พิมพ์หน้านี้ - The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: MissDaisy112 ที่ 22-04-2016 22:29:15

หัวข้อ: The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 22-04-2016 22:29:15
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you)
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 22-04-2016 22:33:08
สวัสดีค่ะ ... นี่เป็นนิยายเรื่องแรกของเราที่เก็บพล็อตไว้นานมาก ได้ฤกษ์นำมาเขียนซะที บทแรกๆอาจจะสั้นไปหน่อย เพราะเป็นการเปิดตัวละครแต่ละคน แต่ถึงจะสั้นก็จะพยายามมาลงบ่อยๆนะคะ ... ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันค่ะ / MissDaisy



#1 [PETE]


                    บนทางที่โรยด้วยกรวดก้อนเล็กๆ ผมเดินตามหลังแม่ห่างสัก 2-3 ก้าว เหลียวมองซ้ายขวา บรรยากาศโดยรอบดูคึกคัก ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส คงเพราะเวลานี้อากาศยังไม่ร้อนจัดสักเท่าไหร่ ที่สำคัญคือมีดอกไม้สีสันสดใสบานสะพรั่งเต็มไปทั่วบริเวณที่จัดงาน แต่สำหรับเด็กผู้ชายอย่างผม ดอกไม้เหล่านั้นกลับไม่มีอะไรให้สนใจเป็นพิเศษ เหตุที่ผมต้องมาเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนและมวลพฤกษานานาพรรณนั้น ก็เพราะแม่ที่รบเร้ากับพ่อให้พามางานนี้ให้ได้ และพ่อที่แทบจะไม่เคยขัดใจแม่ มีเหรอจะปฏิเสธ ผมซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว จึงต้องมาเดินตามก้นแม่ต้อยๆอยู่อย่างนี้
                    แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้น่าเบื่อไปซะหมด อย่างสิ่งที่อยู่ทางซ้ายมือข้างหน้านั่น ทำให้ผมต้องหยุดเดิน เอียงคอมอง ... เด็กผู้หญิงกระโปรงบานกำลังโค้งตัวลงเข้าใกล้พุ่มดอกอะไรสักอย่างที่มีสีชมพูคล้ายกับชุดฟูฟ่องของเธอ

                    “น้องพลอยขา ยิ้มค่ะลูก ... อ๊าย สวยมากค่ะลูก เอียงอีกนิดนึงค่ะ นิ้วแตะที่แก้มค่ะ สวยที่สุดค่ะลูก” เสียงเชียร์ของคุณแม่ ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันไปมองน้องพลอยเป็นตาเดียว

                    น้องพลอยไม่เขินอายที่มีคนมอง เธอยิ้มกว้างจนตาที่เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารกลับหยีเล็กลงไปอีก แก้ม กลมๆของเธอก็เป็นสีชมพู รับกับกิ๊บติดผมรูปโบสีเดียวกัน ถ้าเป็นผมถูกมองอย่างนั้น คงได้มุดแทรกเข้าไปหลบในพุ่มไม้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่เธอกลับยิ้มตาหยี โพสท่าทางอย่างกับนางแบบ ผมว่ามันน่าสนใจดี ถุงเท้าที่มีลูกไม้ระบายรอบๆ กับรองเท้าที่มีดอกไม้ดอกโตๆติดอยู่ ทั้งหมดนั้นก็เป็นสีชมพู ... เธอคงชอบมนุษย์ไฟฟ้าสีชมพูด้วยแน่ๆ

                    เมื่อละสายตาจากก้อนสีชมพูข้างทาง แม่ก็เดินทิ้งห่างไปหลายก้าวแล้ว ผมรีบวิ่งตื๋อตามไปคว้ามือของแม่เอาไว้ แม่หันกลับมามอง

                    “อย่าเดินห่างแม่สิ เดี๋ยวหลง” มือเล็กของผมถูกแม่กุมเอาไว้หลวมๆ

                    ผมเงยมองหน้าแม่แล้วตอบยานคาง “ค้าบ”

                    แม่เอื้อมอีกมือมายีหัวผม แล้วหันกลับไปมองทางเดิน “นั่นพ่อมาแล้ว”

                    ผมมองไปข้างหน้า พ่อที่เพิ่งตามมาเพราะต้องนำรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถ กำลังเดินตรงมาหาพวกเรา ผมวิ่งปรู้ดตรงไปหา

                    ปึ้ก! เพราะไม่ทันระวังผมจึงวิ่งชนเข้ากับด้านหลังของใครสักคนบนทางเดินจนล้มลง

                    “พีท!” ผมได้ยินเสียงของแม่เป็นคนแรก

                    “เป็นไรไหม?” และต่อมาคือเสียงของคนที่ผมวิ่งชน มือขาวๆ ยื่นลงมาตรงหน้า ในขณะที่ผมกำลังปัดเศษหินก้อนเล็กๆที่ติดอยู่บนหัวเข่า

                    ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงนั้น คนที่มองลงมาแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ... ผมอ้าปากหวอ ... ใบหน้าขาวๆนั้นเลิกคิ้วด้วยความตกใจ

                    “เจ็บไหม?” เขาถามอีกครั้ง ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

                     แม่เดินกึ่งวิ่งมาถึงแล้วทรุดเข่าลง จับไหล่แล้วยกให้ผมลุกขึ้นยืน ปัดเนื้อปัดตัวผมวุ่นวายไปหมด

                    “เจ็บตรงไหนไหมพีท?” แม่ถามพร้อมลุกยืน

                    “ไม่ครับ” ผมตอบแม่ไปเบาๆ ตายังจับจ้องบนใบหน้านั้น

                    หลังจากสำรวจเนื้อตัวผมว่าไม่เป็นอะไรมากนอกจากเข่าถลอก แม่จึงเงยหน้าขึ้นไปกล่าวขอโทษคนที่ผมวิ่งชน

                    “ไม่เป็นไรครับ น้องไม่เจ็บตัวก็ดีแล้วครับ” พี่ผู้ชายผมยาวที่ผมวิ่งชนยิ้มโชว์ฟันขาวที่เรียงอย่างเป็นระเบียบ ผมรู้สึกร้อนวูบวาบที่แก้มอย่างไม่รู้สาเหตุ

                    “ดีนะไม่ชนพี่เขาล้มจนเจ็บตัวไปด้วยอีกคน” แม่หันมาบ่น แต่มือกลับลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

                    พี่ผู้ชายผมยาวไม่ว่าอะไร ได้แต่มองหน้าแม่แล้วก้มลงมองหน้าผม แล้วยิ้ม

                    “เป็นไงล่ะ?” พ่อเดินมาสมทบ ส่วนผมยังไม่ยอมละสายตาจากพี่คนนั้น

                    “งั้นผมขอตัวนะครับ”

                    “ขอโทษอีกครั้งนะจ๊ะ” แม่ค้อมหัวนิดๆ ... เขายิ้ม ค้อมหัวตอบ แล้วเดินจากไปพร้อมอีกคนที่อยู่ข้างๆ ... ผู้ชายคนนั้นยกมือขึ้นวางบนหัวพี่ผมยาว แล้วคลอนเบาๆ

 

                    ปีนี้เป็นปีแรกที่เชียงใหม่จัดงานพืชสวนโลก ถึงแม้งานจะจัดไปได้หลายอาทิตย์แล้วในวันที่เรามา แต่ผู้คนก็ยังคับคั่งหนาตา มองดูแล้วบอกไม่ถูกเลยว่าคนกับดอกไม้ อันไหนมากกว่ากัน

                    เราเดินกันไปได้พักใหญ่ๆ แม่ดูจะมีความสุขกว่าใคร ผมเองก็สนุกกับบางจุดที่จัดเป็นน้ำตกจำลอง บางซุ้มก็ทำเป็นอุโมงค์ดอกไม้ แม่บอกให้ผมถ่ายรูปคู่กับตุ๊กตาน้องคูน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงาน ผมไม่อยากถ่าย แต่ก็ต้องไปยืนข้างๆอย่างอายๆ คิดในใจว่าขออย่าให้แม่เชียร์ให้ผมยิ้มอย่างกับแม่ของน้องพลอย และโชคดีของผมที่แม่ไม่ทำอย่างนั้น

                    “หิวกันหรือยังแม่ลูก?” พ่อเอ่ยถามเมื่อพวกเรายืนพักอยู่ริมทางเดินที่มีต้นไม้พอให้ร่มเงา

                    “หิวๆ” ผมตอบ นอกจากหิวแล้วผมก็ร้อนมากๆด้วย ไม่อยากจะเดินต่อไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว แม้ปีนี้อากาศจะเย็นกว่าปีที่แล้ว แต่ในตอนกลางวัน แดดเชียงใหม่ก็เจิดจ้าไม่แพ้แดดจังหวัดใดๆ ในประเทศไทย

                    พวกเราเลือกกินข้าวในบริเวณงาน เพราะแม่บอกว่ายังไม่อยากกลับ ผมกับพ่อลอบสบตากัน ผมรู้ว่าพ่อก็คงเบื่อที่จะเดินแล้ว แต่เราทั้งสองคนก็เลือกที่จะไม่ขัดใจแม่

 

                    กินอิ่มและพักจนหายเหนื่อยแล้ว แม่ชวนพวกเราออกเดินอีกครั้ง แม่ว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปกับดอกไฮเดรนเยีย ดอกไม้สุดโปรดของแม่ ช่วงบ่ายผู้คนยิ่งมากขึ้น ผมถูกจูงมือขนาบข้างด้วยพ่อและแม่เพื่อไม่ให้พลัดหลง เมื่อถึงซุ้มดอกไฮเดรนเยียที่แม่ใฝ่ฝัน พ่อกับแม่ก็สลัดผมไว้ข้างทาง ประหนึ่งผมเป็นส่วนเกิน

                    “ตรงนั้นๆ คุณย่อตัวลงนิดนึง” พ่อออกแบบท่าทางให้แม่ แล้วยกกล้องป๊อกแป๊กขึ้นมากดชัตเตอร์ แม่ยิ้มหน้าบานแข่งกับดอกไม้

                    ผมยืนมองพ่อกับแม่เล่นบทตากล้องและนางแบบไปอย่างเงียบๆ สลับกับมองไปรอบๆ ... ตรงโน้น คุณตาเป็นตากล้อง คุณยายเป็นนางแบบ ... ตรงนั้น พี่สาวสวมกางเกงขาสั้น ยืนแอ็คท่าให้พี่ผู้ชายถ่ายภาพ ... แต่แล้วผมก็ต้องหยุดสายตาลงตรงพุ่มไฮเดรนเยียที่อยู่ไม่ไกล

                    พี่ผมยาวคนนั้นกำลังนั่งยองๆ จ่อกล้องเข้ากับพุ่มดอกสีม่วง ข้างๆ มีผู้ชายคนเดิมยืนมอง

ผมก้าวเท้าเพื่อเดินเข้าไปหาพี่ผมยาวเหมือนโดนมนต์สะกด แต่เมื่อเหลืออีกไม่กี่ก้าวที่จะถึงจุดหมาย พี่ผมยาวก็เงยหน้าขึ้นจากกล้อง ผู้ชายที่มาด้วยกันถามขึ้นว่าไปกันหรือยัง พี่ผมยาวพยักหน้าตอบ ส่งมือให้กับเขาเพื่อฉุดให้ยืนขึ้น

                    “พีท ไปกันได้แล้วลูก” เสียงของแม่ทำให้ผมสะดุ้ง

                    คงเพราะเสียงของแม่เช่นกันที่ทำให้พี่ผมยาวหันมา ... สายตาของเราประสานกัน แม่คว้ามือผมไปจูง ผมหันหลังกลับ เดินตามหลังพ่อและแม่หนึ่งก้าว ... เราเดินห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ใจของผมยังพะวงอยู่กับคนข้างหลัง เมื่อตัดสินใจเอี้ยวคอหันกลับไปมองใบหน้านั้น เขายังคงยืนมองผมอยู่ จนกระทั่งอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆถอดหมวกบนหัวตัวเองวางลงบนหัวของพี่ผมยาวแล้วพูดอะไรสักอย่าง พี่ผมยาวจึงหันไปมองหน้าเขา แล้วส่ายหน้า ทั้งสองคนหันหลัง เดินจากไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางที่ผมกำลังเดินไป

                    ผมหันกลับไปมองเส้นทางเดินของตัวเอง แต่ก็ไม่วายที่จะหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง และผมก็พบว่าพี่ผมยาวกำลังหันกลับมามองผมเช่นกัน เขาส่งยิ้มมาให้ หัวใจของผมเหมือนจะหยุดเต้น ผมกัดริมผีปากตัวเอง ไม่ได้ยิ้มตอบกลับไป เขาเอียงคอนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับไปในทิศทางเดิม ผมก็เช่นกัน

                    ผมกำมือของแม่เอาไว้แน่น แม่ก้มลงมอง

                    “เหนื่อยหรือยัง?” แม่ถามด้วยความห่วงใย

                    ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ตอนนี้หัวใจของผมเต้นตึกตัก คล้ายจะกระดอนออกมานอกอก

 

                    งานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ปีนั้น ผมเป็นเพียงเด็กผู้ชายอายุ 8 ขวบ ที่เพิ่งได้เรียนรู้ว่า พี่ชายผมยาวนั้น สวยและน่ามองกว่าเด็กผู้หญิงแก้มชมพูกระโปรงฟูฟ่อง
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you)
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 22-04-2016 22:35:14
#2 [PETE]



                    “แบม! พ่อกะแม่ยอมให้พีทไปหาแบมแล้วนะ” ผมแทบจะตะโกนหลังจากที่หน้าจอมือถือปรากฏหน้าของหวานใจที่อยู่อีกฟากโลก

                    “จริงอ่ะ?” แบมตอบกลับมาด้วยอาการตกใจ ซึ่งผมคาดไม่ผิด เธอคงคิดไม่ถึงว่าพ่อกับแม่จะยอมปล่อยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงอเมริกาเพียงลำพัง ถึงแม้ตอนนี้ผมโตจนเรียนจบมัธยมปลายแล้วก็เถอะ

                    “พีทไปทำอีท่าไหนท่านถึงยอมล่ะ” แบมมีสีหน้าสงสัย ไม่เห็นจะยิ้มดีใจเลยสักนิด ต่างจากผมที่พอพ่อกับแม่อนุญาตเท่านั้นล่ะ ผมตะโกนลั่นบ้าน แล้วรีบวิ่งขึ้นห้องมาโทรหาแบมทันที

                    “ก็ไม่ท่าไหนหรอก แค่พีทยอมเลือกคณะแพทย์อย่างที่ท่านต้องการ และได้มหา’ลัยที่ท่านทั้ง 2 หมายมั่นเอาไว้น่ะ” อันที่จริงผมยื่นข้อเสนอนี้เอาไว้กับพ่อแม่นานแล้ว แต่ไม่ได้บอกกับแบม เพราะอยากเซอร์ไพรส์เธอ

                    “เอาจริงน่ะ? ... แต่พีทอยากเข้าวิศวะไม่ใช่เหรอ?” แบมยังคงมีสีหน้าตกใจปนสงสัย ก็อย่างว่าแหละ   ผมพูดมาตลอดว่าจะเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ให้ได้ แต่อยู่ๆก็มาเปลี่ยนไปเรียนหมอ ขนาดผมเองยังแอบแปลกใจตัวเองว่ายอมเปลี่ยนได้ยังไง

                    “ก็ อือ แต่ทำไงได้ล่ะ ก็พีทอยากเจอแบม” ผมทำหน้าอ้อน

                    “ต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ นี่มันอนาคตของพีทเลยนะ”

                    “ก็คนมันคิดถึง หรือแบมไม่คิดถึง ไม่อยากเจอหน้าพีทเหรอ?” ผมทั้งอ้อนทั้งตัดพ้อ นี่ถ้าแบมรู้ว่านอกจากยอมเปลี่ยนแผนอนาคตแล้ว ผมยังยอมไม่เอารถป้ายแดงที่พ่อกับแม่จะออกให้เพื่อแลกกับการที่จะได้ไปอเมริกา แบมจะรู้สึกยังไง จะซาบซึ้งใจกับความรักและความคิดถึงของผมที่มีให้กับเธอไหม?

                    “... คิดถึง”

                    ผมรู้สึกว่าแบมชะงักไปสักครู่ เหลือบตาไปมองอะไรบางอย่างข้างๆ ก่อนตอบมาแบบไม่เต็มเสียง แต่เพียงแว้บเดียวผมก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไป แบมคงกำลังตกใจที่เราจะได้เจอกัน

                    “พีทกึ้ดเติงหาแบมม้ากมาก” ผมยิ้มกว้าง “ส่วนเรื่องเรียน พีทมาคิดอีกที พ่อกับแม่อาจมองอนาคตของเราได้ดีกว่าตัวเราเองก็ได้ ท่านถึงอยากให้พีทเรียนหมอน่ะ” ผมพยายามมองในแง่ดี

                    “อือ ... แล้วจะมาเมื่อไหร่ ขอวีซ่าหรือยัง?”

                    ผมยังไม่เห็นรอยยิ้มของแบมเลย

                    “ยัง พ่อกับแม่ยอมปุ๊บ พีทก็รีบโทรหาแบมเลยนะ”

                    “แต่วีซ่าอเมริกาขอยากมากนะ พีทแน่ใจเหรอว่าจะผ่านน่ะ” แบมยังคงมีสีหน้ากังวล

                    “อืม นั่นสิ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ไหมล่ะ” ผมลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย มัวแต่ดีใจ เอาเข้าจริงๆจะได้ไปหรือเปล่า   ก็ยังไม่รู้ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด อุตส่าห์ยอมเรียนแพทย์ตามใจพ่อกับแม่แล้วแท้ๆ ทั้งๆที่ผมเองอยากเรียนวิศวะมากกว่า

                    “ก็ ... ลองดูละกันนะ” แบมส่งยิ้มมาให้ ซึ่งมันทำให้ผมเบาใจขึ้นมาหน่อย เพราะผมแอบใจแป้วอยู่นิดๆว่าเธอไม่อยากให้ผมไปหา

                    พักหลังเราคุยเฟสไทม์กันน้อยลง ส่วนใหญ่จะเป็นการส่งข้อความผ่านทางไลน์ เธอให้เหตุผลว่าต้อง เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่เนิ่นๆ ถึงแม้จะไปเรียนที่อเมริกาได้เกือบ 3 ปีแล้ว แต่ภาษาอังกฤษก็ยังเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของเธออยู่ดี

                    “ต้องได้ไปสิน่า พีทมั่นใจ” ผมยิ้มกว้างให้คนในโทรศัพท์

                    “เราเอาใจช่วยละกัน” แบมยิ้มตอบกลับมา

                    แบมไม่ใช่คนที่เรียกว่าสวย แต่เธอน่ารักในแบบสาวเหนือ ตัวเล็กๆขาวๆ ผมยาวดำขลับยิ่งขับให้ผิวของเธอขาวผ่อง เวลายิ้มกว้าง ตาจะหยีเป็นสระอิ ซึ่งผมมองว่าน่ารักที่สุด

                    “งั้นแบมขอตัวก่อนนะ วันนี้รับปากแดดดี้จะช่วยเขาตัดหญ้าหลังบ้าน”

                    “อือ ... งั้นก่อนนอนพีทไลน์หานะ”

                    “จ้ะ” แบมยกมือขึ้นบ๊ายบาย แล้วภาพบนจอก็หายไป

                    “เฮ้อ! ยังไม่หายคิดถึงเล้ย” ผมร้องบอกกับตัวเอง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

 

                    ผมกับแบมตกลงเป็นแฟนกันเมื่อตอนขึ้นม.4 ได้เพียงไม่กี่วัน แต่ผมน่ะตามจีบเธอตั้งแต่ม.3 แล้ว เราเรียนกันคนละโรงเรียน แบมเรียนสห ส่วนผมเรียนโรงเรียนชายล้วนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด ผมเจอแบมตอนไปเรียนพิเศษ แบมทั้งน่ารัก นิสัยดีและเรียนเก่ง เธอร่าเริงสดใสและเป็นดาวเด่นของโรงเรียน ผมต้องรวบรวมความกล้าและฝ่าฟันคู่แข่งมากมายกว่าจะคว้าเธอมาเป็นแฟนได้

                    แต่แล้วผมก็ต้องได้รับข่าวร้าย เพราะแบมต้องย้ายตามแม่ของเธอที่แต่งงานกับชาวอเมริกัน ไปอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย ทั้งๆที่ยังเรียนอยู่ระหว่างเทอมต้นของม.4 ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้รัฐเนี่ยมันอยู่ส่วนไหนของอเมริกา รู้แต่ว่าใจผมแทบขาดรอนๆ

                    ก่อนวันที่แบมจะเดินทางออกจากเชียงใหม่ ผมไปหาเธอที่บ้าน เรานั่งกุมมือกันแน่นอยู่บนม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงข้างบ้านเธอ ต่างฝ่ายต่างร้องไห้เหมือนเด็กๆ เราให้คำมั่นว่าถึงแม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละทวีป แต่เราจะไม่ยอมให้ระยะทางเป็นอุปสรรคความรักของเรา และผมให้สัญญาว่าผมจะบินไปหาเธอให้ได้ในสักวัน

                    แบมต้องไปเรียนภาษาเพิ่มเติม และเพราะเธอย้ายไประหว่างเทอม จึงทำให้เสียเวลาไป 1 ปี ตอนนี้ผมเตรียมตัวจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่แบมยังคงเรียนไฮสคูล

                    ตั้งแต่วันแรกที่แบมไปอยู่ที่โน่น เราส่งข้อความคุยกันทุกวัน จนเมื่อปีที่แล้วผมได้โทรศัพท์เครื่องใหม่เป็นของขวัญวันเกิด เราจึงเริ่มเฟสไทม์กันแทบทุกวัน มีเพียง 3-4 เดือนหลังๆนี้ที่ทั้งผมและเธอยุ่งๆ และดูเหมือนเวลาว่างจะไม่ค่อยตรงกัน เราจึงเฟสไทม์กันน้อยลง แต่ยังคงส่งข้อความถึงกันไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว

                    เพื่อนๆมันแซวผมตลอดเรื่องความรักที่มั่นคงของผมกับแบม เพราะตลอดเวลาเกือบ 3 ปีที่อยู่ทางนี้ ผมไม่เคยวอกแวก แม้จะมีสาวๆมาโปรยเสน่ห์ให้ไม่เคยขาด อย่าว่าแต่สาวๆเลย พวกที่มาขายขนมจีบให้ผมนั้นมีทุกเพศทุกวัย ทั้งน้องเตยพี่ตุ๊ด แม้แต่ผู้ชายแมนๆชวนกันเตะบอล ก็ยังเคยลากผมเข้าหลังโรงยิมแล้วพยายามจะกดผมให้ได้ ผลก็คือเละกันทั้งคู่ พี่เขาปากเจ่อตาเขียวเพราะโดนหมัดผมเข้าไปเต็มๆ ส่วนผมก็หัวแตกเพราะล้มกระแทกเข้ากับขอบปูนที่พื้น ... คือถึงพี่จะเป็นกัปตันทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัย และผมเป็นแค่เด็ก ม.6 แต่ผมสูง 182 และเรียนมวยไทยมานะพี่

                    เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อเทอมต้น แต่ตอนนี้ผมสูงเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย น่าจะ 184-185 เซนติเมตร ได้แล้วล่ะ ถึงผมจะไม่ใช่หนุ่มก้ามปูซิกแพ็ค แต่ก็ไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบางแน่ๆ ส่วนเรื่องเรียนมวยไทยนี่ผมไม่เคยไปบอกหรืออวดกับใคร เพราะพ่อกับแม่ไม่ชอบอะไรประมาณนี้ ผมจึงต้องแอบใช้เวลาเสาร์-อาทิตย์หลังเลิกเรียนพิเศษ เพื่อไปเรียนกับพี่ๆที่โรงยิม ก็อย่างที่บอกล่ะฮะ ผมอยากเรียนวิศวะ และได้ยินมาว่าถ้าเรียนคณะนี้ไม่เถื่อนจริงอาจเอาตัวไม่รอด ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโตใครๆก็ชมผมเสมอว่าผมเป็นเด็กหน้าหวานจิ้มลิ้ม เพราะความที่ผมตัวขาว ตาใส เหงือกแดง ... ใช่ที่ไหนเล้า ปากแดงต่างหากล่ะ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะน่ารักตรงไหน ที่ขาวก็เพราะผมเป็นคนเชียงใหม่ หนุ่มเหนือใครๆก็ขาวกันไม่ใช่เหรอฮะ

                    แต่ที่ทำให้ผมตัดสินใจไปเรียนมวย ก็เพราะพวกเพื่อนๆมันขู่เอาไว้ ว่าถ้าผมได้เรียนวิศวะจริงๆ มันกลัวผมเอาตัวไม่รอด อาจจะตกเป็นเมียใครเขาก่อนจะเรียนจบ ฟังทีไรขนงี้ลุกซู่ ทำไมคนอย่างผมต้องไปเป็นเมียใคร     ผู้ชายแมนๆอย่างผมเนี่ยนะ ไอ้พวกเพื่อนๆมันคงเพี้ยนไปแล้ว

                    แต่ในที่สุดผมก็ไม่ได้เรียนวิศวะอย่างที่ตั้งใจไว้ เหตุเพราะเคยพยายามขอพ่อกับแม่มาหลายครั้งเรื่องที่จะไปอเมริกาหลังจากเรียนจบม.6 แต่พ่อคิดว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะเดินทางคนเดียว ส่วนแม่ก็ใจอ่อนนะ แต่บอกให้ผมรอไปกับท่าน เพราะแม่เคยคิดจะไปเยี่ยมน้องสาวที่ไปมีครอบครัวอยู่ที่นั่นสักครั้ง

                    ผมเกิดและเติบโตที่จังหวัดเชียงใหม่ ชีวิตถือว่าราบเรียบอย่างเด็กต่างจังหวัดทั่วๆไป ผมถือว่าเป็นเด็กเรียนดีถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ไอ้ม่อกเพื่อนสนิทของผมมักบ่นเสมอว่าโลกไม่เคยยุติธรรม มันอ่านหนังสือแทบตาย ติวแทบทุกวิชา แต่เกรดออกมาร่อแร่ตลอด ส่วนผมก็แค่เรียนไปเรื่อยๆ ที่ต้องไปเรียนพิเศษเพราะพ่อกับแม่จัดการให้  แต่ผลสอบกลับติดอันดับท็อปของชั้นทุกครั้ง

                    นอกจากเรื่องเรียนแล้วมันยังต่อว่าผมประจำเวลาที่เราเดินไปด้วยกันทั้งแก๊งแล้วมีสาวๆมาขอไลน์ผมคนเดียวอยู่บ่อยๆ ผมไม่เคยใส่ใจเรื่องที่ว่าตัวเองเก่งหรือหน้าตาดี ก็แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ผมอาจจะโชคดีที่มีพ่อกับแม่เป็นคนเก่ง ผมจึงได้เชื้อของท่านมาบ้าง ส่วนหน้าตา ผมว่ามันเป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน จะว่าไปแล้วผมไม่ชอบตาโตๆและปากแดงๆของตัวสักเท่าไหร่ ส่องกระจกทีไรแล้วขัดใจ มันไม่เท่เอาเสียเลย

                    แม่ผมเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ส่วนพ่อเป็นคณบดีในมหาวิทยาลัย ... ช่วงปิดเทอมพ่อกับแม่ก็พาไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง ถึงเราจะไม่ร่ำรวยอะไรมาก แต่เพราะท่านมีผมแค่คนเดียว ฐานะทางบ้านเราจึงเรียกว่าอยู่กันอย่างสบายพอตัว ... แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจไปเจอแบม แล้วคิดว่าผมอยากไปกับแม่ไหมล่ะฮะ

                    งานนี้ผมอยากบินเดี่ยวบ้าง เนื่องจากช่วงนี้เป็นการเปลี่ยนเข้าระบบ AEC ทำให้การปิดเทอมรอบนี้ยาวนานหลายเดือน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิด ทำให้ผมมีเวลามากพอที่จะเตรียมตัวเรื่องบินไปหาแบม และหวังว่า จะได้ท่องเที่ยวโลกกว้างและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้กับตัวเอง

                    ผมต้องอ้อนวอนพ่อกับแม่อยู่นาน แต่ท่านก็ทำเฉย ผลสุดท้ายคือผมยื่นเงื่อนไขไปว่า ถ้าติดคณะแพทย์ ผมขอไปอเมริกา ซึ่งก็ทำสำเร็จ และจากนี้ก็ลุ้นแค่ว่าจะได้รับวีซ่าไหม และผมจะได้นำพาหัวใจไปพบกับคนที่ผมรักและคิดถึงมากหรือไม่

 

                    จากวันนั้นผมก็ตั้งอกตั้งใจศึกษาเรื่องการขอวีซ่า และเตรียมเอกสารให้พร้อม และในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อพาสปอร์ตพร้อมวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกามาอยู่ในมือของผมเป็นที่เรียบร้อย

                    ถึงจะเคยบอกกับแบมว่าผมมั่นใจว่าต้องได้ไป แต่เอาเข้าจริงๆก็ยอมรับว่าผมกลัวมากว่าวีซ่าจะไม่ผ่าน เพราะปัจจัยหลายๆอย่าง คือผมยังเด็ก อาชีพการงานก็ยังไม่มี เป็นเพียงเด็กนักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังดีที่มีน้าสาวรับรองที่พักทางโน้น คือน้องสาวของแม่ผม ท่านไปเรียนต่อปริญญาโท แล้วได้งานทำจนแต่งงานมีครอบครัวอยู่ทางโน้นเลย นี่อาจเป็นข้อสำคัญที่ทำให้สถานะของผมดูดีพอน่าเชื่อถือได้มั้ง

 

                    ด้วยความกังวลและไม่มั่นใจ ในวันหนึ่งก่อนที่จะไปสัมภาษณ์กับทางสถานฑูต ผมขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ผมไม่ได้บนบานศาลกล่าว ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรือลบหลู่ แต่เพราะไม่ชอบการขออะไรทำนองนั้น ผมจึงทำเพียงเอ่ยในใจต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ...

 

                    ถ้าความรักของผมอยู่ที่นั่น ... ผมจะต้องได้ไป
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you)
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 22-04-2016 22:38:46
#3 [PING]

 

                    เมื่อเกือบๆ 2 ปีที่แล้วผมถูกเพื่อนร่วมบ้านลอยแพ ... อยู่ดีๆปอก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะไม่กลับเมืองไทย ทั้งๆที่เรียนจบปริญญาโทเรียบร้อย มันพยายามยื้ออยู่นาน หาทางที่จะได้กรีนการ์ด เพื่อที่จะได้อยู่ต่ออย่างถูกกฎหมาย มันตื๊อให้ผมไปคุยกับเจ้าของร้านอาหารไทยที่ผมเป็นผู้จัดการ ให้เขาออกกรีนการ์ดให้อย่างที่ผมเคยได้รับ แต่คงเพราะความที่มันเป็นคนไม่เอาอ่าวสักเท่าไหร่ แถมยังติดการพนันแทบทุกชนิดจนทำให้เสียงานเสียการอยู่เรื่อย เขาจึงไม่ยอมลงทุนกับมัน

                    แต่ในที่สุดปอก็หาทางสว่างให้กับตัวเองเจอ มีเพื่อนของมันติดต่อผู้หญิงไทยที่ได้ซิติเซ่นให้กับมัน        เขาเรียกเงินเท่าไหร่ผมไม่ได้สนใจถาม แต่มันยอมจ่าย และแต่งงานกับเขาแล้วย้ายไปอยู่แอลเอ

                    ความซวยของผมยังไม่จบเท่านั้น พอปอย้ายออก เฮ้งก็อิดออดว่าบ้านทั้งหลังถ้าต้องหารกับผมแค่สองคน มันคงจ่ายไม่ไหว ผมพยายามหาคนมาเช่าต่อห้องของปอ แต่ก็ถูกติว่าแพงไป ปกติเฮ้งมันก็จ่ายน้อยกว่าผมกับปออยู่แล้ว เพราะมันอยู่ในส่วนของห้องรับแขกที่อยู่ชั้น 1 ซึ่งปรับมาทำเป็นห้องนอน และมันก็ใช้ห้องน้ำร่วมกับปอที่อยู่ชั้นบน ห้องผมก็อยู่ชั้น 2 แต่ของผมเป็นห้องใหญ่และมีห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอน ทำให้ผมต้องจ่ายค่าเช่าแพงกว่าพวกมัน 2 คน

                    หลังจากปอย้ายออกได้ไม่ถึงเดือน เฮ้งก็แอบหอบข้าวของย้ายออกไปโดยไม่บอกกล่าวผมสักคำ เป็นอันว่าบ้านทั้งหลังผมต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเช่าทั้งหมด

 

                    ตั้งแต่เหยียบย่างลงบนพื้นแผ่นดินของอเมริกา นี่ก็กว่า 4 ปีแล้วที่ผมอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ แม้เพื่อนร่วมบ้านของผมจะเปลี่ยนไปหลายต่อหลายหน้า แต่ผมก็ไม่เคยย้ายไปไหน ... คงเพราะเจ้าของบ้านใจดี ไม่เรื่องมาก   คนที่เช่าในส่วนของเบสเมนท์ถึงแม้จะเป็นใต้* แต่ก็นิสัยดีและไว้ใจได้ โลเคชั่นก็ถือว่าสะดวกในการเดินทางไปทำงาน และใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ที่สำคัญคือย่านนี้มีคนเอเชียอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะชาวเกาหลี เวียดนาม และคนจีน จึงทำให้วัตถุดิบและอาหารการกินหาง่าย แทบไม่แตกต่างจากการเดินอยู่ในตลาดที่เมืองไทย

 

                    หลังจากปอและเฮ้งหอบข้าวของย้ายออกไป ... 3 เดือนเต็มๆที่ผมต้องรับภาระค่าเช่าบ้านทั้งหลัง ถึงผมจะมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการร้านอาหาร เงินเดือนก็ถือว่าดีพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าผมจะต้องโยนเงินทิ้งอย่างน่าเสียดายไปกับรายจ่ายที่เกินความจำเป็นแบบนี้ ผมจึงต้องจริงจังกับการหาเพื่อนร่วมบ้าน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ บางคนมาดูแล้วก็บ่นว่าแพง แต่จะให้หาอีกคนมาแชร์ห้องข้างล่างด้วยก็หาไม่ได้ และอาจเป็นเพราะช่วงนี้อยู่ระหว่างภาคการศึกษา เด็กนักเรียนจึงไม่ค่อยโยกย้ายที่อยู่ แต่ถ้าเป็นช่วงก่อนเปิดเทอมอาจจะหาคนแชร์บ้านง่ายขึ้น เพราะจะมีเด็กใหม่ๆเพิ่มมาเสมอ

                    แต่แล้วในที่สุดเฮียคิด เจ้าของร้านที่ผมทำงานอยู่ ก็ส่งคนมาช่วยชีวิตผมเอาไว้ เฮียแกเกริ่นคร่าวๆแค่ว่าเป็นลูกชายของเพื่อนรักของแก จะมาเรียนปริญญาโท ส่วนผมก็ไม่คิดจะรู้อะไรมากไปกว่านั้น เพราะถึงยังไงก็ต้องเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันอยู่แล้ว ถึงไม่รู้วันนี้ วันหน้าก็ต้องรู้

 

                    วันนั้นผมขอเฮียคิดลาหยุดเป็นพิเศษ เพราะต้องอยู่คอยรับเพื่อนบ้านคนใหม่

                    เสียงกริ่งที่หน้าประตูดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังชงชาอยู่ในครัว

                    “Coming” ผมตะโกนออกไปบอกคนด้านนอก รีบจนทำชาหกไปครึ่งแก้ว ต้องเสียเวลาหาผ้ามาซับก่อนจะไหลนองไปทั่วเคาน์เตอร์

                    ผมเปิดประตูไม้ชั้นใน แล้วผลักประตูกระจกชั้นนอกออกไป แต่ก็ต้องชนเข้ากับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และเป้ขนาดย่อมๆอีกหนึ่งใบที่วางอยู่บนระเบียง ส่วนคนกดกริ่งไม่รู้หายหัวไปไหน

                    “พี่!” เสียงหนึ่งดังขึ้น

                    “พี่ปิงใช่ป่ะ?” ผมเงยหน้าจากกระเป๋าที่ถูกทิ้งอยู่หน้าประตู มองไปตามเสียงนั้น

                    ผู้ชายตัวสูงสวมรองเท้าผ้าใบ กางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีดำ มีแจ็คเก็ตลำลองแบบมีฮู้ทสีเทาสวมทับอีกที ... เขากำลังมองตรงมาที่ผม ส่งยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบ 32 ซี่ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง

                    “พี่ปิง?”

                    ผมยังงงๆ จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบ

                    เขาละสายตาจากการจ้องหน้าผม แล้วเงยขึ้นมองท้องฟ้า ทำให้ผมต้องเงยขึ้นมองตาม

                    “ปิงที่แปลว่าหิมะใช่ไหม?”

                    เขาถามผมเหรอ? คงใช่ ...

                    ผมทอดสายตาผ่านบันไดหน้าบ้านลงไปมองร่างสูงตรงทางเดิน เขายังแหงนมองบนท้องฟ้า และผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีปุยเล็กๆสีขาวกำลังร่วงหล่นลงมา ทำให้บรรยากาศรอบด้านในตอนนี้พร่างพรายไปหมด ... มันเป็นหิมะแรกของปีนั้น

                    “ชื่อพี่เป็นภาษาจีนที่แปลว่าหิมะป่ะ?” เขาถามซ้ำ

                    ผมเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม พยักหน้าอีกครั้งแทนคำตอบ

                    เขายิ้มกว้างกว่าเดิม

                    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ปิงปิง”

                    เขาล้วงสองมือเข้าในกระเป๋าแจ็คเก็ต ส่งยิ้มมาให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากก่อนหน้านั้น มันเป็นรอยยิ้มแบบที่ไม่ได้ฉีกกว้างให้เห็นฟัน 32 ซี่ แต่เป็นยิ้มบางๆที่มองแล้วทำให้ลมหายใจติดขัด

 

                    และนั่นคือการพบกันครั้งแรกของผมและเมฆ ...

 





* คนไทยที่นี่ส่วนใหญ่จะเรียกคนที่ใช้ภาษาสแปนิชรวมๆว่าคนใต้ โดยไม่จำแนกว่ามาจากประเทศไหน ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนที่หลบหนีเข้าเมืองมาเพื่อขายแรงงาน
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-04-2016 11:29:02
เพิ่งสังเกตชื่อเรื่อง

แสดงว่านางเอกมีชายมากกว่าหนึ่งมารุมรักนี่เอง อิอิ :hao3:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #1-4 (อัพเพิ่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 23-04-2016 14:22:15
มาทำความรู้จักเมฆและปิงกันอีกสักหน่อย ... แถมท้ายด้วยคนสำคัญของเรื่องอีกคนด้วยค่ะ (ดูเหมือนคนสำคัญจะเยอะนะ  :o8:) / MissDaisy

 



#4 [MHEK]



                    เพื่อนร่วมบ้านของผมชื่อ ปิง ... เขาอายุมากกว่าผม 4 ปี แต่ผมเรียกเขาว่าปิงเฉยๆ นานๆทีถึงจะเรียกพี่ ... ไม่รู้สิ ไม่เคยมองเขาว่าเป็นพี่

                    นี่ก็ปีกว่าแล้วที่ผมกับปิงอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ... ผมมาเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยในวอชิงตันดีซี แต่ที่ต้องมาอาศัยอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนียเพราะเพื่อนป๊าแนะนำมา

                    ไอ้สองรัฐนี่มันอยู่ติดกัน การเดินทางไปเรียนก็ถือว่าสะดวกพอสมควร เพราะป้ายรถเมล์อยู่หน้าบ้าน แล้วต่อรถไฟใต้ดิน อาจจะเสียเวลาหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าลำบาก เพราะการขนส่งสาธารณะของที่นี่มีประสิทธิภาพสูง สภาพแวดล้อมของย่านนี้ก็ดีและสะดวกสบายในหลายๆด้าน แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมไม่คิดจะย้ายไปอยู่หอพัก  หรืออพาร์ต       เมนท์ที่ใกล้มหาวิทยาลัย ก็คงเพราะคนร่วมบ้านคนนี้

                    ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของปิงเมื่อเทียบกับผมแล้ว มันชวนไม่ให้เรียกพี่ แต่ถ้าจะนับเอานิสัยเขาก็น่านับถืออยู่ไม่น้อย

                    ปิงเป็นคนนิ่งๆ พูดน้อย เจ้าระเบียบ แต่ไม่เรื่องมาก และบางทีก็เข้าใจยากอยู่สักหน่อย ตอนที่มาใหม่ๆ ผมได้เขาช่วยเหลือไว้เยอะ ไม่ว่าจะพาไปซื้อเสื้อผ้า ของใช้ พาไปดูมหาวิทยาลัย ติวสอบใบขับขี่ หรือแม้แต่หางานในร้านอาหารไทยให้ทำ

                    นักเรียนไทยที่มาเรียนที่นี่ ส่วนมากก็นับว่าฐานะดีกันทั้งนั้น เพราะไม่อย่างนั้นพ่อแม่คงไม่ส่งมาเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา แต่ผมก็เห็นเขาทำงานพิเศษกันแทบทุกคน คงเพราะงานมันไม่ยาก อาจจะใช้แรงบ้าง แต่ไม่ถือว่าหนักหนา เมื่อเทียบกับรายได้ที่รับกันเป็นเงินสดวันต่อวันแล้ว เป็นใครก็คงไม่ปฏิเสธ

                    ผมมาอเมริกาในช่วงปลายปี กว่าป๊าจะใจอ่อนยอมปล่อยตัว  ผมจึงพลาดช่วงฟอลซีเมสเตอร์ไปอย่างน่าเสียดาย โชคยังดีที่มหาวิทยาลัยที่ผมจะเรียนเขามีเปิดรับช่วงสปริงอีกที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆเป็นปี

                    พอมาอยู่ได้สักพัก หลังเปิดเทอมและเริ่มปรับตัวได้ ผมก็เริ่มงานเป็นเว็ท (คนไทยที่นี่จะเรียกพนักงานเสิรฟสั้นๆว่าเว็ท ย่อมาจาก waiter, waitress) ที่ร้านแห่งหนึ่ง ปิงนั่นแหละฝากฝังให้ แต่ไม่ใช่ร้านที่เขาเป็นผู้จัดการ เพราะตอนนั้นร้านเขาไม่มีตำแหน่งว่าง

                    ปิงช่วยเหลือผมขนาดนี้ จะให้ผมย้ายหนีเขาผมคงทำไม่ลง อีกอย่างเฮียคิด (ผมเรียกแกตามปิง ถึงแกจะเป็นเพื่อนป๊าก็เถอะ ดูแกจะพอใจมากด้วยที่ผมเรียกแกว่าเฮีย)เคยบอกตอนที่ผมเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ว่าถ้าไม่ได้ผม ปิงคงแย่ เพราะหาคนมาแชร์บ้านไม่ได้ บางทีอาจต้องย้ายไปอยู่ที่ใหม่

                    พอผมเข้ามาอยู่ ห้องชั้นล่างที่เคยทำเป็นอีกห้องนอน พวกเราก็จัดใหม่ให้กลับมาเป็นห้องรับแขกอย่างที่มันควรจะเป็น ปิงต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มขึ้น เพราะจากที่แชร์บ้าน 3 คน แต่ตอนนี้มีแค่ผมกับเขา ส่วนผมไม่มีปัญหากับค่าเช่า เพราะพออยู่กันไปได้ 2-3 เดือน ผมเริ่มชิน และรู้สึกว่าการที่บ้านนี้มีแค่ผมกับปิงนั้นมันดีแล้ว ทุกอย่างสงบสุข บ้านก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เราจึงมาคุยกันว่าในเมื่อเราไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย อยู่กัน 2 คนก็น่าจะกำลังดี ปิงเองก็เหมือนจะอยู่ร่วมกับคนอื่นยาก เพราะเขาดูเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก่อนหน้านั้นที่เขาอยู่ร่วมกับคนก่อนๆได้ เพราะพวกนั้นไม่ค่อยกลับบ้าน เนื่องจากติดพนันและชอบสังสรรค์ หลังเลิกงานจึงมักไปแฮงเอาท์กันประจำ กว่าจะกลับเข้าบ้านก็ดึกดื่นหรือเกือบเช้า ตื่นมาสายๆก็ออกไปเรียนหรือไปทำงาน วันๆแทบไม่ได้เจอหน้าเพื่อนร่วมบ้านสักเท่าไหร่ (อันนี้ปิงเป็นคนเล่าให้ผมฟัง)

                    อันที่จริงผมกับปิงก็ใช่ว่าจะได้ใช้เวลาร่วมกันที่บ้านทั้งวันบ่อยๆ เพราะผมทั้งเรียนและทำงาน ซึ่งตารางงานของผมก็ไม่ค่อยแน่นอน ขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่มักจะขอสลับตารางกันอยู่เป็นประจำ ส่วนปิงเป็นผู้จัดการร้าน เขาจึงมีวันหยุดค่อนข้างจะแน่นอนอาทิตย์ละ 2 วัน นานๆทีพวกเราถึงจะมีวันหยุดตรงกัน ส่วนมากก็จะทักทายกันในห้องครัว หรือตอนที่ผมหรือเขากำลังดูทีวีที่ห้องรับแขก ซึ่งเป็นทีวีเครื่องเดียวที่เรามีอยู่ในบ้าน

                    ตอนที่ผมมาใหม่ๆ ผมอยากได้ทีวีไว้ในห้องตัวเองสักเครื่อง จึงชวนเขาไปเดินดูด้วยกัน เขาเองก็อยากได้เครื่องใหม่ เพราะเครื่องเก่าที่มีมันเริ่มรวน เราเดินไปหยุดอยู่ที่จอแอลอีดีขนาดยักษ์ แล้วหันมามองตากันปริบๆ คือมันนโคตรเจ๋งถ้าจะมีทีวีจอขนาดนี้ไว้ในบ้าน แต่ด้วยงบอันจำกัด ผมจึงทำได้แค่เหลือบหางตามองจอขนาดพอเหมาะกับเงินในกระเป๋าแล้วถอนหายใจ

                    “ถ้าได้จอขนาดนี้ เวลาซอมบี้โผล่มาทีคงได้อารมณ์สัสๆ” ผมพึมพำ

                    ปิงปรายตามองหน้าผม แล้วถาม “มีงบเท่าไหร่?”

                    “คิดว่าไม่เกิน 6-700”

                    “งั้นเอาเครื่องนี้” นิ้วขาวๆที่มีแหวนหัวสีนิลอันเป้งชี้ไปที่จอทีวีขนาดยักษ์ตรงหน้าพวกเรา

                    ผมค่อยๆเรียนรู้ ... สิ่งที่ปิงจะเอา ปิงย่อมได้ สิ่งที่ปิงคิดว่าดี สิ่งนั้นย่อมดี

 

                    เป็นอันว่าผมและเขาไม่มีทีวีส่วนตัวในห้อง เพราะต้องรวมเงินกันเพื่อเจ้ายักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ห้องรับแขกของเรา อันที่จริงผมต้องควักเกินงบที่ตั้งไว้อีกนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้ม และมันก็กลายเป็นมุมโปรดของผมไปซะแล้ว

 

                    อย่างคืนนี้ ผมก็เอนหลังจิบเบียร์เย็นๆพร้อมดูรายการล่าจับผีรายการโปรดอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ... เหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ... ดึกป่านนี้เพื่อนร่วมบ้านของผมยังไม่กลับ

                    คิดจบปุ๊บ เสียงก๊อกแก๊กหน้าบ้านก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้นนั่ง ชะโงกหน้าส่งเสียงออกไปทักทาย

                    “กลับดึกนะ”

                    “อือ ปิดบัญชีไม่ลง” เขาตอบพร้อมเสียงกุกกัก คงกำลังถอดรองเท้าเข้าเก็บในห้องข้างบันได

                    “เครียดเลยสิ” ปิงกำลังจะขึ้นบันไดไปชั้น 2 กลับต้องชะงักเท้าเพราะเห็นผมเดินออกมาจากห้องรับแขก

                    “ก็นะ” เขาตอบสั้นๆ เขาก็พูดน้อยยังงี้เสมอ

                    “เบียร์ไหม?” ผมยกกระป๋องเบียร์ที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นเชิญชวน

                    “ไม่ล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า” ผมไม่แปลกใจหรอกที่เขาปฏิเสธ ถ้าเขาตอบรับนั่นสิแปลก

                    “พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ?” ถ้าผมจำไม่ผิดนะ

                    “อืม”

                    ผมมองหน้าเขา คือผมรอว่าหลังจากอืมแล้วมันควรมีประโยคอื่นต่อด้วยป่ะวะ เพราะถ้าแค่อืมแล้วจะรู้เรื่องกันไหม ... เขาเลิกคิ้วเหมือนจะถามผมตอบว่าแล้วมึงมายืนมองหน้ากูทำไม

                    “มีธุระแต่เช้าเหรอ?” เป็นผมเองแหละที่ต้องถามออกไป

                    “อือ”

                    “ให้ขับรถให้ไหม พรุ่งนี้ไม่มีเรียน เข้างานกะบ่ายด้วย” ผมเสนอตัว นานๆมีเวลาว่างพร้อมๆกันสักที เผื่อเขาเสร็จธุระเร็ว จะได้ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันด้วย

                    เขาเงียบไปสักครู่ก่อนตอบ “ไม่เป็นไร ... คุณกรจะมารับ”

                    คำตอบของเขาทำให้ลมหายใจผมสะดุด 

                    “อ้อ ...” ผมพยักหน้ารับทราบ

                    เราสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินขึ้นไปข้างบน

                    ผมกลับมาเอนหลังบนโซฟาตัวเดิม ตามองที่หน้าจอทีวี แต่สมองผมกลับไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า ...

 

                    หลังจากที่ผมมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงปี ... ผมนัดกับเพื่อนที่ทำงานที่ร้านจะไปนิวยอร์ค ไอ้ป้องอาสาเป็นคนขับรถ เรากะจะออกกันแต่เช้า ผมจึงไปนอนค้างที่คอนโดของมัน เพราะเพื่อนส่วนใหญ่พักอยู่ที่เดียวกัน แต่แล้วแผนทุกอย่างก็ล้มเหลว เพราะพอตื่นมาตอนเช้า เราพบว่ารถไอ้ป้องถูกทุบกระจก ของมีค่าบางอย่างที่มันทิ้งไว้ในรถถูกกวาดเรียบ มันเซ็งสุดชีวิต ไหนจะต้องแจ้งตำรวจ รอให้ปากคำและข้อมูลต่างๆ พวกเราทุกคนจึงลงความเห็นว่าฤกษ์ไม่ดีอย่างนี้ อย่าไปไหนเลย แยกย้ายกันท่าจะดีกว่า

 

                    ผมไขกุญแจบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก วันหยุดที่น่าจะแฮปปี้ของผมถูกทำลายย่อยยับไม่แพ้กระจกรถไอ้ป้อง แต่คุณเชื่อไหม เวลาที่เราเจอเรื่องแย่ๆ เรายังสามารถเจอเรื่องที่แย่กว่านั้นได้อีก ...

                    หลังจากที่ผมผลักบานประตูเข้าไป สิ่งที่ผมเจอ ... ผู้ชายคนหนึ่งที่สวมเพียงกางเกงนอนลายทางตัวเดียว มือขวาถือกระป๋องเบียร์ มือซ้ายถือแก้วมักสีขาวลายดอกไฮเดรนเยียสีม่วง ซึ่งเป็นแก้วประจำตัวของปิง เขายืนประจันหน้ากับผมที่โถงหน้าบันได ... จากนั้นขาขาวๆของปิงก็ก้าวลงมาจากชั้น 2 อย่างเร่งรีบ

                    “เมฆ ...” ปากแดงๆของปิงครางชื่อผมออกมาเบาๆ

                    ผมนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร ได้แต่มองใบหน้าของผู้ชายคนนั้น สลับกับใบหน้าขาวๆของปิงที่ตอนนี้เรียกว่าซีด ... ผมดำขลับที่ปิงมักจะรวบไว้ที่ท้ายทอยเสมอ ถูกปล่อยสยายคลอเคลียกับต้นคอและไหล่ขาวที่ถูกเปิดออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ ปิงคงรีบ จึงทำให้สวมเสื้อคลุมได้อย่างลวกๆ

                    เขาคงเห็นว่าผมกำลังมองสำรวจ จึงกระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดขึ้น ก่อนจะหันไปมองหน้าผู้ชายคนนั้น แล้วหันกลับมาหาผม

                    “ไม่ไปนิวยอร์ค?” เขาถาม

                    “ไม่ ... รถไอ้ป้องโดนทุบกระจก” ผมตอบ

                    “โอ้ ... แล้วเป็นอะไรมากไหม?” ปิงมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย

                    “ก็มาก มันทิ้งของมีค่าไว้ในรถหลายอย่าง”

                    “อือ” คำว่าอือพร้อมพยักหน้าน้อยๆ ความหมายคือการรับรู้ของปิง ทำให้ผมไม่รู้จะต่อบทสนทนานี้ต่อไปยังไง

                    เราต่างคนต่างเงียบกันไป บรรยากาศโคตรน่าอึดอัด แต่แล้วผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้น

                    “เพื่อนร่วมบ้านเหรอ?”

                    “อ่า ... ฮะ” ปิงตอบเหมือนไม่ทันตั้งตัวกับคำถามที่อยู่ๆก็ทำลายความเงียบขึ้นมา

                    “ชื่อเมฆใช่ไหมเรา?” เขาถามผม

                    “ใช่” ผมตอบโดยมองหน้าผู้ชายคนนั้นตรงๆ

                    “ยินดีที่ได้รู้จัก ... ผม ... กร”

 

                    ... นับจากวันนั้นผมไม่เคยลืมชื่อนี้อีกเลย ... กร
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #5 (อัพเพิ่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 23-04-2016 22:33:01


#5 [MHEK]



                    เป็นอันว่าเมื่อคืนผมดูรายการโปรดแบบเลื่อนลอยไร้สติ หมดเบียร์ไป 3 กระป๋องแล้วขึ้นไปนอน ตื่นมาสายๆ ปิงก็ออกไปแล้ว

                    ผมใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการซักผ้าและนอนเอกเขนกอยู่หน้าจอทีวี พอบ่ายก็ออกไปทำงาน โดยมีไอ้เนสแวะมารับ

                    ถึงผมจะมีใบขับขี่ แต่ก็ไม่มีรถให้ขับ เพราะยังไม่เห็นความจำเป็นต้องที่ซื้อในตอนนี้ ร้านที่ทำงานอยู่นั้นก็มีรถเมล์ผ่าน แค่เดินลงจากบ้านข้ามทางเดินเล็กๆก็เจอป้ายรถเมล์ แถมแค่ต่อเดียวก็ถึง แต่ที่ผมไปสอบใบขับขี่เอาไว้ เพราะเมื่อหลายเดือนก่อน ขณะกำลังนอนดูรายการล่าผีรีรันรอบดึก ปิงที่ขึ้นนอนไปนานแล้วกลับลงมาข้างล่าง และทำท่าจะออกไปข้างนอก ตอนนั้นตี 1 กว่าๆ คือเขาเกิดปวดท้องอย่างรุนแรงขึ้นมาจนทนไม่ไหว คิดว่าจะไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ผมเห็นสภาพที่ปิงยืนตัวงอ จึงอาสาขับรถให้ แต่ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอม เรายื้อยุดกุญแจรถกันอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ปล่อยให้ผมประคองไปขึ้นรถ ขนาดนั่งตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเบาะ ก็ยังไม่วายปรามผมตลอดทางว่าอย่าขับเร็ว อย่าฝ่าไฟแดง เจอป้ายสต๊อปต้องหยุดจนนิ่ง มองซ้ายมองขวาแล้วค่อยออกรถ เพราะถ้าเกิดผมถูกจับได้ว่าขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ งานนี้คงเป็นเรื่องยาว ...วันรุ่งขึ้นผมก็หาตำราสำหรับติวสอบใบขับขี่มาอ่านทันที

                    แต่บางทีปิงก็ให้ผมขับรถของเขา อย่างตอนที่พวกเราไปซื้อของใช้ ซึ่งก็นานๆครั้ง เพราะส่วนมากปิงจะเป็นคนจัดการเอง ผมต้องการอะไรเขาก็บอกให้จดแล้วแปะไว้ที่หน้าตู้เย็น ซื้อมาแล้วค่อยมาเก็บเงินกันทีหลัง

                    ของใช้เกือบทั้งหมดเราแยกกันเป็นสัดส่วน จะมีก็แค่พวกสิ่งของในครัว เช่นเครื่องปรุงรสอะไรพวกนั้นที่ปิงเป็นคนดูแล เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาจะเป็นคนทำกับข้าว ส่วนผมมักฝากท้องกับอาหารพนักงานที่ร้าน หรือไม่ก็พวกเบอร์เกอร์ง่ายๆ ไม่ก็ออกไปกินกับเพื่อน อย่างวันนี้หลังเลิกงานผมกับไอ้เนสก็แวะกินโจ้กที่ร้านจีน ก่อนที่มันจะแวะมาส่งผมที่บ้าน ... วันไหนที่ผมกับไอ้เนสมีตารางทำงานด้วยกัน มันมักจะแวะมารับมาส่งผมเสมอ เพราะเป็นทางผ่านของมันพอดี

                    ผมกลับมาถึง 5 ทุ่มกว่าๆ บ้านทั้งหลังมืดสนิท ... ปิงคงไม่กลับแล้วมั้งคืนนี้ ...

 

                    ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ผมได้เจอกับคุณกรของปิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าเขานัดแนะไปเจอกันข้างนอกหรือยังไง เพราะปิงก็ไม่เคยพูดถึงคนคนนั้นอีก ผมก็ไม่ถาม เพราะถ้าปิงไม่พูด นั่นคือปิงไม่อยากให้รู้

ที่ผมไม่ถาม ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากรู้ ... ก็ทำไมจะไม่อยากล่ะ ดูก็รู้ว่าคุณกรเป็นคนสำคัญของปิง ... ปิงคนที่โคตรจะไว้เนื้อไว้ตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร พูดน้อยจนถูกมองว่าหยิ่ง ... ปิงที่ใครๆเห็นครั้งแรกก็อยากจะวิ่งเข้าหา เพราะรูปลักษณ์ภายนอกนั้นบรรยายได้สั้นๆว่า “โคตรสวย” แต่ไม่นานผู้คนเหล่านั้นก็ต้องถอยออกมา ไม่ใช่เพราะปิงนิสัยไม่ดีหรือไม่น่าคบ แต่ผมว่าเพราะกำแพงน้ำแข็งที่ปิงสร้างไว้รอบตัวต่างหาก ที่ทำให้คนอื่นเข้าไปไม่ถึงตัวตนจริงๆของเขา แต่คุณกรคงไม่เหมือนคนทั่วไป ...

 

                    ปิงหายไป 5 วัน 5 คืน ระหว่างนั้นมีเพียงข้อความสั้นๆที่เขาส่งมาบอกว่าเขาโอเค ไม่ต้องเป็นห่วง นี่ถ้าผมไม่ส่งข้อความถามไปก่อนว่าถูกใครลักพาตัวไปหรือเปล่า เขาคงไม่คิดจะบอกกล่าวอะไรกับเพื่อนร่วมบ้านอย่างผม

                    เช้าวันที่ 6 หลังจากเขาหายตัวไป ... ผมกำลังจะออกไปเรียน ในขณะที่เขากำลังลงจากรถแท็กซี่ ... ผมเพิ่งมานึกแปลกใจเอาตอนนี้ว่าทำไมปิงถึงไม่ขับรถของตัวเอง แทนที่จะนั่งแท็กซี่ แต่ก็เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจไม่ได้ถามออกไป แต่เป็นปิงที่ถามขึ้นมาขณะที่เรายืนกันอยู่บนทางเท้าหน้าบันได

                    “ไปเรียนเหรอ?”

                    “ใช่” ผมตอบสั้นๆ เขาพยักหน้าว่ารับรู้ แล้วเดินเบี่ยงตัวขึ้นบันได เข้าบ้านไป

 

                    ผมกลับถึงบ้านตอนเย็นๆ วันนี้เรียนแน่น จึงไม่ได้ทำงาน เปิดประตูบ้านเข้ามาก็ปะทะกับกลิ่นอาหารอันหอมตลบอบอวล หลังจากเก็บรองเท้าแล้วจึงเดินเลยเข้าไปยังห้องครัว

                    ปิงกำลังง่วนอยู่กับหม้อบนเตา เขาถามโดยไม่หันมามอง

                    “ไม่ทำงานเหรอ?”

                    “ไม่ ... มีเรียนทั้งวัน” อยู่ด้วยกันมาปีกว่า ปิงไม่เคยจำได้ว่าผมทำงานหรือมีเรียนวันไหนบ้าง แต่ผมจำได้ วันนี้ไม่ใช่วันหยุดของปิง เพราะเขาใช้วันหยุดไปแล้วตอนที่หายตัวไป 5 วันที่ผ่านมา

                    “แล้วปิงไม่ทำ?”

                    “ลา”

                    “อ้อ” ผมผงกหัวรับรู้

                    “กินข้าวด้วยกัน” เขาหยิบผักมาหั่นโดยยังหันหลังคุยกับผม

                    “ทำไรกินอ่ะ? หอมเชียว” ผมขยับเข้าไปใกล้ ชะโงกหน้าดูหม้อที่กำลังเดือดปุดๆอยู่บนเตา จังหวะเดียวกันกับที่ปิงกำลังจะหย่อนอะไรสักอย่างลงในหม้อ พอเขาหันมา หัวจึงชนเข้ากับข้างแก้มของผมพอดี

                    “เอ๊ย!” ผมร้องเสียงดัง ไม่ได้เจ็บอะไรนักหนาหรอก แค่ตกใจ

                    “เกะกะน่ะ ออกไปก่อนไป เสร็จแล้วจะเรียก” เขาปั้นหน้าดุ

                    “ก็ได้ๆ ว่าแต่ทำไรกินอ่ะ?” ผมยังอยากรู้อยากเห็น

                    เขาไม่ตอบ แต่เอียงคอทำหน้านิ่งมองหน้าผม

                    โอเคๆ ปิงทำหน้าอย่างนี้ หมายถึงหุบปาก แล้วไปไกลๆ

                    “งั้นขึ้นไปอาบน้ำแป๊บ เดี๋ยวลงมา”

                    เดินขึ้นบันไดไปได้ครึ่งทางก็นึกขึ้นมาได้ เบียร์กระป๋องสุดท้ายถูกผมจัดการหมดไปตั้งแต่คืนก่อนโน้น ... แม่ง เสียดายฉิบ

 

                    เมนูวันนี้คือก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น เสริฟพร้อมมะระแช่เย็นกรอบๆและใบโหระพา ผมงี้แทบน้ำตาไหล อร่อยจนอยากก้มลงกราบแทบตักคนทำ

                    “มีเบียร์ในตู้เย็น” ปิงเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยว

                    “จริงดิ กำลังนึกเลยว่าถ้าได้เบียร์เย็นๆคงดี นี่คิดว่าหมดไปแล้วนะ” ผมรีบลุกไปที่ตู้เย็นทันที ... นี่มันแพ็คใหม่นี่นา

                    “ซื้อมาใหม่เหรอ?”

                    “อือ”

                    “รู้ใจๆ” ผมโยกหัวอย่างอารมณ์ดี ไม่ลืมที่จะมีน้ำใจ “เอาป่ะ?”

                    “ก็ดี”

                    ผมเปิดกระป๋องแล้วยื่นให้ปิง ตัวเองก็ซดเบียร์หนึ่งโฮก ก่อนจะกลับมาลุยต่อกับก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อย

ถ้าหม่าม้ารู้ หม่าม้าคงปลื้มจนน้ำตาเล็ด ที่รู้ว่าผมมีเมียเป็นแม่ศรีเรือนขนาดนี้ ... ถุย ... ผมเสริฟเองตบเองกับมุกตัวเองอยู่ในใจ ก็ถ้าปิงเป็นผู้หญิง ผมจีบไปแล้วตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้า

                    นึกแล้วก็อดขำความคิดของตัวเองไม่ได้ จนต้องหลุดยิ้มออกมา แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องเจอกับสายตาและใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของปิงจ้องอยู่

                    “นั่งยิ้มอยู่ได้ เป็นอะไร?”

                    “ห๊ะ? ยิ้มสิ ก็ก๋วยเตี๋ยวอร่อยโคตร อร่อยกว่ากินที่ร้านที่ไทยอีกนะ”

                    “เวอร์”

                    “ไม่เวอร์ นี่กินแล้วคิดถึงบ้านเลย ปิงทำอร่อยเหมือนที่หม่าม้าทำเลย”

                    ปิงเงียบ ก้มหน้าคีบเส้นเข้าปาก

                    “ขอบคุณนะพี่ปิง”

                    “พอได้กินล่ะเรียกพี่เป็นเลยนะ”

                    “ปกติก็เรียกป่ะ?” ผมยักคิ้วกวนๆ

                    “ขี้เกียจเถียง ... กินเสร็จแล้วเก็บล้างให้สะอาดด้วย” พูดเสร็จแล้วถือชามของตัวเองไปวางไว้ในซิงค์ แล้วเดินไปหย่อนตัวลงบนโซฟา หยิบรีโมตมากดหาช่องโปรดของเขา ก็รายการตกแต่งบ้านอะไรทำนองนั้น

                    ผมเบิ้ลไปสองชาม จากนั้นก็เก็บโต๊ะ ล้างจาน แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัวข้างๆกัน ไม่ลืมจะหยิบเบียร์กระป๋องใหม่ติดมือมาด้วย

                    “ดื่มเยอะๆระวังลงพุง” ปิงพูดโดยที่ตายังจ้องอยู่บนจอทีวี

                    “นิดหน่อยน่า ไม่ได้กินทุกวัน” ผมแย้งเข้าข้างตัวเอง

                    “งานที่ร้านเป็นไง?” ปิงถามขึ้น ยกขาวางพาดบนโต๊ะกลางตัวเตี้ย

ผมมักยึดโซฟายาวเป็นประจำ จนหลังๆผมสังเกตว่า แม้ปิงจะมาก่อน เขาก็จะเลี่ยงมานั่งที่รีไคลเนอร์ตัวสั้นแทน

                    “ก็ดี แต่ตารางลดลง 2-3 ชิฟท์” ผมตอบแล้วเอนตัวเอกเขนกลงบนโซฟาตัวโปรด

                    “ทำไมล่ะ?”

                    “ญาติพี่ปุ๊กมาจากเมืองไทย แกเลยมาขอชิฟท์แบ่งๆไปให้” พี่ปุ๊กคือเจ้าของร้านที่ผมทำงานอยู่

                    “แล้วโอเคไหมล่ะ?”

                    “ก็โอแหละ ว่างมากขึ้นก็จะได้อ่านหนังสือมากขึ้น” จริงๆคือผมไม่อยากไปแก่งแย่งทะเลาะกับใคร เพื่อนๆที่ร้านบางคนก็บ่นว่าชิฟท์น้อยลง แถมบางวันก็ลงเว็ทซะหลายคนจนทิปที่ได้แทบไม่คุ้มค่าเสียเวลาค่าน้ำมันรถ ซุบซิบนินทาว่าเบื่อเด็กเส้น จะย้ายไปทำร้านอื่นบ้างก็มี

                    “ที่ร้านเดลิคนเก่ามาขอลาออก จะทำให้ถึงแค่สิ้นเดือนนี้ สนใจไหม?”

                    เดลิหมายถึง delivery ก็คือขับรถส่งอาหารนั่นล่ะครับ งานจะอิสระหน่อย เพราะไม่ต้องอยู่โยงเฝ้าที่ร้านเหมือนตำแหน่งเว็ท แต่ก็ต้องชำนาญทาง และแน่นอนต้องมีใบขับขี่และมีรถเป็นของตัวเอง

                    “เงินดีป่าว?”

                    “ก็ดีนะ แถวนั้นมีออฟฟิศ ได้ทั้งเที่ยงและเย็น ทิปก็ใช้ได้”

                    “แต่ไม่มีรถ” นี่ล่ะปัญหาของผม

                    “คิดจะซื้อไหมล่ะ?”

                    “ก็คิด แต่เห็นยังไม่จำเป็นไง แต่จริงๆก็เริ่มๆดูแล้วล่ะ” รถที่นี่ถูกกว่าที่เมืองไทยเยอะ ยิ่งเป็นรถมือสอง เสริฟไม่กี่เดือนก็เก็บเงินซื้อได้แล้ว

                    “ถ้าอยากทำจริงๆ ช่วงแรกๆก็ใช้รถพี่ไปก่อนก็ได้” ปิงยื่นข้อเสนอ ... ปิงใจดี นี่คือสิ่งที่ผมรับรู้มาโดยตลอด

                    “อ้าว แล้วปิงใช้อะไรล่ะ?”

                    “วันไหนทำงานก็ขับไปด้วยกันสิ”

                    “เออ ก็เข้าท่าดีแฮะ นี่ก็ชักเบื่อๆที่ร้าน”

                    ปิงมองผมด้วยหางตาเป็นการตั้งคำถามที่ไม่เชิงว่าอยากรู้คำตอบจริงจัง

                    “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เบื่อๆ” เรื่องที่ผมบอกว่าเบื่อ มันก็ไม่เชิงว่าจะน่าเบื่อจริงๆหรอก

                    “เบื่อคนหรือเบื่องาน?”

                    “ก็ทั้ง 2 อย่าง”

                    “ถึงย้ายร้าน ก็ใช่ว่าจะหนีพ้น” ปิงพูดทั้งๆที่ยังจับจ้องอยู่กับรายการในโทรทัศน์

                    “หมายความว่าไง?” ผมมึนๆงงๆ

                    “...”

                     “อะไรเนี่ย พี่ปิงที่ดูนิ่งเฉย ก็สนใจเรื่องของชาวบ้านด้วยเหรอ?” ผมแหย่เล่นๆ

                    “สังคมคนไทยแถวนี้มันไม่ได้กว้างอะไรนักหนา ถึงไม่อยากรู้ ก็ได้รู้อยู่ดี” เขาไหวไหล่

                    “อ่ะนะ ก็ไม่ใช่ว่าจะหนีอะไรหรอก แค่ไม่อยากมีเรื่อง ว่าแต่ใครเอาไปนินทาถึงร้านโน้น?” ผมล่ะเชื่อเลยเรื่องข่าวลือของคนที่นี่ ไปไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

                    “หยกเขาเป็นรูมเมทกับเดือน”

                    “เดือนที่เป็นเว็ทร้านปิงน่ะเหรอ?” ผมนึกถึงสาวหมวยร่างเล็กที่เป็นเพื่อนกับหยก

                    “ใช่”

                    “โห งี้เอาผมไปนินทาว่าไงบ้างเนี่ย” ผมเกาหัวแกรก เรื่องใครคบใคร ใครได้กับใคร มักเป็นเรื่องนินทาสนุกปากในกลุ่มเด็กไทยที่ทำร้านอาหารเสมอ

                    จู่ๆปิงก็ลุกขึ้น แล้วหันมาบอก

                    “ให้เวลาคิด 2-3 วัน ถ้าอยากทำจะได้บอกเฮียคิดไว้ จะได้ไม่รับคนอื่น ส่วนเรื่องรถ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก”

                    ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ กับการตัดบทสนทนาแบบกะทันหันของปิง

                    ว่าแล้วเขาก็เดินหนีขึ้นชั้นบน

                    “จะนอนแล้วเหรอ?” ผมส่งเสียงถามตามหลัง

                    “อือ” หลังจากเสียงอือไม่นาน ก็ตามมาด้วยเสียงเปิดและปิดประตู

                    เป็นอันว่าผมถูกทิ้งไว้ตามลำพังอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งๆที่ผมมีคำถามที่อยากจะรู้คำตอบ ... เขาหายไปไหนมาตั้ง 5 วัน 5 คืน ...

 

                    นี่ผมเริ่มอยากรู้เรื่องของปิงตั้งแต่เมื่อไหร่?
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #1-5 (นิยายอัพเพิ่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-04-2016 14:49:03
รักหลายเส้าเหรอ
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #1-5 (นิยายอัพเพิ่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 24-04-2016 15:24:27
รักหลายเส้าเหรอ


ใช่ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #6 PETE
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 24-04-2016 16:03:59
ตอนที่ 6 ... น้องพีทมาถึงอเมริกาแล้วนะคะ ได้เจอคนสำคัญของเขาซะทีนะ ^^ / MissDaisy





#6 [PETE]

 

                    ผมมาถึงอเมริกาโดยสวัสดิภาพ ตอนนี้พักอยู่ที่บ้านน้าติ๊ก น้องสาวของแม่ที่แต่งงานกับอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยชาวอเมริกัน ส่วนน้าติ๊กของผมทำงานบริษัทเกี่ยวกับบัญชี ครอบครัวนี้มีลูกสาววัยห่างจากผมหลายปีชื่อทีน่า เพราะน้าติ๊กมัวแต่เรียนและทำงาน จึงแต่งงานและมีลูกช้า

                    บ้านของน้าติ๊กอยู่ที่รัฐวิสคอนซิน ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆแต่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งน้าเขยของผมสอนอยู่

                    ผมอยู่ที่นี่ได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่ยังไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนสักเท่าไหร่ เพราะต้องรอวันหยุดของน้าๆ

อาทิตย์หน้าผมตั้งใจจะบินไปหาแบม ซึ่งผมก็ได้บอกกับน้าติ๊กเอาไว้แล้ว ท่านเป็นห่วงว่าผมเพิ่งมาอเมริกาเป็นครั้งแรก แล้วต้องไปต่างถิ่นคนเดียว จึงได้โทรไปฝากฝังเพื่อนที่อยู่ทางโน้นให้ดูแล แต่เพื่อนของน้าติ๊กก็ไม่ได้อยู่ที่เวอร์จิเนียหรอกนะฮะ เขาอยู่อีกรัฐใกล้ๆกัน ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่าๆก็ถึง

                    ทีแรกน้าติ๊กจะให้ผมไปพักที่บ้านเพื่อนของท่าน แต่แบมหาที่พักไว้ให้ผมแล้ว พอดีบ้านของเพื่อนแบมที่เป็นคนไทยที่มาตั้งรกรากที่นี่นานแล้ว เขาทำบ้านเช่าให้กับคนไทย และมีบ้านหลังหนึ่งที่ยังมีห้องว่าง ผมจึงให้แบมขอเช่าเอาไว้ ซึ่งมันก็ช่วยผมประหยัดค่าที่พักไปได้มากเลยทีเดียว

 

                    ผมเดินออกมาจากเกท กวาดตามองไปรอบๆ ... แบมยกแขนสูง โบกมือให้ผมแต่ไกล เธอยิ้มร่าเริง ... ผมยกมือโบกตอบ

                    แบมเปลี่ยนไปมาก ทั้งๆที่ผมเห็นหน้าเธอทางเฟสไทม์มาตลอด แต่เมื่อเธอมายืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกคล้ายว่าเราเพิ่งเคยเจอกัน

                    “สวัสดีครับน้าน้อย” ผมยกมือไหว้คุณแม่ของแบมที่ยืนรออยู่ข้างๆ

“หวัดดีน้องพีท อู้ย เป็นหนุ่มละเน้อ หล่อขะน้าด” น้าน้อยทักทายผมด้วยสำเนียงคนเมือง ยกมือลูบหลังลูบไหล่ สำรวจตัวผมไปทั่ว

                    “ฮะ” ผมหัวเราะเขินๆ

                    “หวัดดีแบม” ผมหันไปทักทายแบม ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเอง ทำตัวไม่ถูก รู้สึกอายๆ

                    “หวัดดีพีท” แบมตอบพร้อมรอยยิ้ม

                    แบมที่อยุ่ตรงหน้า ดูเป็นสาวและสวยขึ้นกว่าที่เห็นในเฟสไทม์ หน้าตาท่าทางและการแต่งตัวก็ดูแปลกตาไปกว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

                    “แบมโทรตามแดดดี้ได้แล้วลูก” น้าน้อยหันไปบอกลูกสาว แล้วหันมาอธิบายกับผม

                    “พอดีน้ามาก่อนเวลา เผื่อๆเอาไว้น่ะ แฟนน้าเขาเลยไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ” น้าน้อยหันมาบอกกับผม

                    “ครับ”

 

                    ระหว่างทางอยู่ในรถ น้าน้อยบ่นนิดหน่อยเรื่องที่ผมไม่ยอมไปพักด้วยกันที่บ้าน แต่ผมออกตัวไปว่าเกรงใจ เพราะอาจอยู่ยาวเป็นเดือน น้าน้อยฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไร ผมรู้ดีว่าท่านพูดไปอย่างนั้น เพราะเอาเข้าจริงๆ การที่ผมจะเข้าไปอยู่ที่บ้านของแบมก็ดูจะไม่เหมาะสม น้าน้อยเองมีลูกสาวคนเดียว จะให้ผู้ชายมาอยู่ร่วมชายคาก็คงดูไม่ดี แม้จะมาอยู่ในสังคมฝรั่งแต่ยังไงก็ยังยึดถือธรรมเนียมไทยอยู่ดี

                    ก่อนจะแวะไปส่งผมที่บ้านเช่า เราแวะร้านอาหารไทย น้าน้อยบอกว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับ อีกอย่างก็บ่ายมากแล้ว เขาห่วงว่าผมเข้าบ้านไปแล้วจะไม่มีอะไรกิน ออกมาเองก็คงยังไม่ได้

                    ร้านอาหารไทยร้านนี้ตกแต่งสวยงาม ดูจะเน้นความเป็นไทยมากกว่าร้านอาหารที่เมืองไทยซะอีก ผมกวาดตาดูรอบๆ พนักงานในร้านน่าจะเป็นคนไทยทั้งหมด ตั้งแต่พนักงานต้อนรับที่พาเรามานั่งที่โต๊ะ และพนักงานเสริฟที่เดินเข้ามาทักทายและรอรับออเดอร์ ... ผมเหลือบมองป้ายชื่อที่เขียนด้วยลายมือแปะไว้บนอกเสื้อเชิ้ตสีดำ เขียนว่า Mhek

                    รสชาติอาหารที่นี่อร่อยไม่แพ้ร้านอาหารที่เมืองไทย แต่มีข้อแตกต่างนิดหน่อย เมื่อจิม แดดดี้ของแบมสั่งผัดกะเพราเมนูโปรดของเขา แต่ผมไม่พบใบกะเพราสักใบในจาน มีก็แต่ใบโหระพาทั้งนั้น น้าน้อยเลยอธิบายว่ากะเพราหายาก คนที่นี่จึงปรับใช้ใบโหระพาแทน

                    “เราก็ปลูกโหระพาที่สวนหลังบ้าน” แบมบอกด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

                    “ปลูกผักเป็นด้วยเหรอ?” ผมถามด้วยความแปลกใจ

                    “เป็นสิ ไม่เห็นยาก แค่เอาก้านจิ้มๆลงดิน”

                    “ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังบ้างเลย” คงมีอีกหลายอย่างที่ผมไม่รู้ และแบมไม่ได้เล่า เรื่องราวของแบมในช่วงเวลาที่เราไกลกัน

                    “ก็พีทไม่ถาม” แบมยักไหล่

                    “ก ...” ผมอ้าปาก ยังไม่ทันได้พูด

                    น้าน้อยหันไปกวักมือเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ห่าง “น้องๆ พี่ขอพริกน้ำปลาหน่อย”

                    พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินมาวางผอบเล็กๆลงบนโต๊ะ แล้วเดินออกไปยืนรอห่างๆ

                    จากนั้นผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับแบมอีก จะมีก็แต่น้าน้อยที่ถามเรื่องเชียงใหม่ กับจิมที่พยายามชวนผมคุยเรื่องตุ๊กๆ โดยที่มีแบมคอยช่วยแปลและอธิบายให้บ้างบางประโยค

                    เมื่ออิ่มท้องแล้วก็ถึงเวลาส่งผมเข้าบ้านพัก ซึ่งต้องนั่งรถต่อไปอีกไม่นานนัก

 

                    เพื่อนแบมที่เรียนไฮสคูลด้วยกันและเป็นหลานชายเจ้าของบ้านเป็นคนรอรับพวกเรา ถ้าเทียบอายุแล้วก็น่าจะอ่อนกว่าผมหนึ่งปี เขาชื่อไมค์ หน้าตาดูคล้ายลูกครึ่ง ตัวสูงพอๆกับผม แต่บางกว่า

                    แบมทักทายและฝากฝังผมกับไมค์ สักพักน้าน้อยก็ชวนกลับ ผมได้แต่ยืนมองตามท้ายรถด้วยตาละห้อย ... เอาล่ะ จากนี้ไปผมก็ต้องผจญภัยในโลกกว้างด้วยตัวเองจริงๆซะที

                    “เดี๋ยวพาไปดูห้อง” ไมค์พูดขึ้น เห็นหน้าลูกครึ่งอย่างนี้ แต่พูดไทยชัด แม้สำเนียงจะแปร่งๆสักหน่อย

                    ผมพยักหน้าแล้วลากกระเป๋าตามเข้าไปในบ้าน

                    บ้านนี้มี 2 ชั้น ชั้นล่างมี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ  ห้องส่วนหน้ามีโซฟายาววาง 1 ตัว ห้องครัวที่เป็นห้องกินข้าวไปในตัว และห้องซักรีด ส่วนชั้นบนมี 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ที่ทุกคนต้องใช้รวมกัน ซึ่งห้องของผมอยู่ที่ชั้น 2 นี่เอง

                    ไมค์บอกว่ามีคนเพิ่งย้ายออก ปกติเขาจะให้ทำสัญญาอย่างน้อย 6 เดือน แต่เพราะแบมบอกว่าเป็นเพื่อนมาจากเมืองไทย เขาจึงยอมให้เป็นกรณีพิเศษ นอกจากนี้เขาก็อธิบายเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ค่าเช่าและการจ่ายเงิน

                    “มีอะไรสงสัยจะถามไหม?” ไมค์ถามเมื่อเราเดินลงมาชั้นล่าง

                    “คงมี แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออก” ผมคงต้องใช้เวลาสักพักในการตั้งสติ เพื่อที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆรอบตัว

“ไม่เป็นไร มีอะไรก็ถามได้ เดี๋ยวแอดไลน์ไว้” เขาควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง จิ้มๆ แล้วยื่นมาตรงหน้า เพื่อให้ผมสแกนคิวอาร์โค้ด

                    “อยากไปไหนบอกได้นะ เพราะแบมคงต้องรอ weekend ถึงจะออกมาได้” ดูเหมือนไมค์จะสนิทกับ      แบมมาก

                    “ได้” ผมพยักหน้าตอบ

                    “งั้นไปล่ะ” เขายกมือลา

                    “เอ่อ เดี๋ยวสิ” ผมมีเรื่องคาใจ

                    ไมค์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

                    “คือ นายกับแบมสนิทกันเหรอ?”

                    “งั้นมั้ง” เขาไหวไหล่

                    ผมไม่รู้จะถามต่อดีไหมว่าสนิทกันถึงขั้นไหน จึงได้แต่เงียบไป

                    “บ้านฉันอยู่ใกล้ๆเนี่ย” เขาชี้นิ้ว “มีอะไรก็เรียกได้”

                    “อื้อ ขอบใจนะ”

                    เขาผงกหัว แล้วหันหลังเดินจากไป ผมมองตามจนเขาเลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล

                    ผมเดินกลับเข้าไปในบ้าน ขึ้นไปยังห้องที่ต่อไปนี้จะเป็นห้องของผมไปอีกหนึ่งเดือนเต็มๆ

                    ผมทิ้งตัวลงบนเตียง ส่งไลน์บอกพ่อกับแม่ และน้าติ๊กว่าผมถึงบ้านพักเรียบร้อยแล้ว น้าติ๊กส่งสติ๊กเกอร์ โอเคกลับมา ส่วนพ่อกับแม่ยังไม่ได้อ่านทันที ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ คงจะนอนอยู่ล่ะมั้ง เพราะเวลาที่นี่ห่างจากเมืองไทย 12 ชั่วโมง ... ผมเริ่มรู้สึกเหงาและคิดถึงบ้านขึ้นมานิดๆ ดูเป็นลูกแหง่เลยใช่ไหมฮะ ก็นี่เป็นการ เดินทางไกลคนเดียวครั้งแรกของผมนี่นา

                    แบมจะว่างมาเจอผมในวันเสาร์-อาทิตย์ นี่เพิ่งวันพฤหัสฯเอง พรุ่งนี้ผมคงต้องลองออกไปสำรวจโลกคนเดียว

                    เปิดกระเป๋า จัดเก็บเสื้อผ้าเข้าไว้ในตู้ ผมเอาเสื้อผ้ามาไม่มาก ช่วงนี้เป็นหน้าร้อน กางเกงขาสั้น เสื้อยืดกับรองเท้าผ้าใบก็พอ จากนั้นก็ถ่ายรูปห้องพัก และลงไปถ่ายชั้นล่าง และบริเวณรอบๆบ้านเพื่อส่งไลน์ไปให้พ่อกับแม่ดู ท่านจะได้สบายใจ ในบ้านตอนนี้เงียบมาก เหมือนจะมีผมอยู่แค่คนเดียว

                    ผมไลน์คุยกับแบม

                    ผม - ดีใจมากที่ได้เจอแบม

                    แบม - เหมือนกัน

                    ผม - แบมน่ารักขึ้นเยอะเลย

                    เธอส่งสติ๊กเกอร์เขินและขอบคุณ

                    ผม - แต่ไม่ค่อยได้คุยกันเลย เขิน

                    เธอส่งสติ๊กเกอร์หน้ายิ้ม

                    ผม – คิดถึง

                    แบม – เหมือนกัน

                    ผม – อีกตั้งหลายวันกว่าจะได้เจออีก

                    แบม – วันเดียวเอง เดี๋ยวพาไปเที่ยว

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้

                    แบมส่งสติ๊กเกอร์โอ๋ปลอบ

                    แบม – ระหว่างนี้มีอะไรก็เรียกไมค์ได้นะ

                    ผม – เกรงใจเพื่อนแบม

                    แบม – ไม่ต้องเกรงใจ แบมฝากพีทกับไมค์ไว้แล้ว เดี๋ยวเขาพาไปช้อปปิ้ง

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณ

                    แบม – ถึงบ้านแล้ว ขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ เดี๋ยวคุยกันใหม่

                    เธอส่งสติ๊กเกอร์ Bye

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ Ok

 

                    ไมค์ส่งไลน์มาชวนไปเดินห้างตอนเย็นพรุ่งนี้ ผมไม่ปฏิเสธ เพราะไหนๆก็ยังไม่ได้แพลนว่าจะไปไหนจริงจังอยู่แล้ว

 

                    ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ตั้งใจจะมาคุยไลน์กับแบมต่อ แต่เธอส่งข้อความทิ้งเอาไว้ว่าจะเข้านอนแล้ว และสติ๊กเกอร์ Good Night

 

                    ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาทำยังไงก็ไม่ง่วง กว่าจะหลับลงได้ก็ค่อนเช้า และกว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปบ่าย เป็นอันว่าวันแรกของผมก็เสียไปเปล่าๆครึ่งค่อนวัน

 

                    เย็นๆไมค์มาเรียกที่หน้าบ้าน เขาสวมกางเกงสี่ส่วนกับเสื้อยืด หมวกแก้ปและรองเท้าคีบ ดูสบายๆ

ผมอยากให้แบมมาด้วย แต่บ้านเธออยู่นอกเมือง เดินทางไปกลับไม่สะดวก จะให้แดดดี้มารับมาส่งก็เกรงใจ น้าน้อยเองก็ยังขับรถไม่คล่อง จึงต้องรอวันหยุดที่แบมจะนั่งรถไป-กลับเองได้ เป็นอันว่าเย็นนี้ผมก็ต้องไปกับไมค์แค่สองคน

                    ไมค์เป็นคนคุยสนุก ฝรั่งคงเรียกว่าเฟรนด์ลี่ เขาพาผมนั่งรถเมล์และต่อรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่ห้างแห่งหนึ่ง เราเดินดูของแบบไม่จริงจัง ผมไม่คิดจะช้อปปิ้งอยู่แล้ว อาจจะซื้อของฝากพ่อกับแม่บ้าง แต่คงจะเป็นช่วงก่อนกลับเมืองไทย

                    เรากินซับเวย์ที่ห้างเป็นอาหารเย็น ไมค์พาผมไปซื้อเสบียงตุนไว้หลายอย่าง เพราะช่วงแรกๆผมอาจจะยังไปไหนมาไหนไม่คล่อง มีของกินติดไว้ที่ห้องก็น่าจะดี ... ระหว่างนั่งรถไฟกลับบ้าน ไมค์ถามว่าผมมีแพลนไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ผมก็ตอบไปตรงๆว่าไม่มีอะไรมาก ก็คงอยู่แถวๆนี้ เพราะจุดประสงค์หลักของผมคือมาเจอแบม

                    เขากลอกตามองบน เบ้ปาก พูดเป็นภาษาอังกฤษอะไรสักอย่าง

                    “ว่าไงนะ?” ผมถาม เพราะฟังไม่ถนัด

                    “น่าเบื่อ” เขาเบ้ปากอีกครั้ง

                    ผมอึ้งๆไปนิดหน่อยกับคำตอบตรงๆของไมค์

                    “เราแค่อยากมาเจอแบม และอีกอย่าง เราขอเงินพ่อกับแม่มา แค่มาอยู่เป็นเดือนนี่ก็ไม่รู้จะหมดไปเท่าไหร่แล้ว”

                    “ทำไมไม่ทำงานหาเงินเองล่ะ จะได้เที่ยวเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใคร มาทั้งที ไม่เที่ยวได้ไง”

                    ผมอึ้งไปอีกรอบ ไม่เคยคิดเรื่องทำงานพิเศษเลยสักนิด คิดแค่ว่าจะมาอเมริกา โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็แบมือขอพ่อกับแม่ คำพูดของไมค์แม้ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิ แต่ผมฟังแล้วนึกละอายขึ้นมา

                    “แล้วนายทำงานพิเศษด้วยเหรอ?”

                    “ก็ทำ ตัดหญ้ารอบๆบ้าน”

                    “ตัดหญ้าบ้านตัวเอง จะเรียกว่าทำงานพิเศษได้ยังไง” ผมต่อยต้นแขนเขาเบาๆ

                    “ใช่สิ ไม่ได้ตัดแค่หลังเดียว บ้านเช่าตั้งหลายหลัง แล้วก็บ้านเนเบอร์อีก”

                    “อ๋อ” ผมพยักหน้า

                    “บางทีก็เดินหมา แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะต้องตื่นเช้า”

                    “อะไรเดินหมา?” เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ

                    “ก็ไปเอาหมาเพื่อนบ้าน พาออกมาเดินเล่น พามาอึ ส่วนมากทำตอนปิดเทอม แต่ขี้เกียจตื่นเช้า เดี๋ยวนี้ไม่ทำละ” ไมค์ยักไหล่

                    “อือๆ เข้าใจละ” อันที่จริงผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เรื่องอาชีพพาหมาเดินเล่นอะไรเนี่ย

                    “เซลฟี่กัน” เขาเอียงหัวมาชนหัวผม แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเราสองคน จากนั้นก็ก้มหน้าอยู่กับจอสี่เหลี่ยม

                    “ทำไร?” ผมชะโงกมอง

                    “ส่งไลน์ให้แบม” ไมค์ตอบโดยยังคงก้มอยู่กับหน้าจอ

                    “แบมว่าไง?”

                    “อึ๊อือ” เขาทำเสียงในคอแล้วหัวเราะยักไหล่

                    “ไรวะ?” ผมรู้สึกเหมือนถูกกีดกัน จึงเอาโทรศัพท์ตัวเองมาส่งไลน์หาแบมบ้าง บอกไปว่าไมค์พามาช้อปปิ้ง แบมส่งสติ๊กเกอร์ Good มาให้

                    “ลงสถานีหน้า” ไมค์เอ่ยเตือน เขาอธิบายเรื่องการใช้บริการเมโทรบัสและรถไฟให้ฟังคร่าวๆ

 

                    “วันเสาร์ไปดีซีกันไหมล่ะ?” ไมค์ถามขึ้นขณะที่เรากำลังเดินอยู่ในซอย

                    “ไปสิ” ผมตอบกระตือรือร้น “ชวนแบมไปด้วย”

                    “ก็แหงสิ ฉันจะไปกับนายสองคนทำไม นายมาหาแฟนนายไม่ใช่เรอะ” เขาผลักหัวผมเบาๆ ... ดูเหมือนเราจะสนิทกันเร็วมาก

                    ผมหัวเราะแล้วผลักหัวเขาคืน

                    “หรือนายอยากไปกับแบมแค่สองคน ฉันจะได้ไม่ไปเกะกะ?” เขามองผมแล้วทำหน้าเจ้าเล่ห์

                    “ไม่หรอก นายไปด้วยน่ะดีแล้ว” ผมไม่คิดว่าไมค์จะเกะกะอะไร

                    จู่ๆไมค์ก็หยุดเดินแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ติดใจฉันแล้วสิ?”

                    ผมไม่ทันตั้งตัวจึงได้แต่อ้าปากหวอกับคำถามและท่าทางของเขา แต่แล้วไมค์ก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังลั่น

                    “Got ya!”

                    ผมทำหน้าเอ๋อๆ แต่แล้วก็หัวเราะตามเขาไป

                    “ล้อเล่น” เขาลากเสียงยาว แล้วก้าวเดินต่อ

                    “เออ ตกใจหมดเลย” ผมหัวเราะแหะๆ

                    “นายทำหน้าตลกดี” เขาทำหน้าล้อเลียน

                    ผมผลักไหล่เขาเบาๆ อายนิดหน่อยที่แว้บหนึ่งแอบคิดว่าไมค์พูดจริง

                    “แต่เราอยากให้นายไปด้วยจริงๆนะ ไปหลายๆคนน่าจะสนุกดี” ผมคิดยังงั้นจริงๆ คงเพราะไมค์เป็นคนสบายๆ คุยสนุก เขาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแม้อยู่ในต่างแดน

                    ไมค์ยักไหล่เบ้ปากน้อยๆ คงหมายถึงโอเคล่ะมั้ง

                    เราเดินมาถึงหน้าบ้านของผมก่อน เขายกมือลาแล้วบอกกู้ดไนท์ ก่อนจะเดินต่อไปยังบ้านของตัวเองที่อยู่ลึกไปอีกหน่อย

                    จนป่านนี้ผมยังไม่เจอเพื่อนร่วมบ้านเลยสักคน ไมค์บอกว่าทุกคนทำงานร้านอาหารไทย เพราะฉะนั้นเมื่อวานที่ผมมา พวกนั้นยังไม่กลับ และเมื่อบ่ายที่ผมตื่นมา พวกนั้นก็ออกไปทำงานกันหมดแล้ว

 

                    ผมนึกขอบคุณไมค์ในใจ ถ้าไม่มีเขา ผมคงเคว้งคว้างน่าดู ...
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #7 (นิยายอัพเพิ่มค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 25-04-2016 15:18:44

#7 [PETE]

 

                    วันเสาร์ผมกับไมค์ไปรอแบมที่ยูเนี่ยนสเตชั่น แบมสวมกระโปรงสั้น เสื้อกล้าม มีเสื้อเชิ้ตลายสก็อตทับ และรองเท้าผ้าใบ ผมยาวรวบไว้เป็นหางม้า ผิวขาวเนียนแบบสาวเหนือเวลาถูกแดดยิ่งขาวผ่อง น่ามองมากๆ ผมรู้สึกปลื้มจนออกนอกหน้าที่มีแฟนน่ารักขนาดนี้

                    “Hey!” ไมค์กระทุ้งสีข้างของผม ทำให้ต้องละสายตาจากแบม

                    “อะไร?” ผมหันไปถามเสียงดัง

                    “จะไปกันไหม?” เขายกมือท้าวเอว ส่วนแบมฟาดฝ่ามือที่ต้นแขนไมค์ แล้วเกี่ยวคอเขาให้เดินไปข้างหน้า

                    ผมยืนมองตามหลังทั้งสองคน สักพักแบมคงนึกได้ จึงหันกลับมา

                    “มาสิพีท” เธอคว้าข้อมือผมแล้วลากให้เดินตาม

 

                    พวกเราซื้อทัวร์ Hop-On, Hop-Off ที่สามารถขึ้นลงรถทัวร์ได้ตามใจทั้งวัน ตลอดเส้นทางจะมีจุดท่องเที่ยวที่สำคัญๆให้แวะเข้าชมหลายสิบแห่ง เราสามารถลงรถเพื่อเข้าชมและถ่ายรูป และถ้าจะไปที่อื่นก็แค่ออกมารอรถเที่ยวถัดไป

                    ที่เราเลือกซื้อทัวร์ เพราะไมค์สารภาพตามตรงว่าถึงเขาจะเกิดที่นี่ ก็ใช่ว่าจะเคยไปเที่ยวสถานที่พวกนี้ มันเหมือนกับเป็นความคุ้นเคย จึงไม่ได้สนใจจริงจัง ก็คงเหมือนผมเป็นคนเชียงใหม่ แต่ก็ไม่เคยขึ้นดอยอินทนนท์ทำนองนั้นล่ะมั้ง

 

                    หลังจากชมไวท์เฮ้าส์เสร็จแล้ว เรานั่งพักที่เก้าอี้ริมทางเท้า ได้น้ำดื่มและไอติมจากรถที่จอดขายอยู่ข้างทาง

                    “ร้อนมาก” แบมลากเสียงยาว ถอดเสื้อเชิ้ตออกมาผูกไว้ที่เอว ผมเปิดน้ำส่งให้ เธอรับไปยกขึ้นดื่ม แก้มแบมเป็นสีชมพูระเรื่อ มีเหงื่อเกาะตามหน้าผาก เธอส่งขวดน้ำคืนให้เมื่อดื่มเสร็จแล้ว ผมแกะไอสกรีมโคนส่งให้เธอ

                    “I’m melting” ไมค์บ่นพร้อมกับเลื้อยตัวลงบนเก้าอี้จนแทบจะลงไปกองกับพื้น

บ่นแล้วก็ยกไอติมแท่งรสตรอว์เบอร์รี่ขึ้นมาดูด ทั้งหน้าผากและแก้มของเขาแดงแข่งกับสีไอติม ... ปากที่กำลังดูด   ไอติมนั่นก็แดง แดงกว่าปากแบมซะอีก ... แล้วผมจะมองปากไมค์ทำไม?

                    ผมสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดประหลาดๆของตัวเอง ... อากาศคงร้อนเกินไป

                    “ไอจะตายอยู่แล้ว” ไมค์บ่นยานคาง

                    “ไหวไหมเนี่ย?” แบมชะโงกผ่านหน้าผมไปถาม

                    “หวาย” ไมค์ตอบยานคางหนักไปอีก

                    “เอางี้ละกัน วันนี้ถ้าจะไปให้ครบทุกที่คงไม่ไหว งั้นเราไปดูลุงลินคอล์นอีกที่ก็พอ” ผมออกความเห็น เพราะดูจากสภาพของคนข้างๆแล้วก็นึกสงสาร

                    “แต่เราเพิ่งไปได้ไม่กี่ที่เองนะ งี้ก็ไม่คุ้มสิ” แบมแย้ง

                    “ก็ดูเพื่อนแบมสิ” ผมพยักเพยิดให้ดูไอ้คนที่เลื้อยดูดไอติมอย่างอ่อนแรง

                    “ไมค์อย่ามาคุณหนู” แบมยื่นเท้าไปสะกิดเท้าของไมค์

                    “ใครคุณหนู? ไอยังหวาย” แม้เสียงจะยังอ่อยๆ แต่ไมค์ก็ยันตัวเองขึ้นมานั่งหลังตรง

                    “พวกกลัวแดดก็เงี้ย” แบมส่ายหน้า

                    “นายกลัวแดดเหรอ? ปกติฝรั่งชอบแดดกันจะตาย” ถึงไมค์จะไม่ใช่ฝรั่ง แต่ก็ใกล้เคียงล่ะผมว่า เพราะเขาเกิดและโตที่นี่ และบางทีก็อาจจะเป็นลูกครึ่ง ดูจากโครงหน้าที่คมกว่าคนเอเชียทั่วไป และผมสีน้ำตาลอ่อน หรือเขาย้อมผมก็ไม่รู้

                    “ไม่ได้กลัว แค่ไม่ชอบ” เขาลุกขึ้นยืน แล้วชวนทุกคน “ไปยัง?”

                    “เดี๋ยว ... เรายังกินไม่หมดเลย” แบมรีบกัดไอศกรีมของตัวเองจนทำให้เนื้อครีมเลอะที่ริมฝีปาก ผมจึงหยิบทิชชู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็ดให้ … ผมติดพกทิชชู่ในกระเป๋า เพราะแม่จะใส่ไว้ให้ประจำตั้งแต่ผมเข้าเรียนอนุบาล แม่บอกว่าถ้าทำเลอะเทอะเมื่อไหร่ให้หยิบขึ้นมาเช็ด

                    “I’m not here.” ไมค์ยักไหล่แล้วแกล้งหันไปมองถนน

                    “อย่ามา” แบมเตะไปที่เท้าของไมค์ ไมค์เตะคืนบ้าง

                    ผมนั่งมองทั้งสองคนขำๆ เขาสนิทกันจริงๆ ผมเองเวลาอยู่กับแบมยังไม่กล้าจะทำอะไรแบบนี้ อีกอย่างคงเพราะคนไทยไม่นิยมใช้เท้ากับคนอื่น เพราะมันดูไม่สุภาพ แต่ระหว่างแบมกับไมค์ คงหมายถึงความสนิทสนมเป็นพิเศษ

 

                    จุดหมายต่อไปของเราคือลินคอล์นเมโมเรียล เมื่อไปถึงก่อนจะเข้าไปทักทายลุงลินคอล์นอย่างใกล้ชิด ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน

                    ออกมาจากห้องน้ำ แบมกับไมค์ไม่ได้รออยู่ที่เดิม ผมจึงเดินตามหา

                    “แล้วเมื่อไหร่ยูจะบอกความจริงเขาซะที”

                    ผมเดินมาใกล้พอจะได้ยินเสียงของไมค์ถามแบมขึ้นมา ทั้งสองคนนั่งหันหลังให้กับผม

                    “ไม่รู้สิ ... สงสารเขา อุตส่าห์มาหาฉันถึงที่นี่”

                    ผมกำลังจะทัก แต่ต้องชะงักฝีเท้า เพราะเริ่มสงสัยว่าผมคือคนที่อยู่ในบทสนทนานี้ของพวกเขา

                    “แต่ถึงไม่บอก เขาก็น่าสงสารอยู่แล้วป่ะ?”

                    “อือ ... ฉันน่าจะบอกเขาตั้งแต่เขายังไม่มา”

                    “แต่เขาก็มาแล้วนี่ แล้วแกจะทำไงต่อล่ะ?”

                    “เห้อ” แบมถอนหายใจเฮือกใหญ่

                    “หรือจะปิดเอาไว้ รอจนเขากลับแล้วค่อยบอก”

                    “ก็คิดว่าคงยังงั้น พีทเขาไม่ผิดอะไร ฉันไม่อยากให้เขาเสียใจ”

                    “ใช่ เขาไม่ผิดอะไร คนที่ผิดคือแกน่ะแหละ”

                    “ฉันรู้ แต่ ...”

                    “แต่แกก็นอกใจเขาไปแล้ว แล้วยังปล่อยให้เขาบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาถึงที่นี่”

                    “แกจะตอกย้ำฉันทำไมอีกเนี่ย เป็นเพื่อนกันป้ะ?” แบมเอียงซบบนไหล่ของไมค์

                    ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว ก้าวขาไม่ออก บทสนทนาเมื่อสักครู่ก้องอยู่ในหัว

                    “ทำไมพีทไปนานจัง หรือจะหาพวกเราไม่เจอ” ไมค์หันซ้ายหันขวา แล้วก็หันมาเจอผมที่ยืนบื้ออยู่ด้านหลัง ห่างจากที่พวกเขานั่งอยู่ไม่กี่ก้าว

                    ไมค์อ้าปากค้าง ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างออกมา

                    ผมส่งยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้า ผมไม่อยากให้แบมรู้ว่าผมได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนั้นแล้ว เขาจึงถอนหายใจแล้วหันกลับไป ผลักหัวของแบมออกจากไหล่

                    ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด เดินเข้าไปหาพวกเขา

                    “มานั่งอยู่นี่เอง หาตั้งนาน” ผมฝืนยิ้ม

                    “อ๊ะ พีท โทษที เห็นว่าตรงนี้ลมเย็นดีก็เลยมานั่งรอ หายไปไหนตั้งนาน แบมนึกว่าพีทหนีกลับไปซะแล้วเนี่ย” แบมพูดขำๆ

                    “อือ พีทว่าจะชวนกลับแล้วล่ะ” แต่ผมอยากกลับจริงๆ

                    “อ้าว ทำไมล่ะ ยังไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปข้างในเลยนะ” เธอลุกขึ้นยืน ฉุดให้ไมค์ลุกขึ้นตาม

                    “ปวดท้องน่ะ”

                    “อ๋อ ที่หายไปนานๆนี่อยู่ในห้องน้ำเหรอ?”

                    “ใช่” ผมพยักหน้าช้าๆ

                    “ไหวไหม?” เธอยื่นมือมาจับมือผม “พีทมือเย็นจัง”

                    “ก็โอเค แต่คงไปเดินต่อไม่ไหวแล้วล่ะ พีทว่าน่าจะกลับเลยดีกว่า”

                    “ไม่ไหวก็กลับเหอะ” ไมค์พูดขึ้น

                    “เอางั้นเหรอ?” แบมมองหน้าพวกเรา

                    ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ

 

                    พวกเราแยกทางกันที่สถานีเดิม แบมถามว่าพรุ่งนี้ผมอยากไปไหน แต่ยังไม่ทันได้ตอบ ไมค์ก็พูดขึ้นมาว่าที่บ้านเขาจะไปวัด จะพาผมไปด้วย

 

                    ระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งผมและไมค์ เราต่างนั่งกันเงียบๆ แม้ขณะที่พวกเราเดินอยู่ในซอย ก็ยังไม่มีใครเอ่ยปากออกมาแม้แต่คำเดียว

                    ผมจุกแน่นในอก ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ในหัวมันเหมือนสับสน แต่บางทีก็เหมือนมันว่างเปล่า

                    เราเดินมาถึงหน้าบ้านของผม มีใครคนหนึ่งนั่งเล่นกีตาร์อยู่หน้าบ้าน

                    “ไมค์ ไปไหนมา?” ใครคนนั้นทักขึ้น

                    ไมค์ยกมือทักทายก่อนตอบ “ดีซี ... ไม่ทำงานเหรอพี่?”

                    “เนี่ยเซ็งอยู่ ถูกขอตารางให้เด็กใหม่ แม่งเย็นวันเสาร์ด้วย บีซี่น่าดู” เขาวางกีตาร์พิงไว้ที่ผนังข้างประตู

                    “อ้อ ... นี่พีท เจอกันยังฮะ” ไมค์หันมาทางผม “นี่พี่เนส อยู่ห้องข้างบนกับนาย” เขาแนะนำต่อ

                    “ยังเลย พี่นึกว่ายังไม่มา เห็นห้องเงียบๆ”

                    “นายไปอยู่ไหนมา ทำไมพี่เขายังไม่เจอ” ไมค์มองหน้าผมด้วยความสงสัย

                    “...” จะบอกได้ไงว่าผมนอนทั้งวี่ทั้งวัน ตื่นมาก็ไม่เห็นคนในบ้านสักคน

                    “อ้าวไมกี้ มาพอดีกินเหล้ากัน” ใครอีกคนเดินออกมาจากในบ้าน

                    “แต่วันเลยเหรอพี่จิว?” ไมค์หัวเราะหน่อยๆ ดูเขาสนิทสนมกับทุกคนเป็นอย่างดี แต่ก็คงไม่แปลก เพราะเขาเป็นเจ้าของบ้าน

                    “น้องพีทเหรอ?” คนชื่อจิวหันมาทักทาย ผมยกมือไหว้

                    “มาๆ พอดีเลี้ยงต้อนรับ” พี่จิววางแก้วที่หนีบมา 2 ใบ อีกมือถือถังใส่น้ำแข็ง วางลงข้างๆขวดเหล้าและโซดาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะก่อนแล้ว

                    “น้องเขากินเป็นไหมเหอะ” พี่เนสเป็นคนพูด

                    “เออว่ะ หน้าตาคุณหนู” พี่จิวสนับสนุน

                    “แต่อย่าประมาท ไอ้คุณหนูจริงๆอย่างไมกี้นี่ก็ ...”

                    “อะไรพี่?” ไมค์ขัดขึ้นก่อนที่พี่เนสจะพูดจบ

                    จริงๆผมเคยกินเบียร์ แอบไปกินกับเพื่อนตอนปิดเทอม เพื่อนๆมันท้า มันว่าผมเป็นลูกแหง่และเป็นคุณหนู ผมก็เลยต้องกินเพื่อลบคำสบประมาท แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้กินอีก เพราะแม่เคยขอเอาไว้ว่าถ้าอยากกิน ก็รอให้โตเป็นผู้ใหญ่ รับผิดชอบตัวเองได้เสียก่อน ... ผมไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง แต่ตอนนี้ผมไม่อยากเสียฟอร์ม เพราะไมค์กำลังมองหน้าผมแล้วยิ้มที่มุมปาก

                    “กินเป็นครับ” ผมโกหก

                    “ดีๆ จิวเอาแก้วมาให้น้อง” พี่เนสหันไปใช้พี่จิวที่กำลังแกะห่อมันฝรั่ง

                    “เอาไว้วันหลังนะพี่ พรุ่งนี้ต้องไปวัดกับคุณย่า จะพาพีทไปด้วย” ไมค์ปฎิเสธอย่างรวดเร็ว ... ผมนึกขอบคุณเขาอยู่ในใจ เพราะถ้าเป็นผมคงนึกไม่ออกว่าจะหาทางเลี่ยงยังไง

                    “เหรอ เออน่าเสียดาย แต่เอาไว้วันหลังก็ได้” ถึงจะพูดว่าเสียดาย แต่พี่เนสก็ไม่ได้ทำหน้าจริงจังอย่างคำพูด

                    “เดี๋ยวฉันขึ้นไปข้างบนด้วย” ไมค์พาดแขนลงบนไหล่ของผม

                    ผมยังไม่ทันตอบว่ายังไง เขาก็ดันให้เดินเข้าไปในบ้าน

                    หลังจากปิดประตูห้อง ไมค์เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ส่วนผมลากเก้าอี้ที่อยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงมานั่ง ... นี่ใครเป็นเจ้าของห้องกันแน่?

                    “ถ้ากินนี่ยาวแน่” เขาดันตัวขึ้นมานั่ง “พวกนั้นคอแข็ง”

                    “ได้ข่าวว่านายก็ไม่เบานี่” ผมเดาจากคำพูดของพี่เนส

                    “นายเชื่อ?” ไมค์ยันแขนกับที่นอน เอนตัว เอียงคอมองหน้าผม

                    ไมค์เป็นคนหน้าตาดี หรือจะพูดอีกทีก็คือหล่อมาก ผมว่าถ้าไมค์ไปเดินแถวพารากอน อาจมีแมวมองมาทาบทามเข้าวงการ

                    “เฮ้ย!” ผมร้องด้วยความตกใจ จู่ๆไอ้คนที่ผมเพิ่งชมอยู่ในใจก็ถีบเท้าเข้าที่หน้าแข้งของผม

                    “ถามไม่ตอบ”

                    “ว่า?” เขาถามผมว่ายังไงนะ

                    “ช่างเหอะ” เขาส่ายหน้าอย่างระอา “ว่าแต่นายโอเคนะ?”

                    ใจผมชาวาบเมื่อได้ฟังคำถามนี้ ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมากระทันหันของไมค์ หรือเพราะสมองของผมเพิ่งเริ่มทำงาน และบทสนทนาระหว่างแบมกับไมค์เมื่อ 2-3 ชั่วโมงที่แล้วก็เริ่มรีรันในหัว

                    “...”

                    “พีท”

                    “...”

                    “แบมเขาไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนายนะ”

                    “...”

                    “เขาแค่ยังไม่รู้จะบอกนายยังไง”

                    “...”

                    “เห้อ ... ถ้านอนไม่หลับให้กินนมอุ่นๆนะ ไมโครเวฟอยู่ในครัว พรุ่งนี้ตื่นแล้วจะโทรมาปลุก”

 

                    ไมค์ออกไปจากห้องนานแค่ไหนแล้วไม่รู้ แต่ผมยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ...

                    ผมยอมเปลี่ยนอนาคตของตัวเองจากวิศวกรมาเป็นหมอ เพียงเพื่อจะได้มาเจอหน้าแบม พ่อกับแม่ต้องหมดเงินไปไม่รู้กี่แสนเพื่อให้ผมอยู่ที่อเมริกาได้เป็นเดือน ... เพียงเพราะผมอยากใช้เวลากับแบมให้นานที่สุด ... ผมโง่มากใช่ไหม?

 

                    ผมลูบหน้าตัวเอง ... ทำไมถึงเพิ่งคิดได้ในนาทีนี้ ... นาทีที่ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ...
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #7]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 25-04-2016 15:34:42
พีทเชิดใส่ชะนีเถอะลูก :z6:

ปล. ยัยแบม ไปเมกานะไม่ใช่ไปเซเว่น เอาไว้บอกทีหลังได้ด้วย  :beat:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #7]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 25-04-2016 18:48:56
พีทเชิดใส่ชะนีเถอะลูก :z6:

ปล. ยัยแบม ไปเมกานะไม่ใช่ไปเซเว่น เอาไว้บอกทีหลังได้ด้วย  :beat:

ชะนีคงไม่มีที่ยืนมังคะในเรื่องนี้  :hao3:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #8]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 25-04-2016 22:01:33
ตอนที่ 8 เรายังอยู่เป็นกำลังใจให้น้องพีทกันไปอีกสักตอนนะคะ / MissDaisy




#8 [PETE]

 

                    แบมส่งไลน์มาถามว่าเป็นยังไงบ้าง ผมตอบไปสั้นๆแค่ว่าโอเค และบอกไปว่ากำลังจะนอนแล้ว เธอจึงไม่รบกวน ผมบอกพ่อกับแม่ไปด้วยข้อความเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง ผมกำลังนอนลืมตามองฝ้าเพดานท่ามกลางความมืดสลัวของค่ำคืนอันยาวนาน

                    เสียงเพลงจากกีตาร์ของพี่เนสดังขึ้นเป็นระยะ และเงียบหายไปในที่สุด ... ผมพยายามข่มตาแต่ไม่สำเร็จ

 

                    เมื่อรับรู้ถึงแสงของยามเช้าที่ลอดผ่านช่องว่างของม่านหน้าต่าง ผมลุกขึ้นมาอาบน้ำโดยไม่ต้องรอโทรศัพท์ปลุกจากไมค์ เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วจึงส่งไลน์ไปบอก สักพักเขาก็ส่งข้อความกลับมาว่าให้เดินไปหาที่บ้าน

                    ผมต้องเดินผ่านบ้าน 2-3 หลัง ก่อนจะถึงบ้านของไมค์ เดาว่าบ้านทั้งหมดในบริเวณนี้น่าจะเป็นบ้านที่เขาทำไว้เพื่อให้เช่า เพราะทุกหลังมีหน้าตาคล้ายกัน ยกเว้นแต่บ้านของไมค์ที่ดูจะมีรูปทรงที่สวยงามกว่าหลังอื่นๆ

 

                    คุณย่าของไมค์ท่าทางใจดี ท่านชอบทำบุญ ทุกครั้งที่ไปวัดจะต้องลากไมค์ไปด้วย คงเพราะเขาเป็นหลานชายคนเดียวของท่าน

                    ผมได้เห็นหน้าคุณพ่อคุณแม่ของไมค์ตอนท่านออกมาช่วยยกอาหารและของไปทำบุญขึ้นรถ ไม่เห็นมีใครเป็นฝรั่งสักคน แต่ทำไมไมค์ถึงมีหน้าตากระเดียดไปทางลูกครึ่งก็ไม่รู้ หรือเป็นเพราะเกิดและโตที่นี่ เลยถูกเชื้อฝรั่ง ออสโมซิส

                    คุณย่าของไมค์มีลูก 2 คน คนโตคือพ่อของไมค์ และคนเล็กคือน้าเจนี่ ที่เป็นคนขับรถให้พวกเราในวันนี้

 

                    พอขึ้นรถปุ๊บทั้งคุณย่าและน้าเจนี่ก็ซักประวัติผมยกใหญ่ พอผมบอกว่าเป็นคนเชียงใหม่ คุณย่าก็แสดงอาการดีใจเป็นอย่างมาก ท่านบอกว่าครอบครัวของท่านมาจากเชียงตุง ท่านแต่งงานแล้วย้ายตามสามีมาอยู่ที่อเมริกา ซึ่งก็คือคุณปู่ของไมค์ แต่คุณปู่ก็เสียไปตั้งแต่วัยหนุ่มด้วยโรคมะเร็ง ... นี่คือทั้งหมดที่สมองของผมรับมา อาจจะตกหล่นไปพอสมควร เพราะตอนนี้ข้างในมันโหวงเหวงสิ้นดี รู้สึกปวดท้ายทอยหนึบๆ คงเพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับเอาซะเลย นี่ก็เข้าอาทิตย์ที่สองแล้วที่ผมแทบไม่ได้หลับในเวลากลางคืน

                    คุณย่าหันมาถามอะไรสักอย่างกับผม ... เรื่องเชียงตุงกับเชียงใหม่ ... ในขณะที่ผมกำลังจะตอบแบบเดาสุ่มออกไป เสียงของคนที่นั่งข้างๆตรงเบาะหลังก็พูดขึ้นมา

                    “คุณย่า พีทยังเจ็ทแล็กอยู่เลย ให้เขานอนเถอะค้าบ”

                    “ยังเจ็ทแล็กอยู่อีกเหรอ มาได้กี่วันแล้วน้องพีท” เสียงน้าเจนี่แว่วเหมือนดังมาแต่ไกล

                    “เกือบ 10 วันแล้วครับ” หรือเกินกว่านั้น แต่ตอนนี้ถ้าให้นับวัน คงเป็นงานยากเกินไปสำหรับสมองของผม

                    อยู่ที่บ้านน้าติ๊กผมไม่พยายามปรับตัวเลยสักนิด ผมนอนกลางวันแล้วตื่นกลางคืน เพราะไม่ได้ออกไปไหน น้าติ๊กและสามีออกไปทำงาน ทีน่าก็ไปโรงเรียน เพราะฉะนั้นผมที่อยู่บ้านคนเดียว จึงไม่มีใครมารบกวน

                    “งั้นหลับเถอะลูก อีกนานกว่าจะถึง ร่วมๆ 2 ชั่วโมง” คุณย่าหันมาบอก

                    คนข้างๆยัดหมอนรูปสตรอว์เบอร์รี่ใส่ตักผม ... ผมยกหมอนขึ้นมากอด หลับตาลง ในหัวยังอื้ออึง

                    แล้วอยู่ๆสตรอว์เบอร์รี่ก็ถูกแย่งไปจากอ้อมกอด ผมถูกดันตัวเข้าไปชิดประตูรถ หัวถูกผลักให้เอียงโดยมีหมอนนุ่มๆรองรับ ผมเหลือบหางตามองคนที่จัดแจงทุกอย่างโดยไม่คิดจะขัดขืน อยากเอ่ยปากขอบคุณออกไป แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะพอเขาจัดท่านอนให้เสร็จ เขาก็หันกลับไปสนใจเกมบนมือถือต่อโดยไม่พูดอะไร ... ใช้เวลาเพียงไม่นาน ร่างกายของผมก็เหมือนถูกกดปิดสวิตช์

 

                    “ถึงแล้ว” เสียงของไมค์ดังข้างๆหู หมอนสตรอว์เบอร์รี่ถูกดึงออก หัวผมจึงกระแทกกับกระจกรถดังโป๊ก

                    ผมลืมตางัวเงีย ไมค์กำลังก้าวออกไปนอกรถ ผมเปิดประตูตามออกไป ตอนนี้หัวยังมึนๆ แต่ดีกว่าเมื่อสักครู่พอสมควร คงเพราะได้หลับสนิท แม้จะไม่นานเท่าไหร่

                    น้าเจนี่ปล่อยพวกเราลงตรงหน้าโบสถ์ แล้วขับรถไปจอดไว้ตรงลานจอดรถที่ห่างออกไปเล็กน้อย

                    คนมาวัดถือว่าเยอะพอสมควร ต่างคนต่างยกมือไหว้ทักทาย ผมกับไมค์ยกอาหารเข้าไปไว้ในครัว ส่วนของที่คุณย่าจะถวายพระก็ยกไปไว้ในโบสถ์

                    ไมค์เล่าว่าวัดนี้เป็นวัดลาว คือคนลาวมาตั้งขึ้น แต่พระที่มาอยู่ที่นี่ก็มีทั้งพระไทยและพระลาว และคนที่มาวัดก็มีทั้งคนไทยและคนลาว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนลาว คุณย่าชอบมาวัดนี้ ท่านว่าให้ความรู้สึกเหมือนวัดที่เมืองไทย เพราะสิ่งก่อสร้างก็ไม่ได้ดัดแปลงไปจากต้นแบบ เสียอย่างเดียวคือไกลไปสักหน่อย ขับรถก็ราวๆสองชั่วโมง

                    พิธีการก็คล้ายวัดที่เมืองไทย จะมีแตกต่างนิดหน่อยตรงที่พระท่านจะนั่งฉันบนเก้าอี้แทนนั่งกับพื้น อาหารต่างๆก็จะเรียงไว้บนโต๊ะ หรือวัดที่ไทยจะมีแบบนี้แล้วก็ไม่รู้ แต่ตัวผมเองยังไม่เคยเห็น

                    ใครต่อใครก็เข้ามายกมือไหว้ ทักทายคุณย่า และหันมาชมไมค์ว่าหล่ออย่างนั้นอย่างนี้ ไมค์เองก็ยิ้มสงบเสงี่ยม ยกมือไหว้ขอบคุณได้อย่างนอบน้อม ช่างผิดจากเวลาที่อยู่กับผมอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ

                    มีบางคนถามว่าผมเป็นลูกใคร ไม่เคยเห็นหน้า คุณย่าเลยบอกไปว่าผมเป็นหลานชายคนใหม่ เพิ่งส่งตรงมาจากเมืองไทย

                    “แหม หล่อทั้งคู่เลยนะคะ” คุณป้าที่ไว้ผมมวย นุ่งผ้าซิ่นกับเสื้อลูกไม้เอ่ยชมพวกเรา แถมยังลูบแขนผมไม่วางมือ

                    ไมค์ยกมือไหว้ขอบคุณ ผมทำตามบ้าง

 

                    หลังจากที่พระฉันเสร็จ คนที่มาวัดก็จะกินข้าวร่วมกัน ไมค์ถามว่าจะกินไหม ผมมองสำรวจอาหารแล้วก็ส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าจะกินอาหารวัดไม่ได้ แต่เป็นเพราะอาการของผมตอนนี้ ทำยังไงก็คงกินอะไรไม่ลง

                    “งั้นออกไปเดินข้างนอกไหม? ด้านข้างมีสระบัว” ไมค์ชวน แล้วเดินไปบอกคุณย่าว่าพวกเราจะออกไปนั่งรอที่ศาลาข้างนอก

                    ผมลุกเดินตามไมค์ด้วยอาการสะโหลสะเหล

                    แดดยามสายสว่างจ้า ทำเอาตาพร่าจนต้องหรี่ตาลง ตรงสระบัวมีศาลาเล็กๆ และต้นไม้ใหญ่อยู่ริมสระ

                    “นอนหลับบ้างไหมเมื่อคืน?” ไมค์ถามขึ้นหลังจากที่พวกเราเข้ามานั่งในศาลาที่ทำเป็นม้านั่งโดยรอบ

                    “ไม่เลย ... ดูสภาพดิเนี่ย” ผมทุบท้ายทอยที่เริ่มปวดหนึบๆ

                    “คิดเรื่องแบมเหรอ?”

                    “... เปล่า” ผมโกหก

                    ไมค์มองหน้าผมนิ่ง ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร หรือเขากำลังคิดว่าผมโกหกได้ไม่เนียนเอาเสียเลย

                    “งั้นคงเพราะเจ็ทแล็กแหละ กลางคืนนายต้องพยายามนอนให้หลับ กลางวันง่วงก็ต้องฝืนไม่นอน อีกสักอาทิตย์ก็ปรับตัวได้” เขาแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญ

                    “พอปรับตัวได้ก็ถึงเวลากลับเมืองไทยพอดี” เพราะนี่ก็ปาเข้าไปอาทิตย์ที่ 2 แล้วที่ผมอยู่ที่อเมริกา

                    “ไหวไหมเนี่ย?” เขาดีดนิ้วที่หน้าผากดังแป๊ะ … ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะโวยวาย

                    “คิดว่าไหวไหมล่ะ? ทฤษฏีไม่ให้นอนช่วงกลางวันของนายคงไม่ได้ผล” ผมแหงนหน้าเอาหัววางบนพนักพิง

                    “เออ งั้นนอนเหอะ”

                    พูดแล้วเขาก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม ผมจึงนอนเอนหลังยาวเหยียด ลมพัดเอื่อยๆทำให้เคลิ้มหลับไปอีกครั้ง

 

“ฮ่าๆๆๆ” ผมที่เป็นเด็กตัวเล็กๆหัวเราะอย่างมีความสุข วิ่งไปรอบๆสวนที่มีดอกไม้เบ่งบานสีสันละลานตา

“พี่ถ่ายรูปแมลงปอตัวนี้ด้วย” ผมกวักมือเรียกคนที่กำลังนั่งยองๆ จ่อกล้องถ่ายรูปอยู่กับดอกไม้ ... เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งยิ้มให้กับผม ...

 

                    “คุณย่าออกมาแล้ว” ผมรู้สึกโดนตบที่แก้มเบาๆ ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภาพที่มองเห็นคือเพดานไม้ที่ดูไม่คุ้นตา ... ผมอยู่ที่ไหน?

                    “ลุกได้แล้ว” เสียงของไมค์

                    ผมลุกขึ้นนั่งช้าๆ สมองประมวลเหตุการณ์ ... ผมอยู่ที่วัดในอเมริกา และคนที่ยืนอยู่ข้างๆคือไมค์ หลานชายเจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่ ...

                    “เอ๊า ทำหน้างง” เขาวางมือบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ

                    ผมจับมือเขาออก ลุกขึ้นยืดตัวบิดขี้เกียจ รู้สึกหัวโล่งขึ้นมาบ้าง

                    “คุณย่าเสร็จแล้วเหรอ?” ผมมองไปทางโบสถ์ คุณย่าของไมค์กำลังยืนคุยกับคนกลุ่มหนึ่ง

                    “น่าจะ ... ไปเถอะ” ไมค์เดินนำออกไปจากศาลา ผมเดินตาม

                    คุณย่าคงกำลังร่ำลากับบรรดาคนรู้จัก ท่านยกมือรับไหว้ แล้วคนที่คุยด้วยก็เดินแยกไปขึ้นรถ

                    น้าเจนี่วานให้ผมกับไมค์กลับเข้าไปในครัวเพื่อเก็บอุปกรณ์ที่เราใส่อาหารมาเมื่อเช้า

                    ขณะที่ผมกับไมค์กำลังเก็บของใส่ตะกร้า เสียงคุณย่าที่อยู่ข้างนอกก็ทักทายกับผู้คนไม่ขาดปาก

                    “สงสัยจะไม่ได้กลับง่ายๆ” ไมค์กลอกตา

                    “คุณย่านายป๊อบน่าดู” ผมยังหาตลับที่ใส่ผลไม้ไม่เจอ

                    ไมค์หัวเราะ “ครบยัง?”

                    “ยัง ... หาตลับไม่เจอ ... อ้ะ เจอละๆ” มีคนหวังดี เอาไปล้างแล้วคว่ำไว้รวมๆกับจานชามของวัด

                    เราเดินออกมาเจอฉากไหว้ร่ำลาของคุณย่าอีกครั้งเหมือนกดรีเพลย์ ... คุณย่ายกมือรับไหว้ แล้วคนที่คุยด้วยก็เดินแยกไปขึ้นรถ

                    น้าเจนี่บอกว่าจะไปขับรถมาจอดที่นี่ คุณย่าจะได้ไม่ต้องเดิน พวกผมที่ถือข้าวของเต็มมือจึงยืนรอเป็นเพื่อนคุณย่า

                    “เอ๊า ตายจริง ย่าว่าจะแบ่งสายสิญจน์ให้เขาเสียหน่อย ลืมซะได้ ไมค์เอาไปให้พี่เขาหน่อยสิลูก เร็วๆ เดี๋ยวพี่เขาออกรถไปก่อน” คุณย่าหยิบเชือกสีเหลืองที่ถักเป็นสร้อยข้อมือออกมายื่นให้ไมค์ แต่ไมค์กำลังอุ้มหม้อแกงใบใหญ่ ผมที่ถือตะกร้าแค่มือเดียว จึงอาสาเอาไปให้แทน

                    ผมก้าวเท้ายาวๆตาม ...

                    “เดี๋ยวฮะ คุณย่าให้เอาของมาให้” ผมเรียกเอาไว้ เพราะคนหนึ่งเข้าไปนั่งในรถแล้ว ส่วนอีกคนกำลังจะเปิดประตู

                    คนที่กำลังจะเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงเรียกของผม เขาชะงักและหันหน้ากลับมา ...

                    แดดยามสายสว่างจ้า ทอดแสงลอดผ่านเงาไม้ลงมากระทบกับใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม ... ใบหน้าขาวเรียวเล็ก คิ้วดกเข้ม ดวงตายาวรี จมูกแหลมเป็นสัน และริมฝีปากแดงเป็นรูปกระจับ ผมยาวดำมันขลับถูกรวบไว้ที่ท้ายทอย …

                    ผมหยีตาแล้วยกมือข้างที่ถือสายสิญจน์บังแดดที่ส่องลงมา ผมอาจตาพร่าเพราะความจ้าของแสงระยิบระยับเหนือหัว หรือเพราะความฝันเมื่อสักครู่ ทำให้ผมมองเห็นเขาคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้า

                    ผมเอามือลง และมองภาพเบื้องหน้าให้เต็มตาอีกครั้ง ... มันยังคงชัดเจน ... ภาพของคนที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าในขณะนี้ ดึงให้ภาพที่อยู่ในความทรงจำของผมย้อนกลับมาเหมือนหนังที่กำลังฉายซ้ำ …

 

                    ภาพของเด็กชายวัย 8 ขวบและพี่ชายผมยาว ... ในงานพืชสวนโลกปีนั้น ...
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you)
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 25-04-2016 23:13:11
เพิ่งสังเกตชื่อเรื่อง

แสดงว่านางเอกมีชายมากกว่าหนึ่งมารุมรักนี่เอง อิอิ :hao3:


ก็ทำนองนั้นล่ะค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #9]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 26-04-2016 23:38:15
พีทได้พบกับคนที่อยู่ในฝันของเขามานาน เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนะ? ขอบคุณทุกท่านที่คอยติดตามอ่านนะคะ แค่คนสองคน คนเขียนก็ปลื้มแล้วค่ะ ^^ / MissDaisy





#9 [PETE]



                    “มีอะไร?” เสียงของใครสักคนเรียกสติให้กลับคืนมา ผมหันไปตามเสียงนั้น คนที่อยู่ฝั่งคนขับเดินอ้อมรถมาหยุดยืนข้างๆคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ...

                    “คุณตองนวลให้หลานเอาของมาให้”

                    “แล้วยังไม่ได้เหรอ เห็นยืนกันอยู่ตั้งนาน ... ของอะไรเหรอครับน้อง?” คนตัวสูงกว่าคุยกับคนข้างๆ แล้วหันมาถามผม

                    ผมคิดได้จึงยื่นสร้อยข้อมือสองเส้นที่กำเอาไว้จนแน่นให้กับเขา

                    “สายสิญจน์น่ะ” เขามองของในมือแล้วยื่นส่งให้คนผมยาว

                    “ฝากบอกท่านด้วยนะว่าขอบคุณมาก” พูดแล้วก็อ้อมกลับไปฝั่งคนขับ เปิดประตูเข้าไปนั่ง ส่วนอีกคนก็ส่งยิ้มน้อยๆมาให้ แล้วเปิดประตูรถตามเข้าไป สักครู่รถคันนั้นก็วิ่งไปตามทางเล็กๆ ผมมองตามจนพวกเขาเลี้ยวออกประตูลับตาไป

                    “Hey!” ผมสะดุ้ง หันขวับไปตามที่มาของเสียง ...

                    ไมค์กำลังยืนกอดอกจ้องหน้าผม “ยูรู้จักพวกเขาหรือไง?”

                    “เปล่า?” ผมส่ายหน้าพรืด

                    “แล้วยืนทำอะไรอยู่ตั้งนาน” เขาถามพลางหันหลังกลับ เดินตรงไปยังรถที่สตาร์ทเครื่องรออยู่

                    ผมเดินตามหลังไมค์ แต่ใจกลับลอยไปกับคนในรถคันที่เพิ่งขับออกไป

                    “คนรู้จักเหรอลูก?” คุณย่าถามขึ้นเมื่อพวกเราเข้ามานั่งในรถ

                    “เปล่าครับ” เขาไม่ใช่คนรู้จักของผม ...

                    “อ้าว ... น้าเห็นยืนมองหน้ากันอยู่ตั้งนาน นึกว่าจะมีเรื่องกันซะแล้ว” น้าเจนี่เอ่ยปนหัวเราะ

                    “ไม่รู้จักครับ” ผมย้ำอีกครั้ง

                    “นั่นเมเนเจอร์ร้านเฮียคิดไม่ใช่เหรอคะ?” น้าเจนี่หันไปถามคุณย่า

                    “ใช่ๆ เห็นว่าคิดแอ็พพลายกรีนการ์ดให้ด้วยนะ ... เจนี่เปิดแผ่นนี้ให้แม่ฟังซิ” คุณย่ายื่นแผ่นซีดีให้น้าเจนี่

                    “แสดงว่าเป็นคนโปรด ... แผ่นอะไรคะคุณแม่?” น้าเจนี่รับแผ่นซีดีใส่เข้าไปในช่องเล่นแผ่น

                    “บทบรรยายธรรมะ หลวงพ่อเพิ่งให้มา ... ปิงเขานิสัยดี แต่พูดน้อย แม่เจอที่วัดหลายหนแล้ว”

                    ปิง ... คุณย่าคงหมายถึงพี่ผมยาว หรือจะเป็นอีกคนที่มาด้วยกัน ซึ่งดูคุ้นตาผมมาก แต่ไม่น่าใช่คนเดิมที่เคยเจอ เพราะถ้าเป็นคนนั้น น่าจะดูมีอายุมากกว่านี้

                    “นายไม่รู้จักแล้วไปยืนจ้องหน้าเขาทำไมตั้งนาน” ไมค์หันมาถามผมด้วยเสียงเบาคล้ายกระซิบ ผมเดาว่าเขาคงไม่อยากให้คุณย่าและน้าเจนี่ได้ยิน ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้คุณย่าน่าจะหันไปสนใจกับบทบรรยายธรรมะเสียแล้ว

                    “... เพราะเราคิดว่าเรารู้จัก” ผมมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถ

                    “แล้วตกลงรู้จักไหมล่ะ?”

                    ผมส่ายหน้า ... ผมไม่รู้จักเขาคนนั้นเลยสักนิด เขาเป็นเพียงคนๆหนึ่งที่ผมเคยเจอเพียงครั้งเดียว ... ถ้าไม่นับรวมในความฝัน ...

                    “อะไรของนาย” ไมค์พึมพำ น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย ... ผมหันกลับมามองหน้าเขา

                    “ถ้านายเคยเจอใครสักคนตอนที่นายยังเด็ก แล้วเวลาผ่านไปเป็น 10 ปี นายคิดว่านายจะยังจำเขาได้ไหม?” ผมตั้งคำถามแทนคำตอบ

                    ไมค์จ้องตาผมสักครู่ก่อนตอบ “มันคงขึ้นอยู่กับว่าใครคนนั้นน่าจดจำแค่ไหน”

                    “อืม ... ของีบอีกหน่อยนะ” ผมหยิบหมอนสตรอว์เบอร์รี่ที่วางอยู่ระหว่างเราสองคนขึ้นมาแนบกระจก เอียงตัวลงพิงแล้วหลับตา

                    “What!?” ไมค์กระแทกขาเข้ากับเข่าผม

                    “…”

                    “เออ ช่างเหอะ” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ

                    ผมรู้ว่ามันแย่ที่ตัดบทสนทนาไปดื้อๆแบบนี้ แต่จะให้บอกกับไมค์ว่ายังไง ในเมื่อคนที่ผมเพิ่งเจอหน้าเมื่อไม่ถึง 10 นาทีที่แล้ว เป็นคนที่ผมเคยเจอเมื่อ 10 ปีก่อน และมันก็เป็นเพียงแค่การเจอกันโดยบังเอิญ แล้วก็ผ่านไป ... ผมจะไปบอกใครได้ว่าผมไม่เคยลืมเขาคนนั้นอีกเลย ...

                    เสียงบรรยายธรรมะและเสียงดนตรีประกอบเย็นๆ ดังมาจากตอนหน้าของรถ ช่างเป็นบทกล่อมที่วิเศษที่สุดสำหรับผมในเวลานี้ ...

 

                    เมื่อกลับถึงบ้าน ผมช่วยไมค์เก็บข้าวของลงจากรถแล้วขอตัวกลับมาที่ห้องของตัวเอง

                    มีข้อความไลน์จากพ่อกับแม่ กลุ่มเพื่อนสนิท และแบม ตอนอยู่ที่วัดผมปิดเสียง และก็ลืมเปิดจนถึงตอนนี้

                    แบมส่งรูปที่พวกเราไปเที่ยวในดีซีเมื่อวานมาให้ ผมไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอ แต่เธอยังคงคุยและทักทายมาเหมือนทุกวัน ... แบมคงพยายามทำตัวให้เหมือนเดิม แม้ในใจเธอไม่เหมือนเดิมมานานแล้ว และต่อไปนี้ ผมเองก็คงเช่นกัน

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณและรูปวัดอีก 2 รูปไปให้ แต่ไม่ได้มีข้อความใดๆกลับไป ...

                    ผมเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเรื่องไปวัดกับครอบครัวของไมค์ และส่งรูปเดียวกันที่ส่งให้กับแบม แม่ดูจะตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ครอบครัวของไมค์มาจากเชียงตุง แม่บอกว่าสบายใจที่รู้ว่าผมได้ไปอยู่กับคนบ้านใกล้เรือนเคียง ผมไม่รู้ว่าเชียงใหม่กับเชียงตุงนี่เป็นเพื่อนบ้านกันยังไง

                    ส่วนพวกเพื่อนๆในแก๊งก็เฮฮาไร้สาระไปตามเรื่อง ไอ้ม่อกบอกให้ห่อฝรั่งผมทองไปฝากมันด้วย

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมกำลังขยับตัวจะลุกจากเตียง แต่ก็ช้ากว่าคนข้างนอกที่ถือวิสาสะเปิดประตูพรวดเข้ามาโดยยังไม่ทันได้รับคำอนุญาต ต่อไปคงต้องล็อกประตูให้ติดเป็นนิสัย

                    “หลับอยู่ป่าว?” ไมค์เดินมานั่งที่เก้าอี้

                    “เปล่า” ผมเขยิบตัวมานั่งพิงผนัง

                    “ดีมาก ... อ่ะ คุณย่าให้เอาแซนด์วิชมาให้” เขายื่นซองพลาสติกใสที่บรรจุแซนด์วิชอัดมาจนแน่น

                    “คุณย่าใจดีจัง ฝากขอบคุณท่านด้วยนะ” ผมรับมาเปิดออกแล้วหยิบใส่ปากทันที “กำลังหิวเลย”

                    “แบ่งมั่งดิ” ไมค์ยื่นมือมาขอ

                    “นี่คุณย่าให้เรา” ผมทำท่าหวง

                    “ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ” เขายังแบมือรอ

                    “ก็แล้วทำไมนายไม่กินที่บ้านนายล่ะ?” แทนที่จะตอบคำถาม ไมค์กลับกระโดดขื้นมานั่งบนเตียงข้างๆผม คว้าแซนด์วิชที่ผมกัดแล้วในมือ ยัดเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ

                    ผมเหวอไปเลย

                    “นมหมดหรือยัง?” เขาหันมาถามหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ยังเคี้ยวแซนด์วิชเต็มปาก ไม่เดือดร้อนกับท่าทีของผมเลยสักนิด

                    “ยัง” ผมหยิบแซนด์วิชคู่ใหม่ออกมาจากถุง รีบยัดเข้าปากเพราะกลัวจะโดนแย่งไปอีก

                    “งั้นขอหน่อยดิ” เขาล้วงมือไปหยิบแซนด์วิชคู่ใหม่ในถุง

                    “ห๊ะ?” ผมไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดนี่คือกำลังสั่งให้ผมลงไปเอานมในตู้เย็นข้างล่างมาให้เขา

                    “นมไง” เขาถ่างตามองหน้า ทำท่าเหมือนแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ

                    “เออ ...” ผมลงจากเตียง แต่ไม่ยอมทิ้งถุงแซนด์วิชเอาไว้หรอกนะ

                    กำลังเปิดประตู คนที่อยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้น “ขอน้ำผลไม้ด้วยนะ ถ้าได้แครนเบอร์รี่ก็ดี”

                    “พ่อง!” ปกติผมไม่ใช้คำพวกนี้กับคนทั่วไปนะฮะ ยกเว้นกับแก๊งเพื่อนสนิท ส่วนไมค์ นี่ถือเป็นกรณียกเว้น

หลังจากปิดประตูแล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของไมค์ตามหลัง

 

                    กินอิ่มแล้วไอ้หลานชายเจ้าของบ้านก็ยังไม่ยอมไปไหน นอนเล่นเกมในมือถืออยู่บนเตียงของผมอย่าง     สบายใจ ส่วนผมที่เป็นเพียงผู้เช่าบ้าน จึงต้องระเห็จตัวเองมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง

                    “นายเกะกะ” ขายาวๆของไมค์ที่ชันเข่า กลับยืดเหยียดป่ายเปะปะมาทับบนขาของผม

                    “ฉันควรเป็นคนบ่น ไม่ใช่นาย” ผมยกขาขึ้นวางบนขาของเขา น่าแปลกที่เขาไม่ยกมันออก กลับปล่อยให้ผมวางทับอยู่อย่างนั้น

                    “ก็ฉันเป็นเจ้าของบ้าน” เขาเถียงโดยที่ยังจดจ่ออยู่กับเกมในมือ

                    “แต่ฉันจ่ายค่าเช่านะเว้ย” ผมอยากจะบ้ากับตรรกะของไมค์

                    “ก็ถูกแล้ว นายมาอยู่บ้านฉัน นายก็ต้องจ่ายค่าเช่า”

                    “เออ ...” ผมจะไม่เถียง เพราะมันจะทำให้สมาธิในการขับรถของผมแกว่ง

                    เราต่างมุ่งมั่นกับเกมในมือ ทำให้ทั้งห้องสงบลงได้อีกครั้ง แต่ก็ได้ไม่นานนัก ...

                    “นายจะเอาไงเรื่องแบม?” ไมค์ถามขึ้น ผมชะงักนิ้วที่กำลังกดบนจอโทรศัพท์ หันไปมองหน้าเขา แต่เขายังคงมุ่งมั่นอยู่กับจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าเหมือนเดิม

                    “ไม่รู้สิ” ผมพยายามไม่คิดเรื่องแบม อยากทำเหมือนว่าไม่เคยรับรู้อะไรมา

                    ไมค์เปลี่ยนจากท่านอน ขยับมานั่งข้างผม “นายคิดจะบอกไหมว่านายรู้เรื่องแล้ว”

                    “คงไม่ ... เราอยากให้แบมเป็นคนพูดเอง” ถ้าตราบใดที่แบมยังไม่พูดออกมา ผมอาจเจ็บแค่เพียงครึ่งเดียว

                     “ถ้าแบมไม่ยอมพูดล่ะ?”

                    “ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของแบม” จริงๆแล้วผมอยากให้มันเป็นเพียงการเข้าใจผิดหรือคิดไปเองของผม

                    “แต่มันเกี่ยวกับนาย”

                    มันเกี่ยวกับผมก็จริง แต่ผมจะทำอะไรได้ จะให้เดินไปบอกเธอว่าผมรู้แล้วว่าเธอเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น แล้วมันจะยังไงต่อ?

                    “นายจะทำเหมือนไม่มีอะไรได้เหรอ?” ไมค์จ้องหน้าผมเพื่อรอคำตอบ

                    “จะพยายาม” ผมถอนหายใจ ... ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย

                    ไมค์ทำเสียงหึในลำคอ “นายทำไม่ได้หรอก ... อย่างวันนี้ ถ้าเป็นก่อนหน้าที่นายจะได้ยินฉันคุยกับแบม นายต้องไปเที่ยวกับแบม ไม่ใช่ไปวัดกับคุณย่า”

                    “นายไม่ใช่เหรอที่ชวนเราไปวัด” ผมกอดอกหันมองหน้าเขาบ้าง

                    “แล้วนายอยากไปกับแบมหรือไง?” ไมค์เอาไหล่มาสะกิดต้นแขนของผม

                    “ไป ... ถ้ามีนายไปด้วย” ผมนั่งชันเข่า เอามือออกจากอกไปหนีบไว้ที่ต้นขา ผมรู้สึกว่าถ้ามีไมค์อยู่ข้างๆ เขาจะทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้น

                    ไมค์เงียบไปสักพักจนผมต้องหันหน้าไปมอง ... เขาที่กำลังมองหน้าผมอยู่กลับเลิกคิ้วทำหน้าเลิกลั่ก

                    “เอ่อ ... ตอนเย็นฉันมีตัดหญ้าบ้านหลังนึงในซอย นายอยากไปด้วยไหม?” เขาทำท่าจะลุกจากเตียง

                    “เราว่าจะไปมินิมาร์ท นมหมดแล้ว” อันที่จริงมันคงไม่หมดวันนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หลานชายเจ้าของบ้านมาซดโฮกแทนน้ำเปล่าแบบนี้

                    “งั้นไปช่วยตัดหญ้าก่อน แล้วจะพาไป” เขาลงจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู

                    “โอเค” อันที่จริงผมไปเองก็ได้ เพราะร้านสะดวกซื้อร้านนี้ไม่ไกลมาก พอจะเดินไปได้ แต่ที่ตอบตกลงเพราะไปดูไมค์ตัดหญ้า ก็คงดีกว่านอนอยู่ในห้องเฉยๆ

                    “งั้นสักบ่าย 2 นายเดินไปหาฉันที่บ้าน” เขาสั่งแล้วปิดประตูโดยไม่รอฟังคำตอบ

 

                    ผมเดินไปบ้านไมค์ก่อนเวลา เพราะอยู่ที่ห้องก็ไม่มีอะไรทำ เดี๋ยวจะเผลอหลับกลางวันไปอีก

                    บ้านนี้ไม่มีรั้ว รวมทั้งบ้านหลายๆหลังในบริเวณนี้ด้วย ... ผมเดินตรงเข้าไปในโรงรถที่เปิดอยู่ เพราะเห็นไมค์ก้มๆเงยๆอยู่ในนั้น

                    “ทำไร?” ผมทักขึ้น

                    “เชี่ย!” ไมค์สะดุ้ง สบถเสียงดัง

                    “เฮ้ย! ไปหัดมาจากไหน?” ผมหัวเราะกับคำว่าเชี่ยของเขา

                    ไมค์เป็นส่วนผสมผสานระหว่างฝรั่งและไทยได้อย่างลงตัว หน้าตาท่าทางและนิสัยที่ออกไปทางฝรั่ง แต่กลับพูดและใช้ภาษาไทยได้อย่างกับใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยตั้งแต่เกิด

                    “ไปถามแฟนนายสิ” ไมค์ตอบเหวี่ยงๆ คงหัวเสียที่ผมทำให้เขาตกใจ

                    “... แบมน่ะเหรอ?” แฟนผมคงหมายถึงแบมล่ะมั้ง เพราะถึงแม้ผมจะรู้ว่าแบมมีคนอื่น แต่เราก็ยังไม่ได้เลิกกัน

                    “เอ่อ โทษที” ไมค์ทำหน้าเจื่อน

                    “เราล้อเล่นน่ะ แค่แปลกใจนิดหน่อยว่าแบมน่ะเหรอจะสอนคำพวกนี้ให้กับนาย” ตั้งแต่ผมรู้จักแบมมา เธอไม่เคยพูดไม่เพราะ

                    “เออๆ ไม่ใช่แบมหรอก” ไมค์ลากเครื่องตัดหญ้าออกมาจากโรงรถ

                    “แล้วใครสอนมาล่ะ?” ผมถามขณะพยายามจะช่วยเขายกเครื่องตัดหญ้า

                    “ไม่ต้อง ... นายไปหยิบถุงมือที่อยู่บนชั้นนั้นมาให้ที” เขาชี้นิ้วเข้าไปในโรงรถ

 

                    บ้านที่ไมค์มาตัดหญ้าให้อยู่ถัดจากบ้านของเขาไป 3 หลัง บ้านแต่ละหลังมีสนามหญ้าคั่น แต่ไม่มีรั้ว    จะมีบางหลังที่มีต้นไม้พุ่มเตี้ยๆที่ปลูกไว้บอกอาณาเขต

                    ไมค์เดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน สักครู่ก็มีฝรั่งผู้หญิงเดินออกมา เธอกดรีโมทแล้วประตูโรงรถก็ค่อยๆยกขึ้น พวกเขาคุยกันไม่นาน ... เธอหันมายิ้มให้กับผมแล้วเดินเข้าบ้านไป

                    “ปกติฉันจะใช้เครื่องตัดหญ้าของเจ้าของบ้าน แต่วันนี้เครื่องของเขาเสีย ฉันเลยต้องยกเครื่องของตัวเองมา” เขาพูดพร้อมเช็คอุปกรณ์ เดินเข้าไปเสียบปลั๊กในโรงรถ แล้วสวมถุงมือ

                    “มีเก้าอี้พับพิงอยู่ข้างผนัง นายเอามานั่งรอ” เขาออกคำสั่งแล้วกดสวิชต์เปิดเครื่อง ... จะบอกเขาว่าอยากช่วย แต่เสียงเครื่องตัดหญ้าดังมาก และคิดอีกที ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาทำอะไร จึงได้แค่เดินไปหยิบเก้าอี้ผ้าใบมากางบนพื้นคอนกรีตข้างๆสนามหญ้า

                    ไมค์สวมเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ และหมวกแก้ป มองคล้ายๆพวกนักกีฬาบาสเก็ตบอล   ผิวของไมค์ขาวมาก ตัวผมที่ว่าขาวแล้วยังดูเข้มกว่าไมค์ คงเพราะผมขาวเหลือง ส่วนไมค์ขาวอมชมพู ... ใบหน้าที่มักจะกวนนิดๆ เวลานี้กลับดูแปลกไป หุ่นที่ดูผอมเก้งก้างกว่าผมดูทะมัดทะแมงในขณะที่ไถเครื่องตัดหญ้าเครื่องใหญ่ไปรอบสนาม ... ไหนแบมบอกว่าไมค์เป็นพวกกลัวแดด ถ้ากลัวแดดจะทำงานตัดหญ้าได้ยังไง? ... ผมมองคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำงาน คิดไปเรื่อยเปื่อย ...

 

                    เสียงเครื่องตัดหญ้าสงบลง ผมรีบกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ไมค์เดินมาบอกว่าเขาจะไปตัดด้านข้างและหลังบ้านอีกนิดหน่อย ไม่นานก็เสร็จ

                    “เดี๋ยวพาไปกินเฝอ” เขาบอกทิ้งเอาไว้ก่อนจะเดินหายตัวไปทางด้านหลังของบ้าน ไม่นานเสียงเครื่องตัดหญ้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ... ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูภาพและคลิปของคนตัดหญ้าที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อสักครู่ ถ้าเจ้านั่นรู้ว่าถูกแอบถ่ายคลิป เขาจะว่ายังไงนะ แต่คงไม่เอาให้เขาดูหรอก ผมนึกขำตัวเอง ไม่รู้จะถ่ายไปทำไม ... จากนั้นก็ฆ่าเวลารอด้วยการเล่นเกม

 

                    ไมค์ใช้เวลาอยู่เกือบๆสองชั่วโมง หลังจากเสร็จงานและรับเงินเรียบร้อย พวกเราก็เดินกลับมาที่บ้านของเขา

                    “ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า” เขาพูดขณะที่เก็บเครื่องมือเข้าไปไว้ในโรงรถ

                    “งั้นฉันรอที่บ้าน จะไปเปลี่ยนรองเท้า” ผมก้มมองรองเท้าแตะที่สวมอยู่

                    เขาก้มมองตาม “โอเค”

 

                    เพราะไมค์จะพาผมไปกินเฝอ พวกเราจึงต้องออกมารอรถเมล์ แต่ถ้าจะไปแค่มินิมาร์ท แม้จะไม่ใกล้แต่ผมก็พอเดินไปไหว

                    เท่าที่สังเกตเห็น ที่อเมริกาจะแบ่งโซนที่อยู่อาศัยแยกจากแหล่งช้อปปิ้งที่มีเฉพาะร้านค้า แตกต่างจากเมืองไทยที่แค่เดินออกจากซอยก็เจอร้านสะดวกซื้อเรียงกันเป็นตับ หรือไม่ก็มีร้านขายของชำเปิดอยู่ข้างๆบ้าน อย่างผมอยู่เชียงใหม่ถ้าอยากไปห้างก็แค่ขับมอเตอร์ไซค์ออกไป เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้วการอยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีรถออกจะลำบากสักหน่อยเวลาที่ต้องการจะซื้ออะไรสักอย่าง

 

                    เฝอคือก๋วยเตี๋ยว ร้านเฝอจะเป็นร้านของคนเวียดนาม รสชาติก็คล้ายก๋วยเตี๋ยวน้ำใสแต่จะใส่หอมหัวใหญ่ที่ซอยบางๆ และแตกต่างตรงไม่มีพวงเครื่องปรุงพวกพริกป่น น้ำส้ม น้ำปลา แต่ที่นี่จะใช้มะนาว และมีซอสสีน้ำตาลรสออกหวานและซอสพริกที่มีรสเปรี้ยวและเผ็ด ไว้สำหรับปรุงและใช้จิ้ม

                    “นายกำหนดกลับเมื่อไหร่?” ไมค์ถามขึ้นขณะที่เรารอเฝอที่สั่งไป

                    “18 มิถุนา”

                    “กำหนดแน่นอนเหรอ?”

                    “ใช่”

                    “Thanks” ไมค์หันไปขอบคุณพนักงาน เมื่อชามเฝอถูกนำมาเสริฟ

                    “นัดเจอแบมอีกเมื่อไหร่?” ไมค์บีบซอสที่มีอยู่บนโต๊ะใส่ชาม

                    “คงรอวันหยุด” ผมทำตามเขาบ้าง

                    “นายมาถึงอเมริกา แต่คิดจะเจอกันแค่วันหยุดน่ะเหรอ? นี่นายคิดก่อนมาหรือเปล่า?”

                    “ก็คิด ... แต่เราคิดว่าจะได้เจอแบมในวันธรรมดา หลังเลิกเรียน อย่างไปเดินห้าง กินไอติม หรือดูหนัง” ผมคิดว่าพวกเราจะทำเหมือนตอนที่อยู่เชียงใหม่ได้ ... ตอนเลิกเรียนผมจะไปยืนรอแบมที่หน้าประตูโรงเรียนของเธอ แล้วเราก็นั่งรถแดงไปกินไอติมที่ห้าง

                    “เห้อ ... สงสารพ่อแม่นายนะ ไม่รู้คิดยังไงถึงกล้าปล่อยคนอย่างนายมาถึงอเมริกาคนเดียว” ไมค์ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า

                    “นายหมายความว่าไง?”

                    “ก็หมายความอย่างที่พูด ... พรุ่งนี้นายทำอะไร?” ไมค์เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ผมยังไม่ทันได้รู้ว่าที่เขาพูดนั่นหมายถึงอะไร แต่กลับต้องมาตอบคำถาม

                    “อืม ... คิดว่าจะนั่งรถเข้าไปในดีซีอีกสักครั้ง”

                    “ไปเองได้?” เขามองผมด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจ

                    “ได้สิ ไม่ใช่เด็กๆ” ทั้งๆที่ผมเป็นพี่เขาแท้ๆ แต่ไมค์กลับชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าอยู่เรื่อย

                    “แต่คิดอย่างเด็กๆ” เขาเบ้ปากส่ายหน้า

                    “นายว่าไงนะ?” ผมชักไม่พอใจ

                    “เปล่า ... กินไป” บางทีไมค์ก็ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบออกคำสั่ง อาจเป็นเพราะเขาเด็กที่สุดในบ้าน  จึงติดพฤติกรรมนี้จากผู้ใหญ่ แล้วเอามาใช้กับผม

 

                    เรากินอิ่มแล้วจึงเข้าไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ติดกัน ผมซื้อนม ขนมปังและซีเรียลสำหรับเป็นอาหารเช้า จริงๆอยากได้มาม่าแต่ร้านนี้เป็นร้านฝรั่งจึงไม่มีสิ่งที่ผมต้องการ และไม่ลืมที่จะหยิบน้ำแครนเบอร์รี่มาด้วย ผมไม่เคยกินหรอก แต่เพราะเมื่อตอนกลางวันไมค์ถามถึง แต่ผมมีแค่น้ำส้ม

                    “วันหลังจะให้น้าเจนี่พาไป Thai grocery” เขาคงได้ยินที่ผมบ่นว่าไม่มีมาม่า

                    ผมพยักหน้ารัวๆ คิดถึงมาม่าต้มยำจะแย่แล้ว

                    “นายจะซื้อไปอาบหรือไง?” เขาก้มลงมองนมและน้ำผลไม้ในรถเข็น

                    “ก็เผื่อเจ้าของบ้านที่ชอบมาข่มขู่รีดไถ” ผมเข็นรถไปต่อแถวที่แคชเชียร์

                    “ใครกัน?” ไมค์กลอกตา ... ผมนึกอยากดีดหน้าผากเข้าสักที

 

                    เราเดินออกมายืนที่ป้ายรถเมล์ รอไม่นานรถก็มา

                    “นายไม่ขับรถเหรอ?” ผมถามขึ้นขณะที่เรานั่งอยู่บนรถเมล์

                    เขาส่ายหน้า “ยังไม่มีใบขับขี่”

                    “อายุยังไม่ถึงเหรอ?” ถามไปแล้วก็เพิ่งนึกได้ ผมเองก็ยังไม่มีสิทธิ์สอบเหมือนกัน

                    ไมค์พยักหน้า

                    “นายเกิดปีอะไร?” นับจากที่เขายังเรียนไฮสคูล คิดว่าเขาเด็กกว่าผมแน่ๆ แต่ก็ถามเพื่อความมั่นใจ

                    “1998”

                    “เด็กกว่าเรา” ไมค์เรียนเกรดเดียวกันกับแบม แต่เพราะแบมเสียเวลาเรียนไปหนึ่งปี

                    “ก็แค่อายุ” ไมค์เชิดคาง ยกแขนขึ้นกอดอกเหมือนไม่พอใจ ... อะไรของเขา?

                    “แล้วนายขับรถไหม?” เขาหันมาถาม

                    “ขับ แต่ไม่บ่อย พ่อบอกว่ารอให้เข้ามหา’ลัยก่อนแล้วจะให้ขับ” ถ้าไม่ขอมาอเมริกา ผมคงได้รถยนต์เป็นของขวัญสำหรับการเข้าเรียนคณะแพทย์

                    “นายมีใบขับขี่เหรอ?” ไมค์ถามด้วยแววตาตื่นเต้นนิดหน่อย ผมว่าเวลาเขาทำหน้าแบบนี้ ดูเป็นเด็กๆ น่ารักดี

                    ผมส่ายหน้า “กลับไปจะไปสอบ”

                    ไมค์พยักหน้า ... เรานั่งเงียบๆกันไปสักพัก แล้วไมค์ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

                    “ถ้ามาครั้งหน้า ฉันจะขับรถพานายเที่ยว” เขาทำสีหน้าจริงจัง เราสบตากันเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่ไมค์จะหันหน้าออกไปมองนอกรถ

                    “ขอบใจนะ” ผมตอบยิ้มๆ แต่ไมค์คงไม่เห็น เพราะเขายังไม่หันกลับมา

 

                    บ้านยังคงว่างเปล่าเมื่อเรากลับมาถึง ... ไมค์ช่วยผมเก็บของเข้าตู้เย็น

                   “นายเจอพี่ๆที่อยู่ห้องข้างล่างหรือยัง?” เขาถามตอนที่ผมเดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน

                    “ยังเลย” ตอนนี้ผมเจอแค่พี่เนสและพี่จิว ที่อยู่ห้องชั้นบน

                    “สงสัยทำงานมั้ง”

                    “อือ”

                    “ไปล่ะ” ไมค์ยกมือลา แล้วเดินจากไป

 

                    ผมอาบน้ำแล้วขึ้นเตียง กราบพระที่หมอนแล้วล้มตัวลงนอน ... หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ยังไม่สามทุ่ม

                    วันนี้ผมได้นอนในรถทั้งขาไปขากลับ และได้งีบที่ศาลาริมสระบัวอีกนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นทั้งวันก็ไม่ได้นอนอีกเลย คงต้องขอบคุณไมค์ที่ทำให้ไม่ว่างจนลืมง่วงไปเสียสนิท

                    ผมส่งข้อความไปหาพ่อกับแม่ บอกว่าจะนอนแล้ว และส่งสติ๊กเกอร์ Good night ไปให้แบม ... ผมไม่รอข้อความตอบกลับ ... ปิดเสียงเตือน แล้ววางโทรศัทพ์ไว้ข้างหมอน

                    โคมไฟหัวเตียงถูกปิดลง ผมหลับตาลงช้าๆ รู้สึกเบาสบายกว่าคืนก่อนๆที่ผ่านมา ความง่วงเริ่มทำหน้าที่

 

                    หลังจากได้ยินความจริงจากแบมเมื่อวาน ผมก็ไม่คิดจะกลับมาอเมริกาอีก แต่เมื่อนึกถึงเสี้ยวหน้าของไมค์ที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์หลังจากที่เขาบอกว่าเขาจะขับรถพาผมเที่ยว ความคิดที่อยากจะมาอเมริกาอีกสักครั้งก็ผุดขึ้นมา ...

 

                  อเมริกา ... ที่ๆมีคนๆนั้น ... ผมยิ้มออกมา ก่อนที่ความง่วงจะทำงานอย่างสมบูรณ์
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #10]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 02-05-2016 23:39:00
เรายังอยู่กับน้องพีทนะคะ ต่อจากนี้ผู้เขียนจะอัพเดตตอนใหม่ทุกๆวันจันทร์ หวังว่าจะยังมีคนรออ่านนะ  :katai2-1: / MissDaisy





#10 [PETE]



                         ผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น คงเพราะเมื่อคืนเข้านอนเร็วและหลับสนิทจนถึงเช้า หลังจากเช็คและตอบข้อความทางไลน์ แล้วจึงลงจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟัน คิดว่ากินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วค่อยอาบน้ำ วันนี้ จะลองหาทางไปจุดท่องเที่ยวในวอชิงตันดีซีด้วยตัวเอง

                         ผมลงมาชั้นล่าง ตรงไปยังส่วนของครัวเพื่อจัดการกับอาหารให้ตัวเอง ก็มีนมกับซีเรียล น้ำผลไม้และแซนด์วิชอีกหนึ่งคู่ ... ขณะที่กำลังจะเดินกลับขึ้นไปบนห้อง ผมพบกับหญิงสาวคนหนึ่งตรงโถงทางเดิน

                         “หวัดดี” เธอเอ่ยทักทาย

                         “สวัสดีครับ” ผมทักตอบอย่างไม่ทันตั้งตัว เดาว่าเธอน่าจะเป็นคนที่อยู่ห้องข้างล่าง ... ไมค์ไม่เห็นบอกว่าบ้านนี้มีผู้หญิงอยู่ด้วย

                         “น้องพีทใช่ไหมคะ?” เธอเอ่ยชื่อผมโดยไม่ต้องถามไถ่ ไมค์คงบอกเธอ

                         “ครับ”

                         “พี่เดือนนะคะ อยู่ห้องข้างล่าง” เธอแนะนำตัว ... พี่เดือนเป็นสาวหมวยตัวเล็กๆ เธออยู่ในชุดเสื้อยืด    กางเกงขาสั้น ผมยาวรวบไว้หลวมๆ

                         “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมยิ้ม ก้มหัวเล็กน้อย ตั้งใจจะก้าวขึ้นบันได แต่ก็มีเสียงของหญิงสาวอีกคนดังขึ้นมาจากด้านหลัง

                         “หวัดดีน้องพีท”

                         “ฮะ หวัดดีฮะ” ผมหันกลับไปทักทายตอบหญิงสาวที่มาใหม่ เธอคนนี้รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีแทนอย่างคนไทยแท้ ใบหน้าสวยคม เธออยู่ในชุดกางเกงผ้ายืดขายาวกับเสื้อกล้าม ดูจากหน้าตาและผมเผ้า น่าจะเพิ่งลงจากเตียง

                         “นี่พี่หยก” พี่เดือนแนะนำคนที่เพิ่งทักทายผม “เป็นรูมเมทพี่”

                         “ฮะ” ผมพยักหน้ารับทราบ

                         “มาเที่ยวเหรอ?” พี่หยกถามในขณะที่เปิดตู้เย็น “มีไรกินมั่งอ่ะเดือน?”

                         “มีเค้กที่ซื้อมาเมื่อวาน” พี่เดือนหันไปบอกพี่หยกที่กำลังค้นตู้เย็น

                         “แล้วได้ไปเที่ยวไหนแล้วหรือยัง?” พี่เดือนหันกลับมาถามผม

                         “ไปมาบ้างแล้วฮะ แต่วันนี้ว่าจะลองนั่งซับเวย์เข้าดีซี”

                         “เหรอ? ดีๆ ไปนี่สิคะ ...” เธอพูดไม่จบแล้วหันไปหาพี่หยกที่กำลังชงกาแฟ “ลงสถานีไหนนะหยก ที่จะไปแท่งดินสอกับลินคอล์นน่ะ”

                         “ฟ็อกกี้บ็อททอม แล้วก็เดินอีกไม่ไกลหรอก จะไปได้หลายที่เลย สมิธโซเนียนก็อยู่ไม่ไกล ถ้าไม่แน่ใจก็กูเกิ้ลดู เขาจะมีบอกว่าต้องขึ้นรถอะไรแล้วลงตรงไหน” พี่หยกอธิบาย ถือว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากสำหรับผม

                         “ใช่ๆ มันจะลงแถวๆจอร์จวอชิงตัน พี่หยกเขาคุ้นเคยดีแถวนั้น” พี่เดือนยิ้ม ยักคิ้วให้พี่หยกเหมือนมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่

                         “ย่ะ” พี่หยกยื่นหน้ามาทางพี่เดือน

                         “พี่หยกเรียนที่นั่นเหรอฮะ?” ผมรู้สึกทึ่ง เพราะที่นั่นถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีมากแห่งหนึ่งในอเมริกา

                         “เปล่าๆ” พี่หยกรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

                         “เด็กมันเรียนที่นั่น” พี่เดือนพูดแทรกขึ้นพร้อมหัวเราะ

                         “อ๋อครับ ขอบคุณมากฮะ” ผมค้อมหัว “เอ่อ ... ขอตัวก่อนนะครับ” ผมยิ้มแหยๆ เพราะนิ้วด้านที่ถือแก้วน้ำผลไม้และคีบถุงแซนด์วิชเริ่มเกร็ง

                         “เอ้า เห็นไหม ชวนน้องคุยเพลิน” พี่หยกเอ่ยขึ้น

                         “มีอะไรก็มาถามพวกพี่ได้นะ ถ้าอยากมีคนไปเที่ยวเป็นเพื่อนพี่ก็ยินดีค่ะ” พี่เดือนเอียงคอยิ้ม

                         “ฮะ ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณแล้วรีบเดินขึ้นบันไดไป

                         “เดือนๆ พอละๆ” เสียงพี่หยกยังแว่วตามหลัง

                         “ก็เด็กมันน่ารักอ่ะแก” และเสียงพี่เดือนก็ดังเข้าหู ก่อนที่ผมจะปิดประตูห้อง

 

                         ผมเสิร์ชหาวิธีเดินทางไปยัง Washington Monument หรือที่พี่เดือนเรียกว่าแท่งดินสอ พบว่าอยู่ไม่ห่างจาก Lincoln Memorial และอีกหลายๆที่ๆควรไปชม ผมจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้

 

                         ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงสถานี Foggy Bottom - GWU แม้จะตื่นเต้นและลังเลอยู่นานกับการจะเลือกเส้นทางของรถเมโทรและรถไฟ แต่ก็โชคดีที่ไม่หลงทาง

                         ทางขึ้นลงของสถานีรถไฟจะเป็นบันไดเลื่อน บางที่สูงชันน่าหวาดเสียวมาก ผมขึ้นบันไดเลื่อนมาโผล่ที่ถนนสายหนึ่งซึ่งคึกคักพอสมควร จากที่ศึกษามาที่นี่เป็นอาณาบริเวณของมหาวิทยาลัย ผู้คนที่ยืนจอแจอยู่ใกล้ๆสถานีก็น่าจะเป็นนักศึกษา ถ้าดูจากวัยและลักษณะท่าทางการแต่งตัว

                         ผมเดินไปตามเส้นทางที่ดูมาจากเว็บไซต์ อาคารโดยรอบส่วนใหญ่คล้ายหอพัก แต่ก็มีตึกเรียนแทรกอยู่บ้างประปราย ...

                         ขณะที่ผมกำลังเดินผ่านตึกๆหนึ่ง บนบันไดที่ทอดลงจากด้านหน้าตึกมายังทางเท้าที่ผมเดินอยู่ ชายคนหนึ่งกำลังโบกมือและกล่าวประโยคภาษาอังกฤษที่ผมฟังแบบผ่านๆคือการบอกลาทั่วๆไป จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ ก้าวยาวๆ มายังทางเท้า จังหวะเดียวกันกับที่ผมเดินมาถึงตรงนั้นพอดี … เขาชะงักฝีเท้า แล้วมองจ้องหน้าผม

                         “อ้าว!” เขาร้องเสียงดังจนผมสะดุ้ง

                         “...” ผมอ้าปากค้าง กำลังคิดว่าผมรู้จักเขาหรือไม่ เพราะหน้าตาเขาดูคุ้นๆ

                         “น้องที่เจอที่วัดใช่ไหม? มาทำอะไรแถวนี้?” ใช่แล้ว เขาคือพี่คนขับรถ ที่มากับพี่ผมยาวนั่นเอง

                         “เอ่อ ... กะ กำลังจะไปเที่ยวครับ” ผมตอบตะกุกตะกัก เพราะยังตั้งตัวไม่ทัน ที่มาเจอคนไทยแถวนี้ อีกทั้งเรายังคล้ายจะเป็นคนรู้จักกัน คืออย่างน้อยก็เคยพบกันมาครั้งหนึ่งแล้ว

                         “ไปเที่ยวไหน?” คนตรงหน้าวันนี้ ดูร่าเริงกว่าวันที่เจอที่วัด

                         “ก็ลินคอล์นและรอบๆนี้ครับ” ผมตอบทั้งๆที่ยังตกใจ

                         “มาคนเดียวเหรอ?” เขาปลดเป้ที่สะพายที่ไหล่ ยัดหนังสือสองสามเล่มที่ถืออยู่ในมือเข้าเก็บ

                         “ครับ”

                         “อืม” เขาพยักหน้าหงึกๆ

                         ผมไม่รู้จะคุยอะไรต่อ จึงคิดว่าน่าจะขอแยกตัวไปดีกว่า

                         “วันนี้พี่ว่าง เดี๋ยวไปเที่ยวเป็นเพื่อน” เขายิ้มกว้าง ตีมือลงบนไหล่ของผม

                         “ห๊ะ?” ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ผู้ชายคนนี้แปลกๆ คนเพิ่งเจอกันแท้ๆ แต่กลับบอกว่าจะไปเที่ยวด้วย

                         “เฮ้ย ไม่หลอกไปทำไรหรอกน่า” เขายิ้มปนหัวเราะ คงเห็นสีหน้าหวาดระแวงของผม

                         “เปล่าครับ ไม่ได้คิดแบบนั้น” ผมรีบปฏิเสธ มาคิดอีกที มีคนไปด้วยก็อาจจะดีกว่าไปคนเดียว … นี่ผมใจง่ายไปไหม?

                         “งั้นก็ไป ... เดี๋ยวเดินไปอีกสักพักก็จะมีอะไรให้ดูละ” เขาพาดแขนบนไหล่ผม

                         “เอ่อ ...” รู้สึกเกร็งนิดๆกับอาการสนิทสนมอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย

                         “ไม่ต้องกลัว เราไม่ใช่เสป็คพี่” เขาก้มลงมาพูดใกล้ๆหู จากนั้นก็หัวเราะอย่างร่าเริง… เขาตัวสูงกว่าผมน่าจะหลายเซ็นติเมตร

                         “... ฮะ” ผมตอบออกไปแบบเอ๋อๆ อะไรคือเสป็คพี่? แล้วผมต้องกลัวเรื่องนั้นด้วยเหรอ? แต่ในขณะที่คิด ผมกับเขาก็เดินคล้องไหล่ไปตามทางด้วยกัน ...

 

                         ระหว่างที่พาทัวร์ เขาก็ซักถามประวัติของผมไปเรื่อย สลับกับการเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง

                         พี่เมฆมาจากครอบครัวคนจีน ป๊ากับม้าของเขามาจากเมืองจีนพร้อมกับอากงอาม่า ครอบครัวทำกิจการเกี่ยวกับงานไม้ พวกประตูหน้าต่างวงกบ

                         ครอบครัวพี่เมฆมีลูกชายคนเดียวคือตัวเขา นอกนั้นก็เป็นพี่สาวสองคนและน้องสาวอีกสองคน ป๊าอยากยกกิจการให้พี่เมฆดูแล ตามประสาครอบครัวคนจีนที่รักและให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่เขาไม่พร้อมจะรับช่วงต่อในตอนนี้ จึงขอมาเรียนต่อปริญญาโท จบแล้วถึงจะกลับไปเป็นเถ้าแก่

                         พี่เมฆจบคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่ผมใฝ่ฝันอยากเรียน นี่ถ้าผมไม่เห็นผู้หญิงดีกว่าอนาคตของตัวเอง ป่านนี้คงได้เป็นเหลนรหัสของพี่เขาไปแล้ว เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าไม่รู้ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีและสนิทใจกับพี่เมฆขึ้นมาเป็นพิเศษ ทำให้การทัวร์ในวอชิงตันดีซีของเราสองคนสนุกสนานอย่างไม่น่าเชื่อ ผมรู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวกับพี่ชาย ทั้งๆที่ไม่เคยมี

                         พวกเราเดินเที่ยวและถ่ายรูปกันจนค่ำ เมื่อมองไปยังอนุสาวรีย์วอชิงตันที่สูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม เป็นภาพที่งดงามจนต้องยกกล้องขึ้นมาบันทึกเอาไว้

                         “สวยนะ” พี่เมฆมองไปยังภาพเดียวกันกับผม

                         “ถ่ายรูปกันพี่” ผมชวนเขา มองหาที่ๆจะสามารถตั้งกล้องได้

                         พี่เมฆยกนิ้วโป้งขึ้นสูง ยิ้มกว้าง เมื่อผมตั้งกล้องและเวลาเรียบร้อยก็รีบวิ่งไปยืนอีกข้าง โดยมีอนุสาวรีย์วอชิงตันอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเรา ... ผมยกนิ้วโป้งขึ้นชูในท่าเดียวกัน

                         “กูจะยิ้มทำไมเนี่ย!” พี่เมฆหัวเราะเสียงดังเมื่อเราเปิดดูรูปที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อสักครู่

                         “นั่นดิ ผมก็ยิ้มตามพี่อ่ะ” ผมหัวเราะตาม

                         ภาพนั้นเป็นภาพย้อนแสง เพราะฉะนั้นทั้งผมและพี่เมฆ รวมทั้งแท่งดินสอจึงอยู่ในเงามืด มีเพียงท้องฟ้าของวอชิงตันดีซีเท่านั้นที่สดสว่างอยู่ด้านหลังของพวกเรา

                         “หิวยังวะ?” พี่เมฆถามขึ้น

                         “ก็นิดๆ” ตั้งแต่มื้อเช้า ผมได้กินแค่ฮอทด็อกกับน้ำตอนที่พวกเรานั่งพักระหว่างเดินเที่ยว

                         “งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว”

                         “อะไรพี่ ไม่เอาครับ เกรงใจ พาเที่ยวแล้วยังจะเลี้ยงข้าวอีก” แค่ที่เขาสละเวลามาเดินกับผมจนเย็นย่ำนี่ก็ถือว่ามากเกินไปแล้วสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

                         “เห้ย คิดมากน่ะ คนไทยด้วยกัน เดี๋ยวจะพาไปรู้จักเพื่อนๆอีกเยอะแยะ” เขาตบไหล่ผม

                         เมื่อคิดว่าดีกว่าที่ต้องกินเบอร์เกอร์หรืออะไรง่ายๆระหว่างทางกลับบ้าน ผมจึงตอบตกลง … ผมคงเป็นเด็กใจง่ายจริงๆด้วย



                         พี่เมฆพาผมนั่งเมโทร ระหว่างอยู่บนรถเราก็คุยกันเรื่อยเปื่อย

                         “พี่ดูใจดีกว่าวันแรกที่เจอในวัดเยอะเลย” ผมเอ่ยขึ้นขณะที่เรานั่งอยู่บนรถ

                         “เหรอ? ทำไมวันนั้นพี่ดูดุมากเลยเหรอ”

                         “ก็หน้านิ่งๆ” ตอนที่เขาลงมาจากรถวันนั้น ผมยังหวั่นๆว่าเขาจะมาเอาเรื่องที่ผมทำให้เขาเสียเวลา

                         “อ๋อ ... โดนจิกออกจากเตียงแต่เช้าขนาดนั้น ใครจะยิ้มไหว ฮ่าๆๆ” แม้มันจะคล้ายๆการบ่น แต่เขากลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

                         เราคุยกันอย่างออกรส บางจังหวะผมอยากถามเขาเรื่องคนผมยาวที่มาด้วยกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกไป จนเรานั่งมาถึงที่หมายไม่รู้ตัว

                         เมื่อลงจากรถ ผมรู้สึกคุ้นตากับสถานที่นี้ และพอพี่เมฆเดินนำเข้าไปใกล้ๆ ผมจึงนึกออกว่าเป็นร้านอาหารไทยที่น้าน้อยและแบมพาผมมาในวันแรกที่มาถึงเวอร์จิเนีย

                         “พี่ทำงานที่ร้านนี้เหรอครับ?” แม้พี่เมฆจะเล่าว่าเขาทำงานร้านอาหารไทย แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นร้านที่ผมเคยมา

                         “เออ” เขาพยักหน้า

                         “มิน่าผมคุ้นๆหน้าพี่ตั้งแต่เจอที่วัด” ผมนึกออกแล้ว คนที่ติดป้ายชื่อว่า Mhek ก็คือพี่เมฆคนนี้นี่เอง

                         “อะไรวะ?”

                         “ก็วันที่ผมมาถึงที่นี่วันแรก ผมมากินข้าวร้านนี้ แล้วพี่ก็เป็นคนมารับออร์เดอร์ไงฮะ” ผมอธิบาย

                         เขาทำท่านึก “เหรอวะ?”

                         “ใช่ แต่พี่รับออร์เดอร์แล้วก็หายไป เป็นคนอื่นมาเสริฟ” ผมทวนความจำ

                         “อ๋อ ...” เขาลากเสียงยาว “พอดีวันนั้นมีปัญหานิดหน่อย”

                         พี่เมฆเปิดประตู เดินนำผมเข้าไปในร้าน

                         “น้องเมฆ มาทำไรเนี่ย? คิดถึงที่ทำงานมากเหรอ” พี่สาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับเอ่ยทักพี่เมฆ

                         “คิดถึงพี่นีน่ะสิครับ” พี่เมฆหยอดเสียงหวาน ... ร้ายกาจไม่เบานะพี่

                         “ว้าย อย่าเลยค่ะ พี่ไม่อยากเดือดร้อน” พี่นีทำเสียงแหลม ตีมือลงบนแขนของพี่เมฆ

                         “อ่านะ ... ผมพาเด็กมากินข้าวครับพี่” เขาพยักเพยิดมาทางผม

                         “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เมื่อพี่นีหันมามอง

                         พี่นียกมือรับไหว้ “ไปเก็บเด็กมาจากไหน? หล่อเชียว”

                         “เก็บได้แถวมหา’ลัยน่ะพี่ ... ผมนั่งโต๊ะมุมนั่นได้ไหม?” พี่เมฆชี้นิ้วไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงมุมด้านในของร้าน

                         “ได้ๆ” พี่นีเดินนำพวกเราไปยังโต๊ะสำหรับสองคน แล้ววางเมนู 2 เล่มลงบนโต๊ะ

                         หลังจากที่พวกเรามานั่งที่โต๊ะ ก็มีลูกค้าเข้ามาอีก 2 กลุ่ม คงเพราะเป็นเวลามื้อค่ำพอดี จึงทำให้โต๊ะในร้านถูกจับจองจนเกือบเต็ม

                         “มากินข้าวเหรอเมฆ?” คนที่เดินมาทักพี่เมฆทำให้ผมต้องแปลกใจ เพราะเธอคือพี่หยกที่ผมเพิ่งเจอที่บ้านเมื่อเช้า

                         “อ้าว ... หยกทำชิฟท์บ่ายด้วยเหรอ?” พี่เมฆที่กำลังแขวนเป้ไว้กับพนักเก้าอี้เงยขึ้นถามคนที่มาทัก

                         “น้องพีท ไปไงมาไงเนี่ย?” พี่หยกไม่สนใจตอบคำถามของพี่เมฆ แต่หันมาทักผมด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

                         “เอ่อ ...”

                         “น้องชายเมฆ” ผมกำลังจะตอบ แต่พี่เมฆแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                         “จริงดิ? นี่น้องเขาอยู่บ้านเดียวกันกับหยกนะ” พี่หยกทำหน้าไม่เชื่อ

                         “อ้าว เหรอ ฮ่าๆๆ” พี่เมฆหัวเราะเก้อๆ

                         “ก็ใช่น่ะสิ ... ใช่ไหมพีท?” พี่หยกหันมาหาแนวร่วม

                         “ครับ” ผมพยักหน้าเออออ

                         “แล้วนี่ทำไมมาทำงาน?” พี่เมฆถามซ้ำ

                         “ไอ้เนสท้องเสีย” พี่หยกทำหน้าเซ็ง

                         “หยก แขกโต๊ะแกอยากได้ซอสสะเต๊ะเพิ่ม อย่ามัวเมาธ์” พนักงานอีกคนเดินมาข้างหลังแล้วเอ่ยกับพี่หยกเบาๆ

                         “เออๆ ... งั้นค่อยคุยกันนะเมฆ หยกไปทำงานก่อน” พี่หยกเอ่ยแล้วรีบเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป  2-3 โต๊ะ

                         “พี่เมฆพาเด็กจากไหนมาเลี้ยง?” พนักงานหญิงคนที่มาตามพี่หยกเอ่ยถาม

                         “เก็บได้แถวมหา’ลัย” พี่เมฆตอบแบบเดิม ผมเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกหมาหลงทางที่พี่เมฆเก็บมาเลี้ยงยังไงบอกไม่ถูก

                         “พีทกินอะไร สั่งเลย” พี่เมฆเลื่อนเมนูมาไว้ตรงหน้าผม

                         “อะไรก็ได้ครับ ตามใจพี่” ผมนึกไม่ออกว่าจะกินอะไร รู้สึกเกรงใจคนที่จะเลี้ยงด้วย จึงให้เขาเลือกน่าจะดีกว่า

                         “เออ งั้นพี่เลือกเอง ... พี่ขอต้มข่าทะเล ไก่ผัดเม็ดมะม่วง หมูทอดกระเทียมพริกไทย ข้าว 2 จาน” พี่เมฆรวบเมนู 2 เล่มส่งคืนให้กับพนักงานเสริฟแล้วหันมาถามผม “พอไหม?”

                         ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ

                         “น้ำอะไรดีคะพี่เมฆ?” หลังจากจดรายการอาหารเสร็จ พนักงานคนเดิมก็เงยขึ้นถาม

                         “พี่ขอโค้ก ... พีทเอาอะไร?”

                         “น้ำเปล่าฮะ”

                         “พี่ขอไทยไอซ์ทีแก้วนึงด้วยนะมล” พี่เมฆเอ่ยขึ้นเมื่อพนักงานเสริฟทวนรายการอาหารและเครื่องดื่มจบ

                         “ได้ค่ะ” เธอยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกไป

 

                         รอไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสริฟพร้อมกันบนโต๊ะ นอกจากอาหารที่พี่เมฆสั่งแล้วยังมีน้ำพริกอ่องพร้อมผักสดเพิ่มมาอีกอย่าง

                         “อะไร?” พี่เมฆถามพนักงานเสริฟที่ชื่อมล

                         “น้ำพริกอ่อง พอดีวันนี้ป้าแต๋วทำ เห็นหยกบอกว่าน้องพีทมาจากเชียงใหม่ ป้าแกก็เลยให้ตักออกมาให้” พี่มลเป็นผู้หญิงหน้าตาเรียบๆ แต่เธอยิ้มเก่ง

                         ผมฟังแล้วทั้งตื้นตันทั้งแปลกใจ น้ำพริกอ่องและผักที่วางอยู่ตรงหน้าทำให้ผมคิดถึงบ้านขึ้นมาจับใจ ... ว่าแต่ไอ้หลานชายเจ้าของบ้านเอาเรื่องผมไปเล่าใครต่อใครไว้ขนาดนี้เลยเหรอ

                         “เสน่ห์แรงวุ้ย นี่ขนาดยังไม่เห็นหน้า” พี่เมฆพูดยิ้มๆ

                         “ฝากขอบคุณคุณป้าแต๋วด้วยนะครับ” ผมบอกกับพี่มล ก่อนที่เธอจะไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นๆ

                         เสียงข้อความไลน์เตือนขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความจากไมค์ ... นี่แค่นึกถึงก็มาเลย ท่าทางจะอายุยืน

                         ไมค์ – หายไปเลยนะ หลงทางร้องไห้แงๆอยู่ที่ไหน

                         ผม – โด่ว ดับไหนแล้ว

                         ไมค์ – what?

                         ผมแอบยิ้ม ไมค์คงไม่เข้าใจประโยควัยรุ่นไทยๆอย่างนี้

                         ผม – กำลังกินข้าว เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ

                         ผมตัดบทเพราะเกรงจะเสียมารยาทที่มัวแต่ก้มหน้าอยู่กับมือถือ

                         “ขอโทษครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมายิ้มแหยๆให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม

                         “แฟนล่ะสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” พี่เมฆแซว

                         “ไม่ใช่พี่! เจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่น่ะ” ผมปฏิเสธเสียงหลง

                         “อ้อ ... กินข้าวๆ” พี่เมฆพยักหน้ารับรู้ ยกช้อนส้อมขึ้นมาเคาะกัน

                         “กินแล้วนะครับ” ผมมองอาหารที่ส่งกลิ่นหอมบนโต๊ะ

                         “ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ” ว่าพลางจ้วงช้อนลงในชามต้มข่า

                          “ป๋าแต๋วนี่เป็นใครอ่ะพี่?” ผมนึกถึงป้าแต๋วขึ้นมา เมื่อกำลังตักน้ำพริกอ่อง

                         “อ๋อ ... แกเป็นแม่ครัวน่ะ”

                         “ใจดีจังเนอะ” ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่วันนี้ได้เจอแต่คนใจดี

                         “คนไทยที่นี่ส่วนใหญ่ก็น่ารักทั้งนั้น”

                         “ฮะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

                         ระหว่างที่กำลังกินข้าว พี่หยกแวะเวียนมาทักทาย 2-3 ครั้ง

                         “พี่กับพี่หยกเป็นแฟนกันเหรอ?” ผมถามเพราะความสงสัย

                         “เอ่อ ... ทำไมถึงคิดยังงั้นล่ะ?” พี่เมฆชะงักช้อนที่กำลังจะถึงปาก

                         “ผมเห็นพี่เขาแอบมองพี่เมฆบ่อยๆ เวลามาคุยด้วยก็ ยังไงล่ะ คือมันพอดูออกว่าพี่หยกเขาชอบพี่น่ะ” ผมก็พูดไปตามที่เห็น

                         “ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”

                         “แล้วใช่ไหมล่ะพี่?”

                         พี่เมฆส่ายหน้า ยังไม่ทันตอบอะไร เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขามองที่หน้าจอแล้วยิ้มก่อนที่จะเลื่อนนิ้วบนหน้าจอเพื่อรับสาย

                         “ว่า?”

                         ...

                         “อยู่ร้าน”

                         ...

                         “ไม่ๆ พาน้องมากินข้าว”

                         ...

                         “ไปสิๆ แล้วไม่ทำงานเหรอ?”

                         ...

                         “ใจดีอ่า”

                         ...

                         “จะเสร็จแล้วล่ะ มาสิ”

                         ...

                         “เค งั้นรอที่นี่นะ”

                         ...

                         “บาย”

                         พี่เมฆวางสายทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม ผมไม่สงสัยแล้วล่ะว่าทำไมพี่เมฆปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นแฟนพี่หยก เพราะคนที่เพิ่งโทรมานี่คงเป็นแฟนตัวจริงมากกว่า เพราะดูจากน้ำเสียงและท่าทางของพี่เมฆแล้วช่างเบิกบานเหลือเกิน

                         “แฟนพี่ล่ะสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” ผมย้อนเอาบ้าง

                         “เฮ้ย! ไม่ใช่” เขาหัวเราะ แต่แววตายังระยิบระยับ

                         “อย่าๆ” ผมยังอดที่จะแซวไม่ได้

                         “จริงๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ... เอ้ย กินๆ” ผมว่าเขาคงกำลังเขิน

                         “กินไรล่ะพี่ นี่เกลี้ยงจานแล้ว” ผมหัวเราะ ชี้ให้เขาดูจานที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ

                         “เอ้อ ...” เขาหัวเราะบ้าง “กินของหวานไหม?”

                         “ไม่ล่ะฮะ ชาเย็นนี่ก็หวานแล้ว” พี่เมฆสั่งชาเย็นให้ผม เขาอยากให้ลอง เพราะมันเป็นเครื่องดื่มที่ลูกค้าแทบทุกคนที่เข้ามาในร้านต้องสั่ง และผมก็พบว่ามันก็คือชาเย็นใส่นมนั่นเอง

                         พี่มลเดินเข้ามาเก็บจาน ถามพวกเราว่าต้องการอะไรอีกไหม พี่เมฆปฏิเสธ แต่บอกว่าขอนั่งอีกสักครู่  พี่มลเดินออกไปพร้อมจานชามเปล่า

                         “เดี๋ยวพี่ไปส่งพีทที่บ้านนะ” เขายกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลา

                         “จะดีเหรอครับ เกรงใจ รบกวนพี่ทั้งวันเลย” ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

                         “คิดมากน่ะ มืดแล้ว กลับเองคงลำบาก”

                         “ขอบคุณครับพี่” ผมยกมือขึ้นไหว้ พี่เมฆพยักหน้ารับ เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง ผมจึงตัดสินใจถามเรื่องที่ค้างในใจของผมมาตลอด

                         “พี่ ผมถามอะไรได้ไหมครับ?” ผมสูดหายเข้าเต็มปอด

                         พี่เมฆเลิกคิ้ว “ว่ามา”

                         “คือ ... พี่คนที่ไปวัดกับพี่วันนั้น เขาเป็นเพื่อนพี่เหรอครับ?” ใจผมเต้นตึกตักรอคำตอบ

                         “อ๋อ ... ก็ไม่เชิง แต่เราอยู่บ้านเดียวกัน” ลมหายใจของผมปั่นป่วน ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นที่จะได้รู้เรื่องของเขาคนนั้นมากขึ้น หรือเพราะอะไรบางอย่างจากคำตอบของพี่เมฆ ...

                         “เอ่อ ... ฮะ” ผมพยายามนึกว่าจะถามอะไรต่อไป ผมอยากรู้เกี่ยวกับพี่ผมยาวคนนั้น

                         “นี่เดี๋ยวก็มา พี่ว่าจะซื้อรถน่ะ เขาเลยจะพาไปดู พอดีมีคนที่รู้จักจะขาย เขาจะกลับไทย นี่ก็เลยนัดกันไปดู เขาว่า ...”

                         พี่เมฆยังคงพูดต่อไม่หยุด แต่เสียงของเขาเหมือนลอยผ่านเข้าหูขวาแล้วก็ลอยออกหูซ้าย  ในอกของผมมันกำลังเต้นตึกๆ

 

                        ... ผมกำลังจะได้พบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง!!
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [นิยายอัพเพิ่ม #10]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 04-05-2016 22:59:57
     พี่เมฆสปอร์ตมากกก  เลี้ยงอาหารไทยเชียวนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [นิยายอัพเพิ่ม #10]
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 05-05-2016 09:42:03
ชอบน้องพีทค่ะ ตัวสูง หน้าแบ้วนะลูก 5555+
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [นิยายอัพเพิ่ม #10]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 05-05-2016 23:36:40
     พี่เมฆสปอร์ตมากกก  เลี้ยงอาหารไทยเชียวนะ :katai2-1:

เพราะมันได้ส่วนลดมั้งคะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [นิยายอัพเพิ่ม #10]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 05-05-2016 23:37:58
ชอบน้องพีทค่ะ ตัวสูง หน้าแบ้วนะลูก 5555+

ผมไม่ได้ตั้งใจแบ๊วนะฮะ  :o8:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [นิยายอัพเพิ่ม #11]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 06-05-2016 23:36:47
บทที่ 11 มาเร็วกว่าที่คิดไว้ เพราะจะใช้เป็นการบังคับตัวเองให้เขียนบทที่ 21 ให้เสร็จในคืนนี้ (เกี่ยวอะไรกัน? ฮ่าๆๆ) ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ / MissDaisy





#11 [PETE]



                    พวกเรานั่งในร้านต่อกันสักพัก พี่เมฆจึงเรียกเช็คบิล

                    “ขอบคุณมากครับพี่” ผมยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

                    “เฮ้ย เล็กน้อยน่ะ นี่ก็ได้ส่วนลดในฐานะที่เป็นพนักงาน” พี่เมฆยื่นธนบัตรหลายใบให้พี่มลโดยกำชับว่าไม่ต้องทอน

                    “ไปกันดีกว่า คืนนี้แขกเยอะ” เขาพูดก่อนจะลุกจากโต๊ะ เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่อยู่ส่วนในของร้าน ... ผมเดินตาม

                    “หวัดดีครับพี่ดิว” พี่เมฆยกมือไหว้คนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ... ผมยกมือไหว้ตาม

                    “ไงเมฆ” พี่ดิวทักพี่เมฆ แล้วหันมาทางผม “ไปเก็บเด็กหลงจากไหนมา?”

                    “ฮ่าๆ” พี่เมฆหัวเราะ “ขอบคุณพี่ที่ให้ส่วนลด”

                    “กันเองน่ะ แล้วนี่เดี๋ยวไปไหนต่อ?” พี่ดิวแม้จะไว้หนวด แต่ท่าทางเป็นคนใจดี

                    “เดี๋ยวพี่ปิงมารับไปดูรถ พอดีคนที่เขารู้จักจะกลับไทย ก็เลยจะขาย” ใจผมสั่นนิดๆเมื่อได้ยินพี่เมฆเอ่ยชื่อเขาคนนั้น

                    “ลูกชายเถ้าแก่โรงไม้ ไม่เอาป้ายแดงไปเลยล่ะวะ?” พี่ดิวเอื้อมมือข้ามเคาน์เตอร์มาตบไหล่พี่เมฆ

                    “ไปดูๆไว้ก่อนน่ะพี่ ไม่ชอบก็ไม่เอา”

                    “แล้วนี่น้องพีทมาเที่ยวเหรอครับ?” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่พี่ดิวเอ่ยชื่อผมโดยไม่ต้องถาม

                    “ครับ”

                    “ลุยเดี่ยวเลยเหรอ?”

                    “ครับ”

                    “เก่งนะ เห็นหยกบอกว่าจะมาอยู่นานเป็นเดือน” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพี่หยกรู้มาจากหลานชายเจ้าของบ้านเช่าอีกที

                    “ครับ”

                    “แล้วพักที่ไหน?”

                    “บ้านคุณย่าตองนวลครับ”

                    “อ๋อ ... เออๆ บ้านเดียวกันกับหยกนี่นะ” พี่ดิวพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองเหมือนเพิ่งนึกได้

                    “ใช่ครับ”

                    “พี่ดิว ขอลองไอร์แลนด์แก้วค่ะ” พี่มลเดินมาที่เคาน์เตอร์ สั่งบางอย่างกับพี่ดิว ผมเดาว่าน่าจะเป็นเครื่องดื่ม

                    “งั้นเดี๋ยวผมไปละพี่” พี่เมฆเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ ยกมือไหว้พี่ดิว ... ผมทำตาม

                    “เออๆ เจอกัน” พี่ดิวยกมือลาแล้วหันไปหยิบขวดเครื่องดื่มที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นด้านหลัง

                    “ไปล่ะมล” พี่เมฆบอกลาพี่มลที่ยังยืนเกาะอยู่ที่เคาน์เตอร์

                    “บายค่ะ” พี่มลยกมือลา

                    พี่เมฆก้าวออกไปจากเคาน์เตอร์ ผมจึงรีบยกมือไหว้พี่มล แต่ก่อนจะเดินตามหลังพี่เมฆออกไป ผมเห็นพี่หยกกำลังเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ ... แต่ก็ไม่ทันพี่เมฆเสียแล้ว

 

                    พวกเราออกมายืนรอที่หน้าร้าน ซึ่งเป็นลานจอดรถ พี่เมฆบอกว่าข้างๆเป็นร้านสเต็ก วันหลังเขาจะพาผมมากิน ผมจึงบอกเขาว่าถ้าเขากลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ผมจะพาเที่ยวให้ทั่วเชียงใหม่เป็นการตอบแทน

                    “ได้ ... ถือว่าเป็นสัญญาลูกผู้ชายระหว่างเรา” พี่เมฆยิ้มกว้าง ยกมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

                    “ครับ” ผมยิ้มตอบ รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก

                    ผมและพี่เมฆหันไปมองพร้อมกัน เมื่อรถคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าพวกเรา ... กระจกด้านคนขับเลื่อนลงอย่างช้าๆ ... ใบหน้าของคนที่ผมรอคอยค่อยๆปรากฏต่อสายตา

                    คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย มองมายังพวกเรา เขามองหน้าพี่เมฆสลับกับมองหน้าผม

                    “เก็บได้ข้างทาง” พี่เมฆชี้นิ้วมาที่ผม ... ผมยกมือไหว้คนในรถที่มีสีหน้าเรียบเฉย

                    “ป่ะ ขึ้นรถ” พี่เมฆดันหลังให้ผมเดินอ้อมไปอีกด้านของรถ เขาเปิดประตูหลังแล้วดันให้ผมเข้าไปนั่ง ผมเอื้อมมือไปปิดประตู ขณะที่พี่เมฆเข้ามานั่งยังส่วนหน้าข้างคนขับ

                    ผมนั่งก้มหน้า ในอกเต้นรัวราวกับกำลังโซโล่กลองชุด ตั้งแต่ได้เห็นใบหน้านั้น

                    “น้องเขาพักอยู่บ้านคุณตองนวลน่ะ เราเห็นว่ามืดแล้วก็เลยอาสาจะไปส่ง” พี่เมฆเอ่ยขึ้นเมื่อรถค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป

                    “กลับดึกได้ไหม?” น้ำเสียงที่ไม่ต่างจากในฝัน ที่ผมไม่เคยลืมเอ่ยขึ้นในที่สุด ... ผมสูดหายใจช้าๆ ค่อยๆเงยหน้า เหลือบสายตามองเสี้ยวหน้าของเจ้าของเสียง

                    “ไม่ไปส่งก่อนเหรอ?” พี่เมฆหันไปถาม

                    “นัดเจ้าของรถไว้ไม่ไกลจากที่นี่” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                    “งั้นแวะไปดูรถกับพี่ก่อนนะพีท ไม่เป็นไรใช่ไหม?” พี่เมฆหันกลับมาถามผม

                    “ไม่ครับ ไม่” ผมจะเป็นอะไรได้ นอกจากดีใจที่จะได้อยู่ตรงนี้นานขึ้นอีก

                    “งั้นก็โอเค” พี่เมฆยิ้มแล้วหันกลับไป

                    “ต้องบอกใครหรือเปล่า?” คนนั่งหลังพวงมาลัยเอ่ยถาม ผมเงยหน้า สบกับสายตาที่มองมาโดยผ่านกระจกมองหลัง

                    “เออ นั่นดิ” พี่เมฆหันมามองผมอีกครั้ง ผมจึงต้องละจากสายตาคู่นั้น

                    “เอ่อ ... ครับ” ผมอึกอักเพราะนึกไม่ออกว่าต้องบอกใคร ในเมื่อผมอยู่คนเดียว ... หรือมีใครบางคนที่ผมควรต้องบอก ...

                    ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง ตั้งใจจะไลน์บอกไมค์ว่าจะกลับช้า แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมดันแบ็ตเตอรี่หมด หน้าจอดับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ... ผมเก็บมันเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ... บอกหรือไม่บอกก็คงไม่สำคัญอะไร ไมค์เองก็คงไม่ได้มานั่งสนใจว่าผมจะกลับเมื่อไหร่

                    “เอ้า ลืมแนะนำ ... นี่พี่ปิงนะ ที่เราเจอที่วัดไง” พี่เมฆเอ่ยขึ้นหลังจากในรถเงียบไปสักครู่

                    “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ ไม่รู้ว่าพี่ปิงทำหน้ายังไง เพราะเขาตอบมาแค่สั้นๆว่า “อือฮึ”

                    “น้องพีทเขามาเที่ยว วันนี้ตอนแวะไปเอางานกับเพื่อนที่มหา’ลัย เห็นเดินอยู่แถวๆนั้นเลยคว้าคอไปเที่ยวด้วยกัน” พี่เมฆหันไปทางพี่ปิง และหันมาหาผมขณะเล่า ... ผมยิ้มให้พี่เมฆหนึ่งที แต่พี่ปิงแค่ส่งเสียง “อือ” ในลำคอ

                    ไม่นานรถก็จอดลงที่ลานจอดรถแห่งหนึ่ง พี่ปิงดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูลงจากรถ พี่เมฆตามออกไป ส่วนผมไม่รู้ต้องทำยังไง จึงเปิดประตูลงจากรถตามไปด้วย รอบๆลานจอดรถมีตึกอยู่ 3-4 ตึก ลักษณะน่าจะเป็นอาคารที่พักอาศัย

                    พี่ปิงยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคน ไม่นานก็มีผู้ชาย 2 คนเดินออกมาจากตึกหลังหนึ่ง พี่ปิงและพี่เมฆเดินตรงไปหาพวกเขา ผมเดินตามไปติดๆ

                    พี่เมฆและผู้ชาย 2 คนนั้นพูดคุยและสำรวจดูรถ พี่ปิงยืนกอดอกดูอยู่ห่างๆ โดยมีผมลอบมองอยู่เงียบๆ ... ถึงแม้พี่ปิงจะไม่ได้เข้าไปเจรจาหรือเช็คสภาพรถกับพี่เมฆ แต่เขาก็มองอย่างไม่ละสายตา ส่วนผมเองไม่ได้สนใจเลยว่าพี่เมฆจะทำอะไร เพราะสิ่งที่ผมสนใจมีเพียงร่างผอมบางที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ... แค่เอื้อมมือถึง

                    พี่ปิงเป็นผู้ชายร่างเพรียวบาง ความสูงน่าจะเกิน 175 เซนติเมตร สำหรับคนทั่วไปก็ไม่ถือว่าตัวเล็ก แต่ถ้าเทียบกับผมและพี่เมฆ พี่ปิงก็กลายเป็นคนที่น่าทะนุถนอมไปในทันที ... เชิ้ตสีขาวแขนยาวที่พับมาไว้ใต้ข้อศอกถูกเก็บชายเสื้อไว้อย่างเรียบร้อยในกางเกงแสล็กสีดำแบบพอดีตัว ผมยาวที่รวบไว้ที่ท้ายทอย เผยให้เห็นลำคอขาวรำไร ... เขาคือคนที่อยู่ในความฝันของผมมาเกือบ 10 ปี ... ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ให้ผมได้มองสำรวจอย่างเต็มตา

                    “เราว่าจะขับวนสัก 2-3 รอบ ปิงจะนั่งไปด้วยไหม?” พี่เมฆเดินมาอยู่ตรงหน้าพี่ปิงเมื่อไหร่ ผมไม่ทันรู้ตัว

                    “เอาสิ” พี่ปิงลดมือลงจากการกอดอก

                    “งั้นพีทรอแป๊บนึงนะ ขับวนแค่ลานจอดรถนี่แหละ” พี่เมฆหันมาบอกกับผม

                    “ครับ ตามสบายครับพี่”

 

                    หลังจากพี่เมฆได้ลองขับและคุยกับเจ้าของรถอีกสักครู่ พวกเราก็กลับเข้ามานั่งในรถของพี่ปิงอีกครั้ง

                    “เป็นไง?” พี่ปิงเอ่ยถามขณะเคลื่อนรถออกจากลานจอด

                    “ก็โอเค แต่ถ้าคิดจะใช้ระยะยาว ยอมจ่ายแพงหน่อยอาจดีกว่า”

                    “...”

                    “เราว่าจะลองไปดูป้ายแดง แต่คงต้องคุยกับป๊าก่อน”

                    “...”

                    “ปิงรู้ใช่ไหมว่าบ้านคุณตองนวลไปยังไง?”

                    พี่ปิงพยักหน้า

                    ผมสังเกตได้ว่าพี่ปิงเป็นคนพูดน้อย ตลอดเวลาจะมีเพียงพี่เมฆที่เป็นฝ่ายพูดเสียส่วนใหญ่ แต่ดูพี่เมฆก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรที่เหมือนว่าเขากำลังคุยอยู่คนเดียว ... ทุกคนที่เจอหน้าผมในวันนี้ล้วนตั้งคำถามว่าผมมากับพี่เมฆได้ยังไง ยกเว้นพี่ปิงคนเดียวที่ไม่ได้ใส่ใจกับการปรากฏตัวของผม แม้ว่าเราจะเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่งที่วัด ... หรือเขาจะจำผมไม่ได้ เมื่อคิดอย่างนี้ ผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ

 

                    รถของพี่ปิงจอดลงตรงหน้าบ้านเช่า ผมยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณทั้งพี่ปิงและพี่เมฆ

                    “อ้าว ... ไอ้เนส” พี่เมฆเอ่ยขึ้น ทำให้ผมต้องมองออกไปนอกรถ พี่เนสนั่งอยู่หน้าบ้านกับใครคนหนึ่งซึ่งนั่งหันหลังอยู่ตรงข้าม ... แน่นอนว่าคือไมค์

                    “เราลงไปทักเพื่อนแป๊บนึงนะ” ประโยคของพี่เมฆฟังคล้ายการบอกให้รู้ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังขออนุญาตจากพี่ปิง

                    พี่ปิงพยักหน้าแล้วดับเครื่องยนต์ พี่เมฆและผมลงจากรถ ผมไม่คิดว่าพี่ปิงจะลงมาด้วย แต่เขาก็เปิดประตูตามลงมา

                    “เฮ้ย! ไอ้เหี้ยเมฆ มาได้ไงวะ?” พี่เนสตะโกนทักเสียงดัง “อ้าว หวัดดีพี่” และยกมือไหว้เมื่อเหลือบมาเห็นพี่ปิง

                    “เออ กูมาส่งพีท” พี่เมฆเดินไปหยุดอยู่ไม่ห่างจากที่ทั้งสองคนนั่งอยู่

                    เมื่อผมเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่าพี่เนสและไมค์กำลังดื่มเบียร์กันอยู่ ... คนที่นั่งหันหลังเอี้ยวตัวมาทางพวกเรา เขาปรายหางตามองผมแค่ปราดเดียวแล้วลุกขึ้นยืน

                    “พี่มีเพื่อนแล้ว งั้นผมกลับละ” ไมค์วางกระป๋องเบียร์ลงบนโต๊ะ

                    “อ้าว ... อย่าเพิ่งไปดิไมกี้” พี่เนสกวักมือ

                    “ดึกแล้วพี่” เขาตอบพี่เนสแล้วมองหน้าพี่เมฆ “หวัดดีพี่” ไมค์ยกมือขึ้นทักทาย หรือลา ผมไม่แน่ใจ

                    พี่เมฆยิ้มกว้าง ยกมือตอบ

                    ไมค์เดินมาหยุดตรงหน้าพี่ปิงที่ยืนห่างออกมา เขายืนนิ่งจ้องหน้าพี่ปิง ส่วนพี่ปิงมองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมไม่รู้ว่าทำไมไมค์ถึงทำอย่างนั้น แต่เดาว่าเขาอาจจะเมา

                    ในที่สุดไมค์ก็เหยียดยิ้มที่มุมปาก เขายื่นมือออกมาตรงหน้า “Nice to meet you.”

                    พี่ปิงคลี่ยิ้มน้อยๆ ยื่นมือออกมาจับมือของไมค์ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

                    เมื่อทั้งสองปล่อยมือกัน ไมค์ก็เดินจากไป โดยที่ไม่กล่าวทักทายผมสักคำ

                    “เชี่ยเนส หยกบอกมึงท้องเสีย แล้วมานั่งแดกเบียร์เนี่ยนะ” พี่เมฆที่ไม่ได้สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านหลัง ตบหัวพี่เนสดังป้าบ

                    “กูหายแล้ว” พี่เนสลูบหัวตัวเองป้อยๆ

                    “เออ ... กูกลับล่ะ” พี่เมฆส่ายหน้า เดินตรงมาหาผม “พีทอย่าลืมส่งรูปที่ถ่ายกันวันนี้ให้พี่ดูบ้างนะ”

                    “ครับพี่”

                    พี่เมฆเดินไปยืนข้างประตูรถ โบกมือลาผมและหันไปบอกพี่เนส “ไปล่ะเว้ยเนส พรุ่งนี้ตื่นไปทำงานด้วยนะมึง”

                    “เออๆ” พี่เนสโบกมือหยอยๆ

                    ทั้งสองคนเข้าไปนั่งในรถ ... ผมอยากขอบคุณและบอกลาพี่ปิงอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์เริ่มทำงาน จึงรวบรวมความกล้าเคาะกระจกรถด้านคนขับด้วยใจเต้นตึกตัก พี่ปิงเลื่อนกระจกลง มองหน้าผมด้วยสายตาที่แฝงด้วยคำถาม

                    “เอ่อ ... ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ปกติ แม้ว่าในอกจะสั่นอย่างกับกำลังเกิดแผ่นดินไหว

 

                    ริมฝีปากสีระเรื่อของพี่ปิงไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แต่มันมีรอยยิ้มบางๆเปื้อนอยู่บนนั้น ... รอยยิ้มของพี่ปิงที่มีให้กับผม ...  นี่ไม่ใช่ความฝัน
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [นิยายอัพเพิ่ม #12]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 09-05-2016 23:40:39
สวัสดีค่ะ ... บทที่ 12 มาแล้ว จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละ 2 ตอนนะคะ ซึ่งหมายความว่าต้องพยายามเขียนตอนล่าสุดให้ได้อาทิตย์ละ 2 บท ซึ่งมันยากมาก ฮ่าๆๆๆ / MissDaisy



# 12 (MHEK)

 

                    หลังจากที่พวกเราไปส่งพีทที่บ้าน ปิงต้องกลับเข้าไปที่ร้านเพื่อปิดบัญชี เพราะเขาขอเฮียคิดออกมา ระหว่างเวลาทำงาน

                    ผมเข้าไปสวัสดีเฮียคิดในครัว ขณะที่ปิงทำงานของเขาอยู่หลังเคาน์เตอร์ ... เฮียคิดนอกจากจะเป็นเจ้าของร้านแล้วแกยังทำหน้าที่เป็นเชฟใหญ่ประจำร้านอีกด้วย ... ตอนเด็กๆผมจำได้แบบเลือนรางว่าป๊าเคยพาไปนั่งกินข้าวที่ร้านของแกที่อยู่ในตรอกเล็กๆ ... ป๊าเล่าว่าเช้ามืดวันหนึ่งแกขับมอเตอร์ไซค์พ่วงออกไปจ่ายตลาดกับเมียแล้วเกิดอุบัติเหตุถูกรถแท็กซี่ชน เมียแกกระเด็นออกไปแล้วถูกรถที่ตามมาเหยียบซ้ำ หลังจากวันนั้นแกก็ปิดกิจการร้านอาหารลง เฮียคิดเหลือตัวคนเดียวเพราะแกไม่มีลูก ป๊าบอกว่าแกเศร้ามากจนไม่อยากจะอยู่ที่บ้านเดิม จึงติดต่อกับญาติที่อพยพไปอยู่อเมริกาก่อนหน้า ไม่นานแกก็ได้ไปเป็นโรบินฮู้ดอยู่ที่ลอสแองเจลิสนานหลายปี แต่ด้วยความขยันขันแข็งและมีฝีมือ แกจึงมีร้านอาหารเป็นของตัวเองจนทุกวันนี้

               “เริ่มงานได้เมื่อไหร่วะอาเมฆ?” เฮียคิดเดินนำผมออกมาจากครัว หลังจากสั่งงานพนักงานในครัวเสร็จ และทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันกลับ

               “ต้นเดือนหน้าครับ”

               “ไปดูรถมาเป็นไง?”

               “คิดว่าจะขอป๊าออกป้ายแดงครับเฮีย”

               “ดีๆ ไอ้เล้งมันรวย ฮ่าๆๆ” เฮียคิดหัวเราะเสียงดัง ตบหลังผมดังตุบ

               “ป๊าจะยอมไหมก็ไม่รู้”

               “เอ้ย ถ้ามันไม่ยอมให้มันมาคุยกับเฮีย” เฮียคิดเป็นคนพูดเสียงดัง หัวเราะยิ่งดังไปกันใหญ่

               “ครับ” ผมหัวเราะตาม แอบคิดอย่างที่แกพูดอยู่เหมือนกัน

               “ยังไม่เสร็จเหรออาปิง?” เฮียคิดลดเสียงลงเมื่อหันไปถามคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์

               “เสร็จพอดีครับ” ปิงเงยหน้าจากเครื่องคิดเงิน

               “เด็กๆกลับกันหมดแล้วรึ?” แกคงหมายถึงพนักงานเสริฟ ซึ่งตอนผมกับปิงมาถึง ทุกคนต่างกำลังทำไซด์จ็อบของตัวเอง (Side job คือหน้าที่นอกเหนือจากการเสริฟที่พนักงานจะต้องทำ เช่น การวางช้อนส้อมบนโต๊ะ เทขยะ กวาดพื้น เรียงแก้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละร้านว่าเจ้าของจะกำหนดให้ทำอะไรบ้าง)

               “ครับ” ปิงยื่นกระเป๋าผ้าใบหนึ่งให้กับเฮียคิด เดาว่าน่าจะเป็นเงินที่เขาเพิ่งทำบัญชีรายวันเสร็จ

               “ดีๆ งั้นเฮียกลับก่อนนะ” เฮียคิดรับกระเป๋าใบนั้นมา บอกลาปิงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าของแกเลยสักนิด

               “ครับ” ปิงยกมือไหว้เฮียคิด

               “กลับเว้ยอาเมฆ” แกหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกับเมื่อสักครู่ลิบลับ

               “สวัสดีครับเฮีย” ผมยกมือไหว้

               “เฮียแกพูดกับปิงโคตรเพราะ ไม่เห็นเหมือนเวลาที่พูดกับคนอื่น” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเฮียคิดเดินลับประตูออกไป

               ปิงเอียงคอมองหน้าผม ความหมายคือ “แล้วไง?” เขาหย่อนกุญแจดอกเล็กลงในลิ้นชัก แล้วใช้กุญแจอีกดอกล็อค เดินออกมาจากเคาน์เตอร์ ค่อยๆไล่ดับไฟในร้านทีละดวง เหลือไว้เพียงหลอดไฟที่หน้าร้าน จากนั้นก็เปิดประตูออกไปโดยไม่บอกกล่าวผมสักคำ ผมจึงรีบวิ่งตามออกไป

               “กินไรยัง?” ผมเอ่ยถามขณะเดินมาที่รถ เดาว่าเขาน่าจะยังไม่ได้กินข้าว เพราะวันนี้เขาทำงานแต่ต้องปลีกตัวออกมาหาผม ไม่น่าจะมีเวลาพอ

               ปิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ … ผมเดาถูก

               “งั้นแวะกินโจ้กร้านจีนไหม?” ร้านอาหารจีนเป็นร้านที่ปิดช้ากว่าร้านอื่นๆ จึงกลายเป็นที่พึ่งพิงของคนทำงานที่เลิกดึก

               “ไม่อยากแวะที่ไหน”

               “ไม่กินข้าวเย็นเดี๋ยวปวดท้องนะ” ผมยังจำได้ดี เมื่อตอนที่เขาปวดกระเพาะอย่างรุนแรง จนต้องไปอีอาร์กลางดึก

               “...”

               “งั้นเดี๋ยวถึงบ้านแล้วจะต้มมาม่าให้กิน”

                ปิงไม่ตอบ ผมเหมาว่าไม่ปฏิเสธ

 

               เมื่อมาถึงบ้าน ผมวางเป้บนโซฟาแล้วรีบตรงเข้าครัว ตั้งหม้อน้ำแล้วเปิดเตา ปิงเดินตามเข้ามา

               “ออกไปนั่งรอ เดี๋ยวทำให้” ผมเปิดสำรวจตู้เย็น ทั้งตู้มีไข่ 3 ฟองที่พอจะใส่ลงไปในมาม่าได้ ผมจึงหันไปบอกปิง “มีแค่ไข่นะ”

               เขาไม่ตอบ แต่ยื่นโจ๊กให้ผมหนึ่งซอง

               “โอเค” ผมรับซองโจ๊กมาถือไว้ เป็นอันเข้าใจว่าปิงจะกินโจ๊กใส่ไข่ ไม่ใช่มาม่า

 

               “เสร็จแล้ว” ผมวางชามโจ๊กหอมฉุยลงบนโต๊ะกลางหน้าทีวี

               “ขอบใจ” ปิงวางรีโมตในมือ

               “เราสิต้องขอบคุณปิง” เพราะผม เขาจึงต้องทิ้งงานออกมา จนไม่มีเวลากินข้าวกินปลา

               “นายต้องไปขอบคุณเฮียคิด” ปิงเงยหน้าจากชามโจ๊ก

               “ขอบคุณไปแล้ว” เพราะปิงต้องพาผมไปดูรถ เฮียคิดจึงต้องทำหน้าที่ดูแลร้านแทนในระหว่างนั้น ซึ่งถ้าเป็นพนักงานคนอื่นเฮียแกคงไม่ยอม แต่นี่เพราะผมเป็นลูกของป๊า ... หรือเพราะปิงเป็นคนโปรดก็ไม่รู้

               เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในเป้ของผมดังขึ้น ... เป็นหยกที่โทรมา ผมรับสายแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวโปรด เพราะไม่คิดว่าการคุยกับหยกจะเป็นความลับหรือเรื่องส่วนตัวอะไร และก็คงไม่เป็นการรบกวนปิง เพราะเขากำลังตั้งใจกินโจ๊ก ไม่ได้จดจ่ออยู่กับรายการในทีวี

               “ว่าไง?” ผมทักกลับไปเมื่อได้ยินเสียงเฮลโหลจากทางนั้น

               “ถึงบ้านแล้วเหรอ?”

               “ถึงสักพักแล้วล่ะ หยกมีอะไรหรือเปล่า?”

               “ไม่มีแล้วคุยไม่ได้เหรอ?”

               “เปล่าๆ ก็คุยได้ แต่เมฆกำลังจะอาบน้ำ” ผมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่กำลังโกหกคำโต แต่ปิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขายังคงตักโจ๊กเข้าปาก สลับกับการจ้องไปที่จอทีวี

               “จะนอนแล้วเหรอ?”

               “ก็ยังหรอก แต่วันนี้ตระเวนมาทั้งวันไง หยกมีไรเปล่า? ยังไงคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้ พรุ่งนี้หยกทำชิฟต์บ่ายไม่ใช่ เหรอ”

               “ใช่ แล้วเมฆทำ 2 ชิฟต์เลยป่ะคะ?”

               “ช่าย ทำทั้งวัน” พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียน และได้ตารางทั้งชิฟต์เช้าและบ่าย

               “งั้นหยกไม่กวนละ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”

               “เคครับ เจอกัน”

               “บายค่ะ”

               “บาย”

               เมื่อวางสาย ผมจึงนึกได้ว่าต้องกำชับไอ้เนสให้แวะมารับ เพราะพรุ่งนี้ผมเข้างานกับมัน

               ไอ้เนสส่งไลน์กลับมาว่า “เออ” และมันก็บ่นแถมมาว่าหยกซักมันยกใหญ่เรื่องที่ผมไปส่งพีทที่บ้าน ผมไม่เข้าใจว่าหยกจะใส่ใจทำไมกับเรื่องแค่นี้ และถ้าหยกอยากรู้ ทำไมไม่ถามตอนที่โทรมาเมื่อสักครู่ ... ผู้หญิงบางทีก็เข้าใจยาก

               “อร่อยไหม?” ผมหันไปถามคนที่ก้มหน้าก้มตากินโจ๊กอย่างเงียบๆ

               “ไม่รู้สิ” ปิงหันมาตอบหน้าตาเฉย

               “เอ๊า อร่อยหรือไม่อร่อยก็บอกดี๊” ที่ถามนี่บางครั้งผมก็อยากได้คำชมจากเขาบ้าง เพราะปกติผมเคยทำอะไรให้ใครกินที่ไหนกัน

               “ร้อน” คำตอบสั้นๆของปิง

               “อ้าว ร้อนทำไมไม่เป่าก่อนล่ะ ปากพองไหมนั่น” ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ มองสำรวจ ... ริมฝีปากที่อยู่ตรงหน้า แดงระเรื่อ ...

               ปิงมองหน้าผม กระพริบตาปริบๆ แล้วตอบสั้นๆ “ลืม” ... เห็นท่านี้แล้วผมก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ลุกขึ้นมานั่งหัวเราะ

               “ขำอะไร?” ปิงยกเท้ายันเข้าที่ต้นขาของผม แล้วหันกลับไปตักโจ๊กเข้าปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้ผมหัวเราะหนักเข้าไปอีก ... ผู้หญิงที่ว่าเข้าใจยาก แต่ผมว่าการทำความเข้าใจกับปิงนั้นยากกว่าหลายเท่า

               ผมนอนดูทีวีโดยไม่ได้ใส่ใจรายการอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ฆ่าเวลาเพื่อรอให้ปิงกินอิ่ม ความจริงเมื่อก่อนแล้วผมไม่ได้เป็นผู้ชายละเอียดอ่อนอะไรอย่างนี้หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะปิงคอยใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของผม จนตัวผมเองค่อยๆเรียนรู้จากเขาทีละน้อย อย่างเช่นเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วที่ผมถูกงัดออกมาจากเตียงแต่เช้าเพื่อไปวัด สาเหตุมาจากหม่าม๊าโทรมาบอกว่าแกฝันไม่ดีเกี่ยวกับตัวผม แกอยากให้ผมไปทำบุญ ไอ้ผมก็เลยเล่าให้ปิงฟังโดยไม่คิดอะไร แต่ปรากฏว่าปิงยอมสละเวลาเข้างานในช่วงเช้าและบังคับให้ผมไปวัดกับเขา ทั้งๆที่เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวกับปิงเลยแม้แต่น้อย

               ปิงกินเสร็จแล้วลุกเอาชามไปล้างเก็บ และขึ้นห้องไปโดยไม่พูดไม่จา แต่ผมก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะปีกว่าที่อยู่ร่วมบ้านกันมา ปิงก็เป็นแบบนี้ บทจะไปก็ไป ผมไม่คิดว่าเป็นการเสียมารยาท แต่มันคือนิสัยของเขา เพราะกับคนภายนอก ปิงถือว่าเป็นคนที่รักษามารยาทได้ดีมากๆคนหนึ่ง

               ผมปิดทีวีและไฟบริเวณชั้นล่างแล้วขึ้นห้องของตัวเองบ้าง เมื่อเสียบสายชาร์จโทรศัพท์จึงเห็นว่าพีทส่งรูปที่พวกเราไปเที่ยวในดีซีมาให้หลายรูป เมื่อเห็นภาพที่พวกเราถ่ายก่อนจะกลับ ผมก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกว่าเบื้องหลังเงาดำนั้น พวกเรากำลังฉีกยิ้มกันอย่างสนุกสนาน

               มีข้อความจากหยก ...

               ... ทำไมพักนี้เมฆหลบหน้าหยก ไม่อยากคุยกันแล้วเหรอ …

               ผมตอบกลับไป

               ... ไม่ได้เป็นอะไร เจอกันพรุ่งนี้ …

 

               ความจริงแล้วสิ่งที่หยกคิดก็ไม่ผิด ผมพยายามเลี่ยงที่จะเจอกับเธอให้น้อยลง ทั้งๆที่พวกเราเพิ่งคบกันได้เพียงไม่นาน

 

               หยกเข้ามาทำงานที่ร้านได้สักประมาณ 5 เดือน เมื่อก่อนเธอเป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่ภายหลังได้ออกจากโครงการแล้วเปลี่ยนมาทำงานร้านอาหาร ด้วยความช่วยเหลือของผู้จัดการร้านอาหารไทยคนหนึ่ง ก่อนที่เธอจะย้ายมาทำงานที่ร้านพี่ปุ๊ก

               หยกมาทำงานที่ร้านไม่นานเราก็เริ่มสนิทสนมกัน เพราะบ่อยครั้งที่พนักงานในร้านจะไปสังสรรค์กินดื่มด้วยกันตามประสาเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งหลายๆคนก็เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน

               หยกเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าคมเฉี่ยว บุคลิกเปรี้ยว รูปร่างสูง มีส่วนเว้าส่วนโค้งสำหรับคนไทยทั่วไปที่นิยมผู้หญิงตัวขาวสไตล์เกาหลีอาจจะบอกว่าหยกไม่สวย แต่สำหรับผม ผิวสีน้ำผึ้งของหยกกลับมีเสน่ห์น่ามอง

               เราเคยมีอะไรกันครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ไปงานวันเกิดไอ้ป้องที่คอนโดเมื่อ 3 เดือนก่อน หลังจากที่ทุกคนเมาหลับกันไปหมด บางคนหลับในห้องรับแขก อีกบางส่วนหลับอยู่อีกห้องซึ่งเป็นของไอ้โก้ ... ผมที่เมาอยู่ไม่น้อย เอนหลับอยู่บนโซฟาโดยมีหยกซบอยู่บนอก สักพักเธอก็บอกว่าอยากอ้วกแล้วเดินไปห้องน้ำ ผมจึงเดินตามไปดู เผื่อเธอจะไม่ไหว พอออกมาจากห้องน้ำ เธอก็บ่นว่าปวดหัว ผมเห็นห้องไอ้ป้องไม่ได้ปิด และไม่มีใครอยู่ในนั้น จึงบอกให้เธอเข้าไปนอนบนเตียง เพราะคงสบายกว่านอนบนโซฟา ผมเดินเข้าไปส่ง และหลังจากนั้น ...

               แม้เรื่องคืนนั้นจะเกิดจากความมึนเมาของพวกเรา แต่ผมก็รับผิดชอบและถือว่าหยกเป็นแฟนของผม

แต่แล้วเมื่อสัก 3-4 อาทิตย์ก่อน หลังเลิกงาน ในขณะที่ผมกับไอ้เนสกำลังเดินไปที่ลานจอดรถ จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งมาจอดขวาง และมีผู้หญิงคนหนึ่งลักษณะท่าทางห้าวๆลงมาจากรถพร้อมกับผู้ชายอีก 2 คน ... เธอเดินตรงมาหาผม

               “เมฆใช่ไหม?” เธอมองหน้าผม แบบว่าไม่ผิดตัวแน่ๆ

               ผมพยักหน้าอย่างงงๆ

               “หยกเป็นเมียพี่ ถ้าไม่อยากมีเรื่องก็เลิกตอแยกับหยกซะ” เธอจ้องหน้าผมเขม็ง ถึงน้ำเสียงจะไม่กระโชกโฮกฮาก แต่ก็ถือว่าจริงจังและเอาเรื่องอยู่พอสมควร

               ผมกับไอ้เนสหันมามองหน้ากัน ... มันทำหน้าเหวอ ผมเองก็เหวอไม่น้อยไปกว่ามัน

               “แต่หยกไม่เคยบอกผมว่าเขามีแฟน” ผมโต้ตอบเมื่อตั้งสติได้

               “งั้นก็รู้ไว้ซะ เพราะพี่กับหยกคบกันมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่หยกจะย้ายมาทำร้านนี้” เธอเป็นผู้หญิงร่างท้วม ไม่ถือว่าเตี้ย แต่เมื่อยืนประจันหน้ากับผมที่สูง 192 เซนติเมตร เธอจึงต้องแหงนเกือบคอตั้งบ่า

               “ผมไม่รู้นะว่าพี่กับหยกมีอะไรกันมาก่อน แต่ตอนที่ผมเริ่มคบกับหยก เขาก็บอกว่าไม่ได้มีใคร ถ้าผมรู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้วผมก็คงไม่ยุ่ง” ผมถือเรื่องนี้เป็นศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ที่จะไม่ยุ่งกับคนของใคร

               “พี่ก็ไม่รู้ว่าหยกบอกกับคุณว่าไงนะ พี่ถึงได้มาคุยกับคุณนี่ไง” เธอลดโทนเสียงลงเล็กน้อย แต่ฟังยังไงก็ยังไม่ถือว่าเป็นมิตรอยู่ดี

               “ผมว่าคงต้องคุยกับหยกไหมพี่ ถ้าหยกยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ เพื่อนผมก็ไม่ผิด” ไอ้เนสที่ยืนเงียบอยู่นานคงเริ่มตั้งสติได้เหมือนกัน

               “พี่อ้อมเขาคบกับพี่หยกนานแล้ว พวกพี่คงไม่รู้” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มากับผู้หญิงห้าวคนนั้นเอ่ยขึ้น

               “เออ แล้วพวกกูจะรู้ไหมล่ะ?” ไอ้เนสสวนขึ้นมา ผมเริ่มหวั่นใจ กลัวไอ้เนสของขึ้น จึงกระตุกแขนเสื้อมันเอาไว้

               “ผมว่าพี่ไปเคลียร์กับหยกก่อนเถอะ ผมเองไม่ได้อยากแย่งของใคร ถ้าพี่กับหยกยังคบกันอยู่ ผมก็คงไม่ยุ่ง” ถึงผมจะชอบหยก แต่เอาจริงๆผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่องกับใครเพราะแย่งผู้หญิง

               เธอยืนมองหน้าผมสักครู่ ก่อนถอยฉากกลับขึ้นรถ ยกพวกจากไป

               ระหว่างทางกลับบ้าน ไอ้เนสให้ความกระจ่างแก่ผมว่าพี่ผู้หญิงที่ชื่ออ้อมคนนั้นเป็นผู้จัดการร้านอาหารไทยในวอชิงตันดีซี ซึ่งก่อนที่หยกจะย้ายมาทำร้านนี้ เธอก็ทำงานอยู่ที่ร้านนั้นมาก่อน ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดพี่อ้อมคนนี้คงเป็นคนที่ช่วยหยกตอนออกมาจากโครงการเลี้ยงเด็ก

               วันรุ่งขึ้นผมจึงเปรยๆกับหยกว่า มีคนบอกว่าหยกเคยเป็นแฟนกับผู้จัดการร้านไทยในดีซี เธอดูอึ้งๆไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับว่าใช่ แต่เพราะพี่อ้อมคนนั้นแอบมีอะไรกับพนักงานในร้าน หยกจับได้และโกรธมาก จึงลาออกจากร้าน และย้ายบ้านหนี

               เมื่อผมฟังเรื่องจากหยก ก็พอเข้าใจได้ว่าพี่อ้อมอะไรนั่นคงสำนึกได้แล้วมาตามง้อ ซึ่งผมว่าผมไม่ผิด ถือว่าเขาเลิกกันไปแล้ว ผมจึงมีสิทธิ์ที่จะคบกับหยกโดยไม่ต้องแคร์ใคร ถ้าเธอคนนั้นอยากได้หยกคืน ก็มาตามจีบเอาใหม่ ซึ่งผมก็ใจกว้างพอที่จะยอมให้เป็นคู่แข่ง

               แต่ดูเหมือนคู่แข่งของผมจะไม่ยอมอยู่ในกติกา วันหนึ่งมีโทรศัพท์เข้ามาหาผมที่ร้านในขณะที่กำลังทำงาน แม้จะเคยพูดคุยกันแค่ครั้งเดียวผมก็จำได้ว่าคือเสียงของคนชื่ออ้อมคนนั้น เธอขู่ว่าถ้าไม่เลิกยุ่งกับหยก ระวังจะเจอดี ... และหลังจากนั้นไม่นาน รถไอ้เนสก็โดนกรีดเป็นทางยาว ถึงเราจะจับมือใครดมไม่ได้ แต่ผมกับไอ้เนสก็รู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร

               อย่าคาดหวังว่าผมจะเป็นพระเอก ... แม้จะชอบหยก แต่คงไม่มากพอที่จะไปมีเรื่องกับใคร ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่การเป็นนักศึกษาในต่างแดน ถ้ามีเรื่องขึ้นมา คงไม่คุ้มสักเท่าไหร่ และที่สำคัญ หลังจากรถไอ้เนสถูกกรีดได้ไม่กี่วัน ปิงเล่าว่าหลังจากที่จอดรถแล้วกำลังจะเดินเข้าบ้าน เขาลืมของ จึงเดินกลับไปที่รถ แต่มีผู้ชาย 2 คน ยืนอยู่ตรงรถของเขา แม้แสงไฟบริเวณนั้นจะไม่สว่างจ้า แต่ก็พอมองเห็นว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำอะไรสักอย่าง เขาจึงกดรีโมตให้ดังขึ้น คนพวกนั้นตกใจจึงวิ่งหนีไป ... เมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว ผมก็ไม่ลังเลที่จะถอยห่างออกมาจากหยก

               แต่จนถึงวันนี้ ผมก็ไม่เคยบอกให้หยกรู้ ทั้งเรื่องของคนชื่ออ้อม และการคุกคามข่มขู่

 

               ผมอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอน จู่ๆก็มีเสียงเคาะที่หน้าประตู จึงรีบดีดตัวออกมาจากเตียง ผลุนผลันไปเปิดประตู ... แน่นอนว่าคนที่อยู่ข้างนอกย่อมเป็นเพื่อนร่วมบ้านของผม แต่ร้อยวันพันปีปิงไม่เคยมาเคาะห้องของผมในเวลากลางคืนอย่างนี้

               “เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมกวาดตาสำรวจไปทั่วร่างบอบบางที่มีเสื้อคลุมปกปิดมิดชิด ... ห่วงว่าเขาจะปวดท้องหนักอย่างคืนนั้น และหวังว่าจะไม่ใช่เพราะโจ๊กฝีมือของผม

               “พรุ่งนี้ทำงานไหม?” คนที่ยืนตั้งคำถามอยู่ตรงนี้ กลับดูสบายดี

               “ทำ” ผมพยักหน้างงๆ

               “งั้นพรุ่งนี้เช้าขับรถไปส่งแล้วเลิกงานมารับด้วย” เพราะปิงตัวเตี้ยกว่าผมน่าจะสิบกว่าเซนติเมตร เมื่อต้องคุยกันในระยะประชิด เขาจึงต้องแหงนหน้าขึ้นมาเล็กน้อย

               “ห๊ะ?” ผมยิ่งงงเข้าไปอีก

               “มีปัญหา?” ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อย

               “ไม่ๆ” ผมส่ายหน้าพรืด

               “งั้นก็ตามนี้” ว่าแล้วก็หันหลังเดินกลับห้องของตัวเอง แต่ก่อนที่เขาจะเปิดประตู ผมรีบชิงพูดขึ้นก่อน

               “ช่วงเบรกจะไปหาที่ร้านนะ ... ไปโกรเซอรี่กัน”

               ปิงหันกลับมาทางผม ชะงักมือค้างอยู่บนลูกบิดประตู

               “ทั้งตู้มีไข่แค่ฟองเดียว” ผมหาเหตุผลมาสำทับ

               เขามองหน้าผมต่อสักครู่หนึ่ง แล้วร่างบางๆก็หายผลุบเข้าไปในห้อง จากนั้นประตูก็ถูกปิดลง

               ผมปิดประตูแล้วกลับขึ้นเตียง ส่งไลน์ไปบอกไอ้เนสว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องแวะมารับ

 

               แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ ปิงถึงต้องให้ผมไปรับไปส่ง ทั้งๆที่ปกติเขาก็ขับรถไปทำงานของเขาเองอยู่ทุกวัน แต่ถึงจะยังงงๆ ผมก็แอบดีใจอยู่นิดๆ ที่พรุ่งนี้จะได้ไปเดินจ่ายตลาดกับปิง

 

               อย่างที่บอก ปิงนั้นเข้าใจยาก ... ยากยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนๆที่ผมเคยรู้จักมา แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับไม่เคยเบื่อที่จะเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับคนๆนี้ ... แม้แต่วันเดียว
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [นิยายอัพเพิ่ม #12]
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 10-05-2016 00:07:57
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) [นิยายอัพเพิ่ม #13]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 12-05-2016 21:37:09
#13 [PETE]



                    หลังจากพี่ปิงและพี่เมฆกลับไปแล้ว พี่เนสชวนผมให้นั่งดื่มเป็นเพื่อน ผมไม่อยากปฏิเสธ จึงอยู่กินน้ำอัดลมเป็นเพื่อนแกจนพี่จิวกลับมาจากทำงาน จึงได้ขอตัวขึ้นห้อง

                    เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ถึงนึกได้ว่าแบ็ตเตอรี่หมดไปนานแล้ว จึงเสียบชาร์จทิ้งเอาไว้แล้วไปอาบน้ำ

                    เมื่อขึ้นเตียงจึงเปิดเพื่อส่งรูปที่ถ่ายกันวันนี้ให้พี่เมฆและพ่อกับแม่ เล่าเรื่องที่ผมไปเที่ยวกับพี่เมฆให้ท่านฟัง ท่านดีใจมากที่ผมได้เจอคนดีๆ และไม่ลืมเล่าเรื่องป้าแต๋วกับน้ำพริกอ่องด้วย

                    แบมส่งข้อความมาต่อว่าที่ผมหายไป พอมาอยู่อเมริกาแล้วกลับคุยกับเธอน้อยลง ... ผมตอบกลับไป

                    ผม – เราคิดถึงแบมมาก อยากคุยด้วย

                    แบม – อยากคุยแต่ทำไมไม่ค่อยตอบข้อความเราเลย

                    ผม – เรามาหาแบมถึงที่นี่ อยากเจอหน้า ไม่อยากคุยผ่านไลน์แล้ว

                    แบม – เดี๋ยวไปเที่ยวกันอีก วันพุธโรงเรียนหยุด

                    ผม – พีทมีของขวัญมาให้

                    แบมส่งสติ๊กเกอร์ดีใจ

                    แบม – อะไรเหรอ

                    ผม – เอาไว้เจอกันแล้วก็รู้เอง

                    แบมส่งสติ๊กเกอร์โอเค

                    ผม – จริงๆจะให้ตั้งแต่เจอกันแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง

                    แบม – วันพุธเราไปเที่ยวกัน 2 คนก็ได้นะ

                    แบม – พีทอยากไปไหน

                    ผม – ที่ไหนก็ได้ ตามใจแบม

                    แบมส่งสติ๊กเกอร์โอเค

                    จากนั้นเธอก็ถามเรื่องที่ผมไปเที่ยวคนเดียววันนี้ แม้ผมจะไม่ได้บอก แต่ก็ไม่แปลกใจที่เธอจะรู้จากไมค์ ... คุยกันสักพักผมก็ขอตัวเข้านอน แต่ก่อนจะปิดไฟ ผมคิดว่าควรส่งข้อความถึงไมค์เสียหน่อย เพราะอาการที่เขาเมินเฉยเมื่อตอนกลับมาถึงบ้านนั้นมันดูแปลกๆ

                    ผม – หลับยัง

                    ไม่นานข้อความก็ถูกอ่าน แต่ไม่มีการตอบกลับ รอสักพักจึงส่งไปอีกครั้ง

                    ผม – เมาป่ะเนี่ย

                    ข้อความถูกอ่าน แต่ยังไม่มีการตอบกลับ

                    ผม – เป็นไรป่าว

                    ข้อความถูกอ่าน แต่ยังไม่มีการตอบกลับเช่นเคย

                    ผมรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่น่าจะปกติ จึงตัดสินใจโทรไป เพราะดูท่าแล้ว ส่งข้อความไปอีก เขาก็คงไม่ตอบเช่นเคย

                    ไม่นานไมค์ก็รับสาย

                    “เป็นไร ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ผมยิงคำถามโดยไม่ต้องรอเสียงเฮลโหลจากปลายสาย

                    /เป็นไรก็ไม่เกี่ยวกับนาย/ น้ำเสียงจากทางนั้นฟังขึ้นจมูกนิดๆ

                    “อารมณ์ไหนเนี่ย?”

                    /มีไร?/ แทนที่จะตอบคำถาม ไมค์กลับตั้งคำถามกลับมา

                    “มีไรล่ะ” ผมแกล้งยอกย้อน

                    /ก็โทรมามีอะไร?/

                    “ก็ไลน์แล้วนายไม่ตอบ” ผมเลิกแหย่เพราะท่าทางฝ่ายนั้นจะเริ่มหงุดหงิดเข้าให้แล้ว

                    /ก็แล้วทีนายล่ะ ปิดมือถือทำไม?/

                    “ปิดอะไร? ไม่ได้ปิด” ผมปฏิเสธเสียงสูง

                    “ไม่ได้ปิดแล้วทำไมไม่อ่านข้อความ โทรก็ไม่ติด” ผมว่าไมค์คงเมาแน่ๆ น้ำเสียงของเขาออกจะโวยวายกว่าปกติ

                    “อ๋อ ... แบ็ตหมด” ผมบอกไปตามความจริง ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะปิดโทรศัพท์อยู่แล้ว

                    “...”

                    “นายห่วงเราเหรอ?” ผมรู้สึกอายนิดๆที่ถามออกไปอย่างนั้น แต่เมื่อนึกถึงที่พี่เนสบอกว่าไมค์มาถามว่าผมกลับหรือยัง พี่เนสจึงชวนนั่งกินเบียร์ด้วยกัน ตลอดเวลาเขาพยายามโทรหาผมอยู่หลายครั้ง

                    “...”

                    “ไมค์”

                    “...”

                    “เงียบทำไม หลับแล้วเหรอ?”

                    “ใช่” ในที่สุดไมค์ก็ตอบกลับมา ... ใช่ของไมค์ คือห่วงผม หรือ หลับแล้ว ผมแอบคิดเล่นๆ ... จึงตอบกวนๆกลับไป

                    “งั้นฝันดีนะ” ถึงจะบอกว่าฝันดี แต่ผมไม่คิดจะวางสาย

                    “...” ไม่มีการตอบโต้ แต่ก็ไม่มีการวางสาย

                    “เราไม่ได้ปิดมือถือ แบ็ตหมดจริงๆ อยู่ข้างนอกทั้งวัน เพาเวอร์แบงค์ก็ไม่ได้พกไปด้วย นายก็รู้ว่าไอโฟน    แบ็ตหมดเร็วจะตาย” ผมพยายามอธิบายอีกรอบ

                    “...”

                    “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ครั้งหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว” ผมคงเดาไม่ผิด ที่คิดว่าไมค์เป็นห่วงผม

                    “ทำไมฉันต้องเป็นห่วงนาย” ไมค์รีบสวนกลับมาทันที ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขายังปล่อยให้ผมพูดอยู่คนเดียวตั้งนาน

                    “โอเคๆ ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง” ผมแอบยิ้มคนเดียว นึกอยากเห็นหน้าคนที่อยู่ปลายสาย

                    “ง่วงแล้ว จะนอน” ไม่พูดเปล่า เสียงหาวหวอดยังเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินอีกด้วย

                    “งั้นนอนเถอะ ... ฝันดีนะไมกี้”

                    “ ... Good night”

 

                    เมื่อวานผมอยู่โยงเฝ้าห้องแทบทั้งวัน ตอนเย็นเดินไปเตร็ดเตร่บริเวณหน้าบ้านไมค์ แต่ไม่กล้าไปกดกริ่งเรียก ไมค์เองก็เงียบไปเลยตั้งแต่เราคุยกันคืนนั้น

                    วันนี้ผมนัดกับแบมที่ห้างที่ไมค์เคยพามา ... ก่อนออก ผมไลน์ไปถามเรื่องการเดินทางไปห้างเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง เขาก็ตอบกลับมา ผมจึงคิดว่าเขาคงไม่ได้โกรธอะไร คืนนั้นไมค์อาจจะแค่เมาและผมอาจคิดมากเกินไป

                    วันนี้แบมดูสวยขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เราเจอกันซะอีก ไม่ใช่สาวเหนือตาหยีคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก เราเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย แค่ได้เดินข้างกันและได้เห็นรอยยิ้ม ได้ฟังเสียงหัวเราะของแบม ผมก็มีความสุขแล้ว ... แต่ความสุขนี้มันไม่จริง

                    ผมนึกอยากพาแบมไปกินข้าวร้านสวยๆ บรรยากาศดีๆ แต่เพราะเป็นคนต่างถิ่น จึงไม่รู้หรอกว่าร้านพวกนั้นมันอยู่ที่ไหน ถ้าจะพาไปร้านที่พี่เมฆทำงานอยู่ ก็น่าจะไกลเกินไป พวกเราจึงเลือกซื้ออาหารในฟู้ดคอร์ทมากินแบบง่ายๆ

                    “ให้” ผมวางกล่องเล็กๆที่ห่อด้วยกระดาษสาสีชมพูลงบนโต๊ะ แล้วเลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าแบม

                    “อะไรอ่า?” แบมยิ้มตาสระอิ จนผมต้องยิ้มตาม ... แค่เพียงตอนนี้ ผมอยากย้อนเวลาให้พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิม ... ก่อนที่ผมจะได้ยินบทสนทนานั้นระหว่างแบมและไมค์

                    “เปิดดูสิ”

                    แบมแกะกล่องอย่างทะนุถนอม ค่อยๆหยิบของข้างในออกมาอย่างเบามือ เธอเงยขึ้นมองหน้าผม ยิ้มอย่างมีความสุข แต่เพียงไม่นานก็ก้มหน้าลงต่ำ รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า

                    “ชอบไหม?” ผมถามขึ้น เพื่อทำลายบรรยากาศที่เริ่มอึดอัด

                    “ชอบสิ ชอบมากๆเลยล่ะ” แบมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

                    “มานี่สิ พีทใส่ให้” ผมยื่นมือออกไป แบมจึงยื่นแขนออกมา และส่งสร้อยข้อมือที่ทำจากเงินที่มีจี้ห้อยเป็นรูปหัวใจและตัวอักษร BAM ให้กับผม

                    ในขณะที่ผมกำลังเกี่ยวตะขอสร้อยข้อมืออยู่นั้น …

                    “How lovely! You’re a lucky girl.” ผมชะงักมือ เราทั้งสองต่างหันไปมองที่มาของเสียง ผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งหยุดยืนข้างโต๊ะของเรา

                    “Thank you.” แบมเอ่ยยิ้มๆ

                    “Your boyfriend is so cute” หญิงฝรั่งคนนั้นตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนที่เธอจะทิ้งรอยยิ้มแล้วเดินจากไป

                    “Actually, she’s not my girlfriend.” ผมไม่รู้ว่าหญิงฝรั่งคนนั้นจะได้ยินประโยคนี้ของผมหรือไม่ แต่สำหรับคนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ผมมั่นใจว่าเธอได้ยินมันชัดเจน

                    “พีท ...” แบมเอ่ยชื่อของผมออกมา พร้อมหัวคิ้วที่ขมวดปม “หมายความว่ายังไง?”

                    “หมายความตามนั้น” ผมก้มหน้าตอบ ไม่แน่ใจตัวเองว่าพร้อมจะจบเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ลงในวันนี้

                    “ทำไม?” เสียงของแบมแผ่วเบา อย่างกับเธอไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้า

                    “เพราะแบมไม่ใช่แฟนของพีท แล้วพีทจะเป็นแฟนของแบมได้ยังไงล่ะ” ผมเงยขึ้นมองหน้าเธอ ฝืนยิ้มออกไป

                    แบมส่ายหน้า แววตาที่มองมายังผมเต็มไปด้วยคำถาม

                    ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ... ผมจะทำให้มันจบในวันนี้

                    “วันที่เราไปเที่ยวด้วยกัน พีทได้ยินที่แบมคุยกับไมค์”

                    แบมเบิ่งตาค้าง ไม่มีคำพูดใดๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูนั้น

                    “ทีแรกพีทคิดว่าจะรอให้แบมบอกเอง แต่ ... ไม่รู้สิ ยืดเวลาออกไป ก็มีแต่จะทำให้เจ็บมากขึ้น สู้ให้มันจบๆดีกว่า แบมเองก็จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับคนอย่าง         พีทอีก” ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไร และคำพูดเหล่านั้นได้ผ่านการกลั่นกรองแล้วหรือยัง ... ผมก็แค่พูดมันออกไป

                    “พีท ...”

                    “พีทรักแบมนะ แต่แบมไม่ต้องสงสารพีทหรอก” ผมขบฟันตัวเองเอาไว้

                    “เราขอโทษ” แบมกล่าวในขณะที่น้ำตาไหลลงอาบแก้ม

                    “อื้อ” ผมพยักหน้ารับ กลั้นน้ำตาเอาไว้จนรู้สึกเจ็บที่อก

                    “เราอยากให้แบมเก็บสร้อยข้อมือนี้เอาไว้นะ แม้จะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แต่แบมคือผู้หญิงคนแรกที่เรารัก”

                    แบมยกมือขึ้นปิดปาก ไหล่ของเธอสั่นไหว ผมรู้ว่าเธอพยายามห้ามเสียงสะอื้นของตัวเอง

                    “ไม่เอา ไม่ร้อง เดี๋ยวคนเขาคิดว่าพีทรังแกแบมนะ” ผมเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ “กลับกันไหม?”

                    “พีท ...” แบมเอ่ยชื่อขงผมปนสะอื้น

                    “ไม่ต้องพูดอะไรหรอก พีทเข้าใจ ... ไปกันเถอะ” ผมลุกขึ้น ยื่นมือส่งให้เธอ ... แบมเงยขึ้นสบตา แม้มันจะเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ผมจะจดจำแววตาคู่นั้นของแบมตลอดไป ... เธอวางมือไว้บนมือของผม เราจับมือกันไว้แน่นตลอดเวลาโดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีก จนผมส่งเธอขึ้นรถ

                    เมื่อประตูรถเมล์ปิดลง และรถที่แบมนั่งค่อยๆเคลื่อนออกไป น้ำอุ่นๆก็ไหลลงมาอาบแก้มของผมอย่างกับทำนบแตก ... มันจบลงแล้ว รักครั้งแรกของผม

 

                    ระหว่างทางกลับบ้าน แบมส่งข้อความมาขอโทษ ผมตอบกลับไปว่าถ้าถึงบ้านแล้วให้ไลน์บอกด้วย และบอกเธอไปว่าอย่าคิดมาก ผมโอเค พร้อมส่งสติ๊กเกอร์ Strong กลับไป

                    แต่ในความเป็นจริง ... ผมซุกหน้าอยู่กับฝ่ามือของตัวเอง พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้อับอายพี่มืดที่นั่งอยู่เบาะข้างๆในรถไฟ

 

                    เมื่อกลับถึงห้อง ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับไหลออกมาอีกครั้ง ปกติผมไม่ใช่คนขี้แย ตั้งแต่จำความได้ ผมเคยร้องไห้หนักๆอยู่แค่ 2 ครั้ง ... ครั้งแรกเมื่อตอนที่น้องแบมบี้ กระต่ายที่ผมเลี้ยงหลุดออกจากกรงแล้วถูกหมาของคนข้างบ้านขย้ำตายต่อหน้าต่อตา โดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรมันได้เลย นั่นเพราะตอนนั้นผมเป็นเพียงเด็กอายุ 7 ขวบ ที่ไม่กล้าเสี่ยงตายกับเขี้ยวหมาเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก ครั้งที่ 2 คือตอนที่ต้องร่ำลาแบมก่อนที่เธอจะบินมาอเมริกา ... และครั้งนี้ ... ทำไมผมต้องเสียน้ำตาให้กับ ... แบม ... แบมบี้ แบม และแบม ... เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าความคิดชักออกทะเล จึงฝืนยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ผมควรอาบน้ำสระผมให้หัวโล่ง เพื่อเรียกสติกลับคืนมา

                    เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ผมขึ้นเตียงและส่งไลน์หาพ่อกับแม่ เป็นเพียงการทักทายเพื่อให้ท่านสบายใจว่าทุกอย่างทางนี้เรียบร้อยและผมสบายดี ผมไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง จึงไม่ได้เล่าเรื่องของแบมให้ท่านรู้

                    ความตั้งใจครั้งแรกของผมที่มาเวอร์จิเนีย คือจะพักที่นี่สัก 2-3 อาทิตย์ หรือไม่ก็ลากยาวไปจนถึงหนึ่งเดือน เพราะไหนๆก็จ่ายค่าเช่าไปล่วงหน้าแล้วเต็มเดือน และผมก็มีเวลากลับไปอยู่กับน้าติ๊กอีก 1 อาทิตย์  ก่อนที่จะบินกลับไทย เพื่อไปเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ในเมื่อเวลานี้เหตุผลเดียวที่ผมมาที่นี่คือการมาใช้เวลาอยู่กับแบม มันจบลงแล้ว ผมก็ไม่เห็นเหตุผลอื่นที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ...

                    เสียงข้อความไลน์ ฉุดความคิดของผมให้หยุดลง

                    What’s up! เป็นข้อความาจากพี่เมฆ

                    ผม – หวัดดีครับพี่

                    พี่เมฆ – ไง

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้

                    พี่เมฆ – หืมมมม

                    ผม – พี่เมฆ ผมอกหัก

                    พี่เมฆส่งสติ๊กเกอร์ตกใจ

                    พี่เมฆ – ไหวป่ะ

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์หม่นหมอง

                    พี่เมฆ – เฮ้ย! อย่าเศร้า พรุ่งนี้พี่รับไปเที่ยว

                    ผม – พี่ไม่มีเรียนเหรอ

                    พี่เมฆ – มีเช้า

                    ผม – ไม่ทำงาน?

                    พี่เมฆ – มีบ่าย แต่ลาได้

                    ผม – อย่าเลยครับ เกรงใจ

                    พี่เมฆ – ไม่ต้องๆ

                    ผม – ไม่เป็นไรจริงๆครับ

                    พี่เมฆ – แต่เออว่ะ พฤหัสฯก่อนก็ทิ้งชิฟต์ไปทีละ งั้นวันเสาร์ พี่ว่างทั้งวัน เดี๋ยวไปรับที่บ้าน

                    ผมยังไม่ทันจะส่งข้อความตอบกลับไป พี่เมฆก็มัดมือชก โดยส่งข้อความย้ำมาอีก

                    พี่เมฆ – ตามนี้นะ

                    ผมคิดอะไรไม่ออก จึงตอบกลับไป

                    ผม – ครับ

 

                    ผมลังเลว่าจะส่งข้อความ “ฝันดีนะ” ไปให้แบมดีหรือเปล่า ... เมื่อตอนเย็นเธอส่งข้อความมาถามว่าเธอยังคุยกับผมได้เหมือนเดิมไหม เป็นผมเองที่บอกไปว่าผมอยากอยู่เงียบๆสักพัก เพื่อจะได้ใช้เวลากับตัวเอง

ตัดสินใจวางมือถือไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วปิดโคมไฟ แต่ยังคงลืมตามองฝ่าความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วห้องสี่เหลี่ยม ...

                    ผมจะทำยังไงต่อไปดี? จะกลับไปบ้านน้าติ๊กเลยไหม? หรือจะอยู่ที่นี่ต่อจนครบกำหนดที่ตั้งใจไว้? ถ้าอยู่ต่อไป แล้วผมจะอยู่ไปเพื่ออะไร? เพื่อใคร? ผมควรกลับไปหาพ่อกับแม่ กลับไปหาไอ้ม่อกและแก๊ง ใช้เวลากับพวกมัน ก่อนจะต้องแยกย้ายไปเรียน โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีก เพราะต่างคนต่างต้องแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง

 

                    เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเป็นเวลาบ่าย ผมลากสังขารไปอาบน้ำและลงไปหาอะไรใส่ปาก เจอพี่หยกกำลังต้มมาม่า ผมไม่อยากให้เธอเห็นสภาพดวงตาที่แดงก่ำและปูดบวม จึงก้มหน้าทักทายแล้วรีบหอบขนมปังและนมกลับขึ้นห้อง โชคดีที่พี่หยกไม่ใช่คนช่างพูด ถ้าเป็นพี่เดือน ผมคงไม่สามารถเลี่ยงได้อย่างนี้

                    กินอิ่มแล้วก็หลับไปอีก

                    ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างกระแทกพื้นตึกๆ … ลืมตาขึ้นมาก็พบไมค์ที่กำลังเลี้ยงลูกบาสอยู่ข้างเตียง

                    “อะไรของนาย?” ผมลุกขึ้นมานั่งอย่างหัวเสีย ปวดท้ายทอยหนึบๆ เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ซ้ำยังต้องมาสะดุ้งตื่นอย่างนี้ สมองขาดอ็อกซิเจนกันพอดี

                    “ฉันจะไปเล่นบาส” ไมค์ตอบทั้งๆที่มือยังไม่หยุดเลี้ยงลูกบาสเก็ตบอล

                    “แล้ว?” ผมกุมขมับ

                    “นายต้องไปกับฉัน” ไมค์หยุดเลี้ยงลูกบาส แล้วเอามาหนีบไว้ข้างเอว

                    “ไม่ไป จะนอน” ผมตั้งท่าจะล้มตัวลงนอน

                    “ห้ามนอน!” ไมค์ออกคำสั่งเสียงดัง รั้งคอเสื้อของผมเอาไว้

                    “อะไรวะ!” ผมหงุดหงิดจริงจัง ปัดมือเขาออกจากคอเสื้อ ในเวลาปกติเขาจะเอาแต่ใจยังไงผมไม่ว่า แต่ไม่ใช่ในเวลานี้

                    ดูท่าไมค์จะตกใจกับท่าทีของผมอยู่ไม่น้อย ผมเองก็เริ่มรู้ตัวว่าทำกิริยาที่ไม่ดีกับเขา

                    “เรา ... ขอโทษ เราอยากนอน เราไม่อยากเล่นบาส” ผมลดน้ำเสียงให้เบาลง เมื่อเห็นสีหน้าของไมค์

                    ไมค์ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ปล่อยลูกบาสลงบนพื้น เขาหันมามองสำรวจใบหน้าของผม แล้วเอื้อมมือมาบีบที่ท้ายทอยของผมเบาๆ

                    “ฉันอยากมาดูว่านายโอเคไหม แต่เห็นสภาพแล้ว ฉันคิดว่าไม่โอเค”

                    ผมไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่มองหน้าเขา ไมค์คงรู้เรื่องจากแบมแล้ว แน่นอนล่ะเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นะ

                    “เราอยากกลับบ้าน ...” ผมเอ่ยออกมาอย่างคนอ่อนแอ และน้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อท้น ร่วงหล่นต่อหน้าต่อตาไมค์ ... ผมโคตรอาย แต่ก็ไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้

                    คิดว่าเขาคงแอบหัวเราะและล้อผมแน่ๆ แต่เขากลับทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง ... ไมค์ดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ ผมฝืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็เลิกขืนตัวเอง แล้วปล่อยสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเขา

 

                    เป็นอันว่าเย็นนั้นเราไม่ได้ไปเล่นบาส ... เมื่อผมหยุดร้องไห้ เขาจึงชวนไปกินข้าวที่บ้าน ทีแรกผมปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ใครเห็นสภาพในตอนนี้ แต่ไมค์บอกว่าไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากคุณย่า ซึ่งท่านกำลังดูละครอยู่ในห้องส่วนตัวของท่าน ผมจึงยอมออกจากห้อง และไปกินข้าวที่บ้านไมค์

                    ระหว่างกินข้าวผัดที่คุณแม่ของไมค์ทำเอาไว้ให้ เขาเล่าว่าคุณย่าติดละครไทย ซึ่งสามารถหาดูได้จากโปรแกรมแบบจ่ายรายเดือน โดยจะมีรายการจากประเทศไทยของทุกช่อง พร้อมหนังต่างประเทศอีกมากมาย และเนื่องจากไมค์เป็นหลานคนเดียว เมื่อว่างจากการเรียน ไมค์จึงมีหน้าที่นอนดูทีวีเป็นเพื่อนคุณย่า

                    ไมค์รักคุณย่ามาก เพราะคุณย่าเป็นคนเลี้ยงเขามา คุณพ่อคุณแม่และน้าเจนี่ต้องทำงาน ทุกคนจึงไม่ค่อยมีเวลาให้กับเขา

                    ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมไมค์ถึงใช้ภาษาไทยได้อย่างกับเกิดในเมืองไทย เพราะเขาดูละครไทยกับคุณย่าเป็นประจำนี่เอง

                    หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ไมค์ชวนผมเดินเล่นรอบๆหมู่บ้าน เราเดินกันไปเงียบๆ ผ่านสนามบาสเก็ตบอลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของไมค์ มีวัยรุ่น 3-4 คนกำลังเล่นกันอยู่ … ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เราเดินกลับมาถึงหน้าบ้านพักของผม ก่อนจะแยกกัน ผมคิดว่าควรบอกเขาเรื่องที่พี่เมฆจะมารับไปเที่ยวในวันเสาร์นี้

                    “นายจำพี่ที่มาส่งเราเมื่อวันก่อนได้ไหม?”

                    “คนไหน?”

                    “ก็คนที่พาเราไปเที่ยวในดีซีไง”

                    “อือ” ไมค์พยักหน้า

                    “นั่นล่ะ วันเสาร์พี่เขาจะมารับเราไปเที่ยว”

                    ไมค์จ้องหน้าผม ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขออนุญาตพ่อกับแม่ออกไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วรอลุ้นว่าท่านจะอนุญาตไหม

                    “เที่ยวไหน?”

                    “เอ่อ ... ไม่รู้สิ ไม่ได้ถาม”

                    “เขาจะพาไปไหนก็ไม่รู้ คนเพิ่งรู้จักกัน ไว้ใจได้แค่ไหน”

                    “เอ่อ ...” ทำไมไมค์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กไม่ได้ความยังงี้นะ

                    “บอกเขาไปว่านายไม่ไป”

                    “ได้ไงเล้า เราตอบตกลงไปแล้ว พี่เมฆก็ไม่ใช่คนร้ายที่ไหน เราดูคนออกหรอกน่า” พี่เมฆออกจะใจดี แล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาหลอกลวงผม

                    ไมค์ยังจ้องหน้าผมเขม็ง

                    “ขอบใจนะที่เลี้ยงข้าวเย็น” ผมหลบสายตา รีบตัดบท

                    “งั้นฉันไปด้วย” ไมค์พูดจบแล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ผมมองตามร่างสูงนั้นอย่างงงๆ

                    “โอเค ... อยากไปก็ไปสิ” ผมรำพึงอยู่ตามลำพัง

                    ก่อนที่ร่างสูงจะเดินห่างออกไปไกลกว่านี้ ...

                    “ไมค์!” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง

                    ร่างสูงชะงักฝีเท้า

                    “พรุ่งนี้เราจะไปเล่นบาสกับนาย” ผมตะโกนบอกไป

                    ไมค์หันหน้ากลับมา แล้วตะโกนกลับมาที่ผม

                    “งั้นนายรีบเข้านอนเลย พรุ่งนี้ฉันจะมาปลุกนายแต่เช้า เพราะพรุ่งนี้ฉันไม่ต้องไปโรงเรียน ฮ่าๆๆ”

 

                    แม้ว่าไมค์จะยืนห่างออกไปหลายเมตร แต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างที่เขาส่งมานั้นกลับชัดเจนเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวันบนขอบฟ้า

 
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) Ping's image
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 16-05-2016 13:38:51
สวัสดีค่ะ ... ก่อนอัพตอนที่ 14 ขอพูดเรื่องอิมเมจของพี่ปิงกันสักหน่อย ... ตั้งแต่เริ่มต้นผู้เขียนก็มีภาพของพี่ปิงชัดเจนอยู่ในหัว อาจจะมีภาพซ้อนของศิลปินท่านหนึ่งที่ผู้เขียนเคยชื่นชอบ แต่ก็ไม่เหมือนไปเสียทีเดียว จนเมื่อมาพบภาพของ XingYe ใช่เลย!! พี่ปิงที่เป็นคนจริงๆแบบสัมผัสได้คือคนนี้เลย ร่างบอบบาง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเล็กรูปไข่ ดวงตายาวรีสีนิลอย่างกับท้องฟ้ายามค่ำคืน คิ้วเข้ม จมูกเล็กแหลม ปากสีแดงระเรื่อ และผมยาวดกดำ ... และน้ำตาของพี่ปิงในตอนนี้ / MissDaisy

(http://i843.photobucket.com/albums/zz354/blacklookyee/Photo%205-16-2559%20BE%201%2022%2008%20PM.jpg)
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 16-05-2016 21:30:44
#14 [MHEK]



                    เพราะวันก่อนเจ้าเด็กหลงส่งข้อความมาบอกว่ามันอกหัก ผมไม่รู้จะปลอบใจมันยังไง จึงบอกไปว่าจะพาไปเที่ยว แต่แล้วก็นึกไม่ออกว่าจะพาไปเที่ยวไหน

                    “ปิงจำพีทได้ไหม?” ผมถามขึ้นขณะที่เราเอกเขนกอยู่หน้าทีวี

                    “อือ”

                    “มันอกหัก”

                    “...”

                    “ทีนี้เราเลยบอกจะพาไปเที่ยวปลอบใจ ... ไปไหนดีอ่ะ?”

                    “เมื่อไหร่?” ปิงถามโดยไม่ได้ละสายตาจากจอทีวี

                    “ก็บอกไปว่าวันเสาร์”

                    “พรุ่งนี้?” คราวนี้ปิงหันมาทิ้งสายตาระอาไว้ตรงหน้า ผมรู้ว่าเขากำลังคิดว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงพรุ่งนี้อยู่แล้ว มึงเพิ่งจะมาถาม

                    “ก็พรุ่งนี้แหละ ฮ่าๆ พอดีเมื่อวานยุ่งๆ เลยลืมไปเลย” ผมไม่เชิงจะแก้ตัว

                    ปิงส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย

                    “พาไปสวนสนุกดีไหม?” ผมคิดว่าวัยรุ่นอย่างพีทน่าจะชอบพวกเครื่องเล่นเอ็กซ์ตรีมต่างๆ

                    “ก็ดี”

                    “ปิงไปด้วยนะ” ผมสะกิดต้นขาที่อยู่ภายใต้กางเกงขายาวลายอุลตร้าแมน ... คงมีผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็นภาพแบบนี้ ... จนชิน

                    อาการส่ายหน้าคือคำตอบจากปิง

                    “ไปเหอะ พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ” ผมพยายามทำเสียงออดอ้อน

                    “ไม่” น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่นของปิง ทำให้ผมรู้ว่าอย่าอ้อนวอนซ้ำให้เสียเวลา

                    “ปิงอยากไปไหน?” ผมเปลี่ยนแนวทาง

                    “อยู่บ้าน”

                    “งั้นอยู่บ้าน ดูหนัง ทำอาหารกิน” ผมยื่นหน้าไปใกล้

                    “ใครทำ?” ปิงโขกหัวผมด้วยรีโมทคอนโทรล

                    “พี่ปิงไง” ผมคลำหัวตัวเองป้อยๆ

                    ปิงถอนหายใจ วางรีโมตคอนโทรลที่ถือครองอยู่ในมือลงบนโต๊ะกลาง

                    “อย่าลืมส่งข้อความไปคอนเฟิร์มนัดให้เรียบร้อย” พูดพร้อมลุกขึ้นยืน

                    “ได้ๆ” ผมรับคำอย่างลิงโลด

                    “กินเที่ยงก็แล้วกัน ช่วงเช้าจะได้มีเวลาไปโกรเซอรี่” ปิงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ก่อนจะเดินขึ้นชั้นบน

                    “ครับ!” ผมตอบเสียงดัง “ขอบคุณนะพี่ปิง ... ฝันดีนะ” แม้เขาจะเดินหายไปแล้ว แต่ผมรู้ว่าเขาได้ยิน

                    ยิ่งอยู่ด้วยกันนานวัน ผมยิ่งได้รับรู้ถึงด้านอ่อนโยนของปิง ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่าปิงเป็นคนเย็นชา ด้วยความที่เขาเป็นคนพูดน้อย ถามคำตอบคำ แต่สำหรับผม ปิงเป็นคนใจดีและขี้สงสารที่ปากแข็งชะมัด

                    ผมส่งข้อความไปนัดพีทว่าจะไปรับมากินข้าวที่บ้านตอนเที่ยง พีทตอบกลับมาว่าขอชวนเพื่อนไปด้วย ผมตอบกลับไปว่ายินดี คนเยอะๆ จะได้สนุก

                    หยกส่งข้อความมา

หยก – พรุ่งนี้ไปเอาท์เล็ทกันไหม

ผม – ไม่ทำงาน?

หยก – แลกกับเนส

ผม – เมฆไม่ว่าง มีนัดแล้ว

หยก – ไปไหนกับใคร

ผม – พีท

หยก – พีทที่อยู่บ้านกะหยกเนี่ยนะ

ผม – ใช่

หยก – ไปสนิทกันตอนไหน เพิ่งเจอกันไม่ใช่เหรอ

ผมไม่ตอบ ขี้เกียจอธิบาย

หยก – ไปไหนกัน

หยก – หยกไปด้วยได้ป่ะ

ผม – ไม่ไปไหน มากินข้าวที่บ้าน

หยก – เหรอ น่าสนุก

ผมเดาว่าหยกคงจะขอมาด้วย

ผม – พี่ปิงก็อยู่ด้วย

หยก – งั้นไม่เป็นไร ไว้เจอกันวันอาทิตย์ หยกเข้าเช้าด้วย

ชื่อพี่ปิงยังใช้ได้ผลเสมอ

ผม – อือ

หยก – เรายังไม่มีเวลาได้คุยกันเลยนะเมฆ

ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ผม – จะนอนแล้วนะ

หยก – ไม่อยากคุยกับหยกเหรอ

ผม – วันนี้เรียนเครียดมาก ตอนเย็นก็ทำงานอีก เมฆปวดหัว

หยก – ค่ะ งั้นนอนเถอะ

ผม – บาย

หยก – ฝันดีค่ะ

                    ผมมองข้อความสุดท้ายของหยกด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ... อาจถึงเวลาที่ต้องทำอะไรให้เด็ดขาดสักที

 

                    “เมฆ” เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นหลังจากเสียงเคาะประตูเงียบลง ผมปรือตา ยกนาฬิกาข้อมือที่ถอดวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดู ... เก้าโมงกว่า

                    ลงจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูห้องนอน ... ปิงยืนอยู่หน้าห้อง สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ซีดขาดเข่าตัวโปรดที่ผมเห็นเขาใส่ประจำในวันหยุด ผมยาวถูกรวบเอาไว้หลวมๆเช่นเคย ในรอบเกือบ 2 ปีที่อยู่ร่วมชายคากันมา แทบนับครั้งได้ที่จะเห็นปิงปล่อยผมสยาย แต่ครั้งที่ผมจำได้ติดตาไม่เคยลืม คือวันแรกที่เราได้พบกัน วันที่ปิงยืนอยู่ตรงหน้าประตู และหิมะก็โปรยปรายลงมา และอีกครั้งคือวันที่ผมพลาดจากทริปนิวยอร์ก แล้วกลับบ้านมาประจันหน้ากับคุณกร

                    “จะไปตลาด อยากกินอะไร?” ปิงเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้ว คงไม่พอใจที่ผมเปิดประตูออกมายืนจ้องเขาโดยไม่พูดอะไร

                    “ไปด้วยดิ กินอะไรก็ได้ แล้วแต่ปิง”

                    “ให้เวลาสิบนาที”

                    “ห้านาทีก็พอ” ผมยิ้มแป้น

                    “สิบนาที อาบน้ำด้วย” สั่งแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง

                    ผมรีบคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำอย่างว่อง

 

                    หลังจากจ่ายตลาดเสร็จ ผมส่งปิงกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหาร ส่วนตัวเองออกไปรับพีท

                    เพื่อนที่พีทชวนมาด้วยคือไมค์ หลานชายคุณตองนวลนั่นเอง ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าพีทเพิ่งมาไม่กี่วัน จะรู้จักใครที่ไหน

                    ไมค์เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงชะลูด สูงพอๆกับพีท แต่ดูบางและเก้งก้างกว่า คงเพราะพีทมีกล้ามเนื้อมากกว่า ส่วนไมค์ออกแนวผอมอย่างวัยรุ่น แต่ไม่เพรียวบางอย่างปิง เมื่อมองชัดๆ ไมค์ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาเอาการ ใบหน้าคมสัน บวกกับผิวที่ขาวออกชมพูและผมสีน้ำตาลอ่อน ถ้ามองเผินๆ อาจคิดว่าเป็นลูกครึ่ง แต่ไมค์ยืนยันว่าเขาไม่ใช่ ในขณะที่เรานั่งรถมาที่บ้าน

                    “เออ แต่คล้ายๆนะ” ผมยังยืนยันความคิดตัวเอง

                    “ไม่ใช่หรอกพี่ ผมเคยเห็นพ่อกับแม่เขาแล้ว” พีทยืนยันเชื้อชาติให้กับไมค์

                    “ผมคงเหมือนคุณปู่ เพราะมีเชื้ออยู่บ้าง แต่ไหงพอมาผสมกับคุณย่า พ่อผมถึงออกมาเป็นอาเจ็กได้ก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ” ไมค์เล่าประวัติของตัวเองไป ขำไป

                    “เออ สงสัยหล่อได้คุณปู่” ผมหัวเราะผสมโรง

                    “พี่เมฆว่าผมหล่อใช่ป่ะล่ะ?” ไอ้เด็กเชื้อฝรั่งชะโงกหน้าออกมาจากเบาะหลัง

                    “เออ” ผมตอบหนักแน่น ให้สาแก่ใจไอ้คนหลงตัวเอง

                    “นายว่าฉันหล่อไหม?” ไมค์หันไปเอาคำตอบจากเพื่อนที่นั่งเบาะข้างๆผม

                    “นายอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ?”

                    “แบบไหนก็ตอบมา!” น้ำเสียงไมค์มีอาการข่มขู่

                    “เฮ้ย! จะฆ่ากันรึไง” พีทส่งเสียงโวยวาย ผมจึงหันไปมอง ปรากฏว่าไมค์กำลังเอาแขนล็อคคอพีทให้ติดอยู่กับเบาะ

                    “เอ้าๆ อย่ามาฆ่ากันตายในรถกูนะโว้ย ขี้เกียจเป็นพยาน” ผมหัวเราะให้กับไอ้เด็กสองคน

                    “ตอบ!” ไมค์ยังคาดคั้นไม่ปล่อย

                    “เออ!” ไอ้พีทพยายามเค้นเสียงให้เล็ดลอดออกจากคอที่ถูกล็อคเอาไว้แน่น

                    “เอออะไร?” ไอ้เด็กแสบข้างหลังยังไม่ยอมลดละ

                    “หล่อ แค่กๆ” ไอ้พีทแค่นคำตอบออกมาพร้อมไอค่อกแค่ก ส่วนไอ้เด็กเชื้อฝรั่งยอมปล่อยแขนให้เพื่อนเป็นอิสระ เมื่อได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ

                    “That’s it!” ไมค์ยอมกลับไปนั่งพิงเบาะอย่างสบายอารมณ์ ผมล่ะนึกสงสารพีทจับใจ

 

                    พีทดูตื่นเต้นเมื่อเราเดินมาถึงหน้าบ้าน

                    “บ้านพี่น่าอยู่” เขามองไปบริเวณรอบๆ “มีป้ายรถเมล์หน้าบ้าน เจ๋งอ่ะ ดูดิ” พีทสะกิดให้ไมค์มองตามนิ้วของตัวเอง ไมค์ก็พยักหน้ารับไปอย่างนั้น

                     “มาแล้วคร้าบ” ผมส่งเสียงทันทีที่ผลักบานประตูเข้าไป ปิงเดินออกมารับที่โถง ก่อนหน้านี้คงกำลังดูรายการตกแต่งสวน หนึ่งในรายการโปรดของเขา

                    พีทยกมือไหว้ปิง ส่วนไมค์มองอย่างลังเล ก่อนจะยกมือไหว้ตาม

                    ปิงเตรียมบาร์บีคิวไว้ให้ เขาให้เหตุผลว่าน้องๆจะได้มีอะไรทำ ดีกว่ามานั่งกินเฉยๆ ผมเห็นด้วย ได้ช่วยกันปิ้งไปด้วย กินไปด้วย น่าจะสนุก

                    เรามีสนามหญ้าเล็กๆตรงหน้าบันได จึงวางเตาไว้ตรงนั้น แม้จะเป็นช่วงกลางวัน แต่อากาศไม่ร้อนเพราะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ริมถนนที่ให้ร่มเงาครอบคลุมไปจนถึงบันไดหน้าบ้าน

                    พวกเรานั่งบนเก้าอี้สนามแบบพับคนละตัว ดื่มเบียร์กระป๋องกันทุกคน ยกเว้นพีทที่ทีแรกทำท่าลังเล แต่ไมค์บอกว่าขี้เกียจเห็นคนอ้วกแตก และยึดเบียร์ที่เป็นส่วนของพีทเอาไปไว้เสียเอง ไอ้เจ้าพีทก็โวยวายว่าไมค์รู้ได้ยังไงว่ามันจะเมาแล้วอ้วก แล้วมันทั้งสองก็เถียงกันโหวกเหวก ส่วนปิงก็นั่งจิบเบียร์มองเด็กๆไปเงียบๆ แต่ผมดูออกว่าปิงมีความสุข เพราะใบหน้าเขาฉาบด้วยรอยยิ้มนิดๆ บางครั้งยังเผลอหัวเราะไปกับเจ้าเด็กสองคนนั้น

                    ผมสังเกตว่าพีทลอบมองปิงอยู่บ่อยๆ บางครั้งเหมือนอยากพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็ชะงักไป เพราะเจ้าไมค์คอยหาเรื่องมาแหย่มันอยู่ตลอดเวลา

                    ไมค์เล่าเรื่องของมันกับเพื่อนๆและวีรกรรมแสบๆในโรงเรียนอย่างออกรส พอผมถามว่าพีทมีอย่างไมค์บ้างไหม ไมค์ก็ตอบแทนเสียเองว่าพีทเป็นคุณหนู เป็นหนอนหนังสือ รับรองไม่มีวีรกรรมอย่างมันแน่ๆ ไอ้เจ้าพีทรีบเถียงว่ามันเคยต่อยรุ่นพี่ปากแตกตาเขียวมาแล้ว พอถามว่ามีเรื่องอะไรกัน เจ้าพีทก็อึกอัก ตอบว่าไม่มีอะไร ทำให้เจ้าเชื้อฝรั่งไม่เชื่อ ทำหน้าดูถูก ไอ้พีทจึงลุกขึ้นคว้าข้อมือไอ้ไมค์มาไพล่หลังแล้วล็อคคอ เด็กเชื้อฝรั่งถึงกับหน้าซีดอยู่ในวงแขนไอ้คุณหนู ... นั่งมองเจ้าเด็กสองคนนี้ไปนานๆ ผมชักเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง ... แก่

                    “ดูหนังกันไหม?” ผมเอ่ยขึ้น ก่อนที่ตัวเองจะนั่งแก่ไปกว่านี้

                    “เอาดิ เรื่องอะไรพี่?” ไมค์ถามอย่างกระตือรือร้น คงเบื่อสถานการณ์ตรงนี้ ตั้งแต่ถูกไอ้คุณหนูจับล็อคคออย่างหมดท่า

                    “เยอะ ไปเลือกดู” ผมชอบดูหนัง แต่พอมาอยู่อเมริกาก็ไม่ได้ออกไปดูตามโรง แต่เลือกที่จะซื้อแผ่นมาดูที่บ้านแทน ... ในเวลาว่าง ได้นอนบนโซฟาตัวโปรด จิบเบียร์เย็นๆ ดูหนังดีๆ มีตีนขาวๆของปิงคอยถีบเวลาผมกวนๆ ... มันคือความสุขของผม

                    พวกเราช่วยกันเก็บของขึ้นบ้าน เจ้าสองคนอาสาล้างจาน แต่เพราะเราใช้จานกระดาษกันเสียส่วนใหญ่ ปิงจึงบอกให้พวกเราไปดูหนัง เขาจะเคลียร์ของในครัวเอง

                    Avatar เป็นหนังที่พวกเราเลือก แม้ทุกคนจะเคยดูกันมาแล้ว แต่ก็ลงความเห็นว่าดูกี่ครั้งก็ยังสนุก

                    ผมเอนหลังอยู่กับไมค์บนโซฟายาว ส่วนพีทนั่งบนรีไคลเนอร์ที่ประจำของปิง ... ปิงเคลียร์ของในครัวเสร็จจึงเข้ามาร่วมวงด้วย ผมขยับนั่งตรง กะจะให้ปิงมานั่งด้วย แต่ก็ช้ากว่าพีทที่ลุกขึ้น แล้วบอกให้ปิงนั่งแทนที่เขา

                    “ไม่เป็นไร” ปิงทำท่าจะไปลากเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวมานั่ง แต่พีทดึงข้อมือปิงเอาไว้ แล้วดันให้ปิงนั่งลงตรงที่เขาเคยนั่งและพีทก็เลือกที่จะนั่งลงบนพรมข้างๆรีไคลเนอร์ของปิง

                    “ขอบใจนะ” ปิงก้มลงไปส่งยิ้มให้กับพีทที่เงยหน้าขึ้นมามอง ไอ้พีทไม่ยิ้ม แต่มันทำหน้า ... ผมว่ามันทำหน้าเหมือนกำลังเขิน ... ผมได้แต่นั่งมองอยู่เงียบๆ เมื่อหันไปมองไอ้เด็กเชื้อฝรั่งที่นั่งอยู่ข้างๆ มันกำลังเบือนหน้ากลับไปหาจอโทรทัศน์

                    เราดูหนังกันไป วิจารณ์กันไปเพราะต่างคนต่างเคยดูกันมาก่อนแล้ว ผมลอบมองไปยังคนคู่ข้างๆหลายครั้ง ก็พบว่าแทบทุกครั้งพีทกำลังเหลือบมองปิงเสียมากกว่าจะมองที่หน้าจอ ... ไม่รู้ผมคิดมากไปเองหรือเปล่า

                    ก่อนหนังจะจบ ปิงพูดขึ้นมา “กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”

                    “ใช่ๆ ไหนๆก็อยู่กันจนเย็นแล้ว” ผมเห็นด้วย

                    “ครับ” พีทตอบขึ้นมาเสียงดัง

                    “ไม่เกรงใจเล้ย” เสียงไมค์เอ่ยลอยๆ เพราะมันพูดโดยที่ยังจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ ผมว่ามันประชดเพื่อนมัน

                    “เกรงใจอะไรเล้า อยู่กันจนป่านนี้” ผมตบไหล่ไมค์

                    “งั้นดูกันไป เดี๋ยวจัดการให้” ปิงเอ่ยพร้อมลุกขึ้น

                    “ผมช่วย” พีทรีบเสนอตัวและลุกตาม

                    “เอางั้นเหรอ” ปิงยิ้ม ... ผมว่าวันนี้ปิงยิ้มพร่ำเพรื่อเกินวิสัยปกติ

                    “ครับ” ไอ้พีทก็ยิ้ม ... ทั้งสองคนเดินเข้าไปในครัวด้วยกัน

                    ผมเหยียดขา ถีบไมค์เบาๆ “ไปนั่งนั่นดิไมกี้”

                    ไมค์มองหน้าผมก่อนย้ายไปนั่งที่รีไคลเนอร์ “ไหวไหมพี่?” มันถาม

                    ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถามยังงั้น แต่ก็ตอบกลับไป “เออ”

 

                    หนังจบแล้วแต่สองคนในครัวยังทำอาหารไม่เสร็จ โผล่หน้าเข้าไปในครัวก็ถูกไล่ออกมา จึงชวนไมค์ให้ดูรถที่ผมสนใจจะซื้อและกำลังศึกษาข้อมูลอยู่ เจ้าเด็กนี่รู้เรื่องรถมากกว่าที่ผมคิด มันบอกว่ามันก็อยากได้สักคัน ได้ใบขับขี่เมื่อไหร่มันจะซื้อ

                    “มีตังค์เหรอเรา?” ผมเย้าเล่นๆ ทั้งๆรู้ว่าคุณตองนวล ย่าของไมค์นั้นรวยมาก

                    “เก็บได้แล้วบางส่วน ที่เหลือจะยืมคุณย่า แล้วจะทำงานมาคืน” สีหน้ามันจริงจัง ผมว่าเด็กฝรั่งแตกต่างกับเด็กไทยก็ตรงนี้ พอายุ 18 ก็เริ่มรับผิดชอบตัวเอง ไม่คอยแบมือขอเงินพ่อแม่ ว่าไปแล้วผมก็เหมือนเด็กไทยทั่วไป จนป่านนี้ยังขอเงินพ่อแม่ใช้ แม้ตอนนี้จะเริ่มทำงานพิเศษ แต่ก็พอแค่จ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆ ส่วนค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็ยังเป็นเงินของพ่อแม่อยู่ดี จากนี้ไปผมคงต้องปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ ไม่งั้นคงอายไอ้เจ้าเด็กเชื้อฝรั่งนี่

                    “พี่จะอยู่อีกนานเหรอ ถึงซื้อรถใหม่” ไมค์เอ่ยถาม

                    “ก็กะว่าให้นานเท่าที่จะทำได้ นี่พยายามเรียนให้จบช้าๆ ฮ่าๆๆ”

                    “ไม่ใช่สอบไม่ผ่านเหรอ?” ไอ้เด็กนี่มันรู้ทัน … แต่ก็ไม่เชิง จริงๆผมพยายามยืดเวลาจบให้ช้าที่สุด จึงเรียนไปเรื่อยๆ ตกบ้าง ผ่านบ้าง ผมไม่อยากรีบกลับไปเป็นเถ้าแก่โรงไม้ นี่อยู่มาปีกว่า ถ้าเป็นคนอื่นก็คงเหลืออีกไม่เยอะก็น่าจะจบ แต่สำหรับผม อย่างน้อยก็อีกเป็นปี และผมจะพยายามหาที่ฝึกงานให้ได้เพื่อจะยืดเวลาออกไปอีก

                    “รถใหม่ขับสบายใจกว่ารถเก่า” ผมเฉไฉกลับไปคุยเรื่องรถ

                    “ถ้าพี่กลับเมืองไทย แล้วใครจะอยู่กับพี่ปิง?” คำถามของไมค์ทำให้ผมต้องเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ ไมค์ตั้งคำถามที่ผมไม่เคยนึกถึง และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องนึกถึงเรื่องนี้ แต่พอไมค์ถาม มันทำให้ผมเริ่มนึก ... คำถามของไมค์ทำให้ผมมึน

                    เสียงกริ่งที่หน้าประตูช่วยผมเอาไว้ได้ ... ใครมาเวลานี้?

                    “เดี๋ยวไปดูเอง” ผมตะโกนบอก

 

                    ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ...

                    “คุณปิงอยู่ไหมคะ?” เธอเอ่ยถาม เมื่อผมโผล่หน้าออกไป

                    “เอ่อ ... ครับ ... คุณ?” ผมควรจะรู้เสียก่อนว่าเธอคือใคร ถึงเธอจะเป็นคนไทย แต่ก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า แม้ท่าทางและการแต่งตัวของเธอจะดูเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า มองปราดเดียวก็รู้ว่าทุกอย่างบนตัวเธอล้วนเป็นของแบรนด์เนมระดับไฮเอ็นด์

                    “ใครมา?” เสียงของปิงดังอยู่ข้างหู เมื่อหันกลับไป ปิงก็มายืนอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                    “สวัสดีค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยทัก ปิงจึงชะโงกหน้าออกมา ผมสังเกตเห็นว่าปิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ก็เพียงแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะปรับให้กลับมาราบเรียบตามเดิม

                    “ฝากในครัวต่อด้วยนะ เสร็จแล้วกินกันก่อนเลย” ปิงหันมาบอกผม ก่อนจะเบี่ยงตัวเบียดออกมานอกประตู ผู้หญิงคนนั้นขยับเท้าไปข้างหลังเล็กน้อย ปิงหยุดมองหน้าเธอ ก่อนจะเดินนำลงบันไดไป โดยที่มีผู้หญิงคนนั้นเดินตามไปติดๆ

                    ผมกลับเข้ามาในบ้าน เจ้าสองคนสนอกสนใจกันใหญ่ว่าใครมา แล้วปิงหายไปไหน ผมตอบได้คำเดียว “ไม่รู้”

                    พีทบอกว่าปิงจะทำเนื้อผัดกระเพา ไข่เจียวกับต้มยำกุ้ง เตรียมของไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือปรุง เราทั้งสามคนจึงช่วยกันละเลงต่อ

                    พวกเราจิบเบียร์รอ คุยกันไปเรื่อยเปื่อย กว่าจะรู้ตัวปิงก็หายไปเป็นชั่วโมง

                    “พี่ว่าไมค์กับพีทกินกันก่อนเถอะ หิวแย่แล้ว” ผมมองอาหารบนโต๊ะที่ไม่มีใครยอมแตะ

                    “ยังไม่หิวพี่ ตอนกลางวันกินไปเยอะ” ไมค์เอ่ย

                    “พี่ปิงจะโอเคแน่นะพี่เมฆ” พีทถามพลางลูบกระป๋องเบียร์ในมือ ท่าทางมันดูกังวล ไมค์ถึงยอมอนุญาตให้ดื่มได้

                    “ไม่เป็นไรหรอก พี่ส่งไลน์ไปถามแล้ว พี่ปิงบอกว่าเพื่อนมาจากเมืองไทยแวะมาทักทาย” ไอ้ประโยคเรื่องเพื่อนนี่ผมเพิ่มเอง เพราะเห็นสีหน้าเจ้าพีทแล้ว ถ้าบอกแค่ว่าโอเคมันคงไม่หยุดผุดลุกผุดนั่ง

                    นั่งกันไปอีกสักพัก ผมตัดสินใจจะเดินออกไปดูว่าปิงไปคุยกับเพื่อนถึงไหน นี่มันนานเกินไป ถ้าเป็นเพื่อนดีๆ ทำไมไม่เข้ามาคุยกันในบ้าน แบบนี้มันแปลกเกินไป แต่พอจะลุกจากโต๊ะอาหาร ปิงก็ผลักประตูเข้ามาพอดี

                    ปิงเดินตรงมายังโต๊ะอาหารที่พวกเรานั่งกันอยู่ มองอาหารบนโต๊ะ แล้วมองหน้าพวกเราทีละคน

                    “ทำไมไม่กินข้าว?” ปิงทำหน้าเหมือนผู้ปกครองกำลังเอ็ดลูกๆ

                    “รอพี่” พีทตอบ

                    “เฮ่อ ... จะรอทำไม ก็บอกให้กินกันก่อนเลย” ปิงถอนหายใจ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างผม

                    “ผมกลัวตาย” ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองเจ้าของคำพูดนี้

                    “ก็คิดดู ผมทำไข่เจียว พีททำผัดกระเพา ส่วนพี่เมฆทำต้มยำ พี่คิดว่ามันจะโอเคเหรอ?” ไมค์ยังพูดต่อหน้าตาย

                    พีทตักกระเพายัดเข้าปากไมค์ “กินเลย!”

                    พวกเราทั้งโต๊ะเลยฮากันครืน

                    “กินข้าวกันเถอะ” ปิงยิ้ม

                    “กินๆ” ผมเห็นด้วย หิวจนไส้จะขาดแล้ว

                    “ขอด้วยสิ” ปิงมองที่กระป๋องเบียร์

                    ผมลุกไปหยิบเบียร์ในตู้เย็น เปิดแล้วยื่นส่งให้ อาหารมื้อนี้รสชาติเหี้ยมาก แต่พวกเรากลับกินมันอย่างมีความสุข ... ผมคิดยังงั้นนะ เพราะแต่ละคนกินไปคุยไป หัวเราะกันไป ไม่เว้นแม้แต่ปิงที่ดูจะหัวเราะมากกว่าปกติ และดื่มมากกว่าปกติเช่นกัน ระหว่างกินข้าว ปิงลุกไปหยิบเบียร์มาเปิดเองอีก 2 กระป๋อง

                    กินข้าวอิ่มแล้ว พีทบอกอยากดูหนังต่ออีกสักเรื่อง แต่ไมค์บอกว่าเขานัดกับคุณย่าเอาไว้ตอน 3 ทุ่ม พีททำหน้าผิดหวังอย่างแรง ผมกับปิงจึงขับรถไปส่งพวกเขา

 

                 
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 16-05-2016 21:35:14
ต่อ ...

                    เมื่อรถเคลื่อนออกจากหน้าบ้านพักของพีท ผมอยากถามปิงเรื่องผู้หญิงคนนั้น แต่เมื่อเหลือบมองคนข้างๆ กลับพบว่าเขาหลับตาเอนตัวพิงประตู ผมไม่อยากรบกวน จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้

                    กลับถึงบ้าน ปิงก็เดินตรงขึ้นห้องของเขาโดยไม่พูดจา

                    ผมอาบน้ำ ขึ้นเตียงนอนอ่านอะไรในโลกโซเชียลไปเรื่อย สักพักได้ยินเสียงของปิงเปิดประตูห้องออกมา และเดินลงไปยังชั้นล่าง เมื่อรอจนได้ยินฝีเท้าเดินกลับขึ้นมา ผมจึงเปิดประตูห้องออกไป

                    ปิงสวมเสื้อคลุม ปล่อยผมสยาย ในมือมีเบียร์สองกระป๋อง

                    “อะไรกัน นายดื่มเยอะเกินไปแล้วนะ” ผมอดไม่ได้ที่จะต้องพูดออกไป วันนี้ปิงดื่มไปเยอะมาก ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นปิงดื่มเบียร์ยังกับดื่มน้ำเปล่า

                    ปิงมองหน้าผมสักครู่ แล้วเดินตรงไปยังห้องของเขา ถ้าเป็นวันอื่นๆ ผมคงปล่อยให้เขาเดินหนีไปง่ายๆ แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างนี้ ...

                    ผมเดินตามเขาไป ปิงจะปิดประตู แต่ผมเอาตัวไปขวางเอาไว้ เขาจ้องหน้าผม ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจอย่างมาก

                    “นายเป็นอะไร?”

                    ปิงไม่ตอบ แต่หันไปวางเบียร์ไว้บนชั้นข้างประตูหนึ่งกระป๋อง แล้วเปิดกระป๋องที่เหลือ ยกขึ้นดื่ม ผมแย่งมาถือเอาไว้ เขาพยายามจะคว้ากลับคืน แต่ผมผลักอกเขาออกไป

                    “เกิดอะไรขึ้น? นายแปลกมากตั้งแต่กลับเข้ามา มีอะไรก็บอกกันสิ”

                    “ไม่เกี่ยวกับนาย” แม้ในเวลาอย่างนี้ น้ำเสียงของปิงก็ยังราบเรียบ

                    “แล้วเกี่ยวกับใคร?” แต่ผมกลับเสียงดังใส่เขา ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร ผมว่าผมคงเป็นห่วง

                    “...”

                    “ผู้หญิงที่มาเมื่อบ่ายนี้ใช่ไหม?” ผมวางกระป๋องเบียร์ลงบนชั้น

                    “...”

                    “เราไม่อยากยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของนายหรอกนะ แต่เพราะนายดื่มขนาดนี้ ตอนเย็นก็แทบจะไม่ยอมแตะข้าวเลย ถ้าเกิดโรคกระเพาะของนายกำเริบขึ้นมาจะทำยังไง” ใช่แล้วล่ะ ผมแค่เป็นห่วงปิง ส่วนเรื่องอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นแค่เรื่องรองลงมา

                    “นายจะมาห่วงฉันทำไม?” ใบหน้าเรียบเฉยของปิง กลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

                    “ก็ทำไมจะห่วงไม่ได้” ผมเริ่มโมโหกับกำแพงน้ำแข็งที่ปิงสร้างมากั้นตัวเองไว้

                    “ฉันไม่ต้องการ!” ปิงตะคอกใส่หน้าผม นี่เป็นครั้งแรกที่ปิงขึ้นเสียง ผมชะงักเพราะความตกใจ จ้องมองใบหน้าแดงก่ำของปิง ผมคิดว่าเขาเมาแล้ว

                    “มองสิ มองให้เต็มตา นี่แหละคือฉันอีกคนที่นายไม่เคยเห็น” ปิงพูดแล้วเริ่มร้องไห้

                    ผมยืนตัวแข็งทื่อมองใบหน้าเหยเกของปิง

                    “ฉันที่ไม่ใช่คนดีอะไร ฉันที่มีความรู้สึก มีชีวิตจิตใจ มีความรัก มีโกรธ มีความต้องการ มีความเห็นแก่ตัว!” เขาเค้นเสียงปนร้อองไห้ ผมทำอะไรไม่ถูก งงไปหมด

                    “นายอยากรู้มากกว่านี้ไหมว่าฉันเป็นคนยังไง?!” เขาตะโกนเสียงดัง คว้าคอเสื้อ เหวี่ยงผมลงไปบนเตียงแล้วกระโดดขึ้นมานั่งคร่อม ... ทั้งหมดเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ผมตกใจสุดขีด ทำได้เพียงอ้าปากค้าง มองใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของปิง แต่ก่อนที่ผมจะทันได้คิดหรือพูดอะไรออกมา ใบหน้านั้นก็โน้มลงมา ปิงกดริมฝีปากลงบนปากของผม ลิ้นร้อนๆพยายามแทรกซอนเข้าไปในโพรงปากของผม ... ผมกำลังถูกปิงจูบ!

                    เมื่อตั้งสติได้ จึงผลักร่างบางภายใต้เสื้อคลุมที่หลุดลุ่ย เผยให้เห็นว่าข้างในนั้นเปลือยเปล่า ผมพลิกตัวขึ้นมาแล้วกดร่างของปิงลงบนเตียง ก้าวขาคร่อมร่างของเขาเอาไว้ ปิงมีสีหน้าตกใจ แต่เพียงไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย มีเพียงแววตาที่ส่งมาอย่างท้าทาย

                    “นายอยากมีอะไรกับฉันไหม?” ปากแดงเอื้อนเอ่ย

                    ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าคำพูดประโยคนี้จะหลุดออกมาจากปากของปิง ... ผมพูดอะไรไม่ออก

                    “หึ” เขาแค่นหัวเราะในลำคอ แสดงสีหน้าเจ็บปวดอีกครั้ง

                    “...”

                    “นายคงนึกขยะแขยงฉันแล้วใช่ไหม? นี่แหละคือตัวตนอีกด้านของฉัน” น้ำใสๆไหลจากตาทั้งสองข้างของปิง ผมรู้สึกหน่วงในอก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตา ลูบผมของเขาอย่างเบามือ

                    ที่เงียบ ไม่ใช่เพราะนึกรังเกียจเขา ผมเพียงแค่ตกใจ ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของปิง รู้แค่เพียงว่าในเวลานี้ ผมไม่อยากเห็นใบหน้าอันงดงามนี้อาบไปด้วยน้ำตา ไม่อยากให้เขาเจ็บปวด เขาคงไม่มีทางรู้ว่าผมต้องมีสติและเข้มแข็งแค่ไหนเพื่อไม่ให้พ่ายแพ้ต่อริมฝีปากที่ยั่วยวน และร่างขาวนวลที่นอนทอดกายอยู่เบื้องล่าง

                    ผมก้มลงไปใกล้ๆใบหน้าที่แดงก่ำของปิง ต้องการให้เขาได้ยินชัดๆ ...

                    “เมฆไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อยากให้ปิงรู้ไว้ ที่เมฆไม่ทำอะไร ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่ไม่อยากฉวยโอกาสในเวลาที่ปิงอ่อนแออย่างนี้”

                    เราจ้องตากัน ผมหวังว่าเขาจะเชื่อในทุกๆคำพูดที่บอกออกไป

                    ผมปาดน้ำตาที่ยังไหลออกมาไม่ขาดสาย ก้มลงจูบแผ่วเบาที่หน้าผากของปิง ลมหายใจร้อนๆของเขาปนด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้ง หากไม่ใช่เพราะปิงกำลังร้องไห้เมามายอยู่อย่างนี้ ผมคงทำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในฝันไปแล้ว ... ใช่ ... ผมเคยฝันว่ามีอะไรกับปิง ... บ้าดีไหมล่ะ?

                    “นอนซะ ไม่ว่าปิงจะผ่านอะไรมา กำลังทำอะไรอยู่ สำหรับเมฆแล้ว ปิงก็คือปิง คนที่เมฆอยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด” ผมผละออกมาจากร่างที่นอนแน่นิ่ง ลงจากเตียง ก้าวเดินไปที่ประตู ไม่ลืมจะหยิบเบียร์สองกระป๋องติดมือไปด้วย

 

                    ก่อนจะปิดประตูลง เสียงแผ่วเบาของปิงเอ่ยขึ้น “ผู้หญิงคนนั้นคือภรรยาของคุณกร”
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 17-05-2016 01:56:02
ปิง  :sad4: ยังมีเมฆอยู่นะเลิกกับกรเหอะ

ไมค์นี่แปลกๆกับพีทหลายตอนละนะ เป็นห่วงซะเหลือเกิน แล้วยังถามเมฆแบบนั้นอีก ฉลาดหลบในป่ะเนี่ย


รอๆๆๆ ช่วยดันๆ  :impress2:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 17-05-2016 13:57:41
เดินเรื่องแบบค่อยๆ ไปแบบ Slice of life แต่อ่านแล้วก็วางไม่ได้ รู้สึกว่ามีอะไรชวนติดตามอยู่ตลอด อาจเพราะมาแบบอึมครึม ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นตัวเอก หรือใครจะคู่ใคร
ชอบมากครับ
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 18-05-2016 21:15:40
ปิง  :sad4: ยังมีเมฆอยู่นะเลิกกับกรเหอะ

ไมค์นี่แปลกๆกับพีทหลายตอนละนะ เป็นห่วงซะเหลือเกิน แล้วยังถามเมฆแบบนั้นอีก ฉลาดหลบในป่ะเนี่ย


รอๆๆๆ ช่วยดันๆ  :impress2:

ขอบคุณมากค่ะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 18-05-2016 21:17:08
เดินเรื่องแบบค่อยๆ ไปแบบ Slice of life แต่อ่านแล้วก็วางไม่ได้ รู้สึกว่ามีอะไรชวนติดตามอยู่ตลอด อาจเพราะมาแบบอึมครึม ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นตัวเอก หรือใครจะคู่ใคร
ชอบมากครับ

ขอบคุณมากค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #15 [19/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 19-05-2016 21:23:16
# 15 (PETE)

 

                    พี่เมฆและพี่ปิงมาส่งพวกเราที่บ้าน เมื่อรถของพวกเขาแล่นออกไปจากหน้าบ้าน ผมจึงหันไปบอกกับไมค์  “กู้ดไนท์นะ” ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้าน แต่เมื่อเปิดประตู ร่างสูงของไมค์กลับแทรกเข้าไปข้างในก่อนผมซะอีก

                    “อะไรของนาย?” ผมถามด้วยความแปลกใจ แต่ไมค์กลับไม่ได้สนใจ เขาเดินตรงไปยังบันได ผมล็อกประตูบ้านแล้วเดินตามขึ้นไป

                    ไมค์เปิดประตูห้องทิ้งเอาไว้ ตัวเขาเองนอนแผ่หราอยู่บนเตียงนอนของผม

                    “นายจะมานอนอะไรตรงนี้ ไหนบอกว่านัดคุณย่าเอาไว้ไง” ผมใช้เท้าสะกิดเท้าข้างหนึ่งของไมค์ที่ห้อยตกมาข้างเตียง

                    “ฉันโกหก” เขาตอบทั้งๆที่ยังหลับตา

                    ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมต้องโกหก แต่เขาชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “อย่าถาม” ผมจึงหุบปากเอาไว้

                    “แล้วนายจะมานอนทำไมที่ห้องฉัน กลับไปนอนบ้านนาย” ผมที่มึนๆเพราะดื่มเบียร์ไปสองกระป๋อง เริ่มมีอาการหงุดหงิด ผมเองก็ง่วงและอยากจะนอนบ้างเหมือนกัน แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวก็เหม็นกลิ่นควันจากบาร์บีคิวเมื่อเที่ยงเกินจะทนไหว ผมมองร่างเหยียดยาวที่หลับตาอยู่บนเตียงอย่างขี้เกียจตอแย คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกไป

 

                    อาบน้ำสระผมแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่อาการง่วงก็ยังคงอยู่ ผมยกเท้าเขี่ยขาไมค์ ปลุกให้เขากลับบ้าน

                    “ไม่กลับ” เขาตอบงัวเงีย พลิกตัวนอนตะแคง

                    ผมถีบก้นเขาเบาๆ “ไม่กลับก็ไปอาบน้ำ ตัวนายกลิ่นยังกะหมูย่าง”

                    “ทำไมนายขี้บ่นยังงี้” ไมค์ลุกขึ้นนั่ง ทำเสียงจิ๊จ๊ะหน้ายุ่ง ก้าวลงจากเตียง มองไปรอบๆห้อง ผมจึงโยนผ้าเช็ดตัวที่กำลังจะเอาไปตากให้กับเขา

                    ใครจะยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้ขอแค่ได้นอนก็พอแล้ว ผมล้มตัวลงบนที่นอน และหลับไปแทบจะในทันที

 

                    “พี่ดูนั่นสิ พี่ว่าเมฆบนฟ้าก้อนนั้นเหมือนรูปอะไร?” ผมตัวเล็กๆนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้าสีเขียว ชี้นิ้วชวนให้พี่ชายผมยาวที่นอนอยู่ข้างๆดูเมฆบนฟ้า

                    “เมฆก็คือเมฆ เมฆจะเป็นอะไรได้ล่ะ” คำตอบของพี่ชายผมยาวทำให้ผมผิดหวัง

                    “แต่ผมว่ามันคือหัวใจ” ผมทำแก้มป่อง นึกงอนพี่ชายผมยาว เพราะผมมองเห็นมันเป็นรูปหัวใจดวงเบ้อเร่อ

                    เขายันตัวขึ้น ก้มมองหน้าผม นิ้วเรียวยาวของเขาดีดเข้าที่หน้าผากของผม ไม่เจ็บหรอก เพราะเขาทำแค่เบาๆ

                    “เด็กน้อย” พี่ชายผมยาวเอ่ยพร้อมหัวเราะน้อยๆ

                    “ผมไม่ใช่เด็ก สักวันผมจะตัวโตกว่าพี่” พูดแล้วก็โถมตัวเข้าใส่ พี่ชายผมยาวทิ้งตัวลงกลับไปนอน มีผมนอนทับอยู่ข้างบน เราสองหัวเราะกันอย่างมีความสุข ...

 

                    “พี่ปิง” ผมลืมตาเพราะเสียงของตัวเอง เมื่อตั้งสติได้จึงรู้ว่ากำลังนอนเกยอยู่บนร่างของใครคนหนึ่ง ผมดีดตัวขึ้นนั่ง จ้องมองไปยังใบหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียง

                    “ไมค์!”

                    “เออสิ ไม่ใช่พี่ปิง” ไมค์นอนหนุนแขนตัวเอง เขาจ้องหน้าผมเขม็ง

                    “ตะ ตื่นนานแล้วเหรอ?” ผมตกใจนิดหน่อยที่ไม่ใช่แค่ตัวเองที่ได้ยินเสียงเรียก “พี่ปิง”

                    “นานพอที่จะได้ยินนายละเมอ” ไมค์แสยะยิ้มที่มุมปาก

                    “ระ เราละเมอว่าไง?” ผมใจแป้ว ไม่รู้ว่าตัวเองละเมอคำไหนออกมาบ้าง

                    “ก็ ...” ไมค์ยันตัวเองขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง

                    “อะไร?” ผมคาดคั้น

                    “เฮ้อ ... ขอบใจนะที่ให้นอนด้วย” ไมค์ลุกจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังประตู ก่อนจะก้าวออกไป เขาหันมาทิ้งท้ายเอาไว้ “แต่เวลานอน นายเซ็กซี่ชะมัด”

                    “ไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมปาหมอน กะจะให้โดนหน้าเต็มๆ แต่เขาปิดประตูหนีไปเสียก่อน

                    “นอนเซ็กซี่ยังไงวะ! แล้วใครอยากรู้เรื่องนั้นกัน!” ผมรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ขึ้นม.1 ผมก็มีห้องเป็นของตัวเอง และหลังจากนั้นก็ไม่เคยนอนร่วมห้องกับใครอีกเลย นอกจากตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน แต่นั่นคือพวกเรานอนรวมกันหลายๆคนในห้องเดียว และเอาเข้าจริงๆคือก็แทบไม่ได้นอน เพราะพวกมันทั้งดื่มและเล่นไพ่ ... แต่ เช้านี้ผมตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองนอนซบอยู่บนอกของไมค์ ...

                    ผมทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง พยายามนึกทบทวนว่าเผลอไปนอนกอดไมค์ตอนไหน ... อาจเป็นตอนนั้น ที่ผมฝันถึงพี่ปิง

                    หลับตาทอดถอนใจ นึกถึงใบหน้าขาว ดวงตายาวรี และปากสีแดงระเรื่อของพี่ปิง ... คิดถึงน้ำเสียงที่บอกขอบใจและก้มลงมาส่งยิ้มให้ ในตอนนั้นไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ก้มหน้าด้วยความอาย เพราะในเสี้ยวเวลานั้นที่เงยขึ้นไป ผมนึกอยากจูบพี่ปิงขึ้นมา จึงรีบหลบตาก้มหน้า หวังว่าพี่ปิงคงอ่านความคิดของผมไม่ออก

                    ผมเคยเชื่อมั่นและคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มั่นคงในความรัก จากการพิสูจน์มาแล้วหลายปีที่ไม่เคยนอกใจแบมเลยแม้ในความคิด ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลกันคนละฟากฟ้า และผมไม่เคยคิดว่าความรักของผมกับแบมจะจบลงง่ายดายเพียงนี้ เมื่อหลังจากที่ได้รับรู้ว่าแบมไม่ได้รักผมอีกต่อไป เธอมีเพียงแค่ความสงสารให้กับผม ผมคิดไม่ออกว่าชีวิตต่อจากนี้ไปจะเป็นยังไง จะยังรักใครได้อีกไหม ผมคงจมอยู่กับความเศร้าไปตลอดชีวิต แต่ ...

                    เพียงแค่เมื่อวานที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนที่ดีอย่างไมค์ พี่ที่ดีอย่างพี่เมฆ และพี่ปิง ... ผมกลับลืมเรื่องราวของแบมไปจนหมดสิ้น ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ผมจะนึกถึงแบม หรืออาจเป็นเพราะไม่มีใครเอ่ยถามถึงเรื่องนี้เลยก็เป็นได้

                    สิ่งที่อยู่ในความสนใจของผมกลับเป็นท่วงท่าของพี่ปิง คำพูดของพี่ปิง รอยยิ้มน้อยๆ และเสียงหัวเราะเบาๆของพี่ปิง

                    ผมถอนหายใจยาวอีกครั้ง กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง ความรู้สึกในตอนนี้คล้ายๆกับตอนที่ตกหลุมรักแบม แต่มันต่างกันอยู่ตรงที่ ตอนนี้เมื่อนึกถึงทุกๆอย่างที่เป็นพี่ปิง ผมรู้สึกปั่นป่วนในท้อง คล้ายมีผีเสื้อเป็นหมื่นๆตัวบินอยู่ในนั้น ...

                    ผมขมวดคิ้ว สงสัยตัวเองที่เอาความคิดเรื่องผีเสื้อนี้มาจากไหน?

เสียงข้อความเข้า

ไมค์ – จะนอนไปถึงไหน

ผม – นายรู้ได้ไง

ไมค์ – ฉันรู้มากกว่าที่นายคิดซะอีก

ผมส่งสติ๊กเกอร์ตกใจ

ผม – มีไร

ไมค์ – ฉันมีเดินหมาให้เพื่อนบ้าน นายอยากไปด้วยไหม

ผม – ไปๆ

น่าตื่นเต้น นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยทำ

ไมค์ – สิบโมงมาหาฉันที่บ้าน

ผมส่งสติ๊กเกอร์โอเค

 

                    พวกเราไปรับหมาที่บ้านคุณไบรอันที่อยู่ถัดไปสองหลังจากบ้านไมค์ ไมค์บอกว่ามันคือพันธุ์ Labrador Retriever ตัวเมียชื่อ Tilly สาเหตุที่ต้องให้พวกเราเดินเจ้าทิลลี่ เพราะคุณไบรอันเกิดอุบัติเหตุต้องเข้าเฝือก จึงไม่ได้พาทิลลี่ออกมาเดินเล่นไกลๆหลายวันแล้ว เขาบอกว่ามันเริ่มมีอาการหงอยๆ เพราะปกติทิลลี่จะชอบเล่นกลางแจ้ง อย่างขว้างบอลแล้วให้ไปเก็บอะไรพวกนี้

                    เราพกน้ำดื่มมากันคนละขวด น้าเจนี่ทำแซนด์วิชให้ เมื่อรู้ว่าผมยังไม่ได้กินข้าวเช้า และกำชับให้พวกเรากลับมากินมื้อเที่ยงที่บ้าน

                    เราเดินกันไปเรื่อยๆ วันนี้อากาศสบายๆ รอบๆหมู่บ้านของไมค์มีต้นไม้ใหญ่ตลอดริมถนน เมื่อมาครั้งแรก ผมยังนึกแปลกใจที่เมืองใหญ่อย่างอเมริกา กลับมีต้นไม้ต้นใหญ่แทรกอยู่กับบ้านเรือนมากกว่าแถวบ้านผมที่อยู่ต่างจังหวัดเสียอีก

                    “นายต้องไป Time Square” ไมค์เอ่ยขึ้นเมื่อผมเล่าความคิดเรื่องนี้ให้เขาฟัง

                    “ทำไม?” ผมยกน้ำขึ้นดื่ม

                    “เพราะมันมีแต่ตึกไงเล้า นายไม่เคยเห็นในหนังเหรอ?”

                    ผมพยายามนึกถึงฉากในหนังหลายเรื่อง ก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย

                    “แต่ถ้านายเดินไปอีกหน่อย นายก็จะเจอต้นไม้เต็มไปหมด” ไมค์ที่เป็นคนถือสายจูงทิลลี่เล่าต่อ

                    “มันคือ Central Park” เขาพูดแล้วหันมามองหน้าผม ผมจึงแสดงสีหน้าให้รู้ว่ากำลังสนใจในสิ่งที่เขากำลังพูด

                    “นายอยากไปไหม?” เขาถาม

                    “มันอยู่ที่ไหนเหรอ?” ผมรู้สึกคุ้นๆ แต่ขี้เกียจนึกว่ามันอยู่ที่ไหน

                    “New York” ไมค์ตอบด้วยสำเนียงฝรั่ง มันช่างน่าฟังจริงๆ

                    “อยากไปสิ แต่เราคิดว่าอีกวันสองวันเราจะกลับไปหาน้าติ๊ก และอยู่ที่นั่นจนถึงวันกลับไทย”

                    ไมค์หยุดฝีเท้า ทำให้ทิลลี่ที่เดินนำหน้าต้องชะงักไปด้วย มันหันกลับมามอง ไมค์จึงก้าวเท้าต่อ เราเดินกันไปอย่างเงียบๆ ผ่านสนามบาสเก็ตบอลที่เรามาเล่นเมื่อวันก่อน และเดินต่อไปอีกสักครู่ผมก็พบว่ามีสนามหญ้าเขียวขจีลาดต่ำลงไป เมื่อเดินไปหยุดอยู่กลางสนาม ทำให้รู้สึกเหมือนเรายืนอยู่บนเนินเตี้ยๆ

                    ไมค์หยิบลูกเทนนิสออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาชอบสวมกางเกงอย่างพวกนักกีฬาบาสเก็ตบอลกับเสื้อกล้ามตัวหลวมๆและรองเท้าผ้าใบ เขาปาลูกเทนนิสออกไปจนสุดแขน ทิลลี่ที่ถูกปลดสายจูงแล้วออกตัววิ่งห้อไปยังทิศทางที่ลูกเทนนิสลอยไป ไม่นานมันก็คาบกลับมา แต่ไม่ยอมปล่อย ไมค์ต้องวิ่งไล่แย่งอยู่นาน ก่อนจะปาออกไปอีกครั้ง และทิลลี่ก็วิ่งไปคาบกลับมาอีก ...

                    ผมทิ้งให้ทั้งสองเล่นกันอยู่กลางสนาม แต่ตัวเองมานั่งหลบอยู่ได้ร่มไม้ใหญ่ตรงขอบสนาม ท้องฟ้าที่นี่แจ่มใสและสีสดกว่าที่เมืองไทย อาจเป็นเพราะมลพิษน้อยกว่า ผมมองเมฆก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า นึกถึงความฝันเมื่อคืน ... ใบหน้าของพี่ปิงผุดขึ้นมาอีกครั้ง ผมได้แต่ถอนใจ ถ้ากลับไปเมืองไทย คงไม่ได้พบกับพี่ปิงอีก แค่คิดถึงข้อนี้ ก็ทำให้แทบจะเปลี่ยนใจ อยากย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกาเสียเลย

                    ผมหยิบแซนด์วิชขึ้นมากิน นึกได้ว่าเมื่อวานแอบถ่ายรูปของพี่ปิงตอนที่กำลังย่างบาร์บีคิว ตอนนั้นไมค์ไปเข้าห้องน้ำ และพี่เมฆขึ้นไปหยิบอะไรสักอย่างในครัว ผมแกล้งเดินเตร็ดเตร่ออกมาริมถนน แล้วกดชัตเตอร์ด้วยมือที่สั่นหน่อยๆ

                    ภาพของพี่ปิงที่ก้มหน้านิดๆ มือขาวกำลังจับที่คีบเนื้อ พี่ปิงใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์เก่าๆเปื่อยๆ ขาดที่เข่าทั้งสองข้าง ชายกางเกงก็หลุดลุ่ย ผิดกับครั้งแรกที่ผมเห็นลิบลับ วันนั้นที่เราไปดูรถ พี่ปิงแต่งตัวเรียบร้อยกางเกงสแล็คกับเสื้อเชิ้ตซึ่งทำให้พี่ปิงหล่อเนี้ยบ แต่ความเซอร์เมื่อวานทำให้ผมนึกถึงพี่ปิงเมื่อ 10 ปีก่อน เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ และหมวกแก้ปที่ผู้ชายคนนั้นสวมให้ ดูแล้วแทบไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ แม้เวลาจะผ่านมาจนวันนี้ที่ผมตัวโตกว่าพี่ปิงแล้ว แต่ใบหน้าของพี่ปิงเหมือนกับหยุดวันเวลาเอาไว้

                    ผมถ่ายรูปพี่ปิงได้ทั้งหมดหนึ่งรูปถ้วน เพราะมัวแต่ตื่นเต้น กลัวเขาเงยหน้าขึ้นมาเห็น อีกทั้งไมค์ก็เดินลงบันไดมาพอดี ... ผมเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ภาพของไมค์กำลังไถเครื่องตัดหญ้า และถัดไปคือคลิปที่ผมแอบถ่าย ไมค์ในคลิปดูๆไปก็คล้ายวัยรุ่นในหนังฝรั่ง แบบที่เรียกว่า boys next door เอ๊ะ หรือมันจะมีแค่ girls next door ... ผมส่ายหัวให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง

                    “ดูอะไร!” ไมค์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมปิดหน้าจอโทรศัพท์แทบไม่ทัน

                    “เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ

                    “ในคำว่าเปล่า ล้วนแต่มีบางสิ่งซ่อนอยู่ทั้งสิ้น”

                    ผมมองหน้าไมค์ด้วยความรู้สึกทึ่ง บางทีการใช้เวลาอยู่กับคุณย่ามากๆ ก็ทำให้เขามีคำพูดมาให้ผมแปลกใจได้เรื่อยๆ

                    “ก็รูปต้นไม้ ทิวทัศน์” ที่ผมตอบไปก็มีความจริงอยู่บ้างส่วนหนึ่ง

                    ไมค์ยกน้ำขึ้นดื่ม หยิบแซนด์วิชขึ้นมากินอย่างไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบของผมเท่าไหร่นัก

                    ทิลลี่ตามมานอนลิ้นห้อยอยู่ไม่ห่าง

                    “นายคิดจะกลับแล้วจริงๆเหรอ?” ไมค์ตั้งคำถามแล้วเอนตัวลงนอน

                    ผมไม่ตอบ เพราะยังไม่แน่ใจ

                    “ถ้านายกลับก่อนกำหนด ฉันไม่คืนเงินค่าเช่าให้นะ” ผมรู้ว่าไมค์ไม่ได้คิดจริงจังอย่างที่พูด

                    “เราก็ไม่คิดจะขอส่วนเกินคืนหรอกน่า นายให้เรามากกว่านั้นอีก” ตั้งแต่วันแรกที่ผมมาถึง ถ้าไม่ได้เขาคอยดูแล ผมคงแย่

                    “นายสำนึกบุญคุณฉันไว้ก็ดีแล้ว” น่าแปลกที่วันนี้ผมฟังคำพูดกวนๆของเขาโดยไม่รู้สึกหมั่นไส้เลยสักนิด

                    “ถ้านายอยู่ต่อ ฉันจะพานายไป Central Park” ไมค์แหงนมองใบไม้ที่อยู่เหนือหัวของพวกเรา

                    “แต่นายยังไม่มีใบขับขี่นะ” ผมจำได้ เขาเคยบอก

                    “ก็นั่งบัสไปสิ นายจะโง่ไปไหนเนี่ย” ไมค์ยกมือขึ้นตีหน้าผากผมดังเผียะ ผมไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะ คงเริ่มชิน

                    “เห้อ ...” ผมถอนหายใจ เลื้อยตัวลองนอนข้างๆไมค์ “เรายังไม่รู้ใจตัวเองเลยว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร”

                    “...”

                    “วันที่เจอแบมครั้งสุดท้าย เราตัดสินใจว่าจะไปจากเวอร์จิเนียให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม แต่ตอนนี้เราเริ่มลังเล ถ้าจะบอกว่าเราคิดอยากอยู่ต่อไป        อีกนานๆ นานแบบเท่าที่จะนานได้ นายจะคิดว่าเราเป็นพวกโลเลเปลี่ยนใจง่ายไหม?”

                    “คิด”

                    คำตอบสั้นๆของไมค์ทำให้ผมต้องถอนหายใจอีกครั้ง ตั้งแต่มาอเมริกา ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย หลายอย่างที่กลับมาคิดทบทวน ผมได้แต่เสียใจกับตัวเอง และเสียใจแทนพ่อกับแม่ที่มีลูกไม่เอาไหนอย่างผม

                    “อะไรที่ทำให้นายคิดอยากจะอยู่ต่อในเมื่อนายเลิกกับแบมแล้ว” ไมค์หันหน้ามาถาม และเขายังมองหน้าผมอยู่อย่างนั้นเหมือนรอคำตอบ

                    “...” อะไรน่ะเหรอ ... ผมจะบอกไมค์ได้ยังไง ... ผมหลบตา แกล้งมองไปยังทิลลี่ แต่เมื่อเหลือบกลับมา ไมค์ยังคงมองหน้าผมอยู่ในท่าเดิม

                    “เพราะพี่ปิง?” เป็นไมค์ที่ตอบคำถามตัวเองด้วยประโยคคำถาม

                     “...” ผมอึ้งกับสิ่งที่ไมค์เอ่ย ทำไมเขาถึงรู้ …

                    “นายชอบพี่ปิง” ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบของไมค์ ทำให้ผมเดาไม่ถูกว่าประโยคนี้ของเขาคือประโยคบอกเล่า หรือประโยคคำถาม

                    “นายจำได้ไหมที่เราเคยถามนายตอนที่เรากลับจากวัด” ผมหันไปมองหน้าไมค์ เขาพยักหน้า “พี่ปิงคือคนที่อยู่ในความทรงจำของเรามาเกือบ 10 ปี เราเคยพบเขาครั้งหนึ่งเมื่อเรา 8 ขวบ หลังจากนั้นเราก็ฝันถึงเขามาตลอด”

                    “เมื่อคืนนายก็ฝันถึงเขาล่ะสิ”

                    “ใช่” ถ้าจะปฏิเสธก็คงไม่ได้ ในเมื่อผมละเมอเรียกชื่อพี่ปิงออกมาซะขนาดนั้น

                    “นายชอบผู้ชายเหรอ?” คำถามนี้ของไมค์ทำเอาผมถึงกับสำลักน้ำลาย

                    “จะบ้าเรอะ! นายก็เห็นอยู่ว่าเราชอบผู้หญิง”

                    “แต่นายทำเหมือนนายกำลังตกหลุมรักพี่ปิง”

                    คำพูดของไมค์ทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเอง ... ผมเป็นอย่างนั้นเหรอ?

                    “ไม่รู้สิ เกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย ไม่เคยอยู่ในความคิด เคยมีผู้ชายมาจีบ เรายังต่อยซะคว่ำ” ผมนึกถึงรุ่นพี่นักกีฬาคนนั้นขึ้นมา

                    “...”

                    เมื่อไมค์เงียบ ผมจึงปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดที่สับสน ผมไม่เคยคิดว่าความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อพี่ปิงมันคือความรัก ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร

                    เมื่อก่อนพี่ปิงเป็นเพียงคนที่อยู่ในความฝัน แต่เมื่อความฝันตลอดเวลาเกือบ 10 ปี กลายมาเป็นความจริง พี่ปิงที่มีตัวตนสัมผัสได้  ผมไม่อยากให้เขาหายไปอย่างในความฝัน เมื่อลืมตาตื่น ผมอยากเห็นใบหน้าของเขา อยากได้ยินเสียงพูด อยากเห็นรอยยิ้ม อยากรู้ทุกๆเรื่องในชีวิตของเขา ... แบบนี้จะเรียกว่ารักได้ไหม? ... อันที่จริงผมก็เคยรู้สึกอย่างนี้กับแบม แต่แบมไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อหมื่นๆตัวบินอยู่ในท้อง ... ผมอยากหอมแก้มแบม แต่ความรู้สึกนั้นมันแตกต่างจากที่ผมมองริมฝีปากของพี่ปิงแล้วอยากจูบ ... บอกตรงๆ ตั้งแต่คบกับแบม ผมเคยหอมแก้มเธอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ในวันทีผมไปลาเธอใต้ต้นมะม่วง

                    ผมเหม่อมองก้อนเมฆบนท้องฟ้า นึกเล่นๆว่ามันจะเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นรูปหัวใจอย่างที่เห็นในฝันไหม ... แต่แล้วมันก็ไม่ มันยังคงเป็นก้อนเมฆรูปทรงธรรมดาๆอย่างที่เมฆควรจะเป็น

 

                    เราส่งทิลลี่ให้คุณไบรอันเมื่อเกือบเที่ยง วันนี้สมาชิกในบ้านของไมค์อยู่กันพร้อมหน้า คุณแม่ทำขนมจีนแกงเขียวหวานและไก่ทอดสำหรับมื้อเที่ยง ผมกินไป 2 จาน อิ่มจนแทบคลานกลับบ้าน

                   ไมค์เดินตามกลับมาที่ห้องกับผมด้วย เราก็แค่นอนบนเตียง ใช้เวลาเงียบๆอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเอง

 

                    ตอนค่ำผมก็กลับไปฝากท้องกับอาหารของคุณแม่ที่บ้านไมค์อีกครั้ง ผมรู้สึกโชคดีที่ได้เจอกับไมค์และครอบครัว ถ้าไม่มีพวกเขา ผมนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะย่ำแย่สักแค่ไหน

                    เมื่อช่วยเก็บล้างจานชามจนเรียบร้อย ผมลาจะกลับห้อง ไมค์ก็เดินตามมาเหมือนเมื่อกลางวัน ผมคิดว่าเขาจะขึ้นไปนอนเล่นโทรศัพท์อย่างเคย จึงเดินเข้าบ้านอย่างไม่ได้ใส่ใจ

                    “พีท” แต่ไมค์กลับหยุดยืนอยู่แค่หน้าประตูเมื่อผมหันกลับมาตามคำเรียกของเขา

                    ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

                    “ถ้าเป็นฉัน นายจะต่อยจนคว่ำไหม?”

                    “...”

                    เราต่างเงียบไปทั้งคู่เมื่อไมค์จบคำถามของเขา ผมเงียบเพราะไม่เข้าใจความหมาย ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตั้งคำถามนั้น ... ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

                    “ฉันยังไม่ต้องการคำตอบในวันนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่นายพร้อม นายค่อยมาตอบคำถามของฉัน”

 

                    ผมยืนมองร่างสูงของไมค์จนเขาเดินลับหายไป นึกทบทวนคำถามและประโยคที่เขาทิ้งเอาไว้ ... หวังว่าสักวันผมจะเข้าใจความหมายทั้งหมดของมัน
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #15 [updated 19/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 20-05-2016 00:07:49
 :pig4: :pig4: ตามอยู่ตลอดนะคะ เนื้อเรื่องมีเสน่ห์มาก อย่าหายไปไหนนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #15 [updated 19/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 20-05-2016 20:23:18
:pig4: :pig4: ตามอยู่ตลอดนะคะ เนื้อเรื่องมีเสน่ห์มาก อย่าหายไปไหนนะคะ  :L2:

ขอบคุณมากนะคะ จะพยายามเขียนจนจบ จะไม่ท้อค่ะ  :o12:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #15 [updated 19/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 20-05-2016 20:26:44
พี่ไมค์ชัดเจนมากนะ
พีทเหมาะกับการโดนดูแลมากกว่าไปดูแลคนอื่นยังไงไม่รู้ค่ะ
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) Mike Image
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 22-05-2016 23:15:33
ว่าด้วยเรื่องของอิมเมจคนต่อมา หน้าตาเอาเรื่องเอาราวและเอาแต่ใจสุดๆ ตอนหน้าเราจะได้รู้ความในใจของไมค์กันบ้างแล้วนะคะ

"นายรู้ใช่ไหมว่านายไม่ควรขัดใจฉัน"

(http://i843.photobucket.com/albums/zz354/blacklookyee/Photo%205-22-2559%20BE%2011%2007%2035%20PM.jpg)
(Robinson Bancroft)

หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #16 MIKE [updated 23/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 23-05-2016 20:11:37
มารับรู้มุมมองความคิดของไมกี้กันบ้างนะคะ ... สีหน้าของไมค์ในตอนท้ายของบทคงเป็นอย่างนี้ ฮ่าๆๆ ... อิมเมจของไมค์ชัดเจนพอสมควรเมื่อเทียบกับนายแบบหนุ่มน้อยสุดหล่อคนนี้ ... หน้าตาเอาเรื่องเอาราวและเอาแต่ใจสุดๆ

ปล. จากบทนี้อาจจะได้ลงอาทิตย์ละตอนจริงๆแล้วค่ะ เพราะสต็อกเริ่มร่อยหรอ ผู้เขียนติดซีรีส์และเด็กจีนหนักมากจนไม่มีเวลามาต่อบท ฮ่าๆๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่หยุดกลางครันแน่นอนค่ะ รอติดตามกันต่อไปนะคะ ขอบคุณมากจริงๆที่ยังมีคนรออ่าน / MissDaisy



(http://i843.photobucket.com/albums/zz354/blacklookyee/Photo%205-22-2559%20BE%2011%2007%2035%20PM.jpg)

(Robinson Bancroft)



# 16 (MIKE)

 

                    ผมเดินกลับบ้านด้วยใจที่เต้นระรัว ... ทั้งๆที่ไม่มั่นใจว่าพีทจะเข้าใจในสิ่งที่สื่อออกไปไหม และถ้าให้เดา ผมว่าเขาไม่ ... คนอย่างพีท ถ้าคิดอะไรได้ไวขนาดนั้น คงไม่ต้องมาอกหักไกลถึงอเมริกา

 

                    “ไม่นอนกับพีทอีกเหรอคืนนี้?” น้าเจนี่ทักขึ้นเมื่อผมเดินเข้าบ้าน

                    “Nope.” ผมส่ายหน้า เดินไปหย่อนก้นบนเก้าอี้ในครัว

                    “พีทน่าสงสารนะ” น้าเจนี่พูดขณะที่กำลังง่วนกับอะไรสักอย่างบน Island

                    “ทำไร?” ผมชะโงกหน้ามองสารพัดผักในกล่อง

                    “Salad”

                    “Diet?”

                    “Yah”

                    “Again?” ผมมองสลัดในกล่อง สลับกับสีหน้าที่เอาจริงเอาจังของน้าสาว อดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะออกมา เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะนี่เป็นรอบที่ล้านได้แล้วมั้งที่น้าเจนี่บอกว่าจะไดเอ็ท แต่ทุกครั้งก็ทำได้ไม่เกิน 3 วัน

                    “ไปเลยไป” น้าเจนี่สะบัดมือไล่ผมอย่างกับหมอผีเขวี้ยงข้าวสารเสก เหมือนที่เคยเห็นในหนังผีปอบที่เคยดูกับคุณย่าในโปรแกรมไทยทีวี 

                    “ล้อเล่นน่าคุณน้าคนสวย” ผมยื่นหน้าเข้าไปง้อ ถึงจะเป็นน้าหลานที่อายุห่างกัน 20 กว่าปี แต่เราสนิทกันมาก ผมกับน้าเจนี่คุยกันได้แทบทุกเรื่องเหมือนเพื่อนสนิท ... ยกเว้นก็แต่เรื่องที่กำลังอยู่ในใจของผมขณะนี้

                    “แล้วพีทเป็นไงบ้าง? เมื่อคืนเมาอ้วกเลยเหรอ?” คุณน้าเงยหน้าขึ้นจากกล่องผักสารพัดสี

                    ที่น้าเจนี่ถามอย่างนี้ ผมคงต้องสารภาพว่าเพราะเมื่อคืนตอนเข้าไปอาบน้ำ ผมส่งไลน์บอกว่าพีทเสียใจหนักมาก ดื่มไปเยอะจนอ้วก ผมเลยต้องอยู่ดูแล

                    “ก็นิดหน่อย ... คุณย่านอนแล้วเหรอฮะ?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากโกหกมากไปกว่านี้

                    “ใช่ บอกจะดูละคร แต่พอเปิดทีวีให้ไม่ถึง 5 นาทีก็หลับผล็อย”

                    ผมพยักหน้ารับทราบ แล้วทิ้งให้น้าสาวง่วนอยู่กับสลัดของเธอต่อไป

 

                    ก่อนขึ้นห้องของตัวเอง ผมแวะห้องของคุณย่าที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งนอนร่วมกับน้าเจนี่ คุณย่าหลับอยู่บนฟูกที่ปูอยู่บนพื้น ท่านบอกว่าไม่ถนัดที่จะนอนบนเตียง แม้ว่าจะย้ายมาอยู่อเมริกานานหลายสิบปี แต่บางอย่างที่คุณย่าเคยปฏิบัติมาก่อน ท่านก็ไม่ยอมเปลี่ยน เหมือนอย่างเรื่องที่ลูกๆและหลานอย่างผมต้องพูดและใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง

                    คุณย่าแม้จะเกิดที่เชียงตุง แต่กำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก ครอบครัวเพื่อนของคุณพ่อท่านจึงรับมาเลี้ยงดูที่กรุงเทพฯ คุณย่าพบกับคุณปู่ในสมาคมของชาวเชียงตุงในประเทศไทย คุณปู่ของผมมีสายเลือด Australian นี่อาจทำให้เชื้อมาโผล่เอาที่ผมบ้าง คุณปู่มีโอกาสได้มาทำงานที่ประเทศอเมริกา คุณย่าและลูกๆ คือคุณพ่อและน้าเจนี่ที่ยังเป็นเด็กประถม จึงต้องย้ายตามมาด้วย ถึงแม้คุณย่าจะเป็นชาวเชียงตุง แต่อีกใจหนึ่ง ท่านก็ถือว่าท่านเป็นคนไทย เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องพูดภาษาไทยให้ชัดถ้อยชัดคำเมื่อคุยกับท่าน

                    ผมสีเงินยวงที่ถูกขมวดเป็นปมในเวลากลางวันถูกปล่อยสยายในเวลานอน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยดูผ่อนคลายในยามหลับใหล ... เพราะคุณปู่จากไปในวัยหนุ่ม คุณย่าจึงต้องดูแลลูกๆมาโดยลำพัง ท่านเป็นคนที่ผมรักและเทอดทูนมากที่สุดในชีวิต ... ผมก้มลงจูบแก้มคุณย่าเบาๆ จัดผ้าห่มคลุมหน้าอกให้เรียบร้อย อย่างที่คุณย่าเคยทำให้ผมมาตลอด จนกระทั่งไม่นานมานี้ที่ท่านเข่าไม่ดี เดินขึ้นบันไดไปหาผมที่ห้องไม่สะดวก ผมจึงเปลี่ยนมาเป็นคนที่เข้ามาจูบคุณย่าก่อนนอนแทน

 

                    เมื่อเดินขึ้นมาชั้นบน พบไฟในห้องทำงานของพ่อเปิดอยู่ ผมจึงโผล่หน้าเข้าไป “Still Working?”

                    “Hey boy, is everything alright?” พ่อหันมา ขยับแว่นสายตา

                    พ่อเป็นคนบ้างาน ท่านทำอยู่ในบริษัทที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งความรับผิดชอบนี้สูงมาก เพราะตัวเลขของท่านต้องส่งให้รัฐบาลนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลของประเทศ

                    “ดีฮะ” ผมยืนเกาะที่กรอบประตู  “แม่นอนแล้วเหรอครับ?”

                    “วันนี้วันพระ เห็นว่าจะเข้าไปสวดมนต์”

                    ผมพยักหน้ารับรู้

                     “Don’t stay up late.” ผมบอกด้วยความเป็นห่วง

                    “Ok, have a good night boy.”

                    “Love you, dad.”

                    “Love you too.”

                    ผมเดินผ่านห้องพระโดยไม่แวะ เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิของแม่

                    แม่เป็นคนธรรมะธรรมโม ท่านพบกับพ่อ ตอนที่พ่อพาคุณย่าไปวัด แม่มาเยี่ยมญาติที่นี่ พ่อเคยเล่าว่าท่านตกหลุมรักแม่ในทันทีที่พบ แม่เรียบร้อย กิริยาอ่อนหวาน คุณย่าเองก็รักลูกสะใภ้คนนี้มาก เมื่อถึงเวลาต้องกลับเมืองไทย พ่อแทบใจสลาย จนต้องลางานตามกลับไป และไม่นานท่านก็ขอแม่แต่งงาน และทำเรื่องให้แม่ติดตามมาอยู่ที่นี่

                    แม่เป็นคนขยัน มาอยู่อเมริกาแล้วท่านก็ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษจนคล่อง และหางานทำ จนทุกวันนี้ได้เป็นผู้จัดการแผนกในโรงแรมระดับ 5 ดาวของที่นี่

 

                    คืนนี้ผมอาบน้ำแล้วขึ้นเตียงทันที ไม่มีกระใจจะคุยกับเพื่อนหรือฟังเพลงจากช่องรายการดีเจคนโปรด ... ผมเลือกที่จะนอนมองดวงไฟดวงจิ๋วที่ส่องแสงอยู่เหนือเตียงนอน เมื่อรอบกายมืดสนิท ดวงไฟเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับดวงดาวที่พร่างพราวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

                    แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น เป็นข้อความจากลูคัส เพราะไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร ผมจึงทิ้งข้อความนั้นไว้โดยไม่เปิดอ่าน ... ส่วนคนที่ผมรอ กลับเงียบหาย ... ตอนนี้เจ้าบ้านั่นกำลังคิดอะไรอยู่? ... ผมควรเล่าเรื่องนี้ให้แบมรู้ดีไหม? ถ้าเธอรู้แล้วจะรู้สึกยังไง? จะรู้สึกเหมือนตอนที่ผมรู้เรื่องของเธอหรือเปล่า?

 

                    ผมรู้จักแบมเมื่อครั้งเดินสวนกันที่โรงเรียน ด้วยหน้าตา Asian และผมสีดำ ทำให้ลองทักออกไป จากวันนั้นเราก็คุยกันมาตลอดเพราะในโรงเรียนไฮสคูลของเรามีเด็กไทยอยู่แค่ 2 คนคือผมกับแบม

                    แบมเพิ่งย้ายมาอยู่อเมริกาได้ไม่นาน เธอยังไม่รู้จักคนไทยวัยเดียวกันในเมืองนี้ ผมจึงเป็นเหมือนทุ่นที่แบมเกาะไม่ปล่อย เธอคุยกับผมทุกวันและทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน แหล่งช้อปปิ้ง แฟชั่น การบ้าน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องแฟน และนั่นทำให้ผมรู้จักพีท ทั้งๆที่ยังไม่เคยพบหน้า

                    ในโรงเรียนผมมีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคน ชื่อลูคัส เราเป็นเหมือนฝาแฝดเพราะไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน จะต้อง   มีลูคัสติดอยู่ข้างๆเสมอ หลังจากที่ผมและแบมรู้จักกัน ทุกครั้งที่เราเจอกันในโรงเรียน นั่นหมายถึงเธอต้องเจอลูคัสด้วย และกว่าที่ผมจะรู้ตัว เขาทั้งสองก็คบกันเสียแล้ว

                    เมื่อรู้เรื่อง ยอมรับว่าโกรธมาก เพราะทั้งแบมและลูคัสคือเพื่อนสนิทของผม แต่กลับปิดเงียบเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา

                    “ยูเอาพีทไปทิ้งไว้ที่ไหน?” คำถามแรกที่ผมถามแบมเมื่อรู้ว่าเธอคบกับลูคัส ส่วนแบมก็เอาแต่ร้องไห้ คร่ำครวญว่าฉันผิดไปแล้วอยู่ซ้ำๆ ผมพยายามทำความเข้าใจแบมอย่างที่เธอพยายามอธิบาย ... ความเหงา ความห่างไกล ความใกล้ชิด อนาคตที่มองไม่เห็น หรือแม้แต่ความขี้เล่นและความหล่อของลูคัส ... อย่างที่เคยได้ยินมา หากถามว่ารักเพราะอะไร เรามักจะตอบไม่ได้ แต่หากถามว่าทำไมถึงจะไป เรากลับมีเหตุผลมากมายมาอธิบาย อย่างแบมในตอนนั้น

                    ถึงแม้ผมจะไม่เคยพบตัวจริงของพีท แต่ก็เห็นรูปของเขาจากแบมมาตลอด มีครั้งหรือสองครั้งที่แบมเฟสไทม์แล้วเธอต้องการให้ผมทักทายพีท ผมปฏิเสธ แต่ก็ไม่วายจะลอบมองคนที่อยู่ในจอ

                    พีทเป็นคนสดใสร่าเริง ดวงตาโตใสเป็นประกายคู่นั้นก็ดูเหมือนตื่นเต้นตลอดเวลาที่อยู่หน้ากล้องกับแบม เมื่อนึกว่าคนที่สดใสอย่างนั้น ต้องมาเสียใจในสักวัน ... มันน่าเศร้า

                    แบมคบกับลูคัสมาเกือบปี และแล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เธอโทรมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะพีทกำลังจะเดินทางมาหาที่อเมริกา ผมเองก็ตกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ เรื่องของใครก็คงต้องรับผิดชอบกันเอง ผมทำได้แค่เพียงช่วยเรื่องหาที่พักให้กับพีท เมื่อแบมขอร้องมา

                    คุณน้าน้อย คุณแม่ของแบมให้ผมช่วยโกหกว่าเพราะบ้านของแบมอยู่นอกเมือง เดินทางไม่สะดวก จึงมาหาพีทบ่อยไม่ได้ ทั้งๆที่บ้านของแบมและผมอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ พีทคงไม่รู้ว่าที่ผมและแบมเรียนไฮสคูลเดียวกัน เพราะบ้านเราอยู่ในเขตเดียวกัน และด้วยความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจ ผมจึงเต็มใจที่จะดูแลพีทในทุกๆเรื่อง

                    ผมไม่เคยคิดว่าการเทคแคร์ของผมที่มีให้กับพีท จะเป็นอะไรที่มากไปกว่าการช่วยเหลือเพื่อนคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเห็นใจ อีกทั้งยังอยู่ในต่างแดนเพียงลำพัง แต่ ...

                    วันที่เขาออกไปเที่ยวคนเดียวในดีซีแล้วกลับมาถึงบ้านเอามืดค่ำ อยู่ดีๆเขาก็ขาดการติดต่อ ผมพยายามส่งข้อความและโทรหาอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ ใจผมในเวลานั้นร้อนรนจนนั่งอยู่กับบ้านไม่ติด จึงต้องเดินเตร่มาที่บ้านของพีท โชคดีที่พี่เนสนั่งดื่มเบียร์อยู่ ผมจึงไปร่วมด้วย ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นภาพที่น่าอายอยู่ไม่น้อย ถ้าพีทกลับมาพบว่าผมตั้งใจมานั่งรอเขาอยู่ที่หน้าบ้าน

                    ผมดีใจมากเมื่อรู้ว่าพีทกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่เมื่อหันกลับมาพบกับใครคนหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเขาคือคนที่พีทยืนจ้องอย่างตกตะลึงเมื่อวันที่เราไปวัดลาว ... ความรู้สึกไม่พอใจก็ก่อเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล …

 

                    ผมหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้า พยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากสมอง แต่แล้วแววตาของพีทที่คอยจับจ้องทุกๆอิริยาบทของพี่ปิงเมื่อวาน กลับเข้ามา       รบกวนจิตใจของผมไม่หยุด

                    ผมสังเกตเห็นว่าพี่เมฆก็มีสายตาที่คอยมองพี่ปิงอยู่เสมอเหมือนกัน แต่มันกลับไม่ทำให้ผมว้าวุ่นใจ เท่ากับเวลาที่หันไปพบว่าพีทกำลังลอบมองพี่ปิง ... ใบหน้าระรื่นของพีทเวลาที่เขาได้คุยกับพี่ปิง ยิ่งนึกแล้วยิ่งทำให้หงุดหงิดในอารมณ์

                    เพราะท่าทางกระตือรือร้นอยากอยู่ต่อของพีทเมื่อคืน  ทำให้ผมต้องโกหกว่ามีนัดกับคุณย่า และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงพาตัวเองมานอนในห้องของพีท …

                    อาจเพราะไม่อยากพกเอาความขุ่นมัวกลับไปห้องของตัวเอง เพื่อจะไปนอนตาค้างอยู่บนเตียง แต่เจ้าคนที่เป็นต้นเหตุ กลับได้หลับสบายอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ผมคิดว่ามันไม่แฟร์ ...

                    ภาพพีทที่นอนอยู่บนเตียง สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ทำให้ผมร้อนวูบวาบไปทั้งแก้มจนถึงใบหู แต่เมื่อมาคิดอีกที นั่นอาจเพราะเบียร์เกือบครึ่งโหลที่ผมดื่มเข้าไป การนอนข้างๆพีท จะต่างอะไรกับการนอนร่วมเตียงกับลูคัส คิดได้อย่างนั้นผมจึงทิ้งตัวลงข้างๆเขา แล้วหลับใหลไม่ใส่ใจอะไรอีก แต่ ...

                    เมื่อลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า สิ่งต่างๆที่มองเห็นทำให้งงงวยไปสักพัก และเมื่อหันไปพบว่าข้างกายมีใครคนหนึ่งนอนอยู่ ยิ่งทำให้งุนงง แต่เมื่อคิดทบทวน ก็จำได้ว่าผมมานอนอยู่ที่ห้องของพีท

                    ใบหน้ายามหลับใหลของพีทเหมือนเด็กๆไร้เดียงสา ซึ่งจริงๆแล้วก็แทบไม่ต่างกับในเวลาปกติของเขาสักเท่าไหร่ พีทมีคิ้วที่ดกหนาเป็นปื้น ผมสงสัยว่าเขาเคยโดนเพื่อนล้อว่าคล้ายชินจังหรือเปล่า เมื่อนึกอย่างนั้นก็ทำให้ผมอมยิ้มกับตัวเอง เจ้านั่นมีขนตาหนายาวเป็นแผง จมูกแม้จะคมไม่มากนัก แต่ก็โด่งอย่างคนเอเชีย พีทมีริมฝีปากแบบที่คุณย่าเรียกว่าปากอิ่ม มันเผยอหน่อยๆในยามที่เจ้าตัวหลับสนิท ...

                    ขณะมองสำรวจใบหน้าของพีทเพลินๆ อยู่ๆเขาก็ขมวดหัวคิ้ว ผมจึงใช้นิ้วชี้แตะไปเบาๆ เพื่อคลายมันออก แล้วเจ้านั่นก็ทำให้ผมแทบหัวใจวาย พีทพลิกตัวโตๆของเขาแล้วโถมทับลงบนตัวของผมจนแนบไปกับที่นอน แค่นั้นยังไม่พอ สิ่งที่กระตุกใจผมจนแทบหยุดเต้น คือคำว่า “พี่ปิง” ที่พีทเรียกออกมา … ผมไม่รู้จะเรียกความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นว่าอย่างไร

                    ผมไม่คิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย เพราะไม่เคยมีใครทำให้ความแมนในตัวของผมสั่นคลอนได้ ขนาดแก้ผ้าอาบน้ำกับลูคัสที่ขึ้นชื่อว่าหล่อติดอันดับของไฮสคูล (แต่อันดับต่ำกว่าผม) ก็ยังไม่ทำให้ผมสะทกสะท้าน แต่กับพีท ... เพียงแค่รอยยิ้มที่ปราศจากการเสแสร้ง เสียงหัวเราะที่สดใสราวกับแสงแดดยามเช้า ดวงตากลมใสที่ไม่เคยปกปิดความรู้สึกของเจ้าตัวได้มิด ก็เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผมเข้าเดินเข้าหาอย่างไม่อาจต้านทาน ... เพียงแค่นั้นกระมัง

                    และเพียงแค่ได้เห็นสีหน้าเขินอายของพีทเมื่อตอนที่พี่ปิงก้มลงไปเอ่ยขอบใจที่เขาเสียสละที่นั่งให้ตอนดูหนัง กลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในอกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ...

 

                    จากบทสนทนาของเราเมื่อกลางวัน ย้ำให้ผมรู้ว่าพี่ปิงมีอิทธิพลต่อพีทมากแค่ไหน ... มันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มันเกิดมานานแล้วกว่า 10 ปี ... แต่สำหรับผมที่เพิ่งพบกับพีทได้เพียง 10 วัน ...

                    “Nooooooooooo!!!!” ผมกดหมอนลงบนใบหน้าให้แน่นขึ้น ฟาดขากับที่นอนสุดแรง

                    Line! เสียงข้อความเข้า

                    ผมโยนหมอนทิ้งไป รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู

                    พีท – ดูดิ อาหารของแม่นาย 2 มื้อ ทำเอาซิกแพ็คของเรามากองรวมกันเป็นก้อนเดียว

                    พร้อมแนบรูปหน้าท้องที่ดูยังไงก็รู้ว่าพยายามเบ่งให้กลมพองอยู่เหนือบ็อกเซอร์ลายกระต่าย

                    สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ทำเอาผมเลือกอารมณ์แทบไม่ถูก ขำก็ขำ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

                    ผมส่งอีโมติคอลหน้าตาไร้อารมณ์กลับไป และพีทส่งสติ๊กเกอร์หัวร่องอหายกลับมา

                    พีท – ฝันดีนะไมกี้

                    ผม – อืม

                    ผมวางโทรศัพท์ลงข้างหมอนอย่างไร้เรี่ยวแรง และแล้วสิ่งที่คาดเดามันก็เป็นจริง ... พีทไม่เข้าใจอะไรเลย

 

                    “ถ้านายจะโง่ขนาดนี้ ฉันคงบอกออกไปตรงๆว่าฉันชอบนาย แล้วยอมให้นายต่อยฉันจนคว่ำ ยังจะดีซะกว่า” 
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #16 MIKE [updated 23/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-05-2016 20:55:13
เป็นกำลังใจให้ไมค์นะหนุ่มน้อย
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #16 MIKE [updated 23/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 24-05-2016 22:12:26
เป็นกำลังใจให้ไมค์นะหนุ่มน้อย

ไมกี้ฝากมาบอกว่า "เชื่อมือผมเถอะ" ยกยิ้มที่มุมปาก
เดี๋ยวๆๆๆ ถามคนแต่งก่อนหน่อยไหมน้องไมค์!! :hao3:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #17 MHEK [updated 26/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 26-05-2016 19:18:31
มาอีกแล้วค่ะ แหะๆ คนเขียนใจอ่อน เพราะมีผู้อ่านมาขอบทต่อไปแต่เช้า มีคนให้ความสำคัญและรอคอยขนาดนี้ แม้เพียงคนเดียวก็เหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายเลยนะคะ ... วันนี้คุยกับพี่ท่านนั้นว่าตัวละครของเราค่อยเป็นค่อยไปเหลือเกิน คนอ่านหลายคนอาจรอไม่ไหว ฮา แต่หลังจากบทที่ 18 ไปแล้วดูเหมือนเรื่องราวจะมากขึ้น (วัดจากจำนวนหน้ากระดาษ A4 ของแต่ละบทที่เขียน) ยังไงก็ติดตามกันต่อไปนะคะ รับรองว่าเรื่องนี้เขียนจบแน่ๆ ไม่ทิ้งไว้กลางทางแน่นอนค่ะ / MissDaisy



# 17 (MHEK)

 

                     ผมตื่นมาในเช้าวันอาทิตย์ ด้วยอาการมึนหัวนิดๆ คงเพราะเมื่อวานดื่มไปมาก อีกทั้งเมื่อคืนยังนอนไม่หลับ ... ก่อนเข้าห้องน้ำ ผมเดินเลยไปยังห้องของปิง นึกเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นยังไง เพราะเมื่อคืนหนักเอาการ แต่เมื่อเคาะประตูเรียกสักพัก มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา ผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าในห้องว่างเปล่า เตียงนอนถูกเก็บอย่างเรียบร้อย

                    เดินลงมายังชั้นล่าง ไร้ซึ่งเงาของปิงอีกเช่นกัน ... เขาคงออกไปทำงานแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสภาพอย่างเมื่อคืน ปิงจะตื่นไปทำงานได้ไหว ... กลับขึ้นไปอาบน้ำ วันนี้มีเข้าชิฟต์เช้า

                    ผมมาถึงร้านสายไปเกือบชั่วโมงเพราะรถเมล์คันที่นั่งมาเกิดเสียขึ้นมากลางทาง กว่าจะรอคันต่อไปก็เสียเวลาไปมาก ที่ซวยไปกว่านั้นคือเช้านี้พี่ปุ๊กเข้ามาดูร้าน เลยโดนบ่นไปตามระเบียบ ทั้งๆที่โทรมาบอกพี่ดิวไว้แล้ว ผมแอบคิดว่าที่แกบ่นๆ อาจจะหาเรื่องลดชิฟต์ของผมลงไปอีก

                    “โอเคไหม?” หยกเข้ามาทักเมื่อเธอว่างจากการดูแลลูกค้า

                    “โอเค ... ขอโทษด้วยนะที่หยกต้องคัฟเวอร์แทนเมฆ” เช้าวันอาทิตย์พี่ปุ๊กลงเว็ท 3 คน คือผม หยก และญาติของแก หยกจึงต้องดูแลสเตชั่นให้ในขณะที่ผมยังมาไม่ถึง

                    “ไม่ยุ่งหรอก แขกยังไม่เข้าเท่าไหร่”

                    ผมกวาดตามองไปทั่วร้าน ก็จริงของหยก แต่อีกสักพักก็คงจะเริ่มยุ่ง เพราะจวนจะถึงเวลามื้อกลางวัน

                    “เมฆ ...”

                    “หืม?” ผมกำลังก้มหน้าผูกผ้ากันเปื้อนที่เอว

                    “ออกไปหาไรกินช่วงเบรกกันไหม?”

                    ผมเงยขึ้นมองหน้าหยก พอจะเดาได้ว่าเธอต้องการคุยเรื่องอะไร

                    “ไปสิ” ผมตอบตกลงเพราะรู้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องเคลียร์ให้จบ

                    หยกยิ้มกว้าง ... เธอยิ้มสวย

                    “งั้นหยกไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเจ๊ปุ๊กแหกเอา” หยกหัวเราะก่อนจะเดินไปถามลูกค้าโต๊ะที่เธอดูแลว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม

 

                    เมื่อถึงเวลาเบรก หยกพาผมขับรถออกมานั่งที่ร้านเบอร์เกอร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านพี่ปุ๊ก ... ไอ้เนสมันไปสืบมาได้ว่ารถที่หยกใช้คันนี้ เป็นรถที่พี่อ้อมซื้อให้ ถึงแม้จะเป็นรถมือสอง แต่ก็ถือว่าพี่อ้อมคนนั้นทุ่มเทให้กับหยกอยู่ไม่น้อย

                    เมื่อได้อาหารที่สั่งไปแล้ว พวกเราจึงหาที่นั่ง จากนั้นหยกก็เปิดประเด็นทันที

                    “เมฆเปลี่ยนไป รู้ตัวไหม?”

                    ผมเม้มปาก พยายามคิดให้ดีก่อนจะพูดอะไรออกไป

                    “รู้” ผมตอบสั้นๆ คงไม่ต้องอ้อมค้อมกันแล้ว

                    หยกขมวดหัวคิ้ว สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมตอบออกมา

                    “เมฆ ...” เธอเอ่ยชื่อผม แล้วเราสองคนก็เงียบกันไป หยกเองคงไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบอย่างนี้ ส่วนผมกำลังคิดว่าจะพูดอะไรต่อไป

                    “เพราะอะไร?” ในที่สุดหยกก็ถามขึ้นมา

                    ผมสูดลมหายใจลึก เอาล่ะ ... มันถึงเวลาแล้ว

                    ผมเล่าเรื่องที่พี่อ้อมมาหา หยกนั่งฟังด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก

                    “หยกจำได้ไหมที่รถไอ้เนสโดนขูดเมื่อเดือนก่อน?” ผมเปิดประเด็น

                    “อือ” หยกคงกำลังตกใจกับเรื่องที่ผมได้เจอแฟนเก่าของเธอ จึงพยักหน้าตอบอย่างงงๆ

                    “นั่นล่ะ หลังจากพี่อ้อมมาหาเมฆไม่นาน เขาก็โทรมาขู่ว่าให้เมฆเลิกยุ่งกับหยก”

                    “จริงง่ะ?” หยกทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ

                    ผมพยักหน้าตอบ

                    “เมฆก็เลยทำตาม? กลัวเหรอ?” น้ำเสียงของหยกคล้ายจะผิดหวังในตัวผมอยู่ไม่น้อย

                    “ไม่กลัวนะ เพราะถ้ากลัวเมฆก็คงบอกเลิกหยกไปตั้งแต่วันที่เขามาหาแล้ว ก็ที่กำลังจะบอกไง พอเขาโทรมาขู่ อีกไม่กี่วันรถไอ้เนสก็โดน หยกคิดว่าใครจะทำล่ะ?”

                    หยกย่นหัวคิ้วเหมือนไม่เชื่อ ก่อนจะเอ่ย “แต่จำได้ไหมล่ะ รถป้องก็เคยโดนทุบกระจก”

                    “ก็ใช่ แต่ของไอ้ป้องตั้งใจทุบกระจกเพื่อเอาของในรถ แต่ของไอ้เนสนี่คือการขูดสีด้านข้างไปทั้งแถบนะ” ผมพยายามชี้ให้หยกเห็นความแตกต่าง แต่เธอคงไม่ปักใจเชื่อง่ายๆ

                    “อาจเป็นอุบัติเหตุก็ได้” เธอพูดเสียงอ่อย

                    “เห้อ ... หยกไม่เชื่อ เมฆก็ไม่รู้จะว่ายังไง แต่นอกจากไอ้เนสจะโดนแล้ว พี่ปิงยังโดนด้วย นี่ขนาดจอดที่ลานจอดรถของที่บ้านนะ”

                    “มีอีกเหรอ?” สีหน้าเธอตกใจอีกครั้ง

                    “ใช่ เมฆว่านี่มันมากไป”

                    “เมฆก็เลยจะเลิกกับหยกเพราะเรื่องนี้?” เธอแสดงหน้าผิดหวังอีกครั้ง ในเวลานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรไม่เป็นลูกผู้ชาย ที่แก้ปัญหาด้วยการหนี แต่ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว

                    หยกถอนหายใจ “คือ ... หยกเลิกกับพี่อ้อมไปนานแล้ว เมฆเข้าใจป่ะ?”

                    “เข้าใจ แต่เขาไม่ยอมปล่อยหยก”

                    “แล้วจะให้หยกทำยังไง? หยกไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับเขา เขามาหาเรื่องเอง เมฆจะให้หยกทำยังไง?”

                    “แล้วหยกเข้าใจเมฆป่ะ เมฆไม่อยากมีเรื่อง หยกก็รู้นี่ว่าพี่อ้อมเขามีพรรคพวกประเภทไหน คนไทยในดีซีเขาก็รู้กัน เมฆไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนพวกนี้” เพื่อนไอ้เนสที่อยู่ในดีซี เตือนพวกผมว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้ มันทำตัวไม่ต่างอะไรกับพวกมาเฟีย อีกทั้งยังมีเรื่องการพนันและยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

                    “เมฆแม่งขี้ขลาด” ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าด้วยคำพูดนี้ของหยก

                    ผมพยักหน้า “อือ ยอมรับ ถ้าแค่ตัวเมฆคนเดียวมันไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่คนรอบข้างเมฆต้องมาเดือดร้อนด้วย หยกว่ามันสมควรไหมล่ะ?”

                    หยกจ้องหน้าผมเขม็ง ผมรู้ว่าเธอโกรธและผิดหวังมาก “แล้วหยกล่ะ? ไม่สำคัญพอสำหรับเมฆเหรอ?”

                    ผมถอนหายใจยาว คำตอบที่อยู่ในใจ ทำให้รู้ว่าผมแม่งเลว

                    “ตอบสิ” เธอคาดคั้น

                    “สำคัญ ... แต่คนที่เมฆอยากปกป้องก็มี”

                    “หมายความว่ายังไง?”

                    ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วปล่อยออกมาจนหมดก่อนจะเอ่ย “หยก ... เมฆชอบหยกนะ แต่เมฆก็มีคนสำคัญ ที่ไม่อยากให้เขาต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”

                    เม็ดน้ำตาผุดขึ้นมาแล้วร่วงลงอาบแก้ม ใจผมหายวาบ ผมทำให้หยกต้องร้องไห้ ผมเอื้อมมือจะไปเช็ด แต่หยกปัดมือผมออก เธอหยิบกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะมาซับน้ำตาจนแห้ง จ้องหน้าผมเขม็งแล้วตั้งคำถามสั้นๆ “ใคร?”

                    คำถามที่แม้แต่ผมเองยังไม่กล้าตอบกับตัวเอง ...

                    ผมถอนหายใจ ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ หยกไม่ยอมละสายตาของเธอไปจากผม นานหลายอึดใจ แต่ในที่สุดเกมส์จ้องตานี้ผมก็เป็นฝ่ายแพ้ ... ผมหลุบตาลงต่ำ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลานี้ จะไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมาจากปากของผม

                    “ใครคือคนสำคัญคนนั้น?” หยกยังไม่ลดละที่จะเอาคำตอบ

                    “จวนได้เวลาเข้ากะบ่ายแล้ว หยกควรกลับเข้าร้านได้แล้วนะ” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พยายามหาทางออกให้ตัวเอง

                    “มันจะจบง่ายๆแบบนี้เหรอ?” น้ำเสียงของเธอฟังแล้วร้านรานใจไม่น้อย

                    “มันไม่ง่ายนะหยก เมฆยอมรับว่าชอบหยก ถึงเราจะเมาแล้วมีอะไรกัน เมฆก็เต็มใจยอมรับเว้ย แต่นี่ไง มันมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา แฟนเก่าหยกเป็นมาเฟีย เขาขู่เมฆ ขู่เพื่อนเมฆ ถ้าวันหนึ่งคนของเมฆถูกทำร้ายขึ้นมา เมฆจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย เราทุกคนต่างมีคนสำคัญป่ะ?” เอาล่ะ เชิญด่าผมได้ตามสบาย ผมแม่งฟันผู้หญิงแล้วทิ้ง ผมมันขี้ขลาด

                    “คนสำคัญเหรอ? เมฆชอบคนอื่น แค่นี้ไง ง่ายๆ ทำไมไม่พูดอะไรที่มันง่ายๆ แค่บอกหยกว่าเมฆชอบคนอื่น ง่ายๆ” น้ำตาของหยกไหลพรูออกมาอีกคำรบ น้ำเสียงที่เริ่มดังขึ้นทำให้ฝรั่งที่อยู่ในร้านเริ่มหันมามองพวกเราเป็นตาเดียว

                    “อืม ... ถ้าหยกอยากให้มันง่ายๆแบบนี้ ก็ใช่ ... เมฆชอบคนอื่น”

                    เมื่อผมพูดจบ ฝ่ามือของหยกก็ฟาดลงที่แก้มของผมเสียงดังสนั่น แล้วเธอก็ลุกเดินออกจากร้าน ผมลูบแก้มที่ชาและวิ่งตามออกไป

                    หยกเข้าไปนั่งในรถ เลื่อนกระจกลง “ขึ้นรถสิ หยกไปส่งที่ป้ายรถเมล์”

                    “ไม่เป็นไร เมฆเดินออกไปเองได้”

                    “เค” เธอตอบสั้นๆ หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม

                    “หยก ... ขอโทษนะ” ผมก้มลงไปบอกด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

                    “เมฆ แม่ง เหี้ย” หยกเน้นชัดทุกคำ ก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้น แล้วกระชากรถออกไป

                    ผมถอนหายใจ พึมพำกับตัวเอง “เออ กูแม่งเหี้ยแหละ”

 

                    เมื่อกลับถึงบ้าน ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด เปิดเบียร์เย็นๆ แล้วลงนอนบนโซฟาตัวโปรด เปิดทีวี กดหารายการไปเรื่อยอย่างไม่มีเป้าหมาย ในใจนึกถึงแต่สีหน้าและแววตาที่ทั้งโกรธ ผิดหวัง และเสียใจของหยก ถ้าคืนนั้นผมไม่มีอะไรกับหยก วันนี้ผมคงไม่รู้สึกผิดมากขนาดนี้

                    รายการทีวีที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เข้าโสตประสาทของผมเลย ในหัวมันคิดวนเวียนอยู่แค่ความรู้สึกผิดที่ทำให้หยกต้องเสียใจ แต่ผมหาทางออกที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้

                    พยายามคิดเพื่อเข้าข้างตัวเองว่าถึงแม้จะไม่มีเรื่องของพี่อ้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมกับหยกก็อาจจะคบกันไปได้ไม่นาน ผมชอบหยกก็จริง แต่มันก็เป็นแค่ความชอบที่ไม่ถึงกับทำให้ขาดไม่ได้หรือทำให้ใจสั่นไหวเวลาได้อยู่ใกล้ เผลอๆบางทีถ้าคบกันไปนานๆ หยกเองนั่นแหละที่จะบอกเลิกผมก่อน เหมือนอย่างแฟนเก่าของผมทั้ง 3 คนที่ผ่านมา

                    คนแรกผมคบกับเธอตั้งแต่เรียนมัธยมต้น เลิกเรียนเราจะนั่งรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน เพราะบ้านเราอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าไหร่ พอขึ้นมัธยมปลายก็ได้เรียนห้องเดียวกันอีก แต่เพราะผมได้เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน ต้องมีซ้อมแทบทุกวันหลังเลิกเรียน แรกๆเธอก็นั่งรอ แต่หลังๆมาเธอคงเบื่อ เพราะกว่าจะเลิกก็มืดค่ำ กว่าจะรู้ตัวเธอก็มีคนอื่นนั่งรถเมล์ไปส่งที่บ้านแทนผมเสียแล้ว ผมไม่เสียใจนะ กลับดีใจที่เธอมีคนคอยดูแลแทน

                    คนที่สองตอนเรียนปีหนึ่ง เธออยู่คณะอักษรศาสตร์ มีคนมารุมจีบเธอเยอะ แต่ผมก็ชนะทุกคน แต่ได้หัวใจเธอมาครองได้แค่ปีเดียว เธอก็ไปกับหนุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนที่เทียวรับเทียวส่งด้วยออดี้สีแดง นี่ผมก็ไม่รู้ตัว จนเพื่อนในกลุ่มมันมาบอก ก็มีเรื่องมีราวเกือบวางมวย เธอบอกว่าเวลาชีวิตของเธอมีค่ามากกว่าจะต้องมานั่งรอผมในวงเหล้า ในเวลานั้นผมคิดว่า ถ้าเธอไม่พร้อมจะรอ ก็ไม่ต้องรอ

                    ผมใช้ชีวิตโสด เรียนกับเมาอยู่กับเพื่อนมาเป็นปี ระหว่างนั้นก็เปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อย จนวันหนึ่งผมเมาแล้วไปมีเรื่องชกต่อยจนต้องขึ้นโรงพัก น้ำตาของหม่าม้าตอนที่ลูบหน้าลูบตาของผมที่แตกยับ แต่กลับไม่ด่าสักคำ ทำให้ผมคิดได้ จากนั้นจึงเพลาเรื่องกินเหล้า และกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งจนติดทีมของมหาวิทยาลัย พอปีสามผมก็มีแฟน คราวนี้เธอเป็นสาวพยาบาล เรียบร้อยน่ารัก เราคบกันได้ดีจนเรียนจบ แต่เมื่อผมต้องการมาเรียนต่อที่อเมริกา เธอก็ยื่นคำขาดว่าถ้าผมไป เราเลิกกัน ... ไม่ต้องบอกก็คงรู้คำตอบ ผมคงเห็นแก่ตัว เพราะถ้าไม่หนีมาเรียนต่อที่นี่ ผมต้องรับตำแหน่งเถ้าแก่เฝ้าร้าน ชีวิตคงจบอยู่แค่นั้น ซึ่งมันไม่ใช่ความต้องการของผม

                    หยกจึงเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมบอกเลิกก่อนและเป็นครั้งแรกที่รู้สึกผิดจริงๆ ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาเพราะไม่มีสำนึกหรือเพราะอะไรที่ทำให้ผมเพียงแค่เสียใจบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ได้รู้สึกผิดอย่างกับตอนนี้ที่กำลังรู้สึก

 

                    ผมละสายตาจากจอทีวีเมื่อมีเสียงข้อความเข้า ... รูปขนมจีนแกงเขียวหวานกับไก่ทอดที่พีทส่งมาอวดว่าที่บ้านไมค์ทำให้กิน พร้อมใบหน้ายิ้มทะเล้นของพวกมันทั้งสอง เตือนกระเพาะให้รู้ว่าผมยังไม่ได้กินข้าวเย็น อีกทั้งมื้อกลางวันก็ไม่ได้แตะเบอร์เกอร์ที่สั่งมาเลยสักคำ ... ความหิวทำให้ต้องสลัดความขี้เกียจออกจากร่าง แล้วลากตัวเองไปต้มบะหมี่ในครัว จริงๆแล้วก็แค่ต้มน้ำแล้วเทใส่บะหมี่ถ้วยนั่นเอง

                    กินอิ่มแล้ว ผมยังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา คิดลังเลว่าจะเล่าให้ไอ้เนสฟังดีไหม แต่มานึกอีกที ถ้ามันถามว่าแล้วผมชอบใคร ... ผมคงไม่มีคำตอบให้มัน เมื่อคิดได้แบบนี้ เงียบไว้คงดีกว่า

 

                    เสียงประตูหน้าบ้านปลุกผมให้งัวเงียลืมตาขึ้นมา ทั้งบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากจอโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้

                    “กลับมาแล้วเหรอ?” ผมเอ่ยทักออกไป คงไม่มีใครนอกจากปิงที่จะมาในเวลานี้

                    “ทำไมอยู่มืดๆ” เสียงของปิงมาพร้อมกับแสงสว่าง “หลับเหรอ?”

                    ผมลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวให้หายมึนงง “อือ ดูทีวีแล้วเผลอหลับไป”

                    “...”

                    “...”

                    ปิงยืนห่างออกไป 5-6 ก้าวจากโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ใบหน้าขาวดูซีดเซียว เมื่อคืนปิงอาจจะนอนไม่หลับเหมือนกันกับผม ... จู่ๆภาพร่างของปิงบนเตียงเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในมโนนึก ... เราสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะเลี่ยงหลบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังด้านหลังของปิง เพราะกลัวว่าถ้าเขามองตาผมไปนานกว่านี้ เขาจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

                    “อย่าลืมปิดไฟล่ะ” ปิงเอ่ยแล้วเดินจากไป

                    ผมลังเล ก่อนจะตัดสินใจรั้งเขาเอาไว้ “ปิง ...”

                    เสียงฝีเท้าบนบันไดหยุดลง ผมลุกจากโซฟาแล้วเดินตรงไปยังทางขึ้นชั้นสอง ปิงยืนเกาะราวบันไดแล้วหันกลับมามองผมที่ยืนอยู่ตรงตีนบันได

                    “โอเคไหม?” ผมถามด้วยความห่วงใยเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน

                    “โอเค” สายตาที่ทอดมองลงมา ดูอ่อนล้าตรงข้ามกับคำตอบ

                    ผมก้าวขึ้นบันได ไปหยุดห่างจากจุดที่ปิงยืนอยู่ 2 ขั้น   

                    “เมฆเป็นห่วง” ผมบอกความรู้สึก เงยขึ้นไปมองใบหน้าที่ตอนนี้ห่างกันแค่เพียงเอื้อมมือ ... ใกล้จนได้กลิ่นบางอย่างบางๆรอบตัวปิง

                    “นายสูบบุหรี่เหรอ?” ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

                    “...”

                    “เมฆไม่เคยรู้เลยนะว่าปิงสูบบุหรี่” ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมชายคากันมา ผมไม่เคยเห็นปิงสูบบุหรี่ แม้แต่กลิ่นติดตัวก็ไม่เคยมี

                    “หึ ...” ปิงแค่นเสียงในลำคอคล้ายกำลังเย้ยหยัน “นายยังไม่รู้อะไรอีกมากเกี่ยวกับตัวฉัน”

                    “นายก็บอกสิ เราจะได้รู้” ผมจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่เรียว พยายามค้นหาว่าลึกลงไปในความสงบนิ่งที่เจ้าตัวมักแสดงให้คนอื่นเห็น แท้ที่จริงแล้วอาจคล้ายกับทะเลที่มีคลื่นซ่อนอยู่เบื้องล่าง

                    ปิงถอนหายใจอ่อน “ถึงนายรู้ นายก็ช่วยอะไรฉันไม่ได้”

                    “นายรู้ได้ยังไงว่าเราจะช่วยนายไม่ได้ ... ฟังนะ ไม่ว่าปิงจะเป็นอะไรมาก่อน แต่ขอให้รู้ไว้ว่าสำหรับเมฆ ปิง ...”

                    มือขาวของปิงเอื้อมมาวางบนหัวของผม “ขอบใจนะ” เขากล่าวแล้วยิ้ม ทำท่าจะหันหลังก้าวขึ้นบันไดต่อ ผมจึงรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้

                    “เมฆยังพูดไม่จบเลยนะ”

                    ปิงหันกลับมา เขามองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “อย่าเพิ่งพูดออกมา จนกว่านายจะรู้ใจของตัวเองจริงๆ” ปิงบิดข้อมือ ผมจึงยอมปล่อย

                    “ไปนอนเถอะ” เขาพูด ก่อนจะหันหลังให้กับผม

                    ผมปล่อยให้ปิงเดินหายลับไปในความมืด ส่วนตัวเองกลับทิ้งตัวลงนั่งบนขั้นบันได ... ผมยกมือขึ้นวางบนหัวของตัวเอง สัมผัสจากมือของปิงยังคงติดอยู่ …

 

                    ผมมั่นใจว่าสาเหตุที่ปิงเป็นอย่างนี้ คือผู้หญิงคนนั้นที่เป็นภรรยาของคุณกร ถึงแม้ปิงจะไม่เคยเอ่ยถึงคุณกรเลย แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา ที่จะไม่เข้าใจว่าภาพของเขาและปิงที่ผมเห็นในวันนั้นหมายความว่ายังไง แม้หลังจากวันนั้นผมจะบอกกับตัวเองว่ารสนิยมทางเพศของเพื่อนร่วมบ้านไม่ใช่ปัญหาที่ผมจะต้องนำมาใส่ใจ แต่มาวันนี้ผมกลับอยากใส่ใจกับทุกๆปัญหาที่เพื่อนร่วมบ้านของผมคนนี้ต้องเผชิญ

                    ผมอาจไม่รู้ว่าที่ผ่านมาปิงทำอะไรมาบ้าง คนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่ ณ ปัจจุบันและในอนาคต ผมรู้แค่ว่าผมอยากอยู่เคียงข้างและปกป้องเขา อยากให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยว และผมพร้อมที่จะเข้าใจในตัวตนจริงๆของเขา แต่ผมจะทะลายกำแพงน้ำแข็งที่ปิงสร้างขึ้นมาล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ได้ยังไง?

 

                    ขึ้นเตียงแล้วแต่กลับนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะงีบไปเมื่อตอนหัวค่ำหลายชั่วโมง ... แล้วคนที่นอนอยู่ในห้องถัดไปจะหลับใหลหรือยังคงนอนลืมตามองความมืดอยู่เหมือนกันกับผม?

                    “เป็นไรว้าเมฆ?” ผมพึมพำกับตัวเอง ถอนใจ ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก แต่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปวางบนหัวของตัวเองตรงที่มือของปิงเคยสัมผัสอีกครั้ง ... ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่

 

                    เช่นกันกับสัมผัสเมื่อคืน ... ริมฝีปากของปิงที่กดลงมาบนริมฝีปากของผม จนถึงวินาทีนี้ ยังรู้สึกถึงความร้อนผ่าวนั้นราวกับมันถูกประทับเอาไว้อย่างแน่นหนา
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #17 MHEK [updated 26/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 26-05-2016 20:26:31
ชอบตรงผู้หญิงในเรื่องถูกกำจัดออกไปทีละคนนี่แหละ  :katai2-1: :mc4: :hao7:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #18 PETE [updated 30/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 30-05-2016 20:35:14
# 18 (PETE)

 

                    เย็นวันนี้น้าเจนี่พาผมกับไมค์ไปโกรเซอรี่ของไทยที่อยู่ห่างจากบ้านออกไปราวๆครึ่งชั่วโมง เมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมแทบผวาเข้าไปซบชั้นวางของ นี่มันกรุสมบัติชัดๆ!!

                    ในร้านนี้คุณสามารถหาทุกสิ่ง อย่างที่ร้านขายของชำและตลาดในประเทศไทยมี ทั้งของคาวของหวาน อาหารแห้ง อาหารสด ปลาร้า กะปิ ตั๊กแตนทอดแช่แข็งก็ยังมี นอกจากนั้นยังมีพวกนิตยสารและหนังสือนวนิยายอีกด้วย

                    น้าเจนี่บอกว่าผมโชคดีที่ได้มาอยู่เมืองนี้ เพราะเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชาวอเมริกันเองก็ไม่เหยียดสีผิว จะเห็นได้จากร้านค้าและร้านอาหารที่มีแทบทุกเชื้อชาติ ของทางฝั่งเอเชียเองก็มีชุมชนเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะชาวจีน เกาหลีและเวียดนาม ที่ดูจะมีประชากรหนาแน่นมากพอสมควร

                    เวอร์จิเนียเป็นรัฐที่อยู่ติดกับเมืองหลวงอย่างวอชิงตันดีซี แต่กลับมีความสงบ ไม่พลุกพล่านจอแจอย่างเมืองใหญ่เช่นนิวยอร์ก แต่ในขณะเดียวกันกลับมีความสะดวกสบายและทันสมัย และด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติและการเปิดกว้างยอมรับ ที่นี่จึงถือว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่เป็นอย่างมากในความคิดของผม

                    ผมเดินสำรวจจนทั่วร้านซึ่งเป็นห้องกว้าง 2 คูหา ไมค์บอกว่าห้องที่ติดกับโกรเซอรี่นี้เป็นร้านอาหารไทย ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกัน ... หลังจากเดินเข้าช่องนั้นออกช่องนี้ ผมก็หอบห่อบะหมี่และขนมมาเต็มสองมือ

                    “นายจะไม่กลับไทยแล้วหรือไง?” ไมค์ยื่นตะกร้าพลาสติกมาตรงหน้า เหลือบหางตามองสิ่งของในมือผม

                    “ยังต้องอยู่อีกหลายวัน หรือนายอยากให้เรากลับแล้ว?” ผมวางสิ่งของที่หอบอยู่ลงในตะกร้า แล้วรับมาถือเอาไว้เอง เพราะในอีกมือหนึ่งของไมค์มีตะกร้าที่เขาถือให้กับน้าเจนี่อยู่

                    ไมค์ไม่ตอบคำถามของผม แต่แยกไปเดินตามคุณอาของเขา

                    สักพักไมค์ก็เดินมาหย่อนบางอย่างลงตะกร้าของผม ... ผมมองตาม สิ่งนั้นคือผักสีเขียวหนึ่งมัด

                    “อะไร?” ผมรู้ว่ามันคือผัก แต่ไม่เข้าใจว่าไมค์จะมาหย่อนในตะกร้าผมทำไม

                    “นายควรกินผักด้วย” ไมค์ยักไหล่

                    “เอาไปทำอะไรกิน? เราทำไม่เป็นหรอกนะ” ผมมองผักใบเขียวในตะกร้า

                    “มาม่าของนายควรต้องมีผักด้วย”

                    ผมอ้าปากจะบอกว่ามันไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ แต่ไมค์ก็พูดขึ้นมาก่อน “นายเป็นลูกแหง่แล้วยังไม่กินผักอีกเหรอ?”

                    แล้วขายาวๆก็ก้าวจากไป ... บางเวลาผมก็คิดว่าไมค์จู้จี้มากกว่าแม่ซะอีก

 

                    “Are you sure, you’re on diet?” เสียงไมค์พึมพำขณะยืนรอพนักงานร้านทยอยเก็บของออกจากตะกร้าทีละชิ้นเพื่อคิดเงิน

                    “Shut up, boy” น้าเจนี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ปรายหางตามองมาทางหลานชาย

                    ไมค์ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนผมได้แต่ยืนยิ้มมองความสนิทสนมของอาหลาน ... น้าเจนี่เป็นสาวโสดอายุ 44 รูปร่างท้วมส่วนสูงกะทัดรัด ผมเดาว่าไม่น่าจะเกิน 155 เซนติเมตร เมื่อยืนอยู่ข้างๆไมค์ที่สูงไม่น่าต่ำกว่า 185 เซนติเมตร จึงทำให้เกิดภาพที่มองแล้วอดยิ้มไม่ได้

                    ผมเดาว่าไมค์น่าจะสูงประมาณนั้น ถ้าเทียบกับตัวผมที่ตอนนี้วัดได้ประมาณ 184 เซนติเมตร บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเราตัวสูงพอกัน แต่บางทีก็ดูเหมือนไมค์จะสูงกว่า อาจเป็นเพราะเขาตัวบางกว่าผม แต่ก็ไม่ถึงกับผอมเก้งก้าง คงเพราะผมฝึกมวยไทยมาหลายปี ทำให้มีกล้ามเนื้อมากกว่าเด็กหนุ่มที่แค่เล่นกีฬาบาสเก็ตบอลอย่างไมค์

                    วันนี้ผมจ่ายไปเกือบ 100 ดอลล่าร์ แต่ก็ได้ของมาเต็ม 2 ถุง น่าจะเป็นเสบียงได้ไปจนถึงวันกลับไปบ้านน้าติ๊ก

 

                    มื้อเย็นวันนี้ผมจึงได้ซดบะหมี่รสต้มยำใส่ไข่และใส่ผักที่น้าเจนี่เรียกว่าวอเตอร์เครส และพิเศษใส่หอยลายกระป๋อง ที่ไอ้ม่อกเคยบอกว่าให้ลอง รับรองอร่อยเหาะ อันที่จริงน้าเจนี่ชวนให้ไปกินข้าวที่บ้าน แต่เพราะความเกรงใจที่ไปรบกวนมาหลายมื้อแล้ว ผมจึงปฏิเสธ

                    เพราะความคิดถึงอาหารรสแซ่บ ผมจึงแกะบะหมี่รสต้มยำลงหม้อไปสองห่อ และด้วยความที่กะเวลาไม่ถูก บะหมี่จึงอืดแทบล้นหม้อ เล่นเอาอิ่มแทบจุก ครั้นจะกลับขึ้นไปบนห้อง คงต้องท้องอืดตายบนเตียง ผมจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นรอบๆหมู่บ้านเพื่อเป็นการฆ่าเวลาและย่อยอาหาร

                    ตั้งแต่มาที่นี่ได้สิบกว่าวัน ผมแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย มีแค่ที่ได้เล่นบาสเก็ตบอลกับไมค์เมื่อวันก่อน กลับถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ คงต้องเริ่มฟิตอย่างจริงจัง ก่อนที่ซิกแพ็คของผมมันจะมากองรวมกันเป็นแพ็คเดียวอย่างถาวร

                    ผมเดินไปเรื่อยๆบนทางเท้าที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ บ้านเรือนที่นี่สวยงามสะอาดเป็นระเบียบทุกหลัง ช่วงเวลาเย็นๆอย่างนี้ เพื่อนบ้านบางคนก็พาหมาออกมาเดินเล่น บางคนจ็อกกิ้ง ที่ปั่นจักรยานก็มี ... ผมคิดในใจว่าพรุ่งนี้น่าจะตื่นแต่เช้ามาวิ่งให้ได้เหงื่อเสียหน่อยคงดี

                    ผมหยุดเดินเป็นระยะเพื่อบันทึกภาพเอาไว้เป็นความทรงจำ น่าเสียดายที่ไม่ได้หยิบกล้องออกมาด้วย ขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นถ่ายรูปกระรอกตัวน้อยที่กำลังไต่อยู่บนกิ่งไม้ อยู่ๆเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น ทำเอาตกใจจนโทรศัพท์แทบหลุดจากมือ

                    “ว่า?” ผมส่งคำถามไปแทนคำทักทาย

                    “นายหายไปไหน?” เสียงปลายสายออกจะโวยวายสักหน่อย

                    “ออกมาเดินเล่น” ผมมองตามกระรอกที่วิ่งหายขึ้นไปบนยอดไม้ด้วยความเสียดาย

                    “ฉันมาหาที่ห้อง”

                    “มีอะไร?”

                    “ฉันต้องมีอะไรถึงจะมาหานายได้หรือไง” น้ำเสียงโวยวายของไมค์ ทำเอาผมต้องหลุดยิ้มเพราะนึกไปถึงท่าทางและหน้าตาที่รั้นเหมือนเด็กชอบเอาชนะของเขา

                    “ก็แล้วถ้านายไม่มีอะไร แล้วนายจะตามหาเราทำไม” ผมแหย่เจ้าคนขี้โวยวายปลายสาย

                    “นายรีบกลับมา ฉันจะรออยู่บนห้อง” พูดจบก็ตัดสายไปเลย

                    ผมหัวเราะให้กับโทรศัทพ์ เวลา 10 กว่าวัน ทำให้รู้ว่าถึงแม้ไมค์จะเป็นเด็กเอาแต่ใจ ชอบออกคำสั่ง แต่เขาก็คอยช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างผมเสมอ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะเอาแต่ใจกับผมแค่ไหน ผมก็ไม่ถือสา

 

                    ผมออกมาโดยไม่ได้ล็อกประตูบ้าน เพราะวันนี้พี่จิวไม่ได้ออกไปไหน ส่วนห้องนอน ถ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกไกลๆ ผมก็ไม่เคยล็อก เพราะไม่ได้มีของมีค่าอะไรมากมาย อย่างมากก็แค่กล้องถ่ายรูปหนึ่งตัวเท่านั้น

                    เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ก็พบไมค์นอนเหยียดยาวเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงของผม

                    “ไง?” ผมเอ่ยทัก

                    ไมค์ละสายตาจากจอสี่เหลี่ยม มองตรงมายังผมที่เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง ... เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง     “อาทิตย์หน้าฉันก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว”

                    “ทำไมล่ะ?” ผมลงนั่งตรงปลายเตียง

                    “ปิดเทอมไง” ไมค์ยกมือขึ้นผายแล้วยักไหล่ ทำท่าอย่างกับว่าผมไม่รู้หรือยังไง

                    “โอ้ ...” ผมเอ่ยออกไป ในสมองก็คิดว่าต้องทำยังไง? ต้องแสดงความยินดีด้วยไหม? ก็ควรสินะ เพราะเขาอุตส่าห์มาบอกถึงที่นี่ คิดได้ยังงั้นจึงเอ่ยออกไป “ดีใจด้วยนะ”

                    ไมค์ยักคิ้ว ยิ้มมุมปาก เวลาเขาแสดงสีหน้าอย่างนี้ ดูเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ไม่เบา นี่ถ้าสาวๆที่เมืองไทยเห็น จะต้องกรี๊ดแน่ๆ เผลอๆไมค์อาจกลายเป็นเน็ตไอดอลก็ได้

                    “นายจะกลับไป Wisconsin เมื่อไหร่?” คำถามของไมค์ทำให้ผมหยุดคิดเรื่องเน็ตไอดอล

                    “ก็คิดว่าอาทิตย์หน้า เพราะเรากะว่าจะไปอยู่กับน้าติ๊กอีกสักอาทิตย์ ก่อนกลับไทย” ผมมีกำหนดวันเดินทางกลับเมืองไทยที่ชัดเจน เพราะเมื่อตอนไปยื่นเอกสารขอวีซ่า ผมต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เพื่อยืนยันว่าจะกลับออกจากประเทศนี้แน่นอน

                    “อาทิตย์หน้าแล้ววันไหน?” ไมค์ยกมือขึ้นกอดอก สีหน้าคล้ายกำลังไม่พอใจ

                    “ก็ยังไม่แน่ อาจเป็นต้นอาทิตย์ หรือปลายๆอาทิตย์ เราต้องคุยกับน้าติ๊กก่อน” ผมไม่อยากรบกวนเวลาทำงานของน้าติ๊กและน้าเขย เพราะถ้าผมไปถึงช่วงกลางวัน เขาต้องทิ้งงานเพื่อขับรถมารับที่สนามบิน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพอสมควร จึงต้องเช็คเสียก่อนว่าน้าทั้งสองสะดวกวันไหน

                    “ปลายอาทิตย์” น้ำเสียงของไมค์คล้ายกำลังออกคำสั่ง

                    “นายมีอะไรหรือเปล่า?”

                    ไมค์ยกเท้าขึ้นมายันต้นแขนของผม “ฉันอยากพานายไปเที่ยว”

                    “ไปวันเสาร์หรืออาทิตย์นี้ก็ได้นี่นา” ผมดีใจที่ไมค์อุตส่าห์นึกอยากพาไปเที่ยว ถึงแม้ว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องมาเทคแคร์ผมเลยก็ได้

                    ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบจ้องหน้าผมนิ่ง ผมเรียนรู้มาแล้วว่าควรทำอย่างไรให้เจ้าของดวงตาคมคู่นี้พอใจ

                    “โอเคๆ เอาเป็นว่าเราขอคุยกับน้าติ๊กก่อนนะ”

                    “อือ” ไมค์ยักคิ้วอย่างพอใจในคำตอบของผม

                    “ว่าแต่นายจะพาเราไปเที่ยวที่ไหน?”

                    “ที่ไหนนายก็ต้องไป” ไมค์ยักไหล่

                    “เหรอ?” ผมลากหางเสียง ...คำตอบของไมค์ทำให้นึกหมั่นไส้จนอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นไปหยิบหมอนที่วางอยู่ข้างๆเขาขึ้นมาฟาดลงบนหัวเจ้าเด็กกวนโอ๊ยคนนี้

                    “นายบังอาจทำร้ายเจ้าของบ้านเหรอ!” ไมค์ร้องโวย ยกแขนขึ้นป้องกัน

                    ผมหัวเราะด้วยความพึงใจที่ได้เอาคืนบ้าง

                    เสียงเรียกสายของไมค์ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์ “ครับคุณย่า ... ครับ ... ไปเดี๋ยวนี้ครับ”

                    ไมค์ลุกจากเตียงหลังจากวางสาย “ไปล่ะ แล้วไปเที่ยววันไหน ฉันจะบอกอีกที” พูดจบแล้วก็เดินออกไปจากห้อง

                    “อือ” ผมพยักหน้าให้กับแผ่นหลังที่กำลังจะหายลับไปจากกรอบประตู

 

                    หลังจากส่งข้อความคุยกับพ่อแม่ และเพื่อนๆในแก๊ง รวมทั้งตอบข้อความของแบมที่หายไปหลายวัน ในที่สุดเธอก็ส่งข้อความมาถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง ผมจึงตอบกลับไปว่าสบายมาก และส่งสติ๊กเกอร์ Good night ไปเพื่อตัดบทสนทนา ไม่ใช่ว่าผมลืมเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ไม่อยากรู้สึกว่าการที่แบมยังคุยกับผม มันเกิดเพราะความสงสาร

                    ผมกดหน้าจอไปยังปุ่มรายชื่อเพื่อน ภาพโปรไฟล์ดอกไฮเดรนเยียสีม่วงทำให้ใจสั่น ... เมื่อวันก่อนโน้นที่ผมกับไมค์ไปบ้านของพี่ปิงและพี่เมฆ ระหว่างที่ผมและพี่ปิงเข้าครัวด้วยกันเพื่อเตรียมอาหารค่ำ ทำให้มีโอกาสได้คุยกับพี่ปิงตามลำพัง ผมจึงขอไลน์เขาเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่เพื่อนของพี่ปิงมาขัดจังหวะเสียก่อน เราจึงยังไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก

                    เมื่อวานผมห้ามใจตัวเองไม่ให้ส่งข้อความทักทายไปหาพี่ปิง เพราะกลัวเขาจะรู้ตัวว่าผมสนใจเขา ผมไม่อยากให้พี่ปิงรำคาญ แต่นี่ก็ผ่านไปเกือบสองวันแล้ว ถ้าส่งไปตอนนี้ เขาคงไม่ว่าอะไร ... ในที่สุดผมก็กลั้นหายใจ กดนิ้วลงไป

                    ผมทักทายด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ ... ส่งไปแล้วก็รอด้วยใจระทึกว่าเขาจะเปิดอ่านไหม ไม่อยากจะบอกเลยว่าในเวลานี้ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นยิ่งกว่าการรอคำตอบจากแบม ในวันที่ผมขอเธอเป็นแฟน

                    ผ่านไป 7 นาที ข้อความถูกอ่าน ผมต้องเอามือกดลงตรงหน้าอกข้างซ้าย เพราะกลัวว่าหัวใจที่กำลังเต้นตึกๆอยู่ข้างในจะหลุดออกมานอกอก

พี่ปิงส่งสติ๊กเกอร์ทักทายกลับมา

ผม – นอนหรือยังครับ

พี่ปิง – กำลังครับ

ผม – ขอโทษครับ ผมกวนหรือเปล่า

พี่ปิง – ไม่ครับ

พี่ปิง – มีอะไรหรือเปล่า

ผม – ไม่มีครับ

พี่ปิงอ่านข้อความ แต่ไม่ตอบอะไรกลับมา ผมขยุ้มหัวตัวเอง แทบอยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง พีทเอ๊ย! ทำไมแกถึงตอบพี่เขาไปอย่างนั้น! เมื่อตั้งสติได้จึงตอบกลับไปอีกครั้ง

ผม – มีครับๆ

พี่ปิง – ครับ?

ผม – ผมดีใจที่ได้เจอพี่

บอกความรู้สึกออกไปตรงๆ แล้วก็ได้แต่นอนใจเต้นตึกตัก

พี่ปิงส่งสติ๊กเกอร์หน้ายิ้มมาให้

ผมยิ้มให้กับสติ๊กเกอร์ของพี่ปิง แล้วส่งสติ๊กเกอร์หน้าแดงกลับไป

พี่ปิง – พี่ก็ดีใจที่ได้รู้จักเรา

ถึงตรงนี้ผมม้วนตัวกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง หัวหูร้อนไปหมด

ผม – ผมอยากเจอพี่อีก

พี่ปิง – ก็เจอได้นี่ครับ

ผม – ผมกลัวรบกวนครับ

พี่ปิง – ไม่รบกวนหรอก แวะมาหาที่ร้านก็ได้

ผมดีใจจนต้องทุบกำปั้นลงบนที่นอนเพื่อระบายความสุขที่คับแน่นอยู่ในอก ยิ้มกว้างให้กับหน้าจอโทรศัพท์

ผม – ถ้าไปที่ร้าน ผมกลัวรบกวนเวลาทำงานของพี่

ผม – แต่ผมก็อยากไปกินข้าวที่ร้านของพี่นะครับ ผมเคยไปกินที่ร้านของพี่เมฆมาแล้ว 2 ครั้ง

พี่ปิง – เหรอครับ

พี่ปิง – มาได้นะ ไม่รบกวน

ถ้าไปที่ร้าน ผมคงทำได้แค่นั่งมองหน้าพี่ปิงอยู่ห่างๆ เพราะเขาต้องทำงาน พี่ปิงเป็นผู้จัดการร้าน คงต้องยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์เหมือนอย่างพี่ดิวที่อยู่ร้านพี่เมฆ คงไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาคุยกับผม ... ผมจึงคิดหาหนทางอื่น

ผม – พี่มีวันหยุดไหมครับ

พี่ปิง – มีสิ

ผมนอนหัวเราะให้กับคำถามของตัวเอง สมองของผมเริ่มคิดแผนการทันที

ผม – ถ้างั้นผมจะรบกวนพี่ในวันหยุดได้ไหมครับ

พี่ปิง - ?

ถึงตรงนี้ เริ่มเกรงว่าผมจะรุกเขาเร็วเกินไป แต่ผมมีเวลาอยู่ที่นี่อีกแค่ไม่กี่วัน ถ้ามัวชักช้าก็คงไม่ได้การ

ผม – ผมอยากไปซื้อของฝากให้พ่อกับแม่ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี

พี่ปิง – ได้สิ แต่พี่มีวันหยุดอีกทีคือวันพุธนะ

ผม – วันพุธดีเลยครับ

ผมส่งสติ๊กเกอร์ดีใจ

พี่ปิง – งั้นเดี๋ยวนัดเวลากันอีกที

ผม – ครับ!!

ผม – ขอบคุณนะครับพี่ปิง

พี่ปิงส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มกว้าง

พี่ปิง – พี่นอนก่อนนะ

ผม – ครับ ขอบคุณมากครับ

พี่ปิง – ครับ

ผม – ฝันดีครับพี่ ^0^

พี่ปิง – ครับ ^^

 

                    พรุ่งนี้วันอังคาร ตื่นมาอีกทีก็วันพุธ ... ผมนอนมองข้อความที่เพิ่งสนทนากับพี่ปิงไปเมื่อครู่ รู้สึกร้อนที่หูผะผ่าว ผมไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย

 

                    แทบไม่อยากเชื่อว่าเวลาผ่านไป 10 ปี ในที่สุดผมก็ได้เจอเขาอีกครั้ง รอยยิ้มและน้ำเสียงที่ผมบันทึกเอาไว้ในความทรงจำไม่เคยเลือนหาย … พี่ปิง ... ผู้ชายที่อยู่ในฝันของผม
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ##18 PETE [updated 30/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 30-05-2016 20:41:14
น้องพีทจะฝันค้างมั้ยนะ
แล้วน้องไมค์ล่ะคะลูก (พอดีป้าเป็นแม่ยกน้องไมค์ :ling1:)
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) ##18 PETE [updated 30/5/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 31-05-2016 21:18:55
น้องพีทจะฝันค้างมั้ยนะ
แล้วน้องไมค์ล่ะคะลูก (พอดีป้าเป็นแม่ยกน้องไมค์ :ling1:)

มาเอาใจช่วยน้องไมค์กันค่ะ  :z1:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #19 PETE [updated 3/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 03-06-2016 20:48:06
# 19 (PETE)



                    หลังจากออกไปวิ่งและกลับมาหาอาหารเช้าแบบง่ายๆกิน ผมกลับขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนเล่นอยู่บนเตียง ใจจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ ... เมื่อไหร่พี่ปิงจะนัดเวลามาเสียที

                    ผมส่งข้อความไปถามน้าติ๊กเรื่องวันเดินทางกลับ น้าติ๊กเสนอว่าให้มาวันเสาร์หรือวันอาทิตย์น่าจะดีที่สุด นั่นก็หมายความว่าผมมีเวลาอยู่ที่เวอร์จิเนียต่อประมาณ 2 อาทิตย์ แค่คิดก็ใจหายแล้ว

                    จากนั้นก็เฟสไทม์คุยกับพ่อแม่เรื่องที่จะกลับไปหาน้าติ๊ก และวันพุธจะไปซื้อของฝาก แม่อยากได้กระเป๋าสะพาย แต่ผมไม่รู้จะเลือกแบบไหน แม่คงคิดว่าผมจะไปกับแบม จึงให้ผมบอกแบมให้ช่วยเลือก เพราะผู้หญิงคงรู้ว่าแบบไหนสวยและเหมาะกับการใช้งาน ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่เลิกกับแบมให้ท่านทราบ จึงได้แต่รับปากว่าจะเลือกมาให้สวยที่สุด ส่วนพ่อก็อย่างเคย คือบอกว่าไม่เอาอะไร แต่ผมก็มีอยู่ในใจแล้วว่าจะซื้ออะไรไปฝากท่าน

                    นอกจากนี้ยังเล่าเรื่องน้าเจนี่พาไปร้านไทย และผมได้อาหารและขนมมาหลายอย่าง ซึ่งทำให้แม่สบายใจมากขึ้นว่าผมไม่ได้ลำบากเรื่องอาหารการกิน ในครั้งแรกแม่กังวลเพราะคิดว่าที่เวอร์จิเนียจะเหมือนกับวิสคอนซินที่น้าติ๊กอยู่ ที่คนไทยและร้านอาหารไทยมีไม่มากนัก

                    ผมวางสายแม่แล้วจึงส่งข้อความทักทายกับแก๊งเพื่อน พอพวกมันรู้ว่าผมจะไปช้อปปิ้งก็ร้องหาของฝากกันยกใหญ่ ส่วนไอ้ม่อกก็ยังยืนยันขอแหม่มฝรั่งเป็นของฝากสักคน

                    ก๊อกๆ ... เสียงเคาะที่หน้าประตูทำให้ผมวางโทรศัพท์ลง นึกสงสัยว่าใครมาหา ที่แน่ๆคือไม่ใช่ไมค์ เพราะเจ้านั่นไม่เคยสักครั้งที่จะมีมารยาทพอที่จะเคาะประตูให้เสียเวลา

                    “ครับ” ผมร้องออกไปขณะลุกเดินตรงไปที่ประตู

                    “หวัดดีน้องพีท!” สาวหมวยเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อผมเปิดประตูออกไป

                    “ฮะ หวัดดีครับ” ผมทักตอบแบบไม่ทันตั้งตัว

                    “ไปกินข้าวกัน วันนี้พี่หยุด” พี่เดือนที่ดูแล้วเหมือนจะยังอยู่ในชุดนอน เอ่ยชวน

                    ผมถูกจู่โจมกะทันหัน จึงยังนึกอะไรไม่ออก ได้แต่ถามออกไปแบบงงๆ “ที่ไหนฮะ?”

                    “เอาน่า เดี๋ยวพาไป ร้านนี้มีก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อย”

                    “มีก๋วยเตี๋ยวเรือขายด้วยเหรอฮะ!” คำว่าก๋วยเตี๋ยวเรือกระตุกต่อมตื่นเต้นของผมขึ้นมาทันที

                    “มีสิ อย่างแซ่บ ไปกันนะๆ” พี่เดือนจับมือผมขึ้นมาเขย่า “วันหยุดทั้งที ขอควงหนุ่มหล่อไปอวดชาวบ้านหน่อยสิ” พูดแล้วก็หัวเราะจนตาหยี

                    ผมก็หัวเราะแหะๆตามไป แต่ในใจคิดถึงคำว่าก๋วยเตี๋ยวเรือ จึงตอบออกไปโดยไม่ลังเล “ไปสิครับ”

                    “ว้าย!” พี่เดือนยกมือขึ้นปิดปาก อีกมือฟาดลงที่แขนของผม “เด็กใจง่าย น่ารักอะไรอย่างนี้” แล้วเธอก็    หัวเราะต่อไปอีก “งั้นเดี๋ยวสัก 11 โมงเจอกันข้างล่างนะ”

                    “ครับ” ผมก็ยังหัวเราะแหะๆอย่างเดิม

                    ถึงแม้ผมจะเคยคุยกับพี่เดือนแค่ไม่กี่ครั้งเวลาที่เราเจอกันในครัว แต่เพราะความสดใส ช่างคุยและเป็นกันเองของเธอ ทำให้ไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เธอเองก็ดูน่าจะจริงใจไร้มลพิษ อีกอย่างหนึ่ง ... ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือ

                    เมื่อพี่เดือนจากไปแล้ว ผมกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง ตอนนี้ 10 โมงนิดๆ ... หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง มีคำเตือนข้อความเข้าจากดอกไฮเดรนเยียสีม่วง ...

                    ผมสไลด์หน้าจอด้วยนิ้วที่สั่นนิดๆ แค่เปิดอ่านข้อความผมยังตื่นเต้นขนาดนี้ ถึงวันพรุ่งนี้ผมจะยังมีชีวิตรอดไหม?

                    พี่ปิง – พรุ่งนี้ 11 โมงพี่จะไปรับที่บ้านนะครับ จะได้กินข้าวเที่ยงกันก่อนไปเดินซื้อของ

                    อ่านข้อความแล้วผมก็ม้วนตัวอยู่บนเตียง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับตัวหนังสือบนหน้าจอ

                    ผม – ครับ

                    พร้อมส่งสติ๊กเกอร์หน้าตาร่าเริงสดใสไปด้วย

                    ส่งข้อความไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่ข้อความจะถูกเปิดอ่าน แต่ผ่านไป 5 นาทีก็แล้ว 10 นาทีก็แล้ว ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว ข้อความของผมก็ไม่ถูกเปิดอ่านเสียที ถ้าโทรไปตอนนี้จะถือว่าเป็นการเร่งเร้าเขาเกินไปไหม? แต่ผมจะโทรไปคุยเรื่องอะไร ในเมื่อพี่ปิงก็บอกเวลานัดชัดเจนแล้ว

                    เมื่อรอจนจวนจะ 11 โมงข้อความก็ยังไม่ถูกเปิดอ่าน ผมจึงลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงไปรอพี่เดือนข้างล่าง วันนี้บ้านทั้งบ้านเงียบกริบ เดาว่าคงออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว เพราะช่วงเช้าผมยังได้ยินเสียงของพี่เนสและพี่จิวดังเข้ามาในห้องอยู่เลย

                    “มาแล้วเหรอ?” พี่เดือนทักขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องออกมาเจอผมที่นั่งรออยู่ที่โซฟาตรงห้องรับแขก

                    ผมยิ้มแทนคำตอบแล้วลุกขึ้นยืน

                    พี่เดือนเดินมาหยุดใกล้ๆ แหงนหน้ามอง “น้องพีทหล่อม้าก” เธอลากหางเสียงยาว

                    ผมอายที่ถูกชมตรงๆ จึงทำได้แค่ยกมือขึ้นลูบท้ายทอย

                    “ไปๆ หิวแล้ว” พี่เดือนคว้ามือผมไปจับเอาไว้ แล้วลากให้เดินตามเธอไป

 

                    ร้านที่พี่เดือนพามาเป็นร้านที่ไม่ใหญ่โตมากนักถ้าเทียบกับร้านที่พี่เมฆทำงานอยู่ ซึ่งตกแต่งหรูหราและกว้างขวางกว่า เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะพบกับโฮสที่คอยต้อนรับ เธอทักทายเป็นภาษาอังกฤษ

                    “นังเดือน! ฉันนึกว่าแขก” พนักงานต้อนรับเปลี่ยนสำเนียงภาษา เมื่อพวกผมมายืนอยู่ตรงหน้า

                    “วันนี้ฉันเป็นแขกนะยะ” พี่เดือนส่งเสียงร่าเริง

                    “รักร้านมากนะแก” พนักงานต้อนรับเงยหน้าขึ้นมองผม แล้วกลับไปมองหน้าพี่เดือน “ไปหลอกเด็กที่ไหนมา หล่อลาก” เธอทำท่ากระซิบกระซาบ

                    “ไม่บอก” พี่เดือนยิ้มกริ่ม “ไปๆ หาโต๊ะให้ฉันนั่ง หิวแล้วๆ เดี๋ยวลูกค้าเข้า ฉันขี้เกียจรอ”

                    ผมเดินตามพนักงานต้อนรับและพี่เดือนไปยังโต๊ะที่อยู่ชิดผนัง แต่แล้วผมก็ต้องชะงักฝีเท้า เมื่อร่างของใครคนหนึ่งผลักประตูที่อยู่ด้านในของร้านออกมา ...

                    ผมหยุดยืนอยู่กลางร้าน ในขณะที่เขาคนนั้นมองตรงมายังผมพอดี เขามีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆมาให้

                    ผมส่งยิ้มกว้างกลับไปและยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”

                    เขายังยิ้ม ผงกหัวให้กับผม “มาได้ไง?”

                    “พี่ปิงสวัสดีค่ะ” พี่เดือนที่เดินไปถึงโต๊ะเอ่ยขึ้น

                    พี่ปิงหันไปตามเสียงนั้น วางสีหน้าเรียบ ถามกลับไป “มากินข้าวเหรอ?”

                    “ค่ะ อยากกินเตี๋ยวเรือ”

                    “เสริฟอยู่ทุกวัน ไม่เบื่อหรือไง” พนักงานต้อนรับคนเดิมเอ่ยขึ้น

                    “ก็ฉันเสริฟ แต่ไม่ได้กินนี่นา”

                    พี่ปิงเดินเข้าไปยืนหลังเคาน์เตอร์ ผมจึงเดินไปยังโต๊ะที่พี่เดือนยืนรออยู่ รีบเลื่อนเก้าอี้ให้กับเธอ

                    “น่ารักจัง เป็นสุภาพบุรุษด้วย” พี่เดือนยิ้มเอียงอายก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผมเลื่อนให้

                    ผมยิ้มให้เธอและลงนั่งฝั่งตรงข้าม จากตรงนี้ผมจะมองเห็นพี่ปิงที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ได้อย่างชัดเจน   ถ้าช้ากว่านี้สักนิด ผมคงพลาดโอกาสทองเพราะพี่เดือนทำท่าจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนี้พอดี

                    พี่เดือนเป็นคนคุยเก่งอย่างที่เคยบอก เธอมีเรื่องมาเล่าตลอดเวลาที่เรานั่งอยู่ในร้าน ผมมีหน้าที่ยิ้มและพยักหน้าเออออกับเธอ แต่สายตาและสมาธิทั้งหมดของผมรวมอยู่ที่ร่างเพรียวบางหลังเคาน์เตอร์

                    พี่ปิงที่เห็นในตอนนี้แตกต่างจากพี่ปิงเมื่อหลายวันก่อนที่ผมได้สัมผัสที่บ้านพี่เมฆ ใบหน้าขาวเรียวเล็กมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับรูปปั้นหิมะ แต่เมื่อพี่ปิงเหลือบสายตามาพบว่าผมกำลังจ้องมองเขาอยู่ ใจผมแทบหล่นไปอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าผมแสดงสีหน้าออกไปยังไงถึงทำให้พี่ปิงหลุดยิ้มออกมา ผมจึงยิ้มตอบกลับไปอย่างอายๆ

                    ระหว่างกินก๋วยเตี๋ยว เพื่อนๆในร้านของพี่เดือนแวะเวียนมาทักทายพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง และทั้งหมดคือการซักประวัติโดยย่อของผมว่ามาจากไหน อายุเท่าไหร่ จะอยู่ที่นี่อีกนานไหม มีแฟนหรือยัง มีพี่คนหนึ่งขอเซลฟี่กับผม สักพักอีกคนก็มาขอเหมือนกัน แต่ก็มีพี่อีกคนเดินมาบอกว่าพี่ปิงเตือนว่าให้รักษามารยาท เพราะจะเป็นการรบกวนลูกค้าคนอื่นในร้าน ทำเอาทุกคนตรงนั้นหน้าเจื่อนกันไปหมด แต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจ เพราะอีกนิดผมจะคิดว่าตัวเองเป็นแพนด้าหลินปิงอยู่แล้ว

                    แต่จากการถูกดุจากพี่ปิง ทำให้พี่เดือนเรียกเช็คบิลทันที ผมอยากขออยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอและรู้สึกเกรงใจพี่เดือนที่อุตส่าห์พามาด้วย

                    ก่อนกลับพี่เดือนเดินไปไหว้ลาพี่ปิง หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเมื่อได้มองใบหน้าของเขาอีกครั้งในระยะแค่เคาน์เตอร์กั้น ผมยกมือไหว้ พี่ปิงพยักหน้ารับ ผมดึงเวลาให้พี่เดือนเดินห่างออกไปจากเคาน์เตอร์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

                    “พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

                    พี่ปิงส่งยิ้มให้กับผม หัวใจผมพองคับอก รู้สึกถึงเลือดร้อนๆที่พุ่งสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้า ผมก้มหน้างุดก่อนจะเดินตามพี่เดือนออกจากร้านไป

 

                    “พีทรู้จักกับพี่ปิงด้วยเหรอ?” พี่เดือนถามขึ้นเมื่อเราเข้ามานั่งในรถ

                    “ครับ ผมเคยไปบ้านพี่ปิงกับพี่เมฆ”

                    “อ๋อ ใช่ๆ เหมือนหยกจะเคยบอก” พี่เดือนพยักหน้า

                    “พี่อยากแวะไปซื้อของนิดหน่อย น้องพีทไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ” พี่เดือนหันมาทำหน้าอ้อน

                    “ครับ” ผมคงไม่มีทางปฏิเสธ ก็นั่งอยู่ในรถพี่เขาซะขนาดนี้

 

                    พวกเรากลับมาถึงบ้านราวๆ 2 ทุ่ม ไม่เคยคิดเลยว่าการเดินตามผู้หญิงช้อปปิ้งจะเป็นอะไรที่โหดร้ายขนาดนี้ ร่างเล็กๆของพี่เดือนเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมรู้สึกโชคดีที่ตอนเป็นแฟนกับแบมไม่ต้องมาเดินตามก้นเธอช้อปปิ้งแบบนี้ และหวังว่าแฟนคนใหม่ในอนาคตของผมจะไม่ชอบช้อปปิ้งอย่างพี่เดือน

                    เมื่อปิดประตูห้องนอนลงผมถึงกับถลาลงเตียง หมดแรงขั้นสุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความถึงไมค์ เพราะระหว่างที่ผมกำลังกินอาหารมื้อค่ำ (พี่เดือนเลี้ยงซับเวย์เป็นการตอบแทนที่ผมไปเดินเป็นเพื่อนและช่วยเธอหิ้วของ) เขาส่งข้อความมาบอกว่ามาหาผมที่ห้องแต่ไม่เจอ ถ้ากลับถึงห้องเมื่อไหร่ให้บอกเขาด้วย

                    อันที่จริงไมค์ก็รู้ว่าวันนี้ผมออกไปข้างนอกกับพี่เดือน เพราะก่อนออกไปผมส่งข้อความไปบอกเขาก่อนแล้ว

                    ผม – ถึงห้องแล้ว

                    ข้อความถูกอ่านทันที

                    ไมค์ – เดี๋ยวฉันไปหา

                    ผมรู้สึกล้า คงเพราะเมื่อเช้าตื่นมาวิ่งเกือบ 2 ชั่วโมง และยังต้องเดินอยู่ในห้างอีกหลายชั่วโมง ตอนนี้อยากอาบน้ำแล้วนอนแผ่บนเตียงเท่านั้น แต่ถ้าปฏิเสธไป ไมค์จะโกรธไหม?

                    ผม – นายมีอะไรหรือเปล่า

                    ผม – เราเหนื่อยอ่า อยากอาบน้ำนอน

                    ไมค์อ่านข้อความของผม แต่ไม่ตอบทันที ผ่านไป 2-3 นาที จึงตอบกลับมา

                    ไมค์ – Good night

                    วันนี้ไมค์มาแปลก ไม่เอาแต่ใจอย่างที่เคย

                    ผม – ฝันดีไมกี้

 
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #19 PETE [updated 3/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 03-06-2016 20:49:59
ต่อ ...


                    ผมชาร์จโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้แล้วไปอาบน้ำ เมื่อเปิดตู้สำรวจดูเสื้อผ้าที่นำมาด้วย นึกเสียดายนิดๆว่าน่าจะหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวหล่อที่แม่ซื้อให้ตอนที่ต้องสวมไปงานแต่งงานของญาติเมื่อหลายเดือนก่อนมาด้วย ถ้าได้ใส่ตัวนั้น พรุ่งนี้ผมคงหล่อพอที่จะเดินข้างพี่ปิงได้อย่างภาคภูมิ

                    กลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้าไลน์ ดอกไฮเดรนเยียสีม่วงบนหน้าจอเหมือนจะเรียกร้องให้ผมกดส่งข้อความไปหา

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์แอบมอง รอหลายนาทีก็ไม่มีการเปิดอ่าน แล้วก็นึกได้ว่าพี่ปิงคงยังทำงานอยู่ ผมจึงโทรหาพ่อกับแม่แทนการรอ เมื่อวางสาย ความง่วงก็เข้าครอบงำ ผมผล็อยหลับไปโดยไม่ได้รับรู้ถึงข้อความที่ถูกส่งเข้ามากลางดึก

 

                    ผมลืมตาขึ้นมาพบกับแสงจ้าของยามเช้า แต่ต้องสะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีนัดกับพี่ปิง มือไวเท่าความคิด รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ค่อยโล่งอกที่เพิ่ง 8 โมงกว่า แต่แล้วคำเตือนข้อความเข้าบนหน้าจอก็ทำให้เลือดของผมสูบฉีดแรงแต่เช้า ... ข้อความจากดอกไฮเดรนเยียสีม่วง เข้ามาเมื่อเวลา 5 ทุ่ม 7 นาที

                    พี่ปิง – ขอโทษนะที่ไม่ได้อ่านข้อความ

                    ผมรีบตอบกลับทันที

                    ผม – ขอโทษครับ ผมเพิ่งเห็นข้อความของพี่

                    ผม – เมื่อวานผมลืมไปว่าพี่ทำงาน ขอโทษนะครับที่ส่งข้อความไปรบกวน

                    ผม – พี่ไม่ต้องตอบข้อความผมก็ได้นะครับ

                    ผม – แล้วเจอกันครับ

 

                    ก่อนจะลงไปหาอะไรกิน ผมนอนอ้อยอิ่งต่อบนเตียง เปิดนั่นนี่ในโซเชียลดูไปเรื่อยเปื่อย แต่ในสมองกลับมีแต่ภาพจินตนาการที่ผมเดินเคียงข้างพี่ปิง และเขาก็หันมาส่งยิ้มให้กับผม

                    เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ผมขึ้นมาเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ ไม่ว่าตัวไหนก็ไม่หล่ออย่างที่ใจคิด เมื่อรู้สึกว่าสิ้นหวัง ผมจึงเลือกเสื้อยืดสีดำสกรีนแนวร็อคตามแบบที่ผมชอบกับกางเกงยีนส์ขายาวตัวโปรด

                    เพราะใช้เวลาในการเลือกเสื้อผ้าที่มีอยู่ไม่เกิน 10 ชิ้นในตู้ ทำให้เมื่ออาบน้ำเสร็จก็จวนๆจะ 11 โมง ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องเสียเวลาเลือกเสื้อผ้าอย่างกับเวลาที่แม่จะต้องไปงานสังสรรค์หรืองานแต่งงานของคนรู้จัก แม่จะใช้เวลานานมากในการเลือกค้นตู้เสื้อผ้า และสรุปสั้นๆว่าไม่มีอะไรจะใส่ ทั้งๆที่แม่มีตู้เก็บเสื้อผ้า 3 ตู้อัดแน่นเอี๊ยด

                    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ข้อความของผมที่ส่งไปถูกเปิดอ่านแล้ว แต่ไม่มีการตอบกลับ

                    ผมกดส่งข้อความไปอีกครั้ง

                    ผม – ผมรอพี่อยู่นะครับ

                    ผมรู้ว่ามันจะไม่ถูกเปิดอ่าน เพราะพี่ปิงคงกำลังขับรถมาหาผม แค่คิดว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เจอหน้าพี่ปิง อกข้างซ้ายของผมก็เริ่มบรรเลงกลองรัวๆ

                    ผมลงไปนั่งรอที่ระเบียงหน้าบ้าน สักพักพี่เนสก็เดินออกมานั่งข้างๆ

                    “แต่งหล่อไปไหนน้องพีท?” พี่เนสถามแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ

                    “ไปช้อปปิ้งครับ”

                    “ไปกับใครอ่ะ ไมกี้ไม่ไปโรงเรียนเรอะ?”

                    “ไม่ได้ไปกับไมค์ครับ”

                    “อ้าว แล้วไปกับใครอ้ะ”

                    ผมยังไม่ทันได้ตอบ เสียงรถยนต์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้ต้องหันไปมอง

                    ผมลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น รถของพี่ปิงเคลื่อนมาหยุดลงที่หน้าบ้าน ผมหันไปบอกพี่เนส

                    “ไปก่อนนะพี่”

                    ผมก้าวยาวๆไปยังรถที่จอดรออยู่ เอื้อมไปเปิดประตูรถด้วยมือที่เย็นเฉียบ คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอี้ยวคอมามองเมื่อประตูรถถูกเปิดออก ผมสูดหายใจลึกก่อนจะเข้าไปนั่งบนเบาะข้างๆ ปิดประตูลง และหันไปยกมือไหว้

                    “สวัสดีครับ” ใจผมเต้นตึกตัก

                    พี่ปิงส่งยิ้มมาให้ “อยากกินอะไร?”

                    “อะไรก็ได้ครับ” ผมค่อยๆหันไปมอง ใบหน้าด้านข้างของพี่ปิงที่อยู่ห่างแค่หนึ่งไม้บรรทัด ชัดเจนและงดงามอย่างกับในความฝัน แม้ว่าพี่ปิงจะสวมแค่เสื้อยืดสีขาวพื้นๆที่ไม่มีลวดลายอะไร กับกางเกงยีนส์สีซีด แต่ในความเรียบง่ายนั้นกลับทำให้พี่ปิงดูสะอาดสะอ้านขาวกระจ่างใสเหมือนในโฆษณาผงซักฟอก ผมยาวที่รวบเอาไว้ตรงท้ายทอยถูกสวมทับด้วยหมวกแก้บหนังสีดำ

                    “ชอบกินไก่ทอดไหม?” พี่ปิงถามขึ้น

                    “ชอบครับ” อะไรผมก็กินได้ ขอแค่มีพี่ปิงอยู่ข้างๆ ... ผมอยากตอบออกไปอย่างนี้

                    “งั้นเดี๋ยวพาไปร้านนี้” พี่ปิงหันมายิ้ม ผมรู้สึกเหมือนแก้มกำลังจะละลายด้วยความร้อนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

                    “ครับ” ผมตอบแล้วต้องกัดปากตัวเองเอาไว้ เพราะกลัวจะยิ้มกว้างเกินไปจนดูน่าเกลียด

 

                    ร้านที่พี่ปิงพามาเป็นร้านไก่ทอดที่เหมือนจะธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดาตรงที่พนักงานเสริฟเป็นสาวสวยหุ่นสะบึมสวมกางเกงขาสั้นจุ๊ดและเสื้อกล้ามที่คอคว้านลึกจนเห็นร่องอกที่ขนาดคัพไม่ธรรมดาทุกคน

                    “ไง น่ากินไหม?” พี่ปิงกระทุ้งข้อศอกเข้าที่สีข้างของผมเบาๆ ในขณะที่ผมกำลังกวาดตามองสิ่งแวดล้อม รอบๆตัว

                    “อะๆ อะไรครับ?” ผมรู้สึกอาย เพราะพี่ปิงจ้องตาผมแล้วหัวเราะ เขาต้องรู้แน่ว่าผมลอบมองหน้าอกของสาวที่เข้ามารับออร์เดอร์จากเราเมื่อสักครู่

                    “พี่อย่ามาอำ ไก่ทอดยังไม่มา ผมจะรู้ได้ยังไงว่าอร่อยไหม?” ผมตอบอย่างรู้ทัน

                    พี่ปิงหัวเราะ ผมว่ามันน่ามองกว่าหน้าอกของสาวๆในร้านซะอีก

                    ไก่ทอดร้านนี้มีหลายรสชาติ แบบที่มีซอสเปรี้ยวๆเคลือบก็อร่อยไม่เบา พี่ปิงบอกว่ากินไก่ต้องใช้มือถึงจะอร่อย ผมเหลือบมองลูกค้าคนอื่นๆในร้าน ฝรั่งเองก็ใช้มือหยิบทั้งนั้น ผมจึงจัดการไก่ด้วยนิ้วทั้งสิบอย่างเอร็ดอร่อย

                    ผมเลิกคิ้วเพราะพี่ปิงยื่นส่งกระดาษแนปกิ้นมาให้

                    “ซอสเลอะที่มุมปาก” พี่ปิงพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่มุมปากของตัวเอง

                    ผมหยิบกระดาษมาเช็ด แล้วมองหน้าพี่ปิงเป็นเชิงถามว่าสะอาดหรือยัง แต่พี่ปิงกลับส่ายหน้า แล้วหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาแตะลงบนปากของผม ... ราวกับมีกระแสไฟส่งตรงมาจากดวงตายาวรีที่มองริมฝีปากของผมอย่างตั้งใจ ความร้อนเห่อขึ้นที่แก้มในทันที

                    พี่ปิงเอียงคอมอง “เรียบร้อย”

                    “ขอบคุณครับ” ผมค่อยๆสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเบาที่สุดเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะรู้ถึงความผิดปกติในอกของผม

 

                    เมื่อก้าวพ้นออกจากร้าน ผมรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก สิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นทำให้รู้สึกตื่นเต้นแต่ก็อึดอัดไปในขณะเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบดูรูปร่างของผู้หญิงที่อยู่ในชุดเซ็กซี่หรือไม่ แต่สายตามันก็พาลจะไปหยุดอยู่กับสาวๆที่เดินผ่านไปผ่านมาในร้านอยู่เรื่อย แต่ในขณะเดียวกันใบหน้าขาวที่ลอยเด่นอยู่อีกฟากของโต๊ะ ก็ดึงสายตาของผมกลับมาได้อยู่เสมอ

 

                    เรานั่งรถต่อกันมาอีกพักใหญ่ๆก็ถึง Outlet ที่พี่ปิงจะพาผมมาช้อปปิ้ง ที่นี่เป็นศูนย์รวมสินค้ายี่ห้อต่างๆมากมาย ซึ่งอยู่ในราคาที่จับต้องได้ไม่ลำบากเงินในกระเป๋ามากนัก

                    “มีลิสต์ที่ตั้งใจจะซื้อมาหรือเปล่า?” พี่ปิงเอ่ยถามเมื่อเราเดินออกมาจากลานจอดรถ

                    “แม่อยากได้กระเป๋าสะพายครับ ส่วนของพ่อ ผมว่าจะซื้อกระเป๋าสตางค์กับเข็มขัดไปฝาก”

                    “มียี่ห้อที่สนใจเป็นพิเศษไหม?”

                    “ไม่ครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่” ผมส่ายหน้ารัวๆ

                    “งั้นเดินๆดูไปก่อนก็ได้ มีให้เลือกเยอะแยะ” พี่ปิงแนะนำ

                    เราเดินดูสินค้าในร้านต่างๆแบบสบายๆ ผมเองไม่อยากรีบเร่งตัดสินใจซื้อเพราะพี่ปิงบอกว่ามีร้านอีกเยอะและมีหลายยี่ห้อให้เลือก เดินดูให้ครบทุกร้านค่อยตัดสินใจก็ได้ ผมเองก็เห็นด้วย เพราะถ้ารีบซื้อ นั่นหมายถึงการช้อปปิ้งกับพี่ปิงก็ต้องจบลง ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะการได้เดินเคียงข้างและสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวพี่ปิง มันคือที่สุดของความสุขของผม ณ เวลานี้ ... ผมอยากให้มันยาวนานที่สุด

                    ขณะที่ยังไม่ได้ของฝากพ่อกับแม่ ผมกลับได้ของหลายอย่างสำหรับตัวเอง ส่วนพี่ปิงขอแวะเข้าร้านขายหมวก พี่ปิงคงชอบหมวกแก้ปมาก เพราะวันนี้เขาก็สวมมันมาด้วย ผมนึกถึงวันแรกที่เจอพี่ปิงเมื่อ 10 ปีก่อน วันนั้นเขาไม่ได้สวมหมวก แต่สุดท้ายแล้วผู้ชายที่พี่ปิงมาด้วยก็ถอดหมวกของตัวเองมาสวมให้เขา

                    “ใบนี้เท่” ผมชี้ไปที่หมวกที่ทำด้วยผ้าเดนิมใบหนึ่ง

                    “เหรอ?” พี่ปิงหันมาเลิกคิ้วถาม

                    ผมพยักหน้า “พี่ลองสวมดูสิ”

                    พี่ปิงหยิบหมวกใบนั้นขึ้นมาแล้วถอดหมวกของตัวเองออก ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบมาถือเอาไว้ แล้วสวมลงบนหัวตัวเอง

                    พี่ปิงมองแล้วยิ้ม “เหมาะกับเรานี่”

                    “จริงเหรอฮะ?” ผมถามด้วยความดีใจ โมเมว่าพี่ปิงกำลังเอ่ยชม

                    “อื้อ” พี่ปิงพยักหน้า

                    “งั้นผมซื้อแบบของพี่บ้าง ... มีไหมนะ?” ผมกวาดตามองไปทั่วร้าน

                    “พี่ยกให้” พี่ปิงยิ้ม

                    “จริงเหรอครับ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะจะได้ประหยัดตังค์ที่ไม่ต้องซื้อของใหม่ แต่เพราะมันคือของของพี่ปิง แล้วเขาเต็มใจจะยกให้กับผม

                    “จะพูดเล่นทำไมล่ะ”

                    “งั้นผมเอาจริงๆนะ” ผมจับหมวกบนหัวไว้แน่น

                    “อื้อ” พี่ปิงพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เขาสวมหมวกใบใหม่แล้วถามความเห็นจากผม “เป็นไง?”

                    “เท่มาก” ผมลากหางเสียง มันเหมาะกับเขาจริงๆ

                    “งั้นเอาใบนี้” พี่ปิงถอดหมวกใบนั้นออก แล้วเดินไปที่แคชเชียร์

                    “เดี๋ยวๆ พี่จะไม่ลองใบอื่นก่อนเหรอครับ?” ผมทักท้วง เพราะนี่เป็นแค่ใบแรกที่เขาได้ลอง

                    พี่ปิงส่ายหน้า “พีทเลือกแล้ว พี่ว่ามันต้องดี” พูดจบแล้วยักคิ้ว และเดินไปที่แคชเชียร์

                    ส่วนผมได้แต่ยืนมองร่างบางที่กำลังจ่ายเงินด้วยแข้งขาที่ไร้เรี่ยวแรง ... ผมแพ้พี่ปิง แพ้รอยยิ้ม แพ้สายตา แพ้คำพูด ผมแพ้เขาทุกทาง

 

                    เมื่อผ่านไปหลายชั่วโมง เวลาที่ผมยื้อก็ต้องสิ้นสุดลง พี่ปิงช่วยเลือกกระเป๋าใบสวยให้แม่จากยี่ห้อดังที่คนไทยทั่วไปนิยม ซึ่งผมจำได้ว่าแม่เคยเอ่ยถึงอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังช่วยเลือกกระเป๋าสตางค์และเข็มขัดให้พ่ออีกด้วย ส่วนพวกแก๊ง ผมซื้อเสื้อยืดฝากพวกมันคนละตัว โดยมีพี่ปิงช่วยเลือกอีกเช่นกัน

                    ความสุขของผมยังไม่จบ เมื่อพี่ปิงเอ่ยชวนกินข้าวมื้อค่ำ ... คิดว่าผมจะปฏิเสธไหม?

                    เมื่อลงจากรถ พี่ปิงเดินนำผมไปที่ร้าน แต่ก่อนจะถึงประตูหน้าร้าน ผมรีบเดินแซงขึ้นไปเพื่อที่จะได้เปิดประตูให้กับเขา พี่ปิงชะงักเท้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าผมแล้วเอ่ย “ขอบใจ” พร้อมรอยยิ้มที่ผมคิดว่าหวานที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

                    สำหรับผมแล้วพี่ปิงเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าสวยเกินกว่าผู้ชายด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าจะสวยอย่างผู้หญิง เมื่อยืนข้างกัน พี่ปิงน่าจะสูงราวๆใบหูของผม ซึ่งไม่ถือว่าเป็นผู้ชายที่เตี้ยเลยสักนิด ร่างเพรียวบางของพี่ปิงก็ไม่ได้อ้อนแอ้นอย่างผู้หญิง แต่กลับน่าทะนุถนอมได้อย่างบอกไม่ถูก

                    ร้านที่พี่ปิงเลือกเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ บรรยากาศภายในตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นแบบเรียบง่าย เหมาะกับการนั่งกินและพูดคุยกันไปเรื่อยๆ

                    “ขอบคุณนะครับสำหรับหมวก และช่วยเลือกของ แถมยังเลี้ยงไก่ทอดผมอีก” ผมเอ่ยขึ้นขณะที่เรารออาหารมาเสริฟ ตอนเช็คบิลค่าไก่ทอด ผมพยายามจะจ่ายเอง แต่พี่ปิงไม่ยอม แถมยังขู่ว่าถ้าดื้อ เขาจะไม่พาไปช้อปปิ้ง จะส่งกลับบ้านเลย

                    พี่ปิงไม่ตอบ แต่ส่งยิ้มบางๆมาให้

                    “พ่อกับแม่ต้องชอบมากแน่ๆ” ผมนึกถึงกระเป๋าใบสวยของแม่ กระเป๋าสตางค์และเข็มขัดของพ่อที่ถูกห่ออย่างดีอยู่ในกล่อง

                    รอไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยมา พี่ปิงบอกว่าร้านนี้ถึงจะเป็นร้านเล็กๆ แต่อาหารรสชาติดีมาก ซึ่งเมื่อกินแล้วผมก็เห็นด้วยโดยไม่มีคำคัดค้าน

                    “ลองชิมเหล้าสาเกดูหน่อยไหม?” พี่ปิงเอ่ยถาม เมื่ออาหารเริ่มจะร่อยหรอ

                    “ได้เหรอครับ?” ผมนึกเกรงใจและที่สำคัญคือผมไม่เคยดื่มเหล้าสาเก

                    “ได้สิ มากับผู้ปกครองนี่นา” พี่ปิงวางศอกข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะ เท้าคางมองมาที่ผมแล้วยิ้ม สารภาพได้ว่ามือไม้ผมแทบหมดเรี่ยวแรง สำหรับคนอื่นมันคงเป็นแค่การวางท่าทางธรรมดาๆ แต่สำหรับพี่ปิงที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะขยับท่าไหนก็ทำให้หัวใจของผมอ่อนยวบได้เสมอ

                    พี่ปิงเรียกพนักงานเสริฟมาสั่งเหล้าสาเกร้อน และพูดอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ถนัด

                    “พนักงานกลัวพี่มอมเหล้าเรา พี่เลยต้องบอกว่าน้องชายแค่อยากลองชิมดูเท่านั้น” พี่ปิงพูดแล้วอมยิ้ม ผมควรจะเชื่อคำพูดของคนที่กำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์ตรงหน้าดีไหม?

                    จานอาหารถูกยกไปเก็บ ตอนนี้บนโต๊ะมีแค่เหล้าสาเกขวดเล็กและจอก 2 ใบ

                    “ชิมดูสิ” พี่ปิงยกจอกเล็กๆยื่นให้กับผม

                    ผมรับมายกขึ้นจิบ รสชาติดีกว่าที่คิด ที่แน่ๆคือดีกว่าเบียร์ขมๆหลายเท่า

                    “เป็นไง?” ดวงตายาวรีเบิกกว้างขึ้น

                    วันนี้ทั้งวันผมได้เห็นพี่ปิงในหลากหลายแง่มุมที่ไม่เคยคาดฝัน พี่ปิงยิ้มเก่ง หัวเราะเสียงดังเมื่อผมเอากางเกงขาเดฟไปลองแล้วถอดไม่ออกจนต้องโผล่หน้ามาเรียกให้เขาเข้าไปช่วยดึง เราปลุกปล้ำกับมันอยู่นาน เสียงหัวเราะของพวกเราดังจนพนักงานต้องมาเคาะประตูถามว่าเกิดอะไรขึ้น

                    พี่ปิงทำหน้าเจ้าเล่ห์เมื่ออยากให้ผมลองจิบเหล้าสาเก และพี่ปิงที่กำลังทำตาโตรอคำตอบจากผมในเวลานี้

                    “อร่อย” ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปาก และยกเหล้าสาเกที่เหลือในจอกลงคอจนหมด แล้วยื่นแก้วไปตรงหน้าเขา

                    “หมดโควต้าของเด็ก” คิ้วดกดำถูกยกขึ้นข้างหนึ่ง

                    “อะไรอ่า” ผมโอดครวญ แต่ก็ยอมวางจอกลงบนโต๊ะแต่โดยดี ผมไม่ดื้อหรอก ผมอยากเป็นเด็กดีของพี่ปิง

                    พี่ปิงยกจอกเหล้าขึ้นดื่มช้าๆ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อตัดกับผิวขาวๆช่างชวนมอง ผมแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือความจริง พี่ปิงที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

                    ถ้าผมเล่าเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อนให้ฟัง เขาจะจำผมได้ไหม?

                    “พี่ปิงเคยไปเที่ยวเชียงใหม่ไหมครับ?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเขาวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะแล้ว

                    “เคยสิ”

                    “ไปกับใครครับ?”

                    “อืม ก็ไปกับเพื่อน 2-3 ครั้ง”

                    “พี่เคยไปงานพืชสวนโลกไหมฮะ?” ผมดึงเข้าประเด็นด้วยใจที่เต้นโครมคราม

                    พี่ปิงพยักหน้า ทำท่าลังเลก่อนเอ่ย “น่าจะเป็นปีแรกเลยนะที่จัดงานนี้”

                    คำตอบของพี่ปิงทำให้ลมหายใจของผมขาดห้วง จนต้องสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่

                    “ปีนั้นผมก็ไปเหมือนกัน”

                    พี่ปิงทำตาโตอีกครั้ง “น่าจะ 10 ปีแล้วนะ ตอนนั้นพีทก็น่าจะเด็กมาก”

                    “ครับ 7-8 ขวบ ผมไปกับพ่อกะแม่”

                    พี่ปิงเท้าคาง ดวงตายาวรีรับกับคิ้วเข้มทอดมองมาที่ผม

                    “แม่ผมชอบดอกไม้มาก โดยเฉพาะดอกไฮเดรนเยีย” ผมมองสบดวงตาสีนิลคู่นั้น “ด้วยความเป็นเด็ก   วันนั้นผมวิ่งชนคนๆหนึ่งจนล้ม หัวเข่าผมเจ็บแปล้บเพราะถูกก้อนกรวดเล็กๆปัก ผมเกือบจะร้องไห้ แต่เมื่อเงยขึ้นไปเห็นหน้าของคนที่ผมวิ่งชน ความเจ็บทั้งหมดก็หายไปในทันที” ผมยังมองสบสายตาของคนตรงหน้า ใบหน้านิ่งของพี่ปิงทำให้เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ หรือเขาแค่กำลังตั้งใจฟังเรื่องเล่าของผม

                    พี่ปิงละสายตาจากผม เทเหล้าสาเกใส่จอกแล้วยกดื่มรวดเดียวหมด

                    “ปีนั้นพี่ปิงไปเที่ยวงานกับใครเหรอครับ?”

                    พี่ปิงไม่ตอบ ใบหน้านิ่งนั้นดูเย็นชาขึ้นมาจนทำให้อกของผมอึดอัด ไม่รู้เพราะความตื่นเต้นที่ได้เล่าเรื่องความทรงจำครั้งแรกที่ได้พบกัน หรือเพราะความกลัวที่จะผิดหวัง ถ้าพี่ปิงไม่เคยจำเรื่องราวของผมได้เลย ทั้งๆที่มัน ก็คงเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปที่จะไม่มานั่งจดจำกับแค่การถูกเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งวิ่งชน

                    “กลับกันเถอะ?” น้ำเสียงที่ราบเรียบทำให้ผมใจเสียจนแทบอยากร้องไห้ นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมจู่ๆพี่ปิงที่ยิ้มใจดีมาทั้งวันกลับทำสีหน้าไม่ต่างจากตอนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ในฐานะผู้จัดการร้านอาหาร

                    “ครับ” ผมตอบเบาๆ พยายามสูดเอาอากาศเข้าปอดอย่างช้าๆ

 

                    ตลอดเส้นทางจากร้านอาหารจนถึงบ้านพักของผม พี่ปิงไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ ส่วนผมนั่งบีบมือตัวเองมาตลอดทาง พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ในหัวคิดทบทวนว่าผมทำอะไรผิดพลาดไป ผมไม่ควรเล่าเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อนให้พี่ปิงฟังงั้นเหรอ ในเมื่อเขาจำเรื่องราวเมื่อครั้งนั้นไม่ได้ แล้วเขาไม่พอใจเรื่องอะไร? มีแต่คำถามที่ผมหาคำตอบไม่ได้เต็มไปหมด ... ทำไมวันที่แสนดีถึงจบลงอย่างนี้?

                    รถจอดลงที่หน้าบ้าน ผมยกมือไหว้ขอบคุณสำหรับทุกอย่างในวันนี้ พี่ปิงเพียงหันมาพยักหน้า ความเงียบทำให้ผมต้องเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น เมื่อปิดประตูลง พี่ปิงก็เคลื่อนรถออกไปทันที

                    ผมถือถุงสิ่งของเต็มสองมือ ยืนมองจนรถของพี่ปิงเลี้ยวลับตาไป เมื่อหันกลับมา จึงพบว่าไมค์นั่งอยู่ที่หน้าบ้าน

                    “นายไปไหนทำไมไม่บอกฉัน แล้วโทรศัพท์มีไว้ทำไม ถ้าโทรไปแล้วไม่รับ?” ไมค์ซักทันทีที่ผมเดินมาถึง

                    ผมวางถุงในมือ ล้วงกระเป๋าควานหาโทรศัพท์ เสียงถูกปิดไว้จริงๆ ผมอาจจะปิดไปเมื่อคืนนี้ และเพราะความตื่นเต้นเมื่อเช้าอาจทำให้ลืมเปิด แต่ที่แน่ๆ ผมลืมส่งข้อความบอกไมค์ว่าจะไปไหนกับใคร

                    “เราขอโทษ เราน่าจะปิดเสียงไว้เมื่อคืนแล้วลืมเปิด”

                    ดวงตาคมของไมค์มีแววผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด บางทีมันอาจจะผสมความโกรธเอาไว้ด้วย แต่ผมไม่กล้ามองนานไปกว่านั้น

                    “ถ้านายเป็นอะไรไป ฉันจะรู้ได้ยังไง?” ไมค์ขบกรามจนเป็นสันนูน เขาไม่เคยแสดงสีหน้าอย่างนี้มาก่อน มันทำให้ผมกลัว

                    “เรา ... ขอโทษ” ผมรู้ว่าผิด รู้ว่าเขาเป็นห่วง ผมไม่มีคำแก้ตัว

                    “นายเคยเป็นห่วงใครสักคนไหม?” ไมค์กำหมัดแน่น ... เขาจะต่อยผมไหม? แต่ถ้าเขาต่อย ผมจะยอมยืนนิ่งๆให้เขาต่อยได้อย่างเต็มที่ แต่แล้วเขาก็คลายหมัด แล้วหันหลังเดินจากไป ... ผมมองจนร่างสูงหายลับไปกับความมืด จึงเดินเข้าบ้าน

                    ผมวางข้าวของลงบนพื้นแล้วทรุดลงนั่งข้างเตียง ดวงหน้าเรียบเฉยราวกับตุ๊กตาหิมะของพี่ปิง และความโกรธบนสีหน้าของไมค์ … ผมควรจัดการกับความรู้สึกไหนก่อน?

 

                    ก่อนนอนผมส่งข้อความถึงไมค์

                    ผม – เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจะปิดนายว่าเราไปไหน เราไม่ได้แก้ตัว แต่เราลืมจริงๆ แต่เพราะเราไปกับพี่ปิง ถึงคิดว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เราเลยลืมนึกไปว่ายังไงก็ควรบอกนายก่อน

                    ผม – เราขอโทษที่ทำให้นายต้องเป็นห่วงอีกแล้ว

                    ผม – เราขอโทษจริงๆ

                    ข้อความของผมไม่ถูกเปิดอ่าน และผมมั่นใจว่าไมค์จะไม่อ่านมันแน่ๆในคืนนี้

                    ผมส่งข้อความถึงพ่อกับแม่ เล่าสั้นๆเรื่องไปช้อปปิ้ง และก่อนจะปิดไฟ ผมส่งข้อความถึงพี่ปิง

                    ผม – ขอบคุณนะครับสำหรับทุกๆอย่างในวันนี้

                    ผม – ผมไม่รู้จริงๆว่าผมพูดหรือทำอะไรผิดไป ถึงทำให้พี่อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา แต่ถึงไม่รู้ ผมก็ต้องขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่ไม่พอใจ

                    ผม – ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับพี่วันนี้ ผมไม่เคยคิดจะพูดหรือทำอะไรให้พี่ไม่ชอบเลยนะครับ พี่อย่าโกรธผมนะ ผมขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ

                    รอจนแสงสว่างบนหน้าจอดับลง แต่ข้อความของผมก็ไม่ถูกเปิดอ่าน พี่ปิงก็คงไม่อ่านข้อความของผม   เหมือนกับไมค์ ผมวางโทรศัพท์ลงข้างหมอน ปิดไฟหัวเตียง พยายามข่มตาทั้งๆที่ในอกยังหนักอึ้ง

                    ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ เสียงข้อความเข้าปลุกผมให้หลุดจากความคิดอันสับสน ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ใจที่หนักอึ้งกลับบีบรัดถี่ๆ ... คำเตือนจากดอกไฮเดรนเยียสีม่วง …เมื่อเปิดหน้าจอ กลับไม่มีข้อความในนั้น

 

                    แต่สิ่งที่พี่ปิงส่งมาให้กับผม คือภาพด้านหลังของหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังกุมมือเด็กชายตัวน้อย เดินไปบนทางที่รายล้อมไปด้วยพุ่มหนาของดอกไฮเดรนเยียสีม่วง
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #20 [updated 7/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 07-06-2016 18:40:37
#20 [MHEK]

 

                    เมื่อหลายวันก่อนผมคุยกับป๊าเรื่องจะซื้อรถ ที่ต้องคุยเพราะจำเป็นต้องยืมเงินจากเขาส่วนหนึ่ง เพราะเงินที่ผมเก็บได้เองคงซื้อได้แค่ล้อเท่านั้น ทีแรกป๊าจะไม่ยอมให้ยืม ไม่ใช่ว่าป๊างกหรืออะไร แต่คือเขาจะให้เฉยๆ เพราะตลอดชีวิตของผมก็แบมือขอเงินจากป๊ามาตลอด แต่เมื่อผมยืนยันว่าอยากซื้อรถคันนี้เอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วป๊าน่าจะภูมิใจกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้นของผม เขาก็เลยยอมแพ้ ... ถ้าไม่มีโอกาสได้คุยกับไมค์ ผมคงไม่มีความคิดที่โตขึ้นอย่างนี้ ต้องขอบคุณไอ้เด็กเชื้อฝรั่งคนนี้จริงๆ

                    ผมคุยกับไมค์มาตลอดเรื่องรถ เพราะเรามีความสนใจเหมือนกัน เมื่อผมบอกมันไปว่าจะซื้อรถรุ่นไหน มันตื่นเต้นมาก ขอว่าวันที่ผมถอยรถออกมา ให้เอามาโชว์มันด้วย ผมจึงบอกว่าวันเสาร์จะได้รถ แล้วจะเอาไปอวด ไมค์จึงบอกมาว่าวันนั้นมันตั้งใจจะพาพีทไปเที่ยวสวนสนุก ผมจึงอาสาจะพาพวกมันไปเอง เพราะคาดว่าเรื่องรถน่าจะเสร็จก่อนเที่ยง เนื่องจากผมได้เข้าไปทำเรื่องเอกสารไว้แล้วบางส่วน

 

                    เมื่อวันพุธผมกลับมาจากมหาวิทยาลัย ตั้งใจจะชวนปิงออกไปกินข้าวข้างนอก เพราะวันนั้นเป็นวันหยุดของเขา แต่เมื่อมาถึงบ้านกลับพบว่าประตูล็อคอยู่ ไม่รู้ว่าเขาไปไหน เพราะเมื่อเช้าตอนออกไปเรียน ยังได้ทักทายกันในครัวอยู่เลย ... หรืออาจจะไปซื้อของ? ... ผมส่งข้อความไปหา แต่มันไม่ถูกเปิดอ่าน ขณะที่ลังเลว่าจะโทรไปดีไหม ไอ้เนสก็โทรเข้ามาพอดี

                    /มึงเลิกเรียนยัง? แดกข้าวกัน/ เสียงตามสายกระแทกเข้าหูของผมทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้น

                    “ไม่ทำงานเหรอมึงอ่ะ?” ผมตอบกลับไป

                    /วันหยุดกู มึงเสือกจำไว้บ้างดิวะ/

                    “มึงสำคัญงี้?”

                    /สัส ไปๆแดกข้าว กูอยากกินเนื้อย่างเกาหลี เดี๋ยวกูไปรับ/

                    “กูว่าจะออกไปกินกับพี่ปิงว่ะ”

                    /เออ ก็ชวนพี่ปิงไปด้วยดิวะ/

                    “ไม่อยู่ว่ะ ไม่รู้ไปไหน ปกติวันหยุดไม่เคยไปไหนเลยนะเว้ย”

                    /เอ๊า ยังไม่กลับเหรอ?/

                    “กลับไหนวะ?” ผมไม่รู้ไอ้เนสมันหมายถึงอะไร งงกับมัน

                    /ก็เมื่อเช้ากูเห็นพี่ปิงของมึงมารับไอ้พีทถึงหน้าบ้าน/

                    “...” คำบอกเล่าของไอ้เนสทำให้ลมหายใจของผมกระตุก

                    /เห้ย! ห่า เงียบทำไมล่ะ ถ้าเขายังไม่กลับ มึงก็ไปกินกับกู/

                    “...” ปิงไปกับพีทเหรอ? ที่ไอ้เนสบอกคงหมายถึงยังงั้น

                    /กูว่าป่านนี้เขาคงกินข้าวเย็นด้วยกันแล้วมั้ง/

                    “...” ไปกันได้ยังไง?

                    /สัส เงียบอีก ยังอยู่ไหมเนี่ย?/

                    “เออ” ผมตอบไปสั้นๆ ตอนนี้ในหัวคิดแค่ว่าปิงออกไปกับพีทได้ยังไง

                    /เออ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง มารอกูหน้าบ้านเลย/

                    “เออ” ผมตอบแล้วกดวางสายไปด้วยอาการมึนงง ปิงออกไปกับพีททำไมเขาไม่บอกผม แต่เมื่อคิดอีกที เขาจำเป็นต้องบอกผมด้วยเหรอ? แต่อย่างน้อยเมื่อเช้าที่เราเจอกันในห้องครัว เขาก็ควรจะเล่าให้ฟังบ้างว่าจะไปไหนกัน เพราะจะว่าไป ผมรู้จักกับพีทก่อนเขาเสียอีก ... นี่ผมกลายเป็นผู้ชายคิดมากไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ?

 

                    ไอ้เนสจอดส่งผมที่หน้าบ้าน แสงไฟที่ระเบียงบอกให้รู้ว่าปิงกลับมาแล้ว แต่เมื่อเปิดเข้าไปในบ้าน ชั้นล่างกลับมืดสนิท ปิงคงอยู่ที่ห้องของเขา

                    ขาทำงานเร็วกว่าความคิด ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของปิง และสมองสั่งให้ผมยกมือขึ้นเคาะประตู รอไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก

                    ปิงที่สวมกางเกงนอนลายทางกับเสื้อยืดย้วยๆ มองหน้าผมโดยไม่เอ่ยถามคำใด แต่ผมรู้ว่าผมมีหน้าที่ต้องพูดอะไรออกไปสักอย่างในตอนนี้

                    “กลับมาแล้วเหรอ?” ผมโพล่งออกไป

                    ปิงกะพริบตาช้าๆ ... โอเค ผมรู้ว่าคำถามของผมมันไม่เข้าท่า

                    “เออ หมายถึงจะถามว่าทำอะไรอยู่?” ผมแก้ตัวใหม่ หลบเลี่ยงสายตามองเลยเข้าไปยังห้องนอนของเขา และก็พบว่าบนเตียงนอนของปิงมีกล่องหนึ่งใบและภาพถ่ายที่วางเกลื่อนกระจัดกระจาย

                    ปิงไม่ตอบ คำถามของผมคงยังใช้ไม่ได้

                    “วันเสาร์อย่าลืมไปรับรถด้วยกันนะ” ผมพยายามอีกครั้ง

                    “นายบอกแล้ว” น้ำเสียงราบเรียบและสีหน้าระอาของปิงทำให้ผมเริ่มรู้สึกอาย

                    “เออ จริงด้วย” ผมหัวเราะแหะๆแก้เก้อ “งั้น ฝันดีนะ” ผมยกมือลา แล้วเดินกลับห้อง รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเหี้ยๆ

 

                    เมื่อไม่กล้าถามเอาความจริงจากปิง ผมจึงหันไปทางพีท

                    ผม – โย่!! วันนี้ไปไหนมาไอ้คุณหนู ...

                    พิมพ์แล้วแต่ไม่ได้ส่ง ผมลบมันทิ้งไป แล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างที่นอน คว้าผ้าห่มมากอด ... รู้สึกสะเทือนใจ นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนพวกเมียๆที่กำลังตามสืบว่าผัวไปติดหญิงที่ไหนอยู่งั้นเหรอ? ... เศร้าสัสๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผม!

 

                    วันพฤหัสฯและวันศุกร์ผมมีเรียนตอนเช้าและทำงานชิฟต์บ่าย ปิงเองก็ทำงาน ทำให้เราแทบไม่ได้เจอหน้ากัน มีแค่เพียงแสงไฟที่ส่องสว่างตรงหน้าต่าง ที่ทำให้รู้ว่าเพื่อนร่วมบ้านของผมยังอยู่

                    ผมไม่อยากคิดว่าปิงพยายามหลบหน้า แต่ก็อดคิดไม่ได้ เพราะตั้งแต่คืนนั้นที่เขาเมามาย เราแทบจะไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันที่ห้องดูทีวีเลย ทั้งๆที่คืนวันศุกร์มีรายการโปรดของเขาแท้ๆ แต่เพราะผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา ยังไงคืนนี้ก็คงต้องบุกไปถึงห้อง

                    ผมอาบน้ำอย่างรีบเร่งเพราะกลัวปิงจะหลับไปเสียก่อน แต่ถ้าไม่อาบก็เกรงว่ากลิ่นอาหารที่ติดตามเนื้อตัวมาจากร้านจะทำให้ห้องหอมๆของปิงแปดเปื้อน ... ผมเป็นผู้ชายละเอียดอ่อนสินะ หม่าม้าคงภูมิใจ …

เมื่อหอมสดชื่นแล้ว ผมจึงไปยืนอยู่หน้าห้องของปิง บรรจงเคาะหลังมือลงบนประตู

                    “ปิง นอนหรือยัง?”

                    เพียงอึดใจเดียวประตูห้องก็ถูกเปิดออก ปิงในกางเกงนอนลายอุลตร้าแมนและเสื้อยืดย้วยสีขาว แต่สิ่งที่แปลกตาไปคือแว่นตาที่ผมเคยเห็นเขาสวมแค่ไม่กี่ครั้ง เขาขมวดปมที่หัวคิ้ว

                    “พรุ่งนี้เมฆรับปากไมค์ไว้ว่าได้รถแล้วจะขับไปให้ดู” ผมรีบเอ่ยขึ้น เพื่อให้เขารู้ว่าผมมีธุระมาคุยด้วย

                    ปิงพยักหน้ารับรู้

                    “ทีนี้ไมค์มันตั้งใจจะพาพีทไปคิงส์โดมิเนี่ยน แต่ก็อยากลองนั่งรถเรา ... เราก็เลยบอกไปว่าจะพาไป คือ พาไปคิงส์โดมิเนี่ยนน่ะ” ผมอธิบายรวดเดียวจบ ในใจก็ลุ้นว่าปิงจะแสดงอาการยังไง

                    ปิงเพียงพยักหน้ารับรู้เช่นเคย

                    “ไปด้วยกันนะ” ผมรวบรัดเข้าประเด็น

                    “อือ”

                    คำตอบสั้นๆง่ายๆของปิงทำเอาผมแปลกใจจนต้องทำตาโต ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ ความใจดีของปิงทำให้ผมได้ใจ อยากอยู่ตรงนี้นานอีกสักหน่อย จึงหาเรื่องชวนเขาคุย

                    “นี่นอนไปหรือยัง เมฆมากวนหรือเปล่า?”

                    “ยัง” ปิงตอบสั้นๆ แต่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะถ้าปิงไม่อยากคุย เขาจะไม่ตอบ

                    “ทำไรอยู่เหรอ? ไม่เห็นลงไปดูรายการโปรด”

                    “อ่านหนังสือ”

                    “หนังสืออะไร?” ผมชะโงกหน้า มองข้ามไล่ของปิงเข้าไปในห้อง เห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง

                    “อยากรู้จริงๆ?” ปิงเลิกคิ้ว ปล่อยมือที่เกาะอยู่บนขอบประตู แล้วยกขึ้นกอดอก

                    “แฮร่ๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน มีเหรอที่คนอย่างปิงจะไม่รู้ว่าผมพยายามหาเรื่องคุยกับเขา “งั้นไปนอนละ”  ผมยอมล่าถอย

                    “ฝันดี”

                    ผมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำสองคำของปิง ใช่ว่าจะได้ยินกันง่ายๆซะทีไหน

                    “ฝันดีพี่ปิง”

                    ผมยืนรอจนประตูถูกปิดลง แล้วทอดถอนใจ ... ริมฝีปากที่เอ่ยคำว่าฝันดีนั้น ... น่าจูบชะมัด

 

                    ผมตื่นแต่เช้าเพราะนัดเซลล์คนที่ดูแลเรื่องรถไว้ตอน 9 โมงตรง การซื้อขายของผมไม่ยุ่งยากนัก เพราะผมจ่ายเป็นเงินสดทีเดียวหมด

                    เมื่อลงมาชั้นล่าง ก็พบว่าปิงกำลังจิบกาแฟอยู่หน้าทีวี

                    “มอร์นิ่ง” ผมเอ่ยทักแล้วเดินเข้าครัวเพื่อชงกาแฟให้กับตัวเองบ้าง ตอนนี้ยังมีเวลานิดหน่อย

                    “มีแซนด์วิชบนโต๊ะ” เสียงปิงลอยตามมา

                    “โอ๊ะ แต๊งกิ้วครับ” ผมหันไปยิ้มให้จานแซนด์วิชบนโต๊ะอาหาร ... พี่ปิงใจดีอีกแล้ว

 

                    เราเสร็จเรื่องรถราวๆ 11 โมง เฮียคิดใจดีแวะมาดูรถกับผมด้วย แกเป็นอีกคนที่ให้คำปรึกษากับผมจนทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

                    ผมส่งข้อความบอกไมค์ว่าไม่เกินชั่วโมงจะไปถึง เพราะต้องแวะเอารถของปิงไปเก็บที่บ้านก่อน

 

                    เมื่อไปถึง ไมค์และพีทนั่งรออยู่หน้าบ้าน มีตัวพ่วงคือไอ้เนส ... ผมเปิดประตูรถลงไป ไมค์ก้าวยาวๆมาถึงข้างรถก่อนใคร แต่เสียงไอ้เนสดังสุด

                    “สาส” ไอ้เนสลากเสียงยาว “หล่อโคตรๆ” มันเข้ามาลูบกระโปรงรถผม

                    “Damn cool อ่ะพี่!!” ไมค์เดินวนรอบรถ

                    “สวัสดีครับ” พีทยกมือไหว้ปิงที่ยืนอยู่ข้างหลังของผม แล้วหันมาไหว้ผมอีกที “รถหล่อมากพี่เมฆ”

                    ผมยิ้มด้วยความภูมิใจและยักคิ้วตอบ

                    “Let’s go กันเถอะ อยากลองนั่งแล้ว” ไมค์ถูมือไปมา หน้าหล่อๆตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ

                    “ไปไหนกัน?” ไอ้เนสพี่เดินลูบรถผมไปรอบๆ เงยขึ้นมาถาม

                    “Kings Dominion!” ไมค์หันไปบอกด้วยเสียงอันดัง เหมือนเด็กที่กำลังโอ้อวด

                    “เห้ย! ได้ไงวะ ไปโดยไม่ชวนกูได้ไง?” ไอ้เนสโวย

                    “ห่า กูจะรู้ไหมว่ามึงว่าง” ตารางการทำงานของมันไม่แน่นอน ตั้งแต่มีเด็กเส้นเข้ามาทำงานในร้าน มันก็โยกตารางงานของมันเปลี่ยนไปเรื่อย ผมว่าอีกไม่นานมันคงลาออกจากร้านนี้

                    “มึงก็ควรชวนกูก่อนไหมสัส” มันเดินมายืดตัว ยื่นแขนขึ้นตบหัวผม ... ไอ้เนสมันเตี้ย มันบอกว่ามันสูง 175 แต่ผมว่า 170 ก็นับว่าโกงขั้นสุดแล้ว

                    ผมหันไปมองหน้าปิงเพื่อขอความคิดเห็น เขายักคิ้วหนึ่งข้าง เป็นอันว่าผ่าน

                    “เออ อยากไปก็ไปดิวะ” ผมตบหัวไอ้เนสคืน

                    “Go go go!!” ไมค์พูดพลางเปิดประตูรถด้านหลัง เร็วพอๆกับไอ้เนสที่เปิดประตูอีกฝั่ง ส่วนไอ้คุณหนูพีทหัวเราะอย่างเดียว เมื่อเห็นคนอื่นเข้าไปนั่งในรถ มันจึงก้าวตามเข้าไป

                    ผมหันไปส่งยิ้มให้กับปิง ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะหน้าข้างๆที่นั่งของผม

 

                    Kings Dominion อยู่ห่างจากวอชิงตันดีซีราวๆ 80 ไมล์ เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าจะมาถึง เพราะที่อเมริกากฎการจราจรของเขาเคร่งครัดกว่าบ้านเรา          ถ้าเหยียบเกินสปีดลิมิตเมื่อไหร่ คุณก็รอรับ ticket ที่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านได้เลย

                    ระหว่างทางไมค์คุยเรื่องรถกับผมด้วยความตื่นเต้นโดยมีไอ้เนสแทรกมาเป็นระยะ พีทมีหน้าที่หัวเราะไปตามจังหวะปล่อยมุกของไอ้เนส ส่วนคนที่นั่งข้างๆผม เงียบมาตลอดทาง แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าปิงอารมณ์ดี เพราะมีบางครั้งที่ปิงหัวเราะเบาๆกับมุกเบรคกันของไอ้เนสกับไมค์

                    สวนสนุกที่นี่เป็น Theme park ที่มีความหลากหลาย ทั้งเครื่องเล่นเอ็กซ์ตรีม สวนน้ำ ไดโนเสาร์ การแสดง ร้านอาหาร ร้านค้า และโชว์อีกมากมายที่เปลี่ยนไปตามเทศกาล เพราะฉะนั้นคนที่มาที่นี่จึงมีทุกเพศทุกวัย ไม่ได้เน้นแค่เด็กๆหรือวัยรุ่น

                    พีทและไมค์ดูจะสนุกที่สุด พวกมันเล่นเครื่องเล่นแทบทุกชนิด คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นไอ้เนส มันเล่นไปแค่ไม่กี่อย่างก็อ้วกแตก ถึงกับต้องมานั่งแผ่ ปล่อยให้เด็กหนุ่มๆเขาเอ็กซ์ตรีมกันต่อ

                    แต่คนที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุดคือปิง ผมไม่เคยคิดว่าคนที่นิ่งๆเงียบๆดูเป็นผู้ใหญ่อย่างเขาจะยอมเล่นเครื่องเล่นประเภทนี้ ทีแรกที่พีทชวนให้ขึ้น Anaconda ปิงเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อพีทคว้ามือปิงขึ้นมาจับแล้วพยักหน้า ปิงก็เดินตามไปแต่โดยดี ... ผมกับไมค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังหันมาสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าไมค์กำลังคิดอะไร เพราะแม้แต่ความคิดของผมเอง ผมยังไม่รู้เลย

                    เพราะไอ้เนสพ่ายแพ้ต่อ Anaconda ผมจึงต้องมานั่งเป็นเพื่อนมัน ปล่อยให้ 3 คนนั้นสนุกนำไปก่อน

                    “ไหวไหมวะมึง?” ผมตบไหล่ไอ้เนสที่ตอนนี้หน้าเหลืองอย่างกับไก่ต้ม

                    “ไหวดิ กูแค่แพ้แดด” มันยกกระป๋องโค้กขึ้นซด

                    “แพ้แดดแล้วมึงอ้วกด้วยงี้?” ผมแซวมัน

                    “เออ สัส มึงอยากล้อก็ล้อไป” มันวางกระป๋องโค้กลงแล้วหยิบทิชชู่ขึ้นซับเหงื่อ

                    “เออๆ กูไม่ล้อหรอก กูออกจะห่วงมึง นี่กูอุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อน” ผมตบไหล่มัน

                    “กูซึ้งเหี้ยๆ แม่ง” มันทำท่าฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด ขัดกับคำพูด

                    ผมหัวเราะให้กับท่าทางของมัน

                    “พี่ปิงมึงท่าทางสนุกโนะ ตั้งแต่รู้จักเขามา กูเพิ่งได้ยินเขาหัวเราะเสียงดังเหมือนคนปกตินี่แหละ” ไอ้เนสเอ่ยขึ้น ทำให้ผมต้องมองตามสายตาของมัน ...

                    ไกลออกไปหลายเมตรตรง Drop Tower พวกเขา 3 คนกำลังเดินตรงมายังทิศทางที่พวกผมนั่งอยู่ ไมค์กำลังพูดอะไรสักอย่าง แล้วพวกเขาก็หัวเราะ รวมทั้งปิงด้วย อยู่ๆพีทก็ถอดหมวกที่อยู่บนหัวตัวเองออก แล้วสวมไปบนหัวของปิง ปิงชะงักเท้า พีทจึงหยุดเพื่อหันไปจัดหมวกให้เข้าที่ ส่วนไมค์แค่หันไปมองแล้วก้าวเดินต่อ

                    “พี่ปิงของมึงนี่เป็นป่าววะ?” เสียงไอ้เนสแทรกขึ้นมา ทำให้ผมละสายตาจากภาพข้างหน้าแล้วหันมามองหน้ามันแทน

                    “เป็นไรวะ?” ผมถามเพราะไม่เข้าใจความหมายที่มันจะสื่อ

                    “ก็เป็นอย่างว่า มึงดูดิ กูว่าไอ้พีทแม่งชอบพี่ปิงว่ะ” มันพยักเพยิดไปยังภาพที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

                    “เป็นเหี้ยไรล่ะ มึงหมายความว่าไง?”

                    “ห่า มึงอยู่บ้านเดียวกันมาจะ 2 ปีละ เสือกทำเป็นไม่เข้าใจ ใครๆเขาก็ว่าพี่ปิงแม่งเป็นทั้งนั้น” ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าไอ้เนสหมายถึงอะไร ... จริงๆแล้วผมก็เคยได้ยินเข้าหูมาเหมือนกันว่ามีคนพูดถึงผู้จัดการร้านเฮียคิดว่าเป็นเกย์ บางคนถึงกับนินทาว่าที่ปิงได้กรีนการ์ดจากร้านนั้นทั้งๆที่เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่นาน เพราะมีอะไรกับเจ้าของร้าน ซึ่งผมว่ามันไร้สาระ จึงไม่ได้สนใจ ... อีกอย่างหนึ่ง ผมเองก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และใครเป็นใคร

                    แต่สิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจของผมอยู่ในตอนนี้ คือท่าทีของพีทที่มีกับปิง และความมีชีวิตชีวาของปิงเมื่อมีพีทอยู่ด้วย ... ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นในใจ ผมเคยคิดว่าผมคือคนเดียวที่ได้เห็นและสัมผัสปิงในมุมที่คนอื่นไม่เคยรู้เคยเห็น มันเป็นความภูมิใจของผมไม่น้อย แต่ตอนนี้คนที่ทำให้ปิงหัวเราะได้เสียงดัง กลับเป็นพีท ไอ้คุณหนูที่ปิงเพิ่งรู้จักเพียงไม่กี่วัน

 

                    พวกเรากลับออกมาจากสวนสนุกแล้วแวะร้านอาหารที่เน้นขายปูและอาหารทะเลโดยเฉพาะ โดยไอ้เนสเป็นคนเลือกร้าน เหตุผลสั้นๆเพราะมันอยากกินและทุกคนก็ไม่ขัดเพราะต่างก็ไม่มีไอเดียกันอยู่แล้ว

                    “แล้วจะกลับไทยเมื่อไหร่น้องพีท?” ไอ้เนสเอ่ยถามขณะที่มันหยิบปูไปกองไว้ตรงหน้า

                    “18 มิถุนาครับ” พีทตอบขณะที่กำลังเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาวางกุ้งที่แกะแล้วบนจานของปิง

                    “ขอบใจ พี่แกะเองได้” ปิงเงยหน้าขึ้นจากจานตรงหน้า

                    ผมเหลือบหางตามองกุ้งที่วางอยู่บนจานของปิง ... เด็กอนุบาลก็คงมองออกว่าไอ้พีทมันคงไม่เคยแกะกุ้งกินเองมาก่อน ... ยับเยินซะขนาดนั้น

                    “ถ้าชอบแกะ ก็แกะให้ฉันกิน” ไมค์เขี่ยกุ้ง 3-4 ตัวไปไว้ตรงหน้าพีท

                    พีทมองที่กุ้งแล้วมองหน้าไอ้ไมค์ “อยากกินนายก็แกะเองสิ”

                    “แกะ!!” ไมค์จับกุ้งวางกระแทกลงบนจานของพีท

                    ผมเริ่มหวั่นใจว่ามันจะวางมวยใส่กัน เพราะสีหน้าของทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ได้กำลังหยอกเย้ากันเล่น แต่แล้วเสียงสวรรค์ก็มาช่วยผ่อนผันสถานการณ์ลง

                    “ไมค์ชอบกินกุ้งเหรอ? เดี๋ยวพี่แกะให้” เสียงนุ่มๆของปิงแทรกขึ้นมา กุ้งที่ถูกแกะอย่างสวยงามถูกยื่นข้ามฝั่งไปวางบนจานของไมค์

                    “ขอบคุณฮะ แต่ไม่เป็นไร” ไมค์เอ่ยขอบคุณปิงแต่ทำหน้าเหมือนเด็กถูกขัดใจ แล้วมันก็กระทุ้งศอกใส่แขนไอ้พีทที่นั่งอยู่ข้างๆ “นายมันไม่ได้เรื่อง!”

                    “อะไรของนาย!” พีทกระแทกกลับคืนบ้าง

                    “เอ้าๆ พวกมึงทะเลาะกันไป กูจะกินให้หมดเลย” ไอ้เนสเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

                    “ปิงแกะให้เมฆสิ” ผมหันไปบอกปิง อยากจะปลอบที่เขาถูกไมค์ปฏิเสธน้ำใจ

                     ปิงหันมามองหน้าผมนิ่งๆ แต่แค่อึดใจเดียวกุ้งที่ถูกแกะอย่างสวยงามก็ถูกวางบนจานของผม ... ตัวที่ 1 ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ... ผมหยิบขึ้นมากินอย่างมีความสุข รู้สึกถึงชัยชนะเหนือใครๆในโต๊ะ

                    ส่วนไอ้เด็กสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยังคงไม่เลิกกระแทกกระทุ้งกันกลับไปกลับมา

                    “นายกล้าขัดใจฉันหรือไง?” ไมค์บ่นขณะที่ใช้ค้อนเล็กๆทุบลงไปบนก้ามปู “โอ้ย!” แล้วอยู่ๆมันก็ร้องออกมา

                    ทุกคนหันไปมองมันเป็นตาเดียว แต่คนที่เอ่ยถามขึ้นมาคนแรกคือไอ้พีท

                    “เป็นไร? เข้าตาไหม?” พีทจับหน้าของไมค์ที่ตอนนี้กำลังหลับตาปี๋ เพราะตอนที่มันทุบก้ามปู ผงที่โรยมาบนตัวปูคงกระเด็นเข้าตามันพอดี

                    ไมค์สะบัดหน้าหนี ไอ้พีทจึงบีบคางมันเอาไว้แล้วบังคับให้ไอ้ไมค์หันมาทางมัน ... ไอ้คุณหนูหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาปัดๆบริเวณหัวตาให้ไอ้เด็กเชื้อฝรั่ง

                    “ลองลืมตาดูสิ” มันออกคำสั่ง ไอ้ไมค์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย “แสบไหม?” พีทถามย้ำพร้อมซับน้ำตาที่ซึมออกมาจากหัวตาให้ไมค์

                    ไมค์ส่ายหน้า แล้วก้มหน้างุด มันหยิบค้อนจะมาทุบก้ามปูต่อ แต่ถูกพีทแย่งทั้งค้อนทั้งปูมาถือเอาไว้

                    “มานี่ เราแกะให้” ไอ้พีทเอ่ย มันทุบก้ามปูด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

                    ไอ้คนนั่งข้างๆจึงดึงกลับคืนไป “ฉันแกะเอง”

                    เพียงครู่เดียวเนื้อปูขาวๆก็ถูกแกะออกมา ไมค์วางมันลงบนจานของพีท แล้วออกคำสั่งสั้นๆ “กิน”

                    พีทหยิบปูขึ้นมากินอย่างว่าง่าย ... เป็นอันว่าสงครามฝั่งนั้นก็จบลงอย่างสงบ โดยมีเสียงของไอ้เนสพึมพำอยู่ข้างๆผม “แม่ง กูนึกว่าผัวเมียทะเลาะกัน”

 

                    พวกเราออกมาจากร้านอาหารราวสามทุ่มกว่าๆ จากร้านนี้เราจะผ่านบ้านของผมก่อน ปิงจึงขอให้ผมแวะส่งเขาที่บ้าน ก่อนจะเลยไปส่งพวกไอ้เนส

                    ผมเลี้ยวเข้าจอดตรงริมฟุตบาตรหน้าบ้าน เมื่อทุกคนด้านหลังรถร่ำลากันเรียบร้อย ปิงก้าวลงจากรถ โดยมีไอ้เนส   สลับจากข้างหลังเพื่อมานั่งข้างๆผมแทน

                    ผมมองตามร่างบางของปิงเพื่อรอให้เขาเข้าบ้านและเปิดไฟให้เรียบร้อยเสียก่อน แต่เมื่อปิงเดินไปเกือบถึงบันได ร่างของใครบางคนที่คงนั่งรออยู่ตรงนั้นก็ลุกขึ้นยืน

                    จากแสงไฟริมถนน แม้จะไม่สว่างจ้ามากนัก แต่ผมก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกับปิงคือใคร ...

 

                    ผมกลับถึงบ้าน ไฟตรงระเบียงถูกเปิดเอาไว้ เมื่อมองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องนอนของปิง กลับมืดสนิท ... ไฟในบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ 1 หลอดตรงโถงบันได

                    ผมก้าวขึ้นบันได ลังเลว่าจะไปเคาะห้องของปิงดีไหม และแล้วความกังวลบางอย่างในใจก็นำพาผมไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนของปิง ... ผมเคาะประตูแล้วยืนรอ ภายในห้องเงียบกริบ

                    “ปิง” ผมเอ่ยเรียกพร้อมเคาะอีกรอบ ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับมา ผมจึงลองขยับลูกบิดดู ... มันไม่ได้ล็อก เมื่อผลักบานประตูเข้าไป ภายในห้องมืดสลัว แสงไฟจากริมถนนส่องเข้ามาทางช่องกระจกเหนือหน้าต่าง ทำให้มองเห็นว่าภายในห้องนอนนั้นว่างเปล่า ผ้าห่มยังคลุมอยู่บนเตียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

                    ผมปิดประตูลงและเดินกลับห้องของตัวเอง เมื่อเข้ามานั่งบนเตียงด้วยความร้อนใจ บางอย่างสั่งให้ผมกดโทรออกเบอร์ของปิง ... เขาไม่รับสาย นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนรน จึงโทรออกไปอีกครั้ง ... เสียงเรียกเข้าดังอยู่นาน แต่ในที่สุดปลายสายก็ตอบกลับมา

                    /เฮลโหล/ เสียงของปิง

                    “อยู่ไหน?” ผมถามกลับไปโดยไม่สนใจที่จะทักทาย

                    ปิงเงียบไปสักครู่ก่อนตอบ /แถวๆแฟร์แฟ็กซ์/

                    “อยู่กับใคร?” ผมถามทั้งๆที่มีคำตอบอยู่ในใจ

                    /คุณกร/ น้ำเสียงของปิงฟังแผ่วลงเมื่อเอ่ยชื่อของคนๆนั้น

                    “จะกลับหรือยัง? เมฆจะออกไปรับ” ความรู้สึกร้อนรนภายในคล้ายจะโหมแรงขึ้นเมื่อได้ยินชื่อนี้

                    ปิงเงียบไปอีกครั้ง

                    “อยู่ตรงไหน เมฆจะออกไปรับ”

                    /คืนนี้ไม่กลับ/

                    คำตอบของปิงเหมือนมีใครเอาไฟมาจี้ที่กลางใจ

                    “มีอะไรหรือเปล่า?” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่ง

                    /เมฆ ... คุณกรไม่ใช่เพิ่งจะเคยมา/

                    “...”

                    /ไม่ต้องเป็นห่วง/

                    “...”

                    คำตอบของปิง ล้วนเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังดิ้นรนที่จะก้าวล้ำเข้าไปในเขตอันตราย ที่มันจะทำให้เจ็บ

                    /เมฆ .../ เสียงเรียกชื่อของผมที่ดังมาจากปลายสาย เหมือนกำลังเตือนให้รู้ว่า ผมเป็นใคร ...

                    “อือ” ผมส่งเสียงตอบ ในลำคอขณะนี้คล้ายมีก้อนบางอย่างจุกจนตีบตัน

                    /ขอบใจนะ/

                    เมื่อเสียงของปิงเงียบลง สัญญาณตัดสายก็ดังขึ้น

                    ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ...

 

                    ในอกหนักอึ้งและปวดแปลบ ความรู้สึกเหมือนกำลังอกหัก ... แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? ...
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #20 [updated 7/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 08-06-2016 13:09:44
เมฆ น่าฉงฉาน :o12: พี่ปิงเสน่ห์แรงเกิ๊นนน
ส่วนไมค์พีท ทะเลาะบ่อยๆ เค้าว่าลูกดกนะ :laugh:


ปล. เนสนี่มองออกหมดเลยเนอะ ตัวชงชัดๆ ขำดี
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #20 [updated 7/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 08-06-2016 21:07:45
ปล่อยพี่ปิงไปดีมั้ย แล้วเราก็วนกินกันเอง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #21 [updated 13/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 13-06-2016 21:38:29
# 21 (PETE)

 

                    พี่เมฆมาส่งพวกเราที่บ้านแล้วรีบกลับทันที พี่เนสกำลังจะร่ำลา แต่ก็ต้องโบกมือค้าง

                    “เอ้ย เหี้ย มันจะรีบไปไหนของมันวะ?” พี่เนสบ่นอย่างหัวเสีย

                    ผมกับไมค์ได้แต่มองหน้ากัน

                    “พี่ขึ้นห้องละ เหนียวตัว อยากอาบน้ำ” พี่เนสตบไหล่ผม แล้วหันไปพยักเพยิดให้ไมค์ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

                    เมื่อพี่เนสไปแล้ว แต่ไมค์ยังยืนนิ่ง ผมจึงชิงพูดขึ้นก่อน “ฉันก็เหมือนกัน รู้สึกไม่สบายตัว อยากอาบน้ำเต็มที”

                    ไมค์พยักหน้า แล้วหันหลังเดินจากไป ... ผมเริ่มแปลกใจในท่าทีที่ว่าง่ายของไมค์ แต่อาจจะไม่มีอะไร เขาเองก็คงจะเหนื่อยและอยากไปพักผ่อนเหมือนกัน

 

                    เมื่อกลับเข้ามาอยู่เพียงลำพังในห้อง ความคิดก็กลับมาวนเวียนตั้งแต่แวะส่งพี่ปิงที่บ้าน และมีใครคนหนึ่งรอเขาอยู่ ... แม้แสงไฟในยามค่ำคืนจะไม่สว่างมากนัก แต่ก็พอทำให้เห็นรูปร่างและหน้าตาของคนๆนั้นได้ชัดเจน ความคุ้นเคยบางอย่างทำให้ภาพของเขารบกวนจิตใจผมตั้งแต่นาทีนั้น แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเขาคือใคร และผมเคยพบเจอเขาที่ไหน

                    ความสงสัยใคร่รู้ทำให้ผมส่งข้อความไปหาดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

                    ผม – ถึงบ้านแล้วครับ

                    ผม – วันนี้ผมสนุกมาก ขอบคุณนะครับ

                    ผม – พี่ปิงอาบน้ำนอนหรือยัง

                    ผม – นอนหลับฝันดีนะครับ

                    แต่ละข้อความถูกส่งห่างกันราวๆ 5 นาที แต่ทั้งหมดก็ไม่ถูกเปิดอ่าน

 

                    แม้จะไม่รู้ว่าวันนั้นที่ไปช้อปปิ้งด้วยกันพี่ปิงโกรธอะไร แต่มาวันนี้เขาไม่ได้มึนตึงกับผม ก็ทำให้หายกังวัล และตั้งแต่คืนนั้นที่พี่ปิงส่งภาพถ่ายของผมที่มีพ่อและแม่จูงมือมาให้ ผมก็มีความกล้าที่จะเดินเข้าหาเขามากขึ้นอีกก้าว แม้ว่าพี่ปิงจะไม่เคยจดจำเรื่องราวของผมเลย แต่อย่างน้อยในเสี้ยวเวลาหนึ่งเขาก็ได้บันทึกมันเอาไว้เป็นภาพถ่ายที่เขาบอกกับผมว่าเป็นภาพที่น่าประทับใจ เพราะเขาเองไม่เคยมีช่วงเวลาเช่นนั้นในวัยเด็กอย่างผม

                    พี่ปิงเป็นคนพูดน้อย ผมจึงแทบไม่รู้เรื่องราวอะไรของเขาเลย ส่วนผมเองก็ไม่กล้าจะซักถาม เพราะรู้สึกได้ถึงโลกส่วนตัวของเขาที่ไม่ต้องการให้ใครก้าวเข้าไป

                    แต่อย่างน้อยผมก็ได้ทักทายเขาผ่านทางไลน์วันละ 2 ครั้ง คือช่วงเช้าเมื่อตื่นนอนและช่วงกลางคืนก่อนเข้านอน ผมเคยส่งภาพเซลฟี่บนเตียงไปให้พี่ปิง และขอให้เขาส่งภาพของเขามาให้บ้าง พี่ปิงเงียบหายไปหลายนาที ก่อนจะส่งภาพถ่ายโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงมาให้ ผมใช้ภาพนั้นเป็นสกรีนหน้าจอโทรศัพท์ แม้จะไม่มีพี่ปิงอยู่ในภาพ แต่ผมก็รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น

 

                    เมื่ออาบน้ำออกมา พบว่ามีข้อความเข้าจากแบม เธอต้องการพบผมอีกสักครั้งก่อนที่ผมจะกลับไปวิสคอนซิน เธอคงรู้จากไมค์แล้วว่าผมจะไปวันไหน

                    ผมลังเลว่าควรจะพบกับแบมดีหรือไม่ แม้ความเสียใจจากการถูกทิ้งจะไม่มากมายอย่างที่คิดว่ามันควรจะเป็น แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าในอกมันยังปวดแปลบเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าตลอดเวลาหลายเดือนก่อนที่จะมาที่นี่ แบมพูดคุยกับผมเพียงเพราะความสงสาร

                    ผม – แบมอยากนัดเจอเรา

                    ผมเลือกที่จะส่งข้อความหาไมค์ โดยยังไม่ตอบข้อความของแบม รอไม่นานไมค์ก็ตอบกลับมา

                    ไมค์ – ก็ไปสิ

                    ผม – จะดีเหรอ

                    ไมค์ – แล้วไม่ดียังไง

                    คำถามย้อนกลับของไมค์ทำให้ต้องหยุดคิด ... ก็คงจะจริง การไปพบแบมมันไม่ดียังไง?

                    ผม – ก็คงดีมั้ง

                    ไมค์อ่านแต่ไม่ตอบ

                    ผม – นายไปด้วยกันนะ

                    ผมคิดว่าถ้ามีไมค์อยู่ด้วย อาจทำให้บรรยากาศระหว่างผมและแบมไม่ตึงเครียดจนเกินไป

                    ไมค์ – ทำไมฉันต้องไป

                    ผม – เพราะนายเป็นเพื่อนเราและเป็นเพื่อนแบม

                    ไมค์ – พวกยูควรคุยกัน 2 คน

                    ผม – มันไม่มีเรื่องของ 2 คนระหว่างเรากับแบมอีกแล้ว

                    ไมค์เงียบไปอีกสักพัก

                    ไมค์ – เมื่อไหร่

                    ผม – นายหมายถึงวันไหนใช่ป่าว

                    ผม – เอาที่นายสะดวก เราจะได้บอกกับแบม

                    ไมค์ – วันจันทร์

                    ผม – โอเค งั้นเดี๋ยวเรานัดแบม

                    ผม – ขอบคุณนะไมกี้

                    ไมค์ – ขอบคุณเรื่องอะไร

                    อยู่ๆก็นึกอยากได้ยินเสียงของไมค์ขึ้นมา ผมจึงเลือกโทรออก เสียงเรียกดังแค่ 2-3 ครั้ง ทางนั้นก็รับสาย

                    ผมกรอกเสียงลงไปทันที “ขอบคุณที่นายแกะปูให้เรากินจนพุงกางไง”

                    ผมลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงท่าแกะปูอย่างตั้งอกตั้งใจของไมค์ แม้จะบอกว่าไม่ต้อง เขาก็ไม่ยอมฟัง     ทำเอาคนแกะปูไม่เป็นอย่างผมได้กินจินอิ่มแปล้

                    /นายมันงี่เง่า ขืนให้แกะเองคงเสียของ/ เสียงจากปลายสายฟังกุกกัก

                    “นายทำไรอยู่?”

                    /นอนสิ ดูเวลาซะบ้าง/ แม้จะบอกว่านอน แต่ฟังแล้วเสียงทางนั้นยังสดใสอยู่เลย

                    “นอนเร็วไปนะ” ผมรู้ว่าปกติไมค์จะนอนดึกกว่านี้ เพราะเขามักจะฟังเพลงและแชทกับเพื่อนๆ ซึ่งเวลานั้นถือเป็นเวลาส่วนตัวที่สุดของเขา ... ผมรู้เพราะเขาเคยเล่าให้ฟัง

                    /พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นไปวัดกับคุณย่า/

                    “ไม่เห็นชวน” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่ไมค์ไม่บอกผมเรื่องนี้ ทั้งๆที่เมื่อครั้งก่อนเขายังชวนผมไปด้วยแท้ๆ

                    /ไม่คิดว่านายจะว่าง เห็นไปนั่นไปนี่กับคนนู้นคนนี้/ น้ำเสียงจากทางนั้นแม้จะตอบแบบเนือยๆ แต่ผมสัมผัสได้ถึงการประชดประชัน

                    “เราว่าง ไปด้วยดิ” การไปวัดกับคุณย่าและไมค์ คงดีกว่าการแกร่วอยู่กับบ้านเพราะพี่ปิงเองก็ทำงาน และคงเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ง้อไมค์ในเรื่องที่ลืมบอกเขาวันที่ไปช้อปปิ้งกับพี่ปิง

                    เสียงถอนหายใจลอยมาตามสาย /ตื่นเองนะ ฉันไม่ปลุก/

                    “โอเค้” ผมยิ้มให้ฝ้าเพดาน แบบนี้คงหมายความว่าไมค์หายโกรธแล้ว

                    /นอนละ/

                    “ฝันดีไมกี้”

                    /G’nite/

 

                    เมื่อวางสายจากไมค์ ผมส่งข้อความไปแจ้งแบมเรื่องนัด และส่งข้อความหาพ่อกับแม่ เล่าเรื่องไปสวนสนุก และพรุ่งนี้จะไปวัด

                    ข้อความที่ส่งถึงดอกไฮเดรนเยียสีม่วงยังไม่ถูกเปิดอ่าน ... พี่ปิงกำลังทำอะไรอยู่ หรือเขาจะหลับไปแล้ว? …

 

                    เช้าวันอาทิตย์ผมตื่นแล้วเดินไปหาไมค์ที่บ้าน การไปวัดครั้งนี้แทบไม่แตกต่างกับครั้งก่อน มีเพียงน้าเจนี่ที่ไม่ได้ไปด้วย แต่เป็นคุณพ่อคุณแม่ของไมค์ที่ไปแทน

                    เมื่อกลับจากวัดน้าเจนี่ทำข้าวคลุกกะปิสำหรับมื้อเที่ยงไว้ให้พวกเรา ผมว่ารสชาติดีกว่าที่เคยกินแถวๆบ้านซะอีก ไมค์บอกว่าเป็นสูตรของคุณย่า

                    เมื่อก่อนคุณย่าเคยเปิดร้านอาหารไทยอยู่พักหนึ่ง แต่เพราะลูกๆไม่อยากให้ท่านทำงานแล้ว จึงต้องปิดกิจการลง ทั้งคุณพ่อของไมค์และน้าเจนี่ต่างไม่มีใครสนใจที่จะดำเนินธุรกิจต่อ เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่การงานที่มั่นคงทำกันอยู่แล้ว

                    หลังจากกินอิ่มกันแล้ว ไมค์ชวนผมขึ้นไปเล่นเกมบนห้องของเขา ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นห้องของไมค์ ... เมื่อเปิดประตูเข้าไป เตียงนอนที่ตั้งอยู่กลางห้องคลุมทับด้วยผ้าห่มลายธงชาติอเมริกาเป็นจุดเด่นของสายตา บนผนังมีโปสเตอร์วงควีนแผ่นใหญ่โดดเด่น ข้างๆเป็นภาพเดี่ยวของ Freddie Mercury และภาพขนาดโปสการ์ดอีกหลายสิบภาพแปะอยู่เต็มผนัง ซึ่งมองดูคร่าวๆอาจเป็นภาพของไมค์และเพื่อนๆของเขา เหนือเตียงมีไฟดวงเล็กๆ เรียงร้อยเป็นสายระโยงระยางลงมาจากฝ้าเพดาน ผนังด้านซ้ายมีโซฟายาวที่ถูกจับจองด้วยเป้ แจ็คเก็ต 2-3 ตัวและแผ่นซีดีกองๆอยู่หลายแผ่น ส่วนผนังอีกฟากเป็นหน้าต่าง มีโต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยโมเดลซุปเปอร์ฮีโร่ ... ลูกบาสเก็ตบอลที่เราใช้เล่นกัน นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นข้างเตียง

                    “นายเป็น FBI มาสืบสวนคดีหรือไง” ไมค์พูดพร้อมหยิบลูกบาสขึ้นมาโยนใส่ผม โชคดีที่ผมไหวตัวทัน จึงรับเอาไว้ได้

                    “ห้องนายแนวดี” ผมกวาดตาไปรอบๆห้องอีกครั้ง

                    “แนว?” ไมค์กอดอก เขาคงไม่เข้าใจความหมายของคำว่าแนว

                    “ก็ อืม มีสไตล์ อะไรแบบนั้น” ผมพยายามอธิบาย ห้องไมค์เหมือนจะรกแต่ไม่รก คงเพราะเขามีของเยอะ แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะวางอยู่ในที่ทางของมัน

                    ไมค์ยักไหล่แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ผมเดินไปอีกฝั่งและเอนตัวลงข้างๆ แต่เพราะเตียงของไมค์เป็นเตียงเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียว ผมจึงใช้ตัวเบียดให้เขาขยับเพื่อหาพื้นที่ให้ตัวเอง

                    “นายจะมาเบียดฉันทำไม?” ไมค์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ แต่ก็ขยับตัวเพื่อให้ผมได้นอนลงไป

                    “ก็ทีนายยังไปนอนเตียงเราบ่อยๆ” แม้ไมค์จะขยับแล้ว แต่ไหล่ของผมก็เกยอยู่บนไหล่ของเขานิดหน่อย เพราะตัวของเราสองคนใช่ว่าจะเล็กกันเสียเมื่อไหร่

                    “ก็นั่นมันบ้านฉัน” ไมค์ใช้สิทธิ์เจ้าของบ้านอย่างหน้ามึนๆอีกตามเคย

                    “ฉันจ่ายค่าเช่าป่ะวะ?” ผมก็เถียงเขาด้วยประโยคเดิมๆ

                    “Whatever” ไมค์กระแทกขาของเขาใส่ขาผม

                    ผมไม่คิดจะโต้ตอบเพราะรู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้น และความจริงแล้วผมก็ไม่เคยนึกรำคาญหรือไม่พอใจไมค์เลยสักครั้งที่เขาไปถือกรรมสิทธิ์เจ้าของบ้านบนเตียงนอนในห้องเช่าที่ผมต้องจ่ายเงินให้กับเขา เพราะการที่มีไมค์อยู่ข้างๆ มันทำให้ผมอุ่นใจและไม่รู้สึกเดียวดาย

                    “นายชอบวงควีนเหรอ?” ผมถามเพราะนึกขึ้นได้ว่าจะถามตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องครั้งแรก

                    “Yah”

                    “We are the champions my friends …” ผมร้องท่อนฮุกของเพลงที่แทบจะเป็นเพลงประจำชาติของวง

                    “No times for losers.” ไมค์เอ่ยประโยคหนึ่งในเนื้อเพลงออกมา เขาไม่ได้ร้องเป็นทำนอง แต่คล้ายๆการรำพึงกับตัวเอง

                    เราหันมาสบตากัน ... ดวงตาคมสีน้ำตาลวาวและสันจมูกแหลม อยู่ห่างแค่คืบ ... ผมรู้สึกหวิวในท้องขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

                    “He’s a legend.” ไมค์เอ่ย ก่อนจะหันหน้ากลับไป

                    ผมสูดหายใจลึก แปลกใจกับความรู้สึกของตัวเองเมื่อสักครู่ … ผมดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง บางทีการนอนเบียดกันอย่างนี้อาจทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดเพี้ยนไปก็เป็นได้

                    “นายชวนเรามาเล่นเกมไม่ใช่เหรอ?” ผมหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง

                    ไม่มีคำตอบจากไมค์ แต่กลับรู้สึกถึงมือที่เอื้อมมาจับที่ต้นคอ แล้วผมก็ถูกดึงให้กลับลงไปนอนในท่าเดิม

                    “ฉันไม่อยากเล่นเกม” ไมค์พูดพร้อมกับพลิกตัวขึ้นมาเท้าแขนคร่อมอยู่เหนือร่างของผม

                    ในใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ มันผิดจังหวะไปหมด ยิ่งเมื่อสบกับดวงตาคมกริบที่มองลงมา แทนที่จะตกใจกับท่าทางแปลกๆของไมค์ ผมกลับรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

                    “นายจำคำถามของฉันเมื่อครั้งก่อนได้ไหม?” ไมค์เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

                    ผมที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ร่างของเขา พยายามคิดทบทวนว่าคำถามนั้นคืออะไร ...

                    “นายอย่าบอกนะว่าจำไม่ได้” ไมค์ย่นหัวคิ้ว

                    จะตอบอย่างไรดี ก็ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาหมายถึงคำถามไหน ในเมื่อเราคุยกันสารพัดเรื่อง

                    “เฮ่อ!” ไมค์ถอนหายใจยาว เขาคงระอากับความไม่เอาไหนของผม

                    “ก็ ...” ผมพยายามจะหาทางแก้ตัว ในขณะที่สมองกำลังทบทวนถึงคำถามของไมค์ ... หรือเขาจะหมายถึงเรื่องนั้น? แต่ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยตอบ อยู่ๆไมค์ก็งอแขนลง ทำให้ใบหน้าของเขาลดต่ำลงมา จนปลายจมูกของพวกเราแทบจะชนกัน

                    “ถ้าฉันจูบนายตอนนี้ นายจะต่อยฉันไหม?” คำถามแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบของไมค์คล้ายมีใครเป่าลมเข้าไปในอกข้างซ้ายของผมจนรู้สึกโหวงเหวง

                    “อะ อะไร นายหมายความว่าไง?” ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ชั่วแว้บหนึ่งที่คิดว่าควรจะผลักไมค์ออกไป แต่แล้วก็ไม่ได้ทำ

                    “ฉันอยากจูบนาย” ไมค์ขยับใบหน้าลงมาใกล้จนริมฝีปากของเราแทบจะสัมผัสกัน

                    ผมหลับตาและยกแขนขึ้นผลักอกไมค์ออกไปในที่สุด ... ไมค์กลิ้งตกลงไปข้างเตียงเสียงดังโครม ผมตกใจจึงรีบลุกขึ้นนั่งและก้มลงไปมองข้างเตียง

                    “เจ็บไหม!? เราขอโทษ” ผมใจเสียเพราะรู้ตัวว่าผลักเขาสุดแรง

                    “ฮ่าๆๆๆ” แต่ไมค์ที่นอนแผ่อยู่บนพื้นข้างเตียงกลับหัวเราะเสียงดังลั่น

                    ผมที่นั่งอยู่บนเตียงจึงได้แต่มองอย่างงงๆ

                    “ฉันโชคดีใช่ไหมที่นายไม่ได้ปล่อยหมัดออกมา” เขาพูดและยังหัวเราะหึๆในลำคอ

                    “ก็ ... เราตกใจ นายเล่นอะไรพิเรนทร์” แม้ไมค์จะหัวเราะ แต่สีหน้าของเขากลับทำให้ผมรู้สึกผิดยิ่งขึ้น

                    “ฉุดฉันขึ้นที” เขาส่งมือมาให้ผม

                    ผมดึงเขาขึ้นมาและไมค์ก็นั่งลงบนเตียงข้างๆผม

                    “นายล้อเราเล่นใช่ไหม?” ผมก้มหน้าถาม ไม่กล้ามองสบตาเขา ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าไมค์กำลังคิดอะไรอยู่

                    “เปล่า ... ฉันอยากจูบนายจริงๆ” แม้ผมจะไม่ได้เห็นสีหน้าของไมค์ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเขา มันทำให้ผมรู้ว่าไมค์ไม่ได้ล้อเล่น

                    “ทำไม?” ผมบอกไม่ถูกว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร

                    “ถามโง่ๆ นายไม่เคยรู้สึกอยากจูบใครสักคนหรือไง?”

                    “กะ ก็ ...” ผมนึกถึงริมฝีปากแดงระเรื่อของพี่ปิงขึ้นมา

                    “ว่าไง?”

                    “แต่เราเป็นผู้ชายนะไมค์” คำพูดของผมย้อนแย้งกับความรู้สึกที่มีอยู่ข้างใน

                    “นายแคร์ด้วยเหรอ?”

                    คำถามของไมค์ทำให้ผมเงยหน้าขึ้น และพบว่าเขากำลังมองผมอยู่

                    “ถ้าฉันชอบซะอย่าง ฉันก็ไม่แคร์หรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” ไมค์พูดทั้งที่ยังจ้องตากับผม

                    “แต่ ...” ผมเลือกที่จะหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น เพราะประโยคที่เหลืออาจทำให้ไมค์ต้องเสียใจ

                    ไมค์ไม่ยอมละสายตาไปจากผม เขาคงกำลังรอคำพูดที่เหลือ แต่ผมเลือกที่จะเลี่ยงมันโดยการก้มหน้าลงเช่นเดิม

                    “นายแน่ใจได้ยังไงว่านายชอบเราจริงๆ” ผมตั้งคำถามเพื่อให้ไมค์มีโอกาสทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง เขาเพิ่งรู้จักผมได้เพียงไม่กี่วัน เขาจะมั่นใจได้ยังไงว่าความรู้สึกนั้นมันคือความชอบจริงๆ

                    “ใจของฉัน ทำไมฉันจะไม่รู้” ไมค์โน้มตัวไปข้างหน้า วางแขนไว้บนต้นขา มือสองข้างประสานกันอย่างหลวมๆ

                    จากคำตอบของเขา ผมไม่มีอะไรจะโต้แย้ง

                    “เราก็ชอบนายนะไมค์ แต่ในฐานะเพื่อน นายเป็นเพื่อนที่ดีมาก แม้เราจะเพิ่งรู้จักกัน แต่เราก็ชอบนายมากนะ” หวังว่าคำตอบของผม คงไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกของเขา

                    “หึ ...” เสียงแค่นหัวเราะในลำคอของไมค์ คล้ายของมีคมที่จิ้มลงไปในอกของผม “นายอาจเพิ่งรู้จักฉันแค่ไม่กี่วัน แต่นายรู้ไหมว่าฉันรู้จักนายมานานแค่ไหน?”

                    ผมประสานนิ้วเข้าด้วยกันแล้วบีบมันจนแน่น

                    “ฉันรู้จักนายตั้งแต่แบมมาเข้าเรียนที่นี่ ฉันรู้ทุกเรื่องของนายเท่าที่แบมรู้”

                    ผมสูดหายใจลึก แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไมค์จะรู้จักผมมาก่อนเพราะเขาคือเพื่อนของแบม แต่การที่เขาบอกว่าเขารู้ทุกเรื่องของผมเหมือนที่แบมรู้ ... ผมควรรู้สึกอย่างไร?

                    ผมควรไม่พอใจที่แบมนำเอาเรื่องของผมมาเล่าให้คนอื่นฟังจนหมด หรือผมควรจะปลื้มใจที่ไมค์ให้ความสนใจกับเรื่องราวของผม ... แต่มันใช่เวลาที่ผมต้องมาคิดเรื่องนี้ไหม?

                    “แต่คือ เราชอบนายอย่างเพื่อน นายเข้าใจเราไหม?” ผมไม่เคยคิดกับไมค์มากไปกว่านั้นจริงๆ “เวลาเราอยู่กับนาย เรารู้สึกดีนะเว้ย คือเราสนุกและมีความสุขนะ แต่คือนายเข้าใจไหม คือเรา เราไม่ ...” ผมจะบอกยังไงดี

                    “นายไม่ได้ชอบฉัน” ไมค์เอ่ยต่อประโยคที่ไม่จบของผม

                    “เราชอบนายนะ แต่ ...” ผมพยายามหาคำอธิบายเพื่อไม่ให้ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่าย

                    “นายชอบฉันแบบเพื่อน” ไมค์เอ่ยแทนประโยคที่ผมนึกไม่ออก

                    “... อืม”

                    หลังจากนั้นเราทั้งสองต่างเงียบกันไปนาน ... นานจนผมเริ่มอึดอัด

                    “เราขอโทษ” ผมเอ่ยขึ้นในที่สุด และเพราะผมต้องการจะขอโทษเขาจริงๆ ที่ผมไม่สามารถสนองตอบความต้องการของเขาได้

                    “ไม่ต้องขอโทษ” ไมค์ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เขาหันมาจ้องหน้าผม และผลักผมลงบนเตียงอีกครั้ง เขาโน้มตัวมาคร่อมตัวผมเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลคล้ายมองสำรวจไปทั่วใบหน้าของผม จนทำให้เกิดความร้อนวูบวาบขึ้นที่แก้ม ผมเอียงหน้าเพื่อหลบสายตาคู่นั้น “เพราะฉันยังไม่ยอมแพ้” ประโยคนี้ถูกกระซิบที่ข้างหู ลมร้อนๆจากริมฝีปากของไมค์เหมือนกำลังจะเผาไหม้ใบหูของผมให้หลอมละลาย

                    ผมหันกลับมามอง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระจากการถูกคร่อม ...

                    “อื้อ ...” ไมค์ยืนยืดแขนขึ้นด้านบน บิดตัว 2-3 ครั้ง “ฉันอยากเล่นบาส” ไม่ใช่แค่ท่าทีที่เปลี่ยนไป แต่น้ำเสียงที่เคยจริงจังเมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนไปด้วย ไมค์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับเป็นเหมือนไมค์คนเดิมที่มีความสดใสและเอาแต่ใจ

                    ผมดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง

                    “ไปเล่นบาสกัน” ไมค์ก้มหยิบลูกบาสที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาเลี้ยง

                    “นายไม่โกรธเราเหรอ?” ผมยังรู้สึกผิดอยู่ในใจ

 

                    ไมค์มองหน้าผม เขายกยิ้มที่มุมปาก ในขณะที่มือยังเลี้ยงลูกบาสอยู่ข้างตัว ... ในเสี้ยววินาทีนั้นผมมองว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ ... โคตรเท่
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #21 [updated 13/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 14-06-2016 15:10:55
เชียร์ไมค์ จีบพีทให้ติดนะ  :mew1:
แต่พีทคงต้องเคลียร์ความรู้สึกที่มีต่อพี่ปิงให้ได้ก่อน ไม่งั้นไมค์คงหึงดะ เมฆอีกคน 5555+
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #21 [updated 13/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 16-06-2016 23:39:56
เชียร์ไมค์ จีบพีทให้ติดนะ  :mew1:
แต่พีทคงต้องเคลียร์ความรู้สึกที่มีต่อพี่ปิงให้ได้ก่อน ไม่งั้นไมค์คงหึงดะ เมฆอีกคน 5555+

ขอบคุณนะคะที่คอยคอมเมนท์ให้ตลอดเลย
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 22-06-2016 22:54:09
22 (MHEK)

 

                    ปิงหายไปทั้งคืน ... ขณะนั่งเรียนในคลาส สมาธิของผมไม่อยู่กับบทเล็คเชอร์ของอาจารย์เลยแม้แต่น้อย เมื่อจบคาบสุดท้ายผมก็รีบเก็บข้าวของลงเป้แล้วบึ่งรถกลับบ้านทันที ... หวังว่าจะได้เจอปิงที่นั่น

                    แต่แล้วเมื่อมาถึง ผมก็พบแค่ความว่างเปล่า วันนี้วันจันทร์ ปกติแล้วปิงต้องไปทำงาน ... หรือบางทีเขาอาจจะอยู่ที่ร้านก็เป็นได้ ผมภาวนาให้ปิงอยู่ที่นั่น แทนที่จะหายตัวไปกับคุณกรอย่างทุกครั้ง

 

                    ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถใหม่ของผมก็มาจอดอยู่ที่ลานจอดหน้าร้านของเฮียคิด … ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไปขณะก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าว

                    แทนที่จะเดินไปยังประตูทางเข้าด้านข้าง ผมเลือกเดินตรงไปที่กระจกบานใหญ่ด้านหน้า เมื่อมองเข้าไปจากตรงนั้น ด้านในของร้านคือเคาน์เตอร์ที่ปิงต้องยืนอยู่ประจำ

                    ผมมาหยุดยืนอยู่ตรงกระจกบานใหญ่ ภายในร้านห่างออกไปจากจุดนี้ราวๆ 10 เมตร ณ เคาน์เตอร์ตรงนั้นว่างเปล่า ... หัวใจที่เต้นตึกๆเมื่อสักครู่ คล้ายมีมือของใครสักคนมาบีบเพื่อบังคับให้มันหยุดเต้น ... แต่ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ร่างๆหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากเคาน์เตอร์บาร์ หัวใจที่ถูกบีบเมื่อสักครู่กลับรู้สึกราวถูกปลดปล่อย มันกลับมาเต้นตุบๆอีกครั้ง ... ผมสาวเท้ายาวๆตรงไปยังประตูที่อยู่ด้านข้างของร้าน

                    “มาทำอะไร?” ดวงตายาวรีของปิงเบิกกว้าง

                    ผมที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ กัดปากตัวเองเอาไว้เพราะกลัวเผลอยิ้มออกมา “มา ... อืม มาถามเฮียคิดว่าจะให้เริ่มงานวันไหน” ผมดีใจที่ตัวเองนึกหาเหตุผลได้ทัน

                    “อือฮึ” ปิงพยักหน้า “เฮียอยู่ในห้อง”

                    “อ้ะ ...” ผมพยักหน้าบ้าง ยืนลังเลอยู่สักครู่ แล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไปยังหลังร้าน ผมมีธุระกับเฮียคิด ก็คงต้องไปหาเฮียคิดสินะ

                    เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องที่ถูกกั้นเอาไว้ก่อนถึงส่วนของห้องครัวใหญ่ ผมเคาะประตูกระจกที่มีม่านติดบังตาเอาไว้จากด้านใน

                    “เอ้อ” เสียงของเฮียคิดดังออกมา ผมจึงผลักบานประตูเข้าไป

                    ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งทำงาน 1 ชุด เก้าอี้สำหรับรับแขกอีก 2 ตัว และชั้นที่วางแฟ้มเอกสารที่ตั้งอยู่ชิดผนัง เสาไม้ที่ใช้สำหรับแขวนแจ็คเก็ตและผ้ากันเปื้อนตั้งอยู่มุมห้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาในห้องนี้

                    “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้

                    “เอ้า อาเมฆ มาไงวะ?” เฮียขยับตัวอยู่บนเก้าอี้ วางมือจากคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่อยู่บนโต๊ะ

                    “ผมจะมาถามเฮียว่าจะให้เริ่มงานเมื่อไหร่ จะได้ไปบอกทางพี่ปุ๊กล่วงหน้าครับ”

                    เฮียคิดทำท่าคิดก่อนจะตอบ “เออ อาทิตย์หน้าไหมล่ะ?”

                    “ได้ครับ พรุ่งนี้ผมเข้าร้าน จะได้บอกพี่ปุ๊กเลย”

                    “เออ ดีๆ เมื่อคืนเฮียก็คุยกับไอ้เล้ง บอกมันว่าเดี๋ยวลื้อก็มาทำงานกับเฮีย” ป๊ากับเฮียคิดมาจากเมืองจีนพร้อมกัน ทั้งสองจึงสนิทกันมาก เพราะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด

                    “ครับ”

                    “แล้วทำไมไม่โทรมาวะ ต้องถ่อมาถึงนี่” นั่นไง ... เป็นใครก็คงต้องสงสัยข้อนี้

                    “เอ่อ ... มารับพี่ปิงครับ วันนี้เขาไม่ได้ขับรถมา” โชคดีของผมที่ยังมีข้ออ้างนี้อยู่

                    “เรอะ?” คำว่าเรอะของเฮียคิดดังจนผมแทบสะดุ้ง

                    “ครับ”

                    “มาทำไมแต่หัววันวะ กว่าจะเลิกงาน” เฮียแกคงถามไปยังงั้น แต่ตัวผมเองกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับผิด

                    “เอ่อ ... พอดีเลิกเรียนแล้วก็เลยมาเลยครับ ขี้เกียจแวะเข้าบ้านก่อน”

                    “อ้อๆ” เฮียคิดพยักหน้า “กินข้าวมาหรือยัง?”

                    “ยังครับ”

                    “เออ งั้นเดี๋ยวเฮียทำราดหน้าให้กิน”

                    “ขอบคุณครับเฮีย” ผมยกมือไหว้ ลาภปากจริงๆ เพราะขนาดป๊ายังเคยเอ่ยปากชมว่าราดหน้าฝีมือเฮียคิดอร่อยไม่เป็นสองรองใคร

                    “เออๆ” เฮียคิดพยักหน้ารับ แต่แกไม่ได้มองหน้าผมหรอก แกหันไปกดๆแล็ปท็อปของแก สักพักก็ปิดพับหน้าจอลง และนั่นทำให้ผมได้เห็นกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะ ภายในกรอบที่ประดับด้วยดอกไม้ดอกเล็กๆล้อมรอบ คือภาพหญิงสาวที่ถักเปียยาวสองข้าง แม้สีจะซีดไปบ้างแต่ก็ยังมองออกว่าผู้หญิงคนนั้นมีดวงตายาวรี จมูกเล็กเป็นสัน ใบหน้าเรียวรูปไข่... เพียงปราดแรกที่เห็น ผมคิดว่าคนในกรอบรูปนั้นคือปิง จะต่างกันแค่เพียงหญิงสาวคนนั้นกำลังยิ้มเอียงอาย ซึ่งผมไม่เคยเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นจากปิง

                    เฮียคิดลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินนำออกจากห้อง ผมหันไปมองหญิงสาวในกรอบรูปอีกครั้ง หรือนั่นคือภรรยาของเฮียคิดที่ป๊าเคยเล่าให้ฟัง

                    “ลื้อไปรอข้างนอกกับอาปิง เดี๋ยวเสร็จแล้วจะเรียก” เฮียคิดหันมาสั่งเมื่อผมกำลังจะเดินตามแกเข้าไปในครัว

                    “ครับ” ผมชะงักเท้า แล้วหันหลังกลับเดินออกไปยังหน้าร้าน

                    ผมเดินเข้าไปหยุดยืนข้างปิงหลังเคาน์เตอร์ “ขออยู่ด้วยคน”

                    ปิงที่กำลังผสมเครื่องดื่ม หันมามองโดยไม่พูดอะไร

                    “เฮียจะทำราดหน้าให้กิน แกบอกให้ออกมาอยู่กับปิง”

                    ปิงผินหน้าไปทางอีกทาง แล้วออกคำสั่ง “ไปนั่งตรงโน้น”

                    ผมมองตาม ด้านในสุดของเคาน์เตอร์มีเก้าอี้สตูลตั้งอยู่เกือบชิดผนัง ผมจึงเดินเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย

                    แม้จะเคยเห็นปิงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงแสล็กดำอย่างนี้มาเกือบ 2 ปีแล้ว แต่ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งที่จะได้มีโอกาสเห็นเขาในเวลาทำงานอย่างเช่นตอนนี้ ... มือขาวๆของปิงเทส่วนผสมลงในเช็คเกอร์แล้วเขย่าอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่นานเครื่องดื่มสีฟ้าก็ถูกเทออกมาใส่แก้วทรงสูง

                    “อ้าวเมฆ มาไงเนี่ย?” สาวหมวยร่างเล็กเดินมาเกาะเคาน์เตอร์ ชะโงกหน้ามาทักทาย

                    “มาคุยธุระกับเฮียคิด” ผมยิ้มให้เธอ

                    เดือนยิ้มและพยักหน้าตอบก่อนจะหันไปหยิบแก้วเครื่องดื่มที่ปิงวางเตรียมไว้ให้บนเคาน์เตอร์ “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยกับปิง แล้วหันมาหาผม “ไม่เห็นแวะไปหาที่บ้านบ้างเลยน้า” เธอทิ้งประโยคนี้เอาไว้ก่อนจะเดินจากไปพร้อมเครื่องดื่ม

                    หยกคงจะรู้เรื่องที่ผมมาที่ร้านภายในไม่กี่นาทีหลังจากนี้ และผมก็มั่นใจว่าเดือนต้องรู้เรื่องที่ผมบอกเลิกหยกอย่างละเอียดแล้ว แต่ผมไม่ได้กังวลอะไร เพราะสำหรับผมแล้ว จบก็คือจบ

                    ปิงกำลังง่วนกับการทำความสะอาดเช็คเกอร์และเช็ดรอบๆอ่างที่ใช้สำหรับล้างแก้ว ร้านส่วนมากมักให้ เมเนเจอร์ทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์ไปในตัว ...

                    ตั้งแต่เข้ามานั่งอยู่ตรงนี้ ผมยังไม่เห็นรอยยิ้มของปิงเลย

                    “นั่งไหม?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นปิงยืนนิ่ง หลังจากเก็บอะไรต่อมิอะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว

                    ปิงหันมายิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้า ... ปิงยิ้ม ... ยิ้มจริงๆ ในวินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนพิเศษขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นก็รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก จนต้องยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเอง ก้มหน้างุด

                    ผมเงยหน้าเมื่อได้ยินปิงเอ่ยทักทายใครสักคน ... เป็นลูกค้าที่โทรมาสั่งอาหารเอาไว้แล้วเข้ามารับด้วยตัวเอง ... ปิงยกถุงที่มีกล่องอาหารขึ้นวางบนเคาน์เตอร์ ยื่นใบรายการเพื่อให้ลูกค้าเช็คความถูกต้อง ... ลูกค้าจ่ายด้วยเงินสดและบอกกับปิงว่าไม่ต้องทอน ที่เหลือเขาให้ปิงเป็นทิป ปิงกล่าวขอบคุณ ลูกค้าก็กล่าวขอบคุณตอบ แถมคำชมอีกหลายประโยค ประมาณว่าอาหารอร่อย ฉันชอบมาก ไม่เคยผิดหวังสักครั้ง ตรงต่อเวลา บลาๆๆ และตบท้ายด้วย ยูสวยมากเลยรู้ไหม? ... ผมนั่งมองพฤติกรรมของคนทั้งสองด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ ... ตั้งแต่ลูกค้าเดินเข้ามา   ปิงมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนหน้าตลอดเวลา มีแม้กระทั่งอาการหัวเราะน้อยๆเมื่อลูกค้าชายคนนั้นเอ่ยชม ... ในนาทีนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กขี้อิจฉา ... ผมอยากได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนั้นจากปิงบ้าง

                    แต่เมื่อลูกค้าหันหลังเดินจากไป เขาก็เอารอยยิ้มของปิงไปด้วย ... ใบหน้าขาวกลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง

                    “พี่เมฆ เฮียคิดให้มาบอกว่าราดหน้าเสร็จแล้ว” พนักงานชายคนหนึ่งเดินมาบอกผมที่หน้าเคาน์เตอร์ ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะเชื่อตั้ม

                    “ขอบใจนะ” ผมพยักหน้า ยิ้มให้กับน้องตั้ม ... เขายิ้มตอบแล้วเดินไปยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน

                    บรรยากาศของพนักงานและเมเนเจอร์ในร้านนี้ช่างแตกต่างกับร้านที่ผมทำอยู่ พี่ดิวเป็นเหมือนพี่ชายใจดีของน้องๆในร้าน ส่วนปิงจะยิ้มก็ต่อเมื่อจำเป็น ผมจึงไม่เห็นใครกล้ามาพูดเล่นหัวกับปิงสักคน

 

                    เมื่อกินอิ่มแล้ว ผมอาสาเด็ดผักโหระพาช่วยอยู่ในครัว เพราะคิดว่าปิงคงไม่ชอบที่จะมีคนอื่นมาอยู่ในพื้นที่ของเขาในเวลางาน

                    ประมาณทุ่มกว่าๆ ปิงเข้ามากินราดหน้าที่เฮียคิดแบ่งเอาไว้ให้ ส่วนพนักงานคนอื่นๆก็แวะเวียนผลัดเปลี่ยนเข้ามากินกับข้าวที่แม่ครัวประจำของร้านเตรียมเอาไว้

                    สักประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆเฮียคิดก็กลับบ้าน เพราะจากนี้ลูกค้าจะเข้าน้อย แกจึงไม่จำเป็นต้องอยู่จนร้านปิด ยกเว้นก็แต่วันก่อนที่ปิงขอลาออกไปข้างนอก แกจึงต้องอยู่โยงเฝ้าร้านแทนปิง

 

                    ขณะที่เรากำลังเดินไปยังรถของผมที่จอดอยู่ ไอ้เนสก็โทรเข้ามา มันคงเพิ่งเลิกงานเหมือนกัน

                    “ว่าไงมึง?” ผมถามไปโดยไม่ต้องเอ่ยคำทักทายก่อน

                    /อยู่ไหนวะ?/

                    “มีไรวะ?” ผมกดรีโมทเพื่อปลดล็อคประตู

                    /มึงอยู่ข้างนอกเหรอ?/

                    “เออ มึงมีไรเนี่ย?” ผมเข้ามานั่งในรถ

                    /ไปไหนดึกดื่นวะ วันนี้มึงมีเรียนไม่ใช่เหรอ?/

                    “สัส มึงเป็นเมียกูหรือไง ซักจัง ... กูมารับพี่ปิงที่ร้าน” ผมหนีบโทรศัพท์เพื่อจะล็อคเข็มขัดนิรภัย แต่มันติด ปิงจึงช่วยดึงและใส่ล็อคให้ “ขอบคุณค้าบ” ผม                 บอกกับปิง

                    /อะไรของมึง?/

                    “เรื่องของกู” ผมคงไม่จำเป็นต้องบอกไอ้เนสทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องระหว่างผมกับปิง

                    /พูดเพราะนะมึง หวานกันจริง พี่ปิงมึงไม่ขับรถเองเหรอวะ/

                    “มึงมีไรเนี่ย กูจะวางสายแล้วนะ จะขับรถ” ผมรีบตัดบทเพราะกลัวเสียงของมันเล็ดลอดออกมาให้ปิงได้ยิน ไอ้เนสใช่ว่าจะพูดเบาซะที่ไหน

                    /เดี๋ยว! กูจะถามมึงเรื่องงานเลี้ยงส่งไอ้น้องพีท ตกลงเอาวันไหนดีวะ?/

                    “เออ ... เดี๋ยวนะ กูถามพี่ปิงก่อน” เรื่องนี้ไอ้เนสกับไอ้จิวมันร่วมกันวางแผนกับไมค์ ผมไม่คิดว่ามันจะรักอาลัยอาวรณ์ไอ้พีทอะไรนักหนาหรอก ก็คงแค่หาเรื่องบันเทิงกินเหล้า

                    ผมหันมาหาปิง “ไอ้เนสมันถามเรื่องงานเลี้ยงส่งพีทน่ะ ปิงว่าวันไหนดี?”

                    “ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน” ปิงหันมาตอบ

                    “อืม งั้นเดี๋ยวค่อยคิดกันอีกทีก็แล้วกัน” ผมงึมงำ เพราะถ้าจะให้ตอบตอนนี้ก็คงยังไม่ได้ คงต้องกลับไปดูวันว่างเสียก่อน

                    ผมกลับไปคุยกับไอ้เนส “เดี๋ยวกูได้วันแล้วกูโทรไปบอก”

                    /เออๆ วันไหนกูก็สะดวกทั้งนั้น กูอยากแดกเหล้า/

                    “เชี่ยเอ๊ย ได้ข่าวว่าอยู่บ้านมึงก็แดกกับไอ้จิวแทบทุกวันไหม”

                    /กูอยากไปแดกบ้านมึงบ้าง/

                    “เออสัส แค่นี้ล่ะ กูจะขับรถ”

                    /เออ/

                    ผมวางสายไอ้เนส แล้วหันไปหาปิง “ขอโทษนะ”

                    “ถ้าว่างตรงกันก็มีแค่วันเสาร์นะ” ปิงเอ่ย

                    “พีทมันไปวันอาทิตย์สายๆ น่าจะโอเค” ผมเห็นด้วย “งั้นเดี๋ยวเมฆคุยกับพีทอีกที”

                    ผมสตาร์ทรถและเคลื่อนออกจากที่ตรงนั้น เมื่อจบบทสนทนาเรื่องงานเลี้ยงส่งพีท เราสองคนก็เงียบกันไป คล้ายกับว่าพวกเราไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของตัวเอง ความรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนเริ่มเข้ามาครอบคลุมบรรยากาศภายในรถ

                    “คุณกรกลับแล้วเหรอ?” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจถามเรื่องที่อยากรู้

                    ปิงเงียบต่อไปสักครู่ก่อนจะตอบออกมา “ไม่รู้สิ”

                    “อ้าว ทำไมไม่รู้ เมื่อคืนอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ?”

                    ปิงถอนหายใจ เขาไม่ตอบคำถามของผมในทันที ผมพอเข้าใจว่าเขาอาจจะอึดอัดหรืออาจจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันในเรื่องของคุณกร

                    “ไม่อยากตอบเหรอ?” ในความสัมพันธ์ระหว่างปิงและคุณกร แม้เราจะไม่เคยเอ่ยถึงมัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ว่ามันคืออะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเราต่างเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน

                    “บอกให้เขากลับ แต่ไม่รู้ว่าเขากลับหรือยัง”

                    ผมไม่ได้หันไปมอง จึงไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่นั่งอยู่ข้างๆมีสีหน้าอย่างไร

                    “มีปัญหากันหรือเปล่า?”

                    “ก็ไม่เชิง”

                    “เรื่องภรรยาของเขาใช่ไหม?”

                    ปิงเงียบไป

                    “อยากเล่าไหม?” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้านั้นแว้บหนึ่ง “ถ้าอึดอัดก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ แต่เมฆเป็นห่วงปิงนะ”

                    ปิงเงียบจนถึงบ้าน

                    เราต่างแยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง

 

                    “เฮลโหลไมกี้” ผมเอ่ยทักทายเมื่อสัญญาณบอกว่าทางนั้นรับสายแล้ว

                    /What’s up bro?/ ไมค์ทักกลับมา

                    “จะแจ้งเรื่องวันเลี้ยงส่งพีทน่ะ”

                    /วันไหน?/

                    “วันเสาร์สะดวกที่สุด พวกพี่ๆไม่ต้องทำงาน นายว่าไง?” ส่วนไอ้จิวกับไอ้เนสผมไม่ห่วงพวกมัน เพราะถ้ามันอยากมามันก็จะทำตัวให้ว่างจนได้

                    /ก็ดีฮะ แต่พีทกลับวันอาทิตย์นะ/

                    “พี่จะคุยเรื่องนี้ล่ะ พี่ว่าจะชวนให้พีทมาค้างที่บ้าน แล้ววันรุ่งขึ้นพี่จะไปส่งที่สนามบินเอง”

                    /พี่ไม่ทำงานเหรอ?/

                    “ไม่ละ พรุ่งนี้จะไปลาออกจากร้านเดิม จะมาทำ delivery ที่ร้านพี่ปิง” จากตารางงานที่เหลือของอาทิตย์นี้ ผมเดาว่าถ้าพรุ่งนี้ผมขอลาออก พี่ปุ๊กคงตัดตารางผมทิ้งหมดทันที เผลอๆพรุ่งนี้จะเป็นการทำงานที่ร้านนั้นเป็นวันสุดท้ายของผม

                    /พี่จะให้พีทเก็บเสื้อผ้าไปด้วยเลยเหรอ?/

                    “ใช่ ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก เดี๋ยวพี่ว่าจะคุยกับพีทหลังจากคุยกับไมค์นี่ล่ะ”

                    /ผมบอกให้ก็ได้/

                    “ไม่เป็นไร พี่บอกเอง เดี๋ยวพีทจะเกรงใจแล้วไม่ยอมมา”

                    /งั้นก็ได้ฮะ/

                    “เค ตามนี้นะ”

                    /ฮะ/

                    “งั้นแค่นี้ล่ะ บายไมกี้”

                    /Bye/

 

                    ผมวางสายกับไมค์แต่ยังไม่บอกกับพีทเรื่องงานเลี้ยง กะเอาไว้จวนจะถึงวันแล้วถึงจะบอก จะได้รู้สึกเซอร์ไพรส์กันนิดหน่อย

                     มีข้อความเข้า

                    หยก – เมฆจะลาออกเหรอ?

                    เดือนคงคุยกับคนในครัว แล้วไปรายงานหยก

                    ผม – ใช่

                    ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องปิดบัง เพราะพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปบอกกับพี่ปุ๊กอยู่แล้ว

                    หยก – ต้องหนีกันขนาดนี้เลยเหรอ

                    ผม – หนีอะไร?

                    หยก – รังเกียจหยกขนาดนั้น?

                    ผม – หยกเข้าใจผิดแล้ว

                    ผม – พี่ปุ๊กตัดตารางงานเมฆแทบจะไม่เหลือ พอดีร้านพี่ปิงเขาขาดเดลิด้วย

                    แม้เหตุผลที่ผมบอกไปจะไม่ทั้งหมด แต่มันก็คือความจริงในส่วนที่ผมจะสามารถอธิบายให้หยกรับรู้ได้

                    หยก – ไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าหยกใช่ไหม

                    ผม – ทำไมต้องหลบ แค่เปลี่ยนร้านทำงาน เมฆก็อยู่ที่เดิม ใช่ว่าจะเจอกันไม่ได้ที่ไหน

                    หยก – อยู่บ้านเดียวกัน แถมทำงานร้านเดียวกัน เมฆกะจะอยู่กับพี่ปิง 24 ชั่วโมงเลยเหรอ

                    ผมขมวดหัวคิ้วให้กับคำพูดของหยก ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการสื่ออะไร

                    ผม – เกี่ยวอะไรกับพี่ปิง

                    หยก – ถามตัวเองสิ

                    ผม – อะไร?

                    หยกอ่านข้อความแต่ไม่ยอมตอบ ผมรอสักครู่ แต่หยกก็ยังไม่ตอบ ผมจึงเลิกสนใจและไปอาบน้ำ ... ผู้หญิงมักพูดจาวกวนอ้อมค้อมทำให้เข้าใจยาก

 

                    เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ผมพบกับปิงที่โถงทางเดิน

                    “มีอะไรหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถาม ดูเหมือนปิงจะเพิ่งเดินขึ้นบันไดมา

                    “...”

                    ปิงไม่ตอบ แต่ผมสังเกตเห็นในมือเขามีขวดแก้วใบเล็ก ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะเป็นยาเคลือบกระเพาะ

                    “ปวดท้องเหรอ?”

                    เขาพยักหน้า “ขวดเก่ามันหมดพอดี”

                    ปิงจะมียาขวดนี้วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงประจำ และในตู้เย็นจะมียาน้ำสำหรับเคลือบกระเพาะชนิดนี้อยู่หลายขวด ผมเคยถามว่าเขาไปเอามาจากไหน เพราะยาแม้จะเป็นชื่อภาษาอังกฤษ แต่กลับมีฉลากภาษาไทยแนบติดมาด้วย ที่สำคัญมันจะเรียงกันอยู่ตรงประตูตู้เย็นไม่เคยพร่อง และคำตอบสั้นๆของปิงคือ “คุณกร”

                    จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ผมรับรู้ได้เองว่าคุณกรมีความสัมพันธ์อย่างไรกับปิง แม้ว่าผมจะเคยพบกับเขาที่บ้านนี้แค่ครั้งเดียว และเมื่อวันก่อนอีกครั้ง แต่ผมมั่นใจว่าในระยะเวลาเกือบ 2 ปีนี้ และก่อนหน้านั้นที่ผมยังไม่มาอยู่ที่นี่ ปิงและคุณกรคงพบกันมาตลอด

                    “ไหวไหม? ไปหาหมอไหม?” ผมนึกเป็นห่วง

                    “ไหว ไม่ปวดหนักขนาดนั้น” ปิงพูดแล้วทำท่าจะเดินจากไป

                    “ปิง ...” อะไรไม่รู้ทำให้ผมกล้าพอที่จะคว้าเอวของปิงแล้วดึงเข้ามา

                    ปิงมีสีหน้าตกใจ แต่คงเพราะไม่คาดคิด เขาจึงไม่มีโอกาสได้ขัดขืน ร่างบางของปิงจึงมาแนบชิดอยู่กับอกเปลือยเปล่าของผม ...

                    เพียงไม่กี่วินาที ดวงตาที่เบิ่งเพราะความตกใจเมื่อครู่กลับเปลี่ยนมาสงบนิ่งเช่นเคย แต่ถึงอย่างนั้นปิงก็ไม่ได้ดิ้นรนเพื่อที่จะให้หลุดไปจากอ้อมแขนของผม ... ดวงตายาวรีสีนิลจ้องใบหน้าผมโดยไม่กะพริบ ... ผมคลายอ้อมแขนออกโดยไม่ต้องรอให้ริมฝีปากแดงระเรื่อออกคำสั่ง

                    เมื่อปิงเป็นอิสระ เขาไม่ได้เดินจากไป แต่กลับทำในสิ่งที่ผมไม่คาดฝัน ... มือเรียวข้างหนึ่งของปิงวางทาบลงบนแก้มของผม

                    “อย่าเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในที่ๆไม่ควรอยู่” ปิงเอ่ยเสียงเบา แต่กลับหนักแน่นในที

                    “แล้วปิงล่ะ ควรเอาตัวเองออกมาจากที่ๆไม่ควรอยู่ได้หรือยัง?” ถ้าสิ่งที่ผมคิดไม่ผิด ภรรยาของคุณกรคงไม่ยอมปล่อยให้สามีตัวเองมีความสัมพันธ์กับชายอื่น เพราะเท่าที่ผมรู้มา ตัวเธอเองก็มีหน้ามีตาในวงสังคมไฮโซของเมืองไทยไม่แพ้คุณกร

                    “...”

                    ปิงปล่อยมือจากแก้มของผม ขวดแก้วใบเล็กถูกมือขาวทั้งสองข้างกำไว้จนแน่น ปิงก้มหน้า ผมยาวปล่อยปรก ไหล่บางห่องุ้ม ... ผมรั้งร่างนั้นเข้ามากอดไว้แนบอก

 

                    ร่างบอบบางยืนนิ่งในอ้อมกอดของผม ความเงียบสงัดของค่ำคืนทำให้ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง และเพราะไหล่ของผมเปลือยเปล่า มันจึงรับรู้ถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลลงมาสัมผัส
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 22-06-2016 23:24:02
 :o12:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 23-06-2016 02:52:04
สารภาพค่ะว่าเก็บดองนิยายไว้เพื่ออ่านทีเดียวยาวๆ

คิดว่าคนเขียนคงถ่ายทอดบรรยากาศเรื่องนี้จากปากส่วนตัวเพราะได้บรรยากาศชีวิตของคนอยู่ต่างประเทศมากๆ  คนที่เพิ่งมาใหม่  นักเรียนกับงานพิเศษ  คนที่อยู่มานานทำงานธรรมดาไม่ได้ไต่เต้าความก้าวหน้าทางการงานตามบรรณษัทต่างๆ  ชีวิตแบบหยกกับแฟนเก่า ดูเรียลมากค่ะ

พีทรับเรื่องของแบมกับลูคัสได้ดีกว่าที่คิดก็อาจจะเพราะการค้นพบปิงดึงโฟกัสไปจากการมาจมกับความรู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียจากแบม    ไม่แน่ใจว่าแบมรู้สึกผิดต่อพีทหรือว่าความรู้สึกเก่าๆที่เคยกับมีกับพีทตีกลับขึ้นมาอีกรอบ  บางครั้ง Out of sight ก็ out of mind ค่ะ แต่พอมาเห็นอีกครั้งก็ไม่แน่  ความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็อาจจะมีส่วนระหว่างแบมกับลูคัส  แถม พีทเป็นผู้ชายที่น่ารักมากๆ  เชียร์ไมค์สุดตัวค่ะ

แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องนี้เหมือนกำลังดูระบบสุริยจักรวาลอยู่  ที่มีปิงเป็นศูนย์กลาง  มีดาวอังคารอย่างกร   โลกอย่างเมฆ  Jupiterอย่างพีทแล้วแต่ละดาวเคราะห์ก็มีดาวดวงอื่นหมุนรอบๆอย่างหยก  แบม ไมค์  เป็นดวงจันทร์ อะไรแบบนี้

ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ToeyTato ที่ 24-06-2016 07:15:00
ก็สนุกดีนะคะเล่าเรื่องดีเลยค่ะ คือ อึดอัดแทนเมฆคือปิงแบบไม่พูดอ่ะ ส่วนไมค์จีบให้ติดนะลูก น้องพีทแลดูมีความสับสนทางความรู้สึก
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 26-06-2016 21:44:39
:o12:

 :hao3:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 26-06-2016 21:46:23
สารภาพค่ะว่าเก็บดองนิยายไว้เพื่ออ่านทีเดียวยาวๆ

คิดว่าคนเขียนคงถ่ายทอดบรรยากาศเรื่องนี้จากปากส่วนตัวเพราะได้บรรยากาศชีวิตของคนอยู่ต่างประเทศมากๆ  คนที่เพิ่งมาใหม่  นักเรียนกับงานพิเศษ  คนที่อยู่มานานทำงานธรรมดาไม่ได้ไต่เต้าความก้าวหน้าทางการงานตามบรรณษัทต่างๆ  ชีวิตแบบหยกกับแฟนเก่า ดูเรียลมากค่ะ

พีทรับเรื่องของแบมกับลูคัสได้ดีกว่าที่คิดก็อาจจะเพราะการค้นพบปิงดึงโฟกัสไปจากการมาจมกับความรู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียจากแบม    ไม่แน่ใจว่าแบมรู้สึกผิดต่อพีทหรือว่าความรู้สึกเก่าๆที่เคยกับมีกับพีทตีกลับขึ้นมาอีกรอบ  บางครั้ง Out of sight ก็ out of mind ค่ะ แต่พอมาเห็นอีกครั้งก็ไม่แน่  ความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็อาจจะมีส่วนระหว่างแบมกับลูคัส  แถม พีทเป็นผู้ชายที่น่ารักมากๆ  เชียร์ไมค์สุดตัวค่ะ

แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องนี้เหมือนกำลังดูระบบสุริยจักรวาลอยู่  ที่มีปิงเป็นศูนย์กลาง  มีดาวอังคารอย่างกร   โลกอย่างเมฆ  Jupiterอย่างพีทแล้วแต่ละดาวเคราะห์ก็มีดาวดวงอื่นหมุนรอบๆอย่างหยก  แบม ไมค์  เป็นดวงจันทร์ อะไรแบบนี้

ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ

เป็นการอธิบายแผนผังความสัมพันธ์ที่เห็นภาพได้ชัดเจนจนคนเขียนเองยังต้องชื่นชมเลยค่ะ ... ขอบคุณที่ตัดสินใจคลิกเข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 26-06-2016 21:47:30
ก็สนุกดีนะคะเล่าเรื่องดีเลยค่ะ คือ อึดอัดแทนเมฆคือปิงแบบไม่พูดอ่ะ ส่วนไมค์จีบให้ติดนะลูก น้องพีทแลดูมีความสับสนทางความรู้สึก

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 29-06-2016 22:27:39
# 23 (PETE)

 

                     เมื่อก้าวออกมาจากประตู ไมค์มายืนรอที่หน้าบ้านอยู่แล้ว

                    “เฮ้” ผมยกมือขึ้นทักทาย

                    “Hi” ไมค์ทักตอบ แต่แล้วเราทั้งสองต่างคนต่างยืนนิ่ง

                    ผมยกมือลูบท้ายทอย เหลือบตาไปมองต้นไม้ริมถนน ไม่ใช่เพราะไม่อยากมองหน้าเขา แต่เพราะวันนี้ไมค์หล่อมาก ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกเซ็ตให้ยุ่งๆนิดหน่อยทำให้ใบหน้าคมมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น และเพราะเผลอไปมองริมฝีปากที่เกือบจะจูบผมเมื่อวาน มันทำให้ลมหายใจสะดุด จนต้องเฉไฉไปมองที่อื่น

                    “ไปกันยัง?” ไมค์เอ่ยขึ้น

                    “ไปสิ” ผมพยักหน้า

                    ไมค์ล้วงมือเข้าในกระเป๋าเสื้อแขนกุดแบบมีฮู้ด วันนี้เขาสวมกางเกงยีนส์ ซึ่งผมได้เห็นแค่ไม่กี่ครั้งนอกจากเวลาไปวัดกับคุณย่า ไมค์ยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะก้าวเดินนำหน้าไป

                    ระหว่างอยู่บนบัส ไมค์คุยเรื่องเพื่อนในโรงเรียนให้ฟัง ผมรู้สึกเหมือนเขาพยายามหาเรื่องมาเล่า เพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างเราเงียบและอึดอัด หลายครั้งที่ผมเผลอมองริมฝีปากของไมค์โดยไม่ได้ตั้งใจ คงเพราะคำพูดที่บอกว่าเขาอยากจูบผมมันวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา

 

                    เรานัดเจอแบมที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งใหญ่กว่ามอลล์ที่เคยไปครั้งก่อน ที่นี่มีร้านค้ามากมายหลายยี่ห้อ คล้ายๆกับ outlet ที่ผมเคยไปกับพี่ปิง แต่แบมบอกว่าสินค้าในร้านที่นี่จะเป็นตัวที่ออกมาใหม่และแพงกว่าและส่วนมากจะไม่มีขายใน outlet

                    พวกเราเดินดูสินค้าอย่างไม่จริงจังมากนัก ไมค์ที่เคยพูดมากเวลาอยู่กับแบม วันนี้กลับเงียบขรึมผิดปกติ แบมเองก็ดูเหมือนจะยังไม่กล้าสู้หน้าผมสักเท่าไหร่ ... บางทีผมก็คิดว่าเรามากันทำไม?

                    เราเดินวนขึ้นไปทีละชั้น แบมคว้ามือไมค์เลี้ยวเข้าร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นยี่ห้อหนึ่งซึ่งขณะนี้กำลังลดราคา 30-50% ขณะที่แบมจับเสื้อตัวนั้นตัวนี้ขึ้นมาทาบ สร้อยที่ข้อมือกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง ผมดีใจที่เธอยังไม่ถอดมันออก ... เธอใช้เวลาอยู่ในร้านนั้นพอสมควร ผมกับไมค์เองยังได้เสื้อยืดกันคนละตัว

                    “แวะร้านนี้หน่อย” ไมค์หันมาบอก เมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าร้านนาฬิกายี่ห้อหนึ่ง

                    “เอาสิ” แบมพยักหน้าแล้วคล้องแขนไมค์ให้เลี้ยวเข้าไปในร้าน

                    ผมเดินตามเข้าไปด้วยความสนใจ นาฬิกายี่ห้อนี้ผมอยากได้มานานแล้ว แต่ราคามันสูงเอาการ จึงยังไม่กล้าเอ่ยปากขอกับแม่ คิดว่ารอให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะเอาเกรดดีๆไปแลก

                    ไมค์กับแบมเกาะอยู่ที่ตู้ๆหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะมีรุ่นที่สนใจอยู่ ผมจึงเดินแยกออกมาเดินดูไปรอบๆ แต่ละเรือนที่วางอวดโฉมอยู่ในตู้กระจกใสปิ๊ง ละลานตาจนแทบใจละลาย ถ้าไอ้ม่อกและแก๊งมาเห็น พวกมันคงร้องโหยหวน เพราะที่พวกผมเคยโฉบไปดูในห้างแถวบ้านนั้นเทียบไม่ติดเลย

                    พนักงานขายเข้ามาทักทาย ขณะที่ผมกำลังอ้าปากหวอกับความเท่ของรุ่นใหม่ล่าสุด ผมประหม่าและไม่รู้จะตอบว่ายังไง อยู่ดีๆสกิลภาษาอังกฤษของผมก็ป่วยขึ้นมากะทันหัน จึงทำได้แค่ยิ้มแหยๆให้กับเขา

                    เขาเอ่ยต่ออีก 2-3 ประโยค ถ้าแปลไม่ผิด น่าจะถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหมและกำลังดูรุ่นไหนอยู่ ผมจึงตอบไปแบบตะกุกตะกัก “I..I’m with my friends.” ผมตอบพลางชี้นิ้วไปทางไมค์กับแบมที่อยู่อีกฟากของร้าน

                    แบมหันมาพอดี เธอยิ้มให้ แล้วเดินมาหา “พีทสนใจเรือนไหนเหรอ?”

                    “ก็เปล่า ดูไปเรื่อยๆ” จากราคาที่เห็น นับว่าถูกกว่าซื้อที่เมืองไทยมาก แต่เพราะผมใช้เงินกับการมาที่นี่ไปไม่น้อย จึงพยายามใช้จ่ายเฉพาะเรื่องที่จำเป็น ... แต่เรือนที่วางอยู่ตรงหน้านี่ก็สวยยั่วใจจริงๆ

                    “ของที่นี่บางอย่างถูกกว่าซื้อที่เมืองไทยมากเลยนะ” แบมทำสีหน้าเหมือนพยายามยุให้ผมซื้อสักเรือน

                    “อือ ... ก็จริงแหละ” ผมเริ่มลังเล

                    “ไม่ได้มาบ่อยๆน้า” แบมยังสนับสนุน

                    “อย่ายุดิ”

                    “เอ๊า ก็เราไม่อยากให้พีทต้องมาเสียดายทีหลังไง”

                    “อย่าๆ” ผมหัวเราะหน่อยๆ ในใจเริ่มไขว้เขว

                    “จริง ดูดิ สวยๆทั้งนั้น แบมรู้ว่าพีทชอบสไตล์นี้”

                    ผมเหลือบมองนาฬิกาเรือนเก่าบนข้อมือที่ได้เป็นของขวัญจากพ่อกับแม่เมื่อตอนเข้าเรียนม.4 สลับกับมองเรือนใหม่ที่วางเรียงทำหน้าหล่อล่อใจอยู่ในตู้

                    “I’m done.” เสียงของไมค์ดังมาจากข้างหลัง เขาวางมือบนไหล่ผม

                    “เสร็จแล้วเหรอ?” แบมหันไปถาม

                    “Yep” ไมค์ยักคิ้ว

                    “ขอดูอีกแป๊บ พีทว่าจะซื้อสักเรือน เนอะ” แบมหันมายักคิ้วให้ผม

                    “แต่ฉันหิวข้าวแล้ว ไปกินก่อนแล้วค่อยขึ้นมาดู” ไมค์จับไหล่แบมให้หันไปทางหน้าร้าน แล้วดันให้เธอเดินออกไป

                    “แกเอาแต่ใจอีกแล้วไมกี้” แบมบ่น แต่ก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี

                    “ก็ฉันได้ของที่อยากได้แล้วอ่ะ”

                    ผมมองตามสองคนที่เดินออกไปจากร้าน หันไปโค้งแล้วยิ้มแหยๆให้กับพนักงานที่อดได้ยอดขายจากผม

 

                    เรากินอาหารเม็กซิกัน โดยไมค์เป็นคนเลือก ผมเห็นเขาถือถุงออกมาจากร้าน จึงขอดู ไมค์หยิบขึ้นมาอวด มันเป็นรุ่นที่ผมชอบมากๆ เมื่อเห็นอย่างนี้ยิ่งเสียดายที่ไม่ได้ตัดสินใจซื้อ

                    “กินเสร็จแล้วค่อยกลับขึ้นไปซื้อก็ได้” แบมปลอบใจ

                    ผมพยักหน้า แต่อีกใจก็คิดว่าถ้าไม่ซื้อก็ประหยัดเงินให้พ่อกับแม่ได้อีกเกือบๆสามหมื่น

                    “ฉันให้นายลองสวมดูก็ได้นะ” ไมค์ยื่นนาฬิกาเรือนหล่อมาให้

                    ผมส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ของใหม่แกะกล่อง นายควรได้ใส่ก่อนสิ”

                    “คิดมากไปไหม?” ไมค์กลอกตา

                    “ขอฉันลอง” แบมยื่นข้อมือเล็กมาตรงหน้าพวกเรา

                    ไมค์ตีมือลงบนข้อมือแบม “ยุ่ง! นี่เรื่องของผู้ชาย”

                    “เหรอ?” แบมลากเสียงยาว พร้อมกลอกตา “พีทจะกลับเมื่อไหร่” เธอหันมาถามผม

                    “วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้”

                    “จะได้เจอกันอีกไหม?” สีหน้าของแบมสลดลง ... อย่างน้อยแบมอาจจะคิดถึงผมอยู่บ้าง

                    “นั่นสิ” ผมยิ้มให้กับเธอ

                    “Hello” เสียงของไมค์ทำให้ผมหันไปมอง เขากำลังคุยโทรศัพท์ “Ok, let me know when you get here.” เขาวางสายแล้วบอกกับพวกเรา “อาเจนี่เลิกงานละ บอกว่าจะขับผ่านที่นี่ จะแวะมารับ”

                    “อ้าว แล้วจวนถึงหรือยัง?” แบมถาม

                    “คงสัก 10 นาที”

                    “งั้นเรียกเช็คเลยละกัน” แบมพูดแล้วหันไปเรียกพนักงาน

                    “แล้วแบมกลับยังไง?” ผมเป็นห่วง เพราะเหมือนอยู่ดีๆเราก็ปล่อยเธอทิ้งไว้คนเดียว

                    “กลับด้วยกัน เดี๋ยวไปส่ง” ไมค์เอ่ย

                    “ไม่เป็นไร” แบมส่ายหน้ารัว

                    “อย่าเรื่องมากน่ะ” ไมค์มองหน้าแบมแล้วถอนหายใจ

                    “...” แบมเม้มปาก สีหน้ามีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วเธอก็พยักหน้าตอบรับ

                    พวกเราออกไปรอที่หน้าห้าง ไม่นานน้าเจนี่ก็เลี้ยวเข้ามา ... เราไปส่งแบมที่บ้าน

                    “ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มาหาเราถึงที่นี่” เมื่อรถน้าเจนี่จอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แบมจับมือผมไว้แน่น น้ำตาคลอ

                    ผมกลืนบางอย่างที่จุกอยู่ในคอลงไป อยากพูดอะไรมากมาย แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้าและยิ้มให้เธอ

                    “ขอบคุณค่ะน้าเจนี่” แบมยกมือไหว้น้าเจนี่ แล้วตบไหล่ไมค์ “เจอกันไมค์” เธอหันมามองหน้าผมอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวออกไป

                    ประตูถูกปิดลง รถของเราค่อยๆเคลื่อนออกจากหน้าบ้านแบม ... ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน ผมถึงจะได้พบกับแบมอีก หรืออาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้ พวกเราในรถต่างนั่งกันมาเงียบๆ ...

                    จากบ้านแบมมาบ้านของไมค์ ผมเพิ่งรู้ว่ามันห่างกันไม่ถึง 10 นาที ถ้าจำไม่ผิด แบมเคยบอกว่าบ้านเธออยู่นอกเมือง จึงเข้ามาพบกับผมไม่สะดวก

                    ผมคว้ามือไมค์เอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินเข้าบ้าน

                    “มันผ่านไปแล้วน่ะ” ไมค์เอ่ยขึ้น ... แค่มองหน้าผม เขารู้ได้ยังไงว่าผมกำลังคิดอะไร?

 

                    เมื่อถึงบ้านแล้วน้าเจนี่ถึงบอกสาเหตุที่วันนี้กลับเร็ว นั่นเพราะคุณย่าโทรไปบอกว่าไม่ค่อยสบาย ไมค์รู้สึกผิดที่ทิ้งให้คุณย่าอยู่บ้านคนเดียว  ผมจึงกลับขึ้นห้องโดยไม่มีไมค์ติดสอยห้อยตามมาเหมือนอย่างเคย

 

                    เพราะไม่มีคนมานอนเล่นเกมอยู่ข้างๆ ตอนเย็นผมจึงออกไปวิ่งรอบๆหมู่บ้าน แวะทักทายไมค์และเยี่ยมคุณย่า ท่านบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่โรคคนแก่ที่มีอาการวิงเวียนและหน้ามืดเป็นบางครั้ง ถึงอย่างนั้นไมค์ก็ดูแลคุณย่าแบบไม่ยอมห่างกายท่านเลย

                    ผมตั้งใจกลับมากินมาม่าเป็นมื้อค่ำ แต่ที่บ้านไมค์บังคับให้กินข้าวเย็นด้วยกัน จึงเป็นความโชคดีของกระเพาะโดยแท้ กินข้าวแล้วผมยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนไมค์และคุณย่าจนท่านเข้าห้องไป ถึงกลับห้องตัวเอง

                    ผมอาบน้ำแล้วมานั่งดูแผนที่ … ระหว่างทางกลับบ้าน น้าเจนี่บอกว่าตึกใกล้ๆที่ทำงานของเธอกำลังมีนิทรรศการภาพถ่ายของศิลปินจากนิวยอร์ก ผมสนใจมาก จึงคิดว่าพรุ่งนี้จะนั่งรถไปชมเมืองเพื่อเก็บบันทึกภาพไว้เป็นความทรงจำและแวะดูเสียหน่อย

                    ก่อนนอนผมส่งข้อความบอกฝันดีไปหาดอกไฮเดรนเยียสีม่วง แล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน ... มองฝ่าความมืดแล้วเริ่มต้นนับหนึ่ง สอง สาม ... ยี่สิบเอ็ด ...

                    แสงไฟจากหน้าจอสว่างขึ้น ... ความสุขสุดท้ายของผมก่อนหลับตาลงในค่ำคืนนี้ ... ‘ฝันดีครับ’ ข้อความจากดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

 

                    หลังจากนั่งบัสและรถไฟ แวะตามสถานีต่างๆเพื่อบันทึกภาพบ้านเมืองและผู้คนตามท้องถนน ผมเข้าดูนิทรรศการจนถึง 5 โมงเย็น ขณะรอต่อรถไฟในสถานีใต้ดิน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ...

 

                    ไม่ถึงชั่วโมง ผมก็มายืนอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ เมื่อมองผ่านเข้าไป ชายในเชิ้ตสีขาว ผมยาวดำขลับถูกรวบไว้ที่ท้ายทอย เผยให้เห็นใบหน้าขาวผ่องกำลังก้มง่วนอยู่กับงาน ผมยืนมองอยู่อย่างนั้น จนเขาเงยหน้าขึ้นและมองตรงออกมา ผมยกมือขึ้นโบก แม้จะห่างออกไปหลายเมตร แต่ผมเห็นรอยยิ้มที่ส่งตอบกลับมาได้อย่างชัดเจน

                    ผมขอโฮสเลือกที่นั่งตรงมุมร้าน เพราะที่ตรงนั้นทัศนวิสัยดีที่สุด

                    “มาคนเดียวเหรอน้องพีท?” เธอเอ่ยถามเมื่อวางเมนูลงบนโต๊ะ เธอคงจำผมได้เมื่อครั้งก่อนที่มากับพี่เดือน

                    “ครับ” ผมกวาดตามองไปทั่วร้าน

                    “วันนี้เดือนทำชิฟต์เช้า” เธอคงเดาได้ว่าผมมองหาใคร

                    “อ๋อ ครับ” คงเพราะผมออกแต่เช้า จึงไม่ได้พบกับเพื่อนร่วมบ้าน

                    วันนี้พี่ๆพนักงานไม่มีใครเข้ามาสอบถามวุ่นวายอย่างครั้งก่อน มีก็เพียงแค่ส่งยิ้มให้ บางคนเดินผ่านมาทักทายสวัสดีแล้วก็ผ่านไป

                    ผมสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือ เพราะยังติดใจรสชาติแสนอร่อย ... ก๋วยเตี๋ยวชามที่หนึ่งหมดไป ตามด้วยชามที่สอง เมื่อก๋วยเตี๋ยวหมดไปสองชาม ผมสั่งขนมบัวลอย และเมื่อบัวลอยหมดไป ผมสั่งไทยไอซ์ทีมาเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว … ทั้งหมดนั้นทำให้ผมได้นั่งอยู่ในร้านร่วมๆ 2 ชั่วโมง

                    “เด็กกำลังโตเนาะ” พี่พนักงานเสริฟที่ชื่อแนนเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาเก็บถ้วยที่เคยใส่บัวลอย “รับอะไรอีกไหมจ๊ะน้องพีท?” เธอถามยิ้มๆ

                    ผมมองหน้าเธออย่างอายๆ ส่งสายตาเลยไปยังคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ พี่ปิงส่งยิ้มมาให้ ผมรีบหลบตา กลัวว่าเขาจะรู้ทัน ...

                    “ผะ ผมขอเมนูอีกทีได้ไหมครับ?” รอยยิ้มของพี่ปิงคงเข้าไปทำลายเซลสมอง จนทำให้นึกอะไรไม่ออก แต่ถ้าจะให้ต่อด้วยก๋วยเตี๋ยวเรือชามที่สาม ... คงไม่ดีแน่

                    “กินได้อีกเหรอ?” พี่แนนทำตาโต

                    “ฮะ คือ ผมกำลังทำน้ำหนักน่ะครับ” ผมยกมือขึ้นลูบท้ายทอย อายกับคำโกหกของตัวเอง

                    “จ้ะ” เธอหัวเราะ แล้วเดินไปหยิบเมนูมาวางบนโต๊ะ

                    “ขอเวลาแป๊บนะครับ” ผมยิ้มแหยๆ

                    “ตามสบายจ้ะ”

                    เมื่อพี่แนนเดินจากไป ผมค่อยๆเปิดเมนูไปทีละหน้า แต่ตากลับเหลือบมองคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ... ผมอ้าปากหวอ เพราะไม่คิดว่าจะเจอกับสายตาของพี่ปิงที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว เขาส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง ผมอายจนรู้สึกร้อนไปทั้งแก้ม ต้องกัดปากตัวเองเอาไว้เพื่อข่มสีหน้า ก้มหน้างุดกับเมนู พลันนึกอะไรขึ้นมาได้

                    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

                    ผม – พี่ปิงว่าผมควรกินอะไรต่อดี

                    ส่งไปแล้วก็นั่งรอคำตอบด้วยใจเต้นตึกตัก แต่ข้อความก็ไม่ถูกเปิดอ่านเสียที ผมจึงเงยขึ้นมองหน้าพี่ปิง เขายืนนิ่ง ผมจึงชี้นิวไปที่โทรศัพท์ เขาเลิกคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ แต่เพียงสักครู่ก็ก้มหน้าลง และไม่นานก็มีข้อความเข้ามา

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – ราดหน้าที่นี่ขึ้นชื่อ

                    ผมอมยิ้มให้กับข้อความนั้น แล้วส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – ราดหน้าหมดก็พอแล้วนะ

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – ถ้าไม่คิดว่าดึกเกินไป ร้านปิด 4 ทุ่ม พี่จะไปส่ง

                    เมื่ออ่านข้อความจบ อย่าให้บรรยายเลยว่าความดีใจของผมนั้นมันมากขนาดไหน ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของข้อความ แล้วพยักหน้ารัวๆ

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – ถ้าอึดอัดก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกรอนะ

                    ผม – ฮับ ^0^

 

                    แม้จะผ่านก๋วยเตี๋ยวมาสองชามตามด้วยบัวลอย แต่ราดหน้าก็ถูกผมกำจัดไปจนเกลี้ยงอย่างง่ายดายเพราะรสชาติที่อร่อยล้ำสมคำร่ำลือ แต่มันก็ทำให้พุงแทบปริ ความอึดอัดทำให้ผมไม่สามารถนั่งต่อไปได้ จึงตัดสินใจเรียกเช็ค แต่พี่แนน กลับบอกว่าพี่ปิงจัดการให้แล้ว

                    ผมเดินเข้าไปหาพี่ปิงที่ตรงเคาน์เตอร์ด้วยความเขินอาย “ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้

                    พี่ปิงพยักหน้ารับแล้วยิ้ม “ข้างนอกเยื้องๆกับหน้าร้านมีเก้าอี้ พีทไปนั่งรอตรงนั้นก่อน คืนนี้น่าจะปิดเร็วกว่าเวลานิดหน่อย หมดลูกค้ากลุ่มนี้แล้วไม่น่าจะมีอีก”

                    คืนนี้ลูกค้าในร้านมีอยู่แค่ 2 โต๊ะ ถ้าไม่นับรวมผม

                    “ครับ” ผมตอบแล้วก้มหน้าเดินออกจากร้าน การได้มองหน้าพี่ปิงตรงๆในระยะใกล้ขนาดนี้ มันทำให้ผมอายจนหูร้อนไปหมด

                    ผมเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่วางอยู่ใต้ต้นไม้ เยื้องๆกับหน้าร้าน แต่จากตรงนี้ก็ยังสามารถมองผ่านกระจกบานใหญ่เข้าไปเห็นคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์

                    ผมส่งข้อความบอกไมค์

                    ผม – กลับดึกนิดนึงนะ

                    ไม่นานไมค์ก็ตอบกลับมา

                    ไมค์ – อยู่ไหน

                    ผม – ร้านพี่ปิง

                    ข้อความถูกอ่าน แต่ไม่ค์ไม่ตอบอะไรกลับมา ผมรออยู่สักพักจึงส่งข้อความไปอีกเพราะกลัวเขาจะเป็นห่วง

                    ผม – ไม่ต้องเป็นห่วง เราแวะมากินข้าว พี่ปิงเลยบอกเลิกงานแล้วจะไปส่ง

                    ไมค์อ่านข้อความของผม แต่ก็ไม่ตอบกลับ เขาอาจจะกำลังยุ่งกับการดูแลคุณย่า

 

                    ผมใส่หูฟัง ... อีกชั่วโมงกว่าพี่ปิงจะเลิกงาน ผมเลือกที่จะฟังเพลงแทนการเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลา ผมไม่อยากก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์ เพราะมีสิ่งที่น่ามองมากกว่านั้นอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

                    พี่ปิงมองออกมา ผมจึงโบกมือให้ เขาส่ายหน้าแต่อมยิ้ม รอยยิ้มของพี่ปิงให้ความรู้สึกอบอุ่นและใจดี … ผมยกกล้องขึ้นมาซูม และกดบันทึกภาพของพี่ปิงขณะทำงานเอาไว้หลายสิบภาพ

                    ประมาณ 4 ทุ่ม พนักงานก็ทยอยเดินออกมาจากร้าน

                    “พีทยังไม่กลับเหรอ?” พี่แนนแวะเข้ามาทัก

                    “รอพี่ปิงครับ” ผมดึงหูฟังออก

                    “พีทสนิทกับพี่ปิงเหรอ?”

                    “ก็ ... ครับ”

                    “อืม น่าแปลก” เธอพยักหน้าพร้อมเบ้ปาก

                    “แปลกยังไงครับ?”

                    “ก็ ไม่มีอะไรหรอก” เธอยักไหล่ “งั้นพี่กลับก่อนนะ”

                    “ครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ เธอพยักหน้ายิ้มให้แล้วเดินผละไป

                    รอสักครู่ไฟในร้านก็ค่อยๆดับลง จนเหลือเพียงหลอดที่อยู่นอกร้าน แล้วร่างบางในกางเกงแสล็คสีดำ เชิ้ตขาวพับแขนก็เดินออกมา ผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหา

                    “เบื่อไหม?” พี่ปิงเอ่ยถามเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้

                    “ไม่เลยครับ ฟังเพลงเพลินๆ” ผมม้วนเก็บหูฟังเข้ากระเป๋า

                    พี่ปิงยิ้มแล้วเดินนำไปที่รถ

 

                    “ไปไหนมา ถึงมาที่นี่ได้” พี่ปิงเอ่ยถามขณะที่รถแล่นไปตามทาง

                    “ผมนั่งรถเข้าไปเดินเล่นในดีซีมาครับ แล้วก็ไปดูนิทรรศการภาพถ่าย”

                    “หื้อ” พี่ปิงส่งเสียงน่ารักในลำคอ “น่าสนใจนะ ใช่งานของศิลปินที่มาจากนิวยอร์กหรือเปล่า?”

                    “ใช่ครับ พี่รู้ด้วยเหรอ?” ผมแปลกใจระคนตื่นเต้นที่พี่ปิงสนใจในสิ่งเดียวกันกับผม

                    “อืม แต่ยังไม่มีเวลาได้ไปดูสักที”

                    “ผมก็คิดว่าพี่น่าจะชอบ แต่เขาจัดอีกหลายวันนะครับ พรุ่งนี้พี่ปิงหยุดหรือเปล่า?” ผมนึกถึงภาพของชายหนุ่มที่นั่งยองๆ จ่อกล้องอยู่กับพุ่มดอกไฮเดรนเยียเมื่อ 10 ปีก่อน

                    “หยุด”

                    “งั้นไปดูกันไหม? ผมไปเป็นเพื่อน” ผมรีบเสนอตัวด้วยความหวังว่าจะได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ปิงอีกวัน

                    “พีทไปดูมาแล้วนี่ จะไปอีกเหรอ?” พี่ปิงหันมามองผมแว้บหนึ่ง

                    “ดูแล้วก็ดูได้อีกครับ” ผมตอบระล่ำระลัก กลัวพี่ปิงปฏิเสธ

                    พี่ปิงหันมายิ้ม “งั้นหลังจากดูนิทรรศการแล้วเดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว”

                    “จริงเหรอครับ?” ผมถามด้วยเสียงอันดัง ดีใจจนเผลอกำมือแน่น

                    “จะโกหกทำไมล่ะ” พี่ปิงยิ้ม แต่ไม่ได้หันมา “เดี๋ยวพาไปเดินจอร์จทาวน์ด้วย พีทเคยไปหรือยัง?”

                    “ยังเลยครับ” ผมส่ายหน้า “มันคืออะไรครับ” ผมเหมือนจะเคยได้ยินผ่านหู แต่ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่อะไร

                    “จอร์จทาวน์ก็จะมีร้านขายของ ร้านอาหาร แต่เสน่ห์ของแถบนั้นคือเกือบทั้งหมดเป็นอาคารเก่าที่แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และก็มีแม่น้ำโปโตแมค”

                    “โว้ว ผมตื่นเต้นแล้วเนี่ย” ผมถูมือแล้วยิ้มกว้าง พี่ปิงหันมาส่งยิ้มให้

                    “นิทรรศการเปิดกี่โมง?”

                    “9 โมงครับ”

                    “งั้น 9 โมงพี่มารับ”

                    “ครับผม”

                    ผมนึกอยากให้ร้านของพี่ปิงกับบ้านห่างกันสัก 100 ไมล์ แต่ในความเป็นจริงคือตอนนี้รถของพี่ปิงได้จอดลงตรงหน้าบ้านพักของผมแล้ว

                    “ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้

                    พี่ปิงพยักหน้ายิ้ม

                    ผมก้าวออกจากรถด้วยความจำใจ ... ยืนมองตามท้ายรถพี่ปิงด้วยสายตาละห้อย

 

                    ผมส่งข้อความบอกไมค์ว่าถึงบ้านอย่างปลอดภัย และไม่ลืมจะถามไถ่เรื่องอาการของคุณย่า ไมค์ตอบกลับมาเพียงแค่คำว่า “Ok” แล้วก็เงียบหายไป แม้ผมจะส่งข้อความ “Good night” ไปให้

                    ข้อความถึงดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

                    ผม – ถึงบ้านหรือยังครับ

                    พี่ปิง – จะนอนแล้วครับ

                    ผม – งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ

                    พี่ปิง – ครับ

                    ผม – ฝันดีนะครับ

                    พี่ปิง – You too.

 

                    ผมหยิบกล้องขึ้นมาเปิดดูรูปภาพที่ถ่ายมาวันนี้ และวนเวียนดูซ้ำแล้วซ้ำอีกกับภาพเซ็ทสุดท้าย

 

                    ภาพใบหน้าเรียบเฉยในขณะทำงานของพี่ปิง ไม่ว่าจะกี่ช็อตก็ไม่มีความแตกต่าง ราวกับที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นั้นคือรูปปั้นหิมะไร้ความรู้สึก

 

                    มีเพียงภาพสุดท้ายที่พี่ปิงมีรอยยิ้มบางๆระบายบนใบหน้า นั่นคือเมื่อเขาเหลือบมาเห็นว่าผมกำลังถ่ายภาพของเขาอยู่
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 01-07-2016 04:28:05
เดาทางเรื่องนี้ไม่ค่อยออกเลยค่ะ แต่รู้สึกว่าน้องพีทน่าจะชอบน้องไมค์นะค่ยังไม่รู้ตัว

ส่วนพี่ปิง...ตัดใจให้ได้ไวๆนะคะ

สนุกมากเลย ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: ToeyTato ที่ 01-07-2016 20:17:37
อ่านแล้ว มึน เอาเป็นว่าจะติดตามเพื่อรอบทสรุปนะคะเดาไม่ถูก 55555
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 02-07-2016 22:01:09
เดาทางเรื่องนี้ไม่ค่อยออกเลยค่ะ แต่รู้สึกว่าน้องพีทน่าจะชอบน้องไมค์นะค่ยังไม่รู้ตัว

ส่วนพี่ปิง...ตัดใจให้ได้ไวๆนะคะ

สนุกมากเลย ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 02-07-2016 22:02:09
อ่านแล้ว มึน เอาเป็นว่าจะติดตามเพื่อรอบทสรุปนะคะเดาไม่ถูก 55555

ขอบคุณนะคะที่คอยติดตาม
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #24 [updated 5/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 05-07-2016 22:15:01
บทนี้ยาวจนต้องตัดข้อความ บทต่อไปจะมาช้าสักนิดนะคะ คนเขียนขอเวลาไปอยู่กับตัวเองเพื่อฝึกจิตใจ แล้วจะกลับมาอีกทีค่ะ ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน และที่คอมเมนท์ ซึ่งเป็นกำลังใจที่ดีมากๆสำหรับคนเขียนค่ะ


# 24 (PETE)

 

                     วันนี้ผมสวมกางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวและรองเท้าหนังหุ้มข้อสีน้ำตาล ทั้งหมดคือของใหม่แกะป้ายจากที่ไป outlet กับพี่ปิงเมื่ออาทิตย์ก่อน และที่พิเศษคือเสื้อตัวนี้พี่ปิงช่วยเลือก เขาบอกว่ามันเหมาะกับผมมาก ... ผมยืนมองตัวเองหน้ากระจก จากที่ได้รับคำชมมาตลอด ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองหล่อก็วันนี้

                    คงเพราะเพิ่งจะแปดโมงกว่า ในบ้านจึงเงียบกริบ ขณะกินซีเรียล ผมส่งข้อความถึงไมค์

                    ผม – good morning

                    ผม – คุณย่าเป็นไงบ้าง

                    รอไม่นานไมค์ก็ตอบกลับมา

                    ไมค์ – ดีขึ้นแล้ว

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ very good

                    ผม – เราจะเข้าดีซี

                    ไมค์ – ไปไหน

                    ผม – จะไปนิทรรศการภาพถ่าย

                    ไมค์ – เมื่อวานไปแล้วไม่ใช่เหรอ

                    ผม – พี่ปิงอยากดู เราก็เลยจะไปเป็นเพื่อน

                    ผม – พี่ปิงจะพาไปจอร์จทาวน์ด้วย

                    ไมค์อ่านแต่ไม่ตอบ เดาว่าอาจยุ่งกับการดูแลคุณย่า

                    ผมกินซีเรียลจนหมดถ้วย แต่ไมค์ก็ยังเงียบ ... โชคดีที่คุณย่าป่วยในช่วงที่ไมค์ปิดเทอมพอดี ไม่อย่างนั้นน้าเจนี่อาจต้องหยุดงานเพื่อมาดูแลคุณย่าสัก 2-3 วัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังแอบนึกเสียดายอยู่นิดๆที่ไม่ได้มีโอกาสออกไปเที่ยวกับไมค์ ความจริงถ้าเมื่อวานคุณย่าสบายดี ไมค์คงจะออกไปดูนิทรรศการกับผม แต่นึกอีกที ถ้าเขาไปด้วย ผมคงอดไปหาพี่ปิงที่ร้าน

                    อีกไม่กี่วันก็จะบินกลับไปวิสคอนซิน ผมคงเหงาไม่น้อยถ้าจะไม่ได้เจอกับไมค์อีก ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมก็มีไมค์อยู่ในชีวิตแทบจะทุกวัน ถึงแม้เหตุการณ์ในห้องของไมค์วันก่อนจะยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด แต่ถ้าผมทำตัวเหินห่าง ไมค์อาจคิดว่าผมรังเกียจเขา ซึ่งผมไม่คิดอย่างนั้นเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไมค์ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมในเวลานี้ และจากวันก่อนที่เราไปมอลล์ด้วยกัน ท่าทางของไมค์ก็ทำให้คิดได้ว่าเขาน่าจะเลิกล้มความคิดที่อยากจะจูบผมไปแล้ว

 

                    รถของพี่ปิงมาจอดที่หน้าบ้านตรงเวลาเป๊ะ จากเมื่อครั้งก่อนที่เรานัดกัน ทำให้รู้ว่าพี่ปิงเป็นคนตรงต่อเวลามาก

                    “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เมื่อเข้ามานั่งตรงเบาะข้างคนขับ

                    พี่ปิงพยักหน้ายิ้ม “กินอะไรหรือยัง?”

                    “กินซีเรียลมาแล้วครับ” ผมตอบและนึกเสียใจว่าไม่น่ากินอะไรมาก่อน บางทีพี่ปิงอาจจะชวนผมกินอาหารเช้าด้วยกันก็ได้

                    “งั้นเดี๋ยวพี่ขอแวะซื้อกาแฟแป๊บนึงนะ”

                    “ครับ” ผมพยักหน้า มือประสานกันไว้บนตัก รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ก็พยายามสูดหายใจลึกๆเข้าไว้

                    ออกจากบ้านไม่ไกลมีร้านสตาร์บัคส์ พี่ปิงเข้าช่องไดรฟ์ทรู พวกเราจึงไม่เสียเวลา

                    “พี่ปิงติดกาแฟเหรอครับ?” ผมถามเพื่อหาเรื่องคุย

                    “อืม ก็ไม่เชิงนะ แต่ตอนเช้าถ้าได้กาแฟสักแก้วจะทำให้รู้สึก alert ในการทำงาน”

                    “ผมว่าแบบนี้น่าจะเรียกว่าติดได้แล้วนะ” ผมแกล้งเย้า ลอบมองใบหน้าด้านข้างของพี่ปิง

                    พี่ปิงเบ้ปาก โคลงหัวไปมา ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร อาจจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยก็ได้

                    “แล้วพีทดื่มกาแฟไหม?”

                    “เปล่าครับ” ผมส่ายหน้า แม่บอกว่ากาแฟไม่มีประโยชน์สำหรับเด็ก ผมจึงไม่เคยดื่ม

                    “นั่นสิ อย่างพีทต้องดื่มนม” พี่ปิงหันมายิ้ม ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกล้อว่าเป็นเด็ก

                    “แต่ผมก็ดื่มเบียร์นะ” ผมรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ถึงจะดื่มนม แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กๆ อีกไม่กี่เดือนก็จะอายุครบ 18 ปีแล้ว

                    พี่ปิงหัวเราะ

                    “พี่เห็นผมเป็นเด็กเหรอ?” ผมบุ้ยปาก รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย

                    “แล้วคิดว่าตัวเองโตหรือยังล่ะ?”

                    “โต ... ผมตัวโตกว่าพี่อีกนะ” ผมยืดตัวกอดอก ตอนนี้ผมไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว

                    “โอ้ ...” พี่ปิงพยักหน้าหัวเราะ

                    ผมไม่โกรธก็ได้ เพราะผมชอบเวลาที่พี่ปิงหัวเราะที่สุด

 

                    เราใช้เวลาดูนิทรรศการกว่า 2 ชั่วโมง ถึงแม้ว่าผมจะชอบถ่ายภาพ แต่คงเทียบไม่ได้กับพี่ปิง ผมจึงเดินตามเขาไปเงียบๆ ปล่อยให้เขาซึมซับกับงานศิลปะที่อยู่ตรงหน้า เพราะสำหรับผมแล้ว ภาพถ่ายทั้งหมดที่ถูกนำมาแสดง ไม่มีภาพไหนที่ดึงดูดใจได้เท่ากับร่างบอบบางที่อยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่พับแขนมาไว้ใต้ศอก วันนี้พี่ปิงสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลคล้ายๆกับผมด้วย และถ้าจะพูดแบบเข้าข้างตัวเอง ผมว่าวันนี้เราสองคนแต่งตัวคล้ายกัน อย่างกับพวกคู่รักที่ชอบใส่เสื้อคู่อะไรแบบนั้น ... นึกดีใจที่พี่ปิงเป็นคนเลือกเสื้อตัวนี้ให้

                    “ไปหาข้าวกินแถวจอร์จทาวน์นะ” พี่ปิงเอ่ย เมื่อพวกเราออกมาจากอาคารนิทรรศการ

                    “ครับ” ไม่มีเหตุผลใดบนโลกใบนี้ที่ผมจะปฏิเสธ

                    เมื่อเข้ามานั่งในรถ พี่ปิงหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม ผมไม่กล้าหันไปมองตรงๆ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ใจเต้นตึกตักขึ้นมาได้อีก ... พี่ปิงดูดีมาก

                    หลังจากขับรถวนอยู่นาน เราได้ที่จอดใต้อาคารหลังหนึ่ง

                    “กินอาหารเวียดนามไหม? ที่นี่มีร้านที่มีชื่ออยู่ร้านหนึ่ง” พี่ปิงหันมาถาม ขณะที่เราเดินออกมายังถนนเส้นหนึ่ง

                    “ดีครับ” มีพี่ปิงอยู่ด้วย ร้านไหนก็ดีทั้งนั้นสำหรับผม

                    จอร์จทาวน์เป็นเหมือนเมืองเล็กๆ มีถนนหลักเส้นหนึ่งที่ยาวหลายบล็อก ตลอดสองฝั่งถนนจะเป็นร้านค้าแบรนด์เนมและร้านอาหาร อาคารทั้งหมดถูกอนุรักษ์ไว้ในสภาพที่เรียกได้ว่าเกือบเป็นของเดิม

                    ผมมองตึกโบราณด้วยความตื่นตาตื่นใจ มือจับกล้องที่คล้องอยู่ที่คอ

                    “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วเราค่อยเดินดูไปเรื่อยๆ” พี่ปิงหันมาบอก

                    ผมพยักหน้าตอบ

                    “พีทจะได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก”

                    “ครับ” ผมยิ้มแป้น พี่ปิงรู้ใจผมด้วย

                    ระหว่างทางเดินบนฟุตบาท มีกลุ่มผู้หญิงชาวเอเชียเดินมาทางพวกเราห่างราวๆ 4-5 เมตร เธอคนหนึ่งสะกิดแขนคนที่สองแล้วมองมาที่พี่ปิงแล้วเลื่อนสายตามาที่ผม คนที่สามอมยิ้ม และคนที่สองก็ปิดปากหัวเราะคิกคัก คนที่สี่ฟาดมือลงบนแขนเพื่อนแล้วพูดอะไรสักอย่างก่อนจะปิดปาก เมื่อพวกเธอเดินสวนกับเราพอดี ผมจึงได้ยินสำเนียงภาษา พวกเธอน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน

                    ผมหันไปมองพี่ปิง แต่ใบหน้านิ่งภายใต้กรอบแว่นตากันแดด ทำให้เดาไม่ได้ว่าพี่ปิงสังเกตเห็นท่าทางของสาวๆกลุ่มนั้นหรือไม่ เมื่อมองสำรวจพี่ปิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีสิ่งไหนผิดปกติ พี่ปิงของผมหล่อออร่าท้าแสงแดดของอเมริกาขนาดนี้ มีอะไรที่ทำให้พวกเธอต้องขำ หรือว่าความผิดปกติมันอยู่ที่ผม? เมื่อก้มมองสำรวจตัวเอง ซิปก็รูดเรียบร้อย

                    “พี่เห็นผู้หญิงกลุ่มนั้นไหมฮะ?” ผมเอ่ยถามขึ้นด้วยความคลางแคลงใจ

                    พี่ปิงหันมามอง ... เขายิ้มที่มุมปากน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นมายีหัวผม ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมพี่ปิงถึงทำอย่างนั้น รู้แต่ว่ามันทำให้ผมรู้สึกดี และเลิกสนใจเรื่องของสาวชาวจีนกลุ่มนั้นไปเลย

 

                    ร้านที่พวกเรามาชื่อ Miss Saigon อาจเพราะเป็นเวลาช่วงเที่ยงพอดี ลูกค้าในร้านจึงแน่น พวกเราโชคดีที่มาทันก่อนที่โต๊ะจะเต็ม บรรยากาศภายในร้านเสียงดังพอสมควร ผมสังเกตจากการแต่งตัว ลูกค้าส่วนใหญ่น่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศ พวกเราใช้เวลาในร้านอาหารไม่นานนักเพราะสิ่งแวดล้อมไม่อำนวยให้เราอ้อยอิ่งได้

                    “พีทชอบกินของหวานไหม?” พี่ปิงถามเมื่อเรากลับออกมาเดินบนทางเท้าอีกครั้ง

                    “ไม่ถึงกับชอบ แต่ก็กินได้ครับ”

                    “ที่นี่มีร้านคัฟเค้กขึ้นชื่อ สนใจไหม? แต่ร้านนี้คิวยากมากนะ”

                    “อืม งั้นไม่เอาดีกว่าครับ” ถ้าผมต้องไปเสียเวลายืนรอเพื่อซื้อเค้ก สู้เอาเวลานั้นไปเดินเที่ยวกับพี่ปิงดีกว่า

 

                    พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ พี่ปิงบอกว่าถนนเส้นนี้เป็นช้อปปิ้งสตรีท นักท่องเที่ยวที่มาจอร์จทาวน์มักตรงมาที่นี่ และในวันฮาโลวีน ถนนเส้นนี้ก็จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่แต่งคอสตูมมาเดินอวดกัน

                    “แล้วพี่เคยมาฮาโลวีนที่นี่ไหม?” ผมพักมือจากการถ่ายภาพ แล้วเอ่ยถาม

                    พี่ปิงนิ่งไปสักครู่ก่อนตอบ “เคยปีแรก”

                    “สนุกไหมครับ?”

                    “ก็ดี แต่คนเยอะมาก”

                    “น่าสนุกจัง” ผมนึกภาพสารพัดผีที่เดินกันเต็มถนน

                    “เอาไว้ถ้าพีทมาอีกในช่วงนั้น พี่จะพามา”

                    “จริงเหรอครับ?” ผมถามด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วก็ต้องหน้าม่อยเมื่อนึกว่าการมาอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

                    พี่ปิงพยักหน้ายิ้ม

                    ผมขอให้พี่ปิงไปยืนเป็นนายแบบเมื่อเราเดินมาถึงหัวมุมที่มีตึกสีขาวเก่าแก่ บนหลังคามีโดมสีทอง ผมคิดว่าถ้าถ่ายด้วยมุมกว้าง คงเท่น่าดู แต่พี่ปิงส่ายหน้าไม่ยอมท่าเดียว

                    “นะครับๆ” ผมยกมือไหว้อ้อนวอนประหลกๆ

                    พี่ปิงก็ยังส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น

                    “ผมถ่ายแล้วจะได้ให้พี่ดูไงว่าฝีมือใช้ได้ไหม นะครับๆ” ผมยังอ้อนขอ

                    พี่ปิงมองบนแล้วถอนหายใจ “โอเค”

                    “เย้!!” ผมดีใจจนเผลอลืมตัวร้องเสียงดัง “งั้นพี่ยืนตรงนี้นะครับ ผมจะไปถ่ายจากฝั่งโน้น”

                    ผมจับไหล่สองข้างของพี่ปิง เมื่อมือสัมผัสถึงได้รู้ว่าพี่ปิงบอบบางกว่าที่ตาเห็น ใจผมเต้นตึกตักจนต้องรีบปล่อยมือแล้วเดินไปยังทางม้าลายเพื่อข้ามไปอีกฟากถนน

                    ภาพพี่ปิงที่ยืนอยู่หน้าอาคารถูกผมบันทึกไว้หลายสิบช็อต เมื่อรัวชัตเตอร์จนหนำใจแล้วผมจึงยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเคให้นายแบบของผมรู้ว่าเรียบร้อยแล้ว

                    ผมกำลังจะข้ามกลับมา พี่ปิงโบกมือ แล้วชี้นิ้ว ผมเดาว่าเขาให้รออยู่ตรงนี้ จึงหยุดฝีเท้าแล้วยืนนิ่ง ... ขณะที่พี่ปิงกำลังเดินข้ามถนนบนทางม้าลาย ผมยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์รัวๆ

                    “เดินลงไปตามถนนเส้นนี้มีร้านหนึ่งที่พีทน่าจะสนใจ” พี่ปิงพยักเพยิดไปทางถนนถัดจากที่พวกเรายืนอยู่

                    “ร้านอะไรเหรอครับ?” ถ้าพี่ปิงบอกว่าน่าสนใจ ผมมั่นใจว่ามันต้องเป็นร้านที่เยี่ยมมากแน่ๆ

                    “เดี๋ยวก็รู้” พี่ปิงเอ่ยพร้อมกับเดินนำหน้า เราเดินไปตามถนนเส้นที่เล็กลงไป เลี้ยวอีก 3 หรือ 4 ครั้ง “ถึงแล้ว” พี่ปิงหยุดฝีเท้า

                    ผมหันมองรอบๆ อาคารแถบนี้ดูไม่หรูหราอย่างร้านตรงถนนใหญ่

                    พี่ปิงชี้นิ้ว ผมมองตาม มันเป็นร้านค้าเล็กๆที่มีกระจกเพื่อโชว์สินค้าหน้าร้าน แต่เมื่อมองเข้าไปกลับดูทึบๆ ติดกันคือประตูทางเข้าซึ่งเป็นกระจกเช่นกัน

                    “พีทเข้าไปก่อน เดี๋ยวพี่ขอโทรศัพท์สักครู่” พี่ปิงควักโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง พยักเพยิดให้ผมเข้าไปก่อน

                    ผมลังเลเล็กน้อยเพราะไม่อยากเข้าไปคนเดียว แต่ก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็ก จึงผลักประตูเข้าไป พนักงานชายที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์เอ่ยทักทายสวัสดี ผมทักทายตอบ ภายในร้านมีลูกค้าอยู่ 4-5 คน บางคนหันมามองเมื่อผมก้าวเข้ามา 

                    ผมมองสำรวจภายในร้านที่ตกแต่งอย่างง่ายๆ แตกต่างจากร้านอื่นๆที่พวกเราเดินผ่าน แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับผลิตภัณฑ์บางอย่างที่แขวนโชว์อยู่บนผนัง และอีกหลายๆอย่างที่เรียงรายอยู่ติดๆกัน ผมกวาดตามองสินค้าบางอย่างที่วางอยู่ในตู้กระจกใกล้ๆ ... ความร้อนวิ่งทั่วร่างแล้วมารวมกันอยู่ที่ใบหน้า ผมรีบหันหลังกลับและผลุนผลันผลักประตูก้าวออกมาจากร้าน

                    หันมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นแม้เงาของพี่ปิง ผมรู้สึกอายจนร้อนรน หันรีหันขวาง แต่แล้วก็มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น ... ร่างบางที่สวมแว่นตาดำยืนล้วงกระเป๋ากางเกง กำลังหัวเราะอยู่อีกฟากของถนน

                    ผมรีบวิ่งข้ามไป “พี่ปิง!” ผมเริ่มต้นโวยวาย “พี่หลอกผมอ่า” ผมยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง สัมผัสได้ถึงความร้อนผะผ่าวบนแก้ม

                    “ฮ่าๆๆ” พี่ปิงยังหัวเราะชอบใจ “อะไรกัน ทำไมรีบออกมาซะล่ะ ไม่ชอบเหรอ?” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

                    ถึงผมจะชอบเวลาที่พี่ปิงหัวเราะ แต่คงไม่ใช่จากกรณีนี้แน่ๆ

                    “จะชอบได้ไงเล้า” ผมเบ้ปาก “คนในร้านมองผมด้วยล่ะ” ผมทำท่าจะร้องไห้ เมื่อนึกว่าคนในร้านต้องคิดว่าผมเป็นคนประเภทเดียวกับพวกเขาแน่ๆ

                    “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่” พี่ปิงพยายามกลั้นหัวเราะ

                    “งั้นพี่เข้าไปกับผมไหมล่ะ?” ผมคว้าข้อมือเขามากำเอาไว้

                    พี่ปิงยังหัวเราะหึๆในลำคอแล้วถอนหายใจ “โกรธเหรอเนี่ย?” เขายกมือที่ว่างขึ้นยีหัวผม

                    ผมทำแก้มตุ่ย จะบอกว่าโกรธก็คงไม่ใช่ แต่อายมากกว่า

                    “โอ๋ๆ” พี่ปิงยังยีหัวผม

                    “ไม่ได้โกรธฮะ แต่ ... ผมอาย” ผมก้มหน้างุด

                    “อายทำไมกัน ดีซะอีก พอกลับไปเมืองไทย พีทจะได้มีเรื่องไปเล่าให้เพื่อนฟังไง ถ้าไปเล่าว่ามาเดินดูตึกโบราณคงน่าเบื่อแย่” พี่ปิงยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ

                    “คงงั้นมั้งฮะ” ผมเบ้ปาก แต่ก็แอบเห็นด้วยกับพี่ปิง ... คราวนี้ผมก็มีเรื่องไปเล่าอวดเกทับไอ้ม่อกกับแก๊งแล้วว่าผมได้เข้าร้าน Sex Shop ที่อเมริกามาแล้ว ... มันก็เท่ไม่หยอกสำหรับเด็กหนุ่มอย่างพวกผม ... ว่าแต่พี่ปิงรู้จักสถานที่แบบนี้ได้ยังไง?

                    “มานี่สิ พี่ถ่ายรูปให้ไว้เป็นหลักฐาน เผื่อไปเล่าอวดเพื่อนแล้วเขาไม่เชื่อ” พี่ปิงล้วงโทรศัพท์มาถือไว้

                    ผมมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกทึ่ง ไม่อยากจะเชื่อว่าความคิดอย่างนี้จะมาจากพี่ปิงที่ดูนิ่งๆติดจะเย็นชา(สำหรับคนทั่วไป)

                    “อะไร?” พี่ปิงเอ่ยถาม คงเพราะผมมองหน้าเขานานเกินไป

                    ผมนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงปล่อยมือที่จับข้อมือพี่ปิงเอาไว้ แล้วอ้อมแขนไปโอบไหล่เขา แล้วดึงให้มายืนข้างๆ

                    “พี่มาเซลฟี่กับผมเลย” ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง

                    พี่ปิงหันมาเงยหน้าขึ้นมอง

                    สันจมูกแหลมที่โผล่จากแว่นกันแดด อยู่ห่างจากปลายจมูกของผมที่ก้มลงไปมองแค่เพียงนิ้ว แม้ผมจะไม่สามารถมองเห็นสายตาของพี่ปิง แต่กลิ่นหอมจางๆจากตัวเขาก็ทำให้ใจผมหวิวโหวงจนในสมองหมุนคว้าง ร่างบางที่ถูกโอบอยู่ขยับเล็กน้อย

                    “จะถ่ายไหม?” เสียงจากปากแดงระเรื่อเอ่ยถาม เป็นการเรียกสติของผมให้กลับคืนมา

                    “ถะ ถ่าย ... ครับ” ผมตอบตะกุกตะกัก

                    “เปิดกล้องก่อนไหม?”

                    คำถามของคนข้างๆทำให้ผมเหลือบมองโทรศัพท์ในมือที่ยกขึ้น จอยังดำสนิท ผมจึงต้องปล่อยมือที่โอบไหล่พี่ปิงออก เพื่อมาเปิดกล้องในโทรศัพท์ เมื่อกล้องพร้อม ผมอ้อมแขนหวังที่จะโอบไหล่พี่ปิงอีกครั้ง

                    “ไม่ต้องดีกว่ามั้ง?” พี่ปิงเอ่ยทักท้วง

                    ผมแสดงสีหน้าผิดหวัง นี่เป็นโอกาสที่จะได้มีภาพถ่ายร่วมกับพี่ปิง ผมแค่อยากได้โมเมนท์ที่ดีที่สุด

                    “ข้างหลังนั่นร้านอะไรล่ะ?”

                    ผมตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่พวกเรากำลังจะถ่ายรูปอยู่นั้นคือร้านของเล่นอย่างว่าของผู้ใหญ่ และถ้าผมกับพี่ปิงยืนโอบกันโดยมีร้านนั้นเป็นแบ็คกราวน์ คงดูไม่เหมาะแน่

                    “นั่นสิ” ผมปล่อยมือจากไหล่พี่ปิงแล้วหัวเราะ

                    “แต่ยังไงพี่ก็ต้องถ่ายกับผมล่ะ เพราะพี่พาผมมา” ผมไม่ยอมแพ้

                    “อื้อ” พี่ปิงผงกหัวแล้วกอดอก

                    ผมขยับตัวมายืนด้านหลังร่างบาง

                    “อย่าลืมให้เห็นป้ายชื่อร้านนะ” พี่ปิงยังไม่ลืมที่จะเตือน

                    “แน่น้อน” ผมขึ้นเสียงสูง “เอาล่ะนะ 1 2 3” ผมกดชัตเตอร์ และแล้วรูปของผมและพี่ปิงก็ถูกบันทึกเอาไว้

                    “พอใจหรือยัง?” พี่ปิงเอ่ยถาม

                    “ก็โอเค” ผมยักไหล่ แกล้งตีสีหน้าเหมือนยังไม่พอใจเท่าไหร่

                    “มา เดี๋ยวพี่ถ่ายภาพเดี่ยวให้”

                    ผมมองหน้าเขา

                    “เราคิดจะเอาภาพคู่ไปอวดเพื่อนหรือไง?” พี่ปิงหยิบโทรศัพท์จากมือผมไปถือเอาไว้ “เอ้า ทำหน้าตาให้เข้ากับร้านหน่อย”

                    เสียงเชียร์ของตากล้องทำเอาผมร้อนหูขึ้นมาอีกรอบ แต่ก็ยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างขึ้น แล้วชี้ไปทางร้านที่ตั้งอยู่ด้านหลังอีกฟากถนน

                    “โอเค” พี่ปิงยื่นโทรศัพท์คืนให้ “เดี๋ยวเดินไปทางนั้น จะเป็นอาคารที่พักอาศัยซึ่งสวยคลาสสิคมาก” พี่ปิงชี้นิ้ว

                    ผมตั้งใจฟังแล้วพยักหน้า

                    “เดินไปอีกก็จะเป็นมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์”

                    “มีมหา’ลัยด้วยเหรอครับ?”

                    “ใช่ ... ว่าแต่จะเดินไหวไหมเรา”

                    “จิ๊บๆ” ผมยืดอก

                    “คนมาที่นี่ก็เดินกันทั้งนั้นเพราะที่จอดรถหายากมาก และเพื่อซึมซับบรรยากาศ การเดินจะทำให้เราได้เห็นรายละเอียดสองข้างทางได้ดีที่สุด” พี่ปิงพูดในขณะที่พวกเราเริ่มออกเดิน

มีต่อค่ะ ...
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #24 [updated 5/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 05-07-2016 22:19:29
ต่อ ...

  ที่พี่ปิงถามว่าเดินไหวไหม ผมเข้าใจแจ่มแจ้ง เพราะเราเดินกันจริงจังมาก แต่แม้เราจะเดินกันมากแค่ไหน ผมกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย อาคารเก่าแก่ที่ทาสีสดใสเรียงกันเป็นแถว คลาสสิคอย่างที่พี่ปิงบอกไว้ เราแวะร้านเครื่องดื่มที่ทากรอบประตูกระจกสีชมพูสด ภายในเป็นห้องไม่กว้างมากนัก แต่กลับมีเสน่ห์ด้วยการตกแต่งแนววินเทจแท้ๆแบบที่ไม่ต้องพยายามเหมือนบางร้านในเมืองไทย

                    เมื่อเราดื่มน้ำผลไม้ปั่นกันหมดแก้ว การเดินก็เริ่มต้นอีกครั้ง สักพักเราก็มาถึงบริเวณของมหาวิทยาลัย อาคารเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านและรูปปั้นตรงวงเวียนด้านหน้า ให้ความรู้สึกขรึมขลังมีพลังเป็นอย่างมาก พี่ปิงบอกให้ผมไปถ่ายภาพได้ตามสบาย ส่วนเขาจะนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเขียวครึ้ม

                    ผมเก็บบันทึกภาพตึกและบริเวณโดยรอบ ผู้คนที่เดินกันอยู่ในบริเวณนี้น่าจะเป็นนักศึกษา และอาจมีนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราบ้าง ผมชอบถ่ายภาพสถานที่ในขณะที่มีคนเดินอยู่ตรงนั้น มันให้ความรู้สึกถึงการมีชีวิตมากกว่าการถ่ายภาพอาคารที่ไร้ผู้คน ... ผมแอบหันกล้องมาบันทึกภาพพี่ปิงไว้หลายภาพ เมื่อพอใจแล้วจึงเดินมานั่งลงข้างๆเขา

                    “สวยมากเลยฮะ ขอบคุณมากครับที่พาผมมา” ผมกดเช็คดูรูปในกล้อง

                    “ยังไม่หมดนะ เดี๋ยวก่อนกลับเราจะไปนั่งชมแม่น้ำโปโตแมคกัน”

                    ผมเงยหน้าขึ้น ทำตาโตด้วยความตื่นเต้น

                    “แต่ตอนนี้นั่งพักก่อนก็แล้วกัน เพราะต้องเดินกันอีก”

                    “ครับ” ผมมองใบหน้าสวยที่ตอนนี้ถอดแว่นตากันแดดออกไปแล้ว “พี่ปิงยังถ่ายรูปอยู่ไหมครับ?” ผมนึกถึงเมื่อครั้งที่เราพบกันครั้งแรก

                    เขาส่ายหน้า “ไม่ค่อยได้ถ่ายแล้วล่ะ”

                    “ทำไมล่ะครับ?”

                    “เมื่อก่อนที่มาอยู่อเมริกาใหม่ๆก็ถ่ายบ้าง แต่พอทำงานฟูลไทม์ เวลาน้อยลง พอถึงวันหยุดก็อยากอยู่นิ่งๆที่บ้าน สงสัยเพราะแก่แล้ว”

                    “พี่ปิงแก่ที่ไหนล่ะครับ” ผมรีบเถียง “พี่ถ่ายรูปสวยมากนะครับ น่าเสียดายถ้าจะหยุดไป”

                    “รู้ได้ยังไงว่าพี่ถ่ายรูปสวย”

                    “ก็ภาพพ่อกับแม่และผม ที่พี่ส่งมาให้ทางไลน์ไงฮะ ผมชอบมาก พ่อกับแม่ก็ชอบมากเหมือนกัน แม่ยังบอกเลยว่าอยากได้ต้นฉบับไปขยายใส่กรอบ” ผมเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้จึงถือโอกาสขอกับพี่ปิง “พี่ปิงยังมีภาพต้นฉบับอยู่ไหมครับ?”

                    “มีที่อัดมาแล้วนะ แต่ฟิล์มพี่ไม่ได้เก็บไว้แล้ว เพราะตอนที่จะมาอเมริกาก็ต้องทิ้งของไปหลายอย่าง”

                    “ไม่เป็นไรครับ เป็นภาพก็น่าจะขยายได้ ผมขอยืมไปก่อนแล้วจะส่งคืนมาให้นะครับ

                    พี่ปิงพยักหน้า

                    เราทั้งสองเงียบกันไป บรรยากาศโดยรอบร่มรื่น ผมเอนหลังเหยียดขาอย่างผ่อนคลาย

                    “เหนื่อยไหม?” เสียงนุ่มเอ่ยถาม

                    “ไม่ครับ ... ผมชอบที่นี่จัง ก่อนจะมา ผมนึกไม่ออกเลยว่าอเมริกาจะเป็นยังไง” ผมมองผีเสื้อที่บินวนอยู่รอบดอกไม้ในสวนหย่อม “พี่รู้ไหมว่าทำไมผมถึงมาอเมริกา?” ผมหันไปถามคนที่นั่งเงียบ

                    พี่ปิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ

                    “ผมมาหาแฟน เธอตามมาอยู่กับแม่ที่แต่งงานกับคนที่นี่ บังเอิญไมค์เป็นเพื่อนกับเธอ ผมก็เลยได้มาอยู่บ้านเช่าของไมค์” ผมหยุด นึกถึงความรู้สึกตื่นเต้นดีใจก่อนจะบินมาที่นี่

                    พี่ปิงยังคงนั่งฟังอย่างเงียบๆ

                    “แต่มาได้ไม่กี่วันผมก็รู้ว่าเธอมีแฟนใหม่ไปแล้ว ผมก็เลยอกหัก” ผมหัวเราะให้โชคชะตาอย่างขมขื่นใจ “โชคดีที่มีไมค์คอยอยู่ด้วย และผมยังได้เจอคนดีๆอย่างพี่เมฆ ... และพี่” ผมหันไปมองคนข้างๆ อยากพูดต่อว่า ... พี่ปิงคนสำคัญที่สุดของผม ... แต่ก็ได้แค่คิด

                    พี่ปิงหันมาสบตา

                    “พี่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ?” ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ผมวิ่งชนพี่ปิง ตลอดเวลา 10 ปีที่ผมเก็บเอามาฝัน และจนถึงวันที่เขามายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ

                    พี่ปิงยังสบตาผมนิ่ง “การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เขาพูดแล้วยิ้ม ยกมือขึ้นลูบหัวผม

                    ผมเอื้อมมือขึ้นไปจับมือของพี่ปิง กุมมันไว้แล้วเลื่อนลงมาวางไว้ข้างๆตัว เขามองหน้าผม ดวงตายาวรีมีแววตระหนกปะปน

                    “ขอผมจับมือพี่ไว้อย่างนี้สักพักได้ไหมครับ?” ผมสบตาเขาแล้วเอ่ยขอ ที่ผมกล้า เพราะมองดูรอบๆแล้วไม่มีคนอื่นอยู่ในระยะสายตา

                    พี่ปิงนั่งนิ่ง ปล่อยให้ผมกุมมือเขาไว้หลวมๆ

                    “พี่รู้ไหม ตั้งแต่วันนั้นที่ผมเงยขึ้นมาเห็นหน้าพี่ตอนที่ผมวิ่งชนพี่ หลังจากวันนั้นผมก็ฝันถึงพี่มาตลอด ... วันก่อนนี้ผมยังฝันเลย” ผมมองหน้าเขา บอกตัวเองในใจว่าต้องกล้าที่จะพูด เพราะผมมีเวลาไม่มาก

                    พี่ปิงมองหน้าผมนิ่งเช่นเคย สีหน้าของเขาเรียบเฉยจนเดาไม่ถูกว่าภายใต้ความสงบนั้นมีอะไรซ่อนอยู่

                    “ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอพี่อีกครั้ง ความเป็นไปได้สำหรับผมมันเป็นศูนย์ ผมถึงเก็บพี่ไว้ในใจและมีความสุขกับความฝันของตัวเองมาเรื่อยๆ เมื่อก่อนผมคิดว่าการที่วีซ่าผ่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นเพราะผมจะได้มาเจอกับแบม แต่เมื่อได้พบกับพี่ที่นี่ ผมคิดว่านี่คือพรหมลิขิตของผมกับพี่”

                    “แต่อีกไม่กี่วันพีทก็ต้องกลับไทย และก็ไม่รู้ว่าจะได้มาอเมริกาอีกเมื่อไหร่” พี่ปิงที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น คำพูดของเขาคือความจริงที่ผมต้องยอมรับ

                    ผมสอดนิ้วประสานกับนิ้วเรียวของพี่ปิงแล้วบีบเบาๆ “ถึงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มาอีก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพี่อยู่ที่นี่ และผมจะไม่ยอมให้พี่หายไปไหน”

                    เราสบตากันนิ่ง แล้วพี่ปิงก็เอ่ยถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังคุยกัน “พีทอายุเท่าไหร่?”

                    “18 ครับ” ถึงแม้จะยังไม่ถึง แต่ผมคิดว่า 18 ฟังดูดีกว่า 17

                    “ปีนี้พี่ 28 เวลา 10 ปีที่เราห่างกัน มันมีหลายอย่างที่เราย่อมมองและคิดต่างกัน พีทมีเวลาอีก 10 ปีกว่าจะโตเท่าพี่ เพราะฉะนั้นเอาเวลานี้ไปคิดเรื่องเรียนเรื่องอนาคต และใช้ชีวิตให้สนุกและมีประโยชน์ดีกว่า” พี่ปิงบีบมือที่ประสานกันของเรา แล้วคลายออก เขาปล่อยมือจากมือผม ...

                    “พี่เชื่อว่าการพบกันของเราไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และพรหมลิขิตคงพาให้พีทมาอเมริกา แต่อย่าลืมว่าไม่ใช่แค่พี่คนเดียวที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของพีทเมื่อพีทมาถึงที่นี่” คำพูดของพี่ปิงคล้ายพยายามผลักผมให้ห่างจากเขา

                    “แต่พี่คือคนที่ผมดีใจมากที่สุดได้เจอ พี่คือคนที่อยู่ในความฝันของผมมาตลอด” ผมมองใบหน้าของคนที่ฝันหามาตลอด 10 ปี เมื่อเขามาอยู่ตรงนี้ที่เอื้อมถึง ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยเขาไปได้อีก

                    “พีทไม่คิดเหรอว่าคนที่เคยอยู่ในความฝันมาตลอด เขาก็ควรอยู่ตรงนั้นต่อไป?” พี่ปิงหรี่ตามอง

                    ใจผมเหมือนโดนเจาะด้วยเข็ม “ไม่ ...” ผมเอ่ยได้เพียงเท่านั้น

                    พี่ปิงหยิบแว่นตากันแดดขึ้นมาสวม แล้วลุกยืน “ไปกันเถอะ”

                    ผมเงยขึ้นมองใบหน้าเรียวเล็กในกรอบแว่น อยากพูดอะไรมากกว่านี้ พี่ปิงจะมาตัดบทและสรุปเรื่องราวของผมจบลงง่ายๆอย่างนี้ไม่ได้ แต่มือขาวๆที่ยื่นส่งมาให้ตรงหน้า ทำให้ต้องระงับความต้องการเอาไว้ ... ผมถอนหายใจก่อนจะส่งมือไปวางบนมือของเขา

                    เมื่อพี่ปิงฉุดให้ผมยืนขึ้น เขาก็ปล่อยมือ แล้วเดินนำผมไปตามทางที่พวกเราเคยเดินเข้ามา ... ขากลับเราผ่านถนนเส้นเล็กๆที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ พี่ปิงบอกว่านี่คือถนนเก่าแก่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หินที่เรียงอยู่นี่คือของเก่าทั้งหมด ระหว่างถนนสองสายมีคลองเล็กๆอยู่ตรงกลาง

                    ทั้งบรรยากาศและทิวทัศน์รอบด้านล้วนดีงาม แต่ในใจของผมกลับห่อเหี่ยวด้วยคำพูดของพี่ปิงเมื่อสักครู่ ... ผมมองร่างบางที่เดินนำหน้าอยู่ 2-3 ก้าว ... ทำไมเขาต้องพูดจาคล้ายกับไม่อยากให้ผมอยู่ในชีวิตของเขา

                    อยู่ๆพี่ปิงก็หยุดฝีเท้า ทำให้ผมต้องหยุดตามไปด้วย เขาหันกลับมา “เป็นอะไร?”

                    ผมส่ายหน้ารัวๆ การปฏิเสธเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติอย่างหนึ่งเมื่อผมต้องการโกหก

                    พี่ปิงถอนหายใจ แต่ที่ปากกลับมีรอยยิ้ม “คิดมากใช่ไหมเรา?”

                    ผมไม่ตอบ แต่กัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้

                    “พีท” พี่ปิงก้าวเข้ามายืนใกล้ๆ “เรายังเด็ก พี่แค่ไม่อยากให้เราคิดมากหรือจริงจังในเรื่องบางเรื่องที่เป็นแค่อารมณ์ รู้ไหมว่าเมื่อโตขึ้น มีเรื่องมากมายในชีวิตที่เราจำเป็นต้องใช้เหตุผลแทนความรู้สึก”

                    ผมคิดว่าผมเข้าใจในสิ่งที่พี่ปิงบอก เพียงแต่ไม่อยากยอมรับว่าผมกำลังใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ... ผมพิงหลังกับราวกั้นที่เป็นแนวยาวไปตามสายคลอง

                    “ทำไมพี่ต้องตัดรอนผม ผมแค่ดีใจที่ได้เจอพี่ แค่อยากมีพี่ในชีวิตไปเรื่อยๆ” ผมมองปลายเท้าของตัวเอง แค่นี้จริงๆที่ผมต้องการในเวลานี้ ... แม้จะมีบางครั้งที่นึกอยากจูบและอยากอยู่ใกล้ แต่ถ้าเขาไม่อนุญาต ผมก็ไม่คิดที่จะฝืนใจเขา

                    พี่ปิงพิงหลังลงข้างๆ “พี่ไม่ได้ตัดรอน พี่แค่อยากให้พีทคิดให้มาก เรื่องบางเรื่องใช่ว่าความรู้สึกของเราจะถูกต้องเสมอไป ถ้าก้าวผิดทางไปแล้ว ไม่ใช่แค่ตัวเราที่เสียใจ แต่ยังมีคนที่รักเราอีกหลายคนที่ต้องเสียใจไปด้วย”

                    ผมหันมองหน้าพี่ปิง พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งพี่เขาพูด

                    “พี่เป็นผู้ชาย” ผมมองริมฝีปากแดงระเรื่อที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา

                    “ผมรู้” ผมพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่ว

                    ในเวลานั้นใบหน้าของไมค์กลับผุดขึ้นมาในความคิด ... วันที่ถูกผมปฏิเสธ เขาจะรู้สึกอย่างผมในตอนนี้ไหม?

 

                    เราเดินมาถึงจุดที่เรียกว่า Waterfront ข้างหน้าคือแม่น้ำ Potomac ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของที่นี่ คงคล้ายๆแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่านกรุงเทพฯ

                    “กินข้าวที่นี่กันเลยไหม? อีกหน่อยพระอาทิตย์ตก จะสวยมาก”

                    ผมลดกล้องลงแล้วพยักหน้า ห่างจากที่พวกเรายืนอยู่ไม่ไกล มีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงราย ผู้คนนั่งกันหนาตา ... ที่นี่มีร้านอาหารหลายร้าน เราสามารถสั่งอาหารในร้านแล้วออกมานั่งข้างนอกเพื่อสัมผัสบรรยากาศริมแม่น้ำได้

                    “ทำรอยยิ้มหล่นหายระหว่างทางหรือไง?” พี่ปิงถอดแว่นกันแดดแล้วเสียบไว้ที่อกเสื้อ

                    ผมหน้ามุ่ย อยากบอกว่าพี่นั่นแหละคือคนที่ขโมยรอยยิ้มของผมไป แต่จริงๆผมก็ทำได้แค่เพียงส่ายหน้า

                    “ยิ้มเยอะๆ เวลาพีทยิ้มแล้วสดใสเหมือนพระอาทิตย์” พี่ปิงพูดแล้วยิ้ม

                    ผมอมยิ้ม ... คำพูดและแววตาของพี่ปิงต่างหากที่อบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์ “พี่อยากให้ผมยิ้ม ก็ต้องเซลฟี่กับผมเยอะๆ” ผมได้ที

                    “โอ้ ... มีต่อรอง”

                    “หรือพี่ไม่อยากเห็นพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง?” ผมยื่นหน้าไปใกล้

                    พี่ปิงกลอกตา

                    พนักงานนำฟิชแอนด์ชิฟที่พวกเราสั่งเอาไว้มาเสริฟ พี่ปิงหันไปกล่าวขอบคุณ

                    “มาเลย” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมา เอียงตัวเข้าหาพี่ปิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆ

                    พี่ปิงเอียงตัวเล็กน้อย แต่เพียงเท่านั้นไหล่ของเราก็ชนกัน ผมยิ้มกว้าง แต่พี่ปิงเพียงแค่ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

                    “พี่ไม่คิดจะกลับไทยบ้างเหรอครับ?” ผมถามขณะที่พวกเราจัดการกับอาหารค่ำ

                    “คิด ... แต่พี่เพิ่งได้กรีนการ์ดไม่นาน อยากเก็บเงินอีกสักหน่อย เผื่อขากลับมาเขาไม่ให้เข้าประเทศ”

                    “บ้า มีกรีนการ์ดยังไงก็ไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอฮะ?”

                    พี่ปิงหัวเราะน้อยๆ ผมจึงคิดว่าเขาแค่พูดเล่น

                    “แล้วครอบครัวที่เมืองไทยล่ะครับ พี่ไม่คิดถึงเหรอ?” ผมเคยถามพี่เมฆเมื่อวันที่ไปกินบาร์บีคิว พี่เมฆบอกว่าพี่ปิงมาอยู่ที่นี่ก่อนเขาหลายปี

                    พี่ปิงเหม่อมองไปยังสายน้ำเบื้องหน้าก่อนจะตอบ “คิดถึงสิ”

                    “คิดถึงก็กลับไปเยี่ยมสิครับ”

                    พี่ปิงหันมามองหน้าผม “นั่นสินะ”

                    “ถ้าพี่ปิงกลับไทย เราก็จะได้เจอกันอีก” ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงข้อนี้

                    พี่ปิงไม่ตอบ เขาแค่มองหน้าผมเงียบๆ

                    พวกเราย้ายไปนั่งที่ขั้นบันไดตรงท่าน้ำ จนกระทั่งพระอาทิตย์เลื่อนลับหายไป ผมเก็บภาพช่วงเวลานั้นไว้หลายภาพ รวมทั้งภาพของพี่ปิงในช่วงขณะที่เขาไม่รู้ตัว

 

                    ถนนที่พวกเราเดินผ่านมาเมื่อกลางวันตอนนี้แปลกตาไปมาก แสงไฟจากร้านค้าต่างๆและดวงไฟจากเสาริมถนนทำให้จอร์จทาวน์สวยและมีเสน่ห์มากขึ้นอีก

                    ผมหยุดบันทึกภาพเอาไว้หลายช็อต เมื่อเราเดินกลับไปยังอาคารที่จอดรถเอาไว้ ผมจับกล้องที่คล้องอยู่บนคอไว้แน่น ... ความทรงจำของผมกับพี่ปิงบันทึกอยู่ในนี้

 

                    เมื่อรถของพี่ปิงจอดลงตรงหน้าบ้าน ผมรู้สึกคล้ายจวนเจียนจะขาดใจ อยากหยุดวันเวลาเอาไว้แค่ตรงนี้ จากวันนี้ไปผมจะมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับพี่ปิงตามลำพังอย่างนี้อีกเมื่อไหร่ ... อเมริกาและเมืองไทยมันช่างไกลกันเหลือเกิน

                    ผมนั่งนิ่ง ไม่อยากเอื้อมมือไปเปิดประตู

                    “โอเคไหม?” พี่ปิงเอ่ยถามเบาๆ

                    ผมส่ายหน้า น้ำตาเริ่มเอ่อมาที่ขอบตา “ผมจะได้เจอพี่อีกไหม?”

                    “ถ้าอยากเจอก็ต้องได้เจอสิ กว่าพีทจะกลับก็อีกหลายวันไม่ใช่เหรอ”

                    ผมพยักหน้า แต่โอกาสที่จะได้อยู่ตามลำพังอย่างนี้คงไม่มีแล้ว ผมสูดหายใจรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นสบตา

                    “พี่ ...”

                    ผมโน้มตัวแล้วกดจมูกลงบนแก้มขาวด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อทำลงไปแล้วก็กลับมานั่งหลังตรงรอรับการลงโทษ

                    ใบหน้าด้านข้างของพี่ปิงถูกแสงไฟอาบเพียงครึ่ง เขานั่งนิ่ง นิ่งและนาน อกของผมแทบจะระเบิดด้วยความกลัวและตื่นเต้น ไม่ว่าพี่ปิงจะด่าหรือทำอะไร ผมจะก้มหน้ายอมรับโดยไม่ปริปาก

                    “ผมขอโทษ” ผมก้มหน้า เอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาก็กลั้นไม่อยู่เสียแล้ว พี่ปิงคงเกลียดผมเข้าให้แล้ว

                    แต่แล้วสัมผัสหนึ่งก็ทำให้ใจกระตุก ผมเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่อยู่ในเงามืดเสี้ยวหนึ่งกลับให้ความรู้สึกอ่อนโยน มือของพี่ปิงวางอยู่บนหัวของผม

                    “พี่เข้าใจในสิ่งที่พีทคิด แต่ตัวพีทเองต้องทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากกว่านี้”

                    “พี่โกรธผมไหม?” ผมช้อนตาขึ้นมอง

                    พี่ปิงส่ายหน้า “พี่มองพีทเหมือนน้องชาย จะโกรธทำไมเรื่องแค่นี้”

                    แม้พี่ปิงไม่โกรธ แต่คำว่า “น้องชาย” กลับทำให้ผมรู้สึกแย่ลง

                    “ไปเถอะ ... อีก 2-3 วันเจอกัน”

                    ผมมองใบหน้านั้นด้วยความอาวรณ์ แต่เมื่อผมทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไป จึงไม่กล้าอิดออดอะไรได้อีก

 

                    ผมเพียงส่งข้อความสั้นๆบอกพ่อกับแม่ว่ากำลังจะเข้านอน มีข้อความจากแบม จากแก๊งเพื่อน แต่ผมไม่เปิดอ่าน โทรศัพท์ถูกวางไว้ข้างหมอน ... ค่ำคืนนี้ผมไม่แม้แต่จะกล้าส่งข้อความฝันดีไปถึงดอกไฮเดรนเยียสีม่วง ...

                    ผมนอนมองความมืด นึกถึงสิ่งที่ทำลงไปในรถ แม้พี่ปิงจะบอกว่าเขาไม่โกรธ แต่ท่าทีที่นิ่งไปหลายนาทีก็บอกได้ว่าพี่ปิงไม่ได้ยินดีกับการกระทำของผม ...

                    ผมนึกถึงไมค์อีกครั้ง ... เขาสามารถยิ้มได้แม้จะถูกผมผลักตกเตียง ทั้งๆที่เขายังไม่ได้สัมผัสผมด้วยซ้ำ แต่ผมได้หอมแก้มพี่ปิง และพี่ปิงไม่โกรธ หนำซ้ำยังลูบหัวปลอบโยนผมอีกต่างหาก ... ความรู้สึกผิดต่อไมค์ก่อเกิดขึ้นมาอีก

                    ผมควรส่งข้อความบอกไมค์เมื่อกลับถึงบ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำ เมื่อคิดได้จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่แล้วข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอกลับทำให้ใจเต้นโครมคราม

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – อย่าคิดมาก พี่ไม่โกรธจริงๆ เรายังเด็ก การทำตามความต้องการด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านเป็นเรื่องปกติตามวัย แต่จากนี้ไปพีทต้องคิดให้มากขึ้น พีทเป็นเด็กดี พี่ไม่อยากเห็นเราเดินผิดทาง

                    ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา

                    ผม – ผมผิดที่ผมหอมแก้มพี่โดยไม่ขออนุญาตก่อน แต่ที่ผมชอบพี่ ผมไม่ผิด

                    พี่ปิง – ชอบนั้นไม่ผิด แต่ชอบคนที่ไม่ควรชอบนั้นอาจทำให้อีกหลายๆคนเสียใจ

                    มีไฟล์รูปส่งมา ... มันคือภาพของผมที่มีกล้องอยู่ในมือและหันมาส่งยิ้มกว้างให้กับพี่ปิง ... ตามด้วยข้อความนี้ ...

                    พี่ปิง – รอยยิ้มที่สดใสของพีทมีค่ามากสำหรับพ่อแม่ อย่าให้พี่ต้องเป็นคนทำลายมัน

                    ผมนอนมองข้อความสุดท้ายของพี่ปิง อ่านมันซ้ำๆ ... พ่อแม่จะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่าผมชอบผู้ชาย

 

                    ... แต่ถ้าต้องปฏิเสธความต้องการภายในใจของตัวเอง ... ผมจะเสียใจแค่ไหน?
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 17-07-2016 20:49:15
# 25 (PETE)

 

 

                    ผมตื่นแต่เช้าตรู่ ออกไปวิ่งรอบหมู่บ้าน ... นี่อาจเป็นเช้าสุดท้ายที่จะได้ทำกิจกรรมเช่นนี้ ณ ที่แห่งนี้ เช้าวันอาทิตย์ผมต้องไปจากที่นี่แล้ว และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกหรือไม่

                    เมื่อวิ่งผ่านสนามบาสเก็ตบอล มีใครคนหนึ่งกำลังชู้ตห่วงอยู่เพียงลำพัง ... ร่างสูงที่คุ้นตาทำให้ผมต้องหยุดฝีเท้าลง

                    “ไมค์!” ผมร้องทัก

                    ใบหน้าคมหันมาตามเสียงเรียก คิ้วเข้มขมวดปม ผมสีน้ำตาลที่ไม่ได้เซ็ทปรกหน้าผาก

                    “Hey” ไมค์คลายขมวดที่หัวคิ้วแล้วเอ่ยทักกลับมา “มาทำอะไร?”

                    “จ็อกกิ้ง” ผมเดินเข้าไปหาเขาในสนาม

                    เขาพยักหน้าถี่ๆ “ก็สมควร พุงนายล้ำหน้าละ” พูดแล้วก็จ้องมาที่ช่วงกลางลำตัวของผม

                    “จริงดิ?” ผมแสดงท่าทีตกใจเกินจริงเพราะรู้ว่าไมค์แกล้งอำ

                    “Yah” ไมค์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ ส่งลูกบาสลงเลี้ยงข้างๆตัว

                    “เล่นด้วยดิ” ผมยื่นมือไปแย่งลูกบาสมาเลี้ยง

                    ไมค์ชักสีหน้า “นายจะแข่งกับฉันเหรอ?”

                    “ย่อมได้” ผมรับคำท้าแล้วเลี้ยงลูกบาสหลบร่างสูง ส่งลูกเช็ดแป้นลงห่วงไปอย่างสวยงาม

                    ไมค์วิ่งไปคว้าลูกบาสที่ตกลงมาจากห่วง พร้อมตะโกนเสียงดัง “ฉันจะสั่งสอนนายเอง!”

 

                    ไม่รู้ว่าเราใช้เวลาที่สนามบาสเก็ตบอลกันนานเท่าไหร่ แต่ถ้าจะถามถึงผลแพ้ชนะ ถึงแม้จะไม่ได้นับกันอย่างจริงจังว่าใครชู้ตได้กี่ลูก ผมก็รู้ตัวดีว่าสู้ไมค์ไม่ได้เลย

                    “สนุกไหม?” ไมค์เอ่ยถามเมื่อเราเอนตัวลงนอนใต้ต้นไม้ใหญ่ ริมสนามหญ้าที่เราเคยพาทิลลี่มาเล่นขว้างบอล

                    “อื้อ แต่จะสนุกกว่านี้ถ้าฉันไม่แพ้นายราบคาบ” ผมไม่รู้สึกเสียหน้าเลยสักนิดที่สู้ไมค์ไม่ได้ ผมว่าถ้าเขาเล่นอย่างจริงจังคงเป็นนักกีฬาทีมโรงเรียนได้สบายๆ

                    “ไม่ใช่ ... ฉันหมายถึงไปเที่ยวเมื่อวานสนุกไหม?”

                    ผมหันมองใบหน้าของคนที่นอนอยู่ข้างๆ พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนที่คิดว่าจะส่งข้อความถึงเขา ผมก็ไม่ได้ทำ เพราะมัวแต่คิดวนเวียนอยู่กับคำพูดของพี่ปิงจนผล็อยหลับไป

                    “ก็ ... สนุกดี” ผมตอบไม่เต็มเสียง ด้วยความรู้สึกผิดที่ละเลยในสิ่งที่ควรทำ ทั้งๆที่ไมค์เคยพูดเรื่องนี้กับผมไปแล้วเมื่อครั้งก่อนที่ไปช้อปปิ้งกับพี่ปิง ผมรู้ดีว่าทุกครั้งที่ไมค์โกรธหรือโวยวาย นั่นเพราะความเป็นห่วงที่มีให้ แต่ผมเองกลับเพิกเฉยกับความห่วงใยนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ... แต่ครั้งนี้เขากลับนิ่งเฉย หรือคงเบื่อแล้วที่จะต้องคอยตามเป็นห่วงผม

                    “ไปไหนกันมาบ้าง?” ไมค์นอนหนุนมือที่ประสานกันเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าสายตาของเขาเหม่อมองไปที่ใด แต่ที่แน่ๆ เขาไม่หันมามองหน้าผม แม้เมื่อเอ่ยถามคำถาม

                    “ก็เดินอยู่รอบๆจอร์จทาวน์” ผมสอดมือข้างหนึ่งเพื่อหนุนหัวตัวเองบ้าง

                    “ทำอะไรกัน?”

                    “กินข้าว เดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูป” ผมมองใบไม้ที่อยู่เหนือหัวของพวกเรา นึกถึงใบหน้าเรียวเล็กภายใต้กรอบแว่นตากันแดดของพี่ปิง

                    “นายมีความสุขไหม?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามราบเรียบทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าคนตั้งคำถามเพื่อเช็คอารมณ์ แต่แล้วเจ้าของสันจมูกโด่งก็หันมา ใจผมกระตุกเฮือกเพราะไม่ทันตั้งตัว

                    “นายมีความสุขไหมที่ได้ใช้เวลากับพี่ปิง?” ไมค์ถามซ้ำ

                    ผมมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างแค่เพียงช่วงแขน ถ้าตอบไปตรงๆ มันจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของไมค์หรือไม่? เพราะถ้าไมค์ยังชอบผมอย่างที่เขาเคยบอก เขาอาจเสียใจ แต่ถ้าผมบอกไปว่าไม่ นั่นก็หมายความว่าผมโกหก

                    “ทำไมไม่ตอบ?” เขายังคงมองหน้าผม

                    “อือ ...” ผมตอบออกไป ถึงบอกไปว่าไม่ ไมค์เองก็คงไม่เชื่อ

                    ดวงตาสีน้ำตาลทอดนิ่งอยู่บนใบหน้าของผม แต่แล้วก็หันกลับไปเหม่อมองเบื้องหน้าอีกครั้ง

                    “เราขอโทษ” คำตอบของผมคงทำให้ไมค์ไม่สบายใจ ... ผมน่าจะโกหกซะดีกว่า

                    “เฮ่อ ... นายจะขอโทษทำไมกัน นายมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข ... ฉันเองก็มีความสุข ... ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับนาย” เขาหันมา ระบายยิ้มบางที่ริมฝีปาก

                    “ไมค์ ...” ความรู้สึกบางอย่างวิ่งเข้ามาในอก ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้ผมพูดไม่ออก

                    “ทำไม? คำพูดฉันมันเท่จนทำให้นายพูดไม่ออกเลยหรือไง?” ริมฝีปากบางยกยิ้ม

                    “ใช่ ... นายมันเท่” ผมจะปฏิเสธได้ยังไง

                    “หึ” ไมค์ยันตัวขึ้นนั่ง ท้าวแขนข้างหนึ่งไว้แล้วก้มลงมา “ฉันรู้ ... นายระวังตัวให้ดีเถอะ สักวันฉันจะทำให้นายตกหลุมรักฉันให้ได้”

                    ผมเลิกคิ้วให้กับความมั่นอกมั่นใจของคนข้างๆ มองสำรวจใบหน้าที่ลอยอยู่เหนือจมูกของตัวเองแค่เพียงคืบ ... สิ่งที่ไมค์มั่นใจนั้นไม่ผิด

                    “นายรู้ป่ะ ถ้าเราเป็นผู้หญิงนะ เราต้องตกหลุมรักนายแน่ๆ” ผมพูดออกมาทั้งที่รู้สึกอายเล็กน้อย

                    “เฮอะ นายบ้าไหมเนี่ย ทำไมฉันต้องรอให้นายเป็นผู้หญิงซะก่อน” ไมค์เอ่ยเสียงดัง

                    “อ้าว ก็นายเป็นผู้ชาย” ผมโต้กลับ

                    “แล้วพี่ปิงล่ะ?” ดวงตาสีน้ำตาลทอดมองลงมา

                    ผมกลั้นหายใจ ... พี่ปิงไม่เหมือนคนอื่น ไม่ว่าพี่ปิงเป็นชายหรือหญิง พี่ปิงคือพี่ปิง และถ้าไม่ใช่พี่ปิง ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชายคนไหนได้ ...

                    “เฮ่อ ...” ไมค์ถอนใจ ยันตัวลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ ฉันหิวแล้ว” เขาส่งมือลงมาให้

                    ผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะส่งมือไปวางไว้บนมือของเขา ดันตัวขึ้นในขณะที่ไมค์ออกแรงฉุด ทำให้ตัวลอยขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดายจนแทบปลิว ผมเซนิดหน่อย ไมค์ใช้แขนอีกข้างประคองเอาไว้

                    “ขอบใจ” ผมเอ่ยเพื่อให้ไมค์รู้ว่าผมทรงตัวได้ดีแล้ว เพื่อเขาจะได้ปล่อยมืออีกทั้งแขนที่ประคองอยู่ที่เอวของผมให้เป็นอิสระ แต่ไมค์กลับยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

                    ใจผมหายวาบ รู้สึกถึงการเพลี่ยงพล้ำ ก่อนที่จะทันได้ผลักเขาออก ปลายจมูกแหลมก็เคลื่อนเข้ามา และริมฝีปากของผมก็ถูกประกบด้วยริมฝีปากของไมค์ ...

                    ในหัวผมหมุนติ้ว การประมวลผลจากความรู้สึกที่ถูกสัมผัสตรงริมฝีปากสั่งให้ผมออกแรงที่มือและแขนสุดกำลัง แล้วผลักให้ร่างสูงกระเด็นออกไป

                    ตุ้บ! ... ร่างของไมค์กระแทกลงกับพื้น “Ouch!!” เขาร้องเสียงดัง

                    “เฮ้ย!?” ผมตกใจเพราะไม่คิดว่าแรงของตัวเองจะมากมายจนทำให้คนตัวโตอย่างไมค์ลงไปนอนกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า

                    ไมค์นิ่วหน้า ดันตัวเองขึ้นมานั่ง ยกศอกขึ้นมาสำรวจ มีรอยแดงเป็นปื้นยาว คงเพราะไถลไปกับพื้นหญ้า ผมรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ รีบคุกเข่าลงใกล้ๆ

                    “เป็นไรไหม?” ผมเอื้อมมือจะไปจับแขนที่แดงของเขา

                    ไมค์สะบัดหลบ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหวี่ยง “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ?”

                    “ก็ ...” ผมไม่มีคำตอบ ... ไมค์คงเจ็บ

                    “ฉันไม่คิดว่านายจะเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง” พูดจบ ริมฝีปากบางก็ถูกกัดเอาไว้ เมื่อเจ้าตัวใช้นิ้วแตะไปที่แผลถลอกที่แขน

                    ผมขมวดหัวคิ้ว “นายเป็นฝ่ายรังแกเราก่อน เราแค่ป้องกันตัว”

                    “ฉันรังแกอะไรนาย?” ไมค์เอียงคอถาม ดวงตาคมคล้ายกำลังท้าทายอยู่ในที

                    ผมเบิ่งตามอง คนตรงหน้าเวลานี้ไม่มีทีท่าจะเจ็บปวดตรงไหนอย่างที่ผมเป็นห่วงเลยสักนิด

                    “ว่าไง ... ฉันรังแกอะไรนาย?” เขาถามย้ำ

                    “นาย ... จูบฉัน” ผมตอบด้วยความรู้สึกกระดากและชาที่แก้ม ... นี่ถือเป็นการรังแกที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยถูกกระทำมา เพราะมันคือจูบแรกของผม

                    ปากบางคลี่ยิ้ม ดวงตาคมหรี่มอง “ใช่ ... นายถูกฉันจูบแล้วล่ะ”

                    ความรู้สึกโหมกระหน่ำ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง โกรธ เจ็บใจ เสียดาย หรืออับอาย ... ลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่น ถ้าเป็นคนอื่นผมคงกระชากคอเสื้อขึ้นมาแล้วต่อยให้คว่ำลงไป แล้วกระชากขึ้นมาใหม่ แล้วต่อยให้คว่ำลงไปจนกว่าจะหายคับแค้นใจ ... แต่นี่คือไมค์ ...

                    “นายมัน! ...” ผมกัดปากตัวเอง ดวงตาที่ถูกเส้นผมปรกจ้องมาที่ผม ... ผมจ้องกลับ แต่เมื่อสายตาเผลอมองลงไปยังริมฝีปากบางที่เพิ่งสัมผัสมาเมื่อสักครู่ ภายในท้องกลับปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อบินวนอยู่สักหมื่นตัว ... ผมถอนสายตาแล้วหันหลัง สาวเท้ายาวๆออกไปจากที่ตรงนั้น

                    “นายจะไปไหน!?” ไมค์ตะโกนถามตามหลัง

                    “กลับบ้าน!” ผมตะโกนตอบโดยไม่หันกลับไปมอง

                    “เดี๋ยวสิ ช่วยฉุดฉันขึ้นไปก่อน” น้ำเสียงของไมค์เบาลง

                    “ไม่! นายเก่งนักก็ช่วยเหลือตัวเองเถอะ” แม้ผมจะชะงักเล็กน้อย แต่การกระทำของไมค์ทำให้ผมไม่ยอมใจอ่อนกับเขาง่ายๆ

                    “Ouch!” เสียงครวญของไมค์ดังตามหลังมาอีกครั้ง

                    ผมยังไม่ยอมหยุดเดิน แต่เมื่อก้าวต่อไปสักพัก ความเงียบทางด้านหลังทำให้เริ่มเป็นห่วง ในที่สุดก็ต้องหยุดฝีเท้าแล้วหันหลังกลับไปมอง ไมค์ยังนั่งอยู่ที่เดิม ผมถอนหายใจอย่างพ่ายแพ้ก่อนจะเดินย้อนกลับไป

                    ไมค์นั่งก้มหน้า แขนทั้งสองข้างวางพาดบนเข่าที่ชันอยู่ ... ผมหยุดยืนตรงหน้าเขา ยื่นมือส่งไปให้ แต่เขายังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง

                    “ส่งมือมาสิ”

                    “...”

                    “เป็นไร?” ผมเตะไปที่ปลายเท้าเขาเบาๆ

                    “...”

                    “ไมค์”

                    “...”

                    อาการนิ่งไม่ไหวติงของไมค์ทำให้ผมเริ่มเป็นห่วง จึงนั่งยองๆ พยายามก้มส่องดูใบหน้าของเขา

                    “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ผมถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ บางทีตอนที่เขาล้มลง หลังอาจกระแทกกับพื้นแรงไปจนขยับตัวไม่ได้

                    แต่ไมค์ยังคงก้มหน้านิ่ง ... ผมเอื้อมมือไปจับผมที่ปรกลงมาปิดหน้า ... ไมค์มีผมเส้นเล็กอ่อนนุ่ม เมื่อสัมผัสให้ความรู้สึกคล้ายลูบขนของแบมบี้ ... กระต่ายที่ผมเคยเลี้ยง

                    “เจ็บตรงไหนบอกเราหน่อย” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาด้วยรู้สึกผิด

                    “...”

                    “ไมค์ เจ็บตรงไหน?” ผมมองสำรวจไปที่แขนและขาของเขา

                    “...ใจ ...” เสียงเบาที่เอ่ยออกมาแม้ยังก้มหน้าอยู่ กระตุกใจผมให้สั่นไหว

                    “...” ผมพูดอะไรไม่ออก

                    เรานั่งกันอยู่ตรงนั้นหลายนาที ในที่สุดไมค์ก็เงยหน้าขึ้นมา

                    “ช่วยฉุดฉันยืนขึ้นที รู้สึกว่าข้อเท้าจะแพลง”

 

                    เราเดินกลับบ้านอย่างทุลักทุเลพอสมควร เพราะผมต้องประคองร่างสูงของไมค์ที่เดินกะเผลกมาตลอดทาง เมื่อถึงบ้านของไมค์ เขาก็ไล่ให้ผมกลับห้อง ทั้งๆที่ผมอยากดูแลเขามากกว่า แต่เพราะวันนี้คุณแม่ของไมค์อยู่บ้าน ผมจึงวางใจและยอมล่าถอย

                    ผมกลับมาที่ห้อง อาบน้ำและลงไปต้มมาม่ากินควบมื้อเช้าและกลางวัน

                    “ว่าไงไอ้น้องพีท?” พี่จิวทักเมื่อเราเจอกันที่โถงหน้าห้อง

                    “หวัดดีครับพี่จิว” ผมกล่าวทักทายโดยไม่ได้ยกมือไหว้ เพราะพี่จิวเคยบอกว่าเจอกันแทบทุกวัน จะไหว้ทำไมบ่อยๆ

                    “ว่าไงๆๆ พร้อมหรือยัง?” พี่จิวยักคิ้วถี่ๆ ยิ้มอย่างมีเลศนัย

                    “พร้อมอะไรครับ?” ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามพูดถึง

                    “หืม ... วันเสาร์อ่ะวันเสาร์” พี่จิวเอียงหน้า ยื่นคอมาใกล้จนผมต้องเอนหลังหนี

                    “วันเสาร์ทำไมฮะ?” ผมก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี

                    “อืม ... แสดงว่ายังไม่รู้” พี่จิวพยักหน้าช้าๆ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอยู่คนเดียว

                    “อะไรพี่?” ผมงง

                    “ไม่เป็นไร” เขาสะบัดหน้า “วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ?”

                    “เปล่าครับ” ผมมึนกับการเปลี่ยนเรื่องกะทันหันของพี่จิว “เอ่อ ... แต่ตอนบ่ายว่าจะไปดูไมค์ซะหน่อยฮะ” ผมนึกขึ้นได้ว่าควรจะไปดูแลไมค์ เพราะผมคือคนทำให้เขาเจ็บ

                    “ไมค์เป็นไร?” พี่จิวถามหน้าตาตื่น

                    “ข้อเท้าแพลงครับ”

                    “เอ๊า ไปทำอีท่าไหนล่ะ”

                    “เอ่อ ... คือ ...” ผมนึกหาคำแก้ตัว “เล่นบาสกันแล้วพลาดนิดหน่อยฮะ”

                    “เอ๊า เมื่อเช้าออกไปเล่นบาสกันมาเหรอ?”

                    “ครับ” ผมผงกหัวรับรัวๆ แล้วรีบขอตัวกลับเข้าห้อง

 

                    ผมนอนเหยียดยาวบนเตียง ตั้งใจจะส่งข้อความถามอาการของไมค์ แต่สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่รูปโปรไฟล์ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง ... ตั้งแต่เมื่อคืนที่พี่ปิงทิ้งคำพูดเอาไว้ ผมก็ไม่กล้าที่จะทักทายกลับไป ผมรู้สึกว่าแต่ละก้าวที่ขยับเข้าใกล้พี่ปิง มันเปราะบางจนต้องคิดแล้วคิดอีก ก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกไปต่อจากนี้

                    ผมหันความสนใจไปที่ไมค์

                    ผม – เป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม

                    รอสักพักข้อความไม่ถูกเปิดอ่าน ผมจึงวางโทรศัพท์ลงข้างหมอนเพราะรู้สึกง่วง กะว่าจะงีบสักหน่อย ตื่นมาแล้วจะไปหาไมค์ที่บ้าน

                    แต่งีบไปสักครู่ เสียงเรียกสายก็ดังขึ้น

                    “สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายไป เมื่อเห็นชื่อที่บันทึกปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

                    /ทำไรอยู่วะหล่อ?/ เสียงพี่เมฆกังวานใส

                    “เปล่าครับ”

                    /เก็บกระเป๋าหรือยัง?/

                    “ยังเลยครับ ผมมีของไม่เยอะ เก็บแป๊บเดียวก็เสร็จ”

                    /วันอาทิตย์เครื่องออกกี่โมง?/

                    “อืม จำไม่ได้ฮะ เดี๋ยวต้องดูตั๋วอีกที”

                    /อะไรวะ ระวังตกเครื่องนะเว้ย/ พี่เมฆหัวเราะ ผมจึงหัวเราะตาม

                    “ตกก็ดีนะพี่ ผมจะได้มีข้ออ้างอยู่ต่อ”

                    /นั่นๆ ติดใจจนไม่อยากกลับแล้วเหรอ?/

                    “ก็ ประมาณนั้นฮะ” ผมนึกถึงใบหน้าขาวๆ และปากสีแดงระเรื่อ

                    /โอ๊ะโอ อะไรทำให้ติดใจขนาดนั้นว้า/ พี่เมฆทำเสียงล้อเลียน

                    “ก็มีบ้างน่ะพี่”

                    /กลัวคิดถึงใครหรือเปล่า?/

                    “พี่รู้ดีนะเนี่ย” ผมพูดทีเล่นทีจริง

                    /ไมกี้เหรอ?/ พี่เมฆหัวเราะเสียงดัง แต่ผมกลับไม่ขำเมื่อนึกถึงภาพที่ไมค์นั่งก้มหน้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

                    “พี่เมฆโทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ?”

                    /เออๆ เกือบลืม/ พี่เมฆหัวเราะแล้วพูดต่อ

                    /วันเสาร์น่ะ พวกพี่ๆอยากเลี้ยงส่งเรา พี่เนสกับพี่จิวเขานัดกันที่บ้านพี่ ไมค์ก็จะมาด้วย ... นี่มีใครบอกไปหรือยัง?/

                    “ยังครับ ผมไม่รู้เรื่องเลย เพิ่งรู้นี่แหละ” ผมนึกถึงท่าทีของพี่จิวเมือสักครู่ จึงเข้าใจ

                    /ก็กะเซอร์ไพรส์กันนิดหน่อย แต่จะเซอร์ไพรส์หน้างานเลยก็คงไม่ได้ เพราะพี่อยากให้พีทเก็บกระเป๋าไปนอนค้างที่บ้านพี่เลย แล้วตอนเช้าวันอาทิตย์พี่จะไปส่งที่สนามบินเอง/

                    “เอาแบบนั้นเลยเหรอฮะ”

                    /เอาแบบนั้นแหละ เผื่อดึกกันไง จะได้นอนกันที่นั่นเลย ตอนเช้าพี่ก็ออกไปส่ง จะได้ไม่เสียเวลา”

                    “อืม ก็เข้าทีดีฮะ แต่ผมขอคุยกับไมค์ก่อนนะครับ”

                    /ไมค์รู้แล้ว พี่คุยกับเขาก่อนแล้ว/

                    “แล้วเขาเห็นด้วยเหรอครับ?” ผมนึกแปลกใจที่ไมค์ไม่เอ่ยเรื่องนี้ให้ผมรู้

                    /ใช่สิ พี่ว่าจะชวนไมกี้มาค้างด้วย พอส่งพีทเรียบร้อยพี่ถึงจะไปส่งเขาที่บ้าน/

                    “อืม ...” ผมนึกถึงคนสำคัญ “พี่ปิงอยู่ด้วยไหมครับ?”

                    /อยู่สิ ถ้าไม่อยู่ใครจะทำกับข้าวให้พวกเรากินล่ะ ฮ่าๆ/ พี่เมฆหัวเราะ ผมจึงหัวเราะตาม ดีใจที่สุดที่คืนสุดท้ายผมจะได้ใช้เวลาอยู่กับพี่ปิง

                    “งั้นก็ตามนั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่ที่คิดถึงผม”

                    /เฮ้ย ไม่ต้องเกรงใจ ทุกคนเต็มใจ ... ว่าแต่พรุ่งนี้ทำอะไร ไปไหนหรือเปล่า?/

                    “คิดว่าคงอยู่ห้อง เก็บของ และคงไปอยู่เป็นเพื่อนไมค์ครับ”

                    /ไปเฝ้ามันทำไม?/

                    “คือ วันนี้ผมทำเขาข้อเท้าแพลงน่ะฮะ”

                    /เอ๊า เป็นไรมากไหม?/

                    “ก็กะเผลกๆ เดี๋ยวสักหน่อยผมว่าจะออกไปดู”

                    /เออๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่โทรคุยกับมันเอง/

                    “ครับ”

                    /งั้นแค่นี้แหละ แต่ถ้าอยากไปไหนโทรหาพี่ได้นะ พรุ่งนี้ตอนบ่ายพี่ว่าง โดนไล่ออกจากงานละ ฮ่าๆๆๆ/

                    “อ้าว ทำไมล่ะครับ?”

                    /ไม่มีไรมากหรอก เอาไว้เจอหน้าแล้วจะเล่าให้ฟัง/

                    “ฮะ”

                    /แค่นี้ล่ะ ไม่กวนละ/

                    “ครับ สวัสดีครับพี่”

 

                    วางสายจากพี่เมฆแล้วผมกลับไปนอนต่อ รู้สึกถึงความโชคดีในความโชคร้ายของตัวเอง แม้ผมจะถูกแฟนทิ้ง แต่ก็ได้พบกับมิตรภาพที่ดี และที่สำคัญที่สุด คือได้พบกับคนที่ผมเฝ้าฝันหามานาน

 

                    ผมเดินไปบ้านไมค์ในตอนบ่าย คุณแม่บอกว่าไมค์นอนอยู่บนห้อง ผมจึงบอกว่าจะกลับมาใหม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดในห้องของไมค์ยังติดอยู่ในความทรงจำ ไหนจะเรื่องเมื่อเช้าที่สนามหญ้านั่นอีก ถ้าผมเอาตัวเองเข้าไปหาไมค์ถึงห้องของเขา ผมจะปลอดภัยไหม? แต่คุณแม่บอกว่าให้ขึ้นไปได้เลย ผมไม่กล้าปฏิเสธ จึงต้องก้มหน้าเดินขึ้นบันไดไปแต่โดยดี

               
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 17-07-2016 20:50:47
ต่อ ...



    ผมเคาะประตูห้อง แต่รอสักพักก็ไม่มีเสียงจากคนข้างใน จึงเคาะอีกครั้ง ก็ยังเงียบ จึงถือวิสาสะ บิดลูกบิด ประตูไม่ได้ล็อค ผมจึงผลักเข้าไป

                    ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ดวงตาดื้อรั้นปิดสนิท ที่หูมีหูฟังเสียบคาเอาไว้ เจ้านี่คงฟังเพลงแล้วเผลอหลับไป ผมยืนมองคนที่นอนไม่รู้ตัวอยู่บนเตียง ... จมูกที่รั้นเล็กน้อยรับกับริมฝีปากบางที่เพิ่งขโมยจูบผมไปเมื่อเช้า ถ้าเป็นคนอื่นผมคงนึกอยากต่อยให้ปากแตก แต่กับคนนี้ ผมกลับมองมันแล้วรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่แก้ม

                    ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ตกใจกับความรู้สึกของตัวเอง ผมไม่ควรอยู่ตรงนี้ เมื่อคิดได้จึงหันหลังกลับ ก้าวตรงไปยังประตู

                    “จะรีบไปไหนล่ะ?” เสียงจากด้านหลังทำให้ผมต้องหยุดชะงัก แล้วหันกลับไปมอง

                    “นายไม่ได้หลับ?”

                    “เปล่า ... ก็แค่หลับตา” ไมค์ถอดหูฟังแล้วยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง

                    “นายรู้ว่าเรามาแล้วทำไมยังนอนเฉย” ผมเดินกลับมาหยุดอยู่ข้างเตียง

                    “ก็แล้วนายเข้ามาแล้วทำไมไม่ทักทายฉันล่ะ”

                    “ก็เราเห็นนายหลับอยู่”

                    “ก็ฉันบอกอยู่นี่ไงว่าฉันไม่ได้หลับ”

                    ผมอ้าปากจะเถียง แต่เปลี่ยนเป็นถอนหายใจแทน ขืนพูดออกไป ก็ไม่พ้นที่ไมค์จะต่อปากต่อคำกลับมา

“ช่างเถอะ” ผมถอนหายใจอีกรอบ “ข้อเท้านายเป็นไงบ้าง?” ผมเหลือบมองที่ข้อเท้าของไมค์ มันเปลือยเปล่า ไม่มีผ้าพันไว้อย่างที่ผมจินตนาการ

                    “ก็ ... เจ็บ” ไมค์ดึงผ้าห่มที่คลุมอยู่ที่ขามาปิดเอาไว้

                    “ไม่ต้องพันผ้ายืดเหรอ?” ผมเคยข้อมือซ้นตอนฝึกมวย พี่ที่ค่ายก็ใช้ผ้าพันเอาไว้ให้

                    “ไม่ต้อง แม่นวดยาให้แล้ว แต่มันยังเจ็บ”

                    “อืม” ผมสบายใจขึ้น ถ้าคุณแม่เป็นคนดูแล คงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่

                    “นั่งสิ” ไมค์ขยับตัวเพื่อสร้างพื้นที่บนเตียงให้กับผม

                    “ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธทันที เหตุการณ์บนเตียงเมื่อวันก่อนทำให้ผมไม่ไว้ใจ เหลือบมองไปที่โซฟา นั่งตรงนั้นน่าจะปลอดภัยกว่า

                    “นั่งตรงนี้” ไมค์ตบที่นอน

                    ผมส่ายหน้า ยังยืนอยู่ที่เดิม

                    “นายกลัวฉันหรือไง?” เขาหัวเราะ

                    “ทำไมเราต้องกลัว?” ผมตอบด้วยความร้อนรนปนอับอาย ทำไมผู้ชายสูง 184 มีซิคแพ็คอย่างผมต้องกลัวไอ้เด็กผอมเก้งก้างหัวรั้นเอาแต่ใจคนนี้

                    “นายกลัวฉันจูบ”

                    สายตาคมและยิ้มกริ่มที่ส่งมาทำเอาผมพูดไม่ออก

                    “ข้อเท้าฉันเจ็บ และดูแขนฉันสิ” ไมค์ยกแขนข้างขวาขึ้นโชว์ ตรงศอกและบริเวณใกล้ๆเป็นรอยแดงช้ำ “นายคิดว่าฉันยังจะทำอะไรนายได้อีกหรือไง”

                    “แค่นี้ไม่สะเทือนนายหรอก” ผมจะไว้ใจเขาได้ยังไง และไอ้แผลถลอกที่แขนนั่น คงไม่ทำให้ไมค์ไร้เรี่ยวแรง

                    “นั่ง” ปากบางออกคำสั่ง

                    “ไม่” ทำไมผมต้องเชื่อฟังคนที่ขโมยจูบแรกของผมไป

                    “นั่งเถอะ ฉันอยากเห็นหน้านายใกล้ๆ ... อีกไม่กี่วันนายก็จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” แววตาและน้ำเสียงที่ปรับให้นุ่มนวลอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นจากไมค์บ่อยนัก ทำให้ใจผมอ่อนยวบ

                    เมื่อนึกว่าผมเองก็อาจจะไม่ได้เข้ามานั่งในห้องนี้อีกแล้ว ผมจึงยอมนั่งลง แต่เลือกตรงปลายเท้า อย่างน้อยตรงนี้ไมค์ก็เอื้อมแขนไม่ถึง

                    “พี่เมฆเพิ่งโทรมาบอกเรื่องงานเลี้ยงวันเสาร์” ผมเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

                    “อือ ... แล้วนายว่าไง”

                    “ก็คงเอาตามนั้น เพราะถ้ากลับมาอาจดึก และเช้าวันอาทิตย์เราจะได้ไม่รบกวนคนอื่นเรื่องไปส่งที่สนามบิน” ผมคิดทบทวนว่าถ้าออกจากบ้านไมค์ คงเป็นน้าเจนี่หรือพี่เนสที่ต้องวุ่นวายไปส่งผมที่สนามบิน แน่นอนว่าต้องไม่มีใครยอมให้ผมไปเองแน่ๆ หรืออีกทาง พี่เมฆคงขับรถมารับผมที่นี่ แต่ถ้าผมไปค้างที่บ้านพี่เมฆตั้งแต่คืนวันเสาร์ ก็คงสะดวกอย่างที่พี่เมฆบอก และที่สำคัญ การได้ใช้เวลาทั้งคืนภายใต้ชายคาเดียวกันกับพี่ปิง ... นั่นไม่ใช่เรื่องที่วิเศษหรือไง?

                    “งั้นฉันก็จะไปค้างด้วย”

                    ผมมองหน้าไมค์ นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร การที่ได้อยู่กับไมค์จนวันสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจไม่น้อย

                    “ทำไม? หรือนายไม่อยากให้ฉันไปด้วย”

                    “เปล่า แต่ข้อเท้านายจะหายทันไหม เราแค่เป็นห่วงว่านายอาจไม่สะดวก”

                    “หายสิ หมั่นนวดยาบ่อยๆก็หายเองแหละ”

                    “งั้นนายมียาไหมล่ะ เดี๋ยวเรานวดให้” ผมหันซ้ายขวา กวาดตามองไปรอบห้อง

                    “ไม่มี อยู่กับแม่”

                    “งั้นเดี๋ยวเราไปขอกับคุณแม่ข้างล่าง” ผมขยับจะลุกจากเตียง

                    “ไม่ต้อง ฉันเพิ่งนวดไป”

                    “เหรอ? งั้นขอเราดูหน่อยนะ” ผมเปิดผ้าห่มขึ้น จำได้ว่าเมื่อเช้าเขากะเผลกข้างขวา จึงเอื้อมมือไปแตะเบาๆที่เท้าขาวอมชมพูนั่น “เจ็บไหม?”

                    ไมค์ส่ายหน้า ผมจึงลูบลงน้ำหนักนิดหน่อย อย่างที่แม่เคยทำให้เมื่อตอนหกล้มแล้วข้อเท้าพลิก “หายเร็วๆนะ เพี้ยง” ผมก้มลงเป่าพ่วงไปที่ข้อเท้าไมค์

                    “อะไรของนาย?”

                    ผมเงยขึ้นมองต้นเสียง “ก็เป่าให้นายหายเจ็บเร็วๆไง แม่เราก็ทำอย่างนี้เวลาเราเจ็บ”

                    “...”

                    ผมสังเกตว่าปากและหูไมค์แดงอมชมพูไม่ต่างกับเท้าของเขา

                    “นายไม่สบายหรือเปล่า?” อาการแก้มแดง ปากแดง บางทีเขาอาจจะมีไข้

                    “เปล่า” ไมค์ส่ายหน้า

                    “แต่นายหน้าแดงมากนะ”

                    “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ไมค์ยังส่ายหน้ารัวๆ

                    ผมแตะมือไปที่เท้าเขาอีกครั้ง “อือ แต่เท้านายก็ไม่ร้อนนะ”

                    “...”

                    ผมขยับขึ้นไปนั่งข้างๆไมค์ ยื่นมือไปแตะที่แก้มและหน้าผากของเขา “แก้มอุ่นๆ แต่หน้าผากไม่ร้อน”

                    “ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”

                    “อือ” ผมพยักหน้า บางทีคนตัวขาวจัดๆก็อาจจะมีบางส่วนแดงขึ้นมาเฉยๆก็ได้มั้ง “งั้นนายพักผ่อนเถอะ เราจะกลับละ” ผมลุกขึ้นยืน

                    “อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันสิ คิดว่าแม่ต้องทำเผื่อนายแน่ๆ”

                    “เราว่าจะออกไปวิ่งซะหน่อย”

                    “ฉันไปด้วย” ไมค์เอ่ยอย่างรวดเร็ว

                    “นายเจ็บอยู่นะ” ผมมองไปที่ข้อเท้าของไมค์

                    ไมค์ชะงัก ก่อนจะเอ่ย “เอ่อ ... งั้นแม่ตั้งโต๊ะเมื่อไหร่ฉันจะโทรเรียก”

                    “โอเค ... ขอบใจนะ” ผมหันหลัง ก้าวเดินไปที่ประตู

                    “พีท ... นายโกรธไหมที่ฉันจูบนายด้วยวิธีการอย่างนั้น”

                    ผมชะงักฝีเท้า หันกลับไปหาไมค์ ... คำถามของเขาทำให้ผมนึกถึงตัวเองเมื่อคืนนี้

                    “เราจะโกรธนายได้ยังไง ในเมื่อนายเป็นเพื่อนเรา”

 

                    ผมมองไมค์ที่นั่งอยู่บนเตียง คล้ายเห็นภาพซ้อนของตัวเอง เราต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน ... เพียงแต่ไม่รู้ว่าผมหรือเขา ... ใครจะเสียใจมากกว่ากัน
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 21-07-2016 09:56:48
สงสารไมค์กี้จัง พีทก็น่ารักดี  :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-07-2016 22:10:34
เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดียวค่ะ ทีมไมกี้อย่างแรงงงงง

น้องไมค์เหมือนลูกหมาหางลู่หูตกเลยค่ะเวลาถูกปฏิเสธด้วยคำว่าเพื่อน เอ็นดูวววว
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 26-07-2016 23:34:50
# 26 (MIKE)

 

                    พีทมานอนแช่อยู่ที่โซฟาในห้องนอนของผมตั้งแต่บ่าย เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก ต่างคนต่างให้ความสนใจอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ ผมบอกให้เขามานอนด้วยกันบนเตียง แต่เขาปฏิเสธหัวชนฝา ผมเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ เพราะไม่คิดที่จะทำอะไรลงไปมากกว่าที่เคยทำ ... ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ ก็ไอ้ปากอิ่มๆห้อยๆของพีทมันน่าจูบขนาดนั้น แต่ที่ไม่คิดจะทำอีก ก็เพราะไม่อยากผลักให้พีทห่างออกไป ในเมื่อผมมีเวลาอยู่กับเขาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น ถ้าต้องจากกันด้วยความเกลียดชัง มันคงไม่คุ้ม

                    “นายเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอ?” ผมวางโทรศัพท์ลง เมื่อเกมส์ที่เล่นโอเวอร์

                    “อือ” พีทตอบทั้งๆที่ตายังจ้องอยู่บนหน้าจอ

                    “พอไหม?”

                    “หืม? ... อ๋อ พอๆ เรามีของไม่มาก แต่เลือกกระเป๋าใบใหญ่มาไว้สำหรับใส่ของฝากอยู่แล้ว” พีทพูดพลางเลื่อนตัวขึ้นมานั่งเอนหลัง วางโทรศัพท์ลงบนตัก

                    “นายโทรคอนเฟิร์มกับน้าติ๊กเรื่องเวลาหรือยัง?” ผมคิดว่าต้องเตือนพีท เพราะเขามักจะลืมเรื่องอย่างนี้ประจำ

                    “เออ ยังเลย เดี๋ยวคืนนี้จะโทร”

                    ผมถอนใจให้กับเรื่องที่เดาไม่ผิด

                    “แล้วพรุ่งนี้ไปกันกี่โมง?” พีทเอ่ยถาม

                    “ก็คงแล้วแต่พี่เนสกะพี่จิว ตื่นตอนไหนก็คงไปตอนนั้นมั้ง” พี่เมฆไม่ได้นัดเวลา ก็คงขึ้นกับพี่สองคนนั้น

                    “เราควรรีบไปไหม จะได้ไปช่วยพี่ๆเขาเตรียมอาหาร” สีหน้าของพีทมีความกระตือรือร้น แต่ผมกลับคิดว่าเขาอยากรีบไปเพื่อเจอใครบางคนมากกว่า

                    “ต้องเตรียมอะไรนักหนา ก็แค่กินข้าวกันเท่านั้น” ผมหัวเสียเพราะใบหน้าสวยๆของพี่ปิงผุดขึ้นมารบกวนจิตใจ

                    “ก็นั่นแหละ กินข้าวหลายคนก็ต้องทำอาหารหลายอย่าง เราก็ควรไปช่วยไหมล่ะ ไม่งั้นพี่ปิงคงต้องทำคนเดียว เหนื่อยแย่”

                    “พี่เนสพาไปตอนไหน ก็ตอนนั้น” ผมตัดบท ไม่อยากได้ยินชื่อของคนๆนั้น

                    การที่ผมพาลพี่ปิง ไม่ใช่ว่าผมเกลียดเขา แต่เพราะอาการดีใจจนออกนอกหน้าของพีทเวลาที่ได้อยู่กับพี่ปิงมันทำให้ใจผมไม่สงบ ผมรู้ว่าพีทชอบพี่ปิงมาก แต่ในเมื่อผมเองก็ชอบพีทมากเช่นกัน มันช่วยไม่ได้ที่ผมต้องรู้สึกอะไรบ้าง

                    “เย็นนี้แม่บอกให้นายอยู่กินข้าวด้วยกัน” เมื่อผมบอกทุกคนในบ้านว่าพีทจะออกจากบ้านตั้งแต่วันเสาร์ คุณย่าจึงให้แม่และอาเจนี่ทำอาหารพิเศษเพื่อเลี้ยงส่งเขา

                    “อื้อ เราตั้งใจจะมาลาทุกคนอยู่แล้ว”

                    “คืนนี้นายจะอยู่ที่นี่เป็นคืนสุดท้ายแล้วนะ” ผมมองร่างที่ทอดยาวอยู่บนโซฟา นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พีทจะอยู่ในห้องของผม

                    “ขอบคุณนะที่ให้เรามาพักที่นี่ ทั้งคุณย่า คุณพ่อคุณแม่และน้าเจนี่ดีกับเรามาก เราโชคดีที่ได้มาเจอกับครอบครัวนาย”

                    “แล้วฉันล่ะ? นายไม่คิดว่าโชคดีบ้างเหรอที่ได้มาเจอฉัน” ผมทักท้วง

                    “ครอบครัวนายก็หมายถึงทุกคนไง รวมนายด้วย”

                    “นายควรซาบซึ้งกับฉันมากเป็นพิเศษสิ จะเหมารวมได้ยังไง” ผมรู้ว่าตัวเองมักเอาแต่ใจกับพีท แต่ทุกครั้งที่เขายอมลงให้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญสำหรับเขา

                    “เราซาบซึ้งกับนายเป็นพิเศษ เชื่อสิ เราไม่ลืมนายแน่ๆ” เราสบตากัน ... ผมเชื่อในสิ่งที่พีทบอก

 

                    ทุกคนในบ้านอยู่กันพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำ แม่กับอาเจนี่ทำอาหารหลายอย่าง ล้วนเป็นเมนูพิเศษทั้งนั้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าทั้งหมดคุณย่าเป็นคนสั่งการ

                    หลังอาหารมื้อค่ำ พวกเราย้ายกันมาที่ห้องรับแขก คุณย่าเป็นตัวแทนมอบของที่ระลึกให้กับพีท มันคือกำไลข้อมือที่ทำจากลูกปัดเม็ดเล็กๆที่กลึงจากไม้หอมที่เป็นมงคล เป็นของที่คุณย่านำติดตัวมาด้วยจากเชียงตุง

                    “ขอบพระคุณมากครับ” พีทก้มลงกราบแทบตักคุณย่า เขาน้ำตาคลอ คงซาบซึ้งที่คุณย่าให้ของสำคัญขนาดนั้น ผมเองยังแปลกใจและนึกน้อยใจอยู่บ้างที่ผมยังไม่เคยได้ของอย่างนี้จากคุณย่า

                    “เอ้า อย่าทำหน้าน้อยอกน้อยใจ มานั่งนี่” คุณย่าหันมาหาผม ชี้ให้นั่งลงที่พื้นข้างๆพีท “ยื่นแขนมา” ท่านสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

                    ผมยื่นแขนออกไปช้าๆ และต้องกัดปากกลั้นน้ำตาเอาไว้ เมื่อคุณย่าสวมกำไลข้อมืออย่างเดียวกันกับที่อยู่บนข้อมือพีทให้ ผมมองหน้าคุณย่าด้วยความรัก ท่านเป็นคนที่รู้จักผมดีที่สุด

                    “มีอยู่แค่สองเส้น เก็บไว้นานแล้ว เพิ่งเจอเจ้าของ” ดวงหน้าที่เปี่ยมด้วยความรักมองหน้าผมสลับกับหน้าพีท

                    ผมกราบแทบตักคุณย่า ท่านลูบหัวของพวกเราไปพร้อมกัน

                    ก่อนที่พีทจะกลับห้อง คุณพ่อคุณแม่ของเขาโทรมาเพื่อขอคุยกับพ่อแม่ผม ท่านต้องการขอบคุณที่พวกเราดูแลพีทเป็นอย่างดี

                    ผมยืนส่งพีทที่หน้าบ้าน ความจริงแล้วอยากเดินไปส่งที่บ้านของเขา แต่เจ้านี่ไม่ยอมท่าเดียว เขามองหน้าผมและข้อเท้าสลับกันขึ้นลง ผมจึงนึกได้ว่าตอนนี้ข้อเท้าของผมกำลังแพลง

                    “ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างนะ เราจะไม่ลืมครอบครัวของนาย ทุกคนจะอยู่ในใจของเราตลอดไป” พีทเอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป ผมยืนมองจนเขาหายลับตาไป

                    “ไม่ไปส่งพีทที่ห้องเหรอ?” อาเจนี่เอ่ยถามเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน

                    “ไม่” ผมตอบสั้นๆ

                    “ทำไมล่ะ คืนสุดท้ายแล้วนะที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง” คำพูดและสีหน้าของอาเจนี่สร้างความฉงนให้กับผม

                    “ทำไมมองยังงั้น” ผมจ้องตาคุณอา

                    “หึ” อาเจนี่หัวเราะในลำคอพร้อมยักคิ้ว “ฉันเป็นอาเธอมาเท่ากับอายุของเธอ ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกยังไง”

                    ผมมองหน้าคุณอาด้วยความรู้สึกสะท้านสันหลัง “ไม่มีทาง” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

                    “จะให้พูดไหมล่ะ?” ปากบางแสยะยิ้ม

                    “No! You’re so creepy.” ผมแกล้งแสดงเป็นกลัวเกินจริง แล้ววิ่งหนีขึ้นบันไดไป

                    “Oh! ดูสิใครกันที่ขาแพลง” อาเจนี่ตะโกนตามหลัง

 

                    ผมปิดประตูห้องแล้วมาทิ้งตัวลงบนโซฟา บ่นพึมพำ “แค่โดนผลัก มันจะขาแพลงได้ไงกัน” หัวเสียให้กับแผนการของตัวเอง ถ้าตอนนี้ไม่แกล้งข้อเท้าแพลง ป่านนี้ผมคงได้ไปนอนอยู่บนเตียงของพีทแล้ว และอาจมีโอกาสได้จูบเขาอีกสักครั้ง ... ในกรณีถ้าเขายินยอม

 

                    ผมหยุดมือที่กำลังนวดให้คุณย่าเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

                    “ว่า?” ผมทักไป เดาว่าพี่เนสน่าจะโทรมาบอกเรื่องที่จะไปบ้านพี่เมฆวันนี้

                    /ไปสักบ่าย 2 ดีไหมไมกี้/

                    “ไม่เร็วไปหน่อยเหรอพี่?” ผมคิดว่าน่าจะเลี้ยงกันตอนเย็น กินข้าว กินเหล้า คุยกัน ก็น่าจะแค่นั้น

                    /เร็วไปเหรอ? ไอ้เมฆมันบอกให้ไปเร็วหน่อย จะได้ช่วยกันทำกับข้าว/

                    “ทำอะไรกินฮะ?” ผมเดาว่าพี่เมฆคงไม่อยากให้พี่ปิงเหนื่อยอยู่คนเดียว ถึงได้บอกให้พวกเราไปกันเร็วหน่อย

                    /ไม่รู้เหมือนกัน ก็ว่าไปถึงแล้วค่อยคิด แล้วไปโกรเซอรี่ ต้องไปขนเครื่องดื่มกันหน่อย/ น้ำเสียงของพี่เนสลิงโลดสดใส งานนี้เดาไว้ล่วงหน้าว่าพี่เนสกับพี่จิวคงค้างที่บ้านพี่เมฆด้วยแน่ๆ

                    “โอเคฮะ”

                    /เคๆ งั้นเจอกันบ้านพี่นะ/

                    “ครับ”

                    พี่เนสวางสาย คุณย่าจึงเอ่ยขึ้น “ไปบ้านพี่เขา ต้องช่วยหยิบจับ ทำอะไรต้องเกรงใจเจ้าของบ้านนะลูก”

                    “ครับ” ผมวางมือแล้วเริ่มต้นนวดที่แขนให้คุณย่าอีกครั้ง

                    “ดื่มได้ แต่อย่ามากจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความเมามายจะทำให้เราขาดสติ” น้ำเสียงของคุณย่านุ่มนวล ทำให้คนฟังรู้สึกว่าท่านกำลังเตือน แต่ไม่ได้ห้าม

                    “ครับคุณย่า” ผมก้มลงดมแขนที่มีรอยกระ เนื้อคุณย่าหอมเย็นชื่นใจไม่เคยเปลี่ยน

                    “ละครตอนใหม่มาหรือยังนะ?” คุณย่าเอ่ยถาม พักนี้ท่านติดละครที่กำลังออนแอร์ที่เมืองไทย และในวันรุ่งขึ้นก็จะเข้ามาในโปรแกรมทีวีที่เราจ่ายรายเดือน

                    “เดี๋ยวผมดูให้ฮะ”

 

                    ผมนอนดูละครเป็นเพื่อนคุณย่า จนเมื่อละครจบท่านจึงงีบไป ระหว่างคุณย่าหลับผมจึงขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าหนึ่งชุด และของใช้ส่วนตัวบางอย่าง ... ไม่ลืมหยิบของชิ้นสำคัญใส่ลงไปในเป้ด้วย

                    จวนๆบ่าย 2 โมง พีทเดินมาที่บ้านเพื่อลาคุณย่ากับอาเจนี่อีกครั้ง ส่วนพ่อกับแม่ไปทำงาน เมื่อคืนจึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่พีทได้พบกับท่านทั้งสอง

                    เราเดินไปบ้านพีทด้วยกันเมื่อการร่ำลาจบลง

                    “ข้อเท้านายหายแล้วเหรอ?” พีทหยุดเดิน เขามองหน้าผมและสลับมองลงไปที่ข้อเท้า

                    “เอ่อ ... อื้อ” ผมตกใจนิดหน่อย ลืมไปเลยว่าตัวเองควรต้องเดินอย่างคนเจ็บ

                    “หายเร็วไปนะ” พีทมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อ

                    “ก็ ... ยามันดี” ผมยักไหล่ ... จะให้ตอบว่ายังไงล่ะ?

                    “อ้อ หายเหมือนกับไม่เคยเจ็บเลยนะ” พีทจ้องตาผมเขม็ง

                    “ก็งั้นแหละ hurry up พี่เนสกับพี่จิวรออยู่” ผมรีบตัดบท ก้าวเท้ายาวๆเดินนำหน้าพีทไป

                    พีทมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ และเป้อีกใบ ... พี่จิวและพี่เนสคึกคักกันเป็นพิเศษ

                    “ดีๆ ไอ้น้องพีทเอาลูกพี่ไปอุ้มไว้” พี่เนสยื่นกีตาร์ส่งให้กับพีท

                    “มีดนตรีด้วยเว้ยเฮ้ย” พี่จิวส่งเสียงขณะเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับ

                    “อ่ะแน่นอน ใครอยากฟังเพลงไร คืนนี้ขอได้ พี่จัดให้ถึงเช้า” พี่เนสก้าวเข้ามานั่งที่คนขับ

                    ผมชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ พีทนั่งหลังตรงประคองกีตาร์ของพี่เนสอย่างทะนุถนอม “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง” ผมเอ่ยแล้วส่ายหน้า

                    “เอ้า! น้องพีทนี่ก็เชื่อฟังดีจั๊ง ฮ่าๆ” พี่จิวเอี้ยวคอมาดูคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง หัวเราะให้กับความซื่อของพีท

                    “เอ้อ มันน่ารักนะไอ้คุณหนูนี่” พี่เนสหันมาบ้าง

                    พีทมองแต่ละคนด้วยอาการเลิ่กลั่ก

                    “เอามานี่” ผมคว้ากีตาร์มาถือเอาไว้ ขยับตัวมาเบียดกับพีทแล้ววางกีตาร์พิงกับเบาะข้างประตู

                    พีทมองหน้าผม ดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจว่ากีตาร์ของพี่เนสไม่จำเป็นต้องได้รับการทะนุถนอมขนาดที่พีททำ เพราะมันเป็นเพียงกีตาร์โปร่งทั่วไปที่ราคาไม่ได้แพงอะไรมากมาย

 

                    เมื่อพวกเรามาถึง พี่เมฆกำลังทำ laundry แต่ผมไม่เห็นพี่ปิง

                    พีทยกมือไหว้พี่เมฆ ผมจึงทำตาม

                    “มาๆ เอากระเป๋ามานี่ เดี๋ยวพี่ไปเก็บไว้ให้” พี่เมฆเลื่อนกระเป๋าเดินทางของพีทไปไว้ในห้องข้างบันได

                    “ขอบคุณครับ” พีทเอ่ยพร้อมมองไปรอบๆบ้าน

                    “มีไรกินวะเมฆ?” พี่จิวถามขึ้นเมื่อเราเข้ามานั่งในห้องรับแขก

                    “เออ กูจะถามพวกมึงนี่แหละ อยากกินไร เดี๋ยวกูออกไปโกรเซอรี่” พี่เมฆสวมกางเกงยีนส์ขาดเข่ากับเสื้อยืดสีขาวพื้นๆ แต่ด้วยความที่เขารูปร่างสูงโปร่ง ผมเดาว่าน่าจะเกือบถึง 190 เซนติเมตร และผิวสีแทนพร้อมทั้งกล้ามอย่างนักกีฬา ทำให้พี่เมฆดูหล่อมากในสายตาผู้ชายอย่างผม ... หวังว่าสักวันผมจะดูเท่อย่างเขาบ้าง

                    “บ้านมึงมีไรมั่งอ่ะ?” พี่เนสเดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น

                    “ไม่มีไร กูรอพวกมึงเนี่ย”

                    “เออ งั้นเดี๋ยวกูออกไปกับมึง” พี่เนสปิดตู้เย็นแล้วเดินกลับมาที่ห้องรับแขก

                    “กูไปด้วย เดี๋ยวมึงซื้อมาไม่ถูกปากกู” พี่จิวเอ่ย

                    “เออ ไปกันหมดนี่แหละ พวกมึงอยากแดกอะไรก็ไปเลือกเอา ... งั้นรอกูแป๊บ” พี่เมฆบอกแล้วเดินขึ้นชั้นบน

                    ผมชำเลืองมองพีทที่นั่งเงียบๆอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว สักครู่พี่เมฆก็กลับลงมา มีพี่ปิงเดินตามมาติดๆ ... ดวงตาของพีทเป็นประกาย เขายกมือไหว้พี่ปิง ผมจึงต้องทำตาม

                    “เดี๋ยวเมฆจะออกไปซื้อของกับพวกไอ้จิว” พี่เมฆหันไปบอกพี่ปิง

                    พี่ปิงพยักหน้า

                    “พีทกับไมค์ไปด้วยกันไหม?” พี่เมฆหันมามองหน้าผม ผมหันไปมองหน้าพีทอีกที

                    “เอ่อ ไมค์ไปสิ 4 คนรถเต็มพอดี ผมรอที่บ้านก็ได้ฮะ” คำปฏิเสธของพีทสร้างความขุ่นใจให้ผมนิดหน่อย ผมรู้ว่าเขาอยากมีเวลาอยู่กับพี่ปิง

                    “งั้นพวกพี่ไปเถอะ ผมอยู่กับพีท”

                    “เฮ้ย ไปด้วยกันไมกี้” พี่เนสฉุดมือผม ... ผมรู้สึกว่าถ้าขัดขืนอาจจะกลายเป็นว่าผมดื้อโดยไม่มีเหตุผล จึงเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก พี่เมฆมองหน้าผมแว้บหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองพี่ปิงและพีทที่ยืนอยู่ตรงโถงหน้าบันได พี่เมฆเดินตามพวกเราออกมาแล้วปิดประตูลง

                    ในบ้านตอนนี้มีเพียงพี่ปิงและพีทอยู่กันตามลำพัง ... เขาจะทำอะไรกัน? ผมพยายามสลัดความคิดจินตนาการทั้งหลายทิ้งไป

 

                    เมื่อพวกเรากลับมา ประตูหน้าบ้านล็อก พี่เมฆถึงกับขมวดคิ้วและบ่นพึมพำ “ไปไหนวะ?”

                    เมื่อเราหอบหิ้วข้าวของเข้ามาวางในบ้าน พี่เมฆกดโทรศัพท์ทันที

                    “ไปไหนกัน?”

                    /.../

                    “อ้อ”

                    /.../

                    “เยอะแยะ มาดูสิ”

                    /.../

                    “โอเค”

                    พี่เมฆวางสาย

                    ผมเดินไปนั่งบนโซฟาเพราะไม่รู้ต้องทำอะไร

                    “พี่ปิงมึงลักพาตัวไอ้พีทไปไหนวะ?” พี่เนสเอ่ยถามขณะก้มควานหาอะไรบางอย่างในถุงที่วางกองอยู่บนโต๊ะกินข้าว

                    “เดินถ่ายรูปแถวๆนี้” พี่เมฆตอบขณะหยิบเบียร์กระป๋องแยกออกมาจากกองข้าวของ

                    “ผมช่วยไหมฮะ?” ผมลุกเดินมาหยุดที่โต๊ะ

                    “มึงต้องแช่” พี่เนสมองสำรวจข้าวของบนโต๊ะ “ไหนล่ะน้ำแข็งที่ซื้อมาอ่ะ กูว่าใส่น้ำแข็งแล้วแช่ในกะละมังเลย เย็นเร็วกว่าแช่ตู้เย็น” พี่เนสเสนอแนะ

                    “เออดี” เสียงพี่จิวที่นั่งกินมันฝรั่งอยู่บนรีไคลเนอร์แสดงความเห็นด้วย

                    “มึงอ่ะมาเลย ใครบอกจะอบไก่ให้กูกินวะ?” พี่เนสหันไปหาเพื่อนที่มือหนึ่งกดรีโมตทีวี อีกมือหยิบมันฝรั่งทอดเข้าปาก

                    “พวกมึงเคลียร์ของก่อนเลย เดี๋ยวกูจัดการเอง” พี่จิวกระดิกเท้าตอบ

                    ผมไม่รู้ว่าคืนนี้พวกพี่ๆจะทำอะไรกินบ้าง เพราะผมมีหน้าที่เข็นรถเดินตามเท่านั้น แต่ได้ยินว่าพี่จิวจะโชว์ฝีมือทำไก่อบ ส่วนพี่เนสจะทำสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา โดยมีพี่เมฆแย้งขึ้นว่าให้พี่ปิงทำดีกว่า เขาไม่อยากเททิ้ง

                    เบียร์แช่ในกะละมังเรียบร้อย ขนมและเครื่องดื่มอื่นๆวางไว้บนโต๊ะ ส่วนของสดแยกเอาไว้ในครัว ... เสียงประตูหน้าบ้านดังขึ้น ผมชะโงกหน้าไปดู

                    “คงเป็นพี่ปิงกับพีท” พี่เมฆเอ่ยขึ้น

                    หลังคำพูดพี่เมฆ ใบหน้าระรื่นของพีทก็โผล่พ้นประตูเข้ามา ที่คอของเขามีกล้องถ่ายรูปคล้องอยู่

                    “ไปถึงไหนกันมา?” พี่เมฆเอ่ยถาม

                    พี่ปิงไม่ตอบ แต่เป็นพีทที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “พี่ปิงพาเดินรอบๆครับ ไปถึงป่าข้างหลังนู่น ผมเลยได้ถ่ายรูปเก็บไว้อีกเพียบเลย” ตาโตๆของพีทเป็นประกายในขณะเล่า

                    “ถูกใจเลยสิ” พี่เมฆยิ้ม แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนๆชอบกล

                    “ฮะ” แต่รอยยิ้มของพีทนั้นสดใสโดยไม่ต้องสงสัย

                    “ได้อะไรกันมาบ้าง?” พี่ปิงเอ่ยถาม

                    “หลายอย่าง ไอ้จิวมันจะโชว์ฝีมืออบไก่ ไอ้เนสมันว่าจะทำสปาผัดขี้เมา เมฆมีกุ้งว่าจะคั่วเกลือ แล้วก็ทำยำพวกกับแกล้มประมาณนั้น”

                    “อืม จะให้ช่วยทำอะไร?” พี่ปิงเสนอตัว

                    “ก็ต้องช่วยแหละ ไม่งั้นคงกินกันไม่ได้” คำพูดของพี่เมฆทำให้ผมนึกถึงรสชาติอาหารที่ผม พีทและพี่เมฆช่วยกันทำเมื่อครั้งก่อน แค่นึกก็เสียดายของที่ซื้อมาแล้ว

                    “มีอะไรให้ผมช่วยไหมฮะ?” พีทเสนอตัว

                    “เออ ... เอามันฝรั่งไปแกะ เดี๋ยวพี่เอาถ้วยให้” พี่เมฆเดินเข้าครัว แต่กลับตะโกนถามออกมา “ปิง ถ้วยแก้วใสๆใบใหญ่เก็บไว้ที่ไหนนะ?”

                    พี่ปิงเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้ที่อยู่เหนือหัวพี่เมฆ หยิบถ้วยแก้วใบใหญ่ออกมา และเดินมาส่งให้กับพีท ผมเดาว่าพื้นที่ในครัวนี้น่าจะเป็นส่วนที่พี่ปิงครอบครองเสียเป็นส่วนใหญ่

 

                    พวกเรายกโต๊ะตรงหน้าโทรทัศน์ออก แล้วนั่งล้อมวงกันตรงนั้น งานเลี้ยงเริ่มด้วยมันฝรั่งทอด ขนมขบเคี้ยว และยำแหนมฝีมือพี่ปิง ก็ต้องยอมรับล่ะนะว่ามันอร่อยใช้ได้ พี่เนส พี่จิว และพี่เมฆดื่มเหล้า แต่ผมกับพี่ปิงดื่มเบียร์ ทีแรกผมจะห้ามไม่ให้พีทดื่มเพราะพรุ่งนี้เขาต้องเดินทาง ถ้าเกิดเมาแล้วแฮงค์คงไม่ดีแน่ แต่เมื่อจะเอ่ยปาก พีทก็คว้ากระป๋องเบียร์ไปจากมือผม

                    “ไม่ต้องห้ามเลย เรื่องแกล้งข้อเท้าแพลงเรายังไม่เอาเรื่องนายนะ”

                    เพราะผมมีความผิดติดตัว จึงต้องหุบปากและปล่อยให้พีทดื่มได้ตามใจ อีกอย่างงานเลี้ยงอย่างนี้ ถ้าเจ้าของงานต้องมานั่งดื่มน้ำอัดลมอยู่คนเดียว คงน่าสงสารแย่

                    “ไรๆ ใครแกล้งข้อเท้าแพลงวะ? ไมกี้เหรอ แน่ะๆๆ มีแผนๆ” พี่เนสยื่นหน้ามาถาม

                    ผมผลักพี่เนสออกไป “ไม่มีพี่ พอเลยๆ” ผมรู้สึกอายจึงยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่

                    “มึงไม่ต้องแซวน้อง ไปผัดขี้เมามึงเลยไป กูนึกอยากแดกแล้ว” พี่จิวตบหัวพี่เนส

                    “มึงก็ด้วยเลย ไก่อบมึงอ่ะ เมื่อไหร่จะได้แดก” พี่เนสตบหัวพี่จิวคืนบ้าง

 

                    ขณะที่พี่เนสและพี่จิวเข้าครัวโดยมีพี่ปิงไปช่วยดูเป็นบางครั้ง ... ผมกับพี่เมฆก็คุยกันเรื่องรถ ส่วนพีทนอนดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา

 

                    สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาของพี่เนสรสชาติพอใช้ หากกินตอนที่เมาแล้วคงอร่อยกว่านี้ ส่วนไก่อบของพี่จิวก็อร่อยสมคำโฆษณา พี่ปิงทำกุ้งคั่วเกลือเมนูตามคำเรียกร้องของพี่เมฆและยำหมูยอมาเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง พวกเรากินกันไปคุยกันไป ส่วนมากจะเป็นเรื่องตลกเฮฮาของบรรยากาศการทำงานในร้านอาหาร รวมไปถึงการกล่าวถึงลูกค้าที่มีพฤติกรรมแปลกๆที่แต่ละคนได้พบเจอมา พี่เนสกับพี่จิวเป็นตัวโจ๊กที่ทำให้งานเลี้ยงครื้นเครงเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่พี่ปิง

                    ในขณะที่ผมแอบชำเลืองมองพีทบ่อยๆ ผมก็พบว่าพีทลอบมองพี่ปิงบ่อยไม่แพ้กัน

                    เมื่อเรากินกันอิ่มแล้ว พื้นที่จึงถูกเคลียร์ เหลือไว้เพียงมันฝรั่งทอดและถั่วอบ 2-3 ชนิด แต่ละคนต่างมีแอลกอฮอล์อยู่ในมือ ... ผมสังเกตว่าแก้มพีทเริ่มขึ้นสีระเรื่อ ปากอิ่มก็เริ่มแดง

                    “ม่ะ ต่อไปเป็นช่วงไลฟ์นะครับผม” พี่เนสยืดตัวไปคว้ากีตาร์ที่วางพิงอยู่บนผนัง

                    “ฮิ้ววว” พี่จิวส่งเสียงเชียร์ พี่เมฆก็เป่าปากสนับสนุน ส่วนพีทปรบมือพร้อมส่งเสียงเย้ๆ

                    พี่เนสเล่นเพลงที่ผมคุ้นหู เพราะผมร่วมวงเหล้ากับเขาอยู่หลายครั้ง

                    พี่ปิงขยับขึ้นไปนั่งบนรีไคลเนอร์โดยมีพีทนั่งบนพื้นพิงหลังอยู่ใกล้ๆ เขายกโทรศัพท์ขึ้นมา คิดว่าน่าจะถ่ายรูป ผมจึงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูให้แน่ใจ

                    “ถ่ายรูปเหรอ?” ผมถาม

                    “ถ่ายคลิป” พีทตอบ

                    ผมมองหน้าจอ พีทกำลังถ่ายคลิปพี่เนสเล่นกีตาร์โดยมีพี่จิวและพี่เมฆช่วยเป็นนักร้องประสานเสียง แต่ชื่อเพลงอะไรนั้นผมไม่รู้หรอก

                    ผมยื่นหน้าไปจ่อที่กล้อง

                    “เฮ้ย! ถอยไป” พีทใช้อีกมือดันหน้าผมออก ถึงจะทำอย่างนั้นแต่เขาก็หัวเราะ ผมจึงหัวเราะไปด้วย

 

                    ผมจิบเบียร์และฟังเพลงเพลินๆ แต่ต้องหันเหความสนใจ เมื่อสังเกตเห็นสายตาของพี่เมฆที่กำลังจับจ้อง ... สิ่งที่ผมเห็นเมื่อมองตามสายตาของพี่เมฆคือภาพของพีทที่กำลังเซลฟี่ โดยมีพี่ปิงก้มลงมาเอาหน้าแนบชิด ... โอเค ไม่ถึงกับแนบชิด แต่อย่างน้อยก็ถือว่าใกล้กันมาก มากจนผมต้องยกเบียร์ขึ้นซดจนหมดกระป๋อง

มีต่อค่ะ ....
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 26-07-2016 23:50:28
ต่อ ...


                    “เสียงกริ่งหน้าบ้านเหรอ?” พี่ปิงเอ่ยแทรกเสียงเพลงของพี่เนส ทำท่าเงี่ยหูฟัง

                    กริ่ง ...

                    “เออใช่” พี่เมฆเอ่ย “ใครมาวะ?” เขาทำท่าจะลุกขึ้น

                    “เดี๋ยวผมไปดูให้ครับ” พีทอาสา แล้วลุกเดินไปที่ประตู

                    สักครู่พีทก็เดินกลับมา โดยมีผู้ชายคนหนึ่งเดินตามเข้ามาด้วย ... เมื่อเขาปรากฏกาย พี่ปิงลุกจากรีไคลเนอร์ พี่เมฆดีดตัวขึ้นยืนตามทันที ทำให้พี่เนสที่กำลังดีดกีตาร์ต้องหยุดมือ แหงนหน้ามองเพื่อนอย่างงงๆ

                    ทุกอย่างในบ้านเหมือนถูกฟรีซ ไม่มีการขยับเขยื้อน ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอด ผมเหลือบมองพีทที่ยืนอยู่ข้างๆผู้ชายที่มาใหม่ สีหน้าของพีทดูไม่ดีสักเท่าไหร่

                    “มีงานเลี้ยงกันอยู่เหรอ?” เป็นผู้ชายที่มาใหม่เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ผมมารบกวนหรือเปล่า?” เขายังพูดต่อ โดยที่ผมไม่เห็นว่าจะมีใครในที่นี้คิดจะตอบคำถามของเขา

                    แต่แล้วพี่ปิงก็ขยับตัว ก้าวเท้าไปหยุดอยู่ข้างๆชายคนนั้น “มาได้ยังไงฮะ?” เสียงพี่ปิงเอ่ยถามคล้ายกระซิบ

                    ชายคนนั้นยิ้ม ... เขาแต่งกายด้วยกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขนที่เหน็บชายเข้าไว้อย่างเรียบร้อย แม้จะดูเป็นชุดลำลองแต่ก็ทำให้เขาดูภูมิฐาน มองแล้วไม่น่าเป็นคนไม่ดี

                    “ไม่รบกวน เรากำลังเลี้ยงส่งน้องชายที่จะกลับไทยพรุ่งนี้” ในที่สุดก็มีคนตอบคำถามของเขา ผมหันตามเสียงนั้น “ถ้าไม่รังเกียจงานเลี้ยงแบบเด็กๆ มาดื่มด้วยกันสิครับ” พี่เมฆเอ่ยชักชวน

                    ผมขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าพี่เมฆจะรู้จักผู้ชายคนนี้ ซึ่งเขาน่าจะเป็นคนรู้จักของพี่ปิง แต่ก็ดูอายุมากเกินกว่าจะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ... แต่สีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของพีทยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปอีก

                    “ผมสิต้องถามว่าจะรังเกียจไหมถ้าผมจะขอร่วมวงด้วย” ชายคนนั้นส่งยิ้มให้กับพี่เมฆ แต่พี่เมฆกลับไม่ยิ้มตอบ

                    “ปิงจะไม่แนะนำให้ทุกคนรู้จักหน่อยเหรอ?” พี่เมฆเอ่ยต่อ

                    พี่จิวกับพี่เนสมองหน้ากันแล้วยักไหล่ ยกเหล้าขึ้นดื่ม

                    พี่ปิงยืนนิ่ง แต่ก็เอ่ยออกมาในที่สุด “นี่คุณกร” พี่ปิงเบี่ยงตัว ถ้าผมมองไม่ผิด ผมเห็นสายตาของพี่ปิงมองตรงไปยังพี่เมฆ

                    “ผมเมฆ” ที่เมฆแนะนำตัวเป็นคนแรก

                    “เราเคยเจอกันแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ” คุณกรยิ้ม แต่พี่เมฆไม่ยิ้ม

                    “อะ อะไรวะ?” เสียงพี่เนสโวยวายขึ้น ผมทันเห็นพี่เมฆใช้เท้าเตะไปที่ต้นขาพี่เนส พี่เนสขยับตัวยุกยิกก่อน จะเอ่ยเสียงดังแต่ตะกุกตะกัก “เอ่อ ผมเนสครับ และนี่ไอ้จิว” พี่เนสหันไปชี้พี่จิวที่นั่งทำหน้าเอ๋อเหรออยู่ข้างๆ แล้วพี่เนสก็ส่งสายตามาที่ผม

                    ผมจึงต้องรายงานตัวออกไป “ผมไมค์”

                    คุณกรยิ้มแล้วพยักหน้า “แล้วคนนี้ล่ะ?” เขาหันไปหาพีทที่ยืนทำหน้าง้ำอยู่ไม่ห่าง

                    “พีทครับ น้องกำลังจะกลับไทย” พี่ปิงเป็นคนตอบแทน

                    “อ้อ” คุณกรพยักหน้า “มาเที่ยวเหรอ?” เขาถามพีท แต่เจ้านั่นทำเพียงพยักหน้า

                    “นั่งก่อนสิครับ” พี่เมฆเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

                    คุณกรยิ้มแล้วพยักหน้า เขาหันไปมองหน้าพี่ปิง พี่ปิงจึงเดินนำเขาให้มานั่งที่รีไคลเนอร์

                    “คุณจะดื่มอะไร?” พี่ปิงเอ่ยถามคุณกร

                    “ดื่มอย่างน้องๆดื่มก็ได้” คุณกรตอบ

                    พี่ปิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในครัว

                    เพล้ง!! เสียงบางอย่างตกกระทบลงพื้นแตกกระจาย ... ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พี่เมฆก้าวพรวดผ่านหน้าผมไปพร้อมเรียกชื่อพี่ปิง พีทที่ยืนอยู่ก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยคุณกรที่ลุกพรวดจากรีไคลเนอร์ การขยับตัวของทั้ง 3 คนเกิดขึ้นรวดเร็วภายในวินาที

                    ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าจะให้เดินตามเข้าไปในครัวอีกก็คิดว่าคงไม่มีพื้นที่ให้ยืน เพราะเวลานี้ครัวเล็กๆมีผู้ชายตัวโตๆเข้าไปอัดแน่นถึง 4 คน

                    “เป็นไรป่ะวะ?” พี่เนสตะโกนเข้าไปถาม

                    ไม่มีคำตอบจากในครัว แต่มีเสียงของพี่เมฆดังออกมา “อย่าขยับ ... พีทเอาไม้กวาดกับที่ตักผงในห้องลอนดรี้มากวาดเศษแก้วก่อน” ตามด้วยเสียงวิ่งขึ้นและวิ่งลงบันได

                    สักพักคุณกรเดินกลับมานั่งที่รีไคลเนอร์ “งั้นผมขอเบียร์ก็แล้วกัน” เขาหันมาทางผม ผมจึงหยิบเบียร์ที่แช่อยู่ในกะละมังส่งให้เขา

                    ตามด้วยพีท ผมดึงให้เขาลงนั่งข้างๆ ... พี่เมฆเดินออกมา

                    “เป็นไรวะ?” พี่จิวเอ่ยถาม เมื่อพี่เมฆกลับมานั่งยังที่เดิม

                    “แก้วบาด” พี่เมฆตอบ

                    พี่ปิงเดินตามออกมาเป็นคนสุดท้าย เขายืนลังเลคล้ายไม่แน่ใจว่าจะนั่งลงตรงไหนดี แล้วคุณกรก็เอื้อมมือมาแตะปลายนิ้วของพี่ปิงที่มีพลาสเตอร์พันติดเอาไว้ “นั่งนี่สิ”

                    พี่ปิงมองหน้าคุณกร แล้วนั่งลงบนพื้น คุณกรขยับตัวลงจากรีไคลเนอร์ แล้วนั่งซ้อนเข้าไปข้างหลังพี่ปิง

                    แกร๊ก ... เสียงเปิดกระป๋องทำให้ผมเหลือบไปมองพีทที่นั่งข้างๆ เจ้านั่นยกเบียร์ขึ้นซดอั่กๆจนผมต้องแย่งเบียร์ในมือเขามาถือเอาไว้

                    “บ้าหรือเปล่า? กินแบบนี้ได้เมาหัวทิ่ม” ผมไม่รู้ว่าทำไมพีทถึงได้มีบรรยากาศอึมครึมตั้งแต่คุณกรปรากฏตัว ... เขาไม่เถียง แต่คว้าเบียร์ในมือผมกลับไปถือเอาไว้

                    “แผลลึกไหมพี่?” พี่เนสถามพี่ปิง

                    พี่ปิงส่ายหน้า

                    “ดีๆ งั้นฟังเพลงต่อ ใครอยากฟังเพลงไรขอได้นะครับ” พี่เนสเคาะกีตาร์

                    “กูเล่นเอง” พี่เมฆเอ่ยพร้อมแย่งกีตาร์ในมือพี่เนสไปถือเอาไว้

                    “เหย ...” พี่จิวลากเสียงยาว “รุ่นพี่วิดวะมาเองเว้ย” ตามด้วยเสียงแซวแบบที่เริ่มอ้อแอ้ เพราะในขณะที่ใครๆวุ่นวายกันอยู่ พี่เนสกับพี่จิวไม่ได้หยุดกระดกแก้วกันเลย

                    “เป็นบุญหูกูแท้ๆ” พี่เนสแซวบ้าง

                    “หุบปากเลยพวกมึง” พี่เมฆก้มหน้าพึมพำ นิ้วยาวดีดสายดังแต๊งๆ แล้วก็เงียบไป

 

                    ... ไม่ต้องบอกฉัน ถึงวันที่เลยผ่าน ไม่ต้องบอกฉันว่าเคยมีใคร คนไหนยังไง ...

 

                    ผมไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อน ไม่รู้ว่านักร้องคือใคร แต่สิ่งที่พี่เมฆร้องออกมา มันทำให้พวกเราทุกคนนั่งฟังกันเงียบกริบ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ... อาจเป็นเพราะเสียงที่เพราะเกินคาดของพี่เมฆก็เป็นได้

 

                    … ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นใคร จะผ่านอะไรมา ขอจงอย่าเป็นกังวล นี่คือคนของเธอ

                    ไม่ว่ามันจะเกิดอะไร ต่อจากนี้ไป ฉันจะอยู่ดูแลเธอ ด้วยคำว่ารัก ... ด้วยใจ ...

 

                    ท่อนฮุกของเพลงถูกร้องวนไปหลายครั้ง อะไรบางอย่างทำให้ผมชำเลืองมองไปยังพี่ปิง ... แล้วผมก็พบว่าพี่ปิงและพี่เมฆกำลังสบตากันในขณะที่พี่เมฆร้องท่อนสุดท้ายออกมา ... ผมไม่รู้ว่าคุณกรจะสังเกตเห็นสิ่งนี้หรือไม่

                    เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อเพลงจบลง “เหี้ย! กูไม่เคยรู้เลยว่ามึงแม่งมือเทพ ร้องเพลงก็เพราะ อินเนอร์สุดๆ” พี่เนสเอ่ยปากชมเพื่อน

                    “เออว่ะ แม่งซุ่มๆ” พี่จิวเสริม “งี้ต้องยกแก้วให้มัน” พี่จิวยื่นแก้วไปหน้าพี่เนส และพยายามจะยื่นต่อมายังหน้าพี่เมฆที่นั่งถัดมา แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจพี่จิวสักคน

                    “ใครจะโชว์อีกๆ” พี่เนสยกแก้วไปรอบวง “คุณกรเอาสักเพลงไหมครับ?” พี่เนสมาหยุดอยู่ที่คุณกร

                    “โอ้ ... ผมไม่ได้จับกีตาร์มาเป็น 10 ปีแล้วมั้ง จะขายหน้าเปล่าๆ” คุณกรตอบพี่เนส

                    “นั่นไง เล่นเป็นซะด้วย พระเอกไหมล่ะมึง?” พี่เนสหันไปกระทุ้งพี่เมฆที่นั่งทำหน้าตึงอยู่ข้างๆ

                    “โชว์เลยครับ” ผมหันไปยกกระป๋องเบียร์ให้คุณกร เป็นการเชียร์อัพ ผมคิดแค่ว่าถ้าเขาเล่นแย่จนเพลงล่ม อย่างน้อยพี่เมฆของผมก็อาจจะได้คะแนนจากพี่ปิงมากกว่าคุณกรในค่ำคืนนี้ ... ผมคิดแค่นี้จริงๆ

                    “เอางั้นเหรอ?” คุณกรหันมาถาม ผมพยักหน้าและยกนิ้วโป้งให้กับเขา “ลองดูนะ” แต่ประโยคนี้คุณกรหันไปพูดกับพี่ปิง

                    “เอางั้นล่ะครับ” พี่เนสเอ่ยพร้อมส่งกีตาร์มาให้กับคุณกร

                    พี่ปิงขยับตัวห่างออกมา เสียงดีดสายแต๊วๆๆดังอยู่สักพัก จนผมคิดว่างานนี้พี่เมฆของผมชนะใสๆ แต่แล้วเมื่อคอร์ดอินโทรเริ่มขึ้นจริงๆ ผมชักไม่แน่ใจ และเมื่อคุณกรเอ่ยเนื้อร้องออกมา แม้ผมจะไม่รู้จักเพลงนี้อีกเช่นเคย แต่ก็ต้องส่ายหน้า นึกสงสารพี่เมฆขึ้นมา ...

 

                    ... จะมีกี่คนมองเห็นสายตาที่อ่อนโยน ฉันมองเห็นเธอ ...

                    ... เธอสวย ทุกนาทีที่เคยสัมผัส รู้ทันทีว่าเธอคือคนพิเศษ ที่ฉันรอมานาน ที่ฟ้าให้มาเจอะกัน ให้ฉัน มีเธอ ...

 

                    “เออ ... เพราะนะพี่” ผมคิดว่าพี่เนสพูดกับคุณกร แต่เขากลับมองไปที่พี่ปิง ซึ่งนั่งเงียบมาตลอด

                    “เอ๊า ... ไหนๆก็ไหนๆละ ว่าไงพีท เอาสักเพลงไหม?” พี่เนสหันมาหาพีท ผมจึงหันมามองคนข้างๆบ้าง

                    “ผมเล่นกีตาร์ไม่เป็น” พีทเอ่ยเบาๆ แล้วก้มหน้าลงต่ำ ผมจับคางเขาให้เงยขึ้นมา เพื่อดูให้ชัดว่าผมมองไม่ผิด ... ใบหน้าของพีทแดงก่ำ ปากแดงบวมตุ่ย

                    “เมาแล้วไหม?” ผมตบแก้มพีทเบาๆ ... เขาส่ายหน้ารัวๆ

                    “เมาล่ะมั้งน่ะ” เสียงพี่จิว

                    “ท่าจะไม่ไหวแล้วมั้ง พาขึ้นไปนอนดีกว่านะเมฆ” เสียงพี่ปิง

                    “อือ” เสียงพี่เมฆ

                    “เดี๋ยวผมพยุงเอง” ผมแกะกระป๋องเบียร์จากมือพีท พาดแขนเขาไว้บนไหล่ แล้วพยุงให้ลุกขึ้นยืน

                    “จะพาเราไปไหน?” พีทเอ่ยถาม

                    “ไปนอน” ผมตอบ

                    “ยังไม่นอน พี่เนสสอนผมเล่นกีตาร์ก่อน” พีททำท่าจะเดินไปหาพี่เนส

                    “เออๆ ไปนอนก่อน ตื่นมาเดี๋ยวพี่สอนให้” พี่เนสโบกไม้โบกมือ

                    “พี่ปิง ... ถ้าผมเล่นกีตาร์เป็น ... ผม ... จะเล่นให้พี่ฟัง” พีทหันไปมองพี่ปิง “พี่ต้องรอฟังผมเล่นนะ” พอจบประโยค ตัวโตๆของพีทก็ทำท่าจะร่วงพับลงกับพื้น โชคดีที่ผมรวบเอวเอาไว้ได้ทัน

                    พีทเมาหมดสภาพ เขาทิ้งน้ำหนักตัวอย่างเต็มที่ ทำให้ผมต้องจับเขาพาดขึ้นหลังแล้วพาขึ้นบันไดไป ... พี่เมฆบอกให้ผมกับพีทนอนในห้องของเขา

                    ผมรู้ตัวว่าเริ่มมึนมากแล้ว และนึกถึงคำคุณย่า จึงขอตัวอยู่ดูพีทบนห้อง ส่วนพี่เมฆกลับลงไปต่อ ... พีทนอนคู้ตัวอยู่บนเตียง ผมจับไหล่เพื่อจะให้เขาพลิกตัวมานอนหงาย ซึ่งน่าจะสบายกว่าท่าคุดคู้ในตอนนี้ แต่พีทกลับขืนตัวเองไว้ นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้หลับ

                    “นายโอเคไหม?” ผมเอ่ยถาม เอื้อมมือไปลูบผมที่หน้าผากเพื่อจะแตะดูว่าเขาตัวร้อนหรือไม่

                    ฮรึก ... เสียงคล้ายสะอื้น ผมไม่แน่ใจจึงขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ และก้มลงไปมองใบหน้าที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้

                    “พีท ...” ผมเริ่มแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงสะอื้น เพราะไหล่ที่ห่อของพีทสั่นไหว “เป็นอะไร บอกฉันสิ ปวดหัว หรืออยากอ้วกไหม?” ผมลูบหัวของเขา นึกไม่ออกว่าควรทำอย่างไร การที่อยู่ๆได้รับรู้ว่าพีทกำลังร้องไห้ ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก

                    “ฮรึก ... ผู้ชายคนนั้น” พีทเอ่ยออกมาในขณะที่ยังซุกหน้าอยู่กับมือของตัวเอง

                    ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใคร จึงนั่งเงียบๆ

                    “ผู้ชายคนนั้นอยู่กับพี่ปิง ตอนที่เราวิ่งชนพี่ปิง ... ฮรึก ... เราจำได้”

                    ผมเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ ผู้ชายคนนั้นคงหมายถึงคุณกร ... การที่คุณกรกับพี่ปิงคบกันมาเป็น 10 ปี แม้แต่ตัวผมเองก็คงต้องคิดไปไกลว่าพวกเขาคงไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดา

                    “เขาคงเป็นเพื่อนกัน” ผมไม่รู้ว่าการพูดจาปลอบคนเมาที่กำลังเสียใจ มันจะมีประโยชน์อะไรไหม

                    “เวลา 10 ปีที่เราทำได้แค่เพียงฝันถึงพี่ปิง แต่ผู้ชายคนนั้นกลับมีพี่ปิงมาตลอด”

                    ผมมองตัวโตๆของพีทแล้วถอนหายใจ เขาพูดได้ยาวเหยียด ไม่เหมือนคนที่กำลังเมาเลยสักนิด

                    “นายเสียใจเหรอ?” ผมจับไหล่แล้วบังคับให้พีทนอนหงาย คราวนี้เขาไม่ขืนตัว ... หน้าของพีทแดงก่ำ ริมฝีปากแดงย้อย  น้ำตาอาบอยู่ที่สองแก้ม  ... ผมแตะปลายนิ้วปาดเพื่อเช็ดมันออก

                    ตากลมโตของพีทมองมา

                    “ในขณะที่นายเสียใจเรื่องพี่ปิง แล้วนายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง?” ผมปาดนิ้วโป้งเช็ดหยดน้ำที่หางตาของพีท

                    “ไมค์ ... นายชอบเราจริงๆเหรอ?” ดวงตากลมมีน้ำใสคลอหน่วย มันดูยั่วยวนมากกว่าน่าสงสาร

                    “ใช่” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด

                    “เรา ...” ปากแดงของพีทเผยอจะเอื้อนเอ่ย แต่ผมปิดมันไว้ด้วยปลายนิ้ว

                    “เลิกพูดเถอะ ฉันไม่อยากฟัง” ปลายนิ้วโป้งของผมคลึงที่ริมฝีปากอิ่ม

                    “ไมค์ ...” ริมฝีปากแดงฉ่ำทำให้ลมหายใจของผมติดขัด

                    “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากฟังนายพูด”

                    ดวงตากลมโตจ้องมองผมไม่กระพริบ

                    “... ฉันอยากจูบนาย” ผมกระซิบบอกความต้องการข้างใบหูแดง

                    พีทนอนนิ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆที่ส่งออกมา ผมย้ายริมฝีปากมาแตะที่แก้ม สัมผัสเพียงแผ่วแล้วเลื่อนมาที่ริมฝีปาก ไม่มีอาการขัดขืนจากคนที่นอนอยู่ข้างใต้ ... สัมผัสนุ่มลื่นและความร้อนผะผ่าวในโพรงปากทำให้สติของผมกระเจิดกระเจิง ทุกอย่างหมุนคว้างคล้ายกับโดนดูดเข้าไปอยู่ท่ามกลางพายุ ...

                    ผมคล้ายจะมีสติอีกครั้งเมื่อพีทพลิกตัวกลับ เขากดร่างผมลงกับที่นอน แล้วคร่อมผมเอาไว้  เสื้อยืดถูกเจ้าของถอดออกอย่างรวดเร็ว และต่อมาเสื้อยืดของผมก็ถูกเขาถอดออกเช่นกัน ... ผมรับรู้ถึงน้ำหนักตัวที่โถมทับลงมา สัมผัสเปียกชื้นของปลายลิ้นที่ดูดดุนตรงซอกคอทำให้ผมครางออกมา ... และหลังจากนั้นสติของผมก็หลุดกระเจิงไปอีกครั้ง ...

 

                    ผมมองใบหน้าที่หลับใหลคล้ายเด็กไร้เดียงสาของคนที่ซุกอยู่ข้างๆ ... หลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น ... ภาพที่อยู่ตรงหน้ายังคงเหมือนเดิม ... นี่คือห้องของพี่เมฆ

 

                    ผมปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เสียงเพลงและเสียงกีตาร์จากชั้นล่างยังแว่วมาเข้าหู ... เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ไม่ใช่ความฝัน …
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 27-07-2016 19:24:21
อยากรู้ว่าพีทกดไมค์หรือไมค์กดพีท :hao6: :katai4:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 27-07-2016 21:50:07
ไม่ต้องเสียใจลูก หนทางยังอีกยาวไกลน้องพีท
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 02-08-2016 22:29:28
# 27 (PETE)

 

                    แกร็ก ... เสียงบางอย่างปลุกผมจากการหลับใหล เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น ภาพที่เห็นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย หลับตาลงอีกครั้งแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นใหม่ มองกวาดไปรอบๆห้อง ... ผมอยู่ที่ไหน?

                    “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงที่คุ้นหูทำให้ผมต้องหันตาม ... พี่เมฆยืนอยู่ตรงนั้น เขามีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายท่อนล่าง ... ผมขยับ ยันตัวลุกนั่ง ในหัวหนักอึ้ง

                    “ปวดหัวล่ะสิ” พี่เมฆเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง

                    ผมกำมือทุบท้ายทอยตัวเอง “ครับ”

                    “ไปอาบน้ำสระผม กินอะไรสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” พี่เมฆพูดแล้วเดินไปหยิบอะไรบางอย่าง แล้วหันกลับมายื่นมันให้ผม

                    ผมมองด้วยความรู้สึกมึนๆงงๆ

                    “ผ้าเช็ดตัว” พี่เมฆบอก

                    เมื่อเข้าใจแล้ว จึงยื่นมือไปรับเอาไว้ ขยับตัวออกจากผ้าห่ม ปวดตุบในหัว เมื่อก้าวลงจากเตียง ความรู้สึกเบาโหวงทำให้ต้องก้มลงมองตัวเอง ... ทั้งตัวของผมเปลือยเปล่า

                    ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่เมฆโดยอัตโนมัติ และเมื่อพบว่าเขากำลังมองผมอยู่ ผ้าเช็ดตัวที่อยู่ในมือจึงถูกนำมาพันกายท่อนล่างไว้อย่างรวดเร็ว

                    ผมเงยขึ้นมองหน้าพี่เมฆอีกครั้งช้าๆ “พะ พี่ ... เมื่อคืนพี่ทำอะไรผม?” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความยากลำบาก ในหัวเริ่มคิดทบทวนเรื่องเมื่อคืน ... ผมมานอนที่เตียงของพี่เมฆได้ยังไง ทำไมผมถึงตื่นขึ้นมาด้วยสภาพล่อนจ้อนและอยู่ในห้องเดียวกันกับพี่เมฆที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกาย ... อาการปวดหัวเมื่อครู่ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นแทบจะระเบิด

                    พี่เฆมไม่ตอบคำถามของผม เขายังคงยืนมองผมตาค้าง

                    “พี่!” ผมเรียกเขาเสียงดัง

                    “เฮ้ย!” พี่เมฆอุทานออกมาเสียงดังกว่าผมเสียอีก “พี่เปล่า!” พี่เมฆส่ายหน้าดิก

                    “พี่เปล่าแล้วผมมานอนแก้ผ้าบนเตียงพี่ได้ยังไง?” ผมส่งเสียงโวยวาย ยกมือกุมขมับ

                    “เมื่อคืนพีทเมา พี่กับไมค์ก็พาขึ้นมานอน แล้วพี่ก็ลงไปกินต่อ” พี่เมฆอธิบาย

                    “แล้ว?” ผมต้องการรู้ต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

                    “แล้วอะไรล่ะ พี่ก็นอนอยู่ข้างล่างกับไอ้จิวไอ้เนส” พี่เมฆท้าวเอว

                    “แล้วไมค์ล่ะ?” ผมนึกถึงอีกคนที่เหลือ

                    “กินโจ๊กอยู่ข้างล่าง”

                    “เปล่า! ผมหมายถึงเมื่อคืนไมค์นอนที่ไหนฮะ?”

                    “ก็นอนที่ห้องนี้ไง”

                    คำตอบของพี่เมฆทำเอาผมแทบทรุด ... เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับไมค์?

                    ผมเดินผ่านหน้าพี่เมฆไปอย่างเลื่อนลอย … ขณะอาบน้ำ ผมพยายามสำรวจความเสียหายจากร่างกายตัวเอง ... ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ แต่ที่ไอ้ม่อกเคยเล่าให้ฟัง เรื่องของพี่ข้างบ้านมันที่เป็นเกย์ เขาบอกว่าครั้งแรกโคตรเจ็บ ทั้งสายเหลืองสายแดงคละคลุ้ง ระบมจนต้องนอนป่วยอยู่หลายวัน ผมกับพวกเพื่อนในแก๊งฟังแล้วยังขนลุก ไม่คิดว่าเรื่องอย่างว่าระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจะน่ากลัวสยดสยองขนาดนั้น แต่ไอ้ม่อกยืนยันว่าพี่เขาบอกมันอย่างนั้นจริงๆ ... ผมยื่นมือไปแตะด้านหลังของตัวเองด้วยความรู้สึกกระดากอาย ... ไม่เจ็บ

 

                    ผมก้าวลงบันไดอย่างช้าๆ รู้สึกกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับไมค์ ... ที่ชั้นล่าง พี่เมฆทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว พี่เนส หลับอยู่บนรีไคลเนอร์ที่ปรับให้เอนลง พี่จิวหลับอยู่บนพื้น

                    “มาแล้วเหรอ? กินโจ๊กไหม จะได้อุ่นท้อง แล้วเดี๋ยวคงต้องออกกันเลย เผื่อทราฟฟิค” พี่เมฆเอ่ยถามเมื่อผมเดินเข้าไปในครัว

                    “ครับ”

                    พี่เมฆหันไปตักโจ๊กในหม้อ

                    “พี่ปิงกับ เอ่อ ... ไมค์ ไปไหนฮะ?”

                    พี่เมฆถือชามโจ๊กมาวางบนโต๊ะ ในมืออีกข้างมีแก้วกาแฟ เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ไมค์เห็นบอกจะไปเดินเล่นแถวๆนี้ ส่วนพี่ปิง ... ออกไปส่งคุณกร”

 

                    ชื่อของคุณกร ทำให้ผมนึกได้ว่าเมื่อวานขณะที่พวกเรากำลังดื่มกินและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน มีคนมากดกริ่งที่หน้าบ้าน ผมเดินออกไปเปิดประตู เมื่อเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ความคุ้นเคยบอกผมว่าคนๆนี้คือคนที่มายืนรอพี่ปิงในค่ำคืนที่พวกเรากลับจากสวนสนุก ... ผมยืนจ้องหน้าเขาจนเขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ปิงอยู่ไหม?” ผมยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น ยิ่งมองยิ่งคุ้นตา และแล้วภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ซ้อนขึ้นมา ... เขาคือผู้ชายที่อยู่เคียงข้างพี่ปิงในงานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ปีนั้น ถึงแม้ผมยังเด็ก และเวลาผ่านมาจนเกือบ 10 ปี แต่ผมจำเขาได้แน่ๆ

 

                    “เมื่อคืนคุณกรค้างที่นี่เหรอครับ?” ในอกข้างซ้ายเหมือนมีอะไรบางอย่างถ่วงไว้จนหนัก

                    พี่เมฆจิบกาแฟ วางแก้วลงบนโต๊ะแล้วพยักหน้า

                    “คุณกรนอนที่ไหนเหรอฮะ?” ผมไม่รู้ว่าคำถามนี้เสียมารยาทหรือไม่ แต่ผมอยากรู้

                    แกร๊ก ... เสียงที่ดังแทรกขึ้นมา ทำให้เราทั้งคู่หันไปทางหน้าบ้าน ... พี่ปิงผลักประตูเข้ามา เขายืนนิ่ง มองหน้าผมสลับกับหน้าพี่เมฆ นั่นคงเพราะเราสองคนต่างจ้องไปที่เขา

                    “ไมค์กลับมาหรือยัง? เราควรออกกันได้แล้ว เผื่อเวลาไว้สักหน่อยจะได้ไม่ฉุกละหุก” พี่ปิงเอ่ยขณะเดินเข้ามา

                    “เดี๋ยวเมฆโทรตาม” พี่เมฆลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จเอาไว้ข้างๆโทรทัศน์

                    ผมก้มหน้า ตักโจ๊กเข้าปาก ในหัวยังปวดหนึบๆ ... ชื่อคุณกรและร่างบางของพี่ปิง ทำให้ผมนึกถึงท่าทางที่พวกเขานั่งอิงแอบกันเมื่อคืน ... ผมปวดใจแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย และหลังจากนั้นเหมือนว่าความทรงจำของผมจะเลือนราง รางจนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น

                    “พีทเป็นไงบ้าง?” พี่ปิงมายืนอยู่ใกล้ๆตอนไหนไม่รู้ ผมเงยหน้าขึ้นมอง เขาวางมือไว้บนหัวผม “ปวดหัวไหม?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามช่างอ่อนโยนเหลือเกิน

                    ผมกัดปากด้านในเอาไว้ ความใจดีของพี่ปิงทำให้ผมอยากร้องไห้ “นิดหน่อยครับ”

                    “เดี๋ยวตอนออกไปค่อยแวะ CVS ซื้อแก้แฮงค์มากินสักขวด อาจดีขึ้น” พี่ปิงลูบหัวผม พูดเสร็จแล้วหันไปมองหน้าพี่เมฆ

                    แกร๊ก ... เสียงประตูดังอีกครั้ง ผมไม่กล้าหันไปมอง เพราะรู้ว่าคราวนี้คนที่ก้าวเข้ามาน่าจะเป็นไมค์

                    “ไปเดินถึงไหนมา?” พี่เมฆเอ่ยถาม

                    “เรื่อยๆฮะ”

                    “งั้นเดี๋ยวเมฆไปถอยรถมาหน้าบ้าน” พี่เมฆหันไปบอกพี่ปิง

                    เสียงประตูปิดลง แสดงว่าพี่เมฆออกไปแล้ว

                    “ผมจะขึ้นไปเอากระเป๋า” เสียงของไมค์เอ่ยขึ้น และตามด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดไป

                    ผมกินโจ๊กหมดแล้วจึงลุกจะเอาชามเข้าไปล้างในครัว

                    “วางไว้ในอ่างนั่นแหละ เดี๋ยวพี่กลับมาจัดการเอง”

                    “ไม่เป็นไรครับ ผมล้างได้”

                    “ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็ต้องเคลียร์ของในครัวอยู่แล้ว”

                    ผมกวาดตามองข้าวของ ถ้วยจานที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว นึกเกรงใจที่ผมเป็นต้นเหตุให้พี่ปิงต้องเหนื่อยกับการจัดงานเลี้ยง “ขอโทษนะครับ เพราะต้องเลี้ยงส่งผม พี่ปิงเลยต้องเหนื่อย”

                    พี่ปิงส่ายหน้าแต่ยิ้ม “เรื่องเล็กน่ะ เดี๋ยวก็ช่วยๆกัน”

                    ไมค์เดินลงมา ผมมองหน้าเขาแว้บหนึ่งแล้วหลบตา “ผมขึ้นไปเก็บของบนห้องก่อนนะฮะ” เป้และเสื้อผ้าที่ผมถอดทิ้งไว้ยังอยู่บนห้องพี่เมฆ

                    “เดี๋ยวผมเอากระเป๋าลงไปรอพี่เมฆ” เสียงของไมค์พูดกับพี่ปิงดังขึ้นเมื่อผมก้าวขึ้นบันได

 

                    เมื่อเช็คอินแล้วผมยังมีเวลานิดหน่อยที่จะกล่าวลาทั้ง 3 คนที่มาส่ง ส่วนพี่เนสกับพี่จิวยังหลับเป็นตายเมื่อพวกเราออกมาจากบ้าน

                    “ไปถึงที่โน่นแล้วโทรหาพี่นะเว้ย” พี่เมฆตบไหล่ผม

                    “ครับ ... ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่เมฆ หากวันนั้นไม่ได้เจอเขาที่จอร์จวอชิงตัน ผมก็อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกับพี่ปิง เพราะฉะนั้นเขาคือคนที่มีบุญคุณกับผมมาก

                    “เฮ้ย เล็กน้อย เอาไว้พี่กลับไทยเมื่อไหร่ พี่จะไปเอาคืน”

                    “พี่ต้องให้ผมพาเที่ยวนะ พี่สัญญากับผมแล้ว”

                    “แน่นอนดิวะ” พี่เมฆโยกหัวผมเบาๆ

                    ผมเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าขาวแม้จะดูซีดเล็กน้อย แต่ก็ยังงดงามเสมอสำหรับผม

                    “ขอบคุณนะครับพี่ปิง” ผมพูดได้เพียงเท่านี้ เพราะรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา

                    พี่ปิงยิ้ม ... ผมกัดปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บ

                    “เดินทาง ปล ...” เมื่อได้ยินเสียงของพี่ปิง ความอดกลั้นของผมก็พังทลาย

                    ผมเดินเข้าไปสวมกอดร่างบางเอาไว้ คำพูดของพี่ปิงสะดุด แต่แล้วเขาก็เอ่ยต่อขณะอยู่ในอ้อมกอดของผม “เดินทางปลอดภัยนะ”

                    “ผมจะรอพี่กลับไปเมืองไทย พี่ไปเมื่อไหร่ผมจะเทคแคร์พี่เอง”

                    “ขอบใจนะ” เสียงนุ่มของพี่ปิงเอ่ยลอดออกมา

                    “แต่ถ้าพี่ไม่ได้กลับไป ... พี่รอผมนะ ผมจะมาหาพี่เอง” ผมเอ่ยเบาๆที่ข้างหู

                    พี่ปิงไม่ตอบ แต่ผมรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นจากมือของเขาที่ตบหลังผมเบาๆ … ร่างในอ้อมกอดขยับ ผมจึงจำใจต้องปล่อย ถอยออกมา 1 ก้าว เพื่อจะมองใบหน้าของพี่ปิงให้เต็มตา ดวงตายาวรีมองตอบกลับมา 

                    ในคลองสายตา ใครอีกคนยืนห่างออกไป ผมตัดสินใจก้าวเข้าไปหา ... ระหว่างทางมาสนามบิน ไมค์นั่งหลับตา ไม่พูดอะไรเลยสักคำ

                    “ขอบใจนะ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

                    ไมค์ไม่ตอบ ไม่พยักหน้า มีเพียงดวงตาสีน้ำตาลที่มองจ้องใบหน้าผมโดยไม่กะพริบ

                    “ไมค์ ...” ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆ เขาคือคนที่อยู่กับผมในห้องนั้น

                    “หันหลัง” อยู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้นมา

                    ผมขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจในสิ่งที่ไมค์พูด ... หันหลัง? เขาหมายถึงอะไร? หมายถึงเรื่องเมื่อคืนยังงั้นเหรอ? เมื่อคิดอย่างนั้น ความร้อนผ่าวก็ผุดขึ้นที่แก้ม

                    “ฉันบอกให้หันหลังไง” พูดแล้วก็จับไหล่ บังคับให้ผมหันหลังให้กับเขา

                    ผมรู้สึกว่าซิปของเป้ที่อยู่บนหลังถูกรูดลง ของบางอย่างถูกใส่ลงไป และซิปก็ถูกรูดปิด ผมค่อยๆหันกลับมาเผชิญหน้ากับไมค์อีกครั้ง

                    “Have a safe flight.” ไมค์ล้วงมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋ากางเกง เขาก้มหน้าแล้วหันหลัง ก้าวเดินจากไป

                    “จวนได้เวลาแล้ว เข้าไปเถอะ” พี่เมฆเดินมายืนข้างๆ ตบไหล่ผม

                    “ครับ”

 

                    ระหว่างทางเดินไปที่เกท ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้จนรู้สึกเจ็บในอก ... พี่เมฆและพี่ปิงที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่น เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง ผมเห็นเพียงด้านหลังของพวกเขาที่กำลังเดินห่างออกไป

                    เมื่อนั่งประจำที่บนเครื่อง ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อที่จะปิด เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น

                    ไมค์ - ฉันให้เวลานาย โปรดคิดเรื่องของฉันอีกครั้ง

                    ผมสูดหายใจลึกแล้วปล่อยออกอย่างช้าๆเมื่ออ่านข้อความจบ ... ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ... ไมค์คือเพื่อน และคนที่ผมคิดถึงในขณะนี้มีเพียงพี่ปิง

                    ผมเปิดเป้เพื่อจะเก็บโทรศัพท์ แต่แล้วมือก็ไปกระทบกับของบางอย่าง ผมหยิบมันออกมา ... กล่องสี่เหลี่ยมสีดำ ผมเปิดมันออกในขณะที่ใจเริ่มเต้นตึกๆ ... มันคือนาฬิการุ่นที่ผมอยากได้ และไมค์ซื้อมันเมื่อวันก่อน ... ผมหยิบออกมาสวมแล้วจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ...

 

                    น้าติ๊ก น้าเขยและทีน่ามารับผมที่สนามบิน พวกเราแวะกินข้าวร้านจีนก่อนกลับเข้าบ้าน ผมมีของฝากเล็กๆน้อยๆให้กับทุกคน จากนั้นก็ขอตัวเข้าห้อง

                    ทิ้งตัวลงบนเตียง เปิดหน้าไลน์ ภาพดอกไฮเดรนเยียและภาพด้านข้างของไมค์ทำให้ผมลังเล ส่วนพี่เมฆนั้นผมส่งข้อความบอกตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน และขณะนั่งรถกลับบ้าน น้าติ๊กก็โทรหาแม่ ผมจึงได้คุยกับท่านแล้ว

                    ผม – ถึงบ้านน้าติ๊กแล้วนะ

                    ผมเลือกส่งข้อความถึงไมค์ ข้อความถูกเปิดอ่านทันที

                    ผม – ขอบคุณมากสำหรับนาฬิกา เรานึกว่านายซื้อให้ตัวเองซะอีก

                    ผมถ่ายรูปนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือส่งไปให้

                    ผม – มันเท่มาก แต่ก็แพงมากด้วย นายไม่น่าให้ของแพงๆแบบนี้กับเราเลย

                    ผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยเมื่อนึกถึงวันนั้นที่ไมค์เอานาฬิกาขึ้นมาอวด แล้วบอกให้ผมลองสวมดู ไม่นึกเลยว่าเขาจะยกให้ผม

                    ไมค์แนบรูปถ่ายมาให้ เมื่อเปิดดู มันคือภาพนาฬิกาข้อมือแบบเดียวกันต่างกันตรงที่ มันอยู่บนข้อมือของไมค์

                    ไมค์ – นั่นของนาย และนี่ของฉัน

                    ผมกัดริมฝีปาก ความรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น ไมค์ซื้อนาฬิกาแบบเดียวกันกับของเขาให้ผม ... เขารู้ว่าผมชอบรุ่นนี้มาก แต่ผมกลับไม่มีอะไรให้กับเขา ... แม้จะตอบกลับความรู้สึกที่เขามีให้ ผมยังทำไม่ได้

                    ผม – เราไม่มีอะไรให้นายเลย

                    ไมค์ – ฉันไม่ต้องการอะไร แค่นายไม่ลืมฉันก็พอแล้ว

                    ผม – เราจะลืมได้ยังไง นายเป็นเพื่อนรักของเรานะ

                    ไมค์อ่าน แต่ไม่ตอบ รอสักพักก็ยังไม่ตอบ ... ผมรู้ว่าการเน้นย้ำคำว่าเพื่อนอาจทำร้ายความรู้สึกของไมค์ แต่ผมให้เขาได้เท่านั้นจริงๆ แม้ว่า ...

                    แม้ว่าเมื่อคืนอาจเกิดอะไรขึ้นแล้วระหว่างผมกับไมค์ ... ผมควรถามให้แน่ใจ

                    ผม – เมื่อคืนนายนอนบนห้องกับเราหรือเปล่า

                    ไมค์อ่าน และไม่นานเขาก็ตอบกลับมา

                    ไมค์ – ใช่

                    ผม – เราอ้วกใช่ไหม

                    ผมพยายามนึกว่าเพราะเหตุใดถึงได้นอนแก้ผ้า ... อาจเพราะเมาจนอ้วกและมันเลอะเทอะจนต้องถอดเสื้อผ้าทิ้งไป เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในละครอยู่ออกบ่อย มันอาจเกิดขึ้นกับผมบ้างก็ได้

                    ไมค์ – เปล่า

                    จบกัน ... คำตอบของไมค์ทำเอาโทรศัพท์แทบร่วงจากมือ

                    ผม – งั้นเราคงร้อน

                    ผมนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น

                    ไมค์อ่านแล้วเงียบไป ผมทนรอไม่ไหวจึงต้องส่งข้อความย้ำกลับไป

                    ผม – เราคงร้อนเลยถอดเสื้อผ้าออก

                    ไมค์ – ใช่

                    คำตอบของไมค์ทำให้ผมรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก … มันควรเป็นอย่างนั้น ผมไม่น่าคิดมากเกินไป บางทีผมเมา ไมค์ก็อาจจะเมาด้วยเหมือนกัน เขาคงไม่สนใจหรอกว่าผมจะแก้ผ้าหรือทำอะไร

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะ

                    ไมค์ – นายถอดเสื้อผ้าตัวเอง และถอดของฉันด้วย

                    โทรศัพท์ร่วงจากมือลงมาใส่อกดังตุ้บ! ที่ไมค์พูดหมายความว่ายังไง? ผมร้อนรนจนตัดสินใจโทรกลับไป ไมค์ไม่รับสาย แต่ส่งข้อความกลับมา

                    ไมค์ – ฉันชอบเสียงครางของนาย

                    ผม – รับสายฉันเลย เราต้องคุยกัน

                    ผมโทรไปอีกครั้ง

                    “นายหมายความว่าไง?” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่รู้ว่าไมค์รับสาย

                    /ก็ตามนั้น/ เสียงตอบกลับช่างไร้อารมณ์ ต่างกับผมในเวลานี้

                    “ไมค์ เราต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน” อกข้างซ้ายเต้นตึกๆ

                    /.../

                    “ไมค์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับเรานะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ยิ่งเขาเงียบ ผมยิ่งร้อนรุ่ม

                    /นายทำอะไรลงไป จำไม่ได้เลยหรือไง?/ แทนที่เขาจะบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่กลับตั้งคำถามย้อนกลับมา ตอนนี้ผมแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

                    “ถ้าเราจำได้ เราจะต้องมาซักนายอยู่อย่างนี้ไหม?” ผมสูดลมหายใจ พยายามระงับสติอารมณ์

                    /ถ้านายจำไม่ได้ ก็ให้มันแล้วไป/

                    “มันจะแล้วไปได้ยังไง เราตื่นมา เอ่อ ... แก้ผ้าล่อนจ้อน”

                    /นายแก้ของนายเอง จะมาโวยวายโทษใครกันล่ะ/ ทั้งน้ำเสียงและคำพูดของไมค์ทำเอาผมหน้าชา

                    “แล้วนายทำอะไรเราหรือเปล่า?” ผมต้องซักเอาความจริงให้ได้

                    /ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะต้องเป็นฝ่ายทำอะไรนายด้วย ทำไมไม่คิดว่านายเองอาจจะเป็นฝ่ายทำฉันก็ได้/ คำพูดของไมค์ทำให้ผมต้องหยุดคิด ... หรือที่ผมไม่รู้สึกเจ็บ นั่นเป็นเพราะผมไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ ...

                    “เรา ...” อยู่ๆสมองก็ตื้อไปหมด นี่ผมทำอะไรลงไป? หรือที่ไมค์นั่งเงียบมาตลอดในรถ เพราะเขาอาจจะรู้สึกเจ็บจนพูดไม่ออก

                    “นายแน่ใจเหรอว่าเราทำมันลงไปจริงๆ” ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่าผมจะทำเรื่องอย่างนั้นลงไป

                    /เห้อ ... ถ้านายจำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ จบไหม?/

                    “...” จะให้จบง่ายๆอย่างนี้งั้นเหรอ?

                    /เอาล่ะๆ ฉันจะบอกความจริงก็ได้ นายเมาแล้วก็บ่นว่าร้อน แล้วก็ลุกขึ้นมาแก้ผ้า ฉันห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ฉันเองก็เมาเลยไม่ได้ใส่ใจ แล้วจากนั้นฉันก็หลับไป ... แค่นี้ล่ะ/ คำอธิบายยืดยาวของไมค์ กลับไม่น่าเชื่อถือเลยสำหรับผม

                    “นาย ... เจ็บไหม?” ถ้าผมไม่เจ็บ คนที่เจ็บคงเป็นไมค์ ผมนึกห่วงเขาขึ้นมา

                    /เจ็บ? เจ็บอะไรของนาย?/

                    “ก็ ... เจ็บตรงนั้น ... เราไม่รู้ตัว อาจทำนายเจ็บ” ผมนึกถึงสีหน้าของไอ้ม่อกตอนมันเล่าว่ารุ่นพี่ของมันเจ็บเจียนตาย

                    /ฮ่าๆๆๆๆๆๆ/ เสียงหัวเราะดังลั่นผ่านเข้ามา จนผมต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหู

                    “ขำอะไร?”

                    /ฉันชอบนายก็เพราะเงี้ย ฮ่าๆๆๆ/

                    “หยุดขำแล้วตอบคำถามเรา!” ผมเริ่มหัวเสีย เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ตลกเลยสักนิด ... นี่คือความบริสุทธิ์ที่ผมรักษามาเกือบ 18 ปีเชียวนะ

                    /จะให้ฉันตอบอะไรอีกล่ะ ก็บอกไปหมดแล้ว/ ไมค์ยังหัวเราะหึๆ

                    “เอาล่ะ เราจำอะไรไม่ได้เลย เราตื่นมาพบตัวเองนอนแก้ผ้า แล้วนายก็นอนอยู่กับเราเมื่อคืน ถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คือ ถ้าเราทำอะไรนาย ... เราขอโทษ”

                    /ขอโทษ? ... ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นายคิดว่าแค่ขอโทษแล้วก็จบเหรอ?/

                    “...” ถ้าแค่ขอโทษแล้วไม่จบ ผมควรทำยังไง?

                    /ถ้าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคนจริงๆ นายคิดจะทำยังไงต่อไป?/

                    “...” ผมต้องรับผิดชอบไมค์หรือเปล่า?

                    /ถ้านายไม่รู้ว่าต้องทำยังไง นายจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา รู้หรือไม่รู้ เกิดหรือไม่เกิด มันจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงงั้นเหรอ? ถ้าคำตอบคือไม่ ... งั้นก็จบแค่นี้/

                    “ไมค์ ... เรา ...” ผมไม่รู้ควรทำยังไง ควรพูดอะไร

                    /ฉันบอกนายแล้วว่าฉันให้เวลานาย ฉันไม่คิดจะเอาเรื่องเมื่อคืนมาเป็นเครื่องต่อรอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก มันก็แค่คนเมาสองคนที่ทำอะไรไปอย่างขาดสติ/

                    “...” คนเมา ... ทำอะไร ... ขาดสติ ...

                    /แค่นี้นะ ฉันต้องลงไปหาคุณย่า/

                    “...”

                    ไมค์วางสายไป โดยที่ผมไม่ได้เอ่ยคำร่ำลา คำพูดของไมค์ทำให้มั่นใจว่าเมื่อคืนระหว่างผมกับไมค์ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ... แล้วผมควรทำยังไง? ผมชอบไมค์มาก แต่ในฐานะเพื่อน ไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างอื่นได้มากกว่านี้ แม้จะรู้ว่าเขาชอบผมมากก็ตาม

                    ถ้าผมทำเป็นไม่สนใจ ไม่รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วปล่อยให้ทุกอย่างจบลงเงียบๆ เพราะถึงอย่างไรผมกับไมค์ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็ได้ ... ผมจะเลวไปไหม?

                    เหม่อมองดวงไฟบนฝ้าเพดาน อีกไม่กี่วันผมก็จะไปจากแผ่นดินอเมริกา และก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือไม่ เรื่องไมค์กับผมจึงไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ... แล้วเรื่องของผมกับพี่ปิงล่ะ มันจะเป็นยังไงต่อไป

                    ผมเลือกโทรออกแทนการส่งข้อความ เวลานี้ผมต้องการได้ยินน้ำเสียงที่จะปลอบโยนผมได้ รอไม่นาน คนทางนั้นก็รับสาย

                    /เป็นไง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?/ พี่ปิงเอ่ยถาม ... เสียงนี้ที่ผมคิดถึง

                    “เรียบร้อยครับ”

                    /เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงหงอยๆ/

                    “ผม ... ผมคิดถึงพี่”

                    /.../

                    “ผมไม่อยากกลับเลย”

                    /แล้วไม่คิดถึงพ่อกับแม่เหรอ?/

                    “...”

                    /ท่านคงคิดถึงพีทมากนะ ลูกชายคนเดียวมาเที่ยวซะตั้งนาน/

                    “...”

                    /กลับไปตั้งใจเรียน เอาไว้ปิดเทอมแล้วค่อยมาเที่ยวอีก/

                    “ผมต้องมาอีกแน่ๆครับ”

                    /มาสิ แล้วพี่จะพาเที่ยว/

                    “จริงๆนะครับ” ผมสูดหายใจลึก การที่คิดว่าจะได้พบกับพี่ปิงอีกครั้ง จะเป็นพลังผลักดันให้ผมก้าวไปในวันข้างหน้าได้อย่างมีความหวัง

                    /จริงสิ/

                    “แล้วพี่จะกลับมาเมืองไทยไหมครับ? คุณแม่พี่ก็คงคิดถึงพี่เหมือนกัน” เมื่อตอนที่ออกไปเดินถ่ายรูปรอบๆหมู่บ้าน พี่ปิงเล่าว่าเขามีเพียงแม่และน้องสาวอยู่ที่เมืองไทย ส่วนพ่อเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก

                    /... คงอีกสักปีหรือ 2 ปี/

                    “ผมอยากให้พี่มา ผมอยากมีโอกาสดูแลพี่บ้าง ผมจะพาพี่ไปเที่ยวเชียงใหม่”

                    /ขอบใจนะ/

                    “พี่ปิง ...”

                    /.../

                    ผมหลับตา ขบริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ก่อนจะเอ่ยค่ำนี้ออกมา “ผมชอบพี่”

                    /.../

                    “แค่เราอยู่กันคนละประเทศมันก็ห่างไกลกันมากแล้ว พี่อย่าปฏิเสธหรือผลักไสผมไปไหนเลยได้ไหมครับ”

                    พี่ปิงเงียบไปสักครู่ ก่อนจะตอบกลับมา /... ให้เวลาทำงานของมันก็แล้วกัน/

                    “พี่หมายความว่ายังไงฮะ?” เวลาจะทำอะไรงั้นเหรอ?

                    /นอนได้แล้วนะ/

                    “แต่ผม ...” ผมไม่อยากวางสาย อยากฟังเสียงของพี่ปิง อยากรู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ๆ

                    /ถ้าไม่อยากเป็นเด็ก ก็ต้องหัดคิดอย่างผู้ใหญ่ได้แล้ว/

                    “... ครับ” ถ้าผมเป็นผู้ใหญ่ พี่ปิงคงไม่ปฏิเสธผม

                    /ฝันดีนะ/

                    “ฝันดีครับ”

 

                    วินาทีที่เครื่องบินยกตัวขึ้นสู่อากาศ ผมมองแผ่นดินอเมริกาผ่านหน้าต่าง ... สักวันผมจะกลับมา
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 02-08-2016 22:31:36
 
อยากรู้ว่าพีทกดไมค์หรือไมค์กดพีท :hao6: :katai4:

 :z1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: MissDaisy112 ที่ 02-08-2016 22:32:32
ไม่ต้องเสียใจลูก หนทางยังอีกยาวไกลน้องพีท

 :mew2:
หัวข้อ: Re: The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 11-08-2016 07:11:49
สงสารไมค์กี้  :katai4: :katai4:
รอตอนต่อไปค่ะ :katai5: