พิมพ์หน้านี้ - 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: mamedaz-s ที่ 12-03-2016 18:03:21

หัวข้อ: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 12-03-2016 18:03:21
(https://www.img.in.th/images/e9fd7bdb86ae664c66f0846630d4dd28.gif)
คุณสามารถสมหวังในรักได้ตามเวลาที่กำหนด

อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

รวมซีรีส์พี่น้องบ้าน กขค.
เ ก ย์ ป้ า ย แ ด ง #2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52721.0;topicseen)
ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก' (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52427.0)

------------------


(https://www.img.in.th/images/954a0f7310c5da11a4f7ebc754237df0.gif) (https://www.facebook.com/CROONs.H/)

--------------------------------------------



--------------------------------------------




Talk with M@medaZ-s :
สวัสดีค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยสักหนึ่งเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของเด็กมัธยมต้นค่ะ
ค่อนไปทางโชตะกันพอสมควรเพราะน้องยังไม่ถึงอายุสิบห้ากัน หากชื่นชอบจะรู้สึกดีใจมาก ๆ เลยค่ะ   [/left]

หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 12-03-2016 18:05:56
ชั่วโมงโฮมรูม

***********
 
 
เขานั่งร้องไห้อยู่บนชักโครกในห้องน้ำชายที่ตึกเก่า เสียงสะอื้อฮึกฮือดังระงม โชคดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีใครแวะเข้ามาแม้แต่ภารโรงจึงทำให้สามารถเปล่งเสียงร้องออกมาได้อย่างไม่อายฟ้าดิน   
 
ไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องถูกกลั่นแกล้ง แค่ล้อความแคระเกร็นของตัวเองก็พอทนแล้ว ทำไมต้องลามมาถึงเธอคนนั้นอีกด้วย   
 
ทั้งที่แอบชอบอยู่เงียบ ๆ คนเดียวไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใคร   
 
แต่กลายเป็นว่าสิ่งนั้นมันทำให้เขาสู้หน้ากับคนอื่นต่อไปไม่ได้   
 
ทั้งอาย ทั้งโกรธ ทั้งเศร้า ซ้ำยังถูกเธอคนนั้นมองด้วยสายตาเหลือเชื่อ เขาตอบไม่ถูกว่าเธอกำลังตกใจหรือกำลังขยะแขยงเขาอยู่กันแน่ เพราะหากให้เรียงลำดับประชากรในห้องแล้วทุกคนต่างพร้อมใจยกให้เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร   
 
ร่างกายหมดเรี่ยวแรงกลายเป็นความสิ้นหวัง 
 
"ให้ตายเถอะ นึกว่าผีที่ไหนมาร้องไห้กลางวันแสก ๆ"   
 
เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ เขาสะดุ้งโหยงหยุดร้องไห้ทันควันแล้วเงยหน้าไปทางต้นเสียง 
 
ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ทุกคนในโรงเรียนต่างรู้จักดี   
 
"อ้าว ไหงทำหน้าเหมือนเห็นฉันเป็นผีแทนซะล่ะ" อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกใจปนขำ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า   
 
สภาพของเขาในตอนนี้คือกำลังนั่งบนฝาชักโครกในห้องน้ำของตึกเก่า ข้างบนเป็นเพดานโล่งโจ้งเพื่อระบายอากาศ การที่จะเห็นอีกฝ่ายอยู่ข้างบนได้นั้นแน่นอนว่าต้องปีนผนังจากห้องข้าง ๆ นั่นเอง   
 
ทั้งที่มั่นใจว่าจะไม่มีใครอยู่แท้ ๆ   
 
ใบหน้าเขาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความอับอาย ก่อนจะก้มหน้างุดแล้วเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ พลางเอ่ยว่า "ม..ไม่มีอะไร" ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและอู้อี้   
 
ต้องรีบออกไปจากตรงนี้ก่อนที่อีกฝ่ายจะไหวตัวทัน 
 
แต่ความต้วมเตี้ยมของตนนั้นช่างน่าโมโห 
 
เมื่อเงยหน้าอีกครั้งปรากฏว่าเด็กหนุ่มนั้นหายไปแล้ว สร้างความตกตะลึงให้เขาอย่างขีดสุด แม้จะไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางแต่พลันหายตัวไปดื้อ ๆ แบบนี้เป็นใครย่อมตื่นตระหนก 
 
ทว่าอีกไม่กี่วินาทีถัดมาประตูห้องน้ำที่เขากำลังใช้อยู่กลับถูกเปิดออกผาง 
 
ร่างของอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้น   
 
"หน้าซีดกว่าเมื่อกี้อีกนะนาย" 
 
หัวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เขาอ้าปากค้างกระเถิบร่างถอยหลังเข้าหาถังกดชักโครกอย่างไม่รู้ตัว   
 
ขนลุกซู่ไปทั่วร่างกาย 
 
"น..นาย..." 
 
ตัวจริงเสียงจริงของเด็กเกเรที่ไม่มีใครอยากข้องเกี่ยวมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง แม้กระทั่งพวกผู้หญิงต่างพากันร้องยี้เพราะพฤติกรรมแหกคอกที่บรรดาอาจารย์ต่างส่ายหัวกันอย่างระอา   
 
บัดนี้คนดังกล่าวกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางนึกสนุก   
 
ไม่เอา ... เขาต้องโดนแกล้งหนักอีกแน่ ๆ   
 
ไม่...   
 
อีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้ ในห้องน้ำขนาดพอดีตัวที่มีเพียงเขาและเด็กหนุ่มอีกคน หมดทาง่จะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ไม่สิ ถึงร้องออกไปคงไม่มีใครมาช่วยอยู่ดี   
 
เพราะคนที่อ่อนแอต้องถูกเป็นเหยี่อ นี่คือกฎธรรมชาติ   
 
เขาหลับตาแน่น ได้กลิ่นหอมจากอีกฝ่ายจาง ๆ จึงทำให้ยิ่งวิตกกังวลว่าอีกไม่นานคงจะโดนทำร้ายอะไรสักอย่างเป็นแน่   
 
ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาว่า 
 
"ถูกพวกไอ้ชุนรังแกมาอีกแล้วล่ะสิ"   
 
เขาสะอึกทันทีพลางลืมตาอย่างแปลกใจ   
 
"คราวนี้โดนล้อเรื่องคนที่ชอบใช่ไหม อ้อ ฉันไม่ได้เป็นพวกสอดรู้สอดเห็นหรอกนะ แต่พวกชุนมันป่าวประกาศไปทั่วตึกน่ะ" แม้จะรู้ว่าเรื่องของตนคงถูกป่าวประกาศไปทั่วโรงเรียนแล้ว แต่พอมาฟังจากปากของบุคคลที่สามแล้วยิ่งทำให้รู้สึกแย่   
 
น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง 
 
"เฮ้ ! ฉันยังไม่ได้รังแกนายเลยนะ"   
 
 แต่เขาหยุดไม่อยู่ ยิ่งคิดว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นแล้วยิ่งคิดอะไรไม่ออก 
 
"ฮืออออออออ ฮืออออออออออ จบแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่ชอบแล้วก็ได้ ฮืออออออออออ ฉัน...ฉันไม่ชอบแล้วก็ได้..." คำพูดพรั่งพรูออกมาอย่างยากจะรั้ง ยิ่งร้องอารมณ์ยิ่งเตลิด เขาไม่เก็บกักเอาไว้อีกต่อไป ปล่อยให้มันไหลออกมาให้หมด   
 
อยากเอาไปโพทะนาก็เชิญ จะแกล้งเขาให้หนำใจก็ทำซะ มันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว 
 
 
"ฮืออออออออออออออออออออออออออ
 
 
"เฮ้ เดี๋ยวก่อน ... เฮ้.." เสียงอีกฝ่ายพยายามหยุด แต่มันไม่สามารถกลบเสียงร้องของเขาได้เลย   
 
สุดท้ายจึงปล่อยให้เขาได้ร้องไห้จนสาแก่ใจ   
 
ผ่านไปเกือบห้านาทีเสียงค่อยผ่อนลง   
 
"ฮึก...ฮึก... ทำไมต้องเป็นฉันทุกที ... ทำไม...ฮึก...ฉัน..ต้องโดนแกล้ง..ทุกทีด้วย ฮึก..." 
 
อีกฝ่ายยืนมองด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ จนกระทั่งเอ่ยขึ้นว่า 
 
"เพราะขี้แยอย่างนี้ไงล่ะนายถึงโดนพวกนั้นแกล้ง" 
 
ความเห็นอันโหดร้าย ทำให้เขาหน้าเบ้ขึ้นอีกรอบ 
 
"เฮ้ ! หยุดร้องไห้ได้แล้ว !" อีกฝ่ายชักเหลืออด "ให้ตายสิ ถ้านายยังคิดว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชายอยู่ก็หยุดร้องไห้ซะ เพราะมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ถ้าที่บ้านนายเลี้ยงมาอย่างตามใจก็ควรหยุดเอาแต่ใจตัวเอง การร้องไห้ไม่ได้ทำให้นายได้สิ่งที่ต้องการหรอกนะ" อีกฝ่ายพูดยาวเหยียดจนเหมือนเป็นการสั่งสอน เขาหุบปากแล้วนั่งมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ นั่งสะอึกฮึกเป็นพัก ๆ 
 
ริมฝีปากอ้าพะงาบคล้ายอยากตอบโต้ แต่คำพูดนั้นกลับจี้ใจดำเขาทุกอย่าง   
 
เพราะไม่เคยลำบากจึงไม่มีความพยายามที่จะต่อสู้ 
 
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าสังคมเป็นเรื่องเลวร้าย เขากลายเป็นเหยื่อของผู้ที่เข้มแข็ง วันแล้ววันเล่าที่ตัวตนกลายเป็นคนอ่อนแออย่างแท้จริง ไม่แม้แต่จะเปิดปากบอกพ่อแม่ในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่กล้าพอที่จะทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ยิ่งถูกเหยียบย่ำจิตใจมากแค่ไหนยิ่งต้องเก็บเงียบไว้มากเท่านั้น คอยคิดอยู่เสมอว่าต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้   
 
เพราะไม่เคยมีเพื่อน ดังนั้นแล้ว .. 
 
"นายน่ะมีพร้อมทุกอย่างทำไมไม่คิดจะสู้เพื่อลบคำสบประมาทนั้นกันล่ะ"   
 
จึงไม่มีใครมาบอกคำเหล่านี้กับเขา   
 
สู้ เป็นสิ่งที่ถูกลบหายในจากหน้าพจนานุกรมประจำตัว ไม่เคยคิดถึงมันและไม่เคยมีกำลังใจจะทำ เพราะหากทำแล้วไม่รับประกันว่ามันจะได้ผล ซ้ำหากก่อความรุนแรงผลที่กลับมาคงเจ็บตัวหนักเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่กล้าเสี่ยง 
 
การที่อีกฝ่ายกลับมาบอกให้เขาสู้นั้นยอมรับว่าเป็นถ้อยคำที่ดี   
 
แต่...   
 
"นี่มันโลกแห่งความจริง ฉันไม่มีอะไรจะไปต่อกรพวกนั้นได้" ความคิดและคำพูดถูกออกมาพร้อมกัน เขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมองหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก 
 
ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้ม   
 
"นายคิดแบบนั้นจริง ๆ น่ะหรือ"   
 
เขาลังเลที่จะพยักหน้า หันซ้ายมองขวาก่อนผงกหัวเบา ๆ   
 
"อ..อือ" ร่างสะอื้นเล็กน้อย   
 
อีกฝ่ายกอดอกมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เขาเหวอเล็กน้อยถอยหลังกรูดจนไปติดกับถังกดชักโครก 
 
"อืม.." 
 
"ม..มีอะไร.." 
 
"หน้าตานายไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่ อาจจะเตี้ยนิดหน่อย แต่วัยอย่างพวกเรามันกำลังโตนี่นะ" อีกฝ่ายว่าพลางยิ้ม ราวกับว่าเพิ่งนึกเรื่องสนุก ๆ ออก 
 
เขาชักสังหรณ์ไม่ดีอย่างประหลาด   
 
ไม่นะ .. หรือว่า ... 
 
"ถ้านายชอบผู้หญิงคนนั้นจริง ทำไมไม่คิดจีบเธอเสียเลยล่ะ จะได้ตอกหน้าเจ้าพวกนั้นไงว่าอย่างนายเองก็มีดี"   
 
คิดไว้แล้วไม่มีผิด การกระทำบ้าบิ่นแบบนี้   
 
"ม..ไม่ได้หรอก" เขาไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้น อีกอย่างผู้ชายที่ถูกโดนจัดให้อยู่ล่างสุดของห่วงโห่อาหารคงยากที่จะทำให้ผู้หญิงประทับใจ 
 
มันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก   
 
เขาส่ายหัวไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมลดละ 
 
"ไม่ชอบเธออย่างนั้นเหรอ" 
 
"ไม่ใช่.." เขาชอบเธอจริง ๆ ชอบมาตั้งนานแล้ว   
 
"แล้วทำไมไม่อยากได้เป็นแฟนล่ะ" 
 
"ก็มัน..." เป็นไปไม่ได้ 
 
เขารู้ดีว่าพวกผู้หญิงต้องการผู้ชายที่สามารถปกป้องและพึ่งพาได้ กับคนอ่อนแอแบบเขาที่ไม่สามารถแม้ปกป้องตัวเอง้จะดูแลพวกเธอได้อย่างไรกัน   
 
"ไม่ได้.." 
 
อีกฝ่ายหรี่ตามอง   
 
"ถึงแม้ว่าฉันจะมีหลักสูตรเร่งรัดให้นายได้สมหวังเร็ว ๆ ก็ตามน่ะนะ?" 
 
ประโยคนั้นทำให้เขาถึงกับเงยหน้ามองอีกฝ่าย 
 
"หลักสูตรเร่งรัด ?" 
 
"มีเยอะไม่ใช่เหรอพวกหลักสูตรเร่งรัดตามโรงเรียนกวดวิชาน่ะ แบบพูดภาษาอังกฤษได้ภายในยี่สิบชั่วโมง สามสิบหกชั่วโมงอะไรทำนองนี้ พวกเด็กโรงเรียนกวดวิชาแบบนายน่าจะเข้าใจดีนี่"   
 
เคยได้ยินอยู่ แต่...   
 
"มองหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง" เมื่อถูกอีกฝ่ายถามเขาพลันสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนหลุบตาลงต่ำ   
 
อะไรกัน..   
 
"ข้อเสนอดีใช่ไหมล่ะ" น้ำเสียงกึ่งเชิญชวนและดูกวนในที 
 
ไม่รู้จะตอบเช่นไร 
 
"ว่าไง" โดนเร่งเร้า 
 
ทว่าเขากลับส่ายหัวเป็นครั้งที่สาม แม้จะน่าสนใจ แต่นี่คือโลกแห่งความจริง มันไม่มีอะไรสะดวกสบายแบบนั้น เพราะที่นี่คือสังคม ไม่ใช่บ้าน ไม่มีพ่อแม่ที่จะประทานทุกสิ่งอย่างมาให้   
 
เพ้อเจ้อ บ้าบอ แค่อยากอวดศักยภาพตัวเองเท่านั้น 
 
เมื่อเห็นสภาพเขา อีกฝ่ายพลันถอนหายใจแล้วยกเท้าเหยียบถังขยะที่อยู่ด้านข้างเสียงดังจนเขาสะดุ้งโหยง 
 
เกือบลืมไปว่าคนตรงหน้าขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กเกเรอันดับหนึ่ง 
 
นี่เขากำลังหาเรื่องท้าทายอีกฝ่ายอยู่ไม่ใช่หรือ 
 
"โปรโมชั่นทดลองฟรีสามชั่วโมงเป็นไง ? ไม่พอใจยินดียกเลิกสัญญา"   
 
ยอมลดมาขนาดนี้แล้วแสดงว่าเขาต้องหมดทางปฏิเสธ ไม่สิ อีกฝ่ายต้องไม่ให้เขาปฏิเสธได้แน่ ๆ และหากเขายังไม่ยอมรับอีก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ จะโดนขมขู่บังคับแบบไหนให้ยอมรับเขาไม่อยากนึกภาพ มันคงต้องเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากที่สุดแน่ ๆ   
 
ออร่าบางอย่างจากอีกฝ่ายช่างน่ากลัว ตอนนี้เขาเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ   
 
รู้สึกใจของตนบอบช้ำ เจอการกลั่นแกล้งจากข้างนอกมามากพอแล้ว ยังต้องมาเจอคนที่คิดจะล้อเล่นกับความรู้สึกของเขาอีก   
 
หนีเสือปะจระเข้ชัด ๆ   
 
เขากะพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำตาออกจากเบ้า สูดลมหายใจเข้าลึก นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข   
 
สังหรณ์บอกเลยว่าการข้องเกี่ยวกับคนตรงหน้าไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น เค้าลางความวุ่นวายนั้นมาแต่ไกล 
 
แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่ 
 
"..ก็ได้ครับ.." 
 
หมดทางหนี ยอมเป็นของเล่นให้อีกฝ่ายได้รังแกจนหนำใจ เผื่อจะได้ชินชาเสียที เจอพวกนั้นไม่เท่าเจอคนนี้ ความเลวร้ายที่สุดของโรงเรียนนั้นเป็นฉายาที่ไม่ได้มาเล่น ๆ   
 
อีกฝ่ายเผยยิ้มกว้างออกมาแล้ววางมือไว้บนไหล่ 
 
"ดีมาก ขอฝากตัวด้วยล่ะ" 
 
"อ..อือ.." 
 
สายตาที่เปล่งประกายนั้นคงดีใจที่ได้ทาสรับใช้เพิ่ม คนอย่างเขานี่ช่างสิ้นหวังเหลือเกิน   
 
การตกลงเสร็จสิ้น คงมีเพียงอีกฝ่ายที่ยินดีกับมัน   
 
"อ้อ จริงสิ" พูดอย่างนึกขึ้นได้ "ฉันขอเรียกมันว่าหลักสูตรเร่งรักแล้วกัน เชื่อมือฉันเลยว่านายกับเธอคนนั้นจะสมหวังกันแน่นอน"   
 
เอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน นึกคึกอะไรถึงอยากมาวุ่นวายกับชีวิตของเขา   
 
ได้แต่มองและพยักหน้าให้แบบนั้นทั้งที่ไม่มีอะไรเข้าหัว   
 
ทุกอย่างขาวโพลนตั้งแต่วินาทีที่รับเด็กหนุ่มคนนี้เข้ามา   
 
ขุนเขา .. ชื่อติวเตอร์คนใหม่   
 
โดยที่เขา ฟากฟ้า ไม่ได้ต้องการแม้แต่น้อย
 
 
 (https://www.img.in.th/images/5bed27899777b079d3f85c0e85886903.gif)
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 12-03-2016 19:33:06
หลักสูตรเร่งรัก..
เดี๋ยวได้รักกันเองแน่ๆค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: แอลฟาฮาลา~ ที่ 12-03-2016 20:17:51
ขุนเขากับฟากฟ้า คือดีอ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 12-03-2016 20:44:08
ติดตามๆๆ

 :impress2:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 12-03-2016 21:08:48
ชื่อน่ารักกันจังเลย :o8:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-03-2016 21:37:21
ขุนเขาดูเป็นพวกวายร้ายแบบน่ารักอ่ะ จะว่าไงดี คือไม่ได้แบบชั่วร้ายอ่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียน
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-03-2016 22:54:29
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 12-03-2016 23:45:19
น่าติดตามมากเลย จะเป็นไงรอน้า
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 13-03-2016 00:10:45
ปูเสื่อรอตอนต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 13-03-2016 09:15:06
รอเรียนหลักสูตรนี้ด้วยคนค่ะ
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ ชั่ ว โ ม ง โ ฮ ม รู ม
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 13-03-2016 09:23:50
สนุกๆ รอตอนต่อไปจ้าาาา  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา ~♪『1 3 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 13-03-2016 17:49:55
คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา 
 


***********

ฟากฟ้าแอบรักเธอคนนั้นตั้งแต่มัธยมหนึ่ง   
 
เขารู้จักเธอในวันปฐมนิเทศ เป็นเด็กหญิงที่โดดเด่นในหมู่เด็กผู้หญิงด้วยกัน ด้วยความสาวสะพรั่งของเธอทำให้ผู้ชายที่อยู่รอบตัวเขานั้นต่างพากันจ้องมอง   
 
มั่นใจว่านั่นคือรักแรก พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าใกล้ ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับไม่เป็นใจเมื่อเขาถูกกดขี่ให้อยู่ใต้อาณัติของเด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่ประจำห้อง   
 
พ่อของหมอนั่นเป็นนายตำรวจใหญ่ประจำพื้นที่และด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้อาจารย์ต่างพากันประคบประหงม 
 
ความอยุติธรรมบังเกิดขึ้น ฟากฟ้าได้รู้ซึ้งว่าถึงเรียกร้องไปก็ไม่มีใครช่วยเหลือตนได้   
 
"เอาหัวมันลงมาอีกสิ !" 
 
เสียงหัวโจกของกลุ่มดังขึ้น หนึ่งในลูกน้องเดินเข้ามาช่วยกดศีรษะของฟากฟ้าก้มลงไปในอ่างน้ำ   
 
ความเย็นไหลวาบผ่านทางเส้นผมเข้าซึมถึงผิวหนัง เด็กชายรู้สึกถึงคอเสื้อที่กำลังเปียก 
 
เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากสะใจเข้าโสตประสาท ฟากฟ้าทำได้เพียงแต่อดทนปล่อยให้เวลามันผ่านไปเท่านั้น   
 
เมื่อไหร่จะจบเสียทีกับการกลั่นแกล้งอย่างไร้เหตุผล 
 
แล้วเสียงหัวเราะกลับเงียบลงฉับพลัน   
 
"เฮ้ นี่ว่างกันมากใช่ไหมพวกนาย มาจับหัวชาวบ้านกดเล่นเนี่ย" น้ำเสียงที่มักคุ้นปนมากับเสียงหาวเป็นระยะ ไม่จำเป็นต้องหันไปมองเด็กชายก็พอรู้อยู่แล้ว   
 
คนที่สามารถหยุดการกระทำของคนกลุ่มนี้ได้มีเพียงหนึ่งเดียว 
 
"ยุ่งไม่เข้าเรื่องน่าขุน ถ้าง่วงนักก็ไปนอนที่อื่น" 
 
สัมผัสที่กดศีรษะเขาลงนั้นหายไป ทำให้ฟากฟ้าเงยหน้าขึ้นมาได้อย่างอิสระ เมื่อกะพริบตาไล่น้ำออกแล้วพบกับร่างของใครบางคนที่เริ่มคุ้นเคย 
 
ขุนเขาจอมเกเรนั่นเอง 
 
"คนมาทีหลังต้องหลีกทางให้ไม่ใช่หรือไง" ขุนเขาว่า "อีกอย่างเสียงหัวเราะของนายนะชุนมันแหลมและน่าเกลียดมากเลย ฉันไม่อยากคิดว่าตอนที่นายเสียงแตกมาจะประหลาดขนาดไหน ไม่มีเพื่อนนายคนไหนบอกเหรอ"   
 
สิ้นเสียงหัวโจกที่ชื่อชุนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ   
 
"ว่าอะไรนะ" 
 
"หัดหุบปากบ้างก็ได้ อยู่ม.ต้นแล้วแกล้งกันเหมือนกับเด็ก ๆ วัยอย่างพวกเราจะแอบชอบสาวสักคนสองคนบ้างไม่ได้หรือไง โตแล้วนะ ทำแบบนี้เป็นแล้ว" ขุนเขากำมือหลวมไว้ด้านหน้าพอดีลำตัวก่อนจะทำท่าชักแขนเข้าออกเป็นภาพประกอบการอธิบาย   
 
ฟากฟ้าหน้าร้อนผ่าว   
 
"ฉ..ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย" แล้วบ่นพึมพำ 
 
ทว่าชุนกลับทำหน้าเหมือนกลืนของแข็ง   
 
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา หัวโจกกับเด็กเกเรจ้องมองหน้ากันราวกับจะก่อสงคราม พวกที่คอยสนับสนุนหัวโจกชุนพากันทยอยหลบหลังหัวหน้าไม่กล้าสู้สายตาเด็กเก   
 
ถ้ายังท้าทายชุนไม่ได้ก็อย่าหวังจะริสู้กับขุนเขาเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันโดยอัตโนมัติ 
 
หากฟากฟ้าคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ขุนเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซอาหารเช่นกัน 
 
สุดท้ายแล้วเป็นชุนที่ยอมล่าถอย เขาหลุบตาลงต่ำหันหน้าไปหาลูกน้อง 
 
"กลับ หงุดหงิดเว้ย !"   
 
เสียงนั้นแหลมดัง เป็นดังที่ขุนเขาว่า ช่างแหลมและน่าเกลียด จนฟากฟ้าอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ โชคดีที่ชุนและลูกน้องไม่ทันเห็น 
 
ขุนเขาหรี่ตามอง 
 
"นายนี่แปลกคน โดนแกล้งเปียกยังกับลูกหมาตกน้ำขนาดนี้แล้วยังยิ้มระรื่น เป็นมาโซหรือไง" 
 
แต่คำทักทายนั้นกลับไม่ทำให้ฟากฟ้ารู้สึกเจ็บปวด ตรงข้ามกลับหันมามองต้นเสียงด้วยใบหน้าที่หุบยิ้มแล้ว   
 
บรรยากาศของขุนเขาแตกต่างกับกลุ่มของชุนมากนัก ฟากฟ้าอธิบายไม่ถูก มันไม่อึดอัดและชวนสิ้นหวังเหมือนอย่างเคย 
 
รู้สึกผ่อนคลาย ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้มีประวัติดีไปกว่าคนกลุ่มนั้นเท่าไหร่ 
 
"เคยอ่านเรื่องปีเตอร์แพนไหม" จู่ ๆ ฟากฟ้าเอ่ยขึ้นทำเอาขุนเขาเลิกคิ้วสูง 
 
"ของวอลท์ดิสนีย์น่ะนะ" รู้จักเพียงแค่นั้น 
 
ฟากฟ้าพยักหน้าแล้วพูดต่อไปว่า   
 
"ตอนจบของปีเตอร์แพนน่ะ ..และมันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เด็ก ๆ ยังคงร่าเริง และบริสุทธิ์ และไร้หัวใจ" เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนหันไปยิ้มบางให้ขุนเขา เพื่อเป็นการตอกย้ำความหมายของประโยค   
 
เด็กทุกคนล้วนไร้หัวใจ เขาเชื่อเช่นนั้นตลอดมา   
 
"นายจะบอกว่าเจ้าชุนยังเป็นเด็กอยู่อย่างนั้นเหรอ"   
 
ฟากฟ้าพยักหน้าให้แทนคำตอบ ทว่าขุนเขากลับส่ายศีรษะ   
 
"มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ"   
 
ประโยคนั้นทำให้ฟากฟ้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ขุนเขาถอนหายใจก่อนจะอธิบายว่า   
 
"ฉันว่าฉันพอรู้สาเหตุที่นายโดนกลั่นแกล้งแล้วล่ะ อันที่จริงต้องบอกว่าเดาได้ตั้งนานแล้วมากกว่า ทุกคนรู้ตัวหมดยกเว้นนายกับชุน ฉันถึงอยากให้นายสู้กับหมอนั่นตรง ๆ ไปเลยเพื่อจะได้รู้ผลแพ้ชนะ เพราะพวกนายสองคนน่ะกำลังชอบผู้หญิงคนเดียวกันอยู่ ไม่ใช่เรื่องของเด็กไร้หัวใจ แต่เป็นเรื่องของวัยรุ่นล้วน ๆ"   
 
ไม่รู้ใครกันแน่ที่เป็นเด็ก หรือใครกันแน่ที่มัวแต่มองแต่โลกแห่งจินตนาการไม่ยอมรับความจริง   
 
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ฟากฟ้าจะถูกชุนแกล้ง แต่เป็นเพราะฟากฟ้ากำลังจ้องมองของรักของหวงของชุนเข้าต่างหาก กับผู้หญิงที่หมายปองย่อมต้องเกิดอาการหึงหวงเป็นธรรมดา ซ้ำสาวเจ้ายังเป็นถึงเจ้าหญิงประจำโรงเรียนเป็นเนตไอดอลที่ใครต่างรู้จักด้วย คู่แข่งเยอะไม่พอยังต้องมาสู้รบปรมมือกับเจ้าพวกสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันได้สาวงามไปครอบครองคงนึกหงุดหงิดเป็นเท่าตัว 
 
การตัดกำลังที่หักหาญน้ำใจจนเหมือนแผนของนักโทษสิ้นคิด 
 
ฟากฟ้าขมวดคิ้ว 
 
"ใช่เหรอ" 
 
"ก็ใช่น่ะสิ" ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดขุนเขาเพิ่งประจักษ์ได้วันนี้ 
 
แต่ไม่นานนักเขากลับเปลี่ยนเรื่อง 
 
"เอาเป็นว่านายกลับไปก่อนเถอะ ส่วนเรื่องหลักสูตรค่อยมาคุยกันตอนเย็น เพราะพวกนายแท้ ๆ ทำให้ฉันไม่ได้งีบเลย" ขุนเขาบ่นพลางหาวหวอดก่อนจะหมุนตัวออกเดิน   
 
ทว่าฟากฟ้าเผลอตัวเข้าไปดึงชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้ 
 
"จะไปแล้วเหรอ" 
 
"อือ ง่วง" เด็กเกตอบ 
 
"ใกล้เข้าเรียนคาบบ่ายแล้วนะ" 
 
"ก็ช่างมันสิ"   
 
ฟากฟ้าพลันขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม จ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ   
 
โดดเรียนเป็นที่หนึ่ง ไม่สนใจการเรียนการสอน ไม่คิดร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียน ซ้ำยังมีเรื่องชกต่อยอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเหล่าลูกน้องใต้อาณัติของชุนทั้งสิ้น ไม่แปลกหากจะมีชื่อเสียงในทางด้านลบแบบสุดกู่ ฟากฟ้าจำได้ว่าภายในหนึ่งอาทิตย์ขุนเขาต้องโดนถูกสอบสวนในห้องปกครองอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดนบทลงโทษนับไม่ถ้วน ไม่รวมกับเชิญผู้ปกครองมาคุยทุก ๆ หนึ่งเดือนอีกต่างหาก   
 
"เข้าเรียนเถอะ"   
 
คำพูดนั้นทำให้ขุนเขาชะงักเล็กน้อย เขาหันไปมองเจ้าเด็กขี้แยอย่างไม่เชื่อสายตา 
 
"คิดจะสั่งสอนฉันหรือไง อย่างพวกที่ชอบบอกว่าเห็นแก่หน้าพ่อแม่หรือสงสารพ่อแม่หน่อยนั่นน่ะ ขอบอกนะว่ามันไม่ได้ผล เพราะฉันกับพวกนั้นไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจกัน" 
 
ฟากฟ้าไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ขุนเขาบอกเท่าใดนัก แต่ ... 
 
"ไม่ใช่แบบนั้น" เด็กขี้แยว่า "การเรียนไม่ได้ทำให้ใครได้ดีนอกจากตัวเองสักหน่อย ทำเพื่อตัวนายเองต่างหาก ไม่อยากสอบซ่อมใช่ไหมล่ะ โดนหัวเราะเยาะมันไม่สนุกไม่ใช่เหรอ"   
 
เพราะเคยเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องอับอายคนทั้งโรงเรียนมาแล้ว การที่ถูกเพื่อนวัยเดียวกันดูแคลนในสิ่งที่เป็นนั้นช่างเป็นเรื่องที่ไม่นึกชอบใจเอามาก ๆ อยากไปให้พ้นจากตรงนั้น อยากแทรกแผ่นดินหนีแล้วกลับบ้านไปเลย แต่ทำไม่ได้   
 
ขุนเขาทำหน้าครุ่นคิดพลางหรี่ตามองฟากฟ้าอย่างพิจารณา 
 
"นี่นายพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย"   
 
"จริงสิ อีกอย่าง..." 
 
"อีกอย่าง ?" 
 
ฉันอยากมีเพื่อน .. ฟากฟ้ากลืนคำนั้นลงคอ ไม่กล้าพูดออกไป 
 
"ม...ไม่มีอะไร" 
 
เพิ่งมีคนคุยกับเขาเกินสิบประโยคเป็นครั้งแรก และจากที่ดูการกระทำเมื่อกี้เหมือนกับขุนเขาออกมาช่วย ยอมรับว่าประทับใจ ดังนั้นจึงต้องอาศัยช่องว่างนี้ 
 
อะไรบางอย่างในตัวของขุนเขาบ่งบอกฟากฟ้าว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยโกหก บางทีการที่เสนอตัวเป็นติวเตอร์หลักสูตรเร่งรักนั้นคงหวังผลที่จะให้มันออกมาดีจริง ๆ   
 
ลองเชื่อใจสักครั้งหน่อยดีไหม   
 
เด็กขี้แยมองเด็กเกอย่างคาดคั้น สายตาที่กึ่งชักชวนกึ่งร้องขอทำให้ขุนเขาตัดสินใจลำบาก ปกติไม่เคยมีใครคิดอยากชวนเขาเข้าห้องเรียนหรืออยากชวนไปเรียนด้วยกัน ตรงกันข้ามผู้คนมักหลบหนี ยิ่งทำตัวเป็นแกะดำของห้องมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้ไม่มีใครอยากข้องเกี่ยวด้วยมากเท่านั้น   
 
ทั้งที่เป็นแบบนั้นเขากลับถูกผู้ชายที่ดูไร้น้ำยาที่สุดในโรงเรียนมาเอ่ยชวนเสียได้   
 
"เฮ้ ถ้าอย่างนั้นรับผิดชอบด้วยล่ะ" ขุนเขาว่า 
 
"รับผิดชอบ ?" 
 
"ก็อย่างรายงานกลุ่ม รายงานคู่ ตอบคำถามอาจารย์ไงล่ะ มันทำคนเดียวไม่ได้หรอกใช่ไหม" สิ้นเสียงฟากฟ้าเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกทันทีจึงรีบพยักหน้าหงึกหงักรัวเหมือนตุ๊กตาติดสปริง 
 
"อื้อ !" 
 
ห้องเรียนของทั้งคู่คือห้องสิบเอ็ด มัธยมต้นที่นี่ถูกจัดห้องตามตัวอักษรและคะแนนสอบคละกันไป แต่ละปีจะถูกสับเปลี่ยนชั้นไปเรื่อย ๆ และพอขึ้นมัธยมสามจึงทำให้ทั้งฟากฟ้าและขุนเขามาเจอกันครั้งแรก   
 
ในโรงเรียนรัฐบาลประจำอำเภอที่ขึ้นชื่อเรื่องของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากที่สุด   
 
เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อฟากฟ้ากลับเข้าห้องเรียนคาบบ่ายพร้อมกับขุนเขา ซึ่งโดยปกติแล้วเด็กเกมักจะเข้าเรียนแค่ช่วงเช้าเท่านั้น ซึ่งช่วงเช้าบางทีก็เข้าสาย มาคาบสุดท้ายยังมี ดังนั้นการที่ขุนเขามาห้องเรียนตรงเวลาเพื่อเรียนคาบต่อไปนั้นย่อมเป็นสิ่งที่น่าพิศวงเอามาก ๆ   
 
โต๊ะของฟากฟ้าอยู่ริมหน้าต่างใกล้ถังขยะ ส่วนขุนเขาติดกับประตูหลังห้องเพื่อสะดวกต่อการหลบหนี 
 
ส่วนพวกชุนอยู่ตรงกลางสุดโดยเคยให้เหตุผลว่ามันสามารถสอดส่องรอบห้องได้   
 
หากลองเปรียบเทียบเป็นสังคมนานาประเทศแล้วชุนคงเป็นประเทศอเมริกา มหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่สามารถเล่นสกปรกกับประเทศเล็ก ๆ ได้อย่างหน้าตาเฉย และขุนเขาคือประเทศรัสเซียที่แม้นิ่งเงียบแต่กลับซ่อนทีเด็ดไว้เพียบ ซ้ำยังไม่เกรงกลัวสิ่งใดต่อให้เป็นนาโต้ก็ตาม ถือคติที่ว่าตาต่อตาฟันต่อฟันและมักมีเรื่องประหลาดใจได้ตลอดเวลา 
 
สองขั้วอำนาจที่ชิงชัง แต่ยังไม่ลงมือซึ่งหน้ากันเสียที 
 
ออดคาบบ่ายดังขึ้น ทุกคนนั่งประจำที่ อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แน่นอนว่าเมื่อเห็นขุนเขากำลังนั่งเรียนอยู่ถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างไม่ปิดบัง   
 
ตลอดเวลาที่เรียนฟากฟ้าคอยสังเกตขุนเขาอยู่เสมอ ไม่ต้องเดาคงพอรู้ว่าการจับเด็กเกมานั่งเรียนนั้นผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ขุนเขาแทบไม่ฟังสิ่งที่อาจารย์สอนแม้แต่น้อย แก้มหน้าก้มตาขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุด ไม่ก็หาวแอบงีบหลับ อาจารย์เองก็ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุไม่ยอมสนทนาด้วย พอเริ่มเบื่อมากเข้าขุนเขาเลยอดทนไม่ไหวหนีออกจากห้องเรียนกลางคันเหมือนทุกที ปล่อยให้ฟากฟ้าแอบถอนหายใจอยู่เงียบ ๆ คนเดียว   
 
 
 
เลิกเรียนขุนเขาปรากฎตัวอีกครั้งที่หน้าห้อง ระหว่างนั้นเพื่อนในชั้นต่างพากันทยอยเก็บข้าวของกลับบ้าน ขุนเขาเดินอาดเข้ามาอย่างไม่สนใจสายตาหลายคู่จ้องมอง ฟากฟ้าพลันรู้สึกปวดมวนในท้องเพราะคราวนี้สายตาคู่คมกริบนั้นจ้องมองมาทางตน   
 
เมื่ออีกฝ่ายหยุดยืนห่างจากเขาประมาณหนึ่งเมตรทุกสรรพเสียงในห้องต่างพากันเงียบกริบ 
 
"เฮ้ เร็วเข้า" เสียงนั้นดังกังวาน แล้วทุกสายตาต่างพุ่งเป้ามายังฟากฟ้าโดยมิได้นัดหมาย 
 
เด็กชายเริ่มเหงื่อตก การเป็นจุดสนใจมักตามมาด้วยเรื่องไม่น่ายินดี 
 
"อ..อือ" ฟากฟ้าครางในลำคอเสียงเบาก่อนจะเก็บของทุกอย่างเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว   
 
ขุนเขาออกเดินนำหน้าผ่านโต๊ะยังไม่ลืมที่จะหยิบเป้ใบเก่าประจำตัวไปด้วย ฟากฟ้าเดินตามตัวลีบอย่างเงียบ ๆ ก้มหน้าก้มตาพยายามไม่รับรู้ถึงเสียงกระซิบกระซาบรอบห้องเหมือนหมีกินผึ้ง 
 
อีกฝ่ายจะพาเขาไปยังที่แห่งใดนั้นยังไม่รู้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น   
 
พวกเขาออกจากโรงเรียนท่ามกลางสายตาที่เคลือบแคลงของอาจารย์ปกครองและรุ่นพี่รุ่นน้องจำนวนหนึ่ง อากาศยามบ่ายสามโมงครึ่งทำให้เหงื่อกาฬไหลท่วมง่ายกว่าปกติ อุณหภูมิสูงขึ้นแบบเฉียบพลันนึกอยากเป็นลมเสียตรงนี้ ฟากฟ้าเดินดุ่มไปยังทิศทางที่ตนไม่รู้จักโดยที่คนนำก็ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน   
 
ทั้งสองคนเดินอยู่อย่างนั้นราวสิบห้านาทีก็พบโรงจอดรถขนาดใหญ่ข้างสนามกีฬาประจำอำเภอ 
 
ฟากฟ้าเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย 
 
"ที่นี่คือ..." รู้สึกว่าตนคอแห้งผาก   
 
"ลานจอดรถสนามกีฬาไง นายไม่เคยมาเหรอ"   
 
"เอ่อ ..." ไม่ใช่ไม่เคยมา แต่สงสัยว่ามาทำไมมากกว่า 
 
ทว่าขุนเขากลับไม่ได้สนใจคู่สนทนาแม้แต่น้อยนิด เขาเดินเข้าไปข้างในแล้วเข็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง เป็นสตาร์ทมือเกียร์ออโต้ ให้ความรู้สึกเหมือนรถเด็กเล่นมากกว่าจะเป็นเครื่องยนต์ปราดเปรียวบนท้องถนน รูปร่างของมันกะทัดรัดลำตัวมีสีน้ำเงินเข้ม เด็กหนุ่มสวมหมวกกันน็อคแล้วขับมาหาฟากฟ้า 
 
"มีหมวกกันน็อคใบเดียว โทษที"   
 
"ม..ไม่เป็นไร" เด็กชายเหลือบมองเบาะว่างข้างหลัง 
 
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยนั้นขุนเขาจึงอดรนทนที่จะอธิบายไม่ได้ว่า 
 
"ฉันขับมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียนทุกวัน โอเคนะ แล้วที่เอาไปจอดในโรงเรียนไม่ได้เพราะไม่มีใบขับขี่ยังไงล่ะ อีกอย่างจะให้อยู่โยงที่โรงเรียนเราจะโดนอาจารย์ว่าคิดก่อกบฏแน่นอนข้อหาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ดังนั้นฉันจึงต้องพานายออกไปด้วยกัน"   
 
"ด้วยกัน ? ที่ไหน ?" 
 
"คำถามเยอะมากจริง" ขุนเขาบ่น "บ้านฉัน ถ้าเข้าใจก็รีบขึ้นมาได้แล้ว" 
 
"เอ่อ .. ฉันมีเรียนพิเศษ แล้วยังไม่ได้บอกกับที่บ้าน..."   
 
"เรียนกี่ชั่วโมง ?" 
 
"ประมาณสองชั่วโมง"   
 
"ฉันไปส่ง นายโทรไปบอกที่บ้านด้วย" ขุนเขาจัดแจงแก้ปัญหาให้เสร็จสรรพ แต่เหมือนสมองของฟากฟ้าจะยังประมวลผลที่เกิดขึ้นปุบปับไม่เสร็จ   
 
เด็กหนุ่มจึงคว้าแขนอีกคนให้เข้ามาใกล้แล้วจับนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ก่อนจะบิดคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีฟากฟ้าก็ถูกสายลมกระแทกเข้าหน้าจนลมเต็มปอด   
 
พวกเขามาถึงสถาบันกวดวิชาในอีกสิบนาทีถัดมา แน่นอนว่านี่คือช่องทางลัด ขุนเขาไม่สามารถขับบนเลนถนนใหญ่ได้ ทันทีที่เท้าเหยียบพื้นเด็กหนุ่มจึงหันไปบอกเด็กขี้แยว่า 
 
"อีกสองชั่วโมงฉันมารับตรงนี้" 
 
สิ้นเสียงขุนเขาสตาร์ทรถอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวแล้วขับกลับไปยังทิศที่จากมา ปล่อยให้ฟากฟ้ายืนนิ่ง เด็กชายสูดลมหายใจเข้าลึกสองสามครั้งแล้วตามด้วยตบหน้าตัวเองสองสามที จากนั้นจึงให้กำลังใจตัวเองหันหลังกลับมุ่งหน้าไปยังสถาบันกวดวิชาต่อไป 
 
 
 
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา ~♪『1 3 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 13-03-2016 17:50:26
ทุกอย่างมันช่างปุบปับฟากฟ้าคิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจแล้วว่านับตั้งแต่ที่รู้จักขุนเขาเวลาช่างผ่านไปไวเหมือนฝัน   
 
ขุนเขามารอรับเขาที่เดิมด้วยชุดลำลอง คราวนี้พ่วงหมวกกันน็อคสีชมพูหวานแหววมาด้วย ครั้นฟากฟ้าส่งสายตาเป็นคำถามขุนเขาจึงตอบด้วยการยื่นหมวกใบนั้นมาให้ เล่นเอาเจ้าตัวเงอะงะไปไม่ถูก   
 
"มันไม่เหมาะกับเด็กผู้หญิงมากกว่าเหรอ"   
 
"เรื่องหยุมหยิมน่าคิดไรมากมาย มีให้ใช้ก็ใช้ไป อย่าเรื่องมาก"   
 
สุดท้ายเด็กชายจึงต้องจำใจใส่มัน เขาจะต้องไม่ส่องกระจกถ้าไม่อยากเห็นสิ่งประหลาด ฟากฟ้าคิดในใจเช่นนั้นก่อนจะเอาแต่ก้มมองเท้าไม่ยอมมองไปทางอื่นแม้แต่นิดเดียว 
 
ขุนเขาเป็นคนซิ่งมอเตอร์ไซค์เร็วพอตัว เขาลัดเลาะทางนั้นนี้อย่างชำนาญ บอกตามตรงว่าเกิดมาสิบสี่ปีฟากฟ้าแทบไม่เคยไปไหนนอกจากบ้านกับโรงเรียน วันหยุดไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศนิดหน่อยจึงทำให้แม้กระทั่งอำเภอที่ตัวเองอยู่ยังไม่เคยได้มาสัมผัสทั้งหมด   
 
ที่นี่เป็นย่านชุมชน มีบ้านเรือนติดกันหลายหลัง ทว่ามันเป็นบ้านเรือนที่ดูแปลกตา รูปทรงต่างจากบ้านจัดสรรที่เขาอยู่ ส่วนใหญ่ทำด้วยไม้สักหรือไม้ไผ่ ให้กลิ่นอายความเป็นชนบทหรือคนต่างจังหวัดทั้งที่ที่พวกเขาอยู่นั้นคืออำเภอเมือง 
 
ยอมรับว่าฟากฟ้าถูกเลี้ยงมาด้วยครอบครัวมีฐานะ พ่อแม่มีอันจะกิน และกลายเป็นไข่ในหินเพราะเขาคือลูกชายคนโต กิจการทางบ้านได้กำหนดผู้รับช่วงต่อตั้งแต่วันที่เขาเกิด สิ่งที่เด็กชายพึงกระทำคือการทำตัวให้ดี เป็นแบบอย่าง และห้ามเกเร   
 
แต่ไม่ได้ห้ามให้มีเพื่อนเป็นเด็กเกนี่นะ   
 
ฟากฟ้าโทรบอกที่บ้านว่าขอคุยกับครูที่โรงเรียนกวดวิชาเพิ่มคงกลับช้า ซึ่งปลายสายที่เป็นคุณแม่มีความเคลือบแคลงเล็กน้อย ครั้นพอบอกว่าจะให้รถมารับเด็กชายรีบปฏิเสธยกใหญ่ คาดว่าเขาคงโกหกบุพการีได้อีกไม่นานนัก 
 
ในเมื่อขุนเขายื่นข้อเสนอมาสามครั้ง หลังจากนั้นค่อยบอกยกเลิกยังไม่สาย 
 
บ้านของขุนเขาเป็นบ้านสองชั้น ข้างล่างเป็นอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ ไม่แปลกใจว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงมีมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเอง ทั้งรูปทรงที่แปลกตาคงมาจากการดัดแปลงที่ไหนสักแห่ง ทันทีที่ดับเครื่องฟากฟ้าเห็นใบหน้าของคนข้างในอู่ชะโงกออกมาหา   
 
"อ้าวขุน ยังไม่กลับอีกเรอะ"   
 
อะไรนะ   
 
"ก็กลับมาแล้วนี่ไง บ้านผม" 
 
คนที่ส่งเสียงทักเป็นชายวัยกลางคนท่าทางใจดี เขาแต่งตัวด้วยชุดหมีสีกรมท่า มีลูกมืออีกสองสามคนเป็นเด็กวัยรุ่นตอนปลาย แต่ละคนกำลังง่วนอยู่กับงานที่ตัวเองทำ และหนึ่งในนั้นย้อมผมสีทองสว่างจ้าทั้งที่หน้าตาเอเชียร้อยเปอร์เซ็นต์   
 
"เฮียวิทย์มีลูกชายตั้งแต่เมื่อไหร่" วัยรุ่นผมทองร้องถาม   
 
แต่ชายชุดหมีที่ชื่อเฮียวิทย์กลับไม่ตอบ เขาเดินออกจากอู่แล้วตรงมาหาขุนเขาด้วยท่าทางลำบากใจ 
 
"วันนี้ที่บ้านเรา็มาตามหาถึงนี่นะ" 
 
"ช่างเขาสิ" 
 
"เฮียไม่อยากมีปัญหากับพ่อเราเพราะมีบุญคุณกันมานาน แต่เอาเถอะ ถ้าจะมาอยู่ที่นี่เฮียจะได้บอกเขาเป็นเรื่องเป็นราวสักที"   
 
"รบกวนด้วยครับเฮีย ขอบคุณครับ" ขุนเขาว่าเช่นนั้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง   
 
แล้วสายตาทุกคนที่อู่พลันจับจ้องอะคันตุกะคนใหม่   
 
ฟากฟ้ากลอกตามองอย่างเงอะงะ 
 
"หมอนี่เพื่อนผมเอง เป็นเด็กเรียนไม่ต้องห่วง" ขุนเขาว่าพลางเข้ามากอดคอเด็กชายจนเซ ก่อนจะลากตัวให้ออกเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านด้วยกัน 
 
ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม และความสงสัยยังคงปกคลุมทั่วพื้นที่ ฟากฟ้าได้แต่ยิ้มแห้งแล้วผงกศีรษะให้คนเหล่านั้นเป็นเชิงขออนุญาตด้วยหัวใจที่กำลังพองโต   
 
เมื่อกี้ขุนเขาเรียกเขาว่า เพื่อน ไม่ผิดแน่   
 
ชั้นสองของบ้านที่เป็นไม้นั้นเงาวาววับดูสวยงาม ฟากฟ้ามองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ ข้างในมีเฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็นพร้อมใบประกาศเกียรติคุณต่าง ๆ มากมายจนเด็กชายต้องกะพริบตาถี่ ขุนเขาเดินนำฟากฟ้าตรงไปยังห้องหนึ่งของบ้าน เป็นอันรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่บ้านของเด็กหนุ่มแต่ยังถือวิสาสะทำเหมือนเป็นเจ้าของบ้านยังไงยังงั้น 
 
หน้าประตูห้องประดับด้วยโปสเตอร์ทีมฟุตบอล ความรู้เรื่องนี้ของฟากฟ้าเข้าขั้นติดลบ เกิดมายังไม่เคยเสพสื่อบันเทิงใด ๆ นอกจากการ์ตูนฝึกภาษา จึงไม่มีความสนใจต่อสิ่งนี้เป็นพิเศษ 
 
ในห้องนั้นเรียบง่ายกว่าที่คิด   
 
รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เตียงเดี่ยวชิดติดมุม โปสเตอร์นักฟุตบอลขนาดใหญ่ติดตรงหัวนอน มีชั้นหนังสือหนึ่งชั้นติดกับตู้เสื้อผ้าและโต๊ะคอมพิวเตอร์ หน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ ผ้าม่านสีขาวบางไหวตามแรงลม   
 
ไม่ต่างจากห้องของฟากฟ้าเท่าใดนัก ผิดกันตรงที่ชั้นหนังสือในห้องเขามีมากกว่าสี่ชั้น และค่อนข้างกว้างขวางกว่านี้   
 
เด็กชายมองไปรอบห้องอย่างสนใจ นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เข้าห้องคนอื่นนอกเหนือจากพ่อแม่   
 
ขุนเขาโยนกระเป๋านักเรียนของตนลงบนเตียงแล้วหยิบเก้าอี้โต๊ะคอมมานั่งจากนั้นจึงพยัดเพยิดหน้าให้ฟากฟ้าไปทางบนเตียง เด็กชายนั่งลงอย่างประหม่า แต่สายตายังคงสังเกตสิ่งรอบตัว 
 
"เอาล่ะ ทีนี้มาเข้าเรื่องกันสักที"   
 
เมื่อเจ้าของห้องเอ่ยเช่นนั้น แขกรับเชิญแบบฟากฟ้าจำต้องหยุดการสำรวจแล้วหันไปสนใจคู่สนทนา   
 
บอกตามตรงว่าเด็กชายไม่ได้หวังหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพมากนัก ยิ่งเป็นเรื่องของความรักใคร่ คู่มือการจีบผู้หญิงให้ติด แต่เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอนั้นน่าสนใจถึงแม้จะน่าสงสัยในคราวเดียวกันก็เถอะ 
 
"อ..อืม" 
 
"ชั่วโมงทดลองสามครั้ง สามครั้งที่ว่านี้นายต้องทำตามที่ฉันบอกทุกอย่าง จะยอมตกลงไหม"   
 
ทีตอนให้ตอบรับยังบังคับแกมข่มขู่ หากปฏิเสธไปตอนนี้คงใช่ที่ 
 
เขาจึงพยักหน้าให้แทนคำตอบ 
 
"ดี เอาจริง ๆ แล้วการจีบหญิงมันไม่ยากหรอกเพราะประเด็นสำคัญมันอยู่ที่หน้าตา นายมีต้นทุนนั้นอยู่แล้ว หากเพิ่มสภาพแวดล้อมไปสักหน่อยคงดูดีขึ้น แต่อย่างว่าตอนนี้นายมันก็แค่ผู้ชายขี้แยที่โดนลูกตำรวจยศใหญ่กลั่นแกล้งและครูแกล้งทำเป็นไม่สนใจคนหนึ่ง"   
 
รู้สึกบั่นทอนจิตใจผู้ฟังเสียเหลือเกิน 
 
"สามชั่วโมงนี้ฉันจะทำให้นายกลายเป็นผู้ชายธรรมดาที่สามารถจีบหญิงคนไหนก็ได้ในโรงเรียน"   
 
คำประกาศตัวที่ฟังดูโอ่อ่า แต่คนกล่าวกลับเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยมัธยมต้นคนหนึ่งเพื่อนร่วมชั้นที่ชอบโดดเรียนบ่อย ๆ ด้วยเนี่ยสิ   
 
เข้าเรียนกวดวิชาติวเตอร์ยังมีใบประกาศกิตคุณแสดง แต่กับติวเตอร์คนนี้ไม่มีอะไรสักอย่าง ซ้ำยังดังด้วยชื่อเสียถึงแม้ตัวจริงจะไม่ได้เลวร้ายแต่ก็อดที่จะระแวงไม่ได้อยู่ดี 
 
"ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง"   
 
ฟากฟ้ารีบส่ายศีรษะ   
 
"ป..เปล่า" 
 
ขุนเขามองลูกศิษย์จำเป็นด้วยสายตาราวกับจะค้นหาคำตอบ ท่าทางพิรุธออกมาขนาดนี้แล้วแท้ ๆ เด็กหนุ่มยักไหล่ สิ่งที่เด็กชายจะกังวลคงมีอยู่เรื่องเดียว ตามธรรมชาติของคนที่เกิดมาใช้ชีวิตในแนวเส้นตรง 
 
"อันดับแรก" เขากล่าว "นายต้องปรับทัศนคติ" 
 
"ทัศนคติ ?" 
 
"ใช่ นายโดนพวกนั้นแกล้งมาตลอดสองปีกว่าความคิดความกล้าคงถูกลบไปจากสมองนายหมดแล้ว ดังนั้นนายจำเป็นต้องสร้างทัศนคติที่ดีขึ้นมาเสียใหม่ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ไม่มีใครที่สามารถใช้กำลังและพรรคพวกกับอีกฝ่ายได้โดยไม่มีความผิด จริงอยู่ที่พ่อของเจ้าชุนเป็นตำรวจแต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อมันจะเข้าข้างสิ่งที่ลูกชายทำเสมอไป มันแค่อุปทานหมู่ว่าพ่อต้องเข้าข้างลูก และเท่าที่ฉันรู้มาว่าพ่อของเจ้าชุนก็ไม่ได้ชอบการกระทำที่ดูเป็นหัวโจกของลูกชายตัวเองเท่าไหร่ด้วย" ขุนเขาอธิบายพลางเอื้อมสวิตส์เปิดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ   
 
"รู้ได้ไง.." 
 
"รู้สิ เพราะพ่อฉันกับพ่อหมอนั่นรู้จักกัน" แบบนี้นี่เอง 
 
แต่ขุนเขาไม่ได้พูดเรื่องตัวเองต่อ เขาเริ่มอธิบายต่อไปว่า 
 
"สิ่งที่นายควรมีอย่างแรกคือความกล้า กล้าที่จะท้าทาย และกล้าที่จะต่อสู้ ความประทับใจแรกของผู้หญิงคือความพึ่งพาได้ของผู้ชาย ดังนั้นแล้วหากนายมีความพยายามที่จะเผชิญมันหรือสามารถทำข้อตกลงกับเจ้าชุนไม่ให้มารังแกนายได้แล้วก้าวต่อไปก็จะสบาย"   
 
พูดน่ะมันง่าย ฟากฟ้ารู้ดีว่าตนไม่มีความกล้าแบบนั้น มันจึงดูกลายเป็นเรื่องยากและหินที่สุด 
 
"เฮ้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ" 
 
"แต่..." 
 
"ไม่มีแต่ นี่มันคือก้าวแรก ถ้านายไม่อยากถูกผู้หญิงรู้สึกสมเพชก็จงปรับเปลี่ยนตัวเองซะ" 
 
ทว่าในใจของเด็กชายกลับไม่อยากยอมรับ 
 
ป้อมปราการแรกที่เขาจำเป็นต้องทำนั่นคือการเลิกกลัวคนที่คอยกลั่นแกล้งมาตลอดสองปี เรื่องแบบนี้ใครจะไปทำได้ อีกอย่างหากต่อกรกับชุนแล้วไม่พ้นโดนลูกน้องคนอื่นกระทืบแน่นอน 
 
ขุนเขาถอนหายใจมองอีกฝ่าย ท่าทางปลุกใจไปคงไม่ช่วยอะไร นอกจากไฟจะมอดแล้วคงเอาน้ำราดซ้ำอีกละมั้ง 
 
"เอางี้ ฉันจะบอกวิธีดี ๆ ให้แล้วกัน" 
 
"วิธีดี ๆ ?" 
 
"เอาหูมาสิ"   
 
ขุนเขาลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวลงไปทางฟากฟ้าก่อนจะกระซิบที่ข้างหูเป็นวลีหนึ่ง   
 
ทันทีที่ได้ยินฟากฟ้าถึงกับดวงตาเบิกกว้างแล้วหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความตื่นตกใจ 
 
"อ..เอาจริงเหรอ..." น้ำเสียงตะกุกตะกัก   
 
เด็กหนุ่มยักไหล่ก่อนเดินไปชั้นหนังสือ 
 
"เอาคู่มือไปด้วย" ว่าแล้วหยิบหนังสือสันหนาเล่มหนึ่งแล้วโยนมาทางที่ฟากฟ้านั่งอยู่   
 
เด็กชายรีบเข้าไปรับแทบไม่ทัน   
 
เมื่อเห็นตัวอักษรบนปกแล้วต้องแปลกใจ   
 
"ประมวลกฎหมายอาญา ?"   
 
"เด็กเรียนแบบนายอ่านแล้วคงรู้" 
 
ฟากฟ้าพลิกหนังสือกฎหมายเปิดทีละหน้า สังเกตเห็นว่ามีที่คั่นหนังสือโผล่ออกมา เมื่อพลิกตามไปก็พบกับมาตราที่ทำให้เขาปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในที่สุด 
 
"สู้กับคนไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง นายมีสมองจงใช้มันเถอะ" น้ำเสียงของขุนเขาแผ่วเบา ไม่แข็งกระด้างเหมือนทุกที ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด 
 
เหมือนกำลังถูกสอน ด้วยคนที่ขึ้นว่าเป็นเด็กเกเร   
 
ถึงจะดูขัดกัน แต่ฟากฟ้ายอมรับว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุด 
 
"แม้จะขึ้นชื่อเยาวชนและหงายการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ แต่ลองได้เชือดไก่ให้ลิงดูสักครั้งฉันว่าผลลัพธ์มันคงดีขึ้น" 
 
นัยน์ตาฟากฟ้าเริ่มร้อนผ่าว   
 
ครั้งแรกที่มีคนชี้นำทางเขาขนาดนี้   
 
ไม่ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของขุนเขาคืออะไร เด็กชายมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงคิดช่วยเหลือตนอย่างจริงจัง   
 
วินาทีนี้คงต้องเชื่อ และลองทำดู   
 
"ขอบคุณมากนะ" 
 
"ไม่เป็นไรหรอกน่า" ขุนเขาเอานิ้วเกาแก้มแล้วหันไปมองทางอื่น "แค่ชั่วโมงทดลองเอง อีกอย่างหมดชั่วโมงแรกแล้วด้วย นายกลับบ้านไปได้"   
 
จู่ ๆ สั่งเลิกชั้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ฟากฟ้าดูนาฬิกาข้อมือปรากฏว่าเวลาเย็นมากแล้ว 
 
"อะ.. ขอโทษ" 
 
"โทรให้คนที่บ้านนายมารับละกัน ค่ำแล้วฉันต้องรอกินข้าวกับที่บ้าน" คำถามผุดขึ้นในหัวของเด็กชาย เพราะบ้านที่ขุนเขากล่าวถึงนั้นไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเขา   
 
ถ้าแบบนั้นแล้วที่นี่คือที่ไหน ครั้นพอจะเปิดปากถามเสียงเปิดประตูห้องพลันดังขึ้น ทั้งคู่หันไปมองต้นเสียงโดยไม่ได้นัดหมายก่อนจะเผยร่างหญิงสาวในชุดมหาลัย 
 
ดวงตากลมโต ผิวขาวอมชมพู หน้าตาค่อนไปทางสวย สูงยาวเข่าดี เหมาะที่จะเป็นนางแบบ   
 
เมื่อเห็นว่ามีเด็กมัธยมต้นสองคนอยู่ในห้องเธอพลันขมวดคิ้วทันที 
 
"ห้องพี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะขุน กลับบ้านไปได้แล้ว"   
 
ขุนเขาหน้าเครียดทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะโต้แย้งหญิงสาวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า 
 
"แม้แต่พลอยยังไล่ผมเหรอ" 
 
"อะไรที่ไม่ได้คือไม่ได้ พ่อพี่บอกแล้วว่าเรายังไม่ยอมกลับบ้าน บอกแล้วไงว่าให้ได้คืนเดียว ขุนสัญญาเองไม่ใช่เหรอว่าจะกลับหลังจากที่ยอมให้นอนด้วยน่ะ"   
 
ฟากฟ้าหันมองชายหญิงคนละทีอย่างงุนงง อันที่จริงเขาควรออกจากสถานการณ์นี้โดยเร็ว ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมขยับ   
 
ทั้งสองโต้เถียงด้วยอารมณ์กันไปมา จนในที่สุดฟากฟ้าจำเป็นต้องยกมือขึ้นเหนือศีรษะ 
 
"เอ่อ..." 
 
ฝ่ายหญิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนหันมาบอกเขา 
 
"ขอโทษด้วยนะ ไม่รู้ว่าโดนขุนหลอกอะไรมา แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านขุนหรอก หมอนี่หนีออกจากบ้าน"   
 
ขุนเขาเสริมเข้ามาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบด้วยประโยคที่ชวนอึ้ง 
 
"ผมไม่ได้หนีออกจากบ้าน แค่มาค้างบ้านแฟนมันผิดตรงไหน"   
 
วินาทีนั้นที่เสียงในใจของฟากฟ้าได้ดังขึ้นพร้อมกับคำพูดของฝ่ายหญิง 
 
"ทุกตรง !" 
 
สิ้นเสียงขุนเขาจิ๊ปากเสียงดัง และเมื่อหันไปก็ต้องตกใจ 
 
ฟากฟ้านิ่งแข็งเป็นหินไปเสียแล้ว ...
 

 (https://www.img.in.th/images/5bed27899777b079d3f85c0e85886903.gif)



Talk with M@medaZ-s :
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ >< ดีใจมาก ๆ เลยที่มีคนอ่านด้วย
ขอชี้แจงนิดหนึ่งนะคะ สรรพนามของน้องฟ้าจะเป็น "เด็กชาย" ส่วนน้องขุนเป็น "เด็กหนุ่ม" ค่ะ
เนื่องจากน้องขุนมีบัตรประชาชนแล้วนั่นเอง ฮาาาา อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อแยกกันออกด้วยล่ะค่ะ

ขอฝากเด็กทั้งสองคนนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา ~♪『1 3 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 13-03-2016 19:16:29
แฟน?
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา ~♪『1 3 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 13-03-2016 20:02:18
มีแฟนแล้ว  :a5:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา ~♪『1 3 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 13-03-2016 22:49:14
อ้าว  :a5:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา ~♪『1 3 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-03-2016 23:22:43
เงิบ

และ

เงิบ

ทั้งคุ่มีปัญหาชีวิตสินะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา ~♪『1 3 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 14-03-2016 01:44:24
ไม่ใช่ ฟ้ากับชุนจะพลิกลอคได้กันเองนะ 5555555
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 1 - นามนั้นคือขุนเขา ~♪『1 3 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 14-03-2016 10:55:22
โอ้ย อยากอ่านต่อ ขุนเขานี่ล่อสาวมหาลัยเลยหรออ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 2 - เพื่อน ~♪『1 4 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 14-03-2016 16:21:19
คาบที่ 2 - เพื่อน   
 

 
 
***********

 
 
ขุนเขาโบกมือตรงหน้าฟากฟ้าด้วยความงุนงง   
 
เด็กชายมีสีหน้าตกตะลึงไม่น้อย   
 
เห็นดังนั้นหญิงสาวที่ชื่อพลอยจึงยกมือตบท้ายทอยเด็กหนุ่มดังปึ่ก   
 
"โอ๊ย ทำอะไรเนี่ย" 
 
"พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง" เธอบ่น "พี่ไม่คิดสั้นขนาดไปคบกับเด็กมัธยมต้นหรอกนะ ให้ตายสิ จะทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดไปถึงไหนกัน" ว่าแล้วใช้มือข้างที่ประทุษร้ายอีกฝ่ายเขย่าตัวฟากฟ้าเบา ๆ   
 
เด็กชายตื่นจากภวังค์มองซ้ายทีขวาที   
 
"กลับมาแล้ว"   
 
"เป็นยังไงบ้าง"   
 
"เอ่อ ไม่เป็นไรครับ" ฟากฟ้าเกิดอาการเลิ่กลั่ก เขาไม่นึกชอบเป็นจุดสนใจ แน่นอนว่าต่อให้อีกฝ่ายจะมีกันเพียงแค่สองคนก็ตาม   
 
ยอมรับว่าเหนือความคาดหมาย ขุนเขามีแฟนแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่แปลกนี่ถ้าจะมีแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นรุ่นมหาลัย อีกทั้งยังสวยขนาดนี้ เพราะความมั่นใจที่ได้สาวงามขนาดนี้มาครองหรือเปล่าเลยทำให้ขุนเขามั่นใจในตัวเองและยื่นมือช่วยเหลือให้เขาจีบสาวสวยประจำโรงเรียน 
 
แต่ต้นทุนของพวกเขาไม่เหมือนกันสักหน่อย   
 
ขุนเขาเห็นสีหน้าฟากฟ้าออกเดาทันทีว่าคำแก้ตัวของพลอยไม่เข้าหัวแม้แต่น้อย   
 
เด็กหนุ่มหันไปมองหญิงสาวแล้วพยัดเพยิดหน้าไปทางฟากฟ้า 
 
"พ่อพลอยบอกแล้วว่าจะคุยกับที่บ้านผมให้นี่" 
 
"ขุน" น้ำเสียงหญิงสาวเย็นเฉียบ "ถ้าวันนี้ยังไม่กลับบ้านอย่าหาว่าพี่ใจร้ายนะ"   
 
"เฮ้ อะไรกันน่ะ ผมยัง...." 
 
"ไม่มีข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้น !" เธอเอ่ยอย่างเหลืออด "อย่ามาทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาหน่อยเลย เจ้าเด็กสิ้นคิด !"   
 
พูดจบหญิงสาวก็คว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มให้ออกจากห้อง ด้วยความสูงที่มีเหนือกว่าทำให้ลากไปได้ไม่ยากเย็น เมื่อเห็นดังนั้นแล้วฟากฟ้าพลันรู้ตัวว่าตนไม่ควรนั่งอยู่กับที่ เขาหยิบหนังสือประมวลกฎหมายอาญาติดมือมาแล้วรีบเดินตามออกไป 
 
 "เฮ้ เดี๋ยว พลอย เดี๋ยว !" 
 
แต่หญิงสาวกลับไม่ฟัง ไม่รู้ผู้หญิงตัวแค่นี้มีแรงสู้ผู้ชายวัยรุ่นตอนต้นได้ยังไง ร่างขุนเขากะเผลกไปตามแรงดึงลงไปข้างล่าง   
 
เฮียวิทย์ยืนรอพร้อมลูกน้องหัวทอง   
 
ลูกสาวจึงแหวไปยังบิดาทันที 
 
"พ่อก็ตามใจขุนมันอยู่เรื่อย ! ไล่กลับบ้านไปเลยค่ะ เด็กแบบนี้เอาใจมากมีแต่จะเหลิง เราเป็นเจ้าบ้านอย่าได้เกรงใจ ดีซะอีกที่ลูกชายเค้าจะได้กลับบ้าน" เธอเทศนาให้บุพการีฟังเป็นชุด เจ้าของอู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ได้แต่ถอนหายใจพลางส่วนศีรษะอย่างระอา 
 
ไม่รู้เหนื่อยใจกับฝ่ายไหนดี   
 
พลอยโยนขุนเขากลับไปยังมอเตอร์ไซค์คู่ใจแล้วบอกว่า 
 
"ไปส่งเพื่อนด้วย"   
 
"เดี๋ยวก่อน !.. พลอย เดี๋ยว .. !" ขุนเขาร้องเรียกได้แค่นั้น ทว่าหญิงสาวไม่สนใจ เธอสะบัดหน้าหนีแล้วหมุนตัวออกจากจุดเกิดเหตุเดินขึ้นบ้านชั้นสองไปอย่างรวดเร็ว 
 
เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง หันมามองฟากฟ้าพลางยิ้มแห้ง 
 
"เอ่อ ..." 
 
"ไม่ต้องโทรบอกที่บ้านแล้วใช่ไหม" 
 
ฟากฟ้าถามเพียงแค่นั้นก่อนจะไปหยิบหมวกกันน็อคสีชมพูประจำตำแหน่งออกมา   
 
 
 
ฟากฟ้าคิดว่าบทเรียนจะมีประสิทธิพลต่อเมื่อทำแบบฝึกหัด ดังนั้นแล้วในระหว่างที่ชีวิตเขายังปกติสุขจึงพยายามลองฝึกฝน 
 
ส่วนขุนเขาหลังจากวันนั้นก็ทำตัวเป็นเด็กดีขึ้นหนึ่งในสี่ส่วน กล่าวคืออยู่ในห้องเรียนมากขึ้นแม้จะแอบหลับหรือแอบทำอะไรกับสมุดโนต (คงไม่ใช่จดที่อาจารย์บรรยายแน่นอน ฟากฟ้ามั่นใจ)   
 
บทเรียนต่อไปจะเริ่มหลังจากบทเรียนแรกประสบความสำเร็จ ฉะนั้นจึงสร้างความกดดันให้กับฟากฟ้าเพิ่มขึ้นเท่าตัว เพราะเขาคิดไม่ออกว่าจะเอาไปใช้กับพวกนั้นในตอนไหน   
 
ทว่าเพียงแค่คิดแบบนี้ไปได้ไม่กี่ชั่วโมง บททดสอบครั้งสำคัญก็ถูกประเคนให้ตรงหน้า 
 
ฟากฟ้าถูกชุนเรียกไปคุยที่หลังห้อง   
 
การกระทำอุกอาจโดยไม่เกรงกลัวสายตาครูบาอาจารย์ ระหว่างพักเที่ยงเด็กชายถูกกักตัวไม่ให้ไปรับประทานอาหารพร้อมเพื่อนในห้อง 
 
ชุนขนาบข้างมาด้วยลูกน้องตัวยักษ์อีกสองคน   
 
เหมือนมัลฟอยที่มีแครบและกอยล์อยู่เคียงข้าง 
 
"ไง คราวก่อนมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ แต่คราวนี้อย่าคิดว่าจะรอดได้อีกล่ะ" 
 
น้ำเสียงของชุนช่างยโสเต็มที ทว่ามันคงเป็นจริงดังนั้นเมื่อทันทีที่ออดพักเที่ยงดังร่างของขุนเขาพลันหายวับไปกับตา แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเขาคือเพื่อน แต่ตอนกลางวันกลับไม่อยู่ทานข้าวด้วย ทำให้ความรู้สึกถึงว่าขุนเขาคือเพื่อนนั้นช่างบางเบาเหมือนกระดาษ 
 
ยักษ์วัดแจ้งสองตนมองฟากฟ้าราวกับว่าเขาคือเหยื่ออันโอชะ บางทีพวกนี้อาจไม่ได้กินข้าวอย่างที่เด็กม.ต้นควรทำ   
 
ความกดดันจากทั้งสามทำให้คำพูดขอเด็กชายจุกอยู่ในลำคอ เงาทาบลงมาบนศีรษะเกิดเป็นความมืดล้อมรอบตัว 
 
บอกแล้วว่าต้นทุนมันต่างกัน แค่สรีระเขายังแพ้ทางหลุดรุ่ย เรื่องคิดจะต่อกรคงเป็นเรื่องเพ้อฝัน 
 
เท้าขวาก้าวถอยหลังตามด้วยเท้าซ้าย พวกนั้นตามมาจนหลังชิดผนัง ไร้ทางต่อเขายิ่งมืดแปดด้าน 
 
หลักสูตรบ้าบออะไรไม่เห็นได้ผลสักนิด ! ฟากฟ้าเริ่มโวยวายในใจพลางโทษทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ทั้งที่คิดว่าการที่ได้รู้จักกับขุนเขาจะทำให้มันดีขึ้น แต่เปล่าเลย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น 
 
มีแต่เขาที่ทึกทักไปเอง   
 
ชุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอวดดีว่า 
 
"โดนไอ้ขุนเป่าหูอะไรมาไม่ใช่หรือไง งัดเอามาใช้ซะสิ"   
 
แม้จะเป็นพวกชอบใช้กำลังแต่ชุนถือว่าเป็นเด็กฉลาดพอตัว นั่นเพราะชุนแทบไม่ต้องลงมือต่อยตีเอง ลูกน้องในสังกัดเยอะ จึงไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงในการวิวาทแต่ละครั้ง 
 
ทว่าคำพูดของชุนทำให้ฟากฟ้านึกขึ้นได้   
 
ที่ขุนเขากระซิบข้างหูนั่น 
 
คำเรียบง่ายและบ้าบิ่นจนคิดว่านี่เอาจริงแล้วใช่ไหม   
 
เสียงของขุนเขาดังขึ้นในห้วงความจำ   
 
"สู้ ๆ นายทำได้อยู่แล้ว" 
 
หน้าของชุนเข้ามาใกล้ อีกไม่กี่วินาทีคงได้เจ็บตัว   
 
ฟากฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วจ้องมองไปในดวงตาของอีกฝ่าย   
 
ชุนหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กขี้แยตรงหน้า 
 
"อ..อะไร ?" 
 
"น...นี่นายไม่รู้จริง ๆ หรือว่าการทำร้ายร่างกายผู้อื่นด..โดยเจตนาเป็นความผิด ?" น้ำเสียงตะกุกตะกัก มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นข้างลำตัว ฝีเท้าหยุดนิ่ง คอยสะกดจิตบอกตัวเองว่ามั่นเข้าไว้ 
 
"หา ?"   
 
ชุนมองสิ่งมีชีวิตชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหารราวกับไส้เดือนที่ริบังอาจชูแผงคอขึ้นเประหนึ่งตนมีกระดูกสันหลัง 
 
"เพ้อเจ้ออะไรของนาย" 
 
"ม..ไม่รู้เหรอว่าพวกเรา..ม..มีกฎหมายเยาวชนใช้อยู่ เด็กที่อายุ10-15 ปีโทษขั้นสูงสุดคือส..ส่งสถานกักกัน" ฟากฟ้ารู้สึกได้ว่าคำพูดของตนนั้นห่างจากการบลัฟที่แท้จริงเหมือนฟ้ากับเหว   
 
แต่มันคุ้มค่าพอที่ทำให้จิตใจของอีกฝ่ายสั่นไหว 
 
"พูดไม่รู้เรื่อง" ทว่าแววตากลับแสดงอาการเล็กน้อย   
 
ยักษ์สองตนจ้องมองหน้ากันแบบงุนงง   
 
เกิดความเงียบ 
 
จู่ ๆ ชุนแสยะยิ้ม ฟากฟ้าพลันขนลุกซู่ 
 
"นายลองมองดูรอบตัวนายตอนนี้สิฟ้า" ชุนเอ่ย "มีใครนอกเหนือจากพวกเราสี่คนอย่างนั้นเหรอ" 
 
ชุนกลับมาถือไพ่เหนือกว่าอีกครั้ง การตักเตือนจากฟากฟ้าด้วยกฎหมายไม่ได้ผล เด็กชายมั่นใจว่าโดยทั่วไปเด็กทุกคนมักกลัวสิ่งที่เรียกว่าตำรวจและกฎหมายเพราะเป็นสิ่งที่ตนไม่รู้ ทว่ากับชุนนั้นไม่ใช่ เขาคลุกคลีกับเรื่องแบบนี้มานับตั้งแต่จำความได้ 
 
ฟากฟ้าส่ายศีรษะแทนคำตอบ ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพวกเขาสี่คน   
 
ดังนั้นแล้วชุนจึงเฉลยให้ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ 
 
"นายจะเอาหลักฐานมาจากไหนเมื่อพยานแวดล้อมก็เป็นคนของฉัน"   
 
พลาดเข้าจังเบอร์   
 
ฟากฟ้าอ้าปากค้างเล็กน้อยด้วยความตกใจ ถ้ายักษ์สองตนนี้เป็นลูกน้องที่รับฟังตามคำสั่งของชุนอย่างเดียวแล้วคงไม่แคล้วถูกบังคับให้รูดซิปปากสนิทแน่ ซ้ำยังจะกุเรื่องให้เขาเป็นฝ่ายผิดได้ด้วย   
 
เบื้องหน้ามืดสนิทอีกครั้ง รอยยิ้มของชุนยามนี้น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใด เด็กชายหลุบตาลงต่ำมองพื้น หากหงายการ์ดขนาดนี้แล้วคงหยิบกลับมาใช้ไม่ได้อีก เพราะจะสยบชุนนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย 
 
ทั้งสามสาวเท้าเข้ามาใกล้ ชุนโน้มหน้าเข้าหาเด็กขี้แยด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน   
 
"หมดไม้ตายแล้วเหรอ"   
 
ฟากฟ้าไม่ตอบ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า 
 
สุดท้ายแล้วเขาก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย ป้อมปราการที่ใหญ่สุดได้ทำลายความเชื่อมั่นลงในพริบตา แบบนี้คงไม่ต้องพูดเรื่องสมหวังกับเธอคนนั้น พาลแต่จะยิ่งแย่หนักกว่าเดิม 
 
เพราะชอบผู้หญิงคนเดียวกันทำไมถึงต้องรังเกียจรังแกกันขนาดนี้ ทำไมถึงสู้กันแฟร์ ๆ ไม่ได้ ยังไงภาษีของชุนย่อมดีกว่าคนแบบเขาอยู่แล้ว 
 
ฟากฟ้าทำใจว่าหมัดเจ้ายักษ์คู่นี้คงหนักน่าดู พวกมันไม่ต่อยหน้า ไม่ทำร้ายในจุดที่คนภายนอกเห็น   
 
ชุนเป็นนักเลงที่มีมันสมองอย่างแท้จริง 
 
ในขณะที่การรุมทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นจะเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งได้หยุดคนทั้งสี่เอาไว้ 
 
ฟากฟ้าขอเรียกมันว่าเสียงสวรรค์   
 
"ถ้าถามหาหลักฐานล่ะก็ ฉันว่าฉันมีนะ"   
 
ที่ประตูห้องร่างของขุนเขายืนจังก้าอยู่ด้วยรอยยิ้มเอกลักษณ์เช่นทุกที ท่าทางยังคงท้าทายชุนไม่เปลี่ยนแปลง   
 
ชุนหรี่ตามองอย่างจับผิด 
 
"หลักฐานที่ว่าคือนายน่ะเหรอ พวกเดียวกันจะดีเหรอ" 
 
"ใครบอกพวกเดียวกัน ?" ขุนเขาว่า "ฉันมันคนกลาง คนที่สาม และคนที่เดินผ่านมาเท่านั้น" เด็กหนุ่มว่าพลางยักไหล่แล้วเดินเข้ามาหา สรีระของขุนเขากับชุนไม่ต่างกันมาก ทั้งคู่สามารถจ้องมองตากันได้อย่างสูสี   
 
ไม่มีใครยอมใคร   
 
ทุกคนรู้ดีว่าชุนพยายามท้าทายขุนเขาอยู่หลายครั้ง แต่ผลที่ได้คือมักยอมแพ้โดยที่ตัวเองยังไม่สู้อยู่ร่ำไป ขนาดที่ว่าลูกน้องคนที่เก่งเรื่องต่อยตีที่สุดยังไม่สามารถทำอะไรขุนเขาได้ ชุนคงรู้ผลแพ้ชนะของตัวเองแล้ว 
 
แต่หากเป็นเรื่องของการบลัฟปะทะคารมยอมรับว่าบางครั้งสองคนนี้ค่อนข้างเฉือดเชือน 
 
"ช่างกล้าประกาศตัวจังนะ ทั้งที่ช่วยหมอนี่มาแล้ว" 
 
"เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ฉันไม่เคยช่วยเหลือใคร" 
 
"อ้อ นายไม่มีเพื่อน" 
 
"แล้วถ้าฉันมีเพื่อนนายจะเลิกรังแกเพื่อนของฉันหรือเปล่าล่ะ" ข้อเสนอดังกล่าวทำให้ฟากฟ้าถึงกับหูผึ่ง เด็กชายหันไปมองขุนเขาอย่างไม่เชื่อสายตา   
 
อีกครั้งที่ขุนเขาออกตัวว่าเป็นเพื่อนด้วย   
 
ทว่าชุนกลับแค่นหัวเราะ 
 
"เพื่อนของนายหรือจะพี่น้องของนายหากมันผู้นั้นมาขวางทางฉันล่ะก็ไม่มีทางเก็บไว้"   
 
"ต่อให้ต้องมีเรื่องกับฉันก็ตามน่ะนะ" 
 
ชุนสะอึกเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างเสี้ยววิก่อนจะปรับสีหน้าปกติเช่นเดิม จากนั้นหันไปมองฟากฟ้าที่ยืนตัวสั่นหลังติดผนังห้องเหมือนลูกหมาหิวโซ   
 
"นายจะลดตัวไปช่วยคนพรรค์นี้ทำไม" 
 
"เพื่อนฉันไง ยังบอกนายไม่ชัดเจนอีกเหรอ"   
 
สีหน้าของชุนไม่ค่อยเชื่อในคำพูดนั้นเท่าไหร่ เพราะรอยยิ้มของขุนเขายังไม่แสดงให้เห็นถึงความจริงแม้แต่เสี้ยว 
 
เป็นคนเดาความคิดยาก และคงไม่คิดเผยไต๋ออกมาง่าย ๆ   
 
ชุนขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด มองกองกำลังของตนอย่างพิจารณาก่อนจะหันไปหาฟากฟ้าที่เหมือนยืนตัวแข็งไปเสียแล้วอย่างขุ่นข้องใจ   
 
คนแบบนี้มีอะไรให้น่าปกป้อง   
 
อย่าบอกนะว่า ..?   
 
"นายชอบหมอนี่เหรอขุน" ถามพลางชี้ไปยังเด็กขี้ขลาด   
 
ทว่าขุนเขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น 
 
"อย่ายัดเยียดรสนิยมแบบนั้นมาให้ฉันสิ นายเองก็รู้จักฉันดีไม่ใช่หรือไง"   
 
จริงดังที่เด็กหนุ่มว่า แต่ชุนมองไม่เห็นเหตุผลใดที่จะให้ขุนเขาออกตัวเพื่อหมอนี่ได้เลย   
 
หรือเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ?   
 
เกิดความเงียบรอบตัว ชุนเริ่มคิดหนักขึ้น แต่กลับไม่พบสาเหตุได้เลย สุดท้ายจึงยกธงยอมแพ้ 
 
"เอาเถอะ คราวนี้ฉันจะยอมยกให้นายก็ได้" ชุนกล่าวในที่สุด "แต่อย่าลืมนะว่านายไม่สามารถคุ้มกันหมอนี่ได้ตลอด สักวันหนึ่งหากพลาดขึ้นมาแล้วฉันไม่แม้แต่จะให้เวลาพูดคำว่าขอโทษจนจบด้วยซ้ำ" สมเป็นลูกชายตำรวจ หนักแน่นและแน่วแน่ มีการตัดสินใจที่แม่นยำและรัดกุม 
 
ขุนเขายิ้มกว้าง 
 
"แสดงว่านายยอมรับว่าหมอนี่เป็นคู่แข่งแล้วสินะ" 
 
ชุนหัวเราะขึ้นจมูกอย่างดูแคลน มองฟากฟ้าด้วยหางตาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า 
 
"เอาสิ ถ้าคนของนายมีปัญญา"   
 
ชุนทิ้งไว้แค่นั้นแล้วบอกยักษ์ข้างกายออกจากห้องเรียนไปในที่สุด 
 
เหลือเพียงเด็กหนุ่มและเด็กชายเพียงสองคน 
 
เมื่อทุกอย่างเหมือนจะจบลงแล้วเรี่ยวแรงของฟากฟ้าพลันหมดไปดื้อ ๆ เขานั่งลงไปกองกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม 
 
"เฮ้ ! นายร้องไห้ทำไม"   
 
ขุนเขาร้องเสียงหลงเมื่อเห็นหยาดน้ำใสไหลจากเบ้า ขนตาเปียกชื้นเป็นแพ ฟากฟ้าช้อนตามองขุนเขาด้วยใบหน้าที่เหยเก 
 
"ฮืออออออออออ
 
อีกแล้วเรอะ ... 
 
ทว่าเรื่องที่่ทำให้ฟากฟ้าหลั่งน้ำตากลับไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่ขุนเขาเข้าใจ 
 
"ยอมรับฉันเป็นเพื่อนของนายแล้วใช่ไหม ฮืออออออ จริง ๆ ใช่ไหม" 
 
ประโยคนั้นทำเอาขุนเขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย ร้องไห้เพราะตนบอกว่าเป็นเพื่อนกันเนี่ยนะ ? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย   
 
ทว่าเมื่อลองมองย้อนกลับไปตั้งแต่อยู่ห้องเดียวกันมาเหมือนฟากฟ้าจะอยู่คนเดียวตลอด ขนาดโดนพวกชุนแกล้งยังแอบไปร้องไห้คนเดียวที่ห้องน้ำตึกเก่าเลยนี่นา 
 
ดีใจที่เป็นเพื่อนกับคนอย่างเขาอย่างนั้นเหรอ ? 
 
เด็กเกที่ทุกคนต่างไม่อยากจะข้องเกี่ยวเนี่ยนะ ?   
 
จู่ ๆ ขุนเขาพลันรู้สึกเขินเอาดื้อ ๆ เขาหันหน้าไปทิศตรงข้ามกับเจ้าเด็กขี้แยแล้วเกาแก้มตัวเองเบา ๆ   
 
"อ..อือ แต่วางใจไม่ได้หรอกนะ ฉันรู้ว่าเจ้าชุนเป็นพวกกัดไม่ปล่อย"   
 
ฟากฟ้าตอบด้วยเสียงสะอื้นดังฮึก   
 
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา 
 
ท่ามกลางพวกเขามีเพียงความรู้สึกที่แปลกใหม่   
 
'เพื่อน' ที่ทั้งคู่ต่างยังไม่เคยสัมผัส 


 
 (https://www.img.in.th/images/5bed27899777b079d3f85c0e85886903.gif)


Talk with M@medaZ-s :
ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันแบบมึน ๆ แล้วนะคะ ฮาาาาาา
ชุนเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ขอถามนิดหนึ่งค่ะ ชุน กับขุนเขา อ่านยากกันไหมคะ ?
ชื่อน้องชุนนี่คิดเพียงชั่ววูบน่ะค่ะ ดันไปซ้ำเสียงสระกับตัวสะกดเดียวกับน้องขุนเข้าเสียได้

อย่าเพิ่งหมั่นไส้น้องชุนไปเสียก่อนนะคะ
เพราะทางคนแต่งชักหลงรักน้องไปแล้วล่ะค่ะ ฮาาาา

ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคยนะคะ จะพยายามต่อไปค่ะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 2 - เพื่อน ~♪『1 4 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 14-03-2016 18:49:05
หลงรักน้องชุนงี้ต้องหาคนมาปราบน้องนะคะ (ฮา)


:)
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 2 - เพื่อน ~♪『1 4 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 14-03-2016 20:35:36
น่ารักก
สรุปแล้วพลอยก็ไม่ใช่แฟนจริงๆ ขุนเขานี่ขี้ตู่จัง :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 2 - เพื่อน ~♪『1 4 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-03-2016 20:35:59
เรื่องของเด็กๆก็น่ารักดีนะ
เท่าที่อ่านมาชุนก็ดูฉลาดดีนี่ เสียแต่ชอบรังแกฟ้าแหละ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 2 - เพื่อน ~♪『1 4 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 14-03-2016 22:33:00
เขาว่า เด็กๆเวลาชอบใคร มักจะแกล้งคนนั้นบ่อยๆนะ 5555555
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 2 - เพื่อน ~♪『1 4 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 16-03-2016 00:24:31
ต่างฝ่ายต่างเพิ่งเคยสัมผัสคำว่าเพื่อน เป็นการเริ่มต้นที่ดี :interest:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - เดท [40%] ~♪『1 7 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 17-03-2016 15:08:53
----
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - เดท [40%] ~♪『1 7 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 17-03-2016 15:37:13
ฮุฮุ

น้องไม่รุ้จักเดทเหรอคะ?

น่ารักเกินไปแล้ววววววววววว  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - เดท [40%] ~♪『1 7 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 17-03-2016 15:53:42
 o13
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - เดท [40%] ~♪『1 7 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 17-03-2016 22:29:41
ฟากฟ้า ไม่เข้าใจอะไรลูก เลิกจีบ ผญ เถอะฟ้า รอ ผู้ชายมาจีบ น่าจะเหมาะกว่านะ 555. น่ารักเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - เดท [40%] ~♪『1 7 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 18-03-2016 00:08:39
ฟากฟ้าน่ารัก ใสๆซื่อๆ อยากอ่านต่อ คนเขียนสู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - เดท [40%] ~♪『1 7 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 18-03-2016 09:34:27
น้องไม่รู้จักเดทก็ไม่เป็นไร อยู่เฉยๆให้ขุนเขาพาไปก็พอ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - ชวนเดท ~♪『1 9 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 19-03-2016 15:17:08
ขอเปลี่ยนชื่อตอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาในตอนใหม่ค่ะ
 
ชวนเดท

***********


 
ผ่านมาสักพักแล้วกับการมีเพื่อน บอกตามตรงว่าฟากฟ้านอนไม่หลับเลยสักคืน เขาได้แต่ยิ้มให้กับความสำเร็จของตนเองภายในห้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนอะดรีนาลีนสูบฉีดตลอดเวลา มีแรงฮึดมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว   
 
กับเธอคนนั้นยังคงระยะห่างเท่าเดิม แต่ชุนกับพรรคพวกไม่มาตอแยเหมือนทุกที   
 
รู้สึกว่าโรงเรียนน่าไปมากขึ้น   
 
วันนี้ขุนเขาบอกว่าจะเริ่มต้นบทเรียนบทใหม่ให้หลังจากที่บทแรกประสบความสำเร็จ ที่จริงไม่อาจเรียกว่าประสบความสำเร็จได้เพราะขุนเขายื่นมือมาช่วยเอาในวินาทีสุดท้าย ผลลัพธ์แม้จะไม่ได้เรียกว่าสำเร็จได้อย่างสนิทใจแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้สถานะของเขาและมุมมองของเด็กชายกว้างขวางขึ้น เขาเริ่มยิ้มออกบ้างในบางครั้ง 
 
เพราะว่าเป็นเพื่อน ขุนเขาและฟากฟ้าจึงอยู่ด้วยกันมากกว่าแต่ก่อน   
 
"วันนี้ฉันจะโดดเรียนคาบสุดท้ายนะ" 
 
"ไม่ได้" 
 
"เฮ้ ปฏิเสธไวเชียว ใช้เวลาคิดหน่อยเซ่"   
 
ขุนเขาหน้ายู่อย่างเห็นได้ชัด ระยะหลังนี้เพราะฟากฟ้าคอยลากคอยจิกจึงทำให้ขุนเขาทำตัวดีขึ้นกว่าเดิมขึ้นมาเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ อีกสามสิบที่เหลือคือตอนที่เด็กชายจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะความต้วมเตี้ยมและเอื่อยเฉื่อย คนปราดเปรียวแบบขุนเขาจึงรอดไปได้อยู่บ่อยครั้ง   
 
"ทำไมต้องชอบโดดเรียนอยู่เรื่อยเลยล่ะขุน ขุนไม่ได้ทำอะไรไม่ใช่เหรอ ว่างก็มาเรียนสิ ระวังจะหมดสิทธิ์สอบเอานะ"   
 
เดี๋ยวนี้ฟากฟ้าพยายามเรียกชื่ออีกฝ่ายให้ติดปาก   
 
ที่จริงมีเรื่องสะกิดใจนิดหน่อย อยากมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย   
 
แต่... 
 
"ไม่ใช่เรื่องของนายสักหน่อย" 
 
เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมรับเขาเป็นเพื่อนด้วยใจจริงเสียที 
 
กลายเป็นฟากฟ้าที่หน้าจ๋อยลงไปถนัดใจ เมื่อเห็นเพื่อนใหม่ทำแบบนั้นแล้วขุนเขาพลันลุกลี้ลุกลนโบกมือโบกไม้เป็นพัลวัน   
 
"เฮ้ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มันเป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องใส่ใจหรอกน่าว่าฉันจะเข้าสอบไม่ได้" พยายามจะพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลง แต่ฟากฟ้ากับส่ายศีรษะ 
 
"เพื่อนจะทิ้งเพื่อนได้ยังไง ถ้าขุนไม่อยากบอกไม่เป็นไร แต่ต้องเข้าเรียนนะ" 
 
"ทำไมชอบบังคับเนี่ย" 
 
"เพราะเราไม่อยากให้ขุนเรียนไม่จบยังไงล่ะ"   
 
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นแบบพาสชั้น ทว่าเดี๋ยวนี้โรงเรียนได้ออกกฎใหม่ว่าให้มีการซ้ำชั้นหากเด็กคนนั้นเรียนไม่จบหรือเวลาเรียนไม่ครบตามหลักสูตร สมัยนี้การเรียนค่อนข้างยากขึ้นโดยเฉพาะวัยมัธยม เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต จะดีจะร้ายขึ้นอยู่กับช่วงนี้ทั้งสิ้น และฟากฟ้าพยายามอย่างมากว่าตนต้องมีอนาคตที่สดใส และอยากให้ขุนเขาได้มีอนาคตนั้นไปกับตนด้วย 
 
ฟากฟ้าเล่าเรื่องของตนเองให้ขุนเขาฟังไปมากมาย ทว่าขุนเขายังไม่บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักอย่าง 
 
ไม่อยากเคลือบแคลงสงสัยในความสัมพันธ์ ทว่านับวันฟากฟ้าคิดว่าขุนเขาอาจสมยอมรับเป็นเพื่อนเขาเพื่อให้เรื่องมันจบไปก็ได้   
 
โดยที่ไม่คิดยินดีที่จะแบ่งปันเรื่องราวของตนเองให้เพื่อนรู้ 
 
ทำไมขุนเขาถึงหนีออกจากบ้าน และตอนนี้กลับบ้านไปแล้วหรือยัง รองจากสองเรื่องหลังนี้นั้นก็คงเป็นเพื่อนของหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่ชื่อว่าพลอย ไปคบกันได้ยังไง ทำไมถึงมารักกัน แต่จนแล้วจนรอดวันนี้เด็กชายยังไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยปากถาม 
 
ในความดีใจที่มีเพื่อนนั้นกลับมีความน่าอึดอัดอยู่พอสมควร ฟากฟ้าจึงรอมันอย่างใจเย็นและคอยคิดว่าสักวันขุนเขาคงยอมเปิดปากเล่า 
 
ทว่าเขาชักมั่นใจแล้วว่าตนคงคิดผิด   
 
ขุนเขาขีดเส้นไว้ให้ตนตั้งแต่แรกแล้ว 
 
"มันเรื่องของฉันไม่ใช่หรือไง" ขุนเขาว่า "อนาคตของฉันกับอนาคตของนายไม่ใช่อันเดียวกันสักหน่อย นายเรียนจบแล้วไปสร้างอนาคตที่ดีไปเถอะ อย่าเอาฉันไปเป็นตัวถ่วงความเจริญเลย" 
 
"เพื่อนไม่มีคำว่าตัวถ่วงหรอกนะ !" ฟากฟ้าว่าพลางหน้าเบ้คล้ายจะร้องไห้ 
 
เห็นดังนั้นแล้วขุนเขาพลันดีดตัวนั่งตัวตรงหน้าเหวอ 
 
"เฮ้ เดี๋ยว ๆๆๆๆ อย่าเพิ่งร้อง !" 
 
ดวงตาเริ่มแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริก ลมหายใจหอบฟึดฟัด อีกไม่กี่วินาทีคงปล่อยโฮ 
 
ขุนเขาทำตัวไม่ถูก เขามองซ้ายมองขวาหาอะไรช่วยเหลือ แต่บนดาดฟ้าโรงเรียนที่แดดส่องเปรี้ยงจะมีอะไรช่วยให้คนขี้แยสงบใจได้กัน คิดสิไอ้ขุน คิด   
 
ทันทีนั้นขุนเขาเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ 
 
"จริงสิ วันนี้เรามาเริ่มบทเรียนบทต่อไปนี่นะ" เด็กหนุ่มยิ้มยิงฟันเข้าสู้   
 
ฟากฟ้าหยุดหน้าเบ้เลิกคิ้วขึ้น 
 
"อ..อือ" แล้วพยักหน้า 
 
เท่ากับเบี่ยงเบนความสนใจได้ เด็กหนุ่มร้องเยสในใจเบา ๆ พลางกลอกตาไปมา 
 
"ง..งั้นวันนี้เลิกเรียนฉันจะพานายไป..." 
 
"เรียนพิเศษ" เด็กชายพึมพำ   
 
"อีกแล้วเรอะ นายเรียนวันไหนบ้างเนี่ย" ทำทีสนใจเรื่องของคนตรงหน้าเพื่อให้ลืมเรื่องที่คุยก่อนหน้านี้   
 
ฟากฟ้าตอบอย่างไม่คิดว่า "ทุกวัน"   
 
อันที่จริงรู้อยู่เต็มอกแล้วว่าอีกฝ่ายบ้าเรียนยังกับอะไรดี การที่เรียนพิเศษทุกวันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มีวันหยุดสิที่จะน่าประหลาดกว่า   
 
ขุนเขารู้เรื่องของฟากฟ้ามากพอสมควร เพราะเจ้าตัวเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง อีกอย่างครอบครัวของฟากฟ้าใครต่างรู้จักดี เศรษฐีใหม่ประจำอำเภอที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง มีสวนเป็นของตัวเอง กำลังผลิตเป็นของตัวเอง สินค้าเป็นผลงานส่งออกนอกประเทศ รายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่าสิบหลัก ลูกชายจึงได้รับความเอาใจใส่ ฟูมฟัก ทะนุถนอมราวกับไข่ในหินเพื่อหวังให้โตมาเพื่อรับช่วงกิจการต่อ ทว่าดูเหมือนฟากฟ้าไม่ค่อยชอบกิจการของครอบครัวเท่าไร แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะปฎิเสธ 
 
เพราะตอนประถมเรียนแบบโฮมสคูลจึงค่อนข้างมีปัญหากับการปรับตัวในสังคมเมื่อขึ้นมัธยม เลยถูกเป็นเป้าของการโดนกลั่นแกล้งได้ง่าย สาเหตุที่ชุนกับพรรคพวกรุมฟากฟ้าคงไม่ได้มีเพียงชอบผู้หญิงที่ชุนหมายตาเพียงอย่างเดียวแน่ ๆ   
 
แม้จะรู้ดังนั้นแต่ขุนเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ   
 
"ถ้าอย่างนั้นวันหยุดล่ะ"   
 
"เรียนครึ่งวันเช้า" 
 
"งั้นครึ่งวันบ่ายเอามาให้ฉัน" 
 
ฟากฟ้าเอียงศีรษะเป็นเชิงสงสัย   
 
ขุนเขาสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายนับแต่วินาทีแรกที่พบกันแล้วรู้สึกว่าฟากฟ้าสมกับเป็นเด็กบ้านคุณหนู ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ดูจิ้่มลิ้ม ผิวพรรณขาวนวลเหมือนผู้หญิง รูปร่างที่ดูเล็กกว่ามาตรฐานของเด็กผู้ชายวัยมัธยม ซ้ำเสียงยังคงแหลมเล็กเหมือนสัตว์จำพวกแมลงทำให้ไม่ว่ามองมุมไหนแล้วไม่มีความน่าพึ่งพาได้อยู่เลย   
 
ทว่าหากปรับแต่งสักนิดคงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของพวกผู้หญิงได้ไม่ยาก   
 
ฟากฟ้าแต่งกายด้วยเครื่องแบบถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว ผมตัดเกรียนสั้น ชอบสะพายเป้โรงเรียนใบใหญ่เวลาเดินจึงเหมือนชูชกแบกของ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีหวังได้เสียบุคลิกแน่ อีกอย่างวันหยุดคงแต่งตัวไม่เป็นเหมือนกัน ถึงแม้เวลาใส่แว่นเชย ๆ ตอนเรียนในชั้นจะดูน่ารักแบบเนิร์ด ๆ ดีก็เถอะ   
 
ขุนเขาลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา 
 
บทเรียนที่สองที่ควรทำต่อไปคือการสร้างความอิมเมจให้ดูดีนี่แหละ   
 
"ไปไหนเหรอ" เด็กชายถาม   
 
จู่ ๆ ขุนเขากลับปิ๊งไอเดียโดยไม่ได้คาดหมาย   
 
ไหน ๆ ไปกันสองคนแล้ว ซ้อมไว้เลยแล้วกัน 
 
"เดทไง" 
 
ทว่าคำตอบนั้นฟากฟ้ากลับไม่เข้าใจมันสักนิดเดียว 
 
"เดท ?" ซ้ำยังทวนคำกลับมาอีกด้วย 
 
นี่มันยุคไหนแล้ว ห่างจากยุคน้ำแข็งมากี่ล้านล้านปี ทำไมคำว่าเดทถึงไม่รู้จัก สมัยนี้ต่อให้เป็นเด็กประถมยังแก่แดดจนรู้ไปถึงคำว่าหย่าร้างกันแล้วด้วยซ้ำ   
 
สีหน้าของฟากฟ้านั้นไม่ได้เสแสร้ง 
 
ไม่ใช่เล่น ๆ นะเนี่ย ขุนเขาคิด จะไร้เดียงสาก็ควรหัดมีขอบเขตบ้าง   
 
"นี่นายไม่รู้จริง ๆ เรอะ"   
 
ฟากฟ้าส่ายศีรษะตอบว่า "ไม่รู้"   
 
ได้ยินดังนั้นขุนเขาพลันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่นอกจากจะต้องสอนเรื่องพวกนี้แล้วยังต้องให้อีกฝ่ายมาทำความรู้จักเกี่ยวกับเรื่องที่ควรรู้ไว้เพิ่มอีกแล้วละมั้ง ถ้าจีบผู้หญิงแบบที่ไม่รู้อะไรเลยจะกลายเป็นตัวตลกเอาเปล่า ๆ อีกอย่างผู้หญิงเขามักคาดหวังให้ผู้ชายทำเรื่องเซอร์ไพรส์อยู่ด้วย   
 
ชุนเขาจึงอธิบาย 
 
"ผู้ชายกับผู้หญิงนัดกันไปเที่ยวเพื่อหยั่งเชิงความเป็นไปได้ว่าจะคบกันดีหรือเปล่าน่ะ บางคนคบกันแล้วก็ไปเดทกันนั่นคือกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ให้สนิทกันมากยิ่งขึ้น ง่าย ๆ ว่าไปเที่ยวกับแฟนหรือคนรู้ใจนั่นแหละ" พยายามรวบรัดให้เข้าใจง่ายที่สุด 
 
สีหน้าของฟากฟ้าพลันผ่อนคลายลงคล้ายเข้าใจ เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักตามสองสามที 
 
"แต่ผมกับขุนเป็นผู้ชายทั้งคู่นี่นา" เหมือนจะไม่ควรเรียกว่าเดทด้วยซ้ำ ผู้ชายกับผู้ชายคงไม่ให้ประโยชน์อันใดนี่ 
 
ขุนเขากลอกตาแล้วตอบว่า 
 
"ฉันจะรับบทเป็นผู้หญิงให้เอง" 
 
"อะไรนะ" 
 
"ฉันหมายถึง" ขุนเขาเอ่ย "เราจะมาซ้อมเดทกันดู ให้นายเป็นนาย ส่วนฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้น นายจะต้องปรนนิบัติดูแลเอาใจใส่ฉันเหมือนฉันเป็นแฟนนายจริง ๆ ยังไงล่ะ เพื่อไม่ให้เวลานายออกเดทแล้วจะได้รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง" 
 
แค่จินตนาการว่าตนจะได้ออกเดทกับเธอคนนั้นใบหน้าฟากฟ้าพลันร้อนผ่าว เขาก้มหน้าหลุบลงต่ำ สายตามองพื้น 
 
"ม..ไม่ขนาดนั้นหรอก ด..เดท...ฉ..ฉันคงไม่ได้..." น้ำเสียงงุ้งงิ้งในลำคอ   
 
จนขุนเขาถอนหายใจคำรบสอง 
 
"ก็บอกว่าซ้อมเอาไว้เผื่อได้ใช้จริงยังไงล่ะ" เด็กหนุ่มยืดตัวตรง ขยับแขนขา "ยังไงแล้วถ้านายทำตามที่ฉันบอกวันนั้นต้องมาถึงแน่ มีประสบการณ์มันย่อมดีกว่าไม่ใช่เหรอ" ขุนเขาหันไปมองเด็กขี้แยที่กำลังทำหน้าครุ่นคิด ตอนนี้คงกำลังคิดอะไรปนกันมั่วซั่วอยู่แน่ ๆ   
 
"ใช่อยู่..." 
 
"ถ้าอย่างนั้นจะกลัวอะไรล่ะ มันคือการฝึกซ้อม ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว บางทีอาจสามหรือสี่ตามมาก็ได้" 
 
ฟากฟ้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่สื่อในน้ำเสียงของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย 
 
ขุนเขายิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าอีกฝ่ายไว้ 
 
"จากนี้ไปขอเริ่มเข้าสู่บทเรียนที่สองของฉัน เอาเป็นว่าวันเสาร์ฉันจะไปรับนายที่โรงเรียนกวดวิชาตอนบ่ายโมง อย่าเพิ่งกินข้าวซะก่อนล่ะ" 
 
"เข้าใจแล้ว" 
 
"งั้นฉันไปล่ะ"   
 
"เดี๋ยวก่อนขุน ..." ฟากฟ้าดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้อย่างนึกขึ้นได้ 
 
ทว่าสีหน้าและแววตาของขุนเขาทำให้เด็กชายกลับพูดไม่ออก 
 
"เอ่อ .. ไม่มีอะไร" สิ่งที่อยากเอ่ยกลับถูกกลืนเข้าไปในลำคอ ขุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนยักไหล่ 
 
ไม่มีก็ไม่มี 
 
เด็กชายปล่อยมือจากเด็กหนุ่ม   
 
"บาย" ขุนเขาโบกมือลาให้อีกฝ่ายแล้วเดินจากมา   
 
คิ้วฟากฟ้าค่อยขมวดขึ้นเป็นปม เพราะทิศที่ขุนเขาเดินไปนั้นไม่ใช่ทางไปห้องเรียน แต่เป็น .... 
 
ทันใดนั้นเด็กชายถึงกับร้องอ๊ะ ออกมาเสียงดัง เพราะนั่นตนกำลังนึกขึ้นได้ว่า 
 
ขุนเขากำลังโดดเรียนต่อหน้าต่อหน้าโดยที่เขายังไม่ยินยอมเห็นชอบเลยสักนิด ! 
 
นี่มันหลอกเบี่ยงเบนความสนใจแล้วชิ่งหนีกันนี่นา ! ฟากฟ้ารู้สึกโมโหให้กับความเผอเรอของตัวเองอย่างสุดจะทนจนต้องใช้กำปั้นทุบตักอย่างหงุดหงิด 
 
อีกแล้ว ! หนีไปได้อีกแล้ว !   
 
 
 
 
 
ส่วนขุนเขาที่แอบหนีมาได้นั้นพลันโล่งใจที่เหมือนฟากฟ้าจะไม่รู้สึกตัว จากที่จ้ำอ้าวหนีค่อยผ่อนฝีเท้าลงเป็นเดินเอื่อยเฉื่อย มองชมนกชมไม้ตามประสา โรงเรียนนี้ถือว่าสวยเพราะมีต้นไม้ล้อมรอบและสิ่งก่อสร้างสวยงาม ที่นี่มาจากพื้นที่บริจาค สมัยก่อนใช้เป็นพิธีอะไรสักอย่างทางศาสนาทำให้บางอย่างที่คงไว้ดูมีศิลปะ รวมทั้งอาคารที่เก่าแก่ร่ำลือถึงสิ่งลี้ลับนั่นอีก โรงเรียนในยามพลบค่ำไม่เหมาะที่จะเอาไว้นั่งเล่นอย่างแรง ขุนเขาคิดเช่นนั้น 
 
สถานที่ประจำของเด็กหนุ่มคือตึกเก่าที่ไม่มีใครใช้ ผู้อำนวยการรองบประมาณทุบทิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นสมาคมผู้ปกครองที่รู้สึกผูกพันกับอาคารนั้นก็ไม่ค่อยยอมอนุมัติเท่าไหร่ มีเสียงบ่นอิดออดเป็นระยะว่าน่าจะรีโนเวทใช้ทำอย่างอื่น แต่เพราะวัสดุมันคือไม้ จะซ่อมแซมยังไงมันก็ย่อมผุพังไปตามกาลเวลา 
 
คราวก่อนเจอฟากฟ้ามานั่งร้องไห้ที่ห้องน้ำ อันที่จริงเขาสังเกตเห็นฟากฟ้ามาได้สักพักแล้ว   
 
ชีวิตช่วงมัธยมของขุนเขาเป็นอะไรที่จืดชืด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเป็นส่วนเกินของทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน ครูบาอาจารย์ ทุกคนต่างเริ่มเมินเฉยในพฤติกรรมไม่เอาอ่าวของเขา แสร้งทำเป็นเหมือนกับว่าเขาคืออากาศธาตุ ไม่พูดคุย ไม่มีปฏิกริยา ได้แต่มองผ่านมาแล้วผ่านไป หากเขากระโดดตึกตายต่อหน้าพวกนั้นก็คงทำเป็นไม่รับรู้เช่นเดียวกัน 
 
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาต้องแปลกแยก เด็กหนุ่มยังหาคำตอบไม่เจอ อาจเป็นที่ตัวเขา หรืออาจเป็นที่คนรอบข้าง และเมื่อมันเป็นมากเข้าเขาจึงยอมที่จะถอยและถูกลอยคออย่างโดดเดี่ยว ใช้ชีวิตไม่แคร์ใครมาตลอดสองปีเต็ม   
 
จนกระทั่งวันที่เขาขึ้นมัธยมสามและได้อยู่ห้องเดียวกับเด็กขี้แยคนนั้น 
 
เพราะสายงานของทางบ้านทำให้รู้จักกับบ้านของชุน ทว่าขุนเขากลับไม่เคยคิดจะเอาชุนเป็นเพื่อนแม้แต่น้อย มองลักษณะภายนอกก็รู้แล้วว่าคงไปด้วยกันไม่ได้ เชุนคือคนที่มีความคิดความอ่านแต่ใช้ไปในทางที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ตรงข้ามกับเขาที่คิดจะทำก็ทำ ไม่คิดอะไรให้เยอะแยะ เพราะใช้สมองหนักไปพาลจะปวดหัวเปล่า ๆ   
 
แม้จะพอรู้ว่าชุนมีอำนาจบาตรใหญ่ในโรงเรียน ยิ่งขึ้นเป็นพี่ใหญ่สายม.ต้นด้วยแล้วยิ่งทำให้กร่างชนิดที่ว่าแทบเป็นมาเฟียเลยก็ว่าได้   
 
แต่ไม่คิดว่าคนที่เป็นเหยื่อคราวนี้จะเป็นลูกชายของโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องนั่น 
 
ฟากฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากคำว่าลูกคนรวยอย่างสิ้นเชิง   
 
ลักษณะภายนอกคือเด็กเนิร์ดที่อยู่ฝ่ายวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ยอมถูกเป็นเบี้ยล่างชาวบ้านได้อย่างง่ายดาย แม้ใบหน้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรแต่เก็บความรู้สึกไว้ข้างในเพียบ ดูเหมือนคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก จนทำให้นึกสงสัยว่าแล้วชีวิตวัยประถมก่อนหน้านี้นั้นทำอะไรมา   
 
เสื้อผ้าหน้าผมเหมือนเด็กโรงเรียนรัฐบาลทั่วไป บางทีคนรวยก็เดารสนิยมไม่ได้ ผมที่ตัดนั้นแอบสั้นยาวไม่เท่ากันเหมือนหนูแทะคาดว่าคงตัดเอง ชุดนักเรียนเป็นของที่ทางโรงเรียนจำหน่าย แต่สะอาดและเรียบร้อย พร้อมด้วยกระเป๋าเป้สีดำของโรงเรียนใบใหญ่ที่ตราอาร์มหายไปเกือบครึ่ง ทุกสิ่งอย่างนั้นถูกต้องตามระเบียบจนน่าหงุดหงิด   
 
ซ้ำความขี้แยนั่นเอง จะขัดใจสักครั้งยังต้องเกรงใจ 
 
ใช่ ขุนเขารู้สึกว่าไม่อยากให้เด็กคนนั้นร้องไห้ไปมากกว่านี้ เพราะเท่าที่เป็นก็บ่อน้ำตาตื้นง่ายอยู่แล้ว   
 
ลอบสังเกตพฤติกรรมของชุนและฟากฟ้ามาสักพักเขาจึงได้คำตอบ   
 
เพราะเด็กขี้แยไม่ยอมเจียมตัวดันแอบไปชอบกับเด็กผู้หญิงที่ชุนหมายตาไว้   
 
สายตาของฟากฟ้าที่มองเธอคนนั้นช่างไม่มีปิดบังเอาเสียเลย บางครั้งถึงกับลอบมองเด็กหญิงจากด้านข้างแล้วอมยิ้มให้กับตัวเองก็มี หรือจู่ ๆ หน้าแดงอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อเธอลุกขึ้นยืนแล้วชี้ให้เพื่อน ๆ ดูท้องฟ้า ยิ่งเวลาเธอยิ้มฟากฟ้าจะยิ่งทำตัวอะไรไม่ถูกเงอะงะ ซุ่มซ่าม ซึ่งคนช่างสังเกตอย่างชุนคงไม่ปล่อยไปแน่นอน 
 
การกลั่นแกล้งของชุนมีหลายระดับ อย่างแรกอาจจะแค่ล้อเลียน ฟากฟ้าโดนเพื่อนผู้ชายที่อยู่ในสังกัดชุนแฟมิลี่ล้อเรื่องส่วนสูงและความตัวแคระอย่างไม่ปราณี   
 
เลเวลต่อมาคือการแฉความลับที่เจ้าตัวไม่อยากให้ใครรู้ ที่ฟากฟ้าถึงกับมาร้องไห้ในห้องน้ำอาคารเก่านั้นมาจากการที่พวกชุนแอบขโมยสมุดของฟากฟ้าที่เขียนเพ้อถึงเธอคนนั้นลงไปแล้วอ่านออกเสียงให้พวกผู้หญิงในห้องฟัง สร้างความอับอายไม่พอ ซ้ำยังทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นมองฟากฟ้าด้วยสายตาแปลก ๆ   
 
และขั้นสูงคือการใช้กำลัง ช่วงนี้ชุนได้ลูกน้องเป็นยักษ์วัดแจ้งสองคนขนาบซ้ายขวา ทำให้ยิ่งเหลิงอำนาจไปทุกที มัธยมต้นเข้าสู่ยุคมืดอย่างแท้จริง 
 
เพราะฉะนั้นขุนเขาจึงอยากเป็นกำลังให้ฟากฟ้าได้ตอกหน้าท้าทายอำนาจของชุนดูสักครั้ง เผื่อขั้วอำนาจที่มีอาจเปลี่ยน และเขาจะได้เลิกอึดอัดกับสถานการณ์ที่ทุกคนมองว่าคนที่จะล้มชุนได้คือเขาเท่านั้น 
 
"เลิกโยนภาระที่ไม่ต้องการมาให้สักทีเถอะว้า" ขุนเขาเอ่ยอยู่คนเดียว โดยที่ไม่มีใครได้ยิน 
 
...ซะที่ไหนล่ะ   
 
"การเรียนไม่ใช่ภาระสักหน่อย"   
 
สิ้นเสียงขุนเขาร้องเหวอออกมาเสียงดัง เขาสะดุ้งตัวโหยงแล้วหันไปมองต้นเสียง 
 
ฟากฟ้ายืนหอบแฮ่ก ลิ้นห้อย หน้าแดง   
 
"เฮ้ย ! มาได้ไง" จากสภาพดูก็รู้ว่าวิ่งตามมา 
 
"แฮ่ก .. แฮ่ก...." ฟากฟ้าไม่ตอบทันที เขาเอื้อมมือมาคว้าแขนขุนเขาไว้ข้างหนึ่ง 
 
เพราะยังไงคงตกใจที่ตนถูกตามเจอเลยยังนิ่งไม่ไหวติง 
 
"ป...ไป..แฮ่ก...เรียนกัน..." เด็กชายพยายามเค้นเสียงเอ่ยกับอีกฝ่ายอยากยากลำบากเต็มที ริมฝีปากอ้าพะงาบสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทว่าไม่ค่อยได้ผลดีเท่าไหร่นัก 
 
สุดท้ายจึงต้านร่างกายตัวเองไม่ไหวจนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น 
 
"เฮ้ !?"   
 
ขุนเขาให้เวลาฟากฟ้าเกือบสามนาทีในการรวบรวมเรี่ยวแรงและสติสตังให้กลับคืน   
 
จากนั้นคนขี้แยจึงเอ่ยว่า 
 
"ไปเรียนกัน เลยเวลามามากแล้วนะ" 
 
คำพูดนั้นทำให้ขุนเขาเลิกคิ้วสูง จริงอยู่ที่เสียงออดดังขึ้นไปสักพักแล้ว และน่าแปลกใจมากว่าคนที่บ้าเรียนสุด ๆ อย่างฟากฟ้าจะเสียสละอันมีค่านั้นมาตามตนถึงที่นี่   
 
แต่นั่นยังคงไม่ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ 
 
"ไม่ละ นายไปเรียนเถอะ ถ้าไปสายกว่านี้อาจารย์จะดุเอา" กับเขาน่ะไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่ถ้ากับเด็กเรียนแบบอีกฝ่ายจะถูกหาว่าไม่เลือกคบเพื่อนเอาก็ได้ 
 
ในช่วงนั้นเองที่ขุนเขาคิดว่าบางทีตนอาจจะเป็นภาระให้กับอีกคนมากว่าหรือเปล่า 
 
ทว่าฟากฟ้าส่ายศีรษะ 
 
"ถ้าขุนไม่ไป ผมก็ไม่ไป" 
 
"เฮ้ ไหงงั้น" 
 
"เพื่อนกันต้องทำอะไรด้วยกัน" 
 
เพื่อนอีกแล้วเรอะ .. ทำไมคำนี้ถูกหยิบยืมมาใช้บ่อยจริง แถมเขายังไม่กล้าปฏิเสธอีกต่างหาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตอกหน้าหงายไปแล้ว แต่อย่างว่า เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องหน้าเบ้จะร้องไห้อีกแล้ว 
 
เพื่อน ...   
 
เพื่อนเรอะ ?   
 
"นี่นายอาจจะเข้าใจคำว่าเพื่อนผิดไปก็ได้มั้ง"   
 
"ยังไง ?" 
 
"เพื่อนกันเขาไม่จำเป็นต้องตัวติดกันเหมือนตังเมหรอกน่า ไม่ใช่ฝาแฝดกันสักหน่อย แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตต่างกันรู้ไหม และการที่นายมาลากฉันไปเรียนด้วยเนี่ยมันทำให้ตัวนายเสียเวลา และถ้านายเกิดเรียนไม่รู้เรื่องขึ้นมากลายเป็นฉันที่จะรู้สึกแย่นะ" 
 
ทว่าเหตุผลนี้สำหรับฟากฟ้าแล้วมันเหมือนข้อแก้ตัว 
 
แววตาเด็กขี้แยพลันเปลี่ยนกลายเป็นจริงจัง ดวงตาหรี่ลง ริมฝีปากเป็นเส้นตรงบางเฉียบ สีหน้าแบบนี้บ่งบอกเลยว่ากำลังจะโมโห 
 
"เพื่อนคือคนที่คอยช่วยเหลือเวลาที่ใครอีกคนกำลังแย่ต่างหาก เพื่อนคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างกันในวันที่ทุกข์ สุข เศร้า ผมเคยอ่านเจอหรอกนะ ขุนเองนั่นแหละที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่าเพื่อน ถ้าขุนจะโดดผมก็ต้องโดดด้วย ถ้าขุนจะเรียนไม่จบผมก็ต้องเรียนไม่จบด้วย เพื่อนเขามีไว้ทำแบบนั้นล่ะ"   
 
ขุนเขารู้สึกเถียงไม่ออกไปชั่วขณะ แววตาของฟากฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าจนนึกไม่อยากขัด ยอมรับว่าเหตุผลตนมีช่องโหว่ แต่ใช่ว่าเหตุผลอีกฝ่ายจะสมบูรณ์ไร้ที่ติ อย่างน้อยไอ้ที่บอกว่าจะพากันดิ่งลงเหวนั้นคงไม่ใช่แน่ ๆ   
 
ทว่ามาขนาดนี้ฟากฟ้าคงไม่ยอมเขาตามคาด   
 
เพิ่งรู้ว่าเป็นคนหัวดื้อใช้ได้ 
 
"นี่นายน่ะ ไม่เคยมีเพื่อนใช่ไหม"   
 
"ขุนเองก็เหมือนกัน" 
 
"เออ ฉันก็ไม่เคยมีหรอกคนที่บอกปาว ๆ ว่าตัวเองเป็นเพื่อนแล้วมาตามจิกคนที่บอกว่าเพื่อนให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเนี่ย" 
 
ฟากฟ้าเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง 
 
ขุนเขาเพิ่งรู้ตัวว่าพูดแรงเข้าให้แล้ว แน่นอนว่าเด็กขี้แยหน้าจ๋อยสนิท มือที่จับแขนขุนเขาไว้พลันคลาย   
 
"ขอโทษ" แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 
 
ทว่าใบหน้านั้นไม่บ่งบอกว่าจะแหกปากร้องไห้โฮภายในหนึ่งวินาที ตรงกันข้ามฟากฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยกแขนขยี้หน้าตัวเอง 
 
"เอ่อ..." 
 
"ขอโทษ" ฟากฟ้าเอ่ยอีกครั้งก่อนลุกขึ้นยืน แล้วก็ ...   
 
"ขอโทษจริง ๆ" 
 
วิ่งออกจากอาคารเก่าไปอย่างรวดเร็วจนขุนเขาต้องอ้าปากค้าง 
 
เอาจริงเรอะ !?   
 
ไม่ร้องไห้แล้วก็จริง แต่ทำแบบนี้มันปวดใจมากกว่าเป็นเท่าตัว เด็กหนุ่มไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายวิ่งหนีไปทั้ง ๆ อย่างนี้ เขาลุกขึ้นแล้วรีบเร่งฝีเท้าวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าร่างกายของคนมันต่างกันไม่กี่ก้าวเด็กหนุ่มพลันคว้าแขนอีกฝ่ายไว้หมับ 
 
"แค่ไปเรียนใช่ไหม ?" 
 
เด็กหนุ่มถาม   
 
"อื้อ" ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงัก   
 
"เออ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ" 
 
"ไม่ได้" 
 
"อะไรวะ นี่็ยอมให้สุด ๆ แล้ว" ทว่าฟากฟ้ากลับไม่ตอบ 
 
แต่เปลี่ยนเรื่องแทน 
 
"ผมต้องแต่งตัวยังไง วันเสาร์น่ะ" เมื่อจู่ ๆ ถูกเปลี่ยนเรื่องขุนเขาแทบตั้งตัวไม่ทัน ผ่านไปเกือบหน้าวินาทีเพิ่งนึกได้ว่าตนเคยบอกอะไรไว้ 
 
"ยังไงก็ได้ที่คิดว่าหล่อที่สุดแล้ว" 
 
ทว่าโจทย์นั้นเด็กชายกลับคิดไม่ออก เสื้อผ้าที่มีก็เป็นชุดธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น   
 
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วแบบนั้นขุนเขาจึงอธิบายเสริม 
 
"ใส่อะไรก็ได้ที่เป็นตัวนายที่สุด" บอกแค่นั้นก่อนที่ทั้งสองจะเดินถึงอาคารเรียน 
 
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ขุนเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ถูกเด็กขี้แยเอาคืน 
 
กว่าจะวันเสาร์ก็มะรืน ทว่าน่าแปลกที่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกปวดในมวนท้องอย่างไม่ทราบสาเหตุ   
 
แต่ก่อนหน้านั้นขุนเขาถึงกับสำลักน้ำลายเมื่อถูกถามว่า 
 
"แล้วขุนจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือเปล่า" ด้วยสีหน้าใสซื่อของอีกฝ่ายที่คิดว่าเขาจะรับบทเป็นผู้หญิงให้จริง ๆ   
 
เล่นทำเอาพูดไม่ออกเลยทีเดียว 



(https://www.img.in.th/images/5bed27899777b079d3f85c0e85886903.gif)
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - ชวนเดท ~♪『1 9 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 19-03-2016 18:21:50
ฟ้าน่ารักกก เอาขุนอยู่หมัดเลย
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - ชวนเดท ~♪『1 9 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-03-2016 19:14:46
ทั้งขุนเขาและฟากฟ้าต้องก็กำลังเรียนรู้คำว่าเพื่อนกันอยู่สินะ
อยากรู้ปัญหาที่บ้านของขุนเขาบ้าง อะไรทำให้เด็กอายุแค่นั้นรู้สึกเป็นส่วนเกินตลอดเวลากันนะ
รอตอนต่อไปค่ะ (ซ้อม)เดทครั้งแรกของฟากฟ้าจะเป็นยังไงบ้างนะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - ชวนเดท ~♪『1 9 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 19-03-2016 23:06:32
ทั้งฟากฟ้าและขุนเขาต่างก็เป็นเด็กมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้นเลยนะเนี่ย การที่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกินนี่น่ากลัวนะ (เหมือนละครวัยแสบ สาแหรกขาด) รอตอนเดทแล้วกัน ว่าขุนจะพาน้องไปเดทที่ไหน อิอิ คนเขียนก็สู้ๆด้วยนะ รอตอนต่อไปเน้อ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3 - ชวนเดท ~♪『1 9 มี.ค 5 9』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 20-03-2016 01:06:14
ฟากฟ้าก็ยังคงความน่ารักใสซื่ออยู่ รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3.5 - บ้านขุนเขา ~♪『23 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 23-03-2016 16:13:10
บ้านขุนเขา


ขุนเขาจอดมอเตอร์ไซค์ใต้ถุนบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน 
 
เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าต้องไปส่งเจ้าเด็กขี้แยไปโรงเรียนกวดวิชาทุกเย็นเพราะอดทนเห็นหมอนั่นเดินเพียงลำพังไม่ได้ สีหน้าที่ดูสลดหดหู่นั่นคืออะไร เหมือนโลกจะแตกฟ้าจะถล่มอย่างนั้นแหละ เอาเถอะ ไหน ๆ เลิกเรียนก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เข้าบ้านเวลาไหนคงเหมือนกัน 
 
ทันทีที่ดับเครื่องเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น   
 
"มาพอดีเลย" ขุนเขาหันไปมองต้นเสียง "ไปส่งกูที่ตลาดหน่อยสิ คุณนายจะเอาพวงมาลัย"   
 
เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีในชุดนักเรียนมัธยมปลาย เค้าโครงหน้าไม่ต่างจากขุนเขามากนัก ติดตรงแววตาเต็มไปด้วยความร่าเริงสดใสไร้ความคิดต่างจากขุนเขาโดยสิ้นเชิง   
 
กิฟต์ พี่ชายคนโตนั่นเอง   
 
คุณนายที่ว่าคือมารดาของทั้งคู่   
 
ขุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วชี้ไปที่จักรยาน แต่กิฟต์โอดครวญ 
 
"ขอเถอะ ยางแบนขนาดนั้นใครจะไปขับ อีกอย่าง ...." 
 
"มึงก็แค่ขี้เกียจ กิฟต์"   
 
"ต้องเรียกพี่กิฟต์สิครับไอ้ขุน" 
 
คนน้องกลับไม่ตอบพลางหันไปทางอื่นแล้วถอนหายใจให้ได้ยิน แต่พี่ชายกลับเบะปากไม่สนใจก่อนจะเดินลงมาหาแล้วขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้เสียเฉย   
 
"เฮ้"   
 
"ไปส่งบัดนาว"   
 
"มึงก็ขับไปเองดิ"   
 
"ขับเป็นที่ไหน"   
 
"จักรยานไง"   
 
"ก็บอกแล้วไงว่าขี้เกียจ" หลุดเหตุผลที่แท้จริงมาเป็นคำเบ้อเริ่ม   
 
จุดนี้ไม่ปิดบังแล้ว คนพี่ลอยหน้าลอยหน้าอย่างไม่สนใจ น้องชายจ้องมองกลับอย่างไม่ละสายตา ทั้งคู่จ้องมองกันราวกับกำลังก่อสงครามประสาทโดยคนที่คนเครียดน่าจะเป็นฝ่ายน้องมากกว่า 
 
ลืมไปว่าหนังหน้ายิ่งกว่าปูน ขุนเขาคิดในใจอย่างเผ็ดร้อน   
 
"ไปซื้อแค่พวงมาลัยอย่างเดียว ?" เมื่อหยั่งเชิงถามคนพี่กลับยิ้มกว้างออกมา เพราะรู้แน่นอนว่าขุนเขาคงไม่ปฏิเสธ 
 
กิฟต์ยักไหล่แล้วบอกว่า "เงินเหลือ ซื้อหนม" 
 
ขุนเขาตอบด้วยการแทรกตัวคร่อมมอเตอร์ไซค์ด้านหน้า ค่อย ๆ ถอยตัวรถออกจากใต้ถุน เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของพี่ชายดังหึ ๆ นึกระอาอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าทำไมถึงโตมากลายเป็นคนแบบนี้ ทั้งที่วิธีการเลี้ยงดูแทบไม่ต่างกัน 
 
เด็กหนุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ทันใดนั้นเสียงวิ่งตึกตักจากตัวบ้านดึงเข้ามาใกล้ วินาทีที่จะบิดคันเร่งเสียงตะโกนดังมาจากด้านบน   
 
"พี่กิฟต์ พี่ขุนนน ! ขอไปด้วยยย !"   
 
น้องชายคนสุดท้องที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกหลง เพราะในขณะที่พี่ชายทั้งสองขึ้นมัธยมแล้วแต่ตัวน้องคนเล็กเพิ่งจะได้อายุเพียงห้าขวบเท่านั้น   
 
พี่ชายทั้งสองต่างหันไปตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า   
 
"ไม่ !"   
 
ซ้อนสามคนมันอันตราย อีกอย่างมีเด็กเล็กไปด้วยมันน่ารำคาญ   
 
สีหน้าน้องคนเล็กจ๋อยไปถนัดใจ   
 
ถ้านับเรื่องหน้าตาแล้ว น้องคนเล็กจะดูเหมือนเด็กผู้หญิงมากที่สุด และด้วยการเลี้ยงดูที่ติดโอ๋จากพ่อแม่ทำให้กลายเป็นเด็กขี้แยเอามาก ๆ พลันทำให้ขุนนึกถึงหมอนั่นอย่างช่วยไม่ได้   
 
สามพี่น้องที่ต่างนิสัยทำให้ครอบครัวมีสีสัน   
 
แต่ทว่า.. มันกลับทำให้ขุนเขารู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก   
 
 
 
 
 
ตลาดที่สองพี่น้องไปคือตลาดที่อยู่ถัดไปอีกหนึ่งอำเภอ แม้ไม่ค่อยไกลนักแต่สำหรับคนขับรถอย่างขุนเขาแล้วถือเป็นเรื่องน่าเบื่อ ยิ่งคนซ้อนท้ายเป็นพี่ชายจอมอยู่ไม่สุขด้วยแล้วเลยน่าหงุดหงิดเป็นเท่าตัว   
 
"หัดอยู่เฉย ๆ บ้างได้ไหม"   
 
"ห๊ะ ว่าไรนะ" 
 
ไม่รู้จงใจหรือไม่ได้ยินจริง ๆ   
 
กิฟต์เป็นพี่ชายที่ดูไม่ค่อยสมเป็นพี่ชายนัก เพราะเป็นคนรักอิสระมากเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้จึงทำให้ความคิดไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่องเท่าไหร่ ยกตัวอย่างตอนเลือกโรงเรียนมัธยมปลายเมื่อสองปีที่แล้วที่คิดเรียนต่อมัธยมประจำตำบลที่ไกลออกไป พร้อมทั้งลากเพื่อนและแฟนเพื่อนให้ไปด้วยกัน ซึ่งใคร ๆ ต่างรู้ดีว่าเพื่อนกิฟต์นั้นไม่ใช่เด็กทื่ตั้งเป้าเข้ามหาวิทยาลัยเท่าไหร่ เผลอ ๆ เลือกเรียนอาชีวะด้วยซ้ำถ้าไม่ติดโดนลาก   
 
ทีแรกพ่อแม่คัดค้านเพราะมีโรงเรียนที่ตั้งใจจะให้เข้าอยู่แล้ว แต่สุดท้ายทนความหน้ามึนของลูกชายตัวเองไม่ไหวจึงต้องตามใจจนถึงทุกวันนี้   
 
และเพราะสาเหตุนั้นจึงทำให้ความกดดันกลับมาอยู่ที่ขุนเขาในวันที่เลือกโรงเรียนต่อในระดับมัธยมต้น   
 
ขุนเขาเป็นเด็กที่มีทักษะทางกีฬาเป็นเลิศ เขาเป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าแข่งขันฟุตบอลรุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 12 ปี โครงการหนึ่ง จากวันนั้นความฝันเขาค่อยเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ จึงขอร้องอาจารย์ส่งเรื่องขอโควตากับโรงเรียนกีฬาประจำจังหวัด ทุกอย่างมันดำเนินไปได้ด้วยดี ทางอาจารย์เองก็คิดว่าเขาต้องได้แน่นอน   
 
ทว่าสุดท้ายเขากลับสอบโควตาไม่ผ่าน   
 
เหล่าอาจารย์เกิดข้อกังขามากมาย พยายามสอบถามกับทางโรงเรียนกีฬา แต่ทางนั้นกลับปฏิเสธที่จะให้คำตอบใด ๆ สุดท้ายเขาจึงชวดมันไปด้วยความรู้สึกเบาโหวง 
 
และในขณะนั้นเองที่พ่อเข้ามายื่นใบสมัครเข้าเรียนโรงเรียนประจำอำเภอที่มีชื่อเสียง 
 
ขุนเขาสมัครเข้าสอบอย่างล่องลอย เมื่อเป้าหมายอันดับหนึ่งพลาดไป จึงคิดว่าบางทีที่นี่อาจจะทำให้เขามีที่ยืนได้บ้าง   
 
ทว่าความจริงกลับปรากฏหลังจากเปิดเทอมไปแล้วหนึ่งเดือน   
 
สมัยที่ชุนยังไม่กร่าง สมัยที่เขาไม่ถนัดกับการหาเรื่องใคร สมัยที่เขายังคงมองโลกอย่างสวยงามและเริ่มปรับตัวกับเพื่อนในห้อง 
 
เย็นวันนั้นมีคนมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้าน แม่บอกว่าเป็นคนใหญ่คนโตให้รักษากริยาสำรวมและคอยเอาใจใส่แขกอย่างดี วันนั้นกิฟต์โม้กับแขกด้วยเรื่องความประพฤติของเพื่อนที่เป็นเด็กเกเร และแคลมัวแต่ร้องอ้อแอ้พูดไม่ชัด ส่วนเขานั่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรและส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษในความยุ่งเหยิง 
 
สามพี่น้องถูกไล่ให้กลับไปห้องนอนของตัวเอง ทว่าขุนเขากลับลืมของไว้ที่ห้องรับแขก ความบังเอิญนี้ช่างเหมือนในละครภาคค่ำทว่ามันกลับเป็นเรื่องจริงจนไม่น่าเชื่อ   
 
เด็กหนุ่มได้ยินเรื่องที่ทำให้ต้องตกตะลึง เขาจำได้ว่าตนกระโจนเข้าไปกลางบทสนทนานั้นด้วยความโมโห ตะโกนต่อว่าพ่อแม่พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ความช็อคนั้นทำให้ชาไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดิ่งลงเหว ชวนผิดหวังทั้งสิ้นหวัง   
 
ตั้งแต่วันนั้นขุนเขาจึงเลิกที่จะศรัทธาในตัวบุพการี เกิดการต่อต้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน และทำมันมาตลอดสองปีเต็ม 
 
"มัวเหม่ออะไรวะ" กิฟต์ว่าพลางตบบ่าน้องชายเบา ๆ ขุนเขาส่ายศีรษะแทนคำตอบ   
 
เด็กหนุ่มไม่คิดว่าพี่ชายคือต้นเหตุ ที่พ่อแม่อยากให้ลูกชายเข้าโรงเรียนมีชื่อคงเป็นเพราะค่านิยมที่ติดมาจากการงานที่ทำ การอวดลููก อวดตำแหน่ง อวดฐานะ อวดทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเป็นเรื่องปกติของพ่อแม่ไปแล้ว ในเมื่อพี่คนโตถูกตามใจ แล้วลูกคนกลางจะต้องทำอย่างไร เป็นเรื่องที่แทบไม่ต้องเดา   
 
บางทีมันอาจเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้เขาและพี่ชายเกิดความต่าง แทนที่จะโยนความผิดเขากลับอิจฉาอยู่ในใจลึก ๆ   
 
ทั้งสองจอดมอเตอร์ไซค์ข้างตลาด ขุนเขาหันมองซ้ายขวา 
 
จะว่าไปแถวนี้มันใกล้กับบ้านของหมอนั่นเลยนี่นะ   
 
จู่ ๆ ใบหน้าและชื่อของเพื่อนคนแรกของเขาพลันแวบเข้ามาในหัว   
 
"มองหาอะไรวะ"   
 
"ป..เปล่า" เด็กหนุ่มตอบ   
 
กิฟต์มองน้องชายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าก่อนยักไหล่   
 
นี่มันตลาด เด็กเรียนจะมาทำอะไรที่ตลาดล่ะเนี่ยยกเว้นที่จะโดนแม่มาใช้ซื้อของ อีกอย่างบ้านหมอนั่นรวยแล้วคงมีคนใช้ออกมาทำให้เองแหละ อยู่บ้านเรียนให้เก่งก็พอแล้ว   
 
ทว่าในขณะนั้นสายตาของขุนเขาพลันไปพบกับร่างใครบางคนคุ้นตา 
 
ไม่ใช่หมอนั่นหรอก แต่เป็น ... 
 
"นั่นใช่เพื่อนมึงปะขุน" กิฟต์ชี้ไปที่คนนั้นอย่างไม่ปิดบัง ไม่คิดจะลดเสียงด้วย   
 
ขุนเขาพยักหน้าแบบส่ง ๆ ไม่ใส่ใจ 
 
คนนั้นคือ ชุน ที่มาพร้อมกับแม่ ภรรยานายตำรวจใหญ่ด้วยสีหน้าไม่พอใจสุด ๆ   
 
เสียงกิฟต์ทำให้ทั้งแม่ลูกหันมาพร้อมกัน   
 
"นั่นเพื่อนลูกนี่ชุน"   
 
มารดาชี้ชวนมาทางขุนเขาและกิฟต์ และทันทีที่ทั้งคู่สบตากันต่างพลางทำหน้าเบ้   
 
เจอใครไม่เจอ ดันมาเจอตัวปัญหา   
 
สำหรับขุนเขาแล้วชุนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย อันที่จริงอยากให้ต่างคนต่างอยู่ ทว่าชุนมักหาบททดสอบเพื่อแสดงศักยภาพและอำนาจในกองกำลังของตัวเองจึงส่งคนมาหาเรื่องกับเขาอยู่บ่อยครั้ง บางทีตอนมัธยมหนึ่งชุนคงเห็นเขาเป็นเหยื่อเหมือนฟากฟ้าเลยคิดจะกลั่นแกล้ง และผลอย่างที่เห็น เขากลายเป็นสิ่งที่ชุนไม่อยากยุ่ง 
 
เมื่อถูกระบุตัวมาแบบนั้นขุนเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยกมือไหว้ทักทาย มารดาของชุนรับไหว้อย่างยิ้มแย้ม หล่อนแต่งหน้าจัดจ้าน ผมถูกเปิดเป็นกระบังลมนั้นมองยังไงก็เป็นพวกคุณหญิงคุณนาย   
 
"สวัสดีครับ"   
 
"ไหว้พระเถอะจ้ะ" การพูดยังจีบปากจีบคอไม่เคยเปลี่ยน 
 
พ่อของขุนเขาและพ่อของชุนมักพบปะกันเรื่องงาน จึงทำให้ทั้งสองครอบครัวรู้จักกันบ้างแม้เพียงผิวเผิน   
 
"มาทำอะไรกันจ้ะ" หล่อนถาม 
 
"ซื้อพวงมาลัยให้แม่ครับ" กิฟต์ตอบอย่างฉะฉาน 
 
ขุนเขายกหน้าที่การคุยกับหญิงสาววัยกลางคนให้กิฟต์ในขณะที่ชุนเองก็ไม่เปิดปากคุยด้วยสักแอะ   
 
เด็กหนุ่มทั้งสองสบตากัน 
 
ราวกับมีสายฟ้าแล่นผ่านดังเปรี๊ยะ   
 
"...แล้วชุนอยู่ที่โรงเรียนเป็นไงบ้างจ้ะ"   
 
จู่ ๆ คำถามกลับถูกโยนมาให้โดยไม่ทันตั้งตัว ขุนเขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะถูกกิฟต์กระทุ้งศอก เด็กหนุ่มมองคนนั้นทีคนนี้ที มารดาของชุนจึงถามย้ำอีกครั้ง เล่นทำเอาขุนเขาหันไปมองชุนพลางเลิกคิ้ว 
 
หากให้ถามว่าชุนอยู่โรงเรียนเป็นอย่างไร .. ขุนเขาสามารถตอบได้ไม่ยากเย็น 
 
ทว่า..   
 
ชุนยังคงมีสายตาแน่วนิ่วแล้วส่ายศีรษะเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ 
 
ขุนเขาหรี่ตาอย่างพิจารณา 
 
จริงสิ เรื่องที่ชุนเกเรคนที่บ้านไม่มีทางรู้ ไม่สิ บางทีอาจจะรู้แต่คงอยากได้คำตอบที่ชัดเจนจากเพื่อนร่วมชั้นมากกว่า   
 
ขุนเขาแสร้งยิ้มแล้วตอบว่า 
 
"มีความเป็นผู้นำดีครับ"   
 
คำตอบนั้นทำให้ชุนถึงกับหน้าเบ้ กิฟต์กลั้นขำเพราะรู้ว่าในคำพูดของน้องชายนั้นมันเต็มไปด้วยความประชดประชัน   
 
ทว่ามารดาของชุนกลับยิ้มกว้างจนน่าขนลุก หล่อนหันไปมองลูกชาย   
 
ชุนยิ้มแห้งแล้วบอกมารดาว่า 
 
"ขุนเขาพูดเกินไปหน่อยน่ะครับ ผมหิวแล้ว กลับกันดีกว่าไหมเอ่ย" น้ำเสียงนั้นสั่นเครือ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ขุนเขานึกอยากให้ฟากฟ้ามาเห็นชุนในอริยาบถนี้เสียจริง คงจะขันน่าดู 
 
นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชุนไม่นึกอยากยุ่งกับขุนเขามากนัก เพราะอีกฝ่ายรู้ว่าขุนเขากำความลับที่เป็นไพ่เหนือกว่ามาก การที่ชุนยอมแพ้ต่อขุนเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะมีเหตุจำเป็น แม้จะรู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ใช่คนปากโป้งแต่คนรอบคอบแบบชุนยังไม่ไว้วางใจ ในหลาย ๆ ความหมาย ถึงอย่างนั้นชุนก็ยังคงวนเวียนและสร้างความน่ารำคาญอยู่ไม่ขาด แถมยังเชื่อมั่นว่าสักวันจะล้มขุนเขาให้ได้ 
 
เมื่อแม่ลูกจากไปแล้ว กิฟต์ที่กลั้นอยู่นานพลันระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น 
 
"เชี่ย ! ยังไม่เคยเห็นใครที่เป็นลูกแหง่ขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ !"   
 
คงจี้น่าดู   
 
ขุนเขาไม่ตอบพี่ชาย ได้แต่เดินเลยไปปล่อยให้ยืนหัวเราะอยู่อย่างนั้น   
 
ไม่ต้องปิดบังแล้วมั้ง   
 
เพราะเสียงกิฟต์น่ะ มันดังไปทั่วตลาดเลยล่ะ   
 

 (https://www.img.in.th/images/5bed27899777b079d3f85c0e85886903.gif)
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3.5 - บ้านขุนเขา ~♪『23 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 23-03-2016 16:38:23
พ่อแม่พูดอะไรถึงทำให้ขุน ฟิวส์ขาด
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3.5 - บ้านขุนเขา ~♪『23 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 23-03-2016 16:48:34
เพราะพ่อแม่ขุนหรือเปล่าที่ทำให้ขุนไม่ได้เรียนที่ตัวเองตั้งใจ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3.5 - บ้านขุนเขา ~♪『23 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-03-2016 17:40:10
ชอบประโยคที่ขุนเขาตอบแม่ของชุนอ่ะ... ฟังดูเหมือนจะดี
ว่าแต่ตอนนั้นขุนเขาได้ยินอะไรกันนะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3.5 - บ้านขุนเขา ~♪『23 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-03-2016 00:40:03
สนุกดีค่ะ อยากเห็นตอนโตเลยเนี่ย
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3.5 - บ้านขุนเขา ~♪『23 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-03-2016 11:42:49
 :katai2-1:   สนุก  ชอบบบ รอมาต่ออีกน้าาาา  :mew1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3.5 - บ้านขุนเขา ~♪『23 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 24-03-2016 11:56:49
 :z3:

สองบ้านนี้ผู้ใหญ่ใส่หน้ากากกัน เหอะๆ

ผู้ปกครองนี่เป็นอะไรนะ มีลูกแล้วชอบอวดนี่นุ่นนั่น
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 3.5 - บ้านขุนเขา ~♪『23 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 26-03-2016 12:06:44
ชุนนี่อยู่กับแม่คืออีกเรื่องเลย จะเป็นยังไงต่อน้า
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ คู่มือ ~♪『28 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 27-03-2016 23:36:01
คู่มือ 



 
ฟากฟ้าเปิดกูเกิ้ลมองหาคู่มือการเดท   
 
เบื้องต้นคือการเตรียมตัว เด็กชายขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางไล่สายตาอ่าน ยิ่งอ่านเหมือนยิ่งหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่งที่ไม่รู้จัก 
 
เขาหันไปมองตู้เสื้อผ้าอย่างยุ่งยากใจ วันหยุดปกติต้องใส่ชุดไปรเวท เขาไม่ใช่คนบ้าที่จะใส่ชุดนักเรียนไปเรียนพิเศษเสียหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนแต่งตัวเป็น เสื้อผ้าที่บ้านแม่เป็นคนจัดการให้ มีแต่แบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เพราะคิดว่าเรื่องแต่งตัวเป็นเรื่องรอง 
 
ทว่าเขาต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่   
 
ถ้ามันคือการซ้อมเดทเขาก็อยากทำให้มันออกมาดูดี 
 
เด็กชายลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า   
 
ว่าแล้วเชียว ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสักนิด   
 
เพราะแม่เป็นคนเลือกเสื้อผ้าให้ตั้งแต่เกิด ในตู้ของเขาจึงมีเพียงแต่เสื้อโปโลหลายหลากสี เสื้อยืดสีเรียบ และกางเกงยีนส์เก่า ๆ  แม่เน้นการใช้งานทนมากกว่าความสวยงาม เขาถูกสอนให้คิดแต่เรื่องเรียนมากกว่าเรื่องแฟชั่น เรื่องที่ไม่มีความจำเป็นต่อการเรียนต่อมหาวิทยาลัยให้ตัดทิ้งไป 
 
ฟากฟ้าไล่สายตาดูเผื่อว่าจะมีอะไรใช้ได้บ้าง   
 
หรือว่าการเตรียมตัวจะไม่เกี่ยวกับเสื้อผ้า ?   
 
ในขณะที่ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยเสียงเคาะประตูห้องพลันดังขึ้น   
 
"ครับ ?" เด็กชายขานรับ   
 
วินาทีถัดมาประตูถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของพี่เลี้ยงที่คุ้นเคย 
 
"โทรศัพท์ค่ะคุณฟ้า เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนที่โรงเรียน" 
 
โทรศัพท์บ้านที่เป็นระบบไร้สายทำให้เคลื่อนย้ายสะดวก พี่เลี้ยงคนนี้เพิ่งมาอยู่ด้วยเมื่อสองเดือนก่อนทำให้ไม่ค่อยมีความสนิทสนมกันเท่าใด คำพูดจายังฟังดูเคอะเขิน และด้วยวัยแบบเขาด้วยแล้วทำให้การพูดคุยกับหญิงสาวแปลกหน้าเป็นเรื่องยาก เด็กชายจึงเว้นระยะห่างกับเธอพอสมควร บรรยากาศจึงดูเหมือนในหนังในละครอย่างที่เห็น 
 
ฟากฟ้าเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย 
 
เพื่อนที่โรงเรียน ? คงมีอยู่แค่คนเดียว แต่ ... 
 
เด็กชายยื่นมือรับโทรศัพท์มาอย่างงุนงงก่อนกรอกเสียงตามสาย 
 
"ครับ ?" 
 
"ไง กำลังลำบากใจเลือกเสื้อผ้าอยู่ล่ะสิ"   
 
เสียงปลายสายนั้นฟังแวบเดียวก็รู้ว่าใคร ความอบอุ่นค่อยซึมปลาบตามสายโทรศัพท์ เด็กชายหันไปมองพี่เลี้ยงเป็นเชิงขอตัวแล้วเปิดประตูห้องกลับมานั่งที่โต๊ะ   
 
เหมือนมีตาทิพย์ หยั่งรู้ได้ถึงขนาดนั้น   
 
ฟากฟ้าส่ายศีรษะแล้วบอกว่า   
 
"ม..ไม่ใช่หรอก ผมกำลัง..เอ่อ .. ทำการบ้านอยู่น่ะ" โกหกคำโต 
 
ในเมื่ออีกฝ่ายบอกให้เขาเป็นตัวของตัวเองแล้วมันก็คือจบ แต่การที่เขามากังวลเองภายหลังนั่นก็คือปัญหาของเขาแล้ว ไม่เกี่ยวกับอีกฝ่าย   
 
ได้ยินเสียงลมหายใจดังตามมา 
 
"รู้เบอร์ที่บ้านฉันได้ยังไงเหรอ" เลยหาทางเปลี่ยนเรื่อง 
 
"บ้านนายไม่รู้จักก็แย่แล้ว โทรไปที่โรงงานสิ แล้วขอสายลูกชายเจ้าของหน่อย ตอนแรกก็โดนสงสัยอยู่หรอกแต่พอชักแม่น้ำทั้งห้าให้พวกเขาฟังเลยยอมโอนสายให้น่ะ คราวหลังบอกเบอร์โทรศัพท์มือถือของนายให้ฉันด้วย" 
 
"ผมไม่มีโทรศัพท์มือถือ..." 
 
แม่บอกว่าไม่จำเป็น และเขายังเป็นเด็กอยู่ มือถือมีไว้เพื่อติดต่อธุระผู้ใหญ่เท่านั้น 
 
ได้ยินเสียงขุนเขาร้องหืมเบา ๆ ยุคสมัยนี้คนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือคงเป็นอะไรที่แปลกมาก ทั้งที่บ้านเขาเป็นเจ้าของโรงงานขนาดใหญ่   
 
"ไม่เป็นไร" ขุนเขาว่า "ฉันโทรเข้าบ้านนายก็ได้ บอกเบอร์ต่อตรงให้ด้วยละกัน" 
 
"อ..อื้ม เข้าใจแล้ว" 
 
แม้จะบอกแบบนั้นแต่ฟากฟ้ายังไม่รู้ว่าขุนเขาโทรมาหาตนทำไม   
 
ครั้นจะเอ่นปากถามกลับถูกอีกฝ่ายชิงพูดก่อนว่า 
 
"พรุ่งนี้พกเงินไปด้วยล่ะ"   
 
"เอ๋ ? เงิน ?" 
 
"ใช่ เงิน ถ้าไม่มีเงินเราก็จะทำอะไรไม่ได้" 
 
จริงอยู่ แต่การเดทจำเป็นต้องใช้เงินมากมายขนาดไหนกันนะ เขาไม่เคยเดท และไม่เคยไปเที่ยวไหนด้วยตนเอง ไม่เคยควักเงินจ่ายเอง มีแต่พ่อแม่หรือคนที่บ้านจัดการให้ 
 
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่เลยทีเดียว 
 
"แล้วผมต้องพกไปเท่าไหร่" 
 
"เอาเท่าที่นายจะพกได้ เยอะ ๆ ยิ่งดีนั่นแหละ" 
 
เมื่อจะอ้าปากถามถึงเหตุผลว่าเงินเยอะที่ว่านี่ต้องประมาณไหนขุนเขาพลันวางสายไปเสียก่อน ปล่อยให้ฟากฟ้ายืนถือโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น พยายามเรียกปลายสายสองสามครั้งให้แน่ใจว่าไม่อยู่แล้ว 
 
เด็กชายเลิกคิ้วดึงโทรศัพท์ออกจากหูแล้วมอง 
 
อะไรของเขา ..   
 
ทว่าในวินาทีนั้นเด็กชายกลับคิดเรื่องเลวร้ายสุด ๆ ออกมาเสียได้ 
 
ร..หรือว่า .... 
 
ขุนเขามีแผนจะยักยอกเงินเขาอย่างนั้นหรือ !?   
 
เหมือนที่เห็นในทีวีนั่นไง ที่มาตีสนิทโดยหยิบยื่นความเป็นเพื่อนให้แล้วหลอกไถเงินเพราะเห็นว่าเป็นลูกคนรวย แล้วสุดท้ายเขาก็จะหมดตัว โดนพ่อแม่ตัดออกจากกองมรดกเพราะเอาเงินไปให้เพื่อนถลุงเล่นมากเกินไป ! 
 
คิดได้ดังนั้นเด็กชายจึงตบแก้มตัวเองอย่างแรงไปทีหนึ่ง   
 
"โอย.." 
 
จินตนาการไม่เข้าเรื่อง ขุนเขาไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย   
 
แต่มันอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะขนาดนั้น ?   
 
สุดท้ายฟากฟ้าจึงเลิกที่จะอาศัยคู่มือการเดทในกูเกิ้ล เขาเลือกเสื้อผ้าสีฉูดฉาดที่สุดมาหนึ่งชุดก่อนจะส่งให้พี่เลี้ยงเอาไปรีดมาเก็บไว้ เพราะคิดว่าใจความสำคัญของวันเดทคือเงิน ไม่ใช่การเตรียมตัวอะไรทั้งนั้น   
 
".. เงินนี่คือทุกอย่างจริง ๆ เลยนะ" 
 
เด็กชายพึมพำออกมาเบา ๆ ในขณะที่ปิดคอมพิวเตอร์เตรียมตัวเข้านอน 
 
 
 
 
 
 
เช้าวันเสาร์เขาตาโหลลึกเหมือนคนไม่ได้นอน อันที่จริงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ สิ่งที่จะเกิดขึ้นวันนี้นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ ซ้ำยังเป็นบทเรียนของหลักสูตรที่ขุนเขาฟันธงว่าจะได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ 
 
เสื้อโปโลสีแดง กางเกงยีนส์สีเข้ม เป้โรงเรียนพร้อมหนังสือของกวดวิชา รองเท้าผ้าใบสีตุ่นที่ผ่านการซักล้างมาหลายสิบครั้ง และนาฬิกาข้อมือสีดำอันใหญ่ไว้ใช้เฉพาะตอนออกไปข้างนอก 
 
หากจะบอกสิ่งที่ฟากฟ้าสนใจคงเป็นนาฬิกา เขามักสะสมมันด้วยเงินเก็บที่มี ตอนนี้มีอยู่สี่เรือนด้วยกัน แพงสุดราคาประมาณห้าหมื่น และที่เขาใช้อยู่ทุกวันนี้ราคาประมาณห้าพัน เพราะนาฬิกาบางเรือนก็ไม่เหมาะจะให้เด็กใส่เดินไปไหนต่อไหน ถามว่าความตั้งใจเกี่ยวกับของสะสมนี้คืออะไร คำตอบบนั้นเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าเด็กชายตั้งใจอยากมีห้องส่วนตัวเอาไว้เก็บนาฬิกาหายาก   
 
การแต่งกายเด็กชายไม่มั่นใจเลยสักนิด ทว่าทันทีที่สวมนาฬิกาแล้วเหมือนความกังวลดังกล่าวหลายเป็นปลิดทิ้ง เขายิ้มให้กับตัวเองก่อนกระชับสายสะพานเดินเข้าโรงเรียนกวดวิชา 
 
โรงเรียนกวดวิชาที่นี่เป็นโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด นักเรียนเกือบทุกโรงเรียนต้องมาที่นี่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ บางคนมาเพื่อตามเทรนด์ บางคนมาเพื่อสอดส่องหาเพื่อนใหม่ และบางคนก็ตั้งใจมาเก็บเกี่ยวเอาความรู้แบบเขา 
 
วันเสาร์และอาทิตย์จะมีนักเรียนมากกว่าปกติ เปิดสอนเต็มทุกห้อง นักเรียนมีประมาณยี่สิบกว่าคนต่อคาบ วันนี้ฟากฟ้าลงเลือกเฉพาะวิชาเลขและฟิสิกส์ อ่านไม่ผิดหรอก ฟิสิกส์ แม้เป็นเด็กมัธยมต้น แต่สำหรับที่นี่เขาเรียนรู้กระบวนวิชาของมัธยมปลายแล้ว และเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาอาจารย์เลขเพิ่งสอนพรีแคลคูลัส ส่วนบทเรียนที่กำลังศึกษาในโรงเรียนเป็นหลักสูตรที่เรียนไปเมื่อปีก่อน   
 
เพราะทุกนักเรียนจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัว นั่นเท่ากับว่าเพื่อนร่วมห้องของฟากฟ้าเกินครึ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย   
 
รวมถึงเธอคนนั้น 
 
เด็กชายมาถึงโรงเรียนตามเวลาปกติ ตรงดิ่งไปยังที่นั่งประจำ เธอคนนั้นรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อนคุยกันหัวเราะคิกคัก สายตาของฟากฟ้าเหลือบมองเธอเป็นระยะ   
 
ความห่างไกลระหว่างเธอและเขาทำให้ไม่กล้าที่จะสบตาด้วย ไม่กล้าเอื้อมถึง และไม่กล้าฝันถึง   
 
ทว่าขุนเขากลับจุดประกายความหวังให้เขา แม้จะน้อยนิดก็ตาม 
 
นักเรียนเริ่มทยอยเข้ามาจนเต็มห้อง ชุนมาเป็นคนสุดท้าย ยามปกติชุนมักมีลูกน้องห้อยตามหลัง เว้นเสียแต่เวลาเรียนกวดวิชาเพราะพวกที่ใช้แต่กำลังมักไม่ชอบใช้สมองจึงไม่มีใครมาเรียนกวดวิชาอันน่าเบื่อกับชุนเลย ดังนั้นฟากฟ้าถึงได้วางใจเพราะอยู่ที่นี่ชุนจะไม่มาวุ่นวายกับตนแน่นอน 
 
ทว่าวันนี้แปลกออกไป ชุนเดินตรงดิ่งมายังทางเขา ทุกคนมองมาที่ชุนเป็นสายตาเดียว   
 
อีกฝ่ายวางกระเป๋าแล้วทรุดตัวลงนั่ง สายตาจ้องไปยังกระดานหน้าชั้น ไม่สนใจฟากฟ้าแม้แต่น้อย 
 
เด็กชายไม่รู้จะเอ่ยอะไรได้แต่ก้มหน้าเตรียมของเริ่มคาบ 
 
จนกระทั่งอาจารย์เข้ามาในห้อง ฟากฟ้ามั่นใจแล้วว่าชุนคงแค่หาที่นั่งว่างเท่านั้น   
 
แต่ปกติชุนไม่ใช่เด็กหน้าห้อง ต่างจากเขาเมื่อเรียนกวดวิชามักเสนอหน้าอยู่ติดกระดานเสมอ เพราะนอกจากเรื่องสายตาแล้วเขาต้องพยายามมีสมาธิไม่ให้วอกแวกแอบดูเธอคนนั้น เพราะจากประสบการณ์มันทำให้รู้แล้วว่าการเหล่หญิงทั้งคาบสิ่งที่ได้มาคือกระดาษเปล่า 
 
ดังนั้นการที่ชุนมานั่งกับเขาหน้าห้องนี่มันยังไงอยู่ทั้งที่ที่นั่งประจำของชุนยังว่าง   
 
ฟากฟ้าทำตัวให้เป็นปกติแต่กลับสลัดความสงสัยออกไปไม่ได้เลย 
 
ไม่นานนักเมื่ออาจารย์เริ่มสอนชุนจึงเอ่ยกับเขาว่า 
 
"วางแผนจะทำอะไรกับขุนมันอีกล่ะ"   
 
คำถามถูกเปล่งออกมาด้วยเสียงราบเรียบ เหมือนเอ่ยลอย ๆ แต่กลับจี้จุดมากกว่าจะให้ปล่อยผ่าน 
 
ฟากฟ้าเลิกคิ้วเล็กน้อยจนชุนต้องถามย้ำ 
 
"ว่าไงล่ะ"   
 
"เอ่อ ... เปล่า ไม่ได้วางแผนอะไร" เรื่องหลักสูตรคงเรียกว่าแผนไม่ได้ อีกอย่างเรื่องแบบนี้บอกให้คนอื่นรู้มีหวังถูกหัวเราะเยาะตาย   
 
ชุนยักไหล่เมื่อได้ยินคำตอบ สายตาจับจ้องกระดาน มือจดบันทึกลงยิก 
 
"ม..มีอะไรหรือเปล่า" เด็กชายลดเสียงกระซิบลงถามกลับ   
 
แต่ชุนกลับหยุดชะงักแล้วหันมามองเขาพลางขมวดคิ้ว 
 
"ใครอนุญาตให้นายตั้งคำถามกับฉัน ?"   
 
เสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่ไม่มากพอที่จะกลบเสียงอาจารย์ผู้สอนได้ 
 
ฟากฟ้าสะดุ้งโหยงเขาลนลานส่ายศีรษะรัว 
 
"ขอโทษ.." 
 
ชุนสะบัดหน้าหนีพร้อมลมหายใจฟึดฟัด แสดงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง 
 
ฟากฟ้าไม่รู้ว่าตนไปสะกิดต่อมอะไรเข้าให้ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้   
 
ว่าแต่ .. ทำไมชุนถึงรู้ว่าเขามีนัดกับขุนเขาล่ะ ?   
 
ครั้นจะเปิดปากเอ่ยถามก็กลัวตะคอกกลับมาอีก ดังนั้นจึงเลือกปิดปากเงียบสนิท 
 
ปล่อยให้เวลามันผ่านไป ด้วยเครื่องหมายคำถามที่อัดแน่นรอบตัว 
 
 
 
 
 
 
เลิกเรียนฟากฟ้ารีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว สายตาเหลือบมองเธอคนนั้นแวบหนึ่งแล้วจ้ำอ้าวออกไป   
 
และยังไม่ทันไรเขากลับซุ่มซ่ามชนคนข้างหน้าดังพลั่ก 
 
"โอย... ขอโทษครับ" 
 
เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับชุนที่ก้มมองลงมาด้วยสายตาเอาเรื่อง 
 
ชุนยามไม่พูดไม่จาดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งกว่าตอนมีลูกน้องขนาบกาย ยิ่งกว่าตอนตะโกนบอกให้ทุกคนในห้องรวมหัวกันแกล้งเขาเสียอีก เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่ไม่สบอารมณ์ 
 
"ซุ่มซ่าม" 
 
น้ำเสียงนั้นช่างดูแคลน   
 
หากเป็นยามปกติเขาคงถูกลากไปซ้อมแล้ว ทว่าชุนกลับเดินเลยไปอย่างไม่สนใจ 
 
บอกตามตรงวันนี้ชุนทำตัวแปลกมาก ในหลาย ๆ ความหมาย   
 
หรือเป็นเพราะขุนเขากันนะ ? เด็กชายตั้งคำถาม   
 
พวกเขาสองคนยืนมองหน้ากันสักพัก จนชุนเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี 
 
"เลิกเรียนก็รีบไปซะสิ จะยืนเกะกะให้รกโลกทำไม" คำพูดเผ็ดร้อนทำให้ฟากฟ้ารู้สึกตัว เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเบี่ยงทางหนีจากชุน และเมื่อพ้นขีดอันตรายสองขาสั้น ๆ พลันรีบวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดพร้อมกับความแปลกใจ 
 
ชุนไม่เหมือนเดิมจริง ๆ นั่นแหละ   
 
 
 
 
 
 
 
ฟากฟ้าออกมาจากโรงเรียนกวดวิชาแล้วหันซ้ายมองขวา   
 
รถมอเตอร์ไซค์คุ้นตาจอดอยู่ไม่ไกลออกไป 
 
โรงเรียนเป็นตึกแถวห้าชั้นสามคูหาติดกัน ค่อนข้างใหญ่พอสมควร ฝั่งตรงข้ามเป็นคูน้ำขนาดยาว ห่างจากตัวอาคารประมาณสามเลน การจราจรบางตาสมกับเป็นต่างจังหวัด   
 
ขุนเขาจอดรถไว้ที่คูน้ำ แผ่นหลังสะท้อนกับไอแดด 
 
"ไม่ร้อนหรือไงกันนะ" ต้นไม้ก็ไม่มี ร่มก็ไม่กาง แถมอากาศร้อนขนาดนี้ยังทนไปได้ 
 
ฟากฟ้าข้ามถนนไปแตะบ่าขุนเขาเบา ๆ   
 
"เสร็จแล้ว" 
 
อีกฝ่ายดูไม่ตกใจ ขุนเขาหันมามองด้วยใบหน้านิ่งก่อนจะพยักหน้า 
 
เด็กหนุ่มลุกขึ้นหยิบหมวกกันน็อคสีชมพูใบเดิมยื่นให้ 
 
"เอ้า"   
 
ฟากฟ้ารับมาใส่อย่างคุ้นเคย รู้สึกว่าตนค่อนข้างชินกับสีของหมวกกันน็อคแล้ว 
 
"ว่าแต่จะไปไหนเหรอ" อดที่จะถามไม่ได้ 
 
ขุนเขากลอกตาก่อนตอบว่า "เดี๋ยวก็รู้เอง" 
 
ทันใดนั้นขุนเขาพลันขมวดคิ้ว 
 
สายตาของเด็กหนุ่มมองเลยหลังของเขาออกไป สีหน้าดูตึงเครียดเล็กน้อย 
 
"มีอะไรหรือเปล่า"   
 
แต่ขุนเขาไม่ตอบจนฟากฟ้าต้องหันตาม ปรากฎว่าตรงนั้นมีชุนกำลังยืนมองมาทางพวกเขาเช่นเดียวกัน 
 
กำลังทำสงครามเย็นข้ามเลนกันอยู่นั่นเอง   
 
ฟากฟ้าโบกมือตรงหน้าขุนเขาให้รู้สึกตัว แต่เหมือนจะไม่ได้ผล 
 
เกิดความเงียบอยู่หลายอึดใจ ฟากฟ้าพยายามใส่หมวกกันน็อคที่ได้มา วันนี้เหมือนเฟืองมันจะเข้ายาก เด็กชายพยายามยัดเข้าไปให้ลงล็อคแต่ทำไม่ได้สักที 
 
"ฮึบ ฮึบ..." 
 
ขุนเขายังคงนิ่งมองชุน เด็กชายไม่รู้หรอกว่าสองคนนี้ไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมา ตัวชุนนั้นพอเข้าใจ แต่ขุนเขาที่บ้าจี้ไปด้วยนี่มันยังไงอยู่ 
 
ยิ่งพยายามใส่มือยิ่งเจ็บ มันไม่ขยับจากที่จับไว้แม้แต่นิดเดียว ใช่ว่าใส่ไม่เป็นแต่วันนี้มันติดขัดหนักกว่าทุกที เด็กชายหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้ หรือว่าทำของคนอื่นพังไปแล้ว ?   
 
สุดท้ายจึงตัดสินใจจับแขนเสื้อขุนเขากระตุกให้รู้สึกตัว 
 
เมื่อเห็นใบหน้าฟากฟ้าแล้วก็ต้องตกใจ 
 
"เฮ้ ! เป็นอะไร" 
 
"ม..มันติด"   
 
เด็กชายบอกเสียงขึ้นจมูก คาดว่าหากเด็กหนุ่มไม่รู้สึกตัวเร็วกว่านี้ได้มีดราม่า 
 
"ไหน ให้ฉันดูหน่อย"   
 
ขุนเขาจับมือฟากฟ้าออกจากหมวกกันน็อคแล้วละสายตาจากชุน เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่สองสามครั้งปรับโฟกัส แล้วก็พบว่าตัวล็อกที่อยู่ใต้คางมันเลื่อนสลักเบี้ยวไปหนึ่งขั้น 
 
"ยืนนิ่ง ๆ นะ"   
 
เด็กหนุ่มออกแรงดึงให้สลักมันกลับมาอยู่ที่เดิม ฟากฟ้าหลับตาแน่น ขุนเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นจนได้ยินเสียงลมหายใจกระทบคาง 
 
แก๊ก
 
เรียบร้อย 
 
ขุนเขาพ่นลมออกมาอย่างโล่งใจเขาเงยหน้าหมายจะบอกอีกฝ่าย 
 
ทว่าวินาทีที่เงยขึ้นมานั้น .. 
 
จมูกของทั้งคู่กลับชนกันเข้าพอดี 
 
"อะ.." 
 
"อุ.." 
 
วินาทีนั้นเหมือนเวลามันหยุดนิ่ง ใบหน้าเด็กทั้งสองห่างกันไม่ถึงหนึ่งเซ็นต์ ฟากฟ้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ในขณะที่ขุนเขากำลังประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นในสมอง   
 
เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เพราะฟากฟ้าเองก็รับมือกับสถานการณ์นี้ไม่เป็น 
 
ปกติเพื่อนจมูกชนกันต้องทำยังไงนะ 
 
ระหว่างที่คิดนั่นนี่สาระตะคนที่ไหวตัวก่อนคือขุนเขา 
 
"..โทษที เจ็บหรือเปล่า" 
 
ฟากฟ้าพลันส่ายหน้าหวือ   
 
"ไม่เป็นไร" 
 
"ตรงล็อกมันน่าจะเสียไว้ฉันจะเปลี่ยนให้ใหม่ เอาเป็นว่าเราไปกันเถอะ" 
 
ขุนเขาบอกแค่นั้นแล้วเดินไปยังมอเตอร์ไซค์ 
 
ส่วนฟากฟ้ายืนนิ่งประมาณหนึ่งวินาทีก่อนที่สมองจะสั่งการให้ขยับตาม   
 
ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้มันอะไรกัน   
 
ฟากฟ้าอธิบายไม่ถูกเลย 
 
 



TO BE CONTINUED.................
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 4 คู่มือ ~♪『28 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 28-03-2016 00:28:17
อย่างน้อยจมูกก็ชนกันเอ้า อยากอ่านต่อ เมื่อไหร่จะเดทกันสักที~
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 4 คู่มือ ~♪『28 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-03-2016 08:03:24
เรื่องนี้เกิดตอนมัธยม... เลยดูใส ๆ

ปล.สงสัยนิดหน่อยเรื่องการตั้งชื่อของบ้านขุนเขา ทำไมพี่น้องชื่อไม่ไปทางเดียวกันเลยอ่ะ (แอบไร้สาระ)
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 4 คู่มือ ~♪『28 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-03-2016 13:51:36
เด็กน้อยเอ้ย
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 4 คู่มือ ~♪『28 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: daadaadaa ที่ 28-03-2016 16:32:30
ทั้งขุนเขาและฟากฟ้าน่ารักทั้งคู่เลย
 
เรื่องขุนเขากับที่บ้านนี่เป็นเพราะโควต้ารึเปล่า
พ่อแม่เป็นคนทำให้ไม่ได้โควต้า

ชอบการดำเนินเรื่องมากๆเลย
แต่จมูกชนกันก็รู้สึกว่าเขินแล้ว
รอตอนไปเดท
 :katai5:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 4 คู่มือ ~♪『28 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Disthaporn ที่ 30-03-2016 08:59:32
เขาจะไปเดตกันยังไงน้า~~
รอตอนต่อไปค่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 4 คู่มือ ~♪『28 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 30-03-2016 12:25:27
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 30-03-2016 14:57:35
คาบที่ 5 – เด็กเนิร์ด




ฟากฟ้ามีความไหววูบประหลาดอยู่ในอก

เขาซ้อนท้ายขุนเขาพลางกำชายเสื้ออีกฝ่ายแน่นไม่ยอมขยับ ทำตัวแข็งเกร็งอยู่บนมอเตอร์ไซค์

ทางเป็นเส้นตรง วิวข้างหน้าคือแผ่นหลังของคนขับ กลิ่นอายของอีกฝ่ายโชยมาตามแรงลม ทำให้สงบใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาใช้บริการขุนเขามาสักพักแล้วกลับรู้สึกว่ากลิ่นของขุนเขานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะ

บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเฉพาะแบบไหน แต่เขาชอบกลิ่นแบบนี้

เด็กชายสงบใจได้ในที่สุด ครั้นจะเอ่ยปากถามอะไรบางอย่างขุนเขาพลันหักแฮนด์มอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง

ห้างสรรพสินค้าประจำจังหวัดนั่นเอง

แม้จะเป็นเมืองที่มีชื่อเป็นอันดับสองของประเทศแต่กลับมีห้างสรรพสินค้าไม่กี่แห่ง และที่นี่คือที่ใหญ่ที่สุด

ฟากฟ้ามองรอบตัวด้วยความสงสัย

บทเรียนต่อไปคือมาที่นี่อย่างนั้นหรือ ?

“ขุน..?”

แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ

เสียงอู้อี้ลอยหายไปกับลม ขุนเขาพาไปจอดรถชั้นหนึ่งสำหรับจักรยานยนต์โดยเฉพาะ พวกเขาเก็บหมวกกันน็อค ล็อกล้อและเก็บมอเตอร์ไซค์อย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครปริปาก จากนั้นขุนเขาจึงโยนโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กมาให้เขาหนึ่งเครื่อง

เด็กชายเกือบรับไม่ทัน

“เอาไว้ตอนพลัดหลงฉันจะได้โทรหานายได้ คงรู้วิธีใช้ใช่ไหม”

มันไม่น่าต่างจากโทรศัพท์บ้านไร้สายของเขามากนัก ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงัก

“ให้ยืมเท่านั้นนะ เพราะเครื่องนี้ฉันแอบเอาของพี่ชายมา”

ฟากฟ้าก้มดูโทรศัพท์มือถือในมือของตนอย่างว่างเปล่า ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะซื้อให้หรอก แต่การที่หยิบของคนอื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้มัน ..

“รู้ว่าจะบ่นอะไร เอาไว้ทำธุระเสร็จแล้วค่อยบ่น ตกลงไหม”

ขุนเขาว่าตัดบท แค่สีหน้าของอีกฝ่ายที่เผยออกมาแสดงถึงความคิดอย่างชัดเจน

ฟากฟ้าไม่ตอบอะไร ได้แต่ทำแก้มป่องอย่างไม่พอใจก่อนเดินเข้าห้างไปโดยไม่สนใจขุนเขา






แม้จะเคยมาที่นี่บ่อยครั้งแต่ฟากฟ้ามักมากับที่บ้าน พามาทานอาหาร ดูหนัง ซื้อของแล้วกลับ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ไปไหนตามอำเภอใจ ทว่าหากมีสิ่งเดียวที่เขาสามารถไปได้อย่างอิสระนั้นคงมีแต่...

“อย่าบอกนะว่านายคิดว่าฉันจะพามาซื้อหนังสือน่ะ”

ขุนเขาเอ่ยออกมาอย่างเซ็ง ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายวิ่งหน้าตั้งไปร้านหนังสือ

ฟากฟ้าหันหน้าเป็นเชิงถามว่า แล้วไม่ใช่หรือ ?

เด็กหนุ่มถอนหายใจ

“เอาเรื่องมีสาระทิ้งไปซะ วันนี้ฉันกับนายจะมาทำตัวไร้สาระกัน”

แต่เหมือนฟากฟ้ายังไม่เข้าใจ

“เอาอย่างนี้” ขุนเขาบอก “ฉันจะพานายมาช็อปปิ้ง ที่ให้พกเงินมาเพราะฉันคงไม่มีปัญญาซื้อให้ นายต้องจ่ายเงินให้กับของที่ตัวเองซื้อ ส่วนฉันมีหน้าที่เลือกของที่เหมาะกับนายเท่านั้น เข้าใจไหม”

คำว่าช็อปปิ้งตั้งแต่เกิดมาฟากฟ้าไม่เคยสัมผัส ของไร้สาระไม่เคยอยู่ในสารบบ

พอเห็นเด็กขี้แยยืนงงขุนเขาพลันถอนหายใจ อธิบายด้วยคำพูดไปคงป่วยการ จึงคว้าแขนอีกฝ่ายออกเดิน ความสูงที่แตกต่างกันทำให้ฟากฟ้าต้องออกสเต็ปก้าวเร็วมากขึ้น

“บทเรียนต่อไปคือการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์” ขุนเขาอธิบาย “ฉันรู้ว่านายกับเธอคนนั้นเรียนพิเศษที่เดียวกัน นายจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเอง อย่าเป็นเด็กเนิร์ด ไม่งั้นนายจะถูกมองข้ามไปชนิดที่ว่ายังอายปรสิต”

ฟากฟ้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรสิตนี่มันควรน่าขยะแขยงมากกว่ามองข้าม

แต่เด็กชายไม่ตอบอะไร ยอมให้อีกฝ่ายจูงแขนไปเรื่อย จากจังหวะฝีเท้าเร่งรีบค่อยผ่อนลงจนเขาก้าวตามทันและเดินเคียงคู่

นี่สินะที่เรียกว่าเพื่อนกัน

“คิก.”

ขุนเขาเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“ขำอะไรของนาย”

ฟากฟ้าส่ายหัวแล้วตอบว่า

“เปล่า ไม่มีอะไร”

ขุนเขามองคนตัวเตี้ยกว่าอย่างไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายคงไม่คิดเอ่ยอะไรอีกแล้วจึงช่างมัน

ห้างสรรพสินค้าในวันหยุดช่วงหลังเที่ยงคนเดินกันมากมาย มากันแบบครอบครัว มากันแบบเพื่อนฝูง หรือมากันแบบแฟน แต่ส่วนใหญ่อย่างหลังจะมีเยอะ ขึ้นชื่อว่าศูนย์การค้าย่อมเป็นที่รวมตัวของวัยรุ่นมาเฮฮากัน เพราะแบบนี้ละมั้งที่ทำให้ฟากฟ้าชอบใจ

ขุนเขาพาฟากฟ้ามายังร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง

ชื่อยี่ห้อเสื้อผ้าไม่คุ้น ฟากฟ้าหรี่ตาลงมองอย่างพิจารณาพลางหันไปหาเพื่อนที่อยู่ข้างกัน

“เข้าไปสิ” ขุนเขาว่าพลางดุนหลังอีกคนเข้าไป

ร้านไม่ใหญ่มาก มันขนาดกะทัดรัด จัดแต่งด้วยแสงสีฉูดฉาด ให้ความรู้สึกเหมือนขายเสื้อผ้าฮิพฮอพ แต่พอเข้าไปข้างในแล้วกลับไม่ใช่แบบนั้น

ที่นี่ขายเสื้อผ้าวัยรุ่นชายหญิง ดูมีเอกลักษณ์ ทุกตัวมักมีโลโก้ของร้านติดไว้ส่วนใดส่วนหนึ่งของชุด

ฟากฟ้ามองรอบร้านอย่างตื่นตะลึง

“อ้าวขุน พาเพื่อนมาเหรอวันนี้”

น้ำเสียงที่ฟังเหมือนเคยได้ยินที่ไหนพลันดังขึ้น

เมื่อหันไปก็พบกับ ..

“พี่พลอย ?”

หญิงสาวเจ้าของห้องที่ขุนเขาเคยพาเข้าไป

เธอเป็นแฟนของขุนเขานั่นเอง

วันนี้พลอยไม่ได้อยู่ในชุดนิสิตเหมือนเคย ชุดไปรเวททำให้เธอดูน่ารักขึ้นมากกว่าเดิมจนฟากฟ้ารู้สึกเสียมารยาทเมื่อต้องจ้องเธอนานเกินไป เธออมยิ้มบางให้

“จำพี่ได้ด้วย”

ฟากฟ้าเกาศีรษะอย่างเคอะเขินก่อนหันไปหาขุนเขา

“วันนี้พาเด็กเนิร์ดมาเปลี่ยนลุค” เด็กหนุ่มบอก

ฟากฟ้ายิ่งเขินมากยิ่งขึ้นเมื่อโดนหญิงสาวจ้องมอง เธอมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างพิจารณา

“มีงบมาเท่าไหร่”

ขุนเขาจ้องฟากฟ้าก่อนพยัดเพยิดหน้าไปทางพลอย

“เอ่อ..” เด็กชายหยิบกระเป๋าสตางค์ของตนขึ้นมา

แทนที่จะหยิบธนบัตร แต่กลับเป็นบัตรเครดิตสีดำเสียนี่

เมื่อเห็นสายตาของคนทั้งคู่เจ้าของบัตรเครดิตจึงรีบเอ่ยถาม

“ม..ไม่รับบัตรเครดิตเหรอครับ?”

“ปัญหาไม่ใช่ตรงนั้น” ขุนเขาว่า “ที่บ้านนายเขารับรู้ไหมเนี่ย ไม่ใช่ว่าไปแอบเอามาหรอกนะ”

เมื่อถูกกล่าวหาฟากฟ้าถึงกับน้ำตาคลอ

“ไม่ใช่นะ” .. ปฏิเสธด้วยเสียงแผ่วเบา “บ้านผมเขาไม่นิยมใช้เงินสดกัน แม่บอกว่าคนปล้นง่ายและไม่ปลอดภัย” พอเข้าใจถึงเหตุผล แต่การที่ให้เด็กมัธยมต้นพกบัตรเครดิตระดับนั้นไม่ดูเหมือนสิ้นคิดไปหน่อยหรือ ?

ฟากฟ้ามาจากครอบครัวมีอันจะกิน เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีแม้กระทั่งตัวขุนเขา

แต่ ...

“ไม่ได้เหรอ ?”

เด็กชายช้อนตามองเพื่อนสนิท

เมื่อถูกสายตาเหมือนลูกหมาแบบนั้นจ้องเข้าไป แม้แต่ขุนเขายังไม่อาจต้านทาน

เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ไม่จำกัดวงเงินใช่ไหม”

“อืม แม่บอกแบบนั้น”

ขุนเขาสังหรณ์ว่านิสัยเสียส่วนตัวของลูกคนรวยจะติดฟากฟ้ามาด้วย ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่แสดงให้เห็นก็เถอะ มันต้องเป็นปัญหาภายหลังแน่

ดีที่อีกฝ่ายค่อนข้างขี้กลัว คงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดซะแล้วสิ

“งั้นใช้เสร็จแล้วต้องรวบรวมใบเสร็จทุกใบไปแสดงให้ท่านเห็นด้วยนะ”

ขุนเขาบอก ฟากฟ้าพยักหน้าหงึก

จนพลอยอดแซวไม่ได้

“สรุปเพื่อนหรือน้องชายกันแน่จ้ะ”

“ยุ่งน่า” ขุนเขาตอบอู้อี้






ร้านที่พลอยดูแลนั้นเป็นของลูกพี่ลูกน้องที่รู้จักกัน เธอมาทำงานพิเศษในช่วงวันหยุดเพื่อหารายได้เสริม เพราะมีความรู้เรื่องแฟชั่นและเซ้นส์การแต่งตัวให้ดูดีขุนเขาจึงเลือกให้เธอช่วยดูแลฟากฟ้าให้พร้อมทั้งบอกเหตุผลว่าทำไมเด็กเนิร์ดจึงอยากเป็นหนุ่มเนื้อหอม

“น่ารักจัง ปกติมีแต่เด็กผู้หญิงเปลี่ยนตัวเองเพื่อเด็กผู้ชายที่ชอบ แต่นี่เด็กผู้ชายอยากทำมันเพื่อดึงดูดคนที่ชอบเสียเอง ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยด้วยอีกแรง ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าหรอกนะ”

พลอยบอกแค่นั้นก่อนจะช่วยฟากฟ้าลองชุด

ขุนเขามองว่าเดิมทีฟากฟ้าเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว เสียแต่ความสูงที่อาจจะยังพัฒนาการไม่ถึงจึงทำให้อาจเลือกเสื้อผ้าที่เข้ากับตัวเองยาก ทุกชุดที่พลอยให้ฟากฟ้าลองจำต้องบอกว่าเดี๋ยวเอาเข้าหน่อย หรือต้องตัดออกอยู่ร่ำไป

เด็กขี้แยรู้สึกว่าตนเป็นเหมือนตุ๊กตาที่ถูกจับแต่งนู่นแต่งนี่ วัดตัวบ้าง ต้องแก้ไซส์บ้าง

กลับกลายเป็นว่าไม่มีชุดที่พอดีสักชุด

“เดี๋ยวพี่ส่งเสื้อผ้าพวกนี้ไปแก้ไซส์ให้ขนาดพอดีตัว ไม่ต้องห่วง มันเป็นบริการสำหรับร้านเรา ประมาณอาทิตย์หน้าถึงจะเสร็จนะ แวะมารับด้วยแล้วกัน”

พลอยพูดพลางเขียนใบนัดรับของแล้วส่งยื่นให้พร้อมใบเสร็จ

ฟากฟ้ารับพลางก้มหัวลงต่ำ

“ขอบคุณมากครับ”

“ทางพี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณ อุตส่าห์อุดหนุนไปเยอะขนาดนี้รับรองเธอคนนั้นเห็นแล้วต้องตกตะลึงแน่นอนเลยล่ะ” เธอว่าพลางยิ้มกว้าง

พลอยออกมาส่งพวกเขาหน้าร้านโดยบอกว่าเธอเลิกงานหกโมงเย็น

“พี่จะไปช่วยฟ้าเลือกคอนแทคเลนส์ ร้านอยู่ชั้นใต้ดินนี่แหละ แต่ถ้าไปกับพี่จะได้ส่วนลด ระหว่างนี้พวกเราไปหาอะไรทำกันก่อน กินข้าวมาหรือยังล่ะ ?”

ฟากฟ้าพลิกนาฬิกาข้อมือ ปรากฏว่าเขาอยู่ที่ร้านนี้เกือบสองชั่วโมง

“ยังน่ะ” ขุนเขาตอบ “งั้นพวกเราไปหาไรทำก่อนละกัน เดี๋ยวมารับ”

“อื้ม งั้นตกลงตามนี้”

พลอยโบกมือส่งพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถูกลูกค้าอีกกลุ่มยืนขวางไว้

เธอต้อนรับพวกเขาและพาเข้าไปข้างใน เหลือเพียงฟากฟ้าและขุนเขาที่เดินอยู่ด้วยกัน

“ใจดีจังเลยเนอะ” เด็กชายว่า

ขุนเขาพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น

“ใช่ ใจดีมากเลยล่ะ”

“ขุนโชคดีจัง”

“ฉันก็คิดแบบนั้น”

“..ที่ได้พี่พลอยเป็นแฟน”

ขุนเขาหยุดฝีเท้ากึก ฟากฟ้าเลิกคิ้วสูง

“มีอะไร...”

“นายคิดแบบนั้นจริงหรือ ?”

แบบนั้น ?

ฟากฟ้าคิดไปถึงตอนที่พลอยดุขุนเขาเมื่อคราวก่อนที่พาคนอื่นไปห้องนอนของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังหนีออกจากบ้านมาทั้งที่รับปากว่าจะกลับไป

คงดูเหมือนเธอไม่ใจดีเท่าไหร่ละมั้ง

พอสรุปได้แบบนั้นฟากฟ้าจึงยิ้มรับ

“คิดแบบบนั้นจริงสิ ถึงได้บอกว่าขุนโชคดีไง”

ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาสดใสไร้สิ่งใดเจือปน

ขุนเขามองฟากฟ้าด้วยความอึดอัดเป็นครั้งแรก

เด็กหนุ่มอ้าปากจะอธิบาย ทว่าคำพูดนั้นกลับเข้าไปในลำคอ

แก้ตัวให้ได้อะไร ?

ไม่สิ ...เขาจะแก้ตัวไปทำไม ถ้าอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าเขามีแฟนแล้วมันก็ไม่เห็นแปลกอะไร เพราะขนาดที่บ้านยังคิดว่าเขาเป็นแฟนกับพลอยด้วยซ้ำ

แต่ความรู้สึกลึก ๆ ของขุนเขามันกลับตะโกนบอกอะไรบางอย่างที่เขาไม่นึกอยากได้ยิน

“ขุน ?”

ฟากฟ้าเอียงคอมองเพื่อนอย่างสงสัย

สุดท้ายขุนเขาจึงฉุดตัวเองออกมาจากภวังค์

“ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ”

เขาบอกแค่นั้นก่อนออกเดินนำด้วยความรู้สึกที่เบาโหวง

แม้เพียงเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่กำลังตามหลังมาก็รู้สึกไม่อยากได้ยิน

อะไรกันนะ ความรู้สึกที่ไม่ชอบมาพากลแบบนี้ ?



TO BE CONTINUED..............


สำหรับคำถามที่ว่าทำไมพี่น้องบ้านนี้ถึงชื่อไปคนละทางนั้น คำตอบมีอยู่ที่นี่นะคะ
https://www.facebook.com/CROONs.H/posts/259486367722984
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 30-03-2016 15:35:30
ชอบค่ะ เราอยากเห็นฟากฟ้าเปลี่ยนลุคไวๆจัง   :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 30-03-2016 15:47:10
 o13
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-03-2016 15:57:52
รอดูว่าจะทำให้ตื่นตะลึงได้ขนาดไหน
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Thuaphu.H ที่ 30-03-2016 22:49:14
 :call:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 30-03-2016 22:53:14
น้องฟ้ามองโลกในแง่ดี หวังว่า อีพี่พลอยนี่จะ ไม่แอบคิดมิดีมิร้ายกับน้องฟ้านะ. 555. มโนไปไกล
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 31-03-2016 00:23:25
อยากเห็นลุคที่ฟากฟ้าจะเปลี่ยน ต้องน่ารักแน่เลย ส่วนุนเขาก็ใจดีสุดๆ และเหมือนรู้สึกอะไรแล้วใช่ไหม อยากอ่านต่อมากเลย คนเขียนสู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 31-03-2016 14:49:36
คนช่วยมักได้เองนะขุน :hao7:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: daadaadaa ที่ 31-03-2016 15:07:57
ลุคที่ฟ้าเปลี่ยนได้ก็คงเป็นหนุ่มน่ารักแทนหนุ่มเนิร์ด
แต่ขุนนี่เริ่มคิดอะไรกับฟ้าแล้วใช่ไหมมมม
 :hao7:
ปล. พี่พลอยอาจกลายเป็นปัญหาในอนาคตของคู่นี้ (รึเปล่า?)
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-03-2016 20:08:06
ขุนเขาน่ารักจัง  :hao7:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: hinago ที่ 01-04-2016 12:55:35
อยากอ่านต่อๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 5 - เด็กเนิร์ด ~♪『30 มี.ค 59』
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 01-04-2016 14:57:59
รอดูฟากฟ้า นิวลุค :hao7:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 03-04-2016 12:02:36
คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด
   


เกิดมาในชีวิตฟากฟ้าดูหนังนับครั้งได้ ล่าสุดคงเป็นแอนิเมชั่นสามมิติที่โด่งดังจนทำลายสถิติบ็อกซ์ออ ฟฟิศหนังทำเงินตลอดกาลด้วยเหตุผลของพ่อแม่ว่าเขาอาจจะชอบ ถามว่าเด็กชายรู้สึกยังไงก็คงบอกได้แค่ว่าพอดูได้ เขาไม่มีสิ่งสนใจต่อเรื่องบันเทิงชัดเจน สิ่งที่ทำฆ่าเวลาคือการหนังสือนอกเวลาและมันทำให้เขาเพลิดเพลินได้กว่าการนั่งดูรายการทีวี

แต่วันนี้ขุนเขากลับพาเขายืนอยู่หน้ารายการหนังที่จะดู

“เลือกสิ วันนี้ตามใจนาย”

ฟากฟ้ามองรายการภาพยนตร์อย่างลำบากใจ ก่อนจะช้อนตามองอีกฝ่ายขอความช่วยเหลือ

ขุนเขาเลิกคิ้ว

“อย่าบอกนะว่าดูหนังไม่เป็น”

เด็กชายส่ายศีรษะ

“เปล่า แค่ไม่รู้ว่าจะดูเรื่องอะไรน่ะ ให้ขุนเป็นคนเลือกดีกว่านะ”

ขุนเขากลอกตาไปมาเมื่อได้ยินแบบนั้น จากนั้นจึงใช้ความคิด

แล้วชี้นิ้วไปยังหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ขึ้นชื่อมาจากทางฮอลลีวู้ด รับประกันความน่ากลัว ความหลอน แม้กระทั่งหนังจบแล้วจะนอนไม่หลับไปอีกสองสามคืน

ฟากฟ้ากลับหน้าเบ้ทันที

“ไม่เอาหนังผีได้ไหม”

“หนังสยองขวัญกับหนังผีไม่เหมือนกันสักหน่อย”

แต่ฟากฟ้าถอยหลังกรูด

“งั้นเราไปหาอะไรทำอย่างอื่นเถอะ”

เด็กชายหมุนตัวกลับจะชิ่งหนี ขุนเขาจึงเอื้อมมือคว้าคอเสื้อไว้หมับ

“จะไปไหน”

“หนี” ตอบตามซื่อ

เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“ไม่อยากดูก็บอก ไม่จำเป็นต้องฝืนหรือหนี ฉันน่ะชอบหนังสยองขวัญ และฉันก็รู้ว่าถ้าเลือกขึ้นมานายต้องไม่ดูด้วยแน่นอน” ขุนเขาหรี่ตามองประหนึ่งว่าคิดเอาไว้ไม่มีผิด

ฟากฟ้าเป็นมนุษย์ที่หาได้ยากมากในโลกปัจจุบัน เหมือนผ้าขาวบางบริสุทธิ์

จนเหมือนมีกำแพงบาง ๆ กั้นเอาไว้อยู่

เด็กชายทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากนั้นจึงเอ่ยว่า

“หนังซุปเปอร์ฮีโร่ไหม” ลองถามดู

ช่วงนี้จะมีหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ประโคมข่าวกันใหญ่โต เป็นการมิกซ์แอนด์แมชต์ของตัวละครจากแต่ละค่ายเอามาสู้กัน ออกแนวยามศึกเราร่วมกันรบ แต่ยามสงบเรารบกันเอง ฟอร์มใหญ่และอลังการงานสร้างสุด ๆ

การต่อสู้ระหว่างมนุษย์ต่างดาวที่ผันตัวมาเป็นฮีโร่กับคนธรรมดาที่ต้องการล้างแค้นโดยการเป็นฮีโร่อย่างนั้นหรือ ?

“นายชอบเหรอ” เขาถาม

“เคยได้ยินชื่อน่ะ นานมาแล้ว” แน่อยู่แล้ว เพราะค่ายนี้อยู่มานาน

สุดท้ายพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะดูเรื่องดังกล่าว ขุนเขาลากฟ้าให้ไปซื้อตั๋วหนังด้วยกัน โดยให้เหตุผลว่าเด็กชายจำเป็นต้องสื่อสารกับคนอื่นที่นอกเหนือจากเขาด้วย เด็กชายจึงตกลง

แบบฝึกหัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของวันนี้คือฟากฟ้าต้องคุยกับพนักงานหญิงเพื่อซื้อตั๋วหนัง เด็กชายทำได้ไม่เลวทีเดียว อันที่จริงต้องบอกว่าทำได้ดีเกินคาดต่างหาก

“ทำได้ดีมาก” ขุนเขาว่าเช่นนั้นพลางเอื้อมมือลูบหัวคนตัวเล็กกว่า

ฟากฟ้าแน่นิ่งมองอากัปกริยาเด็กหนุ่ม

ขุนเขาชักมือกลับ

“เอ่อ โทษที”

แต่เด็กชายส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร เอ่อ... จะลูบอีกก็ได้นะ”

เพราะฝ่ามือของขุนเขาค่อนข้างใหญ่ สามารถกอบกุมศีรษะเขาได้เกือบทั้งหมด ไออุ่นจากร่างกายแผ่ขยายมาตามเส้นผม ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เด็กชายยิ้มบาง

รู้สึกยังไงไม่รู้

ดูน่ารักทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกัน

ขุนเขาจึงเบือนหน้าหนีไปอีกทางแล้วออกเดินลิ่วด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย

เขาต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ เด็กหนุ่มคิดในใจเช่นนั้น

ในขณะเดียวกันที่เด็กชายเอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อ

“ว่าแต่เมื่อไหร่เราจะเดทกันเหรอ”

คำพูด น้ำเสียงที่ไม่มีจุดประสงค์เจือปน ขุนเขาถึงกับแทบสำลักน้ำลายนึกอยากล้มลงกับพื้นเอาดื้อ ๆ

“นี่นายยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ”

ฟากฟ้าเอียงคอฉงน

ขุนเขาหมดถ้อยคำที่จะเอื้อนเอ่ย เขาตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ

“ก็ที่เราทำอยู่ไงเขาเรียกว่าเดท พามาเลือกเสื้อผ้า พามาดูหนัง และฉันกำลังจะพานายไปกินข้าวระหว่างรอรอบหนังด้วย”
 
สิ้นเสียงฟากฟ้าอ้าปากกว้างเบา ๆ อย่างตกใจ

เอาจริงเรอะ ??

สุดท้ายขุนเขาจึงไม่แน่ใจในแบบฝึกหัดของตนนัก ท่าทางฟากฟ้าไม่มีปัญหาเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แต่กำลังจะมีปัญหาเรื่องชู้สาวนี่ล่ะ

ทั้งที่อ่อนต่อโลกเพียงนั้นกลับแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ซ้ำยังเป็นคนที่โดดเด่นกว่าใคร ดูยังไงแล้วไม่น่าจะเป็นคนใส ๆ แบบนั้น

ทำยังไงจะให้เข้าใจเรื่องแบบนี้มากขึ้นนะ ขุนเขาครุ่นคิด

และแล้วขุนเขาจึงตัดสินใจทำบางอย่าง

เด็กหนุ่มเอื้อมมือของเด็กชายขึ้นมาจับไว้ อีกฝ่ายแสดงความแปลกใจออกมาอย่างชัดเจน

คงต้องเลือกเพิ่มการกระทำเข้าไป

ขุนเขาไม่มองหน้าฟากฟ้าเลย

ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่กล้าหันไปมองมากกว่า

เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม

“ว..เวลาเดทกันต้องสกินชิพอีกฝ่ายด้วย .. เอ่อ .. ถ้าแค่เพิ่งเดทก็แค่จับมือกันไปก่อนจากนั้นค่อยเป็นไปตามลำดับ” พยายามยืดอกออกตัวเหมือนเป็นผู้รู้เต็มประดา

ฟากฟ้าพยักหน้าและยิ้มรับ

“อื้ม ! เข้าใจแล้ว” เด็กชายกำมือเด็กหนุ่มแน่น

บอกตามตรงขุนเขารู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดอยากจะปล่อยมืออีกฝ่ายเลย








เลยหกโมงเย็นมานิดหน่อย เด็กทั้งสองออกจากโรงด้วยความอิ่มเอม

หนังวันนี้สนุกใช้ได้

“สมกับเป็นฮีโร่สายดาร์กจริง ๆ เลยเนอะ ความสามารถนี่เหนือมนุษย์จริง ๆ”

ฟากฟ้าคุยจ้อในขณะที่กำลังเดินออกมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นเป็นของที่หาไม่ได้ง่ายนัก

ขุนเขาพยักหน้าส่ง ๆ

ตอนนี้พวกเขาไม่ได้จับมือกันแล้ว นั่นคงเป็นเพราะตัวขุนเขาเอง

หลังจากที่จับมือกันไปร้านอาหาร เขาถูกสายตาของพนักงานจ้องมองเหมือนพวกเขาเป็นตัวประหลาด ถูกยืนจ้องตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าร่วมสามนาที สุดท้ายขุนเขาจึงลากฟากฟ้าไปร้านอื่น โดนปฏิบัติไม่ต่างกัน เขาเลยขอยุติที่จะจับมือนั้นไป

มือของฟากฟ้าทั้งเล็กและนุ่ม ผิวพรรณต่างจากเด็กผู้ชายอย่างเขาจริง ๆ คงถูกที่บ้านดูแลมาอย่างดี หรือไม่ก็ไม่เคยหยิบจับอะไรมาก่อน

ตรงข้ามกับขุนเขา มือเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เพราะการเป็นนักกีฬาทำให้ต้องล้มลุกคลุกคลานมาบ่อยครั้งจนทั้งตัวหยาบกร้าน ร่างกายจึงได้เปรียบกว่าคนอื่นนิดหน่อย อย่างน้อยก็ในเรื่องความแข็งแรง

ทั้งที่ต่างกันขนาดนี้แต่กลับอยู่ร่วมกันได้

“..แถมมันทำให้รู้ด้วยว่ามนุษย์มีวิธีที่จะรับมือกับมนุษย์ต่างดาวยังไง” ยังคงพูดต่อไป

ขุนเขาลอบมองฟากฟ้าด้วยความคิดที่หลากหลาย เขาอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นความคิดแบบไหน แต่สิ่งที่รู้อย่างหนึ่งนั้นคือว่า

ผู้ชายกับผู้ชายจับมือกันไม่ใช่เรื่องดี อย่างน้อยก็ไม่ดีต่อสังคมรอบข้าง ยิ่งถ้าทุกคนรู้ว่าฟากฟ้าเป็นใครคงต้องเกิดข่าวลือที่ไม่ดีออกมาแน่ ๆ แม้ยุคสมัยนี้พวกเพศทางเลือกจะมีมากขึ้น แต่กับลูกชายคนเดียวของครอบครัวแบบฟากฟ้าคงไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจกันได้

อย่าลืมสิไอ้ขุน ว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ในฐานะอะไร สอนบทเรียนให้หญิงมาชอบเพื่อให้คนขี้แยอย่างฟากฟ้าเอาชนะคนที่ชอบรังแกคนอื่นอย่างชุนจะได้เกิดเป็นขั้วอำนาจสมดุล อย่างน้อยเขาก็เบื่อตำแหน่งลาสต์บอสที่รอให้ชุนมากำจัดจะแย่

ทั้งหมดทำเพื่อตัวเอง แต่ยอมรับด้วยส่วนหนึ่งว่าอยากให้คนแบบฟากฟ้าลุกขึ้นสู้บ้าง

เท่านั้นเอง

“ขุน ?” ฟากฟ้าโบกมือหน้าเขา

เด็กหนุ่มสลัดความคิดทุกอย่างออกจากหัวทิ้งกลับจากภวังค์

“ม..มีอะไร ?”

“พี่พลอยรอแย่แล้วมั้ง”

“น..นั่นสินะ”

ไม่รู้ทำไมต้องพูดตะกุกตะกัก

ฟากฟ้าพลิกดูนาฬิกาข้อมือดูเวลาแล้วหน้าซีด

“ขุน”

“ว่า ?”

“เลยเวลาพี่พลอยเลิกงานมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว”

ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มพลันหันขวับ ตอนจองตั๋วดันลืมไปเลยว่าต้องคำนวนเวลาหนังจบด้วย เด็กหนุ่มล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาดู

4 misscall

ตายแน่ ๆ

ขุนเขาจูงแขนฟากฟ้ารีบออกจากโรงอีกครั้ง

แต่ทว่าไปไหนไม่ได้ไกลพวกเขาพลันชะงัก

พลอยยืนกอดอกอยู่ตรงทางออก หน้าตาดูเซ็งในอารมณ์มากที่สุด

เธอเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นว่า

“เอาล่ะ จะให้พี่ลงโทษพวกเราแบบไหนดี เป็นผู้ชายแล้วให้ผู้หญิงรอนานมันใช้ไม่ได้นะรู้ไหม”

เด็กทั้งสองตัวหดลีบเหลือคนละสองเซ็น ก่อนจะคอตกหน้าจ๋อย

พลอยเป็นว่าที่ครูในอนาคต น้ำเสียงของเธอจึงมีพลังบางอย่างที่ทำให้ต้องรู้สึกเกรง

ขุนเขาไม่ได้กลัว กล้าสาบาน แค่เกรงใจเท่านั้น

สายตาที่จ้องมอง บรรยากาศที่คาดคั้น สุดท้ายเมื่อเห็นทั้งคู่หงอพลอยจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เอาเถอะ คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก ไปกันได้แล้ว”

เธอหมุนตัวแล้วออกเดินนำทั้งคู่ไปอย่างรวดเร็ว ขุนเขาและฟากฟ้ามองหน้ากันก่อนจะเดินตามเธอไป





พลอยพาทั้งคู่ไปร้านคอนแทกเลนส์ชั้นใต้ดิน ที่นี่เป็นร้านที่ทางจักษุแพทย์มาเปิดให้บริการเอง เธอดูสนิทกับเจ้าของร้านดังที่ว่าไว้จริง เมื่อกล่าวถึงส่วนลดก็สามารถให้ได้เทียบเท่ากับสมาชิก ฟากฟ้าจึงไม่กังวลอะไร

เด็กชายยื่นแว่นให้พนักงานตรวจสอบค่าสายตาก่อนจะถูกจับไปตรวจสายตาที่เครื่องตรวจอีกที

“ปกติตัดแว่นร้านไหนหรือ”

จักษุแพทย์หนุ่มเอ่ยถามพลางยิ้มการค้า

“ร้านเพื่อนพ่อน่ะครับ” เด็กชายตอบตามซื่อ

จักษุแพทย์ให้ความเห็นว่าสายตาของฟากฟ้านั้นสั้นตามประสาคนใช้สายตาหนัก ทางที่ดีควรใส่แว่นให้ตลอดเวลา ถ้าไม่อย่างนั้นคงต้องพึ่งคอนแทคเลนส์

“เรามีแบบใสธรรมดาและแบบสี อยากได้แบบไหนล่ะ”

“ขอสองคู่ค่ะหมอ ไว้ใส่ไปโรงเรียนกับใส่ไปเรียนพิเศษ”

พลอยตอบให้เสร็จสรรพ ฟากฟ้าหันไปมองหญิงสาว

ใช่ว่าตนไม่เคยถูกยื่นข้อเสนอให้ใส่คอนแทกเลนส์ แต่เพราะการใส่คอนแทกเลนส์มันดูน่ากลัวสำหรับเด็กชาย จึงหลีกเลี่ยงและใช้แว่นสายตามาตลอด ทว่า..แว่นน่ะ พอใส่นานเข้ามันกลับปวดรอบบริเวณดวงตา สันจมูกเอย ใบหูที่เกี่ยวไว้ เป็นต้น

ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับขุนเขา เพราะไม่อยากให้กังวล

มีแต่ต้องลองด้วยตัวเองเท่านั้น

พนักงานร้านพาฟากฟ้าไปเลือกสีคอนแทกเลนส์โดยมีพลอยประกบข้าง ๆ ส่วนขุนเขานั่งหาวมองทั้งคู่เลือกของด้วยกันพลางคิดเรื่องไร้สาระเรื่อยเปื่อย

ทั้งพลอยและฟากฟ้าเป็นคนที่เด็กหนุ่มไม่คิดว่าจะได้มามีบทบาทในชีวิตของตน แม้พลอยจะเป็นรุ่นพี่ ลูกเจ้าของร้านซ่อมมอเตอไซค์แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้น เขารู้จักเธอมาได้ปีกว่าด้วยเหตุการณ์บางอย่าง ตอนนั้นไม่คิดหรอกว่ามันจะทำให้เขาและเธอรู้จักและอยู่ด้วยกันจนถึงปัจจุบัน ขุนเขาที่มีพี่ชายผู้ซึ่งไม่ค่อยสนใจอะไรนอกเหนือจากเรื่องน่าตื่นเต้นคงเป็นไปได้ยากที่จะหาทางพูดคุยกันเปิดอก แม้ภายนอกครอบครัวจะดูรักกันดี แต่ขุนเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ห่างไกลออกไป ถ้าบอกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่คงเป็นเมื่อตอนที่น้องชายคนสุดท้องได้เกิดมา

ครอบครัวที่ควรมีกันแค่สี่บัดนี้ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิตมาห้าปีแล้ว

ขุนเขาไม่ได้มองว่าเป็นความผิดของคนใดคนหนึ่ง มันเรื่องปกติหากเขาอยู่ในสถานะของลูกชายคนกลางแล้วต้องมีเรื่องให้คิดมากกว่าคนโตและคนเล็กมากกว่าเท่าตัว อย่างน้อยความต้องการของตนก็ไม่ได้รับความเติมเต็ม

หากจะให้อธิบายเป็นรูปธรรมง่าย ๆ คงเป็นแบบ พี่ชายคนโตถูกตามใจเพราะความไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง ส่วนคนเล็กที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่ปีความสนใจของบุพการีย่อมพุ่งไปทางนั้น ส่วนเขาเพราะคนโตไม่สามารถบังคับให้เชิดหน้าชูตาได้ ก็มีแต่ต้องมาลงกับตนที่เป็นคนรองและไล่เลี่ยกัน

ฟากฟ้าเลือกคอนแทคเลนส์แล้วจ่ายเงินที่หน้าเคาท์เตอร์ ระหว่างรอพนักงานรูดบัตรนั้นเจ้าตัวหันมาหาขุนเขาแล้วอมยิ้มให้

ยามที่ไม่มีเรื่องคอยกวนใจฟากฟ้าเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่มีสุขภาพจิตดีคนหนึ่ง ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนั้นถูกบดบังด้วยการกลั่นแกล้งมาโดยตลอดปลุกความอ่อนแอไม่สู้คนและรังแกความรักสงบทำให้กลายเป็นคนบ่อน้ำตาตื้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหัวดื้อกว่าที่คิด อย่างน้อยก็ตอนที่ชอบบังคับให้เขาเข้าห้องเรียนนั่นแหละ

ขุนเขาเผลอยิ้มกลับให้กับท่าทางของฟากฟ้า

ทว่าเด็กชายกลับเบิกตากว้างโดยไม่ทราบสาเหตุราวกับพบสิ่งหวาดกลัว เขาผลุบตาลงต่ำแล้วหันกลับไปหาพนักงานโดยเร็ว

ขุนเขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง

และปฏิกริยาไร้เสียงของสองคนนี้ อยู่ในสายตาของพลอยตลอดเวลา


TO BE CONTINUED..............
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-04-2016 12:44:55
ดูท่าพี่พลอยจะเป็นคนที่มองออกมากที่สุดนะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-04-2016 12:52:00
 :man1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: hinago ที่ 03-04-2016 13:22:46
โอ้ยยยยย น่ารักกก อัพอีกได้ไหม
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-04-2016 17:10:34
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: daadaadaa ที่ 03-04-2016 17:34:23
ฟ้าน่ารักกกกก

ท่าทางพี่พลอยจะรู้อะไรบางอย่าง อิอิ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 03-04-2016 20:37:18
เดี๋ยวเจ๊พลอยดัน :hao7:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 03-04-2016 21:35:58
เง้ออ อะไรๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 6 – แบบฝึกหัด ~♪『03 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 05-04-2016 16:38:41

เพิ่งอ่านไปไม่กี่ตอน ขอเม้นท์ก่อนละค่ะ หนูฟากฟ้าจะทำให้ปร้าเสียจริตกับความน่ารัก ใสซื่อของหนูจริงๆเข้าแล้ว 555+ เด็กอะไรเนี่ย..ขนาดขุนเขาที่ว่าน่ากลัวๆ ยังถึงกับอึ้งกับความซื่อของฟากฟ้าเลยทีเดียว อ่านแล้วนั่งขำ หัวเราะก๊ากเลยค่ะ

เห็นทีต้องขอสมัครเป็นแฟนนิยายเรื่องนี้ด้วยคน  จะรออ่านทุกตอนนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 05-04-2016 16:48:48
คาบที่ 7 - เรื่องของชุน


สิ่งที่ชุนเกลียดมักมีอยู่สามอย่าง

หนึ่ง การที่พ่อเป็นตำรวจ

สอง การที่มีแม่ขี้บ่น

และสาม ลูกพี่ลูกน้องที่ชื่อกรรณะ

ข้อหนึ่งกับสองเขายังพอทน แต่ข้อสามไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ถูกลิสต์ไว้ในใจ ยิ่งโตเหมือนความรู้สึกนั้นเด่นชัดและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น วินาทีที่เห็นครั้งแรกพาลไม่รู้สึกถูกชะตา ยิ่งนิสัยที่เป็นของแถมติดมานั่นยิ่งทำให้ความไม่ชอบขี้หน้าซึมลึกเข้าเส้นเลือด

เพราะแม่เป็นน้องสาวจึงไม่มีอำนาจทางสายเลือดเข้าข่ม

ยิ่งต้องมาเรียกหมอนั่นว่าพี่เขายิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่

"ถ้ามั่นใจในศักยภาพของตัวเองขนาดนั้น แล้วทำไมไม่คว้านางฟ้าประจำโรงเรียนมาครองซะเลยล่ะ ? ไม่ใช่ว่าตัวนายต้องเป็นที่หนึ่งหมดทุกด้านหรอกเหรอชุน ?"

คำสบประมาทอันยิ่งใหญ่ทำให้ชุนถึงกับกำหมัดแน่น ใบหน้ายียวนกวนประสาทนั่นเล่นทำเอานึกอยากตั๊นหน้าอีกฝ่ายเลือดกำเดาไหลสักที

"ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าอยากชกฉันมากสินะเอาสิ ถ้าอยากทำก็ทำ แต่ถ้าทำแล้วฉันจะสั่งสอนนายกลับไปยังไงคงไม่ต้องอธิบายหรอกใช่ไหม"

ความเก่งกาจของหมอนี่แม้แต่ขุนเขายังเทียบไม่ติด

ไม่สิ .. มันคนละระดับด้วยซ้ำ

ชุนเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ยอมรับคำท้านั่นเงียบ ๆ อยู่ในใจ ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว

เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของตำรวจใหญ่ ผู้เป็นแม่จึงคาดหวังให้เขาเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบได้ดั่งใจนึก การเรียนที่หนึ่ง กีฬาที่หนึ่ง ที่รักใครของครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งสาวงามอันดับหนึ่งของโรงเรียนเขาต้องได้ไปครอง

ทว่าคนจับตามองกลับไม่ใช่มารดาของเขาซะนี่

"เฮอะ .. คนอย่างนายจะไปรู้อะไร" ชุนว่าพลางหรี่ตาลง

แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน

"นายไม่รู้ตัวเหรอว่าเป็นหนังสือที่ให้คนอื่นเปิดอ่านได้ง่ายมากน่ะ ลูกชายคนเดียวที่ถูกเลี้ยงดูแบบเก็บกดมันเดาทางได้ไม่ยากหรอก อีกอย่างถึงจะเป็นหนังสือที่หาแนวได้ไม่ยาก แต่พอลองได้อ่านแล้วกลับสนุกเกินคาดเชียวล่ะ"

ดูถูกกันเข้าไป สบประมาทกันเข้าไป

ชุนพ่นลมหายใจใส่แล้วเดินหนีไปในที่สุด

หากจะบอกว่าขุนเขาคือคนที่เขาไม่อยากต่อกรด้วย แต่กับลูกพี่ลูกน้องคนนี้เขากลับไม่อยากข้องเกี่ยวมากที่สุด หากสามารถรีดเร้นเลือดที่ทำให้ต้องเกี่ยวดองกับหมอนี่ออกมาได้เขาคงยอมทำโดยไม่มีเงื่อนไข เพียงแค่คิดว่าต้องหายใจร่วมโลกกันยังรู้สึกสะอิดสะเอียน

กรรณะอายุมากกว่าเขาหนึ่งปี ปัจจุบันเป็นนักเรียนมัธยมสี่ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง การเรียนเป็นเลิศ เคยสอบแข่งขันโควตาโอลิมปิกแต่ไม่ผ่านไปรอบสุดท้าย ทว่าเพียงแค่นั้นก็ทำให้ทั้งโรงเรียนยินยอมพร้อมใจสรรเสริญเสียเต็มประดา เรื่องหน้าตาไม่ต้องพูดถึง เขาดูหล่อเหลามากเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน กล่าวคือหน้าไปก่อนอายุ ดูเป็นหนุ่มและผู้ใหญ่จึงมักมีผู้หญิงอายุมากกว่าเข้ามาข้องแวะไม่ขาดสาย

แต่ข้อเสียของหมอนี่คืออะไรรู้ไหม

หากชุนเป็นเด็กเก็บกด

ตัวกรรณะเองก็คือวัยรุ่นโรคจิต

เบื้องหน้าของรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความฉลาดเฉลียวนั้นกลับเต็มไปด้วยความควันดำคละคลุ้ง จิตใจดำมืดยิ่งกว่าถ่านคาร์บอน ความนึกคิดวิปริตผิดแผก เดาทางไม่ถูก เหมือนหลงอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีทางออก ดวงตาของกรรณะไม่เคยยิ้มด้วยความไร้เดียงสาตามประสาเด็กวัยรุ่นเลยสักครั้ง ชุนมักสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดหวั่นที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำสิ่งชั่วร้ายแบบใดอยู่

สิ่งที่ทำให้ชุนมั่นใจว่าลูกพี่ลูกน้องของตนไม่ปกตินั้นมาจากเหตุการณ์หนึ่ง

สมัยที่ยังไม่นึกเกลียดมาก สมัยที่ยังรู้สึกว่าเป็นเพียงญาติผู้น่ารำคาญ สมัยที่ยังสามารถต่อปากต่อคำได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ชุนเคยขึ้นเสียงใส่กรรณะเรื่องผู้หญิงครั้งหนึ่ง

ผลคือกรรณะหยิบไฟแช็คที่พกติดตัวลนผมผู้หญิงคนนั้นไหม้เกือบหมดศีรษะ

ถามว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่มีการฟ้องร้อง

เป็นเพราะว่าเส้นสายกรรณะเองก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปมากกว่าชุนเท่าไหร่

กรรณะคือลูกชายของนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง ทำเอาการเป็นลูกชายตำรวจแบบชุนดูเด็กน้อยไปเลย ที่สำคัญบิดาทั้งคู่เลี้ยงลูกด้วยวิธีต่างกันนัก จึงทำให้กรรณะกล้าทำร้ายผู้อื่นได้โดยไม่คิดถึงผลกระทบ

เพียงตบด้วยเงินไม่กี่บาทสามารถปิดปากสาวผู้นั้นได้เนียนสนิท

นับแต่นั้นชุนจึงมั่นใจว่าตนจะต้องเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายให้ได้ ไม่ว่าจะต้องปกครองด้วยความหวาดกลัว หรือต้องใช้กำลังมากเพียงไหน เขาจะไม่มีวันเป็นแบบผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด และจะไม่ยอมให้กรรณะมาทำอะไรเขาทั้งสิ้น

หากพูดให้ถูกแล้วความจริงชุนเพียงแค่หวาดกลัว

กลัวในสิ่งที่อีกฝ่ายจะทำกับตน






ชุนเผลอหักดินสอแหลกคามือ เขาเงยหน้ามองนาฬิกา เวลาตีสอง เพิ่งทบทวนบทเรียนไปไม่ถึงครึ่ง เด็กหนุ่มหาวหวอดอย่างเหนื่อยล้า ระยะหลังมากนี้เหมือนจะมีเรื่องมากขึ้น ทั้งเรื่องของอำนาจและหัวใจ เหมือนศัตรูจะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งทั้งที่เป็นเพียงหนูตะเภาที่สามารถถูกจับย่างได้ทุกเมื่อ

ขุนเขาคือคนที่อยู่เหนือการควบคุม และที่เหนือกว่านั้นคือเด็กชายที่ชื่อฟากฟ้า

ไอ้คนขี้แยคนนั้น..

ชุนขมวดคิ้วพลางนึกถึง

คนแบบนั้นมีอะไรดี มีอะไรให้ต้องน่าปกป้องกัน ?

นึกโมโหที่ขุนเขาไม่เคยคิดอยากร่วมกลุ่มเดียวกับตนเพื่อก้าวสู่อำนาจอันยิ่งใหญ่ ชุนรู้ดีว่าหากสองขั้วอำนาจได้จับมือรวมกันแล้วแม้แต่อาจารย์คงไม่กล้าต่อกร ความเป็นคนรู้จักไม่ช่วยเรื่องเส้นสายเท่าใดนัก อย่างน้อยขุนเขาก็เป็นตัวอย่าง มันจึงทำให้เขายิ่งรู้สึกฉุน ซ้ำฟากฟ้ายังคิดจะแย่งหญิงที่เขาหมายตาอีก จึงทำให้คานอำนาจของตนเริ่มสั่นคลอน

อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งสองคนนั้น

ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ...

เขาจะโดนลูกพี่ลูกน้องหัวเราะเยาะและอาจถูกเป็นเป้าหมายต่อไป

"โธ่เว้ย.."


เด็กหนุ่มได้แต่กัดฟันกรอดโดยที่ตนทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย





เช้าวันเสาร์กอยล์ลาป่วย อันที่จริงคงชื่ออื่นแต่ชุนลืมไปแล้ว กอยล์เป็นลูกน้องที่มีสติปัญญามากที่สุดในบรรดาคนที่ติดสอยห้อยตาม จำไม่ได้แล้วว่าเอามาเป็นพวกได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็มียักษ์ขนาบข้างคอยคุ้มกันเสียแล้ว

ชุนกับกอยล์เรียนพิเศษด้วยกันวันเสาร์ แต่เพราะอีกฝ่ายลาป่วยชุนจึงต้องไปตัวคนเดียว

เด็กหนุ่มตื่นสายกว่าปกติ กว่าจะออกจากบ้านจวนได้เวลาเต็มที

ระหว่างทางออกจากบ้านเขาเจอกรรณะกำลังเดินควงแขนกับหญิงสาวหน้าตาน่ารัก ในใจเด็กหนุ่มคิดว่าคงเป็นรายต่อไปที่จะโดนเผาผม

เขาทำเป็นมองไม่เห็นสองคนนั้น

แต่..

"อ้าวชุน เพิ่งไปเรียนหรือ ?"

คำทักทายเหมือนพี่ชายทักน้องชายด้วยความสนิทสนมใจดี

แต่ชุนรู้ว่าภายใต้หน้ากากนั้นแฝงสิ่งใดอยู่

"อืม พี่ณะล่ะ"

"พี่มีเรียนบ่ายน่ะ เดี๋ยวแวะไปเอาของที่บ้านก่อน"

ดูจากความกรุ้มกริ่มของหญิงสาวคงไม่ใช่แค่เอาของกระมัง

ชุนยักไหล่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ เพราะอันที่จริงเขานึกอยากวิ่งหนีเต็มแก่

เด็กหนุ่มพลิกนาฬิกาข้อมือแล้วบอกว่า

"ฉันไปก่อนละ สายแล้ว"

ชุนเดินผ่านเลยอีกฝ่ายไป ภาวนาในใจขอให้มันเสร็จสิ้นโดยเร็ว

แต่เหมือนกรรณะจะอ่านใจเขาออก

แขนข้างซ้ายถูกฉุดรั้งเอาไว้ เด็กหนุ่มหยุดกึก หันไปมองลูกพี่ลูกน้องด้วยความระแวง

"จะทำอะไร"

กรรณะไม่ตอบ เขายิ้มหวานอันอ่อนโยน

แต่ชุนกลับขนลุกซู่ไปทั้งตัว

เด็กหนุ่มนึกอยากก้าวถอยหลังแล้ววิ่งหนีหน้าตั้งให้ไกลจากตรงนี้ ไม่ก็ร้องขอความช่วยเหลือกับคนที่เดินผ่านมาผ่านไป ทว่าถนนซอยนี้มีเพียงแค่เด็กมัธยมสามคนเท่านั้น

ชุนหน้าซีด โดยที่เด็กสาวที่ยืนข้างกันมองด้วยความไม่เข้าใจ

ฟันกระทบกันกึกกึกอย่างยากจะระงับ

"ป..ปล่อย" เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

รอยยิ้มของกรรณะยิ่งดูน่าหวาดกลัวแม้คนภายนอกจะเห็นเป็นเพียงรอยยิ้มอันอบอุ่นของพี่ชาย

"อะ ขอโทษ"

กรรณะว่าพลางปล่อยมือ ชุนเก็บมือทั้งสองข้างของตนมาเก็บกุมไว้ที่อก

เกิดความเงียบรอบตัว สุดท้ายชุนจึงตัดสินใจก้าวออกจากตรงนั้น

"ป..ไปก่อนนะ"

เดินหน้าอย่างช้า ๆ สามก้าว ก่อนตั้งสติแล้วออกวิ่งสุดแรงเกิด

เสียงอื้ออึงของลมพัดดังข้างหู

ความกลัวพุ่งถึงขีดสุด

ความอารมณ์ดีของกรรณะวันนี้ จะเป็นตราบาปให้แก่เด็กสาวคนนั้นไปตลอดชีวิตเป็นแน่แท้

นึกเจ็บใจ นึกแค้นใจที่ตนไม่สามารถต่อกรใด ๆ ได้ ความมืดของคน ๆ นั้นมันดำดิ่งลึกจนเกินไป มองไม่เห็นแสงสว่างจากนัยน์ตาคู่นั้นเลยสักนิด

"อ๊ากกกกกกกกกกกกกก !!"

ชุนได้เพียงแต่กรีดร้องเสียงดังเพื่อขับไล่ความรู้สึกอันน่าแสนรังเกียจนั้นออกไป






รถสองแถวมาส่งถึงหน้าโรงเรียนกวดวิชา

แน่นอนว่าถูกคนรอบข้างมองด้วยสายตาสงสัย

ชุนเดินผ่านกระจกของโรงเรียนแล้วพลันตกใจ

หน้าตาซีดขนาดนี้ได้ยังไงกันเนี่ย ?

เด็กหนุ่มมองไปรอบตัว มีนักเรียนเพียงน้อยนิด คงเพราะเข้าห้องเรียนกันไปหมดแล้ว

ชุนค่อยเดินเข้าโรงเรียนพลางสูดลมหายใจเข้าลึกสองสามครั้ง พยายามปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ

โชคดีที่เขามาถึงก่อนเริ่มคาบ แต่ถึงอย่างนั้นกลับเข้าห้องเป็นคนสุดท้าย โต๊ะที่นั่งประจำว่างเปล่า เด็กหนุ่มกลอกสายตามองรอบห้อง ความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างกลับรวมไปจุกอยู่ที่ใครคนหนึ่ง

แว่นตาสุดเนิร์ด กับหน้าตาที่ดูเหรอหรา และเป้ผ้าขนาดใหญ่

ฟากฟ้า ..

ชุนมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกยากอธิบาย

ไม่ได้ดีใจ ไม่ได้เกลียดชัง ไม่มีความรู้สึกใดเป็นพิเศษ

แต่กลับรู้สึกว่าตัวตนของตัวเองกำลังกลับคืน

ชุนปั้นหน้าเรียบนิ่งเดินตรงไปหาฟากฟ้าที่ลอบมองมาทางตนเป็นระยะ แม้เป็นฝ่ายถูกแกล้งแท้ ๆ แต่กลับไม่เคยเอาเรื่องสักที ครอบครัวฟากฟ้าไม่ใช่คนธรรมดา เศรษฐีมีเงินล้นฟ้าขนาดนั้นสามารถจะเอาเรื่องกับตำรวจได้ด้วยเงินแต่กลับไม่ทำ ซ้ำยังอยากยืนหยัดสู้และเผชิญหน้ากับเขาด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

ช่วงนี้แม้แต่ชุนยังคิดว่าฟากฟ้าดูเปลี่ยนไป ในทิศทางที่ดีมากขึ้น

เพราะขุนเขาสินะ ...

ชุนเมินที่นั่งประจำกลางห้อง เขาสาวเท้าไปหาเด็กขี้แยที่เคยถูกตนรังแก ยอมรับว่าเขาไม่ได้ตกปากรับคำขุนเขาว่าจะรามือจากหมอนี่เสียทีเดียว แต่เพราะสองคนนั้นอยู่ด้วยกันจนเขาทำอะไรไม่ได้

หน้าตาของฟากฟ้าดูเหรอหราอย่างเห็นได้ชัด ถ้ากรรณะบอกว่าเขาคือหนังสือที่อ่านง่าย แล้วอย่างฟากฟ้านี่คืออะไร ? พวกป้ายโฆษณาที่รู้เจตนาบนสิ่งพิมพ์อย่างนั้นเรอะ ?

รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเกร็ง ยิ่งฟากฟ้ามีปฏิกริยาต่อเขามากเท่าใดชุนยิ่งรู้สึกได้รับการเติมเต็ม

ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ มีชีวิตอยู่ตรงนี้

ชุนทำทุกอย่างเป็นปกติไม่แม้แต่หันไปมองด้วยซ้ำ เขายังคงนั่งเรียนแบบที่ผ่านมา และรู้เพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่านั่งหน้าห้องก็ไม่เลว

จู่ ๆ เด็กหนุ่มพลันเอ่ยถาม

"วางแผนจะทำอะไรกับขุนมันอีกล่ะ"

บอกตามตรงว่าตอนถามไม่ได้คิดอะไร สองคนนี้จะไปไหนมันไม่ใช่เรื่องของตน

ฟากฟ้าพลันสะดุ้งเมื่อถูกตั้งคำถาม หน้าตาดูอึ้งไปเล็กน้อย สายตากลมโตนั่นหันมามองด้วยความเหรอหรา

"ว่าไงล่ะ" ชุนถามย้ำ

ไม่ใช่กงการอะไรของตนแท้ ๆ แต่กลับอยากรู้เพราะปฏิกริยาคนตรงหน้า

ฟากฟ้าหลุบตาลงต่ำ สีหน้ากำลังลำบากใจ เหมือนว่าเขากำลังล้วงความลับสำคัญ

"เอ่อ.. เปล่า ไม่ได้วางแผนอะไร"

ชุนยักไหล่ให้กับคำตอบนั้นในขณะยังจดเล็กเชอร์บนกระดาน สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้า

"ม...มีอะไรหรือเปล่า"

"ใครอนุญาตให้นายตั้งคำถามกับฉัน ?"

ชุนถามกลับทันทีโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่าฟากฟ้าตัวหดลีบเหลือสองเซ็นต์

เหมือนหนูตัวเล็ก ๆ ที่กำลังสงสัยในตัวราชสีห์ ชุนลอบมองทุกอย่างนี้พลางคิดในใจอย่างเงียบ ๆ

หากเป็นตัวฟากฟ้าคงรู้สึกอึดอัดจนอยากจะเดินหนี

แต่กับชุนตอนนี้เขากลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ความหวาดกลัวต่อลูกพี่ลูกน้องพลันหายไป เหลือเพียงแค่ความนึกสนุกที่ได้เห็นอากัปกริยาของคนนั่งข้าง ๆ

ชุนไม่รู้เลยว่าความรู้สึกนี้คืออะไร รู้แค่เพียงว่าอยากมีตัวตนกับคน ๆ นี้ต่อไปเท่านั้น

"ขอโทษ.."

และกลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงอย่างสมบูรณ์



TO BE CONTINUED.......
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 05-04-2016 17:01:34
ยังอ่านไม่ถึงตอนก่อนหน้าเลย แต่แอบเห็นตอนใหม่เลยแวะเข้ามาขอบคุณก่อน  :pig4: จะรีบอ่านให้ทันนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-04-2016 17:31:30
เริ่มเห็นใจชุนขึ้นมาละ เด็กที่ต้องผจญกับสงคราม(กองโจร)ประสาทคนเดียวคงหาทางออกให้ตัวเองได้ยาก แถมยังมีความกดดันจากทางบ้านเป็นทุนอีกต่างหาก ถ้าชุนมีเพื่อนดี ๆ สักคนคงดีไม่น้อย

ทำไมรู้สึกเหมือนขุนเขาจะมีคู่แข่งนะ ฮา (ขุนเขา: คู่แข่งอะไรเหรอ// ทำหน้างงสงสัย)
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 05-04-2016 19:17:09
ยิ่งอ่านยิ่งระแวงกรรณะ กลัวฟากฟ้าจะหลงเข้าไปในวงโคจรของคนอันตรายอย่างนั้นจัง ขนาดชุนยังกลัวซะขนาดนั้น  จนต้องหาทางออก มากลั่นแกล้งฟากฟ้าที่อ่อนแอกว่า ถึงฟากฟ้าจะมีขุนเขาอยู่ข้างๆ แต่ด้วยวัยและอิทธิพลของครอบครัวกรรณะ ที่ดูเหมือนจะส่งเสริมลูกชายด้วย  ขุนเขาจะปกป้องฟากฟ้าได้หรือเปล่า ดังนั้น...กรรณะไปไกลๆเถอะ ชิ้วๆ~~~ :mew5: แค่ชุน ฟากฟ้าก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: hinago ที่ 05-04-2016 21:20:57
 :katai1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: daadaadaa ที่ 05-04-2016 21:24:03
อ่านแล้วก็หวังว่ากรรณะจะไม่ต้องมายุ่งมาเจอกับฟากฟ้าและขุนเขา
ส่วนชุน ไอ้อาการแบบนี้เรียนอาการเริ่มต้นของความรักจ้ะ
แต่เสียใจฟากฟ้าเป็นของขุนเขานาจา
 :katai5:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 05-04-2016 21:52:40
เรื่องสนุกและละมุนมากๆ ครับ
คนจิตใจดำมืดที่เก่งฉลาดเส้นสายดีอย่างกรรณะนี่คงต้องให้สามคนนี้รวมพลังกันต่อกรถึงจะสยบลงได้
จะเป็นอย่างงั้นไหมหนอ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-04-2016 22:18:20
ชุน อยู่กับฟากฟ้าแล้ว รู้สึกดี ?
แล้วความรู้สึกดีๆ จะทำให้แปรเปลี่ยนเป็นชอบหรือเปล่า
จะพาให้กรรณะ พัวพันมาถึงฟากฟ้า ? :katai1:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-04-2016 22:19:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-04-2016 22:32:09
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-04-2016 23:06:36
เหมือนจะไม่ใช่ใสๆ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 06-04-2016 13:28:43
ชุนนี่ก็น่าสงสารนะ อยากอ่านต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 06-04-2016 19:43:44
ทำไมมีความคิดว่าชุนจะกลายเป็นของเล่นของกรรณะ  :katai4: :katai1: เง้ออออ น้องฟ้าสุดฮ๊อตต  :hao7:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 06-04-2016 20:13:42
ชุนแลดูมีความเคะ 555555
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 7 – เรื่องของชุน ~♪『05 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 06-04-2016 20:44:28
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 08-04-2016 15:03:31
คาบที่ 8 - รอยยิ้ม

 

ถ้าอยากจะผ่านด่านนี้ได้ เขาต้องลองใส่คอนแทคเลนส์ 

ฟากฟ้านั่งอยู่บนฝาชักโครกด้วยอารมณ์ขุ่นมัว วันนี้ไปเที่ยวมาสนุกก็จริง แต่กลับมาถึงบ้านเขาแทบไม่เอ่ยปากคุยกับใคร ความลำบากใจกำลังพุ่งถึงขีดสุด ของในมือคือกล่องคอนแทคเลนส์ที่เขาไม่กล้าบอกขุนเขาว่าใส่ไม่เป็น และรู้สึกกังวลมากเป็นพิเศษ

เด็กชายหันไปมองกระจกเงา ตรงสันจมูกเป็นรอยแว่น สภาพไม่ชินตา เขาชอบเวลาใส่แว่นมากกว่าอย่างน้อยแว่นตาก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกหลบอยู่หลังเลนส์ ซึ่งเป็นความคิดของคนขี้ขลาดระดับสูง

เด็กชายถอนหายใจออกมาเสียงเบา

พยายามถ่างตาก็แล้ว แม้กระทั่งยื่นนิ้วที่มีคอนแทคเลนส์เข้าไปใกล้ยังต้องหลับตาหลบ 

จะทำยังไงล่ะทีนี้ ? 

ฟากฟ้านึกหาหนทางไม่ออก มองไปรอบห้องน้ำก็ไม่มีตัวช่วยเลยสักอย่าง

สุดท้ายจึงวางมันไว้อย่างนั้นด้วยความคิดที่ว่าพรุ่งนี้ค่อยมาพยายามใหม่ 

 
แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น 

เมื่อวันถัดมาเขาถูกขุนเขาทักด้วยสีหน้าดุดัน

"ทำไมยังใส่แว่นอยู่ ?" 

น้ำเสียงที่แตกหนุ่มยามเมื่อกดมันลงกลับทุ้มต่ำจนน่ากลัว

ฟากฟ้าสะดุ้งโหยงก่อนหลุบตาลงต่ำ

"ล..ลืมน่ะ"

โกหกคำโต

ทว่ามันไม่หลุดรอดสายตาของขุนเขาไปได้เลย

"ลืมจริง ๆ น่ะเหรอ ?" 

สายตาของขุนเขาเวลานี้ช่างคมกริบ เขาจ้องมองฟากฟ้าแทบทะลุไปด้านหลัง ส่วนเด็กชายได้แต่เลิ่กลั่กหันไปมองซ้ายมองขวาทีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร 

ไม่อยากบอก เพราะไม่อยากรบกวนไปมากกว่านี้

คนขี้ขลาดแบบเขามันน่าสมเพชที่สุด

ขุนเขาที่เห็นอากัปกริยาฟากฟ้าพลันสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก คงไม่ต่างจากที่คิดไว้เท่าใดนัก เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนขี้ลืม แล้วก็ไม่ใช่คนปฏิเสธคำพูดของคนอื่นด้วยการหน้ามึนไม่ยอมทำตามด้วย

ต้องมีอะไรสักอย่าง

ระหว่างเพ่งพิจารณาอาจารย์ประจำชั้นเริ่มโฮมรูมห้องพอดี ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องละสายตาจากเพื่อนหันไปสนใจหน้าชั้นแทน

อาจารย์สอดส่ายตาไปรอบห้อง เธอเป็นทั้งครูสังคมและประจำชั้นพวกเขา แถมสนิทกับอาจารย์แนะแนวอีก เลยทำให้ค่อนข้างเข้มงวดกับนักเรียนในห้องเรื่องการเรียนต่อ 

แน่นอนว่าเช้านี้คงไม่ต่างกัน

"อาทิตย์หน้าโรงเรียนสาธิตมหาลัยประจำจังหวัดจะเข้ามาแนะแนว ครูไม่อยากให้พวกเธอโดด" สายตาของเธอพุ่งตรงมายังขุนเขาอย่างไม่เกรงใจ

เด็กหนุ่มพ่นลมอย่างหงุดหงิด น่าจะรู้ว่าช่วงนี้เขาทำตัวเป็นเด็กดีจะตาย 

อย่างว่า คนมีประวัติมันย่อมไม่มีทางดีได้ภายในสองสามวัน

เพื่อนทั้งชั้นพอเห็นสายตาอาจารย์ก็พลันหันมาสนใจที่เขาโดยไม่ได้นัดหมาย

ยกเว้นชุนที่นั่งกลอกตาไปมาอย่างเซ็ง ๆ 

ขุนเขาขมวดคิ้วจ้องมองอาจารย์กลับอย่างเปิดเผย 

"มีอะไรหรือเปล่านายขุนเขา" อาจารย์ถามเสียงเย็น 

ความกดดันค่อยกระจายไปทั่วห้อง ฟากฟ้าพยายามเรียกสติให้ขุนเขากลับมาเหมือนเดิม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ในสายตาคนอื่นขุนเขาไม่ใช่เด็กที่ดีนัก เผลอ ๆ ดูก้าวร้าวด้วยซ้ำ การที่อยู่กับฟากฟ้าจึงต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลกมาก บางทีฟากฟ้าอาจถูกมองว่าเป็นเบ้ หรือลูกน้องไปแล้วก็ได้ 

ภาพลักษณ์ติดตามมาตลอดสองปีกว่ามันยากที่จะลบ

"เปล่าครับ แค่สงสัยว่าเมื่อไหร่อาจารย์จะพูดต่อน่ะ" เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง อย่างไร้อารมณ์ 

แต่อาจารย์กลับต่อความยาวสาวความยืด

"เพราะครูต้องการเน้นย้ำเรื่องการโดดเรียน การแนะแนวเรียนต่อนั้นสำคัญมาก ต่อให้เป็นเธอก็ตาม" 

"ก็จริงครับ แต่ไม่ได้หมายความว่านักเรียนม.สามของที่นี่จะอยากเข้าสาธิตกันหมดนี่ครับ พวกอยากเรียนสายอาชีพก็มี หรือพวกที่อยากไปเรียนที่อื่นก็มี ผมว่าการแนะแนวควรเป็นเรื่องความสมัครใจของคนเรียนไม่ดีกว่าหรือครับ ยังไงแล้วคนที่เรียนคือพวกผมไม่ใช่อาจารย์"

ประโยคที่ยาวเหยียดยกเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ นั้นไม่ได้ทำให้อาจารย์สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แต่ความก้าวร้าวต่อครูบาอาจารย์ในสายตาเพื่อนกลับทำให้ตัวขุนเขาดูแย่ลง

เธอแสยะยิ้มแล้วบอกว่า

"เหมือนเธอจะเข้าใจอะไรผิดไปเยอะเลยนะขุนเขา" อาจารย์ว่า "การแนะแนวจากโรงเรียนสาธิตไม่ได้มีแค่การแนะนำสถานที่เรียนให้เท่านั้นหรอกนะ อันที่จริงโรงเรียนสาธิตจะไม่มาแนะแนวก็มีคนอยากสอบเข้าเยอะแยะอยู่แล้วถูกไหม แต่ที่ไม่อยากให้พวกเธอพลาดเพราะมันเป็นการแนะแนวจากโรงเรียนมัธยมปลายที่มุ่งเน้นการเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัย นี่แหละที่ครูอยากให้พวกเธอได้เรียนรู้แล้วลองเอาไปเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่นที่พวกเธอจะเข้า การรู้ตัวเลือกเพิ่มมาสักหนึ่งตัวเลือกมันจะทำให้ชีวิตของเธอมีโอกาสหลากหลายขึ้น ไม่คิดแบบนั้นบ้างหรือ ?"

คำพูดของเด็กหนุ่มหมดความหมายทันทีเมื่อเจอประโยคที่ยาวกว่า 

แต่ขุนเขากลับบอกว่า

"แล้วเราจะเสียเวลาไปกับตัวเลือกที่ไม่ใช่ทำไมล่ะครับ ในเมื่อเรามองเห็นอนาคตของตัวเองแล้ว"

"แล้วเธอเห็นอนาคตของตัวเองหรือยังล่ะขุนเขา ? "

คำถามนั้นกลับแทงใจดำเด็กหนุ่มเข้าเต็ม ๆ ขุนเขาพลันสะอึกเล็กน้อย เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วห้อง

โจทย์ไม่ได้ยาก แต่คาดว่าทุกคนคงอยากรู้เส้นทางที่เขาอยากเดิน

เด็กเกแบบนี้จะมีตัวเลือกสักกี่ตัวเลือกกัน

ขุนเขาเงียบ ไม่ตอบโต้อะไร เขาเหลือบไปเห็นฟากฟ้าที่อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาว่างเปล่า

ฟากฟ้าตอบเขาด้วยการทำท่ารูดซิบปิดปากไม่ให้พูดต่อ สีหน้าจริงจัง จริงจังจน.....

ใช่ มันตลกมาก

จนอดไม่ได้ที่จะ ... 

"พรืดดดดดด" ขำออกมา

ท่ามกลางความตึงเครียดถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของขุนเขาซะอย่างนั้น 

ฟากฟ้าทำหน้าเหวอเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกริยาจากอีกฝ่าย ทั้งที่พยายามบอกให้หยุดเถียงอาจารย์กลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องน่าขันไปซะนี่ 

อาจารย์หน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแหยถามว่า

"มันน่าตลกตรงไหน"

ขุนเขาโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธแล้วตอบว่า

"เปล่าเลยครับ มันไม่เกี่ยวกับอาจารย์เลย ใช่ครับ ผมจะมองเห็นอนาคตของตัวเองหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับอาจารย์เลยไม่ใช่หรือครับ" 

สิ้นเสียงกลายเป็นว่าขุนเขาเปิดศึกสงครามประสาทกับอาจารย์เต็มรูปแบบไปเสียแล้ว

ครั้นพออาจารย์จะเปิดปากให้เหตุผลต่อ มือของใครคนหนึ่งพลันชูหราขึ้น

แขนนั้นถูกยืดสุดตัวจากโต๊ะกลางห้อง คนที่ไม่มีใครคิดว่าจะออกตัวในสถานการณ์เช่นนี้

ชุนทำสีหน้าเบื่อหน่ายสุด ๆ 

เขาเอ่ยด้วยเสียงยานคาง

"หมดเวลาโฮมรูมแล้วคร้าบบบบ" 

ศึกศิษย์อาจารย์จึงจบลงแค่นั้น อาจารย์ประจำชั้นฮึดฮัดเดินจากห้องไป คงค้างคาใจที่กำราบนักเรียนลงไม่ได้อย่างที่ใจนึก 

ขุนเขาจ้องมองชุนจากด้านหลังด้วยความสงสัย ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แถมสีหน้าแบบนั้นดูไม่เต็มใจสุด ๆ อีกด้วย จะบอกว่าทำด้วยความตั้งใจของตัวเองนั้นคงใช่ แต่ถ้าบอกว่าไม่มีเจตนาอะไรแอบแฝงนั้นดูเหลือเชื่อไปสักหน่อย

ทว่าชุนกลับไม่หันมามองทางเขาเลยสักนิด ซ้ำยังเตรียมตัวเรียนคาบต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฟากฟ้าเลิกมองเขาไปแล้ว เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อระงับอารมณ์ ดูจะวิตกกังวลมากกว่าคนที่มีเรื่องอย่างเขา 

สุดท้ายจึงเลิกคิด หากว่าชุนตั้งใจช่วยจริง พวกที่หยิ่งในศักดิ์ศรีแบบนั้นคงไม่อยากได้คำขอบคุณ หรือไม่คงเป็นเรื่องบังเอิญเพราะหมดเวลาโฮมรูมแล้ว แต่คนอย่างชุนไม่ใช่คนตั้งใจเรียนถึงขนาดต้องขัดอาจารย์เวลาที่เขาตกที่นั่งลำบาก งานของชุนคือต้องการให้เขาเป็นตัวประหลาดที่สุดในสายตาทุกคนไม่ใช่หรือ ? 
 
               
เพราะชั่วโมงโฮมรูมเกิดเรื่องแบบนั้น เลยทำให้ฟากฟ้าแทบสติแตกทันทีเมื่อถึงเวลาพัก เด็กชายรีบตรงไปหาเพื่อนด้วยสีหน้าถมึงทึง แต่มันไม่ดูน่ากลัวสักนิด ตรงกันข้าม มันดูเหมือนสัตว์เล็ก ๆ ที่กำลังพยายามโมโห

“โอเค ถ้าจะบ่นค่อยหลังเลิกเรียน”

ขุนเขารีบว่าตัดบทแล้วลุกขึ้นหมายเดินหนี 

แต่ฟากฟ้ากลับดึงแขนเสื้อเอาไว้

“ไม่ได้” 

“เฮ้...”

คิดอยากจะเถียง แต่พอหันไปพบกับสีหน้าที่แปรเปลี่ยนขุนเขาถึงกับพูดไม่ออก

ริมฝีปากเบะเหมือนจะร้องไห้ ดวงตาแดงรื้นนิดหน่อย เหมือนเจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้เต็มที่ ฟากฟ้ายกแขกที่ว่างปาดน้ำตาออกแล้วบอกด้วยเสียงสั่นว่า

“อ..อาจารย์คนนี้ชอบกดคะแนนคนที่ชอบต่อต้านแกนี่นา ผมกลัวว่าขุนจะโดนกดจนทำให้เรียนไม่จบเอาน่ะสิ ป..เป็นห่วงแทบแย่”

แค่เห็นสีหน้าก็แทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว ยิ่งประโยคที่พูดออกมานั้นยิ่งทำให้ขัดใจไม่ได้ใหญ่

คำว่าเป็นห่วงนั้นน่ะ

มาจากใจจริงเลยไม่ใช่หรือไง

ขุนเขาหันไปมองรอบห้องสังเกตคนรอบข้าง โชคดีที่ไม่มีใครสนใจ ทุกคนล้วนแต่หันไปคุยกับเพื่อนฝูง การที่พวกเขาอยู่ด้วยกันกลายเป็นเรื่องชินตาแล้ว

...ซะที่ไหนล่ะ 

สายตาของเด็กหนุ่มไปสบตากับคนที่อยู่กลางห้อง 

แววตาภายใต้เลนส์ใสนั้นดูว่างเปล่า แต่กลับสะกดให้ขุนเขานิ่งงัน 

ชุนมองมาทางพวกเขาชนิดที่จ้องตาไม่กระพริบ 

รอบข้างชุนคือลูกน้องที่นั่งกินขนม หยอกล้อตามประสาเด็กมัธยมต้น มีเพียงชุนที่ดูแปลกแยกกว่าคนอื่น ราวกับว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้ไม่จำเป็น เหมือนเป็นกุนซือประจำกลุ่มที่มักคิดอะไรไม่รู้ตลอดเวลา บางทีท่ามกลางความโหวกเหวกโวยวายของเหล่ากอริล่า จ่าฝูงอย่างชุนก็นั่งอ่านหนังสือเข้าใจยากซะอย่างนั้น 

หากให้เทียบอันดับเรื่องการเรียน ชุนกับฟากฟ้าคู่คี่กันมาตลอด แต่ความเนิร์ดของฟากฟ้ามีมากกว่าหลายเท่า แน่นอนว่าความขี้แยไม่ต้องพูดถึง แต่เพราะชุนอยู่ท่ามกลางพวกใช้แรงงานมากกว่าสมองเลยทำให้ความเนิร์ดของชุนติดลบ

ขุนเขาจัดระเบียบความคิดของตัวเองไม่ทัน เมื่อถูกจ้องมองแบบนี้เขาไม่รู้จะทำอย่างไร

จึงจ้องกลับไปเป็นเชิงถาม

แต่ชุนกลับแสร้งมองไปทางอื่นราวกับไม่เคยมองมาทางพวกเขาอยู่เลย 

ยังไงกันแน่ ? 

จะให้เดินเข้าไปถามคงดูหาเรื่องไปหน่อย เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งขมวดคิ้วอย่างหาคำตอบ

วินาทีนั้นเองที่ชุนขยับปากมาหนึ่งคำแบบไร้เสียง 

ริมฝีปากห่อขึ้นเป็นรูปวงรี และพ่นลมก่อนเม้มริมฝีปากห่อเป็นรูปวงรีอีกครั้ง 

จับใจความได้ว่า

โฮโม

สิ่งที่ชุนเคยกล่าวหาว่าเขาเป็น สิ่งที่เคยสงสัย สิ่งที่เขาเคยปฏิเสธ

ขุนเขารู้สึกจุกอยู่ในลำคอ ไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร ได้แต่มองชุนที่หันไปคุยกับลูกน้องคนสนิทราวกับเสแสร้ง 

เด็กหนุ่มหันไปมองฟากฟ้าที่พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึก ฮึบ ฮึบ อยู่อย่างนั้น 

ขุนเขาจับมือของฟากฟ้าออกจากเสื้อของตน และหาทางเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อน

“คอนแทคเลนส์น่ะ ใส่ไม่เป็นใช่ไหม”

ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างเล็กน้อย สีหน้าเหรอหราประหนึ่งว่าเขาเป็นพวกเอสเปอร์อ่านใจ ทั้งที่คนอย่างฟากฟ้าเดาได้ไม่กี่อย่าง 

ขุนเขามองอีกฝ่ายให้ชัดเต็มสองตา เพื่อขจัดความกังวลที่อยู่ข้างในค่อยก่อตัวทีละน้อย

สายตาของชุนมีความกดดันมากกว่าที่คิด 

และที่พูดไม่ออกกว่านั้นคือความคิดที่ว่าตนไม่ควรถลำลึกลงไป 

เพราะตนคือติวเตอร์ผู้ช่วยเหลือ ..

จะมารู้สึกอะไรกับลูกศิษย์ไม่ได้

มันคือจรรยาบรรณไม่ใช่หรือไง

ระหว่างที่คิดสะระตะพันกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย ทุกอย่างทุกพังครืนด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่แตกดีของฟากฟ้า

“..ขอโทษนะ”

เขาสิที่ต้องขอโทษ 

ขุนเขาก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ความไม่บริสุทธิ์ใจก่อตัวเป็นรูปร่าง ยิ่งนึกถึงสายตาของชุนความรู้สึกมันชักเริ่มเด่นชัด 

“ไม่เป็นไร ไว้เย็นนี้ฉันจะช่วยนายอีกแรง”

เหมือนอาศัยความดีใจของอีกฝ่ายเพื่อเติมเต็ม ฟากฟ้าเผยรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า ดีที่แว่นตากรอบดำทรงสี่เหลี่ยมบดบังความน่ารักนั้นไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงต้องกลายเป็นคนประหลาดหนักกว่านี้

อัตราการเต้นของหัวใจที่สูบฉีดหนักกว่าปกติ 

ขุนเขาเบือนหน้าหนีอย่างไม่ยอมรับมัน 

 






หลังเลิกเรียนพิเศษขุนเขามารับฟากฟ้ากลับ บ้านของฟากฟ้าเป็นบ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรร ดูจากการตกแต่งแล้วราคาคงไม่ต่ำกว่าสิบล้าน ขุนเขารู้สึกแปลกเล็กน้อยเมื่อต้องกระเตงมอเตอร์ไซค์ธรรมดาเข้าไปในขณะที่ยานพาหนะเข้าออกมีแต่รถยนต์ราคาแพงทั้งนั้น 

ยามในป้อมหน้าหมู่บ้านเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี

“วันนี้มีเพื่อนมาเที่ยวด้วยเหรอเรา”

ฟากฟ้ายิ้มและตอบรับอย่างแข็งขัน

“ครับ”

อย่างที่บอกว่าฟากฟ้าไม่ได้มีปัญหาเรื่องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ออกจะเป็นเด็กปกติด้วยซ้ำ แต่เพราะในโรงเรียนชุนบีบให้เด็กชายต้องการเป็นคนไร้เพื่อน เมื่อเห็นว่าฟากฟ้าเป็นเป้าหมายในการกลั่นแกล้งของชุนจึงไม่มีใครอยากเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะไม่อยากโดนลูกหลง

เป็นครั้งแรกที่ฟากฟ้าจะมีเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน ตื่นเต้นมากเลยบอกให้พี่เลี้ยงที่ออกมาเปิดประตูบ้านให้เตรียมขนมนมเนยต้อนรับขับสู้แขกของตัวเอง 

เด็กชายหันมายิ้มให้กับแขกของตนจนแทบลืมจุดประสงค์เดิม

จนโดนขุนเขาทักท้วง

“ตอนใส่คอนแทคเลนส์ยิ้มให้ได้แบบนี้แล้วกัน”

ทำยังไงดี 

เขาไม่อยากเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว




TO BE CONTINUED........


ปล.เหมือนเป็นตอนสั้นไปเลยนะฮะ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-04-2016 15:35:06
อารมณ์ ความคิดนี้ห่างไกลคำว่า ม.ต้นมากเลยทั้งขุนและชุน
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 08-04-2016 15:42:37
 :o8: ฟากฟ้าน่ารักจัง ช่างไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นคนน่าทะนุถนอม ขุนเขาก็ดูเหมือนจะตกหลุมลึกแบบไม่ได้ตั้งใจ รู้ตัวอีกที จะตะกายจากหลุมความน่ารักของฟากฟ้าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้  ส่วนชุน...ท่าทางร้ายลึกแบบนี้ ขอแช่งให้อกหัก 5555  :call:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: daadaadaa ที่ 08-04-2016 16:52:20
ขออย่าให้ขุนสนใจคำพูดชุนเลย
 :katai1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 08-04-2016 20:03:40
เฮ้ย! เรารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง เหมือนจะเกิดศึกชิงนายในอีกไม่ช้า~~ :hao7:  ปล.ขุนรีบๆยอมรับซะ!  เดี๋ยวโดนชุนแย่ง!!!
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-04-2016 21:12:07
ตอนนี้ให้โอกาสหลบนะขุนเขา ตอนนี้อาจจะ(พยายาม)บอกว่าไม่อยากเห็นรอยยิ้มของฟากฟ้า
แต่ถ้าลองฟากฟ้าได้ถอดแว่นเมื่อไหร่ นายอาจจะหวงแหนรอยยิ้มนั้นแทนก็ได้นะ แล้วดูท่าขุนเขาอาจจะไม่ยอมรับง่ายๆด้วยนี่สิ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-04-2016 21:22:35
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-04-2016 22:03:12
ชุน ดูเจ้าความคิดกว่าแต่ก่อน
แต่ฟากฟ้าก็ดูไม่ใช่คู่แข่งด้านความรักกับชุนเลย
ขุนเขาเริ่มวอกแวกกับฟากฟ้าแล้ว :-[
 รอ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 09-04-2016 00:16:08
นี่ได้กลิ่นมาม่ามาเลยนะเนี่ย ชุนนี่คงไม่เบาเรื่องฟากฟ้ากับขุนเขา ส่วนขุนเขาจะกลัวการถูกมองไม่ดีหรือเปล่านี่สิ แต่เริ่มรู้สึกอะไรกับฟากฟ้าแล้ว รออ่านต่อน้า :mew1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: hinago ที่ 09-04-2016 15:37:30
ขุนกำลังสับสนรึเปล่า??
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 8 - รอยยิ้ม ~♪『08 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 09-04-2016 17:28:40
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 09-04-2016 18:26:40
คาบที่ 9 – ตาต่อตา 
                 
 
ห้องของฟากฟ้าอยู่บนห้องใต้หลังคา ทุกสิ่งดูแปลกตามากสำหรับขุนเขา เจ้าของห้องบอกว่าชอบที่จะอยู่ข้างบน เพราะเวลามองไปเบื้องล่างแล้วรู้สึกดี โดยเฉพาะเวลาที่ต้องใช้ความคิด การที่ได้เปิดหน้าตาชั้นบนสุดของบ้านมองท้องฟ้าทำให้หัวสมองปลอดโปร่ง สมกับชื่อตัว เพราะฟากฟ้าจะรู้สึกรักท้องฟ้ามากเลยทีเดียว 
 
ขนาดห้องไม่กว้างมากแต่ก็ไม่ได้แคบ ขนาดพอดีสำหรับเด็กผู้ชายอยู่คนเดียว จากชั้นสองของบ้านเป็นบันไดเชื่อมต่อขึ้นไปถูกปิดด้วยผนังที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อกั้นความเป็นส่วนตัว   
 
ในห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือร่วมสิบชั้น มีเตียงเดี่ยวที่ตั้งอยู่มุมห้องแออัดกับชั้นหนังสือขนาดเล็ก ปลายเตียงยื่นออกมาไว้สำหรับตั้งโน๊ตบุ๊กส์ มีตู้เย็นขนาดเล็กไว้สำรองอาหาร นอกนั้นแล้วก็แทบไม่มีความบันเทิงใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย   
 
ไม่สิ มีอยู่อย่างหนึ่ง แต่คงเรียกว่าความบันเทิงไม่ได้ 
 
ตู้หนึ่งตู้ที่แตกต่างจากชั้นหนังสือ มันถูกจัดไว้ตรงหัวนอน เต็มไปด้วยกล่องทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก บนกล่องนั้นมีนาฬิกาสามเรือนตั้งอยู่ และกล่องว่างอีกหนึ่งกล่อง 
 
เพียงแค่แวบเดียวขุนเขารู้เลยว่าเป็นของราคาแพง 
 
“ชอบสะสมเหรอ” อดที่จะถามไม่ได้ 
 
ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงักอย่างเขินอาย ทำนองว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเปิดเผย 
 
ขุนเขาถือวิสาสะโยนกุญแจมอเตอร์ไซค์ไว้บนเตียงนอนแล้วขึ้นไปดูนาฬิกาเหล่านั้น   
 
ยิ่งได้มองใกล้ยิ่งตาลุกวาว   
 
“รสนิยมดีเหมือนกันนี่” 
 
สวยงามมาก จากดีไซน์คงไม่ใช่เมดอินไทยแลนด์แน่นอน 
 
“อ..อือ ขุนรู้เรื่องนาฬิกาด้วยเหรอ” 
 
“ไม่รู้หรอก” เด็กหนุ่มตอบทันควัน “แต่ชอบดูน่ะ เพราะคงไม่มีปัญญาซื้อใช้แน่นอน” เขาพูดออกมาจากใจจริง 
 
โดยไม่รู้ว่าสีหน้าของฟากฟ้าเจื่อนลงไปนิดหน่อย 
 
ก่อนจะท้วงเบา ๆ ว่า 
 
“ผมเก็บเงินซื้อเองทั้งหมดนะ ค่าขนมที่ได้มาทั้งหมด....” 
 
ไม่อยากให้เข้าใจผิด เขาไม่ได้เอาเงินพ่อแม่มารูดของที่อยากได้ทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าของสะสม ต้องใช้เงินเก็บของตัวเองเท่านั้นถึงจะมีความสุข แม้เงินเหล่านี้จะเป็นเงินที่ได้เปล่ามาก็ตาม   
 
สิ้นเสียงขุนเขาเข้าใจเจตนา 
 
“เฮ้ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” เขารีบแก้ “ฉันไม่มีความสนใจเรื่องพวกนี้ต่างหาก ถ้าจะซื้อไว้ใช้คงไม่ใช่ของแพง เหมือนอย่างนายถ้าจะซื้อมอเตอร์ไซค์ใช้คงไม่เอารุ่นแพงหรือรุ่นลิมิเต็ดอะไรแบบนั้นหรอกใช่ไหมล่ะ แค่ใช้ได้ก็พอ” 
 
จากสีหน้าคงเป็นเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายยอมรับได้ เด็กชายพยักหน้าให้อย่างช้า ๆ   
 
ไม่นานนักพี่เลี้ยงยกขนมขึ้นมาเสิร์ฟ เป็นวัฟเฟิลกลิ่นหอมกับน้ำส้มหนึ่งเหยือก   
 
“นายหญิงบอกว่าจะมาหาด้วยน่ะค่ะ อยากเจอกับเพื่อนของคุณฟ้า”   
 
คำพูดนั้นทำให้ทั้งขุนเขาถึงกับเลิกคิ้ว   
 
ฟากฟ้าหันมาหาเขาเป็นเชิงขออนุญาติ 
 
“แม่จะมา ได้หรือเปล่า” 
 
มารบกวนบ้านเขาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ปฏิเสธคงใช่ที่ 
 
ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีอยู่แล้วนี่นะ ขุนเขาคิด จึงพยักหน้าให้อย่างช้า ๆ   
 
“ตกลงครับ แล้วแม่จะมาเมื่อไหร่..” 
 
“ท่านกำลังคุยเรื่องไปดูงานอยู่น่ะค่ะ คาดว่าอีกสักพัก” 
 
“อ้อ งั้นผมจะรอครับ” 
 
บทสนทนาสิ้นสุดลงแค่นั้นก่อนพี่เลี้ยงจะถอยหลังออกไป 
 
พวกเขาอยู่ตามลำพังโดยสมบูรณ์   
 
ฟากฟ้าถอดกระเป๋าเป้แขวนไว้ตรงมุมห้อง ถอดถุงเท้า ดึงชายเสื้อออกจากกางเกง ปลดเข็มขัด ปลดกระดุม   
 
ขุนเขาที่เห็นถึงกับอ้าปากค้าง 
 
“เฮ้ เดี๋ยว นายจะทำอะไรน่ะ !?” 
 
กลายเป็นฟากฟ้าเสียเองที่สงสัย 
 
“เปลี่ยนชุด ทำไมเหรอ” 
 
ขุนเขาติดสตันท์เล็กน้อย เขายืนนิ่งเหมือนโดนแช่แข็งความคิด   
 
ทว่าสายตากลับช่างซุกซนสำรวจร่างกายใต้ร่มผ้าของอีกฝ่ายซะงั้น   
 
ผิวข้างนอกที่ขาวเนียนแล้ว หน้าอกข้างในกลับยิ่งขาวอมชมพูยิ่งกว่า เหมือนดอกบัวที่เริ่มเปลี่ยนสีก่อนผลิบาน รูปร่างค่อนไปทางผอมมากกว่าจะเรียกว่าสมส่วน บวกกับส่วนสูงที่มีไม่ถึงมาตรฐานแล้วทำให้เขาดูแคระแกร็นหนักกว่าเดิม   
 
ขุนเขากลืนน้ำลายลงคอทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม 
 
ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้ชายแก้ผ้า กับพี่ชายคนโตนี่เห็นยันไส้ใน น้องชายคนสุดท้ายไม่ต่างกัน วิ่งแก้ผ้ารอบบ้านโทง ๆ เขายังไม่รู้สึก 
 
ผู้ชายด้วยกันแท้ ๆ ทำไมเขากลับเมินเฉยไม่ลง   
 
ไม่สักหน่อย ไม่ได้คิดอกุศลเลยสักนิด 
 
“ฉันยังอยู่ในห้องทั้งคนนะ” 
 
เหมือนเพิ่งรู้ตัว ฟากฟ้าเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย 
 
“อ่ะ .. จริงด้วย” 
 
สงสัยเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่กลับมาจากโรงเรียนจนเคยชิน   
 
“แต่ถ้าไม่เปลี่ยนชุดนักเรียนจะเลอะเอานะ ลำบากคนซักอีก” ฟากฟ้าทำสีหน้าลำบากใจ ประหนึ่งว่าหากไม่เปลี่ยนตอนนี้คงทำไม่ได้ 
 
ขุนเขาไม่รู้จะพูดยังไง อันที่จริงก็ไม่ควรไปขัดกิจวัตรประจำวันเจ้าบ้านแบบนั้น 
 
สุดท้ายจึงบอกว่า 
 
“เปลี่ยนเถอะ แต่ใช้ผ้าขนหนูพันไว้ด้วยแล้วกัน” 
 
“อื้ม” 
 
ฟากฟ้าพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนหยิบผ้าเช็ดตัวที่พับไว้มาพันร่างกาย 
 
แต่นั่นคือผู้ชาย พันยังไงก็ยังเหลือท่อนบน 
 
ขุนเขามองไปทางอื่นแทบไม่ทันจึงหาเรื่องจดจ้องหนังสือในชั้นของเด็กชายแทน หนังสือในชั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นนวนิยายคลาสสิก หรือหนังสืออ่านนอกเวลาส่วนใหญ่ แล้วขุนเขาจึงได้เข้าใจว่าทำไมฟากฟ้าถึงยกตัวอย่างการกระทำของชุนด้วยปีเตอร์แพนแบบนั้น ที่แท้มาจากสิ่งที่อ่านนี่เอง 
 
ฟากฟ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองธรรมดา แทบไม่ต่างจากตอนไปเรียนพิเศษยกเว้นกางเกงขาสั้นผ้าร่มที่ใส่สบาย   
 
“หยิบไปอ่านได้เลยนะ ผมอ่านหลายรอบแล้ว” 
 
ขุนเขาพยักหน้าหงึกหงักตอบรับไปแบบนั้นโดยที่ในใจไม่คิดทำแม้แต่น้อย ให้เขาอ่านหนังสือเนี่ยนะ ? รอให้โลกแตกก่อนเถอะ 
 
แต่ชั้นหนังสือของฟากฟ้ากลับมีความน่าสนใจไม่น้อย หนังสือทุกเล่มถูกห่อด้วยปกพลาสติกอย่างดี เก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียงตามประเภท ชื่อคนแต่ง คล้ายกับห้องสมุดทั่วไป ท่าทางเป็นคนรักหนังสือเอามาก ๆ ถึงได้ดูแลชนิดที่ว่าไม่เห็นแม้แต่ฝุ่นจับ   
 
ไม่นานนักเสียงเคาะประตูห้องพลันดังขึ้น ฟากฟ้าหันมามองขุนเขาเป็นสัญญาณเตือน เด็กหนุ่มไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงพยักหน้าส่งกลับไป เด็กชายจึงเดินไปทางประตูแล้วเปิดออก 
 
เผยให้เห็นร่างของหญิงสาว ... ไม่ผิดหรอก หญิงสาวในชุดวันพีซสีขาว 
 
เธอดูเหมือนหลุดมาจากเทพนิยายกรีกสมัยโบราณ หากมีช่อมะกอกคงเข้ากัน ผิวขาวเปล่งปลั่งราวกับไขมุก ดวงตากลมโตเหมือนลูกชายของเธอ และริมฝีปากที่อวบอิ่ม 
 
เหมือนถูกมนตร์สะกด ขุนเขามองเธอและฟากฟ้าสลับกัน   
 
“เหมือนกันมากขนาดนั้นเลยเหรอจ๊ะ” เธอทักเด็กหนุ่ม 
 
น้ำเสียงก้องกังวานราวกับนกร้องเพลงในป่า ชวนน่าหลงใหล 
 
เสน่ห์ของเธอมากเหลือจนฟากฟ้าเทียบไม่ติด   
 
“ม..เหมือนครับ” ขุนเขาเผลอพูดสุภาพออกไปโดยไม่ตั้งใจ 
 
กว่าจะรู้สึกตัวผ่านไปเกือบหลายวินาที เด็กหนุ่มจึงยกมือไหว้ 
 
เธอรับไหว้โดยการพนมมือระดับอก 
 
“เพราะฟ้าไม่เคยพาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน แม่เลยตื่นเต้นรีบโผล่หน้ามาขัดจังหวะเพราะอยากเห็นเพื่อนของฟ้าเขาน่ะ อย่าถือสาแม่เลยนะจ๊ะ” 
 
ความเป็นกันเองทำให้ขุนเขาค่อยผ่อนคลาย รอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนเพื่อนมากกว่าแม่ของเพื่อน 
 
“ครับ รบกวนด้วยนะครับ” 
 
“แม่ต่างหากที่รบกวน ชื่ออะไรนะลูก” 
 
“ขุนครับ ขุนเขา” 
 
“แม่ของฝากฟ้าด้วยนะจ๊ะ เด็กคนนี้อ่านหนังสือมากเกินไปจนทำให้แม่กังวลว่าจะหาเพื่อนไม่ได้” 
 
ขุนเขาหันไปมองเจ้าของชื่อที่ยิ้มแห้งให้มารดา เรื่องที่โดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนคงไม่คิดแม้แต่จะบอกให้ครอบครัวฟังเลยงั้นสินะ   
 
ขุนเขาโดนแม่ของฟากฟ้าชวนคุยอีกสักพักก่อนขอตัวกลับไป ยอมรับว่าเด็กหนุ่มไม่มักคุ้นการคุยกับผู้ใหญ่เท่าใดนัก แต่กับแม่ของฟากฟ้าเขาลดอาการเกร็งลงเยอะ เพราะรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลาย และท่าทางที่ดูภาคภูมิใจของฟากฟ้าประหนึ่งอวดมารดาว่าตนมีเพื่อนได้แล้ว 
 
หลังจากแม่ของฟากฟ้ากลับไป ขุนเขาหันมามองเจ้าของห้องด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ 
 
ความปริ่มเปรมหายวับไปกับตา เมื่อเด็กหนุ่มเอ่ยว่า 
 
“ไปเอาคอนแทคเลนส์มาสิ” 
 
ฟากฟ้าตัวนิ่งค้างไปสักพักก่อนจะละล่ำละลักถามกลับ 
 
“ตอนนี้เลยเหรอ” 
 
“ตอนนี้สิ ฉันมาเพื่อสิ่งนั้น หรือว่านายลืมไปแล้ว” 
 
ฟากฟ้าส่ายศีรษะหลุกหลิก 
 
เมื่อทนกับสายตากดดันไม่ไหวเด็กชายจึงหนีออกจากห้องหายไปสักพักกลับมาพร้อมตลับใส่คอนแทคเลนส์และน้ำยาหนึ่งขวดตั้งไว้บนโต๊ะข้างโน๊ตบุ๊กส์   
 
ฟากฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกเตรียมพร้อมรับมือกับความกลัว 
 
ถ้าเป็นขุนเขาคงลดความกังวลได้เยอะ ... ละมั้ง ? 
 
ขุนเขานั่งบนเตียงพลางตบพื้นข้าง ๆ ให้อีกฝ่ายนั่งลงด้วย   
 
ฟากฟ้าทำตามอย่างว่าง่าย ตั้งแต่นาทีก่อนแล้วที่เด็กชายพยายามถ่างตาให้กว้างขึ้น ดูแล้วจะบอกว่าน่าขันก็น่าขัน จะน่าเอ็นดูก็น่าเอ็นดู   
 
อากัปกริยาที่แสดงออกอย่างง่ายดายทำให้ขุนเขาแทบไม่ต้องเดาเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ 
 
เด็กหนุ่มเปิดกล่องคอนแทคเลนส์ที่แช่น้ำยาไว้ คงลองตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่สำเร็จ   
 
ฟากฟ้ามองบนเพดานและถ่างตากว้างค้างให้มากที่สุด จนขุนเขาอดเตือนไม่ได้ 
 
“ตาแห้งขึ้นมามันจะเจ็บนะ” 
 
รีบหลับแทบไม่ทัน   
 
พอเป็นแบบนี้เข้าขุนเขาจึงหลุดขำ   
 
ฟากฟ้าแก้มป่องขึ้นทันที 
 
“ขุนแกล้งเหรอ” 
 
เมื่อโดนจับได้เด็กหนุ่มจึงรีบส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ 
 
“คิดมากไปแล้ว” 
 
“จริงเหรอ ?” 
 
“จริงสิ” 
 
ฟากฟ้าทำจมูกฟุดฟิดรอบ ๆ ตัวขุนเขา 
 
“กลิ่นไม่ดีเลย”   
 
“เฮ้ ฉันอาบน้ำทุกวันนะ” 
 
“เจตนาต่างหาก” เด็กชายบอก 
 
ไม่คิดว่ามีมุมกวนแบบนี้กับเขาด้วย ภาพลักษณ์ของฟากฟ้าที่ทุกคนรู้จักคือเด็กขี้แย ขี้ขลาด ไอ้เล่นเป็นนักสืบแล้วจ้องจับผิดแบบนี้แม้แต่ขุนเขายังเพิ่งเคยเห็น   
 
หากเปรียบคนเหมือนกระจกที่มีหลายด้าน นี่คงเป็นอีกภาพที่เขายังไม่เคยสัมผัส 
 
จะว่ายังไงดีล่ะ ..   
 
ละสายตาไม่ได้เลย 
 
สุดท้ายเป็นขุนเขาเสียเองที่ต้องยอมแพ้ 
 
“ก็ได้ ๆ เอาเป็นว่าเรามาลองใส่ดูเลยแล้วกัน นายนั่งนิ่ง ๆ ล่ะ ฉันจะทำให้” 
 
“ขุนล้างมือ” 
 
“เอ๋?” 
 
“ล้างมือก่อน” 
 
ฟากฟ้าชี้ไปยังมุมห้องที่มีแอลกอฮอล์สำหรับล้างมืออยู่ 
 
ความสะอาดมาก่อนอย่างนั้นสินะ อันที่จริงเขาควรล้างมือก่อนหยิบจับคอนแทคเลนส์นั่นแหละ ยิ่งเป็นสายตาของอีกฝ่ายแล้วเขาคงต้องทะนุถนอมเพราะหากเป็นอะไรขึ้นมาคงไม่มีปัญญาใช้คืนให้ 
 
เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่ายก่อนกลับมานั่งที่ 
 
“จะเริ่มได้หรือยัง” รู้สึกเสียเวลามามากแล้ว 
 
เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก 
 
คอนแทคเลนส์สายตาสีใสคู่ที่ซื้อไว้ใส่ไปโรงเรียนทุกวัน   
 
“ลืมตาขึ้นสิ” ขุนเขาสั่ง 
 
ฟากฟ้าลืมตาขึ้นจ้องมองเด็กหนุ่มเต็มตา   
 
พวกเขาไม่ได้คำนึงเลยว่าใบหน้าใกล้กันแค่ไหน 
 
ขุนเขาหยิบคอนแทคเลนส์ด้วยนิ้วชี้แล้วบอกว่า 
 
“ห้ามจ้องนิ้วของฉัน ใช้มองไปจุดอื่น มองไกลได้ยิ่งดี แต่อย่ากลอกตาไปมาล่ะ” 
 
เกิดความเงียบรอบตัว ขุนเขาชี้นิ้งข้างที่ว่างแยกเปลือกตาออกจากกันอย่างเบามือ ยิ่งเงียบนานใจเด็กชายยิ่งระทึก เขาบีบมือตัวเองแน่น ร่างเริ่มเกร็งขึ้นเรื่อย ๆ พยายามไม่มองไปทางขุนเขา 
 
ส่วนทางขุนเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ดวงตาของฟากฟ้าเริ่มเอ่อขึ้นด้วยน้ำตา สงสัยไม่ต้องลำบากพึ่งน้ำตาเทียมละมั้ง   
 
ร่างกายของฟากฟ้าเกร็งขึ้นเรื่อย ๆ   
 
และวินาทีนั้นเองที่.. 
 
“เสร็จแล้ว” 
 
ขุนเขาบอกเสียงเบา   
 
เด็กชายหันไปมองต้นเสียงตาปริบ 
 
“ทีนี้ก็อีกข้าง ทำเหมือนกัน” 
 
 ทว่าครั้งที่สองเร็วกว่าครั้งแรกมาก ความกลัวของเด็กชายค่อยหายไป เพราะมันไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกอะไร มีเพียงแค่ความแปลกใหม่อยู่ในดวงตาเท่านั้น 
 
มองเห็นชัดขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งแว่นตา   
 
และแน่นอนว่าตอนนี้ใบหน้าของขุนเขาเข้ามาใกล้เหลือเกิน 
 
เห็นชัดชนิดที่ว่าอีกฝ่ายกำลังจะมีสิวตรงหน้าผากหนึ่งเม็ดด้วย 
 
"หลับตาค้างไว้สักห้าวินาที" 
 
"อื้ม" 
 
ฟากฟ้าหลับตาลงอย่างว่าง่าย ใบหน้าเชิดขึ้นริมฝีปากอยู่ในระดับพอดี   
 
ขุนเขาเผลอจ้องมองมันด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด 
 
เด็กหนุ่มเบาโหวงในท้อง สภาพตอนนี้คือใบหน้าทั้งคู่ใกล้ชิดกัน อีกฝ่ายพริ้มตาหลับนิ่ง มุมปากอมยิ้มอยู่ในทีเหมือนกำลังมีความคิดสนุกซุกซน 
 
ตรงข้ามกับขุนเขาที่รู้สึกว่าเลือดลมสูบฉีดเร็วขึ้นทุกขณะ 
 
ท่าทางของฟากฟ้าเวลานี้ในสายตาเด็กหนุ่มแล้วมันช่าง ... 
 
ดูเชิญชวนอย่างบอกไม่ถูก   
 
จนอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้   
 
ใกล้อีกนิด   
 
อีกนิด .... 
 
ลมหายใจของเด็กชายพ่นมาอย่างแผ่วเบากระทบกับจมูก ฉับพลันนั้นขุนเขาขนลุกซู่ไปทั่วร่างราวกับได้สติ เขาดีดเด้งตัวนั่งตรงกะทันหัน กะพริบตาถี่ ๆ เหมือนทบทวนทว่าตนกำลังทำอะไรอยู่   
 
คล้ายต้องมนตร์สะกดบางอย่างจนเผลอคิดเรื่องแย่ ๆ ไปเสียแล้ว ! 
 
ฟากฟ้าค่อยเผยอเปลือกตาขึ้นทีละน้อย เมื่อเห็นกริยาขุนเขาแล้วพลันขมวดคิ้ว 
 
"ขุน ?" 
 
ทว่าอีกฝ่ายกลับเด้งตัวยืนเหนือศีรษะประหนึ่งคำพูดเขามีประจุไฟฟ้าซุกซ่อนอยู่ เด็กหนุ่มยืนหันหลังให้ไม่ยอมสบตา 
 
แม้การใส่คอนแทคเลนส์จะเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่อาการของขุนเขากลับน่าสงสัยยิ่งกว่า 
 
"เอ่อ .. ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ !" ว่าแบบนั้นแล้วชิ่งเดินออกจากห้องโดยไม่ถามทางสักคำ 
 
ฟากฟ้าได้แต่นั่งงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายในไม่กี่วินาทีที่เขาหลับตากันแน่ ? 
 
"ของว่างไม่ถูกปากหรือเปล่านะ" 
 
เด็กชายไม่สามารถทำความเข้าใจได้แม้แต่นิดเดียว 
 
 

TO BE CONTINUED.......
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 09-04-2016 18:27:44
 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 09-04-2016 18:52:21
ขุนเขาคิดอะไรอยู่น๊าาาา  :hao6: ทำไมต้องขอตัวไปห้องน้ำด้วย ทานของว่างแล้วปวดหนักเหรอ...ฟากฟ้าคิด   :mew2:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-04-2016 19:05:33
หลงเสน่ห์แล้วหรือ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-04-2016 19:21:20
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-04-2016 20:10:52
 :mew1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 09-04-2016 20:36:25
จะโดนแยกเอานะขุน เร็วๆ ฟ้าน่ารักขนาดนี้ :hao7:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 09-04-2016 22:58:50
ขุนเขามันแก่แดดจริงๆ ได้พี่มาเยอะ?ถถถถ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 9 - ตาต่อตา ~♪『09 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: AiiSoul ที่ 10-04-2016 11:12:52
เรื่องนี้น่ารักมากกกกกกกกกก
อยากอ่านต่อมากกกกกกกกก
ฟ้านี่ใสสุดๆ ขุนก็ดูยังไม่รู้ตัวเอง
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 12-04-2016 08:50:07
คาบที่ 10 – ชื่อ


รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา

วินาทีที่เดินเข้าโรงเรียน ทุกคนต่างพุ่งเป้ามาที่เขาโดยไม่ได้นัดหมาย ฟากฟ้ามองรอบข้างอย่างหวาดระแวง หรือทุกคนคิดจะแกล้งเขากันนะ ?

เด็กชายก้มหน้ารีบจ้ำอ้าวเดินขึ้นห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ยิ่งเข้าไปข้างในมากเท่าไหร่ยิ่งได้ยินเสียงซุบซิบมากขึ้นเท่านั้น

มันแปลกมากเลยหรือ ?

กับการที่เขาใส่คอนแทคเลนส์มาโรงเรียน

หรือว่ามันเป็นเพียงแค่อาการในทางการแพทย์ที่บอกว่าเมื่อคนเราทำอะไรผิดแปลกไปสักอย่างแล้วจะรู้สึกว่าทุกคนมองมาทั้งที่อาจจะไม่มีคนสนใจเลยก็ได้ เป็นความหวาดระแวงต่อสายตาคนรอบข้าง

พอมาถึงห้องเรียนเขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

แต่เพียงไม่นานเท่านั้น เมื่อสายตาของเด็กชายเหลือบไปมองที่โต๊ะของเธอคนนั้นโดยไม่รู้ตัว

สายตาทั้งคู่ประสานกัน

เธอนั่งรอเพื่อนในห้องอยู่คนเดียว ในขณะที่คนอื่นกำลังจับกลุ่มคุย ยอมรับว่ารู้สึกมีสายตาที่มองมาบ้าง แต่ไม่ถึงกับตอนอยู่ข้างนอก

เหมือนเวลาทั้งโลกหยุดลง ดวงตากลมโตเปล่งประกายของเธอส่งตรงมายังเขาโดยไม่ปิดบัง

ใบหน้าน่ารัก จิ้มลิ้ม เหมือตุ๊กตาบลาย ไม่ว่าจะน้ำเสียง ท่วงท่าของเธอนั้นช่างดูน่าหลงใหล

ฟากฟ้าหลบตาเธอทันที

ไม่ไหวแล้ว ขืนมองไปมากกว่านี้เขาต้องหัวใจวายแน่ ๆ

ในอกเต้นโครมครามราวกับกลองสะบัดชัย หากไม่สงบสติอารมณ์ตอนนี้ต้องเป็นปัญหา

เหมือนรอบตัวเงียบลงทันใด ฟากฟ้ายังกังวลว่าสายตาของเธอมองเลยเขาไปแล้วหรือยัง การที่หลบตาแบบนี้จะถือว่าเสียมารยาทหรือเปล่านะ ความขลาดเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง ฟากฟ้าไม่รู้จะทำเช่นไร

“ไง”

เสียงหนึ่งดังขึ้นช่วยชีวิต เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับ..

“ขุน.. ทำไงดี”

“เฮ้ !” วินาทีที่เห็นหน้าของฟากฟ้า ขุนเขาถึงกับเหวอ “เป็นอะไรของนายน่ะ !?”

ใบหน้าเหยเกเหมือนกำลังจะร้องไห้รอมร่อ

“ผม...ผม....”

ฟากฟ้าว่าแค่นั้นก่อนส่ายศีรษะ

แล้วเงียบไปทั้งอย่างนั้น

ขุนเขามองรอบตัวเพื่อหาสาเหตุ แล้วพบกับเธอคนนั้นที่ยังคงจ้องมองมา

สายตาของเธอไม่มองที่ขุนเขา จับจ้องเพียงแต่แผ่นหลังคนขี้แย สีหน้าของเธอไม่ได้บอกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ทว่าดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

เพราะเห็นฟากฟ้าถอดแว่นบ่อยจึงไม่ทันสังเกต

ใช่ วันนี้อีกฝ่ายใส่คอนแทคเลนส์มานี่นา

สำหรับเด็กเนิร์ดการที่ทิ้งแว่นแล้วหันมาเปลี่ยนอุปกรณ์การมองเห็นแบบนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ อย่างน้อยก็สร้างความประหลาดใจให้เธอคนนั้นได้แล้ว

ขุนเขาก้มมองฟากฟ้าตัวสั่นงันงกพลางยิ้มออกมา

แล้วบอกว่า

“บ้าเอ้ย อย่ามัวแต่กลัว ถอดแว่นแล้วเลิกก้มหน้าสิ”

เขาว่าพลางเอื้อมมือวางไว้บนศีรษะอีกฝ่ายแล้วกดลงเบา ๆ

ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงักให้กับคำพูดนั้น

ทว่ามันกลับทำใจลำบากที่จะเค้นความกล้าออกมา

“เธอยังมองนายอยู่ หันไปยิ้มให้สิ”

ฟากฟ้าส่ายศีรษะอีกรอบเป็นเชิงปฏิเสธ

“ถ้าไม่ทำไม่ถือว่าผ่านบททดสอบนะ”

คำขู่มักใช้ได้ผลกับเด็กชาย ฟากฟ้ากำหมัดแน่นสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมสติแล้วมองหน้าขุนเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

เด็กหนุ่มพยักหน้าให้กำลังใจ ฟากฟ้ากะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะหันกลับไปหาเธอคนนั้นอีกครั้ง

ริมฝีปากเด็กชายคลี่ยิ้มอย่างเบาบาง ดวงตาเธอคนนั้นเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิม ท่ามกลางความเงียบอีกไม่กี่วินาทีถัดมาเธอจึงลดการ์ดลงแล้วส่งยิ้มกลับให้

ฟากฟ้านิ่งอึ้ง ตกตะลึงตึงตึง

เอื้อมมือดึงชายเสื้อขุนอย่างเหม่อลอย

“ผมฝันไปหรือเปล่า”

ขุนเขาขำในลำคอ ไร้เดียงสาเสียจริง

รอยยิ้มของฟากฟ้าเหมือนพยายามจะยิ้มออกไป เลยดูเหมือนคนคลี่ปากยิ้มแบบงกเงิ่น มองอีกมุมก็ดูน่ารักอยู่หรอก แต่ขุนเขาไม่คิดว่าจะน่ารักเท่ายามปกติที่เจ้าตัวยิ้มอย่างจริงใจ

ไม่อยากเห็นรอยยิ้มอีกแล้วก็จริง แต่ในใจลึก ๆ กลับไม่ต้องการให้ใครเห็น

เมื่อฟากฟ้าดีใจเขาจึงพลอยรู้สึกยินดีไปด้วย อากัปกริยาเด็กน้อยนั้นช่างดูบริสุทธิ์

ขุนเขาขยี้หัวเด็กชายเพื่อเรียกสติกลับคืน

“ทำได้ดีมาก”

เพียงแค่เปลี่ยนสิ่งเล็ก ๆ กลับทำให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่เกินความคาดหมาย เธอคนนั้นถูกหันเหความสนใจไปยังเพื่อนสนิทที่เพิ่งมาถึงแล้ว ระยะห่างของเธอกับฟากฟ้าจึงถูกดีดกลับมาเท่าเดิม

นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ขุนเขายิ้มอย่างพอใจ

โดยไม่มองเห็นว่าข้างในลึก ๆ ตัวเองกลับรู้สึกเงียบเหงาอย่างประหลาด






เสื้อผ้าของฟากฟ้าจะแก้ไซส์เสร็จในวันศุกร์ พลอยโทรบอกให้ขุนเขาพาอีกคนไปรับด้วยพร้อมใบเสร็จ

พอขุนเขาบอกไปเช่นนั้นฟากฟ้าพลันเอ่ยออกมาว่า


“จะไปเดทกันอีกเหรอ”

หน้าตาไม่ได้ดูเขินอายอะไรสักนิด ซ้ำยังเป็นความสงสัยล้วน ๆ ไม่มีเจตนาอื่นเจือปน

ขุนเขาแทบปิดปากอีกฝ่ายไม่ทัน เพราะที่นี่คือโรงอาหาร ใครได้ยินคงตกใจตายชัก

ผู้ชายสองคนเดทด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นี่

“ไม่ใช่เดทแล้ว แค่ไปเอาของ”

“อ..อื้ม ไปกับขุนเหรอ”

“ใช่น่ะสิ ฉันเป็นคนรับผิดชอบนายนะ”

“นี่ขุน”

“ว่า ?”

“ผมเป็นเพื่อนของขุนหรือเปล่า”

จู่ ๆ ยิงคำถามกลิ่นดราม่ามาให้ซะอย่างนั้น

ขุนเขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“พูดอะไรของนายน่ะ”

“นาย ๆๆ อยู่นั่นแหละ ...”

“หา ?”

ฟากฟ้าบ่นอุบเสียงอู้อี้

ฟังไม่ออกเลยสักนิด

พอยื่นหน้าไปเงี่ยหูฟังเจ้าคนตัวเล็กกลับเบือนหน้าหนีไปดื้อ ๆ

“อ้าวเฮ้ ..”

“...ชื่อ”

“หืม?”

“ชื่อ..” คนขี้แยเอ่ยในที่สุด “ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ขุนยังไม่เรียกชื่อของผมเลย”

ประโยคนั้นบอกตามตรงขุนเขาทำหน้าไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะมีความรู้สึกยังไงดี บอกว่าอึ้งได้ไหม คงใช่ แต่เหนือกว่านั้นก็มีความน่าขันอยู่ด้วย

“อย่าบอกนะว่าคิดมากกับเรื่องนี้มาตลอด?”

ฟากฟ้าไม่ตอบ ทำได้เพียงแค่พยักหน้า

สังเกตตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?

ขุนเขาถอนหายใจให้ได้ยินก่อนเดินเข้าไปใกล้แล้ววางแขนไว้บนไหล่ของอีกฝ่าย

ฟากฟ้าหันมองอากัปกริยาเหล่านั้นด้วยความงุนงง

“ปกติเพื่อนกันเขาก็แทบไม่เรียกชื่ออยู่แล้ว จะว่ายังไงดีล่ะ เรียกชื่อมันฟังดูหน่อมแน้มไปหน่อยปะ แล้วถ้าให้ปกติจริง ๆ คงไม่ใช่ฉัน หรือนาย ด้วยซ้ำ”

ฟากฟ้านึกถึงคำพูดที่เพื่อนในห้องคุยกัน หากคิดตามแล้วถือว่าคำพูดระหว่างเขากับขุนเขาค่อนข้างสุภาพทีเดียว

เด็กชายขมวดคิ้ว โดยไม่รู้จะทำเช่นไร

อันที่จริงเรื่องนี้เขาคิดมาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้วว่าขุนเขาไม่เคยเรียกชื่อของตนออกจากปากเลยสักครั้ง ตรงข้ามกับเขาที่มักเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเสมอไป มันทำให้นึกน้อยใจแบบแปลก ๆ พยายามเรียกบ่อยเพื่อให้รู้สึกตัวแต่เหมือนจะไม่รับรู้ มันคงเป็นดังที่ขุนเขาว่า ให้เรียกด้วยชื่อกันแบบนั้นมันดูไม่ค่อยโอเคจริง

เมื่อเห็นสีหน้าของคนขี้แยขุนเขาจึงถอนหายใจคำรบสอง

“งั้นเอาอย่างนี้” เขาบอก

ฟากฟ้าเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย

“เอาหูมา” ไม่พูดเปล่ายังกระดิกนิ้วเรียก

เด็กชายยื่นหูเข้าไปใกล้

ขุนเขากระซิบได้ยิน

“ฟากฟ้า”

เสียงนั้นถูกส่งผ่านมายังกระดูก ค้อน ทั่ง โกณ แปรสารให้สมองได้รับรู้ ลมหายใจอีกฝ่ายพ่นใส่ใบหูอย่างแผ่วเบา

“เป็นไง พอใจหรือยัง”

ทว่าเด็กชายกลับขนลุกซู่ เขายกมือปิดหูแทบจะในทันที หันไปมองขุนเขาด้วยสายตาตื่นตะลึง ส่วนเจ้าของเสียงกลับเอียงคอมองเด็กชายด้วยความสงสัย

“เป็นอะ...”

แต่ไม่ยอมให้พูดต่อจนจบ ฟากฟ้าวิ่งหนีออกจากจุดนั้นไปอย่างรวดเร็ว

“อ้าวเฮ้ !”




กว่าจะทำใจให้สงบแล้วไปรับเสื้อผ้าจากร้านพลอยได้ ฟากฟ้าต้องทำใจอยู่นานสองนาน และคอยบอกตัวเองว่าตนเพียงแค่บ้าจี้เท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมตอนที่ขุนเขากระซิบข้างหูครั้งแรกนั้นถึงยังไม่เป็นอะไร

“ไม่สบายแน่เรา” ปากบ่นแบบนั้นทั้งที่รู้เหตุผลอยู่เต็มอก

ชื่อของตัวเองหลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงของอีกฝ่าย และลมหายใจของอีกฝ่ายยังไงล่ะ

แม้จะมีคนเรียกมาตลอดชีวิตแล้วแต่เขากลับไม่คุ้นชิน ทั้งที่ท้วงให้ขุนเขาเรียกแต่กลายเป็นว่าตัวเองยอมรับไม่ไหว

ท่าจะเป็นเอามาก

และพอเป็นแบบนี้พลอยที่เห็นท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ ของคนทั้งคู่จึงทักด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า

“ทะเลาะกันเหรอ”

เด็กทั้งสองคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน

“เปล่าครับ/สักหน่อย”

ขุนเขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ฟากฟ้าถึงหนีตนไปอย่างนั้นจึงเกิดอาการเสียเซลฟ์เล็กน้อย คอยคิดทบทวนตลอดบ่ายว่าไปทำอะไรให้อีกฝ่ายโมโหหรือไม่พอใจหรือเปล่า ส่วนฟากฟ้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมองหน้าขุนเขาไม่ติด ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย

และท่าทางแข็งเกร็งของเด็กทั้งคู่ทำให้พลอยมองออกเพียงฉับพลัน

เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนแก่พวกเขา

“คุยกันสิ”

“เอ๋ ?”

“ถ้าไม่คุยกันก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอว่าอีกฝ่ายไม่พอใจอะไร เพราะฉะนั้นคุยกันสิ คุยให้รู้ว่าเรื่องไหนเข้าใจผิดกัน”

คำแนะนำที่แสนธรรมดา แต่มันทำยากเหลือเกิน ฟากฟ้าเหลือบมองขุนเขาเล็กน้อย แม้จะเป็นเพื่อน แต่ขุนเขาในสายตาของฟากฟ้ายังดูน่ากลัวอยู่ ไม่อยากทำอะไรให้ขัดใจ

ขุนเขาเหล่มองฟากฟ้าอย่างลังเล

เอายังไงดี ?

ควรถามออกไปเลยไหมว่าเพราะอะไร

แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากฟากฟ้าพลันชิงเอ่ยออกมาเสียก่อน

“ขอโทษนะ”

“เอ๊ะ?”

“ผมบ้าจี้น่ะ พอขุนทำแบบนั้นเลยไปกันใหญ่ ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจหนีเลยแท้ ๆ ขอโทษจริง ๆ”

คำขอโทษมากมายพรั่งพรูจากปาก สีหน้าซีดลงไปเท่าตัว เหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

ไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้เลยให้ตาย

ขุนเขาเอื้อมมือของตนไว้บนศีรษะอีกฝ่ายแล้วโยกไปมาเบา ๆ

“คิดมากอีกแล้วนะ” เขาว่า

ไม่เคยโกรธอยู่แล้ว ไม่เคยไม่พอใจด้วยซ้ำ

ฟากฟ้าค่อยอมยิ้มออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะโยกหัวไปตามแรงของอีกฝ่าย

พลอยหรี่ตามองทั้งคู่อย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองเปลี่ยนชุดกันเลยดีไหม”

ขุนเขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ไปเขาจะมองฟากฟ้าด้วยสายตาที่น่าตกตะลึงกว่าเดิม




TO BE CONTINUED.......
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 12-04-2016 10:27:44
เด็กน้อยยังสับสนและไม่เข้าใจตัวเอง น่ารักจัง 555+  :m4:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-04-2016 12:36:03
น่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-04-2016 13:12:39
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 12-04-2016 13:41:01
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง สินะๆ เร็วขุน เราบอกแล้วว่าให้รีบๆจอง :hao7:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: isuloveU Soly ที่ 12-04-2016 14:03:07
เอ็นดูฟากฟ้า น่ารักจุงงงงง  :-[ o13
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 13-04-2016 20:06:47
 :music: เข้ามาดันให้ในวันสงกรานต์ค่า 
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 13-04-2016 21:50:57
เอาใจช่วยฟ้านะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 16-04-2016 18:36:42
เชียร์ขุน~
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 14-05-2016 17:46:40
คิดถึงขุนเขากับฟากฟ้าค่ะ อย่าลืมมาต่อน๊าาาา....
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-05-2016 18:13:33
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 14-05-2016 18:42:24
รอตอนต่อไปนะคะ..... :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 14-05-2016 22:49:59
คราวนี้ขุนเขาคงหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ 555555  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 22-06-2016 20:40:20
 :z13: คิดถึง
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 23-06-2016 09:31:32


ฮื่อ เพิ่งเปิดมาเจอเรื่องนี้ และเพิ่งรู้ว่าเป็นเจ้าของเดียวกันกับ B L A C K M A I L
นั่นเลยทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมในความใส ๆ ของวัยมอต้น จึงมีพี่กรรณะโผล่มาแจมจนอดเป็นห่วงเด็ก ๆ ทั้งสามล่วงหน้าไม่ได้
 
แต่ถึงเรื่องนี้จะดำเนินต่อไปในทิศทางใด เราก็พร้อมจะรออ่านต่อไปอย่างไม่หวาดหวั่นค่ะ!!
(เท่าที่คาดการณ์ล่วงหน้า มองเห็นปมดราม่าที่เอามาเล่นได้เยอะมาก แต่ได้โปรด... อย่าทำให้น้องฟ้าชอกช้ำใจมากเกินไปนะคะ เพราะน้องน่ารักจนอยากให้น้องได้ดิบได้ดี ไม่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป - ช้อนตามองอ้อนวอนคนเขียน)

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^  :กอด1:



หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 10 – ชื่อ ~♪『12 เม.ย 59』
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-06-2016 16:58:23
ตามกลิ่นคนข้างบนมา

พลาด! พลาดอย่างแรง!

แล้วนี่ต้องรออีกนานเท่าไรจะได้อ่าน
เมื่อไรจะไดรู้ว่า ขุนตะลึงตึ่งตึ๋งแค่ไหน

โอย....พลาด!

หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 11 – แปลงร่าง ~♪『21-08-16』ตาไม่ฝาดจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 21-08-2016 01:38:50
คาบที่ 11 – แปลงร่าง


“เสร็จแล้วค่ะ”

พี่เลี้ยงเอ่ยพลางยิ้มหวาน

ฟากฟ้าตื่นเร็วกว่าปกติเพราะต้องเตรียมการอันใหญ่หลวงในเช้าวันเสาร์ เมื่อก่อนคงเป็นวันเรียนพิเศษธรรมดา ไม่มีอะไรน่าจดจำ สิ่งที่ใส่ใจควรเป็นเนื้อหามากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก

ทว่าวันนี้เด็กชายกลับเปลี่ยนไปคนละคน

อันที่จริงไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้พี่เลี้ยงมาช่วยเซ็ตผม แต่พอเมื่อวานเขากลับมาบ้านพร้อมถุงใส่เสื้อผ้าพะรุงพะรังและแม่ดันมาเห็นเข้าจึงถูกซักถามใหญ่โต ไม่ใช่เป็นเรื่องการใช้เงินแต่กลับถูกแซวเรื่องอื่นมากกว่า

“มีความรักแล้วเหรอเรา”

มารดาถามพลางยิ้มแย้มกึ่งล้อ เพราะแม่เป็นคนอารมณ์ดี สบาย ๆ เลยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเสมอเมื่ออยู่ด้วย

ฟากฟ้าหน้าแดงก่ำส่ายหน้าปฏิเสธ

แต่สุดท้ายโกหกไม่ไหวจึงยอมบอกแต่โดยดี

“ป..เป็นคนที่อยู่ห้องเดียวกันน่ะฮะ”

“สวยหรือเปล่าจ๊ะ”

“น..น่ารักครับ”

เมื่อนึกถึงใบหน้าของเธอคนนั้นฟากฟ้าพลันเขินเอาดื้อ ๆ เขาหลบสายตามารดาเกรงว่าเธอจะรู้ ทว่ากลับดูออกง่ายเสียเหลือเกิน

พอเห็นแบบนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไรแม่ถึงกระโจนเข้าร่วมการแปลงโฉมครั้งนี้

“ทำผมเพิ่มสักหน่อยดีกว่าจ๊ะ”

“เอ่อ...” เดี๋ยวผิดกฏโรงเรียน

ทว่าเด็กชายกลับคัดค้านไม่ทันเมื่อแม่บอกให้พี่เลี้ยงโทรนัดช่างทำผม

ปรากฏว่าเย็นวันนั้นทั้งแม่และพี่เลี้ยงต่างนึกสนุกกับการวางแผนให้เขาในเช้าวันเสาร์

และผลที่ออกมาเล่นทำเขาอ้าปากค้าง

ทรงผมเด็กชายถือว่าสั้นแต่ยาวพอที่จะเซตได้เป็นทรงดูดี ยิ่งเมื่อวานเล็มนิดเล็มหน่อยทำให้มันเข้ารูปกว่าตัดเองมากนัก (ปกติแม่เป็นคนตัดให้ตลอด) ส่วนเสื้อผ้าวันนี้เป็นชุดแบบกางเกงยีนส์ขายาวทรงตรง เสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายสีเข้มสวมทับเสื้อเชิ้ตสีอ่อน ให้ความรู้สึกเหมือนนักเรียนต่างประเทศ ดูเรียบร้อยแต่เก๋ไก๋

ทันทีที่ส่องกระจกเด็กชายถึงกับอ้าปากค้าง

นี่ใครกัน ?

ใช่เขาแน่หรือ ?

คอนแทคเลนส์วันนี้ใช้สีเทารับกับผิวที่ขาวเนียน

เหมือนไม่ใช่ตัวเขาเลย

พี่เลี้ยงหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กชาย เธอเปิดประตูห้องเรียกนายหญิง

“ลูกแม่หล่อที่สุดเลยจ๊ะ”

ฟากฟ้าก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย ไม่รู้ว่าจะตอบรับมารดาอย่างไรดี จึงยอมปล่อยให้เธอยืนชมอยู่อย่างนั้นจนตัวลอยติดเพดาน

วันนี้ขุนเขาบอกว่าจะมารับหลังเลิกเรียนเพื่อรู้ผล ในใจเด็กชายอยากชวนให้ขุนเขามาเรียนพิเศษด้วยกัน แต่ดูท่าทางเจ้าตัวจะเกลียดการเรียนเอามาก ๆ ทุกวันนี้เข้าเรียนทุกคาบได้ก็ดีเท่าไหร่ บอกตามตรงว่ารู้สึกเป็นห่วงอนาคตอีกฝ่ายนิด  ๆ

ฟากฟ้าใช้โทรศัพท์บ้านโทรหาขุนเขา ปรากฎว่าอีกฝ่ายปิดเครื่อง

เด็กชายทวนเบอร์ที่จดในสมุดให้แน่ใจว่าไม่ได้กดผิด

พอกดโทรออกอีกครั้งมันยังเหมือนเดิม

หรือว่ายังไม่ตื่น ?

เด็กชายขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเดินลงจากบ้านด้วยความแคลงใจ แต่เขาต้องหยุดความสงสัยลงเพียงแค่นั้นเมื่อมารดาเรียกทานข้าวก่อนไปโรงเรียนกวดวิชา




และพอมาถึงโรงเรียนฟากฟ้าทำใจอยู่ในรถร่วมสิบนาที

เดิมทีเด็กชายไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ครั้นพอออกห่างจากผู้สนับสนุนจึงเกิดคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำแบบนี้ดีแล้วหรือ จะกลายเป็นตัวประหลาดหรือเปล่าที่วันดีคืนดีก็ลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวเจ้าสำอาง จะถูกแกล้งหนักกว่าเดิมหรือเปล่า หรือจะโดนพวกชุนหัวเราะเยาะอีก

ความกังวลใจค่อยแผ่ขยายกลายเป็นความหวาดหวั่น จนกระทั่งคนขับรถเอ่ยทักเตือนสติ

“คุณฟ้า ? ถึงแล้วนะครับ”

เป็นคนงานของพ่อที่โรงงาน ค่อนข้างได้รับความไว้วางใจให้เข้าออกบ้านใหญ่เมื่อเวลาต้องการใช้สอย ข้อดีของคนที่นี่คือความซื่อสัตย์และเป็นมิตร จึงทำให้ฟากฟ้าค่อยผ่อนคลายกับสิ่งนั้น

อุตส่าห์มาถึงขนาดนี้แล้วถ้าไม่ยอมก้าวออกจากรถเผชิญหน้าคงต้องถูกขุนเขาดุเป็นแน่

ไม่สิ ขุนเขาคงผิดหวังมากกว่า

ทั้งที่อีกฝ่ายพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่เขากลับขี้ขลาดกลัวผลลัพธ์ในอนาคตโดยที่ยังไม่ลงมือแบบนี้ ขุนเขาอาจจะเลิกเป็นเพื่อนเลยก็ได้

ฟากฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกพลางนึกหน้าติวเตอร์ส่วนตัว

นึกอยากให้อีกฝ่ายมาอยู่ตรงนี้แล้วบอกเขาว่ามันต้องไม่เป็นไร

แต่... แบบนี้อาจจะดีกว่าก็ได้

เด็กชายจึงตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถ เพราะความกล้าหาญมาไม่มากนักจึงยังไม่สามารถเงยหน้าสบตาใคร เขาทำทุกอย่างรวดเร็ว ปิดประตู เดินจ้ำอ้าวเข้าโรงเรียนกวดวิชา โดยไม่แม้แต่จะสนใจเสียงที่พูดคุยดังขึ้นรถตัวเองแม้แต่น้อย

และทันทีที่ถึงห้องเรียน ราวกับทุกอย่างถูกหยุดเวลาลงกะทันหัน

เพื่อนทุกคนนั่งจับกลุ่มกันตามที่ประจำ เป็นภาพเดิม ๆ ซ้ำ ตั้งแต่ลงเรียนมา ฟากฟ้าก้าวเข้าห้องด้วยความไม่มั่นใจ มือกำสายเป้ของตัวเองไว้มั่น ปกติเขามักมาด้วยเป้ของโรงเรียนใหญ่ แต่วันนี้แม่กลับยื่นเป้สะพายข้างสีครีมเข้มยี่ห้อหนึ่งมาให้ใช้แทนโดยบอกว่ามันเข้ากับเสื้อผ้ามากกว่า

ทุกย่าวก้าว เสียงคุยกันยิ่งเงียบลง

จนกระทั่งทั้งห้องได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ

ขาของเด็กชายเริ่มหนักอึ้งราวกับตะกั่ว เขากวาดสายตามองรอบอย่างขลาด ๆ

หัวใจเต้นระรัวเป็นกลองเมื่อพบว่าสายตาของทุกคนนั้นมาหยุดอยู่ที่เขาเพียงจุดเดียว

ประหลาดจริง ๆ ด้วย ฟากฟ้าเริ่มสิ้นหวัง ความคิดด้านลบพวยพุ่งออกมาไม่หยุดหย่อน

ทันใดนั้นที่เขาสบตากับชุนเข้า

สีหน้าของชุนช่างน่ากลัว มันเรียบนิ่งราวกับไร้ความรู้สึก เหมือนรูปปั้น ความสงบแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกาย ดวงตาหรี่มองมาเล็กน้อยราวกับจับผิดอะไรบางอย่าง ริมฝีปากขมุบขมิบเหมือนคุยกับใครที่มองไม่เห็น ฟากฟ้ารู้สึกหวาดกลัวกับปฏิกริยานี้ของชุนอย่างบอกไม่ถูก

ต้องโดนอะไรอีกแน่เลย เด็กชายคิด

ไม่แม้แต่จะตรวจสอบปฏิกริยาของเธอคนนั้น ความกล้าที่พกมาจากรถหายไปจนหมดหลอด กลับมาเป็นฟากฟ้าคนเดิม ที่เพิ่มเติมคือความระแวง รู้สึกว่าคนทั้งโลกกำลังจับตามอง

อยากหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้น

“เอ่อ ...”

เสียงหวานเล็กของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง เสียงของคนที่เขายังไม่อยากเจอมากที่สุด

เธอคนนั้น

เด็กชายสะดุ้งโหยงหันไปมองต้นเสียงอย่างช้า ๆ เหงื่อกาฬผุดเต็มหลัง ใบหน้าเหรอหราทำตัวไม่ถูกทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิด สัมผัสถึงความน่ารักของอีกฝ่าย

วันนี้เด็กหญิงมาด้วยชุดวันพีซสีชมพูอ่อน รองเท้าผ้าใบสีขาวลายดอกไม้น่ารัก เป้ขนาดกะทัดรัดดูสมเป็นผู้หญิง ผมของเธอยาวประบ่าสีดำขลับ ริมฝีปากอมชมพู แก้มนวลใสราวกับไข่มุก

เมื่อเธอเห็นเขาแววตาของเธอพลันเปลี่ยน รอยยิ้มบนใบหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย สีหน้าฉายแววประหลาดใจอย่างไม่มีปิดบัง

ตอนนี้ความมั่นใจของฟากฟ้าเหือดแห้งราวกับทะเลทราย เขาไม่กล้าสบตาเธอเลยสักนิด

“ข..ขอโทษครับ”

ไม่รู้ว่าตนผิดอะไร แต่ยังขยับหนีห่างจากเธอแต่โดยดี ทว่าเธอคนนั้นยังยืนนิ่งไม่ไปไหน

เกิดความเงียบอันน่าอึดอัด แม้จะรู้ดีว่ายืนต่อไปคงไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่ฟากฟ้ายังคงยืนอยู่อย่างนั้น หัวสมองขาวโพลน แม้กระทั่งมาทำอะไรเขายังลืมไปแล้ว

จะทำยังไงต่อไปดี

“ฟากฟ้า ..เหรอ?”

กลับกลายเป็นว่าเด็กหญิงเอ่ยถามด้วยประโยคที่แสนจะชวนอึ้ง เด็กชายเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อ...เอ่อ...ใช่ครับ”

ฉับพลันนั้นพวงแก้มของเด็กหญิงพลันเปล่งเป็นสีแดงระเรื่อ เรียวปากยิ้มกว้างกว่าก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว

เด็กชายไม่รู้ความคิดของอีกฝ่ายเลยสักนิด หรือว่าเธอกำลังจะหัวเราะเยาะ ?

แต่ทว่าเธอคนนั้นกลับยื่นมือมาจับมือเขาเอาไว้แล้วบอกว่า

“ตกใจหมดเลย ! ฉันแทบจำเธอไม่ได้เลยแน่ะ ! ไปทำอะไรมาเหรอ ดูสิ ไม่เหมือนฟากฟ้าคนเดิมเลยนะ ! แบบนี้ต้องเนื้อหอมแน่ ๆ เลย !”

คำถามนั้นทำให้ฟากฟ้าพลันหยุดชะงัก

ความคิดด้านลบหยุดนิ่ง เขาจ้องมองอากัปกริยาของเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้า

รอยยิ้มที่มีให้เขาเพียงคนเดียว และเธอกำลังพูดคุยกับเขาเหมือนคนอื่นทั่วไป

สถานการณ์แบบนี้มันยังไงกัน ทำไมเขาถึงหัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก

ฟากฟ้าอดที่จะเก็บซ่อนความดีใจนั้นไม่ได้ เขาเผลออมยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย ไม่ได้ดูแย่หรอกเหรอเนี่ย เธอคนนั้นยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเขาแล้วหรือ ซ้ำยังพูดด้วย ยิ้มให้ด้วยอีกต่างหาก

และที่สำคัญ ...

ไออุ่นจากฝ่ามือของเธอยิ่งทำให้หัวใจของเด็กชายเต้นรัวหนักกว่าก่อนหน้านี้ ไม่ได้เต้นเพราะความหวาดวิตก แต่เป็นความดีใจ ตื่นเต้น ตื้นตัน หลายอย่างผสมปนเป

แต่ห้วงเวลาดังกล่าวอยู่ได้ไม่นาน เมื่อ ..

มือของทั้งคู่ถูกกระชากออกจากกันอย่างแรง ร่างใครคนหนึ่งผ่านหน้าไปโดยไม่สนใจว่ามีคนยืนอยู่ เด็กทั้งคู่อุทานมาพร้อมกันพลางหันไปมองต้นเหตุ

ร่างของชุนหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้ใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัวกว่าเมื่อกี้อย่างมาก

มากจนฟากฟ้าเผลอก้าวถอยหลังก้าวหนึ่ง

“อ้าว โทษที มองไม่เห็น”

น้ำเสียงเรียบนิ่งจนเย็นชา ฟากฟ้าอดขนลุกไม่ได้

ไอสังหารระรานฟากฟ้าจนนึกอยากอาเจียน สายตาของชุนมองมาที่เขาและเธอสลับกัน ก่อนจะก้มมองมือที่ถูกจับให้แยกออกจากกันโดยอีกฝ่ายแล้วพ่นลมหายใจทางจมูกอย่างดูแคลน

“ชุน !” เธอคนนั้นร้อง “เดินตัดหน้าคนกำลังคุยกันมันเสียมารยาทนะ”

“ก็บอกแล้วไงว่ามองไม่เห็น” ชุนสวนอย่างไม่สะทกสะท้าน

ตามความเข้าใจเดิมของฟากฟ้าที่ขุนเขาเคยบอกว่าชุนนั้นกำลังหมายปองเธอคนนั้นอยู่ และเมื่อเห็นเธอกำลังคุยกับเขาแล้วการที่ชุนจงใจขัดขวางนั้นเท่ากับว่า..

กำลังไม่พอใจที่เขากำลังแตะต้องคนที่ชุนเล็งไว้อยู่นั่นเอง

ลืมไปเสียสนิท คิดจะจีบเธอคนนั้นแล้วมันเท่ากับว่าเขาต้องเป็นศัตรูกับชุนอย่างเปิดเผยอีกด้วย

เพราะใคร ๆ ก็รู้กัน และสำหรับฟากฟ้าเองยังมองว่าเธอก็เหมาะกับชุนไม่น้อย

ทั้ง ๆ ที่คิดแบบนั้นแล้วแท้ ๆ

แต่...

ฟากฟ้าตัดสินใจก้าวขึ้นมาข้างหน้าบังร่างของเธอให้ออกห่างจากชุนแล้วเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเสียเอง

ยอมรับว่าการกระทำครั้งนี้ค่อนไปทางบ้าบิ่น แต่เขาไม่มีทางเลือก จะให้ผู้หญิงออกตัวปกป้องแทนตนเองได้อย่างไร อย่างน้อยเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชาย ต่อให้เป็นสิ่งที่หวาดกลัวหรือไม่กล้าต่อกรก็ตาม

ชุนหรี่ตามองฟากฟ้าอีกครั้งพลางจ้องมองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ยิ่งมอง ชุนยิ่งดูไม่สบอารมณ์มากเท่านั้น

“ไง เจ้ากบที่คิดอยากเป็นเจ้าชายโดยหารู้ไม่ว่ากบก็เป็นได้แค่กบที่น่ารังเกียจและอัปลักษณ์”

คำพูดนั้นบาดลึกจนฉีกความดีใจจนหมดสิ้น ยอมรับว่าชุนเป็นคนที่สามารถทำลายความเชื่อมั่นของคนอื่นได้อย่างง่ายดาย ภายใต้ร่างกายเด็กมัธยมต้นนั้นมีบ่อเกิดอำนาจ ความน่าเกรงขาม และน้ำเสียงที่อันเด็ดขาดที่สามารถสร้างความปั่นป่วนให้แก่ผู้ฟังได้ มันได้ผลมาก เมื่อใช้กับฟากฟ้า

เด็กชายตัวสั่นเล็กน้อย เคยโดนชุนว่ามาเยอะแล้วก็จริง แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแย่กว่าครั้งไหน

เธอคนนั้นยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างหลัง แน่นอนว่าทั้งห้องยังคงเฝ้าดูเหตุการณ์นี้อย่างใกล้ชิด

ฟากฟ้าไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด นึกคำพูดไม่ออก ได้แต่คิดยืนปกป้องอยู่อย่างนั้น

หากจะต่อว่า ว่าเพียงเขาคนเดียว อย่าดึงเธอเข้ามาเอี่ยว

เพราะเป็นความผิดของเขาเองที่คิดแตะเนื้อของราชสีห์ โดยไม่สำเนียกจุดยืนของตัวเองสักนิดเลยน่ะหรือ ?

มันไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเลย ! ตราบใดที่ทั้งสองยังไม่ตกลงคบกันในระหว่างนั้นเขาเองก็ยังมีสิทธิ์ เหมือนที่ขุนเขาเคยพร่ำบอกเสมอว่า ใครดีใครได้ ถ้าหากการที่เขาชอบเธอคนนั้นเป็นเรื่องไม่คู่ควร เขาก็จะเป็นคนที่คู่ควรกับเธอคนนั้นเอง

ไม่มีอะไรต้องให้รู้สึกผิด เขาทำในสิ่งที่สามารถทำได้

เพราะชอบยังไงล่ะ

แล้วชุนล่ะ อยากได้เธอคนนั้นไปทำไม  ?

 คาดว่าชุนคงเดาความคิดของตนออก แต่จะด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ชุนไม่ยอมตอบคำถามนั้น ทั้งคู่ได้แต่ยืนมองหน้ากันโดยไม่พูดจา

จนกระทั่งอาจารย์ผู้สอนเปิดประตูเข้าห้อง เมื่อเห็นบรรยากาศกระอั่กกระอ่วนจึงไล่ทุกคนนั่งที่และเริ่มสอนโดยไม่ไต่สวนอะไรสักคำ

ฟากฟ้าถูกดึงไปนั่งกับเธอ

ส่วนชุนก็ทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุนับตั้งแต่ตอนนั้น



****************************



วันนี้ขุนเขาตื่นสาย

เพราะเมื่อคืนน้องชายคนเล็กของบ้านมาชวนเล่นเกมที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เล่นไปสักพักชักติดลม พี่ชายคนโตมาเห็นเลยร่วมแจมด้วยก่อนจะไล่น้องคนสุดท้องไปนอน จนสุดท้ายกว่าจะเลิกเล่นเข็มนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลขสี่ของอีกวัน

ฟากฟ้าเลิกเรียนเที่ยงก็จริงแต่เขาน่าจะโทรไปให้กำลังใจอีกฝ่ายก่อนออกจากบ้านสักหน่อย แต่ปรากฏว่ากว่าจะรู้สึกตัวแดดก็ส่องก้น แถมยังปาไปสิบเอ็ดโมงแล้วอีกด้วย

เด็กหนุ่มกระวีกระวาดลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว โดนบิดาก่นด่าเพราะนอนกินบ้านกินเมือง เด็กหนุ่มฟังหูซ้ายทะลุหูขวาลงจากบ้านก่อนคว้ากุญแจควบมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปทิ้งไว้เพียงฝุ่นตลบ

หน้าโรงเรียนกวดวิชาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สถานที่สำหรับเด็กนักเรียนเรียนดี เงินหนา หวังเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ซึ่งไม่ว่างมองมุมไหนก็ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับเขาสักนิด

เหมือนเป็นอีกสังคมหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป จินตนาการไม่ถึง

อีกประมาณสิบนาทีจะเที่ยงตรง ใจจริงก็ตื่นเต้นอยากเห็นลุคใหม่ของฟากฟ้าอยู่ไม่น้อย

ทั้งที่อยากเห็นแบบนั้น ในใจกลับรู้สึกเหงาอย่างประหลาด เพราะอะไรขุนเขาก็ตอบไม่ได้

เด็กหนุ่มนั่งมองทิวทัศน์รอบตัวอย่างเรื่อยเปื่อยสลับกับดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ

เที่ยงตรง

....เที่ยงห้านาที

........เที่ยงสิบห้านาที

นักเรียนที่มีเรียนแค่ช่วงเช้าเริ่มทยอยกันออกมา ขุนเขาพบแม้กระทั่งชุน แต่กลับไม่มีวี่แววของฟากฟ้าเดินออกมาสักนิด

เด็กหนุ่มเริ่มขมวดคิ้วพลางชะเง้อมองหา

จนกระทั่งเที่ยงยี่สิบนาทีเขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง

และ..ฟากฟ้าที่อยู่ท่ามกลางของพวกผู้หญิงกลุ่มนั้น

เป็นภาพเกิดความคาดหมาย ขุนเขายืนมองด้วยความนิ่งอึ้ง รูปลักษณ์ของฟากฟ้าแบบใหม่นั่นน่าตะลึงพอทน แต่ผลของมันอะไรจะรวดเร็วปานนั้น

แต่จากความตื่นตะลึงกลายเป็นความน่าขัน เมื่ออากัปกริยาของฟากฟ้าไม่ต่างจากที่ขุนเขาคิดไว้นัก

ใบหน้าดูเหรอหรา ยิ้มแห้ง ๆ หน้าตาเขินอายตลอดเวลา พูดได้แค่ไม่กี่คำ

ต่อให้ภายนอกดูดีแค่ไหน แต่ฟากฟ้าก็ยังคงเป็นฟากฟ้าอยู่วันยังค่ำสินะ คนที่เขาเคยรู้จัก เด็กขี้ขลาด ขี้แย และแอบหัวดื้อในบางเวลา

ขุนเขามองอีกฝ่ายอย่างเพลิดเพลิน

จนกระทั่งกลุ่มนั้นเข้ามาถึง ครั้นพอจะเอ่ยส่งเสียงทักกลับมีใครเรียกฟากฟ้าตัดหน้าเสียก่อน

“ฟ้า ! หลังจากนี้พวกเราจะไปเดินเล่นกันน่ะ ไปกันไหม”

เธอคนนั้น คนที่เป็นที่รักของเจ้าของชื่อ

ลืมสังเกตไปได้อย่างไร

ฟากฟ้าทำท่าอึกอักอย่างเห็นได้ชัด จับความลังเลบนสีหน้าได้อย่างไม่ยาก ขุนเขาจ้องมองสีหน้านั้นด้วยความนิ่งสงบ ไม่สิ ต้องบอกว่าอารมณ์ขันเมื่อสักครู่พลันหายไปพร้อมกับคำถามดังกล่าว

“ว่าไง”

เด็กหญิงถามย้ำ รอบข้างต่างเชียร์ให้ตอบตกลง

แม้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่กี่วินาที แต่ขุนเขากลับไม่อยากเห็นความลังเลนั้นอีกต่อไปแล้ว

เด็กหนุ่มจึงตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายดังลั่น

ฟากฟ้าสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้ามองต้นเสียงแล้วพลันแสดงสีหน้าตกใจ

ขุนเขากำหมัดแน่น อะไรกัน ทำหน้าแบบนั้น

ฟากฟ้าหันไปปฏิเสธเธออย่างเกรงใจ ก่อนจะขอปลีกตัวออกมาหาขุนเขา เด็กหนุ่มยื่นหมวกกันน็อคประจำตัวอีกฝ่ายอย่างไร้เสียง ไม่มีคำพูดทักทายหรือถามไถ่กันสักคำ จากนั้นจึงสตาร์ทรถตั้งท่าจะออกตัว

เด็กชายรีบซ้อนท้ายไม่ทัน และเมื่อผิวสัมผัสเบาะขุนเขาพลันบิดคันเร่งออกจากจุดนั้นอย่างรวดเร็วจนร่างของฟากฟ้าแทบหงายหลัง

ชุนในวันนี้ที่ว่าน่ากลัวแล้ว

ขุนเขาเวลานี้เองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่

ฟากฟ้ารู้สึกเช่นนั้น




TO BE CONTINUED…………..

หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 11 – แปลงร่าง ~♪『21-08-16』ตาไม่ฝาดจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 21-08-2016 06:04:56
อะไรกันนน นี่ขุนเขาหวงฟากฟ้าหรือเปล่าา
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 11 – แปลงร่าง ~♪『21-08-16』ตาไม่ฝาดจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-08-2016 09:56:32
เอ๊ะ.... เอ๊ะ..... ตกลงหลักสูตรเร่ง....'รัก'
สำเร็จไป 100% ฮ่า ฮ่า ฮ่า
30% คือผู้หญิงคนนั้นหันมาสนใจฟ้า
70% ขุนก็สนใจฟ้า ถึงขั้นหึงหวงฟ้าเลย
นั่นคือขุน ชอบฟ้าไปแล้ว :mew1: :mew1: :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 11 – แปลงร่าง ~♪『21-08-16』ตาไม่ฝาดจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 21-08-2016 12:25:33
 :-[ ฟากฟ้าถอดรูปแล้ว ขุนเขาจะทำยังไงดี เกิดอารมณ์หวง อยากเก็บไว้เป็นคนของตัวเองคนเดียวล่ะสิทีนี้ 555+
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 11 – แปลงร่าง ~♪『21-08-16』ตาไม่ฝาดจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 23-08-2016 19:24:16
ทำน้องฟ้าเบาๆหน่อยสิ พวกนี้นิ น้องยิ่งบอบบางน่ารักอยู่ น้องฟ้าต้องอัพเลเวลข่มบ้างนะลูก555
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: mamedaz-s ที่ 25-08-2016 15:04:56
คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ


ขุนเขาพาฟากฟ้ามาถึงที่บ้านโดยสวัสดิภาพก็จริง แต่ความอึดอัดที่ปกคลุมนี่ทำยังไงก็ไม่หาย

เด็กชายลงจากมอเตอร์ไซค์อย่างช้า ๆ ถอดหมวกกันน็อคมองเพื่อนของตนที่มีสีหน้าแน่นิ่งไร้อารมณ์ แม้กระทั่งสายตายังไม่ปรายมาทางนี้ด้วยซ้ำ

“ขุน..”

“ฉันกลับละ” เด็กหนุ่มตัดบทพร้อมดึงหมวกกันน็อคจากมืออีกฝ่ายมาเก็บไว้ตระกร้ารถด้านหน้า

ฟากฟ้ารีบจับแขนขุนเขาเอาไว้

ร่างนั้นหยุดชะงัก ก่อนจะหันมามองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“อะไรอีก”

น้ำเสียงนั้นดูเย็นชา ห่างเหิน ราวกับวันแรกที่ได้รู้จักกัน ขุนเขาคนที่ฟากฟ้าไม่เคยรู้จัก ไม่สิ คนที่ฟากฟ้ายังไม่เคยรู้จัก คนที่เคยพบกันตอนชั้นมัธยมหนึ่ง ขุนเขาที่เปล่งไปด้วยออร่าไม่น่าชวนให้เข้าใกล้

ฟากฟ้าข่มใจไม่ให้แสดงความอ่อนไหวต่อท่าทางดังกล่าว

“จ..จะไปไหน”

“กลับบ้านน่ะสิ หมดธุระแล้ว”

คำตอบนั้นเล่นทำเอาเด็กชายใจแป้ว ขุนเขาจะเร่งเครื่องอีกครั้งแต่ฟากฟ้าไม่ยอมปล่อย

“ขุนเป็นอะไร โกรธอะไรเรา”

“เปล่านี่” เจ้าตัวรีบตอบ

เป็นความจริงที่ไม่ได้โกรธ แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด บอกไม่ได้ว่าทำไมถึงอารมณ์คุกรุ่น ไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายในเวลานี้เลย

ยิ่งนึกย้อนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว

“อ..อย่างนั้นมาพักกินน้ำกินขนมบ้านเราก่อนไหม แล้วค่อยไป”

“มีธุระน่ะ โทษที”

ขุนเขาเตรียมเร่งเครื่องออกไปอีกครั้ง ฟากฟ้ายอมปล่อยมือออกอย่างง่ายดาย

แต่ทว่า...

“ฮึก....”

เสียงสะอื้นดังขึ้น

เพราะอีกฝ่ายคือฟากฟ้า

ขุนเขาเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำจากคนตรงหน้า รูปปากบิดเบี้ยว น้ำตาใสไหลลงอาบแก้ม

เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงสติให้กลับคืน

เกือบลืมไปเสียสนิท

เมื่อเห็นว่าขุนเขายอมดับเครื่องลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วฟากฟ้าพลันหยุดสะอื้น มือขวาปาดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ ในใจรู้สึกผิดที่ไม่สามารถอดกลั้นต่อความรู้สึกไว้ได้

เพราะว่ากลัว และถ้าหากปล่อยให้ขุนเขาไปเสียตอนนี้เรื่องระหว่างเขาจะกลายเป็นเรื่องโกหก

ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

ผิด ทั้งที่ไม่รู้ว่าผิดอะไร แต่ถ้าหากทำให้อีกฝ่ายเลือกที่จะไม่ทอดทิ้งตนหรือกลับมาเป็นคนเดิมได้นั้นก็ยอมรับผิดทุกข้อหา

“ขุน..”

“แค่ไปนั่งกินขนมก็พอใช่ไหม” ขุนเขาว่า

แม้สีหน้ายังคงนิ่ง แต่สามารถทำให้ใจชื้นขึ้นได้ 

“อื้อ !”

เด็กชายพยักหน้ารัวก่อนจะดึงแขนอีกฝ่ายเข้าบ้านด้วยความกระตือรือล้น




บ้านของฟากฟ้าไม่ได้แตกต่างไปจากวันก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าของบ้านเดินจูงแขนออกนำหน้า ตัวเล็กแค่นี้ ฝ่ามือบางแค่นั้น มันไม่ยากเลยหากขุนเขาจะสะบัดมืออีกฝ่ายแล้วเดินกลับบ้านโดยไม่สนใจ และรู้ว่าถ้าทำแบบนั้นจริงฟากฟ้าก็คงไม่ยื้อเขาไว้อีกแล้วด้วย

ยอมเดินตามแต่โดยดี

อารมณ์คุกรุ่นค่อยมอดลงช้า ๆ ตั้งแต่ที่ได้เห็นใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตานั้น แม้จะไม่อยากมองคนตรงหน้าแค่ไหนแต่พอเห็นน้ำตากลับปฏิเสธไม่ลง พร้อมกันนั้นยังนึกสบถกับความงี่เง่าของตัวเองที่ไม่รู้จักควบคุมความรู้สึก

ไม่สิ เขาไม่ได้ควบคุม เพราะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

ความรู้สึกผิดพลันก่อขึ้นอย่างช้า ๆ แต่คำขอโทษกลับจุกตรงคอ ไม่กล้าเอ่ยออกไป

ทำไมกันละ

เมื่อถึงประตูบ้านพี่เลี้ยงดูเหมือนจะตกใจกับสภาพของเด็กทั้งคู่เล็กน้อย มันแน่อยู่แล้ว ไม่ว่ามองมุมไหนพวกเขาก็เหมือนทะเลาะกันมา ยิ่งอีกฝ่ายหลงเหลือรอยน้ำตากับใบหน้าของเขาที่บึ้งตึง มันพอที่จะเป็นหลักฐานมัดตัวจนพูดไม่ออกแล้ว

ฟากฟ้าบอกพี่เลี้ยงว่าเดี๋ยวจะพาผมขึ้นไปบนห้อง ฝากจัดการของว่าง เธอได้แต่พยักหน้ารับคำและหันหลังจากไปโดยไม่ถามอะไรสักคำ

พวกเขาขึ้นมาบนห้องนอนใต้หลังคาของฟากฟ้าอย่างเงียบเชียบ

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา มันกระอักกระอ่วนมากเกินไป

เมื่อประตูห้องปิดลง พวกเขาทั้งคู่กลับยืนนิ่งไม่ไหวติง

มือฟากฟ้าที่จูงแขนขุนเขาไว้แอบสั่นเล็กน้อย เด็กหนุ่มก้มมองดูสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนผิวหนัง ค่อยปรายสายตาขึ้นมาจนกระทั่งซีกใบหน้าที่ยังคงแดงก่ำเพราะแรงสะอื้น

ขุนเขาจับมืออีกฝ่ายไว้

“ขอโทษที่ฉันแสดงท่าที่ไม่ดีต่อนาย”

เป็นสิ่งที่เขาควรทำตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

อุตส่าห์เป็นเพื่อนกันแล้ว เพื่อนกัน ย่อมต้องปรับความเข้าใจกันไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่

เพราะเป็นเพื่อนจำเป็นต้องรักษาน้ำใจของอีกฝ่าย

ขุนเขาจึงสรุปสิ่งที่อยู่ในใจของตนออกไป

“ฉันเห็นว่านายลังเลตอนที่พวกผู้หญิงชวนไปเที่ยวต่อทั้ง ๆ ที่มีนัดกับฉัน เลยพาลคิดไม่ดีไปว่านายจะยอมเบี้ยวนัดเพื่อให้ได้ไปกับคนที่นายชอบ แล้วฉันเองก็ไม่มีความอดทนพอที่จะเห็นนายทำแบบนั้น ฉันคงมองนายผิดไป ไม่สิ ฉันกลัวมันจะเกิดขึ้นจริงต่างหาก”

คำพูดพรั่งพรูออกมาอย่างสำนึกผิด

ถึงว่าแม้จะไม่ใช่สิ่งที่ตกตะกอนออกมาทั้งหมดก็ตาม

ฟากฟ้าหันหน้ามามองเด็กหนุ่มอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าอธิบายยาก

ก่อนพ่นลมหายใจอย่างฮึดฮัด

“ขุนเขา !”

“ครับ”

“ชื่อล่ะ !”

ขุนเขาร้อง หา  ในใจ

เด็กชายปล่อยมือออกแล้วหันมาเผชิญหน้า กลายเป็นว่าโดนโมโหคืนซะอย่างนั้น

“ชื่อไงชื่อ บอกแล้วนี่ว่าผมไม่ได้ชื่อนายสักหน่อย”

“เรื่องนั้นหรอกเรอะ”

ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงักอย่างหนักแน่น บรรยากาศชวนตึงเครียดเมื่อกี้หายไปในพริบตา

อะไรกันนั่น..

ขี้โกงนี่นา

แต่ขุนเขากลับยอมแก้ตัวอย่างง่ายดาย

“ฟ้า...”

“ดีมาก” เด็กชายพลัยยิ้มออกมา

ท่าทางจะดีใจมากเลยทีเดียว

เกิดความเงียบเกือบหนึ่งนาที ครั้นพอขุนเขาจะเอ่ยอะไรออกมาอีกครั้งแต่กลับถูกฟากฟ้าชิงพูดเสียก่อน

เด็กชายยิ้มแป้นราวกับที่ร้องไห้เมื่อสักครู่เป็นเรื่องโกหก ในวินาทีนั้นเองที่ขุนเขาเพิ่งสังเกตความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายเต็มตาเป็นครั้งแรก

ฟากฟ้าดูดีมากเลยทีเดียว ในสายตาของเด็กหนุ่มอีกฝ่ายดูน่ารักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ในสภาพนี้ยิ่งทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีสาว ๆ รุมล้อมได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

ความจริงควรเป็นคนเนื้อหอมด้วยซ้ำ แต่เจ้าตัวไม่เคยคิดถึงรูปลักษณ์ของตน

“แล้วผลเป็นยังไงบ้างล่ะ”

ลองถามทั้งที่เห็นคำตอบอยู่แล้ว

“ต้องขอบคุณขุนมากเลยนะที่ทำให้ผมได้คุยกับคนที่ชอบ ดูเหมือนจะสำเร็จด้วยดีล่ะ ถึงแม้ว่า.. พวกชุนจะดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ก็เถอะ”

การรายงานนั้นทำให้ขุนเขารู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างตนกับอีกฝ่ายเริ่มกลับคืนมา

ฟากฟ้าไม่เอ่ยตำหนิเขาแม้แต่นิดเดียว

แต่ก็ไม่เอ่ยแก้ตัวด้วยเช่นกัน

สิ่งที่ไม่กระจ่างนั้นเด็กหนุ่มเลือกที่จะมองข้าม เพราะยังไงแล้ว นั่นคือคนที่ฟากฟ้าชอบ หากจะลังเล คงเป็นเรื่องธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์แอบรัก

“...ดังนั้นแล้ว ขุนเขา”

“ครับ”

เผลอรับคำอีกแล้ว

“ช่วยเป็นติวเตอร์ให้ผมอีกต่อไปได้ไหม”

สิ้นเสียงสายตานั้นช่างแปลกประหลาด เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังดูดเขาไปสู้ห้วงลึก

ขุนเขากะพริบตาปริบ ๆ จ้องมองอีกฝ่าย

ว่าอะไรนะ ?

“ก...ก็นี่เป็นชั่วโมงทดลองอยู่ไม่ใช่เหรอ ? แล้วก็ครบสามชั่วโมงแล้วด้วย ถ้าผม..เอ่อ... จะให้ขุนติวให้ต่อ ขุนจะว่าอะไรไหม”

เด็กชายเกาแก้มด้วยความเขินอาย ดูเหมือนเรื่องในวันนี้จะสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่ายพอสมควรเลยทีเดียว ถึงได้กล้าเอ่ยขออะไรเช่นนี้

ทว่าคำขอนั้นสำหรับขุนเขากลับเป็นเรื่องแปลกประหลาด

อะไรบางอย่างในใจก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ

มันช่างดำมืดและพัดโหมรุนแรงเหมือนพายุ

แต่ในเมื่ออีกฝ่ายขอร้องมา และเขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ควรเป็น จึงได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มแกนตอบว่า

“ได้สิ แต่ค่าตัวของฉันแพงนะ”

“เท่าไหร่เหรอ”

ขุนเขาต้องรีบร้องปรามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มควานหาบัตรเครดิตประจำตัว

“หยุดใช้เงินซื้อทุกอย่างเดี๋ยวนี้เลยนะ !”

คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายชะงักก็จริง แต่กลับเลิกคิ้วสูงพร้อมคำถามมาด้วยเสียนี่

“ก็ขุนบอกว่าค่าตัวแพงนี่นา”

“มันคำเปรียบเปรยต่างหาก ฉันไม่ได้คิดอยากเอาเงินนายจริง ๆ สักหน่อย”

“แต่.. ผมต้องมีอะไรตอบแทนให้ขุนบ้างนะ”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า เพื่อนช่วยเพื่อนไม่จำเป็นต้องมีของตอบแทนหรอก อย่าดูถูกมิตรภาพนักสิ”

ทว่าเด็กดื้อกลับทำหน้าไม่เห็นด้วยเล็กน้อย

ขุนเขาถอนหายใจ เอาเถอะ แต่ละบ้านคงถูกสอนมาไม่เหมือนกัน เขาจะเป็นธุระช่วยบอกทีละนิดเอาก็ได้ บอกไปทีเดียวอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจ

จึงบอกด้วยคำพูดสวยหรู

“ฟังนะ ของในโลกนี้ยังมีบางอย่างที่ซื้อด้วยเงินไม่ได้”

“จริงเหรอ” ดวงตาประกายแวววาว

สมเป็นพวกคนรวยที่เอะอะใช้เงินเสียจริง

ขุนเขาพยักหน้า

“จริงสิ ของสิ่งนั้นก็คือ .....”

ทว่าประโยคนั้นกลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูจากพี่เลี้ยงที่มาพร้อมของว่างและน้ำผลไม้

ท้องของขุนเขาร้องทันทีเพราะตั้งแต่ตื่นมายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นี่ก็บ่ายโมงกว่าแล้วหากอดอยากไปมากกว่านี้คงได้เป็นโรคกระเพาะแน่ ๆ

ฟากฟ้าอมยิ้มให้กับเสียงโครกครากนั่นโดยเอียงคอถามให้เขากินข้าวเลยดีกว่าไหมด้วยเจตนาบริสุทธิ์

สิ่งที่อยู่ก้นบึ้งภายในใจได้ถูกหลงลืมเสียสนิท

ขุนเขาสัมผัสได้ถึงฉากบาง ๆ ขวางกั้นระหว่างพวกเขาขึ้นมาแล้วหนึ่งชั้น



***************************************




ชุนกลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว

เขาทำลายข้าวของตลอดทางเดินอย่างเกรี้ยวกราด จนคนใช้ในบ้านต่างพากันผวาถ้วนหน้า

สองมือกำหมัดแน่นอย่างไม่สบอารมณ์

เล็บจิกจนเข้าเนื้อ แต่เขากลับไม่สนใจ

มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันในวันนี้ มันน่าโมโหจนปรอทความอดทนใกล้ทะลุ

โธ่เว้ย ! โธ่เว้ย ! โธ่เว้ย ! !

กล้าดียังไงถึงเปลี่ยนตัวเองตามใจชอบแบบนั้น ! กล้าดียังไงถึงทำแบบนั้นโดยไม่ขออนุญาตเขาก่อน !

“อ๊า! ! ! ! ! ! !”

เด็กชายกระแทกเท้าขึ้นบนบ้านจนร่างกายสะเทือน เปิดประตูห้องนอนห้องดังปัง เขวี้ยงกระเป๋าเรียนลงบนพื้น

ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงหัวเราะดัง

“คิก... หงุดหงิดน่าดูเลยนะเรา”

เสียงนี้ไม่ต้องบอกว่าของใคร จากใบหน้าที่โกรธจนแดงก่ำกลับกลายชะงักงัน ดวงตาเบิกกว้างสุดขีด ขนทั้งตัวลุกซู่ ทั้งร่างนิ่งแข็งค้าง ชุนค่อยช้อนตามองไปยังเตียงนอนของตน

ร่างกรรณะกำลังนอนอ่านการ์ตูนอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้องอย่างเขาส่งยิ้มมาให้

เป็นรอยยิ้มที่ดูน่ากลัวในหลาย ๆ ความหมาย

เหงื่อกาฬผุดเต็มแผ่นหลัง ความหวาดกลัวนั้นทำให้เขาถอยหลังหนึ่งก้าว

“อ้าว เพิ่งมาถึงจะไปไหนแล้วล่ะ”

คำทักทายนั้นไม่เป็นผล ไม่มีคำตอบออกมาจากชุนแม้แต่น้อย

ความกลัวนั้นขึ้นจับหัวใจ อยากกรีดร้องให้ดังยิ่งกว่าเมื่อสักครู่

เห็นไกล ๆ ยังพอทำใจและทักทายได้ แต่การที่จู่ ๆ ถือวิสาสะเข้ามาในห้องพร้อมทำตัวราวกับเป็นเจ้าของโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้เขาหมดทางที่จะรับมือ

อารมณ์โกรธหายไปจนหมดสิ้น แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่น

อยากวิ่งหนีออกจากที่นี่โดยเร็ว แต่ขาทั้งสองข้างกลับหนักอึ้งไม่ไปไหน

กรรณะเห็นปฏิกริยาของลูกพี่ลูกน้องแล้วรู้สึกยินดียิ่งนัก เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาน้องชายที่แข็งเกร็งไปทุกส่วน

ปิดประตูลงกลอนตามหลัง

ป้องกันการรบกวน

“ท่าทางน่ารักแบบนี้ชักอดใจไม่ไหวซะแล้วสิ”

ชายหนุ่มกระซิบที่หูอย่างอ่อนหวาน

มันจะเกิดขึ้นอีกแล้ว สิ่งนั้น

ทำไมถึงเป็นเขา แล้วทำไมถึงเป็นอีกฝ่ายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตนด้วย

ณ วินาทีนี้ ชุนนึกอยากให้ทำสัญญากับซาตาน ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรเขาก็พร้อมจะไปจากที่นี่โดยไม่ปริปากต่อรองแม้แต่นิดเดียว

มืออันเย็นเยียบของกรรณะวางลงบนบ่าของชุน

“ไหนบอกพี่มาสิว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนกันหรือ เอ... โมโหได้ขนาดนี้คงเป็นเรื่องของคนนั้นแน่ ๆ เลย”

คนนั้นคือใคร กรรณะย่อมรู้ดี

ความหยั่งรู้ การประเมินสถานการณ์ ความสามารถในการวิเคราะห์ ทำให้ผู้ชายคนนี้สามารถล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับชุนได้อย่างไม่ยากเย็น

เป็นตัวอะไรกันแน่

หมอนี่ใช่มนุษย์แน่หรือเปล่า

ชุนมักถามในใจซ้ำ ๆ

“อ..อือ”

หมดทางหนี ไม่มีที่ให้ปฏิเสธ ได้แต่เล่นตอบคำถามให้อีกฝ่ายเท่านั้น

กรรณะดึงเด็กชายเข้าไปกอบปลอบพลางลูบศีรษะอย่างช้า ๆ

ไม่รับรู้ถึงความอ่อนโยนแม้แต่นิดเดียว

กับคนพรรค์นี้

“มีอะไรให้พี่ชายคนนี้ช่วยไหมนะ”

“ม..ไม่มีครับ”

“ไม่มีจริง ๆ เหรอ”

คำถามนั้นช่างกดดัน

จนสุดท้ายจึงต้องเอ่ยออกไป

“ช...ช่วยทำให้ผมหายโกรธที”

“เพราะไม่ได้ดั่งใจใช่ไหม”

ชุนพยักหน้า

“เพราะจะไม่ได้ครอบครองคนเดียวอีกต่อไปแล้วใช่ไหม”

“ค..ครับ”

“ไม่ต้องห่วง ถ้าอยากได้มากขนาดนั้นพี่จะช่วยให้เอง”

ชุนไม่สามารถท้วงได้เพราะเรียวนิ้วยาวของอีกฝ่ายแตะปิดปากของตนเอาไว้

และทุกอย่างก็ดำดิ่งหายไปในความมืด

ที่ไม่มีใครรู้แม้แต่คนเดียว





TO BE CONTINUED.......
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 25-08-2016 15:19:16
@ @


ชุนนนนน โดนกินไปซะแล้ว T T
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 25-08-2016 18:34:35
พี่ของชุนนี่น่ากลัวอ่ะ
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 25-08-2016 19:39:23
ชีวิตชุนดูเคีียดมากอ่ะ ฮือออ แต่เราชอบโมเม้นแบบนี้มันบีบดี คุณขุนนนนน แพ้ฟากฟ้ามากค่าาา  :-[
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-08-2016 20:41:05
กรรณะน่ากลัว

สงสารชุน

ในขณะที่อีกฟากเป็นความผูกพันที่กำลังเรียนรู้เพื่อเติบโต ราวกับท้องฟายามมีลมฝนพอสลับกับแดดจ้า
ฝั่งนี้กลับเหมือนตกลงในโคลนดูดที่ข้นคลั่ก
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 30-08-2016 01:44:49
มีอะไรมากกว่าที่คิดจริงๆ รออ่านต่อน้า
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 30-08-2016 05:56:33
กระชากอารมณ์ระหว่างความใสกับความดาร์ค เจออะไรที่ Contrast กันแบบนี้ในเรื่องเดียวกันตื่นเต้นน่าดู
หัวข้อ: Re: 『ห ลั ก สู ต ร เ ร่ ง .. 'รั ก'』~♪ คาบที่ 12 – ไม่เข้าใจ ~♪『25-08-16』
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 30-08-2016 13:01:12
ชุนน่าสงสารแฮะ แอบชอบฟากฟ้า แต่กลับแสดงท่าทีตรงข้ามกับความรู้สึก ในขณะที่ตัวเองก็ตกอยู่ในภาวะจำยอม(ยอมอะไร  :sad4:)ของกรรณะ ... เรื่องนี้คนที่น่ากลัวที่สุดคงเป็นกรรณะนี่เองแหละ