(http://upic.me/i/z5/our-last-goodbye-was-never-said.jpg)
ตอนพิเศษ First meet & Last Goodbye
“ฮึกๆๆ” เสียงสะอึกสะอื้นที่ข้างหู พร้อมกับแขนเล็กๆที่กอดรัดคอ ทำให้นีรดาต้องกระชับเจ้าตัวน้อยไว้แนบอก โยกไปมาเพื่อกล่อมให้หยุดร้องไห้
จนกระทั่งร่างน้อยเริ่มสงบลง ก็เดินตรงไปที่บ้านข้างๆ โดยเดินผ่านพุ่มชาดัดที่ถูกตัดแต่งเป็นกำแพงเตี้ยระดับเอว อันเป็นขอบเขตกั้นระหว่างบ้านทั้งสองหลัง
หล่อนและครอบครัวเพิ่งย้ายมาอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทักทายข้างบ้านเลย
อย่างน้อยก็ฝากเนื้อฝากตัวบ้างก็ยังดี เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน...
ร่างบางที่กำลังรดน้ำอยู่ พอเห็นร่างที่อยู่ตรงพุ่มไม้ข้างบ้าน ก็นึกขึ้นได้ว่า มีคนเพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวันก่อน
จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นแนวกำแพงพุ่มไม้นั่นออกมา เธอก็ต้องตกใจ เมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายเต็มๆ
“น้องนี!!!” อีกฝ่ายก็มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน
“พี่นาถ!!” ก่อนจะหัวเราะใส่กันอย่างคุ้นเคย
นาถหรือนาถลดานั้น เป็นรุ่นพี่ในมหาลัยของนีรดา เลยสนิทอยู่พอตัว ต่างฝ่ายต่ายไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง
“เพื่อนบ้านพี่คือน้องนีเหรอเนี่ย” นาถลดาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นีก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่นาถ นีวุ่นๆอยู่กับบ้านใหม่ เลยไม่ได้มาแนะนำตัวเลย ฮ่าๆ”
“ไม่เป็นไรๆ แล้วนี่ คนเก่ง เป็นอะไรไป หืม?” นาถลดาร้องเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่รุ่นน้องเธออุ้มอยู่แดงก่ำ ดวงตากลมโตชุ่มแฉะไปด้วยน้ำตา พอถูกทักเข้าใบหน้านั้นก็เข้าซุกเข้าที่ซอกคอของคนอุ้ม
“โดนพี่สาวตวาดมาน่ะค่ะ คงไปกวนตอนที่เขากำลังอ่านหนังสือสอบพอดี”
“หืม สองสาวนั่นน่ะเหรอ อยู่ชั้นไหนแล้วนะ”
“ขึ้นมัธยมพอดีค่ะ นี่เขาอยากเข้า โรงเรียน XXX ด้วย เลยต้องฟิตหนักเลย ” ทั้งสองแต่ก่อนแม้จะไม่ได้เจอกัน แต่ก็มีโทรหากันบ้าง ถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้าง ล่าสุดก็เป็นเรื่องที่รุ่นน้องที่ได้ลูกหลงมาหนึ่งคนนั้นแหล่ะ
“นี่ปีหน้าพี่ก็จะให้ใบเตยเข้าเหมือนกัน จะไหวรึเปล่าก็ไม่รู้ เอ้า เข้ามาในบ้านก่อนดีกว่า มากินน้ำกินท่ากันก่อน” ยกมือลูบหัวทุยนั้นเบาๆ เด็กน้อยยิ่งซุกหนักไม่รู้ว่าเขินหรืออะไร
พอเดินเข้าใปในบ้าน ก็พบกับเด็กชายวัย 6 ขวบ ที่กำลังนั่งเล่นตัวต่ออยู่
เด็กชายคนนั้นเห็นคนเข้ามา ก็ร้องทักเสียงแจ๋ว
“แม่ค้าบ กระต่ายหิว อื๋อ?” ‘กระต่าย’ ชะงักกึกเมื่อเห็นมารดาพาคนอื่นมาด้วย
“นี่ น้านี เป็นรุ่นน้องแม่ แล้วก็เป็นเพื่อนบ้านเราด้วย” กระต่ายยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ ก่อนจะยกมือไหว้สวัสดี อย่างที่คุณครูสอนมา
“ว่าแต่ เจ้าตัวเล็กชื่ออะไรนะ” หันไปถามนีรดาที่ยังปลอบประโลมเด็กน้อยที่อุ้มอยู่ไม่หยุด
“’ไทกริส’ค่ะพี่นาถ เรียกสั้นๆก็น้องไทก์ เอ้า น้องไทก์สวัสดีป้านีก่อนสิครับ” เจ้าของชื่อช้อนตามองคนเป็นแม่ ก่อนจะมองคนทั้งสองด้วยสายตางุนงง นีรดาส่ายหน้าเบาๆ กับความไม่หือไม่อือกับลูกชาย ส่วยนาถลดาก็ยิ้มขำอย่างไม่ถือสา
“ดูตัวเล็กจัง กินเยอะๆนะ เดี๋ยวสู้พี่กระต่ายไม่ได้น๊า” นีรดาหยอก จับแขนเล็กเบาๆราวกับกลัวจะแตกหัก แต่เพราะเด็กน้อยคนนี้ดูจะตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน เมื่อเทียบกับกับสมัยที่ลูกชายเธออายุเท่านี้แล้ว เด็กคนนี้ถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์ด้วยซ้ำ
“กินก็กินปกตินะคะ บำรุงก็แล้วอะไรก็แล้ว ไม่โตเลย นี่นีว่าจะไปปรึกษาหมอแล้วเนี่ย” นีรดาตอบกลับอย่างปลงๆ
บทสนทนาของผู้ใหญ่ก็ยังดำเนินต่อไป
ส่วนเด็กน้อย ที่อยู่ในวงสนทนา ได้แต่มองคนนู่นคนนี้ จนกระทั่ง.....
“ไปเล่นกันเปล่า?” กระต่ายเอ่ยถามไทกริสที่นั่งเกาะแม่ตัวเองติดหนึบ
คนถูกถามสบตากับคนถามที่ยิ้มแฉ่งจนตาปิด
“...อื้อ” และนั่นคือ จุดเริ่มต้นบทสนทนาและความทรงจำของทั้งคู่ .......
เด็กชายกระต่ายหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นใบหน้าคนตรงข้ามเต็มไปซอสมะเขือเทศ
“อย่ามัวแต่หัวเราะน้องสิ เอาทิชชู่ไปเช็ดให้น้องก่อน” นาถลดาผู้เป็นแม่ร้องเตือน หล่อนเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะไทกริสร้องบอกว่าจะทานเอง หล่อนเลยไม่ได้ป้อนให้ แต่พอให้ทานเองก็เลอะไปทั้งปากทั้งจมูก ทั้งสงสารทั้งขำ
“กินแบบนี้ ดูพี่ๆ” กระต่ายยิ้มฟันหลออวดให้น้องดู ก่อนจะทำท่าตักข้าวเข้าปากอย่างโชว์ภูมิ
เด็กชายไทกริสมองตาแป๋ว แต่ก็ทำตาม กำช้อนพลาสติกสีขาวด้วยท่าทางขึงขัง ก่อนจะตักมักกะโรนีด้วยท่าทางเงอะๆงะๆ แต่หนนี้ไม่เลอะเท่าทีแรก
“เก่งๆ ฮี่ๆ” คนเป็นพี่ชม พลางปรบมือแปะๆ แม้เด็กคนนี้จะดูพูดน้อย ทำอะไรก็ตลกไปหมด แต่รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
นั่นคือสิ่งที่เด็กชายคิด
โดยไม่รู้เลยว่า ....... เส้นทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่
- Last goodbye -
“นี่ เดี๋ยวพี่ต้องย้ายบ้านแล้วนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเจ้าตัวเล็กข้างกาย ในขณะที่กำลังเดินกลับบ้าน
แต่เหมือนกับสีสอให้ควายฟัง เพราะนอกจากที่อีกคนจะไม่ยอมฟังแล้ว ยังเปลี่ยนเรื่องอีกต่างหาก
“กระต่าย อยากกินไอติม”
เจ้าของชื่อถอนหายใจดังฟู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดถึงย้ายบ้าน และทุกครั้งที่บอก ไทกริสก็มีปฏิกิริยาแบบนี้ทุกที
กระต่ายในวัย 12 ปี มองเจ้าเด็กที่เป็นยิ่งกว่าน้องชาย ตลอดที่ผ่านมากระต่ายและไทกริสก็ติดหนึบยิ่งกว่าแฝดอินจัน ตัวเองแม้จะมีพี่ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะทิ้งระยะห่าง เพราะอยู่ในช่วงวัยรุ่นและยังเป็นผู้หญิงอีก ส่วนไทกริสเองก็เช่นกัน เกิดเป็นลูกหลงที่อายุห่างจากพวกพี่ๆ 10 ปี ด้วยสาเหตุที่เหมือนจะคล้ายๆกันเลยทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันซะส่วนใหญ่
ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกผูกพัน และเข้ากันได้ด้วยดีกว่าคนในสายเลือด
ขี้คร้านจะพูดเรื่องนี้กับคนที่ไม่ยอมฟัง สุดท้ายก็ยอมตามใจ เจ้าน้องชายคนนี้อย่างที่เคยทำมาตลอด
และหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่พูดเรื่องนี้อีก จนล่วงเลยจนมาถึงวันที่ย้ายบ้านจริงๆ...
ทางฝั่งนีรดาและอาเธอร์ผู้เป็นสามี ก็รู้สึกใจหายไม่ต่างกัน ส่วนเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมา
เป็นกระต่ายที่ต้องไปเคาะประตู แต่ก็ได้รับความเงียบตอบกลับมา
“กริส พี่ไปแล้วนะ” กระต่ายรู้ดี ความรู้สึกของไทกริส เมื่อต้องอยู่ห่างกันก็รู้สึกใจหาย ถ้าเลิกได้ก็ไม่อยากย้ายไปหรอก
”...........” ไม่มีเสียงตอบกลับมา เลยลองเงี่ยนหูฟัง
‘ซื๊ดด’
เสียงสูดน้ำมูกดังแว่วดังออกมาจากอีกฝั่งของประตู คนฟังเบิกตากว้าง เพราะไม่คิดว่าอีกคนจะเป็นถึงขนาดนี้
“อย่าร้องไห้นะ ไว้พี่จะมาหาบ่อยๆ” บอกทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกไปเพราะมารดาเรียก
สองเดือนมาแล้ว ที่บ้านข้างๆได้ย้ายออกไป นีรดาถอนหายใจ พลางไปที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน ที่กำลังเดินขึ้นรถ ด้วยท่าทางไร้อารมณ์ เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งมา ผิดกับแต่ก่อน ที่จะมีคนพี่เดินมาคู่กัน แม้จะไม่ได้มีหน้ายิ้มแย้มอย่างที่เด็กควรจะเป็น แต่แววตาและท่าทาง ก็ทำให้เธอเชื่อว่า เด็กคนนี้กำลังมีความสุข
ในตอนที่รู้ว่า ตั้งครรภ์เด็กคนนี้ ยอมรับว่า เธอตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีอีกคน เพราะหลังจากที่คลอดสองสาวฝาแฝด เธอก็มีแพลนว่าจะมีเพิ่มอีกซักคน แต่เอาเข้าจริง กลับไม่ติด พอไปปรึกษาหมอก็พบว่า เธอมีความผิดปกติที่ฮอร์โมน
หลังจากนั้นก็ล่วงเลยมาสิบกว่าปี จนเธอล้มเลิกเรื่องที่จะมีลูกอีกซักคน
แต่พอเด็กคนนี้เกิดขึ้นมา เธอก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจอย่างบอกไม่ถูก คนในครอบครัวทุกคนก็รู้สึกไม่ต่างกัน พอได้ชื่อว่าเป็นลูกหลง ก็มีคนทั้งรักทั้งหลงจริงๆ
เลยเป็นสาเหตุให้ไทกริสถูกเอาอกเอาใจมากเป็นพิเศษ ทั้งจากคนในครอบครัวและคนรอบข้าง
และน้องกระต่ายก็เป็นคนในนั้น เธอมักจะอมยิ้มทุกครั้งที่เห็นลูกชายเธอเข้าไปอ้อนพี่ชายบ่อยๆ
นอกจากเธอแล้วก็มีเด็กคนนั้นที่โดนไทกริสอ้อนบ่อยๆ ...
“วันนี้เรียนเป็นไงบ้างคะน้องไทก์” ถามคำถามเดิมทุกวัน ถ้าเป็นแต่ก่อนจะมีคนพี่คอยเล่านู่นนี่ โดยมีคนน้องคอยแทรกขึ้นมาอยู่เรื่อย
แต่ตอนนี้ ...... ถ้าเธอไม่ถาม อีกคนก็ไม่ยอมเอ่ยปาก
“วันนี้มีสอบวิชาภาษาไทยครับ”
“เหรอ แล้วน้องไทก์ทำได้ไหมครับ”
“....” เด็กน้อยเงียบไปซักพัก ก่อนจะตอบด้วยเสียงงึมงำว่า “พอได้ครับ”
“คิกคิก ดีมากครับ เดี๋ยววันนี้แม่จะทำของโปรดให้น้องไทก์ทานดีกว่า”
ตกเย็น เด็กน้อยมานั่งเฝ้าโทรศัพท์ที่จะโทรมาในช่วงนี้ เป็นใครไม่ได้นอกจจาก พี่ชายข้างบ้านที่ย้ายออกไปนั่นเอง
บางทีก็เธอก็เป็นฝ่ายโทรไป
แต่ช่วงหลังๆมานี้ เหมือนอีกคนจะยุ่งอยู่กับโรงเรียนใหม่ เลยทำให้ห่างๆกันไปบ้าง เธอเองก็ไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ ดูเหมือนไทกริสจะติดพี่คนนี้มากเกินไป กลัวจะกลายเป็นรำคาญลูกชายเธอแทน
พอไม่ได้ติดต่อกับพี่ชาย ไทกริสก็เหมือนจะเก็บตัวมากขึ้น จากที่ไม่ค่อยพูดก็กลายเป็นคนไม่พูดเลย ถามคำตอบคำ คนในบ้านยิ่งร้อนใจ เพื่อเป็นการแก้ปัญหา เธอจึงตัดสินใจ ให้ลูกชายไปอยู่กับปู่และยายที่ฮังการีในช่วงปิดเทอม
แรกๆก็ตะกุกตะกักนิดหน่อย เพราะด้วยทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรม ภาษาฮังการี แม้เธอจะไปอยู่มาเกือบ 8 ปี เธอเองยังไม่คล่อง อีกทั้งประเทศนี้ก็ไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษซักเท่าไหร่ เลยต้องปรับพื้นฐานอยู่พักนึง
ไปๆมาๆ ช่วงมัธยมก็กลายเป็นว่าย้ายมาอยู่ที่ฮังการีโดยถาวร
เด็กคนนี้ แม้จะดูมึนๆ แต่เรียนรู้ได้เร็ว ต่างจากเธอที่เหมือนจะแก่เกินการเรียนรู้ ถูกสอนอะไรมา ก็ไม่ค่อยจะจำ อาศัยความงูๆปลาๆและสามีเธอแทน
ปู่ของไทกริส เป็นชาวฮังการี ส่วนยาย เป็นคนไทยผสมออสเตรีย พอมีลูกออกมา ก็เป็นลูกครึ่ง ฮังการี-ไทย-ออสเตรีย
พอมาเป็นคราวหลานก็กลายมาเป็นลูกเสี้ยว แต่เหมือนจะลูกชายคนเล็กจะได้เชื้อตะวันตกมาเยอะกว่าใครเขาเพื่อน เลยดูเหมือนได้เชื้อเป็นลูกครึ่งมากกว่าคนพ่อด้วยซ้ำ
ไทกริสในช่วงไฮสคูล ถูกยัดเยียดกิจกรรมหลายๆอย่าง ทั้งเรียนศิลปะป้องกันตัว ทั้งเรียนภาษาที่สามที่สี่เพิ่มเติม วันเสาร์-อาทิตย์ก็ให้ศึกษางานกับพ่อ
มีอยู่ช่วงหนึ่งกระแสที่เรียกว่า Facebook กำลังมาแรง ทั้งเพื่อนบ้านรวมถึงเพื่อนๆที่อยู่ที่ไทยของนีรดา ต่างไม่มีใครไม่รู้จักเจ้า Facebook แถมยังชวนให้เธอไปสมัครบ้าง แต่เธอก็ต้องขอบาย เพราะมันดูยากเกินไปนั่นเอง
หากแต่ใครจะรู้ว่า เจ้าบริการทางอินเทอร์เน็ตนี่ จะทำให้ ใครคนนึงได้พบกับอีกคนหลังจากที่จากกันเกือบสิบปี
เด็กหนุ่มลูกเสี้ยว นั่งหน้าอมยิ้มเบาบางกับหน้าจอไอแมค ส่วนสาเหตุก็ไม่ใช่อะไร
ถ้าไม่ใช่
‘คนในหน้าจอ’ ลงรูปอีกแล้วน่ะสิ
ทีนี้ เป็นรูปที่กำลังดูดน้ำ แต่ยกนิ้วกลางใส่กล้อง พร้อมแสยะยิ้ม
เหล่าคอมเม้นต์ ล้วนไปในทิศทางเดียวกันก็คือ กวนตีน
แต่สำหรับเขา
คนๆนี้
น่ารัก~
เขาเพิ่งสมัครเฟสบุ๊คได้ไม่นาน จากคำชักชวนของเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนในนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน
จะมีก็แต่ เพื่อนที่อยู่ประเทศไทยคนนึง ที่เขาได้แอบเข้าส่องทุกวัน โดยที่ไม่ได้ขออีกฝ่ายเป็นเพื่อน
“Going Sasin” พร้อมกับโปรไฟล์ที่เป็นเด็กหนุ่มที่นั่งหันข้างให้กล้อง เลยเห็นแค่เพียงครึ่งหน้า แต่ก็เดาไม่ยากว่าเป็นใคร
เขาไม่รู้เหมือนกัน ว่า คนคนนี้ก็ปรากฏขึ้นในลิสต์ เพื่อนที่คุณอาจจะรู้จักได้อย่างไร
สำหรับเขา มันเป็นเหมือนโชคชะตา กับคนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี
ด้วยความที่อีกคนเป้นคนที่ออกจะเปิดเผย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแสดงให้เป็นสาธารณะที่คนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนก็สามารถดูได้
มันเป็นความสุขอย่างนึง ที่ได้ทำแบบนี้
กระต่าย เปลี่ยนไปมาก หลังจากที่จากกัน ทั้งดูตัวสูงและผิวเข้มขึ้น
เผลอตัวอีกที คนคนนี้ ก็ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป .......
นีรดาคิดว่าไทกริสน่าจะลืมคนข้างบ้านไปแล้ว แต่เปล่าเลย ในวันหนึ่ง ขณะที่กำลังทำความสะอาดบ้าน ในส่วนห้องของลูกชายเธอ ปกติเจ้าตัวจะเป็นคนรับผิดชอบทำความสะอาด และไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในห้อง ซึ่งเธอก็เข้าใจเพราะลูกชายเธอก็เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว ....
แต่วันนี้แดดดี เป็นเหตุให้เธอขนหมอนทั้งหมดในบ้านไปตาก รวมถึงของลูกชายเธอด้วย
.... นีรดายืนอยู่หน้าประตูของลูกชายที่ไม่ได้เข้ามานาน เธอเพียงแค่ตั้งใจจะเอาหมอนและผ้าห่มไปตาก โดยไม่คิดจะยุ่งวุ่นวายอะไรในห้อง หากแต่พอเปิดประตูเข้าไป เธอก็ต้องผงะ เพราะห้องนอนที่ไม่มีของตกแต่งมากนัก แต่กลับเต็มไปด้วย รูปของคนๆนึง ที่เธอถึงกลับร้องเรียกชื่อนั้นได้ทันที
“อ้ะ นี่มัน น้องกระต่ายนี่?!”
ความตกใจ ความสงสัย ความแปลก ประเดประดังเข้ามา แต่เหนือสิ่งอื่นใด
เธอรู้ ลูกชายของเธอทำอะไรมีเหตุผลเสมอและเป็นคนจริงจัง เหมือนสามีของเธอไม่มีผิด
ดังนั้น การที่ในห้องของเธอมีรูปเด็กผู้ชายที่เธอรู้จัก มันต้องมีที่มาที่ไปแน่ๆ
ตกเย็นลูกชายกลับมาจากโรงเรียน
“น้องไทก์ ยังจำพี่กระต่ายได้ใช่ไหม”ไทกริสไม่ยอมตอบ สายตาล่อกแล่กไม่ยอมสบตา
หากแต่ ...... ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็พอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว
“เนี่ย เดี๋ยวพี่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เร็วจะเนอะ” นีรดาพูดด้วยเสียงเนิบๆ คอยดูปฏิกิริยาของลูกชาย ถ้าไม่นับสายตาที่ล่อกแล่ก เด็กชายคนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกเลย
หรือเธอจะคิดไปเองกันนะ .....
“มีอะไรก็คุยกับแม่ได้นะครับ” บอกด้วยเสียงอ่อนลง แววตาทอดมองเด็กน้อยที่ไม่ตัวน้อยแล้ว ตั้งแต่มาอยู่ที่ฮังการี ไทกริสก็สูงพรวดพราด จนน่าตกใจ จนตอนนี้ก็ได้สูงเลยผู้เป็นแม่แล้ว
นายไทกริสในวัย 17 ปี สบตาผู้เป็นแม่ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างช้าๆ
“แม่ครับ ถ้าผมจะรักใครซักคน มันจะผิดไหมครับ” มือบางที่กำลังลูบกลุ่มผมนุ่มชะงักลง
“ความรู้สึกรัก มันก็เป็นธรรมชาติของคนเรา เพราะฉะนั้นที่ลูกรักใครซักคนน่ะไม่ผิดหรอกครับ”
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามเหรอครับ”
“ใช่ครับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
“ผม... อยากกินแพนเค้ก” นีรดากระพริบตาปริบๆ คิดว่าลูกชายจะพูดอะไรออกมา ก่อนจะหัวเราะขึ้นแล้วรวบร่างโปร่งมาหอมไปหลายฟอด ก่อนจะเข้าครัวไปทำแพนเค้ก
หลังจากนั้นไทกริสก็จบชั้นไฮสคูลพอดี ในช่วงที่ครอบครัวกำลังสับสนว่าจะให้ไปเรียนต่อออสเตรียหรือสวิตเซอร์แลนด์ดี
เธอก็ได้เสนอให้ลูกชายกับประเทศไทย
และอย่างที่คิด โดนคัดค้านจากทั้งสามีเธอและปู่กับย่า ด้วยเหตุผลเดียวกันว่า ไม่อยากให้ไปไกล เดี๋ยวคนแก่จะคิดถึง
เพราะถ้ายังอยู่ในยุโรปก็ยังไปมาหาสู่กันได้
แต่นี่เป็นประเทศไทย ต้องเดินทางเกือบวันถึงจะได้เจอ
โรคคิดถึงไทกริสก็กำเริบทันที
พอได้มาเหยียบประเทศไทยครึ่งแรกในรอบ 6 ปี อาการคัลเจอร์ ช็อคทำอะไรไม่ถูก เงอะๆงะๆ ต่างจากตอนที่อยู่ฮังการีโดยสิ้นเชิง
เธอกลัวว่าลูกชายเธอจะอยู่ไม่ไหว เลยตัดสินใจ......
ไปปรึกษาพี่นาถ
ฝ่ายนั้นดีใจ ที่ไทกริสกลับมาเมืองไทย แถมยังมาเรียนต่อที่นี่อีก จึงเสนอให้ลูกชายให้มาช่วยดูแลแทน โดยไม่ได้สอบถามเจ้าตัวเลยด้วยยซ้ำ
“ก็เหมือนตอนเด็กๆไงน้องนี พี่ว่าน่ารักออก คิดถึงจังน๊า ตอนเดินตามเจ้าต่ายต้อยๆน่ะ”
“จะลำบากน้องกระต่ายรึเปล่า อีกอย่างเป็นโตๆกันแล้ว แถมไม่ได้เจอกัน คงไม่ตีกันน๊า”
“เดี๋ยวพี่จัดให้ ”
เธอตอบตกลงอย่างไม่คิด เธอจะได้ พิสูจน์ตัวลูกชายของเธอด้วย ……..
(มีสกู๊ปน้อยๆมาให้อ่านด้วยค่าาา อยู่ล่างสุดเลย)
[END]
/////////////////////////////////////////////////////////
BEVA TALK : กรี๊ดดดดดดดดดด หายไปนานมากค่ะ รอบนี้เป็นเดือนเลยทีเดียว อันที่จริงแต่งตอนพิเศษเสร็จตั้งนานแล้วค่ะ แต่ไม่มีเวลาเอามาลงเลย ฮรือออ
/ขอโทษผู้อ่าน Three Times ...
ตอนนี้ทำให้รู้หลายๆอย่างเนอะ อาจจะเคลียร์ในหลายประเด็น (รึเปล่าหว่า) อาจจะยังไม่มีหวานเลิฟๆ ติดตามตอนพิเศษที่ 2 ได้ หลังบีว่าสอบเสร็จนะคะ ><
เหมือนจะเห็นมีคนพูดถึงรวมเล่ม ดีใจมากค่ะ ที่มีคนอยากเก็บไว้อ่าน แต่แบบ นิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของบีว่า มีความมือใหม่มากค่ะ ถ้าเป็นอะไรที่จะรวมเล่มจริงๆ ขอเป็นเรื่องที่มีการพัฒนามากกว่านี้อ่ะค่ะ (อีกอย่างกลัวทำมาแล้วจะไม่มีใครซื้อด้วย ฮ่าๆ) อ่านในนี้ไปก่อนเนอะ :mew2:
ขอบคุณทั้งนักอ่านหน้าใหม่และหน้าเดิมด้วยนะคะ ที่ยังติดตามบีว่ามาตลอด ขอบคุณมากจริงๆค่าา :pig4: :pig4: :pig4:
-----------------------------------------------------------------------------------
สกู๊ปพิเศษ
บีว่า : แนะนำตัวหน่อย (ยิ้มหวาน)
ไทกริส : (ตีหน้านิ่ง มองไปที่พี่ต่าย อีกคนพยักหน้าเป็นเชิงให้แนะนำตัว) (บีว่ายิ้มแห้ง) ชื่อไทกริสครับ
บีว่า : เอ่อ ขอชื่อเต็มๆหน่อย
ไทกริส : ............ (หน้านิ่วคิ้วขมวด) ไทกริส (กระต่าย: ขำกร๊าก)
บีว่า : เอาชื่อ นามสกุลอ่ะจ้า (เหงื่อเริ่มตก)
ไทกริส : ชลนาถ เคอดิส...
บีว่า : งั้นก็แปลว่า ชื่อเล่นชื่อไทกริส ว่าแต่ชื่อจริงเพราะจัง มันแปลว่าอะไรเนี่ย
ไทกริส : (ไม่ฟัง เริ่มกระแซะกระต่าย)
บีว่า : ฟังเค้าหน่อยยย
ไทกริส : (มอง) แม่บอกว่า แปลว่า เจ้าแห่งน้ำ
บีว่า : แล้วไทกริสล่ะ ใช่มาจาก แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติสใช่ไหม
ไทกริส : Tiger ต่างหาก
เพล้ง!! เสียงหน้าแตกของบีว่า
บีว่า : เอ่อ แล้ว มีสิ่งที่ชอบไหมเอ่ย? เผื่อแฟนคลับมาเห็นจะได้ซื้อมาฝาก
ไทกริส : .... กระต่าย
บีว่า : อ๋อ กระต่ายนี่เอง แล้วของกินล่ะ
ไทกริส : ... กระต่าย
บีว่า : เห้ยย กระต่ายไม่ใช่ของกินนะ ไทกริส!!
ไทกริส : (มองนิ่ง) ทำไมจะกินไม่ได้ ก็กินอยู่บ่อยๆ (เสียงโมโนโทน มองไปที่กระต่ายที่ว่า อีกคนแยกเขี้ยวใส่ )
แล้วก็งุ้งงิ้งกันอยู่สองคน...
บีว่า : เอ่อ จบเถอะเนอะ สำหรับคนนี้
ส่วนของพี่ต่าย ติดตามต่อหน้าฮับ ....
ปีใหม่หรรษา ลัลล๊า ณ เดอะบีชชช
สองร่างบดเบียดกันจนแทบจะรวมเป็นร่างเดียวกัน อุณหภูมิแอร์คอนดิชันเนอร์ระดับ 20 องศาก็ไม่อาจดับความอารมณ์ที่ร้อนแรงของทั้งคู่ลงได้
คนผิวเข้มที่อยู่ใต้ร่างคนผิวซีด พยายามกลั้นเสียงร้องแม้จะยากเต็มที สุดท้ายก็ได้แต่กัดเข้าที่ไหล่อีกฝ่าย ไม่แรงที่จะทำให้เลือดออก แต่ก็แรงพอที่จะจะขึ้นรอยฟัน ยังไม่รวมรอยแดงประปรายไปทั่วร่างขาว ล้วนเกินจากฝีมือเขาทั้งสิ้น
พายุอันร้อนแรงเสร็จสิ้น ทั้งสองร่างต่างหอบหายใจ ซบหน้าลงกับหมอน ทั้งๆที่ยังเชื่อมต่อกันอยู่
ต่ายสำรวจไปทั่วร่างอีกคน ได้แต่หัวเราะหึๆให้กับตัวเอง เด็กนี่ขึ้นรอยง่ายรึเกิน ขบนิด งับหน่อยก็เป็นรอยแล้ว แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า
มันเป็นนิสัยของเขาไปแล้ว ที่ชอบทำรอยให้กับร่างอีกคน
จะได้ไม่เปลืองเนื้อเปลืองตัว โชว์เรือนร่างให้คนอื่นเห็น !
ฝ่ามือขาว ลูบแก้มเขาเบาๆ ทำให้คนที่มัวแค่คิดอะไรเพลินๆสะดุ้งขึ้น
“หืม?” ร้องถามอยากหยอกล้อ หลังเจอสายตาหมาน้อย อ่านออกได้ว่า ‘อยากจะขออีกรอบ’
แค่มองตาก็รู้ใจ
อันที่จริง ไม่ต้องมองตา ไอ้ที่อยู่ในตัวเขาก็บอกได้
เด็กนี่แข็งแรงรึเกิน เขารู้สึกตัวเองแก่ก็ตอนนี้นี่แหล่ะ รอบแรกก็เริ่มหมดแรงแล้ว ...
ไทกริสในตอนนี้ หุ่นโคตรจะเพอร์เฟ็ค กล้ามไม่ใช่แนวกล้ามปู แต่ก็น่ากัดไม่แพ้กัน ส่วนกล้ามท้องน่ะเหรอ นอกจากหกแพ็คเป็นลูกๆนั่น ก็ยังมีวีเชฟเรียกน้ำลายอีก ไม่เสียแรงที่จ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวมาเทรน
อันที่จริงไทกริสก็เป็นพวกออกกำลังกายอยู่แล้ว เรื่องสร้างกล้ามเนื้อไม่มีปัญหา แต่ดันมีเอเจนซี่คนนึง มาติดต่อ ว่าอยากได้นายแบบลูกเสี้ยวฮังการี-ไทยคนนี้ ไปเป็นนายแบบให้กับนิตยสารเล่มนึง โดยขอยื่นข้อเสนอว่า อยากได้หุ่นแบบเพอร์เฟ็ค ดูมีความเฮลตี้ เสนอเสร็จก็แนบนามบัตรของเทรนเนอร์คนนึงมา หลังจากนั้นก็โดนทั้งเทรน ทั้งควบคุมอาหารไง
แรกๆก็ออกจะสงสาร เพราะว่าไทกริสติดของหวาน โดยเฉพาะไอศกรีม พอเขาห้ามก็ได้แต่มองตาละห้อย เรียกคะแนนสงสาร จนไอศกรีมในมือต้องสั่นอยู่ร่ำไป แต่พอปรับตัวได้ก็ค่อยว่านอนสอนง่ายหน่อย
และแน่นอน พอเล่มแรกวางแผง ความซวยก็มาถึง เหล่าโมเด็ล โฆษณาทั้งหลายก็ต่างติดต่อเข้ามา จนแทบจะปิดโทรศัพท์ทิ้ง ร้อนจนถึงเขาต้องคอยช่วย ลำพังแค่งานที่ทำ เจ้าเด็กโค่งนี่ก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องมาปลีกตัวทำงานอะไรนี่อีก มีหวัง น้านีได้เอาเขาตาย
ต่ายก็ได้แต่คอยคัดงาน บางทีก็ปฏิเสธโดยทันทีก็มี โดยเฉพาะเคสที่ shirtless นี่แหล่ะ
ของของใคร ใครก็หวงนะเออ
ครืน ครืน ♪
เสียงสั่นของโทรศัพท์ต่ายที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น เรียกความสนใจของทั้งคู่ ต่ายชะเง้อมองคนโทรมา ก็จะตบที่แผ่นหลังแข็งแรงอีกคนเบาๆ ก่อนจะขยับตัวเองออก สิ่งที่ฝังข้างในตัว เสียดสีจนเรียกเสียงครางเบาๆพร้อมกับหน้าที่เบ้ออก
เด็กโค่งหน้ามุ่ยอย่างเห็นได้ชัด
แหม เขาก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่คนที่โทรมามันให้ความสนใจมากกว่านี่สิ ...
จุ๊บปากแดงๆนั่นเบาๆก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดรับ
“ว่าไง”
“ฟาย กว่าจะรับ”
“นอกเวลางานปะวะ”
“เหอะ จู๋จี๋กับไทกริสอยู่ล่ะสิ”
“เออ มีไรวะ”
“ต่าย มึงจำได้ญาติของไอ้กิตได้ปะวะ ที่เขาเคยให้เราไปวางระบบแถวบางนาอ่ะ”
“เออ จำได้ ทำไมอ่ะ”
“เขาเคยให้กิฟ วอลเชอร์ที่พักกับกูมาเว้ย กูก็ลืมไปละ แล้วที่นี้ไอ้กิตมันโทรมาถาม ว่าเราอยากไปพักที่รีสอร์ทญาติมันที่หัวหินไหม?”
“หา ช่วงนี้นี่นะ คนเยอะจะตาย”
ต่ายร้องถามอย่างงงงวย นี่มันก็วันที่ 30 เข้าให้แล้ว อีกไม่กี่วันก็ปีใหม่แล้ว เขาไม่คิดว่ามันจะมีที่พักเหลือว่างแน่นอน
“เออ ไอ้กิตมันจะจัดการให้ อีกอย่างรีสอร์ทนี้โคตรจะส่วนตัว ไม่มีเส้น ไม่มีเงิน เข้าไม่ได้หรอก”
“อวยจัง ถามจริง มึงได้ค่าคอมฯ ไหมวะ?”
“เปล่าเว้ย แต่ว่าพวกกูว่าจะไปไง เลยมาชวนเนี่ย พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวมารับ ไป 3 วัน2คืน”
“พวกกูนี่ใครมั้งวะ?”
“ก็ ... กู เอก ส่วนไอ้แชมมันนัดกับครอบครัวไปแล้ว”
“แค่นี้ ?”
”.....มีโจด้วย”
“หึ กูว่าละ”
“เออน่า ตกลงมึงเอาไง กูจะได้ไปโทรคอมเฟริม ชักช้าอดนะเว้ย”
“แปปๆ พรุ่งนี้ไปเที่ยวทะเลกันไหม?”
บอกคนในสาย ก่อนหันไปถามเด็กโค่งที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆกัน คนถูกถามเลิกคิ้ว ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ
“ที่ไหน?”
“ที่หัวหิน ไปกับพวกแกน มีโจไปด้วยนะ”
เอ่ยชื่อเพื่อนของอีกคน เพื่อประกอบการตัดสินใจ ไทกริสนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปสนใจมือถือต่อ
ต่ายส่ายหัวกับท่าทางไม่สนโลกของคนรัก ก่อนหันไปตอบตกลงกับเพื่อนในสาย คุยกันอีกหน่อย ก่อนจะวางสายไป
เหล่มองคนข้างตัว ที่ดูไม่สนใจอะไร มองเลยไปที่ส่วนที่เพิ่งออกจากตัวเขาเมื่อไม่กี่สิบนาที ตอนนี้สงบลงแล้ว
ใบหน้านิ่งๆ ดูง่วนกับการจ้องโทรศัพท์ จนต่ายต้องแกล้งเอามือไปวางทับหน้าจอไว้ เด็กโค่งหันขวับมาทันที แต่มีหรือที่คนอย่างต่ายจะกลัว ยักคิ้วจึกๆเป็นการท้าทาย
เด็กโค่งชักโทรศัพท์หนี พร้อมๆกับทาบทับคนข้างๆที่นอนคว่ำอย่างเต็มแรง เล่นเอาคนพี่จุกจนพูดไม่ออก
“อั่ก!” ส่งสายตาค้อนไปให้ อีกคนกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกตัวขึ้น แทรกเข่าทั้งสองไปที่หว่างขาของอีกคน แล้วจัดการแยกออก
“อื้ออ ไม่เอาท่านี้” ต่ายดิ้น เพราะเขากำลังนอนคว่ำอยู่น่ะสิ แบบนี้มีแต่จุกกับจุก
อีกคนก็ใจดี จับตัวต่ายพลิกกลับ ก่อนจะสอดแท่งเนื้อร้อนที่พร้อมใช้งานเต็มที่เข้าช่องทางสีแดงสดที่ชุ่มไปด้วยน้ำรักในยกแรก
ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังนอนสงบอยู่เลย เครื่องฟิต สตาร์ทติดง่ายจริงๆ
“อ๊า”
และยกที่สองก็เริ่มขึ้น …………………
ต่ายยิ้มขำกับเด็กโค่งที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น หน้าหล่อๆดูลอยๆ อยากจะสมน้ำหน้า เพราะเมื่อคืนพอจบยกสอง ต่ายก็เตรียมตัวจัดของให้ตัวเองและคนรัก ส่วนไทกริสน่ะเหรอ เล่นเกมส์ในไอแพดอย่างเมามันส์
พอไล่ให้นอนก็ติดพัน ไม่ยอมเลิก ส่วนเขาพอจัดของเสร็จก็แทบหมดแรง เลยหลับไปก่อน ส่วนเจ้านี้น่ะเหรอ ตีหนึ่งกว่านู่นกว่าจะนอน
ไหน เด็กอนามัยที่เคยต้องเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มนะ .......
ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางไปหัวหิน ด้วยรถตู้จากบ้านของโจ
เอก แกน และโจ อยู่ในสภาพเอเนอจี้เต็มร้อย ผิดกับไทกริสที่เหมือนถูกลากมาจากเตียงก็ปาน (จริงๆก็เกือบถูก เพราะต้องออกเดินทางแต่เช้า คนที่นอนน้อยก็เลยต้องออกอาการง่วงงุน)
จริงๆไทกริสเป็นคนตื่นเช้าแหล่ะ แต่ช่วงนี้งานก็รุม ทั้งงานบริษัทที่ลุงอาเธอร์ให้ลูกชายไปช่วยงาน ทั้งงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา ที่มาเป็นพักๆ ที่จริงมีคนมาเสนอให้มันไปเล่นละครด้วย
แต่กลัวจะกลายเป็นละครใบ้ซะก่อน เลยต้องปฏิเสธเขาไป เด็กนี่แสดงสีหน้าเก่งซะที่ไหน คงได้เป็นท่อนไม้ให้คนเขาด่าเล่นอีก
เสียงพูดคุยงุ้งงิ้งจับใจความไม่ได้ เข้าที่โสตประสาท ต่ายที่เผลอหลับไป ผงกหัวขึ้นมองข้างทางว่าถึงไหนแล้ว ก่อนจะหันไปมองคนข้างตัว
เสียงพูดคุยที่เขาได้ยินคงเป็นเสียงคุยของเจ้าเด็กลูกครึ่งอย่างโจกับลูกเสี้ยวอย่างเด็กโค่งของเขานี่แหล่ะ แต่ดูจากทรงแล้ว อีกไทกริสน่าจะเป็นฝ่ายฟังมากกว่าพูด
.
.
.
.
.
.
.
.
“ถึงแล้วโว้ยยยย” เอกร้องบอก พลางบิดขี้เกียจ หลังจากนั่งรถมาเป็นเวลานาน
รีสอร์ทที่ไปพักนั้น เป็นแนวห้องพักวิลล่า เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว อย่างที่แกนเคยบอกไว้จริงๆ บ้านหลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมแต่ละหลังก็ไม่ติดกันเกินไป มีแนวพุ่มไม้กั้นกับทางเดินที่ปูด้วยหินกรวดมนเป็นสีๆ
หลังจากไปเจรจาเรื่องห้องพัก พวกเขาก็พากันมาที่บ้านพักสไตล์บาหลี ที่เหมือนกับรู้สึกว่าได้มาเดินป่ามากกว่ามาทะเล แต่แบบนี้ก็สดชื่นไปอีกแบบ หลังจากใช้ชีวิตในเมืองกรุงที่แทบจะไม่ได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติเลย
พวกเขายกสัมภาระที่เอามา ก่อนจะตกลงเรื่องห้อง
“มันมี 2 ห้องนอนเอาไง” แกนถามขึ้น มองไปที่ผู้ร่วมเดินทางทั้ง 4
“กูยังไงก็ได้” เอกว่าพลางยักไหล่
เพราะมี 5 คน กับห้องนอน 2 ห้องนอน แถมไซส์แต่ละคน เตียงนึง 2 คนก็แทบจะไม่เหลือช่องว่างแล้ว
“ต่ายมึงว่าไง” เจ้าของชื่อหน้าเหวอ เมื่อถูกส่งไม้มาให้ ดวงตาดำขลับกระพริบปริบๆ
“เอางี้ พวกมึงสองคนก็ห้องนึง แกนกับโจก็ห้องนึง ส่วนกูนอนนี้” เอกชี้ไปที่โซฟาเบดขนาดนอนกลิ้งได้ ที่อยู่ในบริเวณห้องนั่งเล่น
“เห้ย ไม่ได้ดิ” ต่ายกับแกนร้องขึ้นมาทันที ที่เพื่อนพูดเช่นนั้น
เสียเงินก็เท่ากัน จะให้เพื่อนมานอนข้างนอนได้ยังไง
“ได้สิวะ ก็บอกแล้วว่ากูยังไงก็ได้ ถึงแม้กูจะเซ็งตรงที่พวกมึงมีคู่กันหมด ส่วนกูนี่หัวเดียวกระเทียมลีบ รู้งี้จองตัวน้องน้ำหวานไว้ก่อนก็ดี” น้องน้ำหวานที่ว่า คือพนักงานต้อนรับที่ออฟฟิตที่เอกคอยตามจีบอยู่ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนเขินๆ แต่จากที่ดูๆก็มีใจให้เกินครึ่งแล้วล่ะ แต่น่าเสียดายตรงที่ว่า สาวเจ้าหนีไปเที่ยวกับครอบครัวทันทีที่มีวันหยุด
“มึงโอเคแน่นะ” ต่ายถามย้ำ เอกส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะตบบ่าเพื่อนแรงๆ จนไหล่แทบทรุด
ป้าบๆ
“เออสิวะ รีบไปเก็บของได้แล้วพวกมึงอ่ะ กูอยากไปเล่นน้ำแล้ว” เพราะมาถึงตอนสาย บวกกับอากาศกำลังดี พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะไปเล่นน้ำทะเลกัน
หลังจากจัดการเก็บข้าวของแล้ว พวกเขาก็พากันมาชายหาดที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก โชคดีตรงที่ว่ามันเป็นหาดส่วนตัว ไม่ใช่สาธารณะ ไม่งั้นคนคงเยอะกว่านี้
ในระหว่างที่พวกเดินเข้ามา ผู้คนทั้งชาวต่างชาติทั้งชาวไทยด้วยกัน ต่างจับจ้องมาที่พวกเขากันหมด
แหม่ ก็แต่ละคนหน้าตาใช่ย่อย แถมเดินมาอย่างกับบอยแบรนด์ต่อให้ไม่อยากหลงตัวเอง แต่พวกเขาก็มั่นใจในระดับนึงว่าหน้าตาดี
ยิ่งเอกที่ใส่แต่กางเกงขาสั้นตัวเดียว โชว์หุ่นล่ำตามแบบฉบับของลูกเจ้าของค่ายมวย แม้จะมีงานมีการทำก็ยังถูกพ่อเรียกให้ไปเป็นคู่ซ้อมให้เด็กๆบ่อย
“ทากันแดดมารึยัง” ต่ายเอ่ยถามเด็กโค่งที่กำลังถอดเสื้อฮู้ดออก
ตอนมาเมืองไทยใหม่ๆ ไทกริสเป็นคนที่แพ้แดดง่ายมาก แค่โดนแดดจัดๆไม่นาน ตัวก็เริ่มแดง ถ้าหนักมากจริงๆก็จะแสบจนผื่นขึ้น แต่หลังพอเริ่มชิน อาการก็ไม่หนักเท่าแต่ก่อน แต่ผิวก็ยังคงแดงเวลาออกแดดดตามประสาคนผิวขาวจัด
“ทาให้หน่อย” บอกคนพี่ก่อนจะถอดเสื้อออก
“เห้ย!” เสียงอุทานดังขึ้น ต่ายที่กำลังคุ้ยกันแดดในกระเป๋าถึงกับมองหน้าไปที่เพื่อนที่ร้องขึ้นมา
“ไรวะ?”
“ไอ้ต่ายย... กูไม่คิดว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้” เอกว่า พลางทำเสียงเหมือนคนจะร้องไห้ ต่ายมองคนที่แสดงละครเก่งจนอยากจะมอบรางวัลอให้ ก่อนจะหันมามองไทกริสที่ยังคงนั่งหน้านิ่ง คงจะงงกับอีกฝ่าย
แต่พอได้เห็นอะไรเต็มๆ ต่ายก็รู้สึกความร้อนสาดเข้าที่หน้า
“ไม่เบานี่หว่าไอ้ต่าย ต้องตีตราจองเลยนะ ไม่ต้องหวงหรอก แค่นี้ไทกริสก็ไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ” แกนว่าพลางหัวเราะ
จะอะไรซะอีก ก็รอยอารยธรรมของเมื่อคืนยังไงล่ะ มัวแต่ตื่นเต้นเพราะได้ไปทะเล เลยลืมเรื่องนี้ไปเลย ตัวเขาก็ไม่ต่างกันหรอก แต่เพราะเป็นคนผิวเข้มมันเลยไม่ชัดเท่าไหร่
“สะสะ ใส่เสื้อเหมือนเดิมเถอะ” ต่ายรีบยัดเสื้อในมือของคนน้องไว้
“ไม่เอา” ไทกริสว่า สีหน้าดูพราวทูพรีเซ้นท์รอยบนตัวรึเกิน
“จะบ้าเหรอ คนเยอะแยะ ไม่อายรึไง?” ต่ายเผลอขึ้นเสียงไปโดยไม่รู้ตัว เพราะอารมณ์เขิน แต่กลับทำให้อีกคนขมวดคิ้ว
“กระต่ายอายเหรอ?” น้ำเสียงนิ่งๆตามแบบฉบับเจ้าตัว แต่ทำให้รรยากาศรอบตัวสงบราวกับถูกเปลี่ยนฉากไปดื้อๆ
พวกที่ไม่เกี่ยวข้อง ตบบ่าต่ายอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะพากันเดินออกไป เพื่อหลีกหนีสถานการณ์นี้ไป
“ไม่ใช่อย่างนั้น” บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกคนคลายโบที่คิ้วออกได้เลย
“คือแบบ ... ก็คนมันหวง..” ต่ายอุบอิบ เขาอายก็จริงแต่อายกับเพื่อนตัวเองมากกว่า อย่างงี้มันได้ล้อเขาไปอีกหลายวัน
แต่เอาจริงๆ ใครจะไปยอมให้แฟนตัวเอง เดินอวดเรือนร่าง ท่ามสายตาเสือ สิงห์ กระทิง แรดกันเล่า !!
อีกคนหัวเราะหึ ก่อนจะจูบปากเขาอย่างรวดเร็ว แล้วจัดการดึงเสื้อในมือต่ายมาสวมแต่โดยดี ก่อนจะยื่นแขนให้อีกคนทากันแดดให้
“พี่ไทกริสคะ” เสียงใสเรียกขึ้น ทำเอาทั้งสองที่กำลังง่วนกับการทากันแดด ต้องเงยหน้ามา เด็กสาวผู้อาจหาญกล้า ดวงตากลมสั่นระริก จะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ....
เหมือนหนูแฮมสเตอร์เลยแฮะ ...
“อะ เอ่อ คือ หนูขอถ่ายรูปพี่ได้ไหมคะ” สาวน้อยมองมาทางต่ายอย่างเกรงใจ
ไทกริสหันมาต่ายอย่างขออนุญาต ต่ายเองก็ได้แต่พยักหน้าให้
คนเขาอุตส่าห์รวบรวมความกล้ามาขอถ่ายรูป ถ้าไม่ให้ถ่ายรูปนี่คงได้ร้องไห้กลับไปแน่
แฮมเตอร์สาวมานั่งยองๆข้างๆไทกริสที่นั่งเปลชายหาดอยู่ ก่อนจะยึกยัก มองโทรศัพท์ตัวเองกับต่ายอย่างเกรงใจ
คงจะอยากให้ถ่ายรูปให้แต่ไม่กล้าสินะ .....
ต่ายว่าเขาไม่ได้ทำหน้าตาหน้ากลัวอะไรเลยนะ
“เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” เสนอตัวพลางยิ้มอย่างใจดี อีกฝ่ายทำหน้าตื่น แต่รีบยื่นโทรศัพท์ให้ พลางโค้งให้งกๆ
ตลกดีแฮะ ...
พอได้ตามที่ต้องการ สาวน้อยก็ยกมือไหว้ขอบคุณพวกเขา ก่อนจะวิ่งดุ๊กๆไปหากลุ่มเพื่อนที่ยืนให้กำลังใจอยู่ไกลๆ
“ฮ๊อตจังน้า พี่ไทกริส~” เอ่ยขึ้นอย่างล้อๆ เด็กโค่งกระตุกยิ้มมุมปาก
“ไปเล่นน้ำกัน” ลากคนตัวขาว ไปที่กลุ่มเพื่อนตัวเองอยู่
พอบ่ายแก่ๆ ก็พากันไปเดินงานปีใหม่ที่จังหวัดประจวบฯเขาจัดขึ้น เห็นว่างานนี้จัดทั้งวันทั้งคืน อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ บรรยากาศก็ไม่ต่างจากงานวัดนัก บนเวทีก็มีศิลปินนักร้องชื่อดังร้องอยู่ แต่ว่าพวกเขาไม่สนหรอก ... ที่สนน่ะก็คือ
ของกินต่างหาก!!!
ตลอดทางมีคนจำไทกริสได้หลายคน บ้างก็ทัก บ้างก็ขอถ่ายรูป แม้แต่ชาวต่างชาติยังมาทัก แถมเซลฟี่ นี่ดังไปถึงเมืองนอกเมืองนาเลยรึไงกัน !!
เดินมาอีกหน่อย ก็เจอแฟนคลับยัดเยียดของกินมาให้
หลุดโหมดควบคมอาหารก็วันนี้แหล่ะ
“เห้ย อยากปาลูกโป่งว่ะ” เอกพูดขึ้น ขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านซุ้มปาลูกโป่ง
พอเพื่อนพูดขึ้น ก็เหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้ง 5 จึงเดินเข้าไปในร้าน
“โอ๊ะ ตุ๊กตาเสือ” ต่ายพูดยิ้มๆ พลางสะกิดให้เด็กโค่งมอง
ตุ๊กตาเสือที่หมอบอยู่บนชั้นสูงสุงของร้าน ดูท่าจะได้ยากแฮะ
แต่ก็น่าลอง..
ต่ายเดินไปบอกเจ้าของร้าน ก่อนจะได้ลูกดอกมา 5 ลูก
“ปาแตก 3ดอก ได้ตัวเล็ก แตก 5 ดอกเลือกได้ทั้งร้านครับ” เจ้าของร้านบอก
นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ปา ...
จะแม่นไหมวะ..
โป๊ะ!
โป๊ะ!
โป๊ะ!
โป๊ะ!
โป๊ะ!
แอบทึ่งกับความแม่นปนฟลุ๊คของตัวเองไม่ได้ เจ้าของร้านยิ้มให้ก่อนจะให้เลือกตุ๊กตาในร้าน
“เอาเสือครับ” ชี้ตัวที่หมายตาเอาไว้
“เอ้า” ยื่นให้เด็กโค่งที่กระพริบตาปริบๆ
“เสือน้อย~”
รอยยิ้มมุมปากของเด็กโค่งทำให้ต่ายเกิดหมั่นไส้ ยีกลุ่มผมนุ่มแรงๆ
“ยิ้มเยอะๆหน่อยก็ได้”
เดินไปหาเอกที่ขะมักเขม้นในการปาลูกโป่ง เหลือบกองตุ๊กตาสี่ห้าตัวทั้งเล็กใหญ่ อดแซวไม่ได้
“เอาไปแจกเด็กที่ไหน?”
“ให้พวกเด็กในค่ายนี่แหล่ะ”
คำตอบที่ไม่คาดคิด ทำเอาต่ายอ้าปากเหวอ ไม่คิดจะมีมุมนี้ ....
“มึงไม่สนเหรอ” ถามแกนที่ยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล มีเจ้าโจที่คอยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง
“หึ ไม่อ่ะ เด็กๆ” คำว่าเด็ก เรียกคิ้วกระตุกยิกๆจากต่าย
“มึงปาไม่แม่นล่ะสิ”
“อย่ามาท้ากูไอ้ต่าย ระดับนี้แล้ว”
“ไปโจ อย่าไปยอมแพ้ไอ้ต่ายมัน” ว่าแล้วก็ดึงรุ่นน้อง ปรี่เข้าหาเจ้าของร้านที่ยิ้มรับทรัพย์
ทางด้านต่ายก็ไม่ยอมแพ้ ดึงไทกริสที่กอดตุ๊กตาเสือเข้าร้านอีกรอบ
ผลการดวลก็เรียกได้ว่าเสมอ เพราะทั้งต่ายและแกนได้ 3 ลูกพอดิบพอดี จึงได้ตุ๊กตาตัวเล็กไปปลอบใจแทน
สงสัยเมื่อกร้คงฟลุ๊คจริงๆล่ะ ต่ายคิด
“เอาตัวไหนดี” หันไปทางเด็กโค่งข้างตัว ไทกริสมองดูตุ๊กตาในร้าน เขาไม่สนอะไรพวกนี้หรอก แต่ว่ากระต่ายของเขาอุตส่าห์พยายามขนาดนี้แล้ว..
แต่แล้ว สายตาก็สะดุดไปที่ ตุ๊กตากระต่ายหูตกสีน้ำตาลอ่อน ลูกตาดำกลมใส ทำให้เขานึกถึงคนบางคนถึงมา
“เอากระต่าย” ชี้ไปที่ตุ๊กตากระต่ายชั้นล่างที่แทบจะโดยตัวอื่นบดบัง เพราะตัวเล็กกว่า
ส่วนแกนก็ชี้ส่งๆไป ดันไปโดนตุ๊กตาหมาพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ซะงั้น
พอได้มาก็จับยัดใส่มือให้รุ่นน้องข้างๆ ท่ามกลางความงงๆของโจ แต่ไม่ถึง 2 วิ ก็ยิ้มร่าดีใจ ทำเอาคนให้อดยิ้มตามไม่ได้
ตกกลางคืน ทางรีสอร์ทจัดปาร์ตี้บุฟเฟ่ต์อาหารทะเล
และมีหรือที่พวกเขาจะพลาด นั่งดื่มด่ำกับเบียร์เยอรมัน และอาหารทะเลสดๆ รอคอยนับถอยหลังเข้าสู่วันใหม่
เอก ชายหนุ่มไร้คู่หนึ่งเดียวในกลุ่มทำหน้าปุเลี่ยน ให้ชาวต่างชาติคู่นึงที่ดีฟคิสกันอย่างไม่แคร์สายตาชาวบ้าน
ก่อนจะมองไปที่ผองเพื่อนตัวเอง ที่แม้จะไม่เกินหน้าเกินตา ก็งุ้งงิ้งๆกันสองคน
ก่อนจะถอนหายใจออกมา
คิดถึงน้องน้ำหวานโว้ย !!! ว่าแล้วก็เดินหนีภาพบาดตานั้น แล้วควักมือถือโทรหาน้องน้ำหวาน …
.
.
.
.
.
ฟากแกนและโจ-
“พี่แกน พี่เอกเขางอนไปนู้นแล้วอ่ะ”
“บอกทำไม จะไปง้อมันเหรอ” อีกฝ่ายทำหน้าเหวอประหนึ่งเจอแมลงสาบ ส่ายหัวยิก
“เย้ย เปล่าซะหน่อย” แกนหัวเราะเบาๆ ยื่นขวดเบียร์ที่เพิ่งกระดกไปอยู่แตะปากอีกฝ่ายเบาๆ โจยิ้มแป้นหูตั้งหางกระดิก จับมืออีกฝ่ายไว้แล้วยกขวดกระดกดังอึกๆ
นี่พี่แกนกำลังอ่อยเขาอยู่ใช่ไหม?????
“เมาแล้วเหรอ พี่แกน” เอานิ้วจิ้มแก้มที่ดูตาเยิ้มๆ แต่ยังพูดรู้เรื่อง
“กินยังไม่ถึงครึ่งขวด จะเมาได้ไง” พูดปนหัวเราะ พลางเอามือไปยีผมอีกคน
“พี่แกนเมาง่ายจะตาย”
“ห่วงตัวเองเถอะ กินไปกี่ขวดแล้วล่ะ” เพราะโจเล่นกระดกเอาๆ ผิดกับแกนที่ค่อยๆจิบ เพราะไม่อยากเมาเร็ว ยังไม่ถึงเที่ยงคืนเลย
“โหห ของอย่างนี้ กินเป็นลัง ก็ยังไม่เมาหรอก” ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มกับดวงตาหยีเล็ก
เห็นหน้าเด็กนี่ทีไร นึกถึงหมาไซบีเรียนทุกที
แกนยิ้มขำ ปล่อยให้คนน้องกระแซะบ้าง หยอกบ้าง เผลอๆก็โดนขโมยกับแกล้มจากปากเขาไปเฉย
ก็เหมือนอย่างเคย ผ่านมา 3 ปีกว่า ความสัมพันธ์เขา ถ้าให้พูดก็เหมือนรุ่นพี่รุ่นน้อง
แต่ก็เป็นแบบ รุ่นพี่ รุ่นน้องที่จูบกัน แล้วก็ ..... 'เอา'กันด้วยล่ะนะ ....
ก็เคยถามเด็กอยู่ ว่าต้องการแบบไหน แต่โจก็ยิ้มให้เหมือนเคย
“แบบไหนที่พี่สบายใจ ผมก็ชอบแหล่ะ รุ่นพี่รุ่นน้องก็ดี ใช่ไหมครับ รุ่นพี่ที่รัก~” ว่าแล้วก็หอมแก้มรุ่นพี่หนึ่งที
เขาไม่เคยคิดว่า ไอ้เจ้าเด็กที่บังเอิญเจอกันเพราะอยู่คอนโดเดียวกัน แถมห้องก็อยู่ตรงข้ามกันอีก จะมาคบกับเขาได้นานขนาดนี้ ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรให้ชัดเจน แต่ก็ไม่ปิดกั้นตัวเอง เด็กเสนอมา เขาก็สนองกลับ วันไหนเบื่อๆก็ชวนมาเล่นเกมส์ในห้อง ง่วงๆก็พากันนอนเตียงเดียวกัน บางทีก็รู้สึกอยากจะปิดปากเจ้าเด็กพูดมากทั้งๆที่บอกว่าตัวเองเป็นคนขี้อาย
มันก็แค่นั้น ชีวิตมันมีอะไรให้ลองอีกเยอะ จนกว่าจะแน่ใจคำว่า รัก อย่างแท้จริง
เขาก็หวังว่า โจจะยังอยู่ข้างเขาล่ะนะ ...
.
.
.
.
ฟากของต่ายและไทกริส
“กระต่าย”
“อื๋อ?”
“กระต่าย”
"หือ"
“...กระต่าย”
“...”
คราวนี้เจ้าของชื่อไม่ได้ขานรับ แต่ละสายตาจากผืนน้ำ แล้วมาสบตาคนที่นั่งข้างๆแทน
“รัก” คำพูดสั้นๆ แต่นัยน์ตาที่พราวระยับ เหมือนกับดวงจันทร์ที่สะท้อนจากผิวน้ำ
“อืออ รักเหมือนกัน” ยิ้มรับ ก่อนจะถูกปิดด้วยปากแดงๆ จูบที่ทำให้ต้องวางแก้วเบียร์ในมือ แล้วโอบรอบคอแข็งแกร่งเอาไว้
เสียงนับเลขถอยหลังดังขึ้น จากฝั่งของชายหาด ทำให้ทั้งสองผละออกจากกัน แต่ดวงตาทั้งสองคู่ยังคงสบกันอยู่
จนกระทั่งสิ้นเสียงว่า 0 พร้อมกับพลุที่ถูกจุดขึ้นหลายชุด
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทั้งสองสนใจลงได้
เพราะรู้ตัวอีกที ร่างของต่ายก็ถูกเจ้าเด็กโค่งยกขึ้นให้ไปนั่งตัก ก่อนจะมอบจูบรับวันใหม่และปีใหม่อย่างดูดดื่ม
โทรศัพท์ของพวกเขาเด้งรัวๆ จากข้อความสุขสันต์ปีใหม่จากเพื่อนพ้องน้องพี่
แต่คิดว่าสนใจเหรอ
คนตรงหน้าต่างหาก ที่น่าสนใจกว่า ...
-------------------------------------------
BEVA TALK : แอร๊ยยย ลืมคนแต่งไปยังค๊าาาาาา หายหัวไปนานจริงๆค่ะ เรียนหนักมว๊ากก แทบจะไม่มีเวลาแต่งเลย นี่ปิดเทอมอยู่เลยแต่งซะเลย รู้สึกเกร็งๆ เพราะไม่ได้แต่งนาน นี่ลืมเนื้อเรื่องหลักไปแล้วนะเนี่ย
สุขสันต์ปีใหม่นะคะคนอ่านทุกคน ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ทั้งเม้นท์ทั้งเป็ดเลย :mew1: :mew1:
#ตอบคุณ Sorso นะคะ tigris บีว่าเอามาจากภาษาฮังการีค่ะ แต่จริงๆ tigris เป็นเหมือนชื่อวงศ์ตระกูลของเสือน่ะค่ะ
❤️ HAPPY NEW YEAR 2017 ❤️
สวัสดีปีไหม่ ๒๕๖๐
ขอให้ไรท์ มีความสุข มากกกกกกก
。◕‿◕。
ไทกริส กระต่าย :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เรื่องหื่น ไทกริสหื่นก่อน กระต่ายก็หื่นตาม :ling1: :ling1: :ling1:
มาต่ออีกนะ ชอบบบบบบบ
:L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: