื้น

“มานี่!” คนเป็นพ่อฉุดกระชากลากถูร่างเล็กออกจากห้อง เพราะไม่ทันตั้งตัวจึงถูกลากไปกับพื้น กระทั่งตรงบันไดก็ถูกลากลงไปอย่างไร้ความปราณี

“ท่านพ่อ ฮึก...เจ็บ ข้าเจ็บ...ได้โปรดหยุด ฮือออ” เสียงร่ำไห้และขอร้องด้วยความเจ็บปวดของร่างเล็กยังมีต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่คนเป็นพ่อไม่คิดจะรับฟัง ไร้ซึ่งความเห็นใจใดๆในใจมีแต่ความขุ่นมัว ยังคงลากร่างของเด็กชายวัย 8 ปี ไปตามเส้นทางที่เป็นจุดหมาย

บนทางเดินที่มีทั้งก้อนกรวดเล็กใหญ่ ทั้งกิ่งไม้สารพัด  ทำให้รอยขีดขวนตามร่างกายเล็กเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเสียงร้องไห้เองก็ยิ่งดังขึ้น เสียงอ้อนวอนขาดๆหายๆยังดำเนินต่อไป

..

..

..

แร็กนาร์ได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมา เสียงของพี่รูร์กัสที่แสนใจดี พยายามตะโกนขอให้พ่อของเขาหยุดลากน้อง

“ท่านพ่อ! หยุดเถอะ ข้าขอร้องน้องยังเด็กไม่รู้สิ่งใดควรไม่ควร ได้โปรดหยุดความโกรธของท่านก่อนเถอะ” เสียงของพี่ชายที่วิ่งตามมาหลังจากได้ยินเสียงน้องร้องไห้ดังขึ้น แต่คนเป็นพ่อไม่เพียงไม่ตอบกลับ ยังคงลากร่างของเขาเดินต่อไป

สองพี่น้องขอร้องอ้อนวอนจนเสียงแหบแห้ง พ่อก็ยังไม่หยุด ยิ่งทวีความโกรธ ลากร่างเล็กให้เร็วขึ้นตามอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นสูง
ร่างกายของแร็กนาร์ที่เสียดสีกับพื้นถนนยิ่งเจ็บปวดทรมานมากขึ้น  เลือดที่ไหลซึมออกมาก็เปรอะเปื้อนตามทางที่ถูกลากผ่าน เห็นแล้วยิ่งรู้สึกสงสาร และหดหู่ใจเกินจะบรรยาย

รูร์กัสรู้สึกสงสารน้องจับใจ จึงตัดสินใจวิ่งสุดแรงเกิดเพื่อมาดึงแขนของพ่อที่จับน้องไว้

“หยุดเถอะท่านพ่อ ข้าขอร้อง ฮึก...” คำขอร้องทั้งน้ำตาของลูกชายคนโตทำให้คนเป็นพ่อชะงักไปชั่วครู่ แต่แล้วก็ใช้มือข้างที่ว่างอยู่จับคอเสื้อของลูกชายคนโตดึงเข้ามาเผชิญหน้ากับตน

“แกคิดว่าที่พ่อทำมันผิดอย่างนั้นเรอะ! มันสมควรได้รับการลงโทษ มันสมควรตาย พ่อใจเย็นมามากพอแล้ว หลีกไป!!” ด้วยความคิดที่ว่าลูกชายคนโตเข้าข้างร่างเล็ก และแสดงความเห็นใจให้กับร่างเล็ก  ผู้เป็นพ่อจึงยิ่งโกรธจัดขึ้นไปอีก ตะคอกจบก็เหวี่ยงรูร์กัส จนถลาล้มลงไปกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว

“โอ๊ย!”

“พี่รูร์กัส! ฮือออออออออ” แร็กนาร์ตะโกนเรียกอย่างตกใจจนลืมความเจ็บปวดของตน เมื่อแขนของพี่ชายมีเลือดไหลออกมา เพราะรูร์กัสบังเอิญล้มลงไปทับก้อนกรวดที่มีขนาดใหญ่และแหลม

เมื่อทั้งคู่หยุดชะงักกับเหตุการณ์ตรงหน้า  พ่อก็ลากร่างกายเล็กอันอ่อนปวกเปียกเดินต่อโดยไม่สนใจสิ่งใด  เสียงร้องของเด็กทั้งคู่เองก็ยังคงดังอยู่เรื่อยๆ รูร์กัสลุกขึ้นวิ่งตามพ่อกับน้องไปแม้เลือดไม่หยุดไหลเขาก็ไม่สนใจ แร็กนาร์เองก็เลิกอ้อนวอนพ่อของตน แต่ร้องขอให้รูร์กัสหยุดแทน ยิ่งเห็นเลือดของพี่ชายเขายิ่งเป็นห่วง เพราะตัวเขาเองต่อให้อ้อนวอนจนเสียงแหบแห้งพ่อก็คงไม่หยุดอารมณ์โกรธเกรี้ยวนี้ลงง่ายๆเป็นแน่

..

..

..

สิ่งที่เผยด้านหน้าของรูร์กัสคือ หน้าผาสูงชัน ซึ่งข้างล่างเป็นธารน้ำไหลเชี่ยวกราดจนน่าหวาดกลัว ห่างไปไม่ไกลก็เป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ด้านล่าง  ใครตกลงไปต้องไม่รอดเป็นแน่...

ซ่าๆๆ

เสียงน้ำไหลกระทบกับโขดหินดังขึ้นมาให้ทั้ง 3  คน  ได้ยิน  หัวใจของเด็กทั้งสองแทบหยุดเต้น เมื่อคาดการณ์ได้ว่าพ่อของตนจะทำสิ่งใด

รูร์กัสกัดฟันวิ่งสุดแรงเกิดอีกครั้ง วิ่งมาขวางหน้าพ่อของเขาไว้   รูร์กัสหันเผชิญหน้ากับพ่ออีกครั้ง พร้อมกางแขนออกเป็นการขวางพ่อของตนเอาไว้ 

พ่อ และลูกชายวัย 12 ปี กำลังยืนจ้องหน้ากันอย่างแน่วแน่ ไม่มีใครถอยจากสิ่งที่ตนเชื่อ และตัดสินใจทำลงไป แต่แล้วคนเป็นพ่อก็ค่อยๆหลับตาลงเพื่อระงับโทสะ   พร้อมปล่อยมือจากของลูกชายคนเล็ก  จนร่างนั้นทรุดนอนลงไปนอนร้องไห้กับพื้นด้วยความเจ็บปวดตามร่างกาย หมดแรงจากการร้องไห้และอ้อนวอนพ่อกับพี่ชาย

ผ่านไปเพียงชั่วครู่ พ่อก็ลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย  ไม่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธเหมือนก่อนหน้านี้  ทำให้รูร์กัสผ่อนคลายลง เขาคิดว่าพ่อของตนคงหยุดแล้ว  จากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหารูร์กัสอย่างช้าๆขณะเดินก็มองหน้าลูกชายด้วยใบหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ใดๆ  ลูกชายทั้งสองมองการกระทำของพ่อด้วยความคาดหวัง

พ่อเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ารูร์กัส ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆแล้วรั้งร่างของรูร์กัสเข้ามากอด เมื่อถูกพ่อโอบกอดรูร์กัสก็คลายกังวล จิตใจเต็มไปด้วยความปิติยินดีเมื่อพ่อเลิกคิดจะทำเรื่องเลวร้ายกับร่างเล็กของน้องชาย เขายกมือขึ้นมากอดตอบพ่อของตน ริมฝีปากเองก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“ท่านพ่อ  ฮึก! ขอบคุณที่ท่านยอมฟังข้า” รูร์กัสเอ่ยด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ แร็กนาร์เองก็ดีใจไม่แพ้กัน  ถึงจะยังไม่คลายสะอื้นแต่ก็ระบายยิ้มน้อยๆออกมาด้วยความยินดี

ปึก!!

รอยยิ้มของแร็กนาร์หยุดชะงักลงเพราะความตกใจ เมื่อพ่อใช้สันมือฟันลงบนต้นคอของพี่รูร์กัสจนสลบ แล้วคลายอ้อมกอดปล่อยให้ร่างนั้นทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น   จากนั้นหันมายิ้มอย่างเยือกเย็นสร้างความพรั่นพรึงให้กับร่างเล็กอย่างหาที่สุดไม่ได้

“ทะ...ท่านพ่อ  ท่านทำแบบนั้นทำไม   ฮึก พี่รูร์กัสเป็นอะไร ฮึก  พี่...พี่รูร์กัส!!”  ร่างเล็กส่งเสียงถามออกมาแม้ใจจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะใจของเขาห่วงพี่ชายอันเป็นที่รักมากกว่าชีวิตของตนเองเสียอีก

“หึ  รูร์กัสไม่ตายหรอก แค่สลบไปเท่านั้น...แต่คนที่จะตายคือแก!!” เสียงหัวเราะในลำคอและน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจเอ่ยขึ้น ก่อนเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยเสียงดังลั่น  ใบหน้าแห่งความโกรธเกรี้ยวเผยขึ้นมาอีกครั้ง สองขาเดินเข้าหาร่างเล็กที่นอนหมดแรงอยู่บนพื้น

ความรู้สึกหวาดกลัวเกาะกุมหัวใจของเขาอีกครั้ง แร็กนาร์พยายามตะเกียกตะกายหนีคนตรงหน้าตามสัญชาตญาณ  ไม่เอ่ยเสียงใดอ้อนวอนมีเพียงเสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจเปล่งออกมาเท่านั้น

“คิดว่าแกจะหนีพ้นรึไง หะ! ไอ้สัตว์ประหลาด ไอ้ปีศาจ แกพรากริเรน่าไปจากข้า เพราะแก  เพราะแก!  เพราะแก!!  แล้วยังกล้าเอามือสกปรกๆนั่นมาสัมผัสเธออีก   มืออันน่ารังเกียจ  ร่างกายที่น่าขยะแขยงนั่นอีก!   แกแกแกแกแกแก!!  แกไม่สมควรเกิดมาบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ...แกต้องตายตายตายตายตายตาย ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะอย่างคนเสียสติดังก้องไปทั่วบริเวณแข่งกับเสียงน้ำที่ซัดสาดโขดหินอยู่เบื้องล่วงที่ดูท่าว่าจะไม่หยุดลงง่ายๆ
ร่างเล็กของเด็กชายวัย  8  ปี   บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจแทบไม่เหลือชิ้นดี ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเจอมา  ร่างกายของเขามีแต่ก้อนกรวดเล็กๆฝังเข้าไปในเนื้อ ทั้งบาดแผลที่ถลอกตามร่างกายบริเวณที่ครูดไปกับพื้นขณะถูกลาก  ยิ่งคำพูดที่ทำร้ายจิตใจนั่น  ทำให้แร็กนาร์เฝ้าถามย้ำกับตัวเองว่า

‘เขาไม่ควรเกิดมาจริงหรือ’

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ   ร่างเล็กใช้มือตะเกียกตะกายตามพื้นขยับเอี้ยวตัวไปด้านข้าง ขยับจนร่างกายหันไปอีกฝั่งเพื่อหนีจากผู้เป็นพ่อ จากนั้นก็ค่อยๆใช้นิ้วจิกลงไปบนพื้นดินเพื่อดึงตัว  และใช้เท้าถีบไปที่พื้นเพื่อดันตัวไปข้างหน้า หมดทางร้องขอชีวิตมีแต่ต้องดิ้นรนเท่านั้น ต่อให้เป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ก็ยังพยายามต่อไป

คนเป็นพ่อหยุดเสียงหัวเราะที่ดังก้องลง คงไว้แต่เสียงหัวเราะเบาๆในลำคอเท่านั้น  พร้อมจ้องมองร่างเล็กที่พยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างสุดชีวิต  เผยรอยยิ้มแห่งความเย้ยหยันบนใบหน้า เขากำลังจะแก้แค้นให้หญิงอันเป็นที่รัก ใช่เขาทำถูกต้องแล้ว เขาให้มันมีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้ว 8ปี ที่เขาทำตามคำขอของคนรักยอมให้มันมีชีวิตอยู่  มันมากเกินพอแล้วได้เวลาที่เขาจะลงโทษมันอย่างสาสมกับสิ่งที่มันทำกับริเรน่า แค่โยนลงจากหน้าผาก็ถือว่าเขาใจดีมากแล้วที่เลือกวิธีที่โหดร้ายน้อยที่สุด

“ฮึก...ฮึก...ฮืออออ...ฮือ...ฮึก!”  เสียงสะอื้นไห้ยังดังต่อไป อีกคนก็เดินเข้าหาช้าๆอย่างใจเย็น เพื่อชมการดิ้นรนของร่างเล็ก  เหมือนว่าภาพที่เด็กน้อยตะเกียกตะกายอยู่นี้  เป็นภาพที่แสนน่าชื่นชม อันเป็นภาพที่เขาจะทำลายมันลงอย่างช้าๆด้วยความหรรษา

เสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ที่สอดประสานกันประหนึ่งการบรรเลงดนตรีที่แสนน่าหวาดหวั่น  ภายใต้ท้องฟ้า  2 สี  ช่างเป็นภาพที่งดงามจนน่าตกใจ

ฟึ่บ!

“ไม่...ฮึก ฮึก   ฮือออ  ท่านพ่อ...ท่านพ่อ ไม่นะ  ไม่!!!!”

“หึ  หึ หึ  มานี่!” มือหนาของคนเป็นพ่อกระชากลากถูร่างเล็กไปกับพื้นอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนคือ ใบหน้าของพ่อปรากฏรอยยิ้มแห่งความดีใจ เพราะได้ทำในสิ่งที่ตนปรารถนา ไม่ใช่ใบหน้าโกรธขึงที่พร้อมจะอาละวาดเหมือนก่อนหน้านี้ แต่สำหรับเขาแล้วการที่พ่อโกรธคงจะดีซะกว่า

“ฮึก ฮึก...ทะ...ท่านพ่อ ปล่อย หะ...หายใจไม่ออก  ฮึก!” มือหนาเพียงข้างเดียวบีบลำคอของเขายกขึ้นแล้วยื่นออกไปตรงหน้าผา คนตัวเล็กกลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น

ทิวทัศน์สุดท้ายที่แร็กนาร์ได้เห็นคือ   หน้าผาสูงชันที่มีลมพัดเย็นสบายเพราะไอของธารน้ำด้านล่าง  เสียงน้ำไหลเชี่ยวที่กระทบกับโขดหินบริเวณชายฝั่ง แล้วไหลไปรวมกันยังน้ำตกสูงที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง และ...รอยยิ้มแห่งความปิติของคนที่ได้ชื่อว่า ‘พ่อ’
ร่างเล็กสั่นเทาด้วยความกลัว  มือบางพยายามเกาะมือและแขนของพ่อไว้เพราะกลัวตกลงไป เสียงร่ำร้องอ้อนวอนเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงที่เปล่งออกมากลับกระท่อนกระแท่น เพราะเขากำลังจะขาดอากาศหายใจ

เมื่อเชยชมวาระสุดท้ายของร่างเล็กจนพอใจ คนเป็นพ่อก็ปล่อยมือจากคอของเขา แล้วยืนมองร่างที่ตกลงไปด้านล่างด้วยความปิติยินดีเมื่อเขาได้ทำสิ่งที่ควรทำลุล่วงแล้ว

“ม่าย!!!!!!!” ร่างเล็กตะโกนสุดเสียงด้วยความกลัว

ตู้ม!

เมื่อร่างกายสัมผัสกับผิวน้ำ น้ำก็กระจายเป็นวงกว้างเสียงดังสนั่นมาถึงด้านบน

“ฮ่าๆๆๆๆเห็นหรือไม่ ริเรน่า ข้าแก้แค้นให้เจ้าสำเร็จแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ” เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากได้ยินเสียงน้ำดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง

และนั่นคือเสียงสุดท้ายก่อนที่ร่างเล็กจะหมดลมหายใจ...


..

..

..

ความทรงจำวาระสุดท้ายที่หวนคืนมาในหัวกระทบทั้งร่างกาย และวิญญาณดวงใหม่ในร่างนี้ ร่างเล็กนั่งคุกเข่าแล้วแหงนหน้าขึ้นฟ้าหลับตาเอาไว้ เสียงสะอื้นไห้จากเหตุการณ์นั้นหวนมาอีกครั้ง เป็นการบ่งบอกว่าจิตใจของทั้งสองเชื่อมต่อถึงกันผ่านร่างกายนี้ แม้วิญญาณของเจ้าของร่างกายจะจากไปแล้วก็ตาม

“ฮึก...ฮือออออ!”

เขาร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพักก็ปรับอารมณ์ แล้วเรียบเรียงเหตุการณ์ เขาเป็นนักฆ่าวัย 30 ปี ผู้ซึ่งสังหารผู้คนได้อย่างเลือดเย็น กลับต้องมาอยู่ในร่างของเด็กชายที่อายุเพียง 8 ปี อารมณ์ ความรู้สึก และความทรงจำของเด็กชายตัวน้อยค่อยๆหลอมรวมกับวิญญาณของเขา ถึงแม้ตอนนี้จะยังชัดเจนแค่ภาพฉากสุดท้าย  ไม่นานความทรงจำทั้งหมดต้องฉายขึ้นมาอีกเป็นแน่

ถึงแม้สมองจะคิดเรื่องอื่นแล้ว แต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง   ทำได้เพียงสะอื้นและร้องไห้อยู่อย่างนั้น คงต้องรอไปก่อนซักพัก เขาคงควบคุมร่างกายนี้ได้

ตัวของเขาเองทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ว่าอย่างไรชีวิตของเขามันก็ไม่แน่นอนตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ลองใช้ชีวิตในฐานะ ‘แร็กนาร์ คูฟฟ์’ ดูสักครั้ง  อาจมีเรื่องน่าตื่นเต้นรออยู่ก็เป็นได้

ชีวิตใหม่ที่ได้รับมา เขาขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ และจะตอบแทนร่างนี้อย่างเต็มที่แน่นอน...



To Be Continued...

___________________________________________________________
*รีไรท์ 30/7/60*
ลงตอนที่ 1 แล้ว

อ่านแล้งรู้สึกยังไง ฝากติชมกันด้วยนะคะ

ฝากตัวด้วยค่าาา :impress2:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก ตอนที่ 2 เรียนรู้
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 29-07-2016 09:29:58
ตอนที่ 2
เรียนรู้


        สวบ สวบ สวบ...

        เสียงเดินจากเดินจากด้านหลังเรียกความสนใจของแร็กนาร์จากภวังค์ความคิดเมื่อครู่ให้หันหลังมองทางต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกลนัก คงเพราะความสามารถของนักฆ่าทีสั่งสมมาทำให้หูของเขาดีกว่าคนทั่วไป มองอยู่อย่างนั้นสักพักรูร์กัสก็เดินออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

        รูร์กัสสบตากับแร็กนาร์เพียงชั่วครู่ก็คลายสีหน้าวิตกกังวลลง แล้วรีบวิ่งเข้ามาหาแร็กนาร์ที่มองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา และยังไม่คลายสะอื้น กอดปลอบร่างเล็กของแร็กนาร์อีกครั้ง ร่างที่โตกว่าเล็กน้อยกระชับกอดร่างเล็กตรงหน้าให้แน่นขึ้น ไม่เอ่ยคำพูดใดๆออกมา ทำเพียงใช้ไออุ่นของร่างกายกอดปลอบโยนร่างเล็กของน้องชายอันเป็นที่รัก

        “ขอโทษ” คำพูดขอโทษที่เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดในใจที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือแร็กนาร์ไว้ได้เอ่ยขั้นหลังจากที่ร่างเล็กในอ้อมกอดคลายสะอื้น และหยุดร้องให้ รูร์กัสหลับตารอถ้อยคำต่อว่าจากร่างเล็ก เขารู้สึกผิดและสมเพชตัวเองที่ไร้ซึ่งพลังไม่สามารถปกป้องคนสำคัญของเขาไว้ได้ ไม่ว่าร่างเล็กจะโกรธ จะเกลียด จะด่าทอเขาอย่างไร เขาก็จะยินดียอมรับมันด้วยความเต็มใจ ขอเพียงอย่าได้เหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่ ที่แร็กนาร์ทำเหมือนจำเขาไม่ได้ เขาไม่สามารถทำใจได้จริงๆถ้าเป็นแบบนั้น

         “รูร์กัส...พะ พี่รูร์กัส ปล่อยข้าก่อน” แร็กนาร์เผลอเรียกเพียงแค่ชื่อของรูร์กัส ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ในสถานะน้องชายของคนเด็กชายตรงหน้า เพราะถ้านับอายุจริงๆของร่างเดิม เขาอายุ 30 ปีแล้ว เด็กชายวัย 12 ปี เปรียบเหมือนลูกหลานของเขาเท่านั้นเอง ถึงจะกระดากปากไม่น้อยที่ต้องเรียกเด็กว่า พี่ แต่ในสถานะของเขาตอนนี้ คงมีทางเลือกให้ไม่มากนัก

         รูร์กัสคลายอ้อมกอดตามที่แร็กนาร์ร้องขอ เขายิ้มอย่างดีใจที่ตอนนี้น้องชายจำเขาได้แล้ว จึงไม่นึกสงสัยสิ่งใด รูร์กัสยกมือทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาให้ร่างเล็กตรงหน้าอย่างเบามือ

         “พี่ขอโทษที่ไม่อาจช่วยเจ้าได้ และไม่มีความกล้าพอที่จะกระโดดตามเจ้าลงมา ข้ามันขี้ขลาด!” รูร์กัสเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด และโทษตัวเองอีกครั้ง

          ‘ไม่น่าเชื่อว่า คนที่ได้ชื่อว่านักฆ่าไร้หัวใจอย่างเรา จะอ่อนไหวกับพูดของเด็กตัวเล็กๆนี่ หรือเพราะความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในร่างนี้กันนะ ในความทรงจำที่เหลืออยู่โลกของแร็กนาร์มีแค่พี่ชายอยู่เท่านั้น รูร์กัสคอยช่วยเหลือ คอยดูแลห่วงใย แม้บางครั้งต้องถูกลงโทษไปด้วยก็ไม่เคยปริปากเอ่ยโทษอะไรเลย ยังคอยช่วยเหลือแร็กนาร์แบบนี้ตั้งแต่จำความได้

         ทั้งๆที่ทิ้งหัวใจไปแล้ว ทั้งๆที่คิดว่าไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้วแท้ๆ ทั้งๆที่เพราะถูกหักหลังถึงได้ทิ้งความฝันมาเป็นนักฆ่า ทั้งๆที่เพราะถูกหักหลังถึงได้ถูกรัฐบาลจับไปเป็นหนูทดลอง โดนหักหลังมาแล้วถึงสองครั้ง แต่ทำไมกัน เพียงแค่เด็กคนนี้ถึงได้มีความคิดที่ว่า จะถูกหักหลังครั้งที่สามก็ไม่เป็นไร อยากจะเชื่อใจคนคนนี้ อาจจะเป็นเพราะความทรงจำในร่าง และดวงตาที่มองเราด้วยความบริสุทธิ์ใจนี่สินะ ถึงได้อยากจะลองเชื่อใจใครอีกครั้ง’


        “ไม่ใช่ความผิด...พี่รูร์กัสทำถูกแล้ว” แร็กนาร์ตอบพร้อมระบายรอยยิ้มอ่อนๆส่งไปให้รูร์กัส เพราะเขารู้สึกขอบคุณจริงๆที่รูร์กัสไม่กระโดดหน้าผาตามลงมา  มันคงไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย รูร์กัสก็คงไม่รอดเหมือนเจ้าของร่างนี้ และเขาเองคงจะไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ เขาคงไม่สามารถเชื่อใจใครอีกได้แบบนี้

        ‘ขอสาบานต่อฟ้าดิน ผมจะปกป้องเด็กชายตรงหน้านี้ เพื่อตอบแทนเจ้าของร่างกายนี้ และเพื่อตัวของผมเอง’

   .

   .

   .

        แร็กนาร์ หรือ S.P. (Scelpel) นักฆ่าไร้หัวใจ ผู้เป็นถึงอาชญาการระดับโลก มีนิสัยติดตัวที่แก้ไม่หาย คือ ชอบพูดออกมาสั้นห้วน แต่ในสมองกลับมีความคิดมากมาย เขาเป็นคนที่คิดเยอะ เพราะช่างสังเกต และชอบคิดวิเคราะห์ ชอบคำนวณสิ่งต่างๆ ที่พบเจอจนเป็นปกตินิสัย  เช่นเดียวกับตอนนี้

        ‘แผลที่แขนของรูร์กัสยังอยู่ แต่ก็พันแผลไว้แล้ว มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย คงเพราะฝืนตัวเองออกตามหาเราสินะ ดวงตาเองก็คล้ำ แล้วยังบวมอีก ร้องไห้ แถมไม่ได้นอน ดูจากสภาพร่างกายแล้วเหตุการณ์นั้นคงผ่านมา 2-3 วันแล้ว ร่างเราเองก็มีแต่แผลเต็มไปหมด จะแปลกก็ตรงที่แผลเริ่มแห้งแล้ว ทั้งๆที่ผ่านมาแค่ 2-3 วัน เหมือนกับเวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์อย่างนั้นแหละ ถ้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างนี้เราต้องรู้เรื่องของโลกใบนี้มากกว่านี้ เพราะความทรงจำที่เหลืออยู่ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย เฮ่อ’
   
        “ไปทำแผลกันเถอะ” ความคิดมากมายนั้นไม่ถูกถ่ายทอดออกมา เสียงที่เอ่ยออกมามีเพียงประโยคสั้นๆตามฉบับของเจ้าตัวเท่านั้น

        “เจ้าไม่โกรธพี่เหรอแร็กนาร์?” รูร์กัสยังถามออกมาเพื่อความแน่ใจ

        “ไม่...ไปทำแผลเถอะ” ร่างเล็กของแร็กนาร์ลุกขึ้นเต็มความสูง พร้อมยืนมือออกไปให้รูร์กัสจับ รูร์กัสเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด สำหรับเขาแล้วรอยยิ้มของรูร์กัสช่างอบอุ่น รอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้รับจากใครในร่างเดิม

        ‘ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ที่ยังมีความสุขเล็กๆในชีวิตที่น่าสังเวชนี่ มันคงเป็นรอยยิ้มที่ผลักดันร่างเล็กนี้ให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อสินะ’


       .

       .

       .

       รูร์กัสเดินจับมือของแร็กนาร์พาเดินไปตามทางเล็กๆมีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่า มีคนเคยใช้ทางนี้เป็นทางเดินประจำเมื่อนานมาแล้ว เพราะเริ่มมีหญ้าเล็กๆเกิดแทรกพื้นดินขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ทางที่รูร์กัสไปไม่ใช่ทางที่ใช้เดินกลับบ้านของพวกเขา ถึงแม้ความทรงจำที่เหลืออยู่จะปรากฏออกมาว่าทางที่เดินไปไม่ใช่ทางกลับบ้าน แร็กนาร์ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเขาตัดสินใจที่จะเชื่อใจเด็กชายที่จูงมือเขาอยู่ไปซะแล้ว

       แร็กนาร์เริ่มมองสำรวจสิ่งรอบข้างอีกครั้ง
     
        ‘ต้นไม้บริเวณนี้ แล้วก็ที่เดินผ่านมา เป็นสภาพแบบป่าดิบชื้นไม่ต่างจากที่โลกเดิมมากนัก มีต้นไม้สูงขึ้นเต็มไปหมด ส่วนข้างล่างจะเป็นพุ่มไม้เล็กๆพวกไม้เลื้อย และมีดอกไม้ประปรายบางบริเวณเท่านั้น สิ่งที่ต่างคงจะเป็นพันธุ์ไม้ต่างๆที่เราไม่รู้จัก ต้องหาเวลามาเดินสำรวจดูสักหน่อยแล้ว เผื่อจะใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำพวกยาพิษได้ด้วยคงดีไม่น้อย หึหึหึ’

       ปึก!!

       เพราะมัวแต่สนใจสภาพแวดล้อมของที่นี่ ทำให้แร็กนาร์เดินชนเข้ากับร่างของรูร์กัสที่หยุดเดินลงอย่างจัง

       “เป็นอะไรรึเปล่า เข้าไปข้างในกันเถอะ พี่ทำความสะอาดไว้แล้ว” รูร์กัสหันมาถาม แล้วมองดูร่างเล็ก เมื่อเห็นว่าน้องไม่เป็นไร จึงพูดชวนพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้ จากนั้นก็เดินนำแร็กนาร์เข้าไปในบ้านหลังเล็ก
       
       ด้านนอกของตัวบ้านมีต้นไม้เล็กๆขึ้นอยู่รอบตัวบ้านเท่านั้น ห่างออกไปเล็กน้อยจึงมีต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นอยู่ บ่งบอกว่าบ้านหลังนี้มีมานานมากแล้ว และเจ้าของบ้านหลังนี้ดูแลมันอย่างดี บ้านมีลักษณะเป็นทรงกลมที่ด้านหลังต่อเติมออกไปเล็กน้อยเป็นห้องครัว มีประตูอยู่หน้าบ้าน 1 บาน หน้าต่างที่ติดอยู่ทำให้เห็นได้ว่าเป็นบ้านแบบ 2 ชั้น บ้านทำจากอิฐและปูนดูแข็งแรง

       แร็กนาร์เดินตามรูร์กัสเข้าไปในบ้าน แล้วเริ่มมองสำรวจอีกครั้ง ด้านในมีชุดแบบโต๊ะรับแขกอยู่ 1 ชุด มีเก้าอี้ไม้ตัวยาว 1 ตัว เก้าอีกเล็ก 2 ตัว ล้อมโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่วางอยู่ตรงกลาง ข้างเก้าอี้ตัวยาวมีชั้นวางของเล็กๆที่ด้านบนตั้งโคมไฟแบบตะเกียงเอาไว้ข้างแจกันสีดำสนิท อีกฟากของประตูเป็นประตูอีกบานที่ใช้เปิดไปที่ห้องครัว ข้างซ้ายมือของเขามีบันไดเล็กๆที่เป็นทางเดินขึ้นไปบนชั้น 2

       แร็กนาร์อยากขึ้นไปสำรวจชั้นบนจึงหันหน้าไปมองหน้ารูร์กัสเชิงขออนุญาต รูร์กัสเห็นก็เข้าใจในทันที เขาจึงพาแร็กนาร์ขึ้นไปบนชั้น 2 ทันที ด้านบนเป็นห้องนอน มีเตียงขนาด 5 ฟุต 1 เตียง ตู้เสื้อผ้า 1 ตู้ โต๊ะวางโคมไฟเหมือนด้านล่างตั้งอยู่ข้างหัวเตียงด้านขวา ชั้นวางหนังสือ 1 ตู้ ที่ด้านในยังมีหนังสือวางอยู่ ทั้งๆที่ตู้เก่าจนโทรม หนังสือที่วางอยู่กลับมีสภาพดีจนน่าแปลกใจ
บ้านหลังนี้จัดว่าน่าอยู่ทีเดียว ถึงสภาพจะเก่าโทรม แต่เมื่อผ่านการทำความสะอาดแล้วก็กลับมาสวยงามอีกครั้ง

       “พี่เจอที่นี่เมื่ออาทิตย์ก่อน พี่ทำความสะอาดไว้ ของใช้ที่จำเป็นก็เตรียมมาไว้หมดแล้ว พี่คิดว่าจะพาเจ้ามาอยู่ที่นี่ พี่ไม่อาจทนเห็นเจ้าเจ็บปวดได้อีก แต่มันก็เกือบจะสายเกินไปแล้ว ถ้าพี่พาเจ้ามาเร็วกว่านี้คงดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายนั่น”
 
       ‘ไม่ทันแล้วล่ะ’

       แร็กนาร์ได้แต่บอกรูร์กัสอยู่ในใจ ว่าคนที่เขาอยากให้มาอยู่จริงๆนั้น ได้จากไปแล้ว
 
       “ไม่เป็นไร แค่นี้ข้าก็ขอบคุณพี่รูร์กัสมากแล้ว เลิกคิดมากแล้วมาทำแผลเถอะ อุปกรณ์อยู่ไหน?” ประโยคที่ยาวที่สุด หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาถูกเอ่ยขึ้น รูร์กัสยิ้มอย่างดีใจ และผ่อนคลายยิ่งขึ้น เพราะแร็กนาร์เป็นเด็กช่างพูด เขาเป็นห่วงร่างเล็กอยู่ไม่น้อย ที่พูดออกมาสั้นๆเท่านั้น ไม่ช่างฉอเลาะเหมือนแต่ก่อน
   
       ด้วยความที่แร็กนาร์ยังเด็ก และพึ่งเจอเหตุการณ์น่าหวาดกลัวมา นิสัยที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของร่างเล็กจึงถูกปล่อยผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
   
       รูร์กัสพาแร็กนาร์ไปนั่งที่เตียง จากนั้นเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่เขาเตรียมไว้ออกมาจากดูด้านล่างของชั้นวางหนังสือ แล้วกลับมานั่งที่เตียงตรงข้ามกับแร็กนาร์ เขาจับแขนของร่างเล็กขึ้นมาเพื่อจะทำแผลให้
   
       พรึ่บ!
   
       แร็กนาร์ดึงแขนออกจากมือรูร์กัสอย่างรวดเร็ว ทำให้รูร์กัสมองอย่างไม่เข้าใจ

       “ทำแผลของพี่รูร์กัสก่อน ยื่นแขนมา” คำพูดเรียบนิ่งเอ่ยขึ้น พร้อมยกแขนขึ้นมายื่นมือขอทำแผลให้พี่ชาย

       “ไม่ต้อง ทำของเจ้าก่อนเถอะ แผลพี่เล็กน้อยเท่านั้น” รูร์กัสไม่ยอมทำตามคำพูดของแร็กนาร์ แต่ยกแขนขึ้นมาแบมือขอทำแผลเหมือนกับร่างเล็ก
     
       ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครยอมหลบสายตา จนกลายเป็นการเล่นเกมจ้องตากันไปเสียแล้ว

       ‘ไอ้เด็กดื้อ เห็นทำตัวว่าง่าย แต่ไม่ยอมใครซะอย่างนั้น หึ! ให้มันได้อย่างนี้สิ’

       “เฮ้อ! ก็ได้ๆข้ายอมแล้ว แต่พี่รูร์กัสต้องตอบคำถามของข้าหลังทำแผลเสร็จตกลงไหม?” เมื่อเห็นว่ารูร์กัสคงไม่ยอมง่ายๆแร็กนาร์จึงมุ่งประเด็นไปที่สิ่งที่ตนสงสัยแทน เขาต้องการข้อมูลของโลกใบนี้ แล้วก็กลัวตัวเองจะใช้สายตาของนักฆ่ากดดันรูร์กัส เขาไม่อยากให้รูร์กัสกลัวเขา จึงเลือกที่จะยอม

       “ได้ พี่ตกลง” รูร์กัสก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในข้อตกลงของแร็กนาร์ เพราะเวลาที่เขากดดันร่างเล็กด้วยสายตาเรียบนิ่งและจริงจัง ร่างเล็กก็จะยอมอย่างว่าง่าย ถึงแม้ครั้งนี้มีข้อแลกเปลี่ยน รูร์กัสก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก

       รูร์กัสทำแผลให้ร่างเล็กอย่างเบามือ และคล่องแคล่ว ถึงจะทำผิดไปบ้างก็ไม่ได้กวนใจแร็กนาร์มากนัก จึงไม่ได้ทักท้วงสิ่งใด แม้อดีตหมอเถื่อนที่ผันตัวมาเป็นนักฆ่าอย่างเขา จะเลิกช่วยชีวิตคนไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืมมัน เขาเลือกที่จะไม่ทำเท่านั้นเอง
   
       .
   
       .
   
       .

       ไม่นานนักแผลตามแขน ขา และลำตัว ของแร็กนาร์ก็ถูกทำจนเสร็จ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากมัมมี่ในพีระมิดของอียิปต์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เจ็บมากเหมือนที่ตาเห็น แผลของเขาดูหายเร็วเกินกว่าปกติด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาค้างคาใจ
   
       แร็กนาร์ลุกขึ้นนั่งหลังจากที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงเพื่อให้รูร์กัสทำแผลตามตัวให้ตน แล้วยกแขนขึ้นมาแบมืออีกครั้ง รูร์กัสเองก็ไม่ได้อิดออก ยกแขนข้างที่มีแผลขึ้นมาให้แร็กนาร์อย่างว่าง่าย ร่างเล็กแกะผ้าพันแผล แล้วพลิกแขนไปมาเพื่อเป็นการตรวจดูแผล จากนั้นก็ลงมือทำด้วยความชำนาญ รูร์กัสสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ปล่อยให้แร็กนาร์ทำแผลให้ตนจนเสร็จ

       ‘แผลของรูร์กัสก็ปกติดี ดูจากสภาพแผล ผ่านมาแล้ว 3 วัน แต่ทำไมแผลเราถึงเหมือนผ่านมาแล้วเป็นอาทิตย์แล้วกันนะ’

       “ทำไมเราไม่เหมือนกัน” ประโยคสั้นๆที่เอ่ยออกมาหลังจากไตร่ตรองสิ่งที่สงสัยอยู่สักพัก เขาเลือกจะถามแบบรวมๆเพราะต้องการคำอธิบาย

       “อะ...เอ่อ  คือ” แร็กนาร์จ้องหน้าของรูร์กัสเขม็ง เพื่อยืนยังสิ่งที่ตนอยากรู้ เมื่อเห็นที่ท่าร้อนรนและลำบากใจของคงตรงหน้า ความสงสัยก็ยิ่งเกาะกินหัวใจมากขึ้น

        “ตอบมา ท่านพี่ตกลงแล้วนะ” แร็กนาร์ยังคงจ้องหน้ารูร์กัสแบบกดดัน จนคนตรงหน้ารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆที่ถูกปล่อยออกมา ถึงจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบคำถามของร่างเล็ก

         “เฮ่อ...” รูร์กัสถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อตัดสินใจได้ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะบอกแร็กนาร์ในสักวัน ถึงตอนนี้จะเร็วเกินไปเกินกว่าเด็ก 8 ขวบจะเข้าใจ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างในตานั่นบอกเขาว่าร่างเล็กเข้าใจทุกอย่างได้อย่างแน่นอน

         รูร์กัสบอกกับแร็กนาร์ว่า ถ้าจะให้ตอบคำถามนั้นก็คงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดของโลกใบนี้ให้ฟังก่อน แร็กนาร์เองก็ดีใจไม่น้อย ที่ความสงสัยของเขาถูกตอบในคำถามเพียงข้อเดียว

         .

         .

         .

         โลกใบนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองเช่นเดียวกับสีของท้องฟ้า แบ่งเป็นดินแดนของมนุษย์ และดินแดนของปีศาจ สีของท้องฟ้าเปรียบเสมือนเส้นแบ่งเขตที่ถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ นอกจากแยกดินแดนแล้ว มนุษย์กับปีศาจยังมีลักษณะและความสมารถเฉพาะตัวแต่งต่างกัน

          มนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีความเชื่อว่าตนฉลาดกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ มนุษย์นั้นมีพลังที่เรียกว่า “พลังธาตุ” เด็กที่เกิดมาจะมีธาตุหลักติดตัวมา 1 ธาตุเสมอ แรกเกิดมนุษย์นั้นจะมีผมเป็นสีขาว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ยังไม่สามารถระบุธาตุหลักได้ แต่เมื่อมีอายุได้ 5 ขวบ ผมจะเปลี่ยนสีไปตามธาตุหลักของตน แบ่งออกเป็น

          ธาตุดิน จะมีผมสีดำ มีพลังในการควบคุมดินได้อย่างใจนึก หากอยากชำนาญต้องหมั่นฝึกฝน เพราะดินแต่ละชนิดควบคุมยากง่ายแตกต่างกัน

          ธาตุน้ำ จะมีผมสีเทา มีพลังในการควบคุมน้ำได้อย่างใจนึก หากฝึกฝนถึงขั้นชำนาญจะสามารถกลั่นน้ำออกมาจากพื้นดินได้

          ธาตุลม จะมีผมสีน้ำตาล มีความสามรถในการควบคุมลม จะได้มากน้อยตามการฝึกฝน อาจสร้างได้กระทั่งพายุขนาดใหญ่ที่พัดหมู่บ้านให้หายไปได้ในครั้งเดียว

          ธาตุไฟ จะมีผมสีทอง ธาตุไฟถือว่าเป็นธาตุพิเศษ เพราะสามารถสร้างไฟขึ้นเองได้ ไม่ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมเหมือนธาตุข้างต้น แต่จะได้มากน้อยตามพลังกายของผู้ใช้ ดังนั้นผู้ใช้ไฟต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์พร้อม จึงจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพลังกายหมด ก็ไม่สามารถใช้ไฟได้ ส่วนมากจึงเลือกที่จะยืมไฟจากสภาพแวดล้อมแทน

          ธาตุสายฟ้า จะมีผมสีเงิน ธาตุสายฟ้าเองก็ถือเป็นธาตุพิเศษที่คุณสมบัติการใช้เหมือนธาตุไฟ แต่หาได้ยากกว่า จะมีคนที่เกิดขึ้นมาพร้อมธาตุนี้เพียง 5 % ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น

          ธาตุหลักที่มีมาแต่เกิดทุกคนสามารถใช้พลังได้อย่างอิสระ หากต้องการฝึกธาตุอื่นเพิ่มก็สามารถทำได้ แต่พลังที่ฝึกได้จะน้อยกว่าธาตุหลักเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เลือกฝึกฝนเพิ่มเพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งของธาตุหลัก เช่น มีธาตุหลักเป็นธาตุไฟ ก็จะฝึกธาตุลมเพิ่ม เพื่อเพิ่มความแรงของไฟ และเพิ่มระยะเวลาการใช้พลัง

          ในบรรดาธาตุทั้ง 5 ธาตุสายฟ้า เป็นธาตุเดียวที่ไม่สามารถฝึกฝนได้ ต้องมีมาตั้งแต่เกิดเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นธาตุพิเศษของพิเศษเลยก็ว่าได้

           ปีศาจ  เผ่าพันธุ์ที่เชื่อว่าตนมีพลังแข็งแกร่งเหนือสิ่งใด การแบ่งแยกของปีศาจนั้นเข้าใจง่ายกว่ามนุษย์มาก แต่ละชนเผ่าจะมีผู้ปกครองแค่คนเดียวเท่านั้น คงเปรียบเสมือน เมืองๆหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น ถ้าดูจากสภาพภูมิศาสตร์ของโลกนี้ จะเห็นได้ว่าดินแดนของมนุษย์ใหญ่กว่าดินแดนของปีศาจ เนื่องจากปีศาจมีจำนวนน้อยกว่า และอาศัยในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
ปีศาจมีพลังที่เรียกว่า “พลังแฝง” เป็นพลังที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เหมือนกับพลังธาตุของมนุษย์  ซึ่งจะแยกตามเผ่าพันธุ์ของตน ดังนี้

           เผ่าพยัคฆ์ อาศัยอยู่บนพื้นดิน สภาพที่อยู่อาศัยจะส่วนมากจะเป็นป่า เนื่องจากเผ่าพยัคฆ์จะมีลักษณะ รูปร่าง รวมถึงพละกำลังเหมือนเสือชนิดต่างๆ มีผมและตาเป็นสีแดง มีพลังมหาศาลตามแบบฉบับของนักล่า รวมถึงสามารถควบคุมสัตว์ชนิดต่างๆได้ด้วย

           เผ่าวิหก อาศัยบนท้องฟ้า ท้องที่เผ่าวิหาอาศัยอยู่เมฆจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ซึ่งลอยอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักในทะเลด้านล่างสุดของแดนพยัคฆ์ มีความสามารถของนกชนิดต่างๆจึงทำให้มีปีกสำหรับบิน และสามารถควบคุมฝนฟ้าอากาศได้ เผ่าวิหกมีผมและตาสีเขียว

           เผ่ามังกรวารี อาศัยอยู่ในหมู่เกาะด้านตะวันตกของดินแดนพยัคฆ์ มีระยะห่างจากฝั่งมากทีเดียว เผ่ามังกรวารีนั้นจะมีลักษณะ รูปร่าง รวมทั้งความสามารถของมังกรวารีเหมือนกันทั้งเผ่าพันธุ์  สามารถควบคุมน้ำได้อย่างอิสระ ทำให้เปลี่ยนสถานะหรืออุณหภูมิ รวมทั้งสามารถสร้างน้ำจากพลังกายของตนได้ด้วย เผ่ามังกรวารีมีผมและตาสีฟ้า

           ปีศาจมีพลังมากกว่ามนุษย์ แต่ไม่สามารถฝึกฝนพลังของเผ่าพันธุ์อื่นได้ หากต้องการพลังของเผ่าอื่นในแดนปีศาจต้องครองคู่กันเท่านั้น แล้วลูกที่เกิดมาจะมีลักษณะและพลังหลักเป็นของพ่อ มีพลังของแม่เป็นตัวเสริม แต่ใช้ได้แค่ 50-80% เท่านั้น ขึ้นอยู่กับพลังของผู้ให้กำเนิด

            สิ่งพิเศษอีกอย่างหนึ่งของปีศาจคือ สามารถแปลงร่างได้ 3 ระดับด้วยกัน คือ ร่างสัตว์ซึ่งเป็นร่างต้นแบบของตน ร่างปีศาจเป็นร่างที่รวมลักษณะของปีศาจและมนุษย์เข้าด้วยกัน ร่างมนุษย์มีลักษณะของมนุษย์ทุกประการแต่จะคงสีผมกับสีตาไว้ไม่หายไป

            .

            .

            .

            สิ่งที่หลอมรวมแต่แปลกแยกของโลกใบนี้คือ “ลูกครึ่ง” ลูกครึ่งในที่นี้ไม่ใช่การข้ามเผ่าพันธุ์ของปีศาจกับปีศาจ แต่เป็นการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ของปีศาจและมนุษย์

            ลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจนั้นส่วนมากจะเกิดมาแล้วไร้ซึ่งพลัง ทั้งพลังธาตุ และพลังแฝง มีสิ่งเดียวที่ติดตัวมาคือ ร่างกายที่ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเหมือนพวกปีศาจ มีส่วนน้อยที่เกิดมาแล้วจะได้รับพลัง แต่ถ้าหากมีพลังจะใช้ได้ทั้งพลังธาตุและพลังแฝง จึงเป็นเหตุให้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันยังมีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์อยู่

            พวกลูกครึ่งที่เกิดในแดนปีศาจจะถูกนำมาทิ้งไว้ที่เขตชายแดน ถ้าหากเกิดในแดนมนุษย์จะมีฐานะเป็นทาสในทันที ทำให้เกิดอาชีพที่ชื่อว่า “พ่อค้าทาส” ขึ้นอย่างแพร่หลาย พ่อค้าทาสจะจับลูกครึ่งในเขตชายแดนไปขายใช้แรงงาน

            ลักษณะของพวกลูกครึ่งที่โดดเด่นคือ มีผม 2 สี ตามลักษณะของพ่อแม่ ส่วนตาจะเป็นสีดำสนิทไร้ซึ่งสีใดปะปน

            ในเขตชายแดนจะมีหมู่บ้านเล็กๆกระจัดกระจายอยู่มากมายเป็นที่อาศัยของพวกลูกครึ่ง แต่สำหรับพวกพ่อค้าทาสคงไม่ต่างไปจากตลาดค้าทาส เพราะสามารถเข้ามาเลือกสรรทาสที่ตนถูกใจไปขายโดยไม่มีสิ่งใดขัดขวาง  ในโลกนี้พวกลูกครึ่งเป็นที่น่ารักเกียจ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หรือปกป้องพวกเขาไว้เลย

            .

            .
 
            .

            แม่ของรูร์กัสและแร็กนาร์  เธอชื่อว่า “ริเรน่า” เป็นชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เธอจึงรู้ปัญหาในเรื่องนี้ดี อยากจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเหล่าเด็กน้อยที่ถูกขาย และทารุณอย่างไร้ความปราณี แต่เธอไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวคนเดียว
เมื่อเธอแต่งงานกับชายอันเป็นที่รัก “รูเฟรียส” เธอก็โน้มน้าวจนเข้าพาเธอย้ายมาอยู่ที่เขตชายแดน  แม้ครอบครัวของทั้งสองจะคัดค้าน หรือห้ามเพียงใด ถึงขั้นขู่จะตัดออกจากวงศ์ตระกูล เธอและเขาก็ไม่สนใจ จนในที่สุดความปรารถนาของเธอก็เป็นจริง ทั้งสองย้ายมาสร้างบ้านที่ขนาดไม่ใหญ่มากนักที่ใกล้ๆกับเขตชายแดน

            เธอตัดสินใจที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็กๆน้อยๆก่อน นั่นคือการช่วยเหลือและให้ความรู้แก่พวกเด็กที่เป็นลูกครึ่ง ตอนนั้นสำหรับพวกเด็กๆที่ได้รับการช่วยเหลือมองเธอเป็นพระแม่ที่แสนมีเมตตา พวกพ่อค้าทาสเองก็ไม่กล้าเข้าไปจับตัวเด็กในชุมชนที่เธอเข้าไปช่วยเหลือ เพราะเกรงกลัวอำนาจของชนชั้นสูง

            เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ใจปรารถนา และได้ให้กำเนิดทารกน้อยสองคน ที่มาอายุห่างกันแค่ 1 ปี รูร์กัส กับรูซ ลูกชายตัวน้อยๆที่น่ารักของเธอ ครอบครัวของเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจนกระทั้ง เมื่อตอนที่รูร์กัสมีอายุได้ 4 ขวบ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตที่เธอวาดฝันไว้จบลง...


To Be Continued...
   


___________________________________________

มาลงตอนที่ 2 แล้วค่ะ ผิดพลาดประการใดติชมกันได้นะคะ
ฝากตัวด้วยจ้าาา :impress:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 2 เรียนรู้
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 29-07-2016 15:47:29
ชอบบบบบบบบ ห้ามดองงง หาอ่านยากเกิ๊นแฟนตาซีแบบนี้
ห้ามดองนะ ย้ำ เออ มีคำผิดด้วย.คนเขียนลองอ่านทวนๆเอานะ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 2 เรียนรู้
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 29-07-2016 18:18:59
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 2 เรียนรู้
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 04-08-2016 17:05:49
ลองตรวจดูแล้ว เจอคำผิดเยอะเลยค่ะ  ถ้าพบอีกบอกเราด้วยนะคะ   ขอบคุณค่าาา

อีกสักพักตอนที่ 3 จะมาค่ะ รอหน่อยน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 3 เรื่องราว(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 04-08-2016 18:05:37
ตอนที่  3
เรื่องราว


        ในแดนมนุษย์นอกจากการแบ่งธาตุและสีผมแล้วมนุษย์ยังมีการแบ่งชนขั้นการปกครองเป็น กษัตริย์  ราชวงศ์ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง และทาส สิทธิพิเศษสำหรับผู้มีธาตุสายฟ้าคือจะถูกเลื่อนขั้นเป็นราชวงศ์โดยไม่มีข้อแม้ใดๆรวมทั้งพวกลูกครึ่งที่มีพลังด้วย
   
        กษัตริย์  ผู้มีอำนาจสูงสุดในทุกๆด้าน  ซึ่งปกครองชนชั้นต่างๆในอาณาจักรของตน   กษัตริย์อาศัยอยู่ในเมืองศูนย์กลางของจักรวรรดิโรฮัน

        ราชวงศ์ มีอำนาจปกครองรองจากกษัตริย์เท่านั้น  ราชวงศ์คือผู้ดูแลอาณาจักรน้อยใหญ่ที่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิโรฮัน ราชวงศ์จะเป็นตระกูลเก่าแก่  ทุกคนต่างช่วงชิงกันที่จะเป็นกษัตริย์  และปกครองเมืองต่างๆ ที่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิ นอกจากนี้ยังมีการแต่งงานกันในเครือญาติเพื่อรักษาสายเลือดที่ทรงพลัง

        ชนชั้นสูง เป็นพวกขุนนาง หรือข้าราชการระดับสูง เป็นผู้มีปากมีเสียงในสภาสูง มีหน้าที่ดูแลหน่วยย่อยลงมาของอาณาจักรต่างๆ รวมถึงมีอำนาจทางการทหารด้วย

        ชนชั้นกลาง มีสิทธิเรียนในสถานศึกษาเช่นเดียวกับพวกชนชั้นสูงและราชวงศ์ มีสิทธ์เป็นนายทหาร ข้าราชการเล็กๆ มีสิทธิเช่นคนธรรมดาสามัญ รวมถึงพวกที่ทำอาชีพค้าขายด้วย

         ชนชั้นล่าง คือพวกเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา มีโอกาสได้เรียนหากแสวงหา แต่อาจโดนชนชั้นอื่นๆดูถูกได้

         ทาส  คือ   ลูกครึ่งมนุษย์และปีศาจ  ไร้พลัง  ถูกใช้งานอย่างหนัก  และไม่มีกฎใดๆคอยคุ้มครอง

         ในโลกใบนี้ผู้มีพลัง และผู้ไร้พลังจึงถูกปฏิบัติแตกต่างกันอย่างชัดเจน 

         .
 
         .

         .

         ริเรน่าเป็นชนชั้นสูงของตระกูล  ‘นารอฟ’  ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองศูนย์กลางของจักรวรรดิโรฮัน เมื่อมีอายุได้ 20 ปี เธอได้ก็ได้แต่งงานกับ “รูเฟรียส คูฟฟ์” ซึ่งเป็นเพียงชนชั้นกลาง แม้ชนชั้นจะต่างกัน แต่ด้วยนิสัยที่แน่วแน่ไม่มีทางจะเปลี่ยนใจของเธอ และด้วยความรักของคนทั้งคู่จึงทำให้สู้ฝ่าฟันอุปสรรคในเรื่องชนชั้นไปได้

         เธอซึ่งตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงจักรวรรดิโรฮันในเรื่องของทาสลูกครึ่งมนุษย์และปีศาจ เธอเกลี่ยกล่อมคนรักอยู่นานจนในที่สุดเขาก็ยอมช่วยเธอหนีออกมาจากครอบครัวของเธอมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองรูสม่า เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ติดกับเขตชายแดนซึ่งกั้นระหว่างแดนมนุษย์และปีศาจ

         เธอใช้ชีวิตที่แสนสงบสุขอยู่ที่นั่น กับสามีและลูกน้อยอีก 2 คน แล้ววันนี้ก็เป็นอีก 1 วันที่เธอจะเข้าไปยังหมู่บ้านของลูกครึ่งมนุษย์ที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เพื่อสอนหนังสือ  และดูแลรักษาอาการป่วยไข้ของเด็ก

         หมู่บ้านแห่งนี้ผู้อาศัยมีเพียงเด็กๆเท่านั้น เพราะเมื่อโตพอที่จะใช้งานได้ก็จะถูกพ่อค้าทาสจับตัวไป เธอจึงพยายามช่วยเหลือทุกด้านเท่าที่จะทำได้

         วันนี้ริเรน่า และลูกชายคนโต “รูร์กัส คูฟฟ์” เด็กน้อยวัย 4 ขวบ ได้เข้าไปในหมู่บ้านเพียง 2 คน ส่วนรูเฟรียสคนรักของเธอ  และรูซลูกชายคนเล็กวัย 3 ขวบ วันนี้ไม่ได้มาด้วยเพราะต้องเข้าไปซื้อยา  อาหาร และของใช้จำเป็นมาตุนเอาไว้  เพราะของที่มีอยู่ใกล้หมดแล้ว

         พวกเด็กๆเข้ามาต้อนรับเธอดังเช่นทุกครั้ง  เธอเป็นที่รักของเด็กๆเสมอ   และเพราะเธอสอนหนังสือให้กับเด็กๆ เด็กๆจึงนับถือเธอเป็นอาจารย์ ส่วนรูร์กัสเองก็จะมาเล่นกับลูกครึ่งที่อยู่ในวัยเดียวกัน
   
         วันนี้ควรจะเป็นวันที่แสนสงบสุขดังเช่นทุกวัน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
   
         ในช่วงสายของวัน ริเรน่ากำลังสอนหนังสือให้เด็กๆในลานกว้าง  มีหลังคามุงจากกระเบื้องขนาดใหญ่  ซึ่งเธอสร้างไว้กันแดดกันฝนเวลาที่มาสอนหนังสือให้เด็กๆ
   
         ในขณะนั้นเองเธอก็ได้กลิ่นคราวเลือด   ด้วยความสามารถของธาตุลม ทำให้เธอได้กลิ่นของเลือดที่ลอยมาตามลม  แม้จะอยู่ไกลออกไปก็ตาม
   
          “เด็กๆนั่งรออยู่ที่นี่ก่อน   เดี๋ยวอาจารย์มา ...เรย์ นาฟ ไปกับเราหน่อย”  ริเรน่าเอ่ยขอ เด็กหนุ่มอายุ 18  ปี ซึ่งอายุมากที่สุดในบรรดาเด็กทั้งหมดในหมู่บ้าน เพราะอายุไม่ห่างกันมากจึงทำให้ริเรน่าทำตัวอย่างเป็นกันเองกับทั้งสองมากกว่าเด็กคนอื่นๆ 

          เธอตัดสินใจโดยไร้ความลังเล และเพราะความเมตตาที่มากเกินไปของเธอ  จึงไม่ทันระวังสิ่งที่จะตามมาให้ภายภาคหน้า
ริเรน่าให้เด็กทั้งสองวิ่งตามเธอเข้าไปในป่าซึ่งต้องข้ามเขตแดนไปยังแดนปีศาจ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งรุนแรงมาขึ้น เมื่อเธอข้ามแดนไป พอไปถึงต้นเหตุของกลิ่นคาวนั้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ   ปีศาจเพศชายที่ทั่วทั้งร่างถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงน่าสะพรึง ไม่รอช้าเธอรีบเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง  ใช้มือบางกดวัดชีพจรบนข้อมือของปีศาจหนุ่ม เขายังไม่ตาย เธอจึงให้เด็กทั้งสองช่วยกันเคลื่อนย้ายปีศาจหนุ่มไปยังหมู่บ้าน

          ในตอนแรกนั้นเด็กทั้งสองห้ามปรามไม่ให้เธอช่วยเหลือปีศาจ แต่เธอก็ดื้อดึงเกินกว่าจะฟังใคร เด็กทั้งสองจึงต้องจำยอมพาปีศาจตนนั้นเข้าไปในหมู่บ้าน

          ริเรน่าให้เด็กทั้งสองพาปีศาจหนุ่มเข้าไปรักษาตัวในบ้านหลังเล็ก ที่ข้างในมีเพียงเตียงนอน และเก้าอี้ 1 ตัวเท่านั้น ห้องนี้เธอใช้สำหรับให้ลูกๆของเธอนอนพักผ่อนเวลาพามาเล่นที่หมู่บ้าน จากนั้นเธอก็จัดการเช็ดตัว และทำแผลให้ปีศาจหนุ่มจนเสร็จเรียบร้อย

           ริเรน่านั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงพรางมองสำรวจปีศาจหนุ่มตรงหน้า นอกจากเลือดสีแดงที่ท่วมกายแล้ว สีผมของปีศาจตนนี้ก็เป็นสีแดงเลือดไม่ต่างกัน เธอคาดเดาว่าสีตาเองก็คงจะเป็นสีแดงเช่นกัน ถึงแม้ตอนนี้จะคงรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่ลักษณะภายนอกที่เห็นนั้น เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์ไม่ผิดแน่ ร่างกายเองก็มีขนาดใหญ่โตกำยำเกินมนุษย์ซึ่งเป็นบุรุษเพศ

           สำหรับเธอแล้วปีศาจตนนี้งดงามไม่น้อย ถึงแม้เธอจะไม่เคยเห็นปีศาจก็ตามที แต่ถ้าเป็นมนุษย์คงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวอย่างเหลือล้น ถึงแม้เธอเองจะมีคนรักอยู่แล้ว ก็อดที่จะหวั่นไหวก็รูปลักษณะตรงหน้าไม่ได้

            .

            .
   
            .

            พรึ่บ!

            ปีศาจหนุ่มลืมตาขึ้นมามองรอบข้างอย่างสำรวจ เขานอนอยู่บนเตียงขนาดพอดีตัว ให้ห้องสีขาวสะอาด ข้างเตียงเองก็มีเพียงเก้าอี้ตัวเล็ก 1 ตัววางอยู่เท่านั้น

            แกร็ก

            เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามราวกับถูกเทพสวรรค์สรรสร้าง ช่างเข้ากับร่างกายอรชรสมส่วนนั่นเสียนี่กระไร เธอเปิดประตูเข้ามาแล้วชะงักมองเขาเล็กน้อย

            “ท่านฟื้นแล้ว...ร่างกายเป็นเช่นไรบ้างคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานที่แสดงถึงความอ่อนโยนและห่วงใยเอ่ยออกมา พร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่ดูจริงใจ จากนั้นก็เดินเข้ามาวางถาดอาหารบนที่ว่างบนเตียงนอน แล้วยกมือบางขึ้นมาทาบทับบนหน้าผากของเขาด้วยความนุ่มนวล เพื่อวัดอุณหภูมิของร่างกาย

            ปีศาจหนุ่มมองใบหน้าของเธอไม่วางตา เขาถูกใจเธอไม่น้อย ในใจของเขาเองก็ร่ำร้องอยากครอบครองผู้หญิงคนนี้

            “มีอะไรติดหน้าข้าอย่างนั่นหรือท่านปีศาจ” ริเรน่าเอ่ยออกมาเมื่อวัดอุณหภูมิร่างกายให้ปีศาจหนุ่มเสร็จ ร่างกายของปีศาจช่างน่าอัศจรรย์ การฟื้นฟูที่รวดเร็วกว่ามนุษย์ ทำให้เลือดหยุดไหลซึมออกมาแล้ว ร่างกายที่ร้อนผ่าวในตอนแรกก็กลับเป็นปกติแล้วเช่นกัน

            เมื่อเธอตรวจร่างกายของปีศาจหนุ่มเสร็จ จึงได้สังเกตว่าปีศาจตนนี้กำลังจ้องหน้าเธออยู่ ถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายของแววตาที่สื่อออกมา แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง

            “มาเป็นผู้หญิงของข้าเถอะนะ” ปีศาจหนุ่มไม่ตอบคำถามของริเรน่า แต่เอ่ยความต้องการของเขาออกมาด้วยเสียงแหบพร่า

             “ท่านล้อข้าเล่น?” ริเรน่าถามด้วยความสงสัย ถึงแม้เธอจะคิดในแง่ดีว่าปีศาจตนนี้สติฟั่นเฟืองหรือไม่ก็เพียงล้อเล่นกับเธอ แต่เธอก็แอบหวั่นใจไม่ได้

             “ข้าพูดจริง” ปีศาจหนุ่มมองจ้องไปที่ดวงตาของริเรน่าเพื่อยืนยันในคำพูดของตน

             “ข้อคงต้องขอปฏิเสธ” ริเรน่าเองก็จ้องตากลับไปอย่างไม่หลบหลีกด้วยความจริงจังไม่แพ้กัน เธอคิดว่าการยืนยันอย่างจริงๆนี้ คงจะได้ผลกับปีศาจตรงหน้ามากกว่ามามัวอธิบาย

             “ทำไม” เสียงแห่งความไม่พอใจดังขึ้น แล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาดุดันมากยิ่งขึ้น ทำให้ริเรน่าเองเริ่มหวาดกลัวปีศาจตนนี้

             “ข้ามีคนรัก และลูกๆอีก 2 คน นี่คงเป็นเหตุผลที่มากพอที่ข้าจะปฏิเสธท่านได้ ใช่หรือไม่”ถึงในใจจะหวั่นกลัว แต่เธอก็ไม่คิดจะหลบสายตา ยังคงมองต้องกลับด้วยสีหน้าแน่วแน่จริงจัง

             เธอไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งทำให้ปีศาจหนุ่มถูกใจตัวเธอมากขึ้นไปอีก  ในตอนแรกเขาถูกใจเพียงรูปร่างหน้าตา แต่ตอนนี้เข้าถูกใจนิสัยที่เด็ดเดี่ยว และจริงจังของเธอเป็นอย่างยิ่ง ใครจะคิดเล่าว่าในรูปร่างที่บอบบางของหญิงสาวตรงหน้าจะแฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง เกินกว่ามนุษย์คนไหนที่เขาเคยพบเจอมา มันทำให้เขายิ่งต้องการครอบครองเธอ โดยไม่สนใจเหตุผลใดๆ

              “ไม่! เจ้าต้องเป็นของข้า!” เสียงตะหวาดที่ดังก้องออกไปให้ได้ยินทั้งหมู่บ้าน ทำให้เด็กๆต่างแตกตื่นตกใจ บ้างวิ่งตามหาต้นเสียง บ้างรีบหาที่หลบซ่อน ขนาดข้างนอกยังเกิดความแตกตื่นจนเกิดความโกลาหล แล้วคนที่นั่งอยู่ด้านใน อยู่ตรงหน้าปีศาจร้ายจะไม่เกิดความหวาดกลัวได้อย่างไรเล่า 

              ริเรน่าหยุดชะงักด้วยความกลัวเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติได้แล้วลุกวิ่งไปเปิดประตูออกไปด้านนอก ตอนนี้ในใจของเธอรู้แค่ว่าไม่อยากอยู่ในห้องเพียงลำพังกับปีศาจตนนี้  เธอช่างโง่เขลายิ่งนักที่คิดว่าปีศาจจะฟังเหตุผลของเธอ ช่างโง่เขลาที่พา
ปีศาจร้ายเข้ามารักษาตัวในหมู่บ้าน ถ้าเธอเชื่อคำเตือนนั่นสักนิด  คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

              เมื่อเธอวิ่งออกมาด้านนอกเธอก็เห็นรูร์กัส และเด็กคนอื่นๆต่างหลบอยู่ในบ้านและมองมาที่เธอด้วยความวิตกกังวล ตอนนี้ความเป็นห่วงพวกเด็กๆเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัวเสียเกือบหมด เธอตั้งสติแล้วหันไปเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายตนนั้นอีกครั้ง

              “เด็กๆเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูซะ ห้ามออกมาออกมาจนกว่าอาจารย์จะเรียก!”  ริเรน่าเอ่ยเสียงดัง ซึ่งเธอไม่เคยใช้น้ำเสียงนี้ต่อหน้าพวกเด็กๆมาก่อน ทำให้เด็กๆต่างตกใจกลัวมากขึ้น บางคนยอมปิดแต่โดยดี แต่บางคนก็ยังเปิดประตูอยู่เพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้า  พวกเขาเป็นห่วงอาจารย์จึงทำใจปิดหูปิดตาไม่รับรู้สิ่งใดไม่ได้

              รูร์กัสที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกับ เรย์และนาฟ ก็ไม่ได้ปิดประตูแต่อย่างใด ยังคงเฝ้ามองผู้เป็นแม่ด้วยความเป็นห่วง

              “หึหึ” ปีศาจร้ายหัวเราะอย่างเยือกเย็น แล้วจ้องมองไปที่ริเรน่า ตอนนี้เขารู้จุดอ่อนของเธอแล้ว เขาคิดบางอย่างออก แต่ยังต้องทดสอบอีกเล็กน้อย รอยยิ้มอย่างมีชัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที ก่อนที่จะค่อยๆเดินเข้าไปหาริเรน่า เขาเดินย่างก้าวอย่างใจเย็น พร้อมแผ่รังสีแห่งการฆ่าฟันปกคลุมไปทั่วร่างอย่างพอเหมาะ เขาไม่อยากคุกคามเธอมากเกินไป

              ถึงแม้จะเป็นการแผ่รังสีฆ่าฟันที่เล็กน้อยสำหรับปีศาจ แต่กับริเรน่าและเด็กๆมันก็มากพอที่จะทำให้รู้ว่าปีศาจตนนี้น่ากลัวมากแค่ไหน ริเรน่าตระหนักถึงเรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร เพราะเพียงไม่กี่ชั่วยามบาดแผลมากมายบนร่างกายใหญ่โตนี้ก็เหลือเพียงร่องรอยของบาดแผลเท่านั้น มันบ่งบอกถึงพลังที่แฝงอยู่ของปีศาจร้ายตนนี้

              ทุกย่างก้าวที่เดินเข้ามาหาริเรน่านั้นช่างกดดัน พวกเด็กๆที่จ้องมองอยู่บางคนถึงกลับร้องไห้ออกมาเพราะทนความกดดันนี้ไม่ไหว มันยิ่งทำให้เธอกลัว กลัวว่าปีศาจตนนี้จะทำร้ายพวกเด็กๆ

              ริเรน่าตัดสินใจที่จะสู้เพื่อปกป้องพวกเด็กๆ เธอรวบรวมสายลมรอบด้านเข้ามาเป็นเกราะอยู่รอบกาย เพื่อความสะดวกในการควบคุมพลังให้ทันท่วงที สายตาของเธอเองก็จับจ้องปีศาจร้ายอย่างไม่วางตา

              ด้านปีศาจหนุ่มเองก็ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด ยังคงเดินเข้าไปหาริเรน่า อย่างไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ทั้งสองยังคงจ้องหน้ากันอย่างแน่วแน่ ไม่มีใครยอมสยบต่ออีกฝ่ายก่อน

             ...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 3 เรื่องราว(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 04-08-2016 18:13:07
              ...     
       
              พรึ่บ!

              “อย่าทำอะไรท่านแม่นะ!” ร่างเล็กของเด็กน้อยรูร์กัสวิ่งเข้าไปขวางตรงหน้าของปีศาจหนุ่ม หวังจะช่วยเหลือแม่ของตน บนหน้าของเด็กน้อยมีคราบน้ำตาที่เช็ดออกอย่างลวกๆหลงเหลืออยู่ รูร์กัสกลัวปีศาจตนนี้จับใจ แต่ก็กลัวท่านแม่ถูกทำร้ายมากกว่า การกระทำนี้สร้างความตกตะลึกให้ทั้งสองไม่น้อย

              “หึหึ นี่ลูกของเจ้าสินะ ช่างเหมือนเจ้าซะจริง” ปีศาจหนุ่มยกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ แล้วเดินเข้าไป ยื่นมือหนาหมายจะจับตัวของรูร์กัส

              “หยุดนะ” ริเรน่าร้องห้ามปีศาจร้าย แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเสียงของเธอเลย ความกลัวบังเกิดมากล้น เธอกลัวเหลือเกินว่าปีศาจตนนี้จะทำร้ายลูกของเธอ เธอจึงรวบรวมพลังลมที่อยู่รอบตัวให้เป็นกลุ่มก้อนบนฝ่ามือทั้งสอง แล้วเพิ่มแรงบีบอัดอากาศรอบด้านก้อนพลังนั้น จนกลายเป็นกระสุนอากาศขนาดย่อม เธอเล็งไปที่ตัวของปีศาจอย่างแน่วแน่ ไร้ซึ่งความลังเล เพราะถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวลูกน้อยของเธออาจจะบาดเจ็บได้ เมื่อเล็งจนได้ตามที่ใจต้องการแล้ว เธอก็ปล่อยพลังออกไป

              ฟุ่บ!ปึก!...ปึ้ง!

              เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่าปีศาจหนุ่มจะทันระวัง เพราะมัวแต่สนใจเด็กน้อยตรงหน้า ทำให้กระสุนอากาศที่ปล่อยออกมากระแทกใส่ที่ลำตัวอย่างจัง จนกระเด็นไปชนกับผนังบ้านหลังเล็กที่มันพึ่งเดินออกมา

              “รูร์กัส” เมื่อเห็นว่าปีศาจหนุ่มกระเด็นออกไปแล้ว ริเรน่าจึงวิ่งเข้าไปกอดรูร์กัสเอาไว้ รูร์กัสเองก็ปล่อยโฮออกมาทันที่เมื่อรับรู้ถึงไออุ่น เด็กน้อยหวาดกลัวจับใจ แต่ก็ฝืนเก็บมันไว้ แต่ตอนนี้เขาเก็บมันไว้ไม่ไหวแล้ว

              “ท่านแม่ ฮึก ฮือออ ท่านแม่” รูร์กัสได้แต่พร่ำร้องเรียกแม่ของตน ริเรน่าเองก็กอด และพูดปลอบโยนลูกชายอยู่ไม่ห่าง
ทั้งสองกอดปลอบกันโดยไม่ได้สนใจปีศาจหนุ่มที่ลุกขึ้นมานั่งมองพวกเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง บนร่างกายนั้นไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ ปีศาจหนุ่มไม่ได้ตอบโต้สิ่งใด มันไม่ต้องการให้ร่างกายที่แสนบอบบางของหญิงสาวมีบาดแผล มันจึงคิดอย่างหนักที่จะทำให้หญิงสาวจำยอมไปกับมันแต่โดยดี

              ปีศาจหนุ่มกลัวว่า หากเกิดการต่อสู้ขึ้น มันจะพลั้งมือสังหารเธอลงได้ เพราะเมื่อเริ่มต่อสู้เลือดในกายของมันจะเดือดพล่าน มองเห็นเพียงศัตรูเท่านั้น นั่นเป็นเหตุที่ก่อนหน้านี้ร่างกายเขาสะบักสะบอมจากการถูกทำร้าย  สหายของเขาต่างช่วยกันหยุดไม่ให้เขาอาละวาด จึงต้องรุมทำร้ายอย่างไม่ออมมือ โดยไม่ต้องคำนึงถึงอาการบาดเจ็บ เนื่องจากร่างกายของเขาฟื้นฟูได้เร็วกว่าปีศาจทั่วๆไป

              ถ้าการต่อสู้เกิดขึ้นจริงหมู่บ้านแห่งนี้คงราบเป็นหน้ากอง ปีศาจหนุ่มจึงพยายามใจเย็น ละทิ้งความโกรธเกรี้ยวต่อหญิงสาว เมื่อจุดอ่อนของเธอคือจิตใจที่เมตตา มันจึงเลือกวิธีการใช้เด็กๆเป็นเครื่องมือ

              ปีศาจหนุ่มยืนขึ้นแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น แต่คราวนี้ไม่ได้เดินตรงไปที่ที่ริเรน่าอยู่ มันเดินไปบ้านหลังใหญ่ที่มีเด็กๆหลายคน ยืนเกาะกุมขอบประตูมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ เด็กๆชะงักงันตกใจกลัวที่ปีศาจเดินเข้าไปหาพวกตน พากันวิ่งหนีเข้าไปหลบในมุมต่างๆภายในตัวบ้าน แม้จะอยู่ห่างกัน แต่เพียงชั่วพริบตา  ปีศาจร้ายก็ปรากฎตัวในบ้านเสียแล้ว

              “อ้าก!!! ปล่อยข้าๆ ท่านอาจารย์ช่วยด้วย” เด็กคนหนึ่งถูกมือหนาคว้าไปที่ต้นคอ แล้วยกขึ้น เด็กน้อยพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของตน ริเรน่าเองเมื่อได้ยินเสียงดังโวยวายก็คลายความสนใจจากลูกน้อยมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าแทน

              “หยุดนะ!” ริเรน่าตะโกนสุดเสียงด้วยความโกรธ ตอนนี้เธอแทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว ปีศาจร้ายช่างชั่วช้า ทำร้ายได้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆนั่น สายลมรอบตัวก็พัดแรงขึ้นด้วยแรงอารมณ์ สายตาจ้องเขม็งไปที่ปีศาจตนนั้น

              “ฮึกๆ...อึก ปล่อย...ช่วย...ด้วย” เด็กน้อยที่กำลังกอบโกยอากาศหายใจ พร้อมทั้งร้องขอความช่วยเหลือ มีสีหน้าที่แสนทรมาน ใบหน้าเองก็แดงก่ำ เพราะขาดอากาศหายใจ เสียงสะอื้นไห้ก็ดังออกมาขาดๆหายๆ ดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก หากไม่รีบช่วย เด็กน้อยต้องขาดอากาศตายแน่อย่างแน่นอน

              “ถ้าอยากให้ข้าหยุด...ก็ไปกับข้าซะ!”  ปีศาจหนุ่มเอ่ยประโยคแรกด้วยเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะตะหวาดดังก้องขึ้นพร้อมส่งสายตากดดันไปที่ริเรน่า

              เด็กๆที่มองดูเหตุการณ์แม้จะหวาดกลัวแต่ก็วิ่งออกมาแล้วเข้าไปกอด เข้าไปดึง ขวางไม่ให้ริเรน่าไปกับปีศาจร้าย

              “ไม่”

              “อย่านะ”

              “ไม่เอา”

              “อย่าไป”

              “ฮืออออ”

              “ไม่นะท่านแม่ ฮือออ”

              เสียงร้องไห้ งอแง และเสียงห้ามดังขึ้นอย่างเจื้อยแจ้ว แม้รูร์กัส และเด็กคนอื่นจะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็พอจะเดาได้ว่า ปีศาจที่แสนน่ากลัวนี้กำลังจะพรากหญิงสาวไปจากพวกเขา เด็กๆจึงขัดขวางอย่างเต็มที่

              เหตุการณ์นี้สร้างความขุ่นมัวให้ปีศาจหนุ่มไม่น้อย มันจึงเพิ่มแรงบีบที่คอของเด็กน้อยมากขึ้น

              “อั๊ก...อึก” ร่างเด็กน้อยบิดเกร็งด้วยความทรมาน ใบหน้าเหยเกบิดเบี้ยว เสียงที่ส่งออกมาก็ติดขัด เพราะขาดอากาศหายใจ

              “หยุด พวกเจ้าปล่อยข้า!” ภาพตรงหน้าแทบจะทำให้ริเรน่าทนไม่ได้ เธอจึงตวาดก้องให้พวกเด็กๆปล่อยมือจากตัวเธอ พวกเด็กๆเองก็ตกใจจนเสียงที่ร้องไห้งอแงอย่างเซ็งแซ่นั้นเงียบลง

              “ข้าจะไปกับท่านเอง...เพราะฉะนั้นปล่อยเด็กคนนั้นเถอะ แล้วท่านก็ต้องสัญญากับข้าด้วย ว่าจะไม่แตะต้องเด็กๆอีก...แม้แต่ปลายนิ้ว!” ริเรน่าเอ่ยด้วยเสียงที่แน่วแน่ และจริงจังดูทรงพลังเกินกว่าหญิงสาวทั่วไป ปีศาจหนุ่มเองก็ยกยิ้มอย่างยินดีเขาวางเด็กน้อยลงไปนอนบนพื้นแล้วคลายมือออก สายตาก็มองริเรน่าอย่างผู้ชนะ

              “ไม่นะท่านแม่ ข้าไม่ให้ไป ฮือๆๆๆ” รูร์กัสเข้าไปกอดริเรน่าที่ยืนอยู่ แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาไม่อยากสูญเสียแม่ไป ริเรน่ารู้ดีว่าการทิ้งลูกๆไว้ให้คนรักเลี้ยงตามลำพังไม่ใช่เรื่องที่จะอภัยให้ได้ง่ายๆ แต่เธอทนให้เด็กตัวเล็กตายต่อหน้าไม่ได้ ถึงแม้จะทุกข์ทรมาน ขอแค่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว ริเรน่านั่งลงกอดตอบลูกชายก่อนจะจับใบหน้าเล็กให้มองตาของเธอ

              “รูร์กัสฟังแม่นะ ถ้าชีวิตหนึ่งชีวิตสามารถช่วยชีวิตคนมากมายไว้ได้ มันก็มีค่ามากพอแล้วมิใช่หรือ ถ้าแม่ไม่ยอม ลูกและเด็กคนอื่นๆก็ต้องถูกทำร้ายอีก  เจ้าเข้าใจใช่ไหมรูร์กัส” เสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกลูกชายให้เข้าใจในสิ่งที่ตนตัดสินใจ แม้จะยังเด็กแต่ริเรน่าเชื่อว่าต่อให้ไม่เข้าใจตอนนี้ เมื่อโตขึ้นรูร์กัสก็จะเข้าใจเอง เธอสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเก็บความเสียใจ ก่อนจะเอ่ยต่อไป

              “แม่ฝากเจ้าบอกกับพ่อและรูซด้วยว่า อย่าได้โทษ หรือโกรธเคืองใครเลย เพราะคนที่ตัดสินใจเลือกทางนี้คือแม่เอง” กล่าวจบริเรน่าก็ผละออกแล้วยืนขึ้น แม้จะเสียใจมากเพียงใด แต่เธอขอรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่ตนก่อขี้นเอาไว้เอง

              “แต่ท่านแม่ ข้า...”

              “เรย์ นาฟ จับรูร์กัสไว้ซะ แล้วก็ดูแลน้องๆด้วย...พวกเจ้าคงเข้าใจข้านะ” ริเรน่าไม่อาจทนฟังเสียงของลูกชายได้อีก ถ้าได้ฟังอีกนิดเธอคงต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ ใช่ว่าเธอจะเข้มแข็งในทุกเรื่องเสียเมื่อไหร่ เธอก็ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ที่มีช่วงเวลาที่อ่อนแอบ้างเป็นปกติ ริเรน่าจึงเรียกให้คนที่เธอคิดว่าเข้าใจทุกอย่างได้ดีกว่าคนอื่นช่วยจัดการเรื่องต่อจากนี้

              “ครับ ท่านอาจารย์!” สองเสียงสอดประสานตอบรับคำอย่างฉับไวแทบจะไม่ต้องคิด เพราะทั้งสองเข้ามายืนอยู่ด้านหลังริเรน่าตั้งแต่รูร์กัสวิ่งออกมาแล้ว เพียงแต่ยืนเฉยๆเพื่อรอคำสั่งจากริเรน่าเท่านั้น พวกเขาโตพอที่จะเข้าใจว่านี่เป็นทางออกเดียวที่พวกเขามี มิเช่นนั้นเด็กทั้งหมู่บ้านอาจถูกปีศาจสังหารจนหมดสิ้น

               เรย์เข้าไปจับตัวของรูร์กัสที่ดิ้นรนพยายามจะเข้าไปหาแม่ของตน ส่วนนาฟก็เข้าไปจับตัวของน้องๆที่พยายามยื้อยุดริเรน่าไว้
               
               เมื่อคลายสถานการณ์เรียบร้อยแล้ว ริเรน่าก็เดินเข้าไปหาปีศาจหนุ่มแล้วไม่หันกลับมามองเด็กๆอีก เธอไม่อยากให้เด็กๆเห็นใบหน้าที่เคล้าน้ำตาของเธอตอนนี้ และเหมือนปีศาจหนุ่มจะเข้าใจเธอ  เขาจึงเข้ามาอุ้มตัวเธอพาดบ่าด้วยแขนข้างเดียว แล้ววิ่งหายไปในป่ามุ่งตรงไปยังแดนปีศาจอย่างรวดเร็ว

               .

               .

               .

               หลังจากเหตุการณ์นั้นรูเฟรียส และรูซ ที่รู้เรื่องจากคำบอกเล่าของเรย์ เพราะรูร์กัสไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะพูดอะไรได้  ทั้งสองต่างก็โกรธเกี้ยวปีศาจเป็นอย่างมาก รูเฟรียสที่เอาแต่โทษตัวเอง และก่นดาปีศาจ ก็เริ่มคิดย้อนไปในอดีต ยิ่งพลางทำให้เริ่มที่จะเกลียดชังพวกลูกครึ่ง ที่เป็นสาเหตุของทุกๆเรื่อง

               พวกลูกครึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ริเรน่าทิ้งความสุขสบายมาใช้ชีวิตที่ยากลำบากที่นี่ ทั้งยังถูกตัดออกจากตระกูลไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีกแล้ว ทั้งยังมาเป็นต้นเหตุให้ริเรน่าสละตัวเพื่อช่วยชีวิตพวกมันอีก รูเฟรียสที่เอาแต่เมามายได้แต่ก่นด่า
พวกลูกครึ่งหนักขึ้นทุกวัน จนทำให้รูซวัย 3 ขวบ จดจำและเกลียดชังพวกลูกครึ่งไปด้วย

               มีเพียงรูร์กัสเท่านั้นที่ไม่คิดโกรธเคืองใคร หลังจากร้องไห้อยู่นานหลายชั่วโมง เขาก็ทบทวนสิ่งที่แม่บอกอยู่ซ้ำๆจนเข้าใจในที่สุด เขาจึงทำตามคำสั่งของแม่ที่ไม่ให้เขาโกรธแค้นใคร รูร์กัสพยายามอธิบายเรื่องต่างๆและคำสั่งเสียของริเรน่าให้พ่อและน้องเข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครฟังเขาเลยสักคน

               รูเฟรียสเลิกช่วยเหลือลูกครึ่งในหมู่บ้าน รวมทั้งสั่งห้ามไม่ให้ลูกๆของตนเข้าไปช่วยเหลือหรือยุ่งเกี่ยวกับพวกลูกครึ่งอีก แต่รูร์กัสก็ยังหาโอกาสหลบออกไปเยี่ยมเด็กๆที่หมู่บ้านอยู่เสมอ

               หนึ่งปีผ่านไปหลังจากเหตุการณ์นั้นสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อริเรน่ากลับมาที่บ้านของเธอ แต่เธอไม่ได้มาคนเดียว ริเรน่าอุ้มเด็กชายร่างเล็กวัยแบเบาะมาด้วย เด็กน้อยเป็นลูกครึ่งมนุษย์  เธอตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า “แร็กนาร์”

               เมื่อเธอเจอกับคนรักและลูกๆเธอก็ไม่ยอมเล่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ปีที่หายไปให้ฟัง เธอบอกเพียงว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเธอ และเธอถูกปล่อยตัวมา ริเรน่าขอโทษสามี และขอโอกาสให้เธออยู่ร่วมกับเขาอีกครั้ง รูเฟรียสไม่รอช้าเขาให้อภัย และให้เธอกลับมาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง แม้ในใจจะยังรังเกียจเด็กน้อยลูกครึ่งอยู่ก็ตามที

               พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ริเรน่าเองก็กลับไปช่วยเหลือเด็กๆในหมู่บ้านอีกครั้ง เพราะรูเฟรียสไม่ได้ห้ามอะไร จนเวลาล่วงเลยไป เด็กน้อยแร็กนาร์อายุได้ 3 ขวบ ก็มีโรคระบาดเกิดขึ้นในเขตชายแดน ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเด็กๆในหมู่บ้านด้วย  ริเรน่าพยายามหาทางรักษาพวกเด็กๆและนั่นก็เป็นสาเหตุให้เธอติดโรคนี้ไปด้วย

               คำขอร้องก่อนสิ้นใจของเธอคือ “ได้โปรดอย่ารังเกียจแร็กนาร์เลยรูเฟรียส ช่วยดูแลลูกต่อไปด้วย ข้ารักท่าน...รูเฟรียส” ริเรน่าตระหนักดีว่ารูเฟรียสรู้สึกรังเกียจลูกครึ่งมากแค่ไหน เธอจึงได้เอ่ยขอก่อนที่จะสิ้นใจ เธอกลัวเหลือเกินว่ารูเฟรียสจะทำเรื่องโหดร้ายกับลูกชายคนเล็กของตน

               รูเฟรียสเองก็รับคำของริเรน่าแต่โดยดี แต่ยิ่งเวลาผ่านไปไฟแห่งความแค้นก็ยิ่งสุมใจมากขึ้นเท่าทวีคูน เขาเริ่มทำร้ายร่างกายของแร็กนาร์ ระบายความโกรธทั้งหมดไปที่ร่างเล็กของเด็กน้อย และตัดขาดความสัมพันธ์ของหมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง

               .

               .
 
               .

               หลังจากเล่าทุกอย่างจบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ

               ตึก...ตึก...ตึก

               เมื่อทุกอย่างเงียบสงบลงก็ทำให้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเต้นของหัวใจ ของแร็กนาร์ที่เต้นแรงตั้งแต่เริ่มเล่าถึงปีศาจร้ายตนนั้น ทำให้แร็กนาร์เกิดความสงสัย และเริ่มคิดอย่างหนัก

               ‘ตอนนั้นแร็กนาร์ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงเหมือนหัวใจสูบฉีดเลือดไม่พอ จนทำงานอย่างหนักแบบนี้ล่ะ เรื่องของปีศาจนั่นมีผลกระทบกับร่างนี้ขนาดนั้นเชียว หรือว่าในช่วง 1 ปีนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างนี้

               โลกนี้มีพลังที่เหมือนเวทมนตร์ หรือว่าจะมีไอ้ที่เรียกว่า  “การผนึกความทรงจำ” กันนะ มันเดาได้อย่างเดียวแล้ว เพราะตอนที่เห็นรูปวาดผืนนั้นก็รู้สึกเหมือนต้องมนตร์จนลืมกระทั่งอาการแน่นหน้าอก จนหายใจไม่ออกนั่นอย่างสิ้นเชิง

               ข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้ก็ได้มามากพอควรแล้ว แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคงจะเป็นปริศนาเกี่ยวกับร่างนี้สินะ โอ้! พระเจ้าจะให้ร่างใหม่ทั้งที ขอร่างที่มันเข้าใจง่ายกว่านี้ไม่ได้หรือไงกัน งงไปหมดแล้วเนี่ย เพราะคนอย่างเราที่เชื่อในวิทยาศาสตร์มาตลอด จะให้มาเข้าใจเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้มันก็แย่เอาการแฮะ’


               จอก...

               “แหะ” แร็กนาร์หัวเราะ และยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความเขินอาย เพราะท้องดันร้องประท้วงออกมาด้วยความหิว คงเพราะใช้ความคิดมากเกินไป และร่างกายนี้ก็ขาดอาหารมาหลายวัน จึงทำให้ท้องของเขาร้องออกมาอย่างปิดไม่อยู่

               “ฮ่าๆๆๆๆ ข้านึกว่าเจ้าจะเศร้ากว่านี้เสียอีก แต่เรื่องเล่าของข้ากลับทำให้ท้องเจ้าหิวเสียอย่างนี้ หึหึ” เสียงหัวเราะจนน้ำตาเล็ดของรูร์กัสดังขึ้น หลังจากที่นั่งทำหน้าเคร่งเครียดเพราะความหนักใจอยู่นาน เขากลัวเหลือเกินว่าร่างเล็กจะทุกข์ใจ และน้อยใจในชะตากรรมของตน แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่ดูเขินอายนั่นแล้ว รูร์กัสก็สบายใจขึ้น

               “อย่าหัวเราะ...ข้าหิวแล้ว” ถึงแม้น้ำเสียงจะดูเย็นชา แต่สีหน้ากับเก็บไม่มิด คงเป็นเพราะนิสัยติดตัวของร่างกายนี้มันแสดงออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ แร็กนาร์ไม่ได้รู้สึกโกรธที่รูร์กัสหัวเราะเขา เพียงแค่รู้สึกเสียหน้า และเขินอายที่ท้องดันมาร้องต่อหน้าเด็กน้อยอย่างรูร์กัสเท่านั้นเอง

               “ฮ่าๆๆๆได้ๆ พี่เตรียมเสบียงไว้แล้ว ตามลงไปข้างล่างได้เลย” เมื่อสบายใจแล้วรูร์กัสก็ลุกขึ้น แล้วลุกเดินลงบันได้ แร็กนาร์เองก็ตามลงไปเช่นกัน

               หลังจากลงมาด้านล่างก็เข้าไปในครัวด้านในมีเตาสำหรับทำอาหาร ตู้เก็บวัตถุดิบ เตาผิงขนาดใหญ่ที่ถูกใช้เป็นที่เก็บฟืน และโต๊ะกินข้าวขนาดเล็กกับเก้าอี้ขนาดเล็ก 2 ตัว แร็กนาร์พาตัวเองไปนั่งที่บนเก้าอี้ 1 ตัว ส่วนรูร์กัสก็ไปจัดแจงทำอาหาร เมื่อเรียบร้อยก็นำมาวางบนโต๊ะ แล้วนั่งบนเก้าอี้อีกตัว
               
                หนึ่งเด็กน้อย และหนึ่งนั่งฆ่าวัย 30 ปี ในร่างของเด็กน้อยอายุ 8 ขวบ ก็นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข ผ่อนคลายความเครียดทุกอย่าง เสียงคุย เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดช่วง แม้คนตัวเล็กว่าจะเอ่ยพูดเพียงสั้นๆบ้างบางครั้งเท่านั้น
วันนี้ทั้งสองเหนื่อยกันมากเกินพอแล้ว คงต้องพักผ่อนบ้าง เรื่องอื่นๆคงต้องขอเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้....


To Be Continued...


**************************************************
ตอนนี้แบ่งลง  2  กระทู้ค่ะ เพราะว่ามันยาวมากกกก จนเว็บแจ้งว่าเกิน 20,000  ตัวอักษร

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้างค่ะ

เราอ่านทวนของตัวเองแล้วรู้สึกแบบ...'ตัวเอกเรื่องนี้คือใครกันแน่นะ  แร็กนาร์ หรือ รูร์กัส' 555

ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านต่อ และคนที่ผ่านทางมานะคะ ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยน้าาาา
 :-[


หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 3 เรื่องราว (04.08.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 04-08-2016 18:36:05
อั๊ยย่ะะะะ ชอบๆ ขอเทพๆนะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 3 เรื่องราว (04.08.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 05-08-2016 04:23:01
เรื่องน่าสนใจดีค่ะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 4 ช่วยเหลือ(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 08-08-2016 09:05:03
ตอนที่ 4
ช่วยเหลือ


          1 เดือนผ่านไป

          แร็กนาร์ใช้ชีวิตในบ้านหลังเล็กเพียงลำพัง รูร์กัสจะแวะมาบ้างถ้าหากว่าหลบออกมาได้ ในตอนแรกนั้นรูร์กัสบอกว่าจะมาทุกวัน เพราะเป็นห่วงแร็กนาร์ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว แร็กนาร์จึงห้ามเอาไว้ หาเหตุผลต่างๆนาๆมาโน้มน้าวจนในที่สุดรูร์กัสก็ยอมรับ แร็กนาร์อยากอยู่เพียงลำพังเขาอยากเข้าไปในป่า เพื่อเข้าไปศึกษาพันธุ์พืชของที่นี่ว่าใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

          เมื่ออยู่คนเดียวแร็กนาร์ก็ทำอย่างใจต้องการ เขาเข้าไปในป่าและสำรวจบ้านอย่างละเอียดอีกครั้ง และเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเขาได้ค้นพบช่องทางลับลงไปยังห้องใต้ดินที่อยู่ในบ้านหลังนี้

          ทางเข้าของทางลับนี้อยู่ในเตาผิงขนาดใหญ่สร้างไว้ในห้องครัว ซึ่งดูแล้วไม่เข้ากับบ้านหลังเล็กนี้เอาเสียเลย มันจึงถูกเปลี่ยนสภาพเป็นที่เก็บฟืนสำหรับทำอาหาร ดูเหมือนมันจะถูกใช้เก็บฟืนมานาน ก่อนที่รูร์กัสจะเจอเสียอีก และเมื่อลองมองสำรวจดีๆจะพบว่าเตาผิงนี้ไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนเลย

          หากคนมีประสบการณ์ ช่างสังเกต และเฉลียวฉลาดมองสำรวจดูก็จะคาดเดาได้ทันทีว่าต้องมีสิ่งใดซ่อนอยู่อย่างแน่นอน เขาจึงจัดแจงขนฟืนทั้งหมดออกมาก็พบแผ่นเหล็กบางๆที่รองพื้นเตาผิงอยู่ เมื่อเปิดมันขึ้นก็พบกับประตูบานเล็กๆที่อยู่บนพื้นของเตาผิงนี้ ไม่แปลกใจเลยที่รูร์กัสจะไม่สังเกตเห็นเนื่องจากมีแผ่นเหล็กวางทับอยู่ก่อน

          ด้านหลังประตูเป็นบันไดเล็กๆที่เข้าไปได้เพียงทีละคนทอดยาวลงไปด้านล่าง แร็กนาร์จึงกลับไปจุดไฟตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะทานข้าว แล้วถือมันเข้าไปในเส้นทางลับนั้น เพื่อใช้เป็นแสงส่องสำหรับสำรวจรอบด้าน เดินไปสักพักก็ถึงบันไดขั้นสุดท้าย ด้านหน้าของเขาเป็นประตูเหล็กขนาดเท่ากับช่องทางพอดี เว้นเพียงพื้นที่สำหรับเปิดประตูเท่านั้น

          เมื่อแร็กนาร์เปิดประตูเข้าไป ตะเกียงที่อยู่ภายในห้องก็ค่อยๆสว่างขึ้นทีละดวงจนครบทุกอัน เขาจึงสันนิษฐานว่า เจ้าของเดิมของที่นี่คงเป็นมนุษย์ที่มีพลังธาตุไฟจึงสามารถสร้างกลไกแบบนี้ได้ เพราะโลกนี้เชื่อ และอาศัยความสามารถของเวทมนต์ซะส่วนใหญ่ ดูได้จากการที่อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างเกิดจากการใช้พลังธาตุ มีเพียงสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นที่มนุษย์สร้างขึ้นเองนี่ก็เป็นเรื่องที่เขาสอบถามเพิ่มเติมจากรูร์กัส ถึงได้รู้เรื่องราวของแดนมนุษย์มากขึ้น

          โลกใบนี้ที่เขารู้จักมากขึ้น ให้ความรู้สึก และใกล้เคียงกับยุคโรมัน มีสิ่งของต่างๆที่พัฒนาเกินกว่ายุคนั้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ก้าวหน้าเท่าในยุคปัจจุบันของโลกเดิม

          นั่นเป็นสิ่งที่แร็กนาร์รู้ได้จากคำบอกเล่าของรูร์กัส ทำให้เขาตกใจไม่น้อยที่ห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวิทยาศาสตร์ ขวดที่เหมือนกับหลอดทดลอง อุปกรณ์ในการทดลองอย่างง่ายถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่กลางห้องสี่เหลี่ยมมุมฉากขนาดพอเหมาะกับการใช้งานนี้ มีเก้าอี้วางอยู่ข้างโต๊ะตัวนั้น 1 ตัว ผนังรอบด้านก็มีตู้หนังสือ และชั้นวางขวดโหลเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ในห้องนี้มีเพียงเท่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องอีก

          ‘ของใช้พวกนี้แม้จะล้าหลังไปหน่อยแต่ก็พอใช้ได้ จำได้ว่ากล่องปฐมพยาบาลก็ใกล้เคียงกับที่โลกเดิมมากเลย หมายความว่าโลกนี้ก็มีการพัฒนาทางด้านการแพทย์ไม่น้อยสินะ

          ขวดโหล หลอดทดลอง มีดผ่าตัดแบบต่างๆ อา...ช่างชวนคิดถึงความหลังเสียจริง หึหึ...นึกถึงสมัยฝึก และทดลองผสมยาพิษเลย ตัดสินใจแล้ว! เอาห้องนี้ไว้ใช้ทดลองเลยละกัน แบบนี้คงชดเชยเรื่องที่ไร้พลังได้บ้างล่ะ

          น่าเศร้าซะจริง ทั้งๆที่เข้ามาในโลกที่มีพลังเหนือธรรมชาติแต่กลับใช้ไม่ได้ เฮ้ออออ ช่างเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว  ตามน้ำไปแล้วกัน’

          หลังจากใช้ความคิดอยู่นาน   แร็กนาร์ก็จัดการหาอุปกรณ์มาทำความสะอาดห้องลับนี้  พร้อมกับสำรวจสิ่งต่างๆด้วย  เมื่อมาดูมีดผ่าตัดก็ต้องรู้สึกเสียดายนิดๆ  เมื่อพอเทียบกับมีดผ่าตัดที่เขาเคยใช้เป็นอุปกรณ์ในการช่วยชีวิต และใช้เป็นอาวุธเมื่อต้องสังหารเหยื่อแล้ว มันต่างกันมากโข ทั้งความคม ทั้งวัสดุที่ใช้  คงไม่สามารถใช้อย่างคล่องมือได้เป็นแน่  แต่พอคิดดูแล้วในบ้านหลังเก่านี้มีอุปกรณ์ที่ไม่ได้ล้าหลังมากมาย ถ้าเข้าไปในเมืองใหญ่เขาอาจเจอมีดแบบที่เขาต้องการก็ได้  คงต้องหาทางเข้าไปสำรวจในเมืองบ้างเสียแล้ว

          หลังจากวันนั้นแร็กนาร์ก็เข้าไปสำรวจ  และเก็บพืชพันธุ์ต่างๆ รวมทั้งจับสัตว์เล็กๆมาใช้ทดลอง  เพราะก่อนหน้านี้เพียงเข้าไปสำรวจเท่านั้น แต่เมื่อมีเครื่องมือพร้อมจึงไม่รอช้าที่หาทางใช้ประโยชน์จากมัน นอกจากจะทดลองกับสัตว์แล้ว มีบางครั้งที่แร็กนาร์ทดลองกับร่างกายของเขาเอง ทำให้เขาเข้าใจระยะการฟื้นฟูร่างกายของลูกครึ่งมากขึ้น แล้วยังค้นพบว่า ร่างกายของเขาสามารถต้านพิษบางชนิดได้ด้วย

           จนถึงเวลานี้ แร็กนาร์สร้างพิษได้ถึง  16  ชนิดแล้ว ส่วนยารักษานั้นไม่จำเป็นต้องนับเลย เพราะหนังสือที่วางอยู่ในชั้นวางในห้องนอนของเขาเป็นตำราสมุนไพร  และตำราปรุงยาทั้งหมด จึงไม่จำเป็นต้องทดลองให้มากมาย  เขาทำเพียงแค่ทดสอบยาชนิดที่เขาสนใจเท่านั้น ส่วนหนังสือที่อยู่ในห้องลับเป็นหนังสือเกี่ยวกับร่ายกายมนุษย์ และพลังธาตุ มีหนังสือบางส่วนที่ว่างไป  เจ้าของบ้านหลังนี้อาจจะนำมันติดตัวไปด้วยก็เป็นได้ ถึงแม้จะสงสัยว่าเจ้าของบ้านที่ใช้ห้องนี้เป็นใคร และทดลองเกี่ยวกับสิ่งใด แต่ร่องรอยที่พบกับแทบจะไม่หลงเหลือ ข้อมูลการทดลองก็หาไม่พบ เขาจึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้เท่านั้น

           วันนี้รูร์กัสไม่ได้มาหาแร็กนาร์ เพราะเมื่อวานพึ่งนำเสบียงของอาทิตย์นี้มาให้ เขาเคยปฏิเสธในเรื่องนี้ไปแล้ว แต่รูร์กัสก็ยังดื้อดึงอยากจะดูแลในเรื่องอาหารอยู่ดี จึงได้แต่จำยอม เขาไม่อยากโต้เถียงกับเด็กน้อย

           .

           .

           .

           แร็กนาร์ข้ามไปยังเขตแดนของปีศาจ เพราะบ้านหลังเล็กนี้อยู่ไม่ห่างจากเส้นเขตแดนมากนัก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาข้ามไป ในแดนปีศาจนี้มีพืชและสัตว์มากมายที่แตกต่างจากแดนมนุษย์ ทั้งยังมีจำนวนและชนิดที่มากกว่า เน้นย้ำให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของแดนปีศาจที่มีบรรยากาศอึมครึม สวนทางกับธรรมชาติที่สวยงาม

           คราวก่อนแร็กนาร์ไม่ได้เข้าไปลึกมามาก เขาเข้าไปสำรวจรอบๆเพียงเท่านั้น แต่วันนี้เขาตัดสินใจที่จะเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้นก็มีพืชและสัตว์แปลกตามากขึ้น สร้างความสำราญแก่แรกนาร์ไม่น้อย

           ‘อ๊ะ พืชที่ดูอันตรายนั่นมันอะไรกัน ในหนังสือไม่มีเขียนไว้นี่ จะว่าไปแล้วต้นไม้ที่ไม่ได้บันทึกไว้ก็เยอะแยะเลยแฮะ อา...การทดลองรอบนี้ต้องสนุกกว่าที่ผ่านมาแน่ๆคงต้องเขามาบ่อยๆแล้ว หึหึ’

           เมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจ แร็กนาร์ก็ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองทันที แต่ถึงอย่างนั้นหูเล็กก็ยังคอยฟังเสียงรอบๆเพื่อระวังภัยไปด้วย หลังจากที่เก็บพืชที่มีลักษณะสีม่วงคล้ำคล้ายพืชพิษเข้ากระเป๋าเป้สะพายหลังซึ่งทำจากหนังสัตว์อย่างลวกๆที่เขาทำขึ้นเอง ทั้งยังคิดว่าจะนำพืชชนิดนี้ไปทดลองกับงูสีขาวจุดแดง หรือกบสีฟ้าสดใสดี ก็ทำให้คิดเพลิดเพลินจนเดินเข้ามาลึกกกว่าที่ตนคิดไว้ แต่แล้วความคิดก็หยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่าง

          ‘กลิ่นเลือด...แล้วก็เสียงคนวิ่ง...3...4 ไม่สิ 5 คน ชักจะไม่ดีซะแล้วสิ กลับเลยดีไหมนะ แต่ก็อยากรู้ แฮะ ชิ บ้าเอ้ย’

           กลิ่นเลือดที่ลอยมาตามลม เสียงฝีเท้า และเสียงของร่างกายที่เสียดสีไปกับต้นไม้เวลาวิ่งผ่านดังมาจากที่ไกลออกไป แต่แร็กนาร์กลับได้ยินมันอย่างชัดเจน เพราะการฝึกฝน และความสามารถเฉพาะตัวที่มีมาแต่กำเนิดของวิญญาณที่อยู่ในร่าง ความสามารถต่างๆที่มีติดตัวมายังใช้ได้ เพราะร่างกายนี้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณได้อย่างพอดี หรือไม่ร่างนี้เองก็มีความสามารถพิเศษที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ดีกว่าคนทั่วไปเช่นเดียวกัน

           แม้ในบางส่วนร่างเนื้อกับวิญญาณจะขัดแย้งด้านความรู้สึก และความคล่องแคล่วของร่างกายไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมากนัก หากฝึกฝนเพิ่มในร่างนี้ ในไม่ช้าความสามารถทั้งหมดต้องถูกขัดเกลาจนใช้งานได้ดังเดิมเป็นแน่

           แร็กนาร์ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ร่างกายที่ขาดการสังหารมนุษย์มานานนั้นกลับร่ำร้องให้เขาไปยังที่แห่งนั้น แม้หลายวันมานี้เขาจะสังหารสัตว์เล็กๆไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะดับความกระหายเลือดที่เขามี ร่างกายยังคงเรียกหากลิ่นคราวเลือด และเสียงกรีดร้องของเหยื่อ สัญชาตญาณของนักฆ่ายังคงฝังลึกลงไปในจิตสำนักของเขา

          ‘ชิ...บ้าเอ๊ย! ทั้งๆที่อยู่ในร่างใหม่ ทั้งๆที่มีคนที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น ทำไมความกระหายเลือดของเรายังไม่หายไปนะ...เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ไปดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งก็แล้วกัน’

           ร่างกายไวกว่าความคิด เมื่อความคิดตอบสนองต่อมัน ขาเล็กก็ออกวิ่งไปตามเส้นทางที่ได้ยินเสียงอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา เท้าเล็กที่เหยียบลงบนพื้นนั้นแทบจะไร้เสียง ทำให้ผู้ที่กำลังปะทะกันหลังจากวิ่งไล่ตามกันมาไม่รู้สึกตัวถึงการมาเยือนของร่างเล็ก ซึ่งแอบอยู่หลังพุ่มไม้ไม่ห่างจากพวกเขามากนัก เพื่อจะได้สังเกตการณ์เหตุการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน

           กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าของแร็กนาร์ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ต้องดูจากสีผมก็รู้ได้ว่าทั้งหมดเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์ที่คงรูปร่างแบบปีศาจเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

           ปีศาจที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงหน้ามีทั้งหมด 5 ตนด้วยกัน ปีศาจหนุ่มหนึ่งตนที่สวมชุดสีดำสนิทเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นโคลนหนึ่งตน จับปีศาจเด็ก 2 ตน ที่มีหน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก หากไม่มองที่สีผิว เพราะตนหนึ่งผิวคล้ำเข้ากับผมสีแดงอย่างยิ่ง แต่อีกตนหนึ่งกลับมีผิวสีขาวสว่างตัดกับผมสีแดงนั้นอย่างสิ้นเชิง เอาไว้เป็นตัวประกัน มันจับตัวเด็กแล้วล็อกไว้ด้วยแขน และมือข้างละคนเท่านั้น

           ส่วนปีศาจอีก 2 ตน ที่ไล่ตามมานั้นมีร่างกายใหญ่โต และสวมเพียงกางเกงแบบทหารโบราณที่มีผ้าคาดทับอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น ตนหนึ่งวิ่งตาม ส่วนอีกตนวิ่งอ้อมไปดักข้างหน้า จนตอนนี้ปีศาจชุดดำต้องหยุดอยู่ตรงกลางอย่างหนีไปไหนไม่พ้น

           “เจ้าหมดทางหนี้แล้วเจ้าคนขี้ขลาด!  ปล่อยเด็กทั้งสอง  แล้วยอมจำนนซะ” ปีศาจที่อ้อมไปดักด้านหน้าพูดขึ้น ทั้งยังแสดงพลังข่มขู่อีกฝ่ายออกไป

           “หึหึ  พวกแกคิดว่าข้าเข้าไปสร้างความวุ่นวายในบ้านใหญ่ แล้วจับตัวประกันหนีเท่านั้นสินะ ฮ่าๆพวกเจ้าช่างโง่เขลา คิดว่าข้าไม่รู้หรือไรว่าเด็กสองคนนี้เป็นใคร” ปีศาจชุดดำเอ่ยขึ้นก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยัน

           “แก!” ปีศาจร่างใหญ่ทั้งสอง กัดฟันพูดขึ้นพร้อมกันอย่างเดือดดาล

           “ปล่อย” เด็กปีศาจผิวคล้ำพูด

           “ปล่อยข้า...เข้าจะฆ่าเจ้า” เด็กปีศาจผิวขาวเองก็พูดขึ้นเช่นกัน

           เด็กปีศาจทั้งสองเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเคือง ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำร้องขอชีวิตของตน ช่างเป็นเด็กที่แปลกประหลาดเสียจริงๆ

           หนึ่งชายชุดดำ  และสองชายร่างใหญ่ยังคงส่งสายตา และจิตสังหารกดดันอีกฝ่าย ไม่แม้แต่จะสนใจเด็กปีศาจทั้ง 2 ตนนั้นด้วยซ้ำไป และเมื่อทุกอย่างเงียบสงบลง ไร้ซึ่งเสียงรบกวนใดๆ ตอนนี้ที่ตรงนี้คงมีเพียงพวกเขาแค่ 5 ตนเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ปีศาจหนุ่มทั้ง 3 คิด โดยไม่รู้เลยว่ามีร่างเล็กของเด็กลูกครึ่งแอบดูพวกเขา ทั้งยังได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน

           แร็กนาร์ที่หลบซ่อนตัวอยู่มั่นใจในความสามารถนี้ของตน  แม้จะอยู่ในร่างใหม่แล้วก็ตาม สายตาของเขาก็ยังสอดส่องอย่างระแวดระวังอย่างรอบด้านโดยไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทั้งยังต้องลบจิตสังหาร รวมถึงความกระหายเลือดของตนเอาไว้ด้วย

           .

           .

           .

         
 
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 4 ช่วยเหลือ(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 08-08-2016 09:07:19
           ...       

           “ฮ่าๆๆๆๆ  สุดยอดเลยว่ะ หึหึ ฮ่าๆๆ” เสียงระเบิดหัวเราะของปีศาจหนุ่มทั้ง 3 ดังขึ้น พร้อมๆกัน  หลังจากที่รอจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา หรืออยู่บริเวณใกล้ๆนี้

           แร็กนาร์คาดเดาได้ทันทีว่าทั้ง 3 ร่วมมือกัน หรือไม่ก็เป็นพวกเดียวกันตั้งแต่ต้น ต่างจากปีศาจเด็กทั้งสองที่ยังคงงงงวยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

           “ฮ่าๆเจ้าเล่นได้เนียนไม่เบานี่ เจ้าคนชอบสร้างความปั่นป่วน” ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้ไล่ตามพูดขึ้นอย่างหยอกล้อ

           “เจ้าเองก็เล่นเป็นพวกมันได้เนียนจริง ข้านี่แทบจะหลุดขำท่าทีที่ดูจริงจัง ขึงขังของเจ้า ช่างไม่เข้ากับเจ้าเอาเสียเลย ฮ่าๆๆๆๆ” ชายชุดดำก็ตอบกลับมาเช่นกัน

           “จะไม่ให้เนียนได้อย่างไรเล่า ก็พวกข้าเข้าไปแฝงตัวอยู่ตั้ง 2 เดือนแล้วนี่ ถ้าถูกจับได้คงขายหน้าแย่ หึหึ” ชายร่างใหญ่อีกคนตอบออกมาด้วยท่าทีนิ่งๆแต่ดวงตาฉายแววแห่งความโอ้อวด

           ความสงสัยทุกอย่างกระจ่างชัดเมื่อทั้ง 3 เปิดปากพูดคุยกัน แต่ที่แร็กนาร์ยังสงสัยคือ เด็กปีศาจทั้งสองตนนั้นมีความสำคัญอย่างไรกับพวกมันถึงได้วางแผนจับตัวที่ต้องอาศัยระยะเวลาขนาดนี้ เด็กทั้งสองคงต้องเป็นคนสำคัญเป็นแน่ แต่สำหรับเด็กปีศาจทั้งสองยังคงงงกับเรื่องนี้อยู่ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ปีศาจหนุ่มทั้งสามพูด

           “พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร” เด็กปีศาจผิวเข้มถามออกไปด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความหวาดหวั่นเล็กน้อย

           “ปล่อยข้านะ พวกเจ้าเป็นคนของท่านพ่อ ทำไมถึงกล้าหักหลังกัน!” เด็กปีศาจผิวขาวเองก็ตวาดออกไปอย่างสุดเสียงเช่นเดียวกัน

           แม้เด็กทั้งสองจะไม่เข้าใจบทสนทนาของปีศาจหนุ่มทั้งสามมากนัก แต่ก็พอคาดเดาได้ว่า ตอนนี้พวกตนตกอยู่ในอันตราย ที่ไม่อาจมีใครเข้ามาช่วยเหลือได้

           “โถๆๆๆ นายน้อยผู้โง่เขลา ท่านช่างไม่เข้าใจสิ่งใดเลย หึหึ” ชายชุดดำที่เปลี่ยนท่าทางจากกอดเด็กเอาไว้ในแขนข้างละคน เปลี่ยนมาใช้มือล็อกที่ต้นคอ แล้วยื่นออกห่างจากตัวเล็กน้อย เพื่อให้ทั้งสองเผชิญหน้ากับตน จากนั้นก็แกว่งเด็กไปมา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงขำขันปนเย้ยหยันเล็กน้อย

           “เจ้าบอกให้นายน้อยฟังหน่อยสิ เคอรี่” แล้วก็พูดประโยคถัดมาโดยยังคงจ้องหน้ากับเด็กปีศาจทั้งสองอยู่

           “ทำไมต้องเป็นข้า ทำภารกิจให้จบแล้วกลับกันได้แล้ว” เจ้าของชื่อคือ ปีศาจหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นฝ่ายไล่ตามมา เขาพูดตอบด้วยความเบื่อหน่าย เพราะอยากกลับเต็มที การต้องทนอยู่ภายใต้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้านายตนถึง 2 เดือนนี้ เขาก็ใช้ความอดทนไม่น้อย

           “หน่าๆๆ ก่อนตายก็ให้ฟังเหตุผลก่อนสิ เดี๋ยวจะตายตาไม่หลับเอานา” ปีศาจชุดดำพูดขึ้นอีกครั้ง ด้วยท่าทางยียวน ก่อนจะหันไปมองเพื่อนของตนด้วยสายตาบังคับ ไม่ใช่ร้องขอ

           “เจ้า...เฮ้อ ก็ได้ เจ้าจะใจดีกับมันไปทำไมกัน หึ...ฟังนะนายน้อยของกลุ่มยาฉะ พวกเราทั้ง 3 ไม่ใช่คนของท่าน พวกข้ามาจากกลุ่มโนบุ นายท่านของเราต้องการที่จะครอบครองอาณาเขตของกลุ่มยาฉะอย่างไรเล่า พวกข้าถึงต้องลงทุนวางแผนการครั้งนี้

           เป็นเพราะกลุ่มของเรามีจำนวนคนเท่าๆกันหากเกิดการต่อสู้ขึ้นก็คงจะคาดเดาฝ่ายที่จะชนะได้ยาก การใช้วิธีสกปรกจึงเป็นทางออกที่ดีทีเดียว เราต้องการให้หัวหน้าของกลุ่มยาฉะ ซึ่งก็คือพ่อของท่าน อ่อนแอลง การเข้าไปโจมดี หรือลอบสังหารคนๆนั้นมันยากมากทีเดียว

           หึหึ เพราะอย่างนั้นการสังหารพวกท่านทั้งสองซึ่งเป็นลูกชายสุดที่รัก ก็จะทำให้เขาอ่อนแอลงอย่างไรเล่า หัวหน้าจิตใจอ่อนแอแล้ว ลูกน้องคงไม่อาจสู้อย่างเต็มที่ได้ พวกข้าต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน” หลังจากรับปากที่จะเล่า เจ้าปีศาจเคอรี่ก็เล่าด้วยน้ำเสียงอวดโอ้ความคิดของพวกตนทันที

           “ท่านพ่อของข้า ไม่มีทางอ่อนแอจนแพ้พวกที่ใช้วิธีขี้ขลาดอย่างพวกเจ้าหรอก!” ทั้งสองตะโกนประสานเสียงกันออกมา เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน  สายตานั้นก็ไม่มีแม้แต่ความลังเลใดๆปนอยู่ พวกเขาเชื่อในความคิดของตน ช่างบริสุทธิ์ และไร้เดียงสาเสียจริงๆ

           “หึหึ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลองพิสูจน์ดู เอ้า! จัดการจบภารกิจสิ เคอรี่” ปีศาจชุดดำที่จับล็อกคอของปีศาจเด็กทั้งสองอยู่ จับทั้งสองหันหน้าไปเผชิญกับเจ้าปีศาจเคอรี่ในทันที

           ฉึก ฉึก

           ไม่รอช้าให้ใครได้เอ่ยคำพูดใดออกมาอีก ปีศาจหนุ่มเคอรี่บังคับร่างกายให้เล็บทั้งสองข้างยาวออกมาแล้วใช้มันทะลวงเข้าไปที่ลำตัวของเด็กปีศาจทั้งสองอย่างไร้ความปรานี

           “อึก  แค่กๆ...อึก”

           “แก...อึก”

           ปีศาจเด็กทั้งสองเอ่ยขึ้นได้เพียงเท่านั้นก่อนที่ดวงตาจะปิดลง แล้วหมดสติไป

           “แล้วเราจะทำอะไรต่อ” เมื่อทำหน้าที่ของตนเสร็จ เคอรี่ก็เอ่ยถามเพื่อนทั้งสอง พร้อมปลดผ้าที่ออกแบบให้พาดเฉียงไปกับกางเกงออกมาเช็ดมือ

           ตุบ!

           ร่างเล็กทั้งสองถูกโยนลงไปบนพื้นอย่างไม่แยแส

           “กลับ...วางพวกมันไว้นี่แหละ หึหึ ให้พวกโง่มันได้เห็น” ปีศาจชุดดำที่โยนร่างของเด็กทั้งสองลงก็พูดออกมาด้วยความสะใจในการกระทำของตน

           “ฮ่าๆเจ้านี่ชั่วได้ใจข้าจริงๆ ไปๆข้าหิวข้าวแล้ว ไปฉลองชัยชนะที่จะมาถึงในไม่ช้าของพวกเรากัน” ปีศาจเคอรี่เองก็ตอบรับอย่างง่ายได้ ก่อนที่ปีศาจอีกตนที่เงียบขรึมมานานพยักหน้ารับ และเพียงชั่วพริบตา ปีศาจทั้งสามก็วิ่งหายไปในป่าอีกด้าน

           แร็กนาร์ที่สังเกตการณ์เหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ก็มองทุกอย่างอย่างชั่งใจ

           ตึก

           ‘อึก เอาอีกแล้วร่างนี้จะใจดีไปไหนนะ หรือเพราะยังเด็กจิตใจก็เลยบริสุทธิ์เกินไปนะ ทั้งๆที่โดนทำเรื่องโหดร้ายมาตลอดแท้ๆเชียว ชิ บ้าที่สุดเลย ทั้งๆที่เราละทิ้งความรู้สึกทั้งหมดแล้ว แต่พอมาอยู่ร่างนี้ความรู้สึกต่างๆมันเหมือนกับค่อยฟื้นคืน ความสงสารนี่ เรารู้สึกสงสารไปซะแล้ว

           สงสารเด็กปีศาจทั้งสองตนนั่นที่ไม่ต่างไปจากเรา ที่ถูกทำให้มีความหวัง ทำให้เชื่อใจ แล้วก็เขี่ยทิ้งอย่างไม่มีชิ้นดี เราต้องการเหตุผลในการช่วยเหลือมากกว่าความสงสาร

           จริงสิถ้าเราช่วยแล้วแลกเปลี่ยนกับข้อมูลในแดนปีศาจก็ได้นี่นะ แต่มันก็เสี่ยงไม่เบา ประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอยหรอกมั้ง มันอาจจะฆ่าเราก็ได้ เอาไงดีวะ

           เฮอะ! นี่มันเด็กนะเว้ย เราไม่มีทางโดนเด็ก 2 คนนี้ฆ่าได้หรอก คิดให้มันมากไปทำไมกันวะ เราก็แค่รับความรู้สึกของร่างนี้ แล้วได้ประโยชน์ไปพร้อมๆกันก็พอแล้ว’

 
           หลังจากไตร่ตรองอยู่นานแร็กนาร์ก็ตัดสินใจได้ ร่างเล็กเดินออกจากที่ซ่อนแล้วมุ่งตรงไปหาร่างที่นอนสลบไสลอยู่ที่พื้น เมื่อเดินไปถึงแร็กนาร์ก็นั่งลงตรงกลางระหว่างปีศาจเด็กทั้งสอง จากนั้นก็วางมือลงบนลำคอเพื่อวัดชีพจรให้ทีละคน เมื่อรู้ว่าชีพจรยังเต้นอยู่ ก็ตรวจสอบแผลต่อไป

          ‘แผลลึกมาก ทะลุไปถึงด้านหลังเลยด้วย แต่ก็นับว่าโชคดีมากทีเดียว ที่มันเฉือนอวัยวะสำคัญไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น ถ้ารีบช่วยต้องรอดแน่

           ไอ้พวกประมาทเอ๊ย! ไม่เช็คสภาพเหยื่อให้ดีก่อน พวกที่โง่นี่คงเป็นพวกมันมากกว่า หึหึ นี่ถ้าเป็นเรา เด็กตัวแค่นี้แค่ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอทีเดียวก็ไม่รอดแล้ว’


           เพี๊ยะ!

           เสียงตบลงไปบนใบหน้าของปีศาจเด็กผิวคล้ำดังขึ้น เมื่อตรวจสอบว่าพวกเขาปลอดภัยหากรีบช่วยเหลือ แร็กนาร์ก็เริ่มทำตามสิ่งที่ตนต้องการ เขาต้องทำข้อตกลงกับเด็กทั้งสองก่อน

           “เฮ้...ถ้าไม่อยากตาย ก็ลืมตาขึ้นมา” แร็กนาร์ตบไปที่ใบหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นท่าทางเริ่มมีสติของอีกฝ่ายเขาก็เอ่ยคำพูดออกมา

           “อึก ช่วย...” เด็กปีศาจผิวคล้ำมองเห็นแร็กนาร์เป็นภาพเบลอๆเท่านั้น แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าไม่ใช่คนพวกนั้น ดูได้จากขนาดตัวที่ดูโตกว่าเขาไม่มากนัก เขาจึงพยายามจะขอความช่วยเหลือ แต่เสียงของตนก็ขาดหายไป

           “ถ้าอยากให้ข้าช่วย เจ้าต้องตกลงก่อนว่าจะตอบคำถามทุกข้อที่ข้าถาม” แร็กนาร์พูดช้าๆชัดๆเพื่อให้อีกฝ่ายที่สติเหลือน้อยเต็มทีเข้าใจ ปีศาจผิวคล้ำเองก็ทำเพียงผงกหัวเป็นการตอบรับ แล้วหลับไปอีกครั้ง

           เมื่อถามคนแรกเสร็จ แร็กนาร์ก็ถามอีกคนด้วยคำพูดเดียวกัน เมื่อปีศาจน้อยทั้งสองตอบตกลงมือเล็กก็เริ่มทำหน้าที่ในทันที

           แร็กนาร์วางกระเป๋าที่สะพายหลังอยู่ลงแล้วล้วงเข้าไปในช่องเล็กๆข้างกระเป๋า ก็เจอกับยาสมุนไพร 2 ห่อ มันคือยาห้ามเลือด และยาระงับความเจ็บปวด ที่เขาเตรียมเอาไว้ในยามฉุกเฉิน

           จากนั้นก็เทยาสมุนไพรลงไปที่บาดแผลทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เมื่อเทลงไปในปริมาณที่เหมาะสมเลือดก็หยุดไหล เขาจึงล้วงมีไปที่ช่องเล็กๆข้างกระเป๋าอีกด้าน ในนั้นมีผ้าสีขาวสะอาดสำหรับพันแผล แร็กนาร์ทำการฉีกแบ่งครึ่ง แล้วพันมันไปที่บาดแผลของเด็กปีศาจ เมื่อทำให้คนหนึ่งเสร็จ ก็ไปทำให้อีกคน

           เมื่อแร็กนาร์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เด็กทั้งสองเสร็จก็จัดการแบกร่างของปีศาจผิวขาวขึ้นไปบนหลัง เพราะปีศาจเด็กทั้งสองดูแล้วคงจะเด็กกว่าเขา ทั้งยังตัวเล็กว่าอีก ทำให้มันไม่ยากเลยที่จะย้ายพวกเข้าไปที่บ้านเพื่อทำการรักษา แต่ก็พาไปได้ทีละคนเท่านั้น

           เมื่อพาปีศาจเด็กผิวขาวไปถึงบ้านก็นำไปวางบนเก้าอี้ตัวยาวในห้องรับแขกด้านล่าง จากนั้นก็กลับไปแบกอีกคนมาเช่นกัน แร็กนาร์จัดแจงให้ทั้งสองนอนอย่างสบายตัวบนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ที่เด็กสามารถนอนได้ถึง 3 คน

           ร่างเล็กขะมักเขม้นเข้าไปเอายาสมุนไพรและอุปกรณ์ในห้องลับออกมา แล้วจัดการรักษาบาดแผลเหวอะหวะบนตัวปีศาจน้อยทั้งสองจนเสร็จ

           .

           .

           .

           เวลาผ่านไป 4 ชั่วโมง ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว เรื่องเวลาของโลกนี้ดีไม่น้อยที่ไม่ต่างจากโลกเดิมมากนัก และร่างกายนี้เองก็ชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับแร็กนาร์เลย

           ก่อนหน้านี้เขาเดินเข้าไปตรวจบาดแผลของเด็กปีศาจก็ต้องตกตะลึงไม่น้อย เขาคิดว่าร่างกายของลูกครึ่งมีพลังฟื้นฟูอย่างน่าทึ่งแล้ว ร่ายกายของปีศาจเต็มตัวกลับฟื้นฟูได้เร็วกว่าถึง 2 เท่า บาดแผลเริ่มสมานกันบ้างแล้ว เหลือเพียงร่างกายที่ยังร้อนอยู่เท่านั้น

           พรึ่บ

           “โอ๊ย”

           “อึก...เจ็บ”

           เมื่อเสียงของเด็กปีศาจผิวขาวดังขึ้น ก็เป็นการปลุกให้ปีศาจผิวคล้ำฟื้นขึ้นมาเช่นกัน เพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น ร่างกายที่เจ็บอย่างหนักกลับฟื้นฟูได้ถึงขั้นนี้เชียว ปกติต้องใช้เวลาเกือบอาทิตย์แท้ๆ

           แร็กนาร์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บันไดได้ยินเสียงของเด็กปีศาจทั้งสองก็หันไปมอง แล้ววางหนังสือลง ขยับตัวเดินเข้าไปหาร่างที่เล็กกว่าเขาในทันที

           “ฟื้นแล้วสินะ” เสียงของแร็กนาร์ทำให้เด็กปีศาจทั้งสองตกใจเล็กน้อย จึงหันมามอง เมื่อจำเหตุการณ์ที่แร็กนาร์เอ่ยถามพวกเขา ก็เข้าใจในทันทีว่าคนตรงหน้าเป็นคนช่วยเหลือพวกเขาทั้งสอง ทั้งสองยังคงนอนมองแร็กนาร์ที่ยืนมองพวกเขาอย่างไม่วางตา แร็กนาร์เองก็ไม่พูดอะไร เพียงยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของทั้งสองเพื่อวัดอุณหภูมิเท่านั้น เมื่อตรวจสอบแล้วร่างกายของทั้งสองอุณหภูมิคงที่ก็ทำท่าจะเดินออกไป

           “เอ่อ...คือ” เด็กปีศาจผิวขาวส่งเสียงอึกอักเล็กน้อย แร็กนาร์จึงหันไปมองด้วยสายตาและสีหน้านิ่งๆ

           “ขอบคุณมากครับ” เมื่ออีกคนทำท่าทางลังเล อีกคนก็พูดออกมาก่อนในทันที

           “ขอบคุณฮะ” เมื่อเห็นว่าแฝดของตนพูดออกไปแล้ว อีกตนก็พูดตามออกมา

           “หึ...ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าทำเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เตรียมตัวตอบคำถามด้วย...นอนพักซะ ข้าจะเตรียมอาหารเที่ยงให้” แร็กนาร์ตอบออกมาห้วนๆแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนัก แล้วก็เดินตรงไปที่ห้องครัว

           “ครับ พี่สาว!” ทั้งสองตอบแบบประสานเสียงกันด้วยความดีใจ ตอนแรกพวกเขากังวลเรื่องที่ถูกช่วย แต่ตอนนี้ก็โล่งอกแล้ว เพราะว่าคนที่ช่วยเขาช่างใจดีเสียจริงๆ แร็กนาร์ที่ได้ยินประโยคตอบรับ สมองแทบจะประมวลผลคำพูดของเด็กปีศาจทั้งสองไม่ทัน เขาได้แต่คิดว่า

           .

           .

           .

           ‘หนอย!..ไอ้เด็กเวรเดี๋ยวพ่อก็จับแยกชิ้นส่วนซะหรอก!’

 

 

 

To Be Continued...

***********************************
 

มาแล้วจ้า ตอนที่ 4 (เกินอีกแล้วค่ะ  แบ่งเป็น 2  กระทู้เช่นเคย)

ใครที่สงสัยว่าทำไมชื่อญี่ปุ่นโผล่มาก็รออ่านตอนต่อไปนะคะ
ตอนต่อไป>>> แดนเถื่อน และคำสาบาน (เอาชื่อตอนมายั่วเล่น หุหุหุ)

คอมเมนต์ติชมกันได้เลย ขอบคุณนะคะ


 
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 4 ช่วยเหลือ (08.08.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 08-08-2016 10:12:32
ถถถถถ กลายเป็นพี่สาวซะงั้นอะนะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 5 แดนเถื่อน และคำสาบาน(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 10-08-2016 10:54:28
 
ตอนที่ 5
แดนเถื่อน   และคำสาบาน


          “ครับ พี่สาว!!”

          .

          .

          .

          “พวกเจ้า!...เรียกข้าว่าอะไรนะ?” ร่างเล็กของแร็กนาร์กัดฟันพูดอย่างข่มอารมณ์ พยายามคิดในแง่ดีว่าตนนั้นอาจจะหูฝาดไปก็ได้

          “พี่สาว!” สองเสียงเจื้อยแจ้วยังคงตอบออกมาเสียงดังฟังชัด แล้วพยุงตัวลุกขึ้นนั่งมองสำรวจร่างของผู้มีพระคุณอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตนคิดสิ่งใดผิด

          “ท่านไม่ใช่พี่สาวหรอกหรือ?” ปีศาจน้อยผิวขาวพูดพร้อมเอียงคอน้อยๆอย่างใช้ความคิด ได้แต่สงสัยว่าอีกคนไม่พอใจสิ่งใด

          “หรือท่านไม่ได้อายุมากกว่าพวกข้าอย่างนั้นหรือ?” ปีศาจผิวคล้ำถามต่อ แล้วมองสำรวจร่างของแร็กนาร์อีกครั้ง ดูอย่างไรคนตรงหน้าก็อายุมากกว่า ทั้งร่างกายที่โตกว่าแม้จะบอกบางก็ตาม ทั้งยังมีความรู้มากถึงขั้นรักษาพวกเขาที่บาดเจ็บเจียนตายจนฟื้นเป็นปกตินั่นอีก ทำไมถึงไม่พอใจที่พวกเขาเรียกว่าพี่สาวกันนะ

          ‘ไอ้พวกเด็กเวรนี่ ถ้าไม่เห็นว่าใช้ประโยชน์ได้ พ่อจับเชือดทิ้งไปนานแล้ว  หนอย! พูดมาได้ว่า พี่สาว เรอะ ไอ้พี่มันก็คงถูก ดูจากขนาดตัวล่ะนะ  แต่คิดได้ยังไงว่าเราเป็นผู้หญิงวะ  ไม่ว่าจะร่างเดิม  หรือร่างใหม่เราก็เป็นผู้ชายทั้งคู่  แบบนี้มันหยามกันชัดๆ ร่างนี่ถึงจะบางไปหน่อยแต่ก็เป็นผู้ชายนะโว้ย!  มันน่าควักลูกตาออกมาผ่าดูจริงๆเลย’

 
           ในใจของแร็กนาร์ยังคงโต้เถียงเด็กน้อยปีศาจทั้งคู่ แม้จะไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา แต่ก็หันกลับมามองหน้าของเด็กน้อยทั้งสองด้วยสายตาแห่งความไม่พอใจ แล้วเดินมาหยุดข้างเก้าอี้ตัวยาวที่ทั้งสองนั่งอยู่อย่างรวดเร็ว

           “ยื่นมือมา” เด็กน้อยปีศาจทั้งสองหันไปมองหน้าถามความเห็นกันด้วยความงุนงงเล็กน้อย แล้วปีศาจผิวคล้ำก็ตัดสินใจขยับตัวนั่งหย่อนขาลงจากเก้าอี้ เพื่อให้ปีศาจผิวขาวขยับมานั่งข้างๆตนได้ ปีศาจผิวขาวเองก็รู้ใจของแฝดตนขยับตัวนั่งตามอย่างว่าง่าย จนทั้งสองนั่งหันหน้าเผชิญกับแร็กนาร์ตรงๆ จากนั้นทั้งสองก็ยื่นมือคนละข้างไปให้แร็กนาร์ตามที่อีกคนบอก

           แร็กนาร์เองเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตามที่ตนบอกก็ยื่นมือไปคว้าข้อมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว จนเด็กปีศาจทั้งสองไปแต่มองตามมือของตนที่เคลื่อนไป

           พรึบ!

           “อ๊ะ!”

           “เฮ้ย!”

           เด็กปีศาจทั้งสองร้องด้วยความตกใจเมื่อแร็กนาร์คว้ามือพวกเขาไปจับบริเวณหน้าอกของตนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ต่างกับเด็กปีศาจทั้งสองที่ไม่รู้จะแสดงสีหน้าออกไปอย่างไร พวกเขาทั้งตกใจ ทั้งเขินอายไปพร้อมๆกัน จนใบหน้าแดงซ่านไปหมด

           “พะ...พะ พี่สาว” เด็กปีศาจผิวขาวคิดสิ่งใดไม่ออกจึงได้แต่เรียกอีกคนด้วยความตกใจ

           “ปะ...ปล่อยมือข้าเถอะครับพี่สาว” เด็กปีศาจผิวคล้ำที่ดูท่าจะตั้งสติได้เร็วกว่าเอ่ยขึ้น

           ทั้งสองเสียงตะกุกตะกัก แต่ก็พยายามส่งสายตาร้องขอให้แร็กนาร์ปล่อยมือพวกเขา ที่ไม่กล้าจะดึงออกเอง แม้ว่าตอนนี้จะมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำได้แล้วก็ตาม

           แร็กนาร์มองปฏิกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กปีศาจทั้งสองด้วยใบหน้าเรียบเฉย จนอีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ แล้วไม่เขินอายกับสิ่งที่ตนกระทำบ้างหรืออย่างไร
 
           “ตั้งสติ...แล้วคิดดีๆ” เสียงราบเรียบถูกส่งออกไปอีกครั้งเพื่อเตือนสติเด็กทั้งสอง แร็กนาร์ไม่ใช่คนช่างพูด หรือชอบอธิบายสิ่งใดที่มันยุ่งยาก เขาจึงมักจะลงมือทำมากกว่ามานั่นอธิบายเสมอ แต่การจะให้จับด้านล่างเลยก็รู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง จึงเลือกให้จับด้านบนแทน มันคงไม่ต่างกันมากนัก

           “อะไร ข้าไม่เข้าใจพี่สาว” เด็กปีศาจผิวขาวพูดขึ้น ถึงแม้จะควบคุมสติได้บ้างแล้วแต่เขาก็คิดไม่ออกอยู่ดี

          ‘พี่สาว พี่สาว พี่สาว ถ้าพูดอีกคำเดียวนะ จับเชือดทิ้งซะเลยดีไหม?’

           แร็กนาร์ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ความอดทนของเขาแทบจะหมดอยู่แล้ว

           “ท่านไม่ใช่พี่สาว...สินะ” เด็กปีศาจผิวคล้ำที่ตั้งสติได้แล้วคิดทบทวนสิ่งต่างๆดีๆจึงได้เข้าใจในที่สุด เด็กน้อยมองสำรวจทั่วร่างกายของแร็กนาร์อีกครั้งด้วยความที่ไม่อยากจะเชื่อในบทสรุปของตน ก็คนๆนี้มีร่างกายที่บอบบาง ทั้งยังผิวขาวซีด ทั้งปากบางที่สีชมพูระเรื่อ ดวงตาสีดำที่เรียวเล็ก จมูกทีโด่งเป็นสันอย่างพอเหมาะเข้ากับใบหน้าที่ถึงแม้จะเรียบเฉยแต่กลับดูหวานหยด ราวกับถูกเทพสรรค์สร้างนั่น มันช่างลงตัวจนไม่อาจทำใจเชื่อในสิ่งที่ตนคิดได้

            แร็กนาร์เองเมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้วจึงคลายมือออก ปล่อยให้มือของเด็กทั้งสองเป็นอิสระในที่สุด จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับน้อยๆเพื่อเป็นการยืนยันสิ่งที่อีกคนสงสัย เขาเลือกที่จะเดินเข้าครัวไปเงียบๆเพื่อระงับความหงุดหงิดของตน เขาไม่อยากมานั่งต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อย ที่เด็กกว่าร่างนี้ของเขาด้วยซ้ำ

            แม้จะทำเหมือนไม่สนใจเด็กปีศาจทั้งสองแล้ว แต่หูที่ดีเกินไปก็ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอก

            “ทำไมไม่ใช่พี่สาวล่ะ ฮิเดโอะ” เสียงของเด็กปีศาจผิวขาวดังขึ้น

            “ก็ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างไรเล่า” เจ้าของชื่อก็ตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

            “เอ๊ะ!!!...ไม่ใช่หรอกหรือ ทำไมล่ะ” คนสงสัยยังคงถามต่อ

            “ไม่มีหน้าอก...เอ่อ...ไม่เหมือนซาโนะอย่างไรเล่า” เสียงตอบจากเด็กน้อยฮิเดโอะดังออกมาอีก เมื่อคิดว่าแฝดของตนคงไม่อาจเข้าใจ จึงได้ยกตัวอย่างให้ดูง่ายขึ้น แร็กนาร์เองก็พยักหน้าอย่างพอใจในความฉลาดเฉลียวของผู้ตอบ

            “อ้าว...แต่ว่า แต่ว่างดงามกว่าซาโนะอีกนะ ไม่ใช่ผู้หญิงหรอกหรือ” เสียงถามอย่างไร้เดียงสาดังขึ้นอีก ทำให้คนที่อยู่ในครัว ทำคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก มือที่กำลังหั่นผักอยู่ก็หยุดลง เขากำลังข่มอารมณ์โกรธของตัวเองอยู่ เพราะไม่อยากถือสาเด็กน้อย

            “งดงามกว่า แต่ก็ไม่ใช่...เขาเป็นผู้ชายเหมือนข้า กับเจ้าอย่างไรล่ะ ฮิโรกิ” ผู้ตอบก็ตอบอย่างชาญฉลาดอีกครั้ง จนคนที่ยืนระงับอารมณ์อยู่ค่อยๆคลายปมที่คิ้วออกช้าๆ

            “เอ๋...อย่างนั้นก็เป็นพี่ชายหรอกหรือ” แล้วก็เป็นคำตอบที่ทำให้คนสงสัยเข้าใจในที่สุด แร็กนาร์พยักหน้าพอใจ พร้อมยิ้มน้อยๆจากนั้นก็ลงมือหั่นผักต่อ ฮิเดโอะเองก็พอใจในผลลัพธ์ที่ตนอธิบายจนฮิโรกิเข้าใจ จนกระทั่ง

            “ไม่เอา! ข้าจะเรียกพี่สาว ก็คนๆนั้นน่ะ  ทั้งบอบบาง ทั้งงดงาม ทั้งเก่ง...ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเรียกว่าพี่สาว!” ฮิโรกิพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมด้วยความดื้อดึง โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้ที่ได้ยินเอาเสียเลย

            ‘ฆ่า  ฆ่า ฆ่า ฆ่าสถานเดียว โถ่จะทนไม่ไหวแล้วเว้ย ไอ้เด็กเวร’


            ไม่เพียงแค่ความคิด แร็กนาร์ยังปล่อยรังสีแห่งการฆ่าฟันออกมาอย่างปิดไม่มิด จนเด็กน้อยปีศาจทั้งสองที่นั่งอยู่ด้านนอกสัมผัสความน่ากลัวนี้ได้ ขนของพวกเขาลุกเกรียวทั้งยังหวั่นกลัวในใจไม่น้อย

            “จะเอาอย่างไรฮิโรกิ” เพื่อแก้สถานการณ์ ฮิเดโอะจึงถามแฝดของตนอีกครั้ง เข้ามั่นใจว่าคนถูกพูดถึงต้องได้ยินการพูดคุยของพวกเขาเป็นแน่ แม้จะยังสงสัยอยู่บ้างว่าเหตุใดคนที่อายุต่างจากตนไม่มากนักถึงแผ่รังสีที่น่าหวั่นกลัวนี้ออกมาได้ แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้เท่านั้น

            “ข้า...เรียกพี่ชายก็ได้” ฮิโรกิที่แม้จะไม่รู้สิ่งใดมากนัก แต่ใจที่สื่อถึงกันได้ของแฝดตนจึงเข้าใจได้ว่าตนไม่มีทางเลือกนอกจากเรียกตามสิ่งที่ควรจะเป็น

            พอฮิโรกิตอบรับ รังสีน่าหวั่นกลัวก็ค่อยๆเบาบางลง จนหายไปในที่สุด ตอนนี้แร็กนาร์ผ่อนคลายตนเอง จนหายหงุดหงิดไปบ้างแล้ว

            หลังจากนั้นเด็กปีศาจทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องสัปเพเหระ  ที่แร็กนาร์ไม่สนใจฟังเท่าไหร่นัก เขาฟังเพียงผ่านหูเท่านั้น แร็กนาร์จัดการหั่นผักต่อจนเสร็จ แล้วจัดการทำอาหารอย่างอื่นไปพร้อมๆกัน ในระหว่างทำอาหารเสียงด้านนอกก็ดังไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย

            ‘คุยไม่หยุดเลยแฮะ ไม่เหนื่อยบ้างเลยรึไงกัน  แต่อาการคงดีขึ้นมากแล้วถึงได้ส่งเสียงได้มากขนาดนี้นี่นะ

            แต่ที่น่าแปลกใจก็คงจะเป็นชื่อที่เราได้ยิน ทั้งๆที่ชื่อที่เราเคยได้ยินมามันเป็นชื่อออกไปทางยุคโรมันแท้ๆ ทำไมชื่อของเด็กพวกนั้น รวมทั้งชื่อกลุ่มนั่นถึงออกไปทางญี่ปุ่นกันนะ ทั้งกลุ่มยาฉะ กลุ่มโนบุ ทั้งฮิเดโอะ ทั้งฮิโรกิ แบบนี้มันญี่ปุ่นชัดๆเลย มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว มันอะไรของโลกนี้กันนะ หรือจะเหมือนโลกเดิมที่แบ่งแยกดินแดนเป็นประเทศ หลายหลายความเชื่อ หลายหลายวัฒนธรรม แต่กลับใช้ภาษาเดียวกัน แบบนี้คงเป็นโลกในอุดมคติของใครหลายๆคนเลยล่ะ โลกนี้มันช่างน่าสนใจซะจริงๆ

            หึหึ คงต้องสอบสวนเด็กน้อยพวกนั้นอย่างจริงจังซะแล้ว ถึงจะเด็กไปหน่อย แต่คงพอมีข้อมูลให้เราบ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะ ตอนนี้ข้อมูลสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ของมนุษย์ ของปีศาจเองเราก็ต้องรู้ให้มากที่สุด จะได้เตรียมพร้อมรับมือถูก มันคงจะพอชดเชยกับคนไร้พลังอย่างเราได้ล่ะนะ’


            หลังจากนั้นแร็กนาร์ก็คิดเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆทั้งเรื่องปรุงยา ทั้งเรื่องข้อมูลต่างๆ รวมทั้งเรื่องจะจัดการอย่างไรกับเด็กทั้งสอง จนเวลาล่วงเลยไปอาหารก็เสร็จสรรพพร้อมจะตั้งโต๊ะ

            แร็กนาร์จัดของบนโต๊ะอาหารเสร็จก็ออกมาด้านนอกเห็นเด็กปีศาจทั้งสองกำลังเดินสำรวจสิ่งของที่มุมต่างๆในห้องนั่งเล่น

            ‘เฮ้ออออ นี่เราเอาตัววุ่นมาดูแลรึเปล่านะ เด็กก็ไม่เคยเลี้ยงซะด้วย จะรับมือถูกไหมนะเรา ดื้อนักฆ่าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยก็คงจะดี’

            “หยุดเดินแล้วมากินข้าว” แร็กนาร์พูดด้วยเสียงราบเรียบเช่นเคย เด็กปีศาจทั้งสองก็สะดุ้งน้อยๆที่ถูกเรียก พวกเขาไม่รู้เลยว่าแร็กนาร์เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากเลิกตกใจก็หันมายิ้มกว้างส่งไปให้แร็กนาร์ แล้วเดินตามหลังของเจ้าของเสียงเข้าไปในห้องครัวทันที

            โต๊ะกินข้าวเป็นแบบตัวยาว ที่นั่งได้ทั้งหมด 6 คน ห้องครัวเล็กๆแต่กลับมีโตะกินข้าวตัวใหญ่ อาจจะเป็นความชอบของเจ้าของบ้านหลังนี้ เพราะโต๊ะ และเก้าอี้ล้วนทำจากไม้เนื้อดีทั้งนั้น  แร็กนาร์เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะในทันที ส่วนเด็กปีศาจจอมซนทั้งสองก็ไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งหนึ่งซึ่งแร็กนาร์วางจานอาหารไว้ที่ฝั่งขวามือของเขาทั้งสองจาน

            “อาหารแปลกประหลาด” ฮิเดโอะพูดออกมาเสียงเบาๆแต่สายตากับจับจองอาหารในจานของตนอย่างสำรวจ และตื่นเต้นกับอาหารที่แปลกตา

            “พี่สะ...เอ้ย พี่ชายทำอาหารแปลกๆแต่น่าอร่อยสุดๆเลย” ฮิโรกิออกเสียงเรียกแร็กนาร์ในตอนแรก ก็ถูกสายตาของคนถูกเรียกจับจ้องอย่างกดดันเล็กน้อย จึงเปลี่ยนการเรียกในทันที แต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าตื่นเต้นที่จะได้ทานอาหารแปลกใหม่เปลี่ยนไปมากนัก

            อาหารที่แร็กนาร์ทำวันนี้เป็นชุดสเต็กที่ในจากมีเนื้อของสัตว์ที่ลักษณ์คล้ายหมูป่าที่เขาจับได้เมื่อวาน ตอนนี้มันถูกบดจนไม่เหลือเคล้าเดิม แล้วนำมาคลุกเคล้าเครื่องเทศที่ได้มาจากรูร์กัสจนเป็นแผ่นกลมหนาขนาดพอเหมาะกับอาหาร 1 มื้อ นอกจากเนื้อก็มีไข่ดาวที่วางบนขนมปังปิ้ง และสลัดที่รวมผักสดต่างๆซึ่งได้มาจากรูร์กัสเมื่อวานเช่นเดียวกัน ในโลกนี้นับว่าอาหารการกินใกล้เคียงกับโลกเดิม การทำอาหารจึงไม่เป็นอุปสรรคกับแร็กนาร์มากนักเขาจึงเลือกทำอาหารแบบง่ายๆให้คนละจานเท่านั้น

            แร็กนาร์เริ่มตักอาหารใส่ปาก เด็กน้อยทั้งสองก็เริ่มทานเช่นดียวกัน แม้จะใช้มีดหั่นเนื้อไม่เป็นนักแต่ก็พยายามทำตามแร็กนาร์ และพอชำนาญก็กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไม่พูดไม่จาอีก แร็กนาร์เองเมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองทานอาหารที่เขาทำได้ ก็นั่งทานเงียบๆอย่างพอใจ พร้อมมองสำรวจพฤติกรรมของเด็กปีศาจทั้งสองในขณะทานอาหารไปด้วย

            .

            .

            .
           
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 5 แดนเถื่อน และคำสาบาน(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 10-08-2016 11:10:52
   

             “ไปนั่งรอ” แร็กนาร์ทานของตนหมดก่อนจึงนั่งรอเงียบๆ ไม่นานนักเด็กปีศาจทั้งสองก็ทานอาหารของตนจนหมด ทั้งยังดื่มน้ำที่วางไว้จนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นเสียงเรียบของแร็กนาร์ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งทั้งยังชี้มือไปทางห้องนั่งเล่น เป็นการบอกให้ทั้งสองไปนั่งรอในนั้น

             “ครับ!!” เด็กปีศาจทั้งสองก็ว่าง่ายขึ้นหลังจากทานอาหารเสร็จ ตอบรับคำสั่งแล้ววิ่งออกไปรอที่ห้องนั่งเล่นในทันที

             แร็กนาร์นำจานทั้งหมดไปล้างในอ่างสำหรับล้างจานจนเสร็จ แล้วจึงเดินตามเด็กปีศาจทั้งสองออกไปที่ห้องนั่งเล่น

             “นั่งนิ่งๆ” เสียงเรียบของแรกนาร์ถูกส่งออกไป หลังจากเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ตัวยาว เด็กน้อยปีศาจทั้งสองก็หยุดขยับไปมาตามที่แร็กนาร์บอก จากนั้นเขาก็ตรวจบาดแผลด้วยสายตา และสัมผัสด้วยมืออย่างแผ่วเบา เพราะตอนนี้เด็กทั้งสองไม่ได้ใส่เสื้อ ใส่เพียงกางเกงสีดำที่ยาวไปถึงข้อเท้า ซึ่งแร็กนาร์ถอดเสื้อของเด็กทั้งสองออกตอนที่รักษาบาดแผล การตรวจจึงเป็นไปได้โดยง่าย ผ่านไปไม่นานนักแร็กนาร์ก็ตรวจจนเสร็จเรียบร้อย เขาจึงได้เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กสำหรับนั่งคนดียวที่ตั้งอยู่ด้านข้าง

              “ข้าชื่อ แร็กนาร์ คูฟฟ์ อายุ 8 ปี” หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้แร็กนาร์ก็แนะนำตัวด้วยท่าทีนิ่งๆ ประหนึ่งตนกำลังนั่งคุยกับเด็กน้อยที่อายุห่างกันหลายปี

              “ข้า ยาฉะ ฮิเดโอะ” อิเดโอะพูดขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหยุดพูดเพื่อให้เขาแนะนำตัวเองบ้าง

              “ข้า ยาฉะ ฮิโรกิ” ฮิโรกิเห็นฮิเดโอะแนะนำชื่อของตน เขาจึงแนะนำตามอย่างแฝดของตน

              “พวกเราอายุ 7 ปี พี่ชายอายุห่างจากข้าแค่เพียง 1 ปี ทำไมถึงรักษาบาดแผลของพวกเราได้” ฮิเดโอะถามในสิ่งที่ตนสงสัยทันทีเมื่อได้ยินอายุจริงของผู้มีพระคุณ

              “เรียกข้าว่า แร็กนาร์” แร็กนาร์ได้ยินเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วตั้งแต่เด็กปีศาจทั้งสองพูดคุยกันในขณะที่เขาทำอาหาร แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายสิ่งใด

              “มาเริ่มตอบคำถามตามข้อตกลงของเราได้แล้ว” จากนั้นก็เริ่มต้นเข้าสู่เรื่องที่ตนต้องการทันที

              “แค่ตอบคำถามของพี่ เอ้ย เจ้าเท่านั้นหรือ แร็กนาร์” ฮิโรกิถามขึ้น ทั้งยังเปลี่ยนการเรียกอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แบบนี้ดีกว่าให้มานั่งเรียกว่าพี่ชาย ทั้งๆที่ในใจของเขาไม่อยากเรียกเลย 

              “ใช่” แร็กนาร์ตอบเพียงสั้นๆด้วยเสียงราบเรียบ ทำให้เด็กปีศาจทั้งสองอดคิดไม่ได้ว่า คนๆนี้มีความคิดโตเกินอายุ หรือมนุษย์เป็นแบบนี้ทั้งหมดทุกคนกันแน่

              “ตกลง ข้าพร้อมแล้ว” ฮิเดโอะตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วจ้องมองแร็กนาร์เพื่อรอคำถาม

              “ข้าก็พร้อม” ฮิโรกิตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมองไปที่แร็กนาร์เช่นเดียว

              “เจ้าคนที่ชื่อ เคอรี่ พูดว่ากลุ่ม มันคืออะไร?” แร็กนาร์มองตอบกลับด้วยสายตาจริงจังในคำถามเช่นเดียวกัน

              “เอ๊ะ!! เจ้าได้ยินอย่างนั้นหรือ!!” เด็กปีศาจทั้งสองต่างกะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เพราะในตอนนั้น ไม่เพียงปีศาจร้ายทั้งสามที่สัมผัสถึงแร็กนาร์ไม่ได้ พวกเขาทั้งสองก็สัมผัสถึงคนอื่นนอกจากนั้นไม่ได้เช่นกัน

              “ใช่...ตั้งแต่ต้น” แร็กนาร์ยังคงตอบด้วยท่าทีนิ่งเรียบตามแบบฉบับของตน แล้วจ้องมองทั้งสองอย่างคาดคั้นให้ตอบคำถามของเขา

              “ทำไมข้าถึงสัมผัสถึงแร็กนาร์ไม่ได้กัน ฮิเดโอะเจ้าล่ะรู้รึเปล่า” ฮิโรกิถามในสิ่งที่ตนสงสัยออกมาในทันที แล้วหันไปถามแฝดของตนเพื่อยืนยันว่าไม่ใช่เพียงแค่เขาที่สัมผัสตัวตนของแร็กนาร์ไม่ได้

              “ข้าก็ด้วย” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหันมามองหน้าของแร็กนาร์เพื่อขอคำตอบ

              “เฮ้ออออ พวกเจ้าไม่ต้องรู้หรอก แค่ตอบคำถามของข้าก็พอ” ผู้ถูกส่งสายตาแห่งคำถามไปให้ยังคงไม่คิดจะตอบคำถาม เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องมานั่งอธิบาย

              ‘ไอ้เด็กฮิดะนี่จะขี้สงสัยเกินไปแล้ว นั่งนิ่งๆแล้วตอบคำถามอย่างว่าง่ายหน่อยไม่ได้รึไงนะ ตอนนี้เราเป็นคนถาม ทำไมต้องมาถูกถามเองด้วย ชิ อุตส่าห์ช่วยมาทั้งทีก็ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยเถอะ เฮอะ มีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดทั้งนั้นเลยเว้ย!’

              ไม่เพียงความคิด แร็กนาร์ยังแผ่รังสีแห่งความขุ่นมัวด้วยอารมณ์หงุดหงิดออกไปด้วย แม้ใบหน้าจะยังเรียบเฉยอยู่ก็ตาม จนเด็กปีศาจทั้งสองแอบหวั่นใจเล็กน้อย

              “เลิกสงสัย...แล้วตอบข้า” น้ำเสียบราบเรียบถูกส่งออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับดูเรียบเฉยยิ่งกว่าในยามปกติจนน่าหวั่นใจ อารมณ์ที่ครุ่กรุ่นกำลังถูกข่มเก็บไว้ ดังเช่นภูเขาไฟก่อนเกิดการประทุครั้งใหญ่

              “เจ้าตอบ” พูดพรางชี้นิ้วไปที่ฮิเดโอะ เจ้าตัวปัญหาที่ชอบสร้างความหงุดหงิดให้ แต่การเลือกให้ฮิเดโอะเป็นผู้ตอบคำถามนับว่าถูกต้อง แม้จะอายุเพียง 7 ปี แต่คำพูดกลับดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ทั้งยังช่างสังเกตุ ช่างสงสัย ถ้าอยู่ในโลกเดิมของเขา เด็กคนนี้คงกลายเป็นอัจฉริยะทางด้านใดด้านหนึ่งเป็นแน่

              เจ้าของชื่อพยักหน้าน้อยๆเพื่อตอบรับ แล้วพ่นลมหายใจไล่ความสงสัยของตนออกมา ฮิเดโอะทำใจยอมรับในที่สุด เขาคิดว่าถึงแม้จะถามอะไรไปแร็กนาร์คงไม่ตอบเขาเป็นแน่ คงทำได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้แล้วตอบคำถามของแร็กนาร์ตามข้อตกลงเท่านั้น

              ฮิโรกิเองก็เหมือนจะเอนเอียงตามฮิเดโอะโดยง่าย เมื่อเห็นแฝดของตนตอบรับก็นั่งฟังเงียบๆให้อีกคนจัดการ

              “แดนพยัคฆ์ของเรามีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ‘แดนเถื่อน’ เป็นชื่อที่เรียกกันในบรรดาปีศาจทั้ง 3 ดินแดน เจ้าจึงอาจจะไม่เคยรู้ เพราะดูจากลักษณะแล้วเจ้าคงไม่ใช่ปีศาจ ในบรรดาปีศาจที่ข้าเคยพบเจอมาไม่มีปีศาจตนใดเลยที่ลักษณะเหมือนเจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงเป็นมนุษย์สินะแร็กนาร์ ถึงข้าเองจะไม่เคยเห็นมนุษย์แต่ก็คิดว่าไม่ผิดแน่นอน

              ปีศาจและมนุษย์ตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง มนุษย์จึงไม่อาจล่วงรู้เรื่องราวของแดนปีศาจ เจ้าแน่ใจแล้วหรือที่อยากจะรู้เรื่องของเรา” ฮิเดโอะบอกเล่าสาเหตุที่คิดว่าจำเป็นก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาปิดบัง แต่เขาก็กลัวว่าถ้าแร็กนาร์รับรู้เรื่อราวเกี่ยวกับแดนปีศาจแล้ว อาจจะเป็นการดึงผู้มีพระคุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายภายในดินแดนของตน

              “เล่าต่อ” แร็กนาร์ตอบรับ  แม้ฮิเดโอะจะเข้าใจผิดในเรื่องที่แร็กนาร์เป็นมนุษย์ และเขาก็ยังสงสัยว่าทำไมฮิเดโอะไม่พูดถึงลูกครึ่งก็ตาม มันอาจจะเป็นเหตุผลง่ายๆอย่างคิดไม่ถึงก็เป็นได้

              “ครับ...ดินแดนของเราต่างจากดินแดนอื่น  อาจจะต่างจากแดนมนุษย์ของเจ้าด้วย  ต่างกันตรงที่ดินแดนของเราไม่มีผู้ปกครองสูงสุด แบ่งแยกเขตแดนครอบครองโดยกลุ่มใหญ่ 4 กลุ่มโดยมีกลุ่มเล็กๆขึ้นตรงต่อกลุ่มใหญ่ทั้งสี่ ร่วมกันควบคุมดูแลพื้นที่ของตนด้วยกฎของตนเอง

              แดนพยัคฆ์ปัจจุบันแบ่งเป็น เขตเหนือ เขตใต้ เขตตะวันออก และเขตตะวันตก อาณาเขตที่เจ้าเข้าไปคือเขตเหนือ ซึ่งครอบครองโดยกลุ่มยาฉะของเรา กลุ่มโนบุครอบครองเขตตะวันตกซึ่งมีพื้นที่เล็กที่สุด แต่กลับอุดมสมบูรณ์และมีประชากรเทียบเท่ากลุ่มยาฉะของเรา เรามีข้อตกลงแบ่งผลประโยชน์กับกลุ่มโนบุอยู่แล้ว ทำให้ที่ผ่านมาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่เมื่อไม่นานมานี้กลุ่มโนบุกลับเริ่มทำการขยายอาณาเขตของตน และต้องการยึดเขตเหนือเป็นของตน ข้าเองก็ไม่รู้ถึงสาเหตุ ท่านพ่อไม่บอกให้ข้ารู้แม้จะถามไปแล้วก็ตาม

              สิ่งที่ข้ารู้มีเพียงเท่านี้ มันอาจจะไม่มีประโยชน์กับเจ้ามานัก...ข้าขอโทษนะแร็กนาร์” เมื่อเล่าเรื่องราวที่ตนรู้จบฮิเดโอะก็ก้มหัวลงขอโทษแร็กนาร์ ยิ่งเล่าเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตนรู้มันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน มันไม่อาจทำประโยชน์ใดๆได้เลย

              “ขอโทษ” ฮิโรกิเห็นแฝดของตนขอโทษก็ก้มหน้าลงขอโทษตามไปด้วย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม

              “มีประโยชน์มาก หรือ น้อย ข้าเป็นคนตัดสิน” เสียงราบเรียบของแร็กนาร์เอ่ยขึ้น เพื่อเป็นการบอกเป็นความนัยไม่ให้เด็กน้อยทั้งสองคิดมาก

              แร็กนาร์จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่ก็ทำให้ฮิเดโอะเข้าใจ และยิ้มออกมาได้ในที่สุด ตอนนี้ฮิเดโอะรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้านั้นแสนจะใจดี ที่ช่วยพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น ถึงแม้คำพูดจะเย็นชาไปเสียหน่อยก็ตาม

              ฮิโรกิก็เป็นเช่นเดิมยังทำตามฮิเดโอะอยู่ไม่ขาด  เห็นแฝดตนยิ้มก็ยิ้มตาม   หรืออาจจะเป็นแฝดกัน ทั้งใจ  และความคิด   จึงสื่อถึงกันก็เป็นได้    เพราะท่าทีที่ฮิโรกิแสดงล้วนแสดงออกมาด้วยความจริงใจ   ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด

              “พวกเจ้ารู้เรื่องแดนอื่นอีกหรือไม่”  เสียงราบเรียบที่แสดงถึงการเมินเฉยต่อรอยยิ้มของเด็กปีศาจทั้งสองเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

              “ข้าเคยเห็นปีศาจแดนอื่นบ้าง เมื่อพวกเขามายังบ้านของเราเพื่อทำการเจรจาบางอย่างกับท่านพ่อ   และได้พูดคุยบ้างบางครั้งหากท่านพ่อไม่ได้ห้ามสิ่งใด   ข้าจึงรู้เพียงว่า   ทั้งการแต่งกาย  ทั้งชื่อล้วนต่างจากเรา  ข้ารู้เพียงเท่านี้จริงๆ” ฮิเดโอะตอบด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้ง  เขายังเด็กเกินกว่าที่จะได้รับรู้เรื่องราวของผู้ใหญ่

              “ข้าเคยถามเยอะแยะเลย  แต่ท่านพ่อบอกว่าให้รอโตกว่านี้ก่อน แล้วเจ้าจะได้รับรู้เองทุกทีเลย” ฮิโรกิพูดขึ้นมาบ้างหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน เข้ารู้ว่าฮิเดโอะไม่สบายใจ จึงคิดจะช่วยพูดแก้ตัวให้

              แร็กนาร์นั่งเงียบจนเด็กทั้งสองที่แสดงท่าทางสำนึกผิด  ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ให้กับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเด็กทั้งสอง เขาไม่ได้โกรธเคือง เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรดี ไม่รู้ควรถามต่อดีหรือไม่

              “ข้าเข้าใจและไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจ...พวกเจ้าหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว กลับไปเถอะ”  ในเมื่อไม่รู้จะรับมืออย่างไร แร็กนาร์จึงเลือกที่จะให้เด็กทั้งสองกลับบ้านไป เขาไม่ชอบการคลุกคลีอยู่กับเด็กๆแบบนี้ ที่ไม่ว่าจะน้ำเสียง สีหน้า และแววตา การกระทำต่างๆล้วนไร้เดียงสาจนเขารับมือไม่ถูก ไม่รู้จะโต้ตอบไปอย่างไรให้เหมาะสมไม่ให้รุนแรงจนเกินไป...นี่เขาเป็นพวกใจอ่อนกับเด็กอย่างนั้นหรือ?

              “เจ้าไม่ถามต่อแล้วหรือ แร็กนาร์”  ฮิเดโอะถามออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่เพิ่มขึ้นอีก เขารู้ว่าแร็กนาร์กำลังไล่พวกเขา เขาคงหมดประโยชน์กับคนตรงหน้าแล้วจริงๆ

              “ใช่” แร็กนาร์ตอบเพียงสั้นๆก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ข้างโต๊ะที่ตั้งไว้ตรงกลาง เพื่อหยิบยาที่ผสมเสร็จแล้วไปให้เด็กปีศาจทั้งสอง

              “ถ้ารู้สึกไม่สบายตัวเพราะแผลอักเสบก็กินซะ” แร็กนาร์พูดขึ้นอีกขณะยื่นห่อยาไปให้กับฮิเดโอะ

              “ให้พวกเราตอบแทนเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้หรือ” ฮิเดโอะยื่นมือไปรับห่อยาจากแร็กนาร์มาถือไว้ แล้วถามต่อ เขายังอยากทำประโยชน์ให้กับผู้มีพระคุณที่แม้จะมีร่างกายโตกว่าพวกเขา แต่กลับดูบอบบางกว่าอย่างเห็นได้ชัดนี้

              “ไม่...ข้าไม่มีสิ่งใดจะถาม หรือให้พวกเจ้าทำ” พูดจบแร็กนาร์ก็เดินไปที่ประตูบ้าน จากนั้นมองมาที่เด็กปีศาจทั้งสองเป็นเชิงไล่ให้ออกไปได้แล้ว

              ทั้งฮิเดโอะ และฮิโรกิต่างมองหน้ากัน ก่อนที่จะหันไปมองทางแร็กนาร์ แม้ในตอนแรกนั้นพวกเขาทั้งสองกลัวว่าจะถูกใช้ประโยชน์มากเกินไป หลังจากถูกช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลำบากใจที่ผู้มีพระคุณใช้ประโยชน์จากพวกเขาน้อยจนเกินไปเสียได้   ตอนนี้ทั้งสองต่างรู้สึกผิดในใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกซาบซึ้งในการกระทำของแร็กนาร์  ที่เรียกร้องเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆจากพวกเขาเท่านั้น แล้วยังมอบยาให้แบบไม่ขอสิ่งใดตอบแทนอีก คนๆนี้ช่างน่ายกย่องเสียจริงๆ

              ในตอนนี้เด็กทั้งสองมีเรื่องลังเลอยู่ในใจ พวกเขาไม่รู้ว่าจะยอมทำตามแร็กนาร์อย่างว่าง่าย  หรือจะทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนแร็กนาร์ดี

              ที่แร็กนาร์ช่วยเอาไว้คือชีวิตพวกเข้าทั้งสองชีวิต ถ้าหากแร็กนาร์เลือกที่จะเมินเฉย พวกเขาคงไม่อาจมีลมหายใจอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ฮิเดโอะและฮิโรกิต่างมองหน้ากันเงียบๆเพื่อขอคำตอบจากอีกคน  ต่างจากแร็กนาร์ที่ตอนนี้ยืนคิดเงียบๆอยู่ที่บานประตู

              ‘อะไรของเด็กพวกนั้นกันนะ   เราก็ให้กลับออกไปง่ายๆยังไม่ยอมกลับไปอีก  ทั้งๆที่ปกติคนที่เราเจอมาต่างรีบออกไป หลังจากเราอนุญาตเลยแท้ๆ  ชิ แล้วยังทำหน้ารู้สึกผิดอีก วุ้ย   รับมือไม่ถูกจริงๆล่ะนะ

              ถึงเรื่องที่เล่ามาดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลยล่ะนะ  อย่างน้อยก็ได้รู้โครงสร้างการปกครองของแดนพยัคฆ์แล้ว   เราแค่พยายามไปไม่เกินเขตเหนือก็น่าจะพอแล้ว  จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่ตามมาด้วย 

              เราเป็นลูกครึ่งขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าต้องถูกจัดการง่ายๆแน่ ถ้าหากไม่รู้อะไรเลย  อ๊ะ!  จะว่าไปเด็กพวกนี้ยังไม่รู้เลยนี่ว่าเราเป็นลูกครึ่ง ถ้าบอกไปคงจะยอมออกไปทันทีแน่ๆยังไงก็ต้องถูกรังเกียจแน่อยู่แล้ว’

              “ข้าเป็นลูกครึ่ง...ลูกครึ่งมนุษย์กับปีศาจ  พวกเจ้าไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับข้า...กลับไปได้แล้ว” แร็กนาร์ตัดสินใจพูดออกไปหลังจากคิดอยู่นาน

              “เอ๊ะ!!!  ไม่จริงน่า!!” เด็กทั้งสองตะโกนออกมาด้วยความตกใจ และประหลาดใจในสิ่งที่ตนได้ยิน

              “ข้ารู้ว่าพวกลูกครึ่งต่างถูกรังเกียจ ในแดนเหนือเองก็นำลูกครึ่งมาทิ้งไว้ที่เขตชายแดนบริเวณรอยต่อกับแดนมนุษย์เช่นเดียวกัน ข้ารู้มาว่าพวกลูกครึ่งนอกจากถูกรังเกียจแล้วยังถูกทำร้าย ทั้งยังไร้พลัง   ไร้ความคิด ถูกใช้เป็นแรงงานเท่านั้น...เจ้าไม่เหมือนอย่างนั้นเลย” ฮิเดโอะพูดสิ่งที่ตนรู้ออกมา นั่นทำให้แร็กนาร์เข้าใจสาเหตุที่ฮิเดโอะคิดว่าเขาเป็นมนุษย์ในทันที

              “ข้าใช่...พวกเจ้าพึ่งรู้จักข้า ยังไม่รู้จักข้าอย่างแท้จริง...กลับไปได้แล้ว” เสียงเรียบถูกส่งออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เสียง สายตากดดันที่ไล่ให้เด็กทั้งสองออกจากบ้านไปก็ถูกส่งไปอย่างไม่ปิดบัง

              แร็กนาร์ไม่รู้เลยว่าทั้งคำพูด และการกระทำของตนไปกระตุ้นการตัดสินใจบางอย่างของเด็กทั้งสอง...

              ในที่สุดฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ยอมลุกจากเก้าอี้ที่นั่งแล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่แทนที่จะเดินออกไป กลับไปหยุดอยู่ตรงหน้าของแร็กนาร์ จากนั้นก็นั่งคลุกเข่าลง ชันเข้าด้านขวาขึ้นมาแล้วยกแขนข้างขวาขึ้นมาวางบนเข่าขวาพร้อมกำมือมือแน่น  ก้มหน้าลง ลักษณะเหมือนกันพวกทหารที่พร้อมจะรับคำสั่ง หรือกล่าวปฏิญาณตน

              “ข้า ยาฉะ ฮิเดโอะ”

              “ข้า ยาฉะ  ฮิโรกิ”

              “พวกเราขอสาบานว่าจะปกป้อง ‘แร็กนาร์  คูฟฟ์’ ด้วยชีวิต!!”

 


 

To Be Continued...


____________________________________________________________________________________

 

แผนที่โลกใหม่  (แบบคร่าวๆ)

(http://i66.tinypic.com/3324c42.jpg)
 

*อ้างอิงแผนที่จากประเทศอิตาลี แต่ภูมิทัศน์ด้านต่างๆเกิดจากจิตนาการของผู้แต่ง และอาจจะมีการนำสถานที่มาเกี่ยวเนื่องกันบ้างแล้วความเห็นชอบของเราค่ะ  (ที่เลือกประเทศนี้เพราะ  เป็นประเทศที่อยากไปสักครั้งในชีวิต ขอมโนก่อน หุหุ)

 

#ตอนนี้ขอลงแค่การแบ่งเขตของแดนพยัคฆ์ก่อนนะคะ หลังจากนี้เมื่อพูดถึงแดนอื่นๆจะอัพเดทไปเรื่อยๆ

 

____________________________________________________________

ลงตอนที่ 5 แล้วค่าาาา

อย่าแปลกใจที่อัพเร็วนะคะ พอดีลงเว็บอื่นได้หลายตอนแล้วพึ่งจะเอามาลงในนี้ก็เลยจะอัพให้ทันกันค่ะ

แต่ถ้าทันแล้วก็จะอัพช้าเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ

พอว่างจะรีบมาลงทันทีเลยนะคะ ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยจ้า :mew1:

พูดคุย และทวงนิยายได้ที่>>>  https://www.facebook.com/greenheadzoro/
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 5 แดนเถื่อน และคำสาบาน (10.08.2016)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 10-08-2016 23:14:55
ง่อเด็กๆ  :hao6:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 6 หวั่นไหว(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 16-08-2016 08:10:35

ตอนที่ 6
หวั่นไหว



          5 วันล่วงเลยมาแล้ว หลังจากเหตุการณ์ในวันที่ฮิเดโอะ กับฮิโรกิ ให้สัตสาบานต่อแร็กนาร์ ซึ่งผู้ได้รับคำสานนั้นกลับไม่เพียงไม่ยอมรับเท่านั้น ยังออกปากไล่พวกเขาอีกครั้ง จนพวกเขาจำต้องยอมกลับไปอย่างเสียไม่ได้

          แต่ก่อนจากไปก็ยังไม่ลืมที่จะยืนยันคำพูดของตนอย่างหนักแน่น ทั้งในน้ำเสียง และแววตา จนแร็กนาร์แอบหวั่นไหวอยู่ภายในใจลึกๆ เขาต้องหาเหตุผลมากมายมาลบล้างคำพูดของเด็กทั้งสอง เพื่อเขาจะได้ปิดกั้นความรู้สึกนี้ได้อย่างสมบูรณ์

          แร็กนาร์ได้แต่คิดว่า เพียงเพราะฮิเดโอะกับฮิโรกิยังเด็กมาก จึงได้กล่าวคำพูดแบบนั้นออกมาโดยไม่คิดติตรองให้ดีก่อน ไม่คิดว่าประโยคที่เอ่ยออกมานั้นจะผูกมัดพวกเขาทั้งสามเข้าด้วยกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากเวลาผ่านไปเมื่อเด็กทั้งสองเติบโตขึ้น ก็คงจะลืมเลือนสิ่งที่ตนกล่าวไว้อย่างแน่นอน

          ด้วยความคิดเช่นนั้นแร็กนาร์จึงเก็บความหวั่นไหวนี้ไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ เขาไม่อยากคาดหวังกับใคร หรือเชื่อใจใครอีก เขาไม่อยากรู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึกผิดหวังอีกแล้ว

          .

          .

          .

          วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่รูร์กัสต้องมาหาแร็กนาร์ แต่วันนี้ตั้งแต่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า จนลับขอบฟ้าไป ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ชายแสนใจดีเลย แม้ว่าแร็กนาร์จะยังใช้ชีวิตตามปกติของตน แต่ก็มีบ้างบางครั้งคราวที่เขาจะหันไปมองทางเดินทางด้านหน้าที่รูร์กัสมักจะใช้เดินมาเสมอ

          แร็กนาร์รู้สึกร้อนใจจากความผิดปกตินี้ ทั้งที่ปกติรูร์กัสจะมาหาเขาอย่างกระตือรือร้นตั้งแต่เช้าแท้ๆวันนี้กลับเงียบหายไปอย่างสิ้นเชิง แร็กนาร์อยากจะกลับไปที่บ้านหลังนั้นที่เขาเคยอาศัยอยู่ แต่เพราะธารน้ำที่พัดพาเขาไหลมาไกล จึงทำให้ไม่รู้ทางที่จะกลับไปที่นั่นเสียแล้ว และการแกะรอยตามทางที่รูร์กัสใช้เดินทางมาในตอนกลางคืนของโลกใบใหม่นี้มันไม่ง่ายเลย

          แร็กนาร์นั่งทำใจให้สงบ พร้อมจิบชาร้อนหอมกรุ่น แล้วพยายามคิดในแง่ดี รูร์กัสอาจจะเพียงแค่มีธุระสำคัญจนไม่อาจหลบออกมาก็เป็นได้ จนเวลาผ่านไปพักใหญ่แร็กนารที่ใจยังไม่สงบดีนักก็วางแก้วชาลง นำหนังสือที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะมาวางไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาวในห้องนั่งเล่น เดินขึ้นไปบนห้อง เปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดสำหรับใส่นอนเป็นกางเกงขาสั้นสีดำยาวถึงเข่า และเสื้อแขนสั้นสีขาว พร้อมทั้งผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ปิดตู้แล้วเดินไปหยิบตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเดินลงไปด้านล่าง จากนั้นก็เปิดประตู และไม่ลืมที่จะปิดมันให้เรียบร้อย ก่อนเดินออกไปตามทางที่มืดสนิท

          เพราะบ้านหลังนี้เล็กมากจึงมีเพียงห้องน้ำเล็กที่ต่อออกไปจากห้องครัว ไม่มีห้องสำหรับอาบน้ำ แม้มันจะมีถังน้ำวางอยู่ แต่แร็กนาร์ที่ไม่ชอบความยุ่งยากจึงเลือกที่จะไปอาบน้ำที่ลำธารมากกว่าหาบน้ำมาไว้ใช้สำหรับอาบทุกวัน อีกทั้งลำธารที่เขาพบมันโดยบังเอิญในตอนที่สำรวจป่า เป็นลำธารเล็กๆที่ไหลแยกออกมาจากลำธารขนาดใหญ่ที่แร็กนาร์ตกลงมา อีกทั้งอยู่กลางพุ่มไม้ที่ขึ้นทึบและร่มรื่นไร้สิ่งรบกวนใดๆ

          เดินไม่นานนักแร็กนาร์ก็มาถึงลำธารที่ตนจะอาบน้ำ เขาจัดแจงวางของทั้งหมดไว้บนโขดหินที่อยู่ข้างๆลำธาร แล้วถอดเสื้อผ้าที่ตนสวมอยู่ออก ทั้งเสื้อสีน้ำตาลแขนสั้นขนาดพอดีตัว ทั้งกางเกงสีดำที่ยาวถึงหน้าแข้ง เหลือเพียงกางเกงซับในตัวบางเท่านั้น

          ผ้าของที่นี่แม้จะมีความนุ่มแต่ไร้ซึ่งความยืดหยุ่นเป็นผ้าแบบหยาบที่ต้องใส่แบบพอดี หรือใหญ่กว่าร่างกายของตนเท่านั้น แร็กนาร์สวมใส่เสื้อผ้าเก่าของรูร์กัสที่ใส่ไม่ได้แล้วเสมอ จนตอนนี้ก็ยังคงใส่เสื้อผ้าของรูร์กัสเช่นเดิม แต่จากที่เขาสังเกตุเสื้อบางตัวยังไม่ผ่านการใช้งานด้วยซ้ำ รูร์กัสคงแอบเก็บมันไว้ให้กับเขาเป็นแน่ ยิ่งแยกมาอยู่ด้วยตัวคนดียว รูร์กัสก็ยิ่งนำเสื้อผ้าของตนมาให้แร็กนาร์มากขึ้นไปอีกจนมันอันแน่นเต็มตู้เสียแล้ว

          แร็กนาร์ถอดรองเท้าออกก่อนจะลงไปแช่น้ำในลำธารหลังจากถอดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว น้ำในลำธารเล็กนี้มีอุณหภูมิที่พอเหมาะตามที่แร็กนาร์ต้องการ อีกทั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ มันทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของแร็กนาร์สงบลง เขาจึงขยับตัวไปนั่งลงบนโขดหินที่อยู่ไม่ลึกมาก พอนั่งลงไปน้ำลึกถึงแค่ส่วนคอของแร็กนาร์เท่านั้น พอนั่งได้อย่างพอเหมาะ แร็กนาร์ก็เอนหลังพิงกับโขดหินที่โผล่พ้นน้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆก่อนจะหลับตาลงซึมซับบรรยากาศ และกลิ่นอายของธรรมชาติที่แสนสงบของโลกใบนี้

          สวบ สวบ สวบ

          เสียงรองเท้าที่กระทบลงบนพื้น และเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกับต้นไม้ดังขึ้น ทำให้แร็กหน้าหยุดชะงักการผ่อนคลาย แล้วไปหลบหลังโขดหินที่ตนพิงอยู่ เสียงฝีเท่า 2 คู่เดินอย่างเร่งรีบ ทั้งยังดังขึ้นเรื่อยๆเป็นสัญญาณบอกว่าเจ้าของเสียงฝีเท้ากำลังมุ่งตรงมายังลำธารนี้

          พรึ่บ!!

          ร่างเล็กของเด็กปีศาจผิวคล้ำ และเด็กปีศาจผิวขาวเจ้าของใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคยปรากฎออกมาให้เห็น เมื่อเจ้าตัวเดินแหวกพุ่มไม้พุ่มสุดท้ายออกมา

          “ฮิโรกิ แฮ่กๆ ข้า แฮ่ก ข้าเหนื่อย เราถึงกันรึยัง?” ฮิเดโอะส่งเสียงพูดเมื่อคนนำทางอย่างฮิโรกิหยุดฝีเท้าลงทั้งที่เสียงยังหอบเหนื่อยอยู่

          “เอ่อ...มาผิดทางอย่างนั้นหรือเนี่ย แต่ข้าได้กลิ่นของแร็กนาร์จริงๆนะ”ฮิโรกิที่ท่าทางเหนื่อยหอบอยู่บ้าง แต่ไม่เท่าฮิเดโอะได้แต่พึมพัมตอบเบาๆก่อนมองหาร่างของคนที่ตนตามหาอยู่

          “อีกแล้วนะ เจ้าพาข้าหลงทางรอบที่ 3 แล้ว...ประสาทสัมผัสเจ้ามันตายด้านแล้วหรืออย่างไร” ทั้งที่ยังเหนื่อยหอบ แต่ฮิเดโอะก็ยังเอ่ยคำพูดกระทบแฝดของตนที่มีประสาทรับรู้เป็นเลิศ แม้จะไม่ค่อยพูดจากับคนรอบข้าง แต่ฮิเดโอะจะพูดจาอย่างสนิทสนมเพียงแต่คนในครอบครัวเท่านั้น

          ในครั้งนี้ฮิโรกิทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง เพราะฮิเดโอะเป็นผู้วางแผนหลบหนีออกมาจากบ้านของตนที่บัดนี้ถูกคุมเข้ม จากเหตุการณ์ต่างๆที่เด็กทั้งสองบอกเล่าแก่พ่อของตน ทั้งยังขอกลับมาพบแร็กนาร์ แต่กลับถูกสั่งห้าม และยังถูกสั่งให้จับตามองไม่ให้พวกเขาคาดสายตาอีก การหลบหนีครั้งนี้จึงใช้เวลาเตรียมการ ทั้งจับตาดูเวรยามที่เฝ้า ทั้งหาลู่ทางหลบหนี กว่าจะวางแผนสำเร็จเวลาจึงผ่านมา 5 วันเสียแล้ว

          อีกทั้งฮิโรกินั้นแม้จะคล้อยตามฮิเดโอะง่ายๆ แต่จะมีความสามารถในด้านพลัง และมีพรสวรรค์ในการต่อสู้ อีกทั้งประสาทรับรู้ทั้ง 5 ที่ดีเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่อย่างไรก็ยังขาดการฝึกฝนอย่างจริงจังจึงทำให้การจับทิศทางคลาดเคลื่อนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

          “ข้าขอโทษ ทั้งๆที่ครั้งนี้ข้ามั่นใจมากแท้ๆ...ขอโทษนะ” ฮิโรกิขอโทษออกไป ด้วยความรู้สึกผิดที่ฮิเดโอะวางแผนตั้งมายมายกว่าจะออกมาได้ แต่เขาทำหน้าที่เพียงนำทางไปยังบ้านของแร็กนาร์เท่านั้นกลับทำไม่ได้ ทั้งๆที่มั่นใจในความสามารถมากแท้ๆ

          “ช่างเถอะ พวกเราก็ไม่ต่างกัน ข้าก็ใช้เวลามากเกินกว่าที่คิดไว้เช่นกัน ไปทางอื่นกันเถอะ” ฮิเดโอะเห็นฮิโรกิรู้สึกผิดจึงได้ปลอบใจ แต่ก็ทำให้คิดถึงความผิดพลาดของตนไปด้วยเช่นกัน...พวกเขาคงมั่นใจในความสามารถของตนจึงเอาแต่เที่ยวเล่นมากเกินไป จนขาดการฝึกฝนผลลัพธ์ถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้

          “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่” แร็กนาร์เอ่ยออกมาหลังจากที่หลบหลังโขดหินอยู่นานจนมั่นใจว่าเป็นเด็กน้อยปีศาจทั้งสองแน่ๆจึงได้ออกมา เพราะในป่าแห่งนี้หากไม่ระวังให้ดีจะกลายเป็นเหยื่อของสัตว์มายา ที่สามารถเลียนเสียง และสร้างภาพลวงตาหลอกล่อผู้คนให้ตกตายไปได้หากประมาทจนเกินไป

          “เอ๊ะ! เสียงของแร็กนาร์” ฮิเดโอะคลายหน้าสำนึกผิดของตนทันที่เมื่อได้ยินเสียงของแร็กนาร์ ถ้าเชื่อง่ายเช่นนี้เห็นทีพวกสัตว์มายาคงได้เหยื่อง่ายดายเป็นแน่

          “เจ้าอยู่ตรงไหน ข้าไม่เห็นเจ้า” ฮิเดโอะที่มีสติมากกว่าพูดขึ้นหลังจากมองโดยรอบแล้วไม่พบเจ้าของเสียงแต่อย่างใด

          แร็กนาร์ค่อยๆลุกขึ้นยืนจนตอนนี้น้ำอยู่ในระดับเอวของเขาเท่านั้น แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบใดๆจากเจ้าตัวอีกเช่นเคย เขาทำเพียงแค่มองเด็กทั้งสองด้วยใบหน้านิ่งเรียบเท่านั้น

          ส่วนฮิเดโอะกับฮิโรกินั้นได้แต่ยืนตะลึกงัน เหมือนต้องมนต์สะกด ใบหน้าแดงซ่านไปถึงหู เลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงเพราะหัวใจเต้นเร็วระรัว พวกเขาทั้งสองยังเด็กจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของตน แต่สายตาก็ยังจับจ้องใบหน้างดงาม และร่างกายขาวเนียนบอบบางประดับด้วยหยดน้ำชุ่มฉ่ำที่เกาะตามลำตัวของแร็กนาร์อย่างหลงไหลจนไม่อาจละสายตาได้

          ฮิเดโอะกับฮิโรกิพยายามหาเหตุผลให้ตนแต่ก็ไม่พบ พวกเขาทั้งสองล้วนเคยเปลือยเปล่าอาบน้ำกับเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของพวกเขากลับต่างออกไป

          “พวกเจ้าจะมองข้าอีกนานหรือไม่...แล้วจะตอบข้าได้รึยังว่ามาทำไม” แม้สีหน้าจะนิ่งเรียบ แต่เสียงที่ส่งออกไปกลับปนด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย แร็กนาร์รู้สึกไม่ชอบใจสายตาของเด็กทั้งสองเอาเสียเลย

          ‘ชิ สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน เด็กอยู่แท้ๆแต่กลับมองเราด้วยสายตาโลมเลียแบบนั้น น่าหงุดหงิด มันน่าหงุดหงิดจริงๆ ทั้งโดนเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง ทั้งยังมาถูกมองด้วยสายตาแบบผู้ชายหื่นกามที่มองเด็กสาววัยละอ่อนอย่างโลมเลียนี่อีก ถึงจะไม่เคยถูกมองก็เถอะ แต่เราก็รับรู้ได้เพราะเคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้ง จากเหยื่อที่เราฆ่าไป

          แล้วนี่มันอะไร ความรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆต่อสายตาของพวกนั้น...หรือเรากำลังอยู่ในสถานะเดียวกับเด็กสาวพวกนั้นกันนะ พวกนั้นรู้สึกแบบนี้รึไง ไม่รู้สึกขยะแขยงงั้นเหรอ...บ้าไปกันใหญ่แล้ว ทำไมต้องรู้สึกร้อนๆที่หน้าด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจเลย ฮึ่ย’


          เพื่อปกปิดความหงุดหงิด และสับสนในใจแร็กนาร์จึงเดินไปหยิบชุดที่วางอยู่บนโขดหินขึ้นมาเตรียมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่นั่นทำให้ฮิเดโอะกับฮิโรกิจ้องมองเขาได้มากกว่าเดิม เพราะตอนนี้แร็กนาร์เผยร่างกายที่มีเพียงกางเกงขาสั้นตัวบางให้ทั้งสองได้เห็นอย่างชัดเจน จนพวกเขาไม่อาจเรียบเรียงคำพูดที่จะตอบกลับไปได้

          แร็กนาร์ที่รู้สึกถึงสายตาเหล่านั้นจึงรีบหยิบผ้าเช็ดตัวมาคลุมไหล่เอาไว้เพื่อปกปิดร่างกาย และซ่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตน

          “พะ...พวก พวกเรามาหาเจ้า” ฮิเดโอะเป็นคนตอบออกไปก่อน หลังจากที่ร่างกายของแร็กนาร์ถูกปกปิด เขาก็กลับมามีสติบ้างแล้ว

          “หันหน้าไป...ห้ามมอง” แร็กนาร์ชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะออกเสียงสั่งให้เด็กทั้งสองหันหลังกลับไปอีกทาง แม้จะยังสงสัยในสายตาของเด็กทั้งสอง และความรู้สึกแปลกๆของตนอยู่บ้าง แต่แร็กนาร์ก็เลือกที่จะไม่สนใจมัน เขาไม่อยากมาใส่ใจกับเรื่อเล็กๆน้อยๆให้รำคาญใจ

          ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ทำเพียงพยักหน้าคนละสองสามครั้งดังต้องมนต์สะกดก่อนจะหันหลังไปอีกทางหนึ่งตามที่แร็กนาร์สั่ง

          .

          .

          .

          “เสร็จแล้ว...ตามข้ามา” เสียงเรียบเอ่ยออกมาอีกครั้งหลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อย และใจสงบลงบ้างแล้ว แร็กนาร์เดินไปตามทางที่ใช้กลับบ้านของตนพร้อมผ้าที่เปียก และตะเกียงอันเดิม

          แร็กนาร์เรียบเรียงเรื่องราวจากบทสนทนาก่อนหน้านี้ของเด็กทั้งสองก็เข้าใจ และคาดเดาสถานการณ์ได้ เขาจึงเลือกที่จะให้เด็กทั้งสองตามกลับไปที่บ้านด้วย หากยังมายืนออกปากไล่ให้กลับคงเสียเวลาไม่น้อย อีกทั้งตอนนี้ก็เริ่มดึกมากแล้ว เข้าไม่อยากพบสัตว์มายามากนัก การรีบกลับไปยังบ้านของตนให้เร็วที่สุดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะควร

          “ครับ!!”ฮิเดโอะกับฮิโรกิตอบรับพร้อมกัน ก่อนจะเดินตามหลังไปอย่างเงียบงัน พร้อมใบหน้าที่แดงระเรื่อ แม้ตอนนี้แร็กนาร์จะแต่งตัวเรียบรอยแล้ว แต่ภาพก่อนหน้านี้ยังคงฉายซ้ำอยู่ในหัวของพวกเขาไปมาอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่เข้าใจ และไม่รู้จะพูดสิ่งใด การเงียบจึงเป็นทางออกเดียว

          ผ่านไปไม่นานนักพวกเขาทั้งสามก็เดินมาถึงบ้านหลังเล็ก ภาพแรกที่ปรากฎแก่สายตาคือ ร่างของพี่ชายที่ไม่ได้เจอมาทั้งวัน ยืนอยู่ด้านหน้าของประตูบ้าน พร้อมตะเกียงหนึ่งอัน ซึ่งเตรียมพร้อมจะออกไปตามหาแร็กนาร์ รูร์กัสมองมายังพวกเขาด้วยสีหน้าฉงนสงสัย ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเมื่อมองเห็นหน้าของคนที่เดินนำอยู่

          “เจ้าไปที่ใดมา พี่เป็นห่วงแทบแย่ วันนี้ทั้งวันพี่ต้องเข้าไปในเมืองกับท่านพ่อจึงมาหาไม่ได้ พี่เป็นกังวลมากพอมาเจอสภาพบ้านที่ว่างเปล่าพี่ยิ่งตกใจ นี่ก็กำลังจะออกไปตามอยู่แล้วเชียว” รูร์กัสพูดด้วยความเป็นห่วงก่อนจะวางตะเกียงลงแล้วเดินเข้ามาหาแร็กนาร์ แล้วจับแขน จับตัว พลิกไปพลิกมาเพื่อสำรวจว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่

          แร็กนาร์ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ปล่อยให้รูร์กัสสำรวจตามใจชอบจนพอใจแล้วหยุดลงเอง ส่วนฮิเดโอะกับฮิโรกิก็สนใจคนแปลกหน้าที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากพวกเขาจนลืมนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปได้

          “ข้าไปอาบน้ำที่ลำธาร...เราเข้าบ้านก่อนเถอะ”  พอรูร์กัสหยุดการสำรวจร่างกายของตน แร็กนาร์ก็ตอบคำถามของรูรกัส และชวนเข้าไปในบ้านทันที ตรงที่พวกเขายืนอยู่นั้นมืดมาก มีเพียงแสงจากตะเกียงส่องสว่างเท่านั้น แร็กนาร์จึงอยากเข้าไปนั่งคุยในบ้านมากกว่า

          การกระทำของแร็กนาร์และรูร์กัสอยู่ในสายตาของสองเด็กปีศาจอยู่ตลอด สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาสงสัยคือ คนๆนี้สำคัญกับแร็กนาร์ขนาดไหนกัน ทำไมน้ำเสียงของแร็กนาร์ที่พูดโต้ตอบจึงได้อ่อนลงไม่ดูหยาบกระด่างเหมือนพูดกับพวกเขา ทั้งใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบางๆนั่นอีก มันทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น...เขาอยากได้รับรอยยิ้มจากแร็กนาร์บ้าง
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 6 หวั่นไหว(2) [จบภาคปฐมบท]
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 16-08-2016 08:12:59


          “แล้วนั่น...ปีศาจนี่” เมื่อละจากแร็กนาร์ รูร์กัสก็หันไปสนใจเด็กอีก 2 คน ที่ตามแร็กนาร์มา พอมองดีๆแล้วจึงได้รู้ว่าเด็กเหล่านั้นเป็นปีศาจเต็มตัว

          “เข้าบ้านแล้วค่อยคุยนะ...พี่รูร์กัส” แร็กนาร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจว่าจะมีคนตอบรับหรือไม่ พวกเขาทั้งสามที่ยืนอยู่จึงจำต้องเดินตามเข้าไปในบ้านเท่านั้น

          พอเข้าไปในบ้านแร็กนาร์ก็ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว ตามด้วยรูร์กัส ฮิเดโอะกับฮิโรกิจึงจำต้องไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กคนละฝั่ง

          “นี่ฮิเดะ ส่วนทางนี้ฮิโระ...แล้วก็คนๆนี้พี่ชายของข้า พี่รูร์กัส” พอคนทั้งหมดนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อย แร็กนาร์ก็แนะนำคนทั้งสามให้รู้จักกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นทางการแต่อย่างใด เขาแนะนำตามสะดวกของตน พร้อมผายมือไปยังเจ้าของชื่อเท่านั้น

          “ข้าชื่อ ฮิโรกิต่างหาก ส่วนนั้นฮิเดโอะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ฮิโรกิรีบแก้อย่างรวดเร็วเมื่อแร็กนาร์แนะนำชื่อเขาแบบผิดๆ เขาไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจที่แร็กนาร์เรียกชื่อเขาแบบนั้น เพียงแต่เขาแค่อยากให้แร็กนาร์เรียกเขาแบบนี้แค่เพียงคนเดียว ฮิโรกิไม่ได้คิดอะไรยุ่งยากซับซ้อน เพียงทำไปตามสัญชาตญาณของตนเท่านั้น

          “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ฮิเดโอะพูดออกมาบ้าง เขาไม่ได้คิดคัดค้านสิ่งใด แต่ก็ดีใจอยู่ไม่น้อยที่แร็กนาร์เรียกชื่อของเขา แม้มันจะไม่ตรงตามชื่อจริงๆแต่ก็ดีกว่าที่อีกฝ่ายจะไม่เรียกชื่อของเขาเลยเหมือนครั้งก่อนที่ได้เจอกัน

          “อืม...ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่...พวกเจ้าเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์สินะ” รูร์กัสตอบรับ แม้ในตอนนี้จะยังระแวงสงสัยไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รับรู้ถึงภัยคุกคามจากเด็กทั้งสองเลย จึงเบาใจลงแล้วถามสิ่งที่ตนสงสัยในทันที

          “ครับ แล้วท่านล่ะ...ท่านเป็นพี่ชาย แต่กลับไม่เหมือนแร็กนาร์ ท่านไม่ใช่ลูกครึ่งอย่างนั้นหรือ” ฮิเดโอะเองก็ตอบรับ และถามกลับไปในทันทีเช่นเดียวกัน

          “ข้าเป็นมนุษย์” รูร์กัสตอบกลับไปอย่างไม่ปิดปัง แต่ก็ยังไม่เปิดใจให้เด็กทั้งสองมากนัก แม้จะยังเด็กแต่ปีศาจก็คือปีศาจ เขาไม่อาจไว้ใจได้และยังกลัวว่าจะเป็นดังเช่นในอดีต

          “แล้วทำไมท่านถึงเป็นพี่ชายแร็กนาร์ได้ล่ะ” ฮิโรกิถามออกมาบ้างตาก็มองสำรวจคนคู่ ทั้งรูร์กัส และแร็กนาร์สลับไปมา ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึง และถูกจ้องมองอยู่อย่างแร็กนาร์ กลับดื่มชาเงียบๆนั่งฟังอย่างใจเย็นเท่านั้น

          “ก็...”

          “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้...ว่าแต่พวกเจ้ามาหาข้าทำไม” รูร์กัสที่กำลังจะเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรดี กลับถูกแร็กนาร์พูดแทรกขึ้น ตอนนี้แร็กนาร์อยากพักผ่อนเต็มทีจึงอยากทำให้เรื่องจบแบบง่ายๆและยังช่วยรูร์กัสที่มีท่าทางลำบากใจได้ด้วย

          “อีกแล้ว เจ้าก็เป็นเช่นนี้ตลอดเลยนะแร็กนาร์” อิโรกิคร่ำครวญเล็กน้อยอย่างเหนื่อยใจที่แร็กนาร์แทบจะไม่เคยตอบคำถามของพวกเขาเลยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย แต่มีหรือที่แร็กนาร์จะใส่ใจ เขายังคงนั่งจิบชาด้วยสีหน้านิ่งเรียบเช่นเดิม

          “พวกเรามาทำตามคำสาบานที่ให้ไว้!!” หลังจากทั้งหมดเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ฮิเดโอะกับฮิโรกิแฝดที่สามารถสื่อความรู้สึกถึงกันได้ จึงพูดออกมาพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

          “หึ...ข้ามีอะไรให้พวกเจ้าต้องปกป้อง...แล้วเด็กอย่างพวกเจ้าจะปกป้องอะไรข้าได้” พูดจบแร็กนาร์ก็วางถ้วยชาที่ว่างเปล่าลง ก่อนจะหันหน้าไปจ้องมองเด็กทั้งสองสลับไปมาด้วยใบหน้าราบเรียบเช่นเคย แม้ในจะรู้สึกหวั่นไหวไปบ้างก็ตาม

          เมื่อไม่มีการตอบรับใดๆแร็กนาร์จึงลุกขั้นเดินไปที่บันไดในทันที ส่วนฮิเดโอะ กับฮิโรกินั้นพอได้สติหลังจะตะลึงงันกับคำพูดของแร็กนาร์ก็วิ่งตามไปขวาง แล้วคุกเข่าลงด้วยท่าทางไม่ต่างจากเดิมมากนักที่แตกต่างก็คงจะเป็นที่พวกเขาไม่ได้ก้มหน้าลงเหมือนครั้งก่อน ครั้งนี้ทั้งสองเงยหน้าขึ้นสบตากับแร็กนาร์เพื่อยืนยันในคำพูด และความคิดของตน

          แร็กนาร์เองก็หยุดเดินก่อนจะมองภาพตรงหน้าด้วยท่าทางนิ่งๆแต่ในใจกลับเริ่มร้อนรุ่ม ภาพการสาบานตนครั้งก่อนของเด็กทั้งสองกำลังกลับมาตอกย้ำความหวั่นไหวของเขาอีกครั้ง

          “พวกเราสาบานแล้วว่าจะปกป้องแร็กนาร์ด้วยชีวิต” คราวนี้ฮิโรกิเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อนหลังจากจ้องหน้าแร็กนาร์อยู่ไม่นานนัก

          “ลูกผู้ชาย พูดแล้วไม่กลืนน้ำลายตนเองอย่างแน่นอน” ฮิเดโอะก็พูดยืนยันออกมาบ้างเพื่อยืนยันให้แร็กนาร์เชื่อใจ

          รูร์กัสที่นั่งมองเหตุการณ์นี้อยู่เงียบๆ ก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ตนได้ยิน และได้เห็น เขาไม่คิดว่า เด็กอายุเพียงเท่านี้จะมีความคิดที่มุ่งมั่นขนาดนี้ได้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริงๆ มันทำให้เขาถูกใจเด็กน้อยปีศาจทั้งสองไม่น้อย ความเคลือบแคลงใจในตอนแรกนั้นก็จางหาย ยิ่งมองดวงตาที่ไม่สั่นไหวต่อท่าทีเมินเฉยของแร็กนาร์ก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม ต่างจากแร็กนาร์ที่ตอนนี้ในหัวมีแต่ความคิดที่สับสนวุ่นวาย

          ‘เราไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้ว ใช่แล้วมันเป็นแค่ลมปากของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่นานก็คงต้องลืมมันไปแน่นอน ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันได้ ไม่มีทั้งความสามารถ ไม่มีทั้งพลัง ไร้ประโยชน์สิ้นดี...ช่างไร้สาระ’

          ตอนนี้ทั้งสามยังคงมีท่าทางเช่นเดิม พวกเขากำลังรอฟังคำตอบของแร็กนาร์ ที่ยังคงยืนเงียบงันหันหน้าไปด้านข้างไม่ยอมสบตาเด็กทั้งสอง

          “หึหึ...ทำให้ตนเองแข็งแกร่งกว่านี้ก่อน แล้วจึงคิดจะมาปกป้องข้า ข้าไม่สนใจแมวตัวจ้อยไร้พลังที่กล่าวได้แต่เพียงลมปากอย่างพวกเจ้า!!” เสียงราบเรียบที่แสนเย็นชาดังกว่าครั้งไหนๆถูกส่งของไปจากปากบางของแร็กนาร์พร้อมด้วยหน้าทีหันกลับมามองด้วยท่าทีเย้ยหยัน จนทั้งสามที่ได้ยินและได้เห็น ทำได้เพียงนิ่งเงียบตะลึงงัน ต่างคนต่างความคิด เมื่อได้ฟังคำพูดของแร็กนาร์ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาตะหนักถึงคือ...คนๆนี้ช่างโดดเดี่ยว และปิดกั้น จนมีความรู้สึกอยากจะปกป้องเพิ่มมากขึ้นไปอีก

          หลังกล่าวจบแร็กนาร์ก็เดินขึ้นบันไดไปในทันที ปล่อยให้คนทั้งสามจมอยู่กับความคิดของตนเองอยู่อย่างนั้น

          .

          .

          .

          “ฮ่าๆๆ อย่างนั้นหรือ พวกเจ้านี่แสบใช่เล่นเลย”

          “กว่าจะหนีออกมาได้ ต้องวางแผนตั้งนาน ก็ต้องทำมันให้สุดๆไปเลย ฮ่าๆๆ แต่แผนการนี้ฮิเดโอะเป็นคนคิดทั้งหมดเลยล่ะ”

          “จริงหรือนี่ เจ้าที่ดูท่าทางนิ่งๆแต่กลับเป็นตัวแสบเลยสินะ ฮ่าๆๆๆ”

          “มันแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

          “ฮ่าๆๆๆนั่นสินะ”

          เสียงพูดคุยจากคนทั้งสามในห้องนั่งเล่นดังขึ้นมาให้คนที่หลับใหลอยู่บนเตียงเล็กได้ยิน เมื่อคืนหลังจากขึ้นมาแล้ว แร็กนาร์ก็นอนทันทีเขาเลิกสนใจเสียงใดๆ หยุดความคิดที่สับสนของตน แต่กว่าจะข่มให้ตาหลับได้ก็ดึกมากแล้ว เขาจึงหลับสนิทจนถึงเช้า

          วันนี้ก็เป็นเช้าที่อากาศแจ่มใสอีกหนึ่งวัน แสงของดวงอาทิตย์ยามเช้าตกกระทบกับหน้าต่างบานเล็กจนเล็ดลอดเขามาในห้องพาดผ่านไปถึงร่างของคนบนเตียงที่ยังคงนอนอยู่แม้จะลืมตาขึ้นมาแล้วก็ตาม เขาตื่นเพราะเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นมาจากด้านล่าง เป็นเสียงพูดคุยของรูร์กัสและเด็กน้อยปีศาจทั้งสองนั่นเอง

          ‘เด็กพวกนี้มันอะไรกันนะ เมื่อวานยังระแวงกันขนาดนั้นแท้ๆ แถมเรายังพูดจนสลดไปแล้ว ยังร่าเริงได้อีก...เป็นเด็กนี่สบายจังนะ ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก...แต่ก็น่ารำคาญ’

 
          แร็กนาร์ลุกขึ้นนั่งบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ แล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่ ไม่ได้คิดจะอาบน้ำแต่อย่างใด เพราะอากาศของที่นี่ร่มรื่นอยู่ตลอด ทำให้เขาแทบจะไม่มีเหงื่อเลยจึงไม่จำเป็นต้องอาบน้ำในตอนเช้าแต่อย่างใด หลังจากเปลี่ยนกางเกงเสร็จแร็กนาร์ก็เดินลงไปด้านล่าง

          เด็กทั้งสามในสายตาของแร็กนาร์นั้น กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนไม่ทันสังเกตเห็นเขา แร็กนาร์จึงเดินไปในห้องครัว ซึ่งมีประตูด้านข้างอีกหนึ่งบานใช้เปิดไปถึงห้องน้ำขนาดเล็ก ที่ด้านในมีเพียงโถสำหรับขับถ่ายซึ่งเป็นแบบนั่งยองๆเข้ากับยุคสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี และถังน้ำสูงถึงคอของแร็กนาร์หนึ่งถังเท่านั้น

          แร็กนาร์จัดแจงตักน้ำมาล้างหน้า และแปรงฟันด้วยแปรงที่มีรูปร่างแปลกตาขนาดเล็ก พอทำทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินออกมาแล้วเข้าไปในห้องนั่งเล่นอีกครั้งก็ยังคงเห็นเด็กทั้งสามพุดคุยกันอยู่พียงแต่เปลี่ยนเรื่องที่พูดคุยกันแล้วเท่านั้น

          “ถ้าเช้าแล้วก็กลับไป แอบออกมาแบบนี้คงมีแต่คนเป็นห่วงพวกเจ้า” แร็กนาร์พูดออกมาหลังจากยืนมองอยู่ไม่นานนัก แม้จะได้ยินแต่ช่วงหลังของบทสนทนาก็พอจะประติดประต่อเรื่องราวคร่าวๆได้ว่า เด็กปีศาจทั้งสองวางแผนแอบหนีพ่อของตนออกมาทั้งๆทีเป็นช่วงที่ต้องระวังตัวให้มากที่สุด

          ‘ดื้อรั้นจริงๆเลย ถ้าอยากทำขนาดนั้นก็ทำให้ตลอดละกัน ฉันจะคอยดูเองว่าจะทำได้ตามที่พูดรึเปล่า ถ้ามาให้ใช้ประโยชน์ถึงที่ ก็ขอเก็บไว้เป็นหมากอีกสักสองตัวคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉันไม่คิดจะเชื่อใจหรอกนะ ถ้าหมดประโยชน์ก็จะเขี่ยทิ้งทันทีเลย’

          แร็กนาร์ก็ยังคงเป็นแร็กนาร์ เขายังคงปิดกั้นหัวใจตัวเองดังเดิม

          “แต่ว่า...พวกเราขอทานอาหารเช้าฝีมือเจ้าก่อนได้หรือไม่...ทานเสร็จจะกลับทันทีเลย” ฮิโรกิต่อรองออกมา หลังจากฟังคำพูดของแร็กนาร์เมื่อคืนพวกเขาทั้งสามก็นั่งปรึกษากันในเรื่องนี้ ฮิเดโอะกับฮิโรกิเองก็ตะหนักดีว่า พวกตนนั้นอ่อนแอ ทั้งถูกทำร้ายเจียนตายจนแร็กนาร์ต้องช่วยรักษา ทั้งเรื่องที่พวกเขาทำเพื่อหลบหนีออกมา ทั้งตามหาบ้านหลังเล็กของแร็กนาร์ พวกเขาล้วนทำมันอย่างยากลำบาก มันเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาอ่อนแอแค่ไหน

          ฮิเดโอะกับฮิโรกิคิดว่าพวกเขาต้องกลับไปตั้งใจเรียนรู้สิ่งที่ท่านพ่อของพวกเขาเพียรสอน ไม่ดื้อรั้น ไม่แอบซ่อน ไม่เกียจคร้านที่จะเรียนรู้อีก หากทำได้พวกเขาต้องแข็งแกร่งจนปกป้องแร็กนาร์ได้อย่างแน่นอน

          ส่วนรูร์กัสก็เป็นคนคอยพูดเตือนเมื่อเด็กทั้งสองเป็นห่วงแร็กนาร์มากเกินไป และยังให้คำมั่นว่าจะมาที่นี่ให้บ่อยขึ้นไปอีก จนเด็กทั้งสองสบายใจ

          แร็กนาร์ยืนคิดอยู่นานก่อนจะพยักหน้าเป็นการตกลงแล้วเดินเข้าครัวไปเพื่อเตรียมอาหารเช้า ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน แล้วตามด้วยรูร์กัสที่เดินรั้งท้าย

          “ข้าช่วยทำสิ่งใดได้บ้าง” ฮิเดโอะพูดขึ้นหลังจากยืนมองอยูด้านหลังของแร็กนาร์ที่กำลังเตรียมอุปกรณ์ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ

          “ข้าด้วยๆข้าช่วยด้วยนะ” ฮิโรกิก็นึกสนุกอยากจะลองทำอาหารบ้างจึงเอ่ยขอ

          “ฮิเดะเจ้าไปล้างผักที่อยู่ตรงนั้น ส่วนฮิโระ...ไปช่วยฮิเดะก็แล้วกัน” แร็กนาร์คร้านจะต่อปากต่อคำจึงให้เด็กทั้งสองช่วยแต่โดยดี เพราะเขาเองก็รู้สึกได้ว่าเด็กทั้งสองเหมือนคน ที่ตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว จึงไม่คิดจะห้ามแต่อย่างใด

          “ให้พี่ช่วยด้วยได้หรือไม่” รูร์กัสถามขึ้นบ้างหลังจากยืนมองเด็กน้อยร่างเล็กทั้งสามช่วยกันทำหน้าที่ของคนอย่างขยันขันแข็ง

          “พี่รูร์กัสไปหุงข้าวก็ได้” แร็กนาร์ไม่ได้ตอบรับ แต่มองหาสิ่งที่รูร์กัสจะช่วยได้ ก่อนจะชี้ไปที่หม้อใบใหญ่ที่ใช้สำหรับหุงข้าวซึ่งวางอยู่บนเตาถ่านแล้ว

          “อืม ได้” รูร์กัสตอบรับแล้วเดินไปทำหน้าที่ของตนในทันที

          ภาพตอนนี้คือเด็กทั้งสี่กำลังช่วยกันทำอาหาร ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน มันเป็นภาพที่แปลกตา แต่กลับงดงามและอบอุ่น เหมือนช่วงเวลาจะหยุดลงแค่เพียงภาพเหล่านี้ ช่างเป็นภาพแห่งความทรงจำที่อบอวนไปด้วยไออุ่นอย่างแท้จริง

          พวกเขาไม่รู้เลยว่าความสงบสุขนี้กำลังจะหมดลงหากผ่านช่วงเวลานี้ไป นี่เป็นเพียงปฐมบทของเรื่องราวเลวร้ายเท่านั้น เป็นดังทะเลที่ยามคลื่นลมสงบก่อนเกิดพายุลูกใหญ่...

 


จบภาคปฐมบท

 

 

 

To Be Continued...

____________________________________________________________________________________________

 

จบตอนที่ 6 แล้วจ้า จบภาคแรกพอดี

พึ่งมาคิดได้ว่าแบ่งภาคดีกว่าก็ตอนที่แต่งตอนที่แล้ว ขอใส่ไว้แบบนี้เลยก็แล้วกันนะคะ

เราแต่งอีกยาวแน่นอน ตอนหน้าจะพยายามมาอัพให้เร็วกว่าเดิมน้าาาา

ฝากติดตามด้วยค่ะ ภาคต่อไป>>>ภาคสยบแดนพยัคฆ์

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 6 หวั่นไหว [จบภาคปฐมบท] (16/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 20-08-2016 02:04:44
ชอบค่ะ
เรื่องน่าติดตามดี
รอภาคต่อไปคร่าาา
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 25-08-2016 08:04:30
สยบแดนพยัคฆ์

ตอนที่ 7
มุ่งสู่แดนเหนือ

 

             “ณ เวลานี้อาณาเขตของเรากำลังถูกแทรกแซง ทั้งภายนอกและภายใน ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกเจ้าระวังตัวให้ดี อย่าตกหลุมพรางหรือกลอุบายศัตรูโดยง่าย และจงจดจำใบหน้าพวกพ้องของตนให้ดี เพราะอาจมีศัตรูแฝงเข้ามาดังเช่นคราก่อนก็เป็นได้

             ส่วนเรื่องบริเวณอาณาเขตที่ติดกับเขตตะวันตกที่กำลังถูกรุกรานอย่างหนัก ข้าคิดไตร่ตรอง และปรึกษากับซาดาโอะแล้วว่า ทางเราจะต้องส่งคนไปเพิ่ม ข้าจะเลือกหน่วยที่มีจำนวนคนมาก และมีความสามารถในการต่อสู้ เราอาจจะเหลือคนเพียงน้อยนิด แต่ข้าคงต้องให้พวกเจ้าเพิ่มอาณาเขตที่ต้องดูแลของแต่ละหน่วย และตรวจตราอย่างเข้มงวดมากขึ้น!!” ชายวัย 40 ที่มีใบหน้าภูมิฐาน แม้จะมีรอยเหี่ยวย้นบ้างแล้วตามอายุที่มากขึ้น แต่ยังคงหล่อเหลา และน่าเกรงขามเอ่ยขึ้นอย่างดังกังวาลและเฉียบขาด

              ชายผู้นี้มีผมและดวงตาสีแดงเลือด และยังคงรูปร่างปีศาจเผ่าพยัคฆ์ไว้ดังตนอื่นๆ ร่างกายนั้นใหญ่โตกำยำล่ำสัน ผิวสีน้ำตาลอมเหลือง มีลายสีดำพาดผ่านอยู่ทั่วลำตัว และมีหางยาวสีเดียวกับสีผิว แต่ลายสีดำคลาดผ่านเป็นลายขวาง มีลักษณะเป็นข้อปล้องสลับไปมา มันถูกพันไว้ที่รอบเอวหนาของเจ้าตัว มองรวมๆแล้วลักษณะของชายคนนี้มีพื้นฐานมาจากเสือโคร่ง เสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่เสือทุกพันธุ์

              เขานั่งอยู่บนพักที่สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ด้านขวาของเขามีที่ปรึกษาที่กล่าวถึงมื่อครู่นั่งอยู่ และด้านล่างของพักนั้น มีการจัดที่นั่งไว้ 12 ที่นั่ง โดยเรียงเป็นแถวยามสองฟากฝั่ง เว้นที่ว่างตรงกลางไว้ดังฉากการประชุมของเหล่ายากุซ่าของญี่ปุ่น ที่นั่งทั้งหมดนี้สำหรับเหล่าหัวหน้าหน่วย 12 หน่วย ที่ถูกแบ่งให้ดูแลบริเวณต่างๆภายในเขตเหนือ แต่ที่นั่งนั้นกลับถูกจับจองประจำที่ของตนเพียง 9 ตนเท่านั้น ที่นั่ง 3 ที่ถูกเว้นว่างเอาไว้ เป็นการบ่งบอกถึงหัวหน้าหน่วยที่ไม่อาจเข้าร่วมได้

              การประชุมในครั้งนี้เริ่มในช่วงสายของวัน โดยปกตินั้นการประชุมจะถูกจัดขึ้นในเวลากลางคืน เพราะเป็นเพียงการมาพบปะสังสรรค์ ร่วมงานรื่นเริงเพียงเท่านั้น และโดยปกติเหล่าหัวหน้าหน่วยจะเลือกลูกสมุนของตนมาด้วยเพื่ออวดฝีมือ แต่ครั้งนี้เป็นการประชุมวางแผนเพื่อป้องกัน และแก้ใขปัญหาการรุกรานของเขตตะวันตก จึงมีเพียงหัวหน้าหน่วยเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้

              “หน่วย 6 กับหน่วย 8  จงไปรวมกับหน่วย 1 หน่วย 4 และหน่วย 9 ที่เขตชายแดนอันติดกับเขตตะวันตก ส่วนหน่วย 12 ข้าต้องการให้พวกเจ้าไปเฝ้าระวังอาณาเขตที่ติดกับเขตตะวันออก เราต้องเฝ้าระวังรอบด้าน เพื่อป้องกันการถูกแทรกแซงจากบุคคลที่ 3 ...ข้าฝากพวกเจ้าด้วย ริคุ ชิเงรุ โกวโบ” เสียงทุ้มต่ำดังกังวานถูกส่งออกไปอีกครั้ง แต่ในคราวนี้มุ่งไปยังปีศาจเผ่าพยัคฆ์ทั้ง 3 ตน ที่นั่งก้มหน้า คุกเข่ารอรับคำสั่งเมื่อได้ยินคำกล่าวถึงหน่วยของตน

              “รับคำสั่งครับท่านหัวหน้าใหญ่!!!” เสียงสามเสียงประสานกันดังก้อง ตอบรับคำสั่งตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย แล้วเงยหน้าขึ้น

              “ส่วนหน่วย 2 มีหน้าที่ดูแลบ้า...นใหญ่ อึก! แค่กๆๆ” คำกล่าวที่ยังไม่จบ ถูกหยุดชะงักลงด้วยการไอของเจ้าตัว พร้อมยกขึ้นมาปิดปากเอาไว้เมื่อรู้สึกถึงปากสิ่ง

              “ท่านหัวหน้าใหญ่!!” หัวหน้าหน่วยที่นั่งอยู่ต่างตะโกนเรียกหัวหน้าของตนด้วยความตกใจระคนเป็นห่วง ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความชุลมุนในทันทีพวกเขาต่างสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หัวหน้าของตนยังคงแข็งแรงสมบูรณ์ เหตุใดในขณะนี้จึงมีอาการเช่นนี้ได้

              “แค่กๆ ข้า...ข้าไม่เป็นไร เลิกตื่นกระหนกเสียที!!” แม้อาการจะทรุดหนักจนคุมสติแทบไม่อยู่ แต่น้ำเสียงนั้นยังคงดูเกรงขามไม่ตกลงไปเลย

              “ข้าจะไปพักผ่อน...ซาดาโอะฝากเจ้าสั่งการแทนข้าด้วย” หลังเอ่ยฝากฝังหน้าที่กับที่ปรึกษาของกลุ่ม ผู้เป็นหัวหน้าก็ลุกขึ้นยืนอย่างองอาจไม่ยอมให้ใครได้เห็นความอ่อนแอของตน

              “ครับ ท่านหัวหน้า” ซาดาโอะเองก็รับคำโดนง่ายก่อนจะละสายตาจากร่างของหัวหน้าตนมามองไปที่กลุ่มของหัวหน้าหน่วย

              พรึ่บ!!ตุ๊บ!!

              เดินได้เพียงไม่กี่ก้าว  ไม่แม้แต่จะพ้นประตูห้องไปเสียด้วยซ้ำ  ร่างของผู้เป็นหัวหน้าก็ล้มหมดสติลง มือที่ปิดปากอยู่ก็ล่วงหล่นลงปรากฏเลือดแดงฉานบนฝ่ามือ  และเมื่อมองไปที่ใบหน้านั้นก็พบกับเลือดที่ปากและจมูกไม่ต่างกัน เลือดนั้นไหลเปราะเปื้อนไปทั่วบริเวณ

              “ท่านหัวหน้า!!!!!!”

              .

              .

              .

              “แฮ่กๆๆ”

              ตุบๆๆๆ

              เสียงฝีเท้าของสัตว์สี่เท้า  2 ตัว  วิ่งเหยียบย่ำลงไปบนผืนดิน ลำตัวก็เสียดสีไปกับใบไม้รอบด้าน มันทั้งสองวิ่งด้วยความร้อนรน ดังเช่นกำลังรีบร้อนที่จะไปที่ใด

              เสือตัวหนึ่งมีสีขาวโพนไปทั้งตัว ทว่าอีกตัวกลับมีสีดำตั้งแต่หัวจรดหาง ทั้งที่ดูแตกต่างแต่มันทั้งคู่กลับวิ่งตามกันไปอย่างสนิทสนม

              เสือขาววิ่งนำ เสือดำวิ่งตาม เมื่อเสือขาวเปลี่ยนทิศทางไปอีกด้านหนึ่ง เสือดำก็เปลี่ยนทิศทางตามอย่างรวดเร็ว มันทั้งสองวิ่งอยู่ได้พักใหญ่  ก็เริ่มวิ่งเพิ่มฝีเท้าขึ้นอีกเมื่อแน่ใจในทิศทางที่ตนมุ่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ตนหมายตาไว้

              ด้านหน้าไม่ไกลนักปรากฏบ้านหลังเล็กมีลักษณะเป็นทรงกลมที่แสนคุ้นตา นั่นยิ่งทำให้มันเพิ่มฝีเท้าเร็วขึ้นไปอีกด้วยความดีใจ

              โฮกกกกก!!

              เสียงเสือทั้งสองคำรามขึ้นพร้อมกัน ดังเช่นต้องการเรียกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้น

              มันคำรามครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่ยังไม่ทันจะถึงประตู ประตูบานเล็กก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของคนร่างเล็กผู้เป็นเจ้าของบ้าน

              “แร็กนาร์ อย่าเปิด!!” เสียงของใครอีกคนที่อยู่ด้านในของตัวบ้านดังขึ้นด้วยความตกใจ  พร้อมทั้งตะโกนร้องห้ามไม่ให้อีกคนเปิดประตู

              แต่ผู้ถูกร้องเตือนนั้นก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม เขามองภาพตรงหน้า ดังเช่นมองลูกแมวสองตัวที่วิ่งเข้ามาหมายจะเล่นด้วย

              พรึ่บ!

              โฮกกกกก!!

              เพียงชั่วพริบตาที่ผงสีดำถูกโปรยออกไปมันก็กระจายไปทั่วบริเวณใบหน้าของเสือทั้งสองที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว มันดิ้นทุรนทุรายในทันที ทั้งยังร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ส่วนผู้กระทำนั้นก็เดินออกมาจากบ้านด้วยความเรียบเฉยเพื่อดูผลงานของตน  ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยนั้น หากมองให้ดีจะปรากฎรอยยิ้มแห่งความพอใจเล็กๆที่มุมปาก

              “แร็กนาร์ แค่กๆๆ แสบ โอ๊ย!! ฮืออออ”

              “เจ้าทำ แค่กๆๆ ทำอะไร แร็กนาร์ แค่กๆๆ ฮืออ”

              และอีกครั้งที่ทุกคนยังไม่ทันกระพริบตา เสือทั้งสองตัวก็แปรเปลี่ยนร่าง เป็นเด็กปีศาจสองตนผู้ที่มีผม และตาสีแดง ตนหนึ่งผิวสีขาว อีกตนหนึ่งผิวสีคล้ำ เด็กทั้งสองนอนดิ้นบิดไป บิดมาบนพื้น มือปัดป่ายไปทั่วบริเวณใบหน้าของตนที่แสบร้อน ทั้งยังไอเพราะแสบไปทั่วลำคออีก บริเวณใดที่โดนผงสีดำนั่นร่วงใส่เป็นต้องเจ็บแสบไปทั่วบริเวณ หากยิ่งเข้าไปในร่างกายยิ่งเจ็บปวด ทั้งในปาก ลำคอ จมูกและดวงตา

               “ฮิเดโอะ ฮิโรกิ อย่างนั้นหรือนี่ แย่แล้ว!! แร็กนาร์เมื่อครู่เจ้าทำสิ่งใด” รูร์กัสที่ตั้งสติได้แล้ว หลังจากตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ รีบวิ่งไปเข้าไปหาเด็กปีศาจทั้งสองเพื่อช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

               “มันก็แค่สมุนไพร พวกเจ้ารีบเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเสียสิ” แร็กนาร์ยังคงพูดเสียงเรียบนิ่งดังเดิม ก่อนจะบอกทางแก้ให้เด็กปีศาจทั้งสอง ทั้งยังเบี่ยงตัวหลบให้เด็กทั้งสองผ่านไปได้โดยง่าย

               ฮิเดโอะ กับฮิโรกิเองก็ไม่รอข้ารีบลุกขึ้นวิ่งตรงไปทางห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

               ‘ว้าว! ยอดเลยแฮะ สมุนไพรแปลกๆที่ขึ้นเหมือนดอกเห็ดที่พึ่งเจอเมื่อวาน มันมีฤทธิ์เหมือนพริกไทยจริงๆด้วย ไม่สิ...ประสิทธิภาพรุนแรงกว่าเป็นไหนๆ หึหึ ยอดเยี่ยมจริงๆ’

               .

               .

               .

               ตอนนี้รูร์กัสและแร็กนาร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในห้องนั่งเล่น คนหนึ่งนั่งจิบชาเงียบๆอย่างสบายใจ  ส่วนอีกคนมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด รูร์กัสรู้สึกเป็นห่วงเด็กทั้งสองที่เข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเสียเหลือเกิน เพราะเขายังได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังออกมาไม่หยุด

               “ฮือๆๆเจ้าใจร้ายมากแร็กนาร์ ฮึก อึก ฮืออ” เสียงฮิโรกิที่พยายามกลั้นไม่ให้ตนร้องไห้ดังขึ้นเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ  เขายังคงรู้สึกแสบร้อนไปทั่วใบหน้า

               “ข้าก็แค่ป้องกันตัว ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเสือสองตัวนั้นคือพวกเจ้า” แร็กนาร์ก็ไม่รอช้ารีบพูดแก้ต่างให้ตนทันที

               “ใช่แล้ว  ข้าเองยังตกใจแทบแย่ ที่มีเสือวิ่งเข้ามาแบบนั้น...มานั่งเถอะ” รูร์กัสออกความคิดเห็นของตนบ้าง ก่อนจะเรียกให้เด็กทั้งสองมานั่ง

               ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ไม่รอช้า  รีบเดินไปนั่งประจำที่เดิมของตนในทันที่ ก่อนจะบอกเหตุผลของตนบ้าง

               “ข้าแค่ดีใจมากที่เจอแร็กนาร์ ฮึก แล้วร่างนั้นพวกเราใช้หลบนี้ออกมา แล้วตอนวิ่งเองก็เร็วกว่าด้วย ก็เลยไม่ทันคิด ข้าขอโทษ” ฮิโรกิยังตอบด้วยเสียงปนสะอื้นเล็กน้อย เขาดีใจเป็นอย่างมากที่ครานี้เข้าไม่หลงทางเช่นครั้งก่อนหน้านี้  ทำให้ไม่ทันได้คิดถึงร่างของตนจึงกล่าวขอโทษที่ทำให้คนทั้งสองหวาดกลัว

               “ข้าเข้าใจพี่รูร์กัส แต่แร็กนาร์...เจ้าโกหก” ฮิเดโอะที่เงียบอยู่นาน  พอคลายสะอื้นก็พูดสวนขึ้นในทันที่  ทั้งยังมองไปที่แร็กนาร์อย่างจับผิด

               “ฮิโรกิก่อนที่ผงสีดำนั่นจะถูกโปรยออกมา  เจ้าเห็นเหมือนข้าใช่หรือไม่...รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจของแร็กนาร์” ฮิเดโอะถามฮิโรกิ แต่คำถามนี้หาได้เป็นการถามเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเห็น เขาเพียงต้องการหาแนวร่วมเพื่อกดดันไม่ให้แร็กนาร์เลี่ยงที่จะตอบคำถามเท่านั้น

               “ใช่ ข้าเห็น มันทำให้คิดว่าแร็กนาร์รู้อยู่แล้วจึงไม่ทันได้คิดถึงเรื่องเปลี่ยนร่างกลับ” ฮิโรกิเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

               ‘เจ้าเด็กฮิเดะตัวแสบ เอาอีกแล้วสินะ  ฉลาดเกินเด็กจริงๆ เรากะว่าจะเงียบๆให้มันปล่อยผ่านไปง่ายๆ แต่กลับถูกดูออก  หึหึ

               ใช่สิ ใครเดาตัวตนของเสือนั่นไม่ได้ก็แปลกแล้ว ทั้งๆที่รู้ว่าปีศาจมี 3 ร่าง แล้วเสือพวกนั้นดันสะดุดตาขนาดนั้นอีก เฮ้อออ แล้วที่สำคัญสัตว์แถวนี้เองก็ไม่เคยเข้ามาโจมตีบ้านหลังนี้เลยสักครั้ง คงมีสาเหตุของมันอยู่ ถึงเรายังไม่รู้สาเหตุของเรื่องนี้ก็เถอะ เพราะแบบนั้นการคาดเดาก็เลยง่ายขึ้น เราก็กำลังอยากทดลองพืชตัวใหม่ ก็ถือโอกาสทดลองซะเลย  หึหึ อยากมาทำให้เราตกใจดีนัก’


                “หึหึ แล้วมันทำไมอย่างนั้นหรือ” แร็กนาร์ยังคงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างไม่ทุกร้อนที่ตนโดนไล่ต้อน แล้ววางมันลงก่อนจะมองหน้าฮิเดโอะด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

                “เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นพวกเรา ก็ยังจะโปรยผงนั่นออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วตอนนี้เจ้าก็ยังมานั่งยิ้มพอใจในผลงานของตนอีก เจ้าใจร้ายมาก แร็กนาร์” ฮิเดโอะเอ่ยปากต่อว่าการกระทำของแร็กนาร์ในทันที ดวงตาก็จ้องเขม็งไปที่แร็กนาร์ เขาไม่ได้โกรธเคืองแร็กนาร์ เขาเพียงแค่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพียงเท่านั้น

                “หึๆ...ข้าเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น แต่มันกลับถูกต้องเสียได้” แร็กนาร์ยังคงตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ และยกชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง

                “แร็กนาร์...พี่เห็นเจ้าเดินไปหยิบห่อผ้าที่มีผงสีดำอยู่ด้านใน ก่อนจะได้ยินเสียงคำรามเสียอีก หมายความว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว และตั้งใจจะทำแบบนั้นตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ” รูร์กัสเองที่พอจะประติดประต่อเรื่องราวได้บ้าง หลังจากฟังฮิเดโอะว่ากล่าวแร็กนาร์ ก็ถามข้อสงสัยของตนด้วยน้ำเสียงคาดคั้นในทันที

                “ข้าไม่ได้รู้มากขนาดนั้น...ข้ารู้เพียงว่ามีสัตว์สี่เท้าสองตัวกำลังวิ่งตรงมาที่นี่เท่านั้น ส่วนเรื่องเด็กสองคนนี้ข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้นเอง” แร็กนาร์ยังคงอธิบายให้รูร์กัสฟังด้วยสีหน้ายิ้มเล็กน้อย ไม่ใช่สีหน้ากระวนกระวายต่อความผิดของตนที่โดนจับได้เลย

                “ถ้าเจ้าคาดเดาได้ เหตุใดยังทำอีกเล่า” ฮิโรกิที่นั่งเงียบฟังบทสนทนาของคนทั้งสามก็เอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่ทั้งหมดเงียบลง

                “คาดเดาก็คือคาดเดา...หากไม่ใช่พวกเจ้าเล่า ข้าไม่ถูกเสือขย้ำคอจนตายไปแล้วรึ” แม้ความเป็นไปได้ที่เสือทั้งสองตัวจะเป็นเด็กทั้งสองจะมีมากกว่า  หรือเรียกได้ว่าเขามั่นใจว่าต้องเป็นเด็กทั้งสองอย่างแน่แท้ แต่แร็กนาร์ก็ยังไม่คิดจะยอมรับสิ่งใด ในเมื่อพวกเขาอยากทำตัวเป็นประโยชน์ การเป็นตัวทดลองนี้ก็มีประโยชน์ไม่ต่างกัน

                “...ข้าเข้าใจแล้ว” ฮิเดโอะกับฮิโรกิตอบด้วยเสียงแผ่วเบา ยอมรับข้อแก้ตัวของแร็กนาร์แต่โดยดี เพราะถ้าหากเสือทั้งสองตัวนั้นไม่พวกตน แร็กนาร์ก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ว่ามา

               
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 25-08-2016 08:05:32
               
                “ว่าแต่พวกเจ้าบอกกับข้าว่า  จะไม่มาพบแร็กนาร์อีกจนกว่าตนจะแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่หรือ นี่ผ่านมาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น  เหตุใดพวกเจ้าจึงรีบกลับมาเร็วนักล่ะ” รูร์กัสที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศที่หดหู่นี้ จึงได้คิดที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย เมื่อมีเรื่องติดใจสงสัยจึงเอ่ยถามในทันที

                “ฮืออออ ฮึก อึก  ฮือออ  ท่านพ่อ...ท่านพ่อ...ฮือออ” คำถามนั้นเหมือนไปกระตุ้นความทรงจำ และจุดประสงค์ที่แท้จริงของเด็กทั้งสองเข้า  ฮิโรกิจึงร้องออกมาในทันที

                ส่วนฮิเดโอะนั้นก็ไม่ต่างกันทั้งร้องไห้ ทั้งพร่ำรำพันถึงพ่อของตน ฮิเดโอะนั้นแม้จะฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกัน แต่เด็กก็คือเด็ก หากเสียใจ คงไม่อาจเก็บความรู้สึกไว้ได้

                รูร์กัสลุกขึ้นไปกอดปลอบโยนฮิโรกิในทันที ก่อนลุกก็ไม่ลืมที่จะกระซิบบอกให้แร็กนาร์ไปปลอบฮิเดโอะด้วย

                “อย่าร้องไปเลย ไม่ว่าเรื่องที่เจ้าเจออยู่จะเลวร้ายเพียงใด เจ้าจะต้องข้ามผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน” รูร์กัสรั้งตัวของฮิโรกิมากอด แล้วใช้มือลูบหัวลงไปยังหลังอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้คนในอ้อมกอดของตนคลายสะอื้น แต่พอเขามองไปที่แร็กนาร์ เจ้าน้องตัวเล็กกลับยังนั่งเฉย  รูร์กัสจึงสั่งสายตาร้องขอปนออกคำสั่งไปให้อีกครั้ง แร็กนาร์เองก็จำต้องลุกขึ้น เพราะไม่อยากขัดใจพี่ชายแสนดีของเขาเท่าไหร่นัก

                “เลิกร้องฮิเดะ...เจ้ามาที่นี่เพราะต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่หรือ ถ้าเจ้าเอาแต่ร้องไห้ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร” แร็กนาร์ไม่ได้ปลอบโยน เขาเพียงลุกไปยืนตรงหน้าของฮิเดโอะ แล้วมองฮิเดโอะอย่างจริงจัง พร้อมออกคำสั่งและบอกเหตุผลเพียงเท่านั้น ใจจริงแร็กนาร์ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของเด็กปีศาจทั้งสอง  แต่หากถูกรูร์กัสร้องขอ เข้าก็ไม่อาจปฎิเสธได้

                “ฮึกๆ ฮึก ข้า...เข้าใจ  แต่ท่านพ่อ...ฮือออออ”  แม้จะเข้าใจสิ่งที่แร็กนาร์ต้องการสื่อออกมา  แต่ฮิเดโอะกลับไม่อาจหยุดร้องได้

                หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดอีก มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของเด็กน้อยปีศาจต่างสีผิวเท่านั้น  พวกเขาเก็บความรู้สึกนี้ไว้ไม่อาจปล่อยออกมาให้ใครเห็น   เพราะพวกเขาเป็นถึงลูกชายของหัวหน้ากลุ่ม จึงไม่อาจแสดงความอ่อนแอออกมาได้ แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขาวางใจว่าตนสามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้  พวกเขาจึงไม่อาจเก็บความรู้สึกเหล่านี้ไว้ได้อีก ทำได้เพียงแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาเท่านั้น

                .

                .

                .

                ในตอนนี้ทุกอย่างกลับมาสงบดังเดิม ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็หยุดร้องไห้แล้ว แม้จะยังคงมีเสียงสะอื้นอยู่บ้างก็ตาม  ส่วนแร็กนาร์กับรูร์กัสนั้นก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้ประจำของตนดังเดิม  เพื่อรอฟังเรื่องราวของเด็กปีศาจทั้งสอง

                “พวกเจ้ามีเรื่องใดให้พวกพี่ช่วยก็พูดมาเถอะ”  รูร์กัสซึ่งถือว่าตนอายุมากกว่าใครในที่นี้จึงเปิดปากกล่าวซักถามเป็นคนแรก

                “เจ้าเล่าเถอะ...ฮิเดโอะ อึก” ฮิโรกิบอกปัดที่จะเล่าเรื่องราวของพวกตน  เขายังสะอื้นมากกว่าฮิเดโอะ และไม่รู้จะเริ่มเล่าจากส่วนไหนดี

                “ได้...เมื่อวานขณะที่ประชุมกับเหล่าหัวหน้าหน่วยต่างๆเรื่องการแก้ไขปัญหาการรุกรานของเขตตะวันตกที่เกิดขึ้น ท่านพ่อก็ล้มป่วยลง  มีเลือดไหลออกจากปากและจมูก ผู้คนทั้งห้องประชุมนั้นต่างตกตะลึง ได้แต่กระวนกระวายใจ พวกเราที่ได้รู้เรื่องทั้งหมดจากท่านซาดาโอะ  จึงไม่อาจแสดงความอ่อนแอร้องไห้เสียใจออกมาได้    เพราะหากเป็นเช่นนั้นทั้งท่านพ่อและคนอื่นๆอาจจะเป็นกังวลมากไปกว่านี้ได้

                หลักจากนั้นพวกเราได้เข้าไปดูอาการของท่านพ่อ ร่างกายที่ดูแข็งแรงกำยำนั่นเริ่มซีดเซียวขึ้นที่ละน้อย  เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทั้งยังค่อยๆกลายเป็นสีดำ หมอประจำกลุ่มของเราได้ตรวจพบยาพิษอยู่ในกระแสเลือด แต่ไม่อาจรักษาได้ เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นยาพิษชนิดใด แต่จากการสันนิษฐานท่านหมอบอกว่า อาจจะไม่ใช่พิษที่มีในเขตเหนือ  เพราะตนไม่เคยพบอาการเช่นนี้มาก่อน

                 และเมื่อช่วงเย็นของวันนั้นมีหมออีกคนที่เป็นลูกศิษย์ของท่านหมอบอกกับพวกเราว่า อาการเช่นนี้เขาเคยเห็นเมื่อตอนที่ยังอาศัยอยู่ในเขตตะวันตกและเขตใต้ แต่ไม่ทราบวิธีรักษา ดังนั้นถ้าหากต้องการรักษาต้องขอให้หมอในเขตตะวันตกหรือเขตใต้เข้ามาช่วยเหลือ

                 เขตตะวันตกนั้นจากสภาพการจึงไม่อาจขอความช่วยเหลือได้ ส่วนเขตใต้เองเราได้ส่งคำร้องขอไป แต่ก็ยังปิดเงียบจนถึงตอนนี้ ท่านซาดาโอะบอกให้พวกเรารอการตอบรับของเขตใต้เพราะนั่นคือทางเดียวที่สามารถทำได้

                 พวกเราทำได้แค่รอ  ฮึก...มันไม่ต่างจากการรอความตายของท่านพ่อเลย พวกเราจึงตัดสินใจที่จะกลับมาขอความช่วยเหลือจากแร็กนาร์ที่เคยช่วยชีวิตพวกเราไว้” ฮิเดโอะที่หยุดร้องไห้ไปแล้วในคราแรก  กลับเริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เขาพยายามที่จะเข้มแข็งแต่เมื่อยู่ต่อหน้าแร็กนาร์เขากลับไม่สามารถปิดปังความรู้สึกเหล่านี้ได้

                  “เจ้าอยากให้แร็กนาร์ช่วยสิ่งใด” รูร์กัสเป็นฝ่ายถามขึ้นหลังจากนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบลง แม้ไม่รู้ว่าแร็กนาร์ หรือเขาเองจะช่วยเหลือสิ่งใดเด็กทั้งสองได้ แต่หากมีคนขอความช่วยเหลือ จะแล้งน้ำใจเมินเฉยได้หรือ

                  “ข้าอยากให้แร็กนาร์ไปรักษาอาการของท่านพ่อ” แม้จะตอบคำถามของรูร์กัส แต่ฮิเดโอะกลับมองไปที่แร็กนาร์ จับจ้องดวงตานั้น  ทั้งยังส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอไปให้

                  “ไม่” คำสั้นๆที่หลุดออกจากริมฝีปากบางของแร็กนาร์ ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึง น้ำเสียงนั้นช่างเย็นชาไร้ซึ่งความเห็นใจใดๆอย่างสิ้นเชิง

                  “ทำไมล่ะแร็กนาร์ เจ้าช่วยท่านพ่อของข้าเถอะนะ ข้าขอร้อง” เสียงอ้อนวอนนี้ไม่ใช่เสียงของฮิเดโอะ แต่กลับเป็นเสียงของฮิโรกิที่กล่าวแทรกขึ้น เขาไม่ใช่คนที่จะมานั่งขบคิดทบทวนสิ่งต่างๆด้วยเหตุผลอย่างฮิเดโอะ เมื่อสงสัยก็ถาม เมื่อต้องการสิ่งใดก็ทำอย่างถึงที่สุด สิ่งที่แสดงออกมาล้วนมาจากสัญชาตญานเท่านั้น

                  “ข้าเข้าใจว่าข้าขอเจ้ามาเกินไป แต่ถ้ายังมีทางที่พอจะช่วยท่านพ่อของข้าได้ แม้จะน้อยนิด หรือริบหรี่เพียงใด  ข้าก็อยากจะลองดู...ข้าขอร้องนะแร็กนาร์ ช่วยไปตรวจอาการของท่านพ่อข้าด้วย แค่สักครั้งก็ยังดี” ก่อนกล่าวประโยคนี้ฮิเดโอะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วไปคุกเข่าลง  ใช้มือแตะลงไปที่พื้นด้านหน้า  และก้มหัวลงจนหน้าผากแตะพื้น อยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะกลางห้อง  ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแร็กนาร์ แล้วกล่าวขอร้องออกมา

                  “ข้าก็ขอร้อง” ฮิโรกิเห็นแฝดของตนทำเช่นนั้น ก็รีบทำตามในทันทีแม้จะไม่เข้าใจนักก็ตาม

                  “เฮ้อ...ข้าเป็นเด็กที่อายุเพียง 8 ปี ขนาดหมอประจำกลุ่มของเจ้าที่มีอายุมากแล้ว  และยังมีประสบการณ์มากกว่าข้ายังไม่อาจรักษาได้  แล้วพวกเจ้าคิดว่าข้าจำทำได้อย่างไร” แร็กนาร์ยังคงนั่งนิ่งมองไปที่เด็กทั้งสองไม่วางตา แล้ววางถ้วยชาลง เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะปฏิเสธเด็กปีศาจทั้งสองอย่างจริงจัง

                  ‘เฮ้อ หาเรื่องยุ่งยากมาให้เราอีกแล้ว เพราะแบบนี้แหละถึงไม่อยากยุ่งด้วย  เรามันบ้าเองไม่น่าช่วยมาตั้งแต่แรกเลย

                  ไม่ใช่ว่าเราอยากยอมรับเรื่องที่เป็นเด็ก  แต่มันก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว  ถ้าปฏิเสธต่อไปยังไงเด็กฮิเดะนี่ก็ต้องเข้าใจอยู่แล้ว ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่รูร์กัสจอมเห็นใจนี่มากกว่า  ต้องทำให้เห็นด้วยกับเรา  ถ้าขืนโดนขอร้องเข้า เราต้องปฏิเสธไม่ได้แน่  ฮึ่ย บ้าเอ้ย!’


                  “แร็กนาร์พูดถูก ขนาดหมอที่เก่งกาจยังไม่อาจรักษาได้ แล้วแร็กนาร์ที่ยังเด็กจะทำได้อย่างไร” เมื่อรูร์กัสพูดออกมา เสียงร้องตะโกนแห่งความดีใจในใจของแร็กนาร์ก็ดังขึ้นในทันที เขากำลังลิงโลดแม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉยอยู่ก็ตาม

                  “ไม่ครับพี่รูร์กัส...มันมีทางเป็นไปได้ แร็กนาร์สามารถรักษาพวกเราที่ถูกแทงทะลุตัวจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นาน...ข้าเล่าเรื่องนี้ให้ท่านหมอฟัง ท่านหมอยังตกตะลึกและชื่นชมแร็กนาร์ไม่หยุดเลย” ฮิเดโอะยังคงยืนยันความคิดของตน ทั้งยังให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น...เขาจะรู้หรือไม่ว่ากำลังทำให้คนที่ถูกกล่าวถึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

                  “จริงหรือ แร็กนาร์” รูร์กัสได้ฟังดังนั้นก็เกิดความลังเลขึ้นทันที ก่อนหน้านี้เขารู้เพียงว่าแร็กนาร์ได้ช่วยชีวิตเด็กทั้งสองไว้ แต่ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด ไม่ทราบว่าจะช่วยเด็กทั้งสองจากอาการสาหัสขนาดนั้น

                  รูร์กัสยอมรับว่าตั้งแต่แร็กนาร์ฟื้นขึ้นมานั้นก็มีท่าทีแปลกไป บางครั้งที่เขามาที่นี่ก็จะไม่พบแร็กนาร์ ทั้งยังพอรอจนแร็กนาร์กลับมา แร็กนาร์ก็จะเก็บพืชหรือจับสัตว์แปลกๆมาด้วยเสมอ ทั้งคำพูดนั้นก็จะดูโตจนเกินเด็ก  บางครั้งเขายังรู้สึกได้ว่าแร็กนาร์มีความคิดที่ดูโตกว่าเขาด้วยซ้ำ มันทำให้รูร์กัสสับสนไม่น้อย แต่ก็ไม่คิดจะซักถามสิ่งใด เขารอให้แร็กนาร์เอ่ยปากบอกกับเขาเอง

                  “ข้าก็แค่รักษาบาดแผล  แต่นั้นมันเรื่องยาพิษ...หาได้เกี่ยวกันไม่”  แร็กนาร์ยังคงปฏิเสธเช่นเดิม  เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้ เพราะลางสังหรณ์ของเขาบอกว่า หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้ว จะไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกอย่างแน่นอน

                  “เจ้าโกหกอีกแล้วแร็กนาร์...ข้ามั่นใจในจมูกของเผ่าพยัคฆ์ ตัวของเจ้านั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นของสมุนไพร เจ้าจะไม่รู้เรื่องยาพิษได้อย่างไร”  ฮิเดโอะยังคงไม่ยอมแพ้ เขาอยากพยายามให้ถึงที่สุด เพื่อช่วยคนสำคัญของตน เขาไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ

                  “ช่วยพวกเราด้วยเถอะแร็กนาร์!!” เสียงแฝดทั้งสองประสานกันขึ้นดังลั่น น้ำเสียงนั้นทั้งจริงจังและแน่วแน่จนคนฟังเริ่มลำบากใจ

                  “ช่วยลองดูสักครั้งเถอะนะแร็กนาร์ พี่ก็ขอร้องเจ้าด้วยอีกคน” เมื่อตัดสินใจได้ รูร์กัสก็ช่วยเด็กปีศาจทั้งสองขอร้องแร็กนาร์อีกแรงหนึ่ง เขาคิดว่าหากเป็นดังที่ฮิเดโอะว่ามา การลองเสี่ยงสักครั้งมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

                  “แต่...”

                  “พี่ขอร้องนะแร็กนาร์” แร็กนาร์พูดยังไม่จบประโยคก็ถูกรูร์กัสขัดขึ้นอีก เขาตัดสินใจแล้ว และเชื่อว่าหากแร็กนาร์พูดสิ่งใดอีกเข้าอาจจะใจอ่อนได้จึงจำต้องขัดขึ้นอย่างเสียไม่ได้

                  “ได้โปรดแร็กนาร์!!” เหมือนฮิเดโอะกับฮิโรกิรู้จังหวะที่เหมาะสม จึงเอ่ยปากร้องขอพร้อมกันอีกครั้ง

                  ‘ชิ แย่สุดๆไปเลย ถ้าเข้าไปยุ่งล่ะก็ต้องถอนตัวออกมายากแน่ๆงานนี้คงไม่ใช่ปัญหาภายใน ต้องเกี่ยวข้องกับการรุกรานแน่ๆ เรื่องใหญ่สุดๆเลยนี่หว่า...แต่รูร์กัสดันขอร้องซะได้ จิตสำนึกที่ติดอยู่ในร่างนี่ก็น่ารำคาญ ทำเราใจอ่อนทุกทีสิน่า

                  เฮ้อ...ขอให้เป็นครั้งเดียวจริงๆด้วยเถอะ’


                  แร็กนาร์พ่นลมหายใจจากปากอย่างปลงๆเขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งใดได้อีก ไหนจะเด็กปีศาจสองตนที่ก้มหัวอ้อนวอนอยู่ ไหนจะพี่ชายที่ร้องขอด้วยสายตา เป็นแบบนี้เขาจะใจร้ายต่อไปอีกได้อย่างไร

                  “เงยหน้าขึ้น...”เสียงเรียบเอ่ยออกไปเมื่อตัดสินใจได้ เด็กทั้งสองก็ว่าง่ายเงยหน้าขึ้นมานั่งมองแร็กนาร์ตรงๆ เพราะรอฟังคำพูดต่อไปของแร็กนาร์

                  “พวกเจ้าจะให้ข้า...เริ่มเดินทางเมื่อไหร่กัน” เพียงประโยคเดียวที่หลุดจากปากบางของแร็กนาร์ ก็เรียกรอยยิ้มกว้างจากเด็กทั้งสามได้อย่างง่ายดาย

                  “วันนี้!!”

 

 

 

 

To Be Continued...

 

________________________________________________________________

ตอนที่ 7 มาแล้วค่าาาา
หายไปนานเลยรอบนี้  ช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นๆนิดหน่อยนะคะ
แต่ก็จะมาลงให้เรื่อยๆเน้อ จะไม่หายไปนานแบบนี้อีกจ้า
พูดคุยและทวงนิยายได้ที่ >>>  https://www.facebook.com/greenheadzoro/



  :katai5:

 
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ (25/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: chouxcream59 ที่ 25-08-2016 13:35:21
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ (25/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 28-08-2016 11:11:07
เย่ มาต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ (25/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 28-08-2016 18:53:32
 :o8: :o8: :o8: :o8: จะดราม่าขนาดไหนกันนะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ (25/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: loveBoyoll ที่ 28-08-2016 21:35:17
  o18 รอนะ~
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ (25/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 29-08-2016 02:08:55
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 8 ลอบเข้าบ้านใหญ่(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 31-08-2016 19:34:54

 
ตอนที่ 8
ลอบเข้าบ้านใหญ่


            “พวกเจ้าจะให้ข้า...เริ่มเดินทางเมื่อไหร่กัน”

            “วันนี้!!”

            “เฮ้อ เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องมาวางแผนกันก่อน” แร็กนาร์พ่นลมหายใจออกมาเบาๆกับเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้นี้

            “ทำไมเราต้องวางแผนด้วยเล่า” ฮิโรกิกล่าวถามออกมาเมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่แร็กนาร์กล่าวบอก

            “พวกเจ้าลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ดีๆก่อนเถอะ แล้วจึงพูดคุยกัน” รูร์กัสเห็นว่าเหตุการณ์สงบลงแล้วจึงเรียกให้เด็กปีศาจทั้งสองที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นให้มานั่งบนเก้าอี้เช่นเดิม

            “ครับ!!” เด็กปีศาจทั้งสองตอบตกลงพร้อมกันก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้แต่โดยดี

            “แล้วตกลง เราต้องวางแผนสิ่งใดแร็กนาร์” เมื่อนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย ฮิโรกิก็ทวนคำถามขอตนทันที

            “ก็วางแผนเข้าไปรักษาพ่อของพวกเจ้าอย่างไรเล่า” แร็กนาร์ตอบกลับพร้อมมองหน้าหน้าของฮิโรกิตรงๆขณะตอบ

            “ทำไม ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดเจ้าตองวางแผนเข้าไปด้วยเล่า” ฮิโรกิยังคงไม่อาจเข้าใจแร็กนาร์จึงถามย้ำออกมาอีก ทำให้แร็กนาร์พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง...นี่เขาต้องมานั่งอธิบายยืดยาวอีกแล้วหรือนี่

            “เจ้าจะให้ข้าเดินเข้าไปบอกคนของพวกเจ้าว่าจะมารักษาหัวหน้ากลุ่มยาฉะตรงๆอย่างนั้นหรือ” สิ่งที่แร็กนาร์กล่าวหาใช่คำถาม แต่เป็นคำพูดที่ต้องการให้อีกคนค่อยๆคิดตาม

            “ใช่ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” แต่เสียงที่ตอบกลับมา กลับทำให้แร็กนาร์แทบอยากจะเอาหัวโขลกโต๊ะแรงๆ เพราะคนที่ตอบกลับมาไม่ใช่ฮิโรกิ แต่เป็นฮิเดโอะที่เขาคิดว่าต้องเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการสื่อออกมาเป็นแน่

          ‘เฮ้อออออออ ขอถอนหายใจยาวๆหน่อยเถอะ ไอ้เราก็คิดว่าคนที่ไม่เข้าใจมีแต่ฮิโระ แต่ฮิเดะก็ไม่เข้าใจเนี่ยนะ อยากจะบ้าตาย มันจะมีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้อีกไหม

            โถ่ ช่วยทำเรื่องให้มันง่ายกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงกัน คนที่เราเคยทำงานด้วยแค่พูดสั้นๆก็เข้าใจแท้ๆ แต่พวกเด็กๆนี่รับมือยากจริงๆให้ตายเถอะ เรายิ่งเป็นพวกขี้เกียจอธิบายซะด้วย เฮ้อออออ’


            “เฮ้อออ พวกเจ้าฟังข้านะ พวกเจ้าเป็นปีศาจเต็มตัว ส่วนข้าเป็นลูกครึ่งที่ถูกรังเกียจ และที่สำคัญข้าเป็นเด็ก พวกเจ้าคิดว่าจะมีใครกล้าเสี่ยงให้ข้าเข้าไปแตะต้องหัวหน้าของตนได้ง่ายๆกัน” แร็กนาร์พ่นลมหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่อาจทราบ เพราะวันนี้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาโจมตีมากเสียเหลือเกิน ก่อนที่เขาจะจะอธิบายออกมาง่ายๆสั้นๆให้พวกเด็กๆคิดตาม

            “พวกข้าจะยืนยันให้เอง ไม่ต้องกังวล อีกอย่างท่านพ่อไม่ได้รังเกียจลูกครึ่ง” ฮิเดโอะยังคงยืนยันดังเดิม เพื่อให้แร็กนาร์สบายใจ ฮิเดโอะเข้าใจในสิ่งที่แร็กนาร์พูดแต่ก็ยังคงคิดว่าไม่มีเหตุจำเป็นใดที่จะต้องลอบเข้าไป

            “ไม่...ข้าจะทำเพียงลอบเข้าไปรักษาเท่านั้น...และถึงแม้พ่อของเจ้าจะไม่รังเกียจ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นพวกปีศาจคงไม่นำลูกครึ่งมาทิ้งไว้เขตชายแดนเช่นนี้” แร็กนาร์ยังคงยืนยันหนักแน่ และอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่อยากเข้าไปรักษาโดยตรง เพราะไม่ชอบความวุ่นวาย ทั้งมันยังเป็นอีกหนึ่งหนทางที่เขาพอจะเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในแดนพยัคฆ์ที่กำลังเกิดขึ้นอีกด้วย แม้จะเตรียมใจยอมรับ แต่หากเลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยงมัน

            “อึก ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว ข้าคงไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้” ฮิเดโอะไม่อาจโต้แย้งในความจริงข้อนี้ได้ จึงได้แต่ทำใจยอมรับเสียแต่โดยดี

            “ดี ถ้าเช่นนั้น ข้าขอแผนที่บ้านของเจ้าด้วย ข้าจำเป็นต้องใช้มัน เจ้ามีใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับ แร็กนาร์ก็ออกปากขอสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการวางแผนในทันที

            ฮิเดโอะไม่ตอบสิ่งใด แต่กลับทำเพียงนำกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่นที่พับเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน แล้วนำไปวางบนโต๊ะพร้อมคลี่เปิดออก บนกระดาษแผ่นนั้นปรากฏแผนผังบ้านขนาดใหญ่ที่ถูกวาดไว้อย่างละเอียด แผนผังนี้เขาทำมันขึ้นในตอนที่หลบหนีออกมาจากบ้านของตนในคราวก่อนนั่นเอง

            หลังจากเห็นแผนผังบ้านอย่างเต็มตาแร็กนาร์ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เพราะแผนที่นี้ไม่ได้มีเพียงแผนผังของบ้าน มันยังมีตำแหน่งการตรวจตรา และช่วงเวลาเปลี่ยนเวรยามกันอย่างละเอียดอีกด้วย มันทำให้แร็กนาร์รู้สึกชื่นชมในความสามารถของเด็กคนนี้เพิ่มขึ้นมากไปอีก

             “เดี๋ยวข้ามา รออยู่ที่นี่ อย่าตามไป” แร็กนาร์ออกคำสั่งเช่นนั้นหลังจากพิจารณาแผนที่ และเวรยามอย่างละเอียด เขาเดินเข้าไปยังส่วนของห้องครัว ก่อนจะมีเสียงดังของแผ่นโลหะหนึ่งครั้ง และอีกไม่กี่อึดใจก็ได้ยินอีกครั้ง จากนั้นแร็กนาร์ก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับหนังสือหนึ่งเล่ม

             แร็กนาร์เดินกลับมานั่งที่เดิมก่อนจะเปิดหนังสือไปยังหน้าที่ตนต้องการ แล้วชี้นิ้วไปที่รูปพืชชนิดหนึ่งที่ปรากฎรูปบนหน้าหนังสือนั้น

             “พวกเจ้าเคยเห็นมันหรือไม่” คำถามนี้ถูกเอ่ยขึ้นโดยไม่อธิบายว่าตนไปได้หนังสือนี้มาจากที่ใด และกำลังจะทำสิ่งใด เขาทำเพียงถามสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น

             “ข้าเคยเห็น คราวก่อนข้าหลงทาง มันมีกลิ่นฉุนจนแสบจมูกข้าจึงจำมันได้ดี” ฮิโรกิเป็นผู้ตอบออกมาเมื่อมองเห็นภาพให้หนังสือ มันเป็นภาพของดอกไม้ที่มีกลับดอกสีม่วงและมีขอบกลีบสีแดง เกสรสีดำ ดูสะดุดตา เขาจึงจำมันได้เป็นอย่างดี และเมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็พลอยทำให้นึกถึงกลิ่นมันไปด้วย ฮิโรกิจึงตอบด้วยท่าทีสยองกลิ่นของมัน

             “ดี พวกเจ้าไปนำมาให้ข้า 3 ดอก ข้าจะปรุงยาล่องหนสำหรับเราทั้ง 3 คน” แร็กนาร์เอ่ยขึ้นอย่างยินดีเมื่อตนจะได้ปรุงยาตัวใหม่ ที่อยากทำมานาน แต่หาส่วนประกอบสุดท้ายไม่พบเสียที โดยไม่สนใจสีหน้าที่ตื่นตกใจ และพยายามปฏิเสธของฮิโรกิแม้แต่น้อย

             ‘ยาล่องหน หึหึ ถึงจะเสี่ยงไปหน่อย แต่ก็น่าสนุกล่ะนะ’

 
             แร็กนาร์ยังไม่อาจทิ้งนิสัยเดิม การทดลองที่มาพร้อมกับความเสี่ยงช่างล่อลวงให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เสียทุกครั้งไป

             “พี่เล่า พี่ก็จะไปกับเจ้า” แร็กนาร์หลุดจากห้วงความคิดของตนทันทีเมื่อรูร์กัสเอ่ยสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินขึ้นมา

             “ไม่” แร็กนาร์รีบปฏิเสธในทันที อย่างไม่ต้องคิดสิ่งใด

             “พี่จะไป” รูร์กัสก็ยังยืนยันสิ่งที่ตนต้องการ

             “แต่มันอันตรายพี่รูร์กัส” แร็กนาร์ตอบกลับไปอีก

             “เพราะมันอันตรายพี่จึงต้องไปดูแลเจ้า” ถึงอย่างนั้นรูร์กัสก็ยังดื้อดึงจะตามไปให้ได้อยู่ดี

             “แต่...”

             “ต่อให้เจ้าปฏิเสธเช่นไร พี่ก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ” แร็กนาร์จะออกปากคัดค้านอีกครั้ง แต่กลับถูกรูร์กัสขัดขึ้นมาก่อน พร้อมจ้องมองแร็กนาร์อย่างไม่หวั่นไหว แน่วแน่ และไม่คิดจะฟังคำทัดท้านของแร็กนารอีก

             “เฮ้อออ ข้าเข้าใจแล้ว...พวกเจ้าไปหามา 4 ดอก” แร็กนาร์รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดได้ว่ารูร์กัสเป็นคนเช่นไร จึงยอมแพ้แค่โดยดีได้แต่ตอบตกลงทำนั้น แล้วจึงหันหน้าไปออกคำสั่งแก่เด็กน้อยปีศาจทั้งสองอีกครั้ง

             “เย้!” เสียงสองเสียงที่ร้องตะโกนออกมาอย่างดีใจดังขึ้นอีก ก่อนจะวิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ฮิเดโอะกับฮิโรกิลุ้นกับการถกเถียงของพี่น้องทั้งสองอยู่นาน พวกเขาอยากให้รูร์กัสไปด้วย เพราะแร็กนาร์ยอมฟังเพียงรูร์กัสเท่านั้น หากเกิดสิ่งใดขึ้นก็ต้องให้รูร์กัสคอยห้ามปรามแร็กนาร์ ผู้ที่ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากความต้องการของตน

             หลังจากที่จากที่เด็กปีศาจทั้งสองวิ่งออกจากบ้านไป คนที่เหลืออยู่ได้แต่นิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มกล่าวจะส่วนใดดี คนหนึ่งยังค้างคาใจกับพฤติกรรมที่ผิดแปลกของน้องชาย อีกคนหนึ่งยังคงไม่อยากกล่าวสิ่งใดเพราะควบคุมอารมณ์หงุดหงิดในการตัดสินใจของพี่ชายไม่ได้ ทำให้บรรยายการภายในห้องนั่งเล่นตกอยู่ในความอึมครึม และเข้าสู้ความเงียบในที่สุด

             “แร็กนาร์...หนังสือเล่มนั้นเจ้าได้มาจากที่ใด” รูร์กัสที่เป็นฝ่ายหมดความอดทนกับความคับข้องใจนี้ก่อนจึงเป็นผู้เปิดปากเริ่มบทสนทนาขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

             “ถ้าข้าตอบพี่รูร์กัส พี่จะยกเลิกการตัดสินใจเมื่อครู่หรือไม่” แร็กนาร์ไม่ตอบคำถาม แต่เลือกที่จะต่อลองกับรูร์กัสแทน เพราะแร็กนาร์เป็นห่วงรูร์กัส ทั้งยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยความจริงเรื่องห้องลับในตอนนี้

             หลังจากกล่าวจบแร็กนาร์ก็หันหน้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาของรูร์กัสในทันที สายตาที่แน่วแน่เกินเด็กปรากฏให้รูร์กัสเห็นอีกครั้ง ทำให้เขาชะงักคำพูดของตนไว้ เพราะรูร์กัสรู้ดีว่า แม้แร็กนาร์จะยอมอ่อนข้อยอมรับฟังตนเสมอ แต่หากเรื่องที่ตนร้องขอมันไม่สมควร หรือไม่สามารถให้ได้แร็กนาร์ก็จะปฏิเสธโดยไม่ลังเลเลย

              การตัดสินใจที่แน่วแน่เช่นนี้ ไม่เพียงแร็กนาร์ที่สัมผัสได้จากรูร์กัส แต่ทางฝั่งรูร์กัสเองก็จะสัมผัสถึงมันจากแร็กนาร์ได้ในบางครั้งบางครา และทุกครั้งมันจะมาในรูปแบบของดวงตาที่สื่อความรู้สึกของคนที่มองโลกผ่านตาคู่นั้นมาหลายสิบปี

              “พี่เข้าใจแล้ว แต่เจ้าต้องบอกพี่นะ...พี่จะรอให้เจ้าพร้อมที่จะเล่า แร็กนาร์” รูร์กัสเลือกที่จะรอ หากแร็กนาร์ต้องการ เขาก็เพียงเพิ่มเรื่องเคลือบแครงสงสัยนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรอคำตอบจากแร็กนาร์คงไม่ยากอะไร อย่างไรเขาก็มั่นใจว่าแร็กนาร์ต้องบอกเล่าเรื่องราวที่ตนสงสัยทั้งหมดให้ฟังอย่างแน่นอน...อาจจะไม่นานเท่าที่คิดก็เป็นได้

              ‘เฮ้ออออออ บ้าจริง เราไม่ใช่คนโกหกไม่เป็น แต่มีแค่รูร์กัสเท่านั้นที่โกหกไม่ได้เด็ดขาด รูร์กัสเป็นพี่ชายที่สำคัญที่สุดของเจ้าของร่างกายที่ได้รับมานี้ แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้น รูร์กัสยังช่วยประคับประคองจิตใจของวิญญาณเดิม และวิญญาณของเราตอนนี้ด้วย คนที่สำคัญขนาดนั้น เราโกหกไม่ได้...

              ขอบคุณนะรูร์กัส เมื่อถึงเวลาฉันจะบอกเธอแน่นอน’

 
              แร็กนาร์ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาอีก เขาเพียงแค่ผงกหัวลงน้อยๆเพื่อตอบรับคำขอของรูร์กัสเท่านั้น

              “ข้าจะเข้าไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับปรุงยา...พี่รูร์กัสตามเข้าไปทำอาหารรอฮิเดะ กับฮิโระเถอะ...กลับมาคงหิวแย่” แร็กนาร์กล่าวเพียงแค่นั้นก็จะเดินเข้าไปยังห้องครัวอีกครั้ง รูร์กัสยิ้มน้อยๆเมื่อรับรู้ถึงความใส่ใจของแร็กนาร์ แม้จะทำเรื่องร้ายกาจ แต่แร็กนาร์ก็ยังอ่อนโยนและใจดีเสมอ ถึงเจ้าตัวจะไม่รู้นิสัยข้อนี้ของตนก็ตาม

              รูร์กัสเองก็รู้ว่าตนต้องทำสิ่งใด จึงรอให้แร็กนาร์เดินเข้าไปยังห้องครัว และเมื่อได้ยินเสียงแผ่นโลหะหนึ่งครั้ง รูร์กัสจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังห้องครัวทันที

              แร็กนาร์ไม่ได้กังวลหากรูร์กัสไม่ยอมแพ้ แล้วเลือกจะเดินตามเข้าไปอย่างกระชั้นชิด หากรูร์กัสทำเช่นนั้น เขาก็ทำเพียงเร่งฝีเท้า แล้ววิ่งหายไปในห้องครัวก็ทำได้ เพราะหลังจากที่ค้นพบห้องลับนี้ แร็กนาร์ก็คิดไตร่ตรองหาทางป้องกันไม่ให้ใครพบเห็นห้องนี้ได้โดยง่ายดังที่ตนพบเจอ

              แร็กนาร์พบหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์มายาชนิดต่างๆ และได้เลือก “กิ้งก่าสภาพแวดล้อม” สัตว์มายาที่สามารถจำลองสภาพแวดล้อมที่เคยพบเห็นได้อย่างยอดเยี่ยม แม้การตามหา และการทำตามเงื่อนไขการใช้งานสัตว์เลี้ยงจะยากลำบากเพียงใด แร็กนาร์ก็ทำสำเร็จจนได้

              เขาเลี้ยงมันไว้ในเตาผิงขนาดใหญ่นี้ โดยสร้างรังที่ไม่ต่างจากรังเดิมของมันมากนักเพื่อเป็นการเอาใจสัตว์เลี้ยงตัวสำคัญ ทั้งยังตั้งชื่อให้ว่า “เคลตี้” กว่าจะหาชื่อที่ถูกใจเจ้ากิ้งก่ามากเรื่องนี้ได้เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งวัน เพราะการตั้งชื่อที่ถูกใจให้สัตว์เลี้ยงก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขการใช้งานเจ้าสัตว์จอมเอาแต่ใจตัวนี้ด้วย

              แม้จะยากลำบาก ก็นับว่าประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เพราะในตอนนี้ภายในเตาผิงนั้นว่างเปล่าไม่มีฟืนกองพะเนินดังเช่นก่อนหน้านี้ หากแต่ถ้าใครมองก็จะยังคงมองเห็นเป็นภาพเช่นเดิม ไม่เพียงภาพการมองเห็น แต่ทั้งสัมผัส และกลิ่น ล้วนแต่ไม่ต่างจากเดิม เพราะมันไม่เพียงสร้างภาพลวงตา มันยังสามารถปล่อยกลิ่นเฉพาะตัวแทรกเข้าไปในส่วนลึกของสมองที่เป็นส่วนประสาทสัมผัส และบิดเบียนมันให้เป็นดังที่ต้องการได้อีกด้วย

              แร็กนาร์เข้าไปนั่งเตรียมกันทดลองผสมยาสูตรใหม่เงียบๆภายในห้อง ส่วนรูร์กัสก็เข้ามาทำอาหารไว้รอเด็กปีศาจทั้งสองที่ไปหาดอกไม้ประหลาด และแร็กนาร์ก็ไม่กลัวว่ารูร์กัสจะนั่งรอจนตนออกมา เพราะหากรูร์กัสทำเช่นนั้นจริงๆแร็กนาร์ก็รับรู้ได้จากเสียงฝีเท้า เขาเพียงรอจนรูร์กัสทนไม่ไหวไปเองคงไม่ใช่เรื่องยาก...ถ้าจะแข่งความอดทนแร็กนาร์เชื่อว่าตนชนะขาดอย่างแน่นอน

              .

              .

              .

              แกร็ก!!

              เสียงเปิดประตูหน้าบ้านดังขึ้น จนเสียงนั้นเล็ดลอดเข้ามาในหูของแร็กนาร์ เขาจึงหยุดชะงักการจดบางอย่างลงในกระดาษแล้วเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นจะเป็นเสียงใครไม่ได้เลย นอกจากเสียงฝีเท้าของเด็กปีศาจทั้งสองที่กลับมาแล้ว และเสียงพูดคุยกับรูร์กัสที่ลุกเดินเข้าไปหาหลังจากที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่นเมื่อทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

              แร็กนาร์เดินออกมาจากห้องลับ ผ่านห้องครัว และมายังห้องนั่งเล่น ภาพที่เห็นตอนนี้คือ รูร์กัส ฮิเดโอะ และฮิโรกิ กำลังมองสำรวจดอกไม้ที่แร็กนาร์ให้ไปหามา พร้อมทั้งเอามือปิดจมูกเพราะทนกลิ่นของมันไม่ไหว

              “เหม็น” เสียงเบาๆของแร็กนาร์เรียกความสนใจของคนทั้งสามให้ละสายตาจากดอกไม้ หันมามองแร็กนาร์แทน

              ฮิเดโอะกับฮิโรกิต่างตกตะลึง ภาพตรงหน้าจะมองว่ามันน่าชมก็คงโต้แย้งสิ่งใดไม่ได้ เพราะตอนนี้เสื้อสีขาวของแร็กนาร์เปียกไปด้วยเหงื่อจนเสื้อแนบลู่ไปกับลำตัวจนเห็นร่างกายนั้นอย่างชัดเจน ทั้งยังใบหน้าที่มีเหงื่อซึมน้อยๆ และหน้าแดงระเรื่อเพราะอากาศร้อนอบอ้าวภายในห้องลับ ขับให้ใบหน้า และดวงตาที่โดดเด่นนั้น งดงามขึ้นไปอีก

              “ระ...แร็ก แร็กนาร์ดอกไม้นี้ถูกต้องหรือไม่”  ฮิโรกิตั้งสติได้ก่อนจึงถามตะกุกตะกักขึ้นเพื่อเลี่ยงอาการแปลกประหลาดของตน

              “ใช่” แร็กนาร์รับรู้ถึงสายตาของทั้งสอง จึงเกิดหวั่นไหวเช่นคราวก่อน หน้าจึงเพิ่มความแดงระเรื่อเข้าไปอีก ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นสีหน้าไม่พอใจเพราะความหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และยังขุ่นมัวเรื่องของรูร์กัสอยู่ จึงทวีความหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็น

              “พวกเจ้าทานข้าวไปก่อน ข้าจะไปปรุงยา...ไม่ต้องรอ” แร็กนาร์อยากหลีกเลี่ยงที่จะระบายอารมณ์ใส่เด็กทั้งสองจึงเลือกที่จะออกคำสั่งเช่นนั้น และกลับไปสงบสติอารมณ์เงียบๆขณะปรุงยาในห้องลับ

              เมื่อแร็กนาร์เดินตรงไปยังห้องครัว ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ก้าวเท้าเข้าไปด้วย แต่ถูกรูร์กัสแตะไหล่เบาๆเป็นเชิงห้าม  พวกเขาก็ว่าง่ายยอมทำตามรูร์กัสแต่โดยดี

              หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปทานข้าว แล้วมานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระรอแร็กนาร์ที่ปรุงยาอยู่ภายในห้องลับ ที่พวกเข้าไม่อาจรู้ได้เลยว่าอยู่ที่ใดของห้องครัวเล็กๆนั้น

              .

              .

              .

             
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 8 ลอบเข้าบ้านใหญ่(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 31-08-2016 19:36:32
             
              ณ หมู่บ้านเฮียวจินคุระ ในคืนฟ้าโปร่ง ดวงจันทร์สีแดงเลือดเฉิดฉายอยู่บนท้องนภาอันมืดครึ้ม เหล่าสัตว์ที่ออกหากินยามค่ำคืนก็ส่งเสียงดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านหลังใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตระหง่านตั้งอยู่ใจกลางของหมู่บ้าน บ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยของ “ยาฉะ เบียกโกะ” ชายผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มยาฉะ ผู้ครอบครองเขตเหนือในแดนพยัคฆ์อันไร้กฎเกณฑ์นี้ โดยทั่วไปแล้วปีศาจทั้งหลายจะเรียกขานบ้านหลังนี้ว่า “บ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ” หรือ "บ้านใหญ่ของเหล่าปีศาจ"

              บัดนี้มีเสียงอึกกระทกครึกโครมของเหล่าลูกสมุนที่มีหน้าที่ในการตรวจตราหมู่บ้าน เพราะตอนนี้พวกมันมีหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือการตามหานายน้อยทั้งสองที่หายไปจากบ้านใหญ่ แต่ว่าพวกมันค้นหาตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบผู้ที่พวกมันตามหาเลย

              หากเหตุการณ์เป็นเช่นนี้พวกมันรู้ดีว่า ตามปกตินายน้อยของพวกมันจะไปแอบหลบซ่อนอยู่ในฐานลับ ที่ชอบกล่าวโอ้อวดว่า หากตนไปซ่อนอยู่ในฐานลับ คนที่หาพบคงมีแต่หัวหน้าใหญ่เท่านั้น ทุกครั้งพวกมันจะหัวเราะขำขันกับการพูดโอ้อวดนี้ของนายน้อย แต่ตอนนี้พวกมันกลับตระหนักได้ว่าสิ่งที่นายน้อยกล่าวนี้เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

              “พวกเจ้ามารับคำสั่งเพิ่มเติม!” เสียงดังก้องอันทรงพลังดังขึ้น แม้จะไม่แสดงถึงอำนาจเทียบเท่ากับหัวหน้าใหญ่ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าปีศาจตนนี้ต้องอยู่ในระดับหัวหน้าหน่วยเป็นแน่

              พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ

              เสียงเหล่าลูกสมุนของมันรีบร้อนวิ่งมารวมตัวกันแล้วเรียงแถวเป็นแถวตอนลึกอย่างเป็นระเบียบเพื่อรอรับคำสั่งเพิ่มเติมจากหัวหน้าของมัน

              “ในเวลานี้พวกเจ้าคงหานายน้อยไปทั่วบริเวณหมู่บ้านแล้ว แต่ก็ไม่อาจพบ ข้าคิดว่าฐานลับของนายน้อยคงไม่ได้อยู่ภายในหมู่บ้านเป็นแน่ และจากคราก่อนที่นายน้อยหนีออกไป นายน้องกลับมาจากทางทิศเหนือของหมู่บ้าน มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ฐานลับของนายน้อยจะอยู่ทางทิศเหนือ ดังนั้นข้าจะแบ่งกำลังส่วนหนึ่งมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ส่วนพวกที่เหลือก็จัดการตรวจตราที่หมู่บ้านดังเดิม

               เง็น เจ้าพากองของเจ้าทั้งหมดมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปค้นหานายน้อยให้ทั่วบริเวณ” หลังจากกล่าวถึงการคาดการณ์ของตนให้ลูกสมุนของตนฟัง มันก็กวาดสายตาไปที่หัวหน้ากองของมันทีละคน จนเลือกได้หนึ่งกองตามที่มันต้องการ แล้วจึงออกคำสั่งกับคนที่มันหมายมาดไว้

               “รับคำสั่งครับท่านเคียวจิ” ชายผู้เป็นเจ้าของชื่อก็ขานรับอย่างทันท่วงทีโดยไม่ถามสิ่งใดกลับไป

               “ดีมาก แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนได้แล้ว!” หลังจากหมดธุระของตน มันก็สั่งการให้ลูกสมุนของมันแยกย้ายไปทำหน้าที่ในทันที ลูกสมุนของมันก็ไม่รอช้าออกวิ่งไปทำหน้าที่ของตนเช่นกัน

               ชายผู้มีนานว่า “เคียวจิ” มีร่างกายใหญ่โต ทั้งยังมีบาดแผลอยู่ทั่วลำตัว เป็นการบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของร่างกายนี้มีประสบการณ์การต่อสู้มากมายเพียงใด แต่มันกลับมีหน้าที่เพียงดูแลตรวจตราภายในหมู่บ้านเท่านั้น ทำให้มันไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำผลงานเพื่อให้หัวใหญ่พิจารณาหน้าที่ของมันใหม่อีกครั้ง

               นอกจากเสียงอึกกระทึกคึกโครมของเหล่าสมุนแล้ว ถัดไปจากหน้าหมู่บ้านที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกก็มีเด็กน้อย 4 คน นั่งซุ่มดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้าน และใบหนาทึบ เป็นกำบังอย่างดีที่ยากจะมองเห็น

               “เมื่อไหร่เราจะเริ่มแผนการกัน แร็กนาร์” ผู้ที่หมดความอดทนคนแรกจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮิโรกิเอ่ยขึ้น เมื่อเขาต้องรออยู่เช่นนี้มาเกือบชั่วยามแล้ว

               “ยัง...พวกเจ้าสร้างความวุ่นวายไว้ไม่น้อย เราต้องรอให้เหตุการณ์สงบก่อน” แร็กนาร์เอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอให้พวกเขาทั้งหมดได้ยิน

               “ทำไม่เล่า ยิ่งวุ่นวายยิ่งดีไม่ใช่หรือ เราจะลอบเข้าไปนะ” ฮิโรกิไม่ยอมแพ้ ยังเถียงอย่างดื้อดึงออกไป

               “ไม่ เจ้าลืมแผนของข้าแล้วหรืออย่างไร แผนนั้นยิ่งเหตุการณ์สงบเท่าใด มันยิ่งได้ผลมากเท่านั้น ต้องให้พวกเขาวางใจว่าคืนนี้จะไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้น” แร็กนาร์กล่าวตำหนิฮิโรกิด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะตนมีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่บ้างแล้ว เมื่อไม่อาจห้ามไม่ให้รูร์กัสตามมาได้ ฮิโรกิก็สัมผัสน้ำเสียงปนอารมณ์หงุดหงิดของแร็กนาร์ได้ จึงเลือกที่จะเงียบลงและไม่ตอบสิ่งใดกลับมาอีก

               .

               .

               .

               “เอาล่ะ...เริ่มได้แล้ว” เสียงแร็กนาร์เป็นสัญญาณให้พวกเขาทั้ง 4 กระโดดลงจากต้นไม้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตามที่ตกลงกันไว้

               ผังบ้านที่ได้มาจากฮิเดโอะ บ้านใหญ่ของกลุ่มยาฉะนั้นตั้งอยู่กลางหมูบ้านพอดี มีกำแพงสูงตระหง่านที่ปิดล้อมตัวบ้านอยู่  กำแพงนั้นมีทางออกถึง 4 ทาง โดยอยู่ตรงตามทิศต่างๆ 4 ทิศ และประตูที่มีเวรยามหละหลวมที่สุดคือประตูตะวันออก ซึ่งเป็นประตูที่หันออกมาตรงกับทางเข้าหมู่บ้านพอดี การที่ประตูด้านนี้มีเวรยามอย่างหละหลวมเพราะพวกมันวางใจว่าไม่มีผู้ใดบุกเข้ามาได้อย่างแน่แท้ ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลใจสำหรับพวกที่บุกเข้ามาทางด้านหน้าคงหนีไม่พ้นเหล่าเวรยามที่เฝ้าทางเข้าหมู่บ้าน แม้หมูบ้านจะมีกำแพงล้อมรอบไม่ต่างกัน แต่กำแพงหมู่บ้านกลับต่ำกว่ากำแพงที่ปิดล้อมบ้านใหญ่ ตัวกำแพงทำมาจากปูน แต่บ้านเรือนที่อยู่ภายในกลับทำจากไม้ดังเช่นเดียวกับบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่นในยุคเอโดะ

               เวรยามที่เฝ้าทางเข้าหมู่บ้านมีจำนวน  25 ตน หน้าที่ของฮิเดโอะกับฮิโรกิคือหลอกล่อพวกเวรยามทางเข้าหมู่บ้านให้หายไปให้ได้มากที่สุด เนื่องจากทางเข้าหมู่บ้าน และบ้านใหญ่ห่างกันมาก พวกมันต้องไม่ทันสังเกตเป็นแน่

               ฮิเดโอะกับฮิโรกิปรากฏตัวให้พวกเวรยามเห็นแล้ววิ่งหนีให้เร็วที่สุด เมื่อหนีพ้นระยะสายตาก็ดื่มยาล่องหนที่แร็กนาร์ปรุงขึ้นมา ยานี้ต้องใช้ทั้งภายนอกและภายใน นั่นคือทั้งดื่ม และอาบ แต่ถ้าอาบต้องมีน้ำหยดไหลเป็นทางให้พวกปีศาจเห็นเป็นแน่ แร็กนาร์จึงให้ทุกคนถอดรองเท้าออก แล้วนำผ้าผืนใหญ่คนละผืนชุบน้ำยาเตรียมไว้และบิดให้พอหมาดๆไม่ให้มีน้ำหยดออกมา เมื่อถึงเวลาก็ดื่มยาที่เหลือ แล้วนำผ้าออกมาคลุมตัวเอาไว้ การวิเคราะห์เพิ่มเติมของแร็กนาร์ที่จำลองลงในกระดาษดูเหมือนจะได้ผลอย่างดี

               เหล่าเวรยามที่เห็นนายน้อยทั้งสองของตนก็วิ่งตามอยากไม่ลังเล เพราะในเวลานี้ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่ชั่วยามดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า มันสงบเสียจนคลายความตึงเครียดลง ทำให้ไม่ทันระแวงระวังต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พวกมันต่างรีบร้อน ไม่ได้ตกลงกันก่อนก็ออกวิ่ง จึงไม่ทันได้ฟังเสียงร้องเตือนของพวกพ้องที่ยังคงมีสติอยู่ พวกมันคิดแต่ว่าหากจับนายน้อยได้ หัวหน้าเคียวจิต้องพอใจ และตบรางวัลให้มันอย่างงามเป็นแน่แท้

               จากปีศาจที่เฝ้าทางเข้าหมูบ้าน 25 ตน ขณะนี้เหลือเพียง 5 ตน เท่านั้น การคาดการณ์ของแร็กนาร์เกินความคาดหมายที่คิดไว้ แร็กนาร์คำนวณไว้ว่าเวรยามจะเหลือ 10 ตน แต่กลับหายไปมากเกินคาด...พวกโลภมากช่างมากมายยิ่งนัก

               แร็กนาร์กับรูร์กัสก็มองหน้ากันก่อนจะดื่มยาและนำผ้าออกมาคลุมร่างกายของตนไว้ และที่แร็กนาร์ลงทุนวิเคราะห์เพิ่ม เพราะมีหมายเหตุสั้นๆในหน้าหนังสือว่า ‘หากอยากหายไปอย่างสิ้นเชิง ต้องเปลือยเปล่าจึงได้ผลดีที่สุด’

               แร็กนาร์เข้าใจประโยคนั้นเป็นอย่างดี มันสื่อถึงว่า หากอาบฉาบไปกับเสื้อผ้าด้านนอกตามที่เขียนไว้ ก็จะมีบางส่วนไม่ทั่วถึง และถึงแม้ทั่วถึงก็ต้องใส่เสื้อผ้าเปียกชื้นเป็นเวลานาน ร่างกายของผู้ใช้นั้นอาจจะทรุดลงก่อนยาจะหมดฤทธิเป็นแน่ ยาล้วนมีประโยชน์และโทษ หากสัมผัสมากจนเกินไปจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

               ที่สำคัญ...หากเปลือยเปล่าแล้วยาหมดฤทธิ์ในเวลาที่ฉุกละหุก จะไม่กลายเป็นพวกวิตถารไปเลยหรือ?

               ในตอนแรกแร็กนาร์ลังเลที่จะให้เด็กทั้งสองสร้างความวุ่นวายเพิ่ม อาจทำให้คนเฝ้าน้อยลง แต่เมื่อคำนึงถึงผลลัพธ์ของยา ที่แม้แต่พวกเดียวกันก็มองไม่เห็น ทั้งหากสร้างความวุ่นวาย แล้วพวกปีศาจที่แข็งแกร่งไล่ตาม เพียงไม่นานพวกเขาที่เป็นเด็กต้องถูกจับได้โดยง่าย ยิ่งวุ่นวายคนก็ยิ่งมากพวกเก่งๆก็เข้ามาร่วมมากขึ้น พวกมันต้องสัมผัสถึงพวกเขาได้เป็นแน่ หากเขาคนเดียวคงเอาตัวรอดได้ แต่รูร์กัสคงรอดยาก เมื่อคิดได้เช่นนั้น แร็กนาร์จึงทำให้เรื่องนี้เงียบเชียบ และให้พวกมันตายใจที่สุด

               หลังจากที่แร็กนาร์หายไปจากสายตารูร์กัส พวกเขาก็ไม่มีเสียงพูดคุยใดอีก รูร์กัสยืนรอแร็กนาร์หลังต้นไม้ใหญ่ที่พวกตนเคยซ่อนอยู่ตามที่ตกลงเอาไว้ เขาจ้องมองไปที่ทหารยามทั้ง 5 ที่เหลืออยู่ ก่อนที่ไม่กี่อึกใจต่อมา พวกมันก็เริ่มหน้าแดง บางตนล้มพับลง บางตนเพ้อรำพันดังเช่นคนที่เสพสุราจนเมามายขาดสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง

               สิ่งที่รูร์กัสเห็นนั้นเกิดจากที่แร็กนาร์เดินอย่างแผ่วเบาตาบแบบของนักฆ่า เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าใบเดิมที่เคยสะพายเอาไว้ของตน ในนั้นไม่ต่างจากเดิมนัก ยังคงมียาและของที่จำเป็นต้องใช้ใส่อยู่มากมาย แร็กนาร์หยิบห่อผ้าสีขาวที่ภายในมีผงละเอียดสีขาวเช่นเดียวกับผืนผ้าถูกห่ออยู่ภายใน เมื่อได้ระยะที่ใกล้พอแร็กนาร์ก็โปรยผงเหล่านั้นไปที่ทหารยามทั้ง 5 จนพวกมันเริ่มมึนงง และเมามายดังภาพที่รูร์กัสเห็น ยานี้แม้ดูไร้ประโยชน์ แต่หากใช้ให้ถูกต้องก็จะพบประโยชน์สูงสุดของมันเอง

               เมื่อยาออกฤทธิ์ตามที่คิดเอาไว้ แร็กนาร์ก็เดินกลับมาแตะเบาๆที่ตัวของรูร์กัส  แร็กนาร์นั้นแม้ตาจะมองไม่เห็นก็รับรู้ถึงตัวตนของคนอื่นๆได้ด้วยประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่

               รูร์กัสรีบคว้ามือของแร็กนาร์ในทันที สองพี่น้องไร้เสียงพูดคุย ทำเพียงเดินผ่านเวรยามที่เมามายไปที่ประตูทางเข้าอย่างไม่รีบร้อน...ในครั้งนี้แร็กนาร์ไม่คิดจะฆ่าใคร เขาจึงต้องไตร่ตรองวางแผนให้รอบครอบกว่าที่เคยเป็น เพราะเมื่อการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างสังหารคนที่จับพวกเขาได้นั้นต้องลบทิ้งไปอย่างเสียไม่ได้  ตามคำขอของเด็กน้อยปีศาจทั้งสอง

               ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงทางเข้าบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะทางฝั่งประตูทิศตะวันออก แร็กนาร์เดินไปหลังพุ่มไม้ที่เด็กปีศาจทั้งสองบอก และตกลงกันไว้ให้เป็นจุดนัดพบในครั้งนี้ทันที

               เพียงไม่นานเสียงฝีเท้า และเสียงแหวกพุ่มไม้เบาๆก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าเด็กปีศาจทั้งสองมาถึงที่หมายแล้ว แร็กนาร์จึงยื่นมาไปสัมผัสเบาๆที่ไหล่ของหนึ่งในนั้น พวกนั้นก็รู้กันเพราะจับมือกันอยู่ เพียงกระตุกเบาๆอีกฝ่ายก็เข้าใจแล้ว  หลังจากรวมตัวกันครบพวกเขาก็เริ่มแผนการอีกครั้ง

               แร็กนาร์ทำเช่นเดิมอีกดังเช่นเมื่อครั้งที่ทำกับเวรยามเฝ้าทางเข้าหมู่บ้าน แต่คราวนี้แร็กนาร์ไม่ได้กลับมาหา เขาเพียงยืนรอให้คนที่เหลือเดินตามออกมาเมื่อเห็นพวกเวรยามสิ้นฤทธิ์  แล้วพวกเขาทั้ง  4 ก็เดินเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย  จนฮิเดโอะอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เขาหาทางหลบหนีอยู่นานกว่าจะคิดแผนต่างๆได้  แม้จะมีผังบ้าน และพวกเขาเองก็อาศัยมาตั้งแต่เกิด แต่แร็กนาร์กลับใช้เวลาวางแผนเพียงชั่วอึดใจ และยังลอบเข้ามาอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ช่างเป็นคนที่สุดยอดเสียจริง

               เมื่อเข้ามาได้พวกเขาทั้ง 4 ก็จับมือกันเอาไว้โดยมีฮิเดโอะเป็นผู้นำทาง ตามด้วยแร็กนาร์ รูร์กัส และปิดท้ายด้วยฮิโรกิ ที่ให้ฮิเดโอะนำทางเพราะที่นี่ไม่ใช่ป่า การเดาสุ่มตามสัญชาติญาณอย่างไร้แบบแผนของฮิโรกิจึงใช้ประโยชน์ไม่ได้ ต้องให้ฮิเดโอะเป็นผู้พาเดินเลี่ยงเวรยามเท่านั้น

               เพียงไม่นานพวกเข้าก็เลี้ยวพ้นหัวมุมทางเดินที่เลี้ยวไปยังห้องของหัวหน้าใหญ่กลุ่มยาฉะ ภาพตรงหน้าทำให้พวกเขาหยุดชะงัก เดินกลับไปหลบตรงหัวมุมเพื่อสังเกตการณ์อีกครั้ง

               เคียวจินั่งเป็นยักษ์ปักหลักขวางประตูเลื่อนบานใหญ่แบบญี่ปุ่นอยู่อย่างไม่ขยับเขยื้อน มันไม่ได้หลับแต่กลับจ้องมองโถงทางเดินตรงหน้าอย่างไม่วางตา

               แร็กนาร์กระตุกมือเบาๆทั้งสองข้าง พวกเขารู้ดีว่าแร็กนาร์ต้องการให้พวกเขารออย่างเงียบๆ แร็กนาร์จะเป็นผู้จัดการปัญหาที่เป็นอยู่นี้เอง ปัญหานี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของแร็กนาร์ เพราะหัวหน้าล้มป่วย แม้ในเวลาปกติจะไม่มีคนเฝ้า แต่หากเป็นช่วงวุ่นวายเช่นนี้ คงไม่มีใครอยู่เฉย ปล่อยให้หัวหน้าของตนนอนรอความตายอยู่อย่างเงียบๆเป็นแน่

               อุปสรรคตรงหน้าเป็นถึงหัวหน้าหน่าย แร็กนาร์จึงทำให้ตนตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งปรับลมหายใจ และเสียงย่ำเท้าให้เบาลงไปอีก

               มือหนึ่งกำผงยาที่มีฤทธิ์ทำให้เมา อีกมือหนึ่งเตรียมมีดผ่าตัดขนาดเล็กที่ตามแข็งที่สุดที่เขามีออกมา เมื่อได้ระยะที่ต้องการ  แม้จะเข้าใกล้เท่าพวกลูกสมุนของมันไม่ได้แต่ก็เป็นระยะที่เพียงพอจะให้ผงสีขาวนั้นโดนจมูกของเคียวจิ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังนั่งเฉย ไม่มีอาการมึนเมาอย่างพวกก่อนๆ

               เป็นไปดังคาด แม้จะไม่ได้ออกฤทธิ์ถึงขั้นเมามาย แต่เคียวจิก็สัมผัสถึงความมึนงงเล็กน้อย พอที่จะให้แร็กนาร์เข้าประชิดตัวได้มากขึ้น แร็กนาร์ไม่กังวลเรื่องเด็กทั้งสามที่ดูอยู่ เพราะอย่างไรพวกเขาคนไม่เห็นเป็นแน่ ดังนั้นจึงเร่งลงมืออย่างเฉียบขาด  เคียวจิที่รับรู้ถึงแร็กนาร์ได้ในระยะประชิดพยายามจะปิดมือไปที่แร็กนาร์ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว  แร็กนาร์ใช้ด้ามของมีดผ่าตัดกระแทกไปที่เส้นสัมผัสของสติสัมปชัญญะที่บริเวณท้ายทอยอย่างรุนแรง

               บริเวณท้ายทอยนั้นมีเส้นของประสาทสัมผัสอยู่มากมาย การใช้ด้ามมีดกระแทกลงไปก็ไม่ต่างจากกันใช้สันมือฟันมากนัก เพียงแต่จะหนักหน่วง และแม่นยำกว่า

               ในตอนที่แร็กนาร์รักษาเด็กปีศาจทั้งสองจึงพบว่าร่างกายของปีศาจไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก เพียง แข็งแรง และทนทานมากกว่าเท่านั้น  การใช้สันมือฟันจึงไม่มีผลอย่างที่เคยเป็นแน่ จึงใช้ด้ามมีดกระแทกลงไปแทน

               เคียวจิคว้าได้แต่ลมที่ด้านหลังมือเขาเฉียดร่างของแร็กนาร์ไปเล็กน้อยก่อนที่จะล้มลงหมดสติไปในที่สุด พวกรูร์กัสเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง ที่พวกเขาสังเกตเห็นมีเพียงแสงแวววับของอาวุธบางอย่างที่แร็กนาร์ใช้เท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด

               ครืด

               แร็กนาร์เลื่อนประตูออกเป็นสัญญาณให้พวกเด็กทั้งสามเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเข้าไปจนครบแร็กนาร์ก็นำร่างของเคียวจิมานั่งพิงประตูไว้ดังเดิม เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตุ

               พวกเขาต่างไปนั่งห่างร่างของคนเจ็บเล็กน้อย เพื่อเปิดทางให้แร็กนาร์ได้เข้าไปตรวจ  แร็กนาร์วางผ้าคลุมลงจากร่างกาย ตอนนี้พวกเขาจึงเห็นเป็นเสื้อผ้าขยับไปมาไม่ต่างจากถูกภูตผีปีศาจหลอกมากนัก พวกเขานั่งเงียบๆรอแร็กนาร์ตรวจหัวหน้ากลุ่มยาฉะเท่านั้น

               แร็กนาร์ใช้ไฟฉายเล็กๆที่พบในห้องลับส่องไปที่ดวงตา  แต่สิ่งที่คนอื่นเห็นก็คือดวงตาของหัวหน้ากลุ่มยาฉะเลิกออก และไฟฉายก็ลอยขึ้นมาก่อนส่องสว่างไปที่ดวงตา ช่างเป็นภาพที่น่าฉงน หากพวกเขาไม่รู้ว่านั่นคือแร็กนาร์ ในยามนี้คงคิดว่ามีภูตผีมาหลอกหลอนไปแล้ว จึงได้แต่กลืนน้ำลายข่มความรู้สึกที่ตีกันไปมานี้เอาไว้ ทั้งความกลัว ความตกตะลึง  ความสงสัยใคร่รู้ และความขำขันในการตรวจที่แปลกประหลาดของแร็กนาร์ ทั้งเปิดเปลือกตา ทั้งบีบและสำรวจโพรงจมูก รวมทั้งทั้งเปิดปากของคนป่วย ช่างเป็นการกระทำที่อุกอาจพาให้พวกเขาขำขันไปกับสีหน้าบิดเบียวตามการตรวจของแร็กนาร์นี้เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ได้แต่เก็บไว้เพียงเงียบๆเพื่อไม่ให้รบกวนแร็กนาร์เท่านั้น

               “มีคนมา...ไปยืนติดผนังฝั่งซ้ายของประตู” แร็กนาร์หยุดชะงักการตรวจด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อพบข้อสงสัยบางอย่างภายในร่าง ซึ่งมันยังไม่แน่ชัดมากนัก ต้องตรวจเพิ่มเติมอีกเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนสงสัย แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงฝีเท้าของปีศาจหนึ่งตนที่กำลังเดินตรงมาที่ห้องนี้

               เสียงฝีเท้านั้นไม่ได้ผ่านเลยไป แต่กลับหยุดชะงักไว้ที่หน้าประตูห้อง แร็กนาร์ที่ตอนนี้ได้นำผ้ามาคลุมตัวเช่นเดิม พร้อมเดินไปอยู่ข้างผนังตามที่สั่งพวกเด็กๆรู้สึกทั้งหงุดหงิด ทั้งกังวล คนที่เดินตรงมานั้น เสียงฝีเท้าเบาบางเป็นการบอกได้อย่างดีว่าคนๆนี้มีฝีมือไม่น้อย อาจจะเก่งกาจเหนือกว่าเคียวจิที่เขาใช้กลโกงล้มลงไปก่อนหน้านี้เสียอีก

               แม้จะอยู่ในการคาดการณ์ของแร็กนาร์ แต่เขากลับอดที่จะกังวลไม่ได้  จากการบอกเล่าของเด็กปีศาจจึงรู้ว่าหัวหน้าหน่วยที่เก่งกล้าถูกส่งไปที่ชายแดน และมีบางส่วนกลับบ้านของตน และส่งมาเพียงลูกน้องเท่านั้น ไม่ได้มาด้วยตนเอง จึงไม่ได้คิดแผนสำรองสำหรับคนที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ฝีเท้าที่เบาจนแทบไร้เสียงนี้ ไม่ต่างจากเขาในตอนที่อยู่ในร่างเดิมเลย...เจออุปสรรคชิ้นใหญ่เสียแล้ว

               ‘บ้าเอ้ย!  ตรวจพบเรื่องผิดปกติแล้วแท้ๆ   แต่ยังยืนยันไม่ได้  แล้วไอ้ที่โผล่มาอีก  ถ้าเก่งระดับเราในร่างเดิม แล้วยังเป็นปีศาจที่มีพลังสุดยอดนี่อีก...เราต้องสู้ไม่ไหวแน่ คิดสิ คิด คิด ใจเย็นๆแล้วคิดแผนซะ S.P.’

 
               แร็กนาร์วิตกกังวลในคราแรกแต่ก็พยายามใจเย็นรอฟังความเคลื่อนไหวของผู้มาเยือนที่เก่งกาจผู้นี้ แล้วเริ่มจำลองวางแผนเอาตัวรอดในนาทีวิกฤตนี้อีกครั้ง

               “ท่านเคียวจิ...เกิดสิ่งใดขึ้น” เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นเคียวจินั่งหมดสติอยู่ที่หน้าประตู

               ครืดดดด!!

               “ท่านหัวหน้า!!” เสียงเปิดประตู และเสียงตะโกนที่ดังขึ้นพาให้หัวใจของเด็กทั้ง 4  แทบหยุดเต้น

 



To Be Continued...


__________________________________________________________________

 
มาต่อแล้ววววว  ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ 
เราจะขยันๆแต่งต่อไป
ฝากตัวอีกครั้ง  และขอบคุณที่รออ่านค่าาาาา
สามารถพูดคุย และทวงนิยายได้ที่>>>  https://www.facebook.com/greenheadzoro/


 :m1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 8 ลอบเข้าบ้านใหญ่ (31/08/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 01-09-2016 21:05:56
เราจำได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้จากเด็กดี อ่านแล้วชอบมาก สนุกสุดๆเลย
พอเห็นว่ามาลงเล้านี่คือ อ่านใหม่อีกรอบเลยค่า มาต่ออีกไวๆน้า รออ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 9 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 09-09-2016 16:07:15

ตอนที่ 9
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

          ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที

          “ใครอย่างนั้นหรือแร็กนาร์ พี่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”   รูร์กัสเอ่ยถามขึ้นอย่างแผ่วเบาหลังจากที่ทั้ง 4 คน เดินเข้าไปชิดผนังข้างประตูตามที่แร็กนาร์สั่ง   เขาเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงสิ่งใดเลย   และอาจจะเป็นเพราะเสียงฝีเท้านั้นเบามาก   อีกทั้งยังไม่พ้นหัวมุมทางเดินที่หักเลี้ยวมาทางห้องนี้ด้วยซ้ำ  ทำให้ไม่มีใครได้ยินนอกจากแร็กนาร์

          “ใช่    ข้าก็ไม่ได้ยิน”   ฮิโรกิกล่าวเสริม  เมื่อลองเงี่ยหูฟังบ้างก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆเช่นกัน แม้เขาจะเป็นปีศาจที่ประสาทการรับรู้ดีกว่ารูร์กัสที่เป็นมนุษย์ก็ตาม

          “มีแน่...เงียบก่อน  และถ้าหากคนผู้นี้มีท่าทีว่าจะเปิดประตูเข้ามาด้านใน  ให้พวกเจ้ากลั้นหายใจทันที”  แร็กนาร์สั่งออกมาอีกอย่างแผ่วเบา   และเร่งรีบ   เมื่อเสียงฝีเท้านั้นเริ่มใกล้เข้ามา   ผ่านหัวมุมหักเลี้ยว แล้วตรงมายังห้องนี้

          “เหตุใดต้องกลั้นหายใจด้วยเล่า”  ฮิโรกิถามขึ้นอีกครั้ง  เมื่อไม่เข้าใจในคำสั่งนี้ของแร็กนาร์

          “เจ้านั่นเก่งมาก...แม้แต่ลมหายใจก็อาจจะสัมผัสได้  แม้ยานี้จะช่วยซ่อนร่าง  และกลิ่นของเรา  แต่เสียงนั้นปิดบังไม่ได้...อยู่นิ่งแล้วเงียบได้แล้ว”  แร็กนาร์อธิบายสั้นๆง่ายๆ  แล้วรีบสั่งให้ฮิโรกิเงียบ  เมื่อเสียงฝีเท้ามาหยุดที่หน้าประตู  ตอนนี้หมดเวลาพูดคุย ได้ได้ภาวนาเท่านั้น

          “ท่านเคียวจิ...เกิดสิ่งใดขึ้น” เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นเคียวจินั่งหมดสติอยู่ที่หน้าประตู

          ครืดดดด!!

          “ท่านหัวหน้า!!” เสียงเปิดประตู และเสียงตะโกนที่ดังขึ้นพาให้หัวใจของเด็กทั้ง 4  แทบหยุดเต้น

          ซาดาโอะที่ปรึกษาประจำกลุ่มยาฉะ   ร้องตะโกนออกมาด้วยความเป็นกังวล  และห่วงว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในห้อง  เมื่อพบว่าหัวหน้าของตนยังนอนอยู่บนฟูกเช่นเดิม  ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป   ซาดาโอะก็กวาดสายตาไปรอบห้อง ทีละส่วน ๆ อย่างใจเย็น เมื่อความปกตินี้  ตั้งอยู่บนความไม่ปกติใดๆ

          ตึ้ง  ตึ้ง ตึ้ง

          เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของปีศาจหลายตน  กำลังมุ่งตรงมายังห้องนี้อีกครั้ง แร็กนาร์ยิ้มน้อยๆเมื่อดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเขาเสียแล้ว เสียงฝีเท้านั้น ทั้งดัง  ทั้งหนัก เป็นการบ่งบอกได้อย่างดีว่า พวกที่กำลังมุ่งตรงมานั้นกำลังกระวนกระวายใจ จึงต้องเร่งรีบมาแจ้งคนสำคัญของกลุ่ม  อีกทั้งพวกมันยังเป็นแค่ลูกสมุนเล็กๆเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดหน้ากลัวเลย

          “ท่านซาดาโอะขอรับ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ...ขณะนี้พวกเวรยามที่เฝ้าประตูตะวันออก รายงานว่าพบนายน้อย แต่เมื่อตามไปกลับไม่พบสิ่งใด และพอกลับมาก็พบพวกที่ไม่ได้ออกไปไล่ตามนายน้อย แต่เฝ้าประตูเอาไว้เกิดอาการมึนเมา  ขาดสติ   รวมทั้งพวกเวรยามที่เฝ้าประตูทางเข้าบ้านใหญ่ด้านทิศตะวันออกด้วยขอรับ มีอาการไม่ต่างกัน” เวรยาม 5 นาย  เดินมาหยุดตรงหน้าของซาดาโอะด้วยความรีบร้อน  ก่อนก้มหัวลงเพื่อเป็นการทำความเคารพ แล้วเริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้ซาดาโอะ  ซึ่งเป็นคนออกคำสั่งแทนหัวหน้าใหญ่ในขณะนี้ทราบทันที

           เมื่อได้ฟังจนจบ  ซาดาโอะก็เริ่งลังเล แต่พอกวาดสายตาดูในห้องอีกครั้งก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ  จึงตัดสินใจที่จะเลิกสงสัย แล้วไปสนใจแก้ไขปัญหาที่นายน้อยของตนกำลังก่อขึ้นแทน

           แร็กนาร์เองก็ได้แต่ไล่ซาดาโอะในใจ   ด่าอย่างหยาบคาย  ทั้งยังสาปแช่ง  เพราะรูร์กัสเริ่มจะทนไม่ไหว ขณะนี้รูร์กัสกำมือของแร็กนาร์แน่น เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา  กลั้นหายไจได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น   แร็กนาร์ไม่โทษสิ่งใดรูร์กัส ไม่มองว่าเป็นภาระ  เพราะสถิติสูงสุดในการกลั้นหายใจของมนุษย์นั้นคือ  22.22 นาทีแม้จะยาวนาน แต่นั้นเป็นสถิติระดับโลกของคนที่ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น ส่วนคนปกติจะกลั้นหายใจได้นานที่สุดเพียง 3-5 นาที และแร็กนาร์เองก็กลั้นหายใจได้ยาวนานที่สุดเพียง 9.13 นาที  ไม่อาจทำได้เท่ากับคนที่คลุกคลีอยู่กับน้ำแบบนั้น

           “หึ เพียงแค่ท่านหัวหน้าใหญ่ล้มป่วย ก็ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างนั้นรึ พวกเจ้าช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง  เจ้านำข้าไป ส่วนพวกเจ้าที่เหลืออยู่เฝ้าห้องของท่านหัวหน้า...อ่า  รวมทั้งทำให้ท่านเคียวจิฟื้นคืนสติด้วย” ซาดาโอะชี้ไปยังลูกสมุนหนึ่งในนั้นให้นำทางตนไป ก่อนจะสั่งให้พวกที่เหลืออยู่เฝ้าห้องๆนี้

           “รับทราบครับ”  พวกมันตอบรับคำสั่งอย่างไม่อิดออด ก่อนลูกสมุนคนที่ถูกเลือกจะผายมือกล่าวเชิญให้ซาดาโอะตามตนไป

           “หายใจได้” แร็กนาร์สั่งด้วยเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงแค่พวกเขา เมื่อซาดาโอะเดินออกไปในระยะที่ปลอดภัย

           ตอนนี้เด็กน้อยทั้ง 4 ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อกัน ทำเพียงกอบอากาศหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆและไม่เร่งรีบมาก  เพราะหากหอบหายใจอย่างที่ใจอยาก  แม้จะเป็นเพียงลูกสมุนเล็กๆก็อาจจะได้ยินสียงของพวกเขาได้

           “อืม...เรามาช่วยกันคิดก่อนเถอะ ว่าจะทำเช่นไรให้ท่านเคียวจิฟื้น หากท่านซาดาโอะกลับมาแล้วท่านเคียวจิยังไม่ฟื้น พวกเราต้องโดนลงโทษเป็นแน่” หนึ่งในลูกสมุนสี่คนกล่าวขึ้น เมื่อยืนส่งซาดาโอะจนลับสายตาไป พวกมันลืมกระทั่งปิดประตูห้อง เพราะมัวแต่สนใจคำสั่งที่สอง  อย่างเรื่องทำให้เคียวจิฟื้น...สมองของพวกมันคงจะความจำสั้นจริงๆ ช่างเข้าทางพวกเด็กๆเสียนี่กระไร

           “อืม...ลองตบหน้าดีหรือไม่” หนึ่งในนั้นเสนอความเห็นขึ้น ใช่แล้วตอนนี้พวกมันทั้งสี่ มัวแต่สนใจคำสั่งท่อนสุดท้ายของซาดาโอะ จนลืมสิ่งรอบข้างอย่างหมดสิ้น เมื่อคนหนึ่งชักนำ พวกที่เหลือก็ไหลตามอย่างง่ายดาย

           “ไม่ๆ  หากท่านเคียวจิฟื้น พวกเราโดนเชือดทิ้งแน่ หากทำเช่นนั้น”

           “แล้วจะให้ทำเช่นไรเล่า”

           “อ๊ะ  ข้ารู้แล้วๆ  ตักน้ำมาราดดีหรือไม่  แม้จะเปียกแต่ก็ไม่เจ็บตัว”

           “ดีๆข้าเห็นด้วย”

           “ถ้าเช่นนั้น เจ้าเสนอ   เจ้าก็ไปตักน้ำมา”

           “อ้าว ทำไมตัดสินใจเช่นนั้นเล่า ข้าเป็นคนคิด  เหตุใดต้องลงแรงด้วย”

           “ก็...”

           “หยุดๆอย่างเถียงกัน เดี๋ยวข้าไปเอง”

           “เออๆ รีบไปรีบกลับมาล่ะ  หากท่านซาดาโอะกลับมา  แล้วเรายังทำไม่สำเร็จต้องถูกลงโทษเป็นแน่”

           “ได้ๆข้าจะรีบไปรีบกลับ”

           เสียงสนทนาถกเถียงกันของลูกสมุนทั้ง 4  คน ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง   คนด้านในอย่างเด็กน้อยทั้ง 4 คน  ก็เริ่มผ่อนคลายเมื่อรับรู้ว่าพวกมันไม่ได้คิดที่จะเข้ามาภายในห้อง  และลืมกระทั่งปิดประตูเสียหมดสิ้น

           พวกลูกสมุนที่เหลืออยู่ 3  คน ช่วยกันพยุงร่างที่สลบไสลของเคียวจิออกจากหน้าประตูที่ร่างนั้นนั่งขวางอยู่ ก่อนที่พวกมันจะมุ่งความสนใจไปที่อาการของเคียวจิ  ไม่ได้มาสนใจที่ประตูทางเข้าอีก

           แร็กนาร์อยากรีบออกไปจากห้องนี้ แต่เขาก็ยังลังเล เพราะยังตรวจร่างกายของผู้นำกลุ่มยาฉะไม่เรียบร้อย ยังมีข้อสงสัย และสิ่งที่ต้องทำอยู่ แม้เขาจะทิ้งการรักษาชีวิตคน หันไปสังหารทำลายชีวิตผู้คนแทน  แต่ด้วยจิตสำนึกของหมอที่เขามี   เมื่อเริ่มรักษาใครแล้วก็จะทำให้เต็มที่ที่สุด  ต้องช่วยคนๆนั้นให้รอดชีวิตให้จงได้

           “ฮิเดะ ยื่นมือมา” แร็กนาร์สั่งให้ฮิเดโอะซึ่งนั่งอยู่ถัดจากรูร์กัสเล็กน้อยยื่นมือมาหาตน  เมื่อตัดสินใจบางอย่างได้

           ฮิเดโอะเองก็ไม่อิดออดยื่นมือออกไปทันที   เพราะเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดีว่าต้องเร่งรีบมากขนาดไหน แร็กนาร์ใช้มือของตนสัมผัสฮิเดโอะ ก่อนจะใช้อีกมือหยิบห่อผ้าเล็กๆสีขาวออกมาวางไว้บนมือของฮิเดโอะ  ที่แร็กนาร์เลือกฮิเดโอะ เพราะเขาเชื่อว่าฮิเดโอะต้องพาพวกที่เหลือหลบหนีออกไปโดยไม่มีใครจับได้เป็นแน่

           “นี่คือผงมึนเมาที่ข้าใช้กับเวรยาม เจ้าเพียงโปรยมันออกไปใส่พวกนั้นในระยะประชิด มันก็จะออกฤทธิ์ในเวลาไม่กี่อึดใจ...เจ้าช่วยพาพี่รูร์กัส  กับฮิโรกิออกไปก่อน แล้วข้าจะตามไปหลังจากตรวจพ่อของเจ้าเสร็จ...ฝากเจ้าด้วย”  น้ำเสียงนั้นแน่วแน่ และเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในตัวของฮิเดโอะแร็กนาร์เชื่อในความสามารถของเด็กตัวเล็กๆตนนี้

           “แต่แร็กนาร์  พี่ว่า...” รูร์กัสรีบห้ามปราม เมื่อแร็กนาร์กำลังตัดสินใจทำในสิ่งที่อันตราย

           “ไม่พี่รูร์กัส...ข้ารู้ว่าพี่รู้ว่าข้าแปลกไป...ได้โปรดเชื่อใจข้าแล้วตามฮิเดะออกไปก่อน...ข้าจะตามไปอย่างแน่นอน” แร็กนาร์ขัดขึ้นทันที  แม้ไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์นี้เช่นไร แต่แร็กนาร์ก็ขอให้รูร์กัสเชื่อใจตนเท่านั้น  เขาต้องเร่งรีบเพราะหากพวกมันเริ่มหันกลับมาสนใจห้องๆนี้ แล้วปิดประตูลง แม้พวกเข้าจะล่องหนอยู่ แต่หากเป็นเสียงเปิดประตู   หรืออยู่ดีๆประตูก็เปิดออก พวกมันต้องสงสัยเป็นแน่ ทั้งหากลูกสมุนที่ไปตักน้ำกลับมาเห็นพวกที่เหลืออยู่ไม่ได้สติ  ก็คงไปเรียกพรรคพวกมาเพิ่ม จะยิ่งเกิดเรื่องวุ่นวายเข้าไปอีก

           “ไปเถอะ”  ฮิเดโอะที่เข้าใจสถานการณ์ดี จึงเร่งให้รูร์กัส  กับฮิโรกิออกไปกับตน ฮิเดโอะรู้ดีว่าแร็กนาร์นั้นให้ความสำคัญกับผู้ป่วยของตนมากแต่ไหน แม้จะใจแข็ง   และชอบปฏิเสธ แต่เมื่อรับปากสิ่งใดไว้ ก็จะทำตามนั้นอย่างดีที่สุด แร็กนาร์รับผิดชอบชีวิตพ่อของเขา ส่วนเขารับผิดชอบชีวิตของรูร์กัส  และฮิโรกิ นั่นคือเจตนารมณ์จริงๆที่แร็กนาร์มอบให้

           ฮิเดโอะ   รูร์กัส และฮิโรกิ จับมือกันโดยมีฮิเดโอะเดินนำออกไปทางประตูด้านหน้า   พอเดินพ้นประตูออกมา ก็เห็นพวกลูกสมุนก้มๆเงยๆตรวจอาการของเคียวจิอยู่ที่ด้านข้างของประตู  ฮิเดโอะจึงใช้มือที่ว่างอยู่ ล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อด้านข้าง ที่บัดนี้มีห่อผ้าสีขาวใส่อยู่   เขาคลายผ้าออกเล็กน้อย   ก่อนจะกอบกำผงสีขาวขึ้นมา เดินอีกนิดให้ใกล้ลูกสมุนกลุ่มนั้น ก่อนจะโปรยผงสีขาวออกไป  รอไม่นานพวกมันก็เคลิบเคลิ้มดังเวรยามคนอื่นๆที่พวกมันเห็นเมื่อครั้งที่พวกมันเข้ามา

            แร็กนาร์เองก็เริ่มขยับตัว  เมื่อมั่นใจว่าพวกเด็กๆเดินผ่านบริเวณหน้าประตูไปแล้ว  แร็กนาร์เดินไปปิดประตูลงอีกครั้ง  เพราะเขาไม่อยากถูกรบกวน  และถึงแม้ว่าจะมีใครเข้ามา เขาก็สามารถเอาตัวรอดออกไปได้อยู่ดี  เมื่อจัดการสถานการณ์ทั้งหมดเรียบร้อย แร็กนาร์ก็เดินเข้าไปตรวจอาการของ ยาฉะ เบียกโกะ  หัวหน้ากลุ่มยาฉะอีกครั้ง

            แร็กนาร์นั่งลงข้างๆร่างของผู้ป่วยของตนตอนนี้ ก่อนจะโน้มตัวขึ้น  ใช้มือกดไปที่ร่างกายนั้น กดไล่ตั้งแต่ลำคอ  หลอดอาหาร  กระเพาะอาหาร  และลำไส้เล็ก  ก่อนจะหยุดลงที่สะดือ 

            ในแต่ละครั้งที่นิ้วของเขากดลงไปจะเกิดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นๆ  โดยเฉพาะบริเวณสะดือ ที่เป็นศูนย์กลางของลำไส้  แร็กนาร์นั่งนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้  จึงใช้มือกดลงไปที่ร่างกายบริเวณของปอด และหัวใจ ความรู้สึกที่ได้รับนั้นบางเบา ใช่แล้วแม้ร่างกายจะกระตุกเกร็งในบางครั้ง แต่เมื่อสัมผัสดีๆจะรู้ได้ว่า  พวกมันทำงานช้าลง และในไม่นานพวกมันต้องหยุดทำงานเป็นแน่

            แร็กนาร์นำกระเป๋าสะพวกบนหลังมาเปิดออก แล้วล้วงหยิบหลอดแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำสีดำขึ้นมา เขาเตรียมของที่จำเป็น และคาดว่าต้องใช้ พวกนี้มาก่อนที่จะออกจากบ้าน  แร็กนาร์มองมันอย่างชั่งใจ  ตอนนี้เขาไม่รู้วิธีรักษา ยังต้องตรวจให้ละเอียดกว่านี้  ทั้งยังพิษที่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้อวัยวะภายในค่อยๆหยุดทำงานนั้น ต้องรู้ส่วนผสมของพิษจึงจะแก้พิษได้  ตอนนี้หากอยากยื้อชีวิตของหัวหน้ากลุ่มยาฉะนี้ไว้มีแต่ต้องใช้พิษต้านพิษเท่านั้น

            แร็กนาร์เลือกที่จะใช้พิษที่ตนปรุงขึ้นตามตำราที่พบในห้องลับห้องนั้น  พิษชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายผ่านกระแสเลือด  และไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายให้ทำงานเร็วขึ้น   หากคนปกติถูกพิษชนิดนี้  ต้องเจ็บปวด  จนแทบละเบิดออกมาเลยทีเดียว  แต่หากคนที่อวัยวะภายในแทบจะตายไปแล้วนั้น  มันคงไม่ต่างจากยากระตุ้นมากนัก แม้จะไม่รู้ว่าจะได้ผลนานเท่าใด  แต่ก็ทำเพียงยื้อชีวิต  เพื่อรอเขาปรุงยาแก้เท่านี่เป็นทางเดียวที่จะประวิงเวลาออกไปได้

            แร็กนาร์หยิบเข็มฉีดยาออกจากระเป๋า 2  หลอด  แม้มันจะไม่ใหม่อะไร  เพราะถูกใช้ในการทดลองปรุงยาก่อนหน้านี้ แต่แร็กนาร์ก็ทำความสะอาดมันอย่างดี  ใช้อย่างทะนุถนอม  เพราะทั้งบ้าน มีอยู่เพียง 2 อันเท่านั้น เข็มฉีดยานี้ใหญ่เกินมาตรฐานเล็กน้อย คงเพราะการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร หรือเข็มนี้เป็นเข็มรุ่นเก่าเท่านั้นก็เป็นไปได้ แร็กนาร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องใช้เข็มที่ไม่ยืนยันความปลอดภัยแบบนี้กับร่างกายของมนุษย์ เพราะเข้าใช้มันกับสัตว์ที่จับมาได้เท่านั้น...

            ‘ไม่สิ ไอ้นี่มันก็เสือไม่ใช่เราะ  ใช่แล้ว ปีศาจเสือ ก็ไม่ต่างจากเสือหรอก เราไม่ผิดๆก็มันมีให้ใช้แค่นี้นี่นา’

            แร็กนาร์หาเหตุผลให้ตนเองได้ก็เร่งรักษาต่อ เขาจัดแจงดึงเชือกเส้นเล็กออกมาจากกระเป๋า แล้วมัดมันไว้ที่เหนือข้อพับของแขนของผู้ป่วยข้างตัว จากนั้นก็บรรจงทาบเข็มลงกับผิวเนื้อกดปลายเข็มเอียงลงเพื่อมุ่งตรงไปยังเส้นเลือด แล้วดันเข้าไปช้าๆ  เมื่อถึงตำแหน่งที่ต้องการก็ดึงสลิ้งของเข็มขึ้น เลือดสีแดงก็ค่อยๆไหลเข้าสู่เข็มฉีดยา จนเต็มหลอด จากนั้นแร็กนาร์ก็ค่อยๆดึงเข็มออก นำสมุนไพรห้ามเลือดมากดทับลอยเข็มไว้ แล้วนำเข็มนั้นใส่กล่องไม้ที่เตรียมเอาไว้ในกระเป๋า

            เมื่อจัดการเก็บเลือดแล้ว ก็ถึงขั้นตอนต่อไป แร็กนาร์นำเข็มอีกอันขึ้นมา พร้อมกับหลอดบรรจุยาพิษสีดำ จากนั้นก็นำเข็มทิ่มลงไปยังหลอดของยาพิษ  ดึงสลิ้งอีกครั้งยาพิษสีดำก็ค่อยๆไหลเข้ามา แร็กนาร์หยุดมือเมื่อได้เพียงครึ่งหลอด หากใช้มากกว่านี้ เขากลัวว่าร่างกายของผู้ป่วยจะทนไม่ไหว เขาทำเช่นเดิมวางเข็มลงบนผิวเนื้อข้างรอยเดิมแล้วดันเข็มเข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ดึงขึ้น แต่เป็นการดันลง เขาบรรจงกดสลิ้งเข็มช้าๆจนยาไหลเข้าสู่กระแสเลือดจนหมด แล้วจึงดึงเข็มออกมาเก็บไว้ในกระเป๋าเช่นเดิม ใช้ยาห้ามเลือดกดที่รอยเข็ม พร้อมทั้งดึงเชือกที่รัดแขนออก

            แร็กนาร์นั่งลงนิ่งๆจ้องมองร่างที่กำลังกระตุกเกร็งอย่างรุนแรงตรงหน้า ตอนนี้พิษทั้งสองชนิดกำลังสู้รบขบเขี้ยวกันอยู่ภายในร่างกายใหญ่โตนี้

           
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 9 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 09-09-2016 16:08:33
           
            ...             

            ตึ้ง ตึ้ง

            เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา แร็กนาร์จึงรีบกดนิ้วลงไปที่ข้อมือของผู้ป่วยเพื่อวัดชีพจร เมื่อพบว่าชีพจรเต้นเร็วขึ้นแล้วแร็กนาร์ก็วางใจ เขารีบเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋า คลุมผ้าที่พรมด้วยยาล่องหน แล้วรีบเปิดประตูออกจากห้อง ทั้งยังปิดประตูให้ด้วยก่อนจะรีบเดินตรงไปยังหัวมุมหักเลี้ยวมายังห้องนี้ เพราะห้องนี้มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวเท่านั้น

            แร็กนาร์เร่งฝีเท้าขึ้น แต่ก็ยังคงความแผ่วเบาเอาไว้ ผ่านลูกสมุนที่เดินตรงมาอย่างง่ายดาย โดนที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัว

            ปึก!

             ครืดดดดด

             เสียงถังไม้กระทบพื้น กับเสียงประตูบานเลื่อนของห้องที่ถัดไปจากบริเวณหัวมุมเล็กน้อยดังขึ้นพร้อมๆกันด้วยมือของแร็กนาร์ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของลูกสมุนที่ทำถังนำตกเลย เพราะมันกำลังยืนตะลึงตะลานกับภาพตรงหน้า

             ขณะนี้สหายของมันต่างล้มลุกคลุกคานลงไปกับพื้น พูดจาเพ้อเจ้อ พร่ำเพ้อถึงเรื่องต่างต่างนานา ไม่ต่างจากพวกที่อยู่ด้านนอกเลย

              “เวรเอ้ยย เกิดเหตุอันใดขึ้น แย่แล้วๆพวกเราต้องโดนลงโทษเป็นแน่”

              แร็กนาร์ได้ยินเสียงกระวนกระวายของมันแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจสิ่งใดอีก จัดแจงเปิดประตูอีกบานก็เจอห้องซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากห้องนี้มากนัก แร็กนาร์จำได้จากแผนผังว่าห้องว่างเปล่าเหล่านี้มีประตูเปิดออกไปเชื่อมต่อกันเสมอ เนื่องจากบางครั้งจะเลือกเปิดออกตามขนาดที่ต้องการเมื่อมีการใช้งาน

              แร็กนาร์เดินตามเสียงฝีเท้าเล็กทั้งสามคู่ที่แสนคุ้นเคยไปอย่างไม่เร่งรีบ แต่ก็ไม่ให้ช้าจนเกินไป   เมื่อตอนที่ตรวจอาการของหัวหน้าใหญ่กลุ่มยาฉะแร็กนาร์จะแยกประสาทรับรู้คอยฟังเสียงฝีเท้าของเด็กๆเสมอ  การตามไปจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา

              ทางนี้นับว่าน่าสนใจทีเดียวในตอนแรกที่ไม่อาจใช้ได้เพราะทุกครั้งที่เปิดประตูจะมีเสียงขอบประตูด้านล่างกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังซึ่งอาจทำให้พวกมันได้ยิน แต่ในขณะนี้ด้านนอกเกิดเสียงดังอึกกระทึกคึกโครมเพราะพวกมันกำลังตามหาตัวคนร้ายที่บุกเข้ามาในอาณาเขตของมัน ยิ่งด้านนอกเสียงดังเท่าใด การเปิดประตูยิ่งไม่ได้รับความสนใจมากเท่านั้น

               แร็กนาร์เร่งรีบออกจากห้องเชื่อมต่อห้องสุดท้าย  เพราะยาล่องหนใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว  จากการคำนวณคร่าวๆน่าจะเหลือเวลาไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ ทางที่ฮิเดโอะเลือกใช้หลังจากออกจากห้องเชื่อมต่อก็เป็นทางเดิมที่พวกเขาใช้เข้ามา แร็กนาร์จึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกด้วยความคุ้นเคย

               เสียงฝีเท้าของพวกปีศาจนั้นมีแต่ความเร่งรีบและสับสน ต่างจากของพวกเด็กๆที่มีเสียงฝีเท้าราบเรียบ และระมัดระวัง การเดินตามเสียงฝีเท้านั้นจึงไม่ยากต่อการแยกแยะของแร็กนาร์เลย แร็กนาร์หยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อวิ่งมาถึงส่วนของสวนหย่อมด้านนอกตัวบ้าน

               ทางที่ฮิเดโอะเลือกเปลี่ยนไปเมื่อออกมาด้านนอก  ทางที่พวกเขาเลือกคือฝั่งตรงข้ามกับทิศเดิมที่พวกเขาเข้ามา  แร็กนาร์ยิ้มเล็กน้อยเมื่อฮิเดโอะเริ่มกลับมาวางแผนหลบหนีอีกครั้ง    ในครั้งนี้นั้นแร็กนาร์สังเกตได้ว่าฮิเดโอะเริ่มขาดความมั่นใจ คงเพราะได้เห็นการวางแผนของเขา  ที่ใช้เวลาน้อย  แต่เด็ดขาด และรอบครอบ จึงเกิดความละอายใจไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆที่ขัดต่อแผนการของแร็กนาร์

               ในตอนนี้ฮิเดโอะคงมีความมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงเริ่มเลือกเส้นทางหลบหนีเองโดยไม่ถามสิ่งใดแร็กนาร์ อาจจะเพราะสถานการณ์บีบบังคับ แต่เจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าทางที่ตนเลือกนั้นดีไม่น้อยทีเดียว มันเป็นถึงหนึ่งในสองเส้นทางที่แร็กนาร์ลังเล แต่หากให้เลือกแร็กนาร์คงเลือกทางนี้ไม่ต่างกัน

               หากกลับออกไปทางประตูทิศตะวันออกต้องไม่พ้นพบกับชายที่ชื่อซาดาโอะเป็นแน่ แม้ในตอนนั้นจะมืดจนมองเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่ก็พอมองออกว่าเป็นชีตาร์เสือที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก หากวิ่งหนีต่อให้เป็นฮิเดโอะหรือฮิโรกิที่เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์เช่นกันก็คงไม่อาจหนีพ้น

               หากเลือกออกไปยังประตูทิศเหนือก็คงไม่พ้นได้พบกับหน่วยลาดตะเวนที่เจ้าเคียวจิส่งออกไป เจ้าคนที่เป็นหัวหน้ากองเองก็มีฝีมือไม่น้อย การพบเจอกับกองนั้นย่อมนับว่าเป็นการเลือกที่ไม่ฉลาดเลย แม้จะเป็นทางที่ใกล้บ้านของแร็กนาร์ที่สุดก็ตาม และประตูทิศใต้ก็เป็นหนึ่งในสองประตูที่แร็กนาร์ลังเล แต่หากเลือกไปทางด้านนั้นก็คงจะเป็นการอ้อมเกินไป

               เมื่อเริ่มเข้าใกล้พวกเด็กๆมากขึ้นแร็กนาร์ก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีก   ไม่ต้องกังวลเรื่องเวรยามเพราะตอนนี้พวกมันคงไปรวมตัวกันที่ประตูตะวันออก หรือไม่ก็หน้าห้องของหัวหน้าใหญ่แล้ว ทางที่ผ่านมาจึงเงียบสงัดไร้ซึ่งปีศาจตนใจเดินผ่าน

               “หยุดก่อน” แร็กนาร์หยุดวิ่งก่อนจะเรียกพวกเด็กๆด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนักเมื่อไล่ตามมาทันแล้ว

               “แร็กนาร์เจ้าปลอดภัย”   เสียงของทั้งสามประสานกันกล่าวออกมาด้วยความดีใจจนเกิดเสียงดังขึ้น แร็กนาร์จึงได้แต่พ่นลมหายใจออกมา  พร้อมกับส่วยหัวเบาๆกับปฏิกิริยาซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลของเด็กๆ

               รอบด้านไม่มีใครแร็กนาร์จึงไม่ได้ห้ามปราม  และไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด  เขารู้ดีว่าทำให้ทุกคนเป็นห่วง และรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้รับความใส่ใจเช่นนี้   มันหาไม่ได้กับโลกเดิมเลยจริงๆ หากทำพลาดคือตาย ไม่มีใครมาคอยห่วงใยหรือกังวลเช่นนี้...ไม่สิพวกที่กังวลคงเป็นนายจ้างกระมัง  หึหึ

               “เจ้าจะ เอ่อ  เลือก  เอ่อ  เส้นทาง  คือ...” หลังจากเสียงแห่งความโล่งใจจบลง  เสียงที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ  และคำพูดที่ยังไม่ผ่านการเรียบเรียงก็ดังขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

               “นำทางต่อ...ทางที่เจ้าเลือกดีแล้ว  มั่นใจเถอะ” แร็กนาร์รู้ดีว่าฮิเดโอะเกิดความลังเลขึ้นมาอีก เมื่อได้พบเขา จึงไม่ได้ใจร้ายปล่อยผ่าน  แต่เลือกที่จะเน้นย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

              ‘เรานี่มันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว รู้สึกจะใจอ่อนกับพวกเด็กๆเป็นบ้า  หรือเพราะเกิดเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน...เฮ้ยๆนี่เราแก่แล้วเรอะ?’

               ความคิดที่แล่นมาในหัวของแร็กนาร์ยากที่เจ้าตัวจะทำใจยอมรับ    เขาจึงสะบัดหัวแรงๆเพื่อเป็นการไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว

               “ไปเถอะ วิ่งเลยยาใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว อย่างน้อยเราต้องออกไปให้พ้นกำแพงบ้าน” แร็กนาร์เลิกคิดเรื่อยเปื่อยแล้วหันมากล่าวเตือนพวกเด็กๆแทน  ทุกคนจึงรีบจับมือกันเอาไว้ แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นวิ่งตรงไปยังประตูตะวันตกทันที

               “หยุดก่อน คนจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้”   แร็กนาร์กระตุกมือ และกล่าวบอกให้ทุกคนหยุดวิ่งก่อน

               “อีกแล้ว   แย่แน่แบบนี้เราจะหนีออกไปได้จริงหรือ”  ฮิโรกิกล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวาย  สถานการณ์บีบบังคับมากเกินไป  คนที่ทำตามสัญชาตญาณอย่างเขาจึงคิดสิ่งใดไม่ออก และเริ่มจะยอมแพ้

               “ต้องเป็นซาดาโอะซังแน่...คนๆนั้นต้องคาดเดาความคิดของข้าออก...ข้าช่างไม่ได้ความจริงๆ” ฮิเดโอะ โทษตัวเองที่ไม่ได้คำนึงถึงบุคคลที่ชาญฉลาดอย่างซาดาโอะ ซาดาโอะเป็นถึงที่ปรึกษาของกลุ่มที่ท่านพ่อไว้ใจ ย่อมต้องเก่งกาจไม่แพ้ท่านพ่อเป็นแน่  แม้จะไม่เคยเห็นฝีมือของซาดาโอะก็ตาม ทำไมกัน ทำไมเขาถึงไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้นี้ เขาไม่ได้บอกกล่าวแก่แร็กนาร์จนเกิดเรื่องราวใหญ่โตตั้งแต่ซาดาโอะโผล่มา ถ้าเขาบอกออกไปตั้งแต่ต้น แร็กนาร์คงวางแผนรับมือไว้อย่างแน่นอน ข้าช่างโง่เง่าเสียจริง...

               “หาที่หลบก่อน...พุ่มไม้นั่น” แร็กนาร์เรียกสติของคนที่กำลังคิดมากอย่างฮิเดโอะให้หลุดจากภวังค์ แล้วจึงบอกให้ทุกคนไปหลบหลังพุ่มไม้ซึ่งติดกับกำแพงบ้าน ตอนนี้ต้องหลบก่อนแล้วจึงค่อยคุยกับฮิเดโอะ

               “อย่าโทษตัวเอง...ข้าจะให้เจ้าเลือกเส้นทางต่อ” แร็กนาร์กล่าวอย่างราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆเมื่อสัมผัสถึงลมหายใจที่ปั่นป่วนของฮิเดโอะหลังจากนั่งลงหลังพุ่มไม้แล้ว ตอนนี้เจ้าตัวคงเริ่มโทษตัวเองอย่างหนัก การกระตุ้นให้กลับมาเป็นเช่นเดิมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

               “แต่ข้า...เพราะข้า” ฮิเดโอะยังคงไม่ฟัง เขายังโทษตัวเองที่ไม่บอกกล่าวแก่แร็กนาร์ให้หมด แล้วยังเลือกเส้นทางผิดอีก

               “การตัดสินใจเลือกไม่สำคัญที่ถูกหรือผิด แต่อยู่ที่เจ้าจะแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่อย่างไรต่างหากสำคัญที่สุด...ข้าปลอบใจไม่เป็น คงได้แต่บอกว่าข้าเชื่อใจเจ้า ฮิเดะ” แร็กนาร์พยายามกลั่นกรองคำพูดเท่าที่จะคิดได้ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะปลอบโยนอีกฝ่ายอย่างไรจึงได้แต่กล่าวบอกออกมาตรงๆเท่านั้น

               “ข้าก็เชื่อใจเจ้า ข้าไม่โทษเจ้าหรอกนะ” ฮิโรกิช่วยเสริม เมื่อคิดว่าคำพูดของตนนั้นมีส่วนผิดอยู่บ้าง และเขาก็รู้ดีว่าฮิเดโอะนั้นแม้จะดูเฉลียวฉลาด และมั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อเจอกับคนที่อยู่ในวัยเดียวกันแต่มีความสามารถมากกว่าก็จะหมดความมั่นใจเสมอ

               “พี่ก็เชื่อ...พี่โตกว่าพวกเจ้า แต่การตัดสินใจครั้งนี้ของพี่กลับเป็นภาระของพวกเจ้า พี่ขอโทษ” รูร์กัสตัดพ้อเบาๆเมื่อเขาต้องคอยทำให้น้องๆเป็นกังวล และยังไม่อาจช่วยสิ่งใดได้อีก

               “คนเราล้วนมีสิ่งที่ทำได้ และทำไม่ได้แตกต่างกัน...อย่าคิดให้มากนักเลย” แร็กนาร์นั้นแม้จะไม่อยากยอมรับว่าตนเองแก่แล้ว แต่ก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจพวกเด็กๆไม่ได้ จึงเอ่ยปากพูดในสิ่งที่ตนไม่คิดจะพูดออกมาเท่าไหร่นัก

               “อุ ฮ่าๆๆ เจ้าเนี่ย คำพูดช่างเหมือนกันท่านพ่อข้าจริงๆ” เมื่อแร็กนาร์กล่าวจบ ทุกคนก็เงียบลงก่อนที่ฮิโรกิจะหัวเราะออกมา แม้จะปิดปากเอาไว้ แต่เสียงก็ยังดังออกมาให้คนอื่นๆได้ยิน

               “จริงด้วย หึ ฮ่า อุ๊บ” ฮิเดโอะเองเมื่อคิดตามคำพูดของฮิโรกิก็คลายอารมณ์เศร้าหมอง อาจจะเพราะทุกคนบอกว่าเชื่อใจจึงเลิกโทษตัวเองด้วย และเมื่อยิ่งจิตนาการว่าแร็กนาร์เหมือนพ่อของตนก็เผลอหัวเรอะออกมา จนแทบจะลืมสิ่งอื่น แต่เมื่อนึกได้ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้

               “เงียบซะ...ถ้าไม่อยากถูกข้าเชือดทิ้ง” แร็กนาร์ข่มขู่ออกไป แต่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ และน้ำเสียงนั้นก็ไม่ได้แสดงถึงความโกรธแต่อย่างใด เขาเพียงช่วยผสมโรงไปกับพวกเด็กๆเท่านั้น รูร์กัสเองก็คลายกังวลไปบ้าง ฟังเสียงสนทนาของน้องๆด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเช่นกัน

               “ได้ๆ หึหึ ข้าคิดอะไรดีๆออกแล้ว” ฮิเดโอะที่คลายกังวลก็หัวเราะออกมาเบาๆ และเมื่ออารมณ์ดีขึ้น ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที

               “ว่ามา” แร็กนาร์ตอบรับทันที เมื่อเสียงของฮิเดโอะกลับมาเต็มไปด้วยความมั่นใจดังเดิม

               “มีทางออกเล็กๆสำหรับเจ้าชิบะ สัตว์เสียงของพวกข้า อยู่ไม่ไกลจากประตูตะวันตกมากนัก  มันเป็นทางเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ เราสามารถใช้ทางนั้นลอดผ่านออกไปได้ แต่เราคงต้องรีบแล้วก่อนที่พวกนั้นจะกระจายตัวกันตามหาจนถึงทางออกที่ข้าบอก ก่อนอื่นเพื่อความสะดวกในการวิ่ง  เราควรปล่อยมือจากกัน แล้ววิ่งเรียบไปกับกำแพง เมื่อถึงทางก่อนจะหักเลี้ยวไปยังประตูตะวันตกให้ทุกคนหยุด และสังเกตมุมล่างของกำแพง จะพบช่องเล็กๆสำหรับลอดผ่านไปได้ทีละคนอยู่ ข้าจะออกไปคนแรกเพื่อดูต้นทาง ส่วนลำดับที่เหลือข้าอยากให้เจ้าเป็นคนเลือกแร็กนาร์” ฮิเดโอะอธิบายแผนของตนอย่างละเอียดไม่ให้มีจุดขาดตกบกพร่อง  เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่คิดถึงประตูทางออกทั้ง 4 ด้าน จนหลงลืมช่องทางเล็กๆเหล่านี้ไป

               “ฮิโรกิ พี่รูร์กัส  และข้า...ข้าจะระวังหลังให้เอง ส่วนพี่รูร์กัสข้าอยากให้อยู่ใกล้ๆข้า” แร็กนาร์ไม่วางใจในความปลอดภัย จึงอยากให้รูร์กัสอยู่ใกล้ๆตัวจะได้ปกป้องได้สะดวกมากขึ้น เพราะมีตัวแปรอย่างซาดาโอะอยู่เหตุการณ์จึงยากจะคาดเดา และหากว่าพวกเขาออกไปจากบ้านใหญ่ได้ ก็ยังอยู่ในเขตของหมูบ้านเฮียวจินคุระอยู่ดี การระแวดระวังจนถึงที่สุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น

               “ตกลง...ไปกันเถอะ” ฮิเดโอะรับคำก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากพุ่มไม้คนแรก

               ‘ขอให้ทันทีเถอะ ยาจะคลายอยู่แล้ว  เพราะผ้าเริ่มแห้งยาก็เลยคลายก่อนกำหนดสินะ’

 
               “เร่งฝีเท้าเร็วเข้า ยาจะหมดฤทธิ์แล้ว” แร็กนาร์ส่งเสียงเร่งพวกเด็กๆหลังจากออกวิ่งมาไม่นาน  เมื่อมองเห็นว่าผ้าที่ใช้คลุมร่างกายอยู่เริ่มปรากฏออกมาบ้างแล้ว

               “ถึงแล้ว นั่นไง” อิเดโอะส่งเสียงด้วยความดีใจ หัวใจสั่นระทึกเมื่อรู้ว่ายาล่องหนกำลังจะคลาย เสียงแห่งความดีใจนี้จึงดังไม่น้อย

               “ได้ยินเสียงจากทางนั้น ท่านซาดาโอะทางนี้ขอรับ” แล้วเสียงลูกสมุนคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลซึ่งได้ยินเสียงของฮิเดโอะก็ดังขึ้น  เรียกให้ซาดาโอะเดินมาทางด้านที่พวกเขาอยู่

               “ออกไปเร็ว” ฮิเดโอะยืนตะลึงเล็กน้อยที่เขาเผลอส่งเสียงดังด้วยความดีใจ  ก่อนจะได้ยินเสียงเร่งเร้าของแร็กนาร์เรียกสติให้กลับมา  เจ้าตัวจึงรีบมุดลอดผ่านไป ตามด้วยฮิโรกิ

               “พี่รูร์กัสไปเร็ว” เมื่อแร็กนาร์รับรู้ว่าเด็กปีศาจทั้งสองผ่านไปแล้ว จึงเร่งเร้าให้รูร์กัสตามออกไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อรูร์กัสไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

               “พี่รูร์กัส” แร็กนาร์ส่งเสียงเรียกรูร์กัสอีกครั้งเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ ทั้งลมหายใจที่ปั่นป่วน ทั้งร่างกายที่แข็งทื่อไม่ต่างจากรูปปั่น เขาจึงเริ่มวิตกกังวล

               ผ้าที่รูร์กัสคลุมอยู่ค่อยๆหลุดออกจากมือเจ้าตัวหล่นลงสู่เบื้องล่าง ยาที่หมดฤทธิ์ลงแล้วจึงค่อยๆคลายลง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของแร็กนาร์คือ ใบหน้าซีดเผือกขาวซีด และสายตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงของรูร์กัส แร็กนาร์ไล่ตามสายตาของรูร์กัสหันมองตามสายตานั้นไปก็เจอกับปีศาจกลุ่มใหญ่ที่จ้องมองมาทางด้านนี้เป็นตาเดียว ก่อนจะหันกลับมามองรูร์กัสที่กำลังพึมพำพูดอะไรบ้างอย่าง

                “เจ้า...เจ้า...เจ้านั่น”

 

 

 

 
To Be Continued...

 

___________________________________________________________________

 

มาแล้วจ้าาาาา

ขอบคุณคนที่ตามมาอ่านถึงในนี้นะคะ

แล้วก็ขอคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจที่จะลงต่อหน่อยน้าาา

คนแต่งจะได้มีกำลังใจ คอมเม้นต์น้อย ไม่รู้ว่ามีคนอ่านจริงๆรึเปล่าหนอ?

ตอนต่อไป...ตอนที่ 10 ค้นพบพลัง

แร็กนาร์จะโชว์เทพอีกอย่างแล้ว รออ่านกันนะคะ หุหุ

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/
 :hao3:
 
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 9 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 09-09-2016 17:02:57
ทำไมอ่านแล้วหัวร้อน คือทำไมจะทำไรมันต้องมีเหตุให้ลุ้นทุกทีสิเนี่ย แร็กนาร์นี่นับวันยิ่งใจอ่อนจริงๆ
แล้วพี่รูกัสแกเป็นไรของแกทำไมไม่หนีต่อ? แถมตัดจบที่ว่าหนีไม่ทันอีก หัวร้อนนน ต่อด่วนเลยค่าาา
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 9 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน (09/09/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 10-09-2016 07:15:26
 ว้าว สนุกค่ะ มาติดตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 10 ค้นพบพลัง(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 20-09-2016 04:50:58
ตอนที่ 10
ค้นพบพลัง


            “เจ้า...เจ้า...เจ้านั่น”  เสียงของรูร์กัสติดขัดแทบฟังไม่ออกว่ากำลังกล่าวสิ่งใด สภาพของรูร์กัสที่แร็กนาร์ไม่เคยเห็นมาก่อน  ทำให้เขาต้องจ้องมองตรงไปตามสายตาที่เบิกกว้างดวงนั้น

            “พี่รูร์กัส...ไปได้แล้ว” แม้แร็กนาร์จะรู้ว่ารูร์กัสกำลังจ้องมองไปยังชายที่ชื่อ ‘ซาดาโอะ’ และยังสงสัยในความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสอง แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะสนใจสิ่งเหล่านี้ ตอนนี้พวกเขาต้องออกไปจากที่นี่เท่านั้น

            ตึก  ตึก  ตึก

            เสียงหัวใจที่เต้นโครมคามทำให้รูร์กัสไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเร่งเร้าของแร็กนาร์  ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ภาพใบหน้า   และท่าทางของซาดาโอะ  ภาพเหตุการณ์ที่เขาพยายามทำใจยอมรับกลับย้อนคืนอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้ 

            ก่อนหน้านี้ในห้องนั้น เขาไม่อาจเห็นหน้าซาดาโอะได้ชัด เพราะในห้องนั้นแม้จะมีแสงจันทร์ให้ความสว่าง  แต่ภาพของชายตรงหน้ากลับถูกทาบทับไปด้วยเงาสีดำทะมึน  ทั้งในตอนนั้นเขาเองมัวแต่ห่วงเรื่องกลั้นหายใจจนไม่อาจมีความตั้งใจที่จะพยายามมองคนที่เปิดประตูเข้ามามากนัก

            ชายที่ชื่อ ซาดาโอะ นั้น แม้จะทาบทับไปด้วยภาพปีศาจที่บังคับพาตัวแม่ของเขาไป แต่กลับมีส่วนที่แตกต่างอยู่ ปีศาจตนนั้นร่างกายใหญ่โตกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่รูร์กัสก็แทนที่ความคิดนั้นด้วยความคิดที่ว่า ในเวลานั้นอาจจะเพราะตนตัวเล็กมากจึงมองปีศาจตนนี้มีร่างกายใหญ่โตก็เป็นได้  ในตอนนี้เขาโตกว่าครั้งนั้นมากแล้วจึงอาจมองในมุมที่แตกต่าง และยิ่งเวลาผ่านล่วงเลยไปจึงทำให้อีกผ่ายแก่ชราลง จึงไม่อาจคงความน่าเกรมขามเช่นเดิมเอาไว้ได้

            ซาดาโอะ แม้มีร่างกายไม่กำยำเท่าในความทรงจำของรูร์กัส แต่ก็เป็นชายที่มีรูปร่างมาตรฐานของบุรษเพศเช่นปีศาจแดนพยัคฆ์ทั่วไป  ซึ่งมีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์เล็กน้อยเท่านั้น รูปร่างเพรียวกระชับตามแบบฉบับของเสือชีตาร์ มีผิวสีขาวสะอาด ท่วงท่าดังกุนซือผู้ใช้สมองมากกว่ากำลัง  นั่นคือสิ่งที่ตะขิดตะขวางใจรูร์กัสเป็นอย่างยิ่ง

            ตามลำตัวมีลายจุดเป็นสีดำประปราย แม้จะถูกคลุมทับไว้ด้วยเสื้อผ้า แต่ก็มีบางส่วนให้ได้เห็น ปลายหางหนึ่งในสามมีวงแหวนสีดำ และมีปลายสุดสีขาวมันไม่ได้พันเอาไว้รอบเอว แต่หากปล่อยตกลงไปราบกับกางเกงที่สวมอยู่ บนใบหน้านั้นมีเส้นสีดำจากใต้หัวตามาที่มุมปากทั้งสองข้าง ดูแล้วแม้จะให้ความรู้สึกใจดี อบอุ่น แต่กลับแฝงไปด้วยแววตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย

            สภาพของรูร์กัสที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของแร็กนาร์นั้นเปลี่ยนแววตาที่ตกตะลึงกลายเป็นโกรธขึง ชิงชัง ปากก็ยังพร่ำบอกแต่ว่า ‘เจ้านั่น’  ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปตามแรงอารมณ์ที่ประทุขึ้นอย่างช้าๆ

            ตั้งแต่วันนั้น  เมื่อ  8  ปีก่อน  แม้รูร์กัสไม่ได้โกรธแค้นเหล่าลูกครึ่ง หรือปีศาจเต็มตัว  แต่ที่เขาโกรธที่สุดกลับเป็นตัวของเขาเองที่แสนจะอ่อนแอ ไม่สามารถปกป้องท่านแม่ของตนได้ แม้เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน  ท่านแม่ของเขาจะกลับมาอีกครั้ง  แต่มันก็ไม่อาจลบเลือนความรู้สึกที่ฝังรากลึกลงไปในจิตใจของเขาได้

            รูร์กัสติดอยู่ในวังวนแห่งความรู้สึกผิดที่ไม่อาจปกป้อง  และตนยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปีศาจตนนั้นนำท่านแม่ไปได้   รูร์กัสหมั่นฝึกฝนอย่างหนักเพียงเพื่ออยากแข็งแกร่งขึ้น และทิ้งความอ่อนแอของตนไว้เบื้องหลัง แต่ผ่านไปปีแล้วปีเล่าก็ยังไม่อาจลืมเลือนความรู้สึกเหล่านี้ไปได้ เขาอยากปกป้องท่านแม่ที่ซ่อนคราบน้ำตาไว้หลังไปหน้าที่ยิ้มแย้มนั้น เขาอยากปกป้องท่านแม่ที่กลั้นเสียงสะอื้นแล้วสั่งลาอย่างอ่อนโยน   เขาอยากปกป้องท่านแม่ที่พยายามเข้มแข็ง เพื่อปกป้องตัวเขา...เขาอยากย้อนเวลากลับไปยังเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง  แต่หากไม่สามารถทำได้  เขาจะขอทำมันในวันนี้! จะขอลบความรู้สึกว่าตนแสนจะอ่อนแอนั้นทิ้งไป!

            รูร์กัสลืมเลือนต่อทุกสิ่ง ลืมกระทั่งว่าตนมาที่นี่ด้วยเหตุใด  และตนกำลังทำสิ่งใดอยู่ ลืมเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่เคยตั้งไว้เพื่อความสบายใจของตน ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นเข้าควบคุม ความรู้สึกที่ถูกซ่อนไว้เบื้องลึกของจิตใจมานานปี ในตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นทะลักออกมาในคราเดียว เขาไม่คิดจะเสียใจแม้จะต้องจบชีวิตลง...

            “แกตาย!!” ร่างกายของรูร์กัสสั่นเทาด้วยความโกรธ ฟันก็ขบกัดกระทบกันเพื่อระงับอารมณ์ที่ไหลทะลัก ตั้งมั่นสมาธิจดจ่อพร้อมจะใช้พลัง พลังนี้เขาไม่คิดจะใช้หากไม่จำเป็น เพราะเขายังไม่อยากสังหารใคร  แต่ในตอนนี้มันต่างกัน เมื่ออารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือความนึกคิด เขาจึงไม่สนใจสิ่งใดอีก

            หลังจากประกาศกร้าวรูร์กัสก็นั่งลงกับพื้น ชันเข่าด้านขวาขึ้น พร้อมทั้งทาบทับมือทั้งสองข้างลงไปบนพื้นด้านหน้าของตน เริ่มเพ่งสมาธิทั้งหมดลงไปที่พื้นดิน  เริ่มตรวจสอบ สัมผัส มวล คุณภาพ  และลักษณะของมันอย่างถี่ถ้วน  ก่อนจะใช้พลังควบคุมบีบอัด รวบรวมจนดินส่วนหนึ่งตรงหน้าเหล่าปีศาจเผ่าพยัคฆ์ขยับ  และมีบางส่วนลอยตัวขึ้น โดยไม่ขาดจากฐานที่เป็นดินเชื่อมต่อกับพื้น ลักษณะคล้ายงูที่ชูลำคอขึ้นหมายจะกินเหยื่อ   สายเส้นดินเหล่านั้นถูกแรงควบอัดรัดแน่นไม่ต่างจากแส้เหนียวๆฟาดเข้าใส่กลุ่มปีศาจที่อยู่ตรงหน้าทันที

             “แย่แล้ว หลบเร็ว!” หลังจากเฝ้ามองสถานการณ์อย่างระแวงระวังมาสักพัก เมื่อเจอเข้ากับสถานการณ์ตรงหน้า ก็ทำให้พวกมันตระหนักได้ว่า แม้อีกฝ่ายจะเป็นเด็ก แต่ก็ไม่อาจดูถูกได้ เสียง เสียงหนึ่งกระโกนขึ้นหลังจากที่แผ่นของดินเริ่มล่วงหล่นฟาดทับมายังพวกมัน พวกมันบางส่วนหลบออกจากบริเวณนั้น แต่บางส่วนกลับเลือกที่จะพุ่งเข้าหาผู้ที่ทำร้ายมัน

             “อ้ากก  ช่วยด้วย ช่วยด้วย” พวกที่เลือกจะวิ่งเข้าใส่พอกระโดลงจากพื้นบ้าน เพียงเท้าแตะพื้นมันก็ถูกดินบริเวณนั้นดูดลงไปทันที

             ตี้ง ตี้ง ตึ้ง

             พื้นดินคล้ายแส้หลายๆสายฟวดลงไปในบริเวณนั้นอยากหนักหน่วง และต่อเนื่องโดยไร้ซึ่งความลังเลใด พวกที่กระโดนหลบพ้นก็เว้นระยะห่างอย่างคุมเชิงเพื่อรอโต้กลับ ส่วนพวกที่หลบไม่พ้นก็ถูกดินกลบทับจนกระอักเลือด

             “ป้องกันท่านซาดาโอะ! เร็ว!” ซาดาโอะหาได้ตอบโต้สิ่งใด มันหลบพ้นอย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่คิดจะแสดงฝีมือของตน มันทำเพียงหลบอยู่ด้านหลังของเหล่าลูกสมุนที่คอยป้องกันด้านหน้าให้ รูร์กัสเห็นเช่นนั้นก็ลุกไล่หนักหน่วงขึ้น อารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผลนั้นช่างน่ากลัว เขาลืมกระทั่งคำนวณพลังกายของตน จนตอนนี้หน้าเริ่มชื้นเหงื่อ เหนื่อยหอบไปไม่น้อยเลย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะถอยกลับ

             แร็กนาร์ได้แต่ยืนตะลึงงั้น แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าโลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยพลังวิเศษตามคำบอกเล่าของรูร์กัส แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมันด้วยตาของตนเอง มันช่างน่าตกตะลึงจนเขาทำสิ่งใดไม่ถูกเอาเสียเลย รูร์กัสในแบบที่เขาไม่เคยเห็น แม้แต่เจ้าของร่างนี้ก็ไม่อาจเคยเห็นนั้น ไม่ตอบสนองต่อเสียงของเขาที่ส่งไปเลย เขาจึงทำได้แค่ถอยห่างออกมาเล็กน้อยคอยดูสถานการณ์ที่ไม่อาจละสายตาได้นี้

             ตู้ม!!

             เหมือนทุกอย่างถูกหยุดชะงัก เมื่อกำปั้นอันแข็งแกร่ง ของเคียวจิทำลายดินที่ถูกบีบอัดเป็นสายแส้นั้นลง  พวกมันบางส่วนโห่ร้องอย่างยินดีเมื่อหัวหน้าของมันปรากฏตัวขึ้น ส่วนรูร์กัสที่พลังกายเริ่มถดถอย ยิ่งตกใจกับเหตุไม่คาดฝันนี้เขาจึงหลุดจากสมาธิ ปล่อยให้ดินที่ควรบีบอัดกันอยู่ตกกระจายลงไปบนพื้น

             ดินที่ถูกคลายออกล่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เพราะขาดสมาธินั้น ทำให้ผู้มีประการณ์การต่อสู่อย่างโชกโชนกับทุกเผ่าพันธ์ุอย่างเคียวจิรับรู้ได้ในทันที มันรีบฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าใส่รูร์กัสอย่างรวดเร็ว

             “พี่รูร์กัส ระวัง!!” แร็กนาร์ดังคนที่ตื่นจากผวังศ์ความคิด เขารีบร้องเตือนรูร์กัสในทันที เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเคียวจิ ก่อนที่มันจะพุ่งตัวมาเสียด้วยซ้ำไป

             แร็กนาร์ในตอนนี้ไม่รู้ว่าตนควรทำสิ่งใด เขารู้เพียงว่าจิตสำนึกของเขายังไม่อาจยอมรับสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้  เขาได้แต่ตื่นตระหนกไม่อาจขยับเขยื้อนเข้าไปช่วยเหลือรูร์กัส จึงได้แต่ร้องเตือนรูร์กัสให้กลับมาตั้งสติเท่านั้น

             เสียงของแร็กนาร์กระตุ้นให้เคียวจิเบนการโจมดีมาตามทางของเสียงที่ได้ยิน รูร์กัสที่ตระหนักถึงเรื่องนี้จึงเร่งรวบรวมสมาธิอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาสร้างกำแพงดินที่ไม่ใหญ่มาก ขนาดแค่พอป้องกันพวกเขาทั้งสอง ขวางกั้นการทำลายของเคียวจิเอาไว้

             ตู้ม!!

             กำแพงดินที่สร้างอย่างฉับพลันไม่แข็งแรงดี ทำให้ไม่อาจต้านแรงทำลายมหาศาลของเคียวจิได้ มันเห็นดังนั้นจึงง้างหมัดทำท่าทางจะโจมตีไปทางเดิมอีกครั้ง รูร์กัสตัดสินใจรวมสมาธิสร้างกำแพงเล็กๆป้องกันตัวแร็กนาร์ หากสร้างฉับพลับ สิ่งที่สร้างยิ่งเล็กก็จะยิ่งแข็งแรง

             เคียวจิสะแหยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน เมื่อแผนการของมันเข้าทางอย่างง่ายดาย แล้วชะงักเท้าเบี่ยงตัวพุ่งเข้าหารูร์กัสที่ไร้ซึ่งการป้องกันใดๆในทันที

             ผั่วะ ตุบ

             รูร์กัสที่ตั้งรับสถานการณ์ไม่ทันจึงไม่อาจหลบหมัดที่พุ่งตรงมายังปลายคางของตนพ้น หมัดอันทรงพลังเมื่อกระทบร่างของรูร์กัส ร่างทั้งร่างก็ปลิวกระเด็นไปอัดกำแพงในทันที รูร์กัสกระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นเบื้องล่าง

             เคียวจิไม่รอช้าพุ่งตัวตามไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างที่หมดสภาพนั้นในทันที มันใช้มือที่หนาใหญ่เพียงข้างเดียวจับไปที่คอของรูร์กัสที่พอดีมือแล้วยกขึ้น ยกร่างนั้นทาบกับกำแพง ให้หันหน้ามาเผชิญหน้ากับตนเอาไว้ รูร์กัสยังไม่สิ้นสติ แต่สตินั้นก็เริ่มเลือนรางเต็มที การถูกชกไปยังปลายคางซึ่งเป็นจุดตายของร่างกายทำให้รูร์กัสไม่อาจขยับร่างกายได้อย่างใจนึก

             “ใครส่งแกมา! ตอบ...ข้า” เสียงเหี้ยมนั้นกล่าวอย่างกดดัน จ้องมองรูร์กัสอย่างคาดคั้นในคำตอบ แต่ปลายประโยคกลับชะงักงันเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงที่ปรากฏขึ้นด้านหลัง

             แร็กนาร์ที่คลายอาการตกตะลึงหลังจากที่ร่างของรูร์กัสปลิวกระเด็นไปอันกำแพงบ้าน เขาได้แต่จ้องมองภาพนั้นอย่างไม่วางตา ภาพของรูร์กัสพี่ชายที่เขาวางใจที่สุด พี่ชายที่เขาปฏิญาณว่าจะปกป้อง พี่ชายที่คอยยิ้มให้เขาเสมอ บัดนี้ใบหน้านั้นกลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม ปรากฎเพียงความเจ็บปวดแสนสาหัส ยิ่งมองภาพที่รูร์กัสกระอักเลือดออกมานั้น  แล้วยิ่งเห็นอาการปฏิบัติอย่างไร้ความปราณีนั่นอีก มันทำให้แร็กนาร์รูสึกชาวาบไปสุดขั่วของหัวใจ

             เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก แต่ก็ใช่ว่าเขาจะมองตามไม่ทัน มันแทบจะเป็นภาพการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆด้วยซ้ำในสายตาขอแร็กนาร์ ทั้งๆที่มองเห็น แต่กลับไม่สามารถทำสิ่งใดได้ แร็กนาร์เลือกที่จะไม่ตำหนิตนเอง เขาเลือกที่จะปล่อยจิตสังหารที่กักเก็บไว้ออกมาอย่างไม่ปิดกั้นสิ่งใดอีก

             น้ำยาล่องหนหมดฤทธิ์ลง ภาพต่างๆคลายออกแต่แร็กนาร์หาได้สนใจไม่ เขาคลายมือจากผ้าคลุมปล่อยให้มันตกลงข้างตัวอย่างช้าๆ โดยไม่ละสายตาจากการสบตาครั้งนี้ของเขากับเคียวจิ บัดนี้จิตใจของแร็กนาร์กำลังปั่นป่วนไปด้วยความกลัว เขากำลังกลัวการสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น จนไม่สนใจว่าตนจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้กับรูร์กัสอย่างไร

             แร็กนาร์หยิบมีดผ่าตัดด้ามหนาหนึ่งด้ามออกจากกระเป๋าข้างของกระเป๋าเป้ที่เขาสะพายอยู่ มีดเล่มนี้เขาคิดว่าไม่อาจใช้เป็นอาวุธได้ แต่เมื่อถึงคราวจวนตัวเช่นนี้มันกลับกลายเป็นอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับเขา

             มือจับด้ามมีด สายตาจ้องมองเหยื่ออย่างไม่วางตา แม้อารมณ์ที่ครุกรุ่นไปด้วยความกลัว และความโกรธ แต่แร็กนาร์กลับยังคงสงบเยือกเย็นลงได้ เขาวิเคราะห์สิ่งต่างๆรอบด้านอย่างรอบครอบ แล้วเล็งไปที่จุดตายต่างๆบนร่างกายใหญ่โตนั้น

             ...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 10 ค้นพบพลัง(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 20-09-2016 04:52:27
             ...

             เคียวจิสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของแร็กนาร์ตั้งแต่ยังไม่คลายผ้าคลุมออก จนถึงตอนนี้ก็ยังสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ที่ปล่อยจิตสังหารมากมายนี้ออกมาคือเจ้าของร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้านี้ แม้จะตกใจระคนสงสัยว่าเหตุใดเด็กตัวเพียงเท่านี้จึงปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงขนาดนี้ได้ แต่แล้วมันก็มองข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไป เมื่อสังเกตเห็นว่าแร็กนาร์เป็นลูกครึ่งที่ไร้พลัง และอ่อนแอ ทั้งอาวุธที่อีกฝ่ายถืออยู่นั้นช่างเล็กน้อยหาได้น่าหวาดกลัวไม่

             มันเลือกที่จะหันกลับไปจัดการกับรูร์กัสต่อ หาได้สนใจแร็กนาร์อีก แร็กนาร์จึงไม่รอช้าวิ่งเข้าหาเคียวจิอย่างไม่ลังเล มันแสยะยิ้มอีกครั้ง เมื่อคิดว่าเด็กน้อยเหล่านี้ช่างโง่เขลา ตกหลุมพรางง่ายๆเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า   รูร์กัสที่เห็นสีหน้ามันอย่างชัดเจน จึงพยายามจะส่งเสียงเตือนแร็กนาร์ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อมันรู้ว่ารูร์กัสจะทำสิ่งใด มันจึงเพิ่มแรงบีบที่คอของรูร์กัสอีก จนเขาไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้

              ขวับ

              เคียวจิพลิกตัวกลับพร้อมร่างของรูร์กัส มันใช้ร่างเล็กๆนั้นบังจุดที่คาดว่าแร็กนาร์เล็งเอาไว้อย่างไม่ลังเล หมายให้แร็กนาร์หยุดชะงัก หรืออาจพลาดพลั้งลงมือทำร้ายรูร์กัสแทน

              แต่มันกลับคิดผิด แร็กนาร์ไม่เพียงไม่หยุดชะงักในการกระทำของเคียวจิ เขายังเปลี่ยนแผนอย่างฉับไว เพราะเขาคาดเดาการกระทำนี้ได้จากนิสัยที่เคียวจิเผยออกมา  แม้มันจะหลอกล่อให้แร็กนาร์ติดกับดัก แต่แร็กนาร์ไม่ใช่คนโง่งมที่จะมีแผนเพียงแผนเดียว ในหัวของเขาจินตนาการการบุกเข้าโจมตี และเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นไว้มากมาย มันเป็นนิสัยที่มีติดตัวมาจากโลกเดิม เพราะอาชีพของเขานั้นต้องเสี่ยงตายตลอดเวลา การระแวดระวังจนถึงที่สุดจึงเป็นเรื่องที่เขาถนัดที่สุด

              แร็กนาร์หยุดฝีเท้าลงด้านหน้าร่างของรูร์กัสที่ห่างออกไปเพียงคืบ ก่อนย่อตัวลงแล้วใช้เท้าซ้ายเป็นหลักยันพื้นถีบสะปริงตัวออกไปทางด้านขวาซึ่งอยู่ในมุมอับสายตา จากนั้นลงปลายเท้าด้านขวาเป็นหลักยึดกระโดดเข้าไปด้านในของแขนซ้ายของมันที่จับตัวของรูร์กัสอยู่ แร็กนาร์กระชับมีดในมือแล้วเฉือนลงบนข้อมือด้านในของเคียวจิ หมายตัดเส้นเอ็นของคู่ต่อสู้

              เคียวจิเสียหลักเพราะไม่ทันตั้งตัว ด้วยไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะซ้อนแผนของตน เมื่อความเจ็บแล่นไปทั่วมือและแขน มือมันก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงปล่อยมือจากคอรูร์กัสในทันที

              หลังจากกระโดดเฉือนข้อมือของเคียวจิที่สูงขึ้นไปเหนือหัวของตน แร็กนาร์ก็พลิกตัวกลางอากาศภายในวงแขนของเคียวจินั้น ระหว่างตัวรูร์กัสกับเคียวจิ เมื่อได้จังหวะที่ควรก็ถีบไปที่ปลายคางของเคียวจิอย่างจัง นอกจากทำร้ายเคียวจิได้แล้ว แร็กนาร์ยังใช้การถีบครั้งนี้เป็นแท่นกระโดดไปคว้าตัวของรูร์กัสที่ทำกำลังร่วงหล่นลงไปบนพื้น นั่นทำให้เคียวจิเสียหลักล้มลงไปบนพื้นอย่างไม่อาจทำสิ่งใดได้

              ผู้ที่เฝ้ามองอยู่รอบด้านไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่งแต่อย่างใด ด้วยเพราะพวกมันเชื่อว่าหัวหน้าของมันนั้นเก่งกาจ ไม่มีทางที่เด็กตัวเล็กๆนี้จะล้มได้เป็นแน่ พวกมันมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างลุ้นระทึกใจจดใจจ่อแทบหยุดหายใจ รวมทั้งเด็กน้อยอย่างฮิเดโอะกับฮิโรกิด้วยที่บัดนี้โผล่หน้าเข้ามามองจากช่องที่ใช้ลอดออกไป พวกเขาอยากเข้ามาช่วย แต่ตระหนักดีว่า การต่อสู่นี้ตนไม่อาจยื่นมือเข้ามายุ่งได้ หากอยากช่วย ต้องรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น

              ฟึบ

              เท้าเล็กเหยียบย่างลงไปบนพื้นอย่างสวยงาม ดังเช่นว่าก่อนหน้านี้ตนไม่ได้ทำเรื่องใดๆเลย  แร็กนาร์หาได้รีบร้อนหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้า ตอนนี้แม้อยากจะหนีก็คงไม่อาจหนีพ้น และตอนนี้ความโกรธของเขาก็ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย เขาจึงต้องหาทางระบายออก ส่วนเรื่องอื่นๆค่อยคิดทีหลัง...

              “พี่รูร์กัส ท่านนอนพักก่อน...อ้าปากแล้วกลืนยานี่ลงไป” แร็กนาร์ยังคงไม่ยี่ระต่อสิ่งใด พอออกห่างจากเคียวจิพอควรก็วางรูร์กัสลง แล้วพยุงตัวรูร์กัสขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะได้กินยาได้อย่างถนัด แล้วจึงนำยาระงับความเจ็บปวดแบบเม็ดที่เขาเตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋า แต่ที่นำออกมาไม่เพียงยาระงับความเจ็บปวด แร็กนาร์ยังนำห่อยาอีกหนึ่งชนิดออกมาจากกระเป๋าเป้ด้วย จากนั้นก็ยัดมันลงในกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นว่ารูร์กัสกลืนยาลงไปแล้วแร็กนาร์ก็วางกระเป๋าลง ปลดสัมภาระเพื่อความคล่องตัวในการต่อสู่ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

              เมื่อได้ยินเสียงเคียวจิที่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว แร็กนาร์ก็ขยับห่างออกมาจากตัวของรูร์กัสเดินมุ่งตรงไปทางเคียวจิในทันที แร็กนาร์กระชับมีดในมือ แล้วจ้องมองเคียวจิอย่างไม่วางตาเช่นเคย

              ‘ข้อมือนั่นดูแล้วคงตัดไม่ถึงเส้นเอ็นสินะ น่าจะถึงแค่เส้นเลือดใหญ่ มือนั่นถึงยังใช้การได้อยู่ กะแล้วเชียวว่ามีดมันไม่คมพอ หึ คงต้องเฉือนที่ละส่วนๆให้เลือดไหลออกมาจนหมดสินะ

              แต่ที่สำคัญคงต้องให้ทรมานสมกับที่มันทำกับรูร์กัสก่อน แล้วค่อยปิดท้ายด้วยเส้นเลือดที่คอ หึหึหึ’

 
              แร็กนาร์จ้องมองแผลบนข้อมือของเคียวจิอย่างครุ่นคิด แล้วจึงวางแผนใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ แร็กนาร์ยังคงคิดถึงข้อตกลงที่ให้ไว้กับฮิเดโอะว่าจะไม่สังหารผู้ใด เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะเล็งจุดตาย หมายแต่ให้อีกฝ่ายสลบเท่านั้น  แต่ตอนนี้ต่างออกไป แร็กนาร์มีแต่ความคิดที่จะฆ่าและทรมานอีกฝ่ายเท่านั้น

              ต่างฝ่ายต่างจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาเพื่อรอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเผยช่องว่างให้เข้าโจมตี ถ้าเผลอเปิดช่องว่างเพียงนิด ฝ่ายตรงข้ามต้องพุ่งเข้าใส่ก่อนอย่างแน่นอน

              แร็กนาร์แกล้งเปิดช่องว่าง  ทำเป็นหลุดออกจากสมาธิเสมองไปทางอื่นเล็กน้อย เขาหลอกล่อให้ฝ่ายเคียวจิติดกับดักบ้าง และเป็นไปตามคาด เคียวจิโกรธแค้นที่ทำให้มันเสียหน้าต่อเหล่าลูกสมุนเมื่อครุ่รีบพุ่งเข้าใส่ทันทีอย่างไม่ลังเล

              แร็กนาร์เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้าพุ่งทะยานเข้าหาเคียวจิเช่นเดียวกัน แต่เพียงชั่วพริบตาร่างแร็กนาร์ที่เล็กกว่า เข้าไปในระหว่างแขนของเคียวจิอีกครั้ง ร่างของแร็กนาร์แทบจะชนกับร่างของเคียวจิ มันเห็นดังนั้นก็โถมตัวเข้าใส่หมายจะตะปปไปที่ลำตัวของแร็กนาร์ แร็กนาร์ย่อตัวหลบพร้อมทั้งใช้เท้าเตะไปที่ขาของมัน  ด้วยร่างที่เล็กกว่ามาก การหลบหลีกจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด แร็กนาร์ใช้มือทั้งสองข้างของตนล็อกแขนของเคียวจิที่พุ่งมาหมายจะทำร้ายแร็กนาร์นั้น แล้วออกแรงเหวี่ยงมันไปด้านหน้า ตามแรงที่มันโถมเข้าใส่โดยอาศัยแรงของมันเอง

              พึก!

              เคียวจิสูญเสียการทรงตัว พุ่งกระเด็นไปกระแทกกับพื้นในทันที แร็กนาร์เองก็อาศัยจังหวะที่ร่างใหญ่โตนั้นลอยอยู่กลางอากาศหลบออกมาจากใต้ร่างนั้น พร้อมทั้งถอยห่างออกมาเล็กน้อย ยืนมองผลงานของตนอย่างชื่นชม

              ร่างใหญ่โตที่ล้มกระแทกพื้น ก้มหน้าลงล้มลุกคลุกคลานเป็นที่น่าขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งคิดถึงสายตานับสิบคู่ที่จ้องมองมันอยู่ มันยิ่งรู้สึกเสียหน้า และโกรธเคือง จนต้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง

              “แก!!” สายตาเดือดดานที่ใช้มองแร็กนาร์หลังจากเงยหน้าหันกลับมามองนั้นช่างเต็มไปด้วยไฟโทสะ และจิตสังหารนั่นช่างน่ากลัว จนพวกมันบางส่วนต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างเสียไม่ได้ จินตนาการถึงร่างเล็กๆนั้นถูกฉีกกระชากแยกชิ้นส่วนด้วยมือเปล่าอันทรงพลังของหัวหน้าพวกมัน

              แต่มีคนๆหนึ่งที่คิดว่าการจะจัดการกับแร็กนาร์นั้นไม่ใช่เรื่อง่ายเลย มันจ้องมองร่างเล็กนั้นอย่างไม่วางตา แร็กนาร์เองก็สัมผัสถึงสิ่งนี้ แต่ก็ไม่ได้นำมาใส่ใจมากนัก เขาเพียงระแวดระวังเช่นเดิมก็เพียงพอแล้ว หากคนคนนั้นไม่คิดจะสอดมือเข้ามายุ่ง

              ซาดาโอะคิดไม่ต่างจากแร็กนาร์ พวกเขาต่างพิจารณาฝ่ายตรงข้ามจากเสียงฝีเท้า การลบล่องรอย การเก็บและปล่อยจิตสังหารเมื่อยามต่อสู้ จึงไม่อาจระสายตาจากร่างเล็กๆนั้นได้

              เคียวจิพลิกตัวยันกายจะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่แร็กนาร์เร็วกว่าเขาอาศัยจังหวะที่มันพึ่งพลิกตัวเร็จกำลังลุกขึ้นยืนยังไม่เต็มที่ ทำให้เสียการทรงตัวได้ง่ายนั้น พุ่งทะยานทั้งตัวกดทับบริเวณอกของมันแล้วนั่งลงกดเอาไว้ เพื่อตรึงไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาได้

              แร็กนาร์ล้วงหยิบห่อยาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดออกแล้วกดมันทั้งห่อลงไปที่จมูกของเคียวจิอย่างรวดเร็ว จนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันแม้แต่จะกลั้นหายใจ

              ยาคลายกล้ามเนื้อชนิดแรงพิเศษทั้งห่อถูกกดลงไปบนจมูกแบบไม่ผ่านสิ่งใด ถึงแม้จะเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์ที่เป็นถึงระดับหัวหน้าหน่วยก็มีผลอยู่บ้างในระยะสั้นๆนี้

              เคียวจิเริ่มสะลึมสะลือ มองภาพใบหน้าเล็กนั้นซ้อนทับกันไปมา ร่างกายเองก็ไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจขัดขืนสิ่งใดได้ ไม่ว่าจะออกคำสั่งอย่างไร ร่างกายก็ไม่ยอมขยับเลยแม้แต่น้อย

              แร็กนาร์ปล่อยมือออกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้รับยาในปริมาณที่มากพอแล้ว เขายืนขึ้นมองร่างที่นอนอย่างไร้เรี่ยวแรงนั้นอย่างพอใจ สิ่งที่ร่ำร้องในใจตอนนี้คือ อยากเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความทรมานของร่างที่อยู่ตรงหน้านี้

              ฉั๊วะ ฉั๊วะ ฉั๊วะ

              เสียงมีดในมือของแร็กนาร์เฉือนเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว ไล่จากขา ลำตัว ไปจนตลอดแขน แล้วเขาจึงหยุดยืนมองภาพนั้นอีกครั้ง เลือดสีแดงพุ่งกระฉูดไปทั่วร่าง ย้อมร่างใหญ่โตนั้นให้กลายเป็นสีแดงฉาน เข้ากับสีตา และสีผมที่เป็นสีแดงเลือดนั้นเสียจริงๆ แม้แผลที่เกิดขึ้นจะไม่ใหญ่มาก แต่การเฉือนแต่ละครั้งกลับตัดโดนเส้นเลือดอย่างแม่นยำ แววตาที่ทอประกายตื่นเต้น อย่างเช่นคราวที่เขาได้สังหารเหยื่อนั้นช่างยั่วยวนชวนหลงใหล จนบางครั้งอาจมีใครที่พร้อมถูกทรมานเพื่อได้รับการมองเช่นนั้น กลิ่นเลือดที่คละคลุ้งกระตุ้นในแร็กนาร์ตื่นเต้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเริ่มจมสู่ห้วงของการสังหาร จิตสำนึกของค่อยๆจางหาย

              แร็กนาร์หลับตาค่อยๆดึงให้ความนึกคิดของตนกลับมา พร่ำบอกว่าตนพอใจแล้ว พอได้แล้ว มากกว่านี้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง แร็กนาร์หันไปจ้องมองหน้าจองเคียวจิอีกครั้ง มันเองก็จ้องมองกลับมาด้วยสายตาโกรธแค้น แม้ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับตัว มันก็ยังฝืนจะลุกขึ้น หรือไม่ยาคงจะเริ่มหมดฤทธิ์แล้ว มันจึงเริ่มขยับตัวได้เช่นนี้ แร็กนาร์ผลักเคียวจิลงอีกครั้ง พร้อมขึ้นไปนั่งทับในท่าเดิม เคียวจิเองก็ไม่อาจฝืนได้จำต้องนอนลงไปเท่านั้น

              พวกลูกสมุนที่สังเกตการณ์อยู่ห่างๆเริ่มอยู่ไม่สุข พวกมันอยากวิ่งเข้าไปร่วมด้วย แต่กลับเกรงกลัวการลงโทษของหัวหน้าเคียวจิของพวกมัน เพราะเคียวจินั้นรักศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งการประลองตัวต่อตัวแล้ว มันไม่อนุญาตให้ใครยื่นมือเข้ามาสอด พวกลูกสมุนยังคงลังเล จึงได้แต่นิ่งเงียบจ้องมองภาพนั้นด้วยความหวังให้เคียวจิลุกขึ้นมาเท่านั้น

              แร็กนาร์ยกมีดขึ้นหมายจะสังหารเหยื่อของเขา จ้องมองไปที่ลำคออย่างหมายมาด พวกมันรู้ถึงสายตานั้น จึงมีบางตนรีบทะยานตัวออกไปหมายจะจัดการกับแร็กนาร์ ที่บังอาจทำร้ายหัวหน้าของตน แม้จะถูกลงโทษพวกมันก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว

              “แก หยุดนะเว้ย!” เสียงนั้นไม่ได้ทำให้แร็กนาร์ชะงักมือแต่อย่างใด เขากลับเผยรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากด้วยซ้ำ

              ปึก! เคร้ง

              มีดที่ยกขึ้นแล้วพุ่งลงหมายจะเฉือนเส้นเลือดที่ลำคอของเคียวจิถูกพัดอันหนึ่งพุ่งเข้าใส่จนกระเด็นหลุดมือ ลอยไปกระทบกับกำแพงที่อยู่ด้านหลังทันที เสียงนี้เป็นดังสัญญาณจบการต่อสู่

              แร็กนาร์หันไปมองที่มาของพัดอันนั้น เขาจ้องมองซาดาโอะอย่างเฉยชา แม้ในใจจะร่ำร้องว่าซวยแล้ว เพราะร่างนี้ไร้เรี่ยวแรง การที่อาวุธหลุดมือจึงเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างหาที่สุดไม่ได้

              เคียวจิดิ้นแรงขึ้นเมื่อยาใกล้หมดฤทธิ์ แร็กนาร์รีบนำยาที่ตกอยู่ใกล้ๆกดลงไปที่จมูกของมันอีกครั้ง แต่ปริมาณน้อยเกินไปจนไม่เกิดผล เขาจึงกดมือไว้เช่นนั้นเพื่อรอให้อีกฝ่ายขาดอากาศหายใจ กดไว้ทั้งมือและปาก ไม่ได้บีบที่ลำคือ เพราะร่างนี้แรงน้อยเกินไปต่อให้ทำเช่นนั้นก็ไม่อาจช่วยสิ่งใดได้มากนัก

              ‘บ้าเอ้ย! อาวุธหลุดมือ บีบคอก็แรงไม่พอ ทำไมถึงได้อับจนหนทางแบบนี้วะ ถ้าเรามีพลังแบบรูร์กัสล่ะก็คงพอทำอะไรได้บ้าง ทำไม ทำไม ทำไมกัน เราถึงได้ไรพลังแบบนี้

              แม้โลกเดิมเราจะอยู่บนหลักของวิทยาศาสตร์เสมอ แต่ครั้งนี้ แค่ครั้งนี้เท่านั้น ขอพลังวิเศษให้ผมเถอะ ผมอยากมีพลัง อยากลงโทษคนที่ทำร้ายคนสำคัญของผม ได้โปรด พระเจ้า...

              ถ้าเป็นแบบนี้ทั้งหมดที่เรียนรู้มาจะมีประโยชน์อะไร ธาตุเอย ตารางธาตุเอย ช่วยทำให้มันเกี่ยวข้องก่อนหน่อยไม่ได้รึไงเล่า! ถ้าผมไม่สามารถควบดิน น้ำ ลม หรือไฟได้ ก็ขอให้ผมที่เข้าใจในหลักการเกิดสิ่งเหล่านี้ได้มีพลังบ้าง

              อย่างถ้ามีไฮโตรเจน กับออกซิเจน ในปริมาณที่เหมาะสมจนเกิดโมเลกุล H2O ก็ขอสร้างน้ำขึ้นมาบ้างไม่ได้รึไงกัน ขอล่ะ ขอล่ะ ขอร้องนะครับ พระเจ้า...’


              อึก แค่กๆ

              เสียงไอของเคียวจิทำให้แร็กนาร์ตื่นจากภวังค์ความคิดที่พร่ำเพ้อไปไกล แร็กนาร์จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ทั้งภาพ และสัมผัสชื้นแฉะบนมือนั้น ตอนนี้มีน้ำจับตัวเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆบนฝ่ามือของเขาที่อยู่บนใบหน้าของเคียวจิ


              ใช่แล้ว! น้ำจำนวนหนึ่งไหลออกมาจากฝ่ามือของเขา

 

 

 
To Be Continued...

 

_______________________________________________________________________


มาแล้วค่าาา ยังไม่เฉลยนะคะ เรื่องของ ซาดาโอะ เอาฉากต่อสู้ไปก่อนเนาะ หุหุหุ
สนุกไหมคะ? พอมองภาพออกไหมคะ? ฉากต่อสู้แต่งยากจัง กลัวใส่รายละเอียดไม่ครบ
ขาดตกบกพร่องตรงไหนแจ้งได้เลยน้าาาาา
ตอนนี้รู้สึกว่ามันยากกว่าทุกตอนเลย...
ยังไงก็ฝากติชมกันเข้ามาด้วยนะคะ เราจะได้นำไปปรับปรุงในตอนต่อๆไป
ขอบคุณค่าาาา
พูดคุย และทวงนิยายได้ที่ >>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 11 หมอชรา(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 02-10-2016 17:20:29

ตอนที่ 11
หมอชรา


           “ปล่อยมือจากท่านเคียวจิซะ!!” เสียงลูกสมุนที่วิ่งเข้ามาจู่โจมแร็กนาร์ดังขึ้น หลังจากที่พวกมันวิ่งเข้ามาในขณะที่แร็กนาร์ยกมีดขึ้นหมายจะเฉือนไปบริเวณลำคอของเคียวจิ พวกมันก็ออกวิ่งกรูกันเข้ามาหมายจะจัดการกับแร็กนาร์ ก่อนหน้านี้พวกมันชะงักเล็กน้อยเมื่อพัดของซาดาโอะหยุดมีดของแร็กนาร์ไว้ และมื่อพวกมันตั้งสติได้ก็วิ่งเข้าใส่แร็กนาร์อีกครั้งทันที

           ต่างจากแร็กนาร์ที่ยังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขานั่งอยู่อย่างนั้น พร้อมจ้องมือของตน และใบหน้าของเคียวจิที่บัดนี้เปียกโชกไปด้วยน้ำจำนวนหนึ่ง

           ‘หยุดแล้ว ทำไม อะไรไปกระตุ้นให้มันออกมา สิ่งที่เราคิด หรือแรงภาวนา เราคิดอะไรนะ ก่อนหน้านี้ ทำไมมันไม่ออกมาอีกล่ะ ออกมาสิ ได้โปรด...’

           แร็กนาร์ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เขาตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ปากพึมพำเบาๆ มือก็พลิกไปมาอย่างสำรวจ ทั้งยังพยายามคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น คิดกลับไปยังความคิดก่อนหน้านี้ของตน คิดถึงสาเหตุที่เขาสามารถใช้พลังนี้ได้ และเมื่อยิ่งคิด สมาธิก็จดจ่อ ทั้งสายตา ทั้งประสาทสัมผัสอันเฉียบคมอื่นๆก็หยุดทำงาน แร็กนาร์เพ่งสมาธิทุกอย่างให้คิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนครั้งแล้วครั้งเล่า จนไม่สนใจสิ่งรอบตัว

           พวกเหล่าลูกสมุนเผ่าพยัคฆ์เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง ก็รีบพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลังเล เมื่อมีโอกาสดีๆเช่นนี้ มีหรือพวกมันจะพลาด พวกมันตระหนักดีว่าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้เก่งกาจเพียงใด การที่พวกมันจะเอาชนะจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมีโอกาสจึงต้องรีบคว้าเอาไว้

            พลั่ก!

            ปีศาจตนแรกที่วิ่งเข้าไปประชิดตัวของแร็กนาร์ได้ก่อนจู่โจมด้วยการต่อยกำปั่นอันใหญ่โตไปยังใบหน้าเล็กนั้น จนร่างทั้งร่างของแร็กนาร์กระเด็นไปตามแรง ปลิวจากตัวของเคียวจิออกไปเล็กน้อยจนไปนอนกับพื้นข้างๆ แม้แร็กนาร์จะยังคงมีสติอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด ยังคงนอนมองมือของตนอยู่อย่างนั้น ปากก็พร่ำพึมพำสิ่งที่คนรอบข้างไม่อาจเข้าใจ ปีศาจตนนั้นพุ่งเข้าไปหมายจะจัดการต่อ เพื่อเป็นผลงานของตน ส่วนปีศาจบางส่วนเข้าไปช่วยเหลือหัวหน้าของพวกมัน

            “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้” เสียงเล็กสองเสียงสอดประสานกันตะโกนขึ้นจนดังไปทั่วบริเวณ แล้ววิ่งออกมาจากช่องที่ตนซ่อนอยู่

            “นายน้อย!” เหล่าปีศาจเผ่าพยัคฆ์ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหยุดชะงัก เพราะเสียงที่คุ้นเคย และหันมองตามเสียงที่ได้ยินนั้น พวกมันเบิกตากว้างเมื่อเห็นสองร่างเล็กผิวขาว และผิวคล้ำ ที่พวกมันตามหาอยู่จนวุ่นวายไปทั่ว ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

            “พวกเจ้าห้ามทำร้ายแร็กนาร์นะ!” ฮิโรกิเอ่ยขึ้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแร็กนาร์ ที่ยังคงนอนนิ่งทั้งที่ยังไม่ได้สลบไป พวกเขาไม่เคยเห็นแร็กนาร์เปิดช่องว่างมากมายเช่นนี้มาก่อน

            “เหตุใดพวกเราต้องหยุด มันทำร้ายท่านเคียวจิปางตาย หากเราไม่รีบจัดการตอนนี้ โอกาสอาจจะไม่มีอีกแล้วนะขอรับ นายน้อย” ลูกสมุนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น ในน้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความโกรธ และความกลัว...ใช่แล้ว พวกมันโกรธแค้นที่แร็กนาร์ทำร้ายหัวหน้าของมัน และกลัวในความสามารถนั้นของแร็กนาร์ด้วย พวกมันรู้ดีว่าหากไม่รีบจัดการตอนนี้ ฝ่ายที่จะถูกจัดการจะกลายเป็นพวกมันเอง ขนาดเคียวจิที่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยของพวกมันยังไม่อาจสู่ร่างเล็กนี้ได้ แล้วอย่างพวกมันจะทำสิ่งใดได้

            “พวกเจ้าไม่ละอายใจบ้างรึที่รุมทำร้ายเด็กตัวเล็กๆที่เป็นเพียงมนุษย์แสนอ่อนแอดังเช่นที่พวกเจ้าชอบกล่าวกัน และแร็กนาร์เองก็เป็นทั้งสหาย และผู้มีพระคุณของข้ากับฮิโรกิ พวกเจ้ายังจะกล้าทำร้ายอีกหรือ” ฮิเดโอะเอ่ยขึ้นหลังจากที่เข้าไปประคองและดูอาการของรูร์กัส แม้โล่งใจที่รูร์กัสยังหายใจอยู่ แต่เขาต้องช่วยให้ทั้งรูร์กัส ทั้งแร็กนาร์รอดจากสถานการ์ที่เกิดขึ้นนี้

            “หยุดมือ แล้วไปตามท่านหมอมาซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฟ้องท่านพ่อให้ลงโทษพวกเจ้า” ฮิโรกิประกาศกร้าว ตอนนี้เขาไม่อาจใจเย็นได้ดังเช่นฮิเดโอะ เพราะเขาห่วงรูร์กัสและแร็กนาร์มากหลือเกิน หลายครั้งที่เขาจะออกมาช่วย แต่ก็ถูกฮิเดโอะห้ามไว้ ฮิโรกิไม่เข้าใจฮิเดโอะแม้แต่น้อย จึงดื้อรั้นเกือบเผลอหลุดปากกาว่าฮิเดโอะขี้ขลาด แต่เขาก็ก็ต้องกลืนคำนั้นลงคอไป เมื่อหันมามองหน้าฮิเดโอะที่กัดฟันกรอด และกำมือแน่น ข่มความโกรธของตนเอาไว้ ฮิเดโอะกำลังอดทนให้ถึงที่สุด แม้ไม่เข้าใจนัก แต่เขาจึงจำต้องทำตาม นิ่งเงียบอดทนอยู่อย่างนั้น

             “พวกเจ้าอย่าวู่วาม ข้าจะคุยกับนายน้อยเอง...นายน้อย ที่บอกว่าเด็กน้อยทั้งสองโจมตีพวกเรา เป็นสหายของท่านนั้นจริงหรือ” ซาดาโอะ ที่เงียบสังเกตการณ์อยู่นานเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าพวกลูกสมุนต่างลังเลที่จะลงมือ

             “ใช่แล้ว แร็กนาร์เป็นทั้งสหาย และผู้ทีพระคุณของพวกเราทั้งสอง” ฮิโรกิตอบกลับแทนฮิเดโอะทันที น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหนักแน่น แต่ก็แฝงความโกรธขึงไว้ เพราะซาดาโอะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แร็กนาร์ได้รับบาดเจ็บ

             “พี่รูร์กัสอาการสาหัสมาก เราต้องรีบตามท่านหมอแล้ว...พวกเราจะตอบคำถามของท่านซาดาโอะเท่าที่เราตอบได้ รีบตามท่านหมอเถอะ และทางท่านเองก็คงต้องรีบรักษาท่านเคียวจิด้วยเช่นกัน ดูแล้วอาการก็สาหัสไม่น้อย ไม่กลัวเลือดหมดตัวก่อนหรือไร หรือพวกเจ้าว่าไม่ใช่” ฮิเดโอะเริ่มต่อรองกับซาดาโอะ เมื่อเห็นว่ารูร์กัสอาการย่ำแย่ลง มีเลือดไหลออกมาจากปาก  ใบหน้านั้นก็เริ่มขาวซีดไร้เลือดฝาด เขาหันไปมองยังกลุ่มลูกสมุนที่ดูอาการของเคียวจิอยู่ในประโยคคำถามสุดท้ายนั้น   เพื่อช่วยยืนยันสิ่งที่ตนกล่าวออกมา

             “ใช่แล้วขอรับ บาดแผลของท่านเคียวจิมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดเลย  เราต้องรีบรักษาแล้วขอรับท่านซาดาโอะ” ลูกสมุนหนึ่งในนั้นตอบออกมาตามที่ฮิเดโอะคาดไว้   เขาจึงหันไปมองซาดาโอะเพื่อรอคำตอบ

             “หึหึ   สมกับเป็นนายน้อยฮิเดโอะ   ท่านช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก...ข้อเรียกร้องของท่านนั้นข้าตกลง   แต่ข้าก็มีข้อเรียกร้องของข้าเช่นกัน...สหายของท่านต้องไม่ลงมือใดๆกับพวกเราอีก  และเมื่อการรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ในคุกของพวกเรา” ซาดาโอะยิ้มน้อยๆอย่างไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น และกล่าวอย่างเนิบนาบแต่กลับเป็นการโต้กลับอย่างชาญฉลาด

             “แต่...”  ฮิเดโอะจะต่อลองกลับไปอีกครั้ง  แต่กลับถูกหยุดด้วยเสียงของอีกฝ่ายทันที

             “นายน้อยฮิเดโอะ  ท่านก็เห็นว่าฝ่ายที่เลือกจู่โจมก่อนคือสหายของท่าน พวกเราหลายตนแม้ไม่เสียชีวิต แต่ก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อยเลย พวกท่านจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่าสหายของท่านจะไม่เข้ามาทำร้ายพวกเราอีก” ถ้อยคำที่โต้กลับมานั้นมีเหตุผลเป็นอย่างมากจนยากที่จะหาสิ่งใดมาลบร้างได้  เพราะคนที่ลงมือก่อนคือรูร์กัสจริงๆ และเขาเองก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้รูร์กัสลงมือ จึงไม่อาจรับปากได้ว่าจะสามารถเกลี่ยกล่อมรูร์กัสกับแร็กนาร์ไม่ให้ลงมืออีกได้อย่างไร  จึงได้แต่เก็บความโกรธยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

             “ตกลง” เสียงเล็กที่กล่าวแทรกบทสนทนาที่ตึงเครียดของซาดาโอะกับฮิเดโอะนี้คือเสียงของแร็กนาร์   ที่บัดนี้ลุกขึ้นมานั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งตอนนี้เขาคิดสิ่งใดไม่ออกจึงพาสติของตนเองกลับมาโลกแห่งความจริง

             นี่เป็นนิสัยเสียอีกหนึ่งอย่างของแร็กนาร์ เมื่อเขาเจอสิ่งใดที่แปลกใหม่ หรือคิดไม่ตก ก็จะพาสติของตนตัดขาดจากโลกภายนอกทันที ต่อให้ฟ้าถล่ม ดินทะลาย ก็ไม่อาจฉุดเขาออกมาจากห้วงความคิดเหล่านี้ได้ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป  ในตอนที่เขาตัดตัวเองออกจากโลกแห่งความเป็นจริงนี้ กลับมีเสียงเล็กๆสองเสียงแทรกเข้าไปได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบ ไม่เพียงเสียงเหล่านั้น ภาพใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองยังปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ตามด้วยภาพของพี่ชายที่ใบหน้าอาบไปด้วยเลือด แร็กนาร์จึงรีบดึงสติของตนให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงนี้ และได้ยินบทสนทนาโต้ตอบของซาดาโอะกับฮิเดโอะพอดี

             “แร็กนาร์เจ้าได้สติแล้ว” ฮิโรกิเอ่ยขึ้นอย่างยินดีแล้วหันหลังกลับไปมองพร้อมกับเดินเข้าไปประคองแร็กนาร์ให้ลุกขึ้นยืน การจู่โจมเมื่อครู่รุนแรงเป็นอย่างมากเขาจึงรู้สึกห่วงร่างเล็กที่แสนบอบบางนี้เป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ประคองแร็กนาร์ให้ลุกขึ้นเขาก็มองสำรวจใบหน้างดงามนั้นไปด้วย แต่ก็ต้องฉงนสงสัยเมื่อบนใบหน้านั้นมีเพียงรอยแดงจางๆที่มุมปากเท่านั้น

             “ไม่ต้องห่วง...ข้าไม่เป็นอะไร หมัดนั่นแค่เพียงเฉียดไปเท่านั้น ร่างกายข้าหลบเองโดยสัญชาตญาณ”  แร็กนาร์ตอบกลับออกมาเองโดยไม่ต้องรอคำถามจากฮิโรกิ เพราะใบหน้าของฮิโรกิแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าสงสัยเพียงใด

             “ข้าตกลงตามข้อต่อรองของท่าน  รีบรักษาพี่รูร์กัสเถอะ...ข้าขอร้อง” แร็กนาร์หันไปสนใจซาดาโอะทันทีหลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว  ตอนนี้เขาต้องละทิ้งทิฐิของตน เพราะชีวิตรูร์กัสสำคัญที่สุด  และยาในกระเป๋าของเขาเองก็ไม่มียาใดเลยที่สามารถรักษาอาการเลือดตกค้างภายในของรูร์กัสได้ ดังนั้นการพึ่งหมอของที่นี่จึงเป็นทางออกเดียวเท่านั้น แร็กนาร์ยอมทุกอย่าง แม้กระทั่งการขอร้องคนที่รูร์กัสหมายจะเอาชีวิต

             “แต่แร็กนาร์เจ้าต้องไปอยู่ในคุก  แล้วก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เขาถึงจะยอมปล่อยตัวเจ้า” ฮิเดโอะขัดขึ้น เพราะเหตุใดไม่ทราบเขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้  เขารู้เพียงว่าไม่อยากให้แร็กนาร์เข้าไปอยู่ในที่สกปรกอย่างคุกนั้น แม้มันจะเป็นทางออกเพียงอย่างเดียวที่รูร์กัสจะรอดชีวิตก็ตาม

             “ดีแล้ว ข้ากำลังอยากได้ที่สงบๆ” แร็กนาร์ตอบกลับอย่างไม่รู้สึกกังวลใจ สำหรับเขาแล้วไม่ว่าที่ใดก็ไม่เลวร้ายเท่ากับสถานที่ที่ใช้ขังเขาเอาไว้ในครั้งที่ถูกทดลองนั้น และแม้จะขึ้นชื่อว่าคุก มันก็ไม่อาจกักขังเขาเอาไว้ได้ แต่หากตอนนี้สถานที่นั้นก็เหมาะสมไม่น้อยในการที่เขาจะเข้าไปนั่งคิดทบทวนเกี่ยวกับพลังของตนที่มันกวนใจอยู่ตอนนี้

             .

             .

             .

             3 วันผ่านไป

             เหตุการณ์ที่เด็กน้อยทั้งสี่ลอบเข้าไปยังบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะผ่านมา 3 วันแล้ว ในวันนั้นมีการถกเถียงกันอีกเล็กน้อย จนฮิเดโอะจำยอมเพราะรูร์กัสอาการเริ่มทรุดหนักลงอีกจนน่าตกใจ

             ส่วนซาดาโอะก็ตกลงเมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดเสียหายไปมากนัก  ไม่มีใครเสียชีวิต  และเคียวจิเองก็เริ่มอาการทรุดหนักเช่นกัน  ทั้งเสียเลือดมากเกินไป ทั้งเกิดการอาการช็อกเพราะมีน้ำเข้าไปในร่างกายทั้งทางปากและจมูก

             หลังจากตกลงเพียงไม่นานหมอประจำกลุ่มยาฉะกลุ่มหนึ่งก็เข้ามายังบริเวณนั้น โดยมีหมอชราคนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์นี้  หมอชรายืนมองสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะสั่งให้หมอคนอื่นๆแยกย้ายกันรักษาตามหน้าที่ ทั้งรูร์กัส เคียวจิ และลูกสมุนที่บาดเจ็บเพราะฝีมือของรูร์กัส

              รูร์กัสมีเลือดตกค้างในร่างกาย และกามหักเพราะถูกแรงกระแทกที่รุนแรงของเคียวจิ จึงต้องทำการผ่าตัดโดยด่วน  แร็กนาร์สังเกตการณ์รักษาเพียงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหมอของที่นี่ต่างมีจรรยาบรรณของแพทย์ที่ดีไม่เลือกรักษาผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดเขาก็วางใจ เดินเข้าไปคุยกับฮิเดโอะและฮิโรกิห่างจากกลุ่มนั้นเล็กน้อย เรื่องอาการของพ่อของเด็กทั้งสอง รวมทั้งบอกระยะเวลาในการรักษาที่เขาได้ยื้อเอาไว้ และสั่งการให้พาเขาออกจากคุกภายใน 5 วัน หากต้องการช่วยชีวิตพ่อของเขา

              จากนั้นแร็กนาร์ก็ยอมถูกคุมตัวโดยพวกลูกสมุน และซาดาโอะที่เดินคุมตัวเขาไปด้วย พวกมันพยายามจะยึดกระเป๋าของแร็กนาร์เอาไว้ แต่แร็กนาร์ก็ต่อรองจนสามารถเอากระเป๋ามาไว้กับตัวได้

              ตอนนี้แร็กนาร์กำลังทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เขาทบทวนมันซ้ำๆซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก ส่วนรูร์กัสเองก็นอนอยู่บนเตียงในห้องขังเดียวกันนี้ รูร์กัสถูกหามเข้ามาหลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หรือก็คือหลังจากที่แร็กนาร์อยู่ในคุกนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

              ในตอนแรกแร็กนาร์ตั้งใจจะต่อรองในเรื่องนี้  แต่เมื่อเข้ามาเห็นคุกแล้วก็นับว่าที่นี่ไม่เลวเลย จึงได้แต่เงียบไป ในคุกนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียว ภายในห้องมีกรงขังแยกห้องไว้เพียง 4 กรง ฝั่งละ 2 ห้องหันหน้าเข้าหากัน ภายในกรงขังแต่ละด้านปิดทึบด้วยปูน มีเพียงด้านหน้าที่เป็นลูกกรงมองเห็นฝั่งตรงข้ามได้ มีเตียงห้องละ 2 เตียง โดยเตียงมีแผ่นเหล็กที่ไม่หนามากเป็นฐานรอง ลอยขึ้นจากพื้นไม่สูงมาก เพียงพอให้ขึ้นไปนั่งได้ง่ายๆ   เตียงด้านในถูกทำให้ติดกับผนัง ส่วนมุมด้านนอกทั้งสองมุมถูกยึดไว้ด้วยสายโซ่เหล็กเส้นใหญ่แข็งแรง สายโซ่ยาวโยงฝั่งหนึ่งติดกับเตียง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งติดยึดไว้กับผนังด้านใน มีช่องว่างดูเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีขนาด 45 องศา และมีฟูกบางๆเก่าๆวางอยู่ด้านบน  แม้จะเก่าแต่ก็ไม่สกปรกเท่าที่ควรจะเป็น

              ซาดาโอะบอกกับแร็กนาร์ว่า ห้องขังนี้เป็นห้องขังที่สบายที่สุด เพราะใช้ขังพวกหัวหน้าหน่วยเมื่อทำภารกิจผิดพลาด หรือก็คือมันเป็นเพียงห้องสำนึกผิดเท่านั้น ที่นี่ทั้งสะอาดและสงบ เพราะใช้เป็นที่ให้พวกหัวหน้าหน่วยเข้ามาสงบสติ และเป็นการให้เกียรติแก่พวกเขา แม้จะไม่ได้ใช้มา 7-8  ปี มาแล้วนับตั้งแต่หัวหน้าใหญ่คนนี้ขึ้นเป็นหัวหน้า เพราะเขาเลือกจะขังหัวหน้าหน่วยที่ทำผิดในคุกสำหรับนักโทษ แต่ที่นี่ก็ยังถูกทำความสะอาดอยู่เสมอ

               แร็กนาร์ถามกลับไปว่า แล้วเหตุใดจึงต้องให้เกียรติพวกเขาปฏิบัติกับเขาเช่นหัวหน้าหน่วย ซาดาโอะก็ตอบด้วยเสียงนิ่งเรียบว่า

              ‘ไม่ใช่ให้เกียรติ ข้าเพียงปราณีคนป่วยที่จะตามเข้ามาในไม่ช้า และที่สำคัญพวกเจ้าเป็นสหายของนายน้อย’

              ...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 11 หมอชรา(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 02-10-2016 17:22:01
 
               ...(ต่อ)...

               กล่าวจบก็สั่งให้ลูกสมุนล็อกกุญแจกรงขังแล้วเดินออกไป และเพียงไม่นานรูร์กัสก็ตามเข้ามาจริงๆ 3 วันมานี้มีหมอเข้ามาตรวจดูอาการของรูร์กัสเรื่อยๆแร็กนาร์จึงวางใจไปได้บ้าง เขาตรวจดูรูร์กัสทุกชั่วโมงเพราะยังไม่อาจวางใจการรักษาของหมอของที่นี่ได้ และนี่ก็เป็นอีกครั้ง แร็กนารเดินเข้าไปยังเตียงของรูร์กัส แต่ก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของปีศาจ 3 ตน กำลังเดินเข้ามายังห้องขังของเขา

               “วันนี้ท่าจะเป็นวันดี  เจ้าคงไม่ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองใช่หรือไม่” เสียงแหบแห้งที่แก่ชราดังขึ้น แร็กนาร์ขยับเข้าไปใกล้เตียงของรูร์กัสทันทีเพื่อระวังภัย 3 วันแล้วที่รูร์กัสยังไม่ฟื้น ดูจากอาการแล้วคงไม่เพียงบอบช้ำทางร่างกาย จิตใจก็คงจะบอบช้ำไม่น้อยเลย

               “ใช่” แร็กนาร์พิจารณาชายตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามออกไปเพียงสั้นๆเท่านั้น เขาจ้องมองหมอชราอย่างไม่วางตา หมอชราตนนี้  คือหมอที่เป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์ที่สั่งการหมอคนอื่นๆในวันนั้น หมอชรามีผิวหนังที่เหี่ยวแห้ง จนทำให้ลวดลายตามตัวหย่อนยานไปตามผิวหนังไม่อาจมองออกว่าเป็นเสือชนิดใด

               “เปิดประตู ข้าจะเข้าไปด้านใน” เมื่อแร็กนาร์ตอบรับ หมอชราก็สั่งให้ลูกสมุนทั้งสองที่เป็นผู้เฝ้าประตูห้องคุมขังไขกุญแจกรงขังทันที

               “ยังไม่ถึงเวลาตรวจ ท่านมีธุระอะไร” แร็กนาร์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหมอชรามาก่อนเวลาตรวจ และทั้งก่อนหน้านี้หมอชราไม่ได้เป็นผู้เข้ามาตรวจรูร์กัสเองแม้แต่น้อย

               แกร็ก

               ผู้เฝ้าประตูคุกที่เปิดประตูจัดการล็อกกุญแจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหมอชราเข้ามาด้านในแล้ว จากนั้นมันก็เดินไปอยู่อีกมุมหนึ่งของลูกกรงฝั่งตรงข้ามกับที่เพื่อนของมันยืนอยู่ทันที

               “พวกเจ้าออกไปก่อน รออยู่ด้านนอก และอย่าเข้ามาจนกว่าข้าจะเรียก” หมอชราสั่งให้ผู้เฝ้าประตูทั้งสองออกไปรอด้านนอก พวกมันหันไปมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเดินออกไปตามคำสั่ง

               ปึก!

               เมื่อผู้คุมคุกทั้งสองออกไปด้านนอกแล้วหมอชราก็ขยับเดินไปนั่งลงยังเตียงฝั่งตรงข้ามซึ่งแร็กนาร์ใช้ซุกหัวนอนในสามวันมานี้ พอขยับนั่งจนได้ที่ก็มองหน้าแร็กนาร์ที่ยืนอยู่ข้างเตียงของรูร์กัสด้วยท่าทีสบายๆดังคนที่เข้ามานั่งคุยเล่นกันธรรมดาๆ

               “มีอะไรก็รีบพูดมา” แร็กนาร์กล่าวออกมาอีก เมื่อเห็นว่าหมอชราไม่เข้าเรื่องเสียที ทั้งยังท่าทีน่ารำคาญใจนั่นอีก ทั้งลองขย่มตัวดูว่าเตียงแข็งแรงดีหรือไม่ ทั้งมองรอบด้านอย่างสำรวจ แล้วพยักหน้าหงึกหงักอย่างพอใจ มันช่วงกวนโมโหแร็กนาร์เป็นอย่างยิ่ง

               “ฮ่าๆๆอย่ารีบร้อนๆเจ้าหนู  ข้าเพียงแค่สำรวจดูเท่านั้นว่าพวกเจ้าอยู่สุขสบายดีหรอไม่” ช่างเป็นคำตอบที่ชวนเพิ่มความโมโหเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเข้ามาอยู่ในคุกที่อับชื้นเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายกลับถามว่าอยู่สุขสบายดีหรือไม่นั้น ทำให้แร็กนาร์เริ่มคิ้วกระตุกอย่างรำคาญใจ จนอยากจะเชือดคนตรงหน้าที่ช่างกวนอารมณ์นี้ทิ้งเสียเหลือเกิน

               “ถ้าจะมากวนข้า  ก็ออกไป” แร็กนาร์ไม่ตอบกลับแต่ออกปากไล่อีกฝ่ายแทน ก่อนเจ้าตัวจะหันหลังให้หมอชรา แล้วไปสนใจรูร์กัสต่อ

               “ฮ่าๆๆเจ้านี่เหมือนจะใจเย็น แต่ก็ใจร้อนไม่น้อยเลยนะ” น้ำเสียงที่ร่าเริงยังคงตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน นั่นยิ่งชวนให้แร็กนาร์รำคาญใจมากขึ้นไปอีก

               ‘ไอ้แก่นี่ จะเอายังไงของมันวะ  คนยิ่งหงุดหงิดที่คิดเรื่องพลังไม่ออกอยู่ ทั้งเรื่องรูร์กัสอีก แล้วก็เรื่องพ่อของเด็กแฝดนั่นด้วย ยังกล้ามากวนโมโหเราอีก เดี๋ยวถ้าทนไม่ไหวจะหาว่าเราไม่เตือนไม่ได้นะเว้ย หึ่ย!’

                “โอ๊ะๆ อย่าพึ่งแผ่รังสีฆ่าฟันใส่ข้าสิเจ้าหนู ข้าเพียงดีใจมากไปหน่อยเท่านั้นที่วันนี้เจ้าดูปกติดี  2 วันมาแล้วที่ข้าเข้ามาหาเจ้า เจ้าก็เอาแต่นั่งพึมพำแต่ภาษาแปลกๆที่ข้าไม่เข้าใจ พยายามเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบรับ เจ้าก็ทำข้าเสียเวลาไม่น้อยเลย แค่ทนตาแก่คนนี้นิดๆหน่อยๆเจ้าก็อย่าว่ากันนักเลย  ฮ่าๆๆๆ” คำกล่าวติดเกรงใจ และเหตุผลนั้นดูจะพอรับฟังได้ หากน้ำเสียงไม่ตรงตามคำพูดเลย มีแต่ความหยอกเย้าจนแร็กนาร์แทบทนไม่ไหว

                “มีอะไรก็พูดมา ตาแก่” แร็กนาร์ที่เริ่มอารมณ์คุกรุ่นยังคงยับยั้งข่มอารมณ์ของตนเอาไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะพูดคุยกับตนจริงๆ และคงจะสำคัญมากจึงได้เข้ามาหาทุกวันเช่นนั้น ดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องโกหกเช่นกัน เพราะแร็กนาร์ปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอกในบางเวลาจริงๆ แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่เข้าก็สันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะร่างกายใหม่นี้ที่ทำให้เขากำหนดเวลาปิดกั้นตัวเองได้ หากเป็นร่างเดิมถ้าเรื่องราวที่รบกวนจิตใจไม่กระจ่างชัดเข้าก็จะไม่สามารถกลับมายังโลกแห่งความจริงได้เช่นนี้ และแร็กนาร์เคยปิดกั้นตัวเองยาวนานถึง 1 อาทิตย์เลยที่เดียว ไม่กินไม่นอน ทำเพียงนั่งนิ่งๆเมื่อเจอเหตุการณ์นั้น...

                “เอาล่ะๆ เข้าเรื่องกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา”  หมอชรากล่าวออกมายิ้มๆด้วยท่าทีที่เป็นทางการ

                ‘เสียเวลาเพราะแกไม่ใช่เหรอ ตาแก่นี่’

                แร็กนาร์คิดเพียงแค่นั้นก่อนจะขึ้นไปนั่งบนเตียงของรูร์กัสที่เหลือที่ว่างอยู่ แล้วหันหน้ามามองประจันหน้ากับหมอชราทันที

                “ข้าขอถามคำถามเจ้าก่อนเพื่อความแน่ใจ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าเจ้าควรจะตอบตามความจริงเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง” หมอชราเกริ่นออกมาอย่างราบเรียบเพื่อเข้าสู่ประเด็นที่ตนต้องการสนทนากับแร็กนาร์  แร็กนาร์เองก็ไม่ตอบสิ่งใดทำเพียงพยักหน้ารับน้อยๆเท่านั้น

                “เจ้าเป็นคนที่รักษาบาดแผลของนายน้อยใช่หรือไม่” หมอชราถามขึ้นทันที่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพร้อมจะตอบคำถามของตนแล้ว โดยเริ่มถามจากเหตุการณ์ที่ฮิเดโอะกับฮิโรกิถูกคนของกลุ่มโนบุทำร้ายเมื่อครั้งก่อน

                “ใช่” แร็กนาร์ตอบกลับอย่างไม่ลังเล เพราะเขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมาปิดบังอะไร แล้วอีกอย่างหนึ่งฮิเดโอะก็เคยบอกกับเขาเองว่าท่านหมอรู้เรื่องนี้แล้วเมื่อครั้งที่ขอให้แร็กนาร์มาช่วยเหลือพ่อของตน และถ้าจะให้คาดเดาท่านหมอที่ฮิเดโอะหมายถึงคงเป็นหมอชราท่านนี้อย่างแน่นอน

                “หึหึ เยี่ยม ตัดสินใจได้เยี่ยมยอด...เอาล่ะเข้าสู่คำถามข้อต่อไปกันเลย เจ้าคือคนที่ฉีดพิษอีกหนึ่งชนิดเข้าไปในร่างกายของท่านหัวหน้าใหญ่ใช่หรือไม่” คำถามนี้ทำให้แร็กนาร์ชะงักก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความไม่ไว้วางใจ

                “ใช่” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองตอบกลับอย่างไม่หลบสายตา แร็กนาร์จึงตอบกลับไปตามความเป็นจริง แต่แล้วบรรยากาศสบายๆรอบตัวของหมอชราก็เปลี่ยนไปกลายเป็นบรรยากาศกดดัน คาดคั้นอย่างที่คนเป็นหมอไม่ควรจะมี  แร็กนาร์เองก็รีบคว้ามีดในกระเป๋าตนเองทันที  เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้

                “หึหึ ไม่ต้องระแวงข้าขนาดนั้น ปล่อยมือจากมีดของเจ้าเถอะ ข้าเป็นเพียงหมอชราธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ไฉนจะสู้เจ้าได้” หมอชราเปลี่ยนท่าทีจนบรรยากาศกดดันนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง แล้วกล่าวออกมาด้วยท่าทีสบายๆ หาได้เครียดเกร็งเช่นแร็กนาร์ไม่

                ‘หมอชราธรรมดาๆเหรอ หึ พูดมาได้นะ  ไม่อายปากเลยจริงๆ  ทั้งๆที่สร้างบรรยากาศกดดันแบบนั้นออกมาได้  แล้วยังรู้ว่าเราจับมีดเตรียมพร้อมอีก ความสามารถมันเกินคำว่าธรรมดาไปแล้ว ตาแก่นี่ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ’

 
                 หลังจบคำพูดของหมอชรา แร็กนาร์ก็ยอมปล่อยมือจากมีด แล้วจ้องมองไปที่หมอชราอยู่อย่างนั้น หมอชราเองก็จ้องตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มๆเช่นกัน ทั้งสองหยุดสนทนา แล้วเพียงแค่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้น

                 “ฮ่าๆๆผ่อนคลายๆเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าทำสิ่งใดบ้าง เพราะได้ฟังจากนายน้อยบ้างแล้ว พอนำเรื่องราวต่างๆมาโยงกันมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ ที่ข้าแสดงท่าทีเช่นนั้นเพียงต้องการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจเท่านั้นเอง อย่าได้ถือสาข้าเลย

                 แต่ก็นับว่าเจ้าเป็นเด็กที่ไม่ธรรมดาเลย ทั้งการระวังภัยเมื่อครู่ ทั้งการตัดสินใจนั่นด้วย นับว่าเกินเด็กจริงๆ ทั้งยังวิธีการรักษานายน้อยที่ถูกแทงทะลุตัวนั่น มันทำให้ข้ายิ่งสนใจเจ้ามากขึ้นไปอีก ข้านั้นแม้จะแก่ชราแต่ก็ยังอยากศึกษาวิธีรักษาของเจ้า ข้าจึงตกปากรับคำช่วยเหลือนายน้อยไป หึหึ หากเจ้ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยก็บอกได้เลย ข้าพร้อมช่วยทุกเรื่อง...ไม่สิๆ ยกเว้นเรื่องการหนีออกจากห้องขังนี่เท่านั้นที่ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ ข้ายังไม่อยากเดือดร้อน” หมอชรากล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นและไม่ปิดบัง จนแร็กนาร์เองก็เริ่มผ่อนคลายไปด้วย

                  “คุกนี่ ข้าจะออกไปเมื่อไหร่ก็ได้” แร็กนาร์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เป็นการบอกกลายๆว่าตนไม่ต้องการความช่วยเหลือในการหนีออกจากคุกนี้  แม้จะตอบกลับอย่างราบเรียบเหมือนผ่อนคลายแล้ว แต่แร็กนาร์ก็ยังไม่วางใจมากนัก ยังคงระวังภัยออยู่อย่างนั้น

                  “ฮ่าๆ นั่นสินะ เห็นเจ้าพวกนั้นเล่าให้ข้าฟัง ว่าเจ้าเป็นคนจัดการกับเจ้าหนูเคียวจิ  ข้าเป็นคนรักษาเจ้านั่นด้วยตนเองถึงได้รู้ว่าฝีมือการใช้มีดของเจ้าช่างเฉียบขาดมากทีเดียว ทั้งรวดเร็ว และแม่นยำ เฉือนแต่เส้นเลือดสำคัญๆทั้งนั้น หากได้มีดคมกริบมากกว่านี้ เจ้าหนูเคียวจิคงไม่อาจรอดได้ ข้าล่ะอดชื่นชมเจ้าไม่ได้จริงๆ”  หมอชรายังคงมีท่าทีสบายๆกล่าวถึงเรื่องราวอย่างไม่สะทกสะท้านสิ่งใด ทั้งๆที่เคียวจิเป็นพักพวกของตน เขาไม่ได้มีท่าทีเคร่งเครียดเช่นเดียวกับแร็กนาร์แม้แต่น้อย

                  “ข้าอยากจะให้เจ้ารักษาท่านหัวหน้าใหญ่ต่อ เจ้าก็เป็นความหวังเดียวสำหรับตอนนี้...เขตใต้ที่เราร้องขอไปปฏิเสธความช่วยเหลือแล้ว เฮ้อ ข้าเป็นหมอจึงทนไม่ได้ที่จะเห็นหัวหน้าใหญ่เสียชีวิตไป แล้วก็ไม่อยากให้กลุ่มยาฉะตกต่ำหากไปอยู่ในมือของท่านผู้นั้น ส่วนพวกที่เหลือคงไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปรักษาหัวหน้าใหญ่ง่ายๆแน่ ดังนั้นเจ้ามีอะไรอยากให้ข้าช่วยก็บอกมาได้เลย” หมอชราสารภาพทุกอย่างออกมา แววตานั้นก็ฉายแววร้องขอ แม้แร็กนาร์จะไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นที่หมอชรากล่าวถึงคือใคร แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

                  เขารู้ดีถึงความยากลำบากในการเข้าไปรักษาตรงๆ เพราะเขาคือลูกครึ่งที่ถูกรังเกียจ เขารู้เรื่องนี้ดีจึงไม่คิดจะถกเถียงสิ่งใด และก็เป็นการดีต่อเขาเองหากพวกมันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนรักษา แผนการหลบออกมาเงียบๆนั้นยังคงพอใช้ได้อยู่บ้าง ส่วนที่เหลือคงต้องรอสอบถามจากรูร์กัสก่อน

                  “หึ ถ้าข้าบอกว่าจะไม่รักษาแล้วล่ะ” แร็กนาร์ลองเชิงกลับไปอีกครั้ง พร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ที่เป็นต่อในการสนทนาครั้งนี้ หมอชราเองก็ชะงัก แล้วมองแร็กนาร์ด้วยสายตาที่สื่อออกมาหลายความหมาย จนไม่อาจตีความออกมาได้...

 

 

 
To Be Continued...

 

 

_____________________________________________________________________

มาแล้วค่าาาาา นานไปไหม?5555
ตอนนี้พยายามแต่งไม่ให้ค้างมากค่ะ (น่าจะนะ55)
ยังมีคนอ่านอยู่ไหมหนอ...แต่ก็ฝากนิยายเรื่องนี้อีกครั้งจ้า

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/
 :impress2:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 12 สับสน
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 10:09:54

ตอนที่  12
สับสน

“ฮ่าๆๆ  อย่าโกหกข้าเลยเด็กน้อย นายน้อยฮิเดโอะบอกข้าแล้วว่าเจ้าดึงดันที่จะรักษาท่านหัวหน้าใหญ่มากเพียงใด ยังอยู่ตรวจดูอาการต่อทั้งที่อาจถูกพบเจอได้ง่ายๆ...ข้าว่าข้อเสนอของข้าก็คงน่าสนใจไม่น้อย นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีของเจ้ามิใช่หรือ?” หมอชรากล่าวออกมาแล้วจ้องมองใบหน้าที่เยาว์วัยนั้นของแร็กนาร์ที่บัดนี้หัวคิ้วขมวดมาจบกันที่กลางหน้าผากอย่างไม่พอใจเสียแล้ว


“หึ  ท่านก็รู้อยู่แล้ว  จะมาร้องข้าอีกไปทำไม” แร็กนาร์คลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมออก ก่อนปรับอารมณ์ให้คงที่  เมื่อลองเชิงหมอชราเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาเพียงแค่อยากลองทดสอบดูบ้างเท่านั้นว่าหมอชราตรงหน้ารู้เรื่องของเขามากน้อยเพียงใด แล้วก็ได้รู้ว่าคนตรงหน้ารู้เรื่องของเขามาไม่น้อยเลย และหากเป็นเช่นนี้ตนก็คงจะเก็บเกี่ยวความรู้จากหมอชราได้มากมายเช่นเดียวกัน


“ฮ่าๆๆ จริงของเจ้า... แล้วงานแรกที่อยากให้ข้าช่วยคือสิ่งใด” หมอชราตอบกลับด้วยท่าทางเช่นเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในประโยคต่อมา นับว่าเป็นปีศาจที่น่าสนใจไม่น้อย เมื่อทำตัวจริงจังเช่นนี้


“แร็กนาร์กระโดดลงจากที่นอนของรูร์กัส เดินกลับไปยังที่นอนของตน   เดินไปยังกระเป๋าที่วางอยู่บนหัวเตียง รื้อค้นสักพักก็นำกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอเหมาะออกมาจากนั้นก็เปิดออกด้าน ในปรากฏหลอดบรรจุเลือดหนึ่งหลอด ซึ่งเป็นเลือดของยาฉะ เบียกโกะ ที่เขาเก็บเอาไว้สำหรับนำกลับไปตรวจสอบ


“ข้าต้องการอุปกรณ์สำหรับวิเคราะห์เลือดในหลอดนี้” แร็กนาร์กล่าวพร้อมกับยกกล่องที่เปิดฝาออกแล้วให้หมอชราได้ดูด้านใน


“นั่นคือเลือดของท่าหัวหน้าใหญ่อย่างนั้นรึ?” หมอชราถามออกมาเมื่อมองไปยังหลอดที่บรรจุเลือดสีแดงฉานเอาไว้ภายใน


“ใช่” แร็กนาร์กล่าวตอบอย่างไม่ปิดบัง แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่เชื่อใจหมอชรา แต่การกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นมีความน่าสงสัยน้อยมาก แม้จะปกปิด  แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด พวกเขาทั้งสองต่างๆเล็งเห็นประโยชน์ของอีกฝ่ายนั่นเอง และแร็กนาร์เองก็ต้องหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้เร็วที่สุด มีปัญหามากมายที่ตีกันจนยุ่งเหยิง  หากได้รับการช่วยเหลือของหมอชราในเรื่องการรักษาพ่อของเด็กทั้งสอง ปัญหาก็จะเบาบางลงไปบ้าง ทั้งยังอาจช่วยแก้ปมปัญหาของการใช้พลังของตนได้ด้วย
นับว่าหมอชรานี้มีประโยชน์ไม่น้อย เพราะได้เห็นประจักษ์แก่สายตาแล้ว ถึงการรักษา และการสั่งการที่เฉียบขาด  เขารู้จุดที่เหมือนและแตกต่างของมนุษย์กับปีศาจเป็นอย่างดี  คงจะผ่านการรักษาเผ่าพันธุ์ต่างๆมาไม่น้อยเลย  ดังนั้นหมอชราจึงเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญ  แม้จะเสียงไปบ้างแต่เขาต้องซื้อใจของหมอชราให้ได้


“ถ้าเป็นเลือดของท่านหัวหน้าใหญ่  ข้านำไปวิเคราะห์เรียบร้อยแล้ว เจ้าจะดูเลยก็ยังได้ ไม่เห็นจำต้องลำบากมาวิเคราะห์เองเลย” หมอชรากล่าวตอบอย่างราบเรียบ ตอนนี้เขาอยู่ในโหมดจริงจังในการทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  การปกปิดข้อมูลการรักษาจึงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ หากต้องการฝีมือของคนตรงหน้า เขาก็ต้องเปิดใจช่วยอย่างไม่มีทิฐิต่อเผ่าพันธุ์ หรืออายุขัย


“ใช้มันก็ได้...แต่ข้าก็อยากวิเคราะห์เพิ่มให้ส่วนที่ยังสงสัยอยู่ดี นำอุปกรณ์มาด้วยได้หรือไม่ หรือไม่ได้?” แร็กนาร์ตอบกลับหมอชราอย่างราบเรียบไม่ต่างกัน พร้อมทั้งบอกเห็นผลของตน  ก่อนจะเก็บกล่องไม้เข้าไปไว้ที่เดิม  แล้วจ้องมองหมอชราเพื่อรอคำตอบ


“ได้ๆได้แน่นอน เจ้าคงยังไม่เชื่อใจข้า  ข้าคงไม่มีสิ่งใดใช้ยืนยันกับเจ้าได้  ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างที่ควรจะเป็นคงดีแล้ว...อีกอย่างวิธีรักษาของเราไม่เหมือนกัน ข้าไม่ขัดหากเจ้ามีข้อสงสัยมากกว่าที่ข้ามี  เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้าจะนำของทั้งหมดมาให้...นี่ก็ผ่านนานพอควร ข้าคงต้องออกไปแล้ว...พบกันพรุ่งนี้เด็กน้อย”  หมอชรากล่าวอย่างจริงจังในช่วงแรก ก่อนจะกล่าวประโยคสุดท้ายด้วยท่าทียียวนชวนโมโหเช่นเดิม แล้วตะโกนเรียกผู้เฝ้าประตูให้มาเปิดลูกกรง ก่อนจะออกไปก็ยังไม่วายหันมาส่งยิ้มช่วยหงุดหงิดนั้นให้อีกครั้ง ช่างกวนอารมณ์ซะเหลือเกิน...ไม่น่าอยู่จนแก่ได้ขนาดนี้เลย  ให้ตายเถอะ


หลังจากหมอชราออกไปแร็กนาร์ก็จมอยู่กับความคิดของตนอีกครั้ง  แต่ผ่านไปไม่นานนักก็ถูกขัดจังหวะอีก เมื่อหมอที่เป็นเจ้าของไข้ของรูร์กัสเข้ามาตรวจอาการ  เขาทำเช่นทุกวันนั่นคือเปลี่ยนผ้าพันแผล   และฉีดยาให้กับรูร์กัสหนึ่งเข็ม  เนื่องจากรูร์กัสยังรับยาทางหลอดอาหารไม่ได้ เพราะคางหัก  การขยับปากกลืนยาจึงเป็นเรื่องยาก


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย  หมอเจ้าของไข้ของรูร์กัสก็ออกไป  ส่วนแร็กนาร์ก็เข้าไปยืนมองรูร์กัสใกล้ๆขอบเตียง   บางครั้งเขาก็คิดว่าไม่น่าพารูร์กัสมาที่นี่ด้วยเลยจริงๆ  แต่บางครั้งกลับคิดว่าดีแล้วที่พารูร์กัสมาด้วย เพราะดูเหมือนจะมีหลายเรื่องที่เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆไว้ด้วยกัน และรูร์กัสเองก็คงเป็นกุญแจดอกสำคัญในการไขความลับเหล่านี้


‘ตั้งแต่ที่ได้เจอกับชายที่ชื่อ ซาดาโอะ  ดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มต้นแล้ว ในตอนแรกเราแค่รู้สึกว่าคนๆนี้เก่งกาจ แต่ตอนที่ได้เห็นหน้านั่น หัวใจเรากลับกระตุกเกร็งเต้นอย่างรุ่นแรง ถึงจะไม่แรงเท่าตอนที่ได้ฟังเรื่องราวของริเรน่ากับปีศาจตนนั้นที่เป็นพ่อแม่ของร่างนี้ก็ตามเถอะ


แบบนี้แปลว่าซาดาโอะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีตแน่ๆ   ส่วนยาฉะ  เบียกโกะ  นั่นก็มีบางอย่างแปลกๆ ความรู้สึกที่ว่าต้องช่วยชีวิตของปีศาจตนนี้ได้มันเข้ามาวนเวียนอยู่ให้หัว จนสลัดทิ้งไปไม่ได้เลย ตั้งแต่เราละทิ้งความเป็นหมอ แล้วก้าวเข้าสู่เส้นทางของนักฆ่า เราก็ละทิ้งความรู้สึกที่อยากช่วยชีวิตผู้คนไปด้วย  แต่สำหรับปีศาจตนนี้เหมือนกันมีอะไรดลใจให้เรายื่นมือเข้าไปช่วยอย่างเต็มที่อย่างนั้น  มันต้องมีอะไรมากกว่าที่คิดแน่ๆ


เขตเหนือนี่ลึกลับซับซ้อนจริงๆ  แต่มีอย่างหนึ่งที่เราแน่ใจคือ  เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตั้งแต่ต้น   ตั้งแต่ที่เราได้เจอกับเด็กแฝดนั่น ก็เหมือนไปขับเคลื่อนวงล้อของโชคชะตาเข้า  มันต้องเกี่ยวข้องกับหนึ่งปีที่หายไปของริเรน่าอย่างแน่นอน...สุดท้ายเราก็คงต้องรอให้รูร์กัสฟื้นเท่านั้น’



แร็กนาร์คิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น   และจับประเด็นมาประติดประต่อกัน จนเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตไม่น้อยเลย ข้อสันนิษฐานที่ได้ว่า มีใครบางคนหรืออาจจะเป็นปีศาจที่พาตัวริเรน่าไปได้ผนึกความทรงจำบางส่วนลงในร่างนี้ และคนของเขตเหนือต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นกุญแจดอกสำคัญในการไขประตูแห่งปริศนานี้อย่างแน่นอน


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าควรที่จะเปิดมันออกมาหรือไม่ และเมื่อเปิดมันออกแล้วสิ่งที่อยู่ในนั้นจะเป็นเรื่องดี  หรือ เรื่องร้ายกันแน่ แล้วตัวเขาเอง  และรูร์กัสจะได้รับผลกระทบกับเรื่องราวเหล่านั้นอย่างไรบ้าง   นั่นทำให้เขาเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา   แต่หากจะเป็นเช่นเขาจะทำสิ่งใดได้ เพราะหากนี่คือเรื่องราวแห่งโชคชะตาอันแสนเจ็บปวดที่เขาจะต้องพบเจอ  ดังที่ดวงไฟวิญญาณในห้วงมิติเวลากล่าวไว้ เขาก็คงไม่อาจเลี่ยงมันไปได้  คงทำได้แค่ยอมรับ  แล้วเปลี่ยนแปลงมันดังที่ตั้งใจไว้เท่านั้น


“แร็ก...แค่ก...นาร์  แร็กนาร์...น้ำ...หิวน้ำ แค่กๆ”


“รูร์กัส!!”  เสียงของรูร์กัสที่ฟื้นขึ้นมา เรียกความสนใจของแร็กนาร์ให้หลุดออกมาจากห้วงความคิดของตน  แร็กนาร์เรียกรูร์กัสเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ พร้อมทั้งรีบเดินไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำไว้ภายในมาให้รูร์กัสดื่ม


“ข้าจะช่วยพยุง ค่อยๆลุกขึ้นนะพี่รูร์กัส” แร็กนาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่ช่วยพยุงให้รูร์กัสยกหัวขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะได้ไม่สำลักหากดื่มน้ำลงไป


“แอ่ก แค่กๆ เจ็บ  ไม่ไหว...แฮ่ก  เจ็บ พี่เจ็บ...” ทันทีที่แร็กนาร์นำกระบอกน้ำไปจ่อที่ปาก เพียงรูร์กัสพยายามดื่มน้ำ  เขาก็สำลักและดูทรมานอย่างหนัก อาจจะเพราะแผลบริเวณคางจึงทำให้รูร์กัสกลืนน้ำลงไปเองไม่ได้  และสัมผัสที่แข็งกระด้างของไม้อาจจะไปกระทบบริเวณที่บาดเจ็บเข้า หากมีหลอด  อะไรๆก็คงจะสะดวกกว่านี้  แต่ที่นี่ในเวลานี้กลับไม่มีสิ่งที่คลายกันเลย หรือหากเขาจะเรียกผู้คุมคุกให้ไปตามหมอให้ ก็คงไม่อาจเป็นไปได้ พวกนั้นมีหน้าที่เฝ้าเท่านั้น คงไม่ยื่นมือมาช่วยง่ายๆเป็นแน่


แร็กนาร์มองหาสิ่งของรอบกายอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่พอจะใช้ประโยชน์ได้บ้างเลย เขาจึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆเมื่อต่างใช้วิธีสุดท้ายที่คิดออก


แร็กนาร์ยกน้ำขึ้นดื่มแต่ไม่ได้กลืนมันลงไป เขาเพียงอมมันไว้ในปากจนแก้มทั้งสองข้างพองอย่างน่ารัก น่าเอ็นดู แล้วบรรจงจรดริมฝีปากบางลงไปยังริมฝีปากของรูร์กัสที่แห้งฝาดเพราะขาดน้ำ แร็กนาร์ใช้ลิ้นเล็กเลียลงไปบนริมฝีปากของรูร์กัสจนอีกฝ่ายค่อยๆอ้าปากออกน้อยๆ ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันแต่ก็มีช่องว่างเล็กๆพอให้น้ำไหลจากด้านบนไปสู่เบื้องล่าง แร็กนาร์สัมผัสได้ว่ารูร์กัสยังกลืนน้ำลงไปไม่ได้ เขาจึงใช้ลิ้นเล็กสอดเข้าไปกวาดวนอยู่ภายในปากของพี่ชายตนครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อช่วยให้เขากลืนน้ำลงไปยังลำคอได้ง่ายขึ้น  เมื่อเห็นว่ารูร์กัสดื่มน้ำจนหมดแร็กนาร์ก็ผละออก แล้วทำแบบเดิมอีก 2-3  ครั้ง จนรูร์กัสเลิกกระหายน้ำ   


แร็กนาร์นำกระบอกน้ำไปวางไว้ที่เดิมแล้วกลับมาข้างเตียงรูร์กัสอีกครั้ง  จากนั้นก็ตรวจดูชีพจร  และบาดแผลของพี่ชายตน  เขาทำทุกอย่างอย่างใจเย็นดังเช่นก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น  ใช่แล้วสำหรับแร็กนาร์การป้อนน้ำเมื่อครู่ไม่ได้มีสิ่งใดลึกซึ้ง มันไม่ต่างจากการฝายปอดเลยแม้แต่น้อย แม้เขาเป็นนักฆ่า  และพบเห็นสิ่งโสมมมามากมาย แต่เขากลับไม่เข้าใจสิ่งนั้นอย่างลึกซึ้งแม้แต่น้อย ดังนั้นสำหรับแร็กนาร์แล้ว การกระทำเมื่อครู่ หาได้เป็นการจูบอย่างดูดดื่ม แต่เป็นการป้อนน้ำให้รูร์กัสที่หิ้วกระหายเพียงเท่านั้น  เขาจึงไม่รู้สึกกระดากอายในการกระทำของตนเลย


“แร็กนาร์”  รูร์กัสส่งเสียงเรียกแร็กนาร์ซึ่งยืนมองตนอยู่ข้างกายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รูร์กัสเองก็ยังมีสติไม่ครบถ้วน  จึงไม่อาจจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้  เหตุการณ์นั้นจึงผ่านไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง


“มีอะไรอีกรึเปล่าพี่รูร์กัส ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ให้ข้าตามหมอหรือไม่?”  แร็กนาร์กล่าวอย่างกังวลใจ   และเป็นห่วงพี่ชายของตน  เพราะตอนนี้เขาไม่มีเครื่องมือมากพอที่จะรักษารูร์กัสได้   เขาจึงจำต้องพึ่งหมอของที่นี่เท่านั้น


“ไม่เป็นไร  เจ้าปลอดภัยหรือไม่?” รูร์กัสถามออกมา  เมื่อจดจำได้ว่าก่อนที่ตนจะหมดสติไป  เขาเห็นแร็กนาร์เผยตนต่อหน้าปีศาจเหล่านั้น


“ข้าปลอดภัย พี่ต่างหากที่อาการแย่ นอนพักอีกหน่อยเถอะ เมื่อตื่นขึ้นมาข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านพี่มากมายเหลือเกิน”  แร็กนาร์จ้องมองรูร์กัสอย่างจริงจังสายตานั้นไม่ได้กดดัน  แต่เต็มไปด้วยความกังวลใจมากมายจนไม่อาจเก็บไว้


“พี่เข้าใจ...ขอโทษนะแร็กนาร์”  รูร์กัสเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะหลับตาลง ผ่านไปไม่นานสมหายใจก็สม่ำเสมอ  เป็นการบอกว่าเขาจมลงสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว


“ฝันดีนะ...รูร์กัส”  แร็กนาร์เอ่ยเช่นนั้น  พร้อมกลับยื่นมือไปเกลี่ยผมที่บดบังใบหน้านั้นออก  แล้วจ้องมองคนสำคัญของตนด้วยความห่วงใย


.


.


.


“แร็กนาร์” เสียงที่รูร์กัสเรียกแร็กนาร์นั้นยังคงแหบพร่า  ถึงแม้จะไม่เท่าครั้งก่อนที่ฟื้นขึ้นมา แต่ก็นับว่ายังแหบพร่าไม่น้อยเลย  รูร์กัสส่งเสียงเรียกแร็กนาร์เบาๆเท่านั้น   เพราะแร็กนาร์ยืนจ้องมองเขาอยู่ข้างเตียงอยู่แล้ว


“ดื่มน้ำอีกหรือไม่ พี่รูร์กัส” แร็กนาร์ตอบกลับเมื่อเห็นว่ารูร์กัสฟื้นแล้ว   พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มที่ชวนให้ผู้คนอบอุ่นในใจออกไป


“ไม่เป็นไร  พี่ดีขึ้นมากแล้ว   ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วงพี่” รูร์กัสตอบกลับมาอีก  พร้อมยกมือขึ้นไปขยี้ผมบนหัวของแร็กนาร์เบาๆเพราะยังไม่มีแรงมากนัก


“พี่รูร์กัส คือว่า...”  ปากเล็กขบเม้มเล็กน้อย  ดังเช่นลังเลว่าตนควรจะถามออกไปดีหรือไม่  เพราะยังไม่อาจแน่ใจว่ารูร์กัสจะควบคุมสติของตนไม่ให้เป็นดังคราวก่อนได้หรือไม่


“พี่จะบอกเจ้าทุกอย่าง ทั้งความรู้สึกทั้งหมดนั้น ทั้งเรื่องต่างๆที่พี่ไม่แน่ใจว่าดวงตาพี่มืดบอด หรือเพียงไม่ยอมรับความจริง พี่อยากให้เจ้าช่วยตัดสิน”  รูร์กัสละมือจากเส้นผมอ่อนนุ่มของแร็กนาร์  เขาวางมือไว้ข้างกายแล้วกำมือแน่น  เพื่อข่มความรู้สึกภายในใจ แต่ยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้าของร่างเล็ก


“ได้ ข้าจะช่วยพี่เอง” เสียงเล็กตอบกลับอย่างไร้ความลังเล  พร้อมไปหน้าแย้มยิ้มเช่นเดิม


“ปีศาจตนนั้น รู้สึกว่าจะชื่อ  ซาดาโอะ  สินะ เจ้านั่นเป็นปีศาจตนเดียวกัน  หรือว่าแค่คล้ายกับปีศาจที่พาตัวท่านแม่ไปพี่ก็ไม่แน่ใจนัก” รูร์กัสเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก  น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสับสน  และไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนกล่าวออกมา


“ในความรู้สึกพี่มันไม่ควรจะลังเลเลย ความรู้สึกในจิตใจตอกย้ำว่ามันต้องเป็นตนเดียวกันอย่างแน่นอน  แต่ความคิดกับขัดแย้ง มีหลายส่วนที่แตกต่าง  ทั้งรูปร่าง  ขนาดร่างกายนั้น  พี่จดจำได้ว่าปีศาจที่พาตัวท่านแม่ไป  มีรูปร่างใหญ่โตกว่านี้มาก  อาจจะเท่ากับพ่อของเด็กทั้งสองนั้นเสียด้วยซ้ำ หรือว่าตอนนั้นพี่ยังตัวเล็กจึงรู้สึกเช่นนั้นไปเอง 


แต่บรรยากาศรอบตัวนั่นเล่า  มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง  ปีศาจตนนั้นทั้งดุดัน  ทั้งน่ากลัว พร้อมที่จะอาละวาทได้ทุกเมื่อ  แต่ปีศาจตนนี้กลับมีบรรยากาศที่สงบรอบครอบ ทั้งยังการหลบหลีกอยู่ด้านหลังพวกลูกสมุนนั่นอีก  หากเป็นปีศาจตนนั้นไม่มีทางทำเช่นนี้เป็นแน่” แร็กนาร์ที่รับรู้ถึงน้ำเสียงที่สั่นเทาของรูร์กัส ที่พยายามอดกลั้นต่อความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาจึงได้เอื้อมมือไปจับมือของรูร์กัสที่กำแน่นเอาไว้  ทำให้เขารับรู้ว่า ไม่เพียงน้ำเสียงเท่านั้นที่สั่นเท่า   รูร์กัสสั่นเท่าไปทั่วทั้งร่างกายเลยทีเดียว   แร็กนาร์จึงกระชับมือของตนให้แน่นขึ้น เพื่อหวังจะให้รูร์กัสคลายอาการดังกล่าวลง


รูร์กัสก็รับรู้ถึงความอบอุ่นของมือเล็ก  จึงคลายมือที่กำแน่นออก  แล้วจับมือของแร็กนาร์แทน ตอนนี้พวกเขากำมือซึ่งกันและกัน  นิ้วนั้นสอดประสานเพื่อส่งต่อไออุ่นไปยังอีกคนหนึ่งเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป


“และนั่นทำให้พี่สับสนเป็นอย่างยิ่ง  ความคิดที่ทบทวนไตร่ตรองแล้ว บอกได้ว่าไม่ใช่ตนเดียวกัน  มันต่างกันมากจนเกินไป
แต่จิตใจกลับตะโกนก้องบอกว่าต้องใช่มันอย่างแน่นอน ใบหน้าแบบนั้น  ลวดลายแบบนั้น  ท่าทียโสโอหังเช่นนั้น  ต้องเป็นมันไม่ผิดแน่...ภาพเหตุการณ์นั้นก็ฉายซ้ำไปซ้ำมาภายในห้วงความคิด  จนพี่ไม่อาจหยุดตนเองได้  กระโจนเข้าใส่ปีศาจตนนั้นอย่างไม่ลังเล  ปล่อยให้ความแค้นครอบงำบดบังทุกสิ่ง จนลืมไปเสียทุกสิ่ง ลืมกระทั่งว่าข้าจะทำให้เจ้าได้รับอันตรายไปด้วย” เสียงที่บอกเล่าแม้สั่นเทา  แต่ก็ระบายมันออกมาทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง  ทั้งความคิดและจิตใจที่ขัดแย้ง  ทั้งความรู้สึกผิดที่มีต่อน้องชาย


ทุกครั้งที่ถึงจุดเจ็บปวด รูร์กัสจะบีบมือของแร็กนาร์แน่น แร็กนาร์จึงรับรู้ว่ามันบีบคั้นจิตใจเพียงใด ความทรงจำของเด็กวัย  4 ขวบ ที่ฝังรากลึกแม้จะผ่านมานานถึง  8  ปี  มันช่างหนักหนาเกินกว่าเด็กตัวเล็กๆจะรับไหว


“แร็กนาร์พี่รู้ว่าพี่ทำตัวไม่สมกับเป็นพี่ชายของเจ้าเลย ตั้งแต่แรกเริ่มพี่ก็เป็นเพียงตัวถ่วงของเจ้า ถ้าพี่ไม่ดื้อรั้นแล้วยอมกลับไปเสียแต่โดยดี เจ้าคงไม่เดือดร้อน...ไม่ถูกจับมาขังไว้ในคุกเช่นนี้  พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ...” รูร์กัสกล่าวขอโทษแร็กนาร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังใช้ฟันขบกัดริมฝีปากล่างของตนเพื่อข่มกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมา  มือก็กำแน่นโดยไม่มีท่าทีจะคลายออกเลย เขารู้สึกผิดในการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตน  จนไม่อาจให้อภัยตนเองได้


“ข้าไม่โกรธ  หรือโทษพี่...ข้าไม่เคยคิดสักครั้งว่าพี่เป็นตัวถ่วง ข้ารู้ดีที่พี่ทำเช่นนั้นเพราะเป็นห่วงข้า” แร็กนาร์กลับอย่างอ่อนโยน เขาไม่ได้โกหก  หากแต่พูดความจริง สายตาที่ส่งออกไปจึงปราศจากความกดดันต่างๆอย่างสิ้นเชิง  ทั้งยังยกมือของรูร์กัสที่กอบกุมมือของตนอยู่ ขึ้นมาแนบไว้ที่แก้มของตน


“ฮึก ฮึก   ฮืออ แร็กนาร์ๆ ของใจเจ้ามาก ขอบใจเจ้ามากจริงๆ...พี่จะไม่สนใจสิ่งใดแล้ว พี่จะหาทางรอดออกไปพร้อมเจ้า ฮึกๆ” รูร์กัสไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีก เขาปล่อยให้มันไหลออกมา พร้อมกล่าวของคุณจากใจส่งไปให้แร็กนาร์ เพื่อน้องชายอันเป็นที่รัก เพียงตัดใจจากสิ่งที่ยังสับสนอยู่นั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย


“พี่รูร์กัส  ข้าว่าการหลีกหนีไม่ใช่ทางออกที่ดี...ตอนนี้พี่เพียงสับสน หรือแค่ไม่ยอมรับความจริง” แร็กนาร์คิดทบทวนอยู่นานก่อนตัดสินใจเช่นนี้ เขาต้องเลือกระหว่างการเงียบสงบปากสงบคำปล่อยให้เรื่องผ่านไปเอง หรือยื่นมือเข้าไปฉุดรั้งให้รูร์กัสกล้าที่จะเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงนี้ดี และเมื่อได้จ้องมองสภาพของรูร์กัสแล้ว  การหลีกหนีเช่นนี้จะต้องทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเป็นแน่


“พี่...พี่...”


“ข้าจะคอยอยู่ข้างๆพี่เอง  อย่าได้กลัวไปเลย”  เสียงเล็กเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นว่ารูร์กัสกำลังสับสนอย่างหนัก เขาไม่เคยปลอบใจใคร  จึงคิดถ้อยคำสวยหรูไม่ออก ได้แต่ส่งมอบความจริงใจไปให้เท่านั้น...แร็กนาร์อยากให้รูร์กัสที่เข้มแข็ง และอ่อนโยนคนนั้นกลับคืนมา


“ไม่เพียงแค่นั้น ข้าเองก็ต้องการให้พี่อยู่เคียงข้าง และช่วยเหลือข้า พี่จะช่วยข้าได้หรือไม่” แร็กนาร์ยังคงกล่าวต่อ การที่รูร์กัสคลายอาการสับสนลงไปบ้างในประโยคก่อน  การหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพิ่มเติมก็เป็นสิ่งจำเป็น และเรื่องที่แร็กนาร์ต้องการให้รูร์กัสช่วย ก็จะช่วยคลายความสับสนของรูร์กัสเป็นแน่  ใช่แล้วปัญหาของพวกเขาทั้งสองมีจุดเริ่มต้นร่วมกัน และต้องมีจุดจบร่วมกันอย่างแน่นอน


“ขอเพียงเป็นประโยชน์กับเจ้า มีหรือที่พี่จะปฏิเสธ...ขอบใจเจ้าอีกครั้งที่ยังให้ความสำคัญกับพี่ ฮึก ฮึก” เสียงตอบกลับนั้นยังสั่นเทา เพราะกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ น้ำตาที่ไหลรินอยู่ตอนนี้ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งความดีใจที่ตนยังมีน้องชายคนสำคัญอยู่เคียงข้าง


“ท่านพี่สำคัญกับข้าเสมอ” แร็กนาร์ตอบพร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนโยนนั้นอีกครั้ง เขาดีใจไม่น้อยเลยที่รูร์กัสคลายความกังวลลงไปบ้างแล้ว


“พี่...พี่ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น แร็กนาร์ ฮึก  แร็กนาร์  ฮืออออออ” รูร์กัสเลิกกลั้นความรู้สึกที่ถาโถม เขาปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างไม่อายใคร  มือนั้นก็คลายออก ลูบแก้มใสของแร็กนาร์ด้วยความรูร์สึกขอบคุณ
แร็กนาร์เองก็ปล่อยให้รูร์กัสทำตามใจชอบ ทำเพียงจ้องมอง และส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ปิดบังเท่านั้น


.


.


.


“แร็กนาร์ เอ่อ เอ่อคือ...พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้าเสียเวลา แล้วยังเห็นสภาพน่าอายเช่นนี้อีก...จะเริ่มพูดคุยเรื่องของเจ้าเลยก็ได้นะ แหะๆ” รูร์กัสกล่าวออกมาหลังจากที่เงียบอยู่นานเมื่อร้องไห้จนพอใจแล้ว เขาคลายกังวลแล้วก็จริง แต่กลับมีความรู้สึกเก้อเขินในพฤติกรรมของตนเข้ามาแทนที่   จึงได้แต่หลบสายตาของแร็กนาร์หันไปมองผนังด้านในแทน


แร็กนาร์เห็นดังนั้นก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย อดขำกับท่าทีของรูร์กัสไม่ได้ แต่ก็เก็บเอาไว้ภายใน ไม่ได้หัวเราะออกมาดังๆอย่างที่ควรจะเป็น เพราะเขาไม่อยากให้รูร์กัสเก้อเขินไปมากกว่านี้ จึงได้แต่ส่ายหัวนิดๆ  แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงที่ยังเหลือที่ว่างไว้ข้างๆรูร์กัสเท่านั้น


“ข้าว่าพี่เองก็คงจะสงสัยไม่น้อยเลย เรื่องที่ว่าเหตุใดปีศาจที่ชื่อซาดาโอะนั่นจึงมีใบหน้าคล้ายกับปีศาจที่พาตัวท่านแม่ไป” แร็กนาร์เริ่มต้นกล่าวอย่างราบเรียบ เมื่อจัดที่นั่งได้เหมาะสมแล้ว  ตอนนี้แร็กนาร์นั่งหันหลังให้รูร์กัส และหย่อนเท้าลงไปข้างเตียงที่ยกขึ้นมาเหนือพื้น


“หรือว่าเจ้าจะ...” รูร์กัสคิดทบทวนตามคำกล่าวของแร็กนาร์ จึงพอจะเดาจุดประสงค์ของร่างเล็กออก จึงได้กล่าวสิ่งใดไม่ออกอีก ได้แต่หันหน้ากลับมามองร่างเล็กด้วยดวงตาเบิกโพรง


“ใช่ ข้าอยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร ใช่แล้วพวกเขาต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ  ไม่มากก็น้อย รวมทั้งผู้คนในเขตเหนือแห่งนี้ด้วย ข้าต้องรู้ให้ได้...เพราะข้าเชื่อว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือโชคชะตาที่ถูกขีดไว้ต่างหาก...ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ พี่รูร์กัส”  แร็กนาร์กล่าวประโยคที่ยาวที่สุดออกมาดังเช่นว่าอยากจะระบายสิ่งที่รบกวนจิตใจทั้งหมดออกมาเช่นเดียวกัน


“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันจะดีแล้วจริงๆหรือแร็กนาร์...มันจะดีหรือที่เราจะก้าวเท้าเข้าไปยังพื้นที่แห่งความลับนั้น” รูร์กัสเอ่ยอย่างกังวลใจ แม้ก่อนหน้านี้การกระทำของเขาจะเป็นเรื่องไม่น่าให้อภัย แต่ก็เพราะเช่นนั้น เขาจึงไม่อยากให้แร็กนาร์เป็นดังเช่นที่เขาเป็นอยู่เช่นนี้


“ข้าไม่รู้...แต่หากมันค้างคาใจเช่นนี้ ข้าไม่ชอบใจเอาเสียเลย” แร็กนาร์กล่าวพร้อมกับหันหน้าไปจ้องมองรูร์กัส เพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนตัดสินใจ และเพื่อยืนยันว่าตนนั้นจริงจังกับเรื่องนี้มากเพียงใด  เขาคิดทบทวนมันดีแล้ว หลายวันที่ผ่านมาเรื่องนี้ก็รบกวนจิตใจเขาไม่แพ้เรื่องอื่นๆเลย หากอยากหลุดพ้นกับสิ่งที่พบเจอ  เขาต้องลองเสี่ยงเท่านั้น


“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น พี่จะคอยช่วยเจ้าเอง...ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม” รอยยิ้มที่ตามมาจากกล่าวจบนั้นเป็นกำลังใจอย่างดีที่จะช่วยให้แร็กนาร์พร้อมก้าวเดินไปข้างหน้า  พร้อมจะเผชิญขวากหนามที่จะทิ่มแทงตนได้ทุกเมื่อเหล่านั้น ขอเพียงมีคนคนนี้อยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีก


“ขอบคุณครับ พี่รูร์กัส” แร็กนาร์กล่าวด้วยความขอบคุณจากใจ  ก่อนจะก้มลงไปจูบซับเบาๆที่หน้าผากของรูร์กัส แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างจนตาหยีอย่างที่ตนไม่เคยคิดว่าจะสามารถทำได้อีก


“หึหึ เจ้าไม่ยิ้มเช่นนี้ตั้งแต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พี่นึกว่าจะไม่ได้เห็นมันอีกเสียแล้ว ดีจริงๆที่เจ้ายังคงมีความสุข” รอยยิ้มที่ปรากฏให้เห็นพาให้รูร์กัสยิ้มตามไปด้วย แม้จะยิ้มได้ไม่มากนักเพราะเจ็บที่คางอยู่บ้าง แต่เขาก็ดีใจไม่แพ้แร็กนาร์เลย หลังจากเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์ที่แร็กนาร์เกือบเอาชีวิตไม่รอด  ด้วยน้ำมือของท่านพ่อ นี่เป็นครั้งแรกที่แร็กนาร์ยิ้มกว้างมากมายขนาดนี้
แต่รูร์กัสคงไม่อาจรู้ว่าสำหรับแร็กนาร์แล้ว การยิ้มครั้งนี้มีความหมายมากมายกว่าที่คิด เพราะผ่านมาหลายปีมากแล้วที่เขาไม่อาจยิ้มออกมาจากใจได้เช่นนี้ 


ชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น และการที่ต้องกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งนับว่าไม่เลวร้ายเลย เพราะมันทำให้เขาได้พบกับคนที่เชื่อใจได้ ทำให้เขาได้พบกับชีวิตที่สามารถยิ้มได้กว้างจนยาหยีเช่นนี้ เขาจะขอใช้ชีวิตให้ไม่รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน


...


ในนามของ แร็กนาร์ คูฟฟ์  ข้าพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ต่อให้โชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม...




To Be Continued...

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที 13 รวมพล
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 10:18:10


ตอนที่ 13
รวมพล


ยามราตรีเหนือแดนพยัคฆ์เกินประมาณ บนท้องฟ้าที่มืดครึ้มดวงจันทร์กลมโตสีแดงเลือดลอยเด่นอย่างเฉิดฉาย ค่ำคืนนี้เมฆหมอกปกคลุมหนาแน่นกว่าทุกคืนจนคนเบื้องล่างไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปบนก้อนเมฆเหล่านั้นได้ บัดนี้ปรากฏเงาร่างครึ่งคนครึ่งนกที่มีปีกใหญ่โตบินฉวัดเฉวียนไล่ล่ารุกไล่กันอย่างไม่ลดละ


ปีศาจเผ่าวิหกชายหญิงคู่หนึ่งกำลังหนีจากปีศาจเผ่าวิหกอีกกลุ่มหนึ่ง  ทั้งสองสวมชุดสีทองแถบเขียวเหมือนพวกชนเผ่าแต่ผ้านั้นกลับเป็นผ้าเนื้อดีที่โบกพลิ้วอย่างนิ่มนวล  บนเส้นผมสีเขียวเข้มนั้นก็สวมใส่ที่คาดศีรษะประดับด้วยขนนกสีทองอร่าม
ปีศาจหญิงสาวเผ่าวิหกหอบอุ้มประคองกอดตะกร้าสานจากไม้ไผ่ใบเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน  ส่วนปีศาจหนุ่มถือดาบคอยประกบด้านหลังเพื่อระวังภัยร้ายที่กำลังมาเยือน


ปีศาจเผ่าวิหกที่ไล่ตามมามีจำนวนกว่า 10 ตน พวกมันสวมใส่เสื้อผ้าสีดำมิดชิด ปกปิดใบหน้าตั้งแต่จมูกจนถึงลำคอ บนเส้นผมสีเขียวนั้นก็สวมใส่ที่คาดศีรษะประดับขนของกาดำ สองมือถือหอกดาบอันเป็นอาวุธประจำกายฟาดฟันใส่เป้าหมายของตนอย่างไร้ปราณี


พวกมันตนหนึ่งเร่งความเร็วจากปีกที่ใหญ่โตนั้นเข้าประชิดร่างที่กำลังหนีอย่างสุดชีวิต ปีศาจคู่ชายหญิงต้องบนหนีอย่างสุดกำลัง  ต่างจากพวกมันที่ผลัดกันเร่งผลัดกันถอยจึงมีแรงเหลืออยู่มากกว่าอีกฝ่าย  และเมื่อไล่ตามมาไกลมากพอเกินกว่าที่ใครจะรับรู้  พวกมันจึงเร่งลงมืออย่างไม่ลังเล


ปีศาจหนุ่มเห็นว่าตนคงหนีไม่พ้นเสียแล้ว  จึงหันหน้ามาเผชิญกับปีศาจร้ายที่ไล่ฆ่าตน เขาใช้ดาบในมือข้างหนึ่งรับดาบที่ฟาดฟันลงมา เพียงชั่วพริบตาหอกจากปีศาจร้ายอีกตนก็พุ่งเข้าใส่   ดาบในมือด้านที่ว่างอยู่ก็ตะหวัดรับหอกนั้นไว้อย่างทันท่วงที แต่แล้วดาบอีกด้ามก็ฟาดฟันลงมาอีก เขาจึงจำต้องใช้พลังควบคุมสายลมที่ตนถนัดอย่างเลี่ยงไม่ได้  เพียงลมที่พ่นออกจากปากก็พาให้ปีศาจตนที่สามกระเด็นไปไกล


แต่พลังที่มากจนเกินไปทำให้ท้องฟ้าปั่นป่วนเกิดลมหมุนดังคล้ายจะมีพายุลูกใหญ่พัดมา  ไม่อาจรู้ได้ว่าเพราะพลังนั้นไปกระตุ้นสภาพอากาศหรืออย่างไร จึงเกิดฟ้าร้อง  ฟ้าผ่า อื้ออึงไปทั่วบริเวณ 


ปีศาจหนุ่มสะบัดดาบทั้งสองอีกครั้งจนหอกดาบกระเด็นออกไปตามแรงเหวี่ยง พวกมันถอยกลับไปตั้งหลักก่อนจะเริ่มใช้พลังที่ตนทีบ้าง


“จานีย์! เจ้าหนีไปก่อนข้าจะต้านพวกมันไว้เอง” ปีศาจหนุ่มเห็นว่าตนต้องรับศึกหนักเสียแล้วจึงร้องตะโกนก้องบอกให้ปีศาจหญิงสาวที่บินคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลให้หนีไปก่อน


“โคเน็น! ท่านต้องตามมา...ห้ามตายเด็ดขาด” ปีศาจหญิงสาวนามว่าจานีย์รับคำอย่างไม่อาจเลี่ยงได้  แม้จะห่วงปีศาจหนุ่มนามโคเน็นมากมายเพียงใด  แต่เมื่อก้มมองลงไปในตะกร้าใบนั้นสายตาเธอก็ปราศจากความลังเล  ตะโกนก้องตอบรับก่อนจะหันหลังให้ภาพที่เห็นตรงหน้าแล้วเร่งบินหนีไปอย่างไม่หันหลังกลับ


จานีย์รู้เพียงว่าเธอต้องหนีไปเบื้องหน้า   แม้ไร้จุดหมายแต่เธอก็ต้องบินต่อไป เพื่อที่จะอยู่รอด   เพื่อที่จะกลับไป...เธอต้องหนีเพียงเท่านั้น 


แต่แล้วเธอต้องหยุดชะงักเมื่อเบื้องหน้าเป็นเส้นตัดของขอบฟ้าที่มาบรรจบกันของแดนมนุษย์และแดนปีศาจ  หากเธอข้ามไป มนุษย์ต้องไม่ยอมรับเธอเป็นแน่


“อ้ากกกกกก”  เสียงร้องของโคเน็นยิ่งทำให้เธอกลั้นความตกใจไว้ไม่อยู่ ข้างหน้าก็เป็นทางตัน  ข้างหลังก็ไม่อาจหันกลับ จานีย์จ้องมองไข่ใบใหญ่กว่ากำมือเล็กน้อยที่มีลวดลายประหลาดใบนั้นที่อยู่ภายในตะกร้า ซึ่งถูกห่อรอบด้านด้วยผ้าผืนหนาเพื่อกันไม่ให้กระทบกระแทกจนแตกไป


สายตาที่มีแต่ความลังเลหยุดนิ่ง แปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่แน่วแน่ เธอเลือกที่จะใช้ทางเลือกสุดท้าย หากโคเน็นไม่รอด  เธอไม่รอด อย่างน้อยลูกของเธอต้องรอด


จานีย์หอบอุ้มตะกร้าใบนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะใช้มือที่ว่างอยู่ดึงสร้อยสีทองเส้นเล็กที่ร้อยเรียงเหมือนสายโซ่ และตรงกลางมีจี้ที่ห่อหุ้มด้วยกรอบสีทองเรียวรี  ใส่ไว้ด้วยอัญมณีสีเดียวกับดวงตาของเธอ   แล้ววางมันลงไว้ในผ้าข้างๆไข่ใบเล็ก ตามด้วยล้วงมือเข้าไปยังอกเสื้อหยิบจดหมายสองฉบับออกมาแล้ววางมันไว้ใต้ผ้าเหล่านั้นเพื่อไม่ให้มันปลิวหายไป


“แม่รักลูก...เจ้าต้องปลอดภัย  และกลับไปยังบ้านของเรา” หยาดน้ำตารินไหล เมื่อเธอต้องลาจากโดยไม่แม้แต่จะเห็นใบหน้าแรกเกิดของลูกน้อยเสียด้วยซ้ำ  โชคชะตาช่างโหดร้าย  พรากลูกพรากแม่ไม่พอ  ยังพรากเด็กน้อยจากแผ่นดินเกิดอีก


จานีย์สร้างลมห่อหุ้มตะกร้าใบนั้นให้เป็นวงเหมือนไข่ แล้วปล่อยมือออกจนตะกร้า ตะกร้าสานจากไม้ไผ่ค่อยๆลอยลงสู่เบื้องล่าง  แม้โชคชะตาจะโหดร้าย  แต่เธอยังคงภาวนาต่อพระเจ้า...ขอพระองค์วิหกสายฟ้าจงช่วยคุ้มครองให้ลูกของเราได้ไปอยู่ในมือของผู้ที่คู่ควร   และจงหวนกลับไปยังแดนวิหกอันเป็นแผ่นดินเกิดด้วยเทอญ...


“เจอแล้ว  จับตัวเธอให้ได้!” ปีศาจชั่วช้าสองตนตรงมายังที่ๆเธออยู่  จานีย์จึงหนีไปอีกทางเพื่อเลี่ยงสายตาไม่ให้พวกมันพบเจอตะกร้าใบเล็กที่เป็นดังแสงแห่งความหวังของชนเผ่า


เมื่อพ้นระยะที่ปลอดภัยเธอจึงหยุดแล้วหันมาต่อสู้  เธอไม่มีภาระใดๆแล้ว  หากสู้อาจจะยังมีทางรอดอยู่บ้าง สองมือรวบรวมลมจนกลายเป็นดาบยาว  แล้วพุ่งเข้าใส่ศัตรูหมายเอาชีวิตของมัน


ท้องฟ้าค่ำคืนนี้ช่างปั่นป่วนดังเช่นเทพกำลังพิโรธ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง  เกิดคลื่นลมปั่นป่วนแม้ไร้ฝนโปรยปราย กลุ่มปีศาจวิหกชุดดำ  และปีศาจชายหญิงต่างเข้าห้ำหั่นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เลือดสีแดงฉานอาบทั่วร่าง หยดลงสู่เบื้องล่างหยดแล้วหยดเล่า อย่างไม่อาจคาดเดาว่าใครจะรอดจากการต่อสู่เอาชีวิตในครั้งนี้...


.


.


.


ร่างเล็กบิดกายไล่ความเมื่อยขบหลังจากลืมตาตื่น เมื่อแสงของดวงอาทิตย์ส่องผ่านช่องเล็กๆด้านหนึ่งของกรงขังเข้ามา   บ่งบอกว่ายามได้มาเยือนแล้ว


“ตื่นแล้วหรือแร็กนาร์” เสียงติดแหบเนื่องจากยังไม่หายดี  แต่กลับเต็มไปด้วยความสดใจถูกส่งมาจากคนที่อยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม


“อรุณสวัสดิ์ครับพี่รูร์กัส”  แร็กนาร์ลุกขึ้นนั่งแล้วทักทายรูร์กัสพร้อมรอยยิ้ม จากวันนั้นแร็กนาร์ยิ้มให้รูร์กัสมากขึ้นจนตนเองยังแปลกใจ  แต่ก็ปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควร  แร็กนาร์บิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบอีกครั้งแล้วจึงกระโดดลงจากเตียงเดินไปหารูร์กัส


“อรุณสวัสดิ์”  รูร์กัสตอบกลับยิ้มๆก่อนจะลงจากเตียงตามแรงพยุงของแร็กนาร์  แล้วเดินตามไปล้างหน้ายังถังใส่น้ำที่ถูกตั้งไว้ในมุมหนึ่งของห้องขัง  จัดแจงล้างหน้าล้างตาอันเป็นกิจวัตรประจำวันจนเรียบร้อย ก็ถูกพากลับไปนั่งที่เตียงตามเดิม


หลังจากวันนั้นที่พวกเขาพูดคุยกันก็ผ่านมา 2 วันแล้ว  รูร์กัสอาการดีขึ้นค่อนข้างมากทีเดียว แร็กนาร์จึงให้รูร์กัสเดิน  และลุกนั่งได้โดยมีเขาคอยพยุงเมื่อต้องการขยับร่างกาย ความจริงรูร์กัสเดินเองได้แล้วเพราะร่างกายไม่ได้บาดเจ็บมากนักแม้จะกระเด็นไปกระแทกกำแพงบ้านก็ตาม แต่แร็กนาร์ก็ดื้นร้นเกินกว่าที่จะฟังแม้รูร์กัสห้ามปราม


ส่วนแร็กนาร์ได้รับความช่วยเหลือจากหมอชราหลายเรื่องทีเดียว เขานำอุปกรณ์มาให้จริงๆตามที่รับปาก แต่ก็นั่งคอยจับตามองแร็กนาร์ตลอดเวลาที่ตรวจสอบเลือดของหัวหน้ายาฉะ ทดลองเสร็จก็จะถามคำถามที่ตนไม่เข้าใจทุกครั้ง ช่างเป็นคนชราที่ไม่หยิ่งจองหองได้อย่างน่าชื่นชมทีเดียว


แร็กนาร์ไม่ได้รำคาญ เพราะยังเห็นประโยชน์ของหมอชรา ไม่เพียงรับฟังหมอชราจะแสดงความเห็นทุกครั้งที่เห็นต่าง ทำให้เขาคิดถึงช่วงเวลาเช่นนี้เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกเดิม 


หมอชราเองก็ตอบคำถามของแร็กนาร์ทุกอย่างทั้งเรื่องพลังธาตุของมนุษย์ และพลังแฝงของปีศาจ  ทำให้แร็กนาร์พอจะคาดเดาสาเหตุของการปลดปล่อยพลังนั้นได้บ้างแล้ว แม้จะไม่ชัดเจนนักก็ตาม


หลายวันมานี้ตั้งแต่เหตุการณ์ลอบเข้ามาในบ้านใหญ่คืนนั้นพวกเขายังไม่พบหน้าของเด็กปีศาจฝาแฝดทั้งสองตนเลย  รูร์กัสรู้สึกกังวลจึงได้ถามหมอชรา  คำตอบที่ได้ก็ทำให้เขากังวลเพิ่มขึ้นไปอีก


แม้เด็กทั้งสองจะช่วยกันเฝ้าดูอาการของพ่อตน และไปอ้อนวอนขอร้องซาดาโอะให้ปล่อยแร็กนาร์ทุกวัน แต่ที่น่าวิตกคือ จิตใจที่บอบช้ำ และความกดดันที่ได้รับ ทำให้เด็กทั้งสองไม่ยอมหลับยอมนอน รวมทั้งไม่อยากอาหารอีกด้วย


แร็กนาร์ที่ทำเป็นไม่สนใจยังรู้สึกห่วงหา  กระวนกระวายใจอย่างที่ตนไม่ควรจะเป็น ความรู้สึกหวั่นไหวกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาเก็บมันไว้...เด็กน้อยที่ทานอาหารที่เขาทำอย่างมีความสุขน่ะหรือ  จะไม่อยากทานสิ่งใดเลย  แร็กนาร์ไม่อาจอยู่เฉยได้อีกจึงฝากข้อความผ่านหมอชราไปให้เด็กทั้งสองตามที่รูร์กัสกำลังทำ  รูร์กัสฝากให้หมอชรากำชับให้พวกเขาเลิกฝืนตนเอง  ทานข้าว และรักษาสุขภาพ


‘ห้ามตาย’


คำสั่งสั้นๆนี้เป็นข้อความจากแร็กนาร์  เขาไม่อาจปลอบโยนใครได้อย่างรูร์กัส จึงทำได้แต่กล่าวคำหยาบโลนที่ออกมาตรงๆเช่นนี้เท่านั้น


ร้อยคำปลอบโยน...หนึ่งคำหยาบโลน... ถูกส่งต่อไปยังเด็กน้อยทั้งสอง หัวใจพวกเขากลับมามีพลังเพราะคำปลอบโยนของรูร์กัส และชุ่มฉ่ำด้วยคำเพียงสองคำของแร็กนาร์  พวกเขาดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ที่ได้รับรู้ว่าแร็กนาร์ห่วงพวกเขาไม่ต่างกัน


หลังจากวันนั้นเด็กทั้งสองก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง และไม่ลืมที่จะไปกล่าวคำขอร้องซาดาโอะเช่นเดิม และเมื่อวันก่อนแร็กนาร์ก็มีคำสั่งไปยังเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้ง  นั่นคือ...จงไปนำตำราสมุนไพรเล่มนั้นมาให้ข้า


พวกเขาตื่นเต้นจนแทบจะวิ่งออกไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ถูกหมอชราห้ามเอาไว้ก่อน การออกไปครั้งนี้นับว่าง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ  เพราะได้รับความช่วยเหลือจากหมอชรา  และหมอคนอื่นๆที่หมอชรายืนยันว่าเชื่อใจได้


แม้ว่าก่อนหน้านั้นหมอชรากับแร็กนาร์ถกเถียงกันอยู่พักใหญ่เพราะเรื่องของตำราเล่มนี้  แต่สุดท้ายแร็กนาร์ก็ชนะอย่างที่คาดไว้  เมื่อหมอชรายืนยันว่าจะให้คนของตนเข้าไปเอามาให้ แต่แร็กนาร์ก็ยืนกรานว่าจะไม่ยอมให้คนที่ตนไม่ยอมรับบุกรุกเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวเป็นแน่ หมอชราต้องยอมแพ้ต่อความหัวแข็งของแร็กนาร์  เพราะเกลี้ยกล่อมกว่าชั่วยามแร็กนาร์ก็ไม่ยอมบอกข้อมูลใดๆและยังยืนยันตามเดิม


ดังนั้นเช้านี้แร็กนาร์จึงรู้สึกสบายใจกว่าวันไหนๆที่ทุกสิ่งกำลังเป็นไปตามที่ตนต้องการ


“แร็กนาร์  เจ้าอยากเจอพวกเขาหรือไม่” เสียงของรูร์กัสทำให้แร็กนาร์ตื่นจากภวังค์ความคิด   แล้วหันมาสนใจคนตรงหน้าแทน   พวกเขาที่รูร์กัสหมายถึงคงไม่พ้นฮิเดโอะกับฮิโรกิ  สองแฝดปีศาจจอมป่วนนั่นแน่นอน


“ไม่”  แร็กนาร์ตอบนิ่งๆแล้วจ้องมองไปยังลูกกรงไม่ยอมมองหน้าของรูร์กัสที่ตอนนี้นั่งพิงกำแพงจ้องมองแร็กนาร์อยู่


“เจ้าช่างปากไม่ตรงกับใจเสียจริงๆ เฮ้ออออ  เป็นห่วงขนาดนั้นจะไม่อยากเจอได้อย่างไรเล่า หึหึ” รูร์กัสกล่าวอย่างหยอกเย้าเมื่อน้องชายของตนปากไม่ตรงกับใจเสียเหลือเกิน ทั้งจะปล่อยผ่านให้เขาฝากข้อความเพียงคนเดียวก็ได้  ยังอดใจที่จะออกปากกล่าวเช่นนั้นไม่ได้  แล้วยังรวมถึงภารกิจครั้งนี้ ความจริงจะยอมให้หมอชราทำตามความต้องการก็ไม่เสียหาย แต่แร็กนาร์เลือกที่จะให้เด็กๆทำ  ทั้งยังยืนยันอีกว่าจะไม่ยอมให้คนที่ตนไม่ยอมรับเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัว  มันไม่ต่างกับการบอกหมอชราให้ไปบอกเด็กๆหรอกหรือว่าแร็กนาร์ยอมรับเด็กทั้งสองแล้ว


“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” แร็กนาร์ตอบกลับด้วยเสียงนิ่งเรียบแม้ในใจว้าวุ่น  เข้ายังไม่กล้าพอที่จะเชื่อใจใคร  แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เด็กทั้งสองเป็นเช่นนั้นต่อไปได้...เขายังไม่อาจเข้าใจตนเองเสียด้วยซ้ำ


“แล้วเจ้าคิดเช่นใดเล่า”  รูร์กัสยังคงไล่ต้อนแร็กนาร์ให้จนมุม เขาชอบสีหน้าลุกลี้ลุกลนที่แสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัวของแร็กนาร์ตอนนี้เป็นที่สุด  จึงไม่อาจห้ามใจไม่ให้แกล้งแร็กนาร์ได้


สายตาที่ไม่ยอมสบมอง มือที่ปัดป่ายเหมือนรื้นค้นหาของสำคัญ  หยิบนั่นหยิบนี่   ยังไม่วายทำล่วงหล่นจากมือนั่นอีก  มันช่างสร้างความหรรษาให้รูร์กัสเสียนี่กระไร


“ข้า  ข้า  ข้า...”  แร็กนาร์จนปัญญาที่จะหาคำแก้ตัว เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะไม่ได้สัมผัสกับโลกที่เหมือนกับเด็กทั่วไป จึงทำให้ไม่เข้าใจ และยากที่จะหาวิธีรับมือ 


แกร็ก


เสียงประตูเปิดออกดังจะช่วยให้แร็กนาร์รอดพ้นจากเหตุการณ์วิกฤตในครั้งนี้   หมอชราเปิดประตูด้วยรอยยิ้ม ครั้งนี้แร็กนาร์รู้สึกว่ารอยยิ้มกวนประสาทนั้นช่างน่ามองกว่าครั้งไหนๆ


‘เฮ้อออออ  รอดแล้ว’


“ท่านมาเช้าไปหรือไม่” แร็กนาร์รีบเปลี่ยนเรื่องให้ทันที พร้อมกับแสดงสีหน้าโล่งใจอย่างปิดไม่มิด  ทำให้รูร์กัสยิ้มพรางส่วยศีรษะน้อยๆให้กับความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของแร็กนาร์ที่เขาพึ่งจะค้นพบ...เอาไว้หลังจากนี้แกล้งอีกก็คงไม่สาย  หึหึ...


“อ่า  พอดีมีคนอยากพบพวกเจ้า  แล้วยังใจร้อนไปปลุกข้าแต่เช้าเสียด้วย หึหึ”  หมอชรากล่าวอยากหยอกเย้าผู้ที่ตนกล่าวถึงก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้พวกแร็กนาร์สังเกตคนที่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง  พร้อมกับตะกร้าสานจากไม่ไผ่ที่อยู่ในมือของฮิโรกิ


“แร็กนาร์!!” สองเสียงสอดประสานกันดังก้องก่อนจะวิ่งเข้ามาในห้องคุมขัง


“ไง...กลับมาร่าเริงแล้วหรือ” แร็กนาร์ตอบกลับเสียงตะโกนนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  แต่ใบหน้านั้นกลับปรากฏรอยยิ้มแห่งความยินดีอย่างปิดไม่มิด


“คะ...ครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง” ฮิเดโอะตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่แทบจะฉีกถึงใบหู ได้เห็นใบหน้าที่งดงาม ได้ฟังเสียงที่หวานละมุนของคนตรงหน้าที่ไม่ได้มาเห็นหลายวันมันทำให้เขามีความสุขเกินประมาณ  เขาแทบอยากจะวิ่งร้องตะโกนอย่างดีใจไปทั่วหมู่บ้านเลยทีเดียว


“พวกข้าไม่ตายแล้วนะ”  ฮิโรกิก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกันหัวใจของเขาพองโตจนแทบจะระเบิดออกมาจากออกอยู่แล้ว


“ใครห่วงพวกเจ้า...ข้าแค่ไม่อยากให้เด็กตัวกระเปี๊ยกอย่างพวกเจ้าตายก่อนวัยอันควรก็เท่านั้น” แร็กนาร์ตอบเสียงนิ่งแล้วหันหน้าหนีเด็กทั้งสองกลับมามองตรงๆไปอีกฝั่งของเตียง  แต่ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่พลาดมากทีเดียว  เพราะเขาหันไปสบตากับรูร์กัสพอดี รูร์กัสก็ยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันดังจะบอกว่า...ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่


“ตะ...ตำรา พวกเจ้านำมาแล้วใช่หรือไม่” แร็กนาร์รีบหันกลับไปมองพวกเด็กๆตามเดิม  แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที  เขาไม่ชอบจริงๆรอยยิ้มเช่นนั้นของรูร์กัสมันทำให้เขาทำสิ่งใดไม่ถูก


‘อะ...อะไรเนี่ย  ทำไมเราไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้นะ  ตั้งแต่วันนั้นแน่ๆ  เพราะเราเปิดใจมากไปรึเปล่านะ   ความรู้สึกแปลกๆที่เราไม่เคยมีถึงออกมามายมายแบบนี้


แย่แน่...เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ทำให้ไม่รู้ว่าจะตอบโต้ออกไปยังไงดี ทั้งร่างกาย ทั้งความรู้สึก  มันประหลาดสุดๆไปเลย คิดสิคิด  คิดให้ออกกรณีศึกษาไม่มีเลยรึไงกัน...มันต้องมีทางออกสิน่า’



แร็กนาร์เข้าสู่ภวังค์ความคิดของตนในขณะที่ทุกคนกำลงพูดคุยกัน  และเรียกผู้คุมคุกเข้ามาเปิดประตูห้องขัง  ทั้งยังเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวซึ่งผู้คุมคุกนำมาวางเอาไว้  เมื่อเห็นว่าหมอชราเข้ามาในนี้บ่อยเหลือเกิน จึงต้องอำนวยความสะดวกให้


ปีศาจทั้งสามตนนั่งลงบนเก้าอี้ ผู้คุมคุกล็อคกุญแจกรงขัง  แล้วเดินออกไป แร็กนาร์ก็ยังจมอยู่ในห้วงความคิดเช่นนั้น หาได้สนใจสิ่งรอบตัวใดๆอีก


“...นาร์...แร็กนาร์...แร็กนาร์!!”


“อ๊ะ...เหตุใดต้องเรียกข้าเสียงดังเช่นนั้นเล่า” แร็กนาร์หลุดออกจากภวังค์ความคิดด้วยความตกใจ เมื่อฮิโรกิเรียกเข้าด้วยเสียงอันดังก้อง


“ข้าเรียกเจ้าตั้งหลายครั้ง...แต่เจ้าไม่ตอบข้านี่นา” ฮิโรกิตอบกลับด้วยเสียงหงอยๆ  พร้อมทำแก้มพองลมอย่างน่ารักน่าเอ็นดู จนทำให้แร็กนาร์มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นมาอีกครั้ง  จึงรีบหันหนีไปอีกทาง


“เจ้า...เจ้ามีสิ่งใดเล่า” แร็กนาร์ตอบกลับเสียงตะกุกตะกัก เมื่อเริ่มตั้งสติได้แล้ว พร้อมกับหันกลับมามองยังปีศาจทั้งสามที่นั่งอยู่บนเก้าอีกยาวตั้งติดกับลูกกรงอีกครั้ง


“ตำราที่เจ้าต้องการใช่เล่มนี้หรือไม่” ฮิโรกิถามพร้อมกับยกตำราเล่มดังกล่าวขึ้นมาให้แร็กนาร์ดู ซึ่งนำออกมาจากกระเป๋าคล้ายถุงย่ามที่เจ้าตัวสะพายอยู่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ


“ข้าไม่แน่ใจนัก  เพราะเจอมันบนตู้หนังสือในห้องนอนของเจ้า...แล้วเล่มที่ลักษณะคล้ายกันก็มีอยู่หลายเล่ม”  ฮิเดโอะช่วยเสริม  เพราะตอนที่เขาเห็นตำราเล่มนี้ครั้งแรก เขาสนใจเพียงหน้าที่แร็กนาร์เปิดให้ดู  ไม่ได้สนใจลักษณะของมันเท่าไหร่นัก  จึงจดจำได้คร่าวๆเท่านั้น


“อืม...ถูกแล้ว”  แร็กนาร์มองอย่างพิจารณาชั่วครู่ ก็ตอบกลับไป จึงทำให้เด็กปีศาจทั้งสองยิ้มออกมาอีกครั้ง
ตำราเล่มนี้ไม่ต่างจากตำราเล่มอื่นๆ  แต่ด้านในกลับเป็นราบชื่อสมุนไพรของแดนปีศาจเพียงเล่มเดียวที่เจออยู่ในบ้านหลังนั้น  มันกลมกลืนกับตำราเล่มอื่นๆแร็กนาร์จึงนำมันไปไว้ในตู้หนังสือ ซึ่งเป็นที่ซ่อนที่ไม่เลวเลยทีเดียว  จุดสังเกตนั้นไม่ยากนัก  ตำราเล่มนี้จะมีเชือกเส้นสีแดงโยงจากสันปกด้านบนทำเป็นที่คั่นหนังสือ สำหรับใช้คั่นหน้าที่อ่านค้าง


“ดีแล้วๆ เจ้าจะให้ข้าทำสิ่งใดต่อก็บอกได้เลย” หมอชรากล่าวแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านมาพอควรแล้ว  ต้องเข้าสู่หัวข้อสำคัญเสียที


“มีสมุนไพรหลายชนิดที่ข้าอยากลองนำมาปรุงยา...ข้ายังไม่มั่นใจในสรรพคุณมันมากนักจึงอยากทดลองดูทุกชนิดที่คิดไว้...คงต้องรบกวนท่านหมอแล้ว” แร็กนาร์กล่าวอย่างเป็นทางการ เขาไม่เคยใช้มันกับหมอชรามาก่อน แต่ครั้งนี้เขาต้องรบกวนหมอชรามากมายจริงๆจึงอดที่จะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้


“มิได้ๆ มันไม่ได้รบกวนข้าเลย ข้าเต็มใจ...ถ้าสิ่งนั้นมันทำให้ท่านหัวหน้าใหญ่ปลอดภัยข้าก็ยินดี” หมอชรากล่าวอย่างจริงจัง ไม่ได้ใช้น้ำเสียงหยอกเย้าเช่นก่อนหน้านี้


“ขอบใจท่านมาก”  คำขอบคุณของแร็กนาร์พาให้หมอชราตะลึงเล็กน้อย เข้าไม่คิดว่าเด็กน้อยที่หยิ่งจองหอง ไม่ค่อยพูดจาเช่นนั้น จะยอมออกปากกล่าวคำพูดเช่นนี้กับตนง่ายๆ  ทำให้เขายิ้มอย่างจริงใจออกมา


แร็กนาร์ไม่เลิกสนใจหมอชราแล้วกระโดดลงจากเตียงนอนเดินเข้าไปหาฮิเดโอะกับฮิโรกิ  แล้วใช้มือยีผมของเด็กทั้งสองอย่างเอ็นดู


“พวกเจ้าเก่งมาก” แร็กนาร์เอ่ยชม แม้กระดากอายอยู่บ้างแต่เขาคิดว่าคงต้องให้รางวัลเด็กทั้งสองบ้างที่ทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จไปได้


ฮิเดโอะกับฮิโรกิยิ้มกว้าง  พร้อมทั้งหลับตาพริ้มรับสัมผัสที่มือผ่านเส้นผมของตนอย่างมีความสุข แร็กนาร์เองก็กลั้นขำเอาไว้แทบจะไม่อยู่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กทั้งสอง มันช่างน่าเอ็ดดูเหมือนน้องหมาตัวเล็กๆเสียจริงเชียว


“หึหึ  เอาล่ะๆ  เอาตำรามาให้ข้าได้แล้ว” แร็กนาร์ละมือจากผมของทั้งสอง  แล้วเปลี่ยนเรื่องในทันที แม้อยากจะทำต่ออีกนิด แต่กลัวตัวเองจะมีความสุขมากจนเดินไป จึงต้องหยุดแต่เท่านั้น


ฮิโรกิก็ว่าง่ายส่งตำราในมือของตนให้แร็กนาร์ในทันที แร็กนาร์เดินไปยังที่นอนของตนแล้ววางตำราลงเปิดหาสมุนไพรที่ตนหมายตาไว้แล้วพับมุมเล็กๆไว้ที่มุมบนของหนังสือ เพื่อง่ายต่อการหาของหมอชรา


ตำราเล่มนี้ไม่เพียงมีชื่อสมุนไพร  มันยังมีรูปวาด  สรรพคุณ  และสถานที่ที่มันงอกงามเอาไว้อย่างละเอียด   แต่เพราะตำราเล่มนี้เก่ามากแล้ว ความคาดเคลื่อนของสถานที่จึงมีอยู่มากทีเดียว  เช่นในคราวก่อนที่หาดอกไม้ดอกนั้น  เขาไปยังสถานที่ๆเขียนเอาไว้แต่ไม่พบมันงอกงามอยู่เลย


เมื่อเลือกสมุนไพรบนหน้าหนังสือจนเสร็จ  แร็กนาร์ก็ค้นกระเป๋าของตนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ในนั้นมีรายชื่อสมุนไพรที่หาได้ทั่วไปอยู่ เข้าต้องนำพวกมันมาใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงยาเช่นกัน


“รบกวนท่านด้วย” แร็กนาร์นำตำราสมุนไพร  และกระดาษแผ่นดังกล่าวเดินไปส่งให้หมอชราพร้อมกับกล่าวฝากฝังอีกครั้ง
“ได้ๆ” หมอชรารับของจากมือของแร็กนาร์แล้วเปิดมันออกดู เพียงชั่วครู่สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึง  และความสงสัยปะปนกัน  แต่ก็เพียงเท่านั้น  เขาปรับอารมณ์เพียงแค่หลับตาลงแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง  มันก็กลับเป็นดังเดิม
หมอชรายอมรับ และทึ่งในความสามารถของแร็กนาร์  ยิ่งเวลาที่ผ่านมาพวกเขาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ก็ก็ยิ่งทำให้ระยะห่างของอายุนั้นสั้นลง  มันไม่ต่างจากเวลาที่เขาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายวัยเดียวกันเลย นั่นทำให้เขาเริ่มเอ็นดูและรักใคร่แร็กนาร์เช่นศิษย์คนอื่นๆของตน...แต่เหตุใดเจ้าจึงมีตำราเล่มนี้ได้เล่า


“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วสินะ” รูร์กัสกล่าวขึ้นเพื่อทำลายความเงียบเมื่อหมอชรารับตำราเล่มนั้นไป ห้องขังนี้ก็เงียบลงอย่างน่าตกใจ


“อ๊ะ...พี่รูร์กัส! พี่หายดีแล้วหรือครับ” ดังเช่นพึ่งสังเกตเห็น  ฮิเดโอะมองรูร์กัสอย่างทึ่งๆ ที่ตอนนี้รูร์กัสลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว  ทั้งที่ในคืนนั้นรูร์กัสบาดเจ็บอย่างหนักมากเสียจนเข้าคิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว


“ฮ่าๆข้าได้ยาดีน่ะ” รูร์กัสตอบกลับอย่างอารมณ์ดี  เขาไม่ได้โกรธที่พวกเด็กๆแทบจะลืมเขาไปเสียแล้ว เขารู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้มองน้องๆของเขายิ้มอย่างมีความสุขเช่นนั้น


“ครับๆท่านหมอเก่งมากเลยล่ะ  พวกที่บาดเจ็บหายเร็วมากหากได้ยาของท่านหมอ...ยกเว้นพ่อของข้า” ฮิโรกิแปรเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว จากร่าเริงเป็นหดหู่ตามแบบนิสัยของเจ้าตัว  จนทำให้คนอื่นๆตกใจไปตามๆกัน


“เอาเถอะๆ เดี๋ยวพ่อเจ้าก็หายแล้ว...ว่าแต่ตะกร้าใบนั้นมันอะไรกัน” รูร์กัสรู้สึกผิดที่ไปจี้จุดของอิโรกิจึงรีบเปลี่ยนเรื่องในทันทีเมื่อสายตาสบมองตะกร้าสานจากไม้ไผ่ข้างๆตัวของฮิโรกิเข้า


“อ๊ะ  จริงด้วยๆแร็กนาร์เจ้าดูสิ  สิ่งนี้”  ฮิโรกิเปลี่ยนอารมณ์อีกครั้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่รูร์กัสถาม และนึกขึ้นได้ว่าตนมีของสำคัญอีกอย่างหนึ่งมาให้กับแร็กนาร์


“หือ  สิ่งใดกัน...ไข่?” แร็กนาร์รับตะกร้าไปแล้วจ้องมองอย่างงงงวย ในตะกร้าใบนั้นมีไข่ประหลาดสีเหลืองทอง บนเปือกไข่ก็มีจุดวงกลมสีเขียวเรียงรายเต็มไปหมด มันเป็นไข่ที่ใหญ่กว่ากำมือของผู้ใหญ่เล็กน้อย  และมีผ้าผืนหนารองด้านล่าง  และด้านข้างอยู่หลายชั้นเพื่อกันไม่ให้แตกไปเสียก่อน


“แล้วสร้อยนี่มันอะไรกัน” แร็กนาร์สะดุดตากับแสงสีทองที่กระทบกับแสงที่ส่องมาจากช่องเล็กๆบนผนังจนเกิดความวาววับ เขาจึงหยิบมันขึ้นมาพบสร้อยสีทองซึ่งมีจี้สีเขียวมรกตประดับอยู่


“โห  อะไรกันน่ะ ข้าไม่ทันสังเกต  เพียงเก็บตะกร้าไปนั้นมาเพราะคิดว่าเจ้าคงสนใจสิ่งแปลกๆเท่านั้นเอง” ฮิโรกิตกใจจนอ้าปากค้าง สร้อยเส้นนั้นงดงามจนไม่อาจละสายตาได้แต่เมื่อตั้งสติได้จึงตอบแร็กนาร์ออกไป


“เจ้าไปพบมันที่ไหน” แร็กนาร์ถามอย่างนึกสงสัยแล้ววางสร้อยเส้นนั้นลงไว้ที่เดิม พร้อมกับล้วงมือหาสิ่งของเพิ่มเติมในตะกร้าใบนั้น


“เราพบมันในป่าก่อนที่จะออกจากแดนปีศาจ ไม่ไกลจากบ้านของเจ้ามากนัก” ฮิเดโอะตอบออกไปแทนฮิโรกิ  เพราะฮิโรกิคำลังคิดอย่างหนักว่าตนควรจะตอบว่าเจอที่ใดในเมื่อรอบด้านนั้นมีแต่ต้นไม่ใบหญ้า แล้วเขาควรตอบว่าเป็นที่ใดเล่า


“เข้าใจแล้ว”  แร็กนาร์ตอบเพียงแค่นั้น เมื่อมือของเขาไปสะดุดกับกระดาษซึ่งอยู่ที่ก้นของตะกร้า  จึงดึงมันขึ้นมาก็พบว่าเป็นจดหมาย  2  ฉบับ


บนซองแรกจรดหมึกเขียนเขาไว้ว่า ‘ถึงลูกรัก’ และฉบับที่สองเขียนไว้ว่า  ‘ถึงผู้มีพระคุณ’  แร็กนาร์จึงนำซองแรกวางไว้ในตะกร้าตามเดิม  แล้วเปิดซองที่สองอย่างสนใจ แม้เขาจะลังเลอยู่บ้าง  แต่ความตื่นเต้น และความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากเกินไปจนไม่อาจห้ามใจได้


แร็กนาร์นำกระดาษสีขาวที่อยู่ด้านในออกมา  และคลี่เปิดอ่านอย่างพิจารณา


ขอวิงวอนต่อโชคชะตา  และท่านผู้มีพระคุณ  โปรดปกป้องดูแลลูกของเรา แล้วพาหวนคืนสู่ฟากฟ้า  เพื่อเติมเต็มความหวังที่รอคอย...


ซาคาจาเวีย
ป.ล. เด็กคนนี้มีนามว่า “โกยาตเลย์”


To Be Continued...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 14 ศัตรูใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 10:25:27


ตอนที่   14
ศัตรูใหม่
   

หลังจากอ่านจดหมายฉบับนั้นจบลง  ก็ไม่มีเสียงใดๆเอ่ยออกจากปากแร็กนาร์   ส่วนคนอื่นๆก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใด  ปล่อยในแร็กนาร์คิดและรอฟังคำตอบเท่านั้น


แร็กนาร์มองข้อความในกระดาษสลับกับไข่ใบเล็กในตะกร้าอย่างครุ่นคิด


‘จากจดหมายคงเดาได้ไม่ยากว่าไข่ใบนี้เป็นปีศาจเผ่าวิหกแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย  มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นซะแล้ว  ตั้งแต่เรามาโลกนี้ก็เจอแค่ตัวเองที่เป็นลูกครึ่ง รูร์กัสที่เป็นมนุษย์  แล้วก็เด็กแฝดที่เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์  ไม่เคยเจอเผ่าอื่นเลย


ถ้าจำไม่ผิดเผ่าวิหกอาศัยอยู่บนท้องฟ้าห่างไปทางทิศใต้สุดของแดนพยัคฆ์...พูดเหมือนไม่ไกล   แค่พอนึกถึงความเป็นจริงแล้ว  มันไกลสุดเลยนี่หว่า โอกาสที่จะได้เจอตัวเป็นๆไม่ง่ายเลย  แล้วยังได้สังเกตพัฒนาการตั้งแต่ออกจากไข่อีก นี่มันสุดยอดเลย
แต่ปัญหาคือ  ไอ้ข้อความในจดหมายนี่ล่ะนะ  ถ้าเรารับเลี้ยงเอาไว้ล่ะก็ต้องมีปัญหาตามมาแน่ๆ และต้องเป็นเรื่องใหญ่สุดๆด้วย ถึงขั้นเอามาทิ้งไว้ไกลแทบจะสุดแดนปีศาจขนาดนี้ แล้วก็ยังให้พากลับไปที่แดนวิหกอีก มันต้องไม่พ้นเรื่องของพวกคนใหญ่คนโตแน่นอน


แต่ก็นะ ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากไปแดนวิหก  ถ้ามีเจ้านี่ด้วยคงเป็นใบเบิกทางอย่างดีเลย แล้วก็ถ้าเป็นคนสำคัญคงต้องมีผลตอบแทนมากมายแน่ๆ  หึหึหึ


เอาไงดีล่ะเรา ข้อดีข้อเสียแทบจะเท่าๆกันเลย   เราไม่รู้ปัญหาที่จะตามมาซะด้วย...ไม่แน่มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากก็ได้’



แร็กนาร์จ้องมองไข่ใบเล็กในตะกร้า เดี๋ยวขมวดคิดจนแทบจะจรดกัน  เดี๋ยวคลายออกดังเช่นลังเลในความคิดของตนครั้งแล้วครั้งเล่า จะทุกคนที่นั่งรอคำตอบต้องคอยลุ้นไปด้วยจนแทบจะหยุดหายใจ


ในใจของแร็กนาร์สับสน  ความคิดต่างๆขัดแย้งกันไปมา  ทั้งความอยากรู้อยากเห็น ทั้งความกลัวที่จะต้องเจอกับปัญหาที่รออยู่ เขาชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ดูเหมือนฝั่งที่ชนะคงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถคาดเดาได้ เพราะถ้าหากไม่ต้องการแล้ว  แร็กนาร์คงไม่มานั่งคิดอย่างหนักเช่นนี้


“ข้าจะดูแลเอง” แร็กนาร์กล่าวออกมาอย่างหมายมาด  เขาตัดสินใจแล้วว่าความรู้สำคัญกว่าทุกสิ่ง แม้จะแลกมาด้วยปัญหาที่คาดไม่ถึง แต่อย่างนั้นมันก็ยังไม่ถาโถมเข้ามาในเวลาอันใกล้นี้ ยังมีเวลามากพอที่เขาจะได้เตรียมการ เพียงเขาเลี้ยงดูปีศาจในไข่ใบนี้ให้เป็นไปตามที่ใจเขาต้องการ มันคงไม่ยากอะไรเลย


“จริงๆหรือ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าดูแลเอง” ฮิโรกิกล่าวอย่างร่าเริง  เมื่อแร็กนาร์ยอมรับของขวัญที่ตนนำมาให้


“ขอบใจเจ้ามากฮิโระ...แต่เจ้าคงช่วยข้าได้ไม่มากนัก” แร็กนาร์กล่าวออกมาพร้อมกับนำตะกร้าใบนั้นไปวางไว้บนเตียงของตน แล้วหันกลับมาพูดคุยกับคนอื่นๆต่อ


“ในเวลานี้พวกเจ้ามีสิ่งที่ต้องทำมากมาย...ทั้งเรื่องพ่อของเจ้า ทั้งเรื่องสงครามเขตชายแดนนั่นอีก” ถึงเวลาแล้วที่เขาคิดว่าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นปัญหาที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้จะต้องร้ายขึ้นอีกเป็นแน่


“เจ้ากล่าวเช่นนั้น...หมายความว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นหรือ  แต่ใครเล่าที่จะกล้าเข้ามาวางยาท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มยาฉะ ยากนักที่พวกมันจะเข้าถึง” ฮิเดโอะกล่าวถามด้วยความสงสัย คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาก็รู้สึกระแคะระคายกับเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจกล้าที่จะตัดสินใจสิ่งต่างๆด้วยตนเอง


“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ ฮิเดะ...มันหมายความว่าในกลุ่มของเจ้ามีคนทรยศอย่างไรล่ะ” สายตาจริงจังจ้องมองไปยังเด็กน้อยตรงหน้าที่ช่างใสสะอาดบริสุทธิ์ มันเป็นเรื่องยากที่เด็กน้อยจะทำใจเชื่อ เพราะพวกเขายังเด็กจึงมีความคิดว่า ใครๆก็ต้องต่างจงรักภักดีต่อพ่อของตนซึ่งเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มอันแข็งแกร่ง เห็นเช่นนั้นแล้วใครเล่าจะกล้าวางเฉยปล่อยให้เรื่องผ่านไปเช่นนั้นได้...ในเมื่อเขาเลือกที่จะก้าวเข้ามาตั้งแต่ต้น เขาจึงต้องเดินต่อไปให้สุดปลายทาง


.


.


.


ในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่ที่เด็กน้อยปีศาจทั้งสองต้องมาเยือนทุกเช้าค่ำ มีร่างใหญ่โตของชายที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายเสือเบงกอลแต่หากสังเกตดีๆจะพบว่าชายร่างใหญ่โตนี้มีลักษณะของเสือโคร่งขาว เขามีร่างกายสีขาว มีลายสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีแดงวาววับ แต่กลับมีจุดสีฟ้าประกายเล็กๆอยู่กลางวงสีแดงนั้น จมูกคมสันเป็นสีชมพูระเรี่ยดังก้นเด็ก เพราะเขามีลักษณะคล้ายพวกที่เกิดผิวเผือก จึงไม่แปลกเลยที่ผิวจะเกิดร่องรอยของเลือดฝาด


ร่างใหญ่โตของชายที่มีลักษณะของปีศาจเสือโคร่งขาวยืนปักหลักอยู่หน้าประตูเลื่อนบานใหญ่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะค่ายๆยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปเปิดบานประตูออก


ครืดดดดด


หลังจากประตูบานใหญ่ถูกเลื่อนเปิดออก ด้านในห้องนั้นก็ปรากฏร่างของ ยาฉะ เบียกโกะ ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มยาฉะที่นอนหลังไหลอยู่ด้วยลมหายใจที่แผ่วเบา


เท้าหนาเหยียบย่างเข้าไปใกล้ร่างนั้นอย่างไม่เร่งร้อน ปากก็ขยับยกยิ้มแฝงความพึงพอใจไว้อย่างไม่คิดปิดบัง จ้องมองร่างที่ใกล้หมดลมหายใจด้วยสายตาที่หลากความหมาย ทั้งความรัก ความชัง และความคลั่งแค้น เขาจ้องร่างนั้นอยู่นานราวกับว่าต้องการจดจำภาพวินาทีสุดท้ายนี้ให้ตราตรึงเอาไว้ให้ลึกสุดในขั้วหัวใจ


“ท่านเข้ามาให้ห้องนี้ด้วยธุระอันใด...ท่านเทโทระ” เสียงราบเรียบแต่แฝงความไม่ไว้วางใจนั้นถูกส่งออกมาจากปากของชายที่ได้ชื่อว่าที่ปรึกษาของกลุ่มยาฉะ ซึ่งมักจะถือพัดที่มีลวดลายงดงามอยู่ในมือเสมอ


“หึหึ ข้าเพียงมาเยี่ยมน้องชายข้า ใยเจ้าจ้องมีท่าทีหวาดระแวงเช่นนั้นเล่าซาดาโอะ” บุรุษนาม ยาฉะ เทโทระ ชายซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของ ยาฉะ เบียกโกะ เอ่ยปากตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า หาได้กังวลต่อผู้มาเยือนคนใหม่ไม่


“หึ ท่านมาเยี่ยม หรือมาเพื่อดูวาระสุดท้ายของท่านเบียกโกะด้วยตาของตนเองกันแน่” ซาดาโอะตอบกลับด้วยเสียงเย้ยหยัน ต่อคำกล่าวที่เต็มไปด้วยคำโกหกของบุรุษตรงหน้า


“หึหึ ใยเจ้าคิดเช่นนั้นเล่า ความจริงแล้ว...ข้าจะทำอะไร หรือคิดเช่นไร เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้า” น้ำเสียงหยอกเย้าแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับซาดาโอะที่ยืนอยู่หน้าประตู


“ท่านยังไม่มีสิทธิ์ทำสิ่งใด...เพราะตอนนี้ข้าเป็นผู้ถืออำนาจสูงสุดอยู่ ขอเชิญท่านออกไปได้แล้ว ท่านเทโทระ” อารมณ์ที่ครุกรุ่นพาให้ซาดาโอะไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้ เขาหมดความอดทนกับคนตรงหน้าเสียแล้ว จึงได้แต่ยกเรื่องที่ไม่ควรนี้ขึ้นมาต่อรองเท่านั้น


“หึหึ อย่าทำหน้าเช่นนั้นเลย...เจ้าควรยิ้มให้ข้าเช่นเบียกโกะไม่ใช่หรือ เพราะอีกไม่นานผู้ที่จะได้ครอบครองทุกสิ่งก็คือข้า!” เทโทระกล่าวจบก็เดินย่างเท้าไปประชิดตัวของซาดาโอะ ก่อนยกมือหนาข้างขวาขึ้นมาจับใบหน้างดงามที่กำลังโกรธขึง พร้อมทั้งลูบไล้แก้มเนียนนั้นอย่างแผ่วเบา ดังต้องการหยอกล้อปีศาจที่ไม่ยอมสยบต่อเขาง่ายๆตนนี้


“อย่ามาแตะต้องข้า ตอนนี้ท่านยังไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น” เจ้าของใบหน้าเนียนขาวหาได้ขัดขืนชายตรงหน้า เขาเพียงส่งสายตาข่มขู่ออกไปเท่านั้น เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนอยู่ในฐานะใด และควรปฏิบัติตัวเช่นใดต่อชายตรงหน้า สิ่งใดที่ทนได้เขาจึงจำต้องทนอยู่เช่นนี้


“หึหึ เจ้างดงามถึงเพียงนี้ ข้าจะอดใจไหวได้อย่างไรเล่า” ผู้ถูกสายตาข่มขู่หาได้หวาดกลัว และไม่เพียงเท่านั้นเขายังไล้นิ้วหัวแม่มือไปบนริมฝีปากบางนั้นอย่างไม่เกรงใจสายตาข่มขู่นั้นเลยแม้แต่น้อย


เพลียะ!


“อย่า-มา-แตะ-ต้อง-ข้า” ความอดทนขาดผึ่ง เมื่อคนตรงหน้าไม่หยุดที่จะล่วงเกินเขา ซาดาโอะปัดมือหนาออกด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวเน้นประโยคนั้นที่ละคำด้วยเสียงเย็นชา


“ฮ่าๆๆๆ ข้าชอบเสียจริงๆใบหน้าที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ของเจ้า...อีกไม่นานๆเจ้าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วซาดาโอะ...ในตอนนี้เจ้าอยากทำสิ่งใดก็จงรีบทำเสียเถอะ เพราะอีกไม่นานทุกสิ่งจะกลับมาเป็นของข้า  อย่างที่มันควรจะเป็น!!” น้ำเสียงหยอกเย้าแต่หนักแน่  แต่ดวงตากลับใบหน้าที่เหยียดยิ้มนั้นช่างร้ายกาจจนหน้าตกใจ


ความรัก ความชัง  ความคลั่งแค้น  ประทุออกมามากมายเสียจนไม่อาจปิดบังได้ ชายตรงหน้าช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความชั่วร้าย ที่ชวนให้คนมองอดที่จะกลืนน้ำลายที่เหนี่ยวเหนอะนั้นลงคอไม่ได้


กลิ่นอายต่างๆถูกกับเก็บไว้ภายใต้ใบหน้าที่แย้มยิ้มก่อนที่เทโทะระจะก้าวเดินผ่านซาดาโอะไปอย่างไม่เร่งรีบ


“หยุดก่อน...ข้าขอเวลาสักครู่ได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องถามท่าน” ซาดาโอะรีบปรับอารมณ์ของตนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินผ่านไปแล้ว ความจริงแล้วเขาไปพบเทโทระเพื่อคุยเรื่องสำคัญ แต่พอจากผู้ดูแลบอกว่าเทโทระมาเยี่ยมท่านเบียกโกะเขาจึงเร่งฝีเท้าตามมาที่นี่ แต่ด้วยความกังวลใจ และยังถูกอีกคนหยอกเย้าอีก จึงเกือบลืมธุระของตนไปเสียหมดสิ้น


“ถ้าเช่นนั้น...ไปจิบชาที่บ้านของข้าดีหรือไม่ หรือถ้าไม่ข้าคงต้องขอตัว” เท้าหนาหยุดชะงักเมื่อเสียงของซาดาโอะกล่าวขึ้น ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างผู้เป็นต่อในการเผชิญหน้าครั้งนี้ แล้วกล่าวประโยคที่อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา


.


.


.


ชาหอมกรุ่นถูกรินลงไปในถ้วยชาใบเล็กสองใบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมมุมฉากซึ่งมีความสูงพอเหมาะแก่การนั่งบนฟูกแล้วจิบน้ำชายามบ่าย


โต๊ะตัวเล็กตั้งอยู่นอกชานบ้านที่ต่อออกมาเป็นระเบียงกว้าง มุงหลังคาเอาไว้กันแดดกันฝนคล้ายศาลาที่ตั้งอยู่กลางสวน สร้างเอาไว้สำหรับพักผ่อนยามบ่ายให้รู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางสวนสวย


บ้านหลังนี้ถูกแยกออกมาจากบ้านใหญ่ แต่หากยังคงอยู่ในบริเวณกำแพงบ้านที่สูงตระหง่านนั้น และยังมีทางเดินที่เชื่อมต่อไว้กับบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ


ใกล้ระเบียงกว้างมีสวนสวยตกแต่งไว้เป็นสวนทรายขนาดเล็ก ทรายเม็ดขาวที่มาจากเขตใต้ซึ่งตั้งอยู่ติดทะเล ช่างชวนให้ผู้คนที่พบเห็นได้สัมผัสบรรยายกาศกรุ่นกลิ่นน้ำทะเลจางๆที่ลอยมาตามสายลมอันเย็นสบายด้วยความร่มรื่นจากต้นไม้เล็กใหญ่ที่ถูกปลูกไว้รอบบริเวณตัวบ้าน


บรรยากาศเหล่านี้ถูกตกแต่งไว้ให้ผู้คนที่ได้สัมผัสรู้สึกผ่อนคลาย แต่มันกลับไม่ได้ผลกับที่ปรึกษากลุ่มยาฉะที่กำลังนั่งเผชิญหน้ากับเจ้าของบ้านอย่างเทโทระแม้แต่น้อย


“เจ้าไม่ชอบที่นี่รึ...ผ่อนคลายเถอะ ข้าจะทำเพียงสนทนากับเจ้าเท่านั้น” ผู้เป็นเจ้าของบ้านกล่าวอย่างแย้มยิ้ม พร้อมส่งปะกายดวงตาวาววับที่ไม่เข้ากับคำพูดของตนไปให้ซาดาโอะซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะตัวเล็กที่ตั้งขวางอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง


ซาดาโอะชั่งใจชั่วครู่ก่อนยกชาขึ้นจิบช้าๆ เพื่อลิ้มรสชาดของชาอันอบอวนด้วยกลิ่นหอมกรุ่นในถ้วยใบเล็ก แล้วจึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอีกครั้ง


“ถ้าหากท่านหัวหน้าใหญ่...ไม่รอด...ท่านจะทำเช่นไรกับกลุ่มยาฉะ” ซาดาโอะเมินเฉยต่อคำกล่าวของเทโทระ แล้วจึงเริ่มต้นกล่าวเรื่องที่ตนต้องการทันที น้ำเสียงราบเรียบนั้นแฝงความลังเลใจเอาไว้บางๆ ทั้งยังติดขัดดังไม่อยากกล่าวมันออกมา


“หือ...เจ้ากล่าวเช่นนั้น...หมายความว่าคิดเปลี่ยนใจแล้วหรือ” คนถูกถามรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เพราะใช่ว่าเขาจะมองซาดาโอะไม่ออกเสียทีเดียว เทโทระรู้ดีว่าซาดาโอะนั้นมีทิฐิสูงกว่าใครๆ แต่ครั้งนี้กลับยอมลดทิฐิลงเพียงเพื่อเป้าหมายสำคัญที่ตนหมายตาอยู่ มันช่างถูกใจเขาไม่น้อยเลย


“ตอบข้า” จะอย่างไร ซาดาโอะ ก็คือ ซาดาโอะ เขายังคงมีทิฐิเต็มเปลี่ยม แม้มีบ้างบางครั้งเกิดความลังเล และเคลือบแครงใจ แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปในอดีตใจของเขาก็สงบลงอย่างน่าฉงน...เพื่อจุดหมายที่ตนหวังแล้ว เขายอมทิ้งได้แม้กระทั่งหัวใจของตนเอง


“คำถามของเจ้ากว้างเกินไปไม่ใช่หรือ...ข้าควรตอบสิ่งใดดีเล่า สิ่งที่ข้าจะทำกับหลานๆที่น่ารักทั้งสอง หรือเหล่าคนที่กล้าเป็นปรปักษ์กับข้า หรือจะเป็น...กับเจ้าดีล่ะ” น้ำเสียงของคนตรงหน้าหาได้ยี่ระต่อสิ่งใด ยังคงกล่าวหยอกเย้าซาดาโอะเช่นเดิม พร้อมทั้งประโยคสุดท้ายนั้นก่อนกล่าวออกมายังไล่มองไปทั่วร่างกายของซาดาโอะอย่างสื่อความหมาย


“อย่าเล่นลิ้น...ท่านเองก็รู้ดีว่าข้ากล่าวถึงเรื่องใด” คนถูกหยอกเย้าขมวดคิ้วจนแทบจรดกัน แสดงสีหน้าไม่พอใจอีกฝ่ายออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดทนควบคุมอารมณ์ของตนไม่ให้มันประทุออกมา เพราะเขายังคงต้องสนทนากับคนน่ารังเกียจนี้ต่อ


“ฮ่าๆๆ ข้าล่ะอดแปลกใจไม่ได้จริงๆว่า เหตุใดเจ้าจึงเกิดลังเลเสียได้...หรือจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันที่ผ่านมานั้น...เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ซาดาโอะคนงาม” จะอย่างไรเทโทระก็ไม่สะท้งสะท้านแม้แต่น้อย เขายังคงกล่าวสิ่งต่างๆด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเช่นเดิม แม้ซาดาโอะก้าวร้ามมากกว่านี้เขาก็ไม่ถือสาสิ่งใด จะพอใจมากเสียด้วยซ้ำหากได้เห็นใบหน้าที่หลากหลายของคนตรงหน้า


พรึ่บ!


“หมดธุระแล้ว ข้าขอตัว” ก่อนเส้นความอดทนจะขาดผึ่ง ซาดาโอะลุกขึ้นจนเต็มความสูง เขารู้ขีดจำกัดของตนดี เทโทระเป็นบุรุษประเภทที่เขาเกลียดเป็นที่สุด แม้จะพูดคุยเรื่องสำคัญทุกครั้งเทโทระก็จะเป็นเช่นนี้เสมอ ดังนั้นหากยังคงต้องใช้ประโยชน์จากเขา ซาดาโอะจึงจำต้องอดทน และในตอนนี้การยุติการพูดคุยเอาไว้เสียเท่านี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และเมื่อเขาหมดประโยชน์ ซาดาโอะจะต้องตอบแทนอย่างสาสมอย่างแน่นอน


“ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่ควรเป็น” น้ำเสียงหยอกเย้าจางหาย เหลือไว้เพียงความราบเรียบและเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ


“ท่านหมายความว่าอย่างไร” เท้าเรียวสวยหยุดชะงัก และหันกลับมามาถามด้วยความไม่เข้าใจ
อีกคนไม่กล่าวสิ่งใดอีก แต่ผายมือเชื้อเชิญให้ซาดาโอะกลับมานั่งที่เดิม พร้อมแย้มยิ้มอย่างผู้มีชัย ซาดาโอะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องจำใจเดินกลับไปนั่งอย่างไม่อาจเลี่ยงได้


“หึหึ สถานการณ์ตอนนี้นับว่าไม่เลวเลย เขตตะวันตกกับเขตของเรากำลังห้ำหั่นกัน เช่นนั้นแล้วเขตของฝ่ายที่แพ้ต้องตกเป็นเขตของฝ่ายที่ชนะไม่ใช่หรือ” หลังจากที่อีกฝ่ายนั่งลงอย่างที่เขาต้องการแล้ว เทโทระก็กล่าวเสียงราบเรียบอย่างสบายอารมณ์ หาได้ยี่ระต่อสีหน้าบึ่งตึงของซาดาโอะไม่


น้ำเสียงติดหยอกย้ำนั้นกล่าวออกมาอย่างเป็นจังหวะ พร้อมหยุดเว้นวรรคให้อีกฝ่ายได้คิดตามอย่างไม่เร่งรีบ
ซาดาโอะเข้าใจคำกล่าวของอีกฝ่ายดี เรื่องนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเลย เพราะปกติแล้วหากเป็นท่านเบียกโกะจะใช้วิธีเจรจาและหาวิธียุติการต่อสู้นี้อย่างสันติเพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือด แต่ชายคนนี้ไม่ใช่ เขาต้องเติมเชื้อเพลิงจนจนเกิดการนองเลือด แล้วยึดครองเขตใต้เป็นแน่


“ส่วนหลานๆที่น่ารักของข้า  ข้าก็ได้รับรู้มาว่าสร้างเรื่องเอาไว้ไม่น้อยเลยมิใช่รึ”  เป็นอีกครั้งที่เสียงราบเรียบนั้นกล่าวออกมาแล้วหยุดลงอย่างสบายๆไม่ยี่ระต่อสิ่งใด


“พวกเขายังเด็ก” ซาดาโอะอดที่จะโต้แย้งไม่ได้ แม้การทำทุกสิ่งเพื่อจุดประสงค์อันสูงสุด ต้องแลกมาด้วยความเสียสละเสมอ แต่เขาก็ยังลังเล


“หึหึ ถ้าอยากช่วยก็ลองขวางข้าดูสิ...ได้สู้กับเจ้าคงสนุกไม่น้อย” น้ำเสียงราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นความท้าทาย  สนุก และตื่นเต้น จนผู้ที่ได้ฟังหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ สายตาที่ลุ่มลึกสบจ้องมาก็เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง  เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าตนต้องชนะซาดาโอะเป็นแน่


พรึบ ครืดดดดด


ไร้ซึ่งคำกล่าวใดๆร่างโปร่งของซาดาโอะก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างไม่คิดหันหลังกลับมาอีก เขาก้าวเท้าผ่านโถงทางเดินอย่างเร่งรีบดังเก็บกั้นสิ่งใดเอาไว้ และอยากหาที่ที่ตนเองระบายมันออกมาได้


ซาดาโอะเดินผ่านทางเชื่อมต่อบ้านหลังนั้นกับบ้านใหญ่ รีบเร่งย่างเท้าไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังห้องของตน อารมณ์ที่ถูกกับเก็บจนแทบไม่ไหวทำให้เขารู้สึกว่ามันอยู่ไกลเสียเหลือเกิน ดังนั้นเพียงผ่านมายังสถานที่ปลอดผู้คน เขาก็หยุดเดินแล้วกัดฟันกรอดเพื่อระงับอาการ


ปึ้ง


ดูเหมือนการทำเช่นนั้นจะไม่สามารถทำให้อารมณ์ที่คุกรุ่นเย็นลงได้ เจ้าของมือเรียวจึงยกมือนั้นขึ้นทุบเสาหลักระเบียงที่อยู่ใกล้มืออย่างไม่กลัวว่ามือของตนจะบุบสลายแม้แต่น้อย


“หนอย...ไอ้เสือน่ารังเกียจนั่น!!” ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยวเบิกโพรงอย่างน่ากลัว มือกำแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อพาเลือดสีแดงไหลซึมออกมา ฟันขาวนั้นก็ขบกัดกันไว้เพื่อระบายความอัดอั้นภายในใจ


.


.


.


และอีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน  ณ เมืองรูสม่า เมืองขนาดเล็กใกล้ชายแดนระหว่างแดนมนุษย์กับแดนปีศาจ ซึ่งเมืองๆนี้มนุษย์และลูกครึ่งอาศัยอยู่ร่วมกัน มีลักษณะไม่ต่างจากเมืองอื่นๆมากนัก


จักรวรรดิโรฮันออกกฎหมายการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และลูกครึ่งโดยการลงทะเบียนทาส ลูกครึ่งที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นทาส
จะไม่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองที่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิโรฮันได้ จึงมีการตั้งหมู่บ้านอยู่นอกเมือง บ้านของครอบครัวคูฟฟ์เองก็ไม่ได้อยู่ในเขตของเมือง พวกเขาตั้งรกรากอยู่ใกล้ๆเมืองเท่านั้น เพื่อความสะดวกในการช่วยเหลือเหล่าลูกครึ่งที่อาศัยอยู่ด้านนอกของเมือง


เมืองรูสม่านั้นอาจเพราะอยู่ใกล้เขตชายแดนจึงไม่ได้เคร่งคัดในเรื่องกฎหมายนี้มากนัก พวกเขาลงทะเบียนทาส เพื่อให้เหล่าลูกครึ่งที่ไม่อาจดูแลตนเองได้ให้เข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง แต่ไม่ได้ใช้งานให้สมเป็นทาสแม้แต่น้อย พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกัน และปฏิบัติต่อเหล่าลูกครึ่งอย่างเท่าเทียม เป็นเรื่องยากที่เดียวที่จะได้เห็นภาพเหล่านี้ในเมืองอื่นๆ


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เพื่อเลี่ยงการเพ่งเล็งจากจักรวรรดิโรฮัน ทาสที่อาศัยอยู่ในเมืองจึงจำต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ บนคอของพวกเขาปรากฏปลอกคอแบบต่างๆที่ได้รับจากเจ้านายของตน บนปอกคอนั้นจะสลักชื่อผู้เป็นนายเอาไว้ ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่ต้องมีเจ้าของเลย


และใช่ว่าเมืองที่สงบสุขเช่นนี้จะไม่มีพวกชั่วช้าสามาน พวกผู้คนที่มีจิตใจชั่วร้ายย่อมมีอยู่ทุกหนแห่ง  บนโลกนี้ย่อมไม่มีสิ่งใดขาวสะอาดอย่างถ่องแท้


แกร๊งๆ


“ยินดีต้อนรับค่ะนายท่าน”  ทาสสาวผู้มีใบหน้างดงามสมวัย  มีผมสีเขียวบริเวณกลางศีรษะ และถูกล้อมรอบด้วยผมเส้นสีดำบริเวณปลายผม  เป็นลักษณะของลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจเผ่าวิหก  เธอกล่าวต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาในร้านด้วยเสียงที่สดใสร่าเริง


ร้านอาหารกึ่งร้านนั่งดื่มถูกตกแต่งด้วยไม้ สามารถมานั่งทานอาหารและนั่งดื่มได้อย่างครบคัน  ภายในร้านตอนนี้มีผู้คนทั้งมนุษย์และลูกครึ่งมานั่งดื่มกินกันเพียงไม่กี่รายเท่านั้น เพราะเวลานี้ยังไม่ถึงเวลาพลบค่ำ


“หือ ร้านนี้ไม่เลวเลยนี่...เอาล่ะเจ้ามานั่งกับข้า” ชายร่างใหญ่โตบึกบึนผู้มีผมสีน้ำตาลอ่อนเอ่ยขึ้นหลังจากเดินเข้าไปนั่งลงบนโต๊ะที่ถูกจัดตกแต่งไว้ พร้อมกับชายร่างเก้งก้างอีกสองคน พวกมันทั้งสองมีผมสีดำสนิทแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบดูสกปรกดังเช่นพวกโจรเถื่อนที่ออกไล่ปล้นไปตามหมู่บ้านต่างๆ


“ต้องขออภัยด้วยเจ้าคะ ร้านเราไม่มีบริการเช่นนั้น แต่หากท่านจะดื่มกินสามารถสั่งได้เลยเจ้าค่ะ”  เสียงเล็กเจื้อยแจ้วยังเอ่ยอย่างสดใสแม้ดวงตาจะปรากฏแววหวาดหวั่น


“ข้าบอกให้มา!!” มันยังคงไม่ฟังต่อสิ่งใด ทั้งยังตะหวาดเสียงดังไปทั่วร้าน จนผู้คนเริ่มทยอยลุกเดินไปจ่ายเงินค่าอาหารกับเจ้าของร้านสาวชาวมนุษย์แล้วเดินออกจากร้านไป เหลือเพียงชายที่สวมชุดคลุมสีดำสนิทที่ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ยังคงนั่งทานเข้าวต่ออย่างไม่สนใจต่อสิ่งใด


“ต้องขออภัยจริงๆค่ะ” เธอยังคงปฏิเสธด้วยวาจาสุภาพ ส่วนทางเจ้าของร้านสาวเมื่อรับเงินจากลูกค้า  และขอโทษลูกค้าท่านอื่นๆเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามายังบริเวณที่เกิดเรื่องหมายเข้ามาช่วยเหลือ  เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มบานปลาย


“นายท่านของข้าบอกให้นั่ง เจ้าก็ต้องทำตาม...มิเช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ผู้คิดตามของมันคนหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นว่าถึงเวลาที่ตนต้องเกลี่ยกล่อมให้ทาสสาวทำตามคำสั่งเพื่อเจ้านายของตนจะได้พึงพอใจ และคงตบรางวัลให้มันอย่างงาม
ทาสสาวลังเล และหวาดหวั่น เมื่อกลัวเหลือเกินว่าพวกมันจะพังร้านๆนี้  ที่ผู้มีพระคุณของตนหวงแทนกว่าสิ่งใด จึงสบตาเจ้าของร้านหมายขอความคิดเห็น


“นายท่านทั้งสามข้าคงต้องขออภัยด้วย ท่านออกไปเถิด ร้านของเราไม่มีบริการดังเช่นที่ท่านต้องการ...แม้ในสายตาของท่านเธอจะเป็นเพียงทาส แต่สำหรับข้าเธอคือน้องสาวอันเป็นที่รัก...อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับเธอเลย ข้าขอร้อง”  หญิงสาวเข้าไปยืนขวางด้านหน้าระหว่างทาสสาวที่เธอรักดังเช่นน้องสาวคนหนึ่ง กับชายสูงใหญ่ท่าทางบึกบึน แล้วกล่าวขอร้องด้วยน้ำเสียงแน่วแน่  หาได้เอนเอียงที่จะทำเช่นที่พวกมันต้องการไม่


ปึ้ง!!


“บัดซบ ร้านที่บริการแย่เช่นนี้ก็ไม่ควรมีอยู่อีกต่อไป...พวกแกจัดการซะ” มือหนาทุบลงบนโต๊ะจนโต๊ะไม้นั้นแทบหัก ก่อนจะออกคำสั่งอย่างโกรธเกรี้ยวที่ถูกขัดใจ
ผู้ติดตามของมันไม่รอช้าลุกขึ้นเดินปรี่เข้าหาโต๊ะที่อยู่ติดกันหมายจะพังมันให้ราบคาบ


“นายท่านได้โปรดหยุดเถอะ!!” มือเรียวเล็กของทาสสาวฉุดดึงหยุดมือของพวกมันหนึ่งในนั้นไว้  แล้วกล่าวอ้อนวอน เพื่อหวังจะให้พวกมันหยุดมือที่จะทำลายร้านของผู้มีพระคุณที่เธอรักดังพี่สาว


“อย่ามาขวาง!!” มันสะบัดมือหวังจะให้มือเล็กนั้นหลุดออกไปจากแขนของมัน แต่มือนั้นกลับเหนี่ยวหนึบเกินกว่าที่จะสะบัดทิ้งไปได้ เจ้าของร้านสาวเห็นท่าไม่ดีจึงร้องขอให้หยุด แต่เหตุการณ์ดูจะวุ่นวายกว่าที่คิด เมื่อชายทั้งสามลุกขึ้นเดินไปคนละทิศทางเพื่อพังร้านให้ราบคราบ


ชายที่ยื้อยุดอยู่กับทาสสาวหมดความอดทน มันยกมืออันเก้งก้างของมันขึ้นแล้วหวดลง ที่หมายคือใบหน้าของหญิงสาว


เพรียะ!!


ทาสสาวหลับตาลงรอรับแรงกระทำจากฝ่ามือนั้น แต่พอเสียงนั้นดังขึ้นเธอกลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย  เธอชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆลืมสีดำสินทดวงโตขึ้นอย่างช้าๆเพื่อรับรู้สถานการณ์


เธอตกใจจนแทบผงะเมื่อพบว่าชายในชุดคลุมสีดำมายืนซ้อนด้านหลังของเธอ  แล้วใช้มือเรียวที่เต็มไปร่องรอยของแผลเป็นจางๆ ที่ดูงดงามเข้ากับสีและลักษณะของมือเรียวนั้นอย่างลงตัว  รับผ่ามือที่ตบลงมาแทนใบหน้าของเธอ


“ยืนมือเข้ามายุ่งเรื่องคนอื่น อยากตายรึ!!” มันตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อสิ่งที่ต้องการไม่เป็นไปตามที่ใจนึก  แล้วจ้องลึกลงไปในดวงตาของผู้ที่อยู่ในชุดคลุมสีดำนั้น


ชายในชุดคลุมสีดำไม่ได้ตอบสิ่งใด  เขาเพียงปล่อยมือของอีกฝ่ายแล้วใช้มือข้างนั้นมาจับผ้าคลุมที่คลุมบริเวณศีรษะออก


“อ๊ะ!!”  เพียงได้เห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ภายในชุดคลุมสีดำ มือที่กำลังนวดข้อมือของตนที่รู้สึกเจ็บจากการประทะเมื่อครู่หยุดชะงักแล้วสั่นเทา   ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง  หัวหน้าร่างบึกบึน  และเพื่อนร่างเก้งก้างของมันก็หันกลับมาตามเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัวนั้น 


แกร๊ง แกร๊ง  แกร๊ง!!


บานประตูกระทบกับกระดิ่งจนเกิดเสียงดังเมื่อประตูถูกเปิดออกแล้วปิดลง หลังจากที่พวกมันเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง หัวหน้าร่างบึกบึนที่ตั้งสติได้คนแรกก็เป็นผู้วิ่งออกไปอย่างไร้เสียงใดๆออกจากปากนั้น ส่วนผู้คิดตามของมันที่เห็นว่าท่าจะแย่เสียแล้วจึงวิ่งหนีตามออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลานไม่ต่างกัน


ชายในชุดคลุมสีดำไม่ได้ตามไปหรือรั้งไว้แต่อย่างใด  ปล่อยให้พวกมันหนีไปง่ายๆอย่างนั้น  แล้วเดินกลับไปนั่งทานอาหารของตนต่อ  ดังเช่นว่าเพียงแค่ลุกขึ้นมากำจัดพวกน่ารำคาญที่บังอาจมารบกวนเวลาทานอาหารมื้อนี้ของตนเท่านั้น หลังจากนั่งลงทานอาหารต่อ  เขาก็ไม่ได้สนใจยกผ้าคลุมขึ้นปิดผมสีเงินเงางามนั้นแม้แต่น้อย


ผมสีเงินประกายเส้นหยักศกยาวปะบ่าพลิ้วไหวตามการเคลื่อนไหวของผู้เป็นเจ้าของ จนผู้พบเห็นไม่อาจละสายตาได้  ใบหน้าคมคาย  จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักอย่างพอเหมาะ ดวงตาเรียวได้รูปเข้ากับประกายตาภายในที่แต่งแต้มไว้ด้วยสีน้ำตาลอ่อน  ร่างกายสูงโปร่งสมกับเป็นบุรุษเพศแม้ใบหน้านั้นจะยังคงเยาว์วัยอยู่ก็ตาม


“ขอบพระคุณนายท่าน ค่าอาหารมื้อนี้ค่าไม่คิด  และหากมีสิ่งใดที่อยากให้พวกเราตอบแทนก็บอกกล่าวได้เลย  ข้าจะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” เจ้าของร้านกล่าวหลังจากหายจากอาการงงงวยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   เธอเข้าไปค้อมกายก้มหัวลงพร้อมกับทาสสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ


ชายหนุ่มในชุดคลุมหันกลับมามองพวกเธอทั้งสองก่อนแสดงใบหน้าขบคิดชั่วครู่  แล้วจึงตัดสินใจกล่าวสิ่งที่ตนต้องการออกมา


“ถ้าเช่นนั้น...ข้าต้องการไปยังแดนพยัคฆ์!!



 

To Be Continued...

*เทโทระ แปลว่า เสือเหล็ก (สำหรับใครที่ไม่เข้าใจคำสบถของซาดาโอะค่ะ ฮ่าๆ)
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 15 ยาแก้พิษ
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 10:33:30


ตอนที่  15
ยาแก้พิษ


เสียงล้อรถลากเคลื่อนไปตามถนนที่ขรุขระดังอื้ออึง  ชายผมเงินในชุดคลุมสีดำสนิทนั่งหลับตาเพลิดเพลินอย่างไม่ยี่หระต่อแรงกระตุกเคลื่อนของรถม้ายามที่ล้อกระทบกับก้อนหินขนาดใหญ่แม้แต่น้อย


คนขับรถม้าไม่ใช่ใครที่ไหน  เธอคือหญิงสาวลูกครึ่งเผ่าวิหกที่ถูกเขาช่วยเหลือเอาไว้จากพวกคนเถื่อนในร้านที่เขาเข้าไปทานอาหารก่อนหน้านี้นั่นเอง มือบางกระตุกเชือกคุมบังเหียนม้า 2 ตัว ที่ใช้ลากรถอยู่อย่างชำนาญ   สั่งให้มันวิ่งลัดเลาะ แล้วเปลี่ยนเส้นทางไปตามถนนที่คับแคบภายในป่าลึกที่มุ่งตรงไปยังเขตชายแดน


ยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้นท้องฟ้าที่เคยทอประกายสีฟ้าสดใสก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม เพราะบัดนี้ดวงอาทิตย์กลมโตแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้มใกล้จะลาลับขอบฟ้าเต็มทีแล้ว ทำให้ถนนที่ยิ่งคดเคี้ยวยิ่งยากต่อการเดินทางมากขึ้นไปอีก หญิงสาวมองท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนแล้วกระตุกบังเหียนสั่งให้ม้าเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปอีก เธอไม่อยากเดินทางผ่านป่านี้ในเวลากลางคืนมากนักแต่เมื่อผู้มีพระคุณเร่งรีบ เธอจึงไม่คิดจะปฏิเสธแต่อย่างใด


กุบ กุบ ฮี่


เสียงเกือกม้าเร่งเร้าแล้วหยุดลงเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ดวงอาทิตย์กลมโตก็ลาลับขอบฟ้าไปในเวลาเดียวกัน ท้องฟ้าจึงมืดครึ้มเป็นเวลาที่ค่ำคืนมาเยือน


หมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่ตรงหน้า ประตูไม้บานเล็กเชื่อมต่อกับรั้วไม้ที่สูงเพียงแค่อกของชายในชุดคลุมเท่านั้น ทั้งยังดูเก่าและไม่แข็งแรงแม้แต่น้อย


“นายท่าน เราถึงที่หมายแล้ว ต่อจากนี้เราต้องเดินเข้าไปนะเจ้าคะ” หญิงสาวเปิดม่านกั้นด้านหลังแล้วบอกกล่าวต่อชายในชุดคลุมที่นั่งเงียบอยู่ภายในตัวรถ ชายในชุดคลุมทำเพียงพยักหน้าน้อยๆให้หญิงสาวรับรู้ว่าตนเข้าใจแล้วจึงได้เปิดประตูด้านหลังแล้วเดินมายืนข้างหญิงสาวที่ยืนรออยู่ด้านหน้าของประตูบานเล็กนั้น


“ที่นี่มัน...”  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสอดส่องเลยเขตรั้วไปด้านใน วันนี้เป็นคืนฟ้าสางเขาจึงมองเห็นหมู่บ้านนี้อย่างกระจ่างชัด จึงรู้สึกฉงนไม่น้อยที่บ้านทุกหลังไม่มีแม้แต่แสงไฟจากตะเกียง และเมื่อสัมผัสที่พิเศษกว่าคนทั่วไปทำให้เขารับรู้ได้ว่าหมู่บ้านนี้ร้างผู้คน หาใช่ไม่จุดตะเกียงไฟอย่างที่เข้าใจในตอนแรก


“นายท่านอาจจะแปลกใจเล็กน้อยเพราะหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านร้างอย่างที่ท่านสงสัย ผู้คน...ไม่สิ เหล่าลูกครึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างพากันอพยพเข้าไปยังเมืองรูสม่ากันจนหมด หลังจากพ้นเวลาที่เลวร้าย


หมู่บ้านนี้เคยเกิดโรคระบาด และมนุษย์ที่เป็นดังแม่พระของพวกเราก็จบชีวิตลงด้วยโรคนั้นเพราะเธอพยายามรักษาพวกพ้องของเราที่ติดโรคร้าย...ข้าได้พบท่านอาจารย์เพียงไม่นาน อาจไม่ผูกพันเช่นพวกพี่ๆที่เคยอยู่มาก่อนหน้านี้ 


และข้าได้เพียงฟังจากพวกพี่ๆเท่านั้นว่าอาจารย์ช่วยเหลือหมู่บ้านมาหลายปี แต่ช่วงที่ข้าเข้ามาอาศัยอยู่นั้นท่านอาจารย์ได้ออกไปจากหมู่บ้านนานกว่า 1 ปีด้วยเหตุใดข้าก็ไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้น  แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้สึกถึงความสูญเสียไม่น้อยกว่าพวกท่านพี่เลย


อ่า...ข้าคงพูดมากไปเสียแล้วท่านอย่าได้ใส่ใจเลย...แค่ได้กลับมาที่นี่ความทรงจำเหล่านั้นก็หวนกลับมาจนข้าเพ้อไปเอง อย่าได้ถือสาข้าเลย”หลังจากกล่าวจบหญิงสาวก็หันกลับมายิ้มบางๆให้กับชายชุดดำ  เพียงชั่วครู่ก็กันกลับไป แล้วเร่งเดินนำไปยังที่หมายโดยไม่ปริปากกล่าวสิ่งใดๆอีก


ดวงตาเรียวภายใต้ผ้าคลุมสีดำทอประกายแปลกใจระคนสงสัยในเรื่องหญิงผู้เป็นดังแม่พระของเหล่าลูกครึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้เพียงชั่วครู่ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อนางหยุดเล่าเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ถามสิ่งใดต่อ  เพียงเดินตามไปอย่างเงียบงันเท่านั้น
หมู่บ้านแห่งนี้นับว่าผิดแปลกจากที่อื่นๆ เพราะมีศาลาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหมู่บ้าน ช่างไม่เข้ากับหมู่บ้านเล็กๆนี้เอาเสียเลย  ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ถามข้อสงสัยออกไป  ได้แต่สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้างขึ้นคงเป็นมนุษย์ที่คอยช่วยเหลือลูกครึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้


“เจ้าจะพาข้าไปที่ใด” ชายในชุดคลุ่มสีดำเอ่ยขึ้นหลังจากเดินมานานจนเกือบจะถึงท้ายหมู่บ้าน แต่เจ้าของร่างบอบบางก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน ทั้งบรรยากาศเงียบงันที่แสนเศร้าสร้อยของนางนั้นก็ยังไม่จางหายไป เขาจึงกล่าวถามไปเพื่อนทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้


“ข้าจะพานายท่านไปหาคนที่สามารถนำทางท่านไปยังแดนพยัคฆ์เจ้าค่ะ พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กซึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้านแห่งนี้” น้ำเสียงของเธอกลับมาเจื้อยแจ้วสดใสอีกครั้ง เมื่อตระหนักได้ว่าอารมณ์อาลัยอาวรณ์ของเธอทำให้ผู้มีพระคุณอึดอัดเสียได้


“อ๊ะ  นั่นเจ้าค่ะหลังนั้น เราถึงกันแล้ว”  เมื่อมาถึงบ้านหลังเล็กเพียงหลังเดียวที่มีแสงไฟสว่างจ้าถูกจุดไว้ในบ้าน หญิงสาวจึงบอกกล่าวแก่ชายในชุดคลุมสีดำ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้นเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวังภัยจนเข้าเองก็รู้สึกได้   แต่ก็เดินตามหญิงสาวจนเธอไปถึงบริเวณประตูบ้าน  เขาจึงหยุดรออยู่ห่างๆเท่านั้น


ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขากล่าวความต้องการของตนออกไป   หญิงสาวทั้งสองก็ตกลงกันจนในที่สุดก็บอกว่าจะนำเขาไปพบผู้มีฝีมือที่จะทำหน้าที่ในครั้งนี้ได้   ในตอนแรกนั้นเขาปฏิเสธพวกเธอ  แต่พวกเธอก็หว่านล้อมจนเขาต้องเอ่ยปากตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้   จึงได้แต่ตอบกลับไปเพียงว่าขอพบคนพวกนั้นแล้วจะตัดสินใจอีกครั้ง  เพราะเขาต้องการผู้ที่มีฝีมือและไว้ใจได้  การตัดสินใจลองตามมาครั้งนี้จึงนับว่าไม่เสียเวลามากนัก จะอย่างไรก็ดีกว่าสุ่มหาไปเรื่อยๆอย่างที่ผ่านมา


หญิงสาวลูกครึ่งเผ่าวิหกตั้งมั่นที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณ  และเธอก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาต้องตอบตกลงทั้งสองฝ่ายเป็นแน่  จึงได้ไม่รอช้าเร่งพาเดินทางจนมาถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด ที่เหลือก็เพียงให้พวกเขาได้พบเจอกันเท่านั้น ไม่รอช้าเธอจึงยื่นมือบางนั้นไปแตะมือจับประตูแล้วดึงมันเข้าหาตัวเพื่อเปิดออก  โดยไม่เคาะ  หรือส่งเสียงเรียกคนด้านในแต่อย่างใด


แกร็ก  พรึ่บ


การเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินกว่าใครจะคาดเดา ในชั่วลมหายใจที่บุรุษทั้งสอง เผชิญหน้ากันประจักษ์ต่อหน้าหญิงสาวอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอไม่อาจมองการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ทัน รู้เพียงว่าเมื่อมีดเล่มบางในมือเจ้าของบ้านที่แอบหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตูบานนั้นถูกยกขึ้นมาจ่อที่ลำคอของเธอ  มือของชายในชุดคลุมที่ไม่ทราบว่าเข้ามาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อใดก็ผลักมือนั้นออก  ใบมีดเล่มบางเฉียดผ่านหน้าหญิงสาวห่างเพียงคืบเท่านั้น  เจ้าของมีดนั้นแม้ไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ตระหนักได้ว่าตนกำลังมีภัยจึงกระโดดถอนหลังอย่างว่องไว   เพื่อหลบเท้าของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้าใส่หมายจัดการเขา


เหตุการณ์ตรงหน้านั้นมีเพียงผู้ลุกไล่เท่านั้นที่รู้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งเพียงใด  และอีกฝ่ายรวดเร็วมากเพียงใด  ส่วนทางหญิงสาวที่ยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเห็นเพียงภาพรุกไล่ที่ไม่มีใครหยุดลงเท่านั้น  ไม่อาจทราบได้ว่าพวกเข้าปะทะกันอย่างไรบ้าง สายตารับรู้เพียงการเริ่มต้นและหยุดลง


มีดของชายปริศนาจ่อเข้าที่ลำคอของชายในชุดคลุมดวงตานั้นแข็งกล้าไม่หวั่นไหวแม้ร่างของตนจะเสียท่า นอนราบไปกับพื้นโดยมีชายในชุดคลุมสีดำนั่งกดทับที่อกแกร่งของเขา  และมือเรียวของชายในชุดคลุ่มนั้นมีมวลสายฟ้ากลุ่มก้อนเล็กๆสานเป็นร่างแหชะงักค้างไว้โดยห่างจากใบหน้าเขาเพียงเสี้ยวลมหายใจเท่านั้น


ชายทั้งสองหยุดชะงักเมื่อผลการต่อสู้ครั้งนี้ออกมาแล้ว  การต่อสู้ครั้งนี้คือเสมอ แม้พวกเขายังไม่แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ต่างจากการหยั่งเชิงของกันและกันเลย  ทั้งคู่รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีฝีมือยากที่จะต่อกร พวกเขายังคงค้างอยู่ในท่านั้นส่วนดวงตาก็จ้องมองอย่างหาความจริงในดวงตาของฝ่าย


“ทะ...ท่านเรย์ นายท่าน” เสียงสั่นเครือด้วยความตกใจของหญิงสาวลูกครึ่งเผ่าวิหกดังขึ้น  หลังจากหยุดอาการตกใจของตนได้  แต่ถึงอย่างนั้นสมองของเธอก็ไม่อาจประมวลคำพูดใดออกมาได้  จริงได้แต่ส่งเสียงเรียกชายทั้งสองเท่านั้น


เมื่อหญิงสาวเอ่ยปากกล่าวเรียกเช่นนั้น  ก็ทำให้พวกเขาตะหนักได้ว่าคนที่ตนสู้ด้วยนั้นรู้จักกับหญิงสาว   จึงเริ่มผ่อนคลาย  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วางใจว่าอีกผ่านจะลงมือกับตนอีกหรือไม่ ชายชุดคลุมจึงหันละสายตาจากชายตรงหน้าแล้วหันไปมองหน้าหญิงสาวเพื่อขอคำตอบแทน


“นายท่านโปรดวางใจ  คนผู้นั้นคือ  ท่านเรย์  คนที่ข้าจะขอให้นำทางท่านไปยังแดนพยัคฆ์” สายตาที่ส่งมากระตุ้นให้หญิงสาวได้สติ  เธอจึงกล่าวตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม


สายฟ้าในมือคลายออก  มีดที่จ่อคออยู่จึงถูกลดลง  จากนั้นเจ้าของพลังสายฟ้าก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างสง่างาม  ส่วนชายเจ้าของใบมีดบางก็ลุกขึ้นมายืนข้างๆด้วยเช่นกัน


เรย์  ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังเล็กท้ายหมู่บ้าน เขาเป็นเจ้าของเรือนผมสีฟ้าน้ำทะเลที่มีผมสีเทาตรงส่วนปลาย เป็นลูกครึ่งเผ่ามังกรวารีกับผู้ใช้ธาตุน้ำ ช่างเป็นการประสมประสานที่พอเหมาะทั้งลักษณะของสีและพลังจนไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้ ผู้ใช้ธาตุน้ำ  และมังกรวารีซึ่งช่วงชีวิตของพวกเขามีเพียงสายน้ำ  หากเขาใช้พลังได้คงน่าหวั่นกลัวจนยากที่จะจินตนาการ  แต่เรย์นั้นเป็นผลผลิตที่ผิดพลาด  แม้งดงามลงตัว  แต่เขากลับไม่สามารถใช้พลังได้  เขาเป็นเพียงลูกครึ่งที่ไร้ซึ่งพลังเท่านั้น  แต่ใครเล่ากำหนดว่าผู้ไรพลังนั้นต้องอ่อนแอเสมอไป


“ข้าชื่อ  เรย์ ยินดีที่ได้พบครับ”  เรย์เอ่ยขึ้นหลังจากที่อีกฝ่ายเงียบไป  เขาพอจะคาดเดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้  และเมื่อได้ฟังคำกล่าวของหญิงสาวเขารู้ได้ทันทีว่าทั้งสองมาด้วยจุดประสงค์ใด  หญิงสาวลูกครึ่งเผ่าวิหกนั้นถือเป็นสหายที่มีอาจารย์ร่วมกัน  และรู้ดีว่าเธอจะไม่ขอความช่วยเหลือจากเขาแน่ หากคนที่เธอต้องการให้ช่วยนั้นไม่ได้สำคัญจริงๆ


“ท่านไม่ใช่คนของเผ่าพยัคฆ์  กระทั้งครึ่งหนึ่งนั้นยังไม่ใช่...จะสามารถนำทางได้จริงหรือ” เสียงเรียบกล่าวอย่างสงสัย เขารอบครอบเสมอ  เพราะรู้ดีว่าการรุกล้ำไปยังเผ่าพยัคฆ์อย่างเงียบๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงต้องการผู้นำทางที่มีฝีมือและไว้ใจได้ทุกสถานการณ์


“ข้าจะตามเจ้าไปด้วย...แต่คนที่นำทางไม่ใช่ข้า เขาคือสหายของข้าเอง  เขามีนามว่า...”


“นาฟ...แต่ข้าไม่รับงานนี้” เจ้าของเสียงที่เอ่ยขัดเสียงของเรย์นั้นยืนพิงราวบันไดชั้นสองอยู่อย่างเงียบเชียบ เขามองดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้น  แต่ก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด  จนกระทั่งตอนนี้เมื่อรู้จุดประสงค์ของผู้บุกรุกบ้านของตนในยามค่ำคืน เขาจึงคิดจะปฏิเสธความยุ่งยากเหล่านี้


นาฟเป็นชายเจ้าของร่างกายใหญ่โตที่เต็มไปด้วยบาดแผล เขาสวมเพียงกางเกงขายาวสีดำจึงมองเห็นรูปร่างนั้นได้เป็นอย่างดี ผมกลางศีรษะเป็นสีแดงและปลายผมเป็นสีทอง  การผสมระหว่างปีศาจเผ่าพยัคฆ์กับผู้ใช้ธาตุไฟนั้นไม่เข้ากันเอาเสียเลย ช่างต่างจากเรย์ที่ผสมทุกสิ่งอย่าง จนลงตัวเป็นอย่างยิ่ง


“โถ่ ท่านนาฟ...ได้โปรดเห็นแก่น้องสาวคนนี้  นายท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้า เขาช่วยเหลือข้าจากโจรถ่อยหยาบช้า เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ดียิ่ง...ได้โปรดนำทางนายท่านไปยังแดนพยัคฆ์ด้วยเถอะ”  เสียงใสเอ่ยแทรกบรรยากาศมาคุที่ชายในชุดคลุมกับนาฟก่อขึ้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง


เมื่อได้ฟังเช่นนั้นคิ้วหนาก็ขมวดเข้าด้วยกันอย่างครุ่นคิด แล้วมองไปยังชายแปลกหน้าที่หญิงสาวพามาด้วย สายตาที่นาฟใช้มองชายในชุดคลุมนั้นเต็มไปด้วยอคติต่อชนชั้นสูง แม้จะได้พบเจอชนชั้นสูงไม่บ่อยครั้งนัก แต่เขามักจะพบว่าพวกนั้นส่วนมากจะมีท่าทียโสโอหัง จะมีเพียงอาจารย์ของเขาเท่านั้นที่โอบอ้อมอารีเหนือมนุษย์คนใด ทั้งชายผู้นี้ยังเป็นถึงราชวงศ์คงมีท่าทียโสกว่าพวกนั้นหลายเท่า


สิ่งหนึ่งที่ทำให้นาฟไม่ถูกชะตากับชายตรงหน้านั้น คงหนีไม่พ้นท่าทียโสโอหังที่เขาแสดงออกมา ทั้งๆที่มาขอให้พวกเขาช่วย กระทั่งผ้าที่ใช้คลุมศีรษะก็ยังไม่เผยออกมาให้เห็นเสียด้วยซ้ำ แม้ฝีมือเก่งกาจเพียงใด เขาก็ไม่หวั่นกลัวจนต้องยอมก้มหัวยอมรับใช้ง่ายๆเช่นคนขี้ขลาดตาขาวอย่างแน่นอน


ฝ่ายชายในชุดคลุมสีดำเจ้าของพลังสายฟ้าที่เป็นถึงชนชั้นราชวงศ์ตามลำดับขั้นพิเศษนั้น กำลังหยุดคิดไตร่ตรองถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เขาจึงนิ่งเงียบหาได้ตอบโต้สิ่งใดออกไปไม่


เมื่อครู่เขาได้ประมือกับเรย์ก็ทำให้รู้ว่าชายผู้นี้แม้จะเป็นลูกครึ่งแต่กลับมีฝีมือเหนือล้ำกว่าลูกครึ่งคนใดที่เขาเคยพบเห็น ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ว่านาฟอยู่ที่ราวบันไดตั้งแต่ต้น แต่สัมผัสนั้นบางเบาเพราะจิตสังหารถูกลบออกไป และตอนนี้เองเขาก็ได้สัมผัสถึงแรงกดดันอันคุกคามที่ปล่อยออกของนาฟ การจะควบคุมจิตสังหารต้องเป็นผู้มีฝีมืออย่างมากเท่านั้นที่จะทำได้ จึงทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่านาฟนั้นต้องมีฝีมือพอๆกับเรย์เป็นแน่...พวกเขาทั้งสองมีคุณสมบัติตามที่เขาต้องการ


“หากพวกท่านรู้จักกับนาง เหตุใดต้องใช้มีดจ่อคอเช่นนี้เล่า”  ข้อนี้เป็นเพียงข้อเดียวที่อย่างไรเขาก็คาดเดาจุดประสงค์ไม่ออก จึงได้เอ่ยปากถามออกไปโดยไม่สนใจบรรยากาศกดดันที่นาฟส่งมาแม้แต่น้อย


“มันเป็นการกระทำปกติของพวกเรา ในป่าแห่งนี้มีสัตว์มายาหลายชนิดที่ออกหากินยามค่ำคืน พวกเราจึงต้องระวังภัยตลอดเวลา ท่านคงจะเห็นแล้วว่านางไม่เคาะประตู หรือส่งเสียงเรียกใดๆเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าพวกเราไม่เชื่อและไม่เปิดประตูออกไปเป็นแน่
ข้อตกลงที่พวกเรามีร่วมกันคือการกระทำดังกล่าว หากนอกเหนือจากนี้ พวกเราจะลงมือให้ถึงตายทันที” เรย์เป็นผู้กล่าวตอบ เขาตอบมันออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง น้ำเสียงนั้นก็ไม่ได้แข็งกระด่างอย่างนาฟ พวกเขาทั้งสองแม้อยู่ด้วยกัน แต่นิสัยกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ผู้กล่าวถามเงียบไปหลังจากได้รับคำตอบ ทุกอย่างที่เรย์กล่าวล้วนสมเหตุสมผลในตัวของมันเองจึงไม่ต้องถามสิ่งใดต่อ หลังจากนั้นเพียงแค่ชั่วครู่เขาก็ยกมือเรียวข้างขวาขึ้นมาจับผ้าคลุมศีรษะแล้วดึงลงจนผ้านั้นไปกองรวมกันที่ไหล่กว้าง เผยผมสีเงินเงางามตามแบบผู้ใช้สายฟ้า สายตามั่นคงแน่วแน่ในการตัดสินใจของตน แล้วกล่าวสิ่งที่ตนได้ตัดสินใจออกมา


“เรียกข้าว่า เอลลูญ์...จากนี้คงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว” หลังกล่าวจบก็ยกมือข้างขวาขึ้นมาทาบไว้ที่อกด้านซ้ายบริเวณตำแหน่งของหัวใจ ส่วนมือด้านซ้ายเหยียดตรงแนบลำตัว แล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพอีกฝ่ายอย่างไม่ยึดถือทั้งชนชั้น และเผ่าพันธุ์


การทำเช่นนั้นอยู่ในสายตาของลูกครึ่งทั้งสาม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นชนชั้นล่างสุดของแดนมนุษย์เลยก็ว่าได้ พวกเขาตะลึกงัน แต่ผ่านไปชั่วครู่ก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน ทั้งปลาบปลื้ม ชื่นชม และอาจจะเพียงแค่พึงพอใจ แต่กระนั้นก็ทำให้คนตีหน้าถมึงทึงเมื่อครู่เปิดใจและลดอคติลงไปได้บ้างแล้ว


“หึหึ ถ้าทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าคงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆแล้ว” คำกล่าวนั้นแม้ไม่ได้อ่อนน้อมต่อผู้มีชนชั้นสูงกว่าตน แต่ก็เป็นการตอบรับที่ดี


เอลลูญ์  เรย์ และหญิงสาว ทั้งสามยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ


.


.


.


วันต่อมา


ในห้องคุมขังที่เหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นของความอับชื้นเพราะอากาศไม่ถ่ายเท แม้จะถูกทำความสะอาดอยู่เสมอ แต่จะอย่างไรห้องที่ปิดมิดชิดย่อมต้องชื้นแฉะเป็นธรรมดา


บุคคลที่อยู่ในห้องนี้มีเพียง แร็กนาร์ รูร์กัส และหมอชราที่ไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันที่พิษซึ่งแร็กนาร์ใช้ระงับอาการของหัวหน้ากลุ่มยาฉะนั้นจะหมดฤทธิ์ลง  พวกเขาจึงจำต้องเร่งมือตระเตรียมแผนการช่วยเหลืออย่างเร่งด้วย ต่างคนจึงต่างต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน อิเดโอะกับฮิโรกิจึงไม่ได้อยู่ที่นี่


รูร์กัสที่อาการดีขึ้นจนสามารถเคลื่อนไหวเองได้แล้วนั่งจ้องมองแร็กนาร์จากบนเตียงนอนของตน  ส่วนหมอชรานั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะปรุงยาของแร็กนาร์ จับจ้องมือเล็กที่หยิบจับอุปกรณ์ด้วยความคล่องแคล่วนั้นอย่างไม่อาจละสายตาได้


มือเล็กขาวซีดหยิบส่วนประกอบสุดท้ายของการปรุงยาขึ้นมา มันเป็นพืชลักษณะคล้ายโสมแต่เป็นสีเขียวทั้งลำต้นตั้งแต่ยอดอ่อนจรดปลายราก สมุนไพรชนิดนี้วางอยู่บนถาดสองต้นเขาจึงหยิบมาขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบเลือกต้นที่มีคุณสมบัติดีกว่า การทดสอบนั้นไม่ได้ยากนักเพียงแค่สำรวจด้วยสายตา สัมผัส และดมกลิ่น เมื่อเลือกได้แล้วก็วางต้นที่ใช้ไม่ได้ลง


ส่วนที่แร็กนาร์เลือกใช้คือส่วนของรากเขาจึงใช้มีดตัดส่วนของลำต้น และปลายรากออก  แล้ววางมีดอันบางเฉียบที่ใช้ตัดสมุนไพรลง ใช้มือที่ว่างอยู่หยิบขาตั้งที่วางหลอดทดลงเอาไว้ 2  หลอดมาวางไว้ด้านหน้าของตน จากนั้นก็นวดคลึงส่วนของรากที่เขาเลือกใช้


หยดน้ำสีเขียวมรกตไหลออกมาจากปลายรากที่ถูกตัดออกเพียงเล็กน้อย แร็กนาร์ยกมันเหนือตำแหน่งของหลอดทดลองที่มียาซึ่งถูกปรุงแต่งจนเป็นสีแดงประกายทับทิมอยู่ด้านในเพียงครึ่งหลอด  เมื่อหยดน้ำของสมุนไพรสีเขียวมรกตร่วงหล่นลงสู่หลอดทดลองยาสีแดงในหลอดทดลองก็แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอประกายสีแดงเลือด


เมื่อได้สมุนไพรในปริมาณที่ต้องการแล้วแร็กนาร์ก็วางสมุนไพรลงแล้วหยิบหลอดหยดสารขึ้นมาดูดยาในหลอดทดลอง เขาดูดมันขึ้นมาเพียงเล็กน้องจากนั้นก็หยดมันลงไปหนึ่งหยดในหลองทดลองที่อยู่ข้างกัน ด้านในหลอดทดลองเป็นเลือดสีแดงที่เริ่มคล้ำเพราะฤทธิ์ของพิษในกระแสเลือด และเมื่อยาถูกหยดลงไปในหลอดทดลองนั้น เลือดก็ผสมเข้ากับยาแก้พิษจนแปรเปลี่ยนเป็นเลือดสีแดงสดดังเดิม


มุมปากเล็กของผู้ผสมยายกยิ้มอย่างพึ่งพอใจในผลลัพธ์ที่ได้ ส่วนหมอชราที่นั่งมองทุกการกระทำของแร็กนาร์อย่างใจจดใจจ่อนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี  รูร์กัสที่เห็นการกระทำของทั้งสองก็ยิ้มกว้างเช่นเดียวกัน


ห้องทั้งห้องตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ความรู้สึกที่พลั่งพรูออกมาไม่อาจเรียบเรียงเป็นคำพูดใดได้ สีหน้าแห่งความยินดีก็บิดเบี้ยวเพราะไม่อาจกำหนดได้ว่าตนควรจะแสดงสีหน้าออกไปเช่นไร ความสำเร็จในครั้งนี้น่ายินดีจนไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก นอกจากปล่อยตัวปล่อยใจให้มันเป็นไปอย่างที่ควร


แต่แร็กนาร์นั้นแตกต่าง เขาวางหลอดหยดสารลงแล้วหยิบกระดาษกับปากกามาจรดเขียนสรุปการทดลองด้วยสีหน้าอิ่มเอิบในผลสำเร็จครั้งนี้


‘สำเร็จแล้ว ยาแก้พิษชนิดแรกที่เราต้องทำเพื่อแก้พิษที่เราไม่รู้จัก ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ผสมพิษเอง และผสมยาแก้เอง ความรู้สึกที่ทำสำเร็จมันแตกต่างกันมากจริงๆ


การผสมยาจากสมุนไพรยากกว่าการผสมจากสารเคมีที่เตรียมเอาไว้ให้มีคุณสมบัติครบถ้วน ความสำเร็จครั้งนี้ของเราต้องเป็นก้าวแรกที่สำคัญแน่ๆ ครั้งหลังๆมานี้เราฆ่าเหยื่อโดยใช้มีดผ่าตัดซะส่วนใหญ่ การปรุงยาจึงกลายเป็นแค่งานอดิเรก แต่ต่อไปมันต้องสำคัญกับเรามากแน่ คงต้องรื้อฟื้นอย่างเร่งด่วนซะแล้ว


แม้จะร้างลามานานแต่ก็ปรุงยาสำเร็จ...เรานี่มันยอดเยี่ยมจริงๆเลย’


มือเล็กจรดเขียนอย่างต่อเนื่องตัวอักษรที่ปรากฏบนกระดาษนั้นเป็นเรื่องของการทดลองปรุงยาเมื่อครู่ แม้ในสมองจะกำลังชื่นชมตนเองอยู่ก็ตาม เขาเองก็เป็นมนุษย์ มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง  เป็นธรรมดา มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะนั่งชื่นชมตนเองเช่นนี้


แม้แร็กนาร์จะชื่นชมตนเองมากกว่านี้คงไม่มีใครริอาจมาห้ามได้ เพราะยาแก้พิษชนิดนี้ใช่ว่าจะเป็นยาที่ใครๆก็สามารถทำได้ หมอชราเองก็ชื่นชมแร็กนาร์อยู่เช่นกัน เขาที่ผ่านโลกมามาก มีประสบการณ์มากมายจนใครๆก็ยกย่อง หลายวันมานี้ตั้งแต่ท่านหัวหน้าใหญ่ล้มป่วยลงเขาก็เพียรปรุงยาแก้พิษชนิดนี้แต่ก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงอดที่จะชื่นชมแร็กนาร์ที่เป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆนี้ไม่ได้...หากเทียบกันแล้วแร็กนาร์คงเปรียบได้กับอัจฉริยะคนนั้น...อัจฉริยะที่เขาทั้งชื่นชมทั้งหวาดกลัว


“ยาสำเร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ ข้าทำหน้าที่ของข้าลุล่วงแล้ว ฮิเดะกับฮิโระก็คงพยายามทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงเช่นกัน...ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ต้องปิดฉากแผนการทั้งหมดคือท่าน  ข้าฝากเจ้าเด็กพวกนั้นด้วย” มือเล็กนำจุกไม้มาปิดฝาหลอดทดลองที่มียาอยู่ด้านใน แล้วใส่มันลงไปในกล่องไม้ จากนั้นก็กล่าวถึงเด็กน้อยปีศาจทั้ง สองและฝากฝังหน้าที่สุดท้ายกับหมอชรา พร้อมทั้งยื่นกล่องไม้ไปใส่มือที่เหี่ยวย่นนั้น


หน้าที่ของแร็กนาร์จบลงแล้ว เพราะเขายังอยู่ในห้องคุมขังจึงไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้อีก  หน้าที่สำคัญจึงต้องฝากไว้ที่ฮิเดโอะกับฮิโรกิเท่านั้น ส่วนเขาก็ทำได้แค่รออย่างคาดหวัง


.


.


.


อีกด้านหนึ่งร่างของเด็กชายเผ่าพยัคฆ์ผิวขาว และผิวคล้ำยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่มีระเบียงทอดยาวเรียบไปกับสวนหย่อมกลางบ้าน พวกเขาสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเป็นการเตรียมใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับทำหน้าอันสำคัญในครั้งนี้ของตน
หน้าที่ในครั้งนี้ฮิเดโอะคัดค้านแร็กนาร์อยู่หลายครั้งเพราะกลัวว่าตนกับฮิโรกิจะไม่สามารถถ่วงเวลาซาดาโอะได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ พวกเขาไม่ค่อยสนิทสนมกับซาดาโอะมากนักจึงไม่ทราบว่าจะพูดคุย หรือหาเรื่องใดมารบกวนซาดาโอะดี จนสุดท้ายแล้วแร็กนาร์ที่หมดความอดทนจะต่อล้อต่อเถียงด้วยก็กล่าวประโยคที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา


‘เฮอะ! เด็กอย่างพวกเจ้า ทำหน้าที่แทนใครได้ด้วยรึ จะปรุงยาแทนข้า หรือจะฉีดยาแทนท่านหมอเล่า ตอบข้ามาสิ...นอกจากถ่วงเวลาแล้วพวกเจ้าทำสิ่งใดได้’


หลังจากนั้นนอกจากความรู้สึกอดสูที่ไม่อาจโต้แย้งสิ่งใดได้ พวกเขาก็ต้องเพิ่มรู้สึกกดดันเข้ามาอีกเนื่องจากหากพวกเขาพลาด ท่านหมอก็ต้องพลาดด้วย ไม่ต่างกับว่าหน้าที่นี้ชี้ชะตาความเป็นตายของท่านพ่อเลย


ในวันนั้นหลังจากกลับไปยังที่พักฮิเดโอะก็คิดแผนมากมายเพื่อการนี้ ทั้งยังต้องเกลี้ยกล่อมฮิโรกิที่กังวลมากกว่าตนหลายเท่า เนื่องจากฮิโรกิรู้ดีว่าตนทำสิ่งต่างๆตามสัญชาตญานทั้งสิ้น จึงกลัวเหลือเกินว่าตนจะเผลอเผยพิรุจออกมาพาลให้แผนทุกอย่างล่มอย่างไม่เป็นท่า


“ฮิเดโอะ ข้า...ข้า ข้าทำไม่ได้” น้ำเสียงเบาบางกับมือที่สั่นเท่านั้นยืนยันคำกล่าวนี้ได้เป็นอย่างดี ฮิโรกิกลัวการโกหกเป็นที่สุด เพราะบ่อยครั้งที่การโกหกของเขาถูกจับได้อย่างรวดเร็ว จนอดที่จะหวาดหวั่นอย่างเสียมิได้ ทั้งๆที่เตรียมใจมาแล้ว แต่เมื่อมาถึงจุดหมายภาพของความล้มเหลวก็ถาโถมเข้ามามากมายภายในหัว


“ทำไม่ได้ก็ต้องทำ...นี่เป็นคำสั่งของแร็กนาร์” เมื่อเห็นแฝดของตนหวั่นไหวฮิเดโอะจึงกล่าวคำพูดที่ได้ผลเสียทุกครั้งไปออกมา แม้สิ่งที่เขาแสดงออกมาจะเป็นความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยม แต่ใครจะรู้เล่าว่าในใจของเขานั้นก็หวาดหวั่นไม่แพ้ฮิโรกิเลย คำกล่าวนี้จึงใช้ปลอบใจทั้งฮิโรกิและเขาด้วย


เด็กทั้งสองหันหน้าไปสบตาของกันและกันเพื่อขอกำลังใจ จากนั้นก็ยื่นมือที่แนบชิดติดกันมาผสานจับกันเอาไว้ เมื่อหัวใจที่เต้นแรงค่อยๆผ่อนคลาย พวกเขาพยักหน้าให้กันน้อยๆเพื่อบอกว่าตนเองพร้อมแล้ว


“แค่ทำตามที่วางแผนไว้ก็พอ” เสียงราบเรียบที่ข่มความหวาดหวั่นเอาไว้เปล่งออกมาเช่นไม่มีความกลัวใดๆปนอยู่ ทำให้ฮิเดโอะที่รับฟังใจชื้นขึ้น ทั้งสองกำมือที่ผสานกันแน่นนั้นเอาไว้อีกครั้ง และเป็นทางฮิเดโอะที่ค่อยๆยื่นมือออกไปหมายจะเคาะประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า


ตึก ตึก ตึก


เสียงหัวใจแห่งความตื่นเต้นดังแรงขึ้นทุกขณะ ยิ่งมือนั้นเคลื่อนไปใกล้ประตูมากเพียงใด หัวใจก็ดังมากขึ้นเท่านั้น แต่แล้วหัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อประตูบานนั้นค่อยๆเปิดออกด้วยมือเรียวของผู้เป็นเจ้าของห้อง


ครืดดดดดด


“นายน้อยพวกท่านมีธุระอันใด ใยยืนอยู่นานสองนานแล้วไม่เข้ามาเสียทีเล่า”



To Be Continued...

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 16 ถ่วงเวลา(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 10:48:36

ตอนที่  16
ถ่วงเวลา


ร่างของปีศาจเผ่าพยัคฆ์สายพันธุ์เสื้อชีตาร์ที่ดูโปร่งสูงอย่างพอเหมาะนั่งจิบชายามบ่ายอันหอมกรุ่นอย่างละเมียดละไม ด้านหน้าของเขาเป็นโต๊ะสีเหลี่ยมขนาดเล็กไม่สูงจากพื้นมากนักพอเหมาะแก่การวางถ้วยชาเป็นอย่างยิ่ง  ส่วนฟูกที่ใช้รองนั่งก็นุ่มละมุนเสียจนไม่อยากลุกออกไปไหน บรรยากาศเหล่านี้เป็นการผ่อนคลายเล็กๆสำหรับเขาที่สะสมความเครียดมายาวนาน แต่ดูเหมือนว่าเวลาพักจะหมดลง  เพราะอย่างไรเขาก็หยุดคิดเรื่องราวที่น่าปวดหัวนั้นไม่ได้เสียที


ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยเจือไปด้วยความเศร้าที่ไม่อาจเผยให้ใครได้เห็น  มีเรื่องราวมากมายให้เขาขบคิด  ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตอันใกล้นี้  จนบางครั้งเขาก็กลัวเสียเหลือเกินว่าตนอาจทำสิ่งใดผิดพลาดไปก็ได้   ยิ่งรับรู้เรื่องราวมากขึ้น ยิ่งใกล้ชิดกับผู้คนมากขึ้น หัวใจของเราก็ยิ่งลังเล ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลย ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองบ่อยครั้งมักจะเป็นคำถามที่วนไปวนมาอยู่เช่นเดิม


ข้าเข้าใจทุกอย่างอย่างถูกต้องแล้วจริงหรือ


ความจริงเป็นดังเช่นที่ข้ารู้มาใช่หรือไม่


ในความเป็นจริงเหล่านั้น มีคำลวงอยู่มากมายเพียงใด


คำถามเหล่านี้เขาไม่เคยลบมันทิ้งออกไปได้ ทั้งที่เขาคิดว่าเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่หวังไว้จะไม่มีวันสั่นคลอน แต่เพราะเหตุใดกันเขาจึงเกิดความลังเลภายในใจมากมายถึงเพียงนี้  เรียงราวที่เขาได้รับรู้มากขึ้น มากขึ้น มันหลอมรวมให้สิ่งต่างๆขัดแย้งกันจนหาข้อเชื่อมโยงยากลำบากเสียจนไม่อาจตัดสินได้ว่าสิ่งใดคือความจริงที่เขาควรเชื่อ แต่กระนั้นเขาก็มักจะหลับหูหลับตาแล้วเลือกที่จะกลับไปเชื่อเรื่องราวแรกเริ่มเสมอ มันไม่มีค่าเลยที่จะเปลี่ยนความเชื่อ เพราะความจริงที่ค้นหา ไม่อาจหาพบได้ มันจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เขาต้องทำอยู่ในตอนนี้


แต่เวลานี้จิตใจที่ควรสงบลงเมื่อกลับมาหลับหูหลับตาดังเช่นนั้นมันกลับไม่ยอมสงบลงเสียที่เพียงเพราะเด็กน้อยลูกครึ่งที่แสนอ่อนแอตนนั้น เหตุไฉนเพียงแค่เด็กที่ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับนายน้อยจึงทำให้เขาหวนระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีกครั้งเสียได้  เหตุการณ์ที่เขาได้พบคนๆนั้นเป็นครั้งแรก ความรู้สึกแบบเดียวกันพรั่งพรูออกมา  ทั้งบรรยากาศรอบตัว และจิตสังหารที่แสนป่าเถื่อนเหล่านั้น มันคล้ายกันเสียจนเกิดเป็นภาพซ้อนทับกันเสียได้


สิ่งที่ดึงดูดที่สุดคงจะเป็นตาคู่นั้น  แม้จะคนละสีแต่กลับแฝงความรู้สึกลึกลับไม่ต่างกัน ดวงตาที่เรียวรีนั้นทำให้รู้สึกตระหนกเสียจนไม่อาจตัดสินใจทำสิ่งใดได้   กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งคนของตนก็เกือบถูกสังหารไปเสียแล้ว


แม้เผ่าพันธุ์ของเราต่างกันแทบจะสิ้นเชิง  แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้ครั้งแรกที่ได้พบเจอ  กลับไม่ต่างกับเวลาที่ได้พบคนๆนั้นเอาเสียเลย...แม้เวลาผ่านมาเนิ่นนานหลายปี  แต่วันนั้นเขาก็ได้สัมผัสมันเป็นครั้งที่สองเสียแล้ว


ซาดาโอะเชื่อว่าทุกชีวิตที่ได้พานพบกันนั้นล้วนเกิดจากโชคชะตาที่เกี่ยวข้องกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด...


“____”


เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่ฟังไม่ถนัดว่ากำลังกล่าวสิ่งใดดังมาจากระเบียงด้านหน้าที่ตัดผ่านห้องนี้ห่างไปไม่ไกลหยุดความคิดในห้วงคำนึงของซาดาโอะ  ใบหน้าของชายที่ปรากฏในความคิดนั้นก็เลือนหายไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า เขากลับมาทำใจให้สงบอีกครั้ง แล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบลิ้มรสชาติที่ละมุนลิ้นของมัน พร้อมเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนด้านนอก


‘นายน้อยมาทำอะไรกันนะ’


เมื่อระบุตัวตนของผู้ที่มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของตนได้แล้ว  เขาก็วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นย่างเท้าเข้าไปใกล้บานประตูเลื่อนที่กั้นห้องของตนกับระเบียงเอาไว้ จากนั้นเอื้อมมือหมายจะเปิดประตูบานนั้นเพื่อต้อนรับผู้ที่อยู่ด้านนอก แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจเข้า


“ฮิเดโอะ ข้า...ข้า ข้าทำไม่ได้”


“ทำไม่ได้ก็ต้องทำ...นี่เป็นคำสั่งของแร็กนาร์”


“แค่ทำตามที่วางแผนไว้ก็พอ”


แม้ไม่อาจทราบได้ว่าเด็กทั้งสองวางแผนจะทำสิ่งใด แต่เมื่อได้ยินชื่อของแร็กนาร์  แววตาสนุกสนานแสนซุกซนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นก็เปล่งประกายด้วยความยินดีดังได้พบของเล่นชิ้นใหม่ที่ยากจะคาดเดาเข้าเสียแล้ว  ริมฝีปากนั้นก็ฉีกยิ้มอย่างปิดไม่มิดเอาเสียเลย


‘หึหึ   ข้าชักอยากรู้จนทนไม่ไหวเสียแล้วว่าพวกเจ้าวางแผนจะทำสิ่งใด แต่ถ้าต้องการข้าจะช่วยเล่นด้วยสักครั้งก็แล้วกัน’


คิดเพียงเท่านั้นซาดาโอะก็เปิดประตูออกไปพร้อมกล่าวถ้อยคำใสซื่อดังตนไม่ทราบสิ่งใดมาก่อน  จากนั้นก็ยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือก พร้อมเหงื่อไคลไหลย้อยด้วยความตื่นเต้นและตกใจจนทำสิ่งใดไม่ถูกของเด็กทั้งสอง


.


.


.


ฮิเดโอะกับฮิโรกิกระชับมือที่จับกันไว้แน่นขึ้นไปอีกเพื่อข่มความตกใจระคนตื่นเต้นนี้  แล้วปรับลมหายใจที่พรั่งพรูอย่างรุนแรงนั้นให้สงบลงเพื่อปิดบังความผิดปกติของตน


“ข้า...ข้า...ข้าๆๆๆ โอ๊ย!!”  ฮิโรกิที่ไม่มั่นใจในตนเองอยู่แล้วยิ่งแตกตื่นตกใจขึ้นไปอีก  เขาจึงพยายามหาข้อแก้ตัวด้วยคำพูดที่ไม่อาจเรียบเรียงออกมาเป็นประโยคได้ ก่อนจะโดนเท่าเล็กๆของฮิเดโอะเหยียบลงบนเท้าของเขาจนร้องโอดโอย


“พวกเรามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน” หลังจากจบปัญหาเรื่องฮิโรกิ ฮิเดโอะก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มอย่างน่ารักส่งไปให้ซาดาโอะ  โดยไม่มีแววความรู้สึกสำนึกผิดที่ทำร้ายร่างกายฮิโรกิแม้แต่น้อย ส่วนซาดาโอะนั้นก็มีสีหน้าเรียบเฉย  แม้ในใจจะกำลังขำขันกับภาพตรงหน้านั้นก็ตาม


“ด้วยความเต็มใจขอรับนายน้อย...เชิญพวกท่านเข้ามาด้านในได้เลย ข้ากำลังพักผ่านอยู่พอดี” รอยยิ้มประดับริมฝีปากบางนั้นช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกเอ็นดูเด็กทั้งสอง เขาดีใจไม่น้อยเลยที่นายน้อยเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเองเช่นนี้ แม้ต้องปิดซ่อนมันลงไปในส่วนลึก แต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เพราะมันเอ่อล้นออกมาจากภายใน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านายน้อยมีจุดประสงค์บางอย่างจึงเข้ามาหาตนแต่ก็สลัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปไม่ได้จริงๆ


พวกเขาทั้งสามไม่ได้สนิทสนมกันแม้ซาดาโอะจะคอยอยู่เคียงข้างพ่อของเด็กน้อยทั้งสองมานานแล้วก็ตาม ไม่ใช่ว่าเด็กทั้งสองเกลียดชังซาดาโอะแต่เป็นเขาเองที่พยายามไม่ใกล้ชิดเด็กน้อยทั้งสอง เพียงเพราะเป้าหมายสำคัญ เขาจึงไม่อยากผูกติดความรู้สึกกับใครๆ จนเวลาผ่านเลยมานานเช่นนี้ แม้อยากจะเริ่มต้นพูดคุยด้วยก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี  มันสายเกินไปเสียแล้ว


ทั้งฮิเดโอะและฮิโรกิต่างก็รักใคร่พ่อของตน แต่กับซาดาโอะนั้นมักแสดงท่าทางห่างเหิน ไม่ใช่เพราะไม่อยากใกล้ชิด แต่เด็กที่ใสซื้อบริสุทธิ์มักจำสัมผัสกำแพงที่ซาดาโอะก่อขึ้นเพื่อบิดบังตัวตนเอาไว้ได้  พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะบุกรุกเข้าไปภายในกำแพงนั้น


ด้วยความรู้สึกที่สั่งสมมานาน แม้จะมีชื่อแร็กนาร์เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือระแวงสงสัยในการกระทำและการสนทนาเมื่อครู่ของนายน้อย แต่ซาดาโอะก็หวั่นไหว เขาเลือกที่จะมองข้ามเพื่อเข้าใกล้นายน้อยสักครั้ง ถึงจะน่าเศร้าหากเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด  แต่เขาก็ยังอยากจะใกล้ชิดแม้ต้องเจ็บปวดจากการสุญเสียก็ตาม...หากวันหน้าต้องจากลาวันนี้ข้าก็ขอเก็บความทรงจำดีๆเอาไว้แม้เพียงน้อยนิด ก็ดีกว่าไม่มีสิ่งใดเลย


ฮิเดโอะกับฮิโรกินั่งลงบนฟูกรองนั่งฝั่งตรงข้ามกับซาดาโอะ เมื่อทั้งสามคนนั่งลงประจำที่ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงน้ำชาที่ถูกเทลงไปในถ้วยใบเล็ก 2 ใบที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเด็กน้อยทั้งสองด้วยฝีมือของซาดาโอะเท่านั้น  และเมื่อซาดาโอะวางกาบรรจุน้ำชาลง เด็กทั้งสองก็รับไปดื่มด้วยท่าทางแตกต่างกัน


อึก  อึก  ตุบ


“ขออีก”  ด้วยความตื่นเต้นจึงทำให้ฮิโรกิกระหายน้ำจนคอแห้งฝาด เมื่อได้ลิ้มรสชาหอมกรุ่นละมุนลิ้นจึงดื่มต่างน้ำอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ


ฮิเดโอะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ   ก่อนหน้านี้เขาทำให้ฮิโรกิสงบลงแล้ว  แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ต้องเผชิญหน้ากับซาดาโอะอย่างไม่ทันตั้งตัวจึงทำให้ฮิโรกิกลับมามีอาการแตกตื่นตกใจอีกครั้ง  เขาจึงทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆดังอยากพูดสิ่งใดแต่กลับคิดไม่ออกอยู่เช่นนี้สุดท้ายจึงได้แต่มองไปที่ซาดาโอะอย่างคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่กล่าวถามสิ่งใด


“ขอรับ”  ชาถูกรินลงในถ้วยของฮิโรกิอีกครั้ง  จากนั้นซาดาโอะก็หันกลับมายิ้มให้ฮิเดโอะด้วยท่าทีเป็นมิตรดังมิได้ติดใจสงสัยสิ่งใด


อึก  อึก ตุบ


ก่อนที่ฮิเดโอะจะได้ตั้งข้อเคลือบแครงใจสงสัยในตัวซาดาโอะที่ชาญฉลาดแต่หาได้ติดใจสงสัยในท่าทางเช่นนี้ของพวกตนก็ต้องหันกลับไปสนใจฮิโรกิเสียแล้ว  จะอย่างไรเขาก็เป็นเด็กเมื่อมีปัญหาที่ต้องแก้อยู่เบื้องหน้า  เรื่องที่เป็นรองเช่นนั้นเขาจึงละความสนใจไปได้ง่ายๆ แล้วหันมาหาข้อแก้ตัวให้ฮิโรกิแทน


“ท่านต้องการชาเพิ่มอีกหรือไม่ขอรับ นายน้อย”   ซาดาโอะหลับหูหลับต่อต่อความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของฮิโรกิอย่างสิ้นเชิง เขาคงไว้แต่ความสนุกสนานที่ได้ดูปฏิกิริยาของเด็กทั้งสองเท่านั้น


“ขออี...”


“พอแล้วครับ...เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” เพียงฮิโรกิเอ่ยปากก็ถูกเสียงที่ดังกว่าของฮิเดโอะกลบไป พร้อมสีหน้าที่แสดงออกถึงการข่มขู่ของแฝดตนที่ส่งออกมาว่าให้หุบปากเท่านั้น   จากนั้นฮิเดโอะก็หันกลับไปมองซาดาโอะดังเมื่อครู่มิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย


เพราะเช่นนั้นฮิโรกิจึงจำต้องนิ่งเงียบ ไม่กล้าปริปากกล่าวสิ่งใดออกมาอีก  ได้แต่มองหน้าฮิเดโอะสลับกับถ้วยชาด้วยสายตาอาลัยอาวร...ข้ายังอยากดื่มอยู่นะ ฮือออ


แม้จะรับรู้ต่อสายตาของฮิโรกิ ฮิเดโอะก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อสายตาเว้าวอนนั้นอย่างเย็นชา แล้วละความสนใจจากฮิโรกิมาเป็นซาดาโอะที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะแทน


ฮิเดโอะนั้นไม่ได้แสดงท่าทีแตกตื่นตกใจเช่นฮิโรกิ  แต่สายตานั้นก็เต็มไปด้วยความลังเล  กลัวเหลือเกินว่าแผนของตนจะล้มเหลว...เขาไม่รู้เลยว่ามันล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น แต่กระนั้นซาดาโอะก็ยังยอมเล่นด้วยแม้ว่าพวกเขาจะผิดพลาดมากเพียงใดก็ตาม...ถ้าเช่นนั้นแล้วมันถือว่าสำเร็จอยู่กลายๆมิใช่หรือ...


“ขอรับนายน้อย  ว่ามาได้เลย”  น้ำเสียงนั้นหากฟังให้ดีจะรู้ว่าว่าเจือไปด้วยความเสียดายเล็กน้อย เขาชอบอาการแตกตื่นของฮิโรกิอยู่ไม่น้อยจึงอดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้  แต่ตอนนี้ก็ต้องเล่นตามน้ำไปเท่านั้น  ต่อไปอาจจะมีเรื่องที่สนุกกว่ารออยู่ก็ได้


ดังที่หวังไว้เด็กทั้งสองทำให้ซาดาโอะประหลาดใจเสียจริงๆ  พวกเขาลุกขึ้นแล้วถอยห่างจากโต๊ะที่วางถ้วยชาเมื่อครู่ไปเล็กน้อย  เว้นช่องว่างไว้แต่พอเหมาะแล้วนั่งคุกเข่า  จากนั้นก็กล่าวคำพูดที่ตระเตรียมไว้พร้อมกันทั้งสองคน


“ได้โปรดรับพวกเราเป็นศิษย์ด้วย!!” กล่าวจบก็ก้มหัวลงคำนับจนหน้าผากจรดพื้นดังที่เคยเห็นผ่านๆมา
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้งจากการกกระทำเมื่อครู่  เด็กทั้งสองหัวใจเต้นด้วยความลุ้นระทึก ส่วนซาดาโอะก็ได้แต่นั่งตกตะลึงในสิ่งที่ยากจะคาดเดานี้


...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 16 ถ่วงเวลา(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 10:49:52

‘นายน้อยเล่นไม้นี้เชียวรึนี่  ช่างกล้าเสียจริงๆหึหึ’


แต่ซาดาโอะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ใช่เพราะกล้าหาญ พวกเขาเพียงเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเท่านั้น  เพราะทุกครั้งที่ทำเช่นนี้กับแร็กนาร์ที่แสนเย็นชา  มันมักจะได้ผลเสมอ แม้บางครั้งจะไม่ได้ผลทันทีแต่พอเวลาล่วงเลยไปแร็กนาร์ก็อ่อนข้อให้พวกเขาอยู่ดี


และเหตุผลที่ว่าเหตุใดจึงขอเป็นศิษย์นั้น เพราะมันใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด มันง่ายต่อการเล่นละครฉากนี้ ฮิโรกิเองก็จะได้ลดอาการประหม่าลงด้วย หากเรื่อองราวที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นเรื่องจริงที่ควรจะกล่าวออกไป


“เงยหน้าขึ้นเถอะนายน้อย เราควรสนทนากันก่อน ส่วนเรื่องรับเป็นศิษย์นั้นข้าจะพิจารณาทีหลัง” เมื่อปรับสีหน้าและอารมณ์ของตนได้ ซาดาโอะจึงบอกให้เด็กทั้งสองได้อธิบายเหตุผลของคำขอนี้


‘แม้ว่าการแผนการครั้งนี้ของนายน้อยนั้นสำคัญต่อพวกเขามาก แต่ฉไนเลยถึงได้เอาอนาคตตัวเองมาเสี่ยงเช่นนี้เล่า หากข้ารับปาก พวกท่านจะถอยหลังกลับได้อย่างไรนายน้อย หากท่านรู้เรื่องทั้งหมด...พวกท่านต้องเสียใจภายหลังเป็นแน่’


ฮิเดโอะกับฮิโรกิเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แผนการสำเร็จไปอีกหนึ่งขั้นแล้ว ในการกระทำครั้งนี้เขาไม่ได้ต้องการให้ซาดาโอะตอบรับในทันทีเขาเพียงแค่ต้องการถ่วงเวลาเท่านั้น การพูดคุยต่อไปโดยไม่ตอบรับจึงเป็นเรื่องที่เขาต้องการ


ถือว่าโชคเข้าข้างเด็กทั้งสองไม่น้อย ซาดาโอะไม่รู้เลยว่ากำลังตกหลุมพรางเล็กๆที่ถูกสร้างไว้อย่างแยบยลนี้ ยิ่งระแวงเพียงใด ก็ยิ่งตกลงไปง่ายเท่านั้น หากเขาตอบรับคำ ฝ่ายที่ลำบากก็คงเป็นฮิเดโอะกับฮิโรกิเป็นแน่ เพราะมองข้ามสิ่งเล็กๆเพื่อสนองตอบความพอใจของตนเอง และหวาดระแวงในการกระทำไม่คาดคิด แม้แต่คนที่ฉลาดเฉลียวก็ล่วงหล่นได้ด้วยความประมาทของตน
ไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคช่วย หรือวางแผนการได้ดี แต่ก็ถือว่าแผนการที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดครั้งนี้ เดินหน้าสำเร็จอย่างงดงามไปกว่าครึ่งแล้วจริงๆ


“ข้าอยากรู้สาเหตุที่นายน้อยทั้งสองอยากให้ข้าไปเป็นอาจารย์ให้” จะอย่างไรซาดาโอะก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตนก้าวเข้าไปหาหลุมพรางด้วยตัวเอง เขาจึงเริ่มสอบถามหลังจากที่เด็กทั้งสองลุกขึ้นมานั่งบนฟูกเช่นเดิมแล้ว


“จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นานนี้ทำใหพวกเราตระหนักได้ว่า ตนเองนั้นอ่อนแอเพียงใด” บรรยากาศถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อฮิเดโอะเริ่มกล่าวประโยคนี้ แม้ว่าต้องหลอกลวงซาดาโอะ แต่สิ่งที่กล่าวออกมาล้วนเป็นความจริงที่เก็บไว้ภายในใจ


ตั้งแต่ที่เขาได้พบกับแร็กนาร์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เหตุการณ์ที่พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า และพวกเขาเชื่อว่า มันต้องมีครั้งต่อๆไปอย่างแน่นอน หากเทียบกันแล้วทั้งฝีมือการต่อสู้ การวางแผน การตัดสินใจ แร็กนาร์ล้วนเหนือกว่าพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งๆที่อายุห่างกันเพียงหนึ่งปีแต่มันกลับห่างไกลมากถึงเพียงนี้ ชีวิตที่ผ่านมาพวกเขามัวทำอะไรอยู่กันนะ ทั้งหลบหนี ทั้งกลั่นแกล้งเหล่าลูกสมุนของท่านพ่อไปทั่ว ถือดีว่าตนเองเก่งกาจทั้งๆที่พวกนั้นไม่แม้แต่จะอยากลงมือเสียด้วยซ้ำ พอถูกอ่อนข้อให้ก็ยิ่งได้ใจ จนละเลยหน้าที่ของตนเช่นนี้ แล้วต่อไปพวกเขาจะปกป้องแร็กนาร์ตามคำกล่าวได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าแร็กนาร์จะต้องคอยปกป้อง และช่วยเหลือพวกเขาต่อไปเช่นนี้หรือ


ไม่เอาอีกแล้ว การหลบหลังกำแพงแล้วเฝ้ามองแร็กนาร์กับรูร์กัสที่เข้าต่อสู้อย่างห้าวหาญ พวกเขาทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากจ้องมอง มันช่างน่าละอายต่อคำกล่าวปฏิญาณในตอนนั้นจนรู้สึกสมเพทตนเอง สุดท้ายก็กลายเป็นคำพูดพล่อยๆดังเช่นที่แร็กนาร์ว่าไว้จริงๆ พวกเขาอยากเปลี่ยนแปลงตนเอง ขอเพียงใครสักคนที่ช่วยทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นได้ แม้จะเป็นคนที่เคยทำร้ายแร็กนาร์มาก่อนเขาก็ยินดี


“ใช่แล้ว พวกเราอ่อนแอ...อ่อนแอจนน่าสมเพท” อาจจะเพราะใจสื่อถึงกัน ฮิโรกิจึงกล่าวถ้อยคำที่อัดอั้นตันใจออกมาบ้าง ความรู้สึกนึกคิดของเขาไม่ต่างจากฮิเดโอะมากนัก เขารู้ว่าตัวดีว่าตนไร้ประโยชน์มากเพียงใด ความรู้สึกขมขื่นที่ต้องจ้องมองการต่อสู้อยู่ด้านหลังกำแพงดังคนไร้ทางสู้เช่นนั้นมันไม่อาจลบออกไปได้ง่ายๆ ความรู้สึกถึงมือที่กำจนเลือดไหลซึม ประสาทตึงเขม็งเพราะอดกลั่นโทสะหยุดร่างกายของตนเอาไว้ตรงนั้น เขาไม่อยากสัมผัสมันอีกแล้ว


ความจริงแล้วการที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่ความผิดปกติ  แต่เพราะเขาตั้งตนเองไปเทียบกับแร็กนาร์ต่างหากมันจึงผิด แม้สภาพแวดล้อมภายในครอบครัวจะบีบให้พวกเข้าเติบโตเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่เวลานี้มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาแม้แต่น้อย  พวกเขาอายุเพียง  7  ขวบเท่านั้นเด็กถึงเพียงนี้จำเป็นหรือว่าต้องเก่งกาจเช่นแร็กนาร์ ไม่เลยมันไม่จำเป็น แต่กระนั้นมันอาจจะถูกต้องแล้วก็ได้ หากความคิดเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาขยันฝึกซ้อม  มันก็เป็นเรื่องทีสมควรแล้ว


ซาดาโอะมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยความเอ็นดู  เด็กทั้งสองช่างเหมือนเขาเสียจริงๆในเวลานั้นเวลาที่รู้ว่าตนสูญเสียซึ่งคนสำคัญของชีวิต  สิ่งที่เขารู้สึกแค้นเคืองเป็นที่สุดคือตนเองที่อ่อนแอ  เขาฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายจึงได้แข็งแกร่งเช่นทุกวันนี้  เด็กน้อยทั้งสองยังเด็กเกินไปที่จะฝึกฝนด้วยตนเองเช่นเขา หากเขาได้คอยชี้แนะมันคงดีไม่น้อย แต่อนาคตที่รออยู่มันช่างโหดร้าย  แม้เสียใจเมื่อนึกถึงหนทางข้างหน้า ซาดาโอะก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา  ทำเพียงเงียบฟังอยู่เช่นนั้น


“และคืนนั้น  คืนที่แสนวุ่นวายนั้นมันทำให้พวกเราคนพบว่าท่านเก่งกาจเพียงใด  เพียงแค่พัดในมือ   1 อันยังสามารถหยุดแร็กนาร์ได้...ข้าคิดว่าท่านต้องเก่งมากอย่างแน่นอน” แม้กล่าวถึงตรงนี้แล้วเจ็บใจและโกรธเคืองซาดาโอะที่ทำให้แร็กนาร์เสียท่าอยู่บ้างก็ตาม  แต่หากทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไปก็จะพบกว่าความจริงแล้ว การที่ซาดาโอะหยุดแร็กนาร์เอาไว้เป็นเรื่องที่ดี   เพราะหากแร็กนาร์สังหารเคียวจิเข้า   เรื่องคงบานปลายใหญ่โตอย่างไม่อาจหวนกลับมาได้


“ใช่ๆเก่งมาก มันยอดเยี่ยมที่สุดเลย พัดนั้นมันลอย  ฟิ้ว  ปึก  ปั๊ก  จนมีดกระเด็น ฟิ้วๆๆ ปึก  โดนกำแพงพอดีเลย   สุดยอดมาก”  คำอธิบายที่ไม่อาจเข้าใจได้ออกจากปากฮิโรกิ  พร้อมด้วยตาเปร่งประกายอย่างชื่นชมถูกส่งไปให้ซาดาโอะ มันช่างดูใสซื่อ   แต่ไม่เข้ากับบรรยากาศตอนนี้เอาเสียเลย มันพาให้ทั้งฮิเดโอะ  ทั้งซาดาโอะหลุดขำพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  แม้จะอดกลั้นมันไว้เพียงใดก็ยังปิดไม่มิดอยู่ดี


บรรยากาศมาคุเมื่อครู่ถูกคลายออก  เหลือไว้เพียงใบหน้าเหยเกเพราะกั้นขำของซาดาโอะ  กับฮิเดโอะที่ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวกับฮิโรกิอย่างไร  เพราะดูเหมือนเขาจะภาคภูมิใจกับคำอธิบายเมื่อครู่เสียเหลือเกิน


“หึหึหึ อย่างนั้นเชียวหรือนายน้อยฮิโรกิ” เสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจในเหตุการณ์ไม่คาดคิดดังขึ้นจากปากของซาดาโอะพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนตาหยีอย่างที่เด็กทั้งสองหรือใครๆแทบจะไม่เคยเห็น


“อื้อ  ใช่ๆมันสุดยอดมากเลยครับ”  ฮิโรกิผงกหัวงึกงักเพื่อยื่นยันคำพูดของตน  จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าตนทำลายบรรยากาศอย่างไรไป  จึงได้แต่ยิ้มรับอย่างดีใจเท่านั้น


“อืม  ถ้าเช่นนั้นหากข้ารับปากที่จะสอนพวกท่าน พวกท่านจะแอบหลบหนีเช่นเรียนกับอาจารย์คนอื่นๆหรือไม่ขอรับ” เพราะหัวใจที่ปิดกั้นโดนกระทบจากการพูดคุยในครั้งนี้  เขาจึงแสดงด้านที่ปกปิดเอาไว้ออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว ลืมตระหนักถึงความเศร้าที่จะตามมาหลังจากนี้  ได้แต่รับรู้สิ่งที่เป็นอยู่ ณ  ปัจจุบันเท่านั้น


หากสิ่งที่เทโทระต้องการทำคือสังหารหลานแท้ๆของตนเพื่อยึดครองอำนาจ  เมื่อถึงเวลานั้นตำแหน่งที่ปรึกษากลุ่มของเขาคงสั่นคลอนไม่น้อย   เขาจะทำอย่างไรหากตัดใจจากลาเด็กน้อยทั้งสองไม่ได้...ความคิดเหล่านั้นถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ตอนนี้เขามีความสุขเสียจนไม่อยากคิดสิ่งใดแล้ว


“ไม่หนีแน่นอน!!” สองเสียงประสานตอบอย่างพร้อมเพียง ความดีใจพรั่งพรูของพวกเขาไม่แพ้ซาดาโอะเลย  ในเวลานี้แร็กนาร์คงจะปรุงยาสำเร็จตามที่รับปากไว้แล้วแน่ๆ   อย่างแร็กนาร์ไม่มีทางที่จะผิดพลาดอย่างพวกเขา อีกนิดพวกเขาต้องถ่วงเวลาไว้อีกนิดเท่านั้น เหลือเพียงฉีดยาแก้พิษให้ท่านพ่อ ท่านพ่อก็จะรอดแล้ว


“หึหึ  พวกท่านขยันขันแข็งเช่นนี้ท่านพ่อของท่านต้องภูมิใจเป็นแน่...ท่านเบียกโกะ” คำพูดพึมพำในตอนท้ายแฝงไว้ซึ่งความเศร้าหมอง  แต่แล้วเขาก็ตระหนังถึงบางอย่าง  ความนึกคิดอันเฉียบคมกลับมาอีกครั้ง  ละทิ้งความสุขหอมหวานที่อยู่ตรงหน้าแล้วกลับเป็นซาดาโอะผู้เฉยชาเช่นเดิม


หากทบทวนโดยตัดความรู้สึกภายในส่วนลึกของตนออกไป  สิ่งเดียวที่ทำให้นายน้อยทั้งสองกล้าที่จะเอาอนาคตของตนเองมาเสี่ยงมันก็มีสาเหตุที่สมควรอย่างเดียวมิใช่หรือ


‘เด็กพวกนี้กำลังร่วมมือกันทำอะไรบางอย่างกับท่านเบียกโกะอย่างแน่นอน’


ดังความสงสัยใคร่รู้โจมตีโรมรัน  ซาดาโอะหาได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก  ทำเพียงลุกเดินไปที่ประตูเท่านั้น


“ไม่ได้  ท่านห้ามไปหาท่านพ่อ อุ๊บ”  ฮิโรกิเผลอหลุดปากเสียแล้ว แม้หยุดมันไว้เมื่อตระหนักถึงด้วยมือที่ปิดปากอยู่  จะอย่างไรส่วนสำคัญก็หลุดออกไปจนได้


ที่พวกเขาต้องถ่วงเวลาซาดาโอะเอาไว้เพราะกลัวซาดาโอะจะเป็นเช่นคนอื่นๆที่รังเกียจและดูถูกลูกครึ่งอย่างแร็กนาร์ แล้วไม่ยอมรับยาที่แร็กนาร์ปรุงขึ้น  แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดแร็กนาร์จึงเห็นด้วยที่จะกันซาดาโอะออกไป แต่พวกเขาคิดว่าเหตุผลของตนนั้นเพียงพอแล้ว  จึงต้องดึงตัวซาดาโอะไว้จนภารกิจครั้งนี้สำเร็จให้จงได้


“เหตุใดไม่ได้...เวลานี้ปกติข้าก็เข้าไปนั่งเฝ้าดูอาการของท่านเบียกโกะอยู่แล้วมิใช่หรือ” เสียงนั้นถามออกมาแม้รู้อยู่แก่ใจดีว่าเพราะเหตุใด ยิ่งเห็นท่าทางเมื่อครู่เขายิ่งมั่นใจในความคิดของตนเอง  พวกเขาต้องร่วมมือกันทำอะไรบางอย่างกับร่างที่นอนรอความตายอยู่นั่นเป็นแน่


ซาดาโอะก้าวขาเดินต่อจนถึงบานประตู   เมื่อเห็นมือเรียวนั้นค่อยๆยกขึ้นหมายจะเลื่อนประตูนั้นออก เด็กน้อยทั้งสองก็ร้องห้ามออกมาอย่างไม่อาจปิดบัง


“อย่าไปเลย ได้โปรด”


“หยุดเถอะ ข้าขอร้อง จะให้ทำสิ่งใดข้าก็ยอม”


คำอ้อนวอนหลุดออกจากปากฮิเดโอะกับฮิโรกิครั้งแล้วครั้งเล่า  แม้หวั่นไหวไม่น้อยแต่ซาดาโอะก็พยายามสลัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไป เขาเปิดประตูออกหลังจากทิ้งความลังเลนั้น  แต่แล้วก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเอวของเขาถูกกอดไว้ซึ่งเด็กตัวเล็กๆทั้งสอง


“ได้โปรดหยุดเถอะ ให้พวกเราลองเสี่ยงกับมันดูสักครั้ง” ฮิโรกิกล่าวด้วยน้ำเสียงเว้าวอน จวนเจียนจะร้องไห้เต็มที


“ข้าเสียท่านแม่ไปแล้ว  ได้โปรดให้ท่านพ่ออยู่กับพวกเราต่อไปอีกหน่อยเถอะนะ ฮึก” แรงกดดันต่างๆทำให้น้ำตาฮิเดโอะไหลทะลัก   เด็กตัวเล็กเพียงเท่านั้นต้องมาฝืนแบกรับเรื่องราวมากมาย  เขาจึงไม่อาจอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก เพียงแค่คิดว่าหากแผนล้มเหลวท่านพ่อต้องจากไปชั่วนิรันดร์เขาก็ไม่อาจยอมรับทันได้


ฮิโรกิเห็นแฝดของตนที่เข้มแข็งมาตลอดปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามความรู้สึก  เขาจึงเลิกอดกลั้นความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง  น้ำตามากมายไหลอาบแก้มเปอะเปื้อนชุดของซาดาโอะตรงบริเวณที่ถูกน้ำตานั้นสัมผัสจนเปียกชุ่ม


“ท่านแม่  ฮึก...ท่านคล้ายท่านแม่ของพวกเรามาก เช่นนั้นแล้วก็ควรใจดีเช่นท่านแม่สิ ได้โปรดๆเถอะ  ลองเชื่อใจแร็กนาร์สักครั้ง  อย่าได้รังเกียจแร็กนาร์เลย” น้ำเสียงสั่นเครือนี้เป็นเสียงของฮิโรกิ ตอนนี้เขาเสียใจจนถึงขั้นนำความรู้สึกนึกคิดต่างๆมารวมกันจนมั่วไปหมด  เพราะในครั้งแรกที่เขาได้พบกับซาดาโอะ  ก็รู้สึกได้ว่าซาดาโอะคล้ายกับแม่ของตนอยู่หลายส่วน  จึงพยายามเข้าหาแต่กลับถูกปิดกั้นเสียอย่างนั้น จึงได้แต่ความเก็บความน้อยใจเอาไว้  พอถึงตอนนี้ความน้อยใจที่สั่งสมมานานหลายปีจึงถูกดึงออกมาพร้อมความรู้สึกเสียใจที่ตนทำผิดพลาดจนแผนการที่จะช่วยชีวิตท่านพ่อเอาไว้ล้มเหลว


ตึก  ตึก


หัวใจของซาดาโอะเต้นแรงเพราะคำกล่าวที่ไม่รู้ความของฮิโรกิอย่างง่ายๆ  กำแพงที่ก่อขึ้นปิดบังทุกสิ่งกำลังแตกร้าว  ก่อนหน้านี้หัวใจของเขาถูกเติมเต็มด้วยความสุขเพราะความใสสะอาดบริสุทธิ์ของเด็กทั้งสอง  แต่ในเวลานี้ความบริสุทธิ์เหล่านั้นกำลังบีบรัดหัวใจเขาให้เจ็บปวด


‘ไม่  มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ...อย่าหวั่นไหวกับคำกล่าวเพียงเท่านั้นนะซาดาโอะ  เป้าหมายที่ไขว่คว้ามานานปีจะหยุดลงแค่นี้ไม่ได้’


ซาดาโอะพร่ำบอกตัวเองเช่นนั้น  ทั้งยังกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อพาให้เลือกไหลซึมออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้าง  ฟันก็กัดกระทบกันไว้ด้วยความอดกลั้น  อดกลั้นต่อความสุขที่เย้ายวนอยู่ตรงหน้า


“ขอร้องล่ะท่านซาดาโอะ ท่านอยู่เคียงข้างท่านพ่อมาตลอด...ท่านเป็นครอบครัวของพวกเรามิใช่หรือ” ประโยคที่ออกมาจากปากฮิเดโอะพาให้น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดของซาดาโอะไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  น้ำตานั้นแสนขมขื่นๆ...ความสุขที่ไม่อาจรับไว้ได้มันช่างเจ็บปวด


‘มันสายเกินไปแล้วนายน้อย’


“ไม่  ข้าไม่ใช่ครอบครัวของพวกท่าน” กล่าวจบซาดาโอะก็สะบัดตัวจนเด็กน้อยทั้งสองหลุดออกจากการเกาะกุม   แล้วขานั้นก็ก้าวเดินออกไปอย่างไม่เหลียวหลัง  ปล่อยให้เสียงร้องให้อ้อนวอนของเด็กทั้งสองดังต่อไปอยู่เช่นนั้น   แต่ใครจะรู้เล่าว่าคนที่ทำตัวเย็นชาอยู่นี้กำลังหลั่งน้ำตาออกมามากมาย  พาให้ร่างกายนั้นเดินซวนเซเช่นคนหมดแรง  แม้ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ดูเหมือนมันจะไม่ยอมหยุดลงง่ายๆเลย


ในวันนี้เขาเลือกที่จะละทิ้งความสุขไว้เบื้องหลัง   แล้วก้าวเดินเข้าสู่ความขมขื่นที่รออยู่เบื้องหน้า...อย่างไม่อาจถอยหลังกลับมาได้




To Be Continued...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 17 ตัดสินใจ
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 11:03:40

ตอนที่ 17
ตัดสินใจ

“มานั่งพักเถอะแร็กนาร์” รูร์กัสส่งเสียงเรียกคนที่เดินไปเดินมาภายในห้องขังอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยให้มานั่งพักเสียบ้าง เพราะหลังจากหมอชราออกไปได้เพียงครู่แร็กนาร์ก็แสดงท่าทีเช่นนี้เสียแล้ว  ทั้งยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนอีก เนื่องจากเร่งปรุงยาให้เสร็จทันกำหนด  แต่เจ้าตัวก็ไม่มีท่าทีที่จะยอมนอนพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย


รูร์กัสรู้ดีว่าน้องของตนกระวนกระวายใจเพียงใด แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจสิ่งใดก็ตาม จะให้เชื่อได้อย่างไรเล่าในเมื่อท่าทางที่ชะเง้อคอมองไปที่ประตูอยู่บ่อยๆ และเดินไปเดินมาเช่นคนหวั่นวิตกเช่นนี้ ใช่ว่าแร็กนาร์จะแสดงออกมาให้เห็นได้ง่ายๆ แม้สีหน้านั้นจะยังคงเรียบนิ่งแต่เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าภายในใจต้องเต้นระส่ำเป็นแน่


แร็กนาร์ชะงักเพราะเสียงของรูร์กัส แล้วจึงสำนึกได้ว่าตนกำลังทำสิ่งใดอยู่


‘บ้าเอ้ย เราทำอะไรวะเนี่ย ปกติเราไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา พวกเด็กบ้านั่นมันทำอะไรเรากันนะ’


ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เมื่อเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดถึงสาเหตุของการกระทำที่ไม่สมกับเป็นตัวเองเช่นนี้ แต่แล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหาสาเหตุได้ ร่างเล็กจึงเดินกลับไปนั่งที่เตียงของตนอย่างว่าง่าย


นั่งได้เพียงชั่วครู่ความรู้สึกกระวนกระวายใจที่สะกดเอาไว้ก็ถาโถมเข้ามาอย่างไม่อาจขัดขืนได้อีก ร่างกายของเขาอยู่อย่างไม่เป็นสุข มือขยับไปมาดังไม่รู้ว่าจะวางคงตรงที่ใด สายตาก็สอดส่องไปที่หน้าประตูอย่างห้ามสายตาตนเองไม่ได้


“อย่าหวั่นวิตกไปเลย พี่มั่นใจว่าทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี...ก็น้องพี่เป็นห่วงขนาดนี้เลยนี่นา” เสียงต้นประโยคที่เปล่งออกมานั้นจริงจังจนแร็กนาร์ต้องหันกลับมามองพี่ชายของตน แต่พอถึงประโยคหลังกลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงหยอกล้ออย่างมีเลศไนพาให้แร็กนาร์ต้องถลึงตาใส่อย่างปรามๆเด็กตัวน้อยที่กล้าล้อเขาเล่น แต่ถึงจะอย่างนั้นใบหน้ากลับแดงระเรี่ยอย่างห้ามไม่อยู่ อย่างคนที่ถูกรู้ความลับอันน่าอับอายเข้า


“พี่รูร์กัสข้าไม่ได้เป็นห่วง...พวกนั้น” ริมฝีปากที่ขบเม้มจนเกิดรอยแดงเปิดออกแล้วกล่าวทัดทาน แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่มองดังว่าไม่ว่าเขาจะปิดบังสิ่งใดอยู่ก็ไม่อาจปิดบังคนตรงหน้าได้ แร็กนาร์จึงเลือกที่จะก้มลงจึงทำให้คำหลังๆแผ่วไป


S.P นั้นอยู่ในวังวนของการฆ่า เขาจึงปราศจากอารมณ์ความรู้สึก สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงภาระที่หนังอึ้ง เขาจึงเลือกที่จะทิ้งมันเอาไว้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ต่างจากเด็กน้อยไร้เดียงสาที่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ก่อขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจเหล่านี้ ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งสับสน แต่กลับห้ามเอาไว้ไม่ได้ จะทำอย่างไรตัวเขาจึงจะกลับไปเป็นเช่นเดิมก็ไม่อาจทราบได้ กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นโลกภายนอกค่อยๆปริร้าว ความรู้สึกบางอย่างจึงไหลผ่านร่องรอยเหล่านั้นเข้ามาอย่างห้ามไม่อยู่


เวลานี้ช่างน่ากลัว  ความรู้สึกที่เขาไม่รู้จักมากมายถาโถมเข้ามา ทั้งจากรูร์กัสที่อบอุ่น และจากเด็กน้อยฝาแฝดทั้งสองที่ห่วงใยเขายิ่งกว่าสิ่งใด...เขาจะทำเช่นไรต่อไปดี


รูร์กัสมองออกว่าแร็กนาร์สับสนภายในใจ แต่ก็เลือกจะทำเพียงนิ่งเงียบแล้วจ้องมองผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แม้ก่อนหน้านี้เขาจะอยากให้แร็กนาร์คลายวิตกจึงพยายามทำให้เจ้าตัวอารมณ์ดี แต่เหมือนยิ่งทำแร็กนาร์ก็ยิ่งแย่ลง...แต่อย่างไรเขาก็คิดที่จะจับจุด และจี้ลงไปให้แร็กนาร์เปิดรับความรู้สึกต่างๆให้ได้


ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าแร็กนาร์เปลี่ยนไปมากมายเพียงใด แม้จะยิ้มแย้มให้กับเขา แต่ความรู้สึกบางอย่างกับตายด้าน ดังไม่เคยได้รับมันมาก่อน เขาจึงต้องช่วยกระตุ้นให้แร็กนาร์กลับมาเป็นดังเช่นที่ควรจะเป็น...กลับมาเป็นเด็กน้อยที่แสดงความรู้สึกออกมาได้อย่างไม่ต้องพยายาม ทั้งเป็นที่รัก และรักคนอื่นได้อย่างสุดหัวใจ


เวลานี้ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปพร้อมความคิดมากมายที่ไหลเข้ามาเท่านั้น


.


.


.


ข้างกายของชายที่นอนหายใจรวยริน ปรากฏร่างของหมอชรานั่งอยู่ด้านข้าง เขาจ้องมองไปที่ร่างนั้นด้วยสายตาอ่อนโยนประดุจมองเด็กตัวเล็กที่เขาคอยเฝ้าทะนุถนามมาดังเช่นแต่ก่อน 


“เด็กน้อยตัวเล็กที่ชอบวิ่งเล่นซุกซนบัดนี้กลับตัวใหญ่โตเช่นนี้เชียวหรือ แล้วเหตุไฉนจึงได้นอนหายใจรวยรินก่อนชายชราเช่นข้าได้เล่า” คำกล่าวนั้นตัดพ้อต่อคนที่นอนแน่นิ่งอยู่อย่างไม่ปิดบัง


เปลือกตาที่เหี่ยวย่นเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งวัยค่อยๆปิดลง  เขากำลังอดกลั้นต่อความรู้สึกของตนเอง เพื่อจะได้เริ่มรักษา แม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อเพียงใดว่าเด็กน้อยเช่นแร็กนาร์จะปรุงยาที่เขาไม่อาจทำสำเร็จขึ้นมาได้ และยังครอบครองตำราที่ควรจะสูญหายไปเล่มนั้นอีก แต่เมื่อได้มองการกระทำทุกขั้นตอน เขาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ายาแก้พิษครั้งนี้ต้องได้ผลอย่างแน่นอน


เมื่อทำให้ตนเองกลับเป็นหมอชราที่ใจเย็นได้ทุกสถานการณ์ดังเดิมได้แล้ว หมอชราจึงลืมตาขึ้น วางกล่องสี่เหลี่ยมที่ทำจากไม้ไว้ข้างลำตัวของผู้ป่วย แล้วหยิบสายยางรัดสำหรับเวลาฉีดยาออกมามัดไว้ที่ต้นแขนขวาของผู้ป่วยที่วางอยู่ข้างตัวของตน


เสร็จแล้วจึงเปิดกล่องหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุยาแก้พิษไว้ออกมา แล้วทาบมันลงบริเวณข้อพับซึ่งเป็นบริเวณที่เห็นเส้นเลือดชัดเจนที่สุด เข็มแหลมค่อยๆกดลงไปในผ่านชั้นผิวหนังกำพร้า ผ่านชั้นหนังแท้  แล้วผ่านชั้นไขมันตรงไปยังเส้นเลือดดำ เพื่อให้ยาเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง


แต่ยังไม่ทันได้กดด้ามเข้มเพื่อให้ยาไหลเข้าไปยังเส้นเลือด หมอชราก็ต้องหยุดชะงักการกระทำทั้งหมดของตนเพียงแค่นั้น


ครืดดดดด


“หยุดนะ!! ท่านคิดจะทำสิ่งใด” เสียงตะหวาดดังลั่นพาให้มือของหมอชราชะงักลงเพราะเสียสมาธิ  แต่ไม่ทันจะได้ตั้งตัวเจ้าของเสียงนั้นก็ใช้มีดจ่อที่คอเขาเสียแล้ว


เพียงชั่วพริบตา จากประตูมายังฟูกนอนกลางห้องกว้าง มีดเล่มแหลมก็ถูกวางทาบไปกับลำคอของหมอชราอย่างไม่ทันตั้งตัว...เพียงความคิดที่จะหลบหนียังไม่มีโอกาสได้คิด ร้ายกาจจนไม่อาจจินตนาการได้


“นั่นอะไร” เสียงเยียบเย็นเอ่ยออกมาพร้อมตะหวัดปลายมีดให้ตั้งขึ้นตนสัมผัสเข้ากับปลายคางของหมอชรา จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นจากมีดที่คมกริบเล่มนี้


“ข้าว่าคนฉลาดเช่นเจ้าน่าจะมองออก...ไม่ใช่รึ” ผู้ที่ถูกควบคุมกลับไม่หวั่นเกรง เขากล่าวตอบกลับอย่างไม่ทุกร้อน หาได้มีสีหน้าวิตกกังวนแต่อย่างใด 


“...ยาแก้พิษอย่างนั้นรึ พวกท่านปรุงมันขึ้นมาไม่สำเร็จไม่ใช่หรืออย่างไร” เสียงนั้นโต้ตอบอย่างไม่อยากจะเชื่อ ข้อเท็จจริงที่เขาได้รับก่อนหน้านี้คือหมอทุกคนต่างปฏิเสธที่จะปรุงยาต่อ เพราะจนปัญญาต่อพิษที่ยากจะเข้าใจนี้

‘ได้โปรดๆเถอะ  ลองเชื่อใจแร็กนาร์สักครั้ง  อย่าได้รังเกียจแร็กนาร์เลย’


“แร็กนาร์...เด็กนั่นอย่างนั้นรึ เป็นไปไม่ได้ จะอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ เด็กตัวแค่นั้นจะทำมันขึ้นมาได้อย่างไร” คำกล่าวของฮิโรกิผุดขึ้นในหัวของซาดาโอะทำให้เขาพอประติดประต่อเรื่องราวต่างๆได้บ้าง เพราะสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไม่คาดคิดในแผนการทั้งหมด คือ 2 พี่น้องมนุษย์และลูกครึ่งคู่นั้น


“หึหึ สมกับคนที่ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษากลุ่มตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ ปัญญาช่างล้ำเลิศ มีข้อมูลเพียงน้อยนิดแต่กลับคาดเดาได้มากถึงเพียงนี้” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชมที่ไม่ควรเกิดขึ้นในเวลานี้ กลับถูกส่งออกมาจากปากของหมอชราเสียได้ มันยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าตัว


“เป็นไปไม่ได้” เสียงเบาหวิวหลุดออกจากปากซาดาโอะ แม้สภาพพวกเขายังคงเดิม แต่ฝ่ายที่หลบตาก่อนกลับเป็นซาดาโอะเสียได้ จะอย่างไรมันก็น่าเหลือเชื่อจนเกินไป เด็กคนนั้นแม้จะมีฝีมือการต่อสู้ล้ำเลิศ แต่มันก็ยังไม่เกินเด็กมากนัก จะบอกว่าเด็กคนนั้นทำทุกอย่างได้เช่นผู้ใหญ่คนหนึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อจนเกินไป


“ถ้าเช่นนั้นเรามาลองดูพร้อมกันดีหรือไม่” ดวงตาที่ท้าทายถูกส่งมาพร้อมคำกล่าวนั้น เขามองสบใบหน้าซาดาโอะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหลบหนี


ซาดาโฮะยืนอยู่ ส่วนชายชรานั้นนั่งอยู่ ความต่างของระดับความสูงที่ว่านี้ทำให้ซาดาโอะกับหมอชราสบตากันได้อย่างพอดี เมื่อหมอชราเงยหน้าขึ้นจนสุด แม้มือนั้นจะยังจับเข็มอยู่ก็ตาม หมอชรารู้ดีว่าตนไม่อาจแอบรอบทำให้สำเร็จได้แม้จะเหลือเพียงน้อยนิดก็ตาม เขาจึงต้องเจรจากับซาดาโอะให้ยินยอมก่อน


“ถ้ามันไม่ได้ผลเล่า” หลังจากจ้องหน้าท้าทายกันอยู่นานซาดาโอะก็ถามสิ่งที่ตนสงสัยออกมา


“แล้วมันจะเป็นอย่างไรเล่า จะอย่างไรท่านเบียกโกะก็ไม่อาจผ่านคืนนี้ไปได้อยู่แล้ว” หมอชรากล่าวอย่างไม่เกรงกลัวต่อแววตาที่พร้อมจะฆ่าเขา และแรงกดดันนั้นแม้แต่น้อย เพราะเขาสัมผัสมันได้ ความลังเลที่เกิดขึ้นภายในดวงตาของซาดาโอะ แม้จะเล็กน้อย แต่มันก็กำลังสั่นไหว...สั่นไหวเพราะร่างที่นอนรอความตายอยู่นี้อย่างแน่นอน


“ท่านมัน!!” เสียงฟันขบกัดกระทบกันดังลอดออกมาจากปากซาดาโอะเล็กน้อย เขากำลังอดกลั้นอารมณ์หงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นเพราะชายชราที่น่าโมโหคนนี้


เขายอมรับว่าตนลังเลอยู่ไม่น้อย ทางเลือกสองทางที่แตกต่างกันเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง ทั้งๆที่เมื่อครู่เขาได้เลือกเส้นทางที่ก้าวเดินแล้วแท้ๆ มันกลับเกิดทางเลือกใหม่เปิดขึ้นมาอีกครั้งจนได้ แต่อย่างเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกทางนั้นด้วยหรือ?


‘ท่านเบียกโกะน่ะ...สำหรับข้าแล้ว สำหรับข้า...ข้ารู้ว่าท่านสำคัญสำหรับข้า แต่เพราะเหตุใดเล่า...เพราะเหตุใด ทำไมต้องเป็นท่านด้วย!!’


เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังบีบบังคับให้เขาต้องทำเช่นนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนต้องการให้ยาแก้พิษนั้นได้ผลหรือไม่ ในความเป็นจริงนั้นเขาต้องหวังให้มันไม่ได้ผล แต่ใจกลับสั่นไหว หวังให้มันได้ผลเสียได้...


‘ข้าไม่ควรคิดเช่นนั้นเลยแท้ๆ...ทั้งๆที่ข้าพยายามตีตัวออกห่าง รักษาระยะของเราทุกครั้งที่อยู่ใกล้ แต่ท่านกลับแทรกผ่านกำแพงนั้นมา จนเข้ามาอยู่ภายในใจข้าเสียได้...แผนที่วางไว้เป็นอย่างดีถูกท่านทำลายแทบจะไม่เหลือ ท่านทำให้ข้าลังเล ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านไม่ยอมหยุดแม้ข้าจะหนีจากมันก็ตาม...เหตุใดท่านต้องฉุดรั้งข้า เหตุใดต้องใจร้ายกับข้าเช่นนี้ด้วย
หากต้องเลือกใหม่อีกครั้ง ข้าขอไม่เลือกมันเลยจะดีกว่า’



“หยุดมือท่าน...ข้าไม่ต้องการ” หลังจากขบคิดอยู่นานในที่สุดซาดาโอะก็ได้คำตอบของตน ถ้าหากต้องเลือกอีกครั้ง...เขาขอเลือกการตัดสินใจครั้งแรก...การตัดสินใจเลือกที่ทำให้เขาเดินทางมาจากบ้านเกิด มาอยู่ในที่แห่งนี้ และขึ้นมาถึงจุดที่อยู่ทุกวันนี้


“ทำไม ท่านกลัวอะไร  จะอย่างไรท่านเบียกโกะก็ไม่...”


“หุบปาก ไม่เช่นนั้นแม้จะเป็นท่านข้าก็ไม่คิดจะหยุดมือ” ซาดาโอะไม่รอให้หมอชรากล่าวจนจบ เขาก็กล่าวว่าจาข่มขู่นี้ขึ้นมาขัดแทน เขาไม่อยากฟังแล้ว  แม้ผลลัพธ์จะเป็นดังที่หมอชรากล่าว เขาก็ไม่อยากรับรู้มันอีก หลายวันที่ผ่านมา เขาเข้ามาเฝ้าดูร่างที่หายใจรวยรินนี้ทุกวัน ทำไมเขาจะไม่รู้เล่า ว่าอย่างไรคนคนนี้ก็ไม่รอด


“ข้าขอปฏิเสธ”


“ท่าน...”


“นายน้อยเล่า...หากเจ้าตัดใจเรื่องท่านเบียกโกะได้ แล้วนายน้อยเล่าจะเป็นเช่นไรต่อ” หมอชราไม่เข้าใจซาดาโอะนัก แต่ก็คิดว่าคงเพราะมีทิฐิเช่นปีศาจตนอื่นๆที่รังเกียจลูกครึ่ง คิดว่าการได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์และลูกครึ่งนั้นทำให้ศักดิ์ศรีของตนนั้นมัวหมอง ทั้งยังไม่เชื่อใจมนุษย์ หวาดเกรงต่อมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และการหลอกลวง จึงได้กล่าวเตือนออกไปเช่นนี้
บรรยากาศรอบตัวของหมอชราแปรเปลี่ยนจากสบายๆเป็นตึงเครียดและจริงจัง จากนั้นก็กดปลายคางก้มหน้าลง จนปลายคางนั้นสัมผัสเข้ากับใบมีดแหลมคมในมือของซาดาโอะ


ซาดาโอะชะงักงันเมื่อเห็นการกระทำของหมอชราแล้วได้แต่ไล่มองเลือดที่ไหลลงมาตามใบมีดจนมาจับกลุ่มอยู่ที่มือของตนซึ่งถือมีดอยู่ เมื่อไม่มีที่ให้ไปต่อเลือดจึงค่อยๆไหลอาบมือซาดาโอะแล้วหยดลงสู่พื้นด้านล่าง


ด้วยไม่ทันตั้งตัว ทั้งยังมีเรื่องของเด็กทั้งสองให้ต้องขบคิด เมื่อมองเลือดนั้นแล้วจึงนึกถึงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเด็กทั้งสอง


‘ข้าเสียท่านแม่ไปแล้ว  ได้โปรดให้ท่านพ่ออยู่กับพวกเราต่อไปอีกหน่อยเถอะนะ ฮึก’


‘ท่านแม่  ฮึก...ท่านคล้ายท่านแม่ของพวกเรามาก เช่นนั้นแล้วก็ควรใจดีเช่นท่านแม่สิ ได้โปรดๆเถอะ...’



“นายน้อย...” มือที่จับมีดอยู่ค่อยๆลดลงแล้วถูกดึงกลับมาไว้ที่ข้างลำตัวอย่างคนไร้เรี่ยวแรง


หลายครั้งที่ที่เขาคิดทบทวน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาติดสินใจละทิ้งทุกอย่างเพียงเพื่อจุดหมายเดียว...แต่คนที่ฉุดรั้งเขากลับมากับเป็นคนที่เขาไม่คาดคิดเช่นท่านเบียกโกะที่เขาทั้งรัก ทั้งเคียดแค้น และนายน้อยเหยื่อผู้ไร้เดียงสาที่เขาต้องเขี่ยทิ้ง


‘ครอบครัว’


‘คำที่ข้าไม่คู่ควร ข้าละทิ้งแต่ท่านกลับฉุดดึง...ข้าทิ้งทุกอย่างเพื่อมาที่แห่งนี้ มาพร้อมจุดประสงค์ที่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับท่าน ท่านควรจะจัดการข้าให้สิ้นซาก เราควรจะเป็นศัตรู แต่เหตุใดท่านต้องทำกับข้าเช่นนี้เล่า...ทั้งๆที่ข้ารู้ตัวดีว่าหันกลับไปไม่ได้ แต่ข้าก็ยังยอมรับมันมา ข้ารู้ดีว่าข้าเห็นแก่ตัว แม้สำนึกได้ตอนนี้ มันสายเกินไป...’



“ข้าจะลืมมัน” กล่าวเพียงแค่นั้นซาดาโอะก็ก้าวเดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่สื่อได้หลากความหมายเอาไว้เท่านั้น
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะลืมมัน ทำเช่นว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เขาไม่เห็น และไม่ได้ยินสิ่งใด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจหันหลังกลับ ต้องก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ไปข้างหน้าเท่านั้น


ความล้มเหลวนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เขามีแผนการมากมายที่วางรอเอาไว้ เขาต้องเร่งดำเนินการด้วยความมั่นใจว่ายาแก้พิษนั่นต้องแต่ผล ตามที่เขารู้สึกสังหรณ์ใจ...


.


.


.


1  สัปดาห์ผ่านไป


แกร๊กๆ


เสียงเปิดประตูด้านหน้าของห้องขังดังขึ้น ตามด้วยผู้คุมทั้งสองที่เดินเข้ามาด้านใน พวกเขาไม่พูดไม่จาสิ่งใด ทั้งยังสีหน้าเรียบเฉย ร่างกายดูยืดหยุ่น การขยับตัวก็คล่องแคล่ว ใครได้พบเจอคงรับรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาแข็งแกร่งมากทีเดียว จากการคาดเดาของแร็กนาร์พวกผู้คุมพิเศษที่ดูแลห้องขังสำหรับขังปีศาจระดับหัวหน้าหน่วย  ต้องมีฝีมือในระดับใกล้เคียงกันเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาอ่อนแอและหัวหน้าหน่วยคนใดคิดหลบหนีแล้ว พวกเขาคงไม่อาจจับกุมคนเหล่านั้นไว้ได้


ผู้คุมคนหนึ่งซึ่งใบหน้ามีรอยแผลเป็นที่ยาวตั้งแต่ใบหน้าด้านซ้ายยาวจนถึงปลายคาง รูปลักษณะแลดูเป็นคนห้าวหาญและอารมณ์ร้อน มีลักษณะของเสือชนิดใดไม่อาจทราบเพราะเพวกเขาใส่เสื้อคลุมแขนยาวและปิดจนถึงต้นปลายคาง พร้อมกางเกงขายาวลักษณะเดียวกันกับพวกศัตรูที่เกือบจะสังหารเด็กน้อยฝาแฝดทั้งสองใส่อยู่ เขายืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง ปล่อยให้ผู้คุมอีกคนได้ไขกุญแจเปิดลูกกรงที่แร็กนาร์  กับรูร์กัสนั่งอยู่ด้านใน


ผู้คุมอีกคนแม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่กลับดูท่าทางใจดี และอ่อนโยนไม่เหมาะกับลักษณะของผู้คุมแม้แต่น้อย แต่แร็กนาร์ก็สัมผัสได้ว่าผู้คุมหน้าบากนั้นเชื่อฟังคำสั่งปีศาจตนนี้มากกว่าสิ่งใด ดูแล้วเวลาต่อสู้อาจน่ากลัวจนขนหัวลุกเลยก็ได้


“ออกมาได้แล้ว มีใครคนหนึ่งอย่างพบพวกเจ้า” หลังจากประตูลูกกรงเปิดออก ผู้คุมก็บอกจุดประสงค์ให้เด็กน้อยทั้งสองฟัง พวกเขาไม่ได้กระโตกกระตากโวยวายเสียงดังอย่างยินดี ทำเพียงพยักหน้ารับรู้อย่างไม่ทุกร้อนเท่านั้น ดังว่ารู้อยู่แล้วว่าตนต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้


แร็กนาร์กับรูร์กัสกระโดดลงจากเตียงของตนเอง  แล้วเดินตามผู้คุมออกไปอย่างว่าง่าย ทั้งยังไม่กล่าวสิ่งใดออกมา จนออกมาพ้นประตูบานใหญ่หน้าห้องขัง


“ข้าอยากอาบน้ำ” ร่างเล็กใช้จมูกดมตามแขน  ตามเสื้อผ้าของตน แล้วพบว่าการไม่ได้อาบน้ำกว่า 1 สัปดาห์ช่างทำให้มีกลิ่นน่ากลัวเสียจริงๆจึงได้เปิดปากกล่าวบอกความต้องการของตนแก่ผู้คุมหน้าบากที่เดินตามหลังพวกเขามา


“เดินตามไปได้แล้ว” ผู้คุมหน้าบากตอบกลับไปแบบห้วนๆหาได้มีความเกรงใจสิ่งใด ทั้งยังมองแร็กนาร์อย่างไม่พอใจโดยไม่ปิดบัง พวกเขาทั้งสองไม่ทราบแน่ว่าจะถูกชะตา หรือไม่ถูกชะตากันแน่  แม้จะไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งจนเป็นเรื่องใหญ่โต  แต่ก็มีปากเสียงกันเสียทุกครั้งไป


“ถ้าไม่ได้อาบน้ำ...ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” แม้ผู้คุมจะแสดงสีหน้าเป็นยักษ์เป็นมาร พาให้ใครหลายๆคนได้หวาดกลัว แต่มันหาได้ผลกับแร็กนาร์ไม่ เขาเพียงไม่เกรงกลัว แต่กลับรู้สึกสนุกเสียด้วยซ้ำ  ในการกล่าวประโยคนี้แร็กนาร์จึงหันกลับไปมองหน้าผู้คุมหน้าบากอย่างท้าทาย


“เจ้าเด็กแก่แดด กล้าเถียงข้าเรอะ” ผู้คุมหน้าบากแยกเขี้ยวอย่างโกรธเกรี้ยว จนใบหน้าบิดเบี้ยวหน้าเกลียดน่ากลัว  น้ำเสียงนั้นก็เย็นเยียบ พาให้หัวใจคนฟังตกลงถึงตาตุ่ม แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้ว...มันไม่เคยได้ผลกับแร็กนาร์


“ไม่ได้เถียง ข้าเพียงบอกความต้องการของตนเองเท่านั้น” ปากบางนั้นยังคงขยับเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว แม้มันเรียบเฉย แต่กลับกระตุ้นให้คนฟังรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


“เจ้านี่มัน...”


“พอได้แล้วยาจิ...อย่าเล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ผู้คุมอีกคนที่เดินนำอยู่หน้าสุด   หันกลับมามองแล้วเอ่ยอย่างปรามๆให้พวกเขาเลิกทะเลาะกันเสียที


“เฮ้ ข้าไม่ได้เล่นนะเอจิ เจ้าดูสิว่าเด็กนี่มันมากเรื่องเพียงใด” ผู้คุมหน้าบากนามว่า ยาจิ กล่าวโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ ดังเด็กน้อยเอาแต่ใจที่พยายามหาข้อแก้ตัว


“ตามมาสิ...เดี๋ยวข้าพาไปโรงอาบน้ำ” ผู้ฟังหาได้ใส่ใจ  เขาเมินต่อสีหน้าไม่พอใจของยาจิแล้วหันมายิ้มให้แร็กนาร์อย่างอ่อนโยน


“เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้” คนถูกเมินยังไม่ยอมแพ้ แม้ไม่พอใจอยู่ แต่น้ำเสียงนั้นกลับฟังดูออดอ้อนอย่างเห็นได้ชัด มันช่างไม่เข้ากับคนตัวโตและมีหน้าตาที่น่ากลัวเช่นเขาเลย


“ทำไมไม่ได้...เด็กทั้งสองต้องไปพบใครเจ้าก็รู้ ฉะนั้นการแต่งกายให้เรียบร้อยเป็นเรื่องสมควร เจ้าจะให้พวกเขาไปเข้าพบด้วยสภาพนี้รึไงกัน” เพียงกล่าวจบยาจิก็ไม่อาจโต้ตอบสิ่งใดได้อีกทำเพียงหันหน้านี้อย่างยอมแพ้เพราะไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้เท่านั้น


อาจเพราะทั้งรูร์กัสกับแร็กนาร์อยู่ในห้องขังอย่างสงบเสงี่ยมไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืนสิ่งใด จึงทำให้ได้รับความเอ็นดูจากผู้คุมทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าแร็กนาร์กับยาจิจะมีปากเสียงกันทุกครั้งที่พบหน้า เพราะแร็กนาร์ชอบหาเรื่องก่อกวนยาจิ เพื่อแก้เบื่อที่ต้องอยู่ในห้องขังนานๆก็ตาม เรียกได้ว่าสนิทสนมกันก็ไม่ได้มากเกินไปนัก


“รูร์กัสเจ้าเองก็ต้องอาบด้วย แล้วก็หลังจากเสร็จธุระแล้วเจ้ามาเล่าเรื่องมนุษย์กับลูกครึ่งให้ข้าฟังต่อนะ” เอจิเป็นปีศาจที่มีความสนใจเรื่องของเผ่าพันธุ์อื่น เพราะไม่เคยพบเจอเขาจึงสนใจเมื่อได้รับรู้มันจากรูร์กัส เขาจึงสนิทสนมกับรูร์กัสมากกว่าแร็กนาร์เพราะรูร์กัสนั้นช่างพูดช่างคุย  แต่แร็กนาร์กลับชอบเงียบขรึมเย็นชา แม้จะก่อกวนยาจิ แต่ก็ก่อกวนด้วยคำพูดราบเรียบดังที่ได้ยินก่อนหน้านี้


“ได้ครับ ข้าก็อยากอาบน้ำเหมือนกัน เนื้อตัวเหนี่ยวเหนอะหนะไปหมดแล้ว” รูร์กัสตอบอย่างยิ้มแย้มดังชินชากับเหตุการณ์เมื่อครู่ แร็กนาร์ที่ตอบอย่างเรียบเฉยอย่างน่าโมโห ยาจิก็ตกหลุมพรางโต้กลับอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ และมีเอจิคอยห้ามทัพโดยเข้าข้างแร็กนาร์ทุกครั้งไป   1  สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ดังฉายซ้ำวันแล้ววันเล่าด้วยเรื่องที่แตกต่างกันไป


จากนั้นทั้งเอจิ รูร์กัส  และแร็กนาร์ก็เดินตามกันไปโดยไม่หันหลังกลับมามองยาจิอีก ส่วนคนถูกเมินเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่เดินตามไปอย่างจำยอม


หลังจากวันนั้นที่พวกเขาลงมือจัดการเรื่องของหัวหน้ากลุ่มยาฉะก็ผ่านมา 1 สัปดาห์แล้ว  หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นก็มีเพียงหมอในปกครองของหมอชราเท่านั้นที่เข้ามาแจ้งข่าวว่าทุกอย่างสำเร็จตามแผนที่วางเอาไว้ และให้แร็กนาร์กับรูร์กัสรอเวลาที่ทุกอย่างถูกจัดการจนเรียบร้อยมากกว่านี้อยู่ภายในห้องขังอย่างเงียบๆ


ส่วนทางฮิเดโอะกับฮิโรกินั้นก็ต้องอยู่ให้ห่างจากพวกแร็กนาร์ด้วย เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย เพราะหากใครสืบค้นจนพบว่าพวกเด็กทั้งสี่มีความเกี่ยวข้องกับการทำแผนของพวกมันล้มเหลว พวกมันต้องหาทางกำจัดเป็นแน่


ศัตรูของกลุ่มยาฉะนั้นมีทั้งศัตรูภายนอกอย่างเขตตะวันตก และศัตรูภายในที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร พวกเขาจึงต้องระแวดระวังภัยเป็นเท่าตัว สิ่งใดป้องกันได้ก็ต้องทำไปก่อน รอให้ท่านหัวหน้าใหญ่ฟื้นกลับมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะรับประกันความปลอดภัยได้


ทางแร็กนาร์ไม่มีสิ่งใดขัดข้อง เพราะเขาก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น การกันตนเองออกมาจากอันตรายเป็นเรื่องที่สมควร ตัวเขาอาจจะเอาตัวรอดได้ แต่เขาก็เป็นห่วงรูร์กัส แม้พลังในการต่อสู้ของรูร์กัสจะทำให้แร็กนาร์เห็นประจักษ์แล้วว่าเก่งกาจเกินเด็กอายยุ 12 ปี  แต่สิ่งที่รูร์กัสขาดคือ ประสบการณ์ และเมื่อขาดประสบการณ์ความคิดอย่างรอบครอบ และการระวังภัยก็จะอ่อนแอ เขาจึงยังเป็นห่วงอยู่มากทีเดียว


ปัญหานั้นมีเพียงเล็กน้อยนั่นคือ เรื่องที่ฮิเดโอะกับฮิโรกิยืนยันที่จะมาพบแร็กนาร์ให้ได้ แต่ปัญหาก็จบลงอย่างง่ายๆเมื่อแร็กนาร์ฝากจดหมายไปให้พวกเขาอีกครั้ง โดยในจดหมายมีเพียงข้อความสั้นๆ  1บรรทัดเท่านั้น


‘อดทน แล้วข้าจะให้พวกเจ้าขอได้คนละ 1 ข้อ’


.


.


.


“การอาบน้ำนี่มันรู้สึกดีจริงๆ” แร็กนาร์เอ่ยออกมาอย่างพอใจ แม้จะไม่ให้ความรู้สึกดีเท่าการแช่น้ำที่ลำธารซึ่งเป็นที่ประจำของตน แต่น้ำในห้องอาบน้ำอุ่นๆก็คลายความเมื่อยล้าไปได้ไม่น้อยเลย


“ถ้าเสร็จแล้วก็ตามมา” เสียงห้วนๆของยาจิเอ่ยขึ้นเมื่อแร็กนาร์กับรูร์กัสเดินออกมาด้านหน้าโรงอาบน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว


พวกเขาอยู่ที่โรงอาบน้ำส่วนกลางของบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ ซึ่งเปิดให้เหล่าคนในกลุ่มไม่ว่าจะลำดับสูงหรือต่ำเพียงใดก็สามารถเข้ามาใช้ได้โดยสะดวก


แร็กนาร์กับรูร์กัสอยู่ในชุดยุกาตะสีเทา ชุดนี้เป็นชุดที่เผ่าพยัคฆ์ชอบใส่กัน พวกเขานิยมชมชอบให้ตกแต่งอย่างสวยงามตามความชอบของแต่ละคน แม้เหล่าลูกสมุนจะไม่แต่งมันในเวลาปฏิบัติหน้าที่เพราะมันไม่สะดวกในการขยับตัว แต่เวลาพักผ่อนพวกเขาก็จะใส่มัน เพราะผ้าที่แสนสบายนี้เข้ากับอากาศอันอบอุ่นของดินแดนนี้เป็นอย่างดี


“นำไปสิ” จากยิ้มบางๆอย่างพอใจเมื่อได้อาบน้ำ ใบหน้านั้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อหันมาตอบโต้กับยาจิ ทั้งยังไร้ซึ่งความเคารพใดๆเพราะสำหรับแร็กนาร์แล้วยาจิที่อายุ 20  ต้นๆก็เป็นเพียงเด็กน้อยในสายตาของเขาอยู่ดี


“แก!!  เจ้าเด็กแก่แดดนี่  ไร้มารยาทจริงเชียว” เสียงโวยวายตามมาหลังจากได้ยินคำตอบรับของแร็กนาร์ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กตัวเล็กๆอย่างแร็กนาร์ก็ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย ซ้ำยังส่งสายตาท้าทายออกมาอีก


“พอๆไปกันได้แล้ว เราล่าช้ากันมากแล้วนะ” เอจิปรามทั้งสองอีกครั้ง พร้อมส่วยหัวอย่างปลงๆกับการทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ ของเด็กและคนที่ทำตัวเหมือนเด็กเช่นนี้ สำหรับเขาที่มองว่าทั้งสองเป็นเด็กนั้น  ไม่ได้วิตกกังวลว่าพวกเขาจะลงมือต่อสู้กัน ยาจินั้นเอ็นดูแร็กนาร์อย่างเห็นได้ชัดจึงต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะหากยาจิไม่พอใจจริงๆคงคุยกันด้วยกำปั้นมากกว่าคำพูดไปแล้ว ส่วนแร็กนาร์เขาก็มองออกว่าแค่แกล้งยาจิเพราะความเบื่อ เด็กน้อยดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เห็น เขาจึงห้ามปรามเพียงแค่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น


พวกเขาทั้ง 4 คน เดินไปตามระเบียงที่อ้อมมาด้านหลังของบ้านอย่างเงียบเชียบ เส้นทางที่ไม่มีใครเดินผ่านมาชั่งวังเวงจนอดที่จะหวั่นกลัวไม่ได้


“เราจะไปพบใครกันแน่ครับพี่เอจิ” รูร์กัสถามขึ้นอย่างหวาดหวั่น บรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้พาให้สัญชาตญาณของเขาบอกว่าสิ่งที่ตนจะได้พบเจอนั้นต้องไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน


“ไปถึงแล้วเจ้าก็จะรู้เอง” คำตอนนี้ไม่ช่วยให้คลายสงสัยเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมาอีก จึงได้แต่ย่างเท้าเดินตามทางที่มืดสลัวนี้ไปเท่านั้น




To Be Continued...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 18 ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง(1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 11:12:08
ตอนที่ 18
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง


เรือนแยกฝั่งตะวันตกเป็นเรือนที่แยกออกมาจากบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะห่างออกมาจนถึงกำแพงด้านหลังของบ้าน ด้วยอาณาเขตที่กว้างขวาง บ้านใหญ่จึงต้องอยู่ใกล้ส่วนหน้าของประตูตะวันออก ทำให้เหลือพื้นที่ด้านข้างและด้านหลังไว้สำหรับปลูกเรือนแยก  มีไว้สำหรับบุคคลสำคัญที่ต้องการความเป็นส่วนตัว  บ้านใหญ่จึงเป็นดังที่จัดงานเลี้ยงฉลอง หรือจัดประชุมสำคัญ  และเป็นดังที่หลับนอนของลูกสมุนทั่วไป ด้วยความสูงของบ้าน ทำให้มีการแบ่งสรรปันส่วนในลำดับขั้นที่เหมาะสม แม้เรียกว่าบ้านแต่สภาพไม่ต่างจากปราสาทโอซาก้าเลย


เพียงแต่ว่าเมื่อบ้านหลังนี้ตกเป็นของหัวหน้าใหญ่เบียกโกะ  สภาพการแบ่งแยกก็แปรเปลี่ยน เนื่องจากเจ้าตัวชอบที่จะอยู่ชั้นล่างของบ้าน จึงมีการแบ่งเรือนชั้นล่างออกเป็นสองส่วน นั่นคือพื้นที่ส่วนตัวของหัวหน้า ซึ่งอยู่ฝั่งทิศเหนือ  และทิศใต้สำหรับเหล่าสาวใช้ที่ทำงานภายในบ้าน  ส่วนพวกลูกสมุนชั้นล่างที่เคยอาศัยอยู่ ก็ให้ปลูกเรือนแยกขึ้นที่ด้านข้างฝั่งทิศเหนือ  เพื่อสะดวกต่อการอารักขาหัวหน้าใหญ่ 


ส่วนซาดาโอะนั้นอาศัยอยู่ไม่ไกลจากห้องของหัวหน้ายาฉะนัก อาจเพราะเป็นทั้งคงโปรด  และที่ปรึกษากลุ่ม จึงถูกข่มขู่แกมบังคับ  จนเจ้าตัวยอมลงมาอาศัยอยู่ชั้นล่างของบ้านด้วย


ด้านหลังของบ้านใหญ่นั้น มีการปลูกเรือนไว้หลายหลังตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ก่อตั้งบ้านหลังนี้ จึงมีการแบ่งเรือนแยกแต่ละหลังให้หัวหน้าหน่วยทุกคน  รวมทั้งเรือนของพี่ชายตนอย่างเทโทระด้วย   นอกจากนี้ก็มีเรือนของผู้อาวุธโสของกลุ่ม ซึ่งมีเรือนแยกกว่า 20 หลัง  แต่เรือนที่มีชื่อเรียกว่าเรือนแยกฝั่งตะวันตกนั้น ปีศาจทุกตนต่างรู้ว่าเป็นเรือนหลังใด  เพราะเรือนหลังนั้นคือเรือนที่ใช้เพื่อการส่วนตัวของหัวหน้ากลุ่มยาฉะรุ่นก่อนๆจนถึงปัจจุบันนี้


ด้วยความที่เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากเรือนหลังอื่น บริเวณโดยรอบจึงปลูกไม้ยืนต้นไว้มากมาย ดูลึกลับจนน่าหวาดหวั่นเกินกว่าที่ใครจะกล้าเข้าไปหากยังไม่ได้รับอนุญาต  ทางลาดยาวที่ถูกเรียงไว้ด้วยหินประดับทำให้เดินได้สะดวก มันถูกวางเรียงมาจากบ้านหลังใหญ่จนถึงแนวป่าขนาดย่อมที่อยู่ตรงหน้า เมื่อสิ้นสุดหินประดับด้านหน้าก็มีเพียงทางที่เป็นร่องรอยของการเดินเท่านั้น


สองปีศาจ  หนึ่งมนุษย์ หนึ่งลูกครึ่ง เดินไปตามทางที่วางทอดยาวด้วยหินประดับที่ฝังลึกลงไปในพื้นดินที่สิ้นสุดเมื่อถึงหน้าสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ว่าสวนหย่อม มันเรียกว่าป่าไม้คงจะเหมาะควรกว่า ไม่ทราบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในนี้ต้องการปกปิดสิ่งใดจึงต้องมีสถานที่ลึกลับในสถานที่แจ้งเช่นในบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะเช่นนี้ แต่ผู้คนก็ต่างคาดเดามันไปในแนวทางเดียวกัน ความชอบส่วนตัวของแต่ละคนนั้นแตกต่าง เหล่าหัวหน้านั้นก็ไม่เว้น ต้องมีความชอบที่ผิดแลกไปจากธรรมดาอยู่บ้าง แต่ใครบ้างเล่าที่อยากให้ใครๆรู้ความลับของตน...


ทุกย่างก้าวที่เดินไปยังจุดหมายพาให้หัวใจของรูร์กัสเต้นแรงจนแทบจะทะลักออกมานอกอก ความตื่นเต้นหวาดหวั่นถาโถมเข้ามาจนไม่อาจปิดบังสายตาของน้องชายได้


เพราะพวกเขาเดินตามกันมาตามลำดับ เอจิ รูร์กัส แร็กนาร์ และยาจิ แร็กนาร์จึงเป็นผู้ที่จะสังเกตรูร์กัสได้ชัดที่สุด เขาจ้องมองใบหน้าเครียดขึงของพี่ชาย  แล้วจึงเร่งฝีเท้าให้ตนเดินทันจนเดินเคียงข้างไปพร้อมกับรูร์กัส   จากนั้นยื่นมือไปจับมือที่เย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้นนั้นไว้ให้แน่นที่พอที่จะสื่อให้อีกคนรู้ว่าตนต้องการบอกสิ่งใด  แม้ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดก็ตาม


เจ้าของมือที่เย็นเฉียบนั้นกระชับมือของตนให้แน่นขึ้นเพื่อซึมซับกำลังใจที่ถูกส่งมาจากน้องชายตัวเล็กของตน จนมือนั้นค่อยๆกลับสู่อุณหภูมิปกติ  แต่เขาก็ไม่ได้คิดปล่อยมือออกแต่อย่างใด

ยาจิที่เดินตามหลังเด็กทั้งสองได้แต่มองภาพเหล่านั้นด้วยความเอ็นดูเด็กทั้งสองเพิ่มขึ้นไปอีก  ภาพของสองเผ่าพันธุ์ที่รักกันแน่นแฟ้นเช่นนี้หายาก  เขาพบเห็นมากมายที่ปีศาจจะเกลียดชังลูกครึ่งที่เป็นพี่น้องต่างพ่อ  หรือต่างแม่  หรืออาจจะไม่เกี่ยวข้องใดๆกับตนเลยก็ตาม พวกนั้นทั้งรังเกียจ ทั้งต้องการสังหารพวกลูกครึ่งทิ้งเมื่อลูกครึ่งเหล่านั้นไร้พลังในยามที่เกิดมา แต่ก็มีกฎที่ถูกสร้างขึ้นมาหลายพันปีแล้วที่ให้ส่งลูกครึ่งไปยังเขตชายแดนห้ามสังหารทิ้ง  จึงมีการสังหารลูกครึ่งที่เกิดยังแดนปีศาจน้อยลงกว่าเดิมมาก


แม้เขาไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นปฏิบัติกับพวกลูกครึ่งอย่างไร  แต่เขาก็เชื่อว่าต้องต่างจากที่รูร์กัสปฏิบัติต่อแร็กนาร์เป็นแน่ ไม่ทราบว่าครอบครัวของทั้งสองเป็นเช่นไร จึงได้ปลูกฝังให้พวกเขารักกันได้มากมายเช่นนี้จนอดที่จะชื่นชมมิได้


ผ่านไปเพียงไม่นานพวกเขาก็เดินมาจนถึงเรือนชั้นเดียวที่สร้างจากไม้ เรือนหลังนี้ขนาดใหญ่กว่าบ้านที่แร็กนาร์อาศัยอยู่ถึง 3 เท่า แม้จะถูกเรียกว่าเรือนแยก ที่เล็กกว่าบ้านใหญ่ก็ตาม รอบด้านของเรือนหลังนี้ไม่ต่างจากบ้านของแร็กนาร์นัก เพราะมีต้นไม่โดยรอบดังว่าตั้งอยู่กลางป่าเช่นเดียวกัน


“ข้าเอจิ ข้าได้พาพวกเขามาถึงแล้วขอรับ” เอจิกล่าวขึ้นด้วยเสียงไม่ดังมากนัก แต่ก็เพียงขอให้ผู้ที่อยู่ด้านในได้ยิน ในตอนนพวกเขายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ ที่เป็นบานเลื่อนแบบญี่ปุ่น ชานบ้านเองก็ถูกยกให้สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อยดังบ้านสมัยก่อน
“เข้ามาได้” เสียงกล่าวอนุญาตที่ทรงพลังถูกส่งออกมาโดยคนที่อยู่ด้านหลังบานประตู แม้ว่าจะไม่เห็นเจ้าของเสียง แต่ก็คาดเดาได้ว่าคนที่อยู่ด้านในต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


ครืดดดดดด


หลังจากบานประตูเปิดออก ก็ปรากฏปีศาจ 5 ตนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ล้อมรอบโต๊ะตัวใหญ่สำหรับใช้ทานอาหาร แร็กนาร์กับรูร์กัสก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงสายตาที่กดดันของปีศาจที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ซึ่งตรงข้ามกับพวกเขาพอดี แต่กระนั้นก็พอเห็นอยู่บ้าง แร็กนาร์เห็นว่าชายตรงหน้าดูดีกว่าครั้งก่อนมากทีเดียว ทั้งยังความน่าเกรงขามก็เอ่อล้นจนภาพชายที่นอนหายใจรวยรินนั้นเป็นดังภาพลวงตา


ร่างกายใหญ่โตแข็งแกร่งนั้นช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสมกับเป็นปีศาจ อวัยวะภายในบอบช้ำถึงเพียงนั้น แค่ 1 สัปดาห์ก็กลับคืนสภาพเกือบเต็มร้อย ฟังจากลมหายใจที่แรงกว่าปกติอยู่บ้างเขาจึงพอจะคาดเดาได้ว่า คนตรงหน้ายังไม่หายดีจนกลับเป็นปกติเท่าทีควร เพราะร่างกายทรุดโทรมจากพิษถึงสองชนิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะยังอาการไม่คงที่ หากหายเป็นปกตินั่นจึงสมควรจะเรียกว่าแปลกเกินที่จะเป็นปีศาจเสียด้วยซ้ำไป


แร็กนาร์ละสายตาจากอดีตคนไข้ของตน แล้วหันไปสนใจเด็กน้อยสองตนที่นั่งอยู่ทางขวามือของคนที่อยู่หัวโต๊ะแทน เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เวลาเพียง 1  สัปดาห์ก็ทำให้เด็กทั้งสองเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ ดังโตขึ้นมาอีกขั้น ฮิเดโอะกับฮิโรกิไม่ได้กระโดโลดเต้นเช่นคราวก่อนๆที่ได้พบแร็กนาร์ วันนี้พวกเขาเพียงยิ้มจนไม่อาจหุบปากลงมาได้เท่านั้น รอยยิ้มที่คุ้นเคยพาให้แร็กนาร์ยิ้มตามอย่างห้ามไม่อยู่


เขาไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดตนจึงเป็นเช่นนั้น หัวใจดังถูกรดน้ำจนชุ่มฉ่ำ ทั้งอบอุ่น สบายใจ และโล่งใจที่พวกเขายังดูแข็งแรง ไม่ได้ทรุดโทรมเช่นที่เจอกันก่อนหน้านี้


ทุกครั้งฮิเดโอะกับฮิโรกิจะยิ้มเช่นคนโง่อยู่ฝ่ายเดียว  เพราะทุกครั้งแร็กนาร์จะไม่ยิ้มกลับ เขาจะทำหน้านิ่งๆดังไม่รู้สึกอะไรเท่านั้น ครั้งนี้ทั้งสองจึงหัวใจเต้นผิดจังหวะ หน้าก็แดงซ่านด้วยความดีใจ และเขินอายที่แร็กนาร์ยิ้มตอบกลับมาให้ตนบ้าง
แร็กนาร์เองเมื่อเห็นท่าทางของเด็กทั้งสองจึงได้สติว่าตนเผยสิ่งใดออกไป เขารีบหุบยิ้มแล้วตีหน้านิ่งเช่นเดิม แต่กระนั้นใบหน้าก็ขึ้นสีแดงระเรี่ยอย่างห้ามไม่อยู่  หน้าที่เห่อร้อนพาให้แร็กนาร์รีบหลบสายตาของเด็กทั้งสอง แล้วหันมามองรูร์กัสที่ยืนอยู่ข้างๆแทน


เมื่อสายตาสะดุดกับใบหน้าที่เคร่งเครียดของรูร์กัส ความขัดเขินเมื่อครู่จึงคลายลง แล้วมองตามสายตาของรูร์กัสไปยังที่นั่งฝั่งซ้ายมือของยาฉะที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ใบหน้าแรกที่เขาเห็นคือหมอชราซึ่งมองมายังพวกเขาอย่างสงสัยในท่าทางของสองพี่น้องที่แตกต่างกันเมื่อครู่


แต่ถัดไปจากหมอชราก็เป็นอย่างที่แร็กนาร์คาดเดา ซาดาโอะนั่งอยู่ซ้ายมือของยาฉะ เมื่อมองจากฝั่งของแร็กนาร์  เจ้าตัวจึงนั่งอยู่ถัดจากหมอชราไปอีก  แร็กนาร์เห็นช่นนั้นจึงกระชับมือของตนที่จับมือกับรูร์กัสอยู่ให้แน่นขึ้น เพื่อดึงสติของพี่ชายตนให้กลับมาเป็นปกติ รูร์กัสที่รู้สึกได้จึงละสายตาจากซาดาโอะที่มองมา พร้อมทั้งหลับตาและหันหนีเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเองไม่ให้เป็นเช่นคราวก่อน  เพียงชั่วครู่รอยยิ้มนอบน้อมก็ปรากฏบนใบหน้าของรูร์กัส กลับกลายเป็นพี่ชายที่แสนใจดีดังเดิม


“มานั่งด้วยกันสิ...พวกเจ้าด้วยเอจิ ยาจิ” เสียงทรงอำนาจกล่าวขึ้นอีกครั้ง  เมื่อได้สำรวจท่าทางของทุกคนจนพอใจ   และคลายบรรยากาศที่เปลี่ยนไปมาชั่วครู่นั้น แม้น้ำเสียงนั้นดูอ่อนโยนแต่กลับเต็มไปด้วยความกดดันจนยากที่จะปฏิเสธ


“ไม่อาจหรอกขอรับท่านยาฉะ ข้าของออกไปเฝ้าด้านหน้าดีกว่า” ถึงกระนั้นมันก็ไม่มีผลกับยาจิ อาจเพราะคุ้นชินเสียแล้วเขาจึงขัดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวหรือเกรงใจอันใด


“ข้าบอกว่าให้เจ้ามานั่งทางอาหารด้วยกัน” น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความโกรธ ฟังดูแล้วดังบังคับให้เด็กน้อยที่เขาเอ็นดูเชื่อฟังเสียมากกว่า


“แต่...”


“เดี๋ยวข้าก็บอกให้เอจิจัดการเสียนี่...มานั่งได้แล้ว” ยาจิที่กำลังจะเถียงกลับถูกขัดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของยาฉะแม้น่าหลงใหล แต่คนคุ้นเคยอย่างยาจิก็พอรู้ว่าหัวหน้าของตนกำลังสนุกที่ได้บังคับตนเช่นนี้ ทั้งยังเป็นยิ้มที่ยืนยันว่าคำกล่าวเมื่อครู่ไม่ใช่คำขู่แต่อย่างใด


เอจิที่เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจึงเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ข้างหมอชรา  พร้อมทั้งผายมือไปยังเก้าอี้ว่างข้างตนเป็นเชิงบอกให้ยาจิมานั่ง  ไม่เช่นนั้นตนจะทำตามคำสั่งของท่านยาฉะ


ยาจิที่ถูกรุมกลั่นแกล้งจึงได้แต่บ่นอย่างไม่ออกเสียแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นด้วยสีหน้าบูดบึ่งอย่างไม่ปิดบังว่าตนกำลังไม่พอใจอยู่


หลังจากนั้นแร็กนาร์กับรูร์กัสจึงเดินเข้าไปนั่งบ้าง พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ข้างฮิโรกิ เพราะฮิเดโอะนั่งติดกับพ่อของตน ตามด้วยฮิโรกิ แร็กนาร์จงใจนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามยาจิ รูร์กัสจึงต้องเข้าไปนั่งข้างฮิโรกิแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้


เมื่อพวกเขาทั้งหมดนั่งลงเรียบร้อยแล้ว บรรดาสาวใช้แสนสวยที่มีรูปร่างอรชรไม่ต่างจากมนุษย์มากนักก็ทยอยยกอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะจนแทบไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ อาหารที่ดูหรูหรา และมากมายก่ายกองถูกวางลงบนโต๊ะ แร็กนาร์จึงได้แต่มองสำรวจอย่างตื่นตาตื่นใจ


‘ว้าว นี่มันอาหารแบบญี่ปั่นทั้งนั้นเลยนี่นา  แบบนี้ก็แสดงว่าไม่ใช่แค่ชุดที่ใส่เหมือคนญี่ปุ่นสมัยก่อน  แม้แต่อาหารการกินก็เหมือนกันด้วยสินะ 


ถึงว่าสิทำไม่ฮิเดะกับฮิโระถึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้นตอนที่เราทำอาหารพื้นๆอย่างสเต็กให้กิน แค่นี้ก็เข้าใจแล้วล่ะนะ  เพราะว่าก่อนหน้านี้อาหารที่ได้กินในคุกมีแค่ข้าวต้ม เนื้อย่าง แล้วก็ผักดองก็เลยมองไม่ออก


แค่คิดถึงก็เอียนจนไม่อยากจะแตะมันอีกแล้ว  ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ไม่คิดจะเปลี่ยนบ้างเลยรึไงกัน  ไม่สงสารลิ้นเราบ้างเลย หึย!!’



แร็กนาร์มองอาหารบนโต๊ะแล้วก็อดที่จะระลึกความหลังที่อาหารการกินเมื่อกว่า 10   วันที่ผ่านมาไม่ได้ แต่ก็นับว่ามื้อนี้สมกับเป็นการล้างท้องครั้งใหญ่จริงๆ แบบนี้เขาต้องลืมรสชาติแย่ๆเหล่านั้นไปได้แน่ แร็กนาร์คิดอย่างหมายมาดในอาหารมื้อนี้   ช่างสมกับเป็นความกระหายในรสชาติที่ไม่ได้ลิ้มลองมากว่า 10  วันแล้วจริงๆ


อาหารมือนี้มีทั้งจานเนื้อ  จานปลา  จานไก่  มากมายหลายอย่าง ที่ผู้ใดเห็นต้องน้ำลายสอ  พวกเขาละทิ้งความตึงเครียดเมื่อครู่ แล้วหันมาสนใจอาหารตรงหน้าแทน   แม้อาหารบนโต๊ะจะมากมายจนแทบไม่เหลือที่ว่าง  แต่มันก็ไม่มากเกินกว่าความสามารถในการกินของบุรุษ  9 คน ไปได้ อาหารมื้อนี้นับว่าพอเหมาะกับพวกเขาก็ว่าได้


“ทานข้าวกันก่อนเถอะ หลังจากนี้จะมีของหวานและผลไม้อีก เราค่อยมาเริ่มพูดคุยกันตอนนั้นก็ไม่สายไปหรอก” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อยากให้ผู้ร่วมโต๊ะอึดอัดจึงหันไปมองหน้าพร้อมยิ้มบางๆให้ทุกคน แต่แล้วเขาก็ชะงักเมื่อสบตาเข้ากับแร็กนาร์ อาจเพราะเมื่อครู่แร็กนาร์ก้มหน้าลงจึงไม่ได้สบตากับเขาตรงๆจึงยังไม่ทันได้สังเกต มาบัดนี้เขาจึงพึ่งรู้สึกถึงมันได้


แร็กนาร์ไม่เข้าใจนัก  แต่เพราะด้วยนิสัยของตนที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด เขาจึงไม่คิดจะหลบสายตาที่มองมานั้นแต่อย่างใด กระทั้งยาฉะเองเผลอปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว แร็กนาร์ที่หาได้หวาดกลัวอยู่แล้วจึงส่งจิตสังหารกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ ดังมนต์สะกด พวกเขาทั้งสองจ้องกันอยู่เช่นนั้นอย่างไม่มีใครยอมใครจนคนบนโต๊ะต่างรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่น่ากลัวเกินคำบรรยายนี้


“ท่านยาฉะ” มือเรียวบางของซาดาโอะจับมือของยาฉะที่กำแน่นนั้นพร้อมเรียกชื่ออีกฝ่าย เพื่อให้เขารู้สึกตัว เพราะซาดาโอะรับรู้มันได้เป็นคนแรก และเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงต้องรีบดึงสติให้ยาฉะกลับมาเป็นปกติ


“แร็กนาร์” รูร์กัสเองก็รู้สึกได้ อาจเพราะนั่งอยู่ข้างแร็กนาร์ จึงได้รับผลจากจิตสังหารนั้นก่อนใคร เขาเรียกแร็กนาร์พร้อมเขย่าไหล่เล็กนั้นเพื่อให้น้องของตนได้สติพร้อมๆกับที่ซาดาโอะเรียกยาฉะ


...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 18 ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 11:12:54
พรึ่บ!


ทั้งคู่หลับตาลงพร้อมหันหลบดวงตาของอีกฝ่ายพร้อมๆกันเมื่อได้สติ และรู้ว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไม่ควรอยู่ พวกเขาต่างฝ่ายๆต่างพยายามปรับอารมณ์ให้คงที่ เสียงหอบหายใจรุนแรงจึงดังออกมาให้ได้ยินอยู่ไม่ขาด


“ขอโทษด้วย...ดวงตาเจ้าคล้ายใครบางคนจนข้าตกใต  จึงเผลอตัวทำเช่นนั้น...หึหึ  แต่เจ้าก็ไม่ธรรมดาอย่างที่ข้ารู้มาจริงๆ” ยาฉะปรับอารมณ์ได้ก่อนเขาจึงกล่าวขอโทษออกมา แม้จะยังไม่หายจากอาการตกตะลึงก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่าเด็กตัวเล็กเพียงเท่านั้นจะทนรับจิตสังหารของเขาได้ ซ้ำยังโต้กลับมาได้อีก แม้สภาพของเขาจะยังกลับมาไม่เต็มร้อย  แต่มันก็เหลือเชื่อจนเกินไป ทั้งยังดวงตานั้นก็คล้ายกับใครบางคนที่เขารู้จักอีก ดวงตาของเขานั้นจึงแสดงถึงความสนใจในตัวเด็กน้อยอย่างปิดไม่มิด


“ไม่เป็นไร” การตอบหลับของแร็กนาร์เหนือความคาดหมาย ใครต่อใครคงหวาดกลัวหัวหน้ากลุ่มยาฉะผู้ยิ่งใหญ่จนหัวหด แต่มันกลับไม่ได้ผลกับแร็กนาร์เลย เขาจึงตอบกลับอย่างสั้นและห้วนตามแบบฉบับของตนเท่านั้น


“เอ่อ...ขออภัยด้วยครับ น้องข้าไม่ค่อยได้พบเจอผู้คนจึงไม่รู้ว่าควรตอบโต้เช่นไร” รูร์กัสรีบกล่าวแก้ตัวให้แร็กนาร์ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่พอใจแล้วกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต


“ใช่แล้วๆท่านยาฉะ เจ้านี่มันเด็กแก่แดด อย่าถึงสานักเลย” เสียงต่อมาเป็นยาจิที่ไม่ทราบว่ากำลังกล่าวแก้ตัว หรือซ้ำเติมไฟความโกรธให้แร็กนาร์กันแน่ แร็กนาร์จึงจ้องมองยาจิด้วยใบหน้าเรียบเฉยดังยามปกติ แต่เมื่อมองกลับรู้สึกว่าไม่ควรถือสาหาความด้วย เพราะดูเหมือนเจ้าตัวจะทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตนทำสิ่งใดผิดไป แร็กนาร์จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆเท่านั้น


“ฮ่าๆๆ  ข้าไม่ถือสาหรอก ข้าว่าเรามาทานอาหารกันเถอะ มันคงใกล้จะเย็นชืดเต็มทีแล้ว” ดูเหมือนว่ายาฉะจะไม่ได้ติดใจเอาความเขาจึงให้ทุกคนเริ่มทานอาหารค่ำแสนหรูหรานี้เสียที เพราะเขาอยากจะรีบสนทนากับเด็กน้อยทั้งสองที่แปลกแยกจากพวกเขาจะแย่อยู่แล้ว


หลังสิ้นเสียงนั้นทุกคนต่างลงมือทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าตนอย่างไมเร่งรีบ ลิ้มรสอาหารทุกจานอย่างครบถ้วน เพื่อเติมเต็มส่วนที่สึกหรอของร่างกายที่ถูกใช้งานมาทั้งวัน


แร็กนาร์ก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร ทำเป็นไม่สนใจสานตาที่มองมาอยู่เป็นระยะ ทั้งจากยาฉะ และซาดาโอะ จนเวลาผ่านไปเพียงไม่นานอาหารบนโต๊ะก็หายไปจนเหลือแต่ความว่างเปล่าบนถ้วยชามเท่านั้น


หลังจากนั้นเหล่าสาวใช้ก็เดินเข้ามาเก็บจานที่ว่างเปล่าออกไป แล้วทยอยวางของหวาน  และผลไม้มาแทนที่


“ข้าขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้ายาฉะ เบียกโกะ หัวหน้ากลุ่มยาฉะ และเป็นพ่อของฮิเดโอะกับฮิโรกิ ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทั้งสอง แร็กนาร์กับรูร์กัสสินะ จะเรียกข้าว่ายาฉะก็ได้” ยาฉะกล่าวเพื่อเริ่มการสนทนาบนโต๊ะอาหารในค่ำคืนนี้


“ครับ ท่านยาฉะ ข้ารูร์กัส คูฟฟ์...ส่วนด้านนี้น้องชายของข้า แร็กนาร์ คูฟฟ์ ยินดีที่ได้พบท่านเช่นกัน” คนที่กล่าวตอบกลับเป็นรูร์กัส เขารับรู้ได้ว่าแร็กนาร์ไม่อยากพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่ยังไม่คุยเคย ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นจนแร็กนาร์เปลี่ยนไป รูร์กัสที่ปรับตัวได้แล้วจึงทำหน้าที่พูดคุยเช่นนี้มาโดยตลอด สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติไม่ต้องกล่าวคำขอใดออกจากปากเลยแม้แต่น้อย


แร็กนาร์ดีใจอยู่ไม่น้อยที่รูร์กัสรับรู้ตัวตนของเขาได้ชัดเจนขึ้น เพราะก่อนหน้านี้รูร์กัสชอบยึดติดกับตัวตนของเจ้าของร่างที่สดใสร่าเริง ทั้งช่างพูดช่างจาต่างกับเขา ในตอนนั้นต้องยอมรับว่าเขารู้สึกน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ไม่สมเป็นความรู้สึกของคนที่อายุปาไป 30  ปีแล้วก็ตาม แต่มันก็ห้ามไม่ได้  จะทำอย่างไรได้เล่าก็รูร์กัสเป็นคนที่เขายึดติด และเป็นคนที่เป็นดังจุดยึดเหนี่ยวที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่นี่นา


“ท่านหมอบอกข้าแล้วว่าน้องของเจ้าช่วยเหลือข้ามากทีเดียว ทั้งยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้อีก ตอนนี้คงเป็นดังผู้มีพระคุณของครอบครัวแล้วกระมัง” คำกล่าวเมื่อครู่หากเหล่าลูกสมุนด้านนอกได้ฟังคงพากันตกใจไม่น้อย แต่หาได้เกิดกับผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ในที่นี้ไม่


แม้เอจิ กับยาจิ จะไม่ได้ให้ความร่วมมือในแผนการครั้งนี้ ทั้งยังไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เช่นซาดาโอะแต่เขาก็พอคาดเดาได้ จากการกระทำของหมอชรา ที่เข้าไปขลุกอยู่ในห้องขังเป็นวันๆทั้งยังไล่ให้พวกเขาออกไปรอด้านนอกอีก จะอย่างไรมันก็น่าสงสัย และเมื่อได้ฟังคำกล่าวเมื่อครู่ทุกสิ่งจึงกระจ่างแจ้ง


“อย่าถือว่าเป็นบุญคุณเลยครับ พวกเราเพียงแค่ช่วยเหลือเพื่อนที่กำลังเดือดร้อนเท่านั้น” คำกล่าวของรูร์กัสแม้ไม่เป็นความจริงอยู่หลายส่วน แต่ก็เป็นคำกล่าวที่เหมาะสมในเวลานี้ ดีกว่าพวกเขารู้ว่าต้องอ้อนวอน ทั้งบังคับเพียงใดแร็กนาร์จึงยอมช่วยเหลือ ทั้งการที่ยอมช่วยเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้มาภายหลังด้วยอีก มันคงไม่เป็นผลดีเป็นแน่


สิ่งที่รูร์กัสขาดแร็กนาร์ช่วยเติมเต็ม ดังนั้นเมื่อสิ่งที่แร็กนาร์ขาดรูร์กัสจึงช่วยเติมเต็มบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก แร็กนาร์ไม่ถนัดการเลือกใช้คำพูด จึงพูดสั้นและห้วน ทั้งหากไม่พอใจก็เงียบ แม้ฉลาดเพียงใดก็ไม่อาจเจรจากับใครได้สำเร็จง่ายๆ แม้สำเร็จฝ่ายนั้นก็จะเก็บความขุ่นข้องหมองใจเอาไว้มากมายจนอยากจะสังหารเขาให้ได้ ในโลกเดิมหน้าที่ในการเจรจางานต่างๆจึงตกเป็นของคู่หูของเขา คนที่เขาไว้ใจกว่าใคร...แต่ก็หักหลังกันได้อย่างเลือดเย็น


ในตอนแรกอาจจะเสียใจจนแทบบ้า แต่เมื่อได้พบเจอกับโลกใบใหม่นี้เขาแทบจะลืมความเครียดแค้นไปจนหมดสิ้น อาจจะเพราะได้พบกับคนประเภทที่ตนไม่เคยพบมากมาย ได้พบกับโลกใบใหม่ที่กว้างใหญ่ได้เรียนรู้ความแปลกใหม่ที่ตนไม่เคยลิ้มลอง ตอนนี้เขาอาจจะสามารถกล่าวขอบคุณคู่หูของเขาได้แล้วก็ได้ แต่กระนั้นในหัวใจแร็กนาร์ก็เหลือไว้ซึ่งความกลัว กลัวที่จะเชื่อใจ กลัวที่จะถูกหักหลัง  และรูร์กัสเป็นคนแรกที่เขาเชื่อใจเมื่อมายังโลกใบนี้ เชื่อใจโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกหักหลังเช่นครั้งที่ผ่านมา...


“ไม่ได้หรอก จะอย่างไรความจริงก็เป็นเช่นนั้น  ข้าอยากตอบแทนพวกเจ้า  หากปรารถนาสิ่งใดก็บอกข้าได้เลย...แต่สิ่งเดียวที่ให้ไม่ได้คือการปล่อยพวกเจ้ากลับบ้าน เพราะเหตุการณ์ยังไม่น่าไว้ใจ หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ” ประโยคหลังนั้นพาให้คำขอที่กำลังจะหลุดออกจากปากรูร์กัสชะงักลง ดังอีกฝ่ายเดาใจเขาได้ รูร์กัสจึงได้แต่เก็บคำขอนั้นเอาไว้


จะอย่างไรก็ไม่เสียหายนัก เพราะตอนนี้เขาเองก็ไม่มีที่ให้กลับไปแล้ว คงเหลือแค่บ้านหลังเล็กซึ่งยกให้กับแร็กนาร์ เขาหลบหนีออกมาจากห้องที่ถูกขัง ซึ่งถูกขังเพราะถูกจับได้ว่าแอบนำของในบ้านออกมา และท่านพ่อก็เชื่อว่าเขานำไปแจกลูกครึ่งที่เร่ร่อนอยู่ทั่วไป เวลานี้ท่านพ่อคงโกรธมาก และเมื่อกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง เขาเองก็แทบไม่อยากมองหน้าท่านพ่ออยู่แล้วตั้งแต่ที่ท่านพ่อลงมือทำร้ายแร็กนาร์มากมายขนาดนั้น รูร์กัสจึงไม่คิดที่จะกลับไปที่นั่นอีก


แต่เวลานี้เขากับแร็กนาร์ก็มีเรื่องสำคัญต้องทำ นั่นคือ สืบหาข้อมูลของซาดาโอะ การอยู่ที่นี่จึงเป็นเรื่องที่สำควร


“ถ้าเช่นนั้นแค่ให้พวกเราออกจากคุกก็พอครับ” ทุกคนต่างแปลกใจในคำขอเด็กน้อย เพราะมั่นช่างน้อยนิด และไม่ต้องขอก็ได้รับอยู่แล้ว  แต่ก็ได้แต่คิดว่าอาจเพราะพวกเขายังเด็กจึงไร้ซึ่งความโลภก็เป็นได้


แต่ใครจะรู้เล่า ว่าพวกเขาสองพี่น้องวางแผนร่วมกันแล้วว่า เพื่อสืบเรื่องซาดาโอะพวกเขาต้องการอิสระ  และคนคอยอำนวยความสะดวกให้ตน แล้วเป้าหมายเหล่านั้นก็คือทุกคนที่ร่วมโต๊ะอาหารในครั้งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือสร้างความเชื่อใจ ให้พวกเขาเชื่อว่าแร็กนาร์กับรูร์กัสเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ทำทุกสิ่งโดยไม่ปรารถนาสิ่งใด แล้วจากนั้นก็แค่ค่อยๆล้วงข้อมูลออกมาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


หากสิ่งที่ต้องการนั้นยิ่งใหญ่ เราไม่จำเป็นต้องร้องขอ เพียงลงมือกระทำทุกวิถีทางเพื่อมันก็เพียงพอแล้ว...


และหากคำขอนั้นเล็กน้อยเกินไป  พวกเขาจะหยิบยื่นมาให้เราเองอย่างไม่ต้องเอ่ยปากเสียด้วยซ้ำ


ไม่จำเป็นต้องโลภ...แต่ควรจะได้รับทั้งหมด นั่นคือ คติของแร็กนาร์


“ไม่น้อยไปหน่อยรึ...อยากได้อะไรเพิ่มหรือไม่” ดังว่าหากคำขอมันเล็กน้อย ก็จะได้รับคำหยิบยื่นอย่างไม่ต้องเอ่ยปากใดๆ คนแรกที่หยิบยื่นมันให้คือหมอชรา เขามองมายังแร็กนาร์แล้วถามออกไปเพื่อสื่อความหมายแฝงในประโยคนั้น


“ขอใช้เรือนพยาบาลด้วย” แร็กนาร์ตอบรับอย่างยินดี ในตอนแรกเขากลัวว่ารูร์กัสจะไม่กล้าทำตามแผน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดีกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก เพราะรูร์กัสฉลาดพูด แต่เพราะความใจดีจนเกินไปนั้นทำให้เขาไม่ชอบโกหก เมื่อแร็กนาร์รู้เรื่องนี้จึงต้องดึงความสามารถของรูร์กัสออกมา แร็กนาร์รู้ดีว่ารูร์กัสแสนใจดีจะไม่หายไป


แม้ว่าตนดึงให้รูร์กัสตกต่ำเพียงใดก็ตาม แต่รูร์กัสต้องไม่ตกลงไปเป็นแน่ พี่ชายของเขาต้องเป็นฝ่ายฉุดรั้งเขาขึ้นจากโคลนตมเสียด้วยซ้ำ แร็กนาร์พิสูจน์จนมั่นใจ และเชื่อในตัวพี่ชายจึงกล้าที่จะทำเช่นนี้ แร็กนาร์รู้ดีว่า...รูร์กัสกล้าหาญ เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวกว่าที่เห็นภายนอกมากมายทีเดียว


“ท่านหมอถูกใจเจ้าไม่น้อยเลย เช่นนั้นข้าคงไม่อาจขัดสิ่งใดได้ หึหึ” สุดท้ายยาฉะก็ทำตามคำขออย่างไม่ขัด แม้ติดใจสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ระแวงใจถึงขั้นต้องคอยให้คนติดตามเฝ้าดู


ยาฉะ เบียกโกะ ไม่ใช่คนโง่งม แม้สิ่งที่แสดงออกมาจะเปิดเผย แต่ก็แอบแฝงบางอย่างเอาไว้อย่างแนบเนียน เพราะความเป็นหัวหน้าที่หล่อหลอม เขาจึงยังเชื่อใจใครในเวลานี้ไม่ได้ ดังนั้นสำหรับเด็กน้อยทั้งสองแล้วคงต้องกันออกไปบ้างในบางสถานที่
หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยกันเรื่องทั่วไป  ส่วนมากเป็นการพูดคุยของรูร์กัสกับทุกๆคนซึ่งเขารับมือได้เป็นอย่างดี  รอยยิ้มจริงใจ และถ้อยคำที่ถ่อมตัวทั้งยังเต็มไปด้วยมารยาทเพราะถูกสั่งสอนมาจากชนชั้นสูงอย่างริเรน่า รูร์กัสจึงเป็นที่ถูกชะตาของพวกผู้ใหญ่ที่นั่งร่วมโต๊ะเป็นอย่างยิ่ง


ส่วนทางแร็กนาร์นั้นก็เลือกตอบเฉพาะคำถามที่ถูกเจาะจงให้ตอบ หากไม่จำเป็นเขาก็เลือกที่จะนั่งทานของหวานไปเงียบๆ  แม้น่าเสียดายที่ครั้งนี้ผู้ร่วมโต๊ะกว่าครึ่งเป็นเด็ก พวกเขาจึงไม่ดื่มสุรากัน แต่ของหวานก็อร่อยจนทานได้อย่างไม่เบื่อเลยทีเดียว


.


.


.


ภายใต้ดวงจันทร์ในคืนฟ้ากระจ่าง ชายร่างใหญ่โตซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหัวหน้ากลุ่มยาฉะกำลังจ้องมองดวงจันทร์กลมโตนั้นผ่านทางหน้าต่างห้องนอนของตน


ยาฉะ เทโทระ พี่ชายร่วมสายเลือดของ  ยาฉะ เบียกโกะ พวกเขาไม่เพียงมีใบหน้าที่คล้ายกัน   แม้แต่กลิ่นอาย หรือความสามารถก็คล้ายกันจนยากที่จะตัดสินว่าใครยอดเยี่ยมกว่า


สิ่งเดียวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ นิสัยใจคอของทั้งคู่ เทโทระเป็นปีศาจที่โลภมากในทุกสิ่ง เงินทอง พละกำลัง หรือหญิงงามที่ตนหมายปอง แต่แล้วน้องชายที่ลืมตาดูโลกหลังจากตนเพียงไม่กี่ปีกลับได้ทุกอย่างไปครอบครองอย่างง่ายดาย


ด้วยความอิจฉาริษยาจึงแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เขาอยากกำจัดน้องชายร่วมสายเลือดของตนให้หายไปจากโลกใบนี้ แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะแย่งทุกอย่างคืนมาเสียก่อน ไม่มีทางแน่ที่เขาจะยอมให้มันตายอย่างสงบ มันต้องเห็นวาระสุดท้ายอันเจ็บปวด  ต้องเสียใจที่ไม่อาจปกป้องใครได้


เวลานี้เขากำลังจะได้ครอบครองทุกวิ่ง เวลาที่รอมายาวนานกำลังจะเป็นจริง เขาค่อยๆแทรกซึมจากรากฐาน จนบัดนี้เหล่าผู้อาวุโสของกลุ่มต่างเห็นด้วยที่เขาจะขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มยาฉะ แต่แล้วคนที่เขาต้องการที่สุดกลับถอยห่างจากเขาไปอีกก้าวจนได้
เทโทระต้องการครอบครองซาดาโอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามความต้องการของเขาไม่เคยเปลี่ยน แม้ในตอนแรกจะเพียงแค่ต้องการหลอกใช้ แต่บัดนี้เขาอยากครองครองร่างกายนั้นจนตัวสั่น แต่อย่างไรซาดาโอะก็มอบหัวใจดวงนั้นให้น้องชายเขาไปแล้ว


แต่กระนั้นในตอนนี้ก็ยังพอมีโอกาสอยู่ เพราะซาดาโอะนั้นเคียดแค้นเบียกโกะอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางสมหวังกันอย่างแน่นอน


สิ่งใดที่เขาอยากได้ สิ่งใดที่เขาควรได้ครอง เขาจะแย่งมันคืนมาเสียให้หมดทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นซาดาโอะ หรือกลุ่มยาฉะ เขาก็จะแย้งมันกลับมาเป็นของตนอย่างที่ควรจะเป็น


“แผนการครั้งนี้ล้มเหลวเพราะมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง  ถ้าเช่นนั้นข้าจะตามหาตัวมัน แล้วกำจัดมันให้สิ้นซาก!!” เสียงกล่าวนั้นเปี่ยมไปด้วยพลัง มันดุดันและเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว และหวังจะทำลายคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับแผนของตนอย่างหมายมาด


“หึหึ  อย่าใจร้อนไป ข้ายังมีแผนการที่เตรียมไว้อยู่มากมาย” ในห้องนอนที่ควรจะมีเพียงเจ้าของห้อง บัดนี้กลับมีแขกมาเยือนอย่างไม่แจ้งล่วงหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของห้องตกใจหรือลำบากใจแต่อย่างใด  ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้


ผู้มาเยือนสวมเสื้อคลุมยาวคลุมทั้งร่าง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าสวนหน้ากากสีขาวที่ดวงตายิ้มจนหางตาชี้ขึ้น แต่กลับมีน้ำตาสีดำไหลอาบแก้มจากดวงตาทั้งสองข้าง ปากนั้นข้างซ้ายแสยะยิ้มแต่ข้างขาวกลับคว่ำปากลงดังไม่พอใจ น่ากากช่างย้อนแย้งกันเองจนไม่อาจเข้าใจความหมายได้


เขาเข้ามาทางใดไม่อาจทราบ สำหรับเทโทระแล้วชายคนนี้เป็นได้ดังพ่อมด ที่ไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์ ปีศาจ หรือเทวดากันแน่  รู้เพียงว่าชายคนนี้บันดานได้ทุกสิ่งอย่างดังที่เขาต้องการ


เทโทระนั่งคุกเข่าลงทั้งสองข้าง ทั้งยังก้มศีรษะลงจนหน้าผากจรดพื้นเพื่อเคารพต่อชายที่เป็นดังเทพเจ้าที่มอบความปรารถนาให้เขาทุกสิ่งอย่าง อย่างแรกที่เขาได้รับมันมาคือพลัง เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าพลังที่ได้รับมานี้ต้องเหนือกว่าน้องชายของตนหลายเท่า และเป้าหมายต่อไปก็ใกล้เป็นจริงแล้วในไม่ช้านี้


“เพราะมีท่าน ข้าจึงมาไกลได้ถึงเพียงนี้...หากท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใดโปรดสั่งมาได้เลย” ปีศาจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเทโทระยากนักที่จะก้มศีรษะให้ใครง่ายๆ แต่บัดนี้เพื่อสิ่งที่ตนต้องการเขากลับทำได้ทุกสิ่ง  แม้แต่ละทิ้งศักดิ์ของตน ยอมรับใช้ชายตรงหน้า ที่ไม่อาจรู้ความจริงว่าเป็นใครนี้อย่างไว้วางใจ


“ถ้าเช่นนั้นเราก็มาเริ่มแผนการจริงๆจังๆกันเลยดีกว่า หึหึหึ”







To Be Continued...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 19 ฟักไข่
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-11-2016 11:20:25

ตอนที่ 19
ฟักไข่



เช้านี้สำหรับใครหลายๆคนอาจจะเป็นเช้าที่แสนธรรมดา แต่สำหรับคนที่ต้องอยู่ในคุกที่อับชื้นร่วม 12 คืน  ย่อมต้องรู้สึกว่ามันพิเศษกว่าทุกวันเป็นแน่


ร่างเล็กที่นอนขดตัวบนฟูกหนาบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ฟูกนอนหนานุ่มแม้ไม่ใช่ที่นอนที่คุ้นเคยแต่ก็นับว่าทำให้เขาหลับสบายได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บที่ประณีต หรือปริมาณของนุ่นที่ยัดได้อย่างพอเหมาะ  ล้วนเข้ากันอย่างลงตัว แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการทำฟูกนอนนี้เป็นอย่างดี


ชุดยูกาตะที่ใช้สวมนอนบนร่างนั้นหลุดลุ่ย แขนเสื้อข้างหนึ่งล่วงลงจนเผยให้เห็นไหล่เล็กขาวเนียนละเอียด แม้จะซีดเซียวกว่าคนปกติเล็กน้อย แต่มันก็ตัดกับชุดยูกาตะสีดำสนิทนั้นได้เป็นอย่างดี จนเผยให้เห็นไหล่ขาวเนียนนั้นได้อย่างชัดเจน ผ้าห่มถูกร่นไปอยู่ปลายเท้า เพราะเจ้าตัวนอนพลิกตัวไปมา ชายชุดยูกาตะที่ยาวจนถึงข้อเท้านั้นก็ร่นขึ้นจนเผยให้เห็นขาขาวเนียนไม่แพ้ไหล่นั้นเลยแม้แต่น้อย


ตึก ตึก ตึก


เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากระเบียงด้านนอกพาให้เจ้าของร่างเล็กลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย  และนั่นยิ่งทำให้แขนเสื้อที่ล่วงลงจากไหล่ตกลงไปต่ำยิ่งกว่าเดิม แขนเสื้อข้างนั้นตกลงไปกองรวมกันที่ข้อศอก  เผยให้เห็นอกขาวเนียนที่ประดับไว้ซึ่งตุ่มไตสีชมพูระเรื่อน่ามอง


ครืดดดดดดดดดดด


“แร็กนาร์ขะ...ไข่...ขาว” สองเสียงเอ่ยประสานกันหลังจากเปิดประตูออกกว้าง ในมือของฮิโรกิถือตะกร้าสานจากไม้ไผ่ไว้ในมือ พวกเขาเข้ามาด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วเสียงสุดท้ายก็เบาหวิวซึ่งเอ่ยถึงฉากที่เย้ายวนตรงหน้า


“ไข่อะไรนะ” แร็กนาร์เอ่ยถามอย่างงัวเงีย ปากก็หาววอดจนน้ำตาซึมที่หางตา เขาใช้มือเรียวเล็กนั้นเช็ดมันออกอย่างไม่ใส่ใจ และนั่นยิ่งเพิ่มความน่าหลงใหลในภาพตรงหน้าขึ้นไปอีก


สำหรับเด็กน้อยวัย 7 ขวบ ที่ยังไร้เดียงสา เขายังคงไม่เข้าใจตนเองเช่นเดิม รู้แต่เพียงว่าภาพนี้ช่างน่ามองเป็นอย่างยิ่ง จึงไล่สำรวจร่างกายของผู้มีพระคุณอย่างถี่ถ้วน


ตั้งแต่ขาขาวที่ไร้ซึ่งการห่มกายจากผ้าใดๆ ไล่ไปยังเอวบางที่มีสายรัดชุดยูกาตะรัดเอาไว้จนเห็นเอวคอดได้อย่างชัดเจน จากนั้นมองไล่ไปยังด้านบนจากสะดือกลมจนถึงตุ่มไต่เม็ดเล็กสีชมพูระเรื่อที่แสนเย้ายวนชวนให้ลิ้มลอง แม้ในใจจะหวังลึกๆว่าอยากเห็นมันทั้งสองข้าง แต่สายตาที่จดจ่ออยู่ชั่วครู่นั้นก็มองไล่ขึ้นไปอีก จนถึงไหล่เล็กที่ดูบอบบางซึ่งเข้ากับลำคอระหงนั้นเป็นอย่างดี
ริมฝีปากได้รูปที่แต่งแต้มเป็นสีแดงจางๆนั้นดูเป็นธรรมชาติ จมูกโด่งเป็นสัน แก้มก็ขึ้นสีเล็กน้อยเพราะอากาศที่เริ่มหนาวเย็น ดวงตาเรียวเล็กสีดำทั้งสองข้างตัดกับผิวกายสีขาวได้อย่างลงตัว ผมสองสีก็สะท้อนเด่นบนศีรษะที่ยุ่งเหยิงคล้ายรักนก แต่มันก็เข้ากันกับคนที่นั่งงัวเงียอยู่บนฟูกได้เป็นอย่างดี...เขาช่างน่ารักน่าทะนุถนอม งดงาม ทั้งยังเย้ายวนเกินกว่าใครจะห้ามใจไม่ให้เก็บภาพเหล่านี้เอาไว้ได้


ฮิเดโอะกับฮิโรกิมองอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ พวกเขามองอย่างจาบจ้วงที่จะเก็บภาพอันตราตรึงนี้ไว้ภายในส่วนลึกของจิตใจให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยไม่สนใจใบหน้าที่แดงปลั่งทั้งยังคิ้วขมวดเป็นปมของผู้ถูกมองแม้แต่น้อย    ใบหน้านั้นเหยเกเล็กน้อยเพราะไม่รู้แน่ว่าตนควรรู้สึกอย่างไร เขาควรจะโกรธ หรือเขินอายกันแน่


ในตอนนี้ ฮิเดโอะ ฮิโรกิ และแร็กนาร์ พวกเขาต่างมองกันด้วยใบหนาที่แดงซ่านจนถึงใบหู  หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาเสียให้ได้ เลือดในกายก็สูบฉีดจนร้อนผ่าวไปทั่วร่าง สมองอื้ออึงจนไม่สามารถคิดสิ่งใดได้อีก ทำเพียงปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปเช่นนั้น


“มะ...มองอะไรของพวกเจ้า”  ปากสีชมพูสดของแร็กนาร์เอ่ยถามออกมาเมื่อตั้งสติได้ มือเรียวเล็กก็ดึงแขนเสื้อที่ล่วงล่นจากไหล่นั้นใหปิดขึ้นมาจนถึงลำคอ จัดการปกปิดส่วนดึงดูดที่อยู่ใกล้มือก่อนเป็นอันดับแรก  น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่กลับไม่กล้ามองสบสายตากับเด็กทั้งสอง ทำเพียงหันหน้าหนีเพื่อปิดบังใบหน้าที่แดงซ่านจนถึงใบหูที่ยากจะปิดบังนั้น


‘บ้าเอ๊ย!! อยากมุดลงไปในผ้าห่มจริงๆเลยให้ตายสิ แต่แบบนั้นมันบทสาวน้อยที่เคยดูในทีวีชัดๆ เราเป็นผู้ชายอายุ 30 ปี จะไปทำเรื่องน่าอายแบบนั้นได้ยังไงเล่า ถ้าเทียบกับพวกเด็กบ้านี้แล้วเรามันตาแก่ชัดๆเลย แต่ทำไมเราไม่เข้าใจนะว่าอาการแบบนี้มันคืออะไร


สวยตานั่นอีก เลิกมองไปซะ มันทำให้เราเกิดอาการแปลกๆ เพราะพวกด็กบ้านี่แท้ๆเลย...ขอร้องล่ะหยุดซะที ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด เรากำลังเป็นอะไรกันแน่...ไม่เข้าใจเลย’



“เอ่อ ๆๆ คือว่า...มองแร็กนาร์” เสียงอ้ำๆอึ้งๆถูกเปร่งออกจากปากของฮิโรกิ เขาพยายามคิดหาคำตอบที่ดูดีที่สุด แต่มันก็ล้มเหลว เขาจึงจำยอมต้องตอบออกไปตามความจริงเท่านั้น แม้ว่าเสียงนั้นจะเบาหวิวก็ตาม


คำตอบที่เถรตรงยิ่งพาให้คนฟังหน้าแดง แร็กนาร์รับมือกับคำตอบไม่คาดฝันนี้ไม่ถูกจึงได้แต่ขมเม้มริมฝีปากพร้อมก้มหน้าลงอย่างจนใจ หวังเพียงให้ใครสักคนช่วยแก้สถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจนี้เสียที


“พวกๆ พวกข้าขอตัวก่อน...เจ้าไปอาบน้ำเถอะ” ฮิเดโอะแม้ตั้งสติได้ช้าที่สุด แต่กลับหาทางออกได้ก่อนใคร เขาดึงมือของฮิโรกิให้เดินตามไปอย่างเร่งรีบ  เพื่อจะได้หลบไปปรับอารมณ์ความรู้สึกที่พุ่งพร่านในอกนี้ให้กลับมาเป็นปกติ และทำเพื่อคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนใจจนทำสิ่งใดไม่ถูกเมื่อครู่ด้วย


หลังจากเด็กน้อยทั้งสองวิ่งหายไปจนลับตา แร็กนาร์ก็พลิกไปล้มตัวลงบนหมอน ซุกหน้าลงทั้งยังบิดไปมาเพื่อหวังว่ามันจะคลายความร้อนที่อยู่ในกายนี้ให้มอดดับลง แต่ด้วยอากาศที่เริ่มหนาวเย็นเพียงเล็กน้อยนี้มันไม่ช่วยให้ความร้อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย
แร็กนาร์จึงลุกขึ้นจากฟูกนอน เดินตรงไปยังตู้สื้อผ้า ค้นหาผ้าที่ใช้สำหรับเช็ดตัวพร้อมด้วยชุดยูกาตะใหม่เอี่ยม แล้วจึงรีบวิ่งออกจากห้องตรงไปยังโรงอาบน้ำ ด้วยหวังว่าน้ำจะช่วยชำระไฟในกายให้มอดดับลง


.


.


.


ก๊อกๆ


“พี่รูร์กัส พี่ตื่นรึยัง” แร็กนาร์เอ่ยเรียกพี่ชายซึ่งพักอยู่ห้องติดกัน หลังจากทำให้ใจเย็นลงด้วยการแช่น้ำอุ่นๆในบ่อน้ำร้อน แต่กระนั้นมันก็ยังไม่เย็นลงจนถึงที่สุด เขาจึงตัดสินใจที่จะมาพูดคุยกับรูร์กัสเพื่อคลายความกังวลที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในใจ
แต่ในห้องกลับเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงขยับตัวใดๆ แร็กนาร์จึงรับรู้ได้ทันที่ว่ารูร์กัสไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ก็พอคาดเดาได้ว่ารูรกัสไปอย่ที่ใด ข้อสันนิษฐานง่ายๆคือ  รร์กัสคงถูกเอจิลากไปเล่าเรื่องแดนมนุษย์อีกแล้วเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นแร็กนาร์จึงเดินมุ่งตรงไปยังบ้านพักของผู้คมขังทั้งสองทันที


แร็กนาร์กับรูร์กัสถูกจัดใหพักในบ้านพักของพวกลูกสมุน เพราะเรื่องของพวกเขายังคงเป็นความลับที่รู้ได้เพียงคนส่วนน้อย โดยบ้านหลังนี้ถูกสร้างให้อยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ เพราะอยู่ใกล้กับที่พักของเหล่าหัวหน้าหน่วยที่มีเรือนแยกอยู่ด้านหลังของบ้านใหญ่


ส่วนเรือนพักของเอจิกับยาจินั้นก็คือเรือนสำหรับหัวหน้าหน่วยเช่นกัน เรือนพักทั้งสองตั้งอยู่ใกล้กันและห่างจากเรือนหลังอื่นๆ ตอนนี้จึงกลายเป็นที่หลบซ่อนแสนสะดวกสบายของพวกเขาไปเสียแล้ว เอจิกับยาจิแม้ไม่ได้เป็นหัวหน้าหน่วย แต่เพราะเป็นผู้คุมพิเศษซึ่งสืบทอดต่อกันมาในตระกูล ทั้งยังเป็นผู้เฝ้าคุกสำหรับคุมขังเหล่าหัวหน้าหน่วย พวกเขาจึงมีศักดิ์ทัดเทียมกัน รวมทั้งฝีมือนั้นด้วยและเนื่องด้วยว่าผู้คุมทั้งสองไม่ค่อยพบปะผู้อื่นเท่าไหร่นัก จึงไม่มีใครกล้าเข้ามาพักเรือนที่อยู่ใกล้คนทั้งสองเช่นนี้ ทั้งยังไม่กล้าเข้ามาใกล้บริเวณบ้านอีกด้วยหากไม่มีธุระจำเป็น


ไม่นานแร็กนาร์ก็เดินมาถึงที่พักของผู้คุมทั้งสอง และก็เป็นดังที่คาดรูร์กัสกำลังนั่งคุยอยู่กับเอจิอย่างออกรสออกชาติ  พวกเขานั่งอยู่ที่ชานบ้านซึ่งต่อยื่นออกมาเป็นระเบียงยาว และเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่ามีผู้มาเยือน จึงโบกมือทักทายแร็กนาร์อย่างไม่คิดแปลกใจสิ่งใด


“อรุณสวัสดิ์   พี่ว่าแล้วว่าเจ้าต้องรู้ว่าพี่อยู่ที่นี่” รูร์กัสกล่าวทักทายออกไปอย่างยิ้มแย้มเมื่อแร็กนาร์เดินเข้ามานั่งข้างตนซึ่งเขานั่งอยู่ทางด้านขวามือของเอจิพอดี


“มันคิดได้แบบเดียวนี่นา...แล้วนี่ยาจิไปไหน”  ประโยคที่แร็กนาร์กล่าวออกมาพาให้พวกเขาชะงัก   พอตั้งสติได้ก็ยิ้มล้อแร็กนาร์อย่างสนุกสนาน จึงถูกเจ้าตัวถลึงตาใส่หนึ่งครั้ง แต่ดูเหมือนพวกพี่ๆที่อยากจะแกล้งน้องนั่นจะไม่รู้สึกยี่ระ พอเห็นแร็กนาร์แสดงท่าทางเช่นนั้นก็ยิ้มล้อหนักขึ้นไปอีกทั้งยังหัวเราะกันอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ



“ฮ่าๆ เจ้ากับยาจิช่างเข้ากันได้ดีจริงๆ...รอสักพักก็คงเสร็จแล้ว   ยาจิทำอาหารอยู่น่ะ” เพราะแร็กนาร์นิ่งเงียบ ปล่อยให้พวกเขากระทำตามใจจนพอเกินพอ เมื่อพอใจแล้วเอจิจึงตอบคำถามแร็กนาร์ พร้อมทั้งชี้เข้าไปในบ้าน   และนั่นก็ยิ่งพาให้แร็กนาร์ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม


“เจ้านั่น ทำอาหารเป็นด้วยเรอะ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม ดังไม่เชื่อในคำกล่าวเมื่อครู่ของเอจิ


“เป็นสิ อร่อยมากจนพวกพ่อครัวของที่นี่ฝีมือเทียบไม่ติดเลยล่ะ” เสียงนั้นจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่นยิ่งพาให้คนฟังประหลาดใจมากขึ้นไปอีก


“มันเหลือเชื่อเกินไป” คำกล่าวอันกระทบจิตใจองผู้ฟังอย่างร้ายแรงนั้นเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ  เพราะจังหวะเหมาะที่จะกลั่นแกล้งผู้ที่ถูกกล่าวถึงพอดี


“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกินดีหรือไม่”  ผู้ฟังกล่าวอย่างเดือดดาน    เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้เพื่อบอกว่าอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก็ได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าพอดี ดังว่าแร็กนาร์รอจังหวะนี้อยู่อย่างไรอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาน ใครได้ฟังคงกลัวหัวหด แต่กระนั้นคนที่ชินชากับสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้ได้ว่า  ยาจิไม่ได้โกรธอย่างจริงจังอย่างปากว่า เพียงต่อปากต่อคำกับแร็กนาร์เท่านั้น


“ไม่ล่ะ...ข้าต้องกินกันตาย” เสียงราบเรียบประกอบกับหน้าตาที่เรียบเฉย ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดเช่นเคยยิ่งพาให้คนที่ตอนแรกไม่โกรธเริ่มจะโกรธขึ้นมาหน่อยๆเสียให้ได้


“ช่างเถอะยาจิ  อย่าโกรธไปเลย...ข้าหิวจะแย่แล้ว” เอจิรีบห้ามทัพ  เพราะดูเหมือนหากปล่อยไว้เช่นนี้เขาคงไม่ได้ทานอาหารเช้าเป็นแน่


ยาจิก็ยังคงเช่นเดิม แม้ไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยขัดเอจิเลยสักครั้ง เขาไม่ตอบกลับทำเพียงเงียบแล้วเดินหันหลังกลับเข้าไปยังห้องครัวเท่านั้น จากนั้นเอจิกับรูร์กัสก็เดินตามเข้าไปด้วยเพื่อช่วยยกอาการมาวาง  มีเพียงแร็กนาร์ที่ลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังโต๊ะที่สูงถึงเข่าซึ่งวางไว้สำหรับทานอาหารบริเวณชานหน้าบ้านที่อยู่ไม่ไกล


อาหารทุกอย่างวางเสร็จสรรพบนโต๊ะ  พวกเขาก็เริ่มนั่งทานอาหารกันทันที   และถึงแม้จะถูกแร็กนาร์แกล้งอย่างไร  ยาจิก็ยังนั่งลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ  ตั้งแต่อาหารเข้าไปในปากเล็ก  เคี้ยวแล้วกลืนลงไปในท้องอย่างไม่เร่งรีบ  เขามองอย่างลุ้นระทึกว่าแร็กนาร์รู้สึกเช่นไรเมื่อทานอาหารที่เขาทำเข้าไป


“อร่อย” คิ้วที่ขมวดอย่างไม่อยากจะเชื่อคลายออกแล้วกล่าวมันออกมาอย่างจำยอม หลังจากได้ลิ้มรสชาติอาหารแล้ว


‘อร่อยสุดๆไปเลย ถึงจะไม่อยากยอมรับก็เถอะ แต่แบบนี้เป็นเชฟในภัตตาคารห้าดาวได้สบายๆเลย...ไม่สิ บางทีอาจจะอร่อยกว่านั้นอีก’


แร็กนาร์พิจารณาอาหารตรงหน้าเทียบกับอาหารจานต่างๆที่ได้ลิ้มรสผ่านมา แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น และเขาเองก็โปรดปรานการทานอาหารเลิศรสมันจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขาไม่เคยโกหกสักครั้งเดียว


“อือๆ” คนได้รับคำชมยิ้มกว้างอย่างยากที่จะได้เห็นบนใบหน้าที่แสนน่ากลัวนี้ เขาตอบรับเพียงเท่านั้นพร้อมผงกหัวอย่างยินดี  เพราะไม่อยากพูดจาทับถมจนบรรยากาศไม่ดีซึ่งจะทำให้อาหารเสียรสชาติได้


ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากกล่าวสิ่งใดที่ไม่เข้าหูเข้า อาหารมื้อนี้คงไร้รสชาติ จึงนั่งทานนิ่งๆแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระขณะทานอาหารไปเท่านั้น


หลังจากทานอาหารเสร็จผู้ที่ทำหน้าที่ล้างจานคือเอจิ  ซึ่งเป็นเรื่องปกติของปีศาจทั้งสองตนไปเสียแล้ว  แม้รูร์กัสเอ่ยปากจะช่วยเพื่อตอบแทนที่ได้ทานอาหารอร่อยๆในมื้อนี้    แต่ก็ถูกขัดขึ้นอย่างน่าเสียดาย  เวลานี้จึงมีเพียงแร็กนาร์ รูร์กัส   และยาจินั่งอยู่ประจำที่เช่นเดิมเท่านั้น


“แร็กนาร์!  ทุกคน!” ไม่นานเสียงเจื้อยแจ้วของผู้มาเยือนคนใหม่ดังขึ้น เด็กน้อยปีศาจทั้งสองที่ปั่นป่วนหัวใจของแร็กนาร์เมื่อเช้าก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาวิ่งอย่างเหนื่อยหอบมายังที่พักหลังนี้ และเพียงแร็กนาร์คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าอาการร้อนผ่าวที่ใบหน้าก็ปรากฏขึ้นมาอีก  เขาจึงส่วนหัวไปมาเพื่อไล่อาการที่เกิดขึ้น


ส่วนเด็กน้อยทั้งสองดูเหมือนหลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วยามพวกเขาก็สามารถทำตัวให้กลับมาเป็นปกติได้ อาจจะเพราะยังเด็กพวกเขาจึงปรับตัวรับกับสิ่งแปลกใหม่ได้อย่างง่ายดาย ต่างจากแร็กนาร์ที่วิญญาณนั้นผ่านโลกมามากแล้ว   เราจึงมีทิฐิที่ยากจะยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อยิ่งไม่เข้าใจจึงยิ่งปิดกั้น  จนไม่อาจเผยใจให้ยอมรับมันได้


“นายน้อย มีอะไรหรือขอรับ เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้” หลังจากที่เด็กทั้งสองวิ่งมาถึง ยาจิก็เอ่ยถามอย่างเร่งเร้าด้วยความร้อนใจกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมาอีก  เพราะเขาเอ็นดูนายน้อยทั้งสองดังน้องชายแท้ๆจึงอดที่จะห่วงใยไม่ได้  พวกเขาเล่นมาด้วยกันตั้งแต่นายน้อยทั้งสองยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ  จึงยิ่งผูกพันแน่นแฟ้น


“ไข่ๆกำลังจะฟักแล้ว” ฮิโรกิตอบพร้อมยื่นตะกร้าสานจากไม้ไผ่มายังด้านหน้าของยาจิ เพื่อให้อีกฝ่ายได้ดู  ในน้ำเสียงนั้นก็เจือไปด้วยความตื่นเต้น  ยาจิจึงเบาใจลง


“ไข่อะไรขอรับ” คนที่ถามรับตะกร้ามาอย่างงงๆ  แม้จะจำตะกร้าใบนั้นได้ว่านายน้อยเคยนำมันไปในห้องขัง  แต่ตอนนั้นพวกเขาอยู่ด้านนอกจึงไม่ทราบความเป็นไปของตะกร้าไปนี้


“เอ๊ะ  ข้าลืมมันไว้...พวกเจ้าเก็บมาเองหรือ” เจ้าของตะกร้าใบเล็กที่ตัดสินใจรับมาดูแลเอ่ยขึ้นดังพึ่งนึกขึ้นได้  และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเท่าที่ควรเพราะลืมเอาไว้ในห้องขัง  เพราะในตอนที่ออกมาเขาหยิบมาเพียงกระเป๋าใบเก่งของตนเท่านั้น


“ใช่แล้ว แร็กนาร์เจ้าดูสิมันกำลังจะฟักแล้ว พวกเรารู้สึกตื่นเต้นเมื่อเช้าจึงเร่งร้อนไม่ทันได้เคาะประตูจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ต้องขอโทษด้วย” แฝดผู้พี่อย่างฮิเดโอะตอบแร็กนาร์พร้อมทั้งยังอธิบายถึงสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าของวัน หวังจะช่วยคลายกังวลและใบหน้าที่แดงระเรื่อน้อยๆนั้นให้หายเป็นปกติ  ถึงแม้ภาพตรงหน้าจะน่ามองเพียงใด แต่การที่แร็กนาร์พูดคุยโดยไม่สบตาเช่นนี้เขาไม่ชอบมันเลย


“อืม ไม่เป็นไร” แร็กนาร์ส่วยหัวช้าๆเพราะรู้ตัวว่าตนทำให้เด็กน้อยเป็นกังวลจึงตอบออกไปเช่นนั้น  แม้ในใจจะร่ำร้องว่ามันจะไม่เป็นไรได้อย่างไรเล่า แต่กระนั้นเขาก็ยังพยายามปั่นหน้าให้นิ่งเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้


“เมื่อเช้า...เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า” พี่ชายที่ทั้งรักทั้งห่วงน้องชายอย่างรูร์กัสถามขึ้นเพราะไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย  เมื่อเช้าเขาถูกเอจิลากตัวมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างเสียด้วยซ้ำ   โดยอ้างว่าวันนี้พวกตนไม่มีหน้าที่ใดต้องทำแล้วจึงอยากสนทนาเรื่องของแดนมนุษย์ทั้งหมดที่รูร์กัสรู้ และไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว เขาจึงไม่ทราบถึงเรื่องที่น้องๆคุยกัน


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พี่รูร์กัสอย่าใส่ใจเลย” แร็กนาร์เลี่ยงที่จะตอบคำถามของพี่ชาย  ซึ่งนั่นก็ทำให้รูร์กัสคาดเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจของน้องตนปั่นป่วนแน่ๆ เพราะเขาสังเกตอาการของแร็กนาร์ตั้งแต่เด็กน้อยทั้งสองปรากฏตัวไว้อย่างถี่ถ้วย ไม่ว่าจะอาการหน้าแดง หรือหลบสายตาเขาก็เห็นมันทั้งหมด   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่คิดจะกระตุ้นสิ่งใดตอนนี้ เพราะยังไม่ถึงเวลาอันสำควร  จึงทำเป็นปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย


“ถ้าเช่นนั้นเราก็มาดูไข่ใบนั้นกันเถอะ  ไม่รู้ว่ามันจะฟักออกมามีลักษณะเช่นไร” หลังจากรูร์กัสกล่าวจบ  ยาจิก็นำตะกร้าใบนั้นไปวางไว้ที่กลางโต๊ะที่ใช้ทานอาหารเมื่อครู่ ส่วนเด็กน้อยที่พึ่งมาถึงก็ขึ้นมานั่งล้อมโต๊ะเอาไว้ด้วย เอจิที่พึ่งเดินออกมาก็มานั่งข้างยาจิด้วย เพราะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ตั้งแต่อยู่ในครัวแล้ว


ไข่ใบใหญ่ขนาดเท่ากำมือของผู้ใหญ่วางตระหง่านอยู่ในตะกร้าสานจากไม้ไผ่ซึ่งวางอยู่ตรงกลางของโต๊ะพอดี  มันมีรอยร้าวดังจะปริแตกออกมาเล็กน้อย


เปรี๊ยะๆ


พวกเขาทั้งหกต่างจ้องมองไปยังไข่ใบนั้นเป็นตาเดียว ทั้งตื่นเต้น ทั้งคาดหวังไปตามจินตนาการของตน เมื่อรอยร้าวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆหัวใจของพวกเขาก็เต้นแรงจนแทบจะดังออกมาจากอกด้วยความตื่นเต้น


เปรี๊ยะๆ


“กรู้”  เสียงแรกจากเจ้าตัวเล็กที่มีลักษณะก่ำกึ่งไม่แน่ว่าเป็นอินทรีย์หรือเหยี่ยวดังขึ้น มันมีขนสีน้ำตาลเข้มเกือบทั่วทั้งตัว แต่บริเวณต้นคอกลับมีขนสีน้ำตาลทองที่อ่อนกว่าปกติเล็กน้อย แล้วยังมีสีขาวที่หางและปีกทั้งสองข้างอีกด้วย


มันมองตรงไปยังแร็กนาร์เป็นคนแรกแล้วก็ไม่สนใจใครอื่นอีก จากนั้นมันก็ตะเกียกตะกายออกจากเปลือกไข่ แล้วมุ่งไปปีนขอบตะกร้าต่อ ปีกเล็กที่ยังไม่แข็งแรงจนถึงขั้นบินได้นั้นค่อยๆพยุงตัวมันเกาะขอบตะกร้า แต่ด้วยความที่มันยังตัวเล็กไร้เรี่ยวแรงมันจึงตกลงไปอยู่หลายครั้ง กระนั้นมันก็ยังทำต่อไป


ยาจิที่จิตใจอ่อนโยนเกินกว่าที่จะนั่งลุ้นไปกับทุกคนได้ จึงยืนมือเขาไปจับตัวมันอย่างเบามือ มันขัดขืนเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ และเมื่อเห็นว่ายาจิวางมันลงนอกตะกร้า ดูเหมือนมันจะรับรู้ได้ว่ายาจิเหลือช่วยมัน


“กรู้” นกน้อยมองไปยังยาจิอย่างพินิจแล้วก็ร้องรับดังกล่าวของคุณที่ช่วยเหลือมันเมื่อครู่ แล้วจึงหันตัวกลับไปเดินเตาะแตะเข้าไปหาแร็กนาร์ด้วยความอิ่มเอิบใจ


“เจ้าตัวเล็กนี่ฉลาดจริงๆ เลือกแร็กนาร์เป็นแม่สินะ ฮ่าๆๆ” ยาจิได้ทีเอ่ยยุแหย่แร็กนาร์เล็กน้อยเมื่อเดาจากท่าทางของเจ้านกตัวจ้อยที่กำลังเดินเข้าไปหาแร็กนาร์ ส่วนคนที่เหลือก็ส่งเสียงชื่นชมมันอยู่ไม่ขาดปากมีเพียงแร็กนาร์เท่านั้นที่นั่งเงียบมองมันด้วยสายตานิ่งๆ แต่กระนั้นเจ้านกตัวจ้อยก็ยังเดินต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งใด จนถึงขอบโต๊ะที่ใกล้แร็กนาร์มากที่สุดจนได้


“เก่งมาก” คำชมสั้นๆออกจากปากแร็กนาร์ดูเหมือนจะทำให้มันมีความสุขมากกว่าคำชมของคนอื่น


“กรู้  กรู้ กรู้” เจ้านกน้อยส่งเสียงร้องอย่างยินดีอยู่หลายครั้ง เพราะได้รับคำชม  และยังได้รับรอยยิ้มบางๆจากแร็กนาร์อีก เขายกมันขึ้นมาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง เพราะตัวของมันขนาดพอเหมาะที่จะประคองไว้ด้วยสองมือเล็กๆของเขา แล้วหมุนมันหันหันซ้ายหันขวานั่งมองอย่างพินิจพิจารณา


“โอ๊ะ นกกระจอกสินะ ใช่ต้องใช่แน่ๆ...ใช่ไหมเจ้าโก” แร็กนาร์ยิ้มกว้างด้วยความมั่นใจ  เมื่อพิจารณามันอย่างถี่ถ้วน


“กรู้ กรู้” เจ้านกน้อยที่ถูกแร็กนาร์เรียกว่า  โก  กระพือปีกอย่างยินดีดังตอบรับกับคำกล่าวเมื่อครู่ของแร็กนาร์


แต่สีหน้าของผู้คนรอบด้านต่างออกมาในรูปแบบเดียวกัน   เพราะชื่อและลักษณะของสัตว์ปกติในโลกใบนี้ไม่ต่างจากโลกเดิมเลย    ทุกคนจึงเข้าใจดีว่าแร็กนาร์หมายถึงนกชนิดใด  และนั่นยิ่งทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า


แร็กนาร์ไร้ซึ่งไหวพริบในการแยกแยะประเภทของนกอย่างสิ้นเชิง!!


แต่ภาพตรงหน้ากลับงดงามเกินกว่าที่จะขัดได้ลง   เพราะแร็กนาร์ที่แย้มยิ้มกว้างดังเด็กน้อยที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่มันช่างหาดูได้ยากเสียจริงๆ  และดูเหมือนเจ้านกน้อยโกเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่ต่อการตัดสินใจของแร็กนาร์  พวกเขาก็เลยตกลงกันผ่านทางสายตาว่าจะปล่อยให้พวกนั้นเข้าใจผิดกันเช่นนี้ต่อไป


สุดท้ายเจ้านกน้อยจึงกลายเป็นนกกระจอกของแร็กนาร์โดยปริยาย...




To Be Continued...

____________________________________________

สวัสดีค่ะ หายไปนานเลย  วันนี้เรามาไล่ลงใครครบทันกับที่ลงไว้ในเว็บอื่นแล้วนะคะ
เข้ามาอ่านกันแล้วช่วยคอมเม้นท์ติชมกันด้วยน้าาา

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/ (https://www.facebook.com/greenheadzoro/)

 

   

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 19 ฟักไข่ (30/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 30-11-2016 14:08:55
ไม่น่าใช่นกกระจอกนะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 19 ฟักไข่ (30/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 01-12-2016 07:30:35
แรกนาร์เป็นแม่แว้ววว
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 19 ฟักไข่ (30/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 01-12-2016 19:58:34
 o13
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 19 ฟักไข่ (30/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 01-12-2016 22:46:39
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 19 ฟักไข่ (30/11/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 02-12-2016 23:35:20
ว๊าาาา!! อ่านทันแบ้ววว!! สนุกมากๆครับ มาต่อไวไวนะค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนพิเศษที่ 1 ร่องรอยของความสุข NC18+ (1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 04-12-2016 19:22:45
ตอนพิเศษที่ 1
ร่องรอยของความสุข
(เอจิXยาจิ) NC18+


ผู้คุมพิเศษ ตำแหน่งพิเศษดังชื่อที่เรียก  หน้าที่ของพวกเขาคือ การเฝ้าคุกพิเศษซึ่งใช้สำหรับขังผู้มีตำแหน่งระดับหัวหน้าหน่วย และหน้าที่ของพวกเขาสืบทอดมารุ่นๆต่อรุ่นโดยผ่านทางสายเลือดของ  2 ตระกูลใหญ่


ผู้สืบทอดปัจจุบันคือ  โนบุ ยาจิ  และ โนริ  เอจิ  สองผู้คุมที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา แต่กระนั้นพวกเขาก็อายุเพียง 19 ปี  ความรู้สึกนึกคิดจึงเป็นเพียงเด็กที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น เมื่อภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับข้อบังคับที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง พวกเขาจึงจำต้องเติบโตโดยผ่านความผิดพลาดมากมาย


หน้าที่นี้แม้ไม่ต้องการแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้...


สองร่างเปลือยเปล่านอนคุดคู้อยู่บนฟูกนอน พวกเขาอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เอจิขยับตัวนอนตะแคงแล้วยกหัวขึ้นพร้อมนำมือมาเท้าคาง  มองคนนอนข้างกายที่หลับตาพริ้มอย่างรักใคร่   ใบหน้าที่ใครต่างเกรงกลัวแต่สำหรับเขามันกลับน่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตาได้ เขายื่นมือหยาบกระด้างข้างที่ว่างอยู่นั้นไปลูบไล้ร่องรอยของบาดแผลที่เกิดจากดาบของตน แผลเป็นบนใบหน้าเริ่มตั้งแต่แก้มซ้ายใต้ดวงตาจนถึงปลายคาง ใครหลายๆคนอาจจะคิดว่าแผลมีเพียงเท่านี้ แต่ในความเป็นจริงมันยาวจนถึงอกแกร่งด้านซ้ายใกล้ตำแหน่งของหัวใจ


ปากเผยยิ้มบางๆพร้อมมือที่ลูบไล้ไปทั่วบาดแผลบริเวณใบหน้าอย่างนุ่มนวล  พาความคิดมากมายหลั่งไหลให้คิดถึงอดีตที่ผ่านมา ระลึกถึงความทรงจำที่ขมขื่นแต่กลับหอมหวานเมื่อมีคนข้างกายคอยอยู่เคียงข้าง


.


.


.


6  ปีก่อน


ในวันนั้นเอจิอายุเพียง  13 ปี   เขาหันคมดาบใส่พ่อของคน เพราะความขมขื่นในการฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่จำความได้ สำหรับเขาแล้วความคิดนี้ก่อเกิดเพราะพ่อฝึกเขาดังเป็นแค่เครื่องมือ  ไม่ได้ให้ความรักเช่นครอบครัวอื่นๆ เวลาผ่านเลยโดยไร้ซึ่งเพื่อน ได้แต่เฝ้ามองผู้คนรอบกายที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันใช้ชีวิตอย่างสงบสุข


ผู้ที่คอยอยู่เคียงข้างมีเพียงยาจิที่ได้ชื่อว่าคู่หูของเขา  พวกเขาอยู่ในสถานะเดียวกัน ยาจิอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวเขาตั้งแต่  1  ปีก่อน  เพราะสูญเสียครอบครัวเพียงคนเดียวอย่างพ่อของเขาไปในเหตุการณ์โจมตีกลุ่มยาฉะในเวลานั้น


ตระกูลของพวกเขาเล็กลงเมื่อเวลาผ่านเลยไป  เพราะมีหลายครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่น  ไม่ก็สูญเสียในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ  ตระกูลทั้งสองสืบทอดสายพันธุ์เสือโคร่งซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  และไม่มีโอกาสเลยที่จะเกิดสายพันธุ์อื่น เพราะกฎเพื่อความแข็งแกร่ง และเพื่อสืบทอดเพลงดาบประจำตระกูลที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงถูกจำกัดให้แต่งงานในสายพันธุ์เดียวกัน


แม้รูปกายภายนอกจะไม่แตกต่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงของพวกเขาทั้งสองคือนิสัยใจคอ และปณิธานที่จะมีชีวิตอยู่ ยาจิต้องการสืบทอดตำแหน่งพิเศษนี้ตามรอยพ่อของตน


แต่เอจินั้นไม่ใช่  เขาต้องการใช้ชีวิตเช่นปีศาจตนอื่นๆที่ไร้ภาระหน้าที่ เขาต้องการอิสระ และไม่อยากรับการฝึกที่โหดร้ายดังที่ผ่านมา กระนั้นเขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะปฏิเสธมัน เพราะแม้หากเอ่ยออกไป   เขาก็กลัวเหลือเกินว่าตนจะถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยม


จนถึงวันนี้ดังความอดทนถึงขีดสุด และยังได้รับโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง  ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยชนะพ่อของตนด้วยดาบไม้สำหรับใช้ฝึกแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้ดาบที่สองประกายวาววับในมือคือดาบจริง  ด้วยความคิดว่ามันต้องแตกต่างจากทุกครั้ง   และความหน้ามืดตามัวเขาจึงพุ่งเข้าใส่พ่อของตนอย่างไม่คิดชีวิต 


เอจิออกท่วงท่าดาบประจำตระกูลที่ดุดันตามแบบฉบับของมันพุ่งทะยานเข้ามาพ่อของตนอย่างไร้ซึ่งความกลัว  พวกเขาผลัดกันรุกรับด้วยความรวดเร็ว  คนหนึ่งฟาดฟัน  อีกคนหนึ่งรับดาบของอีกฝ่ายด้วยดาบในมือตนแล้วปัดออก   ทุกท่วงท่าต้องมุ่งไปที่จุดตาย  เอจิใช้ความสามารถทั้งหมดในการประลองครั้งนี้  ความคิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นผุดขึ้นในหัว...หากท่านพ่อตายล่ะก็  ข้าก็จะเป็นอิสระ!!


ยิ่งความคิดเช่นนั้นเข้าครอบงำเขาก็ยิ่งเพิ่มกำลังในแต่ละท่วงท่าให้หนักหน่วงขึ้น กำลังของชายหนุ่มวัยกำลังโตย่อมมีมากกว่าชายแก่ชรา ทั้งยังบาดเจ็บเรื้อรังจากเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อนอยู่แล้ว แม้เจ้าตัวจะไม่เคยแสดงอาการบาดเจ็บนั้นต่อหน้าลูกชายของตนเลยก็ตาม เพราะไม่เคยมีการต่อสู้ครั้งใดที่ยืดเยื้อเท่าครั้งนี้มาก่อน  อาการบาดเจ็บจึงไม่อาจปิดบังได้อีก


ยาจิที่นั่งเฝ้ามองการประลองของสองพ่อลูกอยู่มุมหนึ่งของโรงฝึก เขาจดจ้องการต่อสู้ตรงหน้าอย่างจดจ่อ เพราะรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เอจิเริ่มหมายชีวิตพ่อของตน จนถึงตอนนี้ที่พ่อของเอจิเริ่มแสดงอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า


สถานการณ์บีบบังคับ ให้คนเป็นพ่อเผลอแสดงใช้ท่าพลิกแพลงที่ตนคิดขึ้นเอง  และไม่ได้สอนเด็กน้อยเพื่อให้เขาได้เรียนรู้มันด้วยตนเองเข้า ดาบเสียดสีกันจนเป็นประกาย ดาบสองเล่มพลิกผันกันไปมา  จนปลายของดาบที่อยู่ในมือพ่อประกบติดเข้ากับดาบในมือลูกชาย เขาตรึงดาบให้ประกบติดสอดประสานดังดาบทั้งสองเป็นดาบเล่มเดียวกัน แล้วก้าวเท้าเลื่อนไปข้างหน้าโดยเบี่ยงดาบออกไปด้านข้างให้ห่างจากตัวเองเพียงคืบ ดาบในมือจึงเลื่อนไปถึงด้ามจับดาบของลูกชาย


เอจิไม่อาจขัดขืนได้เพราะไม่ทันตั้งตัว ทั้งแรงในการประชิดตัวครั้งนี้มากเกินไป จนเขาไม่อาจขยับดาบไปทางใดได้ จึงตัดสินใจทิ้งฝักดาบในมืออีกข้าง แล้วมาจับดาบด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อออกแรงให้ได้มากกว่าเดิม นั่นทำให้มือที่ถือฝักดาบของคนเป็นพ่อหวดเข้าใส่  เป้าหมายคือคอของเอจิ แต่มันกลับหยุดชะงักเมื่ออยู่ห่างเพียงช่วงลมหายใจ...มีหรือพ่อที่ฆ่าลูกของตนได้ลงคอ หากฝักดาบหวดไปที่ลำคอนั้นอย่างเต็มแรงคอของเอจิคงหักอย่างไม่อาจเลี่ยงได้


พ่อชะงักเพียงชั่วครู่  แล้วกระโดดถอยหลังอย่างลืมตัวด้วยเพราะตกใจในการกระทำของตนเอง มันพาให้ขานั้นลงพื้นอย่างผิดวิธี แผลที่ข้อเท้าจึงเกิดการฉีดขาดจนปวดร้าว เพราะละความสนใจไปสนที่อาการบาดเจ็บรู้สึกตัวอีกครั้งเอจิก็พุ่งเข้าใส่ด้วยดาบจริงในมือพร้อมจิตสังหารที่พวยพุ่ง


กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าตนทำสิ่งใดกับลูกชายลงไป ก็ถึงวินาทีของความเป็นตายเสียแล้ว ภาพตรงหน้าที่ลูกชายต้องการจะสังหารตน พร้อมภาพในอดีตที่ตนปฏิบัติตนกับลูกอย่างเข้มงวดพวยพุ่งเข้ามาภายในสมองในช่วงเวลานั้น เขาจึงทำใจยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น เพียงหลับตาลงโดยไม่คิดขัดขืน รอรับความตายด้วยใจที่ผ่อนคลาย หวังเพียงการตายของตนในครั้งนี้จะช่วยชำระความโกรธแค้นของลูกชายให้เบาบางลงไปได้บ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี


ฉั๊วะ


เลือดสีแดงฉานไหลย้อมคมดาบ ทั้งยังกระเด็นเป็นวงกว้างกระจายไปทั่วห้อง ร่างเล็กที่มีรูปร่างไม่ต่างจากเขาล้มลงด้วยใบหน้า  และลำตัวที่ย้อมด้วยเลือดสีแดงฉาน  ดาบในมือของเอจิร่วงหล่น ใจหายวูบ ชั่ววินาทีที่รู้ว่าคนตรงหน้าสำคัญสำหรับตน ก็เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังจะสูญเสียมันไปเช่นเดียวกัน


“ยาจิ!!” เอจิถลาเข้าประคองกอดร่างที่ล้มลงกับพื้นพร้อมเลือดที่รินไหลพาให้เขาตระหนกตกใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก กอดร่างนั่นแล้วพร่ำขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าดังคนเสียสติ


“หึหึ ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าคนโง่...ข้าจะตาย...เพราะเจ้ากอดข้าแน่นเกินไปนี่แหละ...เอจิ” เสียงเบาหวิวเอ่ยออกจากปากคนที่อยู่ในอ้อมกอด  แม้คำกล่าวจะเป็นเช่นหยอกล้อดังปกติ  แต่เสียงกับติดขัดและเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน


“ยาจิ แผลเจ้า...เลือด ฮึกๆ”  เขาผละตัวออกเมื่อได้ยินเสียงของคนในอ้อมกอด  นั่นทำให้เขาพินิจร่างกายของยาจิได้อย่างเต็มตา แผลลากยาวจากแก้มซ้ายไปจนถึงปลายคาง แล้วมีร่องรอยต่อจนถึงอกแกร่งที่ไม่ไกลบริเวณหัวใจ ทำให้ร่างกายเขายิ่งแข็งทื่อจากภาพที่เห็น ภาพการจากลาเกิดขึ้นในใจ  เอจิกำลังโทษตัวเองที่ขลาดเขลาจนทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไป


“เป็นชายใยร้องไห้ง่ายๆ...เช่นนี้...อึก...คนที่เจ้าควรขอโทษคือพ่อของเจ้า...ไม่ใช่...อึก ข้า” เสียงหอบหายใจที่แรงขึ้นเรื่อยๆทำให้เสียงนั้นติดขัด แต่กระนั้นยาจิก็ไม่มีทีท่าจะหยุดพูด  เขาต้องการเตือนสติของเอจิให้คิดทบทวนความผิดของตน ใบหน้าที่เริ่มซีดขาวเพราะเสียเลือดนั้นจึงยังประดับด้วยรอยยิ้มบางๆที่ริมฝีปาก


“เจ้าลูกโง่ รีบพายาจิไปหาท่านหมอเร็ว!!” พ่อของเขาตะโกนขึ้นหลังจากตั้งสติได้  หลังจากลืมตาขึ้นภาพตรงหน้าก็พาให้เขาตกใจ เพราะไม่คิดว่ายาจิจะเข้ามาขวางเอาไว้ ในมือไร้อาวุธ จึงต้องใช้ร่างกายขัดขวาง  และเมื่อมีการต่อสู้เสียงของเด็กน้อยจึงไม่อาจส่งเข้ามาถึงได้ไม่มีทางเลือกอื่นแต่เด็กน้อยก็เสียสละมันเพื่อคนสำคัญ พ่อยืนสังเกตการณ์อยู่ชั่วครู่เมื่อไม่เห็นลูกชายทำสิ่งใดจึงได้กล่าวเตือน


“ท่านพ่อ ข้า ข้า...”


“ไปได้แล้ว!!” เขาสับสนด้วยสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในใจ จึงต้องการกล่าวขอโทษ แต่มันกลับยากกว่าที่คิดไว้ น้ำเสียงนั้นจึงเต็มไปด้วยความติดขัด พ่อที่รู้เรื่องนี้ดีจึงเอ่ยขัดขึ้น  เพราะหากเริ่มพูดคุยกันเรื่องของพวกเขาคงไม่จบลงง่ายๆ เมื่อรู้ตัวดีว่าตนเองกก็กระทำผิดในช่วงวินาทีแห่งความเป็นตายเมื่อครู่  เขาจึงตระหนักถึงความรู้สึกของลูกชายมากขึ้น


“ครับ”  เอจิกล่าวเพียงแค่นั้น แล้วรีบอุ้มร่างของคนที่จวนเจียนจะหมดสติเต็มทีไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างที่แข็งแกร่ง  รีบเร่งวิ่งตรงไปยังโรงหมออย่างไม่คาดคิดว่าตนจะวิ่งได้เร็วขนาดนี้มาก่อน


.


.


.


ยาจินอนสลบไสลด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ  และเพราะเสียเลือดไปมากเขาจึงไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาในเร็วๆนี้  ผ้าสีขาวสะอาดถูกพันไปทั่วใบหน้าและลำตัวซึ่งมีรอยแผลที่เกิดจากดาบยาวเป็นทาง


เอจิมองภาพนั้นอย่างไม่วางตา อาจเพราะได้เรียนรู้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความขาดเขลาของตนเอง  เอจิจึงได้ใช้เวลาเหล่านี้ในการคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น


พ่อของเขาเองก็มองลูกชายอยู่ห่างๆยังไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายปัญหาของลูกชายในตอนนี้ เขาเองก็ยังต้องคิดทบทวน   เพราะเขารู้ดีว่าเอจิไม่ต้องการสืบทอดหน้าที่นี้  แต่ก็ยังให้เอจิฝึกฝนอย่างหนัก  ทั้งยังทำตัวเย็นชาเพื่อหวังให้ลูกชายของตนเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และแปรเปลี่ยนใจเมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของตนทุกวัน แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อยิ่งทำเช่นนั้น  เอจิยิ่งถอยห่าง


เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า  ความรู้สึกของเด็กน้อยถึงขีดสุดแล้ว  ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาสองพ่อลูกพบเจอหน้ากันเพียงยามฝึก   พูดคุยกันก็เพียงเรื่องการฝึกและตำแหน่งสำคัญที่ต้องสืบทอด ทุกวันคิดเพียงว่าจะทำเช่นไรให้ลูกชายของตนแข็งแกร่งขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ จนทนรับกับสถานการณ์กดดันที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้  ไม่มีเวลาใดเลยที่พวกเขาพูดคุยตามประสาพ่อลูกเฉกเช่นครอบครัวอื่นๆ


“พ่อทำผิดมามาก...คงต้องตัดสินใจใหม่แล้ว” เขากล่าวเพียงเท่านั้นแล้วเดินออกจากมุมมืดที่ใช้แอบมองลูกชายของคนเดินกลับไปเรือนพักด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก   ปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามลำพัง


.


.


.


หลังจากวันนั้นผ่านมาได้  3  วัน  ยาจิก็ฟื้น  หลังจากตื่นขึ้นมาก็ต้องโกรธเกรี้ยว  เพราะคนที่เฝ้าเขาอยู่มีท่าทีอิดโรยดังไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน


“เอจิ เจ้าบ้านี่จะมาล้มป่วยตามข้าไปอีกคนเรอะ”  เสียงติดแหบนิดๆเพราะไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวันดังขึ้น  พาให้คนที่นอนฟุบอยู่กับเตียงผู้ป่วยลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ


“ยาจิเจ้าฟื้นแล้ว” พอตั้งสติได้แม้ยังไม่ตื่นเต็มตา  เขาก็ยังแสดงสีหน้าแห่งความยินดีออกมา


“ก็ใช่น่ะสิเจ้าบ้า  ทำไมปล่อยให้ตนมีสภาพเช่นนี้...อื้อ...ปล่อย” ยาจิยังกล่าวไม่จบ  เอจิก็กอดร่างนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว  มือหยาบกร้านลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลัง  ดังกำลังสัมผัสเพื่อบอกตนเองว่า คนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่ ยาจิขัดขืนเล็กน้อย  แต่เมื่อรับรู้ถึงการสัมผัสที่ห่วงหา ทำให้เขาหยุดขัดขืนแล้วปล่อยให้เอจิกอดตนอยู่เช่นนั้นจนพอใจ


“พอแล้ว...ข้าหิวน้ำ” เมื่อรู้ได้ว่าเอจิใจสงบลงแล้ว  ยาจิจึงกล่าวบอกเพราะตนกระหายน้ำมากจริงๆ


“ขอโทษ”  เอจิกล่าวสั้นๆแล้วจึงเดินไปเทน้ำใส่แก้วที่วางอยู่บนชั้นวางข้างเตียง แล้วนำมันมาให้ยาจิดื่ม โดยมีเขาเป็นคนป้อนไม่ยอมให้ยาจิยกดื่มเอง


ยาจิดื่มน้ำจนคอชุ่มชื้นแล้วจึงดันแก้วออกเบาๆ   เพื่อให้เอจิได้รู้ว่าตนดื่มน้ำจนพอใจแล้ว เห็นดังนั้นเอจิก็รับรู้ได้ เขาจึงนำแก้วไปวางไว้ที่เดิม    จากนั้นก็หยิบผ้าสีขาวสะอาดมาเพื่อเช็ดปากที่เพราะเปื้อนน้ำจากการดื่มน้ำเมื่อครู่ของยาจิ


มือหยาบกร้านค่อยๆบรรจงเช็ดริมฝีปากนั้นเบาๆ ตาก็จดจ้องริมฝีปากนั้นอย่างไม่วางตา แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดการกระทำของตน เพราะริมฝีปากนั้นเม้มเข้าหากันดังกำลังไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง เอจิจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของใบหน้าที่แดงซ่าน


ยาจิตกใจเล็กน้อยที่เอจิบรรจงเช็ดปากให้เขา ทั้งที่ยามปกติเอจิจะสนใจเพียงตนเอง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เขาเฝ้ามองเอจิมาตลอดหลายปี จึงคิดว่าตนเข้าใจดีว่าเอจิมีนิสัยอย่างไร เพราะอย่างนั้นแม้เขาจะไม่ได้รับความสนใจจากเอจิมากนัก แต่เขาก็คอยอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังใจให้เอจิเสมอมา...เป็นรักข้างเดียวที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เวลานี้เขาจึงตกตะลึงที่เอจิทำสิ่งที่เขาไม่คาดคิด ทำให้ไม่อาจเก็บสีหน้าและแววตาที่ปิดซ่อนเอาไว้ได้อีก


ใบหน้าที่จดจ้องริมฝีปากค่อยๆเงยขึ้น จนตอนนี้พวกเขาต้องจ้องมองสบตากัน ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นช้าๆอย่างไม่รู้ตัวแจ่มชัดขึ้นไปอีกขั้น เอจิใช้มือที่กำลังเช็ดริมฝีปากนั้นประคองใบหน้าของยาจิที่กำลังจะเบือนหน้าหนีให้จ้องมองสบตาเขาตรงๆ จากนั้นก็ขยับเข้าใกล้จนริมฝีปากเบียดชิด แล้วค่อยๆละเมียดละไมริมฝีปากนั้น เขาจูบลงบนริมฝีปากของยาจิที่ขึ้นสีน้อยๆอย่างแผ่วเบา ดังกลัวว่าอีกคนจะเจ็บระบมไปจึนถึงบาดแผล เพียงไม่นานเขาก็ผละออกอย่างช้าๆ จากนั้นใช้ลิ้นโลมเลียริมฝีปากที่แดงปลั่งเพราะจูบเมื่อครู่ ดังอยากเข้าไปสัมผัสภายใน


ในหัวของยาจิขาวโพลน เพราะไม่ทันคาดคิดว่าเหตุการณเช่นนี้จะเกิดขึ้น อยากจะผลักใสเมื่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ แต่เมื่อได้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความต้องการนั้น เขาจึงยอมเปิดริมฝีปากออก


ไม่รอช้าลิ้นร้อนก็เข้าไปสำรวจในโพรงปากอย่างใจต้องการ เขาควานลิ้นไปทั่วโพรงปากเพื่อเก็บเกี่ยวความหวานที่อยู่ภายใน จากอ่อนโยนเป็นหนักหน่วงตามแรงปรารถนาที่เพิ่มขึ้น จนอีกฝ่ายตอบรับไม่ทันในอารมณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ ยาจิไม่เคยถูกรุกล้ำเช่นนี้มาก่อน เขาจึงไม่รู้วิธีหายใจ ได้แต่อ้าปากใช้ลิ้นตอบรับอย่างไม่ประสีประสา น้ำลายเหนียวเหนอะจึงไหลออกมาที่มุมปากอันบวมแดง เพราะแรงปรารถนาที่โหมใส่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ


มือที่จิกลงไปบนผ้าเตียงละออกแล้วทุบไหล่คนที่จาบจ้วงให้รู้ว่าตนรับมากกว่านั้นไม่ไหวแล้ว เขากำลังจะขาดอากาศหายใจ เอจิจึงยอมผละออกอย่างอ้อยอิง ความรู้สึกเสียดายทำให้เขาถอนจูบออกอย่างช้าๆ เช่นนั้นจึงได้มองใบหน้าที่แดงซ่าน และริมฝีปากบวมแดงที่อ้าออกเพื่อกอบโกยอากาศหายใจ ซึ่งมีน้ำลายไหลรดที่มุมปากอย่างเย้ายวนนั้นได้อย่างเต็มตา จนไม่อาจอดใจไหว ไม่รอช้าเขาจึงขยับเข้าไปเลียน้ำลายนั้นเข้าปากของตนอย่างไม่คิดรังเกียจ นั่นยิ่งทำให้ใบหนาที่แดงอยู่แล้วแดงขึ้นไปอีก


ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่เช่นนั้นไม่ได้ถอยห่าง เพื่อสื่อความรู้สึกของตนให้อีกฝ่ายได้รับรู้ จนเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบ อาการของพวกเขาจึงกลับเป็นปกติ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดคุยก่อน ยาจิที่ปากไม่ตรงกับใจ แต่กล้ากล่าวทุกอย่างออกมาตรงๆเมื่ออยู่ต่อหน้าเอจิ เวลานี้กลับไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกไป และเอจิเองที่นั่งลงบนเก้าอี้ก็มองมายังเขาอย่างไม่ละสายตาไปไหนจึงทำให้รู้สึกกดดันไปทั่งร่าง


“ข้าไปขอโทษท่านพ่อแล้ว” เอจิที่ได้มองท่าทางที่หาดูได้ยากของยาจิเมื่อครู่จนพอใจแล้ว จึงเป็นผู้ที่เปิดปากพูดคุยก่อน


“อืม ดีแล้ว” แม้จะตั้งรับสถานการณ์ไม่ถูก แต่เสียงแผ่วเบานั้นก็ยังตอบออกไป


“ท่านพ่อก็กล่าวขอโทษข้าเช่นเดียวกัน ที่ท่านทำหน้าที่พ่อไม่ดีพอ...และมีข้อเสนอให้ข้าไปเปลี่ยนตัวกับพี่ชายที่เขตชายแดนหากไม่ต้องการเป็นผู้คุมพิเศษอยู่ที่นี่” เขากล่าวต่อเมื่อเห็นว่าอีกคนตั้งใจฟังแล้ว และเฝ้าสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย จากยิ้มดีใจในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินประโยคหลัง


“เจ้าจะไปอย่างนั้นรึ” อาจเพราะอาการบาดเจ็บจึงทำให้อารมณ์ของยาจิอ่อนไหวกว่าปกติ ใบหน้าที่ใครๆต่างก็บอกว่าน่ากลัวกำลังมีน้ำตาคลอดวงตาสีแดงนั้นอย่างไม่อาจห้ามมันไว้ได้


เอจิยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่คลอออกมาน้อยๆอย่างแผ่วเบา แล้วยิ้มออกมาอย่างยินดี...ทำไมกันนะ หากเขาสังเกตมันให้เร็วกว่านี้สักเพียงนิด เขาคงได้เห็นใบหน้าที่หลากหลายของยาจิมากกว่านี้เป็นแน่


“ข้าปฏิเสธไปแล้ว” คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ยาจิเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจอย่างรวดเร็ว
“ทำไม” เขาถามอย่างสงสัยเพราะค้างคาใจ...เขารู้ดีว่าเอจิไม่ต้องการสืบทอดตำแหน่งผู้คุมพิเศษ นั่นทำให้เขาต้องคอยปลอบโยนเอจิเสมอมา จึงอดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้


“ข้าไม่อยากแยกจากเจ้า เพราะเจ้าคงไม่อาจละทิ้งเจตนารมณ์ของตนแล้วตามข้าไปเป็นแน่”  เอจิตอบออกไปตามตรง นั่นจึงทำให้ยาจิขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ


“เจ้าควรทำตามใจต้องการ...ควรเลือกทางที่ตนมีความสุข” แม้จะอยากรั้งอีกคนเอาไว้มากมายเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากเห็นสีหน้าทนทุกข์ของคนที่ตนรักอีกแล้ว แม้ต้องเสียใจในภายหลัง...เขาก็ควรจะปล่อยมือ


“ใจข้าอยู่ที่นี่ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือความสุขของข้า...ข้ารักเจ้ายาจิ ช่วยอยู่เคียงข้างขาตลอดไปได้หรือไม่” คำตอบและคำถามนั้นสื่อมาพร้อมแววตาที่จริงจัง หนักแน่นในการตัดสินใจของตัวเอง จนคนฟังไม่อาจขัดสิ่งได้ได้แต่ยิ้มรับทั้งน้ำตาที่รินไหลอาบแก้มด้วยความยินดี


“ฮึก ฮึก...ทำไมจะไม่ได้เล่า...เจ้าคนโง่...ข้าเองก็รักเจ้ามาตลอด ฮือ” คำสารภาพทั้งน้ำตานั้นล้ำค่าสำหรับพวกเขาทั้งสอง เป็นภาพอันตราตรึงใจที่ไม่มีทางลบมันออกไปได้อย่างแน่นอน


พวกเขาสวมกอดกันเพื่อซึมซับไออุ่น...การเลือกในครั้งนี้ไม่ใช่การฝืนใจ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อความสุขที่มากกว่าต่างหาก หากไม่มีอีกคนอยู่ข้างกาย แม้จะใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเพียงใด...ความสุขอย่างสุดใจเช่นนี้คงไม่อาจมีได้อีก


.


.


.


ปัจจุบัน


“ทำอะไรของเจ้า” ผู้ที่นอนหลับตาพริ้มตื่นขึ้น เพราะรับรู้สัมผัสของมือที่เกลี่ยอยู่บนใบหน้าของตน


“กำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีต ที่ทำให้เจ้าได้รอยแผลนี้” มือหยาบกร้านยังไม่หยุดลูบไล้ ราวกับว่าจะสัมผัสมันให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้


“เสียใจอยู่รึ” คำถามออกจากปากด้วยรอยยิ้ม ดังรู้คำตอบของเอจิอยู่แล้ว


“ดีใจอยู่ต่างหาก” กล่าวจบเอจิก็ละมือจากรอยแผลนั้น แล้วใช้มือพยุงตัวให้ขึ้นไปค่อมบนร่างของอีกคนไว้แทน ทำให้ผ้าห่มที่คลุมกายอยู่ร่วงหล่นจากตัวของพวกเขาไปตกอยู่ด้านข้างแทน เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าของทั้งคู่อย่างเต็มตา


“ในตอนนั้น...จูบแรกของเจ้าช่างน่ารัก และไร้เดียงสา” ดวงตาของทั้งสองจดจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร มันสื่อความต้องการออกมาอย่างชัดเจน


“แล้วตอนนี้เล่า” ยาจิก็ตอบกลับทั้งยังจับจ้องดวงตานั้นอยู่ มันช่างดูเย้ายวนในสายตาของคนที่อยู่ด้านบนเป็นอย่างยิ่ง


“ช่างน่าหลงไหลและเย้ายวน...จนข้ารักมันอย่างไม่อาจถอนตัวได้” กล่าวจบริมฝีปากของทั้งสองก็บดเบียนดันอย่างไม่มีใครยอมใคร ความเร่าร้อนแผ่ขยายออกไปทั่วห้อง เสียงดูดดึงริมฝีปาก และลิ้นร้อนนั้นก็เล็ดรอดออกมาให้ได้ยินอย่างไม่ขาดสาย ต่างคนต่างรุกไล่อย่างไม่ยอมแพ้ราวกับสัตว์ที่เต็มไปด้วยความต้องการ


ลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวกันไปมา แลกเปลี่ยนของเหลวในปากอย่างโหยหา มือหยาบกร้านก็ทำหน้าที่ของมันเป็นอย่างดี ลูบไล้ไปทั่วสะโพกกลมทั้งสองข้าง ร่างกายส่วนล่างก็บดเบียดกันไปมาจนส่วนอ่อนไหวโปร่งพอง มือของคนที่อยู่ด้านล่างก็โอบรอบคอของเอจิดังบอกว่าต้องการมากกว่านี้

...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนพิเศษที่ 1 ร่องรอยของความสุข NC18+ (2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 04-12-2016 19:30:57
...

เอจิละริมฝีปากที่กำลังจูบกันอย่างเร่าร้อน แล้วหันมาขบกัดใบหูที่ขึ้นสีแดงเพราะความซ่านที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แทน


“อื้อ” ร่างนั้นกระตุกเกร็งเมื่อรับรู้ถึงลิ้นร้อน มือที่โอบรอบคอก็เปลี่ยนเป็นจิกลงไปที่เส้นผมของเขาเพื่อระบายความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น


“จุดอ่อนของเจ้ายังอยู่ที่ใบหูไม่เปลี่ยนเลย” ท่าทางตอบรับเมื่อครู่ทำให้เอจิรู้สึกสนุกมากขึ้น จากคนขลาดเขลาและอ่อนโยน แปรเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ชอบกลั่นแกล้งคู่ของตนตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบ ยิ่งรู้ว่าทำเช่นไรยาจิจึงจะเผยความลับของร่างกายนั้นให้ตนได้รับรู้มากขึ้นก็ยิ่งทำ


“อื้อ...พอ อ๊า” ใบหน้านั้นเหยเกด้วยความเสียวซ่าน เพราะถูกกระตุ้นจุดอ่อนไหว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าใบหูของเขาอ่านไหวไม่แพ้กลางกายเลย


“เจ้าลองเสร็จทั้งที่ถูกกระต้นเพียงใบหูดีหรือไม่” คนขี้แกล้งยังคงเย้าแหย่ ขบเม้มใบหูทั้งสองข้างสลับไปมา หากริมฝีปากอยู่ข้างใด อีกข้างก็จะมีมือหนาคอยไล่วนจนรู้สึกดีทั้งสองข้าง


“มะ ไม่...อื้อ เอจิ...อย่าแกล้งข้า” แม้จะเอ่ยปากห้ามแต่คนขี้แกล้งก็ไม่คิดจะฟัง ยังทำอยู่เช่นนั้นดังที่กล่าวเอาไว้ ทั้งขบเม้ม ทั้งไล่เลียจนใบหูเปียกชุ่ม บางครั้งก็กระซิบกระซาบคำลามกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า จนคนที่อยากปฏิเสธไม่อาจทำสิ่งใดได้ ปล่อยให้ร่างกายของตนถูกกระทำเช่นนั้นต่อไป


ผ่านไปไม่นานการกระทำก็สัมฤทธิ์ผล เท้าของยาจิเกร็งจนจิกลงไปกับที่นอน มือก็จิกลงไปบนแผ่นหลังของคนขี้แกล้งอย่างไม่รู้ตัว สะโพกกลมก็ส่ายไปมาอย่างเย้ายวน


“ไมไหวแล้ว เอจิ...อ๊า” น้ำสีขาวขุ่นเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องของพวกเขาทั้งสอง ร่างที่ได้ปลดปล่อยเมื่อครู่ก็คลายอาการเกร็งลง นอนหอบหายใจภายใต้ร่างของคนที่มีขนาดตัวไม่ต่างกันนั้นอย่างจนใจ


“เก่งมาก...เจ้าทำได้จริงๆด้วยยาจิ” เอจิกล่าวพร้อมกับพรมจูบน้ำตาที่คลอเบ้านั้นเบาๆ


“เจ้า!!...เจ้ามันนิสัยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด เอาคนโง่ของข้าคืนมานะ”  ด้วยความอับอายที่ตนปลดปล่อยเพียงเพราะถูกกระตุ้นที่ใบหู ทำให้ยาจิพาลใส่เพื่อปกปิดความอาย


“ข้าก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก...เจ้าไม่รู้เอง” คนโดนกร่นด่ายังคงยิ้มระรื่น มือก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน  ลูบไล้ไปที่บั้นท้ายอันแน่นมือนั้น แท่งร้อนก็บดเบียดกันอย่างเต็มไปด้วยความต้องการ


“จะ...เจ้าจะทำอีกรึ” ยาจิกล่าวอย่างตกใจ  เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาก็มีบทรักกันไปแล้วจึงได้นอนหลับลง แต่กระนั้นคนตรงหน้ากลับยังต้องการมันอีก


“แน่สิ ข้ายังไม่พอหรอก...อีกอย่างเจ้าพึ่งถึงสวรรค์ไปคนเดียวไม่ใช่รึไง หึหึๆคราวนี้ข้าจะกินเจ้าไม่ให้เหลือเลย” มือหยาบบีบนวดสะโพกกลมอย่างเร่าร้อน เป็นการย้ำเตือนว่าตนต้องการทำสิ่งใด


ไม่รอช้าให้ยาจิขัดขืนอีก คนขี้แกล้งจึงก้มลงขบเม้มสร้างร่องรอยที่ลำคอขาวให้เกิดรอยแดงหลายจุด ดังต้องการประทับรอยความเป็นเจ้าของ เพื่อประประกาศให้ใครต่อใครได้รับรู้ว่ายาจิคือคนรักของตน


“คราวนี้ลองเสร็จด้วยการกระตุ้นเพียงตุ่มไตเม็ดเล็กของเจ้าดีหรือไม่” จะอย่างไรคนขี้แกล้งก็ยังเป็นคนขี้แกล้ง เขากล่าวพร้อมไล้นิ้วไปรอบๆตุ่มไตเม็ดเล็กที่ชูชันน่าชิมนั้นดังต้องการยั่วให้คนตรงหน้าไม่พอใจ


“มะไม่เอานะ” ยาจิหน้าแดงขึ้นอีกเมื่อคิดว่าตนต้องถูกกระทำให้อับอายอีกครั้ง  ดังเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมา มันน่าอายเกินไปที่จะต้องเสร็จถึงสองครั้งทั้งที่ยังไม่ถูกสัมผัสกลางกายแม้แต่น้อย


“ทำไมล่ะ” เอจิยังคงหยอกเย้า เขาไล้นิ้วสัมผัสบาดแผลที่ตนเคยทำไว้ในอดีตด้วยความหลงใหล


“คะ...แค่นั้นมันไม่พอหรอก...ข้าอยากให้เจ้าใส่เข้ามา” หากต้องขายหน้าเช่นเมื่อครู่ ยาจิยอมถูกทำมากว่านี้เสียยังดีกว่า เขาจึงยอมเอ่ยปากออกมาเช่นนั้นด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีไปถึงใบหู และลำคอขาว ทั้งยังหันหลบหน้าไปซุกลงกับหมอนที่ตนนอนอยู่อีกด้วย


“อะ อื้อ เจ้าจะทำอะไร หยุดนะเอจิ” หลบหน้าได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องหันกลับมามองเมื่อเขาถูกยกสะโพกขึ้น จนบั้นท้ายด้านหลังลอยเด่นอยู่ต่อหน้าเอจิ


“เจ้าน่ารักเกินไปแล้ว...จะทำให้ข้าหลงไปถึงไหน เพื่อตอบแทนข้าจะบริการให้เต็มที่อย่างที่เจ้าร้องขอเลย” น้ำเสียงที่แหบพร่ากล่าวจบ เขาก็ก้มลงลิ้มลองช่องทางด้านหลังที่บีบรัดดังรอให้เขาเข้าไปในนั้นอย่างเย้ายวน   ลิ้นร้อนค่อยๆโลมเลียช่องทางสีสดแล้วจึงสอดสิ้นเข้าไปด้านใน


“อื้อ อึก  อ๊า”  ลิ้นร้อนให้ความรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มจึงทำให้รู้สึกดีมากกว่านิ้ว  ยาจิจึงได้แต่ทนรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้อับอายเพียงใดก็ตาม เขายกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าที่เหยเกด้วยความเสียวซ่านของตนเอาไว้ เพราะไม่กล้ามองภาพตรงหน้า


ร่างของเขาถูกยกสูงจนหลังไม่แตะพื้นโดยถูกซ้อนไว้ด้วยเข่าทั้งสองข้างของเอจิ  มันสูงจนสะโพกนั้นลอยเด่นอยู่ในระดับสายตา เขามองเห็นกลางกายและช่องทางด้านหลัง  พร้อมทั้งการกระทำทั้งหมดของเอจิอย่างชัดเจน มีบางครั้งที่เขาใช้หางผลักดันคนตรงหน้า  แต่มันก็ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย


“อย่าปิดหน้า  ข้าอยากเห็นสีหน้าของเจ้ายาจิ” เอจิตวัดลิ้นขึ้นก่อนจะกล่าว  เขาทนไม่ได้หากไม่ได้มองใบหน้าของคนรักที่กำลังเหยเกด้วยความเสียวซ่าน


ยาจิได้ยินดังนั้นจึงยอมง่ายๆ  เพราะน้ำเสียงนั้นดูออดอ้อนอย่างเว้าวอน  ก่อนที่จะต้องตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น   ลิ้นที่ตวัดขึ้นถูกย้อมด้วยน้ำสีขาวขุ่น  เขาจดจำมันได้เป็นอย่างดีว่าเป็นน้ำรักของเอจิที่ปล่อยเอาไว้ก่อนหน้านี้   เมื่อเห็นเช่นนั้นยิ่งทำให้ช่องทางด้านหลังกระตุกเกร็ง น้ำสีขาวขุ่นที่อยู่ภายในจึงไหลออกมาจนร่างกายส่วนนั้นของเขาเปรอะเปื้อน


“ของข้าเองก็รสชาติไม่เลวเลย...เพราะเช่นนี้หรือไม่เจ้าจึงชอบลิ้มรสมันนัก” น้ำเสียงออดอ้อนแปรเปลี่ยน เอจิเพียงต้องการกลั่นแกล้งคนรักจึงต้องการให้คนรักได้เห็นภาพเมื่อครู่เท่านั้น เขาจึงจงใจใช้น้ำเสียงออดอ้อนเช่นนั้น


ประโยคเมื่อครู่ทำให้ยาจิหวนคิดถึงการร่วมรักหลายครั้งที่ผ่านมา   ซึ่งบ่อยครั้งที่เขากลืนกินน้ำสีขาวขุ่นของคนรัก จึงอดที่จะรู้สึกอับอายในการกระทำของตนไม่ได้


เอจิขยับเข่าของตนออกมาจากด้านหลังของยาจิ  เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมตอบกลับแล้วยังปิดหน้าของตนด้วยมือทั้งสองข้างอีกครา  มือหยาบกร้านจับที่ข้อพับด้านหลังของเข่าแล้วกดลงเพื่อให้ร่างกายของยาจิอยู่ในตำแหน่งเดิม แล้วจึงขยับยกร่างของตนขึ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะ  จากนั้นก็กระแทกแท่งร้อนของตนเข้าไปในครั้งเดียว


“อ๊า  เจ็บ” ยาจิสะดุ้งด้วยความไม่คาดคิด มือทั้งสองที่ปิดบังใบหน้าถูกละไปจิกลงบนหมอนเพื่อระบายความเจ็บเมื่อครู่แทน


“เอจิ เอจิ มันเจ็บ...อย่าแกล้งข้า” น้ำตาใสไหลอาบแก้ม ทั้งสายตาและน้ำเสียงนั้นก็ร้องขออย่างไม่ปิดบัง  หากใครเห็นคงไม่อาจเชื่อภาพนี้ได้ ปีศาจที่หน้าตาน่ากลัวที่กำลังร้องขอด้วยใบหน้าเคล้าน้ำตา


“ อ่า มองสิยาจิ มองพวกเราที่กำลังเชื่อมต่อกัน”  สายตาที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยความต้องการ พวกเขาสบสายตากันอย่างลึกซึ้ง ยาจิร้องขอให้เอจิหยุดแกล้งแล้วเติมเต็มความปรารถนาให้เขาเสียที เอจิจึงตอบกลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการจนล้นปรี่


ยาจิมองสะโพกที่ถูกยกสูงของตนซึ่งถูกสอดใส่ด้วยแท่งร้อนใหญ่โตของอีกคน ที่มองเห็นได้อย่างถนัดตา  หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น เพราะการร่วมรักครั้งนี้เร่าร้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา


ดังยังไม่พอใจเอจิเริ่มขยับสะโพกของตนอย่างอ้อยอิง ดึงจนแทบจะหลุดออกแล้วใส่กลับไปอย่างช้าๆ


“ข้ายอมแล้วนะเอจิ...ได้โปรดหยุดแกล้งข้าเสียที ขยับเร็วกกว่านี้...ได้โปรด” รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น เมื่อได้เห็นใบหน้าเหยเกและคำร้องขอเคล้าน้ำตาของยาจิ ทั้งครั้งนี้ยาจิยังไม่ได้เบือนใบหน้าเพื่อหลบสายตา แต่มองสบตาของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความออดอ้อนดังที่เขาต้องการ


“ต้องแบบนี้สิเด็กดี”  มือหนาข้างหนึ่งยื่นไปประคองใบหน้านั้น พร้อมก้มลงไปกดจูบตามรอยแผลยาวบนใบหน้าแล้วผละออก


“อ๊ะ อ๊า อ๊ะ ซี๊ด อ่า” เสียงครางหวานแห่งความพึงพอใจดังขึ้นเมื่อสะโพกหนาขยับอย่างเร่าร้อน และรุนแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนช่องทางสีหวานแดงปลั่ง เพราะถูกเสียดสีอย่างรุนแรง


“ซี๊ด อ่า รัดแน่นไปแล้ว” ช่องทางเย้ายวนบีบรัดทุกครั้งที่ถูกกระแทกกระทั้น  เขาพอใจทุกครั้งที่แท่งร้อนนั้นกระแทกระรัวไปที่จุดเสียวซ่านซ้ำๆ  ทำให้รู้สึกดีจนไม่อาจบรรยายได้ รู้เพียงว่าต้องการมากกว่านี้ สายตาจึงจดจ้องไปที่ส่วนเชื่อมต่อด้วยความต้องการ


“มาก...มากกว่านี้  อ๊า ซี๊ด” เห็นยาจิร้องขอ  เอจิก็ไม่รอช้าที่จะตอบรับ  เขาเพิ่มแรงกระแทกกระทั้นให้มากขึ้นไปอีก เขาหลงใหลมัน หลงใหลในใบหน้าที่ไม่เคยเผยให้ใครเห็นนอกจากเขาของยาจิ มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาทำให้ยาจิไม่อาจแยกจากเขาได้  เขาผูกมัดยาจิด้วยหัวใจและร่างกาย ให้ยาจิไม่อาจถึงสวรรค์ได้หากคนที่โอบก่อนร่างกายนี้ไม่ใช่เขา  ฉะนั้นเขาจึงทิ้งร่องรอยของตนไปทั่วร่างกายนั้นทุกซอกทุกมุม


“เป็นของข้า อ่า เจ้าเป็นของข้าเท่านั้น อา ซี๊ด” เอจิโน้มตัวไปกดจูบรอยแผลเป็นตั้งแต่ใบหน้า จนถึงรอยที่เกิดขึ้นบนอกแกร่งของคนที่อยู่ใต้ร่าง แล้วยกตัวขึ้นจูบด้านในของต้นขาไล่ขบเม้มสร้างรอยไปบนเรื่อยๆบนขา ผ่านหัวเข่า จนถึงข้อเท้า จูบลงบนหลังเท้าจนถึงนิ้วเท้าที่จิกเกร็งเพราะความเสียวซ่านอย่างหลงใหลโดยไม่คิดรังเกียจ


“อ๊ะ อ่า   ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว   เอจิๆข้าจะไปแล้ว” ร่างที่ได้รับแรงสัมผัสอันร้อนแรงไม่นานก็ถึงจุดปลดปล่อย ร้องบอกอีกคนอย่างไร้ซึ่งความกระดากอาย


“อ่า...ซี๊ด ไปพร้อมกันยาจิ  ไปพร้อมข้า” สะโพกแกร่งเร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อต้องการปลดปล่อยพร้อมๆกัน เขาโน้มตัวลงไปจูบริมฝีปากที่แดงปลั่งนั้นอย่างร้อนแรงอีกครั้ง มือข้างหนึ่งก็กอบกุมจุดอ่อนไหวกลางกายของอีกคนเพื่อช่วยกระตุ้น  ยาจิถูกกระตุ้น
ทั้งสองทาง ร่างกายจึงบิดเกร็งกว่าปกติ ช่องทางสีหวานจึงตอดรัดแท่งร้อนแน่นขึ้นไปอีก


พวกเขาต่างใช้ร่างกายของตนกระตุ้นซึ่งกันและกัน ไม่นานร่างของทั้งสองก็กระตุกเกร็งพร้อมๆกัน


“อ๊า”


“อ่า ซี๊ดดดด”


น้ำสีขาวขุ่นของยาจิกระเด็นเปรอะเปื้อนจนถึงใบหน้าของตน ส่วนของเอจิไหลทะลักเพราะปะปนกับน้ำรักที่ยังหลงเหลืออยู่ภายใน จนไหลเยิ้มอาบช่องทางสีสวยให้ย้อมไปจนถึงสะโพก


“แฮ่กๆ” เสียงหอบหายใจของพวกเขาคละเคล้ากันอย่างรุนแรงดังพึ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก เหงื่อก็ไหลย้อยไปทั่วตัวดังพึ่งผ่านการอาบน้ำมาหมาดๆ


เอจิจ้องมองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำรักจนเพิ่มความเย้ายวนมากขึ้นไปอีกนั้นอย่างไม่วางตา มันผสมเข้ากับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของอีกคนจนไม่อาจแยกออกได้ ว่าส่วนใดเป็นน้ำตา และส่วนใดเป็นน้ำรักกันแน่


ยาจิก็จ้องมองช่องทางรักของตนที่ยังถูกสอดใส่ไว้ด้วยแท่งร้อนของเอจิอย่างไม่วางตา  ดังต้องการบอกให้อีกคนนำมันออกไปได้แล้ว เอจิจึงค่อยๆถอนแท่งร้อนนั้นออกอย่างช้าๆจนใกล้จะหลุดออกมา


“อ๊า” แต่แล้วก็ใส่มันกลับไปรวดเดียว จนยาจิต้องร้องเสียงหลง  อย่างไม่ทันตั้งตัว


“เพียงเท่านี้ข้ายังไม่พอหรอกยาจิ...ก็เจ้าเล่นยั่วข้าขนาดนี้เลยนี่นา” เขากล่าวทั้งที่ยังจ้องมองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนของยาจิ แม้ยาจิอยากจะเอ่ยปากเถียงเพียงใดแต่ก็ดูเหมือนจะไม่สมารถกล่าวสิ่งใดออกไป เพราะเสียงที่เปล่งออกมาได้มีเพียงเสียงครางกระเส่าที่เต็มไปด้วยความเสียวซ่านเท่านั้น


เสียงครางหวานที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ  และมันคงเป็นเช่นนี้จนถึงเช้า...เพราะความรักที่เต็มไปด้วยความหอมหวานเย้ายวนอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเขาจะสามารถหยุดมันลงง่ายๆได้อย่างไร...




The End

_________________________________________________

สวัสดีค่ะ กลับมาอีกแล้ว
เป็นยังไงกันบ้างคะ การแต่ง NC  ครั้งแรกของเรา  รู้สึกยาวมากไม่รู้ว่าจะเบื่อกันรึเปล่า
ถ้ายังไงลองติชมกันได้นะคะ เราจะได้เก็บข้อคิดเห็นไปปรับปรุงการแต่งครั้งหน้า

ตอนพิเศษที่แต่งครั้งนี้  เพื่อฉลองยอด Favorite ใน Dek-D ที่ถึง 1,000  ตามที่สัญญาเอาไว้ค่ะ
ลองอ่านกันดูนะ  แต่งไปเขินไปบอกเลย  ฮ่าๆๆ

 

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนพิเศษที่ 1 ร่องรอยของความสุขNC18+(04/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: nottto ที่ 08-12-2016 23:13:08
รอตอนต่อไปนะครับบบบ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 20 ผ่านประตู
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 24-12-2016 20:05:07
ตอนที่ 20

ผ่านประตู



“พี่ยังสงสัยอยู่อีกหนึ่งข้อนะแร็กนาร์” รูร์กัสกล่าวขึ้นขัดบรรยากาศเล็กน้อยเมื่อมีข้อสงสัยในใจ แร็กนาร์จึงหยุดชะงักแล้วหันมามองเพื่อรอคำถาม



“เจ้านกน้อยตัวนี้เหตุใดจึงชื่อ ‘โก’ เล่า” คำถามที่หลุดออกจากปากทำในทุกคนได้คิดตาม พวกเขาก็พึ่งคิดขึ้นได้เพราะแร็กนาร์เรียกขึ้นมาเฉยๆอย่างไม่บอกกล่าวก่อน



“ชื่อ โก  มาจากคำว่า โกยาตเลย์ ที่อยู่ในจดหมาย แม่ของเจ้าตัวจ้อยเป็นคนตั้งไว้...มันยาวเกินไป ข้าจึงจะเรียกว่า โก เท่านั้นพอ” แร็กนาร์หันไปจดจ่อกับเจ้านกน้อยโกอีกครั้ง แล้วจึงอธิบายออกมาอย่างราบเรียบให้ทุกคนได้ฟัง พร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่มอบให้โกยาตเลย์ซึ่งมองเขาด้วยสายตาปลาบปลื้ม



แต่มันก็ยิ่งทำให้ทุกเห็นใจเจ้านกตัวจ้อยเพิ่มขึ้นไปอีก นอกจากถูกเข้าใจผิดเรื่องสายพันธุ์แล้วยังถูกย่อชื่อเหลือเพียงคำเดียวสั้นๆอีก...หากมันโตขึ้นแล้วรู้ทีหลัง มันอาจจะเสียใจจนอยากกลับเข้าไปอยู่ในไข่อีกครั้งก็ได้ และนี่เป็นอีกครั้งที่พวกเขาคิดอะไรเหมือนๆกันว่า



โถ่ เจ้านกน้อยที่น่าสงสาร...

.

.

.

อีกด้านหนึ่งของวันนั้นเอง



“ตอนนี้พวกเราอยู่กึ่งกลางระหว่างเขตตะวันตกกับเขตเหนือ เดินอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดที่มีค่ายประจำการตั้งอยู่ เจ้าเลือกได้หรือยังเอลลูญ์ว่าจะไปเขตใดก่อน” ชายผู้มีผมสีแดงกลางศรีษะล้อมรอบด้วยสีทองเอ่ยอย่างใจเย็นเพื่อรอคำตอบ แต่เท้านั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเลยแมแต่น้อย พวกเขาทั้งสามชีวิตเดินทางอย่างเรื่อยเฉื่อย ชมนกชมไม้ข้างทาง ดังว่าการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่มีอันตรายใดรออยู่ก็ว่าได้



“อืม...ข้าว่าพวกเราไปยังเขตตะวันตกก่อนดีกว่า ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นรับวัฒนธรรมของแดนมนุษย์มามากที่สุด ข้าจะได้ค่อยๆปรับตัวด้วย...จะอย่างไรข้าก็ต้องการท่องเที่ยวให้ทั่วทุกดินแดน จะเริ่มที่ใดคงจะเหมือนๆกัน...แต่ถ้าท่านเห็นต่างข้าก็ไม่ขัดข้อง” เอลลูญญ์ชายผู้งดงามตามแบบเชื้อพระวงศ์ด้วยผมสีเงินยาวประบ่า ทั้งใบหน้ายังคมคายได้รูป จนไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็ต้องหลงใหลรีบกล่าวตอบหลังจากครุ่นคิดมาตลอดทาง



“เจ้าแน่ใจแล้วหรือนาฟ เวลานี้ทั้งสองเขตกำลังทำสงครามห้ำหั่นกัน มันไม่อันตรายเกินไปหรือ ข้าว่าเราเลี่ยงไปเขตตะวันออกหรือเขตใต้ก่อนดีกว่า” เสียงคัดค้านดังขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังเดินทางเข้าสู่อันตราย ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนโยนดังน้ำทะเล แม้แต่จิตใจของเรย์เองก็อ่อนโยนตามไปด้วย



“เหอะ เจ้าคิดว่าความขัดแย้งครั้งนี้มันเป็นเพียงเรื่องของสองเขตนี้เท่านั้นรึ การต่อสู้ที่ยืดเยื้อมามากขนาดนี้ ข้าว่าอย่างไรก็มีความเกี่ยวข้องกันของทุกเขต...ไม่มากก็น้อย



ทั้งเวลานี้เองทั้งสองเขตล้วนวุ่นวาย พวกทหารคงทำหน้าที่ได้อย่างไม่เต็มที่เท่าไหร่นัก การที่พวกเราจะปะปนไปกับชาวบ้านซึ่งกำลังเข้าไปหลบในกำแพงป้อมปราการนับว่าเป็นเรื่องง่าย” เขายังคงกล่าวโต้ตอบอย่างเรื่อยเฉื่อยเช่นเดิม แม้ภายนอกเขาจะเป็นดังเช่นคนใจร้อน แต่การวิเคราะห์สิ่งต่างๆกลับเยือกเย็นอย่างเหลือเชื่อ



“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นแผนที่ดี” เรย์กล่าวอย่างจำยอม เมื่อได้ฟังคำกล่าวของนาฟ เขาต้องยอมรับเช่นทุกครั้งเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้นาฟจะใจเย็นกว่าเขาเสมอ



“ถ้าตกลงแล้วเราก็รีบเร่งฝีเท้ากันเถอะ เดี๋ยวจะสายเสียก่อน เราต้องไปเข้าแถวหน้าประตูทางเข้าพร้อมชาวบ้าน” ไม่รอให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ นาฟกล่าวเพียงแค่นั้นแล้วเร่งฝีเท้าทันที เพื่อนร่วมทางทั้งสองจึงรีบเดินตามอย่างรู้หน้าที่ 



ในเวลานี้พวกเขาคลุมห่มกลายด้วยผ้าคลุมสีดำสนิทดังเช่นที่เอลลูญ์เคยสวมใส่ เพียงแต่ยังไม่ได้นำมันขึ้นมาคลุมศีรษะเอาไว้เท่านั้น  แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขบวนชาวบ้านที่ต่อแถวเข้าไปยังประตูหน้าด่านของเขตตะวันตกพวกเขาจึงยกมันขึ้นมาคลุมศีรษะปิดมันลงเสียเกือบครึ่งไปหน้า เพื่อต้องการปิดบังตัวตนของพวกเขา   แม้จะดูน่าสงสัยไปบ้างแต่การหาข้อแก้ตัวนับว่าง่ายกว่าเดินเข้าไปแบบตรงๆ



บนหลังของพวกเขาแบกไว้ซึ่งกระเป๋าสัมภาระทำจากหนังสัตว์ใบใหญ่กว่าตัวของพวกเขาคนละหนึ่งใบ  จึงไม่ต่างจากนักเดินทางธรรมดาๆที่ออกเดินทางท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก



เพียงไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงขบวนชาวบ้านที่ต่อแถวยาวจากด้านหน้าประตูหน้าด่านจนแทบไม่เห็นหัวแถว  พวกเขาไม่ได้มาสายเลยเพียงแต่ชาวบ้านเหล่านี้คงทยอยกันมาตั้งแต่เช้ามืดกระมังจึงคละคลั่งมากมายเช่นนี้



หมู่บ้านที่ตั้งอยู่เขตรอยต่อของเขตตะวันตกและเขตเหนือมีทั้งหมด 5 หมู่บ้าน โดยหมูบ้านเหล่านี้อาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้ข้อตกลงสงบสุขของทั้งสองเขต  พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยกตะวันตกหรือเหนือ เพียงอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนเท่านั้น



ป้อมปราการหน้าด่านของทั้งสองเขตตั้งอยู่ห่างไกลกัน  โดยมีหมู่บ้านเหล่านี้ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างป้อมของทั้งสองเขต และเมื่อเริ่มสงครามขัดแย้งชาวบ้านจึงต้องเลือกฝั่งเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง ย้ายครอบครัวรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้เข้าไปด้านหลังกำแพงป้อมปราการก่อนถึงวันเปิดศึกใหญ่



นาฟเดินนำเอลลูญ์กับเรย์เข้าไปต่อท้ายขบวนที่ต่อแถวยืดยาว  แล้วจึงผายมือให้เรย์อยู่ด้านหน้าสุดเพื่อทำหน้าที่ในการเจรจาเมื่อถึงประตูหน้าด่านอย่างรู้ความ เรย์เพียงส่ายหน้าแต่ไม่ปฏิเสธที่เพื่อนรักของตนโยนภาระนี้มาให้ เขาทำเพียงเดินไปต่อแถวเงียบๆเท่านั้น เอลลูญ์เองก็เดินตามไปอย่างไม่ขัดรอให้พวกเขาจัดการตามสมควรเท่านั้น



ชาวบ้านที่เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์มากมายเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ แต่พวกเขาไม่ได้มาตัวเปล่าบางคนหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่เช่นพวกเขา บางคนมีตะกร้าใบใหญ่ในมือ หรือบางคนมีกระทั่งเกวียนที่บรรทุกข้าวของมากมาย มองเพียงเท่านั้นก็พอคาดเดาได้ว่าหากต้องการเข้าไปด้านหลังกำแพงป้อมปราการต้องมีของบรรณาการให้พวกมันด้วยเป็นแน่ เรย์จึงเริ่มนิ่งเงียบแล้วขบคิดวางแผนสำหรับการผ่านประตูในครั้งนี้



หากคำนึงถึงช่วงเวลาสับสนวุ่นวายเช่นนี้นับว่าพวกทหารของเขตตะวันตกนั้นช่างเห็นแก่ตัวยิ่ง เพียงเพื่อต้องการเสบียงมากมายจากชาวบ้านจึงกดดันให้ชาวบ้านที่ต้องละทิ้งบ้านของตนจำต้องยกพืชพันธุ์และข้าวของเครื่องใช้ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้พวกมันไปจนกว่ามันจะพึงพอใจ จึงจะสามารถผ่านเข้าไปด้านในได้



เพล้ง!!



“ไร้ประโยชน์สิ้นดี ของเพียงเท่านี้คิดว่าจะผ่านเข้าไปได้เช่นนั้นรึ กลับไป!! หากต้องการผ่านเข้าไปจงไปหาของมาใหม่” เสียงอึกกระทึกคึกโครมดังมาจากประตูหน้าด่าน แม้จะอยู่ห่างออกไปไกลแต่เสียงนั้นกลับดังก้องกลบเสียงเจื้อยแจ้วของชาวบ้านไปเสียหมด พาให้ผู้ที่ได้ยินพากันใจหายลุ้นระทึกว่าตนจะถูกไล่เช่นนั้นหรือไม่



สิ้นเสียงขับไล่ก็ได้ยินเสียงด่าทอสาดเสียเทเสียตามมา จากนั้นเพียงไม่นานก็ได้เห็นเจ้าของเสียงที่เดินผ่านพวกเขาไปด้วยสีหน้าฉุนเฉียวระคนท้อแท้ ปากก็ยังพึมพำบางอย่างด้วยความไม่พอใจ



“หนอย ทั้งที่เขตเหนือไม่เรียกร้องสิ่งใดเลยแท้ๆ ใยไอ้พวกเขตตะวันตกใจทรามจึงเรียกร้องมากมายนัก ถ้าลูกของข้าไม่ได้อยู่ในนั้นอย่าหวังเลยว่าข้าจะเข้าไปเหยียบเขตแดนของพวกมัน...รอพ่อก่อนนะลูก” เสียงเดือดดานนั้นแผ่วเบาและเศร้าสร้อยดูน่าเวทนา แต่พวกเขาทั้งสามก็มิได้ใจบุญจนต้องนำปัญหาของคนอื่นมาเป็นภาระให้กับตนเอง จึงได้แต่ปล่อยในเรื่องผ่านตาไปเช่นนั้น



“ท่านลุงครับ การผ่านเข้าไปยังป้อมปราการของทั้งสองเขตแตกต่างกันดังเช่นที่ชายเมื่อครู่กล่าวหรือไม่” เรย์รีบเก็บรายละเอียดสำคัญเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับหน้าที่ของตนโดยการสอบถามชายชราที่นั่งบนเกวียนบรรทุกของซึ่งอยู่ด้านหน้า



“มันเป็นเช่นที่เจ้าได้ยินนั่นแหละเจ้าหนุ่ม ข้าเองถ้าน้องสาวไม่แต่งเข้าไปอยู่ในเขตตะวันตกมีหรือที่จะเข้าไป...อย่างน้อยหากจะต้องตายก็อยากเห็นหน้าครอบครัวอีกสักครั้ง...ปีศาจตนอื่นๆเองก็คงไม่ต่างกับข้ามากนักหรอก” ชายชราตอบด้วยน้ำเสียตัดพ้อต่อโชคชะตา เพราะแม้เข้าไปด้านหลังกำแพงป้อมปราการได้ แต่ถ้าหากเขตตะวันตกพ่ายแพ้ไม่อาจป้องกันประตูหน้าด่านไว้ได้ หมูบ้านที่อยู่ใกล้กำแพงป้อมปราการคงไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้เช่นเดียวกัน



“ขอบคุณนะครับท่านลุง  ขอให้ท่านได้พบน้องสาวดังที่หวังไว้”  เรย์กล่าวของคุณชายชรา และอวยพรเล็กน้อยพอเป็นมารยาทแล้วกลับมายืนนิ่งคิดทบทวนต่อ



“ข้าว่าเราเปลี่ยนเป้าหมายไม่ดีกว่าหรือ”  หลังจากคิดทบทวนอยู่นานเขาจึงหันมาขอความเห็นจากเพื่อนร่วมทางทั้งสอง เพราะดูเหมือนว่าการผ่านประดูหน้าด่านของเขตตะวันตกต้องเสียค่าผ่านทางด้วยของที่มีค่าก่อนเริ่มการท่องเที่ยวเสียด้วยซ้ำ ต่างจากเขตเหนือที่ไม่ต้องเสียสิ่งใดเลย



“ไม่ เราเสียเวลาต่อแถวและเดินทางไปมากแล้ว ข้าไม่ยอมไปเริ่มต้นใหม่แน่ๆ” คนใจร้อนค้านเสียงแข็ง เขาใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยก็จริง แต่สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการรอ ดังนั้นนาฟจึงค้านที่ต้องไปเริ่มต่อแถวเข้าประตูหน้าด่านของเขตเหนือ เพราะเวลานี้สายมากแล้วคาดว่าแถวคงยาวกว่าที่นี่เป็นแน่



“ข้าเห็นด้วยกับท่านเรย์นะครับ เราเสียเวลามามากแล้วการจะเริ่มต้นใหม่มันค่อนข้างเสียเวลา อีกทั้งข้าก็สนใจด้านหลังประตูนั้นไม่น้อย อยากเห็นด้วยตาว่าเขตที่วุ่นวายเช่นนี้ด้านในจะเป็นอย่างไร” สองเสียงที่คัดค้าน ทำให้เรย์ต้องจำยอมพยักหน้าตอบรับ แล้วหันกลับไปคิดแผนการต่ออย่างเงียบๆคนเดียว เรื่องที่เขาหนักใจคงจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเอลลูญ์เพราะมันใสซื่อเกินกว่าที่เขาจะกล่าวปฏิเสธได้ลง



หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปจนดวงอาทิตย์ตั้งตรงศีรษะพวกเขาจึงมาถึงด้านหน้าประตูพอดี เรย์ยืนอยู่หน้าสุด ตามด้วยนาฟและเอลลูญ์ เพื่อทำหน้าที่เจรจาในการผ่านประตูหน้าด่านในครั้งนี้



“พวกเจ้ามีสิ่งใดมา” นายทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าผู้ได้ฟังต่างต้องเกรงกลัวตน 



เรย์นำสิ่งที่ถืออยู่ในมือซึ่งนำออกมาจากกระเป๋าสะพายตั้งแต่เข้าแถวรอเวลาก่อนหน้านี้ยื่นให้กับทหารนายนั้น



มันรับถุงผ้าขนาดเท่าหัวคนไปเปิดดูด้วยท่าทีฉงนสงสัย เพราะปีศาจส่วนใหญ่จะมอบของที่ใหญ่โตมากกว่านี้ จำพวกข้าวปลาอาหาร พืชพันธุ์ต่างๆ รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทำขึ้นเองให้กับพวกมันเป็นจำนวนมากจึงจะสามารถผ่านเข้าไปได้



หลังจากเปิดถุงผ้าใบนั้นสายตามันก็เปลี่ยนไป แววตาทอประกายเจิดจ้า ทั้งรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าอย่างพอใจ



“พวกเจ้าผ่านไปได้” สิ้นสุดคำอนุญาตประตูด้านหน้าก็ค่อยๆเปิดออก พวกเขาจึงผ่อนคลายอาการเกร็งลงไปบ้าง แล้วเดินเข้าไปอย่างสบายใจ



“เดี๋ยว” แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าเมื่อมีเสียงไม่พึงประสงค์ดังขัดขึ้นมา เรย์จึงหันกลับมามอง แล้วย่างเท้ามายืนบังนาฟกับเอลลูญ์เอาไว้ เพื่อออกหน้ารับมือปีศาจแปลกหน้าอีกตน



“นายท่านมีสิ่งใดกับพวกเราหรือขอรับ” ใบหน้าที่ตั้งรับสถานการณ์อย่างแย้มยิ้ม เป็นอาวุธประจำตัวของเรย์ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร มีเพียงน้อยครั้งที่เขาจะแสดงสีหน้าแบบอื่น มันจึงอาจดูน่ากลัว และน่าสงสัยสำหรับคนที่ไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริง



พวกเขาทั้งสามก้มหัวลงดังนอบน้อมต่อปีศาจทั้งหมดตรงหน้า แต่ความจริงเพียงก้มลงหลบซ่อนใบหน้าของตนเท่านั้น พวกนายทหารจึงไม่ได้สงสัยมากมายนัก ออกจะถูกใจเสียด้วยซ้ำที่พวกเขาก้มหัวอย่างนอบน้อมเช่นนี้  เมื่อครู่กริยาเช่นนี้กับของในถุงผ้าใบนั้นจึงทำให้พวกเขาผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ



“เปิดผ้าคลุมออก” แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลกับผู้มาใหม่แม้แต่น้อย และดูจากท่าทางของพวกทหารเมื่อครู่ ผู้มาใหม่คงจะอยู่ตำแหน่งที่สูงกว่าเป็นแน่พวกมันจึงไม่กล้าขัดเช่นนี้



“อย่าเลยขอรับนายท่าน ใบหน้าของพวกเราแสนน่าเกลียดน่ากลัว มีแต่รอยแผลใหม่ หากท่านเห็นข้าเกรงว่าจะทานข้าวไม่ลงเอาได้” น้ำเสียงปฏิเสธอย่างผู้น้อยถ่ายทอดออกไปเพื่ออธิบายให้นายทหารตนนั้นเข้าใจ



“หึ มันจะน่าเกลียดเท่าใดกันเชียว เปิดออกซะ!!” มันไม่สนใจข้อแก้ตัวเมื่อครู่ ทั้งยังส่งเสียงอย่างเย้ยหยันดังรู้ว่าเรย์กำลังโกหกมันอยู่ ใบหน้าก็ดูเย้ยหยันตามน้ำเสียงอย่างผู้มีชัย



เอลลูญ์เห็นท่าไม่ดีจึงหันไปสบตากับนาฟเพื่อขอความเห็น แต่นาฟกลับส่ายหน้าไปมาน้อยๆเพื่อบอกให้เอลลูญ์อยู่เฉยๆรอให้เรย์จัดการ เจ้าตัวจึงยอมอยู่เฉยๆเพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไป



“ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้ท่านได้ดู คิดว่าเท่านี้น่าจะเพียงพอนะขอรับ” กล่าวจบเรย์ก็เปิดผ้าคลุมบริเวณแขนขึ้น เผยให้เห็นแผลที่ไหม้เกรียม ตั้งแต่ปลายนิ้วเรื่อยไปจนถึงส่วนที่ถูกปกปิดอยู่ ไม่รู้ว่ามีมากมายเพียงใด  แขนนั้นมีแผลเหวอะหวะทั้งที่หายแล้วและยังคงมีเลือดไหลซึมอยู่  เนื้อที่ขาดหายไปบางส่วนเผยให้เห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ภายใต้เนื้อหนังอย่างชัดเจน จนไม่อาจเชื่อได้ว่าปีศาจตนนี้ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก



ไม่เพียงเหล่านายทหารที่ตื่นตะลึง แม้แต่เอลลูญ์เองก็ตกตะลึงไปด้วย เพราะที่เขาเห็นล่าสุดเรย์ไม่มีบาดแผลเหล่านั้น แต่กระนั้นเขาก็พยายามรักษาความสงบนิ่ง  แล้วหันไปมองนาฟที่ยืนยิ้มมุมปากน้อยๆอย่างน่าฉงนสงสัย



แม้การกระทำของเอลลูญ์จะเล็กน้อย แต่ดูเหมือนมันจะไม่สามารถหลุดรอดจากสายตาของนายทหารช่างสงสัยนายนั้นไปได้ มันข่มกลั้นความหวั่นกลัวต่อบาดแผลนั้นแล้วละความสนใจไปที่เอลลูญ์แทน มันยังไม่อยากขายหน้าจึงต้องจับผิดพวกเขาให้ได้



“ข้าเปิดให้ท่านดูแล้ว...ยังอยากดูส่วนอีกหรือไม่ บาดแผลเหล่านี้พวกเรามีอยู่ทั่วร่างกายทั้งสามตน” ไม่ว่าเปล่า เรย์ยกมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นขึ้นไปจับผ้าคลุมเตรียมเปิดทันที



“เจ้าไม่ต้อง...ข้าอยากเห็นเจ้านั่นมากกว่า” กล่าวจบมันก็ย่างเท้าอย่างรวดเร็วผ่านเรย์ไป  หมายเข้าไปประชิดตัวของเอลลูญ์แทน



“นายท่าน อย่าเลยขอรับ น้องข้ามีบาดแผลมากกว่าข้าเสียอีก ดูของข้าแทนเถอะขอรับ” เรย์รีบร้องห้ามอย่างเร่งร้อน สมองก็พยายามหาข้อแก้ตัวที่จะสามารถแก้สถานการณ์ขณะนี้ไปได้



แต่มีหรือที่มันจะฟัง ยิ่งได้ฟังเสียงค้านมันยิ่งมั่นใจ เดินอย่างรวดเร็วไปอยู่ตรงหน้าเอลลูญ์ทันที มันยิ้มหมายมาดอย่างผู้มีชัย แล้วยื่นมือเข้าไปคว้าแขนของเอลลูญ์ทันที



“โอ๊ย!!  เจ้า...เจ้าบังอาจทำร้ายข้า”  มันร้องเสียงหลงเมื่อถูกกระแสไฟฟ้าจำนวนหนึ่งแล่นผ่านมือเข้าสู่ร่างกาย หลังจากแตะถูกแขนของเอลลูญ์  เห็นดังนั้นนายทหารตนอื่นๆก็รีบจับอาวุธเตรียมตัวรับสถานการณ์ด้วยสัญชาตญาณที่มีติดตัวมา  แล้วเข้าล้อมพวกเขาทั้งสามเอาไว้



“มิได้ๆขอรับ  น้องข้าหาได้ตั้งใจไม่...ร่างกายของน้องข้าเพียงมีกระแสของสายฟ้าหลงเหลืออยู่เท่านั้น  เพราะในบรรดาพวกเราสามพี่น้อง เขาเป็นตนที่บาดเจ็บหนักที่สุดขอรับ”  เรย์รีบแก้ต่างอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ  เขาต้องรีบจัดการก่อนที่เรื่องจะบานปลายใหญ่โตไปมากกว่านี้



“หมายความว่าอย่างไร  รีบอธิบายมาก่อนที่ข้าจะฆ่าพวกเจ้า” มันหันมาตะหวาดใส่เรย์อย่างโกรธเกรี้ยวทั้งที่ร่างกายยังเจ็บปวดอยู่



“คือเรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่คืนนั้นขอรับ  คืนที่ท้องฟ้าปั่นป่วนเกิดฟ้าผ่ามากมายใกล้ๆเขตชายแดนระหว่างแดนมนุษย์กับแดนปีศาจเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ พวกท่านน่าจะจดจำมันได้” เสียงของเรย์หยุดลงเพื่อเว้นจังหวะและสังเกตดูท่าทีของทหารเหล่านั้น เมื่อเห็นพวกมันพยักหน้าตอบรับจึงได้เริ่มเล่าต่อ



“ในคืนนั้นมีสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมายังจุดที่พวกเรากำลังขุดสมุนไพรอยู่...”



“เจ้าจะบอกว่ารอยไหม้บนร่างกายของเจ้าคือ รอยแผลที่เกิดจากฟ้าผ่าเช่นนั้นรึ” น้ำเสียงที่พาให้ใครๆต้องหลงเชื่อถูกขัดขึ้นด้วยเสียงของนายทหารช่างสงสัยตนเดิม มันถามด้วยความฉงนเพราะไม่เคยพบเจอกับเรื่องเช่นนั้นมาก่อน



“ใช่แล้วขอรับ แม้พวกเราจะรอดพ้นจากความตายมาได้ แต่ก็ต้องแบบรับร่างกายที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ส่วนน้องข้าสาหัสกว่าใคร เพราะร่างกายยังเด็กนัก จึงทำให้มีสายฟ้าจำนวนหนึ่งหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ไม่สามารถขับมันออกไปได้...พวกข้ารู้สึกผิดต่อน้องมากจริงๆที่ไม่อาจช่วยสิ่งใดได้ ทุกครั้งที่แตะต้องจะเกิดเหตุการณ์เช่นที่ท่านเจอเมื่อครู่



ไม่เพียงผู้ที่แตะต้องเท่านั้น เจ้าของร่างกายอย่างน้องข้าเองก็เจ็บปวดเช่นเดียวกัน ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ กระแสของสายฟ้าไหลผ่านทั่วร่างสายแล้วสายเล่าอย่างไม่หยุดนิ่ง เจ็บปวดครวญครางไม่แน่ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเพียงใด



และที่น้องของข้ายังรอดชีวิต คงเพราะการฟื้นฟูพลังอันรวดเร็วของปีศาจเช่นพวกเรา...หาไม่แล้วคงแดดิ้นอยู่ที่นั่นอย่างไม่อาจกลับมาได้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง” น้ำเสียงเศร้าสร้อยที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจนแม้ไม่เห็นสีหน้า พาให้ผู้ได้ฟังต่างใจอ่อนลงด้วยความสงสาร ภาพที่เห็นก่อนหน้านี้กับเรื่องราวที่ได้ฟังมันย้ำเตือนแม้แต่นายทหารช่างสงสัยยังโอนอ่อนตาม



“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าตายไปไม่ดีกว่ารึ ใยเลือกมีชีวิตอยู่ทั้งที่มีร่างกายเช่นนี้” แม้ถ้อยคำจะหยาบกระด้าง แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงที่สั่นเทาไปบางช่วงในขณะที่เล่า มันยิ่งกัดกินหัวใจของเขาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะใจแข็งเพียงใด แต่ก็ไม่อาจด้านทานบรรยากาศ และถ้อยคำของเรย์ไปได้ ช่างสมกับความเชื่อใจของนาฟเป็นอย่างยิ่ง



“ไม่ได้หรอกขอรับ พวกเราทำเช่นนั้นไม่ได้ หลังประตูบานนั้นยังมีแม่ที่แก่ชราของพวกข้าอาศัยอยู่เพียงลำพัง...หากพวกเราจากไปท่านคงตรอมใจเป็นแน่ ข้ายังไม่อยากได้ชื่อว่าเนรคุณบุพการีขอรับ” น้ำเสียงสั่นเทาแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ถูกถ่ายทอดออกไป หากเป็นคนอื่นอาจจะทำเช่นเรย์ได้ยาก เพราะเราสร้างได้ทั้งบรรยากาศรอบด้านที่ทำให้ผู้ฟังอ่อนแอ และน้ำเสียงจูงใจต่างๆที่แสดงออกมาตามสีหน้าของผู้ฟังอย่างถูกจังหวะเพื่อให้คนเหล่านั้นโอนอ่อนตาม จะเรียกมันว่าพรสวรรค์ในการโน้มน้าวใจคนคงไม่มากจนเกินไป



“พวกเจ้าผ่านไปได้ แม่ของเจ้าคงรออยู่นานแล้วรีบไปเสียเถอะ” มันผายมือเชิญมือเชื้อเชิญดังต้องมนต์ต่างจากก่อนหน้านี้มากโข พวกนายทหารที่เหลือก็ลดดาบลง แล้วเปิดทางให้ด้วยเช่นเดียวกัน



“ขอบพระคุณพวกท่านมาก”  เรย์รีบก้มหัวคำนับอย่างซาบซึ้งในพระคุณของพวกมัน นาฟกับเอลลูญ์เองก็ทำตามอย่างรู้หน้าที่เช่นเดียวกัน



พวกเขารีบเดินผ่านประตูไปอย่างรีบเร่งเล็กน้อยเพื่อความสมจริง แต่พอประตูปิดลงจึงค่อยๆผ่อนฝีเท้าแล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านในของประตู



“เรย์ เจ้าให้สิ่งใดแก่พวกมัน” นาฟรีบถามขึ้นทันที เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาค้างคาใจอยากจะถามตั้งแต่อยู่ด้านนอกแล้ว เสียงนั้นดังอยู่ไม่น้อยจึงเรียกความสนใจของเหล่าปีศาจที่เดินอยู่บริเวณนั้นให้หันมามอง



“เราไปหาที่พักก่อนแล้วค่อยคุยกัน รีบไปเถอะพวกมันเริ่มสนใจเราแล้ว” ไม่รอให้ใครตอบรับ เรย์รีบเดินตรงไปตามทางที่ทอดยาวไปด้านหน้าทันที



ด้านหลังกำแพงมีค่ายทหารที่ตั้งรกรากเอาไว้มากมาย แต่กระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อย แบ่งสันปันส่วนอย่างเหมาะสมดูเป็นระเบียบแบบแผนต่างจากที่คิดไว้เป็นอย่างยิ่ง



เดินผ่านค่ายทหารตรงไปไม่ไกลนักก็พบกับหมู่บ้านที่พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นเมืองท่าแห่งการค้าขายที่หรูหราไม่น้อย ต่างจากหมู่บ้านนอกกำแพงอยู่มากโขทีเดียว



พวกเขามองหาที่พักสำหรับนักเดินทางที่ยังคงเปิดทำการอยู่ ไม่ได้ทิ้งหมู่บ้านที่ต้องถูกสงครามกลืนกินอย่างแน่นอนไปเช่นปีศาจตนอื่นๆ ที่พักที่พวกเขาเลือกได้ขนาดไม่ใหญ่มากแต่ครบครันไปด้วยสิ่งที่พวกเขาต้องการ ชั้นล่างเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์เล็กๆที่มีให้ทั้งดื่มและกินได้จนพอใจ



พวกเขาเลือกห้องพักขนาดใหญ่ที่สามารถพักได้ทั้งสามคนในห้องเดียวซึ่งอยู่บนชั้นสองห้องด้านในสุดด้านขวาหากนับจากบันได้ซึ่งอยู่ตรงกลาง ภายในห้องประดับตกแต่งอยากเรียบๆแต่ก็แฝงความหรูหราเอาไว้เล็กน้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็มีให้ตามสมควร ทั้งเตียง ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะสำหรับทานอาหารบนห้องหากต้องการความเป็นส่วนตัว



พวกเขานำกระเป๋าไปวางไว้ที่พื้นข้างเตียง แล้วจึงเดินไปนั่งรวมกันที่โต๊ะอาการซึ่งมีชุดน้ำชาอันหอมกรุ่นวางอยู่ เรย์จัดแจงรินน้ำชาจากกาลงไปในถ้วยแล้วยกไปวางไว้ด้านหน้าของนาฟและเอลลูญ์ แล้วจึงยกถ้วยของตนขึ้นมานั่งจิบอย่างเงียบๆ ทั้งยังมองสำรวจรอบๆห้องอย่างสนใจใคร่รู้



“เขตนี้ซึมซับวัฒนธรรมของแดนมนุษย์มามากทีเดียว หากไปยังเขตเหนือเจ้าคงได้เห็นแดนปีศาจแบบดั่งเดิม...แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พัฒนาเลย เพียงพวกเขานำไปปรับปรุงผสมผสาน ไม่ใช่เพียงเลียนแบบดังเขตนี้เท่านั้นเอง เพราะหากไม่มีสิ่งใดก้าวหน้าเขตตะวันตกคงบุกยึดพื้นที่เขตเหนือได้ไปนานแล้ว” ชาหอมกรุ่นถูกซดจนหมดถ้วยด้วยความกระหาย เพราะพวกเขาเข้าแถวอยู่เป็นเวลานาน แต่กระนั้นเรย์ก็ยังคงรักษาท่าทางสงบเสงี่ยมของตนเอาไว้ได้ แล้วเปรียบเทียบทั้งสองเขตให้เอลลูญ์ฟังเล็กน้อย



ปึก!!



“อย่าเฉไฉเรื่องอื่นเรย์ ตกลงเจ้าให้อะไรพวกมันไป” เสียงถ้วยกระทบโต๊ะดังขัดจังหวะเรย์ที่กำลังจะสนทนากับเอลลูญ์ต่อ ลางสังหรณ์เขาบอกว่าสิ่งที่เรย์ให้พวกมันไปต้องเป็นของสำคัญแน่ๆ



“เงิน” คำตอบที่นาฟคาดเดาเอาไว้ถูกต้อง จนพาให้คิ้วกระตุกอย่างไม่พอใจ



“เจ้าบ้า!! เจ้าให้พวกมันไปมากมายเพียงใด มันจึงยอมให้เราผ่านเข้ามาได้ง่ายๆเช่นนั้น เงินนั่นเป็นทุนในการเดินทางเจ้าเองก็รู้” เสียงกัดฟันเพื่อข่มกั้นอารมณ์ของนาฟดังเล็ดรอดออกมาจากปากให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่คนฟังดูเหมือนจะชินชาจนเมินเฉยไม่สนใจเสียแล้ว



“หน่าๆ ตอนกลับออกไปรับรองว่ามันต้องเพิ่มเป็นสองเท่า อย่าโกรธไปเลย” เขาวางมือลงไปบนไหล่ของนาฟที่นั่งอยู่ใกล้ๆแล้วเขย่าเบาๆเพื่อปรามให้อีกฝ่ายใจเย็นลง



“เจ้านี่มัน คิดจะทำสิ่งใดกันแน่” นาฟยังคงเสียงแข็ง แม้จะใจเย็นลงบ้างแล้ว แต่ก็ถูกความสงสัยและความไม่น่าไว้วางใจเข้ามาแทนที กลัวเหลือเกินว่าเพื่อนรักของตนจะเล่นจนกลายเป็นเรื่องใหญ่



“หึหึ ก็แค่แผนการน่าสนุกเล็กๆน้อยๆเท่านั้น...เจ้าอย่าใส่ใจเลย” คนหนึ่งสงสัย คนหนึ่งปากแข็งไม่ยอมบอก ตอนนี้จึงเกิดสงครามประสาทเล็กๆขึ้น นาฟมองหน้าเรย์อย่างคาดคั้น ส่วนเรย์ยังคงยิ้มจนตาแทบจะปิดเข้าหากันอย่างไม่ยี่ระ คนที่นั่งเงียบๆอยู่นานจึงเปิดปากพูดขึ้น



“พวกท่าน...เป็นใครกันแน่” ความสงสัยมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวของเขาตั้งแต่อยู่หน้าประตูทางเข้าเขตตะวันตก เขาจึงอดกลั้นที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า



‘พวกเขาทั้งสองเป็นใครกันแน่!!’

 

 

To Be Continued...

__________________________________________________________



สวัสดีค่ะ กลับมาแล้ว หายไปนานเลยรอบนี้(ฮ่าๆ)

จากที่แจ้งในเพจไปไม่นานมานี้ ที่ว่าไม่รู้ว่าโน๊ตบุ๊คพัง หรือเน็ตหอตาย

สรุปแล้วเน่าทั้งสองค่ะ เหอๆ กว่าจะกลับมาใช้ได้ก็นานโขอย่างที่เห็น

ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ เราก็หมดปัญญาที่จะหาเวลาไปร้านเน็ต(เพราะไม่รู้อยู่ตรงไหน)

เพราะต้องทำงานตลอดเลย วันหยุดช่วงนี้ก็ต้องไปเรียน

พอเกิดเรื่องแบบนี้ก็เลยทำได้แค่รอเพื่อนว่างมาซ่อมโน๊ตบุ๊คให้

แล้วก็รอให้ทางเจ้าของซ่อมเน็ตของหอพักเท่านั้น



ตอนต่อไปจะเป็นตอนพิเศษนะคะ แม้ไม่มี NC เหมือนคราวก่อน

แต่จะลองแต่งแบบฮาๆดู ซึ่งไม่รู้จะรอดหรือจะล่วง(ฮ่า)

รอติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะคะ รอบนี้น่าจะไม่เกิน 3 วัน

(เราจะพยายามตั้งใจพิมพ์ค่ะ จะไม่วอกแวกไปอ่านนิยาย ฮ่าๆ)

แล้วเจอกันนะคะ



พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 20 ผ่านประตู (24/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 25-12-2016 08:42:15
รอค่าาาา
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 20 ผ่านประตู (24/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-12-2016 10:29:41
สนุกมากกก เรื่องแปลก น่าสนใจ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
พอเจอชื่อแร็กนาร์ นึกไปถึงแร็กนาร์ ร้อคกาย
มีเบี้ยกโกะ นึกถึงนารูโตะ นินจา และฮันเตอร์
แร้กน่ามีพลังน้ำเหรอถึงเรียกน้ำออกมาได้ ทั้งที่เป็นลูกครึ่ง
แต่คิดว่าแร็กนาร์ ยังมีพลังอื่นๆอีก
เรื่องมหัศจรรย์เยอะมาก ยังมีเผ่ามังกรอีก
ไรท์ สุดยอดเลย   :mew1: :mew1: :mew1:
•.★*... ...*★.•
ขอแก้คำผิดนะ
วิหก ----- วิหค
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 20 ผ่านประตู (24/12/2016)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 25-12-2016 11:47:13
 o13 o13 o13  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 21 เชื่อใจ
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 19-01-2017 12:47:33

ตอนที่ 21
เชื่อใจ


ความสงสัยที่อยู่ภายในใจแปรเปลี่ยนเป็นความไม่ไว้ใจ หวาดระแวง และอึดอัด การเดินทางในครั้งนี้สำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง  มันเป็นสิ่งที่กำหนดการตัดสินใจในอนาคตที่เขาต้องเลือก แต่หากเพียงเริ่มต้นเขากลับต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เพื่อนร่วมทางที่เขาเลือกด้วยสัญชาตญาณของตนเองกลับเป็นคนที่ตลบตะแลงแกล้งทำสิ่งต่างๆได้อย่างแนบเนียนถึงเพียงนี้ ความประทับใจในคราแรกเริ่มสั่นไหวอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้



ในครั้งแรกที่ได้พบลูกครึ่งทั้งสองสัญชาตญาณบอกว่าพวกเขาเชื่อใจได้ แต่เหตุใดเล่าความรู้สึกนั้นกลับไม่หนักแน่นพอ  ลังเลเพียงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้  การกระทำของเรย์ที่ทำเพื่อให้เขารอดพ้นจากทหารหน้าประตูทางเข้ามันแนบเนียนเสียจนเขาหวั่นกลัวในใจ กลัวเหลือเกินว่าทุกสิ่งที่เขาได้รับก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกลวง ทั้งยังบาดแผลที่เขาได้เห็นมันไม่มีทางที่จะมีอยู่จริง



พวกเขาทำสิ่งใดได้บ้าง...พวกเขาต่างจากลูกครึ่งที่เขาเคยพบเจออย่างไร หรือบางทีพวกเขาอาจจะไม่ใช่ลูกครึ่งเสียด้วยซ้ำ  ภาพที่เห็นอยู่อาจจะไม่ใช่ความจริง ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาใช้เล่ห์กลใดจึงทำให้เขามองเห็นเป็นเช่นนั้นได้ มันเป็นดังว่าพวกเขาสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่างดังใจต้องการ ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม



“หึหึ ฮ่าๆๆๆ ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว สีหน้าอะไรของเจ้าเอลลูญ์ บิดเบี้ยวสิ้นดี ฮ่าๆ เรย์  เจ้าก็คิดเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่เรย์  ฮ่าๆ” นาฟระเบิดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และเมื่อมองไปข้างๆก็พบเรย์ที่พยายามกลั้นหัวเราะจนตัวงอ การกระทำขัดบรรยากาศพาให้เอลลูญ์ยิ่งมีสีหน้าบิดเบี้ยวดังไม่รู้ว่าตนควรแสดงสีหน้าอย่างไรดี เพราะความลังเลเมื่อครู่กลับกลายเป็นความน่าฉงนสงสัย เมื่อได้มองได้มองสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มดังสนุกสนานของลูกครึ่งทั้งสองยิ่งไม่เข้าใจ



เอลลูญ์จดจ้องใบหน้าของทั้งสองสลับไปมาด้วยสีหน้าจริงจังดังว่าต้องการคำอธิบาย ทำให้นาฟค่อยๆลดเสียงหัวเราะลง แต่กระนั้นก็ไม่ได้หยุดลงในทันที



“อ่า ข้าจะบอกความจริงเจ้าเอง เลิกทำสีหน้าบิดเบี้ยวเช่นนั้นเสียเถอะ” สีหน้าของเอลลูญ์บ่งบอกหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก ทั้งสงสัย ตกใจ เสียใจ และผิดหวัง มันผสมปนเปกันเสียยุ่งเหยิงไปหมด ดังด้ายที่ไม่อาจแก้ปมได้เมื่อเริ่มพันกัน จึงไม่อาจบรรยายสีหน้าเขาได้นอกจากคำว่าบิดเบี้ยว



สีหน้าที่เกิดขึ้นช่างไม่เข้ากับใบหน้าที่งดงามแม้แต่น้อย ทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกตลกขบขันดังที่เกิดขึ้นกับเรย์และนาฟ เรย์ที่พอใจแล้วจึงได้กล่าวบอกให้เอลลูญ์เลิกแสดงสีหน้าเช่นนั้น



“ไม่ ข้าต้องฟังก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วข้าก็ไม่อาจคลายความรู้สึกเหล่านี้ไปได้” เอลลูญ์ปฏิเสธดังเด็กน้อยที่ยังควบคุมควบอารมณ์ของตนเองไม่ได้ นั่นยิ่งทำให้เรย์เพิ่มความเอ็นดูเด็กหนุ่มมากขึ้น   ในครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกัน เอลลูญ์มีท่าทีแข็งกระด้าง ดังว่าบังคับให้ตนเป็นผู้ใหญ่เกินอายุจริง  มันบดบังตัวจริงของเขาไปเสียหมดจนรู้สึกน่าเสียดาย



แต่เมื่อเริ่มพูดคุยและได้เดินทางด้วยกัน ทั้งยังเหตุการณ์เมื่อครู่พร้อมคำตอบที่แสนซื่อตรง ทำให้เรย์กับนาฟตระหนักได้ชัดเจนว่า เด็กหนุ่มตรงหน้ามีอายุเพียง 14 ปี เท่านั้น มันคงเทียบได้กับเด็กน้อยคนหนึ่งเมื่อคิดถึงอายุของเขาทั้งสอง



ความต้องการกลั่นแกล้งเด็กน้อยให้ต้องเผยนิสัยจริงๆที่พวกเขาเริ่มต้นอย่างลับๆจึงยิ่งเริ่มสนุกมากขึ้นไปอีก



“อ่า เริ่มจากตรงไหนดีนะ” เรย์พึมพำอย่างขบคิด พร้อมเอียงคอน้อยๆอย่างนุ่มนวล  แม้จะไม่เข้ากับอายุของเขา แต่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์กลับไม่ได้ติดขัดกับมันแม้แต่น้อย มันจึงเป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้ผู้ได้มองต้องรู้สึกหลงใหลอย่างห้ามไม่ได้ เรย์กับนาฟอายุ 27 ปีแล้ว นั่นจึงทำให้พวกเขามองว่าเอลลูญ์เป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้น



“เรื่องที่ท่านโกหกอย่างชำนาญนั่นเสียก่อนเป็นอย่างไร” เสียงออกความเห็นอย่างเร่งร้อนออกจากปากเอลลูญ์ ดังว่ารอให้ถ่วงเวลาไปมากกว่านี้ไม่ไดแล้ว แม้เขาพยายามอดทนเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ใจเย็นเกินเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่อาจใจเย็นลงไปมากกว่านี้ได้ เมื่อเป็นเรื่องของลูกครึ่งทั้งสอง



ความอ่อนโยนที่ได้สัมผัสตลอดการเดินทาง ค่อยๆทำให้กำแพงนั้นหลอมละลาย เขาจึงรู้สึกแย่เช่นนี้ หากเป็นผู้อื่นเขาอาจจะทำเพียงสังหาร แล้วเปลี่ยนเพื่อนร่วมทางใหม่เสียก็ได้ แต่เขากลับทำเช่นนั้นกลับลูกครึ่งทั้งสองไม่ได้



นานเท่าใดกันที่เขาต้องปิดบังความต้องการต่างๆเอาไว้ แล้วเชื่อฟังผู้ที่ให้ชีวิตใหม่แก่เขา แม้การเดินทางในครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาตัดสินใจด้วยตนเอง จนถึงขั้นต้องขัดคำสั่งของคนผู้นั้น  เพียงเพราะต้องการพิสูจน์คำพูดของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยพบเมื่อนานมาแล้วเท่านั้น...เขาอยากสะสางเรื่องค้างคาใจทั้งหมดนั้นด้วยตัวของเขาเอง



และทั้งเรย์กับนาฟให้ความรู้สึกบางอย่างคล้ายผู้หญิงคนนั้น ทั้งความใจดี ทั้งความเอาใจใส่ที่มอบให้  จึงทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นที่สุดหากทุกอย่างเป็นเพียงการโกหก  ในส่วนลึกของเราเองจึงยังคงรอคำแก้ตัวจากพวกเขา  หากมันน่าเชื่อถือ  เขาจะไม่ลังเลที่จะเชื่อเลย...แย่แล้ว เขาผิดพลาดตั้งแต่เริ่มเสียแล้ว  เหตุใดเขาจึงใจอ่อนเช่นนี้



“ตกลง...จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทำให้ข้าแปลกใจมากนักว่าเจ้าจะสงสัยข้า เป็นใครก็คงไม่อาจไว้วางใจคนเช่นนี้ได้ แต่ถือว่าข้าขอเถอะนะ อย่าเรียกมันว่าการโกหกเลย เรียกมันว่า การพูดโน้มน้าวศัตรูจะดีกว่า เพราะข้าใช้มันเพียงแค่กับศัตรูเท่านั้น ไม่มีทางที่ข้าจะใช้กับสหายหรือพวกเดียวกันเด็ดขาด



ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าเชื่อ แต่ข้าขอโอกาสได้หรือไม่ โอกาสที่เจ้าจะได้เห็นมันด้วยตา และสัมผัสด้วยความรู้สึกของเจ้าเอง อย่าตัดสินมันเพียงเพราะเห็นการกระทำของข้าเพียงแค่ครั้งเดียวเลย การกระทำบางอย่างมันซับซ้อน และมีเหตุผลในตัวเองทั้งนั้น



ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเราใช้เวลาเตรียมตัวและเดินทางมายังที่แห่งนี้ แม้มันจะเพียงระยะเวลาสั้นๆ ข้าก็ผูกพันกำเจ้าเช่นพี่น้องคนหนึ่ง...ข้าไม่ได้ร้องขอให้เจ้าเป็นตัวแทน แต่ข้าอยากให้เจ้ารับรู้เอาไว้ว่าเมื่อก่อนพวกเรามีน้องชายต่างสายเลือดอยู่คนหนึ่ง เขาคล้ายกับเจ้า เขาพยายามเข้มแข็งแม้สูญเสียสิ่งสำคัญ ทำตนโตเกินไวเพื่อปกปิดความอ้างว้างของตนเอง แต่ตอนนั้นพวกข้าไม่อาจทำสิ่งใดได้ ตอนนี้พวกข้าจึงอยากช่วยเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปของเจ้าบ้าง



อาจจะเป็นการทดแทนที่ไม่อาจทำมันได้ในตอนนั้นก็เป็นได้ เพราะพวกเราจากกันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เองก็คงอายุไม่ต่างจากเจ้ามากนัก เช่นนั้นแล้วข้าขอร้อง อย่าได้ตัดสินพวกข้าเพียงแค่เหตุการณ์นั้น อย่าได้หันหลังแล้วเดินจากพวกข้าไปเลย ถือเสียว่าเมตตาข้าก็ได้ แต่ช่วยรับข้อเสนอของข้าได้หรือไม่” เรย์กล่าวที่สิ่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งการเสแสร้งแกล้งทำดังเช่นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ทางเข้าป้อมปราการ เอลลูญ์ไม่เข้าใจมากนัก แต่เขากลับเชื่อว่าเรื่องเหล่านั้นไม่ใช่คำโกหกหลอกลวง  นั่นทำให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวค่อยๆกลับมามีชีวิตชีวา เขาสัมผัสมันได้ เรย์ไม่ได้พยายามใช้น้ำเสียงหรือบรรยากาศให้เป็นประโยชน์ดังที่เคยแสดงให้เหล่าทหารยามได้เห็น



จะบอกใครได้อย่างไรว่าเขาเชื่อใจคนที่พึ่งเจอกันเพียง 1 สัปดาห์ได้มากมายถึงเพียงนี้...มันมากกว่าความรู้สึกที่เขามอบให้ครอบครัวของเขาเสียอีก ความรู้สึกดีใจที่ตนถูกมองว่าเป็นน้องชายยิ่งชุ่มฉ่ำหัวใจและอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด ความอบอุ่นที่เขาเคยสัมผัสมันเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต เขากำลังได้รับมันอีกครั้ง แม้จะน่ากลัวหากถูกหลอก แต่มันน่าเสียดายยิ่งกว่าหากเขาปฏิเสธความอบอุ่นเหล่านี้...



“ข้าจะรับข้อเสนอของท่าน” แม้น้ำเสียงนั้นจะแผ่วเบา แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว  เขาไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าตนจะได้รับการเติมเต็มความรู้สึกเหล่านี้จากเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ เพราะเช่นนั้นแล้ว ปีศาจตนอื่นเป็นเช่นไร แดนปีศาจเป็นอย่างไร เขาต้องพิสูจน์มันด้วยตาของตนเอง



“หึหึ แบบนี้จึงสมเป็นเจ้านะเอลลูญ์...หากตัดสินใจสิ่งใดไปแล้ว ก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ด้วย อย่าเชื่อใจพวกข้า แต่ก็จงอย่าปิดกั้นสัญชาตญาณของตนเอง เป็นเช่นนั้นน่ะดีแล้ว” นาฟกล่าวขึ้นหลังจากนั่งมองพวกเขาทั้งสองอยู่นาน ความเอ็นดูที่ไม่ปกปิดถ่ายทอดมาทางดวงตา ยิ่งพาหัวใจของเอลลูญ์พองโตมากขึ้นไปอีก



“ข้าเข้าใจแล้ว...ข้าจะไม่เชื่อใจพวกท่าน แต่ข้าจะมองพวกมันด้วยตาของตนเอง” มือหนาของนาฟยื่นไปลูบผมสีเงินนั้นอย่างเบามือพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น ตอบรับรอยยิ้มกว้างที่ยากจะได้เห็นของเอลลูญ์อย่างยินดี



ในเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาร่วมกันวางแผนทบทวนเส้นทางต่างๆ โดยมีนาฟเป็นผู้อธิบายเส้นทางต่างๆเพื่อให้เอลลูญ์ได้เลือกสถานที่ที่ตนต้องการไป ด้วยประสบการณ์ 8 ปี ที่นาฟกับเรย์ยืนหยัดอยู่ในหมู่บ้านร้าง ทำให้เขาต้องดิ้นรน แล้วได้เดินทางไปยังที่ต่างๆในแดนพยัคฆ์  แม้ไม่เคยไปเยือนแดนอื่น แต่เขาก็รับปากว่าจะเดินทางไปดินแดนอื่นๆพร้อมกับเอลลูญ์ด้วย



ส่วนเรย์จัดเตรียมกระเป๋า และสัมภาระที่จำเป็น ในระหว่างนั้นก็ดูแลเอลลูญ์ที่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตของสามัญชนได้เป็นอย่างดี อย่างที่นาฟได้บอกไป เรย์ก็รู้สึกเช่นนั้นไม่ต่างกัน ภาพของเอลลูญ์ซ้อนทับภาพของรูร์กัส เด็กน้อยที่เขาไม่ได้พบมานานมากแล้ว  ในช่วงที่ริเรน่าจากไปกับปีศาจทำให้เขาได้เห็นภาพของเด็กน้อยที่พยายามเข้มแข็ง นั่นทำให้เขารู้ว่าความอ้างว้างเจ็บปวดเพียงใด เขาจึงอยากมี่จะเยียวยาส่วนที่ขาดหายไปของเอลลูญ์แม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้ร้องขอก็ตาม



ความรู้สึกและการกระทำเหล่านั้นส่งผลถึงเอลลูญ์มากกว่าที่เรย์คิด เพราะความหวาดระแวงที่ต้องมีอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กทำให้เขากลายเป็นคนช่างสั่งเกต เขาจึงสัมผัสความรู้สึกที่ส่งผ่านมาโดยไร้คำพูดเหล่านั้นได้มากกว่าที่ควร ความเอาใจใส่ ความห่วงใจ การดุ การสอน ที่ไม่ใช่การบังคับค่อยๆหล่อเลี้ยงหัวใจที่หนังอึ้งนั้นอย่างช้าๆแต่มีประสิทธภาพ



เรย์ปรึกษาเรื่องของเอลลูญ์กับนาฟ นาฟจึงเสนอหัวข้อของการกลั่นแกล้งเอลลูญ์มาให้ หลังจากที่ตนได้ทดลองกระทำมาบ้างแล้ว มันแจ้งชัดว่าเอลลูญ์ปกปิดนิสัยจริงๆของตน พวกเขาจึงยิ่งพยายามทำให้เอลลูญ์เผยมันออกมา มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ



“หึหึ ข้าดีใจที่เจ้าคิดได้เช่นนั้น...เพื่อเป็นรางวัลข้าจะเผยความลับของพวกเราให้เจ้าได้เห็น” เรย์กล่าวขึ้นหลังจากที่นาฟดึงมือกลับมาวางไว้ที่ถ้วยชา พอได้ฟังนาฟเองก็พยักหน้าเบาๆเพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าตนเห็นด้วย



“ความลับ?” ความว่าความลับดึงความสนใจของเอลลูญ์ไปเสียหมด ความดีใจเมื่อครู่จึงถูกสลัดทิ้งแต่ก็ยังเกาะกุมหัวใจ เขาจึงแสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็นดังเด็กน้อยอย่างไม่ปกปิดสิ่งใด



“จะกล่าวว่าความลับของพวกเราคงไม่ถูกต้องนัก แต่ถ้าบอกว่าความลับของเหล่าลูกครึ่งคงจะถูกต้องกว่า แม้ลูกครึ่งส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกถึงมันเลยก็ตาม” น้ำเสียงถูกลดให้เบาลง เพราะเกรงว่าปีศาจด้านนอกอาจจะได้ยินเข้า ความลับนี้มันเกี่ยวพันกับทุกฝ่าย หากมีใครรู้เข้ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่จนถึงขั้นพลิกหน้าประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ และนอกจากนี้มันอาจทำให้เหล่าลูกครึ่งเดือดร้อนมากกว่านี้ก็เป็นได้


...(ต่อ)
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 21 เชื่อใจ(2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 19-01-2017 12:48:57
...

“ท่านหมายถึง...พลังใช่หรือไม่” เรื่องที่เข้ามาในหัวของเอลลูญ์เรื่องแรกคือเรื่องนี้ เขาจึงถามมันออกไปตรงๆ



“ใช่ ก่อนอื่นข้าจะแสดงมันให้เจ้าได้เห็นอีกครั้ง” กล่าวจบ เรย์ก็วางมือซ้ายไว้กลางโต๊ะ เพื่อให้เอลลูญญ์ได้เห็นได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็วางมือข้างขวาทาบทับไปบนมือซ้ายให้มีความห่างเล็กน้อย เพียงชั่วครู่พลังที่ไม่คุ้นเคยก็เกิดขึ้น มันมีองค์ประกอบของไอน้ำแผ่ซ่านออกมาเล็กน้อยพอให้รู้สึกตัวหากอยู่ใกล้ๆ



ห้องนี้มีเพียงพวกเขาทำให้ทั้งสาม จึงสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านออกมาได้อย่างชัดเจน แต่หากอยู่ในที่กว้าง หรือผู้คนพลุกพล่าน การจะสัมผัสถึงมันคงทำได้อย่างยากลำบาก ดังเช่นก่อนหน้านี้จึงไม่มีใครเลยที่สัมผัส หรือรู้สึกตัวถึงมันได้ และเมื่อเรย์ยกมือข้างขวาออก แผลพุพองอันน่าสยดสยองก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เพียงชั่วครู่ก็เลือนหายไป



“ท่านทำได้...อย่างไร” เสียงแผ่วเบาของเอลลูญ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ความรู้สึกชุ่มฉ่ำน้อยๆที่เกิดขึ้นจากไอน้ำ และความอึดอัดจากการบีบรัดของอากาศมันไม่สามารถอธิบายสิ่งใดได้เลย



“เจ้ารู้จักปรากฏการณ์มิราจรึเปล่า...มันคล้ายอย่างนั้น ภาพลวงตาที่เกิดจากความร้อนของไอน้ำที่ถูกบีบอัดจากอากาศซึ่งมีอุณหภูมิต่างกัน ปกติมันจะสร้างภาพลวงตาอย่างเช่นอย่างเช่นมีภาพน้ำเกิดขึ้น หรือสะท้อนภาพสิ่งของให้กลับหัว แต่สำหรับพลังของนี้มันสะท้อนภาพภายในจิตใจของข้าออกไปเท่านั้นเอง” เรย์ค่อยๆอธิบายเปรียบเทียบอย่างไม่รีบร้อน หลังจากที่เอลลูญ์พยักหน้าเบาๆเพื่อตอบคำถามในตอนแรก แต่กระนั้นในหัวของเอลลูญ์เก็บเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจจากความพิลึกกึกกือจากเรื่องที่เขาได้ฟัง พลังที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน มันช่างต่างจากพลังธาตุ กับพลังแฝง แม้ใกล้เคียงกัน แต่การประยุกต์ใช้ของพลังธาตุสร้างสิ่งละเอียดอ่อนเช่นนี้ไม่ได้



“สุดยอด” การทำใจรับเลือกแปลกใหม่ไม่ได้ยากเลยสำหรับเด็กอย่างเอลลูญ์ เขายอมรับมันอย่างง่ายดาย เมื่อตระหนักถึงความจริงที่อยู่ตรงหน้า และด้วยความจริงที่ว่า พวกเขาไม่ใช่ทั้งมนุษย์และปีศาจ



“มันไม่ได้ยอดเยี่ยมเช่นนั้น เพราะพลังของพวกเราละเอียดอ่อน มันจึงสัมผัสได้อย่างบางเบา จนยากที่ใครจะสัมผัสถึงมัน และถึงแม้จะสัมผัสถึง ก็ยากที่จะดึงมันออกมาใช้ พี่น้องของเราไม่มีใครสามารถทำมันได้เลย แม้ข้าจะไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่ทำได้ แต่ที่ข้ามั่นใจคือ มันต้องมีน้อยมากแน่ๆ



และสิ่งที่จะใช้กระตุ้นมันก็คือความรู้ แต่พวกเราไร้ซึ่งโอกาสเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะรู้วิธีใช้ พวกข้าเองสัมผัสถึงพลังได้แต่ก็ไร้ซึ่งความรู้ในการใช้ หากไม่ได้อ่านหนังสือจากท่านอาจารย์ พลังที่เจ้าเห็นเมื่อครู่คงไม่อาจเกิดขึ้นได้



ครั้งแรกที่ข้าได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับปรากฏการณ์มิราจ ดังว่าพลังที่ข้าสัมผัสได้ในร่างกายมันถูกกระตุ้น ข้าฉุกใจคิดจึงได้ทดลองใช้มัน แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ในทันที กว่าจะเป็นรูปร่างได้ขนาดนี้ ข้าลองผิดลองถูกมากมายทีเดียว ต้องหาความรู้ ต้องฝึกฝน เป็นเวลากว่า 2 ปี มันจึงสำเร็จดังที่หวังเอาไว้” เรย์เล่าเรื่องราวจุดเริ่มต้นให้เอลลูญ์ได้ฟัง พลังที่ไม่อาจรู้ได้ว่า ได้รับเพราะโชค  หรือความบังเอิญ หรืออาจเพราะโชคชะตาเล่นตลกบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็คว้ามันเอาไว้ด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี



“เช่นนั้นแล้ว อาจจะไม่มีอีกแล้วก็เป็นได้ใช่หรือไม่ ลูกครึ่งที่ทำได้เช่นพวกท่าน เพราะที่แดนมนุษย์เอง  ลูกครึ่งมีฐานะเป็นทาสตั้งแต่เกิด...ถูกตัดสิทธ์ในการเข้าถึงความรู้ตั้งแต่ต้น...แต่พวกท่านเถอะ แน่ใจหรือที่เล่าให้ข้าฟังถึงความลับที่สำคัญขนาดนี้” ยิ่งได้ฟัง ยิ่งรู้สึกได้ว่าหน้าประวัติศาสตร์กำลังจะถูกพลิกครั้งยิ่งใหญ่  หากแม้ว่ามันจะมีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิดก็ตาม   แม้ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะเป็นไปในทางที่ดี  หรือในทางที่เลวร้าย มันก็ช่างเป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดอยู่ดี



พลังที่ละเอียดอ่อน  แตกต่าง และแปลกแยก  ดังเผ่าพันธุ์ของพวกเขา ทั้งมันยังสามารถประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ และอาจจะใช้ได้อย่างไม่จำกัดอีก   หากเรื่องราวเหล่านี้แพร่งพรายออกไปคงมีการเปลี่ยนแปลงทั่วทุกแห่งบนโลกจนเกิดความโกลาหลเป็นแน่



“อย่าวิตกไปเลย  ใช่ว่าอยากใช้แล้วจะใช้ได้เลยดังพลังของพวกเจ้าเสียหน่อย...ถึงข้าจะอยากให้มันเป็นแบบนั้นก็ตาม”  นาฟสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเอลลูญ์ จึงกล่าวออกไปให้เด็กหนุ่มได้สบายใจ



แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าเอลลูญ์คิดสิ่งใดอยู่ แต่หาคาดเดาจากฐานะราชวงศ์ของเขาคงไม่ใช่เรื่องยากนัก เพราะหากว่าเรื่องนี้ถูกประกาศให้ภายนอกได้รับรู้ แดนมนุษย์คงวุ่นวายมากที่สุด และคงอาจเกิดเรื่องร้ายแรงต่างๆอีกมากมาย  ไม่ว่าจะจากลูกครึ่งหรือมนุษย์ก็ตาม



สำหรับเขาเอลลูญ์เป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาดเช่นเดียวกับอาจารย์ของเขา  เพราะโดยทั่วไปแล้วราชวงศ์ไม่เคยในความสนใจผู้ที่ด้อยกว่าตนเอง  ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นหรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม  พวกเขาทระนงตนว่าพวกเขาเหนือกว่าผู้อื่น ดังนั้นสิ่งที่เอลลูญ์กำลังทำอยู่มันจึงเป็นเรื่องไม่คาดคิด ทั้งสนใจในวิถีชีวิต และเรื่องราวต่างๆของแดนปีศาจ  ทั้งยอมพึ่งพาพวกเขา   ทำดังว่าต้องการพิสูจน์ข้อข้องใจบางอย่างภายในใจ



และที่พวกเขาไว้วางใจเอลลูญ์ไม่ใช่เพียงเพราะความเอ็นดูเท่านั้น  พวกเขาต้องการช่วยให้เอลลูญ์ได้เลือกในสิ่งที่ตนลังเลด้วยตนเอง โดยไม่ต้องเชื่อฟังใครดังที่ผ่านมา  นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึก เขารับรู้ได้ว่าเอลลูญ์ต้องมีชีวิตที่ถูกขีดเส้นเอาไว้อย่างแน่นอน



“ข้าแค่...”



“ช่างมันเถอะ  ข้าไม่ได้ใส่ใจนักหรอก” นาฟเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าเอลลูญ์กำลังจะกล่าวข้อแก้ตัว  เพื่อให้พวกเขาสบายใจ  แต่อาจเป็นข้อผูกมัดเขาเสียเองออกมา   ทั้งต่อจากนี้หรือในอนาคตที่จะต้องมาถึงในสักวันหนึ่ง  ถ้าหากเอลลูญ์เลือกที่จะเชื่อใจพวกเขา  เขาเองก็จะเชื่อใจเด็กหนุ่มตรงหน้าเช่นเดียวกัน



“ขอบคุณครับ  ท่านนาฟ” คำขอบคุณจากใจถูกส่งออกมา แม้เพียงจะอยู่ร่วมกันเพียงไม่กี่วัน  แต่สายสัมพันธ์บางอย่างกลับถูกต่อถักทอกลมเกลียวเสียจนไม่อาจแก้ออกได้



“พอๆ เลิกบรรยากาศน่าขนลุกนี่เสียทีเถอะน่า ข้าจะแสดงพลังของข้าให้เห็นเอง มันสุดยอดกว่าของเรย์เป็นไหนๆ  ฮ่าๆๆๆ” บรรยากาศครุกรุ่มเมื่อครู่ถูกขัดด้วยเสียงแหง่ความอารมณ์ดีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของนาฟ มันดังเสียจนพวกเขาลืมไปว่าต้องลดเสียงลง  แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครห้ามนาฟเลยสักคนเดียว



“กล้ามาก พลังของเจ้ามันสุดยอดกว่าของข้าเมื่อใดกัน”  นอกจากจะไม่ห้ามแล้ว เรย์ยังเถียงกลับไปอย่างนึกสนุก เขาไม่อยากให้เอลลูญ์ต้องคิดอะไรมากนัก



“แน่นอน  พลังของข้ามันมีประโยชน์  และสุดยอดกว่าพลังของเจ้าแน่นอน” มีหรือคนหาเรื่องจะยอมแพ้ นาฟยังคงโต้ตอบกลับไปอย่างลอยหน้าลอยตา  หาได้หวั่นวิตกกับแววตาเอาเรื่องของเรย์ไม่



“แค่เลียนเสียงสัตว์ แล้วก็ปล่อยควันมันมีประโยชน์ที่ตรงใดกัน  เหอะ” เรย์โต้ตอบกลับไปอย่างดูถูก  จนนาฟเริ่มร้อนขึ้นมา พวกเขาจึงจ้องหน้ากันจนอาจเกิดประกายไฟปะทะกันได้เลยทีเดียว



“เลียนเสียง ปล่อยควัน ...ข้าอยากเห็น” หากอยู่กับพวกลูกครึ่งทั้งสองมาได้สักระยะหนึ่ง  ใครๆก็รับรู้ได้ว่า  พวกเขาถกเถียง และทะเลาะกันเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ  ไม่ได้โกรธเกลียดกันจริงจังอย่างที่เห็น  เวลาผ่านไปไม่นานพวกเขาก็ลืมแล้ว   ดังนั้นเอลลูญ์จึงหันเหความสนใจพวกเขาแทน  ก่อนที่จะพวกเขาจะเริ่มสู้กันดังครั้งก่อนๆ



ในช่วงแรกเอลลูญ์ก็เป็นคนหนึ่งที่วิตกกังวลเสียทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จนถึงขั้นเข้าไปห้ามในระหว่างที่ทั้งคู่ต่อสู้กัน จนกลายเป็นสู้สามทางเสียด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเขาจึงได้แต่หาช่องว่างและหาเรื่องเรียกร้องความสนใจจากพวกเขาเช่นนี้เท่านั้น...ช่างเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยดังเช่นเด็กตัวเล็กกันเสียจริงๆ



“เจ้าสนใจสินะ อยากเห็นหรือไม่เอลลูญ์”  และการกระทำเช่นนั้นก็ได้ผลทุกครั้งดังคาด นาฟรีบหันความสนใจมาที่เอลลูญ์ในทันที  เขามองตอบเด็กหนุ่มด้วยสายตาแห่งความพอใจ เพราะเขาได้รับสายตาแห่งความอยากรู้อยากเห็นที่แสนไร้เดียงสาจากสายตาของเอลลูญ์ เช่นเดียวกัน



ถึงแม้เอลลูญ์จะทำเช่นนั้นเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาสนใจใคร่รู้ในเรื่องนี้จริงๆ สายตาที่ส่งออกไปจึงเป็นเช่นใจจริงของเขา และมันก็เป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง จนสร้างความพอใจให้ทั้งสองฝ่ายอย่างไม่อึดอัด



“ครับ  ข้าอยากเห็น” เอลลูญ์รีบตอบรับอย่างไม่ต้องคิดทบทวนให้มากนัก ช่างเป็นนิสัยที่ไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของเขาเอาเสียเลย ดังว่าตัวตนที่อยู่ภายใต้ภาพลักษณ์นั้นแต่ต่างจากที่เห็นอย่างสิ้นเชิง  ยิ่งมีฉากหน้าที่โดดเด่นและสำคัญ ภายในจิตใจเองจึงต้องเหยียบย่ำความอ่อนแอเพื่อปกปิดมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นดังหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งอิสระทางความคิดของตนอย่างสิ้นเชิง



“เฮ้อ จะออกไปด้านนอกก็ระวังตัวด้วย...แล้วก็อย่าลืมหาข่าวจากด้านนอกด้วย ข้าจะหาข่าวจากในร้านนี้เอง” เรย์ส่ายหน้าอย่างปลงๆแต่ริมฝีปากกลับประดับด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างพอใจในภาพที่เห็น ตอนนี้พวกเขาต่างยิ้มได้ และอยากให้มีภาพเหล่านี้ในช่วงเวลาต่อๆไป



จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกัน เอลลูญ์กับนาฟออกไปด้านนอกหมู่บ้านที่มีป่าอยู่นอกรั่วกั้น ส่วนเรย์เลือกที่จะลงมานั่งในส่วนของห้องอาหารของที่พัก ซึ่งมีบาร์และสุราเลิศรสรออยู่ มันช่างเหมาะกับการหาข่าวเสียจริงๆ เพราะเมื่อได้ร่ำสุราแล้ว สติความนึกคิดก็ขาดไป ทำให้เอ่ยความลับออกมาได้อย่างง่ายดาย



เรย์เลือกนั่งโต๊ะเงียบๆในมุมหนึ่งของร้าน  หลังจากสั่งอาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว  วันนี้ไม่ทราบว่าเพราะมีเหตุใดเกิดขึ้น ทั้งๆที่ยังไม่มืดค่ำ  ร้านกลับคับคลั่งไปด้วยผู้คนเสียจนน่าแปลกใจ



การหาข่าวของเรย์ไม่ได้ยากลำบากแต่อย่างใด  เขาเพียงรอฟังการสนทนาของผู้คนในร้านนี้เท่านั้น  เพราะเขามีความสามารถในการจับอารมณ์จากน้ำเสียงของผู้คนได้ จึงสามารถเลือกฟังเพียงแค่เสียงที่น่าสนใจเท่านั้น  ความพิเศษที่ใช้เพิ่มขึ้นมาคือ  การปิดกั้นเสียงหลังจากเลือกเป้าหมายของเสียงได้แล้ว



เมื่ออาหารถูกจัดวางบนโต๊ะจนครบแล้ว เขาจึงนั่งจบสุราเงียบๆพร้อมเพ่งสมาธิไปที่หูเพื่อเลือกเป้าหมาย ยิ่งคนพลุกพล่านมากเพียงใด ก็ยิ่งต้องใช้สมาธิมากตามไปด้วย ส่งผลให้ประสาทการรับรู้อื่นๆหยุดนิ่ง  จนไม่สามารถรับรู้ถึงอันตรายที่เข้ามาในระหว่างนั้นได้



เรย์ไม่รู้เลยว่าตนกำลังถูกจับตามองจากใครบางคนที่นั่งอยู่มุมอับด้านหลัง เพราะเขาเลือกเป้าหมายได้แล้ว และมันยังเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย คิดคำนวณได้คร่าวๆคือเหตุเกี่ยวกับการเกิดจลาจลที่นี่เมื่อหลายวันก่อน ซึ่งปีศาจที่กำลังเล่าอย่างออกรสออกชาตินั้นคาดว่าจะเป็นนายทหารยศต่ำคนหนึ่งที่กำลังสนทนาอยู่กับเจ้าของร้าน



‘การเกิดจลาจลเป็นความตั้งใจของเบื้องบนอย่างนั้นรึ’



‘ใช่แล้ว ข้าบังเอิญไปได้ยินเข้า แต่เจ้าห้ามบอกผู้ใดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นแล้วข้าคงถูกสังหารแน่’



‘เจ้าไปได้ยินมาจากผู้ใดกัน  จึงมั่นใจถึงเพียงนี้’



‘ข้าไม่เห็นว่าใคร แต่คู่สนทนาอีกคนคือหัวหน้าของข้าแน่ๆ’



‘เช่นนั้นแล้ว  ทำไมต้องก่อจลาจลขึ้นเล่า’



‘ก็เพราะ...’



พรึบ!!



การแอบฟังขาดห้วงเมื่อเรย์รับรู้ได้ว่าเขาถูกใครบางคนวางมือลงบนไหล่ มือปริศนาบีบแน่นดังว่าต้องการให้เขาหยุดฟังเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่

 

 

 

To Be Continued...


_______________________________________________________



***ประกาศเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2560 ในเพจ Green  Head - หัวเขียว

#แจ้งข่าว
กรีนกลับมาแล้วค่าาา คิดถึงกันมั๊ยเอ่ย
ช่วงนี้อยู่ในช่วงเขียนไม่ไป ยิ่งลองแนวฮาๆบ้างยิ่งไม่คืบหน้า
ที่ไม่ได้อัพเดทข่าวเลยเพราะกะว่าจะแต่งตอนต่อไปให้เสร็จแล้วลง จากนั้นค่อยแจ้ง สุดท้ายมันก็เลยนานกว่าที่ควร
พอลองเปลี่ยนแนวไปเขียนตอนพิเศษ ตอนหลักก็เลยเขว เขียนไม่ไปเหมือนกัน แก้แล้วแก้อีก เขียนได้ 5 แถว ขีดทิ้ง เขียน ใหม่ วนอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ
ต้องขอโทษด้วยนะคะ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทั้งๆที่วางพล็อต กำหนดฉากไว้หมดแล้ว แต่พอลงมือเขียนจริงมันกับไม่เป็นอย่างใจ
ตอนนี้เริ่มเขียนต่อได้แล้ว จึงเข้ามาแจ้งให้ทราบ ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เพราะไม่อยากสัญญาแล้วทำไม่ได้เหมือนคราวก่อน แต่จะพยายามเขียนต่อให้เร็วที่สุดค่ะ
ใครมีแนวทางการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับกรีน แนะนำกันเข้ามาได้นะคะ กลัวจะเกิดขึ้นอีก
นักเขียนมือใหม่ Green Head - หัวเขียว รบกวนขอคำแนะนำจากผู้รู้ทุกท่านด้วยนะคะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

______________________________________________

สวัสดีค่ะ  จากประกาศข้างต้นจะเห็นได้ว่า  สาเหตุของการหายไปในครั้งนี้คือ อาการเขียนไม่ไป
และคราวก่อนได้บอกไว้ว่าจะลงตอนพิเศษ แต่กลับเขียนไม่ได้อย่างใจคิด

วันนี้กรีนก็เลยลงตอนหลักที่พึ่งแต่งเสร็จให้ได้อ่านรอกันไปก่อน

ส่วนตอนพิเศษ จะค่อยๆแต่งอย่างไม่เร่งรีบจนเกินไปเหมือนคราวก่อน

จนทำให้ทุกอย่างรวนไปหมดแบบนี้

พล็อตค่อยๆคงที่แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะออกทะเลนะคะ

รอบนี้แค่เกิดอาการแปลกๆเท่านั้น อาจจะเป็นครั้งแรกที่แต่งก็เลยรับมือปัญหาไม่ถูกทาง

แต่ในอนาคตคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก หรือถ้าเกิดขึ้นอีก เราก็น่าจะรับมือกับมันได้ดีกว่าคราวนี้

แร็กนาร์ยังไม่มีบทในตอนนี้ ตอนหน้าจะกลับมาเจอทุกท่านแน่นอนค่ะ

ขอบคุณนักอ่านที่ยังรออยู่  อย่าถือสากรีนเลยนะคะ แนะนำวิธีแก้ปัญหาให้กรีนดีกว่าเนาะ

ว่างๆก็เข้าไปคุยกันในเพจได้ค่ะ กรีนพร้อมตอบเสมอเมื่อว่าง

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/

___________________________________

#ของขวัญวันคริสต์มาสจากในเพจค่ะ(แปะให้สำหรับใครที่ยังไม่เห็น)

Cr.Jinori (น้องสาวที่น่ารักของกรีนเอง)

ยังไม่เฉลยว่าใคร แต่ลองเดากันได้นะค้าาาาา

ใบ้ให้นิดๆว่า ตัวละครตัวนี้ออกมาแล้ว(ไม่ขอบอกว่าออกมารูปแบบไหน) และ...เป็นหนึ่งในตัวเกร็งพระเอก! ที่ตอนนี้กำลังเถียงกับน้องอยู่ว่าจะเลือกใครเป็นพระเอกดี(ฮ่าๆ)
(https://www.mx7.com/i/ce9/BpsCv5.jpg) (https://www.mx7.com/view2/zCxwvZ0jfQkmBOrx)
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 21 เชื่อใจ (19/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 19-01-2017 16:27:59
 :hao7: :hao7:มาแล้วว
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 21 เชื่อใจ (19/01/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: VitamiN ที่ 04-02-2017 23:35:33
ชอบแนวนี้ o13
มาต่ออีกนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 22 เค้าลางของอดีต 100%
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 07-03-2017 10:26:29

ตอนที่ 22
เค้าลางของอตีต


บ้านชั้นเดียวสร้างด้วยอิฐและปูนซึ่งเน้นความมั่นคงแข็งแรงมากกว่าความสวยสดงดงาม  มันตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านอันคึกคักไปในทิศทางตรงข้ามกับป้อมปราการ บริเวณข้างทางเต็มไปด้วยความเขียวขจีของไร่นา ตั้งอยู่สุดปลายทางอันขรุขระซึ่งลัดเลี้ยวจากถนนสายหลักเข้าสู้พื้นที่ของเกษตรกรรม



“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือคะ” ปีศาจวัย 20 ต้นๆ ที่กำลังยืนรดน้ำผักในสวนสวยกล่าวทักทายปีศาจชราที่อายุน่าจะเกินกว่าความเป็นพี่ชายไปมากแล้ว ซึ่งเดินมาพร้อมกับปีศาจอีกตนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยน้ำเสียงอนเจื้อยแจ้ว



“ข้ากลับมาแล้ว...ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดคุย ช่วยอย่าให้ใครเข้ามารบกวน” ปีศาจชราตอบกลับและบอกจุดประสงค์ของตนในทันที จนรอยยิ้มของปีศาจสาวจากหายแล้วแทนที่ด้วยสีหน้าจริงจัง



“พบแล้วหรือค่ะ...ข้าเข้าใจแล้ว” จากนั้นรอยยิ้มแห่งความปรีติก็เข้ามาแทนที่ แล้วจึงหันกลับไปรดน้ำผักต่อ ดังว่าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย เพียงเท่านั้นปีศาจชราก็ก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับชายในชุดคลุมสีดำ   



ปึก แกร็ก



หน้าต่างบานสุดท้ายถูกปิดลง หลังจากที่เข้ามาด้านในแล้ว ปีศาจชราก็เดินปิดประตู หน้าต่าง อย่างมิดชิด ส่วนชายในชุดคลุมก็ค่อยๆเปิดผ้าคลุมออก



เรย์จ้องมองการกระทำทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีออกไปมากนัก แม้ดวงตาจะจับจ้องที่ร่างแก่ชรานั้นอยู่ก็ตาม



ร่างกายที่แก่ชรานั้นไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์เลย มีเพียงขนาดร่างกายเท่านั้นที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นสีผมที่มีสีแดงแซมด้วยสีขาว ร่างกายที่เหี่ยวย่น ไหล่และหลังที่โค้งงอลงเล็กน้อย ตามแบบของคนทีอายุที่มากแล้ว



แต่แล้วร่างกายนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง จากไหล่ที่ลู่ตกก็ตั้งขึ้น หลังที่โค้งงอเล็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นยืดตรง ร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า และร่างกายก็ค่อยๆเรียบตึง กระทั่งสีผมดอกเลาก็ค่อยๆกลับเป็นสีแดงเลือด มันน่าฉงนเสียจนเขาไม่อาจขยับตัวได้ บรรยากาศเรียบง่ายในคราแรก ก็แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและดุดัน



จากร่างของปีศาจชราอายุเกือบ 60 ปี กลับกลายเป็นปีศาจผู้มีรูปร่างสันทัดที่หากคาดเดาอายุมีคงไม่เกิน 40 ปีอย่างแน่นอน  ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นหลังจากร่างกายที่โค้งงอยืดตรงทำให้ร่างนั้นใหญ่โตกว่าปีศาจปกติเสียด้วยซ้ำ



“นั่งตามสบาย” ปีศาจที่ไม่เหลือเค้าความแก่ชราผายมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มลูกครึ่งผมสีฟ้าปลายสีเทานั่งลงบริเวณโต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารที่อยู่กลางตัวบ้าน 



หลังจากแขกแปลกหน้าแต่คุ้นเคยในความรู้สึกนั่งลง เจ้าของบ้านก็เดินไปด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นบริเวณห้องครัว ผ่านไปไม่นานก็ออกมาพร้อมชาหอมกรุ่นซึ่งใช้สำหรับรับแขก



ชาหอมกรุ่นถูกวางลงบนโต๊ะด้านหน้าของเรย์ด้วยฝีมือของเจ้าของบ้านร่างใหญ่ ซึ่งนั่งจิบชาอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะหยิบมันขึ้นมาลิ้มลอง เพราะยังคงหวาดระแวงต่อพฤติกรรมของปีศาจตรงหน้า มันน่าแปลกมากเกินไปที่บุรุษปีศาจตนนี้ไม่ตกใจเลยที่เห็นเขาเป็นลูกครึ่ง ทั้งยังท่าทีสบายๆนั่นอีก มันทำให้เขาจับสัมผัสโกหกผ่านน้ำเสียงนั้นไม่ได้เลย



“เจ้ารู้จักข้าหรือไม่” คำถามราบเรียบเอื้อนเอ่ยออกจากปากของปีศาจตนนั้น โดยไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่ายที่หวาดระแวงตนแม้แต่น้อย เรย์ที่เห็นว่าอีกฝ่ายมิได้มีท่าทางน่าสงสัยจึงค่อยๆคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หวังให้ตนสามารถคาดเดาได้ว่าปีศาจตนนี้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตนบ้าง



แรกเริ่มเขาได้พบกับปีศาจตนนี้บนเกวียนบรรทุกข้าวของจำพวกพืชผักสวนครัวจำนวนมากมาย  ใช่แล้วมันคือปีศาจที่เขาสอบถามข้อมูลก่อนเข้ามาทางประตูหน้าด่านนั่นเอง   ในครานั้นเขาเห็นรูปลักษณ์ของปีศาจตนนี้เป็นปีศาจที่แก่ชราผู้น่าเห็นใจ  จนไม่คิดติดใจสิ่งใดปล่อยผ่านความคิดต่อชายตรงหน้าจนหมดสิ้น



คราที่สองคือตอนที่เขากำลังหาข้อมูลจากส่วนบาร์ในที่พักนักเดินทาง...

.

.

.

ร่างกายแข็งทื่อที่พยายามปรับอารมณ์ของตนให้สงบนิ่งปราศจากความกระวนกระวายใดๆค่อยๆหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง



“อึก” แต่มือนั้นกลับบีบแน่นแล้วผลักไปด้านหน้าเล็กน้อยดังต้องการบอกความในว่าไม่ให้หันกลับไปมอง เรย์ที่อยากเห็นใบหน้าของเจ้าของมือจึงได้แต่หันกลับมามองตรงๆดังเดิม เพราะเขาเกรงว่าหากทำสิ่งใดขัดความประสงค์ของมัน  เป็นเขาเองที่จะเดือดร้อน  เมื่อเห็นว่าเรย์ยอมนั่งนิ่งๆมองตรงไปด้านหน้าอย่างที่ต้องการแล้ว แรงบีบนั้นก็ค่อยๆคลายลง



“นับ 1- 10 ช้าๆ  จากนั้นเดินตามข้าออกไปด้านนอก” เสียงทุ้มใหญ่แต่แหบพร่าตามอายุกระซิบบอกจากด้านบนอย่างแผ่วเบาดังรู้ถึงความสามารถของเรย์เป็นอย่างดี จากนั้นมือเหี่ยวย่นก็ผละออกไป เงาร่างนั้นเดินผ่านเรย์ไปที่ประตูทางเข้าเช่นว่าพวกเขาต่างคนต่างกลับออกไปนอกร้านไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกันเลย



เรย์จะไม่ตามไปหรือหาทางหนีก็สามารถทำได้  แต่ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างบอกให้เขาตามเจ้าของแผ่นหลังที่งองุ้มด้วยความแก่ชรานั้นออกไป  เมื่อขาก้าวพ้นประตูหน้าร้านเขาก็เห็นปีศาจชราที่คุ้นแสนคุ้นหน้า และจดจำได้ทันทีว่าปีศาจตนนี้คือปีศาจที่ตนสอบถามข้อมูลก่อนเข้าประตูหน้าด่าน ทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อยเลย เพราะไม่คาดคิดว่าปีศาจที่ดูไร้พิษสงค์นั้นจะสามารถรับรู้ถึงเรื่องที่เขาใช้พลังได้



ไม่รอให้เรย์คิดมากไปกว่านี้ ปีศาจชราที่รู้ทันความคิดของเรย์ก็ยิ้มออกมาน้อยๆแล้วเดินไปตามซอกซอยข้างที่พักของพวกเขาทันที เห็นดังนั้นเรย์ก็หยุดความสงสัยทั้งหมดแล้วก้าวตามไป แต่แล้วความแปลกใจใหม่ก็เข้ามาในหัว  เมื่อปีศาจหลังงองุ้มก้าวเดินได้อย่างรวดเร็ว จนเขาต้องเร่งฝีเท้าตามไป  ไม่นานพวกเขาก็พ้นจากตรอกซอกซอยในหมู่บ้าน  แล้วมาหยุดยังถนนที่ทอดยาวโดยสองข้างทางมีเพียงไร่นาสำหรับเพาะปลูก  ชายชราจึงหยุดเร่งฝีเท้าแล้วก้าวเดินอย่างบายๆโดยปราศจากความเหน็ดเหนื่อยอย่างสิ้นเชิง



“แฮ่ก  แฮ่ก” ต่างจากเรย์ที่เหนื่อยจนต้องก้มหน้าวางมือลงบนหน้าขาที่งอลงเล็กน้อยเพื่อพยุงตัว พร้อมกอบโกยหายใจเอาอากาศเข้าปอด ระบายความเหน็ดเหนื่อยที่ได้พบเจอเมื่อครู่



แต่เขาก็ไม่ได้ถามสิ่งใดออกไป  ทำเพียงก้าวเดินตามปีศาจชราต่อไปเท่านั้น แม้ในใจจะมีความหวาดระแวง และความสงสัยมากมายก็ตาม จนตอนนี้เขาจึงอยู่ต่อหน้าปีศาจที่ปลดเปลื้องความชราจนเหลือไว้เพียงความแข็งแกร่งน่าเกรงขามแบบนักรบเท่านั้น



คำถามนั้นทำให้เรย์คิดไม่ตก เพราะแม้คิดย้อนกลับไปก็ไม่อาจหาข้อมูลใดๆได้ แม้เก่งกาจ  แต่ปิดซ่อน ทั้งรูปลักษณ์และความสามารถ  ทั้งยังไม่มีท่าทีเป็นศัตรู เพราะหากเปิดเผยข้อมูลของเขาต่อกลุ่มโนบุคงได้รางวัลอย่างงาม แต่กลับเก็บเงียบและพาเขามายังบ้านหลังนี้ดังต้องการพูดคุยเรื่องลับอันสำคัญ



“ไม่  ข้าพบท่านครั้งแรกที่ทางเข้าประตูหน้าด้าน แต่ข้าก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าท่านเป็นใคร” เรย์ตอบอย่างจำยอม แล้วนั่งเงียบรอคอยการสนทนารอบใหม่จากปีศาจตรงหน้า



“ทาคุ...ปีศาจที่ข้ารู้จักเรียกข้าเช่นนั้น แล้วนามของเจ้าเล่าเจ้าหนุ่ม” น้ำเสียงแหบพร่าตามอายุจางหายเหลือไว้เพียงน้ำเสียงทุ้มใหญ่ที่ทรงพลังเท่านั้น



“เรย์...คือชื่อของข้า”   เมื่อได้คำตอบปีศาจนามทาคุจึงยกชาขึ้นจิบอีกครั้งอย่างใจเย็น  ดังต้องการเรียบเรียงที่ตนจะกล่าวต่อไป



“ข้าต้องเคยพบเจ้าเมื่อนานมาแล้วอย่างแน่นอน...ความรู้สึกข้าบอกเช่นนั้น...เรย์” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นดังตอกย้ำความรู้สึกของตนกล่าวออกมา พร้อมทั้งยังพยักหน้าดังตกลงกับตนเองให้แน่ใจ



“ท่านกำลังจะบอกอะไร”  แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่เรย์ก็เลือกที่จะถามข้อสงสัยของตนออกไป  เขามั่นใจว่าไม่เคยพบเจอปีศาจตนนี้มาก่อนอย่างแน่นอน  ไม่ว่าจะในรูปลักษณ์ใดก็ตาม   แม้ว่าจะเดินทางท่องเที่ยวไปกับนาฟหลายต่อหลายครั้งในแดนปีศาจ  แต่เขาก็สามารถจดจำว่าตนเคยพบเจอ   หรือพูดคุยกับใครไปบ้างได้อย่างแม่นยำ



“ข้าไม่ได้สัมผัสมันมาเนิ่นนาน ความรู้สึกคุ้นเคยจากใครบางคน...แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็เชื่อในความรู้สึกของตนเอง”  ทาคุยังคงไม่ตอบ เขาทำเพียงรำพึงรำพันดังระลึกให้แน่ใจในความรู้สึกของตนเท่านั้น  เรย์ก็มองสถานการณ์อย่างใจเย็นจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก   ทำเพียงรออยู่เงียบๆเท่านั้น



“ข้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร คำแรกที่ปรากฏในหัวของข้าคือ ‘ทาคุ’  ซึ่งคาดว่าจะเป็นชื่อของข้า...”



“ท่านความจำเสื่อมเช่นนั้นรึ”



“ใช่...ความทรงจำก่อนที่ข้าจะลืมตาตื่นขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้หายไป  น้องสาว ไม่สิ ผู้มีพระคุณที่ข้าเห็นเป็นน้องสาว...หรือก็คือผู้หญิงที่เจ้าเจอที่สวนก่อนหน้านี้ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้” ทาคุกล่าวด้วยสีหน้าอันอบอุ่น เขาระลึกความหลังถึงหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาไว้ โดยไม่ฟังคำคัดค้านของคนในหมู่บ้าน และจนถึงบัดนี้นางก็ยังคงเชื่อใจและคอยช่วยเหลือเขา แล้วเขาจะไม่ยอมสละชีวิตมาอยู่เคียงข้างนางในยามที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ได้อย่างไร



หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงซักถามจากเรย์อีก เขาเพียงตั้งใจฟังอย่างเงียบๆเพื่อพิจารณาเรื่องราวเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน  และตัดสินใจว่าควรเชื่อหรือไม่เท่านั้น



ส่วนทาคุเองก็เล่าเรื่องราวอย่างไม่ปิดบัง เพราะเขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเรย์มาได้สักพักจึงพอคาดเดาได้ว่าเรย์มีทักษะในการแยกแยะเสียงขั้นสูง การกล่าวโป้ปดอันเป็นการกระทำที่จะทำให้เรย์ยิ่งหวาดระแวงจึงไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง และเขาเองก็เชื่อในสัญชาตญาณของตนเองว่าเขารู้จักกับเรย์  ทั้งยังรู้สึกว่าเรย์เชื่อใจได้  เขาจึงตัดสินใจลองเสี่ยงพนันกับโชคชะตาครั้งนี้อีกครั้ง

 

**************************************50%*************************************

เรื่องราวเริ่มต้นตั้งแต่ข้าลืมตาตื่น ภาพแรกที่ได้เห็นคือปีศาจสาวที่มีรอยยิ้มอันหมองเศร้า แต่กระนั้นแววตาและริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มดีใจออกมาเพราะความตื่นเต้น



คำถามแรกจากริมฝีปากสีหวานไม่ใช่ ‘เจ้าเป็นใคร’ แต่กลับเป็น ‘ร่างกายท่านเป็นเช่นไรบ้าง’ แล้วตรวจดูร่างกายของข้าอีกครั้งจนมั่นใจว่าอาการดีขึ้น จึงได้ชวนไปทานอาหารฝีมือของนาง



หลังทานอาหารเรียบร้อย พวกเขาทั้งสองจึงนั่งเหม่อมองสวนผักเล็กๆข้างชานบ้าน ที่เต็มไปด้วยพืชผักนานาพันธุ์ ถัดไปเป็นถนนทอดยามจนถึงบ้านหลังอื่นที่ตั้งเรียงรายเอาไว้มากมาย และมีฉากหลังเป็นภูเขาเขียวขจีเนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูใบไม่ผลิ ทิวทัศน์ที่งดงามช่วยผ่อนคลายบรรยากาศจนเหลือไว้เพียงความสบายใจ รอยยิ้มบางๆจึงปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของปีศาจเผ่าพยัคฆ์ทั้งสอง



ปีศาจสาวเริ่มเปิดบางเล่าเรื่องของตนก่อน เพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย และพร้อมจะเปิดใจกับนางมากขึ้น



นางเล่าว่า ตนชื่อ ‘อาโอย’ เป็นปีศาจที่มีอาชีพเกษตรกรอันเป็นอาชีพที่สืบทอดมาในครอบครัว ตอนนี้อาศัยอยู่เพียงตนเดียว เพราะพ่อแม่เสียไปเมื่อหลายปีก่อนด้วยโรคระบาด และพี่ชายเพียงคนเดียวที่คอยดูแลอาโอยตั้งแต่นั้นมาก็จากไปด้วยเหตุน้ำป่าไหลหลากเมื่อหลายคืนก่อน...และในเช้าวันต่อมาก็ได้พบข้าในจุดที่พี่ชายของนางหายไป



รอยยิ้มเศร้าสร้อยแต่แฝงความอบอุ่นยิ้มออกมาให้ใจเต้น พร้อมน้ำเสียงเชื่อมั่นในบางสิ่งที่เลือกจะเชื่อ ‘สวรรค์คงเห็นใจข้า...จึงช่วยประทานพี่ชายคนใหม่มาให้’ จากนั้นรอยยิ้มที่สดใส แม้เจือด้วยความเศร้าไปบ้าง แต่ไม่หม่นหมองเท่าเมื่อครู่ก็เผยออกมา มันช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าแผลในใจของอาโอยดีขึ้นมากแล้ว



หลังจากนั้นอาโอยก็บอกถึงสภาพร่างกายที่ได้พบกับข้าครั้งแรก วันนั้นร่างกายของข้าเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัสจากการถูกทำร้าย มองแล้วน่าจะตายมากกว่ามีชีวิตอยู่เสียด้วยซ้ำ แต่เลือดกลับหยุดไหลไปเอง เป็นการฟื้นตัวที่มีมากกว่าปีศาจทั่วๆไป มันน่าตกใจสำหรับพวกชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง แต่อาโอยกลับประทับใจในความเหลือเชื่อนั้น



เมื่อได้ฟังข้าจึงพยายามคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าในหัว เพื่อหาสาเหตุของบาดแผลเหล่านั้น รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับตัวของข้าเอง แต่ยิ่งคิดทบทวน ภายในหัวยิ่งพร่ามัว และปวดหนึบไปหมด สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือเสียงๆหนึ่งเท่านั้น



‘ทาคุ ทาคุ...ทาคุถ้าข้าไม่รอดฝากเจ้าปกป้องลูกเมียข้าด้วย’



หลังจบเสียงอันน่าเกรงขามนั้น ภายในหัวก็เต็มไปด้วยภาพสีแดงฉานของเลือดที่หลั่งไหลเปรอะเปื้อนอย่างไม่ขาดสาย และสติก็มืดดับลง



ข้าหลับไปนานเท่าใดไม่อาจทราบ จึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่อาโอยกลับไม่ถามสิ่งใด เพียงบอกด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยว่า



‘อย่าได้รีบร้อน ความทรงจำอันสำคัญไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจลืมเลือนไปได้...ไม่นานมันต้องกลับมาอย่างแน่นอน ส่วนในระหว่างที่รอความทรงจำกลับมา ท่านจะเป็นพี่ชายของข้าไปก่อนได้หรือไม่’ อาโอยกล่าวอย่างร้องขอ ข้าที่รู้สึกขอบพระคุณอย่างเหลือล้นอยู่ก่อนแล้วก็ไม่คิดที่จะผลักไสใดๆเช่นเดียวกัน



ข้าจึงบอกเล่าทุกสิ่งที่ได้เห็นภายในหัวให้นางฟัง อาโอยคิดว่านั่นคือชื่อของข้า ข้าจึงมีชื่อว่า ‘ทาคุ’ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



ผ่านไปหลายเดือนความสงบสุขก็จบลง เมื่อมีปีศาจหลายตนบุกเข้ามาในบ้านและหมายจะสังหารข้า มันทำให้ข้าตระหนักถึงอันตรายและความสามารถที่เกินคาดเดาของตนเอง...ข้าแข็งแกร่ง!!



ข้าลงมือสังหารพวกมันจนหมด แต่กระนั้นข้ากลับยังคงใจสงบนิ่งดังว่าข้าได้ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มามากมายเสียจนเฉยชากับมันเสียแล้ว



ในเหตุการณ์นั้นทำให้อาโอยได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกจับเป็นตัวประกันในการต่อรองกับข้า ข้าจึงจะรับผิดชอบโดยออกไปจากหมู่บ้าน แต่อาโอยกลับตามมาอย่างไม่เกรงกลับอันตราย



พวกเราทั้งสองเดินทางย้ายไปหมูบ้านอื่นที่ไกลออกไป ในระหว่างทางข้าก็พยายามคิดค้นวิธีแปลงโฉม แต่มันคงไปกระตุ้นความทรงจำในกาย ในเวลากลางคืนที่เข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ความทรงจำของข้าจึงปรากฏออกมาทีละเล็กละน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นความสามารถของตนเอง แต่อาจมีบางครั้งที่เห็นปีศาจตนอื่น แต่กลับเห็นหน้าไม่ชัดเอาเสียเลย



วันนั้นข้าได้เห็นความทรงจำเกี่ยวกับการแปลงโฉมที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของตระกูลข้า แม้มันเป็นเพียงความฝันข้าก็เลือกที่จะเชื่อ และทดลองใช้มัน แล้วมันก็ได้ผล...ได้ผลเกินกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก



จากวันนั้นความสงบสุขจึงกลับมาอีกครั้ง พร้อมข้าที่พยายามหาเศษเสี้ยวความทรงจำ และอาโอยที่คอยสอนงานของเกษตรกรให้กับข้า จนเวลาล่วงเลยผ่านไปถึง 8 ปี อาโอยจึงตัดสินใจแต่งงาน แล้วต้องย้ายตามสามีเข้าไปยังเขตตะวันตก อาโอยชวนข้าไปด้วย แต่ข้าปฏิเสธเพราะในเศษเสี้ยวความทรงจำที่สะสมมาตลอด 8 ปี แม้จะไม่ชัดเจนและไม่สามารถประติดประต่อได้



มันมีจุดเชื่อมโยงที่ชัดเจนเพียงจุดเดียวนั่นคือ ความทรงจำเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับ เขตเหนือ!!



ข้าเฝ้าสืบเสาะได้อีกเพียงไม่นานหลังจากนั้น ก็เกิดสงครามระหว่างทั้ง 2 เขต ขึ้น และลางสังหรณ์ของข้าก็บอกว่า มันต้องเกี่ยวข้องกับความทรงจำของข้าอย่างแน่นอน...วงล้อแห่งโชคชะตาของข้าเริ่มหมุนอีกครั้งแล้ว





************************************80%*******************************************

.

.

.

กลับมายังเขตเหนือ ณ ห้องๆหนึ่งในบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ มีเงาร่างตะคุ่มๆ เล็กกระจิดลิดของเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังรื้อค้นชั้นหนังสือที่บริเวณมุมในสุดของห้องหนังสือขนาดเล็ก ซึ่งมีทางลับเชื่อมต่อกับห้องหนังสือขนาดใหญ่ด้านนอก



ห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงไฟเพียงดวงเดียวซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ห้องนี้ไม่ต่างจากห้องลับในบ้านของเขามากนัก จะต่างก็เพียงบรรยากาศและจุดประสงค์ที่ใช้เท่านั้น



การค้นพบห้องลับโดยบังเอิญเป็นเรื่องที่แร็กนาร์คาดหวัง เขาจึงพยายามค้นหารายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



วันนี้แร็กนาร์ขอใช้ห้องสมุดของบ้านเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้จากเจ้าของบ้าน ด้วยเหตุผลของความอยากรู้อยากเห็นเจ้าบ้านจึงได้อนุญาตอย่างไม่ขัดสิ่งใด แต่จุดประสงค์หลักที่เจ้าตัวเล็กต้องการกลับเป็นการค้นหาห้องลับที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้



ยาฉะ เบียกโกะ ไม่ใช่ปีศาจที่โง่งม แม้เขาจะอนุญาตแต่โดยดี แต่ก็สั่งให้ยาจิตามมาด้วย เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แร็กนาร์...ซึ่งเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจให้คนร่างเล็กเสียมากกว่า ส่วนทางฝั่งรูร์กัสก็ติดตามเอจิออกไปทำธุระสำคัญที่นอกหมู่บ้านเช่นเดียวกัน



ส่วนเด็กแฝด ฮิเดโอะ กับ ฮิโรกิ นั้นคนเป็นพ่อเรียกให้เข้าไปพบเสียตั้งแต่เช้า เช่นนั้นและพวกเด็กน้อยทั้งหลายจึงได้แยกย้ายกันไปคนละทิศทางเช่นนี้เอง



แร็กนาร์อยู่ในห้องหนังสือตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยมีเจ้าโกยาตเลย์นกน้อยของเขาเกาะไหล่มองมาอย่างเงียบๆเป็นเด็กดีเสียจนแร็กนาร์ถูกใจมากขึ้นๆไปอีก เวลาพักสายตาก็จะนำขนมที่ติดมาป้อนมันเสียทุกครั้งไป



และมียาจินั่งง่วงเหงาหาวนอนเป็นเพื่อนอยู่ด้านตรงข้ามของโต๊ะอ่านหนังสือ แต่จนแล้วจนรอดยาจิที่ไม่ถูกโรคกับการอ่านหนังสืออย่างรุนแรงจึงลุกออกไป แล้วทิ้งเขาเอาไว้อย่างไม่ใยดี ช่างเป็นลูกน้องที่น่าเขี่ยทิ้งเสียจริงๆ ก่อนไปก็ไม่ลืมที่จะกำชับให้แร็กนาร์เก็บเป็นความลับ มันเข้าทางเขาพอดีจึงรับปากอย่างไม่อิดออดใดๆ



เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับแดนพยัคฆ์ต่อได้สักพักจนมั่นใจว่ายาจิจะไม่ย้อนกลับมาแล้วจึงปิดหนังสือ แล้วเริ่มเดินสำรวจจนทั่วห้องสมุด แต่จนแล้วจนรอดเขากลับไม่พบสิ่งใดเลย



แร็กนาร์นั่งลงพิงชั้นหนังสือย่างเหนื่อยหน่ายที่การคาดเดาของตนผิดพลาดในมุมด้านในสุดของห้องสมุด เขาเอนตัวพิงร่างกายลงไปทั้งร่าง แล้วใช้มือท้าวลงไปบนพื้นจนมือเล็กๆนั้นวางเข้าไปในช่องเล็กๆซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างผนังกับชั้นวางหนังสือ ช่องเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในสุดของห้องสมุดหากไม่ทันสังเกตให้ดีก็จะมองข้ามไปได้ง่ายๆหากคนทั่วไปพบเจอคงไม่ใส่ใจใดๆแต่ในหัวของแร็กนาร์กลับโลดแล่นอย่างลิงโลด พร้อมขอสันนิษฐานมากมายที่ใช้เปิดห้องลับด้านหลังช่องนี้



ช่องเล็กแคบที่ห่างจากผนังเพียง 1 เซนติเมตร ไม่เพียงพอให้ใช้มือวางลงไปเสียงด้ายซ้ำ และหากสังเกตบริเวณใกล้เคียงก็จะพบเจอหนังสือเล่มมุมล่างสุดที่ชิดกับผนังของชั้นวางซึ่งติดกับช่องเล็กๆนั้นที่มีขนาดพอดีกับช่องอันเล็กแคบ



แร็กนาร์หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาอย่างไม่ลังเล แล้วจึงพบว่าปกหนังสือของเล่มนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ที่ขอบปกหนังสือทุกด้านทั้งปกหน้าและปกหลังมีแผ่นเหล็กบางๆที่ถูกทำให้พับงอติดเอาไว้ให้มันหนาและหนักขึ้น รวมทั้งโผล่พ้นจากตัวหนังสือเล็กน้อย มันอาจจะดูธรรมดาหากไม่พบช่องลับ แต่เมื่อมันอยู่คู่กันจึงคาดเดาได้ไม่ยากเช่นนี้เอง



มือเล็กดุนดันหนังสือเข้าไปในช่องว่างโดยคว่ำด้านยาวที่มีแผนเหล็กลง จากนั้นดันมันลงไปด้านล่างจนติดพื้นด้วยแรงที่มากขึ้น



กริ๊ก!



เสียงแผ่นเหล็กลงล็อกในจุดที่มีช่องสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่ที่พื้นอย่างพอดี รอเพียงชั่วอึดใจชั้นวางหนังสือก็ค่อยๆเลื่อนมาข้างหน้า แล้วห้องหนังสือขนาดเล็กก็ปรากฏแก่สายตาของแร็กนาร์ ช่องเล็กๆนั้นไม่อาจส่องผ่านเข้ามาดูด้านในได้ เพราะมีแผ่นเหล็กสีคล้ายคลึงผนังปิดซ้อนทับหลังชั้นหนังสือปิดจนถึงช่องว่างนั้นพอดี



แร็กนาร์เงียบฟังเสียงโดยรอบจนมั่นใจว่าไม่มีใครแอบมอง หรืออยู่ใกล้ๆบริเวณนี้แล้วจึงได้เดินเข้าไป จากนั้นชั้นหนังสือก็เลื่อนปิดลงด้วยตัวของมันเอง พร้อมๆกับตะเกียงบนโต๊ะหนังสือที่สว่างขึ้น กลไกลที่แร็กนาร์เคยพบ เขาจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด



เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการเจ้าของร่างเล็กก็เริ่มค้นหาหนังสือที่น่าสนใจเหล่านั้นทันที และตอนนี้เองแร็กนาร์ก็เจอกับหนังสือเล่มหนึ่งที่สะดุดตาเสียจนมือสั่น



‘4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้’



เพียงชื่อที่ปรากฏบนปกหนังสือก็ทำให้หัวใจของแร็กนาร์เต้นเร็วเสียจนแทบทะลุออกมา ดังคราวที่ได้ฟังเรื่องราวของริเรน่า แต่ครั้งนี้...มันเต้นเร็วกว่าครั้งนั้นมากมายทีเดียว

 

 

To Be Continued...

 

______________________________________________________________

กลับมาแล้วค่าาาาา  คิดถึงกันไหมเอ่ย

ก่อนหน้านี้เราแจ้งในเพจไปบ้างแล้ว  แต่จะแจ้งอีกครั้งนะคะ

ช่วงที่หายไปเราวุ่นๆกับการหางานใหม่ พอกลับมาเขียน ตัดใจจากงานใหม่ได้

ก็โดนย้ายสาขาที่ทำงาน เพราะเราเขียนใบลาออกแล้ว พอยกเลิกก็เลยต้องย้ายสาขา

สาขาใหม่ก็ต้องปรับตัวใหม่  เวลาทำงาน หรือเพื่อนร่วมงาน วิธีการทำงานก็ปรับใหม่

จนเราแบ่งเวลามานั่งพิมพ์ไม่ได้  กลับถึงห้องก็หลับ ตื่นก็ถึงเวลาไปทำงาน

พอเริ่มปรับตัวได้ก็มีมหากรรมสอบที่วิทยาลัย

เราก็วุ่นกับการเคลียร์งานส่ง   และอ่านหนังสือสอบอีก

จนตอนนี้สอบเสร็จแล้ว  แต่วันที่  10  เราจะกลับต่างจังหวัด(ลูกพี่ลูกน้องบวช)

จากที่จะกลับมาอัพที่เดียว  2  ตอน  หลังพิมพ์เสร็จ  ก็ต้องเลื่อนออกไป เปลี่ยนเป็น

ทยายลงเท่าที่ทำเสร็จก่อน



แล้วเจอกันจ้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 23 จุดร่วม
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 02-04-2017 23:03:47
ตอนที่  23
จุดร่วม




โพล๊ะ จ๋อม!



มวลน้ำที่อัดเกาะกันเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่กว่ากำมือผู้ใหญ่เล็กน้อย แตกกระจายล่วงลงสู่ถังน้ำที่วางรองอยู่เบื้องล่าง ตรงหน้าของร่างขาวซีดของเด็กน้อย เพราะเผลอใจลอยจนหลุดจากสมาธิ



แร็กนาร์นั่งอยู่ในห้องพักของตนพร้อมถังน้ำที่สูงถึงอกในขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น  เขายังคงไม่ยอมแพ้  ตั้งสมาธิแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง



โพล๊ะ จ๋อม!



และแล้วมันก็ยังคงมีผลลัพธ์เช่นเดิม เมื่อน้ำในถังส่วนหนึ่งเกาะรวมกันเป็นกลุ่มก้อนรอยต่อภายในก็เชื่อมต่อโมเลกุลอย่างหนาแน่นก่อนลอยตัวขึ้นจากถังน้ำตามการขยับมือของร่างเล็ก แต่เมื่อคนขาดสมาธิอย่างที่ตนไม่ควรจะเป็นในเวลานี้ เผลอให้สมองจดจ่อกับเรื่องอื่น  ก็ทำให้น้ำที่เกาะรวมกลุ่มกันนั้นล่วงลงสู่ถังไม้แล้วแตกกระจายลงไปรวมกับน้ำที่ยังคงอยู่ในถังนั้น



หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดต่างๆกับหมอชราทำให้แร็กนาร์ลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้งจนเขาพอจะเข้าใจในพลังของตนเพียงคร่าวๆไปได้บ้างแล้ว แม้ไม่กระจ่างชัดนักก็ตาม



หลายสิ่งหลายอย่างเชื่อมโยงกันแต่ยังคงมีเรื่องค้างคามากมาย เพราะจากข้อมูลแล้วลูกครึ่งจะมีพลังที่ได้รับจากพ่อและแม่ของตนเท่านั้น  แต่เขากลับแตกต่าง...ริเรน่า แม่ของแร็กนาร์นั้นเป็นผู้ใช้ธาตุลม และพ่อของเขาเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์ พอลองเปรียบเทียบข้อมูลแล้วจึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะสามารถใช้ธาตุน้ำได้



ไม่เพียงเท่านั้น สีผมที่ใช้กำหนดเผ่าพันธุ์ของเขาก็แปลกประหลาด ทั้งๆที่ริเรน่าเป็นมนุษย์ธาตุลม เขาจึงควรมีผมตรงกลางศีรษะเป็นสีน้ำตาล  แต่ผมของเขากลับเป็นสีดำ เช่นเดียวกับรูร์กัสที่ใช้ธาตุดินเสียได้...ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้อีกเช่นเดียวกัน



ปริศนามากมายเกาะกุมหัวใจของแร็กนาร์ จากข้อมูลเหล่านั้นเขาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ามันต้องเกี่ยวพันธ์กับช่วงเวลา   1  ปีที่ริเรน่าหายไปกับพ่อแท้ๆของเขาแน่นอน



และอีกสิ่งหนึ่งที่รบกวนการฝึกของเขาอยู่นี้นั้นหนีไม่พ้นหนังสือเล่มนั้น...



‘4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้’



ชื่อที่กระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในร่างกายของเขา วันนั้นแร็กนาร์ทำได้เพียงจ้องมองหน้าปกเท่านั้น เขาก็ถูกเรียกจากหน้าห้องสมุดด้านนอก จึงต้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้  และเพื่อไม่ให้ตนตกเป็นที่ต้องสงสัยจึงไม่เสี่ยงที่จะหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาด้วย



ผ่านมา  3  วันแล้ว  ที่เขาออกจากห้องนั้นและไม่ได้กลับเข้าไปอีก  เป็นเพราะเป็นเหตุวุ่นวายในช่วงนี้จึงมีการตรวจสอบค้นหาศัตรูที่ลักลอบเข้ามาอย่างเคร่งคัด   และตัวเขาเองก็ถูกจับตามองจากชายผู้ทีนามว่า  ซาดาโอะ  ที่ต้องเข้าไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดนั้นด้วยกันเสียทุกครั้งไป  แร็กนาร์จึงทำได้เพียงอ่านหนังสือเกี่ยวกับโลกภายนอก และสมุนไพรในแดนปีศาจอย่างเงียบๆเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น  มันทำให้วันนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวันที่เขาฝึกเพื่อให้ลืมเรื่องคาใจเหล่านั้น



แต่ด้วยที่แร็กนาร์เป็นคนจำพวกที่ไม่ชอบให้มีเรื่องค้างคาใจจึงทำให้เขาคิดไม่ตกอยู่เช่นนี้เอง  ได้แต่นั่งภาวนาให้ซาดาโอะติดธุระสำคัญจนไม่อาจปลีกตัวมานั่งจับตามองเขาได้อยู่เช่นนั้นเอง



‘เป็นที่ปรึกษากลุ่มแท้ๆแต่ทำไมถึงว่างนักนะ หนอยยย’



เฮ้อ



ถึงจะก่นด่าในใจไปมากมายเพียงใดแต่เขาก็ไม่อาจหาทางออกได้ นั่นเป็นเพราะแร็กนาร์กับซาดาโอะนั้น  เป็นคนประเภทเดียวกันจึงกินกันไม่ลงนั่นเอง  ทำได้เพียงดูท่าทีของอีกฝ่ายไปเช่นนี้จนแน่ใจว่าตนเหนือกว่าจึงจะยอมลงมือ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะก่อกวนจนซาดาโอะจนผละลุกออกไปเอง



‘ช่างเถอะ  มาสนใจเรื่องพลังของเราดีกว่า  ให้มืดค่ำกว่านี้ก่อนแล้วค่อยลองไปอีกรอบก็แล้วกัน...ขออย่าได้พบอย่าได้เจอกันเลย  เฮ้ออออ’



แร็กนาร์ใจจดจ่อส่งคำสั่งไปที่มวลน้ำในถังอีกครั้ง  คำสั่งใช้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์  ซึ่งสวนทางกับเวทมนต์หรือพลังวิเศษอย่างสิ้นเชิง



แต่นั่นเป็นความพิเศษของเขาไม่แน่ว่าเพราะเดิมทีแร็กนาร์ไม่ใช่คนของโลกใบนี้ พลังบางอย่างจึงใช้ได้อย่างอิสระหากเข้าใจและใส่คำสั่งที่ถูกต้องลงไปก็เป็นได้



ก่อนหน้านี้แร็กนาร์ทดลองใช้พลังที่ซับซ้อนมากขึ้น อย่างเช่นการสร้างแก๊สธรรมชาติซึ่งเป็นธาตุไฮโดรคาร์บอน[CH4]  แล้วนำมารวมกับออกซิเจน [O] ในอากาศอย่างรวดเร็วจนเกิดการคายความร้อนและลุกไหม้  แต่มันก็เกิดขึ้นเป็นเพียงจุดเล็กๆเท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น  เป็นเพราะพลังยังไม่เสถียรมากพอนั่นเอง

 

 

แร็กนาร์จึงกลับมาที่จุดเริ่มต้นของพลังน้ำ  [H2O] ที่เข้าใช้พลังครั้งแรกโดยความบังเอิญ ซึ่งเป็นสมการเคมีที่เรียบง่าย และคุ้นเคยเป็นอย่างดี



ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเขามีประโยชน์ขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อใส่ความเข้าใจและการเรียนรู้ที่ถูกต้องเข้าไป ทำให้เขาสามารถใช้พลังได้อย่างอิสระ  แต่ต้องฝึกฝนจนชำนาญเสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วพลังจะไม่เสถียร  แล้วยังมีพลังน้อยนิดจนไม่อาจใช้ต่อสู้ได้



ตั้งแต่วันที่เข้าใจถึงสถานการณ์ของตนเอง  แร็กนาร์ก็ทดลองใช้พลังของตนครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะพลังพื้นฐานที่เขาใช้ได้ดีที่สุดอย่างการใช้น้ำ  เขาฝึกฝนมันบ่อยที่สุดเพื่อให้ใช้มันได้อย่างดีที่สุดเมื่อถึงเวลาที่ต้องการ



‘ตอนนี้ขนาดแค่สูตรพื้นฐานอย่าง [H2O]   ยังใช้ยาก ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กันนะถึงจะใช้พลังอื่นๆได้อย่างคล่องแคล่ว   



เอาเถอะๆลืมมันไปก่อนก็แล้วกัน   มีสมาธิกันการฝึกฝนดีกว่าแร็กนาร์...แล้วก็ใช้มันจัดการไอ้ซาดะนั่นคนแรกซะเลย หึ่ยยยย...จะเหมือนเราอะไรนักหนาวะ’




ร่างยังเด็กเล็กนักแต่วิญญาณกลับผ่านโลกมามาก  รู้สึกรำคาญใจเมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่เพียงฝีมือห่างกันไม่มาก   นิสัยยังคล้ายกันจนแทบหาความแตกต่างไม่เจอนี่อีก



แร็กนาร์ฝึกรวมมวลของน้ำซ้ำๆสลับกับการใช้คำสั่งเรียกน้ำที่ระเหยอยู่ในอากาศมารวมตัวกัน รวมทั้งจับเคล็ดลับไปใช้สร้างน้ำจากร่างกายของตนให้ได้มากขึ้น เขาทำเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ตนชำนาญการใช้พลังนี้ให้ได้มากที่สุด การสัมผัสน้ำจริงๆแล้วใช้ร่วมกับมโนสำนึกมันช่วยเสริมสร้างให้การฝึกฝนนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วจนเขาพอใจเป็นอย่างยิ่ง



ใครได้มองคงเห็นเป็นภาพแปลกประหลาด จนน่าอัศจรรย์ใจอย่างแน่นอน  เพราะในโลกใบนี้คงไม่มีผู้ใดใช้วิธีพิลึกพิลั่นเช่นแร็กนาร์อีกแล้ว

..

..

..

จวบจนเวลาผ่านไปจนฟ้ามืดแร็กนาร์จึงลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งไปยังห้องสมุดของกลุ่มยาฉะ  เขาเดินไปตามทางที่ยาฉะ  เบียกโกะให้ใช้สำหรับหลบเลี่ยงลูกสมุนของกลุ่มยาฉะหากต้องการเดินไปยังห้องสมุด



ขณะเดินอยู่รอบด้านมีเสียงดังมากมายให้เขาได้ฟัง บ่งบอกว่าในเวลานี้บ้านใหญ่กลุ่มยาฉะวุ่นวายมากเพียงใด แต่แร็กนาร์ก็เลือกที่จะไม่สนใจ   ดังนั้นเขาจึงเดินไปยังห้องสมุดด้วยตัวคนเดียวอย่างเงียบเชียบ  พร้อมด้วยความหวังว่าอย่าได้เจอกับซาดาโอะเลย...



ครืดดดดดดดด



แต่สุดท้ายความหวังก็ไม่เป็นดั่งใจคิด  หลังบานประตูที่เปิดออกด้วยฝีมือปีศาจสายพันธุ์เสือชีตาร์ ซึ่งเดินออกมาจากในห้องสมุด มันยิ้มมุมปากอย่างเย้ยๆ  ที่ตนเองนั้นโชคดีกว่า ส่วนแร็กนาร์นั้นช่างโชคร้ายที่ได้เจอกับเขาเสียได้



“สายันสวัสดิ์เด็กน้อย” เสียงราบเรียบที่แฝงด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีกล่าวออกมา หลังจากที่คิดว่าตนมาเสียเที่ยวเสียแล้วในวันนี้  แต่พอจะกลับออกไปจัดการงานที่เหลืออยู่ก็ได้พบเจอกับเป้าหมายเสียก่อน



“ด้านนอกเกิดเรื่องวุ่นวาย ท่านยังใจเย็นเช่นนี้จะดีหรือ”  แร็กนาร์ไม่ได้ตอบกลับเขาเลือกที่จะถามตามความคิดกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์



“ข้ารู้ว่าเรื่องใดสำคัญกว่า...และเรื่องใดยังไม่ถึงเวลา” คำตอบของซาดาโฮะแฝงไว้หลายความหมาย เรื่องใดสำคัญ   เรื่องใดยังไม่ถึงเวลา หากคนทั่วไปได้ฟังอาจจะไม่คิดสิ่งใด แต่กับแร็กนาร์มันสื่อได้หลายเรื่องทีเดียว



เรื่องใดสำคัญกว่า...สำหรับที่ปรึกษากลุ่มยาฉะ  การเฝ้าเด็กตัวเล็กนั้นสำคัญกว่าปัญหาของกลุ่มอย่างนั้นหรือ   แล้วยังไม่ถึงเวลาอันใด ต้องรอให้เกิดเหตุที่ร้ายแรงยิ่งกว่าหัวหน้ากลุ่มถูกวางยาพิษอีกหรือ  จึงจะถึงเวลาอันควร  จะคิดอย่างไรก็ไม่อาจหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลกับคำตอบได้



และนั่นมันเป็นเหตุให้แร็กนาร์มั่นใจว่าซาดาโอะเองก็สงสัยเขาอยู่ไม่น้อยเลย หลังจากนี้เขาคงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะซาดาโอะคงไม่ใจเย็นจนถึงขนาดปล่อยให้แร็กนาร์ทำลายแผนการของตนได้  การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องที่พึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง



ในความเป็นจริงนั้นแร็กนาร์สันนิษฐานได้อย่างใกล้เคียง  แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้คือ  ความรู้สึกของซาดาโอะที่มีต่อแร็กนาร์  ไม่ใช่เพียงสนใจแต่เขาชอบบรรยากาศรอบๆตัวของคนตัวเล็ก มันช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง  ยิ่งได้เข้าใกล้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา  มันยิ่งทำให้เขาได้ซึมซับความผ่อนคลายอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ในวันนี้เขาจึงยึดติดในการรอคอยแร็กนาร์จนล้มเลิกกำหนดการในช่วงเวลาที่ผ่านมาเสียหมด  ถึงไร้วี่แววแต่เขาก็ยังคงรอจนถึงเวลานี้



“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าปรึกษาการใช้พลังกับท่านหมอ”  หลังเงียบอยู่นานซาดาโอะก็เริ่มต้นสนทนาอีกครั้ง พวกเขายังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเลี่ยงไปที่ใด  ยืนจ้องหน้ากันอยู่เช่นนั้นตั้งแต่เปิดประตู



“ใช่”  แร็กนาร์ยังคงตอบกลับไปตรงๆแม้ยังคงสงสัยว่า เหตุใดปีศาจตนนี้จึงรู้เรื่องราวของตนกับหมอชรา แต่หากพอคิดดีๆแล้วคงไม่มีสิ่งใดน่าตกใจนัก   เพราะเรื่องที่เขาทำไปนั้นไม่ใช่ความลับ  เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนความรู้เท่านั้น   จึงไม่ได้กำชับหมอชราให้เก็บไว้เป็นความลับ  ไม่แปลกนักที่หมอชราจะกล่าวออกไปหากมีผู้ใดซักถาม



 “เจ้าเป็น  0.02% เช่นนั้นรึ   หึหึ  ช่างน่าสนใจจริงๆ” แร็กนาร์เข้าใจในสิ่งที่ซาดาโอะต้องการสื่อในทันที เพราะ   0.02%  คืออัตราของลูกครึ่งมนุษย์กับปีศาจที่สามารถใช้พลังได้นั่นเอง



“มันสำคัญอันใดกับท่านอย่างนั้นรึ”



‘เกี่ยวอะไรกับแกวะ’



คำที่ตอบกลับและเสียงความคิดภายในใจเกิดขึ้นพร้อมๆกัน  มันช่างต่างกันลิบลับ  แต่ก็แฝงความไม่พอใจในความรู้สึกนั้นไม่ต่างกัน



แม้ความคิดเช่นนั้นของซาดาโอะจะเข้าทางเขาพอดี   แต่ก็อดที่จะรู้สึกไม่พอใจไม่ได้เลย เพราะหากทุกคนต่างเข้าใจว่าเขาเป็นลูกครึ่งที่มีพลังมันก็ง่ายที่จะใช้เป็นข้ออ้างต่อไป  แม้จากบันทึกต่างๆจะไม่มีข้อมูลพลังที่เขาได้รับ  แต่หากยังพอให้คนอื่นเข้าใจผิดได้เขามีเหตุผลใดเล่าที่จะปฏิเสธมัน



“ข้าคงไม่อาจให้คำตอบเจ้าได้...รู้เพียงว่ามันช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”  ซาดาโอะยังคงไม่เผยสิ่งใด   นั่นเป็นนิสัยที่แร็กนารไม่ชอบใจเอาเสียเลย  เพราะมันเป็นนิสัยเดียวกับเขาที่จะไม่เผยข้อมูลใดๆหากไม่เป็นผลดีต่อตนเอง  และยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อีกด้วย  มันจึงเป็นการยากยิ่งที่จะล่อหลอกเอาข้อมูลมา  เพราะแม้เขาจะพูดจาน้อยนิด  แต่หากเป็นการล่อหลอกให้อีกฝ่ายคลายข้อมูลสำคัญ  เขาก็ทำได้ดีเสียจนใครหลายคนตกใจ   



“เสียดายสิ่งใด”  การหลอกล่อซาดาโอะไร้ผลทุกครั้ง ครั้งนี้แร็กนาร์จึงเลือกที่จะถามสิ่งที่ค้างคาใจออกไปตรงๆแทน ซึ่งเขารู้ดีว่าซาดาโอะจะเผยเพียงข้อมูลที่ตนจะได้ผลประโยชน์ในภายหลังเท่านั้น   แต่จะสำคัญอันใดเล่า เขาเพียงเลือกข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ก็เพียงพอแล้ว  หากระวังให้ดีเขาเองก็คงได้ประโยชน์กลับมาบ้าง...ไม่มากก็น้อย



“พลังของเจ้าปั่นป่วนยิ่งนัก   อาจารย์ดีๆก็ไม่อาจมีได้  ช่างน่าเสียดายจริงๆ”  คิ้วของแร็กนาร์ขมวดมุ่น  สิ่งที่ซาดาโอะกล่าวมามันถูกต้อง  เพราะเขาฝืนกฎของโลกใบนี้ พลังในกายจึงได้ปั่นป่วน  และยังไม่อาจหาวิธีแก้ไขได้



“ข้าไม่ต้องการอาจารย์” คำกล่าวตอบนี้ดังตอบคำถามมากมายในคราเดียว  การตอบสั้นไร้คำอธิบายดังนิสัยของเขา



 

‘หึ  อาจารย์สำคัญอะไร  ในเมื่อพลังที่เราใช้อยู่มันไม่ได้มาจากโลกนี้โดยตรง...หรือต่อให้ต้องการ คนๆนั้นก็ไม่มีทางเป็นแกแน่ ที่พูดต้องการอะไรกันแน่นะเจ้านี่’




จากนั้นแร็กนาร์ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เขาเลือกที่จะเดินผ่านซาดาโอะจากช่องว่างที่เหลืออยู่จากพื้นที่ที่ซาดาโอะยืนขวางเอาไว้ด้านหน้าประตู



“เดี๋ยว” ในจังหวะที่ร่างเล็กเดินผ่านช่องว่างข้างๆตัวเขาเข้าไป  ซาดาโอะก็เอ่ยเสียงนิ่งหยุดการกระทำของคู่สนทนานั้นไว้ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง พร้อมยื่นมือเข้าไปขวางร่างของแร็กนาร์เอาไว้ในมือของเขาปรากฏห่อผ้าสีขาวห่อเล็ก ที่มีเชือกสีดำผูกปิดห่อเอาไว้



แร็กนาร์มองถุงนั้นแล้วเงยหน้าสบตาเจ้าของห่อผ้าอันกระจิดริดด้วยสายตางุนงงสงสัย  เขาทำความเข้าใจกับความคิดของซาดาโอะไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจหาคำมาอธิบายพฤติกรรมอันแปลกประหลาดนี้ได้



“รับไปสิ  มันช่วยเจ้าได้...ถ้าไม่เชื่อก็ลองสอบถามท่านหมอดูก่อน แล้วก็อย่าได้ปฏิเสธ เพราะการช่วยเจ้าครั้งนี้  มันมีผลตอบแทนที่น่าพอใจต่อข้าในอนาคตแน่นอน”  หลังจากจบประโยคแร็กนาร์ก็เลิกคิดลังเล แล้วยื่นมือออกไปคว้าเอาห่อผ้าห่อเล็กนั้น



จะอย่างไรเมื่อมีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า  เขาก็เลือกที่จะคว้ามันไว้ แม้มันอาจจะเป็นกับดักในภายหลังก็ตาม...เขาไม่เข้าใจ จะอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจ เขารู้เพียงว่า ความนึกคิดของซาดาโอะนั้นซับซ้อนเกินจะเข้าใจได้ด้วยข้อมูลอันน้อยนิดที่เขามีในตอนนี้



“เดี๋ยว”  ครานี้แร็กนาร์เอ่ยปากให้ซาดาโอะหยุดบ้าง  เมื่อซาดาโอะก้าวเดินจากไปหลังจากที่เขารับห่อผ้าสีขาวเอาไว้ ทางฝั่งซาดาโอะเองก็ไม่ได้ขัดข้อง เขาหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับไปมองแร็กนาร์ที่ยังคงหันหลังในเขาอยู่ตามเดิมไม่ได้หันมามองเขาแต่อย่างใด



“เบียกโกะไม่ใช่คนโง่ หยุดเสียดีกว่า...คำเตือนจากข้า หวังว่ามันจะมีค่ามากพอหากเจ้าต้องการรักษาชีวิต และข้าไม่ชอบติดค้างบุญคุณใคร”



ครืดดดดด ปึ้ง



ประตูปิดลงด้วยมือของแร็กนาร์หลังจากที่เอ่ยเรื่องที่ต้องการกล่าวจบ แต่ในใจของเขากลับยังคงสับสน อาจจะเพราะด้วยเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เท่าเทียมจากคนอื่นๆมาตลอด  จึงนิ่งนอนใจไม่ตอบแทนสิ่งใดให้ซาดาโอะไม่ได้  แม้รู้ว่าอาจมีภัยร้ายเพิ่มขึ้นในอนาคตก็ตาม 



แร็กนาร์ยืนนิ่งหน้าประตูจนได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป เขาจึงผ่อนคลายหัวใจที่อันแน่นด้วยความหวาดระแวงลงอย่างไม่รู้ตัวเลยว่า ส่วนหนึ่งในใจมีความห่วงใยบางๆก่อตัวขึ้นต่อผู้ที่เดินจากไปเมื่อครู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ



“ข้ารู้เด็กน้อย...แต่ข้าไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกแล้ว”  ทางด้านซาดาโอะเองก็กล่าวตอบกลับเบาๆหลังจากที่เดินห่างจากห้องสมุดด้วยความเหม่อลอย รอยยิ้มบางๆประดับริมฝีปากดังยอมรับชะตากรรม เพราะอย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อรับรู้ถึงความห่วงใยที่ส่งผ่านคำเตือนนั้น...อย่างไม่ทราบสาเหตุของอาการสบายใจของตน  ไม่ต่างจากร่างเล็กที่หายไปในห้องเช่นเดียวกัน

..

..

..

ย้อนกลับไปยังห้องสมุดหลังจากที่แร็กนาร์สลัดสิ่งต่างๆทิ้งไปจนหมดจนเหลือไว้เพียงความเยือกเย็นที่อยู่ในดวงตา...ดวงตาที่ไม่เหมาะกับเด็กอายุ 8  ขวบแม้แต่น้อย



เมื่อทุกอย่างในกายสงบลง แร็กนาร์ก็รีบเดินตรงไปยังห้องลับอย่างไม่รอช้า พอเข้าไปได้ก็ตรงใบหยิบหนังสือที่ยังคงวางอยู่บนชั้นวางที่เดิมของมัน แล้วเดินไปวางลงบนโต๊ะ พอก้นสัมผัสเก้าอี้   แร็กนาร์ก็เริ่มไล่สายตาอ่านตัวอักษรตั้งแต่หน้าปกหนังสือ ที่เขายังจำมันได้เป็นอย่างดี



‘4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้’



ลายมือที่เขียนจากพู่กันวิจิตงดงามโค้งงออย่างอ่อนช้อย บ่งบอกได้ว่าผู้เขียนบันทึกเล่มนี้เป็นอิสตรี มือบางเปิดเข้าไปอ่านหน้าแรกอย่างไม่รีบร้อน  พบว่ามันเป็นบันทึกเรื่องราวดังชีวประวัติของเหล่าทหารหาญแห่งเขตใต้   ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเขตเหนือมาอย่างยาวนาน



แร็กนาร์ไล่เรียงอ่านความเป็นมาของปีศาจเหล่านั้นด้วยใจเต้นระทึกดังจังหวะกองที่สั่นระรัวไม่ต่างจากเดิม  เสียงที่เปล่งออกมาก็ขาดๆหายๆเพราะหายใจไม่คล่องปอด  ดังว่าอักษรเหล่านั้นมีพลังที่เอ่อล้นออกมาจนต้องเหน็ดเหนื่อยต่อการรับรู้ข้อมูลเหล่านี้



“4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ เป็นหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์กว่า  1,000  ปีของแดนพยัคฆ์  ซึ่งขึ้นตรงต่อผู้นำกลุ่มโฮชิ  กลุ่มใหญ่ที่ควบคุมเขตใต้ในเวลานั้น พวกเขาสาบานตนเป็นพี่น้องกับหัวหน้ากลุ่มโฮชิ ด้วยความจงรักภักดีพร้อมร่วมเป็นร่วมตายกับน้องเล็กของพวกเขา  หรือก็คือผู้นำกลุ่มโฮชิในเวลานั้น  พวกเขาทั้ง  5  ต่อสู้ร่วมกันมาอย่างยาวนาน...” แร็กนาร์หอบหายใจเพียงอ่านได้ย่อหน้าเดียว  เขารู้สึกทรมานดังหัวใจจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ  แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่อยากหยุดอ่านบันทึกเล่มนี้  แร็กนาร์จึงหยุดพักหลับตาลง หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ   เพื่อปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แล้วเริ่มอ่านต่อ



“4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ เป็นดังเงาตามตัวของผู้นำกลุ่มโฮชิ แม้ให้สัตสาบานตนเป็นพี่น้อง แต่ก็ยังคงทำหน้าที่...ของ..ตน อย่างเข้มงวด จึงมีน้อยครั้งนักที่ปีศาจทั่วไปจะได้พบเห็นพวกเขา



แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนามของพวกเขาก็ประจักษ์ทั่วแดนปีศาจทั้ง  3  ดินแดน  แม้จะไม่เคยพบเห็นใบหน้าของพวกเขาก็ตาม



นามของพวกเขาที่ปีศาจทั้งหลายได้ประจักษ์เรียงตั้งแต่พี่ใหญ่  พี่รอง  พี่สาม จนถึงพี่สี่ มีดังนี้



ซาซากิ  ฮาจิเมะ



ฟุคุนากะ ทาคุมะ



ซาคุมะ   ไดจิ



และ ฟุชิมิ คาสึกิ



แต่ถึงแม้ปีศาจทั้งหลายจะรู้จักนามของพวกเขา น้อยคนนักที่จะเรียกขานเขาด้วยชื่อ  ปีศาจทั้งหลายล้วนเรียกขานพวกเขารวมกันว่า ‘4   องครักษ์เงาแห่งเขตใต้’ ชื่อที่ต้องกลายเป็นตำนานที่ยังคงตราตรึงในใจของปีศาจทุกตนสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน...” เป็นอีกครั้งที่แร็กนาร์หยุดลง  เพราะครั้งนี้เขากลั้นใจอ่านมากกว่าคราแรกไปไกลโข  หัวใจจึงเต้นถี่รัว จนต้องอ้าปากกอบโกยเอาอากาศเข้าไปเติมเต็มระบบหายใจให้หายใจได้เป็นปกติ



จนแล้วจนรอดแร็กนาร์ฝืนอ่านต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ แม้ทรมานเพียงใดก็ตาม  หน้าถัดไปบอกถึงลักษณะ  สายพันธุ์ อายุ  และความถนัดของแต่ละตนเอาไว้ มีรายระเอียดยิบย่อยมากมาย  แต่ก็มีเพียงความถนัดเท่านั้นที่เขียนพอคร่าวๆดังต้องการปิดเอาไว้ไม่ยอมเผยจุดอ่อน



แม้ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของผู้บันทึกหนังสือเล่มนี้ แร็กนาร์ก็ยังคงอ่านต่อไป จนเวลาแห่งความอยากรู้อยากเห็น และความอดทนอดกลั้นผ่านไปหลายชั่วยาม ในระหว่างที่อ่านก็ยังคงปวดในอก ความทรงจำบางอย่างวูบไหวขึ้นในหัวอย่างลางเลือน ดังมองเห็นรูปจำแลงขององครักษ์ทั้ง 4  อยู่ตรงหน้าของเขา  แร็กนาร์จึงยิ่งมั่นใจว่า 4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้มีความเกี่ยวข้องกับโซ่ตรวนที่อยู่ภายในใจของร่างนี้อย่างแน่นอน...หากเป็นเช่นนั้นคงอีกไม่นานนักที่ความทรงจำเหล่านั้นจะเผยออกมา



แร็กนาร์หยุดพักครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจทราบ  แต่พอมองดูจำนวนหน้าที่อ่านผ่านไปคำนวณกับการหยุดพักและอ่านอย่างยากลำบากที่ผ่านมา  เขาจึงรู้ว่าตนหายเข้ามาในนี้หลายชั่วยามมากเกินไปแล้ว  มือบางค่อยๆยกหนังสือขึ้นปิดหลังจดจำหน้าหนังสือที่อ่านล่าสุดเรียบร้อยแล้ว  จากนั้นจึงยืนขึ้นจากเก้าอี้แล้วยกหนังสือขึ้นเพื่อนำไปวางบนชั้นดังเดิม



พรึ่บ



เมื่อได้ออกแรงเขาก็รับรู้ได้ว่าสภาพร่างกายและจิตใจของเขาเสียหายไม่น้อยเลยหลังจากที่อ่านบันทึกเมื่อครู่ มือของเขาจึงได้หมดแรงเช่นนี้ถึงขั้นทำหนังสือล่วงหลุดมือตกลงไปบนพื้นจนได้



แร็กนาร์ก้มลงหมายจะเก็บหนังสือที่ล่วงหล่นก็ต้องชะงักมือไว้เมื่อสะดุดตากับข้อความในวรรคแรกของหน้าที่เปิดออก  จากที่จะเก็บขึ้นมาเพื่อเก็บไว้ที่เดิม   เขาจึงเปลี่ยนเป็นหยิบมันขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วนั่งอ่านด้วยใจเต้นระทึก



“ในปีนั้นเกิดสงครามแย่งชิงการเป็นหัวหน้ากลุ่มยาฉะตนต่อไป  ยาฉะ  เบียกโกะ  ลูกชายคนเล็กของหัวหน้ากลุ่มที่จากไป  ได้ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปถึงหน้าหน้ากลุ่มโยชิตนปัจจุบันซึ่งพวกเขาไม่เพียงเป็นพันธมิตรต่อกัน  พวกเขายังเป็นสหายสนิทที่สามารถตายแทนกันได้อีกด้วย



หัวหน้ากลุ่มโยชิ พร้อมด้วย  4  องครักษ์เงาแห่งเขตใต้  รุดหน้ามายังเขตเหนือทันทีที่ได้รับจดหมายฉบับนั้น  และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของ   พวกเขาทั้ง 5 ชีวิต  ปิดตำนาน  หัวหน้ากลุ่มโยชิผู้เกรียงไกร และ  4  องครักษ์เงาผู้จงรักภักดีไปตลาดกาล...”



ตึกตัก  ตึกตัก



หัวใจที่เต้นถี่รัว  เพิ่มความเร็วขึ้นอีกอย่างไม่เกรงใจเจ้าของร่าง   ร่างกายของแร็กนาร์สั่นไหวหนักกว่าทุกครา  แต่เขาก็ไม่คิดที่จะหยุดอ่าน  มือบางที่สั่นเทายกขึ้นกำตำแหน่งหัวใจข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ยื่นมือไปเปิดหนังสือหน้าถัดไป



ความหวังมากมายเกิดขึ้นในใจ  แต่เมื่อดวงตาได้ประจักษ์ความหวังกลับมอดดับลงอย่างรวดเร็ว   เมื่อหน้าต่อไป   มีอักษรที่เขียนไว้เพียงบรรทัดเดียวด้วยตัวหนังสือไม่เป็นระเบียบเท่าหน้าอื่นๆ พร้อมรอยหมึกที่หยดลงบนกระดาษเป็นวงกลมน้อยใหญ่หลายจุด และพอลองมองหน้าถัดไปจึงรู้ว่ามันว่างเปล่า บันทึกจบลงเพียงเท่านั้น...



แร็กนาร์หลับตาลงด้วยความผิดหวังที่จุกในอก ผ่านไปสักพักเขาก็ลืมตาขึ้น  เพราะใจเย็นลงมากแล้ว  จากนั้นจึงสำรวจหน้านั้นอีกครั้ง และเมื่อใจเย็นลง ประสาทสัมผัสจึงรับรู้สิ่งต่างๆได้ดีขึ้น  กลิ่นฉุนของเลือดที่คละเคล้ากับกลิ่นน้ำหมึกจางๆลอยมาแตะจมูก  ทำให้เขาเข้าใจในทันที



‘ไม่ใช่ว่าไม่อยากเขียนต่อ...แต่เจ้าของบันทึกฉบับนี้ไม่อาจเขียนต่อได้อีกแล้วต่างหาก’



บันทึกจึงจบลงเพียงประโยคสั้นๆที่เป็นรอยต่อของเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่มีใครบางคนอยากปกปิดเอาไว้ตลอดกาล...



“จวบจนถึงค่ำคืนแห่งจุดจบ...”

 

 

To Be Continued...



________________________________________________________________

กลับมาแล้วค่าาา หายไปอีกแล้ว

มีข้อแก้ตัวมาอีกตามเคย ไม่รู้จะเบื่อกันรึยัง (แหะๆ)

กรีนขอโทษนะคะ ที่ชอบมีเรื่องแบบนี้เข้ามาประจำ

ทุกคนคงทราบดีว่าช่วงนี้มีงานสัปดาห์หนังสือ ส่วนตัวกรีนเองนั้น

ทำงานอยู่ร้านหนังสือร้านหนึ่งค่ะ ช่วงก่อนหน้านี้ที่หายไปเพราะช่วงเตรียมงาน

ส่วนช่วงนี้ร้านก็วุ่นๆเพราะคนไม่พอ  เนื่องจากต้องแบ่งคนออกไปขายหนังสือตามบูธ

กรีนกลับถึงบ้านก็เลยน็อกทุกทีเลย 

ส่วนวันนี้วันหยุดก็ยังไปเรียนตามเคย รู้สึกผิดที่รับปากแล้วทำไม่ได้วันก็เลยโด๊ปกาแฟซะเลย555

(น่าจะทำตั้งนานแล้วเนาะ บ้าจริง)

สุดท้ายวันนี้ก็พิมพ์เสร็จค่าาาา ส่วนตอนต่อไปเขียนเสร็จแล้ว รอแค่พิมพ์ลงคอมฯ

กรีนจะพยายามลงให้ได้เร็วที่สุด  เพื่อชดเชยเวลาที่หายไปนะคะ จะพยายามอึดๆ

วันที่ 9 สอบเสร็จ ก็ปิดเทอม  คงจะได้ลงตามปกติ(ถ้าไม่ติดปัญหาอื่นๆ)

ขอไม่รับปากว่าจะลงตามปกติเนาะ ช่วงนี้ชีวิตกรีนวุ่นวายมากจริงๆ

ยังหาความสงบสุขไม่เจอเลย (ฮ่าๆ)

แต่จะพยายามมาอัพเดตความเคลื่อนไหวทุกวันนะคะ  จะได้รู้ว่าจะไม่ดองเค็มเรื่องนี้แน่นอน

ส่วนใครอยากพูดคุยก็ทักมาได้ค่ะ กรีนจะขยันๆเข้าไปตอบเนาะ

 

Facebook : Green Heat - หัวเขียว หรือพิมพ์ greenheatzoro

twitter :  @mato_dae
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 23 จุดร่วม (02/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 03-04-2017 00:31:37
สนุกมากค่ะ  o13

เรื่องงานก็สู้ๆนะคุณกรีน
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 23 จุดร่วม (02/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-04-2017 09:53:49
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 23 จุดร่วม (02/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-04-2017 08:17:31
ขอมาตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 24 เคลื่อนไหว (ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 12-04-2017 20:11:56

ตอนที่ 24
เคลื่อนไหว


แร็กนาร์วางหนังสือลงด้วยความรู้สึกมากมายที่ค้างคาในจิตใจ  เขาจึงลองกลับไปอ่านตอนก่อนๆหน้านี้ที่ข้ามมา  แต่มันกลับมีเพียงเรื่องราวในชีวิตของ  4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้เท่านั้น



ไม่รอช้าให้ตนหนักใจไปมากกว่านี้ แร็กนาร์นำหนังสือเล่มนั้นเก็บเข้าชั้นเดิม  แล้วลงมือค้นหาหนังสือเล่มอื่นๆที่พอจะมีข้อมูลของเหตุการณ์ในคืนนั้นอย่างมีความหวังว่ามันจะมีอยู่แม้เพียงสักเล่มก็ยังดี ร่างเล็กหาจนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายขึ้นตามใบหน้าและลำตัว...แต่ก็ไม่มีหนังสือเล่มใดเลยที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา



‘บ้าเอ๊ย นี่มันอะไรกัน กำลังถึงจุดสำคัญแท้ๆทำไมถึงเขียนต่อไปไม่ได้  ใครกันต้องการเก็บเรื่องพวกนี้ไว้เป็นความลับ ใครกันที่ทำเรื่องพวกนี้  คืนนั้นมันมีอะไรกันแน่ สำคัญอะไรถึงต้องปิดบัง ให้ตายเถอะมีแต่เรื่องค้างคาใจ...แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องรู้ให้ได้ คอยดูเถอะ หึ’



คนเขียนบันทึกอาจถูกสังหาร แล้วเป็นเพราะเหตุอันใดกันมันจึงไม่ทำลายบันทึกเล่มนี้ทิ้งเสีย คำถามนี้รบกวนจิตใจของแร็กนาร์เป็นอย่างยิ่ง  ขอสันนิษฐานมากมายปรากฏขึ้นในหัว แต่ก็ยังไม่อาจเลือกได้ว่าเรื่องใดเป็นความจริง



รอยหมึกคละเคล้ากับรอยเลือด  หมายความว่า  เจ้าของบันทึกถูกสังหารขณะเขียนบันทึกหน้าสุดท้าย ทำให้ตัดข้อที่ว่า เจ้าของบันทึกอาจจะหนีไปขณะเขียนทิ้งไป  เพราะดูจากรอยเลือดที่สาดกระจาย  มันเห็นได้ชัดว่า เจ้าของบันทึกไม่แม้แต่ขยับตัวหนีด้วยซ้ำไป  มันยิ่งทำให้เขาคิดไม่ตกว่า  ตกลงว่าบันทึกเล่มนี้เป็นความจริง  หรือเป็นเพียงกับดักกันแน่   คนเขียนเสียชีวิต แต่บันทึกยังคงอยู่  จะอย่างไรมันก็น่าสงสัยจนเกินไป...



ร่างเล็กนั่งลงพิงชั้นหนังสือแล้วชันเข้าขึ้นวางมือไปบนเข่าทั้งสองข้างอย่างหมดแรง เป็นท่าประจำเมื่อเขาไม่อาจสืบหาความจริงเรื่องใดๆได้แล้วต้องหยุดมันเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น แต่มันก็เป็นเพียงการพักใช่ว่าเขาจะยอมแพ้เสียเมื่อไหร่ แร็กนาร์เป็นเช่นนี้เสมอเมื่อเขาตัดสินใจทำสิ่งใดแล้วจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ  เขาจึงได้มีชื่อเสียงมากมาย  เพราะไม่ว่าเป้าหมายจะเข้าถึงยากเพียงใด เขาก็สามารถเข้าไปสังหารได้ตามกำหนดการ



ดวงตาสีดำหม่นมองทอดขึ้นไปบนเพดานห้อง เป็นสายตาที่ล่องลอย ปลดปล่อยความเครียดที่มีอยู่ในหัว ให้ล่องลอยไปในอากาศ  จากนั้นหลับตาลงราวกับต้องการพักผ่อนจากเรื่องราวที่ตนต้องพบเจอเมื่อครู่



แร็กนาร์นั่งหลับตาเงียบๆเรียบเรียงเรื่องราวในหัวเพื่อกำหนดสิ่งที่ตนต้องทำต่อไป ผ่านไปไม่นานนักดวงตาสีดำหม่นก็ค่อยๆลืมขึ้นมันทอประกายราบเรียบลุ่มลึกไม่เข้ากับเด็กวัย 8 ขวบ  แม้แต่น้อย   แผนการมากมายถูกเรียบเรียงขึ้นมาใหม่  หลังจากประติดประต่อเรื่องราวที่ได้รับรู้  ตั้งแต่ความทรงจำในร่างนี้  เรื่องราวจากปากรูร์กัส  ข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ในหนังสือที่อยู่ในบ้านหลังเล็กกลางป่า สิ่งที่ได้รู้จากเด็กฝาแฝด   คำบอกเล่าของหมอชรา  เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากเข้ามาเหยียบบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ รวมทั้งเรื่องที่ถูกบันทึกในหนังสือเล่มเมื่อครู่ด้วย



ร่างเล็กเรียบเรียงเรื่องต่างๆให้แบ่งแยกเป็นหัวข้อ แล้วแยกข้อมูลที่ตนต้องรู้เพิ่มเติมออกมาไว้เป็นส่วนๆ แจกแจงแผนการและสมมติฐานที่สันนิษฐานได้  รวมทั้งกำหนดบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อขึ้นมาอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้พลาดจุดสำคัญไป  สิ่งที่สำคัญคือการเตรียมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต



“4  องครักษ์เงา...พี่น้องร่วมสาบาน...สหายสนิทที่สามารถตายแทนกันได้...หัวหน้ากลุ่มโยชิ...หัวหน้ากลุ่มยาฮะ...เหตุการณ์ในคืนนั้น...”



หลังเอ่ยถ้อยคำที่ยังประติดประต่อกันยังไม่สนิท แร็กนาร์ก็ขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะผูกกันเป็นโบว์  เพราะเมื่อลองคิดทบทวนให้ดีๆมันกลับต่อกันได้พอดี  ขาดชิ้นส่วนสำคัญเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น



“หัวหน้ากลุ่มโยชิ...เช่นนั้นสินะ” กุญแจสำคัญของชิ้นส่วนที่ขาดหายคือ ปีศาจที่ยังคงเป็นปริศนา  มีเพียงชื่อตำแหน่งปรากฏในหนังสือเท่านั้น มันน่าแปลกประหลาดหากว่าเรื่องราวของปีศาจที่มีความสำคัญมากถึงเพียงนี้ไม่มีจดบันทึกเอาไว้  กระทั่งบันทึกที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องร่วมสาบานยังไม่มีชื่อปรากฏอยู่ นั่นหมายความว่า ชื่อของปีศาจตนนั้นต้องสร้างความเสียหายให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่วางแผนเรื่องราวต่างๆเอาไว้อย่างแน่นอน



แร็กนาร์ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง  แล้วเริ่มค้นหาบันทึกของปีศาจที่ตนต้องการทราบข้อมูลอย่างเร่งรีบ   เพราะต้องการรู้เรื่องราวต่างๆให้ได้เร็วขึ้นแม้เพียงสักนิดก็ยังดี

..

..

..

กลับไปยังสถานการณ์ของกลุ่มยาฉะ มีเหตุเกิดวุ่นวายตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง ยาฉะ  เบียกโกะ ก็เรียกเหล่าหัวหน้าหน่วยที่ยังประจำการอยู่ในบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะเข้าพบ เพื่อประชุมวางแผนการป้องกันเหตุที่เกิดขึ้นในค่ำคืนที่ผ่านมา



เมื่อวันก่อนได้มีการแบ่งพื้นที่สำหรับดูแลใหม่  ทำให้หน่วยลาดตะเวนที่แยกตัวไปสำรวจบริเวณศาลเจ้าคามาคุระ ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากหมู่บ้านเฮียวจินคุระไปยังทิศใต้ไปในป่าลึกยังไม่กลับออกมา



ศาลเจ้าคามาคุระ  เป็นที่สักการะของปีศาจในหมู่บ้านที่ต้องการมีบุตร  รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆที่อยู่โดยรอบอีกด้วย วัดนี้จึงเป็นเพียงแค่วัดที่ปีศาจมาขอบุตรเท่านั้น  ส่งผลให้ไม่เป็นที่สนใจของปีศาจที่ทำงานให้กลุ่มยาฉะมากนัก  จึงมีการเฝ้าระวังอย่างหละหลวม



แต่หลังจากเปลี่ยนหน่วยที่เฝ้าดูแลบริเวณนั้น  หัวหน้าหน่วยย่อยซึ่งสับเปลี่ยนคนของหัวหน้าเคียวจิที่ได้รับบาดเจ็บออกไป   แล้วใช้คนของหัวหน้าโกวโบเข้ามาประจำการแทน โกวจิน้องชายของโกวโบ  ผู้เป็นหน่วยย่อยในปกครองของพี่ชาย  รู้สึกไม่พอใจการทำงานของหน่วยย่อยก่อนหน้านี้ที่เฝ้าสังเกตการณ์อย่างหละหลวม  จึงส่งลูกสมุน  3 นาย เข้าไปสำรวจภายในศาลเจ้าอย่างถี่ถ้วย



ผ่านไปเกือบ 1วัน  พวกเขาก็ยังไม่กลับมา ปีศาจทั้ง  3  ตนที่ถูกส่งออกไปในหน่วยนับว่ามีฝีมือสูงมากทีเดียว  เขาจึงยิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจถึงลางร้ายที่คืบคลานเข้ามา  ในคืนนั้นเองโกวจิพร้อมด้วยปีศาจในหน่วยอีก  6 ตน จึงรุดเข้าไปสำรวจบริเวณศาลเจ้าอีกครั้ง  แต่ทุกอย่างกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย



จึงได้กลับมารายงานหัวหน้าใหญ่ในยามวิกาล  ไม่กลัวแม้แต่จะถูกลงโทษ เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนเพียงใด  หากไม่อยากให้เกิดเหตุเช่นเดิมที่นายน้อยถูกลักพาตัว   และหัวหน้าใหญ่ยังถูกวางยาพิษ พวกเขาจึงต้องระแวดระวังมากยิ่งขึ้น



จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ทำให้พวกเขาเข้าใจได้ในทันทีว่าศัตรูที่แฝงอยู่มีฝีมือ  และอำนาจในกลุ่มไม่น้อยเลย ทั้งยังฉลาดเฉลียวเป็นอย่างยิ่งจึงหาช่องว่างโจมตีพวกเขาได้หลายครั้งหลายคราเช่นนี้  ความเคลือบแคลงใจสงสัยก่อตัวเป็นหวาดระแวง เวลานี้ทั่วทั้งบ้านใหญ่  ต่างระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน



หัวหน้าหน่วยที่เข้าประชุมครั้งนี้ ต่างมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน   เพราะเหตุยังไม่คลี่คลาย แม้แต่พวกเขายังเริ่มระแวงกันเอง แต่กระนั้นก็รับคำสั่งของหัวหน้าใหญ่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง  นับว่าเป็นเหล่าผู้ถูกเลือกที่ไว้วางใจได้มากทีเดียว



หลังประชุมเสร็จ ยาฉะ  เบียกโกะ ก็เดินตรงไปยังห้องอาบน้ำรวม  ซึ่งมีบ่อน้ำร้อนให้แช่ในยามที่อยากผ่อนคลาย  แต่ในขณะก้าวเดินไปยังห้องอาบน้ำ  เขากลับไปยินเสียงพูดคุยมากมายที่ดังมาจากเหล่าลูกสมุนกลุ่มยาฉะที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น



ด้วยความสามารถระดับหัวหน้า การได้ยินเสียงจากระยะไกลจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา และด้วยความสามารถพิเศษซึ่งสืบทอดผ่านทางสายเลือดของตระกูลที่มีมาตั้งแต่บรรพกาล นอกจากรับรู้เสียง  และสั่งการสัตว์ต่างๆได้แล้ว เขายังสามารถแทรกแซงการมองเห็นจากด้วยตาของสัตว์ต่างๆในรัศมีของพลังที่แผ่ออกไปได้อีกด้วย



เมื่อความสามารถนั้นเริ่มทำงาน เบียกโกะก็มองเห็นได้หลากหลายทิศทางในเวลาเดียวกัน  ภาพที่เห็นผ่านดวงตาของสัตว์ที่อยู่บริเวณนั้น ทั้งมุมมองจากพื้นดิน บนต้นไม้  บนต้นหญ้า  บนท้องนภา ต่างมุ่งมาสู่ดวงตาของเขาในจุดเดียว ในคราแรกที่ใช้พลังนี้ผู้ใช้ถึงขั้นสับสนมึนงงจนสลบลงไปได้  เพราะแม้กระทั้งสัตว์ตัวเล็กๆที่โดนพลังก็ส่งภาพเข้ามา ไม่ว่าจะไร้สาระเพียงใดก็ตาม  มันจึงไม่ต่างจากการถ้ำมองดีๆนี่เอง การแยกแยะมองเพียงภาพที่สำคัญจึงเป็นเรื่องยากเป็นอย่างยิ่ง  เขาจึงยังไม่ปลุกพลังนี้ในตัวของลูกชายทั้ง  2 เพราะยังไม่ถึงเวลา เด็กน้อยฝาแฝดฮิเดโอะกับฮิโรกิจึงยังไม่อาจใช้พลังนี้ได้นั่นเอง



หลังจากตัดภาพที่ไม่สำคัญทิ้งไป  เขาจึงได้เห็นสถานการณ์ในกลุ่มของตนอย่างชัดเจน  ข้อเสียของพลังนี้อีกหนึ่งข้อคือสิ้นเปลืองพลัง  น้อยครั้งนักที่เขาคิดจะใช้มัน  ครานี้จำเป็นจริงๆจึงได้ใช้   หากไม่รีบควบคุมสถานการณ์ เหตุการณ์จะยิ่งบานปลายจนเข้าทางศัตรูได้     



ปีศาจระดับล่างหลายตนพากันจับกลุ่มพูดคุย  ถกเถียงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บ้างก็มองปีศาจที่อยู่รอบข้างด้วยสายตาหวาดระแวงไม่กล้าสนทนากับปีศาจตนใดเลย บ้างก็จับสังเกตพฤติกรรมของปีศาจตนอื่นเสียจนน่ารังเกียจ  ช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง



ใจความการสนทนา  และภาพที่ได้รับเต็มไปด้วยความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน  ต่างฝ่ายต่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูที่แฝงตัวอยู่   นอกจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น  บรรยากาศเช่นนี้ก็เป็นบรรยากาศที่เบียกโกะไม่ชอบใจเอาเสียเลย



“บังอาจ!!   พวกเจ้ายังเห็นหัวข้าอยู่รึไม่ ใยจึงได้หวั่นเกรงศัตรูเช่นนี้  คำสั่งของข้าพวกเจ้าไม่เห็นความสำคัญเลยรึ   ข้ายังอยู่ใยพวกเจ้าต้องเกรงกลัว หลงลืมความสามารถของข้าผู้นี้ไปได้อย่างไร  พวกเจ้าคิดว่ากลุ่มของเราจะแพ้เช่นนั้นหรือ



ความตายหาได้น่ากลัว  เห็นรึไม่ข้าเอาชนะมันมาได้ถึง  2 ครั้งสองครา  พวกเจ้าติดใจสงสัยอันใด  เคลือบแคลงสิ่งใดจงถามข้า  จะหวาดกลัวไปใยเพียงสุนัขที่แฝงตัวอยู่  ไม่กล้าแม้แต่เผชิญหน้ากับเราตรงๆ  อย่าได้หวาดระแวง  จงทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดก็พอ



เข้าใจรึไม่!!”



เสียงอันดังก้องหน้าหวั่นเกรงแผดไปทั่วบริเวณบ้าน ทำให้ทุกเสียงหยุดลง   จิตใจที่หวาดระแวงก็เริ่มตื่นตัว จนค่อยๆสงบลงเมื่อได้ฟังเสียงที่น่าเกรงขามนั้น



ทั่วทั้งบริเวณเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ  ความร้อนรนต่างๆหายไปเหลือเพียงความเคารพเชื่อฟัง  ศรัทธาในปีศาจที่กล่าวถ้อยคำอันเต็มไปด้วยความถือดี  แม้ถ้อยคำจะเหมือนโอ้อวดไปบ้างตามนิสัยของเจ้าตัว แต่ปีศาจทุกตนทีได้ฟังรู้ดีว่าถ้อยคำเหล่านั้นเชื่อถือได้  และพวกเขาก็เชื่อเช่นนั้นอย่างสุดหัวใจ



หัวหน้าหน่วยทุกตนก้มหน้าลงคุกเข่าทำความเคารพ  แม้บางตนอยู่ในที่ไกลตาและรู้ดีว่าหัวหน้าใหญ่มองไม่เห็น แต่ก็ยังแสดงความเคารพ เพื่อยืนยันถึงความซื่อสัตย์ของตน แม้แต่ลูกสมุนระดับล่างยังรับรู้ถึงความเกรงขามที่แผ่ออกมา  พวกมันจึงคุกเข่าทำความเคารพตามด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ไม่แพ้กัน  ความเคลือบแคลงใจสงสัยในความสามารถของหัวหน้าใหญ่ก็เหือดหายไปกับลมที่พัดผ่าน  เหลือไว้เพื่อความเชื่อมั่นและชื่นชมเท่านั้น



“รับคำสั่งขอรับ  ท่านหัวหน้าใหญ่!!!” เสียงประสานจากทั่วทุกสารทิศดังขึ้นพร้อมเพียงกัน จนแม้แต่ผู้ที่แฝงตัวอยู่ยังรับรู้ถึงบรรยากาศที่แผ่ออกมา  และความเกรงขามของผู้ที่มันหมายชีวิต  ในใจวูบไหว ความมั่นใจวูบหายไปส่วนหนึ่ง เริ่มเคลือบแคลงใจในคำสั่งที่ตนได้รับว่าถูกต้องแล้วหรือ  แต่มันก็ยังควบคุมตนให้สงบไม่แสดงท่าทีร้อนรนออกไปได้  สมกับเป็นมือสังหารที่น่าไว้วางใจของกลุ่มโนบุเสียจริงๆ

 

+++++++++++++++++++++++++50%+++++++++++++++++++++++



ต่อพรุ่งนี้ค่าาาา

____________________________________________

พิเศษ #ทริปเที่ยวกาญฯด้วยรถไฟฟรี

ที่หายไปไม่ได้ไปไหนค่ะ  แค่ไปเที่ยวมา  ใครสนใจอยากไปเที่ยวบ้าง เก็บบทความของเราไว้เป็นข้อมูลได้นะคะ

จิ้ม>>>ทริปเที่ยวกาญฯด้วยรถไฟฟรี
 (https://www.facebook.com/greenheadzoro/photos/a.560087407496588.1073741828.547367995435196/697158903789437/?type=3&theater)
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 24 เคลื่อนไหว 50% (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 12-04-2017 20:55:21
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 24 เคลื่อนไหว 50% (12/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-04-2017 21:58:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 24 เคลื่อนไหว (ครึ่งหลัง)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 14-04-2017 02:18:22
ตอนที่  24
เคลื่อนไหว (ครึ่งหลัง)

หลังจากทุกอย่างไปไปตามที่ตนพอใจแล้ว เบียกโกะจึงหันหลังแล้วก้าวเดินเข้าไปยังโรงอาบน้ำรวมด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอบ่งบอกถึงความมั่งคงในสิ่งที่ตนกล่าว และเขาไม่หวั่นกลัวต่อศัตรูที่อยู่ใกล้ตัวแม้แต่น้อย



ด้านในโรงอาบน้ำรวมมีห้องสำหรับเปลี่ยนชุดอยู่ด้านหน้าก่อนถึงห้องอาบน้ำ ภายในห้องนี้มีตู้ไม้แบ่งเป็นช่องมากมาย ใช้สำหรับเก็บชุดและสิ่งของที่นำติดตัวเข้ามา ในแต่ละช่องนั้นก็มีผ้าสีขาวผืนยาวที่พอสำหรับปกปิดเบื้องล่างวางพับไว้อย่างเรียบร้อย



ชุดยูกาตะสีแดงคล้ำคล้ายเลือดสัตว์ถูกถอดออกจากร่างกาย หลังจากที่ดึงผ้าที่มัดไว้บริเวณสะโพกออก ปรากฏร่างกายใหญ่โตเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่สมส่วน บนร่างกายนั้นมีลวดลายของเสือโคร่งปรากฏอยู่ทั่วร่าง นอกจากนี้ยังมีรอยแผลเป็นอันเกิดจาการต่อสู้อยู่มากมาย มันยิ่งขับเสริมลวดลายเหล่านั้นให้ดูน่าหลงไหลคล้ายรอยสักที่มีมาแต่กำเนิด ส่งผลให้ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของหัวหน้ากลุ่มที่แท้จริง



หางยาวตวัดเกี่ยวชุดยูกาตะที่ล่วงลงสู่พื้นขึ้นมาให้พอดีกับตำแหน่งของมือง่ายต่อการหยิบจับ มือหนาหยิบเอาชุดของตนขึ้นไปวางไว้ในช่องที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นจึงถอดส่วนปกปิดกายชิ้นสุดท้ายออก นำมันวางไว้ในช่องเดียวกัน แล้วหยิบผ้าสีขาวมาพันไว้ที่สะโพกของตนแทน



เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาอาบน้ำ เบียกโกะเดินอย่างสบายอารมณ์ แกว่งหางไปมา ทั้งยังผิวปากที่ไม่เข้ากับบุคลิกของตนแม้แต่น้อย ห้องอาบน้ำแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นหอมอบอวน ชุ่มชื่นไปด้วยกลิ่นของน้ำร้อน ก่อนลงไปแช่น้ำ ทุกครั้งต้องชำระล้างร่างกายด้วยน้ำเย็นเสียก่อน



ส่วนของที่อาบน้ำเย็นเป็นการอาบน้ำจากฝักบัว ซึ่งรับอิทธิพลมาจากแดนมนุษย์ที่พัฒนาเครื่องจักรกลไปไกลกว่าแดนปีศาจอยู่มากโข น้ำเย็นไหลชำระร่างกายอันกำยำตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า ไม่เว้นแม้แต่น้ำผ้าสีขาวที่พันไว้รอบเอว มันแนบชิดลู่ไปกับร่างกายจนเห็นภายในอย่างชัดเจน ร่างกายนี้สมบูรณ์แบบกระทั่งส่วนกลางกายยังใหญ่โตแม้มันจะยังคงหลับสนิทอยู่ก็ตาม หากใครได้มองคงหลงไหลจนอยากให้บุรุษผู้นี้โอบกอดอย่างแน่นอน



หลังชำระร่างกายด้วยน้ำเย็นจนพอใจ เบียกโกะก็ปิดน้ำแล้วก้าวเดินไปยังส่วนของบ่อน้ำร้อนที่ความร้อนกำลังได้ที่ มันช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้ทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของเขาเป็นอย่างยิ่ง



เขาแช่ร่างกายในน้ำร้อน โดยนั่งลงไปบนโขดหิน แล้วเอนพิงขอบอ่างที่สร้างไว้สำหรับกักเก็บน้ำ บ่อน้ำร้อนนี้เป็นบ่อธรรมชาติที่เขาสร้างต่อเติมออกไปเป็นโรงอาบน้ำ มันจึงยังคงสภาพของหินภายในบ่อที่มีมาแต่เดิมไว้อย่างสวยงาม



ดวงตาสีแดงปิดลง ปล่อยให้สมองว่างเปล่า สีหน้าเขาดูปล่อยวาง คิ้วที่ขมวดโดยไม่รู้ตัวก็คลายออก แม้ภายนอกเขาดูเหมือนมั่นใจในทุกสิ่ง แต่ความจริงแล้วเขาก็มีเรื่องหนักใจอยู่มากมาย ความสามารถที่ใช้ไปเมื่อครู่ก็ยังไม่คลายออกเพราะยังไม่วางใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ จะอย่างไรด้วยตำแหน่งของเขาก็ไม่อาจปล่อยวางอย่างเต็มที่ได้ ทำได้เพียงผ่อนคลายให้อารมณ์ความรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น



ตึก ตึก



เสียงฝีเท้าที่หยุดในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียกรอยยิ้มจากใบหน้าคมคลายนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น เพียงชั่วอึดใจร่างเล็ก 2 ร่างที่มีใบหน้าเหมือนกันจนแยกไม่ออก เว้นเพียงสีผิวเท่านั้นที่แตกต่าง ก็วิ่งเข้ามาในห้องอาบน้ำอย่างรวดเร็ว



“ท่านพ่อ!!” สองเสียงประสานกันอย่างร่าเริงตามวัยของเด็กน้อยวัย 7 ขวบ ที่ยังไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย



“หยุดวิ่งก่อนๆไปล้างตัวแล้วจึงมาลงแช่น้ำกับพ่อ” น้ำเสียงนุ่มลึกเต็มไปด้วยความอบอุ่นของคนเป็นพ่อกล่าวออกมา มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถละทิ้งจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มยาฉะแล้วเป็นเพียงพ่อของเด็กชายทั้งสองเท่านั้น เขาจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่งที่คนรักยังคงทิ้งสิ่งสำคัญไว้ให้แม้จากไปหลายปีแล้วก็ตาม



“คร้าบบบบ” สองเสียงยังคงประสานกันเจื้อยแจ้ว ร่างกายที่ยังเด็กสมวัยไร้การปกปิดด้วยผ้าใดๆตามแบบฉบับของเด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักกับความอายในการเปลือยเปล่าต่อหน้าผู้อื่น นี่กระมังที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อได้มองร่างกายบอบบางซีดขาวของแร็กนาร์



หลังล้างตัวเสร็จฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ลงมาแช่ในบ่อน้ำร้อนกับพ่อของตน ยิ่งเมื่อเห็นแขนที่กางออกก็วิ่งเข้าไปในอ้อมแขนแกร่งอย่างไม่ลังเล ร่างกายที่ยังเล็กกระจ้อยร่อยหากเทียบกับร่างกายของผู้เป็นพ่อ ก็นั่งลงบนหน้าขาคนละข้างด้วยความเคยชิน



“ท่านพ่อๆท่านแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่” ฮิเดโอะรีบเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ เพราะท่านพ่อของเขาพึ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน



“อา...แน่นอน เพื่อนของเจ้าเก่งยิ่งนัก ยาบำรุงสมุนไพรที่ให้พ่อดื่มทุกวันได้ผลดีทีเดียว ทำให้รู้สึกมีกำลังวังชามากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก” เบียกโกะลูบหัวลูกชายด้วยความรักใคร่ ก่อนเอ่ยตอบอย่างไม่ปิดบัง แม้รู้สึกถึงความอันตรายที่แฝงอยู่ภายในดวงตาสีดำที่เขาเคยจับจ้องคราวนั้น แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่น่าเชื่อถือ ดวงตาดางนั้นมันดูน่าเชื่อถือเกินตัวของเด็กคนนั้นเสียอีก ความอันตรายนั้นเหมือนมีไว้เพียงป้องกันตัวเองเสียมากกว่า เขาจึงไม่เคลือบแคลงใจสงสัยมากมายนัก และยอมดื่มยาที่แร็กนาร์ต้มให้เสียแต่โดยดี



“ใช่ๆแร็กนาร์เก่งมากๆสุดยอดที่สุดเลยครับ...แล้วก็งดงามมากด้วย” ฮิโรกิเอ่ยชม เมื่อคิดถึงคนที่เขาปราบปลื้ม และยังสาบานว่าจะปกป้อง ซึ่งพอนึกถึงก็ทำให้คิดถึงร่างกายขาวเนียนที่ยังคงติดตาอยู่ตั้งแต่เมื่อวันก่อนอย่างไม่มีทางลบมันออกไปจากหัวได้ รอยยิ้มกว้างประดับริมฝีบาก ภายในดวงตาที่ไร้เดียงสาประกายความปราถนาออกมาอย่างไร้การปิดบัง เพราะเขาไม่เข้าว่าตนต้องการสิ่งใดจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นควรปิดบังไว้ให้รู้เพียงตนเอง



เบียกโกะตกตะลึงถึงสองครั้ง ที่ลูกทั้งสองของเขามีความรู้สึกให้แร็กนาร์เกินกว่าผู้มีพระคุณอย่างแน่นอน ไม่เพียงฮิโรกิที่แสดงออกมา ฮิเดโอะที่นั่งเงียบฟังเมื่อครู่ก็แสดงสีหน้าแววตาเช่นเดียวกับฮิโรกิไม่ต่างกัน แต่เขาก็ไม่คิดจะห้ามปราม หรือกระตุ้นสิ่งใด เพียงปล่อยให้ลูกทั้งสองทำตามใจเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่า เรื่องความรู้สึกไม่มีใครสามารถบังคับมันได้...ดังตัวของเราเอง



สิ่งที่บังคับยากที่สุดคือความรู้สึกปรารถนาที่มีต่อใครคนหนึ่งเบียกโกะเข้าใจดี เขาเองก็ไม่อาจควบคุมหรือตัดใจต่อใครอีกคนที่อยู่ในใจเขาในตอนนี้ได้เช่นเดียวกัน แม้รู้ว่าตนเลือกทางที่อันตรายถึงชีวิต แต่เขาก็เลือกที่จะเดินไปตามแผนของคนๆนั้น แล้วจึงหาทางทำให้คนคนนั้นเป็นของตนให้จนใด้



“กรู้ กรู้” นกน้อยที่มีลักษณะก่ำกึ่งไม่แน่ว่าเป็นอินทรีหรือเหยี่ยวดังขึ้น มันบินเข้ามาในห้องอาบน้ำผ่านทางช่องไม้ที่ทำไว้สำหรับระบายอากาศซึ่งอยู่ด้านบนของโรงอาบน้ำ



“เจ้าโก เหตุใดจึงมาที่นี่ได้ แร็กนาร์เล่า” ฮิโรกิเอ่ยถามเจ้านกตัวจ้อยเมื่อมันบินเข้ามาเกาะที่ขอบอ่างข้างๆฝั่งที่พวกเขานั่งอยู่



“กรู้ๆกรู๊ โกๆ กรู้”



‘แม่แร็กนาร์ให้โกออกมาเล่นด้านนอก ก็เลยบินมาเรื่อยๆได้ยินเสียงฮิเดะกับฮิโระจึงบินเข้ามาหา’



 โกยาตเลย์เข้าใจในคำถาม มันจึงตอบอย่างฉะฉานตามภาษานกอย่างเจื้อยแจ้ว เพราะรู้ดีว่าพวกเขาเป็นปีศาจเช่นเดียวกัน การสื่อสารแม้คนละภาษาก็เข้าใจกันได้อย่างไม่ยากเย็น



เบียกโกะแปลกใจเล็กน้อยที่นกตัวนี้อยู่ในอาณาเขตของเขา แต่เขาไม่อาจควบคุมมันได้ ทำให้เขารู้ได้ว่านกตัวนี้เป็นปีศาจเผ่าวิหกนั่นเอง



“หือ ลูกรู้จักนกน้อยตัวนี้ด้วยรึ ฮิโรกิ” เมื่อคับข้องใจเบียกโกะจึงเอ่ยถามลูกชายตน เพราะถ้าหากไม่น่าไว้วางใจคงต้องฆ่าทิ้งเสีย เพราะไม่อาจรู้อายุของโกยาตเลย์เบียกโกะจึงสงสัยว่านกน้อยตัวนี้อาจจะเป็นหน่วยสอดแนมที่ถูกศัตรูส่งเข้ามาตีสนิทกับลูกชายตน อีกทั้งยังเริ่มระแวงใจว่าปีศาจเผ่าวิหกอาจจะหนุนหลังกลุ่มโนบุในศึกครั้งนี้อีกด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงศึกครั้งนี้คงหนักหนากว่าทุกครั้งที่ผ่านมา



“เจ้าโก เป็นนกของแร็กนาร์ครับท่านพ่อ แต่เป็นพวกเราเองที่ไปเก็บไข่มาจากในป่า มันพึ่งฟักเมื่อวานนี้เอง แม้ไม่เหมือนนักก็ตาม เพราะมันเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงวันเดียวก็บินได้เสียแล้ว” วาจาฉะฉานกล่าวตอบอย่างครอบคลุม ดังรู้ว่าพ่อของตนสงสัยสิ่งใด มันหาใช่คำตอบจากฮิโรกิที่ถูกถาม แต่เป็นฮิเดโอะที่ตอบออกไปแทน ฮิเดโอะเติบโตทางความคิดขึ้นมากทีเดียว เขาพอคาดเดาความคิดของพ่อตนเองได้ จึงไม่รอช้าที่จะตอบ แล้วขยายความให้เบียกโกะได้วางใจในสิ่งที่สงสัย จะอย่างไรโกยาตเลย์ก็ทำให้แร็กนาร์ยิ้มได้ เขาควรรักษาชีวิตมันไว้ แม้จะรู้สึกอิจฉาอยู่เล็กน้อยก็ตาม



“อืม เป็นเช่นนั้นเองรึ พ่อเข้าใจแล้ว มานี่สิเจ้านกน้อย” สีหน้าเบียกโกะดูผ่อนคลาย อย่างน้อยหากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็วางใจเรื่องความร่วมมือระหว่างเผ่าวิหกกับกลุ่มโนบุลงได้ จึงกล่าวเรียกโกยาตเลย์ด้วยความเอ็นดู พร้อมยืนมือออกไปหาเจ้านกน้อยดังต้องการเรียกให้มันเข้ามาร่วมวงสนทนา



โกยาตเลย์มองสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด แม้มันจะออกจากไข่มาเพียง 1 วัน แต่ด้วยสัญชาตญาณของความระวังตัวสั่งให้มันไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า เลือดของเผ่าพันธ์วิหกชั้นสูงที่มีติดตัวมาทำให้มันรับรู้บรรยากาศ และอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างแม่นยำ เมื่อได้สัมผัสกลิ่นอายที่ไร้ความประสงค์ร้าย มันก็ยอมบินไปเกาะที่นิ้วชี้ของเบียกโกะที่ยื่นมาให้ บอกถึงความไว้วางใจในตัวอีกฝ่าย



“พ่ออยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนตัวน้อยทั้งสองของลูก เล่าให้พ่อฟังได้หรือไม่” เบียกโกะกล่าวขณะขยับไปตั้งศอกลงไว้บนขอบอ่างอาบน้ำที่ตนพิงอยู่ ส่งผลให้เจ้าโกยาตเลย์เขามาอยู่ตรงกลางวงสนทนาพอดิบพอดี



เด็กทั้งสองตอบรับคำขอของพ่อ แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวของแร็กนาร์กับรูร์กัสที่ตนได้รับรู้ให้เบียกโกะฟัง คำสรรเสริญเยินยอเกินจริงไปบ้าง เพราะเรื่องราวเหล่านั้นผ่านดวงตาของเด็กน้อยที่หลงใหลในตัวแร็กนาร์ ดังสลับกับเสียง กรู้ๆโกๆของเจ้านกน้อยที่ช่วยเสริมว่า



‘เห็นด้วย’



‘ใช่เลย’



‘ท่านแม่สุดยอด’



ก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย สร้างรอยยิ้มบนริมฝีปากให้เบียกโกะที่ยิ้มเอ็นดูอยู่ตลอดเวลา พวกเขาหัวเราะด้วยเสียงแห่งความสุข และภายในใจของเบียกโกะก็ตัดสินใจได้แล้วว่าตนควรเริ่มเคลื่อนไหวตัวแปรตัวนี้ได้แล้ว

 



 

To Be Continued...



_________________________________________________________________________________

ตอนนี้ให้ท่านพ่อไปแล้วล่ะ ของเขาดีจริง  หุหุ  (อร๊ายยย   เขิน)

ขอถามความเห็นนิดนึงค่ะ  ตอนแรกให้เบียกโกะอายุ 40

แต่มาลังเลเรื่องยายุเล็กน้อย  เพราะห่างจากแม่แร็กนาร์มาเกินไป

เราจะขอเปลี่ยนเป้นอายุซัก   30  กว่า  มีใครเห็นด้วยไหมคะ  ขอความเห็นหน่อยค่า

กรีนอยากได้ความสมัครใจของทุกคน  เพราะลองกลับไป่านแล้วไม่สมดุลกัน 

ถ้าตกลงตอนรีไรท์หลังภาคสยบแดนพยัคฆ์จบ  กรีนจะได้แก้ไขเลย


คุยเล่นอีกนิด...ตอนแรกกะว่าจะให้จบภายใน  20-25  ตอน  แต่ตอนนี้ดำเนินเรื่องมาถึง  18  ตอนแล้ว เหลือ   7 ตอนก็ครบ แต่เรื่องยังไม่ถึงไหนเลย  ไม่รู้แต่งเยอะไปไหน (ฮ่าๆ)  ดูท่าจะเกินแล้วล่ะงานนี้...สุดท้ายก็จบลงที่ยังกำหนดตอนที่จะจบไม่ได้ รอๆลุ้นไปด้วยกันนะคะ   เพราะกรีนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกกี่ตอนถึงจะจบ  ฟุฟุฟุ

____________________________________________

พิเศษ #ทริปเที่ยวกาญฯด้วยรถไฟฟรี

ที่หายหลายวันไปไม่ได้ไปไหนค่ะ แค่ไปเที่ยวมา ใครสนใจอยากไปเที่ยวบ้างเก็บบทความของกรีนไว้เป็นข้อมูลได้นะคะ

จิ้ม>>>ทริปเที่ยวกาญฯด้วนรถไฟฟรี (https://www.facebook.com/greenheadzoro/photos/a.560087407496588.1073741828.547367995435196/697158903789437/?type=3&theater)

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 24 เคลื่อนไหว 100% (14/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-04-2017 08:20:26
หวังว่าจะไม่มีใครเจ็บมากเกินไป
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 24 เคลื่อนไหว 100% (14/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 14-04-2017 09:00:43
 :hao7: :hao7: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 25 พิสูจน์ (ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 29-04-2017 08:52:38

ตอนที่  25
พิสูจน์ (ครึ่งแรก)

เบียกโกะฟังเรื่องราวของแร็กนาร์กับรูร์กัส สองพี่น้องต่างเผ่าพันธุ์พรางครุ่นคิด สัญชาตญาณบอกเขาว่า เด็กทั้งสองต้องมีความเกี่ยวพันธ์กับเหตุการณ์ในอดีต และยังเป็นเงื่อนไขสำคัญในการแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลานี้ โดยเฉพาะเด็กน้อยลูกครึ่งปีศาจเผ่าพยัคฆ์ ที่มีบรรยากาศอันตรายเกินเด็กวัย 8 ขวบตนนั้น



หลังจากที่แช่น้ำจนพอใจแล้ว เขาจึงออกปากให้ลูกชายทั้งสองไปบอกให้แร็กนาร์กับรูร์กัสมาพบในวันรุ่งขึ้น ความทรงจำซ้อนทับกับเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน ความรู้สึกที่อาบในดวงดาสีดำคู่นั้นช่างแสนคุ้นเคย เมื่อลองทบทวนเรื่องราวทั้งหมด มันจึงพอผูกเข้าด้วยกันได้ แม้จะยังไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่เขารอไม่ได้อีกแล้ว คงต้องพิสูจน์ข้อข้องใจนี้ให้เร็วที่สุด



เบียกโกะตัดสินใจเลือกทางที่ยากที่สุดไปเสียแล้ว เขาจึงต้องรีบแก้ไขให้รัดกุมและรอบคอบที่สุด คราก่อนเขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ครานี้เขาจะพลาดไม่ได้อีกแล้ว หากต้องการรักษาชีวิตของคนที่ตนรักไว้ทั้งหมด โดยไม่ต้องเสียสละชีวิตของใคร แม้จะยากเย็นเพียงไรเขาก็ไม่มีวันหันหลังกลับอย่างแน่นอน



ชีวิตของเขาถูกช่วยไว้เป็นครั้งที่ 2 ในอดีตสหายเพียงหนึ่งเดียวสละชีวิตเพื่อช่วยเอาไว้ มาครานี้หากว่าเป็นดังที่เขาคิดคนที่ช่วยชีวิตไว้เป็นเด็กคนนั้นจริง มันก็ไม่ผิดเลยที่เลือกทางที่เป็นอยู่ เขาควรตอบแทนทุกสิ่งอย่างคืนอย่างเท่าเทียมไม่ใช่เพื่อสหายของเขา แต่ทุกอย่างมันเกิดจากความเห็นแก่ตัวของเขาเอง ถ้าความเห็นแก่ตัวนี้ได้ตอบแทนบุญคุณทั้งหมด เบียกโกะก็พร้อมจะทำทุกทางให้แผนการทุกอย่างสำเร็จให้จงได้



สำหรับเบียกโกะแล้ว ชีวิตถูกกำหนดโดยโชคชะตาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งเราต้องเลือกมันด้วยตนเอง ชีวิตจึงได้ลิ้มรสผลลัพธ์มากมายหลายรูปแบบจนถึงทุกวันนี้ หากครั้งนี้โชคชะตาคือการพบเจอ ส่วนอีกครึ่งเขาต้องเลือกว่าจะสานต่อความสัมพันธ์เช่นไร มันก็ถึงเวลาที่เขาต้องกำหนดมันแล้ว

..

..

..

บรรยากาศคึกคักดำเนินมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเช้าวันนี้ เพราะปีศาจทุกตนต่างร่วมแรงแข็งขันทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง  ส่วนทางแร็กนาร์กับรูร์กัสหลังจากได้รับการเรียกพบของเบียกโกะจากเด็กฝาแฝดทั้งสอง และเจ้านกน้อยโกยาตเลย์แล้ว วันนี้จึงตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว ล้างหน้าแปรงฟัน เสียแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปพบเบียกโกะ ความจริงแล้วแร็กนาร์หาได้เร่งรีบ แต่เป็นรูร์กัสต่างหากที่ตื่นเต้นจนเร่งเร้าปลุกแร็กนาร์ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง



แร็กนาร์มองพี่ชายของตนด้ายสายตาของผู้ใหญ่ที่มองเด็กอย่างปลงๆ เพราะรูร์กัสหลงใหลในความน่าเกรงขามของเบียกโกะตั้งแต่คราก่อนที่ได้พูดคุยกัน จนแทบอยากขอเป็นศิษย์ ถ้าไม่ติดว่าใช้พลังของคนละเผ่าพันธุ์ รูร์กัสคงทำไปนานแล้ว



วันนี้แร็กนาร์ยังคงสวมชุดยูกาตะสีเทาเช่นเดิม ซึ่งเป็นความชอบส่วนตัวตามแบบฉบับของเจ้าตัว ที่ชอบในความกลมกลืนไปกับทุกสิ่งจนไม่โดดเด่นสะดุดตา แต่อย่างไรด้วยรูปร่างหน้าตาและสีผมที่ผิดแปลกก็ไม่สามารถกลบตัวตนของเด็กน้อยได้เลย



ส่วนรูร์กัสสวมชุดยูกาตะสีเขียวที่มองแล้วสบายตา เข้ากับใบหน้าที่ยิ้มแย้มและกิริยาที่นอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง



“โก”



“กรู๊ กรู้”



ก่อนออกจากห้องของตน แร็กนาร์เรียกให้โกยาตเลย์เจ้านกตัวจ้อยแสนน่าเอ็นดูที่เขาเลี้ยงไว้ให้มาเกาะที่ไหล่บางซึ่งเป็นที่ประจำของมันเวลาออกไปด้านนอกด้วยกัน  โกยาตเลย์ที่มองอย่างรอคอยว่าแร็กนาร์จะเรียกตนหรือไม่ก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตอบรับพร้อมกระพือปีกบินเข้ามาหาแร็กนาร์อย่างอารมณ์ดี



หนึ่งมนุษย์ หนึ่งลูกครึ่ง  หนึ่งปีศาจเผ่าวิหก เดินออกจากห้องหลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว   พวกเขาเดินไปยังบ้านของ 2 ผู้คุมเพื่อทานอาหารอย่างเช่นทุกมื้อด้วยความเคยชิน  เปิดโอกาสให้  2 ผู้คุมได้ซักถามเล็กถามเล็กน้อย และนั่นทำให้แร็กนาร์ได้เห็นสายตาแห่งความกังวลใจจากยาจิ



มันทำให้เรารู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ก่อนไปพบเบียกโกะ  แร็กนาร์จึงย้อนกลับไปที่ห้องเพื่อเตรียมความพร้อมใหม่อีกครั้ง เขาหยิบมีดอันใหม่ที่ได้รับมาจากหมอชราที่มีความคมกริบกว่าเดิมอยู่มากโข   ยาสลายกล้ามเนื้อ  ยานอนหลับ  และยาชาติดตัวไปด้วย   จะอย่างไรป้องกันเอาไว้ก็ดีกว่าแก้ที่หลัง



ในระหว่างหยิบของที่จำเป็น  แร็กนาร์ก็ออกปากเตือนรูร์กัสให้ระมัดระวังตัวให้ดี  อย่าได้ประมาทโดยเด็ดขาด  รูร์กัสก็รับปากแต่โดยดีแม้ว่าจะหลงใหลในความเกรงขามของเบียกโกะ  แต่เขาเชื่อว่าแร็กนาร์มีเหตุผลมากพอที่ตนจะเชื่อฟัง  แร็กนาร์อยากทำมากกว่าตักเตือนแต่ไม่รู้ว่าสำหรับโลกนี้แล้วรูร์กัสเก่งมากเพียงใด   จึงไม่อาจชี้แนะสิ่งใดได้อีก  ทำได้เพียงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น   และหวังให้รูร์กัสรอดหากเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น



พอออกจากห้องพักก็พบฮิเดโอะกับฮิโรกิที่ยืมยิ้มรออยู่หน้าห้องเพื่อนำทางพวกเขาไปพบพ่อของตน   บรรยากาศที่เห็นทำให้แร็กนาร์รู้ได้ว่าเด็กฝาแฝดทั้ง   2  ไม่รู้ถึงเรื่องที่ยาจิกำลังกังวลใจอยู่ เขาจึงไม่เอ่ยถาม  เพราะอย่างไรลูกก็ไม่อาจระแวงพ่อของตนได้



“แร็กนาร์  พี่รูร์กัส  พวกเรามาส่งได้เพียงเท่านี้   เข้าไปไม่ได้เพราะท่านพ่อต้องการสนทนากับทั้งสองคนตามลำพัง แต่ไม่ต้องกังวลนะ  เพราะพ่อของข้าใจดี”  ฮิเดโอะกล่าวอย่างเจื้อยแจ้ว ด้วยความหวังให้ผู้มีพระคุณทั้ง  2 เข้ากับพ่อของตนได้ แม้จะเคยพบกันครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่ใช่เป็นการส่วนตัวเช่นนี้   เขาคาดหวังอยู่มากทีเดียว



“ใช่ๆพ่อข้าใจดีมากๆ  ถึงรูปร่างจะใหญ่โต หน้าจะโหดไปสักนิด แต่รับรองใจดีแน่นอน” ฮิโรกิช่วยเสริม 



“อื้อ  พี่ก็คิดเช่นนั้น”  รูร์กัสรับคำ   ส่วนแร็กนาร์เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆเพื่อให้เด็กทั้งสองสบายใจเท่านั้น  จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจวางใจในตัวเบียกโกะได้



“ ท่านพ่อ  แร็กนาร์กับพี่รูร์กัสมาแล้วขอรับ”  หลังวางใจว่าทั้งสองคงไม่หวาดกลัวท่านพ่อของตน เช่นเด็กตนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในเขตนี้จนไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพวกเขา  ฮิเดโอะก็วางใจรีบแจ้งการมาของรูร์กัสกับแร็กนาร์ทันที



“เข้ามาได้”  น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูถูกส่งออกมาดังจนถึงหน้าประตูเพื่อเป็นการตอบรับคำกล่าวของลูกชาย



ครืดดดดด



“ขออนุญาตขอรับ”  รูร์กัสกล่าวแล้วเดินนำเข้าไปหลังจากประตูเปิดออก เมื่อพ้นประตูเล็กน้อยก็ยิ้มให้เด็กชายฝากแฝดที่ปิดประตูลงอีกครั้งก่อนจากไป   ในห้องจึงเหลือเพียง  4  ชีวิตเท่านั้น



"เชิญนั่ง” ในห้องกว้างหน้าต่างถูกปิดสนิททุกด้าน  บ่งบอกว่าเรื่องที่พวกเขากำลังพบเจอถูกปิดเป็นความลับ



ฟูก  2 อันถูกวางไว้ ตรงข้ามกับร่างของเบียกโกะที่นั่งรอยู่ก่อนแล้ว  มันห่างกันพอประมาณ และด้านหน้าของแต่ละที่นั่งมีชา  และขนมถูกจัดวางเอาไว้ คล้ายบรรยากาศผ่อนคลายในสภาพแวดล้อมที่กดดัน



“ขอบคุณขอรับ” สองพี่น้องนั่งลงแล้วจึงกล่าวขอบคุณตามมารยาท



หลังจากนั้นห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ  ไม่มีแม้แต่ใครที่ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม  ด้วยเหตุว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนนั้นเอง



ดังว่าแร็กนาร์กับเบียกโกะอยู่ในบรรยากาศของผู้ผ่านโลกมามาก  พวกเขาจึงขบคิดเรียบเรียงคำสนทนาก่อนจะเริ่มพูดคุยกัน  ทั้งยังหยั่งเชิงอีกฝ่ายอย่างสงวนท่าทีอีกด้วย ทั้งสองอยู่ในบรรยากาศเช่นนั้นจนกระทั่งรูร์กัสยังรู้สึกได้ ในห้องนี้หากเทียบอายุวิญญาณรูร์กัสก็เด็กที่สุด ไม่แปลกนักที่เขาจะอยู่ในอาการที่แตกต่าง  แต่กระนั้นเขาเองก็อยู่ในภวังค์ความคิดพรางจ้องมองแร็กนาร์ด้วยสายตาสับสนมากขึ้นเท่านั้น



“ข้าขอเข้าเรื่องเลยนะเด็กน้อย  เพราะดูเหมือนว่าเจ้าจะพอเข้าใจอยู่บ้าง” เบียกโกะกล่าวออกมาในที่สุด   เมื่อรับรู้ว่าแร็กนาร์ไม่ใช่เด็กที่เข้าใจอะไรยาก ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดอ้อมโลกในเสียเวลา เด็กตรงหน้าดูโตเกินไปเสียด้วยซ้ำ



แร็กนาร์ไม่ตอบ แต่จ้องมองดวงตาของเบียกโกะเพื่อค้นหาคำตอบอย่างไม่หลบซ่อน    เป็นสัญญาณว่าเขาพร้อมรับฟังทุกอย่างแล้ว



“ข้ารู้เรื่องราวของพวกเจ้าทั้ง 2 จากฮิเดโอะกับฮิโรกิ  และเจ้าโกนกน้อยตัวนั้นมาบ้างแล้ว”   สายตาที่หันเหไปทางโกยาตเลย์ที่เกาะอยู่บนไหล่ของแร็กนาร์  ซึ่งเจ้าตัวน้อยดังหายกลายเป็นอากาศตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ เพราะรับรู้ได้ว่า แร็กนาร์กำลังใช้ความคิดจึงไม่กล้ารบกวน  มันจึงเงียบแล้วรอคอยอยู่เช่นนั้น   พอเบียกโกะกล่าวถึงมัน มันจึงผงกหัวน้อยๆรับคำว่าตนก็อยู่ในช่วงเวลานั้น  ถึงกล่าวเพียงเล็กน้อย  แต่ได้ฟังมากมายทีเดียว



รูร์กัสรู้ดีว่าเบียกโกะรู้เรื่องใดบ้าง หากเด็กน้อยฝาแฝดไม่ได้ปิดบังแล้วเล่าไปเสียทั้งหมด    เพราะความเห็นใจฮิเดโอะกับฮิโรกิที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กเช่นตัวเขา  รูร์กัสจึงเผลอเล่าเรื่องแม่ของตนเพื่อปลอบใจเด็กทั้งสอง  และยังบอกถึงเหตุผลที่แร็กนาร์ต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านเล็กกลางป่าอีกด้วย   เพราะตอนนั้นเขาเชื่อว่าเด็กทั้งสองจะไม่มีทางหักหลังแร็กนาร์อย่างแน่นอน



“พวกเจ้ามีความเป็นมาที่น่าสนใจทีเดียว ทำให้ข้าแปลกใจไม่น้อย  แต่ก็ไม่มีส่วนใดที่ไม่ดี  เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ...”  คำกล่าวนั้นหยุดลง  เพียงพอให้อีกฝ่ายได้ตระหนกจนเผลอเผยพิรุธออกมาบ้าง   หรือบางทีอาจจะเพียงพอให้อีกฝ่ายได้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับประโยคถัดไป



ทุกชีวิตในห้องรู้ถึงบรรยากาศกดดัน ในคำพูดต่อไป  แร็กนาร์กระชับมีดในแขนเสื้อ  โกยาตเลย์จ้องมองเป้าหมายตรงหน้า แม้แต่รูร์กัสยังระมัดระวังตัวเตรียมพร้อมมากขึ้น



“เหตุใด...จึงลักลอบเข้าไปยังห้องสมุดลับของข้า!”  สิ้นคำประกาศิตทุกชีวิตก็เคลื่อนไหว  แต่ผู้ที่เร็วที่สุดกลับเป็นเบียกโกะ เขาพุ่งไปหารูร์กัสที่กำลังตั้งสมาธิกับการใช้พลังที่ดูจะให้ความเสียหายกับเขามากที่สุด และยังเป็นจุดอ่อนต่อคู่ต่อลองของเขาด้วย  การกระทำนี้เป็นไปได้น้อยแร็กนาร์จึงยังไม่ทันระวัง  เพราะคิดว่าเป้าหมายแรกที่เบียกโกะจะพุ่งเข้าใส่คือตนเอง  เขาจึงขยับตัวผิดจังหวะจนเข้าประชิดตัวรูร์กัสไม่ทันการ



มือหนาบีบคอรูร์กัสจนเจ้าตัวตาแทบถลนออกจากเบ้าเพราะขาดอากาศหายใจ  มือทั้งสองข้างก็จิกดึงมือที่ใหญ่กว่าคอของเขาไปมากโขแม้เป็นมือเพียงข้างเดียว  รูร์กัสตะเกียกตะกายใส่ผู้ที่ทำร้ายตนอย่างไม่คิดชีวิต   คิดเพียงอยากให้ตนหยุดอาการทรมานเท่านั้น



แร็กนาร์ที่ตั้งสติได้ก็พุ่งเข้าใส่เบียกโกะ แต่เบียกโกะไม่ใช่เคียวจิที่ประมาทคู่ต่อสู้  ทั้งยังมีประสาทการรับรู้และมีความเร็วที่มากกว่า   สัญชาตญาณสัตว์ป่าอันเฉียบคมคาดเดาทิศทางของแร็กนาร์ได้อย่างแม่นยำ   เพราะแร็กนาร์ยังเด็กจึงดึงความสามารถจริงๆของตนออกมาใช้ไม่ได้   เขาจึงเผลอเปิดช่องโหว่ให้เบียกโกะได้จัดการ



แร็กนาร์ที่พุ่งตัวเข้ามาด้วยความเร็ว   กลับสับเท้าจนเปลี่ยนทิศทางไปฝั่งซ้าย   เบียกโกะที่เล็งช่องว่างอยู่ก่อนแล้วก็เปลี่ยนทิศของมือที่พุ่งออกมาอย่างลวดเร็วไปที่คอของแร็กนาร์อย่างพอดิบพอดี  แม้ไม่ได้ออกแรงมากเท่าทำกับรูร์กัส   เพราะเบียกโกะต้องการให้แร็กนาร์ยังคงมีสติมากพอได้มองความสิ้นหวังที่เขาเตรียมไว้ด้วยตาของตนเอง   แต่แร็กนาร์ก็รู้สึกทรมานมากกว่าที่ควร



มือที่ไร้การพันธนาการตวัดมีดในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย  โดนแขนใหญ่โตไปหลายครั้งแต่กลับไม่โดนจุดสำคัญแม้แต่น้อย  เพราะเวลานี้ดวงตาแร็กนาร์พร่ามัวมันเต็มไปด้วยน้ำตา ร่างกายนี้กำลังหวาดกลัว   กลัวจนวิญญาณของเขายังพลอยรู้สึกตามไปด้วย



ร่างกายสั่นเทา  มือแทบไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลเป็นสาย  ร่างกายนี้ยังคงจดจำนาทีที่จบชีวิตลงได้  ความหวาดกลัวในเวลานั้นซ้อนทับกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่  จนแร็กนาร์ไม่อาจควบคุมความเยือกเย็นเอาไว้ได้อีก



“กรู้  กรู๊”



‘ปล่อยแม่ข้านะ’



โกยาตเลย์ที่บินลงจากไหล่ของแร็กนาร์พร้อมกับตอนที่แร็กนาร์เริ่มเคลื่อนไหว  มันเห็นภาพที่โหดร้ายนั้น จึงบินเข้าไปหมายจะช่วยเหลือแร็กนาร์



ตุ๊บ!



แต่เพียงสบตากับผู้ร้าย โกยาตเลย์ที่ออกจากไข่มายังไม่ถึงสัปดาห์ก็รู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ  เรี่ยวแรงมันหดหายจนล่วงลงสู่พื้นอย่างอเนจอนาถ



 

****************************************60%**********************************************

มาต่อคืนนี้ค่ะ  รอก่อนน้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 25 พิสูจน์ (ครึ่งแรก) (29/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-04-2017 13:10:48
ทำไมทำแบบนี้
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 25 พิสูจน์ (ครึ่งแรก) (29/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 30-04-2017 02:19:00
อิเบื๊อกโกะ...ทำอะไรเนี่ย :z3:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 25 พิสูจน์ (ครึ่งหลัง)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-04-2017 09:19:46

ตอนที่ 25
พิสูจน์ (ครึ่งหลัง)


“อึก อัก” รูร์กัสตาถลนจนมองไม่เห็นเหตุการณ์แต่เขากลับกลัวจับใจ กลัวว่าจะเสียน้องชายของตนไปอีกครั้ง จึงดิ้นรนครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ยอมแพ้



“พี่...พี่รูร์กั...ส” แร็กนาร์เปร่งเสียงอย่างแผ่วเบาเมื่อได้ยินเสียงพี่ชายของตน ภาพที่เห็นยิ่งทวีความเจ็บปวด ไม่เพียงร่างกายที่หวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่รูเฟียสกระทำก่อนดับลมหายใจเจ้าของร่าง แม้กระทั้งพี่ชายที่เขาให้ปฏิพานว่าจะปกป้องด้วยชีวิตก็กำลังจะจบชีวิตลงโดยที่เขาทำสิ่งใดไม่ได้เลย ไม่เว้นแม้แต่เจ้าโกยาตเลย์นกน้อยที่เขาเฝ้าเลี้ยงอย่างทะนุถนอมมันก็กำลังนอนกองกับพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา



‘ไม่นะ ไม่เอา ไม่อยากสูญเสียอีกแล้ว ให้ตายเถอะพระเจ้าจอมงี่เง่า ให้ชีวิตผมมาแล้วจะให้จบลงเพียงแค่นี้น่ะเหรอ ทำไม ไม่เข้าใจเลย



ได้โปรดละเว้นชีวิตของรูร์กัสด้วย ชีวิตของผมจะเอามันไปก็ได้ แต่ขอร้องล่ะ ละเว้นชีวิตของรูร์กัสเถอะ ได้โปรด...’




เสียงร่ำไห้ในใจหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเช่นคราวก่อน ดวงดาสีดำที่จดจ้องผู้ร้ายเริ่มเปลี่ยนไปจากที่เจ็บปวดและเว้าวอนกลายเป็นโกรธเกรี้ยวอย่างเจ็บแค้น เวลานี้ความโกรธบดบังดวงตาของแร็กนาร์ไปหมดสิ้น สติสัมปชัญญะที่มีเริ่มจางหาย ความนึกคิดในหัวก็มลายหายไปหมดจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นตัวตนของนักฆ่าผู้ฉลาดและเยือกเย็นคนนั้น



บรรยากาศรอบตัวหนักอึ้ง ดวงตาสีดำแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความวาวโรจน์ ผมสองสีถูกย้อมจนเป็นสีแดงชาดทั้งศีรษะ ดังว่าเวลานี้แร็กนาร์เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์เต็มตัว ไม่ใช่เพียงลูกครึ่งที่ไร้ซึ่งพลังอีกแล้ว



ไม่เพียงเท่านั้นร่างของแร็กนาร์แปรเปลี่ยนเหนือกว่าปีศาจเสียอีก ฟันในปากเปลี่ยนเป็นเขี้ยวอันแหลมคม เล็บงอกยาวกลายเป็นกงเล็บดังสัตว์ป่า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะมีเพียงตอนที่ปีศาจใช้ร่างสัตว์เท่านั้น  สภาพของแร็กนาร์เป็นดังเช่นการหยุดชะงักระหว่างแปรเปลี่ยนร่างจากร่างปีศาจเป็นร่างสัตว์เต็มตัว ซึ่งหากคงไว้ได้จะได้ร่างปีศาจอันแข็งแกร่งยิ่งกว่าปีศาจทั่วไป



เพราะร่างที่คงอยู่อย่างครึ่งๆกลางๆทำให้สัญชาตญาณเข้าครอบงำอย่างสิ้นเชิง ในมือไร้มีดผ่าตัด เหลือไว้เพียงกงเล็บที่คมกริบยิ่งกว่า แร็กนาร์ใช้กงเล็บตะปปลงไปบนแขนของเบียกโกะ ที่กำลังชื่นชมภาพตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว จนเสียจังหวะปล่อยมืออกจากลำคอเล็ก ร่างบางจึงหลุดพ้นจากการพันธนาการออกมาได้

แร็กนาร์กระโดดถอยหลังจนเกิดระยะห่างระหว่างทั้งสองเพื่อตั้งหลัก จนไม่ทันสังเกตว่าชั่วครู่ดวงตาของเบียกโกะแวววาวเต็มไปด้วยความยินดีแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว



‘ในที่สุดข้าก็พบ...ใช่แล้วข้าพบเจ้าแล้วเด็กน้อย’



เมื่อทุกอย่างดำเนินมาตามแผนเบียกโกะจึงคลายมือออกจากคอของรูร์กัส แล้วลุกขึ้นยืนอย่างไม่สนใจตัวประกันอีก



“แค่ก แค่ก แฮ่ก แฮ่ก” รูร์กัสไออย่างทรมาน จึงพยายามสูดหายใจเข้าปอดเพื่อให้ตนหายใจได้สะดวกขึ้น แต่ด้วยที่ขาดอากาศไปนานพอควร ทำให้ร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นได้ รูร์กัสจึงหันไปสบตาแร็กนาร์อย่างวิงวอนให้แร็กนาร์หยุดอาการที่เป็นอยู่



รูร์กัสตระหนักดีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไปหากสภาพร่างกายของแร็กนาร์เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้  เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น  มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วเขาจึงพยายามไม่ให้รูซเข้าใกล้แร็กนาร์มากนักเพราะกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง  จนกลายเป็นแร็กนาร์ที่เขาไม่รู้จัก...



ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่แร็กนาร์มีอายุเพียง 6 ขวบ  ซึ่งตอนนั้นมีลูกนกตกลงมาจากรังบนต้นไม้ในป่า  แร็กนาร์จึงนำมันกลับไปวางไว้ที่เดิม แต่นกชนิดนี้มันรังเกียจมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง  เมื่อแม่นกกลับมาแล้วได้กลิ่นของแร็กนาร์จากตัวของลูกน้อย  มันจึงบินจากไปอย่างไม่กลับมาเหลียวแลอีกเลย



หลังจากนั้นแร็กนาร์กลับไปดูอีกครั้งว่ามันเป็นเช่นไรบ้าง  พอเห็นว่าลูกนกถูกทิ้งไว้เขาจึงนำกลับมาเลี้ยงไว้ในโรงเก็บฟืนที่ตนใช้สำหรับซุกหัวนอน  โดยแอบเลี้ยงเอาไว้  บอกเพียงรูร์กัสให้รับรู้เท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่รูร์กัสเป็นเวรนำอาหารไปให้แร็กนาร์   แต่กลับถูกพ่อสั่งให้อ่าหนังสืออยู่ในห้อง รูซจึงนำอาหารไปให้แร็กนาร์แทน



ด้วยไม่คาดคิดจึงทำให้รูซไปพบแร็กนาร์ที่กำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุขอยู่กับเจ้านกตัวน้อย   ด้วยทนเห็นภาพคนที่ตนเกลียดชังมีความสุขไม่ได้ รูซจึงแย่งเจ้านกตัวนั้นมาในตอนที่แร็กนาร์ไม่ทันตั้งตัว แล้วเหวี่ยงมันลงพื้นตามด้วยกระทืบเท้าเหยียบมันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ปราณี 



รูร์กัสที่ได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของแร็กนาร์รีบวิ่งออกมาจากห้องตรงไปยังโรงเก็บฟืน ภาพที่เห็นทำให้เขาเบิกตากว้าง สภาพร่างกายของแร็กนาร์กำลังเปลี่ยนไป!!



แร็กนาร์พุ่งเข้าทำร้านรูซด้วยความโกรธเกรี้ยว  จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหากรูร์กัสไม่เข้าไปขวางเอาไว้ ยังดีที่ตอนนั้นแร็กนาร์ยังคงหลงเหลือสติอยู่บ้างไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจากรูซเลย น้องชายคนสุดท้องของเขาได้สติก็โผเข้ากอดรูร์กัสแล้วร้องไห้ราวกับคนเสียสติแล้วจึงสลบไป



หลังจากพาร่างอันปวกเปียกของน้องชายไปนอนไว้บนที่นอน  รูร์กัสก็กลับมาสำรวจบาดแผลของรูซ มีแผลเหวอะหวะตามแขนที่ยกขึ้นมาปกป้องตนเอง และตามแผ่นอกที่เป็นช่องว่างไม่อาจป้องกกันได้  รูร์กัสห้ามเลือดให้น้องชายคนกลางอย่างเร่งรีบพร้อมข่มขู่ไปเล็กน้อย  เพื่อไม่ให้รูซปากเปาะจนเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพ่อของตน



น้องชายร่วมมารดาก็ไม่กล้าปริปากบอกใครอีกเลย วันนั้นจึงมีข่าวว่ารูซโดนสัตว์ในป่าทำร้าย จนพวกเขาถูกห้ามเข้าไปในป่าเสียหลายวัน เรื่องราวเหล่านั้นมันจึงถูกเก็บเป็นความลับตลอดมาไม่เว้นแม้แต่กับตัวของแร็กนาร์เอง...จนกระทั่งวันนี้มันกลับกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง  และยังร้ายแรงยิ่งกว่า!



ครั้งนี้แร็กนาร์ดูไร้สติอย่างสิ้นเชิง กลิ่นอายกระหายเลือดคละคลุ้งในอากาศจนแค่เพียงหายใจยังลำบาก ดวงตาไร้แววการสั่นไหวเช่นคราวก่อน ตอนนี้แร็กนาร์เสียสติไปเสียแล้ว



กลับไปยังฝั่งของแร็กนาร์ที่ตอนนี้ตั้งหลักเรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กที่ผิดแปลกไปกำลังพุ่งเข้าใส่เบียกโกะอย่างไร้แบบแผน เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณด้วยพละกำลังที่ปะทุออกมาเท่านั้น  หากแร็กนาร์ยังคงหลงเหลือสติอยู่แล้วใช้ผสมผลานกับพลังนี้คงน่าหวาดกลัวมากทีเดียว แต่ตอนนี้แร็กนาร์ไม่หลงเหลือมันอีกแล้ว และด้วยร่างกายที่เล็กกว่าเบียกโกะอยู่มากโข  มันจึงดูเหมือนสัตว์เล็กๆที่กำลังข่มขู่ราชาแห่งป่าอยู่อย่างไอย่างนั้น ท่าทีออกหมัดมวยต่างๆก็ไม่อาจแตะต้องเบียกโกะได้เลยแม้แต่น้อย



สองร่างโรมรันจนผนังด้านหนึ่งพังออก ด้านนอกเป็นลานกว้างที่เหมาะแก่การต่อสู้ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง   ดังว่ามันถูกตระเตรียมเอาไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ เสียงการปะทะที่ดังก้องปะทุขึ้นทุกคราที่ทั้งสองร่างเผชิญหน้ากัน  แต่กระนั้นในบริเวณนี้กลับไม่มีปีศาจตนใดโผล่เข้ามา



มันทำให้รูร์กัสที่ลุกขึ้นมานั่งมองการต่อสู้ครั้งนี้อย่างใจจดจ่อเข้าใจในที่สุดว่า  พวกเขากำลังวิ่งอยู่บนฝ่ามือของเบียกโกะที่วางแผนทุกอย่างไว้ตั้งแต่ต้น  สถานที่พิเศษที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ยกเว้นแต่คนที่สร้างมันขึ้นมาจะอนุญาต มันไม่มีทางที่จะบังเอิญมีอยู่แล้ว สถานที่แห่งนี้บ่งบอกได้ว่าพวกเขาไร้ซึ่งทางหนีและกำลังตกเป็นเหยื่ออย่างไม่มีทางดิ้นหลุดออกไปจากหลุมพรางนี้ ทั้งยังไม่อาจมีใครเข้ามาช่วยเหลือได้อีกด้วย  เขาต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง!



“กรู๊”  โกยาตเลย์ที่ดึงสติอันสั่นไหวของตนกลับมาได้แล้วบินเข้ามาอยู่ใกล้ๆรูร์กัสพร้อมชมการต่อสู้ด้วยหัวใจที่เต้นระทึก  แม้จะไม่รับรู้สิ่งใดมาก   แต่มันก็กำลังภาวนาให้แร็กนาร์ชนะอย่างสุดใจ มันตระหนักดีว่าการต่อสู้ตรงหน้าไม่ใช่เรื่องที่มันจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ หากยิ่งเข้าไปขวางระหว่างที่ต่อสู้  ฝ่ายที่เสียหายอาจจะเป็นฝ่ายของตนเสียก็ได้



แต่ยิ่งเวลานานขึ้นก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าแร็กนาร์เสียเปรียบอีกฝ่ายอยู่มากทีเดียว เพราะไม่ว่าแร็กนาร์จะโจมตีมากเพียงใด เบียกโกะจะปัดป้องได้เสมอ บาดแผลที่ปรากฏบนร่างใหญ่โตนั้นก็มีเพียงแผลเดิมที่ได้มาในตอนแรกที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้น



ส่วนทางแร็กนาร์พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า   ออกหมัดก็โดนหลบบ้าง  ปัดป้องจนพลาดเป้าบ้างช่างน่าขัดใจยิ่งนัก ท่าเท้าที่เตะออกไปก็โดนสวนกลับด้วยการออกแรงเล็กน้อยไม่ให้ทำร้ายร่างเล็กมาเกินไป  หากแร็กนาร์ยังคงมีสติครบถ้วนคงรับรู้ได้ว่าเบียกโกะยังไม่ได้ใช้ฝีมือที่แท้จริงแม้เพียงนิด เขาแทบจะไม่แตะต้องร่างกายของแร็กนาร์เสียด้วยซ้ำไป



จังหวะที่แร็กนาร์กระโดดขึ้นกลางอากาศแล้วหมุนตัวเตะ เบียกโกะเพิ่มความเร็วขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีก็หายไปจากตรงหน้าของร่างเล็ก โผล่อีกครั้งก็มาอยู่ด้านหลังเสียแล้ว  มือที่เกร็งจนแข็งพอฟันลงบนลำคอเล็กของแร็กนาร์ตนเจ้าตัวสลบไป



“หมดเวลาเล่นสนุกแล้วเด็กน้อย”  เสียงทุ้มแหบกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูที่เจือไปทั้งดวงตา ไม่ต่างจากมองลูกชายของตน  แต่เวลานี้มีหรือที่ใครจะมองเห็น



ดวงตาอบอุ่นจ้องมองแร็กนาร์ที่กำลังค่อยๆกลับคืนสภาพเดิมอย่างพึงพอใจ  มองสำรวจร่างกายว่าไม่มีส่วนใดเสียหายริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างยินดี บรรยากาศผ่อนคลายจนเขาไม่ทันได้ระมัดระวังตัวเพราะกำลังมีความสุขที่สุดในรอบหลายปี  ไม่ทันสังเกตว่ามีเถาวัลย์สีน้ำตาลกำลังค่อยๆเลื้อยขึ้นจากพื้นพันไปตามขา แขน ลำตัว จนถึงคอในที่สุด



“ปล่อยน้องของข้า”   รูร์กัสที่ออกมาอยู่ด้านนอกตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบกล่าวขึ้นอย่างแข็งกร้าวขัดกับบรรยากาศอย่างสิ้นเชิง   พร้อมดวงตาที่กำลังวาวโรจน์ด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เบียกโกะเพียงกระตุกยิ้มที่มุมปากหาได้ตกใจหรือมีท่าทีหวาดกลัว  สองแขนกระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อกันไม่ให้ตกลงไป



“ธาตุไม้อย่างนั้นรึ หึหึหึ มันไม่ได้อยู่ในธาตุหลักทั้ง  5 ของมนุษย์ แต่เป็นธาตุใหม่ที่หลอมรวมธาตุ  ดิน น้ำ และลม  3 ธาตุเข้าด้วยกันใช้เพื่อควบคุมและกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช



ไม่เลวๆช่างยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ยอมเยี่ยมทั้งพี่ทั้งน้อง   ฮ่าๆๆๆ”  เสียงระเบิดหัวเราะที่ดังก้องสร้างความฉงนให้รูร์กัสไม่น้อย  เพราะในน้ำเสียงนั้นหาได้มีความประชดประชันปะปนอยู่  รอยยิ้มบนริมฝีปากนั้นก็แย้มยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วยความยินดีอย่างไม่ปิดบัง



เบียกโกะกำลังดีใจที่การพิสูจน์ครั้งนี้ของตนได้ผลลัพธ์มากเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก  ทำให้เขารู้สึกยินดี   จนอยากตะโกนออกมาดังๆเสียด้วยซ้ำ



รูร์กัสยังไม่วางใจเขาควบคุมเถาวัลย์ให้รัดร่างนั้นแน่นขึ้น  คิดเพียงว่าปีศาจตนนี้บ้าไปแล้วหรือ   แต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา พยายามเพ่งสมาธิไปที่การใช้พลังจนแผ่นหลังชื้นเหงื่อเฉอะแฉะไปหมด



“แต่ดูแล้วเจ้าคงใช้มันได้ไม่นาน  เพราะฝีมือยังไม่ถึงขั้นสินะ  น่าเสียดายๆคงไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะให้ตรงจุด  พื้นฐานการใช้พลังจึงเหลาะแหละเช่นนี้”  รูร์กัสยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจว่าปีศาจตนนี้ต้องการสิ่งใด  เมื่อเบียกโกะกล่าวดังกำลังพิจารณาบุตรหลาน  เพื่อเตรียมวางแผนอนาคตให้อย่างไรอย่างนั้น  แต่ประโยคถัดมากลับทำให้รูร์กัสตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ



“แต่ไม่เป็นไร  อายุเท่านี้ทำได้ถึงเพียงนี้ก็นับว่ามีพรสวรรค์มากเกินไปพอแล้ว ยอดเยี่ยมสมกับเป็น...ลูกชายของริเรน่า”

 

 

 

 

To Be Continued...

 

______________________________________________________________________________

สวัสดีค่ะ  กลับมาแล้วหลังจากหายไปนาน   เพราะต้นเดือนใช้วันหยุดไปเที่ยวจนหมดก็เลยทำงานยาวมา 2 อาทิตย์แล้วค่ะ  ไม่ได้พักเลย  มันส่งผลให้พอถึงห้องหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายทุกทีเลย ฮ่าๆ

เป็นยังไงกันบ้างคะตอนนี้ พอจะไขปริศนาอะไรออกแล้วบ้าง กรีนวางองค์ประกอบครบแล้ว  ตอนนี้ได้เวลาเปิดโปงซะที พร้อมกันรึยังเอ่ย?

ปมต่างๆกำลังจะถูกแก้  คงไม่เบื่อกันไปก่อนเนาะ เพราะมันหลายปมซะเหลือเกิน บางคนอาจจะว่ากรีนบ้า  จริงๆกรีนโรคจิตค่ะ ชอบทรมานคนอ่านให้ค้าง ฮ่าๆ  อย่าโกรธกันเลยนะคนดี  อยู่จิ้นแร็กนาร์ตัวน้อยเป็นเพื่อนกรีนไปนานๆน้า

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่  FB: Green Head – หัวเขียว   หรือพิมพ์  greenheadzoro

Twitter: mato_dae

 

 
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 25 พิสูจน์ (ครึ่งหลัง) (30/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 30-04-2017 20:00:36
คุณคนเขียนอย่าทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้โอ๊ยยยอ่านทันแล้วติดค่ะ  มาต่อบ่อยๆ นะคะ ตอนสุดท้ายนี้พ่อลูกเจอกันแล้วว ตัวละครมีเยอะมากก  ชอบนายเอก  :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 25 พิสูจน์ (ครึ่งหลัง) (30/04/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-04-2017 20:16:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 21-05-2017 09:06:34
ตอนที่  26
เจรจา (ครึ่งแรก)


“หมายความว่าอย่างไร ท่านรู้จักท่านแม่...ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับมัน!!” รูร์กัสตั้งสติได้ก็ตะหวาดกร้าวอย่างไม่เกรงกลัว ในเวลานี้ในหัวของเขาคิดไปแต่ในแง่ร้าย  ด้วยคาดคิดอยู่แล้วว่าอย่างไรตนต้องได้พบกับปีศาจร้ายตนนั้นอีกครั้ง เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ หากมันทั้งสองเกี่ยวข้องกัน เขาเชื่อว่าไม่นานต้องได้พบกับมันอย่างแน่นอน ส่วนเวลานี้รูร์กัสตระหนักดีว่าตนนั้นหาใช่คู่ต้อสู้ของปีศาจที่อยู่ตรงหน้า จึงเลือกใช้พลังที่ไม่สมบูรณ์ และไม่ได้เร่งร้อนบุกเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิตเช่นคราวก่อน ความคิดในคราวนี้จึงเป็นเพียงการหาทางรอดให้ตนและน้องชายเท่านั้น



แต่กระนั้นความเกรี้ยวกาจก็ทำให้พลังที่ใช้ควบคุมเถาวัลย์รัดร่างของเบียกโกะแน่นขึ้นตามอารมณ์ที่ประทุขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้เขาใช้พลังไปอย่างสิ้นเปลืองกว่าที่คำนวณเวลาเอาไว้ และฝืนร่างกายมากกว่าที่ควร พลังที่เกินขีดจำกันจึงเกิดผลเสียกับร่างกายอย่างไม่อาจคาดเดาได้



เบียกโกะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเพราะถูกรัดคอจนขาดอากาศหายใจ เถาวัลย์ที่ผู้ใช้ธาตุใช้จะเหนียวและแข็งแรงเป็นอย่างมาก เพราะถูกอัดพลังเข้าไปโดยตรง แม้แต่ตัวเขาก็รู้สึกถึงแรงบีบรัดที่ยากจะคลายออก แต่ใบหน้านั้นก็มิได้ฉายแวววิตกกังวล มันกลับประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆแสดงถึงความยินดีที่ทดสอบพลังของรูร์กัสได้แล้วว่าอยู่ในขั้นใด



ในตอนที่แช่น้ำนั้นเขาไม่รู้ว่าแม่ของเด็กทั้ง 2 ชื่ออะไร ด้วยเพราะรูร์กัสไม่ได้บอกชื่อแม่ของตนให้แก่เด็กชายฝาแฝดได้ฟัง แม้มีความใกล้เคียงอยู่มากแต่เขาก็ไม่อาจเชื่อได้อย่างสนิทใจ จึงต้องลงมือพิสูจน์ดูเช่นนี้เท่าที่สามารถหาทางได้ เพื่อตรวจสอบว่ารูร์กัสกับแร็กนาร์ใช่ลูกชายของริเรน่าหรือไม่ ผลพิสูจน์คือสภาพของแร็กนาร์ที่เปลี่ยนไปตามที่คาดการณ์ไว้ แต่เขากลับโลภมากเมื่อรู้ถึงพลังของรูร์กัส และยิ่งโลภมากยิ่งขึ้นเมื่ออยากรู้ว่าขีดจำกัสของรูร์กัสอยู่ที่ใด



“อั๊ก!” รูร์กัสที่ฝืนใช้พลังจนกระอักเลือด แม้พลังนี้จะแข็งแกร่งกว่าการใช้ธาตุหลัก แต่พลังที่ไม่สมบูรณ์ก็ต้องย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง ผลตอบแทนของการฝืนใช้พลังนี้จึงทำให้กระแสพลังที่ไหลเวียนในร่างกายบีบเค้นพลังออกมาอย่างไม่อาจควบคุมจนร่างกายเจ็บปวดแสนสาหัส มันบ่งบอกว่าเขาฝืนมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว...ช่างอ่อนแอ อ่อนแอจนน่าสมเพท



ปีศาจร่างใหญ่โตกำลังพิจารณารูร์กัสอย่างถี่ถ้วน แววตาของเขาหาได้เหยียดหยามในพลังอันน้อยนิดของเด็กน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใย และคาดหวัง เพราะตอนนี้รูร์กัสยังเด็กนักจึงยังไม่อาจควบคุมพลังนี้ได้ หากฝึกฝนอีก 2-3 ปี คาดว่าพลังนี้คงน่าหวั่นเกรงมากมายทีเดียว เพื่อรอดูผลลัพธ์ที่คาดหวังเบียกโกะที่รู้ดีว่ารูร์กัสฝืนขีดจำกัดไปแล้ว หากปล่อยไว้พลังคงถูกเค้นออกมาจนเหือดแห้งจนถึงขั้นไม่อาจใช้พลังได้อีก



เขาทำมากเกินไปเสียแล้ว สมควรยุติลงเสียที...เบียกโกะจึงหลับตาลงเค้นพลังในกายบางส่วนไปรวมไว้ที่มือจนเล็บงอกยาวออกมา พลังนี้ไม่เหมือนพลังของแร็กนาร์ที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณหาใช่การฝึกฝน และพลังของเขาจะใช้ได้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ไม่ใช่ทั้งร่างเช่นที่เกิดขึ้นกับแร็กนาร์ เพราะหากทำเช่นนั้นเขาที่ไม่ได้มีลักษณะพิเศษทางสายเลือดเช่นเดียวกับแร็กนาร์จะทำให้สูญเสียพลังมากเกินไปจนไม่ไม่อาจใช้พลังอื่นใดได้อีก หรือร่างกายอาจเจ็บปวดจนสูญสลายด้วยการใช้เพียงครั้งเดียว



มือที่ประดับด้วยกงเล็บแหลมคมยกขึ้นตระหวัดเกี่ยวเถาวัลย์จนขาดวิ่นด้วยการมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกมืออุ้มร่างบอบบางของแร็กนาร์เอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ดูยากเกินไปสำหรับเบียกโกะเลย บ่งบอกว่าปีศาจตนนี้แข็งแกร่งเกินจะคาดเดา



ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วหลังจากเถาวัลย์หลุดออกจากร่าง เป็นอีกครั้งที่เบียกโกะหายไปแล้วปรากฏตัวด้านหลังคู่ต่อสู้ กงเล็บถูกหดกลับไปเป็นเช่นเดิม แล้วฟันสันมือไปที่คอของรูร์กัสตำแหน่งที่ทำให้หลับไป



รูร์กัสที่นั่งคุกเข่าอยู่เบิกตาโพรงด้วยไม่ทันตั้งตัว แล้วหมดสติลง จนร่างกายเอนเอียงจะทิ้งตัวลงกับพื้น เบียกโกะจึงใช้มือข้างที่ว่างอยู่คว้าตัวรูร์กัสเอาไว้ เด็ก 2 คน ถูกอุ้มด้วยแขนแข็งแกร่งคนละข้างอย่างไม่รู้สึกหนักแต่อย่างใด เพราะหากเทียบร่างของเด็กทั้งสองกับเบียกโกะแล้วมันช่างต่างกันจนเวลาอุ้มร่างทั้งสองไว้บนแขนยังรู้สึกคล้ายโอบอุ้มปุยนุ่นอยู่หลายส่วน



โกยาตเลย์เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ เพราะมันสัมผัสได้ว่าเบียกโกะไร้ความกดดันในการสังหารตั้งแต่หยุดแร็กนาร์ไม่ให้อาละวาทได้ มันจึงมองเบียกโกะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสับงุนงงเกินจะคาดเดาความคิดของปีศาจตนนี้ได้



เบียกโกะสัมผัสสายตาที่มองมาได้จึงหันไปมองยิ้มให้โกยาตเลย์อย่างเอ็นดู คราวนี้ผลพลอยได้อีกอย่างคือ การที่ได้รู้ว่าปีศาจเผ่าวิหคตนนี้มีสัญชาตญาณเฉียบแหลมเกินอายุ ความเป็นมาของมันคงน่ากลัวอย่างไม่อาจคาดเดาได้ แต่จากเหตุการณ์ที่ก่อขึ้นก็ทำให้เขารู้ว่าวิหคตนนี้ซื่อสัตย์กับแร็กนาร์จึงไม่เป็นกังวลนัก และตระหนักดีว่าบางเรื่องราวเขาก็ไม่ควรยื่นมือเข้าไปเปลี่ยนแปลงมัน จึงปล่อยให้แรงขับเคลื่อนแห่งโชคชะตาเป็นผู้กำหนดอนาคตของเด็กๆเหล่านี้ให้เดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น



ร่างใหญ่โตโอบอุ้มเด็กทั้งสองเข้ามาในห้องที่ใช้พูดคุยในคราแรกก็ต้องชะงักเมื่อปรากฏร่างของใครคนหนึ่งทั้งๆที่ไม่คาดคิด เพราะอาณาเขตที่เขาสร้างไม่ได้อนุญาตให้เข้าใครมาได้โดยง่าย



“ท่านหมอ” เบียกโกะเอ่ยเรียกหมอชราอย่างปลงๆมากกว่าตกใจสงสัย เพราะเขารู้ความเป็นมาของหมอชราเป็นอย่างดี จึงไม่แปลกใจนักที่อีกฝ่ายจะรู้เรื่องราวที่เขากำลังทำอยู่ ทั้งยังเข้ามาในอาณาเขตได้โดยที่เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย



“พาไปนอนบนฟูกข้าจะดูอาการของเด็กทั้งสองให้ ...จะทำเช่นนี้เหตุใดไม่บอกข้า หึ” สายตาที่เต็มไปด้วยความตำหนิจากหมอชราส่งไปยังเบียกโกะอย่างไม่ปิดบัง



“เพราะข้ารู้ว่าท่านจะไม่เห็นด้วย และคงคัดค้านหัวชนฝาถ้าต้องเห็นเด็กๆบาดเจ็บ...ข้ารู้ดีว่าท่านเอ็นดูเด็กทั้งสองยิ่ง” เบียกโกะเอ่ยตอบพร้อมๆกับที่วางร่างของเด็กทั้งสองลงบนฟูกนอนที่วางอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่เขานั่งเมื่อครู่มากนัก เขากล่าวตอบนิ่งๆเหมือนคุยเรื่องปกติหาได้โกรธที่หมอชราตำหนิตนแม้แต่น้อย



“หึ รู้ถึงขั้นนั้นแล้วเจ้าก็ยังจะทำ...แต่เอาเถอะจะอย่างไรข้าก็ห้ามเจ้าช้าเกินไป หลบไปได้แล้วข้าขอดูอาการหน่อย” หมอชรากล่าวอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้าไปดูอาการของรูร์กัสกับแร็กนาร์ ที่ดูอย่างไรก็อาการไม่สู้ดีนัก ใบหน้าซีดเซียวจากการใช้พลังที่ไม่คุ้นเคยทั้งยังไม่อาจควบคุมมันได้ ซึ่งถูกเบียกโกะใช้สถานการณ์บังคับจนต้องใช้พลังเหล่านั้นออกมา



เบียกโกะมองใบหน้าที่เคร่งเครียดของหมอชราแล้วจึงเริ่มกังวลตามไปด้วย รู้สึกใจหายไม่น้อยที่เขาทำเกินเหตุจนเด็กทั้งสองเจ็บหนักจนถึงขั้นทำให้หมอชราหนักใจได้



“เด็กๆเป็นเช่นไรบ้างขอรับท่านหมอ” เขาเอ่ยถามอย่างห้ามความสงสัยไว้ไม่ได้ เพราะเขากระทำเกินกว่าที่ตนคาดการณ์เอาไว้ ในใจจึงกังวลด้วยความรู้สึกผิด ที่ได้กระทำลงไป



หมอชราไม่ตอบ ทำเพียงหยิบถุงใบเล็กออกมาแขนเสื้อที่สวมอยู่  ภายในบรรจุยาไว้   2 เม็ด ซึ่งเขาเตรียมเอาไว้ในการนี้โดยฉะเพราะ ดีแล้วที่เขาเตรียมมาเผื่ออีกหนึ่งเม็ด  ด้วยเกรงว่าจะมีเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้  เพราะในตอนแรกหมอชราคิดว่าคงได้รักษาเพียงแร็กนาร์  แต่ความไม่สบายใจที่รบกวนอยู่ทำให้เขาเตรียมยามาเพิ่ม ยาเม็ดกลมสีดำที่เกิดจากการปลอมรวมของสมุนไพรหายากถูกหย่อนลงไปยังปากของเด็กทั้งสองคนละหนึ่งเม็ด   จากนั้นมือแห้งเหี่ยวก็กดตำแหน่งบริเวณคอให้เด็กทั้งสองกลืนยาลงไปโดยไม่ต้องปลุกขึ้นมาหรือใช้วิธีอื่นใด



บรรยากาศเงียบเชียบและสีหน้ากังวลใจของหมอชรายิ่งพาให้เบียกโกะเริ่มเครียดหนักขึ้น  ด้วยกังวลใจว่าเขาได้ทำลายลูกชายของริเรน่าเสียแล้ว หากวันใดเขาตามไปยังโลกหน้าคงต้องโดนด่าจนหูชาเป็นแน่ และยิ่งกลัวเมื่อเพียงพบกันเพียงไม่นานก็ต้องแยกจากกันเสียแล้ว   ทั้งแผนการที่เตรียมเอาไว้ก็คงเหลวไม่เป็นท่า...ยังไม่เริ่มลงมือทำสิ่งใด ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้วหรือไร



“เด็กทั้งสอง...” หมอชรากล่าวด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยวและสั่นน้อยๆแล้วหยุดลง



“เด็กทั้งสองเป็นเช่นไรท่านหมอ รีบตอบช้า” พาให้ผู้ฟังหวั่นใจยิ่งขึ้น น้ำเสียงที่เอ่ยเร่งเร้าจึงเต็มไปด้วยความร้อนรน



“เด็กทั้งสอง...” คราวนี้หมอชราหันมาสบตากับเบียกโกะด้วยสภาพใบหน้าอิดโรย ดูแก่ลงหลายปียิ่งกว่าที่เป็นอยู่ แต่ก็หยุดลงอีกดังว่าคำที่จะเอ่ยต่อไปมันน่ากลัวเสียจนไม่กล้าเอ่ยมันออกมา



“เป็นเช่นไร” เบียกโกะหัวใจแทบหยุดเต้น เผลอกลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึก แต่ในหัวกลับคิดถึงผลที่ร้ายแรงที่สุด ความรู้สึกผิดเข้าโจมตีเสียจนอึดอัด ไม่เพียงทำลายลูกชายของผู้มีพระคุณ เขายังทำร้ายจิตใจลูกชายของตนด้วย หากฮิเดโอะกับฮิโรกิรู้เรื่องเหล่านี้จะทำเช่นไร เขาคิดไม่ออกเลย ผลกระทบมากมายเกิดขึ้น ตีกันเสียวุ่นวาย



โชคชะตากำหนดกุญแจสำคัญไว้ตั้งแต่ 8 ปีก่อน ผูกมัดดังสัญญาที่ไม่อาจบิดเบือน แต่เขากลับกระทำการที่ขาดเขลาด้วยความสนุกจนเกิดเรื่องร้ายแรง...


‘นี่คือบทลงโทษที่เจ้ากำหนดไว้อย่างนั้นหรือ’


ช่องว่างของคำพูดที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปดังจงใจให้อีกฝ่ายได้จินตนาการถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่โกยาตเลย์ยังเงียบ เพราะมันได้เห็นรอยยิ้มเย็นจากหมอชราก่อนหันหน้าไปหาเบียกโกะ จึงพอคาดเดาบางสิ่งบางอย่างได้ มันจึงเงียบแล้วคอยมองสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น จนหมอชรากล่าวต่อ



“เด็กทั้งสอง...ปลอดภัยดี เพียงแค่สูญเสียพลังเท่านั้น ข้าให้ยาฟื้นพลังชนิดพิเศษไปแล้ว สักพักก็จะดีขึ้นเอง หึหึหึ” สิ้นคำกล่าว พร้อมเสียงหัวเราะส่งท้าย ทำให้เบียกโกะนิ่งอึ้งกว่าจะประติดประต่อคำกล่าวของหมอชรา กับอารมณ์ความรู้สึกที่จมดิ่งเกือบถึงขีดสุดเข้าด้วยกันได้ก็ผ่านไปหลายอึกใจทีเดียว



“โถ่! ท่านหมอ ท่านหลอกข้า” เบียกโกะกล่าวอย่างเหนื่อยใจ เพราะพึ่งตระหนักได้ว่าตนถูกปีศาจชราตนนี้หลอกปั่นหัวเล่นอีกแล้ว ไม่ว่าจะอยู่มานานเท่าใดเขาก็ไม่เคยตามเกมของหมอชราได้ทันสักครา...ปีศาจเฒ่าเจ้าเล่ห์! เฮ้ออออ



“หึ ให้ข้าเอาคืนเสียบ้าง ร่างกายเล็กๆของแร็กนาร์รับพลังได้เสียที่ไหนเจ้าก็รู้ดีกว่าใครว่าพลังนั่นร้ายกาจเพียงใดแล้วยังกระทำอีก  ไม่พอเจ้ายังเอาแต่เล่นสนุกเป็นเด็กๆรู้ความจริงแล้วใยไม่รีบหยุดเอาไว้ ปล่อยให้มันทำความเสียหายให้ร่างกายถึงเพียงนี้  เจ้าโดนเพียงเท่านี้นับว่ายังน้อยไป” รอยยิ้มสะใจปรากฏที่มุมปากก่อนจะบ่นยาวยืดว่าทำสิ่งร้ายแรงอันใดลงไปบ้างเพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นไม่พอใจออกไป



การที่พลังตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ทันได้เตรียมการฝึกฝนใดๆจะทำให้ร่างกายรับภาระหนักยิ่งกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นร่างกายของผู้ที่ใช้พลังนี้ต้องแข็งแรงมากพอที่จะรองรับพลังที่มหาศาลเหล่านี้เอาไว้ ทั้งยังต้องมีสติมากพอที่จะควบคุมมันไม่เช่นนั้นพลังนี้ก็จะไร้ประโยชน์ ทั้งยังมีผลเสียอย่างหาที่สุดไม่ได้จนกลายเป็นการทำร้ายผู้ที่ใช้เอง



“ข้า...ข้าแค่ตื่นเต้นจนหลงลืมไป เพราะไม่ได้เห็นมันมานานหลายปี จึงเผลอชื่นชมจนลืมทุกอย่างไปเสียหมดสิ้น” เสียงที่น่าเกรงขามหลงเหลือเพียงความเบาที่ลดลงจนแทบไม่ได้ยิน เวลาที่เขาอยู่กับหมอชราตามสำพังความน่าเกรงขามของหัวหน้าใหญ่จะหายไปจนหมดเช่นตอนนี้  เพราะเบียกโกะนับถือหมอชราเหมือนญาติผู้ใหญ่ตนหนึ่งและยังรู้จักกันมาตั้งแต่ตนยังเยาว์วัยจึงแสดงนิสัยเด็กๆออกมาอย่างผ่อนคลายเช่นนี้เสมอ



“หึ เจ้านี่มัน! นิสัยเช่นนี้เสมอไม่ว่าจะโตขึ้นเพียงใดก็ไม่ยอมแก้ไขเสียที...ถึงข้าจะบ่นเสียยาวเหยียดแต่ข้าก็ไม่ได้กังวลเรื่องร่างกายของแร็กนาร์มากนัก เพราะอย่างไรก็เป็นลูกครึ่งจึงมีพลังฟื้นฟูสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่มากโข



ข้ากังวลเรื่องรูร์กัสเสียมากกว่า เพราะมาช้าไปข้าจึงหยุดไม่ทันการ เด็กคนนี้ฝืนใช้พลังที่ยังไม่ถึงขั้นจนเส้นพลังปั่นป่วนไปหมดถึงขั้นทำลายอวัยวะภายในจนกระอักเลือดออกมา แถมยังเป็นมนุษย์ธรรมดาคงฟื้นพลังยากกว่าลูกครึ่งอย่างแร็กนาร์อยู่มากที่เดียว ยาที่ข้าให้มีฤทธิ์ที่ช่วยฟื้นพลังก็จริงแต่มันคงต้องใช้เวลา ยังดีที่เส้นพลังไม่ขาดไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่อาจใช้พลังได้อีก...นับว่ายังมีความโชคดีในโชคร้าย” กล่าวจบหมอชราถอนหายใจออกมา ด้วยอายุที่ผ่านโลกมาหลายปีจึงรู้ว่า พลังของมนุษย์กว่าจะแข็งแกร่งขึ้นจนเทียบชั้นกับปีศาจได้นั้นต้องฝึกฝนอย่างหนักกว่าปีศาจหลายเท่า ทั้งยังทีลำดับขั้นแบ่งอย่างชัดเจน เป็นตัวกำหนดความเข้มข้นของพลังที่แต่ละคนมี ดังนั้นการฝืนใช้พลังในลำดับขั้นที่สูงกว่าที่ตนอยู่จะต้องแลกเปลี่ยนด้วยความเสียหายมากมายเสมอ



“คิดแล้วเชียวถึงว่าอยู่ๆก็กระอักเลือดออกมา ข้าประมาทอีกจนได้ ไม่คิดว่ารูร์กัสจะใช้พลังข้ามลำดับขั้น ข้าคิดว่าเพียงฝึกพื้นฐานธาตุเสริมไม่แน่นเท่านั้น” คำกล่าวของหมอชราทำให้เบียกโกะรู้ข้อผิดพลาดอีกข้อของตัวเอง จึงกล่าวด้วยความรู้สึกผิดดังเด็กน้อยที่ยอมรับผิดเมื่อถูกพ่อแม่จับได้



“ข้าเองก็พึ่งรับรู้ว่ารูร์กัสอยู่เพียงขั้นควบคุมเท่านั้น ใช้ได้นานถึงเพียงนี้นับว่าฝืนตัวเองไม่น้อยเลย สิ่งที่ขับเคลื่อนพลังในกายคงเป็นความรู้สึกที่ๆไม่อยากสูญเสียคนที่ตนรักครั้งแล้วครั้งเล่า...ช่างน่าเวทนานัก แต่ก็น่านับถือมากทีเดียวที่ยังใช้ชีวิตอย่างร่าเริงได้จนถึงตอนนี้” มือเหี่ยวย่นลูบไปบนผมสีดำของรูร์กัสอย่างอ่อนโยน สายตาก็เต็มไปด้วยความเอ็นดูและชื่นชม หมอชรารับรู้เรื่องราวเมื่อ 8 ปีก่อนเป็นอย่างดี จึงเอ็นดูรูร์กัสมากขึ้นเมื่อได้รู้ความจริงถึงความเป็นมาของเด็กทั้งสอง เด็กที่สูญเสียแม่ไปยังคงยิ้มได้ ทั้งยังโอบอ้อมอารีถึงเพียงนี้ หัวใจคงแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร



หลังจากนั้นห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ผู้ใหญ่ทั้งสองไปนั่งเงียบๆรอคอยเวลา ปล่อยให้แร็กนาร์กับรูร์กัสได้พักผ่อน โดยมีเจ้าโกยาตเลย์บินไปเกาะตรงกลางระหว่างหมอนที่นอนไว้ด้วยร่างหลับใหลทั้งสอง แม้มันรู้สึกสะใจไปกับหมอชรา แต่ก็ยังไม่อาจทิ้งความกังวลใจไปได้ หัวใจมันซื่อตรง มันรักแร็กนาร์มากที่สุด พอรู้ว่าแร็กนาร์รักรูร์กัสมันจึงรักรูร์กัสตามไปด้วย แต่เวลานี้มันขอห่วงใยแร็กนาร์มากที่สุดก็พอ มันจึงบินเข้าไปคลอเคลียข้างแก้มนุ่มของแร็กนาร์ ใช้หัวถูไถเพื่อส่งมอบความอบอุ่นไปให้

..

..

..



*****************************60%***************************************
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งแรก) (21/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 21-05-2017 15:47:50
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งแรก) (21/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-05-2017 18:50:19
ขอให้เปงเรื่องราวดีๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งแรก) (21/05/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 22-05-2017 00:06:32
 :เฮ้อ:ป๋านี่น่าตีจิงๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งหลัง)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 28-06-2017 09:58:15

ตอนที่ 26
เจรจา (ครึ่งหลัง)


ผ่านไปหลายชั่วยามจนดวงอาทิตย์เฉิดฉายตรงกับศีรษะแร็กนาร์ก็ลืมตาตื่นขึ้นก่อน ดวงตาสีดำมองรอบๆอย่างสำรวจ สิ่งแรกที่แร็กนาร์เห็นคือเจ้าโกยาตเลย์ที่นอนอยู่ข้างๆแก้มของเขาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ถัดไปคือใบหน้าของรูร์กัสที่ยังหลับใหลไม่ได้สติ  เขาพยายามประมวลผลจากความทรงจำที่มีอยู่ แต่ความทรงจำที่จดจำได้ล่าสุดมีเพียงภาพใบหน้าของรูร์กัสที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดจนแทบขาดใจ ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นเขากลับจำมันไม่ได้เลย



ร่างเล็กรีบผุดลุกขึ้นแล้วมองสำรวจรอบกาย เมื่อเห็นว่าในห้องมีเพียงพวกเขาทั้ง 3 ที่อยู่นอนอยู่บนฟูก เขาจึงยื่นมือไปจับชีพจรของรูร์กัส วจับเพียงชั่วครู่แร็กนาร์จึงมีสีหน้าผ่อนคลายลง เพราะชีพจรของรูร์กัสเต้นสม่ำเสมอไม่น่าเป็นกังวลใดๆ แต่กระนั้นร่องรอยบนลำคอเล็กนั้นก็ยังทำให้เขาไม่พอใจอยู่มากทีเดียว



แร็กนาร์ไม่ใช่คนใจร้อนจึงพยายามประเมินสถานการณ์ แม้ยังโกรธเกรี้ยวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ยังควบคุมสีหน้าท่าทางเอาไว้ได้ เพราะเชื่อว่าการแก้แค้นอาจจะช้าสักเล็กน้อย แต่ขอให้ผลเป็นที่น่าพอใจมากกว่าใช้อารมณ์ไร้ซึ่งแผนการมีแต่จะทำให้เสียแรงเปล่านั้น ช่างไม่สาแก่ใจเขาเลย



“พี่รูร์กัส พี่รูร์กัส” มือเล็กเขย่าร่างของพี่ชายพร้อมทั้งส่งเสียงเรียกปลุกรูร์กัสทื่เห็นว่าปลอดภัยแล้ว เพียงแต่หลับเพราะความเหนื่อยล้าของร่างกายเท่านั้น ทั้งยังมีเรื่องมากมายที่ต้องสอบถามจึงช่วยไม่ได้ที่ต้องฝืนปลุกให้รูร์กัสตื่นขึ้นมาตอบคำถามตน 



ครืดดดดดด



“ฟื้นแล้วรึ เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก” ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาคือหมอชรา ที่ตั้งใจเข้ามาตรวจดูอาการของเด็กทั้งสอบอีกครั้งหลังจากผ่านไประยะหนึ่ ด้วยคาดว่ายังไม่ฟื้น เพราะนอกจากการฝืนใช้พลังมากเกินไปแล้ว แร็กนาร์กับรูร์กัสยังถูกทำให้สลบ เขาจึงกะระยะเวลาไว้มากกว่าที่ควร แต่พอเห็นแร็กนาร์ที่นั่งอยู่จึงเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ



“ตาเฒ่า” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ราวรำพึงรำพันกับตนเอง ด้วยไม่คาดว่าหมอชราจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



“โอ้ ตื่นขึ้นมาก็ปากเสียเลยรึ เจ้านี่ไม่สลดลงบ้างเลย เฮ้อ” คิ้วสีเทาขมวดฉับ เมื่อคนที่พึ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายเอ่ยคำที่ไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก แต่น้ำเสียนั้นหาได้โกรธเกรี้ยว เพียงปลงกับคำพูดคำจาของเด็กน้อยเสียมากกว่า ซึ่งคำเรียกนี้ แร็กนาร์ใช้เรียกเขาหลายครั้งจนคร้านจะห้ามปรามเสียแล้ว



“ไม่ต้องถามสิ่งใด รอรูร์กัสตื่นเสียก่อน...เบียกโกะจะเป็นผู้อธิบายเรื่องทั้งหมด และมีเรื่องสำคัญจะเจรจากับพวกเจ้า” เพียงแร็กนาร์อ้าปากจะถาม ก็ถูกขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ที่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเมื่อดูออกว่าคนตัวเล็กวุ่นวายใจสงสัยใคร่รู้มากมายเพียงใด



แร็กนาร์หุบปากลงแล้วครุ่นคิดอีกเล็กน้อยก่อนพยักหน้า จะอย่างไรเขาก็คงหนีจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ แม้ใคร่ครวญดูแล้วว่าตนคงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุการร์วุ่นวายครั้งใหญ่ ทั้งตอนนี้ยังไร้พลังจะต่อกรกับอีกฝ่าย สู้รอฟังคำเจรจาแล้วค่อยตัดสินใจเสียดีกว่า จะอย่างไรฝ่ายนั้นก็เพียงต้องการเจรจา หาได้บังคับขู่เข็ญทั้งที่ตนเหนือกว่ามากถึงเพียงนี้  เมื่อคำนึงถึงจึงพอคาดเดาได้ว่าฐานะของพวกเขาทั้งสองคงสำคัญกับอีกฝ่ายไม่น้อยเลย



หมอชราเห็นดังนั้นก็อดที่จะชื่นชมในใจไม่ได้ ไม่ว่าจะยามใดแร็กนาร์ก็มักจะใจเย็น ทั้งยังคิดอย่างละเอียดรอบครอบถึงผลได้ผลเสียเสมอ นิสัยเช่นนี้ทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่เสียอีก...โตเกินวัยโดยแท้



จากนั้นหมอชราก็เดินเข้าไปประชิดร่างของเด็กน้อยแล้วตรวจอาการของแร็กนาร์กับรูร์กัส แร็กนาร์ก็ทำเพียงนั่งนิ่งๆปล่อยให้หมอชราทำตามใจตนหาได้อวดเก่ง หรือหยิ่งทะนงในฝีมือของตนไม่



ชีพจรของรูร์กัสเป็นปกติ แต่เส้นพลังธาตุที่อยู่ในร่างกายกลับหมุนวนอย่างปั่นป่วนทำงานผิดปกติจนน่าแปลกใจ แม้ว่ามันจะค่อยๆสงบลงแต่แร็กนาร์ก็ไม่อาจวางใจ ด้วยไม่รู้ว่าในระหว่างที่ตนสูญเสียความทรงจำไปเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาบ้าง คนดื้อเงียบเช่นรูร์กัสคงต้องฝืนตนเองทำสิ่งต้องห้ามไปแน่ๆจึงมีสภาพเช่นนี้ แร็กนาร์จึงคาดโทษในใจ ทั้งตัวพี่ชายตน และผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หรือผู้วางแผนให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เอาไว้หลังจากผ่านเหตุการณ์วันนี้ไปก่อนค่อยว่ากัน



“อือ...แร็กนาร์!” รูร์กัสสะดุ้งโหยงหลังจากลืมตาตื่นขึ้น เพราะตอนที่ถูกทำให้สลบไปเขายังไม่ทันตั้งตัว จึงไม่รู้กระทั่งว่าเหตุใดตนจึงสลบไป ด้วยความรู้สึกที่ค้างคาเขาจึงตระหนกจนรีบลุกขึ้นมามองรอบกายแล้วหยุดลงเมื่อเห็นแร็กนาร์ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลใจและความงุนงงสงสัย



ผ่านไปหลายอึดใจจึงตั้งสติได้ แล้วมองแร็กนาร์ด้วยความดีใจที่เห็นว่าน้องชายของตนปลอดภัยดี แม้ยังคงงุนงงอยู่บ้าง แต่ภาพแร็กนาร์ที่นั่งเล่นอยู่บนฟูกนอนพร้อมเล่นกับเจ้าโกยาตเลย์ที่เข้ามาคลอเคลียร์แก้มขาวเนียนอย่างร่าเริงไร้ซึ่งความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ทำให้เขาวางใจ จนทำให้รูร์กัสมีความคิดว่าเหตุการณ์ที่ตนเผชิญก่อนนี้เป็นความฝันหรือย่างไร แต่สิ่งที่ย้ำเตือนว่ามันไม่ใช่ความฝัน คือรอยนิ้วมือขนาดใหญ่ที่ประดับอยู่บนคอของแร็กนาร์ซึ่งยังไม่จางหายไปนั่นเอง



“พี่รูร์กัสท่านฟื้นแล้ว... แต่อย่าพึ่งถามสิ่งใดเลย เรามีเรื่องสำคัญยิ่งกว่ารออยู่...ข้าเองก็อยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากไร้สติเช่นกัน ดังนั้นเราจะพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากจัดการเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน “ แร็กนาร์กล่าวอธิบายอย่างยาวเหยียด เขานั่งรอรูร์กัสฟื้นอยู่ 1 ชั่วโมง จึงได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากโกยาตเลย์คร่าวๆแล้ว แต่ที่เขายังค้างคาใจคือ การกระทำของรูร์กัสที่ทำดังว่ารู้ถึงสภาพร่างกายของเขาที่เกิดขึ้น ทั้งที่ในความทรงจำของร่างนี้ ไม่มีความทรงจำถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเลย จึงตั้งใจที่จะสอบถามให้กระจ่างแจ้งเช่นเดียวกัน แต่คงทำต้องทำหลังจากนี้



“ถ้าเช่นนั้นข้าเข้าเรื่องที่ต้องการเจรจากเลยก็แล้วกัน” ดวงตาของรูร์กัสฉายแววตื่นตระหนก และโกรธเกรี้ยวเมื่อหันไปตามเสียงที่เกิดขึ้น แล้วพบเบียกโกะนั่งอยู่บริเวณชานระเบียงที่ยื่นออกไปยังสวนหย่อมที่ใช้ต่อสู้ก่อนหน้านี้  เพราะก่อนหน้านี้เขาสนใจเพียงแร็กนาร์จึงไม่ได้มองโดยรอบ พอสายตาประทะกับร่างของแร็กนาร์ก็หยุดลง หาได้มองไปทางด้านหลังจึงไม่สังเกตเห็นเบียกโกะ เวลานี้เข้าจึงตระหนกเป็นอย่างยิ่ง รีบลุกขึ้นไปขวางแร็กนาร์เอาไว้ แล้วมองเบียกโกะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์อย่างชัดเจน



“ไม่เป็นไรพี่รูร์กัส” มือเล็กจับแขนพี่ชายแล้วลูบเบาๆเพื่อให้รูร์กัสใจเย็นลง มันคงยากที่เด็กอายุเพียงเท่านี้จะยังใจเย็นอยู่ได้ทั้งที่ตนและน้องชายพึ่งผ่านเหตุการร์เฉียดตายมาได้ แต่พอถูกมือเล็กๆลูบอย่างปลอบประโลม ทั้งยังใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเสียจนเหมือนปลอบโยนเด็กตัวเล็กๆเขาจึงค่อยๆใจเย็นลง แล้วหันมามองสบดวงตาสีดำสนิทที่ฉายแววจริงจังเสียจนเขาต้องเชื่อฟังทุกครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุทั้งที่ตนเป็นพี่ชาย รูร์กัสก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วถอยกลับมานั่งลงที่เดิมอย่างว่าง่าย



เจ้าโกยาตเลย์ก็บินขึ้นไปเกาะบนไหล่ของแร็กนาร์ ทั้งสามจึงหันมองไปทางเบียกโกะ อย่างพร้อมจะฟัง เมื่อเห็นดังนั้น เบียกโกะจึงเดินเข้ามานั่งในห้องด้วย แล้วเริ่มการเจรจา



“แร็กนาร์ รูร์กัส พวกเจ้าทั้งสองคงยังไม่รู้ถึงความสำคัญของตนเองมากนัก แต่กระนั้นข้าก็ยังไม่ขอเอ่ยถึงมันให้พวกเจ้าได้ฟัง เพียงแต่อยากให้พวกเจ้าทั้งสองร่วมมือทำตามแผนการที่ข้าได้วางเอาไว้



คงจะแปลกใจที่ข้าที่เกือบจะลงมือสังหารพวกเจ้า แต่เวลานี้กลับมาเจรจาขอความร่วมมือ อย่างที่บอกว่ายังไม่ขอเอ่ยถึง เพราะข้ายังไม่อาจตอบคำถามทั้งหมดที่พวกเจ้าสงสัยได้ แต่สิ่งเดียวที่บอกได้คือสาเหตุของสิ่งที่ข้าทำลงไป เป็นเพราะ ข้าต้องการความแน่ใจว่าพวกเจ้าเป็นลูกชายของริเรน่าจริงๆ หาใช่ความเข้าใจผิด หรือเป็นเล่ย์กลอันใดของศัตรูที่ต้องการหลอกลวงข้า” เบียกโกะเอ่ยปูทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังคงทิ้งปริศนาไว้อย่างพร้อมเพียงกัน ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ เหลือเพียงสายตาของแต่ละคนที่มองด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป



หลังจากนั้นเบียกโกะจึงเริ่มเล่าแผนการของตนอย่างคร่าวๆไม่ได้เจาะลึกถึงจุดประสงค์ แต่ก็ยังคงไว้ด้วยขั้นตอนของความเป็นไปที่ตนต้องการ เพราะรู้ดีว่าแร็กนาร์ฉลาดหลักแหลมเกินจะหลอกใช้ จึงเล่ามากกว่าที่คิดเอาไว้ โดยส่วนใหญ่เกี่ยวของกับซาดาโอะและเทโทระ รวมทั้งข้อสันนิษฐานกับเบื้องหลังความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน แต่เขาก็ไม่ได้เจาะจงบุคคลหรือรายละเอียดของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังต้องการกระตุ้นให้คู่เจรจาได้รู้สึกค้างคาใจ และอยากรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของบุคคลเหล่านั้นมากขึ้นไปอีก



“แล้วถ้าข้าไม่ร่วมมือกับท่านเล่า” แร็กนาร์เอ่ยขึ้นหลังจากนั่งฟังอยู่เงียบๆจนจบ หลังจากได้ฟังเขาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายจงใจทำให้ตนอย่างรู้ และเป็นดังที่อีกฝ่ายหวังไว้ รายละเอียดเหล่านั้นช่างล่อตาล่อใจเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นเขาก็ยังหยั่งเชิงเอาไว้อย่างไว้ท่าที เพื่อบอกกลายๆว่าตนจะไม่ดิ้นไปตามแผนของอีกฝ่ายง่ายๆอย่างแน่นอน รวมทั้งเพื่อตกเหยื่อให้อีกฝ่ายได้เผยไต๋ออกมาโดยเร็ว และเป็นดังคาด บนริมฝีปากของเบียกโกะกระตุกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นว่าแร็กนาร์ตามเกมของตนทัน ทั้งยังรู้อีกว่าตนมีข้อต่อรองที่สมควรแก่การตกลง โดยไม่ต้องรอให้เขาต้องเอ่ยหลอกล่อไปมากกว่านี้...ช่างถูกใจข้าเสียจริง



“หึหึ เจ้าต้องตกลงอย่างแน่นอน เพราะข้อแลกเปลี่ยนของข้าคือ...การปลดผนึกความทรงจำที่อยู่ในหัวของเจ้า...เด็กน้อย”

 

 

 




To Be Continued...



_________________________________________________________________________



กลับมาแล้วค่าาาา หลังจากหายไปนานมากกกกกกก

หยุดพักซะเพลินเลย ช่วงที่หายไปก็ไม่มีอะไรมากค่ะ

ไปทะลายกองดองนิยายมา หมุนเงินใช้ไม่ทันจนต้องเร่งอ่าน

แล้วหนังสือก็ออกใหม่หนักมาก จนตามแทบไม่ทันต้องตัดใจไปหลายเล่ม

กว่าจะเข้าล่องเข้ารอยกลับมาแต่งต่อได้  แทบเขวกันไปเลยทีเดียว

ที่จริงก็ไม่ได้มีแค่อ่านนิยายที่ดองไว้ เพื่อเอาไปขายหรอกค่ะ

ก็ที่หายไปแรกๆมีสอบที่มหาลัย ต่อมาก็ไปเที่ยว หลังเที่ยวเสร็จก็วุ่นๆเรื่องที่ทำงาน

นับสต็อกครั้งใหญ่นั่นเองงงงง (กรีนทำงานร้านหนังสือค่ะ)

หนังสือหายเยอะจนปวดเศียรเวียนเกล้า ระแวงกันไปทั้งร้านเลยทีเดียว

สรุปแล้วช่วงที่หายไป  จะว่าไปอ่านหนังสือคลายเครียด หรือไปเพิ่มเรื่องเครียดๆมากันแน่

อันนี้ตัวเองก็ไม่แน่ใจ (ฮ่าๆ)

เอาเป็นว่าจะกลับมาแต่งต่อแล้วค่าาาาาา

ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่ >>> FB:  Green Head -  หัวเขียน , Twitter :  mato_dae
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งหลัง) (28/06/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-06-2017 12:24:30
มาเร้วๆนะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งหลัง) (28/06/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 28-06-2017 23:42:02
สู้ๆจ้า...

 :3123:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งหลัง) (28/06/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 29-06-2017 20:16:23
หนึ่งว่าตาฝาดดด  ดีใจที่คนเขียนกลับมาา :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 27 การพบเจอ 60%
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 17-07-2017 05:08:10
ตอนที่ 27
การพบเจอ


แกร็ก



ประตูไม้ถูกเปิดออกจากด้านนอกของตัวบ้านด้วยมือของคนตัวเล็ก  แสงจันทร์สาดส่องไปด้านในจนเห็นเครื่องเรือนภายในบ้านที่จัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ  เขาก้าวเท้าเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วเพราะความเคยชิน  แต่ถึงอย่างนั้นฝีเท้าก็ยังเบาหวิวเช่นทุกครา



ร่างนั้นเดินตรงไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีประตูอีกบ้านปิดอยู่โดยไม่ได้สนใจจุดตะเกียงให้สว่าง ดังว่าสายตาของเขาสามารถมองเห็นได้ในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องเพียงลางเลือน



เมื่อเดินไปถึงก็ผลักประตูบานนั้นให้เปิดออก  แล้วเดินเข้าไปในห้องห้องนั้น เขาเดินผ่านโต๊ะทานข้าวและบรรดาเครื่องครัวที่ใช้ทำอาหารซึ่งถูกจัดเก็บไว้เป็นอย่างดี  ด้วยความรวดเร็วร่างนั้นหยุดฝีเท้าลงหน้าตาผิงที่เต็มไปด้วยฟืนสำหรับจุดไฟใช้ทำอาหาร



เพียงใช้มือแตะก็สัมผัสเข้ากับฟืนที่เรียงรายกันอยู่ แต่หากใช้จิตใจที่แน่วแน่ไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นและสัมผัสได้  รวมทั้งจิตนาการว่ากองฟืนที่อยู่ตรงหน้าไม่มีอยู่จริงแล้วเดินผ่านภาพนั้นเข้าไปก็จะสามารถทุละผ่านเข้าไปได้ราวกับเวทย์มนต์เช่นเดียวกับเขา



เพียงเท่านั้นด้านหลังภาพที่ตาเห็น ภายในเตาผิงนั้นก็สว่างขึ้น ด้านในมีต้นไม้  กิ่งไม้พาดผ่านกันไปมาอยู่มุมหนึ่ง  และบนนั้นมีสัตว์ประหลาดที่มีหน้าตาท่าทางคล้ายกิ้งก่าอยู่ในทีเกาะอยู่ จะต่างก็ตรงที่มันมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย   ทั้งบนตัวมันหาใช่ผิวหนังแต่เป็นเกล็ดแข็งห่อหุ้มเอาไว้ทั่วทั้งตัวเพื่อปกป้องมันจากอันตราย  นอกจากนี้เวลามันขยับร่างกายไปที่บริเวณอื่น  เกร็ดทั่วร่างก็จะเปลี่ยนสีจนกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเช่นนั้นจนแยกไม่ออก  หาได้เปลี่ยนได้ทีละสี แต่ตัวของมันเลียนแบบสีทั้งหมดที่ปรากฏออกมาได้อย่างแนบเนียน



“เคลตี้”  เสียงเล็กที่แหบเล็กน้อยกล่าวเรียกมัน แต่แทนที่มันจะขยับเข้ามาหา   มันกลับนิ่งเฉยทั้งยังสะบัดหน้าหนีอย่างเอาแต่ใจ ดังจะบอกว่า



‘ข้าโกรธเจ้า’   อย่างไรอย่างนั้น



“ขอโทษที่ข้าไปนานเกินกำหนด  เจ้าหิวหรือไม่ ดูสิข้ามีผลไม้มาให้เยอะแยะเลย” แร็กนาร์กล่าวอย่างเอาใจ  ทั้งๆที่เขาไม่ชอบกล่าวอะไรยาวๆเช่นนั้น แต่กับสัตว์มายาซึ่งเป็นสัตว์ในพันธะสัญญาของตน  เขากลับทำมันอย่างเคยชินโดยไม่รู้สึกแปลกใจอันใด เพราะว่าตั้งแต่ต้นการทำพันธะสัญญากับเคลตี้ แร็กนาร์ก็ปฏิบัติเช่นนี้อยู่แล้ว



ในระหว่างที่กล่าวอย่างเอาใจนั้น  แร็กนาร์ก็นำกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่มาวางลงบนพื้น แล้วจัดแจงเอาผลไม้ในกระเป๋าออกมาวางบนพื้นทีละอย่าง จนกลายเป็นกองผลไม้กองใหญ่ เห็นแล้วเจ้าเคลตี้ตัวอ้วนต้องน้ำลายสอ  แต่มันคงไว้ท่าทีทำเพียงทันมามองนิ่งๆเท่านั้น แต่น้ำลายกลับไม่เชื่อฟังไหลออกมาจนมันต้องรีบใช้ขาเช็ดออกไปอย่างรวดเร็ว



แต่มีหรือที่มันจะรอดพ้นสายตาแร็กนาร์ไปได้ แม้เห็นเช่นนั้นแร็กนาร์กลับไม่กล่าววาจอเสียดแทงให้มันต้องอับอาย แต่ยิ่งเห็นเช่นนั้นคนยิ้มยากกลับฉีกยิ้มกว้างอย่างระจบประแจงภายในใจก็กำลังนึกเอ็นดูมันอยู่ในที



“กินเถอะนะ ดูสิเจ้าผอมเกินไปแล้ว ครั้งหน้าข้าสัญญาว่าจะไม่ผิดคำพูดอีก...นะ...นะเคลตี้” เสียงที่กล่าวออกมาทั้งอ่อนหวาน ทั้งออดอ้อน หากใครได้ยินคงอดที่จะใจอ่อนไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าเคลตี้ตัวอ้วนที่หาได้ผอมอย่างที่แร็กนาร์กล่าวไม่ มันยอมอ้าปากรับเอาผลไม้ลูกเล็กที่แร็กนาร์นำไปป้อนถึงปากอย่างง่ายดาย เมื่อหมดผลนี้ก็ต่อด้วยผลนั้นเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนผลไม้กองใหญ่ตรงหน้าอันตรธานหายไปทั้งจนหมดสิ้น



หนึ่งสัตว์พันธะสัญญา  หนึ่งลูกครึ่งผู้เป็นเจ้าของพันธะสัญญา ยิ้มจนแก้มปริอย่างเบิกบานเมื่อได้ในสิ่งที่ตนพอใจ จะอย่างไรใครจะเชื่อว่าคนอย่าง S.P นักฆ่าเลือดเย็นที่สังหารมนุษย์ดังผักปลาจะอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้ สำหรับแร็กนาร์นั้น สัตว์เชื่อใจได้มากกว่ามนุษย์ เพียงรักมัน ให้อาหารมัน ใจดีกับมัน มันก็จะรักและเชื่อฟังเราอย่างหมดใจ มันซื่อสัตย์เขาจึงอ่อนโยนกับพวกมันเสมอหากมีโอกาสได้พบเจอ



เคลตี้ในความรู้สึกของแร็กนาร์นั้นซื่อตรง  แม้มันจะมีนิสัยที่เย่อหยิ่งแต่มันก็แสดงออกมาตรงๆหาได้ยิ้มต่อหน้า แต่ภายในกลับอยากหั่นเขาเป็นชิ้นๆเช่นมนุษย์ไม่  และน้อยยิ่งกว่าน้อยนักที่สัตว์มายาจะยอมทำพันธะสัญญากับลูกครึ่ง การทำพันธะสัญญานั้นต้องเกิดจากความเชื่อใจของทั้งสองฝ่ายจึงจะสำเร็จ มันจึงช่วยยืนยันความไว้ใจทั้งหมดของพวกเขาได้เป็นอย่างดี



อาจจะเพราะเป็นเช่นนี้กระมัง เขาจึงยอมผ่อนคลายและแสดงนิสัยเด็กๆที่เก็บเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดออกมาในรอบหลายปี และมันอาจจะเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้เขามักใจอ่อนกับเจ้าสองแฝดขาวดำมากมายนัก...แร็กนาร์อยากให้เด็กทั้งสองเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่อยากให้อีกฝ่ายเติบโตเลยแม้แต่น้อย เพราะว่ายิ่งเติบโต เล่ห์เหลี่ยมก็จะมากตามไปด้วย เขากลัว กลัวการเปลี่ยนแปลงของเด็กทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง     



‘มียาหยุดการเติบโตไหมนะ...เฮ้อ แต่มีไปก็คงเท่านั้น การใช้ชีวิตอยู่บนโลกกับสภาพแวดล้อมที่มีแต่กลโกงและการใส่หน้ากากเข้าหากัน ต่อให้ร่างกายยังเป็นเด็ก แต่อย่างไรจิตใจก็ต้องซึมซับสิ่งเหล่านั้นเอาไว้แน่...เพราะแบบนั้นเราคงต้องรอดูต่อไปอีก รอดูว่าพวกเขาจะรักษาคำที่ตนให้สัตย์สาบานได้หรือไม่...เรานี่โอนอ่อนกับพวกนั้นอีกแล้วสินะ ชิ เพราะพวกนั้นมีท่าทาง และนิสัยเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆแน่เลย  เราถึงใจอ่อนกับพวกนั้นทุกทีแบบนี้ ถ้าเป็นมนุษย์เราคงตัดใจไม่เชื่อพวกนั้นได้ตั้งนานแล้วแท้ๆ...ใช่  มันต้องเป็นแบบนั้นแน่’



แร็กนาร์โอดครวญในใจ  ทั้งยังหาเหตุผลให้ตัวเองเสร็จสรรพ เขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจใครได้ง่ายๆเพราะผ่านการถูกหักหลังมาแล้วถึงสองครั้งสองครา  คนที่เขาเชื่อใจที่สุดมักหักหลังเขาเสมอ...เรายกเว้นให้ได้เพียงรูร์กัสเท่านั้น  เพราะรูร์กัสคือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของเขาในโลกใบนี้



ส่วนคนอื่นคงต้องขอใช้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยน  การใช้ใจแลกใจมันเจ็บปวดและเชื่อถือไม่ได้  ดังนั้นเขาจึงต้องคอยมองพิจารณาไปเรื่อยๆ...เขาจะไม่เชื่อใจใครง่ายๆอีกแล้ว



“เคลตี้  เจ้าสร้างภาพลวงตาไว้ที่นี่แล้วไปกับข้า เรามีงานใหญ่ต้องทำกัน...ทำได้หรือไม” ใครครวญอยู่สักพักแร็กนาร์ก็คิดว่าถึงเวลากลับแล้ว การลอบออกมาครั้งนี้เขาไม่ได้บอกใครจึงต้องกลับไปให้ทันเวลา จะทำให้รูร์กัสกังวลไม่ได้



เคลตี้ผงกหัวอย่างว่าง่าย แล้วหลับตาเพ่งสมาธิผลึกภาพลวงตาลงในเตาผิง  เรียบร้อยแล้วก็กระโดดเข้าไปในเป้สะพายหลังของแร็กนาร์ที่เปิดรออยู่  เตรียมเคลื่อนย้ายอย่างสบายใจ  ภายใต้การเดินทางของคนตัวเล็กที่เป็นพาหนะมีชีวิตอย่างแร็กนาร์...มันช่างเป็นสัตว์พันธะสัญญาที่สบายเสียจริงๆ



**************************************30%******************************************


..

..

..

อีกด้านของป่า



กลุ่มชาย 4 ชีวิตกำลังวิ่งลัดเลาะแนวป่ามาอย่างเร่งรีบโดยมีปีศาจ 10 ตนวิ่งตามมา แต่ที่พวกเขาหวาดกลัวจนต้องหนีอย่างหัวซุกหัวซุนกลับไม่ใช่เพราะปีศาจทั้ง 10 ตนนั้น  สิ่งที่พวกเขากลัวคือชายสวมหน้ากากสีขาวอันสลักไว้ด้วยใบหน้ายิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งนั่นต่างหาก  มันรวดเร็วจนน่าหวาดกลัว เพียงชั่วพริบตาเจ้านั่นก็หายไปจากต้นไม้ที่มันยืนอยู่  แล้วโผล่ขึ้นบนต้นไม้อีกต้นที่ห่างออกไกลโขเกินที่มนุษย์หรือปีศาจจะทำได้อย่างง่ายดาย การเผชิญหน้ากับมันเพียงชั่วครู่กับทำให้พวกเขาบาดเจ็บจนต้องหนีตายเช่นนี้เอง



ในเวลานี้ศักดิ์ศรีถูกทิ้งขว้างไปพวกเขาเลือกที่จะรักษาชีวิต แม้ในตอนแรกบางคนจะไม่ยอม แต่หากถูกเกลี่ยกล่อมจากเพื่อนร่วมทางแล้วเขาจึงโอนอ่อนในที่สุด  จะอย่างไรหากพวกเขารอดก็สามารถส่งข่าวอันหน้าหวาดหวั่นที่พวกเขารู้ได้ และยังสามารถช่วยชีวิตไว้ได้อีกหลายชีวิต จะมัวมาห่วงศักดิ์ศรีอันกินไม่ได้อยู่ร่ำไป  มันก็น่ารังเกียจเกินไปแล้ว...จะอย่างไรชีวิตก็สำคัญที่สุด ยิ่งชีวิตของตนยิ่งสำคัญ ทั้งยังหากอยากแก้แค้น การมีชีวิตอยู่แล้วหมั่นฝึกปรือให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้วกลับมาต่อสู้อีกครั้งก็ยังไม่สาย



ตอนนี้กลุ่มปีศาจ 10 ตน และชายสวมหน้ากากหยุดชะงักด้วยพลังของเรย์ที่สร้างภาพลวงตาป่าวงกตเอาไว้ แต่พวกเขาก็มีความเชื่อว่าเพียงไม่นานพวกมันต้องตามทันแน่ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเขตเหนือ แต่ศัตรูมาจากเขตตะวันตก เห็นได้ชัดว่าพวกมันหาได้หวั่นเกรงต่อสิ่งใด หน่วยลาดตะเวนที่พบเจอพวกมันก็ถูกสังหารจนหมดสิ้น พวกมันติดตามตั้งแต่ภายในเขตตะวันตก จนตอนนี้พวกเขามุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางของเขตเหนือ พวกมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง



“อีกไกลเท่าใดจึงจะถึงจุดนัดพบคนรู้จักของเจ้า” ทาคุเอ่ยถามทั้งที่ยังหายใจเหนื่อยหอบ พวกเขาวิ่งมาหลายวันหลายคืนทั้งยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง ต่อให้แข็งแรงเพียงใดก็ต้องอ่อนล้าจนต้องขยับตัวไม่ไหวเป็นแน่ ที่ที่พวกเขาจะไปคือจุดนัดพบของคนที่เชื่อใจได้ ซึ่งเป็นคนรู้จักของเรย์และนาฟ



ในตอนแรกพวกเขาอยากนำเรื่องเข้าไปรายงานหัวหน้ากลุ่มยาฉะโดยตรง  แต่จากเรื่องราวที่พวกเขาได้รับรู้มาจึงพอสันนิษฐานได้ว่า  ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องวางหมากแฝงตัวไว้ในตำแหน่งสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวหัวหน้ากลุ่มยาฉะเป็นแน่ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาปีศาจที่เชื่อใจได้ ทั้งยังต้องมีสิทธิ์เข้าพบหัวหน้ากลุ่มยาฉะโดยไม่ถูกสงสัยอีกด้วย  และโชคก็เข้าข้างที่หนุ่มลูกครึ่งทั้งสองรู้จักกับคนที่มีคุณสมบัติตรงกับเงื่อนไขพอดี เมื่อหลายวันก่อนที่จะถูกพวกมันเข้าโจมตี   นาฟจึงให้นกพิราบส่งสารมาให้แก่ปีศาจตนนั้น  ที่เหลือจึงมีแค่พวกเขาที่ต้องไปให้ถึงจุดนัดพบให้จงได้



“ไม่ไกลแล้ว สถานที่คือหอสังเกตการณ์ร้างท้ายหมู่บ้านซึ่งมีช่องทางที่ใช้รอบเข้าไปด้านหลังบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะได้...นั้นอย่างไร ข้ามองเห็นมันแล้ว”  จบคำอธิบาย  เสียงนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี  เมื่อเขามองเห็นยอดหอสังเกตการณ์ที่สูงกว่าต้นไม้อยู่รำไรปรากฏอยู่ด้านหน้า ทุกชีวิตเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างมีความหวัง  แต่แล้วเสียงฝีเท้าด้านหลังก็ดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้ได้ว่าชายสวมหน้ากาก  กับกลุ่มนักล่า  10 ตน ตามพวกเขามาแล้ว



“เร็วเข้า! รีบวิ่ง!” เรย์กำชับอย่างรวดเร็ว คนที่มารับเป็นใครเขาย่อมรู้ดี  หากไปถึงทางรอดที่แทบจะเป็นศูนย์นั้นจะต้องเพิ่มขึ้นมากมายเลยทีเดียว



ทางด้ายชายสมหน้ากากนั้นมันสังหรณ์ใจไม่ดีเมื่อเห็นว่าเหยื่อที่เขาไล่ตามมายังคงมีความหวังแม้พวกเขาไล่ล่าจนใกล้จะถึงตัวอยู่แล้ว  มันจึงเร่งฝีเท้าขึ้นหมายจะคว้าตัวเรย์ที่วิ่งรั้งท้ายกลุ่มเอาไว้



เพียงหนึ่งฝ่ามือที่กำลังจะถึง ลมหอบใหญ่ดังพายุโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงก็ตัดผ่านช่องว่างในระยะห่างแล้วซัดเขากระเด็นออกมาดังมีผนังสะท้อนพลังกั้นอยู่ ด้วยมันกำลังลอยอยู่ในอากาศชายสวมหน้ากากจึงตั้งหลักไม่ทันแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังลงพื้นได้อย่างสวยงาม



ดวงตาของมันเบิกกว้างและจดจ้องผู้ช่วยเหลือที่มาถึง ทั้งยังสบถเบาๆอย่างขัดใจ เมื่อผู้ที่ปรากฏตัวออกมาคือปีศาจที่ตนไม่อยากเจอมากที่สุด ไม่ใช่ว่ามันหวาดกลัว  แต่ปีศาจตนนั้นเป็นปีศาจตนเดียวบนโลกที่มันไม่อยากลงมือสังหารมากที่สุดต่างหาก



“หยุด...กลับ!”  เมื่อเป็นเช่นนั้นมันจึงสั่งกลุ่มนักล่าให้กลับไปอย่างไม่ลังเล แม้เสียดายที่พลาดช่วงสำคัญของแผนการ แต่อย่างไรแผนการก็ไม่เสียหาย กลุ่มยาฉะรู้เรื่องแล้วอย่างไร...เกี่ยวข้องกับเขาด้วยหรือ  หึ  ยิ่งขัดแย้งกันเขายิ่งได้รับประโยชน์มากที่สุดอยู่แล้ว จะอย่างไรแผนการก็ปรับเปลี่ยนได้ ทั้งตอนนี้เองก็ยังไม่ถึงเวลาอันควรที่เขาจะเปิดเผยตน  เขาต้องเลือกสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าแน่นอนอยู่แล้ว



มันช่างน่าเสียดาย  ทั้งๆที่ปีศาจตนนั้นคือปีศาจที่เขาอยากให้มีชีวิตอยู่มากที่สุด  เหตุใดเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดจนได้  มันบังเอิญเกินไปแล้ว...ในที่สุดจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวก็ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับแผนการของเขาจนได้ เขาจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับปีศาจตนนั้นอย่างไรดี...



พวกนักล่าแม้ไม่พอใจแต่ก็เชื่อฟังคำสั่งโดยไม่กล้าขัด เพราะหากพวกมันขัดคำสั่ง  ชายลึกลับนั้นจะต้องสังหารพวกมันอย่างไม่ลังเลเป็นแน่



คล้อยหลังเงาร่างของนักล่า  พายุที่โหมกระหน่ำเป็นฉากกั้นอย่างรุนแรงนั้นก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งสี่ชีวิตก็เองก็ทรุดลงกับพื้นอย่างเหมดแรง  ให้ตายพวกเขาไม่เคยหนีตายจนแทบไม่รอดเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ   เพราะครั้งนี้พวกเขาคิดเพียงต้องรอดชีวิตจึงเลือกที่จะหนี  ทั้งยังกว่าจะหลุดพ้นจากการต่อสู้อันโหดเหี้ยมมาได้ทำเอาพวกเขาบาดเจ็บกันถ้วนหน้า  การที่พวกเขาได้ต่อสู้เพียงนิดก็ทำให้รู้ถึงระดับของตนเอง...หากเพียงสู้กับพวกนักล่า  พวกเขาย่อมชนะได้ แต่กับชายสวมหน้ากากนั่น  ฝีมือต่างกันเกินไป มันแข็งแกร่งเกินไป  พลังมากมายเกินไป  เป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง  ดีเท่าไรแล้วที่พวกเขาหาทางหนีทีไล่เอาไว้ ดีแล้วพวกเขาเลือกหนีตั้งแต่ต้น...ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่รอดจนถึงตอนนี้



“เอ้าๆ  ลุกขึ้นได้แล้ว นอนกันหมดสภาพเช่นนี้ข้าแบกพวกเจ้าไม่ไหวรอกนะ  ลุกขึ้นแล้วเดินตามมาข้าจะรักษาให้”  ชายแก่ผู้มีผมขาวแซมแดง  ทั้งร่างกายเหี่ยวย่นจนแยกสายพันธุ์ปีศาจไม่ออกเอ่ยขึ้น   ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาคือ  หมอชรา  หมอประจำกลุ่มยาฉะนั่นเอง!

*******************************************60%**********************************


มาต่อวันนี้ตอนดึกๆนะคะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 27 การพบเจอ 30% (17/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 17-07-2017 23:25:26
ปาด.+รอจ้า

พาเคลตี้ไปทำอะไรน๊า...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 27 การพบเจอ 30% (17/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-07-2017 00:35:31
อีกๆๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 27 การพบเจอ 61-100%
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 20-07-2017 08:31:03

ตอนที่ 27
การพบเจอ 61-100%


เรย์  นาฟ เอลลูญ์  และทาคุ  รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามไปแม้ร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรงเต็มที  ท้องก็ร้องประทวงเสียงดังจนห้ามไม่อยู่  เหตุการณ์เมื่อครู่ก็คงมีเพียงเรย์กับนาฟที่ไม่แปลกใจในการกระทำต่างๆของหมอชรา ทั้งเรื่องที่ว่าเขาสามารถกำจัดหน่วยลาดตระเวนของบริเวณนี้ออกไปได้อย่างไร หรือเรื่องพลังที่แปลกประหลาดเมื่อครู่ เขาเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์แต่กลับใช้พลังของลมได้ จะดูอย่างไรก็ไม่อาจหาความคล้ายของปีศาจที่เป็นลูกครึ่งระหว่างเผ่าพยัคฆ์กับเผ่าวิหกได้เลยแม้แต่น้อย



ทั้งทาคุ   และเอลลูญ์ ต่างสงสัยแต่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา  สำหรับเอลลูญ์แล้วเมื่อเขาคิดจะเชื่อใจเรย์กับนาฟ เขาจึงใจเย็นรอให้ทั้งสองออกปากบอกด้วยตนเอง แต่ทาคุนั้นเขากลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจในการใช้พลังของหมอชรา  เขาแปลกใจตนเองต่างหาก   แปลกใจที่ตนรู้สึกเหมือนว่าเคยชิน และไม่แปลกใจกับพลังนั้นเลย



แต่กระนั้นบริเวณดังกล่าวก็ไม่ได้มีเพียงพวกเขา  ผู้ที่ซุ่มดูอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบกลับสงสัย  สงสัยมากขึ้นเรื่อยๆจนแทบอยากออกไปถามให้รู้แล้วรู้รอด  แม้เขาจะคุ้นเคยกับตาแก่นั่นมากแล้ว  แต่เหตุการณ์ที่เห็นเมื่อครู่  เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความลับหรือไม่  ทำให้เขาไม่อาจวางใจต่ออีกฝ่ายได้



   แร็กนาร์เดินตามพวกเขาไปอย่างเงียบเชียบ  รอฟังบทสนทนาที่จะเกิดขึ้น แม้เขาจะสงสัยมากมายเพียงใด แต่ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ  หากหมอชราอยู่เบื้องหลังเรื่องเลวร้าย  หรือหากสิ่งที่เขาเห็นเป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผย  ด้วยร่างกายของเด็กที่ฝึกพลังยังไม่คงที่ เขาไม่อาจรับมืออีกฝ่ายได้แน่  และรูร์กัสกับโกยาตเลย์เองก็ต้องได้รับเคราะห์ไปกับเขาด้วย การตัดสินใจครั้งนี้จึงต้องระวังมากกว่าที่ควร



ด้านล่างของหอสังเกตการณ์มีห้องคล้ายบ้านขนาดเล็กก่อสร้างไว้เบื้องล่าง  มันคงมีไว้สำหรับพักผ่อนเวลาพักในช่วงเปลี่ยนเวรยามในแต่ละรอบ   ด้วยความที่มันรกร้างมานานเพราะย้ายที่ตั้งใหม่  มันจึงทรุดโทรมลงไปไม่น้อย   แต่กระนั้นด้านในกลับยังสะอาดมากพอที่พวกเขาจะใช้พักชั่วคราว



เรย์  นาฟ เอลลูญ์และทาคุ  เดินตามหมอชราเข้าไปด้านใน  แล้วนั่งลงบนพื้นไม้อย่างหมดสภาพ   จากนั้นหมอชราก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำแผล  โดยเลือกทำให้ทาคุเป็นรายแรก  ทาคุดูจะบาดเจ็บมากที่สุด  แขนข้างขวาที่ห้อยอยู่เหมือนไร้เรี่ยวแรง   หากรักษาช้าเกินไปอาจใช้การไม่ได้อีก  ส่วนคนอื่นๆนั้นดูแล้วไม่ร้ายแรงเท่าใดจึงยังพอรอไปก่อนได้ จะทำแผลให้พวกเขาหลังจากนี้สัก  1  หรือ 2 ชั่วโมงก็ยังไม่สาย



หลังทำแผลที่แขนของทาคุเรียบร้อยแล้ว  หมอชราก็ใช้ผ้าผูกรองที่แขนแล้วมัดปมห้อยมันไว้กับคอ แม้กระดูกจะไม่ได้หักออกจากกัน   แต่ก็ยังคงมีรอยร้าวอยู่เขาคงต้องงดใช้แขนข้างนั้นสักพักจึงจะหายดี  จากนั้นก็เริ่มทำแผลส่วนอื่นๆของร่างกายที่ไม่ร้ายแรงนักอย่างคล่องมือ  ทั้งยังเริ่มสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น



“เหตุใดพวกเจ้าจึงไปอยู่ในเขตตะวันตกได้เล่าเรย์” หมอชราเลือกถามเรย์ ที่ดูจะให้ข้อมูลแก่เข้าได้อย่างครบถ้วนที่สุด



“เอ่อ  ก่อนจะเล่าข้าขอแนะนำพวกเขาสองทั้งก่อน ทางนี้คือ  เอลลูญ์ ผู้จ้างวานให้พวกเรานำมางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆของแดนปีศาจ แม้เขาจะเป็นมนุษย์  และยังเป็นถึงราชวงศ์  แต่ไม่ต้องห่วงเอลลูญ์สามารถเชื่อใจได้  ข้ากับนาฟขอเป็นผู้รับรองเอง” กล่าวจบหมอชราก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ จะอย่างไรทั้งชีวิตของเขาก็ได้คลุกคลีอยู่กับเผ่าพันธุ์อื่นๆมาโดยตลอด ทั้งตอนนี้เองก็ถูกใจสองพี่น้องมนุษย์  กับลูกครึ่ง เด็กน้อยที่มาอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะเป็นอย่างยิ่ง การจะทำใจยอมรับมนุษย์อีกสักคนไม่ใช่เรื่องยากเกินไป



“ส่วนทางนี้คือท่านทาคุ เราพบกับท่านทาคุที่เขตตะวันตก  อาจเพราะพวกเรามีชะตาต้องกันท่านทาคุที่ความจำเสื่อมจึงรู้สึกคุ้นเคยกับพวกข้าเป็นอย่างยิ่ง  ความทรงจำของท่านทาคุขาดหายจำความเป็นมาของตนไม่ได้ จำได้เพียงเสียงๆหนึ่งที่เรียกเขาว่า ทาคุ  แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใดตลอด   8 ปีที่ผ่านมาท่านทาคุจึงถูกตามล่ามาโดยตลอด เพื่อซ่อนตัวจึงทำทุกวิถีทางจนหลบออกมาอยู่ได้อย่างสงบสุข” เรย์เล่าได้เพียงเล็กน้อยก็หยุด เพราะร่างกายเหนื่อยล้า ออกปากพูดเพียงเล็กน้อยเขาก็เหนื่อยแล้ว และเขาก็ต้องใช้สมองหนักกว่าที่ควรเพราะมันเบลอไปหมด เนื่องจากใช้พลังในการสร้างภาพลวงตามากเกินไป เขาจึงต้องใช้เวลาเรียบเรียงเหตุการณ์อยู่พอควร



“อ่อ เช่นนั้นเอง เพราะความจำเสื่อมสินะ...ทาคุมะ” หมอชราพึมพำเบาๆให้ได้ยินเพียงแค่ตน มันยากที่จะตัดใจเชื่อเรื่องทั้งหมด  จึงยังบอกไปไม่ได้ว่าเขารู้จักกับทาคุ เพราะอีกฝ่ายหายไปหลายปี ทั้งยังไม่มีข่าวคราว จึงไม่แน่ว่าจะเป็นไส้ศึกของศตรู เขายังต้องไปปรึกษากับเบียกโกะเสียก่อน



“ท่านว่าอย่างไรนะท่านหมอ” ทาคุถามขึ้นอย่างงุนงง เพราะเขาได้ยินเสียงนั้นแต่มันเบามากจนจับใจความไม่ได้ จึงถามทบทวนเพื่อความแน่ใจ จะอย่างไรเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับหมอชราเป็นอย่างมาก มันมากกว่ากับเรย์เสียอีก  ทั้งเขายังรู้สึกวางใจ และเชื่อใจอีกฝ่ายได้อย่างแปลกประหลาด



“ไม่มีอะไร...เล่าต่อเถอะเรย์” หมอชรายังคงท่าทีเขาตอบคำถามของทาคุอย่างเป็นธรรมชาติแล้วเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน



“ได้...ด้วยความสงสัยเหตุผลของการตามล่า พวกเราจึงร่วมมือกับท่านทาคุเพื่อตามสืบหาต้นสายปลายเหตุ จนพวกเราตามไปถึงต้นตอของมัน เพียงแต่สิ่งที่พวกเราได้รับรู้กลับไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามระหว่างเขตเหนือและเขตตะวันตกเสียได้ หลักจากกลับที่พักข้าก็ให้นาฟส่งจดหมายหาท่านเพื่อหาทางหนีเผื่อเอาไว้ และเป็นดังคาดวันต่อมาพวกเราก็โดนพวกมันตามล่า



ข้าและคนอื่นๆจึงอยากแจ้งความเหล่านั้นแก่หัวหน้ากลุ่มยาฉะทราบด้วยตนเอง...พวกท่านกำลังเจอศึกหนักเสียแล้ว หมากที่พวกมันวางไว้ก็มากมายทีเดียว ทั้งแผนของพวกมันก็วางเอาไว้หลายปีอย่างอดทน และที่สำคัญแผนการนั้นน่าจะเริ่มเมื่อ 8  ปีก่อน ข้าคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับท่านทาคุ จะร้ายดีอย่างไรพวกเราก็อยากรู้ความจริงที่เกิดขึ้น



ดังนั้นข้าต้องการให้ท่านพาพวกเราไปพบหัวหน้ากลุ่มยาฉะ และให้พวกเราได้สนทนากับเขาโดยตรง...ก่อนเริ่มเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมา ข้าอยากจะต่อรองเสียหน่อย เพราะอย่างไรพวกเราก็ต้องรักษาชีวิตของตนเอง หากข้าเล่าให้ใครคนอื่น หรือเล่าให้ท่านฟังเพียงคนเดียว เกรงว่าพวกเราจะถูกฆ่าปิดปากได้โดยง่าย  ด้วยสภาพเช่นนี้แล้ว” เรย์กล่าวเพียงผิวเผินเพื่อต่อรอง และไม่ปิดบังจุดประสงค์ของตนเอง หมอชราใช่ว่าจะเชื่อใจได้อย่างหมดใจ  แม้จะรู้จักและช่วยเหลือกันมาหลายปีแต่ทุกครั้งมันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย หากเรื่องที่เขากล่าวทำให้หมอชราเสียประโยชน์ใดๆพวกเขาอาจจะไม่ได้รับการละเว้นชีวิตก็ได้



“หึหึ  เจ้ายังหลักแหลมไม่เปลี่ยน ข้าถูกใจเจ้าเสียจริงๆ...และข้าก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้าควรเข้าไปพบเบียกโกะด้วยตนเอง ถ้าหากเป็นไปตามที่ข้าคาดเดา ทางเราคงต้องขอความร่วมมือกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน” ตัวของหมอชราเองอาจจะเปลี่ยนไปแล้วโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปรงนี้ มันอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่พบเจอความแปลกใจจากเด็กน้อยวัย  8 ขวบ ใจเขาที่เคยไม่ไว้ใจเผ่าพันธุ์ที่มีเศษเสี้ยวของมนุษย์เผ่าพันธุ์อันแสนเจ้าเล่ห์เพทุบายจึงได้วางทิฐินั้นลง ตอนนี้เขาจึงเชื่อใจเรย์กับนาฟมากขึ้นกว่าครั้งไหนๆ   



 แอดดดด



“ใคร!”  ประตูถูกเปิดออกเพียงเล็กน้อยจึงยังไม่เห็นผู้มาเยือน พวกเขาทั้ง  5  ต่างตื่นตัวเตรียมพร้อมรับสถานการณ์  ใจพวกเขาเต้นโครมครามเมื่อตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีใครอยู่ด้านนอก  แม้จะเหนื่อยล้าแต่การรับรู้ไม่ได้มืดบอด  ผู้ที่เก่งกาจถึงขั้นไปมาไร้เสียง หากเป็นศัตรูก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง



“ข้าเอง” เวลาต่อมาประตูก็เปิดออกกว้าง ปรากฏเด็กน้อยลูกครึ่งที่หมอชราคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู



“เฮ้อ เจ้านี่นะจะทำให้คนแก่อย่างข้าหัวใจวายหรือย่างไร” ตามด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งใจและเหนื่อยหน่ายของหมอชรา นอกจากนี้ก็มีคำบ่นอันแสนยาวเหยียดที่เขากล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งที่แร็กนาร์มักมาปรากฏตัวเงียบๆเช่นนี้ คนอื่นๆจึงคลายอารมณ์ที่ตรึงเตรียดลง  เมื่อเห็นว่าหมอชราไม่ได้แปลกใจกับเสียงฝีเท้าที่พวกเขาไม่ได้ยิน และไม่รู้สึกถึงกระทั่งตัวตนของอีกฝ่าย ทั้งยังทำเช่นว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญทั่วไป



“ตาแก่  ข้าพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว ให้พวกเขาไปพักที่เรือนข้า...ข้าเองก็จะเข้าไปพบด้วย...ข้าพร้อมให้คำตอบแก่พวกท่านแล้ว”

 

 

To Be Continued...



_________________________________________________________



มาแล้วค่าาา ในที่สุดก็ครบๆๆๆ

#ผักกาดๆ

กรีนจะรีไรท์ แร็กนาร์เด็ก(?)ซึน นะคะ  ตอนแรกจะรีแค่ก่อนลง Fictionlog แต่คิดว่าถ้ารีแล้ว ก็อัพพร้อมเว็บอื่นด้วยเลยน่าจะดีกว่าค่ะ

ดังนั้นถ้ามีแจ้งเตือนบ่อยอย่าพึ่งเบื่อนะคะ ขอทำทั้งแต่งต่อ ทั้งรีไรท์พร้อมๆกันเลย

และๆๆ ถ้าเรื่อง the scalpel จบภาคนี้แล้ว กรีนจะเปิดเรื่องใหม่ที่อยากลงมานานค่ะ

แต่เดี๋ยวจะเปิดเป็น intro ไว้ก่อน เอาไว้ยั่วน้ำลายเล่น หุหุ

สปอยนิด...เรื่องใหม่กรีนจะพากลับไปทัวร์โลกเดิมของแร็กนาร์นะเจ้าคะ ><
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 27 การพบเจอ 100% (20/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 20-07-2017 10:14:27
พบเจอนี่ แร๊กน่า กะ เอลลูญ์ ใช่ป่าว

จะรีไรท์พร้อมเขียนต่องานยากนะเนี่ย.... :katai4:
สู้ๆนะคุณกรีน

รอจ้า  :3123:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 27 การพบเจอ 100% (20/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-07-2017 16:05:20
รีบมาอีกนะๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 28-07-2017 04:46:18
ตอนที่ 28
ความรู้สึกกลัว


“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น มีสิ่งใดสงสัยก็เอ่ยถามมา” สายตาที่จับจ้องมายังแร็กนาร์ขณะที่กำลังเดินกลับไปยังเรือนนอนทำให้เขาอึดอัดจนต้องเอ่ยปากถาม


“เอ่อ คือ...คือ” ชายหนุ่มผมสีเงินตกใจจนส่งเสียงออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ แล้วยังกล้าถามออกมาตรงๆ และที่สำคัญเขาไม่กล้าถามออกไป เพราะคิดว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ควรถามเป็นอย่างยิ่ง ทั้งจะพาลทำให้อีกฝ่ายโกรธเอาได้ง่ายๆ


สายตาของผู้ที่จับจ้องมองมานั้นไม่ได้มีเพียงเอลลูญ์ แต่ที่ทำให้แร็กนาร์ทนความอึดอัดไม่ไหวดูเหมือนจะมีเพียงสายตาเอลลูญ์เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าในบรรดาชายทั้ง 4 จะมีเพียงเอลลูญ์ที่เก็บความรู้สึกได้น้อยที่สุด ทั้งความสงสัยใคร่รู้ของเขายังเป็นเพียงความสงสัยในสิ่งแปลกใหม่แบบเด็กๆ ไม่เหมือนคนอื่นๆที่มองเขาด้วยสายตาประเมินค่า ซึ่งสายตาเช่นนั้นแร็กนาร์รู้สึกชินชาเป็นอย่างยิ่ง ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ เพราะมันง่ายดายต่อการล่อลวง เพียงแสดงนิสัยบิดเบือนไปเพียงเล็กน้อย พวกคนเหล่านั้นก็เข้าใจผิดได้ง่ายๆ


ส่วนเอลลูญ์นั้นดูเหมือนจะไม่ได้สนใจใคร่รู้ถึงนิสัย หรือความสามารถของเขาเท่าไหร่นัก เหมือนว่าเจ้าตัวไม่ได้ประเมินสิ่งรอบข้าง แต่กลับสนใจเพียงจุดเดียว ซึ่งเป็นดังเช่นความสงสัยใคร่รู้ที่บริสุทธิ์เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่พึ่งถูกปล่อยออกจากกลงขังอย่างไรอย่างนั้น


“เจ้า...เอ่อ เจ้า...เจ้าเป็นหญิงหรือชาย...” เอลลูญ์เอ่ยถามออกมาในที่สุด ทั้งยังส่งสายตาขอโทษแร็กนาร์อย่างรู้สึกผิด มือก็ถูกยกขึ้นมาลูบผมด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อแก้อาการประหม่า


“ห๊ะ” แร็กนาร์ตกใจจนเผลอคุมสติไม่อยู่ เอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วอ้าปากค้างไว้


..


..


..


“ฮ่าๆๆ กร๊ากกก ฮ่าๆ” อึดใจต่อมาก็ตามด้วยเสียงระเบิดหัวเราะของผู้ร่วมทางทั้ง 3 และหมอชราด้วย บางคนหัวเราะจนตัวงอ แต่บางคนยังเก็บอาการปิดปากหัวเราะเบาๆอย่างไว้ที


“คือ แหะๆ ข้ามองไม่ออกจริงขอโทษนะ” เอลลูญ์ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ แต่เขาไม่ได้โกรธ ออกจากเขินอายเสียมากกว่า จึงเอ่ยแก้สถานการณ์กับแร็กนาร์เบาๆ มือที่ลูกผมอยู่ก็ถูกลดระดับลงจนอยู่บริเวณแก้ม แล้วใช้นิ้วชี้เกาแก้มเบาๆเพราะเขารู้สึกว่ามือไม้เก้งก้างไปหมดไม่รู้ว่าควรวางไว้ที่ตรงไหน เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน การเล่นหัวที่รื่นเริงเช่นนี้เขาไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน...ไม่สิ เขาเคยได้รับ แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากคนคนนั้นที่เขาอยากพบอีกสักครั้ง


ตอนใบหน้าของเอลลูญ์ขึ้นสีแดงจางๆอย่างไม่เข้ากับบุคลิกเย็นชาและสง่างามของเขาแม้แต่น้อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า เขาถูกเลี้ยงมาภายในวังที่ถูกแบ่งแยกชายหญิงชัดเจน ชายสวนใส่กางเกง ส่วนหญิงสวมกระโปรง มีเพียงช่วงที่เขาหันหลังออกมาจากที่แห่งนั้นเท่านั้น เขาจึงได้เรียนรู้สิ่งที่ต่างออกไป หญิงชาวบ้านสวมกางเกงเพื่อความคล่องตัวในการทำงานจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา  ซึ่งเขาก็เริ่มปรับตัวได้มากแล้ว  มองออกด้วยรูปร่างหน้าตาและท่าทางการแสดงออก


แต่แร็กนาร์กลับต่างออกไป เขาเป็นเด็กที่มีใบหน้าหมดจดงดงามเกินชาย  แต่กิริยาท่าทางกลับกลับไม่อ้อนแอ้นเช่นหญิงสาวแม้แต่น้อย  และเหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกในใจที่เต้นตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ


หัวใจของเขาสั่นไหวตั้งแต่ที่ได้มองแร็กนาร์ครั้งแรก ความไว้วางใจที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนที่ได้พบหน้าเพียงครั้งแรกกลับเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่ส่งผ่านทางการจ้องมองเมื่อครู่   จึงไร้ซึ่งความระแวดระวังเช่นคนอื่นๆ  ในใจมีเพียงความรู้สึกสงสัยในคำถามข้อนี้อย่างชัดเจน เขาอยากรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นชายหรือหญิง  นั่นคือความรู้สึกเดียวที่อยู่ในใจเวลานี้


“เจ้าเด็กนี่” แร็กนาร์ขบกรามอย่างไม่พอใจ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกเข้าใจผิด ครั้งแรกคือถูกเจ้าเด็กแฝดเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง มาครั้งนี้ยังถูกถามอย่างไม่แน่ใจอีก  ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจต่อรูปร่างหน้าตาของเขาเป็นอย่างยิ่ง


‘รูร์กัสเคยบอกแล้วว่าหน้าตาของร่างนี้ถอดแบบริเรน่ามาเต็มๆ ในความทรงจำก่อนที่ร่างนี้จะตายก็จำได้ว่าผู้หญิงบนภาพนั้นสวยเอามากๆ...สวยจนไม่น่าเชื่อว่าจะยอมแต่งงานกับไอ้เลวรูเฟรียสนั่น


แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ ครั้งแรกก็โดนเรียกว่าพี่สาว แต่ก็พอให้โอกาสได้เพราะเจ้าสองแฝดเป็นเด็กอายุแค่ 7 ขวบ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมากมาย


พอมาครั้งนี้เจ้าเด็กเชื้อพระวงศ์ที่ดูอย่างไรก็โตกว่ารูร์กัสด้วยซ้ำ มาถามแบบไม่มั่นใจว่าเป็นเพศไหนเนี่ยนะ บัดซบ นี่มันน่าฆ่าทิ้งกว่าเจ้าสองแฝดอีก’



“หึๆ เอ้าๆ เจ้าไม่ตอบเขาไปล่ะเด็กน้อย” เห็นแร็กนาร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง หมอชราก็เอ่ยขึ้นอย่างยียวนชวนโมโหทันที ในตอนแรกนั้นเขารู้สึกไม่ถูกชะตากับเอลลูญ์เพราะเกลียดคนเย่อหยิ่งจองหอง แต่พอเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เอลลูญ์แสดงออกมาเป็นเพียงความไม่คุ้นชินเท่านั้น หาได้เป็นดังที่ตนคิด ทั้งตอนนี้ยังถูกใจเอลลูญ์เป็นอย่างยิ่งที่ทำให้เจ้าเด็กหน้าเดียวอย่างแร็กนาร์โกรธจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ขบกรามกรอดๆได้ขนาดนี้


“ชาย” กล่าวจบแร็กนาร์ก็เดินกลับเรือนพักอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่หันกลับมามองด้านหลัง เพราะเขากำลังห้ามอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่พาจะสังหารเอลลูญ์เสียให้ได้ ด้วยที่รู้สึกไม่ถูกชะตากับเอลลูญ์ตั้งแต่ต้นจึงทำให้เขายิ่งต้องใช้ความพยายามให้ความอดกลั้นมากกว่าที่ควร


เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกไม่นาน ก็เหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินตามมาอย่างไม่เร่งรีบ เป็นดังคาดคนเหล่านั้นใกล้จะหมดแรงเต็มที่แล้ว การพบเบียกโกะควรจะเริ่มในวันรุ่งขึ้นอย่างที่คิด วันนี้คงต้องพักผ่อนเอาแรงเสียก่อน


แร็กนาร์เดินไกลออกมาเพราะเร่งฝีเท้าออกห่าง จนคนที่ไร้เรี่ยวแรงเหล่านั้นตามไม่ทัน ยังดีที่หมอชราเดินมาด้วยจึงไม่ต้องห่วง
ว่าจะหลงทาง เขาจึงเดินตรงไปยังเรือนพักอย่างหมดห่วง ไม่นานนักแร็กนาร์ก็มาถึงเรือนพักที่อยู่ไม่ไกลจนเขามองเห็นได้ เวลานี้เรือนพักควรจะมืดไร้แสงไฟ แต่มันกลับมีตะเกียงดวงหนึ่งจุดอยู่ที่ชานด้านหน้า และข้างๆตะเกียงนั้นมีมนุษย์ผู้หนึ่งนั่งอยู่ รูร์กัสที่มักมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากอยู่เสมอกลับมีสีหน้านิ่งเรียบอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้มือที่ลูบหัวเจ้าโกยาตเลย์จะยังแผ่วเบาดังว่าเจ้าของมือยังใจเย็นเช่นทุกครั้ง แต่บรรยายกาศรอบด้านกลับแตกต่างจนแทบหายใจไม่ออก


ความทรงจำภายในร่างร้องเตือนว่ารูร์กัสกำลังโกรธอย่างถึงที่สุด แม้ในหัวจะยังจดจำไม่ได้ แต่ร่างกายกลับจำได้ดี มือเขาเริ่มสั่น หัวใจอึดอัดจนรู้สึกหวิวไหวแปลกประหลาด สัญชาตญาณในส่วนลึกสั่งให้เขาขอโทษรูร์กัสแม้จะยังไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดก็ตาม


‘พึ่งเคยเห็นรูร์กัสโกรธขนาดนี้เป็นครั้งแรก มันรู้สึกประหลาด รู้สึกได้เลยว่าร่างกายกำลังหวาดกลัว...บ้าน่ะ กลัวรูร์กัสเนี่ยนะ แล้วอย่างผมเนี่ยนะ ใจเย็นๆสิ S.P หายใจเข้า หายใจออก ใจเย็นๆ แล้วเดินเข้าไปซะ ไม่มีอะไรต้องกังวล’


ทำใจให้สงบลงได้แล้วแร็กนาร์ก็พาขาที่หนักอึ้งเดินเข้าไปหารูร์กัสด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ ในชีวิตเดิมเขาไม่เคยรู้สึกประหม่าเช่นนี้มาก่อน คงต้องโทษเจ้าของร่างนี้ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกจึงได้มีอิทธิพลต่อเขามากมายเช่นนี้


“พี่...พี่รูร์กัส” เสียงแหบหวานเอ่ยขึ้นอย่างออดอ้อนโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าของชื่อเพียงเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อยแล้วกลับไปสนใจเจ้านกน้อยโกยาตเลย์ต่อ ส่วนเจ้าโกยาตเลย์ที่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกสบายอย่างที่ตาเห็นได้แต่ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เพราะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุจากคนทั้งสอง...ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาอันสมควรที่เขาต้องออกโรง


“ข้า...ข้ากลับไปที่บ้านมา...ไปรับเจ้าเคลตี้” แร็กนาร์เอ่ยบอกพร้อมทั้งตบกระเป๋าเบาๆ 2 ครั้ง เจ้าเคลตี้ตัวอ้วนก็โผล่หัวออกมกจากช่องว่างของกระเป๋าที่แร็กนาร์เปิดไว้ให้มันใช้หายใจ จ้องมองรูร์กัสด้วยสายตาใสแป๋วแบบที่แร็กนาร์สั่งไว้


“มันเป็นสัตว์ในพันธะสัญญาของข้า...ข้าคิดว่ามันคงจะช่วยเราได้มากหากต้องทำตามแผนของเบียกโกะ...แล้วก็ แล้วก็...” หัวใจของแร็กนาร์กำลังเหี่ยวแห้ง เขารู้มาตลอดว่าตนแครูร์กัสอย่างมาก แต่วันนี้เองที่เขาได้รับรู้ว่าเขาแคความรู้สึกรูร์กัสมากกว่าใครๆที่เคยเกี่ยวข้อง


ไม่ใช่เพียงว่าร่างกายนี้จดจำความรู้สึก แต่เป็นตัวเขาเองที่รู้สึกกลัว...กลัวที่จะต้องสูญเสียคนสำคัญไป  กลัวว่ารูร์กัสจะหายไปจากที่ตรงนี้และไม่อาจได้พบกันอีก


“ที่ข้าไม่บอกพี่เพราะกลัวว่าจะเป็นห่วง จะอย่างไรข้าก็ตั้งใจที่จะรีบกลับมาอยู่แล้ว...อย่าโกรธข้าเลยนะพี่รูร์กัส...ได้โปรด” กล่าวจบแร็กนาร์ก็ก้มหน้าเพื่อซ่อนความรู้สึกหวาดกลัวที่อยู่ในดวงตา เขากำลังรู้สึกผิด มันนานมากแล้วที่เขาทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไป จนคิดไปเองว่าตนไร้ความรู้สึก แต่ตั้งแต่เข้ามายังโลกใบนี้ เขากลับอ่อนไหวง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ


อาจจะเพราะความรู้สึกที่หลอมลอมกับร่างกายของเด็ก หรืออาจจะเพราะผู้คนรอบตัวกำลังทำให้เขาค่อยๆเปิดใจออกมาก็ไม่อาจทราบ ความรู้สึกที่นักฆ่าไม่พึงมีจึงถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเช่นนี้


เสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปทำให้ใจของแร็กนาร์แทบหยุดเต้น สมองหนักอึ้งจนคิดสิ่งใดไม่ออก ร่างกายไวกว่าความคิด เขารีบวิ่งขึ้นไปบนชานบ้าน ตามเข้าไปจับแขนรูร์กัสเอาไว้ ชั่วพริบตานั้นคนที่ไม่ทันตั้งตัวจึงหันมามองตามแรงดึง ทำให้ทั้งสองได้มองใบหน้าของกันและกันอย่างชัดเจน


แร็กนาร์จึงได้เห็นว่ารูร์กัสกำลังร้องไห้ ใบหน้าถูกอาบด้วยน้ำตาเปรอะเปื้อนไปหมด มันเหมือนกับครั้งนั้น ครั้งที่รูร์กัสร้องอ้อนวอนในวันที่ร่างนี้ตาย มันเป็นใบหน้าแบบที่เขาเกลียดที่สุด...ทั้งที่บอกว่าจะปกป้อง แต่ในเวลานี้กลับเป็นเขาเองที่กำลังทำลายคนตรงหน้า


“พี่...รูร์กัส” แร็กนาร์เอ่ยเรียกชื่อรูร์กัส แต่กลับไร้ซึ่งเสียงที่ส่งออกมา เขาอยากขอโทษแต่เวลานี้...คำขอโทษจะยังมีค่าอยู่หรือ


“เจ้ากลัวว่าพี่จะเป็นห่วงถ้าบอกไป...แต่ไม่คิดเลยหรือว่าถ้าพี่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบแม้แต่เงาของเจ้าพี่จะรู้สึกเช่นไร แร็กนาร์...พี่ไม่อยากเสียเจ้าไปอีกเป็นครั้งที่ 2 ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้อีก


เจ้ามีความลับกับพี่พี่ไม่ว่า พี่รู้ว่าเจ้ายังไม่พร้อมที่จะอธิบายเรื่องที่คุยกับท่านเบียกโกะให้พี่ฟังในเวลานี้ พี่ก็จะไม่ถาม ทั้งเรื่องที่เจ้ารู้วิชาแพทย์และวิชาปรุงยา ทั้งยังทำสัญญากับสัตว์มายาอีก...พี่รอได้จนกว่าเจ้าพร้อมจะอธิบาย


แต่พี่ขอแค่ข้อเดียว หากว่าจะทำสิ่งใดที่มันเสี่ยงต่อชีวิตของเจ้า...ช่วยบอกพี่สักนิดได้หรือไม่” กล่าวจบก้อนสะอื้นที่กันไว้เพื่อระบายความอัดอั้นในใจก็ถูกปล่อยออกมา รูร์กัสร้องไห้โฮยิ่งกว่าเด็กตัวเล็กๆ น้ำตาไหลออกมาหยดแล้วหยดเล่า ร่างกายก็สั่นเท่าเสียจนน่ากลัว


แร็กนาร์คือความรักทั้งหมดที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ แร็กนาร์คือน้องชายที่เขารักมากที่สุด แค่เพียงปิดบังเรื่องที่เขากล่าวมาก็ทำให้เขาเสียความมั่นใจไปมากแล้ว เพราะมันคิดได้เพียงว่าแร็กนาร์ไม่ไว้ใจเขา มาตอนนี้ยังถึงขั้นเสี่ยงอันตรายโดยไม่บอกกล่าวยิ่งทำให้หัวใจของรูร์กัสแทบแหลกสลาย


พรึ่บ!


แร็กนาร์คว้าร่างที่โตกว่าตนเข้ามากอดเอาไว้ เขาสูงเพียงไหล่ของรูร์กัสจึงทำให้รูร์กัสเซถลามาซบตรงไหล่บางของแร็กนาร์พอดี แม้ท่าทางจะพิลึกอยู่บ้างแต่รูร์กัสก็ยอมอยู่ในท่านั้นซบไหล่คนตัวเล็กร้องไห้อย่างไม่รู้สึกกระดากอาย


“ข้าเข้าใจแล้วต่อไปหากจะทำสิ่งใดข้าจะบอกพี่ก่อน...ส่วนเรื่องอื่นๆข้าสัญญาว่าจะบอกพี่ทุกอย่าง...ขอเวลาข้านะ  อีกนิด อีกนิดนะพี่รูร์กัส” แร็กนาร์รับปากอย่างหนักแน่น รูร์กัสเองก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่ต่างจากทุกครั้ง เพราะเมื่อก่อนเขาจะเป็นคนที่กอดปลอบร่างที่เล็กกว่าตนเสมอ แต่เวลานี้อ้อมกอดของคนตัวเล็กกลับทำให้เขารู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด ทั้งอุ่นใจ ทั้งวางใจ ทั้งรู้สึกดี มันผสมปรนเปรอไปหมดจนแยกไม่ออก เขาจึงคลายความกังวลต่างๆไปได้อย่างง่ายดาย


เขาเป็นเสาหลักที่ให้แร็กนาร์พึ่งพิงมาตลอดจึงทำตัวอ่อนแอไม่ได้ เขากดดันตัวเอง ต้องเป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้ ต้องปกป้องน้องชาย นั่นคือสิ่งที่เขาออกคำสั่งกับตัวเองอยู่เสมอ แต่เวลานี้เขากลับเข้มแข็งขึ้นได้ เพราะคำพูดของแร็กนาร์


ต่อไปเขาคงไม่ต้องฝืนตัวเองอีกแล้ว เพราะต่อไปพวกเขาคงพึ่งพากันและกัน เป็นหลักยึดให้กันทั้งสองฝ่าย และต่อไปชีวิตของพวกเขาต้องผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้อย่างราบรื่น และพบกับความสุขอย่างแน่นอน...หลักจากจบเรื่องนี้ เขาจะต้องเกลี่ยกล่อมแร็กนาร์ให้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านแม่...รูร์กัสกล่าวกับตัวเองอย่างหมายมาด



***************************************50%**************************************   
ตอนนี้เป็นตอนเบาๆค่ะ เอามาให้อ่านก่อนจะเจอพายุลูกใหญ่ ฮ่าๆๆ
ตอนแรกจะลง 100% แต่ร่างกายน็อกมาหลายวันแล้ว วันนี้พึ่งจะคงที่ สาเหตุมาจากการแพ้ฝุ่น และพักผ่อนไม่เพียงพอ จนทำให้ไม่สบายค่ะ...ขอโทษนะคะที่ทำตามที่รับปากไม่ได้
ส่วนครึ่งหลังมาต่อดึกๆน้าาาา

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (28/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-07-2017 09:56:03
หายไวๆน้า รออยู่
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (28/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 29-07-2017 01:03:59
ผสมปรนเปรอ--ผสมปนเป

ความประทับใจแรกก็ติดลบซะแระนะเอล...

หายไวๆพักผ่อนมากๆนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (ครึ่งหลัง)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 30-07-2017 04:32:45

ตอนที่ 28
ความรู้สึกกลัว (ครึ่งหลัง)

“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ” รูร์กัสสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียของคนแปลกหน้าเอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศ ทั้งยังมาเห็นเขาในมุมที่น่าอายเช่นนี้อีก เพราะเก็บความรู้สึกแล้วแสดงด้านที่เข้มแข็งให้ใครๆเห็นเสมอ เขาจึงไม่อยากให้ใครเห็นเขาในมุมอ่อนแอเช่นนี้...ยกเว้นไว้ให้เพียงแร็กนาร์


“เรื่องของข้า” แต่แร็กนาร์กลับไม่สะทกสะท้าน เขาตอบกลับอย่างไม่หวาดหวั่น เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นมาถึงแล้ว ตั้งแต่พวกนั้นอยู่ในระยะการได้ยินของแร็กนาร์


“คนเหล่านั้นเป็นใคร แร็กนาร์” รูร์กัสถามขึ้นหลังจากผละออกจากไหล่บางของน้องชาย แต่ก็ยังไม่ได้มองผู้มาใคร ยังคงยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาจากเหตุการณ์เมื่อครู่


ผู้มาใหม่ยังคงอยู่ในความมืด เพราะบริเวณนั้นไม่มีแสงสว่าง แร็กนาร์จึงเดินไปจุดตะเกียงที่ตั้งอยู่บริเวณชานบ้านจนแสงสว่างสาดสองให้พวกเขาได้มองหน้ากันอย่างชัดเจน


และนั่นก็ทำให้เรย์กับนาฟตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของที่คนที่ซบไหล่เจ้าเด็กหน้านิ่งเอาไว้เมื่อครู่ เวลาผ่านไปอึดใจก็ระบายยิ้มกว้างพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“รูร์กัส เฮ้ รูร์กัสเจ้าจริงๆด้วย” กล่าวเพียงเท่านั้นนาฟก็รีบวิ่งเข้าไปหารูร์กัสอย่างรวดเร็ว พร้อมอ้าแขนกว้างเพื่อจะกอดคนที่เขาไม่ได้พบเสียนานเอาไว้ จนแร็กนาร์ต้องรีบขยับตัวมาขวางไว้อย่างรวดเร็ว ตามสัญชาตญาณที่ต้องการปกป้องคนสำคัญ แม้จากรูปการจะพอคาดเดาได้ว่านาฟเป็นคนรู้จักของรูร์กัส แต่ก็ใช่ว่าจะเข้ามาแตะต้องตัวได้ง่ายๆ ทั้งเขายังไม่ไว้ใจจนกว่ารูร์กัสจะยืนยันว่ารู้จักกับนาฟจริงๆ


“นาฟเจ้ากำลังทำให้เด็กๆตกใจ...ไม่เจอกันเสียนาน โตขึ้นเยอะเลยนะรูร์กัส” เรย์เอ่ยดุนาฟเล็กน้อย เมื่อเจ้าตัวตื่นเต้นจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่น้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้มีอารมณ์โกรธเลยแม้แต่น้อย...ก็นะ รูร์กัสเป็นเด็กที่เขากับนาฟเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆจะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร พวกเขาไม่ได้พบรูร์กัสมานานมาก มากจนเปลี่ยนจากเด็กตัวเล็กๆกลายเป็นหนุ่มน้อยเสียแล้ว และที่สำคัญเขารักใคร่ ห่วงใยรูร์กัสยิ่ง พอได้เห็นว่ารูร์กัสปลอดภัย ทั้งยังเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร ดีที่เขายังเก็บอาการไว้ได้บ้าง ไม่เช่นนั้นเข้าคงกระโจนเข้าไปหาเช่นเดียวกับนาฟแล้ว


“ไม่เป็นไรแร็กนาร์” อารมณ์ของรูร์กัสถูกเปลี่ยนเพราะผู้มาใหม่ทั้งสอง เขาแย้มยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ แล้วยกมือขึ้นแตะไหล่ของแร็กนาร์เบาๆให้น้องชายคลายกังวล เรื่องเมื่อครู่ก็ถูกเก็บเอาไว้ จะอย่างไรเขากับแร็กนาร์ก็เข้าใจกันและกันแล้ว ตอนนี้การได้พบกับคนที่ห่างหายกันมาหลายปีสำคัญกว่า


“พี่นาฟ พี่เรย์ พวกเราไม่ได้พบกันนานมาก ข้าคิดถึงพวกท่านจริงๆ” เสียงนั้นออดอ้อนเล็กๆตามแบบของเจ้าตัวที่มีไว้ใช่สำหรับอ้อนพี่ชายทั้งสอง พวกเขาผูกพันกันยิ่งแม้จะต่างเผ่าพันธุ์ แต่รูร์กัสก็นับถือเรย์กับนาฟประหนึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของตน


“โอ้ น้องรัก มามะ มาให้พี่กอดหน่อย” ได้ยินเสียงอ้อนที่ยังน่ารักไม่เปลี่ยนนั่นแล้วมีหรือที่นาฟจะทนไหว เขาขยับตัวหลบแร็กนาร์ แล้วพุ่งเข้าไปกอดรูร์กัสทันทีตั้งแต่ยังพูดไม่จบประโยคดี แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศเพราะแร็กนาร์เร็วกว่า เขาดึงร่างของรูร์กัสหลบเพียงเสี้ยววินาที


“ถอยไป...พี่รูร์กัสข้าง่วงแล้วเข้าห้องเถอะ ส่วนพวกเจ้าเจอกันพรุ่งนี้” แร็กนาร์กล่าวเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ แล้วรีบหมุนตัวรูร์กัสให้หันไปทางห้องของเจ้าตัว แล้วดุนดันด้วยสองแขนเล็ก โดยไม่ลืมที่จะหันมากล่าวลาคนที่เหลือ ทั้งยังชี้นิ้วไปทางห้องของตนเป็นสัญญาณบอกว่าให้ทั้งหมดไปพักในนั้น ส่วนเขาจะนอนกับรูร์กัส


“โถ่ เจ้าเด็กขี้หวงเอ๊ย” นาฟสบถออกมา เมื่อเขาไม่ได้ทำอย่างใจต้องการ และไม่ลืมที่จะเพิ่มความล้อเลียนเข้าไปในน้ำเสียงนั้น เมื่อเห็นว่าแร็กนาร์เจ้าเด็กหน้านิ่งแสดงนิสัยแบบเด็กๆออกมา
นาฟไม่โกรธ เพราะพอจะคาดเดาได้ว่าแร็กนาร์เป็นใคร ถึงว่าเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านั้นจนต้องมองพิจารณาเสียนาน ในที่สุดก็กระจ่างเสียที ที่แท้ก็ลูกชายคนเล็กของท่านอาจารย์นั่นเอง


“น่าๆพวกเราไปพักผ่อนเถิด จะไปถือสาอะไรกับเด็กติดพี่ หึหึ” คล้ายจะเอ่ยปรามนาฟ แต่เรย์กลับเอ่ยล้อเลียนแร็กนาร์ไปกับนาฟด้วย ตอนนี้เขาสบายใจยิ่งที่สิ่งติดค้างในใจหายไป และความกังวลเล็กๆที่ติดใจสงสัยความสามารถของแร็กนาร์ ทั้งยังกิริยาท่าทางที่นิ่งเกินเด็กวัย 8 ขวบนั่นอีก แต่เมื่อได้เห็นการกระทำเมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้ว่า แร็กนาร์น่ะ เด็กยิ่งกว่าเด็กเสียอีก


ส่วนคนอื่นๆก็หัวเราะตามอย่างอารมณ์ดี ที่ได้เห็นด้านเด็กๆของแร็กนาร์ มีเพียงเอลลูญ์ที่รู้สึกต่างจากคนอื่นๆ คงเรียกว่าวางใจกระมัง เพราะเขารู้หงุดหงิดในใจตั้งแต่ได้เห็นคนทั้งคู่กอดกัน และเขายังเป็นเจ้าของเสียงที่ถามในตอนแรกนั่นอีก ที่จริงเขาอยากจะเข้าไปกระชากคนทั้งคู่ออกจากกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็หยุดตัวเองเอาไว้แล้วส่งเสียงถามออกไปแทน พอมาตอนนี้ได้รู้ว่าคนทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ความรู้สึกหนักอึ้งในใจจึงคลายออก กลายเป็นความสุขเล็กๆที่ได้รับรู้เช่นนั้น จนปากเผยรอยยิ้มบางๆขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว


หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ตามหมอชราไปยังโรงอาบน้ำ เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวก่อนจะพักผ่อน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น  ด้วยเพราะดึกมากแล้วบริเวณนั้นจึงไม่มีใครเดินผ่านไปมามากนัก พวกที่มีอยู่ก็ถูกหมอชราจัดการเบี่ยงเบนความสนใจจนต้องไปจากบริเวณนั้นง่ายๆ หลังจากนี้เรื่องราวคงดำเนินไปอย่างไม่อาจถอนตัว พวกเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้ วันนี้ควรพักเอาแรงเสียก่อน


..


..


..


ทางด้านของแร็กนาร์ หลังจากเข้ามาให้ห้องนอนแล้ว เขาก็เดินไปนอนบนฟูกของรูร์กัสทันที แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเหลือพื้นที่ไว้ให้รูร์กัสนอนข้างๆ ส่วนรูร์กัสหลังจากถูกดันจนเข้ามาในห้องก็ถูกทิ้งให้ยืนอยู่ข้างประตู เขาได้แต่ยิ้มบางๆ อย่างมีความสุขที่ได้เห็นแร็กนาร์กลับไปเป็นเด็กน้อยของเขาอีกครั้ง แม้เขาจะรู้สึกอุ่นใจที่แร็กนาร์เป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้สึกเศร้าไปบ้างเมื่อมันมาถึงเร็วเกินไป เขายังอยากโอ๋น้องของเขาให้มากกว่านี้


ยืนคิดได้ชั่วครู่รูร์กัสก็เดินมาล้มตัวนอนข้างๆแร็กนาร์ แต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยปากกล่าวสิ่งใด เพราะกลัวว่าแร็กนาร์จะอายไปมากกว่านี้ ตอนที่เดินเข้ามาใช่ว่าเขาจะไม่เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของแร็กนาร์...น้องชายของเขาช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง


“เจ้าคงจำไม่ได้ พี่เรย์กับพี่นาฟเลี้ยงพี่มาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองคนไว้ใจได้ แล้วก็...ไม่มีใครแย่งพี่ไปจากเจ้าได้หลอก อย่ากังวลไปเลย พี่จะอยู่ตรงนี้ข้างๆเจ้านะ...แร็กนาร์” เวลาผ่านไปจนรูร์กัสคิดว่าอารมณ์ของแร็กนาร์กลับมาคงที่แล้วเขาจึงเอ่ยขึ้น


“อื้อ” เจ้าน้องชายโดยสภาพที่มีด้านในเป็นผู้ใหญ่ส่งเสียงตอบเบาๆพร้อมขยับตัวเข้าไปกอดเอวของรูร์กัสอย่างหวงแหน ตอนนี้เขาไม่ได้นอนบนหมอนทั้งยังซุกตัวในผ้าห่ม จึงนอนลงต่ำเสมอกับช่วงเอวของรูร์กัสพอดี เห็นดังนั้นรูร์กัสก็ยกมือขึ้นมาลูกผมของแร็กนาร์เบาๆอย่างเอ็นดู


‘อย่าหายไปนะรูร์กัส...เพราะนานคือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของฉัน...ฉันจะปกป้องนายเอง’


ที่แร็กนาร์แสดงออกเช่นนั้น เพราะอารมณ์ยังตกค้างกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พวกนั้นจะมาถึง ในช่วงเวลาที่เขาคิดว่ากำลังจะสูญเสียรูร์กัสไป ยิ่งพอมีคนแปลกหน้าโผล่มา ทั้งยังมีท่าทีว่าสนิทสนมกับรูร์กัสมากกว่าตน มันจึงยิ่งทำให้เขากลัว
มันทำให้เขาคิดถึงครั้งหนึ่ง ครั้งที่เขายังเป็นเด็ก ยังเป็นเด็กน้อยที่ยังอยู่ในโลกใบเดิม เขาเคยสูญเสียคนที่สำคัญที่สุด เพราะน้ำมือของคนที่ไว้ใจอีกคนอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ในตอนนั้นเขาไร้พลัง แต่ตอนนี้ต่างกัน เขามีพลัง พลังที่จะใช้ปกป้องคนสำคัญที่สุดของเขา...และเขาจะไม่มีทางปล่อยมือ


เด็กทั้งสองสวมกอดกันเช่นนั้นจนหลับไป โดยไม่สนใจเจ้าโกยาตเลย์ที่ถูกลืมอยู่ด้านนอก...เพราะสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญในค่ำคืนนี้ คืออ้อมกอดของคนที่นอนอยู่ข้างๆเท่านั้นเอง


..


..


..


วันรุ่งขึ้นก็มีการรวมตัวกันอย่างคึกคัก ณ บ้านพักของเอจิกับยาจิเพื่อทานอาหารเช้า วันนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมา 4 ชีวิต ทั้งเด็กชายฝาแฝดก็เข้ามาร่วมทานด้วย ส่วนเจ้าตัวที่คึกคักกว่าคนอื่นๆคงหนีไม่พ้นเจ้าโกยาตเลย์ที่ถูกทิ้งไว้เป็นธาตุอากาศตั้งแต่เมื่อคืน เพราะเช้านี้บรรยากาศมาคุอันน่ากระอักกระอ่วนใจจางหาย มันจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง


บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความรื่นเริง แม้เอจิกับยาจิจะชะงักเล็กน้อยเมื่อได้พบกับทาคุ แต่ก็ปกปิดไปได้อย่างแนบเนียน เพราะได้หมอชรามาแจ้งข่าวตั้งแต่เมื่อคืน จึงได้เตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจจนออกนอกหน้า แต่มันก็มากพอที่จะทำให้แร็กนาร์สังเกตเห็น


แร็กนาร์ไม่ได้สนใจทาคุเท่าใดนัก เพราะเขาทำตัวดังว่าจะกลืนหายไปกับผู้คนและความเงียบ ทั้งยังไม่ได้กวนใจเขาเท่าเรย์กับนาฟที่หาโอกาสเย้าแหย่เขาอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อได้เห็นการแสดงของปีศาจทั้งสอง ทั้งยังเสียงที่หลุดออกมาเบาๆว่า “ทาคุมะ” นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่ แร็กนาร์จึงเริ่มสังเกตทาคุอย่างจริงจัง


หลังจากทานอาหารเรียบร้อย พวกเขาทั้งหมดก็เคลื่อนตัวไปยังเรือนรับรองของยาฉะ เบียกโกะ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่ใช้เจรจากับแร็กนาร์นั่นเอง


การสนทนาในครั้งนี้สำคัญยิ่ง เบียกโกะจึงอนุญาตให้ฮิเดโอะกับฮิโรกิเข้าร่วมด้วย  เพื่อให้ทั้งสองได้ฝึกจากการสังเกตการณ์นั่นเอง


ก่อนเริ่มเรื่องสำคัญเรย์แนะนำเพื่อนของตนเสียก่อน แล้วเริ่มต้นด้วยการสนทนาเรื่องของทาคุ เพราะไม่ใช่เพียงแร็กนาร์ที่จับสัมผัสแปลกประหลาดของคนรอบตัวได้   เรย์เองก็มีทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้ไม่ทราบว่าหากเปิดเผยแล้วจะเป็นเช่นไร  แต่เขาก็ต้องปกป้องเพื่อนๆจากอันตรายที่แฝงอยู่


ยาฉะ  เบียกโกะยอมรับว่าตนรู้จักกับทาคุ ทั้งยาจิ เอจิ และหมอชราต่างก็ยอมรับว่าเกี่ยวข้อง เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปิดบังไปได้ตลอด แต่ถึงเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยืนกรานที่จะไม่บอกว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร  ขอรับรองเพียงว่าไม่ใช่พวกตนที่เป็นผู้ไล่ล่าทาคุตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ทั้งเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทาคุยังมีชีวิตอยู่


“ถ้าเช่นนั้นท่านทาคุก็คงเกี่ยวข้องกับ 4 องครักษ์เงาใช่หรือไม่” แร็กนาร์เอ่ยแทรกบทสนทนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ   ในน้ำเสียงนั้นไม่ใช่การถาม   แต่เขามั่นใจจึงถามออกมาเพื่อกระตุ้นให้พวกเขารู้สึกตัวว่าไม่ใช่เพียงพวกเขาที่รู้เรื่องทั้งหมด  แม้จะเป็นเพียงการคาดเดาแต่มันก็มีบางส่วนเป็นจริงอย่างแน่นอน  การถูกกุมจุดอ่อนเป็นเรื่องที่แร็กนาร์เกลียดที่สุด ดั้งนั้นเขาจึงอยากเห็นว่าหากตนกระตุ้นความทรงจำของตนเองและทาคุ  เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร และเป็นดังคาดทาคุปวดหัวอย่างหนักเมื่อได้ยิน ส่วนตัวเขาเองก็หัวใจเต้นแรกขึ้นเหมือนตอนที่อ่านบันทึกเล่มนั้น...


เมื่อควบคุมจังหวะหายใจของตนได้แร็กนาร์ก็กล่าวต่อ   ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าการคาดเดาของเขาเป็นความจริง 


“ท่านคือ 1 ใน  4  องครักษ์เงาแห่งเขตใต้  ฟุคุนากะ  ทาคุมะ”       





To Be Continued...

หุหุหุ มาแล้วค่ะ  ความละมุนจบแล้ว  ต่อไปก็ความเข้มขั้นของเนื้อหา ได้เวลาเผยความจริงแล้วจ้า
วันนี้ก็มาช้า แต่ก็มาแล้วนะ  เอ็นดูแร็กนาร์กันให้มากๆนะคะ  เห็นไหมล่ะว่าเขาน่ารักสุดๆ
อร๊าย  ชอบประโยค  “เด็กยิ่งกว่าเด็กเสียอีก”  โฮะๆอยากบอกเรย์เหลือเกิน  นั่นมันผู้ใหญ่อายุ  30  นะเจ้าคะ
แหม่ เราเพิ่มความเด็กลงไปนิดหน่อย คงไม่เสียมาดนักฆ่าเนาะ  ฮ่าๆ
คอมเม้นท์แสดงความคิดเห็นกันได้นะคะ กรีนชอบให้วิจารณ์เพราะมันเป็นกำลังใจของนักเขียน
และขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ  ตอนนี้กรีนดีขึ้นมากแล้ว  เหลือปวดหัวนิดหน่อย  ใกล้หายแล้วจ้า
ขอบคุณค่ะ    :-[
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (30/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 30-07-2017 18:52:35
ติดเรื่องนี้หนักมากก  ชอบแร๊กนา มาต่อบ่อยนะคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (30/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-07-2017 23:27:13
มันจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆสินะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (30/07/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 20-08-2017 01:43:53
คิดถึงแร็กน่าแล้ว....อย่ามาต่อนะจ๊ะ...สู้ๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 29 ความเป็นไป (ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 22-08-2017 19:00:31
ตอนที่  29
ความเป็นไป


หลังจากกล่าวจบประโยคผนึกสำคัญบางส่วนของเด็กน้อยผู้กล่าวออกมาก็ถูกเปิดออก  ด้วยเงื่อนไขการพบเจอบุคคลในความทรงจำของตน  แร็กนาร์กุมอกบริเวณหัวใจแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง มันเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมา ในหัวมีเพียงแสงสีดำมืดมิด   แต่ในความมืดนั้นกลับมีเสียงของใครบางคนสนทนากันอยู่ในนั้น

“ท่านจะทำสิ่งใด”

“ข้าจะถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างของข้าลงไปในตัวของลูก”

“แต่พลังของท่านมันมากเกินกว่าที่ลูกจะรับไหว...และหากทำเช่นนั้นพลังของท่านจะหายไป”

“ไม่เป็นไรข้ารู้ขีดจำกัดของตนดี ตอนนี้ชีวิตของงเจ้ากับลูกสำคัญที่สุด...ส่วนเรื่องพลังและความทรงจำทั้งหมดข้าจะปิดผนึกมันไว้แล้วให้ค่อยๆเผยออกมาทีละนิดเพื่อลดภาระของร่างกายให้ลูก และที่สำคัญข้าเชื่อว่าลูกรับมันได้...เจ้าอย่าลืมว่าเด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้ากับข้าเชียวนะ ลูกต้องเติบโตได้อย่างเข้มแข็งแน่นอน  เจ้ากับลูกต้องมีชีวิตรอดผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปให้ได้ ปฏิภาณของเจ้าต้องเป็นจริงในสักวันริเรน่า

ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่ปีศาจที่ดี การครอบครองเจ้าก็เกิดขึ้นด้วยการบังคับขืนใจ ถึงจะน่าสมเพทในสายตาเจ้า  แต่ข้าไม่รู้สึกเสียใจเลย  เพราะข้าต้องการเจ้า ต้องการมากเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้เลยล่ะ...หากย้อนเวลากลับไปข้าก็ยังคงทำเช่นเดิม

ตอนนี้ข้ารู้สึกผิดเพียงเรื่องที่พาเจ้าเข้ามาพัวพันในเรื่องอันตรายเช่นนี้ ดังนั้นข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้ากับลูกรอดชีวิต จงกลับไป  กลับไปใช้ชีวิตที่สงบสุขดังเดิมของเจ้าและจงอย่ากลับมาจนกว่าลูกจะเติบโต

จงกลับไปใช้ชีวิตอันแสนสงบสุขของเจ้าเสียเถอะ

ข้ารักเจ้าริเรน่า ข้ารักเจ้าลูกของข้า...แร็กนาร์”

“ทาคุมะฝากริเรน่ากับลูกของข้าด้วย...”

เสียงบทสนทนาที่ดังขึ้นภายในหัวของแร็กนาร์เป็นการพูดคุยของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งคาดว่าจะเป็นพ่อแม่ของเจ้าของร่างกายนี้ สัมผัสที่ได้รับผ่านความทรงจำนั้นอบอุ่นเสียจนไม่อยากผละออกจากอ้อมกอดที่โอบอุ้มร่ายกายอยู่นั้น สัมผัสเปียกชื้นของน้ำตาจากปีศาจตัวโตไหลลงบนแก้มของทารกตัวเล็กหยุดแล้วหยดเล่า พาให้หัวใจของเขาชาวาบด้วยคาดว่าตนกำลังจะสูญเสียสัมผัสอันอบอุ่นนั้นไป  เพียงถูกวางลงบนฟูกอ่อนนุ่มทารกน้อยก็ร้องไห้จ้าจนแทบขาดใจ

อึดใจต่อมาแสงสีแดงก็ห่อหุ้มร่างของทารกน้อยจนเกิดเป็นภาพในความทรงจำอันมืดมิด  รอบตัวของเจ้าตัวเล็กร้อนแทบลุกเป็นไฟจากนั้นก็ค่อยๆอบอุ่นขึ้นเมื่อแสงสีแดงค่อยๆหดตัวจนมีขนาดเล็กลง กลายเป็นรูปร่างของกุญแจที่ห้อยระโยงรยางค์ด้วยสายโซ่ ก่อนจะพันรอบหัวใจของร่างนั้น จากนั้นแสงทั้งหมดก็มืดดับลงเหลือไว้เพียงความมืดมิดไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดๆ

..

..

..

ทางด้านทาคุมะเขาปวดหัวอย่างหนัก   ภาพและเสียงมากมายผุดขึ้นภายในหัวอย่างไม่อาจนำมาประติดประต่อกันได้

“ทาคุมะฝากริเรน่ากับลูกของข้าด้วย...” ภาพของชายผู้มีร่างกายกำยำกล่าวกับเขาด้วยใบหน้าอาบคราบน้ำตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในอ้อมกอดของชายผู้นั้นมีเด็กทารกร่างหนึ่งกำลังมองใบหน้าของปีศาจตนนั้นด้วยสายตาใสแจ๋ว ข้างกายของชายผู้นั้นก็มีหญิงสาวใบหน้าสวยสดงดงามยืมมองอยู่ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

“ด้วยเกียรติของ ฟุคุนากะ ทาคุมะ 1  ใน 4  องครักษ์เงาแห่งเขตใต้  ข้อขอปฏิญาณว่าจะทำตามคำสั่งให้สำเร็จแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม” เสียงที่ดังขึ้นตอบรับคือเสียงของเขาเอง อาจเพราะเป็นตัวของเขาจึงทำให้มองไม่เห็นภาพร่างกายของตนที่ฉายในความทรงจำเหล่านั้น

“ไดจิ ส่วนเจ้าไปแจ้งเรื่องที่คาสึกิทรยศเรากับเบียกโกะซะ”  ข้างกายของเขามีปีศาจอีกตนนั่งคุกเข่าอยู่ด้วย และปีศาจตนนั้นก็เราคำสั่งแล้วจากไป

“ทาคุ ทาคุ...ข้าฝากท่านปีศาจด้วย”

“ทะ...ท่านอาจารย์” ภาพถูกตัดมาที่ทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก่อนจากลาหลังทำภารกิจเสร็จสิ้นเขาก็ได้รับคำขอร้องจากหญิงสาวที่ตนพามาส่ง ภาพของนางฉายชัดว่าลังเลใจแต่ในส่วนลึกคือความห่วงใยต่อผู้ที่ตนกล่าวถึง และก่อนที่เขาจะรับปากก็มีเด็กหนุ่มลูกครึ่งผู้มีผมสีฟ้าเทามาพบพวกเขาเข้าเสียก่อน 

“ฆ่ามันๆ”

“อ้าก!”

“ทรมานมันอีก ให้มันสารภาพมาว่าพานังนั่นไปซ่อนไว้ที่ใด  เราต้องกำจัดเสี้ยนหนามทั้งหมด!”

ภาพถูกเปลี่ยนอีกเป็นการตามล่าภายในป่า ซึ่งตามรายทางที่เขาวิ่งผ่านแทบจะเต็มไปด้วยร่างไร้ชีวิตมากมาย  ก่อนที่เขาจะถูกบางอย่างเสียบเข้าที่ด้านหลัง จากนั้นภาพก็ตัดมาที่การทรมานแสนเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าในห้องๆหนึ่ง  เพื่อเค้นถามในสิ่งที่เขาไม่คิดจะตอบแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

“มันหนีไปแล้วขอรับ!”

“บัดซบ! ไปจับมันกลับมา ถ้าจับไม่ได้ก็ฆ่าซะ”

“ฉึก  ฉึก  ฉึก 

ตู้ม!

ภาพถูกเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อเขาหนีออกมาด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก การหนีจึงเป็นไปได้อย่างยากลำบาก  ร่างกายทีหนักอึ้งหลบลูกธนูไม่พ้น แต่กระนั้นเขาก็กัดฟันวิ่งต่อไปจนถึงหน้าผา ไม่ต้องคิดสิ่งใดให้มากความเขากระโดดลงไปทันที การเดิมพันครั้งสุดท้าย หากรอดหรือจบชีวิตลงเขาก็ไม่คิดจะเสียใจ

..

..

..

“ริเรน่า  เด็ก  เรย์  เบียกโกะ...หัวหน้า”
ภาพเหล่านั้นเกิดขึ้นเร็วมาก จนเขาจับใจความของคนที่เกี่ยวข้องได้เพียงน้อยนิด ส่วนผู้คนภายในห้องขณะนี้กำลังจับจ้องอาการของแร็กนาร์กับทาคุมะด้วยความตกใจ พวกเขากรูเข้ามาดูอาการของคนที่ตนสนใจ ยิ่งพอได้ยินคำกล่าวของทาคุมะพวกเขาก็มีความรู้สึกสับสนมึนงงเกิดขึ้นในใจอย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้  ด้วยความนึกคิดที่แตกต่างกันออกไป

*********************************************30%****************************************

“หึหึ ค้นหากุญแจเจอเสียแล้ว  สมกับเป็นลูกชายของริเรน่าช่างหัวรั้นไม่ต่างกันเลย เฮ้อ ควบคุมยากเสียจริง” มีเพียง 2  ชีวิตภายในห้องที่ไม่รู้สึกตื่นตะลึงกับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เบียกโกะรู้สึกหนักใจกับนิสัยดื้อรั้นของแร็กนาร์เสียมากกว่า ดังว่าถูกลอกแบบมาจากริเรน่าไม่ผิดเพี้ยน ส่วนหมอชราก็มองดังว่าคาดเดาสถานการณ์ได้อยู่ก่อนแล้ว เขานั่งมองเหตุการณ์อย่างพินิจรอคอยความเป็นไปที่เกิดขึ้นต่อจากนี้

แร็กนาร์เพียงหันมองเบียกโกะด้วยสายตาฉายแววเหยียบเย็นอยู่ครู่หนึ่งเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะควบคุมตน เขาไม่มีทางให้ใครเข้ามาควบคุมง่ายๆอย่างแน่นอน จากนั้นก็หันกลับไป แล้วบอกให้รูร์กัสไม่ต้องห่วงตน ทั้งสองจึงกลับไปนั่งอยู่บนฟูกด้วยสภาพเรียบร้อยดังเดิม

ความสนใจของแร็กนาร์อยู่ที่ผู้มีอาการบางอย่างเกิดขึ้นเช่นเดียวกับตน เพียงแต่ทาคุมะมีอาการปวดหัวเพราะความจำเสื่อม ส่วนแร็กนาร์หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิดเพราะความทรงจำและพลังถูกผนึกไว้เท่านั้นเอง ขุมพลังสายหนึ่งก่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในร่างกายเล็กๆนี้ เขารู้สึกถึงมันได้แต่ก็เก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

“ชื่อที่ข้ากล่าวมาเมื่อครู่คือ ชื่อของคนที่เกี่ยวข้องกับข้า...เบียกโกะ ท่านก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งข้ายังรู้สึกได้ว่าข้าคุ้นเคยกับท่านเป็นอย่างยิ่ง” เมื่อเห็นแววตาสงสัยใคร่รู้ของคนรอบตัว ทาคุมะก็กล่าวอธิบายเล็กน้อยแล้วมุ่งความสนใจไปที่เบียกโกะ  ปีศาจที่เข้าได้ยินเพียงชื่อในความทรงจำ  แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้มากกว่าชื่ออื่นๆ

“ฮ่าๆๆ เอาเถอะๆข้าไม่ปกปิดเจ้าก็ได้ทาคุมะ เราเป็นสหายที่เป็นคู่ประลองกันหลายต่อหลายครั้งจะไม่ให้คุ้นเคยได้
อย่างไร...กล่าวถึงตรงนี้ก็คิดถึงเวลาเหล่านั้นจริงๆเจ้ากับข้ามักท้าประลองกันอยู่เสมอจนคนอื่นๆคร้านจะห้าม หึหึ...ว่าอย่างไรเรามาประลองกันตอนนี้เพื่อระลึกถึงวันเก่าๆดีหรือไม่ เผื่อว่าความทรงจำของเจ้าจะกลับมากขึ้น” หลังจบคำกล่าวกระแสจิตสังหารอันแข็งแกร่งของเบียกโกะก็ถูกปล่อยออกมา และเป็นดังว่ามันเป็นการตอบสนองอัตโนมัติจิตสังหารของทาคุมะก็แผ่พุ่งออกมาต้านไว้ไม่ต่างกัน

ตอนนี้เบียกโกะเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า  ทาคุทะตนนี้คือทาคุมะจริงๆหาใช่ปีศาจตนใดใช้เล่ห์เหลี่ยมแปลงกายมาไม่ เพราะการแปลงกระทั่งจิตสังหารหรือสัมผัสรับรู้มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ส่วนอาการเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้หมอชรายืนยันแล้วว่าทาคุมะความจำเสื่อมจริง

“อา บรรยากาศเช่นนี้ข้ารู้สึกคุ้นเคยจริงๆอย่างท่านว่า ถ้าได้ลองสู้จริงข้าคงนึกออกมากกว่านี้แน่” ปีศาจหนุ่มใหญ่ทั้งสองจดจ้องกันโดยไม่สนใจสิ่งรอบกาย  ปล่อยจิตสังหารออกมาทั้งหมดในคราวเดียว ส่งผลให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ บางคนถึงกับร่างกายสั่นเท่า แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียใดๆออกมาด้วยกลัวว่าตนจะถูกฆ่าทันทีที่ส่งเสียงดัง

ผั่วะ!  ผั่วะ!

ฝ่ามือเหี่ยวย่นฟาดลงบนแผนหลังของปีศาจหนุ่มใหญ่ทั้งสองด้วยแรงที่มากเกินกว่าจะคิดได้ว่ามาจากปีศาจชรา พวกเขาหันขวับมองตามที่มาของมือที่พวกเขาสัมผัสไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้เช่นไร  จนทั้งสองได้สติหยุดปล่อยจิตสังหารพร่ำเพื่อ  เมื่อมองเห็นด้วงตาตำหนิติเตือนของหมอชราที่มองมา 

“พวกเจ้านี่มันจริงๆเลย  ผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปีก็ยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักโต  พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าพวกเจ้าทำให้คนอื่นๆหวาดกลัว  แล้วจิตสังหารอันมากล้นของพวกเจ้าก็ยังจะทำให้คนด้านนอกรู้สึกตัว แม้ว่าเราจะอยู่ภายในอาณาเขตที่ตัดขาดจากโลกภายนอกก็ตาม ทำสิ่งใดก็คิดเสียบ้างพวกเจ้าโตมากแล้วนะ” คำสั่งสอนมากมายถูกยกขึ้นมากล่าว เพื่อตำหนิผู้ใหญ่ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังทำตัวเป็นเด็กๆอยู่เสมอ

“ขอรับ” 

“โถ่ ข้าแค่ดีใจมากไปหน่อยเท่านั้นเอง”

คำตอบกลับที่แตกต่างกันไปถูกส่งออกมาหลังจากหมอชรากล่าวจบ  ทาคุมะสำนึกผิดอย่างง่ายดายโดยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงได้เชื่อฟังหมอชราง่ายๆเช่นนี้ ทั้งที่ปกติเขาไม่ยอมฟังใครง่ายๆแท้ๆ  หรือเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนกันนะ ไม่เข้าใจเลย

ส่วนเบียกโกะแม้จะก้มหน้าดังสำนึกผิดแต่ก็ยังบ่นงึมงำเบาๆอย่างไม่ยอมรับความผิดของตนง่ายๆพวกเขามักถูกดุเช่นนี้เสมอเมื่อทำสิ่งใดไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้ แม้ใครต่อใครคร้านจะมาห้ามพวกเขา หมอชรามักจะเป็นตนเดียวที่เข้ามาข้องเกี่ยวด้วยเสมอ ด้วยความนับถือที่มีให้ และตระหนักถึงความเจ้าเล่ห์ของหมอชราที่ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดจัดการกับนิสัยของพวกเขาหากไม่ยอมเชื่อฟัง พวกเขามักจะถูกลงโทษด้วยวิธีอันน่าสยดสยองเสมอจนจำฝังใจยอมสลดลงง่ายๆเช่นนี้เอง โถ่ จะทำอย่างไรได้เล่า หมอชราเป็นดังพ่ออีกคนของพวกเขาเชียวนะ

ทุกชีวิตภายในห้องถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาคิดว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นเสียแล้ว ในที่สุดก็จบลงเสียที บรรยากาศกดกันเมื่อครู่จึงเหลือไว้เพียงความขำขันเมื่อได้เห็นปีศาจร่างใหญ่ทั้งสองนั่งก้มหน้าสำนึกผิดโดยมีปีศาจชราที่ตัวเล็กกว่ายืนมองกดดันอยู่เท่านั้นเอง

“เอ่อ คือว่าผมมีคำถามครับ” หลังจากที่ทั้งห้องตกอยู่ในความสงบ เอลลูญ์ก็เอ่ยขึ้นเมื่อมีสิ่งค้างคาในใจ

“ว่ามาเลยเจ้าหนู” เบียกโกะกล่าวตอบรับ ส่วนคนอื่นๆก็หันไปมองอย่างสนใจใคร่รู้

“ริเรน่าที่พวกท่านกล่าวถึงคือ ‘ริเรน่า นารอฟ’ ใช่หรือไม่” ผู้ที่ได้ฟังต่างมองหน้ากันอย่างงงงวย ด้วยเพราะไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลนี้มาก่อน มีเพียงรูร์กัสกับแร็กนาร์เท่านั้นที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะบุคคลที่คาดว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่น้อย เพียงบังเอิญมาเกี่ยวข้องเท่านั้น กลับดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เสียแล้ว

“ท่านรู้จักท่านแม่ของพวกเราด้วยรึ” รูร์กัสไม่ตอบแต่ส่งคำถามออกไปแทน

“หือ ท่านอาจารย์ใช้ชื่อตระกูลว่า ‘คูฟฟ์’ มิใช่หรือรูร์กัส” นาฟถามขึ้นอย่างปลกใจ เพราะอาจารย์แนะนำตัวกับพวกเขาโดยใช้ชื่อ
‘ริเรน่า คูฟฟ์’ ตั้งแต่แรกเจอ

“นารอฟ คือต้นตระกูลของท่านแม่ในครั้งที่ยังไม่แต่งงานครับพี่นาฟ” รูร์กัสหันไปกล่าวตอบนาฟที่นั่งอยู่ข้างเอลลูญ์ แล้วจึงหันกลับมาจ้องหน้าเอลลูญ์อีกครั้ง แม้เขารู้ว่าท่านแม่เป็นชนชั้นสูงมาก่อน แต่ไม่เคยคาดคิดว่าคนที่บังเอิญพบกันจะมีส่วนเกี่ยวข้องในอดีตของท่านแม่ด้วย

“อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง” นาฟทบทวนดูเล็กน้อยแล้วผงกหัวหงึกหงักอยู่หลายครั้งจึงได้ตอบรับว่าตนเข้าใจดี ส่วนคนอื่นๆในห้องก็ร้องอ๋อในใจไม่ต่างกัน

“จริงหรือ จริงๆสินะ แล้ว แล้วท่านริเรน่าอยู่ที่ใด ข้าขอพบนางได้หรือไม่” รอยยิ้มกว้างถูกประดับขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหล่า ทั้งดวงตา  น้ำเสียง กริยาอันตื่นเต้นถูกแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง บ่งบอกได้ว่า เจ้าตัวดีใจมากมายจนแทบจะกระโดดโลดเต้นได้อยู่แล้ว

ในที่สุดเขาก็จะได้พบแล้ว คนที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากพบอีกสักครั้ง


...
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 29 ความรู้สึกกลัว(ครึ่งหลัง)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 25-08-2017 03:26:14

...

“ข้าคงทำตามคำขอของท่านไม่ได้ เพราะท่านแม่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว”  รูร์กัสกล่าวด้วยความรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย เมื่อได้เห็นท่าทางดีใจจนเนื้อเต้นของเอลลูญ์ แม้ไม่รู้ว่าคนทั้งสองเกี่ยวข้องกันอย่างไร  แต่เขามั่นใจว่าท่านแม่ของเขาต้องสำคัญต่ออีกฝ่ายอย่างมากแน่นอน

บรรยากาศแจ่มใสเมื่อครู่พลันหดหู่ รอยยิ้มบนใบหน้าของเอลลูญ์แข็งค้างแล้วค่อยๆจากหายจนหมดสิ้น ก่อนที่น้ำตาจะไหลรินจากดวงตาคู่สวยอย่างที่เจ้าตัวไม่อาจจะควบคุมได้ 

“ไม่ ไม่จริง” เสียงที่ส่งออกมาเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน ภายในหัวเขาก็เฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เขามาช้าเกินไปหรือ เหตุใดท่านจึงจากไปเร็วถึงเพียงนั้นเล่า เหตุใดจึงไม่รักษาสัญญา ท่านบอกเองมิใช่หรือว่าให้มาดูโลกภายนอกด้วยตาของงตนเอง ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าถ้าข้าพร้อมก็มาพบท่านได้เสมอ  แล้วเหตุใดท่านจึงจากโลกนี้ไปเสียแล้ว สัญญาระหว่างเรามันจบแล้วจริงๆหรือ

“ท่านแม่จากไปด้วยโรคระบาด” แม้ในใจจะเห็นใจเพียงใด รูร์กัสก็คิดว่าควรบอกสาเหตุของการจากไปให้กระจ่างแจ้ง

“ท่านอาจารย์พยายามรักษาเด็กๆในหมู่บ้านของข้าเอง มันทำให้นางติดโรคไปด้วย ข้าขอโทษด้วยนะเอลลูญ์” เรย์นั่งอยู่ข้างๆเอลลูญ์จึงยื่นมือไปรูปหัวอีกฝ่ายเพื่อหวังปอบประโลมให้ความเจ็บปวดของอีกฝ่ายบรรเทาลง ทั้งยังกล่าวขอโทษจากใจ  เพราะก่อนหน้านี้เอลลูญ์บอกพวกเขาเพียงว่าต้องการพบคนคนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาจึงไม่รู้ว่าคนที่เอลลูญ์ต้องการพบคือริเรน่าอาจารย์เขาเอง ทั้งเมื่อนึกกลับไปสาเหตุการตายของอาจารย์ก็เกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อย ทั้งๆที่พวกเขามีโอกาสห้ามปราม  แต่พวกเขากลับปล่อยให้อาจารย์รักษาคนป่วยจนจบชีวิตลงเช่นนั้นเอง น้ำเสียงที่ใช้จึงมีทั้งความรู้สึกผิด  และอบอุ่นอยู่ในที

พรึ่บ!

“ท่าน ท่านริเรน่า คือเหตุผลทั้งหมดที่ข้าเลือกจะเดินทางมายังแดนปีศาจ ข้าอยากมองโลกนี้ด้วยตาดังที่นางเคยกล่าวไว้ นางคือคนที่มอบความกล้าทั้งหมดมาให้...บอก บอกให้ข้ามาพบนางได้ทุกเมื่อที่พร้อม  อึก  แล้วทำไม  ทำไมถึงเป็นเช่นนี้” เด็กหนุ่มโถมตัวกอดเรย์เอาไว้ ซุกหน้าลงก็ไหล่บางอย่างโหยหาความอบอุ่น  เพื่อช่วยให้ตนไม่เสียสติจนควบคุมตนเองไม่ได้  แม้จะอ่อนแอเพียงใด  แต่กระนั้นก็ไร้ซึ่งเสียงร้องไห้ออกจากร่างนั้น เขายังมีศักดิ์ศรีในฐานะเชื้อพระวงศ์เหลืออยู่  จึงไม่อาจร้องให้โวยวายเสียงดังต่อหน้าใครๆได้

รูร์กัสจ้องมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกโหวงเหวง ทั้งเห็นใจ ทั้งเจ็บปวดเมื่อคิดย้อนกลับไปถึงวันที่ตนสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ความรู้สึกในตอนนี้ของเอลลูญ์เขาเข้าใจดี คนที่เป็นดังหลักยึดในการใช้ชีวิตหายไป จะไม่ให้รู้สึกเศร้าเสียใจได้อย่างไรกัน

แร็กนาร์มองรูร์กัสอยู่ตลอดจึงมองเห็นสายตาที่เจ็บปวดของพี่ชาย  เขายื่นมือไปจับกุมมือที่กำแน่นของรูร์กัสเอาไว้อย่างห่วงใย เขาไม่ชอบเลยเวลาที่เห็นรูร์กัสเจ็บปวดเช่นนี้ รูร์กัสเองก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกห่วงใยที่ส่งมา จึงพลิกมือกลับไปกุมมือของแร็กนาร์เอาไว้ มือของทั้งสองกุมมือกันแน่นเพื่อช่วยให้กำลังใจซึ่งกันและกันอยู่เช่นนั้น

..

..

..

หลังผ่านช่วงเวลาบีบคั้นหัวใจเมื่อครู่ ทั้งห้องก็กลับมาตกอยู่ในความเคร่งเครียดอีกครั้ง  เมื่อพวกเขาตระหนักได้ในข้อเท็จจริงบางอย่าง ไม่ว่าจะด้วยโชคชะตาเล่นตลก หรือ ถูกกำหนดไว้ พวกเขาทั้งหมดภายในห้องนี้ก็ถูกผูกเข้าด้วยกันเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว

จุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดจากริเรน่า หญิงผู้มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า ที่ต้องการให้มนุษย์ ปีศาจ และลูกครึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม หรือว่าการพบกันของพวกเขาทั้งหมดในครั้งนี้เป็นความต้องการนาง และหากนี่คือจุดเริ่มต้นเล็กๆของการสานต่อปฏิพานนั้น โชคชะตาของพวกเขาจะเป็นไปในทิศทางใดกัน ความต้องการของนางจะกลายเป็นจริงได้จริงหรือ
แร็กนาร์เองก็คิดทบทวนถึงความเป็นมาของพวกเขาทั้งหมดเช่นเดียวกัน นอกจากเขา โกยาตเลย์ และเด็กชายฝาแฝด ฮิเดโอะกับฮิโรกิ ที่ไม่เคยพบริเรน่ามาก่อน ทุกคนต่างกล่าวถึงริเรน่าด้วยความชื่นชมนับถือ นั่นบ่งบอกว่า ผู้คนในห้องนี้ต่างมีใจเอนเอียงคาดหวังว่าความต้องการของริเรน่าจะเป็นจริง

‘สุดยอด ผู้หญิงแค่คนเดียวกลับทำให้ทั้ง มนุษย์ ปีศาจ และลูกครึ่งเชื่อมั่นได้ขนาดนี้ ถึงจะยังไม่เป็นจริง เพราะเธอจากโลกนี้ไปก่อน ถ้าสมมติว่าเธอยังมีชีวิตอยู่โลกนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ ความหวังของเธอคงไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ๆ’ ในความรู้สึกของเขา เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ช่างยอดเยี่ยมจนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ นางเป็นดังจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ในใจของแร็กนาร์เกิดความนับถือเล็กๆขึ้นโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว

ความคิดบางอย่างเกิดขึ้นภายในหัวของเขา จุดประกายความคิดที่ว่า หากเขาเปลี่ยนให้โลกนี้เป็นไปดังที่ริเรน่าต้องการ หากสืบทอดปฏิพานของแม่เจ้าของร่างกายนี้จะเป็นเช่นไร ถ้าสถานภาพของเหล่าลูกครึ่งดีขึ้น นั่นมันส่งผลดีต่อตัวเขามากที่สุดไม่ใช่หรือ

หลังจากที่เกิดความเงียบอยู่นานเรย์ก็เป็นคนแรกที่กล่าวเข้าสู่เรื่องราวอันเป็นเป้าหมายของการมารวมตัวกันครั้งนี้ การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกัน เบียกโกะยอมรับข้อเสนอของเรย์โดยไม่กล่าวทัดทานสิ่งใด เรย์จึงเริ่มต้นเล่าถึงเรื่องราวที่พวกเขาได้พบมา รวมทั้งให้ทาคุมะเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ตนฟื้นขึ้นมาในหมู่บ้านหลังจากความจำเสื่อมด้วย เรย์จึงรับหน้าที่เล่าต่อจากทาคุมะ

เหตุการณ์ที่เรย์เล่าเริ่มต้นตั้งแต่เขาตกลงทำข้อตกลงร่วมมือกันกับทาคุมะ วันต่อมาเรย์พานาฟกับเอลลูญ์กลับมายังบ้านของทาคุมะอีกครั้ง เขาบอกเล่าถึงข้อความมากมายที่ได้เบาะแสจากร้านบาร์ที่เข้าไปหาข้อมูลในตอนแรกด้วย

วันนั้นในบ้านเหลือเพียงทาคุมะ น้องสาวของเขาถูกย้ายไปอาศัยอยู่ยังหมู่บ้านใกล้กับเขตใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในการต่อสู้ครั้งนี้ บ้านของทาคุมะจึงกลายเป็นฐานทัพของพวกเขาในเวลาต่อมา

เอลลูญ์ร่วมด้วยเพราะสนใจใคร่รู้ในเรื่องนี้ ทั้งยังถูกชะตากับทาคุมะ พวกเขาทั้งสี่จึงแยกย้ายกันหาข่าวสารทุกวิถีทาง จนกระทั่งทาคุมะได้พบกับปีศาจที่เขาเคยจัดการเมื่อครั้งที่มันเคยไล่ล่าเขา ผู้โชคดีที่หนีหลุดรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้ และมันเป็นหนึ่งในทหารของเขตตะวันตก พวกเขาจึงมุ่งเป้าไปที่กลุ่มโนบุมากที่สุด

และในวันที่ลอบเข้าไปยังป้อมปราการ เรย์ก็ไปได้ยินเรื่องสำคัญเข้า ในห้องๆหนึ่งมีปีศาจ 2 ตนกำลังสนทนากันอยู่ เรย์รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของพวกมัน แม้เขาจะอยู่ไกลจากพวกมันอยู่หลายห้องก็สามารถรับรู้ได้ น้ำเสียงหนึ่งเจ้าเล่ห์ทั้งยังทะนงตนให้ความรู้สึกแข็งแกร่งน้อยกว่าอีกฝ่ายที่มีน้ำเสียงราบเรียบจนน่าหวาดหวั่น หากเขาเข้าไปใกล้กว่านี้มันต้องรู้สึกตัวเป็นแน่

“ท่านอาซากิ ท่านเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด” เสียงอันราบเรียบเอ่ยขัดขึ้น เมื่อคู่สนทนาไม่เริ่มต้นเข้าสู่เรื่องราวอันเป็นหัวข้อสำคัญเสียที

“เจ้า...” เสียงนั้นสื่อถึงอาการไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้ากล่าวคำด่าทอออกมา จากคำสนทนาก่อนหน้านี้ทำให้เรย์รู้ว่า ชายผู้มีน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เพทุบายชื่อ อาซากิ เป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยที่ขึ้นตรงกับหัวหน้ากลุ่มโนบุ ซึ่งได้รับมอบหมายให้บัญชาการอยู่ที่ป้อมปราการแห่งนี้

ส่วนอีกตนคือ หัวหน้าหน่วยโยไค มีนามว่า คิม่อน ซึ่งเป็นหน่วยสังหารพิเศษซึ่งไม่เปิดเผยต่อภายนอก เป็นหน่วยลับของกลุ่มโนบุนั่นเอง

อาซากิถูกสายตาเย็นเหยียบจับจ้อง แม้ว่าปีศาจทั้งหลายจะหวาดกลัวต่อหัวหน้าหน่วยทั้ง 9 จนมันทะนงตนเหนือผู้ใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคิม่อนพวกมันกลับแสดงความไม่พอใจใดออกไปไม่ได้ เพราะโยไคคือหน่วยพิเศษที่ไม่ถูกยกย่องจากใครๆ แต่ก็มีสิทธิ์พิเศษในตัวเองคือ พวกเขาสามารถตัดสินใจสังหารได้โดยไร้ความผิด ทั้งยังไม่ต้องรายงานก่อนสังหาร หากพบว่ามีใครทำให้กลุ่มโนบุชื่อเสียง ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าหัวหน้าหน่วยทั้ง 9 เอง

“สัญญาสงบศึกระหว่างเขตตะวันตกของเรา กับเขตเหนือกำลังจะหมดลง เหลือเวลาพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งท่านก็คงทราบดีว่านั่นคือสัญญาณเริ่มต้นการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่เราจะใช้กำลังทั้งหมดเข้าโจมตีพวกมันก่อน กำหนดการคืออีก 3 วันข้างหน้า ข้าต้องการให้หน่วยของท่านร่วมโจมตีในครั้งนี้ด้วย” อาซากิสลัดความไม่พอใจทิ้งไป เริ่มต้นอธิบายในทันที แม้หวาดหวั่นแต่มันก็ยังรักษาหน้าของตนไว้ กล่าวอย่างออกคำสั่งเมื่อครั้งนี้ตนได้รับตำแหน่งที่เหนือกว่า

“ข้ารู้ดีว่าครั้งนี้ท่านได้รับหน้าที่ตัดสินใจในการโจมตีทั้งหมด แต่ท่านแน่ใจได้เช่นไรว่ามันจะไม่คิดเช่นเดียวกับเรา” คิม่อนกล่าวถามอย่างใจเย็น หาได้สนใจน้ำเสียงออกคำสั่งดังคนที่เหนือกว่าของอีกฝ่าย

“หึหึ เจ้าปิดหูปิดตาอยู่หรืออย่างไร จึงไม่รู้ว่าเจ้าเบียกโกะมันไม่มีทางเปิดฉากโจมตีก่อนกำหนดแน่ เพราะหากทำเช่นนั้นคงมีชาวบ้านตายไปเป็นจำนวนมาก ดูจากจำนวนชาวบ้านที่ยังอพยพไม่เสร็จอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีก 5 วัน มันไม่มีทางดึงผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน” ความหลงมัวเมาในอำนาจทำให้มันลืมสิ้นว่าตนอาจถูกฆ่าจากคู่สนทนาได้ทุกเมื่อ ตอนนี้มันคิดถึงเพียงภาพที่ได้เหยียบเบียกโกะไว้ใต้ฝ่าเท้า

“ถ้าเช่นนั้นท่านคิดจะจัดการพวกชาวบ้านไปด้วยเลยรึ หัวหน้าอนุญาตให้เจ้าทำเช่นนั้นหรือไร” เสียงราบเรียบนั้นแฝงไปด้วยความแปลกใจ ผู้ที่เริ่มต้นทำสัญญาสงบศึกคือหัวหน้า แต่หัวหน้ากลับกำลังฉีกสัญญานั้นเองเสียแล้ว หรือหัวหน้าจะเปลี่ยนไปดังเช่นที่เขากังวลจริงๆ

ความรู้สึกผิดแปลกไปของหัวหน้าเริ่มต้นเมื่อปีก่อน ชายสวมหน้ากากผู้เป็นกำลังสำคัญในการเจรจาสงบศึกกลับมาปรากฏกายอีกครั้งหลังจากหายไปหลายปี ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นหัวหน้าก็แข็งแกร่งขึ้น เย็นชาขึ้น โหดเหี้ยมขึ้น จนเขายังหวั่นใจ เรื่องในครั้งนี้เขายอมทำตามเพราะคิดว่าสักวันในวันที่สัญญาหมดลงอย่างไรเวลานี้ต้องมาถึง แต่ไม่คิดมาก่อนว่าหัวหน้าที่เคยห่วงความเป็นอยู่ของชาวบ้าน จะทิ้งชีวิตของชาวบ้านอย่างไร้ค่าเช่นนี้

ในดวงตาคู่นั้นฉายแววลังเลอยู่วูบหนึ่งแล้วกลับมาสงบนิ่ง ไม่แสดงท่าทางน่าสงสัยให้ใครเห็นแม้แต่น้อย

“แน่นอน เรื่องนี้ผ่านความคิดเห็นของหัวหน้าแล้ว” อาซากิตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่าอีกครั้ง

“ถ้าเช่นนั้นก็บอกแผนของท่านมา หน่วยของข้าพร้อมเสมอ” เขาตอบดังว่าไม่ใส่ใจต่อชีวิตชาวบ้านแล้ว เรย์ที่แอบฟังอยู่ถึงกับสั่นสะท้าน เขาไม่ได้ยินความคิดภายในหัวของคิม่อน ได้ยินเพียงบทสนทนาที่เกิดขึ้น จึงรู้สึกหวั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ในตอนแรกเขารู้สึกได้ว่าคิม่อนไม่เห็นด้วยจึงลอบดีใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินการตัดสินใจเช่นนั้น ทั้งน้ำเสียงราบเรียบดังกล่าวเรื่องดินฟ้าอากาศ มันทำให้เขาอดที่จะหวาดกลัวไม่ได้

“สังเวยชาวบ้าน ทำให้เป็นจุดสนใจจากพวกมันให้ได้มากที่สุด หน้าที่นี้ข้าจะรับไว้เอง...ส่วนคนของท่านก็ลอบเข้าโจมจีจากภายใน ส่วนเส้นที่ ข้ารู้ว่าท่านมีความสามารถมากพอ...ใช่หรือไม่” อาซากิกล่าวอย่างท้าทาย แม้คำกล่าวจะเป็นไปดังว่าเชื่อมั่นในฝีมือของอีกฝ่าย แต่น้ำเสียกลับเย้ยหยันอย่างไม่คิดปิดบัง

“ท่านจะสังเวยชาวบ้านรึ” เสียงของคิม่อนเข้มขึ้น มีความโกรธเจื่ออยู่ในนั้นหากฟังให้ดี ที่เขารับปากในตอนแรกเพราะคิดว่าชาวบ้านเพียงโดนลูกหลง จะอย่างไรชาวบ้านก็เป็นปีศาจ ต้องหาทางหลบหนีออกไปจากการต่อสู้ได้อยู่แล้ว แต่เมื่ออาซากิคิดใช้แผนการที่ต่ำช้า เขาจึงรู้สึกโกรธเกี้ยวเป็นอย่างยิ่ง

“ใช่ ท่านเข้าใจถูกต้อง...ข้า จะ สัง เวย ชาว บ้าน” เมื่อเห็นว่าคำกล่าวนี้ทำให้คนเย็นชาอย่างคิม่อนเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ อาซากิก็กล่าวเน้นอย่างท้าทาย




To Be Continued...
__________________________________

ลงครบแล้วจ้า

รู้สึกว่าตอนนี้หลายอารมณ์มาก ฮ่าๆ  ตามกันทันรึเปล่าคะ

ทุกคนล้วนเป็นตัวแปรสำคัญเหมือนจิ๊กซอที่นำมาต่อเข้าด้วยกันทีละเล็กทีละน้อยจนเป็นรูปเป็นร่าง เราก็เลยต้องให้ความสำคัญของทุกคนค่ะ เรื่องก็เลยยาวออกๆ

กว่าจะแก้ปมภาคนี้หมดคงมีอีกหลายตอน ไม่สิๆปมแก้ไม่หมดหรอนะ จะเหลือปมไว้เป็นภาคต่อๆไป ปมใหญ่สุดเฉลยภาคปลดแอกแดนมนุษย์กันเลย ส่วนปมใหญ่ก็ยังไม่เฉลยอีกแหละว่าปมอะไร ฮ่าๆ กั๊กไว้ก่อน แต่วางไว้เล็กๆน้อยๆแล้วล่ะ มีใครพอเดาออกกันมั่งคะ

ใบ้ให้ว่าวางไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง งุงิๆ ส่วนคนสำคัญที่เกี่ยวข้องก็มี ... กับ ... แล้วก็ริเรน่า นี่ใบ้สุดๆแล้วนะเออ ลุ้นกันไหมคะ ขนาดกรีนยังลุ้นเลย

ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเข้ามาตอบความคิดเห็นเลย(แต่เม้นท์เถอะค่ะอยากอ่าน) ถ้าอยากคุยกันก็ไปคุยที่แฟนเพจหรือทวิตเตอร์ได้เลยนะคะ จุ๊บ!

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 29 ความรู้สึกกลัว (25/8/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 27-08-2017 20:27:15
 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 29 ความรู้สึกกลัว (25/8/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-08-2017 22:55:51
อื้อหื้อออ ไหวมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 29 ความรู้สึกกลัว (25/8/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 29-08-2017 14:49:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 09-09-2017 09:41:07

ตอนที่ 30
สู้  และ หนี

“แอบฟังสิ่งใดอยู่หรือ”  เสียงหยอกเย้าดังขึ้นด้านหลังของเรย์อย่างไร้ซุ่มเสียงใดๆที่สามารถบ่งบอกได้ว่ามีใครเข้ามาใกล้ตัวเขา  ในขณะที่แอบฟังบทสนทนาอันแสนสำคัญในห้องนั้น  ทั้งยังเข้ามาใกล้ถึงขั้นประชิดตัวเช่นนี้อีก  มันทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว

พรึ่บ

แต่ด้วยที่เรย์ระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเขาจึงโจมตีอีกฝ่ายได้โดยทันที ไม่เสียเวลามาตกใจแม้แต่น้อย มือข้างขวาถูกเหวี่ยงซัดไปด้านหลัง บนมือนั้นเกาะกังไปด้วยหยดน้ำเล็กๆมากมาย ขณะเดียวกันก็กระโดดไปด้านหน้าเพื่อให้พ้นจากระยะการโจมตีของอีกฝ่าย

หยดน้ำเล็กๆมากมายที่ถูกซัดเข้าใส่ศัตรูเพิ่มความเร็วขึ้นตามแรงเหวี่ยงดั่งห่ากระสุน  ในบรรดาหยดน้ำเหล่านั้นมีหยดน้ำหยดหนึ่งที่ใหญ่กว่าหยดอื่นๆดังว่ามันคือพลังที่ใช้โจมตีเป้าหมายอย่างแท้จริง ส่วนหยดอื่นๆเป็นเพิ่มเป้าอำพรางเท่านั้น และแล้วหยดน้ำหยดนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแท่งแหลม  เป้าหมายของมันคือหูของศัตรู!

ทุกครั้งการโจมตีของเรย์จะเน้นที่จุดตายเสมอ  เพื่อออมพลังอันน้อยนิดของเขาให้ใช้ได้นานที่สุด การโจมตีครั้งนี้จึงมุ่งไปที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เพราะพลังของเขาทำให้ตายไม่ได้ จึงเน้นให้อีกฝ่ายเสียจังหวะแล้วจึงลงมืออีกครั้งหนึ่ง หรือเปิดโอกาสให้นาฟโจมตี แต่ครั้งนี้เขาใช้มันเพื่อหลบหนีเท่านั้นเอง

อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะไร้ฝีมือ  เขามองรูปแบบในการโจมตีของเรย์ออก ทั้งๆที่เคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งยังใช้เพียงมือข้างเดียวปัดป้องหยดน้ำเหล่านั้นให้พ้นไปจากตัวเขาโดยไม่คิดแม้แต่จะหลบเสียด้วยซ้ำ ส่งผลให้หยดน้ำเล็กๆที่แสนอ่อนแอที่สาดกระเซ็นเปอะเปื้อนไปตามร่างกายเท่านั้น สำหรับเขาแล้วพลังของเรย์ช่างไร้ค่าเสียจริงๆ

แต่ก็เกิดเรื่องไม่อาจคาดเดาขึ้นอีกครั้ง เมื่อชั่วพริบตาที่เขาจดจ่อกับพลังเมื่อครู่ ทำให้คนตรงหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย ภาพที่ปรากฏตรงหน้ามีเพียงความว่างเปล่า ประตูที่ถูกเปิดอ้ากว้าง เมื่อมองออกไปด้านนอกกลับเห็นเพียงทางเดินที่ไกลจนสุดลูกหูลูกตาเท่านั้น

เรย์อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายชะงักเมื่อครู่หลบออกไปทางประตู แล้วสร้างภาพลวงตาให้ปิดระหว่างทางเดินแคบๆนี้โดยเขาซ่อนอยู่ด้านหลังภาพลวงตานั้นไม่ทันได้ขยับตัวไปไหนให้อีกฝ่ายได้ยินการเคลื่อนไหวของเขา ที่ทำเช่นนี้เพราะเรย์ตระหนักดีว่าหากวิ่งหนีไปคงไม่พ้นที่อีกฝ่ายจะจับทางได้โดยฟังจากเสียงฝีเท้า

เวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการถ่วงเวลาให้ทุกคนหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด  เขาจึงส่งความรู้สึกนึกคิดไปตามกระแสจิตซึ่งเขากับนาฟเชื่อมต่อมันได้เองด้วยความบังเอิญตั้งแต่ปีก่อน ขณะนั้นนาฟที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่อีกด้านของป้อมปราการก็รอรับการตัดสินใจของเรย์อยู่อย่างใจจดใจจ่อ  แม้ใจเป็นห่วงเรย์แต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อในความสามารถของเรย์ว่าอย่างไรก็คงหนีรอดมาได้ หากเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวทั้งที่เรย์ยังไม่ต้องการจะกลายเป็นตัวถ่วงเสียเปล่า จึงรีบไปค้นหาคนอื่นๆแล้วพาไปรอเรย์ยังจุดนัดพบที่พวกเขากำหนดไว้

เรย์เป็นชายที่มีพลังอันอ่อนด้อย ทั้งยังน้อยนิด แต่ที่นาฟเชื่อใจเรย์มากเพราะเรย์มีนิสัยที่ซับซ้อนไม่ได้เถรตรงเช่นเดียวกับเขา พลังที่เรย์ใช้จึงมีการประยุกต์ใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ และคาดไม่ถึงอยู่เสมอ เรียกได้ว่าใช้พลังควบคู่กับสมองอันชาญฉลาดอย่างแท้จริง การเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับเรย์เลย เขามีลูกเล่นมากมายที่จะสามารถใช้หลบหนีจากศัตรูได้

หยดน้ำเล็กๆที่หลุดรอดจากการปัดป้องของปีศาจแปลกหน้า โดยหาได้ใส่ใจว่ามันจะเปราะเปื้อนส่วนใดของร่างกาย ทั้งยังคิดว่าไร้ค่าและไร้พลัง มันกลับกำลังเคลื่อนตัวจากบริเวณใบหน้าอย่างช้าๆด้วยการควบคุมของเรย์ หยดน้ำเหล่านั้นเคลื่อนตัวไปรวมกันเป็นจุดสองจุดแล้วเคลื่อนเข้าบดบังภายในดวงตา  ไม่เพียงเท่านั้นเรย์ยังส่งผ่านพลังภาพลวงตาไปยังหยดน้ำที่เป็นสื่อกลางพลัง ส่งผลให้ดวงตาของคู่ต่อสู้ถูกบดบังจนมองไม่เห็นสิ่งใด ดวงตาถูกปิดจนมืดบอด สูญเสียประสาทการมองเห็นในขณะนั้น

พลังควบคุมน้ำปริมาณน้อยนิดที่ถูกกลั่นออกมาจากร่างกาย ถูกใช้เป็นสื่อกลางแทนร่างกายของเรย์แล้วใช้พลังของการสร้างภาพลวงตาหลอมรวมส่งไป กลับกลายเป็นพลังสร้างสรรค์อันยากจะคาดเดา ทั้งยังน่าสะพรึงเมื่อคนผู้หนึ่งสูญเสียประสาทสัมผัสไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งยังถูกวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น หยดน้ำที่ถูกสร้างให้มีขนาดใหญ่และเล็งไปยังหูของคู่ต่อสู้เป็นเพียงตัวล่อเท่านั้น!

เมื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการถ่วงเวลาแล้ว เรย์ก็สลายภาพลวงตาตรงหน้าของตน เหลือไว้เพียงภาพลวงตาที่แผลงฤทธิ์อยู่ในดวงตาของศัตรู   ออกวิ่งอย่างสุดฝีเท้าลัดเลาะไปตามเส้นทางอันปลอดภัยมุ่งหน้าไปยังที่นัดหมายของพวกเขา

“บัดซบเอ๊ย! มีผู้บุกรุก”  เสียงสบถอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากด้านหลังแต่เรย์ก็ไม่ได้สนใจ  เขาเพียงแสยะยิ้มสะใจแล้วเปลี่ยนเส้นทางหลังจากออกมาพ้นที่พักของพวกมันเท่านั้น 

ป้อมปราการกว้างขวาง มีบ้านเรือนสำหรับใช้พักถูกสร้างขึ้นไว้มากมาย จุดที่พวกเขานัดพบกันจึงเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับทางลับซึ่งทาคุซ่อนไว้ในทางด้านทิศเหนือของป้อมปราการ  บริเวณที่ใกล้กับหมูบ้านที่สุดนั่นเอง เรย์จึงหักเลี้ยวไปอีกด้านหนึ่งเพื่อล่อให้พวกมันหัวหมุน   ในระหว่างนั้นเขาก็หาตัวช่วยสำรองเอาไว้เพื่อเป็นทางออกหากเกิดความผิดพลาดอันไม่อาจควบคุมได้ขึ้น

ฟรี๊ดดดดด

เสียงนกหวีดขนาดเล็กดังก้อง แต่กลับคล้ายเสียงของแมลงทั่วไป  ผู้ที่จับสังเกตแยกแยะเสียงนี้ได้จึงมีเพียงเจ้านกพิราบสีขาวนวลตัวหนึ่งเท่านั้น เพียงไม่นานมันก็ปรากฏตัวขึ้นบนฟากฟ้าเหนือศีรษะของเขา แล้วบินโฉบเฉี่ยวเข้ามาหาเจ้าของของมัน แม้เรย์จะไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลยก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับมันแม้แต่น้อย เพียงเรย์ยื่นกระดาษที่ถูกพับจนลีบเล็กไปให้ มันก็เข้าไปคาบเอากระดาษแล้วบินขึ้นไปด้านบนอีกครั้งทันที

“นำไปให้ท่านหมอ!” สิ้นคำสั่ง เจ้านกพิราบตัวขาวก็เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังเขตเหนือทันที เพราะมันคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ มันจึงบินไปตามเป้าหมายอย่างไม่ลังเล

เมื่อมาไกลมากพอ เรย์จึงใช้ทางอ้อมกลับไปยังจุดนัดพบของพวกเขา ส่วนทางด้านนาฟนั้นก็พบปัญหาอยู่ไม่น้อย เขาต้องใช้เวลานานกว่าจะเกลี่ยกล่อมให้เอลลูญ์กับทาคุใจเย็นลงได้เมื่อพวกเขาทั้งสองยืนกรานที่จะออกไปตามหาเรย์ กว่าจะพาทั้งสองกลับมายังจุดนัดพบได้ก็ใช้เวลาไปมากพอควรทีเดียว เขาต้องอธิบายการเชื่อมจิตระหว่างเขากับเรย์ให้ทั้งสองฟัง เพราะมันไม่เป็นเช่นการเชื่อมจิตทั่วๆไป หากเป็นปกติแล้วการเชื่อมจิตต้องมีพลังอย่างมาก ทั้งหากทำได้จะสามารถสื่อสารกันได้ ทาคุกับเอลลูญ์ที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วจึงต้องการให้นาฟบอกให้เรย์กลับมาโดยไม่ต้องห่วงความปลอดภัยพวกเขา

แต่นาฟกับเรย์เชื่อมกันได้เพียงความรู้สึก ด้วยที่พวกเขาเป็นลูกครึ่งจึงมีพลังไม่สมบูรณ์ เชื่อมได้เพียงความรู้สึกเท่านั้น และจากความรู้สึกของเรย์ที่ส่งผ่านบ่งบอกได้ว่า เรย์ได้คงได้รู้ข้อมูลสำคัญบางอย่างเข้าทั้งยังถูกจับได้ แต่จิตใจของเรย์ยังสงบ นั่นหมายความว่าเรย์ยังปลอดภัยและไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติใดๆ ทั้งความรู้สึกที่แฝงความห่วงใย พร้อมกับความรู้สึกในตอนที่เรย์เผยนิสัยอีกด้านนั้นกำลังผ่านเข้ามา หมายความว่าเรย์กำลังเล่นสนุกอยู่กับสถานการณ์ตึงเครียด และกำลังหาทางหนีที่ไล่ให้พวกเขานั่นเอง

ใครต่อใครที่ได้พบเห็นเรย์จะมีสัมผัสได้ว่าเรย์นั้นช่างอ่อนโยนและใจดีกว่าใครๆ แต่ด้านนั้นเรย์จะแสดงออกมากับมิตรสหาย หรือคนที่เข้าใกล้โดยไม่หวังผลประโยชน์เท่านั้น ส่วนด้านมืดที่ซ่อนอยู่นั้นแสนเจ้าเล่ห์เพทุบายเขารู้ดีที่สุด ด้านอันน่าหวั่นกลัวนั้นเรย์จะใช้มันทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ยิ่งอันตรายยิ่งตื่นเต้น ยิ่งต้องหาทางออกอย่างจนตรอกยิ่งสนุกสนาน ใครเล่าจะมีนิสัยที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อีก

นาฟ ทาคุ เอลลูญ์ เตรียมพร้อมหลบหนี และตั้งรับการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ระหว่างศัตรูพบพวกเขาก่อน หรือเรย์กลับมาก่อน เป็นการพนันที่เดิมพันด้วยชีวิตทีเดียว

ส่วนทางด้านชายผู้ถูกเรย์ทำให้สูญเสียการมองเห็น เขาสบถคำหยาบออกมามากมายอย่างเจ็บใจ เพราะเสียรู้ให้กับคนที่มีฝีมือด้อยกว่า เขาประมาท ทั้งยังไม่เคยเผชิญกับพลังเช่นนั้นจึงรับมือได้ไม่ทันท่วงที แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว การกระทำของเรย์ไม่ต่างจากการหยามศักดิ์ศรีของเขาเลย

เขาไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายของเหล่าทหารที่กำลังตามหาผู้บุกรุก  ทั้งยังไม่สนใจที่จะคลายพลังที่บดบังดวงตาเขาออก ทั้งยังหลับดวงตานั้นลง ใช้พลังเฉพาะของตนขยายขอบเขตปกคลุมจนทั่วบริเวณป้อมปราการ พลังในการตรวจสอบอันละเอียดอ่อนซึ่งเขาได้รับสืบทอดมาจากต้นตระกูลของเขานั้น หากยิ่งแข็งแกร่ง อาณาเขตยิ่งใหญ่ขึ้น มันบ่งบอกได้ว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเรย์หลายเท่าตัว

เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็หาเรย์พบ  แต่เขาไม่ใช่คนวู่วามจึงสำรวจเส้นทางของเรย์อย่างถี่ถ้วน สุดท้ายก็สามารถคาดเดาสถานที่ที่เรย์กำลังมุ่งไปจนได้ พลังของเรย์อ่อนลงจนค่อยๆพร่าเลือนเพราะระยะเวลาที่จำกัดในการใช้พลัง ยิ่งเมื่อศัตรูแข็งแกร่งยิ่งคงสภาพไว้ได้น้อยลงเท่านั้น และเมื่อชายผู้นี้แปรเปลี่ยนเท้าของตนเป็นอุ้งเท้าของชีตาร์ เสือที่มีฝีเท้าเร็วที่สุดในบรรดาเสือทั้งมวล พลังที่แผ่ออกมายิ่งหักลบพลังของเรย์จนหายไปในที่สุด

ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าทำให้ชายร่างชีตาร์มาถึงจุดนับพบก่อนเรย์เสียแล้ว นาฟ ทาคุ และเอลลูญ์จึงเข้าสู่สถานการร์บังคับต้องสู้กับศัตรูก่อนหลบหนีเสียได้ ผู้ที่รู้สึกถึงชายร่างชีตาร์คนแรกคือทาคุ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ทั้งหัวยังปวดร้าวจนแทบระเบิด นาฟกับเอลลูญ์ที่เห็นอาการของทาคุจึงมุ่งความสนใจไปทีทาคุจนตั้งรับศัตรูที่มุ่งตรงมาไม่ทัน

แต่ใครจะคาดเดาได้เมื่อทาคุที่นั่งกุมหัวอยู่จะหายไปไปจากตรงหน้าของพวกเขาทั้งสอง ทาคุลงมือก่อนใครๆ ด้วยไม่อาจรู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขากลับเข้าโจมตีด้วยสัญชาตญาณทั้ง

“ตายซะ!คาสึกิ!”

เคร้ง!

เสียงดาบขนาดใหญ่กระทบลงไปบนดาบสั้นสองด้ามที่ถูกยกขึ้นมาไขว้กันเพื่อป้องกันดาบที่มีขนาดใหญ่กว่าได้อย่างมั่นคง

“หึหึ ไม่เจอกันนานเลยนะ...ทาคุมะ” ตอนนี้สถานการณ์กดดันยิ่งขึ้นอีก เมื่อปีศาจตนหนึ่งโกรธเกรี้ยว แต่ปีศาจอีกตนกลับยิ้มอย่างอารมณ์ดี ไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์ครุกรุ่นที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

ฟุชิมะ คาสึกิ หนึ่งในสี่องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ กำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้พบกับสหายเก่าที่สมควรตายไปแล้วอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาเสียดายเป็นอย่างยิ่งเมื่อมันหลุดรอดเงื้อมมือของเขาไปได้ ทั้งพวกนั้นยังปกปิดเขาอีกว่าทาคุมะตายไปแล้ว เขาเสียดายแทบแย่ที่ไม่ได้ลงดาบสังหารมันด้วยตนเอง แต่เวลานี้ช่างเป็นใจยิ่ง ความปรารถนาอันแสนยาวนานของเขากำลังจะเป็นจริง ในที่สุดเขาก็จะได้ฆ่าคนที่พานังนั่นหนีไปเสีย!


**********************************50%*********************************
อัพแล้วจ้า รอกันนานไหมเอ่ย ตอนนี้กรีนกำลังเร่งเขียนให้จบค่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีอารมณ์พิมพ์เท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะคะ อยากปิดไว้ซักเดือนจะได้ไหม งื้อออ
แต่ก็กลัวคนอ่านหาย ถ้ายังไงจะพยายามเข้ามาอัพนะคะ
กรีนกำลังเร่งปิดเรื่องรออ่านได้เลยน้า
ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้มันส์ๆ ฉากอารมณ์อันเข้มข้นก็อันแน่นไว้ให้พร้อมแล้ว รออ่านกันได้เลยจ้า รับลองจุใจอย่างแน่นอน
และวันนี้กรีนยืนยันคำเดิม...ฉากต่อสู้เขียนยากที่สุด งื้ออออ
พบกับครึ่งตอนที่เหลือพรุ่งนี้จ้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งแรก) (9/9/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 09-09-2017 11:18:04
กำลังเข้าฉากต่อสู้เลย...มันมาก

มาต่อเรื่อยๆเถอะน๊าคุณกรีน...คิดถึง
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งแรก) (9/9/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 09-09-2017 20:10:02
ลุ้นระทึกอีกแล้วววว    :katai1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งแรก) (9/9/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-09-2017 23:30:42
เอิ่ม
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งหลัง)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 15-09-2017 19:00:47
ตอนที่ 30
สู้ และ หนี


“แกเป็นใคร!” ทาคุมะถามกลับอย่างดุดัน เขามั่นใจว่าตนรู้จักคาสึกิ และสัญชาตญาณบอกว่าคาสึกิคือคนทรยศ แต่เขาก็ไม่อาจนึกออกว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้น  รวมทั้งเรื่องที่คาสึกิเป็นใคร  เกี่ยวข้องกับตนอย่างไรด้วย

“หึหึ ฮ่าๆๆ นี่เจ้าจำข้าไม่ได้รึ  ดี ดี ดีจริงๆ  ฮ่าๆๆ ถ้าอยากรู้นักก็ลองใช้ดาบง้างปากข้าดูสิทาคุมะ!” กล่าวจบก็เป็นจังหวะให้ทั้งสองกระโดดถอยหลังเพื่อตั้งหลักในการเริ่มต้นโจมตีอีกครั้ง

 คาสึกิจงใจใช้ถ้อยคำยั่วโมโหเหล่านั้น เพราะเขาถนัดใช้ดาบสั้น การเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธโจมตีแบบเป็นวงกว้างจึงเป็นปัญหากับเขา ดังนั้นการทำให้ศัตรูเปิดช่องว่างจึงเป็นอีกทักษะที่เขาใช้มันในการต่อสู้ ยิ่งศัตรูโกรธจนขาดสติมากเพียงใด ยิ่งเข้าทางเขามากขึ้นเท่า

ส่วนทาคุมะใช้ดาบหนัก  ซึ่งมันทั้งหนักและมีขนาดใหญ่ตามชื่อ ทั้งยังโจมตีได้เป็นวงกว้าง เหมาะแกการโจมตีศัตรูแบบซึ่งหน้า  อาวุธของเขาจึงเข้าเงื่อนไขจุดอ่อนของคาสึกิได้อย่างพอดี

“ได้!  คาสึกิ ข้าจะสนองให้ตามที่เจ้าต้องการ” ด้วยความที่เป็นคนเลือดร้อนยามต่อสู้ ทำให้ไม่ยากเลยที่ทาคุมะจะวิ่งไปตามแผนคาสึกิอย่างง่ายดาย เขาทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าจู่โจมคาสึกิอีกครั้ง เหวี่ยงดาบไปยังคู่ต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า เล็งไปเสียทุกจุดทั่วตัว เพราะแม้ไม่ใช่จุดตาย แต่ถ้าตัวขาดเป็นสองท่อนด้วยแรงเหวี่ยงของดาบก็ตายเหมือนกันมิใช่หรือ

คาสึกิเป็นฝ่ายตั้งรับ ยกดาบขึ้นมาป้องกันได้เสียทุกครั้งแต่ร่างกายก็ถอยร่นไปข้างหลังมากขึ้นๆมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้นริมฝีปากเขากลับกำลังฉีกยิ้ม เมื่อได้เห็นทาคุมะโกรธเกรี้ยว...มันช่างเข้าแผนของเขาเสียนี่กระไร

และแล้วในเสี้ยววินาทีที่ทาคุมะยกดาบขึ้นฟันอีกครั้ง  เพียงเสี้ยวหนึ่งก่อนดาบจะถึงตัวคาสึกิโดยไร้ซึ่งการป้องกัน ร่างนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ฟิ้ววว

เคร้ง!

“อึก! คาสึกิ!” มีดสั้นกว่าสิบเล่มถูกขว้างเข้าใส่จากทุกทิศทาง ทาคุมะที่เสียการทรงตัวจากการโจมตีเมื่อครู่ของตนจึงป้องกันมีดเหล่านั้นไม่ได้ทั้งหมด มีดที่ถูกดาบใหญ่ปัดกระเด็นกลับไปยังทางที่มันพุ่งมา แต่มีดสั้นที่ทาคุมะพลาดเป้าไปก็ปักลงบนร่างกายของเขาหลายจุด  ไม่ว่าจะเป็นที่ไหล่ สีข้าง และแผ่นหลัง แต่กระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่สะเทือนถึงร่างกายของเขามากนัก

“ฮิฮิ  ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะยิ่ง...เจ้าคงจำไม่ได้ทาคุมะ  แต่ข้าจะบอกให้ว่าข้าเกลียดการสู้กับเจ้ามากที่สุด เพราะไม่ว่าเมื่อใดมันมักจบลงที่เสมอกันเสียทุกครั้ง อาวุธของเรากินกันไม่ลงเชียวล่ะ...แต่ว่านะ ข้าจะบอกให้ว่าทุกครั้งข้าต้องอดกลั้นที่จะไม่แสดงนิสัยน่าเกียจต่อหน้าท่านหัวหน้า ซึ่งวันนี้มันไม่จำเป็น หึหึ ข้าจะแสดงให้เห็นว่าการฆ่าเจ้ามันไม่ยากอันใดเลย!” เสียงนั้นดังขึ้นทุกทิศทางจนไม่อาจจับสัมผัสได้ว่ามาจากที่ใด

ด้วยที่การต่อสู้ทุกครั้งคาสึกิจะต่อสู้อย่างซื่อตรง  ไม่กล่าวยั่วยุ หรือลอบโจมตีจากด้านหลัง เพราะมันเป็นการประลองกับพวกเดียวกัน ทั้งยังอยู่ต่อหน้าหัวหน้าอีก แต่วันนี้ทาคุมะคือศัตรูที่เขาต้องการสังหาร ความสามารถทั้งหมดจึงถูกนำออกมาใช้อย่างไม่ปิดบัง ทำให้เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าอย่างไรเขาต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน

คาสึกิเร่งความเร็วของฝีเท้าให้มากขึ้น เขาถนัดการรอบสังหาร หรือการฆ่าโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว หากกล่าวถึงความเร็วแล้วในบรรดาพวกเขาทั้งสี่ คาสึกิจึงนับว่ามีความเร็วมากที่สุด

เคร้ง!

ประกายดาบเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฝ่ายตั้งรับกลับเป็นทาคุมะที่ต้องใช้สัญชาตญาณในการตั้งรับ คาดเดาตำแหน่งที่คาสึกิจะโจมตีมา การโจมตีจุดบอดและจุดตายอย่างแม่นยำทำให้ยากต่อการรับมือ  แต่กระนั้นประสบการณ์ที่โชคโชนทำให้ทาคุมะยังป้องกันตนเองได้เสียทุกครั้งไป แม้จะได้แผลมาบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถึงกับสาหัสมากมายแต่อย่างใด

ทุกครั้งที่คาสึกิโจมตีเขาจะถอยกลับแล้วหายไปกลับความมืด  พร้อมขว้างมีดสั้นเข้าใส่สลับไปมา มันจึงยิ่งยากต่อการจับทิศทาง ปลายแหลมคมของดาบสั้นข้างหนึ่งตวัดเข้าใส่ใบหน้าของทาคุมะ   หมายจะเสียบเข้าใส่ดวงตา แต่ด้วยคุณสมบัติของดาบหนักที่ถึงแม้คมมีดจะทื่อแต่ทุกครั้งที่เหวี่ยงดาบมันจะเร็วขึ้นๆตามลำดับ เขาจึงสามารถปัดดาบสั้นออกไปด้านข้างได้ทัน   แต่กระนั้นประกายดาบก็ยังฝากแผลยาวไว้ที่คิ้วยาวจนถึงขมับ แม้จะเล็กน้อยแต่เลือดก็ไหลซึมออกมาบดบังวิสัยทัศน์ของดวงตา ทำให้ยากต่อการมองเห็นยิ่งขึ้นไปอีก

ในขณะที่ปีศาจทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทางด้านนาฟกับเอลลูญ์ที่จ้องหาช่องว่างเข้าไปช่วยทาคุมะก็ต้องเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากใบหน้ายิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งที่โผล่ออกมาอย่างไร้ที่มาที่ไป

“ฮิฮิฮิ สายันต์สวัสดิ์ขอรับ” เสียงขบขันดังขึ้นด้านหลังของนาฟกับเอลลูญ์  เพียงหันกลับมามองก่อนที่จะทันตั้งตัว พวกเขาก็ถูกซัดหมัดเข้าที่ท้องจนตัวกระเด็นไปด้านหลัง ปลิวไปไกลจนชนกับต้นไม้ที่ขวางอยู่

“อั๊ก”  “อึก” เพียงเท่านั้นคนทั้งสองก็กระอักเลือดออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ  บ่งบอกได้ว่าตอนนี้พวกเขาบาดเจ็บภายในเสียแล้ว

“จะเข้าไปยุ่งไม่ได้นะขอรับ ภาพที่งดงามเช่นนี้หายากยิ่ง...เพื่อนที่กำลังต่อสู้กันโดยเดิมพันด้วยชีวิตมันช่างงดงาม งดงาม!  งดงามจริง!  ฮ่าๆๆ”  การแสดงออกของชายสวมหน้ากากช่างน่าขัน  มันกำมือเหลือไว้เพียงนิ้วชี้ดังต้องการกระซิบเบาๆทั้งยังโก่งโค้งมาข้างหน้าดังกำลังห้ามเด็กตัวเล็กๆไม่ให้เสียงดังอย่างไรอย่างนั้น แต่ด้วยหน้ากากอันบิดเบี้ยวทำให้มันไม่เข้ากันเสียเลย ยิ่งประโยคสุดท้ายที่กล่าวดังสติแตกเช่นนั้นยิ่งชวนให้น่าขนลุกจนไม่อาจบรรยายได้เลยทีเดียว

“แก!” นาฟตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่นานเขาก็สงบลงด้วยเพราะจิตใจที่ผูกติดกับเรย์เอาไว้ หัวใจที่เต้นอย่างสงบของเรย์ทำให้เขาควบคุมอารมณ์ของตนได้เสมอ  และเขารู้ว่าหากเขาส่งจิตแบบบ้าคลั่งไปเรย์ต้องเป็นห่วงเขามากขึ้นอย่างแน่นอน  ทั้งหากเรย์เป็นห่วงพวกเขาแล้วต้องรีบมายังที่แห่งนี้ การส่งจิตให้เรย์ใช้แผนต่อไปคงไม่อาจรับรู้ได้ง่ายๆ เขาจึงสงบใจแล้วเริ่มต้นหาวิธีส่งสัญญาณอีกครั้ง ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือหนีเอาใช้ชีวิตรอด   ไม่ใช่การต่อสู้อย่างสูญเปล่า

เอลลูญ์  กับ นาฟ  สบตากันดังว่าเข้าใจในความคิดของอีกฝ่ายอย่างกระจ่างแจ้ง ทั้งสองลุกขึ้นได้ก็วิ่งเข้าใส่เพื่อโต้กลับชายสวมหน้ากากในทันที  แต่ก่อนจะเข้าใกล้นาฟก็ลดความเร็วลงให้เอลลูญ์วิ่งขึ้นไปด้านหน้าเป็นตัวล่อ ส่วนเขาใช้จังหวะที่เอลลูญ์บดบังสายตาของอีกฝ่ายเอาไว้ ปล่อยควันออกจากฝ่ามือ  ควันกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นฟ้าเป็นรูปสามเหลี่ยม แต่หากไม่ใช่พวกเขาคงไม่เข้าใจ เพราะมันสามารถแยกออกเส้นสามเส้น แล้วให้นำมาเรียงใหม่เป็นแนวเดียวกันหมายถึงเลขสามในภาษาโรมันนั่นเอง
และในจังหวะนั้นก็ส่งจิตบอกให้เรย์มองไปบนท้องฟ้า  แม้จะอยู่ไกลกันนาฟมั่นใจว่าเรย์ต้องมองเห็นอย่างแน่นอน  ที่เหลือคือพวกเขาต้องถ่วงเวลาเอาไว้สักพักเพื่อให้เรย์เตรียมแผนต่อไปได้ทัน

เพื่อไม่ให้มีพิรุธการส่งสัญญาณจึงถูกทำเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่นาฟจะมุ่งความสนใจไปที่ชายสวมหน้ากากอีกครั้ง นาฟกับเอลลูญ์ผลัดกันล่อผลัดกันโจมตีอย่างต่อเนื่อง  คนหนึ่งโจมตีเพื่อดึงความสนใจ อีกคนโจมตีช่องโหว่ที่อีกฝ่ายสร้างให้  ช่างเข้าขากันดังว่าต่อสู้ร่วมกันมาหลายปี แต่กระนั้นก็ไม่อาจแตะต้องโดนตัวของชายสวมหน้ากากได้เลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายมีอาวุธที่ลักษณะเหมือนกรรไกรแยกส่วนออกจากกันได้ โดยแยกอยู่ในมือด้านละส่วนเท่านั้น พลังพิเศษก็ไม่ได้นำออกมาใช้แต่พวกเขากลับทำอะไรไม่ได้เลย หัวใจหนักอึ้ง สมองอื้ออึงไปด้วยคำถามมากมาย ยิ่งต่อสู้นานขึ้นก็ยิ่งย้ำชัดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

‘ชายผู้นี้เป็นใคร’

‘เป็นไปไม่ได้’

‘เขาไม่ใช้พลังเลยจริงหรือ’

‘พวกเรา พวกเราจะฆ่าชายผู้นี้ได้จริงๆใช่หรือไม่’


“อ้าก!”  เสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้นหยุดความคิดที่ดำดิ่งสู่ความพ่ายแพ้ของคนทั้งคู่ จนตอนนี้นาฟกับเอลลูญ์กลับมามีสติอีกครั้ง เพราะตอนนี้ต้องมุ่งความสนใจไปที่เสียงของทาคุมะแทน

ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเขาคือ ทาคุมะที่จับดาบด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างบีบไปบนศีรษะของเขาเพื่อต้องการระงับความเจ็บปวด  คาดเดาได้ไม่ยากกว่าตอนนี้ทาคุมะถูกกระตุ้นจนความทรงจำ มันปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้เวลาเช่นนี้  ตามด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสะใจของคาสึกิที่ดังออกมาจากทุกทิศทางรอบๆตัวของทาคุมะ

เพียงชั่วครู่คาสึกิก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของทาคุมะแล้วง้างดาบข้างหนึ่งขึ้นหมายจะกุดศีรษะของเขา

“ท่านทาคุมะ!”

“ระวัง!”

เสียงตะโกนก้องจากนาฟกับเอลลูญ์ช่วยเรียกสติของทาคุมะกลับมาได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนที่ดาบสั้นจะบั่นคอของเขา ทาคุมะก็ยกดาบขึ้นมาปัดป้อง แต่ด้วยสติที่ยังไม่ครบถ้วนดี ประสาทสัมผัสจึงยังไม่เฉียบคมพอ  ทำให้คาสึกิอาศัยช่วงเวลานั้นเปลี่ยนวิถีดาบฟันลงไปยังแขนของทาคุมะแทน

“อึก”

ตุบ!

ดาบหนักที่ถูกยกขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียวล่วงหล่นลงสู่พื้นเมื่อแขนข้างนั้นไร้เรี่ยวแรงจะประครองมันเอาไว้ ตอนนี้นาฟกับเอลลูญ์เองก็ละความสนใจจากชายสวมหน้ากาก แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็คงหมดธุระแล้วเช่นกันจึงไม่ได้เข้าไปโจมตีคนทั้งคู่ หรือก็คือมันเจอสิ่งที่สนุกมากกว่าแล้วนั่นเอง

“ฮ่าๆๆ ต่อไปก็คอของเจ้าล่ะนะ ทาคุมะ! อึก  อะ...อะไร” คาสึกิเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งเมื่อตนมีชัยเหนือทาคุมะ  แม้จะใช้ลูกเล่นอันแสนน่ารังเกียจแล้วมันจะสำคัญอย่างไร ในเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การประลองแต่เป็นการสังหาร เขาเพียงหยิบยกชื่อของหญิงมนุษย์นางนั้นขึ้นมากล่าวถึง ทาคุมะก็ส่งผลหนักถึงเพียงนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาโจมตีอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้านแท้ๆ ยอดเยี่ยม มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ

แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัดเมื่อมีกระแสความร้อนสายหนึ่งมัดแขนกับลำตัวเข้าด้วยกัน แม้แต่ขาก็ขยับไม่ได้ รู้สึกเจ็บจี๊ดดังถูกแมลงกัดแต่ร้ายแรงกว่านั้นอยู่มากทีเดียว ใช่แล้วเขาถูกเอลลูญ์ใช้สายฟ้ามัดร่างเอาไว้ไม่ให้ขยับไปที่ใด 

“ทำไม  ทำไมพลังสำรวจของข้าจึงจับสัมผัสไม่ได้!” เขากล่าวอย่างขุ่นใจและงุนงงสงสัย  เพราะสายฟ้าถูกสร้างขึ้นจากกระแสอากาศรอบๆตัวของคาสึกิ  ทำให้เขาสัมผัสมันได้อย่างเบาบางแต่ก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าคือสิ่งใดด้วยไม่เคยเผชิญหน้ากับผู้ใช้สายฟ้ามาก่อ จึงทำให้ไม่อาจหลบได้ทัน

นาฟอาศัยจังหวะนั้นปล่อยควันออกมารอบตัวจนปกคลุมทั่วบริเวณ เพื่อถ่วงเวลาและการมองเห็นของศัตรูที่กำลังมาใหม่ ก่อนจะเข้าประชิดตัวของคาสึก  แล้วอัดคลื่นฮีตเวฟไปยังร่างนั้นจนอีกฝ่ายหมดสติไป คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติทำให้ยากจะต้านทานผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้

เรียกได้ว่าพวกเขาจัดการศัตรูด้วยพลังแบบที่อีกฝ่ายไม่รู้จักจึงทำได้ง่ายถึงเพียงนี้ แต่หากเจอกันอีกครั้งคงยากที่พวกเขาจะชนะได้  ตอนนี้พวกเขาจึงต้องหนีเท่านั้น นาฟเข้าไปดึงทาคุมะที่ยืนมองอยู่เพื่อวิ่งออกไปจากที่แห่งนี้ แต่อีกคนกลับไม่ให้ความร่วมมือ เมื่อทาคุมะไม่ยอมขยับออกจากที่เดิมทั้งยังดึงแขนออกจากมือของนาฟ

“ไปเร็วท่านทาคุ” แม้ตกใจแต่นาฟก็ตั้งสติแล้วเร่งอีกฝ่ายอีกครั้ง

“พวกเจ้าไปซะ ข้าจะอยู่ที่นี่  การต่อสู้ยังไม่จบ” ทาคุมะยังยืนยันหนักแน่นทั้งยังเดินไปหยิบดาบด้วยมือข้างที่ยังไม่โดนฟันโดยไม่หันกลับมามองนาฟเสียด้วยซ้ำ

“แต่ท่านต้องไป” นาฟไม่ยอมแพ้

“ไม่” ทาคุมะก็ไม่คิดจะอ่อนข้อลง

พรึบ!

“ท่านไม่ไปไม่ได้ ถ้าจะอยู่พวกเราก็จะอยู่สู้ด้วย...ท่านคิดว่าพวกเราจะยอมปล่อยให้เพื่อนตายไปคนเดียวได้รึ!” เอลลูญ์กระชากคอเสื้อของทาคุมะให้หันกลับมามองหน้าตน ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงลอดไรฟันอย่างอดกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยว

ตอนนี้ในใจของเขาห่วงเรย์ที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรจนแทบไม่อาจสงบใจได้ ทั้งนาฟที่ดูอย่างไรคงไม่หนีไปแน่หากพวกเขาไม่ออกไปพร้อมกันทั้งสามคน ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องสนใจทาคุมะเสียก็ได้เพราะเขาเข้าร่วมตามเรย์กับนาฟเท่านั้น แต่หากทาคุมะทำให้ทั้งสองคนต้องจบชีวิตลงเขาก็ไม่คิดจะให้อภัย

สำหรับเอลลูญ์แล้วชีวิตของเขาจะจบลงอย่างไรไม่สำคัญ แต่เขาจะไม่ยอมสูญเสียคนสำคัญไปต่อหน้าต่อตาอย่างเด็ดขาด ความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อทาคุมะจึงท่วมท้นออกมาอย่างไม่อาจปิดบังได้

“ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ” หลังจากจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่งทาคุมะก็เป็นฝ่ายยอมแพ้  เขาจะดื้อดึงเช่นนี้ไม่ได้ เพราะเป็นผู้ที่ดึงพวกเอลลูญ์เข้ามาร่วมเสี่ยง ทั้งยังหากตายที่นี่คงไม่มีผลดีรออยู่แน่ หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามจึงวิ่งไปตามเส้นทางที่ได้ตกลงกันเอาไว้

เพียงไม่นานจากนั้นบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยคนของหน่วยเสือคำ ตามด้วยเสียงหัวเราะอันสนุกสนามของชายสวมหน้ากากที่ดังตามมาจากด้านหลัง

“ฮิฮิฮิ หนีสิ หนีไป หนีๆ...แล้วข้าจะไล่ตามไป”






To Be Continued...
___________________________________________________



หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งหลัง) (15/9/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 15-09-2017 19:27:01
บอกได้แค่สู้ๆนะคุณกรีน

เราเป็นคนอ่านอาจมาร่ำร้องบ้างแต่อย่าให้เราทำให้คุณเครียดจนไม่มีความสุขในการแต่งนิยาย
เราเข้าใจว่ามันเป็นงานที่ต้องใช้พลังสมองและแรงกายแรงใจ เราอยากให้คุณมีความสุขกับการแต่ง เราเองก็มีความสุขกับการได้อ่านเช่นกัน
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งหลัง) (15/9/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 15-09-2017 19:39:01
เพิ่งอ่านตอนที่ 1 เองครับ แงๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งหลัง) (15/9/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-09-2017 10:02:14
เห้อออออ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งหลัง) (15/9/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 19-09-2017 12:49:37
เป็นกำลังใจให้ค่ะ คนขยันเราสนับสนุนจ้า รอไปพร้อมกัน :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 31 เปิดฉากฟาดฟัน
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 14-11-2017 19:27:01
ตอนที่ 31
เปิดฉากฟาดฟัน

หลังจากนั้น  นาฟ เอลลูญ์ และทาคุมะ ก็รีบเร่งวิ่งไปยังจุดที่นัดหมายกับเรย์ไว้ นับว่าเป็นความโชคดีในโชคร้าย  เมื่อชายสวมหน้ากากยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง ไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไปในทันที เพราะมันคิดว่าหากปล่อยพวกเขาไปก่อนความสนุกในการไล่ตามคงมากขึ้นอีกโขเลยทีเดียว หากจัดการไปตอนนี้คงหมดสนุกไปเสียก่อน ทั้งมันยังโปรดปรานในการชมการต่อสู้ของทั้งสองเขตยิ่งกว่าลงมือด้วยตนเองเสียอีก

มันจึงยังยืนนิ่งจ้องมองพวกเขาหนีไปด้วยสายตาแห่งความหรรษา ส่วนเหล่าทหารที่มาถึงก็ติดเข้าไปในควันไฟของนาฟอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ประสาทรับรู้ถูกจัดการ ปวดแสบไปทั่วไปหน้า กว่าจะรู้ตัวว่าควันนั้นไม่ใช่ควันธรรมดาก็ติดกับดักเสียแล้ว กว่าพวกมันจะกลับเป็นปกติคงซื้อเวลาได้มากทีเดียว

ทางด้านเรย์ในขณะที่ทางนั้นต่อสู้กันอยู่เขาก็ได้ออกมาจากอาณาเขตของเขตตะวันตกเสียแล้ว จุดหมายปลายทางของเขาคือป่าด้านนอกกำแพงซึ่งมีน้ำตกขนาดใหญ่ไหลผ่าน น้ำตกนี้มีต้นกำเนิดมาจากแดนมนุษย์แล้วทอดยาวตัดผ่านป่าแห่งนี้ลงไปถึงเขตใต้ นับว่าเป็นน้ำตกที่เชื่อมทั้งสองดินแดนเอาไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยนมากนัก

เพียงไม่นานเรย์ก็มาถึงจุดหมาย ที่เขาต้องมายังที่แห่งนี้เพราะเขาต้องใช้มันเป็นพลังในการวางกับดักในครั้งนี้ โดยปกติแล้วเรย์มีพลังอันน้อยนิด เพราะเป็นเพียงลูกครึ่งไร้พลังที่โชคดีได้รับรู้ถึงพลังที่แฝงอยู่ เขาจึงต้องพกน้ำติดตัวไปไหนต่อไปไหนเสมอเพื่อเตรียมพร้อมทุกครั้ง เขานั้นไม่อาจกลั่นน้ำจากผืนดิน ต้นไม้ หรืออากาศดังเช่นเหล่าผู้ใช้ธาตุน้ำที่แท้จริง ดังนั้นหากต้องการใช้พลังมากมายทั้งยังรวดเร็ว น้ำจำนวนมหาศาลจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เขาวงกตลวงตา คือพลังที่เรย์คิดค้นขึ้นเอง ซึ่งก็ประยุกต์มาจากพลังพื้นฐานในการสร้างภาพลวงตาของเขานั่นเอง เพียงแต่มันซับซ้อนและมีขนาดใหญ่กว่า ทุกครั้งเวลาเขาสร้างมันจากน้ำที่เก็บติดตัวไว้จึงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง แต่หากเป็นตอนนี้ที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เอื้อประโยชน์เช่นนี้เขามั่นใจว่าต้องใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงอย่างแน่นอน

นาฟกับเรย์ยังคงเชื่อมกระแสจิตเข้าด้วยกัน เขาจึงรับรู้ได้ถึงช่วงเวลาที่เรย์ต้องการจึงวิ่งอ้อมตัดไปมาเพื่อให้ศัตรูสับสน ทั้งยังวางกับดักเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้ตามที่เรย์ต้องการ

มวลน้ำเริ่มระเหยเป็นไอ ด้วยการกลั่นโดยความร้อนที่อยู่ในกาย หลอมรวมเป็นสายหมอกที่เกิดขึ้นทั่วบริเวณ มันลอยตัวสูงขึ้นจนพ้นยอดไม้ แผ่กระจายปกคลุมไปรอบๆ โครงสร้างภายในถูกกำหนดโดยจินตนาการของผู้สร้างอันสลับซับซ้อน หากไม่สามารถบินได้คงไม่อาจหลุดจากวงกตลวงตานี้ไปได้ง่ายๆอย่างแน่นอน

เวลาเดียวกันกับที่เรย์สร้างกับดักเสร็จเรียบร้อยพวกนาฟก็มาถึงพอดี เขาทิ้งล่องรอยของตนดังว่าวิ่งเข้าไปในสายหมอกที่อยู่ตรงหน้า แต่หากความจริงมันเป็นเพียงกลลวง พวกเขาลัดเลาะนอกอาณาเขตวงกตลวงตาจนมาถึงจุดที่เรย์อยู่ แล้วรีบไปต่อโดยไม่ทันหลังกลับ

ด้วยเหล่าหน่วยเสือดำที่ไล่ตามมายังคงโกรธเกรี้ยวจึงไม่ทันระวังตัว เพียงแกะรอยมาถึงก็ถูกหลอกให้ตกลงไปในกับดักเสียแล้ว นับว่านั่นเป็นกับดักที่กินเวลาหลายวันกว่าจะหาทางออกเจอ แม้ชายสามหน้ากากยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งตามมามันก็ทำเพียงยืนจ้องมองพวกเขาเท่านั้นหาได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ ดังว่ามันเป็นเพียงผู้ชมผู้หนึ่งที่กำลังหาความบันเทิงให้ตนเท่านั้น

ด้วยเหตุนั้นจึงมากพอที่จะซื้อเวลาให้พวกเขาทั้งสี่หนีมาถึงจุดนัดพบกับหมอชรานั่นเอง

..

..

..

หลังจากเสียงของเรย์เงียบลงทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเช่นนั้นโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกดังว่าพวกเขากำลังรอการตัดสินใจของนายใหญ่เขตเหนืออยู่นั่นเอง

“เอจิ ยาจิ รับคำสั่ง!” และแล้วเบียกโกะก็กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน

“ขอรับ!” ทั้งสองเสียงประสานตอบรับอย่างหนักแน่น ร่างกายก็ขยับตั้งตรงรอรับคำสั่งจากหัวหน้าของตน

“พวกเจ้าจงเดินทางไปยังเขตชายแดนตะวันตก และจงทำทุกวิถีทางให้คนของเราปลอดภัย จงระวังตัวให้ดี คาสึกิ คือ 1 ใน 4
องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ผู้เคยเป็นสหายของข้า!” เสียงของเบียกโกะเย็นยะเยือก เมื่อตระหนักรับรู้ได้ถึงคนทรยศที่อยู่เพียงใกล้ๆตัวของเขาเท่านั้น

“นับว่าคราวนี้พวกท่านโชคดีที่จัดการคาสึกิไปได้ เพราะนิสัยของเจ้านั่นชอบดูถูกผู้อ่อนแอ จึงเต็มไปด้วยความประมาท   เจ้านั่นเป็นหมาบ้าของแท้ มันเสพติดการต่อสู้อันบ้าคลั่ง เวลานี้ไร้ผู้ที่ควบคุมมันได้พวกเจ้าจงระวังตัวให้ดี ข้าหวังพึ่งพวกเจ้าแล้ว จงไปช่วยเหล่าหัวหน้าหน่วยสู้ซะ!” ความหนักใจที่ส่งผ่านคำพูดและน้ำเสียง คาดเดาไม่ยากเลยว่าเบียกโกะหนักใจกับเรื่องนี้เพียงใด และเอจิกับยาจิตระหนักดีว่าหากขึ้นชื่อว่าเป็นสหายคงมีฝีมือไม่ห่างชั้นกันอย่างแน่นอน พวกเขาที่รับรู้ถึงพลังอันมหาศาลของหัวหน้าดีจึงไม่มีความประมาทอยู่ในดวงตานั้นแม้แต่น้อย

“เอจิรับคำสั่ง!”

“ยาจิรับคำสั่ง!”

ทั้งสองกล่าวอย่างแน่วแน่ จากนั้นเบียกโกะก็สั่งอีกเล็กน้อย โดยให้ทั้งสองเดินทางไปเพียงสองตนเพื่อความรวดเร็ว และต้องหายไปอย่างเงียบๆไม่ให้ศัตรูภายในไหวตัวทัน เบียกโกะเชื่อมั่นในตัวของปีศาจหนุ่มทั้งสอง เพราะหลังจากที่ทั้งสองเสียครอบครัวไปตนก็เป็นเช่นอาจารย์ที่คอยฝึกวิชาให้เอจิกับยาจินั่นเอง ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางเบียกโกะก็มอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเอจิ โดยกำชับอย่างหนักแน่นว่าต้องเปิดหลังจากตัดหัวแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้แล้วเท่านั้น

หลังจากจบเรื่องของทางเขตชายแดน เบียกโกะก็เริ่มตกลงแผนการที่วางเอาไว้ โดยมีการเสริมความคิดเห็นปิดช่องโหว่มากมายจากเหล่าสมาชิกที่อยู่ในห้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะเวลาของศึกใหญ่ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว

หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกลับไปยังที่พักอย่างเงียบๆ และก่อนที่จะก้าวออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย แร็กนาร์ก็หันมากล่าวกับเบียกโกะว่า

“ตกลง” เป็นอันรู้กันว่าหมายถึงเรื่องใด เพราะเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้กล่าวถึงข้อตกลงระหว่างแร็กนาร์กับเบียกโกะเมื่อคราวก่อนแม้แต่น้อย คำตอบนี้จึงรับรู้เพียงเบียกโกะที่นั่งอยู่ภายในห้อง แร็กนาร์ที่ตอบรับข้อเสนอ และหมอชรากับรูร์กัสที่รับรู้ข้อตกลงนี้เท่านั้น

..

..

..

สองวันหลังจากนั้น ที่เขตชายแดนระหว่างเขตเหนือกับเขตตะวันตก

ดวงอาทิตย์ทอแสงสาดส่องจนท้องฟ้าที่เป็นสีแดงจางๆถูกย้อมเป็นสีแดงเลือดอันน่าพรั่นพรึ่ง ยิ่งมันค่อยๆเคลื่อนต่ำลง ความมืดที่เจือด้วยสีแดงเลือดก็ค่อยๆปกคลุมแดนปีศาจอันกว้างไกลจนหมดสิ้น

หน้าป้อมปราการยังคงคับคั่งไปด้วยชาวบ้านเผ่าพยัคฆ์ที่ประกอบอาชีพทางการเกษตร มีเพียงทักษะเล็กๆน้อยเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่กระนั้นพวกมันก็ยังคงแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญด้วยร่างกายที่พิเศษยิ่งกว่านั่นเอง

ความเหนื่อยล้าที่ต้องท้าแสงแดดมาทั้งวัน พาให้พวกมันเริ่มหมดเรี่ยวแรง บางตนเริ่มตั้งวงล้อมเพื่อร่วมกินอาหาร บางตนเริ่มหาที่หลับนอน สภาพพวกมั่นผ่อนคลายยิ่ง หาได้รู้ถึงภัยร้ายที่คลืบคลานเข้ามาแม้แต่น้อย

ตึก ตึก ตึก

เสียงอึกทึกของฝีเท้ามายมาย ทำให้เหล่าชาวบ้านที่อยู่หน้าป้อมปราการเขตตะวันตกตื่นตัว พวกมันมองหาที่มาของเสียงอย่างมึนงง และแล้วประตูป้อมปราการก็เปิดออกออย่างๆช้าๆ

“เฮ้ๆเฮ้ๆๆ” ตามด้วยเสียงอึกทึกของเหล่าลูกสมุนของเขตตะวันตก

เคร้งๆ

เสียงอาวุธมีคมก็ดังตามมาติดๆ เพียงไม่นานก็ปรากฏร่างของเหล่าลูกสมุนกว่า 100 ชีวิต ที่เดินแถวออกมาอย่างไร้ระเบียบ แม้เป็นแถวแต่พวกมันกลับแสดงท่าทางเหิมเกริม ดังว่าพวกมันมีพลังมากมาย และกำลังจะไปขยี้เหล่ามดปลวกที่มีพลังอันน้อยนิดก็ไม่ปาน

ชาวบ้านเห็นสถานการณ์ไม่ดี แม้ไร้ประกาศใดๆจากทางปีศาจกลุ่มโนบุเหล่านี้ พวกมันก็เริ่มวิ่งหาที่หลบอย่างหัวซุกหัวซุนด้วยกลัวว่าตนจะโดนลูกหลงในการปะทะครั้งนี้ไปด้วย

สายตาอันเฉียบคมเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปแม้ห่างไปหลายกิโลเมตร พวกมันก็มองเห็นอีกฝั่งของป้อมปราการของเขตเหนือได้โดยไม่ต้องพยายามมากมายเลย พวกมันกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างหมายมาตรดังว่ากำลังจับจองเหยื่อที่อยู่เบื้องหน้า

ส่วนชาวบ้านที่อยู่ทางฝั่งป้อมปราการของเขตเหนือนั้นกำลังนั่งล้อมวงทานอาหารอย่างสุขสันต์ เมื่อรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ตึงเครียดก็รีบรุดเก็บข้าวของด้วยความรวดเร็ว

“โถๆเนื้อนุ่มนิ่มแสนอร่อย ข้ายังไม่ทันเอาเข้าปากสักคำก็ต้องทิ้งแล้วหรือ ไม่นะ ไม่ๆ” ชายหนุ่มชาวบ้านผู้หนึ่งกล่าวอย่างโอดครวญ มือไขว่คว้าไปยังเนื้อย่างถาดใหญ่ที่สหายผู้หนึ่งของมันยกหนีด้วยสายตาระห้อย

“มันใช่เวลากินเสียที่ไหน ลุกขึ้นมาได้แล้ว เห็นรึไม่ว่าคนอื่นๆเก็บของหมดแล้ว” ชายผู้ทิ้งเนื้ออันแสนโอชะไปอย่างหน้าตาเฉยหันกลับมาต่อว่าชายผู้น่าสงสารอย่างหัวเสีย เมื่อรอบด้านกลับกำลังชุลมุนวุ่นวาย ชาวบ้านคนอื่นๆต่างรีบเก็บกวาดอุปกรณ์ด้วยความรวดเร็ว

“แต่เนื้อของข้า...” เขายังคงไม่ยอมถอดใจง่ายๆ

“หึ ถ้าชนะแล้ว...เจ้าจะกินเท่าใดก็ได้ข้าเลี้ยงเอง” เสียงที่เจือด้วยอารมณ์หงุดหงิดนั้นกล่าวต่อลองอย่างช่วยไม่ได้ จะทำอย่างไรได้เล่าก็สหายของเขาดันเป็นพวกห่วงกินเสียได้ เฮ้อ

พรึ่บ!

“ไปเลย ลุยๆข้าพร้อมแล้ว” หูของคนเห็นแก่กินกระตุกตั้งดังหมาตัวโต จากนั้นก็ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นเตรียมพร้อมสู้ ด้วยหวังรางวัลก้อนใหญ่

รอบด้านเวลานี้เงียบสงัดลงช้าๆเพราะเหล่าชาวบ้านที่วุ่นวายเมื่อครู่ต่างเดินมาตั้งแถวด้านหลังชายทั้งคู่อย่างพร้อมเพียง และเวลาต่อมาก็ดึงชุดอันแสนเบาบางนั้นออกเหลือไว้เพียงเกาะอ่อนพร้อมสู้เท่านั้น

เรื่องชวนตะลึงเกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านกว่า 50 ชีวิตด้านหน้าป้อมปราการเผยโฉม ใช่แล้วพวกมันคือลูกสมุนของกลุ่มยาฉะนั่นเอง พวกเขายืนเรียงราย บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความฮึกเหิม เมื่อหลอกล่อให้พวกกลุ่มโนบุออกจากป้อมปราการได้สำเร็จ

“บัดซบ!  บังอาจ บังอาจยิ่งนั่งกล้าดีนี่มาหลอกท่านอาซากิผู้นี้ ดี! ดียิ่งนัก” ทางฝั่งกลุ่มโนบุ อาซากิที่นำกองกำลังออกมาด้วยความเหิมเกริมก็สบถอย่างหัวเสีย ความโกรธเกรี้ยวมากมายปะทุขึ้นจนแทบควบคุมสติไม่ได้

อนิจจาช่างน่าเศร้า เพราะทันทระนงตน ในยามที่เรย์แอบฟังอยู่ไกลเกินกว่าที่มันจะได้ยินการเคลื่อนไหว จึงคิดไปเองว่ารอบด้านตนนั้นไร้ปีศาจตนใดมาแอบฟัง ยิ่งเย่อหยิ่งในพลังของตนมากเพียงใด สมองก็ยิ่งถูกบดบังเพียงเท่านั้น

และพรรคพวกของมันเองก็คงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมัน ใครจะคิดเล่าว่ามันที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มโนบุโดยตรงจะถูกใช้เป็นเครื่องมือใช้แล้วทิ้งเช่นนี้

ความโกรธเกรี้ยวถาโถมในใจด้วยความสับสนและไม่อาจยอมรับสภาพของตน ทิฐิในตัวสั่งให้มันเมินเฉยต่อความคิดเหล่านี้ แล้วฝังเหตุผลใหม่ที่ว่า หัวหน้าคงต้องการทดสอบความสามารถมันลงไป ความเหิมเกริมในท่าทีจึงกลับมาอีกครั้ง

“พวกเจ้าจงฟัง! สังหารชาวบ้านที่อยู่รอบๆซะ! จงระบายความโกรธเกรี้ยวลงไป เพื่อลับดาบให้คมยิ่งขึ้น แล้วไปบั่นคอพวกกลุ่มยาฉะ อย่าให้เหลือแม้แต่ตนเดียว!” คำสั่งแสนโหดเหี้ยมนั้นดังมากพอให้ชาวบ้านยิ่งหวาดกลัว พวกเขาเร่งความเร็วฝีเท้าขึ้นอีก เพราะเมื่อครู่เกิดขึ้นเพียงพริบตา พวกเขาจึงยังคงวิ่งหนีไปได้ไม่ไกลนัก มีหรือที่จะเร็วเกินปีศาจนักสู้เหล่านี้

“เฮ้! ฆ่ามันๆ” เสียงประสานกันเกิดขึ้นอย่างอึกกระทึกครึกโครม จากนั้นก็ตามด้วยการเคลื่อนไหวที่ทำให้เหล่ากลุ่มยาฉะต้องอกสั่นขวัญขวัย เมื่อพวกมันไม่คิดแม้แต่จะไว้ชีวิตชาวบ้านที่พร้อมเข้าร่วมกับพวกมันเอง

“พวกบัดซบ!” กลุ่มยาฉะที่เตรียมพร้อมสู้หน้าป้อมปราการรีบเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าไปช่วยชาวบ้านเหล่านั้น คิดเพียงว่า ขอให้ช่วยให้ได้มากขึ้นแม้เพียงหนึ่งชีวิตก็ยังดี

เหล่าลูกสมุนกลุ่มโนบุเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งสะใจ ระยะห่างของพวกมันนับว่าไกลไม่น้อย กลุ่มยาฉะจะมาทันได้อย่างไร หึ ขอสังหารชาวบ้านเล่นสักตนสองตนก่อนก็แล้วกัน

พวกมันต่างมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว รอยยิ้มอันน่าสะอิดสะเอียนก็ตราตรึงบนใบหน้าอย่างไม่น่าดู ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
ชาวบ้านเหล่านั้นแม้มีร่างกายแข็งแกร่งเกินมนุษย์ แต่หากจะเทียบชาวบ้านกับเหล่านักสู้ ชาวบ้านที่ไร้ทักษะการต่อสู้จะเทียบเคียงได้อย่างไร และแล้วชาวบ้านที่หวาดกลัวสุดหัวใจก็เริ่มล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น เมื่อความกลัวเกาะกินจนไม่อาจขยับร่างกายได้อีก

 “ตายซะ!”

เคร้ง!

ลูกสมุนกลุ่มยาฉะตนหนึ่งง้างดาบหมายจะบั่นคอชาวบ้านที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหน้า แต่แล้วชาวบ้านตนนั้นก็ยักดาบสั้นที่พกเอาไว้ในเสื้อขึ้นขวางเอาไว้

“หนอย! แกคิดว่าชาวบ้านอย่างแกจะทำอะไรได้อย่างนั้นรึ” มันกล่าวขึ้นอย่างหัวเสีย เมื่อผลไม่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้

“หึหึ ถ้าชาวบ้านคงทำสิ่งใดไม่ได้จริงๆ...แต่ถ้าไม่ใช่ชาวบ้านล่ะ” ใบหน้าหวาดกลัวของชาวบ้านตนนี้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างผู้ที่เหนือกว่าในทันที

“อ้าก!” เขาดีดตัวลุกด้วยความเร็วก่อนที่จะเข้าประชิดตัวแล้วเฉือนเส้นเลือดบนลำคอของฝ่ายตรงข้าม เลือดที่ไหลทะลักก็กระเด็นเปรอะเปื้อนใบหน้าอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะหลบแต่อย่างใด

“โต้กลับ!” เสียงตะโกนเพียงสองคำนี้พาให้เหล่าชาวบ้านหยุดวิ่งหนีแล้ววิ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ของตนแทน เหตุการณ์เหล่านี้เป็นไปตามแผนการของเอจิที่วางไว้หลังจากมาถึงเมื่อ 2 วันก่อนนั่นเอง

พวกเขาเริ่มสับเปลี่ยนชาวบ้านกับปีศาจกลุ่มยาฉะด้วยความเร็วใน 2 วันมานี้ โดยส่งข้อความบอกผ่านประตูป้อมปราการของตน ให้พวกชาวบ้านแยกย้ายกันในเวลากลางคืนแล้วหลบเข้าไปยังประตูลับของป้อมปราการ แล้วสับเปลี่ยนเป็นปีศาจนักสู้ออกมาแทน ยาจิที่มีทักษะในฐานะผู้คุมคุกสามารถตรวจสอบลักษณะท่าทางว่าเป็นปีศาจตนใดเป็นศัตรูแฝงตัวเข้ามาหรือไม่ ด้วยการมองเท่านั้นจึงทำให้การตรวจสอบผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนทางด้านประตูป้อมปราการฝั่งตะวันตก ก็ใช้วิธีปลอมเป็นชาวบ้านเข้าไปปะปน และเริ่มส่งข่าวให้ชาวบ้านที่อยู่ท้ายๆแถม แม้จะไม่ครบทุกตนก็นับว่าช่วยได้มากโขทีเดียว ในจำนวนนั้นหัวหน้าหน่วยก็เข้าไปปะปนเพื่อสั่งงานด้วยตนเอง ทั้งยังให้หน่วยของตนไปเคลื่อนย้ายชาวบ้านที่ยังไม่ย้ายข้าวของอย่างลับๆ จนในที่สุดการทำงานหนักก็บรรลุผล

ชาวบ้านหน้าป้อมปราการเขตเหนือใช้เพื่อหลอกล่อศัตรูให้ทำตามแผนการของมัน เพราะจากที่เฝ้าสังเกตการณ์มาพวกมันไม่ได้มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนแผนการแม้แต่น้อย เพียงแค่ย่นระยะเวลาเข้ามาเพียงเท่านั้น

และเป็นไปตามที่คาดการณ์เมื่อให้พวกมันได้เห็นว่าแผนการนั้นถูกทำลาย พวกมันก็เริ่มไล่ล่าสังหารชาวบ้านที่อยู่ข้างตนอย่างโหดเหี้ยมเพื่อหวังบรรเทาความโกรธที่ปะทุออกมา ทั้งยังคงวางแผนที่จะให้พวกเขาโกรธจนไร้สติไม่ต่างกันที่ได้เห็นชาวบ้านตายไปทีละตนทีละตน

ซึ่งนั่นก็ถูกเตรียมการเอาไว้ มันดำเนินไปตามแผนอย่างน่าหวั่นกลัวทีเดียว ปีศาจกลุ่มโนบุกลับกลายเป็นฝ่ายเพรี้ยงพร้ำเมื่อถกจู่โจมแบบโอบล้อม มันถูกหันเหความสนใจด้วยกลุ่มยาฉะที่ปลอมเป็นชาวบ้านซึ่งต้องตั้งสมาธิต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ใกล้ตัว ส่วนทางด้านกลุ่มที่กำลังเคลื่อนขบวนเข้ามาก็ใกล้เข้ามาทุกที จนในที่สุดพวกมันก็ถูกโจมตีโอบล้อมเอาไว้ตรงกลางอย่างไร้ทางหนี

การสังหารเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หากถูกกำชับให้บั่นคอหัวหน้าของหน่วยนี้เสียก่อน ชายผู้เห็นแก่กิน หรือก็คือ ชิเงรุ หัวหน้าหน่วยที่ 4 แห่งกลุ่มยาฉะ เร่งความเร็วที่เหนือกว่าพักพวกของตน เพียงชั่วพริบตาก็เข้ามาประชิดตัวอาซากิเสียแล้ว

เคร้ง!

“ไง มาให้ข้าบั่นคอซะดีๆ โกวโบจะเลี้ยงข้าวข้าเยอะๆ ฮ่าๆ” เขาฟันดาบลงไปตรงๆ แต่ด้วยความเร็วนั้นทำให้ยากที่จะรับมือ แต่อาซากิก็รับได้อย่างทันท่วงที

“ฝันไปเถอะ ข้างต่างหากที่บั่นคอเจ้า!” อาซากิผลักดาบของชิเงรุออกไปด้วยแรงที่มากกว่า จากนั้นก็เป็นฝ่ายเข้าจู่โจมแทน
การปะทะที่เป็นระดับหัวหน้าสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ไม่เพียงทักษะ หรือพละกำลังที่รุนแรง แต่จิตสังหารที่ปล่อยออกมาก็ทำให้ปีศาจโดยรอบหวั่นเกรงไม่ต่างกัน

อาซากิตวัดดาบด้วยความโกรธเกรี้ยว ต่างจากชิเงรุที่กำลังยิ้มแย้มดังว่ากำลังเล่นสนุกอยู่ก็ไม่ปาน บางครั้งถึงขั้นหลุดเสียงหัวเราะอันน่าหงุดหงิดออกมาเสียด้วยซ้ำ ยิ่งพาให้อาซากิถูกอารมณ์เข้าครอบงำอย่างห้ามไม่อยู่

การปะทะที่รวดเร็ว หนักหน่วง จนเกิดกระแสลมบัดไปรอบๆ มีฝุ่นตลบอบอวล จนกระทั่งลมนั้นสงบลง พวกที่กำลังสู้อยู่ก็ตระหนักได้ว่าการต่อสู้จบลงแล้ว

ภาพที่ปรากฏหลังม่านควันคือ ภาพของชิเงรุที่ยืนยิ้มถือศีรษะของอาซากิเอาไว้แล้วโบกไปมาดังเด็กตัวเล็กๆที่ทำงานสำเร็จแล้วรอรับรางวัล

“โกวโบๆสำเร็จแล้ว ข้าอยากกินเนื้อย่างล่ะ อิอิอิ” เจ้าตัวยิ้มอย่างมีความสุขทั้งยังโบกมือไปมาจนเลือดที่ไหลจากศีรษะนั้นเปรอะเปื้อนใบหน้า และร่างกายของตน

“เข้าใจแล้ว” โกวโบที่ตวัดดาบสุดท้ายลงบนตัวลูกสมุนตนหนึ่งก็หันมาตอบกลับด้วยใบหน้าเอืมระอา เมื่อสหายของตนทำตัวเป็นเด็กๆทั้งยังทำตัวสดใสตัดกับภาพนั้น จนบรรยากาศชวนขนลุกเกิดบรรยาย

เหล่าลูกสมุนในหน่วยของอาซากิต่างพากันวางอาวุธคลุกเข่ายอมแพ้อย่างจำยอม หากไม่ชนะจะดิ้นรนให้ชีวิตตนจบสิ้นไปด้วยเหตุใด ขนาดหัวหน้าที่เก่งกล้าเกินตนยังแพ้ แล้วพวกเขาที่ด้อยกว่าจะไม่พ้นตายได้อย่างไร

“ฮ่าๆนี่ข้าอยู่ใกล้เพียงเท่านี้กลับถูกแย่งความดีความชอบไปง่ายๆเลยนะชิเงรุ” ชายผู้แสร้งเป็นชาวบ้านที่กำลังจะถูกฆ่าในตอนแรกกล่าวขึ้น เขาคือ บาคิ หัวหน้าหน่วยที่ 8 นั่นเอง พวกเขาได้รับหน้าที่เป็นหน่วยจู่โจมในครั้งนี้ ส่วนในป้อมปราการก็มีหัวหน้าหน่วยตนอื่นรอรับมืออยู่เช่นเดียวกัน

พวกเขาทำสำเร็จก็คงได้เวลากลับไปฉลองชัยแล้ว

เพียงแต่ในเวลานั้นเอง บรรยากาศแห่งชัยชนะก็ถูกขัดจังหวะ เพราะเสียงฝีเท้ามากมายรวมทั้งจิตสังหารอันคุ้มคลั่งที่ปล่อยออกมาจากจำนวนปีศาจหลายร้อยตนประทุขึ้น ทั้งด้านหลังประตูป้อมปราการเขตตะวันตก และนอกป้อมปราการซึ่งถูกรุกมากจากทางทิศใต้

ทางด้านในของป้อมปราการ ก็กำลังต่อสู้ด้วยความเคร่งเครียด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน่วยเสือดำอันเรื่องชื่อ การต่อสู้จึงยาวนากกว่าด้านนอกมากทีเดียว

“เอจิแย่แล้ว ทางป้อมปราการเขตตะวันตกนั่น”  ยาจิร้องบอกเอจิด้วยความร้อนใจ พวกเขายังไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้เพียงรอดูสถานการณ์ก่อนเท่านั้น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันซึ่งมากกว่าที่คิดเอาไว้จะได้รับมือได้อย่างทันท่วงที

“นั่นมัน...แย่มาก” เอจิก็เคร่งเครียดไม่ต่างกัน

“ข้าจะไปร่วมสู้ เจ้าไปส่งสารให้หัวหน้าซะ!” กล่าวจบยาจิก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างไม่รอฟังคำตอบรับหรือคัดค้านใดๆ เป้าหมายของเขาตอนนี้คือจัดการหัวหน้าหน่วยเสือดำ แล้วไปช่วยกลุ่มยาฉะที่อยู่ด้านนอกต่อสู้

“ยาจิเจ้านี่มัน” เสียงที่เปล่งออกมาทั้งห่วงใย ทั้งกังวล แต่กระนั้นเอจิก็หยิบกระดาษออกมาเขียนข้อความเพื่อส่งให้หัวหน้าของตน

เขาตวัดพู่กันด้วยความรวมเร็ว ก่อนจะพับและมัดมันเข้ากับขาของนกเค้าแมวตัวโต สัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่ายามค่ำคืน

“รีบไปโดยด่วนที่สุด” สิ้นสุดคำสั่งเจ้านกเค้าแมวสีดำสนิทก็บินออกไปในความมืด แล้วค่อยๆกลมกลืนจนจางหายไปในความมืดมิดนั้น

“หัวหน้าท่านคาดเดาเหตุการณ์ในไว้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวัง เพราะสถานการณ์วุ่นวายกว่าที่เขาคาดไว้มากมายทีเดียว ใครจะคิดเล่าว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขาแค่สองฝ่ายที่เข้าร่วม

หากสถานการณ์ยังดำเนินไปเช่นนี้ พวกเขาต้องแพ้ย่อยยับอย่างแน่นอน จำนวนกำลังพลที่ไม่ใกล้เคียงกันอีกต่อไป จะเป็นตัวแปรใหญ่ในการต่อสู้ครั้งนี้ หากหัวหน้าของพวกเขาไม่ได้เตรียมการรับมือตั้งแต่เนิ่นๆไม่มีทางเลยที่จะสามารถแก้วิกฤตครั้งนี้ได้อย่างทันท่วงที

เอจิจับดาบคู่ใจ ก่อนจะก้าวออกไปจากที่แห่งนี้ จากนี้ไปเขาต้องฝากชีวิตไว้กับฝีมือของตนและโชคชะตาเพียงเท่านั้น ขออย่าได้เกิดเรื่องเลวร้ายใดๆขึ้นมาอีกเลย

“เหตุใดเขตใต้จึงร่วมมือกับเขตตะวันตกเสียได้นะ” เสียงนั้นล่องลอยไปตามสายลมอย่างแผ่วเบา เป็นคำถามที่ไร้คำตอบใดๆ...


To Be Continued...


************************************************

กลับมาแล้วค่าา ยังมีคนรออ่านอยู่มั๊ยคะ :hao5:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 31 เปิดฉากฟาดฟัน (14/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-11-2017 06:14:32
เห้ออออ มาอีกจิ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 31 เปิดฉากฟาดฟัน (14/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 20-11-2017 22:12:49
แร็กน่าหายไปเลยอ่าาา คิดถึง... :hao5:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 (1)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 23-11-2017 22:44:09

ตอนที่ 32
เปิดฉากฟาดฟัน 2
(ครึ่งแรก)


เสียงนกร้องดังมาตามสายลม พาให้คนที่กำลังหลับสบายลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด ความไม่สบายใจเกาะกินในใจมากขึ้น เมื่อเสียงนกนั้นไม่ใช่นกธรรมดา แต่หากเป็นนกเค้าแมวที่เขาเคยมอบมันให้กับเอจินั่นเอง

เบียกโกะเปิดหน้าต่างเพื่อรอรับเจ้านกตัวโต เพียงไม่นานมันก็มาถึงจุดหมายปลายทาง กระดาษที่ผูกเอาไว้ที่ขาถูกมัดด้วยเชือกสีแดงซึ่งหมายถึงเหตุร้าย ไม่รอช้าเขารีบแกะเชือกแล้วเปิดอ่านข้อความในทันที

หลังจากอ่านข้อความในกระดาษสายตาเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งจนไม่อาจจับกระแสอารมณ์ได้ ความแน่วแน่ปรากฏขึ้นบนดวงตาวูบหนึ่งก่อนจะเลือนหาย แล้วจึงตวัดพู่กันลงบนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่าง กระดาษแผ่นใหม่ถูกมัดด้วยเชือกติดกับขานกเค้าแมวอีกครั้ง แต่หากครั้งนี้ถูกเปลี่ยนเป็นเชือกสีขาวธรรมดาเส้นหนึ่ง

“กลับไปหาเอจิ” คำสั่งสั้นๆถูกส่งออกไป จากนั้นเจ้านกเค้าแมวตัวโตก็บินหายไปในความมืดอีกครั้ง

แม้นกตัวนี้จะเป็นสายพันธุ์พิเศษที่บินได้เร็วกว่านกทั่วไป แต่การบินจากเขตชายแดนมายังบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะก็ใช้เวลามากโข เขาจะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว เขาต้องเรียกรวมพลโดยด่วนที่สุด

ครืดดด

“เอจิส่งข้อความมา...เรื่องร้ายหรือ” ดังความคิดเขาถูกส่งออกไป หรือหมอชราอ่านความคิดของเขาได้ก็ไม่ทราบ ประตูที่เปิดออกปรากฏร่างของหมอชรา และเหล่าคนที่เข้าร่วมวางแผนเมื่อครั้งก่อนอย่างพร้อมหน้า

“ครับ เราจะเสียเวลาไม่ได้แล้ว” เบียกโกะตอบกลับหลังจากที่คนเหล่านั้นเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เดินตามเบียกโกะไปยังห้องข้างๆซึ่งถูกวางครอบด้วยมิติตัดขาดจากภายนอก เพื่อป้องกันการแอบฟัง และหลบซ่อนพวกเขาจากบุคคลภายนอก

เขาไม่ได้ถามสิ่งใดหมอชรา เพราะหมอชราแทบจะรู้ทันเขาทุกเรื่องอยู่แล้ว และคงได้ยินเสียงนกเค้าแมวของเอจิจึงได้เร่งรุดมาอย่างพร้อมเพียงเช่นนี้

“เกิดอะไรขึ้น” หมอชราถามขึ้นทันทีหลังจากที่พวกเขานั่งลงเรียบร้อย แม้เสียงนั้นจะนิ่งเรียบแต่ก็แฝงด้วยความกังวลใจ

“ทางเราตัดหัวอาซากิได้แล้ว แต่...”

ฟรึ่บๆ

เสียงฝีเท้าด้านนอกพาให้ถ้อยคำของเบียกโกะหยุดลง เหล่าผู้ที่ประสาทรับรู้ดีเยี่ยมก็มองหน้ากันอย่างรู้ใจ ก่อนที่จะบอกให้คนอื่นๆอยู่ในความสงบ รอฟังว่าด้านนอกมีสิ่งใดเกิดขึ้น

“เกิดขึ้นเร็วเกินคาด” เบียกโกะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปมองสบตาแร็กนาร์เพื่อขอคำยืนยัน ทางแร็กนาร์ก็ยิ้มบางตอบกลับมาเขาจึงได้วางใจ ก่อนออกไปก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปลูบศีรษะลูกชายทั้งสองด้วยความรักใคร่

ค่ำคืนนี้ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเรื่องราวจะไปในทิศทางใด และใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน เขาอาจจะไม่มีชีวิตรอดจนถึงวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้ ตอนนี้ห่วงที่เขากังวลที่สุดคงไม่พ้นลูกชายทั้งสองนี้ เด็กน้อยฝาแฝดฮิเดโอะกับฮิโรกิดังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่าใจหาย เขาพุ่งเข้ากอดคนเป็นพ่อเอาไว้แน่น ความกลัวจับขั้วหัวใจ...ท่านพ่อจะไม่หายไปเช่นท่านแม่ใช่หรือไม่ ไม่เอานะ

ไร้คำใดเอ่ยออกมาแต่ในความคิดของเขาดังก้อง ท่านพ่อสอนพวกเขาเสมอว่าลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง และยิ่งเป็นผู้นำยิ่งต้องรู้จักเสียสละมากกว่าใครๆ เขาจึงไม่อาจเอ่ยคำต้องห้ามนั้นออกมาได้

“ไม่เป็นไร พ่อจะกลับมา” ถ้อยคำนั้นถูกเอ่ยขึ้นพร้อมมือหนาที่ลูบผมนุ่มนิ่มของเจ้าตัวน้อยทั้งสอง มันเป็นดังคำมั่นสัญญาที่เขาจะมอบให้ลูกชายได้ เด็กชายฝาแฝดจึงยอมผละมือออกด้วยความอาวรณ์ แต่ก็ยอมยิ้มส่งท่านพ่อของตนด้วยความคาดหวัง

“สัญญาแล้วนะขอรับ” ทั้งสองเสียงประสานกันอย่างแน่วแน่

“สัญญา” เบียกโกะก็เอ่ยตอบกลับด้วยความแน่วแน่ไม่แพ้กัน เมฆหมอกที่ขุ่นมัวในใจถูกปัดเป่าด้วยรอยยิ้มของลูกชาย เขาจะผิดสัญญากับลูกชายได้อย่างไร ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล พวกเขาต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้

เสียงด้านนอกดังขึ้นอีกระดับบ่งบอกว่าศัตรูได้เข้ามาประชิดแล้ว พวกมันเริ่มไร้การปกปิด ทั้งยังส่งเสียงดังอย่างท้าทาย เมื่อพวกมันโอบล้อมเรือนพักของเบียกโกะได้สำเร็จ

“หือ พวกเจ้ามีธุระอันใดกับข้า จึงได้มาพบเสียค่ำมืดเช่นนี้เล่า” เสียงนุ่มทุ้มแต่ทรงอำนาจนั้นดังขึ้นท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวาย แต่กระนั้นมันก็ดังมากพอให้ปีศาจเหล่านั้นเริ่มหวั่นเกรง พาให้พวกมันเงียบลงอย่างพร้อมเพียง

“ข้าถามว่าพวกเจ้ามาทำสิ่งใดกัน!” คราวนี้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงตะหวาดอันดังก้องพาให้พวกมันตัวสั่น บางตนถึงขั้นทำอาวุธล่วงหลุดมือ น้ำลายในปากก็พากันเหนียวหนืด ช่างกลืนลงคออย่างยากลำบากเสียจริงๆ
ผ่านไปนานทีเดียวกว่าที่พวกมันจะพอตั้งสติได้

“อย่าได้กลัวไป จะอย่างไรพวกเราก็มีมากกว่า” มันผู้หนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้นำของปีศาจกลุ่มนี้ตะโกนขึ้น แม้ใจหวั่นกลัวแต่มันก็ควบคุมสติได้มากกว่าปีศาจตนอื่น จึงกล่าวให้ปีศาจใต้อาณัติตนมีสติพร้อมสู้

“หึหึ กล่าวเช่นนั้นคิดจะสังหารข้าผู้นี้หรือ” เบียกโกะกล่าวด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยความดูถูก เมื่อมดกระจ้อยร่อยคิดจะโค่นพยัคฆ์ พร้อมทั้งก้าวเดินลงจากเรือนของตนมาสู่ลานกว้าง เตรียมพร้อมสู้อย่างไม่เกรงกลัวแม้อยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูนับร้อย

“อย่ากล่าวให้มากความ พวกเราฆ่ามัน!”

“เฮ้!”

เพียงเท่านั้นเหล่าปีศาจนับร้อยก็เข้าจู่โจม ทั้งหน่วยที่ถูกแบ่งให้เข้าจู่โจมระยะประชิด หน่วยที่จู่โจมระยะไกล และที่ขาดไม่ได้คือหน่วยลอบสังหาร พวกมันเตรียมตัวมาอย่างดี แม้รู้ตัวว่าพวกตนเป็นเพียงเครื่องสังเวยในการลดทอนกำลังของอีกฝ่ายก็ตาม

แนวหน้าจู่โจมระยะประชิดเน้นใช้ดาบฟาดฟัน พวกมันนับสิบโอบล้อมเบียกโกะอย่างพร้อมเพียง แล้วจึงฟันดาบอันคมกริบจากทุกด้าน ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้หลบหนี แต่มีหรือคนชำนาญการต่อสู้จะจนมุม เพราะเมื่อพายุการฟาดฟันผ่านไป ตรงกลางที่ควรมีร่างไร้ชีวิตยืนอยู่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เบียกโกะไม่แม้แต่ดึงดาบออกจากฝัก  เขาเพียงกางกงเล็บอันคมกริบทั้งที่ลอยอยู่ในอากาศ ตวัดเพียงหนึ่งครั้ง ปีศาจนับสิบที่ไม่ทันแม้แต่จะชักดาบกลับก็สิ้นลมหายใจเสียแล้ว เลือดมากมายทะลักออกจากร่าง เมื่อพลังที่ส่งผ่านเมื่อครู่ฟาดผ่านไปบนร่างของพวกมัน

หน่วยโจมตีระยะไกลรีบเร่งยิงธนูเมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนลอยอยู่เหนือพื้น จะอย่างไรคงไม่อาจหลบลูกธนูพิษที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วไปได้ แต่ก่อนที่ธนูนั้นจะเข้าประชิดตัวเบียกโกะก็ตวัดกงเล็บอีกครั้ง เพียงเท่านั้นหาธนูก็แหลกละเอียดแล้วล่วงลงสู่พื้น
และชั่วพริบตานั้นเบียกโกะก็ปรากฏร่างมาอยู่ตรงหน้าพวกมันเสียแล้ว ไม่ทันที่จะได้หยิบธนูลูกใหม่ หรือแม้กระทั่งขยับตัว พวกมันทั้งหมดก็หัวหลุดจากบ่า ด้วยการตวัดกงเล็บเพียงครั้งเดียว

หน่วยลอบสังหารเตรียมอาวุธลับเข้าจู่โจมบ้าง  แต่หากเป้าหมายด้านหน้ากลับหายไป คาดว่าพวกมันยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกตนนั้นได้ตายไปแล้ว ด้วยฝีมือของร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกมัน

“เอาล่ะต่อไปใครจะเข้ามาล่ะ” หลังจากที่จัดการหน่วยลอบสังหารเรียบร้อย เบียกโกะก็กลับมายืนอยู่กลางลานกว้างเช่นเดิม เหล่าศัตรูที่เหลือกำลังคนไม่ถึงครึ่งก็พากันแข้งขาสั่น เมื่อเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา พวกมันไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย หัวหน้ากลุ่มยาฉะร้ายกาจเกินไป การบั่นทอนกำลังเพียงน้อยนิดพวกมันก็คงไม่อาจทำได้เสียด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่เข้ามา...ข้าจะเข้าไปเอง” กล่าวจบร่างที่อยู่กลางลานกว้างก็หายไปอีกครั้ง เบียกโกะปรากฏร่างตรงหน้าชายที่กล่าวเรียกสติพวกพ้องเมื่อครู่ แล้วจึงง้างมือ ตวัดกงเล็บอีกครั้ง

เคว้ง!

เสียงของมีคมกระทบกันหนึ่งครั้ง พาให้คนที่คิดว่าตนไม่รอดเสียแล้วได้สติ มันค่อยๆลืมตาขึ้นมองช้าๆ เบื้องหน้าคือ  หัวหน้าของมันที่ยกดาบขึ้นมาขวางกงเล็บของเบียกโกะเอาไว้ ก่อนที่มันจะถูกสังหารเพียงเสี้ยววินาที

“หัวหน้า”

“เจ้า...ซา  ซาดาโอะ” เสียงที่เอ่ยออกจากปากเบียกโกะช่างแผ่วเบา  เมื่อได้ประจักษ์ว่าผู้ที่ขวางตนไว้คือใคร ทั้งคำเรียกที่ศัตรูเอ่ยออกมานั้นยิ่งย้ำชัดในความรู้สึก  หัวใจถูกบีบคั้นรุนแรง เมื่อคนที่เขาไว้ใจกลับหักหลังอย่างเลือดเย็น

พรึ่บ

เบียกโกะกระโดดถอยหลังให้ห่างออกไป

“ไม่จริง” เสียงนั้นยังคงแผ่วเบา แต่มันก็มากพอให้ซาดาโอะได้ยิน เจ้าตัวจึงยืนประจันหน้าเบียกโกะตรงๆเพื่อย้ำเตือนว่าสิ่งที่เบียกโกะเห็นอยู่คือความจริงที่เกิดขึ้น

“ทำไมเจ้า...”

“ตกใจขนาดนั้นเชียวหรือ” ซาดาโอะเอ่ยขัดขึ้นโดยไม่ปล่อยให้เบียกโกะกล่าวจบ ทั้งยังยกยิ้มเย้ยหยันอย่างผู้เหนือกว่าไปให้เบียกโกะ 

“หึหึหึ ดูจากสีหน้าท่านแล้วคงตกใจมากทีเดียว ก็ข้าอยู่ข้างกายท่านมากนานหลายปี คงจะไว้ใจข้ามากสินะ”  ไม่เปิดโอกาสให้ถาม แต่ซาดาโอะก็เฉลยให้ด้วยต้องการเห็นสีหน้าอันน่าสมเพสของเบียกโกะ คนที่เขาโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

“ใช่ ข้าไว้ใจเจ้า แล้วเหตุใด...หรือว่าที่วางยาพิษข้าก็” ท่ามกลางความสับสน ความจริงอันโหดร้ายก็เข้าถาโถม ความคิดอันเลวร้ายฝุดขึ้นมาในหัว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าซาดาโอะอาจจะเป็นผู้วางยาตน

“ว้าว ฉลาดขึ้นมาแล้วนี่ขอรับ ท่านเบียกโกะ หึหึ” ความจริงตีแสกหน้าอย่างไม่คาดคิด เมื่อคนที่เขาคาดไม่ถึงจะเป็นผู้ที่ทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้

“เจ้าต้องการจะทำสิ่งใด” ข้อข้องใจที่ทิ่มแทงนั้นส่งผลให้เบียกโกะถามขึ้นอีกครั้ง

“ท่านอยากรู้สินะเบียกโกะ ข้าจะบอกให้ก็ได้...เพราะท่านเองก็ทรยศความไว้ใจของพี่ชายข้าเช่นกันอย่างไรเล่า!” เสียงนั้นกังวานไปทั่วโสตประสาท ใบหน้าที่ปกติเรียบเฉยกลับบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแค้น ชิงชัง เขาให้สัตปฏิญาณหน้าหลุมศพของพี่ชายว่าจะต้องล้างแค้นสหายทรยศตนนี้ให้จงได้!

*****************50%****************

ตัดฉับ เดี๋ยวมาต่อนะคะ ทนคิดถึงแร็กนาร์ไปก่อนน้าา 
ช่วงนี้ให้คุณพ่อเด่นนิดนึง ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 ครึ่งแรก (23/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Reminder ที่ 25-11-2017 16:42:17
ป๊ะป๋าโชว์เทพมากๆ...

ว่าแต่แร็กน่ามายิ้มเดียวเองง่า.... :katai1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 ครึ่งแรก (23/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-11-2017 20:16:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 ครึ่งแรก (23/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-11-2017 06:41:31
เห้อออ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 01-12-2017 14:39:48
ตอนที่ 32
เปิดฉากฟาดฟัน 2 (ครึ่งหลัง)

“เจ้ากำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร” เสียงของเบียกโกะเต็มไปด้วยความสงสัย ดวงตาก็สั่นเทาด้วยความฉงน  มือที่มีเล็บงอกก็ค่อยๆหดลง ความรู้สึกของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและสับสน

“โฮบุซึบิ อิซานางิ ชื่อนี้ท่านยังจดจำได้หรือไม่...หรือจะลืมกระทั่งชื่อของสหายสนิทผู้นี้ไปเสียแล้ว” ซาดาโอะกล่าวด้วยเสียงเรียบเย็น ทั้งยังแฝงด้วยความโกรธแค้น  พี่ชายของเขาต้องสังเวยชีวิตให้กับปีศาจตนนี้ แต่มันกลับไม่คิดให้ความสำคัญ

“นี่เจ้า!” อาการตื่นตะลึงที่เกิดขึ้นพาให้บรรยากาศตึงเครียดมากขึ้นไปอีก

“พี่ชายของข้าเดินทางจากเขตใต้เพื่อช่วยเหลือท่าน แต่กลับต้องสังเวยชีวิตที่ดินแดนแห่งนี้จนไม่อาจหวนกลับบ้านเดิม  ท่านไม่คิดว่ามันน่าเศร้าหรือ หึหึ ข้าเคยเจ็บปวดเจียนตายเมื่อได้ยินข่าวนี้

แต่ว่าท่านรู้หรือไม่ว่า  ในเวลาไม่นานหลังจากนั้นข้าก็ได้รับข้อความที่สำคัญยิ่งกว่า มันทำให้ข้าถึงกับเปลี่ยนอารมณ์หมองเศร้านั้นให้กลายเป็นความเครียดแค้นที่มีต่อท่าน!” เสียงของซาดาโอะดังขึ้นเรื่อยๆด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ปะทุออกมา ต่อให้เยือกเย็นมากเพียงใดก็ไม่อาจยับยั้งความรู้สึกโกรธแค้นนี้ให้สงบลงได้

รอบด้านเงียบสงบ แม้แต่ตัวเบียกโกะเองก็ทำเพียงยืนนิ่งรอคอยฟังคำเฉลยของซาดาโอะเพียงเท่านั้น เพียงเอ่ยชื่อนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของซาดาโอะแล้ว และเขาก็รับรู้ถึงเหตุผลที่เขตใต้เข้าร่วมต่อสู้กับเขตตะวันตกเสียที

“ท่านหลอกลวงพี่ชายข้า หลอกลวงทุกคน หลอกลวงกระทั่งกลุ่มโฮชิ แสร้งดีหน้าเศร้าเสียใจกับการตายของพี่ชายข้า แต่แท้จริงแล้วกลับวางแผนเอาไว้ทั้งหมด เพียงเพื่ออำนาจที่จะครอบครองกลุ่มยาฉะถึงกับหลอกใช้สหายคนสำคัญที่สรรเสริญเยินยอท่านอยู่ตลอด รู้หรือไม่ว่าพี่นับถือท่านมากเพียงใด  เชื่อใจท่านมากเพียงใด แต่ท่านกลับทำเรื่องชั่วร้ายถึงเพียงนี้!” แม้เสียงนั้นจะเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกาจ แต่เจ้าของเสียงกลับมีดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตา ความเสียใจที่ปนเปกับความโกรธมันทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าเช่นไร

ด้วยอยู่ร่วมกันมาหลายปี มีหรือที่ซาดาโอะจะไม่หวั่นไหว มันทำให้เขาเข้าใจพี่ชายเป็นอย่างดี เบียกโกะนั้นทำให้เขารู้สึกเชื่อใจจนชวนสับสนอยู่บ่อยครั้ง หากเขาไม่ตั้งมั่นในการแก้แค้นเขาคงล้มเลิกแผนการนี้ไปนานแล้ว  แต่เวลานี้เขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจากนี้จะเจ็บปวดเพียงใดเขาขอดำเนินแผนการให้ลุล่วง สิ่งสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่ความรู้สึกของเขา แต่เป็นการแก้แค้นให้พี่ชายอันเป็นที่รัก

 “ข้าไม่เคยทรยศอิซานางิ จนหมายฉบับนั้นต้องถูกปลอมขึ้นมาอย่างแน่นอน” เบียกโกะกำหมัดแน่นด้วยความอดกลั้น เขาอยากเข้าไปโอบกอดคนตรงหน้า อยากเช็ดน้ำตาที่รินไหล แต่ซาดาโอะกลับไม่เปิดช่องว่างให้เขาเข้าไปประชิดตัว ดาบยาวยังคงตั้งตรงชี้มากทางเขา เสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่ เขาไม่เคยที่จะทรยศสหายของตน ใครกันที่กล้าใส่ร้ายเขาเช่นนี้

“จะเชื่อไม่ได้ได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นจดหมายจากพี่น้องร่วมสาบานของพี่ชาย ท่านซาซากิส่งจดหมายลับนี้มาก่อนที่จะถูกท่านฆ่าปิดปาก จดหมายนั่นเป็นลายมือของท่านซาซากิอย่างแน่นอน ทั้งยังตราประทับและวิธีการส่งจดหมาย ท่านยังจะโกหกหน้าด้านๆว่าจดหมายนั่นเป็นของปลอมได้อีกหรือ!” ซาซากิ ฮาจิเมะ คือ 1 ใน 4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ ผู้ซึ่งน่าเชื่อถือที่สุดในองครักษ์ทั้ง  4 มันช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าจดหมายฉบับนั้นเชื่อถือได้อย่างแน่นอน

กล่าวจบซาดาโอะก็ไม่รีรอสิ่งใดอีก เขาพุ่งเข้าจู่โจมเบียกโกะในทันที

“ฝนดาวตก” กระบวนท่าฝนดาวตก หนึ่งในกระบวนวิชาเฉพาะของตระกูลโฮบุซึบิ ผู้นำกลุ่มโฮชิที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น มันช่วยเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าซาดาโอะคือ ผู้สืบทอดกลุ่มโฮชิอย่างถูกต้อง เขามีอำนาจเหนือเขตใต้ทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
กระบวนท่านี้เป็นการโจมติดระยะไกล ไม่ต้องเขาใกล้ศัตรูก็สามารถกระหน่ำแทงรังสีของดาบเข้าฟาดฟันศัตรูได้ ทั้งยังรวดเร็วจนไม่อาจมองทันด้วยตาเปล่า ผู้ที่มีฝีมืออ่อนด้อยอาจมองเห็นเพียงกันยกดาบขึ้นแทงไปข้างหน้าไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วมันถูกกระหน่ำแทงมากกว่าร้อยครั้งภายในไม่กี่วินาที

 เบียกโกะมองเห็นการโจมตีนั้นอย่างชัดเจน จึงต้องเบี่ยงตัวหลบแล้วชักดาบออกมาปัดป้อง แต่กระนั้นก็ยังมีรังสีบางส่วนหลุดรอดมาเฉือนตามร่างกายจนเลือดไหลซึงไปหลายแผล

“ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าข้าไม่เคยทรยศพี่ชายเจ้า ข้าสามารถพิสูจน์มันได้” เบียกโกะกล่าวขึ้นทั้งที่ยังรับมือกระบวนท่าอันน่าสะพรึงนั้นอยู่ เขาเคยรับมือกระบวนท่านี้แต่ความเร็วที่มากเท่านี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันบ่งบอกได้ว่าซาดาโอะมีความเร็วเหนือกว่าพี่ชาย อาจจะด้วยสายพันธุ์หรือพรสวรรค์ที่ติดตัวมาก็ไม่อาจทราบ แต่เขาจะประมาทไม่ได้แม้แต่เสี่ยววินาที

“หุบปาก! ข้าจะไม่ฟังคำโป้ปดของท่าน!” แต่ซาดาโอะก็ยังคงปฏิเสธที่จะฟัง หลายครั้งที่เบียกโกะทำให้เขาเกิดความลังเล ดังนั้นเขาต้องฟังเบียกโกะให้น้อยที่สุด เขาจะลังเลอีกไม่ได้แล้ว

“ท่องนภา” ฉับพลันความเร็วของซาดาโอะก็เพิ่มขึ้น กระบวนท่าท่องนภาคือการเพิ่มความเร็วให้เหนือกว่าขีดจำกัดของตนนั่นเอง
ซาดาโอะปรากฏตัวตรงหน้าของเบียกโกะ

“ทะลวงดารา” ดาบยาวถูกเปลี่ยนเป็นดาบสั้นสองมือตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ บัดนี้มันกลับถูกแทงไปที่ท้องของเบียกโกะเสียแล้ว เลือดมากมายไหลย้อมคมมีดจนเปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีแดง ไหลหยดลงสู่พื้นหยดแล้วหยดเล่า

เบียกโกะตั้งสติได้ก็รีบกระโดดถอยหลัง แต่ร่างกายก็อ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด จากก่อนหน้านี้เขาเสียเลือดไปไม่น้อย ครานี้ยังโดนกระทำมากกว่าเดิม ทำให้ร่างกายได้รับความเสียหายอย่างเห็นได้ชัด

“เหตุใดจึงไม่ตอบโต้เล่าท่านเบียกโกะ ท่านกำลังดูถูกฝีมือข้าอยู่หรืออย่างไร หรือคิดว่าหากทำเช่นนี้แล้วข้าจะยอมรับฟังท่าน ขอบอกไว้เลยว่ามันเปล่าประโยชน์” การต่อสู้รุนแรงขึ้นอีก แม้อีกฝ่ายจะไม่ตอบโต้กลับมาเลยก็ตาม เบียกโกะทำเพียงปัดป้อง และตั้งรับเท่านั้น ยิ่งพาให้ซาดาโอะหงุดหงิดในใจ

การต่อสู้ของทั้งสองรวดเร็วและรุนแรงจนพาให้ปีศาจรอบด้านไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว รังสีฆ่าฟัน ทั้งยังพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายยิ่งทำให้พวกมันหวาดกลัวจนแข้งขาสั่น แต่กระนั้นก็ยังยืนปักหลักลุ้นระทึกกับการต่อสู้ในครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ

“ลงมือสิ จะตั้งรับอยู่ทำไม” ซาดาโอะยังคงกล่าวในเบียกโกะตอบโต้ เพราะหากเขาสังหารอีกฝ่ายทั้งที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเขาเองที่จะทำจิตใจให้สงบลงไม่ได้ หากเบียกโกะตอบโต้อย่างน้อยเขาก็จะทำใจยอมรับมันได้

“อึก” เลือดไหลออกจากบาดแผลมากมาย หรือกระทั่งภายในร่างกายที่เครื่องในบอบช้ำ  เพราะกระบวนท่าของซาดาโอะไม่ใช่การโจมตีธรรมดา แต่ยังส่งรังสีของดาบเข้าไปทำลายอวัยวะภายในด้วย ส่งผลให้เวลานี้เบียกโกะมีอาการเลือดออกภายใน จนมีเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่ขาดสาย

เขาสามารถเลี่ยงจุดตายได้ก็จริง แต่การโจมตีที่หนักหน่วงก็ยังคงมีผลมากขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งยังสะสมจนร่างกายเบียกโกะเริ่มซวนเซแทบจะควบคุมร่างกายไม่อยู่

“ตอบโต้สิ เบียกโกะ!” ซาดาโอะจะรู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเขาเองกำลังทำตามความปรารถนาส่วนลึก ความจริงเขาไม่ต้องการสังหารเบียกโกะแล้ว  เพียงแต่แผนการดำเนินมาไกลเกินไปจนเขาไม่อาจจะถอยหลังกลับได้ จิตสำนึกจึงสั่งให้เขาบอกเบียกโกะลงมือตอบโต้ตน หากเป็นเช่นนั้น ฝ่ายที่ต้องตายอาจจะเป็นเขาเอง

ความเสียใจ ความลังเล ความกลัว เกาะกินหัวใจ จนไม่อาจห้ามหยดน้ำตาได้ เสียงที่สั่งเครือนั้นเบียกโกะรับรู้ดีกว่าใคร แม้ถูกควบคุมให้มันสงบเยือกเย็นแต่เขาก็รับรู้ถึงมันได้ ซาดาโอะยังคงตะโกนอยู่ตลอดว่าให้เบียกโกะตอบโต้ มันจึงทำให้เบียกโกะยิ่งเจ็บปวด เขาไม่อยากให้ซาดาโอะเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย

“เหตุใดจึงไม่ลงมือ ลงมือสิเบียกโกะ  ตอบโต้ข้าสิเบียกโกะ ข้าเกลียดท่าน ข้าโกรธแค้นท่าน ข้าจะฆ่าท่าน ท่านเข้าใจหรือไม่ ลงมือซะสิ!” การตะเบ็งเสียงที่ดังก้อง ยิ่งพาให้การโจมตีหนักขึ้น ความเสียใจพัดพามาจนเขาไม่อาจหวนกลับ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจหยุดการโจมตีของตนได้

“ถ้าท่านไม่ลงมือ...ก็ตายซะ!” สิ้นคำกล่าวสุดท้าย ซาดาโอะเพิ่มกำลังของตนด้วยขีดจำกัดสายเลือด ร่างนั้นพลันกลายเป็นร่างก่ำกึ่งระหว่างสัตว์กับปีศาจ ใบหน้านั้นแปลเปลี่ยนเป็นชีตาร์เสือที่มีความเร็วมากที่สุดในหมู่เสือด้วยกัน ทั้งมือทั้งเท้า ทั้งขนทั่วร่างกายก็เปลี่ยนรูปร่าง เพียงแต่เขายังคงยืนสองขาดังรูปลักษณ์ของปีศาจเท่านั้นเอง นี่คือการแปลงร่างขั้นสมบูรณ์ซึ่งเป็นขีดจำกัดสายเลือดของตระกูลโฮบุซึบินั่นเอง

ฉับพลันร่างนั้นหายไปต่อหน้าต่อตาเบียกโกะ แล้วปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งตรงหน้าอย่างไม่อาจตั้งตัว ร่างนั้นใช้มือตะปบที่อกของเบียกโกะจนร่างใหญ่โตกระเด็นไปหลายร้อยเมตร จากนั้นก็ไปปรากฏตัวด้านหน้าเบียกโกะที่กำลังลอยไป แล้วตะปบกงเล็บแหลมคมลงบนอกอีกครั้ง ส่งผลให้เบียกโกะลอยกลับมาที่เดิม

ยังไม่ทันที่จะหายใจร่างของซาดาโอะก็กลับไปยืนอยู่ยังจุดเดิม ดวงตาของเขาแดงกร่ำด้วยสัญชาตญาณที่ถูกใช้แทนที่ความคิดทั้งปวง กงเล็บแหลมคมถูกกางจนสุดความยาวเตรียมรับร่างของเบียกโกะที่ลอยกลับมา

อึดใจต่อมาเมื่อร่างกายใหญ่โตของเบียกโกะที่ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวใดๆก็ลอยเข้าไปใกล้ซาดาโอะ

ฉั่วะ!

“อย่า!”

เลือดสีแดงไหลรินดังสายน้ำ เมื่อซาดาโอะใช้กงเล็บอันแหลมคงแทงทะลุช่วงท้องของเบียกโกะ จนมือนั้นทะลุไปด้านหลัง มันเกิดขึ้นพร้อมๆกับเสียงเสียงหนึ่งที่ร้องห้ามขึ้นแต่มันก็ไม่ทันการเสียแล้ว

“ท่านทาคุมะ...” เสียงนั้นทำให้ซาดาโอะได้สติ ร่างกายของเขาจึงกลับไปเป็นร่างปีศาจดังเดิม ทั้งยังตกใจเมื่อได้เห็นผู้ที่ตนคิดว่าจากโลกนี้ไปแล้ว

‘ไม่จริงในจดหมายบอกว่า 4 องครักษ์เงาและท่านพี่ตายไปแล้ว แล้วท่านทาคุมะจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงออกมาจากเรือนของเบียกโกะ’

คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวของซาดาโอะ ทั้งร่างกายของเขายังสั่นเทา หากท่านทาคุมะยังคงมีชีวิตอยู่ แปลว่าจดหมายฉบับนั้นเป็นของปลอม แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นเบียกโกะก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่จริงหรอก มันต้องไม่จริง ทาคุมะที่อยู่ตรงหน้าอาจจะไม่ใช่ทาคุมะที่แท้จริง

ซาดาโอะถกเถียงกับตนในใจ ตอนนี้สมองของเขาไม่อาจวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนได้ สีหน้า อารมณ์ ความรู้สึกจึงเต็มไปด้วยความสับสบ

“ผู้ที่ทรยศตัวจริงคือ คาสึกิ ถึงข้าจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าจดหมายนั้นจะถูกส่งจากซาซากิได้อย่างไร แต่ว่าข้ารับรองได้ว่าเบียกโกะไม่ได้สังหารอิซานางิอย่างแน่นอน ส่วนที่ว่าข้าเป็นตัวจริงหรือไม่เจ้าจะลองพิสูจน์สิ่งใดก็ย่อมได้” ตัวของทาคุมะนั้นได้ความทรงจำกลับมาเต็มร้อยแล้ว ในเวลานี้เขาจึงต้องการสะสางปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งปวง และช่วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ให้ได้มากที่สุด

จิตใจที่ลังเลของซาดาโอะบอกให้เขาเชื่อในสิ่งที่ทาคุมะกล่าวออกมา ไม่ใช่ว่ามันน่าเชื่อถือ แต่มันเพราะเขาอยากจะเชื่อเช่นนั้นมาตลอด ในส่วนลึกเขาอยากให้ใครสักคนมาบอกกับเขาว่าจดหมายนั้นเป็นเรื่องโกหก

ซาดาโอะมองไปที่แขนของตนเอง แล้วไล่ไปยังมือที่ทะลุเข้าไปยังหน้าท้องของเบียกโกะ มือนั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด แล้วมองไล่ขึ้นมาบนใบหน้าของเบียกโกะที่ยังคงยิ้มให้เขาอยู่ ทั้งที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด

“หึหึ เชื่อข้าได้หรือยัง...ซาดา...อึก” ยังกล่าวไม่ทันจบเบียกโกะก็กระอักเลือดออกมาก้อนใหญ่ ทำให้ซาดาโอะลนลานรีบดึงมือของตนออกจากท้องเบียกโกะแล้วรับร่างที่ล้มลงไปกับพื้นไว้แทน

ตอนนี้ซาดาโอะจึงอยู่ในท่านั่งคุกเข่าทั้งยังกอดเบียกโกะเอาไว้แน่น

“ไม่จริง ไม่จริง อย่าตายนะ เบียกโกะ อึก ฮือ” มืออันสั่นเทาแม้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแต่ก็พยายามดึงเสื้อที่ตนสวมอยู่ออกมาห้ามเลือดที่ไหลออกมาจากแผลใหญ่นั้น ยิ่งเมื่อเห็นผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดหลับตาลงอย่างไร้สติ ความกลัวยิ่งกัดกินหัวใจ

“ไม่เอา อย่าตาย อย่าตายนะเบียกโกะ ข้าของสั่งว่าไม่ให้ท่านตาย ไม่เอา อย่าหายไป อย่าหายไปเหมือนพี่ชาย ฮึก ฮือ” จากที่พยายามห้ามเลือด แต่แล้วเบียกโกะก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ซาดาโอะจึงเปลี่ยนเป็นโอบกอดเบียกโกะไว้กับอกของตนแทน

เสียงร่ำไห้ยังดังระงม ด้วยหัวใจที่แตกสลาย แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เคลื่อนไป บุคคลที่แฝงตัวอยู่ในเงามืดกระชับดาบในมือ แล้วหายไปจากที่ตรงนั้นในชั่วพริบตา เขาปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของซาดาโอะที่กำลังจดจ่ออยู่กับความเสียใจ



To Be Continued...

_____________________________

กลับมาแล้วค้า ยังมีชีวิตอยู่นะคะ  ฮ่า
เอาครึ่งหลังมาต่อให้แล้ว ส่วนตอนหน้าก็ใกล้เสร็จ  คงได้ลงเร็วๆนี้
ตอนนี้คงขอให้เหล่าผู้ใหญ่เขาเด่นไปกันก่อนเนาะ  ให้เคลียร์ๆปัญหาไปทีละคู่
กรีนกำหนดคู่ต่อสู้ไว้หมดแล้ว เหลือแค่ว่าใครสู้ก่อนหลัง แล้วให้จบลงอย่างสวยงาม
แร็กนาร์อาจจะหายไปบ้างก็อย่าลืมคิดถึงน้า
เจอกันตอนหน้าค้า

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 ครึ่งหลัง (01/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 08-12-2017 19:52:04
รอๆๆๆ  เริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่แรกเลย ลุ้นๆ ซาดาโอะอย่าเป็นไรนะ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 33 เผชิญความจริง
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 09-12-2017 09:22:37
ตอนที่ 33
เผชิญความจริง



ดาบยาวในมือของผู้มาใหม่ถูกยกขึ้นเหนือหัว คมดาบอันคมกริบต้องแสงจันทร์เปล่งประกายในเงามืด ดังเพชฌฆาตที่พร้อมสังหารเหยื่อให้สิ้นซาก การกระทำนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ไม่ปล่อยให้คนที่จมอยู่ในความเศร้าได้ตั้งตัว

เคร้ง!

แต่ผู้ที่มีการตอบสนองอันรวดเร็วไม่ได้มีเพียงชายผู้นี้ เพราะก่อนที่ดาบจะถึงตัวซาดาโอะ ทาคุมะก็เป็นผู้ที่พุ่งเข้ามารับดาบแทน  ดาบยักษ์ปะทะเข้ากับดาบยาวอันคมกริบ เกิดเสียงกระทบกันก้องกังวานไปทั่วบริเวณ 

ด้วยแรงที่มากกว่าทั้งยังถีบตัวพุ่งออกไปด้วยความเร็วยิ่งทำให้การจู่โจมนั้นทรงพลังมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้ร่างของชายผู้นั้นกระเด็นถอยหลังไปตามแรงปะทะหลายกิโลเมตร

ทาคุมะหันมามองซาดาโอะที่นั่งก้มหน้าอยู่เช่นเดิมด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่ในใจเขาร้องเตือนว่า ชายผู้นั้น คนที่เขาจัดการไปเมื่อครู่อันตราย ถ้าปล่อยไว้ต้องเกิดการสูญเสียขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งยังมีบางอย่างที่เขาติดใจในกระบวนท่าของชายผู้นั้น ทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างยิ่ง

เขาทั้งลังเลทั้งสับสน แต่แล้วสัญชาตญาณของเขาก็สั่งว่าไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ มันจะไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นแน่นอน ทาคุมะยิ้มบางๆอย่างจำยอมในสัญชาตญาณก่อนจะพุ่งตามร่างที่ลอยระริ้วนั้นไป

กลับมายังซาดาโอะ เขาไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย เจ้าตัวยังคงอยู่ในอารมณ์เศร้าสลด น้ำตาท่วมใบหน้าอย่างที่ไม่คิดว่าตนจะต้องมานั่งร้องไห้เช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

ครั้งหนึ่งคือการสูญเสียพี่ชายอันเป็นที่รัก ครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ คราวนี้ยังต้องเสียคนที่ตนให้ใจไปอีก  ยิ่งทำให้เขาแทบคุ้มคลั่ง

“ซาดาโอะข้าเชื่อใจเจ้า”

“อยู่ดีๆทำไมถึงพูดขึ้นมาล่ะ”

“ฮ่าๆ ข้าก็ไม่รู้สิ แค่อยากให้เจ้ารู้เอาไว้น่ะ”

“ท่านนี่ไร้แก่นสานขึ้นทุกวันจริงๆ เฮ้อ”

“ข้าพูดจริงๆนะซาดาโอะ ข้าเชื่อใจเจ้า เพราะเจ้าเป็นคนในครอบครัวของข้านี่นา”


คำสนทนาเมื่อไม่กี่วันก่อนในห้องหนังสือปรากฏขึ้นในหัว ดังจะช่วยตอบย้ำว่าเขานั้นโง่เกินจะเยียวยา หากบอกว่าลางสังหรณ์ของเบียกโกะล้ำเลิศ คำกล่าวเหล่านั้นคงเป็นสิ่งที่ลางสังหรณ์ของซาดาโอะเตือนตัวเขา และซาดาโอะเอง

แต่แล้วมันก็เกิดขึ้น เขายอมรับว่าตนรู้สึกดีมากเพียงใดที่ถูกกล่าวเช่นนั้น เบียกโกะบอกว่าเชื่อใจ บอกว่าเขาคือครอบครัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขามีครอบครัวคือพี่ชายเพียงตนเดียว มันทำให้หัวใจอุ่นวาบ เกิดความลังเลชั่วขณะ จนเขาต้องใช้เวลามากมายในการสลัดความลังเลเหล่านั้นทิ้ง

และวันนี้เขาก็ได้เลือกเส้นทางที่สวนกัน เส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ เบียกโกะเชื่อใจเขา แล้วดูสิ่งที่เขาตอบแทนอีกฝ่ายสิ...มันคือความตายอย่างนั้นหรือ

“ฮึก เบียก...โกะ เบียกโกะ” ซาดาโอะร่ำไห้กอดร่างที่เย็นเฉียบนั้นด้วยหัวใจแตกสลาย เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว ตอนนี้ในหัวของเขามีเพียงคำกล่าวโทษตัวเองที่โง่เขลาเกินเยียวยา

“หึหึ ฮ่าๆๆๆ งดงามๆงดงามจริงๆ ภาพของคนโง่กอดกับคนโง่ มันช่างงดงามจริงๆว่าไหมซาดาโอะ” เสียงผู้มาใหม่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน พร้อมเหยียบย่ำผู้ที่เขาคิดว่าต่ำต้อยกว่า

เสียงนั้นทำให้ซาดาโอะได้สติจากภวังค์ความคิดของตนเอง สายตาแห่งความเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน เขาเรียบเรียงเรื่องต่างๆเข้าด้วยกันโดยไม่ต้องให้ใครมาชังจูง ก่อนที่ดวงตานั้นจะเต็มไปด้วยความวาวโรจน์อย่างโกรธเกรี้ยว

“แก! เทโทระ” ซาดาโอะหันไปมองเจ้าของเสียงพร้อมทั้งคำรามรอดไรฟันที่ขบกันแน่นด้วยความอดกลั้น

“หือ ดูสิ ดูท่าเจ้าจะฉลาดขึ้นมาแล้วล่ะนะ ไม่สิ  ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด หลายครั้งข้าถึงอยากได้เจ้ามาไว้ข้างกาย แต่ก็ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าอย่างไรล่ะ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ ถ้ามาเป็นคนของข้า ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้นะ...ซาดาโอะที่รัก” เทโทระชื่นชอบการเหยียบย่ำความรู้สึกของผู้อื่น เขาจึงไม่มีท่าทีว่าจะสงบปากสงบคำลงง่ายๆ

สายตาของซาดาโอะเต็มไปด้วยความต้องการฆ่า หากสายตาฆ่าคนได้เทโทระคงแหลกเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นไปแล้ว แต่ส่วนลึกของเขาบอกว่าให้อดทน อดทนฟังมันให้กระจ่าง ให้มันช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานทั้งหมดของเขา และเมื่อมั่นใจแล้วจะลงมือจัดการอีกฝ่ายตอนนั้นก็ยังไม่สาย

“อ่า อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นเอง หัวใจเจ้าคงมอบให้เจ้าน้องชายผู้โงเขลาของข้าไปแล้ว หึหึ แต่น่าเสียดายจริงๆที่เจ้าต้องเป็นผู้สังหารมันด้วยตนเอง หึหึ ฮ่าๆๆ” กล่าวจบเทโทระก็หัวเราะร่าอย่างสะใจ ไม่เพียงชีวิต แต่เขาทำลายหัวใจของเจ้าโง่นั่นให้แหลกสลายลงไปได้โดยไม่ต้องวางแผนให้ซับซ้อน โชคช่างเข้าข้างเสียจริงๆ ในเมื่อซาดาโอะคือคนที่เบียกโกะมอบหัวใจให้ การที่เขาทำลายซาดาโอะลงไปด้วยคงช่วยให้วิญญาณนั่นตายอย่างไม่สงบอย่างแน่นอน มันช่วงสะใจเขาเสียจริงๆ

“แก! บังอาจหรอกใช้ข้า เทโทระ!” ซาดาโอะตะหวาดเกล้าอย่างเกรี้ยวกาจ เขาทั้งเจ็บใจ ทั้งโกรธแค้นจนไม่รู้ว่าควรระบายความรู้สึกเหล่านี้อย่างไรดี

“หลอกใช้ ข้าหลอกใช้เจ้าเมื่อไหร่กัน เพียงแค่จดหมายฉบับเดียวเจ้าก็เชื่ออย่างหมดใจ ข้าเพียงยื่นมือเข้าไปเป็นช่องทางช่วยให้เจ้ากำจัดศัตรูได้ง่ายดายขึ้น มันเรียกว่าความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ อย่างไรพวกเราก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หึหึ
ศัตรูของเราก็เป็นคนคนเดียวกัน เจ้าได้แก้แค้น ข้าได้ครอบครองกลุ่มยาฉะ มันมีสิ่งใดที่ข้าหลอกเจ้ากันล่ะ หรือจะบอกว่าต่อให้ข้าหลอก เจ้าเองไม่ใช่หรือที่เต็มใจให้ข้าหลอกใช้เป็นเครื่องมือ” คำกล่าวเหล่านั้นซาดาโอะไม่อาจปฏิเสธได้ ในเมื่อเข้าเองก็รู้ถึงเป้าหมายของเทโทระ และเต็มใจที่จะเข้าร่วมแผนการด้วยตนเอง แต่แล้วใครล่ะที่ส่งจดหมายฉบับนั้นให้เขาหากไม่ใช่เทโทระ ใครกันที่ตั้งใจหลอกใช้ตัวเขา ซาดาโอะครุ่นคิดแต่สมองของเขาไม่ยอมทำงานอย่างใจต้องการ

เพราะไฟที่สุมใจจนแทบมอดไหม้นี้ เขาปักใจเชื่อไปแล้วว่าเทโทระคือเจ้าของจดหมายจึงยิ่งโหมไฟแห่งความโกรธแค้นมากขึ้นไปอีก

ไม่เพียงหลอกใช้เขา แต่หลอกใช้กลุ่มโฮชิด้วย ซาดาโอะเกลียดตัวเองที่โง่เขลา เขาเป็นผู้นำกลุ่มแท้ๆแต่กลับนำชีวิตของสมาชิกในกลุ่มมาเสี่ยงกับแผนการครั้งนี้ด้วย เพียงเพื่อล้มล้างเบียกโกะ และเหล่าสมาชิกที่ภักดีต่อเบียกโกะ เขาถึงกลับยอมยกคนของตนให้เข้าร่วมกับกลุ่มโนบุ ไม่รู้ว่าหากจบการต่อสู้นี้แล้วหากตนตายไป เทโทระจะทำเช่นไรกับผู้ที่เหลือรอด หรืออาจจะเข้ายึดทั้งเขตตะวันตก และเขตใต้เป็นของตนเลยก็ได้ เรียกได้ว่าคราวนี้เทโทระวางแผนที่จะครอบครองแดนพยัคฆ์ทั้งหมดเลยก็ว่าได้

ด้วยความโกรธเกรี้ยวใจผลลัพธ์อันแยบยลของเทโทระซึ่งวางแผนไว้ใหญ่โต ทั้งยังได้กำจัดศัตรูให้สิ้นซากไปพร้อมๆกัน ทำให้ซาดาโอะตระหนักได้ว่าไม่ควรปล่อยให้ปีศาจที่มีความทะเยอทะยานอันมากมายตนนี้เอาไว้

เขาวางร่างเย็นเฉียบของเบียกโกะเอาไว้กับพื้นอย่างแผ่วเบา แล้วกระชับดาบเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

“ข้าคงไม่อาจปฏิเสธเจ้าได้เทโทระ แต่ข้าขอถามหนึ่งข้อ” เสียงที่สงบนิ่งนี้ช่างเย็นชาจับใจ เหมือนภูเขาไฟที่รอการระเบิดครั้งใหญ่ก็ว่าได้

“ว่ามาสิ ข้าจะใจดีตอบให้” แต่ดูเหมือนเทโทระจะไม่หวั่นใจกับมันแม้แต่น้อย

“ถ้าสังหารข้าแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรกับสมาชิกกลุ่มโฮชิ” ซาดาโอะถามทันทีโดยไม่ลังเล

“หึหึ ก็ต้องดูว่าใครจะสวามิภักดิ์ต่อข้า ถ้าไม่...เจ้าคงได้เจอพวกเขาในไม่ช้า” เทโทระชะงักเล็กน้อย เมื่อได้รับคำถามที่ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ เขาไม่คิดว่าซาดาโอะจะเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาได้เร็วขนาดนี้

ในแรกเริ่มเขาต้องการเพียงกลุ่มยาฉะ และเขตเหนือ แต่เมื่อได้รับพลังนี้มาเขาก็คิดว่าเพียงแค่อาณาเขตเพียงน้อยนิดนี้ไม่เพียงพอต่อพลังอำนาจของเขาต่อไป เมื่อทุกอย่างลงตัว เขาได้กำจัดเสี้ยนหนามตำใจอย่างเบียกโกะด้วยการวางแผนดึงเขตอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง จากนั้นก็ใช้มันเป็นตัวเชื่อมต่อในการครอบครองอาณาเขตเหล่านั้น เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็ว่าได้
ในวันที่เข้าได้ครอบครองทั้งเขตเหนือ ตะวันตก และใต้ เหลือเพียงเขตตะวันออกเพียงเขตเดียว จะใช้กำลังคนที่มากกว่าบุกยึดด้วยกำลังก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เพราะเขตตะวันออกตัดขาดจากโลกภายนอกมานาน การจะใช้เล่ห์กลในการยึดครองจึงยุ่งยากเกินไป สู้ใช้กำลังที่รวมไว้ด้วยสมาชิกสามเขต ถล่มเขตเล็กๆเพียงเขตเดียวก็จะไม่ใช่เรื่องยาก เท่านี้เขาก็จะได้เป็นใหญ่เหนือแดนพยัคฆ์อันยิ่งใหญ่นี้ ความฝันของเขาเพียงแค่เอื้อมเท่านั้น สมแล้วที่วางแผนอย่างอดทนมานานหลายปี

“เข้าใจแล้ว” เมื่อได้ฟังคำตอบที่ไม่รื่นหูนั่น ซาดาโอะก็ตัดสินใจได้ว่า แม้ต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็ต้องหยุดปีศาจตนนี้ให้จงได้
ร่างของซาดาโอะปล่อยจิตสังหารอันมากมายออกมาอีกครั้ง แค่ครั้งนี้มันมากกว่าที่สู้กับเบียกโกะ เพราะเขาไร้ซึ่งความลังเลอย่างสิ้นเชิง  เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้าไปเผชิญกับเทโทระตรงๆ พร้อมทั้งปลดปล่อยขีดจำกัดสายเลือดออกมาอย่างไม่สนใจผลเสียที่เกิดขึ้นกับร่างกายอีกต่อไป

เทโทระเพียงยิ้มบางๆอย่างเย้ยหยันหาได้หวั่นกลัวต่อพลังของซาดาโอะแต่อย่างใด เขาปล่อยพลังของตนออกมาบ้าง มันรุ่นแรงเสียจนซาดาโอะยังแปลกใจ

“ก๊า กา” เสียงนกร้องในเงามืดด้วยความหวั่นกลัว พวกมันต่างดิ้นรนในการหลบหนี แต่เหมือนจะไร้ผลเมื่อไม่นานพวกมันก็โดนควบคุม

เพียงไม่นานฝูงสีดำของอีกาก็บินมารวมกันรอบตัวเทโทระ ด้วยความสามารถของขีดจำกัดสายเลือดตระกูลยาฉะ

โดยปกติเผ่าพยัคฆ์จะมีความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์ ทั้งยังสามารถควบคุมพวกมันได้ แต่นั่นก็มีขีดจำกัด พวกเขาควบคุมได้เพียงสัตว์ที่จำยอม หรือเปิดใจด้วย แต่พลังของตระกูลยาฉะต่างออกไป พวกเขาสามารถแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของสัตว์ทุกตัวได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงขีดจำกัดเหล่านั้น

เพียงแต่การแทรกซึมเข้าไปในจิตใจนั้นง่าย แต่การควบคุมนั้นยากแสนยาก ดังนั้นจะเข้าแทรกซึมมองผ่านสายตาสัตว์เหล่านั้นเท่าใดก็ได้ แต่การควบคุมจะไม่มีทางทำได้มากมายเท่านี้  ตัวเบียกโกะเองก็ควบคุมสัตว์พร้อมๆกันได้เพียง 10 ตัวเท่านั้น
แต่เวลานี้เทโทระควบคุมพวกมันได้ไม่ต่ำกว่า 30 ตัว ชวยผู้นี้ซ่อนพลังมหาศาลเหล่านี้ไว้เพื่อสิ่งใดกัน แล้วหากมีพลังมากมายเช่นนี้เหตุใดจึงไม่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเล่า

จากที่ซาดาโอะรู้คือ เทโทระได้รับพรสวรรค์มาน้อยนิด สามารถควบคุมสัตว์ได้เพียง 3 ตัวเท่านั้น การเลือกผู้สืบทอดจึงตกไปเป็นของน้องชายร่วมสายเลือดอย่างเบียกโกะที่มีพรสรรค์มากกว่า

สิ่งเหล่านั้นสร้างความสับสนให้ซาดาโอะไม่น้อย เทโทระมีพลังมากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

“ฮ่าๆ ตกใจหรือซาดาโอะที่รัก พลังที่ข้าได้รับมามันสุดยอดมากเลยใช่หรือไม่” เทโทระกล่าวอย่างผู้ที่เหนือกว่า

“พลังที่ได้รับมาหมายความว่าอย่างไร” ซาดาโอะถามออกไปด้วยความงุนงง พลังขีดจำกัดสายเลือดรับมาจากผู้อื่นได้ด้วยหรือ เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

“มันไม่ใช่ธุระที่ข้าต้องตอบเจ้า ได้เวลาจบเรื่องของเราแล้ว จัดการซะ!” เสียงเหี้ยมเกียมออกคำสั่งอย่างผู้เหนือกว่า
ฝูงอีกา 30 ตัวพุ่งเข้าใส่ซาดาโอะโดยหมุนตัวด้วยความเร็ว พุ่งทะรวงใส่ศัตรูอย่างไม่เสียดายชีวิต
พวกมันไม่ใช่อีกาธรรมดา พวกมันแข็งแกร่งเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นแดนปีศาจ ไม่ว่าสัตว์ตนใดก็มีพละกำลัง และความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น

 อัตราการต่อสู้กลายเป็น 30 ต่อหนึ่ง ทำให้ท่วงท่าและความเร็วของซาดาโอะเริ่มพลาดเป้า พวกอีกาที่เขาหลบได้มันจะพุ่งกลับมาอีกครั้ง เพราะมันยังมีชีวิต ควบคุมทิศทางได้อย่างใจ ส่วนตัวที่ถูกฟันก็จะถูกแทนที่ด้วยอีกาตัวใหม่ที่เทโทระเรียกมา
ปีศาจร้ายเพียงยืมมองด้วยความเพลิดเพลินเท่านั้น เขาชื่นชอบการใช้พลังของตนเป็นอย่างยิ่ง  ในเวลานี้ตัวตนของเขาแข็งแกร่งกว่าใครในตระกูลยาฉะ เบียกโกะที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะ เพราะควบคุมสัตว์ได้ถึง 10 ตัว แล้วเวลานี้เขาควบคุมมันได้ถึง 30 ตัวจะให้เรียกว่าอะไรเล่า

“ฝนดาวตก”

“ท่องนภา”

“ทะลวงดารา”

วิชาดาบถูกนำออกมาใช้อย่างต่อเนื่องจนในที่สุดซาดาโอะก็กำจัดอีกา 30 ตัวให้ตายไปจนหมดสิ้น

พึก!

แต่ร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บมากมายเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ร่างนั้นทรุดตัวลงกับพื้น แล้วต้องใช้ดาบพยุงตัวเอาไว้ เลือดก็ไหลออกจากมุมปาก เพราะบาดเจ็บภายใน

ร่างกายเขามีแผลที่ทะลุไปมาอยู่ 2 จุด ส่วนที่เหลือเป็นร่องรอยการเฉือนไปมาจากแรงหมุนควงสว่านของอีกาเหล่านี้

“แฮ่กๆ” ลงหายใจเริ่มขาดห้วง เพราะพลังที่ถูกใช้ออกมามากเกินตัว ซาดาโอะยังคงมีความเหนื่อยล้าจากที่สู้กับเบียกโกะ ยิ่งเมื่อใช้ร่างกึ่งสัตว์ และวิชาดาบจึงยิ่งทำให้ร่างกายได้รับภาระหนัก

ทั้งความโกรธเกรี้ยวจนทำให้สติสัมปชัญญะขาดห้วง เขาจึงคิดแผนที่เอาตัวรอดจากฝูงอีกาไม่ออก ได้แต่สู้กับมันซึ่งๆหน้าเท่านั้น เวลานี้ร่างกายของเขาจึงทั้งบาดเจ็บทั้งเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง

“หึหึ จบแล้วหรือนี่ เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก เดรัจฉานเหล่านี้ช่างอ่อนแอยิ่งนัก”

พรึ่บ!

เทโทระกล่าวขึ้นหลังจากที่เขามาปรากฏตัวใกล้ๆกับซาดาโอะ แล้วใช้ดาบเสียบร่างไร้ชีวิตของอีกกาตัวหนึ่งขึ้นมามองดู แล้วตวัดฟันทิ้งดังของไร้ค่า

ซาดาโอะรีบกระโดดถอยหลังแล้วยกดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมสู้ในระยะที่พอเหมาะ แม้ตระหนักดีว่าเวลานี้เขาไม่อาจสู้เทโทระได้ แต่ก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ

พลังมากมายถูกรวบรวมสำหรับการโจมตีครั้งสุดท้าย เขาไม่แข็งแกร่งเท่าพี่ชาย การถูกสัญชาตญาณเข้าครอบงำจึงเป็นเรื่องที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด

แต่เวลานี้เขาจะลังเลไม่ได้อีกแล้ว กระบวนท่ารุนแรงที่สุดของเพลงดาบประจำตระกูลต้องถูกนำออกมาใช้ เพื่อดึงศักยภาพให้ออกมามากที่สุด เขาต้องจำยอมให้สัญชาตญาณเข้าครอบงำ

พลังมากมายที่ปะทุออกนั้น เทโทระเองยังรู้สึกหวั่นใจ ความรู้สึกหวาดกลัวต่ออิซานางิที่หลอกหลอนเขากลับมาอีกครั้ง มันจึงทำให้เขาเตรียมเอาจริงเพื่อรับมือกับกระบวนท่าอันประหวั่นพรั่นพรึงนี้

ร่างกายซาดาโอะปะทุพลังในร่างกึ่งสัตว์อีกครั้ง เพียงแต่เวลานี้ดวงตานั้นอาบไปด้วยสีแดงวาวโรจน์ สีแดงที่มากกว่าปกติ สีแดงที่เป็นดังไฟที่พร้อมเผาไหม้ให้ศัตรูตกตายไปพร้อมกัน

เทโทระเองก็เปลี่ยนท่อนแขนทั้งสองข้างของตนให้เป็นร่างสัตว์ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย พร้อมรับมืออีกฝ่ายอย่างเต็มที่

“ถล่มนภา” ซาดาโอะเข้าประชิดตัวเทโทระด้วยความเร็ว ดาบนั้นเล็งจุดตายตามสัญชาตญาณ จุดตายอันเป็นช่องโหว่ที่ศัตรูคาดไม่ถึง มันเป็นเพลงดาบที่ไม่สามารถคาดเดาการโจมตีได้

“พิชิตพยัคฆ์” เทโทระเองก็มีสัญชาตญาณที่เฉียบคมด้วยพลังที่ได้รับมา  เข้ามองเห็นวิชาดาบที่เปลี่ยนไปของซาดาโอะในช่วงสุดท้าย จึงสามารถรับกระบวนท่านั้นไว้ได้ ด้วยเพลงดาบของตน

การปะทะที่ทรงพลังของสองขั้วอำนาจอันยิ่งใหญ่ ทำให้เกิดแรงระเบิดของอากาศ พาให้ผู้คนโดยรอบกระเด็นออกไปอย่างไม่อาจตั้งตัว ด้วยไม่อาจต้านทางพลังเหล่านั้นไหว ส่วนผู้ที่ไม่ได้กระเด็นตามแรงลมก็ยืนอยู่ด้วยอาการสั่นสะท้านไปทั้งกาย บางตนถึงกับไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ทรุดเข่าลงพื้นอย่างหวาดกลัว

 ตูม!

ร่างที่ปะทะกันกระเด็นออกไปด้านหลังหลายร้อยเมตรด้วยพลังที่เข้าปะทะอันมหาศาล  พาให้สิ่งปลูกสร้างที่อยู่โดยรอบพังไปหลายหลัง แล้วทั้งสองร่างก็ไปหยุดติดกำแพงคนละฝั่ง

เหล่าผู้ชมต่างลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าใครกันจะเป็นผู้ที่ลุกขึ้นมาก่อน
เป็นฝ่ายซาดาโอะที่ลุกยืนขึ้น

“อุก อ้วก!” แต่แล้วร่างนั้นก็กระอักเลือดแล้วล้มลงอีกครั้ง

“หึหึ ฮ่าๆๆ แข็งแกร่ง ข้าช่างแข็งแกร่งจริงๆ ข้าเคยหวาดกลัวพี่ชายเจ้า แต่ดูสิซาดาโอะ ข้าสามารถจัดการเจ้าได้อย่างง่ายดายทีเดียว” เทโทระนั่งอยู่เช่นเดิม แต่ร่างกายเขากลับไร้ร่องรอยบาดแผล มีเพียงฝุ่นและเลือดที่เกาะติดเสื้อผ้าเท่านั้น

เพียงชั่วพริบตาร่างนั้นก็ไปปรากฏต่อหน้าร่างของซาดาโอะที่ล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง รอยยิ้มอย่างผู้มีชัยปรากฏขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
 หลังจากได้รับพลังมาเขาไม่อาจใช้มันได้ แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่ากระบวนท่าของปีศาจในอดีตไม่อาจทำอันตรายใดๆต่อเขาได้อีก เทโทระจึงยิ่งพอใจ หัวใจพองโตด้วยความลำพอง การครอบครองแดนพยัคฆ์อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแล้ว เพียงผ่านพ้นคืนนี้ไปทุกอย่างก็จะตกเป็นของเขาโดยไม่มีใครต่อต้าน

เทโทระมองร่างที่หายใจรวยรินด้วยความสมเพท ก่อนจะยกดาบนั้นขึ้นเตรียมปิดชีวิตของผู้ที่หมดประโยชน์โดยไม่ลังเล

“ลาก่อนซาดาโอะที่รัก แล้วข้าจะส่งเหล่าลูกสมุนที่ภักดีต่อเจ้าตามไป...ในไม่ช้า”

“อย่า...อย่าฆ่าพวกนั้น แค่กๆ” ซาดาโอะกล่าวทัดทานด้วยสายตาแข็งกร้าว เวลานี้ชีวิตของเขามาถึงปลายทางแล้วคงไม่อาจยื้อไว้ได้อีก แต่เหล่าพรรคพวกที่จงรักภักดีต่อเขาต้องมาตกตายไปด้วยเพราะความโง่เขลาของตัวเขาเองเช่นนี้ เขาไม่ต้องการแม้แต่น้อย

‘ขอร้องล่ะ ใครก็ได้ ได้โปรดช่วยพวกเขาเหล่านั้นด้วย พวกนั้นไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิด’   

คำอ้อนวอนที่แม้รู้ว่าไม่อาจเป็นจริง แต่ซาดาโอะก็ร้องขอมันด้วยความหวังสุดท้ายของชีวิต

‘พี่ครับ พี่มองอยู่หรือไม่ ได้โปรดช่วยคนของเราด้วย แล้วผมจะไปหาพี่โดยไม่เรียกร้องอะไรอีกเลย’

เมื่อถึงจุดที่รู้ว่าตนเองต้องตาย พวกเขาต่างต้องคิดถึงคนสำคัญ เวลานี้ซาดาโอะจึงเรียกร้องหาคนที่ตายไปแล้ว ครอบครัวที่สำคัญที่สุด ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว

“ข้าพูดจริงๆนะซาดาโอะ ข้าเชื่อใจเจ้า เพราะเจ้าเป็นคนในครอบครัวของข้านี่นา”

แต่แล้วคำพูดของใครอีกคนกลับปรากฏขึ้นมาในหัว พาให้ซาดาโอะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความรู้สึกผิด เขาได้สังหารผู้ที่เห็นความสำคัญของเขาถึงเพียงนี้ลงไปด้วยมือตนเอง เขายังจะเรียกร้องสิ่งใดได้อีกหรือ

“ข้าจะไปหาท่านแล้ว เบียกโกะ” ช่วงสุดท้ายนี้เขาก็หวนคิดถึงความทรงจำที่แสนอบอุ่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้รับความรักมากมายแต่กลับติดอยู่ในความแค้นจนพยายามมองข้ามมัน การเสียใจทีหลังเป็นเช่นนี้เอง เขาพึ่งเข้าใจความหมายของคำคำนั้นในวันนี้เอง

“หึหึ ถ้าเช่นนั้นก็ตามกันไปในนรกซะเถอะ!” ไม่รอช้า เทโทระลงดาบอย่างเลือดเย็น เป้าหมายคือคอของร่างที่ไร้เรี่ยวแรงด้านหน้าของตน

เคร้ง!

“จะไปหาข้าไม่ต้องไปถึงนรกหรอก...ว่าไหมซาดาโอะ” คมดาบที่ปะทะกันเกิดแรงลมรุนแรง แต่ก็ไม่น่าสนใจเท่าผู้ที่ปรากฏตัวออกมาในเวลานี้ ผู้ที่ใครๆต่างคิดว่าหมดลมหายใจไปแล้ว

“ท่านเบียกโกะ!”

“เบียกโกะ!”



To Be Continued...


---------------------------------------------------------------

มาแล้วค่า คิดว่าจะเสร็จเร็ว มาช้าอีกตามเคย แหะๆ

ตอนนี้เสพเหล่าผู้ใหญ่ทั้งหลายไปก่อนนะคะ

กรีนไม่มีเงินจ่ายค่าตัวแร็กนาร์ กร๊ากกก

ล้อเล่นค่ะล้อเล่น  ตอนหน้า แร็กนาร์เด็กซึนจะโผล่มาแน่นอน

เดี๋ยวจะมาให้หายคิดถึงแล้วเนาะ รอกันไปก่อน้า

แล้วเจอกันจ้า


รอๆๆๆ  เริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่แรกเลย ลุ้นๆ ซาดาโอะอย่าเป็นไรนะ :katai1: :katai1:
ขอบคุณนะคะ ไปอ่านตั้งแต่แรกเลย แปลว่ากรีนดองนานจริงๆ แหะๆ
ต่อไปก็ลุ้นๆด้วยกันเนาะ
//ลองตอบข้อความ ทำได้แล้วค้าา
 :impress2:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 33 เผชิญความจริง (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 13-12-2017 17:30:56
กริ๊ดดดด  เบียกโกะ ยังอยู่   :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 33 เผชิญความจริง (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-12-2017 20:47:26
หึ๋ยย
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 33 เผชิญความจริง (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-12-2017 00:25:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 33 เผชิญความจริง (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 17-12-2017 11:51:42

ตอนที่ 34
เงาร้ายกล้ำกราย


ในเวลานั้นภายในเรือนของเบียกโกะเต็มไปด้วยบรรยากาศชวนอึดอัด  พวกเขาจ้องมองออกไปด้านนอกจากผ่านประตูที่แง้มเปิดอยู่เล็กน้อย แม้จะอยู่ภายในมิติที่ปิดกั้นจากภายนอกแต่การมองเห็นรอบด้านยังคงอยู่ หากกล่าวให้ถูกต้องคือมันปิดกั้นการรับรู้จากคนภายนอก แต่ผู้ที่อยู่ด้านในสามารถรับรู้ถึงภายนอกได้ทั้งหมดนั่นเอง

พวกเขาลุ้นระทึกไปกับการต่อสู้ของเบียกโกะ ทั้งชื่นชม ทั้งยกย่องในความแข็งแกร่ง จนกระทั่งซาดาโอะปรากฏตัว

“โอ๊ย อ้าก!” ทาคุมะก็เกิดอาการปวดหัวอีกครั้ง

“ท่านทาคุมะ!” พวกเขาเป็นห่วงในใจ แต่อีกใจก็รอคอยว่าครานี้ทาคุมะจะได้ความทรงจำแบบใดกลับมา และเกี่ยวข้องกับชายที่ชื่อซาดาโอะอย่างไร พวกเขาจึงไม่ได้เข้าไปแตะต้องเพียงนั่งมองเงียบๆเท่านั้น

“อึก โอ๊ย! ปวดหัว ปวด” ทาคุมะกุมหัวตัวเองแน่น ยิ่งเมื่อได้ยินชื่อ ‘โฮบุซึบิ อิซานางิ’ ภายในหัวของเขายิ่งปวดร้าวดังว่ามันจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆภาพมากมายหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย

ภายในห้องเริ่มโกลาหล เมื่อพวกเขาเข้าไปล้อมรอบทาคุมะด้วยความเป็นห่วง

“แร็กนาร์!” เสียงของรูร์กัสเรียกให้พวกเขาเหล่านั้นหันมาสนใจแร็กนาร์ที่เวลานี้ก็มีอาการแทบไม่ต่างกัน

แร็กนาร์กุมหน้าอกบริเวณหัวใจของตนแน่น กดเอาไว้เพียงหวังให้มันหยุดเต้นแรงเสียงที มันเต้นแรงดังว่าจะหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้ เพียงชื่อนั้น ชื่อที่ซาดาโอะกล่าวออกมาก็เหมือนสลักปลดผนึกความทรงจำบางส่วนที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
เหงื่อมากมายผุดพรายเต็มใบหน้าและร่างกายจนเปียกชุ่ม เพราะหัวใจสูบฉีดเร็วเกินไปมันจึงเผาผลาญพลังงานภายในร่างมากกว่าปกติ จนเขาแทบจะขยับร่างกายไม่ไหว

“ท่านพ่อ!” เสียงของสองแฝดดังขึ้น พวกเขาให้ความสนใจในอาการของทาคุมะกับแร็กนาร์อยู่เพียงชั่วครู่ ก็อดใจที่จะมองการต่อสู้ด้านนอกไม่ได้ จึงเป็นเพียงสองตนที่รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของพ่อตนก่อนใคร

ไม่เพียงเท่านั้นเด็กทั้งสองเตรียมวิ่งออกไปด้านนอกโดยไม่ยั้งคิด

“หยุดนะ” แต่เรย์กับนาฟเร็วกว่า พวกเขาเข้าไปจับเด็กทั้งสองไว้ก่อนที่จะพ้นขอบเขตมิติปิดกั้น เรย์จับตัวฮิเดโอะ ส่วนนาฟจับตัวฮิโรกิ โดยตรึงตัวจากด้านหลัง พวกเขาจึงได้เห็นภาพด้านนอก ภาพที่ร่างของเบียกโกะเต็มไปด้วยเลือด

“ปล่อยข้า ข้าจะไปช่วยท่านพ่อ ปล่อยนะ ปล่อยๆ”

“ปล่อยข้าเถอะท่านเรย์ ปล่อยข้า ได้โปรด ปล่อย”

ฮิโรกิกับฮิเดโอะดิ้นรนจะออกไปให้ได้ แต่ด้วยร่างกายของเด็กกับผู้ใหญ่การหลุดจาการเกาะกุมนี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงดิ้นต่อไป ทั้งตี ทั้งต่อย เรย์กับนาฟอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ

เวลานี้หัวใจเด็กน้องเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาสูญเสียท่านแม่ไปตั้งแต่เด็ก ท่านพ่อเองก็พึ่งฟื้นจากการถูกพิษ มาเวลานี้ท่านพ่อที่พึ่งปลอดภัยได้ไม่นานยังต้องมาบาดเจ็บอย่างหนัก และจากรูปการท่านพ่อของเขาอาจจะตกตายตามท่านแม่ไปอีกคนก็เป็นได้

เพราะเป็นเช่นนั้นแม้รู้ดีว่าไม่อาจหลุดออกไปได้ แต่ก็ยังคงดิ้นต่อไป ความหวังอันน้อยนิดนี้ที่ยังคงมีอยู่จึงได้พยายามคว้ามันเอาไว้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

เรย์กับนาฟรับรู้ความรู้สึกของเด็กทั้งสองดี พวกเขาก็เป็นห่วงเบียกโกะไม่น้อยถึงแม้จะพึ่งพบกันเพียงไม่นานก็ตาม เพราะเป็นเช่นนั้นจึงยิ่งปล่อยให้เด็กทั้งสองออกไปสละชีวิตอีกไม่ได้ อย่างน้อยช่วยให้ลูกชายของชายผู้นั้นรอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ก็ยังดี
ด้วยพวกเขามุ่งความสนใจไปที่เด็กทั้งสองจึงไม่มีใครคาดคิดว่าทาคุมะจะพุ่งตัวออกไปด้านนอกโดยที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว และในจังหวะนั้นพวกเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเบียกโกะถูกแทงก่อนที่ทาคุมะจะห้ามทัน

“ท่านพ่อ!ไม่!”

“ท่านเบียกโกะ”

ผู้ที่อยู่ภายในห้องต่างตะโกนลั่นอย่างไม่คาดคิด พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเบียกโกะจะไม่ยอมตอบโต้จนถึงวินาทีสุดท้าย ด้วยแผนของการที่วางเอาไว้แม้ใครสักคนต้องจบชีวิตลงพวกเขาก็ต้องดำเนินการต่อไป ดังนั้นเหล่าผู้ที่เหลืออยู่จึงพยายามอดกลั้นตนเองไม่ให้พุ่งออกไปด้านนอก มีเพียงเด็กแฝดทั้งสองที่ร้องไห้ดิ้นรนแทบขาดใจ และอาศัยจังหวะที่เรย์กับนาฟตกใจดิ้นสุดแรงจนหลุดออกจากการเกาะกุม

“ท่านพ่อ!”

เพรี๊ยะ เพรี๊ยะ

ก่อนที่จะหลุดออกไปเพียงคืบ ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ถูกฝ่ามือเล็กตบลงไปที่แก้มคนละข้างจนหันไปตามแรงที่มากกว่าขนาดของมือนั้น

“หยุดอาละวาดได้แล้ว!” ผู้ที่ลงมือคือแร็กนาร์ แม้ยังกุมหัวใจที่ยังเต้นแรงจนเจ็บปวด แต่เขาก็ทุ่มแรงที่เหลืออยู่ไปกับฝ่ามือเมื่อครู่อย่างไม่ออมแรง ร่างเล็กๆที่ใกล้หมดแรงจึงทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างห้ามร่างกายตนเองไม่อยู่

“แร็กนาร์ ตะ แต่ แต่พ่อของข้า ฮึก ฮือ” ฮิโรกิที่ได้สติก่อนหันหน้ากลับมามองก่อนจะตอบด้วยสติที่เหลือเพียงน้อยนิด เวลานี้ต่อให้เป็นแร็กนาร์ก็หยุดพวกเขาไม่ได้

“แร็กนาร์อย่าฝืน ส่วนพวกเจ้ากลับไปนั่งลงที่เดิมเถอะนะ” รูร์กัสเข้ามาพยุงตัวแร็กนาร์ขึ้น ก่อนจะสั่งเด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงอบอุ่นที่เจือด้วยความรู้สึกขอร้อง

หากสังเกตรอบด้านให้ดีจะรู้ได้ว่าเวลานี้แร็กนาร์ รูร์กัส และโกยาตเลย์ ไม่ได้ตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งหมอชรายังหายไปจากห้องตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

คำร้องขอของเบียกโกะที่ขอร้องแร็กนาร์เอาไว้ คือ หากการเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆขึ้น ให้ช่วยดูแลเด็กทั้งสองแทนเขาด้วย และจงรู้ไว้ว่าทุกสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป ดังที่ว่า หากจะหลอกศัตรูให้แนบเนียนต้องหลอกพวกเดียวกันก่อน และเบียกโกะยังไม่ไว้ใจพวกทาคุมะเต็มร้อย เขาจึงไม่ได้ขอร้องเอาไว้ แม้แต่ตัวแร็กนาร์เองเบียกโกะยังคงปิดบังแผนบางส่วน มีเพียงคำเตือนนั้นและคำขอร้อง 2 ข้อ จากเจ้าตัวเท่านั้น

แร็กนาร์ที่รับคำขอร้องนั้นมาจึงรู้ดีว่าเบียกโกะปลอดภัย และเขาก็เข้าใจมากพอว่าความคิดนี้จะบอกใครไม่ได้ เพราะเขาเองก็ยังไม่เชื่อใจใครเช่นเดียวกัน จึงต้องห้ามเด็กน้อยฝาแฝดตามที่รับปากเอาไว้เท่านั้น และดูเหมือนรูร์กัสกับโกยาตเลย์จะเข้าใจความคิดนี้พวกเขาจึงทำใจให้สงบลงได้ภายในเวลาไม่นาน

“อย่าห้ามนะ ข้าจะไป ข้าจะไป ท่านพ่อข้ากำลังจะตาย พวกเจ้าไม่เข้าใจรึไงกัน” ฮิโรกิไม่แม้แต่จะเรียกสติตนกลับมา เขาหลับหูหลับตากล่าวเช่นนั้นแล้วเข้าไปผลักแร็กนาร์กับรูร์กัสที่ขวางทางอยู่ ร่างที่แทบหมดแรงจึงเซล้มไปทับรูร์กัสจนล้มลงไปที่พื้นทั้งคู่

ซูม! เพล้ง

เอลลูญ์ใช้พลังสายฟ้าเป็นม่านขวางฮิโรกิเอาไว้ แต่ด้วยพลังที่มากเกินไปจึงกระทบเข้ากับมิติปิดกั้นจนแตกออก ฮิโรกิที่ชนเข้ากับม่านพลังสายฟ้ากระโดดถอยหลังด้วยความตกใจ หลังจากที่แตะโดนเพียงน้อยนิด ก็เจ็บแปล็ปไปทั่วร่าง
ฮิเดโอะเองที่กำลังพุ่งตัวตามฮิโรกิไปก็ชะงักด้วยความตกใจ และในจังหวะนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา

‘เบียกโกะปลอดภัย ไม่ตายๆ’

"กรู้ กรู๊"

มันคือเสียงเขาเจ้าโกยาตเลย์นั่นเอง มันเข้าใจจุดประสงค์ของแร็กนาร์ จึงช่วยคิดหาทางบอกเด็กชายฝาแฝดโดยไม่ให้ผู้ใดรับรู้
ด้วยความสามารถสื่อสารทางจิตอันแข็งแกร่งของมันที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ตามความปรารถนาที่แรงกล้า มันจึงรู้ว่าตนทำเช่นนี้ได้ โดยลองใช้ขออนุญาตจัดการเรื่องนี้จากแร็กนาร์เมื่อครู่

เด็กน้อยทั้งสองลังเลก่อนที่จะมองใบหน้าที่จริงจังของเจ้านกตัวน้อย สลับกับแร็กนาร์และรูร์กัส จนเจ้าตัวยอมสงบลงในที่สุด
เหตุการณ์ที่อยู่ๆความเงียบก็เข้าปกคลุม เด็กชายฝาแฝดที่สงบลงนั้นสร้างความประหลาดใจให้เรย์ นาฟ และเอลลูญ์ไม่น้อย แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเงียบแล้วกลับไปสนใจเหตุการณ์ด้านนอก ยิ่งได้ฟังบทสนทนาอันแสนชั่วช้าเหล่านั้น พวกเขาจึงโกรธเกรี้ยวในใจ ทั้งสงสาร ทั้งเวทนาซาดาโอะผู้ที่ถูกหลอกใช้เป็นอย่างยิ่ง การหลอกใช้ความรู้สึกรักของผู้อื่นเช่นนี้ช่างต่ำช้าเสียยิ่งกว่าสัตว์นรกตนใด น่ารังเกียจจนเกินกว่าจะให้อภัย

และแล้วพวกเขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อพบว่า เบียกโกะยังไม่ตาย ร่างกายของเขาดูแข็งแรงกว่าสภาพโชกเลือดดังที่เห็นภายนอก ภายในห้องจึงเต็มไปด้วยความโล่งใจที่เห็นว่าทุกอย่างกลับมาเข้าที่เข้าทาง

แร็กนาร์เองก็รู้สึกโล่งใจเช่นเดียวกันที่ตนถ่วงเวลาเอาไว้ได้สำเร็จ เพียงเท่านี้แผนการก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น องครักษ์ตัวน้อยทั้งสองของเขาก็ยังคงปลอดภัย อาการของเจ้าตัวจึงดีขึ้นไม่น้อย

“เสียงฝีเท้า มิติปิดกั้นแตกไปแล้ว เราคงซ่อนตัวอีกไม่ได้” แร็กนาร์กลับมาอยู่ในท่าทางปกติ อาการเจ็บที่หน้าอกสงบลงแล้ว ประสาทสัมผัสจึงกลับมาเฉียบคมเช่นเดิม จากที่ได้ยินบ่งบอกว่าพวกมันอยู่ไม่ไกลมากนัก คงเพราะพวกมันคาดเดาว่าทาคุมะ เรย์ นาฟ และเอลลูญ์ ซ่อนตัวอยู่ที่นี่

เทโทระที่หลอกใช้ซาดาโอะคงไม่ได้บอกกล่าวถึงการมาของทาคุมะเพราะกลัวเสียแผน ดังนั้นพวกมันคงคิดฆ่าปิดปากในเวลานี้เป็นแน่ ก่อนหน้านี้พวกมันคงไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาจึงเพียงแค่วนเวียนตามหาอยู่บริเวณนี้ แต่เวลานี้มิติปิดกั้นแตกด้วยพลังของเอลลูญ์ไปแล้วจึงไม่อาจปกปิดตัวตนของพวกเขาได้อีก

“แย่แล้ว พวกมันมีเยอะซะด้วยสิ” เรย์ก็ได้ยินเสียเช่นเดียวกัน เขาแปลกใจที่แร็กนาร์ได้ยินอยู่ไม่น้อย เพราะเสียงมันเบามาก ถึงขั้นที่คนที่เหลือไม่รู้สึกถึงมัน แต่ก็ได้แต่เก็บข้อสงสัยไว้ในใจ

“พวกที่มีฝีมือจริงๆมีแค่ 3 คน แต่พวกที่เหลือก็เยอะกว่าเราหลายเท่าตัว” จากการวิเคราะห์จากฝีเท้านั่นคือข้อสรุปของแร็กนาร์ พวกมันคงคิดกำจัดพวกเขาด้วยกำลังคนที่มากกว่า

ในห้องเหลือเพียง แร็กนาร์ รูร์กัส โกยาตเลย์ ฮิเดโอะ ฮิโรกิ เอลลูญ์ เรย์ และนาฟ เหลือเพียงเด็กน้อย และลูกครึ่งที่มีพลังเพียงน้อยนิด กับจำนวนศัตรูที่มากกว่าหลายเท่า นั่นทำให้พวกเขาอยู่ในช่วงวิกฤติยิ่งกว่าด้านนอกเสียแล้ว

“พวกเราสู้กับพวกนั้นทั้งหมดไม่ไหว คงต้องวางแผนกำจัดหัวหน้าของพวกมันทั้ง 3 คนนั้นก่อน” แร็กนาร์เสนอความคิดของตน เขามีแผนอยู่มาก แต่ต้องถามความสมัครใจของพวกนั้นเสียก่อน

“ข้าเห็นด้วย แต่เราจะใช้วิธีไหนล่ะ” เรย์กล่าวสบทบ เพราะเขาเองก็เป็นอีกคนที่รับรู้ถึงภัยคุกคามนั้น ส่วนคนอื่นๆนั้นตอนนี้แทบจะทำหน้าเหลอหลาด้วยความงุนงงไปเสียหมด ใบหน้าฉายแววคำถาม เจ้าพวกนี้คุยบ้าอะไรกัน

“ถ้าเราหลอกล่อให้พวกนั้นแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ก็จะล่าหัวของผู้ที่แข็งแกร่งได้ง่ายขึ้น” แต่ถึงเป็นเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองก็หาได้สนใจผู้คนรอบข้างแต่อย่างใด กล่าวต่อไปโดนไร้ความสงสารที่จะไขความกระจ่างให้ผู้อื่นไม่

“ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องหลอกล่อให้พวกมันสลัดหลุดจากเหล่าสมุนที่ติดสอยห้อยถามมานั้นด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็จะได้เปรียบมากว่า” เรย์กล่าวเสริมแผนการของแร็กนาร์ แร็กนาร์เองก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะเขาก็คิดเอาไว้เช่นเดียวกัน

“ใช่ แต่ประเด็นหลักของเราคือการแบ่งกลุ่มต่อสู้ ถึงพวกมันจะถูกล่อหลอกให้อยู่ตนเดียว ข้าคิดว่าพวกมันต้องแกร่งกว่าพวกเราแน่นอน ถ้าไม่วางแผนดีๆฝ่ายเราต่างหากที่จะเพลี่ยงพล้ำ” กล่าวจบแร็กนาร์ก็มองเรย์อย่างขอความเห็น เพราะจากที่แบ่งได้ชัดเจนคงได้เพียงสองกลุ่ม หากแบ่งเป็นสามมันจะมีโอกาสพลาดมากเกินไป

“ข้าคิดว่าควรแบ่งตามความคุ้นเคยของพลัง เพราะอย่างไรหากต้องร่วมกันโจมตีต้องรู้จักพลังของอีกฝ่ายดี จึงมีโอกาสชนะมากกว่าจับคู่กับคนที่เราไม่คุ้นเคย” เรย์กล่าวด้วยความหนักใจ เขาพอจะเข้าใจแร็กนาร์ เพราะเขาเองก็จนปัญญาจะแบ่งกลุ่มให้ออกเป็นสาม ในเมื่อผู้ที่ดูท่าจะพึ่งพาได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย

“นั่นสินะ หรือเราควรเปลี่ยนแผน แผนนี้เสี่ยงเกินไป”

..

..

..

ภายในห้องเตรียมพร้อมด้วยความระทึก รอคอยให้พวกมันเข้ามาใกล้ในระยะพอเหมาะที่จะเริ่มแผนการ

แร็กนาร์ให้สัญญาณเริ่มต้นพวกเขาก็แยกตัวออกเป็น 3 ทางด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเหล่าลูกสมุนระดับต่ำจะตามทัน เป้าหมายคือล่อศัตรูให้ออกไปสู้นอกกำแพง เพื่อไม่ให้รบกวนการต่อสู้ภายใน

กลุ่มแรกที่พ้นเขตประตูทิศตะวันตกคือ กลุ่มของเด็กชายฝาแฝดทั้งสอง เพียงแต่ไม่ได้มีเพียงพวกเขา ที่ความเร็วเหนือกว่ากลุ่มอื่นเพราะเจ้าตัวนั่งอยู่บนสัตว์สี่เท้าตัวสีแดงเพลิงตัวใหญ่ยักษ์ที่สามารถแบกรับน้ำหนักของผู้ใหญ่ได้ 2-3 คน นอกจากนี้ยังห้อมล้อมไปด้วยเจ้าสัตว์สี่เท้าตัวเล็กอีก 8 ตัว พวกเขากำลังอยู่ในฝูงหมาป่าเพลิงนั่นเอง

ชิบะ คือ สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของปีศาจน้อยทั้งสอง พวกเขาเก็บมันมาเลี้ยงตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ เพราะหาพ่อแม่มันไม่เจอ ช่องที่เขาเคยคิดจะใช้หลบหนีเมื่อครั้งที่พาแร็กนาร์ลอบเข้ามาคือช่องสำหรับการออกจากบ้านของเจ้าสัตว์ตัวนี้นั่นเอง เพียงแต่เวลานี้มันตัวใหญ่เกินกว่าจะใช้ช่องทางนั้นแล้วเท่านั้นเอง

หากจะเข้ามาด้านในมันเพียงกระโดดข้ามกำแพงอันสูงชะรูดเท่านั้น ที่ใช้อยู่ก็เลยคงมีแค่ลูกๆของมันเท่านั้นเอง

ฮิเดโอะกับฮิโรกินั้นเว้นระยะห่างจากเจ้าสัตว์ตัวโตตั้งแต่มันเริ่มออกไปสร้างครอบครัวด้านนอก เพราะหมาป่าเพลิงเกลียดมนุษย์ มันจึงให้กลิ่นมนุษย์ติดตัวกลับรังไปบ่อยนักไม่ได้ แต่เวลานี้ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์มังคงรับรู้ถึงเงาร้ายที่กล้ำกลายหมายจะทำลายชีวิตผู้มีพระคุณของมัน มันจึงได้กลับมาพร้อมลูกๆเช่นนี้

ในตอนแรกที่แร็กนาร์กับเรย์กำลังหารือกันเรื่องเปลี่ยนแผนการ ก็ต้องชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฝูงสัตว์สี่เท้าที่กำลังพุ่งทะยานเข้าตรงมาบริเวณนี้ด้วยความเร็ว ภายใต้สถานการร์ตรึงเครียดที่ยากจะรับมือเช่นนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงเตรียมพร้อมต่อสู้เท่านั้น การเคลื่อนที่ที่เร็วเกินไปเหล่านั้น จะเตรียมแผนการใดรับมือได้ทันเล่า

แต่แล้วเมื่อพวกมันโผล่พรวดเข้ามา สถานการณ์ตรึงเครียดก็คลี่คลายลงด้วยเสียงร้องดีใจของเด็กชายฝาแฝด

ทั้งยังมั่นใจถึงขั้นเสนอให้ใช้แผนเดิมดังที่แร็กนาร์ปรึกษากับเรย์ในตอนแรก และผู้เสนอก็ยังคงเป็นฮิเดโอะผู้ฉลาดเกินเด็กอีกเช่นเคย เขาปะติดปะต่อคำพูดเหล่านั้นแล้วจึงเข้าใจแผนการในที่สุด แต่ตอนแรกเขาไม่กล้าสอดปากออกความเห็น เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นตัวถ่วงในแผนการนี้มากที่สุด จะเรียกร้องสิ่งใดได้อีกเล่า

เมื่อเจ้าชิบะโผล่มาจึงเรียกความมั่นใจให้เขาไม่น้อย เจ้าตัวอยากช่วยให้มากที่สุด จึงเสนอตัวที่จะจัดการศัตรูให้ โดยยกเหตุผลด้านพลังของเจ้าสัตว์สี่เท้าทั้งฝูงว่าเก่งกาจเพียงใด แม้แร็กนาร์จะห่วงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยอมรับให้ความเด็ดเดี่ยวที่ฉายออกมาทางแววตาจของเด็กทั้งสอง เขาจึงทำเพียงฝากฝังความปลอดภัยของเด็กน้อยกับเจ้าหมาป่าเพลิง 9 ตัวนี้เท่านั้น

และด้วยความเร็วที่แต่ละกลุ่มออกตัวไปคนละทิศ ทำให้เหล่าหัวหน้าที่นำลูกสมุนทั้งสามตัดสินใจพุ่งตัวออกไปโดยทิ้งสมุนที่ไร้ความเร็วเอาไว้เพียงเท่านั้น หากตนใดตามทันก็ตามไป แต่หากไม่ทันก็ถูกทิ้งไว้ตามรายทาง จนในที่สุดฝ่ายที่ตามพวกฮิเดโอะกับฮิโรกิมาเหลือเพียงตัวหัวหน้าที่เก่งที่สุดเพียงตนเดียว

พวกเขาหยุดลงในระยะที่มากพอ รอเพียงชั่วครู่ศัตรูตัวร้ายที่พวกเขาจำได้ขึ้นใจก็โผล่หัวออกมา

“หึๆ เจอกันอีกแล้วนะขอรับนายน้อย” ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาคือคุระ เจ้าปีศาจร้ายสมาชิกของกลุ่มโนบุที่ใช้มือจ้วงแทงหมายสังหารเขาเมื่อคราวก่อนนั่นเอง

“กรร” เสียงหมาป่าเพลิงดังระงมเพื่อข่มขู่ศัตรูของมัน ขนบนร่างก็ตั้งชัน เตรียมพร้อมสู้ทุกขณะ

ฮิเดโอะนั้นแม้อายุยังน้อย แต่เขาก็มีพรสรรค์ของสายเลือดตระกูลยาฉะ จึงสามารถสื่อจิตกับสัตว์ทั้ง 9 ได้เป็นอย่างดี  ด้วยที่คลุกคลีกันมาตั้งแต่เด็กทำให้เด็กน้อยก้าวข้ามข้อจำกัดที่จะควบคุมสัตว์ได้เพียงน้อยนิดนั่นไป หนึ่งปีศาจ เก้าสัตว์จึงรวมใจเป็นหนึ่งเดียว

ลูกๆของชิบะกระโจนหายเข้าไปในพุ่มไม้รอบด้าน เหลือเพียงเจ้าสัตว์สี่เท้าตัวโตที่ขึ้นขี่ด้วยเด็กน้อยฝาแฝดทั้งสอง และศัตรูอีกหนึ่งตนเท่านั้น

มือเล็กลูบแผงคออย่างใจเย็น เขาต้องการให้เจ้าชิบะทำตามแผนโดยไม่วู่วามตามวิสัยของหมาป่าเพลิง   เจ้าหมาป่าเพลิงตัวโตก็รับรู้ถึงสัมผัสนั้นมันจึงหยุดชะงักการจู่โจมของตนลง

“ข้าก็ไม่คิดว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งเร็วถึงเพียงนี้” น้ำเสียงเยือกเย็นเกินเด็กกล่าวตอบโต้ เวลาเป็นตายเช่นนี้ฮิเดโอะเข้าใจว่าตนควรเยือกเย็นและรอบครอบกว่าเวลาใด หากมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำพลาด แผนการทั้งหมดจะล้มเหลว เมื่อตระหนักเช่นนั้นเด็กน้อยจึงข่มใจให้สงบอยู่ได้เช่นนี้

คุระชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนมีท่าทางต่างออกไปจากคราวก่อน  เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์กลับทำให้เด็กน้อยเติบโตได้ถึงเพียงนี้นับว่าน่าตกใจไม่น้อยเลย

ฮิเดโอะเพียงยิ้มรับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปสบตากับฮิโรกิ  เพียงเท่านั้นแฝดน้องก็รับรู้ว่าแฝดพี่ของตนต้องการสิ่งใด จากนั้นร่างของฮิเดโอะก็แปรเปลี่ยนเป็นเสือดำก่อนจะทะยานตามเหล่าลูกของชิบะไป

“ฮ่าๆ  อะไรกันๆนายน้อยจอมขี้ขลาด ปากเก่งไปเท่านั้น ยังไม่สู้ก็หนีไปแล้วหรือ” คุระตะโกนไล่หลังฮิเดโอะอย่างเย้ยหยัน ดูถูกเด็กน้อยเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าฮิเดโอะจะไม่คิดแม้จะหันหลังกลับมามอง

“หุบปาก!”

“กรร!”

หนึ่งเจ้านาย หนึ่งสัตว์เลี้ยงตะหวาดเกล้าอย่างโกรธเกรี้ยว ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ใช้เพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้
ฮิโรกินั้นเชื่อเพียงสัญชาตญาณเขาจึงมีความสามารถในการควบคุมน้อยกว่าฮิเดโอะ  ด้วยที่แฝดพี่รู้เรื่องนี้ดี  เจ้าตัวจึงให้ฮิโรกิควบคุมเพียงชิบะเท่านั้น แม้ยิ่งตัวใหญ่จะยิ่งควบคุมยาก แต่เจ้าชิบะใช่จะไร้สมอง มันเก่งกล้าเกินพวกเขาเสียอีก การเริ่มแผนขั้นแรกจึงวางใจพวกเขาได้

ชิบะปลดปล่อยพลังเพลิงออกมาทั้งร่าง มันไม่กลัวฮิโรกิจะทนรับพลังอันล้นหลามไม่ไหว เพราะจุดแข็งของฮิโรกิคือความ
แข็งแกร่งของร่างกาย มันจึงไม่ต้องข่มพลังเช่นตอนที่ฮิเดโอะนั่งอยู่ เด็กทั้งสองมีจุดอ่อนและจุดแข็งต่างกันเช่นนี้เอง

“ไปกันชิบะ”

“กรร”

เมื่อผ่านจุดที่ต้องรับพลังปะทุไปได้ เปลวเพลิงนั้นก็ค่อยๆรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของฮิโรกิ เวลานี้ไฟจึงลุกไหม้โหมแรงโดยมีหนึ่งเจ้านายหนึ่งสัตว์เลี้ยงอยู่ใจกลางเปลวเพลิงนั้น

คุระเคร่งเครียดกับภาพที่เห็น เขาไม่คิดว่าเด็กตัวเท่านี้จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหมาป่าเพลิงอันแข็งแกร่งได้ แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อาจบังคับให้พลังของจิ้งจอกเพลิงปะทุเต็มที่ได้ถึงเพียงนี้

มันได้แต่คิดเคียดแค้นในใจ นี่สินะขีดจำกัดสายเลือด ช่างน่าอิจฉาเสียจริงๆเพียงสืบสายเลือด  ไม่ต้องพยายามสิ่งใดก็ได้รับพลังที่มากมายถึงเพียงนี้ คอยดูเถอะข้าผู้นี้จะกำจัดมันสิ้นซาก

ดวงตาของคุระแดงก่ำขึ้นไปอีกด้วยความรู้สึกดำมืด มันเกลียดชังเหล่าผู้มีขีดจำกัดสายเลือดเป็นอย่างยิ่งจึงได้รับงานนี้มาทำโดยไม่ห่วงชีวิต และแล้วมันก็มาถึง สิ่งที่วาดฝันนั่นคือเหยียบย่ำผู้มีขีดจำกัดสายเลือดให้จมดิน

ชิบะที่ถูกกระตุ้นพลังจนถึงขีดสุดกระโจนเข้าใส่คุระด้วยความเร็ว ปากอ้ากว้างคำรามและหมายกัดกินศัตรูที่อยู่ตรงหน้า

เคร้ง!

คุระยกดาบขึ้นรับคมเขี้ยวนั้นไว้อย่างทันท่วงที ดาบ  2 เล่มไขว่กันเพื่อรับแรงจู่โจมอันมหาศาล มันพยายามต้านทางพลังนั้นแต่ร่างกายก็ถูกอัดกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว แล้วหายไปจากระยะสายตาของคู่ต่อสู้

มันปรากฏตัวด้านขวาหมายจู่โจมลำคอ  แต่เจ้าชิบะก็ใช้เท้าหน้าตะปบรับไว้ได้ทัน มันเคลื่อนตัวไปรอบๆแต่ดูเหมือนไม่ว่าจะจู่โจมจากทิศทางใด เจ้าหมาป่าเพลิงก็รับได้เสียหมด

แต่ความเป็นจริงนั่นเป็นความสามารถของฮิเดโอะเขาสามรถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวด้วยสัมผัสทั้ง 5 อันแม่นจำ จึงสั่งการชิบะให้รับมือได้ทุกครั้งไป

“แก!” คุระกัดฟันโกรธ จ้องมองอย่างโกรธเกรี้ยว คิดริษยาในใจว่าที่เขาสังหารฮิโรกิไม่ได้เสียทีเพราะหมาป่าเพลิงที่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของเขา ในใจจึงยิ่งฝังลึกด้วยความมืด เขาไม่รู้ว่าฮิโรกิต่างหากคือผู้ที่รับรู้ถึงตัวตนทั้งหมดของเขา จึงเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันริษยาอยู่เช่นนี้

ยิ่งเมื่อคิดถึงพลังที่หมาป่าเพลิงแสดงออกเมื่อเขาเข้าควบคุมยิ่งโกรธเกรี้ยว เจ้าหมาโง่ เหตุใดจึงฟังคนอ่อนแอ แต่ปฏิเสธผู้ที่แข็งแกร่งเช่นข้าเล่า

จิตใจของคุระมืดมิด ดังเจ้าตัวจมหายลงไปในบ่อโคลนอันดำมืด สติที่มีถูกดึงหายไป เหลือไว้เพียงความกระหายเลือดเพียงเท่านั้น

ก้อนสสารมืดที่ได้รับมาจากชายผู้นั้นปะทุออก กลายเป็นขุมพลังสีดำห่อหุ้มร่างกาย พลังชีวิตถูกรีดเร้นออกมาใช้จนเกิดพลังอันมหาศาลเกินปีศาจทั่วไป

ดังเครื่องจักรสังหารที่พร้อมทำลายทุกสิ่งให้ราบเป็นหน้ากอง
 




  To Be Continued...

__________________________________________
สวัสดีค่า มาแล้วๆ จ่ายค่าตัวแร็กนาร์ไปแล้ว แต่ก็ยังมานิดเดียว กร๊ากก
นี่แหละน้าแร็กนาร์น้อยของเราเล่นตัวจริงๆเล้ย
เพราะอย่างนั้นขอพื้นที่ให้สองแฝดโชว์ฝีมือก่อนะคะ
เด็ก 2 คนนี้ก็น่ารักนะ ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจกันด้วยนะคะ
 ฟินๆกับ 2 แฝดขาวดำไปก่อนน้า
แล้วเจอกันจ้า

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 34 เงาร้ายกล้ำกราย (17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-12-2017 19:37:09
เอาอีกจิ นะน้าาา
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 34 เงาร้ายกล้ำกราย (17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-12-2017 20:26:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 35 ท่าไม้ตายสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 28-12-2017 15:27:24

ตอนที่ 35
ท่าไม้ตายสุดท้าย


สสารสีดำที่ห่อหุ้มร่างกายของคุระเต็มไปด้วยความน่าสะพรึง มันเต็มไปด้วยไอสังหารอันมหาศาลจนฮิโรกิแทบหายใจไม่ทั่วท้อง ส่วนเจ้าชิบะมันก็ปล่อบรังสีฆ่าฟันออกมาหักล้างไอสังหารเหล่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วฮิโรกิคงไม่อาจคงสติเอาไว้ได้เช่นนี้

ฮิโรกิรับรู้ได้ถึงความช่วยเหลือที่ได้รับ แม้ไร้ประสบการณ์การต่อสู้ แต่เขาก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าสสารนั้นอันตราย และเขาก็กำลังได้รับการปกป้องจากเจ้าชิบะ มือน้อยๆจึงลูบขนนุ่มบนหลังคอเจ้าชิบะด้วยความขอบคุณ

เวลานี้เขาต้องพึ่งเพื่อนตัวโตนี้ ฮิโรกิรู้ดีว่าตนยังอ่อนแอ จึงพยายามทำใจให้สงบแล้วเข้าควบคุมเจ้าชิบะอีกครั้ง เขาต้องละทิ้งความกลัวที่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างจากตัวถ่วงเช่นที่ผ่านมา

เปลวเพลิงที่แดงที่ลดลงเล็กน้อยตั้งแต่ฮิโรกิควบคุมความรู้สึกตนเองไม่ได้นั้นก็ลุกโหมขึ้นอีกครั้ง ได้เวลาเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจตนนี้แล้ว

บรรยากาศรอบด้านกดดันขึ้นเรื่อยๆดังทดสอบความอดทนว่าใครจะเผยช่องว่างให้อีกฝ่ายเข้าโจมตีก่อน ดวงตาสีแดงของทั้งสามก็ทอประกายท่ามกลางความมืด จดจ้องอย่างไม่ลดละจนในที่สุดผู้ที่ขยับตัวก่อนก็เป็นฝ่ายของฮิโรกิ

หมาป่าเพลิงพุ่งเข้าใส่คุระที่เปิดช่องว่างเพราะหันไปสนใจเสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังขึ้นรอบๆจนเสียจังหวะไปชั่วขณะ และเสียงที่ดังขึ้นก็เป็นดังสัญญาณที่ส่งให้พวกฮิโรกิว่าจงสู้ให้เต็มที่

นอกจากจะเตรียมแผนขั้นถัดไปแล้ว ฮิเดโอะยังไปเตรียมสถานที่ต่อสู้ด้วย การต่อสู้ด้วยเปลวเพลิงภายในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้คงไม่แคล้วป่านี้จะถูกเผา เขาและลูกๆของชิบะจึงจัดการล้มต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยให้ล้มลง ไม่ให้ไฟลุกลามไปถึงป่าโดยรอบไปมากกว่านี้ หากจะทำลายก็ทำในพื้นที่ที่จำกัดเอาไว้เท่านั้น

ดังนั้นเวลานี้เองชิบะก็ไม่ต้องคำนึงว่าไฟจะลุกลามไปถึงบ้านของมัน หรือป่าที่เป็นดังสวนในบ้านของมันอีก เมื่อไร้ห่วงพลังที่ระเบิดออกมาจึงเพิ่มมากขึ้น ความเร็วและพลังก็เพิ่มขึ้นเมื่อปราศจากความลังเล

ชิบะอ้าป้ากกว้างขณะพุ้งจู่โจม เปลวไฟสีแดงถูกพ่นออกจากปากพุ่งเป้าไปที่ศัตรู แต่น่าเสียดายคุระหลบมันได้อย่างง่ายดายไฟจึงพุ่งไปโดนต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังเกิดเพลิงลุกไหม้ต้นไม้ใหญ่จนหักโค่นล้มลงทับต้นที่อยู่ข้างๆ ไฟลุกลามเป็นวงกว้าง อนุภาพมันร้ายแรงถึงขั้นทำลายต้นไม้ใหญ่โตลงได้ง่ายๆ หากเป็นศัตรูของมันคงมีสภาพไม่ต่างจากต้นไม้ต้นนั้นเลย

คุระหลับเปลวไฟทันอย่างฉิวเฉียด แม้มีสติสัมปชัญญะเหลือเพียงน้อยนิดก็ตาม ความมืดที่เต็มไปด้วยไอสังหารนั้นควบคุมสติจนแทบไม่อาจควบคุมพลังในร่างได้

และน่าเสียดายที่เปลวเพลิงเมื่อครู่เป็นเพียงตัวล่อ ร่างของชิบะหายไปจากระยะสายตาตั้งแต่ที่คุระพุ่งตัวหลบ มันไปปรากฏตัวอยู่ด้านนั้นอยู่ก่อนแล้ว ดังคาดการณ์ได้ว่าคุระจะหลบไปทิศทางใด

ฮิโรกินั้นเชื่อในสัญชาตญาณอันเฉียบแหลม และบางครั้งมันก็ไม่ต่างจากการวัดดวง ในเสี้ยวความคิดมีความคิดที่ว่าคุระต้องไปที่ตรงนั้นเขาก็สั่งให้ชิบะไปรออย่างไม่ลังเล

ชิบะอ้าปากเผยคมเขี้ยวอันแหลมคมกัดเข้าที่ไหล่ของคุระอย่างจังจนเลือดสีแดงพุ่งกระฉูดเปรอะเปื้อนไปทั่วปาก

“อ้าก!” ความเจ็บปาดแล่นไปทั่วร่าง แต่คุระก็ฝืนสลัดตัวออกจากคมเขี้ยวนั้น เขากระโดนถอยหลังอย่างโกรธแค้น ไหล่ซ้ายที่ถูกกัดก็หายไปหลายส่วน กลายเป็นแผลกว้างอันน่าหวาดกลัว

แต่เพียงไม่นานเลือดก็หยุดไหล สสารสีดำค่อยๆห่อหุ้มบริเวณนั้นปิดปากแผลอย่างง่ายดาย ก่อนที่จะสร้างเนื้อเยื่อใหม่ซ่อมแซมส่วนที่หายไปอย่างน่าอัศจรรย์

ฮิโรกิกับชิบะมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง สิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขาแล้ว ความเสียหายมากมายเช่นนั้นกลับรักษาได้ในชั่วอึดใจ การต่อสู้ครั้งนี้คงยากลำบากกว่าที่ผ่านมาอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

“ฮ่าๆ เป็นอะไรไปเล่า ตกใจรึ หึหึ หรือหวาดกลัวกัน เอ้า! เข้ามาสิ” คุระกล่าวอย่างท้าทาย เขาเองก็ตกใจกับพลังที่ได้รับมา เพราะครั้งนี้เขาใช้มันเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเห็นความอัศจรรย์เช่นนี้ เขาก็รับได้อย่างง่ายดาย

เขาไม่คำนึงถึงสิ่งที่แลกมาแม้แต่น้อย พลังนี้ยิ่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ หรือเพิ่มพลังมากเพียงใด อายุขัยยิ่งสั้นลง พลังชีวิตที่ถูกดึงมาใช้ก่อนเวลานั้นจะยิ่งลดลงอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่นานความตกใจเหล่านั้นก็หมดไป ฮิโรกิกับชิบะเข้าจู่โจมอีกครั้ง ชิบะพ่นไฟครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คุระก็ยังหลบได้ ฮิโรกิรับรู้ในทันทีว่าเวลานี้ความเร็วของคุระเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การต่อสู้จึงยากลำบากมากขึ้นไปอีก

ไม่ว่าพวกเขาจะโจมตีกี่ครั้งคุระก็จะสามารถฟื้นตัวได้ทุกครั้งไปไม่ต่างจากร่างกายที่เป็นอมตะเลย ในที่สุดฝ่ายที่ล้าก่อนก็เป็นเจ้าชิบะ มันเริ่มเหนื่อยและหมดพลัง ร่างกายหอบแฮ่กอย่างห้ามไม่อยู่

เห็นดังนั้นคุระจึงยิ่งโจมตีกลับไปหนักขึ้น จากที่ความเร็วเท่ากันก็กลับกลายเป็นว่าเจ้าชิบะช้าลง จากที่ไล่ต้อนจึงเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงบ้าง

ดาบของคุระไม่อาจสร้างรอบแผลให้เจ้าชิบะได้เขาจึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ คำนึงถึงพลังใหม่ที่ได้รับ แล้วลองเพ่งให้สสารสีดำห่อหุ้มดาบของตน เป็นดังคาดมันเป็นไปได้ จากนั้นก็ทดลองใช้

คุระพุ่งเข้าใส่ชิบะ ฝ่ายเจ้าหมาป่าเพลิงก็พ่นไฟใส่ร่างนั้น แต่ด้วยความเร็วที่มากกว่าทำให้คุระหลบได้อย่างไม่ยากเย็น เพียงเบี่ยงตัวเล็กน้อยเขาก็หลบมันพ้น

“ดาบผ่าเกราะ”

ร่างที่เต็มไปด้วยสสารสีดำนั้นพุ่งตัวไปด้านขวาของชิบะแล้วง้างดาบขนานไปกับแนวราบ คมดาบลากผ่านตั้งแต่กลางลำตัวไปจนถึงส่วนหาง

“โฮก!” เจ้าชิบะร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แผลที่เป็นแนวยาวเต็มไปด้วยเลือด แต่กระนั้นมันก็ไม่ยอมล้มลง ยังคงจ้องมองศัตรูอย่างไม่ยอมแพ้

“อา ข้าโจมตีได้แล้ว” คุระกล่าวพร้อมกับยกดาบขึ้นมาตวัดล้นชิมเลือดอย่างไม่คิดรังเกียจ ดวงตาก็ทอประกายกระหายเลือด กลิ่นเลือดของศัตรูช่วยกระตุ้นสัญชาตญาณของเขาจนในใจมีแต่คำสั่งให้ฆ่า ฉีกกระชากร่างของศัตรูออกเป็นชิ้นๆ เพื่อลิ้มรสกลิ่นคราวเลือดอันหอมหวาน

ดวงตาสีแดงของเผ่าพยัคฆ์ถูกย้อมจนเป็นสีดำ สิ่งที่ทอประกายในดวงตานั้นมีเพียงความตาย จากนั้นก็พุ่งเข้าจู่โจมอีกครั้ง
การต่อสู้เต็มไปด้วยความกดดัน ร่างของชิบะเริ่มเกิดบาดแผลที่เต็มไปด้วยเลือดมากมาย พละกำลังก็เริ่มลดลง ส่วนทางคุระนั้นกลับต่อสู้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ พลังชีวิตลดลง แต่ก็สร้างความหวั่นเกรงให้คู่ต่อสู้ไม่น้อย ใครก็ต้องหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ฟื้นฟูได้รวดเร็วดังว่าไม่มีวันตายเช่นนี้

“แฮ่กๆ” ชิบะเว้นระยะห่างออกมาตั้งหลัก ร่างของมันเหนื่อยล้าเต็มที แต่แววตาคู่นั้นก็หาได้หวั่นเกรง มันพร้อมสู้แลกด้วยชีวิตหากมีคำสั่งจากนายน้อยของมัน

“ชิบะ ไม่เป็นไร” ฮิโรกิเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ ดวงตานั้นไหววูบด้วยความยินดีเมื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพี่ชาย หน้าที่ของเขาสำเร็จแล้ว แม้จะหนักหนากว่าที่คิดเอาไว้ก็ตาม

คุระไม่ได้รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวรอบๆ เพราะคิดเพียงสังหารศัตรูที่อยู่ตรงหน้า มันจึงทุ่มกำลังเข้าจู่โจมชิบะอีกครั้ง แต่เพียงก้าวได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักงัน รอบๆของมันเต็มไปด้วยลูกไฟที่พุ่งเข้าใส่จากทุกทิศทาง ไม่อาจหลบหนีไปจากการโจมตีครั้งนี้ได้อีก

“อ้าก!” ไฟโหมกระหน่ำลุกไหม้ดังร่างนั้นเป็นเชื้อเพลิง แม้ลูกไฟแต่ละลูกจะอนุภาพไม่เท่าเปลวเพลิงของชิบะ แต่เมื่อมันถูกโจมตีไปที่จุดเดียวกันถึง 8 ลูก ความรุนแรงของมันจึงไม่ต่างกันเลย

ร่างของคุระดิ้นเร่าๆในเปลวเพลิงอย่างเจ็บปวด แต่แล้วก็เกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้นอีกครั้ง

“อว้าก!” คุระหยุดดิ้นแล้วขับพลังในร่างให้ปะทุอีกครั้ง จนเปลวเพลิงนั้นดับลงด้วยกระแสลมที่ปะทุออกมาจากสสารสีดำ พลังชีวิตแทบจะถึงขีดสุด เขาไม่คิดห่วงชีวิตของตนอีกแล้ว การต่อสู้นี้แม้แลกด้วยชีวิต ก็ต้องชนะให้จงได้ เขาต้องสังหารพวกมันทั้งหมดจนไม่เหลือซาก

ภาพอันน่าสยดสยองเกิดขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของคุระเต็มไปด้วยบาดแผลไฟไหม้ มีแผลเหวอะหวะไปทั่วร่างกายดังศพเดินได้ก็ไม่ปาน ทั้งยังห่อหุ้มด้วยสสารสีดำนั้นอีกยิ่งเพิ่มความสยดสยองได้หลายเท่าตัว

สสารสีดำค่อยๆฟื้นฟูร่างกายอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับยังคงเหลือร่องรอยของแผลเป็นเหวอะหวะทั่วร่าง ใบหน้า หรือเส้นผมบนศีรษะก็ไม่อาจกลับมาอยู่ในสภาพเดิม เวลานี้ร่างกายของคุระดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง ใครได้มองคงไม่อาจจดจำเขาได้อีกแล้ว
คุระจ้องมองสภาพของตนด้วยความโกรธยิ่งขึ้นไปอีก ฮิเดโอะเห็นโอกาสที่คุระยังจดจ่อกับร่างของตนสั่งการให้ลูกๆของชิบะเข้าโจมตี

‘อิจิโจมตี’

คำสั่งถูกส่งไปที่อิจิเจ้าลูกหมาตัวที่หนึ่งซึ่งซุ่มรออยู่ด้านหลังของคุระ พวกมันทั้ง 8 ตัวถูกสั่งให้ซุ่มตัวอยู่ในความมืด โดยล้อมรอบตัวของคุระเอาไว้เป็นวงกว้าง แล้วเข้าจู่โจมตามลำดับที่ฮิเดโอะสั่งการ

“ฮิโรกิ ชิบะ ยังมีพลังเหลือพอสินะ เตรียมการโจมตีสุดท้ายได้เลย ข้ากับลูกๆของชิบะจะเตรียมการรอให้เอง ทุ่มพลังทั้งหมดใช้ท่าไม้ตายนั่นซะ!” ฮิเดโอะเปลี่ยนแผนฉับพลัน การจับเป็นใช้ไม่ได้อีกแล้ว สัตว์ประหลาดเช่นนี้ต้องกำจัดสถานเดียว ไม่เช่นนั้นผู้ที่เพลี่ยงพร้ำจะเป็นพวกเขาเอง

“รับทราบ เริ่มกันเลยชิบะ!” ฮิเดโอะสั่งการทันที จากนั้นฮิโรกิก็เข้าสู่สมาธิเพื่อใช้ท่าไม้ตายสุดท้าย ฮิโรกิส่งพลังทั้งหมดของตนไปให้กับชิบะ แต่เพื่อให้มันเสถียรและเข้ากันได้ดีที่สุด การทำเช่นนี้จึงต้องใช้สมาธิและเวลามากกว่าการใช้ท่าทั่วๆไป

ฮิเดโอะออกห่างจากตัวชิบะเมื่อสังการจบ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ต้นที่ยังไม่ถูกทำลายเพื่อมองให้เห็นภาพรวมด้านล่างทั้งหมด

อิจิเข้าโจมตีจากด้านหลัง มันใช้หัวพุ่งชนจนคุระกระเด็นไปด้านหน้า จากนั้นก็กระโดดหลบเข้าสู่เงามืดอีกครั้ง

‘นิจัง ซันจิ ที่แขน’

คำสั่งออกมาอีกครั้งเมื่อคุระหันไปสนใจอิจิที่ลอบโจมตีเมื่อครู่ นิจัง กับ ซันจิ จึง จึงพุ่งออกมาจากฝั่งซ้ายและขวา ใช้เขี้ยวอันแหลมคมฉีกกระชากแขนของคุระตัวละข้างแล้วพุ่งตัวสลับฝั่งกันอย่างรู้ใจ

“อ้าก!” ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อแขนทั้งสองข้างของคุระขาดกระจุยติดไปกับปากของหมาป่าเพลิงทั้งสองตัว ร่างกายที่ขาดไปไม่สามารถงอกใหม่ได้หากเป็นชิ้นส่วนสำคัญเช่นนี้ ต้องนำมันกลับมาต่อคืนเท่านั้น คุระจึงทำได้เพียงปิดปากแผลเอาไว้แล้วชิงแขนของตนคืนมาเท่านั้น

“ไอ้หมารอบกัด! เอาแขนของข้าคืนมา!” คุระคุ้มคลั่ง วิ่งตรงไปยังทิศทางของนิจังในทันที เขาต้องเอาแขนขวาคืนมาเสียก่อน

‘โยโนะ โกจิ’

โยโนะ กับ โกจิ พุ่งตัวจากด้านหลังของนิจัง เข้าสกัดกั้นการโจมตีของคุระในทันที พวกมันพ่นลูกไฟไปที่ขาของคุระตัวละข้าง จากนั้นก็วิ่งผ่านตัวคุระไป

“แกๆๆ ไอ้พวกเดรัจฉาน! วันนี้ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้จงได้!” คุระไม่ยอมทรุดตัวลง มันยังคงยืนหยัดแล้วพุ่งตรงไปหานิจัง

“หงิง!” นิจังลอยละลิ่วด้วยแรงเตะของคุระ แขนที่คาบไว้ก็หลุดออกจากปาก เห็นดังนั้นคุระจึงตวัดเท้าเตะให้แขนของตนลอยขึ้น คาบเอาไว้ แล้วนำไปต่อคืนในทันที

‘โรคุ’

ฮิเดโอะแม้จะห่วงนิจังแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ตนคาดสายตาจากเป้าหมาย ยังคงโจมตีต่อไป ไม่ปล่อยให้แผนการผิดพลาด ไม่เช่นนั้นการโจมตีของทุกตัวที่ทุ่มเทมาคงสูญเปล่า

โรคุกระโดดลงจากต้นไม้ มันกัดคอของคุระพร้อมโถมน้ำหนักจากด้านบน คุระจึงล้มลงกับพื้น แขนที่กำลังจะถูกต่อกลับคืนก็กระเด็นหลุดไป

‘นานะ ฮะจิ ช่วยโรคุ’

หมาป่าเพลิงทั้งสองเข้าไปกัดขาของคุระ พร้อมฉีกกระชากขานั้นให้หลุดออกมา

“ย้าก!” คุระรีดเค้นพลังทั้งหมดจากร่างกาย พลังที่พุ่งออกมาพาให้หมาป่าเพลิงทั้งสามกระเด็นออกไป และการต่อแขนของมันก็สำเร็จลุล่วง

คุระยืนขึ้นอีกครั้งด้วยความโกรธเกรี้ยว เวลานี้มันไร้สติมีเพียงความต้องการฆ่า เพราะความทรงจำในส่วนลึกบางส่วนปรากฏขึ้นมา พลังของผู้สืบสายเลือดตระกูลยาฉะ สายเลือดผู้ควบคุมสัตว์อันเข้มข้นกว่าปีศาจตนใด

มันจึงคิดได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีทั้งหมดคือเจ้าเด็กเจ้าเล่ห์ เด็กแฝดผู้มีผิวสีคล้ำนั่นเอง สายตากระหายเลือดนั้นจึงถูกส่งไปยังฮิเดโอะที่อยู่บนต้นไม้แทน

ร่างอันน่าสยดสยองนั้นคำรามดังลั่นก่อนจะพุ่งตัวขึ้นไปหมายโจมตีฮิเดโอะ

หวิ๊ง!

แต่แล้วก่อนที่การจู่โจมจะถึงตัวฮิเดโอะร่างของมันก็ไม่อาจขยับได้ เสียงของเส้นเชือกที่เสียดสีกับร่างกายของคุระดังขึ้น เชือกสีแดงปรากฏขึ้นให้ประจักษ์แก่สายตา เชือกเส้นนั้นถูกโยงไปมาทุกทิศทาง ผูดมัดร่างของคุระไว้อย่างหนาแน่น และปลายเชือกแต่ละด้านก็ถูกยึดไว้ด้วยคมเขี้ยวของหมาป่าเพลิงเส้นละตัว ดังหลักที่ยึดใยแมงมุมเอาไว้ การกระทำเมื่อครู่ของพวกเขาคือการตรึงคุระเอาไว้นั่นเอง

เชือกชนิดพิเศษที่ปรากฏรูปร่างเมื่อได้รับแรงดึงมหาศาลจากทุกด้านนี้ ทำมากจากใยของแมงมุมมายาที่คอยจับเหยื่อไม่ให้หลุดลอดจากกับดักของมัน หากถูกจับแล้วไม่ว่าใครก็ไม่อาจดิ้นหลุดไปได้

“ดึง!” เสียงจากฮิเดโอะดังขึ้น พวกลูกหมาป่าเพลิงทั้ง 8 ตัวก็ออกแรงดึงจนคุระตกลงไปบนพื้น แต่มันยังคงพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไปได้ และดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้

“ปล่อยนะ ข้าบอกให้ปล่อย! ถ้าหลุดไปได้ข้าจะฆ่าพวกเจ้า จะฉีกกระชากให้เป็นหมื่นๆชิ้น พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าฟื้นฟูร่างกายได้ ฮ่าๆๆ ข้าไม่มีวันตายจงรู้เอาไว้ซะ!” เมื่อไม่ได้ดังใจต้องการ คุระจึงเริ่มข่มขู่ อย่างไรมันก็มั่นใจว่าเด็กและเดรัจฉานเหล่านี้ไม่มีทางสังหารมันลงได้

“หึหึ ถ้าเช่นนั้นก็ลองฟื้นฟูจากเถ้าถ่านที่แหลกเป็นขุนผงก่อนเป็นเช่นไร” ฮิเดโอะเอ่ยอย่างเหนือกว่า

“ย้าก!”

“โฮก!”

เสียงสัตว์ร้ายทั้งสองคำรามดังตอบรับคำกล่าวของฮิเดโอะ เปลวเพลิงสีแดงก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสีดำอย่างสมบูรณ์ ท่าไม้ตายสุดท้ายของพวกเขาสำเร็จแล้ว

“เพลิงทมิฬ!”

“โฮก!”

“ย้าก!”

สัญญาณการโจมตีดังขึ้น ฮิโรกิกับชิบะเข้าโจมตี ส่วนลูกหมาป่าเพลิงทั้งแปดก็ทุ่มพลังทั้งหมดดึงรั้งคุระเอาไว้
ก้อนเปลวเพลิงสีดำอันใหญ่โตถูกปล่อยออกมาจากปากของชิบะ พลังนี้เกิดจากการหลอมรวมพลังของฮิโรกิกับชิบะเข้าด้วยกัน เพราะมันต้องใช้พลังมากมายมหาศาล และการหลอมพลังยังต้องอาศัยความเชื่อใจกันอย่างถึงที่สุด การใช้พลังจึงทำได้ยากเช่นนี้

ส่วนที่ต้องตรึงคุระเอาไว้ตามแผนของฮิเดโอะเพราะว่าแม้เพลิงทมิฬจะมีพลังมหาศาลเพียงใด แต่การโจมตีนั้นกลับช้าเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องตรึงคุระเอาไว้ไม่ให้ขยับตัวหลบออกไปได้

“อ้าก!” คุระร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด เขาพยายามรีดเค้นพลังจากก้นบึ้ง ต่อให้ต้องใช้พลังชีวิตทั้งหมดเข้าก็ต้องหลุดออกไปจากเปลวเพลิงนี้แล้วลากพวกมันตกตายตามไปด้วยให้จงได้

แต่ถึงแม้สสารสีดำจะปะทุออกมาก็ไม่อาจดับเปลวเพลิงเหล่านั้นได้

“อย่าพยายามเลยคุระ ไฟนี่จะไม่ดับจนกว่าจะเผาผลาญเป้าหมายให้เหลือเพียงเถ้าถ่าน” ฮิเดโอะกล่าวอย่างราบเรียบพร้อมกลับกระโดดลงไปด้านล่าง

ฮิโรกิเองก็ลงจากหลังของชิบะมายืนข้างแฝดพี่ของตน ยืนจ้องมองร่างของคุระที่ค่อยๆจมหายไปให้เปลวเพลิง นี่เป็นการสังหารปีศาจครั้งแรกของพวกเขา จิตใจจึงยังคงหวั่นไหว และมีความหวาดกลัวเกิดขึ้น สองพี่น้องจึงยืนนิ่งๆเช่นนั้นเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตนกระทำลงไป ใช้ความเงียบปลอบประโลมจิตใจที่สั่นไหวอยู่เช่นนั้น

“พวกเรา...ช่วยทุกคนได้แล้ว” ฮิโรกิเอ่ยทำลายความเงียบ แม้เขาจะไม่ฉลาดเท่าฮิเดโอะ แต่เขามีความมั่นใจที่มากกว่า เข้มแข็งมากกว่า เวลานี้จึงอยากช่วยพี่ชายที่อาจคิดฉุดรั้งตัวเองให้รู้สึกผิดว่าเป็นผู้วางแผนทุกอย่าง 

ฮิเดโอะที่ได้ยินเสียงของน้องชายจึงหันหน้าขึ้นมามอง เขาได้พบกับรอยยิ้มที่สดใสอันไม่เข้ากับสถานการณ์

“นะ ฮี่ๆ” ฮิโรกิยังยิ้มดังเป็นบ้า แต่ประโยคสั้นๆที่บอกว่าพวกเขาช่วยทุกคนได้แล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นตัวถ่วงของคนอื่นๆแล้วนั่น ก็ช่วยเยียวยาจิตใจของฮิเดโอะได้มากทีเดียว เขาจึงยิ้มออกในที่สุด

“นั่นสินะ พวกเราช่วยทุกคนได้แล้ว ฮี่ๆฮ่าๆ” ฮิเดโอะยิ้มตอบ แล้วหัวเราะอย่างเบิกบานออกมาได้เช่นเดียวกัน นั่นสินะพวกเขาต้องยินดีกับความสำเร็จสิ จะมาเศร้าใจเช่นนี้ได้อย่างไร

“ฮี่ๆ ฮ่าๆ สำเร็จ”

“สำเร็จแล้ว เราชนะแล้ว”

กำปั้นเล็กถูกยกขึ้นมาชนกันเบาๆเพื่อฉลองชัยชนะในครั้งนี้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจที่ส่งผ่านไปให้อีกฝ่ายช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นความรู้สึกอันเลวร้ายไปได้ในที่สุด

บู๊วววว

เหล่าเหมาป่าเพลิงเองก็ช่วยฉลองความสำเร็จในครั้งนี้เช่นเดียวกัน บริเวณนั้นจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และเสียงหอนอย่างยินดีของเหล่าเจ้าสี่ขาทั้ง 9 ตัว ท่ามกลางเปลวไฟที่ค่อยๆมอดดับลง เผาผลาญความชั่วร้ายจนหมดสิ้น

..

..

..

ทางด้านแร็กนาร์ รูร์กัส โกยาตเลย์ และเคลตี้

“ย้าก!”

ตู้ม!

แผ่นดินหนาที่ถูกสร้างเป็นกำแพงขวางกั้นการโจมตีดังสนั่น แตกออกเป็นเสี่ยงๆด้วยแรงกระแทกอันมหาศาล แต่รูร์กัสก็ยังคงสร้างมันขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อคุ้มกันแร็กนาร์ และคอยเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู

แร็กนาร์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแต่หากไม่อาจตามทันเป้าหมายที่มีพลังลึกลับห่อหุ้มร่างกาย เขาจึงอาศัยช่องว่างที่รูร์กัสเปิดให้เข้าจู่โจม ใช้มีดผ่าตัดอันเล็กเฉือนลึกลงไปถึงเส้นเลือด แต่หากในคราวนี้เลือดไม่ได้กระฉูดออกมา

คมมีดที่เฉือนด้วยความรวดเร็วนั้นจึงแทบมองไม่เห็นบาดแผลเลยทีเดียว ซึ่งหากนับจริงๆแล้วบาดแผลเหล่านั้นมีราวๆ หนึ่งร้อยแผลเลยทีเดียว

แร็กนาร์หันไปสบตารูร์กัสเพื่อส่งสัญญาณว่าถึงเวลาปิดฉากการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว รูร์กัสทุ่มพลังทั้งหมดยกพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของศัตรูขึ้น จึงส่งผลให้มันถูกดีดขึ้นไปกลางอากาศ

ร่างเล็กของแร็กนาร์ที่กระโดดขึ้นไปรออยู่ก่อนแล้วเล็งจุดสุดท้ายที่ลำคอของศัตรู และเมื่อเป็นการจู่โจมกลางอากาศเช่นนี้ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายจึงเคลื่อนไหวได้ดีกว่า ศัตรูไม่ทันตั้งตัวมันจึงไม่อาจหลบการโจมตีนั้นได้ทัน

“พวกแกไม่มีวันฆ่าข้าได้” มันตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวที่ต้องเสียท่าให้เด็กน้อย ทั้งยังเป็นเพียงมนุษย์และลูกครึ่ง ชั่งน่าอับอายจนไม่อาจมองหน้าใครได้อีก ดังนั้นหากอยากหลุดพ้นจากความอับอายนั้นเขาจึงต้องฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก

“หึ   อย่างนั้นรึ” แร็กนาร์สะแหยะยิ้มเยอะเย้ย มองด้วยสายตาเย็นชาที่ใครได้มองก็ต้องหวาดหวั่นในใจ ดังแช่แข็งคนได้ทั้งเป็น ความกลัวเข้าเกาะกินจิตใจของมันด้วยประโยคแสนธรรมดาอย่างรวดเร็ว เพราะอะไรไม่ทราบมันรู้สึกได้ว่าตัวตนตรงหน้าเป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัวเกินบรรยาย

“ยะ...อย่า อย่านะ!”

ฉั๊วะ!

เสียงสุดท้ายของมัน ก่อนคมมีดเฉือนผ่านเส้นเลือดบริเวณลำคอ เต็มไปด้วยความน่าเวทนา กว่าจะรู้ว่าตนเผชิญหน้ากับตัวตนที่น่าหวาดกลัวเพียงใดก็สายไปเสียแล้ว

ฟึบ!

แร็กนาร์ลงเหยียบพื้นอย่างนิ่มนวล ไม่นานร่างที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศก็เกิดระเบิดลมขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าทุกบริเวณที่ถูกเฉือน เลือดก็กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ร่างกายที่ถูกปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดด้วยเปลวไฟร้อนอันแม่นยำ ทำให้เลือดในกายไม่อาจไหลเวียน เดือดพล่านและเกิดการระเบิดภายในร่าง จนร่างกายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

บนใบหน้าของเด็กน้อยยังคงฉายสีหน้าอันแสนเย็นชา ดังว่าเคยเห็นภาพเหล่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ตู๊บ!
รูร์กัสเห็นภาพนั้นถึงกับขาอ่อน ร่างกายสั่นเทาจนไร้เรี่ยวแรง แม้จิตนาการว่าตนสังหารศัตรูครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นมันด้วยตาของตนเอง ภาพที่เกิดขึ้นเกินกว่าเด็กจะรับได้พาให้รูร์กัสสั่นสะท้านด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ

แร็กนาร์เห็นดังนั้นจึงพึงสำนึกได้ว่า เขาทำเรื่องโหดร้ายต่อหน้าเด็กคนหนึ่งไปเสียแล้ว จึงรีบเข้าไปกอดแล้วลูบหัว ลูบหลังจากปลอบประโลม

“ไม่เป็นไรพี่รูร์กัส ข้าอยู่นี่แล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัว ลืมมันไปเสียเถอะ...นะ” ถ้อยคำที่ไม่เคยมอบให้ใครส่งผ่านออกมาอย่างเก้ๆกังๆ เพราะความไม่เคยชิน แต่ก็พยายามส่งผ่านความอบอุ่น ความปลอดภัยไปให้พี่ชายอ่อนโยน

การต่อสู้ของพวกเขาก็จบลงแล้ว การต่อสู้เต็มไปด้วยความราบรื่น ในระหว่างที่หนีนั้นก็วางกลับดักไว้มากมายจนลดทอนพลังของศัตรูได้หลายส่วน เมื่อต้องเผชิญกันตรงๆ หน้าศัตรูก็ระเบิดพลังสสารสีดำออกมา ในตอนนั้นการต่อสู้เริ่มยากลำบาก ไม่ว่ารูร์กัสจะโจมตีเช่นไรมันก็ฟื้นพลังกลับมาได้

แร็กนาร์จึงเสี่ยงใช้พลังที่คิดค้นขึ้นใหม่ มันยังไม่เสถียรดีนัก แต่ก็ช่วยให้พวกเขาสังหารตัวตนที่ฟื้นฟูบาดแผลอย่างรวดเร็วนั้นลงได้

เวลานี้พวกเขาจึงนั่งพักอย่างหมดแรง แต่แล้วเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น

“กรู้ๆ”

เจ้าโกยาตเลย์ร้องเสียงดังก่อนที่จะพุ่งตัวออกไปอย่างไม่ฟังคำทัดทานของแร็กนาร์ มันไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนพวกเขาจึงยิ่งแปลกใจและกังวล

แร็กนาร์อยากตามโกยาตเลย์ไป แต่ก็ห่วงรูร์กัสที่ใช้พลังไปเกือบหมด และยังต้องพบกับภาพอันแสนน่ากลัวนั้นอีกเขาจึงไม่กล้าที่จะปล่อยรูร์กัสไว้คนเดียว

 ในตอนนั้นเอง เด็กชายฝาแฝดและฝูงหมาป่าเพลิงก็วิ่งตรงมาหาพวกเขา แร็กนาร์จึงฝากฝังรูร์กัสกับพวกเขา แล้วตามเจ้าโกยาตเลย์ไปด้วยความเป็นห่วง และกังวลใจ ลางสังหรณ์ก็ร้องเตือนอย่างไม่ขาดสายว่าศัตรูที่อันตรายยิ่งกว่ากำลังคืบคลานเข้ามา...





To Be Continued...


_______________________________________
กลับมาแล้วค่า กรีนกลับไปพักผ่อนต่างจังหวัดมาล่ะ คุคุ
พึ่งกลับมาถึงเมื่อวานเอง ในที่สุดก็ได้ลงแล้ว เย้
ตอนหน้าพบกับการต่อสู้ของแร็กนาร์เต็มรูปแบบ
ตอนนี้เอาแค่พอหอมปากหอมคอไปก่อนเนาะ หุหุ
เจอกันตอนหน้าจ้า
#ฮาเร็มของแร็กนาร์เด็กซึน
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 35 ท่าไม้ตายสุดท้าย (28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-12-2017 14:07:56
 o13



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 35 ท่าไม้ตายสุดท้าย (28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 01-01-2018 11:01:32
แร็กนาาของเจ้   :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 35 ท่าไม้ตายสุดท้าย (28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-01-2018 14:13:31
โหดๆทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 36 ศัตรูตัวฉกาจ
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 04-01-2018 05:11:11

ตอนที่ 36
ศัตรูตัวฉกาจ


ขณะเดียวกันทางด้านเอลลูญ์ เรย์ และนาฟ พวกเขาได้พบกับ เอจิ และยาจิที่เดินทางมาหลังจากที่ส่งเจ้านกเค้าแมวล่วงหน้ามาก่อนไม่นานนัก เพราะได้เปิดกระดาษแผ่นนั้นของเบียกโกะเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังได้รับสารอีกฉบับที่ผูกติดกับนกเค้าแมวมาด้วยด้ายสีขาวในระหว่างทางที่วิ่งกลับมานี้

เอจิกับยาจิบาดเจ็บไม่น้อย ทั้งยังเหนื่อยล้าจากการผืนร่างกายให้วิ่งด้วยความเร็วเกินขีดจำกัด แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมพัก เขาขอให้เรย์ช่วยค้นหาสถานที่อันมีภาพลวงตาครอบคลุมเอาไว้ สถานที่อันเป็นดังกุญแจสำคัญในการหยุดเหล่าปีศาจกลุ่มโนบุ
เรย์ลังเลไม่น้อยเพราะเขาไม่มั่นใจในความสามารถของตนนัก ทั้งยังมีเรื่องที่ต้องทำตามแผนของแร็กนาร์อีก ตอนนี้พวกเขายังไม่แม้แต่จะออกไปพ้นเขตบ้านด้วยซ้ำไป

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจัดการเองพวกท่านไปเถอะ” เอลลูญ์เอ่ยปากขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ถ้าหากมันเป็นเรื่องสำคัญก็ต้องทำไม่ใช่หรือ พวกเขาตกลงร่วมมือกับปีศาจเหล่านี้แล้วอย่างไรก็ต้องช่วยจนถึงที่สุด เขาผิดคำพูดของตนไม่ได้

“ถ้าเช่นนั้นฝากดูแลเอลลูญ์ด้วยนะนาฟ” เรย์ตัดสินใจที่จะไป ถ้าหากมันเป็นหนทางที่ดี หากพวกเขาเชื่อในพลังอันน้อยนิดนี้เขาจะขอลองดูสักครั้ง

“ไม่จำเป็นท่านนาฟได้ด้วยเถอะ ข้าดูแลตนเองได้” เอลลูญ์ปฏิเสธ เพราะเขาเองก็ห่วงเรย์ไม่น้อย แม้จะร่วมมือกัน แต่ความเชื่อใจยังมีให้ไม่เต็มร้อย ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาได้ ทั้งยังหากคำนวณเรื่องพลัง เขามีมากเรย์กับนาฟหลายเท่าตัว ขาดเพียงประสบการณ์การต่อสู้เท่านั้น

ทั้งหากอยู่ด้วยกันพวกเขาจึงจะแข็งแกร่งที่สุด นั่นจึงจะทำให้เอลลูญ์วางใจได้ เขาจะแยกทั้งสองออกจากกันได้อย่างไรในเมื่อมันเป็นหนทางที่จะรีดเค้นพลังให้ออกมาอย่างถึงขีดสุดได้

“แน่ใจนะเอลลูญ์” นาฟเห็นสายตาอันมุ่งมั่นในการตัดสินใจของเอลลูญ์จึงถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง เขาห่วงทั้งสองเช่นเดียวกัน เมื่อครู่จึงยากที่จะตัดสินใจ เพราะหากคิดแล้วเอลลูญมีพลังมากกว่าพวกเขา แต่ไร้ประสบการณ์ ส่วนเรย์นั้นมีประสบการณ์ที่มากมายแต่หากถนัดเพียงการสนับสนุน ต่อสู้เพียงลำพังไม่ได้

ดูเหมือนจะมีภาษีเท่ากัน แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนจะอย่างไรเอลลูญ์ก็มีโอกาสที่จะชนะมากกว่า ส่วนเรย์ถึงจะรู้ข้อนั้นดูก็คงยืนกรานที่จะให้เขาไปกับเอลลูญ์ด้วยความรู้สึกเป็นพี่ที่อยากปกป้องดูแลน้องชายอย่างถึงที่สุด

ในตอนนี้เอลลูญ์กล้าที่จะยืนกรานเช่นนั้นเขาจึงกล้าที่จะตัดสินใจขัดคำขอของเรย์เช่นเดียวกัน

เอลลูญ์พยักหน้ายืนยันพร้อมทั้งจ้องกลับนาฟด้วยสายตาเด็ดเดี่ยในการตัดสินใจของตนแล้ว เรย์เองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ เป็นเช่นนี้แล้วจะค้านไปก็คงเปล่าประโยชน์

จากนั้นพวกเขาก็แยกทางไปกับกลุ่มของเอจิ ยาจิ ส่วนเอลลูญ์ยืนรอจนแน่ใจว่าฝ่ายนั้นน่าจะตามมาใกล้ถึงตัวแล้ว จึงเริ่มต้นวิ่งอีกครั้ง เพื่อล่อไม่ให้ศัตรูตามพวกเรย์ไป

เมื่อไกลมากพอเขาจึงหยุดยืนรอศัตรูอย่างสบายใจ และทันที่ที่ศัตรูเข้ามาในระยะโจมตี สายฟ้าก็โหมกระหน่ำลงมาราวกับห่าฝน

“ธันเดอร์ สตอร์ม!”

เพียงชั่วอึดใจร่างนั้นก็เต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากสายฟ้า เป็นล่องลอยไหม้ไปทั่วร่างกายไม่ทันแม้แต่สสารสีดำจะทำงานด้วยซ้ำไป เพราะมันย่ามใจในพลังของตนจึงได้ประมาทคู่ต่อสู้ หากมันหลบออกไปได้ทันคงไม่เกิดบาดแผลมากมายจนถึงแก่ชีวิตเช่นนี้

ร่างไร้ลมหายใจล้มลงอย่างหมดสภาพ เอลลูญ์อดที่จะสะท้านในใจไม่ได้ เขาสังหารมนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ไม่อาจทำใจให้สงบลงได้

“เก่งจริงๆนะ”

พรึก!

เสียงราบเรียบอันคุ้นหูดังขึ้นในระยะประชิด ไม่ทันที่เอลลูญ์จะหันไปมองก็โดนซัดลอยระริ่วไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

“แต่ย่ามใจเกินไป เปิดช่องว่างมากเกินไป พลังมากมายแต่กลับใช้ไม่เป็น ทั้งยังรู้สึกเห็นใจศัตรู ช่างเป็นคนที่ใช้พลังอย่างไร้ประโยชน์ ไร้ค่า ช่างไร้ค่าอะไรเช่นนี้” คาสึกิกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก เขาอยากจัดการทาคุมะแต่หากถูกสั่งให้มากำจัดพวกอ่อนแอเช่นนี้เสียได้ ช่างเปลืองเวลาเสียจริงๆ

“แค่กๆ” ร่างที่ถูกอัดกระเด็นชนเข้ากับต้นไม่อย่างจังกระอักเลือดออกมาเมื่อต้องรับแรงกระแทกอันมหาศาลจากการโจมตีเมื่อครู่ เอลลูญ์พยุงตัวลุกขึ้นแม้เจ็บไปทั่วร่างกาย

“ธันเดอร์ สตอร์ม!” เขาใช้พลังอีกครั้งแต่หากคาสึกิก็หลบได้อย่างง่ายดาย เพราะไร้ประสบการณ์การโจมตีจึงเต็มไปด้วยความซื่อตรงไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมหรือลูกไม้ใดๆ รูปแบบที่ออกมาแบบตรงๆจนศัตรูอ่านทางได้

คาสึกิเป็นศัตรูที่ยากจะจัดการ เพราะโดยปกติแล้วเอลลูญ์ก็สามารถสู้ได้ดี ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง เหล่าทหารของจักรวรรดิยังหวั่นเกรง แต่คาสึกิมีทั้งพลังที่ใกล้เคียงมีทั้งประสบการณ์อันเหนือกว่า การจะกำจัดคาสึกิจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย เขามั่นใจในตนเองมากเกินไป โลกช่างกว้างใหญ่เสียจริงๆ

“หึหึ ข้อบอกเจ้าไปแล้วว่าไร้ค่า พลังที่มากมายนั่นหากหลบได้มันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี มนุษย์ชอบบอกว่าตนนั้นฉลาดเหนือกว่าพวกเรา แล้วทำไมเจ้าจึงได้โง่เง่าเช่นนี้ ฮ่าๆ” เสียงหัวเรอะเย้ยหยันทำให้เอลลูญ์เย็นชาขึ้น เขาเกลียดพวกเจ้าเล่ห์ที่มีแต่กลอุบายอันแสนชั่วช้าเป็นที่สุด เขาที่เชื่อในความถูกต้องเสมอมาจึงไม่ต้องการให้ตนน่ารังเกียจเช่นคนเหล่านั้น

“หุบปาก ข้าจะใช้พลังชนะเจ้าให้ดู การต่อสู้ที่ขาวสะอาดเป็นเช่นไรข้าจะทำให้เจ้าเห็นเต็มๆตา!” สายฟ้าห่อหุ้มร่างกายจนไร้ช่องว่าง ดังเกาะป้องกันอันไร้เทียมทาน

“หึหึหึ ถ้าเช่นนันก็ลองดู!” คาสึกิไม่แม้แต่ชักดาบ เขาเปลี่ยนเพียงส่วนสองมือให้เป็นกงเล็บอันแหลมคม การจัดการมดปลวกไม่จำเป็นต้องเอาใช้อาวุธให้เสียคม

“ย้าก!” ทั้งสองเข้าห้ำหั่นกันตรงๆ แลกหมัดวัดพลังว่าใครเหนือกว่า พลังของพยัคฆ์ร้ายที่เหนือกว่ามนุษย์หลายสิบเท่า กับพลังสายฟ้าที่ทรงพลังเหนือธาตุทั้งปวง

ตู้ม!

เกิดเสียงระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะคลื่นพลังที่ถูกปล่อยออกมาระหว่างต่อสู้ คนหนึ่งต่อยอีกคนตั้งรับแล้วสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ คาสึกิรับคำท้าของเอลลูญ์เพราะเห็นว่ามันน่าสนุกไม่น้อย การต่อสู้จึงดำเนินต่อไปอย่างสูสี ไร้เล่ห์กล ไร้อาวุธ แลกเพียงหมัดที่อาบไปด้วยพลังอันล้นหลาม การต่อสู้ที่ทำรายสิ่งรอบข้างด้วยพลังที่เกิดจากร่างกายของตนอย่างแท้จริง!

เอลลูญ์ปล่อยหมัดที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าเข้าใส่ใบหน้าของคาสึกิ แต่หากอีกคนก็หลับมันได้อย่างฉิวเฉียด แล้วสวนกลับด้วยการตะปบคมเล็บอันคมกริบเข้าใส่คอของเอลลูญ์ เอลลูญ์กระโดดถอยหลังแต่หากคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาเสียดสีกับอากาศจนเกิดเป็นคมมีดลมอันคมกริบพุ่งตรงไปยังช่วงตัวที่ยกขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อยอย่างแม่นยำ

รอยยิ้มอันมุ่งร้ายเกิดขึ้นบนริมฝีปากของคาสึกิ การโจมตีทุกท่วงท่าถูกคำนวณมาก่อนหน้านั้นแล้ว ก่อนหน้านี้เขาโจตีเชื่องช้าเทียบเท่าเอลลูญ์การต่อสู้จึงสูสี แต่หากเวลานี้เขากลับเพิ่มความเร็วมากขึ้นจนเกิดคมมีดจากการเสียดสีของอากาศ

“อั๊ก!” เอลลูญ์ลงพื้นอย่างซวนเซ แต่เขาก็ยังพยุงตนเองไม่ให้ล้มลงไปได้ ความเชื่อมั่นอันซื่อตรงยังคงเกาะแน่นในจิตใจ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเพียงเล่นสนุกยังไม่เอาจริง เขาก็ต้องโจมตีเหนือกว่าให้จงได้

“หมดเวลาสนุกแล้วไอ้หนู ข้าเบื่อแล้ว” กล่าวเพียงเท่านั้นคาสึกิก็เข้าโจมตี เขาตวัดมืออันมีคมเล็บแหลมคมครั้งแล้วครั้งเล่า มันเร็วเกินกว่าเอลลูญ์ที่ร่างกายย่ำแย่จะหลบได้ทัน

“อั๊กๆ อึบ! อั๊ก” ได้แต่ส่งเสียงอันอดกลั้นแสนเจ็บปวดไปมา จะอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะส่งเสียงความร้องอย่างเจ็บปวดให้ศัตรูพอใจ แม้จะเละเป็นผักเขาก็ยังกัดฟันกลั้นเสียงอยู่เช่นนั้นจนชวนให้คนลงมือเพิ่มแรงโมโหมากขึ้น

เสียงที่คาสึกิอยากฟังคือเสียงกรีดร้องของเหยื่อ เอลลูญ์ที่อดกลั้นแม้ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้ทำให้เขาไม่พอใจ ดวงตาสีแดงก่ำจึงปรากฏความไม่พอใจอย่างชัดเจน

“หึหึ อดทนเก่งดีนี่เจ้าหนู มาดูกันว่าเจ้าจะทดได้สักกี่น้ำ!” กงเล็บถูกหดเก็บ เหลือไว้เพียงกำปั้นที่เต็มไปด้วยขนสีเหลืองพวดด้วยลายสีดำอันใหญ่โตเกินปกติ

คาสึกิชอบการเอาชนะ การที่เห็นเอลลูญ์เป็นเช่นนี้เขาจึงอยากลองเอาชนะความอดทนอดกลั้นนี้ดูสักครั้ง เขาต้องการให้เอลลูญ์กรีดร้องอย่างเจ็บปวด ต้องการให้อีกฝ่ายร้องขอชีวิตอย่างอ้อนวอน หรือร้องขอความตายเพื่อให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดเหล่านี้ไป!

หมัดแล้วหมัดเล่าซัดเขาใส่ร่างอันเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดสาดกระจาก กระดูกก็หักเคลื่อนซี่แล้วซี่เล่า แม้ร่างกายจะผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักแต่ก็ไร้ผลเมื่อยู่ต่อหน้าพลังอันเหนือกว่าเช่นนี้

เอลลูญ์ยังคงอดทน กัดริมฝีปากจนเลือดไหลซึมแต่ก็ยังคงแบกศักดิ์ลูกผู้ชายของตนอย่างหนักแน่น ต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่คิดที่จะกรีดร้อง หรืออ้อนวอนขอชีวิตจากศัตรู

คาสึกิโมโหมากขึ้นมากขึ้นจนตัวสั่น ถ้าไม่อาจทำให้เขาพอใจได้ก็จงตายไปซะ!

ตู้ม!

“อั๊ก!”

หมัดสุดท้ายที่ทุ่มพลังมหาศาลลงไปทำให้ร่างของเอลลูญ์ถูกอัดติดกับพื้น ซี่โครงหักไปหลายซี่ ท้องก็ยุบลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งพื้นด้านล่างยังแตกเป็นหลุม ช่วยยืนยันความหนักหน่วงของหมัดนี้ได้เป็นอย่างดี

เอลลูญ์กระอักเลือดออกมาอย่างเจ็บปวด แต่เขาก็ยังคงไม่กรีดร้อง สติที่เรือนรางทำให้เขาตระหนักถึงความอ่อนแอของตนได้เป็นอย่างดี ความอวดดี ความยโสในพลังที่เคยมีถูกทำลายชั่วพริบตา

ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดคือเจ็บใจ ความฝันทั้งหมดจะทะลายลงที่นี่แต่เขากลับไม่อาจต่อต้านสื่งใดได้เลย ทำได้เพียงยอมรับความจริงอันน่าสมเพทนี้

‘มนุษย์ ปีศาจ ต่างกันอย่างไร เจ้าลองพิสูจน์ดูด้วยตาตนเองเถอะ สักวันลองมองโลกใบนี้ด้วยสองตาของเจ้าเอง แล้วจึงตัดสินโดยไร้ทิฐิใดๆข้าเชื่อว่าเจ้าต้องเลือกเส้นทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน’

คำกล่าวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นถูกฉายชัด ภาพของริเรน่าสะท้อนรอยยิ้มอันสว่างไสวไร้ซึ่งกฏเกณฑ์ใดๆมาขวางกันเช่นพวกราชวงศ์คนอื่นๆ มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจอย่างแท้จริง เขาตอบรับคำพูดเหล่านั้นเสมอมาจึงเริ่มต้นเดินทางไปทั่วดินแดนเช่นนี้

เขาได้พบกับลูกครึ่งที่ราชวงศ์รังเกียจ บอกว่าไร้พลังและแสนอ่อนแอ แต่หากความจริงที่ได้มอง ได้สัมผัสมันกับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เรย์กับนาฟอบอุ่น ให้ความอบอุ่นยิ่งกว่าครอบครัวจอมปลอมของเขา ทั้งยังฉลาดหลักแหลม ดึงพลังต่อสู้ออกมาได้ถึงขีดสุด

ต่างจากตัวเขาทั้งที่มีพลังมากมาย แต่กลับใช้พลังอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่สามารถดึงพลังทั้งหมดออกมาใช้ได้ตามใจนึก ทั้งยังไร้ประสบการณ์จนเพี้ยงพร้ำให้คู่ต่อสู้อย่างง่ายดาย โลกใบนี้กว้างใหญ่จนตัวเขาที่ทระนงตนตลอดมาไม่ต่างจากมดปลวกอันไร้พลังแสนอ่อนแอ ช่างน่าสมเพทจนแทบทนรับไม่ได้

น้ำตาแห่งความเจ็บใจไหลซึมออกมาอย่างไม่อาจห้ามเอาไว้ได้อีก เขาเจ็บใจตนเองที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ เจ็บใจที่ค้นพบความอ่อนแอของตนแล้วแต่ไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้ เขาต้องตายไปเช่นนี้หรือช่างไร้ค่าเหลือประมาณ หากได้มีชีวิตเขาจะพิสูจน์คำกล่าวนั้นของริเรน่าให้สำเร็จ และจะฝึกฝนจนแข็งแกร่งขึ้นเหนือผู้ใด เพื่อปกป้องผู้คนอันเป็นที่รักของเขาไม่ให้สูญเสียใครไปอีกเช่นนี้...

กรู้!

‘หยุดนะ’

คาสึกิชะงักหมัดที่ยกขึ้นกลางอากาศเพื่อยกลงไปซ้ำอีกครั้ง เสียงร้องของเจ้าโกยาตเลย์ก็ดังขึ้น มันรับรู้ถึงอันตรายได้มากกว่าใครๆจึงรู้สึกได้ถึงศัตรูตัวฉกาจที่กำลังจะพรากชีวิตของใครบางคนในกลุ่มไป

จากนั้นร่างมันก็ขยายใหญ่ขึ้น มากขึ้นๆจนมีขนาดเท่าเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง แล้วพุ่งชนด้วยความเร็วทั้งหมดที่ตนมี

ความเร็วที่พุ่งอย่างสุดกำลังตั้งแต่บินมาจากแร็กนาร์จึงทำให้มันรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆจนคาสึกิต้องหลบไปมาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
เขาละความสนใจเพียงเล็กน้อยก่อนหันกลับไปหาร่างของเอลลูญ์ก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว เจ้านกประหลาดเองก็พุ่งชนอย่างไม่หยุดหย่อน จึงไม่อาจให้ความสนใจที่ตรงนั้นได้อีก

เอลลูญ์ที่หายไปตอนนี้อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น แต่หากเขาอยู่ในภาพลวงตาของเคลตี้ เจ้าสัตว์เลี้ยงมายาของแร็กนาร์
ส่วนแร็กนาร์เองก็กำลังปฐมพยาบาลแบบเร่งด่วน สภาพของเอลลูญ์หนักหนาเกินกว่าจะรักษาด้วยวิธีปฐมพยาบาลธรรมดา เขาจึงรีบผ่าตัดฉุกเฉินโดยด่วน

โกยาตเลย์ และภาพลวงตานี้คงต้านศัตรูเอาไว้ได้ไม่นานนัก การรักษาครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยความกดดันของเวลา

“ห้ามหลับนะ ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่รอดแน่” แร็กนาร์เอ่ยเสียบราบเรียบแต่ในน้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เอลลูญ์ที่เดินตามทางของริเรน่าเสมอมานั่นทำให้แร็กนาร์เปิดใจแม้ยังไม่ชอบขี้หน้ามากนัก

ความเจ็บปวดแห่งการสูญเสียในตอนนั้นเป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย หัวใจที่ปิดกั้นผู้คนจึงแง้มออกเล็กน้อย เป็นความเล็กน้อยที่มีให้เด็กชายฝาแฝด และเอลลูญ์ พากเขาเป็นเด็กน้อยที่ให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูแบบลูกหลาน เด็กที่สามารถปลูกฝังความคิดใดลงไปก็ได้ เด็กที่ไร้พิษไพรหากต้องเผชิญกับแผนการของเขา

เวลานี้แร็กนาร์จึงคิดเพียงว่าต้องช่วยเอลลูญ์ให้จงได้ ความคิดที่อยากเดินตามรอยริเรน่าของเขา เอลลูญ์ต้องกลายมาเป็นกำลังสำคัญอย่างแน่นอน

“สู้ ข้าอยากสู้ จะ...เจ็บใจ ฮึก” เอลลูญ์ตอบรับเสียงของแร็กนาร์จึงขอโอกาสอีกครั้ง ความปรารถนาของเขาขอให้มันเป็นจริงอีกสักครั้ง ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันสูญเปล่าเช่นนี้อย่างแน่นอน

‘เด็กคนนี้ซื่อตรงต่อความรู้สึกเสียจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความกล้าเอ่ยปากถามตอนนั้น หรือคำขอที่เป็นไปได้ยากตอนนี้

ริเรน่าเธอหว่านต้นกล้าแบบไหนเอาไว้นะ ทำไมต้นกล้าเหล่านั้นถึงได้เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองขนาดนี้ ถ้าฉันคนนี้เดินตามเส้นทางนี้ไปจะมีความสุขใช่รึเปล่า

ฉันคนนี้จะมีคนที่เชื่อใจได้เหมือนกับที่เธอได้รับใช่ไหม...’


แร็กนาร์มองภาพของเอลลูญ์แล้วคิดสะท้อนถึงผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับริเรน่า ผู้หญิงที่ตายไปแล้วแต่จิตวิญญาณอันมุ่งมั่นยังคงอยู่ คนที่ทั้งน่าทึ่ง ทั้งน่ายกย่อง และน่าอิจฉาในคราวเดียวกัน

เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเดินตามเส้นทางนั้นเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตน เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นจนปกป้องรูร์กัสได้ และเพื่อค้นหาเหล่าคนที่เขาเชื่อใจได้ คนที่เชื่อใจไม่คิดหักหลัง ผู้คนที่เขาไม่อาจได้รับมันในโลกเดิม

“ถ้าเจ้าพร้อมตายข้าจะช่วยเจ้า ช่วยให้สู้ได้อีกสักครั้ง จะยอมรับมันหรือไม่” คำถามที่จุดประกายความหวังของเอลลูญ์ถูกเอ่ยขึ้น หากถามว่าเตรียมใจแล้วหรือยัง ของตอบได้อย่างเต็มปากว่าหากได้รับโอกาสแม้แลกด้วยชีวิตเขาก็ยอม ขอให้เขาได้ทำลายความเจ็บใจเหล่านี้สักครั้ง

“ข้ายอมสู้ตาย ดีว่าต้องเจ็บใจจนตายตาไม่หลับเช่นนี้” เสียงแหบแห่งอันเบาหวิวเอ่ยอย่างหนักแน่น ดวงตาสีน้ำตาลอันพร่าเลือนจ้องมองแร็กนาร์ด้วยความจริงจังในคำกล่าวของตน

“ดี” กล่าวจบก็ลงมือจัดการ แร็กนาร์เลิกที่จะผ่าตัดยื้อชีวิต แต่ฉีดยาระงับความเจ็บปวดไปถึง 3 เข็ม ยาชา 2 เข็ม และสมุนไพรสมานแผลที่ถูกพันไปทั่วร่างกาย

ใช้มือกดกล้ามเนื้อ และกระดูกให้เคลื่อนกลับไปยังที่เดิมด้วยความเร็วจนเกิดความเจ็บปวดอันไม่อาจอดกลั้น เอลลูญ์ถึงขั้นหลุดเสียงร้องออกมาอยู่หลายครั้ง แต่ก็นับว่าน้อยนิดหากเทียบกับคนอื่นๆ ทำให้แร็กนาร์ประทับใจในความอดทนเหล่านี้ไม่น้อย

ขวดของเหลวสีอำพันถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า แสงระยิบระยับที่ทอประกายภายในทำให้รู้สึกได้ถึงความวิเศษของน้ำยานี้ ด้านในคือแมลงซ่อมแซมซึ่งถูกกลั่นออกมาจากดอกไม้ที่หาได้ยากในแดนพยัคฆ์ มันเป็นยาที่แร็กนาร์พึ่งปรุงมันได้สำเร็จจึงยังไม่ได้ทดลองใช้

ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหลังจากใช้น้ำยานี้มีมากมาย ทั้งหมดเรี่ยวแรงไปหลายวันเพราะดึกศักยภาพออกมาใช้ก่อน ช่วยซ่อมแซมร่างกายแต่หากมีพิษเมื่อเวลาผ่านไป 8 ชั่วโมง จึงต้องรีบขับของเสียออกมาให้ทันเวลา

และถ้าหากผิดพลาดยาอาจจะเร่งปฏิกิริยาจนพิษทำงานเร็วขึ้น แมลงที่ยังมีชีวิตเมื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหายแล้ว มันจะหลับ และเมื่อตื่นขึ้นมันจะต้องการพลังงานในการมีชีวิตจึงจะกัดกินร่างกายของผู้ที่ใช้มัน การขับแมลงเหล่านั้นจึงต้องทำก่อนที่มันจะตื่นขึ้นมานั่นเอง

แร็กนาร์จึงต้องถามเอลลูญ์เพื่อยืนยันความสมัครใจ ทั้งการเตรียมการร่างกายให้รับการซ่อมแซมเหล่านั้นได้ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากขยับร่างกายผิดรูปเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่กระดูกบางซี่ เส้นเอ็นบางเส้น ก็ทำให้ร่างกายผิดรูปจนไม่อาจกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้อีก

ผู้ที่เตรียมการจึงต้องแม่นยำในตำแหน่งร่างกายของมนุษย์ ใช่ว่าจะใช้สุ่มสี่สุ่มห้าเพียงเพราะมียาซ่อมแซมและยาขับพิษได้ ความเสี่ยงจึงมากขึ้นอีกเท่าตัว ใครกันเล่าจะอยากให้ร่างกายตนเองผิดรูปจากปกติสามัญ

“ไอ้นกบัดซบ!” ทางด้านคาสึกิ เขาไม่อาจรับรู้ถึงการมาของแร็กนาร์เพราะเคลตี้สามารถสร้างภาพลวงตาที่กลมกลืนหายไปได้ทั้งภาพและเสียง เขาจึงยังคงมองเห็นเพียงโกยาตเลย์ การโจมตีที่เร็วจนไม่อาจมองตามได้ทันยิ่งทำให้คาสึกิหัวเสีย เขาร้อนใจกลัวว่าเหยื่อของตนจะหายไป การไม่ได้จบชีวิตมันด้วยตนเองทำให้เขายังไม่พอใจ

คาสึกิพยายามควบคุมอารมณ์ที่พรุ่งพล่านให้สงบลง ก่อนจะหลับตาเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดให้เฉียบคมมากยิ่งขึ้น ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจดาวตาของเขาก็เบิกโพรง

พรึ่บ!

“กรู้ กรู๊ กร้”

‘ปล่อยนะ ปล่อยสิ ปล่อยโกนะ’

 เจ้านกตัวโตที่ถูกหิ้วปีกเอาไว้ข้างหนึ่งดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้ มันทั้งจิก ทั้งข่วนเพื่อหวังให้มื่อนั้นคลายออกไป

“หึหึ ทำข้าเจ็บแสบนัก ตายซะ! ”

“ธันเดอร์โบลท์”

เปรี้ยง!

ฟ้าผ่าลงไปยังตัวของคาสึกิที่กำลังยื่นมืออีกข้างเข้าไปหักคอของโกยาตเลย์ มันไม่ได้รุนแรงมากนักเพียงแค่ทำให้ชาไปทั่วร่างชั่วขณะเท่านั้น

ร่างที่ถูกกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วกายเกิดความชา และเจ็บแปร๊บขึ้นทั่วบริเวณ มือที่จับเจ้าโกยาตเลย์เอาไว้จึงแข็งค้างปล่อยให้ตัวของเจ้านกร่วงลงสู่พื้น

แร็กนาร์ใช้โอกาสนี้พุ่งตัวเข้าไปรับโกยาตเลย์ก่อนที่มันจะตกถึงพื้น โอบอุ้มมันเอาไว้พร้อมตรวจร่างกายด้วยความเร็ว เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าโกยาตเลย์ยังคงปลอดภัย

ร่างนั้นหายลับไปในความมืดก่อนจะให้เคลตี้สร้างภาพลวงตาเพื่อเป็นเกาะกำบังให้เจ้านกน้อยที่ตัวกำลังค่อยๆหดลงจนเหลือเท่าเดิม

“แสบนักนะ มีคนมาช่วงอย่างนั้นรึ” คาสึกิคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว อารมณ์ที่สงบลงกลับมาพรุ่งพล่านอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสภาพของเอลลูญ์แทบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว มีเพียงเสื้อผ้าที่ยังคงเปอะเปื้อนเลือดและผ้าพันแผลตามร่างกายเท่านั้น

“ใช่ ข้าพร้อมสู้อีกครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าจะใช้พลังทั้งหมดที่มีโค่นเจ้า!” เอลลูญ์ก็กล่าวอย่างฮึกเหิม ช่องว่างที่เคยเปิดรอบทิศกลับหายไปอย่างเห็นได้ชัด ทำให้คาสึกิเลือดระอุด้วยความคาดหวังการต่อสู้ที่สนุกมากกว่าเมื่อครู่ คาดหวังต่อผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่

ถึงขั้นช่วยให้เจ้าเด็กสายฟ้ากลับมาพร้อมสู้ ทั้งยังคงช่วยนัดแนะแผนการและวิธีการต่อสู้ให้ ท่าทีของเจ้านั่นจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ ชองเล่นชิ้นใหม่ที่โผล่มาน่าสนใจไม่น้อย

“ธันเดอร์บลิทซ์” สายฟ้าถูกปล่อยออกไปเป็นเส้นตรงขนานกับพื้น คาสึกิจึงต้องกระโดดขึ้นด้านบนอย่างเลี่ยงไม่ได้

CH4O

พรึ่บ!

แร็กนาร์ใช้โอกาสนี้เข้าจู่โจมกลางอากาศ มีดผ่าตัดสองด้ามที่อยู่ในมือถูกเฉือนไปที่เส้นเอ็นบนข้อมือของคาสึกิข้างหนึ่งเกิดเลือดกระฉูดออกมาเมื่อเส้นเลือดถูกตัดขาด ส่วนอีกข้างกลับเกิดเพียงรอยไหม้เล็กน้อยเท่านั้น

‘บ้าเอ๊ย พลาดจนได้ เรายังควบคุมมันไม่ได้’

แร็กนาร์เข่นเขี้ยวในใจ โอกาสโจมตีของเขาพลาดเป้าเสียแล้ว จำนวนครั้งการโจมตีคงต้องมากขึ้นไปอีก ทั้งคาสึกิแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ เอลลูญ์จะเปิดโอกาสให้เขาได้กี่ครั้งกัน โอกาสชนะมีไม่ถึง 30% เสียด้วยซ้ำไป

“คิดจะทำอะไร ข้าอุตสาห์คาดหวังให้มีคนเก่งๆโผล่มา แล้วเหตุใจจึงกลายเป็นเด็กน้อยลูกครึ่งที่ไร้พลังได้เล่า น่ารำคาญจริง” บาดแผลที่เลือดกระฉุดออกค่อยๆผสาญกันด้วยความรวดเร็ว การโจมตีเพียงแค่นั้นไม่อาจปิดลมหายใจของปีศาจที่มีพลังฟื้นฟูอันล้นหลามได้

“หึ” แร็กนาร์เพียงหัวเรอะกลับคำดูถูกเหล่านั้น คำดูถูกที่ร่างนี้ได้รับมาตลอดชีวิต ลูกครึ่งไร้พลังแล้วอย่างไร โอกาสชนะ 30% แล้วอย่างไร ข้าคนนี้จะล้มล้างกฏบ้าบอเหล่านี้ให้ดูกันเต็มๆตา!



To Be Continued...


_____________________________________

มาแล้วค่า เมื่อวานหลับอีกแล้ว แหะๆ
ขอโทษด้วยนะคะ แต่ก็มาลงแล้วน้า
คราวก่อนบอกว่าจะให้เห็นแร็กนาร์สู้เต็มรูปแบบ
แต่ว่ากลับเขียนไปไม่ถึงง่ะ เพราะงั้นขอยกยอดไปตอนหน้านะคะ
เจอกันตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 36 ศัตรูตัวฉกาจ (04/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-01-2018 14:15:18
จี้ดๆทั้งนั้นเบยจ้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 36 ศัตรูตัวฉกาจ (04/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-01-2018 23:32:25
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 37 รุกไล่
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 21-01-2018 00:23:50

ตอนที่ 37
รุกไล่

ฟุชิมิ คาสึกิ หนึ่งในองครักษ์เงาแห่งเขตใต้ ผู้ใช้ดาบสั้นคู่เป็นอาวุธประจำกาย ทั้งยังมีทักษะของนักฆ่าโดยกำเนิด ครั้งก่อนที่จะเข้าร่วมในหน่วยองครักษ์เงา เขามีอาชีพเป็นนักฆ่า ลอบสังหารศัตรูจากเงามืด และละทิ้งอาชีพนั้นเพราะผู้มีพระคุณของเขา หัวหน้ากลุ่มโฮชิ โฮมุซึบิ อิซานางิ นั่นเอง

บุญคุณที่ถูกช่วยเหลือจากเงามืด วังวนนักฆ่าอันป่าเถื่อน ทำให้เขาอุทิศตนเพื่อเป็นเงาคอยช่วยเหลืออิซานางิเสมอมา
แต่แล้วเหตุการณ์กลับเป็นไปอย่างที่เขาไม่คาดคิด ทั้งที่เขาคอยช่วยเหลือถึงเพียงนี้ ทั้งเคารพรักถึงเพียงนี้ กลับคว้าเอาหญิงสาวชาวมนุษย์แสนต่ำต้อยมาเป็นคู่ชีวิต

เขาพยายามปิดบังความรู้สึกทั้งมวล ทั้งยังเสียสละปิดหูปิดตาได้หากเขาผู้นั้นคว้าปีศาจสาวร่วมครองคู่ แล้วใยจึงกลับกลายเป็นมนุษย์อ่อนแอไปได้เล่า จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจยอมรับได้

ยามเมื่อถึงทางตัน ความรู้สึกเอ่อล้นจนไม่อาจบิดบังได้อีก ทางที่เขาเลือกจึงเป็นการสังหารนังแพศยาที่บังอาจยั่วยวนอิซานางิให้หลงใหล

ฟั่นเฟืองเริ่มเดินไปในทิศทางที่บิดเบี้ยว ข้อเสนออันเป็นทางออกของเรื่องราวทั้งหมดถูกยกขึ้นมากล่าวอ้าง และเขาก็เลือกที่จะก้าวเดินไปในเส้นทางนั้น ทางของผู้ทรยศ!

และเมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้ว ชายผู้เป็นที่รักจึงจากโลกนี้ไปอย่างไร้หนทาง หากไม่ฟังสิ่งที่เขาเตือน ถ้าหากว่าไม่อาจก้าวตามความคาดหวัง ก็จงอย่าได้เดินไปบนเส้นทางที่เขาเกลียดชังอีกเลย ให้เหลือไว้เพียงความทรงจำอันงดงามจะดีกว่า
สุดท้ายแล้วเขาจึงทำลายผู้ที่รักสุดหัวใจด้วยตัวของเขาเอง...

ในยามนี้คาสึกิดังสัตว์ป่าที่ถูกปล่อยออกมาจากกรงที่เรียกว่า อิซานางิ ผู้ที่คอยเตือนสติไม่ให้เขาถลำลึกไปในความมืด เส้นทางของคาวเลือด กลิ่นอายกระหายเลือดจึงปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ความต้องการฆ่าที่ถูกฝังลึกมานานร่ำร้องอยากลิ้มรสกลิ่นคาวเลือดอันคุ้นเคย

จากวันนั้นเขาก็ ฆ่า ฆ่า ฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ตนไร้ซึ่งจิตใจ หนีจากความเจ็บปวดทั้งมวล เพียงไม่นานตัวตนที่ถูกปิดผนึกก็ถูกเปิดออกอย่างบ้าคลั่ง

เขาจ้องมองเหยื่อแสนอ่อนแอด้วยความรู้สึกแสนเสียดาย การต่อสู้ที่ดุเดือดคือสิ่งที่ต้องการ การสังหารที่เลือดแลกเลือด ยิ่งยากลำบากยิ่งสะใจในการฆ่า จิตใจที่ฮึกเหิมในการต่อสู้จึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด

แต่กระนั้นมือก็หยิบอาวุธเตรียมต่อสู้ คิดเพียงว่ารีบทำให้เรื่องมันจบ แล้วคงได้คู่ต่อสู้ใหม่ เพียงเด็กมนุษย์ที่มีพลังมากมายแต่หากใช้ไม่เป็น กับลูกครึ่งที่ฉลาดนิดหน่อยแต่หากไร้พลัง มันไม่พออุ่นเครื่องสำหรับเขาด้วยซ้ำ

มือกระชับดาบสั้น สายตาจับจ้องเหยื่อ ลิ้นตวัดเลียริมฝีปากอย่างหมายมาด การฆ่าแม้จะกับคนอ่อนแอก็ยังคงสนุก ทรมานให้ร้องขอความตายก็รื่นหูเช่นเดียวกัน

“ขอล่ะเจ้าพวกอ่อนแอช่วยอยู่เล่นกันนานๆ หน่อยก็แล้วกัน” กล่าวจบร่างนั้นก็หายไปจากระยะสายตา เงาร่างจมหายไปกับความมืด ยากที่จะมองเห็น ต่อให้เป็นผู้มีฝีมือทัดเทียมกันก็ไม่อาจเข้าใจทักษะของนักฆ่าได้

“สายฟ้าข้างหลัง! ” แต่ในความเป็นจริงผู้ที่มีทักษะของนักฆ่าไม่ได้มีเพียงคาสึกิ แร็กนาร์ที่เป็นถึงอดีตนักฆ่านั้นเข้าใจทักษะทั้งหมดดี สิ่งที่การันตีความสามารถนี้ก็คือการติดระดับโลกในประวัติอาชญากร

‘มาดูกันว่านักฆ่าของโลกนี้จะมีฝีมือถึงขั้นไหนกัน’

แร็กนาร์ก็เร้นหายไปจากความมืดเมื่อกล่าวจบ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนยากจะคาดเดา เอลลูญ์มีความเชื่อในตัวแร็กนาร์ส่วนหนึ่งเพราะช่วยรักษาเขา จึงเชื่อสิ่งที่แร็กนาร์กล่าวมา เขากางม่านพลังที่ร้อยเรียงสายฟ้าสานเป็นรูปตาข่ายเสริมความแน่นหน้าไว้ด้านหลังอย่างทันท่วงที โดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง

“ข้าชื่อเอลลูญ์ เจ้าเด็กหน้าตาย! ” เอลลูญ์ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด เด็กคนนี้แม้ถูกชะตาด้วย แต่เรื่องที่น่าหนักใจคือการเรียกชื่อผู้อื่น เพราะหลังจากที่อยู่ร่วมกันมานั้นพบว่าแร็กนาร์เรียกชื่อเต็มเพียงแค่รูร์กัส

ดูจากพยางค์แล้วเขาคาดเดาได้ว่าแร็กนาร์คงเรียกชื่อคนอื่นได้ไม่เกิน 2 คำ จึงยังพอหวังว่าจะเรียกชื่อเขาถูกต้อง แต่แล้วเขากลับเลวร้ายยิ่งกว่าคนอื่นๆ เพราะเจ้าตัวดันจำไม่ได้แม้แต่ชื่อนี่สิ กรรมของเอลลูญ์แท้ๆ

จะคิดว่าเพียงล้อเล่น แต่สีหน้าท่าทางก็ดูจริงจังจนเกินไป สุดท้ายแล้วคงต้องคอยย้ำบ่อยๆ เพียงเท่านั้น และหวังว่าสักวันคนตัวเล็กจะจำชื่อของเขาได้ หรือบางทีอาจจะเพราะชื่อเขาออกเสียงยากเกินไปหรือไรก็ไม่อาจทราบได้

“แก! ” คาสึกิส่งเสียงลอดไรฟันอย่างหัวเสีย เพราะการโจมตีของเอลลูญ์อยู่เหนือความคาดหมาย การโจมตีที่ไม่บรรลุผลอย่างใจต้องการทำให้เขาไม่พอใจ ภาพที่จินตนาการไว้ในหัวถูกเขี่ยทิ้งให้แหลกเหลว

สิ่งที่คาสึกิต่างจากแร็กนาร์คือการวางแผน สำหรับความมั่นใจที่ล้นเหลือทำให้เขาวาดหวังแผนการไว้เพียงอย่างเดียว แต่แร็กนาร์นั้นมีแผนการมากมายในหัวเพื่อเป็นการรับรองว่าศัตรูจะไม่อาจหลุดพ้นเงื้อมมือของเขาไปได้

และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเทียบคือความใจเย็น คาสึกิกระหายเลือด ชอบการต่อสู้แบบเลือดแลกเลือด และการฆ่าอย่างทรมาน ทำให้จิตใจของเขายากที่จะควบคุมให้สงบลงได้ ดังว่าจิตใจนั้นมีปีศาจแห่งความหายนะเข้าควบคุม

สิ่งที่หล่อหลอมคาสึกิให้มีสติอยู่คงเป็นประสบการณ์ สัญชาตญาณอันปราดเปรื่อง เขาจึงรู้ว่าเวลาใดควรรุก เวลาใดควรถอย จากการโจมตีเมื่อครู่พอเห็นว่าอีกฝ่ายป้องกันไว้ได้จึงเร้นกายหายไปในความมืดอีกครั้ง

ฉึก ฉึก

แต่แล้วผู้ที่หลอมรวมตัวเข้ากลับความมืดก็เป็นฝ่ายเฝ้ารออยู่ เสียงฝีเท้าอันเบาหวิวก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากประสาทสัมผัสของแร็
กนาร์ได้

มีดผ่าตัดประกายเงาวับในความมืด เส้นเลือดที่ต้นขาทั้งสองข้างถูกเฉือนอย่างรวดเร็ว และก่อนที่คาสึกิจะได้ตอบโต้ แร็กนาร์ก็เป็นดังควันลอยหายไปในความมืด

ผู้ที่อยู่ในที่แจ้งคือเอลลูญ์ เขาไม่มีทักษะเช่นคนทั้งสอง จึงใช้เวลาที่แร็กนาร์ซื้อไว้ให้สร้างเสริมพลังเพื่อใช้ต่อสู้ขึ้นใหม่
ท่าไม้ตายทั้งหมดของเขาไม่อาจใช้ได้ผล สิ่งที่พึ่งได้คงเป็นร่างกายที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี เขาสานเส้นใยสายฟ้าร้อยเรียงเป็นเกราะห่อหุ้มมือจนถึงข้อศอกทั้งสองข้าง สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือพลังและความเร็ว

สายฟ้าที่มีประสิทธิภาพน้อยเกินไปยากที่จะทำลายคาสึกิ ทำได้อย่างมากก็เพียงแค่หยุดการเคลื่อนไหวเพียงชั่วคราวเท่านั้น ความเร็วด้วยเช่นกัน คาสึกิเป็นนักฆ่า ที่มีทักษะของมือสังหาร การเคลื่อนที่จึงมีข้อเสียน้อย ประหยัดพลัง ทั้งยังช่วยเพิ่มศักยภาพให้การโจมตีอย่างท่วมท้น

สิ่งที่เขาอ้อนวอนขอจากแร็กนาร์คือการได้ต่อสู้อีกครั้ง เพราะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาอยากจะลองทำมันให้สำเร็จ ในขณะต่อสู้เขารู้ดีว่าตนไม่อาจก้าวข้ามคาสึกิไปได้ จึงพยายามลองใช้มันอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยพลังที่ลดลง และสมาธิที่แตกกระเจิง ทำให้เขาไม่อาจใช้มันได้

สายฟ้าถักทอใต้ฝ่าเท้า บีบอัดสายพลังให้เล็กลง เล็กลงยิ่งกว่าที่ใช้ห่อหุ้มแขนทั้งสองข้าง เมื่อสายฟ้าถูกบีบอัดจนเล็กลง มันจึงยิ่งเบาบาง ประจุไฟฟ้าด้านในเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ห่อหุ่มจากฝ่าเท้าถักทอจนถึงเข่า ดังชุดเกราะของนักรบ ความเบา และพลังที่เพิ่มขึ้นจากตัวซ่อมแซม ช่วยให้เอลลูญ์เพิ่มความเร็วของตนได้สำเร็จ

เลือดที่ไหลซึมออกจากบาดแผลของคาสึกิเพียงเล็กน้อย นั้นช่วยทำให้เอลลูญ์สามารถคาดเดาตำแหน่งของคาสึกิได้ แม้จะช่วยสั้นๆ ก่อนบาดแผลถูกปิดเขาก็เคลื่อนไหวไปที่จุดนั้นได้อย่างที่คาดหมาย

พลังที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มทักษะของเอลลูญ์ดังตัวช่วยในการจุดระเบิดความเร็วใต้ฝ่าเท้า การส่งตัวจากพลังนั้นทำให้ตัวเขาทั้งเบาและเร็ว สังเกตได้จากเท้าที่ไม่แตะพื้น พลังหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่ง อัดส่งด้วยพลังที่ล้นเหลือ พลังที่มากอยู่แล้วมากยิ่งขึ้นด้วยการช่วยเหลือของแร็กนาร์ เอลลูญ์วาดหวังว่าในอนาคตเขาจะมีพลังสูงขึ้นยิ่งกว่านี้

ตู้ม!

หมัดอัดพลังสายฟ้าถูกปล่อยออกไปทันทีเมื่อเคลื่อนที่ไปถึงคาสึกิ แต่คนที่มีประสบการณ์ย่อมมีสัญชาตญาณเป็นเลิศเช่นเดียวกัน คาสึกิสามารถหลบกำปั้นนั้นได้อย่างเฉียดฉิว แต่ด้วยประจุพลังที่ห่อหุ้มทำให้มันขยายขอบเขตการโจมตีจนถึงใบหน้าของคาสึกิได้

คาสึกิถูกรุกไล่จากเด็กทั้งสอง ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อ เมื่อครู่เขาพึ่งจัดการเอลลูญ์จนสะบักสะบอม แล้วเหตุใดจึงกลับมาแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ พวกมันใช้เล่ห์กลอันใด แล้วยังเด็กน้อยลูกครึ่งนั่นอีก มันมีทักษะนักฆ่าเช่นเดียวกับเขา และที่น่าเจ็บใจคือความเป็นไปได้ว่าทักษะมันอาจจะสูงกว่า เพราะเขาไม่อาจสัมผัสถึงตัวตนมันได้แม้แต่น้อย

การถอยร่นของคาสึกิทำให้เอลลูญ์เรียกความมั่นใจของตนกลับมาอีกครั้ง แต่คำเตือนของแร็กนาร์ยังดังกึกก้องในหัวว่าอย่าได้ใจ เพราะอีกฝ่ายยังไม่แสดงฝีมือทั้งหมดออกมา

คาสึกิยกเลิกการแฝงกายในเงามืด เขารู้แล้วว่าทักษะนั้นถ้าฝืนใช้รังแต่จะทำให้เขาเสียเปรียบเจ้าเด็กลูกครึ่ง หากหลบเจ้าสายฟ้าไปในความมืด เจ้าลูกครึ่งก็จะคอยซุ่มโจมตีอยู่ และเมื่อเจ้าลูกครึ่งโจมตีเลือดที่กระฉูดออกจากรอยแผลก็จะทำให้เจ้าสายฟ้าทราบตำแหน่งของเขาและเข้าโจมตีในขณะที่เขาสวนกลับเจ้าเด็กลูกครึ่ง

เวลานี้เขาจึงต้องเลือกกำจัดศัตรูในที่แจ้งให้ได้เสียก่อน แล้วจึงไล่ตามเจ้าเด็กลูกครึ่งที่อยู่ในความมืดก็ไม่มีปัญหา ดีไม่ดีมันอาจจะเผยตัวออกมาเองเพื่อช่วยเพื่อนของมันก็ได้ คาสึกิจึงตัดสินใจเข้าห้ำหั่นกับเอลลูญ์แทน

ร่างที่โถมเข้าใส่เอลลูญ์เพิ่มความเร็วขึ้นอีก ทำให้มันเทียบเท่ากับเอลลูญ์ที่เสริมพลังตนเองด้วยสายฟ้า การปะทะกันระหว่างดาบสั้นและกำปั้นที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าทำให้เกิดประกายวิบวับทุกที่ที่ร่างของคนทั้งเคลื่อนที่ไป

ความเร็วที่เทียบเคียงทำให้ยากที่แร็กนาร์จะเข้าไปแทรกแซง หากพลาดพลั้งผู้ที่เสียเปรียบอาจจะเป็นฝ่ายเอลลูญ์ก็ได้ เขาจึงได้แต่แฝงตัวในเงามืด รอโอกาสดังเช่นสัตว์ร้ายที่คอยซุ่มโจมตีเหยื่อ

มีดผ่าตัดเล่มหนึ่งถูกเก็บเข้าไว้ในกระเป๋า เหลือไว้เพียงเล่มเดียว พลังที่ไม่เสถียรทำให้ไม่อาจส่งพลังไปยังตัวมีดพร้อมกันทั้งสองด้ามได้

เขาต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เมื่อได้พิสูจน์แล้วว่าไม่อาจทำให้พลังของตนเสถียรได้ในการต่อสู้ครั้งนี้ จุดที่เขาต้องการส่งพลังเข้าไปยังคงเดิม ที่เพิ่มมีดเป็น 2 เล่มเพื่อต้องการความรวดเร็วเท่านั้น แต่ถ้าหากมันยังออกมาเหมือนการสุ่มเช่นนี้ สู้ถ่ายพลังไปที่มีดเล่มเดียวไม่ดีกว่าหรือ

การใช้พลังของแร็กนาร์คือเปลี่ยนแปลงพลังธาตุเป็นความร้อนในชั่วขณะหนึ่งที่มีดสัมผัสร่างกายของศัตรู เพื่อส่งความร้อนเข้าไปในเส้นเลือด และปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดในจุดที่ฟันลงไป มันเป็นการโจมตีที่รวดเร็วและละเอียดอ่อน จึงต้องใช้ทักษะและฝีมือที่มากด้วยเช่นเดียวกัน

ทั้งตัดการไหลเวียนเลือดแต่ละจุดก็ต้องแม่นยำ หากพลาดแผลก็จะสมานกันเช่นเมื่อครู่ มันมีข้อดีตรงที่ทำให้เอลลูญ์ทราบตำแหน่งของศัตรู แต่หากเวลานี้มันใช้ไม่ได้แล้ว เพราะคู่ต่อสู้ไม่ต้องการที่จะหลบซ่อน เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันเพื่อเปิดเผยที่ซ่อนของศัตรูอีก

พลังที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ไหลไปรวมกันที่มีดเล่มเดียว เกิดกระแสความร้อนล้อมรอบคมมีด แต่หากไม่อาจทำให้มีดหลอมละลาย เพราะแร็กนาร์สร้างพลังน้ำส่วนหนึ่งห่อหุ้มมีดไว้บางๆ เกิดเป็นพลังสองกระแสที่ไม่อาจกลืนกินกันได้

หลังจากวันที่ค้นพบว่าตนใช้พลังธาตุได้อย่างหลากหลาย แร็กนาร์ก็ค้นคว้าพลังเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็ยังไม่ดีพอที่จะใช้ต่อสู้ได้ เวลานี้พลังที่เขาใช้ได้คือน้ำกับไฟ ธาตุที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด

การใช้มีดผ่าตัดแบบดัดแปลงนั้นเขาพึ่งสร้างมันได้ไม่นาน พลังจึงยังใช้ได้ไม่เต็มที่ สิ่งที่ทดแทนพลังที่ถูกส่งออกจากคมมีดจึงเป็นจำนวนการฟันลงไปบนร่างศัตรู ยิ่งกับปีศาจแล้วจำนวนยิ่งมากกว่าสัตว์หรือมนุษย์หลายเท่าตัว

‘อีกไม่นานสายฟ้าจะแพ้ เพราะคาสึกิยังไม่เผยคมเขี้ยวของปีศาจ ตอนนี้พลังยังทำลายคาสึกิได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น ถ้ามันใช้พลังทั้งหมดโต้กลับพลังของเจ้าสายฟ้านั่นต้องไม่มีผลแน่ เราคงต้องช่วยทำให้พลังนั่นมีผลมากขึ้น’

แร็กนาร์มองการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ความเร็วที่เทียบเท่าทำให้ทั้งสองรุกรับกันอย่างเท่าเทียม ร่องรอยบาดแผลก็มากขึ้นตามลำดับ แต่สิ่งหนึ่งที่แร็กนาร์สังเกตเห็นคือพลังของเอลลูญ์ยังไม่มากพอที่จะทำให้คาสึกิบาดเจ็บสาหัส

ทั้งยังไม่รู้ว่าคาสึกิจะแปรเปลี่ยนร่างได้มากเพียงใด อาจจะมือเดียว สองมือ หรืออาจจะเปลี่ยนได้ทั้งขา ความเป็นไปได้เหล่านี้ก็ถูกแร็กนาร์คำนวณเอาไว้ อีกไม่นานเคลตี้กับโกยาตเลย์จะกลับมาสมทบ เวลานั้นคงถึงเวลาเผด็จศึกอย่างแท้จริง ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทั้งสองต้องทำคือทำให้คาสึกิบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด

การโจมตีปิดท้ายหากคาสึกิยังไร้ร่องรอยบาดแผล มันอาจจะไม่บรรลุผล แร็กนาร์เค้นพลังจากร่างออกมาไว้ที่มืออีกข้าง เลือกรูปแบบการใช้พลังที่สูญเสียพลังน้อยและควบคุมง่ายที่สุด น้ำถูกกลั่นออกมาจากมือเล็กๆ นั้น จนกลายเป็นธารน้ำไหล เคลือบฝ่ามือไว้อย่างแนบแน่น

ทางด้านเอลลูญ์ พลังที่ถูกดึงออกมาใช้ล่วงหน้าทำให้เขาเหนื่อยกว่าครั้งใดๆ ร่างกายที่ทนรับพลังเกินขอบเขตของตนเริ่มอ่อนล้า แต่เขาก็ยังคงฝืนไม่ให้ความเร็วของตนลดลง

เมื่อเน้นไปที่ความเร็ว พลังจึงที่ถูกใช้ห่อหุ้มกำปั้นจึงลดลงแทน เหมือนเป็นช่องว่างให้คมดาบฟันทะลุผ่านม่านสายฟ้าจนถึงนิ้วมือ

“อึก! ” เอลลูญ์ถอยร่นออกจากระยะการโจมตี เพราะมือถูกฟันจากระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางจนถึงกลางฝ่ามือ แม้เลือดไหลอาบเขาก็ไม่คิดที่จะส่งเสียงร้องอันแสนสังเวช กัดฟันทนความเจ็บอยู่เช่นนั้น ข่มกลั้นมันเอาไว้แล้วเข้าโจมตีอีกครั้ง

แต่เหมือนว่ามันจะเป็นโอกาสให้คาสึกิตั้งหลักในการต่อสู้ เขาระเบิดพลังจนปากกลายเป็นคมเขี้ยวอันแหลมคม เขาสามารถเลือกส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายในการเพิ่มพลัง แต่ด้วยที่เชื่อในคมดาบอันเป็นอาวุธคู่กาย ทั้งมันยังถ่ายพลังไปได้เพียงที่เดียว จึงเลือกขาไม่ได้ เพราะมันมีถึงสอง สุดท้ายจึงเลือกเพิ่มคมเขี้ยวให้กับตน เป็นดังดาบเล่มที่สามในการใช้ฟาดฟันศัตรู

เมื่อกำปั้นทั้งสองข้างปะทะเข้ารับคมดาบไว้อีกครั้ง จึงกลายเป็นเอลลูญ์ที่เปิดช่องว่างให้คาสึกิจู่โจม ปากถูกอ้ากว้างเผยคมเขี้ยวอันคมกริบวาววับภายใน พุ่งเป้าจู่โจมหมายกัดหัวคู่ต่อสู้ให้ขาดสะบั้น

สัญชาตญาณเอาชีวิตของเอลลูญ์ร่ำร้องถึงอันตรายที่หมายชีวิต แต่มันสายเกินไปที่จะหลบเลี่ยง ทั้งประชิดตัวและความเร็วที่เหนือกว่าทำให้เขากระโดดหลบออกไปไม่ทัน

พรึ่บ!

มวลน้ำก้อนหนึ่งถูกขว้างในหน้าของคาสึกิจนมันต้องชะงักไปชั่วขณะ ทำให้เอลลูญ์เบี่ยงตัวหลบไปได้เล็กน้อย แต่มันก็ไม่มากพอที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีได้ทั้งหมด

“อ้าก! อึก” เสียงร้องหลุดลอดออกมาสั้นๆ ก่อนจะถูกหยุดไว้เมื่อได้สติ หัวไหล่ข้างหนึ่งถูกคมเขี้ยวกัดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดไหลทะลักอย่างน่าหวาดกลัว

แร็กนาร์เป็นคนช่วยหยุดคาสึกิเมื่อครู่ เอลลูญ์จึงเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังดูเหมือนคาสึกิจะไม่ปล่อยให้เอลลูญ์หลุดจากคมเขี้ยวของตนได้ง่ายๆ แร็กนาร์จึงใช้ช่องว่างนั้นเข้าเฉือนร่างกายของคาสึกิ

แผลเล็กๆ เกิดขึ้น แผลแล้วแผลเล่า ความร้อนที่ถูกส่งจากคมมีดไหลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ร่างกายคาสึกิเริ่มเดือดพล่าน เริ่มรับรู้ถึงอันตรายที่คาดไม่ถึง ทั้งยังรู้สึกเหนื่อยหอบมากขึ้นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

ความเหนื่อยเข้าถาโถม เพราะเลือดไหลไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ สายตาเริ่มพร่ามัวจนแทบสิ้นสติ แม้ไม่ทราบสาเหตุของอาการทั้งหมดนี้ แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันมีผลมาจากการกระทำของเจ้าเด็กลูกครึ่ง คาสึกิจึงยอมปล่อยคมเขี้ยวจากบ่าของเอลลูญ์ แล้วมุ่งการโจมตีไปที่แร็กนาร์

แร็กนาร์แฝงกายเข้าไปในความมืดอีกครั้งแต่หากครั้งนี้คาสึกิเร็วกว่า มันง้างดาบฟันแร็กนาร์ก่อนที่จะหายไป

“อ้าก! ” ร่างของคนตัวเล็กกระเด็นลอยละลิ่วไปตามแรงที่ถูกซัดผ่านคมมีด

“แร็กนาร์! ” เอลลูญ์เรียกชื่อคนตัวเล็กด้วยความเป็นห่วง ก่อนรีบเคลื่อนไหวเข้าไปตั้งรับการจู่โจมของคาสึกิที่พุ่งเข้าใส่แร็กนาร์อีกครั้ง

เคร้ง! ฉัวะ!

เอลลูญ์กัดฟันระงับความเจ็บปวดเพื่อปกป้องแร็กนาร์ที่นอนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกฟันครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ยอมถอยจากจุดนั้น
แร็กนาร์ไม่ได้รับแผลสาหัสอย่างที่คิด เพราะในช่วงเวลานั้นเขายกแขนขึ้นป้องกันเอาไว้ และกระโดดถอยหลังเพื่อลดแรงกระแทก เวลานี้เขาจึงลุกขึ้นยืนจ้องมองแผ่นหลังของชายที่ปกป้องเขาอยู่อย่างไม่คิดจะถอยแม้แต่ก้าวเดียว

ความรู้สึกหลากหลายเข้ามาจุกอก เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนในโลกเดิม ความห่วงใยและได้รับการปกป้อง คนที่โดดเดี่ยวมาตลอดจึงหวั่นไหวอีกครั้งอย่างไม่อาจต้านทานมันได้ ไม่ใช่ใจอ่อนกับความเด็ดเดี่ยวอันบริสุทธิ์ของพวกเด็กๆ แต่หากเป็นความรู้สึกปลอดภัยที่ถูกปกป้อง

เพียงในนานที่เข้ามาในโลกแห่งนี้ กำแพงที่ถูกสร้างอย่างแน่นหนาก็ถูกสั่นคลอนครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่รูร์กัส ฮิเดโอะ ฮิโรกิ โกยาตเลย์ แล้วยังเอลลูญ์อีก พวกเด็กเหล่านั้นทำให้เขาลดกำแพงลงได้ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ

ความรู้สึกเอ่อล้นเมื่อหวนนึกถึงความรู้สึกอันซับซ้อนแสนอบอุ่นที่เขาได้รับตลอดมา พาให้แร็กนาร์น้ำตาไหลอย่างไม่อาจกลั้น

‘ความดีใจคือความรู้สึกแบบนี้เองสินะ’

ในวันนี้เขายอมรับแล้วว่า ตัวตนของเด็กๆ เหล่านี้แทรกผ่านกำแพงแน่นหนามาจนถึงจิตใจของเขาจนได้

‘พระเจ้าท่านช่างโกหกจริงๆ ไหนบอกผมว่าจะเป็นชีวิตที่เจ็บปวดทรมาน แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงได้มีความสุขขนาดนี้ล่ะ ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดแบบไหน ผมก็ดีใจที่มันเกิดขึ้น มันคงเป็นความรู้สึกที่ผมใฝ่หามาตลอด ความอบอุ่นที่ถูกปกป้อง

ขอบคุณจริงๆ ครับ พระเจ้า

แล้วได้โปรดอย่าหายไปนะ...ทุกคน’


ความรู้สึกเหล่านั้นฝังลึกลงในจิตใจ หัวใจที่เปิดรับเด็กๆ เหล่านั้นอ้อนวอนขออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่กระนั้นเขาก็ตระหนักดีว่า ความปรารถนาจะเป็นจริงได้อย่างไรหากเราไม่พยายาม

วันนี้เขาต้องทำให้เด็กๆ เหล่านี้รอดพ้นค่ำคืนอันอาบด้วยเลือดไปให้ได้

ร่างนั้นหายไปในความมืดอีกครั้ง เพียงชั่วอึดใจเข้าก็ปรากฏตัวด้านหลังของคาสึกิ ความจริงมันควรถึงเวลาที่พลังจะระเบิดออกแล้ว แต่ด้วยร่างกายอันแข็งแรงเกินปีศาจทั่วไปของคาสึกิยังคงระงับอาการเหล่านั้นไว้ได้

สิ่งที่แร็กนาร์ต้องทำคือเฉือนเข้าไปให้มากขึ้นมากขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านมา ทุกเส้นเลือดที่ไหลเวียนในร่างกาย เขาต้องส่งพลังออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เอลลูญ์ตกใจที่เห็นแร็กนาร์อยู่ด้านหลังคาสึกิ แต่เขาก็เก็บสีหน้าได้ดี รีบคลายหมัดแล้วตรึงข้อมือของคาสึกิไว้แทน เขาไม่รู้ว่าคนตัวเล็กใช้พลังแบบใด เพราะแร็กนาร์เพียงบอกว่าเขาต้องเปิดช่องว่างให้เจ้าตัวโจมตีให้ได้มากที่สุดเท่านั้น

หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่จะหวังพึ่งพลังของเหล่าลูกครึ่ง แต่ในช่วงที่ผ่านมาเขาอยู่กับเรย์และนาฟ มันทำให้เขาเรียนรู้ว่าลูกครึ่งไม่ได้ไร้พลังเช่นที่คนทั่วไปคิด พวกเขาล้วนเก่งกาจ หากค้นพบวิธีใช้พลัง แล้วใช้มันต่อสู้ วิถีที่แตกต่างทำให้มองพลังเหล่านั้นว่าแปลกแยก แต่ก็ยอดเยี่ยมจนไม่อาจละสายตาไปได้

เขาทุ่มแรงทั้งหมดเพื่อตรึงแขนทั้งสองข้างของคาสึกิเอาไว้ ปลดพลังที่เท้าแล้วไหลเวียนมันไว้ที่มือแทน ความเชื่อใจที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเร็วกว่าสมอง ร่างกายตอบสนองเร็วกว่าความคิด ความเร็วจึงมากกว่าคาสึกิจะถอยหลบทัน

“ปล่อยนะเจ้าพวกเด็กบัดซบ! ” คาสึกิที่ไม่ทันตั้งตัวร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เขาพลาดให้เด็กพวกนี้ถึงสองครั้งสองครา น่าละอายเกินกว่าจะพบใครได้

แร็กนาร์เองก็พุ่งเป้าไปที่แขนขวาเพียงข้างเดียว หากไม่อาจกำจัดได้ทั้งหมด ก็ควรจะกำจัดทิ้งทีละส่วน ทั้งอีกมือก็ปล่อยกระแสน้ำอาบไล้ชุ่มไปทั่วร่างของคาสึกิ

สิ่งที่พวกเขาทั้งสองต้องทำคือตัดกำลังไม่ใช่สังหาร ดังนั้นไม่ต้องพุ่งเป้าไปที่ทุกส่วน ขอเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเสียหายก็สามารถลดทอนพลังไปได้มากแล้ว

“เจ้าสายฟ้าปล่อยสายฟ้าเร็ว! ” แร็กนาร์กระโดดถอยห่างจากระยะของทั้งคู่ก่อนเอ่ยสั่งเอลลูญ์ด้วยเสียงอันเฉียบขาด

“ธันเดอร์ สตอร์ม! ”

“อ้าก! ”

สายฟ้าฟาดลงใส่ร่างของทั้งสองที่ยื้อยุดกันอยู่ มันรุนแรงกว่าครั้งก่อนๆเพราะน้ำที่เปียกชุ่มทั่วตัวคาสึกิด้วยฝีมือของแร็กนาร์ ช่วยให้สายฟ้ารุนแรนขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เพียงแต่เจ้าของพลังอย่างเอลลูญ์กลับไร้บาดแผลจากฟ้าผ่า ต่างจากคาสึกิที่ถูกกระแสไฟฟ้าไหลเข้าไปในร่างกายจนเกิดการช็อตอย่างรุนแรง

ตู้ม!

“อ้าก! ”

ทั้งสายฟ้าเหล่านั้นยังช่วยกระตุ้นความร้อนที่แร็กนาร์ส่งไว้ในร่าง จนแขนข้างที่แร็กนาร์ทุ่มกำลังฟาดฟันเมื่อครู่เกิดการระเบิดออก ด้วยความร้อนที่ไม่สามารถระบายออกจากกระแสเลือดไปที่ใดได้

ในจังหวะที่แขนของคาสึกิระเบิดแร็กนาร์โถมตัวผลักเอลลูญ์ให้พ้นจากระยะการระเบิดได้อย่างทันท่วงที เขาจึงหลุดพ้นจากแรงระเบิดเหล่านั้น

แร็กนาร์คร่อมเอลลูญ์เอาไว้สายตาทั้งสองสบจ้องกันอย่างเผลอไผล หัวใจสั่นไหวอย่างไม่ทันตั้งตัว ช่วงเวลานั้นดังว่าเสียงรอบด้านหายไปหมด หลงเหลือไว้เพียงหัวใจที่ส่งเสียงเต้นตุบตับรัวเร็วสองดวง

บรรยากาศสงบลงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น จนกระทั่งเสียงชิ้นส่วนของแขนข้างนั่นตกลงที่ข้างตัวพวกเขา แร็กนาร์จึงได้สติแล้วรีบลุกออก พยายามรวบรวมสติที่หายไปให้กลับมาอย่างครบถ้วน

‘อีกแล้ว...มันอะไรกันนะความรู้สึกแบบนี้’

แร็กนาร์ครุ่นคิดทั้งที่มองไปยังศัตรูผู้มีใบหน้าอันบิดเบี้ยว เพราะเสียแขนข้างหนึ่งไปด้วยการโจมตีของพวกเขา




To Be Continued...

_________________________________________
สวัสดีค่ะ  สอบเสร็จแล้ว ฮู้เล่!
ไม่รู้ว่าผลจะออกมาว่าสอบได้  หรือได้สอบ
ตอนนี้เหลือแค่ลุ้นแล้วล่ะ...
เอาเป็นว่าเรากลับมาเสพแร็กนาร์ให้สบายใจกันดีกว่าเนาะ  หุหุ
เป็นไงกันบ้างคะ แร็กนาร์มาแล้ว จุใจกันรึเปล่า
ตอนหน้าก็ยังให้แร็กนาร์โชว์ฝีมืออยู่น้า
แล้วพบกันจ้า

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 37 รุกไล่ (21/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-01-2018 10:20:46
อื้อหือออ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 37 รุกไล่ (21/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-01-2018 13:22:03
 :hao7: o13 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 37 รุกไล่ (21/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 22-01-2018 09:25:03
 :katai1: :katai1: เอาอีกเอาอีกแร็กส์ นามีสบตากะแอลลู เข้าคู่กันใช่ไหมหรืออาร่ายยย ฮาเร็มนักฆ่าชุอุ๋ยคงไม่ใช่นะ :hao3:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 38 โต้วาที
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 31-01-2018 06:58:15
ตอนที่ 38
โต้วาที

“อ้าก!” เสียงกรีดร้องดังแผดหู แต่หากเพียงไม่นานมันก็สงบลง สงบเกินกว่าจะคาดเดาสิ่งใดได้ คาสึกิหลับตานิ่ง ไม่ขยับเขยื่อนกาย แผลที่เกิดจากการระเบิดแขนข้างนั้นค่อยๆสมานตัว แม้ไม่อาจงอกออกมาใหม่ แต่เลือดก็หยุดไหลและบาดแผลปิดสนิทในที่สุด

สสารสีดำเอ่อล้นกาย พวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับพลังเหล่านี้มาจากชายสวมหน้ากาก ชายลึกลับที่ไร้ที่มาที่ไป แต่หากเต็มไปด้วยพลังอันเหลือล้น พลังที่ใช้เปลี่ยนให้คนอ่อนแอแข็งแกร่งเกินขีดจำกัด

พวกปีศาจระดับสูงต่างรู้ดีว่าพลังเหล่านี้แลกมาด้วยอายุขัย จึงใช้มันเพียงยามจำเป็นเท่านั้น และยังใช้มันในวิธีที่ถูกต้อง เพื่อลดอายุขัยน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ทั้งยังมีพลังเพิ่มขึ้นเกินกว่าการใช้ออกมาทีเดียวในปริมาณที่มากมาย

และคาสึกิก็เป็นหนึ่งในกลุ่มปีศาจระดับสูงเหล่านั้น เพราะการต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้เขาสติแตกและดูถูกคู่ต่อสู้ จึงไม่ทันจะได้จริงจังก็ถูกเล่นงานเสียแล้ว เรียกได้ว่าการเสียแขนหนึ่งข้างไปนั้นช่วยเรียกสติเขากลับมาได้เป็นอย่างดี มันคงเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่ทำให้เขาอยู่ในโหมดต่อสู้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะพลาดพลั้งไปมากกว่านี้

ไม่เพียงร่างกายที่ถูกฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ จิตใจของคาสึกิเองก็กลับมาอยู่ในสภาพเต็มร้อย เข้าสู่โหมดสังหารเต็มรูปแบบ เปิดประสาทสัมผัสทั่วร่าง รัศมีการรับรู้เกินกว่าปีศาจทั่วไปหลายเท่า กระชับดาบสั้นที่เหลือเพียงข้างเดียว จ้องมองเหยื่อที่มีสภาพไม่สู้ดีนักอย่างกระหายเลือด

เพียงชั่วพริบตาร่างนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“อ้าก!” แร็กนาร์ปลิวระร่องจนกระทบกับต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง กระอักเลือดสีแดงออกมาจนเปราะเปื้อนเสื้อสีเทาไป
ส่วนหนึ่ง

“อั๊ก!”

ปึก!

ตามด้วยเอลลูญ์ที่ถูกแทงที่ท้องอย่างรวดเร็วจนไม่อาจป้องกันได้ เขาล้มลงคุกเข่าลงบนพื้นอย่างสิ้นท่า เวลานี้สถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าจะโต้กลับได้ ยิ่งเอลลูญ์ที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังปกป้องแร็กนาร์เมื่อครู่จึงทำให้เขาแทบขยับร่างกายไม่ไหว เสียเลือดมากเกินไป

ผลั๊ก!

เอลลูญ์ถูกเตะกระเด็นจากจุดนั้น ทั้งคาสึกิยังตามไปสังหารเขาอีก หากไม่ทำอะไรตอนนี้เอลลูญ์คงไม่อาจมีชีวติรอดต่อไปได้ แร็กนาร์มองตามการกระทำนั้นทุกการเคลื่อนไหว เขากำลังปรับสายตาของร่างนี้ให้มองเห็นมากกว่าปกติ

เพราะร่างกายยังเด็ก และยังไม่ใช่ร่างกายที่ผ่านการฝึกมา ร่างนี้จึงยังไม่อาจใช้ทักษะของเขาได้อย่างเต็มที่ การเปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 จึงต้องใช้เวลา แร็กนาร์พยายามผืนร่างกายให้รองรับความสามารถของเขา เพื่อที่จะหาทางเอาตัวรอดในการต่อสู้ครั้งนี้

‘ช้าเกินไปแล้วไปแล้วเคลตี้ เร็วเข้า’

กระแสคำสั่งถูกส่งไปยังสัตว์พันธสัญญา เพื่อสร้างภาพลวงตาให้หทั่วบริเวณ เคลตี้จึงแยกตัวออกไป และยังต้องช่วยฟื้นฟูโกยาตเลย์ให้ทันเวลา การต่อสู้ครั้งนี้หากพวกเขาไม่ร่วมมือกันแล้วล่ะก็คงไม่อาจชนะได้

แผนการ และพลังล้วนสำคัญในเวลานี้ มันไม่ยากเกินไปที่จะโค่นล้มองครักษ์เงาตนหนึ่งหากพวกเขาใช้พลังร่วมกัน ประสานความสามารถเหล่านั้นได้ถูกต้องถูกจังหวะ หากสูญเสียใครไปในเวลานี้แล้วคงไม่อาจเอาชีวิตรอดได้อีก เช่นนั้นแล้วเขาต้องช่วยเอลลูญ์เสียก่อน

“เดี๋ยวสิ ฟุชิมิ คาสึกิ” เสียงราบเรียบที่เอ่ยเรียกชื่อคาสึกิทำให้เจ้าของชื่อชะงักเท้าที่กำลังกระทืบรัวไปยังร่างของเอลลูญ์ที่ขดกลมปกป้องส่วนสำคัญไม่ให้ได้รับการโจมตีมากเกินไป

“รู้ด้วยรึว่าข้าคือใคร” คาสึกิให้ความสนใจแร็กนาร์ในทันที เขาหันไปสบตาเจ้าของดวงตาสีดำสนิทนั้นด้วยความฉงน

“รู้สิ 1 ในองครักษ์เงาแห่งเขตใต้...แต่หากเป็นผู้ทรยศ สังหารหัวหน้าของตน” จากเสียงที่แร็กนาร์ได้ฟังในครั้งนั้น เสียงที่รับรู้ได้ในวันที่สนทนากับทาคุมะ ทำให้เขาคาดเดาได้ว่าชื่อผู้ทรยศที่ได้ยินต้องเป็นชื่อของปีศาจตรงหน้า ทั้งฝีมือ ลักษณะท่าทางล้วนแล้วแต่ตรงกับคำบอกเล่าของเรย์ทั้งสิ้น

แร็กนาร์ต้องการถ่วงเวลา แต่หากอีกจุดประสงค์หนึ่งคือเพื่อทดสอบข้อสันนิษฐานของเขา ความสัมพันธ์ที่มาบรรจบกันด้วยจุดร่วมเพียงจุดเดียว และหากเป็นเช่นนั้นจริงโชคชะตาคงเล่นตลกกับเจ้าของร่างนี้ไม่น้อย

“หุบปาก! เจ้าเด็กลูกครึ่งแสนน่ารังเกียจ” ส่วนผสมอันไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของปีศาจเผ่าพยัคฆ์กับมนุษย์ชั่งทิ่มแทงดวงตาคาสึกิยิ่งนัก แม้ส่วนหนึ่งของเส้นผมสีแดงจะเป็นสีดำ หาได้เป็นสีน้ำตาลดังเช่นนังแพศยานั่น แต่ด้วยที่มันคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก มันจึงแสลงลูกตาจนไม่อยากมอง

แร็กนาร์สังเกตท่าทีของคาสึกิจนครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการขยับร่างกาย สายตาที่มองมา การเต้นของชีพจร และลมหายใจ เขาล้วนได้ยินมันอย่างชัดเจน แร็กนาร์สามารถเปิดประสาทสัมผัสได้เทียบเท่าในร่างเดิม แต่เขาก้รู้ว่ามันไม่คงอยู่ได้ตลอด เขาเพียงฝืนร่างกายให้แสดงความสามารถออกมา ดังนั้นมันจึงมีขีดจำกัด จะใช้ได้นานเท่าใดก็อยู่ที่การรองรับของร่างกายนี้แล้ว

รอยยิ้มแต่งแต้มมุมปากเมื่อเขารับรู้ได้ว่าคาสึกิกำลังเริ่มร้อนรน ปีศาจตนนี้ไม่ได้เย็นชาจนไร้หัวใจ แต่การทรยศครั้งนี้คงมีเหตุจูงใจที่ไม่อยากเปิดเผยออกมา

เวลานั้นเองแร็กนาร์จึงเปลี่ยนแผน หากเป็นไปดังที่เขาคิด การโต้วาทีในครั้งนี้คงเปลี่ยนสถานการณ์ได้อีกมากมายทีเดียว ไม่เพียงถ่วงเวลา และไขข้อข้องใจของเขา แต่มันจะต้องทำให้คาสึกิสติหลุดได้อีกครั้งอย่างแน่นอน โอกาสกำจัดคาสึกิก็เพิ่มความเป็นไปได้มากขึ้นไปอีก

“หึหึ น่ารังเกียจรึ สำหรับเจ้าคงมีความรู้สึกที่มากกว่านั้น...ข้าพูดถูกหรือไม่” แร็กนาร์กล่าวอย่างรู้ทัน เขาลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากร่างกาย บาดแผลที่แขนเลือดหยุดไหลแล้ว ซี่โครงเองก็เคลื่อนต่อกัน อวัยวะภายในกำลังซ่อมแซม เรียกได้ว่าแร็กนาร์เกือบจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์

เขาไม่ใช่มนุษย์การฟื้นฟูจึงมากกว่าเอลลูญ์ แม้จะเพียงครึ่งเดียวของปีศาจก็ใช่ว่ามันจะช้ามากนัก แร็กนาร์สบตาคาสึกิอย่างแน่วแน่ ไร้ความกลัวต่อผู้ที่มีพลังมากกว่า ใบหน้าราบเรียบ แต่หากมุมปากประดับด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างเจ้าเล่ห์
แร็กนาร์ไม่ชอบพูด แต่นั่นหมายถึงช่วงเวลาปกติ ถ้าหากว่าการพูดมีผลกับการต่อสู้ เขาก็พร้อมที่จะใช้มัน แม้จะเสียพลังในการขยับปากก็ตาม มันไม่ได้เสียเปล่าเช่นเวลาปกติทั่วไป

“หึ เด็กน้อยเจ้าไปรู้สิ่งใดมากันแน่ จะมาพูดอ้อมค้อมอยู่ทำไม ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้ามากนักหรอกนะ” คาสึกิเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความอดทนของเขามีขีดจำกัด เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของเด็กตรงหน้าก็พาให้เขาหัวเสียไม่น้อย แล้วยังจะกล่าวเล่นลิ้นเช่นนี้อีก เขาอยากจะเข้าไปกระชากลิ้นมันมาตัดทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความอยากรู้ก็มากกว่าจึงยังพอระงับอารมณ์เอาไว้ได้

“เมื่อ 9 ปีก่อน หัวหน้าของเจ้าพาหญิงสาวชาวมนุษย์ผู้หนึ่งมายังที่แห่งนี้ ดินแดนพยัคฆ์ที่มนุษย์ไม่ควรเข้าใกล้ ทั้งยังทำให้หญิงผู้นั้นกลายเป็นภรรยาของตน และยังให้ดำเนิดทายาทตัวน้อยออกมาเป็นสักขีพยานแห่งรักจนทำให้เจ้าไม่พอใจคิดคดทรยศต่อหัวหน้าของตน...ข้ากล่าวถูกใช่หรือไม่” ข้อสัญนิษฐานแรกถูกกล่าวออกไป ความเป็นไปเหล่านี้มันชัดเจนดั้งแต่วันที่ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อจับต้นชนปลาย นำเรื่องที่รูร์กัสเล่าเกี่ยวกับริเรน่ามาปะติดปะต่อกัน ความเป็นไปได้อันยากจะคาดเดาก็เกิดขึ้น

คาสึกิกำดาบในมือแน่น ความจริงที่ออกจากปากเด็กน้อยตอกย้ำความทรงจำเหล่านั้น ภาพบาดตาบาดใจวันที่หัวหน้ากลับมาพร้อมกับหญิงสาวชาวมนุษย์ผู้หนึ่ง ทั้งยังประกาศอย่างแน่วแน่ว่าหญิงผู้นั้นคือนายหญิงของกลุ่มโฮชิยังชัดเจน

วันนั้นมีเพียงเขาที่เอ่ยคัดค้าน เขาไม่ยอม ไม่ยอมยกหัวหน้าให้หญิงต่ำต้อยผู้นั้นเป็นอันขาด แต่การปฏิเสธหัวชนฝาก็ไม่อาจเป็นผลต่อความรู้สึกของหัวหน้า มันช่างน่าเจ็บปวด ความเห็นของเขาไม่แม้แต่จะทำให้เขาผู้นั้นหยุดคิดแม้แต่น้อย

ความทรงจำนั้นช่างแสนเจ็บปวด เจ็บปวดแต่ต้องเก็บเอาไว้เพียงในใจ เฝ้ามองภาพที่ชายผู้เป็นที่รักคอยเอาใจผู้หญิงแสนโสมมคนนั้นเรื่อยมา

แร็กนาร์สัมผัสได้ถึงหัวใจอันแสนเจ็บปวดแต่หากเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นของคาสึกิ มันช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าขอสัญนิษฐานของเขาถูกต้อง

โฮมุซึบิ อิซานางิ หัวหน้ากลุ่มโฮชิคือพ่อของเขา ชายที่ทำเรื่องร้ายกาจต่อครอบครัวของรูร์กัส แต่หากมอบความรักให้ริเรน่าและร่างนี้อย่างหมดหัวใจ เสียสละแม้พลังสุดท้าย ทั้งที่รู้ว่าหากไม่มีมันตนจะต้องพ่ายแพ้ ผู้ที่เอาแต่ใจตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต

หัวใจของแร็กนาร์เต้นกระหน่ำอีกครั้ง ภาพสุดท้ายในความทรงจำฉายชัด มันไม่ใช่ความมืดเช่นครั้งก่อน แค่ครานี้กลับเป็นใบหน้าแสนอ่อนโยนของปีศาจเผ่าพยัคฆ์ตนหนึ่ง ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านทำให้เขายังคงสติเอาไว้ได้ เพียงไม่นานหัวใจดวงนี้ก็ค่อยๆสงบลง

แร็กนาร์เคยคิดว่าหากรู้ว่าผู้ที่ผนึกความทรงจำเหล่านี้ลงไปในร่างของเขา ความทรงจำและพลังทั้งหมดจะปะทุออกมา แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ พ่อของร่างนี้ใช้พลังกดทับมันอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้ร่างกายนี้ถูกทำลายก่อนถึงเวลาอันควร

ความรักของพ่อเขารับรู้ถึงมันได้ ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน มาพร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นแต่หากไม่ได้มากมายจนร่างนี้รับไม่ไหว บาดแผลทั้งหมดหายสนิท ผมสองสีถูกย้อมเป็นสีแดงทั่วศีรษะ พลังเผ่าพยัคฆ์กำลังปะทุขึ้นในร่างกายของเขา

“แล้วมันอย่างไร จะมากล่าวเรื่องเหล่านี้เพื่ออันใด เพื่อตอกย้ำความผิดพลาดของข้ารึ” คาสึกิยังคงไม่สติแตกแต่อารมณ์ของเขาก็ครุกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด เขาหาได้สนใจความเปลี่ยนแปลงของร่างนั้น คาสึกิสนใจใคร่รู้จุดประสงค์ของเด็กน้อยมากกว่า

“เพื่ออะไร หึหึ เจ้าคงสับสนไม่น้อยที่ไม่อาจสังหารหญิงสาวผู้นั้นได้ ความโกรธเกรี้ยวก็ยังคงอยู่ในจิตใจ และยังคงรู้สึกผิดต่อหัวหน้าอีก ตลอดหลายปีมานี้คงทรมานไม่น้อย”

“แล้วมันอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

“มีคนผู้หนึ่งเขียนหนังสือเอาไว้ เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ 4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัย หรือวิธีการต่อสู้ แต่น่าเสียดายมันจบลงเมื่อเขียนถึงคืนนั้น คืนที่พวกเจ้าลงมือ

แต่นั่นมันก็มากพอที่จะทำให้ข้าคาดเดาว่า นิสัยอย่างเจ้าคงไม่อาจวางแผนเหล่านี้ได้ ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คงเป็นเทโทระพี่ชายของเบียกโกะ และผู้ที่ยุยงส่งเสริมให้เจ้าทรยศคงเป็นสหายที่อยู่ใกล้ตัว ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่”

“เจ้า!” คาสึกิอดที่จะตะลึงในข้อสัญนิษฐานเหล่านี้ไม่ได้ เด็กคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงยื่นมือเข้ามายุ่งทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องราวอันตรายเพียงใด

“นี่คาสึกิบอกได้หรือไม่ว่าใครชักจูงให้เจ้าสังหารหัวหน้ากลุ่มโฮชิ” แร็กนาร์ถามออกไป แม้รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรคาสึกิคงไม่บอกเขาง่ายๆ แต่ว่าไม่ลองก็ไม่รู้จริงหรือไม่

“หึ อย่ามาตัดสินว่าข้าไร้ความคิดจนให้ใครมาจูงจมูกได้ง่ายๆ และอย่าได้บังอาจมาหลอกลวงข้า ข้าไม่มีทางหลงกลเด็กน้อยเช่นเจ้า!” คาสึกิเก็บสีหน้าได้ดี แต่หัวใจที่เต้นผิดจังหวะทำให้แร็กนาร์รู้ได้ว่าคาสึกิกำลังปกปิดความจริง ยังมีองครักษ์เงาที่ทรยศอยู่อีก องครักษ์เงาที่เหลือจะมีใครบ้างทรยศ ทาคุมะคือหนึ่งในนั้นหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นหากความทรงจำกลับมาทาคุมะจะไม่คิดกำจัดพวกเขาหรือ

ผลลัพธ์อันเลวร้ายกำลังเกิดขึ้นเสียแล้ว เวลานี้พวกเขาล้วนแล้วแต่คิดว่าทาคุมะคือพรรคพวก ถ้าหากมีใครเข้าหาทาคุมะอย่างสนิทใจ คงถูกสังหารได้อย่างง่ายดาย แม้มันเป็นเพียงข้อสัญนิษฐานแต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ ไม่ดีแล้วเขาต้องเร่งมือจะมามัวใจเย็นอยู่เช่นนี้ไม่ได้

‘เคลตี้เปลี่ยนแผน’

แร็กนาร์สั่งการเคลตี้อีกครั้ง เวลานี้หากทาคุมะกลับมาสมทบกับรูร์กัส เช่นนั้นแล้วชีวิตของรูร์กัสต้องตกอยู่ในอันตราย จะอย่างไรเขาก็ต้องไปพิสูจน์ด้วยตาของตน ถ้าหากมีความเป็นไปได้แม้แต่น้อยนิด เขาก็ต้องป้องกันมันเอาไว้ ไม่เอาแล้วเขาไม่อยากสูญเสียพวกเด็กๆไป

เมื่อรับพวกเด็กๆเข้ามาอยู่หลังกำแพงแล้ว แร็กนาร์ก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมสูญเสียที่อยู่ของตนเด็ดขาด!

“หึหึ ข้าก็คิดเช่นนั้น...จริงสิคาสึกิ เจ้าไม่ลองมองหน้าข้อให้ชัดๆหน่อยหรือ ไม่คิดว่าคล้ายใครเลยรึอย่างไร” แผนอันใจกล้าบ้าบิ่นจึงเริ่มต้นขึ้น จะใช้วิธีอื่นก็ได้เพื่อให้คาสึกิสติแตก ไม่มีสติยั้งคิด หลงลืมรูปแบบการต่อสู้ แต่วิธีนี้กลับเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

คาสึกิจ้องมองแร็กนาร์ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะกลับมาจ้องมองใบหน้านั้นอย่างพินิจพิจารณา แม้ผมจะถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงทั้งศีรษะแต่ใบหน้าที่แสนน่ารังเกียจนั้นเขาไม่อาจลืม ใบหน้าอันโดดเด่นใครจ้องมองก็ต้องหวั่นไหว ใบหน้าของหญิงสาวที่พาความหายนะมาสู่หัวหน้าของเขา

ใบหน้าของ ริเรน่า คูฟฟ์

แม้ใบหน้านั้นจะลอกแบบมาจากริเรน่า แต่ดวงตากลับเรียวเล็กคมกริบ ไม่ได้กลมโตเท่าริเรน่า ดวงตาที่เขาคุ้นเคย ดวงตาที่ถอดแบบมาจากชายอันเป็นที่รัก และผมสีแดงเพลิงนั้นยิ่งย้ำเตือน เด็กคนนี้คือพยานรักของพวกเขาทั้งสอง ส่วนผสมอันแสนน่ารังเกียจ ส่วนผสมที่คาสึกิอย่างทำลายตั้งแต่ครั้งแรกที่มันลืมตาดูโลก

“แก! ยังไม่ตายอีกรึ เหตุใดยังกล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้า ช่างขวางหูขวางตา ใบหน้าอันแสนน่ารังเกียจนั่น ข้าจะทำลายให้หมดสิ้น!” คาสึกิระเบิดอารมณ์ออกมาจนหมดสิ้น ความเกรี้ยวโกรธถาโถมในใจอย่างไม่อาจห้าม คิดแต่เพียงอยากทำลายเด็กคนนี้ให้แหลกเป็นผุยผง ไม่แม้แต่จะควบคุมพลังอันบ้าคลั่งที่ผลาญอายุขัยให้ลดลงอย่างรวดเร็ว

พลังสสารมืดปะทุขึ้นจนต้นไม้โดยรอบเหี่ยวเฉา พลังมากมายมหาศาลยิ่งกว่าคุระที่พึ่งเคยใช้มันครั้งแรก  คาสึกิเคลื่อนไหวชั่วพริบตาไปยังตัวแร็กนาร์อีกครั้ง กระบวนท่าอันรวดเร็วหมายฟาดฟันคอเด็กน้อยให้ขาดสะบั้น

เลือดสีแดงสาดกระเด็นอาบใบมีด แต่หากไร้ร่องรอยของเจ้าของรอยเลือดนั้น แร็กนาร์หายไปจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่เสียแล้ว
คาสึกิแม้ไร้ซึ่งสติยั้งคิดแต่หากความสามารถยังคงอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าของผู้ที่แฝงกายในเงามืด ร่างนั้นอยู่ด้านหลังของเขาห่างออกไปเล็กน้อย ความจริงเขาควรแปลกใจในความรวดเร็วของแร็กนาร์ แต่หากเวลานี้เขาไร้สติสัมปชัญญะเหลือคงไว้เพียงความคุ้มคลั่งของพลังอันดำมืด เขาจึงไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนเคลื่อนไหวไล่ล่าแร็กนาร์อีกครั้ง

ร่างสองร่างผุบโผล่ในความมืด ความเร็วเกินกว่าคนทั่วไปจะมองเห็น เอลลูญ์ที่ขยับกายให้พ้นระยะการโจมตีเพื่อฟื้นฟูร่างกายนั่งมองอย่างเงียบงัน แม้มองเห็นบ้างไม่เห็นบ้างแต่เขาก็พอสังเกตได้ว่าแร็กนาร์กำลังเปลี่ยนไป

ไม่เพียงศีรษะที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่มันถูกเปลี่ยนทั้งแววตา คมเขี้ยว และแม้แต่สภาพร่างกาย เวลานี้ร่างนั้นอยู่ในร่างของปีศาจเผ่าพยัคฆ์เต็มรูปแบบ หรืออาจจะมากกว่าปีศาจทั่วไป จากที่เขาเคยเห็นพวกนั้นแปรเปลี่นยร่างกึ่งสัตว์ได้เพียงบางส่วนเท่านั้นต่างจากแร็กนาร์อย่างสิ้นเชิง...เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่! เอลลูญ์ได้แต่เก็บความฉงนไว้ในใจ

แร็กนาร์รับรู้ถึงพลังที่อยู่ในกายอันเอ่อล้น รวมทั้งความทรงจำในการใช้พลังอันคุ้มคลั่งนี้จากภายใน เพียงแต่มันไม่ใช่การเรียกใช่การใช้โดยสถานการณ์บีบบังคับจนถึงชีวิตเช่นครั้งก่อน ทั้งพ่อของเจ้าของร่างกายนี้ยังตั้งเงื่อนไขเพื่อปกป้องร่างนี้ไว้เป็นอย่างดี
เขากำหนดให้พลังไหลของมาอย่างพอดีกับสภาพร่างกายที่ร่างนี้รับได้ และเมื่อแร็กนาร์มีสติมากเพียงพอไม่เหมือนเมื่อครั้งที่เขาปลดปล่อยพลังเพื่อช่วยรูร์กัสโดยที่ไม่รู้วิธีการควบคุม

แม้วิธีการใช้จะซับซ้อนและทำได้ยากในเวลาอันสั้น แต่แร็กนาร์ก็พอใช้มันได้ แม้ไม่เต็มร้อยก็ตาม เขาเสริมจุดอ่อนที่ขาดหายนั้นด้วยเทคนิคของนักฆ่าที่ติดตัวมา

ความว่องไวที่มีอยู่ก่อนแล้วเพิ่มยิ่งขึ้นด้วยวิถีก้าวย่างเช่นนักฆ่าที่อาศัยความรวดเร็วในการจู่โจมศัตรู ยิ่งร่างนี้ถูกเสริมพลัง มันยิ่งรองรับทักษะของเขาได้มากยิ่งขึ้น แร็กนาร์รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง แม้ว่าพลังที่ใช้ได้ตอนนี้จะไม่ถึงเสี้ยวของพลังที่แท้จริงก็ตาม

เส้นทางการฝึกฝนอีกยาวไกล เขายังอ่อนแอเรื่องใช้พลังพิเศษ ส่วนร่างนี้เองก็ไม่อาจรอบรับทักษะที่ติดตัวมาของเขาได้ เขาต้องมีชีวิตรอดจากเหตุการณ์นี้ให้จงได้ เมื่อนั้นเขาจะต้องใช้พลังที่พึงมีของตนให้เต็มที่อย่างแน่นอน

“เจ้าหนอนแมลงน่ารังเกียจที่เกิดจากสตรีแพศยาเช่นเจ้าช่างตายจากเสียจริง เอาแต่วิ่งหลบหลีกน่ารำคาญ วันนี้ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้น ให้จบสิ้นสายเลือดโสมมของเจ้าให้ได้!” คาสึกิตวาดเกล้า แม้สติหลุดลอย แต่ความรู้สึกอันแรงกล้ายังคงอยู่

ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเคียดแค้น ทั้งยังหงุดหงิดใจที่ไม่อาจไล่ตามแร็กนาร์ได้ทัน บาดแผลเดียวที่เขาลงมือแตะต้องเด็กน้อย
ได้คือบาดแผลที่คอก่อนที่แร็กนาร์จะขับเคลื่อนพลังเร้นกายหายไป

หลังจากนั้นแม้ปะทะกันก็หลบได้อยู่ร่ำไป ดังว่าเด็กคนนั้นสามารถมองท่วงท่าของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และเหนือกว่าที่คาดยังสามารถใช้มีดผ่าตัดอันเล็กจ้อยปัดป้องคมดาบของเขาได้โดยไม่สึกหลอแม้แต่น้อย

สิ่งที่ปะทะกับคมดาบของคาสึกิไม่ใชคมมีดทั่วไป แต่หากเป็นคมมีดที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังถึงสองธาตุเป็นเกาะปกป้องคมมีดอับเปราะบางนั้นไว้อย่างหนาแน่

การปะทะก็ไม่ใช่การใช้พลังปะทะกันโดยตรง เพราะอย่างไรแล้วแร็กนาร์ก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาจึงเน้นตั้งรับ หลบหลีก และปัดป้อง เบี่ยงวิถีการโจมตีด้วยทักษะอันนุ่มนวลแต่หากรวดเร็วจนยากที่จะกระทำได้โดยง่ายดาย

ทักษะนี้เป็นสิ่งที่แร็กนาร์ถนัด การต่อสู้ของเขาไม่เคยเน้นปะทะด้วยพลัง การฆ่าของเขาเงียบเชียบ รวดเร็ว เน้นจุดตาย ไม่ให้เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่น้อย

พวกเขาทั้งสองรุกไล่กันไปมา แต่หากไม่มีใครลงมือสยบใครได้ บาดแผลก็เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เกิดจากการโฉบเฉี่ยวไปมาของคมมีด คมดาบเท่านั้น พลังกายก็ลดทอนอย่างเห็นได้ชัด

การหลบหลีกและโจมตีของแร็กนาร์เต็มไปด้วยทักษะอันเฉียบแหลม ส่วนคาสึกิแม้ไร้สติยั้งคิดไตร่ตรองแต่ก็เคลื่อนไหวด้วยสัญชาตญานการต่อสู้ที่อัดแน่นด้วยประสบการณ์อย่างล้นเหลือ เรียกได้ว่าไม่มีใครอ่อนด้อยกว่าใครเลย

ทั้งพลังกายของแร็กนาร์ยังลดต่ำลงรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด อีกไม่นานเขาต้องพลาดพลั้งเสียทีให้คาสึกิเป็นแน่ แร็กนาร์จึงเร่งสั่งการเคลตี้ให้ดำเนินแผนการอย่างรวดเร็ว ข่าวดีในตอนนี้คงเป็นเรื่องที่โกยาตเลย์ฟื้นแล้ว และกำลังนัดแนะการประสานพลังกับเอลลูญ์ที่ตามไปสมทบยังที่หลบซ่อน

ภาพลวงตาของเคลตี้เองกก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว หากหลอกล่อคาสึกิที่คุ้มคลั่งเต็มที่ ทั้งยังอยู่ในห้วงความแค้นบังตาไปติดอยู่ในภาพลวงตานั้น พวกเขาคงมีเวลาเตรียมการมากพอ หรือไม่แล้วคาสึกิอาจจะไม่หลุดจากภาพลวงตานี้ไปชั่วชีวิต

‘หึ ขอข้าดูจิตใจของเจ้าหน่อยเถอะ...คาสึกิ’

แร็กนาร์คิดอย่างหมายมาดทั้งที่ยังรับมือคาสึกิอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เขาแยกประสาท ร่างกาย และความคิดออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

คาสึกิเหวี่ยงดาบเข้าที่ไหล่ซ้าย แร็กนาร์ก็ถอยหลบหนึ่งก้าว แล้วใช้มีดผ่าตัดเบี่ยงวิถีผลักคมดาบนั้นออกจากร่างกายตน คมดาบที่ควรผ่าไหล่เฉียนลงจนถึงสะโพกเบี่ยงลงด้านล่างก่อนถึงตัวแร็กนาร์

ดังสายน้ำอ่อนนุ่มที่ปะทะเข้ากับคมดาบ พาให้วิถีอันเปี่ยมพลังใหลระร่องตามกระแสน้ำที่ซัดสาดพาไปยังทิศทางอื่น

มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่หดเกร็งจนกงเล็มแหลมคมยืดยาวขึ้นยิ่งกว่าที่ควร ตวัดไปมาทุกครั้งเมื่อคู่ต่อสู้เผยจุดบอด แต่น่าเสียดายที่แร็กนาร์ไม่อาจเคลือบกงเล็บเล่านั้นไว้ด้วยพลัง ทั้งมันยังมีขนาดเล็กจ้อยตามขนาดของร่างกายทำให้มันเกิดเพียงบาดแผลเล็กๆบนร่างของคาสึกิเท่านั้น

ทำให้บาดแผลเหล่านั้นสมานตัวอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งการยับยั้งฟื้นฟูเช่นโดนมีดเฉือนดังก่อนหน้านี้ เพราะใช้มีดผ่าตัดเบี่ยงวิถีดาบ แร็กนร์จึงไม่อาจใช้มันเฉือนร่างคู่ต่อสู้ได้ เหงื่อเย็นผุดขึ้นมากมายเขากำลังจะหมดพลังกายแล้ว

ผมสีแดงค่อยๆจากลง แปรเปลี่ยนเป็นสีดำล้อมรอบอีกครั้ง คมเขี้ยวมือเท้าก็หายไปจนหมดสิ้น พลังที่ได้มาหมดลงแล้ว ดังสัญญาณที่ส่งผ่านไปในโสตประสาทของคาสึกิ เขารับรู้ได้แม้ไร้สติว่าคู่ต่อสู้อ่อนแอลงแล้ว รีบเร่งจังหวะจ้วงแทงให้เฉียบคมยิ่งกว่าที่แล้วมา ทุ่มพลังโจมตีอย่างไม่คิดถึงผลเสียใดๆ

“อั๊ก” คมดาบผ่าจากอกจนถึงสะโพก แรงอัดอันมหาศาลทำให้ร่างกายเล็กๆนั่นลอยระริ่วไปไกล ไม่รอช้าคาสึกิถีบเท้าพุ่งทะยานตามไปหวังสังหารเหยื่อให้สิ้นซาก

แต่หากเขาเห็นร่างของแร็กนาร์นอนจมกองเลือดอยู่ด้านหน้าแท้ กลับไม่อาจไปถึงตัวได้รวดเร็วตามที่ใจคิด มันดังว่าร่างนั้นอยู่ไกลแสนไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง

และแล้วร่างนั้นก็หายไปกับสายหมอกสีขาวที่รายล้อมคาสึกิเอาไว้ รอบด้านสว่างวาบดังว่าเขาอยู่ในเวลาเช้า ต้นไม้รอบทิศสลายหายไปเหลือไว้เพียงพื้นโล่งสีขาวล้อมกรอบเขาไว้ทั้งสี่ด้าน

“สายันต์สวัสคาสึกิ” เสียงอันน่ารังเกียจแต่กลับคุ้นเคยดังขึ้นเรียก มันสะท้อนจากผนังทั้งสี่ด้าน เกิดเป็นเสียงกังวานดังขึ้นซ้ำๆจนหูอื้อ

เพียงไม่นางร่างของหญิงสาวมากมายปรากฏขึ้นรอบตัวเขา สะท้อนไปมาดังกระจกที่จับจ้องไปยังหญิงสาวผู้หนึ่งโดยไม่อาจรู้ว่าภาพใดคือตัวจริง เพราะทุกภาพล้วนเกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียว
 


To Be Continued...
______________________________________________

มาแล้วค้าา
เดี๋ยวกรีนจะเปิดนิยายเรื่องใหม่ที่แอบเขียนเอาไว้นะคะ
ฝากลูกชายคนใหม่ของกรีนด้วยน้าาา

เรื่อง PAY เปย์ข้าด้วยบุฟเฟต์สิ


หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 38 โต้วาที (31/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 01-02-2018 17:35:07
 :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 38 โต้วาที (31/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 08-02-2018 11:37:03
ติดตามและตามจิกคนเขียน มาเร็วๆ น่าา  สู้จ้ากะลังสนุกเลย :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 39 ริษยา
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 13-02-2018 18:16:12
ตอนที่  39
ริษยา
(ครึ่งแรก)


ในขณะที่แร็กนาร์ถ่วงเวลาอยู่นั้นเคลตี้ก็ทิ้งภาพลวงตาซึ่งปกปิดโกยาตเลย์ที่ฟื้นพลังเต็มที่เอาไว้ มันรอคอยจนแน่ใจว่าเอลลูญ์หลบเลี่ยงมายังที่ที่มันอยู่ จึงดำเนินแผนต่อไปตามคำสั่งเจ้านายในพันธสัญญาของมัน

 พลังของเคลตี้มีขีดจำกัดเนื่องจากมันยังอยู่ในวัยเด็กไม่ต่างจากแร็กนาร์ และพลังของคู่พันธสัญญาของมันเองก็ยังน้อยนิด หากต้องการใช้ภาพลวงตาขนาดใหญ่จึงต้องใช้เวลาในการเตรียมการเอาไว้

และภาพลวงตาที่จะใช้ในครั้งนี้ยังเป็นอีกขั้นของภาพมายาทั้งมวล สิ่งที่เจ้านายของมันต้องการคือการใช้ประโยชน์จากอดีตอันดำมืดที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ในจิตใจของศัตรู ดังนั้นแล้วมันจึงต้องเตรียมดักมายาอันกลืนกินศัตรูเมื่อเข้ามาสู่อาณาเขตของมัน

เมื่อศัตรูเข้ามาในกับดักเพียงเสี้ยววินาทีมันจะทำการค้นหาความทรงจำที่ถูกปิดซ่อนไว้ แล้วถ่ายทอดความทรงจำนั้นไปสู่เจ้านายของมัน และเมื่อแร็กนาร์สั่งการมันก็จะสร้างภาพลวงตาตามความต้องการของแร็กนาร์

หากเป็นพ่อแม่ของมันแล้วคงสามารถเรียกความทรงจำทั้งหมดของศัตรูออกมาและส่งให้กับคู่พันธสัญญาได้ในทันที แต่ตัวมันเองกลับส่งความทรงจำให้แร็กนาร์ได้เพียงน้อยนิด แร็กนาร์ที่สื่อสารกับเคลตี้มาตลอดจึงรู้ถึงขีดจำกัดนี้ดี เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเลือกความทรงจำส่วนลึกที่สุดของคาสึกิมาใช้ประโยชน์นั่นเอง

แผนการครั้งนี้มีความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยขีดจำกัดของพวกเขาวิธีนี้จึงเป็นหนทางเดียวที่จะชนะได้ ความทรงจำที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ย่อมมีผลเสีย แร็กนาร์เองก็ไม่อาจกำหนดผลลัพธ์อันเกิดจากภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้นได้เช่นกัน หวังเพียงให้พวกเขาเตรียมการแผนขั้นสุดท้ายจนสำเร็จเท่านั้น

 ดังนั้นแล้วเขาจึงหาหนทางจนถึงที่สุด เพื่อหาทางออกที่สูญเสียไม่มากจนเกินไป และหาข้อมูลจากคาสึกิให้ได้มากที่สุด แต่เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าข้อสงสัยของเขาถูกต้อง แร็กนาร์จึงไม่ลังเลที่จะใช้หนทางนี้ สั่งการเปลี่ยนแผนในทันที

ม่านหมอกหนาเตอะถูกสร้างขึ้นโดยเคลตี้ กับดักอันร้ายกาจที่แม้จะใช้ด้วยพลังอันอ่อนแอก็มีอานุภาพมากเกินกว่าเผ่าพันธุ์อื่นจะก้าวข้ามไปได้ ทันทีที่แร็กนาร์กระเด็นมายังบริเวณที่ถูกเตรียมการไว้ ม่านหมอกสีขาวก็เข้าห้อมล้อมคาสึกิที่พุ่งเข้าสู่กับดักในทันที

เพียงชั่วอึดใจเคลตี้ก็ค้นหาความทรงจำส่วนที่ต้องการพบ มันส่งความทรงจำส่วนนั้นไปยังสมองของแร็กนาร์ที่กำลังปฐมพยาบาลร่างกายของตน โดยพิงร่างกายอยู่กับต้นไม้ที่ถูกกระแทกเมื่อครู่

แร็กนาร์ได้รับความทรงจำเหล่านั้น ความทรงจำและความรู้สึกอันดำมืดเมื่อครั้งที่เจ้าของร่างได้พบริเรน่า และมันก็เป็นดังชนวนเหตุให้ใครบางคนนำความรู้สึกเหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือในการผลักดันคาสึกิให้เข้าสู่วังวนแห่งการทรยศ

แต่เพราะความทรงจำมีเพียงส่วนเดียวเขาจึงไม่อาจล่วงรู้ความลับของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้ แร็กนาร์ตระหนักถึงความอันตรายที่ซับซ้อนจากเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน เขาจึงเลือกที่จะตัดไฟเสียเพื่อไม่ในมันบานปลายไปมากกว่านี้ ส่วนผู้บงการนั้นเขาต้องคาดคั้นมันออกมาจากคาสึกิให้ได้

หลังสั่งการเคลตี้แร็กนาร์ก็ไปยังจุดที่โยกาตเลย์กับเอลลูญ์อยู่ เขาต้องฟื้นพลังของเอลลูญ์ให้ได้มากที่สุด และตระเตรียมแผนการขั้นสุดท้ายที่จะใช้โค่นล้มคาสึกิ เขารู้ดีว่าพลังอันน้อยนิดของตนไม่อาจล้มคาสึกิลงได้ ดังนั้นแล้วสิ่งที่จะปิดฉากคือพลังของเด็กทั้งสอง

ทางด้านคาสึกิที่อยู่ในม่านหมอก เขามองเห็นภาพที่สะท้อนไปมาในกระจกได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันถูกควบคุมผ่านจิตใต้สำนึกของเขา สัญชาตญาณที่ไร้การควบคุมทำให้เขาตกลงสู่ภาพลวงตาโดยสมบูรณ์ ด้วยสติที่ถูกทำให้เลือนหายจนหมดสิ้น เขาจึงถูกครอบงำได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่สะท้อนภายในใจจึงเป็นภาพของคาสึกิที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มร้อย ยืนอยู่ตรงกลางโดยถูกล้อมรอบด้วยกระจก ดังว่าการต่อสู้เมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น

เพราะภาพมายาของเคลตี้ควบคุมจิตสำนึกที่อยู่ภายใน เวลานี้สิ่งที่คาสึกิสัมผัสได้จึงเป็นสภาพภายในจิตใจของเขานั่นเอง
ร่างกายภายนอกของคาสึกินั้น  ดวงตายังคงเบิกโพลงด้วยความคลุ้มคลั่ง แต่กระนั้นมันก็ไม่อาจขยับเขยื้อนไปที่ใดได้ เพราะดวง
จิตของมันถูกดึงออกไปอย่างไม่รู้สึกตัว สภาพภายนอกจึงหยุดชะงักลงดังว่าเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้

ภายในดวงจิตนั้นคาสึกิคล้ายตัวตนที่มีสติ เพราะสิ่งที่ถูกครอบงำคือดวงจิต เป็นภาพฝันอันไม่มีอยู่จริง แต่ภายใต้จิตสำนึกมันกลับถูกควบคุมโดยง่าย ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือความจริง การต่อสู้เมื่อครู่ต่างหากคือความฝัน

“สายันต์สวัสดิ์คาสึกิ” เสียงหวานอันคุ้นเคยทำให้คาสึกิแทบจะตาถลนออกจากเบ้า ด้วยเชื่อว่าริเรน่าไม่มีทางที่จะปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะได้รับการยืนยันแล้วว่า หญิงสาวที่เขารังเกียจนักหนาได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว

“นี่มันอะไร” แม้จะฉงนสงสัยแต่คาสึกิก็เก็บสีหน้าได้ดี ถามกลับไปด้วยความนึกคิดที่ตีกันมากมายในหัว

“เหตุใดจึงถามเช่นนั้นเล่า...ท่านคาสึกิ ไม่ดีใจที่ได้พบข้าอีกครั้งหรือไร” รอยยิ้มอ่อนโยนดั่งเทพธิดาเผยออกมาดังว่าไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝงในประโยคนั้น

“เจ้าตายไปแล้ว” คาสึกิเข่นเคี่ยว จะอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเชื่อ แม้ในจิตใจจะสั่งการให้เชื่อในภาพเหล่านั้นจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม

“จริงรึ ถ้าเช่นนั้นข้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าท่านคือใครกันเล่า” เสียงหวานยังคงเจื้อยแจ้ว สีหน้าหาได้หวั่นเกรงหรือแสดงพิรุธใดๆ

“อย่าได้โกหกข้า! ซาซากิยืนยันกับข้าเองว่าเจ้าตายไปแล้ว” แม้จะยืนยันกับตนเพียงใด แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังที่ควบคุมจิตใจได้ ด้วยเพราะแร็กนาร์ทำให้คาสึกิไร้สติแล้วจึงเข้าควบคุม เขาจึงไร้จิตที่จะต่อต้าน ทั้งความคิด ความรู้สึกต่างถูกกระตุ้นให้เชื่อในภาพเหล่านั้นอย่างถึงขีดสุด

“เชื่อเช่นนั้นจริงหรือท่านคาสึกิ ไม่คิดว่าจะถูกหลอกบ้างเลยหรือไร ดูท่านทาคุมะนั่นสิ ไม่ใช่ว่าท่านซาซากิก็บอกว่าเขาตายไปแล้วเช่นนั้นรึ” ภาพมายายังคงกระตุ้นจิตของคาสึกิให้เชื่อต่อไป ไม่ว่าจะภาพของหญิงสาวที่เขาเกลียดชังนักหนา หรือคำกล่าวที่เป็นดังหอกทิ่มแทงย้ำเตือนความจริงที่เขาปฏิเสธล้วนทำให้คาสึกิไม่อาจกล่าวค้านสิ่งใดได้อีก

“ท่านก็เห็นท่านทาคุมะด้วยตาของตนเองว่ายังคงมีชีวิตอยู่ ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าเล่า” ร่างของริเรน่ายังคงกล่าวคำเสียดแทงต่อไป ด้วยความต้องการของแร็กนาร์ นอกจากที่จะให้คาสึกิสิ้นฤทธิ์แล้ว เขายังคงต้องดึงความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้ออกมาให้ได้มากที่สุด

“ไม่ใช่ว่าท่านถูกหลอกใช้มาตลอดหรอกรึ เป็นผู้โง่เขลาที่ถูกหลอกใช้โดยซาซากิแสนเจ้าเล่ห์นั่น” หัวข้อการสนทนาถูกชักนำไปในทางที่ข้อสันนิษฐานของแร็กนาร์สรุปเอาไว้ สำหรับนักฆ่าข้อมูลสำคัญที่สุด ดังนั้นแล้วหากสรุปข้อสันนิษฐานใดออกมาก็ต้องยืนยันให้แน่ชัดเสียก่อน

หรือไม่ก็ต้องระวังข้อเป็นไปได้ทั้งหมด หากเป็นเช่นนั้นมันมีความเสี่ยงมากเกินไป  ตามนิสัยของเขา  การสังหารทุกครั้งต้องออกมาสมบูรณ์แบบเสมอ

“ไม่จริง  ซาซากิไม่มีทางโกหกข้า! เขาเป็นผู้ชี้เส้นทางให้ข้า เป็นผู้ชักพาให้ข้าได้พบท่านผู้นั้น ทำให้ข้าได้ครอบครองพลังที่เกินขีดจำกัด ซาซากิหวังดีกับข้าถึงเพียงนี้ ไม่มีทางที่จะหลอกใช้ข้าได้ ไม่มีทาง ข้าไม่เชื่อ!” อารมณ์ของคาสึกิขาดผึ่ง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความแคลงใจ เขาเชื่อในซาซากิมาตลอด แต่จิตใจอีกด้านกลับเชื่อในคำกล่าวของริเรน่าอย่างไม่อาจต้านทาน พยายามหาข้อแก้ต่างให้คำกล่าวนั้นอย่างเต็มที่

แร็กนาร์ได้ยินคำกล่าวทั้งหมดของคาสึกิ เขาจึงเก็บรายชื่อเหล่านั้นไปวิเคราะห์หาข้อเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

‘ซาซากิ ซาซากิ...ชื่อนั่น ชื่อที่ซาดาโอะยืนยันว่าส่งจดหมายไปให้ อ่า รู้ตัวการแล้ว แต่คนที่มอบพลังนั่นใครกันนะ คงจะเป็นคนที่มอบสสารสีดำให้ปีศาจเหล่านี้ไม่ผิดแน่

ถ้าคนลึกลับนั่นเข้าร่วมต่อสู้ทางฝั่งเบียกโกะแย่แน่ จะทำอย่างไรดี’


แร็กนาร์เรียบเรียงข้อมูลที่ได้มา จนในที่สุดเขาก็สามารถกำหนดผู้อยู่เบื้องหลังได้ แต่มันกลับวุ่นวายกว่าที่คาดคิด นอกจากการแทรกซึมของเทโทระในการปลุกปั้นผู้ทรยศแล้ว ดูเหมือนว่าฝั่งซาซากิผู้ทรยศเองก็มีผู้อยู่เบื้องหลังอันน่าหวั่นเกรงเช่นเดียวกัน

“ข้าไม่เชื่อ! ไม่มีทาง! ไม่! ไม่! ไม่!  ถ้าเจ้ายังไม่ตาย  ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง!” แต่ก่อนที่แร็กนาร์จะได้คาดเดาสิ่งใดเพิ่มเติมคาสึกิก็คลั่งเสียก่อน และเหนือความคาดหมายเมื่อจิตเชื่อมต่อกับร่างกายอีกครั้งด้วยความปรารถนาในการฆ่าอย่างล้นหลาม
แร็กนาร์รู้ดีว่าหากกระตุ้นความดำมืดส่วนลึกภายในใจเขาจะไม่อาจควบคุมศัตรูได้โดยสมบูรณ์ เพียงแต่ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะคลั่งจนเชื่อมต่อจิตคืนสู่ร่างกายได้เร็วถึงเพียงนี้

“เร็วเข้า โก สายฟ้า” แร็กนาร์กล่าวเร่งเร้า แต่กระนั้นน้ำเสียงก็หาได้ร้อนรน เขาคำนวณเวลาแล้วว่ายังคงทัน แต่ก็ต้องกระตุ้นให้เด็กทั้งสองเตรียมพร้อมและตื่นตัวรอรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

เพล้ง! เพล้ง!

คาสึกิฟาดฟันใส่กระจกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ว่าจะโจมตีกี่ครั้งก็ไม่อาจพบตัวจริงได้ ใบหน้านั้นจึงบิดเบี้ยว โถมใส่ความเกลียดชังอย่างไม่หยุดยั้ง ร่างกายภายนอกเองก็เหวี่ยงดาบตามการเคลื่อนไหวในจิตใจเช่นเดียวกัน บ่งบอกว่าอีกไม่นานภาพมายาจะถูกทำลายลง

“ตาย! ตายซะ! มนุษย์แสนต่ำต้อย หญิงแพศยาเช่นเจ้าสมควรตาย!” ความรู้สึกที่ถูกปิดไว้ถาโถมออกมา แม้เคลตี้จะกระตุ้นมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เกลียด เกลียด ข้าเกลียดเจ้า! เหตุใดจึงเป็นเจ้า ข้ายอมปิดบังความรู้สึกถึงเพียงนี้ ยอมเสียสละถึงเพียงนี้ ใจกว้างถึงเพียงนี้ ใยต้องเป็นเจ้า” คาสึกิบ้าคลั่ง พร่ำเพ้อถึงความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจ ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น ความปรารถนาในหัวหน้าของตน

“ข้ารัก ข้ารักท่านถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงเลือกมนุษย์ต่ำต้อยผู้นี้เล่า ถ้าเป็น ถ้าเป็นปีศาจสักตนล่ะก็ เมื่อนั้นข้าก็พร้อมจะยอมรับแท้ๆ ท่านช่างใจร้าย...ท่านอิซานางิ” น้ำตาหลั่งไหล เขาเข้าสู่วังวนที่ไม่อาจถอนตัวได้ตั้งแต่ที่ถูกช่วยชีวิตไว้ ความรักเกิดขึ้นอย่างไม่อาจห้าม แต่ก็ฝืนปกปิดมันแล้วอุทิศชีวิตปกป้องชายผู้เป็นที่รักเท่านั้น

 “จริงหรือ...ถ้าไม่ใช่ข้า ท่านยอมรับได้จริงหรือ” เหมือนความรู้สึกที่ถูกปิดเปิดออกอีกครั้งด้วยประโยคอันเสียดแทงจิตใจเกินกว่าจะรับไหว เพราะเคลตี้สามารถค้นความรู้สึกอันลึกที่สุดออกมาได้ แม้จะเป็นความรู้สึกที่ตัวตนนั้นอยากลืมก็ตาม
ใช่แล้ว นั่นเป็นคำถามที่คาสึกิเฝ้าถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

‘ถ้าเป็นปีศาจด้วยกัน ไม่ใช่มนุษย์เช่นริเรน่า เขายอมได้จริงหรือ’

แต่คำถามเหล่านั้นก็ถูกฝังจมหายไปในความมืดมิดส่วนลึกสุดของหัวใจอย่างหมดสิ้น เมื่อเขาเชื่อในคำยุยงของ...ซาซากิ



************************50%************************
มา 50% ก่อนนะคะ
กรีนไม่มีสมาธิแต่งเลยขอสารภาพ
วอกแวกอยู่ตลอด หาทางให้ตัวเองอยู่นิ่งไม่ได้
ใครมีเคล็ดลับดีๆส่งต่อมาบ้างนะคะ
อีกครึ่งเจอกันเร็วสุดพรุ่งนี้ค่ะ อย่างช้าก็ 2-3 วันน้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 39 ริษยา (13/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-02-2018 22:36:58
ดาร์กจิงๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 39 ริษยา (ครึ่งหลัง)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 15-02-2018 08:07:01

ตอนที่ 39
ริษยา (ครึ่งหลัง)

“อ้าก!” ร่างกายภายนอกหวีดร้องโหยหวนแสนเจ็บปวด เพราะคำถามที่ถูกลืมเลือนมานานย้อนคืนกลับมา มากกว่าสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกผิด คาสึกิเกียจชังริเรน่าอย่างถึงที่สุด แต่ก็รักอิซานางิสุดหัวใจเช่นเดียวกัน

เพื่อให้ชายอันเป็นที่รักมีความสุขเขาจึงยอมอดทน และโยนความผิดพลาดทั้งหมดไปให้หญิงสาวที่ถูกบังคับขืนใจมายังแดนปีศาจ ทั้งที่รู้ดีแต่กลับใช้ข้ออ้างว่าหากเป็นปีศาจด้วยกันเขาจะยอมรับได้ ที่เขาเป็นเช่นนี้เพราะริเรน่าคือสายเลือดของมนุษย์อันอ่อนแอ

พยายามเชื่อในข้ออ้างของตน จมหายความรู้สึกอันดำมืดลงในจิตใจส่วนลึกที่สุด แต่แล้วความอดทนก็ขาดวิ่นด้วยคำยั่วยุอันหอมหวาน ช่วยหาทางออกที่ทรมานน้อยกว่ามาให้ ถูกครอบงำด้วยความคิดอันแสนโสมม

หากข้าไม่ได้ เจ้าก็ต้องไม่ได้!

ความผิดทั้งหมดถูกโยนไปให้หญิงสาวอันแสนต่ำต้อย กล่าวโทษว่าที่เขาต้องทำเช่นนี้เพราะหญิงผู้นั้น ถ้าไม่ใช่มันเขาก็ไม่มีทางทรยศพวกพ้อง ไม่มีทางปล่อยให้อิซานางิถูกสังหารอย่างแน่นอน

ความจริงที่พยายามหนีมาตลอดถูกผลักกลับมา ดังว่าเขากลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง โดยพาความรู้สึกผิดต่ออิซานางิ และหญิงสาวผู้นั้นมาด้วย คาสึกิหลอกตัวเองมาตลอดว่าไม่เคยเจ็บปวดต่อสิ่งที่ทำลงไป แต่ความเป็นจริงความรู้สึกเหล่านั้นยังหลอกหลอนเขาเสมอมา ยิ่งอยากลืมกลับยิ่งจดจำ ยิ่งฝังมันให้ลึกก็ยิ่งตระหนักรู้ว่ามันยังคงอยู่

หัวใจของคาสึกิแตกสลาย สสารสีดำกลืนกินพลังชีวิตจนหมดสิ้น ต่อให้เขาสังหารศัตรูจนพินาศก็ไม่อาจมีชีวิตผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ ดังปีศาจสังหารที่ถูกอัญเชิญมาทำลายล้างแล้วสูญสิ้นไปเพียงชั่วข้ามคืน

พลังประทุเผาไหม้ กลิ่นอายของความตายแผ่ขยายไปรอบทิศ กระทั่งเด็กน้อยทั้งหมดยังสัมผัสได้ ความเศร้าเสียใจ ความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด ความโกรธเกรี้ยว และความริษยา หลอมรวมเป็นความรู้สึกอันเจ็บปวดที่สามารถทำลายชีวิตหนึ่งอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส

แร็กนาร์รับรู้ถึงมันแต่เขาก็ไม่ได้ใจอ่อนถึงขั้นสงสารศัตรู หัวใจของเขาถูกหล่อหลอมให้เย็นชากับทุกชีวิต ไม่ว่าใครก็ไม่ต่างจากสุกรที่ต้องถูกมนุษย์กลืนกิน สุกรมีเลือดเนื้อ มนุษย์ก็มีเลือดเนื้อ มีเพียงหนึ่งชีวิตเช่นเดียวกัน มันแตกต่างกันที่ใดเขาไม่เคยคิดเลย

มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่สิ สิ่งมีชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ผู้อ่อนแอย่อมถูกผู้แข็งแกร่งกลืนกิน เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ไม่ต่างจากเขา หากไม่ใช่คนสำคัญแล้ว ก็ไม่เคยคิดปรานีต่อสิ่งใด

ต่างจากเด็กน้อยเหล่านี้ เอลลูญ์ โกยาตเลย์ เคลตี้ เป็นเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจถึงสัจธรรมของสิ่งมีชีวิต พวกเขาหวั่นไหว พวกเขาเห็นใจ ความคิดที่จะเอาชนะถูกสั่นคลอน

“อย่าได้ใจอ่อน หากเราไม่ฆ่าก็จะถูกฆ่าเสียเอง อย่าได้ลืมความจริงข้อนี้ไป...และอย่าได้ลืมว่าเราจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด คนตายไม่อาจปกป้องใครได้จงจำไว้ให้ดี” คำกล่าวนี้แม้จะเย็นชา แต่มันก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
เด็กน้อยทั้งสามเหมือนได้สติ เขาจ้องมองภาพของคาสึกิเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหน้าหนีอย่างตัดใจ กล่าวขอโทษเงียบๆ แล้วเรียกความรู้สึกอันมั่นคงกลับมา

ใช่แล้ว พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องคนสำคัญ!

แร็กนาร์มองภาพเหล่านั้นแล้วระบายยิ้มเล็กน้อยอย่างพอใจ เขารู้ว่าการฆ่าครั้งแรกนั้นเจ็บปวดเพียงใด ยิ่งกับศัตรูที่ทำผิดเพราะถูกหลอกใช้ด้วยแล้วยิ่งเจ็บปวด พวกเขาไร้ความผิดแต่ก็ต้องลงมือสังหาร มันทรมานยิ่งนัก...แร็กนาร์เข้าใจมันดี

แร็กนาร์เคลื่อนกายไปยังอาณาเขตที่เตรียมไว้ เป็นสัญญาณบ่งบอกโกยาตเลย์กับเอลลูญว่าได้เวลาลงมือปิดฉากแล้ว

กลุ่มเมฆลอยเหนือบริเวณที่พวกเขาใช้ต่อสู้ แม้ท้องฟ้าจะยังคงมืดมิด แต่ก็สังเกตได้ไม่ยากเลยว่าเมฆก้อนนั้นลอยต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เมฆหนาแน่นสีดำถูกสอดแทรกเคลื่อนผ่านด้วยสาฟ้าสีเหลืองทอง เกิดประกายฟ้าแลบไปทั่วทั้งก้อน

พลังของโกยาตเลย์คือควบคุมสภาพอากาศ ไม่ว่าจะทำให้อากาศแจ่มใส มีฝนตก หรือกระทั่ง...มีพายุก็ตาม พลังของเผ่าวิหค เผ่าพันธุ์ที่มีควบคุมท้องฟ้าทั้งมวล

แม้มันจะพึ่งฟักออกจากไข่ แต่สัญชาตญาณของผู้ปกครองท้องฟ้าย่อมไม่เคยเลือนหาย ร่างกายเล็กๆนั่นแฝงพลังอันยิ่งใหญ่เกินจะคาดเดา เวลานี้อาจยังใช้ได้ไม่ถึงที่สุด เพราะพลังกายอ่อนแอ แต่มันก็เพียงพอที่จะเสริมพลังให้กับเอลลูญ์

สายฟ้าที่ไหลผ่านก้อนเมฆมีสองสาย สายหนึ่งอ่อนด้อยกว่า ทั้งยังเคลื่อนตัวได้เพียงในก้อนเมฆ แต่ก็ช่วยผลักดันให้สายฟ้าอีกสายหนึ่งมีให้พลังเพิ่มขึ้น สายฟ้าที่ทั้งรวดเร็วและเข้มข้นกลืนกินสายฟ้าอันอ่อนแอนั้นเพื่อแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังของตน ทั้งมันยังเคลื่อนตัวได้อย่างอิสระ สามารถกำหนดได้โดยผู้เป็นเจ้าของของมัน

เมื่อแร็กนาร์เข้าไปอยู่ภายใต้ก้อนเมฆเช่นเดียวกับคาสึกิ หลังจากที่รอคอยมานานจนสามารถเพิ่มพลังได้มหาศาล สายฟ้าสายนั้นก็หลอมรวมเข้ากับก้อนเมฆอย่างสมบูรณ์ เพียงไม่นานก็เกิดกระแสลมพายุรุนแรงก่อตัวขึ้นภายใน

เปรี้ยง!

สายฟ้าผ่าลงจากก้อนเมฆครั้งแล้วครั้งเล่า พายุหมุนอีกกว่าสิบสายซึ่งภายในเต็มไปด้วยสายฟ้าก็หมุนไปมารอบๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ

โกยาตเลย์เกาะอยู่บนไหล่ของเอลลูญ์ พวกเขาประสานพลังเข้าด้วยกัน ทั้งยังเชื่อมต่อจิตเอาไว้อย่างเหนี่ยวแน่ เอลลูญ์ควบคุมสายฟ้า โกยาตเลย์ควบคุมพายุหมุนที่มีสายฟ้าของเอลลูญ์ไหลเวียนอยู่ คอยบังคับให้มันหลบหลีกร่างเล็กๆของแร็กนาร์ และเคลื่อนตัวกักขังไม่ให้คาสึกิสามารถขยับออกจากบริเวณนั้นไปได้

“LAKE MARACAIBO” (มาราไคโบทะเลสาบแห่งสายฟ้า)

ท่าประสานที่ถูกคิดค้นโดยแร็กนาร์ พวกเขาเองยังไม่คาดคิดว่าจะมีพลังได้มากถึงเพียงนี้ พลังที่สามารถกักขัง 1 ใน 4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย แม้จะสูญเสียพลังไปอย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์ของมันก็มากมายเกินกว่าจะปฏิเสธได้

คาสึกิพยายามหลบหลีก แต่ไม่ว่าจะเคลื่อนที่ไปทิศทางใดก็ไม่อาจหนีพ้น หลบสายฟ้าสองสายที่เข้าปะทะ ก็มีพายุอีกสายหนึ่งปิดทางหนีทั้งยังถูกสายฟ้าที่อยู่ภายในเคลื่อนตัวเข้าโจมตี ถูกกักขังไว้ในใจกลางของพายุสายฟ้าอันบ้าคลั่ง

แร็กนาร์จ้องมองคาสึกิจนมั่นใจว่าไม่อาจหลบหนีจากแผนการของเขาได้ จึงเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยฝีเท้าไร้เสียงอันเป็นทักษะติดตัวของนักฆ่า ส่วนโกยาตเลย์กับเอลลูญ์นั้นอยู่นอกอาณาเขตพลังนี้ ทั้งยังมีเคลตี้คอยสร้างภาพลวงตากำบังเอาไว้ เขาจึงไม่ต้องเป็นห่วงเด็กทั้งสามมากมายนัก

ภารกิจของแร็กนาร์ คือ ระเบิดร่างของคาสึกิจากภายใน พลังสายฟ้าพายุนี้ทำได้มากที่สุดเพียงกักขังเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะโดนโจมตีบาดเจ็บเพียงใด คาสึกิก็สามารถฟื้นตัวได้ในทันที กับคู่ต่อสู้ที่มีพลังฟื้นฟูล้นหลาม เขาต้องทำให้มันแตกละเอียดเป็นชิ้นๆเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้นก่อนที่พลังของเด็กทั้งสามจะหมดลง เขาต้องปิดฉากการต่อสู้นี้ลงให้จงได้

มีดผ่าตัดในมือเรืองแสงสีเหลืองนวล ไฟที่ห่อหุ้มน้ำเอาไว้ลุกโชติช่วงขึ้น แร็กนาร์ถ่ายโอนพลังไปยังมีดมากขึ้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการใช้พลัง เพียงไม่นานแสงสีเหลืองก็ค่อยๆกลายเป็นสีฟ้า และสีน้ำเงินในที่สุด การใช้ไฟที่ร้อนแรงที่สุดย่อมแลกมาด้วยพลังที่มากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าแร็กนาร์ทุ่มสุดตัวกับการโจมตีในครั้งนี้

ฉั้วะ! ฉั้วะ!

มีดเฉือนเส้นเลือดบนร่างกายของศัตรูอย่างแม่นยำ ภาพร่างเส้นเลือด เส้นเอ็นต่างๆ ปรากฏขึ้นในหัวอย่างแจ่มชัด ไม่ว่าจะเฉือนลงไปที่ร่างกายนั้นครั้งใดก็เป็นจุดที่เล็งเอาไว้ทั้งสิ้น

ความแม่นยำ รวดเร็ว และการคำนวณอย่างถี่ถ้วน ทำให้แร็กนาร์สามารถเคลื่อนพลังถ่ายทอดลงไปในการโจมตีได้มากขึ้น พลังที่ถูกบีบอัดจนเล็กไหลแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดทุกครั้งที่มีดปะทะเข้ากับร่างกาย แม้บาดแผลภายนอกจะถูกรักษาอย่างรวดเร็ว แต่การบาดเจ็บภายในยังคงอยู่

หรือก็คือ แม้รักษาบาดแผลจากอาการบาดเจ็บแต่ก็ไม่อาจลบล้างพลังที่ถูกส่งเข้าสู้ร่างกายได้ ทั้งยังถูกปิดกั้นการไหลเวียนของเลือด โดยหล่อเลี้ยงพลังเข้าขวางกั้นเส้นเลือดที่ถูกตัดขาดเอาไว้ไม่ให้เชื่อมต่อกันได้

ความร้อนเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง ปะทะกันจนเกิดการกระเพื้อมด้วยความร้อนอันมหาศาล ยิ่งช่องว่างระหว่างกันใกล้มากเพียงใด ความร้อนที่ก่อตัวยิ่งทำให้เลือดร้อนขึ้นยิ่งกว่าน้ำเดือดระอุ

คาสึกิที่ไม่มีสติยั้งคิดไม่รู้สึกกระทั่งความเจ็บปวด พยายามค้นหาศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ ทั้งยังหาหนทางหลบหลีกจากบริเวณนี้ สัญชาตญาณร่ำร้องว่าผู้ควบคุมพลังอยู่ไม่ไกล แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากกงขังนี้ได้

ส่วนแร็กนาร์ที่เข้าโจมตี เขาสามารถลบตัวตนได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งการโจมตีก็ไม่ได้ส่งผลเจ็บปวดมากมาย คาสึกิที่ไร้สติยั้งคิดจึงไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด รู้สึกเมือนแมลงตัวเล็กๆเข้ามากัดจนยุบยิบไปหมดเท่านั้น โดยไม่รู้เลยว่าการโจมตีเหล่านี้ต่างหากที่
เขาควรหลีกเลี่ยง

5

4

3

2

และ

“1”

ตำแหน่งที่แร็กนาร์ต้องจัดการมีน้อยลงเต็มที และในที่สุดเขาก็เฉือนลงบนตำแหน่งสุดท้ายได้สำเร็จ เส้นเลือกที่คอขาดออก เลือดพุ่งกระฉูดรุนแรง ก่อนจะค่อยๆหยุดลง และถูกสมานเข้าด้วยกันด้วยพลังฟื้นฟูอันเหลือเชื่อ แต่มันก็ยังคงเหลือร่องรอยเอาไว้ ทั้งยังเป็นร่องรอยของพลังที่ฝังรากลึกเข้าไปภายใน

เสื้อผ้าที่ขาดวิ้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแร็กนาร์เฉือนมีดผ่าตัดลงบนร่างของคาสึกิมากมายเพียงใด มันมากพอที่จะปิดการไหลเวียนเลือดโดยสมบูรณ์ และยังทำให้เลือดที่เดือดระอุภายในปะทุความร้อนอออกมาได้พร้อมๆกัน ในที่สุดร่างนั้นก็ระเบิดออก

ตู้ม!

เสียงอันดังสนั่นหวั่นไหวนั่นทำให้แร็กนาร์เผยยิ้มกว้างอย่างพอใจ ดวงตาเย็นชาทอประกายความยินดี
ภารกิจเสร็จสิ้น!



To Be Continued...
___________________________________________

เย้! ในที่สุดการต่อสู้ของเด็กๆกลุ่มนี้ก็ผ่านไปด้วยดี
ต่อไปจะพากลับไปหาคูฟฟ์คนพี่น้าา
เจอกันตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 39 ริษยา 100% (15/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 15-02-2018 18:24:36
ในที่สุดก็ปิดฉากกลุ่มเบบี้ เสร็จสิ้นภารกิจ  สู้ๆ คนเขียนจ้า :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 39 ริษยา 100% (15/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 16-02-2018 14:02:50
ระเบิดตูม!!!!!! กลายเป็นโกโก้ครั้ช
 :z2:  :z2:  :z2:
รอจร้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 40 วิกฤติ
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 26-02-2018 19:48:15

ตอนที่ 40
วิกฤติ

Dark Ore(แร่มืด) แร่ที่ถูกคนพบภายใต้ผืนพิภพลึกหลายพันเมตรบริเวณปล่องภูเขาไฟ มีคุณสมบัติในการสะกดสัตว์อสูรให้อ่อนแอลง และสร้างความเจ็บปวดให้พวกมันอย่างมหาศาล จนถึงขั้นไม่อาจเข้าใกล้ผู้ครอบครองดาร์กออร์ได้ เมืองใหญ่ใหญ่ในแดนมนุษย์เองก็มีดาร์กออร์ติดอยู่บนกำแพงเมืองเพื่อป้องกันสัตว์อสูรเข้ามาดจมตี ทั้งชนชั้นสูงจนถึงกษัตริย์ก็นิยมนำมาใช้สร้างอุปกรณ์จับสัตว์อสูรเพื่อนำมาใช้งาน

เพราะดาร์กออร์ต้องใช้อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษรวมกับบุคคลที่มีความสามารถจึงจะสามารถนำมันออกมาจากปล่องภูเขาไฟได้โดยปลอดภัย มนุษย์ธรรมดาจึงไม่อาจนำมันออกมาใช้ได้ทั่วไป ดังนั้นแล้วมนุษย์ทั่วไปจึงน้อยนักที่จะรู้จักแร่ชนิดนี้

 และปีศาจก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่เชื่อมั่นในพลังของตนเองจึงน้อยนักที่จะใฝ่หาพลังจากสิ่งอื่น พวกเขาจะพิชิตสัตว์อสูรด้วยฝีมือและพลังของตน แร่ดาร์กออร์จึงไม่ถูกเผยแพร่มายังเผ่าปีศาจ ผู้ที่รู้ความร้ายกาจของมันจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก

ธนูกว่า 30 คัน ถูกง้างจนสุดสาย ปลายคันธนูชี้เป้าไปยังเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่กำลังหัวเราะร่ากับการเล่าถึงความสำเร็จของตน ร่างกายของเด็กเหล่านั้นมีร่องรอยของเลือดเปรอะเปื้อน ดูเหนื่อยล้าจากการใช้พลังจนถึงขีดจำกัด แต่ใบหน้าที่อวดอ้างความสำเร็จของตนกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

สัญญาณมือถูกยกขึ้นมาใช้ส่งสัญญาณไปยังหน่วยอื่นๆ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นหน่วยละ 30 ตน ในหน่วยจะมีนักธนูเพียง 10 ตนเท่านั้น  พวกมันเข้าล้อมกรอบซุ่มดูการต่อสู้ตั้งแต่หัวหน้าของพวกมันกำลังสู้กับเด็กมนุษย์และลูกครึ่งอยู่ ด้วยรัศมีที่ห่างไกลตามระยะสายตาของปีศาจทำให้พวกมันสามารถปกปิดกลิ่นอายได้อย่างแนบเนียน

พวกมันเฝ้าสังเกตจนแน่ใจว่าหัวหน้าทั้ง 3 ของมันคงไม่อาจมีชีวิตรอดแล้ว และคงไม่พ้นเป็นฝีมือของเด็กอีกกลุ่มที่เข้ามาสมทบพร้อมกับหมาป่าเพลิงซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับกลาง ดังนั้นแล้วแม้ตรงหน้าของมันจะเป็นเด็กกลุ่มหนึ่งพวกมันก็ไม่อาจที่จะสบประมาทได้ พึงระลึกอยู่ตลอดว่าเด็กเหล่านั้นร้ายกาจเกินอายุ ทั้งยังเก่งกาจเหนือกว่าพวกมัน

จากที่คิดไตร่ตรอง ความเห็นของทั้งสามหน่วยก็ตรงกันนั่นคือ ร่วมมือกันสู้ด้วยจำนวนที่มากกว่า จะอย่างไรเด็กเหล่านั้นก็ยังบาดเจ็บ ทั้งเด็กลูกครึ่งที่เก่งกาจคนนั้นก็หายลับไปในความมืดแล้ว เหลือเหยื่อที่พวกมันต้องจัดการตามภารกิจเพียงน้อยนิดเท่านั้น
เวลานี้พวกมันเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะของลูกธนู ทั้งยังปกปิดกลิ่นอายเอาไว้ แม้จะไม่แนบเนียน แต่เด็กเหล่านั้นก็ไม่อาจรับรู้ได้ เพราะพลังที่ถูกใช้ไปจนถึงขีดจำกัดส่งผลให้ประสาทรับรู้ไม่อาจทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หมาป่าเพลิงตัวใหญ่เองก็ยังบาดเจ็บหนักจนประสาทรับรู้พร่าเลือน ส่วนลูกๆของมันยังเล็กเกินกว่าจะรับรู้ถึงภัยที่คุกคราม พอเห็นเด็กๆกำลังเล่าเรื่องอย่างสนุกสนานก็สนใจเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย

หัวธนูสีดำทะมึนเบี่ยงเป้าเล็งไปยังหมาป่าเพลิงทั้ง 9 ตัว แม้ระยะจะไม่เสถียรจนพลาดเป้าได้ง่าย ด้วยความมืด แรงลม และยังไม่อาจเข้าไปใกล้ได้มากกว่านี้  เพราะเกรงว่าเหยื่อจะรู้ตัวเสียก่อน ทำให้พวกมันฝากความหวังไว้ที่จำนวนลูกธนู แม้พลาดไปบ้าง แต่ด้วยจำนวนที่มากของมันจะต้องมีลูกที่โดนเป้าอย่างแน่นอน

รูร์กัสกำลังลูบหัวเด็กชายฝาแฝดทั้งสองพรางเอ่ยชื่นชมที่สามารถเอาชนะศัตรูอันแข็งแกร่งมาได้ ขณะนี้ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ลงมายืนอยู่บนพื้นห่างจากหมาป่าเพลิงเล็กน้อยเพื่อพูดคุยกับรูร์กัสได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งยังพยายามจะเชื้อเชิญให้รูร์กัสขึ้นไปนั่งบนหลังของชิบะด้วยกัน เพราะดูท่าทางและคำพูดอันอิดโรยของรูร์กัสแล้วพวกเขาคิดว่าพี่ชายตรงหน้าคงใช้พลังไปไม่น้อย สมควรที่จะพักให้มากเข้าไว้ จะอย่างไรรูร์กัสก็เป็นมนุษย์ มีพลังน้อยกว่าพวกเขาที่ยังเด็กเสียอีก

ฉึก!

“กี้!”

“นานะ!” แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากชวน เสียงร้องของนานะก็ดังขึ้น ลูกธนูทำจากเหล็กสีดำทะมึนปักลงไปบนตัวของนานะ เพียงสิ้นเสียงร้อนตกใจสติของลูกหมาป่าเพลิงก็ดับวูบ

จากธนูดอกแรกก็ตามด้วยห่าฝนลูกธนูอีกหลายสิบดอก ด้วยความตกตะลึงทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ช้ากว่าที่ควร เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน หัวใจเต้นแรงเป็นจังหวะดังกลองที่ถูกกระหน่ำตี สมองก็ยุ่งเหยิงไปด้วยเรื่องราวที่ไม่อาจคาดเดาได้ และผู้ที่พุ่งตัวเข้าช่วยนานะก็คือ ชิบะ สัตว์อสูรที่มีสติมากกว่าใครในที่นี้ มันคาบลูกน้อยของมันหลบลูกธนูอย่างคล่องแคล่ว
รูร์กัสกำมือแน่นจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือหวังให้ตนได้สติไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะไม่รอดจากห่าธนูที่กำลังตกลงมาจากทุกทิศทาง เพียงเสี้ยววินาทีที่สติกลับมารูร์กัสก็ใช้พลังปกป้องพวกเขาเอาไว้

“กำแพงผู้พิทักษ์!”

รูร์กัสคุกเข่าลง ทาบมือไปกับผืนดินเบื้องหน้ารวบรวมพลังลงไป สั่งการให้ดินก่อตัวล้อมรอบพวกเขาเป็นครึ่งวงกลมปิดกั้นทุกสิ่งที่กล้ำกราย ทุ่มพลังที่เหลืออยู่เพื่อช่วยชีวิตพวกพร้องของตนเอาไว้

กำแพงผู้พิทักษ์มีข้อเสียคือไม่สามารถมองเห็นภายนอกได้ และจะแข็งแรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับพลังที่ถ่ายทอดลงไปในผืนดิน แต่เวลานี้เขาก็ต้องใช้มันอย่างไม่อาจเลี่ยง เพราะธนูพุ่งมาจากทุกทิศทาง บ่งบอกว่าเวลานี้พวกเขาโดนล้อมเอาไว้แล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด แล้วโกยาตเลย์กับแร็กนาร์เล่าจะปลอดภัยหรือไม่ ไม่แน่ว่าทั้งหมดอาจจะเป็นกับดักของศัตรูก็เป็นได้

รูร์กัสหายใจหอบ เพราะร่างกายสูญเสียพลังไปมหาศาล ทั้งกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ และการใช้พลังกับกำแพงผู้พิทักษ์ สถานการณ์บีบคั้นจนไม่อาจหาทางออกอย่างอื่นได้ เขากวาดตามองรอบด้าน ตอนนี้นานะนอนหมดสติอยู่บนหลังของชิบะ
ส่วนลูกหมาป่าเพลิงตัวอื่นๆมีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะหลบหลีกไม่ทันการ และบางตัวก็ปลอดภัยดี พวกมันเข้าไปล้อมตัวชิบะเอาไว้อย่างเป็นห่วงพี่น้องของมัน

ฮิเดโอะขึ้นไปด้านบนแล้วตรวจเช็คลมหายใจของนานะด้วยสีหน้าซีดเผือด ส่วนฮิโรกิเดินเข้ามาหาตัวเขาที่ยังไม่ขยับจากที่เดิมแม้แต่น้อย

“พี่รูร์กัส พี่รูร์กัส เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของฮิโรกิถามขึ้นด้วยความตระหนกเมื่อเห็นรูร์กัสสันเทาไปทั่วร่าง หอบหายใจดังจะขาดใจลงไปง่ายๆ มนุษย์นั้นอ่อนแอเขารับรู้ถึงมันมาตลอด ไม่ว่าจะฟื้นฟู หรือพลังกาย อันเป็นพื้นฐานของการใช้พลังก็อ่อนแอยิ่งกว่าลูกครึ่งเสียอีก

มีเพียงพลัง และความเฉลียวฉลาดในการวางแผนที่ช่วยเสริมจนเหล่าปีศาจไม่อาจรุกรานมนุษย์ได้โดยง่านเท่านั้น ดูอย่างผืนดินที่โอบล้อมพวกเขาเอาไว้ก็รู้ได้ ผ่านไปหลายนาทีแต่ก็ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงด้านนอก มันปิดกั้นอย่างสมบูรณ์เสียจนน่ากลัว

“พี่...พี่ไม่เป็น...ไร นานะล่ะ” รูร์กัสลุกขึ้นตามแรงพยุงของฮิโรกิ เขาพยายามหายใจให้ทั่วท้อง รวบรวมพลังกลับมาให้ได้มากที่สุด หลังจากนี้อีกไม่กี่นาทีรูร์กัสรู้ดีว่ากำแพงจะพังทลายลง เพราะพลังที่ใส่ลงไปกำลังเจือจางจากการโจมตีภายนอกทีละน้อย พลังที่เหลืออยู่ของเขาหากคำนวณแล้วคงอยู่ได้อีกไม่ถึง 10 นาทีเสียด้วยซ้ำ

“นานะยังหายใจ แต่ว่าไม่มีสติเลยครับ” ฮิเดโอะกล่าวตอบ สีหน้ายังคงซีดเผือด เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรนานะก็ไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมา เขาทำได้เพียงใส่ยาห้ามเลือดเอาไว้เท่านั้น

“ขอพี่ดูลูกธนูหน่อย” รูร์กัสมองเห็นลูกธนูไม่ชัดนัก เขาจึงอยากยืนยันให้แน่ใจ มันเป็นไปได้ยากที่ข้อสันนิษฐานของเขาจะเป็นจริง

“กี้!” อิจิที่หมายจะเข้าไปคาบธนูมาให้รูร์กัสร้องขึ้น เมื่อบังเอิญปากไปสัมผัสเข้ากับหัวธนูสีดำทะมึน เพียงเฉียดไปน้อยนิด มันก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอันไม่เคยสัมผัส

“อ่า ว่าแล้วเชียว” ไม่ต้องมองให้ชัด เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ยืนยันความคิดของรูร์กัสได้เป็นอย่างดี ดูท่าว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงมีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้องเสียแล้ว ปีศาจน้อยนักที่จะรู้จักมัน และน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะหามันมาใช้ได้

รูร์กัสยกมือสัมผัสจี้รูปจันทร์เสี้ยวผ่านเนื้อผ้าที่สวมใส่ จี้ของสร้อยคอมรดกเพียงชิ้นเดียวที่ริเรน่ามอบให้เขาตั้งแต่เกิด เขาจะไม่รู้จักมันได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่ใช้ทำหัวลูกธนู กับจี้จันทร์เสี้ยวของเขาทำมาจากวัตถุชนิดเดียวกัน

“หมายความว่าอย่างไรพี่รูร์กัส” ทุกสายตาจับจ้องมายังรูร์กัส ฮิเดโอะจึงถามขึ้นเพื่อคลายข้อสงสัย

“วัตถุที่ใช้ทำหัวธนูคือดาร์กออร์ แร่สีดำทมิฬที่มนุษย์นำมาใช้สร้างอาวุธล่าสัตว์อสูร มีผลให้เกิดอาการเจ็บปวดจนไม่อาจเข้าใกล้ หรือถึงขึ้นหมดสติถ้าสัมผัสกับร่างกาย” ความน่ากลัวของมันรูร์กัสเคยสัมผัสมาแล้ว ภายในป่าเวลาถูกสัตว์อสูรจู่โจมเขาจะนำมันออกมาใช้เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้วมนุษย์เช่นเขาคงไม่อาจเข้ามาในป่าลึกจนเกือบถึงแดนปีศาจ และไม่อาจเดินจนพบบ้านหลังนั้นเพียงลำพังได้

“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”

“ข้าด้วยๆ”

เด็กชายฝาแฝดได้แต่งุนงง มนุษย์มีอาวุธที่ร้ายแรงเช่นนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว แต่ไม่แน่ท่านพ่อของเขาอาจจะรู้จักก็ได้ ไม่เช่นนั้นศัตรูคงไม่มีทางหามันมาใช้ได้

“ไม่แปลกที่พวกเจ้าจะไม่รู้จัก เพราะในหมู่มนุษย์เองผู้ที่รู้จักก็มันก็มีเพียงชนชั้นสูงขึ้นไปเท่านั้น น้อยนักที่ชนชั้นต่ำลงมาจะได้รู้จักมัน...แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ถึงแม้รูร์กัสจะไม่รู้จักปีศาจมากนัก เขาก็คิดว่ามีความเป็นไปได้น้อยนักที่ปีศาจจะรู้จักดาร์กออร์ เพราะน้อยครั้งที่เหล่าชนชั้นเหล่านั้นจะออกจากปราสาทของตน ทั้งแร่ชนิดนี้ยังหายากยิ่งกว่ายากเสียอีก มันมีเพียงในแดนมนุษย์เท่านั้น

“หรือว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เราต้องรีบไปบอกท่านพ่อ...แล้วเราจะรักษานานะได้หรือไม่พี่รูร์กัส” ฮิเดโอะคาดเดาจากข้อมูลของรูร์กัส เขาคิดว่าหากเป็นเช่นนั้นเหตุการณ์ต้องร้ายแรงยิ่งกว่าที่คาด ใครกันที่นำดาร์กออร์มาให้ท่านลุงใช้ ใครกันอยู่เบื้องหลังการต่อสู้ในครั้งนี้...และไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อนไม่มากก็น้อย

แต่เวลานี้สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการรักษานานะ แม้ลูกหมาป่าเพลิงตัวอื่นที่ได้รับบาดเจ็บจะอ่อนแรงลงแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหมดสติ ดังนั้นนานะจึงน่าเป็นห่วง

“รักษาได้ สิ่งที่ดาร์กออร์มีผลคือดวงจิตที่อยู่ในร่าง กดทับจนเจ็บปวดหรือถึงขั้นสิ้นสติ แต่แค่เพียงเอามันออกห่าง แล้วรักษาแผลเช่นปกติก็ใช้ได้แล้ว ห่วงก็แค่ว่าลูกธนูจะปักลงไปในอวัยวะสำคัญหรือเปล่าเพียงเท่านั้น” เพราะยาห้ามเลือดที่แร็กนาร์ให้ไว้ทำให้อิเดโอะสามารถห้ามเลือดที่ไหลออกมาจากตัวนานะได้ชั่วคราว แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าจะดึงธนูออกมาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแผลจะเปิดกว้างขึ้นจนบาดเจ็บมากว่าเดิม และลูกธนูเองก็ปักลงที่บริเวณข้างขาหลังเท่านั้น ไม่ใช่จุดที่อันตรายแต่อย่างใด

“อย่าพึ่งวางใจไป กำแพงจะพังทลายลงแล้ว พวกเราต้องเตรียมรับมือ” รูร์กัสรีบกล่าวเตือน ถึงแม้จะหายห่วงไปแล้วเปราะหนึ่ง แต่ชีวิตพวกเขาก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายไม่ต่างกัน ดูจากจำนวนธนูแล้ว พวกมันมีมากกว่าพวกเขาหลายเท่า หากไม่เตรียมรับมือ อย่าว่าแต่นานะเลย แม้แต่พวกเขาก็ไม่อาจรอดไปได้

“แย่แล้วสินะ...พี่รูร์กัส ถ้าสร้างกำแพงให้เฉพาะนานะ ท่านยังมีพลังเหลือหรือไม่” ฮิเดโอะตัดสินใจอย่างฉับพลัน แร็กนาร์บอกให้เขาเชื่อมั่นในแผนการของตนเอง เช่นนั้นแล้วเขาก็จะเชื่อในคำกล่าวนั้น

“ได้ ไม่มีปัญหา พี่จะช่วยป้องกันให้ แต่อาจจะช่วยในการต่อสู้ได้ไม่มากนัก ” รูร์กัสประมาณพลังของตน พลังฟื้นคืนมาไม่มากนัก ทั้งเขายังสัญญากับแร็กนาร์ว่าจะไม่ฝืนตัวต่อสู้เช่นคราวก่อนอีก รูร์กัสจึงประเมินตนได้อย่างแน่นอนมากขึ้น เขารู้ดีว่าตนอ่อนแอที่สุด และรู้ดีว่าหากฝืนใช้พลังเช่นที่สู้กับเบียกโกะเขาอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ดังนั้นแล้วรูร์กัสจึงตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนแทน

“เข้าใจแล้วครับ ฮิโรกิประจำตำแหน่ง” ฮิเดโอะอุ้มนานะกระโดดลงจากหลังของชิบะ มองบาดแผลที่มีผ้าพันเอาไว้แต่หากยังมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยอย่างวิตก ชิบะกับฮิโรกิร่วมมือกันจะมีพลังที่สุดยอด แต่เวลานี้ทั้งชิบะและฮิโรกิต่างใช้พลังไปมากกับการใช้ท่าไม้ตายสุดท้าย และชิบะยังบาดเจ็บอีก พวกเขาอยู่ในขั้นวิกฤตอย่างไม่ต้องสงสัย

“เข้าใจแล้ว เรามาสู้ด้วยกันอีกครั้งนะ ชิบะ” ฮิโรกิรู้ถึงความกังวลของฮิเดโอะ เขาจึงเดินไปด้านหน้าของชิบะ เพื่อบอกถึงความตั้งใจของเขา

บรู๊วววววว

ชิบะหอนรับ มันเงยหน้าหอนขึ้นฟ้าดังว่ายอมรับคำขอของฮิโรกิ บอกถึงเจตนารมณ์ของมัน มันพร้อมจะสู้เคียงข้างเพื่อนของมัน และพร้อมสังหารผู้ที่บังอาจทำร้ายลูกรักของมันให้สิ้นซาก

มันก้มหัวลงจนถึงระดับเดียวกับศีรษะของฮิโรกิ หนึ่งปีศาจ หนึ่งสัตว์อสูร สบตากันอย่างเข้าใจ สื่อจิตเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง จรดหน้าผากชนกันดังคำสัญญาว่าจะผ่านการต่อสู้อันโหดร้ายเบื้องหน้าไปด้วยกัน ภาพอันตราตรึงที่พวกเด็กๆได้เห็น และอธิฐานต่อภาพนั้น ขอให้พวกเขานำชัยชนะมาสู้ตนได้ด้วยเถิด

ภายนอกเหล่าลูกสมุนกลุ่มโนบุเข้าห้อมล้อมกำแพงดินทรงกลมเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้เขาไปใกล้มากนัก เพราะกลัวว่าจะถูกโจมตีสวนกลับมา พวกมันรับคำสั่งเล็งธนูยิ่งยังกำแพงดินเบื้องหน้า แต่ไม่ว่าจะยิ่งไปกี่ครั้งก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น มีเพียงลูกธนูที่กระเด็นออกมาหลังจากที่กระแทกไปกับกำแพงเท่านั้น

พวกมันรู้แล้วว่ากำแพงตรงหน้าไม่ใช่เพียงดินธรรมดา ไม่อาจทะลวงผ่านด้วยวิธีปกติ หลังจากรอคำสั่งพวกมันก็ทุ่มพลังกายฟันดาบกระหน่ำไปยังกำแพงนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ยอมหยุด จนเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที กำแพงดินก็ค่อยๆแตกร้าว และพังทลายลงในที่สุด

ภาพที่เผยสู่สายตาของพวกมันคือไฟที่ลุกไหม้ ภายในเปลวไฟมีเด็กน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังของสัตว์อสูรระดับกลาง ไม่ทันทีจะได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนพวกที่อยู่ติดกำแพงก็ถูกเปลวเพลิงลุกไหม้เผาจนร้องโหยหวน แต่เพราะประสบการณ์ที่สะสมมาทำให้พวกมันควบคุมสติได้อย่างรวดเร็ว

ถอยแล้วตั้งรับสถานการณ์ ยกดาบรอคำสั่งฟาดฟันศัตรู

“ฆ่าอย่างให้เหลือ!” สิ้นคำสั่งสุดท้าย พวกมันทะยานเข้าสู้แบ่งกลุ่มน้อยใหญ่ตามที่ถูกฝึกมา เมื่อเจอผู้ที่แข็งแกร่งกว่า การร่วมมือกันจะทำให้แข็งแกร่งขึ้น และยิ่งฮึกเหิมด้วยจำนวนที่มากกว่าหลายเท่า เพียงเศษเสี้ยวไม่กี่ตนที่สูญเสียเมื่อครู่ ไม่มีผลกับพวกมันแม้แต่น้อย

เพราะเปลวเพลิงร้อนแรงจนไม่อาจเข้าใกล้ มือธนูที่รออยู่รอบนอกจึงเล็งธนูไปที่ชิบะเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายเปิดช่องว่าง พวกมันก็พร้อมยิงเสมอ

ฮิโรกิเหงื่อโทรมกาย พลังที่ใช้เชื่อมต่อจิตทำให้จิตของเขาทำงานหนักไม่แพ้กัน ทั้งยังต้องระวังลูกธนูที่พุ่งเข้ามาไม่ขาดยิ่งทำให้สภาวะจิตของเขาต้องทำงานหนักอย่างที่ไม่ควรจะเป็น และนั่นทำให้เขาพลาดในบางครั้งจนธนูหัวดาร์กออร์พุ่งเข้าใส่ร่างของชิบะอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง

ชิบะเองก็ทุ่มกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ ฝืนร่างกายทิ้งความเจ็บปวดไว้เบื้องหลังโยกขยับไปมาในพื้นที่ที่ถูกจำกัดกลางวงล้อมของศัตรู โดนกดดันทั้งศัตรูที่สู้ระยะประชิด และระยะไกลเช่นนี้ แม้มันจะมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่าก็ยากเกินจะหลบเลี่ยง

สถานการณ์ของพวกเขาอยู่ในขั้นวิกฤติ กดดัน และเสี่ยงต่อชีวิต แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ บุกทะลวง ฟาดฟันศัตรูด้วยกงเล็บและคมเขี้ยวอันแหลมคม ไม่ว่าจะโจมตีครั้งใดต้องมีศัตรูดับดิ้นอย่างไร้ทางเยียวยา

แต่เหล่าลูกสมุนกลุ่มโนบุก็หาได้เกรงกลัว พวกมันบุกเข้าไปอย่างไม่หยุด หากแพ้ก็ตาย หนีก็ตาย พวกมันมีหนทางเดียวคือชนะเท่านั้น!

ทางด้านฮิเดโอะ กำลังรบของเขาหายไปหนึ่งราย เพราะนานะบาดเจ็บไปแล้ว กำลังในมือของเขาจึงเหลือเพียง 7 ตัวเท่านั้น ทั้งหมาป่าเพลิงอีก 3 ตัวยังบาดเจ็บขยับตัวไม่สะดวกนัก ฮิเดโอะมองภาพเหล่านั้นด้วยความลังเลใจ เขารู้ดีว่าหากไร้เด็กๆเหล่านี้เขาเองก็ไม่ต่างจากคนไร้พลังผู้หนึ่ง การต่อสู้นี้ทำให้เขาตระหนักครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตนเองช่างอ่อนด้อย

“งี้” อิจิเลียมือฮิเดโอะให้ออกจากภวังค์ความคิด ดวงตาใสแจ๋วที่มองมาบ่งบอกว่ามันเชื่อมั่นใจตัวฮิเดโอะเพียงใด และเมื่อหันไปมองตัวอื่นๆพวกมันก็มีแววตาไม่ต่างกัน

“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ” ฮิเดโอะรู้สึกขอบคุณจากใจ หมาป่าเพลิงเหล่านี้เชื่อใจเขาเช่นนี้จะให้ท้อถอยได้อย่างไร นั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่กำแพงดินจะพังทลายลงจนหมด และเมื่อไร้ที่บดบัง ฮิเดโอะก็สั่งการหมาป่าเพลิงอีกครั้ง

“ลุยกันเลย” สิ้นคำสั่งหมาป่าเพลิงทั้ง 7 ก็เตรียมพร้อมต่อสู้ ด้วยจำนวนที่น้อยกว่า พวกเขาจึงใช้วิธีรอบโจมตีอีกครั้ง เพียงแต่มันไม่ง่ายเช่นคราวก่อน เพราะศัตรูไม่ได้มีเพียงหนึ่งอีกแล้ว

‘ฟังนะ ห้ามปะทะตรงๆ หลบแล้วพ่นลูกไฟออกมาให้ได้มากที่สุด ถ้ากลัวเล็งไม่โดนเป้าหมาย ให้เลือกตำแหน่งที่พวกมันอยู่เยอะๆเข้าไว้ ข้าจะระวังหลังให้เอง ฝากพวกเจ้าด้วย’

คำสั่งที่เหมือนง่ายแต่ก็ทำยากนั่นเป็นหนทางเดียวเมื่อต้องสู้กับศัตรูที่มากกว่า และพวกเขาเองก็ยังเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้

อิจิพ้นลูกไฟใส่ปีศาจห้าตนที่พุ่งเข้ามาจากด้านหน้า พวกมันหลบได้ 3 ตน มีเพียง 2 ตน ที่กำลังถูกไฟลุกไหม้ร้องโหยหวนอยู่เบื้องหลัง ส่วนพวกที่เหลือก็ยังมุ่งตรงมา ฟาดฟันดาบหมายปิดชีวิตสัตว์อสูรตัวน้อย

‘อิจิจัดการปีศาจด้านขวา และกระโดดหลบไปซะ  ซันจิ โยโนะ จัดการปีศาจที่เหลือ’

อิจิไม่รอช้ากระโดดข้ามศีรษะปีศาจที่อยู่ด้านขวา แล้วพ้นลูกไฟใส่ด้านหลังมันก่อนเท้าจะแตะพื้น ส่วนซันจิก็โยโนะที่อาศัยตัวของอิจิบดบังอยู่เมื่อครู่ก็พ้นลูกไฟใส่ศัตรูที่เหลือ

เหตุการณ์เป็นอยู่เช่นนี้จนพวกเขาเริ่มหมดแรง ฮิเดโอะปวดหัวอย่างหนัก พลังจิตที่ใช้เชื่อมต่อสั่นไหว แม้ร่างกายจะไม่ได้ออกแรงแต่เขาก็ทรุดลงกับพื้น ภายในหัวดังไฟปะทุลุกรามไปทั่ว ตาพร่ามัวจนแทบแยกภาพไม่ออก ลูกหมาป่าเพลิงที่ไร้คนสั่งการจึงสู้อย่างสะเปะสะปะ อาศัยเพียงสัญชาตญาณการต่อสู้ แต่ด้วยประสบการณ์เพียงน้อยนิดทำให้พวกมันพลาดพลั้งครั้งแล้วครั้งเล่า

‘โรคุหลบ!’

“เฮ่อ ฮ่าๆ เฮ่อ แย่ แย่แล้ว ร่างกายเรา” ฮิเดโอะฝืนออกคำสั่งทั้งทีจิตสั่นไหว ทำให้ร่างของเขาทรุดลงกับพื้น ความร้อนที่เปียกแฉะบริเวณจมูกทำให้อิเดโอะต้องยกมือขึ้นสัมผัส เลือดสีแดงกำลังไหลออกมาเป็นสาย ด้วยร่างกายที่ไม่อาจทนใช้พลังได้อีก หอบหายใจโรยแรงทางปากอย่างไม่อาจฝืนสิ่งใดได้อีก

รูร์กัสที่ยืนอยู่ด้านหน้ากำแพงขนาดเล็กอันหนึ่งคอยจัดการศัตรูจากระยะไกล และใช้พลังป้องกันให้เด็กน้อยทั้งสองอยู่ตลอดเมื่อตกเป็นเป้าโจมตี ได้แต่มองภาพเหล่านั้นอย่างวิตก ในใจร่ำร้องว่าแย่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฮิเดโอะหรือฮิโรกิล้วนแต่ถึงขีดจำกัดของตนเองเสียแล้ว

“นานะ ช่วยรออยู่ตรงนี้นะ” รูร์กัสกล่าวกับกองดินด้านหลังด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“ขอโทษนะแร็กนาร์ พี่ขอโทษ” และกล่าวขอโทษแร็กนาร์ที่ไม่อาจรักษาสัญญาได้ จะให้เขามองเด็กๆถูกฆ่าอยู่ตรงนี้โดยไม่ทำสิ่งใด เขาทำไม่ได้จริงๆ

ภาพที่ปรากฏตรงหน้ารูร์กัสคือภาพของลูกหมาป่าเพลิงที่เสียขบวนการต่อสู้ เพราะผู้สั่งการอย่างฮิเดโอะหมดพลัง และฝืนใช้จนร่างกายรับไม่ไหว ส่วนทางด้านชิบะก็ถูกธนูปักไปหลายดอก แต่ด้วยที่มันตัวใหญ่ และแข็งแกร่งกว่าลูกๆของมัน มันจึงยังคงทนต่อฤทธิ์ดาร์กออร์ได้บ้าง แต่อีกไม่นานมันต้องสิ้นฤทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย

ฮิโรกิมองภาพคู่หูของมันด้วยดวงตาแดงก่ำไปทั้งตาขาวรอบนอก เขากำลังเจ็บปวด ทั้งเจ็บใจที่ต้องเห็นเพื่อนบาดเจ็บโดยที่ตน
ไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย เพราะเชื่อมจิตกันอยู่เขาจึงรับรู้ความรู้สึกของชิบะได้ มันทำให้เขายิ่งกล่าวโทษตัวเองที่พลังไม่เสถียรจนรับรู้การเคลื่อนไหวของศัตรูพลาด ส่งผลให้ชิบะบาดเจ็บเช่นนี้

ก่อนปีศาจตนหนึ่งจะปล่อยลูกธนูเล็งไปยังหลังของฮิโรกิมันก็ต้องตกใจจนร้องดังลั่น แต่ก็ไม่อาจเข้าหูเหล่าผู้ที่ต่อสู้อยู่ได้

“อ้าก!” ห่าธนูหยุดลง เพราะถูกเถาวัลย์รัดจนไม่อาจขยับได้ ไร้ซุ่มเสียง ไร้คำเตือนใดๆ มือธนูที่เหลือก็แน่นิ่งด้วยเถาวัลย์ที่พันรัดคอ ปิดลมหายใจสุดท้ายอย่างไม่อาจหวนกลับได้อีก

เลือดหยุดแล้วหยดเล่าไหลออกจากดวงตาและจมูกของรูร์กัส พลังที่ข้ามขั้นพลังธาตุของตนกลืนกินจิตวิญญาณมหาศาล ยิ่งร่างกายที่เหลือพลังเพียงน้อยนิดแล้วมันยิ่งกัดกินจิตวิญญาณของตนเอง แต่เขาไร้ทางเลือก ถูกบีบจนต้องสละชีวิตของตนปกป้องอีกหลายชีวิต จิตใจของเขาห้าวหาญกว่าเด็กวัยเดียวกัน ทั้งที่รู้ผลลัพธ์แต่ก็ยังใช้อย่างไม่ลังเล

เถาวัลย์คืบคลานขยับไปมาภายใต้ผืนดิน เมื่อได้ระยะตามต้องการก็แทงผ่านผืนดินดังแผ่นกระดาษ พันรัดศัตรูเขาด้วยกันจนไม่อาจขยับได้ เพียงชั่วพริบตาทั้งลานกว้างก็เต็มไปด้วยปีศาจเผ่าพยัคฆ์ที่ไม่อาจขยับตัวไปที่ใดได้อีก

พวกมันร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด หากใครที่ยังขยับมือได้ก็ใช้ดาบฟันเถาวัลย์อย่างคลุ้มคลั่ง สติที่มุ่งฆ่าฟันถูกหยุดชะงักด้วยฝีมือของมนุษย์เพียงคนเดียว

ทุกสายตาจับจ้องไปยังมนุษย์ผู้หนึ่งที่กำลังนั่งคุดคู้อยู่บนพื้นดิน ร่างนั้นสั่นเทาโรยแรงอย่างเห็นได้ชัด พลังเฮือกสุดท้ายถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว

“พี่รูร์กัส!”

“พี่รูร์กัส”

บู๊วววววววววววววว

ฮิโรกิร้องด้วยความตกใจ แม้ไม่เคยเห็นพลังเช่นนี้ของรูร์กัสแต่เขาก็คาดเดาว่าต้องใช่อย่างแน่นอน และเมื่อมองไปเห็นสภาพเช่นนั้นก็ยิ่งตกใจ รีบกระโดดลงจากหลังของชิบะวิ่งเข้าไปดูอาการของรูร์กัสทันที หัวใจร่ำร้องว่าเพราะตนอ่อนแอ ทั้งที่รับปากแร็กนาร์ว่าจะปกป้องพี่รูร์กัส ใยเวลานี้จึงเป็นพี่รูร์กัสที่ปกป้องพวกเขาจนมีสภาพเช่นนี้เล่า

ส่วนฮิเดโอะนั้นร่างกายไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับจึงเอ่ยได้เพียงเสียงเบาหวิว ฝืนร่างกายเดินด้วยขาอันสั่นเท่าจนมาถึงตัวรูร์กัส ในใจของเขาเองก็รู้สึกเสียใจไม่ต่างจากฮิโรกิ เข้าใจถ่องแท้ถึงความไร้ความสามารถของตน ทั้งที่มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่กลับปฏิเสธการฝึกเหล่านั้นมาตลอด ตัวเขาช่างโง่เขลายิ่งนัก

เหล่าหมาป่าเพลิงได้แต่เท่าหอน พวกมันหาได้ยินดีที่ตนปลอดภัย เพียงแต่เข้าใจดีว่ามีหนึ่งชีวิตที่เสียสละเพื่อปกป้องพวกมัน จึงส่งเสียงอ้อนวอน ขอภาวนาต่อดวงจันทร์ขออย่าให้เด็กชาวมนุษย์ผู้นี้สิ้นสลายจากโลกนี้ไปเลย

..

..

..

พรึ่บ!

“หยุด” เสียงเหยียบเย็นเอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด กลุ่มชายชุดดำด้านหลังก็หยุดลงตามคำสั่ง

“มีสิ่งใดเกิดขึ้นขอรับ” คนสนิทของมันเอ่ยถามขึ้น พวกมันเดินทางด้วยความเร็วมาโดยตลอดไม่มีหยุดพัก แต่แล้วหัวหน้าของมันก็สั่งให้หยุด หาได้สั่งให้เข้าเข่นฆ่าศัตรู พวกมันจึงสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง

“พวกเรามาไม่ทันเสียแล้ว” สิ้นเสียงหัวหน้าของพวกมัน เสียงเห่าหอนของหมาป่าเพลิงทั้งแปดตัวก็ดังขึ้น สร้างความหดหู่ใจแก่ผู้ที่ได้ฟังเป็นอย่างยิ่ง เหล่าชายชุดดำก็มองตามเสียงเห่าหอนนั้นไปยังภาพเด็กน้อยปีศาจสองตนที่กำลังโอบกอดร่างสิ้นสติของเด็กชายที่ร่างอาบไปด้วยเลือดผู้หนึ่งอยู่

พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยต้นไม้หลายสิบต้น แต่หากมองให้ดีแล้วจึงจะเห็นว่า นั่นคือเถาวัลย์ที่พันรัดร่างของศัตรูเอาไว้เท่านั้น ชั่งเป็นภาพที่ไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้ และพวกเขาก็ไม่อาจเข้าไปขัดขวางภาพเหล่านั้นได้เช่นกัน ได้แต่มองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป...




To Be Continued...

___________________________________
มาช้าอีกแล้ว แต่ก็มาแล้วนะคะ ขอโทษที่ช้าค่ะ
เป็นยังไงบ้างคะตอนนี้ ผิดพลาดตรงไหนบอกได้น้า
เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นเลยค่ะ
เจอกันตอนหน้าน้าาา
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 40 วิกฤติ (26/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-02-2018 21:11:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 40 วิกฤติ (26/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-02-2018 22:32:23
ปวดใจ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 40 วิกฤติ (26/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 28-02-2018 08:01:24
รูกัสจะตายยเหรอ  :hao5: :hao5: :katai1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 40 วิกฤติ (26/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 12-03-2018 12:58:23
อ่านเรื่องนี้แล้วอยากจะอุทานว่าโอ้โหแฟนตาซีที่ดีงามสะพานพุทธมากค่ะตัว
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม (ครึ่งแรก)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 16-03-2018 23:06:02

ตอนที่ 41
ผู้ยุติสงคราม (ครึ่งแรก)


ดวงตาสีดำจับจ้องไปยังเหล่าเด็กน้อยที่กำลังร่ำไห้แทบขาดใจ ความจริงเขาควรต้องเข้าไปช่วยให้เร็วกว่านี้ แต่เพราะเหตุการณ์เกินขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้ ทำให้พวกเขาที่เร่งเดินทางมาพลาดโอกาสช่วยเหลือไป

ก่อนที่จะสั่งเคลื่อนกำลังเข้าช่วยเหลือ สัมผัสของเขาก็พบกับการเคลื่อนไหวของเด็กอีกกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางด้านนี้ เพื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนสายลมรอบกายที่ถูกถักทอเป็นร่างแหแผ่ขยายเอาไว้โดยรอบในรัศมีหลายร้อยเมตรก็พลันหยุดนิ่ง จับสัมผัสเป้าหมายเพียงจุดเดียว ถ่ายทอดสัมผัสทั้งหมดกลับมายังตัวผู้เป็นเจ้าของ

ภาพเด็กน้อย 2 คน หนึ่งมนุษย์ผู้ใช้สายฟ้า หนึ่งลูกครึ่งผมแดงดำ อินทรีย์ทองวัยทารก และสัตว์มายา ฉายชัดขึ้นภายในหัวเป็นภาพเคลื่อนไหวที่รวดเร็วตามจังหวะการวิ่งของเด็กกลุ่มนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง ล้วนแล้วแต่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยละเอียด เป็นทักษะการประเมินศัตรูที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

และนั่นทำให้เขาแปลกใจ เด็กลูกครึ่งคนนั้นฝีเท้าเบาบางจนแทบไม่ได้ยินเสียง แม้แต่ลมหายใจยังถูกกำหนดให้หายใจเข้าออกเป็นจังหวะปกติ สิ่งที่บ่งบอกว่าเด็กคนนี้กำลังเหนื่อยล้ามีเพียงกล้ามเนื้อที่เสียดสีกันมากเกินปกติเท่านั้น

ความเหนื่อยล้าเกาะกุมจนเกินกว่าจะขยับร่างกายได้อย่างคล่องแคล่วเช่นเคย ทั้งกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งยังบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาพึ่งจะผ่านศึกที่ทรหดไม่น้อยมา นอกจากกลิ่นเลือดแล้วบนตัวของร่างเล็กนั่นยังมีกลิ่นสมุนไพรหลากหลายชนิด จากที่จะเข้าไปช่วยเหลือเด็กมนุษย์ที่ล้มลง เขาจึงยังยืนสังเกตการณ์อยู่เช่นเดิม

สัญชาตญาณร้องเตือนว่าเด็กคนนั้นมีอะไรบางอย่างน่าสนใจ ทั้งรูปร่างหน้าตายังคล้ายคลึงกับใครคนหนึ่งที่เขาเคยพบ การเฝ้ารอจึงเป็นสิ่งที่เขาเลือก

เพียงไม่นานแร็กนาร์ เอลลูญ์ โกยาตเลย์ และเคลตี้ที่เกาะอยู่บนไหล่ของแร็กนาร์ก็วิ่งมาถึงจุดหมาย ภาพตรงหน้าทำให้แร็กนาร์เบิกตากว้าง ความกลัวเขาเกาะกุมหัวใจ รู้สึกดังโลกของเขากำลังพังทลาย จนต้องยกมือตบแก้มตัวเองเลือกสติ สั่งร่างกายที่สั่นเทาให้หยุดลง

วิ่งเข้าไปดูอาการของรูร์กัสทันที เวลานี้เขาไม่ควรหวาดกลัวความสูญเสีย ไม่เช่นนั้นแล้วคงช่วยรูร์กัสไม่ทันการณ์

“หลบไป” เสียงเหยียบเย็นเอ่ยขึ้นหลังจากตั้งสติให้มั่นคงได้แล้ว

“แร็กนาร์ ขอโทษ” ฮิโรกิเงยหน้าจากร่างที่กอดเอาไว้ มองผู้มาเยือนด้วยดวงตาสั่นไหว หัวใจรู้สึกผิดมหันต์สิ่งที่กล่าวออกมาจึงมีเพียงคำนี้เท่านั้น

 “ขอโทษ ขอโทษ” ฮิเดโอะเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน สภาพคุกเข่า ก้มหน้าก้มตาร้องไห้นั้นน่าสงสารจับใจ

“ข้าบอกให้หลบไป ต้องรีบรักษาพี่รูร์กัส” ภาพของเด็กทั้งสองนั้นช่างน่าเวทนา แต่เวลานี้แร็กนาร์ก็ไม่คิดจะพูดคุยสิ่งใด เขาร้อนใจอยากรักษาพี่ชายเสียมากกว่า จึงไม่อาจแบ่งความสนใจไปให้ใครอื่น

ฮิเดโอะกับฮิโรกิตอบรับ พวกเขาวางรูร์กัสลงแล้วถอยออกมามองอยู่ห่างๆ ไม่ทักท้วงถามสิ่งใดอีก เพราะรู้ดีว่าเวลานี้สิ่งใดสำคัญที่สุด จึงเฝ้ามองแร็กนาร์ที่ขยับร่างกายรักษารูร์กัสอย่างคล่องแคล่วด้วยความหวังเท่านั้น

แร็กนาร์ตรวจร่างกายของรูร์กัส เพราะไม่มีบาดแผลภายนอกจึงสรุปได้ไม่ยากว่าสาเหตุคงมาจากการฝืนใช้พลังข้ามขั้นเช่นครั้งก่อน หมอชราเข้ามาพูดคุยกับเขาในเรื่องนี้หลังจากวันที่รูร์กัสใช้พลัง ทำให้ทราบสาเหตุอย่างละเอียด

มันเป็นอาการที่ซับซ้อน หากโชคร้ายอาจถึงขั้นเสียชีวิต หรือต่อให้รอดตายก็อาจจะใช้พลังไม่ได้อีก เพราะเส้นพลังในร่างเกิดการปะทุแตกออกด้วยทนการเคลื่อนที่ของพลังที่มากเกินไปไม่ได้ ดังนั้นแล้วทุกครั้งที่มีพลังมากขึ้น เส้นพลังเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน การฝืนใช้พลังที่มากเกินไปจึงทำให้เส้นพลังไม่อาจคงสภาพได้อีก

อาการเหล่านี้ไม่มีวิธีที่รักษาได้แน่นอน หวังพึ่งได้เพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นหากต้องการกลับมาเป็นเช่นเดิม  และจะปล่อยเอาไว้นานไม่ได้ ต้องรีบรักษาอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นแล้วพลังจะค่อยๆรั่วไหลออกไปจนไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก

แร็กนาร์หยิบห่อผ้าสีเขียวออกจากกระเป๋า ภายในบรรจุด้วยยา 2 เม็ด เป็นยาสีเขียวหม่น บ่งบอกถึงการผสมผสานของสมุนไพรหลายชนิด มีขนาดเท่าหัวแม่มือ มันเป็นยาที่หมอชรามอบให้เขา เหมือนปีศาจตนนั้นจะคาดเดาได้ว่ารูร์กัสจะต้องใช้พลังอีกครั้ง
เวลานั้นแร็กนาร์ไม่พอใจอย่างยิ่งที่หมอชรากล่าวเช่นนั้น เพราะเขาได้ให้รูร์กัสสัญญาเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไม่ใช้พลังข้ามขั้นอีก มันเหมือนกับว่าหากเขารับมานั่นหมายถึงตัวเขาเองไม่เชื่อใจรูร์กัสแม้แต่น้อย

ตอนนี้เองแร็กนาร์จึงได้แต่กล่าวขอบคุณหมอชราอยู่ในใจ ที่เมินเฉยหายตัวไปต่อหน้าต่อตาไม่รับคืนเช่นนั้น ดีเหลือเกินที่เขายังเก็บมันไว้กับตัว แม้จะเป็นเพียงยายับยั้งการรั่วไหลของพลัง ไม่อาจรักษาจนกลับเป็นปกติ แต่มันก็มีค่ามากเพียงพอ ขอเพียงยืดระยะเวลาออกไป แร็กนาร์บอกกับตัวเองว่าต้องหาทางรักษารูร์กัสให้จงได้

นิ้วเรียวเล็กยื่นยาไปยังปากของรูร์กัส แล้วใช้มือกดจุดเพื่อให้รูร์กัสกลืนยาลงไป เพียงชั่วอึดใจร่างในอ้อมกอดก็ค่อยๆหายใจเป็นปกติ แต่ก็ไม่ลืมตาตื่นขึ้น ดังว่าพี่ชายของเขากลายเป็นเจ้าชายนิทราไปเสียแล้ว

แร็กนาร์ไม่เคยเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่เขาเคยพบกับพระเจ้ามาแล้ว เพราะไม่ว่าจะภาวนาเพียงใดพระเจ้าก็ไม่เคยมอบความปรารถนาให้เขาเลยสักครั้ง แต่เวลานี้ในใจของเขากลับภาวนาอีกครั้ง ด้วยความหวังริบหรี่ทำให้แร็กนาร์หวังพึ่งทุกทาง แม้แต่พระเจ้าผู้ทำเพียงเฝ้ามองมนุษย์ก็ตาม

หลังจากนั้นแร็กนาร์ก็ใช้ผ้าเช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าอ่อนเยาว์ของพี่ชาย นำผ้าพันแผลและสมุนไพรมาปฐมพยาบาลบาดแผลที่เกิดจากคมธนูหลายจุด มันเป็นเพียงแผลเฉือนผ่านไม่ร้ายแรงมาก แต่สำหรับแร็กนาร์แล้วเขากลับสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่ต้องปกป้อง แต่กลับปล่อยให้เด็กคนนี้บาดเจ็บถึงเพียงนี้ เขาช่างเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ความเสียจริงๆ

ดวงตาสีดำสนิทมองใบหน้าซีดเซียวของรูร์กัสอีกครั้งก่อนจะหันไปสังเกตรอบข้าง นอกจากรูร์กัสแล้วมีหมาป่าเพลิงบาดเจ็บอีกหลายตัว แม้แต่เด็กชายฝาแฝดทั้งสองเองก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้น กวาดสายตามองไปยังเหล่าต้นเถาวัลย์พันรัดร่างของศัตรูเขาก็ทำใจให้สงบลงได้

ด้วยจำนวนที่มากถึงเพียงนี้ เขาจะไปโทษว่าเป็นความผิดของเด็กชายทั้งสองได้อย่างไร ที่ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้รับว่าสุดยอดมากพอแล้ว ผู้ใหญ่ที่รุมทำร้ายเด็กตัวเล็กๆเหล่านี้ นับว่าเลวทรามต่ำช้าเกินกว่าจะให้อภัย

แร็กนาร์รู้แล้วว่าเขาควรเอาความโกรธที่ปะทุขึ้นมาไปลงที่ใด สายตาจับจ้องร่างที่ยังมีลมหายใจแต่ไร้ทางสู้นั้นดังมดปลวกที่หากบดขยี้ไปกี่ตนก็ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย

คิดเพียงเท่านั้น มือเล็กๆนั่นก็หยิบมีดผ่าตัดมันวาวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ หายไปจากที่ตรงนั้น แม้แต่ผู้ที่จับตามองอยู่ห่างๆยังแปลกใจ การเคลื่อนไหวผลุบโผล่ดังภูตผี เฉือนมีดไปบนร่างของเหยื่อหลายสิบแผล ตนแล้วตนเล่า เลือดไหลย้อมเถาวัลย์สีเขียวจนเป็นสีแดงฉาน

สร้างความพรั่นพรึงให้ผู้ที่ได้เห็นจนต้องกลืนน้ำลายเหนียวหนืดไปหลายอึก

“หัวหน้า...เด็กคนนั้น หรือจะเป็นเหมือนท่าน” ลูกสมุนคนสนิทเอ่ยขึ้นกับหัวหน้าของมัน ความเก่งกาจเกินไปของลูกครึ่งนั้นสร้างความสงสัยใคร่รู้ให้มันเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าไม่แน่ใจจึงได้เฝ้าดูอยู่เช่นนี้...เด็กคนนั้นอาจจะใช่” เขายังไม่อาจสรุปได้ เพราะเด็กคนนั้นใช้เพียงทักษะทางกายภาพในการเคลื่อนที่เท่านั้น การลงมีดที่แม่นยำ ตัดเส้นเลือดอันเป็นจุดสำคัญ ทั้งเจ็บปวดทั้งทรมาน การตายอย่างช้าๆสร้างความโหยหวนกังวานไปทั่วบริเวณ

หลังจากตัดเส้นเลือดแรกพวกมันคงต้องการให้ลงมีดครั้งสุดท้ายโดยเร็วเสียมากกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วคงได้แต่มองภาพที่ร่างของตนมีเลือดกระฉูดออกมาดังน้ำตกนั่นอย่างหวาดกลัวเท่านั้น

ความโหดเหี้ยมที่สะท้อนทางดวงตาอันเย็นชานั้น  ทำให้เขาสงสัยไม่น้อยว่านั่นคือดวงตาของเด็กจริงหรือ  ลงมีดครั้งแล้วครั้งเล่าแต่จะไม่ลงครั้งสุดท้าย เฝ้ารอให้เหยื่อร้องโหยหวนขอความตายจนพอใจจึงค่อยลงมีดให้ตามที่ปรารถนา ดังตนปราณีพวกมันเป็นอย่างยิ่ง ยอมทำความต้องการของมันด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

เหล่าเหยื่อเลิศรสที่รอความตายคืบคลานเข้ามาเริ่มตะเกียกตะกายหาทางออก ดิ้นรนใช้ดาบฟันเถาวัลย์อย่างร้อนรนจนบางคราคมดาบก็พันลงไปบนร่างของมันเอง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเถาวัลย์เหล่านั้นจะขาดออกแม้แต่น้อย จึงร่ำร้องขอชีวิตอย่างหมดสภาพ น่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง

แต่ก็มีตนหนึ่ง มันเป็นปีศาจที่ปีศาจเหล่านี้ยกให้เป็นหัวหน้าหลังจากที่หัวหน้าทั้งสามของมันถูกกำจัด  เพราะปีศาจตนนี้มีสติปัญญาเหนือกว่า ทั้งยังมีสติยั้งคิดมากกว่าพวกมัน แม้มันจะกลัวความตายที่คืบคลานเข้ามาไม่แพ้ลูกน้องของมัน แต่มันก็ยังมีความยั้งคิดจะฟันดาบลงไปบนเถาวัลย์อย่างเปล่าประโยชน์ หรือร้องขอชีวิตอย่างน่าสมเพช

สมองของมันคิดทบทวนถึงสิ่งที่ทำได้จนในที่สุดก็คิดออก มือข้างหนึ่งที่ยังคงขยับได้เคลื่อนไปยังอกเสื้อ คลำหาพลุสัญญาณขอความช่วยเหลืออย่างมีความหวัง ทางนี้เป็นทางเดียวเท่านั้นที่พวกมันจะรอดพ้นความตายไปได้

มันใช้ปากดึงเชือกจุดพลุแทนมืออีกข้างที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ พลุสัญญาณสีแดงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เหล่าคนของเขตตะวันตกที่ล้อมกรอบอยู่รอบนอกของหมู่บ้านก็เคลื่อนพลเข้ามาในทันที จุดมุ่งหมายคือจุดที่พลุสัญญาณส่งออกมา เริ่มการโจมตีเต็มรูปแบบ
มันไม่ใช่พลุสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่เป็นสัญญาณเริ่มสงครามระหว่างสองเขตเต็มรูปแบบ นับว่าพวกมันเจ้าเล่ห์ไม่น้อย หากทำเช่นนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีการโจมตีเมื่อใด เพราะพลุสัญญาณไม่ได้อยู่ในมือคนสำคัญที่ถูกจับตามอง

เป็นสัญญาณที่ถูกจุดขึ้นเมื่อพวกมันเริ่มเสียเปรียบ ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจคาดเดาได้ นั่นจะทำให้พวกมันกู้ความได้เปรียบคืนมาได้อย่างแน่นอน

เพียงชั่วอึดใจปีศาจมากมายก็ล้อมกรอบปีศาจในปกครองของเบียกโกะเอาไว้รอบด้าน ด้วยไม่ได้เตรียมการตั้งรับเอาไว้อย่างรอบคอบทำให้ปีศาจเขตเหนือเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง ดังพวกมันต้องการกวาดผ่านเส้นทางที่เคลื่อนผ่าน ไปรวมตัวยังจุดหมายปลายทางที่พลุสัญญาณถูกส่งออกมา

และเพียงไม่นานก็มีปีศาจกลุ่มหนึ่งมาถึงจุดหมายก่อนใคร ด้วยเส้นทางที่พวกมันผ่านมามีศัตรูเพียงน้อยนิดเท่านั้น พวกมันเห็นภาพอันน่าพรั่นพรึงตรงหน้าจึงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง ต้องการล้างแค้นให้พวกพ้อง  จึงเคลื่อนเข้าโรมรันกับเด็กน้อยกลุ่มนั้นทันที

แร็กนาร์รับรู้การมาถึงของศัตรูเหล่านั้นก่อนแล้ว จึงหยุดมือแล้วสั่งให้เด็กชายที่เหลือเตรียมพร้อม ให้เอลลูญญ์อุ้มรูร์กัสไปนอนไว้หลังกำแพงดินข้างๆนานะ  แล้วยืนขวางปกป้องคนสำคัญเอาไว้

ฮิเดโอะ ฮิโรกิ เห็นเช่นนั้นก็เข้าไปยืนเป็นกำแพงป้องกันด้วย แม้จะไม่อาจชดเชยความผิดของตนได้ แต่ขอมีประโยชน์ต่อแร็กนาร์กับรูร์กัสบ้างก็ยังดี

“ขอพวกเราปกป้องด้วยนะ” สองเสียงผสานกันหนักแน่น ชั่วพริบตานั้นดวงตาของแร็กนาร์สะท้อนความพอใจ ไม่ผิดที่เขาเลือกเชื่อใจเด็กทั้งสอง และไม่เพียงเท่านั้นหมาป่าเพลิงยังเข้ามาเป็นพลังให้เด็กชายฝาแฝด ร้องบอกให้พวกเขาใช้พลังของพวกมันได้อย่างเต็มที่

เคลตี้เกาะบนไหล่แร็กนาร์ก็มีสายตาแน่วแน่ มันเลือกคู่พันธสัญญาไม่ผิดจริงๆ โกยาตเลย์เองก็บินมาเคียงข้างแร็กนาร์ ตัวมันเองก็รักทั้งแร็กนาร์ทั้งรูร์กัส  พวกเขาเป็นดังครอบครัวของมัน วิหคอย่างมันจะทอดทิ้งครอบครัวของตนได้อย่างไร

เอลลูญญ์มองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาชื่นชม หัวใจเปิดกว้าง ยอมรับในหัวใจของเด็กๆตรงหน้า มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ตื้นตัน ยินดี ชื่นชม นับถือ เชื่อมั่น เขารู้สึกขอบคุณริเรน่าสุดหัวใจ วันนี้เขาเชื่อหมดใจแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปีศาจ หรือลูกครึ่ง หรือกระทั่งสัตว์มายา ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม

ภาพตรงหน้าย้ำสลักลงในส่วนลึก หัวใจเปิดออกยอมรับเด็กๆเหล่านั้นเข้ามาเติมเต็มในหัวใจ ตัดสินใจแล้วว่าจะต่อสู้เคียงข้างกับพวกเขา ก้าวเท้าเดินไปยืนในตำแหน่งที่ว่างอยู่  กลายเป็นวงกลมล้อมรอบร่างไร้สติของพวกพ้องเอาไว้

“ข้าเองก็ขอร่วมด้วย”


************************************************50%***************************************
กลับมาแล้วค้า กรีนสอบเสร็จเมื่อวานสดๆร้อนๆ
วันนี้นั่งปั่นก่อนออกไปทำงาน  นึกว่าจะเสร็จ แต่ได้เท่านี้เอง  T^T
(เว็บล่มเมื่อเช้า ก็เลยพึ่งได้ลงน้าา)
แล้วเจอกันจ้า

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม >ครึ่งแรก< (16/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-03-2018 01:25:15
สู้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม >ครึ่งหลัง<
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 17-03-2018 11:51:34

ตอนที่ 41
ผู้ยุติสงคราม (ครึ่งหลัง)

หัวใจของเด็กน้อยรวมเป็นหนึ่ง พวกเขาต่างเชื่อใจซึ่งกันและกัน เชื่อมั่นทั้งพลัง ทั้งความรู้สึก อันอัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากปกป้อง จัดการศัตรูตรงหน้าของตน ทั้งยังช่วยพวกพ้องที่พลาดท่า

แร็กนาร์ถ่ายทอดพลังมวลน้ำห่อหุ้มมีดผ่าตัดเล่มบางทั้งสองเล่มอีกครั้ง ตามด้วยเปลวเพลิงที่โชติช่วงกว่าที่ผ่านมา ในครั้งนี้ไม่ต้องเน้นความแม่นยำเพื่อปิดผนึกพลัง เพราะเขามั่นใจว่าศัตรูหาได้เก่งกาจเท่าคาสึกิ จึงเน้นใช้พลังเพลิงลุกโหมไหม้ในวงกว้างแทน

ฮิเดโอะควบคุมหมาป่าเพลิงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขารู้ข้อจำกัดดีว่าจะถอยห่างจากที่ตรงนี้ไม่ได้ จึงตั้งขบวนลูกหมาป่าที่ยังคงสู้ได้ให้เรียงแถวปล่อยพลังลูกบอลเพลิงออกไปซึ่งๆหน้า แต่อาศัยจังหวะการปล่อยผลัดกันไปมา หลอกล่อจนศตรูจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าหมาป่าเพลิงตัวใดจะปล่อยพลังออกมา

ฮิโรกิขึ้นขี่บนหลังของชิบะอีกครั้ง และตัดสินใจใช้ท่าไม้ตายเพลิงทมิฬ แม้พลังจะเหลือไม่มากนักแต่การกวาดผ่านเป็นวงกว้างย่อมต้องสังหารศัตรูได้มากมายอย่างแน่นอน เขาฝืนส่งพลังให้ชิบะจนถึงหยดสุดท้าย

โกยาตเลย์เข้าใจถึงความสามารถของตน มันเป็นเพียงทารกเผ่าวิหคเท่านั้น รู้ขีดจำกัดพลังของตนดี และยังเข้าใจได้ว่าการที่จะใช้พลังให้มีประสิทธิภาพสูงสุดคือใช้พลังร่วมกับเอลลูญ์เช่นครั้งที่สู้กับคาสึกิ

มันบินเข้าไปเกาะไหล่ของเอลลูญ์ทำการเจรจาจนได้บทสรุปว่าพวกเขาจะรวมพลังกันอีกครั้ง ซึ่งทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะเอลลูญ์ก็ต้องการเช่นนั้นไม่ต่างกัน

ในระหว่างที่ก่อกำเนิดก้อนเมฆสายฟ้าสีดำทะมึน ซึ่งต้องใช้เวลาในการเตรียมการ เอลลูญ์ทำหน้าที่ในการคุ้มกันโกยาตเลย์ไปด้วยโดยใช้ท่าไม้ตายทั้งหมดที่ตนมีอย่างไม่เกรงกลัวการสูญเสียพลัง เพราะอย่างไร การต่อสู้ครั้งนี้พวกเขาก็ต้องใช้พลังจนหยดสุดท้ายอยู่แล้ว

และแม้จะใช้พลังจนหมดสิ้นก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะชนะได้ เมื่อมองดูการมาถึงของกำลังพลฝ่ายศัตรูที่ถาโถมเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องต่อสู้ไปจนถึงเมื่อใด  อาจจะหมดสิ้นลมหายใจก่อนฟ้าจะสางก็เป็นได้

เคลตี้ทำงานอย่างรู้ใจ มันสร้างภาพลวงตาให้แร็กนาร์ระหว่างจู่โจม ร่างเงากว่าสิบร่างเกิดขึ้นอย่างฉับพลันจนศัตรูงงงวยไม่อาจมองออกได้ว่าแร็กนาร์ตัวจริงจะโจมตีมาทิศทางใด ทุกครั้งที่ร่างล้มลงจึงไม่อาจกระทั่งรับรู้ได้ว่าตนตกตายไปแล้ว

การเคลื่อนไหวดังภูตผีผสานกับภาพลวงตาเสมือนร่างแยกยิ่งทำให้ศัตรูตื่นกลัว ฟาดฟันภาพลวงอย่างไม่คิดชีวิต แต่ทุกครั้งก็ตกตายด้วยคมมีดที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง ลุกโชนเผาไหม้ร่างกายจากภายในจนเจ็บปวดแสนสาหัสด้วยความสยดสยอง

แต่ด้วยกำลังพลที่เสียเปรียบ ทำให้เด็กๆเหล่านี้พลังถดถอยลงเรื่อยๆ ขีดจำกัดใกล้เข้ามา หรือบางคนถึงขั้นใช้พลังเกิดขีดจำกัดของตนไปเสียแล้ว ความเหนื่อยล้าทำให้พวกเขาค่อยๆถอยร่นจนวงกลมแคบลงเรื่อยๆ แต่กระนั้นก็ดูท่าว่าศัตรูจะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพิ่มขึ้นๆด้วยกำลังพลที่มาสบทบกันไม่ขาดสาย

คนที่เฝ้ามองอยู่สังหารศัตรูที่ก้าวผ่านมาด้านของตนจนหมดสิ้น พวกมันมองดูภาพของเด็กน้อยที่มีพลังเกินเด็กกลุ่มนั้นด้วยความเป็นห่วง เพราะดูท่าว่าอีกไม่นานคงหมดหนทางสู้ แต่กระนั้นหัวหน้าของมันก็ยังคงจดจ้องมองโดยไม่ขยับเขยื้อนหรือสั่งการเคลื่อนพลแม้แต่น้อย

“ท่านหัวหน้า ข้าว่า-“

“ข้ารู้แล้ว” ก่อนที่ลูกสมุนของมันจะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ หัวหน้าก็กล่าวขึ้นมาเช่นนั้น เขารู้ขีดจำกัดของเด็กน้อยเหล่านั้นดีจึงไม่ได้ร้อนใจสิ่งใด ในระหว่างที่เหล่าลูกสมุนจัดการศัตรูตัวเขาเองก็ทำเพียงยืนยับจ้องมองร่างของแร็กนาร์อย่างไม่วางตา และคำกล่าวนั้นไม่ใช่การตอบคำถามลูกน้อง เขาเพียงพึมพำกับความคิดของตนเท่านั้น

“ไป” เมื่อความอยากรู้กระจ่างเขาก็สั่งเคลื่อนพล ชั่วพริบตานั้นร่างสูงโปร่งก็เคลื่อนผ่านศัตรูมาอยู่ตรงหน้าเด็กตัวน้อยที่เขาสนใจ จับมือทั้งสองข้างที่กำลังจะฟาดฟันเขาตามสัญชาตญาณการป้องกันตัวเอาไว้  ตามด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ

แร็กนาร์เบิกตากว้างไม่คิดว่าจะมีตัวตนที่สามารถมองภาพลวงตาของเคลตี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนมาถึงร่างของเขาได้เร็วถึงเพียงนี้ สัญชาตญาณร้องเตือนว่าปีศาจตนนี้อันตราย

“สวัสดีเด็กน้อย  เจ้าชื่ออะไร” ชายผู้นั้นเอ่ยถามโดยไม่สนใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แร็กนาร์ไม่ได้พยายามฝืนตัวออก เพราะรู้ดีว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจหนีพ้นไปจากที่ตรงนี้ได้

ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ใจของเขาสงบกว่าเด็กทั่วไป มองไปด้านหลังชายผู้นั้นจึงเห็นว่า ทางที่ชายผู้นี้ก้าวผ่านศัตรูรอบด้านล้วนล้มลมจนหมดสิ้น และยังมีปีศาจอีกกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้ฟาดฟันศัตรูของพวกเขาจากวงนอก ลักษณะการแต่งตัวทำให้คาดเดาไม่ยากว่าปีศาจเหล่านั้นเป็นพวกเดียวกันกับชายผู้นี้

เด็กคนอื่นต่างยืนตลึงในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ เพราะติดพลันกับศตรูที่อยู่ตรงหน้า จนกระทั่งลูกสมุนของชายแปลกหน้าที่สวมชุดคลุมสีกลมท่าตามาสมทบ ช่วยต่อสู้ต้านทางศัตรูให้ พวกเขาจึงได้หันมามองชายผู้นั้นอย่างเต็มๆตา และตระหนักได้ว่า พวกเขาคือพวกเดียวกัน  ไม่ใช่ศัตรู

เพราะชุดคลุมตัวยาวสีกลมท่าทำให้พวกเขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของปีศาจตนนั้นได้ มีเพียงแร็กนาร์ที่มองเห็นดวงตาสีดำดวงนั้น มันยิ่งทำให้เขาตื่นตลึง เพราะดวงตาของปีศาจจะเป็นสีเดียวกับเส้นผม  แต่ดวงตาของชายผู้นี้กลับเป็นสีดำ...สีเดียวกับเขา!

“ท่านน้า!” เสียงสองแฝดประสานกัน เขาจำเครื่องแต่งกายของชายผู้นี้ได้ แม้จะได้พบกันเพียงปีละครั้งก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหลงลืมแม้แต่น้อย

“น้า” แร็กนาร์เอ่ยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะมองหน้าเด็กแฝดทั้งสองที่วิ่งเขามาด้วยความงุนงง

“อ่า  ชื่อแร็กนาร์นี่เอง  ลูกชายของริเรน่าสินะ มิน่าถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้” น้าของเด็กชายฝาแฝดปล่อยมือจากข้อมือเล็กดูบอบบางของเด็กน้อยตรงหน้า แย้มยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อโชคชะตาทำให้เขาได้พบสายเลือดของริเรน่าอีกครั้ง และยังยืนยันได้แล้วว่าข้อสงสัยของเขาล้วนเป็นความจริง

“ไง หลานรัก  มาหาน้าเร็ว วันนี้พวกเจ้าเก่งมากจริงๆ” จากนั้นก็หันไปอ้าแขนรับตัวเด็กชายฝาแฝดทั้งสองขึ้นมาอุ้ม เอ่ยชมพร้อมหอมแก้มฟัดจนพอใจตามประสาน้าชายที่ไม่ได้พบหลานๆมานาน

“พวกข้ายังไม่เก่ง” แต่แล้วฮิเดโอะก็มีสีหน้าเศร้าสร้อย สายตาทอดมองไปยังร่างของรูร์กัสที่อยู่เบื้องหลัง

“ใช่ พวกเราอ่อนแอ” ฮิโรกิก็มีความคิดไม่ต่างกัน สีหน้าที่อัดอั้นจนน้ำตาไหลนั้นน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีผู้ที่ออดอ้อนได้โผล่มาพวกเขาจึงแสดงความอ่อนแออย่างไม่ปิดบัง

“ไม่ต้องห่วงพวกเจ้าต้องเก่งขึ้นอีกแน่นอน หลังจากนี้ก็ตั้งใจฝึก สัญญากับน้าได้หรือไม่” น้ำเสียงหนักแน่นแต่หากสายตาอ่อนโยน เขาทะนุถนอม เอ็นดูหลานทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง เพราะเด็กน้อยทั้งสองเป็นดังสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของพี่สาวเพียงคนเดียวที่มีอยู่

“ขอรับ ข้าสัญญา!” สองเสียงประสานขึ้นอีกครั้ง พวกเขามีสิ่งที่ต้องปกป้องแล้ว มีพวกพ้องที่เชื่อใจแล้ว ต่อไปจะต้องฝึกอย่างหนักเพื่อให้เก่งขึ้นจนปกป้องคนสำคัญเอาไว้ให้ได้ จะต้องไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก!

“หัวหน้า ท่านอู้เกินไปแล้ว มาช่วยพวกเราสู้เถอะขอรับ” ลูกน้องคนสนิทตะโกนกลางวง เห็นหน้าตาที่สนใจเพียงความต้องการของตนแล้วหมั่นไส้ ปล่อยให้ลูกน้องจัดการศัตรูแล้วตนเองมัวแต่คุยได้อย่างไร ช่างเป็นหัวหน้าที่เอาแต่ใจเสียจริงๆ

“ริว เจ้านี่มันเดี๋ยวจะโดนดี  หึหึ” หันไปคาดโทษลูกน้องคนสนิทที่ยังลอยหน้าลอยตาไม่สนใจคำขู่แล้วก็หันกลับมาวางหลานชายลง

“พวกเจ้าพักเถอะ ที่เหลือให้ผู้ใหญ่จัดการ เด็กๆควรพักได้แล้ว...พวกเจ้ายอดเยี่ยมมาก” เขาเอ่ยเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ความรู้สึกขอบคุณเป็นของจริง เขารู้สึกขอบคุณจริงๆที่อย่างน้อยเด็กๆเหล่านี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ การมาถึงของพวกเขาไม่ได้สายจนเกินไป

“น้าของพวกเจ้า...เป็นลูกครั้งเช่นนั้นหรือ”  คล้อยหลังแร็กนาร์ก็หันไปถามฮิเดโอะ เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะในครั้งแรกที่เจอกันเด็กชายฝาแฝดไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่ง ถ้าเคยเห็นน้าของตนก็น่าจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าเขาเองก็ไม่ต่างกัน

“เอ๊ะ...คิดๆดูแล้วท่านน้าไม่เคยถอดผ้าคลุมออกเลย พวกเราก็เลยไม่เคยเห็นสีผมน่ะ แต่พอคิดอีกทีข้าก็เคยแปลกใจที่ดวงตาของท่านน้าเป็นสีดำ เอ๋ ท่านน้าเป็นลูกครึ่งหรอกหรือ” ความงงงวยส่งผ่านมาตามน้ำเสียง ทำให้แร็กนาร์ได้แต่อ่อนใจ คิดอย่างปลงๆว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเด็ก  ไม่สังเกตก็คงไม่แปลก

การต่อสู้ของชายผู้นั้นจึงน่าจับจ้องไม่น้อย เด็กๆคนอื่นก็คิดไม่ต่างกัน  พวกเขาเฝ้ารอการเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ  อยากเห็นว่าลูกครึ่งที่เป็นหัวหน้าของปีศาจเผ่าพยัคฆ์อันเชื่อมั่นในพลังนั้นจะเป็นตัวตนเช่นใด

 แรงลมปะทุขึ้นเป็นวงกลมล้อมรอบตัวน้าของเด็กชายฝาแฝด ทำให้ผ้าคลุมร่วงลงจากศีรษะ เผยเส้นผมสีน้ำตาลขอบแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของลูกครึ่ง มนุษย์ธาตุลม และ ปีศาจเผ่าพยัคฆ์

เป็นตัวตนเช่นเดียวกับแร็กนาร์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แร็กนาร์มั่นใจว่าพวกเขาแตกต่างกัน นั่นคือ ชายคนนั้นเป็นผู้โชคดีที่อยู่ในส่วนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยในบรรดาลูกครึ่งทั้งมวล

ตัวตนของ ‘ลูกครึ่งที่มีพลัง!’

สายตาของเราสั่นระริก รับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่แผ่ขยายออกมารอบตัวของชายผู้นั้น แม้แต่ฝ่ายศัตรูเองก็มีสีหน้าหวาดกลัว  พลังของเผ่าพยัคฆ์เสริมความแข็งแกร่งของธาตุลมเท่าทวีคูณ ลมพายุสูงเสียดฟ้า เมฆถูกทะลวงผ่านเป็นรูกว้าง สายลมที่หมุนวนด้วยความเร็วส่งสายลมอันคมกริบแผ่ขยายออกเป็นคมมีด

เฉือนร่างของศัตรูล้มลงตนแล้วตนเล่า โดยที่ผู้ลงมือไม่ต้องขยับกายแม้แต่น้อย สายตาที่มองร่างไร้ลมหายใจเหล่านั้นก็เย็นชาเป็นอย่างยิ่ง

“หัวหน้า ท่านบ้าไปแล้ว ใช้พลังให้มันมีขอบเขตบ้าง เห็นหรือไม่ว่ามันจะสังหารพวกเขาไปด้วย” ริวก่นด่าหัวหน้าของตนอย่างไร้ความเกรงกลัว เมื่อแม้แต่พวกเขาเองก็ต้องหาทางหลบคมมีลมที่ดัดผ่านทุกอย่างทุกทิศทาง

“พวกเจ้าเป็นลูกน้องที่เก่งกล้าของข้า หลบคมมีดลมเหล่านี้ได้สบายๆอยู่แล้ว หึหึ” คำพูดและรอยยิ้มยียวนนั่นทำให้ริวแทบอยากจะฆ่าๆหัวหน้าของตนไปเสีย เล่นไม่รู้เวล่ำเวลาเสียจริงๆ แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ทำได้เพียงหลบไปหลบมา พร้อมก่นด่าสาดเสียเทเสียต่อไปเท่านั้น ก็จะทำอย่างไรได้ เขาสู้หัวหน้าได้เสียที่ไหน

เสียงโหยหวนจบลงศัตรูที่อยู่ในรัศมีลมพายุตายดับดิ้น เหลือไว้เพียงลูกน้องของเขาที่เคยชินกับการหลบคมมีดลมไร้ทิศทางมานับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งมองไปยังลูกน้องคนสนิทที่มีอาหารเหนื่อยหอบเล็กน้อย ทั้งคิ้วขมวดมุ่นก็ยิ่งพอใจ

แปะ แปะ แปะ

“เยี่ยมๆพวกเจ้าช่างเป็นลูกน้องที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็หลบได้อย่างงดงามจริงๆ ฮ่าๆๆ” เสียงปรบมือกับคำชมที่เต็มไปด้วยความพอใจนั้นยิ่งทำให้ริวเข่นเขี้ยว ลูกสมุนคนอื่นๆล้วนมองออกว่าสายลมส่วนมากพัดมาทางริวมากกว่าใคร พวกเขาชินชากับการละเล่นของหัวหน้าและคนสนิทเสียแล้ว

มีเพียงริวที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่โดนอีกฝ่ายกลั่นแกล้งก็หงุดหงิดจนอยากตะโกนดังๆว่า

‘ไปตายซะ ไอ้หัวหน้าเวรนี่!!’

To Be Continued...

___________________________________

สวัสดีค้า ลงครบแล้ว
รู้สึกท่านน้านี่แย่งซีนแบบสุดๆ
จ้างร้อยเล่นล้านกันจริงๆเลย5555
ปั่นได้อีกครึ่งก่อนไปทำงานจริงๆด้วย
ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง และรอกรีนอยู่นะคะ
เจอกันตอนหน้าจ้า
ฝากนิยายเรื่องใหม่ของกรีนด้วยน้า
PAY เปย์ข้าด้วยบุฟเฟ่ต์สิ ลงถึงตอนที่ 6 แล้วจ้า
สำหรับใครที่ตามอ่านอยู่ถือโอกาสแจ้งว่าตอนที่ 7 มาลงพรุ่งนี้น้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม >ครึ่งหลัง< (17/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 18-03-2018 13:45:50
เปิดตัวอลังการเชียวนะคะท่านน้าาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม >ครึ่งหลัง< (17/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 23-03-2018 08:41:09
กลับมาพร้อมความอลังการของท่านน้า  ท่านน้ากะริว มันใช่จินะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 42 ตัวตนที่แท้จริง
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 29-03-2018 09:05:55
ตอนที่ 42

ตัวตนที่แท้จริง

หลังจากนั้นก็เกิดการต่อล้อต่อเถียงของริวกับหัวหน้ากลุ่มเซไคดังขึ้นไม่ขาดสาย จนกระทั่งเหล่าปีศาจกลุ่มโนบุเดินทางมาสมทบมากขึ้น พวกมันมองพื้นที่เจิ่งนองด้วยเลือดและซากศพด้วยสายตาหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ชั่วอึดใจหนึ่งก็มีแรงฮึดสู้ด้วยคำปลุกเร้าจากหัวหน้าหน่วยของพวกมัน

“พวกเจ้าจงอย่าได้ลืมวันที่เข้าร่วมกลุ่มโนบุ จงอย่าได้ลืมว่าให้สัตย์สาบานว่าจะอุทิศชีวิตให้ผู้ใด จงบั่นคอศัตรูที่ขัดขวางความปรารถนาของหัวหน้า จงเชื่อมั่นให้ตัวท่านหัวหน้าใหญ่โนบุ!”

เสียงเฮลั่นดังขึ้นสะท้านฟ้าสะท้านดิน พวกมันกู่ก้องอย่างพร้อมเพรียง ยกดาบขึ้นฟ้าเพื่อให้คำมั่นอย่างแน่วแน่ ช่วงเวลาที่พวกมันให้สัตย์สาบานก่อนเข้าร่วมกลุ่มโนบุหวนคืน คำปฏิญาณอันแรงกล้าพาให้ใจฮึกเหิมอีกครั้ง

ริวมองภาพนั้นด้วยสายตาหวั่นวิตก เขาสบสายตากับหัวหน้าตน สายตาขอร้องอยู่ในที พวกเขาสังหารมามากพอแล้ว หากมากกว่านี้คงไม่อาจกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้

น้าของเด็กชายฝาแฝดหันกลับไปจ้องมองเด็กๆ เบื้องหลัง ภาพอันไม่น่าพิสมัยปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง บังอาจคิดสังหารเด็กตัวเล็กๆ เหล่าเท่านี้ จิตใจพวกมันจะหยาบช้าเพียงใด เขาสังหารให้ดับดิ้นโดยไร้ความทรมานก็ถือว่าปรานีมากเพียงพอแล้ว ยังจะให้เขาละเว้นชีวิตพวกมันอีกหรือ

“หัวหน้าท่านก็รู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร และท่านก็เคยประสบมันด้วยตนเองยังจะถือเอาความโกรธเป็นที่ตั้งอีกหรือ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีสิทธิ์ใช้ความคิดอิสระด้วยหรือ ลองตอบข้ามาได้หรือไม่” ริวเตือนสติ พวกเขาอยู่เคียงข้างกันมานานด้วยเพราะตระกูลของริวต้องรับใช้หัวหน้ากลุ่มเซไคทุกรุ่น ดังนั้นแล้วตั้งแต่เขาจำความได้ก็เห็นเด็กทารกลูกครึ่งตนหนึ่งมองตาแป๋วตั้งแต่แรกเกิด

แม้นิสัยจะกวนประสาทไม่คิดสิ่งใดอยู่ในหัว แต่ริวรู้ดีว่าหัวหน้าของตนยึดมั่นในความรู้สึกมากเพียงใด ดังนั้นแล้วในฐานะลูกน้องและที่ปรึกษาประจำตัวเขาจึงต้องคอยห้ามปรามอยู่เสมอ

“เข้าใจแล้ว แค่ไม่ฆ่าก็พอสินะ” สายที่มองกลับมานั้นแข็งกร้าว ยึดมั่นในการตัดสินใจของตน จนริวต้องถอนหายใจอย่างปลงๆ เอาเถอะแค่รับปากว่าไม่ฆ่าได้ก็เพียงพอแล้ว

“ขอรับ” ริวจึงตอบรับสายตาที่มองมาอย่างเสียไม่ได้

“ได้ยินแล้วนะ จัดการได้แต่อย่าถึงตายก็พอ” เหล่าสมุนของเขาสบตากันชั่วครู่ ดังว่ารู้ผลลัพธ์ของคำสั่งนี้อยู่ก่อนแล้ว จะอย่างไรหัวหน้าและคนสนิทนั้นเมื่อเกิดถกเถียงกันก็จะออกมาในรูปแบบอ่อนข้อกันครึ่งทางเช่นนี้เสมอ พวกเขาชินเสียแล้ว

“ขอบใจริว...เจ้ายังเป็นผู้ที่เข้าใจข้าที่สุดเสมอ” หลังจากที่เหล่าลูกสมุนละสายตาจากพวกเขาทั้งคู่ ในยามที่เดินสวนกันนั้นผู้เป็นหัวหน้าก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ เพราะอยู่เคียงข้างกันมาตั้งแต่จำความไม่ได้ นิสัยของทั้งคู่จึงเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นส่วนประกอบของกันและกันเรื่อยมาจนพวกเขาขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดได้เช่นนี้

ริวไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเขาเพียงยิ้มมุมปาก ก่อนหันหลังทะยานตามผู้อื่นไปเท่านั้น

การปะทะกันเกิดขึ้นอย่างสูสีแม้ว่าศัตรูจะมีมากกว่าก็ตาม บ่งบอกได้ว่าฝีมือของฝ่ายพวกเขานั้นเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดทำให้สามารถชดเชยจำนวนพลที่มากกว่าหลายเท่านั้นได้

ริวไม่แม้กระทั่งแสดงพลังของตน เขาถนัดใช้พิษเพราะเป็นตระกูลมือสังหาร ดังนั้นแล้วเพียงพิษที่เคลือบบนดาบยาวก็สามารถทำให้ศัตรูลงไปนอนแน่นิ่งได้ ถึงจะเพียงเท่านี้เหล่าพรรคพวกของเขาก็มองอย่างหวาดกลัวแล้ว ใครหนอบอกให้ยั้งมือ ปีศาจใจดีเมื่อครู่หายไปไหนเสียแล้ว

พิษที่ทำให้ศัตรูล้มลงนั่นจะอย่างไรก็ไม่ใช่เพียงพิษยาสลบธรรมดาอย่างแน่นอน ดูร่างของพวกมันที่สั่นเทิ้มก็พอเดาได้แล้วว่าเป็นพิษชนิดใด

อสรพิษสลาย

ยาพิษที่สกัดจากอสรพิษร้ายหลายชนิด มีฤทธิ์สลายพลังของศัตรูตามชื่อที่เรียก และนอกจากนี้ยังสร้างความทรมานให้แก่ร่างกาย ไม่ตกตายแต่กลับทรมานเหมือนตาย เป็นเวลาถึง 5 วันจึงจะสิ้นฤทธิ์ ยาพิษชนิดนี้พวกเขาล้วนเคยผ่านมาแล้วตั้งแต่ลงสนามฝึก ความน่ากลัวของมันนั้นฝังรากลึกในจิตใจ ได้แต่มองเหล่าศัตรูที่ล้มลงตนแล้วตนเล่าอย่างเวทนาเท่านั้น

อนิจจาพวกเจ้าช่างโชคร้าย สู้โดนสังหารให้สิ้นไปยังจะดีกว่าตายทั้งเป็นด้วยพิษเช่นนี้

แม้แต่หัวหน้ากลุ่มเซไคเองก็ปรากฏสายตาเกรงกลัววูบหนึ่ง จดจำได้ดีถึงวันเวลาที่เขายังเล็ก ริวฝึกฝนเขาด้วยการใช้พิษเหล่านี้หล่อหลอมจนกระทั่งร่างกายของเขาสามารถต้านพิษได้อย่างหลากหลายชนิด

เหตุการณ์เหล่านั้นยังวนเวียนในใจ ทั้งขอบคุณทั้งอยากเอาคืนเสียบ้าง เขาจึงชอบนักที่แกล้งให้ริวหัวเสียได้ ก็ช่วยไม่ได้เวลานี้เขาไม่ต้องกลัวต่อพิษเหล่านั้นอีกแล้ว เพียงแต่จะมีบ้างเวลาที่ริวปรุงพิษชนิดใหม่ๆ เพื่อเอาคืนเขาโดยเฉพาะเท่านั้นที่ทำให้เจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนเจ้าพวกที่ต้องนอนดิ้นทุรนทุรายนั่นก็ถือว่าสมควรแล้ว มันช่วยไม่ได้จริงๆ อย่างริวน่ะ การออมมือควบคุมยากยิ่งกว่าเขาเสียอีก เพราะยาพิษของริวนั้นไม่มียาพิษแบบธรรมดาแม้แต่ชนิดเดียว ใช้เพียงอสรพิษสลายนับว่าปรานีมากเพียงพอแล้ว เขาเจอมามากมายกว่านี้นัก โทษตนเองเถิดที่วิ่งเข้าหาปีศาจโหดเหี้ยมพันธุ์นั้น

ส่วนตัวหัวหน้ากลุ่มอย่างเขาเองก็ไม่น้อยหน้า แม้จะใช้เพียงสายลมก็เชือดเฉือนร่างกายของศัตรูจนร่างนั้นแทบไร้ช่องว่างของบาดแผล โดยละเว้นจุดตายเอาไว้ ทรมานพวกมันอย่างโหดเหี้ยม ใบหน้าก็ยิ้มพลายด้วยความพึงพอใจ ดังคู่หูปีศาจที่เกิดมาเพื่อทรมานผู้อื่นเท่านั้น

พวกเด็กๆ จ้องมองด้วยความชื่นชม ยิ่งศัตรูล้มลงตนแล้วตนเล่ายิ่งสร้างความตื่นเต้นให้แก่พวกเขา ในใจที่ห่อเหี่ยวและผิดหวังในพลังของตนล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะมีพลังเช่นผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ในใจฮึกเหิมอยากฝึกเสียให้สำเร็จตั้งแต่ตอนนี้

แร็กนาร์เองก็มองริวอย่างสนใจ ภาพศัตรูที่ล้มลงอย่างทรมานนั่นสร้างความประทับใจแก่เขาไม่น้อย ยิ่งสายตาหวาดกลัวของพวกเดียวกันแล้วยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่าปีศาจตนนั้นมีจิตของนักฆ่าอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งยังใช้พิษที่น่าสนใจอีก

‘พิษจากเขตตะวันออก ในหนังสือเล่มนั้นเขียนถึงสมุนไพรที่หาได้เพียงพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลไว้ด้วยสินะ พิษที่ริวใช้ก็น่าสนใจ ชักอยากลองศึกษาดูบ้างซะแล้ว หลังผ่านเหตุการณ์คืนนี้ไปต้องลองถามดูสักหน่อย ถึงไม่ได้สูตรยาพิษมาเพิ่ม แต่อย่างน้อยคงได้ส่วนผสมพิษมาบ้างล่ะนะ’

แร็กนาร์คิดอย่างคาดหวัง ในหนังสือที่เขาเจอในห้องบ้านหลังเล็กมีบันทึกของสมุนไพรที่เกิดทั้งในแดนมนุษย์และแดนปีศาจ แต่เขาไม่สามารถผสมมันได้ทั้งหมดเพราะไร้วัตถุดิบ พอมีลู่ทางในการหาพวกมันความอยากรู้ของเขาจึงตื่นตัวเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังอยากศึกษาการผสมยาพิษที่มีอยู่แล้วเพื่อนำไปปรับปรุง และสร้างยาพิษที่ร้ายแรงยิ่งกว่า

ไม่รอช้าร่างเล็กหายไปจากบริเวณนั้น เข้าไปลากร่างร่างหนึ่งที่นอนบิดกายอย่างเจ็บปวดอยู่บนพื้นให้พ้นรัศมีการต่อสู้มายังจุดที่พวกเขาอยู่กันเมื่อครู่เพราะไม่ไว้วางใจที่จะอยู่ห่างจากพวกเด็กๆ เป็นเวลานาน กลัวว่าศัตรูจะหลุดมาถึงตัวเด็กเหล่านี้

“แร็กนาร์เจ้าทำอะไร” เอลลูญ์ถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นแร็กนาร์ที่พยายามลากร่างที่ใหญ่กว่าตนถึง 5 เท่ามายังบริเวณที่พวกเขาอยู่

“ตรวจสอบ” แร็กนาร์ตอบเพียงสั้นๆ ทำให้เด็กชายฝาแฝดที่หันมามองตั้งแต่เอลลูญ์ถามขึ้นเข้าไปช่วยลากร่างนั้นจนถึงจุดที่พวกเขาหลบภัยอยู่ ดังเข้าใจได้ว่าแร็กนาร์ต้องการจะตรวจสอบสิ่งใด มีเพียงเอลลูญ์เท่านั้นที่มองอย่างไม่เข้าใจ

“แร็กนาร์เจ้าสนใจเรื่องพิษของริวซังเช่นนั้นหรือ” ฮิเดโอะถามดังอ่านใจแร็กนาร์ได้ เขาชินตาเหลือเกินภาพของแร็กนาร์กับหมอชราที่นั่งศึกษาสมุนไพรด้วยกันโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

“อืม”

“ถ้าเช่นนั้นให้ข้าแนะนำริวซังให้กับเจ้าดีหรือไม่” สิ้นเสียงนั้นแร็กนาร์ก็ยิ้ม แม้จะเป็นเพียงการขยับริมฝีปากเล็กน้อยก็สามารถสะกดฮิเดโอะให้ไม่อาจละสายตาไปได้

“ขอบใจ” เพียงคำของใจสั้นๆ ก็ทำให้ฮิเดโอะยิ้มกว้างอย่างยินดีได้แล้ว หัวใจเต็มตื้นอยากได้รับรอยยิ้มเช่นนี้อีก ไม่ใช่สายตาที่จับจ้องเย็นชาดังเหตุการณ์เมื่อครู่

แม้แต่เด็กๆ คนอื่นเองก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก ใบหน้างดงามที่ประดับด้วยรอยยิ้มนั้นน่ามองยิ่งกว่าความเย็นชาดังที่ผ่านมามากมายนัก มองภาพการต่อสู้สลับกับรอยยิ้มนั่นแล้วก็ยิ่งอยากเก่งมากขึ้นเพื่อสร้างรอยยิ้มให้คนตรงหน้า อยากเห็นรอยยิ้มที่กว้างยิ่งกว่านี้อีก

แร็กนาร์ไม่รู้เลยว่าความไว้วางใจที่เขามอบให้ได้ส่งผลกลับมาอย่างท่วมท้น ไม่เพียงเขาที่เปิดใจให้เด็กๆ เหล่านี้ พวกเด็กๆ เองก็เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างหมดหัวใจเช่นเดียวกัน

การปะทะกันเป็นไปอย่างดุเดือด ปีศาจที่บาดเจ็บล้มลงตนแล้วตนเล่า แต่ด้วยจำนวนที่มากมายจากกองกำลังที่มาสมทบทำให้การต่อสู้ไม่จบลงง่ายๆ ด้วยเพราะต้องออมมือไม่อาจสังหารศัตรูได้ในการโจมตีครั้งเดียวทำให้พวกเขาเริ่มเสียเปรียบมากขึ้น จนมีบ้างที่พลั้งมือสังหารอย่างไม่อาจยังยั้งพลังของตนได้

ยิ่งถูกล้อมโดยศัตรูรอบทิศ แม้เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งเพียงใดก็เริ่มบาดเจ็บและล้มลงอย่างไม่อาจเลี่ยง ชั่วเสี้ยววินาทีที่ริวกับหัวหน้ากลุ่มเซไคสบตากัน ความคิดของพวกเขาก็ดังส่งผ่านไปให้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องเปิดปากพูด

ไม่ไหวแล้วหากพวกเขายังยั้งมืออยู่เช่นนี้พวกเขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผลลัพธ์คงไม่น่าพิสมัยนัก แม้จะผิดข้อตกลงไปบ้างก็เลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว ความคิดของพวกเขาตรงกัน ผู้เป็นหัวหน้าถ่ายทอดคำสั่งใหม่แก่ลูกสมุนของตนทันที

“ไม่ต้องยั้งมือ สังหารให้สิ้น” สิ้นคำสั่งเหล่าปีศาจแห่งเขตตะวันออกก็ปลดปล่อยพลังขีดจำกัดของร่างกาย ทั้งพละกำลัง ทั้งความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น สร้างความตื่นตะลึงให้ศัตรู และเพิ่มความตื่นเต้นให้เด็กๆ เป็นอย่างยิ่ง

การลงมือสังหารฝ่ายเดียวเริ่มขึ้น เพียงชั่วพริบตาดาบในมือก็สะบั้นคอศัตรูตรงหน้าจนตกตายอย่างไม่อาจต้านทานได้ พวกเขาคือหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดของเขตตะวันออก มีหรือจะยอมตกตายด้วยฝีมือของศัตรูที่อ่อนด้อยเช่นนี้

เมื่อได้ลงมือตามใจอยากจึงเกิดการสังหารอย่างรวดเร็ว ศัตรูตกตายตนแล้วตนเล่า เหยียบย่ำศพที่ล้มลงอย่างไม่สนใจไยดี จิตสังหารถูกปล่อยออกมาจนศัตรูที่อ่อนแอบางตนถึงกับแข้งขาสั่นเทาทรุดลงอย่างไม่อาจต้าน ภาพตรงหน้าช่างน่าสะเทือนขวัญเป็นอย่างยิ่ง

เคร้ง!

“หยุดได้แล้ว! ” เสียงอันทรงพลังดังขึ้น พร้อมๆ กับผู้มาใหม่ที่ใช้ดาบต้านทานพลังของพวกเขาเอาไว้ได้ พลังที่เท่าเทียมทำให้คาดเดาไม่ยากเลยว่าผู้ที่มาใหม่แข็งแกร่งมากเพียงใด

“ท่านตกลงกับข้าแล้วว่าจะไม่สังหารพวกเขา” หัวหน้าหน่วยโยไคเอ่ยอย่างแข็งกร้าว จดจ้องผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเซไคอย่างไร้ความเกรงกลัว มองผ่านริวที่เขามารับดาบแทนหัวหน้าของเขาดังไร้ตัวตน และนั่นไม่รู้ด้วยเพราะสาเหตุใด ผู้ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอจึงมีสายตาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

ฉั๊วะ ฉั๊วะ!

“อึก” สายลมมากมายเข้าปะทะร่างกายใหญ่โตจนทรุดนั่งคุกเข่าลงกับพื้น สายลมอันน่าเกรงกลัวที่ไม่อาจใช้อาวุธใดต้านทานได้ การควบคุมลมดังส่วนหนึ่งของร่างกาย ไม่ต้องขยับร่างกายส่วนใดเพียงความนึกคิดก็ล้มศัตรูได้ในพริบตา ช่างเป็นผู้ควบคุมลมที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

“นั่นคือสิ่งที่เจ้าควรทำเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยลอบสังหารของกลุ่มโนบุอย่าเหิมเกริมให้มากนัก” ทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่ง แม้แต่ศัตรูที่ฟาดฟันกันเมื่อครู่ยังไม่กล้าแม้แต่หายใจ มีเพียงสายลมเท่านั้นที่เชือดเฉือนอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง

“ข้าขอโทษแทนลูกน้องของข้าด้วย ขอเจ้าจงเห็นแก่หน้าข้าหยุดลงมือเสียเถอะ” เสียงแทบแห้งที่ดูไร้เรี่ยวแรงดังขึ้น เจ้าของเสียงเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์ร่างกายใหญ่โต ตัวของมันมีบาดแผลทั่วร่าง ข้อมือมีรอยพันธนาการจากโซ่ทั้งข้อมือและข้อเท้า บาดแผลที่โผล่พ้นร่างกายบ่งบ่องว่าร่างกายนั้นผ่านการทรมานมามากมายเพียงใด

สายลมนั้นหยุดลง ก่อนหัวหน้าทั้งสองกลุ่มจะเผชิญหน้ากัน

“ท่านควรจะขอบคุณข้าด้วยซ้ำที่ยังปรานีลูกน้องของท่าน ไม่เช่นนั้นแล้วมันอาจจะดับดิ้นด้วยฝีมือคนสนิทของข้า” คำตอบนั้นพาให้ปีศาจหน่วยโยไคมองไปยังร่างของริวที่ยืนอยู่ ในมือข้างที่ไม่ได้ถือดาบปรากฏเข็มพิษทั้ง 4 ที่พร้อมจะปล่อยออกมาจากฝ่ามือนั้นทุกเมื่อ

มีเพียงลูกสมุนของกลุ่มเซไคเท่านั้นที่เข้าใจดีว่าบทลงโทษของผู้ที่ดูถูกหัวหน้าของพวกเขาจากฝีมือคนสนิทนั้นโหดร้ายเพียงใด เพราะเคยเห็นผู้ตกตายอย่างเจ็บปวดทรมานด้วยพิษเหล่านั้นมามากมายแล้ว

ริวเก็บเข็มพิษเขาในช่องเก็บของในแขนเสื้อ มองหัวหน้าตนอย่างขัดใจไม่น้อย หัวหน้าของเขาเป็นลูกครึ่งทำให้ที่ผ่านมามีผู้ดูถูกมากมาย เขาชิงชังพวกมันเป็นอย่างยิ่งจึงโปรดปรานนักที่เห็นพวกมันดิ้นทุรนทุรายตกตายอยู่เบื้องหน้า หากคิดแล้วการลงมือของหัวหน้านับว่าปรานีมากแล้วจริงๆ

“เช่นนั้นข้าต้องขอขอบใจเจ้ามากทั้งการลงโทษเมื่อครู่ และยังไว้ชีวิตลูกน้องของข้าบางส่วน...จะรบกวนช่วยข้าอีกสักนิดได้หรือไม่...ช่วยถ่ายทอดคำสั่งของข้าด้วย” แม้จะบาดเจ็บอย่างหนักแต่ความสามารถก็หาได้ด้อยลง เขารู้ดีว่าคำกล่าวเมื่อครู่ล้วนเป็นความจริง

และแม้ดวงตาจะพร่ามัวไปบ้าง แต่เขารับรู้ถึงสัญญาณชีวิตของลูกน้องมากมายที่นอนสิ้นสติอยู่ ทั้งยังมองสถานการณ์ออกอย่างแจ่มแจ้ง รับรู้ดีว่าพวกเขาทำตามที่รับปากคิม่อนไว้อย่างถึงที่สุดแล้วจึงเลือกลงมือเด็ดขาดเพื่อรักษาชีวิตของพวกตน มันไม่ใช่ว่าพวกเขาตั้งใจผิดคำสัญญาแม้แต่น้อย

“ข้ายินดี เพราะรับปากกับพี่เขยไว้แล้วว่าจะช่วยอย่างถึงที่สุด”

เซไค ฮาคุโร เป็นน้องชายของฮารุโนะมารดาของเด็กชายฝาแฝดทั้งสอง เขาจึงมีศักดิ์เป็นน้าและเบียกโกะเองก็มีศักดิ์เป็นพี่เขยของเขา ทั้งยังเปรียบดังผู้ที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่เบื้องหลังเรื่อยมาจนสามารถสืบทอดตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเซไคได้ ดังนั้นแล้วแม้เขตตะวันออกจะประกาศปิดเขตไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขตใดๆ หรือแม้แต่ปีศาจเผ่าอื่นๆ ตัวเขาก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอครั้งนี้ได้

เพราะครอบครัวของเขากำลังมีปัญหา ทั้งมันยังเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพี่สาวเขาอีก ดังนั้นแล้วแม้ไม่ต้องเอ่ยขอ ตัวเขาเองก็พร้อมที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้

สายลมม้วนเกลียวเกิดขึ้นเบื้องหน้าของหัวหน้ากลุ่มโนบุ ด้านหนึ่งเล็กอีกด้านใหญ่ ด้านที่เล็กนั้นลอยอยู่ห่างจากปากของเขาเล็กน้อย ดังจะช่วยกระจายเสียงให้ดังขึ้น

“เชิญท่านตามสบาย” สิ้นคำกล่าวนั้น หัวหน้ากลุ่มโนบุก็ส่งสายตาขอบคุณมาให้ ตัวเขาพยายามดิ้นรนจากที่คุมขังมาตลอด แต่ผ่านไปหลายปีก็ไม่อาจหนีออกมาได้ แทบสิ้นหวังไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขาได้กลับมาปกป้องปีศาจในปกครองของตนอีกครั้ง

“เหล่าสมาชิกกลุ่มโนบุเอ๋ย จงหยุดการต่อสู้ครั้งนี้เสีย เพราะคำสั่งให้ทำลายกลุ่มยาฉะนั้นหาได้มาจากข้าไม่ ในนามของหัวหน้ากลุ่มโนบุที่แท้จริง ขอสั่งให้พวกเจ้ากลับสู่ความสงบอย่าได้ใฝ่หาสงครามอีกเลย” น้ำเสียงแหบแห้งแต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจนั้นพาให้เหล่าสมาชิกกลุ่มโนบุที่หยุดชะงัก ตั้งแต่ที่หน่วยโยไคเข้ามาหยุดการต่อสู้วางอาวุธลงคุกเข่าร้องเรียกหัวหน้าของตนครั้งแล้วครั้งเล่า

บางตนถึงขั้นปล่อยโฮอย่างไม่อายสายตาใคร ทั้งความกลัว ทั้งความรู้สึกที่โต้แย้งกันทั้งหลากหลายทะลักออกมาอย่างไม่อาจปิดกั้น ด้วยเพราะพวกเขาเชื่อ เชื่อว่านั่นคือหัวหน้าของพวกเขา แม้จะได้พบเพียงไม่กี่ครั้งแต่พวกเขาล้วนรู้ดีว่าหัวหน้าของตนมีจิตใจที่อ่อนโยนเพียงใด ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่ขอทำพันธสัญญาสงบสุขกับกลุ่มยาฉะตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ในใจของพวกเขาต่อต้านคำสั่งอันโหดร้ายเหล่านี้มาตลอด แต่คำสัตย์ที่เคยให้ไว้ไม่อาจต่อต้าน เมื่อหัวหน้าสั่งจึงต้องทำตามอย่างไม่อาจเลี่ยง ผู้น้อยเช่นพวกเขามีหรือจะขัดคำสั่งของผู้ที่เป็นหัวหน้าได้

แต่กระนั้นผู้ที่เป็นหัวหน้าหน่วยกลับมีแววตาแข็งกร้าวด้วยเพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ใยหัวหน้าบอกว่าหัวหน้ากลุ่มโนบุตัวจริงไม่อาจออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันได้อีก แล้วเพราะเหตุใดมันจึงกลับมาที่นี่ได้เล่า

ใช่แล้ว หัวหน้าหน่วยทั้ง 8 แปรพักตร์ไปแล้วนั่นเอง เพราะพลังและอำนาจอันล่อตาล่อใจพวกมันจึงหยุดยั้งความโลภไว้ไม่ได้ เมื่อความอยากเหล่านั้นเข้าครอบงำต่อให้ต้องรับใช้หัวหน้าตัวปลอม พวกมันก็ล้วนแล้วแต่กระทำอย่างเต็มใจ

“พวกเจ้าเป็นบ้าอันใด ลุกขึ้น! มันจะใช่หัวหน้าได้อย่างไร หัวหน้าของเราแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทางเป็นตัวตนที่อ่อนแอเช่นนี้” มันกล่าวปลุกปั้น หมายให้ความเชื่อกลับมาที่ตน เพราะว่าเป้าหมายของพวกมันอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม หากสำเร็จแล้วล่ะก็มันจะได้รับค่าตอบแทนมากมายอย่างที่ไม่มีทางจะหามาได้อีกแล้ว

“หุบปาก! ผู้ทรยศเช่นเจ้าไม่ควรที่จะเอ่ยวาจาใดต่อหัวหน้าใหญ่แม้แต่น้อย” คิม่อนตวาดลั่น ลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจร่างกายที่บาดเจ็บของตนแม้แต่น้อย ความโกรธอยู่เหนือความเจ็บปวดของร่างกาย

“เจ้าต่างหากทรยศ ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าร่วมมือกับกลุ่มยาฉะ จะให้พวกเราเชื่อได้อย่างไร” มันยังไม่ยอมแพ้ และคำกล่าวนั้นก็ทำให้ลูกสมุนที่คุกเข่าอยู่มึนงงไม่น้อย บ้างใจเอนเอียงเชื่อคำกล่าวนี้กว่าครึ่ง

‘ถ้าเช่นนั้นตอบข้าได้หรือไม่ หัวหน้าที่เจ้ากล่าวถึงนั้นเคยสื่อสารกับพวกเจ้าด้วยจิตพร้อมเพรียงกันมากมายเช่นนี้หรือ’

อั๊ก!

“ท่านหัวหน้าใหญ่! ” ด้วยฝืนร่างกายใช้พลังจำกัดสายเลือดของตนทำให้เขากระอักเลือดออกมากองโต แต่มันก็เป็นทางเดียวที่ปีศาจในปกครองของเขาจะปักใจเชื่อ เพราะสายเลือดของหัวหน้ากลุ่มในแต่ละเขตนั้นล้วนแล้วแต่มีพลังจำกัดสายเลือด

พลังของหัวหน้ากลุ่มโนบุคือสื่อจิต พลังที่สามารถสื่อสารกับปีศาจหลายตนได้ในเวลาเดียวกัน มีพลังมากกว่าการส่งกระแสจิตแบบธรรมดาที่เชื่อมต่อได้ทีละคนเท่านั้น ดังนั้นแล้วหากต้องการแสดงตัวตนแล้วล่ะก็การใช้พลังให้พวกเขาเห็นเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดนั่นเอง

ชั่วพริบตานั้นเหล่าลูกสมุนกลุ่มโนบุเชื่ออย่างสุดใจว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านั้นคือหัวหน้าของตน ด้วยเพราะรู้ถึงความสามารถนี้อยู่แล้ว และคำกล่าวที่ว่าหัวหน้าที่พวกเขารับใช้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเคยใช้พลังเช่นนี้หรือไม่ คำตอบก็ชัดเจนว่า

‘ไม่’

ชั่วพริบตานั้นหัวหน้าหน่วย 8 ตนที่เหลืออยู่ ก็ระเบิดพลังสสารสีดำออกมาอย่างถึงขีดสุด พุ่งทะยานเข้าโจมตีผู้ที่เป็นหัวหน้าของตนทันที ทางรอดของพวกมันมีทางเดียวเท่านั้น ด้วยพลังที่รับมาพวกมันคิดว่ามีโอกาสชนะกว่าครึ่ง และหัวหน่วยโยไคเองก็บาดเจ็บอย่างหนัก โอกาสชนะของพวกเขาก็มีมากตามไปด้วย

ในเวลานั้นเองหน่วยโยไค หน่วยที่แกร่งที่สุดของกลุ่มโนบุก็เข้าปกป้องหัวหน้าของตนในทันที พวกมันเชื่อมั่นในตัวคิม่อนหัวหน้าหน่วยของพวกมัน แม้จะโง่เขลาในตอนแรก แต่หากหัวหน้าออกคำสั่งแล้วพวกเขาก็พร้อมเชื่ออย่างหมดใจ ดังนั้นแล้วภารกิจช่วยเหลือหน้าใหญ่แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ไม่คิดเสียดายแม้แต่น้อย

ฮาคุโร ส่งสัญญาณให้ลูกสมุนของตนเข้าช่วยเหลือ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด แต่ด้วยกำลังพลที่มากกว่าไม่นานก็สยบผู้ทรยศเหล่านั้นได้

พวกมันบางตนตกตาย บางตนเหลือรอดแต่ร่างกายแห้งเหียดเพราะพลังชีวิตถูกสูบออกไปจนเกือบหมด และมีบางตนเลือกที่จะปลิดชีพของตนเมื่อตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนับว่าขี้ขลาดตาขาวเป็นอย่างยิ่งแต่ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอย่างไรสุดท้ายพวกมันก็ต้องตกตายอย่างไม่อาจเลี่ยง

เอจิ ยาจิ นาฟ และเรย์ ตรงมายังกลุ่มของเด็กๆ ตั้งแต่มาถึง พวกเขาพูดคุยกันจนรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไร

จดหมายที่เอจิได้ไปคือข้อสัญญาระหว่างหัวหน้าใหญ่กลุ่มยาฉะและหัวหน้าหน่วยโยไคซึ่งถูกทำขึ้นอย่างลับๆ พวกเขาได้พบกับคิม่อนที่ลอบเข้ามาจึงได้ทำตามคำขอของอีกฝ่าย นั่นคือตามหาตัวของหัวหน้ากลุ่มโนบุ ในระหว่างนั้นจดหมายฉบับใหม่ก็มาถึง ในจดหมายระบุไว้ถึงความช่วยเหลือของกลุ่มเซไคแห่งเขตตะวันออกที่กำลังจะมาถึง ให้ต่อต้านเอาไว้รอความช่วยเหลือจากพวกเขา

ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงต้องสู้แบบตั้งรับเพื่อรักษาป้อมปราการเอาไว้ โดยมีหน่วยโยไคทั้งหน่วยร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เพราะเมื่ออาซากิตกตายไป กลุ่มโฮชิก็เข้าโจมตี แม้กลุ่มโนบุที่แบ่งกำลังพลไปบุกบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะจนมีกำลังพลน้อยกว่า แต่เมื่อกลุ่มโฮชิเข้าร่วมทำให้การต่อสู้ของพวกเขายากลำบากมากขึ้น

และเพียงไม่นานความช่วยเหลือก็มาถึง ฮาคุโรทิ้งกำลังพลส่วนใหญ่เอาไว้ต้านกลุ่มโฮชิ แล้วเลือกหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาให้เคลื่อนพลกลับไปที่บ้านใหญ่กลุ่มยาฉะเพียงเท่านั้น และในระหว่างนั้นคิม่อนก็ขอให้ฮาคุโรทำสัญญาละเว้นชีวิตของพวกพ้องตนที่ไม่อาจต่อต้านคำสั่งของผู้ที่อยู่เบื้องบนได้

จนกระทั่งพวกเขามาถึงก็แยกทางกันโดยยาจิ เอจิ และหน่วยโยไคไปขอความช่วยเหลือจากเรย์ที่มีพลังภาพลวงตา เพื่อใช้ค้นหาที่คุมขังของหัวหน้ากลุ่มโนบุโดยมีนาฟตามไปด้วย ส่วนกลุ่มเซไคที่ล่าช้าเพราะส่งปีศาจในหน่วยไปสำรวจภายในหมู่บ้าน สำรวจทั้งจำนวนศัตรูและสถานที่ที่พวกมันซ่อนตัวอยู่ กว่าจะรวมตัวกันครบจึงล่าช้าอย่างที่เห็นนั่นเอง

เวลานี้สิ่งที่พวกเขาที่ไม่รู้ก็มีเพียงคำตอบที่ว่า ผู้ที่ปลอมตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มโนบุเรื่อยมานั่นคือผู้ใด และทำอย่างไรให้องครักษ์เงาแห่งเขตใต้ร่วมมือกับพวกมันได้ ทั้งยังสามารถหลอกลวงหัวหน้ากลุ่มโฮชิจนเชื่ออย่างสนิทใจเช่นนี้ ผู้ที่วางแผนสร้างความวุ่นวายทั้งหมดคือผู้ใดกันแน่ และมันผู้นั้นต้องการสิ่งใด

ทุกอย่างล้วนซับซ้อนจนไม่อาจคาดเดาได้ ปีศาจตนนั้นทั้งเจ้าแผนการ ทั้งทรงพลัง เป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ทั้งบงการเขตตะวันตก หลอกใช้เขตใต้ ช่วยเหลือเทโทระ หรือแม้กระทั่งเทโทระเองก็อาจจะถูกหลอกใช้ด้วยเช่นกัน แผนการทั้งใจเย็นและซับซ้อนจนยากจะเข้าใจ ในเวลานี้หากรวมเบาะแสทั้งหมดก็คาดเดาได้เพียงว่าเป้าหมายของมันคือ

การครอบครองแดนพยัคฆ์ทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว!

เพราะถ้าหากซาดาโอะตกตายกลุ่มโฮชิจะไร้ผู้นำ และหากเทโทระกับเบียกโกะสู้กันจนตกตายไปข้างการจะสังหารผู้ที่เหลือรอดก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น ทั้งให้ความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือแล้วจัดการจะปลุกปั่นจนปีศาจใต้ปกครองของทั้งสองเขตแปรพักตร์มาหาตนก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

เมื่อบรรลุแผนการแล้วก็เหลือเพียงเขตตะวันออกเขตเดียวเท่านั้น ทำเพียงกวาดผ่านเขตตะวันออกด้วยกำลังพลที่มีอยู่ แดนพยัคฆ์ก็จะตกไปอยู่ภายใต้เงื้อมมือของมันอย่างแน่นอน

หัวใจของพวกเขาเต้นระรัว ยิ่งรู้เช่นนี้แล้ว คำคืนนี้พวกเขาคงไม่อาจให้แผนการทั้งหมดสำเร็จไปได้ ต้องขัดขวางให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วพลังขีดจำกัดสายเลือดคงถึงสิ้นสุดเพียงค่ำคืนนี้เท่านั้น


To Be Continued...

________________________________________________
กลับมาแล้วค่า ใกล้จบแล้วๆ รู้สึกตื่นเต้น เผยปมไปเยอะแล้ว
ใครเดาได้แล้วมั่งนะ ถึงไม่อยากให้เดาออก แต่คงมีบ้างแล้วล่ะเนาะ
เพราะหย่อนคำใบ้ไว้หลายตอนแล้ว55
ส่วนเด็กๆอาจจะเงียบหายไปบ้างน้า
เจอกันตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 42 ตัวตนที่แท้จริง (29/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 29-03-2018 15:12:17
 :pig4: :katai4:  รีบๆมานะคะ  เดาไม่ออกอ่ะ เดียวกลับไปอ่านใหม่ :mew2:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 42 ตัวตนที่แท้จริง (29/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-04-2018 17:53:18
ตึ้บมากกกก
หัวข้อ: แจ้งข่าว
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 07-04-2018 07:20:47
สวัสดีค่ะ หลังจากเงียบหายไป กรีนมาแจ้งข่าวอีกครั้งนะคะ

สรุปได้ว่านิยายทั้ง 2 เรื่อง กรีนจะลงอีกครั้งวันที่  9 ค่ะ รอให้จบงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์ฯสิริกิตก่อน เพราะตอนนี้กรีนเป็นหนึ่งในพนักงานที่ต้องไปขายหนังสือ ทำให้ต้องตื่นเช้าและกลับดึกกว่าเวลาที่ไปทำงานปกติ

ไม่สามารถหาเวลาจับคอมฯแต่งนิยายได้เลย ต้องขอโทษจริงๆนะคะ เลื่อนมายาวจะครบเดือนอยู่แล้ว จบงานแล้วกรีนจะรีบกลับมาแต่งต่อค่ะ

ขอโทษจริงๆนะคะ

#กรีน
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 42 ตัวตนที่แท้จริง (29/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 08-04-2018 21:01:55
รอได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 43 ศรัทธา
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 19-04-2018 17:47:33
ตอนที่ 43

ศรัทธา



ย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนหน้านี้เล็กน้อย หลังจากทาคุมะพุงตัวตามร่างที่กระเด็นไปหลายกิโลเมตร พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากันอีกด้านหนึ่งของบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ ใบหน้าอันคุณตาปรากฏหลังจากผ้าปิดปากหลุดลอยตามแรงปะทะเมื่อครู่

ทาคุมะจดจำใบหน้านั้นได้ดี แม้จะได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม ‘โนบุ อิเอยาสะ’ ผู้นำกลุ่มโนบุคนปัจจุบัน!

ปีศาจตนนี้ทำให้เขาครางแคลงใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาเพียงคิดว่ามันอยู่ในส่วนของความทรงจำที่หายไป แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย ในความทรงจำที่ทาคุมะคิดว่ากลับมาครบถ้วนแล้วไม่ปรากฏส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับชายผู้นี้เลย

แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อนไม่น้อย ไม่เช่นนั้นแล้วชายผู้นี้จะสั่งให้สมุนของตนตามล่าเขาด้วยเหตุใด

ไม่พูดพร่ำทำเพลงฝ่ายที่ถูกจู่โจมจนรอยละลิ่วแต่หากหาได้ล้มลงอย่างสิ้นท่าก็พุ่งเข้าจู่โจมทาคุมะในทันที

เคว้ง!

ดาบคาตานะสีดำเรียวยาวปะทะเข้ากับดาบยักษ์ของทาคมะจนเกิดประกายดาบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หากไม่ได้หมายเอาชีวิต พวกเขาเพียงลองเชิงซึ่งกันและกันเท่านั้น

ดาบเล่มนั้นช่างแสนคุณตาเพียงแต่คิดเท่าใดทาคุมะก็คิดไม่ออกว่า เหตุใดดาบเล่มนี้จึงมาอยู่ในมืออิเอยาสะได้ หรือว่าชายผู้นี้จะช่วงชิงมาจากผู้เป็นเจ้าของ แต่ว่ามันก็เหลือเชื่อเกินไปในเมื่อชายผู้ที่เป็นเจ้าของดาบเล่มนี้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้ง 4 ตน

“ไม่เลวๆ เลย ข้าก็คิดเสียว่าเมื่อหากสูญเสียความทรงจำแล้วเจ้าจะเป็นได้เพียงสวะผู้หนึ่ง แต่มาวันนี้ก็เข้าใจได้แล้วว่าเหตุใดเจ้าพวกนั้นจึงทำงานพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้ายังคงอาศัยสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหวไม่เคยเปลี่ยน” ปีศาจทั้งสองถอยห่างเว้นระยะตรงกลางไว้ช่วงหนึ่ง หลังจากลองเชิงซึ่งกันและกันจบแล้ว

คำพูดวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่มีใบหน้าเรียบเฉยกวนโมโหทาคุมะไม่น้อย ด้วยไม่อาจทราบได้ว่าชายตรงหน้ากำลังชมเชยหรือเยอะเย้ยเขาผ่านคำกล่าวเหล่านั้นกันแน่

“อย่ามากล่าวสิ่งใดให้เหมือนรู้จักข้าดีนักเลย ข้าไม่ต้องการคำชมจากเจ้าแม้แต่น้อย” ทาคุมะเลือกที่จะระงับอารมณ์ให้สงบเข้าไว้ กล่าวโต้กลับอย่างไม่อ่อนข้อดังว่าคำกล่าวนั้นหาใช่คำถากถางแต่เป็นคำชมเชยต่างหาก เขาจะรับว่าโดนดูถูกไปเพื่อสิ่งใด

“หึ” เสียงนั้นทำให้ทาคุมะเส้นความอดทนแทบขาด ความกวนประสาทด้วยใบหน้านิ่งเรียบเช่นนี้มีอิทธิพลกับเขามากที่สุด มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ หรืออาจจะตั้งแต่ได้พบกับพวกเขาเหล่านั้น...

เพียงชั่วอึดใจอากาศรอบด้านก็เกิดการปรวนแปร คลื่นสังหารรุนแรงจนบรรยากาศสั่นไหว แม้แต่ผู้ที่แอบจ้องมองอยู่รอบด้านยังขนลุกเกลียว ดังกระแสอากาศสองสายกำลังเกิดการปะทะกันด้วยพลังที่ไม่ต่างกันแม้แต่น้อย จนกระทั่งคลื่นอากาศทั้งสองฝั่งเกิดการปะทุออกเมื่อเกินขีดจำกัดที่จะทนไหว

ร่างสองร่างก็พุ่งเข้าปะทะกันด้วยความเร็วอันยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่า เพียงชั่วพริบตาก็เกินเงาวิบวับไปมาทั่วบริเวณ

บทเพลงขยี้ยักษา!

ดาบเล่มใหญ่ยักษ์ในมือทาคุมะทอประกายเกิดเงาร่างสีแดงครอบคลุมไปทั่วตัวดาบ ดังว่ามีดาบอีกเล่มซ้อนทับบนดาบในมือนั้น สิ่งนั้นเรียกว่า จิตวิญญาณแห่งดาบ

จิตวิญญาณแห่งดาบนั้นน้อยคนนักที่จะปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาได้ ด้วยต้องเชื่อในดาบของตนอย่างสุดหัวใจว่าสะบั้นทุกสิ่งให้ขาดลงได้ ทั้งรูปแบบแตกต่างกันไปตามภาพสะท้อนในจิตใจของผู้เป็นเจ้าของ ยิ่งจิตนั้นแน่วแน่ ดาบก็จะยิ่งคมกริบตามความเชื่อมั่นเหล่านั้น

ดังนั้นแล้วผู้ที่จะปลุกจิตวิญญาณแห่งดาบออกมาได้นั้นจึงต้องมีจิตใจแน่วแน่ไม่สั่นไหว สมาธิจดจ่อห้ามขาดห้วงแม้แต่น้อย ผู้ที่ใช้วิชานี้จึงต้องแบ่งแยกสมาธิได้อย่างชัดเจน ทั้งใช้วิชา ทั้งกระบวนท่าล้วนต้องสอดประสาน หากทำได้เพียงปลุกจิตวิญญาณแต่ขาดการควบคุมก็เป็นเพียงการเล่นปาหี่ของผู้ที่มีเพียงโชคเท่านั้น

ไม่ต่างจากการได้รับพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่แต่กลับไม่รู้วิธีการใช้งาน ไร้ประโยชน์สิ้นดี ดังนั้นแล้วผู้ที่เข้าถึงแก่นแท้ของวิชาและใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วจึงมีเพียงหยิบมือเท่านั้น

แต่คู่ต่อสู้ของทาคุมะก็หาได้ด้อยกว่า ดาบสะท้อนสั่นไหว บิดเบี้ยวดังอสรพิษที่พร้อมจู่โจมอย่างไม่อาจคาดเดาทิศทาง สะท้อนภาพงูสีดำทมิฬพันเลื้อยบนตัวดาบ

คืนสู่ทมิฬ!

สองเพลงดาบเข้าปะทะอย่างไม่มีใครยอมใคร ความรุนแรงของจิตวิญญาณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทำให้บ้านเรือนรอบข้างถูกฉีกกระชากจนไม่เหลือเคล้าเดิม แต่เพียงชั่วพริบตาที่เข้าปะทะกระแสดาบของอิเอยาสะก็เกิดเป็นกระแสพลังสามสาย พุ่งเข้าโจมตีพร้อมกันจนทาคุมะต้องชะงักการจู่โจม

ความทรงจำสายหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ร่ำร้องว่าการจู่โจมทั้งสามมีของจริงเพียงหนึ่ง เป็นกระบวนท่าที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง และน่าโมโหที่สุดตรงที่เขาไม่เคยมองออกแม้แต่ครั้งเดียวว่าอสรพิษตัวใดคือของจริง

ด้วยรูปแบบการจู่โจมซึ่งหน้าโดยทุ่มพลังปะทะในจังหวะเดียวทาคุมะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาจึงใช้จังหวะนั้นเปลี่ยนกระบวนท่าฉับพลัน จากจู่โจมเป็นตั้งรับกระแสพลังทั้งสามอย่างทันท่วงที แต่ก็ในจังหวะที่ชะงักไปนั้นศัตรูก็หาได้ชะงักตาม แต่กลับมองเห็นช่องว่างเฉือนเนื้อที่แขนของทาคุมะไปส่วนหนึ่ง

ทาคุมะเกร็งกล้ามเนื้อฉับพลันจนเลือดหยุดไหล แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ เนื้อส่วนที่หายไปนั้นใช่ว่าจะงอกกลับคืน

กระบวนท่าเมื่อครู่เขารู้จักดี เพียงแค่ในคราแรกที่เห็นเขาไม่คิดเอะใจ คิดว่าเป็นเพียงกระบวนท่าที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น ไม่มีทางที่จะมีประสิทธิภาพเท่ากับกระบวนท่าของชายผู้นั้น ทั้งยังมีศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างน่าเจ็บใจ การเคลื่อนไหวว่องไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ภายในใจทาคุมะเกิดระลอกคลื่นสายหนึ่งด้วยไม่อยากเชื่อในความคิดของตน แต่ก็หาได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เขายังคงต้องการพิสูจน์ ให้เห็นด้วยตาของตนเอง หากสุดท้ายแล้วความจริงเป็นเช่นไรเขาก็จะยอมรับมัน

และฝ่ายตรงข้ามเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดเจรจาพูดคุยสิ่งใดอีก ยังคงฟาดฟันดาบเข้าใส่ทาคุมะครั้งแล้วครั้งเล่า จนเขากลายเป็นรองต้องคอยตั้งรับอยู่ร่ำไป

“ย้าก! ” ทาคุมะระเบิดพลังเผ่าพยัคฆ์ ดวงตาสีแดงวาววับ ส่องประกายกระจ่างใส ภายในนั้นปรากฏจุดสีทองเล็กๆ กลางวงกลมสีแดง เขาทุ่มพลังส่งไปยังดวงตาเพื่อเปิดใช้ความสามารถอันเป็นทักษะเฉพาะตัวของเขา

แดนปีศาจนั้นมีสภาพแวดล้อมมืดครึ้มกว่าแดนมนุษย์มากนัก เช่นนั้นแล้วพรที่พวกเขาได้รับจากโชคชะตาคือมีดวงตาที่มองเห็นแสงสว่างได้ดีกว่ามนุษย์ เพียงแต่หากจะดึงศักยภาพอย่างเต็มที่ออกมานั้นเป็นเรื่องยากเกินไป ทั้งปกติแล้วดวงตาของพวกเขาก็มองเห็นในความมืดได้ดีอยู่แล้ว จึงไม่คิดใฝ่หาให้ลำบากโดยใช่เหตุ

ด้วยความสามารถการมองเห็นที่มากกว่ามนุษย์เพียงเท่านี้พวกเขาจึงพอใจ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาทุ่มเทที่จะดึงความสามารถอันเป็นขีดสุดของตนออกมา ทาคุมะก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นแล้วเมื่อเลือกส่วนที่ใช้พลังแปรเปลี่ยนให้ตนอยู่ในภาพกึ่งสัตว์ เขาจึงเลือกที่จะส่งพลังไปที่ด้วยตา

ความจริงความสามารถนี้เขาพึ่งรับมันเมื่อไม่นานมานี้ ในครั้งเก่าเขาก็พิเศษกว่าผู้ใดอยู่แล้ว ด้วยบ้าการฝึกฝนเขาจึงเปลี่ยนจุดที่ส่งพลังไปอยู่บ่อยครั้ง ไม่เหมือนปีศาจตนอื่นที่จะเลือกจุดเดิมเพื่อความชำนาญในการใช้

แต่ก็ใช่ว่าทาคุมะจะไม่ชำนาญ เพราะเขาบ้านั่นเอง จึงฝึกเป็นบ้าเป็นหลังจนสามารถเปลี่ยนจุดถ่ายพลังไปได้ทุกส่วน แล้วแต่ว่าในการต่อสู้นั้นๆ ส่วนใดของร่างกายจะเหมาะสมที่สุด จากปีศาจบ้าบอสุดโต่งไร้ประโยชน์ จึงต้องตาหัวหน้ากลุ่มโฮชิจนถูกฝึกฝนเพื่อเป็นผู้ที่คอยปกป้องท่านหัวหน้าที่เขายกย่องได้เช่นนี้

การใช้พลังของดวงตานั้นเรียกได้ว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก เพราะทั้งเล็กและหลากหลายด้วยเส้นประสาทยิบย่อย เขาจึงพึ่งได้รับมันมาเท่านั้น หลังจากฝึกฝนมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งในตอนที่ความจำเสื่อมจิตสำนึกของเขายังสั่งให้ฝึกฝน เวลานี้ความสำเร็จจึงน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

เคว้ง!

ในที่สุดทาคุมะก็สามารถปัดป้องคมดาบที่ฟาดฟันเขาจนได้ ตามติดด้วยคมดาบที่พร้อมจู่โจมศัตรู เขากลับกลายเป็นฝ่ายรุกไล่อีกครั้ง ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่คมดาบในมืออิเอยาสะฟาดฟันลงมา ทาคุมะก็ป้องกันได้ทุกครั้ง ทั้งยังโจมตีสวนกลับไปได้อย่างแม่นยำ

คมดาบสั่นไหวหักเลี้ยวฉวัดเฉวียนดังงูฉกวาดใส่คู่ต่อสู้ตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า คลื่นดาบสามสายโจมตีจากสามทิศทาง เพียงไม่ถึงคืบก็จะกลืนกินฝ่ายตรงข้ามได้แต่ก็ถูกปัดป้องได้อีกครั้ง ทั้งตัวเขาเองยังต้องคอยหลบคมดาบอันมีพลังโจมตีมากมายมหาศาลนั้นอีกจึงต้องเป็นฝ่ายถอยหลังเสียเองช่างน่ารำคาญยิ่งนัก

จากโจมตีพร้อมกันสามทางแปรเปลี่ยนเป็นสายหนึ่งหลอกล่อ อีกสายหนึ่งเข้าจู่โจม ทาคุมะปัดป้องคมดาบสายที่สอง แต่หากก็กลายเป็นเงามลายหายไป ไม่ทันได้มองคมดาบอีกเล่มที่หายไป ก็ถูกความเจ็บกัดกินที่ปลายคางเสียแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้เนื้อยังคงอยู่ บ่งบอกว่าทาคุมะหลบได้อย่างเฉียดฉิว

โจมตีในจุดบอด ที่ตนสร้างขึ้นจากการหลอกล่อครั้งแล้วครั้งเล่า ดังปิดผนึกความคิดให้ทาคุมาะคิดว่าดาบนั้นต้องจู่โจมพร้อมกันเท่านั้น เขาจึงเสียท่า แต่ยังดีที่มีสัญชาตญาณอีกอย่างหนึ่งที่เขาพึ่งพา ร่างกายที่ตอบสนองต่อความมุ่งร้ายจึงหลบได้เองโดยไม่ต้องสั่งการสิ่งใดให้มากมาย

แต่กระนั้นในใจของทาคุมะก็ร่ำร้องว่าแย่แล้ว ไม่ใช่แค่เขาที่พัฒนาขึ้น ฝ่ายนั้นเองก็เก่งขึ้นไม่ต่างกัน เวลานี้พวกเขาดังว่ามีพลังต่างขั้วที่คอยจ้องโจมตีให้อีกฝ่ายเสียท่าอยู่

ดวงตาของทาคุมะสามารถแยกเงา หรือที่นี้ก็คือภาพลวงตา ออกจากความจริงได้ส่วนหนึ่ง โดยมองเห็นภาพลวงตาเลือนรางกว่าของจริง แต่หากมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเขาก็แยกมันออกยากเช่นเดียวกัน เพราะความสามารถนี้เขาได้รับมานับว่ายังไม่นานมากจึงใช้ได้ไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร

ส่วน คืนสู่ทมิฬ เพลงดาบลำดับที่หนึ่งของเพลงดาบทมิฬนั้นก็ร้ายกาจจนหาจุดอ่อนได้ยาก ทั้งบาดแผลที่ได้รับนั้นยังร้ายแรงจนไม่อาจรับไว้ได้หลายๆ ครั้ง เพราะคืนสู่ทมิฬจะกัดกินร่างกายทุกครั้งที่โจมตี ส่วนใดถูกจู่โจมจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดังถูกอสรพิษกลืนกินเนื้อส่วนนั้นจนร่างกายค่อยๆ หายไปทีละส่วนทีละส่วนในความมืด

เพลงดาบอันน่าหวาดกลัวที่ต้องสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งทุกครั้งที่ถูกสัมผัสนั้นในความทรงจำของเขามีชายเพียงผู้เดียวที่มีวิชานี้

“ซาซากิ ฮาจิเมะ! ” ทาคุมะตะโกนขึ้นอย่างหวาดหวั่น ไม่เพียงคาสึกิที่ทรยศ แม้แต่ซาซากิที่เชื่อมั่นในหัวหน้าถึงเพียงนั้นก็เปลี่ยนไปได้เช่นเดียวกัน

ในความทรงจำของทาคุมะ ซาซากิ ฮาจิเมะ เป็นดังพี่ชายคนโตในบรรดาพวกเขาทั้ง 4 ทาคุมะ คาสึกิ และไดจิ พวกเขาต่างยกย่องว่าซาซากินั้นเก่งกล้า และยุติธรรม ทั้งยังศรัทธาในตัวหัวหน้ายิ่งกว่าผู้ใด เป็นไปไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวที่จะทรยศหักหลัง

“เป็นไปไม่ได้ ซาซากิ นั่น นั่นเจ้าจริงหรือ” ชายผู้สวมหนังหัวหน้ากลุ่มโนบุหยุดการโจมตีตั้งแต่ที่ทาคุมะเรียกชื่อออกมา และจ้องมองชายที่พูดคุยกับเขาด้วยเสียงอันสั่นเทาท่านั้น

“หึ ไม่เลวๆ ในบรรดาพวกเจ้าทั้งสามนับว่าเจ้าฉลาดมากที่สุดจริงๆ” ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเพียงกล่าวชมเชยในตัวทาคุมะ เพราะสำหรับเขาแล้วทาคุมะรู้ตัวเร็วยิ่งกว่าใครจริงๆ

ต่างจากไดจิที่มาแจ้งข่าวเรื่องคาสึกิทรยศซึ่งโง่เง่าจนถึงวินาทีสุดท้าย เชื่อฝังใจว่าเขาถูกคาสึกิหลอกใช้ ทั้งยังพยายามเกลี้ยกล่อมให้ถอนตัวแล้วกลับไปช่วยหัวหน้า ถูกโจมตีก็ไม่ยอมตอบโต้เพียงตั้งรับเช่นนั้นเขาจึงสังหารมันลงง่ายๆ ช่างโง่เขลา โง่จนเกินกว่าจะใช้งานใดๆ ไร้ค่าสิ้นดี

ส่วนคาสึกินั้นความหึงหวงบังตาเสียจนน่าสมเพช เพียงกล่าวโน้มน้าวเล็กน้อยเท่านั้นก็คิดลงมือสังหารคนที่ตนรักเสียได้ เช่นนั้นแล้วจะเรียกว่ารักได้จริงหรือ หึ แต่อย่างไรมันก็ดีต่อเขาไม่น้อยเลย

มีเพียงทาคุมะที่แม้จะไม่อยากเชื่อเพียงใดก็ไม่ได้ใจอ่อนลง ไขข้อคล่องใจจนกระจ่างชัดด้วยตนเอง แม้จะดูเหมือนจิตใจสั่นไหว แต่จิตวิญญาณแห่งดาบที่ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อยก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ายังคงมีจิตใจที่แน่วแน่ ถ้าเขาตอบรับแล้วคงลงมือแก้แค้นให้หัวหน้าทันที

เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ...เหมาะที่จะใช้ทดสอบพลังที่ได้รับมาใหม่

“ย้าก! ซาซากิ! ซาซากิ! เจ้า เจ้าผู้ที่ไม่ควรทรยศหัวหน้ามากที่สุดใยจึงกล้าทำเช่นนี้ ความศรัทธาที่มีต่อหัวหน้าตลอดมาคือของปลอมเช่นนั้นรึ เจ้ามันตลบตะแลงจนน่าสมเพช วันนี้ข้าจะเอาเลือดของเจ้าไปเซ่นแก่ท่านหัวหน้า! ” พลังระเบิดขึ้นตามความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเชื่อมั่นในดาบหรือสมาธิลดน้อยลง ซ้ำยังมากขึ้นจนคมดาบขยายใหญ่ขึ้นไปอีก

“หึหึ ฮ่าๆ ๆ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนั้นทาคุมะ จงใช้ทุกสิ่งที่มีสังหารฆ่า ฮ่าๆ ๆ” ซาซากิหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง แต่เพียงไม่นานใบหน้าก็คืนสู่ความสงบ มีเพียงริมฝีปากที่แย้มยิ้มอย่างพอใจเท่านั้น ทั้งจิตสังหารยังเฉียบคมขึ้นจนก่อนหน้านี้ไม่อาจเทียบได้

สสารสีดำถูกกระตุ้นจนหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณแห่งดาบ แม้แต่ทาคุมะก็ไม่อาจแยกออกได้ว่ากำลังมีพลังสายหนึ่งเพิ่มขีดจำกัดของคู่ต่อสู้ให้สูงขึ้น

ค่ำคืนที่จันทราลอยเด่นด้วยสีแดงเลือดเข้มข้นกว่าปกติ พวกเขาเองก็ย้อมพื้นล่างให้อาบกลิ่นคาวเลือดไม่ต่างกัน ศึกตัดสินของผู้ที่เป็นพวกพ้องกำลังเพิ่มความดุเดือดขึ้น แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็จักสังหารผู้ที่อยู่เบื้องหน้าให้จงได้!

************************50%**********************

ทาคุมะเป็นฝ่ายขยับก่อน ฟาดฟันจิตวิญญาณแห่งดาบที่แข็งยิ่งกว่าเหล็กลงใส่คนเบื้องหน้า ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมัน เขาขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้นคมดาบก็ถึงจุดที่อดีตสหายของเขายืนอยู่ เสริมความรุนแรงด้วยการกระโดดพลังยิ่งรุนแรงเกินจะต้านทาน

บริเวณที่ซาซากิยืนอยู่ทรุดตัวลงกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ บ่งบอกได้ว่าอานุภาพของมันมหาศาลเพียงใด แต่กระนั้นฝ่ายตั้งรับก็ทำเพียงยืนเฉยควบคุมจิตวิญญาณแห่งดาบที่ใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อครู่ให้ป้องกันไว้เท่านั้น

พลังสองสายผลักกันไปมา วัดพลังของตนอย่างไม่มีใครยอมใคร เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่ทราบแต่เวลานี้พวกเขาทั้งสองต่างมีหยดเหงื่อไหลจากขมับ บ่งบอกได้ว่าการประลองของพวกเขาผ่านมายาวนานทีเดียว ทั้งร่างกายยังเริ่มสูญเสียพลังบางส่วนไปบ้างแล้ว

ดวงตาสีแดงประสานกัน แม้ไม่ต้องเอ่ยปาก เจตนาของพวกเขาก็ฉายชัด ค่ำคืนนี้ควรคุยกันด้วยดาบเท่านั้น

จนกระทั่งซาซากิเผลอผ่อนพลังลงเล็กน้อย ทาคุมะสัมผัสได้ถึงพลังที่อ่อนลง จึงเพิ่มพลังลงไปอีกหลายสวน จนซาซากิเสียท่าลอยเคว้งไปในอากาศอีกครั้ง และในตอนนั้นเอง

ทมิฬกลืนนภา!


เงาร่างอสรพิษขยายใหญ่แบ่งแยกร่างเงามากขึ้นกว่าร้อยสาย ปกคลุมผืนนภาเบื้องหน้าทาคุมะ ทั้งใต้ฝ่าเท้ายังปรากฏคลื่นสีดำราวจะกลืนกินเขาเข้าไปในความมืด เพียงชั่วอึดใจรอบด้านก็เห็นเพียงเงามืด ปกคลุมร่างกายจนไร้ทางหนี ถูกห้อมล้อมเอาไว้ท่ามกลางความมืดเท่านั้น

กับดัก!

ทาคุมะตระหนักในใจ เขาพลาดท่าเสียแล้ว ซาซากิหาได้เสียสมาธิจนเปิดช่องว่าง แต่ฝ่ายนั้นจงใจเปิดช่องว่างให้เขาตกลงไปในหลุมกับดักต่างหาก

เพื่อหาทางหนีเขาจึงยกดาบยักษ์ฟันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงประกายดาบที่กระทบกันเท่านั้น รวมทั้งการโจมตีจากรอบด้าน ดังมีคมมีดมากมายโจมตีเข้าสู่กึ่งกลาง

“ซาซากิ มีพลังมากขนาดนี้เลยหรือ น่าเจ็บใจนัก” ทาคุมะเข่นเขี้ยว การโจมตีเกิดขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า หากเขาไร้ซึ่งพลังของดวงตามีหรือจะรอดพ้นได้จนถึงตอนนี้

ในหัวขุดคิดถึงความทรงจำภายใน เคล็ดวิชาดาบทมิฬของซาซากิมีเพียง 3 ขั้น แต่กลับสามารถประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ได้หลากหลาย ยิ่งเสริมกับความสามารถทางด้านร่างกายและประสบการณ์แล้วนับว่าแทบจะไร้ผู้ต้าน ในกาลก่อนเขาเองก็ไม่เคยชนะซาซากิแม้แต่ครั้งเดียว

ประสบการณ์เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะยิ่งชำนาญก็ยิ่งดึงศักยภาพของตนออกมาได้มากขึ้น ในบรรดาพวกเขานับว่าซาซากิมีอายุมากที่สุด แม้แต่กลับหัวหน้าเองก็ยังอายุมากกว่าหลายปี ดังนั้นแล้วซาซากิจึงเป็นผู้มีประสบการณ์การต่อสู้มากที่สุดนั่นเอง

ขั้นที่ 1 คืนสู่ทมิฬ ทักษะที่ใช้กัดกินร่างกายของศัตรูทีละส่วนจนหายไปสู่ความมืด

ขั้นที่ 2 ทมิฬผสานกาย ทักษะที่หลอมรวมจิตวิญญาณแห่งดาบเข้ากับร่างกาย ช่วยเสริมการใช้ร่างครึ่งสัตว์ได้เป็นอย่างดี ทั้งเพิ่มพลัง ทั้งเพิ่มความคมกริบของคมเขี้ยว มีร่างสังหารจนแทบจะทัดเทียมกับหัวหน้าทีเดียว

แต่ซาซากิก็ไม่เคยชนะหัวหน้าด้วยร่างนี้เช่นกัน เพราะแม้จะใกล้เคียงแต่ก็ไม่มีทางเทียบเท่า ถ้าทางด้านพลังแล้วหัวหน้าย่อมเหนือกว่า

ขั้นที่ 3 ซาซากิเคยบอกว่ายังใช้ไม่ได้ เพราะเปลืองพลังมากเกินไป หากใช้งานแล้วเขาคงไม่อาจยืนหยัดต่อสู้ได้อีก ทั้งยังยากเกินกว่าจะคงรูปแบบนั้นไว้ในเวลานาน มันจึงถูกปิดผนึกไปโดยปริยาย

หรือว่า! ซาซากิทำมันสำเร็จแล้ว เขาหาวิธีการใช้งานโดยสูญเสียพลังน้อยที่สุดได้แล้วหรือ

ทาคุมะคิดอย่างตื่นตระหนก พลังที่สืบทอดมาจากรุ่นสู้รุ่นนั้นยากที่จะแก้ไข ดังนั้นแล้วถึงจะมีเวลาถึง 8 ปี เขาก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้

ซึ่งทุกอย่างล้วนถูกต้อง ซาซากิไม่อาจหาวิธีใช้พลังโดยสูญเสียน้อยที่สุดได้ ด้วยผู้ที่คิดวิชานี้มีพลังมากมายจนยากจะหยั่งถึงทำให้ใช้งานมันได้เป็นปกติ ไม่เคยแม้จะแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้ เมื่อมันส่งต่อมาถึงเขาที่มีพลังน้อยกว่านั้นมาก การใช้งานขั้นที่ 3 จึงเป็นเพียงความฝันเท่านั้น

จนกระทั่งได้พบกับชายผู้นั้น สสารสีดำที่มอบให้กลับมอบพลังที่มากมายมหาศาลให้แก่เขา เพียงแลกด้วยอายุขัยที่สั้นลงเมื่อเปิดใช้ นับว่าไม่ได้มากมายสำหรับเขาเลย เพราะสิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือพลังเท่านั้น

ซาซากิใช้พลังออกมาเพียงส่วนเล็กๆ แต่กลับกระตุ้นพลังได้ดีจนเขาไม่เหนื่อยหอบแม้แต่น้อย คลื่นพลังสีดำทรงกลมขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านับว่ามีประสิทธิภาพอันน่าพอใจ ทาคุมะที่ดิ้นรนอยู่ภายในนั้นยิ่งมองยิ่งเพิ่มอารมณ์สุนทรีย์

มองเหล่าผู้อ่อนแอที่ดิ้นรนอย่างไร้ทางหนี จะมีสิ่งใดรื่นรมเท่านี้ได้อีก

ทางด้านทาคุมะเมื่อคิดได้ดังนั้นก็เหงื่อตกไม่น้อย ด้วยไม่เคยเห็นทักษะเช่นนี้ จึงมองไม่เห็นจุดอ่อน และหาทางหนีไม่เจอ

สิ่งที่เขาทำได้แทบจะเป็นศูนย์ สิ่งที่เหลืออยู่ คือ จิตใจที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น

“ย้าก!”

ทาคุมะระเบิดพลังอีกครั้ง ฟาดฟันเพลงดาบไปยังความมืดรอบด้านอย่างไม่ยอมแพ้

“ย้าก!”

“ย้าก!”

ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไร้ผล มันเปลืองแรงเปล่าเท่านั้น เวลานี้ร่างกายเขาสูญเสียพลังไปมาก ทั้งยังไม่อาจหยุดพักได้ เพราะคมมีดในเงามืดจู่โจมอย่างไม่หยุดหย่อน

แฮ่ก แฮ่ก

“บ้าจริง ข้าจะทำเช่นไรดี ยังแก้แค้นให้หัวหน้าไม่ได้ก็จะตายเสียแล้ว” เขานึกสมเพชตนเอง ทั้งที่ได้ความทรงจำกลับมาแล้ว แต่ก็ยังไร้ประโยชน์ไม่ต่างจากเดิม ไม่อาจปกป้องใครได้ แม้แต่ปกป้องเกียรติของหัวหน้าเขายังทำไม่ได้ แล้วเช่นนี้จะมีหน้าไปพบท่านได้อย่างไร...ท่านหัวหน้า

‘พลังหาใช่ทุกสิ่ง แม้เก่งกาจเพียงใดก็ย่อมมีจุดอ่อน ทาคุมะอย่าได้ยอมแพ้จนกว่าชีวิตจะดับลง’


ในเวลาที่สิ้นหวัง คำสอนของหัวหน้าก็ปรากฏขึ้นในใจ หัวหน้าบอกเช่นนี้เสมอเมื่อต้องพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า และเชื่อเช่นนั้นจิตใจจึงไม่ยอมแพ้ แม้ต้องสู้จนร่างกายแหลกเหลว พวกเขาก็สามารถคว้าชัยชนะมาครอบครองได้ทุกครั้งไป

สิ่งที่เขาควรมีคือ ศรัทธา ศรัทธาอันแรงกล้าที่เชื่อในตนเอง เชื่อว่าตนสามารถชนะได้

จุดสีทองในดวงตาขยายกว้างจนมีขนาดแทบจะเทียบเคียงกับดวงตาสีแดง มองสำรวจรอบด้านอย่างถี่ถ้วน แต่กระนั้นมือก็ตวัดต้านทานการโจมตีได้ทุกครั้งไป ปลดปล่อยสัญชาตญาณถึงขีดสุด หยุดสั่งการร่างกายปล่อยให้ตอบโต้โดยอาศัยสัญชาตญาณเท่านั้น

เงามืดมิดค่อยๆ จืดจางลงตามการมองเห็นของทาคุมะ หลังกวาดผ่านรอบแล้วรอบเล่าเขาก็ค้นพบ จุดจุดหนึ่งที่เงาเลือนรางกว่าจุดอื่นๆ

มือกระชับดาบมั่น ทุ่มแรงทั้งหมดลงในการจู่โจมครั้งเดียว เขามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะจุดเปราะบางตรงหน้า เคลื่อนไหวไปมาหลังผ่านไปเพียงชั่วพริบตา มันย้ายตำแหน่งไปเรื่อยๆ ดังนั้นการจู่โจมโดยไม่คิดชีวิตก่อนหน้านี้จึงไร้ความหมาย

และก่อนที่ซาซากิจะเอะใจทาคุมะก็ตัดสินใจใช้เพลงดาบที่มีพลังมากที่สุดของตน

บทเพลงสะบั้นมิติ!

“ย้าก! แหละไปซะ” คมดาบเข้าปะทะกับจุดเลือนรางอย่างประจวบเหมาะ ไม่ทันจะได้เคลื่อนย้ายไปยังจุดอื่น มันก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนเสียแล้ว

เปาะ เพล้ง!

คลื่นสีดำแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคล้ายกระจก ก่อนจะเลือนหายไปในอากาศ

หลังเศษซากที่กระจายตัวอยู่ ร่างของทาคุมะก็พลันพุ่งจู่โจมซาซากิในทันที

“ตายซะ ซาซากิ!”






To Be Continued...



__________________________________________________________

สวัสดีค่า ตามสัญญาอีกครึ่งมาแล้ว

การต่อสู้ของทั้งคู่จะจบลงยังไง ติดตามตอนหน้าน้า

แล้วเจอกันจ้า
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 43 ศรัทธา [ครึ่งแรก] (19/04/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 21-04-2018 14:30:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 29-08-2018 20:03:01

ตอนที่  44
ซาซากิ ฮาจิเมะ

ย้อนไปกลับหลายปีก่อนในเขตใต้ของแดนพยัคฆ์ ได้เกิดเรื่องราวเล่าขานถึงกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่ง นามว่า "กลุ่มโจรริกิ" เป็นกลุ่มโจรที่รวบรวมเหล่าปีศาจเผ่าพยัคฆ์ผู้ไม่ขึ้นตรงต่อกลุ่มโฮชิเอาไว้มากมาย แม้ในช่วงเวลานั้นกลุ่มซึ่งขึ้นตรงกับกลุ่มโฮชิต่างกระจัดกระจายออกไป เพราะหัวหน้ากลุ่มสิ้นลม ทั้งทายาทเพียงหนึ่งเดียวยังมีอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น ทำให้เหลือผู้ที่ยังคงประคับประคองกลุ่มไม่ให้แหลกสลายไปมีเพียงผู้นำรุ่นก่อนซึ่งเปรียบดังไม่ใกล้ฝั่งไม่มีอำนาจมากพอที่จะข่มเหล่าผู้ใต้อาณัติเอาไว้

แต่มันก็เป็นกลุ่มที่รวบรวมเหล่าผู้กระทำชั่วเอาไว้ด้วยกัน ร่วมกันปล้นฆ่าแย่งชิง สังหารหัวหน้ากลุ่มอื่นเพื่อครอบครองพื้นที่กลุ่มนั้นๆ อย่างเหิมเกริม ใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ได้ครองสิ่งที่ต้องการ ทำให้กลุ่มของมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงก็ขจรขจายไปไกล เพียงไม่นานชื่อของมันก็กระจายไปทั่วแดนพยัคฆ์

ก่อนมอดดับลงเพราะเปลวไฟที่ร้อนแรงกว่ากลบฝังจนสิ้นซาก...

...

ทางเดินสายเล็กทอดยาวภายในซอกเขา ลึกลับซับซ้อนยากที่จะหาพบ ปลายทางคือชุมโจรขนาดใหญ่ แหล่งกบดานของกลุ่มโจรริกิ ซึ่งอยู่ใจกลางป่าเขาอันอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ ท่ามกลางทิวเขารายล้อม มีพื้นที่โล่งกว้างมากพอที่จะสร้างเป็นชุมชน

แม้พวกมันปล้นชิงดินแดนได้มากมาย แต่กำลังหลักกลับยังคงใช้ชุมชนแห่งนี้เป็นที่มั่น ไม่ใช่ว่าพวกมันรักในบ้านเกิดแต่เพราะสถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับซ่อนทรัพย์สินมากมายที่ปล้นมา ทั้งยังใช้หลบหลีกสายตาของผู้ที่ต้องการหัวมันได้มากกว่า

ค่ำคืนจันทราลอยเด่นเช่นนี้จึงเหมาะแก่การเฉลิมฉลองความสำเร็จของพวกมันเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ลานขนาดใหญ่กลางชุมชนจึงถูกใช้สำหรับเตรียมการต้อนรับหัวหน้าและเหล่าพวกพ้องของพวกมัน

“ใครเป็นหัวหน้าของที่นี่จงมาสู้กับข้า” เสียงที่ดังมาจากช่องเขาอันเป็นทางเข้าเพียงแห่งเดียวของชุมชน เรียกให้พวกมันหยุดชะงักการเตรียมการ พร้อมหันไปมองผู้บุกรุกแสนโง่งมที่กล้าเข้ามาท้าทายพวกมันถึงที่แห่งนี้ แม้จะฉงนใจอยู่บ้างว่ามันเข้ามาได้อย่างไร แต่ความทระนงตนจากชื่อเสียงที่แพร่สะพัดกลับมีมากกว่า จึงได้ตัดสินเพียงรูปลักษณ์ว่ามันผู้นั้นอ่อนแอกว่าตน

“เฮ้ เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าให้โอกาสพูดอีกครั้ง” บุรุษเผ่าพยัคฆ์มีผู้มีร่างกายใหญ่โตกว่าพวกเดียวกันเกือบสองเท่าเอ่ยขึ้นอย่างยียวน ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่หัวหน้าของมันถูกท้าทาย แต่นับว่าพึ่งเคยเจอผู้ที่โง่เขลาเช่นนี้เป็นครั้งแรก คิดจะท้าสู้กับกลุ่มโจรริกิ แต่กลับมาเพียงผู้เดียว โลกนี้จะมีใครโง่ถึงเพียงนี้อยู่ด้วยหรือ

“หึ ข้าไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดกับขี้ข้าอย่างเจ้า ผู้ที่ข้าต้องการประมือด้วยคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของที่นี่เท่านั้น!” ชายผู้ถูกคิดว่าโง่เขลาเป็นเผ่าพยัคฆ์ไม่ต่างกัน เขาสวมยูคาตะสีหม่นเทา พาดดาบยาวไว้ที่เอวเล่มหนึ่ง บรรยากาศดูธรรมดาสามัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังสงบเยือกเย็นแม้แต่ในสภาพที่ตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“บังอาจ! วันนี้ข้าจะเอาเลือดเหม็นเน่าของเจ้ามาล้างเท้าให้ได้” มันกล่าวอย่างเข่นเขี้ยว แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ ร่างทั้งร่างของมันก็ขาดเป็นสองท่อนเสียแล้ว เพียงดาบเดียวก็ดับดิ้น เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

“ยังจะมีใครกล้าขวางข้าอีก” ชายผู้นั้นหันกลับมามองศัตรูรอบด้านราวมดปลวกที่ไม่อยู่ในสายตา ลงมือโหดเหี้ยมเลือดเย็น ยูคาตะยังสะอาดไร้คราบเปื้อนใดๆ สร้างความหวั่นกลัวให้ผู้พบเห็นได้อย่างไม่ยากเย็น พวกมันบางคนถึงกลับทรุดลงกับพื้น บ้างก็รีบหันหลังวิ่งหนีตายอย่างสุดชีวิต

ฉั๊ว!

“ใครกล้าหันหลังให้ศัตรูมันต้องไม่ตายดี” แต่หน้าทางเข้ากลับถูกขวางไว้โดนปีศาจเผ่าพยัคฆ์กลุ่มหนึ่ง พวกมันดูเก่งกล้ากว่าพวกที่มีหน้าที่เฝ้าที่พักอยู่หลายเท่า ทั้งผู้ที่ลงมือสังหารพวกเดียวกันอย่างไม่ลังเลเมื่อครู่ยังมีรังสีฆ่าฟันเข้มข้นกว่าผู้ใด

“1 ใน 3 วิปริต รองหัวหน้าทั้งกลับมาแล้ว เฮ้!” พวกมันที่เหลืออยู่กู่ร้อง รอบสบตากันว่าดีที่พวกมันไม่มีแรงแม้กระทั่งวิ่งหนี ไม่เช่นนั้นคงตายอนาถเช่นเพื่อนที่นอนอยู่ตรงนั้น รอดเพราะความอ่อนแอโดยแท้

“เคี้ยกๆ ๆ ดูวันนี้จะมีหนูตัวใหญ่กว่าทุกทีนี่ ดีจริงข้าจะได้เลิกเบื่อเสียที วันนี้เจอแต่พวกอ่อนแอเสียได้" มันคือหนึ่งในรองหัวหน้าทั้งสามของกลุ่มโจรริกิ ฝีมือนับว่าเป็นรองเพียงหัวหน้าเท่านั้น ทั้งยังมีนิสัยอันแสนวิปริต ชอบทรมานเหยื่อให้ดับดิ้นทีละน้อยทีละน้อยราวกับเด็กที่เล่นสนุกอย่างไม่รู้สึกเบื่อ

เหล่าลูกสมุนขยายวงล้อมกรอบผู้บุกรุกกับรองหัวหน้าของมันเอาไว้ ป้องกันไม่ให้เหยื่อรายใหม่ดิ้นหนีไปง่ายๆ ทั้งยังคอยเฝ้าดูเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

ผู้บุกรุกนั้นหาได้หวั่นกลัว แม้ปีศาจตรงหน้าหาใช่หัวหน้ากลุ่มโจรที่มันหมายตาไว้ แต่ความเก่งกาจที่แผ่ซ่านออกมานั้นควรค่าแก่การประลองฝีมือ เขาจึงชักดาบออกจากฝักอย่างไม่ลังเล คมดาบสีดำสนิทวาววับเมื่อต้องแสงจันทร์ ขับให้ภาพของปีศาจแสนธรรมดาตนนั้นดูหน้าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งขึ้น

รองหัวหน้ากลุ่มโจรริกิหัวเรอะเคี้ยกๆ แสนน่าเกลียดครั้งแล้วครั้งเล่า บ่งบอกว่ามันถูกใจเหยื่อในค่ำคืนนี้เป็นอย่างมาก หลังจากจดจ้องปล่อยรังสีสังหารข่มขวัญกันได้เพียงชั่วครู่ พวกเขาทั้งสองก็ขยับร่างวิ่งเข้าใส่ ประดาบด้วยความเร็วที่ยากจะตามได้ทัน

ฟาดฟันครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางวงล้อมที่เป็นดังอาณาเขตของเวทีประลองในครั้งนี้ แต่พวกเขาก็ขยับรุกไล่ไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร เรียกได้ว่าฝีมือดาบทัดเทียมกัน

เคร้ง!

ผู้บุกรุกยกดาบขึ้นกันดาบของคู่ต่อสู้ที่ฟาดฟันลงมา พวกเขาจดจ้องสบตากันชั่วครู่ รอยยิ้มแฝงความยินดีก็เผยออกมา จากนั้นก็กระโดดถอยห่างออกจากกันทั้งสองฝ่าย

“ไม่เลวๆ ถึงจะไม่เก่งที่สุดแต่ควรค่าแก่การเอาจริงเอาจัง” เจ้าของดาบสีดำทมิฬกล่าวขึ้นอย่างพอใจ

“ถ้าเช่นนั้นก็เลิกลองเชิงแล้วเอาจริงเสียที ข้าจะได้เล่นสนุกอย่างเต็มที่ เคี้ยกๆ ๆ” จอมวิปริตเองก็ตอบรับ การประมือเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การลองเชิงของพวกเขาเท่านั้น เหล่าลูกสมุนที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ฝีมือผู้บุกรุกค่ำคืนนี้เทียบได้กับรองหัวหน้า โชคดีจริงๆ ที่พวกมันยังรอดมาได้เพราะโชคช่วยแท้ๆ

ดาบทมิฬทอประกายสีดำวาววับ เพียงชั่วอึดใจก็สั่นไหวไปมา เงาสีดำเคลื่อนไหวรอบตัวดาบ กลับกลายเป็นอสรพิษอันน่าสะพรึงนับสิบตัว เขาตวัดดาบเบาๆ เพียงครั้งเดียว อสรพิษเหล่านั้นก็พุ่งจู่โจมคู่ต่อสู้จากทุกทิศทาง

ไม่เหลือเวลาให้จอมวิปริตตื่นตลึง มันส่งพลังไปยังตัวดาบของตนบ้าง แต่เป็นเพียงแสงสีม่วงรอบตัวดาบเพิ่มพลังและความเฉียบคมเท่านั้น หาได้มีพลังถึงขั้นควบคุมให้เคลื่อนไหวไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตเช่นนั้น

"เจ้านี่..." มีพลังทัดเทียมหัวหน้า!

มันกล่าวต่อในใจอย่างเข่นเขี้ยว แต่ไม่อาจยอมรับต่อหน้าลูกสมุนเหล่านี้ ถ้ากล่าวเช่นนั้นพวกมันคงได้ทิ้งที่มั่นหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน อย่างน้อยเพื่อไม่ให้ชื่อเสียงกลุ่มโจรริกิกแปดเปื้อน ต้องใช้พวกมันเป็นโล่ต้านทานศัตรูไว้จนกว่าหัวหน้าจะมา ข่าวการบุกรุกคืนนี้ไม่ควรกระจายออกไปภายนอก

ดาบประกายม่วงปัดป้องอสรพิษที่พุ่งเข้ามายังจุดสำคัญของร่างกายเป็นอันดับแรก ลดความเสียหายจากการโจมตีให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้ถูกจู่โจมที่แขนเท่านั้น แต่ยังไม่ทันจะได้ตวัดดาบสวนกลับความเจ็บปวดสายหนึ่งก็ประทุขึ้นจนไม่อาจเก็บความเจ็บปวดไว้ได้

หัวไหล่ที่ถูกจู่โจมโดยอสรพิษทมิฬขาดวิ่น เป็นรอยกัดที่กลืนกินเนื้อส่วนนั้นไปจนสิ้น เลือดสีแดงฉานไหลทะลักจนกระทั้งชายที่ได้ฉายานามว่าวิปริตยังหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ หวนคิดถึงว่าถ้าหากเขาปัดป้องส่วนสำคัญไม่ได้ ชีวิตเขาคงไม่อาจยืดออกไปเช่นนี้

ผู้บุกรุกไม่อาจปล่อยช่องว่างเช่นนี้ให้ศัตรูได้ตั้งตัว เขาตวัดดาบอีกครั้งอสรพิษที่ถูกตัดขาดหายไปเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นใหม่ดังว่ามันไม่มีวันหมดสิ้นไป จากนั้นก็พุ่งเข้าจู่โจมเหยื่อตรงหน้าโดยเจ้าของดาบไม่จำเป็นต้องขยับตัวเสียด้วยซ้ำ เขาใช้เพียงจิตใจควบคุมจิตแห่งดาบให้เป็นไปอย่างใจนึกเท่านั้น

จอมวิปริตทุ่มพลังทั้งหมดไปยังมือข้างที่จับดาบ แปรเปลี่ยนมือข้างนั้นให้กลายเป็นคมเขี้ยวของปีศาจเผ่าพยัคฆ์ กงเล็บแหลมคม พลังอันมหาศาล จึงออกท่าดาบได้รวดเร็วยิ่งขึ้นหลายเท่า สมเป็นรองหัวหน้ากลุ่มโจรอันมีชื่อลือลั่น แม้อยู่กลางอากาศก็กวัดแกว่งดาบได้อย่างแม่นยำ อสรพิษตัวแล้วตัวเล่า สลายหายไปจนหมดสิ้น

เรี่ยวแรงขาดห้วง เพียงเท้าแตะพื้นเขาก็ทรุดตัวลง ชันเข่าข้างหนึ่งทั้งยังต้องใช้ดาบค้ำยันไม่ให้ล้มลงไป ไม่มีเวลาให้ขบคิด ทั้งยังไม่มีเวลาเพียงพอให้ส่งเสียงเรียกลูกสมุนให้เข้าร่วมต่อสู้ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น พวกโจรปลายแถมไม่แม้แต่จะมองเห็นว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับรองหัวหน้าของพวกมัน

ผู้บุกรุกหายไปจากตรงหน้า สร้างความตึงเครียดจับขั้วหัวใจ เพียงจังหวะที่มันรับมือกับการจู่โจมของอสรพิษ ศัตรูก็ก้าวไปก่อนก้าวหนึ่งเสียแล้ว มันได้แต่กวัดแกว่งดาบโดยสัญชาตญาณไม่อาจรั้งรอได้อีก เวลาเสี้ยววินาทีกับศัตรูที่เก่งกาจถึงเพียงนี้เคลื่อนไหวได้มายมายจนปีศาจทั่วไปจิตนาการไม่ออกเลยทีเดียว

เคว้ง!

เป็นดังคาด ผู้บุกรุกเข้ามาประชิดตัวมันได้เสียแล้ว จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่มันเลือกยกดาบขึ้นต้านไว้ทางด้านขวา เข้าปะทะคมดาบกับศัตรูพอดิบพอดี แต่ยังไม่ทันจะได้ดีใจเสียด้วยซ้ำ อสรพิษหลายสิบตัวก็เคลื่อนไหว กรูเขากัดกินเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า

เริ่มจากดาบที่หักลงด้วยกันกัดเพียงครั้งเดียว ตามด้วยมือข้างที่จับดาบข้างนั้น ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถูกกลืนกินไปจนหมดสิ้นโดยพวกอสรพิษที่แย่งกันกัดกินเหยื่อ

"อ้าก! " เสียงแห่งความเจ็บปวดและหวาดกลัวสะเทือนเลือนลั่น ลูกสมุนที่เห็นภาพนั้นหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ อย่าว่าแต่เข้าไปช่วยเลย กระทั่งหายใจดังๆ ยังไม่กล้า

เคว้ง!

เสียงดาบปะทะกันสะท้านสะเทือน สองดาบประสานเกิดเป็นโล่สีเทาอันหนึ่งต้านอสรพิษหลายสิบตัวนั้นไว้ก่อนจะกลืนกินไปมากกว่านี้ ทั้งยังผลักดาบของผู้บุกรุกออกจนชายผู้นั้นต้องถอยหลังไปหลายก้าว

ผู้มาใหม่รูปร่างหน้าตาราวกับลอกเลียนกันมาไม่มีผิดเพี้ยน ใบหน้าแสนอัปลักษณ์นั้นจึงยิ่งทวีความน่าหวาดกลัวขึ้นหลายเท่า ร่างกายก็หาได้ผอมเพรียวเช่นเพื่อนที่สูญเสียแขนไป พวกมันรูปร่างใหญ่โต กล้ามเนื้อเรียงตัวสวยงามเสียทุกสัดส่วน เสียดายที่ใบหน้าไม่กลมกลืนกับร่างกายสมบูรณ์แบบนี้เป็นอย่างยิ่ง ความอัปลักษณ์จึงยิ่งเพิ่มอีกเท่าทวี

หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 (2)
เริ่มหัวข้อโดย: GreenHead(หัวเขียว) ที่ 29-08-2018 20:03:51
"อุกะ อริ" จอมวิปริตเรียกชื่อผู้มาใหม่ด้วยเสียอันเบายิ่ง พวกมันรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้ากลุ่มโจรริกิไม่ต่างกัน ทั้งยังเป็นจอมวิปริตเช่นเดียวกันอีกด้วย

"ชิชิ ถูกผู้บุกรุกจัดการเช่นนี้ถ้าหัวหน้ารู้จะเป็นเช่นไร ขายหน้า ขายหน้าจริงๆ " หนึ่งในสองฝาแฝดแสนอัปลักษณ์กล่าวทั้งยังมองพวกพ้องของมันด้วยความเวทนา

"เพราะเป็นเช่นนั้นเพื่อล้างอายให้เจ้า พวกข้าจะสับมันเป็นหมื่นๆ ชิ้นให้เอง! " พวกมันร่วมกันสู้มายาวนาน แม้ไม่ลงรอยกันนัก แต่เมื่อต้องสู้กับศัตรูพวกมันจะลืมความบาดหมางแล้วร่วมมือกันทุกครั้งไป ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน เพื่อล้างอายให้กลุ่มโจรริกิ เพื่อหัวหน้า และเพื่อสมญานามสามจอมวิปริต พวกมันต้องจัดการศัตรูตรงหน้าให้จงได้

"ระวังด้วย จิตแห่งดาบอันแข็งแกร่งนั่น...จบเรื่องข้าจะไปรับโทษจากหัวหน้าเอง" แม้ผ่านช่วงเวลาเป็นตายมาเพียงชั่วครู่ จิตใจของมันก็กลับสู้ความสงบ แต่ก็ไร้ซึ่งความจองหองดังแรกเริ่มไปหมดสิ้น เหลือเพียงความระแวดระวังและหวาดหวั่นในใจเท่านั้น

อุกะกับอุริยังเต็มไปด้วยความมั่นใจว่าจะชนะได้ เพราะเพื่อนของมันมักประมาทศัตรูจึงพ่ายแพ้ ถ้าเช่นนั้นพวกมันเพียงสู้สุดกำลัง ระแวดระวังศัตรู วางแผนอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชัยชนะก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ภายใต้แรงกดดันของจิตสังหารจากจอมวิปริตทั้งสอง ผู้บุกรุกกลับแสยะยิ้มอันสนุกสนาน บ่งบอกว่ามันพึงพอใจกับการต่อสู้ในค่ำคืนนี้เป็นอย่างยิ่ง ค่อยๆ ลิ้มรสการต่อสู้ที่นับว่าไม่เลว ดังได้อบอุ่นร่างกายก่อนสู้ศึกใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อไป

"เข้ามาสิ ถ้าไม่...ข้าจะเป็นผู้เข้าไปเอง! " ไม่ทันที่ใครจะได้ตอบโต้ ร่างของผู้บุกรุกก็เข้าจู่โจม ใบหน้าฉีกยิ้ม อสรพิษรายรอบจากสิบเป็นยี่สิบอย่างน่าพรั่นพรึง ผู้เฝ้ามองต่างเข้าใจ การต่อสู้เมื่อครู่มันหาได้เอาจริงไม่

การปะทะสองต่อหนึ่งแม้จำนวนดูเสียเปรียบ แต่กลับต่อสู้ได้อย่างสูสียิ่ง สองวิปริตช่วยกันรุกรับ ตนหนึ่งสร้างโล่ต้านทางอสรพิษทมิฬ อีกตนหนึ่งอาศัยช่องว่างจู่โจมศัตรู ช่างเป็นการประสานที่เข้ากันอย่างยิ่งยวด หากไม่เข้าใจซึ่งกันและกันแล้วคงไม่สามารถออกท่าทางเช่นนี้ได้

กระนั้นโล่อันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกลับเริ่มสึกกร่อน ถูกอสรพิษจู่โจมไม่กี่ครั้งถึงกลับแตกร้าว ยิ่งผู้ครอบครองความคุมให้มันจู่โจมจุดเดิมซ้ำๆ อย่างมีแบบแผนเพียงไม่นานโล่สีเทาก็สลายหายไป เขาตวัดดาบอย่างเฉียบขาดตัดสินใจชั่ววินาที พลิกวิถีดาบหมายตัดคอศัตรูที่เปิดช่องว่าง ไม่สนใจแม้ผู้ที่รอโอกาสปลิดชีพเขาอยู่

ฉั๊วะ!

เลือดสาดกระเซ็นจากทั้งสองฝ่าย หนึ่งแขนแลกกับหนึ่งคอนับว่าได้กำไรกว่าเห็นๆ ทั้งยังไม่ได้หนักหนาถึงขั้นแขนขาด เพียงบาดแผลยาวจากหัวไหล่ถึงข้อศอกเท่านั้น บ่งบอกว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถูกคำนวณมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

"อุกะ! " ชั่วเวลาที่เห็นหัวของสหายกระเด็นหลุดร่วง ความโกรธเข้าจู่โจมจิตใจ แววตาเชื่อมั่นกลับกลายเป็นความเคียดแค้น แม้แลกด้วยชีวิตมันต้องจัดการศัตรูให้จงได้

หวีด...

เสียงลมพัดผ่านซอกเขาลากยาวจนน่าขนลุก ผูกบุกรุกหาได้ใส่ใจ แต่ชั่วพริบตานั้นแววตาอุริก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ความดีใจวูบผ่านดวงตาก่อนมันจะเปล่งพลังทั่วร่างไปรวมไว้ที่เท้าข้างหนึ่ง ทิ้งดาบในมือ ก่อนจะใช้เท้าข้างนั้นเป็นแรงถีบออกตัวให้เร็วยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา

ผู้บุกรุกหาได้เข้าใจการกระทำของอุริ จึงมิได้หลบเลี่ยง เขารอการต่อสู้ที่เร่าร้อนต่อไปเท่านั้น ทั้งยังลุ้นใจจดใจจ่อว่าคู่ต่อสู้จะดิ้นรนเช่นไรในวินาทีสุดท้ายเช่นนี้ สำหรับสุนัขจนตรอกเวลาแว้งกันมันน่าสนใจมิใช่หรือ

ด้วยความมั่นใจในพลังและหลงใหลในการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทำให้มันลำพองใจปล่อยให้ศัตรูเข้าประชิดตัวได้โดยง่าย กว่าจะรู้ตัวว่าตนตัดสินใจผิดพลาดก็สายเกินไปเสียแล้ว

อุริกอดมันเอาไว้แน่น ทั้งยังฝังเขี้ยวลงไปที่ไหล่เพื่อยึดเอาไว้จนไม่สามารถถอยหนีได้อีก ไม่เพียงเรี่ยวแรงมหาศาล แต่บริเวณที่โดนกัดก็ชาหนึบ ไม่น่านร่างกายก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง

มันกำลังโดนพิษ!

ใครจะคิดเล่าว่าปีศาจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายนักสู้จะซ่อนพิษไว้ในปาก เพียงกัดพิษที่ซ่อนไว้ในกระพุ้งแก้มจนแตก พิษก็กระจายไปเคลือบเสียทั่วปาก การทำเช่นนี้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษจึงจะหลอมยาที่มีพิษเพียงกึ่งกลาง ส่วนรอบด้านเคลือบไว้ด้วยเม็ดยาธรรมดาได้ ถ้าไม่กัดให้แตกพิษก็ไม่ทำงาน นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่เอาไว้ใช่ในหมู่นักฆ่าที่พร้อมสละชีวิตหากทำภารกิจล้มเหลว ถือว่าเกินคาดสำหรับกองโจรเช่นนี้

แม้ผู้บุกรุกอ่อนแรงลงแต่ใช่ว่าจะขยับร่างกายไม่ได้อย่างสิ้นเชิง อุริจึงยังกอดตรึงร่างนั้นเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้แก้แค้นนี้หลุดลอยไป

“หัวหน้าริกิ!” สิ้นเสียงของอุริ คมเขี้ยวแห่งดาบสายหนึ่งก็แผ่ออกมาหมายจะผ่านกึ่งกลางลำตัวของพวกเขา ไม่เกรงกลัวว่าลูกน้องคนสนิทจะต้องสิ้นชีวิตลง

ฟิ้ว! ฉั๊ว!

ตัดผ่านดังสายลม เลือดกระจายรอบทิศ ร่างส่วนบนกระเด็นไปอีกด้านตามแรงกระแทกของกระบวนท่าที่เกิดขึ้น เพียงแต่...มีเพียงร่างเดียวเท่านั้น

“หึหึ ฮ่าๆ ๆ ยังรอดไปได้อีกนะ ทั้งที่ลูกน้องของข้าถึงขั้นยอมสละชีวิตตายไปพร้อมกับเจ้าแท้ๆ” ริกิ หัวหน้ากองโจรริกิกล่าวขณะเดินออกมาจากฝูงชน มันรับรู้สถานการณ์ตั้งแต่อยู่นอกหุบเขาจากปีศาจที่ลักลอบออกไป จึงใช้เสียงลงส่งสัญญาณจากภายในซอกเขาบริเวณที่คาดว่าศัตรูไม่มีทางสัมผัสถึง

จากนั้นด้วยความเร็วเกินกว่าระดับปีศาจทั่วไปจะตามได้ทัน ทำให้มันมาถึงในตอนที่ต้องจบงานพอดิบพอดี ศัตรูขยับไม่ได้ กับลูกน้องที่เตรียมใจสละชีวิต มันจึงตวัดดาบออกไปเพื่อสนองความต้องการเท่านั้น

แม้รอดพ้นจากความตาย แต่ผู้บุกรุกก็ไม่ได้มีทีท่าที่ดีนัก เขาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีปลดการเกาะกุมออกจากร่าง แล้วกระโดดถอยหลบ ด้วยร่างกายที่อ่อนแรงมันจึงเคลื่อนไหวได้ไม่เร็วนัก ส่งผลให้ยังหลบไม่พ้นรัศมีของดาบ ประกายดาบนั้นก็มาถึงตัวเสียแล้ว ถึงรอดพ้นแต่ก็เกิดบาดแผลไปกว่าครึ่ง จากสะโพกด้านข้างยาวลึกถึงสะดือ ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ด้วยบาดแผลสาหัสเช่นนี้ ทั้งยาโดนยาพิษเข้าไปอีกก็ไร้ทางตอบโต้แล้ว

“...แต่สภาพนั้น หึหึ ดูน่าสมเพชเสียจริง ไม่เป็นไรๆ ข้าจะสงเคราะห์จบชีวิตให้เจ้าเอง” ริกิเดินอย่างไม่เร่งร้อน คิดย่ามใจว่าอย่างไรศัตรูก็ไม่รอดแล้ว ให้เวลามันได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ไปอีกเสียเล็กน้อยก็ถือว่าไม่เลวเลย

ผู้บุกรุกยังไม่ยอมแพ้ มันยกดาบขึ้นหมายจะต่อต้าน ด้วยร่างกายเช่นนี้ทำให้ขยับไม่ได้ กระบวนท่าดังโดนผนึกไว้จึงต้องหวังพึ่งเพียงจิตแห่งดาบเท่านั้น

รังสีดำทมิฬทำให้เกิดอสรพิษ ลูกสมุนกองโจรริกิที่ได้มองการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจึงหวัดหวั่นในใจ ทั้งที่บาดเจ็บถึงเพียงนี้แต่ยังใช้จิตแห่งดาบได้ ปีศาจตนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว

อสรพิษสองตัวชูคอขึ้นจากตัวดาบ ดังต้องการข่มขู่ศัตรูให้ถอยร่นไป ด้วยจำนวนที่ลดลงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าด้วยการต่อสู้ทั้งหมดทำให้พลังของมันลดลงไม่ต่างกัน ต่อสู้กับรอหัวหน้ากลุ่มโจรริกิถึงสามตน ถ้ายังสู้ต่อได้สบายๆ ก็เก่งกาจเกินไปแล้ว

“ฮ่าๆ ๆ ลูกน้องของข้าบอกหมดแล้วเรื่องพลังของเจ้า จิตแห่งดาบรูปแบบสิ่งมีชีวิตเช่นนั้นรึ ข้าชอบมันมากทีเดียว เพราะเป็นรูปแบบจิตที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไร่เล่า แต่ว่า...เจ้าคิดว่ามีเพียงเจ้าที่ใช้ได้เช่นนั้นหรือ หือ” เพียงกล่าวจิตแห่งดาบรูปแบบเหยี่ยวของริกิก็ปรากฏขึ้น

พญาเหยี่ยวสีเทาหม่นพุ่งเข้าหาเป้าหมายเมื่อริกิชี้ดาบไปยังผู้บุกรุก เหยี่ยวนั้นกินงูเป็นอาหาร ดังนั้นแล้วครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน มันพุ่งเป้าไปที่ส่วนลำตัวที่ติดกับหัว ใช้กงเล็บบีบแน่นจนอสรพิษไม่สามารถหันคมเขี้ยวเข้ามากัดมันได้ เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งพลังที่ลดน้อยลง ทั้งสติที่พร่าเลือน ทั้งรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่มีสภาพเป็นเหยื่อโดยธรรมชาติ ทำให้เหยี่ยวรับมือกับการเคลื่อนไหวของอสรพิษได้เป็นอย่างดี เขากำลังพ่ายแพ้ พ่ายแพ้เสียแล้ว...

การเข้ามาที่แห่งนี้มีความเสี่ยงมากมายนัก แต่ตัวเขานั้นใฝ่หาผู้แข็งแกร่ง ออกประลองไปทั่วทุกสารทิศ หลังชนะมาตลอดจึงกล้าที่จะเข้ามาท้าสู้กับกองโจรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่คิดว่าความทะนงตนจะทำให้ต้องมีจุดจบเช่นนี้

ยังไม่ทันได้ประกาศชื่อทั่วหล้า ก็ต้องสิ้นชื่อลงกลางหุบเขาอันหนาวเหน็บเสียแล้ว...

อสรพิษสลายไปในอากาศ แต่กระนั้นผู้บุกรุกก็ยังคงตั้งดาบขึ้นต่อต้านเช่นนั้น แม้ไร้เรี่ยวแรงก็ก็ไม่คิดจะยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย ใครดูถูก ใครก่นด่า จะมีเพียงข้าที่เชื่อมั่นจนวินาทีสุดท้าย

ริกิย่างก้าวเข้าไปใกล้ทุกที มันหาได้สั่งให้พญาเหยี่ยวโจมตีต่อ เพราะต้องการสังหารผู้บุกรุกด้วยดาบในมือของตนเอง เพื่อสนองการแก้แค้นของลูกน้องคนสนิท และ...ความสะใจจองตนเอง

แปะ แปะ แปะ

“โอ้ ยอดเยี่ยมๆ การแสดงค่ำคืนนี้ช่างยอดเยี่ยม การแสดงคาบุกิยังไม่อาจเทียบได้ ข้าถูกใจยิ่งนัก” เสียงที่ยังไม่แตกหนุ่มของเด็กชายดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือ ร่างกายที่ซ่อนอยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งค่อยๆ ยืนขึ้น เผยใบหน้าสนุกสนานอย่างไม่ปิดบัง

ปีศาจเบื้องล่างต่างตื่นตระหนก ไม่เว้นแม้กระทั้งริกิหรือผู้บุกรุก เพราะพวกมันไม่อาจรู้สึกถึงผู้มาใหม่ได้เลย ทั้งที่เป็นเพียงปีศาจที่อายุราวสิบสองสิบสาม แต่กลับปกปิดได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ คงมีฝีมือไม่น้อย

“เจ้าต้องการสิ่งใดเด็กน้อย” ริกิส่งเสียงถามออกไปแต่ผู้ถูกถามหาได้ใส่ใจไม่ เขากลับมองไปยังผู้บุกรุกแต่เพียงผู้เดียว

“ข้าถูกใจฝีมือเจ้า...เรามาแลกเปลี่ยนกันสักหน่อยดีหรือไม่” เด็กน้อยผู้นี้เป็นปีศาจแดนพยัคฆ์อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังดูเป็นพวกชอบทำสิ่งใดตามความคิดของตนเป็นอย่างยิ่ง แม้ทำให้ริกิเข่นเขี้ยวก็หาได้ใส่ใจ ยังคงกล่าวกับผู้ที่ตนหมายตาอย่างเจื้อยแจ้ว

“แลก...เปลี่ยน...สิ่งใด” ผู้บุกรุกตอบรับ สัญชาตญาณบอกให้รับฟังสิ่งที่เด็กน้อยพูด อย่าได้ดูถูกรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันขนาด

“ข้าช่วยเจ้ารอด เจ้ามาก็เป็นเงาของข้าเป็นอย่างไร” เด็กน้อยได้ชมเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะเขาลักลอบเข้ามาตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดเสียด้วยซ้ำ เที่ยวชมไปเสียทุกซอกทุกมุม หิวก็แอบหยิบของกินที่พวกมันเก็บไว้ฉลอง ใช้เวลาอิสระยิ่ง แต่กลับไม่มีใครรู้สึกตัวแม้แต่น้อย...

“ข้า...ยอมรับแค่...ผู้แข็งแกร่ง...ลองพิสูจน์ข้าได้เห็น...แล้วข้าจะตกลง...อย่างแน่นอน” แม้เสียงจะติดขัดใกล้สิ้นสติ เพราะพิษ และเสียเลือดมากเกินไป แต่น้ำเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความจริงใจ เชื่อมั่น และหยิ่งทะนงในตนเอง

“ฮ่าๆ ๆ ได้สิ ได้อยู่แล้ว ข้อเสนอเช่นนี้ ข้ายิ่งถูกใจเจ้ามากขึ้นไปอีก เอาล่ะ...เตรียมตัวเป็นเงาให้ข้าได้เลย!” หลังตกลงเจรจาเงื่อนไขเรียบร้อย เด็กน้อยก็กระโดนลงมาบังเบื้องหน้าบังผู้บุรุกไว้ เตรียมต้านทานศัตรูที่อยู่เบื้องหน้า

กลิ่นอายของเด็กน้อยช่างคุ้นเคยยิ่งนัก ทำให้ริกิไม่อาจดถูกอีกฝ่ายได้ แม้ลูกสมุนของมันจะโห่ร้องข่มขวัญศัตรูดังว่ามันจัดการอีกฝ่ายได้ดังบดขยี้มดปลวกก็ตาม ใครสัมผัสอันตรายไม่ได้ แต่มันกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน

“ฮ่า!” มันสร้างพญาเหยี่ยวขึ้นอีก 6 ตัว รวมกับที่ใช้จัดการผู้บุกรุกเมื่อครู่เป็น 7 ตัว สั่งให้พวกมันกระจายล้อมรอบเด็กน้อยเอาไว้ทุกทิศทาง ทั้งรวบรวมพลังไปยังมือที่ถือดาบยาวเอาไว้เพิ่มศักยภาพในการกวัดแกว่งดาบให้แก่ตนเอง

“อ่า สมกับเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรริกิ พลังช่างแตกต่างจากปีศาจตนอื่นยิ่งนัก สัญชาตญาณก็ไม่เลวเลย รู้สึกถึงอันตรายได้ถึงเพียงนี้ น่าเสียดายๆ ที่เจ้า...แยกจากกลุ่ม...โฮชิ” การกล่าวของเด็กน้อยนั้นหาได้เร่งรีบ แต่กลับทำให้ผู้ฟังหนาวยะเยือก

ร่างเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนหลังกล่าวจบ ร่างกายทั่วร่างสั่นสะท้าน กงเล็กงอกจากมือและเท้า ขนลายพาดกลอนปรากฏเด่นชัดทั่วร่าง ฟันแหลมคมกลายเป็นเขี้ยวสีขาววาววับ แสงสีแดงปกคลุมเอาไว้ทั่วร่าง นี่คือการกลายเป็นกึ่งสัตว์ทั้งร่าง พลังแฝงของผู้นำกลุ่มโฮชิ!

ปีศาจทั่วไปแปลงร่างได้ 3 รูปแบบ หนึ่งคือ รูปแบบมนุษย์ ที่มีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ทุกประการยกเว้นสีผมและสีของดวงตาที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้ ร่างนี้ยากนักที่จะเห็นเพราะปีศาจไม่ชอบให้ตนคล้ายมนุษย์ที่อ่อนแอ

สองคือ ปีศาจเต็มตัว ร่างนี้รูปร่างจะอยู่ในรูปแบบมนุษย์ แต่จะมีลวดลายของเผ่าพันธุ์ตนปรากฏขึ้นจางๆ ทั่วร่าง มีหู และหาง ซึ่งเป็นร่างทั่วไปที่ปีศาจทุกเผ่าพันธุ์มักใช้กัน เช่น เผ่าวิหคก็จะมีปีกงอกออกมาด้านหลัง เผ่ามังกรวารีก็มีเขาของมังกร นั่นเอง

สามคือ ร่างสัตว์ ร่างนี้ถูกใช้รองลงมา ปีศาจจะใช้เมื่อถึงยามจำเป็น หรือออกเที่ยวเล่นในป่า เพราะง่ายต่อการเคลื่อนไหว และมีพลังกายมากกว่าร่างอื่นๆ แต่ร่างของสัตว์นั้นไม่อาจพูดได้ ทั้งยังไม่จำเป็นนักเพราะอย่างไรเพียงร่างปีศาจพวกเขาก็มีพลังมากมายแล้วพวกเขาจึงไม่ใช้ร่างนี้เป็นร่างหลัก

ส่วนพลังแฝงของกลุ่มโฮชิ คือ ร่างกึ่งสัตว์ซึ่งอยู่ระหว่างร่างปีศาจเต็มตัว กับร่างสัตว์ เข้าใจง่ายๆ ก็คือยังคงร่างปีศาจไว้ได้ แต่กลับมีพลังเทียบเท่าร่างสัตว์นั่นเอง

โดยปีศาจทั่วไปจะทำได้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ผู้นำกลุ่มโฮชินั่นกลับครอบครองพลังที่จะใช้มันได้ทั้งร่างกาย เป็นพลังที่ใครๆ ก็ครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมันถูกใช้ ไม่ว่าศัตรูหน้าไหนก็ไม่มีเวลาเหลือแม้กระทั่งถอยหลังหนี ดับดิ้นลงเพียงเวลาไม่นานเท่านั้น

วิธีสู้ย่อมมีอยู่ แต่ต้องแลกกับการสูญเสียการต่อสู้ด้วยดาบ และทักษะที่ตนมี กลายร่างสัตว์ใช้พลังเข้าปะทะเท่านั้น ถึงกระนั้นก็มีโอกาสชนะเพียงเสี้ยว ในเมื่อผู้อยู่ในร่างกึ่งสัตว์ใช้ได้ทั้งทักษะของร่างปีศาจและพลังของร่างสัตว์ จะเอาพลังใดไปสู้กัน ว่ากันว่ามีเพียงหัวหน้ากลุ่มทั้งสามของแต่ละเขตที่มีพลังแฝงเช่นกันเท่านั้นที่จะสู้ได้อย่างทัดเทียม นี่คือข้อได้เปรียบของสายเลือดที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้นำอย่างแท้จริง!

ริกิลังเลชั่วครูว่าตนควรใช้ร่างนี้หรือร่างสัตว์เข้าสู้กันแน่ แต่มันเชื่อในฝีมือของมันมากกว่าพลังในร่างสัตว์ที่ไร้การฝึกฝน จึงสู้ในร่างนี้แม้รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างก็ตาม มันเคยเห็นหัวหน้ากลุ่มโฮชิใช้ร่างนี้ เผ่าพยัคฆ์หลายรอยตนถูกฆ่าเพียงเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น

มันต้องรีบเผด็จศึกก่อนที่เด็กน้อยจะลงมือ ยังพอมีทางชนะ เพราะหากเทียบประสบการณ์แล้วนับว่ามันมีมากกว่า จะพ่ายแพ้เด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้หนึ่งได้อย่างไร หลังจากปลุกกำลังใจให้ตนได้แล้ว มันก็สั่งเหยี่ยวทั้ง 7 ตัว โจมตีจากทุกทิศทางพร้อมกัน โดยตัวมันรอช่องว่างเข้าโจมตีปิดฉาก

เพียงแต่...

มันยังไม่ทันที่จะออกคำสั่งต่อพญาเหยี่ยวทั้ง 7 ทิวทัศน์รอบด้านก็แปลกไป ลูกสมุนที่โห่ร้องอย่างคึกคักแสดงสีหน้าหวาดกลัว ตะลึกตะลานวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่หนีไปได้ไม่ไกลหัวของพวกมันก็หลุดกระเด็นโดยที่ไม่อาจตอบโต้สิ่งใดได้ด้วยซ้ำไป

ส่วนตัวมันก็มองทิวทัศน์เหล่านั้นจากมุมล่าง เพราะหัวมันก็หลุดกระเด็นลงสู้พื้นก่อนแล้วไม่ต่างกัน เลือดไหลนองเปรอะพื้นเป็นวงกว้าง กองโจรริกิค่อยๆ ตายลงตนแล้วตนเล่า ย้อมพื้นในค่ายพักจนกลายเป็นสีแดงฉาน ช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก

อา...เด็กน้อยผู้นี้เป็นลูกชายของหัวหน้ากลุ่มโฮชิอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยัง

มีพลังมากมายยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นเดียวกัน

ผู้บุกรุกจับจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตะลึงตะลาน มันไม่เคยเห็นการสังหารที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ ทั้งยังไม่เคยเห็นใครที่แข็งถึงเพียงนี้เช่นกัน!

การต่อสู้จบลงเด็กน้อยก็คืนสู้ร่างเดิม แล้วใช้ร่างกายที่โชกไปด้วยเลือดของศัตรูเดินเข้าหาผู้ที่ต่อรองกันเมื่อครู่

“เป็นอย่างไร...ข้าแข็งแกร่งพอหรือไม่” เสียงนั้นหาได้มีความเย่อหยิ่ง มีเพียงความจริงจังต่อการพิสูจน์ฝีมือตนเองเท่านั้น ผู้ที่หมายตาให้เป็นเงาตนแรกมองมันเช่นไรเด็กน้อยคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง

ผู้บุกรุกนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง กำมือขวาขึ้นมาแตะที่อกซ้ายตำแหน่งของหัวใจ จดจ้องเด็กน้อยเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อมใสจากใจจริง

“ข้า ซาซากิ ฮาจิเมะ จะเป็นเงาของท่านตลอดไป!” น้ำเสียงหนักแน่นสะท้อนไปทั่วหุบเขา นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของหัวหน้ากลุ่มโฮชิ กับ 1 ใน 4 องครักษ์เงาแห่งเขตใต้

องครักษ์เงาคนแรก ซาซากิ ฮาจิเมะ กับตำนานความเก่งกาจที่ล้มล้างกลุ่มโจรอันยิ่งใหญ่ และยังคงมีเรื่องเล่าขานของพวกเขาไปอีกยาวนาน...





To Be Continued...

_______________________________________________

สวัสดีค้า หายไปนานเลยนะคะรอบนี้

ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจาก ขอโทษค่ะ

กรีนไม่ได้เขียนต่อมีทั้งความตั้งใจและความไม่ตั้งใจของกรีนเอง

เริ่มแรกเพราะอยากเขียนอีกเรื่องที่มีกำหนดตีพิมพ์ให้จบ

กับหลังๆ เริ่มปั่นเรื่องนั้นไม่ไปด้วยก็เลยหยุดเขียนไปทั้งสองเรื่อง

กว่าจะกระตุ้นให้ตัวเองกลับมาเขียนได้ก็นานมากทีเดียว

ขอโทษจากใจจริงค่ะ

แต่กรีนยังยืนยันคำเดิม ไม่เลิกเขียนแน่นอน!

ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ

ตอนนี้เขียนเรื่องเกี่ยวกับอดีต เพื่อใช้ไขปมปัญหา อย่าพึ่งงงกันน้า ที่สู้กันอยู่จะมาต่อตอนหน้าจ้า พร้อมไขข้อข้องใจว่าทำไมอยู่ๆ ซาซากิถึงทรยศ เจอกันตอนหน้าน้า ไม่หยุดเขียนหรอกค่ะ จริงๆ นะ ><

#เจอคำผิดบอกได้นะคะ กรีนพึ่งอ่านทวนไปรอบเดียวเอง แหะๆ


หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 30-08-2018 13:21:02
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: _tosssalad ที่ 24-12-2018 04:36:22
ยังรออยู่นะคะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 18-01-2019 10:40:26
 o13 :pig4: