พิมพ์หน้านี้ - ก็แค่เรื่องของตัวประกอบ ตอนที่ 6มาแล้วจ้าา
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: mis_ter_in ที่ 31-01-2016 11:33:06
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
**********************************************************
คุณเคยรู้สึกว่าชีวิตตัวเองเหมือนตัวประกอบบ้างหรือเปล่า?? หรือว่าตอนนี้คุณเป็นพระเอกนางเอกอยู่ ?? อันนี้ผมไม่รู้หรอกนะ แต่ว่าผมในตอนนี้น่ะ ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวประกอบล่ะ
คุณอยากเปลี่ยนมุมมอง การฟังเรื่องๆราวต่างๆจากพระนาง มาเป็นการฟังเรื่องราวผ่านตัวประกอบไหม?? ถ้าอยากฟัง เดี๋ยวผมจะเล่าให้
… แต่จะมีใครกี่คนกันนะ ที่อยากฟังเรื่องของตัวประกอบแบบผม??
Chapter 1
สวัสดีทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องของผมนะ ผมชื่อ ลิเคียว อาจจะเหมือนผู้หญิงไปหน่อย แต่ผมมั่นใจว่าผมเป็นผู้ชายแน่นอน…เอ่อ… เปลี่ยนเป็น เคยเป็นดีกว่า
เพราะตอนนี้ ดูเหมือนว่าผมจะรักผู้ชายคนหนึ่งอยู่ล่ะ เขาชื่อเอก เอกเป็นผู้ชายที่ดีมากๆ ผมพบเขาตอนวันรับน้องวันแรก เพราะเอกบังเอิญนั่งใกล้ผม และตอนนี้ก็เป็นรูมเมทมาแชร์ค่าห้องกับผมด้วย
เอกเป็นคนที่สูงมากๆเห็นเจ้าตัวบอกว่า อีก2ซม เขาจะสูง190แล้วล่ะ ผิวเขาคล้ำนิดหน่อยตามฉบับเด็กใต้ ต่างจากผมที่ผิวซีดเซียว ทั้งๆที่ผมก็อยู่ใต้เหมือนกัน ตาเรียวคม จมูกโด่ง รินฝีปากบางเฉีบเป็นเส้นตรง โครงหน้าหล่อเหลารับกับผมรองทรงสูง (เจ้าตัวบอกว่ามันเคยเป็นรองทรงธรรมดา แต่ไม่ได้ตัดออกเฉยๆ)
เอกเป็นทั้งเด็กเรียนและเด็กกิจกรรม เขาเก่งภาษามากๆ จนสามารถสนทนากับชาวต่างชาติได้อย่างไม่เคอะเขินเลย แถมยังเล่นกีฬาเกือบทุกชนิด ทั้งบาส ทั้งบอล ผมไม่แปลกใจเลย ถ้าเขาจะทั้งสูงทั้งล่ำ ผมว่า เขาต้องเป็นดาวคนต่อไปแน่ๆเลย ที่สำคัญเลยคือ เอกเป็นคนที่นิสัยดีมากๆถึงจะกวนไปนิด แต่ก็เป็นคนที่ทำให้คนอื่นหัวเราะได้ตลอด นั่นคือส่วนนึงที่ทำให้ผมเผลอรักเขาไป เพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดหรือยิ้ม ถนัดแต่พูดกับด่าในใจเฉยๆ แต่พอมาเจอเขาก็ทำให้ผมทั้งบ่น ด่า เถียง และหัวเราะจนเมื่อยปากไปหมด
และด้วยความที่เขาเป็นคนที่เพอร์เฟ็คขนาดนี้ ทำให้เขามีแฟนที่เพอร์เฟ็คมากๆ เธอชื่อ ลีน เป็นผู้หญิงตัวเล็กที่น่ารักมากๆ ทั้งหน้าตา และนิสัย เข้ากับเอกได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ตบมุขกันกระจายตั้งแต่ตอนเป็นเพื่อนกัน ผมจึงไม่แปลกใจกับลำดับการพัฒนาความสำพันธ์ของทั้งคู่เท่าไหร่ เพราะผมคิดไว้แล้วว่ายังไง2คนนี้คงต้องเป็นแฟนกันแน่ๆ
…ถึงจะอย่างนั้น ทำไมผมถึงยังรักเอกอยู่อีกนะ??
ผลั่ก!!
ขณะที่ผมแสร้งทำเป็นอ่านการ์ตูน แต่ในหัวยังคิดถึงเรื่องของเอกอยู่นั้น เจ้าตัวก็เปิด(เรียกว่ากระชากดีกว่า)ประตูอย่างแรง พร้อมกับเดินดุ่มๆขว้างกระเป๋าลงบนพื้นหน้าทีวีแล้วลงมากระแทกตูดลงบนที่นอนข้างๆผมจนตัวผมถึงกับเด้งตามแรงดีดของสปริง
นั่นไง พูดถึงปั๊บ ก็มาปุ๊บ… ตายยากจริง… และดูจากหน้าตา คงทะเลาะกับลินมาอีกแล้ว
“เคียว ลีนงอนกู กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูไปทำไรให้อ่ะ ตอนเช้าแม่งก็ดีๆ แต่พอกูแข่งบอลเสร็จอ่ะ สะบัดหน้าหนีกูเฉย “
เอกพูด โดยที่ไม่มองหน้าผม แต่ผมพอจะรู้สาเหตุที่ทำให้ลีนงอนนะ เอกเป็นคนเฟลนด์ลี่กับทุกคน เพราะอย่างนั้นจึงดูเหมือนเขาให้ความหวังกับคนอื่นโดยที่เขาไม่รู้ตัว ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นด้วย
“เคียว กูจะทำไงดีวะ หลังๆมานี่ลีนเริ่มงอแงอ่ะ กูไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้ อยู่ก็มาด่ากูเฉย”
ผมนิ่ง แกล้งทำเป็นอ่านการ์ตูนต่อไป ทั้งที่ในใจเริ่มจะก่นด่าเขาเรื่อยๆ งั้นมึงก็เลิกกันซะสิ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดแช่ง(??)ให้คนเขาเลิกกัน อยู่หนังสือการ์ตูนในมือก็โดนกระชากไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว หันมาอีกทีก็เห็นเอกนั่งจ้องหน้าผมแล้ว
“มึงฟังกูอยู่ป่ะเคียว นี่กูมาขอคำปรึกษานะสัส”
“แล้วมึงเคยเอาไอ้ที่กุแนะนำไปทำบ้างป่ะล่ะ”
“สัส ก็มึงบอกให้กูกับลีนเลิกกันอย่างเดียวนี่หว่า ส่วนทางอื่นๆที่มึงแนะนำกูก็ทำแล้วนะเว้ย แต่แม่งก็เหมือนเดิม”
ใช่ ผมเคยแนะนำให้มันเลิกกับลีน เล่นๆ เพราะผมรู้ว่ามันไม่ได้โกรธ มันก้แค่น้องใจที่ลีนไม่เข้าใจมันเฉยๆ
“เหนื่อยชิบหาย เล่นบอลเหนื่อยๆไม่พอ ยังต้องมาทะเลาะกันอีก” เหนื่อยนักก็เลิกดิ หึ ก็ทำได้แค่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไปล่ะนะ ผมตบตักตัวเองเบาๆ เอกก็เลื่อนหัวจากพนักพิงของเตียงมาที่ตักผมอย่างรู้กัน
“ขอบใจมึงมากนะเว้ย มึงแม่ง เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆว่ะ…” มันพูดเบาๆแล้วค่อยๆปิดตาลงเพื่อพักผ่อน
พอผมสัมผัสถึงลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ผมก็ค่อยๆเลือนหนังสือมาบังหน้าตัวเองเอาไว้ แล้วค่อยๆปล่อยสิ่งที่อัดอั้นตั้งแต่ตอนที่มันมานอนตักผมออกมาเบาๆ และคิดในใจเพียงแค่ว่า กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนมึงนะเอก
ผมปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่นานนักออก ก่อนจะเลื่อนหัวมันไปไว้ที่หมอนแทน ส่วนตัวผมเองก็เดินออกไปยังที่ๆหนึ่ง เพื่อหาใครคนนั้น คนที่เอกรักที่สุด รักจนไม่มีที่ว่าให้เพื่อนสนิทของเอกคนนี้เหลืออยู่เลย…
เดินเพียงไม่นาน ผมก็เห็นกลุ่มผู้หญิง 3คนนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนให้ต้นไม้ และหนึ่งในนั้นกำลังร้องไห้อยู่ ผมเดินตรงเข้าไปก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆผู้หญิงคนที่ร้องไห้ ส่วนอีก2คนที่เหลือก็หลีกทางให้ผมนั่งได้สะดวก
ผมลูบหัวเธอเบาๆ ก่อนที่เธอคนนั้นจะเงยหน้าที่มีตาบวมและแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก แม้แต่ใบหน้าของเธอเองก็มีหยดน้ำเกาะอยู่พร่างพราว
“เคียว…” เธอเรียกชื่อผม น้ำตาที่เคยกลั้นไว้พลันจะไหลออกมาอีกรอบ เธอโผเข้ากอดผมเบาๆ ซึ่งผมก็รับตัวเธอเอาไว้ และลูบหลังเบาๆเป็นการปลอบเธอ
“ทำไมอ่ะเคียว ฮึก! เราแค่บอกว่าอย่าไปทำท่าทางสนิทสนมกับ อึก คนอื่นแบบนั้น ทำไมเอกทำไม่ได้อ่ะเคียว ทำไมเอกต้องไปคุยกัยผู้หญิงคนอื่นด้วยอ่ะ ฮึก!แล้วทำไมพอเราเตือน เอกถึงไม่ยอมฟังเราเลยอ่ะเคียว ฮึ! แล้ววันนี้อ่ะ เอกตะคอกใส่เราด้วยอ่ะ…” ลีนพูดทั้งน้ำตา สะอื้นจนตัวโยน ตอนนี้เธอน่าสงสารมากจริงๆ
“ลีน ลีนฟังเรานะ ตอนที่ลีนเจอเอกครั้งแรกลีนก็รู้นี่ว่าเอกมันใจดีกับทุกคน แล้วลีนก็ชอบส่วนนี้ของเอกไม่ใช่เหรอ แต่ก่อนลีนยังรับได้เลย ลีนไม่ต้องกลัวนะ เอกมันรักแค่ลีนจริงๆ” ใช่ เอกมันรักแค่ ลีน จริงๆ
“แต่ว่า เอกคุยกับคนอื่น”
“ก็แค่คุยเอง ไม่ได้ไปมีอะไรกันซักหน่อย” ผมลูบหัวเธอเบาๆ ถึงลีนจะเฟรนด์ลี่ไม่ต่างจากเอก แต่เธอก็เป็นคนขี้น้อยใจพอสมควร ผมรู้ดี เพราะเธอมักจะมาระบายกับผมตลอด เวลามีเรื่องกับเอก
“นะลีน อย่าโกรธเอกเลย เรายืนยันได้จริงๆว่าเอกมันรักแค่ลีน” รักมากจนไม่เหลือที่ว่างให้ใครเลยล่ะ
“”แต่เอกโกรธเรา…”
“เอกไม่ได้โกรธหรอก มา เดี๋ยวเราพาไปหา” ผมพยุงเธอขึ้นแล้วลากตรงไปยังหอพัก เปิดประตู ส่งเธอเข้าไปคุยกับเอกเอง อันที่จริงพอเอกเห็นหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของลีน เอกก็ยอมทุกอย่างแล้วแท้ๆ… ไม่เหมือนผมที่ต่อให้ร้องไห้ไปเท่าไหร่เอกก็คงไม่มีทางทำอย่างที่ผมอยากให้ทำอยู่ดี
แล้วอย่ามามองว่าผมเป็นคนดี ช่วยให้เขากลับมาคืนดีกันล่ะ ที่ผมทำน่ะ แค่ไม่อยากให้ตัวเองต้องเจ็บมากกว่านี้ต่างหาก ก็การที่เห็นคนรักเจ็บน่ะ มันทรมานมากๆเลยนี่นา สู้ให้เราเจ็บนิดเดียว แล้วให้เขามีความสุขนั่นก็พอจะช่วยไม่ให้ผมทุกข์ไปมากกว่าเดิมแล้วล่ะ
เหอะ… ทำเป็นพูดดี สุดท้ายก็แค่หมาขี้แพ้…
แต่ผม แพ้ลีนทุกทางจริงๆ…. และผม ก็ยอมรับความพ่ายแพ้นี้แต่โดยดีแล้วละนะ
ตะแน๊ววววว เป็ดประถมรายงานตัวครับบบบ พึ่งสมัครสมาชิกวันนี้ เปิดกระทู้แรกวันนี้ ลงเรื่องสั้นตอนแรกวันนี้ หากมีอะไรผิดพลาดก็ขอให้ช่วยเตือนทีนะคะเพื่อมาคอมเม้น ไปๆมา ลงนิยายเฉย
หลังจากที่ซุ่มอ่านนิยายในเล้ามานานมากกกกกกกก จึงอยากสมัครสมาชิกเพื่อมาคอมเม้น ไปๆมา ลงนิยายเฉย เอิ๊กๆ พึ่งเริ่มแต่งค่ะ มีอะไรติชมได้ คาดว่าติเยอะพอสมควรเลย T^T
ฝากตัวประกอบน้อยๆไว้ในอ้อมอกทุกคนด้วยนะคร้าบบบ
-
Chapter 2
ผมนั่งมองสายฝนที่เริ่มทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้า จากเม็ดเล็กๆ ทีละหยดๆจนกระทั่งกลายเป็นฝนห่าใหญ่ภายในเวลาไม่นาน อันที่จริงหลังจากที่เอกคืนดีกับลีนเมื่อสามอาทิตย์ที่แล้ว ก็มีง้องแง๊งๆกันบ้างนิดหน่อย แต่โดยรวมก็ยังหวานกันดีอยู่ และผม ก็ยังเจ็บดีอยู่เหมือนเดิม หึ
“เห้ย เคียว มึงกลับไงวะ กูไม่ได้เอาร่มมาอ่ะ”
ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆเสียงของคนที่ผมเพิ่งนินทาในใจก็ดังขึ้นพร้อมกับกับการปรากฏตัวของเจ้าตัว แน่นอน เอกก็… ไม่ได้มาคนเดียว…
“กูเอาร่มมา”
“เห้ยจริงอ่ะ โห่ย กูคงนั่งรอกะลีนสองคนจนกว่าฝนจะหยุดอ่ะดิ ทั้งๆที่เป็นวันครบรอบแท้ๆ…”
“ไม่เป็นไรน่าเอก อย่างอแงสิ”
ลีนพูดพลางหยิกเบาๆที่ต้นแขนของเอก อ่า จริงด้วย พวกนี้คบกันได้สองปีพอดีเลยนี่นา
“เอาร่มกูไปเหอะ กูยังทำงานของ อาจารย์สุภาไม่เสร็จ ว่าจะไปหาหนังสืออ้างอิงต่อ กูคงกลับดึกอ่ะ”
“จริงดิ แต้งมากเพื่อน มึงนี่รู้ใจกูจริงๆ”
เอกพูดพลางเข้ามากอดคอผมพร้อมกับยีผมของผมเบาๆ หึ ถ้ากูรู้ใจมึงดีนักทำไมไม่เอากูเป็นคนรู้ใจมึงอ่ะ
“จะเอาไหม ร่ม??”
“เอาๆๆๆๆ แหม หยอกเล่นนิดเดียวทำโหดดด” ผมส่ายหัวเอือมพร้อมกับยื่นร่มให้ลีนที่ยืนหัวเราะคิกคักอยู่
“ ใจมาก ไปละ กูล่ะรักมึงจริงๆ”
“ขอบคุณนะเคียว” ลีนหันมายิ้มขอบคุณให้ผมก่อนจะวิ่งไปจูงมือเอกแล้วเดินออกไป ผมโบกมือลาพวกนั้นนิดหน่อยก่อนจะเดินถอยหลังไปสามสี่ก้าว จนรู้สึกถึงกำแพงที่อยู่ชิดหลังของตัวเอง แล้วค่อยๆนั่งลง
เหอะ รายงานของอาจารย์สุภาเหรอ มึงพึ่งลอกของกูแล้วไปส่งพร้อมกันเมื่อวานซืนนี้ไม่ใช่เหรอเอก??
เหอะ มึงรักกูเหรอเอก ความรักแบบเพื่อน กูไม่อยากได้แล้วล่ะ
ผมนั่งกอดเข่าอย่างหมดแรงอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ แต่ฝนก็ยงไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แถมนี่ก็ดึกมากแล้วด้วย ผมจึงจำใจต้องเดินตากฝนกลับหอพักอย่างช่วยไม่ได้ หวังว่าเอกคงยังไม่กลับมานะ
ผมเดินออกไปท่ามกลางสายฝนเอื่อยๆ เริ่มรู้สึกไม่อยากกลับหอขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่ทั้งๆที่ผมยังไม่อยากกลับหอเร็วๆแท้ๆ พอรู้ตัวอีกที ผมก็มายืนหน้าห้องซะแล้วสิ กุญแจห้องถูกลงกลอนจากด้านนอกด้วย แปลว่าเอกยังไม่กลับ
พอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง เปลือกตาค่อยปิดตาลงเพื่อพักผ่อน ทั้งร่างกาย และใจช้ำๆ
ไม่รู้นะว่าเพราะเริ่มมีไข้หรืออะไร แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกอยากให้เอกอยู่ใกล้ๆมากๆ แต่คงเป็นไปได้แค่คิดละนะ…
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า มองไปยังเตียงข้างๆเป็นอันดับแรก แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อเตียงนั้นยังคงว่างเปล่า และไร้ซึ่งการเคลื่อนที่ของสิ่งของบนนั้น ไม่มีแม้แต่รอยยับของผ้าปูที่นอน เมื่อคืน เอกคงไม่ได้กลับมา
ผมยกมือขึ้นก่ายหน้าผากเบาๆ และทำให้ผมได้รู้ถึงอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นของร่างกายตัวเอง คงเพราะการทำตัวอินดี้เดินตากฝนเมื่อวานแน่เลย เห้อ ช่วยไม่ได้ ตื่นสายขนาดนี้ไปเรียนไม่ทันอยู่แล้ว โดดดีกว่า ขอนอนยาวเลยละกัน จะได้ไม่ต้องคิดถึงใครบางคน พอคิดแบบนั้น เปลือกตาก็พาลจะปิดเอาอีกรอบ
แต่ไม่ทันจะได้หลับดี อยู่ๆประตูห้องที่ผมมั่นใจว่าผมล็อกแล้วถูกเปิดออกอย่างแรกจนข้อต่อประตูส่งเสียงหวีดร้องเสียดังลั่น
“เคียว! ทำไมมึงไม่ไปเรียนวะ ไม่สบายเหรอ “ เอกพูดพลางปรี่เข้ามาเขย่าตัวผมและใช้หลังมือวัดไข้อย่างร้อนรน
“เอก… ไอเอก… กูไม่เป็นไร แค่มีไข้นิดเดียว” มึงห่วงกูทำไมเอก ความเป็นห่วงแบบเพื่อนอ่ะ กุไม่อยากได้
“เมื่อวานมึงตากฝนใช่ไหม มึงตากฝนกลับห้องใช่ไหม บ้าเอ้ย รู้อย่างนี้กูน่าจะกลับมาตั้งแต่เมื่อคืน มึงกินไรยัง เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวต้มให้ หรือเช็ดตัวก่อน กูว่ากูเช็ดตัวให้มึงก่อนดีกว่า ตัวร้อนมาก กูไม่น่าปล่อยมึงไว้คนเดียวเลย”
“ไม่เป็นไร มึงไปเรียนเหอะ ฝากลาอาจารย์ให้กูที”
“เห้ยได้ไง มานี่กูเช็ดตัวให้”
“มึงไปเหอะเอก นะ…”
“เห้ย…” ผมค่อยยันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทะลักทุเลจนไอเอกต้องรีบเข้ามาประคอง แต่ผมกลับปัดมือมันออกแล้วดันหลังให้มันออกจากให้ไป ต้องให้มันออกจากห้องให้เร็วที่สุด
“แต่ว่ามึง”
“กูไม่เป็นไรรีบไปเหอะ “ รีบไปเหอะ กูไม่ไหวแล้วเอก
ผมยิ้มลาเอก ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย เงี่ยหูฟังว่ามันไปไกลแค่ไหนแล้ว พอรู้ว่ามันไปไกลพอสมควรผมก็ค่อยๆนั่งลงแล้วปล่อยบางอย่างให้ไหลรินลงมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ใช้มือปิดปากตัวเองแล้วกรีดร้องออกมาสุดเสียง
กูไม่เคยอยากให้มึงเป็นห่วงกู กูไม่เคยอยากให้มึงทำอะไรให้กู กูไม่เคยอยากให้มึงรักกู แบบเพื่อน เลยเอก
ทำไมผมถึงเลวขนาดนี้วะ ผมอยากให้เพื่อนสนิทเลิกกับแฟน เพราะผมอยากให้มันมารักผมคนเดียว ผมยอยากให้มันคอยดูแลแค่ผม ผมอยากให้มันยิ้มให้แค่ผมคนเดียว ผมอยากให้มันมีผมแค่คนเดียว…
ฮะ… เลวเป็นบ้า ทั้งๆที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆ เรื่องนี้ลีนไม่ผิดที่ได้รับความรักจากเอก เพราะเอกเป็นคนที่มอบความรักทั้งหมดให้ลีน ลีนไม่ผิดหากลีนจะได้รับการดูแลจากเอก เพราะเอกเต็มใจทำให้ลีน ทั้งสองคนไม่ผิดอะไรเลย คนที่ผิดคง…
มีแค่ผมคนเดียว…
ตอนที่2คลอดแล้ว เย่ๆๆๆๆๆๆ
คือแบบที่กลับมาว่าจะอัพต่อ กระทู้เราอยู่ไหนหว่า หาไม่เจอ เอิ้กๆ คือนั่งโง่อยู่นานมากกกกกก
จนนึกขึ้นได้ว่า มันมีที่บอกว่าเรามีการตั้งกระทู้ไหนบ้างอยู่ เท่านั้นแหละ บรรลุุเลอ
พอเข้ามาจะอัพต่อ เห็นคนมาเม้น อ๊ากกกกก ดีใจอ่ะ ฟินอ่ะ ฟินตัวแตก คือดีใจมาก มีคนเม้น T^T
รักคนอ่านทุกคนนะฮ๊าฟฟฟฟฟ
ส่วนเรื่องใครเป็นพระเอก อันนี้คนเขียนก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วครับ ฮือๆ :hao5:
**********************************************************************
Chapter 3
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้อย่างมาราธอน ให้ตายสิ ผมเผลอร้องไห้จนหลับเลยเหรอ รู้สึกเวียนหัวแล้วก็ตาลายไปหมดเลย สงสัย หวัดคงเล่นงานเอาจริงๆซะแล้ว
ผมค่อยๆพาสารรูปที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เดินเซๆออกจากห้องทั้งๆอย่างนั้น เอาน่า ผมมั่นใจว่าตัวผมสะอาดพอที่จะไม่มีคนสังเกตว่าผมไม่ได้อาบน้ำมาน่ะนะ ระว่างทางมีคนมองมาที่ผมเป็นระยะ คงเซมากละสิ เพราะผมเองยังรู้สึกได้เลยว่าตัวเองเดินเอียงแค่ไหน
ในที่สุดผมก็เดินมาถึงหน้าหอจนได้ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีขึ้นมานิดหน่อยที่ยังไม่ตกบันไดตายก่อนที่จะได้ไปหาหมอ และที่รู้สึกโชคดีอีกอย่างคือ พี่วินยังอยู่ ผมเดินเซๆเข้าไปหา จนพี่แกแทบไม่ต้องให้ผมบอกก็เตรียมพาไปโรงพยาบาลแล้ว ดีเหมือนกัน ขอยืมไหล่หน่อยนะพี่
“พี่ครับ ถึงแล้วปลุกที”
“เออๆ จับดีนะน้อง”
พอพี่เค้าอนุญาตเท่านั้นแหละ ผมนี่หลับกลางอากาศเลย ส่วนมือก็เกาะพี่เค้าไว้อย่างเหนียวแน่นกันตก เอาหัวพิงหลังพี่เขาทันที จริงๆผมไม่ได้หลับอะไรหรอก แค่ตามันเปิดไม่ได้น่ะ อย่าลืมสิว่าผมตาบวม แถมระยะทางก็ไม่ไกล คงไม่ทันได้หลับหรอก
ไม่รู้ว่าเพราะพี่เขาขับรถนิ่มหรืออะไร ทั้งๆที่รถหยุดแล้ว แต่ผมกลับไม่รู้สึกตัวเลยซักนิดจนกระทั่งพี่เค้าปลุกจริงๆนั่นแหละ เล่นเอาผมต้องรีบลุกเลย
“ ให้รอไหม??” พี่เขาถามตอนที่ผมกำลังจะก้าวเข้าไปในโรงพยาบาล
“…” ผมมองเข้าไปในโรงพยาบาลนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าไม่ค่อยมีคน เลยบอกให้พี่เค้ารอ15นาที ถ้าผมไม่ออกมาให้เขาไปได้เลย ถึงขึ้นมอไซต์จะถูกกว่า แถมถึงที่ด้วย แต่การที่ทำให้พี่เค้ามาเสียเวลาเพราะรอผมก็คงไม่ใช่เรื่อง
แต่กว่าจะจัดการธุระเสร็จ ก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง อันที่จริงผมคิดว่าคงต้องโบกรถเมล์กลับแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเห็นพี่วินคนเดิม นั่งรอ(หลับ) อยู่ที่ม้านั่งน่ะนะ
“พี่ครับ ผมบอกว่าถ้าเลย 15นาทีให้กลับเลยไม่ใช่เหรอ” ผมเดินไปสะกิดพี่เขาก่อนจะบ่นนิดหน่อย
“ฮ่าๆๆ พี่นั่งเพลินไปนิด ไปยัง”
“...” ผมพยักหน้าตอบแล้วเดินตามพี่เขาไปขึ้นรถ เพราะขากลับผมไม่ได้หลับ เลยรู้ว่าพี่เขาขับรถนิ่มมากจริงๆ จะเบรกจะเร่งนี่ไม่มีสะดุ้งเลย
แต่ว่าก่อนจะถึงที่หมาย ผมก็ให้พี่เขาหยุดรถก่อนเพราะตอนนี้ผมเห็น ลีนกับเอกเดินเข้าห้องพักไปด้วยกัน พอเห็นแบบนั้นผมเลยรอให้พวกเขาขึ้นบันได้ไปก่อน ส่วนตัวผมก็เปลี่ยนเป็นมานั่งโง่อยู่ม้านั่งข้างหอแทน เพราะจากทางเข้าจะมองไม่เห็นตรงนี้
“อ่าวน้อง ไม่ขึ้นหอเหรอ รอใครอ่ะ?” พี่วินคนเดิมถาม ส่วนตัวเขาก็เข้ามานั่งที่ม้านั่งข้างผมอย่างถือวิสาสะแล้วยกกาแฟกระป๋องขึ้นดื่ม
“….” ผมไม่ได้ตอบ ส่วนพี่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเช่นกัน
ผมรอจนเห็นลีนเดินออกมาผมถึงลุกขึ้นแล้วลาพี่วินที่อุตส่าห์นั่งเป็นเพื่อน แล้วเดินกลับเข้าหอไป อันที่จริงผมคิดว่าเมื่อกลับถึงห้องจะเห็นใบหน้าที่แย้มยิ้มของคน(แอบ)รักเสียอีก แต่สิ่งที่ผมเจอเมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับเป็นใบหน้าบึ้งตึงแทน
“มึงไปไหนมา” เอกถามเสียงเย็น เล่นเอาผมขนลุกซู่
“…ไปหาหมอ” ผมลังเลอยู่นิดหน่อยก่อนจะตอบพร้อมกับชูถุงยาที่ได้มาจากโรงพยาบาล แล้วเดินเข้าไปนั่งที่เตียงของตัวเอง
“แต่กูเห็นมึงนั่งอยู่ข้างหอ…กับผู้ชาย”
“พี่เค้าเป็นวินมอไซต์” ผมตอบเสียงเบา
“เดี๋ยวนี้วินมอไซต์เขามีบริการนั่งคุยเป็นเพื่อนแล้วเหรอวะ?” เอกค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆผม
“พี่เค้านั่งเฉยๆ ไม่ได้คุยอะไรกันซักหน่อย”
“นั่งโอบไหล่จนแทบจะเกยกันอยู่แล้วน่ะเหรอนั่งเฉยๆ ที่นั่งอื่นมันมีผีนั่งอยู่รึไงกูถึงเห็นว่าไม่มีคนนั่งอ่ะหะ!!”
เอกตวาดเสียงดังลั่นพร้อมกับบีบแขนผมแน่นจนผมรู้เลยว่าเดี๋ยวมันต้องขึ้นรอยแดงแน่ๆ แต่ถ้ามากกว่านี้อีกหน่อยคงเป็นรอยม่วงแทน
“กูว่ามึงคุยไม่รู้เรื่องแล้วเอก”
“ทำไม กูคุยไม่รู้เรื่องแล้วมึงจะไปคุยกะไอ้นั่นแทนกูรึไง!!” เอกพูดเสียงดังขึ้น พอๆกับแรงบีบที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ผมกลัวเอกจริงๆ
“ไอเอก กูเจ็บ” อันที่จริงผมไม่คิดหรอกนะว่าเอกจะปล่อยจริงๆ ตอนแรกแอบดีใจ แต่ประโยคต่อมาทำให้ผมพูดแทบไม่ออก
“เหอะ กูน่าจะรู้แต่แรก ว่ามึงมันแรด เห็นผู้ชายหน่อยไม่ได้ ต้องส่ายหางแล้ววิ่งไปหา หึ เพราะกูไม่เอามึงงั้นสิ?? งั้นมึงก็ออกไปเลยไป จะไปเอาวินมอไซค์ คนคุมหอ หรือภารโรงก็ไป”
เอกพูดแล้วผลักผมออกจากห้องแถมปิดประตูใส่หน้าผมเสียงดังลั่น เล่นเอาคนแถวนั้นสะดุ้งกับเป็นแถบๆแต่ผมกลับไม่สะเทือน เพราะตอนนี้ผมกำลังอึ้ง อึ้งกับคำพูดของเพื่อนสนิทจนไม่รู้จะทำยังไง พอรู้ตัวอีกทีผมก็กัดปากตัวเองจนเลือดไหลเป็นทาง พอๆกับน้ำตาที่ออกมานองหน้า
ผมลุกขึ้นวิ่ง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะวิ่งไปไหน แต่ที่แน่ๆ ผมต้องไปจากที่นี่ ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว พอวิ่งมาไกลพอสมควรผมก็หยุดนั่งที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ เอามือกุมหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผมไม่คิดเลย ว่าเพื่อนที่ผมคิดว่าสนิทที่สุด คิดว่ามันเข้าใจผมดีที่สุดจะพูดกับผมแบบนั้น ยิ่งเป็นมันพูด ผมยิ่งเสียความรู้สึก
ผมร้องไห้จนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก้ไม่รู้ แต่ว่าตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว ผมไม่รู้จะไปที่ไหนดี เพื่อนที่ผมมีก็มีแค่เอก กับเพื่อนผู้หญิง คงไปพักด้วยไม่ได้ คนอื่นก็ไม่ค่อยสนิท ไม่อยากรบกวน ผมลุกขึ้นเดินเอ่ยๆเพราะไม่มีที่ไป เงินก็ไม่ได้เอาติดตัวมาเลย แถมตอนนี้ไข้ก็เริ่มกลับมาหลังจากที่มันลดไปเพราะได้ยาที่ผมกินก่อนออกจากโรงพยาบาล
ระหว่างที่ผมเดินอยู่ริมถนน ผมเห็นลีนที่กำลังจะข้ามถนน และเล่นโทรศัพท์พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โดยที่ไม่สังเกตเห็นผมที่ยืนอยู่อีกฟาก หึ แชทกับเอกละสิ
ระหว่างที่ลีนเดินข้ามถนนเพื่อมายังฝั่งของผม ขาของผมก็ก้าวเดินไปข้างหน้า ผมผลักลีนเต็มแรงจนเธอหงายหลัง และรับแรงกระแทกจากรถยนต์คนหนึางที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงจนตัวผมกระเด็นไปไกลหลายเมตร และเหมือนทุกทีที่มีอุบัติเหตุ รถคันนั้นก็ยังคงขับต่อไปอย่างไม่ใยดีผม
ด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังทำให้ผู้คนแถวนั้นเริ่มหันมามอง บ้างก็กรีดร้องที่เห้นเลือด บ้างก้เป็นลมเพราะเห้นสภาพของผม ผมกลอกตาไปมองลีนอย่างยากลำบาก เห็นเพียงแค่เธออ้าปากค้างและค่อยๆเอามือปิดปาก แล้วกรีดร้องออกมาสุดเสียง ผมค่อยๆปิดตาลงเพราะเหนื่อยเกินกว่าที่จะเปิดตาได้
ให้ตายสิ ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้นะ จะช่วยลีนทำไมกัน ทั้งๆที่ถ้าปล่อยไป จะได้หมดตัวเกะกะแท้ๆ หรืออาจจะเพราะ...ผมไม่อยากเห็นเอกต้องร้องไห้ก็ได้ เพราะถ้าลีนเป็นคนที่โดนรถชน เอกคงต้องร้องไห้มากแน่ๆ แต่ถ้าเป็นผม เอกอาจจะดีใจด้วยซ้ำ ฮะๆๆๆ....
น่าแปลกที่ตอนนี้ผมไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไหร่ เขาว่ากันว่าคนใกล้ตายจะไม่เจ็บสงสัยจะเป็นเรื่องจริงซะละมั้ง
ใกล้ตายเหรอ??
นี่ผมจะตายเหรอ แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เอกจะได้ไม่ต้องมากังวลกับผม ผมจะได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดบ้าๆนี่เสียที อีกอย่างผมตายไปก็คงไม่มีใครเสียใจหรอก เพราะผมไม่มีแม้กระทั่งพ่อหรือแม่เพราะท่านทิ้งผมไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าก่อนที่ผมจะมองเห็นซะอีก เพราะอย่างนั้นคนที่ผมรักที่สุด คงเป็นเอกนี่แหละ แต่ก็นะ ต้องจากกันแล้วสิ เอกจะดีใจรึเปล่านะ ฮะๆ
ลาก่อนนะ คนที่กูรักที่สุดในชีวิต เอก….
The end
ซะ
เมื่อไหร่ อิ๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
:hao7:
************************************************************
-
เอก part
ผมทิ้งตัวลงนอนอย่างหงุดหงิดหลังจากที่ไอเคียวมันวิ่งออกไปแล้ว ผมบอกเลยว่าหงุดหงิดมาก ที่เห็นว่ามันนั่งอยู่กับคนอื่นนอกจากผม ไหนมันบอกว่ามันมีผมเป็นเพื่อนคนเดียวไง แล้วนั่นมันอะไร ทำไมมันไปนั่งกับไอ้วินมอไซนั่นได้วะ
แถมยังทำตัวสนิทกันซะขนาดนั้น ไม่ให้ผมหงุดหงิดได้ไง เหอะ อันที่จริงมันก็แปลกดีนะ ทั้งที่ผมไม่เคยหึง เอ่อ หวงลีนแบบนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ลีนก็มีผู้ชายมาคุยด้วยเยอะแยะ แต่ทำไมผมไม่เห็นจะรู้สึกแย่ขนาดนี้เลยวะ
อาจจะเพราะ….มันเป็นคนสำคัญของผมจริงๆก็ได้ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาที่ผมมีปัญหา จะมีมันนี่แหละที่คอยนั่งฟังปัญหาของผมตลอด ผมทะเลาะกับลีนกี่ครั้ง ก็ได้มันนี่แหละที่คอยจัดการให้ เวลาผมไม่สบายใจก็มีมันที่คอยห่วง
แต่ว่า….ต่อจากนี้คงไม่มีแล้วใช่ไหม?? นี่ผมถามบ้าอะไรอยู่วะ มันก็ต้องไม่มีอยู่แล้วสิ ในเมื่อผม เป็นคนที่ไล่มันออกไปเอง…
…. บ้าเอ้ย ผมนอนคิดทบทวนเรื่องต่างๆอยู่บนเตียงพักใหญ่ แต่พอคิดดูดีๆก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดอะไรตรงไหนเลย มันอาจจะเห็นว่าผมมากับลีน มันเลยไม่อยากกวน พี่วินมอไซต์เขาอาจะแค่มานั่งคุยเป็นเพื่อนเพราะเห็นว่ามันมานั่งนานแล้วก็ได้ แล้วอันที่จริงมันก็ไม่ผิดเลยที่จะมีเพื่อนคนอื่นนอกจากผม…
ผมยกแขนขึ้นทุบเตียงเสียงดังลั่นที่พึ่งคิดได้ว่ามันไม่ได้ผิดอะไรเลย มีแค่ผมที่วู่วามไล่มันออกไปเพราะความคิดที่…โคตรจะไร้สาระ….ผมเอามือกุมหน้าผากกัดฟันแน่นเพื่อระบายอารมณ์ มองลอดผ่านนิ้วไปยังเพดาน กลอกตามองไปที่เตียงว่างข้างๆที่ควรจะมีคนนอนอยู่ แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีแล้ว ทั้งๆที่มันควรจะนอนอยู่บนเตียงนี้แท้ๆ ก็มันไม่สบายอยู่นี่หว่า
เดี๋ยวนะ?? ไม่สบาย…
ผมดีดตัวขึ้นจากเตียง มองไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างๆเตียงของมัน แล้วก็เหลือบไปเห็นถุงยาที่มันเอาตั้งไว้ทีแรก ก็ทำเอาผมนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่ผมไล่มันออกจากห้องไปนี่ผ่านมานานพอสมควรแล้ว อีกอย่างไข้มันเมื่อตอนนั้นก็สูงมากด้วย ป่านนี้ไข้คงขึ้นสุดๆแล้วแน่ๆ ไม่ได้การละ ผมต้องรีบเอายาไปให้ ไม่ดิ พาไปหาหมอเลยดีกว่า
พอคิดแบบนั้นผมก็รีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปเอารถออกไปตามหามัน แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวขาออกจากหอพักก็ดันมีโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีก ใครโทรมาเวลาแบบนี้วะ ผมคิดในใจพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับโดยไม่ทันดูชื่อพร้อมๆกับรีบสาวท้าวยาวๆไปยังที่จอดรถ แต่ก็ทำให้ผมชะงักอีกครั้งเมื่อได้ฟังเสียงคนในโทรศัพท์
ผมพักแผนการที่จะตามหาเคียวไปตามที่ต่างๆที่คิดว่ามันอยู่ แต่กลับมุ่งตรงไปยัง โรงพยาบาลXXXทันทีเพราะคนที่โทรเข้ามาคือส้ม เพื่อนสนิทของลีน และพูดกับผมด้วยเสียงที่ร้อนรน
“ เอก มึงอยู่ไหนวะ มึงรีบมาที่โรงบาล XXX เลยนะเว้ย ไอเคียวแย่แล้ว”
มึงเป็นอะไรวะเคียว รอกูก่อนนะ กูจะ....รีบไปหา
ผมขับรถตรงมาที่โรงพยาบาลXXXอย่างเร่งรีบ ทั้งฝ่าไปแดง ขับรถเร็วเกินกำหนดไปเยอะ แซงผิดเลนบ้าง เฉียดล้มเฉียดชนคนอื่นไปหลายคันแต่ทำไงได้ สำหรับผม ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ามันอีกแล้ว
พอถึงโรงพยาบาล ผมรีบวิ่งเข้าโรงพยาบาลและดึงพี่พยาบาลแถวนั้นมาถามหาลีน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เห็น ผมเลยถามหาส้มแทน คุณพยาบาลก็ถึงบางอ้อ แล้วก็ชี้ๆไปที่ห้องฉุกเฉินทันที
ห้องฉุกเฉิน?? เป็นไข้ทำไมต้องไปห้องฉุกเฉิน ช็อกเหรอวะ หรือว่า เกิดอะไรขึ้นกับมัน??
ผมไม่เสียเวลาคิดก็รีบเดินพรวดๆเข้าไปหาห้องฉุกเฉินทันที และภาพที่เห็นทำเอาผมสติกระเจิง เป็นภาพของลีนที่เอามือกุมหน้าร้องไห้ และทั่วทั้งตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด….
พอเธอเห็นว่าผมเดินเข้าไปใกล้ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ใบหน้าของลีนเต็มไปด้วยรอยเลือดจำนวนมากและรอยน้ำตา เธอร้องให้อย่างคนเสียสติ พอเห็นผมเธอก็ยืนขึ้นและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง และครั้งนี้หนักว่าครั้งที่แล้วจนคนที่อยู่แถวนั้นหันมามองกันเกือบหมด
ผมกอดเธอเอาไว้โดยไม่สนรอยเลือด เลือดออกมาขนาดนี้ แต่ลีนยังดูแข็งแรงดี แปลว่าไม่ใช่เลือดของลีน งั้นเลือดนี่มัน…บ้าเอ้ย อย่างเป็นอย่างที่ผมคิดที ขอล่ะ….
“ใครอยู่ข้างใน” ผมเลือกที่จะถามแบบนี้ออกไป เผื่อว่าคนที่อยู่ข้างในอาจจะไม่ได้เป็นมัน แต่ทว่าไม่มีใครตอบผมเลย ทุกคนอาแต่ก้มหน้านิ่ง บางคนเสมองไปทางอื่น … นี่มันวันอะไรวะ…
ผมกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ถ้าผม ถ้าผมไม่ไล่มันออกไป ตอนนี้มันคงจะนอนอยู่ในห้องแท้ๆ…ไม่ใช่ห้องicu แบบนี้… ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากคอบปลอบลีนและโทษตัวเอง ใช่ เรื่องนี้ คนที่ผิด คือผมเอง
“ฮึก เอก เอก คือเราฮึก ฮืออออออ”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น บอกเราได้ไหม????” ผมลูบหัวลีนเบาๆเพื่อปลอบเธอแล้วค่อยๆพาเธอไปนั่ง
“เอก คือมันเกิดขึ้นเร็วมาก เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นอ่ะ ฮึก ตอนนั้นเราเดินข้ามถนน แล้วฮึก แล้ว ฮึก แล้วเคียวก็ผลักเราลง อึก ฮือ แล้วเคียว ฮึก ฮึก เคียว ฮืออออ! เอก เราทำให้เคียวโดนรถชนอ่ะ เราฆ่าเคียว เราฆ่าเคียวอ่ะเอก!!!”
ลีนพูด เธอเอามือกุมหัวแล้วกรีดร้องออกมาอย่างคนเสียสติ ก่อนที่จะเริ่มทึ้งหัวตัวเอง ผมรีบกอดลีนเอาไว้แนบอก กันไม่ให้เธอทำร้ายตัวเอง ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจะภาวนา ภาวนาไม่ให้มันเป็นอะไร….
ใช่ มันต้องไม่เป็นอะไร เพราะผม ยังไม่ได้ขอโทษมันเลย….
เวลาผ่านไปเกือบวัน มีหมอกับคนไข้วิ่งกันให้วุ่นตลอดทั้งคืน แถมอาการหนักมากจนทางโรงพยาบาลต้องเรียกหมอที่เป็นเลิศด้านการผ่าตัดมาเลยทีเดียว พยาบาลที่เห็นสภาพของลีนก็พาเธอไปเปลี่ยนชุด เพราะเกรงว่ามันจะไม่ดีต่อคนไข้ในเวลากลางคืนแบบนี้เท่าไหร่ ผมเองก็เช่นกัน จากนั้นเราก็ถูกตำรวจสอบสวน
เพราะตำรวจกับผู้ต้องสงสัยได้ เนื่องจากเขาขับรถเร็วกว่ากำหนด และแหกด่านไป จึงทำให้ตำรวจเริ่มไล่ล่าเขา พอสืบไปสืบมาก็รู้ว่าเขาขับรถทั้งๆที่เมา และที่แหกด่านเพราะไปชนคนมา ที่สำคัญคือ มันดูไม่ได้แก่ไปกว่าพวกเราเท่าไหร่เลย แถมดูจากการแต่งตัวคงเป็นพวกลูกผู้ดีล่ะมั้ง แต่ผมไม่สนอ่ะ พอผมเห็นหน้ามันผมก็ปรี่เข้าไปชกมันอย่างไม่ลังเล ด้วยซ้ำ
“เพราะ มึง เพราะมึงเลยไอเหี้ย มึงชดใช้มา เดี๋ยวนี้ มึงเอาเพื่อนกูคืนมา ไอสัด!!” ผมระรัวเท้าลงบนตัวมันเพื่อเป็นการระบายความโกรธ อันที่จริงผมก็แค่พาลเท่านั้นแหละ พาลว่าคนอื่นผิดทั้งๆที่คนที่ผิด มีแค่ผมแท้ๆ…
แต่ก็ปล่อยให้ผมกระทืบได้ไม่นานนักตำรวจก็รีบเข้ามากันเพราะกลัวว่าผมจะทำมันตายซะก่อน
“โอเคครับ พอก่อนๆ เดี๋ยวคุณจะโดนไปด้วยคนนะ ฉันยังไม่อยากลงมือ” ตำรวจคนนั้นพูดแบบโอ้อวด ราวกับว่าตัวเองนั้นใหญ่มากอะไรทำนองนั้น แต่พอผมตวัดสายตาไปมองเท่านั้นแหละ เงียบ ไม่พูดไม่จาซะอย่างนั้น
พอเห็นแบบนั้น ตำรวจชั้นผู้ใหญ่กว่าก็เข้ามาตบบ่าผมเบาๆ แล้วบอกให้ใจเย็นๆ จะได้ไกล่เกลี่ยกันได้ ซึ่งผมทำตามแต่โดยดี ผมจะให้มันชดใช้ให้สาสม
“คุณธนัทบอกว่า เขาจะรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มเข้าจนวนสุดท้ายที่คุณ ศรินทรา จะอยู่ในโรงพยาบาลนี้ พร้อมกับค่าเสียหายตามที่คุณต้องการ พวกคุณโอเคไหม”
“ แค่นี้จะพอเหรอ?? แกคิดว่าไอ้ของแบบนั้นจะทำให้เพื่อนฉันกลับมาได้หรือเปล่า?ถ้าอาการหนักแล้วแกเกิดตัดหางปล่อยวัดล่ะ ไม่รู้แหละ แต่ไม่ว่าจะยังไง แก… ต้องทำ ให้เคียวฟื้นมาไม่ว่าจะวิธีไหน ไม่อย่างนั้นแกก็เตรียมตัวลาโลกไปพร้อมมันเลย แล้วแกอย่าคิดนะว่า การกระทำแค่นี้ของแกจะทำให้ฉันไม่ฟ้องแก ฉันจะให้แกทรมาน มากกว่าที่มัน ที่ฉัน ทรมานอีก”
ผมชี้หน้าด่ามันอย่างคาดโทษ มันตัวสั่นหนึกๆเป็นลูกนก ไม่ใช่แค่มัน คนแถวนั้นเองก็เริ่มเกรงๆผมแล้วเหมือนกัน ผมกลบมานั่งจ้องห้องฉุกเฉินต่อ
“ เอ่อ เอาเป็นว่าพวกคุณจะฟ้องสินะครับ แล้วเรื่องค่าเสียหายนี่…”
“เดี๋ยวพวกเราออกให้เองค่ะ เพื่อรับผิดชอบ ส่วนลูกชายของเรา กรุณานำเขาไปดำเนินคดีได้เลยค่ะ” เสียงเศร้าๆของหญิงสาวสูงวัยดังขึ้น ใบหน้าที่ดูใจดีของเธอกลับมีเพียงใบหน้าเหนื่อยใจและกังวลใจเท่านั้น ส่วนคนข้างๆเป็นชายร่างสูงใหญ่ท่าทางมีอายุและโหดพอดู ดูท่า คงเป็นพ่อกับแม่ของไอ้ไก่อ่อนนั่น
“เอ่อ คุณ…” ตำรวจพูดอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันเป็นผู้ปกครองของเขาเองค่ะ อย่างที่บอก เรายินดีชดใช้ค่าเสียหาย และอนุญาตให้มีการดำเนินคดีตามปกติ ไม่มีการต่อรองใดๆค่ะ”
แม่ของมันพูดขึ้นพร้อมกับมองมายังที่พวกเรา ส่วนพ่อของมันก็มองมันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำเอามันถึงขึ้นผวา
“อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้างจ้ะ ป้าขอโทษจริงๆที่อบรมลูกชายไม่ได้เรื่อง ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าจะค่าทำขวัญ หรือค่ารักษา ป้าจะออกให้ทุกอย่าง และป้าจะทำทุกทางที่จะให้เขาฟื้นมา จนกว่าเขาจะหยุดหายใจเลยจ้ะ”
คุณหญิงค่อยๆกอดปลอบลีนที่ยังเสียสติเบาๆ พลางลูบหัวเธอ นั่นทำให้ลีนที่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังถึงกับหยุดร้องและเผลอหลับไป เธอก็กล่อมลีนอยู่อย่างนั้น และคอยนั่งเฝ้าหน้าห้องจนกว่าหมอจะออกมา โดยที่ไม่มีใครปริปากบ่นออกมาซักคำ ส่วนคุณพ่อ กับไอ้ไก่อ่อนนั่นก็ตามตำรวจไปที่โรงพักเพื่อดำเนินคดี โดยที่เจ้าตัวรับผิดทุกอย่าง
“ทำไม…”ผมพูดเสียงเบาเพราะที่นี่ค่อนข้างเงียบ ลีนก็หลับไปแล้ว ส้มก้ออกไปให้ปากคำ เพราะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่อง และอีกอย่าง ผมก็เริ่มเกรงใจคุณป้าขึ้นมานิดๆแล้ว
“จ๊ะ??”
“ทำไมคุณถึงรับผิดชอบทุกอย่าง แถมยังให้ดำเนินคดีตามปกติล่ะครับ??”
“แปลกหรือจ๊ะ ป้าน่ะ ชอบความยุติธรรมที่สุด ป้าไม่ได้อยากให้ท้ายลูกถึงขั้นว่าไม่ให้เขาได้รับบทเรียนอะไรเลย ป้าไม่ได้ห่วงหน้าตาทางสังคมที่จะมีคนมองว่ามีลูกที่ไม่ได้เรื่อง แต่ป้ามองว่าการทำสิ่งที่ถูกต้องแบบนี้จะดีกว่าซะอีกน่ะจ้ะ แน่นอนว่าสามีป้าเองก็เห็นด้วย เพราะเราเป็นพวกเดียวกน ดังนั้นที่เราทำไม่ได้หวังผลอะไรหรอกนะ สบายใจได้เลยจ้ะ
“เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แต่แบบว่า คุณป้าเนี่ยเป็นคนดีจังเลยนะครับ ทั้งๆที่คุณป้าเป็นคนดังแท้ๆ ผมนึกว่าจะให้ปิดข่าวอะไรแบบนี้เสียอีก”
“ฮ่าๆๆ ไม่หรอกจ้ะ ป้าเองก็เป็นคนนะ พวกเธอก็คนเหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน เสียใจเหมือนกัน ยิ่งมาเห็นแม่หนูคนนี้ร้องไห้แบบนี้ ป้าอยากจะทำให้พวกหนูมากกว่านี้อีก แต่ป้ากลับทำอะไรไม่ได้เลย”
“ไม่หรอกครับ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้วล่ะครับ”
“ขอบใจนะจ้ะ”
“ขอบคุณเหมือนกันครับ เรายิ้มให้กัน ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง จนกระทั่งมีหมออกมาจากห้องผ่าตัด พร้อมกับคำตอบที่ทำให้พวกเราโล่งใจ
“คนไข้ปลดภัยนะครับแต่อาการตอนนี้ยังน่าห่วง เนื่องจากเสียเลือกมาก กระดูกหักเกือบทั้งร่าง และอวัยวะภายในบอบช้ำและฉีกขาดเกือบหมด บางทีอาจต้องเอามาเปลี่ยน เดี๋ยวเราจะคุยรายละเอียดจากนี้นะครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ” คุณหมอพุดพร้อมโค้งหัวเบาๆ
“ ครับ” ผมตอบรับ ส่วนคุณป้าเขาได้แต่พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับปาดน้ำตาที่หางตา พร้อมๆกับพวกส้มที่เดินกลับมา พอดีผมบอกว่าเคียวปลอดภัย พวกนั้นก็ลิงโลดราวกับถูกล็อตเตอร์รี่ พอเห็นว่าไม่เป็นไรกันแล้วผมเลยบอกให้ส้มพาลีนกลับห้องก่อนส่วนผมจะไปคุยกับหมอเอง
ซักพักก็มีพยาบาลมาตามพวกเราไป ผมเดินตามคุณลุงกับคุณป้าเข้าไปในห้องหมอ ตลอดเวลา พวกเขาไม่มีรังสีคุกคามใดๆเลย บ่งบอกได้ว่าที่พวกเขาช่วยนั้นมีเจตนาบริสุทธิจริงๆ
ไม่นานนัก คุณหมอหนุ่มหน้าตาหลอเหลารูปร่างสูงโปร่ง แต่ดูแค่นั้นผมก็รู้ว่าเขาคงซ่อนกล้ามไว้ใต้เสื้อเชิตนั่นแน่ๆ โดยรวมถือว่าเป็นคนที่ดูดีมากคนหนึ่งเลยทีเดียว ที่สำคัญคือ พยาบาลบอกว่า คนนี้คือหมอที่ฝีมือดีที่สุดในโรงพยาบาลนี้
ตอนแรกผมสังเกตนะว่าไม่มีหมอคนนี้อยู่ แต่เขาก็เดินเข้ามาในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย จากที่หมอคนอื่นบอกว่ายังตอบอาการไม่ได้ แต่หมอคนนี้มาแป๊ปเดียวเท่านั้นก็ทำให้เคียวออกจากห้องนั้นได้แล้ว แปลว่าคงจะสุดยอดจริงๆ
“คุรคือผู้ปกครองของคุณ ศรินทรา หรือครับ” เขาเสียงนุ่มถามแล้วมองพวกเราทั้งสามคน
“ เอ่อ พวกเราไม่ใช่ผู้ปกครองหรอกค่ะ แค่มารับผิดชอบน่ะค่ะ ส่วนนี่เป็นเพื่อนของเขา” ผมพยักหน้าเป็นเชิงแนะนำตัว แล้วหมอก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ คือต้องบอกก่อนเลยนะครับ อาการน้องตอนนี้ถึงจะปลอดภัยแต่ก็น่าเป็นห่วง ส่วนสมองไม่ได้กระทบกระเทือนมากนัก คงเพราะน้องเขาเซฟตัวเองค่อนข้างดีนะครับ เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่ารถจะชน ซึ่งนั้นทำให้อวัยวะในส่วนต่างๆเช่น แขน หลัง ซี่โครง และขาซีกซ้ายทั้งหมดเสียหายเป็นอย่างมาก คาดว่าคงต้องดามเหล็กอย่างเดียว ปอดโดนซี่โครงทิ่มทำลุจนพรุนไปหมด หัวใจบอบช้ำนิดหน่อยแต่ไม่เสียหายมาก กะเพราะอาการและลำไส้ฉีกขาด ม้ามแตก ตับเละไปครึ่งหนึ่ง แต่คาดว่าจะซ่อมแซมตัวเองได้ ไตทั้งสองข้างเสียหายหนักครับ และต้องคอยดูอาการด้วยว่าจะมีเลือดคั่งในหัวใจและสมองหรือไม่ซึ่งถ้าหากมีเลือดคั่งในสมองหรือหัวใจ โอกาสที่น้องจะรอดน้อยมากเลยครับ แล้วก็..”
อยู่คำพูดของหมอหนุ่มก็ขาดช่วงไป แต่กลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดแทน นั่นทำให้ทั้งผม ทั้งคุณป้าถึงขั้นหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ ผม… ไม่แน่ในว่าน้องจะฟื้นมาเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า เพราะกระดุกสันหลังน้องเสียหายนิดหน่อย ก็เรายังวางใจไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนที่ละเอียดอ่อนมาก บางที น้องอาจจะมองไม่เห็น หรือไม่ก็อาจจะเป็นอัมพาต ซึ่งต้องรอผลการเอ็กซ์เรย์ก่อน แต่โดยส่วนตัว ผมคิดว่าน้องคงไม่เป็นไร ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ผมคิดว่าคงจะหนักมากนะครับ และน้องต้องรักษาตัวนานมากกว่าน้องจะกลับมาเป็นปกติได้”
“เรื่องเงินไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ว่า น้องเขาจะหายเมื่อไหร่เหรอคะ??”
“ ผมคิดว่าไม่ต่ำกว่า 3เดือนครับ และมีการผ่าตัดอีกหลายครั้ง ซึ่งต้องให้ผู้ปกครองอนุญาตด้วย ถ้ายังไงก็…”
“ เคียว ไม่มีญาติครับ เขาเป็นเด็กกำพร้า”
“อ่า งั้นหมอคง…”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเซ็นต์เอง เพราะลูกชายของดิฉันเป็นคนทำให้เขาเป็นแบบนี้ ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างเองค่ะ”
“แบบนั้นคงได้นะครับ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย แต่ว่าอยู่ๆก็มีโทรศัพท์จากลีนเข้ามาเสียก่อนทำให้ผมต้องขอตัวออกมา ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาตกลงกันเอง
แต่ไม่เป็นไร แค่รู้ว่ามันปลอดภัยก็ดีแล้ว
ดีจริงๆ
อิๆๆๆๆ ตอนที่ สามมาแย้วววว
คือการแต่งโดยให้ผู้ชายที่ไม่ใช่เคะบรรยายนี่ยากมากอ่ะ พึ่งรู้ก็วันนี้แหล่ะ แหะๆๆ
ไถ่โทษที่หายไปนานนน มาต่อกันยาวๆเบยยย(ถึงจะยาวเพราะเว้นเยอะก็เห๊อะ ) :hao7:
-
Chapter 4
เจ็บ…
ปวดไปหมดเลย ขยับก็ไม่ได้ หายใจยังไม่ค่อยจะออก อย่างกับโดนผีอำแน่ะ แถมยังรู้สึกด้วยว่ามีสายอะไรก็ไม่รู้พันรอบตัวไปหมด
คงไม่ใช่ผ้าห่อศพใช่ไหม??…
พูดไปอย่างนั้นแหล่ะ ผมรู้ว่าไม่ใช่หรอก เพราะผมนอนอยู่แบบนี้มานานมากๆแล้ว ถ้าเขาจะเผาคงเผาไปนานแล้วล่ะ ใช่ครับ ตอนนี้ผมได้สติแล้ว แต่ยังเปิดตาไม่ขึ้นเลย ขยับตัวก็ไม่ได้ เสียงก็ฟังไม่ค่อยจะออก แต่ก็พอจะรู้ว่ามีคนพูดคุยกันละนะ ให้ตายสิ ลำบากจริงๆ
ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็รู้นะว่าไอเอกมันมาเยี่ยมทุกวัน คิดว่านะ ก็ผมไม่รู้เวลานี่ แต่ก็นะ มันมานั่ง แล้วก็บ่นๆพูดๆของมันไป แรกๆผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันพูดอะไร หลังๆมานี่เริ่มได้ยินชัดขึ้นแล้ว
เรื่องที่มันเล่าส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไป เช่นว่า มันโดนอาจารย์ด่าเรื่องโปรเจ็คที่เสนอยังไงก็ไม่ผ่านบ้างล่ะ เล่นบอลพลาดจนข้อเท้าพลิกบ้างล่ะ หรือแม้กระทั่งเรื่องที่มันงอนๆกับลีนบ้างล่ะ…
แต่อันที่จริงหลังจากที่มันกลับไป ลีนก็มาหาผมนะ วันที่ทะเลาะกันน่ะ ส่วนวันที่อารมณ์ดีก็จะมาด้วยกันเลย ถ้าหากเธอ มาคนเดียว หรือเอกกลับไปก่อนละก็ เธอจะนั่งเงียบโดยที่ไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่ก็ไม่ไปไหนเลยเช่นกัน คำพูดคำเดียวที่ผมได้ยินจากเธอคือคำว่า ขอโทษ…
บางวันเธอก็ร้องไห้ไปขอโทษไป เล่นซะผมอยากไปปลอบเลย แต่ว่า ผมดันขยับตัวไม่ได้นี่สิ ปัญหาใหญ่
อ้อ นอกจาก2คนนี้แล้วก็ยังมีอีกคน รู้สึกจะเป็น คู่สามีภรรยานี่แหล่ะ พวกเขามักจะมาเยี่ยมผมบ่อยๆ ถึงจะบ่อไม่เสองคนแรกก็เหอะ พอพวกเขามา เขาก็จะพูดประโยคเดิมๆ เหมือนกับลีน ให้ผมเดา พวกเขาคงเกี่ยวกับคนที่ขับรถชนผมแน่ๆ
ที่สำคัญคือ ทุกๆครั้งที่มา ฝ่ายคุณภรรยาจะชอบลูบหัวผมเบาๆ และเอ่ยปลอบผมตลอด มันทำให้ผมรู้สึก อบอุ่น… อบอุ่นจนผมเผลอหลับไปเลย
มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้เจอเลยจริงๆ ความอบอุ่นจากพ่อแม่ ความอบอุ่นจากครอบครัว ให้ตายสิ เกิดผมเผลอ คิดว่าสองท่านนี้เป็นคุณพ่อกับคุณแม่ขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเนี่ย
แอ๊ด…
เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงเท้าหลายคู่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ข้างๆตัวผม
“อาการปกติ ไม่มีอาการแทรกซ้อนแต่ยังไม่ได้สติ เหมือนเดิม”
เสียมารยาท ผมได้สติแล้วนะ แค่ยังขยับตัวไม่ได้เฉยๆ
“เดี๋ยวคุณช่วยเปลี่ยนถุงน้ำเกลือกับเลือดทีนะ เดี๋ยวผมกับพี่บีจะทำความสะอาดแผลเอง”
ผู้ชายคนนั้นพูดแล้วถอดเสื้อผมออก ค่อยๆแกะผ้าพันแผลทีละชั้นๆจนหมด
“ แผลปกติไม่มีการติดเชื้อ และเริ่มแห้งแล้ว อีกไม่นานคงได้ตัดไหมออกนะครับ คุณศริทรา..”
เขาพูดไปพลางทำแผลไป ถึงแม้ว่าเขาจะมือเบาแค่ไหนแต่ยาล้างแผลที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นแอลกอฮอล์ก็ยังคงแสบอยู่ดี นี่ดีนะที่ผมตื่นตอนที่แผลมันดีขึ้นแล้ว นี่ถ้าผมตื่นมาตอนแผลยังสดอยู่คงมีการโหยหวนเกิดขึ้นได้นะเนี่ย เจ็บสุดๆ
เขายังคงทำความสะอาดต่อไปเรื่อยๆอย่างเบามือ พอเสร็จจากตรงนี้ก็ไปทำตรงนู้นต่อ พร้อมกับรายงานไปเรื่อยๆว่าแผลผมเป็นยังไงบ้าง เท่าที่ผมฟังๆดูอาการก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่ว่าร่างกายซีกซ้างผมคงบอบช้ำไปไม่น้อย เพราะนั่นเป็นด้านที่ผมเอาตัวข้าไปรับแรกกระแทกเต็มๆ
ส่วนอย่างอื่นก็ไม่รู้นะ แล้วก็เรื่องอวัยวะภายในก็หายห่วง เขาบอกว่าซ่อมแซมตัวเองเรียบร้อยเกือบหมดแล้ว เหลือแค่บางอย่างที่ยังช้ำๆอยู่ ซึ่งเขาไม่ได้บอกว่าคืออะไร
แต่ดูเหมือนว่ากระดูกสันหลังผมจะน่าเป็นห่วงที่สุดนะ เพราะว่าผมยังไม่ได้สติ เลยเอ็กซเรย์ไม่ได้ เพราะอวัยวะบางอย่างหากไม่ถูกกระตุ้นด้วยเครื่องกระตุ้น มันจะหยุดทำงานและอาจทำให้ผมน็อกได้ เขาเลยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรผิดปกติอีกไหม
พอว่าเขาทำความสะอาดร่างกายและแผลของผมเสร็จแล้ว เขาก็ให้พยาบาลคนอื่นออกไปก่อน แล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมาฟุบลงที่เตียงข้างผมแทน แล้วเอื้อมมือมาจับมือผมเล่นเบา
มาแล้วสินะ
“คุณศรินทราครับ ถ้าคุณได้สติแล้ว ช่วยบีบมือผมทีครับ “
อันที่จริงผมอยากบีบนะ แต่นิ้วมันดันไม่ขยับนี่สิ ไม่ว่าจะออกแรง หรืออพยายามมากเท่าไหร่ก็ไม่กระดิกเลย
“ถ้าย่างนั้น คุณกระพริบตาก็ได้ครับ” หมอพูดแล้วโน้มตัวมาใกล้ๆหน้าผม จนรู้สึกถึงลมหายใจเลย แต่ผมก็กระพริบตาไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“จะเอาอย่างไรกันแน่ครับคุณ หลับก็ไม่หลับ ตื่นก็ไม่ตื่น”
เขาพูดติดตลกก่อนจะกลับไปนอนฟุบข้างเตียงเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าผมได้สติแล้ว แต่ยังไม่สามารถตอบสนองได้อย่างนั้นสิ
“วันนี้คุณเพื่อนของคุณมาไม่ได้นะครับ เห็นว่าติดแข่งบอลนัดสำคัญน่ะ เขาฝากมาขอกำลังใจด้วย ส่งให้เขาด้วยนะครับ”
อืม ส่งให้แน่นอนอยู่แล้ว สู้ๆนะเว้ยเอก
“ส่วนคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายจะมาหาพรุ่งนี้ตอนสายๆนะครับ”
อ่า พรุ่งนี้ผมคงได้นอนกลางวันสินะ
“ตอนนี้แผลคุณหายดีแล้วนะครับ ผมอยากให้คุณตื่นเร็วๆจัง…”
เสียงที่เขาพูดออกมาติดจะเศร้านิดๆ นิ้วมือเรียวๆของเขาค่อยๆเกลี่ยผมที่ปรกของผมเบาๆ
“วันพรุ่งนี้เราจะเอาเครื่องกระตุ้นอวัยวะภายออกนะครับ เพราะว่าม้ามของคุณเข้ากับร่างกายคุณได้แล้ว ส่วนตับคุณก็แข็งแรงแล้วนะครับ แล้วก็ พอคุณใช้ชีวิตแบบปกติได้แล้ว เราจะเอ็กซ์เรย์นะครับ เราจะได้รู้ว่ากระดูกสันหลังคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ตื่นเต้นไหมครับ??”
เขาเปลี่ยนมานวดมือผมเบาๆเหมือนการให้กำลังใจกลายๆ ให้ตายสิ จ้างมาเท่าไหร่เนี่ย ดูแลดีนะ หวังว่าคงไม่ให้ผมจ่ายทั้งหมดนะ ผมยอมตายเลย แพงแหงๆ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็พักผ่อนเถอะครับ ร่างกายจะได้ซ่อมแซมตัวเองเร็วๆเนอะ ผมก็จะนอนกับคุณด้วย ถึงจะไม่มีใครมาเยี่ยม แต่ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเองนะครับ”
เขาเอามืออีกข้างมาลูบหัวผมเบาๆ ถึงจะไม่อบอุ่นเท่าที่คุณน้าคนนั้นทำแต่มันก็ยังคงอบอุ่นอยู่ดี แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะความอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่ส่งมา หรือเพราะคำสัญญาที่ว่าจะอยู่เฝ้าผมนั้นอันไหนจะทำให้ผมอยากหลับมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ ผมเริ่มง่วงแล้วสิ…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆคงนานพอดู ตอนนี้คุณหมอคนนั้นยังคงกุมมือผมเอาไว้อยู่ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นหน้า แต่ผมก็จำได้ ไม่ผิดหรอก
ผมลองพยายามที่จะบีบมือนั้นดู แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เหมือนกับว่า มือนั้น มันไม่ใช่ของผมอย่างไรอย่างนั้นแหละ
ให้ตายสิ
“คุณหมอคะ มีญาติมาเยี่ยมผู้ป่วยค่ะ” เสียงพยาบาลบางคนพูดขึ้น คุณหมอสะดุ้งตื่น ทำไมถึงสะดุ้งน่ะเหรอ ก็ เขาบีบมือผมแน่นเลยน่ะสิ ถึงผมจะขยับมือไม่ได้ แค่ผมก็ยังมีความรู้สึกนะ
“ อ่า เพื่อนคุณมาแล้วสิ ถ้าอย่างนั้นหมอไปก่อนนะครับ” เขาผละออกมาลูบหัวผมเบาๆสองสามที แล้วเดินออกไป พอเปิดประตู ผมก็ได้ยินเสียงเท้าหลายคู่เดินกรูกันเข้ามา
“เคียว กูมาเยี่ยมล้าวววววว” เสียงของใครบางคนที่ผมคุ้นๆว่าจะเป็นคุณวินเพื่อนอีกคนของผมดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเพี๊ยะจากการตีใครบางคน และคำต่อว่าจากคนคนเดิม
“แสด เขาห้ามเสียงดัง อิห่านนี่!”
“ เออๆ แต่กูว่ามึงเสียงดังกว่ากูอีกอ่ะด้า”
“อุ่ย…”
เสียงตบปากเบาๆสองสามทีดังขึ้น ยังเหมือนเดิมเลย เวลาพูดผิดก็ยังชอบตบปากตัวเองเหมือนเดิมเลย
“พอๆทั้งคู่ มาเยี่ยมไอ้เคียวไม่ใช่มาทะเลาะกัน” เสียงเอกพูดแบบติดตลก
“เออๆ กูอ่ะมาเยี่ยม แต่ไอ้เหี้ยนี่อ่ะ มากินของเยี่ยมละสัด ไอ้ดินสอ มึงออกมาจากของเยี่ยมกู!”
เสียงยางลบพี่ชายของไอ้ดินสอ พ่วงด้วยฐานันดร เมีย ดุไอ้ตัวที่กินของเยี่ยมคนป่วยก่อนจะฉุดกระชากลากถูน้องชายที่ตัวใหญ่กว่าคนเป็นพี่ออกจากของเยี่ยม ตีกันตลอด แต่ก็รักกันตลอดเลย
พวกนั้นมาเล่าเรื่องแข่งบอลในวันนี้ให้ฟัง แต่ละคนโม้กันว่าตัวเองทำอะไรเท่ห์ๆไว้ในสนามบ้าง โดยเฉพาะดินสอ เอกแล้วก็ วิน นี่ไม่มีใครยอมใครเลย ดาด้าก็มีขัดเวลาวินโม้เกินจริงนิดหน่อย แล้วเริ่มแฉว่ามันทำอะไรน่าอายในสนามบ้าง
พอได้ยินแบบนั้น คนที่ชอบนั่งดูอยู่ที่ที่นั่งข้างสนามอย่างยางลบก็เอ่ยปากแฉแฟนตัวเองอย่างเมามันทันที จากที่จะโชว์เท่ห์ กลายเป็นโชว์กากไปแล้วสิเนี่ย ดูเหมือว่าลีนจะไม่มานะ เพราะว่าผมไม่ได้ยินเสียงผู้หญิงเลยสักคน
ถึงพวกนั้นจะคุยกัน และรู้ว่าผมมาสามารถตอบสนองได้ แต่พูดนั้นไม่ได้คุยกันแล้วเมินผมสักนิด ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนคนที่ไม่ได้ดูการแข่ง แล้วพวกนั้นก็มาเล่าให้ฟัง เหมือนกับว่าผมยังมีสติ ตอบสนองพวกเขาได้ อันนี้ทำผมซึ้งจริงๆนะ น้ำตาจะไหลเลย
“เคียว กูได้ข่าวมาอ่ะ ว่าหมอที่ดูแลมึงอ่ะโคตรรรรรรรร หล่อเลยเว้ย แถมแม่งเป็นเจ้าของโรงบาลนี้ เห็นว่าตอนจบนี่เกียตินิยมอันดับ1 อ่ะมึง ” เสียงยางลบที่เริ่มกินของเยี่ยมของผมพูดขึ้นเพื่อยุติการเถียงของคนอื่นๆดังขึ้น
เท่านั้นแหละ ไอ้พวกที่เถียงอยู่ถึงขึ้นหยุดกึก
“เห้ยๆๆๆ กูนั่งหัวโด่อยู่นี่ เดี๋ยวเหอะๆ” ดินสอที่มีของกินอยาเต็มปากรีบพูดดักพี่ชายตัวเองอย่างรวดเร็ว
“อะไรเนี่ย กูแค่ได้ยินมา ใช่คนที่เดินสวนกับพวกเราป่าววะ”
“คงใช่แหละ ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัดก็เหอะ เดี๋ยวแป๊ป กูวิ่งไปดูก่อน ความเสือกมันพลุ่งพล่านว่ะ อิๆ” ว่าแล้วดาด้าก็ใส่ตีนผีดีกรีนักวิ่งลมกรดของ มหาลัยออกไป
“ไปด้วยๆๆ”
“เห้ยย ไปกันนนนนนน รอก่อนดิ๊”
ว่าแล้วไอ้พวกที่เหลือก็วิ่งกันออกไปประหนึ่งดารามาอะไรทำนองนั้น เหลือเพียงใครบางคนที่ยังนั่งอยู่ และมันก็เริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆจากนั้นก็กุมมือผมเบาๆ
“กูได้ยินมาว่า มึงได้สติแล้วไม่ใช่เหรอวะ ทำไมมึงไม่ตื่นซักทีวะเคียว” มันเริ่มซุกหน้าของมันเขากํบมือของผม
ไม่รู้สิ กูอาจจะไม่อยากตื่นมาเจอมึงก็ได้มั้ง เอก
“กูอยากให้มึงดูตอนกูแข่ง มีแต่คนบอกว่ากูเท่ห์มากนะเว้ย กูอยากให้มึงเห็น”
อืม กูก็อยากเห็น เอก
“มีคนติดต่อกูให้ไปเป็นทีมชาติแหละ กูว่าจะไปนะ แต่กูว่ารอกูรียนจบก่อนดีกว่า มึงว่าไง”
มึงว่าไงกูก็ว่าอย่างนั้นเอก
เสียงของเอกเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงแรงที่บีบที่มากขึ้นจากฝ่ามือของมัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมเจ็บอะไรมากหรอกนะ ผมรู้ว่ามันคงเจ็บมากเหมือนกัน
“ทำไมมึงไม่ตื่นวะเคียว”
ไม่รู้สิ
“ทุกคนคิดถึงมึงนะเว้ย กูด้วย”
แต่กูไม่อยากให้มึงคิดถึงเอก
เสียงฝีเท้าของคนหลายคนที่ดังขึ้นเรื่อยๆทำให้เอกผละออกจากผมไป
ทำไมล่ะเอก มึงไม่อยากให้คนอื่นเห็นเหรอ เหอะ ถ้ากูเป็นลีน มึงคงไม่ถอยออกไปใช่ไหม??
“เคียว หมดแม่ง โคตรหล่อออออ!” เสียงมิกดังขึ้นพร้อมๆกับตอนี่เปิดปะตูเข้ามา ก่อนที่จะตามด้วยเสียง อุ๊บ และเสียงตบปากตัวเองเบาๆ
“แต่คือหล่อจริงๆนะ ไอ้ดินแม่งเทียบไม่ติดขี้เล็บเลย”
“เห้ย มากไปป่าวพี่ แรงว่ะ งอนๆๆๆ”
“เหอะๆ เอาที่มึงสบายใจเลยดินสอ”
“ไม่ๆลบ กูว่าไม่ใช่แค่ไอ้ดินที่เทียบไม่ติด กูว่าไอเอกยังจะหล่อน้อยกว่าเลยอ่ะมึง”
“ใช่ๆๆๆ คือ พี่หมอเค้าหล่อแบบ คุณชายอ่ะ คุณชาย แบบ พี่หมอที่สุดแสนจะอ่อนโยนอะไรแบบนี้ แลดูอบอุ่นมากอ่ะบอกเลย อิจฉาเว้ยยย มึงจ้างมาเท่าไหร่เนี่ย กูจะจ้างกลับบ้านเลย” มิกพูดแบบดี้ด้าสุดๆจนคนที่อยู่ข้างตัวต้องกระแอมใส่เบาๆ
“นินทาผมเหรอครับเนี่ย” เสียงนุ่มๆดังขึ้นก่อนที่เสียงเคาะประตูที่เปิดอยู่แลล้วจะตามมา ทำให้พวกนี้หัวเราะแห้งอย่างเด็กถูกจับได้
“ขออนุญาตนะครับ อันที่จริงควรจะปิดประตูไว้นะครับ เดียวเสียงมันจะออกไปข้างนอก”
“ขอโทษครับ แต่ว่าพี่หมอหล่อจริงๆนะ ผมชมอยู่นะเนี่ย” มิกพูดก่อนจะตบท้ายด้วยการหัวเราะแห้งๆ
“ฮ่าๆ ขอบคุณมากเลยครับผม แต่ว่าตอนนี้พี่หมอขอให้น้องๆเยี่ยมแค่นี้ก่อนได้ไหมเอ่ย หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะครับ”
“เอ้อ ขอโทษครับ พวกผมเยี่ยมเพลินไปหน่อย” เอกพูดขอโทษก่อนที่คนอื่นๆจะเริ่มเก็บของ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ น้องเขาคงอยากให้พวกคุณมาบ่อยๆนะ สงสัยฟังแต่เสียงผมจนเอือนน่าดู”
“ครับ ไว้ผมจะมาอีก” เอกพูดปิดท้ายก่อนที่จะเดินออกไป ตามด้วยเสียงของฝูงทโมนทั้งหลายจะเอ่ยลาผม แต่ก็ยังไม่วายกลับมาอ่อยพี่หมออีกน่ะนะ คงไม่ต้องพูดใช่ไหมว่าใครอ่อย ฮ่าๆๆ
“มีเพื่อนๆที่ดีนะครับ”
พี่หมอพูดก่อนจะนั่งลงข้างๆผม แล้วเริ่มเช็คอาการของผม แล้วเริ่มจดอะไรบางอย่าง
“กับคนที่ชื่อเอกน่ะ เป็นแฟนกันเหรอครับ”
เสียงของพี่หมอที่เคยอบอุ่นอยู่ตลอด ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเริ่มเย็นลงเรื่อยๆแล้ว ไม่พอใจเหรอ?
“หรือแค่แอบรักเขาครับ”
ถามไปผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ
“เห้อ ทำไมคุณต้องเอาตัวเองไปให้เขาทำร้ายอีกแล้วเนี่ย” พี่หมอถอนหายใจก่อนจะวางปากกาและกระดาษลง แล้วลูบหัวผมเบาๆ น้ำเสียงกระด้างเจือความไม่พอใจนั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จนกลายเป็นเสียงนุ่มๆที่เจือความห่วงใยอย่างทุกที
“ให้ตายสิ ผมว่า ผมไปหาหมอที่แผนกจิตเวชหน่อยดีกว่า ท่าทางจะไม่ไหวแล้วนะ ผมน่ะ”
พี่หมอค่อยๆฟุบลงที่ข้างเตียงกุมมือผมแล้วลูบมันเบาๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมอยากหลับอีกครั้ง
******************************************************
ตอนพิเศษ (ความในใจ)
เอก
ผมกำลังยืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยของเพื่อนสนิทผม ผมเห็นทุกอย่างทุกการกระทำของหมอคนนั้นผ่านกระจกของประตู ผมเห็นว่าเขาทำอะไรกับมันบ้างถึงจะไม่ได้ยินเสียงก็เหอะ แต่การกระทำทุกอย่างที่ผมเห็นบ่งบอกได้อย่างดีเลยว่าไอ้หมอหน้าหล่อนั้นไม่ได้คิดกับคนที่อยู่บนเตียงนั้นแค่คนไข้แน่นอน
ตอนนี้ผมโมโหมาก มากจนอยากจะไปกระโดดถีบไอ้หมอโรคจิตนั่นให้หายแค้น ทั้งๆที่ไม่มีใครได้แตะตัวมันนอกจากผมแท้ๆ แต่….
ผม จะโมโหไปเพื่ออะไรวะ ผมกับมันเป็นแค่เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ใครจะแตะตัวมันก็ไม่แปลกนี่หว่า ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกัน ทั้งๆที่คิดแบบนั้น แต่ทำไมในใจถึงได้โคตรไม่พอใจแบบนี้วะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
ตลอดทางกลับบ้านผมคอยคิดแต่เรื่องของมันตลอด ผมรู้สึกเหงาทุกครั้งที่ไม่มีมันอยู่ข้างๆ ไม่มีมันให้กวน ไม่มีมันให้ระบายใส่ มันเหงามาก เหงายิ่งกว่าตอนที่ไม่มีลีนอยู่ข้างๆอีก
ผมไม่ชอบใจทุกครั้งที่ไอ้หมอบ้านั่นมองมัน ผมไม่ชอบเวลาที่สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมไม่ชอบเอาซะเลย ให้ตายสิ หรือผมจะเป็นโรคหวงเพื่อนวะ
แต่ช่างเถอะ อีกเดี๋ยวก็ได้ลาขาดกับไอ้หมอบ้านั้นแล้ว เพราะอีกไม่นานมันก็จะออกจาก โรงพยาบาลได้แล้ว มันจะได้กลับมาอยู่กับผม ที่ห้องของเรา แล้วไอ้หมอนั่นก็จะไม่มีทางได้เห็นมันอีก หึๆๆๆ
ผมคิดเรื่อยเปื่อย ทำกิจวัตรประจำวันให้เสร็จ นั่งเล่นเกม คุยกับลีน แล้วก็นอนเหมือนปกติ หลายครั้งที่ผมเผลอพูดฝันดีออกไป ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆผม
วันนั้น ผมไม่ไล่มันออกไป มันก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้แท้ๆ บ้าเอ้ย
ผมเกลียดน้ำตา ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาของใครก็ตาม แต่ที่ผมเกลียดที่สุด คือน้ำตาของตัวผมเองนี่แหละ แต่ที่เกลียดยิ่งกว่า คือน้ำตาของมัน ตาโตๆที่ดูเรียบเฉยแต่โคตรกวนตีนของมัน ไม่คู่ควรกับน้ำตานั่นเลยซักนิด ถ้าวันนั้นผมสังเกตว่ามันร้องไห้ ถ้าผม ดูมันให้ดีกว่านี้ซักนิด ถ้าผมควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้ ถ้าผมใจเย็นกว่านี้ ถ้าผมมีเหตุผลกว่านี้
มันคงไม่เป็นแบบนี้
ทั้งหมด ผิดที่ผมคนเดียวจริงๆ
หมอ นวมินทร์
ผมมองดูคนป่วยที่อยู่ในการดูแลของผมมาตลอดสามเดือน ผมเห็นทุกๆอย่างๆ ทุกการกระทำของคนใกล้ตัวของเขา เห็นแม้กระทั่งคนที่แอบมองผมอยู่หน้าห้องผู้ป่วยตอนนี้
ผมไม่ชอบเขา ทุกครั้งๆที่เขามาหา หรือทุกๆคำพูดที่เขาพูดกับผู้ป่วยของผม มันเหมือนคำที่เขาใช้พูดกับคนรักมากกว่าเพื่อน แต่พอมีคนอื่นอยู่ด้วย เขาจะทำตัวห่างเหินกับคนไข้ของผมทันที เหมือนว่าไม่อยากให้ใครเห็น
แต่ผมมั่นใจมากว่าพวกเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน เพราะดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะมีแฟนอยู่แล้ว แถมดูรักกันมาก ส่วนคนไข้ของผม คงเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไปชอบไอ้เด็กนั่นสินะ
แล้วก็ดูจากรูปการที่พยาบาลคนที่เจอน้องแรกๆเล่าให้ฟังว่าผู้หญิงแฟนของได้เด็กนั่นมีเลือดท่วม และพร่ำบ่นว่าตัวเองเป็นคนทำให้น้องโดนรถชน กับรอยแผลที่บาดเจ็บแค่ซีกเดียวแล้ว น้องเขาคงยอมเอาตัวเองไปบังผู้หญิงคนนั้นเอาไว้สินะ เพราะไม่อยากให้เด็กนั่นเสียใจเพราะแฟนตายเหรอ? หึ น่าอิจฉาจริงๆ
ทุกๆครั้งที่เด็กนั่นมาหา หัวใจของน้องก็จะเต้นแรงขึ้น คลื่นสมองก็ถี่ขึ้น เหมือนกับว่าจะรู้สึกตัว และ
ดีใจ
ทั้งๆที่ผมเป็นคนดูแลเขาตลอดแท้ๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า ไม่ว่าผมจะเรียก จะปลุก หรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ น้องเขาไม่ได้ตอบสนองผมเลยซักอย่าง ไม่แม้แต่หัวใจหรือคลื่นสมองที่เต้นเร็วขึ้นเหมือนเวลาที่เด็กนั่นมาหา มันน่าเจ็บใจอยู่นะครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมขอถือโอกาสขี่แพะไล่ไอ้เด็กนั่นหน่อยแล้วกัน
ผมแกล้งลูบหัวลูบตัวน้องให้คนแอบดูได้เห็น แน่นอนว่าเขาเดินหนีไปทันทีราวกับไม่อยากเห็นภาพนี้เลย แต่ก็เอาเถอะ อีกไม่นาน้องก็จะออกจาก โรงพยาบาลแล้ว ขอโอกาส ให้ผมได้ลวนลามน้องซักนิดแล้วกัน
เพราะบางที ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับน้องเขาอีกแล้วก็ได้
ผมมองดูเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อดูให้แน่ใจว่าน้องหลับไปแล้วจริงๆ ผมก็จัดการเช็ดตัว เก็บอุปกรณ์ต่างให้เข้าที่ โดยพยายามทำให้เงียบที่สุด เพราะไม่อยากรบกวนคนป่วย แล้วผมก็...
นั่งเฝ้าเขาทั้งคืน
ผู้ป่วยที่แสนจะน่าสงสารของผม
พี่วิน นิรนาม(ของพี่วินไม่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันเหมือนสองคนแรกนะครับ)
ผมเป็นแค่วินมอไซต์ธรรมดาๆคนหนึ่ง อันที่จริงผมรวยนะ แต่ผมเบื่อ เบื่อความวุ่นวายในแต่ละวัน เบื่อปัญหาต่างๆที่ชอบโถมเข้าใส่ตัวผม จะบางครั้ง ผมก็แอบหนีมาเป็นคุณวินมอไซต์แทน แต่ด้วยความที่หน้าตาไม่ให้(หล่อไปนิดนึง) ผมเลยต้องมีการปลอมตัวกันบ้าง แต่เพราะวินมอไซส่วนใหญ่ต้องใส่หน้ากากอนามัยและแว่นกันแดนอยู่แล้ว เลยทำให้ไม่ต้องปลอมตัวมากนัก
ผมประจำอยู่ที่คิวหน้าหอของนักศึกษา ทุกๆวัน จะมีเด็กคนหนึ่งเดินมาขึ้นรถผมทุกครั้ง ตอนแรก เป็นเพราะความบังเอิญ หลังๆมานี่ผมจงใจ จงใจจอดรถขวางหน้าหอ แล้วทำทีเป็นคุยกับคนอื่น เพื่อที่แกล้งให้ดูเหมือนว่าผมไม่ได้มาดักรอเขาเลยซักนิด
ใช่ครับ คนที่ผมรอ เขาเป็นผู้ชาย แต่เป็นเด็กที่น่ารักมากๆ ถึงจะชอบทำหน้านิ่งๆอยู่บ่อยครั้ง แต่ความน่ารักก็ไม่ได้ลดลงเลย แต่ความสัมพันธ์ของผมกับเขาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการแอบมองหรอกนะ
บ่อยครั้งที่ผมเห็นเขาร้องไห้ ผมอยากเข้าไปปลอบอยู่นะ แต่ทำไม่ได้ผมมันเป็นแค่วินมอไซต์ที่น้องเขาไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ จนกระทั่งวันหนึ่ง น้องเขาเดินมาหาผมด้วยท่าทางอิดโรย บอกว่าไปโรงพยาบาล ผมจึงพาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ไม่รู้ว่าผมขับรถนิ่มมากหรืออะไร น้องเขาเลยเอนมาซบผม ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงมากผิดปกติ ผมจึงรีบพาไปส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าไม่ให้รอ แต่ผมก็ยังคงดื้อดึงที่จะรอต่อไป เพราะว่าตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว ผมกลัวน้องไม่มีรถกลับ กลัวโดนฉุดด้วย ยิ่งน่ารักๆอยู่ พอน้องเขาออกมา ดูเหมือนจะตกใจกับการมีอยู่ของผมนิดหน่อยแต่ก็ไม่ว่าอะไร พอผมส่งน้องเขาถึงหอ แทนที่น้องเขาจะเดินเข้าไปในหอเหมือนทุกครั้ง แต่เขากลับเลือกที่จะเดินไปนั่งที่ม้างนั่งข้างหอแทน
ส่วนเหตุผลนั้นผมว่าผมรู้นะ เพราะผมเห็นเพื่อนสนิทของน้องเขาเดินขึ้นไปกับแฟนพอดีน่ะสิ คงไม่อยากไปเป็นก้างล่ะมั้ง ตอนแรก ผมกะปล่อยผ่านไป แต่ว่า ขาของผมดังก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขาแล้วนี่สิผมเลยแก้เก้อด้วยการนั่งลงข้างๆน้องเขาแทน เอาน่า นี่ก็เป็นโอกาสดีนะเว้ย
ผมนั่งรอจนกระทั่งน้องเขาขอตัวเข้าห้องไป ผมเองก็กลับไปที่รถเพื่อรอรับส่งคนอื่นแทน แต่เวลานี้คนก็ไม่มาเท่าไหร่ ผมที่ค่อนข้างเครียดกับงานหลักเลยตัดสินใจออกมาขี่รถเล่นแทน แต่ขี่รถเล่นไปนานพอสมควรรู้สึกตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่สะพานริมน้ำแล้ว โทรศัพท์แผดเสียงลั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตัว พอผมดูเบอร์ผมก็แทบจะขว้างโทรศัพท์ทิ้งด้วยซ้ำ แต่ทำไม่ได้นี่สิ เลยต้องจำใจกดรับไป เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องด่วน มันคงไม่โทรมา
พอคุยกันเสร็จ ผมก็โบกมือลาชีวิตสโลว์ไลฟ์ แล้วกลับไปใช้ชีวิตเครียดๆเหมือนเดิมแทน
แต่ว่า อยากเจออีกชะมัดเลย น้องคนนั้น หวังว่างานคงไม่เยอะนะ จะได้มาเวลาออกมาเล่นบ้างอะไรบ้าง หึๆๆ
-
เย้ ได้อ่านต่อแล้ววววว อัพบ่อยๆน้าาา
-
ใครจะเป็นพระเอกเนี่ย ลุ้นๆ
-
ตัดเอกไป สนพี่หมอกับพี่วิน
-
เย่~
กลับมาแล้ว พร้อมตอนเท่าเดิม :hao5:
รอตอนต่อไปนะค้า
-
อยากได้ ตอนต่อไปเหลือเกิน ใจจะขาดแล้ว ใจจะขาดแล้วครับ
-
มารอตอนต่อไปค่ะ :hao5:
-
หายไปหนายยยยย กลับมาเถอะค่าาาาาาา
-
รอออออออออ~
-
เชียร์ พี่หมอกับพี่วิน 3P เลยก็ได้ แต่เอาไอ้เอกออกไปเลยนะ
-
อ้าว พี่วิน :laugh:
ตกลง คุณหมอเป็นพระเอกหรอคะ
-
เชียร์พี่หมอให้เป็นพระเอกกกกกก
-
chapter 5
ผมเปิดตาขึ้นช้าๆ รอบๆตัวเป็นสีขาวทั้งหมด ไร้เส้นทาง และกว้างไกล ผมหันไปมองรอบๆก่อนจะหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอสวมชุดสีขาว ผมยาวสีดำสนิทถูกลมพัดอ่อนๆ ใบหน้าสวยอย่างสาวเอเชียค่อยๆเงยหน้าและเผยยิ้มให้กับผม
ผมรู้สึก คุ้นหน้าเธออย่างน่าประหลาด
ผมมองเธอด้วยความประหลาดใจ เธอยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาราวกับกำลังจะมอบอ้อมกอดนั้นให้ผม ผมก้าวขาไปข้างหน้าช้าๆ และกอดเธอ วงแขนบอบบางของเธอกอดผมเบาๆ แต่อบอุ่น ความรู้สึก คล้ายกับตอนที่คุณน้าคนนั้นจับมือผม แต่อบอุ่นกว่ามาก
เป็นความอบอุ่นที่ไม่ทำให้รู้สึกร้อนเลยสักนิด ความอบอุ่นแบบนี้มันคืออะไรนะ
เรากอดกันเป็นเวลานาน เหมือนว่าพยายามเก็บเอาความรู้สึกและความอบอุ่นนี้เอาไว้ให้มากที่สุด และแน่นอน งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ผมคลายอ้อมกอดออกอย่างเสียดาย เธอส่งยิ้มให้ ก่อนจะจับมือผมและพาเดินตรงไปยังที่ไหนสักที่
ท่ามกลางแสงสีขาวสว่างจ้า ผมเห็นประตูบานใหญ่ที่ถูกพันด้วยเถาวัลย์ดอกไม้ราวกับโดนประดับไว้อย่างสวยงาม แต่ทว่า อีกฟากของประตูก็ยังคงเป็นสีขาวไร้เส้นทางใดๆเหมือนเดิม
เธอหันมายิ้มให้กับผมบางๆ ก่อนจะพยักเพยิดให้ผมเข้าไปในประตูนั้น ผมค่อยๆเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู หันมามองเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอยังคงยิ้มให้ผมตามเดิม เหมือนกับบอกให้ผมมั่นใจและก้าวผ่านประตูนั้นไป
ผมหลับตาลงช้าๆ ค่อยๆก้าวผ่านบานประตู แสงสีทองสว่างจ้าปรากฏขึ้นแทนทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น ผมเปิดตาขึ้นช้าๆ แต่ก็ต้องปิดตาลง เนื่องจากอาการแสบและฝืดเคืองที่ตา ผมกระพริบตาจนรู้สึกว่าน้ำตาได้หล่อเลี้ยงไปทั่วนัยน์ตาแล้ว จึงค่อยๆเปิดตาขึ้นเต็มที่อย่างยากเย็น
สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งแรกคือเพดานห้อง ผมพยายามหันไปทางข้างเตียงเพื่อดูว่ามีใครอยู่หรือเปล่าแต่มันก็ยากเย็นเหลือเกิน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ ผมจึงหันกลับมาและยกมือขึ้นหมายจะจับขอบเตียงแต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลย ผมลองขยับมืออีกครั้งโดยใช้แรงทั้งหมดเท่าที่มี แต่ก็ไม่เป็นผล
เหมือนกับว่ามันไม่ใช่แขนของผมอีกแล้ว ผมพยายามจะขยับทุกส่วนของร่างกาย ก่อนจะรู้ว่าตั้งแต่ช่วงคอลงไป ผมไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกเลย ทำไมนะ หรือว่า ผมจะเป็นอัมพาต
เอาเถอะ ดีกว่าตายละกัน
ผมได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดออก จึงรีบปิดตาลงอย่างรวดเร็วโดยที่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะหลับตาทำไม เสียงเดินยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ฟังจากเสียงน่าจะมาคนเดียว พี่หมอแน่เลย จะบอกเขายังไงดีนะ เปิดตาขึ้นไปเฉยๆนี่หมอเค้าจะนึกว่าเราตายตาค้างหรือเปล่า??
“คุณศรินทรา ผมมีข่าวร้ายมาบอกในเช้านี้ครับ เอาล่ะถ้าคุณได้ยิน ผมขอแสดงความเสียใจด้วย คุณเป็นอัมพาตครับ แต่ไม่ต้องห่วง ถึงจะใช้เวลาหน่อย แต่หากทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอคุณจะกลับมาเป็นปกติได้อย่างแน่นอนครับ”
ครับ เรื่องนั้นผมรู้แล้วล่ะ ผมก็มีเรื่องอย่างบอกคุณนะ
“แต่ผมมีอีกข่าวมาบอกนะครับ อาจจะร้ายมากที่สุดสำหรับคุณเลยล่ะ”
ข่าวร้าย อะไร?
“คุณเอกราชเพื่อนของคุณเขาฝากผมมาบอกว่า เขาอาจจะไม่ค่อยได้มาเยี่ยมคุณแล้วนะครับเพราะว่า เขาตอบรับการเป็นนักกีฬาทีมชาติไปแล้ว”
จริงเหรอ… แต่ดีใจด้วยนะ มึงเก่งจริงๆเอก กูรู้ว่ามึงทำได้ ทำไมผมแอบเศร้าล่ะเนี่ย
“แต่… ผมยังอยู่ตรงนี้กับคุณเสมอนะ”
พี่หมอลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะเลือนมือมาลูบแก้มผม นี่แต๊ะอั๋งใช่ไหม?
ผมที่ทนให้พี่หมอแต๊ะอั๋งต่อไม่ไหวเลยค่อยๆเปิดตาขึ้นช้าๆ สิ่งที่เห็นทำเอาผมแทบจะปิดตาลงอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เอาตรงๆนะพี่หมอ
หล่อชิบห_ย
พระเจ้า คนบ้าอะไรวะ ขนาดตกใจยังหล่อบ้าไปแล้ว นี่มันคนหรือพระเจ้าอ่ะ ขนาดผมที่เป็นผู้ชายยังอึ้งเลย คือไอ้จะให้ผมอธิบายหน้าตาคงยาก เอาเป็นว่าพี่แกหล่ออ่ะ คือหล่อแบบเกาหลีหน่อยๆ แต่ลุคคุณชายมาก ยิ่งพอสวมแว่นแล้วมันใช่เลยนี่มันพระเอกการ์ตูนตาแป๋วชัดๆ!
“คุณ…ตื่นแล้วเหรอ มองผมเห็นไหม”
“…” เห็น แต่ตอบยังไงดีครับ
“อ่า กระพริบตาได้ใช่ไหมครับ”
ได้สิ ผมกระพริบตาทันทีที่เขาพูดจบเพื่อตอบคำถาม
“ถ้าอย่างนั้น หากคุณเห็นชัดมากให้กระพริบตาหนึ่งครั้ง ถ้าเป็นไม่ชัดให้กระพริบตาสองครั้ง ถ้าไม่เห็นให้กระพริบตาสามครั้งครับ”
เห็นชัดสิ ชัดมาก ความหล่อหมอนี่ชัดมากครับ ผมกระพริบตาหนึ่งครั้ง หมอพยักหน้านิดหน่อย ก่อนจะหยิบไฟฉายมาส่องๆ กดกริ่งเรียกพยาบาล ซึ่งไม่นานเธอก็เดินมาพร้อมสมุดจดบันทึก
หมอบอกอาการที่ตรวจล่วงหน้าตอนที่รอเธอมาเพื่อให้เธอจดบันทึก และผมทึ่งกับการจดบันทึกขอเธอมาก เพราะผมเห็นแค่ปลายปากาที่สั่นไปมาเพียงนิดหน่อย แต่สั่นเร็วมาก งงไหมขับ ขยับน้อยๆแต่ถี่ๆน่ะครับ เอ๊ะ ไม่เอาไม่คิดลึก
“ขยับนิ้วได้ไหมครับ” เขาถามผม ผมพยายามจะขยับแต่เหมือนจะยากเกินไป พอเห็นดังนั้นคุณพยาบาลก็ก้มลงจดอีกครั้ง ผมชอบเวลาเธอจดจริงๆ เร็วกว่าผมตอนปั่นงานค้างก่อนสอบปลายภาคเสียอีก
“มีส่วนไหนที่ขยับได้อีกไหมครับ” ผมลองทำอย่างอื่นดู แต่ทั้งมือทั้งขาทั้งนิ้วใดๆในร่างกายผมไม่ยอมทำตามคำสั่งสักอย่าง ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ด้วยการหายใจเข้าสั้นห้วนทางจมูก และพ่นออกมาทางปาก
“คุณ ขยับปากได้ไหมครับ” ว่าแล้วผมก็ลองอ้าปากช้าๆ และพบว่ามันสามารถขยับได้แต่ช้ามาก หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆปิดปากลง แล้วเม้มริมฝีปากแทน รู้สึกได้ถึงความแห้งผากของปากตัวเองเลย ผมค่อยๆหันหน้าไปหาหมอช้าๆแล้วกระพริบตาปริบๆ
“อ่า ลองยักคิ้ว หรือ เลิกคิ้วขึ้นได้ไหมครับ” ผมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ด้วยการเลิกคิ้วขึ้น เพราะผมยักคิ้วไม่เป็น
“พูดได้ไหมครับ” เขาถามอีกครั้ง แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะผมลองดูเหมือนจะไม่ได้ แล้วผมก็รู้สึกแสบคอนิดหน่อย พอเห็นดังนั้นหมอก็ใช่นิ้วโป้งดันปากผมช้าๆ แล้วเอาไฟฉายส่อง ดูนู่นนิด นี่หน่อยก็หันไปคุยกับพยาบาลแล้วขอตัวออกจากห้องไป
ผมปิดตาลงในห้องที่เงียบเหงา แต่ผมก็ไม่ได้อะไรหรอก ก็พอจะรู้ว่าเขายุ่งๆกันอยู่ แต่มันก็อดเหงาไม่ได้ ห้องนี้มืดดีจัง เห็นทีต้องบอกให้เขาเปิดม่านให้เสียแล้ว ระหว่างที่ผมกำลังจะหลับนั้นก็มีใครบางคนเดินเข้ามาเสียก่อน
“ผมติดต่อคุณนรารัตน์ แล้วนะครับ เธอบอกว่าหลังจากเลิกงานจะรีบมาหาทันที น่าจะประมาณ สี่ห้าโมงได้ครับ”
“ผม บอกคุณเอกราชไปแล้วด้วย แต่ในห้องนี้ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ ทำให้ไม่สามารถติดต่อกันได้”
ผมพยักหน้ารับช้าๆ พยายามไม่แสดงอาการว่าเสียดายแค่ไหน แต่ไม่รู้ว่าผมจะทำได้ดีพอที่จะตบตาเขาหรือเปล่า
“ช่วงนี้คุณยังจะพูดไม่ค่อยได้นะครับ เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเสียงนิดหน่อย แต่สามารถทานอาหารได้ ยกเว้นของทอดของมัน ถ้าเป็นของโปรดก็คงต้องแสดงความเสียใจได้นะครับ แต่ซักอาทิตย์ก็คงหาย ไม่ต้องห่วงครับ”
ผมยิ้มนิดๆ คิดว่าหมอน่าจะเคร่งขรึมเสียอีก มีมุมตลกด้วยเหรอเนี่ย
“วันนี้ นอนพักก่อนนะครับ พรุ่งนี้เราจะเริ่มทำกายภาพบำบัดกัน อ้อ แล้วก็ถ้าหิว ช่วยทนหน่อยนะครับ เรายังให้ทานอาหารทันทีไม่ได้ ตอนนี้ทานได้แค่น้ำเปล่า เดี๋ยวช่วงเย็นเราจะนำอาหารมาให้นะครับ”
ผมพยักหน้าช้าๆ ด้วยความคอแห้ง ผมพูดแบบไม่มีเสียง แต่เขากลับเอาแต่สาละวนอยู่กับกระดาษจดบันทึกจนไม่ทันสังเกต พอทำไปนานๆเริ่มเมื่อย จนต้องเปลี่ยนเป็นจ้องแทน ภาวนาให้กระแสจิตแห่งความกระหายจะช่วยให้เขาหันมามอง ก่อนที่จะเดินจากไปทีเถอะ ไม่อย่างนั้นต้องรอจนเย็นแน่
“หืม” และมันก็ได้ผล เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ผมจึงขยับปากเป็นคำว่าน้ำ เขารีบไปหาให้ทันที ผมกะว่าถ้าไม่เข้าใจจะสะกดให้ดูด้วย
เขาวางแก้วลงบนโต๊ะข้างเตียง ค่อยๆพยุงผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง โดยใช้มือประคองหลังเอาไว้อีกทีกันผมไหลลงไปกับเตียง อีกมือก็ยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปากผม เขาค่อยๆเอียงแก้วจนน้ำไหลเข้าปากให้ผมได้ดื่มช้าๆ จนกระทั่งผมเม้มริมฝีปากเพื่อบอกว่าพอแล้ว เขาถึงค่อยๆเอาแก้วออก
“จะนั่งต่อไหมครับ” เขาถาม ผมพยักหน้าแทบจะทันที เพราะนอนนานจึงอยากเปลี่ยนเป็นการนั่งบ้าง เขาพยักค่อยๆปล่อยมือที่ประคองผมออกปล่อยให้ผมได้นั่งอย่างสะดวก ก่อนจะเดินไปเปิดม่านออกเพื่อให้แสงสว่างได้เข้ามาบ้าง ทำให้ผมได้เห็นอะไรต่างๆชัดขึ้น รอยแผลที่เริ่มจาง กับผิวซีดๆ ที่ซีดหนักกว่าเก่าจนอดสงสัยไม่ได้
นี่ผมกำลังจะกลายร่างเป็นแวมไพร์หรือเปล่านะ
ผมมองหมอที่กำลังจัดการกับเอกสารต่างๆอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เขาดูจริงจังกับงานมาก ต่างจากตอนที่ดูแลผมลิบ แต่ก็ยังดูดีอยู่ ถึงจะเป็นคนละแบบก็ตาม เรานั่งเงียบๆอยู่อย่างนั้น มีบ้างที่คุณหมอหันมายิ้มให้ หรือถามว่าผมยากนอนหรือเปล่า เมื่อผมตอบตกลง(เพราะผมเริ่มจะเมื่อยพอดี)เขาก็ค่อยๆพาผมนอน แล้วความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้หลับหรอกนะ ยังแอบดูเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ
จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น คุณหมอลุกไปเปิดประตูให้ คนที่เข้ามาใหม่คือคุณนาย เธอสวัสดีคุณหมอแล้วเดินมาหาผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แอบเห็นเม็ดเหงื่อบนหน้านิดหน่อยแต่ความงามของเธอก็ไม่ได้ลดลง ใช่ครับเธอสวยมากทีเดียว สวยตามอายุนะครับ ถ้าตอนสาวๆนี่ผมว่าคงไม่แพ้นางงามเลย
“สวัสดีจ้ะหนูเคียวใช่ไหมเอ่ย ป้าชื่อนรารัตน์นะ เรียกป้ารัตน์ก็ได้ เป็นผู้ปกครองของคนที่ขับรถชนหนูนี่แหละจ้ะ พอป้าได้ข่าวป้าก็รีบจัดการงานให้เสร็จแล้วรีบมาเลยรู้ไหม ตอนนี้ป้าใช้ เอ้ย วานให้สามีป้าไปซื้อของรับขวัญอยู่จ้ะ เดี๋ยวก็คงมา”
เธอพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ สองมือกุมมือผมไว้ ไม่รู้ว่าแน่นแค่ไหนเพราะผมไม่รู้สึกอะไรเลย ผมยิ้มและพยักหน้าตอบไปเบาๆ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มมีสีหน้าที่เศร้าลงนิดหน่อยแต่ยังคงรอยยิ้มเอาไว้อยู่
“ป้าได้ยินมาว่าหนูจะเป็นอัมพาต ถึงจะแค่ชั่วคราวแต่หนูคงต้องอยู่โรงพยาบาลไปอักสักพัก ส่วนเรื่องการเรียนป้าจัดการให้แล้วนะจ้ะ แล้วก็ ขอโทษจริงๆที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องคดีความนะจ้ะ ป้าให้เขาจัดการตามขั้นตอนแล้วล่ะ”
สายตาของเธอที่มองมาบ่งบอกว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมดไม่มีการหลอกลวงหรือปิดบังใดๆ ยิ่งพอรู้ว่าเธอเป็นคนเด็ดเดี่ยวพอที่จะให้ลูกของตัวเองถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น
“หนูเคียวไม่ต้องกังวลว่าจะไม่หายนะจ้ะ หมอนวมินทร์น่ะเก่งที่สุดในประเทศนี้แล้วนะ ป้าเชื่อว่าหนูต้องหายแน่นอนเลย ใช่ไหมคะหมอ?”
“ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ตอนที่บาดเจ็บแรกๆอาจจะลำบากหน่อย แต่ถ้าเป็นอาการหลังจากนี้ต่อให้หมอไม่เก่งแต่หมั่นทำกายภาพบำบัดบ่อยๆก็หายได้แน่นอนครับ”
“ขอบคุณหมอมากนะคะ อ๊ะ สามีป้ามาแล้ว เขาชื่อ พัสกร เรียกลุงพัสก็ได้นะจ้ะ”
สามีของคุณป้า(เนื่องจากเธอแทนตัวเองว่าแบบนั้นผมจึงเรียกตาม)เดินเข้ามาพร้อมตะกร้าผลไม้นานาชนิด อีกข้างเป็นรังนก อีกถุงที่เอามาคิดว่าน่าจะเป็นกระปุกอาหารเสริมและอีกถุงเป็นขนมขบเคี้ยวมากมายหลายอย่าง เอาอีกแล้วครับ รอบข้างผมมีแต่คนหน้าตาดีทั้งนั้น สามีคุณป้าก็เช่นกัน รายนี้หล่อคมเข้มมากครับ คนหนึ่งสวยหวาน คนหนึ่งหล่อคม พระเจ้าช่างสร้างเขามาให้คู่กันเสียจริง
เขาพยักหน้าให้ผมนิดหน่อยจากนั้นก็วางของลงบนโต๊ะแล้วเดินมายืนข้างๆภรรยาของเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉยไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น
“สามีป้าเขาหน้านิ่ง แต่จริงๆใจดีมากเลยล่ะ แล้วก็เขาขี้อายน่ะจ้ะ”
คุณป้าที่สังเกตสีหน้าเกรงๆของผมออก ถอนหายใจส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวมากระซิบเบาๆที่ข้างหูของผมให้พอได้ยินกันสองคน พร้อมรอยยิ้มที่ติดจะขี้เล่นนิดหน่อยก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
เธอถามคุณหมอว่าเช็ดตัวให้ผมได้เลยหรือเปล่า เมื่อรู้ว่าได้เธอจึงอาสาเป็นคนเช็ดตัวให้ผมแทน ทีแรกผมเขินและพยายามปฏิเสธแต่เธอบอกว่าของผู้ชายน่ะเธอเคยเห็นมาหมดแล้ว เล่นเอาคุณสามีหันขวับทันที แต่เธอหัวเราะแล้วบอกว่า เห็นของคุณนั่นแหละ สามีเธอถึงทำหน้าโล่งขึ้นมาหน่อย และคุณหมอบอกว่าเช็ดแค่ส่วนที่โผล่พ้นร่มผ้าขึ้นมาก็พอ ผมถึงจะยอมให้เช็ดตัวได้
หลังจากเช็ดตัวเธอก็คุยกับผมหลายเรื่องจนกระทั่งได้เวลาทานอาหาร เธอก็อาสาป้อนอีกตามเคย โดยเธอบอกว่าเธอรู้สึกสนุกมากกว่าอีกครั้ง โดยมีคุณหมอคอยบอกว่าอะไรที่ผมยังทานได้หรือไม่ได้ และยังคอยบอกรายละเอียดของอาการผมอย่างใกล้ชิด ระหว่างนั้นผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า!
คุณลุงกำลังปอกแอปเปิลอย่างชำนาญ ซ้ำยังทำเป็นรูปกระต่ายด้วย!
ช่างเข้ากันเสียจริงๆ
ผมพยายามไม่โฟกัสและหัวเราะ ทำเหมือนผมยังไม่ได้มองเห็นภาพนั้น ซึ่งมันยากเสียยิ่งกว่าการโกหกหมอว่าไม่ได้เสียใจเรื่องที่เอกไม่มาเยี่ยมอีก หลังจากที่ผมทานอาหารเสร็จคุณนายก็ขอตัวกลับบ้านไปพร้อมกับคุณสามี เนื่องจากยังมีงานที่ต้องทำ และสัญญาว่าจะมาบ่อยๆ คุณสามีที่พึ่งจะปลอกผลไม้เสร็จ รีบเก็บทุกอย่างเข้าที่ เพราะคุณภรรยามีบัญชาให้กลับอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ยังไม่ลืมกำชับคุณหมอให้ป้อนผลไม้ผมก่อนกลับอีกด้วยนะ
เมื่อคุณหมอเดินไปส่งทั้งสองคนที่หน้าประตู และปิดประตูเรีบยร้อยแล้วก็เดินมานั่งแทนที่คุณป้า หยิบจานผลไม้ขึ้นมาเพื่อป้อนผมด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ผมพยายามไม่สนใจความหล่อของหมอและทานผมไม้ต่อไปเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็ไม่มีใครอึดอัด ผมคิดว่าแบบนั้นนะ พอผมทานเสร็จคุณหมอก็ลุกเอาจานไปไว้บนรถเข็นถาดอาหาร และออกจากห้องไป โดยกำชับว่าห้ามผมนอนก่อน เพราะอาการการไหลย้อนของอาการและกรดได้จึงออกจากห้องไป
ซักพักเขาก็เดินกลับมา พร้อมแก้วน้ำและถาดยาวางมันเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็จัดการกับเอกสารต่อ บางครั้งผมก็สงสัยนะ เป็นหมอเอกสารที่ต้องจัดการทำไมมันเยอะแบบนี้ พอผมเห็นเขาว่างขึ้นมาทีไรเป็นอันจะต้องหยิบเอกสารขึ้นมาทำต่อทันที หลังจากที่เขียนเอกสารไปได้พักหนึ่ง เขาก็วางปากกา หันมาจับแก้วน้ำกับยาแล้วหันมาหาผมแทน
"ทานยาก่อนนะครับ หลังจากนี้สามสิบนาทีผมจะพาคุณเข้านอน"
ผมพยักหน้า เมื่อคุณหมอป้อนยาผมเสร็จ เขาก็เดินไปเปิดโทรทัศน์แล้วกลับไปจัดการกับเอกสารต่อ ปล่อยให้ผมดูสารคดีวิทยาศาสตร์ต่อไปเงียบๆ ดีนะที่เป็นรายการที่ผมชอบดูพอดี ถ้าไม่ใช่ผมคงหลับทั้งๆที่นั่งอยู่แน่ๆเลย
เมื่อรายการจบ และครบสามสิบนาทีแล้ว คุณหมอก็เงยหน้าขึ้นมาสักที ผมจึงขยับปากพูดออกไปว่าห้องน้ำก่อนที่เขาจะพาผมนอน ที่จริงผมทนมาตั้งแต่เมื่อสิบนาทีที่แล้ว เพราะหมอไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสักทีเลยไม่ได้บอก เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบพาผมไปเข้าห้องน้ำอย่างเร็ว และเนื่องจากห้องน้ำไม่ไกลมากเขาจึงเลือกที่จะอุ้มผมไปแทนที่จะพาเดิน
พอจัดการธุระจนเสร็จ เขาก็พาผมมานอนทันที ทั้งยังบอกราตรีสวัสดิ์อีกด้วย ผมยิ้มตอบหน่อยๆก่อนจะปิดตาลงและคิดถึงเรื่องของผู้หญิงในฝัน หากได้เจอกันอีกก็คงจะดี
คุณแม่ครับ
***************************************************
กลับมาแย้วววววว ขอโทษที่หายไปนาน โน๊ตบุคเจ๊งจ้าาา เพิ่งจะกลับมาใช้ได้ ขอโทษน้า ยังมีคนอ่านอีกไหมเนี่ย
5555555 เดี๋ยวก็จบแล้ว ไม่นานๆอิๆ
จะพยายามกลับมาเร็วๆนะ แต่ช่วงนี้งานค่อนข้างเยอะยังปรับตัวกับอะไรๆไม่ค่อยทันเท่าไหร่ อาจจะช้าหน่อยแต่ไม่เท่าครั้งนี้แน่นอน คาดว่าอีกเดี๋ยวก็คงจบแล้วจ้ะ
ปล พี่หมอพี่วินเป็นตัวประกอบเน้อ พระเอกคือน้องเอกนะจ้ะ
แต่!!!! แฟนๆพี่หมอพี่วินอย่าเพิ่งเลิกอ่านนะ อ่านให้จบก่อนนนนน
* ใบ้ให้นะว่าสองคนนี้อ่ะ เค้ามีปมอะไรๆกันด้วยล่ะ!!*
ขอบคุณที่ติดตาม! บ๊ายบายย :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
-
:sad4: โอยยย นึกว่าหายไปอีกกกกกก ดีใจจนน้ำตาไหลลล
-
อย่าเงียบไปสิ ใจคอไม่ดีเลย
-
ไม่อยากได้เอกเป็นพระเอกเลยค่ะ เปลี่ยนได้ไหม
-
มาต่อเร็วๆน้าาาาาาา แอบอยากให้เปลี่ยนพระเอกเป็นพี่หมอ :hao6:
-
เอกเป็นพระเอกเหรอ โถ่ น้องเคียวของชั้นไม่มีบุญได้ทานหมอ ไม่เป็นไรนะ คุณหมอเนี่ย เดี๋ยวเราจัดการเองไม่ต้องห่วง :z1: ตอนแรกนึกว่าตัวเองผีบ้าไปคนเดียวที่คิดว่าพี่วินชอบเคียว 555555
-
chapter 6
วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ตั้งแต่เช้าจนเย็น ก็มีเพียงผม และคุณหมอเหมือนเดิม….
“เคียวววว!!!”
ซะที่ไหน
เสียงลิงทโมนสี่ห้าตัวแผดลั่นก่อนจะกรูกันเข้ามาล้อมเตียงผมด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปถามคุณหมอว่ากอดผมได้หรือเปล่า แต่คำตอบคือไม่ เพราะกลัวว่ายังมีบางแผลที่ผมยังไม่หายอาจทำให้ผมเจ็บได้จึงหงอยลงไปนิดหนึ่ง แต่ความระรื่นยังคงมีมากกว่า
“เคียว แกได้ยินที่พวกเราพูดใช่ไหม” ผมกระพริบตาช้าๆเป็นคำตอบให้กับคำถามของยางลบ พวกนั้นยิ่งตาประกายกันยกใหญ่
“ดีจังงง อีกเดี๋ยวแกก็ได้กลับบ้านแล้วใช่ไหมอ่ะ” ดาด้าถาม
“ครับ อย่างเร็วคงประมาณ3-4เดือน อย่างช้าที่สุดคงประมาณหนึ่งปีกว่าๆน่ะครับ” เป็นคุณหมอที่ตอบแทน เพราะคงทนเห็นสภาพอันทุกลักทุเลในการตอบของผมไม่ไหว
“อ่า เออใช่ คือเราเรียนเสร็จแล้วรีบมาเลยอ่ะ ลืมซื้อของมาเยี่ยม คุณหมอครับ เคียวกินอะไรได้บ้างฮะ”
แม้ประโยคแรก ยางลบจะพูดกับผม แต่ประโยคหลังกลับหันไปถามคุณหมอ ถ้าดูไม่ผิด ผมว่างานนี้มีอ่อยนะครับ แน่นอนว่ามีตาขวางๆของดินสอมองตามเช่นกัน
“ทานได้ทุกอย่างยกเว้นของทอดของมัน อาหารรสจัดและสิ่งที่ทำให้ระคายเคืองคอครับ อ้อ ไก่คงไม่ดีต่อแผลเท่าไหร่ด้วยครับ ”
คุณหมอตอบด้วยรอยยิ้มบางเบาฉบับคุณหมอผู้อ่อนโยน ก่อนจะชวนให้พวกนี้มาป้อนผลไม้ให้ผมก่อนที่ตัวเองจะกลับไปทำงานที่ค้างอยู่
แน่นอนว่าหลังจากที่คุณหมออกจากห้องพวกนี้ก็โม้แหลก ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องใครนอกใจใคร(ยางลบ&ดินสอ) แม้กระทั่งเรื่องดาวมหาลัยคนดังเลิกกับแฟนคนที่10ในรอบเดือน จนกระทั่งคุณหมอกลับมาพร้อมกับคุณพยาบาลที่นำอาหารเย็นมาให้นั่นล่ะครับ พวกนี้ถึงจะยอมกลับกัน
“กลับแล้วน้า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ สัญญาว่าจะเอาแตงโมมาด้วย ฮ่าๆๆ” ดาด้าพูดพลางโบกมือบ้ายบาย ส่วนวินก็หันมายิ้มกว้างแล้วโบกมืออย่างอลังการ จนด้าต้องแอบตีแขนเบาๆ คงเพราะมีคนมอง
“ไม่ต้องทำหน้าหมาหงอยนะ เดี๋ยวพวกเราจะมาให้เบื่อหน้าเลย ไปแล้วนะฮะคุณหมอ” ยางลบหันมาพูดประชดผมนิดหน่อยก่อนออกไปยังไม่วายอ่อยคุณหมอจนดินสอที่โบกมือลาผมอย่างอารมณ์ดีเปลี่ยนมาทำหน้าบึ้งแล้วลากแขนออกไป
บางทีผมก็แอบคิดนะว่า ที่ยางลบมาบ่อยๆนี่ มาเยี่ยมผมหรือมาหาคุณหมอกันแน่ ลำบากใจแทนดินสอกับคุณหมอเลย
“เพื่อนๆน่ารักเหมือนเดิมนะครับ”
น่ารัก? อืม ก็จริงอย่างน้อยพวกนี้ก็มาเยี่ยมบ่อยๆ พอคิดแบบนั้นผมก็อดยิ้มไม่ได้แหะ
“ทานข้าวกันนะคะ เดี๋ยวพี่ป้อน” เพราะมัวแต่คิดเรื่องพวกลิงทโมนเลยไม่ทันสังเกตว่าพี่พยาบาลปรับเบาะนอนและจัดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว แถมตอนนี้กำลังคนข้าวต้มอยู่ด้วย
“นี่ค่ะ” พี่พยาบาลเป่าข้าวต้มที่ร้อนอยู่ให้ผม แล้วยกมันจ่อปากผม ด้วยความที่ผมไม่ค่อยซีเรียสเรื่องรสชาติอาหารอยู่แล้ว ขอแค่ไม่ถึงขึ้นที่กินไม่ได้จริงๆ ผมก็กินได้ทั้งนั้น ตอนอยู่บ้าน(สถานเด็กกำพร้า)อาหารรสชาติแย่กว่านี้ก็กินกันทุกวันมาแล้ว
ระหว่างทานข้าว พี่หมอก็วัดนู่นวัดนี่ไปเรื่อย พอทานเสร็จก็ตรวจเสร็จพอดี โคตรทำงานเป็นทีม
“วันนี้ทานหมดเลยนะคะ วันหลังเพิ่มอาหารไหมคะ?” ผมส่ายหัวช้าๆ(คือมันส่ายได้แค่นี้)เพราะวันนี้ที่กินหมด มันก็มาจุกตรงคอหอยหมดแล้วล่ะ ผมเสียดายอาหารน่ะ ไม่ใช่ว่าพี่พยาบาลน่ารักนะ เวลาที่เธอป้อนผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ ขอตัวนะคะคุณหมอ” เธอเก็บของเก็บเตียงเสร็จก็หันมายิ้มให้ผมและโค้งตัวให้คุณหมอเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ เดี๋ยวอีก15นาทีพี่จะให้ทานยานะครับ อ่า อ้าปากหน่อยครับพี่จะเช็คคอ”
อ่ะอ้าปาก
“คอแดงน้อยลงแล้วนะครับ แต่ระหว่างนี้อย่าเพิ่งส่งเสียงก่อนนะเดี๋ยวอาการจะแย่ลง”
แล้วพี่หมอก็จดยุกยิกๆ
“ลองส่ายหัวดูนะครับ”
ผมส่ายหัว พี่หมอจด
“พยักหน้าครับ”
พยักหน้า พี่หมอจด
“ยิ้มครับ”
อ่ะยิ้ม พี่หมอไม่จด?
“น่ารักมากครับ ขอบคุณ”
ห้ะ...
พี่หมอจด ผมเขิน
“15นาทีแล้ว ทานยากันครับ”
เดี๋ยวๆ ยังไม่หายเขิน แต่ก็อ้าปากไปกินยา พยายามที่จะไม่สบตา แต่เหลือบไปนิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ รอยยิ้มพี่หมอก็ทำดาเมจกระจายแล้วฮะ ลาก่อนโลกนี้
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกรำคาญร่างกายช้าๆนี่แบบจริงจัง มันทำให้หลบสายตาพี่หมอไม่ทันจริงๆ ตั้งสติไว้ เห้ยยยยยย จับมือผมทำไม!
“ลองขยับนิ้วดูได้ไหมครับ” อ๋อ เช็คร่างกายนะ ตกใจหมด ผมพยายามขยับนิ้ว สิ่งที่ได้คือนิ้วชี้กับนิ้วกลางขยับขึ้นมานิดหน่อย
“คราวนี้ลองบีบมือดูนะครับ” ผมพยายามแบบให้แรงที่สุดเท่าที่จะเท่าได้ผลคือ มือผมกำมือพี่หมอได้แค่นั้นแหละ แล้วพี่หมอก็วางมือผมลงแล้วไปจับอีกข้างแทน แต่ข้างนี้มีนิ้วชี้ที่ขยับได้อย่างเดียว ส่วนการบีบมือนี่แทบไม่ขยับ
“ลองขยับแขนได้ไหมครับ” ผมเม้มปาก พยายามเค้นแรงเพื่อที่จะขยับมันให้ได้มากที่สุด แต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ พี่หมอพยักหน้า เป็นเชิงว่าพอแล้ว ก่อนจะเลิกผ้าห่มที่เท้าขึ้น ก่อนจะบอกให้ผมลองขยับเท้าดู แน่น่อนว่าไม่มีอะไรขยับเลย พี่หมอเลยเอาผ้าห่มคลุมไว้เหมือนเดิม แล้วหันไปหยิบอะไรบางอย่างรูปร่างกลมๆรีๆผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ดูแล้วน่าจะทำจากพลาสติกไม่ก็ยาง
“ลองบีบอันนี้ไปเรื่อยๆนะครับ บีบแล้วปล่อยเหมือนปั้มลมใส่ลูกโป่งน่ะครับ ครับแบบนั้นล่ะครับ ไม่ต้องพยายามมากก็ได้ครับ เอาเท่าที่ได้เลย” นุ่มจัง
“โอเคครับ เดี๋ยวเรามาวัดแรงบีบกัน” หลังจากที่ผมบีบไปจนเริ่มเมื่อย พี่หมอก็เอาสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นเครื่องวัดแรงบีบมาให้ผมกำดู แล้วก็จด จากนั้นก็ให้ผมสลับข้าง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มมืด และผมเองก็เริ่มง่วง
“ง่วงแล้วเหรอครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน” พี่หมอปิดสมุดบันทึกลงแล้วเก็บของ พาผมเข้าห้องน้ำและส่งผมเข้านอน แต่กลับมาใครบางคนเปิดประตูเข้ามาเสียก่อน
ใคร?
“สวัสดีจ้ะ ขอโทษที่มาช้านะจ้ะ วันนี้งานยุ่งจริงๆ” เธอเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้ม อ่าคุณป้านี่เอง เปล่านะผมไม่ได้คิดว่าเป้นใครสักหน่อย….
ผมยิ้ม(เท่าที่ยิ้มได้)ให้เธอ ก่อนที่คุณหมอจะรายงานอาการของผมให้เธอฟัง เธอพยักหน้าในบางครั้ง ก่อนที่จะเดินมานั่งข้างๆผมแทนที่คุณหมอ
“ ขอโทษที่มาตอนจะนอนแล้วนะจ้ะ เลยไม่ได้คุยกันมากเลย นอนเถอะจ้ะ พักผ่อนเยอะๆนะจะได้หายไวๆ”
เธอลูบหัวผมเบาๆ เป็นเชิงกล่อมให้หลับ แน่นอนว่าฝ่ามืออุ่นๆนั้นได้ผลเป็นอย่างดี ทำให้ผมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับอาการของผมที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ผมสามารถพูดได้เป็นปกติแล้ว แถมยังสามารถนั่งรถเข็นออกมาชมบรรยากาศข้างนอกได้แล้วด้วย แสงแดดยามเช้า ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
แต่คนที่พาผมออกมาวันนี้ไม่ใช่พี่หมอนะครับ แต่เป็นฝูงลิงทโมนต่างหาก เจ้าพวกนี้ก็ยังขยันมาเยี่ยมผมทุกวัน แถมยังมีการมาช่วยทำกายภาพบำบัดด้วย เจ้าพวกนี้ปิดเทอมแล้วฮะ เลยมากันได้ตั้งแต่เช้า เที่ยงๆออกไปเที่ยว กลับมาอีกทีคือตอนเย็น เพื่อมาช่วยทำกายภาพบำบัด
ส่วนช่วงเที่ยงๆ ก็มีคุณป้า กับคุณลุงที่แอบโดดงานมาเยี่ยม หรือบางครั้งก็เป็นคุณป้าที่ โยนงานให้คุณลุงแล้วแอบโดดออกมาคนเดียว(เธอบอกมาแบบนั้นน่ะ)
ตั้งแต่ที่เริ่มทำกายภาพบำบัดมาตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ3เดือนแล้วครับ ผมพูดได้เป็นปกติตั้งแต่2เดือนที่แล้ว แล้วก็ขยับแขนขาได้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ส่วนเดือนนี้เราเริ่มฝึกเดินกันแล้วครับ พี่หมอถึงยอมให้เจ้าพวกนี้มาช่วยฝึกแทนในช่วงเช้า เพราะเป็นช่วงที่พี่หมอค่อนข้างยุ่ง
ในเรื่องของแผลก็หายเกือบหมดแล้วครับ เหลือพวกแผลใหญ่ๆที่สะเก็ดแผลยังลอกออกไม่หมด แผลผ่าตัดยังหายเร็วกว่าอีก ตอนนี้เลยรักษาในเรื่องของรอยแผลเป็นมากกว่า ระหว่างการฝึกกายภาพบำบัดพวกเราก็มาแอบนั่งอู้เพื่อที่จะคุยกัน
“เออแก อีก2เดือนไอเอกมันจะไปเมกาอ่ะ มีสโมสรดังทาบทามมันไปอ่ะ แก จะไปส่งมันป้ะวะ” ด้าพูดด้วยเสียงที่เหมือนกับไม่มั่นใจว่าจะพูดหรือเปล่า คงกลัวว่าผมจะกับการที่พูดถึงเอกสินะ
“ถ้าหาย ก็ไปแหละ” ผมตอบยิ้มๆ ไม่รู้สิ มันไม่ค่อบเจ็บเท่าไหร่แล้ว
เวลาเนี่ย เยียวยาทุกสิ่งได้จริงๆ นะ ไม่ใช่แค่แผลที่ร่างกาย แต่แผลที่ใจก็เหมือนกัน
“เออ แก… เอ่อไม่มีไร โทษที” ในตอนแรก เหมือนยางลบจะถามอะไรซักอย่าง แต่พอถูกสายตาทั้งสี่คู่จ้องเขากลับไม่กล้าถามมันออกมา
“ ถามมาเถอะ ไม่ว่าหรอกรู้ว่าพวกแกขี้เสือก” ผมยิ้มบางๆเอามือเท้าคาง
“โอ้ย แรงอ่ะ แต่ยอมรับ” ยางลบตีผมเบาๆก่อนจะเอามือกุมหน้า
“ถามแล้วนะ อันนี้คือสงสัยมานานแล้วอ่ะ คือ แกอ่ะ ไม่รู้สิ ฉันว่าแกเหมือนชอบเอกเลยอ่ะ”
“เออใช่ เมื่อก่อนพวกแกตัวติดกันจนคนทั้งมหาลัยนึกว่าเป็นแฟนกันเลยนะเว้ย แถมมีกอดมีหอมแก้มกันแบบไม่ปิดบังเลยอ่ะ” ด้าเสริม
“อื้อ แต่ว่าพอเห็นว่าเอกมีแฟนอ่ะ พวกเราตกใจกันมากเลยนะ เลยคิดว่าพวกแกเลิกกัน แต่ว่าพวกแกก็เหมือนเดิมอ่ะ แบบ ตีหัวกันกอดคอหอมแก้มเหมือนเดิม แกก็ ดูไม่เหมือนคนอกหักเท่าไหร่ด้วย” ยางลบเสริมต่อ
“เดี๋ยวๆ ตกลงว่าพวกนายจะถามอะไรกันแน่วะ งง” เป็นดินสอที่ขัดขึ้นมา และมีวินทำหน้าหมางงเป็นกำลังเสริม
“ก็จะถามว่าความสำพันธ์ของเคียวกะเอกเป็นอย่างไรกันน่ะสิ” ยางลบแหวใส่ดินที่พูดขัด
“แล้วทำไมไม่ถามตรงๆวะ ร่ายซะกูงงเลย” วินที่ยังทำหน้างงไม่หายเกาหัวแกรกๆแล้วมองมาทางผม
“แล้วตกลงว่ายังไงเหรอ”
ผมยิ้มแล้วส่ายหัวให้กับความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อน แต่จะสงสัยก็ไม่แปลก ขนาดผมยังสงสัยเลย
“แปลว่าเราเล่นละครเก่ง”
แน่นอนวาจบประโยคของผม ก็เหมือนมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่บนหน้าของทุกคน จนกระทั่งผ่านไปประมาณหนึ่งนาที คนที่สามารถประมวลคำตอบของผมออกคนแรกอย่างยางลบก็โพล่งออกมา
“เข้าใจแล้ว แกอ่ะ ชอบเอกใช่มะ แต่แบบว่าไอเอกอ่ะมันคิดกับแกแค่เพื่อน….”
“เดี๋ยวๆ ถ้าคิดแค่เพื่อนแล้วทำไมมันยังกล้าสกินชิพวะ แบบนี้มันให้ความหวังกันชัดๆ กูว่าไอเอกก้ต้องชอบไอเคียวแน่เลย แต่แบบไม่เข้าใจตัวเองไรงี้” เป็นด้าที่ขัดทัพของยางลบ
“เออว่ะ แล้วทำไมถึงคบกับลีนล่ะ บังหน้าเหรอ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ยังสกินชิพไอ้เคียวอยู่เลยนะเว้ย”
“อืม ไอ้เอกอาจจะ อยากเก็บไว้ทั้งสองมั้ง” วินเสนอความคิดเห็น
“แบบนั้นนี่โคตรเหี้ยเลยนะ” สองสาว(?) ประสานเสียง
ระหว่างที่ฟังสามคนนั้นวิเคราะห์ไป คนที่เงียบมาตลอดอย่างดินสอก็พูดอะไรบางอย่างออกมา เป็นคำตอบที่โดนใจผมเลยทีเดีย
“กูว่า เอกมันไม่ได้อยากเก็บไว้ทั้งสองคนหรอก มันอาจจะแค่ยังไม่รู้ใจตัวเองก็ได้ คนที่สนิทกันอ่ะ กว่าจะรู้ตัวว่ารักมันนานนะเว้ย เพราะคิดว่าก้แค่สนิทกันไม่มีไรมาก ไม่ได้รัก ไอเอกเลยเลือกคบกับลีนไป แต่ก็อย่างที่เห็น ลีนก็เป็นผู้หญิงที่ดีไม่แปลกที่ไอเอกจะรัก และคิดว่าความสัมพันธ์ของมันกับเคียวเป็นแค่เพื่อนสนิท กูคิดถูกป้ะวะ”
ในตอนสุดท้ายมันหันมาถามผม ผมปรบมือให้กับทักษะการวิเคราะห์ของมันแล้วพยักหน้าก่อนจะชูนิ้วให้และถามต่อ
“ทำไมถึงรู้ล่ะ”
“กูผ่านจุดนั้นมาแล้วเว้ย” ดินพูดก่อนจะหันไปมองยางลบ
“อ๋อ ช่วงที่มึงคบกะอีชะนีก่อนที่จะมาขอคบกับกูช้ะ”
“อื้อ แต่เพราะเราอ่ะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเลยทำให้ได้คิดว่าที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของกูกะยางลบอ่ะไม่ใช่แค่ฝาแฝด แต่เป็นแบบคนรักจริงๆ แต่ว่าไอเอกอ่ะ มันไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเคียว เพราะเคียวดันมาโดนรถชน มันเลยเลือกตัดความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับเคียวทิ้งไป แล้วเลือกที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับลีนแทน”
“เชี่ย โคตรเศร้า แล้วแกก็ต้องทนเห็นมันหวานกับลีนมาตลอดเนี่ยนะ ไม่บอกความรู้สึกไปวะแกอาจจะได้คบกันก็ได้นะเว้ย” ยางลบพูดแล้วปาดน้ำตา เดี๋ยวๆ คนที่เศร้ามันฉันรึเปล่า
“เห็นมันมีความสุขแล้วเราไม่กล้าว่ะ แบบ เค้าก็ดูมีความสุขกันทั้งคู่ กูเลยขอเฟดตัวออกมาดีกว่า”
“แต่แบบนั้นก็ดีไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นมแกก็ไม่ได้มาเจอพี่หมอสุดหล่อของแกไงงงงงง” ด้าพูดขึ้นแบบเปลี่ยนบรรยากาศสุดๆแล้วมากอดคอผม
“เออจริงด้วย แล้วแกกับพี่หมอเป็นไงบ้างอ่ะ” ยางลบที่เปลี่ยนจากหน้านองน้ำตามาเป็นดวงตาประกายวิบวับพร้อมกับระดับความอยากรู้อยากเห็นที่พุ่งสูง เปลี่ยนอารมณ์เร็วมากเลยที่รัก…
“ก็เป็น…..” ผมแกล้งลากเสียงยาวๆกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าพวกนั้น เห็นแล้วตลกดี
“เป็น….”
“เป็นคนไข้กับหมอธรรมดานี่แหละครับเพื่อน ฮ่าๆๆ”
“โอ้ยยยย หลอกให้ฟังตั้งนาน” ยางลบทำท่าหัวเสีย ผมเลยอดที่จะเอื้อมมือไปลุปหัวทุยๆของมันไม่ได้ แต่กลับมีมือของใครบางคนจับแขนผมเอาไว้ก่อน
“ตอบมา ตามความจริงซะ” ด้ากดเสียงเข้ม แผ่จิตสังหารดำทะมึนออกมา อื้ม เพื่อนผมน่าจะมีพลังลี้ลับนะ
“ก็จริงๆไง แค่นี้แหละ จริงๆ” ผมตอบตามความจริง
“เค้าดูแลแกขนาดนั้นอ่ะนะ” ด้าปล่อยมือแต่ยังคงเค้นถาม
“ก็นั่นหน้าที่เค้าไหมล่ะ” ผมขยี้หัวยางลบที่ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“ก็ได้ๆ กะจะให้แกควงพี่หมอไปตอกหน้าไอ้เอกกับลีนซักหน่อย ชิ”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่หรอกแกอ่ะคิดมาก”
“โอเคพอเถอะ วันนี้เสือกกันมาเยอะ มีสาระกันหน่อยกลับไปฝึกเดินกัน”
ว่าจบพวกเราก็หัวเราะกันเกรียวกราว แต่ก็ไม่ดังมากเพราะถึงจะอยู่ในสวนแต่นี่ก็โรงพยาบาลทำให้เราไม่กล้าส่งเสียงดังมาก เราคุยกันไปเรื่อยๆระหว่างการทำกายภาพบำบัด ก่อนที่จะหลบเข้าร่มเมื่อเห็นว่าแดดเริ่มมา ซึ่งก็เป็นสัญญา บอกว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน พวกนั้นพาผมไปส่งที่ห้องแล้วค่อยกลับ ผมนั่งดูทีวีไม่นานนักก็มีผู้มาเยือนคนใหม่
“อู้กันสนุกสนานเลยนะครับ” พี่หมอนั่นแหละ แต่โดนจับได้ว่าอู้ซะแล้วสิ
“นิดหน่อยครับ แต่วันนี้ผมก็เดินได้เร็วขึ้นนะครับ”
“ครับๆ เห็นแล้วล่ะ อีกหน่อยก็จะเริ่มฝึกเดินแบบไม่ใช้ราวแล้วนะครับ นี่เสื้อผ้าครับเดี๋ยวอาบน้ำแล้วมานอนพักนะ”
เขาพาผมมาส่งที่ห้องน้ำแล้วยื่นเสื้อผ้าให้ ช่วงนี้ผมอาบน้ำเองได้แล้วครับ แต่ก่อนหน้านั้นเป็นพี่หมอที่อาบให้ ช่วงนั้นแหละที่ผมเกลียดการอาบน้ำที่สุดเลย
พออาบน้ำแต่ตัวเสร็จก็เคาะประตูเรียกให้เขามารับไปส่งที่เตียง ที่จริงคือผมใช้ที่หมอเป็นหลักยึดในการเดินน่ะนะ แล้วกลับมาดูทีวีต่อ ส่วนพี่หมอก็นั่งเซ็นเอกสารกองเท่าบ้านต่อไป ที่จริงห้องผมตอนนี้กลายเป็นห้องทำงานของพี่หมอไปเรียบร้อยแล้วครับ เพราะเอกสารอะไรต่อมิอะไรมาอยู่ในห้องผมเต็มไปหมด บางทีผมก็สงสัยนะ
“หมอเนี่ย มีงานเอกสารเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
“อืม… สำหรับผมก็อย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ” พี่เขาตอบพลางส่งยิ้มให้ แต่ขอโทษด้วย ผมน่ะมีภูมิต้านทานรอยยิ้มทำลายล้างนั้นแล้วล่ะครับ ก็เห็นมั นทุกวัน
ผมเลยยู่หน้าใส่พี่หมอแล้วหันมาดูทีวีต่อ เรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้เป็นอย่างดี อะไรวะหัวเราะยังหล่อ อิจาจริง
เรานั่งกันแบบนั้นไปเรื่อยๆ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้อึดอัด คงเพราะชินกันแล้วล่ะมั้ง
“เพื่อนคนนั้น ไม่มาเลยนะครับ” เขาพูดขึ้นทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าจากเอกสารที่กำลังอ่าน
“เขาคงยุ่งๆมั้งฮะ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ทำไมวันนี้มีแต่คนพูดเรื่องเอกนะ
“คิดถึง เขาหรือเปล่าครับ”
“ก็คิดถึงนะ เป็นเพื่อนกันนี่ แต่ว่า เจ้าพวกนั้นมาเยี่ยมทุกวันเลยไม่ค่อยคิดถึงมากเท่าไหร่ ถึงจุดประสงค์หลักของใครบางคนในกลุ่มนั้นจะเป็นพี่หมอก็เถอะนะ”
“ผมเหรอ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นแฟนกันหรอกเหรอครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองแบบงงๆ
“อาหารตาล่ะมั้งครับ พี่หมอหล่อนี่” ผมพูดพลางยักไหล่
“แล้วเคียวคิดแบบนั้นไหมล่ะ”
“แน่นอน หล่อจนอิจฉาเลยด้วย” ผมแอบเบ้ปากเล็กน้อย เขาเริ่มเรียกชื่อเล่นผมมาสักพักแล้วครับ แต่ผมก็ยังเรียกเขาว่าพี่หมออยู่ดี ก็ผมไม่รู้จักชื่อเล่นเขานี่ แล้วเขาก็ไม่บอกด้วย
“กับเพื่อนคนนั้นของคุณล่ะครับ ใครหล่อกว่า”
“อืม บอกยากนะผมว่า เอกมันหล่อแบบบ้านๆลุยๆ แต่พี่หมอออกแนวคุณชาย เทพบุตรอะไรแบบนั้น”
“หึๆ ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ ผมไม่กวนแล้วครับ ดูทีวีต่อเถอะครับ ถึงเวลาทานข้าวแล้วเดี๋ยวเรียก”
หลังจากนั้นชีวิตผมก็ผ่านไปเหมือนเดิม เหมือนกับทุกๆวัน กินข้าว ดูทีวี นั่งคุยกับพี่หมอ ทำกายภาพบำบัดช่วงเย็น อาบน้ำ ทานข้าว แล้วก็นอน
แต่วันนี้มันทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างได้ ว่า
ช่วงนี้ ผมเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องของเอกเลย…
************************************************************
หื้ออออ กลับมาแล้วจ้า ขอโทษที่หายไปนานนะ คือ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวอ่ะ 5555 คือเราไม่ได้เป็นอะไรนะ หายไปเฉยๆนี่แหละ ขอโทษษษษ พอดีเราหันไปทุ่มกับการเรียนมาน่ะค่ะ ทำให้ไม่มีเวลา แล้วก็พอไม่ได้แต่งนานเราจะลืมความรู้สึกนั้นไป ทำให้บรรยากาศในเรื่องมันไม่เศร้าเท่าที่ควรขอโทษจริงๆนะ ฮือออ ในเรื่องภาษาอาจเปลี่ยนไปบ้างนะมันมีผลมาจากหลายๆปัจจัยยยยยย เราขอโทษษษษษษษษษษษษษ
ปล. สัญญาจะปั่นตอนต่อไปเร็วๆ มีคำผิดช่วยแจ้งด้วยนะ ตาลายมากอาจจะมีตกหล่นบ้างโดยเฉพาะตัวที่ต้องกดชิพอ่ะจ้ะ คือบางทีมือมันไปไวกว่าคอม55555
ปล2. ที่จริงเราจะกะทิ้งเรื่องนี้ไปแล้วล่ะ แต่ว่าพอคิดว่าถ้านิยายที่เราอ่านอยู่ เค้าหายไปนานแล้วถ้าเขากลับมาต่อเราจะอ่านไหม คำตอบของเราคืออ่าน เราก็เลยคิดว่า เอาเถอะอาจจะมีคนอยากอ่านก็ได้ อาจจะมีคนที่รออยู่ มั้งงงงงง ฮ่าๆๆๆๆ อย่างน้อยก็คนสองคนล่ะนะ
ไปละ บรัยยส์ :bye2: :bye2: :bye2: :mew1:
-
:pig4:
-
กลับมาแย้ว..ววววว เปลี่ยนใจให้พี่หมอเป็นพระเอกเถอะ ขอร้อง..งงงงงง #ทีมพี่หมอ :hao5:
-
นึกว่าตาฝาด ดีใจที่กลับมาค่ะ รออ่านอยู่นะคะ อย่าเทนะจ๊ะ ขอบคุณค่ะ :L1:
-
ขอบคุณที่มาสร้างรอยยิ้มใสๆ เล็กๆ ให้เกิดขึ้นบนโลกนะครับ ขอบคุณที่สานต่อความหวัง ขอคุณที่นิยายรักที่ไม่ขาดตอน ขอบคุณจริงๆครับ :L1: :pig4:
-
เรื่องนี้โดนใจ
สนุกมาก
มาเล่าต่อเหอะ..รอลุ้นอยู่
พี่หมอหรือเพื่อนเอก
หุหุ
แต่เชียร์ให้พี่หมอเป็นพระเอก
อยากเห็นเคียวมีตัวจริงกะเค้าซะที
ไม่ต้องรอมันแล้ว..ไอ่เอกอ่ะ
นานเกิ๊นนนนนนนนน
-
รออ่านต่อน้าาาา เชียร์พี่หมอ แต่ก็แอบเชียร์พี่วินด้วย 55555
-
กลับมาแล้ววววววว ภาวนาให้มาต่ออีกก
-
:pig4: :pig4:
-
เมื่อไหร่ตัวประกอบจะกลายเป็นตัวเอกสักทีนะ รออ่านอยู่นะค้า :katai5:
-
ทิ้งไปเจงๆเหรอตะเอง เสียดาย เขียนดี สนุกนะ