คำตอบที่ว่างเปล่า
เปิดเรื่อง 07-05-16
บทนำ
เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มกระทบโสตประสาทจนจังหวะการเต้นของหัวใจของผมเร็วและแรงขึ้นตามจังหวะของเสียงเพลง เครื่องดื่มสีอำพัน แก้วแล้วแก้วเหล่าถูกส่งผ่านลำคอของผม หวังเพียงแค่ให้มันได้ขจัดความเหงาในใจของผม ทั้งที่มีผู้คนมากมายอยู่รอบตัว แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนไม่เหลือใครอีกแล้ว คนเดียวที่เหมือนจะเห็นว่าผมสำคัญ ได้จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป
วันนี้ผมเพิ่งได้ไปส่งหนึ่งคนที่ผมรักให้ไปสู่สุขคติ ผมเข้าใจดีว่าเกิดแก่ เจ็บ ตาย มันเป็นสิ่งที่ทุกคนคงหนีไม่พ้น และยายของผมเองก็อายุ ล่วงเลยมาจน 70 กว่าปีแล้ว ท่านก็คงฝืนสังขารต่อไปไม่ไหว แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมโลกนี้ถึงได้ปล่อยให้ผมเผชิญโลกนี้ต่อไปเพียงลำพัง มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้ามีใครที่รู้จักผมมาได้ยินว่าผมตัดพ้อโชคชะตาแบบนี้ ผมอาจจะโดนหมั่นไส้หรือโดนเกลียดก็เป็นได้ เพราะในสายตาคนอื่น คงมองว่าผมมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ น่าอิจฉา
ผมเกิดมาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่ ที่เป็นเจ้าของกิจการโรงแรมซึ่งมีหลายสาขาในประเทศ พอได้รู้แบบนี้หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผมคงมีปัญหาเหมือนลูกคนมีตังค์ทั่วๆ ไป ที่ขาดความรักความอบอุ่นเพราะพ่อแม่เลี้ยงด้วยเงิน จริงๆ มันก็ไม่ถูกและไม่ผิดเสียทีเดียว ผมยอมรับว่าเป็นคนขาดความรักความอบอุ่น แต่พ่อแม่ของผมก็ไม่ได้บ้างานจนลืมลูกอย่างผม ไม่ได้สักแต่ให้เงินผมอย่างเดียว
ตรงกันข้าม พ่อกับแม่มีเวลาว่างให้กับผมเสมอ แม้หลักๆ แล้วยายจะเป็นคนเลี้ยงผมมาก็เถอะ แต่พ่อกับแม่ก็อยู่ในทุกช่วงชีวิตของผม ให้คำแนะนำ คำปรึกษา คำสอน เหมือนพ่อแม่พึงจะมีให้กับลูก แต่ทุกอย่างที่พ่อแม่ผมทำ ผมกลับสัมผัสได้แค่ความเย็นชา ทั้งคู่ทำเหมือนกับว่าพวกเค้าต้องทำตามหน้าที่ ซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นยังไง มันไม่ใช่การฝืนใจทำ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าได้ความรักจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองเลย
ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมไม่เคยได้รับการกอด หรือหอม จากพ่อกับแม่เลย ซึ่งจริงๆ นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมรู้ขาดมาจนทุกวันนี้ก็เป็นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อกับแม่ผมไม่ทำ ผมจะได้รับชดเชยจากผู้เป็นยายเสมอ จนบางครั้งผมเองต้องแกล้งว่าไม่รู้สึกอะไรที่ไม่ได้รับการปฏิบัติจากพ่อแม่เหมือนเด็กคนอื่น เพราะผมเคยร้องไห้ต่อหน้ายายตอนอนุบาลที่เห็นเพื่อนคนอื่นมีพ่อแม่มาส่งที่โรงเรียนแล้ว พ่อแม่ของเพื่อนๆ กอดหรือหอมแก้ม เพื่อร่ำลา ในขณะที่ผม แม้ทั้งพ่อและแม่จะเป็นคนมาส่งผมเองทุกวัน ทั้งสองก็ทำเพียงจูงมือผมมาส่งให้กับคุณครูเท่านั้น
หลังจากที่ผมร้องไห้ในวันนั้น ผมแอบเห็นยายทะเลาะกับแม่เพราะเรื่องของผม ผมเห็นยายร้องไห้แทบจะยกมือไหว้แม่ของผม เพื่อขอร้องให้แม่ของผมทำในสิ่งที่ผมต้องการ ผมเห็นแม่ผมร้องไห้ห้ามยาย และก้มลงกราบ เพราะไม่อยากอายุสั้นที่ยายไปไหว้แม่ แม่ผมเอาแต่พูดว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้ จากวันนั้นแม่มักจะถามผมว่าต้องการกินอะไร ทำอะไรหรือไปเที่ยวเล่นที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่แม่พยายามจะชดเชยให้ผม แม้ผมจะไม่เคยแสดงความน้อยใจใดๆ ให้ยายเห็นอีก เพราะไม่อยากเห็นยายร้องไห้อีก แต่ผมก็ยังเก็บคำถามไว้ในใจเรื่อยมาว่าทำไม ทำไมพ่อกับแม่ถึงให้ความรักกับผมไม่ได้
พอเริ่มเรียนในระดับประถม ยายมักจะสอนผมเสมอว่าถ้าเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนแล้วพ่อแม่จะรัก ผมทำตามคำสอนของยายด้วยการเรียนได้คะแนนในอับดับ 1 แทบทุกอย่าง ผมไม่งอแงไม่เกเร ครูอาจารย์ทุกคนชื่นชมผมแต่พ่อกับแม่ผมกลับกล่าวชมเชยเหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ที่เค้าต้องชื่นชมผม ผมยังคงคิดว่าหรือนั่นผมยังทำได้ไม่ดีพอ ผมเริ่มมุ่งมั่นเรียนให้ดีขึ้น รวมทั้งการเรียนรู้สิ่งอื่นๆ ที่คิดว่าจะทำให้พ่อกับแม่หันมาชื่นชมผมด้วยความรักบ้าง ไม่ว่าจะดนตรี กีฬา ศีลปะ การต่อสู้ ผมเพียรพยายามทุกอย่าง เพียงเพื่อหวังผลว่าจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ
ตอนเรียนมัธยมผมเรียนได้ 4.00 ทุกเทอม ผมเรียนภาษา เพิ่มทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน จีน ญี่ปุ่น จนเรียกได้ว่าผมสื่อสารภาษาเหล่านั้นได้คล่องแคล่ว เหมือนเจ้าของภาษา เพราะด้วยอำนาจเงินที่พ่อกับแม่ของผมมี มันไม่ยากเลยที่จะจ้างเจ้าของภาษามาสอนผมเป็นการส่วนตัว รวมถึงการได้ไปใช้ชีวิตในบ้านเมืองของเจ้าของภาษานั้นๆ ในช่วงการปิดเทอมของผม ผมสอบเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยด้วยคะแนนอันดับ 1 ของคณะที่คิดว่าเรียนจบแล้วจะได้นำมาช่วยกิจการธุรกิจของที่บ้าน ผมเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และไปเรียนต่อปริญญาโท ที่สหรัฐอเมริกา จนจบมาทำงานช่วยกิจการของที่บ้าน ทั้งหมดนั้นคนที่ชื่นชมผมจากใจจริง คงมีแต่ยายเท่านั้นแหละครับ
“พ่อกับแม่เค้าคงไม่อยากให้ปอนด์เหลิงแหละลูก ยายว่าพ่อกับแม่เค้าก็ภูมิใจในตัวปอนด์มากแหละลูก”นี่คือสิ่งที่ยายมักจะใช้ปลอบผม และผมชอบนอนหนุนตักยายให้ยายลูบหัว ทุกครั้งที่ผมทำอะไรสำเร็จคนที่ผมจะรีบอวดคือพ่อกับแม่ผม แต่ทุกครั้งผมก็ต้องผิดหวัง เพราะมันเหมือนผมยังดีไม่พอ ดีไม่พอให้พ่อกับแม่รัก และพอผิดหวังผมก็จะมาหายาย แม้ผมไม่เคยพูดออกมาว่าน้อยใจ แต่ยายก็คงรับรู้ได้เสมอมา และผมก็ยังคงได้รับการปฏิบัติเช่นเดิมเรื่อยมา
“ยายรู้ว่าปอนด์ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่ยายเชื่อว่าวันนึงปอนด์จะเข้าใจพ่อกับแม่เค้านะลูก”เพราะประโยคนี้ของยายมันทำให้ผมเริ่มดื่มแอลกอฮอล์ ลองบุหรี่บ้าง และเรื่องเซกส์ ผมมองเรื่องเซกส์เป็นสิ่งบำบัดความขาดที่ผมมี และผมไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาวกับใครเลย แม้จะไม่ได้เสียการเสียงาน แต่ผมก็เริ่มเที่ยวกลางคืนหนักขึ้น เพราะคำพูดของยายทำให้ผมคิดไปว่าหรือผมไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ จริงๆ เรื่องนี้มันผุดขึ้นมาในหัวผมตั้งนานแล้ว เพียงแต่ผมกลัว กลัวว่าถ้าสิ่งที่ผมคิดเป็นจริงขึ้นมาผมจะยอมรับได้รึเปล่า
ผมคิดถึงความจะเป็น ไปในหลายทางมากว่าจริงๆ ผมเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง หรือเป็นลูกของพ่อหรือแม่แค่เพียงคนใดคนนึง มันถึงทำให้พวกเค้ารักผมได้ไม่เต็มที่แบบนี้ และแล้ววันนึงผมก็ทนความสงสัยไม่ไหว ผมถึงขั้นวางยานอนหลับพ่อกับแม่ เพื่อเก็บเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้ม ไปตรวจ DNA จริงๆ แม้จะเสียใจแต่ผมก็ยังหวังลึกๆ ว่าผมจะไม่ใช่ลูกของใครสักคนในสองคนนี้ แต่สิ่งที่ผมได้รับรู้ในวันที่ผมไปรับผลคือ ผมเป็นลูกแท้ๆ ของพ่อกับแม่ นั่นมันยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองถึงทำเหมือนไม่สามารถรักผมได้ หรือผมเป็นลูกที่เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผมก็เกิดมาในตอนที่ดูทั้งพ่อและแม่พร้อมมีครอบครัว และทั้งสองก็รักกันดี ไม่ใช่แบบที่ถูกบังคับให้แต่งงานกันแน่อย่างใด
ยอมรับเลยว่าวันที่ผมรู้ผล DNA ผมร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา มันแปลกที่ครั้งแรกผมกลัว กลัวที่จะได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของพวกเค้า แต่พอรู้ว่าจริงๆ ผมก็เป็นลูกพวกเค้านั่นแหละ ผมกลับยิ่งเสียใจ และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อผมได้รับการยอมรับจากทุกๆ คนรอบข้าง ทั้งความรักความชื่นชม ไม่ว่าจะจากพนักงานที่โรงแรม เพื่อนๆ ผม เพื่อนๆ ของพ่อแม่ผม แต่เพียง 2 คน แค่ 2 คนที่ผมต้องการ เค้ากลับไม่เคยให้สิ่งนั้นกับผมเลย สิ่งยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวที่ผมมีก็คือยาย และวันนี้ยายก็จากผมไปแล้ว จากนี้ไปผมก็คงต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง
ผมรู้สึกสมเพชชีวิตตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ชีวิตที่ใครๆ หลายคนมองมาอาจจะอิจฉา แต่ใครจะรู้บ้างว่าแท้จริงผมรู้สึกยังไง ผมพ่นลมหายใจออกไปแรงๆ ก่อนจะสั่งเหล้าเพิ่มอีกแก้วแล้วแก้วเล่า
“เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ”เหมือนมีคนมากระซิบข้างหูจนผมต้องหันไปมอง แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ ผม รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังสนุกสนานกับเสียงเพลง และอารมณ์กำลังดำดิ่งด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ผมสะบัดหัวเพื่อไล่อาการมึนเมา เพราะคิดว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ผมหูแว่ว ไป ผมตัดสินใจลุกออกจากพื้นที่ตรงนี้ เพราะคิดว่าวันนี้คงเพียงพอแล้วสำหรับการดื่มของผม นี่ก็เกือบจะตี 2 แล้ว ผมเดินคนใครสักคนแต่ผมก็ไม่ได้หันไปมอง ทำเพียงโบกมือเป็นเชิงขอโทษแค่นั้น เพราะคนเยอะๆ แบบนี้มันก็ต้องมีการเบียดกันเป็นธรรมดา ไม่มีใครถือสาอะไรอยู่แล้ว
“ครับแม่”ผมกดรับสายที่โทรเข้ามา นี่เป็นครั้งแรกที่แม่โทรหาผมตอนดึกแบบนี้ ปกติคนที่จะโทรตามผมในเวลาแบบนี้ก็คือยายนั่นเอง คิดแล้วนี่ก็เป็นอย่างนึงที่ผมเสียใจ เพราะทำให้ยายเป็นห่วงตลอดนี่แหละครับ ยายก็อายุมากแล้ว แต่ผมกลับยังทำให้ยายเป็นห่วงเสมอ
“จะกลับรึยังลูก”อยู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมา มันไหลออกมาเพราะความสมเพชตัวเอง น้ำเสียงที่แม่ถามไถ่ผมมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสักนิดว่าเค้าห่วงผม เค้าแค่กำลังทำตามหน้าที่ หน้าที่ที่ยายไม่อยู่ทำแล้ว เค้าเลยต้องเป็นคนมาทำต่อ
“กำลังจะกลับแล้วครับ รอแทกซี่อยู่”ผมพยายามกลั้นน้ำตาและพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น นี่พระเจ้าจะให้ผมมีชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหนกันนะ
“แม่รอนะ รีบกลับมาล่ะ”นี่เป็นประโยคที่คล้ายๆ กันของแม่กับยายผม แต่มันให้ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนที่ยายเป็นคนพูดผมจะรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งว่ายังมีใครรอให้ผมกลับบ้าน แต่วันนี้สิ่งที่ผมได้ยินมันกลับให้ความรู้สึกแค่ว่ามีคนอยากรู้ว่าผมยังไม่ได้เป็นอะไรไป แต่อยากจะไปทำอะไรที่ไหน เค้าก็คงไม่ได้ใส่ใจอะไร
“แม่ครับ ผมรักแม่นะครับ”มันก็คงเหมือนทุกครั้งที่ผมพูดออกไปแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าเค้ารับรู้บ้างรึเปล่าว่า ผมรักเค้ามากขนาดไหน เสียงสัญญานบอกให้รู้ว่าแม่วางสายไปแล้ว เค้าแทบไม่ได้ยินดี ยินร้ายกับคำที่ผมบอกไป แถมไม่มีการพูดอะไรที่มันสามารถเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของผมตอนนี้บ้างเลย ทั้งที่เค้าก็รู้ว่าผมกำลังเสียใจกับการจากไปของยายขนาดไหน
ผมขึ้นรถแทกซี่ด้วยใจที่ห่อเหี่ยวความผิดหวัง ความเสียใจมันถาโถมเข้ามาจนผมแทบจะแบกรับไว้ไม่ไหว ผมอ่อนแอเหลือเกิน ยายครับ หลานยายคนนี้ที่ยายเคยบอกว่าเข้มแข็งที่สุดในโลก ความจริงผมแค่แกล้งเข้มแข็งให้ยายเห็นเท่านั้นแหละครับ ทั้งที่จริงผมอ่อนแอเหลือเกิน ผมเลือกที่จะเปลี่ยนที่หมายบอกกับพี่แทกซี่ จากตอนแรกที่คิดว่าจะกลับบ้าน แต่ผมเปลี่ยนเป็นบอกชื่อโรงแรมให้กับแทกซี่แทน แล้วผมก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง คงเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ มันทำให้ผมหลับไป ผมหลับไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้สึกสะลึมสะลือ เหมือนมีคนกำลังลากผมอยู่ ผมลืมตาขึ้นมาแต่เหมือนมีเพียงความมืดอยู่รอบกาย
“เร็วๆ สิวะเดี๋ยวแม่งก็ตื่นหรอก”เสียงพูดคุยทำให้ผมต้องตั้งสติว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ร่างผมเหมือนกำลังลอยเหนือพื้น มีหนึ่งคนยกขาผม ส่วนอีกคนหิ้วปีกผม ถ้านี่เป็นเวลาปกติผมคงสะบัดและใช้วิธีการป้องกันตัวที่ร่ำเรียนมาลุกขึ้นต่อสู้แล้ว แต่นี่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ทำให้ผมแทบไม่มีเรี่ยวแรง นี่ผมดื่มเข้าไปมากขนาดไหนกันนะ แต่สมองผมก็พยายามประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมขึ้นแทกซี่มา นั่นหมายความว่าผมอาจกำลังโดนแทกซี่ลอกคราบก็เป็นได้ พอคิดได้ดังนั้น ผมก็เริ่มดิ้นเพื่อให้หลุดจากทั้งสองคนที่กำลังยกร่างผมอยู่
โดยหวังว่าเรี่ยวแรงและสิ่งที่ผมเคยได้ร่ำเรียนมาจะช่วยให้ผมจัดการกับมิจฉาชีพที่พยายามจะลอกคราบผม แต่ผมคงประเมินฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ต่ำไป
“เชี่ยมึงทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวแม่งก็ตายหรอก”มันเหมือนแค่เสียงแว่วๆ เข้ามาในหัวผม แต่เหมือนมีอะไรแข็งๆ มากระแทกที่หัวผม มันกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเริ่มสำนึกได้ว่านี่ผมคงไม่รอดแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ผมอาจจะได้ไปอยู่กับยายแล้ว หรือพระเจ้าสงสารผมจนไม่อยากให้ผมมีชีวิตอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว งั้น ถ้าผมจะตายในวันนี้ผมก็คงไม่เสียใจแล้ว ผมค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ และสติผมก็ค่อยๆ เลือนหายไปเรื่อยๆ
“เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ”นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินเป็นสิ่งสุดท้าย
ฝากเรื่องใหม่ให้ติดตามครับ
เป็นแนวที่ยังไม่เคยเขียน เรียกว่าเขียนเอาสนุก สนองความอยากอ่านตัวเองล้วนๆ
ยังไงติชมได้นะคร๊าบบ
บทที่ 2
เด็กน้อยที่เปลี่ยนไป
“คุณปราชเสร็จหรือยังเจ้าคะ คุณหยาดให้มาตามแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของเที่ยงร้องบอกผ่านประตูเข้ามา วันนี้ที่บ้านทำบุญใหญ่ นิมนต์พระมาถวายภัตาหารที่บ้าน เพื่อเป็นการเสริมศิริมงคลให้ผมที่ฟื้นกลับมา ผมตอบรับเที่ยงกลับไปว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
อาหารคาวหวานถูกจัดเตรียมไว้ พ่อกับแม่ผมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว โดยมีคุณหมอเดนนิส และเดวี่ นั่งอยู่ไม่ห่าง ผมได้รับรู้อีกอย่างว่าพ่อกับแม่ผมให้เกียรติหมอเดนนิสเสมือนญาติผู้ใหญ่คนนึง เพราะพ่อผมอ่อนกว่าหมอเดนนิสประมาณ 4-5 ปี เลยนับถือหมอเดนนิสเป็นเหมือนพี่ชาย ส่วนเดวี่ จริงๆ แล้วตอนนี้เค้าอายุ น่าจะราวๆ 28-29 ปี ผมไม่ทราบอายุที่แน่นอน เพราะผู้บอกเล่าให้ผมฟังคือเที่ยง และเที่ยงก็ไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง
ปราชสนิทกับเดวี่ เพราะเดวี่เป็นคนสอนภาษาฝรั่งเศสให้กับปราช ทั้งปรางและปราชต่างเรียนภาษาอังกฤษจากหมอเดนนิส จนเมื่อสื่อสารภาษาอังกฤษคล่องแคล่วแล้ว หมอเดนนิสถึงส่งต่อให้เดวี่เป็นคนสอนภาษาฝรั่งเศสต่อ หลวงปราบอยากให้ลูกๆ มีความรู้เยอะๆ จึงให้หมอเดนนิสและเดวี่ช่วยสอนเรื่องภาษาให้กับลูกๆ แต่ปรางไม่อยากเรียนภาษาฝรั่งเศสทำให้ปราช ได้เรียนกับเดวี่เพียงคนเดียว นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ปราชกับเดวี่สนิทกัน
“หลับสบายไหมลูก”แม่เอ่ยถามผม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม หัวใจผมรู้สึกพองโตที่แม่ดูห่วงใยผมขนาดนี้ ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล เค้ายิ้มให้ผมอยู่ก่อนแล้ว หากแต่ผมทำเพียงหันหลบสายตานั้น จากคำบอกเล่าของเที่ยงอีกเช่นกัน ที่จริงคุณหมอเดนนิสกับเดวี่นับถือคริสต์ แต่ที่มาร่วมทำบุญด้วยวันนี้เพราะพ่อกับแม่ผมขอร้องให้มา
รอไม่นานนักพระสงฆ์ที่นิมนต์ไว้ก็มา พิธีการถวายต่างๆ ผ่านไป จนพระสงฆ์ฉันท์เสร็จเรียบร้อย พ่อกับแม่พาผมเข้าไปหาพระรูปนึง ก่อนจะเล่าเรื่องของผมให้พระรูปนั้นฟัง
“หลวงตาพอจะช่วยให้ลูกอิฉัน กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมเจ้าคะ”แม่พนมมือไหว้ พร้อมพูดด้วยเสียงสะอื้น แม่ถามรวมทั้งเรื่องของผมที่เสียความทรงจำ และเรื่องของปรางที่ยังนอนนิ่งไม่ฟื้น
“ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิ ชื่ออะไรนะเรา”หลวงตาเรียกผมเข้าไปหา
“ชื่อปราชขอรับ”ผมขยับใกล้เข้าไป เตรียมยื่นแขนรับการผูกข้อมือจากหลวงตาเพื่อเป็นศิริมงคล แต่หลวงตาจับฝ่ามือผมพลิกขึ้นดูที่ฝ่ามือ พร้อมกับเพ่งพินิจดูบางอย่าง
“คนเราจะมาพบกันได้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่ทุกคนมีกรรมที่เคยสร้างร่วมกันมา วันนึงโยมจะรู้คำตอบในสิ่งที่โยมเองสงสัย เมื่อเวลานั้นมาถึงโยมจะเข้าใจทุกอย่างเอง”คำพูดของหลวงตาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง หลวงตารู้งั้นเหรอว่าผมมาจากไหน แม่ผมถามหลวงตาเพิ่มว่าหมายความว่ายังไง แต่หลวงตาก็บอกเพียงว่าชีวิตของทุกคนก็เดินไปตามกรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ทั้งนั้นแหละ คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
หลังจากการทำบุญเสร็จ ผมตามเที่ยงมาดูปรางที่โรงหมอ ในช่วงที่ผมหลับไปพร้อมปรางก็จะมีบ่าวสับเปลี่ยนกันมาเฝ้าพวกผมทั้งสองคน พร้อมทำหน้าที่ต่างๆ กันไปไม่ว่าจะเป็นเช็ดตัวให้ พลิกตัวให้ หรือคอยทำกายภาพบำบัดตามที่หมอเดนนิสแนะนำ ซึ่งเที่ยงจะเป็นหลักในการดูแลผมสองคน แต่ในส่วนการเช็ดตัวหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม เที่ยงเล่าว่าส่วนใหญ่เดวี่จะเป็นคนทำ ยกเว้นวันที่เดวี่ต้องไปโบสถ์ก็จะมีบ่าวผู้ชายมาช่วย
เดวี่กำลังทำหน้าที่เป็นบาทหลวงฝึกหัดอยู่ที่โบสถ์คริสใกล้ๆ นี่ซึ่งนี่เป็นความต้องการของหมอเดนนิสที่อยากให้เดวี่เป็นบาทหลวง ตอนนี้คุณหมอกับลูกชายเหลือกันสองคน เพราะภรรยาของคุณหมอเสียไปหลายปีแล้ว
“หวัดดี เด็กน้อย”เสียงทักทายจากเดวี่ พร้อมกับเดินมายีหัวผมอีกแล้ว ผมไม่เข้าใจทำไมเค้าชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ แม้เค้าจะแก่กว่าปราชหลายปี แต่นี่ปราชก็อายุ 20 แล้ว ยิ่งในความรู้สึกผม คือเค้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมเสียด้วยซ้ำ หรือเพราะตัวผมที่เล็กกว่าเค้า ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้วที่รูปร่างของชาวตะวันตกอย่างเค้าจะใหญ่โตกว่าผม
“เที่ยงขอกลับไปช่วยเค้าเก็บของที่เรือนนะเจ้าคะ ฝากคุณเดวี่ดูแลคุณปราชด้วยนะเจ้าคะ”เดวี่ทำหน้างงๆ กับคำพูดของเที่ยง จนผมต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่าเที่ยง อยากกลับไปช่วยจัดเก็บข้าวของที่ถวายพระเมื่อเช้า และฝากให้เค้าดูแลผม เมื่อเค้าพยักหน้าเข้าใจแล้ว ผมเลยปล่อยให้เที่ยงกลับไปได้
“ทำไมชอบเรียกผมเด็กน้อย”นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมคาใจ เพราะทั้งสิ่งที่เค้าปฏิบัติกับผม หรือคำพูดที่ใช่เรียกผม มันให้ความรู้เหมือนผมเป็นเด็กสิบขวบ
เค้ายิ้มกว้างให้ผมก่อนจะเดินอ้อมเตียงของปรางไปนั่งอีกฝั่ง แต่ยังไม่ยอมตอบคำถามของผม เค้าตบที่เก้าอี้อีกตัวข้างๆ เค้าเป็นเชิงเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ เค้า ผมเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั่น เค้าเริ่มเล่าให้ผมฟังว่าเราสองคนรู้จักกันได้ยังไง เค้าย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่พร้อมหมอเดนนิส เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเค้าอายุ 18 ส่วนผมเพิ่งจะ 10 ขวบ เค้าเล่าว่าผมเอาแต่ตามเค้าต้อยๆ เพราะอยากมีพี่ชาย แม้ตอนแรกจะคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะต่างพูดกันคนละภาษา จนต่างคนต่างฝึกภาษาของอีกฝ่าย แต่ภาษาไทยคงยากเกินไปสำหรับเดวี่ เค้าเลยไปไม่ถึงไหนกับภาษาไทย ตรงกันข้ามกับปราชที่สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว
ปราชที่แต่ก่อนอยู่แต่กับปรางผู้เป็นพี่สาวและเที่ยงบ่าวรับใช้ พอได้มาเจอกับเดวี่ ทำให้ได้มีกิจกรรมอะไรที่ต่างไปในแบบของเด็กผู้ชายบ้าง หากแต่เดวี่ที่อายุมากกว่าถึง 8 ปี ทำให้บางอย่างปราชสู้เดวี่ไม่ได้ และตอนเด็กๆ ปราชค่อนข้างตัวเล็กแถมขี้โรคอีกต่างหาก และด้วยความที่ถูกตามใจเลยมีงอแงบ้างตามประสา ซึ่งนั่นเองเป็นสาเหตุที่เดวีมองปราชว่าเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ยิ่งพ่วงนิสัยขี้อ้อนเข้าไปอีก ปราชยิ่งกลายเป็นเด็กในสายตาของเดวี่
“แต่ก่อนผมดูง้องแง้งขนาดนั้นเลยเหรอ”ผมเอ่ยถามขัดจังหว่ะออกไป เพราะฟังแล้วปราชนี่ก็ดูเป็นเด็กน้อยจริงๆ นั่นแหละ คงเพราะการเลี้ยงดูด้วยแหละที่ทำให้ปราชเป็นแบบนั้น
“น่ารักดีออก เหมือนมีน้องเล็กๆ วิ่งตามตูดตลอดเวลา”เค้าหัวเราะพร้อมกับเอามือมายีหัวผมอีกแล้ว ผมเพิ่งมีโอกาสได้มองหน้าเค้าตรงๆ เดวี่มีโครงหน้าที่ได้รูป สันจมูกโด่งรับกับใบหน้า คิ้วสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับสีผม หน้าตาบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นชาวฝรั่งเศส จริงๆ ตอนเด็กๆ ผมก็แยกหน้าตาของฝรั่งแต่ละชนชาติไม่ได้หรอกครับ แต่พอได้ไปใช้ชีวิตในที่ต่างๆ จากช่วงปิดเทอม ทำให้ผมเริ่มเห็นความแตกต่างของคนแต่ละชนชาติได้ดีขึ้น
“ถ้าผมไม่มีทางจำคุณได้ คุณจะรู้สึกยังไง”ดูท่าแล้วเดวี่กับปราชคงสนิทสนมและเป็นพี่น้องที่รักกันมาก มากถึงขนาดเดวี่คิดว่านอกจากพ่อแม่ แล้วเค้าจะเป็นอีกคนที่ปราชจะจำได้เมื่อตื่นขึ้นมา แต่โชคร้ายที่ผมไม่ใช่ปราช และผมคงไม่มีทางจำเค้าได้แน่นอน
“มันต้องมีวันนั้นสิ วันที่เด็กน้อยจะจำเดวี่ได้”เค้าบอกพร้อมเอื้อมมือมาโอบไหล่ผมและดึงตัวผมให้ซบที่ไหล่ของเค้า ผมรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ เมื่ออยู่ใกล้ๆ เค้าแบบนี้ ตอนที่ผมอยู่ในยุคปัจจุบัน ผมมีความสัมพันธ์กับคนแทบจะทุกเพศ อย่างที่บอกว่าผมใช้เซกส์ในการบำบัดความเหงาของตัวเอง ผมตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมชอบการมีเซกส์กับผู้หญิงหรือผู้ชายมากกว่ากัน ส่วนเรื่องความรักยิ่งแล้วใหญ่ ผมไม่เคยสัมผัสกับความรักในแบบชู้สาวเลย เพราะทั้งชีวิตผมทุ่มเททุกอย่างเพื่อต้องการความรักจากพ่อกับแม่ จนไม่เหลือจิตใจให้รักใครอีก
“ปราง ปราง”ผมผละออกจากไหล่ของเดวี่เมื่อสังเกตเห็น นิ้วมือของปรางกระดิก ผมผุดลุกขึ้นเข้าไปชิดขอบเตียง แม้จะรู้ว่าผมกับเค้าไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นเค้ามีการตอบสนองแบบนี้ เดวี่รีบออกไปตามคุณหมอเดนนิส ส่วนผมเฝ้ามองปรางที่ตอนนี้กลับไปนิ่งเหมือนเดิมแล้ว
ไม่นานนักทั้งหมอเดนนิส พ่อ แม่ เที่ยง ก็เข้ามาพร้อมๆ กับเดวี่ หมอเดนนิสเข้ามาตรวจดูชีพจร ก่อนจะบอกว่าคงเป็นแค่กล้ามเนื้อกระตุก เลยมีการขยับเท่านั้น แต่นี่ก็ถือเป็นลางดี หมอเดนนิสปลอบพ่อกับแม่ผมว่าขนาดผมยังฟื้นขึ้นมาได้ อีกไม่นานปรางก็ต้องฟื้นเช่นกัน
แม่เริ่มร้องไห้อีกครั้ง ผมเดินเข้าไปหาพร้อมสวมกอดแม่ไว้หลวมๆ ในชีวิตของผมในยุคปัจจุบัน ผมแทบไม่เคยมีโอกาสได้ทำแบบนี้ เพราะนอกจากพ่อกับแม่จะไม่กอดผมแล้ว ทั้งสองยังไม่ยอมให้ผมกอดอีกด้วย หรือที่ผมมาอยู่ที่นี่เพราะพระเจ้าตอบรับคำขออันแรงกล้าของผม ที่ให้ผมได้มาเจอพ่อกับแม่ที่นี่ พ่อแม่ที่ผมรักและพวกท่านก็รักผม แม้ทั้งสองจะรักผมในฐานะของปราช แต่ผมก็ขอตักตวงความสุขในตอนนี้ไว้ให้มากที่สุด
“คุณปราชจะกลับตอนไหนก็เรียกเที่ยงนะเจ้าคะ เที่ยงจะรออยู่ด้านนอกโรงหมอนี่เจ้าค่ะ”เที่ยงหันมาบอกผมหลังจากที่พ่อกับแม่ผมกลับไปแล้ว แต่ผมขออยู่ต่ออีกสักพัก คุณหมอเดนนิสก็ตามพ่อกับแม่ผมออกไป เหลือแค่ผมกับเดวี่ที่ยังอยู่เป็นเพื่อนปราง
“เด็กน้อยของเดวี่น่าจะโตขึ้นเสียแล้ว”ผมไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่าย เลยต้องถามกลับไปว่าเค้าต้องการสื่อความหมายยังไงกันแน่
“ปกติปราช จะไม่รู้จักการปลอบคนอื่น เพราะปราชเหมือนเป็นน้องเล็กสุด ทำให้ทุกคนต้องเป็นฝ่ายปลอบปราช แต่เมื่อกี้ปราชกอดปลอบแม่ของปราช แสดงว่าตอนนี้ เด็กน้อยน่าจะกำลังเติบโต ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว”เค้าบอกผมด้วยน้ำเสียงล้อๆ แต่ผมก็ไม่ได้นึกถือสากับสิ่งที่เค้าล้อ เพราะท่าทางเค้าก็เพียงแค่อยากจะหยอกผมแค่นั้น
“แล้วคุณว่าผมเป็นแบบไหนดีกว่ากัน”ไม่รู้ทำไมที่ผมเกิดอยากรู้ว่าระหว่างปราชตัวจริง กับปราชตัวปลอมอย่างผมในตอนนี้ เค้าชอบใครมากกว่ากัน
“ทำไมต้องคิดว่าแบบไหนดีกว่ากัน ในเมื่อแบบไหนมันก็คือตัวของปราชอยู่ดี”ก็เพราะว่าผมไม่ใช่ปราชนี่สิ แต่ต่อให้ผมพูดไปเค้าก็คงไม่เข้าใจ
“งั้นลองอธิบายความเป็นตัวผมในตอนนี้กับเมื่อก่อนให้ฟังหน่อยว่าต่างกันยังไง”เค้าเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนจะดีดนิ้วเหมือนว่าคิดออกแล้ว
เค้าบอกว่าปราชคนเก่าดูเป็นเด็กน้อยที่ร่าเริง แต่ก็ยังติดเอาแต่ใจอยู่บ้าง และเดวี่ต้องคอยเป็นห่วงประจำ เพราะดูแลตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ปราชตอนนี้ดูนิ่งขึ้น ดูเป็นคนใจเย็น บางครั้งก็เหมือนคิดอะไรในใจอยู่ตลอดเวลาดูน่าค้นหาขึ้นมากว่าเมื่อก่อน แม้ความจริงตัวผมจะถือว่ารู้จักกับเดวี่ได้ไม่นาน แต่ผมก็รู้สึกว่าตอนนี้เริ่มพูดคุยกับเค้าได้สนิทใจมากขึ้น
ผมขอแยกตัวกลับ พร้อมกับเที่ยง มีบ่าวคนใหม่มาอยู่เป็นเพื่อนปราง ในเวลากลางคืนปกติจะเป็นบ่าวผู้หญิงสองคน ถ้าหากมีอะไรผิดปกติก็สามารถเรียกเดวี่หรือหมอเดนนิสได้ตลอดเวลา แม้ผมจะมั่นใจว่าปรางคงไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังอยากให้มีปาฏิหารย์ เพราะคงทำให้ทุกคนที่นี่มีความสุขไม่น้อย โดยเฉพาะพ่อกับแม่ของผม หรือจะเป็นพ่อกับแม่ของพวกเราดี
บทที่ 11
ฝันร้ายที่กลายเป็น...
ปรางถูกย้ายกลับมาอยู่ที่เรือนใหญ่เป็นที่เรียบร้อย หมอฝรั่งคนใหม่ถูกว่าจ้างให้มาดูแลปราง ส่วนหมอเดนนิสและเดวี่ ผมรู้จากเที่ยงว่าทั้งคู่เก็บกระเป๋าออกไปจากที่นี่ตั้งแต่คืนวันนั้น ผมไม่มีโอกาสออกไปเจอใครทั้งนั้น ตอนนี้ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องได้แค่ตอนเข้าห้องน้ำ ซึ่งต้องมีคนเฝ้า ตอนกินข้าวก็แทบกลืนไม่ลงเพราะมีคนมาจ้องตลอดเวลา อีกที่ที่ผมได้รับให้เข้าไปเปลี่ยนบรรยากาศได้คือ ห้องนอนของปราง
“เที่ยงขอโทษนะเจ้าคะ ที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้”หญิงสาวยังคงขอโทษผมซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ผมก็บอกย้ำไปแล้วว่าไม่ถือโทษเธอแต่อย่างใด ส่วนผู้เป็นพ่อของปราชยังเรียกว่ายังโกรธ หรืออาจจะเกลียดกับการกระทำที่ผมได้ทำลงไป ตอนนี้การเผชิญหน้ากันแต่ละครั้งมันดูอึดอัดไปหมด แม้เรื่องนี้จะมีคนรู้ความจริงไม่กี่คน มันก็เพียงพอให้เกิดข่าวลือต่างๆ มากมายว่าทำไมคุณหมอเดนนิส และเดวี่หายออกไปด้วยเหตุผลใด
“ข้าผิดมากหรือเปล่า”สายตาผมมองไปที่คุณหยาดผู้เป็นแม่ แม่ดูซูบไปอย่างเห็นได้ชัด แถมทุกครั้งที่มองผม สายตาของท่านดูมีแต่ความผิดหวัง
“ผิดหรือไม่ เที่ยงคงไม่กล้าตัดสินหรอกเจ้าค่ะ เที่ยงรู้แค่ว่าคุณหลวงกับคุณหยาดเสียใจมากกับเรื่องนี้ หากย้อนกลับไปได้เที่ยงอาจจะไม่บอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่เที่ยงจะเลือกขอร้องให้คุณปราชเลิกทำเช่นนี้แทน”ผมอาจจะคิดน้อยเกินไปจริงๆสินะ การปล่อยความต้องการให้เป็นใหญ่ ผมเลยได้รับผลของการกระทำที่เป็นอย่างนี้ หรือว่านี่มันคือสาเหตุที่ในยุคปัจจุบัน พ่อแม่ไม่รักผม
“คุณแม่ขอรับ ลูกไปด้วยได้ไหมขอรับ”ผมส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ที่กำลังเตรียมตัวจะไปถวายเพลที่วัด แม่มองผมด้วยสายตาสับสนและลำบากใจกับสิ่งที่ผมเอ่ยปากขอ
“ให้คุณปราชไปเถอะเจ้าคะ กว่าคุณหลวงจะกลับมาก็คงค่ำ ยังไงคุณหยาดก็พาคุณปราชกลับมาก่อนอยู่แล้ว เดี๋ยวเที่ยงจะกำชับพวกบ่าวไพร่ไม่ให้ใครบอกเรื่องนี้กับคุณหลวงเองเจ้าค่ะ”แน่นอนว่าตอนนี้ผมถูกกักบริเวณ การจะออกไปไหนได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่ดูเหมือนคำพูดของเที่ยงจะได้ผล ผมได้รับอนุญาตให้ไปวัดได้ อย่างลับๆ
“ขอลูกรอถามอะไรหลวงตาสักหน่อยนะขอรับ”หลังจากการถวายเพลเสร็จ ผมเอ่ยปากขออยู่ต่ออีกสักหน่อย เพราะจุดประสงค์จริงๆ ที่ผมอยากมาที่นี่คือการมาพบกับหลวงตานั่นเอง ผมว่าคนเดียวที่พอจะให้คำตอบอะไรผมได้บ้างกับเรื่องราวทั้งหมด คงมีเพียงแค่หลวงตาคนเดียวเท่านั้น
“ครู่เดียวนะพ่อปราช”ทุกคนเดินออกจากศาลาไปปล่อยผมนั่งรอลำพัง แต่เหมือนว่าเที่ยงจะจับตามองผมอยู่ที่ประตูทางออก ที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะหนีไปไหนนะครับ แต่ตอนนี้ทุกคนทำเหมือนผมเป็นนักโทษที่กลัวว่าจะแหกคุกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“กระผมมาขอคำชี้แนะขอรับ”เหมือนหลวงตาเองจะรู้อยู่แล้วว่าผมจะมา เพราะพอทุกคนแยกออกไป หลวงตาเองที่เป็นคนเดินมาหาผม
“เห็นแล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่โยมพยายามเปลี่ยนมันส่งผลกระทบเช่นไร”หลวงตายังคงพูดให้ผมคิดเองเช่นเดิม แล้วไอ้ผลกระทบที่หลวงตาว่านี่มันคือที่ผมเจออยู่ตอนนี้อย่างงั้นเหรอ
“ถึงแม้โยมจะพยายามเปลี่ยนแปลง แต่อะไรที่มันจะเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิดขึ้น แล้วพอมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างที่มันไม่ควรจะเกิดมันก็เกิดขึ้นมา ถ้าโยมยังพยายามเปลี่ยนอะไรอีก เรื่องราวมันก็จะยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม”อะไรที่มันไม่ควรเกิดอย่างนั้นเหรอ ไอ้ที่หลวงตาบอกว่าไม่ควรเกิดมันคือเรื่องระหว่างผมกับเดวี่หรือเปล่า
“กระผมควรอยู่เฉย รอให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นหรือขอรับ”ผมถามย้ำอีกครั้ง แม้จะพอเข้าใจในสิ่งที่หลวงตาบอกอยู่แล้ว
“โยมสร้างบ่วงกรรมเพิ่มขึ้นมาแล้ว มันก็คงมีคนที่ต้องใช้กรรมร่วมกับโยมขึ้นมาอีก”อย่างที่เคยบอกว่าผมเคยไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมอะไรพวกนี้ แต่พอชีวิตต้องมาเผชิญกับสิ่งที่เป็นตอนนี้ กรรมมันก็คือผลของการกระทำสินะ ถ้านี่คือชีวิตในอดีตของผม พ่อกับแม่ก็คงไปใช้กรรมร่วมกับผมในยุคปัจจุบันสินะ นี่ยิ่งช่วยตอกย้ำให้ผมคิดว่าสาเหตุที่เหมือนพ่อแม่จะไม่รักผม มันเพราะเรื่องราวในอดีตนี่หรือเปล่า แล้วปรางล่ะ ทำไมผมถึงไม่ได้เจอเธอในยุคปัจจุบัน
หลวงตาไม่รอให้ผมได้ถามอะไรเพิ่มเติม ผมทำได้เพียงยกมือไหว้ตามหลังหลวงตาเท่านั้น ผมลุกเพื่อจะเดินไปหาทุกคนที่รออยู่ แต่แปลกใจเล็กน้อยที่เที่ยงไม่ได้รอผมอยู่ตรงทางออก คนอื่นๆ รอกันอยู่ที่ศาลาริมท่าน้ำ แต่จากที่มองดูไม่มีเที่ยงอยู่ในกลุ่มนั้น ผมกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไดสะดุดกับใครคนนึง ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไป เหมือนเค้าจ้องมาที่ผม
ผมจำเค้าได้ นั่นคือชายคนที่ผมเคยเจอตอนงานวัด เค้ามาทำอะไรที่นี่ เหมือนเค้าจะรู้ตัวแล้วว่าผมสังเกตุเห็นเค้าหันหลังเดินหลบออกไปแทบจะทันที ส่วนผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องเดินตามเค้าอีกแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ผมมีความสนใจได้ขนาดนี้ ทั้งที่ผมไม่รู้จักอะไรในตัวเค้าเลย
“คุณปราชเจ้าคะ คุณปราช”เสียงของเที่ยงทำให้ผมเหมือนเพิ่งได้สติ และหยุดเดิน ผมหันกลับไปมองหญิงสาวก่อนจะหันมองคนที่ผมเดินตามอีกครั้ง เค้าหันกลับมามองผมแล้วค่อยๆ เร่งฝีเท้าห่างออกไป
“จะไปไหนหรือเจ้าคะ”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมชวนเที่ยงกลับไปยังท่าน้ำเพื่อสมทบกับคนอื่นๆ พอกลับถึงบ้านดูทุกคนจะโล่งใจกับการที่ผมกลับมาถึงบ้านก่อนผู้เป็นพ่อ
“ช่วงนี้เจ้าคุณพ่อไม่ค่อยอยู่ติดเรือนนะขอรับ”ผมพูดลอยๆ กับผู้เป็นแม่เพราะช่วงนี้พ่อดูเคร่งเครียดกับสิ่งที่ทำเหลือเกิน แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเพราะงานราชการที่ต้องทำ หรือเป็นผลพวงมาจากผมอีกด้วยหรือเปล่าถึงทำให้ท่านเคร่งเครียดขนาดนั้น
“ช่วงนี้โจรชุกชุม เห็นว่าต้องช่วยทางการอีกแรง ว่าแต่ลูกเถอะ พ่อปราชยังโกรธพ่ออยู่หรือไม่”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะตอนนี้ผมว่าผมไม่อยู่ในฐานะที่จะโกรธใครได้หรอกครับ ผมว่ามีแต่ผมเสียด้วยซ้ำต้องถามคำถามนี้กับคนอื่นว่าหายโกรธกับสิ่งที่ผมได้ทำลงไปหรือยัง
“เดี๋ยวพอเสร็จธุระ พ่อกับแม่คงต้องหารือเรื่องสู่ขอ ลูกสาวสักบ้านมาเป็นคู่ครองให้ลูก”ถึงจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ผมเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก ผมไม่แน่ใจว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ควรไปพยายามเปลี่ยนหรือเปล่า เพื่อไม่ให้มีผลกระทบอะไรเพิ่มมากอีก ผมก็ควรจะเออออไปก่อน
“กระผมต้องแต่งงานอีกรอบสินะขอรับ”ผมพยายามพูดเล่นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ให้แม่รู้สึกดีขึ้น ซึ่งมันดูไม่ได้ผลเท่าไหร่ แม่เพียงหันมายิ้มขื่นๆ ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมหันมองหน้าเที่ยง คนที่ยังพอจะเข้าหาผมอย่างปกติที่สุดแล้วตอนนี้ แต่ไอ้ท่าทางลุกลี้ลุกลนของเที่ยงนี่อะไรอีกละครับเนี่ย
“คุณปราชเจ้าคะ”ผมเลิกคิ้ว มองสาวใช้คนสนิทว่ามีอะไรอีกหรือเปล่า เมื่อไม่เห็นว่าเที่ยงจะพูดอะไร ผมเลยเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของปราง
“คุณปราชจะยอมแต่งงานกับคนที่คุณหลวง ไปสู่ขอให้จริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”ผมเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงของปราง พร้อมคิดตามสิ่งที่เที่ยงถาม แล้วจึงพยักหน้าเป็นการยอมรับตามสิ่งที่เธอถามมา
“แน่ใจหรือเจ้าคะ”ผมเริ่มไม่เข้าใจกับสิ่งที่เที่ยงกำลังจะสื่อ เพราะเหมือนเป็นการเกริ่นเพื่อนำไปสู่บางอย่าง จริงๆ ที่เธอต้องการจะพูดกับผม มากกว่าจะเป็นการตั้งคำถามธรรมดา
“เอ็งไม่อยากให้ข้าแต่งรึ”ผมแกล้งถามกลับไป เวลาได้คุยกับเที่ยงก็ช่วยให้ผ่อนคลายดีเหมือนกันนะครับ เหมือนได้หลุดออกจากบรรยากาศเครียดๆ บ้าง เที่ยงรีบส่ายหน้าปฏิเสธกับคำถามของผม ผมต้องกลั้นขำกับท่าทีนั้น
“หรือเอ็งอยากแต่งกับข้า”ผมแกล้งแหย่เพราะนึกสนุกที่ได้เห็นท่าทางตกใจของสาวใช้คนสนิท เธอรีบปฏิเสธหนักกว่าเดิมเสียอีก ก่อนจะยื่นกระดาษแผนนึงมาให้ผม ผมรับมาอย่างงงๆ ว่ามันคืออะไร กระดาษที่มีข้อความสั้นๆ อยู่ในนั้น ด้วยภาษาที่เขียนทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าใครเป็นคนให้กระดาษแผ่นนี้มา
“คุณปราชรับปากเที่ยงได้ไหมเจ้าคะ ว่าจะแต่งงานกับคนที่คุณหลวงหามาให้”เที่ยงบอกกับผมด้วยสายตาเว้าวอน ทั้งที่เธอเองยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากระดาษแผ่นนี้เขียนว่ายังไง
“เอ็งรู้หรือว่าเดวี่เขียนว่าอย่างไร”หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ
“เที่ยงไม่รู้ว่าในนั้นเขียนว่าอย่างไร ที่จริงเที่ยงทิ้งไปเสียยังได้เลยเจ้าคะ แต่ถ้าคุณปราชยืนยันว่าจะยอมแต่งงาน ข้อความในกระดาษแผ่นนี้มันก็คงไม่มีความหมาย เที่ยงก็แค่สงสารคุณเดวี่ ดูท่าทางแกจะไม่ค่อยดีนัก เที่ยงไม่อยากให้คุณปราชกับคุณเดวี่ทำเรื่องไม่ดี แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเที่ยงจะเกลียดคุณเดวี่นะเจ้าคะ”เที่ยงเองก็คงลำบากใจมากสินะ เธอเองก็คงกำลังสับสนว่าจะเห็นด้วยกับทางไหน อีกอย่างที่เที่ยงยอมเอากระดาษแผ่นนี้มาให้ผมตามคำขอของเดวี่ ก็คงเพราะอาจรู้สึกผิดที่เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรับรู้จนมันกลายเป็นอย่างตอนนี้
“คุณเดวี่แอบเอามาให้เที่ยงที่วัดเจ้าคะ ไม่ต้องบอกเที่ยงก็ได้เจ้าคะว่าในนั้นเขียนว่าอย่างไร แต่เที่ยงขอให้คุณปราชสัญญาว่าจะยอมแต่งงานตามที่คุณหลวงและคุณหยาดต้องการ”ผมหัวเราะในลำคอ เพราะบอกตามตรงผมว่าเรื่องการแต่งงานหรืออะไรอื่นๆ มันจะทันได้เกิดขึ้นหรือเปล่า ผมมองร่างของปรางที่นอนนิ่งอยู่นี้ เสื้อผ้าที่ปรางใส่ตอนนี้มันช่างเหมือนกับชุดที่ผมเห็นในฝันเป็นประจำเสียเหลือเกิน หรือว่านี่มันคือวันที่จะเกิดขึ้นแล้ว
“เดวี่ขอให้ข้าหนีไปด้วย”ผมบอกออกไปโดยไม่ได้หันไปเธอ
“แต่เอ็งไม่ต้องห่วง ข้าไม่ไปไหนหรอก”ผมไม่ได้บอกไปทั้งหมดว่าคืนนี้เดวี่จะมาหาผมที่ท่าน้ำ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ถ้าความฝันของผมมันจะเป็นจริง คืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายสำหรับผมที่นี่ พรุ่งนี้ผมอาจจะตื่นขึ้นในยุคปัจจุบัน ที่นี่อาจจะเป็นแค่ความฝันเรื่องยาวเรื่องนึงของผม
เหตุการณ์ในห้องนี้ผมฝันจนจำได้แทบทุกอย่างแล้ว ยกเว้นอย่างเดียวคือหน้าตาของคนที่ฆ่าทุกคน หวังว่ามันคงไม่เลวร้ายขนาดว่าเดวี่คือคนๆ นั้นหรอกนะครับ ผมนั่งอยู่ที่ห้องของปรางจนค่ำ มื้อค่ำของวันนี้ผมมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งพ่อ ทั้งแม่ ดูๆ ไปมันเริ่มจะใกล้เคียงชีวิตเดิมของผมเข้าไปทุกที พ่อยังคงเย็นชากับผม แม่เองแม้จะยังดูเป็นห่วงเป็นใยผม แต่ก็ซ่อนความผิดหวังในตัวผมไว้ไม่มิด
“ข้าเกริ่นกับหลวงเทิดแล้วนะแม่หยาด ว่าเราจะไปสู่ขอลูกสาวของเขา เขาก็ว่าไม่ติดปัญหาอันใด”ผมยังคงนิ่งฟังโดยไม่ได้แสดงอาการใดๆ สมองผมยังคงคิดถึงแต่เรื่องคืนนี้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างที่ผมเป็นกังวลหรือเปล่า
“คุณพ่อ คุณแม่ขอรับลูกกราบขอโทษในทุกสิ่งที่ลูกทำไม่ดี ทุกสิ่งที่ทำให้ไม่พอใจ คุณพ่อคุณแม่จะอภัยให้ลูกได้ไหมขอรับ จากนี้ไปลูกยินดีทำตามที่คุณพ่อ กับคุณแม่ต้องการทุกอย่าง ขอแค่อย่างเดียว อย่าเกลียดลูกเลยนะขอรับ”ผมขยับเข้าไปกราบลงบนตกของทั้งคู่ แม้จะทำใจไว้แล้ว แต่พอนึกถึงว่าเหตุการณ์ในฝันจะเกิดขึ้น ผมก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ หากท่านทั้งสองจะต้องตายไป ผมจะยังมีโอกาสได้เจอพวกท่านอีกหรือไม่ ผมจะตื่นขึ้นในยุคปัจจุบันจริงๆ หรือเปล่า
“พ่อกับแม่ไม่เคยเกลียดลูก เพียงแต่เราทั้งคู่ไม่อยากเห็นลูกเดินทางผิด พ่อยอมให้ลูกแต่งกับนังเที่ยง ยกมันมาเป็นเมียแต่งออกหน้าออกตาเสียยังจะดีกว่า ให้เกิดเรื่องเช่นนั้น”ถ้าการที่ผมยอมรับทำตามในสิ่งที่พวกเค้าอยากให้เป็นหรืออยากให้ทำ แล้วมันทำให้พวกเค้าทีความสุข ผมก็ยินดีเพราะจากนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกแล้ว ทั้งสองลูบหัวผมอย่างรักใคร่
หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จผมกลับมาอยู่ที่ห้องของปรางโดยมีเที่ยงตามติดแจ เหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหน ผมได้แต่มองหญิงสาวแล้วรู้สึกใจหาย เธอเป็นอีกคนที่อยู่ในความฝันของผม และต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียงเท่านี้
“ถ้าเอ็งง่วงก็ไปนอนสินังเที่ยง”เจ้าของชื่อยังคงส่ายหน้าทั้งที่ตาจะปิดอยู่แล้ว แต่เที่ยงก็ฝืนอยู่กับผมจนดึกดื่นไม่ได้ จากคำพูดของหลวงตาทำให้ผมไม่พยายามคิดหาเหตุผล หรือพยายามหาว่าใครจะมาเป็นคนสังหารหมู่ครอบครัวนี้ เพราะการที่ผมทำอะไรลงไป มันต้องไปส่งผลกับบางอย่างแน่นอน
ผมค่อยๆ เปิดประตูอย่างเบามือที่สุด หลังจากเที่ยงเผลอหลับไป กลางดึกแบบนี้ทุกอย่างดูเงียบสงัด แต่แค่เพียงผมก้าวออกนอกประตูห้อง บ่าว 2 คนที่มาเฝ้าผมก็ลุกขึ้นยืนอย่างแข็งขัน ผมหันหลังกลับเข้าไปปลุกเที่ยงเพราะคิดจะทำบางอย่าง บางอย่างที่ผมเองก็รู้ว่าไม่ควรทำ แต่ผมกลับทำตรงข้ามกับเหตุผลที่ควรจะเป็น
“ข้าสัญญาว่าจะไม่ไปไหน แต่เจ้าต้องพาข้าไปท่าน้ำ”ผมบอกกับสาวใช้คนสนิท เที่ยงมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด แล้วเธอก็ยอมทำตามที่ผมร้องขอ เธอบอกกับ 2 คนที่เฝ้าว่าผมนอนไม่หลับ อยากไปนั่งรับลมที่ท่าน้ำ และไม่ต้องตามไป ขอให้เฝ้าอยู่ห่างๆ ก็พอ หากมีอะไรเที่ยงที่ไปกับผมจะรีบตะโกนให้ช่วยทันที ทีแรกทั้งคู่ไม่ยอมแต่เที่ยงเข้าไปกระซิบบางอย่างกับทั้งสอง เลยยอมให้ผมกับเที่ยงไปยังท่าน้ำ
“คุณปรา...”ผมต้องรีบเอามือปิดปากเที่ยงทันทีที่ถึงศาลาตรงท่าน้ำ เพราะมีอีกคนที่มารออยู่แล้ว
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่หนีไปไหน ข้าแค่จะมาบอกเค้าว่าไม่ต้องรอแค่นั้น”ผมต้องรีบบอกกับหญิงสาวเพื่อไม่ให้เธอตะโกนเรียกคนอื่นๆ
“คิดแล้วว่าเด็กน้อยต้องมา”เดวี่เดินมาดึงผมเข้าไปสวมกอดทันทีที่ผมปล่อยมือจากเที่ยง ผมรู้แล้วว่าเค้าคงรักปราชมาก แต่ผมละ ผมไม่ใช่ปราช และผมรู้สึกยังไงกับเค้ากันแน่ ผมเองยังตอบตัวเองไม่ได้เลย ผมค่อยๆ จับตัวเค้าขยับออก
“ผมไม่ใช่ปราชที่คุณรู้จัก และผมคงไปกับคุณไม่ได้”ข้อความที่เค้าบอกกับผมคือการหนีไปปารีสกับเค้า ใจนึงจริงๆ ผมก็คิดนะว่าถ้าผมไปกับเค้ามันจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปได้จริงๆ หรือมันจะมีอะไรมาขัดขวางไว้ แล้วถ้าผมไป คืนนี้จะยังเป็นอย่างที่ผมฝันไหม ที่จริงตั้งแต่วันที่ผมมีอะไรกับเดวี่ ผมก็แทบไม่ฝันอะไรอีกเลย
“เด็กน้อยไม่รักเดวี่หรือ”น้ำเสียงของเค้าแผ่วเบา ถึงผมจะรู้สึกสงสารเค้าทั้งที่ผมเองเป็นคนไขกุญแจให้เค้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง แต่ผมกลับทิ้งเค้าไว้ลำพัง ผมคงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากสินะ ผมอยากให้สิ่งที่เกิดตรงนี้มันเป็นแค่ความฝันเหลือเกิน
“ผมไม่ใช่คนที่คุณคิดหรอก คุณกลับไปเถอะ ที่ผมมาเจอคุณเพื่อไม่ให้คุณต้องเสียเวลารอผม”สายตาเค้าดูไม่เข้าใจกับการกระทำของผม ส่วนผมเองจริงๆ ถ้าดึงเอาเหตุผลดีๆ มาบอกเค้า เดวี่อาจจะยอมรับได้ง่ายกว่านี้เพราะดูเดวี่ก็ไม่น่าใช่คนไม่มีเหตุผล แต่ผมว่าการให้เค้าเกลียดผมไปเลยมันอาจจะดีกับตัวเค้ามากกว่า
ผมหันมองเที่ยงส่งสัญญาณว่าจะกลับขึ้นเรือน พร้อมหันหลังให้เดวี่ แต่เพียงก้าวแรกที่ผมออกเดิน เดวี่ก็ตามมากอดผมไว้จากด้านหลัง ผมหยุดนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ
“บอกมาคำเดียว บอกมาว่าเด็กน้อยไม่เคยรักเดวี่”รักอย่างเหรอ ผมเคยมีความรักให้ใครบ้างล่ะ นอกจากพ่อแม่ ยาย ผมเคยให้สิ่งนี้กับใครอีกบ้าง ความรู้สึกใจหายที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไรกันนะ แต่ผมไม่มีเวลาแล้วนี่มันดึกมากแล้ว เดวี่ควรไปจากที่นี่ก่อนที่ความฝันของผมมันจะเกิดขึ้นจริงๆ
“ผมไม่เคยรักคุณ สิ่งเดียวที่ผมต้องการจากคุณก็แค่เซกส์”ผมบอกออกเสียงเรียบ เค้าค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก ผมเดินตรงหาเที่ยงโดยไม่ได้หันกลับไปมองเค้าอีก ผมกับเที่ยงเดินกลับมาเงียบๆ โดยไม่พูดคุยอะไรกัน แต่ดูทุกอย่างมันเงียบจนผิดปกติ ผมเริ่มฉุกคิดว่าหรือนี่จะถึงเวลาแล้ว
“ยิ่งโยมพยายามเปลี่ยน ทุกอย่างมันยิ่งจะแย่ลง”คำพูดของหลวงตาดังก้องเข้ามาในหัวของผมทันที ผมมองไปที่ทางเข้าห้องนอนของปราง ตอนนี้ไม่มีคนเฝ้าอยู่แล้ว มันคงเกิดขึ้นจริงๆ แล้วสินะ
ไม่นานนักร่างผมและเที่ยงก็ถูกคนในความมืดเข้ามาประชิดตัว เที่ยงคงตกใจอย่างมากแต่เธอโดนปิดปากและมีมีดปลายแหลมจ่อที่คอทำให้ไม่กล้าที่จะขัดขืน ส่วนผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เราทั้งสองถูกพาไปยังห้องนอนของปรางเหตุการณ์มันดูต่างจากในฝันของผมแล้ว แต่คิดว่าจุดจบของเรื่องนี้มันคงไม่ต่าง
“ปล่อยลูกเมียกูไป มึงแค้นที่กูช่วยทางการตามล่ามึง มึงก็ทำกูคนเดียว”ทันทีที่ผมและเที่ยงเข้าไปในห้องหลวงปราบผู้เป็นพ่อก็หันไปบอกกับคนที่จะ ผมจำมันได้แล้ว มันคือคนที่ผมเจอที่งานวัดครั้งนั้น และที่เพิ่งเจอในวัดอีกครั้งเมื่อกลางวัน ผมเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว ว่าทำไมครอบครัวของผมถึงต้องโดนฆ่ายกครัวแบบนี้ ทุกคนต้องมาตายเพียงเพราะโจรชั่วคนเดียวนี่สินะ ผมค่อยๆ หลับตาลงเพราะเหตุการณ์ต่อจากนี้มันอยู่ในฝันของผมมานับไม่ถ้วน
น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลรินออกมา แม้ผมจะร้องไห้กับเหตุการณ์นี้มาหลายครั้งแล้วแต่ทุกครั้งพอตื่นขึ้นมา มันก็เป็นแค่ฝันร้ายของผม ส่วนครั้งนี้มันคือฝันร้ายที่กลายเป็นจริงแล้ว ผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว
“ลืมตาขึ้นมาสิ เจ้าจะได้รู้ว่าความสูญเสียจริงๆ มันเป็นเช่นไร”เสียงกระซิบข้างหูผมพร้อมกับมือเรียวที่สัมผัสหน้าผม หนังตาผมกำลังถูกดึงขึ้น ผมได้แต่พยายามขัดขืนและไม่เข้าใจ ทำไมปรางถึงอยากให้ผมมาเผชิญกับเหตุการณ์นี้ ตอนนี้เหมือนผมหลุดออกมาเป็นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ภาพความโหดร้ายทารุณที่ไอ้โจรชั่วกำลังทำกับครอบครัวของผม ยิ่งพวกเค้าเจ็บปวดเท่าไหร่ ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน สีหน้าทุรนทุรายของทุกคนติดตาของผมจนคิดว่าผมคงลบจากความทรงจำไปไม่ได้
ภาพมันชัดกว่าทุกครั้ง พ่อ แม่ เที่ยง ทุกคนเจ็บปวดและแน่นิ่งไปในที่สุด รวมถึงตัวของปราชเอง เสียงของปรางยังคงพูดซ้ำไปซ้ำมาข้างหูผม ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าผมรู้แล้วว่าการสูญเสียมันเจ็บปวดขนาดไหน แต่ที่ไม่เข้าใจในตอนนี้คือปรางอยากเห็นผมเจ็บปวดอย่างนี้ทำไม
“ค่อยๆ มองไปรอบๆ แล้วเจ้าจะเข้าใจ”เสียงกระซิบสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะอย่างสะใจ ผมค่อยๆ หันไปมองรอบๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทุกคนนอนจมกองเลือด
“ปัง”เสียงกระสุนดังขึ้นก่อนที่ความเจ็บปวดจะเริ่มแล่นเข้ามาในความรู้สึกของผม เดวี่สายตาผมหันไปสบตากับเดวี่ เค้ายิงผมทำไม ร่างผมค่อยๆ ล้มลงใบหน้าที่กองอยู่ตรงหน้าผม มันก็คือใบหน้าของผมเอง ไม่สิมันคือใบหน้าของปราชสินะ ผมเริ่มแน่นิ่งขยับตัวไม่ได้แล้ว ร่างของปราชถูกดึงขึ้นไป เดวี่สินะที่ดึงร่างของปราชขึ้นไป ผมเข้าใจแล้ว ผมเข้าใจแล้ว กล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตกลงมาที่หน้าผม
“ข้าขอให้เจ้าจมอยู่กับความเจ็บปวด อย่าได้รับความรักจากผู้ใด”เสียงหัวเราะของปรางดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง นี่สินะสาเหตุที่ปรางพาผมมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าผมคือปราช แต่ผมคือคนชั่วที่ฆ่าพวกเค้าทั้งครอบครัว และก็คงเพราะเหตุนี้สินะ พ่อแม่ถึงไม่เคยรักผม มันก็สมควรแล้ว พวกท่านจะรักผมได้ยังไง ดวงตาผมค่อยๆ ปิดลง แต่ภาพเหตุการณ์นี้คงยากจะลบไปจากความทรงจำของผม
TBC
บทที่ 13
รู้จักกันอีกครั้ง
“ขอบคุณอีกทีนะครับพี่เพ็ญ ดูแลผมมาอย่างดี”ผมกล่าวขอบคุณพยาบาลพิเศษที่ดูแลผมอยู่เป็นเดือนๆ จนตอนนี้ผมหายดีจนแทบจะเรียกว่าปกติแล้ว วันนี้ผมเลยมาเลี้ยงข้าวเย็นส่งท้ายการทำงาน แม้ทีแรกหญิงสาวรุ่นพี่จะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ยอมตกลงมากับผม ที่จริงส่วนนึงผมก็อยากออกมาข้างนอกบ้างนั่นแหละครับ อยู่แต่ในบ้านมันก็เบื่อ จะชวนเพื่อนออกมาสังสรรค์ก็ไม่มีใครว่างเลย ก็เลยถือโอกาสมาดินเนอร์กับพี่เพ็ญนี่แหละครับ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกคะ พี่ก็ทำให้ดีที่สุดตามหน้าที่”หญิงสาวบอกกลับมาอย่างจริงใจ
“ต่อไปถ้าพี่เพ็ญมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะครับ จากนี้ก็คิดเสียว่าผมเป็นน้องชายคนนึง อีกอย่างเลิกเรียกผมว่าคุณได้แล้ว เรียกน้องก็ได้ครับ”ผมบอกออกไปอย่างจริงใจ เพราะรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวรุ่นพี่คนนี้จริงๆ พี่เพ็ญยิ้มตอบกลับผมมา ผมเดินมาส่งเธอที่ลิฟต์ เพื่อลงจากตึก
“แล้วนี่แฟนพี่เพ็ญมาถึงแล้วเหรอครับ”ผมชวนคุยเพราะเห็นบอกตอนผมไปรับว่าจะให้แฟนมารับกลับ
“อ๋อ พอดีแฟนพี่ไม่ว่างแล้ว พี่เลยให้น้องสาวมารับแทนนะคะ นี่ก็บ่นๆ ให้พี่อยู่เห็นว่านัดกับแฟนไว้ ต้องให้แฟนรออีก”เหมือนพี่เพ็ญจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดออกมาเกินความจำเป็น
“ที่จริงให้ผมไปส่งก็ได้นะครับ”หญิงสาวรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ เพราะเกรงใจผม แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้มีธุระอะไรอยู่แล้ว ถ้าให้ผมไปส่งก็ไม่ลำบากอะไรอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นี่น้องสาวพี่บอกอีก 5 นาทีก็ถึงแล้ว ว่าแต่น้องปอนด์เถอะค่ะ ไปไหนต่อคะเนี่ย เพิ่งหายป่วยก็อย่าเพิ่งหักโหมเที่ยวนักนะคะ เห็นคุณแม่บอกว่าเมื่อก่อนน้องปอนด์เที่ยวหนักมะ...มาก”คำพูดของพี่เพ็ญสะดุดไปคงเพราะเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผม ที่จริงผมก็ไม่อยากเป็นแบบนี้นะครับ แต่พอพูดถึงพ่อกับแม่ทีไร ความรู้สึกต่างๆ มันก็ยังตีกันในหัวผมไปหมด ทั้งเรื่องที่ผมก็ยังรู้สึกน้อยใจท่านทั้งคู่เหมือนเดิม ที่เหมือนไม่ได้ให้ความรักกับผม แต่อีกใจก็พยายามคิดว่ามันสมควรแล้วที่เป็นแบบนี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมเคยทำไว้ในอดีต
“แค่จะไปเจอเพื่อนแปบนึงแค่นั้นแหละครับ”ผมโกหกออกไปเพราะไม่ได้นัดใครไว้ และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน แต่ผมอยากจะไป เผื่อได้เจอใครคนนั้น คนที่ผมคิดว่าน่าจะใช่ ถ้าตามที่หลวงตาพูดไว้ว่าคนที่สร้างกรรมร่วมกันมาจะต้องมาใช้กรรมร่วมกันผมก็น่าจะต้องได้เจอกับเค้าสักวัน แต่ถ้าไม่เจอวันนี้ผมก็หวังแค่ว่าจะมีสักคนที่มาช่วยคลายความเหงาให้กับผม
“งั้นพี่ไปนะคะ แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องคุณพ่อคุณแม่นะคะ ยิ้มหน่อยๆ เป็นน้องชายพี่ห้ามทำหน้าอมทุกข์นะ”พี่เพ็ญบอกกับผมก่อนเข้าลิฟต์ไป ผมโบกมือ และยิ้มจางๆ ให้แกก่อนจะค่อยๆ หุบยิ้มลงเมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ผมเดินเลี่ยงออกไปยังจุดที่ยื่นออกจากตัวตึกที่อยู่ตอนนี้และเค้าให้สูบบุหรี่ได้
ผมทอดสายตามองแสงสีในยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ นาฬิกาข้อมือของผมตอนนี้บอกเวลาเกือบ 4 ทุ่มแล้ว ผมดูดบุหรี่เข้าไปเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆ พ่นออกมาหวังให้ตัวเองคลายความตึงเครียดลงบ้าง อันที่จริงก็ไม่เรียกว่าเครียดหรอกครับ เรียกว่ามีหลายเรื่องให้ต้องคิดเสียมากกว่า แรงสั่นที่กระเป๋ากางเกง และเสียงดนตรีที่ดังตามมา เรียกความสนใจจากผมให้ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดู ผมมองชื่อบนหน้าจอก่อนจะยิ้มเยาะให้กับตัวเอง
“ครับแม่”ผมปรับน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติมากที่สุด ผมยังคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในทุกครั้งที่พูดคุยกับทั้งพ่อและแม่แล้วไม่ให้ตัวเองนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นในอดีต
“กำลังจะไปส่งพี่เพ็ญครับ”ผมโกหกออกไปอีกแล้ว ช่วงนี้ผมกลายเป็นคนที่พูดคำไม่จริงเพิ่มขึ้น ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรแต่บางครั้งถ้าไม่อยากให้เรื่องราวมันยุ่งยากหรือให้อีกฝ่ายสบายใจ ผมว่าการที่เลือกจะโกหก มันก็คงไม่ได้แย่ เพราะบางครั้งการพูดความจริงทั้งหมดมันก็ก่อเรื่องยุ่งยากตามมาได้เช่นกัน
“วันนี้ผมขอไปค้างคอนโดนะครับ...ครับ...เดี๋ยวไปส่งพี่เพ็ญก็กลับเลยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”ผมตั้งใจไว้แล้วที่จะพาพี่เพ็ญมาทานข้าว เพราะบ้านของพี่เพ็ญก็อยู่ไม่ห่างจากคอนโดของผมมากนัก และผมเองก็บอกพี่เพ็ญไปแล้วว่าถ้าหากแม่ผมโทรไปถามให้บอกว่าผมเป็นคนไปรับ และไปส่ง ผมกดวางสายก่อนจะกดก้นบุหรี่ลงที่กระถางที่จัดไว้ให้ทิ้งก้นบุหรี่ สายตาผมจ้องมองไปยังจุดหมาย ที่ผมเคยไปเป็นประจำ วันนี้เป็นคืนวันศุกร์อีกไม่นานผู้คนมากมายคงมุ่งไปยังจุดเดียวกันกับผม
นี่สินะชีวิตจริงๆ ของผม ผมคือปอนด์ชายผู้อายุใกล้จะครบ 28 ปีเต็มแล้ว และกำลังจะใช้แสงสียามค่ำคืนกับผู้คนที่ผ่านเข้ามา บำบัดความเหงาและหว้าเหว่ของตัวเอง ผมไม่ต้องใช้ชีวิตในร่างปราชอีกต่อไป ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะลบความทรงจำเหล่านั้นไปเสีย ความทรงจำที่ตอนเริ่มต้นมีแต่ความสุข แต่ท้ายที่สุดผมก็เหมือนถูกลากไปแขวนคอในจตุรัสกลางเมือง แต่นั่นมันอาจจะดีกว่า เพราะนี่ผมไม่ตาย มันมีแค่ความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ ตกค้างที่ย้ำว่าผมเหมือนกำลังตายทั้งเป็น
“หมั่นทำกรรมดีแล้วกันนะโยม”อยู่ๆ คำพูดของหลวงตาก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม แต่ผมก็แค่ส่งเสียง “หึ” ในลำคอ ก็ในเมื่อถ้าหลวงตาก็บอกเองว่าทำดีไป มันก็ไม่สามารถหักล้างกับที่เคยทำไม่ดีไว้ งั้นผมก็ขอเป็นแบบนี้ไปเหมือนเดิมแล้วกันนะครับ นี่คือข้ออ้างในการไม่ทำตามคำแนะนำของหลวงตา
“สวัสดีครับพี่ หายไปนานเลยนะครับ”เด็กรับรถที่คงคุ้นหน้าผมดี เพราะผมก็เป็นลูกค้าประจำของที่คลับแห่งนี้ ผมยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะส่งกุญแจให้เอารถไปเก็บวันนี้ผมตั้งใจว่าจะไม่ดื่มมากนัก เพราะทั้งร่างกายที่ห่างแอลกอฮอล์ไปนาน ประกอบกับวันนี้ต้องขับรถกลับเองด้วย
ผมตรงไปยังมุมประจำของผมทันทีที่ก้าวเข้าไปในคลับ เสียงเพลงจังหวะกลางๆ ถูกเปิดคลอๆ ไม่ได้ดังจนแสบแก้วหูเหมือนบางที่ แต่นี่ก็ดังพอให้คนข้างในนี้คุยกันด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ ตอนนี้ผู้คนเริ่มหนาตาบ้างแล้ว คาดว่าอีกไม่เกินชั่วโมงข้างในนี้จะอัดแน่นไปด้วยนักดื่ม และนักล่าที่มาหาเหยื่อ หรือบางทีเหยื่อก็เป็นฝ่ายมาทอดสะพานให้นักล่าก็มี ผมเองก็อยู่ในทุกสถานะเหล่านั้นมาหมดแล้ว
บางวันที่อยากดื่มเฉยๆ ผมก็จะดื่มจนถึงลิมิตแล้วก็กลับโดยที่จะไม่เอารถมาเอง แต่ถ้าคืนไหนที่ต้องการเป็นผู้ล่าผมจะไม่ดื่มมากนัก แถมด้วยถ้าวันไหนอยากเป็นผู้ถูกล่าก็ต้องแปรสภาพตัวเองให้เป็นคนอ่อนต่อโลกให้มากๆ แต่การมาในที่เดิมๆ ซ้ำๆ ก็มีข้อเสียเช่นกัน เพราะมนุษย์แสงสีเช่นผมก็มีอยู่ไม่น้อย และมักจะมารวมตัวในที่เดียวกันจนคุ้นหน้าคุ้นตาและรู้จักเป้าหมายของกันและกันมากเกินไป เพราะงั้นนักท่องราตรีที่ดีควรมีที่ประจำไว้มากกว่าหนึ่ง จะได้สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปบ้าง
“เตกีล่ามา 5 ช็อทครับ”ผมนั่งตรงเค้าเตอร์บาร์ ก่อนจะสั่งไปอย่างคุ้นเคยจนลืมคิดไปว่า วันนี้ดื่มมากไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ที่สั่งไปนั่นมันก็เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณในเวลาปกติของผม ไม่นานนักแก้วใบจิ๋วที่ข้างในมีน้ำใสแจ๋วก็ถูกนำมาวางตรงหน้าผม พร้อมด้วยมะนาว 5 แว่นเท่ากับจำนวนแก้ว เกลืออีกพอประมาณถูกจัดวางมาในถาดใบเล็กจนครบเซต
ผมค่อยๆ ใช้นิ้วจิ้มละเลียดไปที่เกลืออย่างช้าๆ ก่อนจะลากเม็ดเกลือเหล่านั้นมาวนที่ปากแก้วใบจิ๋ว ความรู้สึกบอกว่ามีสายตากำลังจับจ้องผมอยู่ แต่ผมยังคงจดจ่ออยู่กับแก้วเครื่องดื่มใบจิ๋ว ผมหยิบแก้วขึ้นกระดกไปหนึ่งแก้ว ก่อนจะหยิบมะนาวที่มีเกลือติดอยู่นิดหน่อยมากัดไว้ที่ริมฝีปาก รสเปรี้ยวของมะนาว ช่วยบรรเทาความแรงของแอลกอฮอล์ ที่อุ่นวาบจากลำคอลงไปถึงกระเพาะเมื่อสักครู่ได้เป็นอย่างดี แต่ทีจริงมันก็บรรเทาแค่ความรู้สึกเท่านั้นแหละ เพราะมะนาวเพียงน้อยนิดก็คงไปลดดีกรีของแอลกอฮอล์ที่ดื่มลงไปไม่ได้
ผมเงยหน้าขึ้นหันไปตามทิศที่คาดว่าจะมีคนมองผมอยู่ แต่ผู้คนที่หนาแน่นขึ้นทำให้ผมไม่เห็นในทันทีว่าใครคือคนที่จ้องผมอยู่ สายตาผมกวาดมองไปในหมู่ผู้คนมากมายที่เริ่มโยกย้ายตามเสียงเพลง มือผมฉวยหยิบแก้วใบจิ๋วขึ้นมายกรวดเดียวอีกใบ มะนาวฝานถูกผมคาบไว้ที่ริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง สายตาผมช้อนมองหนึ่งคนในเงามืดที่อยู่ห่างออกไป ห่างจนผมไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเค้า แต่ผมมั่นใจว่านั่นคือคนที่จ้องมองมายังผม
ผมยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองรสเค็มจากเกลือและเปรี้ยวจากมะนาวช่างเข้ากันเสียเหลือเกิน สายตาผมมองตรงไปยังเป้าหมาย แม้ผมจะเห็นเค้าไม่ชัดเพราะเค้าอยู่ในเงามืดตรงแสงไฟส่องไม่ถึง แต่ตรงที่ผมอยู่นี้ มั่นใจได้เลยว่าเค้าเห็นทุกการกระทำของผม ผมยกนิ้วขึ้นปาดเช็ดที่ริมฝีปากก่อนจะหมุนเก้าอี้กลับหันหน้าเข้าเค้าเตอร์เหมือนเดิม ผมกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจว่าคืนนี้ผมอาจหาคนมาช่วยบำบัดความเหงาได้เร็วกว่าที่คิด
ผมวางแก้วเตกีล่าช็อทที่ 3 ลงกับเค้าเตอร์พอดีตอนที่มีคนมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ผม จากการมองด้วยหางตาผมว่านี่คือคนที่แอบมองผมในความมืดแน่นอน ผมค่อยๆ ละเลียดกับเตกีล่าช็อทที่ 4 ทำทีไม่สนใจคนที่เพิ่งมานั่งข้างๆ ใจเย็นไว้ก่อน นั่นคือสิ่งที่ผมบอกกับตัวเอง
“Hello”น้ำเสียงที่ได้ยินทำให้ผมต้องหยุดชะงัก วางแก้วใบจิ๋วไว้ตามเดิม ผมบอกกับตัวเองในใจว่าไม่น่าใช่ แต่ถ้าใครมาแตะที่หน้าอกผมตอนนี้จะสัมผัสได้ว่ามันเต้นโครมครามจนเหมือนจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ผมค่อยๆ หันไปตามเสียงคนที่ทักทายผมช้าๆ ช้าๆ แล้วเสียงเพลงรอบกายผมก็เหมือนหยุดนิ่งไป มีเพียงเสียงวิ้งๆ อยู่ในหูของผม คำพูดของหลวงตาลอยวนมาในหัวของผมอีกครั้ง
“การที่ได้สร้างกรรมร่วมกันมาแล้ว กรรมก็มักจะผูกเราเอาไว้ด้วยกัน”ผมมองหน้าเค้านิ่ง จนเค้าคงเริ่มงงว่าทำไมผมถึงจ้องเค้าขนาดนี้
“เดวี่”ผมหลุดเรียกชื่อของเค้าออกมาแผ่วเบา
“What???”ภาษาอังกฤษที่ยังติดสำเนียงฝรั่งเศสหันมาถามผมอย่างไม่เข้าใจ
“เปล่าครับ คุณแค่เหมือนคนที่ผมเคยรู้จัก”ผมตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งเศสไปโดยอัตโนมัติ เค้าดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมพูดฝรั่งเศสได้ ส่วนผมต้องพยายามตั้งสติ เพราะแม้คนๆ นี้จะเหมือนเดวี่ไปทุกกระเบียดนิ้ว แต่เค้าก็ไม่ใช่เดวี่คนเดิมอีกแล้ว
“คุณมีเชื้อสายฝรั่งเศสเหรอ ทำไมถึงพูดฝรั่งเศสได้ชัดขนาดนี้”เค้าดูมีความสนใจในทักษะด้านภาษาของผมเป็นพิเศษ ผมเลื่อนแก้วเตกีล่าอีก 1 ช็อทที่เหลือให้เค้าเมื่อเห็นว่าเค้าไม่มีเครื่องดื่มติดมือมา นี่ผมจะได้เจอใครอีกบ้างกันนะ นอกจากเดวี่แล้ว แล้วนี่เค้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับผมในฐานะไหนกันละ
“ผมแค่เคยเป็นเด็กขยันและตั้งใจเรียน โตมาถึงได้เก่งแบบนี้ไง”ผมบอกยิ้มๆหันมองเค้าให้เต็มตา เค้ายังเหมือนเดิมแทบทุกอย่าง เว้นอยู่แค่ทรงผมที่ถูกตัดแต่งให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เค้ายกแก้วใบจิ๋วที่ผมส่งให้ขึ้นกระดก ก่อนจะอ้าปากทำเสียงจิในลำคอ
“แล้วนี่ คุณชื่ออะไร”เค้าเอ่ยถามผมอย่างไม่มีปิดบังว่าสนใจในตัวผม
“ผมชื่อปอนด์ครับ แล้วคุณล่ะ”หลังจากพูดคุยมาหลายประโยคนี่คงถึงเวลาทำความรู้จักกันแล้วสินะ
“ผมชื่อเดช็อง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”เดช็องอย่างนั้นเหรอ ผมยังคงสงวนท่าทีไม่รีบร้อนที่จะอยากรู้จักเค้ามากไปกว่านี้ เพราะผมรู้ดีว่า อีกไม่ช้าผมคงได้รู้จักเค้ามากขึ้นอย่างแน่นอน จากที่ดูตอนนี้ตัวเค้ากับผมอายุคงไล่เลี่ยกันแน่ๆ ถ้าจะต่างกันก็คงไม่เกิน 2-3 ปี
“คุณบอกว่าผมเหมือนคนที่คุณเคยรู้จัก เค้าเป็นใครหรือครับ หรือว่าที่จริงเราเคยเจอกันมาก่อน”เค้าถามผมด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะหันไปยกแก้วใบจิ๋วให้กับบาร์เทนเดอร์ และชูนิ้วมือทั้ง 5 อีกข้างเป็นการขอเตกีล่ามาเพิ่มอีก 5 ช็อท
“เราไม่เคยเจอกันมาก่อนอย่างแน่นอน ส่วนคนที่ผมพูดถึง เค้าก็แค่...คนที่อยู่ไกลแสนไกลและผมคงไม่มีทางได้เจอเค้าอีก”เดวี่คนเดิมไม่มีอีกแล้ว เช่นเดียวกับเด็กน้อยของเดวี่ที่คงไม่มีอีกแล้วเช่นกัน
“แฟนเก่าคุณเหรอครับ เค้าเป็นคนทำให้คุณพูดฝรั่งเศสได้คล่องแบบนี้หรือเปล่า”แฟนเก่างั้นเหรอ ระหว่างผมกับเดวี่ ไม่สิอาจจะเป็นระหว่างเดวี่กับผมที่อยู่ในร่างปราช ตอนนั้นคงไม่สามารถใช้คำว่าแฟนได้หรอกมั้ง พอนึกถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ ผมไม่ใช่ปราช แต่ทำไมผมถึงเห็นว่าปราชมีหน้าตาที่เหมือนผมในตอนนี้เลย หรือว่านั่นเป็นแค่ภาพลวงที่ถูกสร้างขึ้นมาให้กับผมโดยเฉพาะ
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”ผมปฏิเสธอย่างขำๆ กับการคาดเดาของเค้า เมื่อเห็นว่าเค้ายังคงจ้องหน้าเพื่อรอคำตอบจากผมอยู่ เราเงียบกันไปสักพักต่างคนต่างหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นกระดก
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมองคุณอยู่”เค้าเปิดบทสนทนาอีกครั้งโดยใช้เหตุการณ์เริ่มต้นที่ทำให้เรามานั่งคุยกันอยู่ตอนนี้
“แล้วคุณละ ทำไมถึงจ้องมองผม”ผมยกแก้วขึ้นดื่มก่อนจะถามเค้ากลับ แทนที่จะตอบในสิ่งที่เค้าถาม
“ผมถามก่อน”เค้ารีบย้ำเหมือนบังคับกลายๆ ว่าผมต้องตอบข้อข้องใจของเค้า
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณมองผมอยู่ ผมก็แค่นั่งอยู่คนเดียวมองอะไรไปเรื่อยๆ”ผมตอบด้วยความรู้สึกสนุกที่ได้มาผลัดกันถามตอบกับเค้าแบบนี้
“แต่คุณทำเหมือนเชิญชวนให้ผมมานั่งตรงนี้ด้วย”ที่เค้าพูดมานี่ก็ไม่ผิดหรอกนะครับ เพราะผมก็ทำแบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ผมจะต้องยอมรับกับเค้านี่ครับ
“นั่นคุณอาจจะคิดไปเอง”ผมยังคงตีเนียนตอบอย่างไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เค้ามาพูด
“ก็ได้ๆ ผมยอมแพ้ ผมแค่รู้สึกว่าคุณมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ผมละสายตาไม่ได้ แล้วพอยิ่งได้มาทำความรู้จักผมว่าคุณยิ่งมีความน่าสนใจ”นี่สินะผลของการเคยสร้างกรรมไว้ร่วมกันอย่างที่หลวงตาบอก มันส่งผลให้ทั้งผมและเค้าถูกดึงดูดเข้าหากัน แต่ว่าให้ตายเถอะ ผมดันนึกถึงเรื่องระหว่างผมกับเค้าขึ้นมาเสียได้ ริมฝีปากนั้นที่ผมเคยครอบครอง แผ่นอกกว้าง กล้ามเนื้อแกร่ง ทุกส่วนที่ผมเคยได้สัมผัส มันเหมือนเรียกร้องให้ผมเข้าไปสัมผัสอีกครั้ง
“คุณอาจกำลังให้ค่าผมสูงเกินไป”ผมหันมายกแก้วขึ้นดื่มและพยายามบอกเสียงเรียบเพื่อเป็นการข่มความรู้สึกของตัวเองไว้ด้วย
“กำลังคุยกับคุณสนุกๆ แต่ผมคงต้องไปแล้ว แฟนสาวของผมส่งข้อความมาตามแล้ว”แฟนสาวอย่างนั้นเหรอ เค้ามีแฟนแล้ว แล้วทำไมผมต้องรู้สึกใจมันหวิวๆ แปลกๆ
“แลกเบอร์กันไว้ไหมครับ เผื่อนัดแฮงเอ้าท์กัน”เค้าหันมาถามผมพร้อมตั้งท่าเตรียมจะออกไปแล้ว
“ดูคุณรีบๆ ผมว่าคุณรีบไปก่อนก็ได้ครับ ไว้เจอกันคราวหน้าค่อยแลกเบอร์กันก็ได้”ผมบอกออกไปอย่างไม่ตื่นเต้น เพราะยังไงเราต้องได้เจอกันอีกอยู่แล้ว
“คราวหน้า?”เค้าย้อนถามด้วยความสงสัย
“เชื่อผมสิ เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก”
TBC
เห็นมีคนชอบเยอะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆ นะครับ
อธิบายเพิ่มอีกนิดละกันนะครับ เผื่อใครที่งง
ปอนด์ จริงๆ ในอดีต คือโจร
ปอนด์กับปราชคือคนละคน
โจรมาเกิดเป็นปอนด์
ปราชมาเกิดเป็นปกป้อง
ทั้งที่จริงๆ ถ้าปรางไม่เป็นคนทำ
โจรจะมาเป็นปกป้อง
ปราชจะมาเป็นปอนด์
555
ดูงงๆ ไหม
Norita_Boy
norita_boyV2
ฝากนิยายด้วยนะครับ
เรื่องที่จบแล้ว
เรื่องที่ 1 : 45 วันพนัน(ไม่)รัก
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0
เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่คิดเกมพนันให้เพื่อนที่เหมือนจะไม่ชอบเกย์
ให้มาอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่เป็นเกย์ กติกาคือถ้าภายใน 45 วันถ้าทั้งคู่ตกหลุมรักกันก็จะแพ้
แต่ถ้าไม่รักกัน เพื่อนๆ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ แนวสบายๆ
เรื่องที่ 2 : ระหว่างเราคือ...???
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนผัวพันกันจนยากที่จะแก้ไข สุดท้ายมันก็พันกัน
จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ อีกคนชัดเจนในความรู้สึกแต่ก็โอนอ่อน
ผ่อนตามอีกคนที่ไม่ชัดเจน จนดึงคนอื่นเข้ามาในวังวน ทุกคนตัดสินใจทำ
และมองแค่ในมุมของตัวเองจนเหมือนต่างคนต่างเห็นแก่ตัว
ค่อนข้างจะดราม่า หน่วงๆ พอสมควรกับเรื่องราว 1 หญิง 2 ชาย
เรื่องที่ 3 : (ไม่)รักได้ไง
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0
เพื่อนสนิทในอดีตที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ได้บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ไม่เคยบอกกับอีกฝ่าย ได้เข้ามาเติมเต็มชีวิต และต้องพยายามพิชิตใจ
ของอีกคน เป็นแนวสบายๆ ที่ให้เห็นความต่างจาก เรื่อง ระหว่างเราคือ...???
และมีตัวละครจากอีกเรื่องโผล่ มาด้วยนิดหน่อย เพื่อให้เห็น
ข้อผิดพลาดในการตัดสินใจของตัวเอง
เรื่องที่ 4 : เปลี่ยนไป(หรือเปล่า)
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44051.0
เรื่องราวของคู่รักที่มีบางอย่างไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องสั้นๆ เนื้อหาไม่มากนัก
เรื่องราวเล่าความสัมพันธ์ในอดีตสลับกับเหตุการณ์ 1 วันในปัจจุบันที่ทั้งคู่
ต้องเผชิญ
เรื่องที่ 5 : ผิดที่ใคร? Right or Wrong
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0
จุดเริ่มต้นจาก Sex Friends ที่ทั้งคู่ต่างเห็นตรงกันว่าจะไม่ผูกมัด และจะหยุด
หากอีกฝ่ายคิดที่จะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง หรือมีใครคิดเกินเลย
และด้วยความที่คนนึงชัดเจนว่าจะใช้ชีวิตในแบบ ช-ช แต่อีกคนยังมี
ความฝันที่จะแต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ช่วงแรกๆ จะยัง
สบายๆ ช่วงหลังๆ ค่อนข้างอึดอัด อึมครึมจนเกือบจบ
เรื่องที่ 6 : คำตอบที่ว่างเปล่า
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0
เรื่องราวของชายหนุ่มที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักจากครอบครัว
ครอบครัวที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่แล้วคืนนึงที่โดนทำร้าย
จนหมดสติไป เค้ากลับตื่นขึ้นมาในอดีต ที่ย้อนไปกว่า 100 ปี บางอย่างที่
พาเค้าไป กำลังต้องการบางอย่างจากเค้า เรื่องราวจะไม่ได้ดำเนิน
ในพาร์ทอดีตทั้งหมด มีเรื่องราวของการทำบาป กรรม ผูกเข้ากับเนื้อเรื่อง
เล็กน้อย
เรื่องที่ 7 : High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0
เรื่องราวของชายหนุ่มวัยเบญจเพศที่ยังไม่เคยมีแฟน และยังเวอร์จิ้น
ชีวิตต้องเดินตามกรอบของครอบครัวที่ตีไว้มาตลอด เลยลองย้ายออกมาเช่าบ้าน
อยู่คนเดียวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็น แต่ก็ต้องปวดหัว
เมื่อต้องมาเจอกับเพื่อนบ้านเป็นเด็ก ม.ปลาย ที่สุดแสนจะกวนประสาท
เรื่องที่กำลังออนแอร์
เรื่องที่ 1 : Grain Brothers พี่น้องข้าว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0
เรื่องราวของสองพี่น้องคนละสายเลือดแต่เติบโตมาพร้อมกับ แต่แล้ว
วันนึงทั้งคู่ก็ต้องสูญเสียครอบครัวไป จนต่างคนต่างเหลือตัวคนเดียว
รวมทั้ง จุดหมายในชีวิตที่ต่างกันทำให้ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตกันคนละทิศละทาง
โดยมีข้อตกลงที่จะมาเจอกันปีละ 1 ครั้งในช่วงเวลาที่สูญเสียครอบครัว
เพื่อเป็นการรำลึกถึง และเพื่อใช้เวลาร่วมกัน
เรื่องที่ 2 : Drunk in Love
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63814.0
เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จักกันเพราะความบังเอิญ และค่อยๆ เรียนรู้กันผ่านแอลกอฮอล์
ฝากลองติดตามกันด้วยนะครับ
o13
[/b]