พิมพ์หน้านี้ - ♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: 23August ที่ 18-04-2016 23:16:02

หัวข้อ: ♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 18-04-2016 23:16:02
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚

23August's World

- เรื่องยาว -
"ที่หนึ่ง" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48590.0) • ♚ PITCH BLACK ♛ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53263.0) • | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57367.0) •  × ไม่มีความจริงในความจริง × (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66291.0)
Now Loading
มิอาจก้าวล่วง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67260.0)

- เรื่องสั้น -
FREEZE | FLY (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50166.0) • With Love, ด้วยรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55144.0) • ﹉ RESTART ﹍ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61080.0) • สมุดกระจก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64163.0) • ROOM (ex) MATE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66976.0) • E I L V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69445.0)


♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚♛♚

Pitch Black (Adj) ; Completely dark
"It's always darkest before it turns absolutely PITCH BLACK"
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 21-04-2016 23:11:37
มาติดตามค่ะ :mc4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 21-04-2016 23:30:29
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-04-2016 03:38:10
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛
เริ่มหัวข้อโดย: cassavakate ที่ 22-04-2016 09:41:45
ปูเสื่อรอเลยคร้าาาาา o13
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛
เริ่มหัวข้อโดย: GMJeam ที่ 26-04-2016 21:28:45
มารอราชา
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ INTRO [29.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 29-04-2016 22:33:01
♚ PITCH BLACK ♛


INTRO


   เคยได้ยินตำนานของด้ายแดงไหม?

   ด้ายสีแดงที่ผูกปลายข้างหนึ่งไว้กับนิ้วก้อยของตนเอง ส่วนอีกด้านนั้นอยู่กับใครอีกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเนื้อคู่

   "...ที่จริงควรใช้คำว่าคู่แท้มากกว่านะครับ อย่างภาษาอังกฤษคือโซลเมทไง เนื้อคู่มันค่อนข้างจะผิดความหมายไปหน่อย"

   SOUL - MATE

   คือบุคคลที่ร่วม 'วิญญาณ' กัน

   "ถึงเป็นคู่แท้ก็ไม่จำเป็นต้องเจอกันในชาติปัจจุบัน ช่วงเวลาของเราสองคนอาจไม่ตรงกันก็ได้ แต่ถ้าได้เจอกันแล้ว...จะไม่มีวันจากกันไป"

   "แล้วทำไมต้องเป็นด้ายสีแดง?"

   คิ้วเขาขมวดเข้ามาชิดกันยามเห็นว่าปลายนิ้วก้อยของตนเองที่อยู่บนหน้าตักของอีกฝ่ายกำลังถูกพันธนาการด้วยเศษด้ายสีแดงจัดที่เสกมาจากไหนก็ไม่รู้

   "อยากลองทายไหมล่ะครับราชา"

   "...เพราะมันคือสีของเลือดล่ะมั้ง" เขาจงใจจิกกัดอีกฝ่ายด้วยเรื่องที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมด

   "จะบอกว่าเส้นเลือดของเรามันเชื่อมต่อกันหรือไงครับ"

   "ไม่อย่างนั้นอยากให้เป็นสีไหนล่ะ?"

   "สีดำ" ชายหนุ่มผมยาวหยักเป็นลอนสวยตอบกลับมาแทบจะในทันที ไม่มีการเว้นช่วงไว้สำหรับการไตร่ตรอง

   "ไม่เบื่อ?"

   เกลียดการแย้มยิ้มอย่างนั้น เกลียดเสียงที่ทั้งล้อเลียนแล้วก็หยันเหยียดในเวลาเดียวกัน "มีสีอื่นที่เหมาะกับเราสองคนมากกว่านี้อีกเหรอครับ?"

   "ถ้าผมตอบว่ามีล่ะ"

   "ก็บอกมาสิครับว่าสีอะไร"

   "..."

   ผู้มีศักดิ์เป็น 'ราชา' ไม่อาจตอบกลับในเสี้ยววินาทีได้อย่างที่คู่สนทนาทำ ก่นด่าตัวเองที่รีบสวนกลับไปโดยลืมคิดหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะพยายามค้นความรู้เรื่องสีมากแค่ไหนก็ไม่อาจเลือกที่เหมาะสมได้เท่าสีที่ถูกเสนอมาก่อนหน้านี้

   "เห็นไหมล่ะ ผมเคยพูดอะไรผิดเสียที่ไหน" อีกฝ่ายหัวเราะในลำคออย่างที่ชอบทำหลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบ ด้ายสีแดงที่ล้อมรอบนิ้วก้อยของเขาเอาไว้ถูกกระตุกออกไปอย่างง่ายดาย น่าแปลกที่ตอนมัดเอาไว้มันไม่ได้ดูแน่นหนาอะไร ทำไมรอยกดลึกจากแรงรัดถึงได้ชัดเจน

   "ทำไมต้องเป็นนิ้วก้อย?" คิ้วขมวดมากเข้าไปอีกด้วยความสงสัยยามยกสันนิ้วขึ้นมาพินิจรอยกด "ทั้งที่เราใส่แหวนแต่งงานตรงนิ้วนาง"

   "จะไว้ตรงไหนก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ"

   เพราะด้ายที่แท้จริง 'พัน' ไว้ตรงหัวใจ

   "งั้นต่อให้วันหนึ่งไม่มีร่างแล้วด้ายนี้ก็จะคอยตามเราไปตลอดอย่างนั้นเหรอ"

   เกลียวเชือกที่ 'ผูก' วิญญาณของคนสองคนไว้ด้วยกัน

   "ใช่ครับ"

   คำนั้นหนักแน่น นัยน์ตาสีดำแปลกเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นยามสบสายตากลับมา

   "เราจะได้เจอกันอีกครั้งในโลกของวิญญาณ!"

   โลกที่หัวใจจะได้อยู่ด้วยกันนิรันดร์


***
   สวัสดีครั้งแรกสำหรับเรื่องใหม่ค่ะ (ยิ้ม)
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ INTRO [29.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 30-04-2016 02:15:41
มาติดตามด้วยครับบ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ INTRO [29.04.16]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-04-2016 11:14:48
รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.1 [04.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 04-05-2016 21:33:58
CH.1

   "สรุปว่าจะจบสามปีครึ่งป่ะมึง?"

   "ไม่ ขี้เกียจรีบออกไปหางานทำ"

   "เออ เหมือนกูเลย แต่ที่บ้านเหมือนอยากให้กูจบไวๆ ...เครียดฉิบหายเลยเนี่ย"

   "แล้วมึงอะแบล็ค?"

   เจ้าของชื่อที่แปลว่าสีดำหันกลับมาหาคนเรียก อัดสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปล่อยให้ก้นแท่งนิโคตินร่วงหล่นไปยังพื้นหินตัวหนอน ขยี้มันซ้ำด้วยรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังจนแน่ใจว่ามันจะไม่กลายเป็นเชื้อไฟได้อีกจึงตอบคำถามของเพื่อน

   "กูคงจบสี่" เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ดูแล้วไม่มีพิษมีภัย "รีบจบไปก็ไม่ได้ทำอะไร ต้องรอน้องจบก่อนอยู่ดี"

   "ไอ้พี่ประเสริฐ"

   รู้ทั่วกันว่า 'ทิวากาล' เป็นจำพวกพี่แสนดีคอยดูแลน้องอย่างที่ควรได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ทั้งฝาแฝดที่แทบไม่เคยเห็นอยู่ด้วยกันอย่าง 'รัตติกาล' รวมถึงอีกคนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรียกว่าน้องอย่าง 'โรมัน'

   คนโดนแขวะยักไหล่ขึ้น "หน้าที่กูอยู่แล้ว"

   "เออ จบสี่ก็ดี กูจะได้มีเพื่อนเรียนเทอมสอง"

   "นึกว่ามึงจะจบห้า"

   "ไอ้สัตว์! อย่าแช่งสิไอ้เหี้ย!!"

   "อ๋อ อยากจบหกสินะ ไม่เป็นไรนะมึง คณะเราเรียนได้เจ็ดปี" นึกสนุกเลยชงต่ออีกหน่อย เห็นอีกฝ่ายทำหน้าปุเลี่ยนแล้วยิ่งอยากแกล้ง

   "หมอดูบอกว่ากูจะจบสี่ปีว้อยยย"

   อาชีพนักทำนายที่ออกจากปากของเพื่อนเรียกรอยขุ่นบนใบหน้าผู้ชายสีดำ

   พวกหลอกลวง

   "เรียนกฎหมายแต่เสือกเชื่อศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้" ตัวเขาเองกับเพื่อนทั้งสองเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านชานเมือง ขึ้นชั้นปีสี่ปีสุดท้ายแล้ว

   "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ไอ้สัตว์ แม่งทายโคตรแม่นอะแต่ละเรื่อง"

   "เล่นปาหี่ เดามั่วไปเรื่อย"

   "คนนี้ของจริง มึงอย่าคิดถึงครั้งหน้าตึกดิ"

   ช่วงก่อนหน้านี้เพื่อนของเขาเกิดคึกอะไรก็ไม่รู้ ลากไปหาหมอดูไพ่ทำนายที่มาเปิดบูธชั่วคราวอยู่ตอนสัปดาห์ห้องสมุด บอกว่าจะลองทดสอบศาสตร์พวกนี้หน่อยว่ามีความแม่นยำจริงไหม พอหมอทำนายพูดอะไรมาเพื่อนเขาก็เอาแต่พูดว่าครับๆ แบบที่ไม่ได้ตั้งใจฟังเลย ทำเป็นตกตะลึงกับเรื่องที่ถูกทำนายทายทักทั้งที่มันไม่ได้เข้ากับบุคลิกที่แท้จริงเลย มาบอกว่าเป็นพวกอารมณ์ร้อนชอบใช้กำลัง เพื่อนเขาน่ะงานอดิเรกคือนั่งดูซีรีย์ทุกประเทศ จะเอาเวลาไหนไปตบตีกับคนอื่น คือเข้าไปหลอกหมอดูแล้วเอามาเล่าเป็นเรื่องขำขันกันนั่นแหละ

   "จะครั้งไหนแม่งก็แค่การพูดกว้างๆ ให้มึงเอาไปเชื่อมโยงเองก็แค่นั้นแหละ"

   เคยลองไปอ่านทำนายนิสัยจากราศีเกิด เขานี่อยากจะค้านทุกบรรทัด ทิวากาลมีฝาแฝดชื่อรัตติกาลหรือว่าไวท์ ความตรงกันข้ามของชื่อส่งผลต่อมาถึงลักษณะนิสัยต่างกันจนสุดขั้วของทั้งคู่ ชนิดที่ว่าตำรานั้นจะมีคนเชื่อถือมากแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางหลงกล ก็ถ้าบอกว่าแม่นจริงทำไมคนที่เกิดห่างกันแค่สองนาทีอย่างเขากับแฝดถึงไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยล่ะ

   "นี่มึงจะเกลียดการดูดวงอะไรขนาดนั้นวะ"

   "กูไม่ได้เกลียด แค่บอกว่าไม่เชื่อ" สีดำแย้งสิ่งที่เพื่อนกำลังใส่ความอยู่ "กูไม่เชื่อว่าคนบนโลกจะมีลักษณะนิสัยแค่สิบสองแบบตามตารางจักรราศี"

   "พวกนี้เขาดูขำๆ ถ้าบอกว่าดีมึงก็เชื่อ ถ้าไม่ดีมึงก็ปล่อยแม่งไป จะยากอะไรวะ"

   "ไม่สนตั้งแต่ต้นก็ไม่มีอะไรรกสมอง"

   "มึงนี่มันประหลาดคน"

   คนโดนว่าเป็นพวกประหลาดผายมือออกอย่างไม่แยแส "ชีวิตกูไม่ได้มีสีสันขนาดนั้นอยู่แล้ว"

   ชีวิตที่ถูกกำหนดมาให้ต้องเป็นผู้ปกครองคอยดูแลทุกอย่าง เป็น 'ราชา' ที่ต้องสอดส่องดูแลราษฎรในความดูแลของตนตลอดเวลา เป็นพี่ชายที่ต้องรู้เรื่องของน้องแต่ละคนให้ครบถ้วนกระบวนความ แล้วแต่ละคนนี่ก็ช่างสรรหาเรื่องมาให้เขาปวดหัวอยู่เนืองๆ

   "ไม่ดิ เอาภาพรวมดิว้า ปีหนึ่งแม่งให้เป็นเดือนมึงก็ไม่เป็น พอให้ไปช่วยทำนู่นนี่ก็ไม่เคยไป เอาจริงนะกูเสียดายหน้ามึงอะ"

   ตาคม จมูกโด่ง ริมฝีปากสวย ทุกอย่างรับเข้ากันอยู่บนใบหน้าที่มักจะแย้มยิ้มบางอยู่ตลอดเวลา ทิวากาลได้โครงหน้ามาจากแม่...ตามที่เขาว่ากันนะ เพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นหน้า 'แม่' ของตัวเองเลยสักครั้งเดียว รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแล้วเป็นผู้ชายร่าเริงเลยทำให้เป็นที่รักของใครหลายๆ คนไม่ว่าจะในหรือนอกคณะ ด้วยคำนิยามว่า เฟรนด์ลี่แต่ก็เข้าถึงยาก

   ตัวเองก็คิดว่านั่นเป็นนิยามที่ตรงดี ในคณะที่มีคนอยู่เกือบห้าร้อยคนคงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักกันหมด แต่เขาเป็นที่สนใจของใครหลายคนตั้งแต่เข้ามาใหม่ๆ เหมือนกัน แล้วก็จะใช้ความเงียบที่เลียนแบบมาจากน้องสาวในการกีดกันคนเหล่านั้นให้ออกไปจากวงโคจรชีวิต

   หากทิวากาลไม่อยากจะให้ใครอยู่ เขาก็พร้อมบอกมันออกไปผ่านช่องทางต่างๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่สีดำคนนี้จะเริ่มต้นก่อน รวมถึงไม่เคยสานสัมพันธ์กับใครที่หว่านลงมา เลยเป็นที่มาของคำว่าเข้าถึงยาก คือดูแล้วเป็นพวกที่น่าจะมีเพื่อนอยู่เต็มไปหมด ถึงอย่างนั้นหากถามว่ารู้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวมากแค่ไหนก็ตอบได้แค่ผิวเผิน ทุกคนรู้จักเท่าที่แค่แบล็คอยากให้รู้

   "โตแล้วไอ้สัตว์ ทำไมต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำด้วย"

   "แล้วมึงอยากทำอะไรวะ กูไม่เห็นว่ามึงมีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษสักอย่าง"

   คนเป็นเพื่อนไม่เคยเห็นว่าแบล็คจะมีทีท่าสนใจในกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งควรจะเรียกได้ว่าเขาดูเหนื่อยหน่ายกับทุกอย่างรอบตัวจนเหมือนคนซึ่งละแล้วทุกอย่างทางโลก คำที่ติดปากก็คือ 'กูไปหาน้องก่อนนะ' 'กูต้องอยู่กับน้อง' จนแค่เปิดปากออกมาเพื่อนก็ดักทางได้เกือบหมดว่าจะตอบว่าอย่างไร

   "ก็ไม่มีไง"

   "ห่า..." เพื่อนคนที่หนึ่งสบถออกมา

   "ไม่ๆ ที่กูคิดนะ มึงไม่มีส่วนรับรู้ความรู้สึกต่างหาก"

   พยักหน้าเห็นด้วยให้เพื่อนคนที่สอง อาจเป็นอย่างนั้นก็ได้ เขาไม่ใช่แค่ไม่สนใจเรื่องสังคมรอบข้างแต่มันลามไปถึงการที่เขาไม่ชอบสนใจภาพรวมในสังคม อาจต้องมีการอัพเดตเรื่องราวด้านกฎหมายเสียบ้างเพราะว่าเป็นวิชาเรียนโดยตรง แต่กับเรื่องราวอย่างอื่นจำนวนล้านแปดมันไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาแม้แต่เล็กน้อย ทิวากาลเลือกสนใจและจำเฉพาะสิ่งที่คิดว่าจำเป็นต่อการมีชีวิตเท่านั้น อะไรที่เขาเห็นว่าไร้สาระก็ปล่อยมันทิ้งไป

   "งั้นกูไปก่อนนะ" กระชับกระเป๋าให้อยู่บนบ่าแบบเดิม วันนี้ไม่มีคาบเรียนอะไรต่อ มืออีกข้างควานหากุญแจรถในกระเป๋ากางเกงออกมา "มีนัดตีเทนนิสต่อ"

   บอกลากันง่ายๆ โดยไม่ลืมเตือนเพื่อนว่าพรุ่งนี้มีนัดเรียนชดเชยตอนแปดโมงเช้า เทนนิสเป็นกิจกรรมหนึ่งเดียวที่เขาเหมือนจะให้ความสนใจ หนึ่งชนิดกีฬาที่เคยฮิตขนาดที่ว่าต้องใช้เวลาคัดในรอบคัดเลือกเกือบครบรอบวัน แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นชนิดกีฬาที่นับคนได้เล่น

   ก็ไม่ได้เล่นเพราะติดใจอะไร แค่เป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้จำนวนคนมากมายในการวมทีม เล่นคนเดียวก็ไปน็อคบอร์ด ไม่อย่างนั้นหาเพิ่มอีกแค่คนเดียวก็สามารถเล่นได้แล้ว สะดวกสบายไม่ต้องไปคิดถึงใครดี

   มีช่วงหนึ่งตอนมัธยมที่เขาลองเปลี่ยนไปเล่นบาสเก็ตบอลตามคำชวนกึ่งร้องขอจากเพื่อนในห้องที่เป็นกัปตัน ถามว่าสนุกไหมมันก็สนุกดี เขาเป็นพวกมีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวสูงอยู่แล้ว อาจต้องใช้เวลานิดหน่อยในการศึกษาพวกฟอร์มการเล่นหรือเทคนิคในการชู้ต แต่พอเริ่มจับทางได้มันก็ไม่ได้ยากอะไร ติดอยู่ตรงถ้าจะเล่นให้สนุกอย่างน้อยก็ต้องมีคนจำนวนหนึ่งเข้ามาเป็นทีมในการเล่น ครบแล้วก็ใช่ว่าจะเข้าขากันได้อีก

   แล้วเขาก็ไม่ชอบบรรยากาศของฟิตเนสที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไร้การถ่ายเทของอากาศ เขาเลยเดินเข้าไปเหยียบส่วนอำนวยความสะดวกของที่พักอาศัยแบบนับครั้งได้

   "สวัสดีครับลุง"

   เดินไปทักทายคนดูแลสนามพร้อมส่งบัตรนักศึกษาไปให้เพื่อจองสนาม ตอนนี้เวลาบนนาฬิกาที่ติดไว้ในห้องผู้ดูแลคือสี่โมงสี่สิบ ที่จริงเพื่อนต่างคณะที่นัดเขามาในวันนี้บอกว่าจะมาประมาณห้าโมงครึ่ง ซึ่งหมายความว่าจะได้สนามรอบหกโมง แบล็คไม่ใช่พวกโรคจิตที่ชอบมาก่อนเวลามากๆ ก็แค่ไม่มีอะไรทำเลยยอมมาก่อนเท่านั้นเอง

   "ยังร้อนอยู่เลยนะหนุ่ม เข้ามานั่งก่อนไหม"

   ลุงวัยใกล้เกษียณที่เห็นชายหนุ่มคนนี้แวะเวียนมาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กน้อยเฟรชชี่แนะด้วยความกังวล อากาศเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ขนาดเกือบจะห้าโมงแล้วก็ยังมีแดดแรงจนน่ากลัว "เมื่อวานมีคนเป็นลมด้วย ลุงนี่ตกใจแทบแย่"

   มองไปทางสนามที่ยังคงมีแดดจ้าตามที่ลุงบอกแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ขอตัวไปซื้อน้ำดื่มจากร้านที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลแล้วถึงกลับมานั่งเป็นเพื่อนลุง

   "นี่ปีสี่แล้วใช่ไหม?"

   คนโดนถามพยักหน้ากลับไป "ครับ"

   "เรียนต่อหรือว่าทำงานล่ะ"

   แอบคิดนิดหน่อยว่าลุงไปนัดคำถามกับเพื่อนของเขามาหรืออย่างไร หรือว่ามันกลายเป็นคำที่ใช้แทนคำทักทายไปแล้วสำหรับเด็กชั้นปีที่สี่ในมหาวิทยาลัยอย่างเขา บางคนก็มีไปติวภาษากันเตรียมไว้ บางคนก็มองหาที่เรียนต่อ ส่วนอย่างเขาคงเป็นจำพวกที่สาม ที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะไปต่อทางไหนดี

   "ยังไม่ชัวร์ครับ ขอเก็บชีวิตอิสระอย่างนี้ให้เต็มที่ก่อน" ไม่ได้คิดอย่างที่พูดออกไปหรอก แบล็คก็แค่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเท่านั้นเอง เขาอาจไม่ใช่คนที่ดูเข้าถึงยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเล่ารายละเอียดของตัวเองให้คนอื่นฟังไปทั่ว มีวิธีมากมายที่จะเบี่ยงประเด็นให้คนอื่นเลิกถามในสิ่งที่เขาไม่คิดจะบอก

   "ลุงคะ ชมรมขอใช้สนามห้าตอนห้าโมงถึงสองทุ่มนะ ...อ้าว สวัสดีแบล็ค"

   คุยเรื่องสัพเพเหระไปได้สักพักหน้าต่างบานที่ใช้สำหรับการติดต่อจองสนามก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวผมยาวในชุดนักกีฬาสีเข้ม สะพายโคฟเวอร์เทนนิสขนาดใหญ่ไว้ข้างหลัง

   "สวัสดี" ทักทายกลับไปตามมารยาท เขาจำชื่อของอีกฝ่ายไม่ได้เลยเลี่ยงที่จะพูดถึงชื่อไปเสีย คุ้นหน้าเพราะเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นประธานชมรมเทนนิสคนปัจจุบัน

   "มาเล่นกับใครเหรอ?"

   หญิงสาวถามขึ้นหลังจากเดินเข้ามาอยู่ในห้องบ้าง เธอวางอุปกรณ์กีฬาของตัวเองลงกับเก้าอี้ตัวหนึ่งริมห้อง แล้วจึงเดินมาตรงบริเวณที่มีอีกสองชีวิตนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว

   "นัท วิทยา"

   "อ๋อ ...ที่ได้ที่สองตอนนั้นป่ะ"

   "อืม"

   ชื่อของทิวากาลได้รับการประกาศว่าเป็นผู้ชนะในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวสมัยกีฬาเฟรชชี่ตอนปีหนึ่ง ส่วนนัทได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง แพ้เขาไปตอนไทร์เบรคสุดท้าย หลังจากนั้นเลยเล่นด้วยกันต่อมาเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีใครเล่นด้วยเลย

   "มีใครมาอีกไหม?"

   "ไม่"

   "งั้นไปเล่นด้วยคนนะ"

   วงการเทนนิสมันก็เล็กอย่างนี้นั่นแหละ หญิงสาวเองก็ถามไปอย่างนั้นเผื่อว่าจะได้หาช่องลงไปแจมด้วย วันนี้ไม่ใช่เวรเธอในการคุมน้องซ้อม แต่ต้องมาเพราะเอกสารการแข่งช่วงปิดเทอมยังไม่เรียบร้อยดี

   "คงต้องถามนัท" ผลักภาระให้เป็นของคนที่ยังไม่มาไปเสีย

   "ได้ๆ เดี๋ยวจะถามเรื่องกีฬามหาลัยด้วย ปีนี้ไม่มีตัวผู้ชายเลย"

   "ก็ลองดูสิ"

   "ไม่สนใจบ้างเหรอ?" วกกลับมาที่ตัวเขาเองได้อย่างไรก็ไม่รู้ "กีฬามหาลัยปีสุดท้ายไง"

   "ไม่ล่ะ"

   แอบคิดในใจว่าถามได้ทุกปีไม่เบื่อหรือไง โดนมาตั้งแต่ปีหนึ่งจะถึงปีสี่ปีสุดท้ายแล้วก็ยังไม่เลิกถามสักที ตามปกติแล้วถ้าเคยบอกครั้งหนึ่งก็ควรจำได้แล้วไม่ใช่หรือไง ไม่น่าจะความจำสั้นได้ขนาดนั้นเลยนะ

   บอกแล้วว่าเมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายทำท่าว่าจะล้ำเส้นเข้ามาอยู่ในเขตหวงห้าม ราชาก็พร้อมที่จะขยับออกไปให้ห่างเท่าเดิมในทันที แบล็คก้มหน้าดูจอโทรศัพท์ของตัวเอง ทำทีเป็นสนใจสิ่งที่อยู่ในนั้นมากกว่าสาวสวยที่นั่งอยู่ถัดไป เขามองตัวเลขบอกเวลาบนของจอว่าเขานั่งก้มหน้าอย่างนี้มาเกือบสิบห้านาทีแล้ว หญิงสาวรายเดิมก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน ไม่ไปงั้นเขาไปเองก็ได้

   "ลุงครับ ที่จองสนามยกเลิกนะ มันเทผม”

   โมเมโชว์หน้าจอไลน์ขึ้นมาเพื่อประกอบกับคำบอก คนดูแลสนามพยักหน้าหงึกหงักรับรู้พลางหันไปหยิบบัตรนักศึกษาคืนให้

   "อ้าว..."

   "ผมไปก่อนนะครับลุง สวัสดีครับ"

   ตัดบทไม่รอให้เจ้าหล่อนพูดจบ เขาหยิบกระเป๋าที่ใส่ทุกอย่างไว้เข้าในขึ้นสะพายข้างอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้หญิงสาวมองภาพชายหนุ่มเดินผ่านหน้าไปโดยไม่แม้แต่จะบอกลา

   ก็นี่แหละชีวิตของทิวากาล

   ชีวิตเรียบง่ายที่ไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก



   โทรศัพท์เครื่องใหญ่ที่ซื้อมาตั้งแต่ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยสั่นครืดอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง ชายหนุ่มวางน้ำดื่มในมือตัวเองลงแล้วเดินตรงไปหาต้นเสียง หน้าจอสีสดใสแสดงภาพของเขากับผู้ชายตัวเล็กกว่าหลายช่วงกำลังกอดคอกันอยู่ตรงบริเวณจุดชมหอนาฬิกาบิ๊กเบนที่อังกฤษ เป็นรูปจากทริปเยี่ยมน้องชายคนที่สองเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว

   "ว่า"

   (อยู่ห้องแล้วใช่ไหม?) หันออกไปทางห้องที่อยู่เยื้องกันทางฝั่งตรงข้ามของตึก เห็นศีรษะเล็กๆ ผลุบลงไปอยู่ใต้กำแพงปูนสีขาวสะอาด ดูแล้วก็รู้เลยว่าอีกฝั่งของสัญญาณโทรศัพท์คงมารอก่อนแล้ว

   "ถ้าเห็นอยู่แล้วจะถามทำไมน้องโรม"

   (โฮย ตาดีชะมัด)

   "ไม่เนียนเอง"

   วันที่น่าเบื่อมีความสุขขึ้นมาได้นิดหน่อยหลังจากได้ยินเสียงงอแงของ 'โรมัน' น้องคนเล็กสุดในครอบครัวขนาดใหญ่ของเขา เมื่อก่อนโรมก็อาศัยอยู่ห้องข้างๆ นี่แหละ แต่หลังจากที่มี 'ที่หนึ่ง' เข้ามาน้องของเขาก็ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่อีกฟากฝั่งเสียอย่างนั้น

   (ไปกินข้าวเย็นกันนน) น้องเล็กสุดที่ไม่เคยชวนอะไรอย่างนี้ทำเอาคิ้วเขาเลิกขึ้นสูง

   "ที่หนึ่งไม่อยู่หรือไง?"

   ร้อยวันพันปีตั้งแต่เขายกน้องชายคนเล็กสุดให้อีกคนได้ดูแลไม่เคยไม่โทรมาด้วยโทนเสียงติดหงุดหงิดอย่างนี้ ตอนที่เขายังเป็นคนดูแลอยู่ก็เอาแต่ใจมากแล้วนะ พอเจอคนสปอยล์ทุกอย่างที่ขวางหน้าแล้วน้องชายที่น่ารักก็กลายเป็นแค่เคยน่ารักไปแล้ว

   บอกจนปากเปียกปากแฉะว่าอย่าตามใจมากก็ไม่เคยฟัง

   (อืม หนึ่งไปทำโปรเจค)

   "กูเป็นของตายสินะ"

   (มึงอย่าทำงี้ดิ ก็พอกูชวนมึงก็ติดนู่นติดนี่อะ)

   "แล้วไม่มีโปรเจคอะไรกับเขาบ้างหรือไง?"

   (ไม่อะ แค่เรียนปกติก็เบื่อจะแย่)

   พี่ชายหัวเราะให้กับคำบ่นของอีกฝ่าย โรมไม่ใช่คนหัวดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ต่างจากพี่น้องคนอื่นที่เรียนดีเสมอต้นเสมอปลาย

   "งั้นเดี๋ยวหกครึ่งเจอกันข้างล่าง"

   เจอหน้าเด็กน้อยตามเวลาที่นัดเอาไว้ ทะเลาะกันเรื่องจะไปกินที่ไหนจนสุดท้ายมาจบตรงร้านอาหารห่างจากหน้าคอนโดไม่ถึงสามร้อยเมตรดี แบล็คมองผู้ชายที่นั่งหน้าบูดอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเองแล้วรู้สึกรำคาญขึ้นมาเสียอย่างนั้น บอกให้มากินข้าวด้วย บังคับให้เขาเลี้ยงแล้วก็นั่งหน้าบึ้งอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์

   "จะมางอแงไม่ได้นะน้องโรม จริงๆ คือมันไม่จำเป็นต้องมายอมมึงทุกอย่างขนาดนี้"

   น้องบอกเมื่อกี้ว่าที่หนึ่งอาจไม่กลับเพราะแก้งานไม่เสร็จ

   "ก็หนึ่งบอกว่าจะกลับอะ"

   "มันก็ต้องมีอะไรที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายบ้างป่ะวะ อย่างกูต้องมานั่งกินข้าวกับมึงตอนนี้ไง"

   "บาย งั้นกูไปล่ะ"

   "โรมัน"

   เป็นพี่มาตั้งกี่ปีจะไม่รู้ได้ยังไงว่าวิธีไหนที่จะคุมเด็กน้อยให้อยู่หมัด โรมมองค้อนกลับมาหลังจากที่โดนเรียกด้วยชื่อจริง ซึ่งเป็นการเตือนว่าเขาไม่ควรจะใช้อารมณ์กับพี่ชายอย่างเด็ดขาด

   "ก็ไม่ชอบ"

   มันอาจเป็นความผิดของทิวากาลเองที่ปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงน้องมากเกินไป โรมันเป็นผลผลิตของการผสมผสานที่หลากหลาย ทั้งจากตัวเขาเอง จากแฝดของเขา จากน้องชายต่างสายเลือด รวมถึงจากเพื่อนอีกสองคนที่คอยมาดูแลจนเหมือนน้องมากกว่าเพื่อน

   อย่างเรื่องนี้เองโรมอาจไม่รู้ตัวก็ได้ ว่ามันเป็นนิสัยขี้หวงที่ติดมาจาก 'เน็ท' เพื่อนในกลุ่ม รายนั้นน่ะชอบคิดเองเออเองว่าทุกอย่างต้องเป็นของเขาแล้วห้ามไม่ให้ใครเข้ามาใช้ร่วมกัน ถ้าหวงสิ่งของเขาเองก็ไม่ว่าอะไรหรอก นี่มาหวงกับมนุษย์ที่ชื่อที่หนึ่งไง ผู้ชายชื่อแปลกที่เป็นที่หนึ่งในทุกเรื่องสมชื่อ

   อ้อ เกือบไม่ได้เป็นที่หนึ่งอยู่เรื่องหนึ่ง

   "ถ้ามึงจะอยู่กับมัน มึงก็ต้องรู้จักปรับตัวบ้าง"

   "ก็รู้" เด็กน้อยหน้าหงอยไปหลายช่วงตัว "แต่ก็...”

   "ไอ้เด็กขี้เหงา"

   กลุ่มที่ไม่เคยปล่อยให้น้องอยู่คนเดียว โรมถูกดึงให้เข้ามาอยู่ในวังวนครอบครัวแสนซับซ้อนของบ้านจนกลายเป็นว่าไม่มีใครยอมให้น้องอยู่ห่างสายตาอีก พอถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นในการดูแลก็เลยยังไม่สามารถทำได้จริงสักที

   "แล้วมึงไม่เหงาเหรอ?"

   "หืม?"

   "กูเคยคุยกับนิชเรื่องนี้" หยุดพูดไปแป๊บหนึ่งเพราะว่าอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี "ก็ถ้าคิดดูแล้วตอนนี้มีแต่มึงที่ไม่มีใครนี่"

   มันก็จริงอย่างที่น้องพูด จากที่เป็นกลุ่มโสดสนิทก็เริ่มมีใครอีกคนเข้ามาเป็นส่วนเติมเต็ม

   "กูมีครึ่งชีวิตแล้วไง"

   หมายถึงฝาแฝดของตน ทิวากาลไม่เคยคิดว่าชีวิตของตัวเองสมบูรณ์มาตั้งแต่จำความได้ สัญลักษณ์หยินหยางไม่อาจเกิดขึ้นได้หากขาดสีใดสีหนึ่งไป เหมือนกับธรรมชาติที่ต้องมีกลางวันควบคู่ไปกับกลางคืน

   จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้

   "หึ ทุกวันนี้แทบจะยกให้คนอื่นอยู่แล้วยังจะมาพูดอีก" สงสัยเขาไม่ได้อยู่ใกล้คอยห้ามปรามว่าอะไรที่ควรพูดไม่ควรพูด โรมเลยเผลอหลุดปากออกมาถึงอีกคนหนึ่งที่เขาไม่อยากได้ยินชื่อเท่าไหร่นัก

   "ใครจะไปรู้"

   ถึงจะเป็นครึ่งชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าแม้แต่ 'ฝาแฝด' ที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่แรกเริ่มนั้นต้องแยกออกไปมีชีวิตของตัวเอง ฉะนั้นจนกว่าอีกครึ่งหนึ่งจะเจอใครที่จะกลายเป็นครึ่งชีวิตแทน 'หน้าที่' ของแบล็คคือต้องดูแลเหล่าน้องทั้งหลายให้ดีที่สุดตามที่พ่อเคยสอนไว้

   เป็นพี่ต้องดูแลน้อง

   แล้วถ้าเป็นพี่...ใครจะมาดูแล?

   โดยเฉพาะเป็นพี่คนโตสุดที่มีน้องต่างสไตล์กันถึงสามคน จะบอกว่าเป็นตัวปวดหัวก็ไม่รู้จะเรียกได้หรือเปล่า แต่ถ้าบอกว่าทำให้พลังชีวิตลดน้อยถอยลงนี่คงต้องบอกว่าหมดไปนานแล้ว

   "งั้นถามเล่นๆ สมมุติว่าไวท์ยอม แล้วมึงจะทำไงต่อ?"

   "นั่นสิ กูจะทำอะไรต่อไปดีล่ะ"

   น้องทำหน้ายุ่งไปพักใหญ่ถึงตอบ "คิดไม่ออก"

   "กูก็ว่าอย่างนั้น"

   ทิวากาลกลัวความรัก

   ไม่ใช่ว่าเคยมีถึงกลัว แต่เพราะไม่เคยมีต่างหากเลยกลัว

   ถ้าลองมาเป็นราชาที่เห็นทุกอย่างดูก็จะรู้ว่ามันไม่เห็นน่าสนุกหรือมีความสุขตรงไหนเลย คนรอบข้างเขาแต่ละคนเมื่อมีรักแล้วไม่เคยเห็นว่าจะสุขได้สุดสักคน ...ตั้งแต่พ่อจนถึงคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในตอนนี้

   อีกอย่างถ้ามีใครบอกว่ารักมีเพื่อเติมเต็ม เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไปตรงไหน มีครอบครัว มีพี่น้อง มีเพื่อน แค่นั้นมันก็เต็มเวลาที่เขาจะให้แล้ว คิดไม่ออกหรอกว่าจะจัดสรรเวลายังไงให้อีกคนเข้ามา

   "แล้วจะเป็นตาแก่นั่งโยกชิงช้าอยู่คนเดียวตอนแก่หรือไง"

   "กูบอกแล้วเหรอว่าจะอยู่จนแก่อะ สักสามสิบกว่าก็ว่าจะตายแล้ว"

   "มึงเป็นนอสตราดามุสหรือไง"

   "อย่างน้อยก็มะเร็งปอดอะ คิดว่าน่าจะชัวร์"

   บางคนสูบเอาเท่ บางคนสูบคลายเครียด เขาเองสูบให้กลายเป็นงานอดิเรกเพื่อระลึกถึงอีกคนเสมอ คนที่เขาไว้อาลัยให้เสมอมา

   "บอกตั้งกี่รอบแล้วว่าให้เลิกสูบ"

   "ไว้กูเบื่อเมื่อไหร่แล้วจะเลิกเอง"

   ก้มหน้าลงไปเขี่ยผักตกแต่งออกจากจานแล้วถึงเริ่มทานต่อ เมินเสียงคำถามของน้องชายไปเสียอย่างนั้น "อยากเป็นเหมือนในรูปหน้าซองหรือไง"

   "แล้วกูสูบของไทยที่ไหนล่ะ"

   ล้วงหาของจำเป็นที่ต้องติดตัวตลอด ซองบุหรี่นอกที่มีลวดลายเป็นสีฟ้าแซมด้วยประกายขาวคล้ายดวงดาวแตกต่างจากศิลปะการขู่ที่ไร้ประโยชน์ของรัฐบาลไทยถูกโยนส่งๆ ไปทางโรม คนที่กำลังอยู่ในสภาวะงอแงเต็มขั้นทำหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก น้องเอานิ้วดีดมันกลับมาให้อยู่ตรงหน้าเขาแบบเดิม แสดงความรังเกียจแบบชัดเจน

   "มึงแม่ง..."

   "กูทำไม?"

   อยู่กันมานานจนรู้ทุกอย่างหมดแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับโรมที่แบล็คไม่รู้ อย่างที่น้องเอาแต่อึกอักจะพูดแล้วไม่พูดออกมานี่ก็กำลังบอกว่าในใจน้องกำลังด่าเขาอยู่ ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เพราะกลัวว่าจะโดนเขาสวนกลับแบบไม่มีทางสู้

   คนเรียนบัญชีจะสู้วิธีการใช้เหตุผลจากเด็กนิติได้ที่ไหน

   "โอ๊ยยย กินไปเลย ไม่คุยด้วยแล้ว"

   พอโดนจี้เข้ามากๆ ก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสียอย่างนั้น

   "งั้นไม่อยากรู้เหรอว่าที่หนึ่งส่งอะไรมาหากู" เอาจุดอ่อนของโรมันออกมาเล่น เห็นน้องทำตาลุกวาวแล้วก็ขำคนเดียวในใจ เด็กน้อยที่ไม่เคยตามพี่ชายทันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอ้าปากเหมือนจะถามอะไรออกมา แต่สักพักก็ทิ้งตัวกลับไปอยู่กับพนักพิงเสียงดัง

   "...มึงอย่ามาหลอกกู"

   "หลอกอะไร?" น่าเสียดายที่คราวนี้โดนรู้ทัน คงต้องไปคิดมุกใหม่มาเสียแล้ว

   "มึงแม่งนิสัยไม่ดีอะแบล็ค เลิกแกล้งพวกกูสองคนได้แล้ว"

   "แกล้งอะไร กูเคยทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?"

   "แม่ง..."

   โรมได้แต่บ่นอุบอิบ จะบอกว่าพี่ชายเขาไม่เคยแกล้งได้ยังไง กว่าจะมาเป็นเขากับที่หนึ่งได้อย่างทุกวันนี้เจอราชาเล่นงานเสียสะบักสะบอม ตอนนั้นเคยเอาเรื่องของแบล็คมาแชร์กันก็ได้แต่อ้าปากค้างทั้งคู่ เรื่องราวที่คิดว่าเป็นคนเรียบเรียงเองมาตลอดท้ายที่สุดแล้วก็โดนวางโครงเรื่องมาตั้งนานแล้ว

   เรียกได้ว่าตั้งแต่แรกเริ่มเลยก็ยังได้!

   "ไม่มีกูนะ มึงก็ยังเป็นน้องเอ๋อให้มันแอบมองอยู่ทุกวันนั่นแหละ"

   "เฮอะ"

   "หรือไม่จริง?"

   ได้ทีต้องรีบขี่แพะไล่ เห็นน้องทำหน้าคับแค้นใจแต่ทำอะไรไม่ได้แล้วก็ยิ่งสนุก ได้มาทำอะไรอย่างนี้ก็คลายเครียดจากเรื่องแย่ๆ ที่เจอมาตั้งแต่เช้าได้เยอะเหมือนกัน เรื่องของน้องชายเขากับคนรักเป็นอะไรที่สนุกอยู่พอสมควร สภาพแวดล้อมตั้งแต่ยังเยาว์วัยหล่อหลอมให้ราชาเป็นคนช่างสังเกตอยู่ตลอด แล้วอาการที่เรียกได้ว่า 'ออกนอกหน้า' ของผู้ชายที่ดูเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างก็ไม่ได้อ่านยากเลยสักนิด

   เลยทำตัวเป็นผู้กำกับหนังในคราบของผู้ชมเสียหน่อย บันเทิงดีเหมือนกัน

   "เออๆ กราบขอบพระคุณครับท่านทิวากาล"

   "รู้ตัวก็ดี"

   ลำเลิกบุญคุณจนพอใจในจังหวะเดียวกับอาหารคำสุดท้ายหมดลง จึงรวบช้อนส้อมไว้ข้างจานให้เรียบร้อย เอื้อมมือไปหยิบกระดาษมาเช็ดปากให้สะอาด

   "หนึ่งเคยเล่าว่ามีเด็กมาถามว่ามึงเป็นเกย์เหรอ ทำไมไม่สนใจผู้หญิงคนไหนเลย ...หนึ่งเลยตอบไปว่า แบล็คไม่ได้ไม่สนใจผู้หญิงครับ มันไม่สนใจมนุษย์ต่างหาก"

   "กูชอบคำตอบนี้"

   ปรบมือให้พอมีเสียงแปะๆ ตบรางวัลให้ในใจกับคำตอบ

   เขาไม่เคยคิดเรื่องเพศ อย่างคนในกลุ่มเขาก็เป็นพวกชายรักชายไปแล้วสาม ส่วนน้องสาวของตัวเองก็...โอเค ไม่ค่อยอยากยอมรับมากเท่าไหร่แต่น้องสาวของเขาเองก็กำลังมีใครเข้ามาติดพันอยู่เหมือนกัน

   ต่างจากเขาที่เต็มจนไม่รู้ว่าจะตามหาสิ่งอื่นไปเพื่ออะไร

   "แล้วราชาที่ไม่สนใจมนุษย์นี่มีแผนจะทำอะไรต่อไปครับ?"

   "รอจนกว่า 'หน้าที่' จะจบ"

   ตำแหน่งที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง เขาไม่ได้อยากมาอยู่ตรงนี้ แต่หากได้รับหน้าที่แล้วมันก็ทำได้แค่ต้องดูแลให้ถึงที่สุด ไม่ว่าอยากจะหนีไปแค่ไหนก็ต้องอยู่ต่อ จนกว่าจะมีใครที่เข้ามาแทนที่ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่ได้อย่างถาวร

   จานอาหารตรงหน้าถูกเก็บไปแล้ว น้องน้อยเท้าแขนลงกับโต๊ะซบหน้าลงกับแขน ช้อนตาใสแจ๋วขึ้นมาหา

   "ไม่รู้สิ หน้าที่ของมึงอาจเป็นการ 'รอรัก' ใครสักคนก็ได้นะ"


***
   ยิ่งใกล้สอบยิ่งพิมพ์ได้เยอะขึ้นค่ะ (หัวเราะ)
   ภาพโดยรวมของเรื่องนี้ยังไม่ชัวร์ว่าจะออกไปทางไหนเหมือนกันค่ะ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามอารมณ์ของเจ้าตอนนั้น (ฮา) ยังไงก็ขอฝากพี่แบล็คไว้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.1 [04.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Ferin1A ที่ 04-05-2016 22:25:20
ทิวากาลนี่ใช้ชีวิตยุ่งยากดีแท้...
น้องโรมในมุมมองของแบล็คคือน่ารักอ่ะ น่ารักกว่าในเรื่องตัวเองอีก5555
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.1 [04.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-05-2016 13:34:38
 :pig4 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.1 [04.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 14-05-2016 14:51:44
ใครเป็นคนนั้นของแบล็ตน้าาาาาาาา ต้องสะบักสะบอมแหงๆ อวยพรให้โชคดี :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.1 [04.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: IrinAllDear ที่ 14-05-2016 14:58:59
 :katai2-1: รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.1 [04.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 14-05-2016 22:08:00
อุต้ะ คุณราชาเป็นเคะเหรอคะ อ๊ายยยยยย >/////<~
ใครจะเป็นรักแท้ของราชากันนะ งื้ออออ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.2 [19.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 19-05-2016 22:25:50
CH.2-1

   มีรุ่นพี่บอกว่าชีวิตการเป็นเด็กปีสี่ง่าย

   ทิวากาลไม่เห็นว่ามันจะง่ายตรงไหน

   ถึงจะต้องเรียนตัวบังคับเพียงไม่กี่หน่วยกิต แถมเขาเองก็เก็บวิชาเลือกจนครบแล้วทั้งหมด ไม่รู้ว่าฟ้าจงเกลียดจงชังอะไรนักหนาถึงได้ส่งปัญหามาให้เขาเจออยู่นั่น

   "แบล็ค ช่วยหน่อยเถอะ"

   อย่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ชายหนุ่มที่อยู่ในกลุ่มทำงานเดียวกันในรายวิชาบังคับหนึ่งกำลังยกมือขึ้นท่วมหัวเป็นการขอความช่วยเหลือในเรื่องที่เขาไม่ชอบสักนิด

   ...การถ่ายรูปเพื่อโปรโมตงานบายเนียร์รุ่น

   หนีการเป็นนายแบบมาตั้งแต่เหยียบเข้ามาอยู่ในรั้วมหาลัย จนอีกไม่กี่เดือนจะก้าวออกไปอยู่แล้วก็ยังตามมาหลอกหลอนอยู่อีก

   "ไม่"

   ทิวากาลที่ทุกคนรู้จักคือถ้าพูดคำว่า 'ไม่' ออกมาเมื่อไหร่ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีข้อแม้หรือว่าข้อยกเว้นใดๆ ที่จะเปิดช่องให้เป็นทางอื่นได้

   "นะ งานนี้สำคัญจริงๆ" เพื่อนชายที่โดนโยนตำแหน่งประธานรุ่นปีล่าสุดทำใจดีสู้เสือ ถึงจะได้รับเสียงลือเสียงเล่าอ้างมามากมายว่าการร้องขอความช่วยเหลือจากแบล็คเป็นอะไรที่ต้องใช้ความสามารถขั้นสูงสุดก็ตามที แต่มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ล้มเลิกกลับไปง่ายๆ ก็คงไม่ดีเท่าไหร่

   "ก็แค่ถ่ายรูปนิดหน่อย ไปเอาคนอื่นดีกว่า"

   กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่จะเอาคนป็อบปูล่าร์ในชั้นปีนั้นๆ มาเป็นคนช่วยโปรโมต จะเรียกว่าพึ่งพาอาศัยกันก็ว่าได้ น่าเสียดายที่แบล็คไม่เคยรับความช่วยเหลือจากใครเลยไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องเอื้อเฟื้อให้คนอื่น

   ราชาไม่เคยเป็นหนี้บุญคุณใคร

   “อันนี้เป็นผลโหวตจากคนในคณะ...” หัวเรือใหญ่ของรุ่นได้แต่อ้อมแอ้มตอบ ซึ่งก็ไม่ได้เกินความจริงเท่าไหร่ตรงที่เป็นความต้องการของคนในคณะ แต่ว่าไม่ใช่ผลโหวตอะไร

   “โหวต?” เสียงของราชาติดห้วนสั้น “ไม่ยักกะรู้”

   “เอ่อ จากพวกกรรมการรุ่น”

   ไม่มีประโยชน์ที่จะปกปิดต่อไป แค่แบล็คหรี่ตาลงหน่อยก็ไม่กล้าที่จะซ่อนต่อไปแล้ว จากชายหนุ่มเป็นมิตรก็กลายเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อตรงหน้าให้ขาดใจหากไม่ยอมพูดความจริง เขาล่ะไม่อยากให้แบล็คได้เป็นพวกทนายหรืออัยการเลย สงสารฝ่ายตรงข้ามสุดๆ

   “ขอบคุณที่นึกถึง แต่ไม่ล่ะ”

   “แบล็ค...”

   “ไม่ชอบอะไรพวกนี้ อย่ามาเสียเวลาเลย”

   ก็แอบสงสารนิดหน่อยเลยไม่ตัดบัวแบบไม่เหลือใย เขากับอีกฝ่ายไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันรุนแรงอย่างที่ชาตินี้จะไม่เผาผีอะไรพวกนั้น เลยออกมาในรูปแบบของการพูดตรงๆ ที่ไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกมากเกินไป

   “นี่ไหว้ก็ได้ แต่ว่างานนี้ขอร้องจริงๆ มาช่วยหน่อยได้หรือเปล่า?”

   “ไปเรียนก่อนนะ”

   คุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่เห็นต้องอยู่ตรงนี้ต่อ ทิวากาลหยิบทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะไม้ขนาดยาวไว้ในอ้อมแขน เบี่ยงตัวหลบอีกฝ่ายออกไปยังส่วนของทางเดินที่เชื่อมต่อกับอาคารเรียนรวม

   "โธ่ ขอล่ะ"

   แบล็คผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนชายตัวเล็กกว่าอดสะดุ้งไม่ได้ วูบหนึ่งที่เขารู้สึกว่าชายที่ชื่อแปลว่า 'กลางวัน' ไม่ได้สว่างสดใสอย่างที่คิดเอาไว้ เป็นความกลัวที่พุ่งขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกที่กำลังเตือนเขาว่าอย่าทำให้อีกฝ่ายโกรธจะดีกับชีวิตของตัวเองที่สุด

   "เอาความจริง"

   เจอเข้าไปแค่ประโยคเดียวก็ได้แต่ก้มหน้าตอบอ้อมแอ้ม “...พวกผู้หญิง...เขารีเควสมา”

   กรอกตาบนด้วยความเบื่อหน่าย เขาล่ะเอือมเรื่องพรรณนี้ยิ่งกว่าอะไรดี

   "ใครใหญ่สุด ทำไมต้องทำตาม?"

   "โธ่..."

   "จะอยู่ที่สูงต้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นตกลงมาทีมันเจ็บนะ"

   คนที่หยัดยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดต้องมั่นคง เรื่องนี้ไม่เคยมีใครสอน เป็นเรื่องที่เรียนรู้มาจากความผิดพลาดในอดีต ถ้าจะอยู่ตรงนี้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวให้ได้

   บัลลังก์มีไว้เพื่อคนคนเดียว

   ประธานรุ่นเข้าใจคำว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็ตอนนี้แหละ รู้สึกได้ถึงหยดเหงื่อที่เริ่มไหลจากเต็มข้างขมับ ตั้งแต่แรกเริ่มใจจริงของเขาก็อยากจะปฏิเสธข้อเสนอนี้ของเหล่าผู้ร่วมงานอยู่หรอก ติดที่ว่าทุกคนในกลุ่มคนทำงานไม่ว่าหญิงหรือชายก็อยากจะเห็นผู้ชายที่ได้ชื่อว่า 'เดือนหลังม่าน' ในสังคมออนไลน์สักครั้ง

   ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมทั้งในและนอกคณะ ไม่เคยมีรูปลงเพจ ถ้ามีก็แค่ครั้งเดียวแต่ได้ข่าวมาว่าแอดมินโดนเล่นเสียยับทั้งทางกฎหมายแล้วก็กระแสมวลชน จนเรียกได้ว่าไม่มีใครกล้าลองดีกับผู้ชายคนนี้สักที

   บางคนบอกว่าเป็นลูกผู้มีอิทธิพลเสียด้วยซ้ำไป

   "เข้าใจแล้วนะ?"

   นั่นคือการรวมคำลาลงไปด้วย แบล็คก้าวด้วยจังหวะปกติไปเรื่อยๆ ตรงไปทางเข้าตึกเรียนอย่างที่ตั้งใจจะทำตั้งแต่แรก ที่นอกเหนือไปจากนั้นก็คงเป็นเสียงที่ไล่หลังมาอยู่

   "ขอล่ะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ" จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว ผู้ซึ่งกำลังคิดการใหญ่ปลอบใจตัวเองว่างานนี้ไม่มีเสีย อย่างมากก็แค่กลับไปมือเปล่า แต่ถ้าสามารถทำให้อีกฝ่ายตกลงได้มันก็จะกลายเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่เลยทีเดียว

   "ไม่"

   "ฮือ ไหว้เลยก็ได้"

   "ฟังใหม่นะ ...ไม่"

   "ให้เราทำอะไรก็ได้ มาช่วยหน่อยเถอะ!"

   "ทำอะไรก็ได้?"

   เอาตามความรู้สึกตอนนี้ทิวากาลไม่ได้ใจอ่อนเพราะคำว่าทำอะไรก็ได้หรอก แต่เป็นเพราะว่าเขาเห็นแล้วว่างานนี้ต่อให้ปฏิเสธรายนี้ไปก็ยังมีรายอื่นดาหน้าเข้ามาอยู่ดีนั่นแหละ แล้วถ้าต้องมาผิดใจกันเพราะเรื่องอย่างนี้การทำงานกลุ่มอาจไม่ราบรื่นอย่างที่ต้องการให้เป็นก็ได้

   "สาบาน!"

   คิ้วของราชาขมวดเข้าหากันก่อนที่จะรีบคลายออกอย่างรวดเร็ว เกือบเผลอหลุดปากสอนออกไปว่าอย่าพูดอะไรอย่างนี้ส่งเดช ทิวากาลไม่ชอบการสาบาน มันไม่ต่างอะไรกับการสัญญา ความศักดิ์สิทธิ์ของ 'คำสัตย์' ควรคงอยู่ไว้ด้วยการรักษามันไว้

   ต่อให้เราอยู่ในยุคของการตระบัดสัตย์ก็เถอะ

   "จำคำตัวเองไว้แล้วกัน ...สักวันจะมาทวง"

   เขาไม่ใช่คนใจดี ถ้าจะต้องทำอะไรสักอย่างโดยไม่มีสิ่งตอบแทนก็คงไม่ค่อยยุติธรรมมากเท่าไหร่ ชายผู้ใช้คติตื้อเท่านั้นที่จะครองโลกยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกหลังจากได้รับการมอบหมายงาน
   
   ทว่าที่เขาไม่รู้คือต่อจากนี้เขาจะไม่มีทางได้ยิ้มอย่างนี้อีกแล้วต่อหน้าทิวากาล


 
   ควันสีเทาของแท่งนิโคตินลอยอวล ทิวากาลจ้องภาพสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกรถยนต์ที่ติดฟิล์มไว้รอบคัน นัยน์ตาสีดำจนไม่เห็นประกายใดคล้ายกับของน้องสาวฝาแฝด ต่างกันตรงที่ของหญิงสาวเป็นสีดำที่ว่างเปล่าไร้รอยสะท้อนจนคล้ายหลุมดำ

   พ่อบอกว่าได้มาจากแม่ ต้องเชื่อตามนั้นไปเพราะไม่มีทางที่จะหาข้อพิสูจน์เจอ หญิงสาวที่เคยได้ยินแค่ชื่อ นามสกุล ...กับเสี้ยวหน้าที่ติดอยู่ในข่าวสังคมเมื่อนานมาแล้ว

   รสชาติขมปร่ากระจายตัวทั่วกระพุงแก้ม ทิวากาลอัดสารเสพติดเข้าร่างกายอีกครั้งถึงดับมันกับกระบะทรายข้างตัว เหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนเวลานัด เขาเป็นคนตรงต่อเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องไปถึงก่อนเวลา แค่คิดว่าต้องไปทำหน้าญาติดีใส่คนที่มารบกวนความสงบสุขของเขาก็หน่ายเกินทน

   ไม่รู้ว่าใครเป็นพิราบส่งข่าวไปบอกกับน้องทั้งหลายว่าวันนี้เขาจะมาถ่ายรูป เลยโดนแซวมายกใหญ่ในไลน์กลุ่มว่าอย่าลืมเอารูปมาอวดนะ เขานี่อยากจะส่งข้อความไปบอกว่าขอยกเลิกนัดให้รู้แล้วรู้รอด

   จนเหลือเวลาอีกแค่สองนาทีถึงยอมออกจากมุมสูบบุหรี่ไปทางสวนหย่อมที่ตามที่ได้รับการนัดหมาย ช่วงบ่ายสี่โมงกว่าของวันเสาร์เงียบสงบกว่าที่คิดไว้ เขาไม่ค่อยอยู่หอในวันเสาร์อาทิตย์ ถ้าเป็นวันหยุดก็จะพาน้องกลับไปที่บ้านให้พ่อได้ชื่นใจ จะอยู่ยาวต่อเมื่อมีเรียนชดเชยหรือไม่ก็เป็นช่วงใกล้สอบ สรุปง่ายๆ ว่าต้องเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อทิวากาลในระดับหนึ่งถึงจะยอมอยู่ การที่เขามาทำอะไรอย่างนี้นี่เป็นการทำลายมาตรฐานสุดๆ

   มีกลุ่มชายหญิงคุ้นหน้าคุ้นตากลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงจุดนัดพบก่อนแล้ว มีทั้งดาวเดือนปีเขา นักกิจกรรมตัวยง รวมถึงพวกตัวท็อปที่กวาดเลขแปดเลขเก้าทุกครั้งที่มีการสอบ เห็นแล้วก็เข้าใจได้อยู่ว่าทำไมคนเหล่านั้นถึงมาอยู่ตรงนี้ มีแต่ตัวทิวากาลเองนี่แหละที่ไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่นี่ ยิ่งพอคนแปลกหน้าเยอะก็ชักไม่อยากจะอยู่

   "ไม่ได้มาสายใช่ไหม?"

   ไม่รู้จะเริ่มทักว่าอย่างไรดีก็เลยใช้วิธีนี้ เขาส่งยิ้มกลางๆ ที่ไม่ได้สดใสหรือว่าบอกบุญไม่รับจนเกินไปให้กับคนอื่นที่อยู่ตรงนั้น

   "ไม่ๆ ตรงเวลาพอดีเป๊ะ" ประธานรุ่นผู้ต้องเป็นทัพหน้าในการติดต่อสื่อสารใจชื้นขึ้นมาได้มากโขตอนที่เห็นว่าคนที่ตนเพียรพยายามร้องขอให้มาช่วยงานนั้นปรากฏตัว อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ต้องโดนแม่สาวน้อยใหญ่ทั้งหลายทำร้ายแล้ว

   "แล้ว...?" พลางเลิกคิ้วให้แทนการถามว่าแล้วเขาต้องทำอะไรต่อ ต้องถ่ายต่อจากใครอะไรยังไง เห็นคนเยอะอย่างนี้แล้วน่ากลัวว่าต้องรออีกนานกว่าจะหลุดพ้น

   "เดี๋ยวรอกลุ่มนี้ถ่ายรวมเสร็จก็คิวนายแล้ว"

   "โอเค งั้..."

   "อ้าว สวัสดีครึ่งชีวิตของสีขาว"

   ตั้งใจจะบอกว่างั้นขอตัวไปเดินเล่นหน่อย มันกลับมีหนึ่งเสียงราบเรียบที่เขาได้ยินบ่อยในช่วงหลังทักขึ้นเสียก่อน หางคิ้วกระตุกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ถ้าแบล็ครู้ว่าคนที่จะมาถ่ายรูปให้เป็นผู้ชายคนนี้เขาจะไม่ยอมตกปากรับคำไปเด็ดขาด 'ณธาม' มองหน้าพี่ชายฝาแฝดของคนบาปที่หลุดออกจากหน้ากากของผู้ชายแสนดีแล้วยกมุมปากขึ้นน้อยๆ แทนการล้อเลียน ไม่อย่างนั้นร้อยวันพันปีเขาก็ไม่ค่อยจะแสดงถึง ‘ด้านจริง’ ออกมาให้คนข้างนอกเห็นมากสักเท่าไหร่

   "เป็นคนถ่าย?” ถึงจะพอเดาได้จากตำแหน่งอดีตหัวหน้าชุมนุมโฟโต้ประจำมหาวิทยาลัยก็เถอะ ให้ได้ถามเพื่อความแน่ใจก็ยังดี

   เวลยกกล้อง DSLR ในมือของตัวเองขึ้นมาแทนการอธิบายด้วยภาพ "คิดว่าไงล่ะ?"

   "ฉิบ..."

   เนื่องด้วยอีกฝ่ายไม่เคยพูดคำหยาบใส่ใครเลยต้องสบถให้ตัวเองฟังคนเดียว คนที่โดนลากมาช่วยได้แต่เก็บสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ให้มิดที่สุด ชายหนุ่มผมสีอ่อนคนนี้เป็น...โอเค ไม่ได้ถึงกับเป็นว่าที่ แต่ว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอีกไม่นานเขากับอีกคนคงได้เกี่ยวดองกันตามกฎหมาย

   "เขาวานมาให้ช่วย"

   ถ้าให้ตอบตามความจริงณธามเองก็ตกใจไม่น้อยที่ได้รู้ว่าการถ่ายโฟโต้ชู้ตในวันนี้มีราชาเป็นหนึ่งในนายแบบ เสียงลือเสียงเล่าอ้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไรคือแบล็คไม่เคยยอมตอบตกลงรับคำขอจากใครทั้งนั้น เขาเป็นตากล้องให้โครงการของมหาวิทยาลัยมาก็หลายครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้เห็นหน้าของเดือนที่แท้จริงของคณะนิติศาสตร์มาเป็นส่วนหนึ่งของงานสักครั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งโครงการ Beyours นั่นด้วย

   "ช่างเหอะ รีบๆ ถ่ายแล้วกัน" โบกมือส่งๆ ให้กลับไปประจำที่เสีย วันนี้เป็นการถ่ายโปรโมตในธีมของการย้อนความหลัง ซึ่งแบล็คก็ไม่ต้องเปลี่ยนชุดอะไรมาก แค่หยิบเสื้อค่ายสมัยเข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆ กลับมาใส่ก็เท่านั้นเอง

   มีป้ายชื่อเป็นสิ่งประกอบฉากอีกอย่าง ตัวอักษรที่เขียนว่า ‘N’แบล็ค #13’ จำลองเหตุการณ์สมัยตอนเข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ที่ต้องมีการเข้าค่ายรวมเพื่อสานสัมพันธ์ของเพื่อนใหม่แปลกหน้า เขาจำเรื่องราวในตอนนั้นทั้งหมดไม่ค่อยได้ เหมือนจะบอกว่าไม่ค่อยสบายแล้วก็หาเรื่องอยู่แต่กับโซนพยาบาลและสวัสดิการล่ะมั้ง

   "เดี๋ยวขอแบบเต็มตัวตรงนี้เซ็ตหนึ่งก่อนนะครับ ขอเช็คมุมหน่อย"

   ได้เวลาทำงานณธามก็เข้าสู่หน้าที่ของตัวเอง ที่จริงไม่ต้องหามุมอะไรมากก็ได้ในเมื่อทิวากาลก็ไม่ต่างอะไรกับน้องสาวที่มีโครงหน้าดีอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นเพื่อให้นายแบบจำเป็นคุ้นเคยกับกล้องขึ้นมาบ้างเลยต้องมีการวางแผนเสียหน่อย

   แอบเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เอากลับไปเล่าให้รัตติกาลฟังว่าพี่ชายแสนรักของตัวเองเป็นอย่างไรบ้าง แบล็คไม่เคอะเขินต่อหน้าเลนส์กล้องและสายตานับสิบคู่ ถึงเขาจะพยายามบังคับสีหน้าให้ดูปกติมากที่สุดก็ยังคงสัมผัสได้อยู่ว่าคนที่กำลังยืนอยู่คนเดียวไม่ค่อยพอใจกับการถูกจับจ้องมากเท่าไหร่นัก

   "อย่ารบกวนการถ่ายด้วยครับ"

   ใช้น้ำเสียงเรียบๆ กับใบหน้าติดนิ่งเป็นตัวช่วยปราม เวลหันไปทางกลุ่มคนที่มารวมตัวกันจนเป็นกลุ่มก้อนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ทุกคนดูให้ความสนใจกับบุคคลที่กำลังยืนเด่นอยู่กลางสนามหญ้าขนาดใหญ่อย่างที่ปิดไม่มิด

   การแตกกระจายของมวลชนเกิดขึ้นโดยพลัน รอจนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับการถ่ายอีกแล้วจึงกลับมามองภาพผ่านช่องมองเล็กๆ อีกครั้ง

   ภาพชายหนุ่มผมสั้นสีดำสนิทอย่างที่ไม่เคยผ่านการกัดย้อมมาอย่างแน่นอนเพิ่มจำนวนขึ้นทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ ช่างภาพตั้งใจว่าจะเก็บอีกสองสามภาพแล้วก็จะเปลี่ยนไปถ่ายอีกมุมตามที่ได้ตกลงกับคณะผู้จัด

   "เวรเอ๊ย..."

   วันไหนที่โดนดาวเคราะห์เข้าแทรกก็จะโดนเล่นงานเสียจนน่วม ระหว่างที่ทิวากาลกำลังยืนอยู่กลางสวนหญ้าสปริงเคิลสำหรับแจกจ่ายน้ำแบบอัตโนมัติก็พร้อมใจกันทำงานโดยไม่มีสัญญาณเตือน แล้วที่ปล่อยมามันไม่ได้มีแค่ละอองน้ำ ตัวจ่ายที่อยู่ใกล้ที่สุดกลับมาพร้อมกลุ่มก้อนของน้ำที่มากผิดปกติจนต่อให้หลบหลีกหลังจากนั้นทันทีเสื้อของเขาก็เปียกไปเกือบครึ่ง

   อย่างที่เคยบอกว่าต่อให้แบล็คจะดูเป็นคนง่ายๆ เรื่อยๆ ไม่มีอะไรที่น่ากลัวแต่ก็ยังคงเข้าถึงยากอยู่ดี เพราะอย่างนั้นเลยไม่มีใครที่กล้ายื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จะมีก็แต่ท่านประธานผู้ซึ่งต้องรับหน้าในทุกสถานการณ์ให้ได้เท่านั้นที่กล้าเข้ามาคุย

   "อยากเปลี่ยนเสื้อก่อนไหม"

   "ไม่ล่ะ จะเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ" แบล็คไม่อยากเพิ่มเวลาให้กับเรื่องไร้สาระอย่างนี้ "ให้แค่ครั้งเดียว โอเคนะ?"

   ส่วนท้ายหันไปคุยกับช่างกล้องที่ยังคงเช็คความปลอดภัยของกล้องราคาเหยียบแสนของตัวเองอยู่ เวลาพยักหน้ารับทราบโดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาเพิ่ม คนอื่นอาจมองว่าทิวากาลบ้าอำนาจ นี่ยังแค่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับอิทธิฤทธิ์ของน้องสาวฝาแฝด รายนั้นน่ะทั้งพูดน้อยจนเหมือนสั่งแล้วก็เอาแต่ใจกว่ากันเยอะ

   เสื้อเปียกเมื่อประกอบกับอากาศร้อนชื้นน่ารำคาญเกินทน แบล็คเลิกส่วนปลายของเสื้อตัวเองขึ้นมาพอควรเพื่อบีบเอาน้ำที่แทรกอยู่ในเนื้อผ้าออกไป

   "หันไปด้านซ้าย" คำสั่งมาจากคนที่ยกกล้องขึ้นไว้ระดับสายตา สีดำหันมามองเจ้าของเสียงที่เตรียมพร้อมจะลั่นชัตเตอร์แล้วเลิกคิ้วขึ้น นี่เขาไม่ได้บอกว่าจะให้ถ่ายทั้งสภาพนี้เลยนะ

   "มุมนี้ก็ได้นะ สวยออก" เสียงค้านมาจากประธานที่ยังยืนอยู่ตรงนั้นด้วย

   "หันซ้าย"

   ไม่ฟังเสียงของใครอื่น ช่างกล้องคนเดิมยังไม่ยอมละสายตาจากช่องมองขนาดเล็ก เวลจัดการหามุมที่ดีที่สุดก่อนกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็วสองถึงสามครั้ง จริงอยู่ที่ด้านขวามุมสวยกว่า...

   "ทีหลังก็ระวังหน่อย คงไม่อยากให้ใครเห็นหรอกใช่ไหม"

   ทำเป็นเดินเข้าไปจัดเสื้อผ้าและท่าทาง ณธามจัดการเหน็บชายเสื้อเข้าในกางเกงเพื่อให้มันปกปิดรอยประทับขนาดใหญ่พอสมควรที่เห็นตั้งแต่ตอนที่เขาโชว์หน้าท้องโดยไม่ตั้งใจแล้ว

   ส่วนนายแบบจำเป็นก็ได้แต่ก่นด่าในใจว่าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

   "ค่าตอบแทนเอาเป็นขอพาซินไปเขาใหญ่ด้วยเดือนหน้านะ"

   “ไม่”

   “งั้นขอแบบหันขวาอีกชุดแล้วกัน”

   “คิดว่ากลัว?”

   เวลาจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีดำสนิทของอีกคน สีดำที่ไม่ได้ว่างเปล่าจนไร้ความรู้สึกอย่างซิน แต่ก็ดำมืดเสียจนหารอยประกายในนั้นไม่เจอ...สมแล้วที่ชื่อว่าสีดำ

   “เผื่อว่าจะฟลุ๊คได้”

   ยกไหล่ขึ้นให้รู้ว่าไม่ได้คาดหวังอะไรกับคำตอบมากมายอยู่แล้ว ถึงจะให้หรือไม่เขาก็มีวิธีการของตัวเองอยู่ดี

   “หึ...”

   "แปลกดี ไม่เคยเห็นใครทำ"

   "ไม่ได้ทำเอง"

   "อย่างนั้นเหรอ" ณธามเป็นพวกที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของใครถ้าไม่จำเป็น เลยปล่อยผ่านไปเสีย “ทนหน่อยแล้วกัน ขออีกรอบเดียวก็เสร็จแล้ว"

   ถึงจะผิดจากที่ตกลงกันเอาไว้ทิวากาลก็ไม่ได้แย้งอะไร หากมองในแง่อื่นนอกจากว่าชายคนนี้คือคนที่กำลังพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองสามารถดูแล ‘ครึ่งชีวิต’ ของทิวากาลได้จริงอย่างที่แสดงออกมาตลอด ในเรื่องของความเป็นมืออาชีพในการทำงานนี่ต้องยอมรับไม่มีข้อติว่าเวลทำงานในฐานะของช่างภาพได้สมบูรณ์แบบ

   แต่ก็ไม่ได้ใจอ่อนลงหรอกนะ

   แล้วมันก็เป็นการถ่ายในอีกมุมเดียวตามที่บอกไว้ พอเงยหน้ามองรอบตัวอีกทีก็ไม่มีใครเหลืออยู่ตรงนั้นนอกจากชายผู้เป็นตัวกลางกับตากล้อง

   "เสร็จแล้วนะครับ"

   "หึ..." เสียงหยันนั้นปิดไม่มิดสักนิด แบล็คเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายข้างเตรียมพร้อมจะกลับไปยังรถของตัวเอง

   "เดี๋ยวส่งงานให้วันพุธอย่างที่บอกไว้นะ" เวลเอ่ยเรียบๆ ระหว่างเก็บอุปกรณ์การถ่ายรูปทั้งหมดเข้ากระเป๋าตามเดิม "คืนนี้จะลองส่งตัวอย่างไป รอรับด้วย"

   "ส่งตัวอย่าง?"

   "คิดว่าคงปลอดภัยกับชีวิตของใครหลายๆ คนมากกว่าถ้าส่งไปแค่รูปเดียว"

   เวลาเองเคยเจอราชามาในหลายรูปแบบ หนึ่งแบบที่เขาคิดว่าคงเป็นบุญตาของตัวเองคือช่วงที่ผู้ทรงศักดิ์ไม่สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้อย่างตอนที่ไปตามหาน้องสาว ทิวากาลที่หลายคนพูดถึงคือผู้ชายแสนดีที่หลุดออกมาจากนิยาย โปรไฟล์ที่ว่ากันว่าดีไร้ที่ติ รวมถึงคะแนนเฉลี่ยสูงจนได้เกียรตินิยมอยู่แล้ว คงมีแต่เขาคงเดียวที่ขำในใจยามได้ยินคำสรรเสริญเยินยอเกินพอดีนั่น

   "...ตามใจ" มีไลน์อีกฝ่ายไว้ตามจิกตอนที่พาน้องสาวของเขาตะลอนไปไหนมาไหนโดยไม่ขออนุญาตก่อน ไม่รู้ว่าใครติดใครเรื่องที่ไม่ชอบเปิดเสียงหรือว่าตั้งระบบสั่นเอาไว้ การโทรเข้าเกือบร้อยทั้งร้อยต้องได้ยินเสียงโอเปอเรเตอร์แทน

   ทั้งสองเดินข้างกันไปจนถึงรถของทิวากาล เจ้าของรถเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ไปไหนแล้วยอมขยับปากแบบไม่มีเสียงว่ายังต้องการอะไรอีก

   "ไปส่งหน่อย" ชื่อหอพักที่อีกฝ่ายบอกนั้นไม่ได้อยู่ในเส้นทางการกลับของเขาเลย

   "ต้องทำ?"

   "ค่าจัดเสื้อ"

   ไม่น่ากดเปิดรถไว้ก่อน พอณธามจบประโยคแล้วร่างที่สูงเกือบเท่ากันก็เปลี่ยนไปปรากฏอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับแทน นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหมที่เขาชอบพูดกันว่าคนที่อยู่ด้วยกันนานๆ แล้วจะติดนิสัยรวมถึงคำพูดคำจา ไอ้การที่บอกแล้วก็ทำเลยโดยไม่รอรับฟังคำอนุมัตินี่มันนิสัยของน้องสาวเขาชัดๆ

   "บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ซึ้งใจขนาดนั้น"

   เขาไม่มีอารมณ์มาเล่นเกมส์กับอีกฝ่ายหรอก ถึงจะขู่ว่าจะเอาไม้เทนนิสที่อยู่ตรงเบาะหลังฟาดก็คงไม่กระทบกับความตั้งใจของเวลได้อยู่แล้ว ยังจำสายตาที่สบกลับมาไม่ลดละวันนั้นได้อยู่เลย ทั้งที่เกือบโดนบอลอัดหน้าเข้าไปแล้วยังอยู่นิ่งอย่างนั้นได้

   "คนเราต้องช่วยเหลือซึ่งกัน"

   "มีเรื่องอะไร?"

   "บางคนเขาเป็นห่วง"

   บุคคลที่สามที่ไม่ต้องบอกชื่อออกมาก็รู้ว่ามีคนเดียว

   "เห็นว่าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลก็ดูเปลี่ยนไป...นิดหน่อย"
   
   ทิวากาลไม่ส่งสัญญาณใดๆ กลับมาให้รู้ว่าตนเองกำลังรับฟังอยู่หรือไม่ ใบหน้านั้นยังคงจ้องตรงไปตามทางบนท้องถนน เวลาเหลือบตามามองฝั่งคนขับแล้วถอนหายใจอยู่คนเดียวในใจ ตรงนี้ก็เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง ทำเป็นไม่สนใจแต่เก็บไว้ทุกประโยคนั่นแหละ

   "เหมือนกำลังตามหาอะไรอยู่ นี่เล่าตามคำบอกเลยนะ" ณธามรอจนมั่นใจว่าต่อให้เขาร่ายสุนทรพจน์ให้ฟังตอนนี้ก็คงไม่ได้รับการตอบกลับอะไร เครื่องยนต์ขนาดเล็กที่มีไว้สำหรับรถจำพวกอีโค่คาร์หยุดลงหน้าหอพักของเขา ต้องเหยียบเร็วขนาดไหนถึงมาส่งได้ไวปานนี้ "หาให้เจอเร็วๆ หน่อยแล้วกัน คนเป็นห่วงจะได้เลิกคิดไปเอง"

   กระชับกระเป๋าเป้ที่เก็บอุปกรณ์การถ่ายทั้งหมดของตัวเองให้เรียบร้อย ก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายไว้ก่อนปิดประตูลง

   "ไม่ขอบคุณหรอกนะที่มาส่ง"



   งานที่ไร้ประโยชน์ทำเอาเวลาชีวิตเขาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์หลายชั่วโมงเลยทีเดียว แบล็คถอนหายใจออกมานิดหน่อยตอนที่ดับเครื่องยนต์ลงแล้ว ความมืดรอบตัวบอกว่าอย่างน้อยก็ต้องคงทุ่มกว่าไปแล้ว สู้เอาไปนั่งดูหนังหรือไม่ก็อ่านหนังสือนอกเวลาต่อยังจะดีเสียกว่า จรรโลงใจกว่ากันเยอะ

   หรือไปแกล้งน้องโรมดี

   แต่พอเงยหน้ามองขึ้นไปแล้วเห็นว่าระเบียงห้องของน้องปิดผ้าม่านไว้สนิทแถมยังไม่มีแสงไฟใดเล็ดลอดออกมาเลยสรุปกับตัวเองว่าน่าจะไม่อยู่ห้อง

   แผนร้ายทั้งหมดถูกพับเก็บลงไปอย่างรวดเร็ว แบล็คเดินผ่านเข้าไปยังส่วนกลางของตึกที่ตนเองอาศัยอยู่ สายตาสะดุดกับสิ่งผิดปกติบางอย่างบริเวณตู้ใส่จดหมายที่เรียงรายต่อกันเป็นแนวยาวจนต้องหยุดการขยับฝีเท้าไว้ก่อน

   ปกติแล้วไม่ค่อยมีจดหมายอะไรส่งมาถึงเขา จะมีก็แค่พวกค่าน้ำค่าไฟตามรอบบิลเท่านั้น ส่วนเอกสารอย่างอื่นส่วนมากจะให้ส่งไปที่บ้านเสียมากกว่า คราวนี้มันเลยเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ...ที่มีซองจดหมายสีดำสนิทนอนอยู่ในนั้น

   ชายหนุ่มไขกุญแจตู้ออก หยิบสิ่งประหลาดออกมาจากช่องสี่เหลี่ยม มันไม่ได้มีการจ่าหน้าซองตามกฎระเบียบของการส่งไปรษณีย์ ส่วนด้านหลังถูกผนึกไว้ด้วยครั่งเทียนสีขาวมุกโดดเด่นขึ้นมากลางความมืดมิดของซองกระดาษมันเลื่อม

   ไม่เคยเห็นใครใช้กระดาษแบบนี้ทำเป็นซองจดหมาย แล้วก็ไม่เคยเจอวิธีการปิดผนึกอย่างนี้ด้วย

   "...?"

   ความสงสัยทั้งหมดถูกพับเก็บลงไปเสียยามพินิจจนเห็นลายนูนชัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของอะไร ชายหนุ่มรีบสาวเท้ายาวๆ ไปทางเข้าส่วนของที่พักอาศัย ปกติแล้วเขาจะใช้ลิฟต์ในการเดินทางขึ้นไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสี่ แต่คราวนี้อะไรก็ดูไม่ทันใจจนเปลี่ยนไปเลือกใช้ทางหนีไฟแทนเสียอย่างนั้น

   นึกขอบคุณที่ออกกำลังกายเป็นประจำยามไขประตูห้องเข้าไปเลยไม่ค่อยมีอาการเหนื่อยล้ามากเท่าไหร่ มีเพียงเสียงสูดลมหายใจเข้าถี่มากกว่าปกติอยู่นิดหน่อยแล้วก็กลับไปเป็นอย่างเดิม

   เมื่อมองไปยังซองจดหมายที่ยับย่นตรงมุมถึงรู้ว่ามือของตัวเองกำแน่นมากแค่ไหน ทิวากาลสะกดอารมณ์ฟุ้งซ่านของตัวเองกลับมาเข้าที่ สำรวจภายนอกจนครบทุกพื้นที่ถึงกลับไปจ้องรอยครั่งอีกครั้ง

   ไม่มีชื่อผู้รับหรือผู้ส่ง ทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าเพราะเหตุใดสิ่งนี้ถึงมาอยู่ในตู้จดหมายของเขาได้คือการเปิดอ่านมันเท่านั้น

   อะไรบางอย่างกำลังเชิญชวนให้เขาเปิดกล่องแห่งความลับ

   เดินไปหยิบกรรไกรที่วางรวมกับอุปกรณ์เครื่องเขียนอื่นๆ บนโต๊ะอ่านหนังสือมาเพื่อตัดข้างซองออก ไม่ยอมแกะจากตรงที่เป็นตราประทับเพราะว่ายังต้องมีการเปรียบเทียบอีกอย่างต่อ

   เทกระดาษแข็งที่เป็นสีดำสนิทไม่ต่างจากตัวซอง เพียงแค่มีความแข็งของแผ่นที่มากกว่าหน่อยแล้วก็มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวเงาเหลือบแบบตัวเอียงเขียนไว้ด้วยลายมือเป็นระเบียบ สวย ตรงแบบไม่ต้องใช้ไม้บรรทัด ไม่มีร่องรอยของการลบคำผิด เขาแปลความหมายของคำนั้นด้วยการกวาดตาเพียงแค่ครั้งเดียวแล้ววางมันลงกับชั้นวางของตรงนั้น ขยับมืออีกหน่อยให้เจ้าซองตัวปัญหากลับมาอยู่ในมือ พอเปิดดูด้านในซองอีกทีถึงเห็นว่านอกจากกระดาษแข็งแล้วยังมีอีกสิ่งอยู่

   สิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกแล้ว...

   ห้องขนาดสตูดิโอมีพื้นที่การใช้สอยไม่มากเลยทำให้ก้าวเข้ามาอยู่ในส่วนของห้องน้ำได้หลังจากนั้นไม่ถึงนาที ถอดเสื้อของตัวเองออกหน้ากระจกขนาดใหญ่ เรือนร่างช่วงบนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนานโชว์กล้ามเนื้อเรียงตัวสวย มีรอยแดงจากการโดนแดดเผานิดหน่อยจากเรื่องวันนี้

   เป็นอีกครั้งที่เขาต้องถอนหายใจออกมายาวพลางเท้าแขนลงกับอ่างล้างหน้า ปลายนิ้วเคาะลงกับขอบอ่างเป็นจังหวะเดียวกันไม่มีผิดพลาด เขาเคยเห็นเครื่องหมายนี้ อาจไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไรแต่การที่เห็นมันอีกครั้งรวมถึงข้อความบนกระดาษมันคือการบอกว่าถึงเวลาที่เขาจะได้เจอสิ่งที่ตามหาแล้ว

   ปล่อยให้เสียงเคาะดังก้องอยู่อย่างนั้นระหว่างที่กำลังย้อนระลึกถึงเรื่องราวอันเป็นที่มาของการทำความรู้จักกับเครื่องหมายนี้ สัญลักษณ์ที่เพียรพยายามตามหาความหมายและแหล่งที่มามากแค่ไหนก็ได้แต่คว้าน้ำเหลว

   เปิดก๊อกสีเงินกวักน้ำลูบใบหน้าให้หายหัวร้อนเสียหน่อย แบล็คเสยผมที่ชุ่มน้ำให้ขึ้นไปอยู่ด้านบน มองภาพสะท้อนของตัวเองจากกระจก เริ่มจากเรือนผมสีดำที่ขึ้นเงา โครงหน้าที่หลายคนบอกว่าถูกปล่อยทิ้งไปอย่างหน้าเสียดาย ไล่ลงมาจนถึงบริเวณช่วงเชิงกรานของตัวเอง จากตรงนี้เขาเห็นตัวเองในอีกฟากฝั่งกำลังยกมือขึ้นแตะบริเวณที่สายตากำลังจับจ้อง ผิวเนื้อที่มองผ่านๆ แล้วคงไม่เห็นความแตกต่างหากต้องได้ลองสัมผัสแล้วถึงจะรู้ว่ามันมีรอยนูนขนาดเล็กปรากฏอยู่

   รอยที่ไม่ต่างอะไรกับสัญลักษณ์บนครั่งเทียนสีมุก

***
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.2 [19.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 24-05-2016 16:03:45

โอ้ยตายแล้ววววววววว!
ราชา ราชา ราชา ราชา องค์ราชาเพคะ
คือดีงามพระรามศรีมากค่ะ เนื้อเรื่องยังคงคอนเซ็ปลึกลับไว้ได้อย่างดี
ต่อยอดมาจากเรื่องที่หนึ่งได้ดีทีเดียวเลยล่ะค่ะ
มาลุ้นกันต่อว่าสิ่งที่คนอ่านอย่างเราๆจะได้รู้ในตอนต่อๆไปคืออะไรบ้าง...
หวังว่าปมจะพลิกไปพลิกมาซับซ้อนซ่อนเงื่อนน้อยกว่าเรื่องที่แล้ว

สำหรับเรื่องคู่ นอกจากราชาแล้ว ก็ยังค้างของเจ้าชายอยู่สินะคะ
'อนาคต' คือใคร? แต่ที่รู้ๆแล้วก็คือเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่าสินะ(ตอนแรกเรานึกว่าเป็นผู้หญิงซะอีก)
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.2 [19.05.16]
เริ่มหัวข้อโดย: elieanna ที่ 24-05-2016 20:24:59
ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.2-2 [01.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-06-2016 21:00:29
CH.2-2

   ยังไม่หมดหน้าที่สินะ...

   ทิวากาลบอกตัวเองในใจยามที่ภาพเบลอตรงหน้ากลับมาโฟกัสเต็มที่ เพดานห้องกับหลอดไฟแบบที่คุ้นเคยตามมาด้วยกลิ่นของยาฆ่าเชื้อตีกันจนยู่หน้า เขาค่อยๆ รวบรวมความทรงจำทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง วางแผนพาน้องน้อยที่กลายเป็นเด็กซึมเศร้าให้กลับมาเป็นคนร่าเริงแบบเดิมด้วยการนัดคู่กรณีอย่างที่หนึ่งมาเคลียร์ให้หมดเรื่องหมดราว แต่มันกลับผิดแผนไปหน่อยตรงที่ดันมีตัวละครไม่ได้รับเชิญโผล่มา

   เวล ...เวลาตามที่น้องสาวของเขาเรียก พี่ชายฝาแฝดรู้อยู่แล้วล่ะว่าที่ครึ่งชีวิตหลอกคนอื่นว่าจำอะไรไม่ได้นั่นมันโกหกทั้งเพ พวกหลักฐานทางการแพทย์ก็มีตั้งเยอะแยะว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะความจำเสื่อมเพราะการถูกรถชน แต่เลือกไม่พูดออกไปเพราะว่านั่นคือการตัดสินใจของอีกฝ่ายที่ตัวเองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ น้องสาว...ที่ต้องแบกรับอะไรมากเหลือเกิน

   เหมือนตัวน้องชายอีกคนเองก็จะไม่อยากจะยอมรับเรื่องทั้งหมดเท่าไหร่ถึงหนีออกไปอย่างนั้น ที่ตั้งใจไว้คือก็ปล่อยให้ไปสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยกลับไปสรุปผลงานที่บ้านก็ได้ ยังไงเกรย์ก็ไม่มีทางไปอื่นนอกจากที่นี่อยู่แล้ว

   ดันมีปัญหาก็ตอนที่เอาตัวเข้าไปรับอาวุธอันตรายแทนหลังจากนั้นไม่นานนั่นแหละ เขากับฝาแฝด...รวมถึงผู้ชายผมเทาอีกคนกำลังจะกลับบ้าน ได้ยินเสียงโวยวายเลยรีบไปดู ...แล้วก็เลยตามเลย เจ็บเสียอย่างนั้น จะโทษใครก็ไม่ได้ หรือต้องโทษพ่อของเขาที่ชอบสอนว่าต้องดูแลน้องให้ได้

   ค่อยๆ ขยับร่างกายทีละน้อยเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตัวเอง ปวดตรงบริเวณหน้าท้องหลายจุด ถ้าจำไม่ผิดก็มีทั้งโดนแทงแล้วก็กำปั้นเพียวๆ เหลือบตาไปทางปลายเตียงที่มีนาฬิกาแบบแขวนติดอยู่ เข็มสั้นยาวบอกเวลาเที่ยงกว่า ถึงว่าทำไมถึงแดดจ้าจนปวดตา ที่ไม่เจอใครเลยน่าจะไปเรียนกันหมด นี่เขาหลับมากี่วันกันนะ ปกติมาทีไรก็เป็นคนเยี่ยมไข้ พอต้องมานอนจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยสบายเท่าที่คิด

   เอื้อมมือไปกดกริ่งเรียกพยาบาล ระหว่างรอก็สำรวจส่วนต่างๆ ทั้งบนร่างของตัวเองแล้วก็รอบๆ ห้องไปด้วย ห้องพักฟื้นขนาดใหญ่มีห้องนั่งเล่นแยกไว้ต่างหากเพื่อรองรับเหล่าสมาชิกทั้งในและนอกครอบครัว อุปกรณ์หลายชิ้นที่วางทิ้งไว้แบ่งประเภทได้ง่ายว่าใครบ้างที่เป็นเจ้าของ น่าแปลกที่ถ้าลองให้บุคคลเหล่านี้มาอยู่รวมกันแล้วเขากลับไม่รู้สึกตัวสักนิด อย่างน้อยน้องโรมก็ต้องเสียงดังโวยวายกับเน็ทบ้างล่ะ

   "ว่าไงคะคุณชาย"

   ดูเป็นคำทักทายที่แปลกอยู่สำหรับนางพยาบาลกับคนไข้ หากบอกข้อมูลเพิ่มเติมว่าหญิงวัยห้าสิบกว่าผู้เป็นหัวหน้าพยาบาลของชั้นนี้เห็นชายหนุ่มมาตั้งแต่ยังไม่ขวบดีก็คงช่วยอธิบายอะไรหลายๆ อย่างได้ง่ายขึ้น หล่อนดูแลเด็กตระกูลนี้มาครบทุกหน่อ แต่ละคนมีความแตกต่างมากเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าได้รับการเลี้ยงดูมาพร้อมกันจริงหรือไม่

   "หิวน้ำจังครับ" ฉีกยิ้มที่ไม่ใช่การขยับกล้ามเนื้อขึ้น แบล็คเองในสายตาคนอื่นเป็นผู้ใหญ่เกินวัย พอได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งของเด็กน้อยก็ดีเหมือนกัน

   "ก็เล่นหลับไปตั้งกี่ชั่วโมงล่ะ" เปรยผสมบ่นไปขณะที่เดินอ้อมไปเปิดฝาขวดน้ำพร้อมเทลงแก้วให้ตามความต้องการของคนไข้

   "กี่วันดีกว่าไหมครับ"

   "รู้ตัวก็ดี นี่วันที่สี่แล้วค่ะ"

   ใบหน้าที่ยิ้มแย้มหุบลงไปนิดหน่อย เขารับแก้วน้ำมาดับอาการระคายคอจนพอใจ น้ำเปล่าแช่เย็นเล่นเอาสัมผัสได้ตลอดว่าตอนนี้ของเหลวกำลังเคลื่อนตัวจากจุดไหนไปยังจุดไหนในร่างกาย สี่วันเลยงั้นเหรอ นานกว่าที่คิดไว้เยอะเลย

   "แล้วนี่ปกติใครอยู่ครับ"

   "สองวันหลังนี่เป็นหนูเกรย์ ส่วนวันแรกๆ ยกโขยงมาหมดจนคุณพ่อต้องไล่กลับ"

   คิดภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตามคำบอกแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ การที่ได้ยินชื่อของน้องชายคนรองว่าเป็นคนคอยดูแลเขาก็นั่นคงหมายความว่าการลงทุนทั้งหมดไม่เสียเปล่า เอาตามข้อมูลดิบแล้วน้องก็ไม่ได้ผิดเลย ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะคนอื่นต่างหาก

   คนอื่นที่รวมฝาแฝดนอกกฎหมายอย่างเขาสองคน

   "งั้นเย็นนี้ก็เตรียมโทรเรียกพ่อให้มาไล่ได้อีกรอบเลย"

   "แสตนด์บายไว้แล้วค่ะ เด็กอะไรเจอหน้าทีโตแต่ตัว ยังโหวกเหวกโวยวายเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน" นอกจากลูกสี่คนของคุณพินิจแล้วหล่อนเองก็เคยดูเลยเพื่อนอีกสองคนด้วย "อ้อ! มีคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นหน้า คนนั้นคอยช่วยปราม หล่อๆ อยู่กับหนูโรมันตลอด"

   บอกแค่นั้นก็รู้แล้วว่าหมายถึงใคร เสียหนึ่งได้แต่กลับมาสอง ค่อยคุ้มค่ากับการลงทุน

   "อ้อ ครับ"

   "แฟนน้องโรมันสินะคะ"
   
   ทิวากาลลดระดับความแสนดีลงไปหลายช่วงตัว เขาเก็บทุกความสงสัยไว้ข้างในจนมิด ในขณะที่นางพยาบาลผู้ผ่านโลกมามากกว่าหลายเท่านักก็บอกตัวเองในใจ

   เด็กคนนี้ก็เหมือนเดิม

   "มันชัดออก ว่าอย่างนั้นไหม?"

   "...คิดว่าอย่างนั้นครับ"

   เขาบอกแล้วว่าเรื่องของที่หนึ่งกับโรมน่ะต่อให้ไม่ประสีประสามากเท่าไหร่ก็ยังรู้เลย ในเมื่อต่างฝ่ายต่างแสดงออกให้คนภายนอกเห็นชัดว่าความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนี้ควรเรียกว่าอย่างไร

   "ตกใจนิดหน่อย แต่ว่าคู่นี้น่ารัก ...ของหนูไวท์ก็น่ารักนะ"

   "อะไรนะครับ?"

   "แต่เคยเห็นคนนั้นแค่ครั้งเดียว ผมสีอ่อนมาเชียว"

   ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูมากเท่าไหร่ว่าอีกคนที่เขาไม่ค่อยอยากจะยุ่งก็มาด้วย คงทั้งเรื่องในอดีตที่ไม่ได้สะสางดีแล้วยังต้องมาเจอการแสดงออกแบบนอกหน้าว่าจะอยู่ต่อไป

   เรียกง่ายๆ ก็ไม่ถูกชะตา

   "นั่นไม่ใช่แฟนไวท์" แค่คิดถึงหน้าที่ชอบติดนิ่งสมฉายาผู้ลึกลับแล้วก็อารมณ์เสียได้ จนกระทั่งลืมลงท้ายประโยคให้สุภาพกับสตรีที่แก่กว่าตนหลายรอบนัก

   "จ้าๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่"

   "ดูแล้วไม่ค่อยเชื่อนะครับ"

   "พี่เห็นหนูมากี่ปีแล้วล่ะ?"

   หญิงสูงวัยย้อนกลับ ครั้งแรกที่เห็นฝาแฝดคู่นี้เธอยังเป็นเพียงนางพยาบาลธรรมดาที่ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไรมากมาย เด็กแฝดชายหญิงที่ไม่ค่อยเจอได้บ่อยนัก โดยเฉพาะกรณีที่ฝาแฝดที่เพิ่งหย่านมได้ไม่นานที่บิดาเป็นคนดูแลทั้งหมด ช่องกรอกประวัติในส่วนของชื่อมารดานั้นถูกปล่อยให้ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น...จนถึงทุกวันนี้

   "บอกไปจะไม่ตอกย้ำอายุของพี่เหรอฮะ?"

   กับบางคนที่ไม่จำเป็นต้องคงยศเอาไว้ทิวากาลกลายเป็นเด็กหนุ่มขี้เล่นธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นตามแบบที่ตัวเองต้องการก็เท่านั้นเอง

   "แหนะ เดี๋ยวนี้ปากคอเราะร้าย อยากโดนงดของหวานเหรอคะ?"

   "ไม่เอาอย่างนั้นสิ" สีดำทำหน้าหงอย "แค่ต้องมากินข้าวจืดๆ ก็แย่พอแล้วครับ"

   สมัยที่ต้องมานอนเป็นเพื่อนน้องโรมถ้าน้องงอแงไม่ยอมทานเมื่อไหร่ทิวากาลก็ต้องรับหน้าช่วยจัดการให้หมดชามตามคำสั่งของคุณพินิจว่าถ้าทานไม่หมดแล้วจะอดเล่นเกม บอกเลยว่าถึงไม่เคยต้องมาเป็นคนป่วยเสียเองแต่อาหารของคนไข้น่ะผ่านมาหมดแล้ว

   "เราปรับสูตรแล้วค่ะ ลองดูก่อนสิ"

   "เดี๋ยวผมรอถามน้องก่อนแล้วกันฮะ ตอนนี้ยังไม่ค่อยอยากทานอะไรเท่าไหร่ด้วย"

   รู้อยู่แล้วว่าการอาการหนักขนาดนี้คงต้องมีการให้เลือดกันเกิดขึ้น เลือดของผู้เสียสละที่ต้องคอยอยู่เคียงข้างเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายใดๆ ขึ้น ตัวก็เล็ก ผอมก็ขนาดนั้น ไม่รู้ว่าโดนจับให้แอดมิดเป็นคนไข้ด้วยกี่วัน

   "จะถามใครได้คะ ยังไม่มีใครได้ลองเลยนะ"

   "โรมไงครับ"

   "น้องโรมันไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ"

   หัวหน้าพยาบาลเห็นว่าไต่ถามสารทุกข์สุกดิบมากพอสมควรแล้วถึงเปลี่ยนไปตรวจสอบขวดน้ำเกลือที่เหลือเกือบครึ่ง "พ่อหนุ่มรูปหล่อคนนั้นคงไม่ยอมให้หนูโรมเป็นอะไรไปหรอกค่ะ"

   แปลก มันไม่ควรเป็นอย่างนี้สิ

   "...แล้วใครให้เลือดผมครับ"

   ถามออกไปตรงๆ ในข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับตนเอง 'เลือด' กรุ๊ปหายากอันดับต้นๆ ของประเทศที่คร่าชีวิตของคนมานักต่อนักแล้ว เขาตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ก็ตอนที่น้องโรมของพวกเขาต้องใช้เลือดด่วนสมัยเรื่องของลัจนั่นแหละ เขาไม่อยากคิดเลยว่าถ้ากรุ๊ปเลือดของเราไม่ตรงกันแล้วจะยังได้เห็นน้องที่รักของพวกเขายิ้มให้อยู่อย่างนี้หรือเปล่า

   คนโดนถามทำเป็นใจดีสู้เสือ ถึงจะสัมผัสได้ถึงความน่าอึดอัดที่เริ่มกระจายตัวทั่วไปจากเพียงหนึ่งประโยค ทิวากาลเหมือนพ่อที่สุดในบรรดาลูกทั้งหมด สุขุม คิดเยอะ แล้วก็ให้ความรู้สึกว่าไม่ควรล้ำเส้นเข้าไปในอาณาเขตของอีกฝ่ายได้เพียงแค่ใช้สายตามองจ้องมา

   "ไม่ทราบค่ะ"

   เคสของลูกชายคนโตกับลูกบุญธรรมเป็นที่น่ากังวลของทางโรงพยาบาลทุกครั้งที่ได้รับการส่งประวัติมา กลุ่มเลือดหายากที่หากเป็นกรณีของการเสียเลือดมากเกินไปแล้วเตรียมตัวเครียดระดับหนักได้เลย อย่างครั้งนี้ก็เหมือนกัน อาการของคนป่วยตามที่อ่านรายงานการรักษาคือเสียเลือดจากบาดแผลขนาดใหญ่

   "ครับ?"

   "ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าใครให้มา"

   ระบบของการบริจาคเลือดนั้นอาจทำได้โดยการแสดงความประสงค์ในการบริจาค มีทั้งการให้โดยทั่วไปแล้วก็เจาะจงว่าต้องการบริจาคให้คนไข้รายไหน ซึ่งในกรณีของการบริจาคโดยระบุชื่อนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเลือดของตนเองนั้นจะได้เป็นส่วนช่วยโดยตรง เลือดของเราจะเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนให้ทางคลังเลือดยอมส่งหมู่เลือดที่ตนเองต้องการออกมาให้ทางผู้ป่วย ส่วนที่เราบริจาคไปนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจเชื้อแล้วก็เก็บรักษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

   เพราะอย่างนั้นสมัยของน้องโรม เลือดที่ช่วยต่อชีวิตให้น้องได้ก็ไม่ใช่เลือดของเขาโดยตรง เป็นวิธีการบริจาคแบบเจาะจงตัวผู้ป่วยเหมือนกัน เขาเลยเคยทวงบุญคุณว่าถ้าไม่มีเลือดของเขาน้องโรมก็ไม่ได้มานั่งเอ๋อๆ อยู่ถึงตอนนี้หรอก

   มันเลยยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้มากเข้าไปอีก

   "ผมขอตั้งแต่ต้นใหม่ได้ไหม?"

   "อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเชื่อได้มากแค่ไหนนะคะ แต่ฝ่ายอื่นเขาว่ากันว่ามีคนมาฝากเอาไว้ ...บอกว่าเดี๋ยวมีคนต้องใช้"

   "ครับ?" คำท้ายเสียงหลงอย่างที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ระบบการบริจาคเลือดที่ควรต้องผ่านอะไรระบบการจัดเก็บรักษารวมถึงการเบิกจ่ายที่ค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวายไม่น่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้

   "เลือดอะไรเข้ากันได้หมด หมอเลยเอามาใช้ก่อนน่ะค่ะ ที่จริงถึงรอหนูโรมันมาก็ไม่น่าจะบริจาคได้ ร่างกายไม่พร้อมเลย"

   การบริจาคเลือดนั้นมีเงื่อนไขด้านร่างกายหลายอย่าง ช่วงนั้นน้องโรมของพวกเขาอยู่ในช่วงตรอมใจแบบที่เห็นข้อกระดูกชัด คนเป็นพี่เลยทนต่อไปไม่ไหวต้องลงมาเปลี่ยนบทเอาตรงนั้น

   "อย่างนั้นเหรอครับ ขอบคุณมาก..."

   ผ่านประสบการณ์มามากพอที่จะรู้ว่าต่อให้คาดคั้นต่อไปแค่ไหนก็คงไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ เขารู้วิธีการดำเนินงานของการบริจาคนี้ดี แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามหาเจ้าของเลือดกรุ๊ปพิเศษนั้น

   ...ใคร

   ...ทำไม

   มีอีกหลายคำถามที่ทิวากาลต้องการคำตอบ แต่ว่าตอนนี้คงไม่สามารถไปตามหาได้ อย่างน้อยก็ต้องรักษาตัวให้หายดีก่อน

   "เหงาหรือไงคะ อีกไม่เกิ..."

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นกลบประโยคหลังที่ยังพูดไม่จบ ประตูที่ถูกปิดไว้สนิทก็เปิดออกพร้อมหนึ่งประโยคน่าประหลาดสำหรับเขา

   "มาส่งดอกไม้ครับ"

   ช่วงหน้าพ้นประตูออกมานั้นไม่ใช่เหล่าพี่น้องหรือว่าเพื่อนในกลุ่ม ชายในชุดฟอร์มของบริษัทส่งดอกไม้แห่งหนึ่งขยับให้เห็นทั้งตัวเมื่อพบว่าตนไม่ได้มารบกวนเวลาพักผ่อนของคนไข้ในห้อง

   "ครับ"

   ตอบรับนิ่งๆ พลางนึกต่อไปว่าใครที่ส่งมาให้เวลานี้ ส่วนมากแล้วเขามักจะส่งกันตั้งแต่เริ่มเข้าโรงพยาบาลวันแรกๆ เหมือนอย่างช่อดอกไม้สามสี่ช่อที่เริ่มเหี่ยวเฉาแล้วตรงริมห้องนั้น แถมเขาเองก็คิดว่าไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้มากนัก บ้านนี้น่ะจะรู้ว่าป่วยก็ต่อเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วมาเล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ

   เด็กชายที่รับหน้าที่เป็นผู้ส่งสินค้าทำหน้าบอกบุญไม่ค่อยรับเท่าไหร่ตอนที่รู้ว่าปลายทางของการขนส่งคือสถานที่ที่ไม่ค่อยน่าพิสมัยมากเท่าไหร่อย่างโรงพยาบาล เขาโค้งตัวให้กับหญิงในชุดฟอร์มนางพยาบาลที่สวนออกไปก่อนจะเดินเข้าไปข้างในห้องแทน

   "คือ...มีคนส่งดอกไม้มาให้ครับ" ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีก็เลยพูดคำเดิมซ้ำอีกดีกว่า

   ...โดยเฉพาะกับสินค้าที่ดูแปลกประหลาดอย่างนี้

   "ทราบแล้ว"

   "นี่ครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม"

   'ราชา' ได้แต่จ้องมันอยู่อย่างนั้น เขาพินิจช่อดอกไม้สีแปลกในอ้อมแขนของตัวเอง ยกมือขึ้นมาแตะกลีบบางของมันอย่างระมัดระวัง ไม่เคยเห็นการจัดดอกไม้แบบนี้ ไม่สิ ไม่เคยคิดว่าจะได้รับดอกไม้อย่างนี้เป็นของเยี่ยมไข้เลยต่างหาก

   กุหลาบสีดำที่มีดอกไม้ขนาดเล็กสีขาวแซมอยู่ประปราย จัดรวมเป็นช่อไว้อย่างสวยงาม

   ไม่น่าใช่ของเยี่ยมคนป่วยสักนิด

   "มีชื่อคนรับไหม?"

   "ไม่มีครับ บอกว่าแค่คนที่นอนห้องนี้ ...ให้มาส่งวันนี้ด้วย"

   พนักงานส่งสินค้าควรจะพาตัวเองออกไปจากที่นี่ตั้งแต่ที่ลูกค้าได้รับของแล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมไป เหมือนมีอะไรบางอย่างบอกเขาว่าจะยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่าที่จะได้รับคำอนุญาต

   'คนป่วย' ที่ดูแล้วไม่เห็นว่าจะมีอาการเจ็บตรงไหน น่ากลัวจนเขาไม่กล้าทักตามมารยาท พิจารณาจากใบหน้าแล้วคงอายุไม่เท่าไหร่แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่จนเกินตัวไปไกล

   "วันนี้?"

   "ครับ โทรศัพท์มาบอกเมื่อเช้าว่าให้เอามาส่งได้แล้ว"

   คำสั่งซื้อแปลกที่สุดเท่าที่เคยได้รับมาของร้าน ทั้งชนิดของดอกไม้ที่ถูกเจาะจงมาอย่างเดียว กับการบอกว่าเดี๋ยวจะให้ส่งเมื่อไหร่ก็จะบอกเอง

   "ส่งได้แล้ว?"

   "ครับ คือตอนลูกค้าสั่งมาบอกว่าให้ส่งเมื่อไหร่เดี๋ยวจะโทรบอกเอง"

   ทุกข้อมูลยิ่งเพิ่มความแปลกประหลาด ถ้าบอกว่าโทรมาเมื่อเช้า...ก็ก่อนที่เขาจะฟื้นอีก

   "แล้วสั่งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่"

   "เอ่อ...สักครู่นะครับ" ตามระเบียบของร้านแล้วจะมีการระบุวันสั่งไว้ด้วย "เสาร์ เมื่อสี่วันที่แล้วครับ"

   สีดำไม่ชอบคำบอกเมื่อกี้เลย

   "อืม ขอบคุณ ไปเถอะ"

   ตัดบทสั้นห้วน ทิวากาลไม่สนว่าพนักงานจะไปที่ไหนอย่างไรแล้ว เขาเอาแต่มองดอกไม้สีแปลกที่วางไว้บนตักของตัวเองอยู่อย่างนั้น ช่วงเวลาสี่วันที่แล้วก็คือวันที่เขาเพิ่งเข้าโรงพยาบาล  ทุกอย่างดูลงตัวจนเกินไป

   ตื่นมาก็มีเรื่องให้ประหลาดใจเต็มไปหมด

   "ดอกไม้สวย"

   เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นน้องสาวฝาแฝดของตัวเองชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ เห็นอยู่ตรงสุดสายตาว่ามีร่างของใครบางคนกำลังหลบอยู่

   "ทำไมมาส่ง?" หมายถึงทำไมผู้ชายหัวสีแปลกที่ไม่กลัวเป็นมะเร็งที่พี่พยาบาลพูดถึงก่อนหน้านี้

   รัตติกาลตอบกลับนิ่ง "ก็ตัวเองอยู่ที่นี่"

   กลายเป็นความผิดของเขาไปเสียอย่างนั้น ครึ่งชีวิตคนพี่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยให้พอรู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่น่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะมีคนขับรถของบ้านคอยส่งทุกเช้าเย็น ส่วนตั้งแต่ที่เขากึ่งบังคับให้มาอยู่ด้วยแล้วก็เป็นตัวเขาเองนี่แหละที่คอยรับส่ง

   "นั่นใช่เหตุผลไหม"

   "ใช่"

   "เอาเถอะ" ถ้ามีคนยอมคงต้องเป็นเขาอยู่แล้วล่ะ ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ว่าตั้งแต่เห็นผู้ชายคนนั้นอีกครั้งเขาก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร "แล้วคนอื่น?"

   "คงตามมา รู้หมดแล้ว"

   "โอเค"

   การพูดคุยที่เป็นการถามคำตอบคำ เขาไม่เคยเชื่อเรื่องที่มีคนบอกว่าฝาแฝดจะมาพร้อมสิ่งพิเศษคอยเชื่อมกันเอาไว้ น่าเศร้าตรงที่สุดท้ายแล้วได้แต่ยอมรับว่าสิ่งนั้นมันมีอยู่จริง เขาไม่ต้องถามอะไรมันก็มีบางอย่างส่งมาถึงเองโดยไม่ต้องขอคำอธิบายเพิ่มเติม

   "แล้วนั่น..." นั่นคือดอกไม้สีดำ "ใคร?"

   "ไม่รู้"

   คนบาปที่มักจะพูดน้อยเป็นปกติอยู่แล้วเงียบไปถนัดตา เขาเป็นไม่กี่คนที่อ่านความรู้สึกของเธอได้แม้ภายในนัยน์ตาว่างเปล่านั้นจะดูไร้ชีวิตตลอดเวลา น้องสาวของเขากำลังมีเรื่องกังวลใจ
   
   "ทำไม?"

   "ดอกกุหลาบสีดำ" รัตติกาลเว้นช่วงให้ตนได้หายใจทั่วทั้งท้อง หล่อนชอบดอกไม้...รวมถึงชอบที่จะตามหาความหมายของมันด้วย "หมายถึงรักนิรันดร์"

   ...ส่วนสิ่งที่เขาเพิ่งรู้หลังจากนั้นไม่นาน

   มันหมายถึง 'รักที่ไม่มีจริง' ได้เช่นกัน



   ตราบนรอยครั่งไม่มีความแตกต่างกับรอยประทับตรงผิวเนื้อ

   ลวดลายแปลกที่คิดว่าน่าจะเป็นคำ ใช้หลักเรื่องรูปเรขาคณิตที่ดูไม่ยุ่งยากอะไรแต่ออกมาเป็นสัญลักษณ์สวยงามและไม่มีใครเหมือน เขาเพิ่งพบว่าตนเองมีรอยประทับนี้ก็ตอนที่นางพยาบาลมาเช็ดตัวให้แล้วแสบผิวหนังจนต้องตรวจสอบดูเองว่าโดนอะไรมานั่นแหละ

   รอยที่เขามั่นใจว่าไม่มีทางไปทำให้มันเกิดขึ้นเอง

   เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับเด็กคณะนิติศาสตร์ที่อยากจะทำงานต่อในสายงานตุลาการ เพราะมีข้อกำหนดชัดว่าข้าราชการห้ามมีรอยสักเด็ดขาด เพราะงั้นถึงอยากจะไปเพิ่มรอยเส้นไว้บนร่างกายตัวเองอย่างที่เพื่อนสายเนิร์ดของตัวเองทำก็เลยทำไม่ได้

   ถึงจะสักไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องหาเรื่องไปทำรอยอื่นไว้บนร่างกายตัวเองอย่างนี้

   ตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอว่ารอยประทับนี้มาได้อย่างไร จะใช้วิธีการเดินเข้าไปถามซึ่งหน้ากับพยาบาลที่เป็นเวรคุมก็คงไม่ได้อะไร ตอนออกจากโรงพยาบาลมาเขาแบกความสงสัยจำนวนมหาศาลกลับมาด้วย ทั้งเรื่องคนให้เลือด เรื่องรอย ...แล้วก็เรื่องของดอกไม้เยี่ยมไข้

   ตรงหน้าเขาก็คือดอกกุหลาบสีดำที่ถูกเก็บรักษาไว้ในขวดแก้ว ที่เคียงข้างคือกลีบกุหลาบที่ยังสดใหม่เหมือนเพิ่งได้มาไม่นาน ส่วนที่อยู่ด้านบน...คือกระดาษที่อยู่ข้างในซองเมื่อครู่

   คำภาษาอังกฤษที่เขียนไว้ด้วยตัวอักษรแบบสวยงาม
   
   Welcome Back

   ...ยินดีต้อนรับกลับมา

   ด้านหลังของแผ่นนั้นมีการเขียนสถานที่หนึ่งไว้ ไม่มีการให้พิกัดหรือว่าแหล่งพื้นที่ มันมีเพียงชื่อร้านกันเวลาที่นัดหมายเอาไว้
หลังจากที่ได้รับดอกไม้ช่อนั้นแล้วเขาก็ไม่เคยได้รับสิ่งอื่นใดที่จะเอามาเชื่อมโยงได้อีก ร้านขายดอกไม้เองก็ไม่ได้ให้คำตอบ

   อะไรที่มากกว่าเป็นการสั่งผ่านทางโทรศัพท์ที่ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอนไม่มีอะไรน่าสงสัย

   เขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมทิ้งมันไปเสีย

   ดอกไม้ช่อนี้เป็นช่อเดียวที่ทิวากาลหยิบติดมือกลับมาด้วยตอนย้ายกลับมาพักฟื้นที่บ้าน จัดการหาวิธีการเก็บรักษามันไว้ให้อยู่ในสภาพดีที่สุด หวังว่าสักวันคงจะรู้ว่าเจ้าของดอกไม้ช่อประหลาดนี้เป็นใคร แล้วจุดประสงค์ของการมอบนั้นคืออะไรกันแน่

   รักนิรันดร์อย่างนั้นเหรอ?

   ดอกไม้ที่ดูแล้วไม่มีความเป็นธรรมชาติในเรื่องของสีสัน นอกจากจะไม่ได้เป็นสีที่ให้ความรู้สึกสดใสแล้วสำหรับบางคนมันยังเต็มไปด้วยความหดหู่อีกต่างหาก

   สีดำเป็นสีของความตาย

   สีแห่งอัปมงคล สีที่เต็มไปด้วยความเศร้ากระจายตัวอยู่ทุกอณู มันเลยน่าประหลาดใจที่มีคนเอาสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายถึงความรักอย่างดอกกุหลาบมาแต่งแต้มให้เป็นสีดำสนิท ให้ความรู้สึกย้อนแย้งในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

   ถ้าจะให้เปรียบแล้วตอนนี้ทิวากาลก็เหมือนคนที่ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีแม้แต่จุดแสงไฟ แค่จะก้าวเดินออกไปเพียงครั้งเดียวก็อาจจะพาเขาหลุดหายไปในหลุมอวกาศก็เป็นได้

   กุหลาบไม่มีหนาม อาจเป็นเพราะเหล่าก้านแหลมคมนั้นมันย้ายเข้ามาอยู่ในหัวใจ เขายอมรับเลยว่าเรื่องนี้เป็นหนามยอกที่ติดอยู่ตั้งแต่สัมผัสแรกที่ได้รับจากช่อดอกไม้นั้น ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่าเจ้าของดอกไม้จะต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรกับตราประทับนี้อย่างแน่นอน

   คำว่าทางเลือกหมายถึงมีหลายทางออก แล้วทำไมทางเลือกที่เขามีตอนนี้ถึงได้มีเพียงอย่างเดียวคือต้องไปเสียอย่างนั้นนะ



   ทิวากาลมาก่อนเวลาอย่างที่ชอบทำ

   และเป็นอีกครั้งที่เขาไม่ได้เข้าไปยังสถานที่นัดกันไว้ก่อน ร้านอาหารกลางใจเมืองที่ต้องขับรถเข้ามาลึกพอสมควรถึงจะเจอ มีรถเพียงไม่กี่คันจอดอยู่ตรงลานจอดรถ เรียกสไตล์ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ตัวโครงบ้านเป็นแบบไทยแต่ว่าตกแต่งหนักไปทางยุโรปเสียมากกว่า อดสงสัยไม่ได้ว่ายังมีพื้นที่อย่างนี้หลงเหลืออยู่กลางป่าตึกได้อย่างไร

   ไม่มีชื่อจองเอาไว้ล่วงหน้า และไม่มีบริกรสักคนเข้ามาถามไถ่ ลูกค้าที่อยู่ภายในร้านต่างไม่มีใครสนใจผู้มาใหม่ ร้านนี้มีทั้งส่วนที่เป็นห้องกระจกติดเครื่องปรับอากาศแล้วก็ตรงริมระเบียงไม้ ใช้การกวาดตาเพียงแค่ครั้งเดียวก็เจอว่าตรงไหนคือจุดที่เขาต้องไป

   โต๊ะริมสุดตรงริมระเบียงที่มีดอกกุหลาบสีดำวางเด่น

   ทิวากาลไม่ค่อยชอบสัญลักษณ์นี้มากเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าเขาชื่อแบล็คซึ่งแปลได้ตรงตัวว่าสีดำ และอีกอย่างคือเขาไม่ชอบดอกไม้ไม่ว่าจะชนิดใดก็ตามที

   พ่อก็เคยถามเล่นๆ ว่าไม่ได้เสียใจอะไรใช่ไหมที่ได้ชื่อนี้เป็นชื่อเล่น แล้วเขาก็ตอบว่าไม่ได้คิดะไร ชื่อนี้มันก็ดีอยู่แล้ว

   มองนาฬิกาข้อมือที่เป็นของตกทอดมาจากบิดา เข็มที่ชี้ตรงเลขสิบสองเหมือนกันบอกว่าถึงเวลานัดหมาย เขาเดินเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ตัวในเพื่อให้สามารถมองออกไปเห็นได้ว่า 'ใคร' คือเจ้าของผลงานทั้งหมด

   ความร่มรื่นที่ไม่น่าจะหาเจอได้ในพื้นที่ล้อมรอบไปด้วยตึกสูงอย่างนี้ ถ้าลองเอาโดรนขึ้นไปถ่ายคงเห็นเป็นหลุมสีเขียวกลางพื้นที่คอนกรีตสีหม่น เขาหลับตาลงไล่ความล้าของทั้งร่างกายแล้วก็สมอง ลมในช่วงฤดูฝนทั้งหนาวแล้วก็อ้าวได้ในเวลาเดียวกัน

   ผ่านไปนานพอสมควรนัยน์ตาสีดำก็กลับมาฉายแววอีกครั้ง คำนวณเวลาดูแล้วนี่มันเกินเวลานัดไปพอสมควรแล้วทำไมถึงยังไม่เห็นใคร

   บ้าชะมัด
   
   ผู้หญิง...หรือผู้ชายก็ไม่รู้ ผมยาวหยักศกทิ้งตัวลงไปด้านหลังมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

   ที่น่าประหลาดใจคือเขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า ทุกคนมีจังหวะการเดินที่แตกต่างกันไป บางคนเดินเต็มเท้า บางคนเดินลากเท้า มันเลยส่งผลให้เสียงการเดินนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าได้ยินไปนานๆ ก็จะจับทางได้ว่าใครกำลังเดินมาหา การฝึกฝนตั้งแต่เด็กนอกจากจะทำให้เขาเป็นคนช่างสังเกตแล้วก็ยังมีสายตารวมถึงการได้ยินที่ดี

   คนปริศนาคลี่ยิ้มมุมปาก น้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนคุ้นหูอย่างน่าประหลาด

   "เราได้เจอกันแล้วนะ"


***
   สอบเสร็จจริงๆ แล้วค่ะ แต่งานยังเหลืออีกมากมายมหาศาลให้ตามไปเคลียร์ /ปาดเหงื่อและน้ำตา ตอนหน้ามาดูกันต่อว่าเขาคือใครกันเนอะ (ยิ้ม)
   เรื่องนี้ยังไม่กล้าคอนเฟิร์มเรื่องความซับซ้อนค่ะ แต่ที่ตั้งใจไว้คือไม่ให้มีอะไรมาก...ตามที่ตั้งใจแต่หมายความว่าเปลี่ยนได้ตลอดตราบใดที่ยังไม่เลิกแต่งตอนต่อตอนอย่างนี้นะคะ (หัวเราะ) ขอบคุณทุกการบวกและคอมเมนท์ค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.2-2 [01.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-06-2016 22:43:11
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.2-2 [01.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 03-06-2016 05:15:12
อ่านเรื่องก่อนแล้วอยากเป็นควีน พอมาเจอควีนออกมาคำเดียว...อย่างหลอน

แม่จ๋าาาา หนูกลัววววว :ling3:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.2-2 [01.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: elieanna ที่ 03-06-2016 10:36:44
ขอบคุณค่า อยากรู้จังว่าใคร
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.2-2 [01.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 11-06-2016 07:11:40
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.3-1 [11.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-06-2016 18:01:34
CH.3-1

   "คุณเป็นใคร?"

   จะโดนหาว่าไร้มนุษย์สัมพันธ์ก็ช่าง ทิวากาลเองไม่ใช่คนจำพวกที่ต้องรักษาน้ำใจคนอื่นตลอดเวลาอยู่แล้ว ตอนนี้เขาอารมณ์เสียค่อนข้างมากเลยล่ะ

   ไม่รู้ว่าจากอากาศร้อน หรือสัญชาตญาณที่กำลังบอกว่าคนตรงหน้าอันตราย...

   แล้วไอ้ประโยคที่บอกว่าได้เจอกันแล้วนั่นหมายความว่ายังไง เราเคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ คนที่มีความโดดเด่นอยู่ในตัวขนาดนี้เขาไม่มีทางลืมได้หรอก

   "เราเคยพบกัน ...เมื่อนานมาแล้ว"

   เสียงทุ้มที่เกินหญิงบอกเขาว่าคนตรงข้ามคือผู้ชาย นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ทำไมอีกฝ่ายถึงตอบราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ "แล้วก็จะได้อยู่กันไปอีกนานเลยล่ะ"

   รอยยิ้มเป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน คงต้องยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นการขยับองศาของริมฝีปากแบบนี้ ยิ้มที่เหมือนจะดูจริงใจ แต่กลับเคลือบไปด้วยยาพิษชนิดร้ายแรง

   "ส่งกุหลาบพวกนั้นมาทำไม?"

   เริ่มถามด้วยอะไรที่มั่นใจได้ว่าต้องเกี่ยวกับคนตรงหน้า ในขณะที่ผู้มาใหม่ไม่ยอมตอบ กลับโบกมือเรียกเมนูจากบริกรมาเสียอีก

   "ขอรายการด้วยครับ"

   "คุณ..."

   "ร้านนี้มีอาหารไทยโบราณเยอะเลยนะ อยากลองผัดไทเส้นจันท์ไหม?"

   ทิวากาลลอบถอนหายใจข้างใน ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางเอาไว้ จงใจเงียบเป็นการเริ่มสงครามประสาท ถ้าถามว่าทำไมไม่เดินออกไปให้รู้แล้วรู้รอด คนแบบนี้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาไม่ยอมเดินตามเกมง่ายๆ อย่างนั้นหรอก ถ้าอยากรู้ว่าเขากำลังต้องเผชิญกับอะไร ก็ควรตามน้ำไปก่อน ค่อยๆ เก็บข้อมูลแล้วตัดสินใจขั้นต่อไปก็ยังไม่สาย

   ที่นั่งตรงข้ามทำเป็นทองไม่รู้ร้อน จัดการสั่งอาหารสามสี่อย่างพร้อมเครื่องดื่มสมุนไพรไทยเสร็จสรรพ แถมยังมีการยกนิ้วขึ้นมาเป็นการประกอบอีก

   ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

   จากสงครามเย็นก็เพิ่มเกมจ้องตาเข้าไปเสียอย่างนั้น สีดำยังคงอยู่ในท่าเดิมในขณะที่อีกคนเปลี่ยนไปนั่งหลังตรงแล้วกุมมือประสานวางไว้ตรงตัก การนั่งหลังตรงที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี ให้ความรู้สึกแบบพวกผู้ดีเก่า พูดน้อย ท่ามาก แล้วยังมานัดเจอกันในที่อย่างนี้อีกต่างหาก

   นั่งพินิจรูปลักษณ์เป็นการฆ่าเวลา รูปหน้าสวยติดหวานแต่ยังคงเห็นได้ชัดว่าเป็นโครงหน้าแบบผู้ชาย บวกกับเรือนผมหยักศกยาวลงไปแล้วไม่น่าแปลกใจถ้าจะมีคนเข้าใจผิด จมูกโด่งทรงแปลกรับเข้ากับริมฝีปากปากเฉียบที่เอ่ยออกมาแต่คำพูดเข้าใจยาก

   ส่วนสะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นนัยน์ตาสีแปลกเรียกไม่ถูกว่ามันคือสีน้ำตาลหรือไม่ รูปตาเฉี่ยวไม่ใช่ทั้งคนไทยแล้วก็ไม่ได้ให้กลิ่นไอแบบยุโรป เหมือนกับเป็นการผสมของชนชาติหลากหลายจนมาลงตัวแบบนี้ ช่วงตัวด้านบนสวมเสื้อฝ้ายสีขาวสะอาดปักลายรอบช่วงคอ มีเครื่องประดับเป็นสร้อยสีเงินเส้นยาวห้อยลงมาจนถึงกลางอก มีแต่สายไร้จี้ประดับ ดูดีแบบเรียบๆ ...ดูเข้ากับเขาดี

   ถึงคนจะน้อย กว่าอาหารทั้งหมดจะมาเสิร์ฟจนครบก็ใช้เวลานานพอควร เกมสงครามของทั้งคู่จึงต้องพักลงชั่วคราว ทิวากาลมองอาหารในจานที่ถูกประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม คงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงช้าขนาดนี้

   "ผมไม่ใส่อะไรไว้หรอกครับ"

   ชายหนุ่มเพียงปรายตามองอาหารที่ส่งกลิ่นหอมฉุย ควันจางๆ ยังคงลอยเอื่อยบอกว่าเพิ่งทำเสร็จได้ไม่นาน นิ้วมือข้างซ้ายที่ไม่ได้เท้าคางเอาไว้เริ่มขยับเป็นจังหวะอย่างที่ชอบทำ ทิวากาลเปลี่ยนเป็นนั่งหลังตรงเพื่อเลียนแบบ ตั้งรับให้พร้อมสำหรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้

   "อร่อยจริงๆ นะครับ อยากให้ลองดู"

   อย่างกับมีเครื่องปรับบรรยากาศอยู่รอบข้างหรือไงก็ไม่รู้ เขาว่าตัวเองก็แสดงออกชัดนะว่าไม่พอใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กลับกันคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก้มหน้าเขี่ยผักโรยออกไปไว้ขอบจานไม่สนใจอะไร ราชาไม่เคยต้องมาเดินตามทางที่คนอื่นขีดไว้ให้ คงต้องเริ่มใช้มาตรการถัดไปแล้วล่ะ

   เขาผุดลุกขึ้นจากที่นั่งเสียงดังผิดวิสัย "ขอบคุณสำหรับการแนะนำร้าน"

   อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มพราย...ราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้

   "คุณไม่ไปหรอก"

   "?"

   "รีบกลับมาหน่อยนะครับ อยากให้ลองน้ำผัดไทสูตรที่นี่"

   ความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นผู้ควบคุมมาโดยตลอดถูกท้าทายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำจากชายแปลกหน้า ทิวากาลไล่ความระแวงที่ก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยให้ออกไปจากสมอง ลุกออกจากที่นั่งไปทางหน้าร้านโดยไม่หันหลังกลับมามองว่ามีสิ่งใดบ้างเกิดขึ้นด้านหลัง

   กดรีโมตปลดล็อครถ ตอนที่เปิดประตูก็ดันสะดุดกับซองจดหมายที่วางไว้อยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ ทุกอย่างเกือบจะร้อยเรียงได้เป็นเรื่องเดียวกัน กุญแจสุดท้ายคือคนตรงนั้น

   "นรก..."

   ไม่รู้จะสบถคำไหนออกมาให้สมกับความอึดอัดที่สุมอยู่ข้างในจนเกือบล้น แบล็ครู้ว่าตัวเองควรควบคุมทุกอย่างไว้ให้ได้ ไม่ว่าอารมณ์ของตัวเองหรือว่าการเจรจาที่อาจเกิดขึ้น รู้ทั้งรู้แต่แค่เห็นรอยยิ้มร้ายอย่างนั้นก็พาลทำลายทุกความตั้งใจของตัวเองลง

   เขาไม่เคยต้องเดินตามใคร

   ราชาคือผู้นำ ผู้ที่ต้องอยู่หน้า จะให้ใครมาล้ำเส้นแบ่งไปไม่ได้

   อย่างเรื่องดอกกุหลาบหรือรอยประทับเขาพอผ่านเลยมันไปได้ เรื่องเดียวที่ค้างอยู่อย่างนั้นไม่หายไปไหนคือเรื่องเลือด

   บอกแล้วไงว่าทิวากาลไม่เคยติดหนี้บุญคุณใคร

   'คุณไม่ไปหรอก'

   เสียงแว่วแทรกมากับสายลมพัดผ่าน ลักษณะน้ำเสียงใสรื่นหูจนติดค้างอยู่ในความทรงจำไม่ยอมออกไปไหน มันวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนเขาตัดสินใจปิดประตูรถยนต์เสีย

   อยากจะรู้ก็ต้องยอมเสี่ยง

   "ต้องการอะไร"

   ก่อนจะเข้ามาก็หลบไปอัดสารพิษเข้ปอดเพื่อลดความเครียดภายในร่างกาย กลิ่นยาเส้นลอยอวลอย่างถ้าน้องชายคนเล็กได้กลิ่นแล้วจะต้องโวยวายไปอีกหลายชั่วโมง แต่คนที่นั่งทานอาหารจนเกือบเกลี้ยงจานแล้วก็แค่ก้มหน้าทานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   "ทานก่อน"

   "ผมไม่มีเวลา"

   "แต่ผมมี"

   "คุณ..."

   นัยน์ตาสีแปลกมองตรงมาที่เขา...แน่วแน่ราวกับว่าไม่เคยมองใครอื่น

   "ทุกคนมีเหตุผลถึงรอ"

   แล้วคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักชื่อก็จมอยู่กับจานอาหารของตัวเองต่อไป ปกติแล้วทิวากาลไม่ค่อยทานอาหารประเภทเส้นอย่างนี้มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นอาหารที่หาทานแบบอร่อยๆ ยากอย่างนี้แล้วก็ไม่อยากเสี่ยงมากเท่าไหร่

   โดยธรรมชาติของการมาร้านอาหารแล้วไม่ค่อยมีใครสั่งอาหารมามากเกินกว่าความสามารถในการทาน เขาไม่สบอารมณ์เอาเสียเลยที่ของบนโต๊ะนั้นเต็มไปหมดเหมือนกับกำลังบอกทางอ้อมว่ายังไงก็ต้องร่วมโต๊ะอยู่ดี ตัวผอมอย่างนั้นคงกินเข้าไปได้อีกไม่เท่าไหร่ก็อิ่มแล้วล่ะมั้ง

   "เค้กชาไทยสองครับ"

   "ยื้อเวลา?"

   จานอาหารที่เคยเต็มไปด้วยของหลากหลายสีสันถูกยกออกไปพร้อมกับการสั่งของหวาน มื้ออาหารแห่งความเงียบจบลงแล้ว ทิวากาลเอื้อมมือไปหยิบกระดาษซับที่ถูกพับไว้เป็นทรงสวยงามมาเช็ดมุมปากให้เรียบร้อย เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่อาหารไทยถูกปาก ทุกรายการถูกปรุงรสไว้พอดี จนสัมผัสได้ถึงความใส่ใจในทุกขั้นตอน สงสัยคงได้พาน้องมาลองทานบ้าง

   "เปล่าครับ" แก้วน้ำชาแบบฝรั่งถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก คนแปลกกับชาสมุนไพรให้กลิ่นแปลกไม่ต่างกัน "บอกแล้วว่าทุกการกระทำมันมีเหตุผลรองรับ"

   "แต่ผมไม่มี"

   "ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงไม่นั่งร่วมโต๊ะกับผมอย่างนี้หรอกครับ"

   เซรามิคที่เคยเต็มไปด้วยน้ำสีชากลายเป็นแก้วเปล่ายามวางมันลงกับโต๊ะไม้ "รอหน่อยแล้วกัน รอจนกว่าจะถึงเวลาของเรา"

   "ผมไม่เคยเอาเวลาของตัวเองไปผูกกับใคร"

   "คุณเลือกไม่ได้สักหน่อย" ทิวากาลเกลียดการกระตุกยิ้มแบบนั้น "เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็เลือกไม่ได้"

   "ผม จะ เลือก"

   นิสัยเอาแต่ใจอย่างที่ไม่ค่อยได้นำออกมาใช้มากนัก ปกติแล้วแบล็คจะปล่อยให้น้องสาวหรือไม่ก็น้องชายเป็นคนใช้ด้านนี้เสียเกือบหมด ส่วนหนึ่งเขาก็รู้ตัวเองว่าถ้าลองคนอย่างสีดำได้ทำตามใจแล้วทุกอย่างมันคือประกาศิตที่ 'ต้อง' ทำตาม

   "น้ำตาลช่วยให้อารมณ์ดีนะครับ"

   ของหวานสองชิ้นวางแยกกันอยู่ในจานขนาดเล็กสีขาวสวย ขอบจานประดับไว้ด้วยลวดลายดอกไม้สีน้ำเงินแซมด้วยเถาวัลย์จนครบรอบ ส่วนเค้กสีชาไทยนั้นถูกตัดเป็นทรงเหลี่ยมมีแผ่นไวท์ช็อคโกแลตพิมพ์ชื่อร้านวางไว้ข้างบน ทุกอย่างสมบูรณ์แบบจนอดคิดไม่ได้ว่าใครกันที่เป็นเจ้าของความเอาใจใส่เหล่านี้

   "ขนาดผมเองยังไม่เคยเลือกได้เลย คุณทำใจสบายๆ ดีกว่านะ" ขณะที่ผู้สูงศักดิ์บนบัลลังก์นั่งนิ่ง ชายผู้ไร้ซึ่งสิ่งบ่งชี้ตัวตนก็ขยับจานหนึ่งมาไว้ตรงหน้าเขา นิ้วยาว ขาวสะอาด ไม่ถึงกับผอมจนเห็นโครงกระดูกเคาะตรงริมจานสองสามครั้งเป็นการสั่งแบบไม่ต้องออกเสียงว่าสิ่งที่ควรทำต่อไปคืออะไร

   "ผมไม่ใช่คนชอบรอ"

   "ไม่มีใครชอบหรอกครับ"

   ไหล่เล็กจนเห็นไหปลาร้าชัดยักขึ้นอย่างคนไม่ยี่หระเท่าไหร่ จากนั้นก็หยิบช้อนเงินคันเล็กที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาตักของหวาน "แต่บางอย่างมันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป"

   น้องโรมเคยพูดว่าใครที่สามารถคุยกับไวท์ได้รู้เรื่องทั้งหมดคือคนเก่ง ตอนนี้เขารู้แล้วล่ะว่าตัวเองเป็นคนเก่งเรื่องการตีความคำกำกวม

   คำที่เขาควรจะสงสัย...หากกลับเข้าใจมันเกือบทั้งหมด

   "เวลาเป็นของมีค่า" คำเปรยออกมาจากปากของชายที่ยังไม่เข้าใจสถานะของตัวเอง ขณะที่สายตามองออกไปยังจุดกระตุกความสงสัยมาได้พักใหญ่แล้ว

   "ใช่"

   "...แต่บางคนกลับเอาเวลามาทิ้งขว้างกับของหวานที่ทำลายสุขภาพ"

   อีกครั้งที่ทิวากาลบอกตัวเองว่าเขาเกลียดการยกมุมปากขึ้นแบบนั้น "ผมบอกแล้วไงว่าทุกคนมีเหตุผลของการรอ"

   "รอมากไปก็ไม่ดี"

   "คุณอาจต้องรอมากกว่านี้อนาคตก็ได้นะ"

   "ตามผมมา"

   แบงค์สีเทาถูกวางทับไว้ใต้กาน้ำชาโดยต่างฝ่ายต่างไม่สนใจรอเงินทอน เค้กที่วางไว้บนโต๊ะนั้นแทบไม่ได้ทำหน้าที่ของของตัวเอง แบล็คยุติทุกการรอคอยด้วยตัวเองอย่างที่ได้บอกไว้
   
   หนึ่งในความสามารถพิเศษที่เกิดจากความจำเป็นต้องฝึกเอาไว้คือเรื่องการเป็นคนช่างสังเกต เขาเห็นแล้วว่าโต๊ะที่เยื้องไปในห้องปรับอากาศมาหลังจากที่ชายผมยาวคนนี้มานั่งได้ไม่นาน สั่งเพียงเค้กหนึ่งชิ้นกับน้ำเปล่าที่ดูไม่เข้ากัน จากการคาดคะเนแล้วเขาต้องอยู่ตรงนี้มานานมากกว่าชั่วโมงครึ่งหรืออาจจะสองชั่วโมงแล้วก็เป็นได้

   ไม่มีการหยิบอะไรขึ้นมาอ่าน จะมีก็เพียงการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาในช่วงสั้นๆ แล้วรีบเก็บลงไปราวกับกลัวว่าจะพลาดอะไรไป ทุกอย่างผิดปกติจนเขารู้สึกได้

   แล้วถ้าเป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาสองคนเดินออกไปจากพื้นที่แห่งนี้

   ใช่...อย่างที่คิดไว้

   เขาดันอีกคนให้เข้าไปอยู่ในรถอีโค่คาร์ของตัวเอง ก่อนจะปิดประตูก็ถลึงตาให้รู้ว่าอย่าคิดตุกติกอะไร รีบก้าวอ้อมไปฝั่งของตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดการหลบหนีขึ้น

   "เอาล่ะ...อยากให้ผมใช้เวลาให้คุ้มก็ได้"

   ยอมรับโดยดุษฎีว่าตอนนี้เขาชักควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ไม่ค่อยได้แล้ว ร่างกายแปลกไปเมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามากระตุ้นให้เกิดบรรยากาศที่ยากจะอธิบายว่ามันอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

   จัดการสตาร์ทรถแล้วขับออกไปจากร้านกลางสวนตึก ยังไม่ทันพ้นหน้าซอยเพื่อออกไปทางถนนใหญ่ก็เห็นได้จากกระจกหน้ารถว่ามีรถอีกคันขับตามมาโดยเว้นระยะห่างไว้พอสมควร ไฟที่ยังคงเป็นสีแดงอยู่เลยทำให้มีเวลาคิดได้มากขึ้น ถ้าอยากรู้ว่าสิ่งที่กำลังสงสัยเป็นจริงหรือเปล่าก็ต้องลองดู

   "ไม่ต้องไปที่ไหนต่อใช่ไหม?"

   "ผมจัดการตารางวันนี้ให้ว่างไว้แล้วครับ"

   "งั้นไปนั่งรถเล่นด้วยกันหน่อย"



   โชคดีตรงบ้านของสีดำอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเมือง การที่เขาขับลัดเลาะไปตามเส้นทางจึงดูไม่น่าสงสัยเท่าไหร่ว่านี่เป็นการจงใจทดสอบข้อสันนิษฐาน ช่องความเร็วชี้ไปตรงเลขแปดสิบอย่างที่มีการรณรงค์ไม่ขาดไม่เกิน

   "ขอเปลี่ยนช่องได้ไหมครับ" ปากบอกว่าขอแต่มือเตรียมกดปุ่มหาช่องคลื่นวิทยุใหม่แล้ว ช่วยเข้าใจสถานการณ์หน่อยได้ไหมว่าเรายังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ!

   "เชิญ"

   บ่นได้แค่ในใจ สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่อนุญาตไปตามนั้น ยังมีอย่างอื่นต้องให้ความสนใจมากกว่าคลื่นเพลง คนขับคงมีประสบการณ์มากอยู่พอควรถึงเว้นระยะไว้อย่างดี ไม่ชิดไปแต่ก็ไม่มีทางที่สะบัดหลุดออกไปได้โดยง่าย ไม่อยากจะเร่งเครื่องหนีไปตอนนี้เพราะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียเปล่าๆ

   จากเสียงเพลงไทยร่วมสมัยก็กลายเป็นเพลงสากลยุคเก้าศูนย์ แอบมองดูว่าก้อนปริศนาที่อยู่ข้างตัวมีอาการตอบสนองกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ชายที่เขายังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเท้าแขนออกไปนอกหน้าต่าง ฮัมเพลงตามไปอย่างสบายอารมณ์ ไม่เหมือนคนที่กำลังรู้ตัวว่าตนเองกำลังโดนติดตามอยู่

   "เราควรคุยกันเรื่องอื่นมากกว่าไหม?"

   "เช่น?"

   "อย่างเช่นแนะนำตัว"

   "นั่นสำคัญเหรอครับคิง"

   แทบจะเหยียบเบรคให้จมมิดเสียตรงนั้น น่าเสียดายที่ทำได้แค่บังคับสีหน้าไม่ให้แสดงอาการตกตะลึงออกมา

   ...นี่เขากำลังอยู่กับใครกันแน่

   "ถ้าคุณคิดว่าไอ้รถคันที่จ่อตามหลังเรามาอยู่สำคัญกว่าก็ตามใจ"

   "ไม่ใช่หนึ่ง...สอง"

   ยิ่งอีกฝ่ายเอ่ยออกมาทั้งที่ยังคงหลับตาพริ้มเขาก็ยิ่งอารมณ์เสีย เสียงที่ตามต่อออกมาคล้ายพึมพำให้ตัวเองฟัง "...มีอีกหนึ่งอยู่ทางซ้าย"

   เมื่อซ้ายมือคือฝั่งของคนนั่งข้างเขาเลยต้องมองผ่านกระจกบานเล็กเยื้องเหนือหัวขึ้นไป รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำพร้อมคนขับในชุดสูทป้องกันอุบัติเหตุ หมวกกันน็อคใบใหญ่ปิดบังทั้งใบหน้าเอาไว้จนไม่อาจทราบได้ว่าใต้นั้นเป็นผู้ที่มาด้วยกันหรือว่าจะเป็นเพียงคนที่ผ่านมาใช้ถนนร่วมกัน

   จะถึงตัวบ้านในอีกไม่นาน ทิวากาลตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในซอยทางลัดที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากเท่าไหร่ เป็นซอยทะลุไปตรงถนนส่วนกลางก่อนจะเข้าไปถึงส่วนที่เป็นพื้นที่ของบ้าน บ้านที่ไม่มีใครอื่นมาปลูกเรือนอยู่ใกล้จนมั่นใจได้ว่าถ้าไม่ใช่คนเคยมาแล้วไม่มีทางรู้จักซอยนี้เด็ดขาด

   เพราะอย่างนั้นตอนที่เขาเดินทางมาเกือบครึ่งซอยแล้วยังมีรถทั้งสองคันตามติดมามันเลยบอกได้ว่าเป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้มันอยู่ที่ชายผมยาวคนนี้จริงๆ

   "พวกนั้นรู้รึเปล่าว่ากำลังบุกรุกถนนส่วนบุคคลน่ะ"

   "คิดว่าไม่ครับ"

   ไม่มีความกังวลเจืออยู่ในการตอบนั้นสักนิด ราวกับว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิต

   "สบายใจจังเลยนะ"

   "แล้วจะกังวลไปทำไปล่ะครับ" ใช่ว่าเขาไม่เห็นว่าคนนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถไม่เคยหันกลับไปมองด้านหลังเลยสักนิด ไม่แม้...จะเหลือบตามองกระจกที่ติดอยู่ตรงหน้ารถเสียด้วยซ้ำ

   ปกติแล้วคนที่โดนสะกดรอยตามยังสบายใจต่อไปได้นานแค่ไหนกัน ขนาดคนที่จับพลัดจับพลูต้องมาเป็นสารถีพาหนีอย่างเขายังเครียดไม่ใช่น้อย

   "ต้องลงทุนอะไรขนาดนี้"

   "ผมก็คิดอย่างนั้นครับ"

   "ลำบากคนอื่น"

   จิกกัดด้วยการเน้นคำว่าคนอื่นเสียงเข้ม แบล็คหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดรั้วบ้านเตรียมถอยเข้าซองให้เสร็จในครั้งเดียว บริเวณที่จอดรถว่างเปล่าไร้ร่องรอยของเครื่องยนต์คันอื่นซึ่งแสดงว่านอกจากน้องสาวที่เป็นพวกติดบ้านของเขาแล้วน่าจะไม่มีใครอื่นอยู่ ดีเหมือนกัน เขาก็คิดไม่ออกว่าถ้าหากมีใครอื่นมาเห็นเข้าแล้วจะแนะนำคนที่นั่งมาด้วยว่าอย่างไรดี

   "แล้วใครบอกว่าคุณเป็นคนอื่นล่ะครับ"

   "ช่วยระลึกไว้หน่อยว่าผมกับคุณเพิ่งคุยกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง"

   "เหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิดไปหน่อยนะครับราชา"

   ครั้งที่สองแล้วที่ 'ชื่อ' ของเขาออกมาจากปากของอีกฝ่าย

   ไม่ใช่คนรู้จักอย่างแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่คนที่เคยเจอกันเสียด้วยซ้ำ ค้นความทรงจำภายในสมองของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาให้คำตอบแบบเดิมว่าเขาไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อน ต่อให้ตอนที่ได้ยินเสียงของเขาครั้งแรกแล้วรู้สึกคุ้นเคยขนาดนั้นก็ตามที จนกระทั่งรั้วเหล็กเคลื่อนตัวชิด เขาถึงหันไปทางชายในชุดขาวที่ทำตัวปกติสุข ไม่มีอาการตระหนกตกใจใดๆ ที่ต้องมาอยู่ใต้อาณาเขตไร้ทางออกอย่างนี้

   "อย่างน้อยต่อจากนี้ไปคุณก็ต้องเจอผมไปเรื่อยๆ แหละ"

   เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าการพาคนแปลกหน้ากลับมาถึงบ้านนี่มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ

   "เอาล่ะ..." ทิวากาลพยายามควบคุมเสียงของตัวเองให้ดูไม่เกรี้ยวกราดจนเกินไป เก็บทุกคำพูดที่ดูกำกวมจนสามารถตีความได้หลายแบบทั้งหลายลงไปก่อน ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำมากที่สุดคือการเค้นหาให้ได้ว่าผู้ชายผมยาวคนนี้เป็นใครกันแน่

   เอื้อมมือไปกดปุ่มล็อครถไม่ให้ใครหนีออกจากพื้นที่แคบๆ นี้ได้อีก เสียงเครื่องยนต์สับกลไกตามคำสั่งดังสู้กับเสียงเพลงที่ยังไม่ยอมหยุดเล่น ไม่ว่าการแสดงออกผ่านร่างกายหรือสีหน้าก็ไม่มีอิทธิพลต่อใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มนั้นได้เลย แกล้งทำเป็นไม่กลัว...

   หรือว่าไม่จำเป็นต้องกลัว

   "คุณเป็นใคร?"


***
   เป็นปิดเทอมที่เหนื่อยมากเลยค่ะ (ร้องไห้) อยากจะหลุดพ้นจากสภาพนี้แล้วจังเลย สำหรับเรื่องนี้เจ้าจะแบ่งตอนค่อนข้างแปลกไปจากที่หนึ่งนะคะ เจ้าจะลงเป็นสองพาร์ทในแต่ละตอนแทน เพราะว่าแต่งไม่ทันจริงๆ ค่ะ แต่ก็ยังอยากมาลงให้ได้ (หัวเราะ)
   ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.3-1 [11.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 13-06-2016 04:15:29
เหมาะกันดี เรายอมเป็นเมียน้อยแบล็คก็ได้

ถ้า...เมียหลวงจะไม่เสกหนังควายเข้าท้องอ่านะ  :laugh:

ขอบคุณที่มาต่อครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.3-2 [24.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 24-06-2016 20:44:49
CH. 3-2

   กระดาษเอสี่เพียงสองแผ่นคือรายละเอียดเท่าที่หาได้

   ทิวากาลพิจารณาทุกตัวอักษรบนแผ่นกระดาษไม่ให้ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว ไม่จำเป็นต้องขีดเน้นข้อความตรงไหนเพราะว่าสามารถจำได้หมดแล้วภายในบันทึกที่เรียกว่าสมอง หนึ่งเหตุผลในการตัดสินใจเรียนต่อคณะที่ต้องใช้ความจำมหาศาล

   ไม่ถึงขั้นที่ว่าจำประมวลได้ทั้งเล่ม แค่อะไรที่สำคัญเขายังคงอธิบายองค์ประกอบได้หมดโดยไม่ต้องเปิดให้เสียเวลา

   ความสามารถที่น่าชัง...

   กว่าจะได้ข้อมูลมาไว้ในมืออย่างนี้ก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ อาศัยกลุ่มเครือข่ายที่น่าภาคภูมิใจของคุณพ่อ ไม่ว่าจะผ่านมากี่งานไม่เคยทำให้ผิดหวังทั้งในเรื่องของเวลาและคุณภาพ จะเว้นครั้งนี้ไว้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ได้รับ

   'นั่นสิ คุณคิดว่าผมเป็นใครกันล่ะ?'

   อวดดี ไม่กลัวเกรง ชายคนนั้นต่างจากทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ราชาเองก็คิดว่าตัวเองเคยเจอผู้คนมาหลากหลายรูปแบบอยู่นะ จนต้องมาเจอพันธุ์ดัดแปลงอย่างนั้นแล้วถึงรู้ว่าโลกนี้ยังกว้างกว่าที่คิดไว้เยอะ

   ข้อมูลแผ่นแรกคือใบสูติบัตรแสดงรายละเอียดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ทั้งหมด ตั้งแต่ชื่อ นามสกุล สถานที่เกิด ชื่อบิดามารดา ที่อยู่ในทะเบียนบ้าน

   พิชชา

   นั่นคือชื่อของบุคคลปริศนาผู้นั้น

   ฝ่ายพ่อเป็นตระกูลเก่าแก่สืบต่อกันมายาวนาน มารยาทผู้ดีล้านแปดนั่นคงมาจากส่วนนี้ นามสกุลของฝั่งบิดาอาจน่าสนใจแต่สิ่งที่น่าสนใจแท้จริงแล้วอยู่กับข้อมูลฝั่งมารดาต่างหาก ชื่อแปลกที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการกรอก แถมยังเต็มไปด้วยตัวอักษรที่ไม่รู้ว่าจะรวมเสียงกันได้อย่างไร นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่พิชชามีโครงหน้าแตกต่างออกไปจากคนอื่นหลายส่วน

   ในขณะที่สามารถหาแผนผังครอบครัวของของทางบิดาได้โดยง่าย ทางผู้ให้กำเนิดเขารู้เพียงชื่อเท่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งหลักฐานแห่งการสมรส ไม่ปรากฏว่าตอนนี้อาศัยอยู่ที่ไหนหรือว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แผ่นที่สองเป็นแผ่นข้อมูลการศึกษาตั้งแต่เริ่มชั้นอนุบาลจนถึงปัจจุบัน อายุห่างจากเขาปีกว่าก็น่าจะอยู่ชั้นปีที่สาม ตอนนี้เรียนคณะทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์อยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังห่างจากสถานศึกษาของเขาอีกฟากฝั่งของเมือง

   ทุกอย่างที่ได้มาเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นทั่วไป ส่วนเบื้องหลังเบื้องลึกซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการนั้นไม่มีเลยแม้แต่หนึ่งตัวอักษร ลองถามดูแล้วคนรับงานก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างคนจนปัญญา พูดเปิดแบบใจเสียด้วยซ้ำว่าไม่เคยเจองานไหนที่ปะติดปะต่อเรื่องราวยากขนาดนี้

   ยังดีที่ได้ส่วนนี้มา

   Blood type : O RH-

   กลุ่มเลือดหายากเหมือนกับของเขา

   'ไว้รู้จักชื่อผมเมื่อไหร่ค่อยเจอกันใหม่นะครับ'

   เอ่ยคำบอกลาแล้วก็หายลับ บ้านที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยพอสมควรทั้งเปลี่ยวแล้วก็อันตราย ทิวากาลที่ไม่อาจทนอยู่นิ่งได้เลยขับรถตามออกไปแทบจะในทันที คำนวณแล้วว่าต่อให้เดินเร็วมากแค่ไหนเขาก็ยังคงตามชายในเสื้อสีขาวนั้นทันอย่างแน่นอน

   เป็นครั้งแรกที่ทิวากาลคาดเดาผิด เพราะขนาดขับจนถึงหน้าปากซอยแล้วกลับไม่พบคนผมยาวนั้นเลย

   นอกจากลบข้อมูล...แล้วยังลบตัวตนได้อีก

   "เครียดอะไรอยู่"

   "หืม"

   "จ้องอย่างกับใบเชิญออก"

   "มีอะไรให้คิดนิดหน่อย" เก็บกระดาษข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิดรวมลงไปในแฟ้มเก็บงาน เขายังไม่พอใจระดับความลึกของข้อมูลจนอยากจะเก็บมันไว้วิเคราะห์อีกสักนิด เพื่อนในกลุ่มอีกสองสามคนเดินตามลงมาหลังจากหมดคาบเรียนวิชาเสรีแล้ว ส่วนเขาเองเคยลงตัวนี้ไปแล้วเมื่อตอนปีสาม เลยต้องมานั่งรอเตรียมไปทานข้าวกลางวันด้วยกันเฉยๆ

   ยังคงติดใจกับชื่อของอีกคนอยู่ ชื่อที่ได้ยินแล้วคงนึกถึงผู้หญิงมากกว่า ไม่น่าใช่ผู้ชายผมยาวที่ชอบทำตัวประหลาดจนเกือบเรียกได้ว่าไม่น่าเข้าใกล้อย่างนั้นเลย หรือว่าพ่อแม่อยากได้ลูกผู้หญิงกันนะ

   "เรื่องรูปอะนะ"

   "อย่าพูดเรื่องนั้น"

   บอกห้ามเสียงห้วนไม่ให้พูดถึงเรื่องรูปถ่ายงานบายเนียร์วันก่อน เรียกได้ว่าความพยายามรักษาพื้นที่ส่วนตัวเอาไว้ตลอดเวลาการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยหายไปกับรูปนั้นเพียงรูปเดียว เห็นเพื่อนเล่ากันว่างานนี้เป้าหมายที่จะดึงคนในร่วมกิจกรรมทะลุเป้าไปแล้ว ส่วนตัวเขาเองก็มีสถิติโดนแอดเฟรนด์ในเฟสบุ๊คทะลุเป้าเช่นกัน ไม่รู้สึกแปลกเหรอที่กล้าส่งคำขอเป็นเพื่อนให้กับคนที่เขาอาจไม่รู้จักคุณเลยก็ได้น่ะ ก็รู้กันอยู่ว่าต่อให้ร้องขอมากแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางกดตรงปุ่มเพิ่มเป็นเพื่อนอยู่แล้ว

   "อารมณ์เสียใหญ่ นี่พวกกรรมการรุ่นหน้าบานจะตายห่า"

   "ช่างมัน"

   "เออๆ แล้วเครียดเรื่องอะไร บอกได้นะมึง"

   "พิชชาแปลว่าอะไรวะ"

   "หา?"

   "เคยได้ยินชื่อพิชชาป่ะ มันมีความหมายไหม"

   มันไม่ถึงกับเป็นชื่อที่แปลกเหมือนอย่างบางคนที่เคยเจอ เพียงแค่ได้ยินแล้วตรึงอยู่ในความทรงจำไม่ยอมหลุดหายไปไหน คิดไม่ออกจนต้องลองรับไอเดียของคนอื่นดู

   "มึงก็เปิดกูเกิ้ลดิวะ พิมพ์ไปเลย พิชชา ความหมาย เรื่องแค่นี้เสือกโง่"

   โดนด่ากลับมาเสียอย่างนั้น เขาเออออไปตามคำแนะนำพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหาข้อมูลที่ต้องการบนโลกของอินเทอร์เน็ต เปิดเข้าไปสองสามเว็บจนเจอสิ่งที่ต้องการ

   พิชชา

   ผู้รอบรู้อย่างแจ่มแจ้ง ผู้หยั่งรู้

   เป็นชื่อที่มีความหมายหนักอยู่พอตัวเหมือนกันนะ

   "ชื่อใครวะ มีคนทักมาหรือไง"

   อยากจะบอกว่ายิ่งกว่าทักก็จะมากความ เขาเงียบแทบการบอกว่าจะไม่มีการเปิดช่องให้ถามถึงเจ้าของชื่อที่แปลว่าผู้หยั่งรู้อีก

   "แม่ง เงียบอย่างนี้จะไม่บอกเพื่อนฝูงเหรอ"

   "นั่นดิ ปกติเห็นสนใจแต่น้อง"

   ไม่ว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธย่อมไม่จบอยู่แค่ตรงนี้ ทิวากาลเลยเงียบปล่อยให้เหล่าเพื่อนฝูงได้เปิดประเด็นนินทาต่อหน้าต่อไปอย่างไม่คิดจะเข้าไปห้ามปราม มันก็เรื่องซ้ำๆ เดิมๆ ที่ไม่มีทางจบสิ้นตราบใดที่มนุษย์ยังอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้ต่อไปล่ะนะ

   "ไม่บอกเดี๋ยวก็ตามหาเองก็ได้ ไม่น่ายาก"

   "ตามสบายเลยครับเพื่อน" ดูจากวงโคจรชีวิตแล้วไม่น่าจะได้เจอกันง่ายอย่างนั้นเลยปล่อยให้สวมบทนักสืบกันไปตามสะดวก

   "พูดถึงชื่อพิชชานี่กูมีรู้จักคนหนึ่งนะ เป็นรุ่นน้องสมัยม.ปลาย โคตรแปลก"

   "เล่ามา กูอยากเสือกเรื่องของแบล็ค"

   "ไม่น่าเกี่ยวกันหรอก คนนี้ผู้ชาย"

   ข้อมูลค่อนข้างตรงกันเล่นเอามือที่ยังไม่หยุดตามหาข้อมูลบทอินเทอร์เน็ตชะงักค้างไป คงมีไม่มากที่ผู้ชายจะชื่อนี้ เหมือนหลายๆ คนที่คงไม่ได้ชื่อจริงว่าทิวากาลแบบเขา

   "แต่พูดแล้วก็ขอเล่าต่อ น้องแม่งแปลกสัตว์ๆ อะ กูไม่เคยเจอใครแปลกได้เท่านี้เลย"

   "มึงพูดคำว่าแปลกมากี่รอบแล้ววะ ทำไม อะไรจะขนาดนั้น"

   "แปลกดิ กูเรียนอินเตอร์มาใช่ป่ะ แม่งจะไว้ผมทรงอะไรก็ได้ ไอ้น้องคนนี้ก็ไว้ผมยาวแบบยาวกว่าผู้หญิงอีกอะ ตอนแรกกูนึกว่าพวกศาสนาไม่ให้ตัดผม แต่ทุกคนบอกว่าไม่ใช่"

   สิ่งนี้ไม่ควรเรียกว่าความบังเอิญ ภาพในความทรงจำคือชายผมยาวหยักศกที่เห็นเพียงแผ่นหลังยามประตูปิดลง

   เดี๋ยวนะ

   สะดุดกับข้อมูลที่แตกต่างกับกระดาษแผ่นที่เขาเพิ่งอ่านจบ พิชชาเรียนจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนเอกชนจากทางภาคเหนือ ไม่ใช่จากโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพอย่างที่เพื่อนเขากำลังเล่าอยู่

   ทำไมรายละเอียดถึงไม่ตรงกัน...

   "พวกสถาปัตย์ไงมึง ไว้ผมยาวกันเยอะแยะ"

   "ไม่อะ มันมีเรื่องอื่นอีก เหมือนน้องเขามีของด้วย"

   "พวกบ้าหอบฟาง?"

   "ถุย! ของแบบสิ่งลี้ดิวะ"

   "บาย เลิกคุย กูไม่ถูกกับของพวกนี้"

   "ก็เคยมีคนไปแกล้งตัดผมน้องเขาไม่ให้รู้ตัวอะ แล้วเด็กพวกนั้นแม่งย้ายโรงเรียนหนีหมดเลย บอกว่ามีอะไรก็ไม่รู้ตามมารังควาน" ท่าสยองขวัญของเพื่อนมากเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องพวกนี้มันมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนกัน "อยากดูรูปป่ะ เหมือนกูเคยเห็นไอจีอยู่"

   "ส่องครับ จัดไป"

   จากชื่อลากยาวไปถึงการตามหาตัวตนบนโลกออนไลน์ ตรงที่เขานั่งอยู่เป็นโต๊ะไม้ขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับการนั่งของทุกคน และเพื่อให้เห็นโดยทั่วกันเมื่อค้นหาหน้าหลักของอินสตาแกรมเจอแล้วจึงวางลงตรงกลางวง

   "อะ เมื่อก่อนผมยาวกว่านี้อีก"

   นักวิทยาศาสตร์บอกว่าโลกกลม และตอนนี้ทิวากาลเชื่ออย่างนั้น

   แม้ภาพสะท้อนเข้ามาในกระบอกตาจะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าเท่านั้น เขาก็มั่นใจว่า 'พิชชา' ที่กำลังพูดถึงคือคนเดียวกับคนที่เข้ามาปั่นป่วนชีวิต

   "เฮ้ย! คนนี้เหรอ กูเพิ่งเจอเมื่อตอนเช้าเองนะ ที่ตึกเรียนรวม" เพื่อนอีกคนที่ไม่ใช่ผู้เล่าเรื่องร้องแทรกขึ้นมา

   "อะไรนะ?"

   "เจอมาเมื่อเช้า เดินสวนกันตรงทางเข้าตึก ตอนแรกกูก็นึกว่าผู้หญิงแต่ตัวสูงเกินไป" ท่าทางเลียนแบบทรงผมยาวหยักยิ่งเพิ่มการการันตีเข้าไปใหญ่ "เรียนอยู่ที่นี่เหรอวะ ไม่เคยเห็นเลย"

   "ไม่นะมึง น้องเขาไม่ได้อยู่ที่นี่"

   "เหรอ แต่กูเห็นถือชีตมาเรียนเลยนะ"

   "บ้า กูจำได้ว่าเคยเห็นน้องเขาถ่ายรูปกับเพื่อนที่ม.อื่น"

   ใช่ ควรเรียนอยู่ที่อื่น ...แล้วทำไมข้อมูลบนโลกโซเชียลนี้ถึงไม่ปรากฏอยู่บนกระดาษที่เขาได้รับมา ตามปกติแล้วมันควรจะมีการบอกไว้ไม่ใช่หรือไง

   "มาหาเพื่อนล่ะมั้ง"

   "มั้ง กูหิวแล้วไปแดกข้าวกัน"
   
   พอหมดข้อมูลแบล็คก็เลยต้องพับเก็บโครงการที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับอีกคนเพิ่มไป ไว้เย็นนี้ค่อยลองกลับไปสืบหาเองก็ได้ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ได้ชื่อไอจีของพิชชามาแล้ว ถ้าโชคดีอาจพาไปเจอเฟสบุ๊คหรือไม่ก็แอคเคาท์อื่นๆ ที่จะทำให้เขารู้จักอีกฝ่ายมากกว่านี้

   ไม่อยากรู้จัก

   ...แต่ส่วนลึกในใจบอกว่า 'ต้อง' รู้จัก



   "นั่นไงน้องพิช"
   
   ทุกสายตาของคนกลุ่มใหญ่หันไปตามมือที่ชี้เป็นทางเดียว หนึ่งในนั้นก็คือทิวากาลที่มองไปเห็นตอนชายหนุ่มผมยาวกำลังก้มหน้าหาอะไรในกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กอยู่ โดดเด่นเกินใครจนละสายตาออกไปไม่ได้

   ไม่ถึงเสี้ยววินาทีนัยน์ตาทรงแปลกก็เงยขึ้นมาสบสายตาของเขาอย่างจัง ใบหน้าเด่นไม่มีแววประหลาดใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง

   ต่างจากเขาในตอนนี้

   "ฉิบหายล่ะ รู้แน่เลยว่าพูดถึงอยู่"

   "ไอ้บ้า ห่างกันตั้งไกล แม่งมองคนอื่นรึเปล่า"

   ไม่...ทิวากาลรู้ว่าสายตาที่จ้องตรงมามันหยุดอยู่ที่เขา

   "เรียนอยู่ที่นี่จริงเหรอวะ ทำไมกูไม่เคยเจอเลย"

   เห็นว่าโบกมือลากับเด็กอีกกลุ่ม แล้วก็ยังมีหนังสือเรียนเล่มหนาอยู่ในมืออีกต่างหาก เพียงพริบตาเดียวร่างของเด็กปีอ่อนกว่าก็หายไปตรงมุมตึก ทิ้งให้กลุ่มผู้ชายช่างเจรจาเปิดวงสนทนาต่อไปไม่มีหยุด

   "แปลกแบบที่กูบอกไหมล่ะ"

   "เออ แค่เห็นหน้ายังรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้"

   "แม่ง กูรู้สึกเหมือนตอนเจอแบล็คครั้งแรกเลย คล้ายๆ กัน" หันไปมองหน้าชายร่วมกลุ่มที่เริ่มคิ้วขมวดจนใกล้จะชิดกันแล้ว มองหน้ากลับพลางทำหน้าตาล้อเลียน "ดูเฮฮาแต่ก็ไม่อยากเข้าไปรู้จักเท่าไหร่"

   "งั้นเลิกคบกันตอนนี้ไหม"

   "ไม่ทันแล้วไหมสัตว์ แต่ฟีลเหมือนตอนกูเจอมึงจริงๆ อะ"

   ผู้ชายตัวสูงเด่น หน้าตาดี แต่ไม่ยอมยิ้มเต็มสักเท่าไหร่ ในการทำกิจกรรมก็ไม่ให้ความร่วมมือแถมยังส่งสายตาเย็นๆ ใส่ทุกคนที่คิดจะเข้าใกล้อีก จนกระทั่งช่วงเริ่มเทอมหนึ่งมาแล้วดันได้ทำงานอยู่ด้วยกันในหลายวิชาถึงรู้ว่าสีดำเองก็ไม่ได้หยิ่งหรือว่าเป็นคนที่พูดน้อยแต่อย่างใด

   ถึงอย่างนั้นในหลายครั้งทิวากาลก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนที่อยู่ต่าง 'ระดับ' กันได้อยู่ดี

   "งั้นแยกเลยนะ กูกลับล่ะ"

   บอกแล้วว่าแค่แวะมานั่งทานข้าวด้วยกันให้ครบ ไม่อย่างนั้นก็ต้องนั่งกินคนเดียวอยู่ดีเพราะว่าน้องโรมคงมีคนทานด้วยแล้ว

   จากโรงอาหารไปยังลานจอดรถอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก แบล็คยกมือขึ้นป้องกันแสงแดดที่สาดเข้าเต็มหน้าพลางล้วงหากุญแจรถในกระเป๋ากางเกง แอบรู้สึกว่ามันเปลืองน้ำมันนิดหน่อยที่มาทำอะไรอย่างนี้แต่เทียบกับการได้รู้ข้อมูลเพิ่มแล้วก็พอหักลบกันได้ มีแหล่งข้อมูลอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมคงไม่ยากมากเท่าไหร่ ต้องกลับไปตรวจสอบส่วนที่ไม่เหมือนกันด้วย เป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับกลุ่มคนที่ทำงานไม่เคยพลาดอย่างนั้น

   "..."

   หรือเขาควรเริ่มตรวจสอบจากคนตรงหน้า

   "พิชชา"

   เรียกชื่อคนที่ยืนพิงกระโปรงรถอีโค่คาร์ห้าประตูเอาไว้ราวกับเป็นทรัพย์สินส่วนตัว วันนี้พิชชามาในชุดน้ำเงินกรมท่า เสื้อแขนยาวรุ่ยร่ายกับกางเกงผ้าเนื้อสบายสีขาว ยังมีสร้อยคอสายยาวเส้นเดิมเป็นเครื่องประดับ แต่งตัวแปลกอย่างกับพวกโบฮีเมียนย่อมๆ

   "ทิวากาล"

   ยามชื่อจริงของเขาออกมาจากปากของอีกฝ่ายยิ่งกระตุกทุกความระแวง อยากรู้เหลือเกินว่าข้อมูลของเขาที่อีกฝ่ายรู้มันมีมากขนาดไหน...

   "จะให้หาอะไรอีก"

   "คงหาได้ไม่มากไปกว่านี้หรอกครับ"

   นัยน์ตาสีแปลกพราวระยับ ราวกับมีความสุขจนล้นกับการได้เห็นเขาเดินไปตามแผนที่วางเอาไว้ "คุณก็รู้ดีนี่นา"

   "มาทำไม" หรือว่านี่คือการเจอกันภายหลังจากได้บอกไว้ รู้ชื่อเมื่อไหร่เขาจะกลับมา

   "มาเอาของของผมคืนน่ะครับ"

   ไม่เข้าใจว่าการที่ยิ้มให้แล้วทวงหาของนั่นมันคืออะไร คนที่ตัวเล็กกว่าไม่มากเท่าไหร่เลิกคิ้วขึ้นสูงตอนที่สีดำไม่ยอมขยับตัวไปไหน

   "คุณไม่ได้ลืมอะไรไว้กับผม" ในรถก็ไม่มีของหล่น เงินค่าอาหารมื้อนั้นเขาก็เป็นคนจ่าย ไม่มีอะไรที่มีเจ้าของชื่อพิชชาแล้วอยู่กับเขาตอนนี้

   "ผมหมายถึงข้อมูลของผม"

   ความหมายของชื่อที่แปลว่า 'ผู้หยั่งรู้' ไม่ได้เกินไปกว่าสิ่งที่เขาเป็นเลย

   "ส่งมาให้ผมด้วยครับราชา" มือขาวที่แบอยู่ตรงหน้ากวักเข้าออก "มันไม่สำคัญกับคุณขนาดนั้นหรอก"

   ที่เพื่อนของเขาบอกว่าเด็กคนนี้แปลก...มันเป็นอย่างนั้นจริง

   หยิบกระดาษที่เก็บรวมกับชีตเรียนออกมา ยอมส่งคืนไปให้โดยไม่อิดออดอะไรให้มากความ ยืนมองอีกฝ่ายอมยิ้มให้กับกระดาษตรงหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่อาจคาดเดาได้ว่าข้างในกำลังคิดอะไรอยู่ คนที่ต้องมาอ่านประวัติของตัวเองนี่ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างหรือไง

   ผิวขาวตัดกับสีผมชัด ผมยาวระเต็มกรอบหน้า เห็นแล้วรู้สึกร้อนแทน ในประเทศที่มีเพียงฤดูร้อนกับฤดูร้อนมากเขาไม่เห็นความเข้ากันของการไว้ผมยาว ยิ่งกับผู้ชายแล้วก็ไปกันใหญ่ ไม่รู้จักมัดผมบ้างหรือไงเขาเกลียดคนที่มีผิวสีอย่างนี้ ดูอ่อนแอจนน่ารำคาญตา อย่างน้องสาวเขาเองก็เหมือนกัน จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่รัตติกาลมีเพียง 'ภายนอก' เป็นอย่างนั้น หากได้รู้จักถึงข้างในแล้วถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดสักนิด ผู้หญิงคนนั้นเข้มแข็งมากกว่าใครที่เคยเจอ

   เสียงหัวเราะในลำคอปลุกเขาออกจากภวังค์ ทิวากาลกระพริบตาไล่ความพร่ามัวออกไปให้ความคมชัดกลับมาสู่กรอบหน้าที่ลงตัวหมดจด ต้องผสมเชื้อกี่ชาติกันนะถึงออกมาเป็นคนตรงหน้าได้อย่างนี้

   "คนหาข้อมูลเก่งนะครับ" หลังจากพลิกไปมาสองสามครั้งคำเปรยก็มาพร้อมกับการสะบัดแผ่นกระดาษ "แต่ยังไม่พอ"

   ยื่นเอกสารทั้งหมดกลับมาราวกับว่าเป็นสิ่งไร้ค่าเหลือเกิน ต่อให้ประหลาดใจมากแค่ไหนตอนนี้ทิวากาลก็ได้แต่รับมันกลับมา

   "อย่างน้อยก็น่าจะรู้ว่าผมเรียนที่นี่มาได้สามปีแล้วนะ"

   มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้

   "ของไม่มีประโยชน์พรรณนี้ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ"

   สลักไม้ขีดไฟแบบโบราณที่มีก้านไม้เหลืออยู่ข้างในนั้นเพียงสองก้านถูกเสกเข้ามาอยู่ในมือเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พิชชาสะกิดปลายหัวไม้ขีดกับหัวเชื้อเพียงแค่ครั้งเดียวไฟก็ลุกติดขึ้นมา จากนั้นจึงยื่นไฟสีแดงฉานไปจ่อขอบกระดาษสีขาว

   ต่อให้เด็กแค่ไหนก็รู้ว่ากระดาษติดไฟได้ง่าย

   จากกระดาษสี่เหลี่ยมกลายเป็นเศษไหม้สีดำร่วงหล่นกับพื้น แผ่นสีขาวถูกไฟกลืนกินไปเรื่อยๆ แต่ราชาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออก เขามองลึกเข้าไปในนัยน์ตาที่กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มยามสะท้อนกับแสงแดด พยายามเดาความคิดของอีกคนว่ากำลังนึกถึงเรื่องอะไรอยู่

   ต่างฝ่ายต่างนิ่งอยู่อย่างนั้นจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ปลายนิ้ว ทิวากาลคงหน้ากากไร้ความรู้สึกของน้องสาวเอาไว้ ในขณะที่พิชชาขยับมุมปากขึ้นหน่อยก่อนที่จะย่อตัวให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับมือของอีกคน
   
   หลายคนไม่ชอบสบตากับทิวากาล บอกว่าเวลาถูกจ้องมันเต็มไปความความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกจนต้องหลบเสีย เขาเข้าใจคำอธิบายก็ตอนนี้ ตอนที่นัยน์ตารีสวยที่สะท้อนประกายเปลวไฟช้อนขึ้นมาสบ
   
   ขณะริมฝีปากสวยได้รูปบรรจงเป่าให้เปลวไฟดับลง

   ความร้อนเกือบทำร้ายผิวหนังไม่อาจสู้ลมบางเบาที่ถูกเสกสรรขึ้นได้ สัมผัสตรงปลายนิ้วนั้นเย็นเฉียบ มากเกินไปสำหรับอากาศตอนกลางวันอย่างนี้

   มันคือสารเตือนถึงราชา

   ว่าบัลลังก์ไม่ได้มั่นคงอย่างที่เขาคิดอีกต่อไป

   "ทีหลังไม่ต้องไปแอบตามหาอย่างนี้ก็ได้นะครับ ถามผมเองเลยน่าจะได้ข้อมูลที่ตรงกว่านะ"

   แล้วใครบอกว่าให้รู้จักก่อนถึงจะมาให้เจอล่ะ!

   "อยากให้ผมหาอะไรอีก" ทุกอย่างล่อให้เขาถาม ถ้าอยากให้ทำอย่างนั้นก็จะทำให้ "นอกจากชื่อพิชชา"

   "อยากให้คุณรู้ทุกอย่าง"

   บอกสั้น กระชับ แล้วก็ได้ใจความจนเหมือนใครอีกคน

   "ก็บอกมาสิ"
   
   "ไม่ครับ" ไม่ต่างแม้กระทั่งการปฏิเสธที่ไม่ต้องการคำอ้อมโลก "ให้คุณหาเองสนุกกว่านี่"

   "ผมไม่สนุก แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย"

   "จริงเหรอครับ?"

   อะไรคือขึ้นเสียงสูงท้ายคำเหมือนการล้อเลียน ยิ้มหยีจนไม่เห็นนัยน์ตาสีประหลาด "ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ต้องรู้อยู่ดี"

   "..."

   "มีอะไรที่คุณยังไม่รู้..." เสียงใสลากท้ายคำยาว มือที่ว่างอยู่ยกขึ้นมาปัดเศษไหม้สีน้ำตาลที่ติดอยู่ตรงแก้มของทิวากาล มือพิชชาเย็นราวกับน้ำแข็งเล่นเอาเขาเกือบสะดุ้ง "อีกเยอะแยะเลยล่ะ"

   "จะให้ทำอะไรก็บอกมา"

   ได้เวลาพูดออกไป ถ้าผู้ชายคนนี้จะพาตัวเองเข้ามาให้เขาเห็นได้ขนาดนี้แล้วล่ะก็คงไม่ต้องถามอะไรเพิ่มเติม เขายังหายใจอยู่ได้อย่างนี้เพราะเลือดของอีกฝ่าย เพราะอย่างนั้นก็ต้องตอบแทน

   ถ้าได้อะไรมา...ก็ต้องเสียอะไรไป

   "อยู่กับผม"

   ทิวากาลไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งนั้นว่าคำร้องขอหรือว่าคำสั่ง

   หรือแค่ไม่อยากยอมรับว่าคนที่อยู่บนยอดสูงสุดอย่างเขากำลังฟังคำบัญชาของคนอื่น

   "แค่นั้น?" ที่ไม่อยากจะหัวเสียให้เห็นก็ทำไม่ได้เสียแล้ว

   "ใช่"

   นั่นคือประกาศิตจากผู้หยั่งรู้ที่ชื่อพิชชา

   "ตกลง"

   บอกสบายๆ พลางล้วงหากล่องบรรจุนิโคตินในกระเป๋า หยิบมวนแท่งขนาดมาตรฐานขึ้นมาคาบไว้เตรียมจุดให้ประกายไฟเกิด และคนตรงหน้าก็เร็วกว่าด้วยการจุดไม้ขีดก้านสุดท้ายจ่อมาที่เขาแบบไม่ต้องร้องขอ ทิวากาลสูดลมหายใจเข้าไปเพื่อให้ปลายมวนติดไฟ ยาเส้นชนิดที่สูบจนเป็นปกติวันนี้รสปร่าไปกว่าทุกที

   ควันสีเทากึ่งมุกลอยฟุ้ง แบล็คมองสสารความหนาแน่นต่ำลอยตัวขึ้นสูงเรื่อยๆ จนหายลับไป สารเสพติดที่เข้าไปในร่างกายช่วยให้นิ่งลงได้มาก อัดเอาของอันตรายเข้าปอดไปอีกสามสี่ครั้งเท่านั้นก็ดับมันเสียด้วยปลายเท้า กลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ออกอาการใด

   "รับรองว่าผมจะใช้คืนจนครบทุกหยด!"

   เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เขาไม่รู้ระดับความเสี่ยงสูงสุด แต่อย่างน้อยก็รู้ได้ว่ามันไม่ใช่การร้องขออะไรที่ไร้เหตุผล แค่การสะกดรอยตามครั้งนั้นก็พอทำให้เขารู้ได้แล้วว่าคนตรงหน้ามีเรื่องราวเบื้องลึกที่มากกว่านั้น อย่างน้อยก็อาจให้คำตอบตัวเองได้ว่าพิชชาทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร

   "ผมประทับใจจัง" พิชชายกมือสองข้างขึ้นประกบกันเป็นการประกอบความรู้สึกของตัวเอง แล้วนัยน์ตาที่เขาอ่านไม่ออกก็เบิกกว้างขึ้นกะทันหัน "อ้อ! คุณรู้ไหมครับว่าสีดำเองก็มีหลายเฉด"

   ดูไม่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พูดก่อนหน้า แบล็คนึกถึงความรู้อันน้อยนิดเกี่ยวกับทฤษฎีสีตามที่เพื่อนเคยเล่าให้ฟัง

   ทินท์คือการผสมสีขาว

   โทนคือการผสมสีเทา

   และเฉดคือการผสมสีดำ

   "ลองไปหาชื่อเล่นของผมดูนะครับ"

   เพราะสิ่งที่ทิ้งท้ายไว้สิ่งแรกที่ทิวากาลทำยามกลับมาถึงห้องพักของตัวเองคือการเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมา ชื่อเล่นที่เพื่อนเขาใช้เรียกพิชชาคือพิช

   ไม่เจอความหมายที่ต้องการในการค้นหาศัพท์ภาษาไทย คิดถึงชื่อเล่นของตัวเองที่ต้องหาความหมายในภาษาอื่นเลยลองเปลี่ยนคำที่ใช้ในการค้นหาดู

   คำแปลที่ปรากฏขึ้นมาในอันดับแรกบอกว่าความหมายคือ ขว้าง ทำให้ตก ระดับเสียง น้ำมันดิบ ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นความหมายตามที่พิชชาต้องการจะสื่อถึง

   จนกระทั่งความหมายสุดท้าย

   Pitch Black (ADJ.) - สีดำสนิท


***
   ผ่านมาสามตอนได้เฉลยชื่อเรื่องสักทีค่ะ นี่คือเหตุผลที่เจ้าตั้งชื่อเรื่องของพี่แบล็คอย่างนี้ แต่อย่าเพิ่งตัดสินใจจากชื่อเรื่องนะคะ เพราะเจ้าเองก็ยังไม่คิดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ (ฮา)
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.3-2 [24.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 25-06-2016 21:07:18
ดูลึกลับไงไม่รู้ แต่เหมือนมันจะมีแต่ความมืดอะ อย่าเศร้ามากน้าาา :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.3-2 [24.06.16]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 06-07-2016 17:10:57
ตามมาจากที่หนึ่ง
ทำไมเรื่องนี้ดูลึกลับกว่าเรื่องนู้นอีกกกก
ติดตามนะคะ ชอบทุกเรื่องที่คุณแต่งเลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.4-1 [09.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 09-07-2016 11:34:37
CH.4-1

   "หัวใจอยู่ที่ไหน?"

   "อกด้านซ้าย ถ้าคนที่ผิดปกติก็จะอยู่ด้านขวา"

   "แล้วหัวใจจะอยู่ที่อื่นบ้างได้ไหม?"

   "..."

   หันหน้าไปทางตุ๊กตาหน้ารถที่ไม่ยอมคาดเข็ดขัดตามคำสั่งเสียที เช้าวันเสาร์ควรจะเป็นอย่างทุกทีคือตื่นขึ้นมาบนที่นอนในบ้านของตัวเอง เอ้อระเหยจนบ่ายถึงออกไปไหนมาไหนบ้างตามอารมณ์ กลับเป็นว่าต้องกลายมาเป็นคนขับรถให้กับชายผมยาวที่ยังทำตัวมีลับลมคมในอยู่ตลอดเวลา

   บอกแล้วว่าการพากลับมาบ้านนี่มันคือฆ่าตัวตาย

   รัตติกาลมาเคาะประตูห้องตอนประมาณแปดโมง ซึ่งประจวบเหมาะกับเวลาที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จ บอกสั้นๆ แค่ว่ามีคนมาหา เขาก็คิดอยู่นานสองนานว่าจะมีใครมาหาได้นอกจากคนรู้จักในวงสนิท กระทั่งลงไปเจอพิชชาเดินเล่นอยู่ในสวนป่าหลังบ้านนั่นแหละความสดใสของอากาศทั้งหมดก็พลันหายวับไป

   ไม่อยากคิดเลยว่ากลับไปจะต้องโดนน้องสาวซักแบบหมดเปลือกแน่ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่น้องโรมไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นล่ะบ้านแตกก็งานนี้

   "คุณว่าไง?"

   เพราะยังไม่ได้คำตอบพิชชาเลยถามซ้ำอีกครั้ง ทิวากาลกลับมามองการจราจรด้านหน้าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เสยท้ายรถกระบะขึ้น

   "เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะหัวใจยังเต้นอยู่"

   "แต่ทศกัณฐ์ยังมีชีวิตอยู่ได้เลยนะครับ ทั้งที่เอากล่องดวงใจไปฝากไว้กันคนอื่น"

   "นั่นมันวรรณคดี"

   "งั้นเหรอ" การทอดเสียงยาวออกไปในขณะที่สายตาของพิชชามองไปอีกฟากของกระจกทำให้ราชาไม่อาจรับรู้ได้ว่าความหมายของมันควรจะตีความในทางไหน "แปลกจังนะ..."

   "แล้วจะให้อยู่ที่ไหนล่ะ?"

   "เป็นคำถามที่ดีนะครับ"

   "คุณเป็นคนเริ่มถามก่อนนะพิชชา"

   "แต่คุณก็ถามผมกลับมาเหมือนกันนะครับทิวากาล"

   คนที่อายุน้อยกว่าประมาณหนึ่งปีนี่ทำตัวยอกย้อนได้ขนาดนี้เลยสินะ ขาซ้ายเหยียดออกไปเพื่อชะลอรถหลังจากที่เห็นแล้วว่าข้างหน้ามีไฟจราจรสีแดงปรากฏอยู่ ท่องเตือนตัวเองไว้ว่าห้ามถลำตัวเองลงไปตามการชักจูงเด็ดขาด เขาพลาดมาหลายรอบแล้ว มันไม่ควรมีครั้งต่อไป

   "เดี๋ยวเลี้ยวขวาใช่ไหม?"

   "ครับ"

   มีอย่างที่ไหนมาเสกให้คนอื่นกลายเป็นคนรับใช้ไปเสียได้ เจอหน้าก็เอาแต่สั่งให้ทำนู่นทำนี่ แผนที่สักหน่อยก็ไม่มีให้ ลำบากต้องมานั่งค้นหาในอินเทอร์เน็ตเอาเองอีก ยังดีหน่อยที่หาเจอง่าย ไม่เหมือนร้านอาหารที่เขาลองตามหาบนอินเทอร์เน็ตแล้วแทบไม่เจอการรีวิว

   น่าแปลกที่ร้านอย่างนั้นน่าจะมีคนสนใจจำนวนมาก แค่ได้ลงในอินเทอร์เน็ตนิดหน่อยก็เรียกลูกค้าได้ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว อย่างกับไม่อยากให้ใครไปเจออะไรอย่างนั้น

   ...เหมือนคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

   "ไม่คิดจะบอกหน่อยเหรอว่าจะไปทำอะไร มารบกวนผมขนาดนี้น่ะ"

   "อ้าว ก็คุณจะคอยอยู่กับผมไม่ใช่เหรอครับ"

   "การที่บอกว่า 'ช่วยไปส่งหน่อย' มันคือการอยู่กับคุณตรงไหน?"

   "งั้นไว้เรียกเก็บเงินปลายทางแล้วกันครับ รับรองว่าจะจ่ายให้ครบทุกสตางค์"

   เขากำลังเลียนคำพูดที่ทิวากาลเคยให้เอาไว้ พิชชาคือคนใช้คำพูดเป็น ไม่ใช่แค่ใช้คำพูดได้ โดยเฉพาะตอนเอาไปรวมกับเสียงใสติดล้อเลียนอย่างนั้นแล้วด้วย ต้องขอบคุณคนรอบตัวที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้มากจนการยั่วโมโหไม่สามารถทำอะไรได้

   ไปเอานิสัยอย่างนี้มาจากใครกัน

   "หึ..."

   "คิดว่าไม่น่าจะนานครับ แถวนั้นมีที่เดินเล่นเยอะอยู่"

   "ก็กลางใจเมืองนี่"
   
   มีคำถามอีกเยอะแยะ แต่ไม่อยากจะถามแล้วโดนย้อนอย่างเมื่อสักครู่อีก พิชชาเป็นคนเก่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดได้ตลอดเวลาต่อให้คนผมยาวแค่นั่งอยู่เฉยๆ บางทีเห็นหน้าก็พาลไม่อยากจะพูดดีด้วย

   ปลายทางที่ว่าคือโรงแรมหรูห้าดาวแพงระยับเอาไว้รองรับคนชาติอื่น ตั้งแต่ทางเข้าเห็นว่ามีคนไทยเดินสวนไปมาไม่ถึงห้าเปอร์เซนต์เสียด้วยซ้ำ เก็บความสงสัยไว้กับตัวว่าทำไมถึงต้องให้เขามาส่งที่นี่ จัดการจอดรถให้เข้าซองตามที่กำหนดเอาไว้

   เหมือนกับทุกวันพิชชามาในชุดเสื้อฝ้ายตัวโคร่งแขนยาว วันนี้ต่างจากสองวันก่อนหน้าตรงที่ใส่ชุดสีเขียวแก่ประดับลวดลายสีเขียวอ่อน กางเกงก็เป็นยีนส์ขาตรงกับรองเท้าหุ้มส้นแบนเหมือนงานแฮนด์เมด ส่วนที่ลืมพูดถึงไปไม่ได้ก็คือเครื่องประดับชิ้นเดิมที่ดูเข้าได้กับทุกชุด

   ทิวากาลเดินตามไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจรอบข้างมากนัก คนที่เอาแต่พูดเรื่องเข้าใจยากเดินนำไม่หันกลับมามองสักเล็กน้อยว่ามีคนเดินตามหรือเปล่า เมื่อเข้าไปยังส่วนกลางของโรงแรมชายผมยาวก็เลี้ยวไปยังส่วนของเคาท์เตอร์ ยังไม่ทันที่จะเข้าไปประชิดตัวก็ออกเดินต่อไปทางลิฟต์ที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล

   "ชั้นยี่สิบสาม"

   บางทีเขาคงต้องเคลียร์นิยามของคำว่า 'อยู่กับผม' เสียใหม่ เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดกับสิ่งที่พิชชาเข้าใจมันเป็นหนังคนละม้วนเลยทีเดียว

   กดเลขที่บอกจากปุ่มเรียงตัวยาวเหยียด ความเร็วของการเคลื่อนตัวมากจนรู้สึกหูอื้อไปชั่วขณะ เริ่มนับเลขได้ไม่เท่าไหร่ประตูทั้งสองข้างก็แยกออกจากกัน แบล็คเปลี่ยนไปกดปุ่มเปิดค้างไว้ รอให้ผู้ร่วมลิฟต์เดินออกไปโดยทิ้งท้ายไว้เพียงไม่กี่คำ

   "ทุกอย่างเริ่มเดินแล้วนะครับราชา"

   เขาไม่รู้ว่าอะไรเริ่มเดิน เวลา? การแสดง? หรือจะเป็นอย่างอื่นอย่างใดที่ไม่อาจเข้าใจได้

   ทั้งชั้นกว้างมีห้องพักอยู่เพียงไม่กี่ห้อง ปล่อยให้พิชชาเดินนำแบบเดิมโดยตัวเองเว้นระยะห่างไว้สองก้าว บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเดินเสียดสีไปกับพื้นพรม ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่วันนั้นเขาไม่ได้ยินเสียงอีกคนเดินเข้ามาใกล้ การก้าวด้วยจังหวะพอดี ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ทุกท่วงท่าสวยงามแบบที่ไม่ต้องแปลกใจเลยหากรู้ว่าได้รับการเคี่ยวเข็ญมามากแค่ไหน

   ห้องที่ทั้งสองหยุดอยู่ตรงหน้าคือห้องริมสุดทางเดิน ผู้หยั่งรู้ยืนรออยู่อย่างนั้นเรียกให้เขาทำตาม ยังไม่ทันไรที่จับตรงประตูแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็เปลี่ยนองศาตามแรงจากอีกฟาก พร้อมกับการปรากฏตัวของชายตัวใหญ่ในชุดสูทเต็มยศอย่างผู้รักษาความปลอดภัย

   "สวัสดีครับ" เป็นพิชชาที่ทักทายก่อน "เก่งเหมือนเดิมเลย"

   ตำแหน่งคนเฝ้าประตูที่ทิวากาลตั้งให้ชั่วคราวไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา คนอยู่อีกฝั่งของประตูหรี่ตาลงยามเห็นว่าแขกในวันนี้มีคนอื่นอีก สายตาที่มองมาอย่างกับประเมินราคาสินค้าไม่สบอารมณ์ของทิวากาลมากเท่าไหร่นัก

   "มาแล้วเหรอพิชชา"

   หลุดเข้าไปอยู่ในตัวห้องได้ไม่ทันไรก็มีอีกเสียงดังขึ้น ไม่เหลือเวลาให้ราชาได้สำรวจรอบบริเวณห้องที่ประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ด้านในสุดของห้องกว้างมีชายวัยกลางคนในชุดสูททรงพอดีตัวหมุนตัวกลับจากการชื่นชมทิวทัศน์ภายนอก

   "..."

   ไฮโซชื่อดังที่เห็นหน้าตามนิตยสาร

   หนุ่มกว่าที่เห็นในรูป แต่ว่าตัวเล็กไปหน่อย ถ้าเอาตามความคิดเดิมก็ผิดจากที่เคยเข้าใจไปมากอยู่ ถามว่ารู้จักอยู่แล้วหรือเปล่าทิวากาลคงตอบว่าไม่ได้อยากรู้จัก และถ้าทำได้ก็ไม่อยากจะเห็นหน้าแล้วคุ้นอย่างนี้เหมือนกัน

   คนที่สีดำบอกว่าไม่อยากจะรู้จักชี้นิ้วมาพลางถาม "นั่น...?"

   "ตามมาด้วยครับ"

   "หืม คนอย่างพิชชาน่ะเหรอยอมให้คนอื่นตามมา?"

   "คนอย่างผมนี่แหละครับ"

   "หน้าคุ้น"

   ควบคุมใบหน้าไม่ให้แสดงพิรุธใดๆ ออกไป หัวใจที่เคยควบคุมได้กลับเร่งจังหวะการเต้นจนเขาต้องรีบยิ้มกลบเกลื่อนรอยกังวลเสีย ทิวากาลมีประสบการณ์ในการติดต่องานกับคนอายุมากกว่ามากพอสมควรเลยรู้ดีว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไร

   "ผมเป็นพวกคนหน้าโหลน่ะครับ"

   โกหกทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงบอกว่าคุ้นหน้า

   "ไม่มีใครบนโลกนี้ที่หน้าเหมือนกันหรอก ทุกคนมีความแตกต่างกันมากน้อยเท่านั้นเอง"

   "งั้นผมก็คงเป็นพวกที่มีความแตกต่างน้อย”

   "ตรงตานี่เหมือนที่สุด" ชายที่ทิวากาลยังไม่ทราบลักษณะความสัมพันธ์ของเขากับพิชชายกมือขึ้นเคาะบริเวณขมับของตนเอง "แข็งไม่ยอมคน แต่ก็อ่อนโยนได้"

   "ขอบคุณสำหรับคำชมครับ"

   "แปลก...เราไม่เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม?"

   "ครับ"

   ยามที่ตอบกลับไปเสียงของราชาไม่ทอดอ่อนเหมือนกับทุกประโยคก่อนหน้าจนเหมือนเป็นการสั่งเสียมากกว่า "คุณไม่เคยเจอครับ"

   "ก็นั่นสิ คนอย่างเธอถ้าเคยเจอคงลืมไม่ลง" ชายวัยกลางคนส่งรอยยิ้มมาให้ ก่อนหันไปคุยกับคนที่ยืนอยู่ข้างเขา "งั้นเริ่มเลยไหม จะได้ไม่เสียเวลา"

   "ได้เสมอครับ"

   คนที่คงรู้จักกันมาก่อนแล้วเดินเคียงคู่กันไปยังอีกส่วนของห้อง ทิวากาลเดินตามไปแบบคนที่ไม่รู้สถานการณ์อะไรมาก มาทำอะไรที่นี่ เพราะอะไรถึงต้องมาเจอกันในสถานที่อย่างนี้ด้วย

   มือข้างหนึ่งของผู้คุมในชุดสูทยื่นออกมากันทางเข้าเอาไว้ ทิวากาลเลิกคิ้วเป็นคำถามให้ทั้งคนที่เดินเข้าไปก่อน พิชชาหันมาพยักหน้าให้เหมือนกับพูดซ้ำในสิ่งที่ได้บอกแล้วตอนอยู่ในรถ ประตูที่เปิดกว้างเอาไว้ปิดลงอย่างรวดเร็ว แบบที่เขาไม่ทันจะได้เหยียบขอบประตู นี่คือการบอกให้ลงไปเดินเล่นสบายใจรอจนทำธุระเสร็จหรือไง!

   "ถ้าหิว ตรงนั้นมีของทาน"

   บานประตูย่อยปิดลงไปแล้ว และคนเผ้าประตูก็ยอมเปิดปากเสียที เขามองตามมือของอีกคนที่ชี้ไปตรงเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินของห้องครัว ปฏิเสธกลับด้วยการเลี่ยงตัวไปอยู่ตรงระเบียงกว้างติดกระจกใสโดยรอบจนเหมือนตัวเองเป็นปลาในขวดโหล

   อยากจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบให้หายฟุ้งซ่าน ติดว่าที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวของเขา ชายหนุ่มผมยาวไปหาเขาถึงบ้านตอนเช้าก็รบกวนใจอยู่แล้ว ยิ่งมารู้ว่าคนที่พิชชามาหาคือชายคนนี้มันก็ยิ่งยุ่งเหยิงในหัวสมองเข้าไปใหญ่

   สองคนนั้นรู้จักกันได้อย่างไร

   จนสุดท้ายก็ต้องยอมกดลิฟต์ลงมาชั้นล่างอย่างที่ถูกสั่งเอาไว้ เขาไม่รู้ช่วงเวลาที่ควรกลับขึ้นไป อารมณ์ไม่ดีจนถึงขั้นพร้อมจะปล่อยทุกคำสัญญาให้หายไปตามสายลม เอาเป็นว่าถ้าเขาอยากกลับขึ้นไปเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ถ้ารอไม่ได้ก็หาทางกลับเองแล้วกัน

   บริเวณส่วนกลางของโรงแรมมีโซฟาหลายรูปแบบคอยให้บริการลูกค้าตามความต้องการ ทั้งแบบเก้าอี้นวมไปจนถึงชุดเก้าอี้แบบทันสมัยเล่นโครงสร้างแปลก มีหลากหลายอิริยาบถให้เลือกชม ทั้งนอนหลับ คุยโทรศัพท์ ดูซีรีย์ในเครื่องแท็บเล็ท ไปจนถึงชาวต่างชาติที่มากันเป็นทัวร์ขนาดใหญ่

   ...รวมถึงชายคนเดิมที่เขาเคยเจอในร้านอาหารกลางเมือง

   ผู้ต้องสงสัยอยู่ในชุดสีดำกึ่งเครื่องแบบไม่ต่างจากวันนั้น คราวนี้เขาไม่ได้ทานอะไร บนโต๊ะตัวเล็กมีโทรศัพท์วางอยู่กับหนังสือพิมพ์ที่จัดเอาไว้ให้บริการฟรีสำหรับผู้พักอาศัย สายตามองไปยังส่วนของทางขึ้นห้องพักอยู่อย่างนั้นไม่ยอมวางตา

   ค่อยๆ ขยับตัวเองเข้าไปใกล้แบบดูไม่จงใจมากนัก คงเป็นโชคดีของเขาที่โต๊ะตัวหลังจากเป้าหมายว่างอยู่พอดี ทิวากาลทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ที่อยู่เกือบชิดติดกัน หลับตาลงเตรียมเปิดประสาทสัมผัสการได้ยินให้มากขึ้นหลังจากเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเพิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

   "...ครับ ....อยู่ที่นี่แล้วครับ ...คุณขึ้นไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ...ใช่ครับ ...คนเดียวครับ"

   ได้ยินแต่คำว่าครับ ครับ แล้วก็ครับสลับกับการรายงานความเป็นไปอย่างที่ไม่ค่อยน่าประหลาดใจ จนกระทั่งคาดคะเนได้ว่าปลายสายจะต้องเป็นผู้ว่าจ้างหรือไม่ก็จำพวกเจ้านายอย่างแน่นอน ใครกันนะที่คอยติดตาม แล้วที่บอกว่าคนเดียวคือไม่เห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้ด้วยหรือยังไงกัน

   รอจนเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาหายไปถึงลืมตาขึ้นมาใหม่ ลองทวนว่าคำถามอะไรบ้างที่ทำให้ต้องตอบคำถามอย่างนี้ คำตอบรับอื่นพอจะเดาได้ มีแค่เรื่องที่บอกว่ามาคนเดียวนี่แหละ เขาว่าตัวเองก็เดินตามติดอยู่พอสมควรเลยนะ หรือว่าจะถามเรื่องอื่น

   แล้วเรื่องอะไรบ้างล่ะที่จะต้องตอบว่าคนเดียว...

   "กูหนอกู งานนี้จะโดนคุณสาปหรือเปล่าก็ไม่รู้"
   
   ดูท่าว่าอิทธิฤทธิ์ของชายชื่อพิชชาจะไม่ได้มีแค่เรื่องของการรู้ไปหมดจนน่าหวั่นเกรง แต่อาจหมายความรวมถึงความสามารถอื่นที่ไปข้องเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับอีกก็เป็นได้

   เมื่อแน่ใจแล้วว่าคงไม่ได้ยินอะไรที่เป็นประโยชน์อีกเลยต้องยอมออกไปเดินเล่นฆ่าเวลา เนื่องด้วยที่ตั้งของโรงแรมมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่รายล้อมค่อนข้างมากเขาเลยเลือกที่ที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด ช่วงนี้รัตติกาลชอบเก็บสะสมไม้แกะสลัก จะเป็นสัตว์หรือว่าเป็นงานศิลปะอย่างอื่นก็ได้ เขาเลยคิดว่าควรจะซื้ออะไรติดมือกลับไปฝากหน่อยเป็นการขอบคุณที่ขึ้นมาบอกเมื่อเช้า

   จนเจอร้านขายของที่ทำจากไม้หลากหลายรูปแบบ เขาถึงเดินเข้าไปเยี่ยมชมภายในโดยรู้ดีว่าราคาคงจะถูกโก่งให้สูงขึ้นไปมากกว่าที่ควรจะเป็น ก็ไหนมีคนบอกว่าจะจ่ายค่าแรงงานให้ ไว้เดี๋ยวจะขึ้นไปทวงเสียให้เข็ด

   กวาดสายตามองสินค้าหลายรูปแบบละลานตา ดูว่าสิ่งของชิ้นไหนเหมาะกับน้องสาวของเขามากที่สุด ถ้ามองในแง่ของการเป็นพี่ชายแล้วนี่เป็นเรื่องดีที่ได้รู้ว่าแฝดของตัวเองเริ่มมีความสนใจในด้านอื่นนอกจากเรื่องของดาราศาสตร์ รัตติกาลเริ่มออกมาข้างนอกบ้างหลังจากที่ปิดตัวตายอยู่แต่ในตึกคอนกรีตเป็นเวลาหลายปี ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าคนมารับออกไปไหนมาไหนก็เถอะ

   ได้ของฝากให้น้องผู้หญิงเป็นปิ่นปักผมแกะลวดลายที่ไม่เหมือนกับของที่ขายตามร้านของฝาก มันเต็มไปด้วยรายละเอียดแฝงที่แสดงออกถึงความใส่ใจของคนทำ ส่วนน้องผู้ชายตอนแรกไม่อยากซื้ออะไรให้เพราะทำตัวไม่น่ารัก ติดที่ว่าไม่อยากจะฟังเสียงบ่นเลยเลือกแท่นทับกระดาษแกะเป็นตัวช้างขนาดเล็กให้

   ทิวากาลถือของที่ตั้งใจว่าจะซื้อไว้ในมือ ยังไม่อยากกลับไปบนตึกสูงเลยเดินเล่นอยู่ข้างในนั้นต่ออีกหน่อย พอผ่านจากส่วนของเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดก็เป็นส่วนของเครื่องประดับ มองของสวยงามผ่านตาไปจนถึงสร้อยข้อมือทำจากไม้สลักลาย ตัวเรือนบางอย่างที่ต้องเบามือยิ่งถึงจะได้อย่างนี้

   ไม่เหมาะ...

   ขนาดที่ว่าลองคิดถึงตอนใส่แหวนวงเล็กเข้าไปก็ยังดูขัดตา ผิวขาวเกลี้ยงอย่างนั้นไม่ควรมีอะไรมาเติมแต่ง ไม่ต้องมีอะไรเพิ่มเติมเพื่อลดความน่าดูนั้นลง

   แค่สร้อยยาวเส้นนั้นก็พอแล้วสำหรับพิชชา

   เขาใช้เวลาเดินเล่นไปมาเกือบสองชั่วโมง ยกมือขึ้นมาดูแล้วพอคาดคะเนได้ว่างานข้างบนน่าจะเสร็จเรียบร้อยดีแล้วถึงเดินกลับเข้าไปในตัวโรงแรม ยังเห็นชายปริศนานั่งอยู่ตรงตำแหน่งเดิมแทนการบอกว่าคนที่เขามาส่งเมื่อเช้ายังอยู่ข้างบนไม่ได้ไปไหน

   ตอนเปิดประตูห้องใหญ่เข้าไปก็ยังคงเห็นผู้ช่วยในชุดทำงานเต็มยศนั่งรออยู่บนโซฟาขนาดพอดีตัวอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ส่งเสียงมาทักทายอะไรคล้ายว่าการกลับมาคราวนี้เป็นเพียงการแวะไปเข้าห้องน้ำแล้วก็กลับมาเท่านั้นเอง

   ปกติแล้วถ้าไม่ได้มีอะไรสำคัญจริงๆ ทิวากาลไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ สิ่งที่เขามักถือติดตัวไปมาถ้าไม่ใช่หนังสือเรียนก็จะเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา นิยมเป็นภาษาอังกฤษมากกว่าเพราะว่ามีน้ำหนักเบากว่าแล้วยังเก็บสะดวก ถึงจะไม่ค่อยชอบกลิ่นของมันมากเท่าไหร่

   เพราะพิชชาไม่ยอมบอกว่าเป้าหมายของวันนี้คืออะไร เขาเลยไม่ได้หยิบหนังสือติดมือมาจากบ้านด้วย ตอนนี้ก็ไม่ค่อยอยากจะก้มหน้าอยู่ในโลกโซเชียลเพราะกลัวพลาดเหตุการณ์สำคัญอะไรไป อย่างเช่นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้น เขาตระหนักถึงความ 'แตกต่าง' ของพิชชาดี และด้วยเหตุผลนั้นทุกการเคลื่อนไหวถึงต้องทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

   เข็มของนาฬิกาวนมาครบรอบอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ หนังสือเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นทางเศรษฐศาสตร์ที่วางทิ้งไว้บนโซฟาหมดไปเกือบครึ่งเล่ม ชายที่ไม่เคยต้องรอใครมาก่อนในชีวิตวางเล่มหนังสือลง จ้องไม้แผ่นที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นอุปกรณ์ตกแต่งบ้านขนาดใหญ่ เบื้องหลังประตูบานนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่?

   ไม่รอให้คนเฝ้าประตูได้ไหวตัวทัน แบล็คกะระยะห่างจนมั่นใจได้ว่าต้องมีความสามารถพิเศษในการหายตัวในพริบตาเท่านั้นถึงจะมาห้ามเอาไว้ได้ทัน

   อย่าคิดว่าตัวเองจะเดินนำได้ตลอดไปนะพิชชา

   ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่มีความกลัวเกรง มันเป็นส่วนของห้องนอนที่ไม่มีใครอยู่บนเตียงใหญ่ ที่อยู่ของทั้งสองคนกลับเป็นโต๊ะตัวเล็กโดยมีกระดานหมากรุกสากลขนาดใหญ่วางอยู่บนนั้น

   ส่งรอยยิ้มพร้อมผงกหัวเล็กน้อยแทนคำขอโทษ รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เห็นหน้าของพิชชาตึงหรือตีทะมึนอะไรอย่างที่หวัง ส่วนชายอีกคนแค่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูด

   "จะเหมือนมากไปหน่อยแล้ว ว่าอย่างนั้นไหมพิชชา"

   คนที่โดนโยนคำถามให้ยกแก้วน้ำชาขึ้นจรดริมฝีปาก "เรื่องนี้ไม่อยู่ในหัวข้อที่เราจะคุยกันไม่ใช่เหรอครับ"

   "นี่ก็อีกคน..." การส่ายหัวที่ไม่รู้ว่าเอือมระอาหรือแค่เอ็นดูกับการเลี่ยงตอบแบบนี้ "เลยอยู่ด้วยกันได้"

   "เดี๋ยวเหลืออีกสองเรื่อง ผมขอพูดเร็วๆ เลยแล้วกันนะครับ"

   "หัดต่อรองอีก มีพัฒนาการนะ"

   "เรื่องที่กังวล...ไม่ต้องห่วง ทำต่อได้เลย" บิชอปหน้าสุดคือตัวเลือกที่พิชชาใช้ คนเสียมารยาทบุกเข้ามาในห้องเดินไปซ้อนด้านหลังเก้าอี้นวมบุผ้าลายสวยของคนที่เพิ่งจบตาเล่นของตัวเอง มองหมากบนกระดานพลางนึกถึงความรู้เรื่องการเล่นหมากรุกที่มีอยู่ไม่เท่าไหร่

   ชายอายุมากที่สุดในห้องพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ทิวากาลลอบมองสีหน้าที่ยังไม่เปลี่ยนไปแม้ว่าตำแหน่งบนกระดานจะเพลี่ยงพล้ำอยู่ไม่น้อย ถึงเขาจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องกลวิธีพลิกแพลงในการเดินหมากแต่ถ้าเป็นเรื่องของการอ่านสถานการณ์ของเกมแล้วล่ะก็สามารถมองออกได้ไว ต่างฝ่ายเหลือหมากในมือไม่เท่าไหร่ พิชชามีเยอะกว่าสองตัว น่าสนใจว่าเขาจะเลือกเดินอย่างไรต่อ

   "แล้วอีกอย่างล่ะ"

   "...อันนั้นต้องระวังครับ" หยิบตัวเบี้ยเดินไปหนึ่งช่องพลางตอบกลับด้วยเสียงไม่บ่งความรู้สึก ราบเรียบไม่มีการขึ้นสูงต่ำหรือว่าใช้เสียงดังอะไร จนคำว่าระวังที่บอกก่อนหน้านั้นดูน่ากังวลปนไปกับความน่าสบายใจในเวลาเดียวกัน "ตัวแปรเยอะ ถ้าไม่ทวนให้ดี...ก็อาจจะมีปัญหา"

   ราชาสีดำมองชายสองคนสนทนากันโดยไม่คิดเข้าไปแทรกกลาง รู้ได้โดยทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่มันคืออะไร มันไม่เหมือนกับการทำนายอนาคตทุกครั้งที่เขาเคยเจอ ไม่เห็นว่าจะมีกระดาษหรือตำราสักเล่ม บนโต๊ะมีเพียงของกินเล่นที่ดูแล้วไม่น่าจะมีส่วนช่วยอะไร นี่คืองานที่พิชชาบอกอย่างนั้นหรือเปล่า การเป็น 'ผู้รู้' เหมือนอย่างความหมายของชื่อ

   การทำนายที่อยู่ใต้กระดานช่องขนาดแปดคูณแปดอย่างนั้นเหรอ?

   "ช่วยใบ้หน่อยได้ไหม?"

   "ไม่ได้ครับ" ปฏิเสธไม่มีการไว้น้ำใจ รวบเก็บเบี้ยของฝ่ายตรงข้ามจากตัวม้า

   "เฮ้อ ทำไมน้าต้องมาอาศัยคนใจดำอย่างนี้ก็ไม่รู้เนอะ"

   "ถ้าใจดำผมคงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอกครับ"

   หรี่ตามองคนที่เรียกตัวเองว่าน้า เขามั่นใจว่ารายละเอียดส่วนของผู้ให้กำเนิดไม่ใช่ข้อมูลปลอมอย่างที่กลัว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันไม่ควรมีส่วนเชื่อมต่อใดระหว่างทั้งคู่ ทิวากาลรู้ส่วนนั้นดี หรือจะเป็นเพียงการเรียกแทนตัวเองเพื่อความสนิทสนม เพราะฟังจากการพูดคุยคงสนิทกันมากในระดับหนึ่ง

   "ถ้าใจดีงั้นช่วยบอกเพิ่มหน่อยสิ"

   "ไม่ได้ครับ"

   "ไม่ได้หรือเลือกไม่พูด" คนที่เรียกตัวเองว่าน้าเอนตัวลงไปเบาะตัวใหญ่ ช่วงตาปิดลงบอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวล "สอนมาดีจริงๆ"

   "ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นครับ"

   "ขอบใจมากพิชชา"

   "หมดเรื่องแล้วขอตัวก่อนนะครับ" กระดานหมากที่ยังไม่รู้ผลถูกล้มลงอย่างรวดเร็วราวกับว่าการแข่งขันเมื่อสักครู่ไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าของฆ่าเวลา บอร์ดเกมทำจากไม้มีลิ้นชักไว้เก็บตัวหมากเดินอยู่ด้านข้าง กล่องไม้สีเข้มบุข้างในด้วยกำมะหยี่สีม่วงเป็นเงา มือสีซีดบรรจงเรียงตัวหมากลงไปอย่างระมัดระวังในทุกตัวไม่เว้นแม้แต่เบี้ยไร้ค่า

   "จ้าๆ งั้นคราวหน้าจะให้เลขาโทรไปนัดนะ"

   "ได้เลยครับ ส่วนนี่เดี๋ยวผมเอากลับไปเอง"

   "อย่าลืมเอาของฝากไปด้วยล่ะ"

   มือของพิชชาที่หยิบจับของชะงักไป แบล็คเริ่มชอบความเงียบของน้องสาวที่ตัวเองเอามาใช้ในเวลานี้ ใช้ปากให้น้อยที่สุด แล้วใช้ตาให้มากที่สุด

   "อันนี้ใช่ไหมครับ" ชิงจังหวะที่ชายผมยาวยังหยุดการเคลื่อนไหวคว้าสิ่งนั้นหรือว่ากระดาษแผ่นเหลี่ยมที่วางไว้อยู่ข้างแก้วชาขนาดใหญ่มาไว้ในมือ "ผมถือให้คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ"

   กระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าแผ่นยาววางทิ้งไว้ไม่มีใครใส่ใจ หัวกระดาษอย่างที่ใช้เหมือนกันในทุกธนาคารบอกเขาว่าสิ่งนั้นมันคือของตอบแทนสำหรับการพูดคุย มองรายละเอียดบนนั้นเร็วๆ เพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่ากำลังสนใจมากจนเกินไป

   ตัวเลขห้าเกือบหกหลักกับเวลาสี่ชั่วโมง ...นี่เกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำไปกี่เท่ากันนะ

   "น้าถูกชะตากับคนของพิชจังเลย ขอรู้จักชื่อหน่อยได้ไหม?"

   "ไม่ครับ" ยังไม่ทันจะได้ขยับปากพิชชาก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน "คนนี้ไม่ได้ครับ"

   แถมยังมีเดินมาบังเอาไว้จนเขาไม่อาจเห็นชายที่เรียกตัวเองว่าน้าได้ชัด ที่เห็นก็เป็นใบหน้าบางส่วนพ้นมาจากช่วงความสูงที่ต่างกันของเขากับพิชชา ไม่มีแม้เสี้ยวของความไม่พอใจ สิ่งเดียวที่อยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้คือความเอ็นดูไม่ต่างจากเวลาที่บิดามองเขา

   "รู้ดีแก่ใจไม่ใช่เหรอพิชชา"

   "อยากให้ผมพูดอะไรมากกว่านี้อย่างนั้นเหรอครับ?"

   "ยิ่งโตยิ่งไม่น่ารัก"

   "ผมไม่เคยน่ารักมาตั้งแต่ต้นแล้วต่างหากล่ะครับคุณน้า"

   บอกลาทั้งเจ้าของห้องแล้วก็คนดูแลห้อง ทิวากาลยืนมองคนที่ตัวเล็กกว่าตัวเองหลายเซนต์หิ้วกระดานแบบพับเก็บได้ขนาดใหญ่ไว้ด้วยมือซ้ายข้างเดียวสบายๆ อย่างกับว่ากำลังถือโฟมไร้น้ำหนักอยู่ สงสัยได้ไม่จบความคิดหน้าของเพื่อนร่วมกลุ่มสองคนก็ให้คำตอบได้ว่าบางเรื่องเราไม่อาจใช้สายตาตัดสินได้

   "ให้เก็บไว้ที่ไหน?" ยกเช็คโบกไปมาในอากาศ

   "ผมไม่ต้องการมันครับราชา" ใบหน้าที่มองตรงมาฉายแววรังเกียจ "มันเป็นของไม่มีประโยชน์..."

   เงินจำนวนไม่น้อยกลายเป็นของไร้ค่า ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจในมุมหนึ่งถ้าบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นทายาทของตระกูลเก่าที่ยังคงมีบทบาทอยู่ในวงการธุรกิจจนถึงทุกวันนี้ ที่มีคนตามติดอย่างกับเป็นปาปารัสซีนั่นก็ด้วย เคยได้ยินแต่คุณพ่อเล่าว่าเรื่องพวกนี้มีอยู่จริงกับคนรู้จัก แต่นั่นมันก็เรื่องเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว

   ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับพิชชาที่เขาต้องรู้
   
   ลิฟต์ลงมาจนถึงชั้นหนึ่งโดยสวัสดิภาพ เหมือนกับตอนขึ้นไปที่แบล็ครอให้อีกคนเดินออกไปก่อนแล้วถึงจะออกตามมา

   ร่างของคนอยู่ข้างหน้าหยุดเดินแล้วยังหันหลังกลับมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ทิวากาลสั่งให้ร่างกายของตัวเองหยุดการเคลื่อนไหวได้ทันก่อนจะชนฉิวเฉียด พอเริ่มจับทางได้กับนิสัยชอบทำอะไรตามใจเลยเงียบอยู่อย่างนั้นรอฟังว่าเขาจะสั่งให้ทำอะไรต่อไป

   "ว่างใช่ไหมครับ?"

   คลับคล้ายว่าเขาเองเคยถามอย่างนั้นออกไปเช่นกัน

   "ไปเดินเล่นกันเถอะ"



***
   ถ้าถามว่าเรื่องนี้ลึกลับไหม เจ้ายังตอบไม่ได้ค่ะ ที่ตั้งใจไว้คือจะเป็นการเคลียร์บางประเด็นที่ลงในเรื่องที่แล้วไม่ได้มาใส่ไว้ในเรื่องนี้ให้สมบูรณ์ ส่วนที่เหลืออยู่ที่ฟีลของเจ้าตอนแต่งล้วนๆ ค่ะ ...นี่จะเป็นการสปอล์ยไหมคะ (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: ♚ PITCHBLACK ♛ CH.4-1 [09.07.16]
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 16-07-2016 22:52:41
ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้ ลึกลับอะไรขนาดน้านนน
รออออ o13 o13
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.4-2 [19.07.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 19-07-2016 13:10:24
CH.4-2

   ร้านกาแฟอยู่ในซอยลึกจนไม่คิดว่าจะมีใครดั้นด้นเข้ามา และเขาอาจเป็นลูกค้ารายแรกที่ทำอย่างนั้น เจ้าของร้านหันมาทักทายอย่างคนคุ้นเคย กลิ่นกาแฟหอมแปลกไม่เหมือนกับร้านที่มีสาขาเป็นร้อยทั่วประเทศ จะเรียกว่าร้านนั่งดื่มกาแฟก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะว่ามันมีส่วนของอาหารตามสั่ง แถมยังมีของหวานหลากหลายรูปแบบ เอาเป็นว่านี่มันร้านขายทุกอย่างก็แล้วกัน

   "เอาชาดอกไม้ครับ" ขนาดมาร้านที่มีเมนูเป็นเครื่องดื่มคาเฟอีนก็ยังเลือกใบไม้แห้งเหมือนทุกครั้ง "อยากลองเอสเปรสโซ่โซดาไหมครับ หรือว่าจะเอาเป็นกาแฟดำดี?"

   "...น้ำเปล่า"

   ผู้ชายที่ไม่ต่างอะไรกับปริศนาชั้นดียิ้มจางยามได้รับคำตอบ ทิวากาลไม่ชอบน้ำดื่มผสมน้ำตาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เครื่องดื่มที่ชอบจะเป็นจำพวกไม่ใส่น้ำตาลลงไปเสริมเช่นกาแฟดำ

   เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมถึงสั่งน้ำเปล่า

   ร้านใช้รูปแบบของการบริการที่ต้องพึ่งพาตัวเองเกือบทั้งหมด ตั้งแต่สั่งที่หน้าร้านแล้วต้องรอสินค้าอยู่ตรงนั้นเลย การจัดร้านมีหลายแบบตั้งแต่โซฟาแบบธรรมดา เก้าอี้ไม้ประดับด้วยของใช้วินเทจ ไปจนถึงโต๊ะเตี้ยที่ต้องนั่งบนเบาะยัดนุ่น มองผิวเผินแล้วไม่มีความเข้ากันได้สักนิด

   ระหว่างแบล็ครับหน้าที่เป็นผู้รอ พิชชาก็เดินตัวปลิวขึ้นไปชั้นสองของร้านพร้อมกับกระดานไม้ขนาดใหญ่ ร้านดูเงียบเหงาไม่มีใครอื่นจนต้องเปิดเพลงที่ไม่ใช่ทั้งไทยแล้วก็อังกฤษคอยขับกล่อม แค่เพลงยังแปลกกว่าร้านทั่วไปเลย

   รออีกพักใหญ่ถึงได้ของตามสั่ง ฝั่งพิชชาเป็นถาดกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยเครื่องใช้หลากหลายตั้งแต่กาน้ำร้อนสีใสมีไอร้อนเกาะอยู่จนเต็มขอบ แก้วทรงสูงเล่นลวดลายตรงหูจับ และก้อนใบไม้แห้งปั้นกลมแยกไว้ต่างหาก ส่วนของเขาเองก็เป็นน้ำแร่ยี่ห้อไม่คุ้นกับแก้วเปล่าทรงเหลี่ยมแบบที่กำลังฮิตอยู่

   เดินขึ้นชั้นสองอย่างระมัดระวัง เสียงเพลงไร้สัญชาตินั้นเบาลงไปเรื่อยๆ จนไม่ได้ยินอะไรอีกยามที่เหยียบบันไดไม้ขั้นสุดท้าย ข้างบนต่างจากชั้นล่างตรงที่มีโต๊ะกลมขาเตี้ยเพียงตัวเดียวเท่านั้นวางอยู่ และมันก็ถูกครอบครองโดยชายคนนั้นที่หนีขึ้นมาก่อน กระดานไม้ขนาดใหญ่ยังวางไว้อยู่ข้างตัว  ผมยาวถูกมัดรวบไว้เป็นหางม้า มีไรผมระกรอบหน้าจนมองจากที่ไกลๆ แล้วไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยคนหนึ่ง

   วางเครื่องดื่มไว้คนละฝั่ง สีดำพิงหลังกับกำแพงสีอบอุ่นที่ประดับด้วยเหล็กดัดเป็นเถาวัลย์ปนกับดอกกุหลาบสีขุ่น การตกแต่งบนชั้นสองดูเข้าถึงยากกว่าชั้นล่าง ไม่ว่าจะตู้หนังสือแบบติดกับผนังเรียงราย ตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ตไม่น่าจะใช้การได้แล้ว ถ้าข้างล่างเป็นร้านขายทุกอย่าง ข้างบนก็เป็นร้านอินดี้ตามความชอบส่วนตัว

   "ขอบคุณครับ"

   "เดี๋ยวคิดรวมไปกับค่าน้ำมัน"

   "คิดว่ากระดาษแผ่นนั้นน่าจะพออยู่แล้ว"
   
   พยักพเยิดไปทางกระเป๋าที่เก็บสิ่งนั้นไว้ สำหรับชายคนนั้นเช็คมูลค่าเกือบแสนไม่ต่างจากเศษกระดาษที่ไม่อาจเอาไปใช้ทำอะไรได้อีก ทิวากาลมองฝั่งตรงข้ามเริ่มกรรมวิธีประดิษฐ์เครื่องดื่มแสนยุ่งยาก เริ่มจากการตรวจวัดอุณหภูมิของน้ำก่อนจะหย่อนก้อนสีน้ำตาลแซมขาวลงไปช้าๆ จากนั้นก็ปิดฝาให้สนิท รอเพียงอึดใจเดียวน้ำร้อนสีใสก็เริ่มมีสีอื่นปลอมปน

   "เคยทานชาอะไรแบบนี้ไหมครับ?"

   "ไม่" เครื่องดื่มประเภทชาเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะแตะ ไม่เหมือนกับน้องสาวที่ชอบทานจนกลายเป็นของโปรด "มันจืด"

   "ก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิครับ"

   จากก้อนกลมเริ่มคลี่ออกทีละชั้น จากใบไม้ใหญ่ชั้นนอกสุด ตามมาด้วยใบชาเขียวลอยฟุ้ง การกระจายตัวของกลีบหลายรูปแบบคล้ายการเต้นระบำที่เต็มไปด้วยท่วงท่าน่าหลงไหล

   "เสน่ห์ของการไม่ถูกปรุงแต่ง"

   แม้การนั่งบนพื้นก็ยังไม่พ้นนั่งหลังตรง มือทั้งสองข้างวางซ้อนทับกันบนขอบโต๊ะ จนคิดไม่ออกว่าในเวลาอ่อนแอการตั้งหลังอย่างนั้นจะคงอยู่หรือไม่ แต่ถ้าเอาเท่าที่เห็นเขาเชื่อว่าต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงมากแค่ไหนชายคนนี้ก็ยังสามารถยืนหยัดไม่มีสั่นคลอน

   สิ่งที่ลอยแตะจมูกคือกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ทิวากาลสูดมันเข้าไปพร้อมกับกลิ่นของน้ำหอมที่คุ้นเคยของตัวเอง กลิ่นหวานที่ให้ความรู้สึกเย็นจนเกินไปในบางที เคยคิดว่าจะหยุดใช้หลายครั้ง...แต่ก็ทำไม่ได้

   "เคยเล่นหมากรุกไหมครับ?"

   วันนี้วันเดียวเขาก็วนเวียนอยู่กับงานไม้ไม่จบสิ้น

   กระดานใหญ่ งานไม้ที่ต้องใช้ความชำนาญขั้นสูงถึงจะได้อย่างนี้วางลงบนโต๊ะที่คั่นระหว่างเขาสองคนเอาไว้ ทิวากาลหยิบหมากตัวใหญ่ที่สุดมาไว้ในมือ ไม้แกะทรงมนแทนสัญลักษณ์ของ 'ราชา' ประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ แล้วคงเป็นงานผลิตขึ้นมานานพอสมควร เพราะลองถือแค่ตัวเดียวยังรู้สึกได้ถึงความหนักไม่เหมือนกับของที่บ้าน

   ถือไปได้ยังไงทั้งกระดานใหญ่ขนาดนั้น?

   "เคย"

   คุณพินิจผู้เป็นพ่อเคยหยิบมาสอนครั้งยังเล็ก บอกว่าอยากให้ลูกทุกคนเล่นเป็น แต่เหมือนว่าของเล่นที่ต้องใช้สมองอย่างนี้ไม่ค่อยถูกใจน้องชายคนเล็กเท่าไหร่ เขาเลยได้จับต้องมันต่อเมื่อคนเป็นพ่อเกิดครึ้มอกครึ้มใจหยิบมันออกมาจากตู้เก็บสมบัติสำคัญ

   "งั้นเลือกสีก่อนไหมครับ"

   ตัวหมากที่มีแค่สองสี เมื่อทั้งคู่คือตัวแทนของ 'สีดำ' มันก็ต้องมีใครคนหนึ่งที่จะเสียสละให้อีกฝ่ายได้ไปในสิ่งที่ต้องการ

   "ไม่ล่ะ"

   "งั้นผมเลือกให้แล้วกันนะ"

   "เชิญเลยครับสีดำสนิท"

   อยากให้ไปตามหาชื่อเล่นก็ทำแล้ว พิชชาเหยียดมุมปากพึงพอใจ เขาเป็นพวกยิ้มไว้เสมอเพื่อกลบทุกความรู้สึกให้อยู่ข้างในล่ะสิ ไม่อย่างนั้นก็คงมีอาการอื่นให้เห็นแล้ว

   "ผมบอกแล้วว่าสีดำก็มีหลายเฉด"

   "ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยีใครจะแยกออกว่าสีมันต่างกัน"

   สีดำน่าหลงใหลตรงนี้ ตรงที่ไม่อาจแยกออกด้วยสายตาได้ว่าสีที่เห็นอยู่นั้นเหมือนกันหรือไม่ มันมีหลากหลายค่าสีจนเกินไป เลยไม่อาจจะรู้ได้ว่า 'ระดับของสี' ที่เห็นอยู่นั้นมีค่ามากหรือน้อยกว่าแคไหน

   "แค่ให้เจ้าตัวแยกได้ก็พอแล้วครับ"

   "แล้วจะมีบริการเสริมอย่างคนเมื่อกี้หรือเปล่า" เขายังจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ชัดเจน "ทำนาย...ไร้สาระ"

   "มันไม่ใช่การทำนายครับ มันคือการเล่าแล้วก็การเตือนนิดหน่อย"

   ในท้ายที่สุดสีที่มีความเกี่ยวข้องกับคนทั้งคู่ก็ตกเป็นของทิวากาล ต่างฝ่ายต่างเรียงหมากของตัวเองให้อยู่ในฟอร์มเริ่มต้น ทิวากาลเหลือบมองหมากของฝั่งตรงข้ามเป็นการเช็คความจำของตนเองว่ายังชัดเจนดีอยู่หรือไม่ คนนั่งอีกฝั่งเรียงหมากครบหมดแล้วถึงหันไปรินน้ำชาถ้วยแรกมาจิบ กลิ่นชาละอายอวลคล้ายเครื่องหอมชั้นดีสำหรับการผ่อนคลาย

   "ผมก็แค่ 'รู้' บางอย่างที่คนอื่นเขาไม่รู้" การเดินตาแรกเป็นเบี้ยจากฝั่งพิชชา "รวมถึง 'เห็น' ในสิ่งที่บางคนไม่เคยเชื่อว่ามีอยู่"

   "งั้นเรื่องไหนบ้างที่ผมไม่รู้" เคลื่อนตัวหมากด้านนอกออกไปเมื่อถึงคราวของตัวเอง เขาไม่เคยมีเพื่อนที่มีความพิเศษด้านนี้ แล้วถ้าถามว่าเชื่อในเรื่องพวกนี้ไหมก็ตอบได้เต็มปากว่าไม่เชื่อ

   ไม่อย่างนั้นคำภาวนาของเขาคงเป็นจริงตั้งนานแล้ว

   "บางสิ่งถ้าเริ่มเดินแล้วไม่มีทางกลับมาที่เดิมได้ครับ" เช่นเดียวกับคำเอ่ย เบี้ยที่ไม่อาจถอยหลังได้ตัวที่สองเริ่มเดินออกจากฝั่งของตนเอง ทิวากาลไม่เข้าใจการเล่นไร้แบบแผนตรงหน้ามากนัก มีอีกหลายวิธีที่พิชชาสามารถบุกเข้ามาได้เหมือนกระดานล่าสุด แต่ชายที่มีบุญคุณกับเขาไม่ทำเช่นนั้น "ผมเรียกว่าความสามารถพิเศษดีกว่า"

   "ต้องพิเศษขนาดไหนถึงมีคนคอยตามติดทุกฝีก้าว" น้ำแร่ยี่ห้อที่ไม่เคยเห็นให้รสชาติที่ไม่คุ้น แต่ก็อร่อยดี "นี่ถ้าข้างบนไม่โดนสั่งห้ามขึ้นคงตามมาด้วย"

   ใครจะไม่เห็นว่าตลอดการเดินเล่นมาถึงร้านมีชายต้องสงสัยคอยเว้นระยะห่างการติดตามเอาไว้ตลอด คราวนี้มีสองถึงสามคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มันสะกิดความสงสัยให้เพิ่มขึ้นอยู่เสมอว่าชายคนนี้มีความสำคัญขนาดไหนถึงต้องตามติดเสียขนาดนั้น ไม่น่าใช่แค่เรื่องทายาทตระกูลเศรษฐี

   "เขาก็มีหน้าที่ครับ"

   "แล้วหน้าที่ของเราคือมานั่งเล่นหมากรุกสบายใจอย่างนี้งั้นสิ" ขยับม้าเดินขึ้นไปสองช่องเตรียมปะทะกับเบี้ยของอีกฝ่าย หลักการเล่นเบสิคที่สุดคือการยอมสละเพื่อเป็นนกต่อ และทิวากาลกำลังทำอย่างนั้น

   "เครียดไปก็ไม่ช่วยอะไรนี่ครับ" การยกไหล่ขึ้นอย่างคนไม่ยี่หระกับเรื่องราวใดที่เกิดขึ้นรอบตัว "เดี๋ยวสุขภาพจิตเสียอีกจะแย่เปล่า"

   "ผมมากกว่ามั้งที่ควรปลอบตัวเองอย่างนั้น"

   "การที่เจอผมมันแย่ขนาดนั้นเหรอครับ" เสียงหัวเราะร่าหลังจบคำสุดท้ายไม่มีแววขุ่นเคืองใจ การเดินหมากของทั้งสองคนยังดำเนินต่อไปพร้อมกับบทสนทนาเข้าใจยากในบางช่วงบางตอน

   "ต้องทำอะไรอีก"

   รอยประทับที่ยังไม่รู้ความหมาย ดอกไม้สีดำสนิทแทนชื่อของทั้งคู่ และเลือดหมู่หายาก เรื่องราวที่ไม่ควรเหมือนมีความคล้ายกันในหลายส่วน

   "รอมั้งครับ"

   "รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ชอบรอ"

   เบี้ยของเขาหายไปแล้วสาม และเรือกำลังจะตามไปอีกหนึ่ง ในขณะที่การเล่นแบบ 'ตามอำเภอใจ' ของพิชชามีเบี้ยหายไปเพียงตัวเดียวเท่านั้น

   "แล้วผมบอกเมื่อไหร่ว่าไม่รู้ล่ะครับ"

   "..."

   ไม่ใช่แค่เกมกระดานที่ราชากำลังเพลี่ยงพล้ำ กระทั่งสิ่งที่เกิดอยู่ในปัจจุบันก็เหมือนกัน เขาหาคำที่จะใช้เปรียบกับคนตรงหน้าไม่เจอ จางแบบหมอก...แล้วก็เป็นสสารสีดำสนิทเข้ากับชื่อ

   มีตัวตนแต่จับไว้ไม่ได้

   "คุณอาจเป็น 'ราชา' ในฝั่งของคุณ"

   "..."

   "แต่ผมก็มีราชาอยู่ในมือเหมือนกันนะ"

   ปลายนิ้วขาวแตะลงบนคิงที่อยู่ข้างป้อมของตนเอง เคาะมันเบาๆ พอให้รู้ความหมายแฝงที่อยู่ข้างใน

   "ไม่เคยมีราชาสองคนบนบัลลังก์เดียว"

   "ผมก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคิง" จากปลายสัมผัสที่อยู่ตรงเครื่องหมายราชาเปลี่ยนไปวางไว้บนหมากควีน ม้า และเบี้ยตามลำดับ "ผมอาจเป็นหมากตัวอื่น ...หรือเป็นอย่างนี้ก็ได้นะครับ"

   ช่วงท้ายเขายกนิ้วชี้ตัวเอง ยิ้มสดใสแบบที่ไม่อาจมองเห็นนัยน์ตาทรงแปลกอย่างนั้นได้อีกเลย ต่อให้เขายิ้มการค้าที่ดูสวยงามมากเพียงไหนตอนนี้ทิวากาลก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะร่าเริงตามได้ การบอกว่าเป็น 'ตัวเอง' หรือว่าเป็นคนเดินหมากนั้นแทนได้หลายแง่ และมุมที่เขาคิดเอาไว้พิชชากำลังหมายความถึงการเล่นที่มีเขาเป็นราชาโดยอีกคนเป็นผู้เดินหมากคอยกุมชะตาของทั้งกระดานเอาไว้

   "หรืออาจเป็นแค่ผู้ชมที่ไม่มีสิทธิอะไรบนกระดาน"

   คราวนี้ควีนของแบล็คกำจัดม้าสีขาวออกไปได้ การเล่นปนเปมั่วซั่วที่ควรจะรุกฆาตได้ไม่ยาก...แล้วเพราะอะไรเขาถึงยังไม่สามารถเคลื่อนพลไปได้ไกลกว่าที่ควรจะเป็น

   "คุณเคยเป็นแต่คนสั่ง"

   ตั้งแต่จำความได้ทิวากาลถูกเลี้ยงมาในรูปแบบที่ 'ค่อนข้าง' เหมือนคนทั่วไป จะต่างออกไปในบางรายละเอียดเช่นเขาจำช่วงเวลาที่มีมารดาไม่ได้ และเขาไม่เคยคิดจะนับผู้หญิงชื่อแม่สองเป็นผู้มีพระคุณ เขาโตมาพร้อมการปลูกฝังในทุกเรื่องจากบิดา คุณพินิจเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งเสมอในสายตาของเขา ชายตัวคนเดียวที่ต้องเลี้ยงลูกถึงสี่คนพร้อมกับธุรกิจอีกจำนวนมาก

   ผู้ชายที่ทำให้ตระหนักอยู่เสมอว่าการจะอยู่เหนือคนอื่นมาพร้อมภาระอันยิ่งใหญ่

   นึกไม่ออกว่าชื่อ 'ราชา' ใครเป็นคนแรกที่เริ่มเรียก เท่าที่ฟังมาเหตุผลของการใช้ชื่อนี้คือความรู้สึกบางอย่างที่คนเหล่านั้นมีเหมือนกัน เคารพ เกรงกลัว ยำเกรง แบล็คไม่ใช่คนโลกส่วนตัวสูง...แต่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ นั่นเลยเกิดความย้อนแย้งขึ้นระหว่างชื่อจริงกับชื่อเล่น

   ทิวากาลแปลว่ากลางวัน ความสว่างสดใส

   แต่แบล็คคือสีดำ

   ไม่เคยมีกลางวันที่ไหนเป็นสีดำ
   
   หน้าที่ของพี่ที่มีน้องสามคนก็หนักหนาเอาการ คำที่ถูกสอนมาเสมอว่าพี่ต้องดูแลน้องคือสิ่งตอกย้ำลงไปในจุดลึกที่สุดของสมองและหัวใจ เขาต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนอื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นน้องทุกคนต้องปลอดภัยภายใต้อาณาจักรของเขา

   "ถ้าพูดอย่างนั้น...ผมก็สั่งคุณได้อย่างนั้นสิ?"
   
   ทิ้งตัวหลังพิงกับกำแพงอีกครั้ง มือทั้งสองข้างประสานกันไว้ตรงท้ายทอย แสดงท่าทีสบายๆ ต่างจากการนั่งของพิชชาลิบลับ หมดเวลาลองเชิงแล้ว ตอนนี้คือการเจรจาที่ดึงเพียงวัตถุประสงค์มาพูด

   การขยับริมฝีปากให้เกิดรูปโค้งขึ้นได้องศาราวกับรูปวาด "ทุกอย่างมีข้อแม้เสมอครับ"

   "เพราะอย่างนี้ผมถึงเกลียดคำว่าบุญคุณต้องทดแทน"

   "อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นสิ" พิชชาท้าทายด้วยการขยับคิงบนกระดานรุกขึ้นไปหนึ่งช่อง ตำแหน่งหมิ่นแหม่ต่อการถูกรุกรานแต่เจ้าของกลับไม่เป็นเดือนเป็นร้อนกับการตัดสินใจของตัวเอง "สิ่งที่คุณคิดกับความเป็นจริงนี่อาจเป็นหนังคนละม้วนก็ได้"

   "แสดงว่าผมควรไปตามหาบทละครมาอ่าน"

   "บทเรื่องนี้มันเสร็จมาตั้งนานแล้วครับ"

   และเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ คิงที่ควรตั้งอยู่บนความเสี่ยงระดับสูงสุดกลับปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าทิวากาลขยับหมากออกไปเมื่อไหร่...ตัวเบี้ยที่อยู่ถัดออกไปก็พร้อมจะเข้ามารุกฆาตในทันที

   พิชชาร้ายกว่าใครอื่นที่ทิวากาลเคยพบเจอ

   ตัวหมากไร้การเคลื่อนไหวไม่ต่างกับสองสายตาประสานกัน สำหรับแบล็คเองเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการต้องมาเล่นเกมจ้องตาอย่างนี้ด้วยความเชื่อว่าไม่มีใครอื่นที่จะมาโค่นล้มตำแหน่งของน้องสาวเขาได้อีกแล้ว นัยน์ตาที่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นสีอะไรกันแน่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนไม่อาจบอกได้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังคิดถึงเรื่องใดอยู่

   เป็นพิชชาที่ทำลายความเงียบลง

   "ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟัง"

   "ไม่ต้องการ" ตอกกลับไปพลัน ราชาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ ต่อให้คนตรงหน้าจะแตกต่างจากใครอื่นมาเพียงไหนเขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าจะมีใครที่รู้อนาคตได้

   หากอยู่จุดสูงสุดกลับพึ่งพาสิ่งไม่แน่นอน

   สมควรหรือที่ตนจะเป็นราชา?

   "ถ้าอย่างนั้นผมพูดคนเดียวก็ได้"

   "..."

   "คุณจะ 'ได้รัก' อย่างแน่นอน"

   ไยหนอยามที่นัยน์ตาสีผสมนั้นเงยขึ้นมาสบ เขาถึงไม่เคยหลบมันไปได้เสียที...

   "แล้ววันนั้นผมจะมาเอาคำตอบว่าหัวใจควรอยู่ที่ไหน"



   ขากลับเหลือเพียงคนขับไร้ตุ๊กตาหน้ารถเช่นตอนออกไป

   นอกจากเป็นหมอกสีดำแล้วพิชชายังเหมือนกับสายลมอีกด้วย กระดานไม้ที่ถูกล้มก่อนมีผู้ชนะถูกมัดมือชกมาให้เขาเก็บเอาไว้ เผลอเดินนำหน้าไปแค่ไม่กี่ก้าวหันกลับมาอีกทีก็ไม่เจอเจ้าของแล้ว หมดหนทางจะตามหาเลยต้องเดินเข้าบ้านด้วยของพะรุงพะรังทั้งของฝากแล้วก็กระดานไม้แผ่นใหญ่

   "ไปเที่ยวไหนมาวะมึง?"

   เจอน้องชายที่ไม่อยู่บ้านเมื่อเช้าในห้องนั่งเล่น มองไปรอบข้างไม่เห็นวิญญาณตามติดเลยถามออกไป "ที่หนึ่ง?"

   "หนึ่งก็กลับบ้านตัวเองสิ"

   "เห็นสัปดาห์ที่แล้วมานอนค้าง"

   "แล้วสัปดาห์นี้ต้องมาหรือไง" ช่วงก่อนบ้านของที่หนึ่งไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหมด แต่คนลูกไปด้วยไม่ได้เพราะว่าติดงานคณะ "นี่ไปซื้อของมาเหรอ"

   "ประมาณนั้น" ไม่อยากจะต่อความยาวเลยรับไปให้จบ "มีของฝากมึงด้วย"

   "ไหน!"

   ตาลุกวาวเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แล้วอาจจะยิ่งกว่าเดิมด้วยเพราะกลายเป็นเด็กที่ได้รับการสปอยล์จากอีกคนเต็มที่ คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ขัดใจทุกที

   "กล่องสีขาว" ยื่นถุงกระดาษที่มีของสองชิ้นอยู่ข้างในให้หยิบเพียงของตัวเอง โรมเดินมารื้อของในถุงจนได้ยินเสียงกระดาษกรอบแกรบสองสามครั้งถึงเจอสิ่งที่บอก

   "จะให้กูเอาไปทำอะไรวะ ...แล้วไปไหนมา?"

   พอเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างในแล้วพบว่าเป็นแท่นทับกระดาษโรมก็ทำหน้าสงสัยเต็มกำลัง จริงอยู่ว่าเขาเป็นน้องที่ได้รับการโอ๋จากเหล่าพี่ชายพี่สาวทั้งหลายจนในห้องเต็มไปด้วยของจำนวนมาก แม้จะเป็นเช่นนั้นของส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่เอาไปใช้จริงได้ในชีวิตประจำวัน ไม่เหมือนกับคราวนี้ที่เขาคิดไม่ออกว่าจะนำไปทำอะไรได้บ้าง

   คนเป็นพี่โตสุดถอนหายใจออกมานิดหน่อย คิดแล้วเป็นโชคดีที่น้องชายไม่อยู่บ้านเมื่อช่วงเช้า

   "ไปเล่นหมากรุกมา"

   "หือ?" เสียงที่ค้างอยู่ในลำคอบอกว่าโรมันประหลาดใจกับคำตอบนั้นไม่น้อย "กระดานนั่นน่ะเหรอ"

   ชี้ไปตรงงานไม้ขนาดใหญ่ที่ยังถืออยู่ด้วยมือขวา แบล็คพยักหน้าให้พลางตัดบททั้งหมด "อืม เดี๋ยวเอาของไปให้ไวท์ก่อนล่ะ"

   แยกกับน้องตรงนั้น คิดถึงน้องอีกคนว่าควรอยู่ส่วนไหนของบ้านในเวลานี้ ถ้ายังไม่ใช่ช่วงสี่ทุ่มรัตติกาลไม่ค่อยอยู่เป็นที่เป็นทาง อยากจะไปโผล่ส่วนไหนของบ้านก็ได้ บางทีก็เดินลึกเข้าไปในป่าข้างหลังคนเดียวไม่เกรงกลัวอะไรจนพ่อต้องวางระบบใหม่เผื่อว่าจะมีสัตว์เข้ามาทำร้าย

   บนชั้นสองห้องแรกคือห้องของน้องชายคนที่หนึ่ง ต่อมาเป็นห้องของเขาและห้องของน้องสาวที่มีประตูเชื่อมต่อถึงกัน ส่วนห้องของโรมแยกไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตึก ไฟลอดออกมาจากประตูบานที่สองบอกเขาว่าคนที่ต้องการพบอยู่ด้านในอย่างแน่นอน

   เคาะประตูแทนการเรียกแล้วเปิดเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต ไวท์นั่งเล่นอยู่บนเตียงโดยมีสมุดเล่มใหญ่วางอยู่บนตัก หันมามองแขกยามวิกาลอยู่อย่างนั้นไม่เอ่ยคำใดออกมา

   "ของฝาก"

   ยื่นถุงกระดาษใบเดิมที่เหลือของเพียงชิ้นเดียวไปให้ น้องสาวรับมันไปไว้ข้างกายโดยไม่สนใจจะเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน สิ่งที่เธอทำคือจ้องใบหน้าเขากลับเงียบๆ  สีดำมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาว่างเปล่าที่ช่วงหลังเริ่มกลับมาเห็นแววประกายในนั้นอีกครั้ง เสียงอ่อนโยนลอยมากับห้วงอากาศดังขึ้นในหัว

   นัยน์ตาที่บอกว่าเหมือนที่สุด

   "คนเมื่อเช้า...ใคร"

   รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอคำถามนี้จากน้องสาว ทิวากาลถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างที่ไม่ได้ทำบ่อยนัก "ต้องช่วยอะไรเขาหน่อยน่ะ"

   เลี่ยงที่จะไม่ใช้คำแบบพิชชา ถ้าบอกว่าเป็นคนที่เขาต้องอยู่ด้วยแล้วล่ะก็งานนี้คงได้มีการสอบสวนกันยาว

   "เหรอ"

   "มีอะไรหรือเปล่า"

   "คนนี้คือคนเดียวกับที่วันนั้นพามาใช่ไหม"

   "อือ" ไม่คิดว่ารัตติกาลจะเห็นด้วย เพราะไม่เห็นว่าเธอจะซักถามอย่างที่ทำตอนนี้เลย "เห็น?"

   "ตอนที่จอดรถ"

   รัตติกาลคิดถึงตอนมองลงมาจากหน้าต่างห้องนอนที่ตรงกับพื้นที่จอดรถพอดี พี่ชายของเธอดับเครื่องยนต์นานแล้วแต่ก็ไม่ยอมลงจากรถ ฟิล์มสีดำมองไม่เห็นว่าคนข้างในกำลังทำอะไรอยู่ แล้วยิ่งตอนประตูรถฝั่งซ้ายเปิดออกก็น่าตกใจเข้าไปใหญ่ที่เห็นชายหนุ่มผมยาวก้าวออกมาแล้วมองขึ้นมาตรงบริเวณที่หล่อนแอบอยู่

   "...เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ด้วย"

   นอกจากเพื่อนในกลุ่มที่เหลืออีกสามคนแล้วคนแรกที่เคยมาเหยียบบ้านแสนลึกลับแห่งนี้คือที่หนึ่ง เวลาเป็นรายที่สอง

   และมีชายคนนั้นเป็นคนที่สาม

   "จะต้องเจอไปอีกนานแค่ไหน?"

   "หมายถึง...?" บางครั้งการเป็นแฝดก็ไม่ได้ทำให้การสื่อสารเป็นไปโดยราบรื่นเสียทั้งหมด

   "คนนั้น"

   ฝาแฝดที่เป็นครึ่งชีวิตของกันและกันสบตาอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมาอีก สายใยที่ไม่มีใครมองเห็นของคนร่วมท้องมาเกือบเก้าเดือนกำลังส่งต่อทุกความกังวลปะปนไปกับความระแวง

   รัตติกาลไม่เคยยุ่ง...ไม่สิ เธอควรใช้คำว่าไม่เคยทำให้ต้องยุ่งเสียดีกว่า พี่ชายของเธอเป็นคนมีเสน่ห์ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนรู้กันดี ถึงอย่างนั้นคนเป็นพี่ก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตวัยรุ่นอย่างที่ควรเป็น สิ่งที่ทิวากาลมีคือน้องเท่านั้น

   น้องที่ต้องดูแลเท่าชีวิต

   "จนกว่าพี่จะคืนเขาไปหมด"

   "อย่างนั้นเหรอ..." ปลายเสียงเบาหวิวราวกับผิดหวังกับสิ่งที่ได้กลับมา น้องสาวหลุบตาต่ำไม่ยอมสบเข้ากับนัยน์ตาของอีกฝ่ายมันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนแบล็คต้องลดตัวลงไปนั่งอยู่เคียงข้าง จับศีรษะเล็กมาซบอยู่ตรงลาดไหล่ของตัวเอง

   "เล่ามา"

   "เมื่อเช้าตอนไปเปิดประตูบ้าน..." อยู่ดีๆ น้องสาวก็ลมหายใจขาดห้วงไปเสียอย่างนั้น "เขาทำเหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นคนไปเปิด"

   การแย้มยิ้มราวกับยินดีเหลือเกินที่ได้พบกัน รัตติกาลมีเพื่อนน้อยจนนับหัวได้ และหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนนั้นไม่มีชายผมยาวคนนั้นอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

   "อืม มีอะไรอีกไหม"

   ตัดสินใจอยู่นานว่าจะบอกในสิ่งที่คิดออกไปดีหรือไม่ และสุดท้ายหล่อนก็เอ่ยปาก "ผู้ชายคนนั้น...ไม่น่าอยู่ใกล้"

   ทั้งรอยยิ้ม ทั้งน้ำเสียง รวมไปถึงบุคลิกที่คงไว้ซึ่งบางสิ่งตลอด บางอย่างที่เธอไม่ได้บอกออกไป คือคำทักทายเดียวของชายแปลกหน้าตอนเดินสวนผ่านกัน เสียงเบาที่ไม่รู้ว่าต้องการบอกให้ฟังหรือว่าเป็นการพูดลอยๆ

   'เลิกโทษตัวเองได้แล้ว มีคนเป็นห่วงนะ'

   นั่นคือเหตุผลที่เธอรีบเดินหนีขึ้นไปโดยอ้างว่าไปปลุกพี่ชาย...


***
   สวัสดีวันหยุดค่ะ (ยิ้ม) เดี๋ยวตั้งแต่ตอนหน้าจะเป็นคราวของพี่แบล็คบ้างแล้วล่ะ ปล่อยให้พิชชาได้บทมาสักพักแล้ว เจ้าชอบพิชชาจังเลยค่ะ รู้สึกว่าคนอย่างพี่แบล็คต้องเจออะไรอย่างนี้นี่แหละ (หัวเราะ)
   เจ้าไม่ค่อยเข้าใจระบบทวิตเท่าไหร่แต่ว่าเพื่อนบอกว่ามันเป็นอาการของแท็กพัง (?) เหมือนแท็กที่ใช้มันจะไม่ขึ้นอะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ เจ้าเลยต้องขอเปลี่ยนแท็กสำหรับเรื่องนี้นะคะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.4-2 [19.07.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 19-07-2016 22:08:45
พิชช่วยให้ความกระจ่างอย่างด่วนค่ะ  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.4-2 [19.07.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 28-07-2016 17:31:30
ตามมาจากเรื่อง ที่หนึ่ง

แอบเป็นแฟนคลับแบล็คมาตั้งแต่เรื่องที่หนึ่ง อ่านไปก็คิดอยู่ว่าถ้าราชามีคู่ คนๆนั้นจะต้องไม่ธรรมดา

แล้วก็ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย พิชดูน่าค้นหาและไม่น่าเข้าใกล้ ชอบตัวคะลรแบบนี้มากกกกกกกกกกกกกก

รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.5-1 [07.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 07-08-2016 16:28:45
CH.5-1


   เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มผูกพัน

   นั่นคือการเรียนรู้สำหรับคำว่าจากลา



   ไล่สายตาไปตามตัวอักษรจนจบคำสุดท้ายแล้วจึงเบนออกไปมองทิวทัศน์ภายนอกกระจกใสบานใหญ่ จากการลากให้ไปเป็นคนขับรถในวันเสาร์ก็เริ่มอัพเกรดเป็นมาหาในวันธรรมดาหลังเลิกเรียน อยู่ในรูปแบบเดิมคือบอกแค่จุดหมายปลายทางแล้วก็ลอยหน้าลอยตารอเป็นตุ๊กตาหน้ารถ

   ไม่ใช่สิ ตอนแรกทำตัวเป็นคุณชายนั่งอยู่เบาะหลัง ทั้งขู่ทั้งปลอบสารพัดกว่าจะเลิกเล่นตัวแล้วมานั่งข้างหน้าด้วยกัน แล้วก็เอาแต่เปิดเพลงฟังยากเหมือนเดิมไม่คิดจะเปลี่ยนบ้าง

   คราวนี้เป็นเรื่องดีอยู่หน่อยก็ตรงพิชชาไม่ให้เขาขับรถเข้ามาในเมืองหรือว่าสถานที่แปลกๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วสองครั้งก่อนหน้า สถานที่ที่เอาชายผมยาวมาหย่อนไว้คือหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังแถวมหาวิทยาลัย สำทับไว้ว่าให้รอด้วยเขาก็เลยต้องมานั่งอ่านหนังสือที่ไม่รู้จะนิยามประเภทว่าเป็นแบบไหนอยู่คนเดียวในร้านกาแฟที่สามารถมองออกไปภายนอกได้

   ไม่อยากอ่านหนังสือเรียนจนยอมแวะไปร้านหนังสือที่อยู่ชั้นใต้ดิน เดินวนอยู่ข้างในเพื่อเช็ครายชื่อของเข้าใหม่ที่น่าสนใจโดยได้หนังสือเกี่ยวกับการเล่าเรื่องเพ้อฝันในชีวิตมาหนึ่งเล่ม แล้วก็มีอีกสองเล่มเกี่ยวกับนิติศาสตร์

   กาแฟดำประจำวันหายไปเกือบค่อนแก้ว นั่นบอกได้ว่าเขานั่งอยู่ภายในร้านนี้มานานแค่ไหนแล้ว ถึงอย่างนั้นคนที่บอกให้มาส่งก็ยังไม่กลับมาเสียที

   ห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งจะปรับปรุงใหม่ดูกว้างขวางกว่าเดิมหลายเท่า เขามองว่ามันก็ดีในแง่การกระจายตัวของประชากรที่จะไม่แออัดอยู่แค่ส่วนการค้าเดิม ส่วนแย่ก็คงเป็นคนที่เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ก็จะใช้เวลาในการเดินทางมากขึ้นเท่านั้น

   ถอนหายใจออกมาอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก วันนี้วิชาเรียนไม่ได้หนักหนาอะไรแต่ว่าหัวสมองกลับตื้อไปหมด ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ลอยขึ้นมาหลังจากนั้นช่วยระบุที่มาของอาการนี้ได้ สาเหตุมาจากชายชื่อพิชชาสินะ เขาไปตามหาข้อมูลเพิ่มมากแค่ไหนก็คว้าน้ำเหลว นอกจากอินสตาแกรมที่ระบุเวลาอัพเดตของแต่ละรูปห่างกันเป็นเดือนหรือสองเดือนแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก

   "ไม่กลับบ้าน?"   

   หันหน้ากลับเข้ามาในตัวร้านตามเสียงเรียก ร่างของชายที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่มากนักทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองว่าเป็นใคร

   ความจริงก็พอเดาได้ตั้งแต่เห็นสีเสื้อแล้วล่ะ

   "ก็เห็นอยู่"

   เวลาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถือวิสาสะนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ติดกันโดยไม่คิดจะขออนุญาตก่อน เขามองเครื่องดื่มที่วางอยู่เคียงข้างหนังสือเล่มหนาอยู่พักใหญ่ ความสงสัยนำไปสู่คำถามจำนวนมากในหัว เป็นเรื่องน่าแปลกใจว่าคนที่ไม่ค่อยยอมห่างจากน้องสาวมากนักในช่วงหลังกลับมานั่งไขว่ห้างอยู่คนเดียวอย่างนี้

   "เดี๋ยวไปส่งซินที่บ้านให้แล้วกัน"

   "ไม่เป็นไร"

   แม้ว่าจะเจอหน้ากันเกือบทุกสัปดาห์ การสนทนาของทั้งคู่ก็ไม่เคยจะญาติดีกันได้เกินนาที ทิวากาลมองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิดที่คนเป็นพี่อย่างตนเองจะต้องมีอคติกับชายอื่นที่เข้ามาใกล้น้องสาว ยิ่งเป็นรายแรกและรายเดียวแล้วด้วย

   "แล้วนี่..." ชี้ไปยังของที่อยู่บนโต๊ะ "อยากเปลี่ยนบรรยากาศ?"

   "ก็ชีวิตเจอแต่คนน่าเบื่อ"

   "หึ..."

   "รู้ตัวแล้วก็ไปซะ"

   สีดำรู้เสมอว่าตัวเองไม่ใช่คนใจดีอย่างที่ใครเขาชอบพูด ส่วนลึกแล้วเขาทั้งใจร้อนแล้วก็โมโหร้ายอย่างที่คุณพินิจยังเคยออกปากเองว่าคงไม่มีใครห้ามอยู่ ครั้งหนึ่งก็เคยน็อตหลุดใส่น้องโรมไปเหมือนกัน น้องอาจจำไม่ได้เพราะผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ความผิดพลาดครั้งที่หนึ่งไม่เคยมีครั้งที่สองตามมา

   'หน้าที่' มาพร้อมคำว่า 'รับผิดชอบ'

   มงกุฎของราชาหนักเสมอ

   "ไม่มีวัน"

   "ผมเกลียดคุณเวลา"

   "แล้วผมบอกเมื่อไหร่ว่าอยากให้คุณรัก?"

   ประโยคนั้นแทนทุกอย่างว่าเพราะอะไรทิวากาลถึงเกลียดคนตรงหน้า ทั้งมั่นใจแล้วก็มั่นคง สองสิ่งที่ไม่ควรรวมอยู่ในคนเดียวเพราะมันจะออกมาในรูปแบบนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจนถึงตอนนี้ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทิวากาลจะข่มคนตรงหน้าลงได้

   "คนที่ผมอยากให้เขา 'รัก' มีแค่คนเดียว"

   สิ่งหนึ่งที่ณธามไม่เคยคืนคำ คือเมื่อรักไปแล้วมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

   แล้วเขาจะรู้จักคำว่าจากลาบ้างไหม...

   "คิดว่าพูดอย่างนี้แล้วจะใจอ่อนหรือไง"

   "ไม่คิด แล้วก็ไม่สนด้วย"

   "แนะนำว่าถ้ายังอยากไปส่งน้องสาวผมอยู่ก็เงียบไป"

   "คุณอนุญาตแล้วนะ"
   
   "ทำอย่างกับถ้าห้ามแล้วคุณจะทำตาม"

   ถ้าไม่ได้อยู่ในร้านกลางห้างทิวากาลคงหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบดับอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังพลุ่งพล่านนี้ ตั้งแต่เรื่องพาน้องสาวเขาหนีลากยาวมาจนถึงเรื่องที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ล่าสุดก็เรื่องจดหมายในตู้

   โอเค สรุปตัวอัปมงคลในชีวิตเขาคือชายที่ชื่อเวลานี่แหละ

   "แล้วนี่หาเจอหรือยัง?"

   อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น ใบหน้าเรียบตึงของเวลากำลังบอกว่าเป็นการถามที่ค่อนข้างจะทั่วไป

   "ต้องบอก?"

   "แสดงว่าเจอแล้ว" เวลาสรุปเอาเองจากการตอบอย่างนั้น บ้านนี้เหมือนกันอย่างหนึ่งคือชอบตอบด้วยคำถาม เจอมากี่คนก็อย่างนี้ "ดีใจด้วยนะ"

   มันน่าดีใจตรงไหนกัน...

   อยากจะพ่นคำหยาบออกมาอยู่หรอก ติดตรงบุคคลที่สองไม่เคยใช้คำพูดสมัยพ่อขุนในการสื่อสารจนเขาเองไม่อยากกลายเป็นคนไร้อารยธรรมไป เวลาเอียงคอเล็กน้อยยามเห็นว่าที่พี่เขยของตัวเองทำหน้ายุ่งเพิ่มหนึ่งระดับต่างจากปกติ

   "อุตส่าห์ตามหาตั้งนาน ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้น"

   "ไปรับน้องสา..."

   "กลับมาแล้วครับ"

   ยังไม่ทันจะไล่ให้ไปรับส่งน้องสาวเสียงที่สามก็แทรกเข้ามา ชายสองคนแรกพร้อมใจกันหันไปทางหนุ่มผมยาวผู้มาพร้อมกับถุงกระดาษสกรีนชื่อร้านเสื้อผ้าราคาแพงไว้ การเปิดตัวได้จังหวะสวยงามเล่นเอาทิวากาลเผลอเขม่นใส่ ใครจะมองโลกในแง่ดีก็ช่าง สำหรับเขาแล้วพิชชา 'จงใจ' ที่จะเข้ามาหาตอนเวลายังอยู่

   "อ้อ..." ณธามไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น ไม่มีความคิดจะละลาบละล้วงข้อมูลของชายที่เข้ามาใหม่ ไม่แม้จะแนะนำตัวหรือว่าถามชื่อ มีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจหลายอย่างรอการพิสูจน์ต่อไป

   "ครบแล้ว?"

   "เปล่าครับ มีอีกเยอะเลย"

   นอกจากเวลาแล้ว พิชชาคืออีกคนที่ทิวากาลเกลียด

   "แล้วนี่คือคนนั้นใช่ไหมครับ" ใบหน้าที่มองทิวากาลอยู่จนถึงเมื่อครู่เปลี่ยนไปทางชายตัวสูงผมสีอ่อน "ผมประทับใจควา..."

   "พิช ชา"

   ทางที่ดีคือรีบตัดบทก่อนผู้รู้แสนลึกลับจะเริ่ม 'เล่าเรื่อง' เพิ่มเติมอีก คราวนี้การขยับมุมปากขึ้นจนเกือบเป็นการยิ้มแสยะของพิชชาส่งมาทางเขาคล้ายปีศาจที่เคยเห็นเพียงในภาพวาด นัยน์ตาฉายแววท้าทายจนผู้เป็นราชาต้องพูดต่อโดยเบี่ยงประเด็นเดิมให้ตกไป

   "แล้วทำไมไม่ไปซื้อให้ครบก่อน"

   "พอดีเจอคนที่อยากทักมานานแล้วน่ะครับ เลยแวะมาหน่อย" ของที่พะรุงพะรังอยู่ในมือวางพิงลงกับขอบเก้าอี้ของทิวากาล

   "สวัสดีครับเวล..."

   การออกเสียงตัวสุดท้ายควรจบด้วยตัวสะกด แต่ริมฝีปากของคนผมยาวกลับขยับเพิ่มอีกหนึ่งครั้งแบบไม่มีเสียง ชื่อที่ถูกเพิ่มสระเข้าไปอีกหนึ่งตัวเล่นเอาณธามเกือบสะดุด แต่สุดท้ายเขาก็ทำเป็นญาติดียกมือขึ้นแทนการทักทาย

   "ไปรับซินก่อนล่ะ"

   รักษาตัวรอดเป็นยอดดี เวลาเลือกพาตัวเองออกไปจากพื้นที่สุ่มเสี่ยงอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้จักคนมาใหม่ เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่กลุ่มติดเพื่อนจะมีสมาชิกคนอื่นเพิ่มเข้ามาโดยไม่มีใครรู้

   อีกอย่างคือเวลารู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนี้

   ทิวากาลรอจนร่างที่มีความสูงไล่เลี่ยกันเดินออกไปจากร้านแล้วถึงหันมาถามคนที่นั่งหน้าระรื่นอยู่ข้างๆ

   "ทำไมไม่ซื้อให้ครบ"

   "ถือไม่ไหวแล้วครับ"

   นอกจากเป็นคนขับรถแล้วเขายังต้องเป็นพนักงานเฝ้าของด้วยอีกหรือไง...

   "ก็วางไว้ เดี๋ยวเฝ้าให้"

   "ไม่เอาครับ"

   ได้เวลาเขี่ยอันดับเจ้าชายจอมเอาแต่ใจไปอยู่ลำดับสองแล้วล่ะ ในเมื่อตอนนี้เขามีมือวางอันดับหนึ่งคนใหม่แล้ว

   "งั้นกลับเลยแล้วกัน"

   "ยังไม่กลับครับ"

   เด็ดขาดจนเกินขอบเขตของคนเอาแต่ใจ ใบหน้าของคนที่เหนือกว่ายังระบายรอยยิ้มคล้ายคนอารมณ์ดีเป็นนิจ ทิวากาลตีหน้าเรียบขณะคิดว่าควรพูดอะไรต่อเพื่อให้ไม่เป็นการทำร้ายจิตใจจนเกินไป

   มือข้างขวายื่นออกไปเตรียมหยิบกาแฟขึ้นดื่ม ในขณะที่มือของอีกคนไวกว่าคว้าไว้กับตัวได้ก่อน มือที่กางออกเตรียมจับแก้วเลยแปรเป็นกำหมัดไว้หลวมๆ แล้ววางลงกับโต๊ะแทน เขาท่องบอกตัวเองไว้เสมอนั่นแหละว่าสำหรับพิชชาแล้วการทำความเข้าใจต้องมีการรีเซ็ตใหม่ทั้งหมด ไม่ว่ากฎเกณฑ์ใดๆ ก็ตามที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องปกติไม่เคยมีคราวไหนเอามาปรับใช้ได้อย่างลงตัวเสียที

   "ที่คุณทำอย่างนั้นผมยังไม่ได้ว่าเลยนะ"
   
   "ทำอย่างนั้น...?" ย้อนถามยียวนพร้อมนัยน์ตาระยับ

   "ที่คุณเกือบ...เล่าเรื่องให้หมอนั่นฟัง"

   "เวลาน่ะเหรอครับ" ชื่อเล่นแบบเต็มที่ทิวากาลไม่เคยได้ยินใครเรียกนอกจากน้องสาวของตนเองออกมาอย่างที่กลัวเอาไว้ "ผมไม่ได้จะเล่าอะไรให้ฟังสักหน่อย แค่อยากเชียร์ให้ผ่านด่านพี่เขยจอมเรื่องมากก็เท่านั้นเอง"

   ทิวากาลเลยผ่านตำแหน่งที่ใช้เรียกแทนตัวเขาไป นอกจากเรื่องของตัวเองแล้วแม้กระทั่งเรื่องของน้องสาวฝาแฝดยังรู้ ถ้าวันหนึ่งพิชชาเดินเข้าไปหาน้องโรมกับที่หนึ่งแล้วพูดอะไรสักอย่างก็ดูไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่

   ปริศนาเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นทุกที

   "ผมเลือกของไม่ค่อยเป็น"

   "ถ้าเทียบผมกับคุณแล้วคิดว่าใคร 'เลือกไม่เป็น' กว่ากันล่ะครับ?"

   มีการยกแขนทั้งสองข้างให้เห็นว่าเสื้อที่ใส่เป็นผลผลิตของผ้ามัดย้อมตามหมู่บ้านท้องถิ่น เขาเป็นคนที่มีความหลากหลายของสีสันจนเห็นกี่ครั้งก็ยังเดาทางไม่ค่อยถูกว่าครั้งหน้าที่เจอกันจะเป็นแบบไหน

   อย่าคิดว่าเขาหลงเสน่ห์อะไรถึงกับรอการเจอกันครั้งต่อไป มันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าคนอย่างพิชชาไม่ยอมไปไหนง่ายๆ อยู่แล้วต่างหาก กว่าคนเป็นเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ครบถ้วนคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่

   "เกิดอยากเปลี่ยนตัวเองขึ้นมาหรือไง?"

   "ผมคงไม่ห้ามความคิดคุณหรอกครับ" แก้วกระดาษที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายถูกแกว่งไปมาก่อนจะหยุดอยู่ตรงตัวอักษรย่อของสินค้า พิชชาไล่จากบรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายจึงเปลี่ยนมาสบตากับทิวากาลที่มองอยู่ก่อนแล้ว "ดื่มขนาดนี้เดี๋ยวก็ไม่หลับหรอกครับ"

   "เรื่องของผม"

   "ปกติผมมีคาถาทำให้ฝันดีนะ"

   "ผมไม่ฝัน" ไม่ได้พูดอะไรเกินจริงเท่าไหร่ หลังจากที่ต้องเป็นคนไข้ของจิตแพทย์ช่วงหลังจากเกิดเรื่องเขาก็ค้นพบวิธีในการควบคุมตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่อมให้ท่องอยู่ในนิทราสีดำสนิทได้ตลอดทั้งคืน

   "หรือจะเก็บไปบอกคนที่ไม่ยอมหลับก็ได้นะครับ"

   "...!"

   จากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายจากกลิ่นกาแฟหลงเหลือเพียงความตึงเครียด แม้การจ้องตาจากอีกฟากฝั่งจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการพาดพิงบุคคลที่สามให้เข้ามาอยู่ในคำบอกเล่าจะเป็นสิ่งปกติเช่นกัน

   "บอกแล้วไงครับว่าผมรู้..."

   "จะซื้อก็ลุก"

   คว้าถุงช็อปปิ้งไว้ในมือ หนทางที่จะทำให้หยุดปากได้คงเหลือเพียงทางนี้เท่านั้น



   ร้านที่พิชชาชี้นิ้วสั่งคือร้านเสื้อเจาะกลุ่มวัยรุ่น ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าในโทนสว่างมีสีดำหรือสีเข้มประปราย วิธีการเลือกเสื้อผ้าของคนเจ้ากี้เจ้าการคือการเดินจนทั่ว มีการหยิบสิ่งที่สนใจขึ้นมาพลิกดูรายละเอียดและการตัดเย็บ ประหลาดดีตรงไม่คิดจะพลิกดูป้ายราคาว่ามีราคาเท่าไหร่

   "คุณครับ ...ทิวากาล ...แบล็ค"

   "..."

   "ราชา"

   สิ้นคำเรียกสุดท้ายทิวากาลถึงยอมเงยหน้าจากหนังสือเล่าเรื่องเพ้อฝันในมือ ยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแทนการถามว่ามีเรื่องอะไรถึงเรียกไม่ยอมหยุดอย่างนั้น

   "ดูเหมือนผมจะเลือกชื่อที่จะเรียกให้คุณยอมหันมาได้แล้วนะ"

   "อยากทำอะไรก็เชิญ"

   "คุณว่าตัวไหนดีกว่ากันครับ"

   สิ่งที่อยู่ในมือพิชชาคือเสื้อยืดสองตัวมีลวดลายไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ด้านซ้ายเป็นลายการ์ตูนลิขสิทธิ์สีฟ้าอ่อน ส่วนทางซ้ายเป็นลายกราฟฟิคผสมกับสีเลือดหมู

   "ใครใส่ล่ะ"   

   ทั้งสองแบบเป็นดีไซน์อย่างที่ทิวากาลไม่คิดจะชายตามอง รสนิยมการใส่เสื้อผ้าของเขาไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่นในบ้านมากเท่าไหร่ บิดาที่มีอายุห้าสิบกว่าเข้าไปแล้วชอบใส่แบบสีสันสดใสโดยให้เหตุผลว่าพอยิ่งแก่ตัวลงก็จะชอบอะไรที่มันแทนความมีชีวิตชีวา

   เขาเองชอบอะไรที่ใส่แล้ว 'ดูดี' ในหลายๆ สถานการณ์ เลยเลือกสีพื้นฐานที่ปรับเปลี่ยนตามงานได้ง่าย เสื้อที่ใส่ก็มีตั้งแต่แบรนด์ไปจนถึงตลาดนัดข้างทาง อยู่ที่ว่าชอบการออกแบบและตัดเย็บมากแค่ไหน

   "เอาที่ราชาชอบครับ"

   "ผมไม่ชอบทั้งสองแบบ"

   "งั้นซ้ายหรือขวา"

   "ยังไงผมก็ต้องเลือกใช่ไหม"

   หนังสือที่คั่นด้วยมือไว้ทีแรกเพราะคิดว่าไม่น่าจะต้องคุยนานอย่างนี้เปิดออกเพื่อจำเลขหน้า หลังจากนั้นก็ปิดมันอีกครั้ง

   "ครับ"

   "นี่พิช..."

   "คนที่ไม่เคยถูกบังคับเลือกอย่างคุณนี่พอต้องเลือกจริงๆ แล้วก็โวยวายไม่ยอมหยุดเลยนะ"

   พูดจบก็หันหลังกลับไปแขวนเสื้อทั้งสองตัวกับราวแบบเดิม ไม่มีสัญญาณใดบอกล่วงหน้าพิชชาก็เดินตัวปลิวออกจากร้านไปโดยมีสายตาของคนถือของจำเป็นมองตามไปด้วยความรู้สึกสงสัยเต็มประดา

   ...เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าใต้คำพูดนั้นมีอะไรแฝงไว้อยู่

   จากร้านแรกสู่ร้านที่สอง กว่าที่จะมีการซื้อเกิดขึ้นจริงปาไปร้านที่สาม ทุกครั้งเหมือนกันตรงที่พิชชาจะหยิบเครื่องแต่งกายออกมาสองชิ้นแล้วให้เขาเลือกก่อน พอบอกว่าไม่ชอบก็เปลี่ยนไปเรื่อยจนกว่าจะเจอตัวที่ใช่

   "สรุปแล้วซื้อให้ผมหรือไง?"

   ถามไปแบบรู้คำตอบอยู่แล้ว ของทุกชิ้นที่เลือกมาไม่ใช่ขนาดของพิชชาหรือของเขา มันเล็กกว่าเบอร์หนึ่งจนคาดเดาไปเองว่าคงซื้อไปฝากคนอื่น

   พิชชาไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาไล่สายตาจากบนลงล่างจนเจอกับสิ่งที่ต้องการ ที่หนีบไทด์สีเงินที่เห็นแล้วก็ชื่นชมคนออกแบบ "อันนี้เอาไปฝากคุณน้า"

   "คิดถึงคนอื่นตลอดเวลาอย่างนี้เลย?"

   "แล้วได้เอาค่าน้ำมันไปเบิกหรือยังล่ะครับ"

   ทิวากาลไม่เคยบอกว่าเช็คในวันนั้นกลายเป็นเศษสีไหม้ไปในวันเดียวกันแล้ว

   "แสดงว่าไม่ได้ใช้ล่ะสิ" การยกไหล่ขึ้นแบบไม่สนใจโลกคงเป็นเอกลักษณ์ของเขาไปเสียแล้ว "ผมถึงไม่หยิบมาตั้งแต่แรกไงครับ"

   "ค่าเป็นเพื่อนคุยสูงจังเลยนะ"

   "ก็กำไรที่ได้หลังจากการคุยมันเยอะกว่านั้นไม่รู้กี่สิบเท่านี่ครับ"

   คนที่ดูมีความเชื่อด้านสิ่งลี้ลับกับการพูดในแง่เศรษฐศาสตร์ออกมาเป็นส่วนผสมที่ไม่น่าจะเข้ากันได้เลย แบล็คพยักหน้ารับรู้ไปส่งๆ ทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดเท่าไหร่นัก กำลังคิดถึงข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่กับตัวตั้งนานแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับชายไฮโซคนนั้น จับแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่ค่อยล้มแรงเหมือนใครอื่น อย่างล่าสุดน่าจะเป็นคอนโดสร้างใหม่ริมทางรถไฟฟ้า

   "ดูสนิท...เป็นพิเศษ"

   "อย่าเป็นเด็กขี้อิจฉาสิครับราชา"

   มือเย็นเฉียบตบลงตรงแก้มเขาสองสามครั้ง ไว้จะลองไปถามเพื่อนที่เรียนหมอว่า 'มนุษย์' นี่สามารถลดอุณหภูมิของตัวเองลงไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ

   "อย่าคิดแทนผมผู้หยั่งรู้"

   "อย่างนั้นเหรอครับ ผมนึกว่าคุณอยากรู้ใจจะขาดแล้วเสียอีกว่าผมกับคุณน้ารู้จักกันได้ยังไง"

   "คุ..."   

   พนักงานขายเดินกลับมาพร้อมถุงกระดาษขนาดใหญ่เสียก่อนที่ราชาจะได้เอ่ยคำอื่นออกไปต่อ พิชชากล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าไร้การแต่งแต้มเข้ามาใกล้

   "พยายามอีกหน่อยนะครับ ผมยังมีอะไรที่อยากให้คุณรู้เยอะแยะเลย"



   สิบนาที

   สิบนาทีที่ทิวากาลนั่งอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่เห็นวี่แววว่าคนที่บอกว่าขอลองเสื้อหน่อยจะออกมาจากส่วนห้องลอง สำหรับบางคนแล้วสิบนาทีอาจไม่ใช่ช่วงเวลานานนัก แต่ถ้าบอกว่าพิชชาเดินเข้าไปพร้อมเสื้อแค่ตัวเดียวนี่จะเรียกว่านานได้แล้วหรือยัง

   มีข้อความส่งมาจากคนที่เพิ่งเจอกันในร้านกาแฟว่าไปส่งน้องสาวถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ไม่พอยังถามมาอีกว่าแยกกับพิชชาแล้วหรือยัง เขาอ่านจบแล้วก็ลบห้องสนทนานั้นทิ้งไปอย่างไม่ใยดี อารมณ์ไม่ดีก็ยังจะซอกแซกกับชีวิตเขาอีก เวลานี่มันตัวอัปมงคลชัดๆ

   ให้โอกาสอีกห้านาที แต่พอครบแล้วมันก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนที่เข้าไปพร้อมเสื้อหนึ่งตัวจะเสด็จออกมาได้
   
   หมดเวลา!

   มีห้องลองชุดเพียงห้องเดียวปิดม่านเอาไว้อยู่ ทิวากาลไม่ลังเลเลยที่จะเดินไปกระชากม่านนั่นให้พับเก็บไว้อยู่ฝั่งเดียว และพิชชาคงไม่มีต่อมรับรู้ความรู้สึกในส่วนของความตระหนกตกใจ สิ่งที่ชายผมยาวทำเพียงส่งตายิ้มมาให้แทนการทักทาย

   "มาพาดีเลย รบกวนช่วยแก้สร้อยให้หน่อยได้ไหมครับ"

   สร้อยเส้นบาง จับแล้วน้ำหนักที่ได้บอกว่าเป็นของมีคุณภาพ ไม่มีร่องรอยของการลอกหรือว่าเปลี่ยนสี ทิวากาลเองก็มีเครื่องประดับอย่างนี้ตกทอดมาจากคนเป็นพ่ออยู่หลายชิ้น ถ้าไม่ดูแลตลอดเวลาไม่มีทางได้สีเงาวับอย่างนี้แน่นอน

   "ถ้ารู้ว่ามันจะมีปัญหาอย่างนี้ก็ควรจะถอดออกได้แล้วนะ"

   "ก็ถอดไม่ได้ไงครับ"

   "ผมถอดให้เลยไหมล่ะ?"

   เห็นแล้วรำคาญตาในบางที คือตอนที่มันห้อยเป็นสร้อยเส้นเดียวอยู่ด้านหน้ามันไม่มีอะไรหรอก พอเห็นจากด้านหลังที่กลายเป็นเงื่อนตายขนาดใหญ่แล้วก็คันไม้คันมืออยากทำให้มันคลายออก

   "ไม่!"

   เสียงห้วนสั่งห้ามหลุดฟอร์มที่พิชชาใช้มาตลอด ภาพในกระจกคือคนที่ทำตัวร่าเริงอยู่ตลอดเวลาเม้มริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ แววตื่นตระหนกฉายออกมาผ่านสีหน้าอยู่บนนั้นเพียงชั่วพริบตา พอทิวากาลดึงสติกลับมาอยู่กับตัวได้อีกครั้งใบหน้าเรียบที่ยิ้มเพียงช่วงมุมปากก็กลับมาอยู่บนนั้นเหมือนเดิม

   ใบหน้าของคนเรามีความแตกต่างกัน บางคนอาจหน้านิ่ง หรือบางคนก็ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ส่วนพิชชาเป็นการผสมกันของหลายๆ สีหน้า เขาชอบยิ้มที่มาพร้อมความรู้สึกไม่น่าเข้าใกล้เสมอ

   "งั้นก็อยู่เฉยๆ ให้ผมแก้ปมออกก่อน"

   "รบกวนด้วยนะครับ"

   ผมยาวถูกรวบเป็นหางม้าโดยมีมือของพิชชาคอยจับเอาไว้สูง คนที่มีน้องสาวแต่ไม่เคยเข้ายุ่งอะไรกับเรื่องความงามก็ออกอาการเก้กังอยู่ไม่น้อย นอกจากจะพันกันเองแล้วยังมีเส้นผมบางส่วนผสมด้วย ใช้ทักษะการแก้ไขปัญหาทั้งหมดเข้าช่วยก็ยังไม่เห็นทางสว่าง

   "นี่ อย่างน้อยก็ถอดออกมาแป๊บเดียวได้ไหม ถ้าอยู่อย่างนี้ทั้งชาติคงแก้ไม่ออก"

   "ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรครับ"

   ผมยาวสีดำเป็นลอนสวยหล่นลงมาตามนั้นทันที คนที่ยังตามอารมณ์ไม่ถูกก็เลยลดมือลงมาอยู่ข้างตัว สำรวจดูแล้วก็พบว่าเสื้อที่ติดมือเข้ามาลองด้วยยังคงแขวนเอาไว้กับราวเหมือนอย่างตอนเดินเข้ามา

   "แล้วลองหรือยัง?"

   "ไม่ล่ะครับ ไม่อยากได้แล้ว"

   "พิช..." ข่มความไม่พอใจเอาไว้ก่อน คิดหาคำพูดที่ดูเป็นการด่าทางอ้อมให้สวยที่สุด "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเตือนตัวเองหน่อยว่าคุณให้ผมรออยู่ข้างนอกมาสิบห้านาทีแล้ว"

   "ผมรอมานานกว่านั้นยังไม่บ่นสักคำ"

   พอเจอคำอธิบายที่แสนเอาแต่ใจอย่างนั้นแบล็คก็ให้คำอนุญาตตัวเองที่จะทำอย่างที่ใจต้องการเสียที

   มือทั้งสองข้างเลื่อนไปจับสะโพกใต้ผ้าฝ้ายเอาไว้มั่น โน้มตัวลงไปตรงข้างหูของคนข้างหน้า กระซิบคำที่ไม่ใช่เพียงแค่การขู่อีกต่อไป

   "ถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้อะไร..."

   นัยน์ตาสองคู่ประสานกันผ่านกระจกบานใหญ่

   หนึ่งคือราชาผู้ยิ่งยศศักดิ์

   อีกหนึ่งคือผู้รู้รอบที่น่าหวั่นเกรง

   เสียงดนตรีเปิดกล่อมภายในร้านไม่ช่วยลดระดับความรุนแรงของสงครามเย็นที่เกิดขึ้น และเป็นพิชชาที่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ชายผมยาวทิ้งตัวมาด้านหลังโดยไม่ห่วงว่าเขาจะรองรับเอาไว้ทันหรือไม่

   กลิ่นน้ำหอมที่สัมผัสแรกเหมือนกับของทิวากาล หากเมื่อลองพิจารณาดูแล้วมันมีความต่างกันอยู่ในความรู้สึก ของพิชชาจะสดชื่นกว่าเมื่อเทียบกับของเขาที่เต็มไปด้วยความหวานจนเกือบเลี่ยน

   คำตอบแปลออกมาได้เพียงอย่างเดียว

   "แต่ต่อจากนี้ไปผม 'ต้อง' รู้หมดทุกอย่างแน่"

   พอสักทีพิชชา

   หมดเวลาที่คุณจะได้เดินนำ


***
   หายไปนานเลยค่ะ ที่จริงเจ้าตั้งใจจะพิมพ์ให้เสร็จบทนี้ตั้งแต่ต้นเดือนแล้วแต่ว่ามีงานเข้าแบบวันต่อวันเลยไม่ได้มีเวลาว่างเลย คิดว่าถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็น่าจะกลับมาลงได้ต่อเนื่องแบบเดิมแล้วค่ะ ยังไงก็อย่าเพิ่งลืมกันนะคะ (หัวเราะ)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.5-1 [07.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 09-08-2016 11:38:30
ชอบๆ รอเสมอจ้า  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.5-1 [07.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แพท ที่ 16-08-2016 08:23:49
รอยุน่ะ อัพเร็วๆน่ะค่ะ :mew2: :hao5:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.5-2 [22.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 22-08-2016 18:25:31
CH.5-2


   ประตูไม้บานใหญ่ งานสลักลวดลายเก่าแก่สมกับเป็นที่อยู่ของพวกผู้ดีสมัยก่อน ไอที่ลอดผ่านช่องออกมาเย็นเยียบไม่ต่างกับหัวใจของทิวากาล
   ข้างหลังประตูบานนี้จะมีสิ่งที่เขาตามหาอยู่หรือเปล่า...
   มือขวาที่จับอยู่ตรงลูกบิดค้างอยู่อย่างนั้น ความคิดหลายอย่างตีกันอยู่ข้างในจนเรียบเรียงความสำคัญไม่ถูก รู้ดีว่ามีอะไรอีกมากมายรอให้เขาไปค้นพบ หากป้ายข้อควรระวังก็เตือนผู้เล่นเอาไว้แล้วว่าจงคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจทำอะไร ถ้ามันไม่ใช่คำตอบสู่ประตูบานต่อไป ก็คงเป็นการจบเรื่องทั้งหมด
   สูดหายใจเข้าลึกให้ออกซิเจนได้ช่วยเพิ่มความปลอดโปร่งให้ส่วนความคิด ลองนึกจนครบทุกทางว่านอกจากจะทำอย่างนี้แล้วมันยังมีทางอื่นให้เข้าเลือกหรือไม่ และสุดท้ายมันก็เหลือเพียงเสียงเดียว
   ไม่มีทางไหนดีกว่าเปิดมันเข้าไป



   คราวนี้ไม่มีการทานอาหารในร้านแปลกอย่างที่ทิวากาลมักเจอหากอยู่กับพิชชา หลังได้ของตามต้องการจากร้านสุดท้ายแล้วเขาก็บอกแค่เพียงว่าช่วยไปส่งตรงป้ายรถเมล์หน่อยก็เท่านั้นเอง

   เขาก็เสียเวลานึกตั้งนานว่าในห้างนี้จะมีร้านลับแลอยู่ตรงไหนได้บ้าง

   "ให้ไปส่งหอเลยไหมล่ะ หรือว่าอยู่บ้าน"

   พอออกจากอาคารจอดรถแล้วถึงเห็นว่าพื้นที่ด้านนอกปกคลุมไปด้วยม่านฝนชั้นหนาทึบ ลมแรงพัดต้นไม้ขนาดใหญ่ให้ลู่ไปตามทิศที่ต้องการ เด็กกว่าครึ่งเช่าห้องพักใกล้มหาวิทยาลัยเป็นที่พักอาศัยชั่วคราว เรื่องปกติของสถานศึกษาที่ตั้งอยู่นอกตัวเมือง

   "ไม่เป็นไรครับ ส่งที่เดิมก็พอ"

   "แล้วของ?" เบาะหลังของรถอีโค่คาร์ที่เคยว่างเปล่ามีถุงหลายแบบวางเอาไว้ "ไม่น่าจะถือหมดนะ"

   "ฝากไว้ก่อนแล้วกันครับ ไว้จะมาเอา"

   "บอกแล้วว่าเดี๋ยวผมไปส่งก็ได้"

   คนเป็นราชาเองก็ไม่ได้ใจร้ายกับประชาชนขนาดนั้น ต่อให้เป็นคนที่จ้องจะทำลายบัลลังก์เขาก็เถอะ

   "ไม่ครับ เดี๋ยวกลับเอง" วูบหนึ่งที่คนขับนึกเปรียบพิชชากับตัวเอง นิสัยทำอะไรเด็ดขาดอย่างนี้ไม่ต่างกับเขาและคนที่บ้านเลย ถ้าลองได้ตัดสินใจทำอะไรไปแล้วก็จะไม่ยอมหันหลังกลับง่ายๆ

   "คุณก็เห็นอยู่ว่าฝนตกหนักแค่ไหน"

   "เดี๋ยวก็หยุดแล้วครับ"

   "ฟ้าแทบจะมืดสนิทอย่างนี้คงเป็นชั่วโมง"

   เสียงหยันที่ติดอยู่ในลำคอแปลกหู ทั้งทุ้มแล้วก็แหบแห้ง "อยากลองพนันกันไหมล่ะ”

   นัยน์ตาสีผสมเป็นประกายราวกับเจอของเล่นถูกใจ ทิวากาลมองมันแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมา

   "การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย"

   "แค่เรื่องฟ้าฝนนี่ผิดกฎหมายด้วยเหรอครับ"

   "ผมแค่ไม่อยากให้สุขภาพจิตตัวเองเสียไปมากกว่านี้"

   "แปลกนะ ผมมีความสุขทุกวันตั้งแต่ได้เจอคุณ"

   "เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมพิชชา"

   ใบหน้ายังแย้มละไม และเขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอจ้องรอให้ริมฝีปากนั้นขยับตั้งแต่เมื่อไหร่

   "เรา 'ต้อง' ได้เจอกัน"

   ไม่ใช่ในสิ่งที่เขาถาม การเจอกันครั้งแรกในร้านอาหารไทยกลางเมืองนั่นพิชชาเคยบอกว่าเราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว ระยะเวลาที่เขาลองย้อนกลับไปเป็นยี่สิบปีก็ยังไม่คุ้นสักนิด ทิวากาลเชื่อว่าความทรงจำของตัวเองไม่มีทางแย่อย่างนั้น เขามั่นใจว่าต่อให้เป็นช่วงเรียนอนุบาลเขาก็ไม่เคยมีคนรู้จักชื่อพิชชา

   เสียงนิ้วที่เคาะกับพวงมาลัยรถดังเป็นจังหวะแข่งกับการกระทบของหยาดฝนด้านนอก นิสัยที่ทิวากาลทำเพื่อการรวมรวมความคิด เขาไม่เคยไปเรียนดนตรีจริงจังอย่างที่น้องคนเล็กเคยทำ จะมีก็เพียงเล่นกีตาร์เหมือนเพื่อนผู้ชายหลายคนชอบก็เท่านั้นเอง

   "ไม่มีใครเปลี่ยนมันได้หรอกครับราชา" กระเป๋าผ้าใบแปลกที่ไม่เหมือนกับคราวที่แล้วถูกกระชับแน่น อาการของคนเตรียมพร้อมจะลงจากรถกระตุ้นให้คนที่อยู่บนบัลลังก์ขยับมือออกไปกดปุ่มล็อคทั้งรถเอาไว้ก่อน

   "ต้องลองทดสอบดูแล้วมั้ง"

   ไร้การตอบสนองอย่างที่อยากเห็น ชายผมยาวยังอยู่ในอาการสงบ ไม่โวยวายหรือว่าแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา ทิวากาลเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าคนตรงหน้าอาจไม่ได้เป็นมนุษย์ก็ได้ ทำไมเขาถึงไม่ยี่หระต่อการคุกคามได้ขนาดนี้

   "รบกวนเปิดล็อคครับ"

   "ตอบผมมา"

   "ตอบว่า?" ย้อนถามกลับสั้น "คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอครับว่าจะถามผมว่าอะไร"

   มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของพิชชาไม่ใช่การส่งรอยยิ้ม แต่เป็นการส่งข้อควรจำให้กับทิวากาลว่าหากตำแหน่งการเล่นไม่เหมือนกัน...กฎที่บังคับใช้ในการเดินก็ต่างเช่นกัน

   ริมฝีปากที่เม้มเข้ายามถูกจี้ใจดำผละออกอย่างรวดเร็ว เขาเคยถามไปแล้วและพิชชาก็ไม่เคยให้คำตอบตรงๆ ทำตัวเหมือนเป็นหนังสือเลคเชอร์สูตรลัดที่ต้องไปอ่านหนังสือหลักเพื่อเพิ่มความเข้าใจอยู่ดี การรู้สูตรแต่ไม่รู้โจทย์ไม่มีทางช่วยในแก้ปัญหาได้

   "ไหนใครบอกว่าจะรู้ทุกอย่างไงครับ" เข็มขัดนิรภัยถูกปลดออก พิชชายังสาละวนกับการตรวจสอบข้าวของของตัวเองโดยไม่คิดเงยหน้าขึ้นมาสบตา ราวกับว่าชายที่อยู่ด้านข้างไม่มีตัวตน

   "รบกวนเปิดล็อครถด้วยครับราชา"

   ใช้เสียงนอบน้อมยิ่งกว่าครั้งไหน

   "ก่อนจะเริ่มเกมสิ่งแรกที่ต้องทำคือหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้ดีนะครับ"

   คำสอนที่พ่อเคยให้เมื่อนานมาแล้ว ไม่ว่าจะในเกมการแข่งขันหรือว่าในชีวิตจริง ยิ่งประเมินสถานการณ์ได้มากเท่าไหร่ชัยชนะก็พร้อมโบยบินมาหา กำลังทหารแม้จะมากกว่าหลายเท่าตัวก็อาจเป็นผู้แพ้ได้ถ้าไม่รู้จักการจัดการที่ดี

   ร่างเล็กกว่าแทรกตัวผ่านไปยังประตูอีกฝั่ง ฉวยโอกาสที่เขาหยุดการเคลื่อนไหวอยู่เปลี่ยนคำสั่งเสีย สัมผัสได้ถึงผมหยักศกเส้นยาวทิ้งตัวลงกับช่วงตักเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนตุ๊กตาหน้ารถจะกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม

   เวลาไม่กี่วินาทีเล่นเอาทิวากาลหายใจไม่ทั่วท้อง

   "ฝากของด้วยนะครับ"

   "พิช!"

   การเรียกของเขาไม่มีประโยชน์อันใด เมื่อยังไม่ทันจะพูดชื่อจบเสียงปิดประตูก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว ภาพของชายผมยาวเดินฝ่าสายฝนไปยังจุดจอดรถประจำทางด้วยจังหวะการเดินไม่เร่งรีบ ผ้าฝ้ายที่เคยพองตัวก็ลีบลงจนเห็นว่าแผ่นหลังนั้นไม่ได้เล็กอย่างที่เขาเข้าใจมาตลอด

   อยากจะเรียกกลับมาคุยให้รู้เรื่อง เสียงแตรรถยนต์ด้านหลังก็เตือนให้ต้องรีบขยับรถก่อนที่จะเป็นตัวปัญหาสำหรับการจราจร ทิวากาลหัวเสียจนตะคอกคำหยาบออกมาไม่มีหยุด เปลี่ยนเกียร์แล้วเคลื่อนรถออกไปแบบไม่เต็มใจมากนัก

   สายตามองถนนพอให้มั่นใจว่าห่างจากรถคันข้างหน้าพอสมควรแล้วจึงกลับมามองที่แห่งเดิม

   แต่ไม่เห็นว่าจะมีร่างของใครคนนั้นอยู่ตรงป้ายรอรถอย่างที่ควรจะเป็น

   ตอนแรกตั้งใจว่าจะอ้อมรถกลับมาอีกครั้ง พอคิดไปคิดมาแล้วมันก็ไม่ได้การันตีว่าพิชชาจะยังอยู่ที่เดิม คนที่เป็นหมอกอย่างนั้นโดนลมพัดทีเดียวก็ปลิวหายไปแล้ว ทางเดียวที่จะเก็บเอาไว้ได้คงต้องหาขวดโหลมาใส่

   ฝนตกกับการจราจรติดขัดเป็นของคู่กัน เขาเหยียบคันเร่งแล้วผ่อนลงหลายต่อหลายครั้งภายในระยะทางไม่กี่ร้อยเมตร รถบนท้องถนนก็แออัดเกินพอแล้วยิ่งมาเจอกับช่วงเวลาที่ต่างคนต่างลดระดับความเร็วลงมันช่างน่าหงุดหงิดเสียเหลือเกิน มือข้างซ้ายปรับวิทยุให้กลับมาทำงาน ช่องเพลงสมัยก่อนที่เปิดค้างไว้ฉุดอารมณ์ให้ดิ่งลงไปลึกกว่าเดิม รีบปิดมันเพื่อให้ทั้งรถเหลือเพียงเสียงทำงานของเครื่องยนต์ มันยังน่าอภิรมย์มากกว่าเสียงเพลงเหล่านั้นหลายเท่านัก

   ไม่ถึงสิบนาทีทิวากาลก็หลุดออกจากบริเวณเจ้าปัญหา เริ่มเร่งความเร็วขึ้นเพื่อให้ไม่เสียเวลาการเดินทางไปมากกว่านี้ ที่ปัดฝนถูกปรับระดับให้หยุดการทำงาน

   เพราะท้องฟ้าหยุดร้องไห้ลงแล้วตามคำเล่าของผู้หยั่งรู้



   หมากบนกระดานถูกเรียงเอาไว้ตามตัวอย่าง กลยุทธ์ที่วางล้อมคิงเอาไว้จนมองไม่เห็นทางออก

   นั่นคือทิวากาลในตอนนี้

   "วันนี้สมาชิกเหลือแค่สองชีวิต"

   ไม่หันไปหาต้นเสียงในทันที แบล็คยังคงมองตำแหน่งของตัวหมากในกระดานอยู่อีกพักใหญ่จึงช้อนตาขึ้นมามองบุพการีในชุดสูทเพราะเพิ่งกลับมาจากงานสังคม

   "ไวท์ล่ะครับ?"

   "เห็นว่าไปทานข้าวเย็นกับพ่อหนุ่มผมทอง"

   เขาล่ะอยากโทรไปด่าเสียตอนนี้ ไหนบอกว่าพามาส่งที่บ้านแล้วไง!

   แค่ตัวอัปมงคลก็ไม่สบอารมณ์พอแล้ว แล้วทำไมคุณพ่อถึงไม่มีการห้ามปรามอะไรเลย ลูกสาวคนเดียวไปกินข้าวเย็นกับผู้ชายสองต่อสองนะ

   "ทำหน้ายุ่ง เพิ่งมาหวงอะไรตอนนี้"

   "ผมหวงของผมมานานแล้วต่างหาก"

   "ไม่ยักกะรู้ว่าลูกชายของพ่อเป็นพวกขี้หวง" น้ำเสียงอ่อนโยนที่ทิวากาลไม่เคยได้ยินยามอยู่ข้างนอก ผู้ชายคนหนึ่งต้องแบกรับทุกอย่างไว้โดยไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย บิดาของคู่แฝดทิวาราตรีมองกระดานหมากรุกตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากรอยยิ้มที่ส่งมาให้ก็แปรเป็นเรียบตึง "ของใคร?"

   แม้จะเป็นสัมผัสเบาบางทิวากาลก็รู้ว่าในการถามมีอะไรซ่อนอยู่

   "ของคนรู้จักครับ" เป็นอีกครั้งที่ใช้คำว่าคนรู้จักในการระบุความสัมพันธ์

   "ชื่อ?" และมันชัดเจนเมื่อตอนที่เขาได้รับคำถามต่อมาอย่างนั้น สายตาของพ่อลูกประสานกัน และลูกที่ดีก็ทำได้แค่ตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจมากนัก

   "พิชชา" นอกจากชื่อแล้วไม่ได้บอกนามสกุลไป

   "ลูกของ...ใช่ไหม"

   ชื่อของบิดาอีกฝ่ายอยู่ในข้อมูลที่ได้มา เขาพยักหน้ากลับไปเพื่อบอกว่าอย่างน้อยข้อมูลในส่วนนี้ก็ตรงกัน

   จากข้อมูลชุดเดิมไม่แน่ใจว่าเชื่อส่วนไหนได้บ้าง เขาไม่มีข้อมูลของชายผู้ให้กำเนิดพิชชามากไปกว่าชื่อนามสกุล แล้วก็เป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัทดูแลเรื่องอสังหาริมทรัพย์

   ทุกอย่างแปลกไปหมด ไม่มีความลงตัวเลยสักนิด

   "รู้จักเหรอครับ"

   "สังคมคนแก่ รู้จักไปทั่ว" ชายวัยห้าสิบกว่าเดินมานั่งบนเก้าอี้อีกตัว แว่นสายตายาวที่ติดตัวเอาไว้เสมอถูกหยิบขึ้นมาสวม "เสียไปแล้วเมื่อต้นปี มะเร็งอะไรสักอย่าง"

   "อ้อ..."

   ตอบกลับแห้งแล้ง นี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อของพิชชาเสียชีวิตไปแล้ว ทิวากาลเบนความสนใจทั้งหมดมาอยู่ตรงคำบอกเล่าของบิดา หมากบนกระดานถูกเรียงค้างไว้ในรูปแบบเดิมไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม

   "แล้วนี่คิดยังไงถึงหยิบมาเล่น ตอนนั้นสอนไม่เห็นจะชอบ"

   "ผมบอกว่าผมเล่นได้ มีแต่น้องโรมที่โวยวายอยู่คนเดียว"

   "นี่ใกล้ตายแล้วนะ" หากพิชชาคือคนที่รู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น คุณพินิจก็เป็นคนที่รู้ในสิ่งที่จับต้องได้ บิดาผู้จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์กลับบอกเล่าเรื่องราวร้อยแปดได้เสมอ ไม่มีครั้งไหนตอบว่าไม่รู้ อย่างเรื่องหมากรุกนี่เคยได้ยินมาว่าสมัยยังหนุ่มเป็นจำพวกไร้คู่ต่อสู้อยู่เหมือนกัน

   ชายที่แพ้ให้ผู้หญิงคนเดียว

   เรื่องเล่าจากงานเลี้ยงสังสรรค์ ทิวากาลไม่ชอบออกงานที่ต้องพบปะกับคนแปลกหน้ามากเท่าไหร่ แต่หากงานไหนมีความสำคัญมากในฐานะลูกคนโตแถมยังเป็นลูกคนเดียวที่น่าจะพึ่งพาได้ก็ต้องทำตามคำขอ เขาชอบเครื่องมึนเมาก็เวลานี้ ช่วงที่อดีตจะได้กลับมามีชีวิตอยู่ในรูปของเสียงและจินตนาการ แต่อย่าให้คุณพินิจรู้เชียวว่าเขาเคยได้ยินเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ไปแทนอีกแน่

   "กำลังหาวิธีโกงความตายครับ" เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับความผิดปกติได้เลยต้องหัวเราะออกมาราวกับว่าหมากกระดานนี้เป็นเพียงของเล่นไร้ความสำคัญ "ยังไม่อยากตาย"

   "ไม่มีใครฝืนชะตาได้..."

   ใบหน้าแต้มรอยย่นบอกถึงเค้าความชรา ชายผู้เป็นพ่อพิงตัวลงกับเบาะสำหรับการผ่อนคลายอารมณ์ ทิวากาลมองภาพนั้นแล้วคิดย้อนไปถึงตอนตัวเองยังเป็นเด็กชายตัวน้อยที่สามารถขี่อยู่บนไหล่ของบิดาได้ เขาเคยคิดว่าน้ำหนักตัวเองในเวลานั้นก็หนักมากแล้ว แต่ 'หน้าที่' ที่ต้องแบกไว้มันมากกว่านั้นกี่ร้อยกี่พันเท่ากันนะ

   "ผมแค่เลือกทางให้ตัวเองครับ"

   "เรื่องนี้แบล็คไม่เหมือนพ่อ"

   "ครับ?"

   "ถ้าเป็นพ่อคงอยู่เฉยๆ แล้วยอมรับทุกอย่าง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด"

   ใบหน้าที่มองแล้วหาความคล้ายไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นแบล็คหรือไวท์ก็ตามทีไม่เคยมีใครที่บอกว่าเหมือนพ่อ เขาเลยสรุปไปเองว่าถ้าอย่างนั้นก็ต้องเหมือนแม่ ก็เคยเจอตัวจริงเสียที่ไหนล่ะ ได้ยินแค่ชื่อนี่ก็เป็นบุญหูเท่าไหนแล้ว

   สิ่งที่ทิวากาลกับรัตติกาลได้จากพ่อคือจิตวิญญาณ

   "ถ้าเป็นไวท์ก็คงบอกว่าไม่เล่นตั้งแต่ต้น"

   ความพึงพอใจส่งผ่านเสียงหัวเราะ ชายสองคนประสานเสียงกันจนบ้านที่เงียบสนิทน่าอยู่ขึ้นมาหน่อย

   "จะว่าไปนี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว เอาของไปเยี่ยมคนบ้านนั้นหน่อยก็น่าสน..."

   โอกาสที่ยื่นมาให้ตรงหน้าบอกให้ทิวากาลรีบคว้าเอาไว้

   "ผมเอาไปให้ได้นะครับ" กลบความกระตือรือร้นที่มีด้วยการอ้างเรื่องอื่น "พิชลืมของเอาไว้บนรถ ผมว่าจะเอาไปคืนอยู่พอดี"

   "ก็ดีนะ รู้จักบ้านใช่ไหม"

   กระจกใสบานใหญ่ของตู้โชว์ของสะสมจากทั่วทุกมุมโลกด้านหลังของคุณพินิจสะท้อนครึ่งหน้าของเขากลับมา

   ราชาที่กำลังเหยียดยิ้มออกคล้ายปีศาจผู้กระหายเลือด

   "แน่อยู่แล้วครับ"
 


   "ทำไมตื่นเช้า?"

   วางช้อนด้ามยาวในมือลง หันไปตอบคำถามน้องเล็กสุดของบ้านที่มาในสภาพเพิ่งตื่น ยังคงใส่ชุดนอนสีเข้ม มือข้างหนึ่งถือตุ๊กตาตัวโปรดลงมาด้วย มีอย่างที่ไหนกลับบ้านมานอนวันเสาร์อาทิตย์ก็แบกกลับมาด้วยตลอด อ้างว่าไม่มีแล้วนอนไม่หลับ เขาล่ะอยากจะทำที่หนึ่งยัดนุ่นมาไว้ในห้องจะได้ไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้อีก

   "ตื่นปกติ"

   "ไม่ ถ้าวันเสาร์มึงจะตื่นเก้าโมง มีแต่กูกับไวท์ลงมาทันข้าวเช้า"

   "คนที่ไม่ค่อยอยู่บ้านอย่างมึงจำได้ด้วยเหรอน้องโรม"

   วันนี้ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรมากเพราะรู้ดีว่าศึกที่แท้จริงคือช่วงเวลาต่อจากนี้ เขาเลยหาเรื่องพูดไปถึงอีกคนที่เกือบจะเอาน้องเขาของไปเป็นสมบัติส่วนตัวอยู่แล้วรอมร่อ

   โต๊ะทานข้าวทำจากไม้สลักตัวใหญ่มีทิวากาลนั่งอยู่ฝั่งขวา ส่วนโรมันนั่งลงตรงข้ามโดยเอาตุ๊กตาไว้บนเก้าอี้ตัวถัดไป ถ้าที่หนึ่งรู้คงประทับใจจนน้ำตาไหล

   "มึงเก็บไปบอกน้องสาวตัวเองเถอะ แม่งมาบ้านบ่อยกว่าหนึ่งอีกแล้วมั้ง"

   คงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทั้งสองคนเห็นตรงกัน คนเป็นพี่ใหญ่สุดเพียงทำเสียงอือออแทนการรับทราบ ยื่นมือไปตักต้มผักมาไว้ในจานตัวเองเพิ่ม "ใครจะห้ามได้"

   "ต้องได้คนนี้แล้วจริงอะ"

   "ไม่อยาก?"

   "ก็ไม่ใช่อย่างนั้น" อาหารมื้อเช้าถูกปรุงรสชาติด้วยเรื่องราวของหญิงสาวคนเดียวในบ้านหลังนี้ "หมั่นไส้อะ เข้าใจฟีลไหม"

   "ตัวเองมีหน้าไปพูดอย่างนั้นหรือไง กับที่หนึ่งนี่ไม่น่าหมั่นไส้เลยสิ?"

   น้องคนเล็กผู้ต้องสู้รบปรบมือกับพี่คนอื่นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับพี่ชายที่ชื่อว่าเน็ท จอมหวงผู้ซึ่งไม่เคยปล่อยให้อะไรหลุดออกไปจากการครอบครองของตัวเองชอบหาเรื่องให้คู่รักได้ปวดหัวอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่โรมเองก็ไม่เคยไประรานอะไรชีวิตเขาบ้างเลยสักนิด

   "แล้วเมื่อไหร่ราชาจะมีบ้างล่ะครับ ผมรอคนที่จะมาเป็นราชินีใจจะขาดแล้วเนี่ย"

   "รอไปเถอะ"

   เมื่อเรื่องมันเริ่มวกกลับมาหาตัวเองก็ต้องตัดบทเพื่อความปลอดภัย ทิวากาลรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันแทนสัญลักษณ์ของการจบมื้ออาหาร มองชายตัวผอมที่นั่งอยู่อีกฝั่งเคี้ยวข้าวในปากโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาตามที่ได้สอนไว้ว่าหากมีอาหารอยู่ในปากแล้วไม่ให้พูด

   "เอาจริงนะ คิดภาพคนที่มายืนคู่กับมึงไม่ออกเลย" ควีนผู้สวยสง่า คนที่คู่ควรกับการยืนเคียงข้าง คนที่โรมันเคยคิดแล้วก็ยังไม่เจอแม้แต่โครงร่าง "ต้องเป็นคนที่แปลกมากๆ เลยอะ"

   พอพูดถึงคำว่าแปลกแบล็คก็คิดถึงคนที่กำลังจะไปเยี่ยม ถ้าเป็นคนนั้นแล้วล่ะก็คำพูดของน้องโรมก็คงเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่เสียใจด้วย ชายคนนั้นไม่ใช่ราชินีแต่เป็นผู้หยั่งรู้ที่เต็มไปด้วยเวทมนต์ต่างหาก

   "พูดเหมือนไม่ใช่คน"

   "ต้องเป็นคนสิ แต่ว่าต้องไม่เหมือนคนปกติ"

   "เอ้า? มนุษย์พันธุ์พิเศษหรือไง"

   เริ่มสนุกกับการได้ไล่ต้อนให้จนมุม โรมหยุดมือที่จับอุปกรณ์ทานอาหารทั้งสองข้างลง มื้อเช้าในวันนี้คงไม่อร่อยเสียแล้วเมื่อเขาโดนพี่ชายแกล้งไม่มีหยุด

   "มึงก็อย่างนี้อะแบล็ค"

   "อย่างนี้?"

   "หาเรื่อง กวนตีน"

   ความสุขอย่างหนึ่งที่ชายหนุ่มยังมีอยู่คือการได้เห็นน้องตัวเล็กที่เลี้ยงมาเติบโตขึ้นตามความคาดหวัง เขาอาจไม่ใช่พี่ชายประเภทตามเอาใจทุกเรื่อง ส่วนหนึ่งก็คงมาจากความจริงที่ว่าโรมอายุห่างจากคนอื่นประมาณหนึ่งปีเท่านั้นเอง เพราะอย่างนั้นคนที่อายุไล่เลี่ยกันก็ควรมีความคิดความอ่านที่เป็นผู้ใหญ่พอกันได้แล้ว แบล็คไม่เคยปลอบเวลาน้องผิดหวัง คนทำหน้าที่นั้นมีหลายคนแล้ว ให้เขาได้เป็นฝ่ายซ้ำเติมบ้างดีกว่า ตราชั่งจะได้เฉลี่ยสองข้างเท่ากัน

   "กูรักมึงจะตายไปน้องโรม"

   "รักมากก็เลิกแกล้งกู"

   "ก็นี่ไงวิธีการแสดงความรัก"

   "เฮอะ คนอย่างมึงเหรอแบล็ค"

   โรมันไม่ค่อยคิดอะไรมากในการพูดแต่ละครั้ง เพราะเขารู้ว่าพี่คนอื่นเข้าใจความหมายแท้จริงข้างในว่ามันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการบ่นเรื่อยเปื่อย "ความรักคืออะไรมึงยังไม่รู้จักเลยเถอะ"

   "แล้วมึงรู้จัก?"

   "ที่หนึ่งไง"

   นัยน์ตาสีดำเมื่ออยู่ในที่ร่มมองตรงมาไม่มีลดละ โรมันจ้องหน้าของพี่ชายตัวเองไม่แม้จะกระพริบตาให้เสียเวลา "...ทุกคนอยากให้มึงมีความสุขนะ"

   "แล้วทุกวันนี้กูเหมือนคนอมทุกข์มากขนาดนั้นหรือไง"

   โคลงหัวไปมา กลับไปคิดว่าตัวเองไปหลุดตอนไหนให้น้องจับได้

   "มึงไม่เคยมีความสุขต่างหาก"

   "..."

   ริมฝีปากที่มักจะยกขึ้นทำมุมน้อยๆ กลับกลายเป็นเส้นตรง เมื่อน้องชายคนเล็กพูดคำนั้นออกมาพร้อมกับตีหน้านิ่งสนิท สิ่งที่โรมันพูดก่อนหน้ายังคงติดอยู่ในส่วนของการรับรู้ คนอย่างเขาเหรอไม่มีความสุข?

   "มึงเอาแต่ดูแลพวกกู เมื่อไหร่จะดูแลตัวเอง"

   "กูดูแลตัวเองดีแล้วเลยไปดูแลพวกมึง"

   คนที่ยังจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้ไม่ควรมีสิทธิ์ไปดูแลคนอื่น

   แก้ความเข้าใจผิดเสียก่อน คุณพินิจสอนมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นพี่ต้องดูแลน้อง คนเป็นพี่ชายคนโตอย่างเขาเลยทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถรักษาสัญญาของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวฝาแฝด น้องชายต่างแม่ หรือว่าน้องชายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันเลย

   เรื่องของเกรย์ต่อให้ไม่เคยคุยสักคำทิวากาลก็บอกได้หมดว่าการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง สังคมของเพื่อนน่ากังวลหรือเปล่า ชีวิตของการอยู่โดดเดี่ยวในต่างแดนมีอะไรน่ากังวลหรือไม่ น้องที่อยู่ไกลอย่างนั้นเขายังรู้ทั้งหมด นับประสาอะไรกับคนเคยอยู่ข้างห้อง

   "ก็ตอนนี้มึงไม่ต้องดูแลแล้วไง"

   "กูยังต้องดูแลไวท์อยู่"

   อ้างไปถึงครึ่งชีวิตของตัวเอง ขยับข้อมือขึ้นมาดูเวลาว่าถึงกำหนดตามที่วางไว้แล้วหรือยัง พอเห็นว่าเข็มสั้นใกล้เลขสิบสองเข้าไปทุกทีจึงลุกขึ้น ทิ้งเรื่องที่คุยกันไว้ก่อนหน้าไว้โดยไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ทวนคำถามได้อีก

   "จะไปไหน?"

   "ไปประกาศสงคราม"

   ไว้จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ เขาอาจกลับมาลองคิดเรื่องนี้จริงจังว่าตัวเองไม่มีความสุขหรือเปล่า



   ออกจากบ้านมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึง 'บ้าน' ของพิชชาเสียที สาเหตุก็มาจากการแวะมาร์เก็ตระหว่างทางนี่แหละ เกิดอารมณ์สุนทรีย์อยากทำอะไรบางอย่างเมื่อเข้าไปข้างในถ้ำเสืออย่างที่บอกไว้แล้ว

   ที่เคยพูดเอาไว้ว่า 'ต้องรู้ทุกอย่าง' เขาก็พยายามทำให้ได้อย่างที่พูดอยู่ตลอด หากตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองมีแค่ความคิดเท่านั้น ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมไม่มีอยู่เลย

   แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ไปเสียทุกเรื่องอย่างนั้น มีความจำเป็นขนาดไหนที่ต้องรู้จัก

   ทำไมต้องให้เลือด ทำไมถึงเพิ่งมาปรากฏตัวทั้งที่เรื่องนั้นก็ผ่านมาเป็นครึ่งปี แล้วทำไมถึงต้องให้เขาชดใช้ด้วยการอยู่ด้วยกัน
ทำไม

   ทำไมต้องเป็นทิวากาล

   กระดาษคำถามไร้ร่องรอยของการเขียนคำตอบ

   หยิบของที่คิดว่าจำเป็นลงตะกร้าไปเรื่อยๆ ระหว่างทบทวนแผนทั้งหมดอีกครั้ง ถึงส่วนใหญ่เขาจะเป็นแนวหน้าในการรบมากกว่าเป็นเสนาธิการจอมวางแผน ก็ไม่ได้หมายความว่าทิวากาลจะทำอะไรอย่างนี้ไม่เป็น คนเป็นราชาต้องทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจอมทัพหรือว่าผู้วางแผน

   และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อเติมเต็มกระดาษแผ่นนี้


***
   บอกว่าจะมาต่อก็หายไปเฉยเลยค่ะ ที่จริงก็ไม่ได้หายนะคะ ขอเรียกว่าแวบไปลงเรื่องสั้นดีกว่า (หัวเราะ) เรื่องนี้เลยค่ะ With Love, ด้วยรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55144.0) จะไม่ได้เฉลยตอนจบไว้ชัดเจนเท่าไหร่ เรื่องสั้นมันก็สนุกตรงนี้แหละ (ยิ้ม)
   แล้วเจอกันใหม่พรุ่งนี้นะคะ จะชดเชยที่หายไปยาวให้ได้มากที่สุดเลยค่ะ ตอนหน้าพี่แบล็คจะรุกบ้างแล้วววว
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 23-08-2016 19:57:36
CH.6

   การ ‘แวะเอาของมาให้’ สะดวกจนอดระแวงไม่ได้ ตั้งแต่หน้าประตูที่บอกว่าเอาของมาเยี่ยมผู้รักษาความปลอดภัยก็ปล่อยให้รถอีโค่คาร์เข้ามาทันที บ้าน...หรือควรเรียกว่าคฤหาสน์ดีนะ คิดถึงคำเตือนของพ่อที่บอกว่าอย่าตกใจตอนเห็นขนาดของบ้าน จากประตูรั้วกว่าจะมาถึงบ้านใหญ่ได้ก็เกือบนาทีเข้าไปแล้ว ยังไม่รวมบ้านย่อยหลังอื่นที่เขาเห็นตอนจอดรถอีกนะ บ้านของตระกูลเก่าแก่นี่ร่ำรวยถึงขนาดนี้เชียว

   ที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่มีประชากรอยู่เพียงน้อยนิด นอกจากคนงานในตำแหน่งต่างๆ แล้วเขายังไม่เห็นหน้าของญาติพี่น้องพิชชาสักคน ติดภาพหนังไทยที่จะต้องมีพวกคุณหญิงคุณนายจนหลอนไปหมด

   ถึงขั้นว่าลองนึกภาพของพิชชาเวอร์ชั่นคุณผู้หญิงดูแล้วด้วยซ้ำ

   ด้านในของบ้านเต็มไปด้วยของประดับราคาแพง ทุกอย่างหรูหรา ไร้ที่ติ ต่างจากบ้านของเขาที่เน้นทำความสะอาดง่ายเอาไว้ก่อน ก็มีแม่บ้านเหมือนกันแต่มาจากบริษัทที่ทำสัญญาเอาไว้เป็นรายปี ทุกคนยังต้องช่วยกันดูแลบ้านเท่าที่แรงเอื้ออำนวย อีกหนึ่งอย่างคือบ้านหลังที่อยู่ปัจจุบันสร้างในช่วงแบล็คอายุไม่กี่ขวบ มันเลยค่อนข้างทันสมัยกว่าบ้านหลังที่เขากำลังสำรวจอยู่

   ความแปลกใจยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีกเมื่อรอบตัวไม่มีใครเฉียดเข้าใกล้ ไร้ผู้ต้อนรับ ไร้สิ่งมีชีวิตอย่างอื่นคอยสร้างสีสันให้กับบ้าน มันมีเพียงความเงียบสงัดกระจายตัวอยู่โดยรอบ จนเขาเริ่มไม่มั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในบ้านหรือว่าพื้นที่ห้ามเข้ากันแน่

   หรืออาจเป็นอย่างอื่น

   ความสามารถพิเศษในการปรับตัวเข้ากับสิ่งรอบข้างช่วยให้กล้าเดินไปมาภายในบริเวณบ้านโดยไม่มีความเกรงใจอะไร ก็ตั้งแต่มาถึงสิ่งแรกที่ทำคือตามหาห้องครัว เอาของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ยัดเข้าไปข้างในนั้นเตรียมไว้สำหรับแผนขั้นต่อไป

   ห้องจำนวนมากถูกแบ่งสัดส่วนเอาไว้ชัดเจน เขายังไม่ได้สำรวจจนครบทุกส่วน เอาแค่ห้องสำคัญก่อนเท่านั้น อย่างเช่นห้องดนตรีที่มีแกรนด์เปียโนสีขาวตัวใหญ่ตั้งเด่นอยู่

   ที่ไม่เห็นอย่างนี้แสดงว่ายังไม่ตื่นหรือไง พิชชาไม่น่าใช่คนขี้เซาเลย เพราะตอนที่ถามคนดูแลประตูบ้านก็บอกว่ายังไม่เห็นชายผมยาวออกไปไหน

   คิดตามหลักการปกติห้องนอนมักจะอยู่ชั้นสอง ทิวากาลจึงเดินขึ้นบันไดวนไปยังด้านบนของบ้าน เก็บรายละเอียดในส่วนต่างๆ เอาไว้ให้มากที่สุดเผื่อว่ามันจะช่วยให้เขารู้อะไรมากขึ้นเกี่ยวกับคนที่ชื่อพิชชา ระยะทางยิ่งไกลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสนว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันคืออะไรกันแน่

   หรือจะเป็นอย่างที่พ่อของเขาเตือนเอาไว้ อย่าพยายามเข้าใจคนในบ้านนี้

   มันมีหลายห้องจนไม่รู้ว่าควรเริ่มตรงไหน ชะโงกจากริมระเบียงลงไปด้านล่างว่าบ้านหลังนี้ไม่คิดจะมีใครเลยอย่างนั้นจริงหรือ

   “นี่คุ...”

   มองไปเห็นหญิงสาวในชุดคล้ายยูนิฟอร์มกำลังทำท่าทางมีพิรุธอยู่ตรงทางขึ้น เลยลองเรียกดูเผื่อว่าจะช่วยตามหาห้องของพิชชาได้

   เจ้าหล่อนสะดุ้งสุดตัว พอเห็นเขาแล้วก็รีบวิ่งออกไปทางหนึ่งของบ้าน ทิวากาลได้แต่ปล่อยให้เสียงฝีเท้านั้นลับหายไปโดยไม่มีโอกาสได้วิ่งตาม

   นี่คือบ้าน?

   เก็บความสงสัยไว้กับตัวเองเป็นเรื่องที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ได้นับ ที่พอรู้มาเพิ่มจากบิดาก็แค่บ้านหลังนี้มีเชื้อเจ้านายชั้นสูงมาตั้งแต่ช่วงต้นของกรุง เป็นคนใหญ่คนโตก็เยอะ เจ้าบ้านคนปัจจุบันคือพ่อของพิชชาที่เสียไปเมื่อต้นปี ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครเป็นคนดูแลในขณะนี้

   ส่วนเรื่องของแม่คุณพินิจไม่อาจบอกได้เพราะไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน เขาเกือบหลุดปากพูดออกไปแล้วว่าเป็นชาวต่างชาติดีที่อีกฝ่ายขอตัวขึ้นพักผ่อนเสียก่อน

   มองการตกแต่งบ้านไปเรื่อย ทั้งรูปวาดร่วมสมัยจนถึงสมัยใหม่ ของประดับหลายแบบจากหลากประเทศ จนมาหยุดลงตรงหน้าประตูบานหนึ่ง ให้อธิบายอย่างนี้ก็ดูผิดวิสัยของเด็กเรียนกฎหมายเหมือนกัน บางสิ่งกำลังร้องบอกทิวากาลว่านี่คือสิ่งที่เขากำลังตามหา

   ไอเย็นที่ลอดมาจากด้านล่างจากประตูบอกว่ามีคนอยู่ในนั้น เสียงนุ่มแฝงการหยันเหยียดลอยมาคล้ายกำลังจะทดสอบความกล้าของเขาอยู่

   ทิวากาลเรียนคณะนิติศาสตร์ คณะที่อาศัยเหตุและผลจำนวนมหาศาลเข้ามาปรับใช้ในการเรียน บางเรื่องไม่ใช่ว่าจะตัดสินได้ตามตัวบทเสมอไป มันต้องคำนึงถึงเหตุผลเบื้องหลัง ความสมเหตุสมผลของการใช้ อีกยังต้องดูสถานการณ์ประกอบอีกด้วย และตอนนี้เขาเลือกไม่ถูกว่าควรใช้อะไรมาปรับกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ เรื่องของเหตุผลหรือว่าอารมณ์กันแน่ที่กำลังมีอิทธิพลเหนือตัวบุคคล
   
   จำเป็นไหมที่ต้องบุกมาถึงบ้าน คนเป็นผู้ควบคุมกระดานย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าการทำอย่างนี้ไม่ต่างอะไรกับการพาตัวเองเข้าดงศัตรูแบบไร้อาวุธและการสนับสนุนจากแนวหลัง อะไรคือความต้องการที่แท้จริงในการมาปรากฏตัว

   ราชาเป็นคนเด็ดขาดเสมอ เพราะเขารู้ว่านั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้การปกครองดำเนินต่อไปได้ด้วยความสงบสุข พิชชาไม่ต่างอะไรกับคนที่เดินเข้ามาตัวเปล่าพร้อมบอกว่าจะโค่นบัลลังก์ของเขา ไม่ต้องใช้ทหารจำนวนมหาศาลเข้ามาขู่ สิ่งที่ผู้หยั่งรู้มีก็แค่ ‘จุดอ่อน’ ก็เท่ากัน

   อยากเปิดสงครามกับผมนักใช่ไหมพิชชา

   ประตูไม่ได้ล็อคไม่น่าแปลกใจเท่าสิ่งที่ทิวากาลกำลังเห็นอยู่ บนเตียงที่มีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมอยู่นูนขึ้นมาจนเป็นโครงร่างของมนุษย์ ผมยาวระอยู่เต็มหมอนบอกว่าเขาไม่ได้มาตามหาผิดตัว

   แปลก ...ถ้าห้องสี่เหลี่ยมที่ปิดหน้าต่างเอาไว้สนิท เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ไม่มีพัดลมไอน้ำสักเครื่องอยู่ในห้อง แล้วอากาศเย็นที่กำลังปะทะร่างของทิวากาลตอนนี้มันควรมาจากที่ไหน?

   เดินเข้าไปทีละก้าวแบบไม่ให้มีเสียงฝีเท้า เรื่องที่คนเป็นพ่อเคยสอนเอาไว้ว่าให้เดินเสียงเบา ไม่ใช่ลงเท้าตึงตังจนดูไร้การสั่งสอน ยิ่งเวลาไปบ้านต่างจังหวัดที่เป็นไม้ทั้งหลังแล้วล่ะก็ถ้าใครเดินมีเสียงต้องโดนทำโทษทุกราย เพราะอย่างนั้นตอนที่เขาเห็นพิชชาเดินแบบนั้นเลยน่าแปลกใจและไม่น่าแปลกใจในเวลาเดียวกัน เขาคิดว่าพ่อของตัวเองสอนเรื่องที่โบราณคร่ำครึจะตายไป ไม่คิดว่าคนอื่นก็ยังสอนอยู่

   ข้างเตียงคือเก้าอี้นวมขนาดใหญ่ คราวนี้ทิวากาลเตรียมตัวมาดีด้วยการพกหนังสืออ่านเล่นเล่มใหญ่มาด้วย คำนวณแล้วยังไงก็คงอ่านไม่จบ เขาไม่คิดจะปลุกอีกคนอยู่แล้ว ให้เป็นเจ้าชายนิทราอย่างนั้นต่อไปแหละดี

   รอให้ตื่นมาเจอเองมันสนุกกว่ากันตั้งเยอะ



   “อา...คุณควรบอกผมก่อนว่าจะมานะครับราชา”

   “ไว้คราวหน้าจะบอกนะ”

   “นี่คุณยังจะบุกรุกที่นี่อีกงั้นเหรอ”

   เสียงแหบอย่างคนเพิ่งตื่นของพิชชามีเสน่ห์แปลกๆ ต่างจากทุกครั้งที่มักจะเป็นเสียงเต็มน่ารำคาญ ชายผมยาวยังไม่ยอมขยับลุกขึ้นมาคุยด้วย ครึ่งหนึ่งของโครงหน้าคมคายยังซุกอยู่กับหมอนใบใหญ่อย่างนั้นเหมือนเดิม

   อ่านหนังสือไปได้เกือบสิบบทร่างที่ไม่ไหวติงก็เริ่มขยับ ทิวากาลปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามปกติอย่างที่ไม่คิดจะเข้าไปแทรก จนคนเพิ่งตื่นเริ่มเปิดเปลือกตานั่นแหละคือความสนุกที่สุด พิชชาไม่ได้ร้องตะโกนโวยวายหรือว่าทำหน้าตาไม่พอใจอะไร สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปบนใบหน้านั้นมีแค่การเพ่งสายตามาทางเขาแล้วก็ทักทายด้วยคำพูดข้างบนนั่นแหละ จนเขาอยากจะส่งไปตรวจวัดระดับอารมณ์ว่ามันทำงานอยู่หรือไม่

   พิชชาพูดอะไรให้ตัวเองเข้าใจอยู่คนเดียวจนเขาเป็นฝ่ายถามออกไป

   “พูดถึงผมอยู่เหรอ?”

   “กำลังคิดว่าเวลาโทรหาตำรวจต้องแจ้งความเรื่องบุกรุกหรือว่าเรื่องอะไรน่ะครับ”

   ปากไม่ลดความร้ายแม้กระทั่งช่วงตื่นนอน  ทิวากาลวางหนังสือในมือตัวเองลงกับพื้น ไขว่ห้างอยู่ที่เดิมรอดูว่าเจ้าของบ้านจะทำอะไรต่อ

   “ผมเข้ามาถูกต้องนะ คนงานบ้านคุณนั่นแหละที่ปล่อยผมเข้ามา”

   “ที่นี่คนเข้าออกตลอดเวลาครับ”

   “บ้านสาธารณะหรือไง”

   ยิ้มแสยะที่ได้รับกลับมาตีความไม่ได้ “ที่รวมวิญญาณร้ายต่างหาก”

   “ผมไม่เห็นสุสานนะ”

   “คุณว่าคนเป็นหรือคนตายน่ากลัวกว่ากันล่ะครับ” พิชชาขยับตัวเองขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เปิดฝากระบอกน้ำแล้วเทมันลงไปในแก้วที่อยู่ข้างกัน “โลกเรามีอะไรแปลกประหลาดเยอะแยะ”

   “ของอยู่ข้างล่าง”

   ไม่อยากฟังเรื่องเล่าเข้าใจยากอีก เดี๋ยวจะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้ด้วย เขาต้องท่องเอาไว้ว่าสิ่งที่อยากได้มากที่สุดคือเหตุผลในการเข้าหา เรื่องอื่นแม้จะรบกวนจิตใจเขาไม่ต่างก็อย่าเพิ่งให้ความสำคัญจนเกินไป

   “ขอบคุณครับ”

   ไอเย็นไม่รู้ที่มาช่วยให้บรรยากาศข้างในดีขึ้นไม่น้อย ไม่รู้เพราะอะไรเวลาที่เขาเจอพิชชามันมักให้ความรู้สึกไม่น่าอยู่เอาเสียเลย อาจเป็นเพราะเสียงที่ใช้ เรื่องที่พูด ท่าทางที่ส่งมา หรือเพราะคนตรงหน้ามันคือพิชชา

   คงเป็นครั้งแรกที่แบล็คเห็นอีกคนอยู่ในชุดแบบอื่นบ้าง พอชายผมยาวลุกขึ้นจากเตียงถึงเห็นว่าชุดนอนเป็นผ้าแพรสีกรม ดูแก่กว่าวัยอย่างที่พ่อของเขายังแต่งตัวได้มีสไตล์กว่า ผมหยักศกยาวถึงกลางหลังทิ้งตัวสวยไม่เหมือนกับคนเพิ่งลุกจากเตียงนอนสักนิด

   “จะกลับเลยรึเปล่าครับ ผมจะได้ลงไปส่ง”

   “เชิญตามสบายเถอะ ถ้าจะกลับเมื่อไหร่เดี๋ยวบอก”

   กลายเป็นความสุขไปแล้วที่จะได้ทำอะไรขัดใจอีกคน

   “งั้นเหรอครับ” พิชชาเดินอ้อมเตียงมาหา กักราชาเอาไว้ด้วยการยันมือข้างหนึ่งกับพนักพิง ถ้าแขกตัวเล็กกว่านี้อีกหน่อยจนมีพื้นที่เพิ่มขึ้นก็คงเอาเข่ายันขึ้นมาด้วยแล้ว “ว่าแล้วคุณคงไม่ใจดีขนาดเป็นบริษัทขนส่ง”

   เคลื่อนทั้งตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม ผิวหน้าสุขภาพดีเกือบชิดจนต้องรวบรวมสติให้อยู่กับตัวมากที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วคนเป็นผู้หยั่งรู้อาจเสกมนต์ดำใส่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้

   กลิ่นหอมไม่รู้ที่มากล่อมประสาทให้เคลิ้มตาม และเขาก็เกือบจะหลงกลแล้วหากไม่มีสัมผัสอื่นเข้ามาแทรกเสียก่อน

   “...!”

   ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล่จากหัวเข่าขึ้นมาเรื่อย เชื่องช้า อ้อยอิ่งอยู่ทุกจุดที่ลากผ่าน ลมหายใจยังคงจังหวะเดิมต่างจากความรู้สึกบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งที่จะไม่มีปฏิกิริยากับอะไรพวกนี้ ร่างกายคนเราน่ะไวต่อสิ่งเร้าจะตายไป

   “แล้วคนมีน้ำใจจะทำอะไรต่อดีครับ” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มพราย เล่นหูเล่นตาราวกับตนเองเป็นคนคุมนักโทษผู้มีอำนาจเหนือ

   “ส่งคุณกลับไปอยู่ที่ที่ควรอยู่ล่ะมั้ง”

   คราวนี้เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความพอใจ “ก็ที่นี่ไงครับ”

   แหล่งรวมวิญญาณร้าย...

   การขยับนิ้วทีละน้อยไม่ช่วยให้ทิวากาลได้มีเวลาหายใจหายคอ มันตรวจสอบร่างกายอยู่อย่างนั้นจนพอใจแล้วถึงหยุดลงตรงตำแหน่งที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ามีอะไรพิเศษอยู่

   “ลายสวยไหมครับ ผมชอบมันมากเลยนะ”

   “ผมเกลียดมัน”

   รอยประทับจะอยู่อย่างนั้นไม่มีทางหายไป ไม่เหมือนกับรอยสักที่อาจไปทำเลเซอร์ได้หากไม่ต้องการมันแล้วจริงๆ การเปลี่ยนความนูนผิวบริเวณนั้นด้วยตราประทับจากเหล็กร้อนนี่เขาคงต้องถลกหนังตรงนั้นออกไปอย่างเดียวมันถึงจะหายไป

   “ไม่คิดจะไว้น้ำใจหน่อยเหรอครับ”

   “ไม่คิดจะขออนุญาตก่อนทำเรื่องบ้าๆ อย่างนี้หน่อยเหรอครับ?”

   ประชดประชันกลับไปเต็มที่ มีอย่างที่ไหนเอารอยมาฝากไว้บนร่างกายคนอื่นตอนไม่มีสติ เขาควรจะฟ้องในฐานความผิดทำร้ายร่างกายคนอื่นเสียด้วยซ้ำไป

   “ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นเรื่องบ้าแสดงว่าไม่ชอบประวัติศาสตร์” นิ้วที่เคยแตะบางเบาลงน้ำหนักไปจนเกือบนิ่วหน้า เขาล่ะเกลียดพวกมือหนัก “ตราประทับพวกนี้เมื่อก่อนสำคัญมากเลยนะครับ”

   กระพริบตาครั้งเดียวนัยน์ตาขี้เล่นก็หายไป เหลือเพียงร่างของชายผู้เป็นปริศนา

   “...เอาไว้แบ่งสังกัดทาสไงล่ะ”

   “เราเลิกทาสกันนานแล้ว”

   ถ้าอยากอวดภูมิความรู้ทางประวัติศาสตร์เขาก็จะร่วมด้วย หนึ่งในวิชาที่ทิวากาลทำได้ดีมาตลอดไม่ว่าจะเป็นการเรียนช่วงไหนของชีวิต ตอนปีสองเขาเคยได้เอในวิชาที่เป็นตำนานของภาควิชาประวัติศาสตร์มาแล้วด้วยซ้ำ

   “แต่บางคนก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ”

   “เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย”

   “ระบอบที่บอกว่าทุกคนมีสิทธิมีเสียงแต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับคนถืออำนาจน่ะเหรอครับ” แบล็คอยากรู้ว่าอีกคนเรียนคณะอะไรกันแน่ ถึงได้รู้ไปไหมดไม่ต่างจากความหมายของชื่อจริง “สุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นแค่ทฤษฎีที่ไม่มีคนปฏิบัติตามเท่านั้นแหละครับ”

   “นิยามของกฎหมายคือสิ่งที่ต้องทำตาม”

   คนเรียนมาทางนี้โดยตรงรู้ดีว่าความหมายคืออะไร เพียงแต่ยิ่งเรียนแล้วก็ได้แต่ยอมรับในสิ่งที่บางคนพูดว่าทฤษฎีเป็นของไร้ค่านั้นเป็นเรื่องจริง ตราบใดที่คนในสังคมไม่เคารพสิทธิและเสรีภาพของคนอื่นอยู่อย่างนี้

   “กฎเดียวที่ผมเชื่อคือกฎแห่งความตายครับ”

   “หึ...”

   “ถ้ายังไม่กลับงั้นรบกวนคุณหน่อยแล้วกัน”

   พอได้ยินคำว่า ‘รบกวน’ แล้วตาของทิวากาลก็กระตุกแปลกๆ เหมือนว่ามันจะมาพร้อมความเดือดร้อนตามความหมาย

   “ช่วยสระผมให้หน่อยนะครับ”
 


   “ผมไม่ใช่มืออาชีพ” เตือนเอาไว้ก่อนดีที่สุด ทิวากาลยืนหน้านิ่งในขณะที่อีกคนกำลังทดสอบความแข็งแรงของเก้าอี้ที่ลากเข้ามาด้วย การสระผมเองนี่มันยากขนาดที่ต้องให้คนอื่นช่วยหรือไง ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ตัดผมไปให้หมดเรื่อง

   “งั้นผมก็เป็นคนแรกน่ะสิครับ”

   “ปกติแล้วคงไม่มีใครขอให้คนอื่นสระผมให้หรอก”
   
   พิชชาหัวเราะเสียงใส “ลองดูก็ไม่เสียหาย”

   อุปกรณ์ทั้งหมดเห็นแล้วก็รู้ว่าเสียเงินไปไม่น้อย ห้องน้ำขนาดใหญ่มีทั้งส่วนของฝักบัวแล้วก็อ่างแช่ตัว ไม่ต่างจากส่วนอื่นในบ้านที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ตอนนี้สภาพของทิวากาลคือพับขากางเกงขึ้นสูงไว้แล้ว มือหนึ่งจับฝักบัวเอาไว้ส่วนอีกข้างทดสอบระดับความอุ่นของน้ำ สำหรับพิชชานั้นกำลังเงยหน้ารอรับบริการด้วยความสบายใจ

   “ปกติอาบน้ำอุ่นหรือเปล่า?” อย่างเขาเองชอบน้ำเย็นไปถึงอุ่น ขนาดฤดูหนาวก็ยังไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอุณหภูมิของน้ำเลยด้วยซ้ำ ยิ่งช่วงหลังมานี้ไม่ค่อยได้เจออากาศอย่างนั้นมันเลยไม่เป็นปัญหา

   “น้ำเย็นไปเลยก็ได้ครับ”
   
   พยักหน้าไปทั้งที่อีกคนไม่เห็น เอื้อมมือไปปรับให้เหมือนกับคำสั่ง หลังจากนั้นถึงค่อยๆ เลื่อนฝักบัวให้ได้องศากับเส้นผมของชายผมยาว ช่องว่างที่เคยมีระหว่างกันเริ่มเข้ามาชิด เมื่อแน่ใจว่าทั้งหัวเปียกพอควรแล้วถึงปิดน้ำเสีย คว้าขวดหัวปั๊มสีใสสกรีนชื่อยี่ห้อและชนิดในการใช้งานมาไว้ข้างตัวแทน คาดคะเนเอาว่าผมยาวขนาดนี้คงต้องใช้น้ำยาสระผมมากเท่าไหร่ คิดแล้วก็เปลืองเงินโดยใช่เปล่า

   “ผมยาวอย่างนี้ไม่เบื่อเหรอ”

   ชโลมของเหลวสีใสในมือลงไปตรงเรือนผมหนา ขยี้มันไปมาตามสเต็ปที่ตัวเองคิดว่าถูก คนขี้รำคาญถึงขนาดเข้าร้านทำผมเกือบทุกเดือนอย่างเขาทำได้แค่นี้ก็บุญแล้ว

   “เบื่อไม่ได้ครับ” นัยน์ตาปิดสนิทราวกับกำลังซึมซับความสบาย มีเพียงส่วนริมฝีปากขยับไม่ยอมหยุด “อย่าลืมสระข้างในด้วย”

   หลายต่อหลายครั้งที่พิชชาใช้คำพูดแปลกประหลาด เหมือนไม่ได้อยากทำมันสักเท่าไหร่แต่ก็จำเป็นต้องทำทุกอย่าง ทำไมถึงเบื่อผมยาวไม่ได้ จะมีใครกล้าสั่งคนอย่างพิชชาว่าไม่ให้ตัดผมอย่างนั้นเหรอ

   สัมผัสที่ได้รับแปลกดีเหมือนกัน ผมหนามีน้ำหนักจนรู้สึกหนักแทน ทิวากาลตรวจสอบดูจนทั่วแล้วว่าตัวเองไม่ได้ปล่อยให้ส่วนไหนหลุดลอดไป พยายามเบามือที่สุดในการขยี้ส่วนของหนังศีรษะ
   
   หลังจากฟองสีขาวจำนวนมากปรากฏขึ้นมาก็ได้เวลาล้างมันออก เสียงน้ำกระทบกับพื้นอ่างคล้ายเพลงขับกล่อม ทิวากาลยกมือขึ้นป้องส่วนหน้าผากเอาไว้ไม่ให้ไหลเข้าตาตอนที่ล้างส่วนบนของหนังศีรษะ กว่าจะสระเสร็จครั้งหนึ่งมือก็เมื่อยไม่น้อย

   “สระเสร็จแล้วก็อาบน้ำไป”

   “นวดด้วยสิครับ”

   พอเบื่อแล้วพิชชาก็หยิบเครื่องมือสื่อสารของตัวเองขึ้นมา นิ้วสัมผัสอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์เปลี่ยนเป็นชี้ไปยังจุดเดิมที่เขาหยิบขวดแชมพูมาเมื่อสักครู่ มันมีขวดแบบเดียวกันเปลี่ยนจากสีใสเป็นสีขุ่นวางไว้ ดูแล้วก็รู้ได้เลยว่านั่นคือครีมนวดผมที่บอก

   ผู้ชายเรื่องมาก เขาไม่เคยมีแม้แต่ความคิดว่าจะนวดผมเลยด้วยซ้ำ

   “ต้อง?”

   “ถ้าเป็นปกติแล้วสัปดาห์ละสองครั้งครับ วันนี้พิเศษหน่อย”

   กลายเป็นความผิดของเขาเสียอีกที่ดันโผล่หน้ามาให้เห็น ทำเสียงบ่นเบาๆ พอให้สบายใจ โดยเจ้าของห้องไม่สนใจควบคุมการสระ หน้าจอที่พิชชาเปิดอยู่คือแอปข่าวภาษาอังกฤษสีแดง คงคุ้นเคยกับภาษาต่างชาติอยู่ไม่น้อยถึงได้เลื่อนลงมาเรื่อยๆ ไม่มีหยุด

   “นวดแค่ช่วงปลายผมนะครับ ไม่ต้องติดด้านบนมาก”

   คิดไปถึงโฆษณาครีมนวดตัวหนึ่งสมัยก่อน จะว่าไปทำไมถึงไม่นวดให้ทั่วไปเลยนะ

   “เห็นเขาว่ากันว่าถ้านวดถึงหนังหัวมันตกค้างได้ง่ายน่ะครับ”

   รีบก้มลงมามองคนที่ยังจ้องหน้าจอโทรศัพท์ไม่วางตา นี่ก็อีกเรื่อง ทำอย่างกับอ่านใจคนได้อย่างนั้น พอเคลือบปลายผมด้วยครีมตามบอกจนครบแล้วถึงวางมือลง หยิบขวดที่เพิ่งจับงานเมื่อครู่มาอ่านวิธีใช้ ต้องรอสามถึงห้านาทีเลยเหรอ สิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ

   “ผมรอแค่นาทีเดียวได้ไหม”

   “งั้นไม่ต้องนวดก็ได้นะครับ”

   “คุณน่าจะบอกก่อน”

   “คนเป็นทาสนี่ต่อรองได้เหรอครับ”

   ถ้าให้ไล่เรียงว่าเกลียดพิชชาตรงไหน ทิวากาลคงตอบว่าทุกอย่าง ไม่ว่าจะภายนอกหรือลึกเข้าไปข้างใน แบล็คไม่ใช่คนถือยศถืออย่าง บอกแล้วว่าชื่อราชาเองไม่ใช่คนเริ่ม เพียงแต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีมันก็แพร่กระจายออกไปกว้างจนแก้ข่าวไม่ทัน

   ไม่สิ ไม่ใช่แก้ไม่ทัน ไม่สนใจจะแก้ต่างหาก

   ตั้งแต่เด็กแล้วที่น้องชายคนเล็กมักจะถูกรุมแกล้งอยู่เสมอ จากพี่ชายที่คอยปกป้องน้องก็เลยเพิ่มระดับกลายเป็นหัวโจกประจำชั้น ซึ่งไม่ใช่แนวนักเลงหัวไม้หรอกนะ เขารู้ตัวดีว่าร่างกายของตัวเองมีข้อจำกัดแค่ไหนจึงไม่ควรใช้กำลังพร่ำเพรื่อ คนที่เหมาะกับตำแหน่งนักเลงคือเพื่อนคนอื่นมากกว่า คนจำพวกเลือดร้อนที่โดนแตะนิดหน่อยก็พร้อมจะพุ่งทั้งตัวเข้าใส่ เตือนแล้วก็ไม่ฟัง

   วิธีการปกครองคนนอกจากใช้กำลังแล้วยังมีอีกวิธีคือการใช้บารมี

   “บอกแล้วไงว่าเมืองไทยเลิกทาสตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า”

   “ก็ไม่ได้บอกว่าผิดนี่ครับ” นัยน์ตาทรงแปลกที่เงยขึ้นมาสบเปลี่ยนอุณหภูมิของห้องให้ร้อนขึ้นจนน้ำเย็นในมือไม่อาจช่วยอะไรได้

   ...โดยเฉพาะกับรอยประทับตรงเชิงกราน

   “สามนาทีแล้วครับ ล้างได้แล้วล่ะ”

   อยากขอบคุณทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ ทิวากาลค่อยๆ ล้างเอาครีมบำรุงออกจากเส้นผมไปทีละส่วน รู้ตัวว่ามีอะไรผิดแปลกไปก็ตอนที่ล้างสารบำรุงออกเกือบหมดพบว่ากำลังเอานิ้วของตัวเองเข้าไปพันแทนนั่นแหละ

   “อยากตัดเมื่อไหร่บอกนะ ผมพร้อมทำให้เสมอเลย”

   แยกเขี้ยวใส่พลางหาทางแก้ปัญหาผมพันมือ จากมุมนี้เห็นได้ชัดว่าสร้อยคอเส้นเดิมยังคงประดับไว้อยู่บริเวณลำคอ ใส่ตอนนอนอย่างนั้นเดี๋ยวรัดคอสักวัน

   ให้ตาย

   เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนขี้บ่นจนกระทั่งตอนนี้

   “ผมแทบจะรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวเลยล่ะครับ”

   “คงไม่นานหรอก”

   คาดโทษเอาไว้ก่อน พอมีประสบการณ์การแก้ปัญหาผมพันกันมาแล้วครั้งหนึ่งคราวนี้ทักษะการแก้ไขปัญหาเลยมากขึ้นกว่าเดิม ห้ามใจร้อนและก็อย่าเพิ่งด่วนกระชาก นอกจากปมจะไม่หลุดแล้วคงเจ็บน่าดู

   “ทำไมถึงไว้ผมยาว”

   คิดถึงเรื่องเล่าตามที่เพื่อนเคยบอก ผมยาวห้ามใครยุ่งไม่อย่างนั้นอาจเจอเรื่องเหนือความคาดหมายก็เป็นได้

   “ก็บอกแล้วไงครับว่าบางเรื่องก็เลือกไม่ได้”

   “คุณเลิกพูดอ้อมโลกสักทีได้ไหม?”

   เบื่อเต็มทนกับการต้องมานั่งฟังคำกำกวม ตอนปีหนึ่งมันมีวิชาการใช้ภาษาไทยไม่ใช่หรือไง ไอ้การสื่อสารต้องชัดเจนให้ผู้รับสารเข้าใจได้ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน เรื่องพื้นฐานเบสิคที่สุดแล้ว

   ลูกค้าวีไอพีตรวจสอบความเรียบร้อยของงานจนพอใจแล้วถึงพยักพเยิดให้ออกไปเสีย

   "ผมพูดตรงตามประเด็นตลอดนะครับ"

   "ไม่มีคำขอบคุณหน่อยเหรอ" ไม่อยากจะเสวนาแล้ว

   "หรือคุณอยากช่วยผมอาบน้ำต่อล่ะครับ?"

   ส่งรอยยิ้มยียวนที่ใครทำก็ไม่กวนใจได้เท่ามาให้ ไม่พูดเปล่ามือสองข้างเริ่มปลดกระดุมเม็ดบนสุด เส้นผมเปียกชื้นระตามกรอบหน้าลงมายังช่วงไหล่จนเสื้อแพรที่ใส่อยู่แนบเนื้อ ทิวากาลยกมือที่ยังชื้นอยู่ขึ้นเสยผมก่อนจะเปลี่ยนไปกวาดของอย่างอื่นแทนการระบายอารมณ์ ต่อให้น้องสาวที่คิดว่าดื้อไม่มีใครเกินแล้วเจอคนตรงหน้าไปใครก็น่ารักกว่าทั้งหมด!

   "มันเป็นมารยาทเบื้องต้น"

   "ถ้าจะช่วยสบู่อยู่ตรงนั้นนะครับ"

   คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ทิวากาลทำหน้าดุคาดโทษเอาไว้แบบที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร หมุนตัวกลับไปทางประตูทางออกก่อนจะมีฉากเด็ด

   “แล้วถ้าบอกว่าผมทำเพื่อต่อชีวิตคนอีกคน"

   ทิวากาลไม่รู้ว่านั่นคือคำขอบคุณในแบบของพิชชาหรือเปล่า

   "...คุณจะเชื่อไหมล่ะครับ”


***
ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 23-08-2016 20:13:07

   คนตัวเล็กกว่าเขาไม่เท่าไหร่ใช้เวลาอาบน้ำน้อยกว่าที่คาด กลิ่นหอมแบบเดียวกับเมื่อช่วงต้นบอกว่ามันคงเป็นของสบู่ พิชชาออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพแบบเดียวกับทุกวัน เสื้อฝ้ายที่ตะโกนออกมาให้เขาช่วยหยิบเข้าไปให้ กางเกงผ้าโปร่งขายาวเหมาะกับการใส่อยู่บ้าน

   พอมีเวลาสังเกตแล้วจึงเห็นว่าห้องนี้มีของใช้น้อยกว่าสถานที่อื่นภายในรั้วบ้านเดียวกัน แทบไม่มีของประดับตกแต่งหรือว่าภาพวาดราคาแพง ห้องโล่งมีแค่ของจำเป็นต่อการใช้ชีวิตเท่านั้น อย่างเสื้อผ้าในตู้เองก็มีไม่กี่ชุด บนโต๊ะข้างเตียงมันก็ไม่มีอะไรวางไว้เสริม

   มันโล่งจนคล้ายกับห้องที่กำลังจะย้ายออก

   เพราะกลิ่นของสบู่ไม่เหมือนกับหนึ่งกลิ่นปริศนาเมื่อวันก่อน ตอนที่พิชชาเดินกลับเข้าไปตรวจความเรียบร้อยในห้องน้ำเขาเลยถือวิสาสะเดินไปสำรวจบริเวณโต๊ะเครื่องแป้ง ลองมองหาสิ่งที่น่าจะเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ชนิดนั้น อยากรู้ว่าเพราะอะไรมันถึงคล้ายคลึงกันได้ขนาดนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีใครเหมือน...

   "ถ้าคุณอยากจะอยู่ในห้องต่อก็ได้นะครับ"

   "ไม่ล่ะ" ผละตัวออกจากตรงนั้นเหมือนกับว่าเดินเล่นรอบห้องเฉยๆ

   "แล้วนี่ทานข้าวเที่ยงหรือยังครับ"

   ชายผมยาวถามโดยมือข้างหนึ่งยังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดศีรษะอยู่ รู้สึกดีที่ไม่เจอคำสั่งอย่างเช็ดผมให้หน่อย ถ้ามีอีกเขาคงยอมเสียเวลาขับรถกลับบ้านเอาเสียตอนนี้เลย

   "ยัง"

   "แถวนี้ก็ไม่ค่อยมีร้านอะไรด้วยสิ"

   "เหรอ"

   "ที่นี่ไม่ค่อยมีของสดเก็บไว้ ผมก็ทานข้างนอกตลอด"

   ทิวากาลรู้สึกขอบคุณตัวเองที่เลือกเล่นแผนนี้ จำว่าอ่านหนังสือหน้าถึงหน้าไหนก่อนปิดมันลง เดินไปทางประตูห้องแบบที่ไม่สนใจว่าคนในห้องจะมองมาด้วยสีหน้าแบบไหน

   "จะออกเลยเหรอครับ"

   "เปล่า" ปฏิเสธพลางหันไปส่งยิ้มหวานให้

   "ลองทำอาหารเองก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนะ"

   ไม่อยากจะยอมรับมากเท่าไหร่ และสุดท้ายเขาก็ได้แต่ยอมรับว่าพิชชาไม่เหมือนใครจริงๆ
   
   คนที่บอกว่าไม่ค่อยมีของสดเก็บไว้ที่บ้านกลับหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือคล่องแคล่ว ของที่เขาซื้อมาแบบไม่ได้คิดถึงเมนูไว้ล่วงหน้าในตู้เย็นถูกหยิบออกมาเรียงเอาไว้เป็นหมวดหมู่ และชื่อของอาหารสองสามชนิดก็ออกมาจากปากพ่อครัวจำเป็นหลังจากเสียเวลาคิดไม่ถึงนาที

   "เงียบอย่างนี้ตลอด?"

   บ้านหลังใหญ่ไม่มีคนงานเดินขวักไขว่เหมือนภาพที่วางเอาไว้ ไม่มีการสั่งให้แม่บ้านทำอาหารหรือว่าบอกคนงานให้ไปเก็บห้อง ราวกับว่าเรือนนอนหลังใหญ่นี้เป็นเพียงกล่องสี่เหลี่ยมว่างเปล่า

   ลองคิดว่าถ้าตัวเองต้องมาอาศัยอยู่ในสถานที่นี้แล้วใจวูบโหวง

   "ปกติไม่มีใครเข้ามาครับ ส่วนมากจะอยู่บ้านรองมากกว่า"

   คงเป็นบ้านหลังย่อยสักหลังที่เขาเห็น ถ้าเป็นอย่างนั้นใต้ความกว้างมหาศาลนี้ก็มีคนอาศัยอยู่แค่หนึ่งคนอย่างนั้นสิ

   "อยู่คนเดียว?"

   "ก็คนอื่นเขากลัวที่นี่กันครับ" คำเล่าต่อมาเคล้าด้วยเสียงมีดกระทบกับเขียงไม้

   "เพราะเป็นที่อยู่ของวิญญาณอย่างนั้นเหรอ"

   "จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ ...รบกวนมาเปิดเตาให้หน่อยครับ" ตายังไม่ละออกจากของตรงหน้าตอนคำสั่งช่วงท้ายมาถึง ราชาที่เอาแต่ยืนมองภาพนั้นนานสองนานถึงผละมาอยู่ตรงหน้าเตาไฟฟ้า

   แผ่นเหนี่ยวนำแม่เหล็กสีดำไม่มีร่องรอยของการทำงานสักครั้งเดียว อ่านชื่อคำสั่งที่อยู่ด้านล่างของปุ่มต่างๆ กดเพิ่มอุณหภูมิจนได้ตามที่ต้องการ พอมองไปรอบๆ ก็เลยเห็นว่านอกจากเตาอุปกรณ์ทำอาหารทั้งหมดก็คงถูกหยิบออกมาใช้งานน้อยครั้งไม่ต่างกัน

   ครัวขนาดใหญ่กว่าที่บ้านตัวเองเกือบสองเท่า มีเครื่องใช้สำหรับงานครัวครบทุกรูปแบบ ตลกตรงเปิดลิ้นชักไปหาที่คนหม้อยังเจอของบางชิ้นอยู่ในกล่องหรือไม่ก็ห่อแบบเดิม เป็นจำพวกซื้อของเก็บสต็อกไว้หรือไงกัน

   "คุณไม่ได้เป็นคนทำข้าวเที่ยงให้ผมเหรอ"

   "เวลานี้เรียกว่าบ่ายเถอะครับ"

   พอโดนโมเมให้ร่วมหัวจมท้ายไปแล้วจะให้กลับไปยืนพิงเสาดูพ่อครัวหัวป่าก์ทำอยู่คนเดียวคงแย่ไปหน่อย อาจไม่ได้เข้าครัวบ่อยเท่าไหร่นักเลยเรียกตัวเองว่าพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง การออกไปเที่ยวเล่นต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนรวมถึงการเป็นเด็กหอไม่เปิดโอกาสให้เลือกอย่างอื่นได้ อ้อ ที่ลืมไปไม่ได้เลยคือการเป็นพี่ชายของเด็กสามคน

   "ตื่นสายอย่างนี้สุขภาพเสียหมด"

   "บางทีการได้ล่องลอยอยู่ในความฝันมันก็ดีกว่าการต้องตื่นมาเจอความจริงครับ"

   "ไม่ใช้คาถาทำให้ไม่ฝันล่ะ"

   เมื่อก่อนทิวากาลไม่เคยเป็นคนช่างเหน็บแนม ไม่ใช่คนขี้หงุดหงิด แล้วก็ไม่ใช่พวกคิดเล็กคิดน้อยอย่างนี้ โอเค โดยเนื้อแท้แล้วเขาอาจเป็นคนอย่างนั้น แต่ว่ามันก็ไม่เคยโผล่ออกมาให้ใครเห็น

   "สิ่งที่ผมไม่อยากทำคือการลืมตาครับ ไม่ใช่การหลับตา"

   "คุณเรียนสาขาปรัชญาเหรอพิชชา"

   "แล้วผมเหมือนคนเรียนกฎหมายไหมล่ะครับ"
   
   น้ำในหม้อเดือดจัด เขาเลยถอยหลังมาให้พ่อครัวได้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ผงซุปแบบสำเร็จรูปที่พิชชาบ่นว่าไม่ค่อยชอบ ตามด้วยเครื่องต้มยำ ทุกอากัปกิริยาคล่องแคล่วเพลินตาไม่เหมือนเวลาไปทานอาหารตามร้านที่ปรุงให้ดูตรงนั้น

   คิดว่าจะคุยเรื่องอะไรต่อดีที่จะไม่ทำให้เป็นการซอกแซกจนเกินไป คิดตั้งแต่เรื่องบ้านลามไปถึงคนใช้ที่เห็นเมื่อช่วงแรกที่เหยียบเข้ามา

   "ตอนเข้ามาผมเจอคนงาน พอจะทักเขาก็วิ่งหนีไป"

   "เรื่องปกติครับ" คำว่าเรื่องปกติมันควรเป็นเช่นว่าเจอหน้าก็ยิ้มให้กัน หรือไม่ก็ทักทายถามไถ่ว่ามาหาใครมากกว่าไหม การที่เห็นหน้าแขกอยู่ในบ้านแล้ววิ่งหนีไปนี่มันควรจะใช้คำว่า 'ผิดปกติ' สิ "พอคุณพ่อเสียที่นี่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามา"

   กลายเป็นพิชชาเล่าเรื่องนั้นขึ้นมาเสียเอง แขกของบ้านหลังใหญ่มองแผ่นหลังที่ซ่อนบางเรื่องไว้ใต้เสื้อตัวใหญ่ไม่วางตา เวลาเกือบหนึ่งปีสำหรับการสูญเสียมันทรมานได้เท่าไหร่ การหายไปของคนบางคนที่ไม่มีวันได้กลับมาเจอกันอีกครั้งมันหนักหนาขนาดไหนกัน

   ตอนเรื่องของลัจก็ตกใจอยู่ มีโหวงไปบ้างเพราะเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกันมาตั้งหลายปี จำนวนคนในไลน์ลดลงไปคนหนึ่งมันไม่เหมือนสิ่งที่เป็นมาโดยตลอด พอผ่านมาสักปีสองปีถึงเข้าที่เข้าทาง ยอมรับว่าคนบางคนได้เจอเพื่อจากก็เท่านั้น แต่มันก็คงเทียบไม่ได้กับคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกเกิด

   "ผมเสียใจด้วยนะ" ไม่ว่าจะอ่านหนังสือหรือว่าดูภาพยนตร์ก็ใช้คำนี้จนเขาเคยคิดว่าไม่มีคำพูดอื่นที่ดีกว่าอย่างนั้นเหรอ พอมาเจอกับตัวถึงรู้ว่าเพราะไม่รู้จะพูดอะไรถึงใช้คำเดิมๆ ไงล่ะ

   "เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ครับ สักวันหนึ่งทั้งคุณแล้วก็ผมก็ต้องเจอเหมือนกัน"

   "ดูคุณไม่กลัวเลยนะ ชินแล้วหรือไง"

   "ฝึกซ้อมเป็นทนายความเหรอครับ ซักผมไม่มีหยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว" เครื่องปรุงสองสามอย่างเสริมลงไปเป็นลำดับ "ไม่สิ คุณไม่ใช่ทนาย..."

   สักวันเขาจะทำคู่มือสำหรับการคุยกับพิชชาให้รู้เรื่องขึ้นมา ไม่อย่างนั้นแล้วก็ต้องมาแปลให้เป็นภาษาคนอีกรอบ

   "ผมอาจไปเป็นชาวสวนอยู่บ้านนอกก็ได้"
   
   หลายคนถามว่าทำไมทิวากาลถึงมาเรียนต่อทางกฎหมาย ทั้งที่บ้านของตัวเองทำธุรกิจค่อนข้างหมิ่นแหม่กับการถูกจับ แล้วบุคลิกรูปร่างอะไรเหมือนกับคนเรียนวิศวะหรือไม่ก็สถาปัตย์มากกว่า เขาไม่เคยตอบกลับไปตรงๆ ว่าเหตุผลที่แท้จริงมันคืออะไร และคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องตอบอย่างนั้น

   การตัดสินเรียนในคณะที่ต้องใช้เหตุผลอาจมาจากเรื่องไร้เหตุผลก็ได้

   "แน่ใจเหรอครับ" อาหารจานแรกอยู่ในจานเรียบร้อย กลิ่นของเครื่องสมุนไพรในต้มยำฟุ้งกระจายจนทั่วทั้งห้อง พิชชาเดินไปวางหม้อต้มไว้ตรงอ่างล้าง หลังจากนั้นก็ตั้งกระทะเตรียมปรุงจานต่อไป

   "คุณจะมารู้ดีกว่าผมได้ยังไง?"

   แผ่นหลังที่เห็นอยู่คล้ายมีหางปีศาจโผล่ออกมา พิชชาหันหน้ากลับมามองเขาโดยไม่พูดอะไร สิ่งเดียวที่แสดงอยู่บนนั้นคือร่องรอยของความสุขผ่านช่วงนัยน์ตาและริมฝีปาก

   "ยิ้มทำไม?"

   "แล้วทำไมถึงยิ้มไม่ได้ล่ะครับ"

   เสี้ยวกรอบหน้าล้อมด้วยผมเส้นหยักต่างจากทุกครั้งที่เห็น เขาเรียกไม่ถูกว่ามันควรจะอธิบายด้วยคำว่าอะไร มันเหมือนจะมีสุขสันต์เพราะกำลังยิ้ม และคราวเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยรอยเจ็บปวด

   "...ผมแค่กำลังคิดว่าการมีคุณอยู่ด้วยมันมีความสุขอย่างที่คิดไว้เลย"



   ข้าวหนึ่งโถ กับข้าวสามอย่าง บนโต๊ะขนาดสิบคนนั่ง

   และคนสองคน

   คิดแล้วก็คงเหงาพิกลถ้าต้องนั่งทานอยู่คนเดียว ด้วยเหตุนี้เขาเลยชอบออกไปทานข้างนอกจนรู้จักกับร้านแปลกๆ อย่างนั้นเยอะแยะหรือเปล่า ทิวากาลคิดเรื่อยเปื่อยไปคนเดียวระหว่างเจ้าบ้านที่ดีกำลังรินน้ำเปล่าลงแก้วทรงสูงทั้งสองใบ ดอกมะลิที่ลอยอยู่ด้านบนไม่เหมือนที่ไหน

   "เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครทำหรอกครับ มะลิก็เป็นแบบพ่นสารหมดแล้ว"

   ยังคงความเป็น 'สายเลือดผู้ดี' ได้มากกว่าที่คิดเอาไว้

   "พ่อสอนไว้งั้นเหรอ" ลองหยั่งเชิงด้วยการพูดถึงชายที่ตายไปแล้ว เห็นรูปแค่ในโทรศัพท์ที่พ่อของเขายื่นมาให้ดูเผื่อว่าจะไปผิดบ้าน

   ...จะว่าไปตั้งแต่เดินเข้ามายังไม่เจอรูปถ่ายครอบครัวสักรูป

   "คุณย่าท่านชอบอะไรพวกนี้ครับ"

   "ไม่เชิญมาทานด้วย?"

   "คงต้องไปจุดธูปเชิญที่ห้องพระแล้วล่ะ"   

   พ่อเสีย ย่าก็เสีย บ้านหลังนี้ยังมีใครเหลืออยู่บ้างนะ พอแก้วน้ำวางลงตรงหน้าทั้งคู่นั่นคือสัญญาณของการเริ่มมื้ออาหาร ทิวากาลไม่เสี่ยงกับของที่ดูมีปัญหาอย่างต้มยำจึงตักผัดหน่อไม้ไว้ในจานของตัวเอง ข้าวกล้องที่เพิ่งแกะห่อออกมาครั้งแรกส่งกลิ่นหอมฉุยล่อลวงให้น้ำลายสอ

   ถือว่าไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ จากที่คิดว่าผักพวกนี้คงไม่โดนหยิบมาใช้งานแล้วก็ผิดถนัด

   "พอทานได้ไหมครับราชา"

   "ไหนบอกไม่ค่อยได้ทำกินเอง" รสชาติอย่างนี้ไม่ใช่คนนานๆ ทำอาหารครั้งอย่างแน่นอน

   พิชชาหัวเราะสดใส "ก็ทำให้คนอื่นทาน"

   ถ้าบ้านนี้ไม่มีใครอยู่แล้วคนอื่นที่ว่าคือใคร ผู้ชายที่เรียกว่าคุณน้าอย่างนั้นเหรอ ทิวากาลปรายตามองฝั่งตรงข้ามทานอาหารในจานตามปกติ ดูเจริญอาหารแบบที่เขาไม่อยากเข้าไปรบกวน

   ทานไปได้ไม่กี่คำก็รวบช้อนส้อมเสีย เขาไม่กล้าตักข้าวเยอะตั้งแต่แรกเพราะกลัวเรื่องรสชาติ

   "กินน้อยอย่างนั้นคนทำเสียใจแย่"

   "ผมกินข้าวเช้ามาแล้ว"
   
   น้ำเย็นปนกลิ่นมะลิชื่นใจดี ในวันที่ไม่ต้องการคาเฟอีนเพื่อพยุงสติเครื่องดื่มอย่างนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย ทางบ้านไม่ใช่สายทำอาหารทานเองและเขาก็ไม่เคยคิดจะอ้อนวอนขอให้คนเป็นพ่อลงมือเองหรอก ทุกคนในบ้านลงคะแนนเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้ายังรักชีวิตตัวเองอยู่อย่าหาเรื่องดีกว่า

   "นี่ตั้งใจมาทำลายความรู้สึกของผมชัดๆ เลยนะครับ"

   "คนอย่างคุณมีความรู้สึกด้วย?"

   นอกจากจะไม่รู้สึกผิดกับคำตัดพ้อนั่นแล้วยังพร้อมจะตอกย้ำให้เจ็บลึกลงไปอีก
   
   "ทำไมผมต้องมาเจอคนอย่างคุณด้วยราชา" พอพิชชาเคยบอกว่าถ้าจะเรียกให้หันต้องใช้ชื่อนี้ การเรียกแทนตัวเกือบทั้งหมดจึงเป็นชื่อยศไปโดยปริยาย "น่าสงสารตัวเองจัง"

   "ผมต่างหากที่ควรพูดคำนั้น" คำที่บอกว่าทำไมต้องมาเจอคนอย่างนี้

   "มนุษย์ชอบคิดเข้าข้างตัวเองเสมอครับ"
   
   "ทำไมถึงชอบออกไปกินข้าวนอก"

   "หรือคุณชอบทานอาหารอยู่บนโต๊ะนี้คนเดียว?"

   แค่สองคนยังรู้สึกว่ามันมีเพียงความว่างเปล่า ภาพที่ฉายเข้ามาในหัวคือการจินตนาการถึงมื้ออาหารที่ต้องนั่งอยู่โดดเดี่ยว พอเข้าใจกฎของบิดาที่สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับอาหารมื้อเย็น ต้องครบหน้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วโต๊ะในบ้านมันก็เล็กกว่าหลายช่วงตัวด้วย

   "อาหารเป็นศิลปะชนิดหนึ่งครับ ผมชอบที่จะออกไปเสพศิลปะ"

   เรื่องราวหลายอย่างที่เขาไม่รู้หากเจ้าตัวไม่บอกเอง

   "ผมต้องอยู่กับคุณไปถึงเมื่อไหร่"

   "ชั่วชีวิต"

   "หน้าเลือดไปหน่อยไหม?"

   "ของตอบแทนต้องคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปครับ"

   ลำเลิกบุญคุณแบบที่เขาเกลียดที่สุด ล้มเลิกคำถามว่าเพราะอะไรถึงต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เชื่อกินขนมได้เลยว่าถ้าถามอย่างนั้นออกไปสิ่งแรกที่จะได้กลับมาคือรอยยิ้มอ่านไม่ออก ตามมาคือคำพูดแฝงความนัยให้เอาไปตีความเอาเอง สู้เอาเวลานั้นไปตามหาข้อมูลจากคนอื่นน่าจะได้ประโยชน์กว่า

   คนที่รู้จริงอย่างเช่นชายไฮโซคนนั้น...

   "ส่วนผมก็ขาดทุนย่อยยับ"

   "นี่ไงครับกำไร อาหารฝีมือผมไม่ได้ลองชิมง่ายๆ นะ"

   น้ำดื่มกลิ่นหอมดอกมะลิติดอยู่ในโสตการรับรู้ และคำพูดที่ว่าชั่วชีวิตติดอยู่ส่วนความทรงจำ

   "หรือว่าอยากให้ผมป้อนด้วยล่ะครับ?"



   "จะสำรวจส่วนไหนของบ้านอีกไหมล่ะครับคุณนักสืบ"

   จากที่คิดว่าคงกลับบ้านเร็วก็กลายเป็นอยู่ยาว หลังจากมื้ออาหารที่ส่วนใหญ่เป็นการมองอีกคนทานเสียมากกว่าจบไปแล้วเขาก็ต้องช่วยแบกถุงใส่ของทั้งหมดขึ้นไปไว้บนห้องนอนอีกครั้ง

   "เจ้าบ้านควรจะแนะนำสิ"

   "นอกจากไปหาคุณย่าแล้วคุณคงต้องไปหาคุณพ่ออีกคน"

   แปลก... หรือว่าเขาไม่รู้ว่าตามหลักกฎหมายมรดกทายาทจะได้ทุกอย่างในกรณีที่ไม่ได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ ดูจากรูปการณ์แล้วไม่น่าจะยกให้คนอื่น

   "ผมเห็นแกรนด์เปียโนอยู่ทางนั้น" ชี้ไปทางเชื่อมส่วนกลางของบ้าน "คุณเล่นเหรอ?"

   "ทุกคนที่นี่เล่นครับ"

   "รวมถึงวิญญาณด้วย?"

   เริ่มจับแนวทางการเล่าเรื่องของพิชชาได้ ห้ามตีความไปเองเด็ดขาด ทุกครั้งต้องคิดให้ครบสามร้อยหกสิบองศา ดีไม่ดีต้องคิดไปเผื่อแกนแซดอีกด้วย

   แกรนด์เปียโนสีขาวตัวใหญ่วางเด่น ตั้งแต่เดินก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ทิวากาลก็ขอบคุณพ่อของตัวเองเป็นร้อยๆ ครั้งที่ถามความสมัครใจก่อนเสมอไม่ว่าจะเป็นการเรียนอะไรก็ตาม อย่างเรื่องดนตรีก็ไม่เคยบังคับให้ต้องเรียนเหมือนกับเพื่อนหรือญาติคนอื่น ถึงใครต่อใครจะโน้มน้าวแค่ไหนถ้าลูกบอกว่าไม่อยากคนเป็นพ่อก็เคารพการตัดสินใจเสมอ

   "คุณเล่นเปียโนเป็นหรือเปล่าครับราชา"

   "เคยเล่นเมื่อสมัยอนุบาล" การท่องโดเรมีกับเพลงพื้นฐานอย่างหนูมาลี ทุกวันนี้ถ้าให้เล่นก็คงทำไม่ได้แล้ว

   "คนอย่างคุณไม่น่าชอบอะไรอย่างนี้"

   "เหมือนคุณนั่นแหละ"

   กดลงไปตรงแป้นสีขาวตัวหนึ่ง กลไกทำให้สายโลหะเกิดการสั่นพ้องจนมีเสียงตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ทิวากาลลองไล่โน้ตไปจนครบรอบแล้วถึงหันมาทางชายผมยาวผู้กำลังมัดผมของตัวเองขึ้นเป็นมวยสูงเอาไว้ ผมหนาขนาดนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหนกันเชียว

   ขยับออกมาอีกหน่อยให้พื้นที่บริเวณเก้าอี้บุนวมว่าง ผายมือออกแทนคำเชิญให้เริ่มบรรเลง

   "ต่อจากใช้ผมเป็นคนครัว แล้วยังจะให้ผมเป็นนักดนตรีอีก"

   โคลงหัวแบบเอือมระอาเต็มทน ถึงอย่างนั้นก็ยอมลงมานั่งไม่มีอิดออดอะไร ปลายนิ้วสวยวางลงตรงตำแหน่งเริ่มต้น วอร์มนิ้วด้วยการไล่คีย์ไปกลับเป็นจังหวะเพลงน่าฟัง นักประพันธ์เพลงนี่ก็เก่งนะ แค่การขยับไล่เรียงโน้ตยังสามารถสร้างให้เป็นท่วงทำนองสวยงามได้

   ต่อจากพิชชาทำอาหารเก่ง เรื่องต่อมาคือเขาเล่นดนตรีได้ดีไม่แพ้กัน

   "ที่บ้านสอนหรือไปเรียน"

   "มีคนสอนครับ"

   ถ้าต้องเกิดมาในบ้านหลังนี้ทิวากาลคงเป็นเด็กเก็บกด ทั้งมารยาทผู้ดีที่แทรกเข้าไปทุกอณูของชีวิต แล้วยังต้องมาเรียนอะไรแบบนี้อีก นี่มันสังคมไฮโซอย่างที่พ่อเขาเคยเล่าไว้ไม่มีผิด

   คิดมาตลอดทั้งชีวิตว่ามันเป็นเรื่องหลอกเด็ก

   "มีอะไรที่ไม่ได้สอนบ้างไหม"

   "หลายอย่างนะครับ" ยกมือขึ้นนับเลข "อย่างเช่นไม่ได้บอกว่าก่อนตายควรจะทำพินัยกรรมให้เรียบร้อย"

   "อันนี้ผมพูดตามหลักวิชาการนะ ถ้าเจ้ามรดกเสียคนที่ได้คือทายาท แล้วเท่าที่ผมเข้าใจมันก็มีแค่คุณ"

   "ที่นี่ไม่ใช่ของผม ทุกอย่างเป็นของพ่อครับ"
   
   คำปฏิเสธแปลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ทีแรกทิวากาลเข้าใจว่าคนมองเช็คราคาเหยียบแสนเป็นของไร้ประโยชน์ได้เป็นผลมาจากทรัพย์สินของตระกูลที่มีมากอยู่แล้ว พอได้ยินในสิ่งที่ผู้สมควรได้รับของทุกอย่างบอกมันเลยขัดกันเองเข้าไปใหญ่

   "ที่นี่ไม่ใช่บ้านของผมครับ"

   เพลงที่เคยได้ยินแต่ไม่รู้จักชื่อ ช่วงต้นใช้จังหวะช้าเนิบแล้วเริ่มเร่งจังหวะขึ้นนิดหน่อย สีดำหลับตาลงเพื่อให้ส่วนการรับฟังทำงานเต็มที่ เพลิดเพลินไปกับฟอร์มเพลงที่มีโครงสร้างชัดเจน อาจมีเล่นพลาดบ้างเล็กน้อยไม่ถึงกับทำให้อารมณ์สะดุด

   ประทับใจจนอยากไปตามหาไฟล์เพลงของนักเปียโนคนอื่นมาฟังบ้าง ในมิวสิคสโตร์จะมีขายไหมนะ

   ทำนองหวานหูหายไปพร้อมกับเสียงเคาะโต๊ะไม้ แบล็คลืมตาขึ้นมาพลางมองไปตรงหน้าทางเข้าที่ปรากฏคนมาใหม่อยู่ในชุดลำลองมาตรฐาน เสื้อปกโปโลสีขาวมีแถบตรงแขนเสื้อ กางเกงสีน้ำตาลกับรองเท้าหนังสีคล้ายกัน ที่อยู่ในมือคือกระเป๋ากอล์ฟขนาดใหญ่

   เขาชักชอบละครที่มีตัวละครใหม่โผล่มาเรื่อยๆ อย่างนี้แล้วสิ

   "เห็นข้างหน้าบอกว่ามีคนมาหา"

   "อยู่นี่ไงครับ"

   น้ำเสียงที่ใช้ต่างกับคนอายุมากกว่าต่างกับเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว โทนนิ่งติดเจ้ายศเจ้าอย่างคล้ายกำลังเจรจางานกับคนที่อยู่ต่างฐานะกัน

   "อาไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ แค่ถาม"

   "ผมก็แค่ตอบ"

   เขาอยากจะมีกล้องมอนิเตอร์ที่จับหน้าของคนทั้งคู่เอาไว้ตลอดเวลา เพราะตอนนี้ทิวากาลทำได้แค่มองหน้าชายมีอายุที่อยู่ห่างออกไป ถ้าเรียกตัวเองว่าอาคงเป็นน้องของพ่อ เรื่องนี้คงต้องลองกลับไปถามคุณพินิจดูว่าบ้านหลังนี้มีแผนผังครอบครัวแบบไหน

   ไม่น่าจะเป็นครอบครัวสุขสันต์

   "ช่างเถอะ แค่กลัวพวกมิจฉาชีพเข้ามา"

   "จะมีใครร้ายได้มากกว่าผมเหรอครับ"

   "แล้วนี่จะออกไปไหนกันหรือเปล่า"

   "ถ้าคนของคุณอาไปรายงานเมื่อไหร่ก็ตอนนั้นแหละครับ"

   นี่คือตัวอย่างของการตอบแบบไร้ความเกรงใจที่แท้จริง อีกคนพยายามซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ให้แนบเนียนที่สุด น่าเสียดายที่ทิวากาลเจอคนแบบนี้มานักต่อนักมันเลยไม่อาจหลุดลอดจากการสังเกตไปได้

   "...เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ที่อาทำมันเป็นเรื่องความปลอดภัย"

   "คุณย่าสอนว่าอย่าคุยเรื่องภายในตอนที่มีคนนอกอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอครับ"

   เจออย่างนั้นก็อยากเปิดปากออกไปว่าไม่ต้องคิดมาก เล่นสงครามกันต่อไปได้เลย คนอย่างราชาส่วนลึกแล้วชอบการทะเลาะเบาะแว้งจะตายไป การใช้อารมณ์เหนือเหตุผลมักพามาซึ่งปัญหาใหญ่โตเสมอ

   แล้วธาตุแท้ของมนุษย์ก็จะเผยออกมา

   ชายที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีสมาชิกอื่นอยู่ด้วยรีบเปลี่ยนเรื่อง "แล้ว...?"

   "จะถามทำไมในเมื่อคุณอารู้ดีอยู่แล้วนี่ครับ"

   พอพูดแบบมีคีย์เวิร์ดก็น่าเบื่อ สันนิษฐานว่าอาจหมายถึงตัวเขา จะว่าไปแล้วยังไม่ได้แนะนำตัวให้ผู้ใหญ่รู้จักเลย ถ้าคุณพินิจรู้คงโดนบ่นหูชา

   "ผมชื่อทิวากาลครับ" โอบเอวคนข้างกายเอาไว้ ออกแรงดึงนิดหน่อยให้เข้ามาชิด ส่งยิ้มทักทายไปให้คนตรงกันข้ามแม้ว่าสายตาของอีกฝั่งจะเหมือนยังไม่เข้าใจมากเท่าไหร่

   เสียงลอดไรฟันออกมาเป็นการคาดโทษเอาไว้ "...อย่าคิดทำอย่างนั้นเด็ดขาดเลยนะครับราชา"

   แล้วคิดว่าเขาสนไหมล่ะ

   "เป็นคนที่จะอยู่กับพิชชาไปชั่วชีวิตเลย"


***
   รายงานตัวตามนัดค่ะ ถ้าเห็นชื่อแอคเคาท์น่าจะเดาได้ไม่ยาก วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าเองค่ะ เลยเอามาลงทั้งตอนเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง (หัวเราะ) ที่จริงเจ้าตั้งใจจะลงเรื่องสั้น (ด้วยรัก) อย่างเดียวค่ะ แต่ว่ามันดันพิมพ์เสร็จเร็วว่าที่วางแผนเอาไว้ เลยต้องเปลี่ยนแผนเร่งด่วน
   ขอให้ทุกท่านมีความสุขเสมอนะคะ /กอด
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-08-2016 21:05:49
 :pig4: :pig4:   :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 26-08-2016 22:04:48
รอๆๆๆๆ ชักสนุกขึ้นทุกที จะมีปมไรอีกไหมเนี้ย
#พิชแบล็ค  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-1 [28.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 28-08-2016 16:31:54
CH.7-1

   ควันสีเทาลอยขึ้นฟ้าก่อนจางหายไป ปลายมวนที่สามถูกขยี้ลงกับถาดเงินจากตลาดของเก่าเมื่อครั้งอยู่อังกฤษ งานละเอียดแล้วก็ยังสมบูรณ์อยู่ต่างจากที่ขายอยู่ในไทย นอกจากนั้นราคาขายยังเกือบเรียกได้ว่าของแจกฟรีก็เป็นหนึ่งในสิ่งล่อตาล่อใจเสียเหลือเกิน

   ท้องฟ้ายามราตรีประดับไปด้วยจุดแสงสีเงิน วิธีการแสนฉลาดที่ไม่ทำให้รู้สึกว่า 'สีดำ' เต็มไปด้วยความน่ากลัวเสมอไป มองแสงพร่างพราวบนนั้นถึงพอเข้าใจความรู้สึกของน้องสาวว่าเพราะอะไรถึงชอบออกมานั่งมองมันทุกคืน

   อย่างน้อยมันจะอยู่บนนั้นไม่มีวันหายไปไหน
   
   หันไปมองโทรศัพท์ที่วางไว้หมิ่นเหม่ตรงขอบระเบียง หน้าจอยังนิ่งสนิทไม่มีการติดต่อกลับจากคนที่คิดเอาไว้ คิดถึงใบหน้าไร้รอยยิ้มประดับแล้วมีความสุขแปลกๆ เขาชอบหลอกล่อคนอื่นให้ตกอยู่ในหลุมพรางอย่างนี้

   แขนดูบอบบางกึ่งลากกึ่งจูงเขาออกจากพื้นที่ส่วนกลางของบ้านไปอยู่กลางสนามหญ้าขนาดใหญ่ เวลาบ่ายยังมีแสงแดดอยู่บ้าง ใต้ร่มไม้ขนาดหลายคนโอบจึงเป็นแหล่งกำบังที่ดีที่สุด

   "คุณไม่ควรพูดอย่างนั้น!"

   "ผมแค่ทวนคำพูดของคุณพิชชา"

   ที่บอกว่าให้อยู่ด้วย และระยะเวลานั้นยาวนานเพียงไร

   เป็นครั้งแรกที่ทิวากาลได้ยินเสียงถอนหายใจจากอีกคน "แต่คุณไม่จำเป็นต้องทวนให้เขาฟังครับ"
   
   "ทำไมล่ะ กลัวอะไร?" บ้านไม่มีประมุขสูงสุดอาจเกิดการริบอำนาจเอาไว้กับตัว คนที่มีอำนาจยิ่งหย่อนไม่มากกว่ากัน ที่เห็นอยู่ก็มีแล้วแน่ๆ หนึ่งคน

   ช่วงนัยน์ตาทรงแปลกจ้องกลับมาไม่ละลด สายตาตื่นตกใจเมื่อครู่แปรเป็นความหงุดหงิดใจชัดเจน พิชชาเสยผมที่ยาวลงมาปรกหน้าให้กลับไปอยู่ด้านบนตามเดิม ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีเส้นผมบางส่วนร่วงหล่นลงมาตามข้างแก้ม

   "...คำพูดของราชาศักดิ์สิทธิ์ครับ" จริงจังจนเขาไม่อยากแทรก "มันจะผูกพันจนวันตาย"

   "นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"

   ทิวากาลเชื่อในบางเรื่อง เช่นการรักษาสัญญาหรือว่าการรักษาคำพูด พอพิชชาสะกิดมันขึ้นมาเขาถึงคิดเหมือนกันว่าเพราะอะไรตัวเองถึงพูดอย่างนั้นออกไปโดยไม่มีความลังเลสักนิด ที่ผ่านมาแบล็คไม่เคยสร้างเงื่อนไขผูกพันกับใครหรือว่าสิ่งอื่นใด แล้วทำไมกับเรื่องนี้เขาถึงทำอย่างนั้น...

   เพราะอยากชนะ

   หรือว่าด้วยเหตุผลอย่างอื่น

   "..."

   คลื่นเสียงจากอีกฝั่งเงียบหายไปจนใจเขาหล่นวูบ "พิชชา?"

   "สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จครับ"

   มันน่าโมโหไหมล่ะ มาปั่นหัวเสียจนวุ่นวายแล้วก็มาเหวี่ยงใส่แบบไร้เหตุผลอีก เจ้าของบ้านผลักไสให้เขาออกไปจากเขตของ

   บ้านอย่างไร้เยื่อไย ไม่มีทางติดต่ออะไรดูเข้าท่าสำหรับการหาคำตอบ ทิวากาลไม่มีทั้งเบอร์ติดต่อหรือว่าช่องทางอื่น จะให้ทักผ่านทางไอจีก็แปลกไปหน่อย

   คราวหน้าต้องเอาเบอร์มาให้ได้เลยคอยดู



   (มึงอยู่ไหนแล้วแบล็ค)

   "เพิ่งเรียนเสร็จ กำลังออกไปเอารถ"

   นึกว่าตัวเองหลุดพ้นจากตำแหน่งคนขับรถของน้องชายคนเล็กแล้วเสียอีก ที่ไหนได้นับวันยิ่งทำตัวเอาแต่ใจจนมาดหมายเอาไว้ว่าอีกไม่นานคงได้มีการเรียกที่หนึ่งมาคุยหน่อย คือยกให้แล้วก็ห้ามกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เพิ่มเติมสิ

   (รีบมาเลย กูเบื่อมาก)

   "นี่พี่มึง อย่ามาสั่ง" คนที่ไม่อาจกำหนดให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจต้องการมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วไม่พร้อมรับมือกับอารมณ์ฉุนเฉียวของใครอื่นทั้งนั้น "เบื่อมากก็กินลูกอมไป"

   รถที่มีระบบเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์เข้ากับลำโพงภายในช่วยให้การขับรถสะดวกมากขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัยในชีวิตได้สักอย่าง

   ดูอย่างเขาสิ อยู่ดีๆ ก็มีคนโผล่มาทวงบุญคุณหน้าตาเฉย

   (มึงเป็นไรเนี่ย?)

   "ปกติ" ต้องรีบเคลื่อนรถออกจากส่วนตึกเรียนให้เร็วที่สุดไม่อย่างนั้นอาจติดแหงกอยู่ตรงนี้เป็นครึ่งชั่วโมงเพราะนักศึกษาจำนวนมหาศาลต่างเลิกเรียนพร้อมกัน "อย่าเดินเถลไถลก็พอ ถ้ากูไปไม่เจอไม่รอนะ"

   (กูไม่ใช่เด็กที่จะเดินตามคนที่บอกจะเลี้ยงขนม)

   "แต่มึงเป็นเด็กที่เดินไปรอกูผิดตึกแล้วบอกว่ากูมั่ว"

   เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นจริงตอนช่วงปีสาม มีอย่างที่ไหนนัดรับตรงหน้าตึกเรียนแบบที่ทำมาตลอดสองปีกว่า เขาก็จอดรอเป็นสิบนาทีไม่เห็นว่าจะมีวี่แววน้องคนเล็ก เคลียร์กันไปมาสรุปโรมไปรอผิดตึก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าน้องเอ๋อได้ยังไง

   (ก็วันนั้นกูเจอควิซนรกอะ)

   ส่วนมากทิวากาลกับน้องจะเปิดสายค้างเอาไว้เพื่อให้สะดวกในการตามหา ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากเท่าไหร่อยู่แล้วมันเลยไม่มีผลต่อค่าใช้จ่ายด้านการโทรในแต่ละเดือน

   "อย่ามาอ้าง"

   (มึงนั่นแหละอย่าหาเรื่องกู)

   "เปล่าหาเรื่อง"

   ขนาดน้องโรมเป็นแหล่งเซฟพลังงานที่ได้ผลตลอดเวลาคราวนี้ยังช่วยอะไรไม่ได้ ความรู้สึกหน่วงข้างในยังไม่ยอมหนีจากไปไหน ลองว่างเมื่อไหร่สีหน้าสุดท้ายของพิชชากับคำพูดที่อยากเข้าใจความหมายจะย้อนกลับเข้ามาทักทายอยู่ร่ำไป ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ลองมองหาพิชชาทุกเวลาก็ไม่เห็นจะเจอ ไม่อย่างนั้นเห็นชอบโผล่หน้ามาเรื่อย

   (เรียนหนักเหรอ)

   "เปล่า"
   
   จำนวนหน่วยกิตก็เท่ากับหลายเทอมที่เรียนมา แถมยังสบายกว่าด้วยเพราะหลายตัวเป็นวิชาเลือกไม่มีสอบ

   (...ช่วงนี้มึงแปลกไปนะแบล็ค) ว่าจะไม่พูดสุดท้ายโรมันก็ไม่เก็บมันไว้กับตัว (ที่มึงบอกว่าไปเปิดสงครามอะไรนั่นหรือไง)

   "ความจำดีขึ้นนะน้องเอ๋อ"

   รถคันหน้าไม่มีการขยับ ทิวากาลเริ่มปลงตกว่าวันนี้คงต้องนั่งโง่อยู่ในรถเป็นครึ่งชั่วโมงอีกแล้ว นี่ขนาดเขาคิดว่าตัวเองออกเร็วกว่าเดิมเยอะแล้วนะ ทำไมถึงเจอรถติดอีก

   (กูไม่ใช่น้องเอ๋อ!)

   ได้ยินน้องขึ้นเสียงอย่างนั้นยิ่งมีความสุข ทิวากาลส่งเสียงหัวเราะผ่านกลับไปตามสาย หันออกไปมองกระจกด้านข้างของตัวเองดูสภาพแวดล้อมภายนอกแทนการฆ่าเวลา

   "มึงอะเ..."

   ยังไม่ทันพูดจบประโยคพี่โตสุดของบ้านก็หันไปเห็นบางสิ่ง ทางสำหรับคนเดินที่สร้างขนานกับทางจักรยานมีผู้ชายผมยาวคนหนึ่งกำลังเดินถือเครื่องดื่มร้อนจากร้านกาแฟเปิดใหม่ข้างตึกเรียน

   (กู?)

   "น้องโรม รถติดมาก มึงกลับเองแล้วกัน"

   (หา แป๊บน...)

   ไม่เสียเวลาอธิบายอะไรอีก ทิวากาลรีบกดปุ่มวางสายการสนทนาแล้วรีบเปิดไฟเลี้ยว เบี่ยงตัวออกจากเลนของตัวเองแล้วกลับรถเสียตรงนั้น มีเสียงแตรไล่จากคันอื่นดังเตือนอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่สนใจไง

   พิชชาไม่มีทางยอมขึ้นรถมาด้วยง่ายๆ และเขาก็ไม่คิดว่าวิธีการเทียบจอดรถกับข้างทางขนานไปจะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เขาเลยตบรถเข้าที่จอดขนาดย่อมถัดออกไปไม่ไกล เข้าซองให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้ลงมาตามหาอีกคนได้เร็วที่สุด

   คราวนี้ไม่มีเวลาแม้กระทั่งสังเกตคนรอบข้าง แผ่นหลังของชายผมยาวไกลออกไปทุกทีบอกเขาว่าต้องเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจเหมือนคราวก่อนที่หันกลับมาอีกทีก็หายตัวไปแล้ว

   หายไปไหนเป็นสัปดาห์

   ตัวมหาวิทยาลัยไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่ ถ้าเทียบในเรื่องตึกเรียนนะ เพราะตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่แบล็ควนห้องเรียนอยู่แค่ตึกเรียนรวม ตึกคณะของตัวเองมีเอาไว้ให้ไปอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดอย่างเดียว นั่นเป็นตึกเรียนสำหรับเด็กคณะอื่นแต่ชื่อตึกคณะนิติศาสตร์

   พอเรียนรวมแล้วถ้าไม่ใช่คณะที่มีตึกของตัวเองแยกออกไปมันก็ต้องเวียนใช้ห้องเรียนอยู่แค่ในนั้น เขาก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะเจออีกฝ่ายตามทางเดินหรือไม่ก็ร้านค้าแถวนั้น มันก็ควรจะเจอกันบ้างไม่ใช่หรือไง อย่างวันนั้นยังเจอที่โรงอาหารได้เลย

   จากที่ไม่ชอบเดินมีเสียงแล้วคราวนี้ยิ่งเงียบเข้าไปอีก แบล็คค่อยๆ พาตัวเองเข้าไปใกล้จนริมฝีปากเกือบชิดใบหูของอีกคน กระซิบทักทายคล้ายกับว่าไม่อยากให้ใครอื่นได้ยินเสียงของเขา

   "ให้ไปส่งที่ไหนดีครับ"

   เหมือนเดิมคือไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือน สิ่งที่เกิดขึ้นคือพิชชาหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าเขานิ่งๆ จนทิวากาลเริ่มชินกับความผิดหวังที่คิดเอาไว้ล่วงหน้า เขาควรใช้วิธีไหนที่จะทำให้คนอย่างพิชชาเปลี่ยนมาดได้บ้าง

   "ไม่ต้องครับ"

   "แล้วไหนบอกว่าให้ผมอยู่กับคุณ”

   ยียวนกลับไป กระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยอย่างที่ชอบทำเวลาเจอเรื่องถูกใจ “นี่ผมปฏิบัติตามไม่มีบกพร่องเลยนะ”

   “คุณควรจะดีใจที่ไม่ต้องมาเจอผม”

   “ตอนนี้ผมดีใจที่เจอคุณ” ต้องบอกไว้ก่อนว่าต้องตีความทางตรง อย่าเอาไปคิดต่อยอดเองเด็ดขาด มันไม่ได้มีความหมายอะไรแอบแฝงอย่างพวกความพิศวาสอะไรทำนองนั้น เขาก็แค่ต้องการบอกไปว่าถ้าจะมาเล่นกับคนอย่างแบล็คก็ต้องเตรียมใจรับการโต้คืนไปให้ได้

   “แต่ผมไม่ดีใจเลยครับ”

   ตัดบทไร้เยื่อใย บนนั้นไม่มีอาการแสดงความรังเกียจออกมาทางสีหน้า มีเพียงเสียงที่กลายเป็นหนามแหลมจำนวนมากตรงเข้ามาทิ่มแทง “คุณควรไปรับน้องชายคนเล็กของตัวเองได้แล้วนะครับ”

   “ปล่อยให้กลับเองได้แล้ว” อยากรู้ใจจะขาดว่าพิชชาเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน ต้องเป็นนักติดตามระดับไหนถึงรู้เรื่องราวในชีวิตเขาละเอียดยิบ

   หรือใครที่ทำให้พิชชารู้ขนาดนี้

   หลังจากลองคิดทบทวนหลายครั้งก็พบว่าไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรที่ต้องรู้จักคนอื่นในครอบครัว ถ้าชายผมยาวต้องการทิวากาลตอบแทน เรื่องของน้องสาวหรือว่าน้องชายก็ไม่ควรดึงเข้ามายุ่งเกี่ยว เขาเชื่อว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังหมอกสีดำกลุ่มนี้มีอะไรมากกว่าที่คิด

   อาจต้องรอให้ความร้อนหรือลมช่วยพัดพามันออกไปก่อน

   “ดูแลไม่ดีเดี๋ยวอีกคนมาโวยวายหรอกครับ”

   “คนอย่างนั้นน่ะเหรอ” บุคคลที่สามที่ถูกพาดพิงมีอยู่คนเดียว “อย่าลืมสิว่าผมเป็นใคร”

   “ผมไม่บังอาจลืมหรอกครับ”

   เครื่องดื่มแบบร้อนในมือถูกยกขึ้นดื่ม ชายผมยาวเริ่มออกเดินอีกครั้งโดยไม่มีคำกล่าวลา ทิวากาลขยับตัวตามไปโดยทิ้งระยะห่างพอประมาณ

   “ก็ดี...เพราะผมไม่มีทางลืมเหมือนกันว่าคุณเป็นใคร”

   “ถือเป็นเกียรติครับ”

   เพราะพิชชาเดินนำอยู่ทิวากาลเลยไม่อาจรู้ได้ว่านั่นเป็นการพูดออกมาจากใจหรือว่าประชดประชันตามประสา คนเดินนำยังก้าวต่อไปไม่มีหยุด จนเจอไฟจราจรตรงทางแยกขึ้นสีแดงแทนการบอกว่ายังไม่สามารถข้ามได้จึงกลับมายืนข้างกันอีกครั้ง

   “นี่กำลังเดินตาม?”

   “ใครบอกผมเดินตามคุณ” อยากทำหน้านิ่งใส่ทิวากาลก็จะตีหน้ามึนกลับไป “ผมเดินเล่นของผมไปเรื่อยต่างหาก”

   นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่เห็นอาการ ‘มองแรง’ จากพิชชา



   ไม่เคยเดินไกลขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย จากส่วนกลางที่มักอยู่เป็นประจำเขาลัดเลาะตามอีกคนมาจนถึงพื้นที่เกือบสุดฟากหนึ่งของเขตแดน เป็นที่รู้จักในชื่องานก่อสร้างที่ไม่มีวันเสร็จ ขั้นบันไดสูงทำจากอิฐสีส้มดูอันตรายทั้งจากความชันและความเก่า

   ตั้งแต่เริ่มออกเดินไม่มีสักครั้งที่พิชชาจะหันหลังกลับมามองว่าเขายังอยู่ด้านหลังหรือไม่ ชายในชุดฝ้ายเดินนำราวกับว่าไร้ผู้ร่วมเดินทาง ยิ่งลองนึกไปถึงสภาพครอบครัวที่ไม่เหลือแล้วมันช่างอ้างว้างเสียเหลือเกิน เคยมีหลายคนเดินเคียงข้าง แล้ววันหนึ่งคนเหล่านั้นก็หยุดเดินเมื่อถึงจุดหมายของตัวเอง ปล่อยให้คนยังไม่เจอปลายทางก้าวต่อไปลำพัง

   บนจุดสูงสุดของงานก่อสร้างสามารถมองเห็นได้โดยรอบ ในรัศมีไม่มีตึกใหญ่มาบังวิสัยทัศน์และยังพัดพาอากาศเย็นสบายเข้ามาตีหน้าไม่มีหยุด

   ไม่เคยเห็นทิวทัศน์นี้มาก่อน สิ่งที่อยู่ไกลจนลับสายตาคือท้องฟ้าสีแปลกยามตะวันคล้อย ก้อนเมฆรวมกลุ่มกันเป็นการแทรกสีขาวลงไปบนผืนท้องฟ้า ไม่ได้แสดแล้วก็ไม่ได้เป็นสีฟ้า หลายสีที่ผสมกันอยู่ในตอนนี้สวยงามจนอธิบายออกมาได้ไม่ถูก

   มองคนตรงหน้าผู้ถอดวิญญาณไปอยู่แห่งหนใดก็ไม่ทราบ ยังเดาไม่ออกว่าการที่เขาหายไปเป็นสัปดาห์อย่างนั้นมีหมายถึงอะไร ด้วยความเคยชินสิ่งที่เสกให้มาอยู่ในมือคือกล่องบุหรี่ของตัวเอง หวังว่ามันจะช่วยดับอารมณ์ขุ่นมัวตอนนี้ให้มลายหายไปได้

   ไม่อยากเรียกว่าเสพติดสักเท่าไหร่ มันเป็นเพียงวิธีแสดงถึงการไว้อาลัยให้กับคนที่จากไปแล้วก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องเรียกว่าแม่หรือว่านางฟ้าแสนสวย ถ้าเข้มแข็งกว่านี้บางทีคนเป็นพี่ที่ต้องดูแลน้องอาจทำได้ดีมากกว่าที่เป็นอยู่

   วิธีการขอโทษที่ทำร้ายตัวเองไปในตัว

   กล่องบุหรี่เป็นแบบเหล็ก ไปเจอมาในอินเทอร์เน็ตเลยบิทมาแบบไม่ได้คิดอะไรมาก ข้างในมีบุหรี่สองแบบแยกฝั่งออกจากกันชัด หนึ่งคือมาโบโร่แบล็ค ส่วนอีกฝั่งคือบุหรี่กลิ่นมิ้นท์ สิ่งที่จะสูบต่อเมื่อต้องการใช้ความคิดมาก

   เพราะมันทั้งแสบคอแล้วก็กลิ่นฉุนจนน่าสะอิดสะเอียน

   สลับกลไกจนมีเปลวไฟสีแดงเกิดขึ้น จุดมันให้ติดด้วยการสูดเข้าเพียงครั้งเดียว สิ่งที่เห็นหลังม่านควันสลายตัวไปคือใบหน้าติดนิ่งเฉยของพิชชาที่มองตรงมา

   ไม่ได้คิดอะไรมากตอนยื่นไปให้ เจอมาเยอะแล้วพวกเหมือนจะเป็นสายเด็กเรียนแต่พอเห็นท่าการจุดเท่านั้นก็บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด พิชชายื่นมือมาหยิบมวนหนึ่งไว้ในมือ ไม่รับไลท์เตอร์ชิ้นสวยตามไป มือขาวซีดรับมันไปแล้วคาบไว้ช่วงริมฝีปาก ขยับทั้งตัวเข้ามาหาจนปลายมวนอยู่ชิดติดกัน วิธีการต่อบุหรี่ที่ไม่ค่อยเห็นใครทำมากนัก

   "ไม่คิดว่าคุณจะสูบ" พ่นควันพิษออกมาก่อนถามต่อ "ทำไม?"

   ไหล่ใต้เสื้อฝ้ายยกขึ้น "แล้วคุณสูบทำไมล่ะครับ"

   "ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วหรือไง?"

   ตอนนี้ถ้าพิชชาจะบอกว่าตัวเองรู้เรื่องแม่สองเขาก็ไม่แปลกใจอะไรแล้ว ถ้าหาช่องว่างได้จริงแบล็คจะพยายามล้วงข้อมูลจากพ่อให้ได้มากที่สุด มันยากก็ตรงที่คนรู้จักกันมันไม่ควรละลาบละล้วงไง

   "ถ้าเป็นเพราะอย่างนั้นจริงผมว่ามันไร้สาระจนเกินไป"

   "แล้วแต่คุณจะคิด"  ควันสีจางลอยขึ้นไปตามชั้นอากาศ ชักอยากจะเปลี่ยนไปสูบแบบไฟฟ้าแทนจะได้ไม่ต้องมานั่งจุดไฟให้ยุ่งยาก แต่เขาก็ไม่ชอบความหนาของเครื่องอยู่ดี “คุณหายไปไหนมา?"

   การถามไม่ได้หมายความว่าโง่ คนที่ไม่รู้แล้วไม่ถามต่างหากถึงเหมาะกับคำว่าโง่อย่างแท้จริง คนเราไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องเสียหน่อย อ้อ ยกเว้นพิชชาไว้คนหนึ่ง

   “ผมไม่เคยหายไปครับ”

   “แล้วทำไมผมไม่เจอคุณเลย”

   “เราเดินสวนกันบ่อยจะตายไปครับ คุณแค่ไม่ใส่ใจเท่านั้นเอง”

   จะว่าเจ็บก็ใช่อยู่ แต่เขามีข้อโต้แย้งกลับไปเหมือนกันว่าคงไม่มีใครที่จะเงยหน้าขึ้นมามองคนเดินสวนไปนาทีหรอกนะ โดยเฉพาะพวกกรรมการรุ่นช่วงนี้ไม่อยากเจอกว่าเวลาเสียอีก แค่เอาเขาไปถ่ายรูปก็น่าโมโหพออยู่แล้ว นี่เล่นทักมาถามเวลาว่างงานนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

   “แล้วทำไมไม่ทักล่ะ”

   “มันยังไม่ถึงเวลาครับ”

   กระดาษแข็งสีดำแผ่นเดิมยังวางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ คำที่เขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษแปลความหมายได้ว่ายินดีต้อนรับการกลับมา ไม่ยักกะรู้ว่าตัวเองเคยหายไปเมื่อไหร่

   “คุณไม่ได้เป็นคนกำหนดเองหรอกเหรอ”

   “ไม่ใช่ผมครับ” วิธีการสูดเอาอากาศผสมสารพิษเข้าไปก่อนปล่อยมันออกมาเต็มไปด้วยท่วงท่าสวยงาม “มันมีคนกำหนดเอาไว้แล้ว”

   “คนคือมีชีวิต?”

   ไม่อยากจะเชื่อว่าวันหนึ่งตัวเองต้องมาถามอะไรอย่างนี้ ทิวากาลไม่เคยให้ค่ากับสิ่งที่พิสูจน์ด้วยตาไม่ได้ รวมไปถึงเรื่องของตำนานเทพทั้งหลายด้วย

   “ทั้งสองส่วนครับ” นิ้วคีบแท่งกระบอกทรงสูงเอาไว้ในมือ ชี้ปลายมวนให้ควันลอยเอื่อยมาทางเขาหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนขึ้นไปบนฟ้า “แต่เหมือนกันตรงที่เลือกทางเองไม่ได้ทั้งคู่”

   ส่วนที่สองคงไม่พ้นเรื่องลี้ลับ แต่ส่วนแรกที่ชี้มายังทิวากาลนี่แหละที่ไม่เข้าใจ พิชชากำลังสื่อว่าเป็นคนที่ยังมีลมหายใจเหมือนกันหรือต้องการบอกนัยอื่น

   “ทีอย่างนี้ไม่ค้าน”

   "ก็บอกแล้วไงครับว่าเลือกไม่ได้ ผมอยากเจอคุณมาตั้งนานแล้วเถอะ"

   "เลยเพิ่งโผล่มาเป็นฮีโร่ตอนผมเกือบตายอย่างนั้นสิ?"

   “วีรบุรุษกับกบฏต่างกันแค่จุดจบของสงครามครับ” เรื่องนี้เคยได้ยินมาตั้งแต่เล็ก การตัดสินใจทำอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเสี่ยงมากหรือน้อยจำต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าเหรียญมีสองด้าน ถ้าไม่ได้ชัยชนะเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้แพ้ที่ถูกตราหน้าว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเท่านั้น

   คำว่า Tyrant ที่แปลว่าทรราชไม่ได้หมายถึงพวกใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างเดียวเหมือนทุกวันนี้ แต่ใช้เรียกใครก็ตามที่ขึ้นมายึดอำนาจโดยไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม เคสที่กบฏแล้วบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองกว่าเดิมมีเยอะแยะ

   “ผมก็ทำได้แค่รอว่าจุดจบมันจะออกมาเป็นแบบไหนเหมือนกัน”

   พระอาทิตย์สีแสดกำลังลับหายไป

   ไม่ต่างกับแสงริบหรี่ตรงปลายมวน


 
   เพลงในรถถูกเปลี่ยนเป็นยุคเก้าศูนย์เหมือนอย่างทุกครั้งที่มีตุ๊กตาหน้ารถชื่อพิชชา จากรำคาญหูก็ชินไปเสียแล้ว แต่ถ้าเลือกได้เขาไม่ฟังหรอก นอกจากฟังยากแล้วเนื้อหาบางเพลงนี่จิกกัดเจ็บเข้าไปถึงทรวง

   "จะให้ไปส่งบ้านเลยไหม" รู้ที่อยู่บ้านแล้ว อยากไปทำความรู้จักอาคนนั้นให้มากขึ้นอีกหน่อยด้วย

   จากที่ได้ยินมาครั้งก่อนแสดงว่าคนคอยตามติดพิชชาอยู่คือญาติของตัวเอง จะว่าแปลกก็แปลก แต่ว่าถ้ามองในมุมของการมีพิชชาเป็นหลานก็คงน่าห่วงอยู่ในหลายความหมายเช่นกัน

   "ไม่ครับ ผมมีนัดต่อ"

   "นี่จะสองทุ่มแล้ว" แบล็คไม่เคยเป็นเด็กอนามัยจัดจนถึงตอนนี้

   "แล้วทำไมล่ะครับ”

   ทิวากาลไม่ชอบเวลาที่พิชชาย้อนถามอย่างนั้น เพราะเขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าเพราะอะไรถึงต้องรู้

   "ดึก อันตราย"

   "มีคนคอยดูแลผมเยอะแยะครับ" เสียงติดหยันเหยียดบอกให้เขาเบนสายตามามองเบาะทางซ้ายของตัวเอง "ไม่จำเป็นต้องรอความเมตตาจากราชา"

   "แล้วระหว่างผมกับคนพวกนั้นใครน่าไว้ใจกว่าล่ะ?"

   "ส่งผมตรงทางแยกข้างหน้าก็พอครับ"

   สั่งอย่างกับนั่งอยู่บนรถรับจ้างสาธารณะ นิ้วชี้ไปตรงป้ายจอดรถหลังผ่านไฟแดงไปแล้วมีคนยืนรออยู่สองสามคน ไม่ถึงกับเปลี่ยวแต่ก็ไม่เห็นน่าไว้วางใจ พิชชานี่ใช้ชีวิตแบบไหนมาถึงได้ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยในชีวิตได้ขนาดนี้

   "ทำไมคุณไม่ขับรถเองล่ะพิช" เห็นอยู่ว่าในอาณาเขตบ้านมีรถหรูหลายคันจอดเรียงราย

   "ก็บอกแล้วไงครับว่ามันไม่ใช่ของผม"
   
   ทุกอย่างเป็นของพ่อ

   "หรือไม่ก็ให้คนอื่นขับไปส่ง"

   "เหมือนคุณตอนนี้น่ะเหรอครับ" ท้ายเสียงขึ้นสูงนิดหน่อยคล้ายการถาม "ไม่เอาด้วยหรอก"

   “ปกติมีแต่คนชอบความสบาย”

   เหมือนน้องชายเขาไง ต้องตามไปรับไปส่งตลอดไม่เคยคิดจะขยับตัวไปไหนเอง

   “บางเรื่องลำบากกายแต่สบายใจมันก็ดีกว่าครับ”

   การลงท้ายด้วยคำสุภาพเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ไฟจราจรกลับมาเป็นสีเขียวช่วยให้จังหวะการเคลื่อนตัวของรถไม่มีสะดุด เลนที่รถอีโค่คาร์อยู่ตอนนี้คือเลนสามหรือว่าติดกับเกาะกลางถนน สายตาของเขามองแต่ทางข้างหน้าโดยไม่สนใจจะเปิดไฟเตรียมเปลี่ยนเลน

   “อย่าลืมส่งผมข้างหน้าด้วย”

   เผลอเหยียบคันเร่งให้จมกว่าเดิม ทิวากาลไม่หันไปกดล็อคเอาไว้เหมือนครั้งก่อน มันก็เป็นแค่การวัดใจเล็กๆ น้อยๆ ว่าในสถานการณ์อย่างนี้พิชชาจะทำอะไรต่อ

   “คุณจะเปลี่ยนเลนไม่ทันนะ”

   สนใจแต่เพลงยุคเก่า ผ่านเสียงเตือนอีกครั้งว่าเขากำลังเมินเฉยคำสั่งอยู่

   “ราชาครับ”

   เสียงถอนหายใจบางเบาแทนการยกธงขาว

   ราชาไม่เคยทำตามคำสั่งของใคร



   สถานที่ในการส่งวันนี้อาจแตกต่างไปจากคราวที่แล้วมากหน่อย จากห้องชั้นสูงในโรงแรมห้าดาวกลายเป็นคอนโดขนาดกลางแห่งหนึ่งแถบชานเมือง ดูจากสภาพคงสร้างมานานพอสมควร

   "คราวนี้จะบอกสโคปงานผมก่อนไหม" พอเดาได้ว่าการมาสถานที่อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร

   "ไม่โผล่เข้าไปพรวดพราดแบบครั้งที่แล้วก็พอครับ"

   คราวนี้เป็นทิวากาลบ้างที่หัวเราะออกมา "งั้นก็ให้ผมเข้าไปตั้งแต่ต้นสิ"

   "คนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อย่างคุณจะเข้าไปทำไมครับ"

   ราชาไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของเรื่องพรรณนี้ คำบอกว่าเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งเหนือธรรมชาติแล้วก็ไม่น่าเชื่อถือเกินไป น่าตลกที่หลายคนขวนขวายหาแต่อนาคตโดยไม่คำนึงถึงปัจจุบัน รอแต่สิ่งที่ยังไม่มาแทนที่จะทำตอนนี้ให้ดีที่สุด

   "เผื่อจะเชื่อล่ะมั้ง"

   บอกทีเล่นทีจริงกลับไป ยังไงตอนนี้เขาก็ไม่คิดจะเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

   "ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเข้าไปหรอกครับ"

   "คราวนี้ไม่ต้องใช้กระดานหมากรุกเหรอ" ของเดิมก็ยังอยู่ในห้องนอนของเขา ไม่คิดจะพูดถึงหรือว่าทวงคืน

   "ถ้าเป็นตามปกติก็ใช้นะครับ"

   "แล้วนี่ไม่ปกติ?"

   "ก็ปกตินะครับ"

   ในทางตรรกศาสตร์ถ้าพิชชาตอบอย่างนี้คงต้องบอกว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง

   "...สรุปคือตามใจคุณ"

   "ครับ"

   "ถ้ารู้อย่างนี้ผมคงไม่เสียเวลามาเป็นลูกค้าของคุณ" เม็ดเงินจำนวนมหาศาลเอามาลงกับความไม่แน่นอน คิดในทางเศรษฐศาสตร์แล้วมันคงติดลบอย่างเดียวไม่มีทางกระเตื้องขึ้นมา

   “บอกแล้วไงครับว่าผมรู้” นิ้วชี้ยกขึ้นเคาะบริเวณขมับของตัวเอง "อีกอย่างคือผมส่งมันคืนไปแล้วด้วย ส่งให้กับคนที่ควรเป็นเจ้าของมัน"

   ถ้ากระดานอยู่กับทิวากาลในตอนนี้

   “นั่นไม่ใช่ของผม”

   "มันก็ไม่ใช่ของผมเหมือนกันครับ"

   ไม่มีสักอย่างที่พิชชาเรียกว่าเป็นของตัวเอง แล้วสร้อยคอเส้นบางที่ติดตัวเอาไว้เสมอนี่จะนับรวมว่าเป็นของตัวเองอยู่ไหม หรือว่ามันก็ 'ไม่ใช่ของพิชชา' อยู่ดี

   อ้าปากเตรียมค้านว่าตัวเองไม่ชอบรับสิ่งของมาโดยไม่ได้ตอบแทนอะไร เขาเชื่อในเรื่องของสัญญาต่างตอบแทน ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้พิชชาเข้ามาแทรกซึมอยู่ในชีวิตอย่างนี้หรอก เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้อะไรมาต้องเสียอะไรไป ไม่มีสิ่งใดในโลกได้มาฟรี

   "สักครู่นะครับ"

   อยู่ดีๆ พิชชาก็เอ่ยปากขึ้น ก้มลงรื้อหาบางอย่างในกระเป๋าผ้าใบเดิม สิ่งที่เขาหยิบขึ้นมาหลังจากนั้นคือโทรศัพท์เครื่องใหญ่โชว์ว่ามีสายเข้า

   "ครับ ...ไม่ได้อยู่ด้วยครับ ...อ้อ ...อืม ...แล้วเป็นยังไงบ้าง ...เหรอ"

   อีกฝ่ายไม่ได้ปรับระดับเสียงให้ดังจนอีกคนได้ยิน เขาเลยไม่อาจรู้ได้ว่าใครโทรมาหรือว่ากำลังคุยเรื่องอะไร จับจากน้ำเสียงเจือไปด้วยรอยกังวลแล้วคงเป็นเรื่องหนักหนาอยู่พอสมควร ก็ขนาดคุยกับญาติตัวเองยังเสียงแข็งได้ขนาดนั้น มันเลยน่าคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

   “ถ้าอย่างนั้นฝากดูหน่อย ...อืม ...ส่งที่อยู่มา ...จะรีบไป”

   เครื่องมือสื่อสารที่แนบหูจนถึงเมื่อครู่ลดลงมาอยู่ในระดับข้างตัว แบล็คก้มหน้าลงนิดหน่อยเพื่อสังเกตอาการเพิ่มเติม คิ้วของพิชชาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะที่นัยน์ตายังจ้องอยู่บนแผนที่บนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง

   นิ้วเรียวสวยกดคำสั่งคำนวณเส้นทางจนเสร็จ ออกปากสั่งโดยไม่เงยขึ้นมามองหน้า

   "เราต้องเปลี่ยนแผนกันหน่อยแล้วครับราชา"



***
   พี่แบล็คเวอร์ชั่นนี้ก็น่ารักดีนะคะ (หัวเราะ) พี่แบล็คในเรื่องนี้อาจให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับเรื่องของที่หนึ่งในหลายๆ ส่วนเพราะเจ้าอยากแสดงให้เห็นว่าตัวพี่แบล็คเองก็มีมุมอื่นด้วยเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเจ้าก็ยังวางให้พี่แบล็คเป็นผู้ชายที่อยู่แต่บนที่สูงเหมือนเดิมแหละค่ะ (ยิ้ม)
   ส่วนแผนต้องเปลี่ยนจะเป็นแบบไหนครึ่งหลังจะมาเฉลยนะคะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-1 [28.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 28-08-2016 19:35:54

ชอบๆ ชอบมาก

เนื้อเรื่องแบบมันคืออะไร!! ยังไง!!
ยังจับที่มาที่ไปจริงๆ ไม่ได้
แต่คิดเอาเองว่า ปมไม่เยอะ แต่วิธีเขียนตะหาก
หรือไม่ใช่ :(

555 สนุกค่ะ

#อ่าน With Love แล้ว สงสัยเรื่องนามสกุล

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-1 [28.08.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 01-09-2016 13:05:15
รอ ลุ่นๆ :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-2 [01.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-09-2016 19:56:06
CH.7-2

   ทิวากาลรู้ตัวดีว่าตามหลักแล้วคนเรียนนิติศาสตร์ควรจะเคารพกฎหมายมากที่สุด ไม่ใช่เหยียบคันเร่งจนหน้าปัดชี้ไปที่ความเร็วเกือบหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

   "ไม่ต้องเร็วขนาดนี้ก็ได้ครับ"

   ตุ๊กตาหน้ารถคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้เรียบร้อย ไม่แสดงอาการเกร็งออกมาให้เห็น เขาทั้งปาดซ้ายปาดขวาแล้วยังขับฝ่าไฟแดงมาครั้งหนึ่งด้วย ถ้าใบแจ้งปรับส่งไปถึงบ้านเมื่อไหร่โดนคุณพินิจเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวแน่ ครั้งสุดท้ายที่โดนเตือนอย่างนี้ก็ตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย

   "นึกว่ารีบ"

   "มีแต่ใจคุณนั่นแหละที่รีบ" เครื่องยนต์เร่งจนหน้าปัดขยับไปทางขวามากกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำนั้น สายตาเหมือนมองแค่ท้องถนนแต่ความสนใจทั้งหมดกลับอยู่ที่อื่น "อยากรู้ขนาดนั้นเลยเหรอครับว่าเรากำลังจะไปที่ไหน"

   "ผมรู้แล้วว่าคุณให้ผมไปส่งที่ไหน"

   แน่นอนว่าแผนที่ที่เคยอยู่บนหน้าจอของพิชชาย้ายมาอยู่ในความทรงจำแล้ว จะเรียกว่าเป็นกลางใจเมืองก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ มันห่างจากส่วนกลางของเมืองประมาณสองป้ายรถไฟฟ้า เป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยของคนมีอันจะกินในระดับหนึ่งแล้วกัน

   "แล้วผมจะไม่ถามว่าคุณไปที่นั่นเพราะอะไร..."

   ปาดผ่านรถยุโรปหรูไปอีกคัน โดนแตรไล่มาเป็นครั้งที่สองของวัน งัดเอาทักษะของการขับรถที่ไม่ค่อยมีใครรู้ออกมาใช้ น้อยคนจะรู้ว่าเขาชอบกีฬาเสี่ยงอันตรายแบบนี้

   "สิ่งที่ผมเจอมันจะบอกทุกอย่างเอง"

   เสียดายรถอีโค่คาร์ไม่เหมาะกับการเร่งความเร็วมากเท่าไหร่ เขาเหยียบคันเร่งจนมิดเมื่อทางข้างหน้าไม่มีรถคันอื่นคอยขวาง แรงขับเคลื่อนเร่งจังหวะการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้นไม่ต่างกัน เอาเข้าจริงแล้วเขาไม่ชอบขับรถอย่างนี้หรอก ถ้าไม่ติดว่าต้องคอยรับส่งน้องคนเล็กสุด อยากจะใช้บิ๊กไบค์ที่เป็นมรดกตกทอดในการเดินทางไปไหนมาไหนจะตายไป

   เป็นเรื่องปกติที่มักจะคิดต่อเอาเองว่าจะมีอะไรรออยู่ตอนที่ไปถึง เจอพิชชามาหลายครั้งไม่เคยมีครั้งไหนเจอเรื่องดีสักที ตั้งแต่ผู้ชายคนนั้นไปจนถึงคนที่บ้าน แล้วคราวนี้เขาจะได้เจอ 'ใคร' อีกหรือเปล่า

   ช่างมันเถอะ

   ต่อให้ไม่รู้ว่าต้องเจอเรื่องอะไรบ้าง แต่เขาไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด

   เพิ่งรู้ว่านอกจากเป็นย่านที่อยู่อาศัยแล้วมันยังเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิงยามราตรี แบล็คเดินคู่ไปกับพิชชาตั้งแต่ส่วนหน้าของซอยจนเข้าไปด้านใน ผ่านตรอกเล็กๆ ที่ไม่น่ามีอะไรซ่อนอยู่จนเจอตึกโครงสร้างแปลก หน้าประตูมีการ์ดตัวใหญ่ในชุดลำลองยืนจังก้าทำหน้าที่ของตัวเองอยู่

   "อยู่ข้างในใช่ไหมครับ"

   "อยู่"

   แล้วทั้งสองคนก็สามารถผ่านเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดายจนนึกสงสัย คิดว่าจะต้องบู๊ตั้งแต่หน้าประตูแล้วเสียอีก เพราะวันนี้ตัวเองไม่ได้พกอุปกรณ์ป้องกันตัวมาด้วย ขืนเจออะไรเหนือความคาดหมายแล้วคงยุ่งไม่ใช่เล่น

   ทำหน้าบอกบุญไม่รับยามได้กลิ่นข้างใน ทั้งความอับของพื้นที่ เสียงเพลงดังจนน่าปวดหัว กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลอยปนเป ควันบุหรี่ลอยมาจากทุกส่วน รวมถึงของผิดกฎหมายบางอย่างที่วางไว้ทั่วโต๊ะราวกับว่าเป็นของตกแต่งทั่วไป

   ยังไม่รวมสมาชิกที่อยู่ข้างใน พวกชุดธรรมดานี่ไม่มีอะไรหรอก แต่บางส่วนยังเห็นอยู่ในชุดนักศึกษา หนักที่สุดคือชุดเด็กมัธยมต้นก็ยังมี ไม่อยากขุดวิชาทางกฎหมายที่เคยเรียนทั้งหมดออกมาใช้ ถ้าเรียกตำรวจมาน่าจะสนุกสนานไม่ใช่เล่น เท่าที่คิดไว้ก็เกือบสิบกระทงเข้าไปแล้ว

   กวาดสายตามองไปทั่วจนพอเข้าใจว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในพื้นที่เปิดให้บริการผิดกฎหมายสักแห่ง แล้วพิชชามาที่นี่ทำไมกัน เพื่อตามหาลูกค้าหรือว่ามาเป็นลูกค้าเสียเอง ถึงจะเพิ่งได้ความรู้ใหม่เรื่องสูบบุหรี่ไปแต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าถ้าพิชต้องการสังสรรค์จริงคงเลือกสถานที่อื่นที่มีรสนิยมมากกว่านี้

   หรือสิ่งที่คิดมันจะผิดทั้งหมด

   ปลายสายที่พิชชารับเมื่อตอนนั้นคือใครกัน แล้วทำไมต้องเป็นที่นี่

   "คุณรออยู่แถวนี้ก่อนก็ได้ครับ ผมต้องไปตามหาบางคนหน่อย"

   แถวนี้ที่ว่าคือริมสุดของห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ไกลจากส่วนของฟลอร์เต้นพอควร ถึงความห่างช่วยให้การพูดคุยไม่ต้องใช้เสียงดังมากนักทิวากาลก็ยังขยับทั้งตัวเข้าไปใกล้อีกคนอยู่ดี

   กลิ่นแรกที่สัมผัสได้คือเครื่องหอมปริศนาที่เขายังไม่รู้ชนิดและยี่ห้อ มันช่วยให้กลิ่นอับของห้องหายไปจากการรับรู้ของแบล็คได้บางส่วน เรือนผมที่มักทิ้งตัวอยู่ด้านหลังเผยให้เห็นโครงสร้างแปลกตาของพิชชาชัดเจนวันนี้รุงรังจนทิวากาลต้องยกมือขึ้นทัดปอยผมส่วนหน้าไว้กับหู

   "ไม่ให้ผมไปช่วย?"

   "การที่คุณยอมอยู่เฉยๆ นี่แหละครับเป็นการช่วยที่ดีที่สุดเลย"

   "ถ้าผมทำตามที่คุณบอก ...แล้วผมได้รู้ในสิ่งที่ต้องการใช่ไหม?" ลองหยั่งเชิงกลับไป อารมณ์ดีถึงขนาดว่าฮัมเพลงตามไปด้วยระหว่างรอคำตอบ สายตาสองคู่ประสานกันไม่มีใครยอมใคร ความสูงค่อนข้างใกล้เคียงกันมันก็ดีอย่างนี้นี่แหละ

   "ผมไม่เคยปิดคุณครับ อยู่ที่คุณจะหามันเจอหรือเปล่า"
   
   คำสุดท้ายยังไม่ช่วยให้ความกระจ่างอยู่ดี มันอาจจริงตามที่พูดเมื่อพิชชาไม่เคยปิดเรื่องครอบครัว ที่เขาเจอวันนั้นหลายเรื่องมันออกมาจากปากเจ้าของเรื่องเอง เพียงแต่ว่านั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทิวากาลอยากรู้มากที่สุด

   กลางแสงไฟรำไรแผ่นหลังของชายผมยาวกลืนหายไปกับฝูงชน แม้จะลองสอดส่องดูแล้วก็ตามหาไม่เจอว่าเดินไปทางไหน ทำตัวเป็นเด็กดีอย่างที่ได้รับคำบอกโดยไม่ถือว่าเป็นการสั่งเพราะเขาเองเต็มใจปฏิบัติตาม มายืนสังเกตการณ์ดูสภาพแวดล้อมอย่างนี้ก็เป็นประสบการณ์ใหม่เหมือนกัน

   เพลงสากลสลับไปกับเพลงอิเล็กทรอนิกส์ มีลานขนาดเล็กสร้างให้สูงกว่าพื้นที่อื่นแทนแท่นดีเจ ส่วนคนที่อยู่บนนั้นคือชายในชุดสีเข้มกลืนไปกับบรรยากาศ จะเห็นได้เต็มตาต่อเมื่อแสงไฟส่องเข้าไปหาเท่านั้น เล่นดีแบบที่ไม่น่าอยู่ในห้องเล็กแคบแบบนี้

   พอรู้มาบ้างว่ามันมีแหล่งมั่วสุมอย่างนี้อยู่ไม่น้อย พวกปาร์ตี้ของเด็กมีฐานะที่ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร มีหลายคนเคยชวนแต่เขาปฏิเสธไปเสียทุกราย เป็นอันรู้กันว่านอกจากเครื่องดื่มมึนเมาแล้วมันยังมีอะไรแฝงอยู่ ถ้าทิวากาลยังอยากเดินบนเส้นทางสายยุติธรรมสิ่งที่ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้คือประวัติไร้รอยด่างพร้อย แค่เป็นลูกชายของคนมีอิทธิพลมันก็สร้างปัญหาให้มากพอแล้ว

   "มาใหม่?"

   เหลือบตามองชายแปลกหน้าที่มายืนอยู่ถัดไป สังเกตการแต่งกายแล้วนอกจากมีเงินแล้วยังมีรสนิยม เสื้อเชิ้ตลายสวยกับกางเกงยีนส์เนื้อหนา มองไม่เห็นรองเท้าแต่ก็คิดว่าไม่น่าจะผิดจากคาดเอาไว้

   "อืม" ไม่ให้ดูมีพิรุธกระป๋องเบียร์ในมือก็ถูกยกขึ้นชิดริมฝีปาก รสชาติของน้ำสีอำพันที่ไม่ได้เจอมาพักหนึ่งแปลกจนต้องหยิบขึ้นมาดูยี่ห้อ

   "กับพิช?"

   นั่นคงเป็นเหตุผลที่เข้ามาหา ปกติแล้วคนอย่างทิวากาลไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้เท่าไหร่

   แบรนด์ของสินค้าไม่ใช่แบบขายทั่วไปในเมืองไทย เห็นด้านข้างเขียนเอาไว้ว่าเป็นของสเปน นอกจากเพลงจะดีแล้วเครื่องดื่มในนี้ก็ใช้ได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมทางเข้าที่ดูไม่น่าสนใจถึงได้มีสมาชิกข้างในมากจนเกือบแออัด

   "คนอย่างนั้นคงมีคนเดียว"

   "แปลก...พิชไม่เคยพาใครมา"

   รอบข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวายเมื่อเพลงฮิตติดหูในช่วงนี้เริ่มเล่น ผู้คนต่างแก่งแย่งกันเข้าไปอยู่ส่วนกลางพื้นที่ และมีอีกไม่น้อยมองตรงมาพร้อมกับเชิญชวนคนด้านข้างให้ออกไปร่วมด้วย คงเป็นคนสำคัญของที่นี่ไม่น้อย

   "สนใจไปเล่นสนุ๊กกันไหม?" คำเชื้อเชิญไม่รู้ว่าแฝงอะไรเอาไว้ข้างใน "ถ้าต้องรอพิชคงอีกสักพักเลยล่ะ"

   แสดงว่าผู้ชายคนนี้รู้ว่าพิชชามาทำอะไร

   "...หรือว่าต้องเล่นหมากรุก?"

   "นี่ก็ลูกค้า?"

   "อ่าฮะ"

   เสียงเพลงดังกลบทุกบทสนทนา แบล็คอ่านปากของชายที่ยังไม่ทราบชื่อที่ตอบกลับมาพร้อมผงกหัวขึ้นลงสองสามครั้ง นี่พิชชาจะบริการทุกระดับประทับใจเกินไปแล้ว!

   จากระดับเสียงทั่วไปตอนนี้คงต้องเรียกว่าดังจนปวดหู ทิวากาลเลือกขัดคำสั่งที่ได้รับก่อนหน้าด้วยการเดินออกมาจากตรงนั้นไปยังอีกฝั่งที่เขียนไว้ว่ามุมสูบบุหรี่ ไม่ได้ตั้งใจจะไปสูบเพียงแค่คิดว่าน่าจะสงบกว่า อย่างพิชชาน่ะใช้ความสามารถพิเศษแป๊บเดียวก็หาเขาเจอแล้ว

   "โอ๊ะ ขอโทษค่ะ"

   "ไม่เป็นไ..."

   ตอบกลับไปได้ไม่เต็มคำเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ซองยาที่ทำได้แค่สบถอยู่ในใจ สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครสร้างความประทับใจแรกพบด้วยการแกล้งชนกันหรอก ยิ่งพอเห็นช่วงนัยน์ตาล่องลอยแล้วรู้เลยว่าการชนเป็นเรื่องของสมองที่ไม่อาจควบคุมร่างกายได้อย่างเดียว

   เดินลัดเลาะออกมาโดยสอดส่องหาคนหายด้วย น่าเสียดายที่ระยะทางตั้งแต่ต้นจนถึงพื้นที่ด้านนอกไม่เจอใครสักคน โชคยังดีที่ถัดออกไปจากมุมบุหรี่ควันโขมงยังมีส่วนสำหรับนั่งเล่นทำขึ้นมาไว้ชั่วคราว อาจไม่ได้สร้างดีอะไรมากนักแต่ก็โอเคสำหรับการนั่งเล่นฆ่าเวลา

   "เหมือนคุณจะเป็นที่สนใจของหลายคนนะ"

   ไม่อยากจะเสวนาด้วยเท่าไหร่ติดว่าอาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิชชาเพิ่มเติมได้

   "ไม่อยากเป็น"

   คนที่เดินตามออกมาผละตัวไปยืนอยู่อีกมุมหนึ่งไม่ไกลนัก "บางคนไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น"   

   คำพูดไม่ต่างจากที่พิชชาใช้ พออยู่กับชายผมยาวคนนั้นไปนานๆ แล้วจะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่านะ

   ไม่อยากตอบอะไรกลับไปเลยแค่นหัวเราะในลำคอพลางเปิดเบียร์กระป๋องใหม่ที่คว้ามาได้ก่อนออกจากส่วนงาน คราวนี้เป็นของแพงที่ไม่ค่อยได้แตะมากเท่าไหร่เพราะว่าคนรอบข้างคิดว่ามันไม่คุ้มกับราคา

   "รู้จักกับพิชได้ยังไงเหรอครับ" โทนเสียงอบอุ่น ไม่ละลาบละล้วงจนเกินไป สำหรับคนอื่นอาจดูไม่มีพิษมีภัยแต่สำหรับแบล็คแล้วเสียงอย่างนี้อันตรายกว่าคนที่ประกาศตัวว่าเป็นศัตรูชัดเจนเสียอีก "ก็อย่างที่บอกว่าพิชไม่เคยติดใครมาด้วย มีแต่พาใครออกไป"

   "แล้วคุณเป็นอะไรกับพิชชา"

   คนอย่างราชาไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของคนอื่นหากยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

   "อืม...ตอบยากเลย"

   "ขนาดนั้น"

   "ก็มันมีหลายสถานะ"

   ลูกล่อแพรวพราวล้านแปด ชักสงสัยแล้วว่าตัวเองคิดถูกหรือผิดที่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายขนาดนี้ เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่ต้องการคงไม่ได้มาง่ายๆ

   ทิวากาลกลับมาเงียบอีกครั้ง ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาแล้วถึงพบว่าตัวเองห่างจากพิชมาแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง ตามหาอะไรขนาดนั้น พื้นที่ก็ดูไม่ได้กว้างอะไรสักหน่อย

   "ไม่ต้องห่วงหรอก อีกสักพักก็น่าจะเจอแล้วล่ะ"

   "เป็นอย่างนี้บ่อย?"

   "ประจำ แล้วพิชก็ต้องมาตามกลับ"

   ...ใคร

   เกือบหลุดปากถามออกไปแล้วถ้าไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นของกระป๋องเครื่องดื่มก่อน จับได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นขึ้นเร็วกว่าเดิมนิดหน่อย เหมือนผู้ล่าที่กำลังจะจับเนื้อชิ้นโตเอาไว้ได้

   ห้ามใจร้อน ไม่อย่างนั้นจะได้เพียงอากาศ

   "มีน้องอย่างนั้นก็เหนื่อยหน่อยล่ะนะ คุณว่าไหม?"

   คำว่า 'น้อง' ช่วยลบทุกความไม่พอใจที่สะสมมาตลอดหลายวันให้หายไปในพริบตา ทิวากาลทำเป็นอ่านข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าในมือของตัวเอง คิดว่าควรพูดแบบไหนออกไปถึงจะดูไม่ผิดสังเกต

   "แล้วแต่คนจะมอง"

   "แสดงว่ามีน้องเหมือนกันล่ะสิ"

   "จะว่ามีก็มี..."

   "หืม?"

   "ก็มีหลายสถานะ" ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ย้อนกลับไปด้วยคำพูดอย่างนั้นเหมือนกัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาพูด ดูคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องแต่ละคนแล้วบางทีก็คิดว่าตัวเองเป็นพ่อไม่ใช่พี่ชาย

   "คุณเป็นคนที่แปลกดี"

   "มีคนอื่นเหมาะกับคำนั้นมากกว่า"

   เข้าใจมาโดยตลอดว่าพิชชาเป็นลูกคนเดียว ก็เล่าเรื่องแต่ละทีเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีใครอื่นอีกแล้ว พอมีคนอื่นในครอบครัวโผล่มามันเลยน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เป็นน้องไม่แท้อย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงไม่ได้อยู่ในขอบรั้วบ้านเดียวกันล่ะ หรือแค่วันนั้นเขาไม่เจอ

   แล้วน้องที่ว่าต้องเป็นแบบไหนถึงอยู่กับพี่ชายได้

   "คิดว่าอีกไม่นานก็เข้าไปได้แล้วล่ะ พิชน่าจะเจอภั..."

   "มาทำไม!!!"   

   ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา คนที่อยู่ห่างออกไปไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้วเมื่อมีคนตัวเล็กกว่ากึ่งวิ่งเข้ามาผลักจนเซไปไกล พร้อมกับเสียงร้องก่นด่าด้วยคำผรุสวาทจนเขาเรียบเรียงความคิดไม่ถูก

   คนมาใหม่เป็นเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนของโรงเรียนดังในตัวเมือง สภาพเห็นแล้วบอกเลยว่า 'ดูไม่ได้' ทั้งเสื้อยับยู่ยี่ดูไม่จืด ผมที่ยาวกว่าเด็กวัยรุ่นทั่วไปนิดหน่อยยุ่งเหยิง ที่เด่นคือสร้อยเชือกหนังจำนวนมากตรงข้อมือ ทิวากาลยังเรียบเรียงไทม์ไลน์ความคิดได้ไม่มากเท่าไหร่นักหันไปมองทางขวาของตัวเองเมื่อเห็นชายเสื้อของคนที่คุ้นเคยอยู่ไม่ไกล

   "ถามทำไมไม่ตอบ!!"

   ตรงนี้ไม่มีพื้นที่ให้เข้าไปแทรกได้แม้แต่หนึ่งคำ เด็กมัธยมที่ทำตัวเกินวัยกระชากคอเสื้อของอีกคนจนต้องโน้มตัวลงมาให้ไม่เจ็บ เพียงแต่บนใบหน้าของชายแต่งตัวดียังระบายไปด้วยรอยยิ้มจนขัดตา

   "ภัสก็รู้อยู่แล้วว่าพี่มาทำอะไร" เด็กตัวเล็กชื่อแปลกไม่ต่างจากคนพี่ ช่วงนัยน์ตาฉายแววโรจน์ไม่ต่างกับอาการอื่นที่แสดงออกมาผ่านท่าทาง "เพราะอย่างนั้นพี่จะไม่ตอบ"

   "ปล่อยพี่เขานะภัส"

   แล้วกรรมการก็มาทันก่อนจะมีการวางมวยนอกกติกา พิชชาไม่ได้เข้าไปประชิดตัวสองคนนั้นแม้แต่น้อย วิธีการห้ามทัพในแบบของผู้รู้คือสั่งด้วยเสียง

   กลัวว่าจะพลาดฉากเด็ดจนไม่ยอมละสายตาไปไหน ชายที่เขาเพิ่งรู้ชื่อยังคงด่าคำหยาบคายออกมาอีกไม่น้อยโดยปล่อยให้อีกคนยืนฟังอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการโต้แย้งหรือคัดค้าน มิหนำซ้ำยังพยักหน้ารับรู้กับบางเรื่องที่พูดออกมาอีก ครอบครัวของพิชชานี่สุขสันต์เกินคำบรรยาย!
   
   "ถ้าจะไปก็อย่าโผล่มา! ไม่ต้องมีพี่ภัสก็อยู่ได้!"

   "อย่างนั้นเหรอ..." ทิวากาลเรียกการเสียงและคำอย่างนั้นว่ายียวน และเด็กอารมณ์ร้อนอย่างอีกฝั่งไม่มีทางตามเกมได้ทัน "ภัสอยู่ได้ถ้าไม่มีพี่จริงเหรอ?"

   คนที่น่าจะเป็นน้องชายของพิชชาชะงักค้างไปชั่วขณะ มือสองข้างที่เคยกำคอเสื้อเอาไว้แน่นปล่อยมันราวกับเป็นของร้อนจัด เด็กชายในชุดนักเรียนก้าวถอยหลังไปหลายก้าวจนเปิดช่องให้พิชชาเดินเข้าไปขวางตรงกลางเอาไว้ การทะเลาะกันของคนสองคนจบลงอย่างรวดเร็วจนทิวากาลเองอยากจะส่งคอมเพลนไปหาคนจัดงานว่ายังไม่ถึงช่วงไคลแมกซ์ทำไมถึงรีบตัดจบอย่างนี้

   "เดี๋ยวผมพาน้องกลับก่อนนะครับพี่กาย"

   "แต่ภัสยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลยนะ"

   "ไว้ค่อยเอาคำตอบวันหลังเถอะครับ ยังไงอีกไม่นานเราก็ต้องได้เจอกันอีกอยู่แล้ว"

   "พี่จะไม่ได้เจอหน้าภัสอีก!!"

   "พอแล้วภัส กลับ"

   หลังจากนั้นไม่ได้มีสงครามน้ำลายอีกเพราะพิชชากึ่งจูงกึ่งลากน้องชายของตัวเองไปยังทางออกทันที ทิวากาลไม่ได้เอ่ยคำใดแทนการบอกลาเพราะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเองเอาไว้ตรงไหน ถ้าเทียบว่าพิชชาเป็นน้ำไหลเอื่อยไปตามสายธาร น้องของเขาก็คงเป็นเปลวไปที่กำลังคุกรุ่นจนได้ที่ เทียบกับน้องทั้งสามคนของตัวเองแล้วน่าแปลกใจที่พี่น้องต่างกันได้ขนาดนี้
 


   ตลอดทางมีแต่เสียงของภัสพูดกับตัวเอง นอกจากจะกระฟัดกระเฟียดใส่คนด้านข้างทั้งสองฝั่งแล้วยังเดินสะเปะสะปะแบบคนหมดสภาพโดยมีพิชชาคอยพยุงเอาไว้ คิดต่อไปเองว่าถ้าน้องคนไหนทำตัวอย่างนี้เขาคงได้เปิดคอร์สเทศนากันสักสามชั่วโมงไม่มีพัก

   เพลียใจจนเข้าไปช่วยจับจากอีกฝั่ง ไม่พูดอะไรจนกระทั่งพาร่างมีสติแต่ไร้สัมปชัญญะของอีกคนเข้าไปตรงเบาะหลังของรถได้ คราวนี้ตุ๊กตาหน้ารถไม่ได้นั่งข้างหน้าแต่เปลี่ยนไปอยู่ข้างหลังอยู่กับสมาชิกใหม่แทน ทำอย่างนี้เท่ากับเขากลายเป็นคนขับรถโดยสมบูรณ์แล้วสิ

   "กลับบ้านเลยนะ?"

   ถ้าเป็นน้องของพิชชาจริงก็คงต้องเอากลับไปส่งทั้งพี่ทั้งน้อง

   "ไปอีกที่ครับ เดี๋ยวผมบอกทางเอง"

   "บ้านของเด็กนี่เหรอ"

   "ที่อยู่ปัจจุบันครับ"

   ถึงไม่เข้าใจว่ามันต่างกับบ้านตรงไหนก็เถอะ "ไม่เห็นรู้ว่ามีน้อง"

   "ก็คุณไม่ถามนี่ครับ"   

   "ทำอย่างกับถามแล้วคุณจะตอบ"

   เปลี่ยนเกียร์ให้ไปอยู่ตามจุดที่วางเอาไว้ เริ่มเคลื่อนรถออกจากที่จอดโดยเงยหน้าขึ้นมามองแสงสะท้อนในกระจกหลายครั้ง พิชชาก้มหน้าลงตรวจสอบเด็กชุดนักเรียนที่เปลี่ยนไปซบลงกับช่วงตักเรียบร้อย มุมอับแสงบอกไม่ได้ว่าเด็กคนนี้ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นหรือยัง

   "น้องของคุณชื่ออะไรนะ"

   "ภัสสร์"

   คราวนี้คนตอบคือเจ้าของชื่อเอง

   "พี่ชื่อแบล็คนะ"

   "อ้อ..." ทิวากาลหาคำอธิบายวิธีการหัวเราะอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าได้ยินวูบแรกคงเหมือนกับแสดงความยินดี แต่พอมันค้างอยู่ในหัวแล้วกลายเป็นความสมเพช "สีดำน่ะเหรอ"

   กล่องสี่เหลี่ยมตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนต่างรู้ดีว่าคำนั้นหมายความถึงใครได้บ้าง

   "ใช่"

   "น่าสงสารจังเนอะพิช"

   "..." ไม่อาจคาดเดาได้ว่าคำรำพันต้องการสื่อความหมายถึงใคร

   "แล้วถ้าเป็นไปได้คราวหลังไม่ต้องมารับนะ กลิ่นรถคันนี้เวียนหัวชะมัด"

   คำถามแรกพอไม่ได้คำตอบก็กลายเป็นการพาดพิงมาถึงรถที่ตัวเองนั่งอยู่เสียได้ คิ้วข้างหนึ่งของทิวากาลกระตุกขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาเอารถไปล้างทุกสัปดาห์แถมยังวางที่ดูดกลิ่นเอาไว้ตลอด มีอย่างที่ไหนมาวิจารณ์จนเสียอย่างนี้

   "คนที่ตัวเหม็นเหล้าอย่างนี้ก็กล้าพูดนะ"

   แบล็คไม่ชอบเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่ทำตัวอย่างนี้ ทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามทิวากาลไม่เคยต้องให้คนอื่นมาเก็บกวาดซากความเสียหายที่ตัวเองทำไว้ เขารับผิดชอบตัวเองได้ดีตลอดไม่ว่าจะดื่มเหล้าจนถึงฟ้าสว่างก็ตาม เพราะงั้นมันเลยน่ารำคาญไง ทั้งดูแลตัวเองไม่ได้แล้วยังขี้โวยวายอีก

   "ผมดื่มแต่เบียร์"

   "บรรลุนิติภาวะแล้วหรือไง" ถึงจะไม่มีกฎหมายกำหนดเรื่องอายุของเด็กที่จะกินเบียร์ได้แต่การเข้าไปในสถานบันเทิงอย่างนั้นผิดอยู่แล้ว ยิ่งใส่ชุดนักเรียนก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

   "ยัง ถ้ายี่สิบแล้วบ่นเป็นคนแก่อย่างนี้ผมไม่อยากโตหรอก"

   เด็กเวรตะไล...

   "ภัส" การเรียกชื่อแทนการดุดูท่าจะได้ผล "อย่าสร้างคดีใหม่"

   พอได้ยินเสียงเด็กตัวเล็กพูดอะไรออกมาอีกเขาเลยตัดรำคาญด้วยการเปิดวิทยุแล้วปรับความดังของเสียงให้มากกว่าปกติ ช่องสัญญาณยังคงค้างไว้อยู่ตรงคลื่นโปรดของพิชชาก่อนลงจากรถไป

   เพิ่งรู้สึกว่าเพลงเพราะก็ตอนนี้ล่ะ



***
   เดี๋ยวเจ้าจะต้องออกต่างจังหวัดหลายวันไม่ชัวร์ว่าจะลงตอนต่อไปได้เมื่อไหร่ แต่จะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดค่ะ
   ครึ่งหลังนี่มีตัวละครใหม่โผล่มาสองตัวเลยล่ะ นอกจากพี่แบล็คจะต้องรับมือกับพิชชาแล้วคนน้องอย่างภัสสร์ก็น่าจะทำให้ปวดหัวได้ไม่แพ้กันเลยค่ะ (หัวเราะ)
   สำหรับเรื่อง With Love, ด้วยรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55144.0) ที่จริงเจ้าก็คิดเอาไว้แล้วค่ะว่าน่าจะมีหลายคนไม่เข้าใจเท่าไหร่ เพราะเจ้าตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ได้เฉลยอะไรชัดเจน ใช้วิธีแทรกเข้าไปในบางบทสนทนาให้สังเกตเอาเองมากกว่า เรียกว่าเดาความหมายได้ตามใจชอบเลยค่ะ (ยิ้ม) แต่ถ้ายังมีคนอ่านไม่เข้าใจเยอะอีกเจ้าก็คิดอยู่ว่าจะไปแก้ไขตรงทอร์คอยู่เหมือนกันค่ะ
   ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-2 [01.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-09-2016 22:23:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-2 [01.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 08-09-2016 11:31:24
รอจ้า  :mew1: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-1 [09.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 09-09-2016 23:10:58
CH.8-1

   คำพูดของราชาศักดิ์สิทธิ์

   ตอนนี้เขาเลยต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง

   "น่าเสียดายนะคะ เห็นว่าข้างในก็วุ่นวายอยู่"

   "ก็แน่สิคะ งานแต่งใหญ่โตอย่างนี้ก็ตั้งใจจะอวดบารมี"

   "ลูกชายคนโตก็ไม่สนอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเราคงเข้ามาดูแลทุกอย่างเองแล้ว ยังไงก็สมบัติของพ่อ"

   "ถ้าพ่อไม่แต่งกับพวกยิ ...คนต่างชาติก็คงไม่มีปัญหาขนาดนี้หรอกค่ะ"

   ยืนปั้นหน้ายิ้มเป็นผู้รับฟังที่ดีท่ามกลางกลุ่มแม่บ้านวัยใกล้เกษียณที่จับกลุ่มพูดคุยกันออกรสออกชาติ หลายครั้งมองออกไปตรงพื้นที่ที่ 'ลูกชายคนโต' กำลังนั่งอยู่ ชายผมยาวคนเดิมกับชุดที่ไม่เหมือนเดิม แปลกตาจนแวบแรกที่เห็นเกือบนึกไม่ออกว่าเป็นใคร

   ยังไม่ทันเข้าไปลงทะเบียนก็โดนกลุ่มเพื่อนของคุณพ่อลากมาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ตั้งใจแยกตัวออกมาแล้วถ้าไม่ติดว่าหัวข้อในการสนทนาของหญิงกลุ่มนี้เป็นเรื่องของพิชชา ดูเหมือนว่าหลายคนเองก็ให้ความสนใจกับลูกชายคนโตผู้ควรได้รับมรดกมหาศาลทั้งหมดเพียงคนเดียว ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องญาติพี่น้องคนอื่น

   เท่าที่ฟังมาเรียบเรียงได้ว่าพ่อของพิชชามีพี่น้องหลายคน คนสืบทอดกิจการต่อมีแค่น้องชายคนที่สอง ส่วนที่เหลืออีกสามสี่คนต่างแยกย้ายไปประกอบธุรกิจส่วนตัวหมดแล้ว ส่วนมากไม่ค่อยเห็นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเว้นแต่จะมีงานสำคัญ

   เช่นงานแต่งงานหลานชายคนแรกของตระกูล

   ขยับไทด์ที่รัดคอจนน่ารำคาญ ตอนแรกที่พ่อบอกว่ามีจะให้ไปแทนก็ตั้งใจว่าจะปฏิเสธ งานพวกนี้น่าเบื่อทั้งตัวเนื้องานแล้วก็คน มากี่ครั้งไม่พ้นต้องทำหน้าเป็นมิตรใส่ เอาแต่คุยเรื่องครอบครัวของตัวเอง การเรียนของลูกหลาน สารพัดเรื่องราวคลาสสิคที่รีเมคกี่ครั้งก็ยังไม่น่าดูเหมือนเดิม

   แต่พอเห็นชื่อแล้วก็นามสกุลของฝั่งเจ้าบ่าวเท่านั้นแหละรีบอาสาแทบไม่ทัน

   "น้องแบล็ค วันนี้คุณพ่อไม่มาเหรอ"

   "ครับ" หน้ายิ้มทั้งที่อยากพูดออกไปว่าถ้าไม่เห็นนั่นก็หมายความว่าไม่มา "วันนี้ผมมาแทนครับ"

   คุณนายไฮโซคนรู้จักของพ่อ เคยเห็นหน้าอยู่หลายครั้งแต่ก็มาพร้อมกับเรื่องน่ารำคาญตลอด งานนี้ถึงขั้นยอมส่งชุดไปซักรีดใหม่เลยนะ จะไม่มีทางปล่อยให้ความพยายามทั้งหมดเสียเปล่าเด็ดขาด อย่างน้อยวันนี้เขาควรรู้สภาพสังคมของพิชชาในสายตาของแขกคนอื่นบ้าง

   "ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วล่ะ"

   คำถามไร้สาระจนอยากกรอกตาใส่

   "ปีสี่ครับ นิติศาสตร์"

   บอกคณะไปเลยจะได้ไม่ต้องถามต่อ เขารู้ว่าเรื่องต่อมาจะถามอะไร คำถามว่าจบไปตั้งใจทำอะไรต่อ คือช่วยคิดคำถามอย่างอื่นที่ช่วยให้การสนทนามันดูมีประโยชน์ขึ้นหน่อยได้ไหมล่ะ

   "จะจบแล้วนี่ วางแผนยังไงต่อ"

   "ยังไม่ได้คิดครับ"

   ส่งยิ้มกลบทุกความรู้สึกเอาไว้ข้างใน ทั้งความคิดว่าหลังจากนี้คงเหมือนเดิมที่จะยกคนรอบตัวขึ้นมาพูดทำเหมือนเป็นอุทาหรณ์ ทั้งที่จริงแล้วแค่อยากอวดลูกของตัวเองเท่านั้น

   "ไม่รีบคิดเดี๋ยวพลาดโอกาสนะ ลูกป้าเองก็เอาเรื่องเรียนต่อมาคุยแล้ว"

   ไม่อยากจะพูดว่าลูกที่ดูภูมิใจนักหนาถ้าอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยก็เป็นแค่พวกปากดีที่ไม่มีใครคบนอกจากพวกศีลเสมอกัน แล้วที่คุยเรื่องเรียนต่อนั่นก็เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้พยายามมากแค่ไหนคะแนนก่อนจบก็ค่อนข้างต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่มีบริษัทไหนรับ เลยต้องใช้วิธีไปเรียนต่อนอกเพื่อชุบตัวเอง

   "ตอนนี้ผมยังมีความสุขดีกับการเรียนปริญญาตรีครับ" ผู้คนตรงจุดลงทะเบียนน้อยลงแล้ว ทิวากาลเห็นช่องหนีจึงรีบขอตัวออกมา "ผมต้องไปยื่นซองก่อนล่ะครับ"

   จุดรับซองมีหนุ่มสาวหลายคนนั่งอยู่ และสายตาของแบล็คจับจ้องไปที่ชายผู้โดดเด่นกว่าใครอื่น ทิวากาลเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมาย วางซองเชิญร่วมงานเลี้ยงลงพลางสำรวจแฟชั่นแบบใหม่ของพิชชา

   ชุดสูททางการสีเทาพอดีตัว ไม่ได้ใส่ไทด์หรือว่าผูกโบว์ มีช่อดอกไม้แห้งสีแปลกประดับอยู่ตรงปกคอไม่เหมือนกับคนอื่น สร้อยสีเงินที่เห็นอยู่ตลอดเวลาคราวนี้เหมือนว่าจะหายไปอยู่ข้างในเชิ้ตแทน ผมยาวมักจะปล่อยสยายถูกมัดรวบเก็บไว้ด้านหลัง อาจมีบางส่วนหล่นมาตามกรอบหน้าบ้าง พิชชาไม่ใช่คนหน้าหวานจัด แต่ก็ไม่ได้โครงหน้าของผู้ชายมาเต็มร้อย ราวกับว่าพระเจ้าตั้งใจสรรค์สร้างให้เขาแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง

   อารมณ์พวกที่ได้รับความรักจากพระเจ้าอะไรอย่างนั้น

   "ว่างเหรอครับราชา"

   ไม่รู้ทำไมพอคำนั้นมันออกมาจากปากของพิชชาถึงได้เจ็บกว่าปกติ

   "ผมมาทำหน้าที่ลูกที่ดี" ไม่รู้จะเซนต์อะไรลงไปเลยไม่จับปากกา มือบอนคว้าของชำร่วยในชั้นวางเหล็กดัดมาไว้ในมือ "ถุงหอม?"

   ถุงผ้าตาข่ายสีสันสดใส ข้างในบรรจุกลีบดอกไม้แห้งแปรสภาพจนนึกรูปร่างตอนที่มันเป็นดอกไม้สดไม่ค่อยออก กลิ่นฉุนจมูกที่ได้รับคือเครื่องสังเคราะห์มากกว่ากลิ่นตามธรรมชาติ

   "บ้านเจ้าสาวทำสวนดอกไม้ครับ"

   "ถึงว่าดอกไม้เต็มงาน" ตั้งแต่เข้างานมาจนถึงจุดลงทะเบียนทุกพื้นที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์ ช่วงทางเข้าทำเป็นโครงซุ้มห้อยระย้า เลยเข้ามาหน่อยก็จัดวางไว้เป็นแบคดรอบรวมถึงทำเป็นรูปนกหลายท่วงท่า หลายคนที่เดินผ่านก็พูดว่าใช้ดอกไม้สิ้นเปลือง

   "มันเป็นเครื่องหมายของอะไรหลายอย่างครับ"

   "เหมือนดอกกุหลาบสีดำอย่างนั้นเหรอ?"

   ดอกไม้ที่ยังเก็บรักษาไว้อย่างดี ดอกกลีบซ้อนสวยงามไม่ต่างจากวันแรกที่ได้รับมา มันยังหลับไหลอยู่เช่นนั้นรอการผลิบานเมื่อได้รับคำเฉลยว่าเป็นตัวแทนของสิ่งใด

   "จะว่าอย่างนั้นก็ได้อยู่ครับ"

   "เสร็จแล้วก็อย่าขวางทางแขกคนอื่น"

   นอกจากลูกชายคนโตแล้วคนเล็กเองก็นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงโต๊ะลงทะเบียนเช่นกัน ทิวากาลหรี่ตามองเด็กปากร้ายที่วันนี้อยู่ในชุด 'ดูดี' กว่าวันนั้นมากโข อย่างผมเองก็ถูกจัดไว้เป็นทรง ชุดสูทงานละเอียดพอดีไปกับตัว ที่ยังเหมือนเดิมก็คงเป็นเครื่องประดับจำนวนมากตรงข้อมือต่างกับพี่ชายที่มีเพียงสร้อยเส้นเล็กเท่านั้น อย่างน้อยวันนี้ก็ดูมีสติมากกว่าวันนั้น ถ้าคุยอะไรก็น่าจะรู้เรื่องกว่า

   "ตัวเองว่าก็ทำหน้าที่ไปสิ" เห็นอยู่ว่าภัสสร์เองก็มีงานไม่ต่างจากพี่ชายของตัวเอง "ต้องทำอะไรก็ทำไป"

   ตั้งใจเหน็บแนมเรื่องไม่ดูแลตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับรอยยิ้มแสยะอย่างนั้นกลับมาแม้แต่น้อย "หน้าที่เดียวของผมคือรอวันตาย"

   "ภัสสร์"

   "หรือไม่จริงล่ะพิช?"

   ดูแล้วคงห่างกันหลายปีอยู่ แต่เรียกชื่อกันอย่างนั้นเลยเหรอ อย่างบ้านของเขาไม่เรียกพี่เพราะว่าเกิดค่อนข้างติดต่อกันจนมีช่องว่างระหว่างคนแรกกับสุดท้องเพียงปีกว่า แต่นี่เด็กมัธยมกับมหาวิทยาลัยก็ควรแบ่งหน่อยไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นพี่หรอก

   "อย่าเอาเรื่องอื่นมาปน"

   "ก็ไม่ได้ออกนอกเรื่องตรงไหน"

   "ตอนนี้อยู่ในงานอะไร"

   "งานแต่งพี่กายไง บนบัตรเชิญก็เขียนอยู่" ฝีปากอาจไม่เท่าไหร่ แต่ความเร็วในการโต้กลับไปไม่ได้น้อยเลย "กลัวอะไรนักหนา ภัสเคยทำอะไรได้ที่ไหนล่ะ"

   ทิวากาลมองเด็กมัธยมหยิบซองถุงหอมแบบเดียวกับในมือของตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา แกว่งมันไปมาด้วยนัยน์ตาอ้างว้างเกินบรรยาย เด็กคนนี้คือใครคนนั้นที่เขาเจอเมื่อวันก่อน แต่ระดับอารมณ์และความรู้สึกที่แสดงออกมาต่างกันลิบลับ

   ไม่ชอบทำตัวเป็นนักทำนายเท่าไหร่ ก็ยังพอเดาออก

   "ภัสไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรอยู่แล้ว"

   ซองเครื่องหอมร่วงหล่นไปสู่พื้นพรมแบบที่ไม่มีใครคิดจะก้มลงไปเก็บ คนเป็นพี่ได้แต่ส่ายหัวไปมาก่อนที่จะดันตัวของทิวากาลให้พ้นจากส่วนหน้าของโต๊ะเพราะว่ามีแขกคนใหม่เข้ามา มันเลยกลายเป็นว่าแบล็คต้องมายืนอยู่ตรงหน้าของเด็กเวรตะไลแทน

   "ไม่รู้จักรักษาของ"

   "ก็บางคนไม่รักษาก่อน"

   "คนเป็นลูกพี่ลูกน้องนี่สนิทกันอย่างนี้หมดเลยเหรอ" เรื่องหลอกถามทิวากาลเชื่อว่าตัวเองเก่งพอสมควร "พอดีผมไม่เคยมีญาติเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่"

   "ไม่ สนิท"

   การปฏิเสธเน้นทีละคำจนทิวากาลกลั้นขำ ก็เล่นสวนกลับมาอย่างนั้นอธิบายได้เกือบทั้งหมดว่าเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ต่อให้พูดคำสวยหรูยังไงสิ่งที่เห็นในแหล่งอโคจรเมื่อวันก่อนมันชัดพอจะบอกว่าเรื่องระหว่างคนสองคนมันต้องมีอะไรมากกว่าความเป็นลูกพี่ลูกน้อง

   "มั่นใจ?"

   "มันก็ยังดีกว่า 'พี่น้อง' บางคู่แล้วกันน่า"

   เด็กที่นิ่งมาตลอดโดนแกล้งจนหน้าเริ่มบูด แขกที่มาพร้อมกันทีเดียวเกือบสิบชีวิตเป็นการไล่ให้ทิวากาลต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในงานโดยปริยาย เขาเลยผ่านซุ้มถ่ายภาพของบ่าวสาวที่ยืนรับแขกอยู่ไม่ไกล คิดอยู่นานจนได้ข้อสรุปว่าอีกคนคงไม่อยากเห็นเขาอยู่ที่นี่ เอาจริงคือตัวเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าญาติของพิชชาที่ว่าจะหมายถึงชายคนนี้

   ปกาย

   ชื่อแปลกพอกันทั้งบ้าน ตอนที่พิชชาเรียกครั้งนั้นมันเป็นชื่อเล่นธรรมดาสามัญอยู่หรอก ไม่คิดว่ามันจะมาจากชื่อจริงเลยสักนิด คนในครอบครัวนี้ไม่คิดจะตั้งชื่อเล่นอื่นที่ไม่ได้มาจากชื่อจริงบ้างหรือไงกัน ทำอย่างเขาไงที่ชื่อตรงกันข้ามกันเลย

   ต่อให้เป็นน้องโรม...ไม่สิ ไม่ควรเอาน้องเล็กมาเป็นเกณฑ์ เอาเป็นว่าถ้าคนปกติทั่วไปที่ไหนเห็นการทะเลาะกันอย่างนั้นต้องเดาได้แหละว่ามันมีเบื้องหลังมากกว่าเรื่องผิดใจกันทั่วไป แล้วยิ่งเห็นอาการประกอบทั้งหมดบอกเลยว่าเขาเทหมดหน้าตัก

   ข้างในงานเต็มไปด้วยคนมากหน้าหลายตา หลบเลี่ยงเหล่าคนรู้จักของพ่อให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามเดิมซ้ำๆ อีก คือรู้ไปมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรในชีวิตดีขึ้นเลย ก็ยังอยากรู้เรื่องของชาวบ้านไปทั่ว

   ไม่เหมือนอีกคนที่ไม่ต้องเล่าก็รู้หมดทุกอย่าง

   "อ้าว"

   "..."

   ข้อพลาดของทิวากาลที่ไม่สังเกตดูให้ดีว่ารอบตัวมีคนรู้จักอื่นอีกหรือไม่

   ปลอบใจตัวเองว่าการเจอชายคนนี้ก็ดีกว่าพ่อของเจ้าบ่าว เพราะถ้าเจอรายนั้นเขาคงโดนซักฟอกยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ชายไฮโซในชุดงานกลางคืนเนี้ยบไปทุกส่วน ใบหน้าดูสดใสไม่ต่างจากวันนั้น สิ่งแรกที่ทำหลังจากสมองรายงานผลการประมวลคือรีบควบคุมสีหน้าเอาไว้ให้เป็นปกติ ปลอบตัวเองว่าถ้าเป็นคุณน้าคนสนิทก็ไม่น่าแปลกใจที่เดินอยู่ในงานนี้

   "สวัสดีครับ" แม้จะรู้ชื่ออยู่แล้ว ทิวากาลก็ทำเหมือนตกใจเหลือเกินที่ได้เจอกันในสถานที่อย่างนี้ หลังจากที่เจอกันบนชั้นสูงของโรงแรมเมื่อคราวที่แล้ว "ดีใจที่ได้เจออีกครั้งนะครับ"

   ที่พูดออกไปไม่ได้ผิดจากที่คิดเท่าไหร่ จะว่าดีใจมันก็บางส่วน และอีกหลายส่วนกำลังร้องตะโกนว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วสำหรับการเจอกัน

   "ไม่คิดว่าจะได้เจออีก แล้วนี่พิชชวนมาเหรอ"

   คนปกติที่ไหนจะชวนคนรู้จักมางานแต่งงานของญาติกันนะ แบล็คสวมหน้ากากผู้ชายอารมณ์ดีอย่างที่ทำตลอดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ระวังตัวเต็มที่ในการตอบ "เปล่าครับ มาแทนคุณพ่อ"

   "อ้อ..."

   "ไม่คิดว่าจะเป็นงานของญาติพิชเหมือนกัน"

   ภาวนาให้เขาไม่กลับไปถามเรื่องพ่อว่าเป็นใคร โกหกนิดหน่อยคงไม่เป็นอะไรมาก ขยับร่างกายเพื่อวางเครื่องดื่มในมือลงกับถาดของบริกรที่เตรียมรับเอาไว้แล้ว งานเลี้ยงแบบนี้เขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เหมือนหาเรื่องมากินฟรีมากกว่าจะแสดงความยินดีกับบ่าวสาว

   "พระเจ้าถึงสร้างโลกให้มันเป็นทรงกลมไง ต่อให้ไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องกลับมาเจอกันอยู่ดี"

   "...คงอย่างนั้นครับ"

   เสียงที่มักอ่อนลงยามคุยกับผู้มีอายุครั้งนี้มันเบายิ่งกว่าครั้งไหน ไม่อยากจะนับว่าการกลับมาเจอกันอย่างนี้มันเป็นเรื่องของ 'โลกทรงกลม' เหมือนกัน

   ใจลอยคิดไปถึงอีกเรื่องว่าหากเอามาเทียบกับทฤษฎีนี้ได้มันคงจะดีกว่านี้อีกหลายเท่าตัวจนไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไรต่อจากนั้น

   "อะไรนะครับ?"

   "น้าถามว่าชื่ออะไร คราวที่แล้วโดนตัดบทเลยไม่รู้"

   ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะบอกชื่อจริงหรือว่าชื่อเล่นดี ไม่กล้าเสี่ยงด้วยปัจจัยหลายอย่าง "แบล็คครับ"

   "สีดำ?"

   "ใช่แล้วครับ"

   "อืม...โลกเราเป็นวงกลมจริงด้วย" รอยเอ็นดูส่งผ่านมาทางช่วงตา ชายที่ทิวากาลพร่ำบอกตัวเองว่าควรพาตัวเองออกไปให้ห่างยังพูดต่อโดยไม่สังเกตว่าคู่สนทนากำลังซ่อนมือที่กำเอาไว้แน่นไว้ข้างหลัง "ชื่อเหมาะกับตัวนะ"

   "ครับ?" ยังจับใจความได้ไม่ดีเท่าไหร่เลยทวนกลับไป

   "ชื่อมันมีความหมาย หลายคนไม่ค่อยเชื่อหรอกว่ามันจะแทนตัวตนของเราได้ดีเลยล่ะ"

   "แล้วถ้าชื่อจริงกับชื่อเล่นไปคนละทางเลยนี่มันจะแทนตัวเองได้ยังไงเหรอครับ"

   "แบล็คชื่อจริงว่าอะไรล่ะ"

   ติตัวเองในใจที่พลาดท่าพูดอะไรอย่างนั้นออกไป ชายอายุน้อยกว่าคิดภาพหลังจากที่ตัวเองบอกชื่อจริงไปแล้วไม่ออก อีกฝ่ายจะตกใจไหมนะ หรือว่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร มีแต่เขาที่คิดมากไปเองฝ่ายเดียว

   "ชื่อโหลครับ ความหมายทั่วไปเลย"

   "บอกมาสิ"

   "คุณน้า"

   และเป็นอีกครั้งที่ราชาติดหนี้บุญคุณคนอื่น ไม่ได้สังเกตเลยว่าพิชชาโผล่มาจากส่วนไหนของงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ชายผมยาวอยู่ในชุดเดิม จนเห็นได้ชัดว่าผมหยักนั้นไม่ได้มัดเอาไว้ด้วยหนังยางรัดผมทั่วไป แต่เป็นด้ายพันเกลียวหนาสีดำแซมเงินมัดเป็นปมเอาไว้ง่ายๆ

   "พิช ฝากยินดีกับกายอีกรอบด้วยนะ"

   "แล้วจะบอกให้ครับ"

   "นี่เจอแบล็คเฉยเลย แปลกดีที่เราได้เจอกันอย่างนี้" ชายที่ถูกเรียกว่าน้าเข้าไปสวมกอดหลานชายของตัวเองเอาไว้หลวมๆ "จะพาแบล็คไปไหนหรือเปล่า?"

   "เดี๋ยวจะพาเข้าไปข้างในครับ เรายังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย"

   ถึงเมื่อเที่ยงเขาจะไปจัดมื้อหนักกับครอบครัวมาแล้วก็ตามที มันก็ยังดีที่มีช่องในการพาตัวเองออกไปจากที่นี่ได้ สะกิดใจอยู่นิดหน่อยว่าเพราะอะไรพิชชาถึงเดินเข้ามาช่วยเขาตอนนี้ทั้งที่คราวก่อนดูอยากแกล้งเขาเสียเต็มประดา

   เรื่องที่พิชชารู้

   จะใช่เรื่องเดียวกับที่เขารู้หรือเปล่า

   "คงสั่งอย่างอื่นเพิ่ม ของข้างในไม่น่าจะทำให้อิ่ม"

   เสียงหัวเราะของทั้งสามคนประสานกัน เพียงแต่ว่าทำนองที่ออกมาฝืนใจเสียเต็มประดา

   "งั้นขอตัวก่อนนะครับ"

   โค้งให้แทนการบอกลา ทิวากาลเดินนำโดยมีพิชชาตามมาติดๆ ยังไม่ทันอ้าปากแซวอะไรก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังมาจากทางที่เพิ่งยืนอยู่

   "แบล็ค!"

   "ครับ?"

   "พอดีเพิ่งนึกออกเรื่องหนึ่ง ขอคุยด้วยหน่อยสิ"   

   หันมาทางพิชชาก่อนเริ่มก้าวก็ได้รับกำลังใจเพียงแค่การพยักหน้าให้ แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรมากก็ยอมเดินกลับไปที่เดิม สิ่งที่ต้อนรับการกลับมาคือรอยอาทรของผู้ใหญ่ที่เขาไม่เคยได้รับจากใคร

   "ฝากดูแลพิชด้วยนะ" และไม่รอให้ทิวากาลได้อธิบายสถานะของตัวเอง เขาก็ได้รับคำฝากฝังเสียแล้ว "พิชเป็นหลานคนเดียว หลานที่น้ารักที่สุด"

   ยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คืออีกคนมองว่าเขากับพิชชามีความสัมพันธ์แบบไหนเหรอถึงมาบอกอย่างนี้ ถ้ารู้ว่าเหตุผลเดียวที่ทำให้ทิวากาลอยู่ตรงนี้มันคือการ 'ชดใช้' มันช่วยให้เรื่องราวไม่บานปลายไปมากกว่านี้หรือเปล่า

   "ผมไม่รับปาก" มันเป็นการป้องกันตัวเองที่ดีที่สุด "ผมแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง"

   "เด็กคนนั้นไม่เคยมีใคร อยู่กับเขานะ"
   
   คำสั่งเดียวที่เคยได้รับก้องอยู่ในส่วนความทรงจำ

   ทิวากาลพยายามตามหาจุดประสงค์ที่แท้จริงของการร้องขอ คนอย่างพิชชาถ้าลองได้มารู้จักแล้วก็รู้ว่าต่อให้เจออันตรายขนาดไหนก็สามารถผ่านไปได้อย่างแน่นอน มองไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องมาขอให้คนอื่นช่วย ยิ่งเป็นคนอย่างเขาแล้วด้วย ดูแลน้องแค่สามคนก็เหนื่อยพอแล้ว อย่ามาเพิ่มภาระให้เลย

   "ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้"

   ราชามีเรื่องให้จัดการเยอะแยะ จะให้มาขลุกอยู่กับผู้ชายผมยาวคนเดียวเขาไม่มีทางทำอยู่แล้ว จะทำให้ได้มากที่สุดก็แค่ช่วยดูแลบ้างเท่านั้น

   "อยู่กับเขา"

   เกือบจะถอนหายใจด้วยความเอือมระอาเต็มทน มีแต่พวกที่ฟังแล้วจับใจความไม่ได้ ก็เพิ่งบอกอยู่ว่าไม่ทำแล้วยังจะมาสั่งอีก ทิวากาลซ่อนความไม่พอใจทั้งหมดไว้ข้างใน สูดหายใจเข้าลึกแบบที่ไม่ให้ผิดสังเกตก่อนที่จะย้ำจุดยืนของตัวเองออกไปอีกครั้ง

   "ไม่ได้ครับ"

   "ฝากด้วยนะ แล้วไว้เจอกันใหม่"

   โดยที่ไม่รอให้คนรับคำสั่งได้แย้งถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชายไฮโซผู้มีตำแหน่งเป็นคุณน้าของพิชชาก็ตบบ่าให้กำลังใจพลางเดินสวนไปอีกทางทันที

   ให้ตาย

   การรู้จักกับพิชชานี่มันปั่นทอนความสุขในชีวิตของเขาไปเท่าไหร่แล้วนะ



   ช่วงก่อนเข้าพิธีการเยิ่นเย้อจนน่ารำคาญ ทิวากาลไม่คิดจะออกไปสูบบุหรี่จนกว่าจะกลับถึงบ้านอยู่แล้ว มันจะดีกับทั้งตัวเองแล้วก็ผู้เป็นบิดา คุณพินิจไม่เคยห้ามที่เขาสูบ ไม่ถึงกับสนับสนุนแต่ถ้าไปเที่ยวไหนแล้วเจอแท่งนิโคตินแบบที่น่าสนก็ชอบหิ้วกลับมาฝาก

   เหมือนกับของบางชิ้นที่มักติดกลับมาด้วยเสมอ

   เลี่ยงตัวออกมาอยู่ด้านนอกของงาน ถ้าจำไม่ผิดตอนที่ออกมาจากลิฟต์เห็นป้ายบอกทางว่ามีสวนพักผ่อนอยู่ในชั้นเดียวกัน เดินย้อนกลับมาตามทางที่คิดเอาไว้จนเห็นสิ่งที่ต้องการ พื้นที่ที่ควรจะว่างเปล่าเพราะว่าคนอื่นอยู่ในงานกันหมดกลับมีร่างของเจ้าบ่าวเดินเร็วพลางสอดส่องซ้ายขวา นิสัยของพวกคนช่างแกล้งมีมากจนรู้ตัวอีกทีก็ตอนทักไปแล้ว
   
   "หาอะไรอยู่หรือเปล่าครับ?"

   ใบหน้าว้าวุ่นของเจ้าบ่าวแปรเป็นตกใจ ช่วงนัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยแล้วถึงกลับมาเป็นอย่างเดิม

   "นิดหน่อย..."

   "ให้ผมช่วยไหมครับ น่าจะเป็นของสำคัญอยู่ถึงออกมาหากลางงานอย่างนี้"

   "ไม่เป็นไร"

   "อ้อ ลืมเลย พอดีผมไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปด้วย ยินดีด้วยนะครับ"

   "ขอบใจ"

   ทุกคำตอบโต้เป็นการตอบรับส่งๆ สายตาของปกายยังคงมองสอดส่องไปทั่วจนทิวากาลต้องทำตามบ้าง พอเจอสิ่งที่คิดว่าเป็นต้นเหตุก็ลอบยิ้มร้ายในใจ

   ถ้าออกอาการขนาดนี้คงมีอยู่เรื่องเดียว

   "โลกเราเป็นวงกลมจริงด้วยนะครับ คราวที่แล้วเจอในปาร์ตี้ คราวนี้กลายเป็นงานแต่งงานไปเสียได้"

   "คงเป็นอย่างนั้น"

   แม้ชายคนหน้าจะเหมือนกับคนเดิมที่เขาเจอเมื่อวันก่อน แต่หนึ่งสิ่งที่ไม่เหมือนคือคนที่เขาเผชิญหน้าอยู่คือทิวากาล ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องคนนั้น
   
   "แล้วหาอะไรอยู่เหรอครับ" เสียงปรบมือด้านในที่ดังขึ้นบอกให้รีบขยับหมากตัวต่อไป "ให้ผมช่วยดีกว่านะ"

   บอกแล้วไงว่าคนอย่างแบล็คชอบที่จะเป็นผู้กำกับงานแสดง

   "ไม่มีอะไรแล้วล่ะ"

   "อย่างนั้นเหรอครับ..." ต่อให้มีกำแพงกั้นเอาไว้สูงแค่ไหนก็ไม่ทำให้ถอดใจได้อยู่แล้ว ทิวากาลทำเป็นยอมเก็บความหวังดีเอาไว้ แล้วก็พูดชื่อที่สองชัดถ้อยชัดคำจนอีกคนเผลอตวัดหน้ามามอง "งั้นผมกลับเข้าไปหาพิชกับภัสในงานก่อนนะครับ"

   "ภั...พิชอยู่ในงานแล้วเหรอ?"

   ต่อให้ช่วงเวลาบีบคั้นเขาก็ยังเก็บสติเอาไว้ได้มากพอสมควร พอเหยื่อเริ่มพาตัวเองเข้ามาอยู่ในหลุมพรางแล้วก็ต้องเตรียมฝังกลบ

   "ครับ แต่ว่าเห็นภัสบอกว่าจะออกมาเดินเล่นข้างนอกถ้าข้างในน่าเบื่อ" พูดเองเออเอง ทำเหมือนกับกำลังคุยเรื่องปกติทั่วไปอยู่ และไม่คิดว่าคำเดียวจะทำให้คนที่สงบมาตลอดกลายร่างได้

   "ภัสอยู่ที่ไหน?"

   "ครับ?" งานยียวนนี่ถนัดเขาล่ะ แกล้งน้องมาตั้งแต่เด็กจนติดเป็นนิสัยชอบทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือกว่า

   "ที่บอกว่าภัสจะไปเดินเล่น ไปที่ไหน?" หลังจากเสียงปรบมือคราวนี้เป็นเสียงของพิธีกรในงานเลี้ยงบ้าง ได้ยินแว่วๆ ว่ากำลังกล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน รวมถึงให้ข้อมูลว่าบ่าวสาวจะออกมาเมื่อไหร่ เวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ เตือนว่าทิวากาลห้ามเล่นไปมากกว่านี้

   "แถวนั้นมั้งครับ ไม่ได้ถามเหมือนกัน"

   แถวนั้นที่ว่าคือทางเข้างาน เขาไม่ได้พูดอะไรผิดนะ ในเมื่อสีดำเพิ่งเจอเด็กปากดีคนนั้นพร้อมพิชชาไปเมื่อช่วงก่อนเข้างาน แล้วก็เจอแถวนั้นคือโต๊ะลงทะเบียนจริงนี่นา

   ไม่ต้องมีคำลา เจ้าบ่าวก็เดินลิ่วไปตามบอกโดยปล่อยให้แบล็คยืนโบกมือลาอยู่คนเดียว เขารอจนร่างของชายผู้ควรจะมีความสุขที่สุดในงานลับหายไปจึงกวาดตามองไปทางมุมหนึ่งที่ยังมีชายเสื้อสีคุ้นโผล่ออกมาอยู่

   "...ไปแล้ว"

   แต่ร่างตรงนั้นก็ยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง

   "ไม่เชื่อกันหรือไง"



***
   พอกลับจากต่างจังหวัดงานก็เข้าทุกวันจนไม่มีเวลาว่างเลยค่ะ (ร้องไห้) หลังจากจบตอนนี้เจ้าอาจหายไปยาวหรือไม่ก็นานๆ มาทีเลยนะคะ เพราะว่าดูท่าแล้วชีวิตน่าจะกลับไปคงที่ได้อีกก็ปลายปีนู่นเลย แต่ก็จะพยายามมาต่อให้ได้มากที่สุดค่ะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-1 [09.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 10-09-2016 23:29:15
รู้สึกสับสนมึนงงเล็กน้อย รอเสมอค้าาาาา
#พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-1 [09.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kitsune1st ที่ 21-09-2016 00:39:28
ตอนแรกว่าจะรอให้เรื่องนี้จบก่อนแล้วถึงมาอ่านทีเดียว
แต่สุดท้าย ก็มาอ่านจนได้ 555
ถึงจะหงุดหงิดกับปม กับความลึกลับของตัวละคร
และเนื้อเรื่อง
แต่งานเขียนทุกงานคือศิลปะ ต้องติดตามต่อไป~
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-2 [23.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 23-09-2016 01:00:52
CH.8-2

   การเล่นเกมจิตวิทยากับเด็กเป็นเรื่องง่าย ยิ่งเป็นพวกตามไม่ทันอย่างนี้แล้วแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรในการหลอกล่อเลย

   ยืนรออยู่ตรงนั้นเป็นนาทีจนกระทั่งอีกฝ่ายยอมออกมาจากพื้นที่กำบัง ร่างที่ยืนมั่นคงจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะคนที่เคยสบประมาทไว้ ใบหน้าไร้ซึ่งการแต่งแต้มของอารมณ์และความรู้สึก ไม่มีแม้แต่รอยแดงตรงดวงตาหรือว่าอาการกล้ำกลืนใดๆ

   "ไม่ได้ขอให้ช่วย"

   "ถ้าปล่อยให้หาแป๊บเดียวก็เจอ คิดว่าที่ตรงนี้มันบังมิดหรือไง" การหาพื้นที่มุมอับในส่วนของงานจัดเลี้ยงเป็นเรื่องที่ง่ายอยู่แล้ว ไม่นับรวมว่าการซ่อนอย่างนั้นมันไม่ได้ช่วยพรางตัวสักนิด "อีกอย่างถ้าไม่อยากให้หาเจอจริงคงไปอยู่ที่อื่นแล้ว"

   จี้ใจดำโดยใช้ความรู้จากการพบจิตแพทย์หลายครั้งรวมถึงสิ่งที่ได้รับจากการเรียนวิชาจิตวิทยาหลายตัว เด็กยังไม่มีความสามารถพอที่จัดการอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองได้ ลองย้ำเข้าไปมากหน่อยเดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง

   "ไม่อยากเจอ!"

   ผิดจากที่พูดไว้ตรงไหนล่ะ

   "ก็ไม่เจอแล้วไง"

   "..."

   "ไม่คิดจะขอบคุณพี่หน่อยเหรอ"

   "ไม่"

   คนพี่หยิ่งยโส ส่วนคนน้องถือทิฐิ

   "ถึงไม่ขอสุดท้ายภัสก็รอดเพราะพี่"

   "เหรอ?" นัยน์ตาจ้องตรงมาไม่มีลดละ ที่หวังว่าจะได้เห็นเด็กฟิวส์ขาดคงต้องพับเก็บไปก่อนในเมื่ออีกคนยังเก็บทุกความรู้สึกไว้ได้ "ถึงพี่กายเจอภัส เขาก็ทำอะไรไม่ได้"

   "นี่..." นิสัยของพี่ชายคนโตกลับมาสิงเข้าร่าง ตั้งใจจะสอนว่าให้ลดนิสัยช่างประชดลงไปหน่อยเพราะสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา ติดก็ตรงคนเด็กกว่าสวนกลับมาจนเป็นเขาเองที่ต้องปิดปากแทน

   "มันมีคำว่าดิเอนท์โผล่ขึ้นมาแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว"

   "อาจมีภาคสองก็ได้นะ"

   คิดย้อนกลับไปว่าตอนตัวเองเป็นเด็กม.ห้าอายุสิบหกนี่ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ นอกจากเรียนกับเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพแล้วก็คงไม่พ้นใช้ชีวิตวัยรุ่นในการเที่ยวเล่น แล้วทำไมเด็กตรงหน้าถึงดูคิดลบกับทุกเรื่องได้เท่านี้ คนที่บอกว่ามีชีวิตเพื่อรอวันตาย

   "ไม่มีแล้ว"   

   "ทำตัวเป็นผู้รู้เหมือนพี่ชายตัวเองหรือไง"

   "ใครอยากเป็นอย่างนั้นก็โง่เต็มทน"

   อาการรังเกียจผ่านสีหน้าชัด ขนาดน้องชายยังไม่ชอบที่พี่ของตัวเองเป็นอย่างนี้เลยงั้นสิ

   "ติดหนี้ไว้ครั้งหนึ่งแล้วนะ" ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วถ้ายังต่อปากต่อคำอยู่คงไม่มีทางจบ เลยย้อนกลับมาเรื่องเดิมที่พูดค้างกันเอาไว้

   "บอกแล้วไงว่าไม่ได้ขอ"

   "ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็มาทวงแล้ว"

   ขอกลับไปคิดก่อนว่าอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบ้านนี้บ้าง ทำไมภัสถึงต้องไปอยู่คอนโดทั้งที่การอาศัยอยู่บ้านมันใกล้โรงเรียนมากกว่าหลายช่วงตัว รวมถึงอยากรู้เรื่องที่สังคมกำลังนินทาอยู่นั้นเป็นเรื่องจริงกี่เปอร์เซนต์จากทั้งหมด มันจะเป็นเพียงการเสริมเติมแต่งหรือเรื่องจริงว่าบ้านกำลังสั่นคลอนด้วยฝีมือของสายเลือดเดียวกัน

   "ไม่ยินยอม โมฆะ"

   คำพูดดูมีความรู้อยู่ไม่น้อย เด็กสมัยนี้รู้เยอะกว่าตอนตัวเองอายุเท่ากันอีกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ต้องจำทุกอย่างเพื่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามหวังเอาไว้ เห็นปัญหาของการสอบผ่านเข้ามาในฟีตเฟสบุ๊กทีไรก็คิดว่าตัวเองโชคดีแล้วที่ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเรื่องเฮงซวยพวกนั้น

   โครงสร้างใบหน้าและรูปร่างของภัสสร์ไม่เหมือนกับพิชชาสักนิด ถ้าพิชชาได้ทุกอย่างเพราะเป็นลูกรักของพระเจ้าน้องชายคนนี้ก็เป็นเพียงคนสามัญทั่วไปที่ไม่มีใครให้ความสนใจ จริงอยู่ว่าทั้งสองคนมีใบหน้าโดดเด่นกว่า แต่อย่างเรื่องของบุคลิกแล้วต้องยอมรับว่าคนพี่มีเครดิตดีกว่าเยอะ ภัสไม่อาจดึงดูดความสนใจหรือว่าสร้างความท้าทายใดๆ

   ไม่มีใครตรึงสายตาของทิวากาลได้อย่างพิชชา

   "คิดว่าสน?"

   คนเด็กกว่าทำหน้ายุ่ง คล้ายกับว่าเห็นน้องชายคนเล็กของตัวเองซ้อนทับ ถ้าจะให้ลองเทียบดูแล้วภัสเป็นการเอาน้องทั้งสามคนมาผสมกันจนกลายเป็นคนเดียว เข้มแข็ง คิดมาก แต่ก็แสดงออกผ่านสีหน้าเกือบหมด

   ราวกับส่งมาเพื่อให้เขาเตรียมรับมือกับเด็กคนนี้คนเดียว

   "แล้วคิดว่าภัสจะสน?"

   "พี่จะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว" หมั่นไส้จนยกมือขึ้นจิ้มหน้าผากของอีกฝ่าย "แต่เรื่องไหนที่พี่เกี่ยว บอกเลยว่าภัสไม่มีทางหนีพ้น"

   "แล้วจะให้ทำอะไรล่ะ พูดมาเลยดีกว่า"

   แต่อย่างหนึ่งที่พี่กับน้องเหมือนกันคือทันเกมเสมอ

   "แค่อยากรู้อะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับพิช"

   จบคำนั้นเสียงหัวเราะของภัสสร์ก็โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทิวากาลลองย้อนกลับไปคิดว่าคำพูดของตัวเองมันน่าตลกตรงไหน จากการหัวเราะแบบเต็มเสียงเริ่มแผ่วเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนไปเอามือกุมท้องเอาไว้ ร่างยังสั่นไม่มีหยุดก้มหน้าจนเขามองไม่เห็นความรู้สึกบนใบหน้า

   "พี่ฉลาดน้อยกว่าที่ผมคิดนะ"

   มือผอมบางยกขึ้นปาดหยดน้ำที่ไหลอยู่ตรงหางตา จากนั้นก็ส่งยิ้มซ่อนความสงสารมาให้

   "ทั้งที่เรื่องบางเรื่องไม่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว"



   มุมมองจากตึกสูงในเมืองหลวงให้อารมณ์แตกต่างออกไปทุกครั้งที่ได้มาเยือน สำหรับโรงแรมแห่งนี้เป็นครั้งแรกที่ทิวากาลได้ลองเปิดตารับบรรยากาศใหม่ๆ ไฟของตึกสร้างสูงต่ำลดหลั่นกันไปคล้ายกับบล็อคเลโก้ที่ชอบเล่น รถบนท้องถนนเคลื่อนตัวไปไม่มีพักจนเห็นแสงไฟเหล่านั้นเป็นสายธารสีแดงจัด

   สูบบุหรี่ไม่ได้หยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดเล่นก็ยังดี เปลวไฟเกิดขึ้นแล้วดับไปหลายต่อหลายครั้งตามการขยับนิ้วโป้ง เปลืองแก๊สแล้วยังทำให้หัวจุดร้อนเสียเปล่า นี่มันอาการแรกเริ่มของคนขาดนิโคตินไม่ได้หรือเปล่านะ

   ภัสสร์ไม่ได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ พอหยุดหัวเราะได้แล้วขอตัวเข้าไปอยู่ข้างในงานเฉย บางมุมภัสเหมือนกับเด็กที่ไม่สามารถรับมือกับความเจ็บปวดอะไรได้ ส่วนครั้งนี้กลับโชว์ให้เห็นว่าคนไม่มีทางเลือกก็ทำได้แค่เพียงดำเนินชีวิตต่อไป

   เสียงฝีเท้าเบาจนเกือบไม่ได้ยินช่วยบอกว่ามีคนอื่นกำลังเดินเข้ามาใกล้ พอหันไปเห็นรองเท้าหนังคู่สวยต่างจากปกติที่มักเป็นแบบแฮนด์เมดก็เข้าใจว่าทำไมคราวนี้ถึงเดินมีเสียง พิชชาควรไปสมัครเป็นพวกนักฆ่าหรือไม่ก็นักย่องเบา น่าจะได้เงินดีเชียวล่ะ

   "ไปวางระเบิดให้ใครมาอีกล่ะครับ"

   คนที่เป็นผู้รู้ยังคงความหมายของชื่อได้ถึงตอนนี้ "ผมแค่ช่วยน้องของคุณต่างหาก"

   "นั่นไม่เรียกว่าช่วยครับราชา"

   "แล้วอย่างไหนถึงเรียกว่าช่วย ให้ได้เจอกันแล้วพังงานแต่งงานอย่างนั้นสิ?"

   "คุณบอกเองว่านั่นคือการพังนะครับ"

   "เรื่องนี้มันเป็นกระดุมที่ติดผิดเม็ดมาตั้งแต่ต้นแล้วพิช"

   หลายมาตราในประมวลมีการเขียนบทยกเว้นเอาไว้

   ไม่ต่างกับความรัก

   ต่อให้บอกใครต่อใครบอกว่าความรักไม่เคยผิด แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีเงื่อนไขต้องห้ามไว้อยู่ดี

   "มันเป็นเรื่องที่ถูกเขียนเอาไว้แล้วต่างหากครับ" การไม่ปฏิเสธอย่างนั้นสำหรับทิวากาลแล้วคือการยอมรับว่าเรื่องระหว่างพี่กายกับภัสเป็นเรื่องจริง

   แบล็คไม่คิดจะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวอยู่แล้ว คนอื่นอาจไม่รู้แต่กับคนเจอช็อตเด็ดอย่างนั้นเข้าไปไม่มีทางหลอกตัวเองได้ว่ามันแปลความเป็นอย่างอื่น

   "กำหนดให้สุดท้ายมันกลายเป็นแบบนี้อย่างนั้นเหรอ"

  เพราะชีวิตไม่ใช่นิยายที่จะจบลงด้วยความสุขเสมอไป

   "นี่เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับภัสครับ ...แล้วก็ดีที่สุดสำหรับพี่กายด้วย"

   "ผมจะพยายามทำความเข้าใจบ้านคุณให้มากกว่านี้แล้วกันนะ"

   "คิดว่าอีกไม่นานคงเห็นภาพโดยรวมครับ" คำเอ่ยราบเรียบ กระดุมเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตข้างในถูกปลดออกจนเห็นสร้อยที่มักเห็นจนชินตาซ่อนไว้ เสียงโทนทุ้มแต่ก็ยังคงความใสเอาไว้ได้ถามเรื่องต่อไป "แล้วทำไมมาอยู่ข้างนอกคนเดียวล่ะ"

   "ก็เจ้าภาพไม่ยอมดูแล"

   "ผมเป็นแค่คนรับซองครับ"

   หยิบซองเครื่องหอมที่ได้เป็นของชำร่วยออกมา หน้าซองระบุชนิดของกลิ่นเอาไว้ว่าเป็นดอกราชาวดี มันไม่ต่างกับซองหอมที่เห็นขายทั่วไปตามร้านค้าในห้าง ถูกเติมแต่งให้กลิ่นแรงจนไม่มีความเป็นธรรมชาติหลงเหลืออยู่ จะว่าไปแล้วกลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้มันควรจะเป็นอย่างไหนนะ

   แล้วกลิ่นของดอกกุหลาบสีดำควรเป็นแบบไหน

   "ฝากไปบอกพี่สะใภ้คุณหน่อยว่ามันเป็นกลิ่นที่แย่มาก"

   "เขาก็ต้องคิดถึงหลายปัจจัยแหละครับ ไว้คราวหน้าผมจะเอาไม้อบมาให้แล้วกัน ภัสจะได้ไม่บ่นเรื่องกลิ่นของรถอีก"

   คิดถึงเรื่องนั้นคิ้วก็กระตุก ใบหน้าของเด็กผีที่เอาแต่ลอยหน้าลอยตาหาเรื่องแล้วก็มาทำตัวดราม่าใส่หลังจากนั้นไม่นานนี่มันน่าโมโหจะตายไป น่าจะบอกเจ้าบ่าวไปให้หมดเรื่อง เผื่อจะได้เห็นซีนทะเลาะกันอีกสักรอบ

   "อย่าลืมไปบอกให้ผมด้วยนะ"

   "อย่าเพิ่งสร้างศัตรูให้ผมเพิ่มเลยครับ" เสียงของพิชชายังคงสดใส ต่างกับเนื้อหาที่อยู่ในประโยค "ทุกวันนี้อยู่ในบ้านนี้ให้รอดก็ยากจะแย่"

   "โชคดีเป็นของผมที่พ่อไม่มีปัญหาเรื่องนี้"

   ความไม่ลงรอยกันของพี่น้องเป็นปัญหาโลกแตก อย่างตัวทิวากาลพูดได้เต็มปากว่าตนเองไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นอีกแล้ว ฝั่งพ่อเองก็ล้มหายตายจากกันไปตั้งแต่เล็ก ทั้งเรื่องสุขภาพแล้วก็เรื่องของธุรกิจ กว่าพ่อของเขาจะมายืนถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านเรื่องปวดใจมาเยอะ เงินคือแอปเปิ้ลทองคำที่แท้จริงในโลกปัจจุบัน ส่วนฝั่งแม่น่ะเหรอ...ก็อย่างนั้นแหละ ถึงจะมีก็เหมือนไม่มีอยู่ดี

   "ดีแล้วครับ"

   ลมแรงตีเข้าหน้าจนตาเริ่มแห้ง หันหลังให้ทิศทางของลมเหมือนอีกคน

   "ถ้าคุณเรียนนิติอาจไม่ต้องมาปวดหัวเหมือนตอนนี้" พิชชาเรียนเกี่ยวกับการธุรกิจภาคอินเตอร์ ขอยกความดีความชอบในการตามหาทั้งหมดให้กับกลุ่มแม่บ้านขาเมาท์

   "ผมไม่มีอำนาจในการพิพากษาคนอื่นได้ครับ" ร่างของพิชชาในชุดสูทสีเทาโดดเด่นขึ้นมากลางท้องฟ้าสีดำ "ไม่เหมือนคุณ"

   "...อย่าพูดอย่างนั้นพิชชา"

   เตือนเสียงเข้ม กลัวเหลือเกินว่าคำบอกหลังจากนั้นจะเป็นสิ่งที่ระแวงอยู่เสมอ
   
   "สั่งผมเหรอครับ?"

   ริมฝีปากคลี่จนเห็นรอยยิ้มจาง แม้ไม่ได้ขยับร่างกายส่วนอื่นเพิ่มเติมทิวากาลก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน พิชชาถึงไม่เหมือนคนอื่นไง ผู้ชายที่ 'แตกต่าง' เสียเหลือเกิน

   "ใช่"

   "เฮ้อ ชีวิตของผมทำไมมั..." จังหวะที่หันไปด้านข้าง คือช่วงเวลาเดียวกับกลุ่มผมยาวสีดำปลิวตามแรงลม จากที่เห็นช่วงหน้าของอีกคนได้ชัดมันก็หายไปจนไม่เห็นสิ่งอื่น

   คล้ายกับหมอกพร้อมจะสลายตัวเมื่อมาสายลมพัดผ่านมา

   ภาพของคนพยายามรวบผมของตัวเองพร้อมกับต่อสู้แรงลมไปด้วยตลกจนต้องเข้าไปช่วย ก็พอพิชชาสามารถรวบได้ทั้งหมดแล้วจะมัดมันเอาไว้ก็ทำไม่ได้ เมื่อเชือกเส้นหนาสำหรับรัดตอนนี้มันอยู่ในมือเขานี่นา

   แปลกดี มัดแบบไหนถึงไม่หลุด

   "มาทานอาหารฟรีแล้วก็ช่วยหน่อยนะครับ"

   "มันไม่น่าจะมัดผมคุณเอาไว้ได้เลยนะ" พูดอย่างที่คิด ตามหลักแล้วขนาดยางรัดผมทั่วไปกว่าจะรัดได้มันก็ต้องแน่นในระดับหนึ่ง แล้วนี้เป็นเชือกเกลียวไม่น่าจะมัดอะไรอยู่ "ติดยางรัดผมมาบ้างหรือเปล่า"

   "ไม่มีครับ คุณค่อยๆ มัดไปมันก็ไม่หลุดอยู่แล้วล่ะ"
   
   พยักหน้าขึ้นลงแล้วทำตามที่บอก เชือกเส้นหนาหดลงทุกครั้งที่พันรอบกลุ่มของเส้นผม ลองพันแล้วก็คลายออกสองสามครั้งเพราะว่าระดับความแน่นไม่เป็นที่พอใจจนเจ้าของผมยาวหยักศกต้องสอนวิธีการมัดเพิ่มเติม

   "อย่ารีบครับ แล้วก็ใช้แรงให้พอดี"

   "คุณให้อะไรเป็นของขวัญสองคนนั้น" ระหว่างที่กำลังเรียนวิชาการมัดผมอยู่ใบหน้าของเจ้าบ่าวตอนเบิกตากว้างมันก็กลับเข้ามาในความทรงจำ

   "ยังตกลงกับผู้จัดการมรดกไม่ได้ครับ"

   การบอกเล่าแฝงเอาไว้ด้วยการจิกกัดจนเป็นแผลใหญ่ "ผมอยากให้อย่างหนึ่งแต่คุณอาอยากได้อีกอย่าง"

   "ครอบครัวของคุณนี่หรรษาดีเนอะ"

   "อยากลองสลับตัวกันดูไหมล่ะครับ"

   "ไม่ให้คำทำนายอะไรไปล่ะ เขาอาจจะอยากได้" ผูกปมชั้นสุดท้ายจนเสร็จ ทดสอบดูว่ามันแน่นหนาพอสำหรับการรัดเส้นผมหรือไม่ "วันนั้นเจ้าบ่าวเองก็บอกว่าคุณทำนายให้เขา"

   "บอกแล้วว่ามันคือการเล่าเรื่องครับ"

   พอพิชชาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า ทิวากาลก็จัดแต่งช่วงกรอบหน้าให้ดูไม่แข็งจนเกินไปด้วยการดึงปอยผมบางเส้นออกมาระกับข้างแก้ม เริ่มสนุกเลยจัดแบ่งช่วงผมให้ไม่ตึงเกินไปอีกหน่อย

   "นั่นแหละ ทำไมไม่ทำล่ะ"   

   พอผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจแล้วถึงเปลี่ยนไปสบตากับคนพูด คลื่นความรู้สึกแรกที่เข้ามากระทบทิวากาลคือความน่าหวาดหวั่น ช่วงนัยน์ตาแปลกมองตรงเข้ามาคล้ายกำลังเรืองแสงอยู่

   "เพราะมันจากจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมไงครับ"

   "ผมอยากอย่างนั้นได้บ้างจัง"

   "มันก็ไม่ใช่เรื่องดีขนาดนั้นหรอก"

   "คุณมองให้ตัวเองได้หรือเปล่า"

   เสียงข้างในแว่วออกมาคลอไปกับสายลม เพลงไทยที่มีความหมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่กันไปนิรันดร์ มนุษย์ชอบอยู่กับฝันสวยงาม...จนไม่นึกถึงความเป็นจริง

   "ผมไม่เห็นของตัวเองครับ" ทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินอย่างนั้น เรื่องเล่าไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้แปลกจนต้องตั้งใจฟัง "การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม"

   "งั้นแสดงว่าคนอื่นก็เห็นทั้งหมดเลยงั้นสิ"

   "ในกรณีที่อยากเห็นเท่านั้นครับ"

   "มีการแบ่งด้วย" ถามกลั้วหัวเราะกลับไป ปอยผมที่คิดว่าดึงออกมาแค่พอดีเมื่อเจอกับแรงลมแล้วกลายเป็นว่าต้องจับมันทัดเอาไว้กับหลังหู พินิจใบหน้าไร้ร่องรอยของการแต่งแต้มที่ยังคงความสดใสเอาไว้ได้อย่างเดิมไปพลาง พิชชาใช้อะไรในการดูแลหน้าบ้างนะ บนโต๊ะก็ไม่เห็นว่าจะมีของใช้อะไรมากมาย

   "แน่นอนสิครับ การเห็นครั้งหนึ่งมันก็ต้องแลกด้วยอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน"

   "อย่างนั้นเหรอ" ทอดเสียงยาวพลางนึกไปเรื่อยเปื่อย ความคิดหนึ่งที่โผล่ขึ้นมากะทันหันกระตุกยิ้มร้ายให้ปรากฏบนใบหน้าของทิวากาลอีกครั้ง

   "แล้วอย่างผม ...คุณเห็นอะไร?"

อพิชชาพิงอยู่กับขอบระเบียงแบล็คเลยใช้โอกาสนั้นกักตัวอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนด้วยสองแขนของตัวเอง กลิ่นของน้ำหอมวันนี้ต่างไปจากทุกครั้ง นอกจากความสดชื่นแล้วมันยังแทรกไปด้วยกลิ่นของดอกไม้แห้งตรงปกเสื้อ

   แปลกจนต้องโน้มตัวลงต่ำอีกนิดเพื่อสัมผัสให้เต็มที่ ช่อดอกไม้หลายชนิดมันรวมด้วยกัน มีรู้จักอยู่บ้างจากการที่น้องสาวฝาแฝดเคยชอบปลูกดอกไม้อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็มีอีกหลายดอกที่ไม่เคยแม้กระทั่งผ่านตา

   จะบอกว่าจนถึงตอนนี้แบล็คเองไม่ได้เชื่อถือเรื่องเล่าอะไรพวกนี้มากหรอกนะ เขาก็แค่อยากรู้จักพิชชาให้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง

   "สีดำครับ"

   การเล่าสะกิดใจจนต้องขยับตัวออกมาเพื่อให้สะดวกต่อการพิจทั้งหน้า เป็นอีกครั้งที่ทิวากาลได้เห็นพิชชาในรูปแบบนี้ ช่วงตาโศกในขณะริมฝีปากเหยียดยิ้ม

   นัยน์ตาสีแปลกสะท้อนแค่ใบหน้าของเขาข้างใน

   "ผมเห็นแต่สีดำสนิท"



   บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ดูเหมือนว่าทั้งสองคนกลับเข้ามาเจอช่วงโยนช่อดอกไม้ ส่วนกลางของงานมีสาวน้อยใหญ่รวมถึงผู้ชายอีกหลายคนยืนเตรียมตัวกันไว้พร้อม หากเป็นแขกที่มีอายุหน่อยก็จะเลี่ยงตัวออกไปอยู่ส่วนนอกของงาน

   แล้วก็มีเด็กผู้ชายคนเดิมกำลังยืนพิงกำแพงอยู่มุมหนึ่งของห้อง

   โดยไม่มีการขออนุญาตใดๆ ทิวากาลคว้าแขนของคนด้านข้างให้เดินตามไปยังจุดหมาย ภัสเบนหน้ามองผู้มาใหม่ทั้งสองนิ่งๆ แล้วหันกลับไปให้ความสนใจบนเวทีต่อ ตอนนี้เจ้าสาวกำลังยืนถือดอกไม้ช่อใหญ่โดยมีเจ้าบ่าวส่งกำลังใจให้อยู่ด้านข้าง

   "พี่ไม่เข้าไปตบตีกับเขาหรือไง"

   ภัสยังต้องเรียนวิชาเหน็บแนมจากพี่ชายอีกเยอะ พูดออกมาทีไรเขาไม่เห็นว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยากับคำพูดพวกนั้นเลย

   "เพื่อของไม่มีประโยชน์อย่างนั้นน่ะเหรอ?"

   ความเชื่อหลายอย่างบนโลกใบนี้ทิวากาลตั้งคำถามว่ามีคนเชื่อไปได้อย่างไร ไอ้การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาวที่ใครรับไปแล้วจะแต่งงานคนต่อไปนี่มันเป็นการสร้างความหวังแบบผิดๆ มากเกินไปหน่อยหรือเปล่า ถ้าอยากแต่งงานจริงก็ควรจะไปหาฤกษ์ดีกว่าไหม นั่นช่วยให้สิ่งที่ต้องการเกิดขึ้นได้เร็วกว่าการแย่งชิงดอกไม้ช่อเดียวอย่างแน่นอน

   "พี่เป็นพวกอยู่กับโลกแห่งความจริงอย่างเดียวสินะ"

   "ไม่อย่างนั้นจะให้อยู่ในโลกไหน" ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในงานมงคลสมรสก็อยากจะหาเรื่องเด็กอวดดีกลับไปอยู่หรอก "โลกที่ไม่ต้องลืมตาเหมือนพิชชาอย่างนั้นเหรอ?"

   "ก็น่าสนนะ...ที่นี่มันน่าเบื่อ"

   แปลกทั้งพี่ทั้งน้อง...

   "เป็นเด็กเป็นเล็กทำตัวสิ้นหวังอะไรขนาดนั้น"

   "ก็คนที่ไม่รู้ว่ายังหายใจไปเพื่ออะไรไง"

   "แล้วทำไมตัวเองไม่เข้าไปบ้างล่ะ" การกระทำที่ไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำเกลือลงไปบนแผลสด แบล็คไม่ใช่คนใจดี โดยเฉพากับเด็กเวรตะไลเอาแต่เถียงคำไม่ตกฟาก

   "ผมไม่อยากแต่งงาน"

   "แล้วจะรอคนที่รักไม่ได้อย่างนี้ต่อไปหรือไง"

   ในความคิดของทิวากาลโอกาสที่ภัสสร์จะได้รับ 'ช่อดอกไม้' มันไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะเขาเลือกพาตัวเองออกมายืนอยู่นอกรัศมีของการรับเสียแล้ว

   "รอรัก?" ทวนคำเดียวด้วยเสียงขึ้นจมูก "เฮอะ บอกแล้วไงว่ารอวันตายอย่างเดียว"

   ตามหาจุดเริ่มต้นแห่งการหลอมเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้เป็นอย่างที่เห็น จะว่าพี่ชายสอนก็ไม่ใช่เพราะเห็นกันอยู่ว่าพิชชาเป็นคนยังไง หรือว่าจะเป็นผลจากการที่ถูกเลี้ยงผ่านบิดาเพียงอย่างเดียว บวกเข้ากับครอบครัวที่ดูไม่ค่อยจะลงรอยกันมันก็น่าคิดดี

   พิธีกรประกาศเป็นครั้งสุดท้ายว่าการโยนช่อดอกไม้กำลังจะเกิดขึ้น และเด็กวัยรุ่นในชุดงานพิธีก็มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังส่วนกลางของเวที

   ตรงที่คู่บ่าวสาวยืนเคียงข้างกัน

   ภัสสร์ต่างกับพิชชาหลายอย่าง ส่วนหนึ่งคงเป็นเรื่องของวัย ขณะที่เขาอ่านความคิดและคาดเดาความรู้สึกของพิชชาไม่เคยออก กลับกันคนน้องก็สามารถอ่านทุกอย่างที่อยู่ข้างในได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนัก

   ภาพตรงหน้ากลายเป็นฟังก์ชั่นลดระดับความเร็วในการเคลื่อนไหว ทันทีที่ดอกไม้ช่อสวยหลุดออกจากมือของเจ้าสาว ทิวากาลก็เอียงคอหันมามองพี่น้องคู่แปลกที่ยืนอยู่ถัดไป คนเป็นพี่ยื่นแขนออกมาโอบคนน้องเอาไว้โดยไม่มีการเขย่าเรียกกำลังใจ การกระทำที่ไม่ต้องใช้คำพูดเพื่อบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเสมอ

   ทันทีที่ผู้โชคดีปรากฏตัว ความสนใจเกือบทั้งหมดก็พุ่งไปอยู่ที่หญิงสาวในชุดราตรีที่กำลังชูของแทนความหมายไว้ในมือ ที่บอกว่าเกือบทั้งหมดมาจากการที่ทิวากาลเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าสายตาของเจ้าบ่าวมันอยู่ตรงไหน

   ...หรือว่าอยู่ที่ใคร

   "พิช..." นัยน์ตาสะท้อนแสงสีจำนวนมากอยู่ข้างใน ไม่สั่นหรือว่าแสดงรอยอารมณ์ มันจ้องตรงขึ้นไปบนเวทีขนาดใหญ่โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปทางอื่น

   "..."

   "ภัสมีแค่พิชนะ..."

   "..."

   "ภัสมีแค่พิชคนเดียว"


***
   พอแต่งไปแล้วก็จะชอบถามตัวเองว่าทำไมไม่รู้จักแต่งให้มันง่ายๆ บ้าง (หัวเราะ) จะพยายามพาตอนถัดไปมาให้เร็วที่สุดค่ะ (ยิ้ม)
   รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-2 [23.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 27-09-2016 22:36:32
ยิ่งอ่านยิ่งงงแต่ก็ลุ้นทุกตอน เป็นกำลังใจให้ค้า รออออ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-2 [23.09.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 16-10-2016 10:52:58
ติ่งพี่แบล็คมากมาย ชอบมากกก ////////
ปมเยอะ ชอบบรรยากาศของเรื่องค่ะ ลึกลับดี ใจสั่น(?)
รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-1 [21.10.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 21-10-2016 22:08:56
CH.9-1

   แร็กเก็ต

   ลูกสักหลาด

   รองเท้าสำหรับใส่เล่นเทนนิส

   ตรวจสอบอีกครั้งว่าของจำเป็นต่อการเล่นกีฬาครบถ้วนแล้วถึงรูดซิปปิดโคฟเวอร์ขนาดใหญ่ให้เรียบร้อย เช็คว่าไม่ลืมปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องแล้วถึงเดินไปตรงประตู

   สายตาสะดุดกับโต๊ะขนาดเล็กริมห้อง เมื่อก่อนจะมีกองหนังสือกฎหมายทั้งไทยและต่างชาติวางซ้อนกันเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนนี้ทุกเล่มถูกย้ายลงไปนอนบนพื้นห้อง ปล่อยให้กระดานหมากรุกที่เจ้าของไม่ยอมรับคืนวางเด่น บนนั้นมีหมากเรียงเอาไว้เหมือนวันที่ได้คุยกับบิดาเรื่องของพิชชา เขายังหาทางออกให้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้เลย แล้วมันก็ดูแย่เข้าไปใหญ่เมื่อมีตัวละครใหม่อย่างภัสสร์เข้ามา

   ถ้าพูดในแง่ของผู้กำกับอย่างที่ทำมาตลอดต้องบอกว่านักแสดงเล่นนอกบทสุดๆ

   ออกจากห้องตัวเองบนชั้นสองลงมาอยู่ข้างล่างเพื่อพบกับน้องชายคนสุดท้องนั่งดูอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนแล้ว พอเห็นว่าเขาลงมาพร้อมกับของในมือก็เอ่ยปากถามทันที

   "จะไปไหน?"

   ช่วงนี้น้องโรมทำตัวน่ารำคาญกว่าเดิมอีกหลายเท่า ก่อนหน้านี้ต่อให้แบล็คกลับบ้านตอนเช้าของอีกวันก็ไม่เคยคิดจะซักไซ้ไล่เลียงอะไร เดี๋ยวนี้ล่ะถามอย่างกับเป็นเครื่องติดตามตัว

   "ข้างนอก"

   "ไปเล่นเทนนิสเหรอ"

   "ก็เห็นอยู่"

   "ไปกับใคร"

   ลอบถอนหายใจไม่ให้ผิดสังเกต "บอกไปแล้วจะรู้จัก?"

   "ก็ลองบอกมาก่อน"

   ประเมินจากการยิงคำถามแบบไม่คิดจะถอย สรุปได้ว่าคราวนี้น้องชายคนเล็กของตัวเองไม่มีทางยอมจบง่ายๆ แน่นอน ทิวากาลรีบคิดหาทางหนีแบบไม่ต้องแพร่งพรายเรื่องของพิชชาออกไป ไม่อยากจะโกหกแต่ก็ใช่ว่าพร้อมที่จะเล่าทุกอย่าง

   "น้องเอ๋ออย่างมึงที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งเพื่อนร่วมคณะเนี่ยนะ"

   "มึงอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง"

   "มึงไม่รู้จักอยู่แล้วน้องโรม"

   เพราะขนาดเขาเองยังไม่อยากรู้จักเลย "ช่วงนี้ทะเลาะกับที่หนึ่งแล้วมาลงกับกูหรือไง?"

   "เลิกพูดถึงที่หนึ่ง นี่เรื่องของมึงกับกู วันก่อนมึงปล่อยกูกลับหอเองยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ"

   อยู่ดีๆ ก็รู้สึกปวดบริเวณขมับ ทิวากาลคิดไปถึงผู้ชายในบทสนทนาก่อนหน้า เจริญพรญาติโยมอย่างที่อีกฝ่ายคงจามต่อเนื่องไม่มีหยุด เขาถึงไม่อยากให้ที่หนึ่งตามใจน้องเท่าไหร่ไง น้องที่โดนสปอยล์จนไม่ค่อยสนใจใครยิ่งอาการหนักเข้าไปอีก

   ในห้องนั่งเล่นมีเพียงสองชีวิต ไม่เห็นวี่แววของน้องสาวฝาแฝดที่มักจะมาวนเวียนอยู่รอบตัวบ้าน ลองมองในแง่ดีคือถ้าไม่เจอไวท์มันช่วยให้ไม่ตกเป็นผู้ต้องหาได้ดีเหมือนกัน

   "มันรถติด กูรำคาญ"

   "แต่กูเจอรถมึงจอดอยู่ตรงลาน"

   น้องชายของตัวเองไม่ได้เป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็นอีกต่อไป

   “อืม พอรถติดเลยออกไปเดินเล่นฆ่าเวลา”

   “แล้วทำไมไม่บอกกู โทรหาก็ไม่ยอมรับ”

   เขาน่าจะออกบ้านให้เช้ากว่านี้หน่อยจะได้ไม่ต้องมาเจอเจ้าพนักงานสอบสวน ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีถามบ้างเป็นบางครั้งว่าเขาออกไปไหน และมันก็เป็นการแจ้งเพื่อทราบ ไม่เหมือนวินาทีนี้

   “ไม่ได้เอามือถือลงไป” คงต้องคุยอีกนานโคฟเวอร์ในมือของตัวเองเลยลงไปนอนกับพื้น “แล้ววันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอ”

   “ไม่อะ คุณพินิจบ่นว่าไม่ค่อยมีคนกินข้าวเย็นด้วยเลยอยู่บ้าน”

   ได้ยินอย่างนั้นถึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองช่วงหลังไม่ค่อยอยู่บ้านเหมือนกัน ก็ต้องไปเกาะติดอยู่กับชายผมยาวตอบแทนที่ช่วยต่อชีวิตให้ ถ้าวันนั้นน้องโรมสุขภาพดีเขาก็ไม่ต้องไปอาศัยเลือดของคนอื่นอย่างนี้หรอก

   “ไวท์ก็ไม่อยู่?”

   “ตัวอยากอยู่ แต่ว่าทุกคนเชียร์ให้ออกไปข้างนอก”
   
   นั่นแสดงว่าแม้แต่คนเป็นพ่อก็ยังสนับสนุนให้ชายผมสีอ่อน หัวอกคนเป็นครึ่งชีวิตที่ดูแลอีกคนเท่าชีวิตไม่อาจบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นคำพูดได้ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ก่อนลืมตา ไม่เคยมีสักครั้งที่ต้องห่างกันไกล...เว้นแต่ครั้งนั้น

   “ทุกคนนี่แสดงว่ามึงก็ด้วย?”

   “กูไม่ชอบเวล” น้องคนเล็กก็ยังเอาแต่ใจแบบเดิม ทำหน้ายุ่งอย่างกับอีกฝ่ายเคยเป็นกิ๊กกับที่หนึ่ง "แต่กูอาจจะเชียร์บ้างถ้ามึงยังไม่ยอมบอกว่าไปเล่นกับใคร"

   เจอขู่เข้าไปพี่ชายที่หวงน้องสาวยิ่งกว่าอะไรก็ต้องยอมอ่อนข้อ “เขาบัญชาให้ไปเล่นด้วย เลยต้องไป”

   บอกเรื่องจริงไปแล้วจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เลย เมื่อวานมีเบอร์แปลกโทรเข้ามาตอนเกือบห้าทุ่ม ว่าจะไม่รับเพราะเข็ดกับการโดนคุกคามความเป็นส่วนตัว พอเครื่องหยุดสั่นไปได้แป๊บเดียวหน้าจอก็สว่างจ้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแสดงข้อความใหม่ บอกง่ายๆ แค่ว่าวันนี้ไปตีเทนนิสด้วยกันหน่อย เท่านั้นเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าของเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาคือใคร

   “มึงแปลกไปนะแบล็ค”

   “หืม?”

   “กูไม่เคยเจอใครที่สั่งมึงได้”

   พี่ชายคนโตที่โรมรู้จักเป็นคนบนที่สูง เคยตัวกับการสั่ง ไม่เคยทำตามคำที่ใครอื่นบังคับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหนถ้าลองให้ราชาไม่สนใจจะทำตามแล้วมันก็เป็นได้แค่คลื่นเสียงลอยหายไประหว่างการเดินทาง

   “ใช่ไง อย่างตอนนี้มึงก็สั่งให้กูพูดไม่ได้”

   “จะไม่บอก?”

   เดี๋ยวน้องงอนแล้วต้องตามง้อวุ่นวายเลยรีบตัดบท “ถึงเวลาแล้วจะบอก”

   “มึงไม่เหมือนพี่ชายที่กูรู้จักเลยแบล็ค”

   “...”

   ใจหนึ่งต้องยอมรับว่าน้องชายคนที่เขาเคยห่วงอยู่เสมอโตขึ้นทุกครั้งที่เจอ นั่นช่วยเสริมให้เขามั่นใจว่าการตัดสินใจปล่อยให้น้องเดินต่อด้วยตัวเองมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ยังไม่อยากยอมรับมากเท่าไหร่ว่าหน้าที่การ ‘ดูแลน้อง’ มันจบลงแล้วจริง

   “ไม่เหมือนเลยสักนิด"

   “กูก็ว่าอย่างนั้น...”

   ก็อยากรู้เหมือนกัน

   ว่าบนกระดานแผ่นนั้นยังมีหมากของ ‘ราชา’ วางอยู่หรือเปล่า

 

   "ขอบคุณครับ"

   เอ่ยคำขอบคุณพลางเลื่อนกระจกรถขึ้นตามเดิม การมาบ้านพิชชาคราวนี้ง่ายยิ่งกว่าเดิม คนเฝ้าหน้าประตูแค่เห็นว่าเป็นรถของเขาก็รีบเปิดรั้วให้ บรรยากาศโดยรวมของบ้านเหมือนกับครั้งก่อน เงียบเหงา อ้างว้าง ไร้ชีวิตชีวา

   ถึงไม่ได้โทรบอกว่าเข้ามาในเขตบ้านแล้วก็ตาม หน้าประตูทางเข้าบ้านหลังเดิมก็มีร่างของชายผมยาวยืนต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว วันนี้ชุดของพิชชาดูแปลกตากว่าทุกทีเพราะว่าไม่ได้ใส่เสื้อฝ้ายกับกางเกงขาโปร่ง เขาใส่เป็นกางเกงกีฬาสีดำกับเสื้อสีขาวเตรียมพร้อมสำหรับการออกกำลังกาย ส่วนที่ดูเหมือนเดิมคงเป็นสร้อยสีเงินตรงลำคอ

   “เป็นเจ้าบ้านที่ดีจังเลยนะ”

   “กลัวไปจอดผิดบ้านครับ"

   “ผมไม่ได้ความจำสั้นขนาดนั้นนะพิช"

   “น่าแปลกเหมือนกันนะครับที่หลายคนเคยมาบ่อยกว่าคุณแต่ก็ยังจำผิดว่าบ้านใหญ่อยู่ตรงไหน”
   
   บทสนทนาเหมือนเรื่องทั่วไปนี่แหละน่ากลัว พิชชาเดินนำกลับเข้าไปด้านในของบ้าน ทะลุผ่านส่วนกลางแสนเงียบเหงาที่เต็มไปด้วยของประดับไร้ชีวิตไปสู่ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ บนโซฟางานหนังอย่างดีมีอุปกรณ์สำหรับเล่นกีฬาเตรียมเอาไว้พร้อม

   “กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง?”

   ถ้าจะไปออกกำลังกายควรทานอาหารก่อนหน้าประมาณสองชั่วโมง ไม่อย่างนั้นอาจเกิดปัญหาจุกระหว่างเล่นได้

   “ยังไม่ได้ทานครับ”

   “ตื่นมาตั้งแต่กี่โมงทำไมไม่ยอมกิน”

   “ก็อยากทานกับคุณนี่ครับ”

   คิดไม่ออกว่าควรตอบกลับไปอย่างไร การทานข้าวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่มันน่าเศร้าจะตายไป ไม่น่าแปลกหรอกที่ต้องการอย่างนี้

   “ถ้ากินตอนนี้กว่าจะย่อยหมดสนามที่จองไว้คงโดนปล่อย”

   “ผมล้อเล่นครับ ทานแล้วเรียบร้อย”

   มีการชี้ไปทางห้องทานอาหารขนาดใหญ่ แค่เห็นโต๊ะตัวใหญ่ใจก็พลอยหล่น ยังจำบรรยากาศการนั่งสองคนได้ดี เงียบเหงาจนคิดว่าตัวเองคงเป็นโรคประสาทถ้าต้องมีกิจวัตรประจำวันอย่างนั้นซ้ำไปมา ต่อให้เลิศรสมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้เจริญอาหารได้

   “ถ้าอย่างนั้นจะไปเลยไหมล่ะ”

   “ได้ครับ”

   "แล้วตอนเล่นถอดสร้อยออกดีกว่าไหม"

   หยิบของทุกอย่างมาถือไว้เอง ในระหว่างที่พิชชากำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของไฟในบ้าน "เดี๋ยวสร้อยก็เข้าไปพันผมอีก"

   "ไม่ล่ะครับ ไว้อย่างนี้แหละ"

   อยากจะรู้เหลือเกินว่าเครื่องประดับเงินเส้นนั้นมีที่มายังไง พิชชาถึงให้ความสำคัญกับมันในระดับห้ามแตะต้อง ไม่เคยถอดต่อให้ตัวเองอยู่ในชุดแบบไหน ขนาดเป็นชุดกีฬาที่ควรให้ความสำคัญกับความคล่องตัวมากที่สุดเขายังไม่คิดจะถอดออก

   "ไม่ชวนภัสไปด้วยล่ะ"

   ห้องที่ครั้งก่อนไปส่งเด็กตัวเล็กคือเพนท์เฮาส์ติดรถไฟฟ้า ไม่ต้องพูดถึงราคาว่ามันสูงแค่ไหน มีอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ได้ถามออกไปว่าเพราะอะไรถึงไม่อาศัยอยู่ด้วยกันทั้งที่บ้านหลังนี้มีพิชชาแค่คนเดียว

   "ภัสไม่ชอบออกกำลังกาย"

   "ก็ควรพยายามหน่อยนะ" ขนาดน้องสาวจอมติดบ้านของเขายังมีตารางการออกกำลังเลย "มันไม่ดีต่อสุขภาพหรอกถ้าเอาแต่กินแล้วก็นอน"

   "มันเป็นสิ่งที่เด็กคนนั้นต้องการอยู่แล้วครับ"

   "คุณไม่เหมือนกันเท่าไหร่นะ" ทั้งในเรื่องของหน้าตาและนิสัย

   "ขนาดคุณมีฝาแฝดยังไม่เหมือนกันเลย"

   “ก็แฝดผมเป็นผู้หญิง”

   “น้องของผมก็เป็นผู้ชาย”

   ตีรวนอย่างนั้นคงไม่คิดจะตอบ เขาถอนหายใจออกมาดังๆ แล้วได้รับเสียงหัวเราะในลำคอกลับมา แม้แต่ของใช้เล่นกีฬาก็ยังแสดงออกถึงพิชชาได้ดี มีเพียงกระเป๋าใส่รองเท้าแล้วก็ซองแร็กเก็ต ที่กำลังหยิบอยู่คือกระเป๋าใส่เสื้อผ้าเอาไว้เปลี่ยนหลังจากออกกำลังกาย

   "จะออกไปไหนกัน?"
   
   พอมาตรงโถงเพื่อไปยังรถทั้งสองก็เจอกับชายสูงวัยกำลังยืนจังก้ารออยู่แล้ว นอกจากคนงานที่ต้องเข้ามาทำหน้าที่แล้วคงมีคนเดียวที่กล้าเข้ามาเหยียบ แม้ดูแล้วไม่ค่อยอยากเข้ามามากเท่าไหร่ก็เถอะ คำว่าแหล่งรวมวิญญาณร้ายนี่มันเป็นจริงสินะ

   "ไปข้างนอกครับ" อย่างที่เคยบอกเสียงที่พิชชาใช้กับคนเป็นอาไม่เหมือนตอนใช้คุยกับใครอื่น ห่างเหิน ถือยศ และไม่มีความเคารพอยู่ข้างใน "ส่วนจะไปที่ไหนเดี๋ยวลูกน้องคงไปบอกเอง"

   "แล้ว..."

   “ครับ?”

   อาการไม่พอใจแสดงออกชัดบนสีหน้า “ทำไมเด็กนี่มาอีกแล้ว”

   เขาคงสร้างความประทับใจแรกพบให้กับญาติที่เหลืออยู่ของพิชชาไม่น้อย นอกจากคำเรียกไม่เป็นมิตรสีหน้ารังเกียจชัดก็บอกเขาได้หลายอย่าง

   แล้วต้องแคร์หรือไง

   เขาไม่ได้เข้าเมืองผิดกฎหมายเสียหน่อย บอกเลยว่าเข้าตามตรอกออกตามประตูถูกต้อง

   “แล้วทำไมถึงมาไม่ได้ล่ะครับ”

   “ไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่ว่าทำไมไม่นัดเจอที่อื่น”

   “ที่ตรงนี้ผมจะให้ใครเข้ามาก็เป็นเรื่องของผมครับ ถ้าคุณอาจะมาคุยเรื่องงานรบกวนบอกผ่านผู้จัดการมรดกได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะตัดสินใจต่อจากนั้นเอง”

   จากคำบอกเล่าที่ได้มาคือพ่อของพิชชาไม่ทำพินัยกรรมเอาไว้ แล้วพอเทียบตามหลักของทายาทผู้ได้รับมรดกแล้วมันมีปัญหาเรื่องความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย หรือพูดง่ายๆ ว่าพิชชาไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นบุตรในทางกฎหมายของผู้เป็นบิดา ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม

   เพราะงั้นหลังจากผู้เป็นพ่อเสียแล้วทางญาติคนอื่นเลยเคลมมาว่าสมบัติควรเป็นของพี่น้องมากกว่า เอาแค่พื้นที่ส่วนของที่พักอาศัยราคาก็ไม่รู้กี่สิบหรือร้อยล้าน ยังไม่รวมธุรกิจอื่นในนามครอบครัวอีก มันเลยคาราคาซังอยู่ว่าใครควรได้ทรัพย์สินทั้งหมดไปกันแน่

   “ไม่ใช่เรื่องนั้น อาจะมาพูดอีกเรื่อง”

   "คุณอาเอาเวลาไปเคลียร์บัญชีงานแต่งดีกว่านะครับ” ตัดบทสนทนาเสีย พิชชาสะกิดแขนของทิวากาลให้เริ่มออกเดิน “ถ้ามันมาถึงผมแล้วเกิดเงินกองที่ยังไม่ได้แบ่งมันหายไปเราคงต้องคุยกันยาว"

   “เพิ่งเห็นมุมนี้ของคุณ” เอาของทุกอย่างไว้เบาะหลัง หันมาตรวจสอบความเรียบร้อยของเข็มขัดนิรภัยให้กับพิชชา “จะเรียกว่าอะไรดี น่ากลัวล่ะมั้ง”

   “ผมนึกว่าคุณจะคิดอย่างนั้นมาตลอดเสียอีก”

   “ไม่นะ”
   
   บอกออกไปตามจริง เขาไม่ได้มองว่าพิชชาเป็นคนที่น่ากลัว แต่ถ้าจะให้สรุปตามความคิดของตัวเองแล้วมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเหมือนกัน พิชชาเป็นการผสมกันของหลายอย่างจนเขาเชื่อว่าไม่ควรสรุปว่าเขาเป็นอย่างไร “สำหรับผมคุณลึกลับมากกว่าน่ากลัว”

   “นั่นมันดีหรือไม่ดีครับ”

   “อยากให้เป็นอย่างไหนล่ะ”

   “แบบไหนก็เหมือนกันครับ ...คุณเห็นสระตรงนั้นไหม”

   ก่อนจะถึงทางออกปลายนิ้วของพิชชาชี้ไปทางมุมหนึ่งในบ้านหลังใหญ่ รอบข้างรายล้อมไปด้วยหญ้าสีเขียวชอุ่ม มีสิ่งขัดตาอยู่อย่างเดียวคือรูปปั้นกรีกซ่อนกลไกของน้ำพุเอาไว้

   “เพิ่งลอยอัฐิไปแค่สามวันมันก็โผล่มาเฉย” ท้ายเสียงขมขื่น มือยกขึ้นกวาดไปมาบนอากาศไม่รู้ความหมาย “เห็นว่ากำลังจะหาเรื่องสร้างเพิ่มด้วย”

   “ไหนบอกว่านี่ไม่ใช่บ้านของคุณไง”

   ยังจำได้ดีว่าเขายืนกรานเพียงใดเรื่องเจ้าของสมบัติทั้งหมด

   “ใช่ครับ นี่ไม่ใช่ที่ของผม”

   “...”

   “แต่มันก็ไม่ใช่ของคุณอาเหมือนกัน”



   "อารมณ์ไม่ดีก็อย่ามาลงที่ผม"

   ทิวากาลกับพิชชาผู้กำลังวอร์มร่างกายด้วยการตีน็อคบอลแบบครึ่งสนาม ถ้าดูจากสีหน้าท่าทางแล้วไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก แต่การตีโต้รุนแรงอย่างนี้นี่แหละกำลังบอกเขาว่ามันมีเรื่องน่ากังวลอยู่ข้างใน

   "ขอโทษครับ"

   “ถ้าอยากเล่าเมื่อไหร่ก็บอก”

   เสียงหัวเราะไม่เหมือนใครมาพร้อมกับลูกสักหลาดทำมุมสวย "ช่วงหลังคุณไม่ค่อยถามอะไรแล้วนะครับ"

   "ทำอย่างกับถามแล้วคุณจะบอก" คนเราควรปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ กี่ครั้งแล้วที่ถามแต่ก็ได้เพียงความว่างเปล่ากลับมา "เดี๋ยวคุณก็ทนไม่ได้แล้วก็บอกออกมาเองแหละ"

   หรือถ้าเดินตามทางมันยากนัก

   สักวันเขาคงขับเครื่องบินผ่านมันไป   

   “เล่นเก่งนะ” หลังจากสังเกตผ่านท่าตีฝีมือของพิชชาอยู่ในระดับลงแข่งระดับมือสมัครเล่นได้สบายๆ ต่างจากรูปร่างกระเดียดออกไปทางพวกขี้โรคไม่ชอบเจอแดด

   “ถ้าฝึกฝนไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่ยากเกินไปครับ”

   “บ้านของคุณนี่เป็นพวกชอบให้ลองไปหมดทุกอย่างหรือไง”
   
   ทั้งทำอาหาร เล่นดนตรี แล้วยังกีฬาอีก

   “คุณย่ามีความเชื่อเรื่องพหูสูตครับ”

   “ผมไม่ได้ยินคำนั้นมาเป็นสิบปีแล้วมั้ง”
   
   คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินครั้งสุดท้ายตอนเรียนชั้นประถม ต้องอ่านหนังสืออะไรสักอย่างเกี่ยวกับคุณสมบัติที่ดีหลายสิบประการ แถมยังต้องเอาไปสอบอีกด้วย

   “ไม่ค่อยมีใครใช้หรอกครับ อีกอย่างสมัยนี้อยากรู้อะไรก็เปิดอินเทอร์เน็ต”

   จบการการน็อคครึ่งสนามแล้วก็ได้เวลาเล่นแบบเต็ม ทิวากาลคุมฝีมือของตัวเองให้อยู่ในระดับการตีเล่นเอาไว้ก่อน นิสัยไม่มีที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ชอบทำเหมือนกับว่าไม่ถนัดแล้วค่อยตลบหลัง  ก็เขารำคาญพวกชอบอวดดีไปทั่ว ให้มันเจอของจริงเสียบ้างจะได้รู้ขอบเขตความสามารถของตัวเอง

   แต้มแรกในเกมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายเสิร์ฟเอสมาแทนการทักทาย คนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมกระตุกยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า ส่วนอีกฝั่งนั้นเตรียมพร้อมสำหรับลูกถัดไปแล้ว

   เอาใหม่

   ไม่ใช่ในระดับมือสมัครเล่นทั่วไป แต่เป็นฝีมือของคนเล่นได้ในระดับดีเลยล่ะ

   คราวนี้คงไม่ใช่เวลามาออมมือให้อีกแล้ว ตั้งสติเตรียมรับลูกถัดมาเต็มที่ ส่วนด้ามที่มักจะกำเอาไว้หลวมๆ คราวนี้กระชับมากกว่าปกติ

   หมดเซตแรกไปด้วยชัยชนะของชายผมยาว ตามมาด้วยการเอาคืนได้ในเซตสองของทิวากาล หน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่วางไว้บนเก้าอี้นั่งพักบอกว่าการแข่งขันปาเข้าไปเกือบยี่สิบห้านาทีแล้ว และทั้งคู่เห็นตรงกันว่าก่อนเริ่มเซตตัดสินก็ควรพักกันเสียหน่อย

   “ผมยุ่งหมดแล้ว” เสยผมยาวรุงรังขึ้นไปข้างบน ถือวิสาสะคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กตรงไหล่ของอีกคนมาซับหยดเหงื่อตามช่วงหน้าไล่ลงมาจนถึงลำคอ มือหยุดกึกเมื่อเห็นผิวขาวเสียดสีกับสร้อยจนขึ้นรอยแดงชัด “บอกแล้วว่าให้ถอดก่อน แดงหมดแล้วนั่น”

   “นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกครับ”

   “เกือบเป็นรอยถลอกแล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” พอแตะลงไปตรงรอยแดงเจ้าของร่างก็ร้องประท้วงกลับมา “ไม่เจ็บแล้วร้องทำไม”

   “อยู่ดีๆ คุณก็แตะตัวผมอย่างนี้ไม่ให้ร้องได้ยังไงล่ะ!”

   เลิกคิ้วขึ้นสูงพอได้ยินอย่างนั้น “ตกใจเหรอ?”

   “ใครจะไม่ตกใจล่ะครับ” เห็นพิชชาทำหน้ายุ่งอย่างนั้นก็ยิ่งอยากแกล้ง เลยกดลงไปซ้ำตรงตำแหน่งเดิมแถมยังลากปลายนิ้วไปตามเส้นสีแดงนั้นอีก

   “ราชา!”

   ยกมือทั้งสองขึ้นบอกยอมแพ้ ก็เล่นเรียกชื่อเขาเสียงดุอย่างนั้นจะให้แกล้งต่อก็กลัวว่าไม้แร็กเก็ตในมือของอีกคนจะฟาดเข้ามาเต็มแรง พอเห็นว่าอาการของชายผมยาวสงบลงแล้วเขาเลยกลับไปซับเหงื่อให้ต่อ กลิ่นของน้ำหอมผสมเข้ากับกลิ่นส่วนตัวจนกลายเป็นกลิ่นน่าหลงไหล

   “เล่นอีกเซตพอ”

   ความคิดชั่ววูบน่ากลัวจนต้องรีบยัดผ้าขนหนูผืนเล็กใส่มือของของอีกคน เลี่ยงไปทางกระเป๋าเก็บอุปกรณ์ของตัวเองพลางหยิบขวดน้ำแร่ขึ้นดื่มดับความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

   ...เผลอคิดไปว่าถ้าได้สูดกลิ่นจากผิวเนื้อมันจะหวานเหมือนกันหรือไม่

   “ไทร์เบรกอีกแล้วนะครับ”

   เซตที่สามยืดเยื้อกว่าสองเซตก่อนหน้า เมื่อทั้งคู่ยังเสมอกันจนถึงไทร์เบรกที่สาม ต่อให้บอกว่าอยากออมแรงเอาไว้แต่สัญชาตญาณอยากเอาชนะมันก็สั่งให้ห้ามยอมแพ้ ชีวิตของคนไม่เคยแพ้ก็อย่างนี้แหละ พอเห็นลางว่าตัวเองอาจแพ้ก็จะฮึดสู้ขึ้นมาอีก

   “คุณก็ยอมแพ้เร็วๆ สิ”

   เกมที่ยังไม่ได้รับการตัดสินแพ้ชนะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด กลับกันชักสนุกกับสภาวะกดดันที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ หากพลาดหรือว่าตัดสินใจช้าแค่เสี้ยววินาทีเขาจะกลายเป็นผู้ปราชัย

   เหมือนหมากกระดานนั้น

   “โอ้ ผิดจากที่คาดเอาไว้นะครับ”

   ท้ายที่สุดเกมจบลงด้วยลูกหยอดของพิชชา ทิวากาลยกมือขึ้นเสยผมที่ลงมาปรกหน้า ไม่รู้ว่าหงุดหงิดที่ไม่ยอมวิ่งเข้าไปรับลูกหรือว่าความยาวของเส้นผมตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาชอบตัดผมให้สั้นอยู่เสมอเพราะมันง่ายต่อการรักษา เพียงแต่ช่วงหลังไม่ค่อยว่างจนปล่อยให้ยาวไปเรื่อยๆ

   “ผมพลาดเองแหละ”

   “คุณต่างจากเดิมเยอะเลยนะครับ” ผมที่มัดเอาไว้เป็นหางม้าหลุดลุ่ยจนต้องมัดใหม่ ยามผมหยักศกเป็นเงาทิ้งตัวลงนั่นถึงคล้ายกับพิชชาคนเดิม “ไม่อย่างนั้นคงต้องโวยวายไปแล้ว”
   
   “ทำไปแล้วได้อะไรขึ้นมา”

   เห็นผมมัดรวมตึงอย่างนั้นแล้วรู้สึกขัดใจจนต้องช่วยจัดแต่งให้มันเป็นธรรมชาติมากขึ้น ท่องบอกตัวเองว่าอย่าสูดกลิ่นผสมที่ทำให้เคลิ้มอย่างนั้นเข้าไปอีก เขาแค่ไม่ชอบทรงผมนั้น ก็พอทำอย่างนี้แล้วมันเหมาะกว่าตั้งเยอะนี่นา

   “โตขึ้นแล้วนะครับราชา”

   “พูดเหมือนคุณแม่ที่คอยดูพัฒนาการลูก”

   “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงครับ” ช่วงตายิ้มหยีจนกลายเป็นสระอิ ไม่เคยเห็นด้านนี้ของพิชชาตอนอยู่กับคนอื่น ผู้รู้แสนเงียบขรึม ชอบส่งยิ้มบาง แล้วก็ไม่น่าอยู่ใกล้
   
   “ทำตัวเป็นคนโรคจิตคอยตามเรื่องของผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วล่ะ”

   พอพูดถึงใบหน้าพ่อรองเดือนมหาวิทยาลัยก็ลอยเข้ามาในสมอง หรือเป็นเพราะเขาชอบล่อลวงให้ที่หนึ่งคอยตามติดน้องของตัวเองคราวนี้มันเลยเป็นทิวากาลบ้างที่โดน

   “ผมไม่ใช่คนโรคจิตนะครับ”

   “ผมถามระยะเวลา”

   “อยากให้นับจริงเหรอครับ?”

   กี่ครั้งแล้วที่พิชชายิ้มหยันอย่างนั้น คนตัวเล็กกว่าไม่กี่เซนต์ถอยหลังทีละก้าวโดยไม่ละสายตาออกไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย ระยะห่างกันออกไปเรื่อยๆ บอกทิวากาลว่านั่นคือช่องว่างระหว่างเขาทั้งคู่เช่นกัน

   “ถ้าคุณคิดว่ารู้จักน้องของตัวเองดี ...ผมเชื่อว่าตัวเองก็รู้จักคุณดีไม่ต่างกันเลย”

   “...”

   นั่นคือคำที่ทิวากาลเคยบอกกับน้อง เขารู้จักน้องทุกคนดีเสมอ

   “ผมยังรอให้คุณรู้จักผมอยู่นะครับราชา”

   เสียงร้องจอแจดึงความสนใจของทั้งคู่ ทางเข้าคอร์ดมีเด็กตัวเล็กคาดคะเนอายุแล้วไม่น่าเกินชั้นประถมต้นสี่ห้าคนเดินเรียงเข้ามาโดยไร้วี่แววผู้ดูแล ชุดกีฬาสำหรับเด็กครบชุดพร้อมกับสะพายกระเป๋าแร็กเก็ตเด็กเอาไว้ พอหันไปมองทางประตูอีกครั้งถึงเห็นว่ามีหญิงสาวอีกคนเดินตามพร้อมกับตะกร้าบอลขนาดใหญ่ หล่อนเอาแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ของตัวเองไม่ได้สังเกตว่าหนึ่งในเด็กน้อยหยุดเดินกะทันหันเพื่อก้มลงไปผูกเชือกรองเท้า

   แม้จะขยับตัวออกไปแล้วแต่ทิวากาลก็เข้าไปหยุดเหตุการณ์ตรงหน้าไว้ไม่ทัน พริบตาเดียวหลังจากความคิดว่าจะต้องมีคนเจ็บแน่สิ่งที่เขาเห็นคือร่างของชายเสื้อขาวตรงเข้าไปกอดเด็กตัวเล็กเอาไว้แล้วปล่อยให้รถเข็นคันโตกระแทกกับตัวเองแทน

   “พิช!”

   เขาไม่รู้เลยว่าเสียงที่ร้องออกไปกับเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นไม่มีหยุดอันไหนมันดังกว่ากัน


***
   พิมพ์ได้เกือบครบทั้งตอนแล้วค่ะ แต่พอดีเจ้ามีประชุมด่วนพรุ่งนี้เลยยังลงได้ไม่ครบทั้งตอน ขอหนีไปทำหน้าที่ชดใช้กรรมแล้วจะรีบกลับมาอัพตอนต่อไปนะคะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-1 [21.10.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-10-2016 00:15:47
ที่บอกว่ามองแบล็คแล้วเห็นสีดำสนิท คือ มองเห็นตัวเองรึเปล่า เพราะเคยบอกว่าชื่อแปลว่าสีดำสนิท
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-2 [24.10.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 24-10-2016 13:22:24
CH.9-2

   “ไม่ได้หาหมอตั้งหลายปีแล้วนะเนี่ย”

   “ยังยิ้มได้อีกนะ”

   ส่ายหัวเอือมระอาพลางยกถุงยาที่เพิ่งรับมาตีเข้าไปตรงหน้าผาก สภาพของ ‘คนป่วย’ ดูไม่จืดเท่าไหร่ แขนข้างขวาต้องใส่เฝือกอ่อนเอาไว้ประมาณหนึ่งเดือน ยังไม่รวมถึงรอยช้ำอีกหลายจุด หมอเองก็บ่นไปหลายยกแถมยังกำชับเรื่องวิธีการดูแลแผลมาอีกเป็นสิบนาที

   โชคดีคือเด็กคนนั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดช่วน ส่วนฮีโร่ผู้เอาทั้งตัวเข้าไปป้องกันนั้นไม่ได้ใส่เฝือกจากการเข้าไปรับแรงกระแทก แต่เกิดจากการที่เอามือลงไปยันพื้นผิดท่าต่างหาก
   
   “ทำหน้าเศร้าไปแขนก็ไม่หายเร็วขึ้นครับ”

   “อย่างน้อยก็ทำเหมือนคนแขนหักหน่อย”

   “ผมเป็นคนแขนหักอยู่ต่างหากครับ ไม่ต้องแสดงละครเลยล่ะ” แขนข้างขวาที่ใส่เฝือกแบบอ่อนเอาไว้ขยับนิดหน่อยให้รู้ว่าเป็นคนป่วยจริง “แล้วคนที่ไม่ได้เจ็บตรงไหนทำไมทำบึ้งอย่างนั้นล่ะครับ”

   “ผมไม่ชอบโรงพยาบาล” โดยเฉพาะรอบล่าสุดที่ต้องมาเป็นคนป่วยเสียเอง “ไม่เห็นเจริญหูเจริญตา”

   “แต่ที่นี่ให้อะไรผมเยอะแยะเลยนะครับ”

   “เช่น”

   “ให้เลือดของผมต่อชีวิตคุณเอาไว้”

   ร่างกายแม้จะไม่มีเลือดของอีกคนไหลเวียนอยู่กลับร้อนวาบ ย้อนกลับไปคิดถึงวินาทีที่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ด้วยการหยิบยื่นโอกาสของใครบางคน คนที่รู้จักเขาดีกว่าใคร...

   "ผมเลิกคิดว่าคุณทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรแล้วพิชชา" หัวเราะแห้งให้กับตัวเอง หมากแทนคิงบนกระดานยังคงอยู่ตรงนั้น และเขาไม่มีทางยอมแพ้จนกว่าจะหมดทางรอด “น่าเสียดายนะ บางทีถ้าคุณเจ็บหนักกว่านี้ผมอาจได้บริจาคเลือดให้คุณบ้าง”

   นัยน์ตาสีแปลกเป็นประกายวาววับ ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้สบมันไม่เคยเสไปที่อื่น

   คนเดียวที่กล้ายืนหยัดสู้กับราชา

   “...แล้วเราจะได้หมดหนี้บุญคุณกันสักที”

   “ผมไม่ยอมให้หนี้ของเราหมดง่ายๆ หรอกครับ”

   "...”

   “ผมจะทำให้คุณต้องอยู่กับผมไปตลอดชีวิตเลย”

   "มั่นใจอะไรขนาดนั้น ...ไปกันได้แล้ว"

   ทำแขนเป็นมุมฉากให้คนเจ็บได้เกาะเอาไว้ แล้วความหวังดีก็โดนปฏิเสธกลับมา ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็จะไม่ยอมรับความช่วยเหลืออย่างนั้นล่ะสิ

   “ที่จริงผมก็บรรลุนิติภาวะแล้วนะครับ ทำไมยังต้องมีผู้ปกครองคอยดูแลอีกล่ะ”

   "เพราะพอไม่มีคนดูแลถึงเจ็บอย่างนี้ไง"

   "แล้วสนใจมาเป็นคนดูแลผมไหมล่ะครับ"

   ประโยคที่ฟังแต่เสียงแล้วไม่ต่างจากเรื่องล้อเล่นจนต้องลอบมองจากด้านข้างว่าแสดงผ่านสีหน้าอย่างไรบ้างเป็นการประกอบ

   "เป็นแล้วหนี้จะลดลงไหมล่ะ?"

   "อืม...จะเก็บไว้พิจารณาแล้วครับ"

   หวังว่าที่ลงทุนไปจะไม่เสียเปล่านะ



   “อันนี้แทนคำขอบคุณที่พาผมมาหาหมอ”

   ตัวเลขดิจิตอลบนส่วนหน้าของรถบอกว่าตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้ว หลังจากฝากท้องมื้อเย็นไว้กับร้านอาหารภายในโรงพยาบาลเพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนมันก็เป็นหน้าที่ของเขาในการขับรถกลับไปส่งอีกคน อ้อ แล้วก็มีรถอีกคนคอยตามตลอดเวลาด้วย

   ทำอย่างกับไม่เห็นว่าตามมาตั้งแต่เช้า เป็นงานที่คิดแล้วน่าเบื่อแกมขวัญผวาอยู่ไม่น้อย อย่างนี้คนน้องจะโดนตามเหมือนกันหรือเปล่า แต่คิดว่าคนที่รับงานไปคงมีความสุขกับการได้ตามคนน้องมากกว่าคนพี่ เหมือนอย่างคนนั้นที่พูดเรื่องคำสาปขึ้นมาไง สรุปแล้วพิชชานี่เป็นผู้หยั่งรู้หรือว่าพ่อมดมนต์ดำกันแน่

   พิชชาก็อายุยี่สิบกว่าเข้าไปแล้วทำไมต้องตามติดขนาดนี้ ทำเป็นผู้ปกครองที่กลัวหลานหนีออกจากบ้านไปได้

   หรืออยากให้หลานหายไปก็ไม่รู้สิ

   รับถุงกระดาษสีดำใบเล็กที่ไม่ทันเห็นว่าถือมาตั้งแต่เมื่อไหร่ถูกส่งมาให้อย่างทุลักทุเล ทิวากาลยื่นมือออกไปรับมันไว้ก่อนหล่นได้หวุดหวิด
   
   ทำหน้าสงสัยส่งไปให้ คำตอบที่ได้กลับมาคือยิ้มเย็นอย่างเดียว

   “ดอกไม้แห้ง?”

   ในถุงมีซองผ้าใบสีขาวเย็บมุมเอาไว้อย่างดี ส่วนปากถุงก็ผูกเอาไว้ด้วยเชือกไม้เส้นบางทำเป็นรูปโบว์เสมอกันทั้งสองข้าง งานประณีตไม่เหมือนกับของออกขายทั่วไป กลิ่นแรกที่ได้รับคือความเป็นธรรมชาติต่างกับทุกกลิ่นที่เคยได้รับเมื่อครั้งก่อน

   “ถุงบุหงาครับ จะหอมกว่าแบบนั้นเพราะว่าไม่ได้เติมกลิ่นลงไป” อธิบายได้คล่องแคล่วสมกับเป็นหลานชายตระกูลเก่าแก่ที่ยังทำน้ำลอยดอกมะลิดื่ม “อาจอยู่ได้ไม่นานเท่าแต่เรื่องกลิ่นชนะขาดครับ”

   “คุณต้องว่างขนาดไหนถึงนั่งทำของแบบนี้ได้” กว่าจะเลือกดอกไม้ เอาไปเข้ากรรมวิธีจนได้เป็นดอกแห้ง แล้วยังทำบรรจุภัณฑ์ต่ออีก สำรวจอีกเล็กน้อยก่อนวางมันลงตรงส่วนหน้าปัดรถ

   “เผื่อว่าภัสขึ้นคราวหน้าจะได้ไม่บ่นอีกไงครับ”
   
   พอชื่อของเด็กคนนั้นออกจากปากพี่ชายก็ชวนให้คิ้วกระตุก เด็กคนนั้นไม่แสดงอาการอะไรออกมาอีกแม้กระทั่งช่วงเวลาโบกมือลาเพื่อที่เดินเข้าคอนโด  มันมีเพียงความราบเรียบประดับอยู่จนภัสสร์กลายเป็นตุ๊กตาที่ไม่อาจเปลี่ยนสีหน้าได้

   “สรุปแล้วภัสนี่เรียนอยู่ชั้นไหนนะ จะเข้ามหาลัยหรือยัง”

   “อยู่มัธยมห้าครับ เรื่องเรียนต่อคงไม่ทำ”

   “หืม?”

   น่าแปลกใจจนต้องรอให้คนเป็นพี่อธิบายต่อ

   “ที่คุยไว้ล่าสุดเขาว่าอย่างนั้นนะครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนใจหรือยัง”

   “บ้านคุณพิลึกมากเลยพิชชา” กะจะไม่พูดแล้วแท้ๆ สุดท้ายเจอเรื่องลูกชายคนเล็กจะไม่เรียนต่อเข้าไปถึงกับอดไม่ได้ “บ้านของผมแพ้ขาดลอย”

   ถนนเวลากลางคืนเงียบสงัด ความมืดปกคลุมรอบข้างจนกลายเป็นบาเรียคอยป้องกันไม่ให้ทุกอย่างเล็ดลอดออกไปได้

   “ถ้าเรามองว่าทุกคนแตกต่าง มันก็ไม่มีใครบัญญัติศัพท์คำว่าพิลึกขึ้นมาหรอกครับ”

   “จะบอกว่าคุณปกติ?”

   “อืม คนที่บอกว่าตัวเองไม่ปกตินี่มีเหรอครับ”

   เพลงยุคเก้าศูนย์เริ่มคุ้นหู อย่างเพลงนี้ก็เปิดซ้ำบ่อยจนร้องคลอตามได้แล้วแม้ไม่เคยอ่านเนื้อร้องเลยก็ตาม

   “ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้ผู้ปกครองภัสสร์ก็ต้องเป็นคุณสิ”

   “ตามหลักแล้วควรเป็นอย่างนั้นครับ แต่ว่าคนคอยดูแลจริงๆ คือพี่กาย”

   “เห?” น่าประหลาดใจจนต้องร้องออกมา “ถ้าอย่างนั้น...”
   
   พิชชาคงรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องไหน “หลังจากนี้ผมคงต้องดูแลเองแล้วล่ะครับ”

   “ภัสก็เก่งนะ”

   ต้องเข้มแข็งแค่ไหนถึงยืนหยัดอยู่ในงานแต่งงานของพี่กายได้โดยไม่แสดงอาการผิดปกติอะไรออกมา หลังจากช่อดอกไม้นั้นมีเจ้าของแล้วภัสยังยืนอยู่เดิมจนกระทั่งจบงาน มีบ้างที่หันไปมองทางอื่น แต่สุดท้ายแล้วความสนใจมันก็ยังอยู่กับคนบนเวที

   เพราะญาติพักอยู่ที่โรงแรมต่ออีกวัน เขาเลยไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมีเรื่องสนุกอย่างอื่นเกิดขึ้นหรือไม่ ลองคิดดูแล้วควรจะเรียกว่าหลังจากวันนั้นเขายังไม่ได้เจอเด็กอวดดีคนนั้นเลย

   มีแต่คนพี่นี่แหละวนเวียนไม่ไปไหน

   "ภัสเก่งเสมอครับ ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้"

   "ทำไมคุณไม่เตือนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะ เรื่องแค่นี้น่าจะมองเห็นไม่ใช่เหรอ"

   ความสามารถไม่มีใครเหมือน เขาไม่อยากคิดว่าสิ่งที่พิชชาเคยบอกไว้เมื่อครั้งก่อนมีความนัยอะไรแฝงอยู่หรือไม่ คำว่า 'สีดำสนิท' ที่บอกมีความหมายคือมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดหรือว่ามันจะมีความหมายตามชื่อเล่นของอีกคน

   ดีเจคลื่นวิทยุบอกชื่อเพลงถัดไปที่กำลังจะเล่น หนึ่งในเพลงโปรดตลอดกาลของบิดา เพลงจากวงร็อคชื่อดังจากเกาะอังกฤษ

   "บางเรื่องพูดไม่ได้ครับ"

   พอพิชชาพูดคำเดิมออกมาซ้ำๆ เขาก็เริ่มเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น "เพราะผมทำได้แค่รู้ แต่เข้าไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้"

   คนที่รู้ ไม่ได้หมายความว่าจะพูดออกไปได้

   พูดไม่ได้หรือเลือกไม่พูด

   "ต่อให้รู้ว่าข้างหน้าเป็นเหว ภัสก็เต็มใจเดินต่อ"

   "พูดคล้ายกับหนังสือที่ผมเคยอ่าน"

   ความรักคือหลุมลึกที่ไม่มีทางปีนขึ้นมาได้อีกครั้ง

   "มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับที่ต้องมายืนดูแต่พูดออกไปไม่ได้"

   "มนุษย์เป็นคนกำหนดชะตาของตัวเอง"

   "ไม่จริงครับ ถ้ามนุษย์สามารถทำอย่างนั้นได้จริงเราคง..." ปลายเสียงถูกดูดหายไป พิชชาเม้มปากของตัวเองเอาไว้แน่น เงาสะท้อนกลับมาจากกระจกสีดำไม่ช่วยให้ความกระจ่างสักเท่าไหร่

   เพลงจังหวะช้ากับเสียงของนักร้องเข้ากันได้ดีจนไม่มีที่ติ เนื้อเพลงมีความหมายเกี่ยวกับคนพิเศษในชีวิต คนที่เป็น 'สิ่งมหัศจรรย์' ในวันปกติธรรมดา

   "...แต่คุณอาจทำมันได้นะครับราชา"

   Because maybe

   You're gonna be the one that saves me

   And after all

   You're my wonderwall

 


   “กลับมาแล้วครับ”

   สิ่งแรกที่พิชชาทำไม่ใช่การถอดรองเท้าหรือว่าเปิดไฟบ้าน แต่เป็นการส่งเสียงทักทายให้กับความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่ว ไฟอัตโนมัติตามทางเริ่มทำงานจนเหมือนกับว่าบางสิ่งกำลังตอบรับคำทัก

   “คนดีไซน์บ้านเก่ง” ชมจากใจจริง ถ้าพูดในส่วนของการวางโครงสร้างสิ่งจำเป็นพื้นฐานนะ แต่ให้พูดในฐานะคนมีสมาชิกห้าชีวิตอยู่ในบ้านขนาดเล็กกว่านี้ไม่รู้กี่เท่าแล้วคงไม่มีอะไรมากไปกว่าจะสร้างให้ใหญ่โตไปทำไมในเมื่อคนที่อาศัยอยู่มีแค่ไม่กี่ชีวิต

   “ตอนแรกที่สร้างคุณย่าตั้งใจให้อยู่กันพร้อมหน้าน่ะครับ ก็ไม่แปลกนะ พอโตขึ้นแล้วทุกคนก็ต้องการความเป็นส่วนตัว”

   “ถ้าย่าคุณรู้คงเสียดายแย่”

   “มันก็มีข้อดีแหละครับ เช่นพิสูจน์เรื่องกล่องความโลภของแพนโดรา”

   ดูจากเครื่องใช้ทั้งหมดแล้วมันก็ล่อตาล่อใจอย่างที่บอก ลองประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ บวกกับความรู้ที่มีสมัยยังตามติดคนเป็นพ่อออกไปตรวจงานตามพื้นที่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าสมบัติทั้งหมดในบ้านหลังนี้เมื่อตีมูลค่าเป็นเงินมันมหาศาลเสียจนไม่อยากนับ

   "ของวางไว้ที่ไหน"

   "วางไว้ตรงนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวออกไปส่งคุณแล้วผมกลับมาเก็บเอง"

   ของทุกอย่างที่เป็นของพิชชาถูกวางรวมกันไว้ตรงโซฟาตัวเดิม พอได้ยินอย่างนั้นทิวากาลเลยทิ้งตัวลงกับที่นั่งตัวใหญ่ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาส่งข้อความไปหาบิดาว่าวันนี้คงกลับบ้านดึก คือที่บ้านไม่ได้มีใครเฝ้าหรอก เขาก็แค่อยากทำให้คนเป็นพ่อสบายใจว่าลูกชายคนโตไม่ได้เถลไถลไปไหนโดยไม่บอกกล่าว

   "อยากพักก่อนเหรอครับ"

   "เปล่า"

   "งั้นมีเรื่องด่วนอะไรหร..."

   “คิดว่ามือเจ็บอย่างนั้นทำอะไรสะดวกหรือไง”

   แทรกขึ้นมากลางประโยค สายตายังคงจับจ้องอยู่ตรงแป้นคีย์บอร์ด หลังจากรายงานความประพฤติเรียบร้อยแล้วก็ตรวจสอบว่ามีข้อความไหนเร่งด่วนหรือไม่ ไล่ลงมาจนถึงห้องสนทนาลำดับล่างสุดที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ชื่อตัวแทนไม่คุ้นแถมยังส่งข้อความสุดท้ายมาเป็นสติกเกอร์เขาเลยไม่รู้ว่าการทักครั้งนี้มีจุดประสงค์อะไร

   "ก็ได้อยู่นะครับ ไม่ได้ลำบากอะไรมาก"

   "จะเก็บของยังไง เดี๋ยวต้องอาบน้ำอีกไม่ใช่เหรอ"

   ให้สาธยายอีกร้อยแปดก็ได้ว่าคนป่วยแขนเจ็บที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวจะต้องเจอกับความลำบากอะไรอีกบ้าง ไม่คิดหน่อยหรือไงว่าตัวเองอยู่บ้านคนเดียว แถมยังไม่มีใครกล้าเข้ามาข้างใน คนงานกี่สิบคนนั่นไม่มีทางย่างกรายเข้ามาช่วยหรอก

   เงยขึ้นมามองเจ้าของบ้านผู้อยู่ในสภาพเสื้อกีฬามอมแมม มีเฝือกอ่อนอยู่ตรงแขนขวา ใบหน้าไม่เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อมากนักน่าหงุดหงิดเสียจนต้องบอกตรงๆ

   “เดี๋ยวช่วยสระผมให้”

   “เห...”จากความว่างเปล่าแปรเป็นรอยแย้มละไม “ฝากด้วยนะครับราชา”

   “บอกแล้วนะว่าผมไม่เก่ง”

   “ก็ต้องฝึกไงครับ”

   คราวนี้ต้องระวังมากกว่าครั้งก่อนเพราะว่าแขนขวาของพิชชาไม่ควรโดนน้ำ ถึงเอาพลาสติกมาคลุมไว้แล้วมันก็ยังต้องรัดกุมอยู่ดี พิชชานั่งลงหลังพิงกับขอบอ่างส่วนทิวากาลนั่งอยู่ด้านในเช่นเดิม มือเอื้อมไปหยิบทั้งแชมพูแล้วก็ครีมนวดมาไว้ข้างตัวไม่ต้องรอคำสั่งจากเจ้าของบ้านอีกแล้ว

   ทำตามสเต็ปไปจนกระทั่งเจอปัญหาแบบเดิมตอนสระผม มือของเขาเข้าไปพันยุ่งเหยิงอยู่ในกลุ่มผมของอีกคนทั้งที่บรรจงสระไปทีละน้อยแล้วแท้ๆ

   “ไปตัดผมเลยนะ”

   "ไม่ครับ"

   "ดื้อ"

   "ผมมีอุดมการณ์ชัดเจนครับ"

   "ต่อชีวิตคนอื่นอย่างที่บอกน่ะเหรอ"

   ไม่เคยได้ยินความเชื่อเรื่องนี้ เคยได้ยินแค่ว่าตัดผมแล้วจะป่วย

   "ก็ใช่อยู่นะครับ"

   "แล้วถ้ามีคนตัดผมไป ชีวิตของคนๆ นั้นจะดับไปงั้นสิ"

   พิชชาหัวเราะร่า "ไม่ใช่ในแง่นั้นสิครับ นั่นมันออกจะเกินจินตนาการไปหน่อยนะ"

   "เพื่อนผมเล่าว่าคุณเคยแช่งคนที่มาตัดผม"

   "โอ้ เรื่องนั้นยังมีคนเล่าอยู่อีกเหรอครับ" เป็นวิธีการปฏิบัติต่อเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเองที่ทิวากาลไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าโดนใส่ความในเรื่องเท็จปฏิกิริยาที่กลับมามันควรเป็นการปฏิเสธหรือไม่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่เหมือนกับสิ่งที่พิชชากำลังทำ สนุกและเพลิดเพลินไปกับการได้ยินเรื่องราวหลอกลวงพวกนั้น

   "แสดงว่าเรื่องจริง?"

   "แล้วตอนที่ฟังครั้งแรกคุณเชื่อหรือเปล่าล่ะครับ"

   “ผมไม่อยากฟังใครอื่น เพราะเรื่องจริงที่ออกจากปากของคุณมันดีที่สุดแล้ว”

   ต่อให้ประวัติของคนพูดจะน่าเชื่อถือมากแค่ไหน มาจากแหล่งข่าวที่เชื่อใจได้แค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีหลักฐานชิ้นไหนดีไปกว่าหลักฐานชั้นต้น

   "งั้นแสดงว่าถ้าผมเล่าอะไรไปคุณจะเชื่อว่าผมพูดจริง?"

   "คุณไม่มีเหตุผลที่จะโกหก"

   นั่นไม่ใช่นิสัยของพิชชา อย่างมากก็แค่หาเรื่องพูดในบริบทกว้างให้ไปคิดเอาเองว่าควรจะตีความว่าอย่างไร ไม่มีสักครั้งที่โกหกออกมา ทิวากาลผ่านมาเยอะ ขนาดน้องสาวฝาแฝดของตัวเองที่ไม่เคยมีใครอ่านออกยังไม่รอดไปจากสายตาเลย กับแค่ผู้ชายผมยาวคนเดียวทำไมจะแยกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องเล่าปากต่อปาก

   "ซึ้งใจจังเลยครับ โอ้ะ!" คนแขนเจ็บทำหน้ายิ้มล้อเลียน น่าหมั่นไส้จนแกล้งสะบัดน้ำใส่ "เดี๋ยวเข้าตาล่ะยุ่งนะครับราชา"

   "นั่นเป็นเรื่องของคุณ"

   "ใจร้ายจังนะ คนเป็นคิงนี่ต้องดูแลประชาราษฎร์ให้ดีสิครับ"

   "กับคนที่จะมาล้มผมนี่ยังต้องญาติดีอีกเหรอ"

   ยิ่งสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่ คนที่อยู่ข้างกันมันยิ่งน้อยลง

   และคนที่อยากจะทำลายเพิ่มขึ้นทุกที

   "เอาเถอะ หักลบกับวันนี้ผมจะมองว่าคุณใจดีต่อไปแล้วกัน"

   "...?"

   “ผมไม่ได้สลบนะครับ ทำไมจะไม่รู้ว่าคุณเรียกชื่อผมดังแค่ไหน”

   ตอนพุ่งเข้าไปรับแรงกระแทกแทนเด็กอีกคน เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากต้องวิ่งไปตรงนั้นให้เร็วที่สุด

   “ขอบคุณครับราชา”

   "คุณบอกเองว่าผมต้องดูแลคนของผม"

   กลิ่นของแชมพูหอมคล้ายกลิ่นดอกไม้ชนิดหนึ่ง หลังจากครบขั้นตอนการดูแลเส้นผมแล้วก็ได้เวลาเช็ด ใบหน้าของลูกค้าร้านสระผมมีหยดน้ำบางส่วนยังเกาะตามกรอบหน้าไม่ยอมไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วง หยิบผ้าขนหนูมาซับมันอย่างเบามือที่สุด

   "สระผมก็น่าเบื่อ แล้วยังต้องมาเช็ดผมอีก"

   "ชินแล้วครับ"

   "ผมไม่มีทางชินกับอะไรอย่างนี้ได้แน่"

   "แต่ผมของคุณก็เริ่มยาวขึ้นแล้วนะครับ"

   "นั่นเพราะต้องมาปวดประสาทอยู่กับคุณไง"

   แกล้งโปะผ้าลงไปตรงปิดทั้งหน้าแล้วก็ยีหัวไวๆ จนได้ยินเจ้าของผมยาวสวยร้องประท้วง

   "เช็ดอย่างนั้นมันไม่ได้ช่วยให้ผมแห้งเร็วขึ้นนะ!"

   "ไม่เชื่อฝีมือของผมเหรอ"

   "มันเป็นเรื่องปกติต่างหากครับ"

   หัวเราะเบาๆ ให้กับเสียงกึ่งประชดประชันใต้ผ้าขนหนู เมื่อพอใจกับผลงานของตัวเองถึงดึงผ้าออกเผยให้เห็นใบหน้าไร้เครื่องแต่งแต้มที่มีเส้นผมสีดำขลับล้อมเอาไว้ทั้งกรอบหน้า

   และทิวากาลถูกตรึงไว้ยามสบกับนัยน์ตาคู่แปลกนั้น

   ท่ามกลางความเงียบ กลิ่นเครื่องหอมหลายชนิดลอยปนเปดึงดูดให้ราชาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ทุกที จากที่เห็นครบทั้งโครงหน้ามันแคบลงไปจนเห็นเพียงบางส่วน ไม่อาจละลายตาออกไปจากช่วงตาสีสวย ไม่ต่างกับปลายจมูกที่กำลังสัมผัสกันบางเบา

   จังหวะการหายใจที่เคยแตกต่างหลอมจนเป็นจังหวะเดียว เสียงสายน้ำไหลกลายเป็นเพลงสร้างบรรยากาศจนไม่อยากพูดอะไรออกมาขัด รู้ตัวดีว่าหากขยับอีกแค่นิดเดียวเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้น

   ไม่อยากยอมรับว่าอยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง

   “...ผมแนะนำให้คุณหยุดครับ”

   และทิวากาลหลุดออกมาจากภวังค์ของตัวเองได้ด้วยคำเดียวของพิชชา

   “เพราะถ้ามันมากไปกว่านี้”

   ริมฝีปากสัมผัสกันในเสี้ยววินาทียามอีกฝ่ายขยับ เสียงออกมาแห้งผากคล้ายคนไร้ชีวิต และนัยน์ตาที่สะท้อนเขาอยู่ข้างในมันก็แสดงออกมาทุกสิ่ง

   “มันไม่มีอะไรดีสำหรับเราสองคน”

   ส่วนรับรู้ของทิวากาลกลับมาทำงานเต็มรูปแบบก็ตอนปิดประตูรถตัวเองเสียงดัง ระบายอารมณ์คุกรุ่นข้างในด้วยการลงแรงกับพวงมาลัยรถจนเกิดเสียง เสื้อเปียกชื้นคอยย้ำเตือนเขาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดฝันไปเอง

   “บ้าชะมัด...”

   คิดถึงคำสุดท้ายของพิชชา เรื่องที่ติดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจและมันคงไม่จางหายไปไหนได้ง่ายๆ

   สูดลมหายใจเข้าไปช้าๆ ตั้งใจจะเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา ผิดแผนก็ตรงที่พอประสาทสัมผัสทำหน้าที่ของตัวเองแล้วถึงรู้ว่าภายในรถเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมละอายอวล

   คล้ายว่าข้างกายเขามีใครอยู่ด้วยตลอดเวลา


***
   มาลงวันนี้เพราะว่าเขียนๆ ลบๆ อยู่หลายรอบตรงช่วงตอนจบนี่แหละค่ะ (หัวเราะ) เจ้าไม่ถนัดบรรยายอะไรพวกนี้เลยจริงๆ มาถึงตอนที่เก้าแล้ว เกือบครึ่งทางสำหรับเรื่องนี้แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณทุกการติดตามเสมอนะคะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-2 [24.10.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 24-10-2016 22:36:43
ชอบๆ ชอบเรื่องนี้จังค่ะ

เวลาอ่าน ต้องค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ทำความเข้าใจ
ห้ามเร่งตัวเองด้วย ละเอียดมาก

พิชดูลึกลับ ลึกลับเหมือนสีดำสนิท
ผูกไว้ซับซ้อนมาก อดทนไว้ (บอกตัวเองค่ะ)
ส่วนแบล็ค แย่แล้ว 555
เอาใจช่วย

ติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

#พิชแบล็ค

 :กอด1: :L2:


หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-2 [24.10.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 25-10-2016 02:14:42
จบไปอีกตอน ที่ไม่ได้รู้เรื่องพิชสักเท่าไหร 5555
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-2 [24.10.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 30-10-2016 01:58:45
รอจ้า ก็ยังคงต้องรอปมเปิดเผยกันต่อไป
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.10-1 [17.11.16] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-11-2016 23:24:10
CH.10-1

   "เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวมารับ"

   "ไม่เป็นไรครับ"

   "ผม มา รับ"

   เน้นทุกคำให้ช้าชัดจะได้ไม่ต้องขัดอีก กดปุ่มปลดล็อครถให้คนทางซ้ายของตัวเอง "แล้วถ้าเลิกช้าก็ส่งข้อความมาบอกด้วย จะได้วนหาที่จอดก่อน"

   "รับทราบครับผม"

   "เย็นนี้อยากกินอะไรก็คิดไว้เลยแล้วกัน"

   คราวนี้แขนข้างที่ยังขยับได้เป็นปกติตะเบ๊ะขึ้นคล้ายการทักทายของทหาร ทิวากาลยิ้มเอือมให้กับวิธีการประชดนั้นพลางยื่นมือไปจัดทรงผมให้เข้าที่ในเวลาเดียวกัน วันนี้พิชชาไม่ยอมมัดผม ปล่อยสยายจนต้องช่วยตรวจสอบให้มันเข้าทรงอยู่เสมอ

   "แล้วเจอกันครับ"

   ประตูรถอีโค่คาร์ปิดลงไปแล้ว พร้อมกับร่างของคนแขนเจ็บเดินหายเข้าไปในตึกคณะของตัวเอง แบล็ครอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายถึงห้องเรียนภาคเช้าแล้วถึงขยับเกียร์พร้อมเคลื่อนตัว กว่าจะถึงคาบเรียนของตัวเองอีกเกือบชั่วโมง ยังมีเวลาเหลือสำหรับเครื่องดื่มยามเช้า

   เพิ่มหน้าที่ดูแลคนเจ็บเพื่อแลกกับการได้ลดจำนวนหนี้ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะช่วยได้จริงหรือไม่ แต่จะให้ใจไม้ไส้ระกำกับคนเจ็บอย่างนั้นมันก็เกินไปหน่อย ลองคิดว่าต้องใช้มือข้างเดียวทำกิจวัตรประจำวันแถมยังไม่มีใครคอยช่วยดูแล ตื่นเช้ามาก็ต้องอาบน้ำทุลักทุเล กว่าจะใส่เสื้อผ้าแล้วมาเรียนจะจดแบบไหน ตอนเย็นต้องทานข้าวคนเดียวอีกหรือเปล่า

   คิดไปคิดมาเลยตั้งตัวเองเป็นพยาบาลพิเศษเสียเลย

   เดินเข้าร้านกาแฟที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทย ต่อให้ไม่ค่อยชอบระบบทุนนิยมมากเท่าไหร่ก็ต้องยอมรับว่าการมีร้านมาเปิดข้างในมหาวิทยาลัยมันช่วยให้ชีวิตคนติดกาแฟอย่างเขาสุนทรีย์ขึ้นเยอะ ไม่อย่างนั้นต้องไปเสี่ยงดวงกับอีกร้านที่มาตรฐานไม่เหมือนกันในการสั่งแต่ละครั้ง

   "กาแฟดำร้อนครับ"

   "แก้วขนาดไหนคะ"

   "กลาง"

   สั่งทุกทีเป็นแก้วเล็ก พอดีตื่นเช้ากว่าปกติอยู่นิดหน่อยเพราะว่าต้องรีบออกไปรับพิชชามาเรียนคาบเช้าให้ทัน ระยะทางจากคอนโดหน้ามหาวิทยาลัยกับบ้านคนเจ็บห่างกันอยู่พอสมควร ขนาดใช้ทางด่วนเพื่อย่นระยะเวลาแล้วยังเกือบยี่สิบนาทีเลย

   เปิดกระเป๋าเงินของตัวเองหาการ์ดแทนเงินสด แผ่นพลาสติกแข็งที่จำได้ว่าเก็บไว้ตรงช่องแรกว่างเปล่า ลองย้อนความทรงจำว่าตัวเองใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่แล้วถึงบางอ้อเมื่อเสียงออดอ้อนของน้องชายคนเล็กเล่นซ้ำอีกครั้ง น้องโรมผู้อยากกินเครื่องดื่มประจำเดือนแต่ว่าไม่อยากออกเงินเอง เอาไปใช้แล้วลืมคืนอีกล่ะสิ อย่างนี้ประจำ

   กล่าวคำขอโทษให้พนักงานที่ยังรอรับชำระเงินอยู่ ช่วงเช้าไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้บริการมากเท่าไหร่นัก เขาเลยมีเวลาพอจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาหาแอปพลิเคชันที่เชื่อมกับบัตรเอาไว้แล้ว ไม่อยากจ่ายเงินสดไปเลยเพราะว่ามันจะไม่ได้นับแต้มเก็บเอาไว้ เชื่อกินขนมได้เลยว่าปีนี้เขาต้องได้เลื่อนขั้นการ์ดขึ้นไปอีกแหง ถ้าจะมาใช้บริการเกือบวันเว้นวันอย่างนี้

   เลื่อนไปจนเจอการ์ดใบที่ใช้อยู่ล่าสุด มันลงทะเบียนไว้หลายใบเนื่องจากบิดาของตัวเองขี้เกียจสมัครใหม่แต่ว่าอยากได้สิทธิ์บางอย่างที่จะได้ต่อเมื่อลงทะเบียนการ์ด กดพร้อมจ่ายเสร็จถึงยื่นไปตรงบาร์โค้ด

   "...ขอโทษนะครับ"

   ยังไม่ทันที่โปรแกรมจะอ่านค่าสัญลักษณ์ โทรศัพท์ของตัวเองก็มีสายเข้าเสียก่อน ทิวากาลรีบหยิบกลับมาตรวจสอบว่าชื่อสายโทรเข้าเป็นใคร พอเห็นว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มเรียนหนังสือของตัวเองเลยต้องรับอย่างเสียไม่ได้

   "ว่าไง"

   (งดเซคครับเพื่อน!!!)
   
   ไม่รู้ว่าดีใจอะไรขนาดนั้นถึงตะโกนผ่านโทรศัพท์จนพนักงานเองยังหลุดขำออกมา ทิวากาลทำหน้านิ่งทั้งที่ข้างในอยากโวยวายออกมา ตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อพบว่าคาบที่กำลังจะเกิดในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงข้างหน้างดอย่างนั้นเหรอ

   "ล้อเล่น?" อาจารย์คนนี้ขึ้นชื่อเรื่องงดคลาสพร่ำเพรื่ออยู่แล้ว ภารกิจในการรับใช้ชาติมากจนต้องงดการเรียนการสอน ส่วนมากจะเป็นการประกาศล่วงหน้าว่าไม่สามารถเข้าสอนได้ ไม่เหมือนครั้งนี้ที่เพิ่งประกาศก่อนเรียนไม่นาน

   (เออ ป้ายหน้าห้องตัวเบ้อเริ่ม ส่งเข้าไปในกรุ๊ปแล้วมีแต่มึงยังไม่ตอบ กูเลยรีบโทรก่อนมึงจะมาเสียเที่ยว)

   "ไม่ทันแล้วสัตว์"

   (อ้าวเหรอ โทษทีนะมึง กลับไปนอนต่อแล้วกัน บาย!)

   มาไวไปไวไม่เหลือช่องให้เอ่ยคำลา ทิวากาลส่ายหัวให้กับโทรศัพท์ หน้าจอกลับมาเป็นคำสั่งชำระเงินด้วยบัตรอีกครั้ง

   อย่างนี้กาแฟดำก็ไม่มีประโยชน์แล้วสิ...

   วันนี้นอกจากคาบเช้าที่โดนยกเลิกฟ้าผ่าแล้วทิวากาลยังมีวิชาเลือกที่ออดิทเอาไว้ตอนบ่าย เนื้อหาวันนี้ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่เพราะเป็นเคยเรียนมาแล้วสมัยชั้นปีที่สอง และคงไม่ขับรถกลับห้องไปนอนเพื่อออกมาอีกที เอายังไงดีนะ

   ใบหน้าของชายที่เพิ่งแยกออกจากกันเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนแวบเข้ามาในความคิด เห็นอยู่แล้วว่าเงินในบัตรมีเพียงพอถึงสั่งรายการอื่นเพิ่ม

   "รบกวนเพิ่มชาอิงลิชเบรคฟาสต์แก้วกลางให้อีกที่ครับ"

   วันนี้ลองไปนั่งเรียนวิชาของเด็กเอกธุรกิจหน่อยแล้วกัน



   ถุงกระดาษสกรีนชื่อร้านเอาไว้หรากับสมุดจดหนึ่งเล่มคือสิ่งที่อยู่ในมือของทิวากาลยามเปิดประตูด้านหลังของห้อง ไม่ต้องเสียเวลาในการหาห้องเรียนเพราะอีกคนเคยบอกเอาไว้แล้ว อาจารย์ประจำวิชาเป็นชายวัยกลางคนที่เอาแต่นั่งสอนอยู่ตรงหน้าจอไม่ได้สนใจเลยว่ามีนักศึกษาใหม่เดินเข้ามา รีบสอดส่องหาเป้าหมายแล้วแทรกตัวเองลงไปนั่งด้วยในพริบตา

   ห้องเรียนสำหรับวิชาเลือกมีขนาดเล็กกว่าห้องของวิชาหลักหลายเท่าตัว พิชชานั่งหลังตรงติดกับกำแพงทางขวาเยื้องมาทางด้านหลังหน่อย ทั้งแถวมีคนเดียวเหมือนไม่มีใครอยากเข้าใกล้

   ชายผมยาวหันมาเอียงคอน้อยๆ แทนคำถาม และทิวากาลส่งคำตอบไปในรูปแบบของแก้วกระดาษสำหรับของร้อนไปให้ ด้านข้างเขียนเอาไว้ด้วยปากกาเมจิคหัวสีดำขนาดใหญ่ว่า K'พิชชา เพื่อให้ง่ายต่อการแยกว่าเครื่องดื่มแก้วไหนเป็นของใคร

   "โดดเหรอครับราชา?"

   "งดเซค"   

   พอมาอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้วก็ต้องปรับตัวให้ได้ว่าอาจารย์หลายคนพร้อมงดการสอนได้เสมอ และการเรียนในวันเสาร์อาทิตย์ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีกต่อไป
   
   เครื่องดื่มชนิดร้อนยังไม่พร้อมสำหรับการลิ้มรส ลองอ่านข้อความในสไลด์บนโปรเจคเตอร์ขนาดมาตรฐานเพื่อทำความเข้าใจคร่าวๆ ว่าคนเคยเรียนแต่ในประมวลอย่างเขากำลังจะต้องเข้าใจเรื่องอะไร เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวทั้งเศรษฐศาสตร์และการบัญชี พิชชาเรียนปีสามไม่น่ายากเกินไปสำหรับพี่ปีสี่อย่างเขา

   "อิงลิช?" สำเนียงการพูดแบบอเมริกันกับการเรียกสินค้าที่โด่งดังในเกาะอังกฤษตลกดีในความคิด

   "เก่งนี่"

   "กลิ่นอย่างนี้มีอยู่อย่างเดียวแหละครับ"

   แก้วกระดาษถูกวางลงบนโต๊ะตัวถัดไป เข้าใจได้เพราะเก้าอี้ทั้งหมดเป็นแบบเลคเชอร์ที่ไม่เหมาะแม้กระทั่งกับการจดงาน

   "ผมว่าชาพวกนี้ไม่เห็นอร่อย"

   เห็นวิธีการทำชาราคาเป็นร้อยออกมาหนึ่งแก้วแล้วตกใจใหญ่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเทน้ำร้อนลงไปในแก้วที่มีถุงชาวางเอาไว้แล้ว

   พออ่านสไลด์ต่อไปอีกสักพักถึงรู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์คนนี้กำลังทำไม่ใช่การสอนแต่ว่าเป็นการอ่านออกเสียงตัวหนังสือในจอให้ฟัง มองไปบนชีตของพิชชาก็ไม่มีร่องรอยการขีดเขียนอะไรแล้วเลยเข้าใจได้ว่าวิชานี้คงไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่

   "ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบชาสำเร็จรูปครับ มันจะมีพวกทำมือ อย่างนั้นจะหอมแล้วก็หวานกว่า"

   "เรื่องมาก"

   "ก็ดันเจอของที่ดีกว่ามาก่อนนี่ครับ"

   ตรงทั้งสองคนนั่งห่างจากโต๊ะของอาจารย์มากพอสมควร มันเลยสะดวกต่อการกระซิบกระซาบ

   "คุณย่าสอนอีก?"

   "คุณเดาเก่งแล้วนะครับราชา"

   คิดสภาพตัวเองและน้องอีกสามคนต้องมาเรียนรู้การทำอะไรอย่างนี้แล้วก็รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตัวเองเกิดมาในบ้านของมาเฟีย ถึงจะต้องระมัดระวังอยู่ทุกฝีเก้ามันก็ยังดีกว่าต้องมานั่งเรียนวิธีการทำชาออแกนิคเอาไว้ดื่มเอง ถ้าต้องเย็บผ้าเองด้วยนี่ครบสูตรเลยนะ

   "ก็มันมีอยู่อย่างเดียว"

   "ไว้วันไหนว่างจะลองเข้าสวนไปทำชามาให้นะครับ อาจสู้ฝีมือของคุณย่าไม่ได้แต่ก็น่าจะดีกว่าแก้วนี้"

   "ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหลังจบคุณจะเปิดร้านอาหารไทยโบราณ"

   พิชชากลั้นขำเอาไว้ ทำเป็นจดอะไรเพิ่มเติมลงไปในกระดาษทั้งที่มันก็อยู่ในสไลด์แล้ว ลายมือภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนสวยไม่ต่างจากในกระดาษสีดำที่เขาเคยได้รับ ที่น่าสนใจคือแม้เขียนบนกระดาษไร้เส้นก็ยังสามารถเรียงทุกตัวอักษรให้ตรงต่อกันไปได้ไม่มีเอียงขึ้นลง

   ขนาดเขียนตัวธรรมดายังทำให้ตรงยาก นี่ใช้ตัวอักษรโรมันแบบเอียงด้วยซ้ำไป

   "มีแล้วครับ ลองเสนอมาใหม่นะ"

   ลองคิดตามคำพูดของอีกคน พอนึกออกถึงตอบกลับไปนิ่งๆ "ร้านนั้น?"

   ร้านที่ทิวากาลเรียกว่าป่ากลางตึก อาหารไทยโบราณหลายรูปแบบ บรรยากาศที่ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ในเขตเมืองหลวง ....ร้านที่ทำให้ทิวากาลได้เจอกับพิชชา

   "ใช่แล้วครับ"

   "มื้อนั้นผมไม่น่าจ่ายเองเลย"

   ถ้าไม่อยู่ในห้องเรียนอาจได้เห็นพิชชาหัวเราะออกมาเต็มเสียง ชายผมยาวที่มือข้างหนึ่งยังมีเฝือกอ่อนสวมคล้ายเครื่องประดับชิ้นหนึ่งเอื้อมมือไปหยิบแก้วชามาไว้ในมือ ดื่มเข้าไปนิดหน่อยก่อนวางไว้ที่เดิม ท่าทางคล่องแคล่วเหมือนใช้มือข้างถนัดในการทำกิจวัตรประจำวัน

   และมันชัดเจนเมื่อเขาฉุกคิดขึ้นมาว่าลายมือบนกระดานนั้นเกิดจากการเขียนด้วยมือซ้าย

   "คุณถนัดซ้ายเหรอพิช?" หนึ่งในเหตุผลที่ทิวากาลไม่อยากปล่อยให้พิชชาอยู่คนเดียวคือมือข้างที่เจ็บนั้นเป็นมือขวา ซึ่งเป็นข้างถนัดสำหรับคนส่วนมาก

   "ผมไม่มีมือข้างที่ถนัดครับ ใช้สองข้างได้เกือบเท่ากัน"

   วิธีเล่าประกอบท่าทางด้วยการเขียนข้อความอื่นลงไปในชีตของตัวเองเพิ่มเติมคือการอธิบายที่ดีที่สุด แม้จะใช้มือข้างซ้ายเขียนตัวอักษรที่ออกมามันก็ยังสวยงามไร้ที่ติ

   "แต่ตอนเล่นเทนนิสคุณใช้มือขวา"

   "สังคมเราไม่ค่อยมีที่ยืนสำหรับคนถนัดซ้ายครับ"

   นั่นก็จริงอยู่ ทุกอย่างถูกดีไซน์ขึ้นมาเพื่อคนส่วนมากของสังคมโดยไม่นึกถึงอีกส่วน เห็นเพื่อนบางคนที่ต้องเขียนหนังสือบนโต๊ะเลคเชอร์แล้วก็สงสาร ยังไม่รวมอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่ได้รองรับการทำงานโดยใช้มืออีกข้างด้วย ถึงสมัยนี้จะเริ่มมีสินค้าสำหรับผู้ถนัดซ้ายออกมาบ้างแล้วก็เถอะ

   เสียงอาจารย์ประกาศพักเบรคสิบห้านาทีมาพร้อมเสียงจอแจของเด็กในห้องเรียน พิชชาทำตาดุพลางชี้ในกระดาษความรู้ของตัวเองที่แทบไม่มีร่องรอยการขีดเขียน

   "ถ้าอ่านตามขนาดนั้นผมว่าคุณไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้" พูดตามความรู้สึกของตัวเอง เวลาเข้าเรียนก็เพราะต้องการความรู้อื่นนอกเหนือจากที่เขียนเอาไว้ในหนังสือ ถ้ามันมีเขียนข้างในอยู่แล้วจะเสียเวลามานั่งทำไม สู้เอาไปเสาะหาความรู้เพิ่มเติมเองยังดีเสียกว่า "เมื่อเช้าผมจะได้ไม่ต้องรีบตื่นไปรับคุณด้วย"

   "ผมไม่เคยขอให้มารับนะครับ มีแต่คุณนั่นแหละที่เข้าออกบ้านผมเป็นว่าเล่น"

   "อะไร ผมทำตามคำพูดของตัวเองเคร่งครัดเลยนะ"

   "..."

   "ผมจะอยู่กับคุณไปชั่วชีวิต"

   อยากรู้เหลือเกินว่าใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นกำลังคิดถึงสิ่งใด จะเกี่ยวกับสิ่งที่เขาบอกไปก่อนหน้าหรือไม่ คำพูดเป็นสิ่งที่ควรรักษาเอาไว้ให้ได้ และการบอกออกไปไม่ต่างอะไรกับการพาตัวเองลงไปอยู่ในหลุมไร้ทางขึ้น ถึงอย่างนั้นทิวากาลกลับไม่รู้สึกแย่ที่ตัวเองต้องมาติดอยู่กับอีกคน

   แม้ในวันหนึ่งสัญญานั้นจะได้รับการชดใช้หมดแล้วก็ตาม

   พิชชาเป็นคนแปลก แปลกจนอยากจะรู้ว่าอะไรบ้างที่หลอมรวมให้มีตัวตนอย่างที่เห็นอยู่

   "ผมถือว่าตัวเองไม่เคยได้ยินคุณพูดแล้วกันนะครับ"

   และนี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องแปลกที่ว่า

   ครั้งหนึ่งชายผมยาวเคยพูดออกมาเอง คราวนี้เมื่อเขาพูดมันบ้างกลับปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับสิ่งที่พิชชาเคยบอกหรือไม่ ที่ว่ามันจะผูกพันไปจนวันตาย

   "แล้วกลางวันนี้จะกินอะไรดี" เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่าปล่อยให้บรรยากาศมาคุต่อไป

   "ร้านที่คนน้อยหน่อยแล้วกันครับ ไม่อยากเบียดกับใคร"

   "ข้าวนะ หรืออยากกินก๋วยเตี๋ยว?"

   "อะไรก็ได้ครับ"

   กาแฟดำในมือเย็นชืดเสียแล้ว ทิวากาลยกแก้วกระดาษของตัวเองขึ้นมาดูรายละเอียดที่เขียนไว้ด้านข้าง ของเขาเองก็มีชื่อเขียนไว้ไม่ต่างจากพิชชา จะมีเสริมขึ้นมาคือสัญลักษณ์หัวใจอยู่ท้าย กี่ครั้งแล้วที่ราชาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ขอแค่ชีวิตธรรมดาไม่ต้องมีใครมายุ่งวุ่นวายไม่ได้หรือไง ทำไมคนอื่นถึงไม่เข้าใจนะ

   ยังไม่รวมไลน์จากคนแปลกหน้า เจ้าของตำแหน่งประธานรุ่นเอาบัญชีสมาชิกของเขามาจากไหนก็ไม่รู้ ขอความช่วยเหลืออีกครั้งเพราะผลงานจากคราวที่แล้วมันน่าประทับใจ ก็บอกแล้วว่าจะช่วยครั้งเดียว หนี้ที่ติดเอาไว้ยังไม่ได้คิดหาวิธีการชำระหนี้เลย นี่จะหาเรื่องก่อหนี้ใหม่อีกแล้ว

   เมื่อไร้เสียงพูดคุยความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง พอเสียงริงโทนของพิชชาดังขึ้นมาเลยได้ยินชัดเจน

   "ครับ..."
   
   หันมามองครึ่งหน้าข้างของอีกคน ไม่ทันเห็นว่าใครเป็นคนโทรมาหา พิชชามีสไตล์การคุยที่ต่างไปตามปลายสาย ถ้าคุยกับน้าของตัวเองก็อย่างหนึ่ง แต่กับเขาก็อีกอย่าง รวมถึงตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับสองครั้งที่บอกไว้ข้างต้น เคยได้ยินมาแล้ว...แต่จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่

   "วันนี้ไม่ได้ครับ บ่ายมีสอบย่อย ...ต้องวันนี้เหรอครับ ...เรื่องเดิมใช่ไหมครับ ...ทราบแล้ว"

   สอบย่อยที่เขาไม่รู้ พิชชาบอกแค่ว่าวันนี้มีเรียนเช้าบ่าย ซึ่งพอดีกับตารางเรียนของตัวเอง แล้วไม่ต้องรีบกลับมาทบทวนหรือไงถึงจะออกไปทานข้าวกลางวันกับเขาน่ะ

   "คราวนี้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ...อืม ผมคง..." ช่วงท้ายพิชชาค่อยๆ หันมาทางทิวากาล ริมฝีปากที่เคยสัมผัสกันชั่วครู่ปิดสนิทเพื่อใช้ความคิด ไม่รู้ว่าเห็นอะไรบนหน้าของเขาถึงได้ขยับยิ้มออกมา "ไม่เป็นไรครับ ...ไปวันนี้แหละ ...จะรีบไปให้เร็วที่สุดครับ"

   รอจนอีกฝ่ายกดปุ่มวางสายถึงถามออกไป "จะโดดสอบ?"

   "เปล่าครับ"

   "แล้วจะให้ผมไปส่งที่ไหน"

   "ไม่ใช่คุณไปส่งครับ"

   "...?"

   "รบกวนไปแทนผมหน่อยนะครับ"


 
   เสียงออดบอกหมดคาบเรียนไม่ได้ยินนานจนไม่แปลกหู   

   ทิวากาลถอดแว่นกันแดดสีดำสนิทของตัวเองออก นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยเนื่องจากไม่อาจสู้แสงแดดช่วงกลางวันได้ กวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบพลางเอาไปเปรียบเทียบกับโรงเรียนสมัยมัธยมของตัวเอง ที่นี่สนามหญ้ากว้างกว่าแต่ส่วนของตึกเรียนน้อยกว่า สงสัยว่าเพิ่งหมดคาบพักเที่ยงเลยไม่เห็นเด็กมัธยมปลายเดินไปมายั้วเยี้ย

   คิดถึงคำฝากฝังทีไรคิ้วก็เผลอขมวดเข้าหากัน

   ผู้ชายอายุยี่สิบเอ็ดที่เคยเป็นแต่บิดาทางพฤตินัยวันนี้ต้องมาเป็นผู้ปกครองของเด็กอายุสิบหก!

   มีอย่างที่ไหนตัวเองติดสอบไปไม่ได้เลยขอให้เขาช่วยไปเป็นผู้ปกครองของเด็กชื่อภัสสร์แทน ไม่ให้ความสำคัญกับคาบเรียนเสรีของเขาเลย พิชชาไม่ได้บอกว่าสาเหตุของการเรียกพบเร่งด่วน บอกว่าเดี๋ยวไปถึงอาจารย์ก็คงเล่าให้ฟังอีกรอบเอง กลัวใจเหลือเกินว่าเด็กคนนั้นจะทำอะไรแผลงๆ แบบที่คิดไม่ถึง คนพี่แสบแค่ไหนคนน้องไม่น่าจะน้อยไปกว่ากันหรอก

   เดินตามทางที่พนักงานรักษาความปลอดภัยบอกจนเจอห้องเป้าหมาย ชั้นห้าบนตึกขนาดแปดชั้นที่เขาไม่เข้าใจว่าจะสร้างให้สูงขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ตอนที่ตัวเองอยู่มัธยมปลายมันมีแค่สี่ชั้นน้องชายของเขาก็บ่นเช้าบ่นเย็น บ่นยันวันจบก็ยังไม่เลิกพูด

   "นี่ห้องพักครูชั้นมัธยมห้าใช่ไหมครับ?"

   "ใช่จ้ะ มาหาใครล่ะ"

   "มาหาครู...ครับ"

   บอกชื่อครูประจำชั้นตามที่พิชชาส่งข้อความตามมาหลังจากสตาร์ทรถแล้ว ไว้ใจขนาดไหนถึงให้เขามาแทน ถ้าเผลอตีกับเด็กต่อหน้าครูนี่มันจะน่าเชื่อถือไหม ไม่สิ เขาจะเชื่อหรือเปล่าว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้

   "ผู้ปกครองนายภัสสร์ใช่ไหม?"

   เด็กเวรตะไลที่ครูคนอื่นยังรู้จักคงมีวีรกรรมเยอะ

   "ครับ"

   "งั้นไปรอตรงโต๊ะนั้นนะ ครูไปส่งเอกสารเดี๋ยวกลับมา"

   ยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ พาตัวเองไปอยู่ส่วนของโต๊ะรับรองตามบอก ห้องพักครูที่นี่มีการแบ่งส่วนของโต๊ะทำงานกับส่วนกลางเอาไว้ต่างหาก ปกติคงมีเอาไว้สำหรับทานอาหารกลางวันมั้ง

   พอได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศของการเรียนมัธยมทิวากาลก็อดคิดไปถึงตัวเองช่วงยังเป็นเด็กวัยรุ่นในชั้นมัธยมปลายไม่ได้ คิดว่าช่วงนั้นค่อนข้างเป็นเด็กเรียนนะ ช่วงเวลาการเป็นเด็กเลือดร้อนคือมัธยมต้น นั่นเรียกได้ว่าเป็นจุดพีคของกลุ่มเลยก็ได้ กลายเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากจนช่วยให้ชีวิตการเรียนที่เหลือสบายขึ้น

   ทิวากาลเป็นที่รัก

   และที่เกลียดชังในเวลาเดียวกัน

   สีดำเป็นผู้ชายที่ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจ

   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พอเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาสอบของคนพี่เลยส่งข้อความกลับไปรายงานความคืบหน้า


   ถึงแล้ว
   ปล. ถ้าทำข้อสอบไม่ดีคุณโดนแน่



   "ผู้ปกครองภัสสร์ใช่ไหม"

   "มาแทนผู้ปกครองครับ" บอกอย่างนั้นดีกว่า ไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นผู้ปกครองของเด็กเวรอย่างนั้น "พอดีพี่ชายของเขามีธุระ ผมเลยมาแทน"

   แอบลุ้นว่าครูจะเชื่อหรือไม่ หน้าตัวเองดูก็รู้แล้วว่ายังเรียนอยู่

   "อ้อ...ค่ะ"

   “ไม่ทราบว่าภัสมีปัญหาอะไรเหรอครับ พอดีรีบๆ มาผมเลยไม่ได้ถามอะไรพี่ชายเขาเลย"

   "คุณลองดูเองดีกว่าค่ะ"

   เอกสารหลายชิ้นในซองใสเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าทิวากาล มุมขวาบนมีเขียนชื่อของเด็กเจ้าปัญหาเอาไว้หรา หยิบออกมาดูทีละแผ่น อ่านรายละเอียดบนนั้นเงียบๆ จนครบทุกแผ่น นิสัยเสียของเด็กเรียนนิติศาสตร์คือไม่ยอมให้ข้อความใดก็ตามหลุดลอดอกไปจากสายตา

   ใบแรกคือตารางเช็คชื่อของห้องเรียนหนึ่งในชั้นมัธยมห้า จุดดึงดูดความสนใจก็ตรงช่องว่างยาวเหยียดช่วงกลางของกระดาษ ชื่อของเด็กคนนั้นกับนามสกุลเหมือนกับของพี่ มันมีข้อมูลการเข้าเรียนเพียงแค่ครั้งแรก หลังจากนั้นอีกเกือบสิบครั้งว่างเปล่า

   ต่อไปคือกระดาษข้อสอบกลางภาคของวิชาชีววิทยา ฟิสิกส์ และภาษาไทยตามลำดับ ทุกแผ่นเหมือนกันตรงที่มีการเขียนแค่ข้อมูลส่วนตัวบนหัวกระดาษ ในส่วนของช่องว่างสำหรับตอบไม่มีรอยขีดใดปรากฎ

   สุดท้ายถึงเป็นใบบันทึกข้อความที่มีเขียนเอาไว้ยาวเหยียด รายงานความผิดหลายข้อหาตั้งแต่ไม่เข้าโรงเรียนแล้วโดนจับตอนอยู่ข้างนอกโดยสารวัตรนักเรียน เข้าเรียนสายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ แต่งกายผิดระเบียบ มีเหตุทะเลาะวิวาทกับนักเรียนคนอื่น ทำลายข้าวของภายในห้องเรียน ทุกความผิดที่เขียนเอาไว้ในกฎดูเหมือนว่าเด็กคนนี้กำลังจะทำให้ครบทุกข้อ

   "เข้าใจแล้วครับว่าทำไมต้องอ่านเอง"

   "ความจริงภัสสร์ต้องไม่มีสิทธิ์สอบปลายภาคแล้วค่ะ" หญิงวัยกลางคนในชุดเรียบร้อยสมกับเป็นครูหมวดภาษาไทยขยับกรอบแว่นของตัวเองขึ้น เล่าความกังวลทั้งหมดให้ผู้เป็นคนปกครองฟัง "ปกติแล้วเขาเป็นเด็กเรียนดีมาตลอด มีเทอมนี้ที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไป"

   ทิวากาลค้านคนเดียวในใจว่าไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไป

   คิดออกแค่เรื่องเดียวนั่นแหละ

   "ผู้ปกครองพอทราบไหมคะว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้"

   "ก็อย่างที่บอกผมไม่ได้เป็นผู้ปกครองของภัสโดยตรง" เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำถามก่อนหน้า "แต่จะเก็บไปบอกผู้ปกครองให้นะครับ"

   "วันนี้คุณปกายไม่ว่างเหรอคะ?"

   "อ้อ...คงอย่างนั้นครับ"

   เกือบลืมไปว่าผู้ปกครองของภัสในความเข้าใจของคนอื่นคือ 'พี่กาย' ไม่ใช่พี่ชายผมยาวคนที่สั่งให้เขาช่วยมาแทน ดีนะยังไม่ได้หลุดปากบอกไปว่ามาแทนใคร

   "เป็นพี่ที่น่ารักนะคะ คอยโทรมาถามตลอดว่าน้องเป็นยังไงบ้าง"

   กระแอมไอเมื่อคิดภาพตามที่บอก ไม่อยากเรียกว่าโรคจิตแต่ก็หาคำที่ดีกว่านั้นไม่เจอ

   "ตอนเห็นประวัติว่าพ่อแม่เสียหมดแล้วก็กลัวอยู่ว่างานที่ต้องให้ผู้ปกครองมาร่วมจะมีปัญหาหรือเปล่า อย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย"

   "พวกเราพยายามดูแลให้ดีที่สุดอยู่แล้วครับ"

   นอกจากพ่อจะเสีย แม่ก็หลับนิรันดร์ไปแล้วเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ

   ไถ่ถามชีวิตในโรงเรียนของเด็กที่กำลังมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่ออีกหน่อยเพื่อความมั่นใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นเด็กเรียนดี ทำกิจกรรมบ้างเป็นบางครั้ง มีกลุ่มเพื่อนที่ไปไหนด้วยกันตลอด แล้วก็ 'ผู้ปกครอง' มักมารับบริเวณหน้าโรงเรียนเสมอ

   น่าขนลุก

   "เดี๋ยวจะรับกลับบ้านด้วยเลยไหมคะ ยังไงคาบบ่ายวันนี้เป็นชั่วโมงกิจกรรมอยู่แล้ว"

   "...ก็ได้ครับ"

   ไม่อยากจะเจอเด็กเปรตอย่างนั้นเลยให้ตาย แต่จะให้ปฏิเสธไปมันก็ดูมีพิรุธ ถ้าวันนี้ยังบ่นเรื่องกลิ่นรถของเขาอีกจะโยนถุงหอมของพี่ใส่หน้า ดูสิว่ายังจะกล้าบ่นอีกไหม

   เดินตามครูประจำชั้นไปถึงบริเวณห้องประชาสัมพันธ์ รอบข้างเริ่มมีเด็กวัยใสเดินขวักไขว่สมกับที่บอกว่าเป็นคาบกิจกรรม เด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่กำลังวอร์มร่างกายอยู่ในสนามหญ้า ด้านข้างมีบางส่วนเอาเครื่องดนตรีออกมาเช็คความเรียบร้อย และยังมีกลุ่มกิจกรรมอื่นกระจายตัวอยู่ทั่ว เสียงพูดคุยจอแจจนเขาไม่อยากเชื่อว่ามันคือพื้นที่เดียวกับที่เพิ่งเหยียบเมื่อชั่วโมงก่อน

   ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ไปได้ไงนะ

   "คะ? มีคนรับออกไปแล้วเหรอคะ?"


***
   คิดถึงพี่แบล็คกับพิชชามากเลย /ปาดน้ำตา
   หายไปเกือบเดือนเพราะเกิดอุบัติเหตุกับแขนค่ะ ไม่ถึงเจ็บแบบพิชในเรื่องแต่ว่าไม่สะดวกกับการพิมพ์อะไรนานๆ จนตัดสินใจหยุดการพิมพ์ไว้ชั่วคราวค่ะ จะเปิดมาเพิ่มเติมนิดหน่อยสักพักก็จะต้องหยุดล่ะ แต่ว่าช่วงที่หยุดไปได้บทสรุปให้เรื่องพี่แบล็คได้แล้วค่ะว่าจะดำเนินเรื่องแบบไหนดี (ยิ้ม)
   ครึ่งหลังจะรีบมาต่อให้เร็วที่สุดค่ะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.10-2 [27.11.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 27-11-2016 21:44:12
CH.10-2

   เสียงร้องหลงของครูวัยกลางคนแปลกจนทิวากาลต้องชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าบนสมุดเล่มใหญ่ที่เธอกำลังเอานิ้วชี้ตรงรายชื่อสุดท้ายมีอะไรผิดปกติ หัวกระดาษเขียนเอาไว้ว่ารายชื่อผู้ขออนุญาตออกจากโรงเรียนก่อนเวลา และชื่อสุดท้ายคือเด็กผีที่เขาสวมรอยเป็นผู้ปกครองชั่วคราว

   โดยมีชื่อผู้รับคือเจ้าบ่าวมือใหม่คนนั้น

   "อืม เมื่อกี้เลย"

   "โอ้ะ เขาบอกผมแล้วนี่นา" เรื่องที่ได้ยินน่าสนุกจนทิวากาลไม่ยอมเสียเวลาอยู่ตรงนี้ "ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเลย งั้นขอตัวก่อนนะครับ"

   ยกมือขึ้นไหว้ผู้ประสาทวิชา ผละออกจากตรงนั้นไปทางลานจอดรถสำหรับผู้มาติดต่ออย่างรวดเร็ว คนอย่างปกายไม่มีทางมาตัวเปล่า แล้วตรงที่จอดรถสำหรับผู้มาติดต่อมันมีอยู่ที่เดียว ประเมินดูแล้วเด็กหัวแข็งไม่ยอมทำตามคำสั่งง่ายๆ ยังไงเขาก็น่าจะตามไปทัน

   ได้ยินเสียงร้องโวยวายจากลานจอดรถอย่างที่คิดเอาไว้ ยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ก็มั่นใจได้ว่าคนที่กำลังตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดเป็นเด็กในปกครองชั่วคราวของตัวเอง หาพื้นที่เหมาะสมกับการแอบฟังโดยหลบอยู่ด้านหลังของรถโรงเรียน ยื่นหน้าออกไปนิดหน่อยก็เห็นภาพที่คิดเอาไว้

   เด็กชายตัวเล็กในชุดนักเรียนกับผู้ปกครองในเชิ้ตทำงานกำลังยืนโต้เถียงกันอยู่

   "ภัสบอกแล้วว่าอย่าเจอกันอีก!"

   "แต่ครูโทรไปบอกพี่ว่าภัสทำตัวแย่"

   "แล้วไง? พี่กายเลยต้องสนถึงขนาดหนีภรรยาของตัวเองมาหาเลยเหรอ?"

   เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ ทิวากาลเดาะลิ้นไม่พอใจที่ภัสเลือกประชดอย่างนั้น ทำไปมันไม่มีเอฟเฟคอะไรสักหน่อย รังจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนงี่เง่าไร้เหตุผลไปเสียอีก

   "อืม แล้วไง"

   "พี่แม่งโคตรเหี้ย" เกือบหลุดคำอุทานตอนเห็นเด็กยกนิ้วกลางขึ้นใส่หน้าของอีกคน วัยรุ่นก็อารมณ์รุนแรงอย่างนี้ "ทำตัวทุเรศอย่างนี้สงสารผู้หญิงคนนั้น"

   "ตัวเองก็รู้ว่าเรามีความสัมพันธ์แค่ทางกฎหมาย"

   มือของคนตัวสูงกว่ายื่นออกไปคล้ายจะลูบช่วงศีรษะ และมันก็ถูกปัดออกด้วยความเร็วไม่ต่างกัน

   "อย่า แตะ ภัส"

   "เลือกอย่างนี้?"

   "...ใช่"

   นั่นไม่ใช่เสียงของคนมั่นใจเลยสักนิด ภัสสร์เงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากวันนั้น ราบเรียบไร้ความรู้สึก แห้งแล้งราวกับไร้ชีวิต "ไม่เคยมั่นใจกับเรื่องไหนเท่านี้เลย"

   "ทั้งที่ภัสบอกว่ารักพี่"

   "เคยรัก"

   "..."

   "แล้วก็ไม่รักแล้ว"

   ช็อตการตัดขาดไม่เหลือใยเด็ดจนไม่อยากกระพริบตา ทิวากาลไม่เคยเจอฉากทะเลาะของคนที่มีความสัมพันธ์กันในรูปแบบนี้ ความรักของผู้ชายสองคนไม่ใช่เรื่องประหลาด ต่อให้ผู้ชายสองคนที่ว่ามีจุดเชื่อมทางสายเลือดก็เถอะ เขาแค่ไม่เคยเจอใครพูดคำว่า 'เคยรัก' ออกมาได้เต็มปากเท่าเด็กคนนี้

   อันนี้เหมือนพี่

   "...มั่นใจแล้วใช่ไหม"

   "ถ้าไม่มั่นใจแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอพี่กาย?" คนอายุมากกว่าเงียบไปถนัดตาพี่ที่เหมือนเป็นต่อในคราวแรกตอนนี้ทำได้แค่ปิดปากเอาไว้สนิท รอว่าเด็กในชุดนักเรียนจะเอ่ยคำเชือดเฉือนใดออกมาอีก "มันไม่มีไง เพราะงั้นพี่ควรกลับไปทำ 'หน้าที่' ของตัวเอง"

   "..."

   "ส่วนภัสจะทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน"   

   หน้าที่เดียวของผมคือรอวันตาย

   รอยยิ้มแสยะยังติดตา เสียงของเด็กอายุสิบหกไม่ควรไร้ชีวิตได้เท่านั้น

   "เราเข้าใจตรงกันแล้วนะ"

   ได้เวลาออกโรงบ้างแล้ว ทิวากาลหยิบแว่นกันแดดของตัวเองขึ้นมาสวมอีกครั้ง เดินตรงไปยังบริเวณที่ภัสสร์กำลังยืนอยู่ เด็กนักเรียนหันมามองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก ส่วนอดีตผู้ปกครองแบล็คไม่สนใจว่าจะคิดอย่างไร

   "ผู้ปกครองมารับกลับบ้านแล้ว"

   "อืม ไปกันเถอะ"

   "ภัส!"

   เสียงของบุคคลที่สามเรียกชื่อเด็กข้างตัว แบล็ครีบยกมือขึ้นโอบไหล่ผอมแห้งเอาไว้ ดันให้ออกเดินโดยไม่คิดจะหันกลับไปบอกคำลา

   "ถ้าจะตัด...อย่าหันกลับไป"

   "ผมตัดมานานแล้วต่างหาก"
   
   “ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน”

   บอกคนที่ไหล่สั่นไหวไม่ยอมหยุด ไม่อยากก้มหน้าลงไปมองเพราะรู้ว่าบนใบหน้านั้นกำลังแสดงออกถึงสิ่งใด กดปุ่มเปิดล็อครถ ดันเด็กตัวเล็กเข้าไปข้างในรถตามด้วยตัวเองกลับไปอยู่บริเวณคนขับ สั่งให้คาดเข็มขัดเรียบร้อยแล้วถึงเคลื่อนตัวออก

   "วันนี้ยังจะบ่นกลิ่นรถอีกไหม"

   ตั้งแผนที่ในโทรศัพท์ให้ตรงไปยังเพนส์เฮาส์ของเด็กนี่ แดดจ้าตรงเข้ามาจนไม่อยากถอดแว่นตาสีดำที่กำลังใส่อยู่ เอื้อมมือไปดึงแผ่นกันแดดของอีกคนให้ลงมาทำหน้าที่ ลอบมองเด็กชายวัยรุ่นผู้หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่คิดจะกล่าวทักทาย

   กลับไปหาพิชชาเย็นนี้จะต้องมีการฟ้องบ้างล่ะ

   "ครูเล่าให้ฟังแล้ว"

   "อ่าฮะ...?"

   "เป็นวิธีประชดที่โง่ดี"

   ถ้าไม่ใช่น้องของตัวเองแล้วล่ะก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรักษาน้ำใจ

   "เหอะ..." ภัสสร์เปลี่ยนมานั่งหลังตรง ไม่ท่ามากเหมือนกับพี่เท่าไหร่ "ผมแค่เบื่อแล้ว ไม่เกี่ยวกับพี่กาย"

   ชื่อที่คิดว่าเป็นสิ่งต้องห้ามออกมาจากปาก ยื่นมือออกไปเปิดวิทยุลดความเงียบข้างในรถ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ฟังช่องอื่นจนเพลงใหม่ทั้งหลายกลายเป็นไม่คุ้นหูไปหมด

   "เบื่ออะไรมากมาย ไม่มีอะไรอยากทำเป็นพิเศษบ้างเหรอ"

   "ไม่มี"

   "งั้นอยากไปที่ไหนก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวพาไป"

   ไม่ค่อยอยากให้เด็กอารมณ์แปรปรวนอยู่คนเดียว ถ้าเกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมาล่ะแย่แน่

   "ที่ไหนก็ได้?"

   "เอาที่พี่กลับมาเรียนพรุ่งนี้เช้าทันก็พอ"

   วันนี้คงไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นกับพิชชาแล้วล่ะ ไม่ใช่ความผิดของเขานะที่ต้องมาติดแหงกอยู่กับคนน้อง ก็ให้แบล็คมาเป็นผู้ปกครองเอง
   
   หยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องใหญ่ของตัวเองขึ้นมา ไม่มีข้อความตอบกลับเพราะเพิ่งผ่านเวลาเข้าคาบไปแค่ชั่วโมงเดียว กดปุ่มปลดล็อคพาสเวิร์ดตามด้วยเข้าโปรแกรมแผนที่ถึงส่งไปให้ภัสถือ คนที่บอกว่าตัวเองเบื่อทุกอย่างยื่นแขนข้างที่เต็มไปด้วยสร้อยข้อมือหลายรูปแบบเรียงกันจนดูรกตามารับ

   "งั้นทะเลก็ได้ใช่ไหม"

   "ชลบุรีไม่ก็ระยอง ไม่เอาประจวบ"

   ระยะทางจากที่นี่ไปสองจังหวัดแรกใช้เวลาไม่เท่าไหร่ แล้วนักท่องเที่ยวในวันธรรมดาน่าจะน้อยกว่าด้วย

   "ขอหารีวิวก่อน"

   "ตามสบายเลย"

   เด็กบ้าอะไรอยากไปทะเลตอนฤดูฝน คำนวณการเดินทางในหัว ไปเส้นชลบุรีมอเตอร์เวย์น่าจะง่ายที่สุดส่วนถ้าจะต่อไประยองก็ไม่มีปัญหาอะไร ถนนช่วงกลางวันช่วยให้สามารถใช้ความเร็วได้มากกว่าปกตินิดหน่อย ขับด้วยความเร็วอย่างนี้อีกไม่เกินสองชั่วโมงก็ถึง

   "เปิดโลเคชั่นแล้วนะ"

   นั่นคือประโยคสุดท้ายของเขากับภัสสร์บนรถ



   ในความรู้สึกส่วนตัวทะเลฝั่งอ่าวไทยสวยไม่เท่าทะเลใต้ แต่เทียบกับระยะเวลาการเดินทางด้วยรถยนต์แล้วมันก็พอหักลบกันได้หน่อย ทิวากาลมองเด็กในชุดนักเรียนเปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบแตะยางราคาถูกจากร้านขายของชำระหว่างทาง เตรียมพร้อมขนาดที่ว่าซื้อชุดเอาไว้เปลี่ยนด้วย

   ใครเป็นคนกำหนดว่าอกหักต้องมาทะเล

   ไม่เข้าใจ

   "จะเล่นน้ำทั้งชุดนี้เหรอ"

   คิดสภาพลงไปลุยทั้งชุดนักเรียนมันตลกพิลึก แค่วิ่งฝ่าฝนด้วยชุดนั้นรอบหนึ่งสมัยม.ปลายก็พอแล้ว

   "ดูก่อน อาจไม่เล่น"

   "ตามใจ"

   ภัสสร์พูดน้อยลงเยอะ ตอนอยู่บนรถเห็นหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาปิดเครื่องแล้วโยนไปเบาะหลังส่งๆ เสียงเครื่องอำนวยความสะดวกกระแทกกับเบาะหลังแล้วเด้งลงพื้นดังจนเขาอยากจะส่งไปบอกพิชชาว่าเตรียมซื้อเครื่องใหม่ก็ดี

   จะว่าไปเขายังไม่อยากรายงานพิชชาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

   "ปกติต้องบอกพิชตลอดไหมว่าทำอะไรอยู่" หันไปถามคนที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้าง รับลมทะเลเข้ามาปะทะหน้าอยู่ "หรือว่าจะมีคนบอก?"

   "เดี๋ยวพิชก็รู้เอง"   

   หน้าจอสมาร์ทโฟนเด้งเตือนมาว่ามีข้อความใหม่ จากคนที่กำลังอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่


   ฝากดูแลภัสด้วยนะครับ
   ปล. แล้วถ้าได้เต็มจะมีรางวัลไหม?



   ทิวากาลไม่ชอบครอบครัวนี้เข้าไปทุกที

   "ไม่อึดอัดบ้างเหรอโดนตามตลอดอย่างนี้"

   เขาเริ่มแยกได้แล้วว่าคนไหนรับหน้าที่ตามคนพี่ และรถคันไหนที่เอาไว้ตามคนน้อง แต่จะให้ตามใครเขาก็ว่ามันน่ารำคาญทั้งนั้นแหละ

   "ชิน ก็ไม่เหงาดี"

   "นี่มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่างหาก"

   "บางคนกลัว มันก็ระแวงเป็นธรรมดา"

   เดินทอดน่องไปบนชายหาดยาว เวลาบ่ายสามเกือบบ่ายสี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ความสงบบวกกับเสียงคลื่นช่วยผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดของตัวเองได้ดี จากจุดจอดรถตรงต้นหาดกว่าจะเจอที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนก็เกือบท้ายหาดเข้าไปแล้ว ทิวากาลนั่งลงตรงโขดหิน หยิบกล่องบุหรี่ของตัวเองขึ้นมาด้วยความเคยชิน

   "สูบไหม?" ถามหยั่งเชิง ยื่นไปให้ทั้งกล่อง "แต่นี่แบบร้อนนะ"

   "ไม่"

   ผิดคาด

   แต่ก็ไม่เปลืองดี

   เปิดไลท์เตอร์อันเดิม จุดให้เกิดประกายไฟแล้วจ่อไปตรงปลายมวนของตัวเอง สูดลมหายใจเข้าไปลึกหวังว่ารสขมจะช่วยให้ในสิ่งที่ต้องการ

   "ถ้ากลัวเรื่องควันก็ไปเดินเล่น แต่อย่าไกลล่ะ" ขี้เกียจเดินตามหาอีก เขาไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กสักหน่อย

   "อยู่ตรงนี้แหละ"

   พ่นควันสีเทาออกมา มันลอยฟุ้งอยู่ในอากาศได้ไม่นานก็จางหายไปกับสายลม หลังจากนี้อาจต้องลดปริมาณลงหน่อย วันก่อนไปเล่นกีฬาไม่นานก็เริ่มรู้สึกว่าหายใจลำบาก ไม่อยากคิดไปถึงตอนตรวจร่างกายคราวหน้าเลย จะต้องโดนพี่พยาบาลบ่นเรื่องจุดดำในปอดเพิ่มขึ้นแน่

   "ไม่สูบหรือว่าวันนี้ไม่อยากสูบ"

   "ไม่สูบ เคยลองแล้วไม่ชอบ"

   "แล้วทำไมชอบไปที่แบบนั้น?"

   "มันสบายใจดี"

   เด็กไม่สูบบุหรี่ดึงชายเสื้อออกจากกางเกง ดันตัวเองขึ้นมานั่งข้าง

   "นึกว่านั่นเป็นคำสำหรับการเข้าค่ายธรรมะ"

   "อยู่ที่นิยามความสบายใจของแต่ละคน"

   "แล้วสรุปทำไมถึงทำตัวใจแตก"

   "อย่าเอาตัวเองมาตัดสินผม" คิ้วของภัสสร์ขมวดเข้าหากัน เสียงตวัดบอกว่าไม่พอใจเท่าไหร่กับคำที่ใช้ "บอกแล้วว่าแค่เบื่อ ไม่อยากเรียนแล้ว"

   เคสของเพื่อนลุคเนิร์ดของตัวเองว่าหนักแล้ว เจอกรณีนี้ถ้าเอากลับไปเล่าให้นิชฟังรายนั้นคงหัวเราะไม่มีหยุด คนนั้นแค่ไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัยเพราะไม่ชอบระบบการเรียน แต่นี่คือเบื่อจนไม่อยากจะเรียนต่อ ต้องไร้แรงบันดาลใจขนาดไหนกัน

   "แล้วอยากทำอะไร"

   "อยากตาย"

   เป็นครั้งที่สองแล้วที่เด็กคนนี้พูดในลักษณะเดียวกัน

   "ก็ตายไปสิ"

   ขอโทษที นี่ทิวากาล ไม่ใช่พระเอกในนิยายแบบที่หนึ่ง ถ้าอยากจะตายเขาก็จะเชียร์ให้คำตามบอก ไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาอะไรทั้งนั้น ถ้าพูดออกมาได้ก็ต้องกล้าทำ ไม่อย่างนั้นก็เป็นแค่พวกขี้แพ้ที่ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง

   "คิดว่าผมไม่เคยลองหรือไง?"

   "แล้วอย่างอื่นล่ะ" คำตอบที่สวนมาไม่ใช่อย่างที่คิดจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง นั่นไม่ใช่แค่คำท้าทาย...

   "เดินทางรอบโลกมั้ง อยากไปที่แปลกๆ เบื่อไทยแล้ว"

   "ก็ลองไปแถบเพื่อนบ้านก่อน เที่ยวไม่น่ายาก"

   เห็นรีวิวไปเที่ยวด้วยเงินไม่เท่าไหร่เต็มอินเทอร์เน็ต พอเข้าไปเปิดอ่านแล้วมันก็มีทั้งเที่ยวแบบประหยัดจริงแล้วก็แอบแฝงโฆษณาเอาไว้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าออกไปเที่ยวทั้งทีกลับมากังวลแต่เรื่องเม็ดเงิน สรุปแล้วไปเที่ยวเพราะต้องการประสบการณ์ใหม่หรือว่าไปเครียดเรื่องใช้เงินอย่างไรให้ประหยัด

   "มีบางคนกลัวผมผลาญเงินน่ะ"

   ครอบครัวสุขสันต์ของแท้เลยบ้านนี้

   บุหรี่ยังเหลืออีกเกือบครึ่งมวน ทิวากาลสูดเอาสิ่งทำลายสุขภาพเข้าไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขยี้มันกับหินตรงนั้น กลิ่นจางของบุหรี่ลอยวนเวียนจนรู้สึกผิดถ้าปล่อยให้กลิ่นนี้เข้าไปปนกับดอกไม้แห้งบนรถ

   ที่จริงซองบุหงานั่นก็แทบไม่มีกลิ่นแล้วล่ะ จางเร็วอย่างที่พิชชาบอกเอาไว้เลย

   "กลัวทำไม เขาทำอะไรได้เหรอ"

   "เพราะเขาทำไม่ได้แต่พยายามทำมันเลยรำคาญไง"

   "แล้วกับลูกชายเขาล่ะ?" คำถามไม่มีอ้อมค้อม และทิวากาลก็เชื่อว่าเด็กอายุสิบหกที่อยู่ด้านข้างใจเด็ดพอที่จะตอบกลับมา

   "รู้สึกแบบไหน"

   "ก็ไม่ได้เกลียดนะ แต่ว่าก็ไม่ได้รัก"

   ตอนพูดคำว่า 'ไม่รัก' หนักแน่นกว่าครั้งไหน

   "มันตัดง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ พอดีไม่เคยมีฟีลลิ่งอย่างนั้นเลยไม่เข้าใจเท่าไหร่"

   "ต้องตัดให้ได้ ยังไงก็ต้องทำ"

   ในบางเรื่องคนตรงหน้าก็ไม่ใช่เด็กอย่างที่สบประมาทเอาไว้ ภัสสร์ผละออกจากตรงนั้นไปยังส่วนของผืนทะเล รองเท้าแตะคู่ไม่กี่สิบบาทถอดทิ้งไว้ห่างจากส่วนปลายคลื่นพอสมควร บรรยากาศของทะเลในฤดูฝนน่าหดหู่มากกว่าทุกที ทะเลสีขุ่นดูไม่สะอาดตาแล้วยังบวกกับท้องฟ้าสีหม่นนี่อีก เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นโลว์ซีซั่น

   มองผู้ชายตัวปัญหาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จากข้อเท้าก็เป็นช่วงเข่า แล้วก็ครึ่งตัวตามลำดับ เริ่มสะกิดตรงส่วนลึกในใจว่ามันมีเรื่องแปลกกำลังจะเกิดขึ้น ถ้าอยากเล่นน้ำทะเลจริงทำไมถึงต้องลงไปขนาดนั้น หรือว่าแค่อยากให้เปียกทั้งตัวเฉยๆ

   ภัสหันหลังกลับมามองที่เขา ระยะทางห่างกันจนมองไม่ค่อยออกว่าเด็กคนนั้นกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่

   ที่แย่คือเมื่อตั้งใจเพ่งดูร่างนั้นก็หายไปเสียแล้ว

   "บ้าเอ๊ย!"

   หัวใจของทิวากาลเต้นแรงขึ้นไม่รู้ตัว สิ่งที่เด็กใจเด็ดย้ำเสมอตะโกนบอกให้ทิ้งของทั้งหมดแล้วกระโจนลงน้ำตามไปทันที จากจุดที่นั่งอยู่กับบริเวณสุดท้ายห่างกันจนกลัวว่าคลื่นจะพัดคนตัวเล็กคนนั้นไปไกลเกินกว่าจะช่วยได้ทัน ยิ่งเป็นหน้ามรสุมอย่างนี้ไม่มีอะไรน่าไว้ใจสักอย่าง

   การว่ายในทะเลไม่ง่ายเหมือนกับการว่ายในสระ ทั้งกว้างจนไม่อาจกำหนดขอบสิ้นสุดได้แถมยังมีแรงคลื่นคอยต้านเอาไว้อีก ดีไม่ดีเขานี่แหละที่จะจมหายไปแทน

   เหมือนยกก้อนความเครียดทั้งหมดออกจากอกเมื่อเห็นส่วนศีรษะของเด็กคนนั้นก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะดำลงไป ทิวากาลปรับอารมณ์ของตัวเองให้คงที่มากที่สุดก่อนเดินลุยคลื่นเข้าไปหา

   "นี่พยายามฆ่าตัวตายหรือไง"

   "เปล่า ยังไม่ถึงเวลา เขายังไม่ยอมให้ผมไป"

   ‘เขา’ ที่ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกับที่พิชชาเคยพูดถึงหรือเปล่านะ

   "เล่นน้ำพอหรือยัง คลื่นชักแรงแล้ว"

   คือไม่อยากจะเรียกการกระทำนั้นว่าเล่นน้ำหรอก แค่คิดชื่ออื่นที่ดีกว่านั้นไม่ได้แล้ว

   กลับมานั่งอยู่ที่เดิม ตัวเปียกแบบจนไม่อยากจับของใช้อย่างอื่น มันเลยกลายเป็นคนสองคนถอดเสื้อของตัวเองออกผึ่งลมเอาไว้ ทิวากาลรู้สึกขอบคุณที่วันนี้ลืมใส่นาฬิกาข้อมือมาด้วยไม่อย่างนั้นคงเป็นเครื่องสังเวยพระสมุทรไปแล้ว ถึงจะเป็นนาฬิกาที่การันตีว่ากันน้ำได้เขาก็ไม่อยากเสี่ยง

   "นาฬิกาไม่พังเหรอนั่น" แต่เด็กอีกคนไม่ได้ถอดออกก่อนลงไป

   ภัสสร์มองหน้าปัดเครื่องบอกเวลาของตัวเอง ถอดมันออกแล้วโยนทิ้งไปบนผืนทราย "พังแล้ว"

   "ไม่คิดจะเอาไปทิ้งในถังขยะให้ดีหน่อยเหรอ" เด็กบ้าอะไรทำตัวเอาแต่ใจได้เท่านี้ ทิวากาลเพิ่มสิ่งที่ตัวเองต้องทำก่อนเดินกลับไปขึ้นรถอีกอย่างคือการเอาขยะไปทิ้งให้ลงถัง "เพิ่มขยะให้ทะเลทำไม"

   "ฝากพี่หน่อยแล้วกัน ไม่อยากจับของที่พี่กายให้"

   นั่นคงเป็นสาเหตุที่โยนทิ้งเหมือนของไม่มีค่าสินะ

   "ภัสติดหนี้พี่อยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ใช่ไหม?"

   ตอนนี้เขาคิดไม่ออกว่าควรคุยเรื่องไหนจนถึงกับต้องขุดความเดิมตอนที่แล้วมาพูด

   "ที่จะถามเรื่องพิชเหรอ มาสิ" ขาทั้งสองข้างแกว่งไปมาเหมือนเด็กตัวน้อย "แต่ผมจะพูดเหมือนเดิมนะว่าพี่ไม่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว"

   "ขนาดนั้น?"

   "ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แล้วจะถามเรื่องอะไรล่ะ"   

   "ทำไมต้องเป็นพี่"

   "ให้เปลี่ยนคำถามได้นะ"

   "ตอบมาเถอะ"

   สิ่งที่เขาอยากรู้มันมีเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว
   
   "ทำไมพี่ถึงเรียนกฎหมาย?"

   จากที่ควรได้คำตอบกลับได้คำถามมาแทน ทิวากาลยังไม่อยากออกนอกประเด็นเท่าไหร่เลยยอมตอบ "ไม่รู้สิ เบื่อวิทย์มั้ง"

   ชีวิตสามปีในชั้นมัธยมปลายมีเจ้ากรรมนายเวรชื่อว่าฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตหลัก และคณิตเสริมคอยตามติดไม่ยอมปล่อย ทำบุญอุทิศส่วนกุศลกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่คิดที่จะรับส่วนบุญ

   "เหรอ คล้ายผมเลย แต่ผมเบื่อหมดทุกวิชาเลยอะ"

   "ทำไมถึงรู้ว่าพี่เรียนนิติ"

   "ผมก็ไม่อยากรู้หรอก แล้วสิ่งที่พี่ต้องการที่สุดในชีวิตคืออะไร?"

   คำถามที่สองก็ยังไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากได้ "ไม่รู้ ยังไม่มี"

   "แบบจบไปทำงานอะไร หรือว่าอยากจะสร้างครอบครัวแบบไหน ไม่มีเลยเหรอ"

   "ไม่"

   ตั้งแต่จำความได้หน้าที่ของตัวเองก็ถูกกำหนดมาไว้แล้วว่าต้องดูแลน้องสามคน เขาเลยไม่คิดเรื่องส่วนตัวให้เปลืองพื้นที่สมอง รวมถึงสีดำยังไม่พร้อมยอมรับว่าหน้าที่นี้ใกล้จบลง สิ่งที่เฝ้าถนอมรักษามาโดยตลอดเติบโตจนไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้การปกครองอีกแล้ว

   ความรู้สึกของพ่อที่ต้องปล่อยลูกสาวออกเรือนก็ประมาณนี้ล่ะมั้ง

   "แต่พี่เป็นสิ่งที่พิชต้องการที่สุดในชีวิต"

   "..."

   "การได้เจอพี่คือสิ่งที่พิชชาปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใด"



   ชุดของทั้งคู่ไม่เหมือนตอนขามา ภัสสร์เปลี่่ยนเป็นชุดลำลองที่ซื้อมาใหม่ ส่วนทิวากาลใส่เป็นชุดสำหรับเปลี่ยนหลังเล่นกีฬา การได้มาผ่อนคลายหรือว่าอาจจะทำให้สมองเหนื่อยมากขึ้นส่งผลให้บรรยากาศบนรถแย่ยิ่งกว่าเดิม

   เพลงยุคเก้าศูนย์ยังเล่นต่อเนื่อง ท้องฟ้าที่เคยสดใสตอนนี้เหลือเพียงความมืดของราตรี

   "พี่รู้ไหมว่าทำไมพิชถึงไว้ผมยาว"

   อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะเข้าเขตกรุงเทพมหานคร และนั่นคือคำพูดแรกตั้งแต่ขึ้นรถมา ทิวากาลคิดคำตอบที่เป็นไปได้สองสามอย่างแล้วยอมแพ้ ความคิดทางไหนก็ไม่เข้าท่าทั้งนั้น

   "ไม่รู้"

   "พี่มีแม่ไหม"

   "...ก็มีนะ"

   พออยู่กับคนพี่ต้องเป็นคนถาม มาอยู่กับคนน้องก็ต้องตอบอย่างเดียว ทิวากาลไม่ได้อยากตอบอ้อมแอ้มอย่างนั้นหรอก ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกสถานะของตัวเองว่ามีแม่ดีหรือเปล่า อย่างแม่สองไม่ใช่แม่อยู่แล้ว แต่จะให้เรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่ก็แปลกไปหน่อย

   "แม่เสียตอนคลอดผม" เหมือนอย่างที่ครูประจำชั้นบอกไว้ ภัสสร์ไม่มีพ่อกับแม่แล้ว "เห็นว่าเสียเลือดมากไป ผมก็เกือบไม่รอดเพราะว่าน้ำหนักน้อยมาก"

   "พี่เสียใจด้วย"

   "...พ่อบอกว่าพิชหน้าเหมือนแม่" เด็กที่ไม่เคยมีโอกาสเจอแม่ของตัวเอง ได้แต่จินตนาการจากคำบอกเล่าของคนอื่น "ช่วงประถมต้องให้แม่มางานวันแม่ แต่ผมไม่มีใครมาเลย"

   เมื่อรวมกับคำที่พิชชาเคยบอกเอาไว้ เขาเริ่มเอาเรื่องสั้นหลายตอนมาต่อกันได้แล้ว "ยังเด็กอยู่นั่นแหละ เลยกลับมาร้องไห้กับพิช บอกว่าอยากเจอแม่บ้าง"

   ได้แต่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดี มีการตอบโต้บ้างตามสมควร

   "ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพิชจะยอมไว้ผมยาวให้ แล้วก็ไม่ยอมตัดสั้นเลยตั้งแต่นั้น"

   ...ผมทำเพื่อต่อชีวิตคนอีกคน

   "ไม่ได้คิดว่าตัวเองขาดอะไรขนาดนั้นนะ ตอนมีพี่กายยังคิดอยู่เลยว่าหลังจากนี้พิชไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมแล้ว" เสียงแค่นเยาะตัวเอง เห็นอยู่จากหางตาว่าเด็กคนนั้นยกมือขึ้นขยี้เส้นผมตัวเองรุนแรง "แต่ก็นะ สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่านี่แหละเป็นตอนจบที่ดีที่สุดแล้ว"

   "..."

   "ครอบครัวของผมเหลือแค่พิชคนเดียว"

   ไฟแดงบอกระยะเวลาถอยหลังเกือบสองนาทีกว่าจะเขียวอีกครั้ง ทิวากาลเลยมีเวลามากพอในการหันมาค้นความจริงเพิ่มเติมจากตุ๊กตาหน้ารถได้

   รัตติกาลเป็นผู้หญิงที่หน้าไร้อารมณ์ ส่วนสนธยาน้องอีกคนเป็นพวกนัยน์ตาไร้ชีวิต

   และภัสสร์คือการรวมกันของสองคนที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้ชายผมยาวกว่าเด็กมัธยมทั่วไป โครงหน้าแบบผู้ชายกับการผสมกันของหลากหลายเชื้อชาติกลายมาเป็นรูปหน้าแปลกแต่ไม่น่าดึงดูด นอกจากส่วนของริมฝีปากที่ปิดเอาไว้สนิทจนเกือบเป็นเส้นตรงแล้วนัยน์ตาที่ควรบอกอะไรได้หลายอย่างก็แห้งแล้งไม่ต่างจากต้นไม้ใกล้ตาย

   เด็กคนหนึ่งที่ต้องเจอเรื่องทั้งหมดนี้สามารถรับทุกอย่างเอาไว้ได้เองเหรอ

   ราชาไม่เชื่อว่าภัสสร์จะทำได้

   "พิชคือทุกอย่างของผม"

   ...ภัสมีแค่พิชคนเดียว

   "เพราะอย่างนั้นผมไม่มีวันให้พิชกับใคร"

   "..."

   "ไม่มีวัน"


***
   เรื่องของพี่แบล็คนี่แต่งยากจริงๆ นะคะ /ปาดน้ำตา เจ้าจะสอบแล้วล่ะค่ะ สัญญาว่าหลังสอบจะกลับมาพิมพ์ต่อเนื่องไม่ให้หายไปนานๆ อย่างนี้แล้วล่ะ
   ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.10-2 [27.11.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 27-11-2016 22:01:37
ไม่มีวันให้พิชกับใคร

โอ้ว! เหมือนจะเข้าใจ แต่ต้องรอเรื่องราวต่อไป
แค่บางอย่างชัดขึ้นมานิด

เอาใจช่วยคนเขียนนะคะ
จะรออ่าน
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.10-2 [27.11.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 03-12-2016 01:30:47
รอจ้า ไม่ว่าเรื่องจะไปทางใหนขออย่างเดียว อย่าม่ามากก็พอ  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-1 [15.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 15-12-2016 19:14:59
CH.11-1


   ‘ทำได้ไหมครับ’

   ‘...’

   ‘สาบานว่าราชาจะไม่จากพิชชาไปไหน’



   ป่าหลังบ้านแปลกตาไปกว่าทุกครั้งที่เดินเข้ามา พืชใบเขียวที่มักแทรกขึ้นมาตามช่องว่างวันนี้ดูเป็นระเบียบมากกว่าเคย ทิวากาลเดินเลาะตามเส้นทางสายเดิมจนหยุดอยู่ตรงต้นไม้ขนาดใหญ่อายุเกือบร้อยปี มันซ่อนตัวอยู่ในที่ลึกอย่างเงียบเชียบจนไม่เคยมีใครสำรวจเจอ ขนาดคนเป็นพ่อตอนซื้อก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ เป็นเขานี่แหละที่พาน้องเดินเล่นซนจนบังเอิญพบเข้า

   บ้านที่อยู่ลึกเข้ามาในซอยส่วนบุคคลไม่มีเสียงรบกวนอยู่แล้ว ยิ่งเป็นพื้นที่ไร้การรุกรานอย่างนี้มันเป็นส่วนที่สงบที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา แบล็คชอบมานั่งเล่นอยู่คนเดียวเวลาที่ต้องการความเป็นส่วนตัวหรือว่าอยากจะพักผ่อนสมอง มันเป็นสวนลับของทิวากาลคนเดียว ...ไม่สิ ของใครอีกคนด้วย

   "เมื่อวานไปเที่ยวไหนมาไวท์?"

   ครึ่งชีวิตที่มายืนอยู่ตรงหน้าเขานี่ไง

   "ไม่ได้เที่ยว ไปซื้อสมุด"

   "ไม่เห็นส่งมาบอก ที่บ้านก็ตกใจ"

   คนมีหน้าที่ส่งไม่ใช่น้องสาวเขาหรอก อีกคนต่างหาก มีเอาไว้รายงานทุกความเคลื่อนไหว ปากบอกว่าเพื่อไม่ให้คนที่บ้านต้องห่วง ที่จริงก็แค่อยากหาเรื่องเยาะเย้ยเขานั่นแหละ

   "เมื่อวานรีบๆ เลยลืมมั้ง"

   น้องสาวฝาแฝดในชุดลำลองอยู่บ้านสบายๆ เสื้อสีขาวโอเวอร์ไซซ์กับกางเกงยีนส์สั้น ถึงจะอยู่ในสไตล์การแต่งตัวที่ไม่ชอบมากเท่าไหร่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไวท์ไม่เคยห้ามเรื่องสูบบุหรี่เขาก็ต้องเคารพในวิธีการ 'ไว้อาลัย' ในแบบของเธอเช่นกัน

   รัตติกาลลงมานั่งถัดออกไป เอียงคอซบลงตรงไหล่ ความสูงของทิวากาลกับแฝดแตกต่างกันตามข้อจำกัดเรื่องเพศ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานอยู่ดี

   "แล้ววันนี้ไม่ออกไปไหน?" ถ้าเป็นเมื่อก่อนคำถามนี้ไม่มีทางออกมาจากปาก ก็รัตติกาลเคยไปข้างนอกเหมือนอย่างคนอื่นเขาที่ไหนล่ะ ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้านทั้งวันจนเพื่อนยังบ่นว่าเป็นโรคกลัวการออกจากห้องหรือเปล่า

   รู้คำตอบได้จากแรงขยับตรงไหล่ แน่นอนว่าเวลาเกือบบ่ายอย่างนี้คงเพิ่งตื่นนอน รู้ว่าเป็นการตามใจในเรื่องไม่ดีแต่ชายหนุ่มก็ไม่มีสิทธิมากพอจะไปบังคับให้น้องทำตาม ระบบร่างกายของรัตติกาลต่างจากคนอื่นจนไม่อาจเข้าไปอยู่กับสังคมใหญ่ได้แล้ว

   "งั้นวันนี้ก็นั่งเล่นด้วยกันเนอะ"

   ไม่ได้มีโอกาสมานั่งข้างกันเหมือนที่กำลังทำอยู่นานแล้ว ต่างคนต่างดำเนินชีวิตของตัวเอง ในช่วงเวลาหนึ่งทั้งสองคนไม่เคยจะห่างกัน และในอีกช่วงหนึ่งก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลย แต่ในท้ายที่สุดสายใยของครึ่งชีวิตมันจะพาสองร่างกลับมาเจอกันอีกครั้ง

   สำหรับทิวากาลแล้วรัตติกาลเป็นครึ่งชีวิตที่ต้องดูแลเท่าชีวิต ไม่ว่าเมื่อไหร่ 'แบล็ค' จะต้องมี 'ไวท์' อยู่ด้วยเสมอ สีดำที่จะต้องอยู่กับสีขาวบนสัญลักษณ์หยินหยาง เราร่วมทุกข์และแบ่งสุขกันเสมอ

   ท้องฟ้าเป็นสีหม่นสมกับพยากรณ์อากาศบอกว่าอาจจะมีฝนฟ้าคะนอง แล้วคิดว่าทั้งสองคนสนหรือไงกันล่ะ ทางที่แย่ที่สุดคือต้องเปียกฝนเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านก็เท่านั้นเอง

   ต่อให้รอบข้างมีแต่เสียงของใบไม้ปลิวตามแรงลมมันก็ไม่มีผลอะไรกับคนทั้งคู่ ฝาแฝดแบ่งช่วงเวลาผ่อนคลายนี้ด้วยกันเช่นเดียวกับทุกครั้งที่หนีมาซ่อน มันเป็นที่สำหรับคนสองคนเท่านั้น

   ณ ที่นี้ไม่อนุญาตให้ใครอื่นเข้ามาแบ่งปัน

   "มีปัญหาอะไรกับเวลหรือเปล่า"

   เรื่องน่าประหลาดที่ไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้ ทิวากาลรับรู้ได้ว่าอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองกำลังคิดหรือว่ากังวลบางเรื่องอยู่

   "เปล่า"

   "เล่ามา" ปฏิเสธแบบนี้ร้อยทั้งร้อยมีปัญหาแน่นอน

   "ไม่ใช่เรื่องของเวลา"

   ชื่อที่เขาไม่อยากจะใช้ ชายคนนั้นเก็บไว้ให้ 'บางคน' เรียก และบางคนที่ว่าไม่มีเขารวมอยู่ด้วย

   เงียบรอว่าสีตรงข้ามของตัวเองจะเล่าเรื่องอะไรต่อ คนรู้จักกันดีที่สุดสามารถจับทางได้ว่าควรปฏิบัติแบบไหนให้สบายใจทั้งสองฝ่าย ไวท์ไม่ใช่คนชอบพูดมาก กับเขาที่เป็นฝาแฝดยังพูดเฉพาะเท่าที่จำเป็นเลย

   คนเป็นกระจกจะรอจนกว่าอีกฝั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เมื่อนั้นถึงทำหน้าที่ของตัวเอง

   "ผู้ชายผมยาวคนนั้น"

   แต่ไม่คิดว่ามันจะสะท้อนกลับมาเข้าตัว

   "พิช...ชา?"

   ว่าจะไม่ถอนหายใจแล้วนะ ถ้าชื่อนั้นมันไม่ออกมาจากปากของน้องสาวตัวเอง "อืม พิชชา"

   "เจอเดินด้วยกันที่ม.เมื่อวันก่อน" ไวท์ชอบพูดสั้น และแปลกดีตรงที่เขาดันเข้าใจเสียทั้งหมด "เวลาไม่ได้บอกก่อนนะ"

   เชื่อตามที่บอก คนอย่างเวลาไม่ใช่พวกขี้ฟ้องอยู่แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคนรอบข้างเขาคงรู้ตั้งแต่วันที่ไปช่วยพิชซื้อของแล้ว ข้อดีนี้ของคนที่กำลังจะมาเป็นน้องเขยไม่ได้ช่วยให้คะแนนความนิยมเพิ่มขึ้นหรอก เขาจะค้านจนสุดขอบโลกเลยล่ะ

   "อืม อยากรู้ตรงไหนล่ะ"

   อาจถึงเวลาที่ต้องบอกออกไป

   "ไม่มี"

   "ถามได้หมดนะไวท์"

   "ไม่มีคำถาม"

   เอียงคอตัวเองลงไปซบกับอีกคน กลิ่นน้ำหอมเหมือนกันแตะจมูกพร้อมกับความแปลกประหลาดบางอย่าง กลิ่นหวานที่มักจะทำให้เขาเอียนเสมอวันนี้มันเปลี่ยนไป ทั้งที่คนสองคนใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันเมื่อมาอยู่ข้างก็ควรจะทวีคูณแท้ๆ

   "แล้วจะเล่าให้ฟังทั้งหมดนะ"

   ยังไม่อยากเล่าตอนนี้ เพราะมันไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง ไม่รู้ว่าพิชชาเป็นใคร ทำไมต้องเป็นเขา ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอะไรเป็นเหตุผลของการกระทำทั้งหมด

   "รอได้"

   "ขอบคุณนะ"

   "แล้วอยากถามอะไรไหม?"

   ไม่มากนักที่รัตติกาลจะเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ถามกลับ

   "อืม ไม่ล่ะ"

   ถ้าเธอไม่ถาม เขาก็ไม่อยากถามกลับเหมือนกัน ถ้าเป็นเรื่องของเวลาก็รู้เกือบทั้งหมดแล้ว ใครจะปล่อยให้น้องสาวของตัวเองไปอยู่กับคนอื่นโดยไม่ตามหาประวัติส่วนตัวล่ะ จะน้องคนไหนก็เถอะฝ่าด่านของราชาไปให้ได้แล้วค่อยว่ากันเรื่องอื่น

   น้ำหนักตรงไหล่หายไปแล้ว หันมามองหน้าน้องสาวของตัวเองเงียบๆ ใบหน้าแทบไม่มีส่วนใดคล้าย และนิสัยไม่มีส่วนไหนเหมือน ความเป็นฝาแฝดของทั้งคู่มีเพียงใบเกิดเท่านั้นเป็นข้อพิสูจน์ นอกจากนั้นแล้วถ้าอยากจะเช็คคงต้องส่งดีเอ็นเอไปตรวจเอา

   นัยน์ตาว่างเปล่าคู่นั้นเห็นกี่ครั้งก็ยังไม่ชิน ความรู้สึกผิดยังติดค้างอยู่ข้างในมากเสียจนไม่อยากสบตากลับไป รัตติกาลเคยเป็นเจ้าหญิงของราชา หญิงสาวที่ได้รับการทะนุถนอมมาโดยตลอด เป็นเขาเองที่ 'ดูแลน้อง' ได้ไม่ดีพอ

   "ผมยุ่งหมดแล้วนั่น" ลมพัดแรงจนเรือนผมสีดำสวยเริ่มไม่เป็นทรง มือยกขึ้นไปจัดแต่งให้ด้วยความเคยชิน "มัดให้ไหม"

   เห็นว่าตรงข้อมือไวท์มียางรัดผมเส้นใหญ่อยู่ รัตติกาลยังจ้องใบหน้าพี่ชายตัวเองโดยไม่ตอบรับข้อเสนอ และเมื่อริมฝีปากบางขยับอีกครั้งถึงรู้ว่าสาเหตุมันคืออะไร

   "มัดผมได้ด้วยเหรอ?"

   "เพราะคุณคนเดียวเลยพิชชา"

   เล่าเรื่องที่เจอมาเมื่อวานให้กับลูกค้าร้านทำผมตรงหน้า ยกผ้าขนหนูขึ้นซับหยดน้ำตามเส้นผมเหมือนเช่นทุกวัน

   คนที่เขาโบ้ยความผิดให้ร้องเสียงหลง "อะไรครับ ทำไมมาโทษผมล่ะ"

   "เรื่องนี้คุณผิดเต็มประตู"

   ต่อให้รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ยังหาเรื่อง พิชชาไม่เคยขอให้ช่วยดูแลในเวลาที่แขนข้างขวายังคงมีเฝือกอ่อนติดเอาไว้ ไล่เสียทุกครั้งที่เสนอหน้ามาช่วยด้วยซ้ำ ต้องใช้วิธีเอาคำเดิมกลับมาพูดย้ำอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายยอมเงียบแล้วปล่อยให้ทำอย่างต้องการ

   อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากไปกว่ามารับไปเรียน ไปทานข้าวด้วยถ้าเวลาว่างตรงกัน แล้วก็ช่วยสระผมให้ในวันที่ต้องสระ

   จากหน้าที่ช่างสระทุกวันนี้ทำถึงขั้นตอนของการมัดผมแล้ว อย่างตอนนี้พอซับผมจนแห้งหมาดก็จะเอาไดร์มาเป่าเย็นให้แห้ง พิชชาบอกว่าไม่ชอบการเป่าให้แห้งมากเท่าไหร่ แต่สำหรับเขาแล้วมันน่าขัดตาที่เห็นผมเปียกแนบชิดอย่างนั้นจนต้องลงมือแก้ไขเอง

   "ข้อหาอะไรครับ แล้วนี่แจ้งสิทธิ์ให้กับผู้ถูกกล่าวหาแล้วหรือยัง"

   วิธีการไล่เรียงตามลำดับถูกต้องจนมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าพิชชาเป็นเด็กเอกธุรกิจแน่หรือไม่ ต่อให้เคยลงวิชาเกี่ยวกับกฎหมายเบื้องต้นมันก็ไม่น่าจะจำได้ขนาดนี้

   "ครบแล้ว สิทธิเดียวคือนั่งรอผมเป่าผมยาวๆ ของคุณให้แห้ง"

   "นี่มันเผด็จการครับราชา"

   "ผมปกครองด้วยระบบทิวากาลนิยม"

   ราชาคือประมุขสูงสุด

   "ครับๆ ตามสบายเลย"

   ส่งยิ้มพึงพอใจผ่านกระจกกลับไป ปรับเครื่องเป่าผมยี่ห้อดีไปตรงความร้อนน้อยที่สุด เว้นระยะห่างให้พอดีกับผมที่แบ่งเป็นช่อเอาไว้แล้ว ทุกอย่างคือความรู้ใหม่ที่ได้จากการดูแลผู้ชายผมยาวคนนี้ ถ้าใครถามว่าจบไปทำอะไรเขาจะตอบว่าไปเปิดร้านทำผมแทนล่ะ

   เพลงยุคเดียวที่ฟังในช่วงหลังดังไม่มีหยุดจากโทรศัพท์ของตัวเองบนโต๊ะเครื่องแป้ง สมาธิจับจ้องแค่ผมเส้นยาวสีดำสนิทตรงหน้า พิชชาเป็นคนที่น่าอิจฉาตรงที่ขนาดผมหยักศกแล้วมันก็ยังเข้าทรงได้ตลอดเวลา ไม่ฟูหรือเป็นลอนไม่สวย

   ช่างทำผมมือสมัครเล่นครั้งนี้ทำเวลาได้ดีพอสมควร จัดการหวีด้วยแปรงขนาดใหญ่เหมาะกับลักษณะของเส้นผม ไล่ไปทีละส่วนจนครบ ต่อจากนั้นก็เป็นเวลาของน้ำมันบำรุงผม

   ของทุกอย่างที่พิชชาใช้ไม่เคยเป็นยี่ห้อตลาด ทุกอย่างเป็นของแปลกที่เห็นครั้งแรกแล้วก็ต้องถามว่าในไทยมีขายด้วยเหรอ

   "เรียบร้อย วันนี้จะไปหาลูกค้าที่ไหน"

   "วันนี้ไม่มีนัดครับ"

   "อ้าว?"

   เช้าอาทิตย์ปกติเป็นวันทำงานของพิชชา งานที่มาพร้อมกับค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลเสมอ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพอเป็นคนอื่นพิชชาถึงยอมรับค่าจ้าง แต่พอเป็นของชายไฮโซคนนั้นกลับปฏิเสธเสียงแข็ง   

   ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพิชชาสร้างความประหลาดใจให้ทิวากาลได้เสมอ

   "งั้นวันนี้จะไปไหน"

   เรียกได้ว่าทุกวันนี้บ้านหลังใหญ่เริ่มมีทิวากาลเป็นสมาชิกคนที่สองไปแล้ว ไปเช้าเย็นกลับจนคนดูแลประตูจำเวลาได้ว่าต้องเปิดตอนช่วงเวลาไหนบ้าง

   ดูจากชุดแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้จะมีงานพิเศษหรือเป็นการแต่งตัวสำหรับอยู่บ้าน เขาก็ยังคงอยู่ในเสื้อโปร่งกับกางเกงเข้าชุดกัน สร้อยตรงคอเส้นเดิมเส้นเดียวไม่เคยเปลี่ยน ทุกอย่างของพิชชายังเหมือนวันแรกที่เจอ

   "ไม่ออกไปไหนครับ ว่าจะพาคุณไปเรือนไม้"

   "เหรอ" เรือนไม้ที่เคยเล่าว่ามีไว้เก็บของเก่าจนเกือบเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กได้ไม่ยาก "ก็กินข้าวก่อนค่อยพาผมไปแล้วกัน"

   โต๊ะตัวใหญ่ยังวางไว้แบบเดิมในห้องทานอาหาร ต่างตรงจำนวนเก้าอี้ที่ว่างเหลือเพียงแปดจากสิบตัว อาหารมื้อสิบโมงของวันนี้ไม่ใช่ฝีมือของพิชชาเนื่องจากเจ้าของบ้านยังแขนเจ็บอยู่ มันเลยเป็นหน้าที่ของเขาในการซื้ออาหารสำเร็จรูปจากข้างนอกเข้ามา

   ข้าวในจานของทิวากาลน้อยกว่าอีกคน นี่ไม่ใช่อาหารมื้อแรกของวันสำหรับเขา ก่อนออกจากบ้านก็ต้องทานกับคนอื่นมาแล้ว จากนั้นถึงมาทานที่นี่อีกหนึ่งมื้อย่อย นี่มันชีวิตอะไรของเขากันนะ

   ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากเท่านี้ก็ไม่รู้

   "ติดหวานไปหมด แสบคอ"

   ปริมาณน้ำดื่มลอยดอกมะลิที่ตามเข้าไปมากกว่าปกติ เขาเลยไม่ชอบทานร้านไม่คุ้นรสไง ถ้าเป็นร้านที่เคยกินบ่อยนั่นแสดงว่าถูกจริต แต่แถวบ้านพิชชาแทบไม่มีอะไรนอกจากความกันดาร ได้เจอร้านอาหารตามสั่งสักร้านก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว

   "ถ้าไม่เปลี่ยนร้านใหม่ก็คงต้องทำเองแล้วล่ะครับ"

   "คุณก็รีบหายสิ"

   หลังจากอาหารมื้อพอกินให้ผ่านไปอีกวันก็ได้เวลาไปเยี่ยมเรือนไม้ที่บอกเอาไว้ตั้งแต่แรก ใต้อาณาจักรขนาดใหญ่ทั้งสองเลือกวิธีการเดินตามเส้นทางที่สร้างเอาไว้แล้วไปยังจุดหมาย แม้แดดจะแรงจนต้องหยีตาก็ไม่มีปัญหาอะไร การอยู่กับปัจจุบันไม่ต้องเร่งรีบอะไรก็ได้ความสุขไปอีกแบบ

   "หมอบอกว่าอีกสองสัปดาห์ก็เอาออกได้แล้วไงครับ คุณเป็นคนถามเองนะ"

   อีกหนึ่งหน้าที่คือคอยดูแลไม่ให้ทำอะไรกระเทือนแผล ไม่เช่นนั้นคนอย่างพิชชาไม่ยอมอยู่สุขสักที

   "นั่นคือกรณีที่คุณไม่ทำอะไรเกินตัว"

   "ผมอยากหายจะแย่แล้วครับ ไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก"   

   พิชชาพูดมักติดเสียงหัวเราะจนกลายเป็นเอกลักษณ์ คล้ายเป็นการแสร้งหลอกตัวเองให้ร่าเริงอยู่ทุกขณะ

   ระยะทางจากบ้านใหญ่กว่าจะถึงเรือนไม้ต้องผ่านบ้านรองสองหลัง เขาไม่สนใจว่าแต่ละหลังมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง รู้แค่บ้านหลังที่เพิ่งผ่านมาเป็นของคุณอา พี่กาย แล้วก็สมาชิกใหม่อย่างภรรยาตามกฎหมาย พูดถึงแล้วก็น่าคิดว่าอะไรที่ทำให้คนข้างในต่างกันได้ขนาดนั้น

   บ้านตรงหน้าไม่ค่อยเหมือน 'เรือนไม้' อย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก คือมันน่าจะเหมือนตามละครหรือไม่ก็ในรูปถ่าย ประเภทเห็นปราดเดียวก็รู้ว่าบ้านผู้ดีเก่า แต่นี่มันเป็นแค่บ้านอย่างง่ายชั้นเดียวไม่มีใต้ถุนอะไร ไม้ที่ใช้ก็เป็นแบบธรรมดาไม่ได้มีสลักลวดลายไว้เลย

   ก็ไม่ผิดที่เรียกเรือนไม้

   "ด้านหลังจะมีสวนดอกไม้ด้วยครับ เดี๋ยวพาไปดูต่อ"

   โดยรวมเรียกได้ว่าอยู่สภาพดีมาก ไม่ถึงกับสมบูรณ์อยู่แล้วเนื่องด้วยข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา ข้างในมีข้าวของสมัยก่อนถูกจัดวางเอาไว้เป็นระเบียบแบ่งเป็นหมวดหมู่สำหรับการใช้งานจริง ทุกชิ้นมีร่องรอยของฝุ่นจับเพียงแค่เล็กน้อยไม่เหมือนกับหลายแห่งที่เขาเคยไป

   ฟังพิชชาอธิบายวิธีการใช้อุปกรณ์โบราณหลายอย่าง เช่นหีบไม้เก็บเสื้อหรือว่าเครื่องใช้ในครัว บางอย่างก็เป็นของที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีวิธีใช้ละเอียดยิบย่อยอย่างนั้น

   "ถ้าเป็นของมีราคาจะเก็บไว้ในธนาคารครับ"

   ในยุคนี้ของมีค่าไม่อาจสู้ของมีราคาได้

   "พวกเพชรพลอย ผ้าไหมงานสมัยก่อน เหมือนจะมีพวกตำราเรียนด้วยมั้ง ต้องรอจัดการทรัพย์สินเสร็จทั้งหมดก่อนแหละครับถึงจะรู้ว่าเหลืออะไรเท่าไหร่บ้าง"

   "แล้วของในนี้รวมอยู่ด้วยไหม?"

   "ของในนี้คุณย่าบอกแล้วครับว่าถ้าหมดรุ่นผมก็ให้บริจาคกับแหล่งการเรียนรู้ไป"

   เรื่องบางเรื่องถ้าไม่ได้เกิดมาในตระกูลที่มีต้นสายย้อนไปยาวนานคงไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงต้องเก็บรักษาเอาไว้ขนาดนั้น เหมือนกับวิธีการพูดจา ท่าทางที่แสดงออกเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณะชน แล้วก็การวางตัวในสังคมปัจจุบัน

   สายเลือดเก่าแก่สามารถไล่เรียงไปได้เป็นร้อยปี คนใหญ่คนโตเป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดนี้นักต่อนัก ใบพระราชทานนามสกุลยังติดอยู่ในกรอบรูปบานสวย พิชชาคงเป็น 'รอยด่าง' ของสายตระกูลนี้ เพราะคนเป็นมารดานั้นไม่อาจตามหาเชื้อสายได้เลย

   เดินตามจุดต่างๆ ของบ้านทรงเหลี่ยมจนครบ แผ่นไม้ส่งเสียงร้องเตือนหลายครั้งเมื่อเผลอลงน้ำหนักมากเกินไป ทั้งหมดเกิดจากการขยับตัวก้าวเดินของทิวากาล ไม่มีครั้งไหนมาจากว่าที่เจ้าของบ้านคนถัดไป

   "สรุปแล้วแค่อยากมาอวดของในบ้าน?"

   ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรมากกว่าการเล่าว่าของชิ้นนี้ได้มาเมื่อไหร่ น่าจะช่วงสมัยใด จนเขานึกว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาทัวร์ในพิพิธภัณฑ์ของเก่าแห่งชาติ

   "แค่หาเรื่องอยู่กับคุณสองคนน่ะครับราชา"

   "ก็เลยใช้พื้นที่ในบ้านให้เป็นประโยชน์สินะ" มือหยิบกระจกส่องหน้าโบราณขึ้นมาตรวจใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนกลับมา ช่วงโครงทั้งหมดกลายเป็นสนิมหมดแล้วแต่ว่าส่วนของแก้วตรงกลางยังใช้งานได้ไม่มีบกพร่อง "เราจะไปต่อกันที่สวนดอกไม้เลยไหม"

   คราวนี้สวนดอกไม้ไม่ถึงกับทำให้แปลกใจ มันก็เป็นสวนดอกไม้จริงตามคำเรียก เพียงแค่ว่าพืชพันธุ์ที่เลี้ยงนั้นไม่เหมือนสวนในบ้านสมัยใหม่ ต้นมะลิที่กำลังติดดอกทั้งต้นส่งกลิ่นลอยระริน ยังไม่รวมต้นไม่รู้ชื่ออีกจำนวนมากเขียวชอุ่มจนเต็มพื้นที่

   "ก็ปลูกตามสไตล์คนสมัยก่อนแหละครับ ทั้งสวยงามแล้วก็ใช้งานได้ ก่อนคุณย่าเสียท่านก็บ่นว่าต้นไม้ใหม่ๆ ที่มาลงทำได้แค่ให้ความสวย เอาไปทำอย่างอื่นเพิ่มไม่ได้"

   "คุณก็เลยเอาไปลอยน้ำให้ได้ใช้งานล่ะสิ"

   "ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วยิ่งกว่านี้อีกครับ เอามาทำอาหาร ร้อยมาลัยหรือไม่ก็เอาไปทำเครื่องหอม" รอยแย้มละไมยามนึกไปถึงคนในอดีตสวยงามจนเขาเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้รู้จัก "คุณย่าอยากให้ของพวกนี้ยังอยู่ต่อไป เลยสอนให้หมดทุกอย่าง แต่ผมเองก็ทำได้แค่ไม่กี่อย่าง"

   "แค่นี้ก็เยอะแล้วนะ"

   "ผมยังพลาดไปอีกหลายสูตรครับ อย่างขนมหวานโบราณบางอย่างมันยากจนผมยอมแพ้ คุณเคยได้ยินชื่อข้าวตอกตั้งไหมครับ นั่นเมนูเด็ดของคุณย่าเลยล่ะ"

   ทิวากาลยืนฟังเรื่องคนในครอบครัวของพิชชาโดยไม่เข้าไปขัด เรื่องเล่าทุกอย่างคือสิ่งที่หลอมให้เกิด 'พิชชา' ขึ้นมา และนั่นคือสิ่งที่เขาเคยประกาศไว้ว่าจะทำให้ได้ ทำความรู้จักในทุกแง่มุม ทั้งสังคมที่แวดล้อมรวมถึงนิสัยใจคอส่วนตัว

   "ผมคงหนีออกจากบ้านถ้าต้องทำอะไรอย่างนี้"

   "ขนาดนั้นเลยเหรอครับ" พิชชาเปลี่ยนร่างจากไกด์นำเที่ยวเป็นคนดูแลสวนดอกไม้ เห็นก้มๆ เงยๆ มองส่วนประกอบของไม้สีเขียวเกือบทุกต้นที่ผ่าน

   "จะให้มาทำตามนิ้วของคนอื่นที่ชี้สั่งนี่ทำใจรับไม่ได้จริงๆ"

   "ก็ราชานี่นะ"

   คนที่มีสิทธิขาดสูงสุดเหนือผู้ใด

   "คุณไม่เบื่อเหรอ"

   "มันก็เพลินดีนะครับ"

   "ไม่ทำอย่างอื่นล่ะ"

   "ไม่มีใครอยากยุ่งกับ 'คนน่ากลัว' อย่างผมหรอกครับ"

   ใบหน้ายังจับจ้องอยู่กับไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ คิ้วของเขาขยับเข้าหากันเมื่อเห็นว่ามือข้างที่ว่างของชายผมยาวกำลังหิ้วตะกร้าหวายขนาดพอเหมาะอยู่ ไปเสกมาจากไหนอีก

   เดินเข้าไปใกล้ ฉวยเอาสิ่งนั้นมาถือเอาไว้เอง แขนก็ใช้ได้ข้างเดียวยังจะซ่า "ถ้าเป็นสมัยก่อนผมคิดว่าตัวเองดีกรีสูสีนะ"

   "ของคุณมันเป็นกรณีทำเพื่อสร้างเกราะให้ตัวเองครับ แต่ของผมเป็นคนอื่นบังคับให้ต้องใส่เอาไว้"

   "คุณรู้เรื่องผมตั้งแต่ช่วงไหนนะพิช"

   การสร้างความน่ายำเกรงทั้งหมดในช่วงมัธยมมีไว้เพื่อเหตุผลเดียวคือคอยดูแลน้องทั้งสองคนให้ปลอดภัย ต่อให้อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายแค่ไหนถ้าเป็นสิ่งที่เขาทำให้ได้แล้วล่ะก็ทิวากาลจะทำมันให้ดีที่สุด

   "โห ให้นับจริงเหรอครับ"

   "สิบสองปี?" นั่นคือระยะเวลามากที่สุดเท่าที่จะให้ได้ ประมาณชั้นประถมตอนปลาย

   "ผมรู้จักคุณมานานมากกว่านั้นเยอะครับ" ดอกไม้หลากแบบในที่ใส่ไม้หวายส่งกลิ่นเฉพาะตัวออกมาจนแยกประสาทไม่ออก "เอากระดังงาแบบคราวที่แล้วไหมครับ หรือว่าอยากลองชมนาด แต่ผมว่าจำปีก็น่าสนนะ"

   ชื่อดอกไม้หลายชนิดเคยได้ยินผ่านหูโดยไม่ทราบถึงสรรพคุณ ยื่นตะกร้าออกไปรับดอกไม้กลีบสวยที่เพิ่งแยกออกมาจากกิ่ง มองคนผมยาวเฟ้นเลือกจนได้ดอกที่ต้องการครบถ้วนทั้งหมด

   "เอาไปทำอะไรเยอะแยะ"

   "ก็หลายอย่างนะครับ มะลิลอยน้ำเหมือนเดิมส่วนอย่างอื่นว่าจะเอาไปทำเครื่องหอม"

   สิ่งนั้นเตือนทิวากาลว่ากลิ่นหอมที่ติดอยู่ข้างในใจยังไม่ได้รับการไขให้กระจ่าง ไม่เคยเห็นวางเอาไว้บนโต๊ะเหมือนเครื่องบำรุงชนิดอื่น สังเกตหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เห็นว่าจะหยิบขึ้นมาใช้สักที

   แล้วทำไมเขาถึงได้กลิ่นนั้นทุกครั้งที่เข้าใกล้ล่ะ

   "ถ้าผมเด็ดบ้างจะเป็นอะไรไหม"

   "ได้อยู่แล้วครับ ไม่อยากให้มันเฉาไปแบบไร้ประโยชน์"

   ได้รับไฟเขียวแล้วทิวากาลจึงเอื้อมมือออกไปหยิบดอกไม้กลีบสีขาวที่มีส่วนในสีเหลือง กลิ่นเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากการสัมผัสครั้งอื่น ทิวากาลปิดตาสนิทขณะที่ยกมันขึ้นสูดเอาความหอมหวานเข้าไปข้างใน พอลืมตาขึ้นมาก็เลยเห็นว่าคนเป็นเจ้าของสวนมองมาแบบไม่เข้าใจมากเท่าไหร่

   "หรืออยากได้ราชาวดีครับ"

   "ผมมีคำถาม" ถือตะกร้ากับดอกไม้ดอกเดิมไว้ในมือข้างเดียวกัน ส่วนข้างที่เหลือจัดการทัดปอยผมให้ไปอยู่ด้านหลังหูจนใบหน้าเกลี้ยงเกลาเปิดเผยออกมา

   "อยากได้วิธีการไปทำเองเหรอครับ"

   นัยน์ตาขี้เล่นเย้าแหย่จนเกือบปิดสนิท แบล็คหัวเราะในลำคอให้กับท่าทางไม่ยอมโอนอ่อนอย่างนั้น ผู้ชายคนนี้อยู่เหนือทุกกฎเกณฑ์บนโลก

   "คุณว่าระหว่างดอกไม้ดอกนี้" ทัดดอกราชาวดีที่เชยชมความหอมเมื่อครู่กับช่วงใบหูของอีกคน สีขาวของดอกไม้ตัดกับเรือนผมชัด ขยับตัวเข้าไปใกล้กับบริเวณที่ตัวเองเพิ่งละมือออก ทำเป็นสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด

   "หรือว่าตัวคุณจะหอมกว่ากัน?"

   "นี่มันคำถามจิตวิทยาหรือไงครับ"

   กลับกลายเป็นชอบเสียแล้วที่พิชชาไม่แสดงอาการตอบโต้กลับมา สายตาสองคู่ประสานกันคล้ายกับเล่นเกมใครกระพริบตาก่อนแพ้ ใบหน้าไม่ยินดียินร้ายกับคำพูดก่อนหน้าจงใจโน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นหอมสะอาดเช่นเคย

   "ไม่ คำถามทั่วไปนี่แหละ"

   "ปกติใครเขาถามแบบนี้กันครับ"

   "ผมไง"

   "หืม..." พิชชากำลังหาทางหนีด้วยการหันไปมองต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง ทิวากาลเรียกชื่อไม่ถูกแล้วก็ไม่ค่อยชอบกลิ่นมันเท่าไหร่ "ผมต้องตอบแบบไหนถึงจะถู...สักครู่นะครับ"

   เสียงฝีเท้าลงหนักทุกจังหวะบอกได้ผู้มาใหม่กำลังวิ่งเข้ามา หันตัวกลับไปมองว่าใครเป็นผู้กล้าในบ้านหลังนี้ คนงานในส่วนของการดูแลระบบภายในบ้านทั้งหมดในชุดเข้างานหยุดเท้ายามเห็นว่าสองคนหันมามองตนเป็นตาเดียว ใจมีคำถามว่ารู้ได้อย่างไรว่ากำลังมาหาแต่ก็ไม่กล้าถามออกไป

   “เตรียมตัวไว้นะครับราชา” แววขี้เล่นที่เขาเห็นเมื่อสักครู่หายไปแล้ว มันเหลือเพียงความระอาผสมไปกับความน่าเบื่อหน่าย "ที่บ้านใหญ่เรามีแขก"


***
   ยังสอบไม่เสร็จค่ะ แต่ไม่ไหวแล้วจริงๆ ขอเทชีวิตตัวเองหนึ่งวันมาอยู่กับพี่แบล็คดีกว่า /ไม่หันไปมองกองหนังสือที่หลอกหลอนอยู่ข้างตัว
   ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-1 [15.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 15-12-2016 22:46:22

อยากอ่านต่อแล้ว
#พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-1 [15.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 16-12-2016 00:42:13
รีบๆมาต่อน้าาาาา รออยู่
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-1 [15.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: tangmomozii ที่ 23-12-2016 14:44:36
เหนือความลึกลับใดใด อิพี่แบล็คกะพิชชานี่ก็ละมุ๊นละมุนเนอะ สระผมเอย มัดผมเอย เอาผมทัดหูเอย สูดกลิ่นตัวเอย  :hao7: :o8:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-2 [24.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 24-12-2016 21:51:01
CH.11-2


   ปกติถ้ามาอยู่บ้านพิชชาทิวากาลจะยึดห้องนั่งเล่นเป็นอาณาเขตของตัวเอง พอเดินกลับเข้ามาแล้วเจอคนอื่นนั่งอยู่ตาเลยกระตุกแปลกๆ

   ปกายและพ่อของเขา

   "เคลียร์บัญชีเรียบร้อยแล้วเหรอครับ" ไม่เคยลดราวาศอกใส่กันเลย เอาจากความรู้สึกยิ่งเจอกันมากครั้งเท่าไหร่ก็แย่ขึ้นไปทุกที "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าถึงต้องเรียกผมมาคุย"

   "คนมีปัญหาน่ะน้องแก"

   แท็บเล็ตหน้าจอใหญ่ส่งมาจากฝั่งตรงข้าม พิชชารับมันมาดูเงียบๆ ที่เห็นผ่านตาไปเป็นเนื้อความในข่าวตามเว็บสักแห่ง ภัสสร์ไปก่อเรื่องอะไรอีกอย่างนั้นเหรอ?

   "งามหน้าไหมล่ะ อายุยังไม่ถึง แล้วใส่ชุดนักเรียนปักชื่อหราอีก" คนแก่สุดในห้องหัวเสียจนลูกต้องรีบห้าม พิชชายังไล่ตามตัวอักษรบนหน้ากระดาษไม่ได้สนใจเสียงอื่น จนจบบรรทัดสุดท้ายถึงส่งคืนไปให้

   "ก็ไม่ได้บอกชื่อนี่ครับ มีแต่นามสมมติ"

   "แน่สิ เอาเงินปิดไปแล้ว"

   "อ๋อ งั้นมาบอกผมแค่นี้ใช่ไหมครับ"

   แอบมองว่าชายผมยาวอยู่ในฟีลลิ่งไหน ท่านั่งตัวตรงประสานมือไว้ตรงตักเหมือนบางคนในรูปถ่ายที่เห็นในเรือนไม้ นัยน์ตามองตรงไม่มีความรู้สึกใดปรากฏชัด นี่ก็เป็นพี่ประหลาด ไม่เคยห้ามไม่ให้น้องไปเที่ยวมั่วสุมในพื้นที่อย่างนั้นแถมยังไม่ยี่หระต่อข่าวในหน้าสังคม

   "ไม่ใช่แค่นี้ เมื่อไหร่ภัสจะเลิกทำตัวแย่ๆ ทำอะไรคิดถึงชื่อเสียงของตระกูลหน่อย"

   ข้ออ้างสมกับเป็นพวกกินบุญเก่าดี

   "ครับๆ" วิธีการตอบรับส่งๆ อย่างนั้นไม่แปลกใจเลยที่เห็นความไม่พอใจบนสีหน้าของคนเป็นอา "เราต้องรักษาตระกูลเอาไว้ให้ได้"

   "อาจะคุยกับภัสสร์"

   "คุยกับผมก็ไม่ต่างครับ"

   "รับปากอากี่ครั้งแล้วพิช ภัสก็ไม่เห็นเปลี่ยนนิสัย"

   "ผมไม่เคยรับปากคุณอา”
   
   ห้องนั่งเล่นแปรสภาพเป็นพื้นที่สุญญากาศโดยพลัน "และคุณอาไม่มีสิทธิ์สั่งให้ผมทำตาม"

   เรื่องภายในครอบครัวถ้าดีไปเลยก็แตกแยกไม่มีทางกลับมาชิดกันใหม่ได้ แบล็คเคยได้ยินเพื่อนหลายคนเล่าถึงความสัมพันธ์น่าเบื่อข้างใน แม่ไม่ชอบสะใภ้ พี่กับน้องแย่งสมบัติ ทำงานไม่เท่ากัน ส่วนตรงนี้คงเป็นการแย่งตำแหน่งสูงสุดของบ้านหลังนี้

   "ยังไงอาก็จะคุย ถ้าไม่เรียกภัสให้กลับบ้านเดี๋ยวอาจะไปเอง"

   "ห้ามแตะต้องภัสสร์"

   เสียงเย็นเยียบไร้โทนราวกับซาตานผู้ชี้ชะตาชีวิต เห็นได้ชัดว่าคนอายุมากกว่าทั้งสองคนชะงักค้างไปเมื่อได้ยินประกาศิตนั้น พี่กายของพี่น้องคู่นี้น่าจะเป็นผู้ตกอยู่ในสถานะลำบากใจมากที่สุด ฝั่งหนึ่งก็บุพการีส่วนอีกฝั่งก็น้อง ...ใช่ ตอนนี้เป็นน้องแล้ว

   "ผมจะไม่พูดถึงสิ่งที่คุณอาทำมาตลอดนะครับ อย่างเช่นตามพวกผมทุกฝีก้าว"

   "..."

   "แล้วถ้าคุณอาอยากให้ทุกอย่างมันสงบอย่างนี้ก็หยุดความคิดที่จะไปหาภัส ...รวมถึงพี่ด้วยนะครับพี่กาย"

   "จะเกินไปแล้วนะพิช"

   "มันยังน้อยไปต่างหากครับ"

   "คุยกันไม่รู้เรื่อง ไปกาย" แท็บเล็ตเครื่องเดิมกลับไปอยู่กับเจ้าของเรียบร้อย ผู้มาเยือนไม่มีการกล่าวคำลาไปราวกับเขาทั้งสองไม่มีตัวตน พิชชายังนั่งตัวตรงเช่นเดิม มีแต่ทิวากาลที่หันกลับไปมอง

   บางทีสิ่งที่อยู่ใต้เสื้อผ้าราคาแพงมันอาจเป็นปีศาจชื่อความโลภ

   "พูดครั้งเดียวควรจะรู้เรื่องนะครับคุณอา"

   เสียงก้องจนทั่วห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ พิชชานั่งตัวตรงอยู่ที่เดิม มีเพียงริมฝีปากขยับกล่าวต่อ

   "แต่ถ้าไม่รู้เรื่องผมไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง"

   มีแค่ปกายที่หันกลับมามอง สีดำเห็นแต่รอยกังวลอยู่ข้างใน เขาอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรแต่ก็เปลี่ยนเป็นเดินตามบิดาของตัวเองออกไปเสีย

   "ราชาครับ"

   "ว่าไง"

   ได้แต่จับไหล่ให้กำลังใจ คนตัวเล็กกว่านิดหน่อยไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อจนคิดว่าหากลองบีบมันแรงกว่านี้คงไม่พ้นรอยช้ำ

   "คงต้องไปห้องภัสกันหน่อยแล้วล่ะครับ"

   "ได้นะ ไปเลยไหมล่ะ" เขาเองก็เป็นห่วงเด็กคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างนั้นเหมือนกัน ชอบไปอยู่ในที่สบายใจจนได้เรื่อง "แล้วอาของคุณ?"

   ถามดักเอาไว้ก่อนดีที่ที่สุด ไม่รู้ว่า 'คำสั่ง' ของพิชชาสำหรับบ้านหลังนี้มีความหมายแค่ไหน

   "ไม่ไปหรอกครับ"

   นั่นแสดงว่าในบ้านหลังใหญ่ผู้มีอิทธิพลมากที่สุดคงเป็นชายผมยาว ทิวากาลส่งเสียงรับรู้พลางมองหากระเป๋าผ้าใบประจำของพิช พร้อมออกไปตามหาเด็กเวรตะไลที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับเขาชัดเจน คนที่ไม่คิดจะขอบคุณสักคำสำหรับการพาไปตะลอนไกล

   "แล้วภัสอยู่ที่ห้องเหรอ"

   ใช้เวลานานพอควรกว่าจะถึงห้องพักบนชั้นสูงสุดของภัสสร์ ถนนในเมืองของวันอาทิตย์มีจำนวนรถหนาแน่นกว่าที่คิดเอาไว้นิดหน่อย ตลอดทางพิชชาไม่มีอาการกระวนกระวายหรือว่าพยายามติดต่อกับน้องของตัวเอง แค่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างโดยไม่ปริปากเล่าเรื่องใดออกมา

   คงต้องการพื้นที่สำหรับใช้ความคิดเลยไม่เซ้าซี้ เขาเข้าใจความรู้สึกที่ต้องดูแลน้องชายดีเลยล่ะ แค่นั้นมันก็ดูดพลังชีวิตไปมากโข กรณีของพิชนี่ยังต้องสู้รบปรบมือกับญาติอีก แล้วญาติแต่ละคนก็น่ารักเหลือเกิน

   "ไม่อยู่หรอกครับ ผมแค่มาตรวจความเรียบร้อยของห้องเฉยๆ"

   "อ้าว?" ร้องเสียงหลงออกมาพอได้ยิน มองพี่ชายแตะการ์ดอิเล็กทรอนิกส์กับประตูห้องจนเห็นไฟเขียวอนุญาตให้เข้าไปข้างในได้

   "กลับมาแล้วครับ"

   ไม่ว่าครั้งไหนก็ตาม เมื่อพิชชาเปิดประตูบานใหญ่ออกนี่คือคำพูดที่ออกมาจากปากเสมอ การกระทำที่สร้างความสงสัยให้ทุกครั้งว่าการทักทายนี้ส่งไปถึงใคร

   ห้องสี่เหลี่ยมว่างเปล่าไร้ผู้อาศัย เครื่องปรับอากาศแบบฝังยังคงทำหน้าที่สร้างความเย็นให้กับทุกพื้นที่ ทิวากาลเดินสำรวจรอบห้องรับรองเป็นอย่างแรก ข้าวของหลากหลายวางทิ้งไว้ระเกะระกะ ตั้งแต่ซองขนมเปิดทิ้งเอาไว้ นิตยสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวกองเป็นตั้งสูง ถุงเสื้อผ้าที่จำได้ว่าตัวเองเป็นคนถือเมื่อครั้งไปเดินซื้อของกับพิชชา ถึงว่าซื้อขนาดเล็กกว่าไซซ์ตัวเอง

   ไม่ชอบความเย็นอับจนออกปากขอปิดแอร์แล้วเดินไปเปิดหน้าต่างทุกบานในห้องแทน เด็กคนนั้นใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ไม่ได้มาตรฐานด้านสุขอนามัยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

   "นี่คุณไม่จ้างแม่บ้านเหรอพิช" อย่างภัสสร์น่ะไม่มีทางทำความสะอาดห้องเองอยู่แล้วล่ะ

   "จ้างนะครับ แต่คิดว่าภัสคงแอบโทรไปยกเลิกเอง"

   "เลี้ยงมายังไงให้ร้ายได้ขนาดนั้น"

   บนชั้นวางของมีโมเดลลูกโลกงานละเอียดวางไว้ นอกจากนั้นเป็นหนังสือแนะนำประเทศต่างๆ มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ และทุกเล่มมีโพสอิทแผ่นเล็กโผล่ออกมา ที่บอกว่าอยากไปเที่ยวรอบโลกนี่เรื่องจริงสินะ
   
   "ไม่เคยเลี้ยงครับ"

   มือที่กำลังเปิดไปตามหน้าหนังสือนำเที่ยวประเทศกรีซหยุดอยู่ตรงร้านอาหารห้ามพลาด แบล็คต้องเลือกให้ดีว่าจะต่อบทสนทนาแบบไหนเพื่อรักษาบรรยากาศเอาไว้

   "อย่างนั้นเหรอ..."

   "ผมถูกส่งไปให้เพื่อนของคุณพ่อเลี้ยง ส่วนภัสพี่กายเลี้ยง"

   โลกของเด็กที่เติบโตขึ้นด้วยมือคนอื่น ไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิด

   เหมือนอย่างเขา

   "ก็เลยรักกันขนาดนั้นสินะ"

   "มั้งครับ"

   ปิดหนังสือเกี่ยวกับประเทศกรีซลงแล้วหยิบเล่มถัดไปออกมาดู กระดาษที่คั่นเอาไว้คือสถานที่ห้ามพลาดของประเทศนั้นๆ มีรอยปากกาวงสิ่งที่ตนเองสนใจเอาไว้พร้อมกับคำอธิบายเพิ่มเติมด้วยลายมือ มีบางคนเคยพูดเอาไว้ว่าถ้าอยากรู้จักใครสักคน ให้ลองหาว่าเขาอ่านหนังสือประเภทไหน และแบล็คได้รู้จัก 'ภัสสร์' จากกระดาษพวกนี้

   รักความสะอาดในระดับหนึ่งเพราะหนังสือไม่มีรอยยับหรือว่าพับเอาไว้ ส่วนไหนที่ขีดเสริมเข้าไปเป็นลายมือสวยงามไม่มีร่องรอยขีดฆ่า พอเจอคำผิดในหนังสือจะวงเอาไว้พร้อมแก้ไขให้เสร็จสรรพ ส่วนคำที่ไม่เข้าใจในหนังสือต่างชาติก็จะมีคำแปลเอาไว้ด้านข้าง ไม่แปลกที่ครูของเขาจะบอกว่าเป็นเด็กเรียนดี

   แล้วทำไมเด็กคนนั้นถึงเปลี่ยนไป

   "ที่ผมไปหาครู...เขาบอกว่าภัสโดดเรียนเป็นว่าเล่น"

   ชีวิตยุ่งวุ่นวายจนเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้รายงานผลของการเป็นตัวแทนผู้ปกครอง "แล้วก็มีปัญหากับเด็กคนอื่นด้วย เป็นหัวโจกยกพวกตีกัน"

   "ครับ"

   "ไม่กลุ้มหน่อยเหรอ?"

   "ช่วงสมัยคุณมัธยมก็ไม่ต่างกันหรอกครับราชา"

   พี่ชายผมยาวเก็บของที่วางไว้กระจัดกระจายให้เข้าที่ ห้องไร้ระเบียบเริ่มเข้าทางมากขึ้นเป็นลำดับ เห็นอย่างนั้นแล้วก็เลยต้องเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแม่บ้านจำเป็นไปด้วย

   แต่ก่อนหน้าต้องทำหน้าที่เดิมให้ดีเสียก่อน

   "ผมออกจะเป็นเด็กดี" ขั้นตอนการมัดผมให้กับพิชชาขั้นแรกคือการเสยผมด้านหน้าไป จากนั้นค่อยอ้อมตัวเองตามไปเพื่อเก็บทีละช่อให้ดี จนครบจึงมัดเป็นมวยสูงด้วยยางรัดผมตรงข้อมือของตัวเอง วันนี้ไม่ได้จัดแต่งเพิ่มเติมมากเท่าไหร่เพราะตั้งใจให้สะดวกต่อการเก็บห้องเท่านั้น "บอกเลยว่าประวัติผมดีสุดๆ"

   ดูแล้วพิชชาคงไม่เชื่อเขาเท่าไหร่ "ให้โอกาสพูดใหม่ครับ"

   "ไหนบอกว่ารู้จักผมไงพิช"

   "ก็เพราะรู้จักไงครับถึงไม่เชื่อ ราชาที่อยู่กับปีศาจแล้วก็เจ้าชาย"

   "แล้วตอนคุณอยู่มัธยมเป็นยังไงบ้าง"

   แยกย้ายกันไปเก็บของตามพื้นที่ที่คิดว่าควรได้รับการทำความสะอาด ทิวากาลเลือกเก็บหนังสือตามพื้น นอกจากหนังสือเรียนสภาพใหม่กับสิ่งพิมพ์ชนิดอื่นแล้วมันยังมีหนังสือปกแปลกอีกสามสี่เล่ม เล่มแรกเป็นด้านจิตวิทยาความรัก ส่วนสองเล่มถัดมาเกี่ยวกับการปกครองรูปแบบต่างๆ และเล่มสุดท้ายเกี่ยวกับวิธีทำความเข้าใจโรคซึมเศร้า

   ไม่ชอบหนังสือที่ตัวเองเจอเลยให้ตาย

   "ผมก็เรียนให้จบตามหลักสูตรเท่านั้นแหละครับ ไม่ได้มีวีรกรรมอะไร"

   "แต่ที่เพื่อนผมเล่าคุณดังจะตายไป"

   "นั่นมันสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้ครับ ผมไม่ต้องการชื่อเสียง" แผ่นหลังใต้ชุดฝ้ายขยับไปมาตรงหน้าโซฟา ส่วนที่เขาเรียกเองว่ามันเป็นที่ทิ้งขยะแบบไม่มีถัง "เพราะถ้าได้มันมา ต้องรักษามันให้ได้"

   "ของพวกนี้ถือไปก็หนักเปล่าๆ"

   "สำหรับบางคนเป็นเกียรติที่ได้ถือมันไว้ครับ"

   "เบื่อบ้างไหมที่มีอาแบบนั้น" ไม่มีเหตุผลรองรับการนินทาคนที่ไม่ชอบ ต่อให้คนคนนั้นจะมีอายุมากกว่าเขาหลายรอบก็เถอะ

   ห่างกันมากอยู่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมา "ทำเป็นไม่สนใจไปนานๆ คุณจะไม่รู้สึกอะไรไปเองแหละ"

   "แล้วเพื่อนของพ่อที่ว่าเลี้ยงคุณมานี่ยังคุยกันอยู่ไหม"

   "ทุกวันนี้ก็ยังเลี้ยงอยู่นะครับ"

   "ไม่เห็นเคยเจอ" ถ้าเป็นคนสำคัญในระดับนั้นพิชชาควรไปเยี่ยมบ้าง แต่นี่เขายังไม่เคยทำหน้าที่สารภีไปส่งเลยสักครั้ง

   "ช่วงนี้ไม่อยู่ไทยครับ ไปทำธุระที่ฝรั่งเศส"
   
   พื้นฐานของภัสเป็นพวกเจ้าระเบียบ สังเกตดูจากวิธีการแบ่งหมวดหมู่ของใช้ส่วนที่ยังอยู่สภาพเดิม หลายอย่างดูย้อนแย้งในตัวเองมากเสียจนเขาเริ่มเปลี่ยนพื้นที่ทำความสะอาดจากห้องนั่งเล่นไปเป็นส่วนของห้องนอนแทน จะเรียกว่าทำความสะอาดมันก็ไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียวหรอก ก็แค่แยกกองของที่ยังใช้ได้อยู่กับส่วนที่ต้องทิ้งแล้วมากกว่า

   เมื่อเทียบกันแล้วห้องของสองพี่น้องเป็นเหมือนกับสิ่งตรงข้ามกัน ห้องของภัสสร์มีของตกแต่งจำนวนมากประดับตามชั้นวางรวมถึงรูปภาพบนฝาผนัง นอกจากนั้นก็ยังมีของใช้ราคาสูงอย่างอื่นอีกมากมายนอนกองไว้ ในขณะที่ห้องของพิชชามีแต่ความว่างเปล่า ของที่มีคือใช้ได้ในชีวิตประจำวันทั้งหมด ไม่มีชิ้นไหนวางไว้เป็นเครื่องประดับหรือว่าเป็นเผื่อไว้ว่าจะได้ใช้งาน

   "โอ้..."
   
   หลุดคำอุทานออกมาเมื่อเห็นห้องนิทราของเด็กผีชัดๆ รูปแบบของห้องนอนสไตล์โมเดิร์นสมกับเป็นตึกใหม่เพิ่งสร้างไม่กี่ปี เฟอร์นิเจอร์ข้างในเน้นสีตามทฤษฎีที่บอกว่าจะช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบาย สิ่งดึงดูดสายตาคือภาพแผนที่โลกทำมือขนาดใหญ่ตรงกำแพงด้านหนึ่งของห้อง

   "ภัสวาดเองครับ ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน"

   "น้องของคุณเก่งนะ"

   ในหลายๆ ความหมาย คนเรามักมีความสามารถในด้านในด้านหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสิ่งนั้นใช้ไม่ได้กับเด็กผู้ชายชื่อภัสสร์ เรื่องเรียนไม่ต้องพูดถึงอยู่ในโรงเรียนอันดับต้นของประเทศ เลขสี่ในใบเกรดเรียงต่อกันสวยงามไม่เหลือพื้นที่ให้เลขอื่นได้ปรากฏ นอกจากนั้นยังมีพรสวรรค์ในด้านศิลปะอีก

   "พ่อเชื่อว่าทุกคนเกิดมาพร้อมของขวัญพิเศษครับ"

   "แล้วคุณ?"

   "ผมเลยได้ 'รู้' มาไงครับ"

   "อย่างนั้นคุณคงต้องไปโทษทางแม่"

   ตู้เสื้อผ้าแบบเลื่อนเปิดค้างไว้ ข้างในแบ่งออกได้เป็นสองส่วนใหญ่คือเสื้อที่ยัดๆ เข้ามากับพับเอาไว้เรียบร้อย  สัญลักษณ์หลายอย่างแสดงออกผ่านทางวิธีการจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้สร้างความไม่เข้ากันของข้อมูลชุดแล้วชุดเล่าแล้วยังมีส่วนที่ระบุไม่ได้อีกนิดหน่อย

   "ผมไม่เคยโทษนะครับที่ตัวเองเป็นอย่างนี้"

   "คุณคล้ายกับพ่อของผมเลย" ทิวากาลนึกออกแล้วล่ะว่าเวลาพิชชาพูดปลงตกอย่างนั้นมันเหมือนกับใคร "เขาชอบบอกว่าตัวเองไม่คิดจะฝืนธรรมชาติอยู่แล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป"

   "มันก็เป็นอย่างนั้นจริงนี่ครับ"

   "น่าเบื่อ"

   "สีสันไม่ใช่คำตอบของความสุขเสมอไปครับราชา"

   "คุณควรเรียนเอกธรรมะไม่ก็ปรัชญา"

   เหมือนวิชาหนึ่งที่ทิวากาลกำลังเรียนอยู่ การคิดและตั้งคำถามเกี่ยวกับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว เราอยู่ในโลกที่การเรียนรู้คือการจำในสิ่งที่คนอื่นบอกมา ไม่ใช่สิ่งที่คิดและหาคำตอบให้กับตัวเอง

   "ทุกศาสตร์มันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากความอยากรู้ทั้งนั้นแหล...โอ้ะ!"

   รีบวางของในมือแล้วรุดไปตรงต้นเสียง พิชชากำลังก้มลงมองฝ่ามือเปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเอง ส่วนของมีคมต้นเหตุคงจะเป็นเครื่องแก้วที่มีรอยแตกตรงมุม

   "ไปล้างเร็ว"

   ฉวยข้อมือของคนเจ็บเอาไว้ กึ่งลากกึ่งจูงไปทางห้องน้ำที่อยู่ติดกัน คราวนี้ไม่มีเวลาสำรวจสิ่งต่างๆ ข้างในได้เหมือนห้องอื่น ต้องรีบล้างแผลเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากสิ่งสกปรกอื่น ก็ดูสภาพของห้องนี้สิ เชื้อโรคไม่รู้กี่ล้านสายพันธุ์กระจายตัวสนุกสนาน

   "โอ๊ย! มันเจ็บนะครับ" พอโดนน้ำก็มีเสียงร้องประท้วง

   "ทนหน่อยสิ แค่นี้เอง"

   "มันแค่นี้ตรงไหนล่ะครับ"

   จริงอย่างที่บอก ขนาดแผลบนฝ่ามือนั้นใหญ่เกือบสองเซนต์ได้

   "น้องคุณมีของทำแผลเก็บไว้บ้างไหม"

   "ไม่แน่ใจครับ"

   "ออกไปรอที่เตียง นั่งเฉยๆ อย่าซนไปหยิบอะไรอีกล่ะ"

   คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กตรงราวแขวนยัดใส่มือพิชชาไปด้วย เดินออกไปตามหากล่องที่เข้าข่ายเป็นเครื่องปฐมพยาบาลจนเจอกับลิ้นชักพลาสติกติดสติกเกอร์ ดึงมันออกมาด้วยความหวังว่ามันคงเก็บของที่เขาต้องการ

   "..."

   สิ่งที่เห็นสร้างความกังวลใจให้ไม่ต่างกับแผลสีสด ในเมื่อกล่องนั้นนอกจากจะไม่มียาสามัญประจำบ้านพื้นฐานแล้วยังมีซองยาเขียนกำกับเอาไว้ว่ายานอนหลับอีกหลายแผงนอนอยู่

   ทิ้งยาชุดนั้นไว้ที่เดิมก่อน เดินกลับเข้าไปหาคนเจ็บผู้นั่งสงบอยู่ตรงปลายเตียงอย่างที่บอกเอาไว้ ปอยผมบางส่วนหลุดลงมาเกลี่ยช่วงข้างแก้มจนเขามองไม่เห็นว่าคนเจ็บแสดงออกทางสีหน้าอย่างไรบ้าง

   "เลือดยังไหลอีกเหรอเนี่ย"

   บนผ้าซับน้ำมีรอยเลือดหลายจุด และตรงฝ่ามือของคนเจ็บยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

   "คงเป็นบริเวณเส้นเลือดใหญ่มั้งครับ"

   "เป็นคนรู้ไม่ใช่เหรอ อย่ามามั่ว"

   เสียงหัวเราะยังออกมาจากปากของคนเจ็บได้

   "ผมรู้แค่ว่าตอนนี้มือตัวเองเริ่มสั่นแล้วครับ"

   แผลไม่ได้ลึกเท่าไหร่จากการตรวจสอบ แบล็คหยิบผ้าขนหนูมาซับรอบแผลอีกครั้งพลางเปิดโหมดคุณพ่อ "แล้วไปซนอะไรตรงนั้นหืม"

   "ว่าจะเก็บของให้เข้าที่ ไม่รู้ว่าขอบมันแตกแล้ว"

   "ระวังหน่อยสิ" ดุเหมือนตอนน้องสักคนเจ็บตัว "แขนก็ยังไม่หายมือก็มาเจ็บอีก หมดสองข้างแล้วคุณจะหยิบของยังไง"

   "ก็ให้คุณช่วยไงครับ"

   "จะตัดมือของผมไปต่อแทนเหรอ"

   คิดถึงการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ตัวเองมีแขนกล เงื่อนไขไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่พอดีคิดถึงก็แค่นั้น

   "ถ้าอยากทำผมก็เต็มใจรับนะครับ"

   "..."

   ราวกับเป็นการเสกให้รอบข้างไร้สรรพเสียง ราชาละสายตาจากแผลขนาดพอสมควรไปสบกับนัยน์ตาคู่แปลก การสื่อสารระหว่างทิวากาลกับพิชชามักเกิดขึ้นในรูปแบบของภาษากาย ไม่จำเป็นต้องพูดก็สัมผัสได้ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายนั้นคืออะไร

   "ผม...จะอยู่กับคุณพิชชา"

   ความปรารถนาไม่มีเหตุผลมารองรับ

   แม้เงื่อนไขของมันคือตราบสิ้นลมหายใจ

   "บอกแล้วไงครับว่าผมไม่เคยได้ยินคำนั้น"

   "กลัวมันผูกพัน?"

   "กลัวสิ่งที่จะตามมาต่างหากครับ"

   ภาพที่เห็นไม่ชัดอาจไม่ใช่เพราะไกลห่าง แต่เป็นเพราะชิดใกล้เกินไป

   "ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ นะพิช" คนที่ดึงเข้ามากลายเป็นคนเดียวกับที่ผลักออกไป "ไม่เข้าใจสักอย่าง ต่อให้ผมอยู่กับคุณมากแค่ไหนมันก็ยังเหมือนเดิม"
   
   พอเลือดยังไม่หยุดไหลจะทำแผลต่อก็ไม่ได้ มือข้างที่เจ็บยังมีฝ่ามือของทิวากาลรองรับเอาไว้อยู่ จากความอบอุ่นแบบที่ร่างกายมนุษย์ควรมีมันก็เริ่มปรับระดับลงไปเป็นมือเย็นเฉียบตามเดิม

   "ลองพยายามมากกว่านี้ไหมครับ"

   ถ้าต้องทำมากกว่านี้ทิวากาลคงต้องไปจุดธูปเชิญคุณพ่อคุณแม่ของคนตรงหน้าขึ้นมาคุยเรื่องลูกชายของทั้งคู่ คนอะไรทำตัวเป็นปริศนาไม่คิดจะบอกคำใบ้เสียบ้าง ถ้าเล่นนานไปไม่ผ่านสักทีเขาอาจจะล้มกระดานบ้างแล้วนะ

   ก็พูดไป ทำจริงได้เสียที่ไหน

   "ภัสบอกผมว่าเขาจะไม่ยกคุณให้ใคร"

   "..."

   "เขาบอกว่าคุณเป็นสิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่"

   นั่นเป็นอีกเรื่องเกี่ยวกับน้องชายที่พิชควรจะรู้ ...หรืออาจเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว

   "ใช่ครับ ภัสมีแค่ผม"

   "แล้วคุณจะอยู่กับน้องชายอย่างนี้ไปจนแก่?"

   "ไม่ถึงหรอกครับ เราก็มีชีวิตของตัวเอง"

   "แล้วทำไมถึงไม่ปล่อยให้เขาเดินเองตั้งแต่ตอนนี้"

   คติในการเลี้ยงน้องข้อแรกของทิวากาลคือต้องปล่อยให้เดินเอง ล้มเอง เจ็บเอง ทุกคนไม่มีทางเจอทิวากาลในรูปแบบของพี่ชายผู้ยอมทุกอย่างตามความต้องการของน้อง คนอื่นอาจเข้ามาใส่ปุ๋ยให้ได้แต่นั่นก็แค่ชั่วคราว การเติบโตที่ยั่งยืนต้องมาจากตัวเอง

   "ผมให้ภัสเดินเองตลอดครับ เพียงแต่ว่าทางของเรายังอยู่บนเส้นเดียวกันอยู่"

   "ขึ้นทางด่วนได้แล้ว วิ่งข้างล่างอย่างนั้นเมื่อไหร่จะถึง"

   "คงต้องไปบอกภัสเองแล้วล่ะครับ"

   "อยู่ไหนล่ะ ผมก็อยากเจอเหมือนกัน"

   "ลงไปตีกับเด็ก?"

   "เปล่า" เว้นช่องว่างเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะพูดความต้องการของตัวเองออกไป "ผมจะไปบอกเด็กคนนั้นว่าผมไม่ยอมให้เขาเก็บคุณไว้คนเดียวหรอก"

   ทิวากาลเป็นราชาผู้เอาแต่ใจ

   ถ้าต้องการอะไรแล้วสิ่งนั้นจะต้องเป็นไปตามความประสงค์

   "มันจะผูกพันจนวันตาย...จำได้ใช่ไหมครับ?"

   "จำได้สิ"

   ทิวากาลจำไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จนถึงจุดนี้ถ้าต้องตอบว่ารู้สึกกับพิชชาแบบไหนก็คงบอกได้เลยว่ายังไม่สามารถบรรยายออกมาให้ตรงตามคำนิยามได้

   "สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปจากนี้ จะไม่ดีกับเราทั้งคู่"

   "คุณรู้อย่างนั้นเหรอ"

   "มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเห็นมาก่อนก็รู้ครับ"

   "อย่าเดามั่วสิพิช"

   “ผมเหมือนคนที่ชอบพูดไปเรื่อยเหรอครับ?”

   นั่นเป็นการย้อนถามที่ตอกย้ำตัวตนได้ดี

   “คุณชอบพูดไปเรื่อย”

   “ปากไม่ตรงกับใจเลยนะ”

   “อย่าเปลี่ยนเรื่อง” รีบดึงกลับมาให้อยู่ในเรื่องเดิม “ผมจะไม่ให้คุณกับภัสหรอก ...อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะได้รู้ว่าคุณเป็นใคร”

   เอาเรื่องอื่นมาอ้างไปอย่างนั้นเอง และเหมือนอีกฝ่ายก็จะจับได้เลยส่งรอยยิ้มรู้ทันมาให้ ทิวากาลมองนัยน์ตาสีแปลกที่เปลี่ยนเป็นขึงขังในพริบตาจนเขาไม่กล้าเอ่ยเร่ง ในช่วงเวลานี้ราชาทำได้แค่เป็นคนรอจนกว่าจะได้รับคำสนองตอบรับหรือว่าคำปฏิเสธ

   บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด และเสียงของพิชชาทุ้มต่ำราวกับอยู่ในช่วงสำรวมระหว่างงานพิธี "ถ้าอย่างนั้น....ดื่มเลือดสาบานครับ"

   หมุนข้อแขนให้เลือดไหลลงไปกองอยู่ตรงปลายแผล หยดเลือดที่ไม่ถึงกับไหลเป็นสายธาร มันถูกยื่นมาจนเกือบชิดส่วนอวัยวะในการรับรสชาติ

   การดื่มเลือดบางตำนานมันคือการทำสัญญาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

   เพิ่งรู้ว่าริมฝีปากของตัวเองแห้งผากก็ตอนเผลอกัด ส่วนอีกคนส่งรอยแย้มละไมมาให้ โทนเสียงแปลกหูนั้นก้องติดอยู่ตรงข้างในส่วนรับรู้ "ทำได้ไหมครับ"

   “...”

   "สาบานว่าราชาจะไม่จากพิชชาไปไหน"

   ทิวากาลทิ้งช่วงสำหรับการหายใจเข้าเท่านั้นก่อนจะตอบกลับไป

   "ราชาไม่เคยลืมคำพูดตัวเอง"

   เสียงแว่วบางเบาพยายามกลั้นไม่ให้คำอื่นเล็ดลอดออกมายามบรรจงจูบลงไปตรงกลางแผล ฝ่ามือเย็นเหมือนจะอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสัมผัส ลากลิ้นไปตามฝ่ามือเพื่อชิมรสชาติของเหลวสีแดงขุ่น

   รสของเลือดควรจะคาว

   แปรเป็นความหวานจนไม่อยากหยุดแค่นั้น


***
   Merry x'mas eve ค่ะ เป็นการฉลองปิดเทอมที่ดีอยู่เหมือนกันนะคะ (หัวเราะ)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-2 [24.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 25-12-2016 00:40:09

โอ้ววววว
แบบนี้นี้เรียก จูบเลือดสาบาน
หวานจนไม่อยากหยุด

ยังคงต้องติดตามต่อไป
ว่าอะไรเป็นอะไร
ขอให้เป็นเรื่องดีๆ มากกว่าไม่ดีนะ

Merry Christmas ค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-1 [29.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 29-12-2016 22:07:54
CH.12-1


   หลังจากนั้นข่าวของภัสสร์ก็หายไปกับอำนาจเงินตรา ก็ต้องยอมรับว่านอกจากน้องชายคนเล็กแล้วยังมีอีกหลายชีวิตที่อาจเสียประโยชน์จากตัวอักษรเหล่านั้นได้

   เสียงเพลงยุคเก่าคลอระหว่างประกอบกิจวัตรยามเช้าของตัวเอง ยังหัวเสียอยู่เล็กน้อยจากการนอนตื่นสายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่เคยใช้นาฬิกาเป็นตัวช่วยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทุกเช้าทิวากาลสามารถกำหนดช่วงเวลาการตื่นได้เสมอ จะเว้นไว้แต่วันที่ต้องตื่นในช่วงเวลาผิดแปลกไปเท่านั้นแหละ

   ฉะนั้นเช้าที่ไม่มีอะไรพิเศษเขาก็ควรจะตื่นตามนาฬิกาชีวิตของตัวเอง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นตอนหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลามันถึงเกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว

   นึกไปมาก็เพิ่งคิดออกว่าวันนี้ทั้งบ้านจะมีแค่หนึ่งชีวิต คุณพินิจผู้เป็นพ่อออกต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย น้องสาวฝาแฝดไปเขาใหญ่กับเวลอย่างที่เคยบอกไว้ ส่วนน้องเล็กทำตัวแก่แดดด้วยการไปค้างบ้านที่หนึ่ง คนเป็นคุณพ่อทางพฤตินัยเลยได้แต่แกร่วอยู่ในบ้านรอให้หมดช่วงวันหยุดไปเท่านั้น

   ฉีดน้ำหอมขวดทรงแปลกเป็นการจบทุกขั้นตอน  สั่งเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องทำอาหารเช้าไว้ให้เพราะเหลืออยู่แค่ชีวิตเดียว ออกไปหาอะไรทานเองจะสะดวกกว่า อีกอย่างช่วงหลังทานอะไรก็หาเรื่องติได้หมด ไม่หวานไปก็อมน้ำมันจนปวดหัว หนักที่สุดคือเรื่องผักตกแต่งที่เหมือนค้างมาหลายคืน
   
   ทิวากาลเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน ระยะทางจากห้องของตัวเองลงมาถึงส่วนของห้องส่วนกลางใช้เวลาไม่นานเมื่อลองเทียบกับบ้านของอีกคน แค่จากห้องของพิชชาที่อยู่บนชั้นสองลงมาถึงบันไดอาจใช้เวลาเยอะกว่าเขาลงมาตรงนี้เลย

   บ้านหลังใหญ่ที่ไร้ชีวิต ลองมองไปรอบกายของตัวเองจึงพบว่าบ้านของตัวเองมีของตกแต่งอยู่ไม่กี่แบบ ถ้าไม่เป็นถ้วยรางวัลสมัยยังแข่งกีฬาก็เป็นของฝากจากทั่วมุมโลกของคุณพ่อ นอกจากนั้นส่วยใหญ่จะเป็นของที่เอาไว้ใช้สอยในชีวิตประจำวัน

   เขาเลยไม่เข้าใจทุกครั้งที่เห็นเครื่องประดับจำนวนมหาศาลข้างในบ้านของพิชชา จริงอยู่มันอาจช่วยลดความใหญ่โตลงได้ไม่น้อย แต่นั่นมันก็ไม่ช่วยเสกให้บ้านมีชีวิตขึ้นมาได้

   พออยู่คนเดียวกุญแจเครื่องยนต์ที่คว้ามาไว้มือเลยกลายเป็นบิ๊กไบค์คันโปรดแทนที่จะเป็นพวงกุญแจรถอีโค่คาร์เช่นทุกที ออกไปไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่เลยไม่ได้ใส่ชุดป้องกันแบบเต็มยศ ถึงบ้านจะอยู่ห่างออกจากตัวเมืองไปพอสมควรมันก็ยังดีตรงที่มีห้างสรรพสินค้ามาเปิดเมื่อไม่นานมานี้

   จอดเข้าซองพิเศษ ถอดแว่นกันแดดเสียบกับแจ็คเก็ตหนัง ค่อยๆ เดินตามป้ายบอกทางเพื่อเข้าไปในส่วนของร้านค้า ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าอยากจะทานอะไรเป็นพิเศษ ก็ถ้าอยู่กับพิชชาแล้วมื้ออาหารก็จะไปลงเอยตรงร้านแปลกๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามีอยู่ในเมือง

   “แล้วเครื่องดื่มรับอะไรดีคะ?”

   เดินวนไปเวียนมาจนยอมจบกับร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นชื่อแปลก ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าคนในร้านน้อยจนหาความเป็นส่วนตัวได้ไม่ยาก ทิวากาลไม่อยากเห็นสายตาของคนอื่นที่มองมา ถึงจะชินก็ใช่ว่าจะชอบ

   “...มีชาอะไรบ้างครับ”

   “คะ?”

   มันเป็นเรื่องแปลกที่ทานอาหารจานเดี่ยวคู่กับน้ำชา “ชา มีอะไรบ้าง”

   พนักงานจดออเดอร์หยุดเขียนเมนูที่สั่งไปเมื่อครู่ หล่อนมองหน้าลูกค้าแสนโดดเด่นที่ดึงดูดทุกสายตาได้ตั้งแต่แรกก้าวเข้ามาในร้าน ชายตัวสูงกับเสื้อหนังสีดำเข้ากับกางเกง ใบหน้าคมคายจนอยากใช้คำอื่นที่มากกว่าคำว่าหล่อ เขาไม่ได้เหมือนกับหนุ่มสายเกาหลี แต่จะเรียกว่าไทยมันก็ไม่ใช่

   แล้วสายตานั่นก็ไม่เหมาะกับการประสานเลยสักนิด

   “เอ่อ...ตามที่โชว์อยู่ตรงหน้าร้านเลยค่ะ”

   ทิวากาลพยักหน้ารับรู้ ลุกขึ้นออกจากโต๊ะริมหน้าต่างของตัวเองไปยังเคาท์เตอร์จ่ายเงินเพื่อไล่ดูชนิดของชา เขาเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้มากเท่าไหร่ พิชชาจะเป็นคนจัดการทั้งหมดเอง

   ชาหลายแบบในซองเรียงเป็นระเบียบ มีแค่บางช่องที่แหว่งออกไปนิดหน่อย ยื่นมืออกไปหยิบแต่ละชนิดขึ้นมาดูไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเวลาการเลือก หลายคนรู้สึกเหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้น่าสนใจ

   แต่ไม่ควรเข้าใกล้เกินความจำเป็น

   “เอาคาโมมายด์”
     
   หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานในการจัดการต่อไป หนังสืออ่านเล่นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กฎหมายเล่มบางถูกหยิบขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา เขาไม่อยากใช้โทรศัพท์ตอนนี้ แน่นอนว่าถ้าเข้าไปในเฟสบุ๊คต้องเจอกับโพสของเพื่อนสักคน เช่นสเตตัสของที่หนึ่งเกี่ยวกับการไปนอนค้างบ้านครั้งแรกของน้องโรม

   เหลือบสายตามองไปทางโต๊ะด้านข้างของตัวเอง มีหญิงสาวสองคนกำลังแอบมองมา แล้วยังกระซิบกระซาบกันในระดับเสียงที่เขาเชื่อว่าพนักงานตรงหน้าประตูร้านยังรับรู้ได้ ทิวากาลก้มลงอ่านข้อความในหนังสือของตัวเองต่อ ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินเพื่อให้ความรู้ในหนังสือเข้าสู่สมองมากที่สุด มันมีหลายวิธีสำหรับการอ่านหนังสือในที่สาธารณะ บางคนบอกว่ามันจอแจจนไม่มีสมาธิ ส่วนเขาเองถ้ารู้วิธีการควบคุมตัวเองมันก็ไม่มีอะไรยาก

   พอเห็นว่าหนึ่งคนบนโต๊ะนั้นลุกขึ้นยืนเขาก็ปิดหนังสือลง ถอนหายใจออกมาบางเบาเพื่อเตือนครั้งที่หนึ่ง

   นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการหยุดทุกความตั้งใจ

   ผ่านไปสักพักโต๊ะที่เคยว่างเปล่าก็มีกาน้ำชาสีขาวงานเกรดทั่วไปกับแก้วชาใบเล็กวางเอาไว้ เมื่อมันโดนสายลมก็จางหายไป ส่วนข้าวผัดแบบผสมรสชาติก็ผสานจนไม่มีความเข้ากันในทุกส่วน ทานเข้าไปได้ไม่กี่คำไม่อาจฝืนใจกินต่อไป เก็บไว้เป็นแบล็คลิสต์ที่จะไม่เข้ามาเหยียบอีกตลอดกาล

   เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามว่างเปล่าไม่คุ้นตา ทิวากาลเป็นมนุษย์สังคมมาโดยตลอด ดูแลทั้งน้องทั้งเพื่อนจนนึกไม่ถึงว่าการที่ต้องมานั่งทานข้าวคนเดียวอย่างนี้มันเงียบเหงาแล้วก็น่าหดหู่แค่ไหน

   ชากลิ่นหอมแต่ไม่มีรสชาติ รสขมจนติดลิ้นเป็นผลมาจากการต้มที่นานจนเกินไป ไว้จะไปเล่าให้พิชชาฟัง ผู้ชายคนนั้นมีเทคนิคการจับเวลาที่น่าทึ่งเสมอ

   ...
   
   พิชชาอีกแล้ว

   วันนี้ชื่อพิชชาโผล่ขึ้นมาในหัวกี่ครั้งแล้วนะ



   ตรงป้ายชื่อนามสกุลขนาดใหญ่มีร่างของใครคนหนึ่งในชุดเสื้อฮู้ดแขนยาวปิดบังใบหน้าเอาไว้จนหมด อากาศของเวลากลางวันเข้ากันไม่ได้กับเสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่ ทิวากาลชะลอรถจนกระทั่งจอดสนิทตรงประตูบ้าน และเมื่อคนปริศนาเงยหน้าขึ้นมาจนเห็นใบหน้าเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

   “ว่าไง”

   พอควรจะว่างก็ต้องลำบากมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก

   “บอกให้มาส่งที่เดียวกับพิช” แถมยังไม่ต้องเสียเวลาซักถามจำเลยก็รับสารภาพถึงวิธีการเดินทางเองเสียอย่างนั้น ภัสสร์ยังเป็นเด็กเวรตะไลที่เขาไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเหมือนเดิม ด้านบนเป็นเสื้อฮู้ดส่วนข้างล่างเป็นกางเกงนักเรียนกับรองเท้าแตะมียี่ห้อ

   “แล้วมาทำไม?”

   “ไม่รู้จะไปที่ไหน”

   ชาติที่แล้วทิวากาลไปทำอะไรให้พี่น้องคู่นี้อาฆาตแค้นกัน ชาตินี้เลยเลยต้องมาชดใช้แบบเพิ่มดอกเบี้ยเข้าไปไม่รู้กี่เท่า

   “นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะ”

   “ผมรู้ว่าบ้านที่มีเจ้าของเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล”

   “รู้แล้วก็ยังมาอีก นี่มันบุกรุกนะ”

   “ก็ไปแจ้งความสิ”

   เด็กที่เคยสุขุมวันนี้อารมณ์ร้อนแปลกๆ ภัสสร์อาจไม่ได้ใจเย็นเท่ากับพี่แต่มักจะคิดอะไรก่อนทำ หรือเจอข่าวเข้าไปจนเพี้ยนก็ไม่รู้ ชุดที่ใส่มาไม่เข้ากับสภาพอากาศจนต้องก้มลงสำรวจอีกครั้ง มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์เครื่องโตเอาไว้ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้นว่างเปล่า

   ไม่สิ มันมีบางอย่างอยู่

   “ไปทำอะไรมา”

   “ไม่ได้ทำ”

   “ภัส บอกพี่มา”

   ใช้การขู่รอดไรฟันหวังว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ เด็กมัธยมปลายไม่ยอมทำตามบอกมิหนำซ้ำยังเดินอาดไปทางประตูเข้าบ้านอีก

   ช่วงขาที่ยาวกว่าช่วยให้ไปถึงตัวเด็กได้เกือบจะทันที เจ้าบ้านใช้รูปร่างที่ใหญ่กว่าให้เป็นประโยชน์โดยการบังเอาไว้ไม่ให้แทรกผ่านเข้าไปได้ ใบหน้าซีดกับช่วงนัยน์ตาล้ากำลังแสร้งทำเป็นเข้มแข็งเช่นทุกครั้งที่เจอ แต่สุดท้ายต่อให้เก่งแค่ไหนด้วยช่วยอายุเท่านี้มันก็คุมตัวเองไว้ไม่ได้หมดหรอก

   “จะบอกดีๆ หรืออยู่ข้างนอกต่อไป” ทิวากาลไม่ใช่คนชอบขู่อยู่แล้ว พร้อมจะทำจริงเสมอนั่นแหละ

   “...ไม่รู้จะไปที่ไหน”

   คำตอบอ้อมแอ้มเป็นใบเบิกทางให้ประตูเปิดออก “ก็แค่นั้น”

   ปล่อยให้แขกที่ไม่ได้เชื้อเชิญเดินนำเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนตัวเองรีบเดินไปเอากล่องปฐมพยาบาลในห้องครัวออกมา เสียงกีต้าร์ตัวเก่งดังแว่วมาจากส่วนของห้องกลางอเนกประสงค์ รู้ได้เลยว่าเด็กคนนั้นต้องมือบอนหยิบของเขามาเล่นโดยไม่ขอ

   “จะถอดเสื้อออกหรือว่าให้พี่โทรหาพิช”

   จังหวะเพลงสตริงยุคใหม่หยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะกลับมาเล่นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “งั้นโทรหาเลยแล้วกัน”

   เด็กในชุดเสื้อกันหนาวตัวหนากวนประสาทด้วยการถอดส่วนฮู้ดออก ยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนที่จะกลับไปมองโน้ตกีตาร์ต่อ

   แบล็คมองภาพตรงหน้าเงียบๆ ยกมือขึ้นกอดอกของตัวเองเอาไว้ การกดดันทางร่างกายเคยได้ผลเสมอเมื่อใช้กับน้อง และมันก็ไม่มีอะไรยากสำหรับการลวงเด็กคนนี้เช่นกัน

   “...หรือว่าโทรหาพี่กายดีนะ”

   คราวนี้เสียงดนตรีเงียบสนิท ช่วงหน้าไม่พอใจเงยขึ้นมามองพร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากัน บอกแล้วว่าอย่างไรภัสสร์ก็ยังเป็นเด็กที่ตามแผนการเล่นของเขาไม่ทันหรอก มันเลยไม่มีใครเคยทำร้ายทิวากาลได้เพราะไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าจุดอ่อน

   “ภัสเลือกแบบไหน?”

   “ไม่ เลือก”

   ทุกคำช้าชัด เสียงทุ้มแบบเด็กผู้ชายไม่เข้ากับท่ากอดกีตาร์อย่างนั้นเลย

   เมื่อไม่ได้ตั้งใจแค่ขู่ ทิวากาลเลยล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องสี่เหลี่ยมมาปลดล็อคหน้าจอ เปิดไปตรงคำสั่งของการโทรออกเตรียมรายงานให้คนพี่ฟังว่ามีใครมาหา

   “ห้ามโทร!”

   “สั่ง?” ทิวากาลแสยะยิ้ม ยกโทรศัพท์ที่ต่อสายถึงพิชชาเรียบร้อยขึ้นแนบหู “รู้เอาไว้ด้วยว่าไม่เคยมีใครสั่งพี่ได้”

   เว้นแต่ชายคนนั้นคนเดียว

   ริมฝีปากอีกคนเม้มเข้าหากัน มือสองข้างโผล่ออกมาพ้นเสื้อหนาวเล็กน้อยกำลังกำเอาไว้แน่น  “...ก็พอใช่ไหม”

   “หืม?” แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินว่าพูดอะไร “เดี๋ยวรอคุยกับพิชทีเดียวเลยนะ”

   “บอกว่าถอดเสื้อก็พอใช่ไหม!”

   ในเสี้ยววินาทีเด็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็เข้ามาประชิดตัว มือข้างหนึ่งฉวยเอาโทรศัพท์ของเขาไปกดวางสายก่อนที่อีกฝั่งจะรับ แบล็คเลิกคิ้วให้กับเด็กที่มีส่วนสูงต่างกันพอสมควร เพิ่งม.ห้าก็ยังสูงขึ้นได้อีกหน่อย ถ้าเลิกทำร้ายร่างกายตัวเองสักที
   
   “ทำตามคำพูดตัวเองด้วย”

   “...”

   “หรือจะให้พี่ถอดให้?” มือทั้งสองข้างที่ว่างอยู่เตรียมถลกปลายเสื้อขึ้น เด็กตัวเล็กแค่นี้สู้แรงเขาไม่ไหวหรอก

   “ภัสทำเอง!”

   “งั้นก็รีบถอด”
   
   ทิวากาลรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้เสื้อหนาวตัวใหญ่ และมันจะยิ่งแย่ลงหากปล่อยไว้

   เด็กตัวเล็กทำเสียงฮึดฮัดตอนถอดเสื้อหนาวออก เมื่อมันหลุดออกไปจากคอแบล็คก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาในการคว้าข้อมือข้างที่มักจะมีสร้อยหลายรูปแบบมาตรวจสอบระดับความน่ากลัวของแผล

   แผลที่ว่าคือรอยกรีดจนกลายเป็นเลือดกรังจำนวนมากตรงข้อมือ
     
   “ทำประจำ ไม่เป็นไรหรอกน่า"

   “หุบปาก”

   “...”

   ตอนแรกไม่มีความคิดจะระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวใส่คนที่เด็กกว่าเลยสักนิด ภัสสร์เป็นเด็กน่าห่วงในเรื่องสิ่งที่เก็บเอาไว้ภายใน ใต้ความสงบและคำพูดว่าไม่เป็นไรมันซ่อนเรื่องโกหกเอาไว้

   ข้อมือบางจนกำเอาไว้ทั้งหมด ทิวากาลเริ่มต้นการปฐมพยาบาลด้วยการล้างรอยเลือดเดิมออกโดยใช้น้ำเกลือเสียก่อน เมื่อสะอาดเรียบร้อยแล้วถึงเห็นว่านอกจากแผลรอบล่าสุดแล้วมันยังมีร่องรอยของแผลเดิมอีกนับไม่ถ้วนอยู่บนนั้น เพราะอย่างนี้เลยสวมสร้อยข้อมือเอาไว้ตลอดสินะ

   ที่ว่ามันมีสิ่งผิดปกติตอนแรกเห็นก็รอยเลือดแห้งติดตรงฝ่ามือนี่แหละ เด็กบ้าอะไรถึงคิดว่าการใส่เสื้อแขนยาวมันจะช่วยปิดแผลเอาไว้จนไม่มีใครสงสัยกัน บอกเลยว่าทำอย่างนั้นก็ยิ่งมีพิรุธกว่าเดิมเป็นล้านเท่า

   ภัสสร์นั่งเงียบตั้งแต่ที่เขาสั่งไม่ให้พูด แอบเงยหน้าขึ้นมามองหลายครั้งก็พบว่าคนที่ทำร้ายตัวเองเหม่อมองแขนของตัวเองไม่หันไปทางอื่น

   “ไหนบอกรอวันตาย”

   “ก็รออยู่”   

   “ทำอย่างนี้ไปมันก็ไม่ได้ตายเร็วขึ้นเลยนะ”วิธีการกรีดที่ไม่ลึกจนถึงขนาดเป็นแผลใหญ่ แถมตามหลักของแพทย์แล้ววิธีการกรีดแนวขวางอย่างนี้มันก็ไม่ช่วยให้ตายง่ายขึ้น ถ้าอยากจะฆ่าตัวตายจริงคงเลือกวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ นี่มันคือการเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างชัดๆ

   “ก็ไม่ได้คิดว่ากรีดให้ตาย”

   “แล้วทำไปทำไม?”

   “...ไม่รู้สิ”

   ถอนหายใจออกมาต่อหน้า มือยังไม่หยุดพันผ้ากับข้อแขน เผื่อว่าอย่างน้อยถ้าเห็นแขนของตัวเองในสภาพนี้แล้วจะได้ไม่วู่วามกรีดอีก

   “ชีวิตมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอภัส”

   “พี่น่าจะถามว่ามีอะไรดีในชีวิตผมบ้าง”

   อยากจะถอนหายใจออกมาอีกสักรอบ ติดว่าทำไปก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา “งั้นเล่าเรื่องที่ภัสคิดว่าเป็นสิ่งดีในชีวิตมาให้พี่ฟังสิ”

   เขาไม่เคยต้องรับมือกับเด็กที่เพิ่งทำร้ายตัวเองมา ไม่รู้ว่าควรไล่ลำดับการเกลี้ยกล่อมให้สงบอย่างไรบ้าง แล้วคำพูดไหนที่หากพูดออกไปแล้วมันอาจไปกดสวิทช์ความรู้สึกจนกลับไปทำร้ายตัวเองอีกครั้ง ทิวากาลกำลังต่อสู้กับเด็กอารมณ์แปรปรวนโดยที่เขาไม่รู้วิธีรับมือ

   “ไม่มี”

   เพราะยังไม่มั่นใจในระดับความสงบในตอนนี้ เลยต้องปล่อยให้เด็กยังมีอิสระอยู่โดยที่ตัวเองก็คอยจับตาดูไม่ให้คลาดสายตา เขาจะยังไม่โทรไปหาพิชชาตอนนี้ การที่ภัสสร์เลือกมาหาตนเองนั่นแสดงว่าไม่อยากจะกลับไปอยู่กับคนในครอบครัว เพราะอย่างนั้นสิ่งที่เขาควรทำคือปล่อยให้เด็กตัวเล็กได้ทำตามอย่างที่ตัวเองต้องการ สมัยนี้เป็นอันรู้กันว่าเกือบทุกการเคลื่อนไหวตกอยู่ใต้การควบคุมของพ่อแม่ เว้นจะเป็นครอบครัวปล่อยแบบเขา

   ภัสสร์ผงกหัวแทนการขอบคุณเมื่อทำแผลเสร็จ ก็ดี คราวนี้รู้จักขอบคุณผู้มีพระคุณ

   “ผมเดินเล่นได้ไหม”

   “เชิญเลย ตามสะดวก” ทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ทิวากาลยังต้องการข้อมูลอีกมากจากปากของเด็กคนนี้ "ยกเว้นแต่ห้องสุดท้ายตรงสุดท้ายเดิน นั่นห้องทำงานของพ่อพี่"

   ห้องที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนเข้าไปทุกครั้ง

   ข้างในคือพื้นที่แห่งความทรงจำที่คนเป็นพ่อไม่เคยเล่าให้ใครฟัง

   เด็กในชุดอยู่บ้านกับผ้าพันตรงข้อมือลุกขึ้นตรงไปยังตู้เก็บของรางวัลจำนวนมาก มันเป็นของเก็บเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังแข่งกีฬาเป็นงานอดิเรก ก็ดันโตมากับยุคที่เทนนิสบูมจนถึงขั้นที่ว่าต้องคัดกันข้ามวัน มันเลยมีหลายรายการให้ไปลองวัดระดับฝีมือของตัวเอง พ่อเองก็สนับสนุนเต็มที่แต่ไม่ได้บังคับให้ต้องเป็นโปรหรือถึงขั้นที่ว่าหยุดเรียนเพื่อไปซ้อม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจของแบล็คทั้งหมด

   พอวันหนึ่งเขาเบื่อก็โบกมือลาวงการ

   “พี่เก่งเนอะ”

   นิ้วผอมจนเห็นโครงชี้ไปตรงรูปถ่ายตอนรับรางวัลช่วงมัธยมต้น อีกอย่างที่น่าแปลกคือต่อให้ตากแดดมากแค่ไหนเขาก็ยังขาวได้ในระดับที่ผู้ปกครองหลายคนเดินมาถามว่าใช้ครีมกันแดดยี่ห้อไหน พอตอบว่าใช้ปกติทั่วไปก็ทำหน้าไม่เชื่อจนเขาไม่อยากจะตอบอีก

   “ไม่หรอก” ยังมีคนจำนวนมากที่เก่งกว่าเขา แค่จังหวะชีวิตไม่ตรงกับโอกาสก็เท่านั้นเอง “ไม่มีใครเก่งในเรื่องเดียวกันไปทั้งหมด”

   “แต่อย่างน้อยพี่ก็รู้ว่าเก่งอะไร ผมไม่เห็นเจอว่าตัวเองเก่งทางไหน"

   “ก็เรียนเก่งไม่ใช่เหรอ ครูบอกมา”

   “ผมเรียนได้ แต่ผมไม่ได้เก่ง”

   นั่นเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับเด็กที่ทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ไม่สุดสักทาง “แล้วพี่เล่นกีฬาอื่นไหม?”

   “เคยเล่นบาส เหรียญที่ไม่เข้าพวกนั่นน่ะ” เหรียญตรงริมสุดของตู้ เพราะมันเป็นเหรียญสุดท้ายที่ได้ในชีวิตการเป็นเด็กมัธยม “แต่ก็ชนะเพราะทีมดี”

   กัปตันตัวสูงกับทีมฟูลทีมในตำนานโรงเรียน บวกกับพ่อคนที่เป็น’ที่หนึ่ง’ ในทุกเรื่องจนได้แชมป์จังหวัดมาแล้ว เขาก็ได้ลงเล่นอยู่หลายนัด แต่ไม่ถึงกับเป็นตัวเล่นที่ขาดไม่ได้ขนาดนั้น ก็บาสมันเป็นกีฬาที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียวนี่นา ต่อให้คุณเก่งขนาดไหนแต่ถ้าทีมไม่ส่งเสริมมันก็ไม่มีประโยชน์

   “แล้วพี่เรียนเป็นไงบ้าง”

   “ก็ไม่แย่นะ” การเรียนที่ถูกบังคับให้ต้องทบทวนซ้ำอยู่เสมอเผื่อว่าน้องคนเล็กไม่เข้าใจตรงไหนจะได้ตอบกลับไปได้ทันที

   “พี่เคยรู้สึกเบื่อที่ต้องไปเรียนไหม”

   “ตลอดแหละ”

   ทั้งเรื่องการเรียนแล้วก็สังคม เขาเบื่อจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ว่าเพราะอะไรคนเราถึงต้องรู้ทุกอย่างในโลกนี้ขนาดนั้น มันไม่มีเวลาสำหรับการตามหาสิ่งที่ตัวเองสนใจจริง เราถูกบังคับให้ต้องรู้ในสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ใช่อยากรู้แล้วจึงไปหาคำตอบ บอกเลยว่าทุกวันนี้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะเรียนมัธยมปลายหมดแล้ว

   “แล้วพี่ใช้วิธีไหนถึงผ่านมันไปได้”

   “ก็พยายามท่องบอกให้ตัวเองอดทน...เฮ้ อย่าซน บ้านนี้ของอันตรายเยอะ”

   ของที่เคยทำร้ายคนในครอบครัวมาแล้ว

   “ของอันตราย?”

   “ปืน มีด อะไรทำนองนั้น” มันก็มีแบ่งประเภทอีกแหละ เขาขี้เกียจไล่

   “ล้อเล่นหรือเปล่า นี่บ้านนะพี่”

   “พูดให้ถูกคือบ้านมาเฟียเก่า”

   มีเพียงเสียงผิวปากหวือ ไม่มีอาการตื่นตกใจกับการเข้ามาเหยียบข้างใน

   “งั้นพี่ก็เป็นลูกมาเฟียอย่างนั้นสิ”

   “บ้านพี่เลิกทำแล้ว ทุกวันนี้อยู่แบบสงบ”

   “ขายยาเสพติด? ค้าอาวุธเถื่อน? ฆ่าคนตามคำสั่ง?”

   นั่นคงเป็นทัศนคติต่อคำว่ามาเฟีย ทิวากาลส่ายหัวไปมาก่อนจะตอบตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนของบิดาว่าช่วงชีวิตก่อนที่จะมีเขานั้นธุรกิจของบ้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง

   “ไม่ชัวร์ว่ารุ่นคุณปู่ยังมีไหม แต่พ่อพี่แค่คุมคนให้อยู่ในโอวาท ไม่ได้ทำอะไรพวกนั้น”

   คุณพินิจเล่าเหมือนเรื่องขำขันว่าเดี๋ยวนี้ตำรวจเขาเปลี่ยนมาเป็นมาเฟีย คนที่เคยเป็นมาก่อนเลยต้องระเห็จตัวเองไปทำหน้าที่อื่นแทน อย่างพ่อของเขาแม้จะไม่ได้เอาเรื่องงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัวคนในครอบครัวอย่างเขาก็ผ่านเรื่องราวน่าระทึกใจมาไม่น้อย เพื่อความปลอดภัยเขากับไวท์ถูกส่งไปเรียนศิลปะป้องกันตัวหลายแบบ ส่วนเกรย์นั้นไม่น่าเป็นกังวลเนื่องจากแม่สองเป็นลูกของคู่ค้าทางธุรกิจ

   “ถ้าจ้างพี่ให้ช่วยฆ่าผมจะได้ไหม?”

   ใบหน้าของทิวากาลตึงขึ้นหนึ่งระดับตอนได้ยิน ภัสสร์ยังคงให้ความสนใจกับถ้วยรางวัลจำนวนมากในตู้อยู่เลยไม่เห็นว่าต้องคุมอารมณ์ของตัวเองแค่ไหน

   “แน่นอนว่าไม่ ฆ่าผู้อื่นผิดกฎหมายอาญา”

   “เหรอ...”

   ได้แต่มองเด็กทำหน้านิ่งตอนไล่ไปตามตู้เก็บของรางวัลจนครบทั้งหมด แล้วจึงเดินไปยังส่วนต่อไปคือชั้นวางรูปถ่ายจำนวนมาก มีตั้งแต่ช่วงที่ยังเป็นเด็กอายุประมาณขวบหนึ่งจนถึงปัจจุบันคือรูปถ่ายครบทั้งห้าคนเมื่อช่วงไปอังกฤษทั้งบ้าน

    “บ้านพี่คนเยอะดีจัง” รูปที่ภัสหยิบขึ้นมาดูคือรูปถ่ายตอนจบมัธยมปลาย จะไม่ให้เยอะได้ยังไงในเมื่อบนนั้นมีเพื่อนอีกสามคนอยู่ด้วย

   “นั่นมีเพื่อนด้วย ถ้ารูปครอบครัวต้องอันนี้”

   แก้ความเข้าใจผิดด้วยการหยิบรูปถ่ายครอบครัวที่บอกไว้เมื่อครู่มาไว้ในมือให้เห็นชัดๆ “พ่อ พี่ แล้วก็แฝดพี่ ไวท์ ที่ผอมที่สุดชื่อเกรย์  ส่วนที่ทำหน้านิ่งๆ นั่นน้องเล็กสุด น้องโรม”

   "ทำไมคนเล็กชื่อไม่เหมือนคนอื่น?"

   "ลูกบุญธรรม ไม่ใช่น้องแท้"

   “ก็ยังเยอะอยู่ดีนั่นแหละ”

   คิดถึงจำนวนคนในครอบครัวของอีกฝ่าย ได้แต่ยอมรับว่าเมื่อเทียบกันแล้วบ้านของพิชชามีสมาชิกน้อยกว่าจริงอย่างที่พูด

   “ปวดหัวจะตายแต่ละคน ถ้าภัสลองมาเป็นพี่อาจไม่อยากมีน้องก็ได้”

   “พิชก็อาจปวดหัวที่ต้องมีน้องอย่างผมเหมือนกัน”

   “คิดมาก”

   “แล้วแม่ของพี่ไปไหนล่ะ ทำไมไม่อยู่ในรูป?”

   คำถามที่ไม่อยากตอบ รู้ตัวดีกว่าครอบครัวของตัวเองค่อนข้างซับซ้อนแล้วก็เข้าใจยากเมื่อใช้มาตรฐานของคนทั่วไปในการวัด ควรจะเล่าแบบไหนให้เข้าใจได้ว่าแม่ของเขาไม่ใช่แม่ของสีเทาแล้วก็น้องโรม แต่ก็ต้องไม่ให้เด็กถามต่อว่าแล้วแม่ของทิวาราตรีไปไหน

   รู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีทางตอบคำถามนั้นได้

   จำได้ว่าบนชั้นวางมีรูปของแม่สองเก็บเอาไว้อยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นรูปเดียวที่ไม่ได้รับการดูแลจากคนงานเลยก็เถอะ สมัยนั้นใครชอบคุณนายสูงสุดของบ้านบ้าง ไม่มีหรอก

   “อะ นี่แม่สอง”

   ปาดฝุ่นชั้นหนาตรงหน้ากระจกออก ใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่ได้เห็นมานานจนกระทั่งพอเห็นอีกทีกลายเป็นไม่คุ้นหน้าไปเสีย ทิวากาลมีความทรงจำเกี่ยวกับคนที่ตัวเองเรียกว่าแม่สองไม่มากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ดูแลเขามาแถมยังเป็นเหตุของเรื่องแย่ๆ พรรณนั้นมันเลยไม่มีความจำเป็นในการให้ความสำคัญ

   "เสียไปตอนพี่หกขวบ"

   เขาจำช่วงเวลานั้นได้ดี

   “หืม?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ว่าเสียงนั้นดัดให้เหมือนว่าตัวเองกำลังสงสัยอยู่ “ใช่แม่เหรอ ไม่เหมือนพี่เลย”

   “ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าพี่เหมือนพ่อเหมือนกัน”

   “พี่ไม่ใช่ลูกบ้านนี้สินะ”

   “นั่นปากเหรอ”

   ผลักหัวเด็กปากเสียไปที เมื่อสภาพแวดล้อมกำลังดีอยู่ก็ไม่อยากจะหาเรื่องดึงอารมณ์ลง ได้แต่ตามน้ำไปเรื่อยหวังว่ามันจะช่วยให้เด็กอารมณ์คงที่

   “ก็จริงนี่ ถ้าพี่ไม่เหมือนแม่กับพ่อแล้วจะเหมือนกับใคร”

   “ขนาดพี่มีฝาแฝดยังไม่เหมือนกันเลย”

   “นั่นไง นางพยาบาลหยิบมาผิดตัวแหงเลย”

   “อ่านนิยายมากไปแล้ว หัดอ่านหนังสือแบบอื่นบ้าง”

   จบการแนะนำคนในครอบครัวแล้ว ภัสสร์ก็ยังไม่ยอมปล่อยรูปครอบครัวในมือให้กลับไปอยู่บนชั้นตามเดิม รูปที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีความสำคัญอะไรมากไปกว่าของตั้งวางไว้บนชั้นดูเหมือนว่าจะมีความหมายกับอีกคนเหลือเกิน

   “แม่รักพี่ไหม?”

   ถ้าให้หาคำที่เหมาะกับความรู้สึกมากที่สุดคงต้องใช้คำว่าชะงักจนไปต่อไม่ถูก “...คิดว่านะ”

   “อยากเห็นรูปอื่น ผมไม่เคยมีรูปแม่อย่างนี้เลย”

   “ครอบครัวพี่ก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นหรอก” เขาไม่ได้ปลอบใจอะไรหรอกนะ ความหมายตรงตามที่พูดเป๊ะเลย ไม่กล้าสรุปไปเองว่าภัสรู้เรื่องนี้เหมือนอย่างที่พิชรู้หรือไม่ด้วย เขาไม่อยากเอาเรื่องข้างในออกไปด้านนอก

   “อย่างน้อยพี่ก็มีพ่อกับน้อง”

   นั่นคือสองสิ่งที่ภัสสร์เคยมี และตอนนี้มันเหลือเพียงพี่คนเดียว

   “...ดีกว่าผมตั้งเยอะ”

   รูปแทนความสุขวางลงตรงที่เดิม เป็นจังหวะเดียวกับหยดน้ำตาทิ้งตัวลงสู่พื้น


***
   วันนี้อากาศกลับมาเย็นลงเฉยเลยค่ะ อยากให้อากาศเป็นประมาณนี้ต่อไปนานๆ จังนะ (หัวเราะ)
   เจ้าวางแผนสำหรับปีใหม่นี้คือการอยู่กับพี่แบล็คพร้อมพิชชาข้ามปีค่ะ (ฮา) วางโครงทั้งหมดเสร็จแล้วล่ะ เหลือแต่บอกตัวเองให้พิมพ์เร็วๆ กว่านี้หน่อยอย่างเดียวเลย
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-1 [29.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-12-2016 05:18:10
หน่วงๆ นะ
ไม่มีใครสดใส ร่าเริงซักคน
ดูอึมครึมๆ ทุกคน
ภัสสร เด็กสุด น่าจะสดใสตามวัย
กลับกรีดแขน ทำร้ายตัวเอง
เป็นเพราะคนเลี้ยง
ขาดความอบอุ่น 
หรือสภาพจิตใจตัวเอง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-1 [29.12.16] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 30-12-2016 09:01:37

อึมครึมพอควร
เรื่องซับซ้อนนี่ปกติ

อยากอ่านต่อไวๆ

รอแบล็คพิชชาข้ามปีนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-01-2017 01:28:49
CH.12-2

   เด็กเจ้าปัญหาร้องไห้จนหลับไปแล้ว ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ต้องมาอยู่ในสภาพอย่างนี้เลยไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ก็ถ้าเป็นน้องเล็กเขาไม่คิดที่จะปลอบอยู่แล้วเพราะว่ามีคนอื่นพร้อมรับหน้าที่ไปอย่างเต็มใจ พอเหลือคนเดียวนี่จะเลือกทางไหนก็ดูไม่โอเคทั้งนั้น สุดท้ายเลยนั่งเงียบอย่างเดียว

   ตอนเลี้ยงน้องโรมไม่เห็นยากอย่างนี้

   พอหลับไปแล้วแทนที่จะเดินไปสูดอากาศข้างนอกได้สะดวกก็ต้องมาติดแหงกอยู่ตรงพรมในห้องนั่งเล่นเพราะว่าหน้าขาของตัวเองกลายเป็นหมอนอิง ด้วยข้อจำกัดของสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการสูบทิวากาลควรจะเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้เขาต้องการสารพิษมากเลย

   เอาหลังพิงกับขอบโซฟาเอาไว้ มองจนจำได้แล้วของในห้องวางประดับเอาไว้ตรงไหนบ้างก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับขาได้ ว่างจนต้องก้มลงมองใบหน้าของเจ้าชายนิทรา ผิวขาวเหมือนกับพี่ ผมเส้นบางที่่ยาวกว่าเด็กมัธยมปลายทั่วไปบางส่วนระส่วนข้างอาจทำให้รำคาญเลยช่วยปัดมันออก จมูกมีสันแต่ก็ไม่ได้โด่งอะไร โดยรวมแล้วก็ดูเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีส่วนใดโดดเด่นเหมือนกับคนเป็นพี่

   เสียงข้อความเข้าดังมาจากด้านหลัง หันกลับไปจึงพบว่าเป็นมือถือของภัส ถือสิทธิ์จากการที่ต้องมาดูแลเด็กหยิบมันมาเปิดดูว่ามีใครส่งอะไรมา มันเป็นข้อความแจ้งเตือนให้ชำระค่าบริการจากเครือข่ายโทรศัพท์ จำนวนเงินมากแบบที่เขาสามารถใช้ได้ประมาณสามเดือนทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ประหยัดอะไร

   ด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวมือจึงกดเลื่อนสไลด์ไปแล้ว อีกคนไม่ได้ใส่พาสเวิร์ดอะไรไว้วอลเปเปอร์สีดำสนิทเลยเปลี่ยนเป็นหน้าจอเริ่มต้นที่มองภาพข้างหลังไม่ค่อยชัดว่าสื่อถึงอะไร เริ่มต้นด้วยการเปิดดูว่าก่อนจะมาหาเขาคำสั่งสุดท้ายจบตรงไหน

   แอปพลิเคชันที่มีไว้ลงรูปอย่างอินสตาแกรมคือสิ่งที่เจอ รูปแรกตรงส่วนของการอัปเดตจากเพื่อนนั้นเป็นรูปของคู่รักคู่หนึ่งที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดีอยู่ระหว่างช่วงฮันนีมูน กดเข้าไปดูต่อในหน้าข้อมูลส่วนตัวถึงพบว่านี่ไม่ใช่การแสดงออกถึงความรักรูปแรก

   ตลกที่สุดคือภัสสร์ยังกดไลค์ทุกรูป

   คน ‘เคยรัก’ นี่ต้องทำอะไรขนาดนี้เลยหรือไง

   เลื่อนลงมาจนถึงรูปสุดท้ายแล้วก็ยังไม่พบความผิดปกติหรือว่ารูปอื่นใดที่มีเด็กคนนี้เกี่ยวข้อง เข้าต่อไปยังส่วนของหน้าไอจีเจ้าของดูว่ารูปสามสิบสี่รูปที่มีอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง มีแต่รูปไร้สาระ ไม่เพื่อนแกล้งก็เป็นตามร้านอาหาร มีอยู่แค่สองรูปที่เป็นคนอื่นถ่ายตัวเอง แน่นอนว่าไม่มีรูปไหนเห็นเสี้ยวหน้าของพี่กายเลย

   “...ลบหมดแล้วมั้ง”

   ก้มลงมองคนที่ยังหลับลึก ลองสมมติว่าถ้าตัวเองเป็นเด็กคนนี้จะใช้วิธีการติดต่อสื่อสารยังไง เรื่องที่ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับขั้นสุดยอด ไม่มีทางเอาลงเฟสหรือว่าทวิต หรือว่าจะลองเข้าไปดูในไลน์ดี

   คิดอย่างนั้นก็เลยลองทำตามทฤษฎีของตัวเอง มีช่องสนทนาอยู่แค่ไม่กี่ช่อง ดูแล้วเกือบทั้งหมดเป็นเพื่อนที่โรงเรียน แล้วก็มีชื่อกรุ๊ปหนึ่งที่เห็นแล้วก็รู้เลยว่าต้องเป็นกลุ่มเด็กเที่ยวพวกนั้น ทั้งหมดทั้งมวลไม่มีการพูดคุยกับปกายหรือพิชชา

   ลองตรวจสอบต่ออีกนิดถึงเจอว่าชื่อของปกายหายไปไหน เมื่อลองตรวจในส่วนของรายชื่อที่ทำการบล็อคก็พบว่าบัญชีหนึ่งเดียวตรงนั้นคือของพี่กาย ซึ่งก็น่าบล็อคอยู่แหละในเมื่อเอารูปตัวเองกับภรรยาในวันแต่งงานขึ้นแทนรูปโปรไฟล์หรา

   ผู้ชายคนนั้นก็แปลก

   สำหรับทิวากาลแล้วทุกอย่างมันไม่มีอะไรเข้ารูปเข้ารอย คนมีภรรยาแล้วด้านหนึ่งยังตามเด็กผู้ชายตัวเล็กไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตา ผู้ใหญ่อย่างนั้นควรจะรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร เขาไม่สนหรอกว่าจะยังรักหรือเปล่า แต่ในเมื่อเลือกทางนั้นไปแล้วมันก็ต้องยอมรับ

   เหมือนที่เขาเลือกทางนี้ไปแล้ว มันก็ทำได้แค่ยอมรับว่าต้องทำให้ดีที่สุด

   ต่อมาเลยเข้าไปดูในส่วนของอัลบั้มรูป เลขสี่ร้อยกว่านั้นถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมือถือรุ่นที่ออกมาสองปีแล้ว ทิวากาลไล่ลงไปดูชื่อของแต่ละส่วนจนเจอกับหนึ่งในวิวัฒนาการของเครื่องในเรื่องการเก็บรูปที่ลบทิ้งไปแล้ว ก็จำนวนสองร้อยกว่านั่นมันเกือบครึ่งหนึ่งของรูปในเครื่องจริงแล้ว น่าสนว่าในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเด็กคนนี้ลบความทรงจำอะไรบ้างลงไปอยู่ในส่วนของถังขยะ

   รูปถ่ายก็สมกับเป็นเด็กมัธยมดี รูปเพื่อน รูปสมุดการบ้าน โจทย์บนกระดาน

   ...และรูปถ่ายคู่กัน

   มีอยู่หลายรูปในหลายสถานที่ และในบางรูปต้องใช้คำว่าล่อแหลมอยู่พอสมควร ก็ไม่น่าแปลกใจที่ลบทิ้งล่ะนะ มันคงไม่ดีกับคนเป็นพี่เท่าไหร่ถ้าเกิดรูปพวกนี้มันหลุดออกไปสู่สาธารณะ ยิ่งเป็นบ้านที่สนใจเรื่องชื่อเสียงยิ่งกว่าความสุขของเด็กแล้วด้วยไม่ต้องพูดเลย

   แม้จะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ใช่ว่าเสียงเปิดประตูจะหายตามไปด้วย ทิวากาลเงยหน้าขึ้นมามองผู้มาใหม่ที่ไร้มารยาทพอๆ กับน้องชายของตัวเองเงียบๆ จัดการเรียงแอปที่ตัวเองเปิดให้กลับไปเป็นแบบเดิมก่อนวางไว้บนเบาะ พยักเพยิดแบบไม่มีเสียงให้ช่วยทำอะไรกับคนตรงตัก
   
   พิชชาผงกหัวให้ ก้มลงไปกระซิบอะไรกับภัสเล็กน้อยก่อนออกแรงดึงน้องชายให้ขยับตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล ทิวากาลรีบคว้าหมอนใบใหญ่บนโซฟามารองหัวเอาไว้แทนหน้าขาของตัวเอง เอาเสื้อหนาวตัวหนาที่ใส่มาห่มเอาไว้อีกชั้น ปล่อยให้เด็กคนหนึ่งได้อยู่ในนิทราโดยไม่มีใครเข้าไปรบกวน

   “ทำเหมือนบ้านผมเป็นสวนสาธารณะที่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้เลยนะ”

   ออกมาสู่พื้นที่ส่วนหลังของบ้านที่จะพาเข้าไปสู่ผืนป่าขนาดพอสมควร หยิบแท่งนิโคตินออกมาดับอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง ยื่นไปให้คนด้านข้างเผื่อว่าต้องการเหมือนกัน “รู้ได้ยังไงว่าภัสอยู่นี่?”

   ชายผมยาวในชุดแบบเดิมผลักมันกลับมา “ก็คุณโทรมาหาผม พอโทรกลับไม่เห็นจะรับเลยคิดออกอย่างเดียวน่ะครับ”

   “ภัสกรีดข้อมือ” เข้าสู่ประเด็นเลยดีกว่า คนเป็นพี่ก็คงเห็นผ้าพันแผลแล้วล่ะ “ผมรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรก แล้วมันก็ไม่ควรมีครั้งต่อไป”

   “ครับ”

   “ผมอยากได้คำอื่น”

   “ทราบแล้วครับ”

   “พิชชา”

   ติดเป็นนิสัยที่จะเรียกชื่อจริงของคนอื่นถ้าต้องการให้อีกคนรู้ตัวว่ากำลังจริงจัง มันน่าโมโหก็ตรงพิชชาไม่ยินดียินร้ายกับการกระทำของน้องชายตัวเอง เด็กที่พยายามฆ่าตัวตายจนถึงขั้นที่ถามออกมาว่าช่วยฆ่าให้หน่อยได้ไหมต้องมีความผิดปกติในด้านจิตใจแล้ว

   “ถึงนั่นไม่ใช่น้องผม ผมก็รู้ว่าภัสควรไปหาหมอ”

   “การพบแพทย์ไม่ได้ช่วยทุกเรื่องครับ” บุหรี่ที่อยู่คาบเอาไว้หายไปอยู่ในมือของอีกคนแทน พี่ชายของภัสยกมันขึ้นมาสูดเอาควันพิษเข้าไปบ้าง “เหมือนกรณีของน้องคุณ”

   น้องสาวฝาแฝดเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นช่วงประถม การเข้ารับการรักษาด้านจิตใจที่หมอถึงกับเอ่ยปากออกมาเองว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้หากเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือ รัตติกาลติดอยู่กับความคิดเรื่องเดิมจนยากเกินกว่าจะเยียวยา

   “เคสไวท์มันซับซ้อน”

   “ของภัสก็เหมือนกันครับ"

   เด็กที่แลกชีวิตของตัวเองกับมารดา ไม่เคยได้รับการดูแลโดยผู้ให้กำเนิด หลงรักลูกพี่ลูกน้องที่เป็นเพศเดียวกัน และสุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเหลือพี่ชายเพียงคนเดียว

   “น้องสาวของผมไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย”

   “แล้วไงครับ”

   การตีรวนอย่างนั้นไม่เหมือนกับพิชชาคนที่ทิวากาลอยู่ด้วย แท่งควันตรงปากของผู้รู้ถูกดึงออกไปอย่างแรง เขวี้ยงมันลงพื้นตามด้วยการขยี้ด้วยรองเท้าแตะ แค่ต้องมาเจอเรื่องของภัสมันก็ทำลายเช้าอันสดใสมากเกินไปแล้ว การที่ต้องมาเจออีกคนย้อนกลับแบบไร้เหตุผลด้วยเขาก็คิดว่าตัวเองคงไม่จำเป็นต้องทนอีก

   “อย่าทำอย่างนี้กับผมนะพิช”

   "มีใครกล้าทำอะไรราชาด้วยเหรอครับ?"

   "ก็ที่คุณทำมาตลอดไม่ใช่หรือไง"

   "อ้อ งั้นต้องขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะพาภัสกลับล่ะ"

   เท้าขยับเตรียมหมุนตัวกลับ เรียกให้ร่างพุ่งตรงไปก่อนจะมีคำตอบจากส่วนสมองว่าควรทำอย่างไรต่อ

   รู้แค่ในตอนนี้ไม่อยากให้พิชชาหันหลังให้อย่างนั้น

   "พิช..." เรียกชื่อเสียงอ่อน เดินเข้าไปใกล้แล้วจัดการโอบเอวเอาไว้หลวมๆ เพื่อป้องกันการหนี ทิวากาลชอบพิชชาคนที่ชอบท้าทายด้วยการส่งรอยยิ้มปริศนาพร้อมกับคำพูดที่เข้าใจยากอย่างนั้นมากกว่านี่นา "เล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า?"

   ก็พอรู้อยู่ว่าไม่น่าจะได้ผล ก็ไม่รู้ว่าจะเอาวิธีไหนมาบรรเทาอาการไร้ชื่อเรียกของพิชชา หรืออาจจะแขนเจ็บจนพาลไปหมดทุกอย่างก็ไม่รู้

   "ผมไม่มีอะไรจะเล่าครับ"

   เจออีกคนยืนกรานอย่างนั้นเลยต้องรีบคิดใหม่ ลมเย็นที่พัดเข้าหน้าช่วยบอกทิวากาลว่าอาจมีทางอื่นที่ช่วยให้คนอารมณ์แปลกกลับมาเป็นคนเดิมได้

   "งั้นไปเดินเล่นกันไหม"

   "ครับ?"

   "ไปดูต้นไม้กัน"

   บางทีการได้อยู่กับธรรมชาติอาจช่วยให้ผ่อนคลายได้มากขึ้น อย่างที่เคยมีผลการวิจัยบอกว่าการพักด้วยการอยู่กับพื้นที่สีเขียวแป็นการพักสายตาที่ดี

   พอนึกถึงคำว่าป่าแล้วคงไม่พ้นพื้นที่รกชันไม่เคยมีใครเข้าไปดูแล ต่างจากส่วนหลังของบ้านหลังนี้ จะมีคนเข้าไปดูแลทุกเดือนเพื่อไม่ให้รบกวนระบบธรรมชาติมากเกินไป แต่ก็ยังต้องดูแลเรื่องสัตว์อันตรายเอาไว้ให้ดีเพราะว่าไวท์ชอบเข้าไปเดินเล่น

   "ไม่ครับ"

   "ให้เจ้าบ้านได้พาเดินหน่อยเถอะน่า ตอบแทนที่เคยพาผมทัวร์ไง"

   นั่นไม่ใช่คำขอแต่คือการบังคับ หมุนตัวอีกคนให้หันไปทางเดียวกัน มือจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แล้วผลักให้เริ่มเดิน คนแขนเจ็บทำท่าฮึดฮัดแบบคนโดนขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าแรงน้อยกว่าพอสมควร พิชชาส่งตาดุมาให้แล้วเขาก็เลียนแบบท่านั้นกลับไป เขาก็เปลี่ยนอารมณ์ได้เหมือนกันนี่นา ไม่ใช่คนที่เอาแต่นิ่งเงียบทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างนั้นตลอดเวลา

   'ป่า' ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กวันนี้แตกต่างออกไปจากทุกวัน ทั้งที่ต้นไม้ตามทางก็ยังเหมือนเดิมไม่มีส่วนไหนเปลี่ยนแปลงไป แขกคนพิเศษเดินนำโดยไม่ปริปากออกมาสักคำเดียว ปล่อยให้ทิวากาลแนะนำต้นไม้ชนิดต่างๆ เท่าที่ตัวเองรู้จักไปคนเดียว

   ชุดสีเข้มของพิชชาวันนี้หม่นกว่าทุกครั้ง มองอีกคนจากด้านหลังอย่างนี้ก็แปลกดีเหมือนกัน ผมหยักศกไม่ค่อยเป็นระเบียบจนอยากจะเสกแปรงหวีมาไว้ในมือตัวเอง หรือว่าจะช่วยมัดผมดีนะ เดินไกลอย่างนี้อาจร้อนเกินไปสำหรับคนที่มักใช้ชีวิตอยู่ในร่มก็เป็นได้

   "มัดผมให้ไหม?"

   "..."

   "เหงื่อออกแล้ว เดี๋ยวรำคาญ"

   "..."

   เมื่อปลายไม่มีเสียงตอบรับ เขาก็เลยรวบเส้นผมไว้ในมือของตัวเองอย่างที่ทำเป็นประจำ

   "ไม่ครับ"

   "ผมให้เวลาคุณตอบตั้งนาน ตอนนี้ผมไม่รับคำตอบแล้วพิช"

   ให้รู้เอาไว้เลยว่าคนที่นิสัยเสียที่สุดในบ้านนี้ไม่ใช่น้องโรม แต่เป็นเขานี่แหละ ราชาเอาแต่ใจตัวเองจนไม่มีใครกล้าเข้ามาปราม ในเมื่อให้เวลาแล้วพิชชาอยากเงียบเองเขาก็จะทำตามที่ตัวเองต้องการ ไม่คิดจะสนเสียงห้ามที่ตามมาหรอก ถ้าตัวเองทำอย่างนั้นได้เขาก็จะทำบ้าง

   ร่างนั้นกลับหลังหันมาแทบในทันที ทิวากาลเลยได้แต่ยกมือทั้งสองข้างค้างไว้ที่ท่าเตรียมมัดผม เอียงคอรอว่าพิชชาจะพูดอะไรออกมาหรือเปล่า

   "ผมบอกว่าไม่ครับ"

   "แล้วทำไมไม่พูดแต่แรก?"

   "ก็เพราะ..."

   เกือบจะขยับปากต่อแล้ว หากไม่ติดว่าเห็นบางอย่างเสียก่อน

   นัยน์ตาตัดพ้อกับน้ำเสียงแห้งผาก

   “เพราะ...?”

   “ไม่มีอะไรครับ”

   “คิดว่าผมเชื่อ?”

   มันเป็นสิ่งที่ทั้งสองรู้อยู่แก่ใจ และทิวากาลคงไม่เค้นแบบที่อีกฝ่ายไม่สมัครใจตอบ เขาทำได้แค่รอจนกว่าจะมีเสียงพูดออกมา พอลองคิดดูให้ดีแล้วช่วงเวลาตรงนั้นอาจผ่านไปไม่ถึงนาทีดี แต่สำหรับคนที่ทำได้แค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปแล้วนั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน

   มันเป็นความสัมพันธ์ที่แปลก

   และประหลาดตรงที่ทั้งสองคนพอใจอย่างนั้น

   "...ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นอย่างนี้เลยครับราชา"

   "..."

   "ทั้งที่คุณก็เหมือนเดิม สิ่งที่คุณทำให้ภัสมันก็ไม่ต่างจากที่คุณทำให้คนอื่น..."

   เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเหตุผลในการดึงทั้งร่างให้มาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง ทิวากาลเกยคางของตัวเองกับไหล่ของอีกฝ่าย มือข้างที่ยังว่างอยู่ลูบเรือนผมสวยไปมาแทนการกล่อม กลิ่นของน้ำหอมปนไปกับสบู่ยี่ห้อเดิมหวานจนเขาต้องสูดเข้าไปลึก

   รู้ได้โดยไม่ต้องขอข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก คนที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองนิ่งไม่ไหวติงจนต้องสังเกตจังหวะการหายใจว่ายังอยู่ในระดับปกติหรือไม่ แขนที่ยังไม่หายดีเป็นเหตุให้เขาไม่กล้ากอดแน่นไปกว่านี้ แม้ในใจอยากจะแสดงออกให้รู้ว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเสียหน่อย

   ข้อหนึ่งที่พิชชาไม่รู้

   กอดของทิวากาลเก็บไว้ให้คนสำคัญ


   And all the roads we have to walk are winding

   And all the lights that lead us there are blinding

   There are many things that I would

   Like to say to you

   But I don't know how



   "ผมจะอยู่กับคุณพิชชา"

   "..."

   "เลือดของคุณจะไม่ถูกผสม"

   "..."

   "สิ่งไหนที่ผมให้คุณ...คนอื่นไม่มีทางได้ไป"

   คำสาบานของราชาคือคำสัตย์

   หากไม่อาจรักษาไว้ สิ่งเดียวที่ควรค่าคือความตาย

   ไม่จำเป็นต้องหาความหมายของการกระทำ สีดำนึกรู้ได้แค่เพียงว่าตัวเองต้องการที่จะทำอย่างนี้เพื่อให้อีกคนสบายใจ แม้มันอาจเป็นการถลำลงไปในหลุมลึกที่ไม่ดีกับทั้งสองคนอย่างที่พิชชาเคยเตือน

   "เข้าใจไหม"

   "...ผมไม่อยากเข้าใจครับ"

   การพูดอย่างนั้นถึงเหมาะกับพิชชาหน่อย ชนหัวกับอีกคนพลางฮัมเพลงที่กำลังชอบอยู่ในเวลานี้ เพลงเดียวกับที่วิทยุเคยเปิดในวันที่เขาถาม

   ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ทิวากาลจำได้เสมอ

   "เดินอีกหน่อยแล้วกัน"

   "ยังเดินอีกเหรอครับ"

   "อยากพาไปดูอีกที่"

   "ผมไม่ไปตรงที่ของคุณกับไวท์ครับ"

   พิชชาคนชัดเจนกลับมาอีกครั้ง

   เรื่องเล่าระหว่างกิจวัตรในตอนเช้า ทิวากาลบอกความเป็นมาเรื่องต้นไม้แห่งความลับของฝาแฝดให้ฟัง พื้นที่ของครึ่งชีวิตที่ไม่เคยให้ใครอื่นเข้าไปย่างกราย เรื่องที่แม้แต่น้องโรมเองยังไม่มีสิทธิรับรู้แต่ทิวากาลกลับเล่าให้พิชชาฟังหมดทุกอย่าง

   "ตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่ผมเข้าไปไม่ได้"

   "งั้นกลับไหม" ยังไงแขนของพิชชาก็ยังเจ็บอยู่ เผื่อล้มอะไรไปล่ะยุ่ง

   "ก็ได้ครับ"

   ทางเดินกลับบรรยากาศน่าพิรมย์กว่าขามา ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการที่พิชชายอมคุยกับเขาเหมือนปกติแล้วนี่แหละ

   ทิวากาลเว้นระยะห่างไว้ให้พอสำหรับการดูแลคนแขนเจ็บ อยากจะเดินข้างอยู่ติดตรงทางเดินในป่าไม่ได้สะดวกอะไรมากมายนัก ก็เป็นตัวเองที่บอกคนงานเอาไว้เสมอว่าไม่ต้องไปยุ่งอะไรมากนัก ทางก็ไม่ต้องขยายให้ใหญ่โตอะไร พอให้คนเดียวเดินได้ก็พอแล้ว

   "คุณเคยคิดว่าตัวเองเป็นพี่ที่ทำเพื่อน้องมากเกินไปไหม?"

   "ไม่นะครับ ภัสควรได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ"

   "ผมเห็นคุณให้แต่ 'สิ่งของ' กับเขา"

   "เพราะผมให้อย่างอื่นไม่ได้แล้วไงครับ"

   "คราวนี้คุณเดินหมากผิดช่องนะพิช"

   พิชชาคนที่มักจะเดินคุมทิศทางของกระดานได้ คราวนี้กลับตัดสินใจพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

   "คุณเคยได้ยินเหตุผลว่าเพราะอะไรคนเราถึงเกิดมาเป็นพี่น้องกันไหมครับ?"

   เท้าไม่หยุดก้าว และการพูดคุยยังคงต่อเนื่อง "ที่บอกว่าภาวนาให้ได้เจอกันอีกน่ะเหรอ"

   ยิ่งเป็นฝาแฝดแล้วด้วยความเชื่อเรื่องนี้เลยมีหลายคนเล่าให้ฟัง ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องเล่าทางศาสนาหรือว่าแค่ความเชื่อ การเกิดมาเป็นฝาแฝดชายหญิงเป็นผลจากชาติที่แล้วตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ให้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ตอนนั้นก็แค่พยักหน้ารับแล้วเอากลับมาคุยกับไวท์สองคนว่าคนที่สาบานอะไรอย่างนั้นคงเพี้ยนไปแล้ว ก็ถ้าเกิดมาเป็นพี่น้องกันมันก็รักกันไม่ได้น่ะสิ

   "เกือบใช่ครับ" กลางป่าที่เงียบสงัด เสียงของพิชชาก้องกังวาลไปทั่ว "ถ้าไม่รักกันมาก ก็ต้องมาชดใช้ให้กัน"

   บางเรื่องไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

   “อีกหนึ่งสิ่งที่ผมให้กับภัสได้คือชีวิตครับ”



   จนท้ายที่สุดก็ต้องพาทั้งพี่ทั้งน้องกลับบ้าน หมายถึงพาทั้งคู่กลับบ้านหลังใหญ่ เห็นว่าภัสสร์เองมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กับคนอื่นในบ้านเหมือนกัน

   "อยู่ด้วยได้นะ"

   เป็นคนไร้ครอบครัวที่กลับบ้านไปก็ต้องเจอความว่างเปล่าอยู่ดี จนเสนอตัวเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนต่อ อีกอย่างยังไม่อยากห่างจากพิชชาในเวลานี้ ไม่รู้ว่าคนเป็นพี่จะรับมือกับระดับอารมณ์ไร้ความเสถียรของน้องอย่างไร ถ้าเกิดคุมตัวเองไม่ขึ้นมาเขากลัวว่ามันจะไม่จบแค่รอยตรงแขน

   "ไม่เป็นไรครับ แค่คุณอาคนเดียว"

   "นั่นยิ่งน่าห่วง"

   พิชชาส่งเสียงหัวเราะแหลมมาให้ "เขาทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ"

   เด็กที่ต้องติดเขี้ยวเล็บเอาไว้ไม่ให้ใครมาทำร้ายได้ คนที่ไว้ใจใครไม่ได้นอกจากตัวเอง

   "นี่ผมจริงจังนะ ให้อยู่ด้วยไหม?"

   "เรื่องอยู่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของคุณครับ"

   ในเกมกระดานนี้แบล็คเป็นได้แค่คนดู ไม่ใช่แค่คำกล่าวเหมือนอย่างกับที่ให้คนอื่นเสมอ งานนี้คนดูตรงที่นั่งวีไอพีทำได้เพียงแค่รอจนกว่าการแสดงจะเปิดม่าน

   "โทรหาผมได้..."

   "น่ารำคาญชะมัด"

   เสียงปิดประตูดังสนั่น มองด้านหลังของเด็กชุดเสื้อหนาวตัวเดิมเดินลับหายไปหลังประตูบานใหญ่ เจ้าของบ้านหลังใหญ่แกล้งกระแอมไอออกมาเรียกให้เขาคลี่ยิ้มมุมปากกลับไป

   "ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย"

   "เหรอครับ" เฉพาะคนรู้ทันถึงจะใช้เสียงอย่างนั้น "ราชาลงไปแกล้งเด็กไม่มีทางสู้อย่างนี้ไม่ดีเลยนะ"

   "ในสนามรบเราไม่เคยแบ่งอายุ"

   "ไม่คิดจะแก้ตัวหน่อยเหรอครับนั่น"

   "ไม่" ช่วงชิงจังหวะที่อีกฝ่ายรอคำตอบกดจูบไปตรงเรือนผมยาวแทนคำลา "เข้าบ้านไปได้แล้ว"

   คนที่เพิ่งเจอการบอกลาแบบใหม่ยกมือขึ้นโบกไปมา น่าเสียดายที่ในรถมืดเกินกว่าจะบอกได้ว่าบนหน้าที่มักปรากฏรอยยิ้มจางมีอย่างอื่นหรือไม่ "ราตรีสวัสดิ์ครับราชา"

   "ไว้เจอกัน"

   รอจนพิชชาเดินเข้าไปในตัวบ้านแล้วถึงสตาร์ถรถอีกครั้ง ตั้งแผนที่ไว้ให้พากลับบ้านรอการกลับมาของสมาชิกคนอื่นในครอบครัว วันหนึ่งทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเมื่อเจอทางแยกที่เหมาะกับตัวเอง และมันจะเหลือเพียงทิวากาลที่เดินอยู่บนทางเส้นนี้
   
   คำว่าเหงาที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางเจอก็เข้ามาทักทายหลายต่อหลายครั้ง ชีวิตที่บอกตัวเองว่าไม่ต้องการใครอื่นนอกจากคนในครอบครัวคราวนี้รู้แล้วว่ามันไม่มีทางจะมีสิ่งใดอยู่กับเขานิรันดร์

   คิดทบทวนสิ่งที่เจอมาในวันนี้แล้วตัดสินใจหักเลี้ยวตรงทางแยกด้านหน้ากะทันหัน ดิ่งไปยังเส้นทางที่เขาจำได้จนขึ้นใจว่าต้องเลี้ยวตรงไหนบ้าง เสียงของแผนที่คำนวณเส้นทางการเดินใหม่ดังน่ารำคาญจนต้องกดปิด ปล่อยให้รถคันเล็กเหลือเพียงเสียงของเพลงช่องเดิมคอยขับกล่อม

   เมื่อเข้าสู่เขตคุ้นเคยก็เริ่มชะลอรถลง บังคับตัวเองให้ไม่หันไปมองสิ่งปลูกสร้างด้านขวาของตัวเอง ระยะทางไม่ถึงร้อยเมตรยาวนานสำหรับคนที่ไม่อาจจะเหลียวไปมอง ท่องบอกตัวเองอย่างที่ทำมาเสมอว่าแค่ผ่านมาแถวนี้ได้มันก็ดีแค่ไหนแล้ว

   ต่อให้เป็นราชาผู้มากยศแค่ไหนอาจกลายเป็นคนไร้พิษสงไปได้ หากนั่นไม่ใช่พื้นที่บนกระดานที่ตนมีเขตอำนาจอยู่

   บางพื้นที่เขาไม่อาจก้าวผ่านเข้าไป


***
   สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ยิ้มกว้าง)
   ถึงจะบอกว่าจะอยู่กับพี่แบล็คข้ามปี ก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นการปั่นไม่เสร็จข้ามปีเหมือนกันค่ะ (ฮา) ปกติแล้วในวันปีใหม่เจ้าก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะคะ จนกระทั่งปีที่แล้วที่มี 'ที่หนึ่ง' เข้ามานี่แหละ วันปีใหม่เลยเปลี่ยนมาเป็นปีที่สองแล้ว ยังไงก็สุขสันต์วันเกิดนะที่หนึ่ง
   เรื่องนี้จะมีทั้งหมด 19 ตอนค่ะ นั่นหมายความว่าอีก 7 ตอนเจ้าก็จะแต่งจบอีกเรื่องแล้ว ใจหายเหมือนกันนะคะ อยู่กันมานาน (เนื่องจากความเอื่อยและงานที่เข้าแทรกตลอดทั้งปี) อยากให้อยู่ด้วยกันไปจนตัวอักษรสุดท้ายนะคะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-01-2017 04:46:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-01-2017 12:02:26
 :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-01-2017 12:53:07

สงสัยพิชจะหึง หรือเปล่า?

แล้วแบล็คไปไหน เขตอำนาจนั้นคืออะไร?

อีก 7 ตอนเอง
หวังว่าตอนจบจะไม่มีใครหายไปนะคะ

เศร้าไม่เอานะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-01-2017 17:37:31
แบล็ค พิชชา  :mew1: :mew1: :mew1:
พิชชา รอเจอราชาที่สุด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ภัสสร รู้อะไรๆ เหมือนพิชชาเหรอ
พี่กายชอบภัสสร จริงๆใช่ปะ
ไม่ใช่เพื่อหวังทรัพย์สมบัตินะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-1 [03.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 03-01-2017 22:08:24
CH.13-1

   เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนมีใครไปกดเร่งเวลา

   "ได้เอาเฝือกออกแล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้น"

   "มันไม่ค่อยชินน่ะครับ"

   "แค่เดือนเดียวเอง"

   กดลิฟต์เตรียมลงไปเคาท์เตอร์จ่ายเงินพร้อมกับรับยาหลังการรักษา  พิชชาวันนี้แต่งตัวต่างจากวันอื่นเล็กน้อยก็ตรงที่ใส่กางเกงยีนส์รัดรูปมาแทน ผมยาวถักเป็นเปียเดียวด้วยฝีมือของทิวากาลเอง ช่างทำผมที่อัพสกิลของตัวเองขึ้นไปทุกครั้งที่ได้ทำหน้าที่

   ยากก็ตรงแบ่งช่อ ส่วนอื่นไม่มีอะไรน่าห่วง

   "ก็ถ้าวันหนึ่งผมไม่ได้เจอคุณแล้วมันก็เป็นความรู้สึกคล้ายกันแหละครับ"

   "กลับบ้านวันนั้นแล้วคุณดูแปลกไปนะ"

   เหตุที่ต้องเรียกคุยคือการแบ่งมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับบางครอบครัว ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับคุณย่าของพิชชาผู้แบ่งสมบัติไปแล้วรอบหนึ่งก่อนเสีย พอมาถึงรุ่นลูกทรัพย์หลายชิ้นเลยไม่มีปัญหาในการมาแบ่งซ้ำอีก

   "คุณแค่ไม่เคยเจอผมแบบนี้เท่านั้นแหละครับ"

   "แล้วอยากไปฉลองเอาเฝือกออกที่ไหนล่ะ"

   "โอ้ คุณจะเลี้ยงใช่ไหมเนี่ย"

   "ถ้าร้านที่จะไปมันถูกปากผม"

   "แล้วที่ผ่านมาเคยไม่ถูกปากด้วยเหรอครับ"

   ต่อให้จะเป็นคนเจ็บอยู่ก็ตามที พิชชาไม่เคยลดระดับความมั่นใจนั่นลงเลย

   "ก็เผื่อเจอร้านแรกไง"

   "ผมไม่ทำให้คุณผิดหวังหรอกครับราชา"

   เรียกอย่างนั้นจนเกือบลืมชื่อของตัวเองไปแล้ว อย่างวันก่อนตอนที่เพื่อนเรียกก็ไม่ยอมหันเพราะนึกว่าหมายถึงคนอื่น จนเกือบโดนหนังสือเรียนปีสี่เล่มหนาฟาดหน้านั่นแหละถึงจะนึกออกว่าตัวเองชื่อเล่นว่าอะไร

   "ใครจะไปรู้"

   "สรุปเราจะไปกินร้านไหนดีล่ะครับ"

   "ผมตามใจคุณอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไปรับยาก่อน"

   เสียงของนางพยาบาลตามสายเรียกชื่อคุณพิชชามาสองสามครั้งแล้ว ระบบของโรงพยาบาลเอกชนมันก็ดีตรงความรวดเร็วในการบริการนี่แหละ ตามแนวคิดของระบบทุนนิยมที่แฝงเอาไว้อยู่ เมื่อมีเงินแล้วจะเสกให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้ทั้งนั้น

   มองตามหลังชายผมเปียไปยังช่องรับยา จนไม่ทันสังเกตว่าด้านข้างของตัวเองบุคคลที่สามมายืนด้วย

   "พิชชางั้นเหรอ"
   
   ทิวากาลไม่เคยเกลียดเสียงอีกคนเท่าครั้งนี้มาก่อน

   ตัดสินใจให้ฉับไวมากเท่าที่จะทำได้ หันไปทางชายตัวเล็กพร้อมกรอบแว่นหนาผู้ส่งยิ้มทักทายมาให้ ยิ้มที่เขาเกลียดตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็เป็นที่รู้กันว่าใต้ลุคเนิร์ดอย่างนั้นมันซ่อน 'ปีศาจ' ตัวร้ายเอาไว้ กี่คนแล้วล่ะที่โดนรูปลักษณ์ภายนอกล่อลวง ขนาดผู้ชายที่ดูทันคนอย่างนักร้องคนนั้นยังเอาไม่อยู่เลยเถอะ

   "ไงนิช"

   "สวัสดี กูมาตรวจสุขภาพประจำปีแล้วมึงพาใครมาเหรอ"

   ตรงประเด็นอย่างที่ไม่เหลือช่องให้ทิวากาลได้คิดเปลี่ยนเรื่อง

   "พาคนนั้นมาถอดเฝือก"

   "ใคร?"

   "คนรู้จัก"

   เขาก็ยังวางตำแหน่งของพิชชาไว้เช่นเดิมไม่คิดไปเปลี่ยน

   แม้สาบานด้วยเลือดว่าจะอยู่เคียงข้าง

   "ใคร"

   เจอคำถามเดิมซ้ำอย่างนั้นเข้าไปเลยต้องกลับมาทบทวนว่าควรจะอธิบายแบบไหนถึงจะทำให้อีกคนพอใจ นิชเป็นคนเดียวที่ทิวากาลนึกขอบคุณมากที่สุดที่ไม่ได้เป็นศัตรูกัน คนที่ยิ้มเอ็นดูให้น้องชายคนเล็กของเขาในขณะอีกมือหนึ่งก็บีบคอคนที่มาทำร้ายน้องได้อย่างนั้นน่ะ

   "ชื่อพิชชา"

   "กูรู้ชื่อแล้ว"

   เหมือนกันหมดทั้งกลุ่มก็ตรงไม่ค่อยมีเพื่อนจากที่อื่น อยู่กันเป็นสังคมขนาดเล็กที่มีสมาชิกใหม่เข้ามาเมื่อไหร่ก็รู้ทั่วกัน บอกแล้วว่ามีแต่น้องโรมที่ไม่สนใจโลกภายนอก ตั้งแต่เน็ทคบกับพี่ฟิวนั่นทุกคนก็รู้หมด สมัยเรื่องของนักร้องคนนั้นก็เหมือนกัน

   "แล้วนี่เจ้านายมึงไปไหนล่ะ"

   ไม่เคยเห็นอยู่ห่างกัน หวงอะไรได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้

   "ประชดกูจัง"

   "ก็ถ้ากูเรียกอย่างนี้มึงก็รู้เลยไงว่าหมายถึงใคร"

   "สิปป์จะรีโนเวทร้าน นัดคุยงานวันนี้"

   ส่งเสียงอือออขณะที่สายตามองไปยังคนเพิ่งหายเจ็บตรงหน้าเคาท์เตอร์ เห็นยาถุงใหญ่อย่างนั้นแล้วสงสารคนจัดยา ของเก่าจากครั้งที่แล้วเขาเคี่ยวเข็ญแทบตายยังไม่ยอมทานสักเม็ด คราวนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ได้เอาไปวางเป็นเครื่องประดับบนโต๊ะกินข้าว

   "สรุปนั่นใคร"

   คนอย่างนิชไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว บอกเลยว่าวันนี้เขาต้องรู้ว่าเพื่อนคนที่เอาตัวเองไปผูกติดอยู่กับน้องจนไม่เคยมีชีวิตของตัวเองพา 'ใคร' มาถอดเฝือก หรือถ้าไม่ยอมบอกจริงๆ ก็คงต้องใช้เวทมนต์ในการบีบให้คายสิ่งที่เขาอยากได้ออกมา

   "ก็บอกว่าคนรู้จัก"

   "อ๋อ...ถ้ากูส่งไปบอกในกรุ๊ปตอนนี้ก็ได้สินะว่ากูเจอมึงกับ 'คนรู้จัก' อยู่ที่โรงพยาบาล"

   เข้าใจตรงกันแล้วนะว่าทำไมทิวากาลถึงไม่อยากเป็นศัตรูกับนิช

   "ถามเอาเองแล้วกัน" เห็นว่าอีกคนเดินกลับมาพร้อมถุงยาสีขาวพอดี "เผื่อว่าตอบแล้วจะถูกใจกว่า"

   การที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออย่างนั้นไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นได้เลย ทิวากาลยืนรออยู่ที่เดิมจนกระทั่งพิชชาเดินกลับมา หยิบถุงยาในมือมาดูยาชุดใหม่โดยปล่อยให้อีกสองคนที่เหลือทำความรู้จักกันเอง

   "สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนแบล็คชื่อนิชครับ"

   "พิชชาครับ เรียกพิชก็ได้"

   "ชื่อเราคล้ายกันจัง"

   "แต่ความหมายคนละเรื่องเลยครับ"

   นิชหมายถึงความเป็นนิรันดร์

   "แล้วพิชแปลว่าอะไรเหรอ"

   "แบล็ค"

   พิชหมายถึงสีดำ

   เก็บยาแก้ปวดไว้ตามเดิม เงยหน้าขึ้นมามองหนุ่มผมยาวผู้หันมาส่งสัญญาณให้เขา "พิชแบล็ค แปลว่าสีดำสนิทครับ"

   "อ้อ..."

   ถ้าไม่สนิทกันไปเลยก็คงฆ่ากันตายไปข้าง ทิวากาลเชื่ออย่างนั้น "บังเอิญจังเลยเนอะ"

   "เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่หรอกครับ ทุกอย่างมันถูกวางเอาไว้แล้ว"

   "แล้วไม่ทราบว่าเป็นอะไรกับแบล็คเหรอครับ พอดีว่าผมไม่เคยเห็นมันอยู่กับคนอื่นอย่างนี้"

   "คนที่จะอยู่ด้วยชั่วชีวิตครับ"

   และคำที่เขาเคยพูดเอาไว้วันนี้มันกลับมาเป็นมีดปาดคอตัวเอง

   ทิวากาลทำหน้านิ่งในขณะที่ใต้กรอบแว่นอันใหญ่ของเพื่อนมีคำถามส่งมามากมาย ยกไหล่ของตัวเองขึ้นพลางหันไปเตือนพิชชาเรื่องยาทานหลังอาหาร

   "มีสองตัวกินหลัง แล้วก็อีกตัวก่อนนอน"

   "เดี๋ยวจะเอาไปรวมกับของเก่านะครับ" ชายผมยาวผู้มีชื่อเล่นแปลว่าสีดำไม่แสดงอาการกระอักกระอ่วนใจที่ต้องยืนอยู่ข้างคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ...หรืออาจจะเคยเจอก่อนหน้าที่แล้วก็ได้ใครจะไปรู้ "เดี๋ยวผมกับราชาจะไปทานข้าวกัน สนใจไปด้วยไหมครับ?"

   ชื่อเรียกแทนตัวกระตุกรอยยิ้มบนใบหน้าปีศาจได้อย่างดี "ได้สิ ผมยังอยากคุยกับคุณหลายเรื่องเลยล่ะ"

   บอกแล้วว่าสองคนนี้ไม่ควรเจอกัน!




   "แสดงว่าตอนนี้ก็เป็นนักดนตรีเต็มตัวเลยสิครับ"

   "อืม ก็ยังชอบวาดรูปนะ แต่ว่าเล่นกลองบ่อยกว่า"

   ร้านอาหารในซอยลึก ข้างทางมีแต่บ้านไว้อยู่อาศัยจนไม่น่าจะมีร้านอย่างนี้ตั้งอยู่ด้วย ยิ่งพอเข้ามาเห็นปริมาณลูกค้าข้างในก็ไม่เข้าใจมากไปขึ้นว่าไปรู้จักกับร้านได้อย่างไร ตอนเขาขับรถมาต้องอาศัยคำบอกของพิชชาตลอดทางเนื่องด้วยแผนที่ไม่มีตำแหน่งที่ตั้งบันทึกเอาไว้

   "ผมเคยฟังเพลงของวงนี้หลายเพลงอยู่ อย่างซิงเกิลล่าสุดผมก็ชอบนะครับ"

   "ผมไม่ค่อยชอบเพลงนั้นเท่าไหร่"

   เพลงที่ชื่อว่า 'นิจ'

   ตอนแบล็คเห็นชื่อเพลงครั้งแรกยังคิดอยู่เลยว่านิชยอมให้ผ่านมาได้อย่างไร คิดออกอยู่อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นเพลงที่มือกลองของวงไม่รู้มาก่อนอย่างแน่นอน เนื้อเพลงเล่าเรื่องรักแรกพบที่จะเป็นความรักนิจนิรันดร์ เสียงร้องเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ล่อลวงให้หลายคนติดกับ

   ยกเว้นแรงบันดาลใจในการแต่งเอาไว้คนหนึ่งแล้วกัน

   "มึงไม่ชอบจริงเหรอ?"
     
   ตำแหน่งที่นั่งบนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับสี่คนแบ่งได้เป็นทิวากาลนั่งข้างพิชชา แล้วนิชนั่งอีกฝั่งคนเดียว

   "เมื่อกี้กูพูดชัดแล้วนะ"

   "แล้วเริ่มเล่นตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าครับ ผมฟังแต่เพลงไม่ได้สนในเรื่องสมาชิกในวง"

   "เปล่าๆ ผมมาแทนได้ปีกว่าเอง"

   ดูได้เลยว่าประโยคไหนใครพูดกับใคร เมื่อพิชชาไม่เคยหลุดคำหยาบออกมาเหมือนที่เขาใช้คุยกับเพื่อนสนิท มันเลยส่งผลต่อให้นิชต้องใช้ภาษาสุภาพในการคุยกับชายผมยาวเหมือนกัน

   "น่าอิจฉาจังครับ ชีวิตดูอิสระ"

   "ก็ดีอย่างเสียอย่าง บางคนก็มองว่าเราเป็นพวกเรียนหนังสือไม่เอาอ่าวเลยต้องมาทำอะไรอย่างนี้"

   "ไม่หรอกครับ มันเป็นทางของคุณ" ได้แต่ขอโทษเพื่อนในใจ รู้ได้โดยประสบการณ์ว่านั่นคือการ 'เล่าเรื่อง' ในแบบของพิชชา "ทางแสนสวยงามที่จะไม่มีใครทำลายมันลงได้"

   "ขอบคุณนะ ...น้ำชาทางนู้นเลยครับ"

   บริกรเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำพอดี นิชส่งสัญญาณให้ถ้วยกาใส่ชาร้อนแบบจีนวางลงตรงหน้าอีกสองคนที่เหลืออยู่ ส่วนตัวเองก็เป็นน้ำเปล่าธรรมดาในขวด ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ใต้การเก็บรวบรวมข้อมูลไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ก็จะไม่คิดอะไรมากหรอกถ้าไม่รู้จักเพื่อนของตัวเองดี ผู้ชายอย่างแบล็คมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่มั่นคงแล้วก็ชัดเจนจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าวันหนึ่งจะได้มาเห็นอะไรอย่างนี้

   คนกลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูอะไรไปเรื่อย เปิดทางให้นิชได้สอบถามอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็ยิ่งห้ามเดี๋ยวก็ไปกันใหญ่ สู้ให้คุยกันไปเลยจะไม่ต้องมีปัญหาอีก

   "รู้จักร้านนี้ได้ยังไงเหรอ?"

   "ก็ได้ยินบอกต่อกันมาครับ ที่จริงร้านอย่างนี้มีเยอะเพียงแต่เราไม่ค่อยรู้จักกัน"

   "แปลกดี ไว้พาผมไปบ้างสิ"

   "ด้วยความยินดีครับ"

   เท่านั้นแหละการทำพันธสัญญาของปีศาจกับผู้รู้ได้เกิดขึ้น

   แล้วราชาตระหนักดีว่านั่นเป็นการรวมตัวกันที่แย่ที่สุด

   "เดี๋ยวให้กูไปส่งที่บ้านหรือว่าร้าน?" ถามไปอย่างนั้น ในเมื่อชายสุดเนิร์ดมีบ้านเอาไว้ให้ฝุ่นอยู่

   "เดี๋ยวสิปป์มารับที่นี่ คิดว่าไม่นานก็คงถึง"
   
   หยิบเครื่องมือสี่เหลี่ยมของตัวเองขึ้นมากดตรวจสอบการแจ้งเตือน แบล็คล่ะอยากจะพูดออกไปว่าปากบอกไม่ชอบแต่รูปหน้าจอก็ยังเปิดตัว แผ่นหลังของชายคนนั้นกับรอยสักตรงบริเวณหัวใจโดดเด่นเหนือสิ่งใด สองสิ่งที่เป็นตัวแทนของคนสองคน

   "เพื่อนอีกคนเหรอครับ?"

   เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าพิชชาจำคนในกลุ่มเขาไม่ได้

   "เปล่า คนที่ขายวิญญาณให้ปีศาจน่ะ"

   แก้ความเข้าใจผิดหน่อย พอเรียกอย่างนั้นก็เห็นว่าคนตรงข้ามพร้อมสละร่างแปลงแล้วเปิดเผยตัวจริงออกมา แบล็คไม่สนหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นปีศาจจากนรกขุมไหน อย่างน้อยนิชก็ยังติดหนี้อยู่เรื่องที่ไปช่วยคราวนั้น ยังมีข้อต่อรองไม่ให้เรื่องมันลุกลามไปกว่านี้

   ข่าวลือนี่ชอบกันนักล่ะ

   "เรียกให้ถูกหน่อยแบล็ค"

   "อยากให้กูเรียกว่าอะไรล่ะ?"

   "...เรื่องของมึงเถอะ"

   มันก็มีชื่ออื่นที่เน็ทใช้เรียกอยู่เหมือนกัน และปล่อยให้เรียกไปคนเดียว

   "แล้วพี่เขาจะกินด้วยกันหรือเปล่า จะได้สั่งอะไรเพิ่มเลย" เมนูที่น่าสนใจมากกว่าจำนวนคนทาน เลยเลือกได้เพียงแค่บางอย่าง ได้คนหารเพิ่มก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

   นิชส่ายหัวไปมา "แค่มารับ ช่วงนี้สิปป์ไม่ชอบเจอผู้คน"

   เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าสมาชิกบนโต๊ะจะมีแค่สามคนเท่านั้น ระหว่างมื้ออาหารเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลายไม่เหมือนอย่างที่ห่วงเอาไว้ หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือต้องห่วงมากขึ้นไปอีกที่คนสองคนสามารถเข้ากันได้ดีเกินไปสำหรับคนเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่กี่ชั่วโมง
   
   พิชชาไม่ได้หลุดปากพูดอะไรออกมาอีก เช่นเดียวกับนิชที่ไม่กลับไปพูดถึงสถานะตำแหน่งที่บอกไว้ตั้งแต่คราวแรก พอจบมื้ออาหารเป็นเวลาประจวบเหมาะกับผู้ขายวิญญาณได้มาถึงพอดี เขาเลยอาสาออกไปส่งโดยปล่อยให้ไกด์แนะนำร้านอยู่เคลียร์บิลไปก่อน

   "อย่าคิดว่ากูปล่อยไปนะมึง"

   "กูไม่เคยคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว" ผู้ชายที่ใส่แว่นไว้อำพรางความชั่วร้าย ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองต้องการหลุดลอยไปง่ายๆ หรอก "แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้"
   
   "ทำไม?"

   หยุดอยู่ตรงหน้ารถสปอร์ตคันใหญ่ที่ยังสตาร์ทเครื่องค้างเอาไว้ ท่าการยืนสบายๆ ไม่สื่อถึงการคุกคามผ่านการกระทำเท่าวิธีการถามสั้นห้วนอย่างเช่นประโยคหลังสุด

   "ขนาดไวท์กูยังบอกให้รอ มึงเข้าใจไหมนิช"

   "ไม่เข้าใจ"

   นี่ไงล่ะที่มานิสัยไม่ดีของน้องโรม
   
   ทิวากาลกลั้นใจนับเลขหนึ่งถึงสิบไวๆ เพื่อนที่อยู่กันมานานย่อมรู้นิสัยใจคอกัน ยิ่งผ่านเรื่องราวจำนวนมากมาด้วยกันมันแทบจะเรียกได้ว่ามองตาก็เข้าใจ นิชจับสังเกตได้อยู่แล้วล่ะว่ามันมีเรื่องอะไรซ่อนอยู่ ส่วนเขาก็ทำได้เพียงต่อรองขอให้อย่ารื้อค้นอะไรตอนนี้

   "มึงติดหนี้กูอยู่ครั้งหนึ่งเรื่องคนนั้น" แน่นอนว่าหมายถึงคนในรถ

   "เพราะงั้นไม่เข้าใจต่อไปก่อนแล้วกัน"




   "เพื่อนของคุณแปลกดีนะครับ"

   "คุณยังกล้าพูดคำนั้นกับคนอื่นอีกเหรอ"
   
   หลังจากส่งปีศาจกลับไปพิชชาก็เดินออกมาพร้อมกับขนมหวานที่เป็นของฝากขึ้นชื่อ เห็นตรงกันว่าอาหารมื้อควรได้รับการย่อยก่อนกลับเลยตกลงว่าไปเดินเล่นในซอยลึกนี้ก่อน

   "เขาดูอิสระมากๆ มากกว่าทุกคนที่ผมเคยเจอ"

   "นั่นแหละนิช"

   "แล้วคนที่ชื่อสิปป์อะไรนั่นคงเป็นแฟนสินะครับ"

   "ไม่ได้รู้อยู่แล้วเหรอ"

   เรื่องราวรอบตัวทิวากาลมักอยู่ในสายตาของผู้รู้เสมอ

   "อืม...ไม่ได้สนใจน่ะครับ"

   "ผมเข้าใจว่าคุณจะรู้ไปหมดทุกเรื่องเสียอีก" ไม่ได้ตั้งใจประชดเลยนะ ถึงคำที่ออกมาฟังยังไงมันก็อ้างอย่างอื่นไม่ขึ้น "อีกอย่างเรื่องของนิชกับสิปป์ก็รู้กันเยอะ"

   แน่นอนล่ะ นักร้องผู้มีความรักกับมือกลองเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจจะตายไป เขาเกือบเปิดพนันกับเน็ทแล้วด้วยตอนรู้ว่าเพื่อนผู้หนีไปเรียนต่อทางศิลปะกำลังกลับไปอยู่ในโลกของเสียงดนตรีอีกครั้ง โลกที่คนปากดีเคยพูดว่าไม่มีทางเข้าไปแต่สุดท้ายก็หาทางออกมาไม่เจอ

   เขาเลยบอกว่าเพื่อนของตัวเองเก่งในเรื่องการจัดการโลกออนไลน์ให้ไม่เข้ามาปะปนกับชีวิตจริง นิชไม่เคยมีปัญหาเรื่องแฟนคลับ เรื่องวิธีการแสดงความรักผ่านสื่อ หรือว่าเรื่องราวอื้อฉาวออกมาให้หน้ากระดานเฟสบุ๊คเขาคึกคักขึ้นมา

   "ผมคนหนึ่งนี่แหละครับที่ไม่รู้" หันมาเห็นแขนสองข้างของพิชชาแกว่งไปมาตามจังหวะการเดินได้แล้วก็แอบไม่คุ้นเหมือนกัน "เขาดังเหรอครับ"

   "ในระดับหนึ่งเลยล่ะ นี่ไม่รู้จริงเหรอ"

   "ขืนผมรู้ทุกเรื่องคงสมองออเร่อไปก่อนแล้ว"

   ถึงว่าทำไมไม่รู้เรื่องของเพื่อน มันเป็นความสามารถที่น่าไขว่คว้า แต่ในขณะเดียวกันเมื่อได้อะไรมาก็ต้องแลกกับบางสิ่งเสมอ

   กฎของการแลกเปลี่ยนคือต้องเท่าเทียม

   "แล้วกับเรื่องของน้องผมทำไมถึงรู้หมดเลยล่ะ" โดยเฉพาะเรื่องของไวท์ คนที่เก็บตัวเงียบสร้างโลกส่วนตัวอยู่คนเดียวไม่ยอมให้ใครผ่านเข้าไป

   "มันเป็นผลพลอยได้น่ะครับ"

   "เมื่อไหร่คุณจะพูดให้เข้าใจง่ายสักทีนะ"

   วิธีหัวเราะในลำคออย่างนั้นกลายเป็นท่าทางเฉพาะตัวไปเสียแล้ว "คุณไม่รู้ต่างหากครับ คุณเลยไม่เข้าใจอะไรเลย"

   "นี่ผมยังไม่รู้อีกเหรอ?"

   "บ้านหลังนี้สวยจัง คุณว่าไหม"

   นอกจากจะเลยผ่านคำถามไปแล้วพิชชายังเปิดประเด็นใหม่อีก ในซอยลึกมีบ้านหลายแบบเรียงรายตั้งแต่บ้านไม้หลังโทรมไม่ได้รับการดูแล บ้านคอนกรีตแบบเก่า รวมไปถึงบ้านสมัยใหม่ที่เน้นกระจกเพื่อเพิ่มความโปร่งของตัวบ้าน ส่วนหลังที่คนด้านข้างบอกนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวตกแต่งแปลกตา คือรอบตัวบ้านล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้ม มีเพียงบางส่วนของตัวบ้านเท่านั้นที่พ้นออกมาจากม่านต้นไม้ พื้นที่ที่เป็นบ้านทาสีอ่อนสะอาดตาแขวนโมเดลไม้เอาไว้หลายชิ้น
   
   สำหรับเขาแล้วไม่ถึงกับสวย ก็แค่แปลกดี

   "ไม่ล่ะ"

   "แล้วอย่างไหนถึงจะสวยสำหรับคุณล่ะครับ"

   "สำหรับผมมันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่อยู่ข้างใน"

   บ้านของทิวากาลไม่ใหญ่โตอะไร แล้วก็ไม่ได้มีการดีไซน์สวยหรู มันสร้างขึ้นบนความตั้งใจของคนเป็นพ่อที่อยากให้บ้านสมกับคำว่าบ้านมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องใช้ราคาแพง หรือว่าตกแต่งด้วยของแบรนด์ละลานตา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ลูกทุกคนอาศัยอยู่ข้างในด้วยกันอย่างมีความสุข

   "ก็จริงนะครับ"

   "คุณก็เอาภัสกลับไปนอนบ้านด้วยสิ"

   "ที่นั่นไม่ใช่บ้านครับ"

   "ที่รวมวิญญาณ?" ยังจำได้ว่าพิชชานิยามบ้านของตัวเองว่าอย่างไร "คุณก็บอกเขาว่าอย่ามายุ่งกับภัสสิ"

   คนยังไล่ได้ เอาอะไรมากกับสิ่งที่มองไม่เห็น

   "คุณว่าถ้าผมซื้อบ้านอย่างนี้ดีไหม?"

   เขายังทำใจให้ชินกับการเปลี่ยนเรื่องคุยตลอดเวลาอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ "ชอบก็ซื้อ แล้วบ้านใหญ่คุณจะเอาไปทำอะไรล่ะ"

   "ทุบทิ้งครับ"
   
   พูดเหมือนกำลังเล่นเกมสร้างบ้านในโทรศัพท์ ที่จะกดเพิ่มลดตรงไหนก็ได้ตามใจปรารถนา

   "เขาจะยอมให้ทำเหรอ"

   "ก็ถ้าสุดท้ายแล้วมันอยู่ในชื่อของผม ผมก็ต้องทำได้สิครับ"
   
   ทำหน้าเอือมระอาเลยได้รับการพยักหน้าพอใจกลับ นอกจากซอยนี้จะลึกแล้วยังมีตรอกแยกย่อยไปอีก เดินตามผู้ชายในชุดฝ้ายไปเรื่อยแบบไม่คิดอะไรมาก ก็เดี๋ยวเลี้ยวไปมามันก็พาเขากลับไปอยู่ตรงทางออกได้เองนั่นแหละ นี่ไม่ใช่เขาวงกตเสียหน่อย

   สิ่งที่ได้รู้เพิ่มเติมคือในซอยควรเรียกตัวเองว่าหมู่บ้านได้แล้ว ถ้าจะมีพื้นที่ส่วนกลางซ่อนตัวอยู่ในตรอกหนึ่งอย่างนี้ด้วย มันคล้ายกับที่เคยเห็นในมหาวิทยาลัยหรือลานชุมชน เครื่องออกกำลังกายแบบง่าย ของเด็กเล่นสามสี่อย่าง แล้วก็ลานกว้างไว้สำหรับทำกิจกรรม

   "มีกระบะทรายด้วยครับราชา"

   "...ผมไม่เล่น"

   สิ่งที่ได้สัมผัสครั้งสุดท้ายก็เมื่อครั้งยังเป็นเด็กอนุบาลอยู่ ข้างในกรอบสี่เหลี่ยมยกสูงขึ้นมีอุปกรณ์ของเล่นสภาพดีหลายชิ้นนอนทิ้งตัวอยู่ หันมาปฏิเสธเสียงแข็งเมื่อได้ยินคำชวนทางอ้อม นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวของพิชชาหลุบลงนิดหน่อยแต่ยังไม่ยอมแพ้

   "ผมไม่ได้เล่นนานแล้วนะครับ"

   "เหมือนกัน มันหมดวัยเราที่จะมานั่งปั้นทรายแล้วพิช"

   "ไม่ยักกะรู้ว่าคนเรามีข้อบังคับเรื่องช่วงเวลาที่สามารถเล่นทรายด้วย"

   โอเค

   เข้าใจตรงกัน

   "เดี๋ยวผมนั่งรอ"

   "มาช่วยผมด้วยครับ"

   "พิช" เขาไม่อยากจะมาอธิบายเรื่องง่ายๆ อย่างนี้เลย "ขนาดตัวของเราสองคนลงไปก็เกือบครึ่งหนึ่งของกระบะแล้วนะ"

   ลองคิดภาพของผู้ชายวัยมหาลัยสองคนลงไปนั่งเล่นทรายอยู่ข้างในนั้นแล้วอึดอัดแทน กรอบสี่เหลี่ยมสร้างมาให้มีขนาดเหมาะกับการเล่นของเด็กตัวเล็ก คนสร้างก็คงไม่คิดว่าจะมีผู้ใหญ่ลงมาเล่นบ้างหรอก

   "นั่นแสดงว่ามันยังมีที่เหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่งเลยไงครับ"

   "ยังไงก็จะให้ผมลงไปให้ได้?"

   "ครับ"


***
   พี่นิชก็ยังเป็นพี่นิชค่ะ (ยิ้ม) อยากให้สิปป์ได้มีบทเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าจะใส่เอาไว้ตรงไหนดี เจ้าลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าพี่นิชกับพิชชาสนิทกันนี่มันเป็นการรวมตัวกันที่น่ากลัวที่สุดเลยค่ะ เลยอย่าให้อยู่ด้วยกันมากเลยเนอะ
   แต่งแล้วก็ชอบความละมุนของพี่แบล็คนะคะ แต่ถ้าถามว่าไม่ชอบใครที่สุดก็ไม่ชอบพี่แบล็คอยู่ดี (หัวเราะ)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-1 [03.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 04-01-2017 00:17:59

ชอบพิชชาตอนนี้ informal ดี
ชอบแบล็คด้วย เหมือน spoil พิชชา

ยินดีที่ได้เจอนิชค่ะ

รีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-2 [07.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 07-01-2017 20:14:22
CH.13-2


   คนตรงหน้าคล้ายน้องชายตัวเล็กของเขายามเจอของเล่นถูกใจ วิธีการยิ้มพร้อมกับออกเสียงยินดีอย่างนั้นเคยทำให้เขาใจอ่อนอย่างไรตอนนี้มันก็ไม่ต่างกัน ทิวากาลทำเสียงจิ๊จ๊ะจนคนเอาแต่ใจปรบมือไม่มีหยุด

   "ถ้าไม่หยุดยิ้มผมจะกลับแล้วนะ"

   "ถ้าคุณจะกลับคงไม่เดินลงมาเหยียบทรายอย่างนี้หรอก"

   รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังรุ่นที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในเมืองไทยสัมผัสกับทรายเม็ดใหญ่ วางขนมที่ซื้อมาไว้ตรงมุมปลอดภัยเรียบร้อย มือข้างหนึ่งหยิบถังพลาสติกสีสวยข้างตัวไว้ส่วนอีกข้างก็หยิบเครื่องมือสำหรับตักทราย เตรียมตัวสำหรับการเป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่แบบที่ไม่เต็มใจมากนัก

   ส่งหน้าเบื่อหน่ายไป "บอกไว้ก่อนว่าผมถนัดแต่ทำลาย"

   วางของทั้งสองชิ้นลงกับพื้นทรายแถวที่พิชชานั่งอยู่ เดินไปตามหาของเล่นชิ้นอื่นมาให้จนของเคยวางทิ้งไว้กระจัดกระจายมากองรวมกันอยู่ที่เดียว

   "ก็หัดสร้างเสียบ้างอาจจะช่วยดัดนิสัยได้ครับ"

   "นี่เป็นโปรแกรมดัดนิสัยเหรอ"

   การส่งยิ้มให้ไม่รู้ความหมาย "ผมจะสร้างปราสาท คุณอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ"

   มือขาวสะอาดขยับไปมา ตีกรอบเอาไว้คร่าวๆ ว่าขนาดของสิ่งที่กำลังจะสร้างมันมีอาณาเขตเท่าไหร่ ทิวากาลผู้ที่เคยเข้ามาเล่นอะไรอย่างนี้นับครั้งได้ก็เลยนั่งลงบนขอบปูน ยกมือขึ้นเท้าคางมองวิศวกรโยธามือใหม่เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมตรงหน้าคนเดียว

   อยากให้ช่วยเมื่อไหร่ก็สั่งเองแหละ

   "...ผมอยากได้สระรอบตัวปราสาท มีสะพานแขวนที่เปิดเอาไว้ หน้าต่างตามกำแพงเยอะๆ แล้วก็เอาป้อมวางไว้ทั้งสี่ด้าน อ้อ! แล้วก็มีธงอยู่ตรงยอดเสาด้วย"

   "คุณคงต้องให้เวลาผมสักสามเดือน" คนขอความเห็นทำตาค้อนใส่ มือยังไม่หยุดปรับหน้าทรายให้เท่ากัน "น่าจะได้แค่ป้อมนะครับ"

   "อะไรเนี่ย ผมไม่ได้ขอเยอะเลยนะ"

   "พูดมาไม่กระดากปากเลยนะครับ"

   อุปกรณ์ที่หยิบมาให้มากมายไม่มีชิ้นไหนถูกหยิบไปใช้ เครื่องมืออย่างเดียวสำหรับการสร้างปราสาทแห่งความฝันอะไรนั่นคือสองมือเย็นเฉียบคู่เดิม

   "คุณเล่นบ่อยสินะ" ดูจากความคล่องแคล่วในการสร้างฐาน รู้ว่าตรงไหนควรจะทำอย่างไรบ้าง

   "ภัสชอบครับ"

   "งั้นเหรอ"

   ก็วันที่ไปทะเลไม่เห็นว่าบุคคลที่สามในบทสนทนาจะทำอะไรอย่างนั้น เห็นอยู่อย่างเดียวคือเดินลงไปในทะเลแล้วก็หายตัวไปกับกลุ่มคลื่น เด็กที่เขายังไม่เคยเจออีกเลยนับแต่วันบุกบ้านพร้อมกับรอยกรีดข้อมือตรงแขน

   "ภัสชอบทะเล เวลาไปเที่ยวก็เสนอแต่ไปทะเล แต่แปลกที่ตากแดดเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยดำ"

   ถึงว่าทำไมเลือกไประยอง ทิวากาลยังไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพี่ฟัง มันก็คงเป็นเรื่องไม่ค่อยน่าเชื่อมากเท่าไหร่ถ้าอยู่ดีๆ ก็บอกไปว่าวันนั้นน้องชายของตัวเองทำวีรกรรมอะไรไว้บ้าง

   นี่ไงเรื่องที่รู้แต่พูดไม่ได้

   จากฐานเสมอกันทั้งสี่มุมพิชชาเริ่มถมชั้นต่อไปให้สูงขึ้นโดยมีความกว้างลดลงเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าจะให้เขาเข้ามาทำไมในเมื่อไม่ได้เรียกให้ช่วยสักที โดนขู่ว่าทำได้แค่ทำลายเข้าไปทีเลยไม่กล้าใช้งานเลยหรือไง แปลกดีที่คราวนี้ชายผมยาวเชื่อคนง่าย

   ความคิดเรื่อยเปื่อยสะดุดลงเมื่อพิชชาเงยหน้าขึ้นมาสบตาแบบไม่ได้เตรียมใจเอาไว้

   โครงหน้าแปลกขยับริมฝีปากขึ้นหลายองศา สวยงามจนหาที่ติไม่เจอ "คุณนั่งจ้องผมนานแล้วนะครับ"

   เจอคำนั้นเข้าไปก็เลยกระตุกมุมปากขึ้นบ้าง แก้สิ่งที่อีกฝ่ายอาจเข้าใจผิดจนรู้สึกว่ามือที่ยังอยู่ตรงคางของตัวเองสั่นตามทุกครั้งเมื่อขยับ

   "ผมมองปราสาทที่คุณกำลังสร้างต่างหาก"

   "จริงเหรอครับ?"

   "อ่าฮะ"

   "แปลกนะ ปกติคุณไม่ชอบโกหก"

   "หึ"

   ระยะห่างออกไปไม่กี่ก้าวดูไกลจนเขาต้องเข้ามานั่งบนเก้าอี้พลาสติกตัวเล็กที่วางไว้ตรงข้ามกับบริเวณที่พิชชากำลังนั่งอยู่

   "แน่ใจเหรอพิชชา"

   ทิวากาลเกลียดความลวง อาจมีบ้างที่ใช้คำกว้างหรือว่าคำที่ตีความหมายได้หลายแง่เพื่อไม่ให้คำพูดมันรัดตัวเอง ทุกครั้งที่เขาโกหกออกไปนั่นหมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญในระดับค่อนข้างมาก

   ใช่ไง

   เรื่องที่เขากำลังแอบมองพิชชาอยู่นี่ก็เรื่องสำคัญนะ

   "ถ้าเป็นเรื่องของคุณผมมั่นใจเสมอครับราชา"
   
   ทำเสียงอือออในลำคอพอให้รู้ว่ายังฟังอยู่ หยิบพลั่วพลาสติกขึ้นมาตักทรายถมขึ้นไปอีก ไม่สนใจจัดแต่งอะไรเพิ่มเติม แค่ตักๆ แล้วก็โปะๆ ให้มันมีช่องว่างระหว่างกันน้อยหน่อยก็พอแล้ว เขาไม่สามารถละเมียดละไมทีละส่วนได้อย่างที่พิชชาทำหรอก

   จนได้ความสูงตามต้องการแล้วขั้นต่อไปก็ต้องตกแต่งพื้นที่โดยรอบ ถ้วยที่เคยไว้ใช้ใส่โยเกิร์ตถูกนำมาปรับสำหรับการสร้างป้อมโดยรอบทั้งสี่ด้านของปราสาท ทิวากาลยังไม่อยากให้มือของตัวเองเปื้อนไปมากกว่านี้เลยช่วยตัดแต่งด้านบนให้เกิดช่องว่างคล้ายกับพื้นที่กำบังขึ้น น่าเสียดายที่ไม่สามารถสร้างสะพานแขวนได้ นั่นมันความคลาสสิคของปราสาทสมัยก่อนเลยนะ

   "คุณว่าคนที่อยู่ในปราสาทจะเหงาบ้างไหม" คิดไปถึงการเดินเที่ยวปราสาทรอบล่าสุดตอนไปเมืองนอกแล้วน้องโรมถามขึ้นมาว่าพื้นที่กว้างใหญ่อย่างนี้มันเหมาะกับการเป็นที่อยู่อาศัยจริงหรือเปล่า

   "ราชาอย่างคุณน่าจะตอบได้อยู่แล้วนะครับ"

   "มันไม่เหมือนกันไหมล่ะ"

   "อืม...ถ้าให้ใช้ประสบการณ์ที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวแล้วก็เหงาอยู่แหละครับ" ก่อนถามเขาลืมนึกเรื่องพื้นฐานทางบ้านของพิชชาไปเลย "เหมือนเราเป็นจุดเล็กๆ ในอวกาศกว้างใหญ่ อะไรประมาณนั้น"

   "ก็เลยจะทุบทิ้งงั้นสิ"

   "คุณเห็นด้วยไหมล่ะครับ"

   "มันอยู่ที่คุณ ถามผมแล้วได้อะไรขึ้นมา?"

   "มันไม่ต่างอะไรกับบัลลังก์ของคุณหรอกครับ" ต่างคนก็ให้ความสนใจอยู่กับการจัดแต่งส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ "บนนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่ใครก็ได้ขึ้นไปอยู่ ยิ่งปลายยอดแหลมมากเท่าไหร่ พื้นที่สำหรับคนเคียงข้างมันก็น้อยลงเท่านั้นครับ"

   นั่นไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่สำหรับกรณีของแบล็ค ก็ยอมรับแหละว่าพื้นที่บนนั้นมันน้อย แต่เหตุผลของการมีกี่คนเป็นเพราะว่าเขาไม่คิดจะหาเพิ่มต่างหาก ชีวิตมีเพื่อนแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว คนที่มั่นใจได้ว่าจะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะต้องบอกลาหน้าโลง

   อากาศอบอ้าวเป็นสัญญาณของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างฝน นี่ควรจะเข้าหน้าหนาวได้ตั้งแต่นานแล้วแต่ฝนก็ยังไม่ยอมหยุดตก โลกร้อนจนสิ่งที่อาจารย์เคยสอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนผันของฤดูกาลกลายเป็นความรู้ที่ไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้อีกแล้ว ในเมื่อทุกวันนี้เขาแทบไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าอากาศหนาว

   "ปีนี้เราจะได้เจอหน้าหนาวบ้างไหมพิช"

   "หน้าหนาว?" พิชชาไม่หยุดมือที่กำลังจัดแต่งป้อมด้านบนปราสาท "นี่ผมไม่ใช่หน่วยพยากรณ์อากาศนะครับ"

   "ใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์หน่อยสิ"

   "นี่คุณอยากรู้คนเดียวต่างหาก"

   โดนจับไต๋ได้แล้วก็ไม่เป็นไร "ผมเบื่อหน้าฝนแล้ว มันเฉอะแฉะ"
 
   "ถ้าเรายังอยู่ประเทศนี้ต่อไปคุณก็เลี่ยงไม่ได้หรอกครับ อยู่ภาคใต้ยิ่งกว่านี้อีกนะ"

   ปัดทรายออกจากมือของตัวเองขณะชื่นชมผลงานการช่วยเหลือของตัวเอง มันเป็นแค่ทรายที่ถูกทำให้เป็นกองสูงขึ้นโดยมีลูกเล่นอยู่เล็กน้อยตรงด้านบน ธรรมดาเสียจนไม่เข้าใจพิชชาว่าจะมองด้วยความปลาบปลื้มอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน

   คิดถูกที่วันนี้ถักเปียให้ เป็นเงื่อนแข็งแรงมันก็ดีอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าไม่ได้มัดหรือว่าเป็นหางม้าธรรมดาถ้ามันยุ่งไปมือเลอะทรายของเขาคงจะมัดให้ใหม่ไม่ได้

   "ไม่ถ่ายรูปเก็บไว้เลยล่ะ"

   "ผมไม่ชอบถ่ายรูปครับ"
   
   "ทำตั้งนาน" นาฬิกาข้อมือที่ดูก่อนเริ่มทำกับตอนนี้ขยับไปหลายช่องอยู่ "ให้ผมถ่ายไหมล่ะ"

   "ถ้าคุณอยากทำก็ได้ครับ"

   เจ้าของผลงานชิ้นใหญ่หมุนช่วงคอไล่ความเมื่อยล้า "ไม่ได้นั่งทำอย่างนี้นานๆ ก็ปวดตัวเหมือนกัน"

   "มันไม่สวยเหรอเลยไม่ถ่ายเอาไว้?"

   ถามตอนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดคำสั่งถ่ายรูป เดินวนหามุมที่คิดว่าสวยที่สุดอยู่ครู่ใหญ่จนได้ตามต้องการ ถ้าบอกว่าอุปกรณ์มีแค่นี้เขาคิดว่ามันเรียกว่าดีได้เลยนะ หรือว่าสำหรับพ่อคุณผู้ทำทุกอย่างให้เนี้ยบเสมอจะมองว่ามันเป็นงานที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ก็ไม่รู้สิ

   พิชชาเล่าว่ามันเป็นนิสัยที่ได้มาจากคนเลี้ยง เป็นพวกผู้ดีเก่าเหมือนกับพ่อของตัวเอง เพราะอย่างนั้นทั้งกิริยาท่าทางหรือว่าวิธีการพูดจาทั้งหมดจะต้องดูดีอยู่เสมอ คำสอนนั้นลามมาถึงเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่างจะต้องละเอียดรอบคอบ ไม่มีการทำอะไรลวกๆ หรือว่าสักแต่ทำให้เสร็จเด็ดขาด และได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่เล่ามาแต่ละอย่างมันไม่ได้เกินกว่าที่เป็นอยู่ ขนาดปราสาททรายยังต้องปาดจนกำแพงเรียบสวยเลย

   "เปล่าครับ สวยดี"

   "ปกติคนที่ชอบอะไรมากๆ ก็ต้องเก็บมันเอาไว้นี่" อย่างน้องโรมช่วงหลังจะชอบถ่ายรูปเก็บเอาไว้

   "ก็สิ่งที่ทำให้มันสวยที่สุด คือการที่ผมกับคุณช่วยกันทำมันขึ้นมานี่ครับ"

   การอธิบายเรียบง่ายเสมอ

   "เพราะอย่างนั้นถึงถ่ายไปมันไม่มีทางเก็บความสุขทั้งหมดของผมเอาไว้ได้"

   "การได้เจอผม...มันมีความหมายกับคุณขนาดไหน"

   ผู้หยั่งรู้คลี่ยิ้มเศร้า สัญลักษณ์ของความสุขแฝงไปด้วยความหม่นหมองจนรู้สึกแย่ตามไปด้วย "แบบที่คุณไม่มีทางเข้าใจได้ครับ"

   การได้เจอพี่คือสิ่งที่พิชชาปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใด

   "ถ้าผมรู้...ผมจะเข้าใจใช่ไหม"

   ทุกวันนี้ทิวากาลได้กุญแจสำหรับไขเข้าไปแก้ปริศนาในห้องถัดไปมากขึ้น ทุกครั้งที่ก้าวผ่านมันบอกว่าตัวเองผ่านเรื่องราวมามากแค่ไหน แต่หนึ่งสิ่งที่มันไม่มีทางบอกเขาได้คือเมื่อไหร่จะถึงห้องสุดท้าย ห้องที่เขาไม่ต้องตามหากุญแจดอกต่อไปอีกแล้ว

   "ผมอยากบอกคุณว่าใช่อยู่นะครับราชา"

   มือขาวที่รังสรรค์ประติมากรรมขึ้นขีดเขียนอะไรบางอย่างตรงด้านบนสุด เส้นยาวตวัดไปมาก่อนจะจบลงด้วยจุดเล็กๆ ภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนคือชื่อเล่นของพิชชา

   เห็นอีกคนทำแล้วก็อยากมีบ้าง ยังไงเขาก็ช่วยทำตั้งหลายอย่าง คราวนี้ทิวากาลยอมใช้นิ้วลากจนเกิดคำต่อจากนั้น ชื่อของตัวเองที่อ่านรวมกันแล้วกลายเป็นความหมายของชื่อเล่นพิชชาตามที่บอกกับนิชก่อนหน้านี้

   Pitch Black

   ยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาอีกครั้งเตรียมที่จะถ่ายเก็บเอาไว้ คราวนี้ไม่ต้องเดินหามุมอีกเพราะว่าเป็นการถ่ายจากมุมสูงแทบไม่เห็นสิ่งรอบข้าง สิ่งเดียวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมคือตัวอักษรภาษาอังกฤษแปลความหมายได้ว่าสีดำสนิท

   "...แต่ผมต้องบอกว่า การที่คุณรู้มันอาจทำให้คุณไม่เข้าใจอะไรเลย"

   มือที่เกือบจะกดปุ่มถ่ายไปแล้วเปลี่ยนเป็นกดออกจากแอป สีดำปรับอารมณ์ดิ่งลงลึกให้กลับมาคงที่มากที่สุดก่อนสวนกลับไป

   "แต่คุณก็ยังอยากให้ผมรู้?"

   สิ่งใดถ้าทิวากาลตั้งใจจะทำแล้วมันต้องสำเร็จ อย่างเรื่องของพิชชาที่ลั่นวาจาออกไปแล้วว่าจะต้องรู้ ไม่ว่าต้องทำมากกว่ากรีดเนื้อของตัวเอง

   มันเลยแปลกดีที่เขากำลังกลัวคำตอบนั้น

   "ครับ"

   คำตอบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

   ปราสาททรายถูกวางทิ้งไว้ โดยคนสร้างทั้งสองไม่คิดจะหันกลับไปเหลียวแล สุดท้ายทิวากาลก็ไม่ได้ถ่ายคำนั้นเอาไว้เหมือนอย่างตั้งใจทีแรก ซึ่งมันก็ดีเหมือนกันแหละ ถ้าเขาเห็นคำนั้นอีกก็คงมีเสียงของพิชชาลอยตามมา ประโยคจากผู้รู้กับเรื่องที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

   อะไรคือสิ่งที่รู้แล้วจะทำให้ไม่เข้าใจ?

   ไม่ใช่ว่าเพราะไม่รู้เลยไม่เข้าใจอย่างนั้นเหรอ เหมือนกับการเรียนไง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการที่เรารู้ว่าหนึ่งบวกหนึ่งมันเท่ากับสองนั้นเพราะว่าเราเรียนรู้วิธีการบวกเลข ถ้าเราไม่เคยเรียนมาก่อนหากเจอเลขนั้นเข้าไปก็อาจไม่เข้าใจได้ว่าเหตุผลที่ทำให้มันเท่ากับสองคืออะไร

   สิ่งที่พิชชาพูดออกมานั่นคือการกลับทุกหลักความเข้าใจที่มีมาโดยตลอด

   เหมือนกับสิ่งที่น้องของชายปริศนาเคยบอกเอาไว้ การที่ไม่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว

   อาจต้องหาเรื่องไปเยี่ยมภัสสร์เสียหน่อย คราวนี้จะต้องคาดคั้นให้ได้เลยว่าเรื่องที่เด็กไร้ชีวิตคนนั้นรู้มันมีอะไรบ้าง เขาจะต้องไล่หมอกก้อนใหญ่นี้ให้มันปลิวหายไปได้แล้วล่ะ ก่อนที่ความจริงทั้งหมดที่อยู่ข้างหลังมันจะสลายจนไม่สามารถตามหาได้อีก

   "เดี๋ยวผมจะต้องเข้าไปหาคุณน้าหน่อยน่ะครับ ถ้ายังไงส่งแค่แถวรถไฟฟ้าก็ได้"

   คุณน้าที่ไม่ต้องแนะนำเขาก็รู้ชื่อ

   "ปกติผมก็ไปกับคุณได้ตลอดนะ"

   ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใครก็ตามทิวากาลสามารถไปส่งได้ถึงหน้าประตู บางรายยอมให้เข้าไปฟังด้วยได้ แต่บางครั้งเขาก็ต้องรออยู่ข้างนอกจนกว่าผู้หยั่งรู้จะทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นความเคยชินคราวนี้มันกำลังจะเปลี่ยนไป

   "คุณอยากเจอเหรอครับ?"

   “...”

   ทิวากาลไม่อาจเอ่ยออกไปได้

   "เห็นไหมล่ะ ผมถึงบอกว่าให้ส่งตรงรถไฟฟ้า"

   "งั้นอารีย์นะ" จากตรงนี้สถานีที่ใกล้ที่สุดคือตรงที่เขาบอก

   "ขอบคุณครับ"

   "อย่าเพิ่งดีใจไปนะพิชชา" ปรามเอาไว้ก่อน ให้รู้ว่าการที่เขาทำตามคำขอแบบไม่มีบิดพลิ้วไม่ได้เกิดจากการยอมทำตามใจอีกคน "ที่ผมยอม...ไม่ได้เพราะคุณสั่ง"

   "ผมก็รู้อีกนั่นแหละครับว่ามันไม่ใช่เพราะผม"

   นอกจากห้องทำงานของคนเป็นพ่อ

   มีอีกหนึ่งพื้นที่ที่ทิวากาลไม่อาจย่างกรายเข้าไป

   "ให้เราเข้าใจตรงกันไว้ก่อน จะได้ไม่มีปัญหาอะไร"

   "ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เราเข้าใจตรงกันแล้วล่ะ" ใบหน้าก้มลงมองมือถือของตัวเองตลอดเวลาแถมยังกดส่งข้อความไม่ยอมหยุดแปลกไปจากนิสัยปกติของชายผมยาวที่ไม่ค่อยใช้มันมากนักเวลาอยู่กับเขา

   "มีอะไรหรือเปล่า?"

   ถามออกไปตามตรง ไม่ได้คิดว่ากำลังละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นอยู่

   "ก็นิดหน่อยครับ...เรื่องมรดก"

   นั่นทำให้คิ้วของทิวากาลขยับเข้าหากันเล็กน้อย "ไหนบอกว่าแบ่งเรียบร้อยแล้ว"

   "ก็ญาติบางคนไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ เลยอยากให้ทำรายการทรัพย์สินใหม่"   

   "ทำไมคนเราถึงอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเองขนาดนี้นะ" ทอดเสียงหน่าย หักเลี้ยวออกเลนขวาเพราะรถคันข้างหน้าคับช้าเหลือเกิน รถราก็ไม่ได้เยอะอะไรสักหน่อย

   "เพราะมันไม่ใช่ของเราไงครับ"

   "ก็จริง"

   การจราจรบนท้องถนนไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง พอหลุดออกจากรถที่ขับช้าอย่างกับกำลังรักษาระดับไมล์ไว้ที่หกสิบตลอดเวลาแล้วยังต้องมาเจอกับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จี้หลังตลอดเวลาอีก ถ้ารีบมากก็เบี่ยงออกเลนอื่นไปสิ ว่างตั้งเยอะตั้งแยะจะมาตามเขาทำไม

   หรือว่า...

   "ช่วงนี้ถ้าไม่อยากเจออะไรบั่นทอนจิตใจอย่าเพิ่งไปหาผมก็ดีนะครับ คิดว่าน่าจะหัวกระไดไม่แห้งทุกวัน"

   "พอแขนหายเจ็บแล้วผมก็หมดประโยชน์เลยนะ"

   หนึ่งสิ่งไม่คุ้นตาก็คือการที่พิชชาไม่มีเฝือกอ่อนอยู่ตรงข้อแขนแล้วนั่นแหละ "หลังจากนี้ไม่มีคนคอยสระผมให้จะรู้สึก"

   แว่วเสียงบ่นปนเคืองนิดหน่อยมาจากคนเพิ่งหายเจ็บ แปลกหูดีเพราะมันไม่ค่อยเกิดขึ้นกับพิชชาคนที่มักอยู่กับความนิ่งเรียบเสมอมา ทิวากาลยังคุยเรื่องทั่วไปกับอีกคนในระหว่างที่ตัวเองลัดเลาะไปบนเส้นทางยางมะตอย จะว่าไปแล้วชื่อของพิชมันก็แปลว่าน้ำมันชั้นเลวได้เหมือนกัน

   ตามปกติที่มักจะเปลี่ยนเลนต่อเมื่อหมดความอดทนกับรถติดเป็นแนวยาวคราวนี้กลับย้ายไปมาราวกับฝึกขับซิกแซก เขามักใช้วิธีสุดแล้วแต่เวรแต่กรรมตอนเลือกเลนขับ นิสัยที่เพิ่งเป็นช่วงเข้ามาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว โลกของกฎหมายหลอมให้มองทุกสิ่งรอบตัวเปลี่ยนไป

   ส่วนสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปก็คงนิสัยแย่ๆ บางอย่าง

   "ทดสอบพอแล้วมั้งครับราชา"

   นั่นคือการบอกว่าตุ๊กตาหน้ารถเองไม่ได้นั่งเล่นโทรศัพท์จนไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว

   "ถ้าส่งลงตรงสถานีอื่นจะเป็นอะไรหรือเปล่า" เอ่ยสบายๆ ไม่ได้จริงจังอะไร ผิดกับข้อแขนตรงพวงมาลัยที่กำลังปูดขึ้นจนเห็นเส้นเลือด ทิวากาลลองคำนวณเส้นทางดูแล้วเปลี่ยนเป็นคำสั่งแทน "ส่งไปบอกคุณน้าว่าไปหาวันอื่นแล้วกัน"

   "เรียบร้อยแล้วครับ"

   ก็พิชชาเป็นอย่างนี้

   ทิวากาลเลยไม่ยอมไปไหนไง

   "เอาแค่สะบัดให้หลุด หรือว่าอย่างอื่น?"

   คราวก่อนทำอย่างแรกไปแล้ว กลัวว่าถ้าทำซ้ำอีกมันก็น่าเบื่อเกินไปหน่อย นี่เรียกว่านิสัยแย่ๆ ได้แล้วใช่ไหม

   "อืม...เอาอย่างที่คุณอยากทำเลยครับ"

   "รับทราบ"

   ได้รับคำอนุญาตแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก ทิวากาลย้อนกลับไปคิดถึงเส้นที่กำลังจะเดินทางไปในหัว เขตที่เรียกได้ว่าคนละฟากของเมืองกับบ้านเลยทำให้ไม่ค่อยได้มาละแวกนี้เท่าไหร่ จะมาอย่างมากมากก็แค่หาเพื่อนขี้หวงหรือไม่ก็งานเลี้ยงปาร์ตี้วันเกิดตามมายาคติของเด็กมหาลัย

   ขยับยิ้มเหี้ยมเมื่อนึกถึงสถานที่หนึ่งออก

   ถ้าอยากจะเค้นเอาคำสารภาพ ก็ต้องจัดห้องให้เหมาะกับการทำงานหน่อย

   เท้าขวายังยันคันเร่งเอาไว้ไม่มีพัก พอหลุดออกจากถนนใหญ่เข้ามาอยู่ข้างในซอยได้แล้วความเกรงใจทั้งหมดก็ทิ้งไปด้วย รถอีโค่คาร์ไม่ด้อยไปกว่ารถหรูบางคันเมื่ออยู่ในการควบคุมของคนมีทักษะ ตอนแรกที่ลองกะด้วยสายตาเอาคร่าวๆ มีรถสามคันกับจักรยานยนต์อีกหนึ่ง คิดแล้วทางน่าสนใจที่สุดก็คือคันสุดท้ายนั่นแหละ

   ซอยแคบแล้วก็ซับซ้อน ทิวากาลเคยอาสามาส่งเพื่อนในคณะหลังจากเมามายจนไร้สติ ตอนที่ยังพอคุยกันรู้เรื่องเพื่อนเล่าว่าด้านในสุดของหมู่บ้านนี้เป็นพื้นที่รกชันไม่อาจนำไปใช้ประโยชน์ได้เพราะเจ้าของไม่ยอมขายสักที ไม่ว่านักธุรกิจกี่รายต่อกี่รายดาหน้าเข้ามาไม่เคยได้ในสิ่งที่ต้องการกลับไปสักคน

   นอกจากนั้นยังไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปเฉียดเพราะเคยมีคนงานก่อสร้างของบ้านใกล้เรือนเคียงเสียชีวิตจากการแอบมาเสพยาเกินขนาด เสียงเล่าลือว่ามีสิ่งที่อธิบายด้วยตาไม่ได้เดินวนเวียนไปมาเพิ่มบรรยากาศวังเวงได้อีกหลายเท่านักล่ะ

   พอขับรถเข้ามาในซอยที่แคบลงเรื่อยๆ รถตามติดก็หายไปทีละคัน นี่เป็นข้อดีของการใช้รถคันเล็ก มันสะดวกต่อการใช้สอยในเมืองหลวง ทิวากาลลอบมองคนข้างตัวเป็นระยะ นอกจากยังกดโทรศัพท์หาใครอยู่ตลอดแล้วยังร้องเพลงสากลยุคโปรดตามราวกับว่าเขากำลังพาไปเที่ยวอยู่

   "สบายใจจังเลยนะ"

   "คุณไม่ปล่อยให้ผมเป็นอะไรอยู่แล้วนี่ครับ"

   ไม่ต่างอะไรกับอัศวินที่ปกปักษ์ผู้เป็นนาย

   "คุณให้ผมเลือกเองนะพิชชา" จัดการจอดรถแอบอยู่มุมหนึ่งของซากปรักหักพัง ดับเครื่องยนต์ให้นิ่งสนิทก่อนที่จะขยับร่างกายไปมาเท่าที่พื้นที่เอื้ออำนวย เอื้อมตัวไปยังลิ้นชักเก็บของทางซ้ายของตัวเองจนเจอกับ 'ของคู่ใจ' ที่จะหยิบออกมาใช้ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น

   ตรวจสอบดูความเรียบร้อยนิดหน่อย เช็คว่าหากต้องใช้งานขึ้นมาจริงมันจะไม่เกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมาย เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วเขาเลยหันมากดจุมพิตหนักๆ ลงไปตรงกลุ่มผมสำหรับการเรียกกำลังใจ แม้จะเป็นกลิ่นของเหงื่อปนทรายเมื่ออยู่บนร่างของพิชชามันก็ยังน่าหลงใหลเหมือนเดิม

   "ห้ามเสียใจทีหลังล่ะ"

   "ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นได้อีกแล้วครับ"

   "แล้วจะรอดู"

   ลงจากรถมาได้ไม่ถึงนาทีเสียงเครื่องยนต์ก็แล่นเข้ามาใกล้ ทิวากาลกระชับสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองเอาไว้แน่น วิชาการป้องกันตัวหลายรูปแบบถูกนำมาผสมกันจนกลายเป็นทักษะเฉพาะตัว สิ่งแรกที่ต้องทำคือรอประเมินระดับของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันว่าอยากจะใช้วิธีไหนในการซักฟอก

   เป็นอย่างที่คิดเมื่อรถจักรยานยนต์วนไปมาอยู่ด้านในสองรอบก่อนจะหยุดลง เขามั่นใจว่าตัวเองจอดซ่อนเอาไว้ดีมากอยู่แล้วเลยไม่ต้องห่วงความปลอดภัยของพิชชา ต้องเพิ่มข้อมูลลงไปอีกนิดว่าตราบใดที่ต้นเหตุปัญหายังอยู่ในรถไม่ออกมาเดินเล่นเพ่นพ่านนะ

   พาตัวเองเข้าไปใกล้กับเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ คนติดตามเองก็คงมีเรื่องอื่นให้พะวงยิ่งกว่าถึงไม่ตรวจสอบความปลอดภัยเบื้องต้นของตัวเอง ใต้หมวกกันน็อคไม่ใช่คนที่เขาเคยเจอมาก่อน พื้นที่ที่เต็มไปด้วยของระเกะระกะกลายเป็นตัวเพิ่มความสะดวกให้กับการปฏิบัติภารกิจมากขึ้น

   "ไม่อยู่ในซอยครับ หายไปไหนไม..."

   สิ่งแรกที่ต้องทำคือเจาะยางรถไม่ให้ขับหนีไปไหนได้ ปืนเก็บเสียงกระบอกเดิมที่เคยใช้สำหรับการช่วยปีศาจจนติดหนี้มนุษย์คราวนี้ก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม ทิวากาลสลับกระสุนนัดต่อไปให้พร้อม ก้าวเข้าไปช้าๆ ในระหว่างที่คนชะตาขาดยังตกใจกับความผิดปกติของรถตัวเอง

   ยกอาวุธขึ้นจ่อหัวของอีกคน เสียดายที่ไม่อาจเห็นได้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

   "ผมก็อยู่นี่ไง"

   สีดำคือตัวแทนของความอำมหิต

   และราชาสีดำคือตัวแทนแห่งความตาย


***
   พี่แบล็คก็มีความหวานในแบบของเขาเนอะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-2 [07.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 07-01-2017 20:33:14
โอ้ว ... น่าติดตามตอนต่อไปมากๆ

ยังจับโยงมาผูกทำความเข้าใจไม่ชัดเจน

แต่ชอบความหวานตามสไตล์แบล็ค

สีดำ #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-2 [07.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-01-2017 12:13:40
 :pig4 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.14 [11.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-01-2017 21:19:41
CH.14

   วันครบรอบการตายของคุณพ่อเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการรวมญาติ

   พิชชาบอกเขามาอย่างนั้น

   "วันนี้อยากปล่อยผมไหม?" ถามพลางซับน้ำที่ยังแทรกอยู่ตามเรือนผมยาว กลิ่นของแชมพูผสมกับสบู่หอมกรุ่นมากกว่าทุกครั้ง ก็วันสำคัญทั้งทีคงต้องพิถีพิถันหน่อยล่ะ

   "ได้นะครับ"

   "อยากให้ผมลงไปด้วยหรือเปล่า"

   ได้ยินจำนวนญาติพี่น้องคร่าวๆ แล้วก็อดกังวลไม่ได้ พิชชาคนเดียวจะต้องออกทัพไปเจอกับพวกคนใจเหี้ยมอย่างนั้นเป็นฝูงมันดูไม่แฟร์เท่าไหร่

   "อยากนะครับ แต่คงให้ลงไปไม่ได้"

   "โอเค"

   ไม่ได้ผิดหวังอะไรกับคำตอบนั้น รู้ได้อยู่แล้วล่ะว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้ เขาเองก็ขี้เกียจไปเจอกับสีหน้าไม่เป็นมิตรเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคุณพ่อของพี่กาย

   เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดกับผู้จัดการมรดก หลังจากนั้นจะเป็นเวลาของการพูดคุยในเรื่องของทรัพย์สินกับผู้เกี่ยวข้องส่วนที่เหลือ ถ้าปล่อยจนกว่าผมแห้งไปเองมันคงไม่ทันการ ทิวากาลเลยเดินไปเสียบปลั๊กเครื่องเป่าผมให้เรียบร้อย พร้อมสำหรับการทำหน้าที่ของตัวเอง

   เรื่องที่ทำบ่อยจนเป็นความเคยชินแปรเป็นความชำนาญ ไม่เคยเบื่อสักครั้งที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ให้กับชายผมหยักศก ในบางมุมคิดว่าตัวเองคงติดนิสัยชอบดูแลคนอื่นไปแล้ว พอหมดหน้าที่ดูแลคนหนึ่งก็หาเรื่องไปทำอย่างอื่นต่อไม่ให้ตัวเองว่างเกินไป

   จัดแต่งจนสวยงามไม่ต่างจากทุกวัน หวีจัดทรงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วถึงถอยห่างออกไปตรวจสอบความเรียบร้อยในภาพรวม ชุดที่พิชชาเลือกใส่วันนี้ต่างจากภาพปกติอยู่หน่อยตรงเสื้อแขนยาวตัวโคร่งเป็นสีดำเหมือนกับกางเกงขายาว เส้นผมยาวสีเดียวกับเสื้อผ้าล้อมกรอบเอาไว้จนใบหน้านั้นขาวขึ้นไปอีกระดับ สีทึบทำให้เครื่องประดับเดียวตรงคอลอยเด่นขึ้นมา

   สร้อยที่เขายังไม่รู้ความเป็นมา

   "พร้อมลงสนามหรือยัง?"

   "ผมพร้อมอยู่เสมอครับ"

   "ดีมาก"

   โน้มตัวลงไปสัมผัสส่วนเรือนผม ไม่กล้าแตะต้องส่วนที่เป็นผิวเนื้อ

   เพราะยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ ความยับยั้งมันก็น้อยลงไปเท่านั้น

   “ราชาครับ”

   “อยากได้อะไรเพิ่ม?” ถามพลางคิดว่าตัวเองวันนี้พลาดตรงขั้นตอนไหนไปหรือไม่

   “ถ้าผมทำมันไม่สำเร็จ...รบกวนทำมันต่อให้ผมได้หรือเปล่าครับ”

   มองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีแปลกที่เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนก็ยังไม่อาจให้คำนิยามมันได้ว่าเป็นสีอะไรกันแน่ คำฝากฝังที่ควรจะไม่มีอะไรเมื่อออกมาจากปากจากของผู้รู้แล้วมันมาพร้อมความระแวดระวังเสมอ ทิวากาลไม่อยากคิดไปต่อเองว่านั่นคือ ‘เล่าเรื่องที่เห็น’ ตามแบบฉบับของผู้รู้

   “คนอย่างพิชชาจะยอมให้ไม่สำเร็จเหรอ” มันก็เลยจบลงในรูปแบบที่ว่าส่งย้อนกลับไปให้คนถามดีกว่า “ต้องยื่นมือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นนี่มันไม่สมกับเป็นคุณเลยนะ”

   “อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ”

   สายตาที่คาดคั้นบอกให้ทิวากาลมีการตอบสนองกลับไป “คนเรียนกฎหมายอย่างผมเชื่อในความเที่ยงธรรมของมัน”

   ไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ พิชชาเพียงแค่ส่งยิ้มจางมาให้พร้อมกับคำสุดท้าย

   “ฝากด้วยนะครับ”

   ส่งกำลังใจไปให้อีกครั้ง พอประตูห้องปิดลงเลยทำได้แค่นั่งเล่นอยู่ในห้อง มันก็มีห้องอื่นแต่เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งมากเท่าไหร่ เดินมาอยู่ตรงหน้าประตูแล้วกวาดตาจากซ้ายไปขวา ข้าวของข้างในมันก็ยังคงน้อยอยู่เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน มีแต่ของหยิบจับมาใช้งานได้จริง แทบไม่มีชิ้นไหนวางเอาไว้เพื่อให้ฝุ่นจับ

   จะว่าไปถ้ามีโอกาสแล้วก็ควรใช้ให้คุ้มค่าสิ

   สิ่งที่ยังค้างอยู่ข้างในบอกว่านี่เป็นเวลาเหมาะที่สุดสำหรับการตามหาสิ่งที่ต้องการ ทิวากาลตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งงานประณีต มองขวดเครื่องบำรุงไม่กี่ชิ้นบนนั้นก่อนจะเปลี่ยนไปเปิดลิ้นชักต่างๆ รอบกระจก เมื่อยังไม่เจอสิ่งที่ต้องการเสียทีเลยย้ายเข้าไปข้างในห้องอาบน้ำ เปิดกระจกใสที่ซ่อนชั้นวางเอาไว้ด้านในอย่างแนบเนียน บนนั้นมีเพียงของใช้จำเป็นสำหรับผู้ชายจำพวกมีดโกนหนวด นอกจากนั้นแล้วก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ต่างจากเจ้าของ

   ลองคิดดูอีกทีว่าสิ่งนั้นมันควรจะอยู่ตรงไหน ห้องของพิชชามีตู้เก็บของหลายใบก็จริงอยู่ แต่เจ้าของห้องเล่นปล่อยให้มันว่างจนไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร

   ฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาบอกให้ทิวากาลรีบวางทุกอย่างในมือลง ไม่ใช่พิชชาแน่นอนเพราะรายนั้นไม่เคยคิดจะเดินมีเสียงอย่างคนปกติเขาทำ รอจนกระทั่งมั่นใจว่าจุดหมายของคนที่กำลังมาเยี่ยมคือเขาถึงเดินไปเปิดประตูเสียเอง

   “ว้าย!”

   เด็กสาวในบ้านคนเดียวกับที่เคยวิ่งหนีไปเมื่อวันนั้นทำตาโตเมื่ออีกคนเดินออกมาก่อนที่จะเคาะประตูพอดี เธอดึงสติของตัวเองกลับมาจนครบจึงทำหน้าที่ของตัวเอง

   "เอ่อ...คุณเชิญให้ลงไปหาค่ะ"

   "หืม?" ก็เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าไม่ลงไปดีกว่า

   สาวใช้ไม่กล้าสบตากับผู้ที่อยู่อีกฟากหนึ่งประตู ขนาดเจ้านายของตัวเองที่ว่าน่ากลัวแล้วยังเทียบไม่ได้กับคนตรงหน้า ใบหน้าเห็นอยู่ไม่กี่วินาทีบอกได้คำเดียวว่าหล่อ แต่ก็ไม่น่าจดจ้อง

   มากกว่าความกลัว คือความเกรง

   "คุณให้เชิญลงไปค่ะ"

   "ข้างล่างน่ะเหรอ? คนอื่นยังไม่มา?"

   "เปล่าค่ะ มาครบแล้ว"

   ...แปลก

   ตอบรับการเชิญนั้นด้วยการบอกให้กลับไปทำหน้าที่ตามเดิม แบล็คเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกอีกครั้ง ตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเองด้วยความเคยชิน สิ่งที่ทางบ้านสอนมาตลอดคือเรื่องมารยาทและการแต่งกายให้เหมาะสม ถึงเขาเองจะมีคำถามกับคำว่ากาลเทศะอยู่เสมอแต่นั่นมันก็เป็นความเห็นที่เถียงกันไม่จบไม่สิ้น เลยยังต้องเดินทางสายกลางคือทำอะไรที่มันไม่ถึงกับสุดโต่งจนเกินไป

   คิดถูกที่วันนี้ใส่ขายาวมา น่าจะดูสุภาพสำหรับพวกคนแก่อยู่ เขาไม่เคยเจอญาติคนอื่นของพิชชานอกจากสองคนนั้น เลยทำได้แต่จินตนาการไปเองว่าคนอื่นก็คงเป็นพวกผู้ดีต้องเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว

   ถือว่าเลือกสถานที่สำหรับการพูดคุยได้ดีพอสมควร บนโต๊ะตัวใหญ่ในห้องทานอาหารวันนี้แน่นหนากว่าทุกครั้งที่มาเยือน เขายืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องยังไม่เปิดตัวเข้าไปข้างใน ประเมินสถานการณ์ข้างในด้วยสายตาว่ามันกำลังตึงเครียดในระดับไหน

   หัวโต๊ะนั่นไม่พ้นพิชชาอยู่แล้ว ส่วนที่ยืนอยู่ข้างกายคือชายในชุดสูทที่เห็นแล้วก็รู้ได้เลยว่าเป็นผู้จัดการมรดก ก็ทั้งแว่นกรอบเหลี่ยม ทรงผมเรียบแปล้ ท่าการยืนที่กลายเป็นแพทเทิร์น ช่วงไปฝึกงานมาก็เจอแต่แบบนี้เดินวนเวียนอยู่รอบตัวเต็มไปหมด

   สำหรับจำนวนญาติก็เหมาะกับการรวมญาติดี คนที่นั่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนแก่มีอายุ บางคนก็มีลูกหลานยืนอยู่ด้านข้าง เท่าที่เห็นเด็กหน้าละอ่อนคนเดียวที่ได้นั่งก็มีแต่พี่กาย จะว่าไปแล้วประชุมอย่างนี้ไม่ต้องเรียกภัสสร์ให้มาด้วยเหรอ หรือว่าพออายุยังไม่ครบยี่สิบเลยไม่จำเป็นต้องให้มารับรู้เรื่องพวกนี้

   สำหรับทิวากาลแล้วไม่เคยกังวลที่ต้องเดินเข้าไปเผชิญกับคนแปลกหน้า เขาถูกฝึกทั้งทางตรงแล้วก็ทางอ้อมให้รู้จักการวางตัวอยู่ในสังคมจอมปลอม เวลาไหนที่ควรจะยิ้มเป็นมิตร หรือว่าเวลาไหนที่ควรจะพาตัวเองออกจากบทสนทนา เขาเข้าใจคำว่ารักษาตัวรอดเป็นยอดดีอยู่แล้ว

   "สวัสดีครับ"

   เป็นการเปิดตัวที่ทำได้ดีพอสมควร สีดำเลือกที่จะเดินตรงเข้ามายืนข้างชายผมยาวให้เรียบร้อยถึงจะกล่าวคำทักทาย วางมือไว้บนไหล่ของพิชชาแทนการรายงานตัว สายตาของคนที่เหลือที่กำลังมองตรงมาเต็มไปด้วยความสงสัยจนปิดไม่มิด

   "ใครนะพิช?" หนึ่งในนั้นถามขึ้น

   "อยากแนะนำตัวเองไหมครับราชา" มือเย็นเฉียบของพิชชาที่แตะกลับวันนี้มันชื้นเกินปกติ ทิวากาลมองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีแปลก พยายามหาความหมายของสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในจนสุดท้ายแล้วก็ได้แต่ยอมแพ้ ในเวลาที่ต้องสวมหน้ากากของผู้เหนือกว่าชายคนนี้ก็ทำได้ดีไร้ที่ติ

   "ไม่ คุณบอกไปเลย"
   
   ทั้งไม่มีการส่งคำใบ้มาให้ล่วงหน้าแล้วยังไม่กล้าการันตีบรรยากาศโดยรวม แบล็คเลยคิดว่าการยืนเงียบอยู่ตรงนี้มันคงช่วยเซฟทั้งคู่ได้ดีที่สุด

   "นี่แบล็คครับ เป็นคนที่จะอยู่กับผมต่อจากนี้ไป"

   ยามที่ชื่อเล่นของตัวเองหลุดออกมาจากปากของอีกคนมันไม่คุ้นหูเอาเสียเลย

   "ทิวากาลครับ แบล็คเป็นชื่อเล่น"

   คิดไม่ออกว่าจะควรจะพูดอย่างอื่นต่อหรือไม่ เสียงฮือดังมาจากทุกพื้นที่ แบล็คปรับสีหน้าให้ดูไม่ตึงแต่ไม่ถึงกับแจ่มใส มองความวุ่นวายขนาดย่อมที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าแล้วอดหัวเราะในใจไม่ได้ เรื่องแค่นี้สำหรับบางคนมันก็ยังเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อยู่ดี

   อีกครู่ใหญ่พายุแห่งความวุ่นวายจึงสงบลง ระหว่างนั้นเขาก็ลอบสังเกตคนอื่นไปเรื่อย ทุกคนดูมีคำถามกับเรื่องที่เกิดขึ้น เว้นไว้คนเดียวก็คือชายอายุน้อยที่สุดบนโต๊ะ

   พี่กายผู้ไม่หันมาสบตาสักครั้ง

   "เอาใหม่นะพิช ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?"

   "ผมว่าเมื่อกี้ก็บอกชัดแล้วนะครับ" จากมุมนี้เขาไม่เห็นว่าระหว่างการพูดคุยใบหน้าของพิชชาจะสดใสเหมือนอย่างตอนที่คุยกับเขาหรือเปล่า เพราะเมื่อประกอบกับเสียงโทนเย็นอย่างนั้นแล้วมันบอกอะไรไม่ได้เลย "เอาเป็นว่าเรื่องที่ให้ทำรายการใหม่คงไม่ต้องทำแล้ว ที่เหลือก็รอให้เป็นกระบวนการทางศาล เรามาเข้าเรื่องถัดไปเลยดีกว่าไหมครับ"

   พอบอกว่าไม่ต้องทำรายการใหม่เขาก็สามารถแบ่งประเภทญาติของพิชชาได้ทันที คนที่พยักหน้าพึงพอใจมีแค่สองคน ส่วนที่เหลือนั้นมีบางส่วนที่ดูกระอักกระอ่วนใจแต่ไม่ยอมพูดออกไป และที่เหลือแสดงออกว่าไม่ปรารถนาที่จะได้ยินคำนั้น

   "พอดีเมื่อวันก่อนผมเจอเรื่องร้ายแรงนิดหน่อย"

   เข้าใจโดยพลันว่าพิชชาเรียกเขาลงมาทำไม ก็เรื่องถัดไปที่ว่าเขามีเอี่ยวด้วยเต็มๆ เลย

   "เรียกมาถามเลยได้คำตอบว่าชีวิตช่วงนี้ของผมคงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่"

   "นั่นเรียกไม่เท่าไหร่เหรอพิช?"

   ราชาไม่สนหรอกว่าการพูดทะลุขึ้นมากลางปล้องอย่างนั้นมันจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่นหรือไม่ ก็คนเหล่านั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขานี่

   "คำสั่งที่เอาให้เจ็บ...หรือว่าตายก็ไม่เป็นไรน่ะ"
   
   คำสารภาพจากคนบนจักรยานยนต์ยังตรึงอยู่ในส่วนของการเก็บบันทึก ใบหน้าหวาดกลัวราวกับกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าซาตานผู้พิพากษาชีวิตมันช่างสวยงามจนเกินคำบรรยาย ใบหน้าบวมช้ำจากการใช้กำลังเล็กน้อยให้รู้จักสถานะของตน ปืนแบบเก็บเสียงคู่ใจจ่ออยู่ตรงหน้าผากพร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเองในทุกขณะจิต

   เอาจริงแล้วอยากทำมากกว่านั้นอีก ถ้าไม่ติดว่าฝนใกล้จะตกแล้ว เขาไม่อยากจะเจอรถติดบนท้องถนนหลายชั่วโมงหรอกบอกเลย พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วถึงเดินกลับมายังรถของตัวเองอย่างสบายอารมณ์ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังระหว่างขับไปส่งถึงบ้าน

   นี่ยังใจดีไม่ถามว่าคนจ้างเป็นใครนะ

   ห้องเงียบลงไปถนัดตา คิดว่าหน้าที่ของตัวเองจบแล้วเลยปิดปากสนิท รอให้ผู้ดำเนินการประชุมได้ดำเนินการต่อไปเอง

   "ก็นั่นแหละครับ พอเจออย่างนี้เลยคิดว่าคงต้องมาคุยกันให้เข้าใจหน่อย"

   มันไม่ใช่การปรึกษา แต่คือการเตือน

   "ผมจะไม่ตามหาว่าใครเป็นคนทำ เพราะผมคิดว่าที่ผ่านมาตัวเองก็ไม่เคยทำอะไรให้พวกคุณน้าต้องเดือดร้อน และผมควรจะทำอย่างนั้นต่อไป"

   เป็นภาพตลกสิ้นดีที่ไม่มีใครกล้าขัดขึ้นมาระหว่างที่พิชชาพูดอยู่ ก็ถ้าลองรวมอายุของคนในห้องทั้งหมดมันมากกว่าคนที่กำลังเปล่งเสียงอยู่ไม่รู้กี่เท่า

   "ผมเลยตั้งใจจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าภายในเดือนหน้าผมจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้ สำหรับของข้างในคงอยู่ในรายการทรัพย์สินอยู่แล้ว พอเคลียร์หมดผมจะส่งคนมาทำลายที่นี่ทิ้งครับ"

   ปราสาททรายก็ต้องสลายไปกับกาลเวลา

   "หวังว่าหลังจากนี้ผมคงไม่ต้องเจอกับเรื่องไร้สาระอย่างนี้อีกแล้ว"

   เรื่องที่พิชชาไม่เคยเล่าหรือว่าปรึกษากับทิวากาล ใช้วิธีการเล่าสบายๆ ให้ฟังจนตายใจว่ามันก็เป็นเพียงการพูดเล่นธรรมดา และเมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็ได้เวลาเฉลยว่ามันไม่ใช่เพียงลมปากที่ออกมาอีกต่อไป

   ทิวากาลสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่าง สิ่งที่ชัดกว่าเสียงร้องตะโกนหรือว่าสีหน้าเกรี้ยวกราด บางสิ่งที่เขาไม่อาจนิยามออกมาให้เป็นรูปธรรมได้ เมื่อนั้นถึงเข้าใจว่าทำไมพิชชาถึงเรียกที่นี่ว่าแหล่งรวมวิญญาณร้าย ก็เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ 'มนุษย์' ควรจะกระทำสักนิด
   
   คำถามเกี่ยวกับเหตุผลของการตัดสินใจดังมาจากทุกทิศทาง สีดำไม่อยากจะบอกว่าการถามอะไรสักอย่างนั้นควรจะกลับไปตรวจดูตัวเองก่อนว่ามีข้อมูลเพียงพอสำหรับการตั้งข้อสงสัยหรือไม่ การถามที่ดีคือการถามหลังจากที่ได้เรียนรู้อะไรมาสักอย่างแล้วไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าไม่เคยสนใจอะไรสักอย่างแล้วก็ถามออกไปส่งๆ ยิ่งทำอย่างนั้นบ่อยครั้งมากเท่าไหร่คุณค่าในสายตาของคนอื่นมันก็น้อยลงมากเท่านั้น

   แสนโง่เขลา

   "ทั้งหมดที่จะแจ้งก็เท่านี้ ขอบคุณทุกคนที่มอบความรักให้คุณพ่อมาเสมอครับ"



   "จะเอากล่องนี้วางไว้ตรงไหน?"

   "นั่นพวกถ้วยชาม เอาไว้แถวหน้าห้องครัวก็ได้ครับ"   

   พิชชาปฏิบัติตามคำที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ ห้องที่เขาบอกว่ามันพร้อมย้ายออกอยู่เสมอใช้เวลาเก็บจนเรียบร้อยไม่ถึงครึ่งวัน เมื่อรวมกับของชิ้นอื่นที่คนกำลังย้ายบ้านบอกว่าซื้อมาด้วยเงินของตัวเองแล้วสองวันมันก็เพียงพอสำหรับการย้ายออก รถขนของคันใหญ่มีกล่องขนาดต่างๆ นอนอยู่ไม่ถึงครึ่งของพื้นที่ทั้งหมด คนขับยังตกใจเลยว่าบ้านหลังใหญ่อย่างนั้นทำไมของถึงได้น้อยเหลือเกิน

   'บ้าน' หลังใหม่ของพิชชาเป็นบ้านชั้นเดียวอย่างที่เคยบอกว่าสวย ตัวบ้านตกแต่งเอาไว้เรียบร้อยพร้อมต้อนรับเจ้านายคนใหม่ ทำเลเกือบอยู่กลางใจเมืองสะดวกต่อการเดินทางมากกว่าหลังเดิมหลายเท่านัก ทิวากาลโดดเรียนวิชาเลือกโดยฝากให้เพื่อนช่วยอัดเสียงให้ ส่วนตัวเองมาช่วยขนย้ายตั้งแต่เช้า และตอนนี้มันก็เหลือกล่องสุดท้ายแล้ว

   ด้านในแบ่งสัดส่วนเอาไว้อย่างดี ตอนที่คุยกับพนักงานจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์สามารถสรุปให้ตัวเองได้ว่าพิชชาไม่ได้ตัดสินใจปุบปับหลังจากเกิดเรื่อง แต่เป็นสิ่งที่วางแผนเอาไว้นานพอควรแล้ว ไม่พูดถึงราคาของบ้านเพราะเป็นอันรู้โดยทั่วไปว่ามันคงหลายหลัก เงินที่เอามาใช้เป็นส่วนของพิชชาทั้งหมดไม่ได้ไปแตะในส่วนของทรัพย์มรดก พอถามก็ง่ายๆ ว่าทำงานมาตั้งหลายปีจะไม่ให้มีเงินเก็บบ้างเลยหรือไง

   "แล้วยังขาดอะไรอีกบ้าง?"

   ถึงจะมีพวกเฟอร์นิเจอร์บ้างแล้วก็เถอะ สำหรับคนที่เพิ่งย้ายเข้ามามันยังมีของอีกหลายอย่างที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ต้องยอมรับด้วยว่าที่ผ่านมาพิชชาไม่เคยลงมือทำอะไรเอง ทุกอย่างถูกเตรียมเอาไว้พร้อมรอเพียงขยับปากสั่งออกมา

   "ลองลิสต์เอาไว้แล้วครับ ว่าจะค่อยๆ ไล่ซื้อไป"

   "ถ้าอย่างนั้นวันนี้ไปซื้อของจำเป็นในห้างก่อนแล้วกัน" อย่างเช่นพวกของใช้ในห้องน้ำ ห้องครัว แล้วก็อาหารติดตู้เย็นนิดหน่อย "คิดเอาไว้เลยแล้วกันว่าจะซื้ออะไรบ้าง"

   จัดวางของทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ยังดีตรงที่บริษัทเข้ามาทำความสะอาดเอาไว้แล้วเมื่อวาน เขาเลยเปิดประตูเข้ามาเจอกับบ้านสะอาดเอี่ยมไม่มีฝุ่นรบกวนใจ

   ระหว่างรอเจ้าของบ้านหยิบจับของออกมาใส่ไว้บนชั้น ทิวากาลก็เลี่ยงตัวไปยืนอยู่ตรงหน้าต่างไม้ประดับผ้าม่านลายสวย บ้านชั้นเดียวของพิชชาน่าอยู่ไม่น้อย นอกจากพื้นที่ด้านในแล้วข้างนอกยังมีสวนหย่อมขนาดกำลังดีอยู่ด้วย อาจดูโล่งอยู่เพราะไม่มีอะไรเลยนอกจากหญ้าปูพื้น คงร่มรื่นขึ้นถ้าเอาต้นไม้ใหญ่มาลงสักสองสามต้น ส่วนตรงมุมสุดติดรั้วก็ปลูกไม้พุ่มให้ขึ้นเป็นแนว ต้องเป็นไม้ดอกกลิ่นหอมเพราะมันจะได้พัดเข้ามาตอนกลางคืน

   ...นี่บ้านของใครกันแน่

   พอเข้ามาอยู่ในเมืองมันก็สะดวกกับการเลือกห้างสรรพสินค้าสำหรับการซื้อของ ทิวากาลปล่อยให้พิชชาคุมรถเข็นคันใหญ่เอง ส่วนตัวของเขาก็เดินมองสินค้าเรียงรายไปเรื่อย ถ้าผ่านของที่คิดว่าจำเป็นแต่ชายผมยาวไม่ได้หยิบก็จะถามออกไป

   "นี่คุณลิสต์มาแล้วแน่เหรอพิช"

   ก็ตั้งแต่เริ่มเดินมาของบางอย่างที่เรียกได้ว่าสำคัญสุดๆ พิชชายังไม่หยิบ

   "โธ่ คนเพิ่งปรับสภาพแวดล้อมก็ต้องการเวลาหน่อยไหมล่ะครับ" ว่าพลางคว้ากล่องซีเรียลแบบธัญพืชเอาไว้ในมือ ต่อด้วยถุงข้าวโอ๊ตที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล "ผมต้องกลับไปอ่านวิธีการใช้เครื่องซักผ้าด้วย ไม่งั้นต้องเน่าตายแหง"

   อาจจะรู้สึกไปเอง แบล็คคิดว่าตั้งแต่ก้าวแรกที่หลุดออกจากพันธนาการของบ้านหลังนั้นพิชชาดูสดใสขึ้นมาหลายช่วงตัว

   "เดี๋ยวผมกลับไปสอน"

   แน่นอนว่าการตัดสินใจแบบสุดโต่งอย่างนั้นไม่เป็นที่พอใจของญาติสักคน ไอ้การที่ย้ายออกมาทุกคนเห็นดีเห็นงามอยู่แล้ว พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทุบตึกใหญ่ด้วย

   คนใกล้ตั้งคำถาม

   ในขณะที่คนไกลรู้คำตอบ

   เมื่อมันไม่ได้ใช้งานตามจุดประสงค์ ทำลายมันทิ้งเสียมันอาจจะดีกว่าปล่อยให้มันร้างชีวิต

   "คุณว่าเย็นนี้เราทานอะไรกันดีครับ?"

   กว่าจะผ่านส่วนของใช้มาถึงส่วนของอาหารสดได้รถเข็นก็เต็มไปทั้งคัน จากที่เดินตัวเปล่าก็ต้องรับหน้าที่บังคับรถโครงเหล็กอีกคันหนึ่งไปด้วย

   "คนที่ต้องคิดน่ะคุณต่างหาก" มีอย่างที่ไหนเจ้าบ้านไม่คิดเมนู
   
   พอเข้าสู่โลกของอาหารพิชชาก็ดูกระฉับกระเฉงมากขึ้น ทั้งเนื้อสดหลายแบบรวมไปถึงอาหารแปรรูปอีกสองสามถุง ตอนแรกเกือบจะมีอาหารทะเลแล้วด้วยติดตรงที่ห้ามไว้ก่อน ตามมาด้วยเครื่องปรุงที่เขาได้แต่มองอีกคนกวาดลงมาใส่รถเข็นตาปริบๆ ก็เดินสามก้าวได้ของยัดลงมาหนึ่งชิ้นจะให้รู้สึกยังไง!

   ทำเหมือนเด็กเล็กที่ไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้ขนมเต็มกระเป๋า ต่อจากของสดแล้วก็ได้เวลาของขนมสารพัดอย่าง คนที่ดูไม่ค่อยชอบทานของหวานเปิดมิติลี้ลับของตัวเองจนในท้ายที่สุดแล้วแบล็คต้องรีบห้ามเอาไว้ ไม่ได้กลัวจ่ายไม่ไหว แต่กลัวว่าคนที่ต้องทำลายมันทิ้งจะเป็นเขาต่างหาก

   แม้จะไม่เคยไปเดินซื้อของอย่างนี้กับพิชชามาก่อนก็ต้องยอมรับว่ามันสนุกสนานไม่น้อย เขาไม่ค่อยชอบตอนไปกับเพื่อนหรือว่าน้องมากเท่าไหร่ รู้สึกรำคาญทุกครั้งที่ต้องขับรถเข็นหมุนวนไปมา ไม่เหมือนคราวนี้ที่มองด้านหลังของพิชชาไปเรื่อยจนรู้ตัวอีกทีก็เวลาจ่ายเงินแล้ว

   "ทั้งหมด...บาทค่ะ"

   เลขที่ออกมาจากปากของพนักงานเก็บเงินสูงจนได้ยินเสียงลูกค้ารายถัดไปอุทานออกมา ทิวากาลเลี่ยงตัวมาทำเก็บของลงรถเหล็กอีกครั้ง ใครที่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินก็จัดการไปเอง หลังจากนี้ยังต้องไปซื้อของที่อื่นอีกหน่อย เท่านั้นก็น่าจะพอสำหรับการเริ่มต้นในบ้านหลังใหม่

   รวมถึงอาจเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของพิชชาด้วย

   "อยากได้อะไรอีก?"

   "อืม...อยากไปดูพวกเสื้อผ้าให้ภัสนิดหน่อยครับ"

   ชื่อของเด็กผีที่ยังไม่รู้ว่าพี่ชายของตัวเองย้ายบ้านออกมาแล้วมันน่าหงุดหงิดใจเสมอ

   "ซื้อให้คราวที่แล้วยังไม่เห็นแกะ"

   "มันน่าจะไม่อยู่แล้วล่ะครับ เลยต้องซื้อใหม่"

   ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แล้วก็ไม่อยากขัดใจจนปล่อยให้ผู้ชายในชุดเสื้อฝ้ายไร้เซนต์ทางแฟชั่นเดินเข้าออกในร้านเสื้อผ้าหลายยี่ห้อ ได้กลับมาก็หลายตัว คราวนี้เขามีเกณฑ์ในการเลือกแล้วว่าเสื้อผ้าแบบไหนเหมาะสำหรับภัสมากกว่ากัน เด็กที่หมดอาลัยตายอยากอย่างนั้นต้องจับใส่เสื้อสีสดใสให้เข็ด

   แยกกับพิชชาตรงชั้นสาม คนหนึ่งอยากจะไปจัดการเรื่องเครื่องใช้ภายในบ้านส่วนเขาอยากจะไปดูของสะสมที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในร้านประจำ แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในร้านก็ดันเจอกับอีกคนเสียก่อน

   "เบื่อทุ่งเหรอ?"

   เวลาเย็นของวันธรรมดา ไม่น่าจะเจอผู้ชายคนนี้อยู่ที่นี่

   "นิดหน่อย"

   ผู้ชายผมสีอ่อนที่เจอกี่ครั้งก็ไม่คิดจะทำผมสีเข้มขึ้นบ้าง การเจอเวลาอยู่ในสถานที่นี้ไม่น่าห่วงเท่าว่ามี 'ใคร' มาด้วยหรือเปล่า เพราะนั่นหมายความว่าคำที่เขาบอกให้รอมันไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป

   "มากับพิชชาล่ะสิ"

   "รู้อยู่แล้วจะถามทำไม?"

   ช่วงไหล่ยกขึ้นแบบไม่สนใจอะไร "เพื่อความแน่ใจ"

   "จะต้องแน่ใจอะไรอีกเวล"

   กับคนอื่นแบล็คไม่มีทางกระชากเสียงใส่อย่างนี้แน่ ในเมื่อเวลาเคยเจอเขาในโหมดย่ำแย่ที่สุดมาแล้วเรื่องแค่นี้คงไม่ต้องปิดแล้วล่ะ ให้มันรู้กันไปเลยว่าถ้าอยากจะได้ครึ่งชีวิตของเขาไปต้องเจออะไรอีกเยอะ เขาพร้อมจะเป็นพี่ชายขี้หวงอยู่เสมอเลยล่ะ

   "ไม่มี"

   "งั้นก็แยกย้าย"

   "ซินอยู่ชั้นสี่ แล้วเดี๋ยวเราจะไปกินอาหารกันต่อ"

   "แล้ว...?"

   "ก็ถ้ายังไม่อยากให้เจอแนะนำให้เดินอยู่ชั้นอื่น"

   "ทีหลังหัดส่งไลน์มาบอกก่อน"

   เปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น เพิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ครายการแจ้งเตือน และมันไม่มีการแจ้งมาว่าจะพาน้องสาวของเขาออกมาเที่ยวในเมืองอย่างนี้ "ผมไม่ได้ว่าอะไร แค่ช่วยบอกหน่อยก็เท่านั้น"

   มุมปากข้างหนึ่งของเวลาเหยียดขึ้น "ทั้งที่คุณไม่เคยบอกอะไรน้องตัวเองเลยเนี่ยนะ"

   ณธามรู้ดีอยู่เสมอว่าสายสัมพันธ์ของฝาแฝดคู่นี้มันไม่อาจวัดโดยใช้มาตรที่มีอยู่ได้ ความเป็นครึ่งชีวิตคือการยอมให้ตัวเองต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้โดยไม่ปริปากบอกอีกฝ่าย อย่างเขาเองก็ต้องใช้วิธีแกล้งล่อให้ซินหลุดพูดออกมาเอง ไม่อย่างนั้นถามไปเถอะชาติหน้าก็ไม่บอก

   วันนั้นไปรับรัตติกาลที่คณะอย่างที่ทำเสมอ ส่วนต่างก็คือระหว่างทางออกจากมหาวิทยาลัยทั้งคู่ดันเห็นทิวากาลเดินเคียงข้างไปกับชายผมยาว เขาเองนึกว่ามันเป็นเรื่องที่น้องสาวฝาแฝดรู้อยู่แล้วเลยพูดขึ้นมาลอยๆ ว่าพิชชานี่เหมาะกับทิวากาลดี คนที่ไม่น่าเข้าใกล้สองคนที่มาอยู่ด้วยกัน

   เลยได้รู้ว่าขนาดครึ่งชีวิตยังไม่รู้ชื่อของชายคนนั้น

   "ผมจะบอก...ต่อเมื่อทุกอย่างมันเข้าที่แล้ว"

   "แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะ?"

   "คุณกำลังไล่จี้ผมอยู่นะ"

   "ผมกำลังเตือนต่างหาก" เวลาคิดว่าไม่มีช่วงไหนที่เหมาะกับการคุยเท่าตอนนี้ "ผมไม่รู้ว่าผู้ชายที่ชื่อว่าพิชชาเป็นใคร แต่เราเห็นตรงกันว่าคนอย่างนั้นห่างเอาไว้น่าจะดีกว่า"

   รอยยิ้มอาบยาพิษ เสียงใสที่เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ นัยน์ตาที่ไม่อาจระบุสีได้เต็มไปด้วยความลึกลับ

   "สภาพของคนบนที่สูงถ้าตกลงมามันคงดูไม่จืดเท่าไหร่"

   ราชากับบัลลังก์ตัวสูงของเขา

   "ว่าอย่างนั้นไหมล่ะ?"


***
ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.14 [11.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-01-2017 21:32:19

   ข้าวของที่ซื้อมามันมากเสียจนเลือกไม่ถูกว่าจะเริ่มตรงไหน กว่าจะเอาของทั้งหมดลงจากรถได้ก็กินเวลาไปหลายนาที ยังไม่รวมอีกหลายๆ นาทีที่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับการแยกประเภทของใช้อีก

   "อันนี้ของคุณใช่ไหมครับราชา?"

   ถุงสีแปลกกว่าใบอื่นในมือของพิชชาขยับไปมาตามแรงโบก เขาพยักหน้าให้พลางบอก "ใช่ แยกเอาไว้บนโต๊ะเลย"

   ของเล่นชนิดโปรดของแบล็คคือโมเดลหลากหลายแบบ เขาชอบเล่นตั้งแต่เลโก้ พลาสติกตัวเล็กไปถึงงานเหล็กขนาดใหญ่ ถ้าได้ลองเข้าไปข้างในห้องนอนแล้วจะเห็นกับคอลเล็กชั่นจำนวนมากวางเรียงกันอยู่ในตู้ จะมีแค่บางชิ้นที่ไม่ได้อยู่กับตัวเช่นโมเดลที่ให้น้องชายไปตอนวันเกิด

   คราวนี้เลยได้จิ๊กซอว์ขนาดพันตัวมา ดูจากลายแล้วยากอยู่เหมือนกัน

   ยกถุงสุดท้ายเข้ามาในบ้าน ขยับมือเข้าออกไล่เลือดให้เดินทางได้สะดวกขึ้น ก็ต้องแบกถุงพลาสติกที่รัดมืออย่างนี้หลายใบเข้ามันก็เข้าไปขวางทางการเคลื่อนที่ของเส้นเลือดได้อยู่เหมือนกัน

   "งั้นจะทำกับข้าวเลยไหม นี่มันก็ทุ่มแล้ว" ไปถึงห้างบ่ายโมงออกมาตอนหกโมงกว่า สถิติใหม่สำหรับคนที่ไม่ชอบสถานที่อำนวยความสะดวกครบครันเลยล่ะ

   "ยังครับ เราต้องทำอย่างอื่นก่อน"

   "ผมไม่ขับรถพาคุณออกไปข้างนอกแล้วแน่"

   คราวนี้พิชชาหัวเราะออกมาเต็มเสียง "ไปแค่หน้าบ้านเองครับ"

   "ผมไม่ได้ลืมอะไรนะ" แน่ใจในข้อนั้น หันมามองตั้งหลายรอบว่าตัวเองเผลอลืมหยิบถุงไหนเข้าไปหรือเปล่า ไม่ใช่อะไรหรอก เขาขี้เกียจพาไปซื้อใหม่

   "เอาน่า ไปกับผมหน่อยนะครับ"

   พิชชาเดินนำไปแบบที่ไม่คิดจะหันมาเร่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าต่อให้ไม่ได้จูงมือพาเดินร่างกายกลับขยับตามแบบไม่คิดจะสร้างระบบปฏิเสธ จนกระทั่งถึงหน้าประตูทางเข้าไม้บานสวยแกะสลักสายเถาองุ่นเอาไว้ตรงส่วนบน ชายผมยาวผู้ก้าวพ้นธรณีประตูไปก็หันหลังกลับมาสั่ง

   "คุณอยู่ตรงนี้นะครับ"

   "หา..."

   ยังไม่ทันได้ท้วงอะไรประตูก็ปิดลงเสียแล้ว ยกมือขึ้นนวดขมับของตัวเองได้แค่สองสามทีประตูบานเดิมก็เปิดออกอีกครั้ง

   "กลับมาแล้วครับ"

   ประโยคนั้นคือคำที่พิชชาใช้เสมอเมื่อยืนอยู่หน้าประตู

   "แล้วผมควรตอบว่าอะไร?"

   "แล้วแต่คุณเลยครับ"

   กำลังคิดว่าถ้าตอบไปว่ารู้แล้วมันจะดูแข็งกระด้างเกินไปหรือเปล่า

   แล้วถ้าบอกไปว่าแล้วจะออกไปอีกเมื่อไหร่นั่นมันก็ไม่เหมาะกับสถานการณ์

   คำที่ไม่เคยคิดจะใช้หลายต่อหลายคำปรากฏขึ้นมาในความคิด และทุกคำเขาก็มีข้อโต้แย้งจนต้องเลือกทางสุดท้าย คำที่เขาเคยได้ยินแค่ในการ์ตูนญี่ปุ่นเท่านั้นแหละ

   "ยินดีต้อนรับกลับมาครับ"

   แค่หนึ่งประโยค...ทำไมถึงอบอุ่นได้ขนาดนี้นะ



   "บอกแล้วว่าให้เริ่มจากขอบ ทำไมไม่เชื่อ"

   หลังจากได้ลิ้มรสอาหารชื่อแปลกจนครบแล้วมันก็ถึงเวลาสำหรับผ่อนคลายอารมณ์ ของเล่นที่เพิ่งซื้อมาไม่ถึงวันเทกระจายจนเต็มชานระเบียงด้านหลังของห้องครัว กลิ่นของตะไคร้ลอยจางรอบตัวสำหรับกันยุงและแมลงชนิดอื่น บ้านในเมืองไม่ค่อยมีลมพัดผ่านมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับอบอ้าว

   จิ๊กซอว์ขนาดหนึ่งพันชิ้นยังกระจัดกระจายอยู่ตรงทางด้านขวาของตัวเอง ส่วนที่อยู่ตรงหน้าของเขาในเวลานี้ทุกชิ้นจะมีด้านหนึ่งเป็นมุมเรียบบ่งบอกว่าเป็นส่วนกรอบของรูป หลักการพื้นฐานสำหรับคนทั่วไปในการเริ่มต่อภาพ

   ก็เพราะว่าพิชชาไม่ใช่คนทั่วไปเลยไม่ยอมทำตามที่บอกไง

   รูปที่เลือกมาคราวนี้ตั้งใจให้เข้ากับบรรยากาศการย้ายบ้านเสียหน่อย รูปของบ้านหลังเล็กกลางสวนตามสไตล์คุ้นตา รูปวาดของศิลปินมีชื่อในสมัยก่อน คนขายบอกว่าเป็นของแท้ขายในพิพิธภัณฑ์เลยโดนโก่งราคามาสูงกว่าทุกครั้ง นี่ขนาดลูกค้าประจำยังทำได้ลง น่าเศร้าชะมัด

   "ก็ผมอยากต่อส่วนบ้านก่อนนี่ครับ" ตัวต่อส่วนที่พิชชาหยิบออกมาทั้งหมดคือบริเวณบ้านสีครีมหลังสวย "พอคุณต่อขอบเสร็จผมจะได้เอาบ้านลงไปต่อ"

   "วันนี้ขอบจะได้หรือเปล่าเถอะ"
   
   ทิวากาลไม่ชอบแบบที่มีตัวเลขระบุตำแหน่งเอาไว้ข้างหลัง ก็ความสนุกมันอยู่ที่การค่อยๆ ตามหาไปทีละตัวไม่ใช่หรือไง เล่นเขียนเฉลยไว้ข้างหลังอย่างนั้นแล้วมันจะได้ใช้ความคิดเมื่อไหร่ ไม่ต่างอะไรกับการเขียนตอบข้อสอบได้เพราะจำตัวเลขในเฉลยได้ คือตอบถูกทั้งที่ไม่รู้วิธีทำนั่นแหละ

   เขาเลยชอบเล่นพวกของฝึกสมองพวกนี้ ทั้งเพลิดเพลินและได้ท้าทายตัวเองในเวลาเดียวกัน

   ปริศนายิ่งยากมากแค่ไหน มันก็ควรค่ากับการคลายมันออก

   "ได้สิครับ ไม่เชื่อผมเหรอ"

   โดยเฉพาะกับปริศนาที่ชื่อว่าพิชชา

   "ก็คุณทำอย่างนี้ให้ผมเชื่ออะไร"

   เครื่องดื่มหลังมื้ออาหารก็ยังคงเป็นน้ำชาไม่เปลี่ยนไป กล่องชายี่ห้อแปลกไม่เคยเห็นบนชั้นวางคือเหตุผลที่เลือกมันมาด้วย พอดื่มเข้าไปก็ได้ข้อสรุปว่าอยู่ในระดับใช้ได้ ไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่ได้ดีอะไร
   
   หมายถึงพิชชาบอกมาอย่างนั้น ส่วนเขาไม่เห็นว่ามันจะต่างกับยี่ห้ออื่นตรงไหน

   "ทำอย่างนี้?"

   มองชายผมยาวกับมวยผมสูงฝีมือตัวเอง พิชชาก้มหน้าอยู่กับชิ้นส่วนตัวต่อตรงหน้าไม่คิดจะมองเขาสักนิดเดียว ส่วนของบ้านที่แยกออกเป็นส่วนเล็กเริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว

   "ก็ชอบเล่าเรื่องที่รู้ออกมาปนกับเรื่องอื่น"

   "ก็เรื่องมันต่อกันพอดีนี่ครับ" พอทางเดินของเสียงไม่ได้ส่งตรงมาถึงเขาเลยได้ยินแบบอู้อี้ ทิวากาลทำปากยื่นใส่การอธิบายนั้นระหว่างที่ผู้รู้ยังพูดต่อไปไม่หยุด "ไม่อย่างนั้นผมก็ขี้เกียจเล่าเหมือนกัน"

   "ขี้เกียจอะไร เสาร์นี้ยังจะไปทำงานอยู่เลยไม่ใช่เหรอ"

   "เป็นคนตกงานแล้วไงครับ ต้องขยันหน่อยล่ะ"

   พิชชาไม่รับทรัพย์มรดกสักชิ้น เขาบอกเอาไว้แล้วว่านั่นเป็นของพ่อ

   "ถ้างั้นศุกร์ผมนอนนี่ เสาร์จะได้ไม่ต้องขับอ้อม"

   "นี่แอบเนียนขอนอนบ้านหรือเปล่าครับ?"

   "ผมเหมือนคนอย่างนั้นเหรอ"

   ทำกรอบได้แค่สองด้านสมองก็เริ่มประท้วง ทิวากาลหยิบกล่องบุหรี่ข้างตัวมาเตรียมหาตัวช่วยบรรเทา ยังไม่ทันจะตามหาไฟแช็คชิ้นโปรดเสียงสารเคมีทำปฏิกิริยากันก็เกิดขึ้นเสียก่อน

   ยื่นหน้าเข้าไปหาเปลวไฟตรงปลายไม้แท่งเล็ก เมื่อสารพิษชุดแรกเข้าไปทักทายถึงผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย

   "คุณไม่เหมือนคนที่เกิดยุคนี้เลยพิชชา"

   จะมีวัยรุ่นกี่คนใช้ไม้ขีดไฟในการจุดอย่างนี้ล่ะถามจริง

   "ผมเด็กกว่าคุณอีกนะครับราชา"

   "ก็แค่อายุไหมล่ะ"

   ยื่นแท่งเสพติดชิดกับริมฝีปากของพิชชา เป็นวิธีการลดจำนวนบุหรี่ที่สูบในแต่ละวันได้ดีเหมือนกัน ช่วงนี้เขาเริ่มคิดว่าตัวเองควรจะจำกัดจำนวนมวนในการสูบแบบจริงจังได้แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอาจจะตายเพราะเหตุหายใจไม่ทันก็เป็นได้

   รอบตัวบ้านมีแต่ความเงียบสงัด มีบ้างได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากที่ไกลๆ พิชชาเลือกซื้อบ้านหลังเกือบในสุดของซอย บอกว่าที่จริงก็อยากได้ข้างในสุดเหมือนกันแต่ว่าหาไม่เจอ เลยต้องยอมเลือกที่นี่อย่างเสียไม่ได้ ทิวากาลกลับไปใช้สมาธิกับการเชื่อมชิ้นส่วนเล็กๆ ให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ในระหว่างนั้นพิชชาเองก็ยังคงง่วนอยู่กับการสร้างบ้านขึ้นมาอีกครั้ง

   จากกลิ่นของตะไคร้ถูกกลบด้วยยาเส้นหลายชนิด ผลัดกันสูบคนละทีจนแสงไฟริบหรี่สีส้มไม่มีอีกแล้ว พิชชายังถือแท่งควันทำลายสุขภาพค้างเอาไว้จนเขาต้องเอ่ยปากถาม

   "ไม่รู้จะทิ้งที่ไหนเหรอ เดี๋ยวผมเอาเข้าไปเก็บให้ก็ได้"

   "เปล่าครับ พอดีนึกอะไรขึ้นมาได้เฉยๆ"

   "เรื่องไหน?"

   มีตั้งหลายเรื่องวนอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเรื่องทางบ้านที่เขายังไม่วางใจ ถึงจะไม่มีใครกล้าตามในเชิงนั้นแล้วก็ยังเห็นอยู่ดีว่ามีลูกน้องรายเดิมวนเวียนอยู่รอบตัวไม่ยอมไปไหน อย่างภัสสร์เองไม่ได้เจอตัวจริงแต่ครูก็ยังโทรมาอีกครั้งเรื่องความประพฤติที่ไม่ดีขึ้นเท่าไหร่

   "กำลังคิดว่าเราสูบอย่างนี้มันเหมือนจูบทางอ้อมเลย"

   "งั้นเราก็จูบกันมาหลายครั้งแล้วสิ"

   ก็ช่วงหลังมานี้สองคนกับบุหรี่หนึ่งตัวตลอด

   "เราควรจะมีรีแอคชั่นกับมันมากกว่านี้ไหมครับราชา"

   หัวเราะขำขันให้การถามแบบนั้น "ไม่นะ ผมว่าอย่างนี้มันก็ดีอยู่แล้ว"

   ไม่เคยตั้งคำถามว่ามันเป็นสิ่งที่ควรปล่อยให้ดำเนินต่อไปหรือเปล่า ไม่คิดถึงเรื่องความถูกต้องหรือว่าศีลธรรม ทุกอย่างมันจบลงตรงที่ว่าคนหนึ่งต้องการแล้วอีกคนหนึ่งก็สนองกลับไปอย่างไม่มีเงื่อนไข

   หลักการพื้นฐานของสัญญาคือเรื่องเจตนาต้องตรงกัน

   "ก็นั่นสิครับ"

   "ทำไม คิดอะไรอยู่ล่ะพิช"

   "อืม...ก็คิดแล้วก็ให้คำตอบตัวเองได้ในเวลาเดียวกันน่ะครับ"

   "ว่ามา"

   วางกระดาษแข็งชิ้นเล็กลงกับพื้น หันไปประสานตากับชายผมยาวผู้เป็นเจ้าของเลือดในสัญญา พิชชาวางบุหรี่ในมือลงกับพื้น ชันเข่าขึ้นมาโดยเอามือทั้งสองข้างกอดขาเอาไว้ เอียงคอเล็กน้อยจนลูกผมตามช่วงกรอบหน้าเอียงไปในทิศทางเดียวกัน

   "บางทีคุณก็ดูไกลจังเลยครับ"

   ในความคิดของทิวากาลพิชชาคือหมอกสีดำ มีอยู่จริงแต่จับต้องไม่ได้

   "พอผมคิดอย่างนั้นแล้วมันก็จะมีเสียงต่อว่า 'ก็แน่สิ นั่นมันราชานี่นา' อะไรอย่างนี้"

   ส่วนในความคิดของพิชชา ทิวากาลก็ยังเป็นราชาบนบัลลังก์แสนห่างไกล

   "แต่ตอนนี้ผมก็อยู่กับคุณแล้วไม่ใช่เหรอ มันไม่ใกล้ขึ้นบ้างเลยหรือไง?"

   "ไม่ครับ"

   สุดท้ายแล้วคนที่ประกาศตนท้าทาย ก็ยังยืนอยู่บนพื้นดินเช่นเดิม "คุณยังอยู่บนนั้น...ไม่เคยเปลี่ยน"

   "ผมนึกว่าคุณดึงผมลงมาแล้วเสียอีก"

   "ก็คุณไม่ยอมให้ผมเช็คเมทสักทีนี่ครับ"

   กระดานที่ยังคงมีราชาอยู่ตรงนั้น แม้รอบข้างจะเต็มไปด้วยศัตรูทุกทิศทาง

   "แล้ว...ถ้าผมทำอย่างนี้" นึกอะไรขึ้นมาได้เลยขยับตัวเข้าไปหา ไม่สนใจว่ามันจะทำลายตัวต่อที่เริ่มเกิดเป็นโครงของตัวเองแล้วหรือไม่ พิชชายังนั่งหลังตรงอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มจางแบบเดิม นำไปสู่การขยับริมฝีปกของตัวเองขึ้นตาม "ผมจะใกล้คุณบ้างขึ้นหรือยัง"

   กลัวว่าหมอกตรงหน้าจะหายไปจนต้องยื่นมือออกไปแตะช่วงข้างแก้มเอาไว้ ไล้ลงมาจนถึงช่วงคางให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่ด้วยตามันมีอยู่จริง

   ใต้ใบหน้าคุ้นเคย สีดำไม่อาจตอบได้ว่ามันกำลังบอกอะไร

   "ไม่เลยครับ"

   "เหรอ” มันเป็นความสุขกับการได้เห็นความแตกต่างเล็กน้อยบนใบหน้านั้น ทิวากาลชอบที่มันเป็นอย่างนี้ ชอบที่ได้เห็นพิชชานิ่งเรียบอยู่เช่นเดิม

   “...งั้นต้องใกล้กว่านี้"

   เคลื่อนมือไปจับส่วนท้ายทอยเอาไว้ ใต้เรือนผมสวยมีเพียงสร้อยคอเส้นบางประดับ กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวของคนสองคนผสมกันจนเกิดเป็นสัมผัสใหม่ เครื่องกล่อมประสาทชั้นดีจนไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดื่มมามัวเมา ใบหน้าที่เคยใกล้คราวนี้ชิดมากกว่าเดิม

   ลมหายใจสอดประสานกันจนเป็นจังหวะเดียว ราชาหัวเราะในลำคอยามที่เห็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา

   “คราวนี้ผมไม่หยุดแล้วนะ”

   “แล้วผมบอกให้หยุดตอนไหนครับ”

   ให้ตาย

   พิชชาก็ยังเป็นพิชชาอยู่ดี



   "กลับมาแล้ว"

   สิ่งที่ทำซ้ำกันบ่อยครั้งเข้าจะกลายเป็นความเคยชิน ที่พักหลังเลิกเรียนมันเปลี่ยนจากคอนโดเป็น 'บ้าน' ไปเสียแล้ว ทิวากาลเปิดประตูค้างเอาไว้ในขณะที่ตัวเองถอดรองเท้าเก็บไว้บนชั้น มันคือการรอการตอบรับบางอย่างซึ่งกลายเป็นจารีตประเพณีไปเสียแล้ว

   "ยินดีต้อนรับกลับมาครับ"

   การทักทายเฉพาะตัว ใครที่อยู่ข้างในจะเป็นคนตอบรับเสมอ พิชชาอยู่ในชุดอยู่บ้านตัวเก่งเพราะอยู่ในช่วงของการหยุดอ่านหนังสือ ส่วนแบล็คนั้นเป็นคณะลูกรักของมหาวิทยาลัยที่มีสอบแค่ปลายภาค เลยต้องรับสภาพมาเรียนอยู่กลุ่มเดียวจากนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย

   "ผมแวะซื้อดอกไม้มา ตรงไหนยังพอมีที่ลงบ้าง"

   แน่นอนว่าการเดินทางไกลทุกวันอย่างนี้ไม่ได้สะดวกสบายอะไร จากคนที่สามารถตื่นก่อนเวลาเรียนสิบห้านาทีก็ยังเข้าห้องทันกลายเป็นว่าต้องตื่นก่อนหลายชั่วโมง ยิ่งถ้าวันไหนตารางเรียนไม่ตรงกันแล้วนั่นแย่เข้าไปใหญ่ ความน่าเบื่อที่สุดคือมีวันหนึ่งพิชชาเรียนตั้งแต่แปดโมงส่วนเขานั้นเริ่มคาบแรกและคาบเดียวตอนบ่าย รู้สึกว่าเป็นเด็กรักเรียนขึ้นมาทันตาเลย

   มันไม่สะดวกกาย

   แต่ว่าสบายใจ

   "ได้หมดแหละครับ ว่าแต่ซื้อดอกอะไรมา"

   "กุหลาบ"

   เพิงขายต้นไม้ข้างทางไม่เคยอยู่ในสายตา จนกระทั่งนักกฎหมายต้องกลายร่างมาเป็นคนสวนทุกครั้งที่เห็นสมาชิกสีเขียวต้นใหม่อยู่ในรั้วบ้าน มีบางต้นถอนมาจากบ้านหลังเดิม จะเป็นพวกไม้หอมที่นักพฤกษศาสตร์ชื่อพิชชาให้ความรู้ว่าในปัจจุบันมันแทบไม่มีต้นไม้ไร้สารพิษอย่างนี้แล้ว

   "หืม?"

   พอเห็นพิชชาทำหน้าไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่เลยต้องอธิบายต่อ "ผมยังเสกกุหลาบสีดำไม่ได้ เอาสีอื่นไปก่อนแล้วกัน"

   ไม่ได้ถามคนขายว่ามันจะออกดอกสีอะไร ทำตัวแตกต่างจากคนอื่นที่มักจะซื้อต้นไม้กำลังออกดอก เขาขอต้นที่ยังไม่มีดอกติด แม้จะได้รับเสียงทักท้วงว่าถ้าเลี้ยงผิดวิธีมันอาจจะไม่มีดอกตลอดปีก็ยังยืนยันจะเอาต้นลักษณะอย่างที่บอกไป

   ผู้ชายผมยาวพยักหน้ารับทราบ หมุนตัวกลับเข้าไปข้างในส่วนของห้องครัวต่อ วิถีชีวิตหนึ่งอย่างที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงคือการทานอาหารทำเอง โต๊ะตัวเล็กกว่าที่เคยประดับในห้องทานอาหารหลายช่วงตัว พิชชาเคยพูดขำๆ ว่าเก็บกดมานานขอปลดปล่อยหน่อย

   แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ทิวากาลเปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะเพื่อให้สะดวกต่อการลุยพื้นหญ้า มือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติกบรรจุต้นไม้ขนาดเล็กเอาไว้ อีกข้างก็มีพลั่วเตรียมพร้อมสำหรับการลงดิน ผ่านการทดลองมาหลายงานจนลงมือได้ทันที เลือกพื้นที่เป็นริมรั้วฝั่งที่ติดกับระเบียงบ้าน มองการณ์ไกลไปถึงช่วงที่มันจะโตกว่านี้ ถ้าเดินออกมาแล้วเจอดอกไม้มันก็น่าจะสวยอยู่

   ใครคนที่ถนัดแต่วางแผนทำลายต้องมารักษ์โลกอย่างนี้ก็แปลกดี

   ใช้เวลาไม่นานผลงานชิ้นใหม่ก็ปรากฏ ยังไม่ทันได้ชมเชยผลงานของตัวเองโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงริมระเบียงก็แผดเสียงลั่น หยิบมันมาดูชื่อของผู้โทรเข้า พอเห็นว่าเป็นน้องชายคนเล็กเลยต้องเตรียมใจเอาไว้เนิ่นๆ

   (อยู่ไหน)

   ยังไม่ทันได้อ้าปาก เสียงตามสายก็มาถึงก่อนแล้ว

   "ไม่ได้อยู่หอ"

   (แล้วอยู่ไหน?)

   ไม่ชอบมีเรื่องปิดบังก็เพราะอย่างนี้ เวลาโดนไล่บี้ลงมาทีก็ต้องหาทางหนีวุ่นวาย "บ้าน"

   ที่นี่คือบ้านสำหรับทิวากาลเช่นกัน

   (กูไม่เห็นมึงแถวหอมาตั้งหลายวันแล้วนะ)

   "มึงไม่เคยสนใจไง กูเพิ่งอยู่เมื่อวาน"

   เรื่องจริงทั้งนั้นแหละที่พูดไป ถ้าเป็นก่อนจะมีที่หนึ่งจะเจอกันค่อนข้างบ่อยเพราะห้องอยู่ติดกัน ทำอะไรก็ต้องพาน้องชายผู้เกลียดการเข้าสังคมไปไหนมาไหนด้วย แต่พอมีผู้ชายคนนั้นเข้ามาถ้าไม่ใช่เรื่องที่โดนทิ้งให้อยู่คนเดียวแล้วล่ะก็ไม่เคยมีสักครั้งที่โรมันจะทักมาก่อน

   (วันนี้นิชมาหา)

   "...แล้ว?"

   ชื่อของเพื่อนที่เป็นปีศาจในคราบมนุษย์น่ากังวลมากยิ่งกว่าคราวไหน

   (มันถามกูว่ามึงไปไหน)

   "ก็ตอบไปสิ"

   (เหอะ กูตอบได้ไหมล่ะ แค่หน้ายังไม่ค่อยเจอ)

   "กูปล่อยมึงเดินเองแล้วน้องโรม"

   สิ่งที่ทิวากาลรู้ว่าวันหนึ่งจำเป็นต้องทำ แต่เมื่อต้องอยู่กับมันแล้วก็ยังทำไม่ค่อยได้เท่าไหร่
   
   ขณะที่ยังใช้หูฟังเสียงของน้องชายตัวเองอยู่ตัวก็เดินวนไปมาอยู่บนพื้นหญ้า คิดว่าคุยกันให้เรียบร้อยก่อนค่อยกลับเข้าไปน่าจะดีที่สุด สิ่งที่โรมกำลังทำอยู่ตอนนี้เขาไม่ชอบหรอกนะ เพียงแต่เขาไม่มีสิทธิที่จะสั่งให้น้องเลิกทำ เรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้ มันตั้งบนความรับผิดชอบของตัวเองทั้งหมด เขาซ่อนเอาไว้ไม่ดีเอง

   เพราะอย่างนั้นถ้ามีคนมีค้นเจอก็ไม่น่าแปลกใจ

   (มันคนละเรื่องกันแบล็ค)

   "งั้นเราควรจะคุยกันเรื่องไหน?"

   (มึงกำลังอยู่กับใคร)

   ตลอดชีวิตของทิวากาลไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องได้ยินคำนี้จากปากของคนเป็นน้อง ระหว่างที่ยังคิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรปลายสายก็พูดต่อ

   (นิชเล่าให้กูฟังแล้ว)

   ไม่ร้ายกาจก็ไม่ใช่ปีศาจ!

   "เล่าให้กูฟังก่อน แล้วตรงไหนที่มันเติมเองกูจะบอก"

   (มันบอกว่ามึงกำลังมีคนอื่น)

   "พิชชา ชื่อพิชชา" ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นจริง ตอนนี้เขากำลังถูกบีบให้เล่าเรื่อง ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ออกมาคือสิ่งที่เขาอยากพูดออกไปเอง "คนที่ไปเล่นเทนนิสด้วย"

   บอกไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องมีปัญหาตามมาอีก จบคำเล่าแบล็คไม่ได้ยินเสียงของโรมโวยวายกลับมาอย่างที่ชอบทำ พี่น้องต่างสายเลือดปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของตนเอง จนเสียงถอนหายใจยาวส่งมาจากอีกฝั่งนั่นคือการบอกว่าบทสนทนาต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้น

   (เขา...จะมาเป็นราชินีอย่างนั้นใช่ไหม)

   "กูจะไม่ใช้คำนั้น"
   
   ตำแหน่งบนกระดานของพิชชาไม่มีความแน่นอน เขาอาจเป็นได้ทุกอย่าง เป็นได้แม้กระทั่งผู้คุมกระดาน

   (แล้วมึงจะใช้คำว่าอะไร)

   "คนที่กูต้องชดใช้"

   ...ชั่วชีวิต

   ส่วนท้ายเป็นสิ่งที่ทิวากาลไม่ได้พูดออกไป

   (กูไม่เข้าใจ)

   "ใครก็ไม่เข้าใจ" รวมถึงตัวของเขาเอง "ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูวางก่อนนะ"

   ถ้ารอให้น้องได้ทักท้วงวันนี้ก็คงไม่จบ เขากดวางสายแทบจะในทันทีที่พูดจบ เปลี่ยนโหมดของเครื่องให้หยุดรับทุกสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เสีย ตอนนี้บอกเลยว่ายังไม่พร้อมตอบคำถามอะไรทั้งนั้น ส่วนนิชขอคิดแผนแก้แค้นก่อน บอกเลยว่างานนี้ต้องมีสงครามเกิดขึ้นบ้าง

   พออยู่คนเดียวเสียงถอนหายใจที่ออกมามันเลยดังกว่าปกติ
   
   ทิวากาลไม่เคยหนีอย่างนี้ ทุกครั้งเขาสามารถเผชิญหน้ากับทุกปัญหาที่เข้ามาได้อย่างดีเยี่ยม นั่นก็เพราะว่าเขารู้ว่าต้นเหตุคืออะไร และวิธีการแก้ไขนั้นมันเป็นอย่างไร ไม่เหมือนกับคราวนี้ที่เขารู้สาเหตุ ...แต่ไม่เจอวิธีแก้

   "ลงไว้ตรงไหนครับราชา"

   ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปเพราะ 'พิชชา' คนเดียว

   "ตรงระเบียง ข้าวเสร็จแล้วเหรอ"

   ดึงร่างสูงเกือบเท่าตัวเองเข้ามาชิด จรดจมูกลงไปตรงกลุ่มผมอย่างที่ชอบทำเสมอ นอกจากจูบที่มีบ้างบางครั้งแล้วมันไม่เคยมีการสัมผัสร่างกายเกินเลยไปกว่านั้น ส่วนกลางของกระดาษคำตอบที่ยังว่างอยู่นั่นแหละคือวิธีแก้ที่หายไป เขายังไม่รู้ว่าเพราะอะไรพิชชาถึงทำเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมา

   สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้เลยเรียกว่าทำตัวย้อนแย้งก็ได้มั้ง

   "เรียบร้อยครับ เห็นว่าไม่เข้ามาสักทีเลยมาตาม"

   บ้านหลังเล็กเดินไปมาแป๊บเดียวก็ครบทุกส่วน ไม่เหมือนกับบ้างหลังนั้นที่เดินครึ่งวันถึงจะเก็บรายละเอียดได้คร่าวๆ เขาโอบไหล่คนข้างกายเอาไว้ให้เดินเข้าไปพร้อมกัน ผ่านส่วนของห้องนั่งเล่นที่เล็กลงไปกว่าเดิมเมื่อมีเปียโนไม้ขนาดมาตรฐานเสริมเข้ามา วันที่กลับบ้านมาเจอกับเครื่องสายชนิดนี้บอกเลยว่าอึ้งไปหลายวินาที

   เพื่อกันเรื่องฝุ่นแล้วก็เป็นการตกแต่งไปในตัวพิชชาเลยเอาผ้าลูกไม้สีขาวขนาดยาวมาคลุมเอาไว้ตรงด้านบน เห็นแล้วคิดว่ามันจืดเกินไปหน่อยเลยหยิบเอาดอกกุหลาบสีดำในกล่องแก้วมาวางเอาไว้ควบคู่ ทำเป็นหูทวนลมตอนที่ได้ยินเจ้าของบ้านแซวเรื่องวิธีการเก็บรักษาอย่างดี

   บนโต๊ะอาหารมีข้าวสองจานกับกับข้าวสองอย่างซึ่งเป็นตามปกติ น้ำเปล่าไม่เคยลอยดอกมะลิอย่างที่เคยเป็น เงื่อนไขหลายอย่างบอกเขาว่าเหตุผลใดของพวกนี้ถึงเลือนหายไปกับกาลเวลา ก็มันทั้งเรื่องมากแล้วก็ใช้วิธีทำนานอย่างนี้ไงล่ะ

   "เอากระดานหมากรุกมาไว้ที่นี่ไหม?"

   ของที่วางทิ้งเอาไว้อย่างนั้นก็ไม่มีค่า แม้เขาจะยังคิดหาทางออกสำหรับสถานการณ์นั้นไม่ได้เลยก็ตาม

   "มันเป็นของคุณครับ"

   "คุณแค่ฝากผมไว้"

   "เมื่อเช้าภัสโทรมาหาด้วยครับ" พอไม่อยากเถียงก็เปลี่ยนเรื่องประจำ ระหว่างมื้ออาหารไม่ได้มีข้อบังคับเรื่องห้ามคุยกัน ก็อยู่กันสองคนถ้าให้มีแต่เสียงช้อนส้อมกระทบกันมันก็เหงาไปหน่อย "เห็นว่าจะมาเยี่ยม"

   "ไม่ย้ายมาอยู่นี่เลยล่ะ"

   บ้านชั้นเดียวมีสองห้องนอน ตอนนี้ใช้เพียงแค่หนึ่ง เขาอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ถ้าอยู่ก็ใช้ห้องเดียวกับเจ้าของบ้าน

   "จะอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันแหละ"

   "ที่นี่มีคุณ"

   "แต่ที่นี่ไม่มี 'หัวใจ' ครับ"

   เงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพวาดที่ประดับเอาไว้ตรงทางเชื่อมไปยังห้องนั่งเล่นพร้อมคำสั้นๆ ด้านล่างช่วยให้กระจ่างว่าเพราะอะไรมันถึงเป็นสิ่งตกแต่งไม่กี่ชิ้นในบ้านหลังนี้

   Home is where the heart is

   บ้านคือที่อยู่ของหัวใจ

   วันนี้เวรคนล้างจานคือพิชชา พอจบมื้อเย็นแล้วทิวากาลเลยเดินตัวปลิวมาอยู่ในห้องนั่งเล่นแทน ลองเปิดดูตารางแข่งเทนนิสในโทรศัพท์ดูว่าเวลานี้จะมีการแข่งคู่ไหนน่าสนใจบ้าง

   เสียงกระดิ่งดึงทุกความสนใจไปจากเกมการแข่งขันบนหน้าจอ

   "คุณนัดใครไว้หรือเปล่าพิช" ตะโกนถามเข้าไปเข้าใน ได้ยินคำปฏิเสธลอยกลับมาเกือบในทันที

   พอนึกไปถึงน้องชายของเจ้าของบ้านเลยเดาไปเองว่าอาจจะมาเยี่ยมอย่างที่บอก เด็กอย่างนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้วด้วย คิดอยากจะทำอะไรก็ทำไม่สนว่าจะทำให้ใครเดือนร้อนมากแค่ไหน สาวเท้าออกไปจนถึงหน้าประตูรั้ว เห็นว่ามีรถไม่คุ้นจอดต่อจากอีโค่คาร์ของตัวเองก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ คงให้เพื่อนในกลุ่มพวกนั้นมาส่งล่ะมั้ง

   "ว่าไงเด..."

   ...

   .

   มันไม่ใช่เรื่องจริง

   ทิวากาลได้แต่เงียบ เมื่อสิ่งที่คิดไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏต่อสายตา

   อีกฟากของรั้วไม้บานใหญ่ มีหญิงวัยกลางคนยืนตัวตรงสง่าอยู่ ผมยาวสีดำขลับมัดตึงเข้ากับชุดผ้าไหมสีเข้ม ใบหน้าแต้มเครื่องสำอางนั้นคือสิ่งที่ทิวากาลไม่คิดว่าจะได้เห็นใกล้ขนาดนี้ ช่วงนัยน์ตาสีเข้มที่สบกลับมาย้อนคำเล่าหนึ่งให้กลับเข้ามาในความทรงจำ

   ตรงตานี่เหมือนที่สุด ...แข็งไม่ยอมคนแต่ก็อ่อนโยนได้

   "...คุณแม่"

   หากคำที่อยากเอ่ยออกมาที่สุดกลับออกมาจากปากของพิชชา


***
   นี่แหละค่ะเหตุผลของการมาครบทั้งตอนได้เร็วอย่างนี้ ไม่อยากปล่อยให้มันค้างคาจนปั่นจนกว่าจะครบตอน (หัวเราะ) จะรีบพาตอนต่อไปมาให้เร็วที่สุดค่ะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.14 [11.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 11-01-2017 23:19:32

โอ๊ย สนุกมาก ยิ่งอ่านยิ่งอยากได้ตอนต่อไป
ลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน
ยังจับต้นชนปลายไม่ได้
เกินคาดเดา...
บรรดาประชาชนก็ห่วงแบล็คเหลือเกิน
พิชอันตรายขนาดนั้นจริงหรือ

อยากรู้มากว่าอะไรเป็นอะไร
จะเป็นอย่างไรต่อไป...

แต่ก็หวังว่าจะจบดี ไม่จากกัน

ขอบคุณนะคะ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-1 [18.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 18-01-2017 20:28:49
CH.15-1

   ตั้งแต่จำความได้พื้นที่หนึ่งเดียวในบ้านที่ห้ามใครเข้าไปก่อนได้รับอนุญาตคือห้องทำงานของคนเป็นพ่อ

   "แบล็ค...ถ้าพ่อรู้ล่ะ"

   "ก็อย่าไปบอกสิ"

   ตอนเด็กก็ปฏิบัติตามอย่างดีไม่เคยตั้งคำถามกับคำสั่ง จนเข้าวัยอยากรู้อยากลองสุดท้ายก็วางแผนแอบเข้าไปตอนที่คุณพ่อออกงานต่างจังหวัด ห้องทำงานจัดแต่งไว้ในโทนสะอาดตาไม่ต่างจากห้องอื่นในบ้าน เดินจนทั่วห้องแล้วก็เกิดความสงสัยว่าห้องที่ไม่มีอะไรเก็บซ่อนเอาไว้ทำไมถึงไม่อยากให้เข้ามา

   "แต่คุณพินิจไม่ให้เข้ามา"

   "ไม่มีอะไรหรอกน่า"

   ช่วงมัธยมต้นมันคือวัยรุ่นเลือดร้อน โดยเฉพาะกับเรื่องต้องห้ามบางอย่าง เป็นเหมือนกันหมดนั่นแหละพอโดนสั่งให้ทำอะไรสักอย่างก็อยากจะหาคำตอบว่าเพราะเหตุผลคืออะไร มีข้อสนับสนุนกี่ข้อมารองรับ

   ก็อยากรู้ว่าทำไมถึงห้ามเข้ามาข้างใน

   เลยต้องพิสูจน์สักหน่อย

   "ออกไปข้างนอกกัน" รัตติกาลไม่อยากเข้ามาข้างในนี้ ถ้าคุณพ่อห้ามเข้ามาลูกที่ดีควรจะทำตามนั้น "เดี๋ยวมีคนเอาไปฟ้องล่ะยุ่ง"

   "ตอนนี้ทั้งบ้านมีแค่เราสองคนไวท์"

   ไม่มีทั้งพ่อ แล้วน้องชายอีกคนก็ออกไปเรียนเสริมวันเสาร์ คนงานจะไม่เข้ามาป้วนเปี้ยนข้างในถ้าไม่ใช่เวลาทำงาน ช่วงเวลาเหมาะที่สุดสำหรับการเข้ามาสำรวจพื้นที่ต้องห้าม

   ส่วนของชั้นวางหนังสือแน่นขนัด ทั้งที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและการออกแบบ กำลังภายในจีนที่พ่อบอกว่ามันแฝงอะไรเอาไว้เยอะ หนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเดินหมาก ลากยาวไปถึงหนังสือรักไม่เข้ากับสมุดเล่มอื่นใด รู้สึกว่าได้เห็นพ่อในอีกมุมเหมือนกัน

   ขยับเท้าไปเรื่อยจนถึงส่วนของหน้าต่างบานใหญ่ จากมุมนี้มองออกไปจะไม่เจออะไรน่าสนใจ เขาเดินแค่ไม่กี่นาทีก็สำรวจได้ทั่วทั้งห้องแล้ว ส่วนน้องสาวที่ชวนมาด้วยก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องแบบเดิมไม่ยอมขยับไปไหน เห็นว่าว่างอยู่เลยชวนมาด้วย

   ถึงจะคิดอยู่แล้วว่าไม่น่าจะให้ความร่วมมือเท่าไหร่ก็เถอะ

   มาจบตรงโต๊ะทำงานไม้สักตัวใหญ่ ถูกใจตั้งแต่เห็นครั้งแรก ไม้สลักลงน้ำยาเป็นมันเลื่อม บนโต๊ะก็เหมือนกับส่วนอื่นที่สะอาดไม่มีของวางรก จะมีก็แต่กรอบรูปสองสามชิ้นวางซ้อนกันเอาไว้ อันแรกคือรูปของทารกสองคนในวัยขวบกว่า แล้วถัดจากนั้นถึงเป็นรูปรวมของพี่น้องทั้งสี่คน ส่วนอีกรูปนั้นคว่ำหน้าเอาไว้

   รูปอะไร?

   ใช้วิธีหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ติดมือมาด้วยคลุมมันเอาไว้ก่อนแล้วค่อยยกมันขึ้น เลิกคิ้วขึ้นสูงกับสิ่งที่ตัวเองเห็น

   ตอนแรกคิดว่าคงเป็นรูปสำคัญบางอย่าง แปลกใจตรงที่กรอบรูปทำจากอลูมิเนียมงานดีไม่ถูกใช้สำหรับการใส่รูปภาพ ของข้างในนั้นคือกระดาษแผ่นซีดที่มีคำหนึ่งเขียนไว้ ส่วนถัดออกไปคือดอกไม้แห้งสีน้ำตาลเข้มจนเดาไม่ออกว่ามันคือดอกอะไร

   รัก

   นั่นคือคำเดียวบนนั้น

   "ไวท์...มานี่หน่อย"

   สิ่งที่เห็นมันประหลาดจนต้องเรียกฝาแฝดมาหา ห้องไร้อากาศระบายกลับอบอุ่นขึ้นมาหลายระดับเมื่อได้เห็นมัน ทิวากาลไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึก เขาถึงต้องเรียกอีกครึ่งชีวิตของตัวเองมาช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐาน

   "...?"

   น้องสาวทำท่าอิดออดแต่สุดท้ายก็ยอมเดินมา หล่อนมองตามแฝดของตัวเอง คำเดียวสั้นๆ ที่ไม่รู้ใช้ในบริบทไหนลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

   ด้วยรัก

   หรือ

   ต้องรัก

   "รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม..."  สิ่งที่สะท้อนกลับมาจากกระจกใสคือช่วงนัยน์ตาสองคู่ของชายหญิงกำลังจ้องมองมันไม่ละลด โครงสร้างไม่มีส่วนไหนคล้ายกันจนไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองมีสายเลือดเดียวกัน ไม่เหมือน...แม้กระทั่งกับบิดาของตนเอง "ว่ามันหมายถึงอะไร"

   มือสองข้างจับกันเอาไว้ไม่รู้ตัว ไออุ่นที่ให้กันเมื่อเทียบกับหนึ่งคำนั้นไม่ได้เลย

   “อืม”



   บนนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเก้าโมงครึ่ง แน่นอนว่าถ้าเป็นวันเรียนปกติแล้วคงกำลังเรียนวิชาภาษาไทยอยู่ กลายเป็นว่าตอนนี้ทิวากาลยังนั่งอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องนอนของตัวเอง

   "เปิดมาเลยน้องโรม"

   ได้ยินเสียงเคาะประตูเลยตะโกนกลับไป หันไปเห็นตอนใบหน้าเล็กโผล่มาให้เห็นเต็มตาพอดี โรมันทำหน้ามีพิรุธบางอย่างแถมยังมองซ้ายขวาตามหาคนพึ่งพิงอย่างที่ทำประจำ ก็ปกติแล้วจะมาหลบอยู่หลังเขาไง งานนี้ไม่มีใครคอยปกป้องแล้วก็ต้องฉายเดี่ยว

   "รู้ได้ไงว่าเป็นกู?"

   "เพราะไม่มีใครในบ้านเดินเสียงดังแบบมึงแล้วไง"

   ไม่ถึงกับปึงปังอะไรเหรอ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วมันก็มากกว่า "มีอะไร?"

   "ข้าวเช้า ออกไปกินข้างนอก"

   "คุณพินิจ?" จากวันนั้นคำว่า 'พ่อ' ไม่เคยออกจากปากของทิวากาลถ้าไม่มั่นใจว่าตรงนั้นปลอดภัยพอ "ไวท์ไม่น่าจะออกหรอก เดี๋ยวอยู่บ้านเป็นเพื่อน"

   เอาน้องฝาแฝดมาอ้าง สำหรับเขาแล้วน้องสาวโตพอที่จะเข้าใจเรื่องหลายๆ อย่างจนไม่ต้องกังวล ถึงอย่างนั้นเพื่อความมั่นใจก็ไม่ควรประมาท แบล็คอยากจะผ่านวันนี้ไปโดยที่ไม่มีเรื่องอะไรมารบกวนใจ

   "ไวท์ก็ไป"

   "เหรอ" เรื่องน่าแปลกใจ น้องที่เกือบเป็นโรคติดบ้านยอมออกไปข้างนอกด้วย พ่อเคยบังคับยังไม่ยอมทำตาม แล้ววันนี้ผีอะไรเข้าสิงเลยยอมไป "อีกสิบห้านาที"

   รอจนประตูปิดลงสนิทจึงลุกออกจากเตียงของตัวเอง ลูกทุกคนได้ห้องนอนแยกต่างหากเมื่อถึงเวลาสมควร ห้องของทิวากาลไม่ค่อยมีของเยอะเหมือนกับน้องคนเล็ก อาจมีตู้เก็บของมากกว่าหน่อยเพราะเขาชอบเก็บพวกโมเดลรูปแบบต่างๆ นอกจากนั้นมันก็ไม่มีอะไรน่าสนแล้ว

   ไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า ปกติวันนี้มีไฟลท์บังคับเรื่องเสื้ออยู่นิดหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าน้องสาวของเขาไม่มีทางทำอะไรอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงเขาจะไม่ทำอีกคนมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

   พอมองว่ามันไม่สำคัญ เราก็จะไม่ใส่ใจไปเอง

   "จะไปทำบัตรประชาชนกันวันไหนดีล่ะ?"

   "โหย คนแก่"

   บนโต๊ะที่มีผู้ใหญ่หนึ่งคนกับเด็กสามคนกำลังนั่งรออาหารอยู่ เรื่องใช้คั่นระหว่างรอคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า วันครบรอบการลืมตาตื่นของฝาแฝดที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกคนโตของครอบครัว

   "เดี๋ยวตัวเองก็ต้องทำบ้างแล้วไหมล่ะ"

   "ก็อีกตั้งปีกว่า" เด็กน้อยผู้เป็นน้องเล็กสุดทำตัวเหมือนเป็นผู้ชนะเต็มประดา จริงอยู่ว่าโรมันนั้นอายุห่างจากเขาเป็นปี เพราะงั้นขณะที่ทิวากาลกับรัตติกาลกำลังจะเปลี่ยนคำนำหน้าแล้วอีกคนก็ยังอยู่กับคำเดิมไปอีกนาน

   "เอาเถอะ มีความสุขก็ทำไป"

   ไม่เคยคิดจะเถียงกลับไปให้ชนะเหมือนเพื่อนบางคน ต่อให้หยิบเหตุผลอะไรขึ้นมาอ้างถ้าโรมหันไปขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวคนเดียวแล้วมันก็จบอยู่ดี

   "คงเป็นเสาร์หลังวันเกิดครับ" ปีนี้วันครบรอบของทั้งคู่เป็นวันพุธ ซึ่งไม่สามารถปลีกตัวออกไปทำได้อยู่แล้ว "คุณพินิจติดอะไรหรือเปล่า ผมไปกับไวท์เองก็ได้"

   "อืม...ขอไปเช็คก่อนแล้วกัน แต่ตอนนี้ไม่มีอะไร"

   เก็บเอาไว้เป็นข้อมูลให้ทั้งกับตัวเองแล้วก็น้องสาว ไม่คิดมากอะไรอยู่แล้วถ้าต้องไปจัดการเรื่องทั้งหมดเอง คนเป็นพ่องานยุ่งอยู่เสมอแหละ ยังไงตอนที่ไปก็ต้องไปทั้งคู่อยู่แล้ว ไม่เหงาอะไร หรือถ้าวันนั้นน้องไม่มีใครดูแลก็ต้องกระเตงไปด้วยอีก ไม่อยากปล่อยให้เด็กไม่รู้จักโตอย่างนั้นไปไหนมาไหนคนเดียว

   มองไปรอบร้านอาหารจีนขึ้นชื่อที่ห่างจากบ้านไม่ไกล ดังจากความยาวนานของร้านที่เปิดเมื่อเกือบครั้งศตวรรษที่แล้วมาบวกกับความสดของอาหารที่รักษาคุณภาพเอาไว้ได้เสมอ ถ้าคิดไม่ออกว่าจะทานอะไรดีก็มาจบอยู่ที่นี่หลายครั้ง เขาไม่เคยเบื่อที่จะต้องทานอะไรซ้ำๆ หรือพูดในอีกแง่ก็คือเป็นคนมองการทานอาหารเพื่อต่อลมหายใจไปอีกมื้อมากกว่าจะมาสนว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย

   ลูกค้าเกือบทั้งร้านใส่เสื้อสีเดียวกัน จนโต๊ะของเขากลายเป็นจุดเด่นไปโดยปริยาย คุณพินิจนั้นยังตามเทรนด์อยู่ ทั้งเขาแล้วก็น้องสาวใส่เสื้อสีดำ ส่วนน้องโรมใส่เสื้อสดสีอื่นที่ใส่บ่อยจนกลายเป็นซีด ทิวากาลเข้าถึงวิธีการอยู่ในสังคมอย่างสงบสุขมานานแล้ว ก็แค่เลิกสนใจเท่านั้นทุกอย่างก็อยู่ในความควบคุมอย่างที่เขาต้องการ

   เลิกมองมันแล้วก้มหน้าอยู่กับหนังสือเล่มเดิม ช่วงนี้ไม่ค่อยมีหนังสือน่าสนใจออกใหม่จนต้องรื้อเอาของเก่ามาอ่านซ้ำอีกรอบ อย่างตอนนี้เขากำลังอ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอังกฤษช่วงที่มีการเปลี่ยนศาสนาอยู่ เขาชอบที่จะตามหาสิ่งที่อยู่ตรงก้นบึ้งของจิตใจว่ามันคืออะไร

   มันเป็นวันที่ดีสำหรับหลายๆ คน

   และมันก็เป็นวันที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับหลายคนเช่นกัน

   หันไปมองน้องสาวอยู่บ่อยครั้ง ห่วงเหลือเกินว่าคนที่มีความผิดติดค้างในใจจะคิดมากยิ่งกว่าเดิม พ่อเขาก็แปลกดี น่าจะรู้ดีที่สุดว่าลูกแต่ละคนไม่ชอบวันนี้แค่ไหน ยังกึ่งบังคับให้ออกมาด้วยจนได้ รัตติกาลไม่ใช่คนอ่อนแอ เรียกว่าเข้มแข็งกว่าเขาอีกก็ได้แหละ สุดท้ายแล้วหน้าที่ของคนเป็นพี่มันก็ยังบอกให้ต้อง 'ดูแลน้อง' เหมือนเดิม สายใยที่มองไม่เห็นกำลังบอกให้รู้ว่าใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นไม่ได้ว่างเปล่าตามเหมือนอย่างที่ใครเข้าใจ

   "อะ ของขวัญที่ออกมากับพ่อ"

   รถตู้คันใหญ่มีไว้สำหรับบรรจุลูกหลายชีวิต ถุงกระดาษสีน้ำตาลอ่อนไม่มีลวดลายใดประดับเอาไว้สองถุงถูกส่งมาจากข้างหน้า ทิวากาลถือมันไว้พลางถามกลับ

   "แล้วทำไมมีแค่สองล่ะครับ?" ก็ตอนนี้มีกันสามคน

   "ของขวัญวันเกิดล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นตอนวันเกิดก็ไม่ยอมรับกัน"

   วันเกิดของทิวาราตรีไม่เคยมีความสำคัญ นี่เป็นปีที่สามหรือสี่แล้วก็ไม่รู้ที่ทั้งคู่ของดงานวันเกิด ไม่รับของขวัญจากใครทั้งสิ้น มันเริ่มมาจากความคิดเล็กน้อยที่ลุกลามจนกลายเป็นความไม่เข้าใจ พอถามใครไปว่าทำไมถึงต้องจัดงานวันเกิดแล้วไม่ได้คำตอบเข้าท่าเลยเลิกจัดมันเลย ทำเหมือนกับว่ามันเป็นวันธรรมดาหนึ่งวันเท่านั้นเอง

   "...ขอบคุณครับ"

   เมื่อปฏิเสธไปก็คงไม่มีประโยชน์ เขาเลยส่งอีกถุงไปยังเบาะหลังสุดที่มีหญิงสาวยึดเอาไว้ทั้งแถว เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเลยเปิดดูตรงนั้นว่าของข้างในคืออะไร ต่อจากถุงหิ้วแล้วมันเป็นกล่องกระดาษแข็งไร้ลายเช่นเดียวกัน น้ำหนักมากเสียจนลอบแอบมองผู้ให้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คนเป็นพ่อไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าลูกทั้งสองแสดงปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร จนทิวากาลตัดสินใจเปิดมันออกโดยมีเสียงของน้องโรมตามมา

   "น้ำหอม?"

   สิ่งที่อยู่ข้างในคือขวดเครื่องหอมทรงสวยขนาดเหมาะมือ ไม่มีสกรีนติดเอาไว้ว่าเป็นของแบรนด์ใด ลองถือไว้ในมือส่วนศีรษะหันกลับไปมองด้านหลังสุดว่าหล่อนเปิดดูบ้างหรือยัง รัตติกาลยังวางถุงเอาไว้ข้างตัว สายตามองออกไปด้านนอกรถไม่สนใจสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย

   ใต้ความเรียบเฉยนั้นเก็บทุกอย่างเอาไว้อย่างแนบเนียน

   ตรวจสอบดูสภาพโดยรอบตามความคุ้นชิน คาดไม่ถึงว่าของขวัญในปีนี้จะเป็นสิ่งนี้ เพราะเด็กชั้นมัธยมสามที่กำลังจะเปลี่ยนคำนำหน้าในอีกไม่กี่สัปดาห์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้สักหน่อย ให้เป็นพวกของเบสิคอย่างอื่นยังพอเข้าใจได้มากกว่านี้เยอะ

   ทดสอบกลิ่นด้วยการฉีดลงตรงท้องแขน แรกสุดสัมผัสได้แต่ความหวานจนเลี่ยน จนกลิ่นมันจางลงถึงกลายเป็นความผ่อนคลาย

   แปลก

   ทำไมหัวใจของทิวากาลถึงเต้นเร็วขึ้นอย่างนี้นะ

   เครื่องหอมไม่คุ้นเคยพาสีดำย้อนกลับไปยังบางช่วงของความทรงจำ ส่วนที่เลือนรางจนไม่อาจแยกได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงหรือว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองจินตนาการไปไหล ในชั่ววูบหนึ่งทิวากาลคิดว่าตัวเองรู้จักกลิ่นนี้มาก่อน และอีกฟากหนึ่งกำลังค้านว่าไม่รู้จักมัน

   หรือว่า...

   "คุณพินิจ" เรียกชื่อพ่อของตัวเอง ถามในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป "วันนี้วันแม่ใช่ไหมครับ"

   ปลายทางเงียบไปพักหนึ่ง การตอบรับนั้นเบาเสียเหลือเกิน "อืม"

   "ขอบคุณครับ"

   พูดคำนั้นออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ส่งไปถึงใครอีกคน


 
   "รัตติกาลไม่มาเรียน ผมเลยมาแทน"

   ทิวากาลยืนประจันหน้ากับครูประจำชั้นนิ่งๆ ไม่ได้คุกคามอะไร ก็แค่น้องสาวโดนเรียกมาพบแล้วไม่อยู่ เพราะงั้นคนเป็นพี่ฝาแฝดเลยมาแทนก็เท่านั้นเอง

   "ไม่เป็นไร จะใครก็เหมือนกัน"

   "มีอะไรเหรอครับ?"

   แกล้งทำเป็นถามออกไปทั้งที่เห็นอยู่เต็มตาว่ามีกระดาษเจ้าปัญหาอยู่บนโต๊ะทำงานของครู กระดาษที่แจกไปตั้งแต่สองสัปดาห์ที่แล้วให้กรอกข้อมูลและรายละเอียดส่วนตัวสำหรับทะเบียนจบการศึกษาในชั้นมัธยมปลาย ข้อมูลบางส่วนที่เว้นว่างไว้เสมอคงเป็นสาเหตุที่ถูกเรียกมา

   "กรอกข้อมูลไม่ครบ เหลือตรงชื่อแม่" มันน่าตลกดีที่กระดาษสองแผ่นของพี่น้องเว้นว่างเอาไว้ตรงที่เดียวกัน "ถ้าไม่ว่างตอนเย็นค่อยเอามาให้ใหม่ก็ได้"

   "ผมกรอกครบแล้วครับ"

   "ไม่ครบ นี่ไงว่างอยู่"

   "ครบแล้วครับ"

   ยืนยันคำตอบสุดท้ายของตัวเองกลับไป คุมเสียงให้ไม่ออกอาการจนเกินไป เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะจบชั้นมัธยมไปโดยไม่มีปัญหาอะไรอีก ขี้เกียจไปตามแก้ความเข้าใจผิดต่อ อีกไม่นานเท่าไหร่จะหลุดออกจากกรงนี้ไปอยู่ในอีกกรงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแล้ว

   "นี่ไงยังไม่ครบ" ครูชี้ไปตรงส่วนของคำว่า 'ชื่อมารดา' ในแผ่นกรอก "ทั้งสองแผ่นเลย"

   "ผมไม่มีแม่ครับ"

   รับรู้ได้ว่าบรรยากาศรอบตัวมันเงียบลงไปหนึ่งระดับ ทิวากาลพูดคำนั้นออกมาด้วยเสียงเรียบคล้ายการเลียนแบบน้องสาวของตัวเอง ก็ดีเหมือนกันที่เขาเป็นคนมาเอง ขืนให้ไวท์มาเย็นนี้ก็คงเถียงกันไม่จบ ไม่โทษครูเพราะการกรอกข้อมูลพวกนี้ครั้งสุดท้ายก็ตอนเข้ามาใหม่ๆ มีพ่อเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดจนไม่ต้องเผชิญกับคำถามนี้

   หลังจากที่เจอมาเป็นร้อยๆ ครั้งก่อนหน้านั้น

   "เธอเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ไม่ได้ทิวากาล"

   คนพูดอาจไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังคิดมากจนต้องซ่อนมือที่กำไว้แน่นของตัวเองเอาไว้

   "ผมว่าให้คุณพ่อมาจัดการดีกว่า" คุยมากกว่านี้คงไม่รู้เรื่อง แล้วเขาก็ไม่อยากจะทำตัวไม่ดีใส่ครูบาอาจารย์ด้วย "ไม่ทราบว่าครูว่างตอนไหนบ้างครับ"

   "นี่ค..."

   "ไว้นัดคุณพินิจให้นะครับ"

   รู้ว่าครูจะไม่ยอมจบ เพราะงั้นจบเองดีกว่า สีดำยกมือไหว้รวดเร็วแล้วเดินจากพื้นที่ห้องพักครูกลับมายังห้องเรียนของตัวเอง คาบภาษาอังกฤษกลายเป็นคาบว่างเพราะว่าเด็กหายไปเตรียมตัวสอบระดับประเทศมากกว่าครึ่ง ส่วนกลุ่มเขานั้นมาเรียนครบเพราะว่าไม่มีใครจำเป็นต้องใช้คะแนนตรงนั้นในการสอบเข้า

   "บุหรี่ไหมมึง"

   "ยุ่ง" ปรามคนปากพล่อยอย่างเน็ทเอาไว้ด้วยคำเดียว ขี้เกียจฟังเสียงบ่นยาวเหยียดเลยไม่อยากให้น้องชายคนเล็กได้ยิน "แล้วนิชไปไหน?"

   "ไปคุยกับห้องอื่น เรื่องฟอร์มวงตอนวันจบ"

   "อ้อ"

   "ล่ะโดนเรื่องเดิมอีกอะดิ กูบอกแล้วให้มึงเขียนหมายเหตุไว้"

   เป็นเพื่อนกันมาสิบสองปีได้ โดนเรียกไปคุยก็เดาได้เลยว่ามีแค่ไม่กี่เรื่อง

   "ให้พ่อเคลียร์เอง เหนื่อยจะพูด"

   "เหนื่อยหน่อยนะมึง"

   อือออตอบรับพลางนั่งลงกับเก้าอี้ของตัวเอง ก้มหน้าลงไปหาหนังสือใต้ลิ้นชัก ซื้อมานานแล้วแต่เพิ่งรื้อเจอ เอามาอ่านก่อนที่จะต้องไปจมอยู่กับกองหนังสือติวสอบหลังจบชีวิตการเป็นเด็กมัธยมเต็มตัว เขาล่ะเกลียดระบบการศึกษาเมืองไทย จะไปเมืองนอกมันก็ได้แหละถ้าไม่ติดน้องอีกสามคนที่ต้องดูแล พี่ชายคนโตไม่มีทางจะปล่อยให้คลาดสายตาไปจนกว่าจะเจอคนมาดูแลต่อเด็ดขาด

   จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเรียนต่อคณะไหน ไม่ยอมไปสอบตรงเหมือนอย่างใครเขาแล้วไปรอเสี่ยงดวงกับการแอดมิชชั่นอย่างเดียว คิดในอีกแง่คือน้องทั้งคู่ต้องใช้วิธีเดียวกันในการยื่นเข้ามหาวิทยาลัย ให้ที่บ้านได้ดีใจรอบเดียวเลยแล้วกัน

   "แล้วไวท์เป็นไงบ้างอะ?"

   "เมื่อเช้าปกติ" ตอบแบบที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ "คิดว่ากลับไปก็ยังปกติ"
   
   หมายถึงก็คงไม่นอนเป็นปกติ ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไรถึงเงียบยิ่งกว่าเดิมอีก

   "เอาลัจไปด้วยดิ เผื่อจะช่วยไรได้บ้าง"

   "รายนั้นไม่ว่างหรอก" ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบไปวัดระดับสำหรับเรียนต่อ เรื่องที่เขาบังเอิญรู้แต่จะไม่บอกใคร "ต้มกินได้ก็ทำไปแล้ว"

   "แล้วต้องปล่อยไปงี้เหรอ"

   นัทธิเคยเจอรัตติกาลในรูปแบบของคนเงียบมาตลอด ไม่ใช่ในแบบของการหยุดเรียนไปอย่างนี้ พฤติกรรมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสะกิดใจว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ และเขายังไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้ตราบใดที่ทุกคนเลือกที่จะหยุดทุกความทรงจำเอาไว้ตรงนั้นไม่ยอมรับสักที

   "ก็ทำอะไรไม่ได้"

   "เหมือนเรื่องที่มึงเพิ่งไปเจอมาอะนะ"

   "นั่นแหละ" เกือบลืม ส่งข้อความไปบอกคุณพินิจเลยแล้วกัน

   "ตลกดีเนอะมึง กูว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเลย"

   "อย่าเอามุมตัวเองมองสิ"

   ถ้ามองจากมุมของคน 'ทั่วไป' เรื่องของเขามันก็แปลกอยู่แหละ เด็กอะไรจะบอกว่าตัวเองไม่มีแม่ ทุกคนต้องเกิดออกมาจากครรภ์ของมารดา ไม่มีทางที่จะออกมาจากกระบอกไม้ไผ่อย่างที่บอก เขาก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเกิดมาจากพืช แค่บอกว่าไม่มีแม่ในทางพฤตินัยเท่านั้นเอง

   ทิวากาลรู้ว่าตัวเองมีแม่ รู้ว่าแม่เป็นใคร

   แต่ไม่อาจเรียกเขาว่าแม่ได้

   "...มันเป็นสัญญาของคนสองคน"


***
   น่าจะเดาได้แล้วมั้งคะถึงตอนนี้ (แน่ล่ะ อีกกี่ตอนจบแล้ว...) มีใครมีคาถาช่วยให้งานด่วนเลิกเข้าบ้างคะ เจ้านี่พอได้อยู่หน้าคอมหน่อยจะต้องมาเรื่องให้ขยับตัวออกไปตลอดเลย พาร์ทแรกของตอนนี้เป็นเบสิคค่ะ รอพาร์ทหลังนะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-1 [18.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 18-01-2017 23:00:05

แม่ คนเดียวกัน?

ไม่อยากเดาเลย นี่ขนาดเบสิค!!

#เริ่มเครียด
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-1 [18.01.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 29-01-2017 09:40:10

มารอค่ะ

#เลือด #แม่ #บริจาค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-02-2017 21:11:41
CH.15-2

   "บางคนก็ยึดติดกับคำพูดมากไป"

   "ไม่ดีหรือไง?"

   "ก็ดูผลลัพธ์สิ"

   คนเด็กสุดบนโต๊ะอย่างทิวากาลเก็บปากเงียบสนิท ทำเป็นหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดดูอะไรไปเรื่อย ปล่อยให้พวกคนสูงอายุที่กำลังกรึ่มได้ที่หลุดปากพูดอะไรที่ไม่ควรออกมา คุณพินิจติดคุยงานกับเพื่อนอยู่ทางอื่นจนไม่มีเวลากลับมาฟังเรื่องในอดีตของตัวเองว่ากำลังเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในเวลานี้

   "หน้าก็ไม่เคยให้เห็น รู้หรือเปล่าเถอะว่าเป็นใคร"

   "ก็ดันไปสัญญาว่าจะไม่เจอกันอีกนี่"
   
   สัญญาต้องเป็นสัญญา

   สายตาของพ่อยามสอนเรื่องนี้หนักแน่นมากกว่าทุกเรื่องที่เคยสั่ง สอนย้ำจนจำได้ขึ้นใจ

   "คนหนึ่งก็หัวแข็ง อีกคนก็ไม่ยอมคน"

   "เพราะเป็นอย่างนั้นเลยเข้ากันได้ไง"

   เรื่องราวดั่งนิยายของหญิงชายคู่หนึ่ง

   เจอกันในช่วงเข้ามหาวิทยาลัย ในเวลาพักกลางวันของสังคมที่การสื่อสารยังต้องอาศัยจดหมายในการติดต่อ ผู้ชายคือคนหนุ่มลุคเซอร์ตามสไตล์เด็กเรียนสถาปัตยกรรม ลูกชายคนเดียวของมาเฟียมีชื่อย่านชานเมือง ส่วนผู้หญิงคือดาวเด่นในคณะอักษร ทายาทตระกูลผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วจนเป็นที่ลือชื่อ

   ไม่น่าจะมาเจอกันได้ ถ้าไม่มีการแข่งขันอย่างหมากรุกสากลขึ้น ช่วงเวลาที่คนในวงกว้างรู้ว่ามีชายผู้หนึ่งได้รับฉายาว่า 'ไม่เคยแพ้' ในเกมกระดาน หลายต่อหลายคนเคยท้าทายแล้วสุดท้ายก็ต้องยกธงขาวกลับไป จนกระทั่งวันหนึ่งบนโต๊ะของหนุ่มฉกรรจ์ก็มีแขกแปลกหน้าเข้ามาเยี่ยม

   สาวในชุดนักศึกษาเรียบร้อย คนดังในระดับที่หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าแม่ดาวอักษรมาทำอะไรที่ดงของหนุ่มสถาปัตย์ ก็พอพูดถึงผู้ชายเรียนวาดรูปมันไม่พ้นความซกมก สกปรก ปล่อยให้ผมเผ้ารุงรัง เห็นสิ่งแปลกตาหน่อยก็ฮือฮากันไปหมด

   หล่อนมาคนเดียว ฉายเดี่ยวจนต้องถามซ้ำว่าไม่ได้มาหาผิดคนใช่หรือไม่ คำที่คนเล่าใช้ก็คือ 'ไม่รู้จักความกลัว' เพราะตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงช่วงเวลาที่ต้องนั่งลงกับผืนเสื่อ ไม่มีช่วงเวลาไหนแสดงออกถึงความลังเลหรือว่าไม่มั่นใจในตัวเอง

   เป็นที่รู้กันว่าดาวอักษรเย่อหยิ่ง สังคมรอบข้างก็มีแต่พวกคนในระดับเดียวกัน เหล่าหนุ่มบ้านๆ ไม่ควรแม้แต่จะคิดเด็ดดอกฟ้ามาเชยชม มันเลยมีแต่คนสงสัยว่าลมอะไรพัดเจ้าหล่อนมาตกอยู่ที่นี่ ส่วนคำตอบนั้นง่ายจนหลายคนที่ได้ฟังเกือบหงายหลัง หล่อนได้ยินว่ามีคนเก่งหมากรุก และมันคงเป็นการดูถูกตัวเองเกินไปถ้าไม่ยอมมาทดสอบระดับฝีมือสักครั้งให้รู้กันไป

   มันเป็นการต่อสู้ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ และจบลงด้วยการแพ้ครั้งแรกของผู้ไม่เคยพ่าย

   กลายเป็นว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดการแข่งขันระหว่างคนสองคนมันก็จะอยู่ในความสนใจของทุกคน จากนั้นแม่สาวคนนั้นก็กลายเป็นสมาชิกประจำบนเกมกระดานนี้ ผ่านคำปรามาสว่าคงอยู่ไม่นานก็จากไปเพราะทนความไร้การศึกษาของหนุ่มวาดรูปไม่ได้

   ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันหนึ่งได้ยินว่าทั้งคู่ตกลงคบกัน แต่มันเป็นเรื่องประหลาดเมื่อรู้ถึงเบื้องหลังของคนทั้งสอง ผู้ชายเป็นลูกผู้มีอิทธิพล ส่วนฝ่ายหญิงนั้นนอกจากจะเป็นตระกูลเก่าแล้วยังมีสมาชิกอยู่ในกรมตำรวจเป็นจำนวนมาก มันเลยดูเป็นการผสมที่ไม่เข้ากันมากเท่าไหร่

   ความรักที่อยู่ในความสนใจของคนจำนวนมาก เพื่อนสนิทหลายคนพนันกันนักต่อนักว่าจะรอดหรือไม่ เพราะในยุคที่ความรักไม่อาจชนะได้ทุกอย่างทางเดินนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคมากเหลือเกิน ปีแล้วปีเล่าสายสัมพันธ์แน่นหนาของทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะคลายลง จนเกริ่นเรื่องการตัดชุดสำหรับวันแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ สุดท้ายการแต่งงานนั้นก็เกิดขึ้นจริง แต่เจ้าสาวไม่ใช่คนที่คิดเอาไว้

   หญิงสาวที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าจะมาเป็นคุณนายใหญ่ของบ้าน ลูกสาวของคู่ค้าทางธุรกิจรายสำคัญ ไม่ต้องใช้การวิเคราะห์อะไรมากก็รู้ว่าเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องสาวดาวอักษรอีก จนวันที่เรื่องฉาวหนึ่งแดงขึ้นมา

   วันที่นายพินิจประกาศว่าตัวเองได้ลูกแฝด ทั้งที่ภรรยาตามกฎหมายยังอุ้มก้อนเนื้อมีชีวิตเอาไว้ในท้อง

   เรื่องราวของพ่อแม่รวมถึงเรื่องของตัวเองทั้งหมดไม่เคยออกมาจากปากของพ่อ อาศัยการลอบถามคนใกล้ตัวรวมถึงทำเป็นไม่ตั้งใจฟังเรื่องในวงคนเมาอย่างนี้นี่แหละ เอามาเชื่อมโยงกันเองจนกลายเป็นเรื่องที่เขาเล่าก่อนหน้า ตอนที่ฟังมันก็สนุกดีอยู่หรอก ติดตรงเวลาเห็นตัวเองในกระจกมันชอบมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นมาในหัว
   
   ทิวากาลเป็นใครกันแน่

   พ่อดูแลลูกทั้งคู่อย่างดี เด็กแฝดมีชื่อแทนความหมายของสิ่งที่ไม่อาจพรากจากกันไป ไม่เคยรู้เรื่องที่ตัวเองไม่ใช่ลูกของแม่สองมาก่อนจนวันที่ได้ยินเรื่องเล่าภายในบ้าน หลายอย่างคือสิ่งที่ทิวากาลไม่คิดว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่เมื่อลองหลับตาแล้วเปิดขึ้นมาใหม่ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่ความฝัน ไม่อยากยอมรับแค่ไหนก็ทำไม่ได้

   ถ้าถามว่าคำไหนอธิบายยากที่สุดสำหรับทิวากาล คำนั้นคือคำว่า 'แม่'

   สัญญาง่ายๆ ที่ตกลงกันว่าคนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับลูกทั้งสอง สิทธิในการดูแลทั้งหมดจะอยู่กับพ่อเท่านั้น แล้วเธอไม่สามารถปรากฏตัวให้ลูกรู้จักได้เพราะตอนนั้นทางฝั่งพ่อต้องการให้เด็กไม่สับสนที่มีแม่สองคน ตอนที่ได้ยินครั้งแรกเขาก็คิดว่าพ่อกับแม่ทำไมถึงทำตามง่ายๆ พอนึกต่อไปว่าสังคมในสมัยนั้นคงไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้มากเท่าไหร่ก็เลยพอหักลบไปได้

   "ดูลูกไม่ค่อยมีปัญหานี่ ใช่ไหมแบล็ค?"

   ไม่อยากจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่อันตรายเลยทำเป็นเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจ น่าสงสารตัวเองที่ต้องมารอพ่อในกลุ่มของคนเมา เพื่อนของเขาเคยเมาก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีใครที่เมาแล้วพล่ามไม่ยอมหยุด ถ้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่เขาก็ดีอยู่หรอก พอหลุดออกจากเรื่องพวกนั้นเมื่อไหร่ก็กลายเป็นเพ้อเจ้อ

   "สังคมก้มหน้า เด็กที่บ้านก็เป็นอย่างนี้"

   "เดินกลับมาแล้วนั่น เลิกคุยๆ"

   ยังไม่ทันตอบห้องแชทของน้องโรมมือของพ่อก็สะกิดลงตรงไหล่ บอกลาทุกคนตรงนั้นแบบที่รู้ว่าคงมีไม่กี่คนรับรู้ว่าเขากำลังบอกลาตามมารยาท มีบางเรื่องที่พ่อไม่เคยสอนทิวากาล เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำไมต้องทำอย่างนี้ พอลองคุยกับน้องสาวฝาแฝดมันก็ได้คำตอบที่ตรงกันว่าบางอย่างต่อให้ไม่มีใครเคยสอนมันก็ยังส่งผลให้ต้องทำอย่างที่คิดว่าควรจะทำ

   "เบื่อไหม"

   "ชินแล้วครับ"

   ตอบกลับไปเนือยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าเป็นการทำหน้าที่ลูกที่ดี มันมีข้อเสียเยอะแต่ว่าข้อดีมันก็พอมีอยู่

   รถตู้คันใหญ่จอดเทียบจุดรอ ที่ใช้รถชนิดนี้มันไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าสามารถบรรจุลูกทุกคนลงไปได้ ใบหน้าสะท้อนผ่านฟิล์มดำนั้นไม่มีความคล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย สิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันทั้งคู่ได้โครงหน้ามาจากฝั่งแม่

   แน่นอนว่าแม่สองไม่เคยเป็นแม่สำหรับทิวากาลและรัตติกาล

   แล้วผู้หญิงคนนั้นสามารถเรียกว่าแม่ได้หรือเปล่า?


 
   "เล่นอะไรอยู่พิชชา?"

   เสียงเรียบเย็นชา ไม่เหมือนกับที่ 'แม่' ใช้กับพิชชามาตลอด

   "ไม่ได้เล่นครับ"

   ย้ายกระเป๋าของทิวากาลออกจากโซฟา เชิญหญิงสาวผู้เลี้ยงดูตนเองมาตั้งแต่ยังแบเบาะให้นั่งรอระหว่างไปหาของทานเล่นมารับรอง หนึ่งในนิสัยได้ที่จากคนตรงหน้า "วันนี้ชาไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ผมเลือกมาผิด"

   วางกาน้ำชาที่หญิงสาวคนเดิมซื้อมาให้ลงตรงแท่นวางของตัวเล็ก ไม่แสดงอาการพิรุธออกมาให้จับสังเกตได้ เมื่อไม่อาจมองเห็นเรื่องในอนาคตของตัวเองได้  สิ่งที่เกิดมันเลยนอกเหนือจากการควบคุมได้เสมอ

   "เห็นว่าย้ายบ้าน เลยแวะมาหา" จิบน้ำชาเข้าไปหนึ่งคำแล้ววางมันลงกับที่เดิม "ดูแล้วน่าห่วงกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย"

   "ผมอยู่ได้ครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วง"

   "พิชชา"

   "ครับ" ส่งยิ้มสวยไป ไม่กลัวว่าจะต้องเจออะไรบ้าง

   มันคือสิ่งที่ต้องยอมรับ

   "ล้ำเส้นเกินไปแล้ว รู้ใช่ไหม"

   เส้นกรอบบางถูกขีดขึ้นมาตั้งแต่วันที่พิชชาถูกแยกให้ไปอยู่ในความดูแลของเพื่อนสนิทพ่อ หญิงสาวที่เขา 'เห็น' สีขาวกับสีดำลอยวนเวียนอยู่รอบตัวจนเผลอถามออกไป

   "รู้ดีเลยครับ"

   บุญคุณสำหรับการเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ พิชชาได้รับทุกอย่างตามที่ควรได้ในฐานะลูก ข้าวของเครื่องใช้ การดูแลเอาใจใส่ การศึกษา ความรักจากทุกคนในบ้าน ก็ได้ยินมาบ้างแหละว่ามันเป็นการทำเพื่อทดแทนเด็กที่ไม่อาจจะเติบโตในบ้านหลังนี้ได้

   เด็ก...ที่พิชชามีชีวิตเพื่อ 'ชดใช้' เช่นกัน

   "หน้าที่ของเรามีแค่ให้เลือด ไม่ใช่ดึงเขาเข้ามา"

   กลุ่มเลือดของแฝดชายเป็นของหายาก ผู้หญิงที่พิชชาได้แต่มองเธอตามติดชีวิตของเด็กสองคนเงียบๆ ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีคำถามเกิดขึ้นมากมายระหว่างที่ตัวเองยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น เมื่อโตขึ้นจนรู้ทุกอย่างได้แล้วชายผมยาวจึงเข้าใจว่าในแต่ละเรื่องมีคำตอบอย่างไร

   เขาถึงรู้เรื่องของทิวากาลรวมไปถึงน้องสาวฝาแฝดอย่างรัตติกาล แล้วก็บางเรื่องเกี่ยวกับน้องชายอีกสองคนที่เหลือ

   ...ได้รู้ว่าเลือดหมู่พิเศษของตัวเองมีค่าสำหรับบางคนมากแค่ไหน

   ใต้แท่นวางมีกระดานหมากรุกวางไว้รอบางคน พิชชาเป็นคนจัดการทุกอย่างเองโดยปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งเงียบ มันเป็นเรื่องที่ทำใจยากสำหรับคนทั้งคู่ และคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างเขาก็ได้แต่ประคับประคองให้มันผ่านไปได้โดยไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น

   "อีกกระดาน?" มันไม่ใช่กระดานไม้แผ่นเดิมที่ใช้เมื่อเจอกัน

   "กลับไปหาเจ้าของแล้วครับ"

   สิ่งที่พิชชาได้จากแม่ สิ่งที่ควรส่งต่อให้ลูกที่แท้จริง

   "เด็กคนนั้นเคยเล่นอยู่กี่ครั้งเอง"

   ทิวากาลไม่รู้ แต่พิชชารู้ว่าตลอดเวลาที่ราชาคิดว่าตัวเองเติบโตขึ้นมาด้วยความรักจากบิดาเท่านั้นมันยังมีอีกมือที่มองไม่เห็นคอยโอบอุ้มอยู่เสมอ

   "เขาเล่นเก่งนะครับ"

   "ส่วนเราก็เดินผิดตั้งแต่หมากแรก"

   แม่กับลูกคุยกันผ่านการเดินหมากบนกระดาน พิชชาชินกับการนั่งมองกระดานไม้เป็นเวลาหลายชั่วโมงไม่เหมือนกับทิวากาลที่ทำท่าพร้อมล้มกระดานได้ทุกเมื่อ ผู้หยั่งรู้โตขึ้นมาพร้อมกับซึมซับทุกสิ่งที่คนเป็นแม่ตั้งใจจะทำให้ลูก และนั่นเป็นสิ่งที่ลูกชายที่ถูกรับเลี้ยงอยากจะส่งต่อให้อีกคน

   ลูกที่เธอไม่อาจแตะต้องได้

   "ผมตั้งใจต่างหากครับ"

   ผู้ชายที่เป็นสีดำเหมือนกัน คนที่ต้องได้เจอกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พิชชาไม่มีทางยอมให้มันผ่านไป เขาไม่ควรต้องรออะไรอีกแล้ว "จะเดินอย่างนี้...ต่อให้รู้ว่ามันผิดก็ตามที"

   "พิช..." เสียงอ่อนโยนคล้ายกับอีกคน "เราไม่ควรทำอย่างนี้"

   "มันนานพอแล้วครับคุณแม่"

   จริงอยู่ว่าสิ่งที่แม่ให้ทำคือการช่วยบริจาคเลือดให้กับลูกชายเมื่อทราบว่าโดนแทงเท่านั้น สายรายงานมาว่าน้องชายคนเล็กสุดไม่อาจทำหน้าที่นี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นพิชชาก็ต้องชดใช้ให้กับเธอ ตอบแทนการเลี้ยงดูมาตลอดจนถึงตอนนี้

   เรื่องหลังจากนั้นคือการตัดสินใจของพิชชาเองทั้งหมด

   ในเวลาไม่กี่นาทีชายผมยาวก็เสียเบี้ยตัวแรกไปเสียแล้ว ส่วนหนึ่งมันก็มาจากความกังวลเกี่ยวกับคนที่อยู่ข้างนอก ทิวากาลคงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำแล้ว เรื่องนี้คือจุดอ่อนเดียวของคนเป็นราชา และมันเป็นการเล่าเรื่องได้แย่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา

   หลายต่อหลายครั้งอยากบอกออกไป แต่อีกใจหนึ่งมันก็อยากให้ทิวากาลได้รู้จัก 'พิชชา' เหมือนอย่างที่เขาได้รู้จักอีกคนผ่านการติดตาม กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ใจร้องเรียก...บอกว่าคนคนนั้นคือปลายสายของด้ายดำที่ตามหา

   "ขอโทษครับ"

   “ก่อนหน้านี้จะแอบทำอะไรแม่ไม่เคยว่า แต่ครั้งนี้มันเกินไป”

   “ผมผิดเองครับที่ไม่ได้บอก”

   "...แม่รู้อยู่แล้ว วันนั้นน้าไปหาที่ร้าน" คำแรกที่น้องชายพูดคือ 'คิดออกแล้ว' หลังจากนั้นก็เล่าเรื่องเด็กผู้ชายที่ตาเหมือนกับเธอให้ฟัง เท่านั้นก็เพียงพอแล้วว่าพิชชากำลังทำอะไรอยู่ "ยิ่งพอน้าเธอรู้ว่าชื่อแบล็คเท่านั้นแหละไม่ต้องทำอะไรแล้ว"

   "วันนั้นผมก็ไม่คิดว่าเขาจะไปเหมือนกันครับ"

   "เห็นชื่อพ่อเลยให้คนอื่นไป อีกคนก็ดันเอาลูกไปแทนเหมือนกัน"

   ระหว่างคนสองคนไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร สุดท้ายแล้วพิชชาก็สามารถรู้ได้โดยไม่ต้องเอ่ยปากบอกอยู่ดี

   "แล้วจะทำยังไงต่อ?"

   นิ้วผอมบางแบบผู้หญิงขยับม้าไปสองช่อง หากผู้รู้เลือกเดินพลาดมันจะเปิดทางให้เธอเช็คเมทได้ทันที "ไม่มีทางให้เลือกแล้วนะ"

   ไม่เคยคิดว่าพิชชาจะตัดสินใจแบบนี้ ตลอดมาเขาเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทเสมอ แม้ไม่ใช่ลูกแท้แต่ทุกคนก็รักไม่ต่างกัน เด็กที่รับมาเลี้ยงภายหลังจากส่งทารกทั้งสองไปให้ฝ่ายพ่อ จะให้เธอเลี้ยงแฝดทั้งสองเองมันก็ได้อยู่ แต่เมื่อลองคิดถึงอนาคตข้างหน้าแล้วมันจะดีกับเด็กทั้งคู่มากกว่าหากเติบโตขึ้นในอีกสภาพแวดล้อมหนึ่ง

   "ได้แต่ภาวนามั้งครับ"

   "เล่นอะไรไม่เข้าท่า"

   "หมายถึงอะไรครับ" ในเมื่อคำนั้นสามารถใช้กับทั้งหมากบนกระดานแล้วก็ตัวเขาเอง "ผมว่าวันนี้ตัวเองเล่นดีกว่าหลายๆ วันนะ"

   บางทีก็แพ้แบบหมดท่า สมแล้วกับที่เป็นผู้หญิงที่เคยชนะผู้กำชัย

   "หมายถึงเรื่องของแบล็ค..."

   พิชชาอิจฉาทิวากาล ตรงที่เสียงเรียกชื่อลูกของตัวเองนั้นมันช่างอ่อนหวานเสียเหลือเกิน

   "ตรงนั้นมันไม่มีพื้นที่พอสำหรับผมครับ"

   "งั้นก็รีบออกมา"

   "ไม่ครับ"

   ไม่มีครั้งไหนที่พิชชายืนยันในความรู้สึกของตัวเองได้ชัดเจนเท่าครั้งนี้ ใต้คำพูดยังมีนัยน์ตามั่นคงเพิ่มเข้าไปอีกด้วย หญิงสาวผู้ยังคงหน้ากากว่างเปล่าเอาไว้มองหน้าชายผมยาวที่ตนเองเลี้ยงตั้งแต่เล็ก มันคงถึงเวลาที่เธอต้องทำอะไรสักอย่าง

   "แล้วถ้าแม่สั่ง?"

   "ก็ไม่ทำอยู่ดีครับ"

   "ไม่น่ารัก"

   แม้จะโดนกินไปอีกตัวพิชชาก็ยังหัวเราะออกมาได้ "ผมเคยน่ารักด้วยเหรอครับ"

   "ไปคิดวิธีแก้เอาเองแล้วกัน แม่ไม่เกี่ยว"

   "ครับๆ แล้วคุณแม่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ" ตามข้อมูลเดิมคนเป็นแม่บินไปเจรจางานที่ฝรั่งเศสหลายสัปดาห์ ธุรกิจน้ำหอมแบรนด์ส่งออกที่หลายคนไม่เคยรู้ว่าเป็นฝีมือของคนไทย "ไม่ได้ไปรับเลย"

   "เมื่อสองวันก่อน คุยเสร็จก่อนที่คิดเอาไว้"

   "ผมบอกแล้วว่าทางสะดวก"

   "เธอบอกให้แม่เลือกดีๆ ต่างหาก" ครั้งนี้ไม่เหลือทางให้พิชชาได้หนีอีกต่อไป ไม่ว่าอีกฝั่งจะขยับไปทางไหนหมากที่เหลือก็พร้อมเข้าไปปลิดชีพราชาทันที

   "ทุกอย่างเป็นการเดิมพันครับ" ถึงจะไม่เจอทางหนี พิชชาก็อยากจะแพ้แบบมีเกียรติมากที่สุด "ลองมาพนันกันไหมครับคุณแม่ ...ว่าคนข้างนอกเขาจะเข้ามาหรือเปล่า"

   เสียงหัวเราะไม่มีความต่างจากอีกคนเลย พิชชาปล่อยให้สมองของตัวเองทำการเปรียบเทียบใบหน้าของสองคนว่ามันมีส่วนไหนที่เหมือนหรือต่างกันบ้าง ถ้าเทียบกับทิวากาลนั้นมันคงพูดยาก แต่หากลองใช้ลูกสาวอย่างไวท์แล้วล่ะก็บอกได้เลยว่าเกือบทั้งหมดเป็นพันธุกรรมจากทางมารดา

   "เธอจ่ายไม่ไหวหรอกพิช"

   "ก็ไม่แน่นะครับ" ยอมขยับควีนออกไป เปิดทางโล่งให้บิชอปเข้ามาสังหารคิง "อะไรก็เกิดขึ้นได้"

   "แบล็คไม่มีทางเข้ามา"

   มันคือสัญญาที่ทำเอาไว้แล้ว
   
   "ทำไมคุณแม่มั่นใจจังครับ"

   "ฉันเลี้ยงเธอด้วยร่างกายพิชชา" นัยน์ตาสีดำสนิทวาววับ สิ่งที่ส่งต่อไปยังเลือดเนื้อของตัวเองอีกสองชีวิตได้อย่างครบถ้วน

   "ส่วนสองคนนั้นฉันเลี้ยงมาด้วยหัวใจ!"


 
   กว่าจะพาแม่เดินทัวร์จนทั่วทั้งบ้านก็กินเวลาไปอีกครู่ใหญ่ เป็นที่รู้กันว่าเมื่อเดินไปจุดไหนสมาชิกคนที่สามก็จะปลีกตัวไปอยู่อีกที่หนึ่งแบบไม่ต้องร้องขอ พิชชารอจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์นั้นลับหายไปจึงหมุนตัวกลับเข้ามาอยู่ข้างในบ้าน เดินตามกลิ่นบุหรี่แบบมิ้นท์จนพบกับคนที่ตามหา

   "คุณแม่กลับไปแล้วครับ" พิชชาไม่ได้ต้องการจะตอกย้ำอะไร แต่นั่นคือชื่อเรียกเดียวสำหรับเขา

   สิ่งที่ไม่คุ้นชินกลายเป็นความอึดอัด ยืนรอที่เดิมอย่างนั้นจนทิวากาลทิ้งก้นมวนลงกับพื้นหญ้า

   "กว่าจะสูบหมด นานชะมัด" บุหรี่ที่มักจะแบ่งกันสูบจนไม่คุ้นเวลาใช้คนเดียว "...กลับไปแล้วใช่ไหม"

   ทิวากาลไม่มีสิทธิใช้คำนั้น

   "ครับ กลับไปแล้ว"

   ผงกหัวรับทราบ ก้มลงเตรียมจะหยิบบุหรี่อีกสักมวนมาดับอารมณ์แปรปรวนของตัวเอง

   "วันนี้มากไปแล้วนะครับราชา"

   ไม่สนเสียงเตือนนั้น ขยับนิ้วให้เกิดประกายเปลวไปพลางสร้างปรากฏการณ์ทางเคมีขึ้นมารวดเร็ว ทิวากาลปล่อยให้กลิ่นของมิ้นท์แสนสะอิดสะเอียนลอยฟุ้ง เขาจะใช้ต่อเมื่อฟุ้งซ่านจนถึงขั้นแล้วจริงๆ ถึงจะใช้สิ่งนี้ช่วยระงับอารมณ์ ทิวากาลรอจนมั่นใจว่าตัวเองสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ถึงหันไปทางเจ้าของบ้าน

   "ผมเคยคิดว่าเรื่องของแม่สองกับไวท์คงเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตแล้ว" ช่วงนัยน์ตาที่มองกลับมามีแต่ความว่างเปล่าจนไม่ต่างอะไรกับน้องสาว “ก็เพิ่งรู้ว่าที่ตัวเองยังเจอเรื่องที่แย่กว่านั้นได้อีก”

    “...”

    "คุณ ‘รู้’ ใช่ไหมพิชชา"

   ใบหน้าของพิชชาชาสนิทจนไม่รู้ว่าจะเปรียบกับสิ่งใด สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความเงียบสงัด ทิวากาลสูดสารพิษเข้าไปข้างในร่างกายจนพอใจ ระหว่างที่รออยู่ด้านนอกเขาใช้เวลาไปกับการเรียกความคิดของตัวเองคืนมา รวบรวมทุกอย่างเอามาไว้จนเกิดเป็นข้อสรุปได้อย่างหนึ่งว่านี่คือสิ่งสุดท้ายแล้วที่เขาต้องรู้

   ทุกครั้งพิชชาเฉลยเอาไว้อยู่แล้ว มีแต่เขาที่มองข้ามมันไป ทั้งเรื่องของคุณน้าที่เป็นน้องชายของแม่ ถึงบอกว่ารู้ว่ารู้จักดีไง คนที่เรียกตัวเองอย่างนั้นต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมากพอสมควร แล้วยังไม่รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่มันจะเป็นปริศนาไร้คนแก้มาโดยตลอด

   "มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเอาไว้ครับ"
   
   หมายถึงไม่คิดว่าจะเจอกันในรูปแบบนี้ พิชชารู้อยู่แก่ใจว่าวันหนึ่งวันใดอีกคนต้องรู้เกี่ยวกับแม่ของตัวเอง แต่มันก็ควรเป็นในแบบที่ดีกว่านี้หน่อย ยอมรับเลยว่าที่เป็นการแนะนำที่แย่ที่สุด

   "คุณมีเรื่องอะไรที่อยากเล่าให้ผมฟังไหม?"

   "...ไม่ครับ"

   นี่คือสิ่งสุดท้ายที่อยากให้ทิวากาลรู้

   "ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องมาเจอเรื่องตลกอย่างนี้"

   เสียงที่ออกมาไม่ขำขันเหมือนอย่างคำเล่า ควันลอยฟุ้งบนฟ้าเคลื่อนตัวเอื่อยตามแรงลม แบล็คยังไม่อยากหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เขาเคยบอกว่าไม่เคยมีใครดึงดูดสายตาเท่า ก็ถ้าเห็นตอนนี้มันจะมีหน้าใครอีกคนลอยทับ ตามมาด้วยคำถามอีกจำนวนมากจนเกือบล้นส่วนความคิด

   นี่คือสิ่งที่เขาเคยปรารถนา...การได้รู้ว่าข้างหลังหมอกสีดำนั้นมีสิ่งใดซ่อนไว้อยู่

   และเมื่อหมอกสีดำสลายหายไปมันเหลือเพียงความว่างเปล่า

   "มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม" ตราชั่งนั้นต้องเท่ากันทั้งสองข้างเสมอ "ผมบอกแล้วครับว่าคนที่ต้องชดใช้คือผม"

   สิ่งที่คุณคิดกับความเป็นจริงนี่อาจเป็นหนังคนละม้วนก็ได้

   “แต่คุณไม่ได้ชดใช้ให้ผมไง”  ทิวากาลไม่อยากคิดอย่างนี้...แต่เรื่องทั้งหมดมันมีคำเฉลยเพียงแค่อย่างเดียว “คุณกำลังชดใช้ให้...ผู้หญิงคนนั้น”

   “ผมมี ‘หน้าที่’ ของตัวเองครับ”

   "ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าหน้าที่ของคุณจบแล้ว?"

   หรือมันอาจไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ

   "ถ้าหมายถึงแค่ในส่วนนี้ ใช่ครับ"

   "งั้น...ผมไปได้แล้วสินะ"

   ยากเหลือเกินกว่าจะถามได้ครบประโยค ย้ำบอกให้เลิกคิดถึงเรื่องอื่นที่เป็นส่วนประกอบเสริม เวลานี้ทุกอย่างมันกระจ่างต่อสายตาหมดแล้ว พิชชาเป็นคนที่อยู่ตรงนั้น

   อยู่ตรงพื้นที่ที่ควรเป็นของเขาสองคน

   "ไม่มีใครห้ามคุณได้ครับราชา"

   ยังไกลเหมือนเดิม...

   ตั้งแต่เกิดมาคนเป็นแม่สำหรับพิชชาคือเธอ ไม่ใช่คนที่อุ้มท้องมา ยิ่งหลังจากที่หล่อนจากโลกไปโดยส่งภัสมาเป็นตัวแทนก็ยิ่งห่างไกลคำว่ามารดาเข้าไปเหลือเกิน

   “จากนี้ผมไม่ต้องทำตามคำสั่งของคุณอีก"

   ราชาชดใช้จนครบทุกหยดแล้วตามสัญญา

   "ใช่ครับ" ชายผมยาวฝืนพูดมันออกไปให้เต็มปากมากที่สุด แม้มันจะขัดต่อเสียงที่ตะโกนดังอยู่ในใจแค่ไหนก็ตาม ทางเลือกที่ผิดไม่มีทางพาไปถึงจุดหมายได้

   ทิวากาลขยับเข้ามาใกล้ เพียงแค่ให้พอเห็นว่าทั้งร่างกายนั้นเป็นอย่างไร คนตรงหน้านี้เขาไม่อาจยื่นมือออกไปสัมผัสได้อีกต่อไป

   "ลาก่อนนะพิชชา"

   คงไม่มีใครเหมือนชายผมยาวคนนี้ได้อีก

   "ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ"

   คนที่เลือกไปแล้วไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก พิชชาจ้องตากลับไปเงียบๆ ไม่คิดจะพูดอะไรให้เยิ่นเย้อมากความ ในเมื่อตอนนี้เป็นตาเดินของอีกฝั่ง เขาก็ทำได้แค่รอจนกว่าสิทธิในการเล่นนั้นจะหมุนกลับมาหาเขาอีกครั้ง

   ส่วนคนที่เปิดปากขอจากไปกลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน มองทุกสัดส่วนบนใบหน้านั้นซ้ำๆ จนกระทั่งมั่นใจว่าฝีมือของเด็กเรียนกฎหมายผู้สามารถจำประมวลได้เป็นเล่มจะสามารถจดจำทุกรายละเอียดได้อย่างไม่มีบกพร่อง ฝืนร่างของตัวเองไม่ให้โน้มตัวเข้าไปจุมพิตเรือนผมยาวแทนคำลา

   ต่างฝ่ายไม่มีใครปริปากออกมาก่อน ทิวากาลพาตัวเองมาจนถึงส่วนรั้วของบ้าน บอกตัวเองให้เลิกคิดว่ามีพื้นที่ไหนบ้างที่หล่อนได้เข้าไปเหยียบแล้วเขากำลังซ้ำรอย สำหรับคนที่ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อนมันทั้งดีใจแล้วก็หดหู่ใจ นั่นคือแม่ที่แบล็คเคยเห็นในหน้านิตยสาร และช่วงเวลาที่เจอกันนั้นเขาไม่อาจพูดคำต้องห้ามออกไปได้เลย

   ประตูห้องที่ปิดลงหลังจากคนสองคนเดินผ่านเข้าไปคือพื้นที่ที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนก้าวผ่านเข้าไป ตลอดชีวิตมีสถานที่ต้องห้ามอยู่ไม่กี่แห่ง ที่แรกคือห้องทำงานของพ่อ ที่สองคือบ้านของแม่ ...และตอนนี้มันมีแห่งที่สามคือข้างหลังประตูบานใหญ่ ต่อให้อยากเข้าไปมากแค่ไหนก็ทำได้แค่มองจากตรงนั้น

   'แม่' สวยกว่าในรูปเยอะ ดูดุกว่าที่มีคนเคยเล่าว่าเจ้าระเบียบ แม้จะเห็นแค่แป๊บเดียวแถมไม่ได้ทักทายกันสักคำสีดำก็ยังจำช่วงใบหน้ารวมถึงการแต่งกายได้ทั้งหมด ผู้หญิงคนนี้คือคนที่อุ้มท้องเขาและครึ่งชีวิตมาเกือบเก้าเดือน คนที่เป็นเจ้าของคำว่ารักบนกระดาษ คนที่ให้ทุกส่วนในร่างกายเขามา

   ครึ่งหนึ่งของทิวากาลมาจากผู้หญิงคนนี้
   
   มีคำถามมากมายที่อยากถามออกไป ได้แต่ต้องการและไม่มีทางทำความปรารถนาให้สำเร็จ เราไม่ได้อยู่ในฐานะของแม่ลูกกัน เป็นแค่คนรู้จักพิชชาของเหมือนกันก็เท่านั้นเอง

   เดินออกไปทางออก นึกเสียดายอยู่หน่อยที่เพิ่งเอาต้นไม้ลงดินไป ต้นที่เขาตั้งใจว่าจะคอยดูแลจนกว่ามันจะทักทายด้วยการชูช่อสวยงาม ถ้าพิชชารู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ก็น่าจะบอกหน่อย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลงดิน สู้เอากลับไปปลูกในป่าหลังบ้านน่าจะดีกว่า

   ไร้เสียงฝีเท้าตามมา มันมีเพียงกลิ่นหอมจางปริศนาเท่านั้นที่บอกว่าพิชชายังเดินตามหลังมาอยู่

   "เออใช่ เมื่อกี้ผมนึกขึ้นมาได้คำถามหนึ่ง"

   หนึ่งคนอยู่ในรั้ว ส่วนอีกคนก้าวออกมาอยู่อีกฟาก อาณาเขตของสองคนถูกแยกออกจากกันชัดเจน

   "หัวใจคุณอยู่ที่ไหนเหรอพิชชา"

   "..."

   "หรือมันไม่เคยมีอยู่เลย"


***
   โดนลากไปต่างจังหวัดแบบไร้จังหวะการหลบหนี แล้วก็ได้อาการแพ้แมลงกลับมาเป็นของแถมค่ะ (หัวเราะ)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-02-2017 23:55:19

โอ๊ยยยย ไม่เอาแบบนี้

รักทั้งคู่นะ :(
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-02-2017 04:59:56
หัวใจพิชชา อยู่ที่ราชา  :mew1:
แต่กายกำลังห่างกัน  :mew2: :ling1:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-02-2017 14:14:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-02-2017 16:47:29
 :3123: :L2: :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-1 [06.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-02-2017 22:08:22
CH.16-1

   ยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่ ภาพด้านล่างก็ชัดน้อยลงไปเท่านั้น

   ตัวหมากรุกแกะสลักที่อยู่ในมือหนักจนน่าประหลาดใจ ไม้กลวงที่ควรมีความหนาแน่นไม่มากเท่าไหร่กลับต้องใช้แรงจำนวนมากในการถือมันไว้ พินิจมันจนครบทุกด้านไม่เว้นแม้แต่ส่วนของฐาน ไม่รู้ว่านิสัยช่างสังเกตในเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่

   ของบางอย่างมีคุณค่าก็ตรงความผูกพันที่ใส่ลงไป

   ไม่ได้กลับมานอนบ้านในช่วงวันหยุดมาสักพักใหญ่ พอเหยียบเข้ามาสิ่งแรกที่เกือบเผลอหลุดพูดออกไปคือการเอ่ยคำว่ากลับมาแล้ว ยังดีที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่ด้วย มื้อเย็นเมื่อวานโดนแซวไปนิดหน่อยว่าไม่ค่อยเห็นหน้าจนไม่ชินที่นั่งทานหลายคน

   นับแต่วันนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวใดจากพิชชา และเขาเองก็ไม่เคยคิดจะกดโทรออกตรงเบอร์นั้น สิ่งที่ได้รับรู้มันยากเกินกว่าจะทำใจได้ในเวลาไม่นาน บางทีการได้กลับมายืนในที่ของตัวเองมันอาจจะช่วยให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ราชาจะได้มีเวลาในการตัดสินใจมากขึ้นหน่อย

   บางสิ่งโผล่เข้ามาตรงหางตา ทิวากาลเหลือบมองร่างของผู้เยี่ยมเยือนโดยไม่เอ่ยคำใด

   "เคาะแล้ว"

   รัตติกาลอธิบายเหตุผลสั้นๆ พลางเดินมาพิงตรงริมตู้เก็บโมเดลจำนวนมาก มองครึ่งชีวิตของตัวเองนั่งอยู่ที่เดิมไม่คิดจะขยับไปไหน

   "อืม” ตอบรับกลับไป ช่วงนี้เขาปิดการรับรู้เกือบทั้งหมด อยู่กับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

   “ยังไม่ได้กินข้าวเช้า”

   “รอกลางวันทีเดียว”

   มันเป็นวิธีการสื่อสารที่ไม่ต้องเกริ่นนำอะไรให้มากความ ทิวากาลแค่ขี้เกียจลงไปเจอน้องชายคนเล็กผู้ซึ่งพยายามเจาะเรื่องของชายผมยาวมาตั้งแต่เมื่อวาน ยังดีที่เขาสามารถอ้างเรื่องกิจกรรมด้านวิชาการที่ตัวเองช่วยเพื่อนในกลุ่มรับผิดชอบอยู่เลยเลี่ยงไปได้อีกครั้ง

   และคราวนี้เขาไม่มีทางหนีแล้ว

   "ทะเลาะกับพิชชาเหรอ?"

   "ไม่เชิง" ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หยิบหมากขึ้นมาดูในระดับสายตา "แค่ได้รู้อะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่"

   สำหรับคนที่ใช้เวลาด้วยกันมาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาทิวากาลไม่ต้องอยากที่จะปิดบังอีก เมื่อมันถึงเวลาเหมาะสมคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเล่ามันออกไป

   "เล่าไหม?"

   ทิวากาลคิดไม่ออกว่าควรจะเริ่มอย่างไร

   "อยากเจอแม่ไหม?"

   "แม่?"

   "อืม แม่ของพวกเรา" การเจาะจงลงไปนั้นหมายถึงผู้หญิงคนเดียว

   "เราเจอไม่ได้"

   รัตติกาลสวนกลับพลัน สิ่งที่ทั้งเธอแล้วก็พี่ชายต่างรู้กันดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น เรื่องของพ่อกับแม่จบลงไปนานแล้ว และในข้อสัญญานั้นจะไม่มีการพบเจอกันระหว่างแม่ลูกเด็ดขาด

   ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

   “แต่พี่ไปเจอมา"

   การเงียบรอคอยเรื่องเล่าเป็นสิ่งที่เธอควรทำ สีขาวมองพี่ชายของตัวเองนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ไม้แกะสลักในมือถูกยกให้อยู่ในระดับสายตาอีกครั้ง นัยน์ตาที่มักจะไม่สื่อถึงความรู้สึกใดชัดคราวนี้มีแต่รอยสับสนเต็มไปหมด

   ยังไม่เข้าใจเรื่องที่ต้องการสื่อ เรื่องของแม่สำหรับไวท์แล้วมันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้ แน่นอนอยู่แล้วว่าช่วงที่ยังเป็นเด็กอยู่มันเป็นคำถามที่ไม่เคยมีใครตอบได้ จนกระทั่งโตพอที่จะรับรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองแล้วคำถามพวกนั้นเลยไม่เคยออกจากปากของเธออีก สิ่งที่ทั้งสองคนต้องท่องเอาไว้คือ ‘แม่’ เป็นคนที่ไม่มีวันได้รู้จัก

   "แม่...ของพิชชา"

   "หมายถึง"

   "คนที่เลี้ยงพิชชามา คือแม่"

   เท่านั้นครึ่งชีวิตที่เป็นสีขาวก็เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรพี่ชายบนที่สูงของตัวเองถึงอยู่ในสภาพแบบนี้

   “เขารู้เรื่องของเราอยู่แล้วใช่ไหม”

   เดินไปหาอีกหนึ่งชีวิตตรงมุมห้อง ขยับกระดานหมากรุกทำจากไม้ออกไปหน่อยเพื่อให้ตัวเองสามารถนั่งอยู่บนโต๊ะได้ ตรงนั้นพื้นที่ของฝาแฝดถูกสร้างขึ้นมาเงียบๆ ไม่มีใครสามารถเข้ามากล้ำกราย

   “ใช่”

   “เขาถึงพูดอย่างนั้นสินะ” คำพูดสุดท้ายที่ชายผมยาวพูดกับเธอเมื่อครั้งก่อน “มีบางคนห่วง...”

   จากที่คิดเอาไว้ทีแรกไวท์เข้าใจว่านั่นหมายถึงอจลา แม้จะมีความคิดแย้งขึ้นมาว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่นางฟ้าผู้กลับไปอยู่ข้างบนจะมีความรู้สึกนึกคิด เธอไม่เคยนึกถึงใครอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่...และดูท่าว่าจะยังเฝ้ามองดูทั้งสองคนอยู่เสมอ

   “คนที่ให้เลือดคือพิชชา แล้วดูเหมือนว่าแม่เป็นคนสั่ง”

   เรื่องทั้งหมดคือสิ่งที่ทิวากาลนำมาต่อกันเองจากคำเล่าในหลายครั้ง ตั้งแต่บอกว่าเรื่องทั้งหมดอาจไม่ใช่อย่างที่คิด หน้าที่คือทำมันให้สำเร็จ รวมไปถึงคำที่บอกว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นนั้นมันไม่มีอะไรดีสำหรับทั้งสองคน

   ใช่ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง

   ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนสร้างความสบายใจให้ไม่ต่างกับช่วงเวลาที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้มาคุยเปิดใจกันอย่างนี้มันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว เอาอย่างชัดเจนที่สุดก็ตั้งแต่เกิดเรื่องก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อคนหนึ่งไม่อยากพูดก็ต้องใช้วิธีติดตามเอาเอง แล้วก็ต้องไปดูแลน้องชายคนเล็กด้วยมันก็ยิ่งห่างกันเข้าไปอีก

   ถึงอย่างนั้นไม่ว่าร่างจะห่างกันแค่ไหนสายสัมพันธ์ที่เชื่อมเอาไว้มันไม่เคยจางไป

   “ที่บอกว่าต้องชดใช้สินะ”

   “แล้วกลายเป็นว่าเขานั่นแหละที่กำลังชดใช้ให้พี่”

   เรื่องน่าปวดหัว อยากจะขอเวลาคุยกับแม่ให้หมดเรื่องหมดราว นอกจากจะทำเขามีปัญหาทุกครั้งที่ต้องกรอกชื่อของมารดาลงไปในใบประวัติแล้วยังส่งคนมาสร้างความเดือดร้อนให้ไม่รู้จักจบอีก ก็ดีใจอยู่หรอกที่ได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไปนั้นมันไม่จริง ความคิดที่ว่าแม่เลือดเย็นจนทิ้งเขาทั้งคู่ได้ลง

   “แล้วมันไม่ดีตรงไหน”

   “อิจฉา...ล่ะมั้ง”

   จนท้ายสุดก็พูดมันออกไปได้เต็มปาก “อะไรที่อยากได้ พิชชาเป็นคนที่ได้มันไปทั้งหมด”

   เหมือนเป็นเด็กขี้อิจฉา แต่ ‘ความรัก’ จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่นั้นคือสิ่งที่ทั้งสองคนไม่เคยได้สัมผัส

   เกลียดทุกครั้งที่ถึงวันแม่ เกลียดทุกครั้งที่มีวันพบผู้ปกครอง เบื่อที่จะต้องมาตอบคำถามของคนแก่กว่าว่าแม่ไปไหนทำไมไม่เคยมาพบ จะตอบว่ามีแม่ แต่ห้ามรู้จักกันใครจะเชื่อ หรือว่าจะบอกว่าไม่มีแม่ก็จะโดนคำถามคลาสสิคกลับมา จนเขาคิดว่าบอกไปว่าเสียชีวิตไปแล้วดีกว่า

   เคยคิดไปเพ้อฝันไปเรื่อย ถ้ามีแม่มันจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับมารดาผู้ให้กำเนิดนั้นมีอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่เคยมีสักครั้งที่เรื่องราวเหล่านั้นจะมาจากคนเป็นพ่อ เหมือนอย่างที่มีคนบ่นไง คนที่รักษาสัญญาของตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อตกลงว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกัน ก็ต้องทำตามนั้น

   “แค่รู้ว่าเขายังดูเราอยู่มันก็ดีแล้วนะ”

   สำหรับรัตติกาลแล้วการที่ได้รู้อย่างนี้มันเกินพอ ฝาแฝดไม่เคยถามออกไปว่าเครื่องหอมที่ตัวเองใช้มันเป็นของยี่ห้อไหน รู้แค่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ส่งมาทุกครั้งเมื่อใกล้ถึงวันเกิด หากใช้หมดก่อนกำหนดมันก็จะมีขวดใหม่ส่งมาเสมอจนไม่ต้องปริปากบอกไป

   รู้...ว่ามันมาจากใคร

   “ไม่คิดอย่างอื่นบ้างเหรอ?”

   “ไม่” นั่นคือสิ่งที่ไวท์คิด”เรามีพ่อ มีเกรย์ มีน้องโรม”

   ยกมือขึ้นมานับสมาชิกในครอบครัว สี่คนเมื่อบวกตัวเองก็เป็นห้าชีวิตที่อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนี้ด้วยกัน

   “ส่วนแม่ไม่มีใครเลย”

   นิ้วที่กางออกทั้งห้าเมื่อครู่กลายเป็นกำปั้น

   “เราน่าจะขอบคุณเขามากกว่าที่ช่วยอยู่กับแม่”

   อีกมุมที่ไม่เคยคิดมาก่อน ลองนึกภาพตามแล้วมันก็จริงอย่างที่พูด แม้ครอบครัวของเขามันจะไม่ครบองค์ประกอบอย่างที่ควรจะเป็น มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นั้นมากกว่าสิ่งที่บางคนมีไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

   แม่จะเหงาบ้างไหม

   หัวใจเต้นช้าลงหลายจังหวะเมื่อคิดไปถึงใบหน้าเรียบตึง จากที่เคยเห็นเพียงแค่ในกระดาษสีคราวนี้ได้เจอในระยะประชิด ที่คิดว่าสามารถเก็บรายละเอียดเอาไว้ได้มากอยู่พอกลับมาลองนึกดูแล้วเขาก็พลาดไปหลายส่วนเหมือนกัน อย่างเช่นเสียงของแม่ที่ไม่ได้ยิน...

   น้องสาวเอื้อมมือไปแตะหลังมือของพี่ชาย ส่งสัญญาณว่ามือที่จับกันมาเสมอคราวนี้ก็ยังแน่นอยู่ไม่มีทางคลายออก “อยู่ตรงนี้นะ”

   มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ในเวลานี้



   ลักษณะพื้นที่โปรดของทิวากาลคือต้องเงียบ จะเป็นธรรมชาติหรือว่ามนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตามแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันต้องไร้เสียงรบกวน เขาไม่ชอบความวุ่นวายของผู้คนมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะโตมาในพื้นที่ปิดไร้การแทรกแซงจากทั้งมนุษย์แล้วก็เครื่องยนต์ ตอนที่เลือกมหาวิทยาลัยความห่างไกลจากตัวเมืองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลใหญ่

   เขาเลยตั้งคำถามให้ตัวเองอยู่ว่ามาทำอะไรที่นี่

   “ว่าไงมึง”

   “ไม่ต้องเตรียมตัวหรือไง?”

   โซนสำหรับสูบบุหรี่ยังไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการ ทิวากาลปล่อยควันพิษขึ้นไปบนท้องฟ้าระหว่างที่รอเพื่อนสนิทของตัวเองตอบ แท่งนิโคตินที่อยู่ระหว่างก้านนิ้วของตัวเองหายไปไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ทั้งที่จุดมันมานานพอสมควรแล้ว

   “เอาบัตรมาให้มึงนี่ไง ไม่งั้นจะเข้างานได้เหรอ” ยื่นสายรัดข้อมือสามอันไปให้ “เน็ทมันบอกว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมง กูต้องไปเตรียมตัวแล้ว”

   “กูกลับก็ได้” ช่วงนี้อารมณ์เสียตลอด โดนประชดนิดหน่อยก็พร้อมจะทำลายทุกอย่าง “ฝากบอกเน็ทด้วยล่ะว่ากูกลับแล้ว ขี้เกียจฟังมันบ่น”

   วิธีนัดเจอหน้าของเพื่อนผู้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันยากยิ่งกว่าอะไรดี เลยต้องใช้ของฟรีเป็นตัวล่อให้ออกมาเจอกันเสียบ้าง การมีเพื่อนเป็นนักดนตรีมันก็ดีอย่างนี้แหละ บัตรเข้างานไม่ต้องเสียแถมยังได้พื้นที่วีไอพี วันก่อนผู้ชายใต้กรอบแว่นทักมาว่าอยากเที่ยวไหม น้องโรมไม่ว่างเพราะว่าต้องอ่านหนังสือสำหรับสอบเอาใบประกาศกับที่หนึ่ง ส่วนไวท์ไม่คิดจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว มันเลยเหลือแค่เขา เน็ท แล้วก็คนชวนอย่างนิชเท่านั้น

   “อะไรวะ แค่นี้งอน”

   คนไม่เคยโดนเรียกอย่างนั้นทำคิ้วขมวด “กูไม่เคยงอน”

   “ที่มึงทำอยู่ตอนนี้ไง”

   “กูแค่รำคาญ”

   “รำคาญอะไรมากมาย”

   มือกลองของวงดนตรีมีชื่อยังยืนคุยอยู่กับเพื่อนตัวเองต่อ เหลือเวลาก่อนที่จะขึ้นเวทีอีกพอสมควร ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นที่ต้องให้ความสนใจยิ่งกว่า “นึกว่าจะพาพิชชามาด้วย”

   ถามหาแต่พิชชากันอยู่ได้

   “กูเห็นว่ามึงยังไม่แสดงเลยไม่พูดนะ แต่เรื่องที่มึงเอาไปบอกน้องโรมเราต้องคุยกันหน่อย”

   ไม่อยากจะพูดเรื่องนั้นเลยก้มลงมองกล่องบุหรี่ในมือตัวเอง นี่เป็นมวนสุดท้ายแล้ว เขาเพิ่งซื้อไปเมื่อวันหรือสองวันที่แล้วเองนะ แล้วเพื่อนก็ไม่ได้ขออะไรด้วย ช่วงนี้ทำไมถึงหมดเร็ว
   
   “ทำไม? จะทำอะไรกู?”

   นิชเหยียดยิ้มออก ถ้าไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าแล้วคงไม่ยอมทำอะไรอย่างนั้นลงไปหรอก มันน่าหงุดหงิดที่ลงทุนไปเยี่ยมเพื่อนถึงที่เพื่อได้รับคำตอบว่าไม่อยู่ห้อง แถมไม่ค่อยเจอมาสักพักใหญ่แล้วอีกต่างหาก พอตัวเองนึกว่าเจอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่มันเลยออกมาในรูปแบบนี้

   “กูบอกแล้วว่ารอก่อน”

   “เราไม่มีหนี้ค้างกัน“ คงเป็นความผิดของทิวากาลเองที่ยอมแลกกับเรื่องแค่นั้น โดนหยิบมาตอกย้ำอย่างนี้ก็แย่เหมือนกัน “กูจะทำอะไรก็ได้”

   “แต่ไม่ใช่เรื่องนี้”

   “จะเล่า หรือว่าอยากลองให้กูหาเอง”

   ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทิวากาลถึงตลกกับการขู่อย่างนั้น “มึงหาอะไรไม่เจอหรอก”

   นั่นคือหมอกที่ไม่มีใครจับต้องเอาไว้ได้

   “ขนาดนั้น?”

   ปากเหมือนจะไม่เชื่อแต่ใจต้องเก็บมาคิดแล้ว ลูกน้องของพ่อแบล็คมีอิทธิพลมากพอสำหรับการตามหาใครคนหนึ่งแบบที่ไม่ต้องลงแรงอะไรมาก เขาเองเจอการพิสูจน์มากับตัว เรียกได้ว่าเรื่องไหนถ้าถึงมือของราชาแล้วมันไม่มีทางที่จะจบลงโดยไม่เสียเลือดเนื้อ

   “ข้อมูลที่กูหาได้ยังผิดเกือบหมด คิดว่ายังไงล่ะ”

   “บ้าน่า”

   ยักไหล่ขึ้น มองไปรอบข้างแสนว่างเปล่าของตัวเอง “เรื่องจริง แต่อยากลองก็ได้นะ”

   “พูดอย่างนี้ถ้ากูยังทำอีกคงโง่” พิชชาสำหรับนิชแล้วเป็นผู้ชายที่ประหลาดจนไม่น่าแปลกใจที่อยู่กับทิวากาลได้ “แล้วทำไมวันนี้ไม่มา?”

   คนที่จะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต มันก็มีหมายความได้อย่างเดียว

   “หมดหน้าที่แล้ว”

   “หืม”

   “ไม่มีอะไรต้องชดใช้แล้ว”

   ตามความจริงคือไม่เข้าใจความหมาย นิชอ้าปากเตรียมถามกลับไปแล้วติดอยู่ตรงครึ่งหน้าด้านข้างของเพื่อนชายมันไม่ใช่สิ่งที่เคยเห็นมาก่อน ทิวากาลในห้วงความคิดคือผู้ชายที่มักแย้มยิ้มเป็นนิจ แต่เดาใจไม่เคยออกเพราะว่าสิ่งที่อยู่ข้างในมันไม่เคยเผยออกมา

   เป็นนักแสดงที่เก่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ รู้ว่าตอนไหนควรปั้นหน้าเป็นมิตร หรือเมื่อไหร่ได้เวลาของหน้ากากชายไร้ความปราณี ไม่เคยมีครั้งไหนที่แบล็คเลือกเล่นผิดบทบาท ผู้ชายบนบัลลังก์รักษาตำแหน่งเอาไว้ได้เสมอ มันเลยน่าแปลกที่เห็นด้านนี้ของเขา

   ใบหน้าของคนที่สูญเสียบางสิ่งไป

   “...วันนี้งานใหญ่ แต่น่าเบื่อตรงเจอเด็กกะโหลกกะลาเยอะ” เห็นอย่างนั้นเลยเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า

   “ไม่ตรวจบัตร?” ร้านค้าเดี๋ยวนี้ต้องเซฟตัวเองด้วยการทำตามกฎหมาย ตลกดีที่เรื่องต้องทำกลายเป็นเรื่องที่ควรทำเพื่อความอยู่รอด

   “ทำเป็นพิธีไปอย่างนั้น” ความน่าเบื่อของโลกทุนนิยมคือการที่เงินสามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง นิชไม่เคยสนใจประเภทของลูกค้าข้างในร้านอยู่แล้วเพราะว่ามันไม่มีผลอะไรกับการเล่น คนที่ดูแลเรื่องทั้งหมดคือสิปป์คนเดียว พอวันก่อนที่มีคนตีกันหน้าเวทีถึงรู้ว่าอายุของผู้เข้างานบางร้านนั้นน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ “แล้วพอเขม่นกันก็ยกพวกตีข้างหน้ากู”

   “ทำใจหน่อย เล่นร้านก็อย่างนี้”

   “สิปป์ก็เอาแต่หัวเราะ ไม่รู้ชอบใจอะไรนักหนา” พูดถึงเรื่องนี้แล้วมันก็ตามมาด้วยอีกอย่างหนึ่ง “วันหนึ่งถ้าโดนลูกหลงไปล่ะจะหัวเราะใส่”

   เพื่อนที่เป็นคุณแม่ให้กับน้องชายคนเล็กมาตลอดดูท่าว่ายังไม่ยอมปล่อยหัวโขนลงง่ายๆ แบล็คยืนคุยกับเพื่อนตัวเองอยู่ตรงนั้นอีกสักพักใหญ่โดยเลี่ยงไม่กลับไปพูดถึงเรื่องของพิชชา จนมือกลองโดนนักร้องนำเดินมาตามถึงได้เวลาโบกมือลา

   เปิดโทรศัพท์ดูว่าเพื่อนอีกคนอยู่ที่ไหนแล้ว สายรัดในมือที่มีสามอันคงเผื่อไว้สำหรับพี่ฟิวอีกคนหนึ่ง โรคขี้หวงนี่มันติดต่อผ่านความสนิทเหมือนกับสำเนียงภาษาหรือเปล่านะ เมื่อห้องสนทนาไม่มีการเคลื่อนไหวแบล็คจึงต้องยืนรออยู่ข้างนอกต่อไป เขาไม่ได้กระหายที่จะฟังดนตรีสดขนาดนั้น เอาเข้าจริงคือก็แค่ต้องการออกมาหาอะไรทำให้ตัวเองเลิกฟุ้งซ่านบ้างก็เท่านั้น

   ไม่อยากคิดถึง บอกตัวเองมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้

   “ฟิวแม่งช้า”

   “เน็ทต่างหาก พี่เรียกตั้งหลายรอบก็เอาแต่เปลี่ยนชุดอยู่นั่น”

   “ก็ใส่ออกมาแล้วบ่นไม่ชอบสักชุด!”

   ในที่สุดก็เจอเพื่อนสักที เน็ทมากับรุ่นพี่ที่เขาคิดว่าโคตรโชคร้ายที่ต้องกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเน็ท ไม่อยากจะเป็นพวกตัวประกอบที่คอยขัดขวางความสุขเลยขอแยกตัวออกมาหลังจากที่ให้ของไปแล้ว ดริ๊งก์ฟรีที่มาพร้อมกับสายรัดหมดไปเกือบครึ่ง ไม่มีทางทำให้ทิวากาลที่ดื่มหนักมาตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายมึนได้ เมื่อวงดนตรีกำลังจะแสดงแล้วมันคงดีกว่าถ้าเลี่ยงตัวออกมาอยู่ด้านนอก ปล่อยให้พวกต้องการปลดปล่อยเข้าไปเบียดกันด้านใน

   นั่นไม่ใช่การคลายความเครียดในแบบของทิวากาลอยู่แล้ว คนที่ชอบกำกับคนอื่นไปทั่วมีความสุขกับการได้มองผลงานของตัวเองจากหลังจอมากกว่า อย่างตอนนี้ก็มองเพื่อนตัวเองนั่งลงหลังกลองตัวใหญ่ เบ้ปากให้กับเสื้อผ้าโชว์ผิวเนื้อหลายส่วน ทีสมัยมัธยมล่ะรักนวลสงวนตัวเต็มประดา

   ทุกคนสนุกสนานไปกับเสียงดนตรี ส่องสายตาไปทั่วว่ามีตรงไหนบ้างแตกต่างออกไป

   ...

   อย่างเช่นเด็กผู้ชายตัวผอมที่กำลังยืนอยู่คนเดียวตรงนั้น

   นึกถึงที่เพื่อนเพิ่งเล่าแล้วเลยสรุปกับตัวเองว่านี่คงเป็นหนึ่งใน ‘เด็กกะโหลกกะลา’ อย่างที่บอก เด็กน้อยอายุไม่ถึงยี่สิบอย่างแน่นอน เสื้อที่ใส่มาเป็นหนึ่งในตัวที่เขาเลือกเมื่อครั้งไปเลือกด้วยกัน กางเกงยีนส์ลายเฟดสวย เห็นหยิบมือถือขึ้นมาไถขึ้นลงไปมาสักพักแล้ว

   “อายุยังไม่ถึงไม่ใช่เหรอ”

   วิธีการเงยหน้าขึ้นมามองแบบไม่มีความเกรงกลัวนั่นคล้ายกับพี่ มองต่อไปยังข้อมือที่มีสร้อยข้อมือจำนวนมากประดับอยู่ จากวันนั้นภัสจะยังทำร้ายตัวเองด้วยวิธีเดิมอยู่ไหม หรือว่าเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น ยิ่งคิดต่อไปถึงแผงยาพวกนั้นแล้วมันก็น่าห่วงยิ่งกว่าเดิม

   “รู้แล้วจะถามทำไม”

   “งั้นก็เข้าไม่ได้”

   “พี่อย่ามาทำตัวเป็นวิศวกรสังคมอย่างนี้ได้ไหม”   

   หลายต่อหลายครั้งที่ทิวากาลแปลกใจกับคำที่เด็กคนนี้ใช้ อย่างเช่นคำนั้นมันเป็นคำเฉพาะสำหรับพวกที่เรียนกฎหมาย เขาเองยังเคยได้ยินแค่ไม่กี่ครั้งเอง

   “มากับใคร”

   “เพื่อน”

   “แบบนั้น?” หมายถึงสายปาร์ตี้ทั้งหลาย เขาไม่เห็นว่าคนพวกนั้นน่าคบเป็นเพื่อนตรงไหน “มีแต่พากันเหลวไหลอย่างนี้ยังเรียกว่าเพื่อนอีก”

   “เรื่องของผม พี่ไม่เกี่ยว”

   จริงอย่างที่ภัสสร์บอก นี่ไม่ใช่เรื่องของเขาเลย

   คิดอยู่แป๊บหนึ่งว่าแถวนี้มีที่ไหนเหมาะกับการคุยบ้าง เมื่อคิดออกแล้วจึงดึงตัวเด็กที่เถียงไม่ยอมหยุดให้เดินไปคุยกัน มันมีสะพายลอยอยู่ตรงทางออกที่จอดรถ เขาไม่อยากจะคุยข้างในเพราะภัสเองยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้ามาได้ หากมีการสุ่มตรวจอะไรขึ้นมาล่ะยุ่งทั้งคู่แน่

   พาขึ้นไปตรงกลางสะพาน เมื่อมั่นใจแล้วว่าพื้นที่ตรงนี้มันเหมาะกับการคุยทิวากาลถึงยอมปล่อยมือ ยืนขวางเอาไว้ไม่ให้คิดหนีไปไหน จบจากเรื่องพี่ไปแล้วคราวนี้เขาคงต้องเร่งจัดการเรื่องของน้องบ้างล่ะ

   “เจอแม่แล้วเป็นไง”

   ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องปิดปากให้สนิทตามเดิม

   “ผมบอกแล้วว่าพี่ไม่รู้มันดีอยู่แล้ว”

   รอยยิ้มที่ส่งมาให้ไม่รู้ความหมาย ภัสสร์ก้มหน้าลงไปปลดล็อคโทรศัพท์ของตัวเองไม่แคร์คนตรงหน้า ทิวากาลผู้ไม่ชอบเด็กแล้วยังต้องมาเจอคำเยาะเย้ยอย่างนั้นไม่ลังเลเลยที่จะฉวยเอาเครื่องมือสื่อสารของอีกคนมาเก็บไว้เอง ถึงจะได้ยินเสียงร้องไม่พอใจตามมาก็เถอะ

   “นั่นของภัส!”

   “ตอบพี่มาก่อน” นานแล้วที่ราชาไม่ได้ใช้การต่อรองอย่างนี้ ทุกคนรู้ฤทธิ์ของเขาดีจนไม่อยากเสี่ยง “นั่นแม่ของพี่ใช่ไหม”

   ทุกอย่างไม่เคยมีคำว่าชัดเจน เมื่อข้อมูลรอบตัวไม่มีอะไรที่เชื่อถือได้สักอย่างเขาคิดไปไกลถึงขั้นว่าคนให้กำเนิดเขาอาจจะเป็นคนที่ให้กำเนิดพิชชาเช่นกัน แล้วความสัมพันธ์ที่ผ่านมาทั้งหมดมันจะกลายเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมจนไม่อาจให้อภัยได้

   “แม่ของพี่ไม่ใช่แม่ของผมกับพิช” เด็กที่รู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งนานแล้วยอมบอกไปโดยดี พอคิดออกอีกเรื่องเลยบอกไปด้วย “ที่จริงถ้าแม่พี่ไม่เปลี่ยนแผนผมก็ว่าจะพาไปเจอเองอยู่หรอก”

   ต้องเลือดเย็นมากแค่ไหนถึงคิดที่จะทำอะไรอย่างนั้น

   “เกินไปไหมภัส”

   “ไม่นะ”

   ใต้ร่างและวิญญาณของเด็กชั้นมัธยมปลายคนหนึ่งควรจะเก็บอะไรเอาไว้บ้าง ทำไมนัยน์ตาที่ไม่เคยมีแววข้างในว่างเปล่าเหมือนกับเสียงที่เปล่งออกมา เขาตอบออกมาง่ายๆ เหมือนกับการตอบว่าชอบทานอาหารชนิดนี้หรือไม่

   ลมพัดเย็นสบายไม่ช่วยดับความร้อนที่อยู่ข้างใน และมันทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเด็กคนนั้นตอกย้ำคำพูดเดิมที่เคยให้ไว้

   “ผมพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเก็บพิชไว้กับผม”

   “...”

   “ไม่มีวันที่ผมจะยกพิชให้ใคร”

   บางคนยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจเพื่อแลกความเป็นนิรันดร์

   “พิชชาไม่ใช่สิ่งของที่เธอจะเอาเก็บไว้เป็นกรรมสิทธิ์”

   “เมื่อกี้พี่ถามผมแล้ว คราวนี้ฟังผมเล่าอะไรหน่อยสิ” ภัสสร์ยันตัวเองขึ้นไปนั่งบนขอบราวเหล็ก หมุนตัวเองออกไปด้านนอกที่ไม่มีอะไรรองรับเอาไว้ “พี่ไม่ต้องทำหน้าตกใจอย่างนั้น ผมไม่ตกลงไปหรอก”

   “พี่ไม่เชื่ออะไรภัสทั้งนั้นแหละ” รวมถึงไม่เชื่อพี่ชายของภัสสร์เช่นกัน

   เสียงหัวเราะสมวัยมาพร้อมกับการยกมือขึ้นเสยผมของตัวเอง “ผมอยากไปจะแย่ แต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลา”

   “จริงเหรอ?” ช่วงแรกที่เจอกับพิชชาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ จนอยู่ไปมากๆ แล้วก็คิดว่าตัวเองคงเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกันเรื่องนี้ไปไม่น้อยเลยล่ะ

   “อยากพิสูจน์ไหม?”

   ยิ้มท้าทายอย่างนั้นไม่ควรได้รับการสนับสนุน

   “ไม่ พี่ยังไม่อยากไปเป็นพยานกับตำรวจ”

   เสียดายที่บุหรี่หมดไปแล้ว เขาเลยต้องให้ความสนใจกับเด็กน้อยตรงหน้าทั้งหมด ทิวากาลขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเผื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่นอกเหนือการควบคุมแล้วเขายังพอแก้ไขได้ทัน ถนนเส้นเล็กตอนกลางคืนมืดสนิทไร้เครื่องยนต์ขับผ่าน

   ภัสยังแกว่งเท้าไปมาไม่สนใจว่ามันอันตรายแค่ไหน เอาเถอะ เด็กที่กรีดข้อมือตัวเองได้หน้าตาเฉยไม่น่าแปลกใจถ้าจะทำอย่างอื่นเสริมด้วย

   “แฟนพี่กายท้องแล้วล่ะ”

   “...เร็วดี” ตอนอยู่ข้างในไม่เห็นเครื่องดื่มมึนเมาในมือของภัส ส่วนกลิ่นที่ติดตามตัวก็มีเพียงกลิ่นหอมจางของน้ำหอมมีชื่อชนิดหนึ่ง เลยไม่กล้าฟันธงว่าสิ่งที่ทำให้เด็กคนนี้พูดถึงชายที่เคยรักมันมาจากน้ำสีแปลกพวกนั้นหรือเป็นเพราะสิ่งอื่น

   “ถ้าภัสตายแล้วเกิดใหม่เป็นลูกพี่กายก็ดีสิ...”

   “ฝนจะตกแล้ว เข้าไปข้างในกันไหม” ลมเริ่มพัดแรงแล้วก็มีเสียงฟ้าร้องเตือน ยิ่งเสียงพึมพำนั้นมันดูไร้สติจนน่ากลัวว่าเด็กอาจคิดน้อยถึงขนาดพาตัวเองดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง

   “พี่ชื่อจริงว่าอะไรนะ”

   ไม่อยากยื้อเวลาเอาไว้เลยตอบไป “ทิวากาล”

   “กลางวัน?”

   "วิชาภาษาไทยน่าจะสอนอยู่แล้ว"

   “ตอนแรกพ่อจะให้ชื่อของพี่กับน้องขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเดียวกัน” ยังตีขาในอากาศอย่างนั้นอีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเข้ามาอยู่ข้างใน

   “แต่ที่เป็นภัส ไม่ใช่พัส เพราะว่าภัสสร์แปลว่าแสงสว่าง”

   จากนั้นจึงกลับมายืนเหยียบพื้นปูน ปัดมือทั้งสองข้างไปมาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกติดมือจึงเคลื่อนตัวมาประจันหน้า

   “แต่พัสจะแปลว่าสายฝน”

   ราตรีสีดำกำลังร้องเรียกอะไรบางอย่าง


**
   ให้พี่แบล็คเจออะไรอย่างนี้บ้าง (หัวเราะ) เล่นคนอื่นเขาไว้เยอะตัวเองต้องโดนมากกว่าหลายเท่านะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-1 [06.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 06-02-2017 22:54:20

เอาใจช่วย
รักทั้งคู่ #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-1 [06.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-02-2017 06:57:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-2 [12.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 12-02-2017 18:33:21
CH.16-2

   หยดน้ำที่กำลังโปรยปรายอยู่พาให้ทิวากาลย้อนนึกไปถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เขาเรียกว่าเด็กเวรจากการกระทำหลายๆ อย่าง

   พัสสะแปลว่าฝน

   หน้าจอโทรศัพท์ค้างเอาไว้ตรงเครื่องมือแปลภาษา ทิ้งให้มันสว่างอย่างนั้นไม่กลัวเปลืองแบตเตอรี่ จนอีกพักใหญ่เสียงเครื่องสั่นกระทบกับพื้นไม้จึงร้องเตือนให้เขารีบยกมือถือขึ้นมาก่อนที่จะหล่นลงพื้นไป ไม่ต้องดูชื่อคนโทรเข้าให้เสียเวลาเพราะเวลานี้มีอยู่คนเดียว

   “สอบเป็นไงบ้าง”

   เบอร์ที่กลายเป็นบันทึกการโทรเข้ามากที่สุดของทิวากาล

   (ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไร)

   “เหลืออีกกี่วิชา ตั้งใจอ่านด้วย”

   (พี่นี่ขี้บ่นเนอะ)

   เบอร์ที่แลกกันมาแบบงงๆ แล้วฝ่ายนั้นก็ชอบโทรมาหาอยู่เรื่อย ทิวากาลปลอบใจตัวเองว่ามันคงเป็นช่วงเวลาของเด็กขี้เหงาเมื่อเจอที่พึ่งพิงใหม่เลยไม่รู้จักการเว้นระยะห่าง

   “ก็น่าบ่นไหมล่ะ”

   (พ่อยังไม่เคยบ่นผมเท่านี้เลยนะ)

   “แล้วนี่ถึงห้องหรือยัง หรือว่าออกไปไหนต่อ”
   
   ทิวากาลไม่เคยห้ามภัสสร์ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ตราบใดที่ยังดูแลตัวเองได้เท่านั้นก็พอแล้ว คือถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาไม่ต้องร้องเรียกให้ช่วย เขาไม่มีทางยื่นมือเข้าไปหาอยู่แล้ว

   (จะถึงหน้าคอนโดแล้ว วันนี้ไม่มีใครยอมออกไปด้วย บ่นเรื่องสอบกันหมด)

   “ดีแล้ว พักร่างกายบ้าง” สมัยเขาอายุเท่านั้นยังไม่เคยทำร้ายตัวเองขนาดนี้เลย ไม่รู้จะรีบไปไหน

   (แล้ววันนี้พี่ไม่หาเรื่องไปตีเทนนิสแล้วเหรอ)

   เกลียดนักคนรู้ทัน อยู่ดีๆ ก็เบื่อทุกอย่างในชีวิตจนใช้ข้ออ้างว่าเหนื่อยจากการเล่นกีฬาในการไม่ออกไปพบปะผู้คน ถ้าภัสโทรมาก็จะคุยส่งๆ ไปไม่กี่นาทีแล้วหาเรื่องวางสาย ส่วนน้องชายคนเล็กที่หนีบเอาเกราะส่วนตัวอย่างที่หนึ่งมาด้วยเขาก็สร้างบรรยากาศมาคุให้ล่าถอยไปเอง นี่น้องโรมเริ่มเปลี่ยนแผนด้วยการเอาไวท์เข้ามาเป็นทัพหน้าล่ะ

   “ไม่ กล้ามเนื้อพังหมดแล้ว”

   (พี่ฟังผมด่าข้อสอบหน่อ ...ขอบคุณครับ ...หืม ...อะไรนะ)
   
   ทิวากาลเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นพี่ชายแสนดีแล้วล่ะ มือหยิบปากกาเตรียมเขียนใจความสำคัญลงในกระดาษ ค้างไว้ตรงจุดเดิมเมื่อเสียงปลายสายแปลกไป จากการบ่นกระปอดกระแปดมันเป็นการทักทายพนักงานต้อนรับหน้าตึกธรรมดาอย่างที่ได้ยินมาแล้วหลายครั้ง ส่วนท้ายที่แห้งผากต่างหากทำให้ใจไม่ดี

   มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นตรงนั้น...

   “ภัส?”

   (พี่...พี่กาย...อยู่ในห้อง)

   “ในห้อง?”   

   (ทำไงดี...เขาบอกว่าพี่กายอยู่ข้างใน)

   “ห้ามขึ้นไปเด็ดขาด เข้าใจไหมภัส”

   (พี่กายมาทำไม...)

   คุยกันไม่รู้เรื่องแล้วแน่ มือข้างหนึ่งรีบคว้าของจำเป็นทั้งหมดไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนมืออีกข้างยังเกลี้ยกล่อมให้เด็กคนนั้นอย่าเพิ่งคิดวู่วามทำอะไรลงไป มันเป็นเรื่องยากที่จะต้องยอมรับให้ได้ว่าคนที่ตัวเองรักยังคงวนเวียนอยู่รอบตัว แล้วไม่ใช่ในเคสที่ต่างคนต่างไปโดยไม่มีพันธะต่อกัน มันยังมีโซ่เส้นเล็กคอยดึงเอาไว้ไม่ให้หายไปไหนได้

   “ยังไม่ต้องคิด ฟังพี่นะ ห้ามขึ้นไป”

   (...พี่กาย ...พี่กายมา...)

   “ภัส!"

   สัญญาณขาดไปไม่อาจต่อให้ติดได้ใหม่ เมื่อลองโทรกลับไปอีกครั้งมันมีเพียงเสียงของหญิงสาวแผนกต้อนรับ หัวเสียจนต้องสบถออกมาผิดวิสัย ทิวากาลไม่ชอบสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และตอนนี้เขาก็รู้ว่าเด็กคนนั้นไม่มีทางยอมทำตามที่เขาแนะนำไปแน่นอน

   ฝนตกพรำจนต้องเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการขับรถจักรยานยนต์ ยอมใช้รถอีโค่คาร์ของตัวเองทั้งที่มันอาจพาเขาไปถึงจุดหมายได้ช้ากว่าหลายเท่าตัว แล้วจากคอนโดที่มหาวิทยาลัยไปบ้านของเด็กคนนั้นมันทางคนละเส้น แบล็คได้แต่ภาวนาว่าเขาสามารถพาตัวเองไปถึงตรงนั้นทันก่อนที่จะมีเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น

   พิชชา...ต้องโทรบอกพิช

   “...”

   มือข้างซ้ายที่ถือเครื่องสี่เหลี่ยมเอาไว้อยู่ชะงักไป เมื่อครั้งยังติดต่อกันเป็นประจำเบอร์ของพิชชากลายเป็นรายชื่อเดียวที่อยู่ตรงรายการโปรด ไม่เคยคิดจะเอาออกเพราะว่าต่อให้ลบการบันทึกไปเขาก็ยังจำเลขทั้งสิบหลักได้อยู่ดี

   สุดท้ายแล้วก็ได้แต่กดปุ่มพักหน้าจอไว้ตามเดิม

   กว่าจะไปถึงที่หมายได้ก็เป็นชั่วโมง ตลอดทางลองติดต่อกลับไปหลายครั้งก็ไม่เป็นผล เด็กคนนั้นมุทะลุจะตายไป แล้วมันก็มีอย่างเดียวที่เขาคิดออก

   มาหลายครั้งจนไม่มีปัญหาในการผ่านประตูหน้า ห้องที่อยู่ชั้นบนสุดต้องมีการ์ดสำหรับการเข้า เพิ่งมานึกเรื่องนั้นได้ก็ตอนขึ้นลิฟต์ไปแล้ว เอายังไงดีล่ะ ถ้าต้องบุกเข้าไปนี่เขามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเรื่องบุกรุกเลยนะ เคยเป็นแต่คนเรียนจะได้มีความผิดบ้างก็คราวนี้ล่ะ

   ผิดจากที่คิดก็ตรงประตูห้องปิดไม่สนิท มันพร้อมให้เขาเข้าไปด้านในได้โดยไม่ต้องขออนุญาตอีก อาจต้องไปค้นฎีกาเพิ่มขึ้นหน่อยว่าการทำอย่างนี้ยังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการกระทำความผิดอยู่หรือเปล่า บอกเลยว่าพี่น้องคู่นี้เกิดมาเพื่อจองล้างจองผลาญเขาชัดๆ!

   ค่อยๆ แง้มบานประตูออกจนเห็นทางเดินไปยังห้องนั่งเล่น นอกจากรองเท้านักเรียนที่ถอดไว้ไม่เรียบร้อยตรงหน้าทางเข้าแล้วมันไม่มีคู่อื่นอีก ใจชื้นได้นิดหน่อยว่าพี่กายอาจไปแล้วภัสเลยกลับขึ้นห้อง

   ...หรือว่าเจอกันแล้ว

   สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือห้องในสภาพพังพินาศ เพราะเคยมาแล้วถึงรู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากความไม่เอาใจใส่ของเจ้าของ พื้นที่สี่เหลี่ยมกลายเป็นสนามสู้รบทางอารมณ์ที่หลงเหลือเอาไว้เพียงซากความเสียหาย ทิวากาลก้าวเข้าไปด้านในทีละก้าวจนพบภัสสร์นั่งนิ่งอยู่คนเดียวตรงริมห้อง

   มันเป็นภาพสะเทือนอารมณ์ไม่น้อย เด็กตัวผอมกับเสื้อผ้าหลุดลุ่ยที่ระบุต้นเหตุไม่ได้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงตอนที่เห็นว่าในห้องนี้ยังมีใครอื่นอยู่อีก ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรงไม่แสดงออกถึงอาการใด แบล็คย่อตัวลงไปใกล้โดยเว้นระยะห่างเอาไว้ให้อีกคนรู้สึกปลอดภัย

   "ไปแล้วใช่ไหม"

   "อือ...ไปแล้ว" น้ำเสียงแหบแห้งไร้โทน ไม่ต่างจากสีหน้าที่แสดงออกมา

   "อยากอยู่อย่างนี้ก่อนไหม พี่จะได้ไปเอาน้ำมาให้"

   เวลานี้ไม่ควรจะเข้าไปคาดคั้นอะไร ภัสสร์ควรได้อยู่กับตัวเองโดยทิวากาลจะคอยดูอยู่ห่างๆ เผื่อไว้สำหรับช่วงอารมณ์ไม่คงที่ เขายังไม่อยากเป็นพยานบุคคลอย่างที่บอกไปแล้ว

   "...ไม่เป็นไร"

   "งั้นพี่อยู่ในห้องนอนนะ"

   "อยู่ตรงนี้ก็ได้"

   ช่วงที่น้องของตัวเองอายุเท่านี้คงแข็งแกร่งได้ไม่เท่า ภัสสร์เหยียดขาของตัวเองออกจนตึง ขยับช่วงคอไปมาไล่ความเมื่อยล้า "พี่มาช้าจัง"

   "ฝนตก" นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง แต่เป็นข้อเท็จจริงที่หวิดพาจดหมายเตือนเรื่องขับรถเร็วกว่ากำหนดร่อนไปถึงบ้านด้วย "แสดงว่าพี่กายกลับไปนานแล้วล่ะสิ"

   จากการติดต่อครั้งสุดท้ายมันกินเวลาไปพอสมควร ดูจากอาการสงบของภัสแล้วพี่กายน่าจะออกไปสักพักใหญ่แล้ว เด็กมัธยมปลายผงกหัวขึ้นลง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปไม่มีหยุด

   "พอวางสายพี่ไปก็ขึ้นมาเลย เจอพี่กายมาคนเดียว"

   ทิวากาลไม่เข้าใจหลานคนโตของบ้าน ทำไมต้องยึดติดอยู่กับเด็กที่ไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างนี้ด้วย

   ถึงบอกไงว่าเขากลัวความรัก

   ...กลัวจนไม่ปรารถนาเข้าไปทำความรู้จัก

   "คุยเรื่องอะไรบ้างล่ะ"

   "ก็เรื่องเรียน พี่กายดีใจที่ภัสเข้าสอบ"

   "อ่าฮะ" น่าจะคุยกันอีกนานเลยเปลี่ยนไปนั่งขัดสมาธิแทน ปัดหนังสือสารคดีที่เต็มไปด้วยรอยยับออกไปจากรัศมีของตัวเอง ห้องที่เคยรกมากอยู่แล้วคราวนี้คงได้เวลาปฏิวัติใหม่ทั้งหมด ส่วนของห้องนอนอาจยังใช้ได้แต่ว่าห้องนั่งเล่นนี่บอกได้เลยว่าถ้าเรียกแม่บ้านมาก็ต้องให้ค่าแรงเพิ่ม

   “แล้วก็ตกลงอะไรกันไม่ได้นิดหน่อย”

   “เรื่องไหน”

   "พี่เคยคุยเรื่องของด้ายดำกับพิชไหม"

   ตรงนี้เหมือนพี่ คุยเรื่องหนึ่งอยู่แล้วโยงเข้าเรื่องอื่นได้แบบไม่ต้องใช้ตัวช่วย "เคยนะ"

   ด้ายสีดำที่บอกว่าผูก 'วิญญาณ' ของคนสองคนเอาไว้

   "พี่เชื่อหรือเปล่า"

   "ไม่"

   ตอบด้วยความสัตย์จริง สิ่งที่เป็นแค่เรื่องเล่าอย่างนั้นไม่มีคุณค่าอะไร จะให้มากที่สุดแค่ฐานะนิทานก่อนนอนเท่านั้นแหละ

   "งั้นถ้าผมขอพิชไปก็ได้งั้นสิ"

   "หมายถึง?"

   "ผมขอพิชนะ"

   "เรื่องอย่างนั้นมาถามพี่ได้ยังไง"

   ในเมื่อพิชชาไม่ใช่สิ่งของ และมนุษย์ไม่มีทางตกเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร

   "เอาเป็นว่าพี่ให้แล้ว"

   "ภัสสร์" น่าเบื่อตรงที่อยากเรียกชื่อจริงมันก็ดันเหมือนชื่อเล่นเสียอีก ความตั้งใจที่จะให้มันเป็นเรื่องซีเรียสเลยลดระดับไปเลย "เรื่องนี้มันอยู่ที่พิช"

   แม้สิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันเรียกได้ว่าหมดความสัมพันธ์ไปแล้ว เขาก็หวังเอาไว้ในส่วนลึกว่าสักวันทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม

   "พิชเลือกไม่ได้สักหน่อย" เสียงเล่าหนึ่งเมื่อครั้งนานมาแล้วแว่วเข้ามาในหู คำที่บอกว่าเรื่องบางเรื่องนั้นก็ไม่อาจเลือกเองได้

   ทิวากาลว่าตัวเองแสดงออกชัดว่าไม่พอใจกับการขออย่างนั้น ทำเหมือนกับว่าพี่ชายของตัวเองเป็นแค่ตุ๊กตาไร้ชีวิตที่อยากจะโยนไปที่ไหนก็ได้ตามใจ สุดท้ายพออยากจะเล่นถึงออกตามหา แล้วถ้าไม่เจอก็ร้องโวยวายแทบเป็นแทบตาย

   “แล้วถ้าพี่บอกว่าไม่ให้ล่ะ”

   “ก็เอาพิชไปจากผมให้ได้สิ”

   "..."

   ใบหน้าเรียบเย็นชากับคำหยันนั้นหยุดทุกเสียงให้ค้างอยู่แค่ในลำคอ มันเป็นคำท้าที่ผู้เสนอมีความมั่นใจจนล้นว่าตนเองจะไม่ใช่ผู้ปราชัย ทำไมภัสสร์ถึงเชื่อมั่นได้ขนาดนั้นว่าพี่ชายของตนจะไม่มีทางหนีพ้น

   ถ้าไม่รักกันมาก ก็ต้องมาชดใช้ให้กัน

   นั่นเป็น ‘หน้าที่’ ในการเป็นพี่ของพิชชาใช่ไหม

   "ผมเป็นเด็กเห็นแก่ตัวเนอะ"

   "รู้ตัวนี่"

   "แล้วก็คุยเรื่องลูกของพี่กายด้วยล่ะ"

   นั่นใช่เรื่องที่ควรพูดกันหรือไง สีดำเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้ข้างใน ยังคงอยู่ในโหมดของผู้ฟังที่ดีไม่เข้าไปขัดจนกว่าอีกฝ่ายจะเล่าจบ

   “พี่กายบอกว่าอยากให้ตั้งชื่อลูกด้วย"

   นี่เป็นตลกร้ายที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา

   "ภัสเลยบอกไปว่าคิดออกอยู่ชื่อเดียว" การเล่าสะดุดไปเมื่อสายตาของเด็กคนนั้นเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ ยากที่จะบอกว่าส่วนของวิญญาณนั้นลอยไปที่แห่งใด

   “ถึงต่อจากนี้ไปภัสจะไม่ได้เจอพี่กายอีกแล้วก็ตาม ...แต่เด็กที่จะเกิดมาต้องชื่อว่าพัส"

   ความสัมพันธ์ที่น่าประหลาด ยิ่งรักมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกลียดได้มากเท่านั้น

   "คิดว่าน่าจะอยู่ไม่ถึงวันที่เด็กเกิด ถ้ายังไงฝากพี่ตามให้หน่อยนะ ถ้าเด็กคนนั้นใช้ชื่ออื่น...ช่วยเตือนพี่กายด้วยว่าคำพูดมันผูกพัน"

   อย่างน้อยที่สุดพี่น้องสองคนนี้ก็เชื่อในเรื่องคำพูดเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องสนใจคำอื่นก่อน

   "แล้วจะไปไหน?"

   คำถามไม่ได้รับคำตอบ เด็กในชุดนักเรียนขยับตัวเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นว่าแบล็คไม่ต่อต้านอะไรจึงเปลี่ยนขึ้นไปคร่อมจนชิด คนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นโดยไม่เอ่ยคำเตือนใด แม้สองร่างจะสัมผัสกันมากกว่าครั้งที่ได้ใกล้กับพิชชาก็ตามที

   ราวกับที่ดำรงอยู่มีเพียงร่างกายหากไร้วิญญาณ

   "พี่จูบภัสหน่อยได้ไหม"

   การร้องขอไม่ต่างกับเวลาเพื่อนขอบุหรี่

   "บอกเหตุผลมาก่อน"

   แขนทั้งสองข้างยังยันเอาไว้ข้างตัว ไม่คิดจะเพิ่มจุดแนบชิดของร่างกาย จะว่าแปลกใจมันก็มีอยู่นิดหน่อยแหละ โดนรุกอย่างนี้มันก็ต้องตกใจบ้าง ที่ใช้คำว่าบ้างส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนที่กำลังเบียดชิดอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเด็กวัยว้าวุ่นในสายตา อีกอย่างคือพูดเรื่องทำนองนี้ออกมาในหัวคงมีแต่ความคิดอยากประชดชีวิต

   "ได้ไหม..." ขยับตัวเข้ามาใกล้จนการมีอยู่ของเสื้อผ้าไม่มีความหมาย "ครั้งเดียว"

   คนที่รักความเงียบคราวนี้อยากให้มีใครก็ได้โพล่งเข้ามาขัดจังหวะ ราชาสีดำเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองสีหน้าของอีกคน ใบหน้าเกือบชิดลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีดำสนิทเมื่ออยู่ในที่ร่มเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายปะปนกัน ทิวากาลหวังว่ามันจะช่วยให้คำใบ้สักอย่าง และเขาหามันไม่เจอ

   ไม่อยากยอมรับแต่ก็ทำไปแล้ว จัดการเทียบทุกสัดส่วนกับคนเป็นพี่ ตั้งแต่เส้นผมไล่ยาวลงมาจนถึงส่วนของไหปลาร้า ทุกอย่างของคนสายเลือดเดียวกันไม่มีความคล้าย แม้กระทั่งกลิ่นน้ำหอมแบรนด์นั่นก็ยังดูไม่เหมาะในบางความรู้สึก

   "บอกมา"

   "ภัสอยากจะรู้ว่ามันเหมือนกับจูบของพี่กายหรือเปล่า"

   แล้วเขามีทางเลือกไหมล่ะ

   "...ไม่ใช้ลิ้นนะ"

   ริมฝีปากแนบกันสนิทหลังจากให้คำอนุญาต ปล่อยให้เด็กชั้นมัธยมที่ขอการสัมผัสทางกายได้ทำอย่างต้องการ วิธีการจูบแบบเด็กน้อยเป็นการเซฟตัวเองที่ดีที่สุด เขาไม่อยากจะพาตัวเองลงไปถลำในวังวนของพี่น้องคู่นี้มากกว่านี้

   ตนเองคงปิดระบบการทำงานของประสาทสัมผัสแล้วจริงเลยไม่มีความรู้สึกใดกับสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ ขยับริมฝีปากตามบ้างในบางทีเพื่อให้มันเหมาะกับองศาการเคลื่อนไหว นอกจากนั้นแล้วมันก็มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งให้ทำตาม

   เมื่อการสัมผัสไร้ความหมายจบลง ทิวากาลจึงลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง

   "..."

   "แย่จังเลยพี่แบล็ค" ภัสไม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อเล่นจนเกือบลืมไปแล้วว่าเคยแนะนำตัวไป "มันไม่เหมือนกับจูบลาของพี่กายเลย..."

   เคลื่อนมือขึ้นไปแทรกตามกลุ่มผม ค่อยๆ ดันมันลงมาให้พอดีกับช่วงไหล่ หวังว่ามันจะเป็นผ้าเช็ดน้ำตาผืนใหญ่พอสำหรับเด็กอายุสิบหกที่ต้องแบกรับความสับสนจำนวนมหาศาลเอาไว้

   ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แม้ไหล่จะเปียกชื้นเป็นวงกว้างเขาก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหน รวมถึงไม่ปริปากพูดออกมาแม้แต่หนึ่งคำ ตอนนี้มันเป็นเวลาของการปลดปล่อยทุกอย่าง สิ่งที่ภัสสร์แบกรับเอาไว้บนบ่ามันถึงเวลาที่ต้องปลดออกแล้ว ยิ่งน้ำหนักมันเพิ่มมากแล้วยังดันทุรังเดินต่อเมื่อถึงจุดแตกหักมันก็พร้อมที่จะหล่นลงมาทับโดยไม่มีคำเตือน

   ใช้ช่วงเวลานั้นเก็บทุกรายละเอียดที่หลุดออกมาให้ได้มากที่สุด ทั้งเรื่องส่วนตัวแล้วก็ภายในครอบครัว อย่างเช่นเรื่องที่พี่กายมาเตือนว่าการย้ายออกจากบ้านของพิชชานั้นมันสร้างความไม่พอใจให้คนอื่นไม่น้อย ยิ่งเลือกวิธีการทุบทิ้งแล้วมันก็รุนแรงจนรับไม่ได้ หลายคนที่เคยหลีกห่างเรื่องนี้เริ่มเปลี่ยนใจเข้าพวกกับคนอื่นในการต่อต้านการตัดสินใจของทายาทผู้กุมอำนาจทุกอย่างเอาไว้

   ขยับข้อมือมาดูเวลาเพื่อพบว่านั่งอยู่อย่างนี้มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ท้องฟ้าปลอดโปร่งข้างนอกกลายเป็นเมฆหมอกทึบ คืนไร้พระจันทร์หลังสายฝนซาของห้องที่บนชั้นสูงสุดสวยงามและมืดมนไปพร้อมกัน สิ่งที่เขาชอบที่สุดสำหรับห้องนี้คือการที่ห้องนั่งเล่นติดกระจกบานใหญ่เอาไว้จนสามารถมองออกไปข้างนอกได้กว้างหลายร้อยองศา

   ความมืดนี้จะเรียกว่าสีดำสนิทได้หรือยัง?

   เมื่อร่างนั้นหยุดร้องไห้ก็ถึงเวลาของการพาไปพักผ่อน ส่วนสูงรวมถึงน้ำหนักของเด็กที่ยังโตไม่เต็มวัยสะดวกต่อการอุ้ม วางร่างที่เข้าสู่นิทราไปแล้วลงบนเตียงขนาดใหญ่ คราบน้ำตายังติดอยู่เต็มแก้มบอกเขาว่าควรจะทำความสะอาดเสียหน่อย หรือบางทีอาจต้องช่วยเช็ดตัวให้ด้วย เล่นทำลายล้างห้องไปเสียขนาดนั้นเหงื่อคงออกเยอะอยู่

   คว้าผ้าขนหนูผืนแรกบนราวมาไว้ในมือ เปิดก๊อกน้ำเตรียมชุบให้มันหมาดเหมาะกับการเช็ดให้ทั่วทั้งใบหน้า ส่วนอื่นอาจต้องกลับมาทำความสะอาดอีกรอบ

   น้ำเย็นไม่อาจปลุกให้อีกคนฟื้นสติขึ้นได้ มีเพียงเสียงครางแบบคนรำคาญเต็มทีก็เท่านั้น เมื่อตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าบนใบหน้าที่เคยเปื้อนน้ำตามันสะอาดสมใจแล้วถึงลุกขึ้นมาเตรียมกลับไปล้างผ้าอีกครั้ง ลองคำนวณดูแล้วคงต้องเดินหลายรอบกว่าจะทำความสะอาดเสร็จทั้งร่าง

   กลับเข้ามาข้างในห้องน้ำจึงเห็นว่าถัดจากผ้าขนหนูที่หยิบมาเมื่อครู่มันคือผืนเดียวกับที่เคยหยิบส่งๆ ให้พิชชาใช้เมื่อครั้งห้ามเลือด ที่รู้ว่ามันเป็นผืนนั้นก็เพราะเลือดฝังลึกจนเห็นเป็นรอยจางอยู่ตรงมุมหนึ่งของผ้า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นย้อนกลับมาจนต้องกวักน้ำเข้าหน้าตัวเอง การสาบานด้วยเลือดที่เขาไม่อาจรักษามันเอาไว้ได้

   ราชาผิดคำสาบาน

   เชิงกรานร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่กล้าแตะต้องรอยนูนแห่งเดียวของตัวเอง ต้องรีบคลายความคิดฟุ้งซ่านด้วยการเดินออกไปทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กชั่วคราว จัดการถอดเสื้อนักเรียนออกแล้วรีบเช็ดตามตัวเหมือนกับตอนทำให้น้องชายคนเล็ก จากนั้นก็สวมเสื้อตัวใหม่เข้าไปแทนที่ จัดแจงเรื่องเครื่องห่มให้เรียบร้อยก่อนเดินไปหาสวิทช์เปิดเครื่องปรับอากาศ ตบท้ายด้วยการเปิดไฟหรี่เอาไว้ไม่ให้รบกวนการนอนหลับ

   ถอยห่างออกมาดูผลงานของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมารับบทพี่ใหญ่ผู้ทำได้ทุกอย่างอีกครั้ง ถึงยังต้องเป็นแผนกปลอบใจพี่น้องอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับขั้นมาห่มผ้าให้ก่อนเข้านอนอย่างรอบนี้ เป็นการบริการในระดับวีไอพีจริงๆ

   หมุนตัวไปดูผลงานชิ้นเอกของจิตรกรตัวผอม แผนที่โลกตรงฝาผนังยังว่างเปล่าไร้การแต่งแต้มลงไปเพิ่มเติม จำได้ดีว่าความฝันอย่างหนึ่งของภัสคือการได้เดินทางไปรอบโลก มันอาจจะดูเป็นสิ่งที่ไม่น่าตื่นตาเท่าไหร่ แต่สำหรับทิวากาลแล้วการค้นพบว่าตัวเองต้องการอะไรแค่นั้นมันก็ยิ่งใหญ่มากพอ

   "...พี่..."

   ตวัดหน้าไปทางต้นเสียง ร่างใต้ผ้าห่มผืนหนาขยับเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียงต่อ

   "...ไว้เจอ...กัน...ใหม่นะ"

   การได้ยินอย่างนั้นมันสะเทือนใจไม่น้อย เรื่องของลูกพี่ลูกน้องที่มีความสัมพันธ์เกินเลยไปกว่าที่ควรจะเป็นมันยากเกินกว่าใครจะรับได้ แล้วยังต้องมารับรู้ว่าสิ่งที่เคยเป็นของตัวเองกำลังกลายเป็นของคนอื่นไปโดยไม่อาจประกาศความเป็นเจ้าของได้อีก ภัสสร์รู้ตำแหน่งตัวเอง เหมือนกับที่ปกายก็ตระหนักดีเช่นกัน จากที่จับใจความได้การเจอกันครั้งนี้มันจะปิดฉากทุกอย่างให้สมบูรณ์ หลังจากนี้มันจะมีเพียงพี่ชายที่เป็นคนเลี้ยงน้องชายมากับมือเท่านั้น

   จะไม่มีฐานะอื่นอีกแล้ว

   สุดท้ายแล้วภัสสร์ก็เป็นเด็กอยู่ดี ยังเปราะบางและพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ นี่อาจเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายว่าเครื่องแก้วใบนี้จะยังคงสภาพอยู่ได้หรือไม่ หรือว่ามันถึงเวลาที่ต้องไป...

   รอจนมั่นใจว่านอกจากละเมอออกมาแล้วมันจะไม่มีอย่างอื่นอีก เดินออกมายังส่วนของอดีตสนามสงครามไร้คำบรรยายเพิ่มเติม ก่อนที่ภัสจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าข้างนอกควรมีพื้นที่สำหรับการเดินไม่ใช่ที่อยู่ของขยะล้านแปดพวกนี้

vสวมวิญญาณพ่อบ้านเก็บกวาดของที่แน่ใจได้ว่ามันไม่อาจนำกลับมาใช้ได้อีก ส่วนของที่ตกจากชั้นก็แค่วางกลับขึ้นไปให้เหมือนเดิม ภัสไม่ได้ทะเลาะอะไรรุนแรงกับพี่กาย ทั้งหมดคือวิธีการสงบสติอารมณ์ของคนคนเดียวเท่านั้น สงสารหนังสือเล่มใหญ่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

   "ไม่เคยมีใครสอนว่าการทำลายข้าวของมันเป็นไม่ดีหรือไง"

   เก็บทุกอย่างให้เรียบร้อย วางเงินไว้สำหรับอาหารเช้าของพรุ่งนี้ ไม่สิ เช้าวันนี้อีกหน่อย เอากระดาษที่หยิบได้แถวนั้นมาเขียนย้ำว่าถ้าอยากให้มาเมื่อไหร่ก็รีบโทรหา ชีวิตคนไม่รีบจบว่างอยู่แล้ว

   ทำจนครบทุกอย่างแล้วเลยเดินออกจากห้องเตรียมกลับบ้านบ้าง ไม่ลืมที่จะหยิบเอาแผงยานอนหลับติดมือมาด้วย มือกดปุ่มคำสั่งลงตรงหน้า รอจนได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ทำงานตามคำสั่ง

   "..."

   เหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้คือตอนที่ลิฟต์เปิดออก มันมีผู้โดยสารอยู่ข้างใน

   ผู้ชายผมยาวที่ดึงดูดสายตาเขาเสมอ

   สวมบทบาทของน้องสาวอย่างรวดเร็ว เก็บทุกความรู้สึกเอาไว้ข้างในจนลึกที่สุด ไม่อยากให้กลายเป็นพื้นที่ไร้อากาศเลยบอกเล่าเรื่องไปนิดหน่อย

   "...หลับไปแล้ว ดูแลต่อด้วยแล้วกัน"

   รอให้คนข้างในเดินออกมาก่อนถึงเข้าไปแทนที่ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งคำขอบคุณตอนที่เอื้อมมือไปเปลี่ยนคำสั่งของลิฟต์ สายตามองตรงไปยังปุ่มตัวเลขเรียงรายไม่ยอมเหลือบไปมองส่วนอื่น

   กล่องสี่เหลี่ยมเคลื่อนตัวลงมาช้าๆ ทิวากาลเดินไปยืนตรงบริเวณเดียวกับที่เห็นอีกคนยืนอยู่ก่อนสวนกัน หลับตาลงปล่อยให้ร่างกายได้ดื่มด่ำอยู่กับกลิ่นน้ำหอมแทนกายใครคนนั้น

   มันเจือจางในความรู้สึก

   หากชัดเจนในความทรงจำ


***
   ตั้งแต่เริ่มแต่งมา ไม่มีเรื่องไหนเหนื่อยเท่าพี่แบล็คได้แล้วค่ะ (ร้องไห้)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-2 [12.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-02-2017 20:00:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-2 [12.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-02-2017 20:38:16
 :3123: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-1 [17.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-02-2017 21:13:16
CH.17-1

   "แบล็ค ช่วยอีกหน่อยเถอะ"

   เมื่อไหร่คนอื่นจะเข้าใจว่าการบอกว่าช่วยครั้งเดียวมันคือไม่มีครั้งอื่นตามมานะ

   "หนี้คราวที่แล้วยังไม่ได้ชำระเลยนะ"
   
   พอเป็นเด็กกฎหมายนานวันเข้าก็มักจะพูดกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ศัพท์เฉพาะทางจะหลุดออกมาระหว่างการสนทนา มันก็สนุกดีเวลาใช้คำพวกนี้กับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แต่ไม่ควรเอาไปใช้กับคนข้างนอกเด็ดขาดเพราะจะกลายเป็นคนเพี้ยนไปเลย

   "ก็รวมรอบนี้แล้วชำระคราวเดียวไง"

   "ไม่"

   ยกชาดำในมือตัวเองขึ้นดื่ม ไม่รู้ว่าใส่สารอะไรเอาไว้พอกลับไปสั่งกาแฟดำแล้วมันไม่ถูกปากจนต้องตายรังที่เครื่องดื่มจากใบชาอย่างนี้ วันนี้เป็นการออกมาทำงานนอกสถานที่ของกลุ่ม นัดเอาไว้เก้าโมงจนป่านนี้เลยเวลานัดกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วสมาชิกยังมาไม่ถึงครึ่ง

   วิชาบังคับแสนน่าเบื่อของเด็กชั้นปีสุดท้าย เนื้อหาวิชาไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับตัวชื่อวิชาเท่าไหร่ มีการออกสำรวจปัญหาด้านกฎหมายของคนในสังคมแล้วลงไปช่วยเหลือ คิดนู่นนี่กว่าจะลงตัวได้ก็นาน ประโยชน์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม แค่ตัววิชาก็น่ารำคาญใจแล้วทำไมเขาต้องมาเจอปัญหาคนร่วมงานที่ไม่รักษาเวลาด้วยล่ะ นี่มันไม่แฟร์เลยว่าอย่างนั้นไหม

   "แค่แชร์ให้หน่อยก็พอ"

   กลุ่มของทิวากาลมีนิสัยการเล่นโซเชียลที่ค่อนข้างคล้ายกันคือไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายมากนัก อย่างเขาเองจะเปิดพับบลิคเอาไว้แค่ในส่วนของอินสตาแกรมเท่านั้น อย่างอื่นบอกเลยว่าถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทกันจริงไม่มีทางได้เข้าไป แล้วถึงจะเข้าไปได้ก็ไม่เจออะไรอยู่ดีนั่นแหละ

   "เพื่อนไม่เยอะ ไม่น่าช่วยอะไรได้" เลี่ยงการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงให้ได้มากที่สุด แค่ครั้งเดียวมันก็เกินพอแล้ว "เมื่อไหร่คนอื่นจะมาสักที ถ้างานไม่ถึงไหนเดี๋ยวก็ต้องกลับมาอีกรอบ"

   ก็ว่าตัวเองไม่ได้ใช้น้ำเสียงหงุดหงิดอะไรทำไมเพื่อนที่มาแล้วถึงพร้อมใจกันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด จากนั้นไม่กี่วินาทีสมาร์ทโฟนของตัวเองก็เด้งขึ้นมาว่ามีคนตามสมาชิกเป็นพรวน

   เห็นอย่างนั้นเลยคุมระดับอารมณ์ของตัวเองให้ลดลงมาอีกหน่อย ไม่อยากกลายเป็นตัวเหวี่ยงตอนนี้ ตามความตั้งใจเดิมทิวากาลไม่อยากจะลงชุมชนหรอก ติดอยู่ตรงเป็นคนติดต่อให้ตั้งแต่แรกเลยจำเป็นต้องมาด้วย พอรู้จักกันแล้วหลังจากนี้คงไม่ต้องพึ่งเขาแล้วล่ะ

   การแจ้งเตือนล่าสุดบอกว่าน้องชายคนเล็กสุดทักมาถามว่าจะกลับบ้านกี่โมง มื้อเย็นในวันเสาร์ของทิวากาลกลับเข้าสู่วงจรปกติได้สักพัก มันช่วยดึงอะไรหลายๆ อย่างให้กลับมาเข้าที่ เลื่อนสไลด์เข้าไปตอบไวๆ ตามมาด้วยเปิดดูไลน์กลุ่มทำงานว่าคนที่ยังไม่เห็นหน้าตอบอะไรกลับมาบ้าง พอเห็นว่าคนที่เหลือยังต้องใช้เวลาในการเดินทางอีกสักพักใหญ่เลยตัดสินใจเริ่มดำเนินการเอง

   "รอรับอยู่ตรงนี้สองคน ที่เหลือเข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้านกัน"

   มันเป็นหมู่บ้านที่มีปัญหาเรื่องการแบ่งพื้นที่กับหมู่บ้านข้างๆ เพิ่งฟังความมาแค่ข้างเดียวเลยไม่อยากรีบสรุปอะไร เรื่องเล่าที่วกวนไปมาจนต้องอัดเสียงแล้วเอาไปแกะเรียบเรียงใหม่ แถมบางประเด็นเมื่อโทรกลับไปคุยเพื่อความมั่นใจแล้วดันได้ข้อมูลคนละชุดกับที่ให้คราวแรก เรียกว่าปวดหัวไปตามๆ กัน
วิชาที่เขาไม่เห็นว่ามันช่วยให้กลายเป็นนักกฎหมายที่สมบูรณ์ตรงไหน

   ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการพูดคุยสำหรับข้อมูลและเอกสารอื่นอีกสองสามอย่างจากหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อได้สิ่งที่ต้องการครบแล้วจึงแบ่งทีมกันใหม่สำหรับการแยกย้ายกันไปถามข้อมูลจากบ้านหลังอื่นรวมถึงต้องไปสอบถามจากหมู่บ้านคู่พิพาทด้วย

   "อย่างน้อยช่วยโพสต์ในไอจีหน่อยก็ได้"

   อยากแสดงออกว่ารำคาญกับการตามตื๊อแค่ไหน เมื่อไหร่คนเราจะเข้าใจสักที่ว่าการได้อะไรมามันต้องแลกด้วยบางสิ่งไป

   ...อย่างที่เขาเจอมา

   "เก็บไว้ลงรูปกลุ่ม" มันมีหลายการบอกกล่าวที่ไม่ต้องพูดออกไปตรงๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย ในอินสตาแกรมที่มีอยู่ไม่กี่รูปมันเป็นภาพรวมกลุ่มในโอกาสต่างๆ ทั้งหมด

   "แต่รูปล่าสุดไม่ใช่นี่"

   "อ้อ..." ขอย้อนกลับไปประโยคก่อนหน้า เกือบทั้งหมดเป็นรูปกลุ่ม เว้นแต่รูปล่าสุดที่เขาไม่ได้เข้าไปลบเสียสี "ก็ไม่ชอบลงรูปที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตอยู่ดีนั่นแหละ"

   มุมหนึ่งของปราสาททรายขนาดเล็ก ไร้คำอธิบายข้างใต้ต่างจากรูปอื่นที่จะระบุเอาไว้ทั้งหมดไม่ว่าสถานที่หรือว่าวันเวลาที่ถ่ายเอาไว้ ภาพที่คิดว่าสวยไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่เก็บเอาไว้ในความทรงจำ มันคงจริงอย่างที่พิชชาบอกไว้ สิ่งที่ทำให้มันเป็นภาพแสนสวยงามไม่ใช่แค่องค์ประกอบในภาพ แต่เป็นคนที่ร่วมสร้างขึ้นมา

   คนที่ยังไม่ตอบคำถามว่าหัวใจอยู่ที่ไหน
   
   ทำเหมือนเสียงที่ได้ยินหลังจากนั้นมันเป็นแค่สิ่งไร้ค่า ทำหน้าที่ของตัวเองในการเข้าไปสอบถามข้อเท็จจริงจากหัวหน้าอีกหมู่บ้านหนึ่ง ทิวากาลคิดว่าเวลาทำงานแรกมันไม่ควรเอาอีกงานเข้ามาเกี่ยว คนเป็นถึงประธานรุ่นควรจะรู้เรื่องนั้นดีกว่าใครไม่ใช่หรือไงกัน

   "ต้องไปถามบ้านสุดท้ายเหรอครับ?" คุยมาตั้งนานกลายเป็นว่าคนมีอำนาจในการตัดสินใจกลับเป็นบ้านอื่นไปเสียอีก

   "ใช่ บ้านของผู้หญิงแก่ๆ ที่อยู่กับแมวเยอะๆ นั่นแหละ"

   มันจะมีลักษณะร่วมกันของผู้หญิงอย่างนั้นอยู่ ทิวากาลยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณก่อนออกเดินนำอีกครั้ง เรียบเรียงคำพูดว่าจะเริ่มต้นแบบไหนให้ดูเป็นมิตรที่สุด บางรายระแวงคนแปลกหน้า เพื่อนกลุ่มอื่นของเขาปวดหัวกับการที่คนในชุมชนไม่ให้ความร่วมมือเยอะแยะจนกลายเป็นคำเตือนต่อๆ กันมา

   "แล้วอย่าไปสนเรื่องอื่นที่แกพูดมาก ปล่อยมันผ่านไปเถอะ"

   คิดถึงคำบอกสุดท้ายเมื่อมือเอื้อมไปสั่นกระดิ่งเหล็กตรงหน้าบ้าน เพื่อนสาวที่มาด้วยอีกคนร้องว้าวออกมาเมื่อเห็นว่าโครงสร้างของบ้านเป็นอย่างที่นิยมอยู่ เก่าๆ ขลังๆ แล้วก็ดูเต็มไปด้วยของโบราณสะสมเอาไว้ตั้งแต่รุ่นทวด ...เหมือนบ้านหลังนั้น

   โคลงศีรษะไล่ความคิดที่มาทักทายทุกครั้งเมื่อเผลอเปิดช่องว่าง ยังพอติดต่อภัสบ้างเท่าที่เอื้ออำนวย แต่กับคนพี่แล้วความสัมพันธ์มันขาดสะบั้นไปโดยปริยาย

   "เข้ามาได้เลย"

   เสียงจากในสวนด้านข้างก้องเข้าไปในส่วนรับรู้ ทุกชีวิตตรงนั้นชะเง้อมองหาต้นเสียงจนเจอกับผู้หญิงแก่บนเก้าอี้หวายยาวตัวใหญ่ มีแมวสีดำสนิทนอนหลับอยู่ตรงตัก การแต่งกายจะเรียกว่าธรรมดามันก็ใช่ ชุดกระโปรงยาวกับผ้าคลุมไหล่ถักเป็นลายสวย ผมสีดอกเลามวยขึ้นไปสูงไม่มีหล่นลงมาสักเส้น

   กล่าวคำสวัสดี ก้าวข้ามเข้ามาข้างในส่วนของตัวบ้านหลังจากมั่นใจได้ว่าเจ้าของบ้านพร้อมต้อนรับ ทิวากาลกับเพื่อนอีกสองคนไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงชรา ยังไม่ทันจะพูดอะไรหล่อนก็ดักขึ้นมาก่อน

   "ฉันไม่ใช่แม่มดนะพ่อหนุ่ม"

   "...แฮะๆ"

   คนในกลุ่มของแบล็คได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลับคืนไป นึกย้อนไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาในห้วงความคิดของตัวเองส่งไปถึงอีกคนได้อย่างไรกัน

   "เพราะไม่หัดคุมความคิด"

   คราวนี้แม้แต่เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนก็ไม่มีเล็กรอดออกมา "ทำเหมือนอย่างพ่อหนุ่มคนนี้สิ"

   ทิวากาลปิดปากสนิท ดึงตัวเองมาอยู่ในแนวปลอดภัยแทนที่จะเป็นการออกไปยืนนำทัพ หญิงสาวผิวหุ้มกระดูกไม่น่ามีพิษสง ...หากภายในใจของทิวากาลกลับตะโกนร้องเตือนให้ระวังตัวเองไว้ให้ดี

   บางอย่างในตัวของผู้หญิงคนนี้เหมือนกับพิชชา

   โดยเฉพาะการคลี่ยิ้มอย่างนั้นด้วย เขาไม่เคยเรียกสิ่งนี้ว่าการควบคุมความคิด นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการกระทำทั้งหมด นอกจากความคิดแล้วทั้งร่างกายเป็นสิ่งที่แบล็คต้องคุมให้อยู่ในโอวาทตลอด ทุกอย่างที่ออกไปมันจะต้องผ่านการคิดไตร่ตรองมาอย่างดีที่สุดแล้ว

   "พอดีผมมาจาก...อยากจะขอคำปรึกษาอะไรหน่อยครับ"
     
   ยังไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง ทิวากาลเปิดสมุดสำหรับการจดบันทึกไปยังหน้าว่างล่าสุด กดเลื่อนไส้ปากกาออกมาข้างนอกเตรียมพร้อมสำหรับการจัดเก็บข้อมูล

   "นั่งก่อนก็ได้นะ"

   "ขอบคุณครับ" ไม่ปฏิเสธคำเชิญ ผายมือให้ผู้หญิงคนเดียวได้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ส่วนเขาและเพื่อนประธานรุ่นมานั่งเบียดกันอยู่ตรงชิงช้าไม้ขนาดกำลังดี "คือว่าเ..."

   "อยากได้ชาไหม?"

   ประโยคที่ตั้งใจจะบอกออกไปไม่อาจครบประโยคได้ การแทรกขึ้นมากลางคันพร้อมกับรอยแย้มเอ็นดูอย่างนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ ยิ่งกับเนื้อหาของคำถามแล้วด้วย

   "ไม่เป็นไรครับ ทานมาแล้ว"

   "งั้นเหรอ"

   "ขอถามต่อเลยนะครับ"

   “เชิญ ได้ยินมาบ้างแล้วล่ะ”

   จะเรียกว่าเป็นการรอฟังก็ได้ ส่วนมากไม่ต้องถามอะไรเจ้าของบ้านก็ระบุข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้เกือบทั้งหมด แม้เส้นผมส่วนใหญ่แปรสีไปแล้วก็ตาม คำพูดคำจารวมถึงความทรงจำเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้หายตามไปด้วย ขนาดได้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการต่อยอดครบถ้วนแล้วเรื่องราวอื่นที่เป็นข่าวดังในช่วงเวลานั้นๆ ก็ยังสามารถระบุให้ฟังได้ฉะฉานไม่มีติดขัด

   "คุณยายแปดสิบกว่าแล้วเหรอคะ ดูไม่ออกเลย"

   "ปีหน้าแปดสิบสี่แล้วค่ะ"

   "หนูอยากจะเป็นผู้หญิงอายุแปดสิบสี่ที่ทำได้อย่างนี้บ้างจังค่ะ"

   "โอ๊ย ไม่ต้องอยู่ถึงขนาดนี้หรอก ไม่มีอะไรน่าสน"

   “...”

   นัยน์ใจดีมองตรงมาที่ราชาไม่มีปิดบัง รอยยิ้มบางตรงริมฝีปากส่งสัญญาณเตือนให้หยุดความตั้งใจเอาไว้เสียตรงนั้น สัญชาตญาณไร้คำอธิบายให้ความหมายอีกหนึ่งอย่างมาทันทีว่านั่นคือ 'การเล่าเรื่อง' เช่นกัน

   มีเพียงแมวดำหนึ่งตัวตรงตักที่ยังหลับอยู่ หญิงชรานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับตัวไปไหน อ้างว่าไม่อยากจะรบกวนเจ้าตัวสี่ขาผู้เข้าสู่นิทราลึก ความสามารถบางอย่างไม่อาจเล่าออกมาเป็นคำพูดสวยหรูได้ มีแต่คนที่ประสงค์ให้เข้าใจเท่านั้นที่จะเข้าถึง

   เหมือนเห็นพิชชาในรูปแบบของหญิงสาววัยชรา แปลกตาดีแล้วก็คิดว่าเหมาะไม่น้อย

   รู้สึกตัวว่ายังโดนมองอยู่ก็ตอนเปลี่ยนจุดสนใจจากตัวแมวขึ้นไปหาเจ้าของ ไม่ชอบตัวเองทุกครั้งที่มักคิดถึงใครคนที่หมดเรื่องชดใช้กันแล้ว ไม่อยากจะนึกถึงแค่ไหนก็ทำไม่ได้ แค่เก็บกระดานหมากรุกในห้องให้พ้นออกไปจากสายตายังทำไม่ได้เลย

   บางสิ่งเหมือนเดิม

   ส่วนบางอย่างไม่มีทางย้อนกลับมา

   "มันไม่มีทางหนีได้พ้นหรอกนะ"

   "ครับ?" หลุดออกจากห้วงคำนึงก็ตอนได้ยินเสียงสดใสอีกครั้ง

   "เรื่องที่ดิน สุดท้ายแล้วไม่ทะเลาะกันวันนี้วันหน้ามันก็วนกลับมาอีก"

   คุยกันได้ความว่าพื้นที่ตรงนั้นความจริงแล้วมันไม่ควรเป็นของใคร เพราะว่าเจ้าของที่แท้จริงนั้นยังมีชีวิตอยู่และไม่ประสงค์จะขายทิ้ง ที่ต่างคนต่างถือสิทธิ์เพราะว่าเจ้าของย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วไม่ได้รับรู้ในคราวแรกว่ามีคนอื่นกำลังเข้ามาถือสิทธิ์

   โครงงานที่ควรจะยากเลยกลายเป็นง่ายไปเสียอย่างนั้น

   "เลยควรทะเลาะให้จบไปสินะครับ"

   "ทุกเรื่องมีเวลาของมัน" แมวสีดำขยับตัวลุกออกจากตัก มันเดินตรงมาที่ทิวากาลทำท่าคล้ายจะกระโดดขึ้นมาหาแล้วสุดท้ายก็วิ่งหนีไปอีกทาง "อยู่ที่จะเลือกจบแบบไหนก็เท่านั้นเอง"
 


   ลงชุมชน เก็บข้อมูลและเอามาเรียบเรียงให้เป็นระเบียบ คนทำส่วนของรูปเล่มจะได้ไม่มีปัญหาอีก ตกลงสำหรับแผนการขั้นต่อไปรวมถึงนัดแนะการลงพื้นที่ครั้งหน้า ทุกขั้นตอนของการทำงานได้รับการแจกแจงและแบ่งผู้รับผิดชอบเอาไว้เรียบร้อย เขาโดนเด้งไปอยู่ฝ่ายพรีเซนต์ในห้อง ได้รับคะแนนโหวตเป็นเอกฉันท์ว่าแค่เดินไปทุกคนก็ไม่กล้าถามอะไรแล้ว

   สิ่งแรกที่ทำเมื่อเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนคือควานหาบุหรี่ขึ้นมาดับอารมณ์คุกรุ่น คนแบบนั้นคิดว่าหายากแล้วนะ ทำไมกลายเป็นว่าเจอสองคนติดๆ กันได้อย่างนั้น

   สูดลมหายใจเข้าไปจนปลายมวนมีไฟสีส้มติด ปล่อยให้สารเสพติดแทรกซึมเข้าไปตามร่างกายเงียบๆ รอบข้างที่ควรมีแต่กลิ่นของควันกลับแซมไปด้วยอีกกลิ่นหนึ่งแสนคุ้นเคย ทิวากาลเรียกสติให้กลับเข้ามาจนครบ จึงเตือนออกไปเรียบๆ หวังกว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ

   "ผมยังไม่อยากคุยตอนนี้พิช"

   ไม่ต้องหันไปร่างนั้นก็ขยับมายืนตรงกันข้าม พิชชามาพร้อมกับเสื้อผ้าแบบเดิม ที่เปลี่ยนไปหน่อยคือเส้นผมสั้นลงไปสองนิ้วได้ ไม่แปลกใจเท่าที่ควรเพราะเห็นตั้งแต่อยู่หน้าบ้านแล้วว่าบริเวณนั้นมันมีคนอื่นอยู่อีก ใครที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่คิดจะปิดบังตัวตน

   จนกลายเป็นเขาเองที่ต้องพยายามทำตัวให้เหมือนเดิมเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น

   "แค่มาถามคำถามเดียวครับ"

   "ไม่รับประกันว่าจะตอบหรือเปล่านะ"

   รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นนิดหน่อย ราชาสีดำทำทีเป็นให้ความสนใจกับมวนบุหรี่ในมือมากกว่าใบหน้าของอีกคน

   "คุยกับภัสครั้งสุดท้ายเมื่อคืนใช่ไหมครับ เขาบอกหรือเปล่าว่าอยู่ไหน"

   "คุย แต่ไม่ได้บอกว่าอยู่ไหน"

   "ไม่ได้โทรมาอีก?"

   น้องเจ้าปัญหาไปสร้างวีรกรรมที่ไหนอีกล่ะ
   
   หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นเช็ค ข้อมูลระบุว่าครั้งสุดท้ายที่รับสายคือเมื่อคืนตอนสามทุ่ม ภัสสร์โทรมาคุยเรื่องทั่วไปเช่นทุกวัน ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ยังพูดอยู่เลยว่าอยากจะกินบุฟเฟ่ต์ร้านใหม่ที่ไปเปิดแถวที่พัก จะให้เขาไปเลี้ยงให้ได้

   "ไม่"

   "โอเค ขอบคุณครับ"

   หัวใจโหวงวูบเมื่ออีกคนหันหลังกลับไปจนไม่อาจเห็นใบหน้าอีกแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่อาจตั้งตัวได้ทัน

   "ภัสอยู่ไหน?"

   รีบถามออกไปก่อน มันต้องมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับคนเป็นน้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาตามหาถึงที่นี่ แท่งนิโคตินในมือหล่นพื้นไปแล้ว และทิวากาลไม่มีเวลามากพอสำหรับห่วงว่ามันอาจกลายเป็นต้นเพลิงได้หรือไม่

   ราวกับเสียงเดินทางคนละคลื่นความถี่กับระบบการได้ยิน พิชชาไม่ผ่อนจังหวะการเดินลงเลยแม้สักเล็กน้อย ชายเสื้อฝ้ายปลิวไปตามแรงลมเช่นเดียวกับผมหยักศกเส้นสวย

   "พิชชา!"

   ตะโกนชื่อนั้นออกไปสุดเสียง ใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งน้อยเกินกว่าจะทราบได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ "ผมบอกแล้วว่ามาเพื่อถามคำถามเดียวครับ"

   มีประสบการณ์มากพอจะรู้หากปล่อยไว้อย่างนี้คนเป็นหมอกพร้อมจะสลายไป ผุดลุกจากตรงที่นั่งไปยังชายผมยาวที่เริ่มห่างกันไปทุกที เว้นระยะห่างระหว่างสองคนเอาไว้ให้มากกว่าทุกครั้งที่เจอกัน เขายังไม่อยากได้กลิ่นน้ำหอมของอีกคน เพราะมันพร้อมจะพาเขากลับไปยังช่วงเวลาที่ไม่อยากจะจดจำ

   "เกิดอะไรขึ้น"

   "ไม่รับประกันว่าจะตอบไหมนะครับ"

   "อย่ามาย้อนผม" มีบทเรียนกี่ครั้งแล้วไม่เคยจำว่าอีกคนยอกย้อนเก่งแค่ไหน "เมื่อคืนตอนที่ผมคุยโทรศัพท์กับภัสก็ดูปกติดี"

   "ถ้าปกติดีก็ไม่มีอะไรครับ"

   เท้าที่เริ่มก้าวมาข้างหน้าเป็นเหตุผลที่เขากางมือออก "บอกผมมา"

   "ผมรักษาคำพูดตัวเองครับ"

   นัยน์ตาสีแปลกวันนี้มันหม่นจนสังเกตได้ เสียงที่ใช้แม้จะราบเรียบแบบเดิมมันก็ไม่ช่วยให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้ เขาไม่ชอบที่พิชชาเป็นอย่างนี้ ไม่เคยมีสักครั้งที่อีกคนทำเหมือนกับว่าทิวากาลเป็นเพียงคนแปลกหน้าหรือว่าลูกค้าที่เจอหน้ากันครั้งเดียว

   เกลียดสถานะของตัวเองชะมัด ให้ตายเถอะ

   "ขอบคุณอีกครั้งนะครับแบล็ค"

   ไม่มีอีกแล้วเสียงใครคอยเรียกชื่อ 'ราชา'

   ภาวนาขอให้เห็นเพียงรอยยิ้มจางหรือจะเป็นอาการไม่พอใจอะไรก็ได้ สำหรับเขาแล้วทุกอย่างมันดีกว่าการรับรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีความสำคัญ

   ไหนภัสเคยบอกว่าเขาเป็นสิ่งที่พิชชาต้องการมากที่สุดไง

   ไม่ยอมขยับตัวให้พิชชาผ่านไปได้ "บอกผมมา"

   "เออใช่ครับ ผมเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้บอกเรื่องหนึ่ง"

   "เรื่อง?"

   "เรื่องที่ผมเห็นว่าสุดท้ายแล้วคุณก็ต้องยืนอยู่คนเดียว"

   น่าโมโหไหมล่ะที่ต้องมาได้ยินอะไรอย่างนั้น ข่มใจให้เย็นมากที่สุด ตอนนี้มีอย่างอื่นที่ต้องทำ "เรื่องของเราเอาไว้ก่อน ตอนนี้ภัสอยู่ไหน"

   "มันไม่เคยมีเรื่องของเราครับ"

   บอกเลยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดทิวากาลน็อตหลุดใส่แน่ จะย้อนอะไรได้ทุกคำ!

   "เดี๋ยวโทรไปให้ก่อน" เนื่องจากเป็นเบอร์ที่เพิ่งยิงเข้ามามันเลยอยู่เกือบด้านบนสุดของบันทึกการโทร "เสาร์เช้าอย่างนี้ยังไม่ตื่นหรอ..."

   (เลขหมายที่ท่านเรียก...)

   มันไม่ควรจะเป็นเสียงนี้

   กดปุ่มวางสาย มองหน้าพี่ชายสลับกับหน้าจอคำสั่งสุดท้าย ขนาดพ่อของเขายังไม่ปิดโทรศัพท์ก่อนนอนแล้วเลย เราอยู่ในยุคของการพักหน้าจอมาตั้งแต่เครื่องมือสื่อสารเป็นมากกว่าสิ่งเอาไว้โทรออกและรับสายเข้า การที่สัญญาณต่อไม่ติดเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น

   "ภัสไม่ได้บอกใช่ไหมว่าจะไปไหน?"

   "ไม่ครับ"

   "บ้าน?"

   "ผมคงไม่ต้องมาหาคุณหรอกครับ"

   "งั้นต้องตามจากเพื่อน...เดี๋ยวนะ"

   จะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ วันก่อนภัสไปร้านเหล้าแล้วให้เพื่อนช่วยโทรเรียกเขาให้ไปรับ ถึงไม่ได้ไปตามคำขอแต่เบอร์นั้นน่าจะยังเก็บเอาไว้ในเครื่องอยู่ จากคำที่ใช้คุยกันคงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในวงเพื่อนเที่ยว รีบเปิดหาเบอร์แปลกเพียงรายการเดียวท่ามกลางรายชื่อบันทึกของคนอื่น เมื่อเจอแล้วก็รีบโทรออกไป

   (ครับ)

   "เพื่อนของภัสหรือเปล่า"

   (นั่นใคร?)

   พวกมีความผิดติดตัวจะหวาดระแวงไปหมดอย่างนี้แหละ สวมบทบาทพี่ชายจำเป็นเพื่อใช้ในการตามหาข้อมูลทั้งหมดที่อยากได้ เกลี้ยกล่อมผสมกับข่มขู่จนได้สิ่งที่ต้องการทั้งหมด ระหว่างนั้นเก็บทุกคำสำคัญเอาไว้เป็นข้อต่อรอง นี่แบล็คไม่ใช่หน่วยงานให้ความช่วยเหลือสาธารณะ เรื่องอะไรที่เขาต้องลงแรงไปฟรีด้วยล่ะ

   "ได้...ผมจะไม่บอก...ขอบคุณ"

   พวกนี้เหมือนกันเกือบหมดตรงที่ต้องเก็บเรื่องกินเที่ยวกลางคืนเอาไว้ให้ห่างจากการรับรู้ของคนทางบ้าน ถ้าข้อมูลที่ให้มามันไม่ตรงเมื่อไหร่บอกเลยว่าได้มีการสาวไส้กันสนุกแน่

   "ภัสอยู่ไหนครับ?"

   "ผมจะขับไปส่ง"

   "นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณครับ"

   คุยมาไม่กี่ประโยคโดนคำบอกไร้เยื่อใยไปเท่าไหร่แล้ว

   "ผมจะอยู่กันคุณ"

   น่าแปลกที่การพูดคำนั้นออกไปอีกครั้งมันทำให้แบล็คหัวใจพองโต ก็ถ้าเถียงกันต่อไปมันคงไม่จบสักที พิชชาชะงักไปเมื่อได้ยินคำสาบานเดิม การสัญญาที่ไม่ใช่เพียงลมปาก พิธีกรรมโดยใช้เลือดจะคอยตามติดไปจนกว่าฝ่ายหนึ่งจะสิ้นลมหายใจ

   "ผมเองก็ต้องรักษาคำพูดของตัวเองเหมือนกัน"

   ดื้อแพ่งจนได้สิ่งที่ต้องการกลับมา ตุ๊กตาหน้ารถผู้หายหน้าไปนานพอควรวันนี้ได้กลับมาประจำอยู่ตรงที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถึงจะไม่ยอมปล่อยให้มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาเลยก็ตาม

   ทำทุกอย่างเหมือนที่เดิม ป้อนคำสั่งเปิดคลื่นวิทยุให้กลายเป็นเพลงยุคเก่า ได้ความมาว่าภัสสร์กับเพื่อนมีปาร์ตี้วันเกิดที่หัวหิน คอนเฟิร์มได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่าน้องไปด้วย ส่วนที่ยังดีไม่พอคือหัวหินมันไม่ใช่แค่หมู่บ้านเล็กๆ อย่างที่เขาเพิ่งไปทำงานมา แต่เป็นเขตหนึ่งกินพื้นที่ไปพอสมควร ข้อมูลแค่นั้นมันไม่พอกับการตามหาหรอก

   "คุณจะไปไหนครับ"

   "หัวหิน" โดนขังอยู่อย่างนี้ไม่มีทางหนีไปไหนได้อยู่แล้ว "แต่ว่ายังไม่ชัวร์ว่าส่วนไหน"

   มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่ตามหาเครื่องมือสื่อสารของตัวเองตรงช่องเก็บของ เลื่อนคำสั่งคล่องแคล่วจนได้ยินเสียงของสัญญาณคลื่นเชื่อมถึงกัน งานนี้คงต้องรบกวนพ่อของตัวเองอีกหน่อย ถ้าจะให้เขาลุยเดี่ยวมันจะเสียทั้งแรงแล้วโอกาสคว้าน้ำเหลวมันสูงลิบลิ่ว

   มีเส้นสายต้องรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์

   เมื่อบิดารับสายจึงเล่าเรื่องให้ฟังเท่าที่จำเป็น พวกรายละเอียดสำคัญที่บ่งบอกว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยงระดับชีวิต ส่วนไหนที่จะส่งผลไม่ดีกับตัวเด็กเองก็เก็บเอาไว้ก่อน โล่งใจไปได้อีกพอควรตอนได้รับคำยืนยันว่าจะช่วยสุดความสามารถ ก็บอกแล้วว่านอกจากเรื่องของพิชชามันไม่เคยมีครั้งไหนที่ผิดหวังกับผลงานที่ตามมา

   "ครับพ่อ ได้ครับ"

   ส่วนของแลกเปลี่ยนก็เป็นคำสัญญาว่าจะกลับบ้านมาทานข้าวเย็นทุกเสาร์อาทิตย์ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน

   ปลายสายเงียบไปแล้ว แอบมองคนเก็บอวัยวะในการพูดออกไปว่ากำลังทำอะไรอยู่ พิชชาเท้าคางกับที่พักแขน มองออกไปนอกหน้าต่างไม่ต่างกับกำลังโดยสารอยู่บนยานพาหนะสาธารณะ

   "คุณ 'เห็น' ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ใช้มันล่ะ"

   ใจจริงไม่ได้อยากออกเสียงให้เป็นการประชดขนาดนั้นเลยนะ แค่รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงของตัวเองแล้ว

   “...”

   งานนี้บอกเลยว่าเขาไม่ผิดสักหน่อย หงุดหงิดกับท่าทางไม่ยินดียินร้ายอะไร คนเป็นพี่ไม่ร้องฟูมฟายหรือว่าสติแตกกระเจิง พิชชาก็ยังคงเป็นพิชชาผู้วางเฉยต่อทุกอย่างได้ ...และทุกอย่างที่ว่ามันอาจรวมถึงเรื่องความเป็นความตายของน้องชายตัวเอง

   "ผมมองไม่เห็นครับ"

   รถอีโค่คาร์เงียบสนิท ไร้เสียงเพลงยุคเก้าศูนย์อย่างที่เคยเป็น "ก็เพราะว่ามองไม่เห็นนั่นแหละครับเลยน่ากลัว"

   "คุณกลัวอะไรอยู่?"

   "อย่างเดียวกับที่คุณกลัวอยู่มั้งครับ"

   ทั้งสองรู้จักภัสสร์ดี

   เด็กที่บอกว่าหน้าที่ของตัวเองคือรอความตาย


***
   แต่งเองก็ทรมานใจเอง อีกนิด (เหรอ) นะคะพี่แบล็ค
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-1 [17.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 17-02-2017 22:19:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-1 [17.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-02-2017 22:22:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-2 [19.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 19-02-2017 22:03:26
CH.17-2

   ถนนก็โล่ง

   ไม่เจอด่านตรวจ

   จะมีสิ่งกวนใจก็แค่คนนั่งข้างๆ นี่แหละ

   "ใจคอไม่คิดจะคุยกันหน่อยเหรอ"

   "..."

   ถามออกไปตรงๆ ขนาดนั้นแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักอย่าง

   ดื้อเงียบที่แท้จริง

   "ช่วงนี้เป็นไงบ้าง"

   เรื่องเบสิคที่สุดเท่าที่คิดออกแล้ว ขืนถามเรื่องอื่นไปเดี๋ยวก็โดนตอกกลับมาว่าไม่ใช่เรื่องของเขาอีก คนอะไรไม่รู้ปากร้ายเกินทน ตั้งแต่ขึ้นรถมาแอบหันไปมองคนข้างกายหลายครั้งจนเก็บได้เกือบหมดว่ามีอะไรแปลกไปบ้าง ผิวสีซีดคราวนี้มันคล้ำขึ้นนิดหน่อย ผมที่เคยยาวระดับกลางหลังสั้นลงหลายนิ้วอยู่ เหมือนจะผอมกว่าที่เคยเห็นด้วย

   ยังไม่ได้รับการตอบรับเหมือนเดิม แถมยังแย่เข้าไปอีกเมื่อมือของอีกคนล้วงหาหูฟังของตัวเองในกระเป๋า ปกติแล้วพิชชาไม่ชอบใช้เครื่องมือสื่อสาร ถึงขั้นที่ว่าสามารถทิ้งโทรศัพท์ให้นอนอยู่ในบ้านได้เป็นสัปดาห์หากไม่ต้องการติดต่อกับใคร เป็นเขาอีกที่ต้องมาคอยมาตามเคลียร์ปัญหาให้

   บรรยากาศรอบตัวไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา มันอาจมีบางครั้งที่อึดอัด แต่มันก็มาจากสาเหตุอื่นที่ระบุได้ แล้วถ้าจะให้คิดถึงสาเหตุของครั้งนี้อย่างนั้นเหรอ

   ...

   อย่าทำให้ต้องตอกย้ำตัวเองได้ไหม

   "บ้านลงตัวหรือยัง"

   ...จะสอนใช้เครื่องซักผ้าก็ยังไม่ได้ทำ ไม่รวมกับส่วนอื่นที่ยังไม่ค่อยเข้าที่ดีเท่าไหร่ เห็นบอกว่าจะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดก็ไม่รู้ว่าติดต่อเรียบร้อยหรือเปล่า ของมีค่าก็วางไว้เต็มบ้านไม่เคยห่วงสมบัติ

   "ไม่เจอที่มหาลัยเลย"

   ...ตลกดีที่มีวิชาหนึ่งเรียนห้องข้างกัน นั่งรอตั้งแต่ก่อนเข้าคาบสิบห้านาทีจนเลทไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เจอผู้ชายผมยาวคนนั้น

   "วันก่อนผมลองเข้าร้านอาหารแปลกๆ ดู ไม่อร่อยเหมือนที่คุณพาไป"

   ...กลายเป็นพวกชอบลองของแปลก แล้วก็มากเรื่องเมื่อทานไปแล้ว ไม่ว่าเข้าไปร้านไหนก็หาเรื่องติได้ตลอด ตั้งแต่การจัดร้านยาวไปถึงบริการระหว่างมื้ออาหาร ผ่านไปหลายครั้งเข้าก็พอเข้าใจว่าทำไมถึงบอกว่าอาหารเป็นเรื่องศิลปะ

   พูดคนเดียวอีกสองสามเรื่องถึงบอกในใจว่าพอดีกว่า เป็นโมเมนท์ที่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเองสักวัน ปกติแล้วมีแต่ฟังคนอื่นเล่าไปเรื่อย จนต้องมาเป็นคนเล่าบ้างถึงรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับการทำอะไรอย่างนี้ กลับไปเป็นคนฟังนั่นแหละดีแล้ว

   พอกลับมาเงียบถึงได้ยินเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุยังเล่นต่อเนื่อง เพลงเดิมกับคนเดิมพาเขากลับไปยังช่วงเวลาเดิม พิชชาเปลี่ยนหลายอย่างในตัวทิวากาล เปลี่ยนจนคิดไม่ออกว่าจะกลับไปเป็น 'ราชา' คนเดิมได้เมื่อไหร่

   หรือจะกลับไปได้หรือไม่

   "ช่วยหยิบแว่นกันแดดให้หน่อยได้ไหม"

   แสงแดดตอนบ่ายส่องเข้ามาจนปวดตา ยิ่งเป็นฝั่งแดดเข้าเต็มที่ก็แย่ขึ้นไปอีก ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ต้องการอยู่ตรงไหนเพราะอยากลองอะไรนิดหน่อย อยากหลอกตัวเองว่าบางเรื่องมันยังอยู่ในความทรงจำของผู้ชายผมยาวคนนี้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ...

   มือเรียวสวยยื่นไปตรงที่เก็บของข้างเบาะ เปิดมันออกจนเห็นว่านอกจากของที่ฝากหยิบแล้วมันยังมีอีกอย่างอยู่ด้วย

   ถุงหอมไร้กลิ่นแทนความทรงจำล้ำค่ามหาศาล

   "มันหมดกลิ่นหอมแล้วล่ะ แต่ว่าผมไม่อยากเอาอย่างอื่นขึ้นมาแทน"


   Back beat, the word is on the street

   That the fire in your heart is out

   I'm sure you've heard it all before


   "ช่วยทำให้ใหม่ได้ไหมพิช"

   "..."

   "ไม่เป็นไร ไว้เก็บรวบยอดก็ได้" หยิบแว่นขึ้นมากันแสง รวมถึงช่วยปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงข้างใน "คราวนี้คุณจะได้ติดหนี้ผม"


   But you never really had a doubt

   I don't believe that anybody feels

   The way I do about you now



   "แล้วคราวนี้ผมจะให้คุณอยู่กับผมบ้าง...ดีไหม"

   ทิวากาลสอนน้องเสมอว่าให้คิดก่อนพูด น้องโรมน่ะตัวดีเลยชอบใช้อารมณ์มาก่อนทุกอย่าง ไม่ว่าจะก่อนหรือว่าหลังเจอที่หนึ่งก็ยังต้องพูดคำนี้อยู่บ่อยๆ และบอกให้รู้ไว้ตรงนี้เลยว่าหลังจากนี้คงไม่กล้าสอนอย่างนั้นอีกแล้ว ก็สิ่งที่ออกจากปากไปเมื่อครู่นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผ่านการคัดกรองจากสมองเลย

   "...ภัสจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ"

   แม้ไม่ใช่คำตอบก็ดีใจมากแล้วที่ได้ยินเสียงของอีกคน ทิวากาลไม่อยากจะรับประกันอะไร พอเข้าใจหัวอกของคนเป็นพี่อยู่เพราะว่าตัวเองก็เคยผ่านจุดนี้มาเหมือนกัน อาจจะหนักกว่าหน่อยตรงที่ไร้แสงสว่างสำหรับการตามหาน้องสาว

   วันแรกที่รู้ว่าน้องหายไปก็พยายามท่องบอกตัวเองว่ามันคงไม่นาน ไวท์ต้องการเวลาสำหรับอยู่กับตัวเองเสียบ้าง จนผ่านไปเป็นเดือนเขาถึงเลิกหลอกตัวเองแล้วออกตามหา จะเล่าแบบไหนก็ไม่มีทางบอกความรู้สึกของตัวเองได้หมดว่าการตามหา 'ครึ่งชีวิต' ที่หายไปมันยากแค่ไหน

   สิ่งใดที่พ่อสอนมา เขากับเธอได้รับมันไปเท่ากัน ไม่มีประวัติการใช้เงิน ไม่มีการใช้เครื่องมือสื่อสาร ที่ไม่เข้าใจเลยคือเธอสามารถใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาอาศัยใครเลยได้อย่างไร พ่อไม่เคยบอกว่าเป็นความผิดของใครเรื่องที่รัตติกาลหายไป และพ่อไม่เคยเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจเช่นกัน มันคือบททดสอบที่ยากที่สุดของพี่และของฝาแฝด

   พิชชาเก่งกว่าเขาในเรื่องการควบคุมอารมณ์ จำได้ดีว่าตอนนั้นเป็นผีบ้าหัวร้อนมากแค่ไหน เพื่อนต้องคอยอยู่ข้างตลอดเพื่อช่วยกันคุมเอาไว้ ยิ่งน้องโรมเจ็บทุกอย่างกลายเป็นสิ่งเลวร้ายไปทั้งหมด แม้ในท้ายที่สุดแล้วมันจะไม่ได้มีแต่เรื่องแย่เสมอไป

   เรื่องที่ผ่านไปแล้วสอนให้ทิวากาลรู้ว่า

   "ทุกอย่างมีเวลาของมันเอง"



   ก่อนเข้าตัวเมืองโทรศัพท์ของทิวากาลดังขึ้นอีกครั้ง เรื่องรายงานคือสิ่งที่ขอไปก่อนออกจากกรุงเทพฯ วันนี้มีปาร์ตี้อย่างที่ให้ข้อมูลไปสองสามแห่ง เด็กวัยรุ่น ดื่มเหล้าหนัก แล้วก็อาจมีของผิดกฎหมายบางอย่างด้วย มันยากตรงที่ตอนนี้เป็นวันหยุดยาวของคนส่วนใหญ่ กว่าจะผ่านส่วนกลางเมืองไปสู่แหล่งที่อยู่อาศัยอาจใช้เวลาอีกเป็นชั่วโมง

   ร่างกายที่ใช้มาตั้งแต่เช้าเริ่มประท้วง ตื่นตั้งแต่ก่อนไก่โห่มาทำงานแล้วยังไม่ได้พักจนถึงตอนนี้ และมันจะยังไม่มีทางได้พักจนกว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้น

   กว่าจะผ่านส่วนในเมืองมาได้คนของพ่อก็ตรวจสอบเสร็จไปแล้วสองที่ เหลืออีกแห่งเดียวให้เขาได้ลุยเอง กดเปลี่ยนจุดหมาย ปล่อยให้เสียงสังเคราะห์นำจนถึงปลายทาง

   "คุณเก่งนะ"

   "ครับ?"

   "นิ่งกว่าตอนผมออกไปตามหาไวท์เยอะ"

   สิ่งที่ชมไม่ได้เกินกว่าที่คิดเลย พิชชาควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ดีเสมอไม่ว่าต้องเจอกับอะไร

   "ตอนนั้นคุณน่ากลัวมากครับ"

   พออีกคนเริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับเลยกล้าคุยต่อ "รู้ด้วย?"

   "อยากให้คุณเห็นว่าคุณแม่ร้อนใจแค่ไหน"

   คำว่าแม่สะกิดบาดแผลข้างในนิดหน่อย ตัวทิวากาลเองไม่ใช่คนคิดบวกขนาดที่ว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไปได้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น คงเป็นเพราะสิ่งที่น้องสาวเคยพูดบวกกับเนื้อหาของเรื่องเล่ามันเลยช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่าครั้งที่แล้ว

   "จริง?"

   "ผมเคยโกหกคุณเหรอครับ"

   "ผมคิดมาตลอดว่าแม่ไม่เคยคิดถึงพวกเราเลย"

   "โกหกไม่เก่งนะครับ" ต้องมองทางข้างหน้าเลยไม่อาจหันไปหาเจ้าของเสียงได้ "ถ้าคิดอย่างนั้นจริงผมคงไม่ได้กลิ่นของน้ำหอมอย่างนี้หรอก"

   คราวนี้มั่นใจได้ว่าไม่ได้คิดไปเอง ขวดแก้วที่ได้รับมาเสมอนั้นมาจาก 'แม่'

   จอดรถตรงลานหน้าบ้านขนาดใหญ่หลังในสุดของหาด เพลงอิเล็กทรอนิกส์ดังสะเทือนเข้ามาถึงข้างในรถ พื้นที่โดยรอบค่อนข้างเป็นส่วนตัว ทั้งไกลจากที่อยู่อาศัยหลังอื่นแล้วยังกั้นกรอบเขตพื้นที่เอาไว้ชัดเจน เหมาะกับการงานเลี้ยงพวกนี้สุดๆ

   ท้องฟ้ามืดกว่าที่เคย ลมแรงกับเสียงฟ้าร้องในฤดูฝนมันกำลังเตือนให้ระวัง ธรรมชาติกำลังทำหน้าที่ของมัน

   "คุณว่าเราจะเจอไหม" ถึงจะให้คนอื่นตามหามาก่อนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่คิดจะถูกต้องเสมอไป

   "ภัส...อยู่ข้างในครับ"

   "...?" ทิวากาลไม่เข้าใจว่าพิชชารู้ได้อย่างไร

   "รีบหน่อยครับราชา จะไม่ทันแล้ว..."

   ด้านในแย่กว่าทุกที่ที่ไปมา บ้านสี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เพิ่งเข้าทุ่มกว่าสภาพแต่ละคนเละเทะได้ที่ การบุกรุกเข้ามาด้านในของคนแปลกหน้าสองคนไม่มีใครให้ความสนใจ มีบางคนเดินเข้ามาขอชนแก้วด้วยซ้ำ ถามว่ามันดีไหมมันก็ดีอยู่ ส่วนจะว่ามันแย่...ใช่ แย่มาก

   ก็คนเยอะอย่างนี้จะไปตามหาคนๆ เดียวเจอได้หรือไง

   "จะแยกตามหาไหม" บ้านหลังใหญ่ไม่น้อย มีชั้นสองอีกต่างหาก "คุณเลือกเลย"

   "คุณขึ้นข้างบนก็ได้ครับ"

   "อืม ดูแลตัวเองด้วย"

   รับทราบคำสั่ง เอื้อมมือออกไปแล้วรีบดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว เกือบไปแล้ว...เขาเกือบจะเอาความเคยชินมาใช้แล้วไหมล่ะ

   "ครับ"

   ตอบรับสั้น ไฟสลัวพาร่างของชายผมยาวหายไปกับความมืด ทิวากาลพาตัวเองขึ้นไปยังชั้นสอง สอดส่องทั่วทุกพื้นที่ว่ามีคนที่ตามหาอยู่หรือไม่ ไม่พอใจสักอย่างจนอยากจะโละความเป็นผู้ชายแสนดีของตัวเองทิ้ง ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับแหล่งปลดปล่อยด้านมืดของมนุษย์ เหล้า บุหรี่ ของผิดกฎหมาย บทรักเร่าร้อนที่แสดงแบบไม่เก็บค่าเข้าชมตรงหน้าประตู รวมถึงหญิงสาวที่ชายตามองอย่างมีความนัยแฝง

   ความยากของด้านบนคือเป็นห้องนอนหลายห้องเรียงต่อกันไป ถ้ามันล็อคอยู่ก็จบเห่ หรือควรจะทำเหมือนตัวเองเป็นคนเมาไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้แล้วดี พอเจอภัสก็ตีเนียนออกไปไม่ให้ใครจับได้ ถามจริงว่าคนในงานกี่คนที่ยังมีสติอยู่

   "อยากเข้าห้องเหรอ?"

   เดินมาสี่ห้อง ล็อคไปสอง และนี่เป็นห้องที่สาม

   ชายแปลกหน้ามาจากไหนไม่ทันสังเกต มือข้างหนึ่งยกกุญแจพวงใหญ่ขึ้นมาโชว์ในระดับสายตา เขายังดูมีสติอยู่ดีเมื่อเทียบกับคนอื่น ชุดเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นกลายเป็นชุดกระโปรงไปในตัว น้องสาวของเขาก็เคยใส่อยู่ และบอกเลยว่าพี่ชายฝาแฝดไม่ชอบเอาเสียเลย

   "หาคนอยู่"

   "คนไหน ช่วยได้นะ"

   "ไม่ต้อง"

   เกลียดคนที่เข้ามายื่นมือเข้ามาช่วย ก็ดูสิเข้ามาแต่ละครั้งเคยเจอเรื่องดีๆ บ้างที่ไหน

   "แลกกับอะไรนิดหน่อยเอง"

   ร่างที่ห่างเมื่อครู่เข้ามาชิด การรุกจากคนแปลกหน้าเป็นอะไรที่น่าตกใจไม่น้อย ทิวากาลทิ้งน้ำหนักของแขนทั้งสองข้างให้อยู่ข้างตัวไว้ ไม่ยอมให้ส่วนอื่นใดสัมผัสเกินพอดี แค่เอาตัวเองเข้ามาเบียดอย่างนี้มันก็แย่เกินไปแล้ว

   "สนไหม?"

   มือถือวิสาสะเอามาคล้องคอเอาไว้ เอียงคอเล็กน้อยแทนการรอคอยคำตอบ กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาเส้นบางอย่างฉุนจมูกจนต้องยู่หน้า พอเห็นว่าสีดำไม่มีการตอบสนองจึงจงใจเบียดเข้ามามากกว่าเดิม การยั่วเย้าที่นอกจากจะไม่ช่วยดึงอารมณ์ร่วมแล้วยังพาลให้ยิ้มยากกว่าเดิม

   "ไม่" คนอย่างทิวากาลคำไหนคำนั้น

   "หืม ...แปลกจัง"

   "ไม่เห็นแปลก อ้อ! ช่วยเอามือออกจากคอผมด้วย" ไม่ได้ส่งยิ้มร้ายอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ เป็นราชาแสนดีมาจนเกือบลืมความสนุกของการได้ออกรบไปแล้ว "ยอมทำตามดีๆ แล้วไปหาคนอื่นเถอะ"

   "ก็ได้"

   ชายแปลกหน้ายอมเอามือของตัวเองออก เท้าเดินก้าวไปข้างหลังไม่รู้ตัว เพียงแค่เห็นช่วงหน้าที่กำลังฉายแววเตือนอย่างนั้นหัวใจก็พาลหวาดกลัวขึ้นมา

   แบล็ครอจนมั่นใจว่าจะไม่มีการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวรอบสองจึงบอกออกไป

   "ขอโทษทีนะ พอดีผมมีคนที่จะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิตแล้ว"

   "หึ...น่าเบื่อ"

   "ผมตามหาคนอยู่ พอเห็นเด็กมัธยมที่ใส่สร้อยข้อมือเยอะๆ บ้างไหม"

   "ภัส?"

   เด็กคนนั้นสร้างเรื่องอะไรเอาไว้บ้างนะ "ใช่"

   "น่าจะอยู่ข้า..."

   กระเป๋าหลังที่สั่นไม่หยุดของตัวเองบอกว่ามีใครกำลังโทรเข้ามา ชื่อที่ไม่ได้ปรากฏตรงสายเรียกเข้าในระยะเวลาช่วงหนึ่งสั่งให้   มือรีบสไลด์รับโดยเร็ว

   "เจอแล้วเหรอ?"

   (ครับ) เสียงเพลงดังจนจับไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเจอน้องในสภาพไหน (ข้างล่าง...ตรงก่อนทางออกไปสระว่ายน้ำ)

   "กำลังไป"

   การหาพิชชาในฝูงชนไม่เคยเป็นเรื่องยากสำหรับทิวากาล พยายามเลี่ยงการเข้าไปปะทะกับคนอื่นให้มากที่สุด จากที่เห็นคือเด็กเจ้าปัญหานอนอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาว มีเครื่องดื่มอย่างเหล้าไทยยี่ห้อหนึ่งวางเอาไว้ ไหนบอกไม่กินเหล้าไงเด็กผี

   "ว่าไงเจ้าปัญหา ...จะพากลับบ้านเลยไหม"

   ช่วงแรกทักทายคนที่นอนยาวอยู่ และส่วนหลังนั้นถามพี่ชายแสนดี ภัสสร์ตาปรือขึ้นมามองว่าเสียงทักมาจากใคร พอเห็นว่าเป็นทิวากาลแล้วจึงขมุบขมิบปากพูดอะไรออกมาเล็กน้อย

   "เสียงดัง ฟังไม่รู้เรื่อง" ชี้หูของตัวเองที่กำลังเจอกับมลภาวะทางเสียงอยู่ "ไหวไหม เดี๋ยวผมอุ้มแล้วคุณคอยดูทางก็ได้"

   นอกจากไม่มีคำตอบแล้วนัยน์ตาของพิชชาสั่นไหวจนต้องก้มลงมองให้ละเอียดถี่ถ้วนว่าภัสมีอาการผิดปกติตรงไหนอีกหรือไม่

   ใบหน้าซีดแม้จะอยู่ในที่มืด แก้มตอบลงกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เจอตัวจริง ส่วนแขนยังมีเครื่องประดับอยู่เต็มไปหมด ภัสสร์ปิดเปลือกตาสนิทส่วนปากยังขยับเล็กน้อยยามเห็นว่าเขายังคงอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

   ...ทำไมถึงใจหายอย่างนี้นะ

   คราวนี้สำรวจจนครบทุกส่วนของร่างกาย ใบหน้าซูบผอมจนเห็นสันกรามจะช่วงโหนกแก้มชัด ข้อแขนเคยมีเนื้อหนังอยู่นิดหน่อยคราวนี้มันแห้งจนหุ้มกระดูก เสื้อที่ใส่เป็นหนึ่งในล็อตล่าสุดที่เขาเลือกเองกับมือ ตอนลองวัดไซซ์ว่าเลือกแบบพอดีกับตัวแล้วนะ นี่ยังเหลือพื้นที่ให้อากาศอีกเหรอ ไม่ออกกำลังกายก็น่าบ่นพอแล้วนี่ยังทำลายสุขภาพของตัวเองอีก

   เดินไปฝั่งของพี่ชายจึงเห็นบางอย่างผิดปกติ ตรงส่วนเท้าของพิชชามีแผงยาสีคุ้นวางอยู่ หยิบมันขึ้นมาดูจึงพบว่ามันเหลืออีกแค่หนึ่งเม็ด อ่านชื่อยาอีกครั้งในขณะที่ความรู้บางอย่างแวบเข้ามา สิ่งที่ไปร้านเหล้าทีไรเพื่อนก็จะเตือนเอาไว้ทุกครั้ง

   ยาบางอย่างห้ามกินกับเหล้า

   "พิช..." เสียงของตัวเองเข้มขึ้น มือหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเตรียมกดหาคนช่วย "เรียกรถพยาบาลหรือยัง"

   มือของพี่ลูบไปมาตรงศีรษะน้องชาย "ไม่ต้องเรียกครับ"

   "ภัสกำลังแย่นะ"

   เตือนเสียงเครียด การทำงานของร่างกายเมื่อเจอกับสิ่งผิดปกติอาจส่งผลต่อชีวิต กับเพื่อนบางคนที่เล่นกีฬามาด้วยกันยังเกือบไม่ได้เห็นหน้าตลอดกาลมาแล้ว นับประสาอะไรกับเด็กที่ไม่เคยคิดจะดูแลเรื่องสุขภาพของตัวเอง

   ไม่กี่เม็ดก็เป็นอันตราย นี่ปาไปเกือบหมด

   เสียงเพลงดังกระแทกหูไม่มีหยุดตั้งแต่เข้ามาเงียบหายไปโดยมีความมืดเข้ามาแทนที่ เสียงร้องของเหล่าหนุ่มสาวผู้กำลังล่องลอยไปอยู่ในห้วงความสุขจอมปลอมดังระงม แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องดีเมื่อมีเสียงหนึ่งตะโกนให้ออกไปรวมกันด้านนอก ปล่อยให้ตรงนั้นเหลืออยู่เพียงสามชีวิต

   "มันถึงเวลาแล้วล่ะครับ"

   "เขากำลัง...นะพิช" กลืนบางคำกลับเข้าไปในลำคอ ในเวลานี้ไม่มีความกล้าพอที่จะพูดคำนั้นออกไปได้

   มือผอมติดกระดูกยกขึ้นมาคล้ายต้องการไขว่คว้าบางอย่างเอาไว้

   "ดูเหมือนว่าภัสอยากจะคุยกับคุณนะครับ"

   ลุกขึ้นมาให้เข้าไปแทนที่ ทิวากาลกุมมือผอมแห้งนั้นเอาไว้ มันบางจนไม่อยากจะเชื่อว่าร่างกายของคนเราจะสามารถแปรสภาพไปได้ขนาดนี้ มีหลายอย่างที่อยากจะพูดออกไปแต่ไม่รู้ว่าควรเปิดด้วยคำไหน

   สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงตรงหน้ามันเกินกว่าจะคุมความเข้มแข็งเอาไว้

   "จะไม่โทรมากวนพี่แล้วเหรอ"

   พอทักไปอย่างนั้นเลยได้เห็นความพยายามที่จะขยับริมฝีปากขึ้น พิจารณาคนตรงหน้าแล้วได้แต่ตั้งคำถามว่าภัสสร์ที่เขาเรียกในใจว่าเป็นเด็กปากดีหายไปไหน ร่างที่อยู่ตรงนี้คือคนเดียวกับที่เก็บวิญญาณแสนเข้มแข็งดวงนั้นเอาไว้แน่หรือ

   "ไหนใครบอกว่าจะให้พี่เลี้ยงบุฟเฟ่ต์?"

   “...ภัสไง”

   "ยังทันนะ ให้พี่ไปส่งไหม" หลอกตัวเองว่ายังยื้อเวลาต่อไปได้อีกหน่อย

   "เขา...ให้ผม...ไปได้แล้วนะ..."

   แค่ประโยคเดียวไม่ยาวเท่าไหร่กว่าจะออกมาครบมันก็กินเวลาไปมาก เสียงอ่อนล้าจนเขาไม่อยากจะได้ยินอีก

   ไม่อยากจะจำว่านั่นคือสิ่งที่เคยบอกกันเอาไว้แล้ว

   "จะไปจริงเหรอ"

   "หมดหน้าที่แล้ว ...ได้เวลาไปแล้ว"

   มั่นคงและชัดเจน เขายังจำทุกอย่างได้ดี เจ้าตัวกำลังทำตามคำที่ตัวเองเคยลั่นวาจาเอาไว้ คนที่บอกว่ามีหน้าที่ต้องรอกับสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน

   แม้เป็นราชาก็ไม่อาจต่อกรจ้าวแห่งความตาย

   "เรื่องที่ฝากเอาไว้ พี่สัญญาว่าจะทำให้" เคารพในการตัดสินใจ ไม่คิดจะรั้งไว้อีก "ถ้ามีคนไม่ทำตาม พี่จะทำให้คำพูดมันผูกพันเอง"

   มันยากที่จะบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น แม้ภาพตรงหน้าจะไม่มีอะไรต่างไปจากเจ้าชายนิทราผู้พร้อมจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้รับจุมพิต เพียงแค่ในความเป็นจริงไม่มี 'ใครคนนั้น' ที่จะมาล้างคำสาปของแม่มดได้อีก คนที่หลับไหลเลยไม่อาจลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

   "หลับ...ได้แล้วนะภัส" ร่างของพี่ชายขยับเข้ามาใกล้กับทิวากาลเพื่อคุยกับน้องชายได้ถนัดขึ้น "ไม่ต้องห่วงอะไรนะ พี่จะอยู่ตรงนี้"

   ไฟตรงปลายเปลวเทียนกำลังจะดับลง

   พิชชาเข้มแข็งอย่างที่เขาบอกไว้ น้ำเสียงอ่อนโยนมีโทนขึ้นลงบ้างในบางคำคอยขับกล่อมให้ร่างตรงนั้นผ่อนคลายมากกว่าเดิม ทิวากาลอาจไม่รู้เกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกาย นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่ตรงนี้ใกล้จะหยุดหายใจ

   "ภัสมีแต่พิชนะ..."

   "อืม พี่จะอยู่กับภัส"

   "ไม่ไปอยู่กับคนอื่นนะ"

   สายสัมพันธ์ของคนสองคนไม่ควรคิดคำนิยาม อย่างเขากับน้องสาวเองก็จะเป็นอย่างหนึ่ง กับเกรย์หรือว่าโรมก็จะเป็นอีกอย่าง มีอยู่วูบหนึ่งเหมือนกันที่ลองสลับบทบาทของตัวเองกับพิชชา เขาจะทำอย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ แล้วจะตอบมันไปอย่างไรในเมื่อคำพูดมันผูกพัน

   ตอนนี้คนที่เห็นแก่ตัวที่สุดคงเป็นตัวแบล็คเอง

   เพราะเขาไม่อยากให้พิชชาตอบตกลงออกไป

   "อะไรที่พี่ต้องคืน จะใช้ให้จนครบ"

   ถ้าไม่รักกันมาก ก็ต้องมาชดใช้ให้กัน

   "ไม่ต้องคิดมากนะภัส"

   มองลงไปถึงเห็นว่าสร้อยสีเงินเส้นนั้นมีมือผอมแห้งของภัสสร์กำเอาไว้แน่น สร้อยที่อยู่กับพิชชาเสมอคงมาจากน้องชายคนเดียว นัยน์ตาอ่อนล้ามีแววลังเลกับอะไรบางอย่าง

   "จะเลือกแบบไหน...พี่ไม่เคยโกรธอยู่แล้ว"

   ในห้วงเวลาที่กลายเป็นอนันตกาล ทิวากาลทำได้เพียงรอคอยให้ละครฉากต่อไปเล่นเสียที

   ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของคู่พี่น้อง หรืออาจจะกำลังใช้คลื่นอื่นในการสื่อสารอย่างที่เขากับฝาแฝดเคยทำก็เป็นได้ เรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ออกมาเป็นทางการได้ มีแค่คนสองคนรับรู้และเข้าใจกันเงียบๆ ไม่เคยหวังให้ใครอื่นมาเข้าใจ

   มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรวางฐานะของตัวเองไว้ตรงตำแหน่งไหน

   "...ขอโทษนะ"

   สุดท้ายแล้วมือนั้นก็ทิ้งลงข้างตัวตามเดิม

   ห้วงอากาศอบอ้าวหายไปพร้อมกับเสียงหยาดฝนตกกระทบผืนดิน หัวใจหล่นวูบไม่ทราบสาเหตุ คนนอนอยู่ปิดเปลือกตาสนิทอีกครั้ง จังหวะการหายใจเข้าออกเริ่มผ่อนความเร็วลงเรื่อยๆ จนเกือบไม่เห็นการขยับของช่วงกระบังลม

   "ไม่เป็นไร"

   คำนั้นปลอบประโลม ประทับจูบบริเวณหน้าผากแทนการบอกลา

   "เราได้เจอกันแล้ว"

   มือข้างที่ว่างอยู่ของพิชชาจิกลงกับผ้าเนื้อฝ้ายของตัวเองจนเกิดรอยยับย่นขึ้น แบล็คเคลื่อนมือของตัวเองออกไปประสาน ปล่อยให้แรงทั้งหมดส่งมาทางนี้แทน มือเย็นเฉียบเวลานี้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งชั้นดีไปแล้ว ได้แต่หวังว่าการแทรกบทของตัวเองจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้อีกคน

   ให้รู้ว่า ‘เรา’ มันหมายถึงสองคน

   "ไม่มีวันแยกจากกันอีก!"


***
   เหลืออีกสองตอนค่ะ ไว้คุยกันยาวๆ ทีเดียวเลยนะคะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-2 [19.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 22-02-2017 00:46:46
โอ้ววววว
เขียนบรรยายได้กินใจมาก

เอาใจช่วยคนทั้งสอง

เรา หมายถึงคนสองคน
ไม่มีวันแยกจากกันอีก!!

ที่สุด!!


ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 24-02-2017 20:20:29
CH.18

   คงเป็นเรื่องจริงที่บอกว่าทุกอย่างมีเวลาของมันเอง

   งานส่งลาของภัสสร์เรียบง่ายเหมือนตัวตนของเขา คนร่วมงานน้อยจนนับหัวได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนจากที่โรงเรียนและมีบางส่วนเป็นเพื่อนจากกลุ่มปาร์ตี้ งานประกอบพิธีทางศาสนาทำขึ้น 'พอเป็นพิธี' อย่างที่ตัวพี่ชายเองไม่อยากได้มากเท่าไหร่

   ตลกดีที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาตลอด ส่วนคนหน้าคุ้นนั้นไม่มีใครเหยียบเข้ามาเลย พิชชาส่งข่าวไปบอกทางบ้านแล้วตั้งแต่ช่วงจบเรื่อง คนรับสายเพียงรับทราบแต่ไม่ได้รับปากว่าจะมา คนมีสายเลือดร่วมกันไม่แยแส ส่วนคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกลับอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม

   "ไปพักก่อนก็ได้นะ"

   เดินไปหาเจ้าภาพคนเดียวของงานทั้งสามวัน พิชชาอยู่ในชุดขาวทั้งตัวจนตัดกับผมยาวชัด นัยน์ตาล้าจากการใช้ร่างกายต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายวัน เรื่องงานของน้องมันไม่ยากอะไรหรอก ยากที่สุดคือเรื่องที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก

   "ไม่เป็นไรครับ" คนน้อยจนสามารถดูแลคนเดียวได้

   "ถ้าไม่ไหวรีบบอก"

   "นอกจากคุณผมจะไปบอกใครได้ล่ะครับ"
   
   "รู้ก็ดี"

   ทิวากาลรับหน้าที่เป็นผู้ต้อนรับตรงทางเข้า ส่วนข้างในปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าภาพไป คนต้องยืนอยู่ข้างนอกไม่มีอะไรทำมากไปกว่าการกล่าวคำต้อนรับแล้วก็ขอบคุณสำหรับการเสียสละเวลามาร่วมงาน ถ้าถึงคราวของตัวเองก็อยากให้ทุกอย่างมันเรียบง่ายอย่างนี้เช่นกัน อาจจะไม่ต้องมีพิธีอะไรเลยก็ได้ รวมถึงไม่ต้องเสียเวลาเอามาตั้งก่อนเผา

   ตั้งแต่เริ่มงานมามีแขกเพียงห้าคน อีกไม่กี่นาทีจะเริ่มสวดรอบแรกแล้ว มองนาฬิกาข้อมือของตัวเองจนไม่รู้ว่ามีแขกรายสุดท้ายกำลังเดินเข้ามา

   “...สวัสดีครับ"

   มันยากเกินไปสำหรับการทักทายให้เป็นปกติ

   ไม่เคยกล้าเรียกผู้หญิงคนนี้สั้นๆ ว่า 'แม่' มันเป็นคำที่ไม่เคยติดปาก วันนี้อยู่ในชุดผ้าเนื้อดีสีดำสนิทเข้ารูป ผมมัดรวบตึงจนเห็นทั้งโครงหน้าชัด เครื่องประดับทุกชิ้นเหมาะกับแบบชุด เหมือนได้เห็นน้องสาวของตัวเองในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

   "งานจะเริ่มแล้วครับ" ส่งของแจกในงานไปให้ "พิชอยู่ข้างในแล้ว"

   "สบายดีนะ"

   ตีคำถามนั้นในฐานะคนไม่รู้จัก "พิชสบายดีครับ ช่วงนี้อาจนอนน้อยไปหน่อย"

   "เปล่า ฉันหมายถึงเธอสองคน"

   ทั้งร่างอุ่นวาบ เสียงของหัวใจที่เต้นดังขึ้นเรื่อยๆ บอกว่าสิ่งที่เกิดมันคือเรื่องจริง

   "ครับ...เราสบายดี"

   เพียงแค่นั้นก็เกินพอ

   "ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น"

   "ขอให้คุณสบาย ...หมายถึงผมหวังว่าคุณก็คงสบายดีเหมือนกัน"

   บางคำแม้อยากจะพูดออกไปแค่ไหนมันก็ควรจะเก็บเอาไว้ ซึมซับความรู้สึกแปลกใหม่นี้ให้ได้มากที่สุดเผื่อสำหรับน้องสาวด้วย ส่งคำขอโทษในใจไปให้รัตติกาลที่ได้เจอกับแม่เป็นครั้งที่สองแล้ว รู้ดีว่ามันไม่แฟร์กับคนที่ไม่เคยได้เจอเลยสักครั้ง

   ไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติมต่อจากนั้น มองไปจนสุดสายตาแล้วไม่เห็นว่ามีแขกเข้ามาเพิ่มจึงเตรียมกลับเข้าไปช่วยข้างใน งานสำหรับหนึ่งคนซึ่งจัดขึ้นโดยคนสองคนมันลำบากอยู่หลายส่วน ต่างคนต่างให้กำลังใจสำหรับการก้าวผ่านบททดสอบข้อถัดไป

   เก็บของด้านนอกจนครบ เหลือบไปเห็นใครอีกคนทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตรงหลังเสา แขกปริศนาที่เห็นวนเวียนอยู่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย

   "ไม่เข้าไปเหรอครับ" ชิงทักในจังหวะที่ปกายก้มลงทำอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ของตัวเอง

   เรียกว่าเป็นญาติรายเดียวที่เหยียบเข้ามาในบริเวณส่วนจัดงานของภัสสร์ก็ว่าได้ เสื้อสีดำกับกางเกงสีเดียวกันแทนสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ ใบหน้าหมองลงหลายระดับไม่มีความคล้ายกับผู้ชายพราวเสน่ห์คนเดิม ทำอย่างนี้ภรรยาไม่คิดสงสัยหน่อยเหรอ

   "ไม่"

   "อืม ก็ดีสำหรับคุณเอง"

   น่าสงสารผู้ต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งทั้งหมด

   รอดูว่าลูกพี่ลูกน้องจะพูดอะไรต่อจากนั้นหรือเปล่า พอเห็นว่าไม่น่ามีคำใดออกมาเพิ่มเติมอีกจึงบอกในสิ่งที่ตัวเองรับปากเอาไว้แล้ว

   "ภัสฝากผมมาบอกคุณเรื่องหนึ่ง"

   ชื่อนั้นเพิ่มประกายข้างในตาอีกคน "ฝากว่า?"

   "คำพูดมันผูกพัน"

   รอยความหวังดับสิ้นไปพร้อมกับนัยน์ตาหลุบลงต่ำ "ผมรู้"

   "เขาฝากให้ผมช่วยดูต่อ อย่าเพิ่งรำคาญผมเลยนะครับ"

   "ไม่ต้องห่วง พี่จะทำให้ภัสแน่นอน"

   บ้านนี้นี่แน่วแน่มั่นคงเสียอย่างนี้ทุกคนไปเลยหรือเปล่า ดูสิ เจอตัวอย่างแบบนี้จะไม่ให้กลัวความรักได้อย่างไร?



   "กลับมาแล้วครับ"

   หลังจากงานทุกอย่างของภัสสร์จบลงสิ่งต่อมาที่ต้องทำคือการเข้าไปเก็บกวาดสถานที่อยู่อาศัย เห็นว่าลงประกาศขายไปแล้วเลยควรรีบเข้ามาเคลียร์ให้พร้อมสำหรับการส่งต่อ มันเป็นเรื่องยากต่อการยอมรับเหมือนกันว่าเมื่อเคาะประตูบานนั้นไปแล้วมันจะไม่มีใครเดินมาเปิดให้

   เหม่อมองภาพที่ปรากฏต่อสายตาตรงหน้าเงียบๆ ของที่วางอยู่เต็มไปหมดไม่ช่วยให้ห้องดูมีชีวิตขึ้นมาได้ เมื่อคนที่เป็นเจ้าของนั้นไม่อาจจะกลับมาทักทายได้อีกนิรันดร์

   ตกลงกันว่าเสื้อผ้าและหนังสือทั้งหลายจะเก็บรวบรวมแล้วส่งไปให้กับโรงเรียนขาดแคลนริมชายแดน อันไหนที่เป็นของส่วนตัวก็คงเอากลับไปเก็บไว้ที่บ้าน อย่างอื่นที่ไม่จำเป็นพวกเฟอร์นิเจอร์แล้วก็ของประดับจะปล่อยให้เจ้าของในอนาคตจัดการเอง

   "งั้นคุณเข้าไปจัดการเสื้อ เดี๋ยวผมแยกหนังสือก่อน"

   แบ่งหน้าที่กันเพื่อความรวดเร็ว อยู่ที่บ้านก็ต้องคอยดูเรื่องความสะอาดอยู่แล้วไม่น่ายากอะไร

   จัดการแยกของที่จะจัดส่งกับสิ่งที่ทำได้แค่ชั่งกิโลขายทิ้ง ภัสสร์จัดว่าเป็นเด็กรักการอ่านอยู่มากพอสมควรเลยล่ะ ครั้งก่อนที่มาเจอแต่หนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยว พอรื้อไปมาถึงเจอว่ามันยังมีหนังสือหลายรูปแบบเก็บเอาไว้อยู่ในกล่องกระดาษหลายลัง

   ทิวากาลเปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาข้างในหลายเล่ม ที่มีคนเคยบอกว่าหนังสือบอกตัวตนของเจ้าของได้มันจริงอย่างนั้น นี่ขนาดเปิดไปดูแค่ไม่กี่เล่มยังเห็น 'ภัสสร์' ซ่อนอยู่ข้างในตัวอักษร น่าเสียดายที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เพื่อนอ่านเพิ่มขึ้นมาอีกคน สมัยนี้หายากจะตายไป ทุกคนหลงอยู่โลกแห่งความเร็วกันหมดแล้ว

   ช่วงเช้าหมดไปกับการแยกประเภทหนังสือ มีกล่องลังเตรียมเอาไว้พร้อมสำหรับการจัดเก็บ พอแยกหมวดหมู่ทั้งหมดได้แล้วก็ถึงเวลาของเรียงหนังสือตามขนาดลงไป เมื่อครบทุกเล่มแล้วจึงเขียนชื่อประเภทของงานเขียนตรงหน้ากล่องก่อนใช้เทปกาวปิดตรงให้เรียบร้อย

   "ในห้องยังมีหนังสืออีกหรือเปล่า"

   ส่วนของห้องอเนกประสงค์ที่ไร้หนังสือเล่มหนาโล่งขึ้นมาถนัดตา เดินเข้าไปยังส่วนของห้องนอนอันมีอีกคนทำหน้าที่เก็บพวกเสื้อผ้าอยู่ ภาพตรงหน้าแบล็คคือผู้ชายผมยาวกำลังจ้องมองเสื้อตัวหนึ่งตรงตักของตัวเอง เสื้อเชิ้ตมีปกสีน้ำเงินเข้ม ไม่ใช่ตัวที่เขาเคยเลือกซื้อให้สองสามครั้งหลัง

   "...ให้ผมเก็บดีกว่าไหม" รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับพิชชา คนที่ปากบอกว่าไม่เป็นไรแต่การกระทำนั้นตรงกันข้าม "คุณไปนั่งรอเถอะ"

   "ไม่เป็นไรครับ..."

   พักหลังได้ยินแต่เสียงแห้งเช่นนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่านั่นไม่ควรเรียกว่าปกติสักหน่อย

   "พิช อย่าฝืน"

   "ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จครับ"

   หน้าที่ของพี่ที่จะทำให้น้องเป็นครั้งสุดท้าย

   ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าใบใหญ่มีกระเป๋าเดินทางวางอยู่แล้ว ข้างในมีเสื้อผ้าพับเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่ง และยังมีอีกหลายตัวรอให้เขาไปย้ายลงมา แบล็ควางแผนในการจัดให้มันพอดีกับที่เก็บเพราะว่ายังมีเหลืออยู่ในตู้อีกเยอะ
   
   "ทำไมถึงชอบซื้อของให้น้อง" อยู่มาจนรู้ว่าของที่พิชชาซื้อส่วนใหญ่ไม่เคยเป็นของสำหรับตัวเอง

   "อืม...เพราะไม่รู้จะทำอะไรมั้งครับ"

   "ผมไม่ชอบซื้อของให้" การเลี้ยงน้องในแบบทิวากาลไม่เคยตามใจ "ถ้าอยากได้ก็ต้องหาเอง ผมไม่อยากให้พวกเขาติดนิสัยรอ"

   กับไวท์ไม่ค่อยได้เลี้ยงอะไร เป็นไฟลท์บังคับอยู่แล้วที่พี่กับน้องจะได้อะไรเหมือนกัน เพียงแค่โตขึ้นมันก็จะมีความแตกต่างไปบ้างตามเพศ ส่วนน้องคนอื่นจะได้ต่อเมื่อวันสำคัญอย่างวันเกิดเท่านั้น บางปีขี้เกียจก็หลอกให้คนอื่นซื้อแทนแล้วสวมรอยเอา

   "ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะทำให้ภัสติดนิสัยอะไรนะครับ"

   มือยังคงพับเสื้อหลายสีไปเรื่อย ทุกตัวเป็นเสื้อแบรนด์มีราคาแต่ไม่มีความหมายสำหรับบางคน ยังมีป้ายราคาติดเอาไว้ก็หลายชิ้นอยู่ สำหรับเขาแล้วสิ่งที่พิชชาทำมันไม่ต่างอะไรกับคำที่ว่าพ่อแม่รังแกฉัน ให้แต่ของแต่ไม่เคยที่จะให้ใจตามไปด้วย

   "อย่างอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ เที่ยว เล่นเกม"

   "เราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันครับ ภัสเองก็มีพี่กายอยู่แล้ว"

   ลืมเรื่องนี้ไปเลยว่าทั้งสองถูกเลี้ยงดูกันมาคนละแบบ "เสียใจบ้างไหม"

   "หมายถึงเรื่องไหนครับ"

   "ทุกเรื่อง"

   ในฐานะพี่ของเด็กสามคน ทิวากาลเชื่อว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ไม่มีบกพร่อง สิ่งที่ต้องแบกรับเอาไว้หนักเหลือเกินแต่ไม่เคยคิดจะปริปากบ่น

   "พอคิดว่าทุกคนมีทางเป็นของตัวเองก็จะไม่ค่อยเสียใจเท่าไหร่ครับ" เหลือเสื้อผ้าในตู้อีกเล็กน้อย พยายามไม่หันไปมองศิลปะบนฝาผนังขนาดใหญ่ตอนยื่นมือกลับมาขอเสื้อสีน้ำเงินบนตักของพิชชา "เสื้อตัวนี้เป็นตัวแรกที่ผมซื้อให้ภัสแหละ"

   มือลูบเชิ้ตขนาดพอดีตัวไปมา "ภัสสร์ยิ้มสวยมากเลย"

   หนึ่งสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนคือรอยยิ้มสวยอย่างที่ว่า สิ่งที่มักประดับอยู่บนหน้าซูบผอมคือริมฝีปากเป็นระนาบเดียวกับพื้น หากยกยิ้มขึ้นมามันก็ไม่เคยมีครั้งไหนเอาไว้แสดงถึงความสุข ราวกับว่ารอยยิ้มสำหรับภัสสร์นั้นไม่เคยมีอยู่จริง

   "เคยคิดอย่างนั้นมาตลอด ...จนเห็นรอยยิ้มตอนวันสุดท้าย"

   เสียงขาดหายเป็นช่วงสั้นสลับกับการบอกเล่า มือบรรจงพับเก็บมันช้าๆ จนเหลือเพียงทรงสี่เหลี่ยม "ถึงรู้ว่าที่คิดว่ามันสวยที่สุด...คือวันนั้นต่างหาก"

   มุมปากยกองศาขึ้นสวยหลังกล่าวคำลา ไม่ต่างกับรอยยิ้มของเทวดาในรูปปั้นกรีกโบราณ

   รับเสื้อตัวสำคัญมา วางมันลงไปในกระเป๋าอย่างเบามือที่สุด ตรวจสอบความเรียบร้อยโดยรวมจนมั่นใจแล้วถึงปิดมันให้สนิท พิชชายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมตอนเขาย่อตัวลงไปนั่งตรงหน้า กุมมือเย็นเฉียบทั้งสองข้างเอาไว้จนแน่น

   "ผมอยู่ตรงนี้”

   “...”

   “อยู่กับคุณตลอดไป”



   ต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าห้องรกจะกลับมาสะอาดแบบเดิม ของทุกชิ้นถูกส่งต่อไปยังสถานที่ปลายทางแตกต่างกันตามที่วางแผนเอาไว้ และไม่มีชิ้นไหนถูกส่งไปยังบ้านชั้นเดียวเหมือนอย่างที่บอกไว้ทีแรก พิชชาไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้น ถึงเขาจะเสนอให้เก็บของบางอย่างเช่นโมเดลแผนที่โลกมันก็ถูกตีกลับ

   "กลับมาแล้วครับ"

   ชะโงกหน้าออกไปตรงประตูทางเข้า "ยินดีต้อนรับ"

   "เหนื่อยจังเลยครับราชา"

   "มีน้ำอยู่ในตู้เย็น"

   ยังติดภารกิจในการแก้ปมก้อนไหมพรมสำหรับการตกแต่ง วันนี้พิชชาไปคุยกับผู้จัดการมรดกเรื่องทรัพย์สินมาอีกรอบ พอภัสสร์เสียส่วนแบ่งอะไรมันก็ต้องเอากลับมาจัดใหม่ แม้ในรายละเอียดส่วนใหญ่มันจะเหมือนเดิมก็ควรเข้าไปดูแลด้วยตัวเองอยู่ดี

   "ผมเห็นคุณแก้ตั้งแต่ตอนผมออกไปแล้วนะครับ"

   "ก็ใครยัดๆ มันเอาไว้จนกลายเป็นอย่างนี้ล่ะ" โอกาสแวะมาก็ต้องใช้ เห็นทีแรกมันเกือบหลอมกลายเป็นสีผสมแล้ว "อยากจะเล่นแต่ก็ไม่ดูแล"

   "ขี้บ่น"

   "ก็อย่าทำให้ผมบ่นสิ"

   เบาะข้างตัวยวบลงไปเมื่อมีอีกร่างทิ้งน้ำหนักลงมา ตามมาด้วยช่วงศีรษะซบลงมาตรงไหล่ หันไปประทับจูบตรงเส้นผมสวย มือยังวุ่นวายอยู่กับการแก้ปมไปไม่มีหยุด เพิ่งหลุดออกไปได้สีเดียว และตรงหน้าตอนนี้มันยังมีอีกห้าสีที่รอให้เขาแก้ไขอยู่

   "แล้วเป็นไงบ้าง"

   "ก็ดีครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"

   "เหรอ" เบามือมากที่สุดกับการแก้ไปทีละส่วน ไม่อยากเร่งร้อนดึงด้วยความกังวลว่ามันอาจไปสร้างปมตายที่จุดอื่นแทน "ผมไม่เชื่อแฮะ"

   รับรู้ได้ถึงแรงสั่นนิดหน่อยตรงที่ใบหน้าอีกคนยังชิดอยู่ "ก็เรื่องเดิมๆ ครับ เราก็ตอบแบบเดิมไป"

   ใกล้วันนัดของบริษัทรับทำลายอาคารเข้าไปทุกที มีคนแปลกหน้าหลายคนมากดกริ่งจนอยากจะติดป้ายหน้ารั้วว่าไม่รับแขก ไล่กลับไปกี่ครั้งไม่เห็นจะเข็ด เขาว่าจะลองวิธีอื่นแทนการเจรจาแล้ว ในเมื่อพูดภาษาไทยดีๆ ฟังไม่เข้าใจคงต้องเพิ่มภาษากายเข้าไปอีกหน่อย

   "อีกนิดเดียว"

   "ส่วนในมือของคุณน่าจะอีกนานครับ"

   "เอาไปทำต่อเองเลย" ยกของในมือตัวเองไปให้ "ผมจะได้ไปรดน้ำต้นไม้"
   
   ทำทุกอย่างจนเหมือนบ้านของตัวเอง ห้าวันอยู่ที่นี่และอีกสองวันกลับไปนอนบ้านตามข้อตกลงเดิม บ้านที่จ้างคนมาทำความสะอาดเพียงหนึ่งวันต่อสัปดาห์ไม่ครอบคลุมงานบางส่วนอย่างเช่นสวนสีเขียวรอบตัวบ้าน รวมถึงการดูแลเจ้าของบ้านด้วย

   "ฮื่อ ให้ผมทำไปซื้อใหม่เลยง่ายกว่าครับ"

   "ไหนบอกไม่รีบใช้"

   "ไม่รีบแต่กลัวจะไม่ได้ใช้น่ะสิครับ"

   "หรือจะตัดทิ้ง?"

   การแก้บางปมมันยากจนตัดทิ้งเสียดีกว่า

   "...ใกล้แล้วล่ะครับ ผมขอเวลาอีกหน่อย"

   ครอบครัวที่ไม่มีสายใยคอยเหนี่ยวรั้งเอาไว้ จนไม่อยากเชื่อว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ร่วมสายเลือด ถ้าต้นตระกูลได้มาเห็นความบาดหมางอย่างนี้อาจจะเปลี่ยนใจไม่ยอมมีลูกหลายคนก็ได้

   "คุณไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้ขนาดนี้ก็ได้นะพิช" บอกในฐานะคนที่มีประสบการณ์ตรงมาก่อน การเอาทุกอย่างเก็บไว้โดยไม่คัดกรองระดับความสัมพันธ์สุดท้ายไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา "ทิ้งมันเสียบ้าง คุณเหนื่อยมาพอแล้ว"

   จากเรื่องของพ่อ ดำเนินต่อมาจนถึงเรื่องของน้องชาย ผู้รู้ที่ต้องแลกความสามารถในการเห็นด้วยการเผชิญหน้ากับทุกอย่างตัวคนเดียวไม่มีใครคอยหนุน จนบางครั้งเวลามองผู้ชายคนนี้มันก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าการเกิดมาหนึ่งครั้งจำเป็นต้องเจอเรื่องราวมากขนาดนี้เลยหรือไม่

   ปมหลวมขนาดใหญ่คลายออกจากกัน ตามหาปลายเชือกของสีหนึ่งจนพบ ใช้ปากกาหลายแท่งมาเป็นแกนสำหรับการขมวดปมใหม่ ค่อยๆ หมุนข้อมือของตัวเองไปตามทิศทางที่วางเอาไว้ จนกระทั่งมันเริ่มเป็นก้อนขนชิ้นใหม่จึงกลับมาแก้ปัญหาข้อต่อไป

   กลิ่นเครื่องหอมสองชนิดรวมเป็นหนึ่งกลิ่นใหม่ ราวกับว่ามันผสมสารระเหยมีฤทธิ์ทำให้อารมณ์ดีอย่างอื่นเข้า เอียงคอซบกับพิชชาเอาไว้ มือข้างหนึ่งที่ยังว่างของเจ้าของบ้านแตะอยู่ตรงข้อแขนของเขาค้างเอาไว้ จากมุมนี้ไม่สามารถหาข้อสนับสนุนอื่นได้ว่านี่คือการอ้อนหรือไม่

   "อยากทำบ้างแล้วหรือไง"

   "ไม่ครับ พอดีพูดถึงเรื่องตัดทิ้งแล้วว่าจะขอให้คุณช่วยอะไรหน่อย"

   "เรื่องอะไรล่ะ"

   "ตัดผมให้หน่อยได้ไหมครับ"


***
ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 24-02-2017 20:22:42
   "คุณมองผมเป็นตัวสารพัดประโยชน์ใช่ไหม"

   เขารักเสียงหัวเราะอย่างนั้น "ก็ผมขอไปทีไรคุณก็ทำให้ได้หมดนี่ครับ"

   เลือกเอาระเบียงไม้ตรงด้านนอกเป็นร้านทำผมชั่วคราว เก้าอี้แบบมีพนักพิงตัวนุ่มมีไว้สำหรับรอให้บริการลูกค้ารายพิเศษ ส่วนช่างตัดผมจำเป็นต้องตรวจสอบความเรียบร้อยทั้งหมดก่อน

   หยิบอุปกรณ์สำหรับจัดแต่งทรงผมออกมาจากซองพลาสติกอย่างดี อ่านคำอธิบายวิธีการใช้เครื่องมือแต่ละอย่างจนครบ สำคัญเลยคือกรรไกร ส่วนหวีซอยน่าจะไม่เกี่ยวเท่าไหร่ แล้วจะมีของใช้เฉพาะอย่างเยอะแยะไปไหนกัน

   รวมผมยาวขึ้นเป็นหางม้าสูงเอาไว้ลวกๆ เพื่อสวมผ้าคลุมป้องกัน ช่วงที่ปล่อยให้พิชชาไปหากรรไกรตัดผมก็เปิดหาคลิปสอนตัดผมอย่างง่ายทำได้เองที่บ้านไปเรื่อยจนพอจับหลักของมันได้ อย่างเช่นการตัดผมที่ละช่อรวมถึงทริกเล็กน้อยบางอย่าง

   ไม่เป็นแล้วชาวสวนบ้านนอก ไปเปิดร้านซาลอนน่าจะรุ่ง

   "ก็คุณเคยเสนอตัวว่าจะช่วยตัดผมให้นี่ครับ"

   "นั่นมันตอนที่คุณผมยาว"

   สระผมช่วงแรกโมโหกับความยาวเส้นผมจะตายไป พอได้สระหลายครั้งเข้ามันก็หาทางแก้ไขของมันได้เองจนไม่เคยประสบกับเรื่องกวนใจเหล่านั้นอีกแล้ว

   "นี่ผมก็ยังยาวอยู่นะ" ถึงจะหายไปจากเดิมหลายนิ้วอยู่ "ไปให้ร้านตัดให้เหรอ"

   "เปล่าครับ ตัดเอง"

   "หืม"

   พอเห็นว่ายังไม่เข้าใจเลยมีการอธิบายเพิ่มเติม "มัดรวมเป็นหางม้าแล้วก็ตัดทีเดียว"

   ถึงว่าทำไมถึงพอปล่อยผมแล้วมันถึงไม่ค่อยเท่ากัน ถ้าเป็นเขาไม่มีทางทำเองหรอก เสี่ยงทั้งทรงผมแล้วก็ความปลอดภัยของนิ้วมือ นอกจากจะได้ทรงผมที่ไม่ต้องการแล้วอาจจะได้บาดแผลตามนิ้วกลับมาด้วย

   "ซ่าใหญ่"

   "มันเป็นผลงานที่ผิดพลาดน่ะครับ"

   "แล้ว...ทำไมตัดแล้วล่ะ" จัดท่าของลูกค้ารายแรกให้นั่งหลังตรงมองไปข้างหน้า ลองนึกภาพสุดท้ายของผลงานที่กำลังจะสร้าง มือจับกรรไกรเอาไว้มั่นก่อนออกแรงตัดจนปอยแรกร่วงหล่นสู่พื้น "ต้องไม่ชินแน่เลยที่เห็นคุณผมสั้น"

   หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองตอนนี้เป็นรูปของนายแบบคนหนึ่งในต่างประเทศ ต้นแบบสำหรับผมทรงใหม่ของพิชชา

   "ก็ไม่จำเป็นต้องต่อชีวิตของอีกคนแล้วไงครับ"

   "คุณเป็นพี่ที่มีวิธีเลี้ยงน้องแปลกที่สุดเลยพิช"

   "นั่นชมอยู่ใช่ไหมครับ"

   "อืม..." ระหว่างกะระดับของความยาวก็คิดไปด้วยว่านั่นเรียกว่าชมหรือเปล่า "ไม่นะ ผมเรียกว่าการประชด"

   คราวนี้เห็นชัดว่าพิชชาต้องกลั้นขำเอาไว้แค่ไหน ใต้ผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่พยายามควบคุมร่างของตัวเองไม่ให้สั่นจนเกิดข้อผิดพลาดกับทรงผม

   "ใจร้ายจังครับ"

   "นี่แหละผม"

   พอคิดว่าด้านในได้รับการตัดแต่งจนดีแล้วถึงขยับไปจัดการช่อต่อไป ส่งกำลังใจให้ตัวเองว่ามันก็ไม่ได้ยากอย่างที่กลัวเอาไว้ แอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่ต้องมาทำลายสิ่งที่อยู่ในความดูแลของตัวเอง ถ้าผมสั้นแล้วมันก็รู้สึกว่าไม่ใช่พิชชาคนที่เขารู้จัก

   "วันนี้เจอพี่กายด้วยครับ"

   ทิวากาลไม่ได้เล่าว่าตัวเองเจอชายคนเดียวกันในวันสวด ถือว่านั่นเป็นสัญญาของคนสองคนเท่านั้น

   โคลงหัวไปมาเมื่อคิดถึงพี่ชายที่เป็น 'ความรัก' ของภัสสร์ "เป็นไงบ้างล่ะ”

   "ไม่มีอะไรนะครับ ภรรยาเขาก็เริ่มท้องใหญ่แล้ว"

   "พูดยากนะ"

   "ก็เลยไม่พูดน่ะครับ ช่วงนี้คุณอาดูมีปัญหาเรื่องธุรกิจด้วย"

   เศรษฐกิจไม่ค่อยดีพาหลายธุรกิจมีปัญหา อ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็เจอหัวข้อพวกเตรียมขายกิจการ ขาดทุนในรอบหลายสิบปี รวมถึงธนาคารไม่ปล่อยให้กู้ ได้แต่ถอนหายใจแล้วหวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นในเร็ววัน

   ถ้าพูดตามหลักของนักกฎหมายอย่างที่เขาได้รับการปลูกฝังมาตลอดสี่ปีมันก็แก้ได้หลายทางแหละ เพียงแต่ว่าเรามันเป็นนักทฤษฎีที่ไม่เคยเห็นข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติ ก็เลยทำได้แค่บ่นกันไปไม่มีใครลุกขึ้นมาทำอะไรจริงจัง แล้วถ้ามองให้ลึกเข้าไปอีกแค่ความขัดแย้งในคณะมันก็เยอะจนไม่มีเวลาไปสนใจข้างนอกแล้ว

   "แล้วจะเข้าไปเมื่อไหร่ล่ะ" คดีแรกที่ส่งเข้ามาถึงมือของเด็กนิติศาสตร์คือการตรวจสอบเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายมรดก ไล่อ่านรายชื่อทรัพย์สินจำนวนมากจนตาลายไปหมด ส่วนที่เป็นทรัพย์ทั่วไปมันไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะพิชชาเองไม่ได้สนใจ ที่ต้องระวังคือพวกหุ้นในบริษัทแล้วก็ตำแหน่งผู้จัดการ

   เรียนส่วนหลักการมาตั้งเยอะแยะ ในโลกความจริงไม่เคยมีคนปฏิบัติตามอย่างที่อาจารย์เคยเปรยเอาไว้

   ตามจริงสิ่งควรจะเป็นคือพิชชาจะต้องก้าวเข้าไปดูแลบางธุรกิจเองแล้วด้วย และเพราะว่ายื้อกันไปมาอย่างนี้นี่แหละมันเลยมีปัญหาว่าการตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ใคร ต้องไปล็อบบี้กันวุ่นวายอีก

   "ไม่เข้าแล้วล่ะครับ ปล่อยให้คนอื่นจัดการไป"

   หลังจากจัดแบ่งทรัพย์ได้ทั้งหมด สิ่งที่เป็นของพ่อจะแปรกลายเป็นต้นทุนสำหรับการต่อตั้งมูลนิธิต่อไป ยังไม่ได้คุยกันจริงจังว่าสรุปแล้วจะเป็นองค์กรในรูปแบบไหน สิ่งเดียวที่รู้อยู่ในเวลานี้คือไม่มีสักสตางค์เดียวหล่นไปอยู่กับพวกญาติพี่น้อง

   พิชชาน่ากลัวใช่ไหมล่ะ

   "ระวังหน่อย ที่จริงวันนี้คุณน่าจะให้ผมไปด้วย"

   "ไปแล้วทุกคนก็กลัวคุณหมดครับราชา"

   ยักไหล่ไม่สนใจใคร "ไม่เห็นต้องกลัวเลย"

   จัดแต่งไปทีละส่วนจนเส้นผมกระจายเต็มพื้น จากอารมณ์เสียดายในช่วงแรกมันก็ชินชาจนไม่รู้สึกอะไรอีก ในหัวคิดอย่างเดียวว่าจะจัดแต่งแบบไหนให้เหมาะกับคนอยากเปลี่ยนลุคมากที่สุด

   "เดี๋ยวตัดผมเสร็จแล้วผมมีอะไรจะให้ด้วยครับ"

   "ค่าจ้างดูแลบ้านใช่ไหม ผมขอโอทีด้วยนะ"

   มองนาฬิกาตรงโทรศัพท์ของตัวเอง ผ่านมาเกือบชั่วโมงหนึ่งช่างตัดผมมือใหม่ก็วางมือลง ตรวจความเรียบร้อยโดยรวมว่าไม่มีส่วนไหนไม่เข้าทรง ปัดเอาเส้นผมตามช่วงไหล่ลงไปกองกับส่วนอื่น ไม่มีกระจกเลยต้องใช้กล้องหน้าแทนสิ่งสะท้อนผลงาน

   คนตรงหน้าแปลกตาไปจนต้องกลับมาเพ่งส่วนนัยน์ตาว่ายังเป็นคนเดิมกับที่รู้จักหรือไม่ สิ่งที่ทำให้พิชชาแตกต่างจากคนอื่นไม่ใช่แค่การไว้ผมยาว แต่รวมถึงทั้งโครงหน้าประหลาดไม่เหมือนกับคนชาติไหนชัด พิชชาไม่ใช่คนหน้าหวานอะไรอยู่แล้ว พอผมสั้นเกือบติดหนังหัวมันก็ยังเข้าท่า

   "โอเคไหม"

   "คุณทำให้ทุกอย่างก็ดีหมดแหละครับ"

   "งั้นไปสระผม"

   บ้านหลังใหม่ไม่ได้ออกแบบให้มีอ่างในห้องน้ำ ถ้าจะช่วยสระผมให้ทีก็ต้องเข้าไปเบียดกันในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกำลังดีซึ่งไม่มีส่วนไหนสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ได้ พิชชาเคยดื้ออยากจะสระผมจนยอมออกมาสระตรงสวนเพื่อพบว่านอกจากจะลำบากตอนสระแล้วยังต้องมาลำบากตอนเก็บด้วย

   "ครับผม" ตอบรับพลางลุกขึ้นเดินเข้าไปยังส่วนในของบ้าน

   "อย่าลืมของที่จะให้ผมนะ"

   บอกไล่หลังไปเผื่อลืม ถ้ามีของตอบแทนแล้วทำเนียนไม่ให้เขาจะตามทวงทุกนาทีเลย

   "อยู่ตรงเก้าอี้แล้วครับ"

   หันมามองหา บนเก้าอี้ตัวที่มีคนนั่งอยู่เมื่อครู่มีกระดาษสีแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ ภาพขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขวดน้ำหอมชนิดเดียวกับที่เขาใช้อยู่ปรากฏ สงสัยว่าพิชชาไปเอาภาพนี้มาได้อย่างไรในเมื่อดูจากองค์ประกอบของภาพแล้วมันไม่ใช่ขวดที่เขาใช้อยู่ทุกวันนี้แน่ แล้วมันก็ไม่มีทางมาจากรัตติกาลด้วย

   นอกจากขวดแก้วตรงกลางด้านข้างยังมีป้ายขนาดเล็กวางอยู่ถัดไป บนนั้นมีตัวโรมันเป็นลายมือเขียนเอาไว้อยู่ลองสะกดตามความเข้าใจแต่ก็อ่านไม่ออก

   หรือจะเป็น...
   
   หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปลี่ยนจากคำสั่งกล้องถ่ายรูปเป็นเครื่องมือแปลภาษา ป้อนคำสั่งแปลจากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษทันที แม้จะไม่เคยเรียนภาษาที่สามมาก่อนเขาก็มั่นใจว่ามันไม่มีทางผิดพลาด อดีตสาวดาวอักษรเรียนภาษานี้เป็นภาษาเอกตอนอยู่ในมหาวิทยาลัย

   ลองเทียบกับแป้นจนคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด กดคำสั่งเปลี่ยนภาษาแล้วรอให้ระบบประมวลผล

   เวลาไม่กี่วินาทียาวนานจนเขาลืมหายใจ

   เมื่อระบบทำงานเสร็จจึงเผยคำที่เห็นตรึงเข้าไปในหัวใจตั้งแต่แรกเห็น ทิวากาลสูดหายใจเข้าลึก ฝากสายลมให้ส่งบางคำกลับไป

   "...ขอบคุณครับ"

   Amour éternel   

   -Everlasting Love




   ช่วงเวลาหลังมื้อเย็นมักเป็นเวลาของการดูทีวีหรือไม่ก็ต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเอง นานครั้งจะได้ยินเสียงเปียโนบรรเลงเพลงตามอารมณ์ของผู้เล่น ผิดแปลกไปก็ตรงที่ทิวากาลยังต้องแก้ปมไหมพรมให้เสร็จก่อนจะไปทำอย่างอื่นได้ ที่จริงเขาควรเริ่มอ่านหนังสือสำหรับสอบปลายภาคได้แล้ว ส่วนสมาชิกอีกคนคล้องแขนตัวเองไว้หลวมๆ พิงไหล่เขาในขณะที่ชมข่าวในช่องต่างประเทศอยู่

   "สัปดาห์หน้าผมไปเที่ยวกับที่บ้านนะ"

   บอกไว้ก่อนว่าจะไม่ได้มาหาช่วงวันหยุด จะยกทั้งครอบครัวไปพักผ่อนก่อนที่ลูกชายทั้งสองจะต้องหมกตัวอยู่กับคอนโดยาวในช่วงการสอบไล่

   "ครับ"

   "อยู่คนเดียวได้นะ?"

   "ครับ"

   ไม่เคยได้ยินพิชชาตอบรับส่งๆ มาก่อน ลองนึกย้อนไปว่าตั้งแต่กลับบ้านมามีเรื่องเล่าอะไรที่น่าจะยังติดค้างอยู่ในใจบ้างหรือไม่

   "กลับบ้านไปคุยเรื่องอื่นมาด้วยใช่ไหม" เรื่องที่ทำให้พิชชาคิดมากได้ก็มีแค่อย่างเดียว

   “สรุปแล้วหัวใจของคุณอยู่ที่ไหนเหรอครับราชา”

   หนึ่งคำที่เคยถามแต่ยังไม่ได้ตอบ

   “หวังให้ผมตอบเลี่ยนๆ อย่างเช่นอยู่กับคุณอยู่หรือไง”

   “ถ้าตอบอย่างนั้นผมจะผิดหวังมากเลยครับ”

   หัวเราะให้เสียงยุ่งติดไม่พอใจ เขาถึงชอบที่อยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์อย่างนี้ไง ไม่ต้องมีเรื่องเซอร์ไพรส์หรือว่าทำอะไรให้อยู่ในความสนใจของคนอื่น ไม่เคยเอาคำหวานมาใช้กัน

   “หัวใจของผมก็อยู่ตรงอกซ้าย” บอกตามหลักของวิชากายวิภาค ความเงียบสงบรอบตัวช่วยให้จับจังหวะการเต้นที่ยังอยู่ในความเร็วเท่าเดิม “เป็นอวัยวะที่ช่วยให้ร่างกายของผมยังทำงานอยู่ได้”

   ไม่เคยเชื่อเรื่องการฝากใจไว้ที่ใครอื่น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเวลาพูดถึงเรื่องความรักแล้วชอบเอาไปเกี่ยวกับหัวใจ ทั้งที่ส่วนที่ทำให้เรามีความรู้สึกมันควรเป็นการสั่งการจากสมองมากกว่า ยิ่งฟังเพลงแล้วก็ไม่อินเข้าไปใหญ่เพราะว่าจะมีคำถามมากมายเกิดขึ้นมาจนต้องเลิกใช้ตรรกะเรื่องความเป็นจริงมาปรับ

   "แล้วคุณเคยคุยกับภัสสร์เรื่องอนาคตไหมครับราชา"

   ระหว่างการแก้ปมของสีที่สามหัวข้อใหม่ของการสนทนาก็เริ่มขึ้น พิชชาไม่เคยคิดว่าการพูดถึงคนที่จากไปจะสร้างรอยแผลอะไรเพิ่ม มันคือการยอมรับว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้วมันไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้ และยังดีเสียกว่าถ้าเราจะเก็บเขาไว้ในความทรงจำ

   "เคยนะ บอกว่าอยากไปเที่ยวรอบโลก"

   "อย่างนั้นเหรอครับ"

   "มีอะไร...?"

   "วันนี้เจอทนาย เขาบอกภัสสร์เขียนคำสั่งเอาไว้"

   อายุเข้าเกณฑ์ที่จะทำพินัยกรรมเองได้แล้ว มือที่ขยับไม่มีหยุดพักลดระดับความเร็วลงหน่อยเพื่อแบ่งไปจับประเด็นในเรื่องเล่า อย่างเด็กคนนั้นจะสั่งอะไรเอาไว้นะ เรื่องชื่อลูกของพี่กายหรือไง

   "เขาอยากไปผมพาไปเที่ยว..."

   สมุดเล่มหนาไม่มีลวดลายตรงหน้าปกวางลงตรงตัก เป็นผลโดยตรงให้ทิ้งก้อนไหมพรมหนาเอาไว้ข้างตัว ทิวากาลหยิบมันขึ้นมาเปิดดูรายละเอียดคร่าวๆ เอาแค่พอให้เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่ออะไร ทุกหน้าเขียนด้วยลายมือโดยมีภาพประกอบของสถานที่เอาไว้ครบ ระบุชื่อประเทศ ชื่อเมือง รวมถึงกิจกรรมที่อยากให้ไปทำเอาไว้ชัดเจน

   "คุณต้องเรียน" เด็กเอกธุรกิจไม่เหมือนกับเขา วิชาเรียนไม่เคยมีการเช็คชื่อเลยทำให้บางคนเห็นหน้าแค่ช่วงสอบเท่านั้น "จะทำอย่างนั้นจริงคงต้องใช้เวลาหลายเดือน"

   "หรืออาจหลายปีครับ"

   มีลางร้ายจนต้องปรามเอาไว้ก่อน "ไม่เอานะพิช"

   "มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำให้เขาได้ครับ"

   "แต่คุณไม่ต้องทำขนาดนั้น"

   มือขาวซีดก้มลงแตะสร้อยสีเงินของตัวเอง "...ผมยังต้องชดใช้ให้ภัสอยู่"

   พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง สมองกำลังหาเหตุผลมารองรับการกระทำก่อนจะใช้อารมณ์ในการโต้เถียง มันเป็นเรื่องที่ดูบ้าหากพูดตามมุมของแบล็ค และมันอาจเป็นเรื่องที่สมเหตุผลที่สุดในมุมของพิช ในเมื่อคนเป็นพี่น้องเกิดมาเพื่อชดใช้ให้กัน นั่นคือ 'หน้าที่' ของพิชชาที่ต้องทำ

   จนมั่นใจว่าตัวเองสงบลงแล้วถึงถามต่อ "เมื่อไหร่"

   "คิดว่าไม่เกินเดือนหน้าครับ"
   
   ทุกอย่างเร็วจนตั้งตัวไม่ติด ความคิดเรื่องตามไปนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัว เขาเองก็มีเงื่อนไขของตัวเองเช่นกัน การทำหน้าที่ในฐานะลูกคนโตยังรั้งเขาเอาไว้ "งั้นเหรอ..."

   นอกจากไม่อยากขยับปากหัวใจก็พลอยลดจังหวะการสูบฉีด กลิ่นน้ำหอมที่เคยชอบวันนี้แสบจมูกจนไม่อยากจะหายใจเข้าไปอีก มุมก้มที่ควรเห็นแต่ตักของตัวเองมีใครบางคนแทรกเข้ามาในจอรับภาพ ผู้ชายผมสั้นที่เขายังไม่คุ้นชินกับทรงผมนี้สักเท่าไหร่

   "ผมเคยบอกไหมครับว่าตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ผมได้เจอคุณอีกแล้ว"

   "ภัสเคย"

   “นั่นแหละครับ มันคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผม”รอยยิ้มเต็มไปด้วยความสุขล้น จนเขาไม่อยากทำให้มันหายไป “แค่ได้เจอคุณก็พอ”

   “พิชชา...”

   "สิ่งที่ผมปรารถนาเกิดขึ้นจริงแล้ว" อยากจะกระชากเสียงออกไปใจจะขาดว่าถ้ารู้สึกอย่างนั้นจะจากเขาไปทำไม ติดก็ตรงนัยน์ตาสีแปลกกับรอยยิ้มแกมโศกไม่เข้ากับคำเล่ากลบทุกอย่างให้อยู่เพียงในความคิด "และคราวนี้ผมก็ต้องทำความฝันของน้องให้เป็นจริงเหมือนกัน"

   ไม่ว่าส่วนไหนก็ไม่เหลือที่พอให้ตัวเองแทรกเข้าไปได้

   เลยไปสัมผัสกับสร้อยสีเงินเส้นคุ้นตาเอาไว้ เครื่องประดับงานละเอียดแทนสัญญาของพี่น้อง เขาไม่กล้าแม้ยกมือขึ้นแตะใบหน้าอีกคนเอาไว้

   เพราะกลัวเหลือเกินว่าหากสัมผัสแล้วมันจะสลายไป

   “คุณไม่น่ารักเลยนะพิช”

   การหัวเราะสั้นมาพร้อมกับย้อนด้วยคำเดิม “ผมเคยน่ารักเหรอครับ”

   “ไม่”

   “ก็นั่นแหละ” มือเย็นเอื้อมมาทับกับบริเวณที่เขาจับสร้อยอยู่ "เพราะงั้น...รอได้ไหมครับ"
   
   คำร้องขอที่ไม่เคยคิดว่าจะตอบยากได้ขนาดนี้ ความหนาวเหน็บต่างจากทุกครั้งพุ่งตรงเข้าสู่ข้างในร่างกายไม่มีหยุด พิชชาชอบสั่งมากกว่าอ้อนวอน และเขาก็ติดนิสัยตามใจจนลืมไปแล้วว่าการตัดสินใจด้วยตัวเองมันเป็นความรู้สึกแบบไหน

   "ผมบอกไม่ได้ว่าอีกนานเท่าไหร่ แล้วผมก็บอกไม่ได้ว่ามันจะจบลงแบบไหน แต่ผมสัญญาว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะกลับมาหาคุณให้ได้"

   ไร้ความลังเลข้างในนัยน์ตานั้น ทิวากาลจ้องจนเห็นเงาของตัวเองสะท้อนกลับมา

   "คุณใจร้ายมากเลยนะพิช" ถ้อยคำตัดพ้อเหมือนอย่างที่รู้สึก "ก็รู้อยู่แล้วว่าผมตอบอย่างอื่นไม่ได้"

   “ตอบอย่างอื่นได้นะครับ อยู่ที่คุณ”

   “ผมบอกว่าอยู่กับคุณ แต่คุณกำลังหนีผมไป”

   “ชั่วคราวเท่านั้นครับ” การเดินทางไกลขนาดนั้นมันกินเวลายาวนานจนยากจะยอมรับ “เราจะได้เจอกันอีกแน่นอน”

   “...”

   “ที่คุณเคยถามผมว่าหัวใจของผมอยู่ที่ไหน” ทิวากาลเคยย้อนถามกลับไปเช่นนั้น มือเย็นเฉียบยกขึ้นแตะตรงตำแหน่งหัวใจของตนเอง “มันจะอยู่ตรงนี้ ช่วยให้ผมทำ ‘หน้าที่’ ต่อไป แล้วเมื่อไหร่ที่หน้าที่ของผมจบ ด้ายสีดำจะพาผมกลับมาเจอคุณอีกครั้ง”

   ถ้าเราได้เจอกันแล้ว ...จะไม่มีวันจากกันไป

   “คุณจะรอไหมครับ”

   ผ่านการตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ มาก็มาก ทิวากาลเป็นคนเด็ดขาดเสมอไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน มันเป็นคุณสมบัติสำคัญที่คนเป็นพี่โตสุดควรมี ชั่งวัดถึงข้อดีแล้วก็ข้อเสียทั้งหมดแล้วเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แม้บางครั้งมันอาจเป็นทำให้ตัวเองเจ็บปวดก็ตาม

   คำตอบที่ยังไม่ได้เอ่ยเรียกแย้มยิ้มจางจากคนร้องขอ ก็พิชชาเป็นอย่างนี้จะให้เขาทำอะไรได้ล่ะ

   "รอ"
   
   หนึ่งคำสั้น

   แทนคำสาบานนิรันดร์


***
   พรุ่งนี้จะมาพร้อมตอนจบนะคะ
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 24-02-2017 20:40:21

รอ

#พิชแบล็ค
#รักมาก
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-02-2017 18:29:42
 :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-02-2017 21:14:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-02-2017 21:28:19
CH.19

   เสียงฝีเท้าเบาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หญิงสาวผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหน้าห้องเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะของตัวเอง ตัวเลขเจ็ดด้านหน้ากับห้าสิบห้าตรงด้านหลังบอกเธอว่าใครคือผู้มาเยือน ก็ท่านที่มาก่อนเวลาเข้างานอย่างนี้มีอยู่ไม่กี่คนเองนี่นา

   "อรุณสวัสดิ์ค่ะท่าน"

   "สวัสดี"

   'ท่าน' มาพร้อมกับของฝากจากภาคใต้ขนาดกำลังดีสองถุง ที่ไม่ได้เข้ามาหลายวันเห็นว่าไปสัมมนาต่างจังหวัด หล่อนกล่าวคำขอบคุณตามมารยาทโดยเตือนตัวเองว่าอย่าจ้องมากไป พอผู้มาใหม่เดินเลยไปแล้วจึงชะเง้อมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับสายตา

   จะเจอมากี่ปีก็ยังไม่ชิน 'ท่าน' ในศาลที่ไม่มีใครกล้ายุ่ง อย่างเธอเองเจอครั้งแรกก็อดกรี๊ดในใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ ตัวสูง หุ่นดี ดีกรีนักเรียนนอกที่สอบเป็นผู้ช่วยได้ตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปี มีหลายคนอยากเข้าไปใกล้ชิดแต่เจอนัยน์ตาสีดำมองตรงมาก็ไม่กล้าทำอย่างที่พูดไว้

   ท่านมีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น

   ไม่เคยเข้างานสายเหมือนอย่างที่ผู้คลุกคลีในวงการกฎหมายหลายคนสบประมาทว่าเป็นพวกไม่รักษาเวลา รวมถึงทุ่มเทกับงานจนกว่าจะเสร็จสิ้นดี

   "ท่านทิวามาแล้วเหรอ"

   น่าขำที่คนทำงานในห้องมาก่อนผู้ต้อนรับ พยักหน้าให้เล็กน้อยพลางส่งของฝากอีกถุงไปให้ "เคยมาสายที่ไหน"

   "ส่วนบางคนก็ไม่เคยมาทัน"

   "ชู่ว อย่าเสียงดังไป"

   เอ็ดเข้าให้ ขืนมีท่านคนไหนเดินผ่านไปแล้วได้ยินเดี๋ยวจะได้หางานใหม่ สมัยนี้งานดีๆ ไม่ได้มีมาก เธอชอบบรรยากาศการทำงานที่นี่ รวมถึงคนร่วมงานที่ไม่จ้องเอาแต่จะขัดขากันอย่างบางแห่ง ถึงเงินเดือนจะไม่มากแต่เมื่อเทียบกับชั่วโมงการทำงานรวมแล้วก็คุ้มอยู่

   "เรื่องจริงไหมล่ะ แล้วนี่มีใครมาแล้วบ้าง"

   "ท่านอื่นยังไม่มา" กว่าเข้างานกันบางคนสายเป็นชั่วโมง

   "สบายไป ยังไม่ต้องเริ่มงาน"

   สังคมที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันมันน่าเบื่อ เธอเกือบจะถอนหายใจออกมาแล้วด้วยซ้ำในตอนแรก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นแทน "ไปชงกาแฟนะ"

   ส่วนของที่ทำงานจะมีห้องกลางไว้สำหรับพักผ่อน ของว่างหลายแบบเตรียมเอาไว้พร้อม ช่วงเวลาตอนเช้าอย่างนี้มันยังว่างเปล่าไร้ผู้คน เธอตรงไปยังส่วนของเครื่องทำกาแฟสด กดคำสั่งคล่องแคล่วเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกเช้า รอจนได้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงหมุนตัวเตรียมกลับไปประจำที่

   "อุ้ย!"

   ไม่คิดว่าจะหันมาเจอท่าน

   "ขอโทษที"

   "...ไม่เป็นไรค่ะ"

   ควรจะเลี่ยงตัวเดินออกไป ผิดก็ตรงที่ขาไม่ยอมฟังคำสั่ง เธอทำเป็นคนกาแฟในแก้วของตัวเองระหว่างที่ลอบมองว่า 'ท่านทิวากาล' เลือกเครื่องดื่มอะไรสำหรับยามเช้า กับบางท่านแล้วไม่เคยมีเรื่องไหนเป็นความลับ ผิดกับคนที่เธอกำลังใช้อากาศหายใจร่วมกันในเวลานี้ เพราะว่าน้อยเรื่องนักที่ทุกคนจะรู้ตัวตนที่แท้จริง

   เท่าที่ได้ยินมาก็นามสกุลหวิดทำเอาเกือบไม่ได้บรรจุ คนพ่อเป็นผู้มีอิทธิพลแต่ลูกกลับมาผดุงความยุติธรรม ยังดีที่ผลสอบออกมาสวยงามจนข้อกังวลทั้งหมดตกไป ส่วนเรื่องอื่นนั้นบอกได้เลยว่าไม่มีใครให้ข้อมูลได้ จนมีเพื่อนร่วมรุ่นของท่านย้ายมาทำงานที่นี่เมื่อสองสามปีที่แล้วเรื่องของท่านทิวาถึงแพร่หลายมากขึ้น

   "กลิ่นหอมจังค่ะท่าน"

   เมล็ดกาแฟคั่วของตัวเองเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่อยู่ในมือของอีกคน ช่วงเช้าที่เคยคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนเท่านั้นจึงจะช่วยให้ตื่นตัวคราวนี้คงต้องลองเปลี่ยนใหม่ เธอไม่ได้สังเกตว่าท่านหยิบซองชาช่องไหนไป น่าแปลกดีที่เห็นผู้ชายดื่มชา

   "ทั่วไป ยังมีอย่างอื่นหอมกว่า"
   
   พูดน้อย ไม่ค่อยคุยอะไรนอกเหนือจากความจำเป็น เป็นที่รู้กันว่าการคุยงานกับท่านครั้งหนึ่งต้องเตรียมข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อม แล้วอย่าหวังว่าจะมีการคุยเล่นเรื่องอื่นเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย รอบๆ ตัวของท่านต่อให้เปิดเพลงสดใสมากแค่ไหนมันก็ยังมีรังสีอะไรบางอย่างแผ่ออกมาเสมอ

   "ท่านไม่ดื่มกาแฟเหรอคะ" ได้คืบจะเอาศอก ใช่ว่าโอกาสคุยกับท่านทิวาจะมีมากเสียเมื่อไหร่ "ไม่เคยเรียกให้ชง"

   อีกอย่างที่ไม่เคยมีคือการเรียกขอกาแฟ ท่านไม่เคยใช้งานเลขานอกเหนือไปจากการทำงานโดยตรง ไม่ต้องจัดเตรียมของใช้ ไม่ต้องไปซื้อของให้ ท่านทำเองเสมอจนไม่เคยมีใครรู้ว่ารสนิยมของท่านเป็นอย่างไรบ้าง

   คราวนี้เธอไม่ได้คำตอบ ท่านยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ อีกพักหนึ่งจึงเดินออกไปโดยไม่มีคำลา เมื่อตรงนั้นไม่มีใครอยู่อีกแล้วมันก็ได้เวลากลับมาอยู่ที่ของตัวเองเช่นกัน

   "ไปนานเชียว"

   "เจอท่านทิวาในห้องพัก" เรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างนี้ก็ต้องเล่าหน่อย

   "อย่าบอกนะว่าคุยกับท่าน"
   
   หล่อนยกไหล่ขึ้น "แค่บอกว่าชาหอม"

   "ว่าแล้วเชียว"

   บอกแล้วว่าเป็นเรื่องรู้กันทั่วไปว่าท่านไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น งานเลี้ยงกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยเห็นหน้าหากไม่ใช่งานสำคัญในระดับมากถึงมากที่สุด พอประเด็นเรื่องของท่านถูกจุดขึ้นมาเรื่องเดิมๆ ก็จะมีการหยิบยกขึ้นมาโต้เถียงกันได้อีก ตั้งแต่เรื่องงานไปจนถึงเรื่องส่วนตัว

   "เออนี่ เตรียมชุดสำหรับงานวันมะรืนหรือยัง" มันจะมีงานเลี้ยงเกษียณส่งลาท่านผู้ใหญ่คนหนึ่งในศาล ทุกคนได้รับเชิญถ้ว
นหน้า "ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าจะใส่รองเท้าคู่ไหน"

   "ชุดสีอะไรล่ะ"

   "โทนฟ้า ไม่มีปัญหาดี"

   "ถ้าอย่างนั้นก็เอาสีที่ใกล้เคียงกัน จะได้ไม่ประหลาด"

   เรื่องของ 'ท่าน' เลยถูกพับเก็บลงไป



   งานเลี้ยงเรียบง่ายคลอไปด้วยเสียงดนตรีเล่นเพลงยุคเก่า บทสนทนาเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของงานจนเกิดเสียงจอแจเต็มไปหมด งานของเหล่าท่านก็จะเต็มไปด้วยผู้พิพากษาและคนในวงการที่รู้จักกันมานมนาน มองไปทางไหนก็พบแต่คนหน้าคุ้นเต็มไปหมด

   สาวเลขามองตัวเองในกระจกอีกครั้ง ชุดราตรียาวสีเลือดหมูคือคำตอบสุดท้ายหลังจากที่ไม่สามารถหารองเท้าเข้ากับชุดเดิมได้ เธอหมุนตัวตรวจสอบไปมาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาดจึงเดินกลับมาร่วมวงกับเพื่อนคนอื่น

   "นานจัง"

   "ไม่อยากมีปัญหา" งานใหญ่อย่างนี้ไม่ควรมีข้อบกพร่อง "แล้วนี่ท่านทิวามาหรือยัง"

   อาจเป็นเพราะเพิ่งเจอในห้องพักเมื่อวันก่อนเลยอดคิดถึงไม่ได้ เพื่อนของเธอชะเง้อหน้ามองไปทั่วงานก่อนลดตัวลงมาส่ายหัวให้ "ยังหรอ..."

   เสียงฮือฮาเรียกให้ทุกคนพุ่งความสนใจไปตรงหน้าประตูทางเข้างาน

   "ผู้หญิงคนนั้นใคร?"

   ท่านทิวากาลผู้ซึ่งหลายคนรอคอยการปรากฏตัววันนี้มาพร้อมกับหญิงสาวผมยาวในชุดราตรีสีนวลไข่มุก งานนี้เป็นท่านผู้ใหญ่ที่ทุกคนรู้ว่าเอ็นดูทิวากาลเหมือนลูกเลยค่อนข้างแน่ใจได้ว่าหนึ่งในสมาชิกข้างในงานจะต้องมีท่านผู้เงียบขรึมด้วย เพียงแต่มันมีเรื่องน่าประหลาดใจก็ตรงคนที่ท่านควงมาด้วยนี่แหละ

   "แฟนเหรอ?"

   "บ้า ท่านคุยกับใครด้วยเหรอ"

   ชายหนุ่มอนาคตดีผู้เพียบพร้อมย่อมถูกเพ่งเล็งจากสาวๆ มากหน้าหลายตา เพียงแค่ว่าทุกคนต่างทำได้แค่ส่วนของ 'เพ่ง' แต่ไม่กล้าที่จะ 'เล็ง' เป้าหมาย ไม่เคยมีร่องรอยหลักฐานในปรากฏว่าท่านมีใครอื่น บนโต๊ะทำงานมีเพียงกรอบรูปครอบครัววางไว้อยู่โดดเดี่ยวเท่านั้น

   จะแอบถามจากใครก็ไม่มีเคยมีคนบอกได้ว่าคนอย่างท่านทิวากาลนั้นมีความรักเหมือนกับใครอื่นบ้างหรือไม่

   "ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นใครล่ะ"

   "แฝดน่ะ แบล็คเป็นแฝดชายหญิง"

   การเฉลยดังมาจากด้านหลัง เสียงแทรกเล่นเอาวงโต้เถียงของหญิงสาวแตกเป็นเสี่ยง เธอหันไปมอง 'ท่าน' อีกคนผู้เป็นเพื่อนเรียนกลุ่มเดียวกันสมัยเรียนปริญญาโทในต่างประเทศของท่านทิวากาล เคยทำงานอยู่ที่ศาลเป็นช่วงสั้นๆ แล้วขอย้ายไปประจำศาลพิเศษอื่นซึ่งตรงตามสายที่เรียนมามากกว่า

   เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา

   "ไม่เหมือนกันเลยค่ะ"

   เป็นความรู้ใหม่ว่าท่านมีแฝด ก็บอกแล้วว่าเรื่องส่วนตัวของท่านไม่เคยมีใครรู้ แล้วหน้าไม่เหมือนกันอย่างนั้นบอกว่าเป็นคนเพิ่งรู้จักกันก็ยังเชื่อ

   "ไม่เคยมีใครบอกว่าเหมือน"

   "เพราะต่างเพศเหรอคะ"

   "ลองถามมันเองไหมล่ะ เดินมานู่นแล้ว" มือที่ยังมีแก้วแชมเปญอยู่ยกขึ้นไปทิศหนึ่ง "ว่าไงแบล็ค"

   ชื่อเล่นที่ไม่เห็นว่าเข้ากับชื่อจริงตรงไหน สำหรับการเรียก 'ชื่อ' ของท่านบางคนก็ชอบที่จะใช้ชื่อเล่นเพราะมันลดความห่างเหินลงไปดี แต่กับทิวากาลแล้วถึงจะรู้ชื่อเล่นก็ไม่มีใครกล้าเรียก ไม่ว่าใครก็จะเต็มใจเรียกว่าท่านทิวามากกว่า อย่างที่เธอเจอมากับตัวคือเผลอหลุดปากไปถามว่าชื่อแบล็คที่แปลว่าสีดำใช่หรือไม่ นัยน์ตาซ่อนแววอะไรบางอย่างที่เธอได้กลับมาลบทุกความสงสัยหลังจากนั้น

   "สบายดี"

   หล่อนเลี่ยงตัวเองมาอยู่หลังฉาก แบบที่ยังอยู่ในวงเดียวกันแต่ก็ไม่มีปากมีเสียง

   "ไวท์สบายดีนะ"

   "...อืม"

   สรุปเอาเองว่าเงียบหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง คนหนึ่งชื่อแปลว่าสีดำส่วนอีกคนก็เป็นสีขาว สมแล้วที่เป็นฝาแฝดกัน

   "แล้วทำไมวันนี้มาด้วยล่ะ"

   "โดนทิ้ง ทำหน้าตาน่าสงสารเลยพามาด้วย"

   คิดไม่ออกว่ามันน่าหัวเราะตรงไหนท่านถึงกลั้นขำเสียขนาดนั้น ในกลุ่มเพื่อนผู้พิพากษาของท่านมีหลายแบบ ตั้งแต่ใส่แว่นหนาคงแก่เรียนไปจนถึงเพลย์บอยที่ไม่เข้าใจว่าเอาเวลาไหนไปอ่านหนังสือ ส่วนสิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันคือการมาเป็นเพื่อนกับท่านทิวากาลคือสิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุด

   "อย่างนั้นเหรอ กลายเป็นว่ามาแล้วยิ่งแย่กว่าเดิมหรือเปล่า"

   ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จ้องเทียบความแตกต่างของคนเป็นพี่น้องทุกสัดส่วน ส่วนของตาคือสิ่งแรกที่ต่างกันชัด ท่านทิวานัยน์ตาจะรีกว่าแล้วก็เป็นสีดำสนิท ส่วนของน้องสาวนั้นกลมกว่าหน่อยบวกกับสีของตาเรียกไม่ถูกว่าควรใช้คำไหน ส่วนอื่นนั้นก็แตกต่างกันไปตามเพศ

   "ไม่หรอก พาออกมานอกบ้านบ้างด้วย"

   "แต่คงอยู่ไม่ถึงชั่วโมง" พูดอย่างคนที่รู้จักกันมานาน คนอย่างทิวากาลน่ะไม่เคยอยู่ในงานเลี้ยงได้นาน "เห็นท่านอยู่ตรงโต๊ะหน้าเวที"

   "เดี๋ยวไป คนเยอะอยู่"

   "จะว่าไปวันก่อนพาเด็กที่ไหนไปเที่ยวล่ะ"

   "ข่าวไว" เพื่อนที่เคยเป็นแค่คนร่วมคณะผู้เลื่อนขั้นเป็นคนร่วมห้องสมัยเรียนต่อต่างประเทศ "ลูกของคนรู้จัก"

   "น่ารักดี ชื่ออะไร"

   "พัสสะ"

   นานๆ ทีถึงจะได้เห็นท่านทิวาคุยเรื่องอื่นให้เป็นบุญตา คำว่าคุยก็คือการตอบรับสั้นๆ ตามแบบแต่ว่ามีการเสริมเรื่องอื่นลงไปนิดหน่อย ส่วนแฝดของท่านยืนนิ่งคล้ายกับรูปปั้นสลัก น่าอิจฉาใบหน้าสวยหมดจดอย่างนั้น ทุกอย่างรับเข้ากันจนไม่เจอที่ติ

   "ท่านดูสนิทกันนะคะ" เปรยขึ้นระหว่างมองแผ่นหลังคู่หนึ่งไกลออกไป

   เสียงหัวเราะหยันชีวิตตัวเอง "ยังติดหนี้กันอยู่ ไปไหนไม่ได้"

   "หนี้?"

   "อืม ติดไว้ตั้งแต่ปีสี่จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ใช้"

   "ไม่ลืมได้ยังไง"

   "ก็อยากจะลืม" ไหล่ยกขึ้นลงตามแรง "แต่พอเป็นแบล็คแล้วไม่กล้าลืมสักที"

   "ท่านทิวาไม่เหมือนพวกเราเลยนะคะ" แม้แต่กับฝาแฝดของตัวเองก็ยังต่าง หญิงสาวผู้ไร้อารมณ์แต่ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกว่า 'ต่างชั้น' เหมือนกับพี่ "สมัยเรียนคนอื่นคิดอย่างนั้นไหมคะ"

   "ใครไม่คิดต่างหาก"

   ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเธอไม่ได้คิดไปเองคนเดียว

   "นี่...มาพนันกันไหม"

   "คะ?" กับท่านบางคนเมื่ออายุไม่ได้ห่างกันมากเท่าไหร่ก็สามารถคุยได้ปกติ

   "แบล็คจะทนอยู่ในงานได้กี่นาที"

   "...ห้าสิบเอ็ดนาทีค่ะ"

   โชว์หน้าจอโทรศัพท์ที่จับเวลาเอาไว้ตั้งแต่จบการพนันจนถึงตอนที่ทั้งสองเดินออกจากประตูหน้างานไป ถือว่าเป็นตัวเลขที่กำลังดีเลยล่ะ

   "ไม่ถึงชั่วโมงแฮะ"

   "นอกจากติดหนี้ท่านทิวาแล้วก็เพิ่มเจ้าหนี้เป็นฉันเข้าไปด้วยนะคะ"

   คุยกันสนุกสนาน อย่างมากก็เลี้ยงอาหารมื้อหรูสักครั้งหนึ่ง นอกศาลเป็นเพื่อนไม่ต้องรักษาระดับความสัมพันธ์เอาไว้ ทั้งสองเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกล้องจับภาพเคลื่อนไหวตามติดไปทุกอิริยาบถ สังเกตได้ว่าจากปกติที่ท่านไม่ค่อยมีใครเข้ามาคุยด้วยคราวนี้มันยิ่งไม่มีใครกล้ามากกว่าเดิมเมื่อเห็นคนข้างๆ

   "ติดหนี้มาเฟียระดับโลกยังไม่น่ากลัวเท่าติดหนี้แบล็คคนเดียว"

   "ท่านทิวาสร้างวีรกรรมอะไรไว้เหรอคะถึงต้องกลัวขนาดนั้น"

   "ไม่เคยทำอะไรเลยต่างหาก..."

   "ไม่เคย?"

   "แบล็คไม่เคยทำอะไรเลยตอนอยู่มหาลัย ยิ่งไม่ทำคนก็เลยรู้จัก"

   ท่านทิวาเป็นที่รู้จักของเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นพี่รุ่นน้องในวัยไล่เลี่ยกัน เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็มีคนเข้ามาทักเสมอ แต่ก็นะ ที่เหมือนกันหมดก็คือรู้ว่าเป็น 'ทิวากาล' ส่วนเรื่องอื่นนั้นน้อยคนที่จะตอบได้ ขนาดคนที่ไปเรียนปริญญาโทต่างประเทศด้วยกันมาเป็นปียังบอกได้แค่ไม่กี่เรื่องเอง

   "แล้วเรื่องแฟนล่ะคะ" เธอไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ "ไม่เคยเห็นท่านกับใครเลย"

   สมถะ เรียบง่าย เคยต้องไปส่งเอกสารที่บ้านมาครั้งหนึ่งก็เป็นบ้านชั้นเดียวในซอยลึก ร่มรื่นแต่ดูไม่ใช่รสนิยมของท่านเสียเท่าไหร่

   "ไม่เคยเหมือนกันนั่นแหละ" เขาหัวเราะเมื่อพูดจบประโยค ย้อนคิดกลับไปแล้วสะกิดใจกับใบหน้าเลือนรางของใครบางคน "เหมือนจะเคยคุยกับสักคนช่วงปีสี่ แต่ว่าแป๊บเดียวก็หายไป"

   "สวยไหมคะ?"

   "อืม...สวยไหมเหรอ"

   ตอบออกไปไม่ได้ พยายามนึกแค่ไหนก็ไม่สามารถจับใบหน้าของใครคนนั้นให้ชัดเจนได้เลย เป็นเรื่องน่าแปลกของคนเรียนกฎหมายผู้สามารถจำมาตราในประมวลได้เป็นร้อยๆ แล้วยังมีพระราชบัญญัติอย่างอื่นคอยเสริมอีกเป็นตั้งกลับนึกไม่หน้าของคนเดียวไม่ออก

   เหมือนว่าช่วงนั้นเริ่มมีข่าวลือเรื่องของแบล็คนี่แหละ สายข้างในก็ไม่พ้นเพื่อนร่วมกลุ่มที่ดันไปเจอทิวากาลเดินอยู่กับบางคนเข้า มันยิ่งใกล้ความจริงเข้าไปใหญ่เมื่อมีหนึ่งในเพื่อนบอกว่าแบล็คเคยถามเรื่องของคนแปลกหน้าคนนั้นด้วย แต่ว่าพอทุกคนพร้อมใจกันพิสูจน์หลักฐานก็หายไปเสียแล้ว

   "จำไม่ได้เลยแฮะ"

   นึกไม่ออกแม้กระทั่งว่าคนคนนั้นเป็นหญิงหรือชาย

   ราวกับมีม่านหมอกชั้นหนาคอยซ่อนเอาไว้



 
   เรื่องของท่านทิวามักจะมาในช่วงสั้นๆ แล้วก็ไม่เคยมีใครยุติได้สักที

   อย่างตอนนี้มันก็มีข่าวว่าท่านกำลังจะลาออกจากราชการทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย อีกไม่นาจะได้เลื่อนขั้นรวมถึงอาจเปลี่ยนศาลอีกด้วย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีทุกอย่างพร้อมแต่กลับจะทิ้งมันเอาไว้ตรงนั้น

   "ผมจะออกไปข้างนอก คิดว่าไม่มีงานด่วนแต่ถ้ามีใครมาหาก็ฝากบอกว่าเดี๋ยวติดต่อกลับ"

   "คะ?" ใจลอยจนไม่ทันได้รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างๆ

   “มีสติหน่อย ถ้ามีใครเอาปืนมาจ่อไว้จะได้หนีทัน”

   “โธ่ท่านคะ คงไม่มีใครมาทำอะไรฉันหรอกค่ะ”

   “แค่นัดเดียว...ก็เจ็บกันมาเยอะแล้ว”

   ตอนที่ท่านทิวาทำหน้าจริงจังกว่าทุกครั้งทำเอาเธอไม่กล้าแซวอะไรกลับ "ผมไปฟังคำพิพากษาหน่อยนะ"

   สมองยังไม่ทันสั่งให้ตอบรับอะไรคนที่อยู่ในความคิดก็หายไปเสียแล้ว เธอทำได้แค่กลับไปมานั่งอยู่กับที่แบบเดิม เขียนเตือนความจำเอาไว้ว่าถ้ามีใครมาหาท่านจะต้องทำอย่างไรต่อ จนจบคำสุดท้ายแล้วแปะมันเอาไว้ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ถึงสะกิดใจอะไรบางอย่าง

   ท่านไปฟังคำพิพากษาของคดีไหนกัน

   ข้อมูลการออกนั่งบัลลังก์ไม่ใช่ข้อมูลลับอยู่แล้ว เธอเปิดหาจนเจอคดีของวันนี้ลากยาวมาจนถึงที่จะตัดสินในบ่ายนี้ มันมีเพียงคดีเดียวในศาลเลยไม่ต้องไปนั่งเดาอีกว่าคดีไหน

   "พินัยกรรม...เหรอ"

   มันเป็นคดีที่ขึ้นสู่ศาลด้วยข้อพิพาทเรื่องพินัยกรรม แต่ไม่รู้ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไรเพราะยังไม่มีคำพิพากษาฉบับเต็มออกมา ดูชื่อของโจทก์จำเลยแล้วไม่มีใครใช้นามสกุลเดียวกับท่าน แล้วจะไปฟังเพื่ออะไรกัน หรือว่าเป็นคดีของคนรู้จักอย่างนั้นเหรอ

   นั่งทำงานเอกสารของตัวเองไปจนถึงบ่ายสามกว่าเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หล่อนถอนหายใจด้วยความเสียดายว่าสุดท้ายแล้ววันนี้ก็มีงานเข้าจนได้ อุตส่าห์หลงดีใจไปแล้วว่าวันนี้ไม่มีงานภาคบ่ายเลย

   "ค่ะ"

   (มึงระวังตัวไว้! เวรกรรมจะตามกลับไปหามึง!!)

   "..."   

   สัญญาณถูกตัดไปแล้ว เธอยกโทรศัพท์เอาไว้ข้างหูอย่างเดิมในขณะที่หัวใจเริ่มสูบฉีดเลือดเข้าไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าการทำงานในส่วนของการตัดสินคดีความนั้นมันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีโทรศัพท์เกรี้ยวกราดเช่นนี้ คนที่ถูกตัดสินให้ผิดบางครั้งก็ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ จึงโทษว่าความผิดนั้นอยู่ที่กรรมการ

   ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมครั้งนี้ถึงใจหายกว่าที่เคย

   ถึงไม่อยากจะทำแต่ถ้าท่านทิวากลับมาคงต้องเตือนไว้ ในรอบสองสามสัปดาห์หลังมันมีคดีเดียวที่ตัดสินแล้วเกิดปัญหา ซึ่งตามลำดับชั้นของศาลแล้วความจริงยังสามารถยื่นเรื่องให้ตัดสินใหม่ได้อีกครั้ง ที่ไม่มีใครอยากรอเพราะมันต้องใช้เวลาในการพิจารณาใหม่อีกหลายปี

   หนึ่งสิ่งที่ทำให้ท่านทิวาได้เลื่อนขั้นเร็วกว่าคนอื่นคือผลงาน มีหลายคดีที่บางท่านปฏิเสธไม่ขอรับมันก็เลยถูกผลักภาระมาหาท่านทิวาแทน เธอเคยถามอยู่เหมือนกันว่าไม่กลัวบ้างเหรอแล้วท่านก็ตอบง่ายๆ มาแค่ 'อีกไม่นานจะตายแล้ว ทำไปเถอะ' เมื่อประกอบกับฐานะทางบ้านแล้วจึงไม่ต้องกังวลเรื่องคำอาฆาตแค้นใด สิ่งที่เคยเป็นข้ออ่อนของท่านในวันนั้นมันกลายเป็นจุดแข็งที่สุดที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้

   "ท่านคะ มีโทรศัพท์เมื่อช่วงบ่าย"

   บอกแค่นั้นเป็นอันรู้กันว่าหมายถึงอะไร

   ใบหน้าติดเรียบตึงไม่มีความกังวล "อืม คุณก็ระวังไว้"

   และกลายเป็นเธอเสียอีกที่ได้รับความห่วงใย มองท่านเขียนอะไรเสร็จแล้วก็หยิบพวกกุญแจขนาดใหญ่เดินออกจากส่วนห้องทำงานไป ในส่วนของศาลนั้นมีรถหรูอยู่หลายคน ส่วนของท่านนั้นกลับเป็นรถยี่ห้อญี่ปุ่นรุ่นธรรมดาไม่ตกแต่งอะไร มันเลยน่าค้นหาว่าคนอย่างท่านทิวานั้นที่แท้จริงแล้วเป็นคนแบบไหนกันแน่

   หลังจากที่รับโทรศัพท์แล้วมันก็ยังมีอีกสายเข้ามาอีก คราวนี้เวรกรรมของเธอบ้างแล้วล่ะ เอกสารที่เคยบอกว่าต้องส่งต้องสิ้นสัปดาห์กลายเป็นว่าจะเอาพรุ่งนี้แทน คืนนี้เลยต้องรีบทำเสียหน่อยเพราะเพิ่งเริ่มไปได้ไม่กี่สิบเปอร์เซนต์

   "งานด่วนเหรอ?"

   "ใช่ ชอบสั่งแบบไม่ให้เวลาหายใจ" ได้บ่นนิดหน่อยก็ช่วยให้สบายใจขึ้น "แล้วนี่ไปไหนมา"

   งานเลขาบางทีก็โดนเรียกไปใช้งานเป็นวัน คือตามที่บอกน่ะไม่กี่สิบนาทีแต่พอเห็นว่ามาแล้วก็สั่งให้ทำงานอื่นเพิ่มด้วย

   "เข้าไปช่วยท่านตอนตัดสินภาคบ่าย"

   "หืม?" นึกขึ้นได้ว่าอีกคนก็เข้าฟังเหมือนกัน "เจอท่านทิวาไหม เห็นบอกว่าจะไปฟังเหมือนกัน"

   "เจอ นี่ว่าจะมาเล่าอยู่ แปลกดีที่เห็นท่าน"

   ไม่เคยเจอท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวในการพิพากษาคดีอื่น อย่างมากก็แค่เอาคำพิพากษาฉบับเต็มมาอ่านหลังจากมีการตัดสินแล้ว

   "คดีอะไรน่ะ"

   "พินัยกรรมเขียนมือ ญาติคนอื่นบอกว่าคนตายไม่ได้เขียนเอง"

   "แค่นั้น?" มันดูเป็นคดีที่ไม่มีความซับซ้อนหรือว่าสำคัญอะไรสักนิด "ใครเหรอ"

   "ไม่รู้จัก ชื่อแปลกๆ ตายไปตั้งหลายปีแล้วทะเลาะไม่จบ"

   "เงินเยอะล่ะสิ"

   "เยอะอยู่นะ พวกบ้านมีเงิน"

   "แล้วตัดสินว่าไง"

   "เขียนเอง แล้วญาติคงจะอุทธรณ์ต่อ แต่ฉันว่าชนะยากเพราะหลักฐานชัดมาก"

   นอกจากจะเป็นคดีธรรมดาแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอย่างอื่นอีก "แล้วทำไมท่านทิวาถึงเข้า คนรู้จักเหรอ"

   "ไม่รู้ เราเคยรู้อะไรเกี่ยวกับท่านหรือไง"

   "รู้ว่าท่านกำลังจะลาออก"

   วันก่อนมีท่านผู้ใหญ่มาเยี่ยม แอบไปฟังได้ความว่าเข้ามากล่อมไม่ให้ท่านตัดสินใจออกจากอาชีพนักตัดสินคดีความ ถ้าผู้ใหญ่ลงมาขนาดนั้นแล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวลือแล้วล่ะ

   "ก็ไม่น่าแปลกนะ"

   "เหรอ"

   "ฉันว่าท่านไม่ได้อยู่เพื่อทำงานอะไรอย่างนี้" เวลานี้งานเก็บเอาไว้ก่อน เรื่องอื่นสำคัญกว่า "พูดยังไงดี เหมือนท่านไม่ได้ทำมันไปเพราะอยากจะทำ"

   ทั้งที่การได้เป็นท่านเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา เพราะมันมาพร้อมกับ ‘ยศ’ และ ‘ศักดิ์’

   ความสูงของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทำให้ภาพด้านล่างดูเล็กจนนึกไปเองว่าตนนั้นยิ่งใหญ่กว่า หลงลืมไปว่าในท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับมาเหยียบดิน ต่างจากช่วงเวลาที่เห็นท่านทิวาบนนั้น

   ไม่รู้ทำไมแท่นที่เคยสร้างให้มนุษย์น่าหวาดเกรง

   กลับกลายเป็นมนุษย์ต่างหากที่ทำให้บัลลังก์น่าเกรงขาม

   "ท่านทำมันเพื่อรอบางสิ่งที่สำคัญกว่า”


***
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-02-2017 21:34:20
   กระดาษขู่อาฆาตเขียนด้วยอักษรสีแดงที่ไม่รู้ว่าหมึกหรือว่าเลือด ถ้อยคำผรุสวาทด่าทอการทำงานของท่านจนเต็มหน้ากระดาษ มันถูกเก็บไว้ในซองอย่างดีจนมองผ่านๆ แล้วไม่ต่างจากเอกสารทั่วไป นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าทุกครั้งเท่าที่ผ่านมา

   "โอ้ย คราวนี้น่ากลัว"

   "ถ้าฉันไม่ไปตามหาเอกสารจะรู้ไหมเนี่ย"

   ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ท่านเอามาบอก แต่เธอลืมหยิบเอกสารออกมาจากห้องจนแอบถือวิสาสะเข้าไปเอาเองอีกรอบจนเจอว่ามันถูกทิ้งเอาไว้ในถังขยะ

   "ท่านไม่บอกใครบ้างเหรอ เรื่องนี้มันใหญ่แล้ว"

   ผู้พิพากษาเป็นอาชีพที่มาพร้อมกับความเสี่ยง นอกจากจะไม่สามารถเข้าไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นได้ในทุกโอกาสแล้วยังต้องระวังอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย การตัดสินหนึ่งครั้งมันอาจทำลายทั้งชีวิตของคนบางคน มันเลยเป็นเหตุผลให้ท่านบางคนเลือกรับคดีไงล่ะ

   "อย่างท่านถ้าบอกล่ะแปลก" เคยปริปากพูดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งานเสียที่ไหนล่ะ เรื่องส่วนตัวนี่ยิ่งแล้วใหญ่ แค่รู้ว่ามีแฝดทั้งศาลก็ตื่นเต้นไปหมด "นี่ท่านไปไหนเช้านี้?"
   
   ท่านผู้ไม่เคยเข้างานสายวันนี้ยังไม่เห็นตั้งแต่เช้า แล้วก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าวันนี้ออกไปทำธุระข้างนอก

   เช้ามาก็เจอเรื่องแปลกไปแล้วสองเรื่อง

   "ไม่ร...แป๊บนะ" พอพูดถึงท่านท่านก็โทรมา เธอยกมือขึ้นพักเบรคการพูดคุยพร้อมกับรับสายอย่างรวดเร็ว "ค่ะท่าน"

   (ผมเข้าบ่าย รถมีปัญหา)

   "อ๋อ ได้ค่ะท่าน"

   (แล้วก็ใครมาหาผมให้ระวังหน่อย)

   "...ค่ะ"

   สายขาดไปแล้ว และสิ่งเดียวที่เธอทำได้คือเม้มปากเอาไว้จนแน่น มันไม่สัมพันธ์อะไรเลยกับการที่รถมีปัญหาแล้วจะต้องรอถึงบ่าย ในเมื่อท่านเองก็สามารถปล่อยให้ประกันจัดการได้

   "ว่าไง"

   "รถ"

   "เรื่องใหญ่นะเนี่ย"

   เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันเรื่องรถที่เป็นหัวข้ออยู่ตอนนี้มันหมายถึงอะไร

   "งั้นฉันไปเก็บแฟ้มเซนต์ออกมาก่อน ไว้ท่านมาแล้วค่อยให้ดีกว่า" ลุกออกจากโต๊ะไปทางประตูห้องแขวนชื่อของท่านเอาไว้ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วจึงเห็นความผิดปกติบางอย่าง

   "เธอ มานี่หน่อย" เรียกให้อีกคนเดินมามองมุมเดียวกัน "รู้สึกไหมว่าห้องของท่านมันโล่งกว่าเดิมเยอะเลย"

   ห้องที่เคยโล่งอยู่แล้วคราวนี้เกือบเรียกได้ว่าว่างเปล่า ของใช้ในห้องของท่านจะมีอยู่ไม่กี่อย่าง หนังสือกฎหมาย แฟ้มสรุปคดีสำคัญ กองกระดาษข้อมูลที่ใช้ประกอบในคดีต่างๆ บนโต๊ะทำงานก็มีเพียงรูปครอบครัวแล้วก็กระบอกใส่ปากกา เรียกได้ว่าไม่มีอย่างอื่นนอกเหนือไปจากสิ่งที่ต้องใช้ในการทำงาน เคยลองสังเกตเหมือนกันว่ามีสิ่งไหนช่วยบอกใบ้ถึงความสัมพันธ์อื่นของท่านหรือไม่ แล้วก็ไม่เคยพบอะไรทั้งนั้น

   เมื่อวันหนึ่งเดินเข้ามา

   ก็ต้องมีวันเดินจากไป   

   พอบ่ายโมงกว่าท่านก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใส่เอกสารใบเก่ง มันทำมาจากหนังแต่ไม่ใช่ของแบรนด์ หรืออาจพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าท่านมีรสนิยมในการเลือกซื้อของที่เป็นเอกลักษณ์ในทุกอย่าง

   กลิ่นของบุหรี่ลอยตามลม รู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นสิงห์อมควัน เพียงแต่ตามปกติแล้วท่านทิวาไม่ค่อยสูบหนักในสถานที่ทำงาน จะต้องเป็นเคสหนักระดับมากที่สุดเท่านั้นถึงจะได้กลิ่นของบุหรี่นอกลอยตามเส้นทางการเดิน ไม่อย่างนั้นท่านจะชอบออกไปสูบแค่ไม่กี่นาทีพอให้หายอยาก

   จนมีคนแซวว่าเห็นก้นบุหรี่ที่เหลือมากกว่าครึ่งเมื่อไหร่ก็รู้ได้เลยว่าใครเป็นคนยืนก่อนหน้า

   ทุกอย่างเหมือนปกติ ท่านเข้าห้องไปทำงานแล้วจะไม่เรียกจนกว่ามีงานจริงๆ อย่างน้อยด้านในห้องทำงานก็จะมีการดูแลเรื่องความเรียบร้อยเอาไว้ดีจนไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีใครบุกรุกมาถึงด้านในหรือไม่

   มันไม่ใช่เรื่องแรก รวมถึงมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีก น่าห่วงที่สุดก็คนที่ไม่เคยคิดจะระวังตัวเองอย่างท่านนี่แหละ จะบอกว่าตัวเองไม่มีอะไรน่าห่วงถ้าเกิดอะไรขึ้นมามันจะแย่เสียเปล่า

   "ท่านดูแลตัวเองด้วยนะคะ"

   อาจจะเป็นเรื่องไม่เข้าท่า เธอก็อดพูดมันออกไปไม่ได้

   "หน้าที่ผมหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง"

   ไม่เข้าใจในความหมายนั้น รวมถึงไม่มีโอกาสได้ถามมันออกไป เลยต้องปลอบใจตัวเองไปว่าท่านก็คงหาทางแก้ไขปัญหาได้เองอย่างทุกที

   "แย่ล่ะ" แฟ้มที่เอาออกมาเมื่อเช้ายังไม่ได้หยิบเข้าไปใหม่ งานด่วนที่รอให้ท่านเซนต์พรุ่งนี้ไม่ได้

   วิ่งตามท่านออกไปทันที เพิ่งเดินออกไปไม่นานคิดว่าจะน่าจะตามทัน จุดหมายปลายทางอยู่ตรงลานจอดรถด้านข้างของตึก ได้แต่ให้กำลังใจตัวเองว่าเมื่อไปถึงจุดหมายแล้วท่านจะยังไม่เคลื่อนรถออกไป

   "..."

   ใช่...เธอมาทัน

   ก่อนที่จะมัจจุราชจะพรากดวงวิญญาณของท่านไป




   ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหล เสียงญาติร้องปะปนไปกับเสียงสั่งของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล กลิ่นของคาวเลือดรุนแรงจนกลบยาฆ่าเชื้อ เตียงของผู้ป่วยหนักหายเข้าไปข้างหลังประตูแล้ว เหลือเพียงคนสบายกายที่เพิ่งได้รับข่าวไม่น่าสบายใจ

   เหตุที่คราวนี้วุ่นวายไปมากกว่าทุกทีเพราะชื่อของผู้ป่วย ตระกูลที่ไม่เคยคิดจะมาหาโรงพยาบาลเพียงเพื่อตรวจร่างกายประจำปี ตามรายงานเบื้องต้นคือถูกอาวุธปืนเข้าที่จุดอวัยวะสำคัญ ยังไม่ทราบว่าคนร้ายเล็ดรอดเข้าไปด้านในพื้นที่ที่มีการคุ้มกันหนาแน่นได้อย่างไร

   หนึ่งคนเจ็บพาหลายคนรอตามมา แม้จะอายุเลยเลขสามกันเข้าไปแล้วมันก็ยังมีเพียงไม่กี่คนที่ควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ ชายตัวเล็กสุดตาแดงก่ำมีอีกคนคอยจับมือเอาไว้ บางส่วนเงียบสนิทไม่เอ่ยคำใด ที่เห็นได้ชัดคือสาวคนเดียวท่ามกลางกลุ่มชายหลายชีวิต

   "เสียเลือดมากครับ ต้องให้เลือด"

   รายงานตามหน้าที่ ร่างกายของคนไข้ต้องการเลือดเข้าไปช่วยในการเสริมให้อวัยวะภายในทำงานได้เช่นเดิม เพียงแต่ว่ากรุ๊ปเลือดที่ตามหาอยู่นั้นมันมีอยู่เพียงน้อยนิดในประเทศ

   "ไวท์...เลือดเรา" โรมันรีบเอ่ยออกไป เขาคำนวณดูแล้วว่าร่างกายของตัวเองพร้อมที่จะบริจาคได้อย่างแน่นอน คราวนี้จะไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อน ที่เขาไม่อาจทำหน้าที่ของตัวเองได้ "เดี๋ยวไม่ทันนะ"

   “...”

   สิ่งที่ต้องรับรู้สร้างช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับรัตติกาล

   ห้องที่เคยจอแจกลับไม่ได้ยินเสียงรบกวนใด ญาติที่สามารถให้ความยินยอมในการต่อชีวิตได้มีเพียงน้องสาวฝาแฝด เธอไล่มองหน้าของเพื่อนคุ้นเคยทุกคนจนครบ ตั้งแต่น้องคนโตต่อด้วยน้องชายคนเล็ก หนุ่มแว่นกรอบโตกับชายผิวขาว และสุดท้าย...

   'ครึ่งชีวิต'

   กระพริบตาถี่ไล่อาการประสาทหลอน เมื่อลองตั้งสมาธิให้ดีแล้วก็ยังเห็นพี่ชายของตัวเองยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น เสียงแว่วกำลังเตือนว่าห้ามลืมคำที่สัญญากัน

   ขอบตาร้อนผ่าว กลั้นทุกความรู้สึกที่พุ่งเข้ามาให้หยุดอยู่ตรงนั้น สีขาวมือกุมประสานกันเอาไว้ให้กำลังใจตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับคิดกลับไปถึงช่วงเวลาใต้ต้นไม้ใหญ่ของคนสองคน


   'ไวท์...สัญญากับพี่หน่อย'

   'สัญญา?'

   'ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น...ห้ามเอาเลือดคนอื่นเข้ามาอยู่กับพี่'



   เรื่องที่ไม่เคยรู้จนกระทั่งยอมเอ่ยปากบอก...ในวันที่สายเกินไป


   'พี่สัญญากับพิชชาเอาไว้แล้ว'


   เมื่อหลับตาลงภาพรอบตัวเหลือเพียงสีดำสนิท เชือกที่มองไม่เห็นส่งต่อความรู้สึกหลากหลายเข้ามาไม่มีหยุด บอกตัวเองว่าอย่าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา การจากลามันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ หลายครั้งแล้วที่โลกสอนเรื่องนี้แต่เธอไม่เคยยอมรับมันได้

   มันยากเกินกว่าจะยอมรับว่ากลางวันกำลังจะจากกลางคืนไป

   ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งลมหายใจก็ขาดช่วงไป ร่างของครึ่งชีวิตยังอยู่ตรงที่เดิมส่งรอยยิ้มมาให้ราวกับรับรู้แล้วว่าเธอตัดสินใจอย่างไร เมื่อนั้นองศาของริมฝีปากจึงเปลี่ยนเป็นยกขึ้นนิดหน่อยผิดจากวิสัยปกติ ส่งคำตอบคืนผ่านสายใยที่ไม่เคยมีใครอื่นเข้าใจ

   แบล็คทำเพื่อไวท์มามากพอแล้ว...คราวนี้ให้ไวท์ได้ทำเพื่อแบล็คบ้างนะ

   "ไม่ต้องยื้อค่ะ"

   เสียงไร้โทนเอ่ยชัด

   "ไวท์!" ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อของตัวเองจากหลายทิศ เธอกำมือของตัวเองเอาไว้แน่น ท่องบอกเอาไว้ว่าอย่าแสดงอาการอ่อนแอออกไป ต้องขอบคุณมือของใครอีกคนที่กำลังกดให้กำลังใจตรงบ่า มันช่วยให้รัตติกาลทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้

   มันไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา

   แต่เป็นสิ่งที่อีกคนบัญชาไว้

   "แบล็คสั่งไว้แล้ว..." เสียงที่ไม่เคยขึ้นสดใสครั้งนี้หม่นกว่าที่เคย "อีกคนรออยู่"


   'พี่กำลังรอเวลาตามไป'


   เหลือเพียงความเงียบสงัด ทุกคนเป็นพยานในวันที่ใครคนนั้นกลับมา วันรวมกลุ่มที่มากันพร้อมหน้า ต่างคนต่างพา ‘ความรัก’ ของตัวเองมาด้วย ยังแซวกันอยู่เลยว่ามีเพียงทิวากาลไม่เข้าพวก

   และเหมือนว่าความคิดนั้นจะส่งไปถึงใครอีกคน เมื่อมีของสิ่งหนึ่งถูกส่งมาในเวลาไล่เลี่ยกัน

   กล่องขนาดกำลังดีมีกลิ่นหอมแปลกลอยกำจาย พร้อมรูปถ่ายขาวดำของชายคนหนึ่ง ด้านล่างภาพระบุวันเวลาที่ต่างกันเอาไว้สองส่วน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ไม่ว่าคนที่รู้อยู่แล้วหรือว่าคนที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน

   มือที่ยกไปแตะของชิ้นใหม่อ่อนโยนราวกับของล้ำค่า รอยแย้มยิ้มสุขปนเศร้านั้นไม่เคยให้ใครมาก่อน

   “แบล็คหมดหน้าที่แล้ว”


   ‘กลับมาหาผมแล้วเหรอพิชชา’


   "...ให้เขาได้พบกันสักที"


“กลับมาแล้วนะ”
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ”


เราจะได้เจอกันอีกครั้งในโลกของวิญญาณ



***
   สวัสดีค่ะ คิดว่าเป็นการคุยกันท้ายเรื่องที่ยาวกว่าคราวที่แล้วแน่เลย (หัวเราะ)

   อย่างแรกที่ต้องมาก่อนเรื่องอื่นคือขอบคุณทุกท่านที่อยู่กันมาจนถึงบรรทัดนี้ ไม่ว่าจะแวะเข้ามาอ่านเรื่องต่อจากที่หนึ่งหรือว่าจะเป็นการเจอกันในเรื่องนี้ครั้งแรกก็ตาม ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับนิยายเรื่องนี้ เพราะถ้ามีแต่เจ้าเป็นคนเขียน แต่ไม่มีทุกท่านที่เป็นคนอ่าน มันก็ไม่สามารถดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างแน่นอนค่ะ

   ส่วนถัดมาเจ้าจะมาคุยถึงความเป็นมาของเรื่อง PITCH BLACK กันเนอะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะเรียกว่าต่อยอดก็ไม่เชิง เพราะที่จริงแล้วตอนแรกเจ้าเคยคิดว่าจะทำให้เรื่องทั้งหมดจบที่ที่หนึ่งให้ได้ค่ะ แต่พอวางโครงไปมาแล้วพบว่าไม่ไหวจริงๆ พี่แบล็คเลยจะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาแต่งยาวนานมากเลย เพราะเรียกได้ว่าเรื่องนี้เริ่มตั้งแต่เรื่องของน้องโรมกับที่หนึ่งเลยก็ได้

   เพราะงั้นเจ้าถึงใช้เวลานานมากในการเลือก 'พิชชา' มันเริ่มมาจากการเลือกชื่อเรื่องค่ะ เจ้าตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นชื่อสีดำ หาไปหามาจบพอใจตรงพิชแบล็คนี่แหละ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าตัวเอกต้องชื่อพิชนะ เหมือนเดิมคือรื้อไปรื้อมาเจอชื่อพิชชา โห รู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องบังเอิญขึ้นมาเลยค่ะ (หัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นคือการสร้างตัวละครทั้งหมดขึ้นมา เพื่อให้สอดรับกับสิ่งที่เราอยากจะเคลียร์ให้ได้ตามที่บอกไว้

   เรื่องนี้เจ้าเล่นกับรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะค่ะ ตั้งแต่สัญลักษณ์ของเรื่องแล้ว มันคือตัวแทนในหมากรุกที่ใช้สำหรับ คิง แล้วก็ ควีน ค่ะ มันก็แทนการสลับกันได้อยู่นะ แต่บอกเอาไว้ตรงนี้เลยคือเรื่องของตำแหน่งเจ้าไม่ได้ฟันธงเด็ดขาด แล้วก็มีที่แทรกเอาไว้อีกหลายอย่างมากค่ะ ถ้าไล่หมดคงต้องโดนลิมิตแน่ๆ

   พี่แบล็คเป็นตัวละครที่เจ้าคิดว่าจะไม่แต่งใครให้ยากเท่านี้อีกแล้วค่ะ เขาเป็นตัวละครที่ทำเจ้าหนักใจมาตั้งแต่ต้น การวางตำแหน่งให้เขาเป็น 'ราชา' สร้างปัญหาในการเล่าเรื่องหลายต่อหลายครั้งเลยค่ะ สิ่งที่เจ้าตั้งใจไว้ในการแต่งเรื่องนี้คือเป็นการเก็บตกบางประเด็นที่ไม่สามารถใส่ลงไปในเรื่องที่หนึ่งได้อย่างที่เคยบอก อีกส่วนมันคือการเข้าไปทำความรู้จักกับพี่แบล็คไปพร้อมกันนี่แหละค่ะ (ยิ้ม) ในมุมของน้องโรมหรือว่าที่หนึ่งก็มองพี่แบล็คไม่ค่อยต่างกันหรอก แล้วมุมของพี่แบล็คที่มองคนอื่นมันจะเป็นแบบไหนบ้างนั่นคือหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่เจ้าต้องทำมันให้ได้ค่ะ

   โจทย์เรื่องปมใหญ่ที่สุดคือเรื่องของคุณแม่ค่ะ ที่เจ้าอยากจะคลายมันให้ได้ ทั้งเรื่องน้ำหอมที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกด้วย และค้นพบแล้วจริงๆ ค่ะว่าจงอย่าวางปริศนาไปทั่ว ตอนต้องมาตามแก้นี่มันทรมานมากเลยค่ะ ตอนที่แก้มันได้รู้สึกชีวิตนี้ปฎิบัติภารกิจสำเร็จไปอีกอย่าง ภาคภูมิใจมากๆ ค่ะ (ฮา)

   ส่วนเรื่องที่เราจะไม่พูดไม่ได้เลย คือตอนจบค่ะ นี่คือสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ยากที่สุดสำหรับเจ้า คือบังคับตัวเองแบบไหนให้พาเรื่องนี้จบอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้น เจ้าตั้งใจตั้งแต่ตอนที่คิดจะแต่งแล้วค่ะ ว่าอยากให้จบอย่างนี้ เหตุผลก็ดูง่ายๆ ไม่ค่อยมีอะไรนะคะ เจ้าแค่คิดไม่ออกว่า 'รัก' ขนาดไหนถึงจะควรค่ากับราชาอย่างแบล็คเท่านั้นเองค่ะ แต่พอแต่งไปแต่งมาก็จะมีคำถามนี้ตามมาตลอดว่าเจ้าจะจบแบบนี้แน่เหรอ เพราะในแต่ละส่วนของเรื่องมันต้องสอดคล้องกับช่วงจบ ตีกับตัวเองตลอดทั้งเรื่องเลยค่ะ ขนาดตอนท้ายๆ แล้วนะ

   ถามว่ากลัวฟีตแบคไหม ไม่ค่ะ เจ้าเชื่อว่าเจ้าวางเบื้องหลังของเหตุผลเอาไว้ในเรื่องจนครบแล้ว แล้วเพราะตั้งใจจบอย่างนี้แหละค่ะ การแต่งเลยยากขึ้นไปอีก เพราะเจ้าวางตัวละครมาให้พิชชาเห็นได้ ยกเว้นของตัวเอง นั่นคือพิชชาเห็นอยู่แล้วค่ะว่าในวันหนึ่งจะไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง การบอกออกไปแบบทางอ้อมนั่นแหละถึงเหนื่อยกว่า เจ้าใช้คำว่า 'ได้รัก' ตอนที่พิชคุยกับพี่แบล็ค เพราะพิชชารู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือแค่ได้รักจริงๆ ค่ะ แต่เขาจะไม่มีทางได้อยู่ด้วยกัน รวมถึงการที่บอกว่าคุณต้องอยู่บนนั้นลำพัง เจ้าถึงบอกตลอดว่าการแต่งเรื่องนี้ยากและทรมานค่ะ คือหลุดไปตรงไหนตรงหนึ่งนี่เรื่องอาจพลิกได้เลย

   คุยแต่พี่แบล็คไม่พูดถึงพิชชาเลยเนอะ เจ้าชอบพิชชามากเลยนะคะ ชอบทุกอย่างที่เป็นเขาเลย ถ้าเราต้องเป็นคนที่เห็นทุกอย่างขนาดนั้นแล้วยังจะทำตามความปรารถนาของตัวเองอยู่หรือเปล่า คนที่รู้ทุกเรื่องแต่ก็พูดได้แค่บางเรื่อง คนที่ต้องทำ 'หน้าที่' ของตัวเองให้เสร็จเช่นเดียวกัน เจ้าชอบความมั่นใจในแบบของพิชชานะ เขาเป็นตัวละครที่เข้มแข็งลำดับต้นๆ ของเจ้าในเวลานี้เลยค่ะ

   แล้วเจ้าก็เชื่อนะคะ ว่าเขาจะได้พบกันอีกครั้งจริง (ยิ้ม)

   มันเลยเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นการเล่าจากหลังมาหน้าค่ะ จะว่ายังไงดีล่ะ เป็นเรื่องที่ควรเริ่มจากสุดท้ายแล้วค่อยไล่เรียงมาจนถึงจุดเริ่มต้น เจ้าอยากลองเอาตอนจบมาไว้ข้างแรกสุดมานานแล้วค่ะ จบสบโอกาสจากเรื่องนี้นี่แหละ เพราะงั้นในบทแรกและบทสุดท้ายเราจะได้เห็นคำเดียวกันโผล่ขึ้นมาในส่วนท้ายเหมือนกัน เรียกว่าสปอลย์ตอนจบไว้ตั้งแต่บทแรกเลยก็ได้นะ (หัวเราะ)

   สำหรับเพลงที่ใช้ในเรื่องนี้ คือ Wonder Wall - Oasis ค่ะ ช่วงเริ่มแต่งพี่แบล็คเจ้าฟังมันซ้ำๆ จนหลอนหูเลยล่ะ เจ้าชอบความหมายของเนื้อเพลงนี้มากๆ เลยอยากเอามาใส่ไว้ในเรื่องค่ะ

   เห็นไหม บอกแล้วว่ามันต้องยาวมากแน่ๆ (หัวเราะ) เหมือนกับว่าเราต้องจบให้เคลียร์ทั้งหมดให้ได้ เพราะจะไม่มีเรื่องอื่นมาช่วยต่อยอดแล้วนะ (ฮา) ถ้าสงสัยตรงไหนถามเพิ่มเติมได้นะคะ เจ้าจะกลับมาตอบให้ครบเลยค่ะ

   และนี่คือทั้งหมดของ 'สีดำสนิท' สำหรับเจ้าค่ะ

   ท้ายสุดนี้ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ การกดบวกและชื่นชม
   ขอบคุณจากใจจริงค่ะ
   23August
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-02-2017 22:21:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-02-2017 23:43:16
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 26-02-2017 00:35:14
โครงเรื่องล้ำลึกมากค่ะ
คิดไว้ไม่แบบนี้ คนละแบบจริงๆ
คนละอย่างกับที่หนึ่ง
สนุกที่ต้องคิดตามตลอด
มันไม่หนักนะคะ แต่มันอึนมาก
พบว่า ห้ามเดาเด็ดขาด!!! จะถูกน้อยมาก ^^

ที่สำคัญ จบเศร้าในความรู้สึก
อาจเป็นเพราะรักคู่นี้ #พิชแบล็ค
ดีที่เขาได้รักกัน และยังรักกันเสมอ

เชื่อว่า เขาคงจะได้พบกันอีกครั้งจริง เช่นกันค่ะ

ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆ ให้อ่าน
รอเรื่องต่อไปนะคะ

กอดค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 03-03-2017 19:18:45
ขอบคุณนะ ขอให้เขาได้เจอกัน สักที
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 05-03-2017 14:54:53
ขอให้เขาเจอกันนะ  :o12:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-03-2017 16:28:54
 :mew6: :mew2: :mew2:
♚ PITCH BLACK ♛ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์ มาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 06-03-2017 18:08:19
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปซักทีนะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 07-03-2017 08:54:04
เป็นนิยายที่อ่านแล้วไม่รู้จะเม้นอะไร นอกจากร้องไห้

ขอให้เขาได้อยู่ด้วยกัน รักพี่แบล็ค ชอบตั้งแต่เร่องที่หนึ่งแล้ว


ขอบคุณนะคะ เราไม่รู้จะเม้นอะไรนอกจากขอบคุณ

หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: NaEZ ที่ 07-03-2017 19:47:55
ขอบคุณเรื่องราว
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 08-04-2017 00:14:59
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 01-05-2017 13:54:37
ไม่ได้อ่านเรื่องนี้มาสักพักใหญ่ พอเปิดมาอ่านเพราะคิดถึงก็ตกใจ... อ้าว จบแล้วเหรอ
เลยมาเลื่อนๆอ่าน โคตรหน่วงใจใน อ่านจบแล้วน้ำตาจะไหล
พี่แบล็คเป็นตัวละครที่เราชอบมากๆ ชอบตั้งแต่เจอเขาในเรื่องที่หนึ่ง
ตอนที่ไวท์บอกไม่ต้องยื้อ คือใจหายมาก แต่เพราะแบล็คเคยบอกไว้ เข้าใจ...
เศร้ามาก เราปวดใจที่สุด ราชาที่ชอบมากคนนั้น...
ถึงจะจบเศร้าแต่ว่าตรึงใจ น่าประทับใจ เราชอบนะคะ ไม่ได้ตายไปเฉยๆ
ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: miwmiwzaa ที่ 05-05-2017 11:16:33
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 05-05-2017 22:44:49
 :pig4: :pig4: :hao5:อีกหนึ่งเรื่องดีๆที่ประทับใจ o13
ขอบคุณที่แบ่งปันความสุขให้กันนะ :L1: :bye2:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: poommy_TY ที่ 25-07-2017 00:14:21
ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณค่ะ

เป็นเรื่องราวที่สวยงาม อ่านจนจบแล้วรู้สึกว่าตัวเองยิ้มแบบน้ำตาคลอๆ เหมือนอยากร้องแต่ร้องไม่ออกค่ะ


เรื่องราวของสองคนนี้ จบแบบนี้ สวยงามแล้วค่ะ

รักแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน รักแต่ไม่เคยพูดกันว่ารัก
ชอบความผูกพันธ์ของแบล็คกับพิชนะคะ
มันดูเป็นอะไรทีคนอื่นเข้าไม่ถึง
เราชอบเวลาเขาอยู่ด้วยกัน
เป็นความหวานแบบพิชแบล็คเท่านั้นที่เป็นแบบนี้

ดีใจที่ได้รับรู้เรื่องราวจนถึงจุดสิ้นสุดนะ
เหมือนส่งเขาถึงปลายทาง

และเราก็เชื่อว่าเค้าจะต้องได้เจอกัน และมีความสุขแน่นอน

รักพิชแบล็ค

ขอบคุณคุณเจ้าที่ถ่ายทอดออกมานะคะ จะไม่บืมนิยายเรื่องนี่เลยอะ ประทับใจมากจริงๆนะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 28-07-2017 17:31:27
กลับมาอ่านกี่ครั้งก็ยังประทับใจ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-07-2017 16:51:05
เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามในการอ่านมาก อารมณ์เหมือนอ่านหนังสือในหมอก ไม่มีอะไรชัดเจนเลย
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: satiara ที่ 28-10-2017 14:07:21
ไม่ได้เม้นนานมากเเล้ว แต่เพราะราชา ทำให้เราทนไม่ได้
เราเสียใจที่ราชาต้องจากไป อยากให้ทุกคนอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ในความทรงจำของเรา
เเต่ความจริงก็แบบนี้ ไม่มีใครเป็นราชา เราทุกคนเป็นคน และเพราะแบบนั้นสีดำถึงจากไป เสียใจ หื้ออ TT
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 16-11-2017 00:53:49
จบแบบนี้ก็โออยู่นะคะ
เพิ่งอ่านเรื่องแรก
หลงรักทั้งพิชกับราชาเลย
เป็นความรักแบบลึกลับ
อึดอัดหน่อยๆ ไม่หวือหวา
อีกคนที่ขาดไม่ได้เลย คือ
ภัสส์ เป็นพี่น้องที่วุ่นวายที่สุด
แต่ราชาเต็มใจ? เข้าไปยุ่ง
ขอบคุณที่แต่งเรื่องที่มีเสน่ห์แบบนี้มาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
เริ่มหัวข้อโดย: Mon_noW ที่ 19-11-2017 07:39:49
เป็นเรื่องที่เราประทับใจเรื่องนึงเลยนะคะ เราชอบการเดินเรื่องที่เหมือนมีคำถามอยู่ตลอด และค่อยๆคลี่คลายออกมาว่าตัวละครแต่ละตัวมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้น สำหรับเราเราชอบตอนที่กระบะทรายที่มันรู้สึกอบอุ่น และตอนจบที่ในเศร้า แต่รู้สึกว่ามันมีความสุข ความอบอุ่น ความงดงาม ปรากฏอยู่ เป็นผลงานดารเขียนที่ดีนะคะ เราเป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อๆไป :))
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.Special [25.06.18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-06-2018 20:34:25
SPECIAL


[0.5]
 

   เด็กชายพิชชาอายุสิบสามปีกำลังมองรูปของใครอีกคนไม่ยอมละสายตาไปไหน

   ส่วนสูงโดดขึ้นมาท่ามกลางเพื่อนในวัยเดียวกัน รอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากดูไม่เข้ากับเหรียญทองที่คล้องอยู่ตรงคอ มือทั้งสองข้างประคองถ้วยรางวัลขนาดใหญ่เอาไว้ ที่เห็นข้างหลังคือป้ายไวนิลเขียนชื่อรายการพร้อมกับรุ่นการแข่งเอาไว้

   “เก่งจังเลยนะครับคุณแม่”

   “...ซนนะพิช”

   “คุณแม่วางไว้บนโต๊ะครับ” นั่นคือการบอกเป็นนัยว่ามันอยู่ในสถานที่ที่ง่ายต่อการสังเกตมากกว่าการเล่นซนตามคำกล่าว “ผมไม่ได้แอบรื้ออะไร”

   “เด็กไม่ควรยุ่งกับของของผู้ใหญ่”

   “ครับๆ”

   “รับปากส่งๆ ไม่ได้”

   “ผมก็แค่ตอบรับ ไม่ได้รับปากครับ”

   เด็กชายผมยาวยกไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจมากนัก ถึงจะเป็นคุณแม่ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังไม่สามารถจดจำอะไรได้ก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติเสมอไป

   ‘คุณแม่’ เขม่นใส่ลูกชายนอกสายเลือดของตัวเอง “ดื้อจังนะ”

   “เหมือนคุณแม่แหละครับ”

   ยังถือภาพใบเดิมเอาไว้ ปรายตามองภาพแอบถ่ายทั้งหมดบนโต๊ะว่ามีแผ่นอื่นที่น่าสนใจหรือไม่ ตั้งคำถามว่าคนในรูปจะรู้หรือไม่ว่าตนเองกลายเป็นเป้านิ่งให้กับอีกคนมาตั้งแต่ยังเป็นทารก แล้วถ้าวันหนึ่งรู้เรื่องนี้เข้ามันจะเป็นอย่างไรต่อ

   “รา...” เกือบเผลอหลุดใช้ชื่อที่เรียกเอง ”พี่แบล็คเขาไม่คิดจะเทิร์นโปรบ้างเหรอครับ”

   ชนะรายการที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ อาจไม่ใช่ที่หนึ่งตลอดแต่ก็ไม่ค่อยหลุดหนึ่งในสาม รูปรายสัปดาห์จะแปรผกผันไปตามกิจกรรมที่ทำในเวลานั้น ถ้าเป็นสัปดาห์ปกติไม่ค่อยมีอะไรออกมาให้เห็น ส่วนช่วงไหนมีแข่งเทนนิสก็จะมีรูปให้ติดตามมากขึ้นหน่อย

   จากเด็กผู้ชายตัวเล็กที่มักจะมีเด็กอีกสามคนตามติดเสมอก็เริ่มแยกตัวออกห่างตามวัย น่าเสียดายที่ดันเกิด ‘เหตุการณ์’ นั้นขึ้นด้วย เพราะรูปถ่ายภายหลังมักจะมีแต่รอยยิ้มเล็กๆ ดูแปลกปลอมประดับเอาไว้ ไม่เหมือนรอยยิ้มกว้างเห็นฟันเช่นยามเยาว์วัย

   ยิ่งพอเข้าชั้นมัธยมก็ชัดเจนเข้าไปใหญ่ ทั้งเรื่องชกต่อยกับรุ่นพี่เพื่อปกป้องน้องของตัวเอง สมัยเพิ่งเปิดเรียนได้เทอมเดียวนี่ได้พ่อต้องเข้าไปรับทราบความประพฤติที่น่ากังวลของลูกชายและลูกสาวฝาแฝดรวมแล้วสามครั้ง

   และส่วนที่เปลี่ยนไปชัดเจนสุดคงเป็นนัยน์ตาสีดำสนิทไร้ความรู้สึกนั่น

   “แบล็คไม่ยอมอยู่ในกฎระเบียบอย่างนั้นหรอก”

   “...ก็นั่นสิครับ”

   แม้จะไม่เคยเข้าใกล้ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ คนเป็นเจ้าของสายเลือดครึ่งหนึ่งในร่างกายของเด็กชายทิวากาลเก็บข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับลูกแฝดเอาไว้เสมอ พี่โตสุดของบ้านอย่างแบล็คไม่เหมาะกับการอยู่ใต้คำสั่ง ถึงจะเป็นการสั่งให้ฝึกซ้อมตามรายการที่วางเอาไว้ก็ตามที

   รูปอื่นไม่มีอะไรน่าสนใจ ท่าตีวาดวงสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รู้ได้โดยความเคยชินว่าใต้กรอบแว่นสีดำอันใหญ่ไม่พ้นสายตาของผู้ล่าที่ไม่เคยพลาด

   “วางลงแล้วกลับมาช่วยแม่ปักต่อได้แล้ว”

   “ผมทำได้ไม่สวยสักที เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอครับ”

   กิจกรรมที่ทำร่วมกันของแม่ลูกมีหลากหลายตั้งแต่ของเบสิกอย่างช่วยทำอาหาร ออกไปเที่ยวด้วยกัน ไปจนถึงการฝึกมารยาทผ่านการสอนในหลายรูปแบบ อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือผ้าพื้นลินินกับไหมปักเหลือบ วางเอาไว้คู่กับลายดอกไม้ตัวอย่างหลายแบบ

   “วันก่อนก็บ่นว่าร้อยดอกไม้ไม่สวย”

   “คุณแม่ก็เห็นตัวอย่างแล้วนี่ครับ”

   ไม่เคยมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น พิชชาโตขึ้นมาพร้อมกับการสอนที่สมกับเป็นสายเลือด ‘ผู้ดีเก่า’ ทั้งคุณพ่อแล้วก็คุณแม่ที่เลี้ยงมาโตขึ้นท่ามกลางสังคมที่สถาปนาความสูงศักดิ์ของตัวเอง ทั้งสองรู้จักกันดีในระดับหนึ่งเพราะว่ามีถูกจำกัดเรื่องเพื่อนเหมือนกัน ก็เพราะทางออกที่มีไม่มากอย่างนั้นนั่นแหละเขาเลยได้มาอยู่ตรงนี้

   แทนที่เด็กฝาแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง

   “เราทำได้ แต่เราไม่ทำ”

   “ถ้าเป็นลูกสาวอาจทำได้ดีกว่านี้เยอะครับ” โครงสร้างร่างกายของพิชชาไม่ต่างจากเด็กชายทั่วไป นิ้วใหญ่เก้งก้างไม่เหมาะกับการทำงานละเอียด “หรือว่าจะเป็นลูกชายก็ไม่รู้สิ”

   “ไวท์ใจเย็นกว่าแบล็คเยอะ”

   เรื่องลูกชายหญิงของเธอไม่ใช่สิ่งที่ต้องปกปิดเอาไว้ หรือต้องบอกว่าถ้าจะปิดไว้ก็ไม่มีทางพ้นจากสายตาของเด็กที่มีชื่อจริงแปลว่าผู้หยั่งรู้ไปได้ เด็กน้อยผู้ตั้งคำถามว่าเพราะอะไรเธอถึงมี ‘สีขาวดำ’ อยู่รอบกายเสมอ นับตั้งแต่นั้นมาเรื่องนี้จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาทั่วไปไปเสียแล้ว

   พิชชาเลยได้รู้จักพี่อีกสองคนไปโดยปริยาย รู้เรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับพวกเขาจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญที่สุดอย่างกรุ๊ปเลือดของแฝดคนพี่ที่เหมือนกับของเขาเอง

   “ผมแปลกใจที่พี่แบล็คไม่มีเรื่องกับเด็กในสนามสักที”

   สิ่งหนึ่งที่คนเป็นแม่ค่อนข้างกังวลใจคือนิสัยโมโหร้าย เจ้าอารมณ์ ต้องได้ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการของทิวากาล ถึงจะดีขึ้นกว่าช่วงเวลาฮอร์โมนเปลี่ยนมากแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไว้วางใจได้ตลอด พิชชาเองก็ต้องลุ้นระทึกอยู่เสมอว่าเลือดของตัวเองจะได้ทำหน้าที่เมื่อไหร่

   “วัยรุ่น” คำสั้นแสดงความเข้าใจความต่างของช่วงอายุ “นี่ก็ดีขึ้นเยอะมากแล้ว พัฒนาได้ดี”

   “จะมีโอกาสที่ผมได้ช่วยชีวิตพี่เขาไหมนะครับ”

   “ก็ลองมองดูสิ”

   ท้าทายแบบคนรู้ทัน พิชชาหัวเราะในลำคอขณะที่มือสองข้างช่วยกันร้อยไหมใส่รูเข็ม เตรียมตัวสำหรับการทำงานประดิดประดอยเป็นเพื่อนของคุณแม่ นอกจากคุณย่าแล้วก็ยังมีคุณแม่นี่แหละคอยเคี่ยวเข็ญให้ทำทุกอย่างมากเท่าที่จะเป็นไปได้

   “ผมไม่อยากมองครับ...”

   สิ่งที่ ‘พยายาม’ ไม่เห็นให้มากที่สุด สีดำสนิทยามมองลึกลงไปแทนคำตอบได้เพียงอย่างเดียว

   “ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอแหละ”

   “งั้นผมขอเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นได้ไหมครับ ดอกไม้จะกลายเป็นต้นไม้พิษแล้ว”

   โชว์ผลงานชิ้นเอกของตัวเอง ส่วนที่ควรเป็นกลีบดอกก็โย้เย้ไม่มีระเบียบ แถมยังไม่เท่ากันเลยสักกลีบอีกต่างหาก “สงสารผ้าผืนนี้จังเลยครับ”

   รอยยิ้มเอ็นดูส่งมาให้พร้อมกับรับผลงานของศิลปินชื่อพิชชาไปตรวจรายละเอียด “เพิ่งเริ่มทำครั้งแรกก็อย่างนี้ ไว้ลองใหม่คราวหน้า”

   “คุณแม่...” งอแงเป็นเด็กตัวเล็ก เบะปากออกให้รู้ว่าไม่พอใจ “ผมรู้ว่าสำหรับคุณแม่มันสวยหมดแหละ แต่มันก็เป็นฝันร้ายของผมจริงๆ นะครับ”

   งานที่สอนมีตั้งแต่งานพิถีพิถันไปจนถึงงานต้องใช้แรงงาน คุณแม่ให้ทุกอย่างกับเขาจนลืมตัวเสียบ่อยว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กที่ถูกฝากเลี้ยงเอาไว้เท่านั้น แต่พอเห็นรูปของทารกคู่หนึ่งที่มักวางเอาไว้ตรงโต๊ะใหญ่ในห้องนั่งเล่นก็จะดึงตัวเองกลับมาได้หน่อย

   พิชชาไม่ใช่เด็กตัวน้อยที่ใช้อารมณ์ตัดสินทุกอย่างมานานแล้ว เขารู้และวางตัวเองเอาไว้ในพื้นที่ที่ควรจะอยู่ไม่เคยล้ำเส้นออกไปไหน คิดเสียว่าโชคดีกว่าฝาแฝดคู่นั้นมาก อย่างน้อยก็มีทั้งคุณพ่อแล้วก็คุณแม่ แถมยังไม่ต้องจมอยู่กับตราบาปที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต

   “ความทรงจำมันไม่ได้มีแต่เรื่องดีเสมอไปอยู่แล้วนี่”

   “ก็จริงแหละครับ” ถอนหายใจออกมาให้ได้ระบายความรู้สึกหน่วงข้างใน มองหญิงสาวแสนสวยเจ้าของตำแหน่งดาวคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยความชื่นชมเต็มหัวใจ คุณแม่ดูแลตัวเองดีเสมอไม่ว่าจะเป็นท่าทางหรือว่าการแต่งกาย ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของคนข้างนอกที่ไม่รู้เบื้องลึกคือผู้หญิงเก่งผู้กุมอำนาจในธุรกิจหลายตัวเอาไว้เอง

   ส่วนที่คนในรู้ก็คือเรื่องของลูกฝาแฝดคู่นั้น ทั้งสองไม่ได้ปิดบังถึงขั้นว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่บนโลก ก็แค่แบ่งขอบเขตการรู้จักกันเอาไว้อย่างชัดเจน ไม่เคยย่างกรายเข้าไปปรากฏตัวให้ลูกเห็นอย่างที่สัญญากันเอาไว้ ต้องใช้วิธีการดูห่างๆ แทน

   คุณแม่เข้มแข็งอย่างที่เด็กชายพิชชาไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้หากต้องอยู่ในสถานการณ์นั้น

   “เดือนหน้าผมไม่อยากไปเรียนเปียโนเลย ขอเกเรได้ไหมครับ”

   “ไม่น่ารักเลยนะ” เอ็ดปนระอาจากความเคยชิน “แล้วจะทำอะไรล่ะ แม่ไม่ให้เราว่างหรอกนะ”

   ยังไม่ได้วางแผนเอาไว้เลยคิดไม่ออก “อืม... อาจเป็นเล่นกีฬามั้งครับ”

    “งั้นไปแข่งเทนนิสไหมล่ะ?”
 


   ก็พูดไปลอยๆ ตอนที่เห็นชื่อตัวเองอยู่บนตารางการแข่งเลยรู้สึกแปลกพิลึก

   “น้องพิชแข่งคู่สาม จะกลับไปรอในรถไหม?”

   เด็กชายผมยาวเงยหน้าขึ้นมองการ์ดของคุณน้า น้องชายของคุณแม่ ส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีพลางบอกปัด “ไม่ล่ะครับ ว่าจะยืนดูคู่แข่งหน่อย”

   ตอนนั้นก็พูดไปเรื่อย ไม่คิดว่าคุณแม่จะจริงจังถึงขนาดไปหาตารางการแข่งขันรอบกรุงเทพในเดือนถัดไปมาให้เลือก พอเห็นความใส่ใจนั้นจะให้ปฏิเสธไปว่าจะไม่เข้าแข่งขันก็คงเป็นลูกที่ไม่น่ารักมากเกินไปหน่อย พิชชาเลยต้องมายืนอยู่ข้างสนามเทนนิสนอกเมืองในเวลาแปดโมงเช้า

   “งั้นต้องไปดูที่สนามสี่นะ ไม่ใช่สนามเจ็ด”

   ทำปากยื่นใส่คนรู้ทัน ถึงจะเป็นการ์ดของคุณน้าแต่ก็เคยรับหน้าที่พี่เลี้ยงชั่วคราวของเขามาหลายครั้ง “ผมจะดูการแข่งขันรุ่นสิบสี่หรือสิบหกมันก็ค่าเท่ากันแหละครับ อย่างมากก็ผ่านไปถึงรอบรอง จะไปสู้พวกเล่นจริงจังได้ยังไง”

   การแข่งขันแบ่งตามช่วงอายุ แล้วพิชชาก็กลายเป็นน้องคนสุดท้องในรุ่นไม่เกินสิบสี่ปี ส่วนคนที่กำลังวอร์มร่างกายเตรียมพร้อมอยู่ในสนามเจ็ดลงรุ่นไม่เกินสิบหกปี เขาไม่สนเรื่องคนที่แข่งในรุ่นของตัวเองอยู่แล้วล่ะ ทั้งไม่รู้จักใครแล้วก็ไม่ได้อยากจะทำความรู้จักด้วย นี่นา

   เลยมาดูคนที่มักเห็นแค่ในภาพดีกว่า

   บอกไม่ได้ว่าคุณแม่จงใจให้เขามาเจอหรือเปล่า ตอนเห็นชื่อผู้เข้าแข่งขันเลยต้องอ่านซ้ำอีกครั้งว่านายทิวากาลคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่เขารู้จักหรือไม่  พิชชาจัดการสวมหมวกสีขาวปักชื่อยี่ห้อเอาไว้ปกปิดใบหน้าส่วนหนึ่ง รวบหางม้าที่มัดเอาไว้แล้วผ่านทางช่องเล็กด้านหลัง ชุดการแข่งที่ใส่ได้ทั้งสองเพศและส่วนสูงที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาการทำงานของฮอร์โมนทำให้ดูเผินๆ แล้วก็เหมือนเด็กผู้หญิงที่มาร่วมการแข่งขันคนหนึ่ง

   เดินไปแทรกรวมกลุ่มใต้ร่มชายหาดคันใหญ่ เลขเจ็ดตรงปลายสุดข้างหนึ่งของสนามแทนการบอกว่าเขากำลังจะได้รับชมการแข่งขันของรุ่นอายุไม่เกินสิบหกปี แดดในยามสายมากเสียจนเข้าใจว่าทำไมนักกีฬาประเภทนี้ถึงมีผิวสีคล้ำกันเป็นส่วนใหญ่

   “กูจะฟ้องพ่อว่ามึงโดดเรียน”

   “ไม่ยุ่งสักเรื่องได้ไหมเน็ท”

   “ต้องยุ่งสิ มึงไม่ต้องฟังนิชมันบ่นแบบกูไง”

   เหลือบมองเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับตนสองคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ กดหมวกของตัวเองให้ลงมาปิดหน้ามากขึ้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง คนตรงนั้นไม่รู้จักเขาหรอก แต่ว่าพิชชารู้จักทั้งคู่เป็นอย่างดีเลยล่ะ ...รู้จักไปถึงบุคคลที่สามนั่นด้วย

   น้องชายคนเล็กของบ้านกับเพื่อนสนิทที่น่าจะตีกันตายไปตั้งนานแล้ว พิชชารู้และเข้าใจเบื้องหลังความเป็นมาในครอบครัวนั้นทั้งหมด ทั้งที่ได้ยินจากคุณแม่แล้วก็แอบไปอ่านรายงานการบันทึกเอาเอง

   คนตัวผอมนั่นชื่อโรม โตกว่าเขาประมาณครึ่งปีได้มั้ง ชอบทำตัวงอแงสมกับเป็นน้องชายคนเล็ก แล้วที่อยู่ข้างกันนั่นก็เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กชื่อเน็ท อายุไล่เลี่ยกับพี่ชายคนโตอย่างแบล็คแล้วก็ไวท์ ส่วนที่พูดถึงแต่ไมได้อยู่ตรงนี้ก็คือนิช คนที่เห็นแต่รูปยังพูดกับคุณแม่เลยว่าร้ายที่สุด

   บอกแล้วไงว่ารู้จักดี

   “ก็มันน่าเบื่ออะ มือกูเจ็บไปหมดแล้วด้วย”

   “ใครใช้ให้เลือกกีตาร์ล่ะ เล่นกลองกับนิชก็จบแล้ว”

   “เสียงดังจะตาย”

   “ก็เลยลากกูมาดูพี่มึงแข่งในบรรยากาศสงบๆ แต่โคตรร้อนอย่างนี้สินะ”

   “กูไม่มีทางมาคนเดียวอยู่แล้วมึงก็รู้”

   ในเมื่อการแข่งขันยังไม่เริ่มก็ยืนฟังต่อไป เคยเห็นแต่หน้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวจริงของเหล่าผองเพื่อนเป็นคนแบบไหนบ้าง ตอนนี้กรรมการเรียกนักกีฬาไปตกลงเรื่องกติกาและเลือกฝั่งแล้ว ผู้ชายที่ชื่อแปลว่ากลางวันอยู่ในชุดเสื้อขาวกับกางเกงสีดำเกือบถึงเข่า สวมหมวกและแว่นเอาไว้พร้อมป้องกันแดด

   เคยคิดว่าท่าตีสวย ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนเป็นแค่ท่าเดินกลับมายืนหลังเส้นกรอบเตรียมรับลูกเสิร์ฟยังดูดีเลย โชคเป็นของเขาที่ทิวากาลเลือกเล่นฝั่งที่ยืนอยู่ เลยได้เห็นแผ่นหลังในระยะใกล้แทนที่จะเป็นด้านหน้าในระยะไกล

   “เด็กติดพี่อย่างมึงเคยไปไหนคนเดียวเหรอ ...เหี้ยเอ๊ย แบล็คยืนกลางสนามอย่างนั้นไปได้ไงวะ กูอยู่ในร่มยังจะตายเอา”

   “ไปซื้อน้ำกันไหมล่ะ”

   “ไม่อะ เดี๋ยวกลับมาไม่มีที่นั่ง”

   “กูไปเองก็ได้”

   “ไกล เดี๋ยวมึงหลงทาง”

   ไม่ต่างอะไรกับเด็กเห่อของเล่นใหม่ พิชชาให้ความสนใจกับเพื่อนกลุ่มนี้มากกว่าการแข่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเสียอีก กลุ่มคนที่เขาเคยได้เห็นเพียงรูป ได้รู้เรื่องผ่านตัวอักษร ตอนนี้ยืนอยู่ข้างเขาตั้งสามคนเลยนะ

   “แค่นอกสนามเอง”

   “นั่นแหละ ไกลแล้ว”

   “มึงเป็นบ้าเหรอเน็ท”

   “มึงอย่ามาลามปามพี่มึงนะน้องโรม”

   ยิ้มคนเดียวจนคิดว่าถ้ามีใครแอบมองต้องคิดว่าเขาเป็นคนสติไม่เต็มแหง พิชชาเปลี่ยนไปชมการแข่งขันแทนการฟังเสียงเพื่อนสองคนทะเลาะกันไม่จบสิ้น การควบคุมลูกของทิวากาลทำได้ดีไม่มีที่ติ จังหวะการขยับตัวก็พอเหมาะพอดี ต้องฝึกมากเท่าไหร่ถึงทำได้ขนาดนั้นนะ

   ทำหน้าที่เป็นผู้ชมที่ดีโดยการยืนชมเงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมารบกวนการแข่ง ลอบจำท่าทางตามจังหวะต่างๆ เอาไว้ปรับกับการเล่นของตัวเอง ทิวากาลเป็นผู้ชายที่แปลกสำหรับพิชชา แค่ส่วนสูงที่มากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันก็เสริมความเด่นแล้ว พอไปรวมกับความรู้สึกบางอย่างข้างในใจที่ผุดขึ้นมาก็ยิ่งแล้วใหญ่

   ผู้ชายคนนั้น ‘สูงศักดิ์’ กว่าเขา

   “โห ชนะขาดเลยแฮะ”

   เนื่องจากไม่รู้เรื่องแรงกิงของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนเลยบอกไม่ได้ว่าสกอร์สามต่อศูนย์เซตที่ออกมาหมายถึงอะไรได้บ้าง พิชชามองผู้ชนะในเกมการแข่งขันถอดหมวกของตัวเองหนีบไว้กับช่วงแขนเพื่อยีเส้นผมสั้นข้างใน มืออีกข้างก็กวาดเอาของจำเป็นไม่ว่าจะผ้าเช็ดหน้า โคฟเวอร์ไม้และเครื่องดื่มเกลือแร่เอาไว้ จากนั้นถึงเลี่ยงออกมานอกสนามเพื่อให้คู่ต่อไปได้ใช้

   แว่นกันแดดสีดำซ่อนช่วงนัยน์ตาเอาไว้จนไม่เห็นสิ่งใด เด็กชายผมยาวหันไปมองตรงสนามแข่งหมายเลขสี่ว่าใกล้ได้เวลาลงเล่นในส่วนของตัวเองหรือยัง พอมองกลับมาก็เป็นช่วงเดียวกับที่ทิวากาลเดินเข้ามาใกล้จนเกือบประชิดตัวแล้ว

   “กะเอาชนะเลิศเลยเหรอ”

   “มั้ง”

   เสียงแตกหนุ่มตอบกลับคำเดียว พิชชาขยับตัวออกห่างนิดหน่อยโดยไม่ลืมกดหมวกให้ลงมาปิดครึ่งหน้า ความตื่นเต้นที่ได้เจอกันในระยะใกล้ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว ก็พิชชามักเห็นแต่ในรูปนี่นา แล้วรูปมันก็ไม่มีเสียงออกมาให้ได้ยินเสียหน่อย

   ตามองตรงทำเป็นสนใจกับการแข่งขันแต่หูยังไม่เลิกแอบฟังว่าพี่น้องคุยอะไรกันต่อ

   “คลาสกีตาร์?”

   เล่นใช้เสียงราบเรียบอย่างนั้นไม่แปลกใจเลยที่คนน้องจะตอบกลับหงอยๆ “ก็อยากมาดูมึง...”

   “หรือแค่ไม่อยากเรียน กูเตือนตั้งแต่มึงขอไปเรียนแล้วนะ”

   “ก็...”

   “ไม่เรียนก็บอกคุณพินิจไป เปลืองเงิน”

   สมแล้วที่เป็นทั้งพี่แล้วก็พ่อ ลอบยิ้มมุมปากคนเดียวยามนึกกลับไปถึงเรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของคุณแม่ พี่ชายคนโตอย่างทิวากาลไม่ยอมอยู่ในตำแหน่งของพี่ชายเพียงอย่างเดียว เขาตั้งให้ตัวเองกลายเป็นคุณพ่อคนที่สามของโรมไปแล้ว

   วันนี้ได้เรื่องอื่นกลับไปเล่าให้คุณแม่ฟังนอกเหนือจากผลการแข่งแล้วล่ะ

   “น้อง...ครับ” เสียงคุ้นเคยเรียกให้หันไปตามความเคยชิน ด้านซ้ายนั้นคือพี่เลี้ยงชั่วคราวของเขานั่นเอง “ต้องเตรียมตัวแล้ว”

   “ครับ”

   ตอบรับพร้อมกับเดินออกมาจากตรงนั้นทันที ขอบคุณในใจที่ไม่เรียกชื่อของเขาตอนที่อยู่ใกล้กับกลุ่มนั้น

   “อ้าว นั่นผู้ชายเหรอ...” ระยะห่างยังไม่เท่าไหร่เลยได้ยินเสียงร้องด้วยความสงสัยนั้น คนโดนเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงโคลงหัวไปมาเล็กน้อย มันก็ชินแล้วล่ะ นี่ไว้ผมยาวมาตั้งหลายปีแล้ว แถมยังปิดไปแล้วเสียครึ่งหน้าอีกต่างหาก ให้ใครมามองก็ต้องคิดอย่างนี้ทั้งนั้น

   “เป็นไงบ้างครับ”

   “เอาแง่ไหนดีครับ” เพิ่งเข้าชั้นมัธยมได้ไม่เท่าไหร่แต่เรื่องของความคิดความอ่านไม่ต่างจากคนที่อายุมากแล้ว “การแข่งก็ทั่วไปไม่มีอะไร ส่วนพวกเขาก็น่ารักดีครับ เสียดายไม่เห็นหน้าพี่แบล็คเต็มๆ อยากรู้ว่าเหมือนคุณแม่แค่ไหน”

   รับกระเป๋าใส่ของจำเป็นสำหรับการแข่งขันมาไว้เอง ควานหาครีมกันแดดออกมาเป็นอย่างแรกสุด ทั้งร้อนทั้งแดดอย่างนี้ถ้าไม่ทาเอาไว้กลับบ้านไปคุณแม่จะต้องตกใจแน่ๆ

   “ช่วงตาเหมือนครับ แต่ส่วนอื่นไม่เท่าไหร่ คนผู้หญิงเหมือนกว่า”

   “...งั้นเหรอครับ”

   “แต่ถ้าอยากเจอคนผู้หญิงคงต้องลงทุนกว่านี้”

   หัวเราะขำขันให้กับคำกล่าว “ไม่ต้องหรอกครับ เจอคนนี้ก็พอแล้ว”


 
   เสียงประกาศให้เตรียมตัวดังไปทั่วสนาม เด็กชายพิชชาเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนก้าวเหยียบสนามเทนนิสสมัยใหม่อย่างมั่นคง ตรงไปวางอุปกรณ์บนม้านั่งข้างสนามติดกับเก้าอี้ตัดสินของกรรมการ เพิ่งสังเกตว่าคนที่กำลังวอร์มอยู่ในสนามถัดไปคือ ‘พี่ชาย’ ของตัวเอง

   อย่างนี้ก็มีจุดดึงความสนใจมากกว่าการแข่งของตัวเองแล้วสิ สะบัดหัวไปมาเรียกสติให้กลับเข้ามาอยู่ในร่าง พ่นลมออกจากปากเรียกกำลังใจเป็นครั้งสุดท้าย ได้สู้กับว่าที่ผู้ชนะอย่างนี้ก็ประหม่านิดหน่อย เขาเองไม่ได้เล่นเป็นอาชีพเหมือนอย่างบางคนที่หยุดเรียนเป็นปีเพื่อฝึกซ้อมนี่นา มีช่วงก่อนจะมาแข่งนี่แหละที่ตั้งใจกว่าปกติหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ไปเล่นบ้างไม่เล่นบ้างตามอารมณ์ช่วงนั้น

   ที่เลือกเทนนิสก็เพราะว่าเห็นภาพทิวากาลหัดเล่นนี่แหละ บอกคุณแม่ว่าอยากลองเล่นบ้างแล้วก็ไปซื้อไม้แร็กเก็ตวันถัดไป เริ่มเรียนในวันเสาร์จต่อจากนั้น พอตีได้ถนัดก็ไม่ได้เรียนเป็นคอร์สแล้วใช้วิธีไปตีตามความพอใจแทน

   พิชชาพาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงโคจรที่ชื่อทิวากาลทีละน้อย

   เป็นการเริ่มเกมที่ดีเมื่อได้คะแนนแรกจากลูกเสิร์ฟเอส กระชับไม้ในมือให้แน่นเตรียมพร้อมกับการโต้กลับจากอีกฝั่ง ดูจากขนาดตัวแล้วคงต้องวางเท้าให้มั่นคงมากกว่าหลายๆ นัดที่ผ่านมา เขายิ่งไม่ถนัดลูกแบคแฮนด์อยู่ อย่าตีไปทางซ้ายมากเลยนะ

   “โห...ถนัดสองมือเลยเหรอ”

   แว่วเสียงมาจากด้านหลัง คงเป็นพวกคนมาดูการแข่งขันนั่นแหละ พิชชาเปลี่ยนวิธีการจับไม้จากด้านขวาเป็นซ้ายด้วยหลายสาเหตุ หนึ่งคือเป็นการเล่นจิตวิทยากับฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ตั้งตัวรับทิศทางของลูกที่เปลี่ยนไป อย่างที่สองคือถึงจะเล่นได้ทั้งสองมือแต่การควบคุมทางซ้ายน้อยกว่านิดหน่อย มันจะช่วยให้เขาไม่ต้องเล่นนัดถัดไปได้ด้วย

   มันเป็นเหตุผลที่ย้อนแย้งกันใช่ไหมล่ะ

   ชีวิตคนเราก็อย่างนั้นแหละ

   จากที่เคยถนัดแต่มือขวาก็โดนเคี่ยวเข็ญให้ใช้มือซ้ายด้วยจนไม่มีปัญหาในการสลับความถนัด ส่วนมากเป็นข้อดีแต่ข้อเสียก็มากอย่างเช่นตอนที่อยากอู้ไม่ช่วยคุณแม่ก็จะอ้างว่ามือเจ็บไม่ได้ จดการบ้านไม่เสร็จก็ยังต้องฝืนใช้อีกมือทำให้เสร็จอยู่ดี

   “โว้ย!!!”

   ทำหน้านิ่งยามฝั่งตรงข้ามคำรามออกมาจนก้องไปทั้งสนาม ระหว่างแข่งนักกีฬาก็มีวิธีการออกเสียงเพื่อระบายความตึงเครียดแตกต่างกันออกไป พิชชาไม่ค่อยทำมากเท่าไหร่เพราะไม่จริงจังกับการแข่งถึงขนาดนั้นแล้วก็ไม่อยากให้เสียงหายด้วย

   ตอนนี้เด็กชายตัวใหญ่หัวเสียไม่น้อยเลยล่ะ พอพิชชาเปลี่ยนไปใช้มือซ้ายในการบังคับหลักมันคือการเริ่มต้นอ่านคู่ต่อสู้ใหม่ทั้งหมด นี่ใกล้จะจบเซตที่สองแล้วด้วย

   ตั้งแต่เริ่มแข่งเมื่อวานก็ใช้แต่มือขวา ไม่แปลกที่ใครต่อใครจะตกใจตอนที่เขาใช้มือซ้ายตี การแข่งขันต่อจากนั้นพิชชากลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ ที่คิดเอาไว้ว่าจะแพ้ในรอบนี้คงต้องพับเก็บเอาไว้ก่อน เกมในส่วนที่เหลือเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เขาชนะไปด้วยคะแนนสามต่อหนึ่งเซตท่ามกลางความตกใจของผู้ชม

   ตามประเพณีหลังจบเกมก็ต้องมีการจับมือกันนิดหน่อย พิชชาหนีบแร็กแก็ตสีดำอันโปรดเอาไว้ตรงแขน ยกมือไหว้ฝั่งตรงข้ามในระดับเพื่อนตามที่คุณแม่พร่ำสอน อีกฝ่ายทำหน้าบอกบุญไม่รับแถมยังไม่ยอมยื่นมือมาให้จับตามมารยาทการแข่งที่ดีอีกต่างหาก

   เห็นว่าคงไม่มีอะไรต้องทำเพิ่มเลยเดินกลับมานั่งพักตรงม้านั่ง แอบมองไปสนามถัดไปว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินกรรมการประกาศไทร์เบรกพอดี ถ้าพี่แบล็คสามารถเก็บแต้มในรอบนี้ได้ก็จะชนะไป ก็เพราะว่าเอาแต่สนใจคนอื่นเลยไม่ได้สังเกตว่าเด็กชายตัวใหญ่คนที่เพิ่งแพ้เขาไปมายืนจังก้าอยู่ตรงหน้า

   “ครับ?”

   “ไอ้ตุ...”

   “อย่าพูดคำนั้นออกมาดีกว่านะ” สวนกลับไปทันควัน  คำที่ไม่ถึงกับต้องห้ามแต่ก็ส่งผลให้อารมณ์เสียได้อยู่เรื่อย “มันจะตอกย้ำว่าคนที่แพ้คือใครกันแน่”

   เหยียดยิ้มร้ายให้รู้ว่ามันไม่ใช่แค่คำเตือน จ้องหน้าเด็กชายตัวโตไม่ลดละ ไม่ต้องขยับร่างกายสักส่วนเพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม พิชชาไม่ใช่เด็กที่น่าเข้าใกล้เมื่อมองจากมุมคนวัยเดียวกัน พูดสุภาพ ไม่ค่อยร่าเริง ชอบมองมากกว่าที่จะลงมือเอง แล้วก็ไว้ผมยาวแตกต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไป

   และเด็กชายวัยสิบสามรู้ดีว่าครั้งนี้มันก็เหมือนกัน

   เจ้าของแรงก์สูงสุดในการแข่งรุ่นไม่เกินสิบสี่กำมือแน่น อารมณ์คุกรุ่นยังค้างมาตั้งแต่ลูกเสิร์ฟในรอบที่สอง ศักดิ์ศรีของว่าที่แชมป์กลับถูกตีแสกเข้าหน้าจนยับเยินด้วยฝีมือของเด็กหน้าใหม่ผู้ไม่เคยลงแข่งในรายการใดมาก่อน

   สังคมของนักกีฬาเทนนิสแคบ เรียกได้ว่ารู้จักกันเกือบหมดถ้าไม่ใช่ประเภทเก็บตัวเงียบสนิทจริงๆ ไปแข่งที่ไหนรายการไหนก็มักเจอคนหน้าคุ้นและเคยประลองฝีมือกันทั้งนั้น ตอนแรกที่เห็นว่าคู่แข่งเป็นเด็กหน้าแปลกทรงผมประหลาดก็คิดว่าสามารถชนะได้ไม่ยาก

   ไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดว่าจะเป็นผู้แพ้

   “มึง!”

   “ครับ”

   ยังลอยหน้าลอยตารอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เด็กชายพิชไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ

   “น้องเก็บขวดน้ำพี่ให้หน่อย” ระหว่างที่ยังเปิดสงครามประสาทกันอยู่เสียงที่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเมื่อวานก็ดังขึ้นแทรก พิชชาตวัดหน้าหันไปมองพี่แบล็คของตัวเองทันที บอกไม่ได้ว่าสายตาคู่นั้นจับจ้องตรงส่วนไหนเพราะมีแว่นกันแดดบังไว้อยู่ “มันกลิ้งไป ขี้เกียจเดินไปเก็บ”

   “อ่า...ได้ครับ”

   ตอบรับพลางเอื้อมมือไปคว้าขวดน้ำพลาสติกที่นอนนิ่งสนิทไม่ไกลจากตัวเองเอาไว้ คิดไม่ออกว่าวางไว้ท่าไหนถึงโผล่มาอยู่ฝั่งเขาได้ เข้าใจสถานการณ์จำลองใช่ไหม เวลาดื่มน้ำเสร็จแล้วก็ต้องตั้งขวดน้ำเอาไว้ ตอนที่เดินมาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรอยู่ที่พื้นเลย

   “นี่ครับ...” ท้ายเสียงแผ่วลงยามเห็นว่าช่วงหน้าที่เคยมีแว่นกันแดดอันใหญ่สีดำปิดอยู่หายไปเสียแล้ว โดยไม่ต้องสั่งการพิชชาก็จัดการเก็บรายละเอียดบนใบหน้าของทิวากาลเอาไว้จนครบ 

   จนเผลอสะดุ้งยามสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นแบบไม่ทันตั้งตัว “อย่าดึงอันตรายเข้าหาตัวเอง”

   “ขอบคุณครับ”

   “เล่นดีนะ”

   ยังไม่ได้ทันได้ขอบคุณอีกครั้งทิวากาลก็ต้องกลับไปลงสนาม แว่นสีดำกรอบใหญ่ถูกสวมกลับเข้าไปตามด้วยหมวกกีฬาทรงสวย พิชชามองตามไปจนกระทั่งเสียงลูกสักหลากกระทบกับหน้าไม้ดังขึ้น เมื่อนั้นถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังตีกับโจทก์ตัวใหญ่ไม่เสร็จ

   รีบกลับมาหาเด็กชายตัวใหญ่ มองจนทั่วแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่แผ่นหลังไกลลับตา พิชชาลองตรวจสอบอีกครั้งจนมั่นใจว่าคนที่เข้ามาหาเรื่องไม่อยู่แถวนี้แล้วถึงผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน

   ช่างมันเถอะ

   วันนี้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเขาเกินพอแล้วล่ะ


***
   คิดถึงพวกเขามากๆ เลยค่ะ (ยิ้ม) ช่วงนี้โน้ตบุ๊กเจ้างอแงตลอดเลย เอาเข้าศูนย์มาสามครั้งแล้วค่ะ ก็เลยต้องงัดเอาเครื่องเก่ามาใช้แล้วเจอไฟล์นี้พอดี ไหนๆ ยังไม่รู้ว่าหนังสือจะพรีเมื่อไหร่ก็เอามาลงดีกว่า พี่แบล็คกับพิชชาเป็นเรื่องที่เจ้าอยากเขียนตอนพิเศษในหลายๆ พล็อตแต่ว่าตามเส้นไทม์ไลน์แล้วมันแทบจะไม่มีที่ให้ลง เอาจริงๆ คือกว่าจะได้ตอนพิเศษครบนี่เหนื่อยมากจริงๆ ค่ะ (หัวเราะ)
   ตอนที่ลงนี้จะเป็นครึ่งแรกของ [0.5] ซึ่งเป็นหนึ่งในตอนพิเศษลงในเล่ม ส่วนอีกพาร์ตชื่อ [18.5] เป็นเรื่องช่วงระหว่างตอนที่ 18 และ 19 ตามเนื้อเรื่องหลักค่ะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.Special [25.06.18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 25-06-2018 23:48:03
แค่ชื่อ "พี่แบล็ค" ที่ออกมาจากปากพิชชาก็ทำให้เขินได้แล้วจริงๆ


นิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์มาก เหมือนทุกๆตัวอักษรทุกๆถ้อยความที่คนเขียนสร้างขึ้น มีแรงดึงดูดแปลกๆ อธิบายไม่ถูกเหมือนกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.Special [25.06.18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 26-06-2018 14:14:08
รักเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ
ขอบคุณที่มาลงให้ได้อ่าน
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.Special [25.06.18] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-07-2018 16:03:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-01-2019 21:08:16
สวัสดีค่ะ เจ้ามาแจ้งข่าวเปิดพรีออเดอร์หนังสือ PITCH BLACK นะคะ (ยิ้ม)


เปิดจอง Pitch Black #พิชแบล็ค

   Story: 23August

   Illust: Zaphylla

   วันนี้ - 5 มี.ค. 62

   พิเศษรอบจอง เล่มตอนพิเศษ Glad to see you


เรื่องย่อ เล่ม 1

   ราชาไม่เคยติดหนี้บุญคุณ
   กุหลาบสีดำและกระดาษแข็งสีเดียวกันพร้อมข้อความยินดีต้อนรับ
   การกลับมาไม่ช่วยให้ความกระจ่างอะไรกับ 'ทิวากาล' ได้สักนิด
   มีใครบางคนยื่นมือเข้ามาช่วยในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และนั่นทำให้เขาต้องชดใช้อย่างไม่มีทางปฏิเสธได้
   'พิชชา' มาพร้อมกับตัวตนที่ไม่เหมือนใคร
   "ผมไม่ยอมให้หนี้ของเราหมดง่ายๆ หรอกครับ"
   "..."
   "ผมจะทำให้คุณต้องอยู่กับผมไปตลอดชีวิตเลย"


เรื่องย่อ เล่ม 2

   ความใกล้ทำให้หัวใจชิดกันมากขึ้น
   ถึงจะเป็นเช่นนั้น หมอกสีดำแสนเลือนรางก็พร้อมจะจางหายไปทุกเมื่อ
   ในช่วงเวลาที่ทิวากาลยังตามหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหนังม่านชั้นหนาไม่ได้
   การแทรกบทบาทของ 'ภัสสร์' ก็พาให้ทุกอย่างพลิกผันไปจากที่ควรเป็น
   "แต่ตอนนี้ผมก็อยู่กับคุณแล้วไม่ใช่เหรอ มันไม่ใกล้ขึ้นบ้างเลยหรือไง?"
   "ไม่ครับ"
   สุดท้ายแล้วคนที่ประกาศตนท้าทาย ก็ยังยืนอยู่บนพื้นดินเช่นเดิม
   "คุณยังอยู่บนนั้น...ไม่เคยเปลี่ยน"
   เพราะบางสิ่งแม้จะไขว่คว้ามากเท่าไหร่ก็ไม่อาจครอบครอง



   การสั่งจองสามารถเข้าไปที่ http://rainynight.lnwshop.com/ และหากต้องการสอบถามเพิ่มเติมติดต่อทางสำนักพิมพ์ https://www.facebook.com/rainynightpublishing/ ได้เลยนะคะ (ยิ้ม)

ขอบคุณค่ะ
23August