ว่าด้วยเรื่องของอิมเมจคนต่อมา หน้าตาเอาเรื่องเอาราวและเอาแต่ใจสุดๆ ตอนหน้าเราจะได้รู้ความในใจของไมค์กันบ้างแล้วนะคะ
"นายรู้ใช่ไหมว่านายไม่ควรขัดใจฉัน"
(http://i843.photobucket.com/albums/zz354/blacklookyee/Photo%205-22-2559%20BE%2011%2007%2035%20PM.jpg)
(Robinson Bancroft)
มารับรู้มุมมองความคิดของไมกี้กันบ้างนะคะ ... สีหน้าของไมค์ในตอนท้ายของบทคงเป็นอย่างนี้ ฮ่าๆๆ ... อิมเมจของไมค์ชัดเจนพอสมควรเมื่อเทียบกับนายแบบหนุ่มน้อยสุดหล่อคนนี้ ... หน้าตาเอาเรื่องเอาราวและเอาแต่ใจสุดๆ
ปล. จากบทนี้อาจจะได้ลงอาทิตย์ละตอนจริงๆแล้วค่ะ เพราะสต็อกเริ่มร่อยหรอ ผู้เขียนติดซีรีส์และเด็กจีนหนักมากจนไม่มีเวลามาต่อบท ฮ่าๆๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่หยุดกลางครันแน่นอนค่ะ รอติดตามกันต่อไปนะคะ ขอบคุณมากจริงๆที่ยังมีคนรออ่าน / MissDaisy
(http://i843.photobucket.com/albums/zz354/blacklookyee/Photo%205-22-2559%20BE%2011%2007%2035%20PM.jpg)
(Robinson Bancroft)
# 16 (MIKE)
ผมเดินกลับบ้านด้วยใจที่เต้นระรัว ... ทั้งๆที่ไม่มั่นใจว่าพีทจะเข้าใจในสิ่งที่สื่อออกไปไหม และถ้าให้เดา ผมว่าเขาไม่ ... คนอย่างพีท ถ้าคิดอะไรได้ไวขนาดนั้น คงไม่ต้องมาอกหักไกลถึงอเมริกา
“ไม่นอนกับพีทอีกเหรอคืนนี้?” น้าเจนี่ทักขึ้นเมื่อผมเดินเข้าบ้าน
“Nope.” ผมส่ายหน้า เดินไปหย่อนก้นบนเก้าอี้ในครัว
“พีทน่าสงสารนะ” น้าเจนี่พูดขณะที่กำลังง่วนกับอะไรสักอย่างบน Island
“ทำไร?” ผมชะโงกหน้ามองสารพัดผักในกล่อง
“Salad”
“Diet?”
“Yah”
“Again?” ผมมองสลัดในกล่อง สลับกับสีหน้าที่เอาจริงเอาจังของน้าสาว อดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะออกมา เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะนี่เป็นรอบที่ล้านได้แล้วมั้งที่น้าเจนี่บอกว่าจะไดเอ็ท แต่ทุกครั้งก็ทำได้ไม่เกิน 3 วัน
“ไปเลยไป” น้าเจนี่สะบัดมือไล่ผมอย่างกับหมอผีเขวี้ยงข้าวสารเสก เหมือนที่เคยเห็นในหนังผีปอบที่เคยดูกับคุณย่าในโปรแกรมไทยทีวี
“ล้อเล่นน่าคุณน้าคนสวย” ผมยื่นหน้าเข้าไปง้อ ถึงจะเป็นน้าหลานที่อายุห่างกัน 20 กว่าปี แต่เราสนิทกันมาก ผมกับน้าเจนี่คุยกันได้แทบทุกเรื่องเหมือนเพื่อนสนิท ... ยกเว้นก็แต่เรื่องที่กำลังอยู่ในใจของผมขณะนี้
“แล้วพีทเป็นไงบ้าง? เมื่อคืนเมาอ้วกเลยเหรอ?” คุณน้าเงยหน้าขึ้นจากกล่องผักสารพัดสี
ที่น้าเจนี่ถามอย่างนี้ ผมคงต้องสารภาพว่าเพราะเมื่อคืนตอนเข้าไปอาบน้ำ ผมส่งไลน์บอกว่าพีทเสียใจหนักมาก ดื่มไปเยอะจนอ้วก ผมเลยต้องอยู่ดูแล
“ก็นิดหน่อย ... คุณย่านอนแล้วเหรอฮะ?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากโกหกมากไปกว่านี้
“ใช่ บอกจะดูละคร แต่พอเปิดทีวีให้ไม่ถึง 5 นาทีก็หลับผล็อย”
ผมพยักหน้ารับทราบ แล้วทิ้งให้น้าสาวง่วนอยู่กับสลัดของเธอต่อไป
ก่อนขึ้นห้องของตัวเอง ผมแวะห้องของคุณย่าที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งนอนร่วมกับน้าเจนี่ คุณย่าหลับอยู่บนฟูกที่ปูอยู่บนพื้น ท่านบอกว่าไม่ถนัดที่จะนอนบนเตียง แม้ว่าจะย้ายมาอยู่อเมริกานานหลายสิบปี แต่บางอย่างที่คุณย่าเคยปฏิบัติมาก่อน ท่านก็ไม่ยอมเปลี่ยน เหมือนอย่างเรื่องที่ลูกๆและหลานอย่างผมต้องพูดและใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
คุณย่าแม้จะเกิดที่เชียงตุง แต่กำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก ครอบครัวเพื่อนของคุณพ่อท่านจึงรับมาเลี้ยงดูที่กรุงเทพฯ คุณย่าพบกับคุณปู่ในสมาคมของชาวเชียงตุงในประเทศไทย คุณปู่ของผมมีสายเลือด Australian นี่อาจทำให้เชื้อมาโผล่เอาที่ผมบ้าง คุณปู่มีโอกาสได้มาทำงานที่ประเทศอเมริกา คุณย่าและลูกๆ คือคุณพ่อและน้าเจนี่ที่ยังเป็นเด็กประถม จึงต้องย้ายตามมาด้วย ถึงแม้คุณย่าจะเป็นชาวเชียงตุง แต่อีกใจหนึ่ง ท่านก็ถือว่าท่านเป็นคนไทย เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องพูดภาษาไทยให้ชัดถ้อยชัดคำเมื่อคุยกับท่าน
ผมสีเงินยวงที่ถูกขมวดเป็นปมในเวลากลางวันถูกปล่อยสยายในเวลานอน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยดูผ่อนคลายในยามหลับใหล ... เพราะคุณปู่จากไปในวัยหนุ่ม คุณย่าจึงต้องดูแลลูกๆมาโดยลำพัง ท่านเป็นคนที่ผมรักและเทอดทูนมากที่สุดในชีวิต ... ผมก้มลงจูบแก้มคุณย่าเบาๆ จัดผ้าห่มคลุมหน้าอกให้เรียบร้อย อย่างที่คุณย่าเคยทำให้ผมมาตลอด จนกระทั่งไม่นานมานี้ที่ท่านเข่าไม่ดี เดินขึ้นบันไดไปหาผมที่ห้องไม่สะดวก ผมจึงเปลี่ยนมาเป็นคนที่เข้ามาจูบคุณย่าก่อนนอนแทน
เมื่อเดินขึ้นมาชั้นบน พบไฟในห้องทำงานของพ่อเปิดอยู่ ผมจึงโผล่หน้าเข้าไป “Still Working?”
“Hey boy, is everything alright?” พ่อหันมา ขยับแว่นสายตา
พ่อเป็นคนบ้างาน ท่านทำอยู่ในบริษัทที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งความรับผิดชอบนี้สูงมาก เพราะตัวเลขของท่านต้องส่งให้รัฐบาลนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลของประเทศ
“ดีฮะ” ผมยืนเกาะที่กรอบประตู “แม่นอนแล้วเหรอครับ?”
“วันนี้วันพระ เห็นว่าจะเข้าไปสวดมนต์”
ผมพยักหน้ารับรู้
“Don’t stay up late.” ผมบอกด้วยความเป็นห่วง
“Ok, have a good night boy.”
“Love you, dad.”
“Love you too.”
ผมเดินผ่านห้องพระโดยไม่แวะ เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิของแม่
แม่เป็นคนธรรมะธรรมโม ท่านพบกับพ่อ ตอนที่พ่อพาคุณย่าไปวัด แม่มาเยี่ยมญาติที่นี่ พ่อเคยเล่าว่าท่านตกหลุมรักแม่ในทันทีที่พบ แม่เรียบร้อย กิริยาอ่อนหวาน คุณย่าเองก็รักลูกสะใภ้คนนี้มาก เมื่อถึงเวลาต้องกลับเมืองไทย พ่อแทบใจสลาย จนต้องลางานตามกลับไป และไม่นานท่านก็ขอแม่แต่งงาน และทำเรื่องให้แม่ติดตามมาอยู่ที่นี่
แม่เป็นคนขยัน มาอยู่อเมริกาแล้วท่านก็ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษจนคล่อง และหางานทำ จนทุกวันนี้ได้เป็นผู้จัดการแผนกในโรงแรมระดับ 5 ดาวของที่นี่
คืนนี้ผมอาบน้ำแล้วขึ้นเตียงทันที ไม่มีกระใจจะคุยกับเพื่อนหรือฟังเพลงจากช่องรายการดีเจคนโปรด ... ผมเลือกที่จะนอนมองดวงไฟดวงจิ๋วที่ส่องแสงอยู่เหนือเตียงนอน เมื่อรอบกายมืดสนิท ดวงไฟเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับดวงดาวที่พร่างพราวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น เป็นข้อความจากลูคัส เพราะไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร ผมจึงทิ้งข้อความนั้นไว้โดยไม่เปิดอ่าน ... ส่วนคนที่ผมรอ กลับเงียบหาย ... ตอนนี้เจ้าบ้านั่นกำลังคิดอะไรอยู่? ... ผมควรเล่าเรื่องนี้ให้แบมรู้ดีไหม? ถ้าเธอรู้แล้วจะรู้สึกยังไง? จะรู้สึกเหมือนตอนที่ผมรู้เรื่องของเธอหรือเปล่า?
ผมรู้จักแบมเมื่อครั้งเดินสวนกันที่โรงเรียน ด้วยหน้าตา Asian และผมสีดำ ทำให้ลองทักออกไป จากวันนั้นเราก็คุยกันมาตลอดเพราะในโรงเรียนไฮสคูลของเรามีเด็กไทยอยู่แค่ 2 คนคือผมกับแบม
แบมเพิ่งย้ายมาอยู่อเมริกาได้ไม่นาน เธอยังไม่รู้จักคนไทยวัยเดียวกันในเมืองนี้ ผมจึงเป็นเหมือนทุ่นที่แบมเกาะไม่ปล่อย เธอคุยกับผมทุกวันและทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน แหล่งช้อปปิ้ง แฟชั่น การบ้าน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องแฟน และนั่นทำให้ผมรู้จักพีท ทั้งๆที่ยังไม่เคยพบหน้า
ในโรงเรียนผมมีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคน ชื่อลูคัส เราเป็นเหมือนฝาแฝดเพราะไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน จะต้อง มีลูคัสติดอยู่ข้างๆเสมอ หลังจากที่ผมและแบมรู้จักกัน ทุกครั้งที่เราเจอกันในโรงเรียน นั่นหมายถึงเธอต้องเจอลูคัสด้วย และกว่าที่ผมจะรู้ตัว เขาทั้งสองก็คบกันเสียแล้ว
เมื่อรู้เรื่อง ยอมรับว่าโกรธมาก เพราะทั้งแบมและลูคัสคือเพื่อนสนิทของผม แต่กลับปิดเงียบเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา
“ยูเอาพีทไปทิ้งไว้ที่ไหน?” คำถามแรกที่ผมถามแบมเมื่อรู้ว่าเธอคบกับลูคัส ส่วนแบมก็เอาแต่ร้องไห้ คร่ำครวญว่าฉันผิดไปแล้วอยู่ซ้ำๆ ผมพยายามทำความเข้าใจแบมอย่างที่เธอพยายามอธิบาย ... ความเหงา ความห่างไกล ความใกล้ชิด อนาคตที่มองไม่เห็น หรือแม้แต่ความขี้เล่นและความหล่อของลูคัส ... อย่างที่เคยได้ยินมา หากถามว่ารักเพราะอะไร เรามักจะตอบไม่ได้ แต่หากถามว่าทำไมถึงจะไป เรากลับมีเหตุผลมากมายมาอธิบาย อย่างแบมในตอนนั้น
ถึงแม้ผมจะไม่เคยพบตัวจริงของพีท แต่ก็เห็นรูปของเขาจากแบมมาตลอด มีครั้งหรือสองครั้งที่แบมเฟสไทม์แล้วเธอต้องการให้ผมทักทายพีท ผมปฏิเสธ แต่ก็ไม่วายจะลอบมองคนที่อยู่ในจอ
พีทเป็นคนสดใสร่าเริง ดวงตาโตใสเป็นประกายคู่นั้นก็ดูเหมือนตื่นเต้นตลอดเวลาที่อยู่หน้ากล้องกับแบม เมื่อนึกว่าคนที่สดใสอย่างนั้น ต้องมาเสียใจในสักวัน ... มันน่าเศร้า
แบมคบกับลูคัสมาเกือบปี และแล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เธอโทรมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะพีทกำลังจะเดินทางมาหาที่อเมริกา ผมเองก็ตกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ เรื่องของใครก็คงต้องรับผิดชอบกันเอง ผมทำได้แค่เพียงช่วยเรื่องหาที่พักให้กับพีท เมื่อแบมขอร้องมา
คุณน้าน้อย คุณแม่ของแบมให้ผมช่วยโกหกว่าเพราะบ้านของแบมอยู่นอกเมือง เดินทางไม่สะดวก จึงมาหาพีทบ่อยไม่ได้ ทั้งๆที่บ้านของแบมและผมอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ พีทคงไม่รู้ว่าที่ผมและแบมเรียนไฮสคูลเดียวกัน เพราะบ้านเราอยู่ในเขตเดียวกัน และด้วยความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจ ผมจึงเต็มใจที่จะดูแลพีทในทุกๆเรื่อง
ผมไม่เคยคิดว่าการเทคแคร์ของผมที่มีให้กับพีท จะเป็นอะไรที่มากไปกว่าการช่วยเหลือเพื่อนคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเห็นใจ อีกทั้งยังอยู่ในต่างแดนเพียงลำพัง แต่ ...
วันที่เขาออกไปเที่ยวคนเดียวในดีซีแล้วกลับมาถึงบ้านเอามืดค่ำ อยู่ดีๆเขาก็ขาดการติดต่อ ผมพยายามส่งข้อความและโทรหาอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ ใจผมในเวลานั้นร้อนรนจนนั่งอยู่กับบ้านไม่ติด จึงต้องเดินเตร่มาที่บ้านของพีท โชคดีที่พี่เนสนั่งดื่มเบียร์อยู่ ผมจึงไปร่วมด้วย ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นภาพที่น่าอายอยู่ไม่น้อย ถ้าพีทกลับมาพบว่าผมตั้งใจมานั่งรอเขาอยู่ที่หน้าบ้าน
ผมดีใจมากเมื่อรู้ว่าพีทกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่เมื่อหันกลับมาพบกับใครคนหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเขาคือคนที่พีทยืนจ้องอย่างตกตะลึงเมื่อวันที่เราไปวัดลาว ... ความรู้สึกไม่พอใจก็ก่อเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล …
ผมหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้า พยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากสมอง แต่แล้วแววตาของพีทที่คอยจับจ้องทุกๆอิริยาบทของพี่ปิงเมื่อวาน กลับเข้ามา รบกวนจิตใจของผมไม่หยุด
ผมสังเกตเห็นว่าพี่เมฆก็มีสายตาที่คอยมองพี่ปิงอยู่เสมอเหมือนกัน แต่มันกลับไม่ทำให้ผมว้าวุ่นใจ เท่ากับเวลาที่หันไปพบว่าพีทกำลังลอบมองพี่ปิง ... ใบหน้าระรื่นของพีทเวลาที่เขาได้คุยกับพี่ปิง ยิ่งนึกแล้วยิ่งทำให้หงุดหงิดในอารมณ์
เพราะท่าทางกระตือรือร้นอยากอยู่ต่อของพีทเมื่อคืน ทำให้ผมต้องโกหกว่ามีนัดกับคุณย่า และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงพาตัวเองมานอนในห้องของพีท …
อาจเพราะไม่อยากพกเอาความขุ่นมัวกลับไปห้องของตัวเอง เพื่อจะไปนอนตาค้างอยู่บนเตียง แต่เจ้าคนที่เป็นต้นเหตุ กลับได้หลับสบายอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ผมคิดว่ามันไม่แฟร์ ...
ภาพพีทที่นอนอยู่บนเตียง สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ทำให้ผมร้อนวูบวาบไปทั้งแก้มจนถึงใบหู แต่เมื่อมาคิดอีกที นั่นอาจเพราะเบียร์เกือบครึ่งโหลที่ผมดื่มเข้าไป การนอนข้างๆพีท จะต่างอะไรกับการนอนร่วมเตียงกับลูคัส คิดได้อย่างนั้นผมจึงทิ้งตัวลงข้างๆเขา แล้วหลับใหลไม่ใส่ใจอะไรอีก แต่ ...
เมื่อลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า สิ่งต่างๆที่มองเห็นทำให้งงงวยไปสักพัก และเมื่อหันไปพบว่าข้างกายมีใครคนหนึ่งนอนอยู่ ยิ่งทำให้งุนงง แต่เมื่อคิดทบทวน ก็จำได้ว่าผมมานอนอยู่ที่ห้องของพีท
ใบหน้ายามหลับใหลของพีทเหมือนเด็กๆไร้เดียงสา ซึ่งจริงๆแล้วก็แทบไม่ต่างกับในเวลาปกติของเขาสักเท่าไหร่ พีทมีคิ้วที่ดกหนาเป็นปื้น ผมสงสัยว่าเขาเคยโดนเพื่อนล้อว่าคล้ายชินจังหรือเปล่า เมื่อนึกอย่างนั้นก็ทำให้ผมอมยิ้มกับตัวเอง เจ้านั่นมีขนตาหนายาวเป็นแผง จมูกแม้จะคมไม่มากนัก แต่ก็โด่งอย่างคนเอเชีย พีทมีริมฝีปากแบบที่คุณย่าเรียกว่าปากอิ่ม มันเผยอหน่อยๆในยามที่เจ้าตัวหลับสนิท ...
ขณะมองสำรวจใบหน้าของพีทเพลินๆ อยู่ๆเขาก็ขมวดหัวคิ้ว ผมจึงใช้นิ้วชี้แตะไปเบาๆ เพื่อคลายมันออก แล้วเจ้านั่นก็ทำให้ผมแทบหัวใจวาย พีทพลิกตัวโตๆของเขาแล้วโถมทับลงบนตัวของผมจนแนบไปกับที่นอน แค่นั้นยังไม่พอ สิ่งที่กระตุกใจผมจนแทบหยุดเต้น คือคำว่า “พี่ปิง” ที่พีทเรียกออกมา … ผมไม่รู้จะเรียกความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นว่าอย่างไร
ผมไม่คิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย เพราะไม่เคยมีใครทำให้ความแมนในตัวของผมสั่นคลอนได้ ขนาดแก้ผ้าอาบน้ำกับลูคัสที่ขึ้นชื่อว่าหล่อติดอันดับของไฮสคูล (แต่อันดับต่ำกว่าผม) ก็ยังไม่ทำให้ผมสะทกสะท้าน แต่กับพีท ... เพียงแค่รอยยิ้มที่ปราศจากการเสแสร้ง เสียงหัวเราะที่สดใสราวกับแสงแดดยามเช้า ดวงตากลมใสที่ไม่เคยปกปิดความรู้สึกของเจ้าตัวได้มิด ก็เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผมเข้าเดินเข้าหาอย่างไม่อาจต้านทาน ... เพียงแค่นั้นกระมัง
และเพียงแค่ได้เห็นสีหน้าเขินอายของพีทเมื่อตอนที่พี่ปิงก้มลงไปเอ่ยขอบใจที่เขาเสียสละที่นั่งให้ตอนดูหนัง กลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในอกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ...
จากบทสนทนาของเราเมื่อกลางวัน ย้ำให้ผมรู้ว่าพี่ปิงมีอิทธิพลต่อพีทมากแค่ไหน ... มันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มันเกิดมานานแล้วกว่า 10 ปี ... แต่สำหรับผมที่เพิ่งพบกับพีทได้เพียง 10 วัน ...
“Nooooooooooo!!!!” ผมกดหมอนลงบนใบหน้าให้แน่นขึ้น ฟาดขากับที่นอนสุดแรง
Line! เสียงข้อความเข้า
ผมโยนหมอนทิ้งไป รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู
พีท – ดูดิ อาหารของแม่นาย 2 มื้อ ทำเอาซิกแพ็คของเรามากองรวมกันเป็นก้อนเดียว
พร้อมแนบรูปหน้าท้องที่ดูยังไงก็รู้ว่าพยายามเบ่งให้กลมพองอยู่เหนือบ็อกเซอร์ลายกระต่าย
สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ทำเอาผมเลือกอารมณ์แทบไม่ถูก ขำก็ขำ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง
ผมส่งอีโมติคอลหน้าตาไร้อารมณ์กลับไป และพีทส่งสติ๊กเกอร์หัวร่องอหายกลับมา
พีท – ฝันดีนะไมกี้
ผม – อืม
ผมวางโทรศัพท์ลงข้างหมอนอย่างไร้เรี่ยวแรง และแล้วสิ่งที่คาดเดามันก็เป็นจริง ... พีทไม่เข้าใจอะไรเลย
“ถ้านายจะโง่ขนาดนี้ ฉันคงบอกออกไปตรงๆว่าฉันชอบนาย แล้วยอมให้นายต่อยฉันจนคว่ำ ยังจะดีซะกว่า”