-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
(https://pbs.twimg.com/media/Cbj9sEYVIAAPqDz.jpg)
- ด้วยความติดทวิตเตอร์ของเรา ขอบอกว่า...
ถ้ากรี๊ดกร้าดในทวิตติดแทค #เรื่องสั้นคนแปลกหน้า แล้วกันเนอะ : ) -
- - -
♦♦
เมื่อวาน
14 : 20 น.
งานบอลประเพณี
บ่ายสองแล้ว แต่แดดยังไม่ร่มเลยว่ะ!
ผมยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายตรงพื้นที่ด้านนอกของสนามกีฬาใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมือง พร้อมกับเขย่งตัวจนสุดปลายเท้าเพื่อมองหาเพื่อนอีกส่วนนึงในกลุ่มที่ยังคงมาไม่ถึง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงบ่นเดิมๆมาจากคนข้างๆ
"โทรหามันไม่ติดเลยมึง ไหนเมื่อกี้มันบอกว่าลงบีทีเอสมาแล้วไงวะ ทำไมนาน"
ได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่พึมพำเป็นเชิงรับรู้ตอบกลับไปในลำคอ แต่ก็ยังคงพยายามมองหาคนที่รออยู่ต่อไป
"หรือมันจะเดินผิดทางแล้วอ้อมไปทางสแตนฝั่งร่ม"
"ไม่น่าปะวะ ปีที่แล้วก็มา"
ผมตอบพร้อมกับหันตัวกลับมาอีกด้านนึง แล้วพยายามมองหาเพื่อนต่อไป
และทันทีที่กำลังกวาดสายตามองผ่านแถวยาวๆของคนที่กำลังรอคิวเพื่อที่จะตรวจบัตรเข้าไปในงาน สายตาก็ดันไปสะดุดที่ใครสักคนที่ยืนอยู่เยื้องๆไปทางขวามือเข้าอย่างจัง
ตัวสูง ผมสั้นที่เซ็ทขึ้นเปิดใบหน้าจนหมด... มีเค้าว่าจะใช่
แต่แว่นกันแดดเคลือบปรอทที่ปิดใบหน้าไปเกือบครึ่งกลับทำให้ผมไม่มั่นใจ...
หรือจะแค่คนหน้าคล้ายกัน?
ใส่เสื้อของอีกม.นึงด้วยว่ะ
'ไอ้คนแปลกหน้า'
ผมจับตามองอีกฝ่ายที่ยืนหลบมุมอยู่กับเพื่อนอีกสามสี่คนที่มาจากมหาลัยเดียวกันอยู่ไม่นาน แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะถอดแว่นกันแดดออกง่ายๆ
แล้วจะแน่ใจได้ยังไงวะว่าใช่หรือไม่ใช่?'
คิดพลางขมวดคิ้วเข้า จนกระทั่งรู้สึกขึ้นมาได้ว่ามองมันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงได้ตัดสินใจหันกลับไปมองหาเพื่อนตัวเองต่อ
ไอ้คนที่บอกกันตั้งแต่ 15 นาทีที่แล้วว่ากำลังลงจากบีทีเอสยังคงมาไม่ถึง ทั้งๆทีระยะทางมันก็ไม่ได้ไกลอะไรมากมาย
พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับมองไปรอบๆเผื่อจะหาเพื่อนตัวเองเจอสักที
แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมองไปทางขวาอีกครั้งพบว่าใครคนนั้นกำลังหันหน้ามาทางนี้อยู่พอดี แต่เพราะแว่นกันแดดอันเดิมมันปกปิดแววตาเอาไว้ เลยเดาไม่ถูกว่าสายตาคู่นั้นมองตรงมาที่ผมรึเปล่า
"ฮัลโหลมึง... ฮะ? แล้วมึงไปทำอะไรที่แม็คเอ็มบีเค สัด กูก็รอไปสิวะ โอเคๆ รีบมา รอที่เดิมนะ"
สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมต้องละสายตาแล้วหันกลับไปมองเพื่อนสนิทที่กดปิดหน้าจอโทรศัพท์ รอให้ฝ่ายนั้นเล่าเรื่องที่คุยกันให้ฟัง
"มันต่อแถวซื้อแม็คโดนัลด์อยู่ บอกว่าหิวมาก ซื้อเผื่อมึงกับกูแล้ว อย่าโมโห"
นอกจากถอนหายใจจะทำอะไรได้อีก?
“งั้นก็ไปหาที่ร่มๆรอกันเหอะ"
ผมตอบพลางทำท่าจะหันไปมองทางด้านขวาของตัวเองอีกครั้ง เพราะยังคาใจว่าที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะใช่คนเดียวกับที่คิดไว้รึเปล่า
และพบว่า คนที่มองอยู่หายไปแล้ว...
ไปไหนแล้ววะ?
ยังไม่ทันได้คำตอบ ผมก็ต้องตกใจเพราะคนที่เคยยืนอยู่ไกลออกไปกำลังเดินตรงมาแถวๆนี้ ยิ่งเห็นท่าทางตอนเดินก็ยิ่งรู้สึกหวั่นใจเข้าไปใหญ่
ใช่แน่เลย! ใช่แน่ๆ
เอาไงดี...ไม่อยากเจอเลยว่ะ!
“มึง กูหิวน้ำ”
และนี่คือวิธีเอาตัวรอดของมนุษย์
บอกเพื่อนเสร็จผมก็รีบเดินเร็วๆลัดเลาะฝ่าผู้คนมาหยุดลงตรงซุ้มขายน้ำที่อยู่ไม่ไกล แล้วบอกพี่คนขายหน้าตาเพลียๆที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เอาน้ำเปล่าขวดนึงพี่"
ได้ยินอย่างนั้นพี่เขาก็หันไปหยิบของที่ผมสั่งมาให้ แล้วบอกกันสั้นๆ
“สิบบาท"
แม่ง...ในเซเว่นขายขวดละเจ็ดบาทเองมึง....
ระหว่างที่กำลังหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาเพื่อจ่ายเงิน อยู่ดีๆก็มีคนๆนึงเดินมาหยุดลงข้างๆกัน แล้วพูดออกมา
“เอาอีกขวดพี่"
ผมหันไปมองอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาน ก่อนจะต้องนิ่งไปทันทีที่เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ใกล้กันตอนนี้คือใคร
ใช่จริงๆด้วยว่ะ ตัวจริงเสียงจริงเลย
ไอ้คนที่มาทีหลังยื่นแบงค์ร้อยให้คนขายโดยที่ไม่หันมามองกันสักนิด พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ขวดน้ำของผมที่ยังคงวางอยู่
“สองขวดนะพี่ ขวดนี้ด้วย"
“เฮ้ย! จ่ายให้กูทำไม?”
มันยักคิ้ว ไม่ตอบ ไม่หันมามอง แต่ยื่นมือไปรับเงินทอนมายัดลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์จนเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะส่งสายตามาให้กัน
"จ้องทำไม เห็นเสื้อกูลายถุงสัมเพ็งเลยอยากอ้วกใส่อีกอะดิ?”
“...”
“ยังจะมาทำตาโต...ไอ้กระรอกบิน"
เชี่ยเอ้ย... ตัวจริงว่ะ
- - - -
♦♦
อาทิตย์ก่อน
22 : 50 น.
งานวันเกิดเพื่อน
“กูขอออกไปสูดอากาศนะ"
เพราะความรู้สึกไม่สบายตัวที่รุมเร้าทำให้ผมตัดสินใจหันไปพูดกับไอ้เจ้าของวันเกิดที่นั่งอยู่ข้างกัน ระหว่างที่กำลังลุกขึ้นก็ได้ยินคำถามดังตามมาติด
“มึงไหวแน่นะเว่ย หน้าซีดชิบ กลับก่อนก็ได้ กูไม่ซีเรียส"
“กูโอเค นั่งพักอยู่แถวนี้แหละ"
พูดจบผมก็ยกมือขึ้นตีลงไปบนไหล่เพื่อนตัวเองเบาๆให้มันวางใจ แล้วรีบเดินเลี่ยงออกมาหลังร้าน
ทันทีที่หลุดจากบรรยากาศแออัด สิ่งแรกที่ผมทำคือการสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะทรุดตัวลงไปนั่งยองๆกับพื้น
แม่ง... ปวดหัว โลกหมุน หายใจไม่ถนัด คลื่นไส้ด้วย
หรือจะกลับไปก่อนอย่างที่มันบอกดีวะ
อยากนอนแล้วเหอะ ตาจะปิด
ความรู้สึกแย่ๆทำให้ผมฟุบหน้าอยู่กับหัวเข่าอยู่นิ่งๆ โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้อีกทีก็ตอนที่รู้สึกว่ามีแรงที่ชนเข้ามาที่ขาพอหรี่ตาดู ก็เห็นว่าไอ้ที่ชนเข้ามานั่นมันเท้าคนเต็มๆ
ใครเตะกูอะ?
“เฮ้ย!”
“....”
“มึง...ไหวปะเนี่ย?”
พอเงยหน้าขึ้นผมก็เห็นว่ามีคนมายืนค้ำหัวกันอยู่กับกลิ่นควันผสมมิ้นที่ลอยฟุ้ง ทำเอาให้สรุปได้ไม่ยากเลย ว่าอีกฝ่ายคงออกมาสูบบุหรี่...
ทักกันทำไม?
ใครวะ ไม่เห็นจะรู้จัก
“ไหว"
ผมตอบกลับไปแค่นั้น ก่อนจะฟุบหน้าลงเหมือนเดิม
แม่งเรียกกันอยู่ได้ คนยิ่งคลิ่นไส้ๆ จะอ้วกอยู่แล้วเนี่ย
“เหอะ...กูว่าไม่ไหว เรียกเพื่อนให้ปะ?"
“อยู่ข้างใน...”
“ส้นตีนมั้ยล่ะ ลุกขึ้นเลย ไปหาเพื่อนมึงเร็ว เดี๋ยวกูพาไป”
ไอ้คนตรงหน้ามันพูดแล้วยื่นมือมาจับต้นแขน ดึงให้ผมลุกขึ้นยืน แล้วถามซ้ำ
“ตัวร้อนชิบหาย กลับไปหาเพื่อนไป"
“พูดมาก กูปวดหัว! เหม็นบุหรี่!”
ผมตอบกลับไป ก่อนจะดึงแขนตัวเองออกจากมือที่จับอยู่แล้วทรุดตัวกลับลงไปนั่งกองที่พื้นเหมือนเดิม
ไม่ทันไรผมก็ได้ยินเสียงของตกลงที่พื้นเบาๆ ตามด้วยเสียงรองเท้าขยี้กับพื้นปูน พอเหลือบสายตาขึ้นมองทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้า ผมก็เห็นก้นบุหรี่ที่ถูกสูบไปไม่ถึงครึ่งบี้แบนติดพื้นอยู่ตรงนั้นเพราะโดนอีกคนนึงใช้เท้าเหยียบซ้ำๆ
“ไอ้สัด ลุก! ไม่สบายก็กลับบ้านไป นั่งอยู่อย่างนี้เดี๋ยวก็ตายห่าอยู่นี่หรอก”
พอมันพูดจบ ผมก็รู้สึกว่าคอเสื้อด้านหลังของตัวเองกำลังถูกดึงขึ้น และมันก็ทำให้ผมต้องลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือก
ผมหรี่ตา มองคนที่กำลังปั้นหน้าดุใส่กันแล้วได้แต่สงสัย เคยไปรู้จักกันตอนไหนวะ?
“มึงมาไงเนี่ย ขับรถมาเปล่า?”
“นั่งแทกมา...”
“กูว่ามึงกลับบ้านไปเหอะไป ไม่ต้องกลับเข้าไปในร้านละ"
“อืม...”
ผมตอบกลับไปแค่นั้น จริงๆมันก็เป็นแค่เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอ ไม่ได้รับคำ หรือตอบตกลงใดๆทั้งสิ้น เพราะสมองกำลังเบลอและคิดอะไรไม่ออกเลย
แถมยังรู้สึกเหมือนพื้นที่ยืนอยู่มันโคลงเคลง หัวก็ปวดหนึบเหมือนโดนบีบแรงๆซ้ำๆ ในขณะที่ท้องไส้ก็เริ่มปั่นป่วนเพราะแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไป
ระหว่างที่ทุกอย่างกำลังตีกันวุ่นวายอยู่นั้น ไอ้คนแปลกหน้าก็เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน แถมยังเอามือมาจับไหล่กันเอาไว้
“เฮ้ย! เป็นไร?”
ผมพยายามที่จะตอบกลับไปว่าไม่เป็นอะไร แต่อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกแน่นๆก็จุกขึ้นมาในลำคอ ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาก็
แหวะ.... อ้วกแตกเลยว่ะ
“เหี้ย!”
ไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากระโดดหลบไปได้เพียงบางส่วน
ผมเงยหน้าขึ้นมามองมันก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวกำลังยกชายเสื้อตัวเองขึ้นมาพร้อมกับสีหน้ารังเกียจถึงขีดสุด
“เหี้ยเอ้ย! อ้วกใส่กู!"
เสียงทุ้มๆพูดออกมาอย่างเอาเรื่อง ระหว่างนั้นไอ้ความรู้สึกเดิมมันก็กลับมาอีกครั้ง จนผมต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ พร้อมกับอีกฝ่ายที่โวยวายออกมาด้วยความตกใจ
“สัดด! อย่าอ้วกอีกนะ"
มันพูดพลางใช้มือข้างนึงผลักไหล่ผมไปพิงกำแพง ส่วนอีกข้างดันคางให้เงยหน้าขึ้น แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“ถ้าจะอ้วกออกมาอีก มึงก็กลืนกลับลงไปเลย อ้วกมึง มึงก็แดกไป"
โคตรชั่ว...
โชคดีที่ความรู้สึกแย่ๆนั้นค่อยๆลดน้อยลงและหายไปในที่สุด จนไม่รู้สึกอยากจะขย้อนของเสียอะไรออกมาอีกแล้ว
พอแน่ใจว่าจะไม่มีความวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นอีก มือที่มันใช้จับปลายคางกันอยู่ก็ปล่อยออก ผมโกยลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พอได้อ้วกออกมาก็เหมือนจะรู้สึกโล่งขึ้น แต่กลับปวดหัวจี๊ดมากกว่าเดิมเข้าไปอีก
ไอ้คนตรงหน้ายืนกอดอกดูสภาพผมอยู่สักพักก่อนจะถามต่อ
“บ้านมึงอยู่ไกลมั้ย?”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วชี้ไปยังทิศทางที่ห้องพักของตัวเองตั้งอยู่
“แถวๆนั้น"
โคตรเบลอเลยว่ะ คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง
สักพักเสียงถอนหายใจหนักๆก็ดังมา พร้อมกับมือที่จับกระชับเข้าตรงต้นแขน
“กูจะรู้มั้ยว่าแถวนั้นมันแถวไหน..."
"บีทีเอสราชเทวี"
"เออ! งั้นเดี๋ยวกูไปส่ง ต้องกลับไปเอาอะไรข้างในไหม?”
“ไม่อะ...แต่....”
ผมกำลังจะปฏิเสธมัน และยืนยันว่าตัวเองสามารถนั่งแท็กซี่กลับได้ เมากว่านี้ก็เคยนั่งมาแล้วเหอะ
“แต่บนหน้ามึงอะ! มาเหอะ เสียเวลา ถ้าพรุ่งนี้กูตื่นมาแล้วเจอข่าวมึงนอนตายอยู่ข้างทางกูคงรู้สึกผิดชิบหาย"
โห...ใจบุญมากยัง
ผมโดนลากให้เดินไปแบบงงๆ ก่อนจะถูกผลักขึ้นไปนั่งบนรถ ไอ้คนแปลกหน้าที่นิสัยไม่ดีแต่มีน้ำใจมันหยิบน้ำดื่มจากเบาะหลังมาให้ผมใช้บ้วนปากและล้างหน้า แล้วก็ล้างชายเสื้อของมันด้วย
พอเห็นท่าทางของผมโอเคขึ้น มันก็จับผมยัดใส่รถแล้วปิดประตูตามมาดังปัง
ผมได้แต่เอนตัวพิงกระจกเอาไว้ จนกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นมานั่งที่ฝั่งคนขับบ้าง อยู่ดีๆ กระจกที่ผมพิงอยู่ก็ถูกกดเลื่อนลงไป ก่อนที่น้ำเสียงดุๆจะพูดตามมา
“ถ้าจะอ้วกอีก มึงยื่นหน้าออกไปอ้วกนอกรถเลยนะ อ้วกใส่รถกู กูปล่อยให้นอนป้ายรถเมล์แน่"
ผมไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากเอนหน้าซบอยู่กับกรอบหน้าต่าง ปล่อยให้ลมเย็นๆที่พัดมาโดนหน้าตอนที่รถออกตัวช่วยให้รู้สึกดียิ่งขึ้น ระหว่างนั้นน้ำเสียงขุ่นๆของอีกฝ่ายยังคงดังตามมา
“อย่าเพิ่งหลับนะเว่ย บอกทางกูก่อน"
“อื้อ!”
ในที่สุดรถที่ผมนั่งอยู่ก็มาจอดลงตรงบีทีเอสราชเทวี ผมบอกทางให้มันเลี้ยวเข้าซอยอีกนิดหน่อย ในที่สุดก็มาถึงหน้าหอพัก
“ถึงละ ตรงนี้แหละ ขอบคุณนะมึง"
พูดจบผมก็เปิดประตูรถแล้วเดินลงมา จนถึงหน้าประตู
...จะเข้าไปในหอ ต้องทำไงก่อนวะ?
อ๋อ... สแกนนิ้วมือ
คิดได้อย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้น แตะปลายนิ้วหัวแม่มือลงไปบนปุ่มเพื่อนสแกน รออยู่สักพัก เสียงสัญญานก็ร้องเตือนว่าลายนิ้วมือไม่ถูกต้อง...
เชี่ย...ละต้องมากวนตีนกันวันนี้เหรอวะ?
โลกหมุนจะแย่แล้วเนี่ย
ความรู้สึกวิงเวียนจู่โจมให้ผมต้องทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่ยามเดินเข้ามาใกล้
“เป็นภาระกูจริงๆ"
อ้าว...ไม่ใช่พี่ยามว่ะ
น้ำเสียงดุๆที่ดังมาจากด้านหลังบอกให้รู้ว่าที่พูดอยู่คือมนุษย์คนเดียวกันกับไอ้คนที่ขับรถมาส่งผมถึงนี่ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน
ไม่ทันได้ตอบอะไร ผมก็รู้สึกว่าคอเสื้อด้านหลังโดนดึงให้ต้องลุกขึ้นอีกครั้ง
คำสบถดังออกมาเบาๆ พร้อมกับที่มือผมโดนยกขึ้น และเอาปลายนิ้วไปแตะลงในบนปุ่นสแกนลายนิ้วมืออีก แต่ประตูก็ยังไม่ยอมเปิดให้เหมือนเดิม
"เชี่ยเตี้ย...มึงแน่ใจนะว่านี่หอมึงจริงๆ"
"อือ..."
ผมรับคำ พร้อมกับพยายามกดนิ้วมือลงไปตรงปุ่มสแกนอย่่งสัดความสามารถ ในที่สุดประตูก็เปิดออกสักที จนผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้ามันเพื่อเยาะเย้ยที่มาว่ากันได้
กูก็แค่ไม่สบาย ไม่ได้โง่...
ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นใบหน้ามันเต็มสายตา หน้าตามันดีเกินมาตรฐานเลยทีเดียว
หรือไม่ก็คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้ไข้ผสมกับแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปมันเล่นงานจนทุกอย่างมันบิดเบี้ยวไปหมด
ไอ้เชี่ยตัวไหนมันบอกกูนะว่าไม่สบายต้องกินเหล้าถอนจะหายเร็ว กูจะเผาบ้านมึง....
“มองหน้ากูเพื่อ...”
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือการที่มันล้วงมือเข้ามาในกระเป๋ากางเกงผมแล้วหยิบกุญแจห้องไปดู ก่อนที่ผมจะโดนลากเข้าไปในลิฟต์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ในที่สุดผมก็มาถึงห้องตัวเองจนได้
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก สิ่งแรกที่ผมทำคือการพุ่งตัวไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวนอนคว่ำแผ่อยู่บนนั้นทันที
“หายากินด้วย กูหิ้วมาถึงนี่ จะตายคาห้องก็เรื่องมึงละ"
พูดมากจังวะ รู้จักกันก็เปล่า...
“อือ...”
“เออๆ เสื้อกูเลอะอ้วกอะ มีให้เปลี่ยนปะ?”
“ในตู้อะ หาๆเอา"
ผมพูดพลางยื่นมือไปหยิบยาที่ได้มาจากโรงพยาบาล หาถุงที่เขียนว่าแก้ปวดลดไข้แล้วก็หยิบใส่ปากไปเม็ดนึงก่อนจะดื่มน้ำตาม
ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้รื้อตู้เสื้อผ้าตัวเองต่อไป
“กูเอาเสื้อแลคตาซอยมึงไปนะ ตัวใหญ่สุดละ"
“อืม...”
“กินยาแล้วก็นอนๆไปเลยไป"
“อืม...”
“กูไปละ ถ้าตายก็โทรเรียกเพื่อนแล้วกัน อย่ามาหลอกกู"
มันพูดแล้วแอบขำที่ปลายน้ำเสียงจนผมต้องลืมตาแล้วยกตัวขึ้นไปมอง เสื้อสีเทาเข้มๆที่มันใส่อยู่ก่อนหน้า ตอนนี้กลายเป็นเสื้อแลคตาซอยแจกฟรีที่ผมได้มาตอนทำค่ายไปแล้ว ตลกชิบหาย...
“มึงชื่ออะไรอะ?”
“อ้วกใส่กูแล้วยังจะมีหน้ามาถาม"
นี่คือคำตอบที่ผมได้มา พร้อมกับโดนผลักแรงๆที่หน้าผากจนต้องทิ้งตัวนอนลงไปบนเตียงอีกครั้ง
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้ ก่อนจะหลับสนิทไป...
.
เช้าวันใหม่...
ผมตื่นนอนเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง พอดูหน้าจอมือถือก็พบกับสายไม่ได้รับนับสิบที่ขึ้นเตือน เห็นอย่างนั้นก็รีบโทรกลับไปหาไอ้เจ้าของวันเกิดทันที พอมันรู้ว่าผมสบายดี ก็โล่งใจ ทั้งๆที่ตัวเองยังเมาแฮงค์ตื่นแทบไม่ไหว
หลังจากนั้นก็ใช้เวลาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่พักใหญ่
ทุกอย่างมันเบลอๆงงๆ ตกลงว่าเมื่อวานมีคนมาช่วยไว้จริงๆใช่มั้ย? แถมยังเป็นใครก็ไม่รู้อีกต่างหาก คิดไปคิดมาก็ได้แต่ยกมือขึ้นวัดอุณหภูมิบนหน้าผากของตัวเอง เดาเอาจากความรู้สึกว่าไข้น่าจะลดลงไปมากแล้ว ผมถึงได้ลุกขึ้นและเดินตรงเข้าห้องน้ำไปเพื่ออาบน้ำ
สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังจากก้าวเข้ามาในห้องน้ำคือผ้าสีเทาๆเปียกน้ำวางอยู่ในอ่างล้างหน้า พอเอามือไปหยิบขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่ามันน่าจะเป็นเสื้อยืดของไอ้คนที่ช่วยกันไว้เมื่อวาน
คาลวินไคลน์ด้วยว่ะ
ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมันจะเอาเสื้อแลตตาซอยแจกฟรีของผมไปตัวนึง
ดีว่ะ เอาคาลวินไคล์นมาแลกแลคตาซอย
คิดได้อย่างนั้นผมก็ต้องหลุดขำ
ภาพดหตุการณ์เมื่อคืนชัดเจนขึ้นมาทีละนิดระหว่างที่ผมกำลังแปรงฟัน
และทันทีที่ความทรงจำทั้งหมดฟื้นกลับคืนมา
ทันทีที่จำได้ว่าเมื่อวานตัวเองทำอะไรเอาไว้บ้าง
ผมก็ได้แต่นึกของคุณเจ้าของเสื้อตัวนี้อยู่ในใจ
ไอ้ขอบคุณมันก็ขอบคุณอยู่หรอก
แต่อย่าเจอกันอีกเลยน่าจะดีกว่า
ไม่ใช่อะไร กูอายตัวเอง....
tbc
- - - - -
ถ้าคืนนี้เราไม่ไปดู Polycat จะรีบเอาตอนจบมาลงให้เลยเนอะ : )
ขอบคุณค่ะ
ปล.ไม่มีชื่ออีกแล้ว แต่นี่ไม่ใช่หมอกับยิ้มนะ ปล่อยสองคนนั้นเลี้ยงหมาอ้วนไปเถอะ
-
พอหายคิดถึง....แต่ก็ยังคิดถึงยิ้ม จิมๆนะ แม้จะเห็นตีกับหมอทุกวันก็เถอะ
-
บ่นแต่ก็พาเขาขึ้นห้องวุ้ย -..-
แล้วคนแปลกหน้าจะจัดการกระรอกยังไงต่อนะ5555
-
ตลกดี รอตอนต่อไปค่ะ
-
ตอนแรกก็เข้าห้องกันล๊าว กรี๊ดๆๆๆๆ
มีอ่อยทิ้งเสื้อไว้ให้ด้วยแหน่ะ กิ๊วๆๆ
รีบๆมาต่อน๊าาาา น่าติดตามค่าาา
ขอเรื่องยาวเลยได้ไหมอ่าจ๊ะ อิอิ
-
(https://pbs.twimg.com/media/Cbj9sEYVIAAPqDz.jpg)
♦♦
เมื่อวาน
14 : 15 น.
งานบอลประเพณี
ไอ้กระรอกบินนี่หว่า...
หลังจากยืนมองคนที่ผลุบๆโผล่ๆท่ามกลางผู้คนมากมายอยู่สักพักผมก็ได้บทสรุปสักทีว่ามันต้องใช่คนที่ผมคิดอยู่อย่างแน่นอน
ผมยืนพิงกำแพง กอดอกมองคนที่ยังคงทำท่าทางเหมือนพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ท่าทางตอนที่มันร่อนตัวลงไปนอนบนเตียงทันทีที่ถึงห้องยังอยู่ในความทรงจำของผมอย่างชัดเจน และไอ้ท่าสภาวะทิ้งตัวของมันนี่แหละ ทำเอาผมนึกถึงสัตว์ชนิดนึงขึ้นมาทันที ก็อย่างที่ผมเรียก...กระรอกบิน
ตลกว่ะ!
“เป็นอะไรมึง อยู่ดีๆก็หัวเราะ"
“หึ...”
ผมตอบกลับไปแค่นั้นพร้อมกับที่อีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้พอดี มันทำตาโตใส่กัน สักพักก็ขมวดคิ้วแล้วมองจ้องผมอยู่อย่างนั้น
มึงมองซะขนาดนั้น คิดบ้างมั้ยว่าคนเค้าจะรู้ตัว?
พอได้มองจนพอใจมันก็หันกลับไป แต่ก็ยังไม่วายแอบมองมาทางนี้เรื่อยๆ
ยืนมองท่าทางแบบนั้นจนพอใจ ผมก็เริ่มรู้สึกอยากเข้าไปทัก ดูจากท่าทางที่แสดงออกแล้วคิดว่ามันน่าจะจำผมได้
อยากเห็นท่าทางตอนสติครบถ้วนดีด้วย ว่าพอนึกถึงเรื่องที่มันทำเอาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วจะมีสีหน้ายังไง
เร็วเท่าความคิด...ผมหันบอกเพื่อนๆที่มาด้วยกันว่า 'เดี๋ยวกูมา'แล้วก็เดินตรงไปยังคนยืนทำหน้าบึ้งสู้แดดอยู่ไม่ไกลทันที
ตอนแรกผมกะว่าจะเข้าไปประชิดตัวแล้วค่อยทักทายกัน
ถึงแม้จะไม่รู้จักชื่อ แต่ระหว่างผมกันมันน่าจะนับได้ว่าเป็นคนอยู่จักกันอยู่แหละ
อ้วกใส่กูซะขนาดนั้น...
แต่สถานการณ์มันดันน่าสนุกเข้าไปใหญ่ตอนที่อีกฝ่ายมองมาทางนี้ แล้วรีบเดินหนีกันไปในทันทีอย่างมีพิรุธ
จะยากอะไร ก็แค่เดินตามมันไป จนหยุดลงที่ซุ้มขายน้ำ
ผมกลั้นขำแทบตายตอนที่มันหันมาเห็นกันแล้วสะดุ้งตกใจแถมยังโวยวายต่อ
“เฮ้ย! จ่ายให้กูทำไม?”
แต่ก็ดันตอบกลับไปอีกเรื่องนึง
"จ้องทำไม เห็นเสื้อกูลายถุงสัมเพ็งเลยอยากอ้วกใส่อีกอะดิ?”
“...”
“ยังจะมาทำตาโต...ไอ้กระรอกบิน"
“กูเป็นคน...”
“เอ้าเหรอ?”
“เออดิ!!”
“คนพิเศษด้วย...”
“...”
“พิเศษตรงที่อ้วกใส่คนที่ไม่รู้จักกันได้หน้าตาเฉยนี่แหละ"
มันหน้าบึ้ง แถมยังหุบปากเงียบไม่เถียงผม แล้วก็เดินหนีกันไปเลย จนผมต้องเดินตามไปขวางหน้ากันแล้วถามต่อ
“เดินหนีกูทำไม"
“อายดิวะ”
“อายอะไร? กูหล่ออะดิ..."
“ถ้าเป็นมึงที่ไปอ้วกใส่ใครก็ไม่รู้...มึงไม่อายรึไง?”
“อ๋อ...ขี้อายนี่เอง"
“เหี้ย...”
“ไม่แกล้งละ ไปดีกว่า วันหลังถ้าเจอกันอีก อย่าเดินหนีกูอีกเหอะ"
“ไม่เอา กูไม่เจอ...”
“เดี๋ยวก็รู้...”
ผมพูดออกไปทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าไอ้ 'เดี๋ยวก็รู้' เนี่ยมันคือรู้อะไร
ที่จริงก็แค่เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนแล้วอยากกวนตีนเล่นเฉยๆ
พอกลับไปรวมตัวกันได้สักพัก พวกผมก็พากันเข้าไปในสนาม และรวมตัวกันอยู่ที่สแตนชั้นล่างสุดกับเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวเชียร์บอลด้วยกันทุกปี
ผมนั่งตากแดดเบื่อๆรอพิธีการที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า สักพักก็สะดุดตาเข้ากับกลุ่มเด็กที่ใส่เสื้อของอีกม.นึง ซึ่งดันมาเดินผ่านหน้ากลุ่มพวกผมเข้าพอดี คนอื่นน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้คนที่เดินมาปิดท้ายแถวนี่ดิ
เจออีกละ...กระรอกบิน
มันเดินหน้ามุ่ยเพราะแดดที่ร้อนจัด แล้วก็ฟังเพื่อนท่าทางพูดมากที่เดินนำหน้าแถมยังหันมาบ่นตลอดทางแล้วพยักหน้ารับเหนื่อยๆ ไอ้พูดมากนี่แหละเจ้าของวันเกิดในคืนที่มันอ้วกใส่ผม ปลายสายตาคู่นั้นเหลือบมามองผมนิดๆกับสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะทำเป็นเมินใส่กันแล้วเดินผ่านผมไป
เทียบกับคนอื่นในกลุ่ม ผมว่าไอ้กระรอกบินดูท่าทางจะนิ่งแล้วก็หยิ่งที่สุดแล้ว สักพักพวกแก๊งสัตว์ตัวเล็กก็เดินขึ้นสแตนฝั่งตัวเองไป ผมมองตาม ชะโงกหน้าดูจนเห็นพิกัดที่มันนั่งลงแถมยังหยิบร่มออกมากางกันแดดพรึ่บๆกันทั้งแก๊งแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
คุณหนูชะมัดแต่ละคน...
คืนนั้น...
ผมเห็นมันตั้งแต่ตอนที่นักร้องในร้านร้องเพลงอวยพรวันเกิด สายตาทุกคู่มองไปยังเจ้าของงานที่ยืนขึ้นตามคำชวนของนักดนตรี แต่ผมกลับสะดุดตาเข้ากับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่เห็นในตอนนั้นตรงกับสเป็คที่ผมชอบทุกประการ มาติดตรงสีหน้าบูดบึ้งที่เจ้าตัวแสดงออก ซึ่งผมมารู้ตอนหลังว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะมันกำลังไม่สบายแต่ยังฝืนสังขารมางานวันเกิดเพื่อน
ผมว่าความบังเอิญไม่มีอยู่จริงหรอก
ถ้ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแล้วดันเป็นไปในแบบที่เราต้องการอยู่พอดิบพอดีอย่างน่าอัศจรรย์
เชื่อผมดิ...ว่ามันมีความจงใจปะปนอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นอยู่แล้ว แต่เราอาจจะไม่รู้ตัว
เหมือนที่ผมออกมาข้างนอก แล้วก็เจอมันนั่งกองอยู่กับพื้นพอดี นั่นก็เป็นเพราะก่อนหน้านั้นผมมองไป และเห็นว่ามันหายไปจากโต๊ะ ก็เดาเอาว่าน่าจะออกมาสูบบุหรี่ เลยเดินตามออกมา
ถามว่าผมชอบมันไหม?
เอาจริงๆ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ รู้แค่ว่า...อยากคุยด้วยมากกว่านี้
พอเห็นหน้าแล้วอารมณ์ดี ยิ่งหน้าบึ้งยิ่งดูตลก
คิดได้อย่างนั้นผมก็ลุกขึ้น พร้อมกับที่ไอ้เพื่อนสนิทมันหันมาพูด
“ไงมึง จะเป็นฑูตสานสัมพันธ์สองมหาลัยเหรอ?”
ผมยกมือขึ้นไปตบหัวมัน ไม่ตอบไม่เถียง แล้วเดินไปยังประตูทางออกจากสนาม ก่อนจะกลับเข้ามาตอนที่ฟุตบอลเพิ่งเริ่มแข่งขันพร้อมกับน้ำดื่ม 2 ขวดที่อยู่ในมือ และเดินขึ้นสแตนของมหาลัยอื่นอย่างหน้าตาเฉย...
จริงๆแล้วเขตแดนในการนั่งมันก็ไม่ได้แบ่งแยกกันชัดเจนขนาดนั้น กวาดสายตามองผ่านๆก็เห็นเด็กม.ตัวเองอยู่หลายคนเหมือนกัน ที่นั่งอยู่ตรงฝั่งนี้
โชคดีที่ไอ้กระรอกบินมันนั่งอยู่ริมสุด ผมเลยสามารถเดินไปนั่งลงตรงบันไดที่อยู่ติดกับเก้าอี้มันได้ โดยที่ไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
พออีกฝ่ายหันมามาเห็นว่าอยู่ดีๆผมก็เดินมานั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วขยับตัวเข้าไปหลบแดดใต้่ร่มที่ถืออยู่ มันก็หันมาทำตาโตใส่กันอีกครั้ง
“อะน้ำ ซื้อมาให้"
ผมยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้มันไปก่อนแทนคำทักทาย พอเห็นว่ามันยังคงนั่งนิ่งผมก็วางขวดน้ำเย็นๆลงไปให้บนตักแล้วชวนคุยต่อ
“ชื่ออะไรวะ?”
อีกฝ่ายหันมามองกันหน้านิ่งๆ ไม่ตอบคำถามพอเห็นท่าทางยุกยิกๆเหมือนจะลุกขึ้น ผมก็ขู่ขึ้นมา
"ถ้าลุกขึ้นเดินหนีกันกุถีบตกสแตนแน่"
"หมาบ้าปะเนี่ย"
มันกระซิบบ่นเบาๆพอให้ผมได้ยิน ก่อนจะหลบสายตาแล้วหันไปเปิดกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมาพร้อมกับหยิบแบงค์ 20 ยื่นมาให้ผม
“อะ รวมขวดเมื่อกี้ที่มึงจ่ายให้กูก็ 20 พอดี"
“ไม่เอา...”
“ไม่เอาเหี้ยไรอะ เงินมึง อยู่ดีๆมึงมาเลี้ยงน้ำกูทำไม"
ไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้มันหน้าบึ้งจริงจัง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศที่ร้อนจัด หรือเป็นเพราะไม่อยากยุ่งกับผมกันแน่
“อยากให้กูรับไว้จริงดิ"
“เออ!”
“เขียนเบอร์โทรมึงไว้บนแบงค์ดิ กูจะได้รับ"
ได้ยินที่ผมพูดปุ๊บมันก็หันมาทำหน้าตกใจใส่กัน ก่อนจะสบถออกมาเบาๆว่า เชี่ย...
ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เพื่อนที่นั่งอยู่ถัดไปก็ยื่นหน้ามาร่วมวงคุยด้วยอีกคน
"เพื่อนมึงเหรอ? มีเพื่อนเป็น Sexy Boy ไม่เห็นบอกกูเลย"
คนที่นั่งข้างๆผมดูงงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ผมพอเข้าใจอยู่ ไอ้ Sexy Boy อะไรนั่นเป็นเพจที่เอาไว้โพสรูปผู้ชายจากมหาลัยที่ผมเรียนอยู่ ผมเองก็โดนขอรูปจากไอจีไปโพสบ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนจำได้
“เปล่าหรอก เพิ่งรู้จักกันเมื่ออาทิตย์ก่อนตอนงาน....”
พูดออกมาได้แค่นั้น ผมก็โดนมันหันหน้ามามองแล้วส่งสายตาขู่ให้หยุดพูด
อ้าว...นี่เพื่อนไม่รู้เหรอวะว่าไปอ้วกใส่คนแปลกหน้ามา
“รู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียนติวแล้วมึง แล้วอาทิตย์ก่อนก็บังเอิญเจอที่ร้านเหล้า แล้วเนี่ยก็บังเอิญอีกรอบ"
โกหกไม่เนียนไอ้กระรอก....
เห็นสีหน้าของเพื่อนมันผมยังรู้เลยว่าไม่มีใครเชื่อหรอก
ไอ้ซื่อบื้อ
“เพื่อนไม่รู้เหรอว่ามาอ้วกใส่กูเอาไว้?”
“เหี้ย....หุบปาก!”
ตลกชิบคนเรา!
หลังจากนั้นผมก็นั่งดูบอลไปเงียบๆ แอบเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงกำแบงค์ 20 ในมือตัวเองเอาไว้แน่น คงตั้งใจจะคืนกันจริงๆ
ผมต้องพยายามเชียร์บอลเงียบๆทั้งๆที่ปกติจะออกอาการมากกว่านี้ เพราะกำลังนั่งอยู่กลางดงคู่แข่ง
จนกระทั่งอยู่ดีๆ ลูกบอลที่เตะโดยนักบอลจากม.ผมก็ลอยเข้าโกลของฝ่ายตรงข้ามไปอย่างงดงาม
เสียงเฮดังขึ้นลั่นสนามจนผมอดไม่ได้ที่จะเฮออกมาด้วยคนเพราะความดีใจ จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงสายตาไม่พอใจที่ส่งตรงมาจากคนข้างๆ
“มองแรงทำไม? กูไม่ใช่สารัช ไม่พอใจมึงไปด่าสารัชอยู่เย็นดิ มันยิงประตู"
มันหน้ายุ่ง ไม่ตอบไม่เถียง และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ม.ผมก็ได้ประตูอีกครั้ง
คราวนี้ไอ้กระรอกบินไม่ได้แค่หน้ายุ่งอย่างเดียวแล้ว
“มึงกลับฝั่งม.มึงไปเลยไป มานั่งอะไรฝั่งม.กูเนี่ย เอา 20 บาทมึงคืนไปด้วย"
ดูไว้นะทุกคน
...นี่คือตัวอย่างของการแพ้แล้วพาล
“เขียนเบอร์ยังอะ บอกแล้วว่าถ้าไม่เขียนกูไม่เอา"
“กูไม่ให้โว่ย!"
“คิดอะไรอยู่? คิดว่ากูจะจีบรึไง?”
“...”
“กูจะเอาเบอร์ไว้โทรทวงเสื้อ เสื้อกูแพง"
ผมไม่ได้โกหกนะ
ยังไม่ได้พูดสักคำเลยว่าจะไม่จีบ ก็แค่ถาม...
“...”
“เหรอมึงทิ้งเสื้อกูไปแล้ว ตัวเป็นพันเลยนะเว่ย!”
“ยัง...กูส่งซักให้แล้วด้วย”
“งั้นก็เอาเบอร์มา เร็วๆ"
“เอามือถือมึงมาดิ...”
ผมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงส่งให้ไอ้คนที่ยังคงนั่งทำหน้าหยิ่งคอเชิดอยู่ที่เดิม มันรับมือถือผมไปพร้อมกับยื่นแบงค์ 20 กลับมา แล้วเปิดหน้าจอที่ไม่ได้ล็อครหัส ก่อนจะพิมพ์ตัวเลข 10 ตัวเองลงไป เสร็จแล้วก็ส่งกลับมาให้ผมทั้งอย่างนั้น
พอรับมือถือกลับมาผมก็กดบันทึกหมายเลย ก่อนจะเงยหน้าไปถามมันอีกครั้ง
“ตกลงชื่ออะไร กูจะได้เม็มถูก"
มันยังคงหน้าบึ้ง ทำท่าเหมือนไม่อยากจะบอก แต่ก็ยอมพูดชื่อเล่นของตัวเองออกมาในที่สุด
ผมพยักหน้ารับ ชื่อที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่ชื่อที่แปลกอะไร ติดจะธรรมดาสามัญจนมีคนใช้เหมือนกันเป็นสิบเป็นร้อยล่ะมั้ง ไม่เอาว่ะ ไม่น่าสนใจ...
ดังนั้น แทนที่จะพิมพ์คำที่ได้ยินมาลงไป ผมกลับบันทึกชื่อของมันเอาไว้ด้วยคำว่า
'กระรอกบิน'
ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วยกมือขึ้นมาโบกลาเพื่อกลับฝั่งตัวเอง แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินผละไป ไอ้คนที่ยังคงนั่งทำหน้าหยิ่งอยู่ก็พูดออกมาซะก่อน
“เดี๋ยว...”
“ฮึ? อะไร?”
“แล้วมึงอะชื่ออะไร"
ผมไม่ตอบคำถามในทันที แต่กลับก้าวขึ้นบันไดไปอีกขั้น
ตอนนั้นเองที่มหาลัยของอีกฝ่ายกำลังจะได้ประตูแรกแต่ดันพลาดอย่างน่าเสียดาย นั่นทำให้สุ้มเสียงของทุกคนดังมาจากรอบทิศ ผมก้มหน้าลงไปใกล้คนที่พยายามจะเอนตัวหลบ แกล้งปัดปลายจมูกผ่านใบหูคนอีกฝายนั่งตัวเกร็งขึ้นมาในทันทีก่อนจะกระซิบชื่อตัวเองลงไปแผ่วเบาแล้วรีบผละออกมาก่อนที่จะกลายเป็นจุดสนใจ ก่อนจะก้าวลงบันไดไปอีกสองสามขั้น และมองกลับมายังคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
มันยกมือขึ้นกุมใบหูข้างที่โดนผมแกล้งไปเมื่อกี้ แก้มขาวๆทั้งสองข้างแดงจัดโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพระาผลงานของแดดประเทศไทยหรือเพราะฝีมือของผมกันแน่ พอเราสบตากันผมก็ยกมือขึ้นทำเป็นท่าโทรศัพท์แล้วขยับปากให้อีกฝ่ายเข้าใจได้แบบไม่มีเสียง
'โทรหานะ'
พอเห็นอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ขยับปากตอบกลับมาแค่คำเดียวสั้นๆ
'ไม่รับเว่ย!'
♦♦
อาทิตย์ถัดมา
16 : 48 น.
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ผมต่อโทรศัพท์เข้ากับเครื่องเสียงของรถและกดโทรออกระหว่างที่รถติดไฟแดง รออยู่สักพักก็มีคนรับสาย
“มึงอยู่ไหนเนี่ย?”
“เพิ่งเลิกเรียน กำลังขึ้นรถไฟฟ้ากลับหอ"
“น่าจะถึงพร้อมๆกัน กูเพิ่งลงทางด่วน จะถึงสาวรีย์ละ"
“งั้นวางเลย! ขับรถคุยโทรศัพท์เพื่อ เดี๋ยวก็ตายไม่รู้ตัว"
“กูก็ต่อลำโพงมั้ยล่ะ เสียงมึงดังลั่นรถอะ"
“เหี้ย...”
“อยากดูเหี้ยเหรอ? ม.กูมีเยอะนะ พาไปดูเอามั้ย?”
ได้ยินเสียงอีกฝ่ายจิ๊ปากกลับมาผมก็หลุดขำ
“มึงไม่ต้องเลย...วันที่มาเอาเสื้อก็หลอกพากูไปฟิวเจอร์พาร์ค สันดาน...”
โอ้ยขำว่ะ ใครใช้ให้มึงซื่อบื้ออะ
ผมทำเป็นยอมให้มันเลี้ยงข้าว แต่จะเป็นคนพาไปเอง
หลอกล่อจนมันยอมขึ้นรถมาเท่านั้นแหละ ผมก็พาขับขึ้นทางด่วน และโดนด่าชิบหายมาตลอดทาง
พอลงทางด่วนอีกที ฟิวเจอร์พาร์ครังสิตถิ่นสกัดแว๊นก็มาอยู่ตรงหน้าซะอย่างนั้น
โคตรสนุก...
“แต่วันนี้ที่ม.กูมีตลาดนัดนะ วันก่อนใครบ่นอยากเดินวะ หรือกูคิดไปเอง"
“....”
“ว่าไง ไปไม่ไป มีรถมารับถึงหน้าหอเลยนะเว่ย เดินเสร็จกูมาส่งด้วยก็ได้"
“....”
“ไม่อยากไปก็ตามใจ งั้นกูตรงเข้าสยามเลยก็ได้ อยากซื้อกางเกงใหม่พอดี"
“เหี้ย!"
"เรียกอยู่ได้ เดี๋ยวกูอุ้มขึ้นรถมาให้เลี้ยงแม่งเลย ว่าไง ไม่ไปใช่มั้ย งั้นไว้เจอกันวันหลังนะ"
มันเงียบไปสักพัก แบบที่เดาได้ไม่ยากเลยว่าคำตอบจะเป็นยังไง
"ไป...กูไปก็ได้!”
"..."
"ขำเหี้ยไรมึงอะ กูก็แค่อยากเดินตลาดนัด"
ผมต้องเชื่อใช่มั้ย?
โอเค...เชื่อก็ได้
End.
- - - -
เอายัยกระรอกบินตอนไม่สบายมาฝากค่ะ
(https://pbs.twimg.com/media/Cblb1b_UsAAJ0D_.jpg)
กระรอกบิน : ไอ้ฉัดตะอ้วก
ไปแล้วน้าา Polycat มาแล้ว 5555
ขอบคุณค่ะ : )
-
เถือนมากค่ะ5555 ทำไมคู่นี้มันเถื่อนผิดกับหมอยิ้มขนาดนี้555555 เหนือสิ่งอื่นใดนายเซะซี่บอยกับคิ้วบอยนี่เขาขี้อ่อยเหมือนกันเลยแหะ ชอบโมเม้นท์กลางแสตนแล้วทำท่าโทรหากันมาก อะไรจะน่าหมั่นไส้ทะลุตัวอักษรขนาดนี้คะ5555
-
ยังไม่อยากให้จบเรยค่ะ...อยากให้เป็นเรืองยาวอ่าาาา ความรักของสองม.
-
ยังไม่พอค่ะ! ขออีกกกก
ขอช็อตเดินตลาดนัดโด้ยยยยยย!
มาๆ ถ้าลงเพิ่มเดี๋ยวร้องมิดชิดเวอร์บอสซ่าให้ฟังเลชเอ้า!
:katai3: :katai3: :katai3:
-
แงงงง น้องกระรอกบินน่ารักจังเลยค่ะ55555555555555555555 :hao7:
-
ความน่ารักแบบเถื่อนๆนี้มันอะไร
น่ารักกกกกกกTwT
-
พ่อกระรอกบิน อยากเจอพี่ถุงก็บอกกก ไม่ต้องอ้าง ไม่เนียน
พ่อกระรอกนี้เป็นลูกสมุนหมอป่ะเนี่ยยย
-
น่าร้ากกกก :-[ นายคนจริงมาเลยอ่ะ sexy boy อยากอ่านต่ออีก :z3:
-
สนุกอ่ะ รอตอนหน้า
-
ควันหลงงานบอล รอบนี้เป็น sexy boy เลยยยยยยยยยยยยยย จะต่อเป็นเรื่องยาวมั้ยยยยยย
ตามรอยยิ้มไง จากเรืองสั้นก็ต่อจนยาวได้
-
ขออีกได้ไหมคะ อยากอ่านต่ออ่ะ 55555
กระรอกบินน่ารักอ่ะ :hao7: :hao7:
-
น่ารักอ่ะกระรอกบิน
-
น่ารักอ่ะ น้องกระรอกบินน่ารัก โดนจีบจังๆ :-[
-
ไม่พอ ๆ ขออีก ๆ
ยังนึกอิมเมจคิ้วบอยกับเซ็กซี่บอยไม่ออกเลย
ตัวละครของคนเขียนไม่มีชื่ออีกแล้ว
-
:mew1:น่ารักอ่าาา
-
ชอบบบบบบ -.,-
-
น่ารักแบบเถื่อนๆอะ
-
กระรอกบิน น่ารักดี
แต่เค้าอยากอ่านเพิ่มมมม
-
ขอบคุณค่ะ :L2:
-
ไอ้ฉัดตะอ้วก
มันแปลว่าอะไร??
-
เเอร้ยยยย
น่ารักกันจังเยยย :hao7:
-
เอาอีกกกกกกกกก ยังไม่จบบบบบบบ
-
มาต่อด่วนๆเลยค่ะ อยากอ่านอีก
-
น่ารักมากเลย จะมีต่อไหมคะ :-[
-
นิยายหวานละมุนสไต์พี่ปู
บอกเลย มันดีกับใจ :-[
-
ยังคงคอนเสปเรียกแต่ฉายา55555
-
น่ารักอ่ะ รู้เลยว่าที่ไหนเนี่ย แต่จบจริงๆหรอ เนี่ย ไม่มีต่อเลยหรอ อีกนิดน่ะ นะๆๆๆๆๆๆ
-
น่ารักแบบเถื่อนๆอ่ะ
กระรอกแอบมีเล่นตัวตอนจะจบนะเนี่ย 55555
-
ตัวละครยังคอนเสปไม่เรียกชื่อเล่นกันอีกแล้ว น่ารักดี ฮี่ๆ
-
อยากให้เป็นเรื่องยาวจังเลยยยยยยย :ling1:
-
งื้ออ น่ารักง่ะ ทำเป็นเรื่องยาวไหมคะ ><?
-
น่ารักดีครับ
-
ขออี๊กกกกกกกกก :katai1: :katai1: :katai1:
-
ชอบจังเลยค่ะ
ว่าแต่มาต่ออีกสักตอน สองตอนได้มั้ยคะเนี่ย อิอิ
:serius2: :serius2:
-
น่ารักกกกกกก
-
น่ารัก ดีงามพระราม9
-
น่ารักดีอ่ะ
-
เรื่องที่2ที่อ่าน ก็ยังไม่รู้ชื่อตัวละคร 555
-
ติดตามค่าาา น่าสนใจมาก
นายเอกของเรานี่ตามพระเอกต้อยๆเชียวนะ
ไม่กลัวเค้าเอาไปขายเหรอ 55555555555
-
ง๊ายยย กระรอกน่ารักจังเลยยย
-
น่ารักเว่ออวังตามสไตล์จริงๆค่าาา
-
โฮ่ยยยยย........จบและ :z3:
อยากอ่านต่อ :ling1: :ling1: :ling1:
สั้นจริงๆ มาต่ออีกนะ ขอร้อง :mew1: :mew1: :mew1:
:L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
พระเอกมีความกวนนนนน
-
ชอบๆพระเอกกวนๆๆ :hao7: :hao7:
-
กระรอกบินน่ารักมากค่ะ 5555555
-
กระรอกบิน .................. น่ารัก
ขอบคุณครับ
-
โอ๊ยย น่ารักอ่ะ :-[
:pig4: :pig4:
-
ไม่มีต่ออีกเหรอ :mew2: ต่ออีกได้ไหม :ling1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
เสื้อแลคตาซอย5555555 เด็กมธของแท้จริงๆ55555
-
สนุกมากค่ะ ชอบยัยกระรอกบินกับพ่อถุงสำเพ็งจังเลย ฟีลแบบคนนึงก็ชอบแหย่อีกคนก็แง๊วๆ
เรื่องยาวเถอะค่ะ พลีสสสสส
:katai2-1: :katai2-1:
-
555 กระรอกบิน ..น่าเอ็นดู
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
กระรอกน่ารักกก ชอบ 5555
-
อยากได้เป็นเรื่องยาววววววววววว :ling1: :ling1:
-
ง่า!!!กำลังน่ารักเลย :ling1: ถอยเป็นเรื่องยาวเถอะนะ..ตาม ๆ ๆ :ped149:
-
น่ารักดีจัง
กระรอกบิน ... เข้าใจคิด
รู้สึกถึงความอึน ๆ มึน ๆ
-
น่ารักนะเนี่ยทั้งคนจีบและคนถูกจีบเลย เสียดายที่เป็นเรื่องสั้น ถ้าเป็นเรื่องยาวคงทำคนอ่านเขินกว่านี้แน่ๆ
-
น่ารักมากกกกก ><
-
น่ารักอ่ะ
-
(https://pbs.twimg.com/media/DVvEYwQVMAA_H-K.jpg)
♦♦
เมื่อวาน
16 : 07 น.
งานบอลประเพณี
งานบอลปีนี้ไม่สนุก...
ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะงานหรอกว่ะ แต่เป็นเพราะตัวเองผม
ผมหงุดหงิด....
และการที่นักกีฬาจากมหา'ลัยผมเตะบอลเข้าประตูไปจนคะแนนขึ้นนำเป็น 0-1 หลังจากเริ่มแข่งไปได้แค่ไม่กี่นาทีก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องสะใจเพราะสแตนเชียร์ฝั่งผมแปรอักษรเป็นข้อความว่า 'ยิงให้เด็กมันดู' ผมกลับยืนเงียบๆ มองตรงไปยังคนที่ยืนถือกล้องอยู่ในพื้นที่ขอบสนาม มันเองก็มองกลับมา สบตากันอยู่ครู่นึงด้วยสีหน้าตกใจนิดๆตามนิสัย ก่อนจะหันกลับไปคุยกับเพื่อนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เชี่ยแม่ง ขัดใจชิบหาย!
บรรยากาศครึกครื้นเพราะมหาลัยตัวเองยิงประตูนำสงบลงไปแล้ว แต่พวกเพื่อนๆของผมที่รักการเชียร์บอลเป็นชีวิตจิตใจถึงขั้นลงมายืนเกาะกลุ่มกันอยู่ที่ริมรั้วชั้นล่างสุดของสแตนยังคงส่งเสียงโหวกเหวกเป็นบ้าไม่เลิก...
ผมหันไปสะกิดเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกัน แล้วพูดกับมันสั้นๆ
“บุหรี่หน่อย”
“ไหนมึงบอกว่าเลิกแล้ว?
“...”
“เหย...กูหมายถึงเลิกบุหรี่ ไม่ใช่เลิกกับแฟน”
เหี้ยนี่ก็วอนตีนจริงๆ
“หุบปากไปไอ้สัด”
มันยิ้มมุมปากรับคำพูดของผม ก่อนจะหยิบบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาให้ แล้วพูดทิ้งท้ายสั้นๆ
“พิษรักกำเริบเหรอวะ”
ผมชูนิ้วกลางใส่ แล้วเดินแยกออกมา โดยไม่พูดอะไร
คนนอกสนามบางตาลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะบอลเริ่มเตะไปได้สักพัก ส่วนผมก็เดินมาหามุมที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านเพื่อสูบบุหรี่ ยังไงเสื้อที่ใส่อยู่ตอนนั้นก็ประทับตรามหาลัยเด่นชัด ใครเห็นเข้าก็คงไม่ค่อยดี
เสียงความครื้นเครงของงานบอลประเพณีที่ทุกคนรอคอยดังมาถึงตรงนี้ แต่ผมนั่งมองซองบุหรี่กับไฟแช็คที่อยู่ในมือแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะยัดมันลงไปในกระเป๋ากางเกง โดยที่ยังไม่ได้แม้แต่จะเริ่มจุดบุหรี่สักมวน
...สัญญากับมันไว้แล้วว่าจะไม่สูบอีก
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไล่ไปที่เบอร์โทรศัพท์ของมัน อยากโทรหาอยู่หรอก
แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนก็ยังขัดใจไม่หาย
แม่ง...จะไม่โทรมาขอโทษกันก่อนจริงๆใช่มั้ย
◦ ◦ ◦
♦♦
สามวันก่อน
22:30 น.
หอพัก - ราชเทวี
“กินข้าวยัง?”
ผมถามคนที่เดินนำเข้ามาในห้องแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยท่ากระรอกบินตามเคย
เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ท่าอะไรของมัน...
“ยังเลยว่ะ...อยากนอนแล้ว”
มองคนพูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับยื่นมือไปขยี้ผมยุ่งๆของมันให้มันยุ่งไปมากกว่าเก่า ก่อนจะเดินไปหยิบจาน จัดการเอาข้าวที่ก่อนหน้านี้ไปแวะซื้อมาใส่จานให้
พอทำแบบนี้แล้วแม่งก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
ตกลงกูมีแฟนหรือมีลูกวะ? ...หรือว่ากำลังเลี้ยงกระรอกบิน?
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของคนที่นอนอยู่บนเตียงทำให้ผมต้องหันไปมอง แล้วก็เห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าที่วางอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะค้นจนเจอโทรศัพท์ด้วยท่าทางเพลียๆ
“ครับพี่มีอะไร?”
ใครโทรมาวะ? นี่จะก็จะห้าทุ่มเข้าไปแล้ว
“ครับ... ถึงห้องแล้วครับ ยังเลย..ไม่เป็นไรพี่ ไว้เลี้ยงวันหลังก็ได้”
“ลุกมากินข้าวได้แล้ว!”
ผมส่งเสียงเรียกออกไปแบบที่มั่นใจเลยว่ามันดังพอจะลอดเข้าไปโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายถือแนบหูอยู่
พอได้ยินแบบนั้นคนฟังก็ลุกขึ้น เดินลงมานั่งลงตรงข้ามผมที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆมุมห้อง แถมยังทำเป็นถลึงตาใส่กันอีก
...น่ากลัวตายล่ะมึง
“ได้ครับ พรุ่งนี้เรียนเสร็จสี่โมง เดี๋ยวสี่โมงครึ่งผมตามไปแล้วกัน... ครับ..”
ผมนั่งเท้าคาง มองคนที่เอาช้อนเขี่ยข้าวในจานไปมา เพราะยังคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จสักทีแล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ
หนึ่ง...
สอง...
สาม...
สี่...
ห้า...
พอ!
กูไม่นับแม่งละ!
ผมคว้าโทรศัพท์ที่ไอ้คนตรงหน้าถืออยู่มากดวางสายให้ ก่อนจะใส่ลงกระเป๋าเสื้อตัวเองแล้วพูดต่อ
“คุยอะไรเยอะแยะวะ จะห้าทุ่มแล้ว กินข้าว!”
มันขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนจะไม่พอใจ เพราะผมแย่งมือถือมากดทิ้ง ทั้งที่ยังคุยไม่จบ แต่ก็ไม่ได้เถียงกลับมาเหมือนทุกที และยอมนั่งกินข้าวต่อไปเงียบๆ
ดูก็รู้...ว่าบรรยากาศไม่ค่อยดี
แต่มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องที่อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์อยู่เมื่อครู่
“พรุ่งนี้ก็ต้องไปอีก?”
“อืม...”
“แล้วไหนบอกกูว่าทำงานที่ต้องส่งวันจันทร์ยังไม่เสร็จ”
“ก็...อือ...”
“แล้วจะทำวันไหน”
“อาทิตย์”
“แล้วที่นัดกูไว้?”
“ก็...ไปสัปดาห์หน้าได้มั้ย?”
“งั้นดูบอลจบก็แยกย้ายเลยแล้วกัน วันอาทิตย์กูไม่มาหามึงแล้วนะ”
ปกติผมจะมารับมันทุกเย็นวันศุกร์ แล้วก็ลากเด็กในเมืองไปศึกษาวิถีชีวิตชาวทุ่งรังสิตด้วยกันในช่วงวันหยุด ก่อนจะพากลับมาส่งที่หอช่วงค่ำวันอาทิตย์
ผมตั้งใจจะซื้อโน้ตบุ๊คใหม่ แล้วไอ้คนตรงหน้านี่ก็รับปากซะดิบดีว่าจะไปช่วยเลือก แต่สัปดาห์ก่อนมันก็เบี้ยวนัดผมไปทีนึงแล้ว เพราะต้องไปช่วยถ่ายรูปโปรโมทงานบอลประเพณี พอมาสัปดาห์นี้แม่งก็ไม่ว่างอีก ช่วงเย็นจันทร์-ศุกร์ก็ไม่ได้เจอกันเลยเพราะยุ่งทั้งคู่ นับไปนับมาแม่งก็สิบกว่าวันแล้วมั้งที่ไม่ได้เห็นหน้ากันแบบนี้
จริงๆโน้ตบุ๊คเครื่องเดียวเนี่ย ผมไปซื้อเองก็ได้ จริงๆก็แค่อยากใช้เวลาด้วยกันมากกว่าว่ะ
แล้วดูมันตอบกลับมา...
“มาไม่มาก็แล้วแต่มึงดิ”
อาการมาละ เริ่มงอแงละเหอะ
“พรุ่งนี้ไม่ต้องไปช่วยงานที่ม.ได้ปะล่ะ เคลียร์งานให้เสร็จ วันอาทิตย์จะได้ว่าง ซื้อคอมเสร็จไปดูหนังกัน เดี๋ยวเลี้ยง”
“กูรับปากพี่เค้าไว้แล้ว”
“รับปากแล้วก็ยกเลิกได้ ทั้งมหาลัยมีมึงถ่ายรูปเป็นคนเดียวรึไง?”
คราวนี้มันวางช้อนที่ถืออยู่ลง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากัน
“ตอนค่ายโฟโต้พี่เค้าก็ช่วยกูไว้เยอะ แล้วก็ดีกับกูมากๆด้วย พอมีโอกาสกูก็ต้องตอบแทนเค้าบ้าง”
“อ๋อ...”
“....”
“พี่มึงนี่ดีมากเนอะ รุ่นน้องทำงานยังไม่เสร็จ ยังขอให้ไปช่วยงานตัวเองอีก...”
ยอมรับ... ผมพาล ก็ไม่ชอบใจที่มันปกป้องและให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าผม
แม่งเอ๊ย! ยิ่งฟังก็ยิ่งหงุดหงิด!
“มึง...”
“อะไร?”
“เลิกพูดเหอะ”
คำพูดที่ได้ยินทำเอาผมฉุนขาด
วันนี้ผมรอมันตั้งแต่ 1 ทุ่ม ถึงจะไม่โง่นั่งตากยุงรอหน้าคณะ แต่ไปเดินสยามดูโน่นดูนี่แล้วค่อยมาหาร้านกาแฟนั่งรอก็เหอะ พอมันทำงานเสร็จ โทรมาบอกให้ไปรับ ผมยังแวะไปซื้อข้าวซื้อขนมให้ เพราะรู้ว่าทำงานมาเหนื่อยๆยังไงก็ต้องหิว
แล้วดูสิ่งที่ได้รับกลับมา....
เรามองสบตากัน มันรู้ว่าผมโกรธแล้วแน่ๆ แต่ก็ยังเงียบ...ไม่ยอมพูดอะไรต่อ
แล้วก็เป็นผมเองที่ทำลายความเงียบนั้น...
“ถ้ามันเป็นหน้าที่ที่มึงต้องรับผิดชอบตั้งแต่แรกกูจะไม่พูดอะไรเลย นี่อยู่ๆเค้าก็โยนมาให้มึงทำไม่ใช่รึไง? แล้วดูดิ๊ แม่ง...ดึกป่านนี้ยังโทรมาไร้สาระ จริงๆมันหาเรื่องอยู่ใกล้มึงรึเปล่า”
คนฟังถอนหายใจ มองหน้าผมนิ่งๆอยู่สักพักแล้วตอบกลับมา
“ถ้าจะมาแล้วหาเรื่องกันแบบนี้ก็กลับบ้านไปเลยไป”
“เหรอ?”
“....”
“ไม่ได้เจอกันสิบกว่าวัน พอกูมาหาแล้วไล่กันแบบนี้...ก็ไม่ต้องมีแฟนไปเลยดีกว่ามั้ง”
มันนิ่งไปนิดนึงตอนที่ได้ยินผมพูด แต่ยังคงมองสบตากัน ผมเห็นริมฝีปากคู่นั้นเม้มเข้า น้ำตาคลอ มันโกรธผมแล้วแน่ๆ
“แฟนอะไร กูไปเป็นแฟนมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้เลย!”
พูดจบมันก็กลับไปกินข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมยังนั่งอยู่ตรงนั้น มองคนที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินออกจากห้องมา แล้วขับรถกลับหอ
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีก...
◦ ◦ ◦
♦♦
สองวันก่อน
19:18
หอพัก-สามย่าน
ผมหอบโน้ตบุ๊กมาทำงานที่หอพักของเพื่อน...
แต่นี่ 15 นาทีผ่านไป งานที่นัดกันไว้ว่าจะทำยังคงไม่ได้ฤกษ์ตัดริบบิ้นเริ่มลงมือกันสักที
ปกติแล้วผมจะรับถ่ายรูปเพื่อโปรโมทสินค้าตัวใหม่ของร้านขายเสื้อผ้าที่เพื่อนทำอยู่ พอแต่งรูปใส่ตัวหนังสือชื่อร้านเสร็จเรียบร้อย ก็จะส่งงานให้มันทางอีเมล์
แต่คุยกันไปคุยกันมา วันนี้ผมดันหาเรื่องจะมานั่งทำงานที่หอมันให้ได้ แถมยังต้องให้เจ้าของห้องขับรถไปรับถึงที่ซะด้วย
แค่นี้ก็ผิดสังเกต จนโดนถามทันทีที่ขึ้นรถเต่าคันสีเหลือง ว่า 'คนขับรถประจำตัวไปไหน?'
ตอนนั้นผมชวนมันเปลี่ยนเรื่อง ไม่ยอมตอบคำถาม แล้วค่อยมาปักหลักคุยกันจริงจังตอนที่มาถึงหอพักแล้ว
“เลิกกันแล้ว!?”
ไอ้นี่ก็ตกใจเล่นใหญ่ตลอดเวลา
“อืม...”
“ทำไมอะ? กูเห็นวันก่อนเค้ายังมารับมึงถึงที่อยู่เลย...”
“ทะเลาะกัน”
“อ้าว...”
ถ้าเป็นคนอื่นคง 'อ้าว...' แล้วก็จบ แต่ผมทำงานกับมันมานานจนเป็นเพื่อนกัน ผมถ่ายรูปให้ร้านเสื้อผ้าของมันตั้งแต่เปิดร้านใหม่ๆ จนตอนนี้คนติดตามในอินสตาแกรมขึ้นหลักหมื่น รู้เลยว่าเดี๋ยวมันต้องมีคำถามต่อไป
“ทะเลาะกันเรื่องอะไรวะ?”
นั่นไง! ถ้ากูเดาใจแฟนตัวเองได้เหมือนเดาใจไอ้คนขี้เสือกนี่ ชีวิตคงดีกว่านี้ขึ้นมาอีกหน่อย...
“ก็มันบ่นกูก่อน แล้วกูก็เหนื่อย เรียนด้วย โดนลากไปช่วยเรื่องงานบอลด้วย พอกลับหอมาก็จะห้าทุ่มแล้วอะ ยังโดนบ่นอีก...”
“อะฮะ...เอาเป็นว่า กูจะติดประเด็นที่พวกมึงอยู่ด้วยกันเอาไว้ก่อนนะ แล้วถามต่อว่า ทะเลาะกันได้ไง?”
“กูเบื่อ กูเลยไล่ให้มันกลับไปเลย”
“ให้ขับรถกลับประเทศรังสิตตอนห้าทุ่มเนี่ยนะ?”
“กลับประเทศไหนก็เรื่องของมันดิ จะไปรัสเซีย ไปแม่สาย ไปเมืองจีน หรือจะไปเป็นตัวเหี้ยอยู่ที่ไหนก็เรื่องมันดิ”
“จ้าๆๆ แล้วไงต่อ?”
“มันก็เลยบอกว่า ถ้าแฟนมาหาแล้วไล่กันแบบนี้ก็ไม่ต้องมีแฟนไปเลยมั้ย”
“หูย...แรง แล้วมึงตอบไปว่าไง”
“กูบอกว่า กูไปเป็นแฟนมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้เลย”
“หูย แรงกว่า...”
“มึง....ดูสนุกกับปัญหาชีวิตกูเนาะ”
“แหม ก็นิดหน่อย ฟังมึงเล่าแล้วกูอินไง ก็เลยตื่นเต้น”
“เออ!”
ผมพูดพลางลุกขึ้นนั่ง แล้วถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ
“มึงไม่ต้องถามเลยว่าทำไมกูพูดแบบนั้น เดี๋ยวกูเล่าเอง... ว่าแต่ แมวอ้วนมึงไปไหนเนี่ย”
“หนีตามผู้ชายไปแล้ว เล่ามาเลย อย่าเปลี่ยนเรื่อง!”
“ก็ที่กูเป็นแฟนมัน เพราะวันนั้นอะ อยู่ดีๆมันก็ลากกูไปกินเหล้ากับเพื่อน แล้วก็ประกาศตรงนั้นเลยว่ากูเป็นแฟนมัน”
“หา????”
“หาทำไม? อะไรหาย?”
“กวนตีน! หาเพราะมึงนั่นแหละ แล้วมึงก็เป็นแฟนกันไปทั้งอย่างนั้นเนี่ยนะ?”
“อือ! ไม่เคยขอ! ไม่เคยบอกว่ารักสักคำ! ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”
“เอ่อ... แล้วมึงก็ไม่ปฏิเสธเนี่ยนะ?”
“อืม...ก็ตามนั้น”
“เดี๋ยวๆ ตามนั้นคือ? ....ก็คือไม่ได้ตั้งใจจะจะปฏิเสธอยู่แล้วถูกมั้ย?”
“อ...อืม”
“แล้วที่พูดไปนั่นก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆใช่มั้ย?”
“อืม...”
“แค่เสียใจที่เหมือนจะโดนบอกเลิก เลยพยายามพูดอะไรก็ได้ให้อีกคนเสียใจกว่าใช่มั้ย?”
“อืม....”
“แล้วจนวันนี้เค้าก็ยังไม่ง้อถูกมั้ย?”
“มึงเป็นตัวอะไรเนี่ย ทำไมรู้มากขนาดนี้!”
“กูก็เดาๆเอาอะนะ”
“เหรอ?”
“อืม...แล้วถ้าเกิดเค้าไม่ง้อขึ้นมาอะ มึงทำไง?”
รู้มากแล้วยังเสือกมากถามจี้ใจดำกันอีก!
“ไม่รู้แม่ง”
“....ขอพลังจงสถิตอยู่กับตัวมึงเถอะเพื่อน”
ผมไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ประตูห้องเปิดออก
แล้วนี่มึงใช้ชีวิตยังไงวะ ทำไมไม่ล็อคประตู...
“กูเอาคุณนายมาคืน”
คนที่มาเป็นพี่ที่ผมเคยถ่ายรูปไปก่อนหน้านี้ ในสภาพที่เซอร์ โทรม และกล้ามฟีบกว่าวันนั้นโคตรมาก แถมยังอุ้มแมวอ้วนสีขาวไว้อีกต่างหาก ได้ยินอย่างนั้นไอ้เจ้าของแมวก็รีบลุกขึ้นเดินตรงไปหาทันที
พอพี่แกหันมามอง ผมก็ยกมือไหว้ เพราะหลังจากวันนั้นก็เจอกันอยู่บ้างครั้งสองครั้ง น่าจะจำกันได้อยู่แหละ
เห็นเพื่อนตัวเองเดินไปอุ้มแมวถึงหน้าประตูแล้วก็อดไม่ได้ที่คิดในใจ ว่าแมวมึงอ้วนขนาดนั้น ปล่อยให้มันได้ออกกำลังเดินเข้าห้องมาเองก็ได้มั้ง ทำไมต้องอุ้มกันตลอดเวลา?
ที่ไหนได้... เพื่อนผมรับแมวมาแล้ววางลงกับพื้นทันที ก่อนจะพูดต่อ
“เราซื้อชีสเค้กกับผัดไทมาฝากเฮียด้วย ชีสเค้กเอาไว้กินตอนดึกๆนะ ผัดไทรีบกินเลย เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย”
“อืม ขอบใจ ส่งงานแล้วเดี๋ยวกูเลี้ยงคืน”
“ได้เลย เฮียอย่านอนดึกมากนะ”
“เออๆ”
“รับปากกันเพราะยังไงก็ไม่นอนดึกอยู่แล้ว แต่นอนเช้าไปเลยถูกมะ?”
“รู้มากจังวะ! กูไปทำงานต่อแล้ว”
“อื้อ!”
เห็นท่าทางของเพื่อนตัวเองแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะแซว
“เดี๋ยวนี้มึงรับจ็อบเป็นไลน์แมน ขับรถซื้อของกินส่งให้คนถึงบ้านด้วย?”
“ยุ่ง! เรื่องตัวเองเอาให้รอดก่อนเหอะ”
“เออๆ ช่างแม่งมันเหอะ ทำงานๆ”
ผมนั่งแต่งรูปต่อไปเงียบๆ ไอ้เจ้าของห้องก็มีงานของมันที่ต้องทำ ส่วนแมวอ้วนนี่เดินไปกินข้าวแล้วก็นอนแผละอยู่บนเตียงสะบัดหางไปมา...
อยู่ดีๆในใจก็คิดไปถึงสิ่งที่เพื่อนพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้
ถ้าเกิดมันไม่ง้อผมขึ้นมา...จะทำยังไงดีวะ?
ผมรู้ตัวนะว่าผมผิด ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยใส่ใจกันเท่าไหร่ ทั้งที่ฝ่ายนั้นก็ขับรถมาหากันตั้งไกล
แต่งานมันก็ยุ่งจริงๆปะวะ แล้ววันนั้นอะ คนที่ใช้อารมณ์ก่อนก็คือมันด้วยเหอะ
ทุกครั้งที่ทะเลาะกันแบบนี้ ถึงผมจะพยายามทำเป็นเฉยๆแล้วใช้ชีวิตให้เหมือนปกติมากที่สุด แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจกลัวว่าเรื่องงี่เง่าๆแบบนี้จะทำให้เราเลิกกันจริงๆขึ้นมาสักวัน
แต่คิดดูแล้ว จะให้เราคบกันแบบเนิบๆ หวานๆ เชื่อมๆ แม่งก็โคตรจะไม่ใช่อะ
อยู่กันไปตีกันไปแบบนี้นี่แหละลงตัวแล้ว ดีกันบ้าง เถียงกันบ้าง ต่อปากต่อคำบ้าง เหนื่อยหน่อย แต่ก็มีความสุข สนุกด้วย
คิดถึงมันแล้วอะ...
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไลน์เช็คดูและพบว่า รูปโปรไฟล์มันก็ยังเหมือนเดิม สเตตัสก็ยังเป็นแบบเดิม แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
.... จะไม่ง้อกันก่อนจริงๆเหรอวะ?
◦ ◦ ◦
♦♦
เมื่อวาน
16 : 05 น.
งานบอลประเพณี
งานบอลปีนี้ไม่สนุก...
ผมรับปากจะช่วยถ่ายรูปให้เชียร์ลีดเดอร์ระหว่างที่กำลังโชว์แบบกะทันหัน เพราะคนที่รับผิดชอบหน้าที่นี้อยู่ดันป่วยแล้วมาไม่ได้
อันที่จริง ที่ยอมมารับหน้าที่นี้เพราะแผนที่วางไว้ดันพังไม่เป็นท่า...
ผมตั้งใจจะมางานบอลกับมัน เป่ายิงฉุบกับเรียบร้อยแล้ว ผมชนะสามครั้งรวด สรุปว่ามันต้องใส่เสื้อม.ตัวเองมานั่งดูบอลกับผม แถมยังเลี้ยงค่าตั๋วเข้างานด้วย
พอทะเลาะกันวันนั้น จนมาวันนี้ก็ยังไม่มีใครยอมติดต่อหาอีกฝ่ายก่อน
ผมก็ไม่อยากขึ้นไปนั่งดูบอลบนสแตนแม่งละ
ทางออกก็เลยหาอะไรทำให้มันยุ่งๆเข้าไว้ จะได้ไม่ฟุ้งซ่านเป็นบ้าไปมากกว่าเดิม
ระหว่างที่กำลังเดินตามเชียรลีดเดอร์ ซึ่งข้ามมาแสดงให้อีกมหาลัยนึงดู เสียงพากย์ที่ดังขึ้นก็บอกให้รู้ว่ามหาลัยผมเสียประตูแรกไปซะแล้ว
ก่อนเสียงเชียร์ที่เสียงดังโหวกเหวกกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีแต่คำหยาบพ่นออกมาเต็มไปหมดจะเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วก็ดันสบตากับคนที่ตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้ว่าอยากเจอหรือไม่อยากเจอกันแน่
มันไม่ได้ใส่เสื้อถุงสัมเพ็งเหมือนตอนนั้น เห็นแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาอีกหน่อยเพราะปีนี้เสื้อบอลมหาลัยมันสวยผิดหูผิดตาอย่างไม่น่าเชื่อ แถมเจ้าตัวก็ยังใส่แล้วดูดีจนน่าโมโห
สักพักอีกฝ่ายก็มองกลับมา...
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นตัวเองหวังอะไรอยู่ ให้มันยิ้มให้เหรอ? ร้องไห้เหรอ? หรือจะให้ตะโกนด่าผมมาจากบนนั้นดี?
ไม่ไหวมั้ง..
ที่รู้คือผมไม่ชอบเลยที่แม่งมาทำเป็นเฉยชาใส่กันแบบนี้
สัดเอ้ย!
...อยากเขวี้ยงกล้องขึ้นไปอัดหน้าเต็มๆสักทีให้หายขัดใจ ถ้าไม่ติดว่าราคามันแพงกว่าค่าเทอมไปเป็นห้าเท่าสิบเท่า!
ผมเลิกมองมันได้ในที่สุด แล้วก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนที่เดินมาข้างๆ แกล้งทำเหมือนอารมณ์ดีตามปกติ ทั้งๆที่ในใจไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักนิด
พอมองไปรอบๆก็นึกถึงงานบอลเมื่อสองปีก่อน ตอนที่มันเดินฝ่าดงเด็กมหาลัยผมมานั่งตรงบันไดแล้วชวนคุยไร้สาระ...
ตอนนั้นมันคิดอะไรอยู่วะ?
เหี้ยเอ้ย ฟุ้งซ่าน....
ยุ่งๆสักพัก รู้อีกทีบอลก็แข่งเสร็จแล้วด้วยคะแนนที่เสมอกัน แถมยังเกือบมีมวยประเพณีให้ได้เชียร์เพิ่มซะด้วย
ผมเคลียร์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยตอนที่คนบนสแตนกำลังทยอยลงมาในสนาม พอหันไปบอกลาแก๊งเชียร์ลีดเดอร์ที่เดินตามมาทั้งวัน และตั้งใจจะขอตัวกลับหอ ผมก็มองไปเห็นว่ามีคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ แล้วก็เป็นคนเดียวที่แม่งทำให้ผมรวนไปหมดตลอดสองสามวันที่ผ่านมา
อีกฝ่ายเดินตรงมาทางนี้ด้วยท่าทางนักเลงโคตร ไม่ใช่ว่าจะพุ่งมาต่อยกันเพราะขัดใจผลบอลนะเว่ย!
ผมมองสบตามัน และพบว่าอีกฝ่ายกำลังขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ยิ่งมองหน้าตาท่าทางมันก็ยิ่งมั่นใจ... ด่ากูแน่อะ เดินตรงมาด่ากูแน่ๆอะ เอาไงดีวะ? หนีไปไหนดี
คนเยอะแยะไปหมด ไม่เอานะเว่ย! แม่งๆๆๆ ทำไงดีวะ!
พอถึงระยะที่มันสามารถเอื้อมมือมาได้ ผมก็เผลอตัวก้าวเท้าถอยหลังหนีโดยที่ไม่รู้ตัว แถมยังไปชนกับใครไม่รู้เข้าเต็มๆ
หลังจากหันไปขอโทษคนที่ผมไปชนเข้าเสร็จ ถึงได้รู้ตัวว่ามีมือยื่นมาจับต้นแขนเอาไว้ ผมมองกลับไปแล้วก็สบตากับมันเข้าพอดี
คนตรงหน้าถอนหายใจออกมา โดยที่ยังไม่ได้พูดอะไร
...แค่นั้นก็ทำเอาผมใจเสียไปเลย
มึงจะมาต่อย บอกเลิก หรือว่าจะมาง้อกันแน่วะเนี่ย
มันหน้าบึ้งอะ นิสัยก็ยังกะหมาบ้า ใครจะไปรู้วะว่าจะทำอะไร!
พอพยายามจะดึงแขนที่โดนจับไว้ออก แม่งก็กำมือแน่นเข้าไปใหญ่
จะทำอะไรก็ทำดิวะ จะมายืนทำหน้าดุใส่กันทำเหี้ยไรอะ เป็นบ้าปะเนี่ย!
“มึงนะมึง...”
หืม...เปิดประโยคมาก็ไม่ใช่แล้วโว้ย!
“ทำกูคิดมากไม่เป็นอันนอนเลย สัดเอ้ย...”
“แล้วมึงจะด่ากูทำเหี้ยอะ.....”
“เป็นแฟนกูมั้ย?”
“.....ไร?”
ห...หา?
มันใช่เวลาเหรอวะ! ไอ้เวรนี่! แม่ง เมากาวปะเนี่ย!
ผมตัวแข็งไปแล้ว มันแบบขยับตัวไม่ได้ เหมือนจะวูบๆไปยังไงก็ไม่รู้ แถมหัวใจยังเต้นจนสัมผัสได้เลยว่ามันดังตึกๆๆ
ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกตัวอยู่หรอก ตอนที่มันก้มลงมาแล้วกระซิบให้ได้ยินใกล้ๆ
“สองปีก่อนที่ร้านเหล้า ตอนนั้นใครๆก็มองเพื่อนมึงทั้งนั้นแหละ โคตรสวย แถมยังเป็นเจ้าของวันเกิด มีแต่กูที่เอาแต่มองมึง..."
“...”
“ชอบมึงว่ะ ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ...ถ้าบอกแบบนี้จะเป็นแฟนกูมั้ย”
โอ่ย....ผมรู้สึกเหมือนจะยืนไม่ไหวว่ะ ทำไงดีวะเนี่ย...
เอาไงดี! เอาไงดี! เอาไงดี!
“ว...วันนั้น...วันที่กูอ้วกพุ่งใส่มึงอะนะ!”
สัสเอ้ย กูพูดอะไรออกไป...
ยังดีที่พอได้พูดออกมาบ้าง ผมก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อย พยายามจะไม่นึกถึงเรื่องที่มันบอกกันเมื่อครู่ขึ้นมาอีกรอบ เพราะกลัวตัวเองจะวูบเป็นลมลงไปจริงๆเหอะ อาการหนัก...
ผมกับกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถแล้วก็เงยหน้าขึ้นไปมองสบตากับอีกฝ่าย
“เออ วันนั้นแหละ”
ผมยิ้มรับสิ่งที่ได้ยิน มันชอบผม แต่ผมดันไปอ้วกแตกใส่มันเนี่ยนะ?
แล้วตอนนี้ หลังจากเวลาผ่านมา 2 ปี มันก็มากระซิบสารภาพรักกับผมกลางสนามบอลที่มีคนมากมาย...
“มองเหี้ยอะไร เดี๋ยวก็จับจูบตรงนี้แม่งเลย”
หมดกัน!
โอ่ย...กลัวแล้ว!
“เชี่ยนี่!”
ผมบิดแขนตัวเองออก แล้วเปลี่ยนมาจับมือมันเอาไว้ พร้อมประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกัน โชคดีที่เพลงคุ้กกี้ทำนายกันอะไรสักอย่างแม่งดังขึ้นตรงสแตนพอดี คนเลยเทกันไปอยู่ตรงนั้นหมด ทำให้ประตูทางออกโล่งผมจนผมสามารถจูงมือมันเดินออกมาจากกงานได้ โดยที่ไม่ต้องเบียดกับคนเยอะแยะ
ผมจับมือมันแน่น แบบที่ลืมคิดไปเหมือนกันว่าถ้ามีคนสังเกตเห็นเราสองคนมันจะแปลกๆมั้ยวะ ผู้ชายเดินจูงมือกัน...แถมไอ้คนที่มากับผมก็พอจะเป็นที่รู้จักในมหาลัยอยู่บ้างด้วยเหอะ
ระหว่างที่กำลังเดินไปตามทางเดินมืดๆซึ่งจะไปทะลุออกบริเวณด้านข้างของห้างสรรพสินค้า ผมก็หันไปมองอีกฝ่าย และพบว่าคนที่เดินอยูข้างๆตัวเอาแต่มองตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันมาสบตากันสักนิด
ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นว่าหูของมันแดงแป๊ดไม่แพ้ปกเสื้อที่ใส่อยู่
อ๋อ...ที่เงียบๆนี่คือเขิน?
ผมเม้มปากกลั้นเสียงหัวเราะ ก่อนจะหยุดเดิน และหันไปกระซิบบอกเจ้าของฝ่ามือที่จับกันไว้จนชื้นเหงื่อ
“เป็นแฟนกันอยู่แล้วจะมาขอกูเป็นแฟนอีกทำเพื่อ?”
คราวนี้มันหันมามอง ขมวดคิ้วใส่แล้วไม่ตอบอะไร จนผมต้องพูดต่อ
“ห้ามด่านะ ช่วยไม่ได้ มึงซื่อบื้อมาชอบกูก่อน”
“เชี่ยนี่ แล้ววันก่อนหมาตัวไหนมันงอแงโวยวายว่าเป็นแฟนกูตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่รู้วะ?”
“หมาที่ไหน? หมาบ้านมึงพูดได้ด้วยรึไง? หรือว่ามึงพูดภาษาหมาฮะ?”
พูดจบผมก็หัวเราะ ทั้งๆที่รู้สึกถึงสายตาที่มองมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ขู่ได้ขู่ไป ไม่กลัวเหอะ!
“เดี๋ยวอุ้มโยนลงถังขยะแม่ง กวนตีนนะมึงอะ”
“กวนตีนแล้วทำไม ยังไงมึงก็ชอบกูอยู่ดี”
ผมพูดแล้วเดินต่อ พร้อมหันหน้าหนี ก่อนจะแอบยิ้มโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น รู้ตัวอีกทีก็มีแขนยื่นมาล็อคคอผมเอาไว้ ไม่ทันได้โวยวายอะไรก็รู้สึกถึงฟันคมๆที่งับลงมาบนหัว
“เจ็บ! หมาบ้าปะเนี่ย! ฉีดยายัง!”
พอผมโวยวายมันก็คลายแขนออกแล้วเปลี่ยนมาเดินกอดคอกันแทน พร้อมกับถามออกมา...
“มึงอะ ชอบกูปะ?”
“ต้องชอบปะ?”
“ไอ่นี่หนิ!”
มันคงหงุดหงิดผมพอตัวแล้วว่ะ ถ้ากวนอีกหน่อยมีหวังได้โดนจับโยนลงถังขยะจริงๆแล้วคราวนี้
“ไม่ชอบจะให้มึงลากไปเที่ยวทุ่งรังสิตอยู่เป็นปีเหรอวะ ซื่อบื้อ!"
“....”
ไม่รอให้มันด่ากันอีกที ผมก็รีบพูดต่อ
“...ขอโทษเรื่องวันก่อนด้วย”
“ขอโทษเรื่องอะไร?”
“เรื่องที่กูไม่ใส่ใจมึงอะ ไม่จัดเวลาให้”
“มีอีก...”
“เรื่องที่คุยกับคนอื่นต่อหน้า”
“มีอีก...”
“เรื่องที่ไล่มึงกลับบ้าน ทั้งที่มึงขับรถมาตั้งไกล”
“ยัง...ยังมีอีก”
“มีอีกอะไรวะ หมดแล้ว!”
“เรื่องที่มึงดื้อกับกูไง ดื้อตลอด ดื้อทุกวัน”
“ดื้ออะไร ไม่เห็นเกี่ยวเลย”
“เกี่ยวสิวะ กูบอกว่าเกี่ยวก็ต้องเกี่ยวอยู่แล้ว”
“เอาแต่ใจชิบ!”
“หึ...ไม่ได้เอาแต่ใจ...”
“...”
“...ตัวก็เอาว่ะ”
ไอ้คนพูดมันยิ้มมุมปากแล้วทำเป็นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ยิ่งมันกอดคอผมเอาไว้แบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนต้อนซะจนมุม
“วุ่นวายนัก จับแดกแม่งเลย”
“ถอยไปดิ๊!”
ทางรอดเดียวของผมคือการกำมือแล้วทุบลงไปบนหน้าอกมันแบบที่แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
ง้องแง้งจริงกู...
มันคงได้แกล้งจนพอใจแล้วถึงได้ขยับถอยออกไปเดินตากปกติ ทั้งๆที่ยังกอดคอผมอยู่ไม่เลิก
บทสนทนาที่เราคุยกันค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นเรื่องทั่วๆไป อย่างเช่น วันนี้แดดดไม่ร้อนอย่างที่คิด เดี๋ยวจะไปกินอะไรกันดี จนกระทั่งเรื่องของการแปรอักษรตอบโต้กันของทั้งสองมหาลัยเมื่อตอนเย็น
คืนนี้อากาศดีเหมือนกันนะ...
◦ ◦ ◦
มีต่อด้านล่างค่ะ
-
♦♦
วันนี้
07 : 14 น.
หอพัก – ราชเทวี
แรงฟาดหนักๆที่ซัดเข้ามาเต็มหน้าทำเอาผมต้องลืมตาตื่น ไม่ทันได้โวยวายว่าใครต่อยกูวะ ก็เห็นว่าไอ้คนที่ทำร้ายร่างกันมันนอนหลับตาพริ้มซะจนน่าเตะ
แม่ง..นอนดิ้นชิบหาย
ผมหลุดยิ้มเพลียๆ แล้วจัดการยกมือที่ยังคงวางแหมะอยู่บนหน้าตัวเองออก แล้วจัดการรวบตัวไอ้เจ้าของมือนั่นมากอดเอาไว้แน่นๆ ไม่ให้มันได้ดิ้นจนทำร้ายร่างกายกันอีก พอได้ยินคนที่ยังนอนหลับอยู่ส่งเสียงเหมือนจะรำคาญที่โดนกอดซะแน่นขนาดนั้น ผมหลุดขำ แล้วแอบตีหัวมันไปอีกทีนึง ก่อนจะจูบลงไปบนหน้าผากแล้วนอนต่อ
วันอาทิตย์ทั้งที...
ตื่นสายหน่อยก็ได้มั้ง
◦ ◦ ◦
♦♦
วันนี้
08 : 45 น.
หอพัก – ราชเทวี
ผมตื่นนอนเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆมาวางทับอยู่บนตัว พอลืมตาขึ้นมามองก็เห็น ว่าไอ้อะไรหนักๆที่ว่านั่นคือ...ขาของคน
มานอนเอาขาพาดกันงี้ได้ไงวะ?
แม่ง..นอนดิ้นชิบหาย
เห็นอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้น ผลักขาที่วางพาดกันอยู่ออกแล้วหันไปขมวดคิ้วใส่ไอ้คนที่ยังคงนอนไม่รู้เรื่อง
เชี่ยนี่!
ผมแกล้งถีบมันไปเบาๆจนคนที่นอนตะแคงอยู่พลิกกลับไปนอนหงาย เมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงหลับไม่รู้เรื่องก็หลุดยิ้มออกมาก่อนจะทิ้งตัวกลับลงไปตามเดิม ขยับไปนอนหนุนไหล่มันไว้ เหลือบสายตาไปมองนาฬิหาที่วางอยู่ข้างเตียงแล้วก็สรุปกับตัวเองว่า
วันอาทิตย์ทั้งที...
ค่อยตื่นมาทำงานตอนบ่ายก็ได้มั้ง...
END
-
ออกตัวก่อนเลยว่า #ทีมพิถุง เลือดเหลืองแดงมันเข้มข้น 555555555555
ทะเลาะกันเหมือนจะหนักนะ พอดีกันแล้วก็ดูง้องแง้งเฉย ยัยกระรอกก็น่าตีก้น!!
พอมาอ่านแล้วคิดถึงงานบอลเลย ขอบคุณคนเขียนนะคะที่เขียนให้ได้อ่านกัน
เย่ :mew1:
-
น่ารักกกก ชอบการง้องแง้งกันสองคน ><
-
คิดว่าจะดราม่าซะแล้ววว แง้ น่ารักมากเลยค่า
-
น่ารักอะ สัมผัสได้ถึงความร้ากกกก งือออออ
เขิน ยิ้มแก้มปริ :-[ :-[
-
❤❤ เรื่องสั้นปีละหนสองหน
-
เฮ้ยยย เพิ่งเห็นว่ามีต่อด้วย เข้ามาเชียร์น้องกระรอกบินเพราะเลือดชมพูเหมือนกัน แค่น้องกระรอกบินก็นิสัยไม่ยอมใครเหมือนกันนะเนี่ย ดีนะที่เขากลับมาง้อเนี่ยย
-
น่ารักกกกกก มาต่อของงานบอลปีนี้ด้วย :mew1:
-
น่ารักกกกก ติดตามสองคนนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว :laugh: :laugh:
-
อยากอ่านแบบนี้ทุกๆปีเลยย :กอด1:
-
:pig4:
-
อ่านแล้วอินมากๆ
โดยเฉพาะเกือบได้ดูมวย
แล้วอีกอย่างที่อินมากคือ ขับรถไปกลับทุ่งรังสิตกับสยามบ่อยๆเนี่ย
เหนื่อยมากเลยนะะะะะะะ :o12:
ฮืออออ อย่ามาไล่ให้เรากลับไปทั้งๆแบบนี้//อันนี้อิน
-
งือ น่ารัก กรุ่นความรักกกกกกกกกกกกกกก