พิมพ์หน้านี้ - ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ryusaki_yp ที่ 15-01-2016 21:21:11

หัวข้อ: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 15-01-2016 21:21:11
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



♧♣ลิขิตชะตารัก♣♧


By RyuKi



***ภาคต่อ : หทัยเทพสวรรค์***

ลิขิตชะตารักจะไม่ได้เกริ่นถึงที่มาที่ไปเริ่มต้นของตัวละคร จึงเเนะนำให้อ่านหทัยเทพสวรรค์ที่ลิงค์ด้านล่างก่อนนะจ้ะ

Link : http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49425.0


Start : 25/12/2015

End : .......

 


เรื่องย่อ

 
ไม่รู้นับว่าเป็นปีซวยรึไม่ ทั้งที่ออกตรวจราชการอย่างเงียบๆ

ดวงกลับสมพงศ์ให้มาเจอะกับคู่ปรับที่ฝีปากเป็นหนึ่งโวยวายเป็นสอง

หนำซ้ำเจอกันทีไรล้วนประสบพบเภทภัยทุกครา

ยังมีเสน่ห์ที่ยังมิได้ใช้ออกที่ดึงดูดทั้งบุรุษแลสตรีเข้ามาปั่นป่วนมิหยุดหย่อน


 

          ได้ฟังแล้วรัชทายาทหนุ่มก็มีอันต้องฉุนกึก โต้เสียงแข็ง “บางทีอาจเป็นเจ้าที่ไม่ได้เรื่องมากกว่า”

          “นี่เจ้าหาว่าข้าไม่ได้เรื่องงั้นรึ”

          “ใช่ แล้วจะทำไม”

          ไป๋เซ่อตัวสั่นไปด้วยความโกรธ ละล่ำละลักชี้หน้าด่า “จะ เจ้านั่นแหละที่ไร้น้ำยา” สิ้นเสียงกล่าวซวนหยวนหมิงไท่ก็เผยสีหน้าขุ่นเคืองอย่างที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน จู่ๆก็รู้สึกประหวั่นอยู่ลึกๆ เขาลอบร้องในใจ..แย่ล่ะสิ

          ยังมิทันจะถอยหนีต้นคอก็ถูกรั้ง กรามถูกจับตรึงไว้จนเจ็บ ต่อด้วยปากถูกกระแทกขบเม้มจนมิอาจหลุดคำด่าได้อีก นอกจากนี้เอวยังถูกรวบดึงเข้าในอ้อมกอดอันรุ่มร้อน

          ...นี่ตนใช่ฝันไปรึไม่ บุรุษผู้ซึ่งเยือกเย็นอยู่เสมอ ไฉนจึงมีอีกด้านหนึ่งที่น่ากลัวเช่นนี้ได้...



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Fanpage : https://www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทนำ นามที่หายไป 15/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 15-01-2016 21:30:57
บทนำ นามที่หายไป

 

          ท้องฟ้าสีครามทางฝั่งบูรพาอันไพศาล ณ ดินแดนอันอุดมไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ฝูงนกยวนยางเคียงคู่แหวกว่ายในลำธารน้ำใส ลมพลิ้วไหวพัดพาเมฆาสีขาวล่องลอย แค่ต้องมองภาพเหล่านี้อยู่ทุกเชื่อเมื่อวัน คนที่นั่งชันเข่า มือถือไว้ด้วยไม้กวาดแถวลานหน้าประตูตำหนักหวางซินก็ต้องสัปหงกแล้ว

          พอดีกับที่ผู้เฒ่าจันทราผู้มีเส้นผมและหนวดเคราสีขาว ถือไม้เท้าประจำตัวก้าวข้ามประตูด้วยสีหน้าอันเหนื่อยล้า ก่อนหน้านี้ตรวจดูบันทึกรายนามเนื้อคู่จำนวนเหยียดยาว ทั้งยังล่วงหน้านับพันกว่าปีก็ชวนให้ล้าแก่สายตายิ่งนัก หากได้แวะไปผ่อนคลายยังทะเลตงไห่คงจะดีไม่น้อย

          ทว่าฉับพลันนั้นสายตาก็สะดุดเข้าที่เด็กหนุ่มในชุดสีเขียวอ่อน หน้าผากคาดไว้ด้วยผ้าดิบสีดำตัดกับเส้นผมสีเทาอ่อน กำลังนั่งหลับตาด้วยสีหน้าฝันหวาน มุมปากของผู้เฒ่าจันทราก็ถึงกับกระตุก มือพลันขยับไม้เท้าเขี่ยก้นน้อยๆที่รากงอกอยู่บนพื้น “เจ้าตัวขี้เกียจ มาอยู่มิทันไรก็อู้เสียแล้ว”

          “อ้ะ นกเป็ดน้ำย่างก็ดีเหมือนกัน” เด็กหนุ่มงัวเงียหลุดพูดอย่างไม่ระวัง ครั้นหรี่ตาขึ้นก็ใช้มือปาดเอาน้ำลายที่มุมปากอย่างส่งๆ

          ผิดกับทางผู้เฒ่าที่ฟังแล้วลมแทบจุกอก หันไปมองดูฝูงนกยวนยางที่เคยลอยกันอย่างสงบต้องพากันแตกฮืออย่างน่าสงสารในทันทีก็หน้าเครียดขมึง มิน่าตั้งแต่เจ้าเด็กคนนี้มาทำความสะอาดที่นี่ ฝูงนกของเขาก็เกิดอาการเครียดจนขนร่วงเป็นกระจุก “หนอย หากยังคิดมิดีมิร้ายกับนกของข้าอีก ข้าจะไปรายงานท่านมหาเทพ”

          เสียงตวาดทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่น ก่อนจะสบสายตาเข้าที่ใบหน้าดำแดงของผู้เฒ่าเคราขาว ครั้นทำความเข้าใจได้ก็เอ่ย “อ้ะ เรื่องนี้โทษข้ามิได้นะ ก็ใครใช้ให้ตำหนักท่านมีแต่เจ้าเป็ดน้ำพวกนี้” ของว่างอร่อยๆก็ไม่มี เทียบมิได้กับตำหนักของท่านมหาเทพเลยสักนิด

          “เฮอะ วันๆคิดแต่เรื่องกิน” เฒ่าจันทราแค่นเสียงมิพอใจ ไฉนเจ้าเด็กปากดีเอาแต่ใจที่ชอบสร้างความปั่นป่วนให้กับพิภพสวรรค์ถึงต้องถูกลงโทษมาทำความสะอาดที่นี่ด้วย “ช่างเถอะ ถือเสียว่าตาแก่อย่างข้าโชคไม่ดี” เขาพึมพำ หวังว่าคราวหน้าเจ้าเด็กคนนี้ทำผิดแล้วต้องจับไม้ติ้ว คงจะไม่โชคร้ายจับโดนตำหนักเขาอีกครากระมัง

          “ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าเข้าไปทำความสะอาดด้านในก็แล้วกัน แต่จำไว้ห้ามแตะต้องบันทึกที่อยู่บนโต๊ะทำงานของข้าเด็ดขาด”

          “ไว้ใจข้าได้เลย” เขายืดอกเต็มที่ ทว่าท่านผู้เฒ่ากลับมีสีหน้าไม่ไว้ใจนัก อีกทั้งก่อนจะไปยังหันมากำชับกำชาครั้งแล้วครั้งเล่า

          “ยังมีนกยวนยางทั้งหมดพันตัวของข้า หากหายไปแม้แต่ตัวเดียว ข้าจะรายงานท่านมหาเทพ”

          คำก็ท่านมหาเทพ สองคำก็ท่านมหาเทพ ฟังแล้วร่างสีเขียวก็เบ้ปาก รอจนร่างของผู้เฒ่าลับไปเขาก็โผทะยานตัวเหนือน้ำ คว้าตัวเจ้านกเป็ดน้ำตัวอ้วนตัวหนึ่งไว้ในมือ “ฮึ ฮึ ในเมื่อหวงนักข้าก็จะค่อยๆเอ็นดูเจ้าเอง” มุมปากพลันแสยะขึ้น ทำเอานกยวนยางซึ่งดวงตกต้องตัวลีบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

          หนีบเจ้านกอ้วนเข้าไปด้านในตำหนัก ไม่นานก็พบข้าวของจำพวกม้วนกระดาษยาววางสุมๆกันอยู่บนโต๊ะ มองซ้ายแลขวาก็สักครู่ก็โพล่งออกมาอย่างมิเข้าใจ “ก็สะอาดดีนี่ ไม่เห็นต้องให้ข้าทำความสะอาดเลย” จะว่าไปแล้วทุกตำหนักที่เขาโดนลงโทษให้ไปทำความสะอาดกลับไม่เคยเห็นฝุ่นเลยสักครั้ง เช่นนั้นแล้วจะส่งเขามาทำไมกัน

          ได้ทีก็ถือโอกาสสำรวจ วางเจ้านกเป็นน้ำตัวอ้วนบนโต๊ะ แล้วหันไปหยิบม้วนกระดาษขึ้นแทน ลืมคำกำชับก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น “นี่คงมิใช่บันทึกเนื้อคู่หรอกนะ” รอยยิ้มซุกซนปรากฏขึ้น เขาคลี่ม้วนกระดาษออกดู ดูว่าบางคู่มีคำอธิบายเล็กๆหรือคำทำนายกำกับอยู่ คล้ายเป็นคู่ที่มีชะตาต้องฝ่าฝันอุปสรรคชวนซึ้งน้ำตาไหล บ้างพบพรากแยกจาก

          มาตรว่าอ่านฆ่าเวลาในช่วงแรกก็ใคร่รู้สึกสนุก ทว่าพอผ่านพ้นไปช่วงระยะหนึ่งก็ชักจะง่วงงุน “เฮ้อ น่าเบื่อจริงๆ ไม่มีอะไรที่ตื่นตาตื่นใจกว่านี้หรือ” ขณะที่กำลังหาวหวอดเป็นครั้งที่สี่ สายตาเรียวก็พลันสบเข้ากับม้วนไม้ไผ่ที่ซึ่งมีเจ้าเป็ดยวนยางนั่งทับอยู่

          เขาดึงมันออกมาอย่างสงสัย คลี่ออกบนโต๊ะแล้วจึงได้พบกับความแตกต่าง ในม้วนไม้ไผ่นี้แม้เป็นบันทึกเนื้อคู่เฉกเช่นเดียวกับม้วนกระดาษอื่น หากแต่รายนามกลับเป็นของเชื้อพระวงศ์ในพิภพมนุษย์ทั้งสิ้น “อืม อันนี้ดูสนุกกว่าของอันก่อนตั้งเยอะ” เนื่องเพราะคำทำนายชวนให้ดูยุ่งยากกว่าคนธรรมดา ทำให้เขานึกสนุกอยากจะไปสอดส่องยังพิภพมนุษย์

          ครั้นระหว่างที่อ่านก็รินชายกขึ้นดื่มดับกระหาย จากนั้นวางถ้วยน้ำชาที่ยังคงไม่หมดไว้บนโต๊ะข้างตัว มิทันได้สังเกตถึงนกยวนยางตัวอ้วนที่กำลังย่างก้าวเข้ามานั่งไซร้ขนยังปลายม้วนไม้ไผ่ที่คลี่วางอยู่ รอจนเด็กหนุ่มขยับดึงขึ้น มันก็ตกใจไถลไปชนกับถ้วยชาที่พึ่งวางลง

          “ว๊ากกก นี่เจ้าทำอะไรเนี่ย” ร่างสีเขียวร้องลั่น มองน้ำชาที่เนืองนองบนบันทึกในมือแล้วก็ตะลึงลาน หากเรื่องนี้ถึงหูท่านมหาเทพ เขามิต้องถูกส่งไปทำความสะอาดอีกหรือ ว่าแล้วก็รีบใช้ชายเสื้อเช็ดรอยน้ำ ขัดถูวนไปวนมาอย่างบ้าคลั่ง ต่อเมื่อมันแห้งสนิทก็ยิ้มปาดเช็ดเหงื่อ

          ...เช่นนี้คงไม่มีปัญหาแล้วกระมัง ทว่าเมื่อผละมือออกจากตำราที่แห้งสนิท ดวงตาเรียวก็มีอันต้องเหลือกขึ้น

          “ไม่จริงน่า” ที่มุมหนึ่งของบันทึกกลับมีร่องรอยถูกลบไป คงมิใช่เป็นเพราะเมื่อกี้หรอกนะ เขากลืนน้ำลายดังเฮือกพลางก้มหน้าพิสูจน์

          เจ้าผู้ครองแผ่นดินซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่ ถือทศพิธราชธรรม เป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้า ยึดถือน้ำใจเป็นหลัก วาสนารายล้อมไปด้วยผู้โดดเด่น ชะตาพันผูกคู่ชีวิต จะดีเลวเกื้อหนุนฉุดรั้ง ขึ้นอยู่กับผู้ที่เลือก...

          มาตรว่ารายชื่อคู่ชีวิตของเจ้าของชะตามีให้เลือกถึงสาม ทว่าหนึ่งในนั้นกลับมีรายชื่อหนึ่งซึ่งถูกลบเลือนไปจนเหลือเพียงแค่แซ่จริงๆ เห็นแล้วเหงื่อกาฬก็พลันหลั่งไหลอาบข้างแก้ม เขาหันไปสบตากับเจ้าเป็ดตัวดีแล้วจึงแสยะยิ้ม “เอาเป็นว่าทั้งเจ้าและข้าต่างเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เรื่องในวันนี้ถือว่าข้าไม่รู้เจ้าไม่เห็นก็แล้วกัน แฮะ แฮะ”

          เป็ดน้ำน้อยพยักหน้า มองผู้กล่าวม้วนบันทึกไม้ไผ่อย่างรีบร้อน ท้ายที่สุดเมื่ออีกฝ่ายเก็บข้าวของเสร็จก็พามันคืนสู่ลำธาร จากนั้นเผ่นแนบไปแบบไม่เหลียวหลัง ต่อเมื่อท่านผู้เฒ่าจันทรากลับมาก็มิได้ผิดสังเกตอันใด ยังคงเก็บม้วนบันทึกต่างๆไว้ในหีบตามปกติ

          กระทั่งถึงยามที่ค่ำคืนเงียบสงบ มันแหวกว่ายอิงแอบเคียงคู่กับคู่รัก หากแต่ในใจพลันเอาแต่นึกถึงนามที่ลบเลือนจนเหลือเพียงแค่แซ่...



****************************************************************


ฝากเเนะนำกันด้วยน้าาาา :o8:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 1 ระบำงู 16/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 16-01-2016 20:24:45
บทที่ 1 ระบำงู


   
          เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณตลาดในย่านเขตตงหัว ตลาดการค้าที่ใหญ่ครึกครื้นเป็นอันดับต้นๆของแถบทางใต้ ชายผู้หนึ่งแต่งตัวทะมัดทะแมง ดูไปคล้ายจอมยุทธ์ที่ออกพเนจรไปทั่วหล้า หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูผิดแผกไปจากจอมยุทธ์คนอื่นๆ นั้นคือกลิ่นอายที่แฝงไว้ด้วยความสูงส่งสง่างามเหนือกว่าใครๆ
         
          ทว่าตอนนี้เขากำลังกรอกตาไปมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความตื่นตะลึงอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน มาตรว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขามิใช่กระไร เป็นเพียงกลุ่มพ่อค้านอกด่านที่นำสัตว์ต่างๆมาเร่ขาย ทำการแสดงโชว์ด้วยสัตว์เล็กๆ แปลกตาหายากไปตลอดจนสัตว์ที่มีพิษดุร้าย

          แลในขณะนี้เสียงปี่ของพ่อค้านอกด่านก็ดังออกมาเป็นท่วงทำนองเร้าใจ ดึงดูดให้ชาวบ้านมายืนออดูสัตว์ที่กำลังเต้นระบำอย่างออกรสกันอย่างสนุกสนาน กระนั้นเขากลับรู้สึกตัวว่าโง่งมไปชั่วครู่ หากบอกว่าเขาไม่เคยเห็นมันก็เท่ากับว่าเขาพูดปด แต่ก็มิเชิงโป้ปดเสียทีเดียว เพราะเขาไม่เคยเห็นมันเต้นระบำได้เอวพลิ้วไหวเสียขนาดนี้

          “คงจะดีหากไม่ใช่ความจริง ข้าคงตาฝาดไปแน่ ฮ่า ฮ่า” องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ในคราบชาวยุทธ์รีบปัดไม้ปัดมือใส่ภาพไร้สาระเบื้องหน้าพร้อมทั้งหัวเราะกลบเกลื่อน บางทีแสงแดดที่นี่อาจแรงเกินไปจนพลอยทำให้เกิดเป็นภาพหลอนก็เป็นได้

          ขณะที่กำลังหมุนกาย ในชั่วอึดใจนั้นเสียงเพรียกแห่งความเป็นจริงก็ดึงสติให้เขากลับมายอมรับความจริงที่ค่อนข้างจะ...ปวดร้าว

          “เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ รีบมาช่วยข้าเดี๋ยวนี้เลย เฮ้ อย่าเดินหนีสิ เจ้าองค์รัชทายาทงี่เง่า” เสียงร้องของงูเผือกสีขาวที่กำลังเต้นระบำอย่างเอาเป็นเอาตายแผดดังขึ้น ยังผลให้คนที่กำลังหันหลังเผ่นหนีต้องหยุดชะงัก

          ดูว่างูเผือกส่งเสียงขู่สักเท่าไร กระนั้นก็มีเพียงเขาที่ได้ยินเช่นนั้น ลองเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นก็คงจะได้ยินแค่เพียงเสียงฟ่อ ฟ่อ ที่ดังเข้าจังหวะไปกับเสียงเพลงอันเร้าใจ จู่ๆภาพการสนทนากับต้าเซียน มหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ซึ่งรั้งตำแหน่งภรรยาหนุ่มของสหายสนิท เซียวถิงฟง ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ผุดขึ้นมาให้ย้อนคิดอีกครั้ง

          ณ อุทยานในเขตตำหนักเหวินหัว ในช่วงแดดคล้อยสายลมเย็นสบายนั้น กลับมีน้ำเสียงอ่อนหวานแทรกผ่านอากาศ ร่างของบุรุษในอาภรณ์สีขาวเหาะเหินบุกรุกเข้ามาด้านในตำหนัก กระทั่งเหล่าองครักษ์ก็มิได้สังเกตเห็น
   
          “ซวนหยวนหมิงไท่”

          เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ต่อเมื่อต้าเซียนหยุดตัวลงตรงหน้าพอดิบพอดี เขาจึงทัก “ฮา ข้ากำลังไปเยี่ยมท่านพอดี ไฉนท่านกลับมาหาข้าก่อน”

          “คือ ข้าได้ยินว่าอีกไม่กี่วันนี้ ท่านจะไปตรวจราชการยังเขตเมืองต่างๆ ข้าเลยคิดว่าสมควรมาเยี่ยมเจ้าเสียก่อน แฮะ แฮะ” กล่าวจบต้าเซียนก็หัวเราะแห้งๆ พลันให้อีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วน้อยๆ

          “ท่านมีอะไรหรือไม่ เหตุใดจึงดูวิตกชอบกล”

          “ไม่นี่” ต้าเซียนแย้งเสียงสูง ครั้นพอรู้สึกตัวก็ลดน้ำเสียงลง “เออ ข้าเพียงแค่อยากสนทนาเรื่อยเปื่อยกับเจ้านิดหน่อยเท่านั้นเอง”
   
          “.........”

          จวบจนไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบจนหมดข้อคำถาม อีกฝ่ายก็ยังคงก้มหน้าดื่มน้ำชา “จริงสิ ไป๋เซ่อไม่ได้ลงมาที่โลกมนุษย์กับท่านรึ เหตุใดจึงไม่เห็นเขา” รัชทายาทหนุ่มถามด้วยความสงสัยเมื่อไม่เห็นเจ้างูที่ชอบเกาะติดเจ้าตัวเป็นประจำอยู่ด้วย

          ฉับพลันนั้นต้าเซียนก็แทบจะสำลักน้ำชาออกมา ใครใช้ให้ถามขึ้นมาอย่างมิมีปี่มีขลุ่ย “ฮ่า ฮ่า ไป๋เซ่อ เขา...เขามีธุระน่ะ อีกไม่นานเจ้าคงได้พบเขาแน่”

          ร่างสีขาวกล่าวจบก็เลี่ยงสายตาอย่างมีพิรุธ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงท่าทีแปลกๆ จึงนึกลอบสงสัย ทั้งยังรู้สึกสังหรณ์ใจแปร่งๆ ครั้นกำลังจะเอ่ยขึ้นอีกสักประโยค เจ้าตัวกลับลุกพรวดขึ้นปุบปับ
   
          “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน ถิงฟงรอข้าอยู่ที่จวน ส่วนเจ้าก็ไปดีมาดี ข้าบอกได้เพียงการเดินทางครั้งนี้ของเจ้าคงต้องเผชิญเรื่องราวมากมาย...” กระทั่งเห็นสีหน้าที่งุนงงของรัชทายาทหนุ่มก็เงียบไปเล็กน้อยแล้วจึงส่งยิ้มหวาน กล่าวทิ้งท้าย
         
          “จะอย่างไรก็ฝากไป๋เซ่อด้วยล่ะ” 

          “เดี๋ยวๆ ข้าไปตรวจราชการต่างแดน ไยท่านต้องฝากไป๋เซ่อด้วยเล่า” ร่างบางทะยานตัวเหาะเหินขึ้นทันทีที่เขาอ้าปาก รอจนกล่าวจบเขาก็ได้แต่มองเงาหลังนั้นอย่างมิเข้าใจนัก

          ...หากแต่วันนี้ เขาเข้าใจแล้ว

          “เอ่อ พ่อค้า งูเผือกเต้นระบำตัวนี้ขายเท่าไหร่” เขากล่าวถามพลางบีบนวดขมับตัวเองไปด้วย

          “เจ้าว่าใครเป็นงูเผือกเต้นระบำกันหา เจ้าคนปากเสีย” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ขู่ฟ่อร้องด่าซวนหยวนหมิงไท่ยกใหญ่

          พ่อค้านอกด่านลดปี่ลงจากริมฝีปาก มองประเมินผู้ถามซึ่งอยู่ในมาดของจอมยุทธ์ แต่กระนั้นก็ไม่อาจบดบังรัศมีอำนาจสง่างาม ทั้งคำพูดคำจาสุภาพคล้ายกับเป็นขุนนาง เมื่อสรุปได้ดังนั้นก็เตรียมจะโก่งราคาเต็มที่ ทั้งๆที่งูเผือกตัวนี้ตนเองก็ไม่ทราบว่าได้มาอย่างไร เพียงตื่นขึ้นก็พบว่ามันนอนงูในกรงในโรงเก็บสัตว์ต่างๆของตนแล้ว

          “สิบตำลึงทอง” พ่อค้านอกด่านตอบเสียงดังฉะฉานแล้วแอบหัวเราะในใจ

          “สิบตำลึงทองรึ” เขาทวนคำพลางครุ่นคิดหนัก ยังผลให้พ่อค้านอกด่านรีบออกปากบรรยายสรรพคุณ

          “นายท่าน งูเผือกตัวนี้เกล็ดเรียบลื่น สีขาวเผือกปลอดไปทั้งลำตัว รูปร่างก็อ้วนท้วมสมบูรณ์ อีกทั้งแสนฉลาด สิบตำลึงทองถือว่าคุ้มค่ายิ่ง”

          ฟังแล้วไป๋เซ่อในร่างงูยืดอกรับเต็มที่ ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับขมวดคิ้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อีกทั้งหน้าตายราวกับว่ามิได้ฟังคำบรรยายของพ่อค้าแม้สักกะผีกเดียว

          “อืม แพงเกินไป ข้าว่าสักสามตำลึงทองพอ”

          คำดังกล่าวทำเอาพ่อค้านอกด่านนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ด้วยไม่คิดว่าจะถูกกดราคาเสียต่ำขนาดนี้

          ด้านไป๋เซ่อที่ยืดอกก็ถึงกับต้องอ่อนยวบไปในทันที “เจ้าดูถูกข้าอย่างนั้นรึ ข้าเป็นถึงงูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ มือขวาของมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ เหตุใดค่าตัวของข้าจึงต่ำเพียงแค่สามตำลึงทอง” ไป๋เซ่อก่นด่าจนแทบจะพ่นน้ำลายใส่หน้าผู้เป็นองค์รัชทายาท

          “ตกลงว่างูเผือกเต้นระบำนี้ จะขายสามตำลึงรึไม่” เขาถามต่อมิสนใจร่างที่กำลังดิ้นพล่านไปด้วยความโมโห แถมยังเน้นประโยค ‘งูเผือกเต้นระบำ’ อย่างชัดถ้อยช้อยคำ
“ข้าบอกว่า ข้าไม่ใช่งูเผือกเต้นระบำ เจ้ารัชทายาทงี่เง่า”

          “เอ่อ...” พ่อค้านอกด่านอ้ำอึ้ง ปกติแม้จะถูกลูกค้าต่อราคาแต่ตนก็สามารถโต้กลับได้ทันที แต่วันนี้คล้ายโดนรัศมีของคุณชายท่านนี้ข่มขวัญไป

          “ข้าให้เจ้าหกตำลึงทอง”

          ในระหว่างที่พ่อค้ายังคงคิดไม่ตก ฉับพลันนั้นเสียงเจื้อยแจ้วของหญิงสาวนางหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงถุงเงินหนักๆตกลงบนโต๊ะ ทำให้คนทั้งสองกับอีกหนึ่งตัวต่างหันไปมองผู้มาใหม่กันกันเป็นตาเดียว

          ดูว่าสตรีผู้นี้มีหน้าตาจิ้มลิ้มสะสวย อายุราวสิบแปดปี แม้เสื้อผ้าอาภรณ์ที่นางใส่ดูราวกับเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้หนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ

          “ขออภัยแม่นาง ข้าเจรจาซื้อขายงูเผือกตัวนี้อยู่กับพ่อค้าก่อน ขอแม่นางได้โปรดเข้าใจด้วย”

          เมื่อถูกขัดจังหวะ มู่อิงเอ๋อร์ หรือธิดาเจ้าเมืองตงหัวก็ปรายตามองบุรุษผู้กำลังสนทนากับตนอย่างเย็นชา ทว่าเพียงแวบแรกนางก็แทบตะลึงลาน ด้วยเกิดมานางมิเคยพานพบบุรุษผู้มีดวงหน้างดงามประดุจเทพสวรรค์เช่นนี้มาก่อน

          “พ่อค้าในเมื่อแม่นางท่านนี้เห็นว่าราคาหกตำลึงทองเหมาะสม เช่นนั้นข้าจะซื้อในราคาหกตำลึงทอง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวกับพ่อค้าที่กำลังงงงันได้ที่

          ตุบ แต่แล้วเงินอีกสองตำลึงทองก็ถูกโยนลงมาบนโต๊ะอีกครั้ง ไป๋เซ่อมองเงินสองตำลึงทองที่เพิ่มเข้ามาแล้วก็อดที่จะยืดอกภูมิใจอีกครั้งมิได้

          “ข้าให้เจ้าแปดตำลึงทอง งูเผือกตัวนี้เป็นของข้า” มู่อิงเอ๋อร์กล่าว อย่างไม่ยอมแพ้ ครั้นหางตาสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้กำลังมองนางอยู่ก็พลันเชิดหน้าขึ้น

          ครานี้ซวนหยวนหมิงไท่ลอบถอนหายใจกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการซื้องูเผือกเต้นระบำไปเพื่อการใดกัน”

          “ข้าต้องการซื้องูเผือกตัวนี้ไปเป็นส่วนผสมของยาวิเศษ” นางยิ้มแล้วมองหน้าชายหนุ่มตรงๆ ดูว่าดวงตาเขาช่างสว่างไสว ร่างที่สูงโปร่งขับดันให้ดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก

          “เช่นนั้นพ่อค้าข้าให้ท่านเก้าตำลึงทอง จงนำงูเผือกให้ข้า” ซวนหยวนหมิงไท่หันกลับไปกล่าวกับพ่อค้าอย่างไม่ยี่หระ

          ฟังแล้วมู่อิงเอ๋อร์ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ นางถือได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองตงหัวนี้ บุรุษทั้งหลายล้วนตามใจนาง นางอยากได้อะไรพวกเขาล้วนเสาะหามาให้ กระทั่งกริ่งเกรงอ่อนข้อให้ตลอด ผิดกับบุรุษผู้นี้ที่ไม่เหลียวแลนางเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังกล้าขัดใจนาง

          ในที่สุดเงินอีกสี่ตำลึงทองก็ถูกโยนลงโต๊ะอีกครั้ง นางกล่าวอย่างมีโทสะ “พ่อค้าส่งงูเผือกตัวนี้ให้ข้าเดี๋ยวนี้”

          “แม่นาง ความจริงแล้วราคางูเผือกตัวนี้ไม่น่าสูงถึงสิบสองตำลึงทอง เหตุใดแม่นางจึงต้องทุ่มเงินเพียงนี้ด้วย” เขาเริ่มขึ้นเสียง

          “เจ้าคิดว่าค่าตัวข้าไม่ถึงสิบสองตำลึงทองรึ ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย ฟ่อ” ได้ยินเช่นนั้นดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็แทบจะถลน ไป๋เซ่อดิ้นตัวไปมา ทั้งมิวายขู่ใส่ซวนหยวนหมิงไท่อย่างดุร้าย แต่แล้วไม่นานมันก็ถูกพ่อค้านอกด่านจับยัดใส่ถุงกระสอบอย่างน่าสงสาร

          “หากข้าบอกว่าข้าพอใจเล่า หากท่านไม่พอใจก็เชิญท่านจ่ายในราคาที่สูงกว่านี้สิ” มู่อิงเอ๋อร์ยิ้มกริ่มมองชายหนุ่มที่กำลังครุ่นคิดอย่างซุกซน

          “เช่นนั้นก็แล้วแต่แม่นางเถิด ข้าหวังว่ายาวิเศษของท่านคงจะได้ผลตามที่แม่นางต้องการ” เขายิ้มบางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเสียดาย ยังผลให้มู่อิงเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกผิดคาดที่บุรุษผู้นี้ไม่ตอแยนางต่อ

          “เฮ้ ซวนหยวนหมิงไท่ นี่เจ้าจะทิ้งข้าไว้อย่างนี้จริงๆน่ะรึ ไม่ได้นะ ไม่ได้ ฮึกๆ โฮ โฮ ข้าจะกลายเป็นงูตุ๋นแล้วหรือนี่” ไป๋เซ่อที่ซึ่งอยู่ในถุงกระสอบได้ยินคำกล่าวของรัชทายาทหนุ่มแล้วจึงร้องโอดครวญเป็นการใหญ่ มิหนำซ้ำยังตบท้ายด้วยเสียงปล่อยโฮในที่สุด

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมา แต่ยังคงเงียบไว้ก่อนดีกว่า นานๆทีจะได้มีโอกาสกลั่นแกล้งเจ้างูเผือกตัวป่วนสักที ย่อมต้องเอาให้คุ้มค่า

          ต่อเมื่อพ่อค้านอกด่านยื่นถุงกระสอบที่บรรจุไว้ด้วยงูเผือกให้ นางก็รับมาอย่างเฉื่อยชา หากแต่สายตากลับมองตามบุรุษที่พึ่งโต้เถียงกำลังห่างออกไปอย่างไม่ละสายตา รอจนเขาลับไปกับฝูงชนนางก็ตัดใจหันหลังไปอีกทาง


***********************************************

          มู่อิงเอ๋อร์เดินออกจากตลาดการค้า ตรงไปยังโรงเตี๋ยมนอกประตูเมืองซึ่งตนฝากม้าไว้ ขณะที่กำลังปลดเชือกจูงม้าออกมาจากคอก ก็พลันรู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบที่พุ่งตรงมากะทันหัน นางรีบตวัดตัวหันกลังกลับก็ต้องมีอันตะลึงวูบ

          “แม่นาง พบกันอีกแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มแย้มอย่างสุภาพ

          “ทะ ท่านตามข้ามารึ” มู่อิงเอ๋อร์ยังคงไม่หายตกใจ ครั้นเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายใบหน้าจิ้มลิ้มก็ปรากฏสีแดงเรื่อน้อยๆ

          “ข้าขอกล่าวตามตรง งูเผือกที่แม่นางซื้อไว้ ความจริงเป็นงูเผือกเลี้ยงของข้าเอง เมื่อสองสามเดือนก่อนข้าจำเป็นต้องออกจากบ้าน เมื่อกลับมามันก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว มิคาดว่าจะได้เห็นมันที่นี่อีกครั้ง”

          “ฮึ ที่ท่านกล่าวมามีหลักฐานอันใดกันเชียว” นางแค่นเสียงขึ้นจมูก นี่มิใช่บุรุษผู้นี้หากำลังเรื่องตามพัวพันนางอยู่รึ

          “เช่นนั้น แม่นางขออภัย” ยื่นมือไปคว้าถุงกระสอบที่ผูกไว้ที่อานม้าอย่างรวดเร็ว มู่อิงเอ๋อร์ได้แต่ตะลึงไปกับฝ่ามือที่ว่องไว พริบตาเดียวเขาก็เปิดปากถุงกระสอบ มองไป๋เซ่อที่นอนขดตัวคล้ายด้วยหลับไปหลังจากการร้องห่มร้องไห้อย่างอ่อนอกอ่อนใจ

          แสงลอดผ่านกระทบลำตัวที่เย็นเฉียบ ไป๋เซ่อรู้สึกตัวอีกทีมือข้างที่คุ้นเคยยื่นส่งมาให้ มันส่งเสียงขู่เล็กน้อยก่อนเลื้อยพันแขนข้างนั้นไว้แน่น ราวกับจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดรอดไปได้อีก

          คิดไม่ถึงว่างูเผือกจะเชื่องกับผู้คนได้มากขนาดนี้ มู่อิงเอ๋อร์มองอย่างไม่เชื่อสายตา มิคาดว่าชายหนุ่มจะเบนสายตาขึ้นมองนางพอดี ส่งผลให้ใบหน้านางกลับกลายแดงอีกครั้ง

          “ในเมื่องูเผือกตัวนี้แม่นางจ่ายไปสิบสองตำลึง เช่นนั้นข้าจะจ่ายคืนให้กับแม่นางเป็นเงินจำนวนนั้น” ว่าแล้วมือก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หากแต่ต้องชะงักไป

          ความจริงแล้วเขาซึ่งเป็นองค์รัชทายาทของอาณาจักรซวนหยวน เคยพกเงินทองติดตัวเสียเมื่อไหร่ ปกติแล้วเสี่ยวลู่ ขันทีคนสนิทจะมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ แต่ทว่าในตอนนี้เขาหลบเสี่ยวลู่และเหล่าองค์รักษ์ออกมาเดินเล่น แล้วจะทำเช่นไรดีล่ะ

          “โง่เง่า”

          เสียงเยาะของไป๋เซ่อดังขึ้น ดูเหมือนว่ามันเองก็จะรับรู้ปัญหาของเขาแล้ว เขาเงยหน้ามองหญิงสาวที่รอคอยอยู่ “เอ่อ แม่นาง ข้าลืมพกเงินมา ไม่ทราบว่าแม่นางพักอยู่ที่ใด ข้าจะได้นำเงินไปส่งมอบให้ได้” เขาจนใจจึงกล่าวถามอย่างสุภาพ

          ฟังแล้วก็ได้แต่ลอบยิ้มในใจ ที่แท้เขาก็ต้องตานางแล้วนั่นเอง “ข้ามู่อิงเอ๋อร์ เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองตงหัว หากท่านมิรีบนำเงินมาส่งมอบโดยเร็ว ข้าจะให้คนของทางการออกตามล่าท่าน” นางเชิดหน้ากล่าวอย่างภาคภูมิ

          ซวนหยวนหมิงไท่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยกับท่าทีดังกล่าว “ข้าทราบแล้ว แม่นางมู่ เช่นนั้นหากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”

          “เจ้าคนไร้มารยาท เหตุใดจึงไม่แจ้งนามแก่ข้า หากเจ้าไม่มาข้าจะเขียนประกาศจับอย่างไรเล่า” มู่อิงเอ๋อร์แสร้งตวาดใส่เล็กน้อยพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแง่งอน แต่แล้วเสียงหัวเราะทุ้มนุ่มดังขึ้นตามมา นางแทบจะละลายอยู่ตรงนั้นทีเดียว

          “ขออภัยที่เสียมารยาท ข้านามหยวนหมิงไท่” กล่าวจบก็ประสานมือให้ จากนั้นใช้วิชาตัวเบาหอบหิ้วไป๋เซ่อที่กำลังรัดแขนตนเองอย่างเอาเป็นตายจากไป


***********************************************

          “อุก ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          บุรุษหนุ่มผู้มีดวงหน้าสะดุดตาระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเสียกระทั่งน้ำในถ้วยชาหกรดมือ คนในโรงเตี๊ยมต่างหันมามองเจ้าของเสียงอย่างสนใจใคร่รู้ หากแต่ก็พบเพียงคนที่นั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่เพียงลำพัง

          “เจ้าหัวเราะกระไรกันหา” ไป๋เซ่อขู่ร้องอย่างอับอาย

          “เจ้ากำลังบอกว่า หลังจากที่เจ้ากลับไปยังพิภพสวรรค์ ก็ลักลอบกินลูกพลับจนหมดสวน จึงถูกผู้อาวุโสเทพทั้งสามลงโทษให้ลงมาเป็น งูเผือกเต้นระบำอย่างนั้นรึ ฮ่า ฮ่า”

          ไป๋เซ่อถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยโทสะ “ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าข้ามิใช่งูเผือกเต้นระบำ เจ้ารัชทายาทงี่เง่า หึ น่าแค้นใจนัก เจ้าแก่เทพอาวุโสทั้งสามถึงกับกล้าสะกดพลังของข้า” แล้วมันจะกลับคืนร่างมนุษย์ ทั้งใช้อิทธิฤทธิ์ได้อย่างไรกันเล่า

          “มิน่า ต้าเซียนถึงได้ฝากให้ข้าดูแลเจ้า” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็อ่อยลง นี่เขาต้องกลับไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กอีกแล้วหรือ นึกย้อนความหลังได้ไม่เท่าไหร่ก็พลันเห็นไป๋เซ่อส่งยิ้มหวานให้กับขนมถั่วแดงแกล้มน้ำชาของเขา ดูท่าอารมณ์คับแค้นเมื่อครู่สลายไปเพียงเพราะขนมเหล่านี้สินะ เขาถึงกับหัวเราะไม่ออก

          “องค์รัชชะ เอ่อ คุณชายท่านหายไปไหนมา บ่าวตามหาแทบตาย” เป็นเสียงของเสี่ยวลู่ที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในโรงเตี๊ยม ตามมาด้วยองค์รักษ์ที่วิ่งมาหน้าตาตื่นเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง

          “ข้าแค่ไปเดินเล่นมานิดเดียว พวกเจ้าก็อย่าบ่นข้านักเลย”

          “อ้ะ งูเผือกตัวนี้” เสี่ยวลู่อุทานขึ้น เมื่อเห็นงูตัวน้อยที่ดูคุ้นตากำลังกลืนขนมถั่วแดงบนโต๊ะไม่สนใจใคร

          “ฮา ข้าเจอมันเต้นระบำอยู่กลางตลาดน่ะ” เขาอธิบายมุมปากส่อแววหัวเราะเยาะนิดๆ ด้านเสี่ยวลูเห็นผู้เป็นนายอารมณ์ดีก็รีบหาเรื่องสนทนา

          “คุณชาย ระหว่างทางข้าน้อยได้ยินชาวบ้านคุยถึงเรื่องลึกลับยิ่ง เล่าลือกันว่าที่ใต้หุบเขาในเขตท้ายเมืองตงหัวนั้นมีเรื่องประหลาด”

          “หือ มีเรื่องเช่นนั้น” เขาเลิกคิ้วสนใจ เสี่ยวลู่จึงรีบกล่าวต่อ

          “ชาวบ้านเล่ากันว่า หลังตะวันตกดินที่ใต้หุบเขาจะมีนางปีศาจตนหนึ่งคอยใช้เสน่ห์หลอกล่อให้บุรุษหนุ่มเข้าไปติดกับ จากนั้นสูบเลือดสูบเนื้อพวกเขาจนแห้งตาย แต่ที่น่าแปลกคือศพทุกรายมักปรากฏรอยยิ้ม คล้ายยินยอมที่จะตายเอง เพื่อความปลอดภัยชาวบ้านแถวนี้จึงพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าวในยามค่ำคืน ฉะนั้นข้าว่าทางที่ดีพวกเราอย่าเข้าไปใกล้แถบนั้นจะดีกว่า”

          ขันทีน้อยออกความเห็นอย่างแข็งขัน ก่อนสะดุดเข้ากับดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวที่กำลังจับจ้องมองตนอย่างสนใจ ดูไปคล้ายมันกำลังยิ้มแฉ่ง แต่เอ๊ะ! เขาตาฝาดไปใช่รึไม่ งูที่ไหนจะส่งยิ้มให้เขาได้ ขันทีน้อยขยี้ตามองมันอย่างงงงวย

          ด้านไป๋เซ่อก็นึกสนุกหันไปกระซิบข้างหูองค์รัชทายาท สักพักสีหน้าของอีกฝ่ายก็พลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

          “คืนนี้ ข้าจะไปสำรวจที่ใต้หุบเขา” รัชทายาทหนุ่มกล่าวน้ำเสียงขุ่น ส่งผลให้เสี่ยวลู่และองค์รักษ์ต่างมองกันอย่างไม่เข้าใจ


          จวบจนราตรีกาลมาถึง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็ตรงเข้าไปยังใต้หุบเขาอันแสนจะหนาวเหน็บ คนที่เดินนำหน้านั้นดูภูมิฐาน สีหน้ามั่นคงดุจภูผา ตามมาด้วยชายร่างเล็กที่เดินหันซ้ายแลขวาตลอดทาง ที่ท้ายขบวนยังมีบุรุษอีกสามคนที่เปี่ยมด้วยความระแวดระวัง ยังมีงูเผือกอีกตัวหนึ่งที่อารมณ์ดี ชูคอมองนู่นนี้บนไหล่ของบุรุษที่เดินนำ

          อากาศเริ่มเย็นยะเยือกลงเรื่อยๆ เฉกเช่นเดียวกับใจของเสี่ยวลู่ที่ค่อยๆลีบเล็กลง “องค์รัชทายาท กระหม่อมใคร่ถาม เหตุใดพระองค์จึงต้องเสด็จมาที่นี่ด้วย กระหม่อมว่าพวกเราควรรีบไปยังจวนผู้ว่าเขตตงหัวกันเถิด” จู่ๆก็รู้สึกเสียใจว่าไม่ควรเล่าเรื่องพรรค์นั้นออกไปเลย

          “ข้าจะไปกำจัดปีศาจ”

          คำตอบขององค์รัชทายาททั้งสั้นทั้งห้วน และหาได้รู้ไม่ว่าคำดังกล่าวทำให้เสี่ยวลู่และองค์รักษ์ตะลึงตะลานไปกันหมดแล้ว นี่เป็นเพราะหลังจากที่ฟังเรื่องลึกลับจบ เขาก็พลันนึกใส่ใจขึ้นเล็กน้อย จวบจนไป๋เซ่อกระซิบที่ข้างหู

          “นี่ๆ ข้าว่าเจ้าอย่าเข้าไปใกล้แถบนั้นจะดีกว่า ดีไม่ดีเจ้าจะโดนอุ้มไปง่ายๆ ฮ่า ฮ่า ก็ดูเจ้าสิดวงหน้าจิ้มลิ้ม เอวบางร่างน้อยเสียราวกับบัณฑิตขนาดนี้”

          ไป๋เซ่อผู้มีปากแต่ไม่มีหูรูดกล่าวอย่างขำขัน ทำเอาผู้ถูกสบประมาทอารมณ์ขึ้นแทบตาย เคยมีใครว่าเขาว่าหน้าตาจิ้มลิ้ม เอวบางร่างน้อยกันบ้างเล่า สงสัยตาของมันคงมีปัญหาเสียมากกว่า

          “โธ่ องค์รัชทายาท ถึงอย่างไรก็ทรงมิใช่ผู้บำเพ็ญพรต เช่นนี้แล้วพระองค์จะทรงต่อกรกับปีศาจร้ายได้อย่างไรกัน” เสี่ยวลู่โอดครวญ

          “ข้าดูแลตัวเองได้”

          รัชทายาทหนุ่มยังคงตอบอย่างไม่ยี่หระ พาลให้ขันทีน้อยร่ำไห้ภายในใจ...แต่กระหม่อมดูแลตนเองไม่ได้นี่

          ต่อเมื่อเดินจนถึงพื้นที่ป่ารกชัฏ ก็รู้ได้ว่าพื้นที่แถบนี้แทบจะไม่มีคนผ่านมาเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงพลอยทำให้สถานที่แห่งนี้อึมครึมผิดปกติ รอบด้านมีแต่เถาวัลย์ห้อยระย้าทอดลงมาตามต้นไม้ใหญ่ โอบล้อมพวกเขาไว้ทั้งสี่ด้าน ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองก็พบเพียงกิ่งไม้ยุ่งเหยิงที่ปกปิดดวงดาราจนมืดมิด
   
          “เหตุใดต้นไม้พวกนี้จึงดูเหมือนๆ กันไปหมดล่ะ” หนึ่งในกลุ่มองค์รักษ์กล่าวทำลายความเงียบ ดูว่าพวกเขาวนอยู่แถวนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว
   
          “หากจับตำแหน่งดวงดาวมิได้ เกรงว่าพวกเราจะหลงทางเป็นแน่ ถ้าอย่างไรให้กระหม่อมปีนขึ้นไปมองหาตำแหน่งทิศเหนือเองพะย่ะค่ะ”

          ทันทีที่ซวนหยวนหมิงไท่พยักหน้ารับ องค์รักษ์คนดังกล่าวจึงก็ใช้วิชาตัวเบาถีบตัวขึ้นไปตามต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าดูสิเถาวัลย์พวกนี้ท่าทางจะเหนียว ข้าอยากได้ไปโล้ชิงช้า”

          เสียงขู่ที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นของไป๋เซ่อดังขึ้น เขาขมวดคิ้วพลางคิดว่าความคิดนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี เป็นงูแท้ๆ เหตุใดยังต้องโล้ชิงช้าอีก “ไป๋เซ่อ ข้าว่าเจ้าเหมาะที่จะเป็นงูเผือกเต้นระบำมากกว่างูเผือกโล้ชิงช้านะ” เขากล่าวโต้ตอบในสมองอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ทำเอาไป๋เซ่อเริ่มหันเขี้ยวขู่ใส่หน้าเขา เขาจ้องเขม็งกลับ

          “คิก คิก”

          “นั่นใครน่ะ” ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะ ทั้งเขาและไป๋เซ่อต่างหันไปยังต้นเสียงพร้อมๆกัน แต่ทว่าเบื้องหน้ายังคงมืดมิดไม่มีวี่แววเงาร่างใดๆ

          “องค์รัชทายาท ทิศเหนืออยู่ทางซ้ายพะยะค่ะ”

          พอดีกับที่เสียงองค์รักษ์ตะโกนขึ้นหันเหความสนใจ ทำให้ทั้งสองต่างยักย้ายสายตาออกจากจุดเดิม ทั้งมิได้ติดใจสงสัยอะไรอีก หลังจากนั้นกลุ่มคนราวสี่คนกับอีกหนึ่งตัวก็มุ่งหน้าจ้ำอ้าวผ่านต้นไม้ใหญ่ไปทางซ้ายทันที โดยมิได้ยินเสียงร้องห้ามที่ดังอย่างแผ่วเบาที่เบื้องหลัง
   
          “อย่าไปทางนั้น”



***********************************************


 :z2:  :z2: :z2:
[/size][/size]
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 2 จุมพิต 17/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 17-01-2016 21:56:03
บทที่ 2 จุมพิต



          ยิ่งเดินลึกเข้าไปทางทิศเหนือก็ให้รู้สึกผิดปกติ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ มีเพียงกระแสลมที่แทรกผ่านต้นไม้จนบังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวที่ฟังดูราวกับโหยหวน ขันทีน้อยเดินสั่นจนตัวแทบจะติดกับรัชทายาทหนุ่มอยู่รอมร่อ

          แสงโคมในมือขององค์รักษ์ทั้งสามเริ่มริบหรี่ กระทั่งลมวูบหนึ่งพัดผ่านก็นำพาเอาแสงสว่างหายไป ส่งผลให้คนทั้งหมดต่างยืนนิ่งเงียบ เว้นเพียงเสี่ยวลู่ที่มือไม้วุ่นวายสะเปะสะปะคว้าแขนผู้เป็นนายไว้ เงาร่างวูบไหวขององค์รักษ์รีบขยับก้มลงจุดโคม โชคดีที่ท่ามกลางความมืดยังคงมีเสียงขู่เนือยๆ ทำให้บรรยากาศดูไม่เงียบและน่ากลัวจนเกินไป

          “องค์รัชทายาท จุดไม่ติดพะย่ะค่ะ” องค์รักษ์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นเมื่อในพยายามจุดไฟเป็นครั้งที่สี่
   
          “รีบกลับกันเถอะ มืดขนาดนี้หากสัตว์ร้ายเพ่นพ่านออกมา พระองค์จะไม่ปลอดภัยนะพะยะค่ะ”

          น้ำเสียงของเสี่ยวลู่สั่นพอๆกับมือที่จับแขนเขาไม่ปล่อย ซวนหยวนหมิงไท่ถอนหายใจยาว “เฮ้อ เอาเถอะไว้วันหลังค่อยมาใหม่” 

          ยังมีวันหลัง? สีหน้าของเสี่ยวลู่ถอดสี โชคไม่ดีที่ท้องฟ้ามืดครึ้มทำให้องค์รัชทายาทมิอาจแลเห็นสีหน้าอันน่าสงสารของตนได้ ทว่าหลังจากที่ทุกคนตกลงใจที่จะย้อนกลับ ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเป็นเสียงสวบสาบ

          บางสิ่งอย่างบางพุ่งตรงเข้ามา ก่อนจะแยกพวกเขาให้ออกห่างจากกันอย่างรวดเร็ว ซวนหยวนหมิงไท่เบี่ยงตัวหลบสิ่งแปลกปลอมที่พุ่งตรงจากทางด้านหลัง แต่มิคาดว่าสิ่งนั้นกลับอ้อมมาพัวพันที่ช่วงเอว สองมือเลื่อนลงแกะทันที แต่แล้วก็พบว่าสิ่งที่พันธนาการตนไว้นั้นเป็นเพียงผ้าแพรผืนหนึ่ง แลจังหวะที่ชุลมุนก็รู้สึกไหล่ก็ถูกคว้าตะปบ

          “ปะ...ปล่อยข้า” ไป๋เซ่อเจ็บจุกจนน้ำตาแทบหลั่งไหล ในไม่ช้าร่างอันเรียบลื่นก็ต้องยอมแพ้กับแรงอันดื้อดึง ท้ายที่สุดมันก็ไถลออกไปจากไหล่ของซวนหยวนหมิงไท่ไปอย่างมิยินยอม

          “ว๊ากกก”
   
          “แอ่กก”
   
          เสียงร้องดังขึ้นตามมาด้วยเสียงจุกของไป๋เซ่อ ในที่สุดก็รู้ที่มาของมือนั้น ท่าจะเป็นมือของเสี่ยวลู่ที่ลนลานคว้ามาทางเขา หากแต่คว้าผิดไปตะครุบเอาร่างของไป๋เซ่อเข้าแทน

          ด้านเสี่ยวลู่พอรู้ตัวว่าคว้าไม่ถูกร่างองค์รัชทายาท ทั้งยังมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นคอยก่อกวนอยู่รอบๆ ไม่นานสติก็แตกกระเจิง มือพลันสะบัดฟัดเหวี่ยงหมุนควงร่างของงูเผือกอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาไป๋เซ่อที่ไม่ทันได้เตรียมใจแทบอยากจะขย้อนขนมถั่วแดงยามมื้อบ่ายออกมาจนหมดไส้หมดพุง

          “เสี่ยวลู่อยู่เฉยๆ” เขาร้องบอกพลางก้าวเข้าไปหา แต่กระนั้นผ้าที่แพรกลับค่อยๆดึงรั้งร่างของเขาไปทางด้านหลังให้ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีฝ่าเท้าก็ลอยขึ้นเหนือพื้น สายลมแรงปะทะใบหน้า เบื้องล่างเห็นเพียงพุ่มไม้หนาใหญ่ ดูว่าเขาลอยขึ้นมาเหนือต้นไม้ใหญ่เสียแล้ว

          “พ่อหนุ่มจะรีบไปไหน ไปเล่นกับข้าก่อนดีกว่า ฮ่า ฮ่า”

          เสียงแผดหัวเราะของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ สีหน้าเขาขุ่นมัวลง เขาเกลียดสตรีพูดจาแทะโลม มันคล้ายทำให้ต้องนึกถึงปีศาจจิ้งจอกที่พรากสตรีอันเป็นที่รักไป เขาเงยหน้าขึ้นมองสตรีที่มีดวงตาสีดำ กลางหน้าผากประดับมุกสีทับทิม แลไม่นานนักเขาก็ถูกเหวี่ยงลงบนพื้น

          “อย่าได้คิดหนีเชียว ที่นี่ไม่มีทางลง หากเจ้าคิดลงไปคงต้องรอให้บินได้เสียก่อน”

          “ฮึ นางปีศาจพาข้ามาที่นี่ทำไมกัน” สังเกตไปรอบๆ แล้วจึงพบว่าที่นี่เป็นภูผาที่สูงชัน ที่ด้านหลังยังมีถ้ำที่จุดคบเพิงข้างใน

          “เห ดูท่าวันนี้ ข้าวั่นอู่หงเก็บได้ของดีทีเดียว หน้าตาเจ้าไม่เลว ท่าทางก็เหมือนพวกชนชั้นสูง ฮึ ฮึ” ระหว่างพูดนางก็เชยคางบุรุษรูปงามขึ้นเชยชม ดวงตามิเก็บซ่อนความปรารถนาอันเร่าร้อน ทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกราวกับโดนไฟเผาไหม้

          “อย่ามาแตะข้า” เขาสะบัดมือทิ้งอย่างรังเกียจ 

          วั่นอู่หงมองมือที่ถูกปัดทิ้งแล้วจึงหัวเราะก้อง “ดูสิว่าจะทนได้สักกี่น้ำ รออีกไม่นานเจ้าต้องหมอบที่แทบเท้าข้าแน่ๆ” นางปรายตามองอย่างยั่วยวน จากนั้นสะบัดตัวเดินเข้าถ้ำไป นางมั่นใจ ไม่มีชายใดที่ทานทนเสน่ห์ของนางได้ เพียงไม่ถึงชั่วยามบุรุษผู้นี้จะต้องตกเป็นเหยื่อของนางแน่นอน

          กระทั่งร่างอรชรหายลับไปในถ้ำ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าพลางเดินไปยังริมผา ชะโงกมองเบื้องล่างที่ลึกสุดหยั่ง เขาทอดถอนใจ ดูท่าว่าแม้จะใช้วิชาตัวเบาก็มิแน่ว่าจะไปได้ถึงครึ่งทาง เห็นทีต้องหาทางอื่นเสียแล้ว

          ขณะที่กำลังอับจนหนทาง หางตาสีดำก็พลันสะดุดที่ก้อนยาวๆสีขาวดูนุ่มนิ่มที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นไม่ไกลจากที่ๆตนลุก เขาจ้องเขม็งอยู่นานสุดท้ายก็อุทาน “ไป๋เซ่อ” ว่าแล้วก็ถลาตัวเข้าไปรวบร่างตรงหน้า จับพลิกร่างอันปวกเปียกไปมา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่ได้”

          แทบจะขย้อนน้ำย่อยออกมาอีกระลอก เนื่องด้วยถูกเขย่าตัวไม่หยุดหย่อน ก่อนหน้านี้มันถูกเสี่ยวลู่เคี่ยวกรำเสียจนกระอักออกมาเป็นขนมถั่วแดง ทำให้ตอนนี้ท้องมันเบาหวิวราวปุยนุ่น แลหากต้องให้เอามาอีก ครานี้คงหนีไม่พ้นตับไตไส้พุงของมันเอง ไป๋เซ่อหน้าเขียวหวังมิให้สวรรค์ใจร้ายกับมันเกินไป แต่ทว่า…

          “โอ๊ก” ในที่สุดมันก็อาเจียนออกมาอีกครั้ง


****************************************************


          ผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางปีศาจวั่นอู่หงยังคงไม่มีทีท่าจะออกมา ส่วนเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของทางออก ได้แต่นั่งมือหนึ่งประคองอีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังของเจ้างูเผือกที่นอนไร้เรี่ยวแรง ลิ้นแฉกสีแดงห้อยตก

          “รีบบอกเสียแต่ทีแรกก็คงมิเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าตะกละจนเกินไป” ซวนหยวนหมิงไท่ลงความเห็น ดวงตาสีดำเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับผู้บริสุทธิ์ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับว่าเป็นต้นเหตุให้มันต้องอ้วกแตกหมดไส้หมดพุง

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็พ่นน้ำลายสวนทันควัน “ใครใช้ให้เจ้าเขย่าตัวข้ามิหยุดกัน เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น แฮ่ๆ ข้าจะกัดเจ้า”

          เป็นถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีแรงกัดอีกรึ? คล้ายว่าช่วงนี้เขากลายเป็นคนขี้สงสัย ซวนหยวนหมิงไท่ใช้สองนิ้วคีบเอาส่วนหัวน้อยๆที่ยังคงมีแรงขยับได้เพียงส่วนเดียวขึ้นมองในระดับสายตา ยังผลให้ร่างของมันห้อยต่องแต่งอย่างน่าสงสาร มุมปากเขาพลันอมยิ้ม

          สังเกตเห็นสายตาดูแคลนระคนขำขัน ไป๋เซ่อก็เค้นเสียงร่ำร้องอย่างคับแค้น “จะ...เจ้าแกล้งข้า ข้าจะฟ้องท่านมหาเทพ”
นี่เป็นมันตัดสินใจพลาดไป ระหว่างที่มันถูกเสี่ยวลู่เหวี่ยงไปมาจนหัวหมุน จังหวะหนึ่งมันก็ดีดตัวออกมาจากกำมือของอีกฝ่าย ซึ่งเผอิญพุ่งตรงไปงับชายเสื้อของซวนหยวนหมิงไท่ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศพอดิบพอดี หากให้ย้อนกลับไปใหม่ มันคงเลือกพุ่งลงดินแทนแล้ว

          ฟังเสียงงูน้อยที่เริ่มแผ่วลง ดวงตาแดงเรื่อขึ้นก็รู้สึกได้ว่าตนเองทำเกินไป “เอาเป็นว่าข้าขอโทษ” กล่าวจบก็วางมันลงเบาๆ ทว่าไป๋เซ่อยังคงมีท่าทีแง่งอน ขดตัวก้มศีรษะลงนอนไม่ใส่ใจ เขาถอนใจเบาๆ “เอาเป็นว่าทั้งหมดข้าผิดเอง เป็นข้าป้อนขนมถั่วแดงเจ้าเยอะเกินไป เป็นข้าที่ทำให้เสี่ยวลู่ต้องทำร้ายเจ้า และยังเป็นข้าที่เขย่าตัวเจ้าจนสำรอกออกมา”

          แทบไม่เชื่อหู ไป๋เซ่อผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อย คนผู้นี้ยอมมันจริงๆรึ เหลือบมองคนที่มีสีหน้าเป็นห่วง “หึ”

          อย่างน้อยมันก็ยอมส่งเสียงบ้างแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบาง ค่อนข้างไม่คุ้นชินกับไป๋เซ่อที่ไม่ร่าเริงเช่นนี้ “ว่าแต่พวกเราจะทำอย่างไรดี”

          “เฮอะ แน่นอนว่าต้องกำจัดปีศาจ” พูดถึงปีศาจไป๋เซ่อก็กลับมาฮึกเหิม มันเป็นถึงมือขวาของท่านมหาเทพ งูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ ไยต้องเกรงกลัวปีศาจด้วย

          “เอ แต่เจ้ามิใช่บอกว่าถูกเหล่าผู้อาวุโสเทพสะกดพลังไว้รึ”

          ราวกับถูกสายฟ้ากระหน่ำฟาด ในสมองเอาแต่พร่ำบอกว่าไม่จริงๆ ไป๋เซ่ออ้าปากค้างด้วยทนรับความจริงมิได้ เช่นนี้แล้วก็หมายความว่าตอนนี้มันเป็นเพียงแค่งูเผือกธรรมดาๆน่ะสิ ร่างพลันโงนเงนจะเป็นลม

          ดูว่าเขาพูดแทงใจดำอีกแล้วสินะ ซวนหยวนหมิงไท่ลอบยิ้มมุมปาก รับร่างที่อ่อนไหวไว้ มิได้มีท่าทีเป็นกังวลไปกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานสักนิด

          สัมผัสอุ่นที่แผ่นหลังทำให้ไป๋เซ่อเงยหน้าขึ้นสบตารัชทายามหนุ่ม ฉับพลันนั้นดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็เบิกกว้าง เสียงหัวเราะแปลกๆเล็ดลอดออกมา “ฮึ ฮึ ฮึ” 

          ไฉนจึงรู้สึกร้อนๆหนาวๆชอบกล ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาทอดมองงูเผือกที่หัวเราะราวกับไร้สติ

          “มีทางแล้ว มีทางแล้ว” มันเป็นงูเผือกสวรรค์ สะสมตบะก็เนิ่นนานนับพันปี จะให้ยินยอมกลับไปเป็นเพียงแค่สัตว์อสรพิษ ก็มิใช่มันแล้ว “ถ่ายทอดปราณมังกรของเจ้าให้ข้า” มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น แม้มันจะมิได้มีฤทธิ์เดชมากมายเท่าเดิม แต่อย่างน้อยก็พอมีติดตัวมิใช่เป็นงูธรรมดาเป็นพอ

          มองไป๋เซ่อที่ยิ้มแฉ่ง เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วยุ่งเหยิง “แล้วทำอย่างไร คงมิใช่ดื่มเลือดเนื้อข้าหรอกนะ”

          “โง่งม ข้ามิใช่ปีศาจจะดื่มเลือดเนื้อเจ้าไปไย เจ้าเพียงแบ่งปันลมปราณผ่านทางริมฝีปากให้ข้าก็พอ”

          “หืม” เขาฟังผิดไปรึไม่ สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ตกตะลึงสุดขีด แบ่งปันลมปราณผ่านทางริมฝีปาก นี่มิใช่เป็นการจุมพิตหรอกรึ

          “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เร็วๆเข้า” ไป๋เซ่อกล่าวเร่งรัด มันได้ปราณมังกรมาฟื้นฟูพลัง จากนั้นกำจัดนางปีศาจแล้วพาอีกฝ่ายกลับไปหาพวกองครักษ์ นับว่ายุติธรรมทั้งสองฝ่าย

          ซวนหยวนหมิงไท่เม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว แม้ตรงหน้าเป็นเพียงงูเผือกตัวหนึ่ง แต่กระนั้นมันพึ่งสำรอกมามิใช่หรือ จะให้ทำใจจุมพิตมันก็...อืม

          รึจะคิดว่ากำลังหยอกล้อสัตว์เลี้ยงน่ารักดี

          ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น และหากให้เลือกชีวิตกับจุมพิต เขาย่อมต้องเลือกจุมพิตอยู่แล้ว ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ แค่นี้เขาคงไม่เก็บเอาไปฝันร้ายหรอก...กระมัง?



*****************************************************


          ชายหนุ่มตัดสินใจข่มตาหลับลง สูดหายใจลึกทำใจอยู่ชั่วครู่ก็ยื่นหน้าเข้าไปหางูน้อยที่กำลังเชิดหน้ารอรับ บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดราวกับไม่มีอากาศหายใจ กระทั่งใบหน้าห่างกันไม่ถึงฝ่ามือก็พลันมีเสียงร้องขัดจังหวะ

          “เดี๋ยวๆ ข้าไม่ทำแล้ว ไม่เอาแล้ว”

          “ไป๋เซ่อ เจ้าจะโวยวายไปทำไม ก็แค่จูบเท่านั้น” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วอย่างหงุดหงิด คิดว่าเขาทำใจอยู่นานแค่ไหนกันเชียว

          “แต่...แต่จูบแรกของข้า มอบให้แก่ท่านมหาเทพเพียงผู้เดียว” ไป๋เซ่อยิ้มอย่างเขินอายซ้ำยังบิดม้วนตัวไปมา

          มองดูงูเผือกเขินอาย เขาก็ถึงกับยิ้มแหย นี่ยังไม่เลิกหวังอีกรึ “แต่จูบแรกของต้าเซียน เขามอบให้เซียวถิงฟงไปตั้งนานแล้ว”

          คำดังกล่าวดับฝันให้สลายเป็นจุณในชั่วพริบตา ร่างของไป๋เซ่อแข็งทื่อไปนาน ก่อนจะถลึงตาปูดโปนสบถด่าไม่หยุด “ตัวเลวร้ายแซ่เซียว หากพบหน้าข้าจะกัดให้พรุนไปทั้งร่างเลย กล้าล่อล่วงท่านมหาเทพของข้า เจ้าต้องตายไม่ดีแน่ ฟ่อ”

          มันก่นด่าอย่างคับแค้น ทำให้เขาอดถามขึ้นมามิได้ “ไป๋เซ่อ เจ้าใช่จะกลายเป็นจอมมารเฟยหลงคนที่สองรึเปล่า”

          “เป็นมารดาเจ้าสิ” ครานี้ไป๋เซ่อหันมาด่าคนที่ชอบแขวะ ทว่าคนตรงหน้ากลับหัวเราะชอบใจ “เฮอะ จะจูบก็จูบสิ พิรี้พิไรอะไรอยู่ได้” มันกล่าวไปก็ยืดตัวผงกหัวโวยวาย ศีรษะก็สะบัดฟัดเหวี่ยงราวกับตาแก่ขี้โมโห

          ซวนหยวนหมิงไท่มองดูแล้วก็ทำใจจูบขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ รอจนครู่หนึ่งก็ฝืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พุ่งมือออกไปใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งคีบจับส่วนหัวของงูเผือกอย่างรวดเร็ว

          เมื่อไม่สามารถขยับศีรษะได้ ไป๋เซ่อก็เปลี่ยนเป็นร้องลั่น ตวัดปลายหางดิ้นรน “จะ เจ้าจะทำอะไร”

          ...ยังจะต้องถามกันอีกหรือ ซวนหยวนหมิงไท่แลซ้ายขวา แม้อยู่บนผาไร้ที่ซึ่งผู้คน แต่ก็อดที่จะตะขิดตะขวงใจมิได้หากมีใครพบเห็นตนกำลังจูบกับงูเผือก จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นนี้นี่นา ต่อเมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้ใด เขาก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้ง

          “เดี๋ยวๆอย่าพึ่ง ข้ายังทำใจไม่ได้” ไป๋เซ่อยังคงตื่นตระหนกร้องจนน้ำลายกระเด็นใส่หน้าอีกฝ่าย แต่มาตรว่ามันร้องให้ตายก็ไม่สายไปเสียแล้ว ใบหน้าได้สัดส่วนเข้าประชิด มันรีบข่มตาหลับลงอย่างตกใจ ก่อนตระหนักได้ถึงความอุ่นนุ่มทั้งยังจักกะจี้น้อยๆที่ประทับลงบนริมฝีปากมัน

          เป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบาทั้งยังผิวเผิน ทั้งหมดนี้กินเวลาที่ไม่แม้แต่จะทันกะพริบตารัชทายาทหนุ่มก็ผละตัวออก กล่าวน้ำเสียงตื่นเต้น “เป็นไง ได้ผลรึไม่”

          “.......” บังเกิดเป็นความเงียบสงัด แต่ไม่นานนักดวงตาของไป๋เซ่อก็ลุกพรึ่บ ดูว่าทุกอย่างยังคงเดิม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปสักกะผีก “นี่เจ้าตั้งใจจูบข้ารึเปล่าเนี่ย” จุมพิตที่ราวกับเด็กเล่นเช่นนี้มีรึจะได้ผล

          เขาหน้าเสีย รีบกล่าวแย้ง “ตั้งใจสิ ใครว่าข้าไม่ตั้งใจจูบเจ้า”

          “ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมข้าจึงยังเหมือนเดิมกันเล่า”

          “หรือ...หรือจะลองอีกที” รัชทายาทหนุ่มหน้าแดงกล่าวตะกุกตะกัก

          “.......” บังเกิดเป็นความเงียบงันขึ้นอีกครั้ง ไป๋เซ่ออึ้งจนพูดอะไรไม่ออกอีก ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้อีกครั้ง ครานี้คล้ายมีบรรยากาศกดดันประการหนึ่ง พานให้ใจเต้นระทึกอย่างบอกไม่ถูก

          ซวนหยวนหมิงไท่ประทับริมฝีปากลงอย่างแช่มช้า กระทั่งรู้สึกได้ถึงไอเย็นจากตัวของอีกฝ่าย ความตื่นเต้นที่มีตอนแรกก็ลดทอนลงไป แทนที่ด้วยความหวามไหวในอก จากนั้นสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่น่าหลงใหล เขากดริมฝีปากลงไปอีกอย่างไม่รู้ตัว ใจเรียกร้องราวกับต้องการมากกว่านี้

          จวบจนลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่ลุกวาว เขากะพริบมองอยู่หลายครั้งก็ประจักษ์ว่าครั้งนี้ได้ผล สองมือผละเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีเขียวออกอย่างทื่อๆ ครั้นเห็นปากที่แดงช้ำของอีกฝ่ายก็พลันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้แต่แสร้งเป็นกระแอมกระไอกล่าว “อืม ได้ผลดีไม่น้อย”

          คำกล่าวอันน่าไร้ยางอายกลับดังออกมาจากปากผู้ที่ชอบวางท่าขรึม ยังผลให้ไป๋เซ่ออึกอักหน้าแดง ได้แต่เมินหน้าหันไปโคจรพลังในกายแล้วจึงชะงักวูบ “ดีกับผีน่ะสิ พลังข้ายังไม่ฟื้นสักส่วนหนึ่งเลย เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันไม่ได้เรื่อง” มาตรว่าจะกลับร่างมนุษย์ได้ หากแต่พลังในกายกลับว่างเปล่า

          ได้ฟังแล้วรัชทายาทหนุ่มก็มีอันต้องฉุนกึก โต้เสียงแข็ง “บางทีอาจเป็นเจ้าที่ไม่ได้เรื่องมากกว่า”

          “นี่เจ้าหาว่าข้าไม่ได้เรื่องงั้นรึ”

          “ใช่ แล้วจะทำไม”

          ไป๋เซ่อตัวสั่นไปด้วยความโกรธ ละล่ำละลักชี้หน้าด่า“จะ เจ้านั่นแหละที่ไร้น้ำยา” สิ้นเสียงกล่าวซวนหยวนหมิงไท่ก็เผยสีหน้าขุ่นเคืองอย่างที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน จู่ๆก็รู้สึกประหวั่นอยู่ลึกๆ เขาลอบร้องในใจ...แย่ล่ะสิ

          ยังมิทันจะถอยเท้าหนีต้นคอก็ถูกรั้ง กรามถูกจับตรึงไว้จนเจ็บ ต่อด้วยปากถูกกระแทกขบเม้มจนมิอาจหลุดคำด่าได้อีก นอกจากนี้เอวยังถูกรวบดึงเข้าในอ้อมกอดอันรุ่มร้อน

          นี่ตนใช่ฝันไปรึไม่ บุรุษผู้ซึ่งเยือกเย็นอยู่เสมอ ไฉนจึงมีอีกด้านหนึ่งที่น่ากลัวเช่นนี้ได้

          “อื้อ เอ้าอ้าอุดเอี๋ยวอี๋อ้ะ”

          ฉับพลันที่เผยอริมฝีปากบางสิ่งที่อุ่นร้อนก็พัวพันมาทางด้านใน ไป๋เซ่อยิ่งตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูก ความร้อนขุมหนึ่งก็แล่นวูบเข้ามากลางอก จากสัมผัสรุนแรงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ลิ้นอุ่นนุ่มไล่เรียงไปทีละนิด พลอยให้เคลิบเคลิ้มลืมตัวปล่อยให้ถูกชักนำไป เปลือกตาคล้อยหลับลง

          ครั้นโทสะมลายหายไปจนหมดสิ้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็รู้ตัวว่าเสียการควบคุมอย่างมิควรจะเป็น แต่กระนั้นลึกๆข้างในกลับมิได้เสียใจในสิ่งที่กระทำ ทั้งยังให้ความรู้สึกพึงพอใจเสียมากกว่า

          เขาค่อยๆหยุดนิ่ง ถอนริมฝีปากออกอย่างช้าๆ พร้อมกันนั้นก็คลายวงกอดจากร่างบาง ทอดมองดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่น่าดึงดูดอย่างไม่ละสายตา พริบตานั้นไป๋เซ่อที่ไม่มีแขนแกร่งพยุงก็หงายหลังลงไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เห็นดังนั้นก็ตกใจรีบคว้าร่างบางเข้ามากอดใหม่ “ไป๋เซ่อ”

          เสียงที่ร้องอย่างตื่นตระหนกทำให้ไป๋เซ่อหลุดจากภวังค์ มองผู้เรียกแล้วสมองก็ราวกับจะระเบิด ใบหน้าแดงยิ่งกว่าก้นลิง ภาพจุมพิตเมื่อครู่หวนตอกย้ำ ความรู้สึกที่ติดตรึงใจยังผลให้ตื่นตะลึงสุดขีด อดมิได้ที่จะแผดเสียง “ว๊าก อ่ะ อุบ”

          ทันทีที่ไป๋เซ่ออ้าปากร้องลั่น เขาก็กระโจนเข้าไปใช้มืออุดปากเจ้าตัว กระซิบบอก “ชี่ เบาๆ เดี๋ยวนางปีศาจก็ได้ยินหรอก”
ลมหายใจร้อนกระทบข้างหู เป็นอีกครั้งที่ตกอยู่ในอ้อมอกอันอบอุ่น กระทั่งสงบสติอารมณ์ได้แล้วไป๋เซ่อก็พยักหน้ารัวๆ แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงมิลดมือ

          “ไป๋เซ่อ ลองดูสิพลังของเจ้าฟื้นขึ้นมารึยัง” เขาถามอย่างใจเย็น

          ไป๋เซ่อเองก็กะพริบตาปริบๆ โคจรพลังผ่านปลายนิ้วแล้วสะบัดไปยังด้านล่างทีหนึ่ง ทันใดนั้นเปลวไฟสีเหลืองอมส้มก็ลุกโชนกองใบไม้แห้งบนพื้น แทบอยากจะกระโดดโลดเต้น หากแต่ชั่วประเดี๋ยวมันก็ดับสนิท

          “.....” เสียงลมพัดไหววูบ ครานี้ไม่มีใครกล่าววาจาอันใดอีก เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามิสามารถรับมือนางปีศาจได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว

          “เฮ้อ ช่างเถอะลองหาวิธีอื่นเถิด” ซวนหยวนหมิงไท่ที่กุมขมับเป็นฝ่ายเอ่ยคำขึ้นก่อน ทำให้ไป๋เซ่อครุ่นคิดหลายตลบ

          ดูท่าพลังที่มันได้รับถูกใช้คืนรูปมนุษย์จนหมดสิ้น แทบไม่หลงเหลือให้ใช้การอื่นตั้งแต่ต้นแล้ว และบางทีการที่มันอยู่ในร่างเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีนัก ครั้นมองไปที่ทางออกเพียงหนึ่งเดียวก็เผยอยิ้มแฉ่ง ค่อยๆย่องถอยหลังไปที่หน้าผา
         
          “เอาอย่างนี้ ข้าจะกลับร่างงูแล้วไต่หน้าผาลงไปบอกให้พวกองครักษ์ขึ้นมาช่วยเจ้า ระหว่างนี้เจ้าก็ทำตัวดีๆล่ะ” จำได้ว่าหนึ่งในกลยุทธ์ที่ดีที่สุดนั่นก็คือเผ่น

          หากแต่ว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับคว้าไหล่จอมกะล่อนไว้ได้ทันท่วงที เขากล่าวเสียงเรียบหน้าตาย “กว่าพวกเจ้าจะมาถึงข้าก็คงแห้งตายไปแล้ว” คิดหรือว่าเขาไม่รู้ทัน เจ้างูน้อยนี่คิดจะเผ่นก่อนใครเพื่อน

          “แล้วเจ้าจะเอายังไง” ร่างบางตวาดชูมือประท้วง “จะให้ข้าอยู่รอเป็นอาหารปีศาจเป็นเพื่อนเจ้างั้นเรอะ ฝันไปเถอะ”
 
          “นั่นใครน่ะ” เสียงผู้มาใหม่ดังขัดจังหวะ ทำให้คนทั้งสองต่างมองไปยังปากทางเข้าถ้ำกันอย่างพร้อมเพรียง

          เป็นเวลาประจวบเหมาะที่วั่นอู่หงออกมาจากถ้ำ ด้วยถึงเวลาที่นางจะหลอกล่อเหยื่อให้ตายใจ แต่ทว่าที่เบื้องหน้าไม่ไกลนักกลับเพิ่มด้วยหนุ่มน้อยที่มีใบหน้าเย้ายวนแปลกตาในชุดสีเขียว ส่งผลให้นางคึกคักอักโข ก็นานแล้วที่มิได้มีเหยื่อรูปงามติดกับถึงสองแบบนี้นี่

          “เป็นเพราะเจ้า ทีนี้จะทำไงล่ะ” ไป๋เซ่อร้องโวยวายใส่หูผู้เป็นรัชทายาท จะให้กลับเป็นงูตอนนี้ก็มิทันการณ์แล้ว

          ซวนหยวนหมิงไท่หันรีหันขวางก่อนจะสังเกตเห็นเถาวัลย์ที่ห้อยอยู่ริมผา เห็นทีต้องเสี่ยงดวงดูสักตั้ง “ไต่เถาวัลย์ลงไป เร็ว” เขาตะโกนบอกพร้อมกันนั้นก็กระชากเถาวัลย์ขึ้นอย่างแรง ทว่าไป๋เซ่อคล้ายถูกความเร่งรีบทำให้เงอะงะไป เขาหันไปคว้ากุมมือเล็กไว้ให้ได้สติ อย่างน้อยรอดไปได้สักคนก็ยังดี

          ด้านวั่นอู่หงเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของเหยื่อ นางก็ตวาดก้อง “คิดจะหนีรึ” นางถลันตัวเข้าหาอย่างรวดเร็ว

          ทันใดนั้นก็บังเกิดเป็นพายุ ฝูงลมขนานใหญ่หอบเอาเศษใบไม้ขึ้นมาจากด้านล่าง ยังผลให้ฝุ่นละอองกระจายตัวปั่นป่วน ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อที่ยืนอยู่ริมผาจำเป็นต้องถอยหลังแล้วเบี่ยงหน้าหลบ ไม่เว้นแม้แต่ปีศาจสาวที่ต้องถอยร่นออกไป
คล้ายได้ยินเสียงกระพือปีก รัชทายาทหนุ่มหรี่ตาขึ้นสู้ก็เห็นบางสิ่งที่มีขนาดมหึมา หนำซ้ำยังมีท่าทีดุร้าย มันมุ่งตรงเข้ามาใกล้ ปิดกั้นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวเอาไว้

          “จ๊ากกก” ไป๋เซ่อร้องลั่น ทิ้งมาดงูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ กระโจนเข้ากอดเอวซวนหยวนหมิงไท่ที่ยืนตะลึงอยู่ด้านข้างไว้แน่น

          ...ดูท่าว่าวันนี้พวกเขาคงถึงคราอภิมหาซวยแล้วกระมัง ถึงได้หนีเสือประจระเข้เช่นนี้



*****************************************************


เค้ารอคอมเม้นท์อยู่น้า
:hao5:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 3 สตรีลึกลับ 18/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-01-2016 21:13:58
บทที่ 3 สตรีลึกลับ



          กระแสลมราวพายุสงบลง เบื้องหน้าปรากฏเป็นกรงเล็บทรงพลังขยุ้มเกาะที่ชะง่อนผา ปีกสีน้ำตาลสง่างามสยายออกให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม ดวงตาคมสีเหลืองแน่วแน่จับจ้องมองอย่างมิวางตา ปากงองุ้มส่งเสียงร้องดังกังวานไปทั่วบริเวณ

          “แกว๊ก แกว๊ก”

          “จ๊ากกก อย่าเข้ามาใกล้ข้า” สัญชาตญาณของงูตื่นตัวให้ต้องร้องออกมาพร้อมทั้งกระโดดเข้าใส่คนใกล้ตัว

          ด้วยน้ำหนักตัวของไป๋เซ่อปลุกสติให้ตื่นขึ้นอีกครา ก่อนจะสังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือดตัวสั่นเทิ้มของร่างสีเขียว ซวนหยวนหมิงไท่กระชับกอดคนในอ้อมอก สองตาจ้องมองอินทรียักษ์ไม่กะพริบ ทั้งนี้หาได้แสดงท่าทีแตกตื่นแต่อย่างใดไม่ ระหว่างนั้นก็พลันขยับถอยหลังอย่างช้าๆ

          ทว่าถอยไปได้แค่ครึ่งก้าว เจ้าเวหาตรงหน้าก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ มันส่งเสียงร้องอย่างดุร้าย ทั้งก้าวเข้ามาให้ใกล้พวกเขากว่าเดิม ยังผลให้เขาต้องหยุดฝีเท้าหยั่งเชิง

          “วิ่งสิวิ่ง เจ้ารัชทายาทงี่เง่า” ไป๋เซ่อออกคำสั่ง สองขากระทุ้งเอวให้อีกฝ่ายขยับ

          “หากข้าวิ่งตอนนี้ พวกเราไม่รอดแน่” เขากระซิบบอก เป็นไปได้ว่า หากพวกเขาขยับตอนนี้ จะงอยปากที่แข็งแกร่งนั้นจะตรงเข้ามาขยุ้มพวกเขาในทันที ดังนั้นได้แต่คิดหาทางอื่น

          “เจ้าตัวอุบาทว์ นังเด็กเย่วเซียงใช้เจ้ามาขัดขวางข้าอีกแล้วรึ วันนี้ข้าวั่นอู่หงจะขอคิดบัญชีกับพวกเจ้า”

          นางปีศาจตะโกนลั่นพร้อมกันนั้นก็สะบัดผ้าแพรมุ่งเข้าหา หากแต่จ้าวอินทรีกระพือปีกเพียงครั้งก็บังเกิดเป็นพายุหมุนขนาดย่อม ปัดป้องผ้าแพรที่เข้าโจมตีได้อย่างหมดจด ทำให้ปีศาจสาวมิพอใจเร่งการโจมตีให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น

          อีกด้านหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่ฟังคำกล่าวของวั่นอู่หง สังเกตท่าทีของนกอินทรีประหลาดก็ชั่งใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว จากที่เคยถอยหนีกลับเปลี่ยนเป็นวิ่งเข้าหา ยังผลให้ไป๋เซ่อตาเหลือก

          “ข้าบอกให้เจ้าหนี มิใช่ให้วิ่งหามันสักหน่อย” ร่างสีเขียวคำรามลั่น สองขาที่เกี่ยวเกาะเอวแกร่งถึงกับปล่อยลง ทำให้รัชทายาทหนุ่มต้องวิ่งไปอย่างทุลักทุเล

          “ไป๋เซ่อ ไม่แน่นี่อาจเป็นทางรอด” เขาพูดอย่างมีความหวัง ดวงตาเป็นประกายผิดกับเด็กหนุ่มที่ร่ำร้องเสียสติ

          “ไม่ ไม่ ข้าจะเป็นอาหารนกแล้ว โฮ”

          กระทั่งถึงตัวร่างใหญ่สีน้ำตาลไหม้ ไป๋เซ่อก็ดิ้นพล่านหลุดจากพันธนาการ ยังดีที่ซวนหยวนหมิงไท่คว้าข้อมือบางไว้ได้ จากนั้นรวบตัวคนที่ไม่มีสติเข้ามากอดอีกครั้ง “อย่ากลัว ไป๋เซ่อ มองตาข้า ข้าอยู่ตรงนี้ หากมันจะกินเจ้า ต้องถึงคราข้าก่อน”

          น้ำเสียงปลอบโยนที่ฟังดูอบอุ่นดังขึ้น ทำให้ใจที่เคยพลุ่งพล่านค่อยๆสงบลง ไป๋เซ่อถามอย่างไม่แน่ใจ “จริงรึ มันจะกินเจ้าก่อนแน่นะ”

          “ข้าเอาหัวเป็นประกัน หากผิดไปจากนี้ ขอให้เป็นลูกเต่า”

          เป็นเพราะอีกฝ่ายลั่นวาจาหนักแน่น ทำให้ตนถูกดึงดูดไปกับสายตาสีดำที่มั่นคง ไป๋เซ่องึมงำ “เจ้าลูกเต่า”

          เห็นดังนั้นเขาก็เบาใจคลายกอดไป๋เซ่ออย่างแช่มช้า หันไปเผชิญหน้ากับจ้าวอินทรีที่ยังคงต้านนางปีศาจวั่นอู่หง ด้านเจ้าของดวงตาสีเหลืองเหลือบมองเขาคราหนึ่งก็หยุดกระพือปีก ก่อนค้อมตัวลงคำนับให้ เพียงแค่นั้นเขาก็มั่นใจ ก้าวย่างต่อไปแล้วตวัดตัวขึ้นนั่งบนหลังของมัน

          สบช่องโอกาสให้ปีศาจสาวเหินตัวเข้ามา นกตัวใหญ่ปละปล่อยกรงเล็บจากชะง่อนผาเตรียมตัวโผบิน จังหวะนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบส่งมือไปที่ไป๋เซ่อ “ขึ้นมาเร็วเข้า”

          ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง ไฉนจึงส่งตัวช่วยมาเป็นราชาสัตว์ปีกที่ดุร้าย คู่ปรับตลอดกาลของสัตว์อสรพิษ ทั้งยังจำเพาะในช่วงที่เขาไม่มีแม้แต่อิทธิฤทธิ์ใดๆ มิหนำซ้ำยังตัวมันยังใหญ่กว่าปกติหลายเท่า เช่นนี้แล้วตนยังสงบใจได้อีกหรือ ไป๋เซ่อได้แต่มองดูชายหนุ่มสลับกับเจ้านกตรงหน้า

          “แกว๊ก”

          คราวนี้นกอินทรีส่งเสียงเร่งเร้า ทั้งเริ่มบินถอยออกไปจากริมผา ด้วยท่าทีลังเลของไป๋เซ่อยังผลให้รัชทายาทหนุ่มยิ่งร้อนใจ เหงื่อเย็นไหลแนบแก้ม ด้วยรู้ว่าไม่มีเวลามากแล้ว เขาจึงจ้องลึกลงไปในดวงตาสีฟ้าอมเขียว “เชื่อใจข้า ไป๋เซ่อ”

          น้ำเสียงอ้อนวอนของคนตรงหน้าทำให้ใจเขาสั่นไหว ในโลกนี้เขาเชื่อเพียงท่านมหาเทพ หากว่านอกเหนือไปจากนี้แล้ว...

          ก็คงจะมีแต่ซวนหยวนหมิงไท่ผู้นี้กระมัง

          “พวกเจ้าคิดรึว่าจะหนีข้าพ้น” ในที่สุดวั่นอู่หงก็บรรลุถึงคนทั้งสอง นางตวาด “อย่าคิดว่าช่วยได้หนึ่งคน ก็จะช่วยคนที่สองไปได้” กรงเล็บแหลมยาวงอกออกมาก่อนจะส่งตรงไปยังเด็กหนุ่มในอาภรณ์ร่างเขียว

          ขณะเดียวกันนั้นไป๋เซ่อก็ตัดสินใจได้ มือเรียวเล็กยื่นออกไป ทันใดนั้นมือใหญ่ก็คว้าจับไว้มั่น จากนั้นรั้งตัวเขาขึ้นไปได้อย่างง่ายๆ เพียงรู้สึกว่าตัวลอย ครั้นรู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ด้านหน้าของชายหนุ่มแล้ว

          “ไป” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดสั่ง นกอินทรียักษ์ที่รอมานานก็ถลาร่อนลงไปใต้หุบเขาอย่างรวดเร็ว เสียงที่ดังคลุ้มคลั่งของนางปีศาจดังขึ้นไล่หลัง ทว่าไม่นานก็จางหายไป



**************************************************


          หลังจากรอดพ้นมาจากนางปีศาจวั่นอู่หง พวกเขาก็เผชิญกับคลื่นลมสาหัส ยังมีกายที่ดิ่งโน้มทิ้งตัวไปยังจากใต้หุบเหว ทั้งยังฉวัดเฉวียนผ่านแมกไม้หนาตา

          มาตรว่ามิใช่เคยโลดโผนโจนทะยาน แลไม่ว่าจะเหาะเหินเร็วแค่ไหนตนก็ไม่เคยหวาดหวั่น แต่ทว่าครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ตนไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ไป๋เซ่อแทบอยากจะหยุดหายใจเสียดื้อๆ เหงื่อกาฬเย็นเยียบเริ่มหลั่งไหล สวนทางกับกายที่ต้านทานลมแรง

          กระทั่งสองมือที่จับขนหยาบของนกอินทรีเปียกชื้น ได้แต่มองมือตัวเองที่ค่อยๆเลื่อนหลุดอย่างช้าๆ เขาข่มตาหลับแน่น ใจพรั่นพรึงกับสิ่งที่กำลังจะอุบัติขึ้นต่อไป

          “จับข้าไว้”

          ฉับพลันนั้นน้ำเสียงอบอุ่นอันไร้ซึ่งความหวาดกลัวก็กระซิบที่ข้างหู ร่างร้อนผ่าวเอนตัวเข้าหา สวมกอดรองรับเขาไว้ไม่ให้เลื่อนหลุดออกไป ไป๋เซ่อหันไปคว้ากอดสัมผัสนี้ไว้แน่น กระทั่งได้ยินถึงเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่าย ใจถึงได้คลายความหวาดกลัวลง รู้สึกได้ถึงปลอดภัย

          ต่อเมื่อจ้าวเวหาร่อนตัวลงสู่พื้นดินเรียบร้อยแล้ว เจ้าของดวงหน้าเย้ายวนที่หลับตาพริ้มซบอยู่กลางอกเขาก็ยังคงไม่รู้สึกตัว ครั้นจะเอ่ยเรียก น้ำเสียงก็พลันหยุดชะงักลงกะทันหัน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียดแทน

          ไล่เรียงสายตาไปอย่างช้าๆ จากหน้าผากจรดคิ้วเรียวปลายหางตวัดที่ดูดื้อรั้น จมูกโด่งได้รูปสวย แล้วสิ้นสุดลงที่ริมฝีปากสีชมพูราวกับลูกท้ออันมีร่องรอยของการกระทำอันป่าเถื่อน จู่ๆใบหน้าก็ร้อนวูบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

          ...นี่หรือริมฝีปากที่เขาเคยบดเบียดลิ้มรส เสมือนมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ริมฝีปากอันนุ่มนวลโดยไม่รู้ตัว

          “แกว๊ก”

          จู่ๆนกอินทรียักษ์ก็ร้องประท้วง ทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน ประจวบเหมาะกับที่ไป๋เซ่อสะลึมสะลือขึ้นตื่น แล้วพลันสบเข้ากับดวงตาสีดำอันที่อยู่ในระยะประชิดก็ถึงกับตะลึงวูบ เด็กหนุ่มผลักตัวคนตรงหน้าออกอย่างแรง ส่งผลให้คนที่ไม่ทันระวังตัวหงายหลังหล่นตุบไปที่พื้น

          “โอ๊ย”

          “หน้าไม่อาย คิดลวนลามข้า” ไป๋เซ่อร่ำร้องอย่างโมโห สีหน้าแดงก่ำไปด้วยความอับอาย ครั้นกำลังจะอ้าปากด่าอีกหน ร่างสีน้ำตาลไหม้ที่อยู่ข้างใต้ก็พลันขยับ ทำให้เขาต้องนิ่งเงียบตัวแข็งทื่อในบัดดล

          หลังจากนกอินทรียักษ์ส่งเสียงร้องประท้วงไปรอบหนึ่ง แต่กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดใส่ใจลงไปจากตัวมันก็พาลให้หงุดหงิด เช่นนั้นแล้วมันก็จะเป็นฝ่ายทำให้คนพวกนี้ลงไปจากตัวมันเอง

          “แว๊กก” จู่ๆร่างก็ถูกสะบัดฟัดเหวี่ยงอย่างบ้าคลั่ง ไป๋เซ่อที่นั่งอยู่บนหลังนกคู่อริถึงกับแหกปากร้องลั่น แลท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการหล่นตุบหน้ากระแทกลงดิน ใกล้ๆกับร่างของคนที่ตนพึ่งผลักตกลงมาเข้าอย่างจัง

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          เสียงหัวเราะที่ไม่เก็บซ่อนความสะใจของชายหนุ่มดังขึ้น ทำให้ไป๋เซ่อต้องค่อยๆเงยหน้าที่เต็มไปด้วยโคลนดิน ก่อนจะเบะปากด้วยความสะเทือนใจ “ฮึก ฮึก โฮ” คิดไม่ถึงว่าตนจะมีวันตกต่ำถึงเพียงนี้

          “พวกท่านเป็นอะไรมากหรือไม่”

          บังเกิดเป็นเสียงแว่วหวานของผู้มาใหม่ ทำให้คนทั้งสองต่างมองไปยังต้นเสียง ไม่มีใครรู้ว่าสตรีผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ นางคล้ายปรากฏตัวขึ้นราวกับผีสาง ผิวขาวราวกระดาษขับดันให้ดวงหน้าเด่นชัด ศีรษะคลุมไว้ด้วยผ้าสีดำ อาภรณ์สีขาวสะบัดพลิ้วไหว

          “ข้าต้องขอโทษแทนพี่อินทรีด้วย”

          “เป็นพวกข้าที่ต้องขอบคุณมากกว่า แม่นางเย่วเซียง” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบกลับอย่างนอบน้อมพลางยันตัวลุกขึ้น จากคำกล่าวของนางปีศาจ สตรีผู้นี้คือผู้ที่ส่งอินทรียักษ์ตัวนี้มาช่วยพวกเขาอย่างแน่นอน

          ความสุภาพของเขาทำให้เย่วเซียงยิ้มบาง “ผิดแล้ว คนที่ท่านควรขอบคุณมิใช่ข้า”

          “แม่นางหมายถึง” เขาเลิกคิ้ว

          “หากมิใช่ท่านเจ้าคฤหาสน์ดินยินยอมให้ข้าส่งพี่อินทรีมาช่วยแล้ว เกรงว่าข้าคงมิอาจช่วยพวกท่านได้” เย่วเซียงเบี่ยงกายเล็กน้อยเผยให้ป่าทางด้านหลังเปิดโล่ง

          สายตานับกว่าสิบคู่ของสัตว์นานาชนิดต่างเพ่งตรงมา แลหนึ่งในนั้นเป็นพยัคฆ์ตัวหนึ่งซึ่งรายล้อมด้วยบรรยากาศกดดันประการหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่จ้องมองอย่างฉงนพลางรู้สึกได้ว่า มันเองจับจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา

          “จะไม่มีครั้งที่สอง”

          ราวกับอ่านความคิดได้ เสมือนว่ามันกำลังเตือนเขาอยู่ จากนั้นไม่นานนักพยัคฆราชก็นำพาเหล่าบริวารถอยหายไปกับความมืดมิด นกอินทรีประหลาดโผบินตามไป

          “เดี๋ยวแม่นาง” เมื่อเห็นว่าสตรีลึกลับไม่คิดรั้งอยู่เช่นกัน รัชทายาทหนุ่มก็ร้องขัด ทว่าทันทียื่นมือเข้าหา ปลายนิ้วก็ควานสัมผัสได้แต่ผ้าคลุมผม แลไม่นานมันก็ค่อยๆเลื่อนหลุดไปจากศีรษะของเย่วเซียงทีละเล็กทีละน้อย แสงจันทร์ที่ทอประกายเผยให้เห็นเส้นไหมสีเงินกระจ่างตา ดวงตาเขาถึงกับเบิกกว้าง

          “อ้ะ” เย่วเซียงตื่นตกใจ นางรีบยกสองมือขึ้นปกปิดเส้นผมของตนเอง ทั้งเบี่ยงหน้าหลบ “ไม่ อย่ามอง อย่ามองข้า”
มองดูสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง น้ำเสียงสั่นที่แฝงไว้ด้วยความกลัว ก็ต้องนึกแปลกใจ คิดจะเอ่ยถามอีกสักประโยค ไป๋เซ่อที่ใบหน้าเปราะไปด้วยดินก็แทรกตัดบทคนทั้งสอง

          “เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคนไร้น้ำใจ คิดจะละเลยข้าไปจนถึงเมื่อไหร่” ก่อนหน้านี้เขาถูกเจ้านกไม่มีมารยาทสะบัดร่วงลงมาจนหัวเข่าแตกเชียวนะ

          เขาหันหน้าไปตามเสียงเรียก ครั้นเห็นเด็กหนุ่มเบะปากใส่ ที่หัวเข่ามีรอยถลอกก็รีบเข้าไปช่วยพยุง “ดูแล้วแผลไม่สาหัส มีแค่รอยถลอกนิดหน่อย สักสองสามวันก็คงหาย” พูดไปก็ช่วยอีกฝ่ายปัดเสื้อผ้า กระทั่งแหงนหน้าขึ้นมา คนที่เคยยืนอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้ว “อ้ะ แม่นางเย่วเซียงล่ะ”

          “เอ๊ะ เมื่อกี้ก็ยังอยู่นี่” ไป๋เซ่อเองก็เงยหน้ากล่าวอย่างงุนงง “แต่ช่างเถอะ ข้าหิวแล้วเจ้าซวนหยวนหมิงไท่”

          “.....”  เขาถึงกับเงียบงันไป บางทีเขาก็สงสัยจะมีรัชทายาทคนใดที่มีสภาพเป็นดุจคนรับใช้เช่นเขากัน...น่าสงสารเกินไปแล้ว คิดได้ดังนั้นก็แค่นเสียงใส่ จากนั้นเมินหน้าหนีแล้วเดินลัดเลาะไปยังทางหนึ่งแทน

          “เฮ้ นั่นเจ้าจะไปไหน ข้าไปด้วย” ไป๋เซ่อร่ำร้องถามพลางรีบขยับตัวตามโดยไว

          ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มิได้มีใครสนใจไปยังพุ่มไม้หนึ่ง ซึ่งมีสตรีในอาภรณ์ขาว เส้นผมเงินเปล่งประกาย กำลังทอดมองพวกเขาอยู่ห่างๆ กระทั่งพวกเขาลับสายตาไป นางก็กล่าวพึมพำไปมา

          “ซวนหยวนหมิงไท่ ท่านชื่อซวนหยวนหมิงไท่”

          ต่อเมื่อพวกเขาเดินฝ่าพงหญ้าที่สูงถึงหัวเข่ามาถึงครึ่งทาง ไม่นานก็ได้ยินเสียงขององค์รักษ์ที่ดังขึ้นไม่ไกล ตามมาด้วยเสียงคร่ำครวญไม่หยุดหย่อนของขันทีน้อย

          “ข้าอยู่ทางนี้” ซวนหยวนหมิงไท่ส่งเสียง หลังจากนั้นก็เกิดเป็นเสียงสวบสาบวิ่งตรงมา เงาร่างของผู้ติดตามเริ่มปรากฏสู่สายตา

          “โฮ องค์รัชทายาท ข้าน้อยนึกว่า ข้าน้อยจะมิได้พบพระพักตร์พระองค์อีกเสียแล้ว”

          เสี่ยวลู่ถึงกับถลาเข้ามากอดขาเขาไว้แน่นจนตัวเขาแทบจะล้มลง ยังมีเหล่าองค์รักษ์ที่ต่างคุกเข่ากับพื้น ใบหน้าซีดเซียว
         
          “เฮ้อ ข้าไม่เป็นอะไรมาก ลุกขึ้นเถิด”

          “พระองค์ไม่เป็นอะไรแน่นะพะย่ะค่ะ” เสี่ยวลู่ยังคงร่ำไห้ไม่ได้สติ หากองค์รัชทายาทเป็นอะไรขึ้นมา เขามิต้องหัวหลุดจากบ่าหรือ

          “ข้าบอกแล้วว่ามิได้เป็นอะไร เจ้าก็หยุดร้องเสียที” ฟังเสียงร่ำร้องแล้วเขาก็ต้องกุมขมับ “ข้าเหนื่อยแล้ว รีบนำทางข้าไปยังจวนเจ้าเมืองตงหัวเถอะ”

          “ใช่ๆ รีบไปหาของกินให้ข้าได้แล้ว”

          “หือ” เสียงเจื้อยแจ้วที่แทรกตามมาทำให้เสี่ยวลู่ต้องมองเจ้าของเสียงด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา กระทั่งสบเข้าที่ดวงเรียวสีฟ้าอมเขียวก็ต้องชะงัก ราวกับเคยพบเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน “องค์รัชทายาท เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันหรือพะย่ะค่ะ”

          เขาหันไปมองร่างสีเขียวทีหนึ่งก็ตอบสั้นๆ “ไป๋เซ่อ”

          “เอ๊ะ” เสี่ยวลู่งงงัน ไป๋เซ่อ...นี่มิใช่นามของงูเผือกเลี้ยงหรอกหรือ  เสมือนว่าความทรงจำที่เที่ยวสะบัดฟัดเหวี่ยงงูน้อยจะหายไป ขันทีน้อยกล่าวถาม “แล้วเสี่ยวไป๋ล่ะพะย่ะค่ะ”

          ครานี้เขาหันไปมองคนที่ยืนทำหน้าไร้เดียงสา สักพักจึงกล่าว “เป็นอาหารนกไปแล้ว” พูดจบก็รีบจ้ำอ้าวไปทางองครักษ์ ทำเอาไป๋เซ่อชูมือประท้วงแล้ววิ่งไล่หลังชายหนุ่มไปอย่างเอาเรื่อง

          “เจ้าลูกเต่า ใครเป็นอาหารนกกัน”

          ภาพตรงหน้าทำเอาคนที่ยังคงนั่งคุกเข่าต้องนิ่งค้าง มององค์รัชทายาทที่ไม่ถือตัวอย่างมิอยากจะเชื่อ กระทั่งลมหนาววูบหนึ่งพัดเอาน้ำตาที่นองใบหน้าจนแห้งสนิท เสี่ยวลู่จึงได้สติกระวีกระวาดวิ่งตามคนทั้งหมดไป “อ้ะ องค์รัชทายาท รอกระหม่อมด้วย”



**************************************************


          ค่ำคืนที่ล่วงเข้าสู่วันใหม่ ณ คฤหาสน์หลังใหญ่กลับยังคงมีกลุ่มข้ารับใช้ที่วิ่งวุ่นไม่หลับไม่นอน บุรุษผู้หนึ่งอายุล่วงสี่สิบกว่ากำลังก้าวย่างไปที่หน้าประตูด้วยท่าทีเร่งร้อน ขณะเดียวกันก็จัดเสื้อขุนนางบนกายให้เข้าชุดอย่างเรียบร้อย จวบจนเห็นแผ่นหลังที่สง่างามพร้อมกลุ่มคนราวสี่ห้าคนก็หยุดตัวลงคำนับ

          “ข้าน้อยมู่อิงเจี๋ย เจ้าเมืองตงหัว ขอคำนับท่านผู้ตรวจราชการ”

          ซวนหยวนหมิงไท่หันกายกล่าวกับเจ้าเมืองตรงหน้า “ไม่ต้องมากพิธี ข้าเหนื่อยแล้ว รบกวนท่านเจ้าเมืองนำพวกเราไปยังที่พักเถิด”

          “ต้องขออภัย เป็นเพราะพวกท่านมาโดยกะทันหัน หากคนของข้าขาดตกบกพร่องที่ใด ขอท่านผู้ตรวจราชการหมิงอย่าได้ถือสา” มู่อิงเจี๋ยกล่าวอย่างนอบน้อมพลางผายมือเชิญอีกฝ่ายเข้าไปทางด้านใน

          ครั้นเมื่อมาถึงที่จวนรับรอง สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องอย่างไม่สำรวม ทำให้มู่อิงเจี๋ยต้องขมวดคิ้วอย่างมิพอใจ “อิงเอ๋อร์เล่า”

          “คะ คุณหนูไม่ยอมลุกเจ้าค่ะ นางบอกว่าแขกที่มาไม่มีมารยาท มาขออาศัยยามดึกดื่น ทำผู้อื่นเดือดร้อนไม่เป็นอันนอน” สาวใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาระคนหวาดกลัว

          “บังอาจ เจ้าลูกไม่รักดี ข้ามีแขกแต่กลับเอาแต่นอน มิออกมาต้อนรับ” มู่อิงเจี๋ยขึ้นเสียงด้วยความลืมตัว ครั้นนึกขึ้นได้ก็รีบหันมาขออภัยแขกยืนอยู่เบื้องหลัง “ขออภัย เป็นข้าน้อยสั่งสอนบุตรสาวไม่ดี”

          “ฮา เป็นอย่างที่บุตรสาวท่านกล่าวจริงๆ ท่านมิจำเป็นต้องขอโทษข้าหรอก” ซวนหยวนหมิงไท่ในคราบผู้ตรวจราชการหมิงกล่าวปนอารมณ์ดี ทำให้บรรยากาศที่ขุ่นมัวบรรเทาลงไป

          “ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยมิกวนใจท่านแล้ว เชิญท่านไปพักผ่อนตามอัธยาศัย” กล่าวจบก็หันไปสั่งคนข้างกายสักหลายคำ จากนั้นไม่นานนักพ่อบ้านก็นำพากลุ่มคนผู้มาใหม่เข้าไปพักผ่อนยังปีกเรือนด้านฝั่งตะวันออก

          จวบจนได้ล้มลงบนเตียงพลางมองเพดานห้องอยู่ชั่วครู่ ความเหน็ดเหนื่อยของวันนี้ก็ลดทอนลงไป เปลือกตาพลันปิดลงสนิท หากแต่สมองกับคำนึงถึงเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น

          เส้นผมสีเงินที่ส่องประกายท่ามกลางแสงจันทร์ ความตื่นกลัวที่น่าตกใจของเย่วเซียงทำให้เขาติดใจสงสัย ไหนยังจะมีพยัคฆ์ที่นางเรียกว่าเจ้าคฤหาสน์ดินอีก “เจ้าเป็นใครกันแน่” เขาพึมพำก่อนจะคล้อยเข้าสู่นิทรา

          แต่ทว่าจังหวะที่กำลังจมลึกสู่ห้วงฝัน เสียงเคาะประตูก็พลันดังขึ้นถี่ เขาถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม ก้าวลงจากเตียงไปเปิดประตูห้องอย่างมิเต็มใจ “ไป๋เซ่อ ถ้าหิวก็เรียกข้ารับใช้ของจวนเจ้าเมืองเอาสิ มาหาข้าทำไมกัน”

          “หิวบ้านเจ้าสิ เห็นข้าตะกละนักรึไง” เด็กหนุ่มโวยวาย

          “อือ” รัชทายาทหนุ่มตีสีหน้าเรียบสนิท ก่อนส่งเสียงในลำคอเป็นการตอกย้ำ ส่งผลให้ไป๋เซ่อหน้าแดงเถือก ครั้นเห็นอีกฝ่ายจะอ้าปากก็ชิงกล่าว “แล้วมาหาข้ามีธุระอะไร”

          “เฮอะ” ร่างบางแค่นเสียงทีหนึ่งก็กล่าวห้วนๆ ก่อนถือวิสาสะกอดหมอนใบหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องที่มีขนาดกว้าง ลมถ่ายเทสะดวกอากาศเย็นสบาย ข้าวของเครื่องใช้จัดวางอย่างเป็นระเบียบ อืม...ห้องนี้ไม่เลวเลยทีเดียว “ข้าจะนอนห้องนี้”

          “หือ” เขาถึงกับเผยสีหน้างุนงง

          “ข้าบอกว่าจะนอนห้องนี้ เจ้าก็รีบออกๆไปซะสิ” จะให้เขานอนเบียดกับเสี่ยวลู่รึ...ฮึ ไม่มีทาง

          “ออกไปแล้วข้าจะนอนที่ไหน” 

          “โอ๊ย ซื่อบื้อ เจ้าจะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของเจ้าสิ”

          “แต่นี่มันห้องข้า” ซวนหยวนหมิงไท่ยืนยันหนักแน่น

          “แต่ตอนนี้เป็นห้องของข้าแล้ว” ไป๋เซ่อฉีกยิ้มก่อนจะวิ่งไปถลาลงเตียงกว้างอย่างร่าเริง “อ้ะ เตียงอุ่นจังเลย”

          เส้นเลือดบนหน้าผากถึงกับปูดโปน ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทกำลังโดนเอาเปรียบอยู่ สองเท้าก้าวฉับๆไปหาคนที่กลิ้งไปกลิ้งมาที่เตียง

          “ลงมา” เขาขึ้นเสียงห้วน

          “อื้อหือ นี่มันหมอนขนเป็ดนี่” ไป๋เซ่อโยนหมอนใบเก่าข้ามศีรษะแล้วหันไปหนุนหมอนตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี มิได้สังเกตเห็นว่าหมอนใบเก่าลอยไปกระแทกหน้าเจ้าของห้องเข้าอย่างจัง

          ซวนหยวนหมิงไท่ประเดี๋ยวหน้าบัดแดงประเดี๋ยวบัดดำ มือทุ่มหมอนที่ร่วงหล่นจากใบหน้าเขาลงกลับพื้น จากนั้นเดินดุ่มเข้าไปทิ้งตัวลงบนเตียง นอนอ้าขาอ้าแขนจนก่ายบนลำตัวของคนที่นอนอยู่ก่อน

          “นี่เจ้าจะทำอะไร”

          เขากรอกตามองอีกฝ่ายขึ้นลง “ถามมาได้ก็นอนไง”

          “แล้วใครใช้ให้เจ้ามานอนตรงนี้”

          “นี่เตียงข้า ข้าจะนอนก็เรื่องของข้า” ยังคงตอบหน้าตาย

          “ไม่ได้ออกไป เตียงนี้ข้านอนได้คนเดียว” ไป๋เซ่อถลึงตาดุ ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับเพิกเฉย ทั้งยังหลับตาใส่ก็ทำให้เขาบรรลุถึงแก่อารมณ์ เหยียดเท้ายันไปที่บั้นเอวของชายหนุ่มสุดแรง

          ร่างถูกถีบลงเตียงกะทันหัน พริบตานั้นเปลือกตาบางก็พลันตื่นขึ้น สองมือยื่นคว้าหมับไปที่เสื้อสีเขียวอย่างรวดเร็ว หมายฉุดรั้งผู้ถีบให้ร่วมชะตาเดียวกัน

          ท้ายที่สุดคนทั้งสองต่างก็หล่นตุบลงมากองกับพื้น ทว่าเรื่องราวยังมิจบเพียงแค่นั้น รอจนสองฝ่ายตั้งสติได้ต่างก็พุ่งตัวไปที่เตียงนอนอย่างไม่ยอมแพ้ ซึ่งเป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่โชคดีทะยานตัวไปที่ขอบเตียงได้ก่อน หากแต่ครั้นจะปีนป่ายเอวก็ถูกกอดไว้
 
          “ลงมา ลงมา ข้าบอกให้ลงมา” ไป๋เซ่อร่ำร้องน้ำเสียงลากยาวไปไกล สองแขนรวบกอดอีกฝ่ายไม่ปล่อย มาตรว่าวันนี้เขาไม่ได้นอน ก็อย่าคิดว่าเขาจะยอมแพ้

          “อ๊ากก ปล่อยๆกางเกงข้า”

          เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะร้องไห้ก็ร้องมิออก...ดูว่าในประวัติศาสตร์ของแคว้นซวนหยวน คงจะมีแต่รัชทายาทเช่นเขากระมัง ที่ถูกผู้อื่นดึงกางเกงจนเผยก้นขาวราวกับเด็กสามสี่ขวบเช่นนี้




*************************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 3 สตรีลึกลับ 18/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 19-01-2016 13:20:39
ไป๋เซ่อน่ารักกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 4 ตามหา 20/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 20-01-2016 20:13:44
บทที่ 4 ตามหา



          เช้าตรู่ที่หมอกน้ำค้างจับตัวเป็นชั้นหนา คนผู้หนึ่งอ้าปากหาวหวอดๆ สองมือประคองอ่างล้างหน้าที่ขอมาจากบ่าวรับใช้ในจวนอย่างระมัดระวัง ต่อเมื่อผลักบานประตูห้องพักที่ยังคงเงียบสงัดแล้วเดินเข้าไปด้านในสุด จวบจนก้าวมาถึงเตียงนอน ความง่วงงุนที่มีอยู่ก็ต้องมลายหายไปจากใบหน้าจนหมดสิ้น ดวงตาเบิกกว้างตกตะลึงสุดขีด ขาพลันสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ดูว่าภาพตรงหน้าได้ทำร้ายจิตใจของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี

          หมอนขนเป็ดกระจุยกระจายไปทั่วห้อง องค์รัชทายาทนอนคว่ำหน้าในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย กางเกงนอนหมิ่นแหม่จะเห็นส่วนสำคัญ ไม่ไกลจากนั้นนักปรากฏเป็นรอยกัดแดงๆที่บริเวณสะโพก ยังมีเด็กหนุ่มที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง สองมือขยุ้มขอบกางเกงผู้เป็นนายตนไม่ปล่อย


          “อื้อ ยอดเยี่ยมที่สุดเลย” ไป๋เซ่อละเมอยิ้ม มุมปากมีน้ำลายไหลย้อยมาเป็นสาย ยกขาก่ายพาดบนตัวคนใต้ร่างอย่างสุขใจ


          อีกด้านหนึ่งรัชทายาทหนุ่มกลับนอนขมวดคิ้วมุ่น ราวกับได้รับการเคี่ยวกรำศึกใหญ่มาทั้งคืน “อือ ออกไป ไม่”
แกร๊ง ท้ายที่สุดก็มิอาจประคองอ่างน้ำในมือได้อีก มันร่วงกระแทกพื้นเสียงดัง สายน้ำสาดกระเซ็นนองเป็นบริเวณกว้าง


          ...นี่เกินกว่าที่ตนจะรับได้


          “โธ่ องค์รัชทายาทของกระหม่อม” เสี่ยวลู่พึมพำคร่ำครวญ ซึ่งพอดีกับที่ซวนหยวนหมิงไท่สะลึมสะลือขึ้นตื่น งัวเงียถามอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน


          “อือ ถึงเวลาแล้วหรือเสี่ยวลู่”


          “......”


          เมื่อมิได้ยินเสียงตอบรับ สองตาที่เลือนรางก็ค่อยๆปรับจนกระจ่างชัด ก่อนแลเห็นสีหน้าตื่นตะลึงอ้าปากตาค้างของขันทีน้อย ครั้นปมให้แน่น เขี่ยขาที่พาดอยู่ออกไป แล้วรีบกระโดดลงจากเตียง ฝืนกระแอมไอกลบเกลื่อน “อ่ะ แฮ่ม ตอนนี้กี่ยามแล้ว”


          “ยามเหมา* แล้วพะย่ะค่ะ” เสี่ยวลู่ก้มลงหยิบอ่างน้ำบนพื้นพลางกล่าวน้ำเสียงสั่น พยายามไม่มองสีหน้าประหม่าของนายเหนือหัวสุดแรงเกิด


          ท่าทางเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์บ่มเพาะครั้งใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง ฉะนั้นเรื่องบางเรื่องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจะดีกว่า “กระหม่อมจะไปเตรียมน้ำมาใหม่” กล่าวจบก็พุ่งพรวดไปที่ประตู


          ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่จากไปอย่างไม่เหลียวหลัง มาดที่วางไว้ขึงขังค่อยๆห่อเหี่ยวลง รู้สึกราวกับตนเองแก่ลงไปสักสิบปี ว่าแล้วก็หันไปหาคนที่ยังคงนอนอุตุฝันหวาน ดวงตาสีดำขลับแฝงไปด้วยความมาดร้าย


          หลังจากที่เสี่ยวลู่กลับมาที่ห้องอีกครั้ง รัชทายาทหนุ่มก็เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ทั้งนั่งอยู่ที่กลางห้องเรียบร้อยแล้ว เขาวางอ่างล้างหน้าลงบนโต๊ะกลม จากนั้นใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น บิดหมาดๆแล้วจึงลูบไล้ไปที่พระพักตร์ได้รูป ครั้นถึงที่ริมพระโอษฐ์มือก็มีอันชะงักไปเล็กน้อย


          ...เอ ไฉนจึงดูบวมเป่งกว่าปกติกัน ขันทีน้อยครุ่นคิดสงสัย กระทั่งเผลอนึกถึงภาพวาบหวิวเมื่อเช้าตรู่ หน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สายตายักย้ายไปยังเตียงด้านในโดยปริยาย แต่มาตรว่ายังมิทันกวาดมองได้ชัด ก็ต้องสบเข้ากับดวงตาสีดำที่จ้องเขม็งอยู่ ยังผลให้เสี่ยวลู่รีบเก็บสายตาที่อาจเอื้อมลง และเป็นเวลาพอดิบพอดีกับเสียงที่ดังจากด้านนอก


          “ท่านผู้ตรวจราชการหมิง ท่านเจ้าเมืองกล่าวเรียนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารเช้าที่โถงกลางขอรับ” เป็นพ่อบ้านที่ส่งเสียง


          “ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบกลับแล้วยันกายลุกขึ้น ชั่วขณะหนึ่งกลับชะงักฝีเท้า หันไปทอดมองผ่านเสี่ยวลู่ไปยังทางด้านหลัง


          ...ต้องมีความนัยแน่ๆ เสี่ยวลู่อ่านสายตาที่กวาดมองเขาคราหนึ่งก็สรุปในใจ ต้องชื่นชมตนเองที่เป็นคนมีไหวพริบ ทั้งติดตามองค์รัชทายาทมาเนิ่นนานจนเข้าใจนิสัยพระองค์เป็นอย่างดี


          “เรื่องในวันนี้กระหม่อมจะปิดปากเงียบสนิทไปจนตายเลยพะย่ะค่ะ”


          “หือ” จู่ๆเสี่ยวลู่ก็ลั่นวาจาด้วยสีหน้าจริงจัง ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วงุนงง รออยู่ชั่วครู่จึงเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้วถึงรู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน เขาคงไม่อยากให้เรื่องน่าอับอายนี้หลุดไปถึงหูผู้ใดเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นแล้วก็ก้าวออกไปจากห้อง ติดตามพ่อบ้านจวนตระกูลมู่ไปยังโถงกลางอย่างสบายใจ


          ด้านขันทีน้อยหันกายมาปิดประตูห้อง ชั่วครู่หนึ่งกลับเผลอเหลือบเห็นช่วงขาเรียวของเด็กหนุ่ม ดูว่ายังคงนอนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก บนเตียงเพียงลำพัง ทั้งไม่มีวี่แววว่าจะตื่นได้ง่ายๆ



***************************************************


          ที่จวนตระกูลมู่แบ่งปีกเรือนออกเป็นสี่ทิศ การตกแต่งภายในล้วนเรียบง่าย หากแต่แฝงไว้ด้วยความงดงามเช่นตระกูลเก่าแก่ ด้านนอกยังมีสวนดอกไม้นานาชนิด หมู่ภมรร่ายบินชวนให้รู้สึกงดงามประการหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ชมวิวทิวทัศน์รอบด้าน สีหน้าปรากฏรอยยิ้มบางเฉพาะตัว จวบจนพ่อบ้านนำพามาถึงโถงใหญ่ กลิ่นของอาหารก็โชยออกมาจากห้อง ไม่เว้นแม้แต่เสียงเจื้อยแจ้วระคนไม่พอใจ


          “ช่างเป็นแขกที่วิเศษวิโสยิ่งนัก ข้ารอนานแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้กินเสียที”


          “บังอาจ ใครสั่งใครสอนให้เจ้าพูดจาเยี่ยงนี้กัน”


          พ่อบ้านที่ยืนอยู่หน้าห้องถึงกับทำหน้าเฝื่อน ไม่กล้าหันไปจ้องมองผู้เป็นแขกเต็มตานัก แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงยิ้มบาง


          “ขออภัยที่ทำให้แม่นางมู่ต้องคอย”


          น้ำเสียงนุ่มนวลสุขุมดังขึ้นกะทันหัน ทำเอาคนทั้งห้องผงะไป มู่อิงเอ๋อร์เหลียวมองผู้มาใหม่แล้วก็ต้องตะลึงวูบ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แก้มทั้งสองเปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำ


          ด้านมู่อิงเจี๋ยหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนกล่าวแนะนำ “เชิญท่านผู้ตรวจราชการหมิงนั่งเถิด ทางนี้คือลูกสาวของข้ามู่อิงเอ๋อร์”


          “คารวะ แม่นางมู่” เขายิ้มกล่าว ยังผลให้ดวงตาของมู่อิงเอ๋อร์เปล่งประกายขึ้น


          “อิงเอ๋อร์ ท่านผู้นี้คือผู้ตรวจราชการหมิง ต่อไปนี้หากท่านขาดเหลืออะไร เจ้าต้องคอยดูแลเข้าใจไหม”


          “อะ อืม” มู่อิงเอ๋อร์ตอบรับทั้งๆที่ไม่วางสายตาไปจากชายหนุ่ม


          แลไม่นานนักการรับประทานอาหารก็ดำเนินขึ้นอย่างเงียบเชียบ โดยหนึ่งสตรีจ้องมองเขาอยู่ตลอดจนบังเกิดเป็นบรรยากาศพิกล ครั้นข้าวในถ้วยร่อยหรอ ซวนหยวนหมิงไท่จึงขอตัวออกมา


          หลังจากกลับถึงเรือนพัก เสี่ยวลู่พร้อมกับองค์รักษ์ต่างก็ยืนรออย่างรู้ความ เขาพยักหน้าคราหนึ่งคนทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป มาตรว่าเรื่องทั้งหมดได้สั่งการลงไปหมดแล้ว แต่ดูว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาต้องจัดการ


          ย่างก้าวเข้ามาในเรือนนอนอย่างแช่มช้า มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบนใบหน้าเขานัก สายตาชำเลืองมองไปที่เตียง แต่แล้วมันกลับว่างเปล่า เขาถึงกับรีบตรงรี่เข้าไปเลิกผ้านวมขึ้น ทว่าฉับพลันนั้นบางสิ่งที่มาดร้ายก็พุ่งกระโจนเข้าใส่ทันที


          “ไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องขึ้นอย่างตกใจ สองมือรวบจับงูตัวน้อยได้ทันท่วงที


          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เจ้าบังอาจตรึงข้า ข้าจะกัดคอเจ้า แฮ่ แฮ่


          งูเผือกขยับปากงับอย่างบ้าคลั่ง เขาเองก็โต้กลับ “ฮึ เป็นเจ้ากล้ากัดข้าก่อนเองนี่” หากเขาถลกกางเกงตอนนี้ได้ เขาก็คงถลกให้มันดูรอยกัดไปแล้ว “ว่าแต่ทำไมถึงกลับเป็นงูอีกเล่า” คิ้วพลันย่นลง มิใช่ว่าความพยายาม...เหล่านั้นสูญเปล่าไปจนหมดหรอกนะ


          “โง่เง่า คิดว่าข้าจะนอนรอให้เจ้ากลับมาเจี๋ยนเรอะ” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงสูง ก่อนหน้านี้ตนตื่นมาในสภาพมือถูกมัดขึงติดกับหัวเตียงก็พอจะรู้ว่าเป็นฝีมือใคร ดังนั้นจึงได้แต่เปลี่ยนเป็นงูเผือก ซุ่มซ่อนรอเอาคืนอย่างเงียบเชียบ


          ได้ฟังเช่นนั้นแล้วรัชทายาทหนุ่มก็ลอบยิ้ม เอาเถอะ ใช่ว่าเขาจะคาดเดาไม่ถึงนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของเจ้าตัวเสียเมื่อไหร่ เขาเหล่ตามองงูที่พยายามรัดแขนเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย “บอกมาคำเดียวไปหรือไม่ไป”


          ไป๋เซ่อชะงักมองหน้าชายหนุ่มอย่างงงๆ กระทั่งอีกฝ่ายทำท่าสะบัดมัน มันก็โพล่งตอบ “ไป ไปสิ” หากปล่อยมันทิ้งไว้ที่นี่ มันคงเบื่อแทบตาย ไหนยังจะเรื่องปากท้องอีก เช่นนี้แล้วมันก็จะเกาะติดอีกฝ่ายให้เหนียวแน่นยิ่งกว่าปลิงดูดเลือดเสียอีก


          “ดี” ว่าแล้วก็พลันยัดตัวเจ้างูน้อยเข้าไปในอกเสื้ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ยังผลให้ไป๋เซ่อจุกอกพลอยฟาดหัวฟาดหางภายในเสื้ออย่างทุรนทุราย แต่มีหรือเขาจะใคร่ใส่ใจ กลับเผยรอยยิ้มเยาะทั้งถือโอกาสตบอกที่มีรอยนูนเสียอีกหนึ่งที


          ถึงแม้ภายนอกว่าจวนเจ้าเมืองตงหัวจะไม่ได้หรูหรา หากแต่คอกม้ากลับเลี้ยงอาชาดีไว้หลายตัว หญ้าสดหญ้าแห้งมีเตรียมไว้อย่างเสร็จสรรพ กระทั่งบ่าวไพร่เองยังคอยผลัดเวรดูแลม้าตลอดทั้งวัน ประเมินมองดูแล้วตระกูลมู่หาได้ธรรมดาอย่างที่เห็นไม่ รัชทายาทในชุดอาภรณ์สีน้ำเงินคิดพลางจูงม้าสีน้ำตาลออกมาจากคอก ครั้นกำลังจะตวัดตัวขึ้นก็มีเสียงใสๆร้องเรียกจนทำให้ทั้งคนทั้งม้าหันไปมองที่จุดเดียว


          “เดี๋ยวก่อน” สตรีผู้มีดวงหน้าจิ้มลิ้มสวมเสื้อสีชมพูอ่อนส่งเสียง นางตรงรี่เข้าไปหาคนที่กำลังขึ้นม้าอย่างรวดเร็ว


          “แม่นางมู่”


          “ท่านกำลังไปไหน” มู่อิงเอ๋อร์เอ่ยถาม ทว่าร่างสูงไม่เพียงไม่ตอบทั้งยังมองนางด้วยสายตาฉงน ทำให้นางต้องถลึงตาใส่ “ท่านลืมกระไรไปรึไม่ ถึงแม้ท่านจะเป็นถึงผู้ตรวจราชการ แต่จะอย่างไรท่านก็ยังคงติดหนี้ข้าอยู่” นางขึ้นเสียง ต่อเมื่อชายตรงหน้าอุทานอาคำหนึ่งแล้วจึงมีทีท่านึกขึ้นได้ นางก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย


          ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบางแล้วจึงสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ ระมัดระวังมิให้โดนเจ้าตัวน้อยลอบทำร้าย จากนั้นจึงหยิบถุงผ้าไหมที่บรรจุเงินจำนวนหนึ่งยื่นให้แก่หญิงสาว “ขอบคุณแม่นาง” กล่าวจบก็ตวัดตัวขึ้นม้า สายตาทอดมองตรงไปยังเส้นทางเบื้องหน้า


          “หือ” มู่อิงเอ๋อร์ที่ยื่นมือรับถุงเงินจ้องมองเขาอย่างงงงัน เหตุใดบทสนทนาจึงจบลงสั้นเพียงนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่ยินยอมนัก รอจนจังหวะหนึ่งก็ถือโอกาสตวัดตัวขึ้นม้าตามไป ยังมิวายใช้สองมือรวบกอดเอวชายหนุ่มจากทางด้านหลัง


          “แม่นางมู่ ท่านขึ้นม้ามาทำไม” ซวนหยวนหมิงไท่งงงันวูบ กล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ ทว่ามู่อิงเอ๋อร์กลับยิ้มกล่าวเอาแต่ใจ


          “ม้าตัวนี้เป็นม้าของข้า ท่านยังไม่ขออนุญาตข้าก็เอาออกมาเช่นนี้ไม่ดีเท่าไหร่กระมัง อีกอย่างท่านพ่อสั่งให้ข้าคอยดูแลท่าน ดังนั้นท่านก็ไปตามทางของท่านเถอะ ข้าจะดูแลท่านใกล้ๆแบบนี้แหละ”


          “ไม่ แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าเกรงว่าแม่นางจะถูกคำครหาได้” เขาปฏิเสธทันควันพร้อมกันนั้นก็พยายามดึงมือเล็กๆที่เอวออก แต่กระนั้นนางกลับรัดแน่นยิ่งขึ้น จนท้ายที่สุดเขาก็ต้องทอดถอนใจให้กับความดื้อดึงของนาง


***************************************************



          หลังจากที่เคลื่อนม้าออกจากจวนตระกูลมู่ไปไกลยังแถบชานเมือง ซวนหยวนหมิงไท่ก็วนเวียนอยู่บนเขาที่ตนได้มาเหยียบยังคืนที่ผ่านมาอยู่หลายรอบ แต่กระนั้นก็มิสามารถตามหาป่าปริศนาที่โรยตัวไปด้วยเถาวัลย์หนา ดูแล้วคล้ายมีบางสิ่งขวางกั้นมิให้เขาได้เข้าไปใกล้อีก


          ด้านมู่อิงเอ๋อร์ที่นั่งยิ้มมาตลอดทางก็เริ่มจะยิ้มไม่ออก รอบข้างนางเห็นแต่ต้นหญ้าอันแห้งแล้งกับแสงแดดร้อนแรงที่ทำให้เหงื่อซึมไปทั่วทั้งกาย ที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ที่ชายหนุ่มหญิงสาวสานสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเลยสักนิด “นี่ท่านจะไปไหนกันแน่” นางขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย


          “ฟ่อ ฟ่อ” ใช่ๆ นี่เจ้าจะพาข้าไปไหนกันแน่ ไป๋เซ่อในอกเสื้อดุนดันศีรษะออกมาร้องเสริม


          “.......”


          เมื่อไม่มีแม้แต่คำกล่าวอันใด มู่อิงเอ๋อร์จึงได้แต่เป็นฝ่ายถามต่อ “ความจริงสถานที่น่าเที่ยวของตงหัวก็มีเยอะแยะ ท่านมิเห็นจำเป็นต้องมาในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ มิสู้พวกเราไปหอหมื่นลี้สดับฟังเพลงพิณ ตกบ่ายไปตึกไผ่ขจีลิ้มรสพิราบน้ำแดงมิดีกว่ารึ”


          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” ดี ดี พิราบน้ำแดง ข้าจะไปตึกไผ่ขจี


          “......”


          “นี่ท่านได้ยินข้าพูดรึเปล่า” เห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยนางก็เริ่มหงุดหงิด


          “ฟ่อ ฟ่อ” ใช่ๆ นี่เจ้าได้ยินที่ข้าพูดรึเปล่า ด้านไป๋เซ่อก็ยืดคอตั้งใจพ่นน้ำลายใส่หน้าชายหนุ่มเช่นกัน


          ประเมินมองแล้วสตรีที่ด้านหลังนั้นยากจะตอแย ทว่างูน้อยที่อยู่ด้านหน้าก็มิใช่ย่อยเช่นกัน หากยังไม่ตอบอีกเกรงว่าหูของเขาคงจะชา หน้าคงจะแฉะเสียก่อน คิดได้ดังนั้นเขาก็ตัดสินใจตอบสั้นๆ “ข้ามาหาคน”


          “ใคร/ฟ่อ”


          ครานี้ทั้งคนและงูต่างก็ประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง ทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ชะงักไปชั่วขณะ หูอื้อขึ้นมากะทันหัน


          “เป็นสตรีรึว่าบุรุษ ไฉนต้องมาถึงที่นี่”


          “ฟ่อ ฟ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่สมองเจ้ามีปัญหารึเปล่า เวลานี้ควรหาพิราบน้ำแดงสิ


          “สมองเจ้านั่นแหละมีปัญหา”


          “หือ” มู่อิงเอ๋อร์ตะลึงวูบอย่างที่สุด นี่...เขากำลังว่านางอยู่หรือ?


          “อ้ะ” ครั้นรู้สึกตัวว่ายังมีบุคคลที่สามร่วมทางมาด้วย เขาก็รีบหันไปกล่าว “ขออภัยแม่นาง ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เผอิญวันนี้แดดร้อนจนเกินไป ข้ากลัวงูเผือกเลี้ยงของข้าจะทนทานมิไหว สมองฝ่อไปในที่สุด”


          “ฟ่อ ฟ่อ” เพ้ย เพ้ย...สมองเจ้าสิฟ่อ รัชทายาทงี่เง่า


          หน้าผากของเขาปรากฏเป็นเส้นเลือดเขียวปูดโปน ไยช่วงนี้จึงรู้สึกถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่ายกว่าปกติ เขาคว้าหมับเจ้างูปากเสียดึงเอาลำตัวยาวสีขาวออกมาจากเสื้อ ยื่นมือออกไปทางด้านข้าง


          “ฟ่อ ฟ่อ” จะ เจ้าๆๆ จะทำอะไรน่ะ ไป๋เซ่อที่ตกอยู่ในกำมือร้องตะกุกตะกักสีหน้าแตกตื่น ตอนนี้มันเป็นแค่งูธรรมดา พลังก็ยังไม่ฟื้นตัวเท่าไหร่นัก หากตกลงไปตอนนี้ก้นคงพังเป็นลายด่างพร้อยเป็นแน่


          “นี่ท่านจะทำอะไรรึ” มู่อิงเอ๋อร์กล่าวขึ้นอย่างงงงัน ไฉนคนผู้นี้จึงมีท่าทีแปลกๆเช่นนี้


          “ข้าแค่คิดว่ามันสมควรคลายร้อนได้แล้ว จะได้เลิกแปรปรวนคิดจะกัดข้าเสียที” กล่าวจบก็เหวี่ยงงูเผือกไปทางด้านหนึ่ง ส่งผลให้สตรีที่ด้านหลังต้องอ้าปากกว้างมองงูที่ลอยคว้างบนฟากฟ้าตะลึงงัน


          “ฟ่อ ฟ่อ” เจ้ากล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้เชียวเรอะ เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ โฮ ไป๋เซ่อน้ำตาคลอเบ้าตัวลอยละลิ่วไปไกล แลไม่นานก็บังเกิดเสียงดังตูม ร่างกระแทกเข้ากลับผิวน้ำเย็นฉ่ำ


          ร่างสีขาวหายไปกลับสายน้ำ ตั้งแต่ต้นจนจบมู่อิงเอ๋อร์ได้แต่มองการกระทำอันไร้เหตุผลอย่างไม่เข้าใจ กระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งผิวน้ำก็เกิดกระเพื่อมไหว ก่อนที่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งจะโผทะยานขึ้นมาโหยหาอากาศ


          “ชะ ช่วยด้วย ข้าว่ายน้ำไม่เป็น” ตนเป็นงูบกมิใช่งูทะเล จะให้ว่ายน้ำก็นับว่าฝืนธรรมชาติเกินไปแล้ว


          นางใช่ตาฝาดไปรึไม่ ก่อนหน้านี้ที่ตกลงไปมิใช่งูตัวหนึ่งหรอกหรือ? ไฉนจู่ๆกลับมีคนโผล่ขึ้นมาได้ ยังมิทันจะเข้าใจ ชายที่นั่งอยู่ทางด้านหน้าก็พลันถีบตัวขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมุ่งตรงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว


          ปกติเห็นอวดอ้างว่าเป็นงูเผือกมือขวาของมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ แต่กระทั่งว่ายน้ำก็ยังไม่เอาไหน เช่นนี้ออกจะไม่ได้เรื่องไปสักหน่อยกระมัง คิดแล้วก็พุ่งตัวไปยังลำธารเบื้องหน้าอย่างไม่รอช้า ปลายเท้าสัมผัสผิวน้ำนำพาตนเองไปหาคนที่เดี๋ยวดำผุดดำว่ายอย่างทุรนทุราย รวบแขนเรียวบางนั้นขึ้น จากนั้นฉุดดึงกลับไปยังฝากฝั่ง


          “ข้านึกว่าเจ้าเป็นทุกอย่างเสียอีก” รัชทายาทหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งผุดรอยยิ้มที่เสมือนไม่มีขึ้น


          นี่ข้าโดนรังแกอยู่หรือ? ไป๋เซ่อที่ถูกพยุงตัวสังเกตเห็นแล้วก็ถึงกับเหน็บหนาว ที่ผ่านมาตนมีแต่รังแกผู้อื่น ทว่าเพลานี้...มองคนที่ทำหน้าตายนิ่ง แวบหนึ่งก็ร่ำร้องในใจ อันธพาล...นี่เรียกว่าอันธพาลชัดๆ บางทีที่ผ่านมาตนอาจไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นี้เลยก็ได้


          “แล้วงูเลี้ยงของท่านเล่า” มู่อิงเอ๋อร์จูงม้าเข้ามาหาคนทั้งสอง


          “ปล่อยมันเล่นน้ำสักประเดี๋ยวก็คงกลับมา” เขากล่าวขึ้นพลางถอดเสื้อคลุมสีน้ำเงินแล้วนำไปพาดบ่าร่างสีเขียวที่เปียกม่อลอกม่อแลก


          ท่าทีและคำพูดส่งๆนั้นทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ อาจเป็นเพราะตนมิได้รับความสำคัญ นางจึงหันไปซักไซ้เด็กหนุ่มแทน “แล้วเจ้าเป็นใคร เหตุใดจู่ๆจึงตกน้ำเช่นนี้ได้” ดูจากรูปการแล้ว นางมิเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจจะดักรอแล้วสร้างสถานการณ์เรียกร้องความสนใจก็เป็นได้


          ไป๋เซ่อที่เอาแต่กอดเสื้อคลุมยังไม่ทันตอบ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ชิงกล่าว “คนผู้นี้เป็นผู้ติดตามของข้า เพียงใช้ให้เขามาสังเกตการณ์ที่นี่ก่อน แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะซุ่มซ่ามขนาดนี้”


          “เจ้ากล่าววาจา...” พกลมอันใด คิดอยากจะค้าน แต่ก็มีอันต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อก เนื่องเพราะดวงตาสีดำขลับคู่นั้นจู่ๆก็ทอประกายวาบ ทั้งแฝงด้วยรอยยิ้มกดดันทั้งดูเสมือน...กลั่นแกล้ง


          น่ะ...น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว ไป๋เซ่อน้ำตาคลอไม่กล้าเอ่ยคำใดอีก ดูว่าหากหลุดพูดออกไปอีกสักคำหนึ่ง เกรงว่าหลังจากนี้ตนอาจจะต้องประสบเคราะห์ครั้งใหญ่


          เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆน่ะหรือ? นางมองคนทั้งสองอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก “ตกลงท่านตามหาผู้ใดกัน ข้าเติบโตอยู่ที่ตงหัวนับสิบกว่าปี รู้จักคนมากมายไม่น้อย บางทีคนที่ท่านกำลังหา ข้าอาจรู้จักก็เป็นได้”


          “แม่นางมู่เคยได้ยินนามเย่วเซียงบ้างรึไม่”


          “.....” ที่แท้ก็ตามหาสตรีผู้หนึ่ง สีหน้าของมู่อิงเอ๋อร์พลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง มีนางอยู่ตรงนี้จะต้องการสตรีอื่นไปไย


          เห็นนางเงียบไป เขาก็ถามสืบต่อ “เช่นนั้นเจ้าคฤหาสน์ดิน พอจะคุ้นหูบ้างรึเปล่า”


          “หากเป็นสตรีนามว่าเย่วเซียงข้ากลับไม่เคยได้ยิน แต่เจ้าคฤหาสน์ดินนั้นข้าพอจะได้ยินมาบ้าง อีกอย่างคนของแถบตงหัวนี้ไม่มีใครไม่รู้จักตำนานของเจ้าคฤหาสน์ดิน”


          “ตำนานของเจ้าคฤหาสน์ดิน” ไป๋เซ่อเอ่ยแทรกอย่างสนใจ แม้แต่ซวนหยวนหมิงไท่ก็มีท่าทีประหลาดใจไม่น้อย


          “แม่นางโปรดชี้แนะ”


          “เดิมทีในส่วนรอยต่อระหว่างเขตตงหัวกับเขตเหลียวตงกลับมีพื้นที่ต้องห้ามอยู่ เมื่อหลายร้อยปีก่อนที่ตรงนั้นเป็นป่าสมุนไพรหายากที่อยู่ในครอบครองของเจ้าบ้านที่ผู้คนต่างรู้จักกันในนามของเจ้าคฤหาสน์ดิน ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้วนเร้นกายไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก เพียงทำการค้าสมุนไพรวิเศษที่แม้แต่คนธรรมดาก็มิอาจหาซื้อได้

          แต่น่าแปลกที่วันหนึ่งผู้คนนับร้อยกลับหายวับไปในคืนเดียว ไม่มีทั้งร่องรอยหรือเบาะแสอันใด จากนั้นมาพื้นที่ที่เคยเป็นป่าสมุนไพรจึงถูกผู้คนลักลอบเข้าไปยื้อแย่ง ทว่าไม่นานนักผู้ที่ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเจ้าคฤหาสน์ดินต่างก็ไม่มีใครได้กลับออกมาอีก นี่เป็นตำนานที่ผู้คนในตงหัวกล่าวขานว่าเป็นสถานที่อาถรรพ์ คนธรรมดามิอาจอยู่ มีเพียงภูตผีปีศาจเท่านั้นที่อาศัย”


          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ขมวดคิ้วอย่างหนัก เรื่องที่เล่ามานั้นช่างแตกต่างจากสิ่งที่ตนได้พบอย่างสิ้นเชิง เจ้าคฤหาสน์ดินที่นางพูดนั้นถือเป็นคน หากแต่ที่ตนพบกลับเป็นพยัคฆราชตัวหนึ่ง แล้วเย่วเซียงที่ตนพบนั้นเป็นใคร เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าคฤหาสน์ดิน


          “เป็นไรไปแล้ว” เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีครุ่นคิด นางก็เลิกคิ้วถาม


          “แม่นางสามารถนำทางข้าไปที่นั่นได้รึไม่”


          “หือ ท่านจะไปที่นั่น” ฉับพลันนั้นมู่อิงเอ๋อร์ก็หยุดเสียง สมองเต็มไปด้วยคำถาม ไยเขาต้องการไปที่นั่น นางขบคิดไปมารวดเร็วก่อนนึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านคิดไปหาสตรีที่นามว่าเย่วเซียงที่คฤหาสน์ดิน”


          “......”


          แม้เขาจะไม่ตอบก็เสมือนว่านางได้รับคำตอบแล้ว “ฮึ เกรงว่าสตรีที่ท่านต้องการหาคงเป็นนางปีศาจที่คอยยั่วยวนบุรุษแล้ว” นางแค่นเสียง “ท่านคงไม่รู้กระมังที่ใต้หุบเขาตงหัวซึ่งติดกับพื้นที่ของเจ้าคฤหาสน์ดินนั้นมีปีศาจราคะอาศัยอยู่”


          “เท่าที่ดูแล้วนางมิใช่...”


          มู่อิงเอ๋อร์ชักสีหน้า “นี่เป็นเพราะท่านต้องมนต์นางปีศาจเข้าแล้ว”


          “แม่นางท่านเข้าใจผิดแล้ว”


          “ข้ารึเข้าใจผิด” นางตวาดแต่ชั่วพริบตาหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่า ถ้านางอาละวาดตอนนี้ บางทีภาพลักษณ์ของนางอาจจะดูไม่ดีในสายตาเขา ยังคงสงบเสงี่ยมไว้ก่อนดีกว่า “คุณชายหมิง ถึงแม้ท่านอยากจะให้ข้านำทางสักแค่ไหน ข้าก็ต้องขออภัยที่มิอาจทำตามความประสงค์ท่านได้ เพราะข้าเองก็ไม่รู้จักทางไปเช่นกัน” สถานที่แห่งนั้นนางไม่เคยเฉียดกายเข้าใกล้เลยสักครา และที่นางรู้เรื่องปีศาจสาวก็เป็นเพราะได้ยินข่าวลือจากคนในเมืองทั้งสิ้น


          ดูท่าทีของมู่อิงเอ๋อร์แล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็สรุปได้ว่านางมิได้โกหก นางพูดความจริง เขาหันไปมองไป๋เซ่อด้วยต้องการความเห็น ถึงอย่างไรผู้ที่คุ้นเคยกับเรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้ก็คงจะมีแต่เจ้าตัว


          “สถานที่แห่งนั้นเกรงว่ามิใช่ใครก็หาพบได้ง่ายๆ หากเจ้าต้องการหานางจริงๆ สมควรกลับมาที่นี่อีกครั้งเมื่อตะวันตกดิน”
ร่างที่เปียกปอนกระซิบบอกผ่านทางสายตา แต่แล้วสีหน้าก็ดูเครียดไปส่วนหนึ่ง จากนั้นเริ่มมีท่าทีกระบิดกระบวนตัวไปมาคล้ายยังมีความในใจ หรือไป๋เซ่อจะพบเบาะแสแล้ว? เขาเงี่ยหูรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ


          ในที่สุดตนก็ตัดสินใจได้แล้ว เรื่องอื่นใดในโลกหล้าฤาจะสำคัญกว่าท้องที่ร้องจ๊อกๆของตน ดังนั้นได้แต่งัดกลยุทธ์สาวงามที่โด่งดังมาใช้บ้างแล้ว ไป๋เซ่อส่งยิ้มแฉ่งที่คิดว่าน่าดูที่สุด “เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ไปหาพิราบน้ำแดงกันเถอะ”


          “.......” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับกรอกตาไปมาอย่างเอือมระอา แลหลังจากที่คว้าน้ำเหลว เขาก็หมดอารมณ์จะทำอะไรต่ออีก ดังนั้นได้แต่เอ่ยปาก “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เปลี่ยนไปตึกไผ่ขจีเถอะ”


          ได้ยินดังนั้นแล้วสีหน้าของมู่อิงเอ๋อร์ก็ดีขึ้น นางลอบยิ้มในใจก่อนตวัดตัวขึ้นหลังม้าหนุ่มสีน้ำตาล ทว่าไม่นานนักก็รู้สึกผิดปกติ อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายยังคงมองนางนิ่งงัน “ท่านยังรอกระไร มิรีบขึ้นม้าอีก”


          “อา ข้ารอให้แม่นางมู่ไปก่อน ประเดี๋ยวพวกเราจะรีบตามไปทันที” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบสนิท


          “แล้วทำไมท่านถึงมิไปพร้อมข้า” นางถามอย่างสงสัย


          “เป็นเพราะม้าหนึ่งตัวบรรทุกพวกเราทั้งสามคนมิได้” ครานี้ไป๋เซ่อสอดปากขึ้นแทน สตรีผู้นี้ดูเขลายิ่ง เหตุผลง่ายๆแค่นี้ยังมิเข้าใจอีก


          มู่อิงเอ๋อร์ถลึงตาดุใส่บุคคลที่สาม ก่อนหันไปหาคุณชายหมิง “เขาเป็นแค่ผู้ติดตาม สมควรรู้หน้าที่ของบ่าว มิให้นายต้องตกระกำลำบาก”


          ไป๋เซ่อถึงกับหันขวับไปหาร่างสีน้ำเงิน “รึเจ้าจะทอดทิ้งข้า?”


          สังเกตเห็นสายตาสีฟ้าอมเขียวที่ทอแววไม่มั่นใจนัก เขาก็ยิ้มบาง “อืม เขาเองก็เปียกไปทั้งตัว ข้ากลัวว่าเขาจะไม่สบายเป็นลมหมดสติระหว่างทาง เช่นนั้นแล้วต้องรบกวนให้แม่นางมู่ไปจองโต๊ะก่อนเถอะ”


          คล้ายมีอสนีบาตฟาดกระหน่ำ เทียบกับเจ้าเด็กรับใช้นี่ นางยังมีความสำคัญน้อยกว่าอีกรึ ...น่าตายนัก นางสบถในใจอย่างขุ่นเคือง มือกระชากบังเหียนจนม้าต้องหนุ่มสะบัดหน้าใส่คนทั้งสองในระยะประชิด จากนั้นจึงควบจากไปไกล



***************************************************


ยามเหมา คือ เวลา 5.00 – 7.00 น.
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 4 ตามหา 20/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-01-2016 21:46:44
 :pig4: :L2:

ขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 5.1 เงาร่างในใจ 24/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 24-01-2016 21:31:06
บทที่ 5.1 เงาร่างในใจ



          หากพูดถึงสถานที่คราคลั่งไปด้วยผู้คน ตึกไผ่ขจีย่อมติดอันดับหนึ่งในสาม ด้วยเป็นร้านอาหารเลิศรสที่มีชื่อเสียง เลื่องลือไปด้วยชาจิ่งหลงที่ดีสุดในเขตการค้าตงหัว ภายในตกแต่งพิถีพิถันให้ความรู้สึกปลอดโปร่งเหมาะแก่การพบปะพูดคุย ส่งผลให้ผู้คนทั้งหลายต่างเข้าออกที่นี่

          ขณะนี้เถ้าแก่เจียงของตึกไผ่ขจีวัยสามสิบกว่ากำลังชะโงกหน้ารอแขกผู้หนึ่งอยู่นานแล้ว หากเป็นลูกค้าตามปกติเขาคงมิต้อนรับขับสู้ถึงเพียงนี้ แต่ทว่าคนผู้นี้เป็นถึงแขกของคุณหนูสกุลมู่ บุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าเมืองตงหัว เช่นนี้แล้วเขามิอาจไม่กระทำ

          ครั้นเห็นบุรุษรูปงามในอาภรณ์สีน้ำเงินก้าวเข้ามาในร้านด้วยท่วงท่าสง่างามราวอาบลมวสันต์ ดวงตาสีดำกระจ่างดุจแสงตะวันตรงตามคำบอกเล่าที่ตนท่องจำมา เถ้าแก่เจียงก็รีบปรี่เข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “ตึกไผ่ขจีขอต้อนรับคุณชายหมิง”

          ค้อมกายคำนับแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มประจบ ทว่าสายตาอันแหลมคมก็มีอันสะดุดไปยังเจ้าของนัยน์ตาเรียวสีฟ้าอมเขียวที่ดูเย้ายวน ดวงหน้าเล็กโดดเด่นที่ด้านหลังคุณชายหมิง ส่งผลให้เถ้าแก่เจียงนิ่งค้างเผยอยิ้มอย่างลืมตัว...ใครกัน ช่างมีเสน่ห์ร้ายกาจน่าดึงดูดถึงเพียงนี้

          “อ่ะ แฮ่ม”

          “อ้ะ” เป็นร่างสีน้ำเงินที่กระแอมไอเสียงดัง ทำให้เถ้าแก่เจียงหลุดจากภวังค์แล้วนึกถึงสตรีที่ลั่นวาจาจะให้ทหารยึดกิจการเขา หากทำให้แขกของนางมิพอใจ “คุณหนูมู่กำลังรอท่านอยู่ชั้นบน ข้าน้อยจะนำทางท่านไปเอง” เขารีบเข้าเรื่อง แต่มาตรว่าคุณชายหมิงจะยิ้มบางพยักหน้าตอบรับเงียบๆ กระนั้นแผ่นหลังของตนกลับมีเต็มไปด้วยเหงื่อผุดผาด ราวกับมีบางสิ่งกดดันให้เกิดเป็นบรรยากาศอึดอัดจนแทบหายใจมิออก

          ชายหนุ่มทั้งสองถูกนำพาไปยังชั้นบนซึ่งมีพื้นที่โปร่ง แขกเหรื่อมิได้หนาตา แต่ละโต๊ะถูกจัดแบ่งเป็นสัดส่วน กั้นไว้ด้วนม่านลูกปัดชั้นหนึ่ง ดูไปแล้วคนที่อยู่บนชั้นนี้ล้วนแล้วแต่มีฐานะ บ้างเป็นคุณชายจากตระกูลไหนสักแห่ง บ้างเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่ร่ำรวยเงินทอง

          กระทั่งพวกเขามาถึงโต๊ะแถวริมระเบียง เถ้าแก่เจียงก็หยุดตัวลงเบี่ยงกายเชิญพวกเขาไปทางด้านใน ซวนหยวนหมิงไท่ก้าวผ่านม่านลูกปัด เพียงก้าวเดียวก็พบอาหารนานาชนิดวางเรียงรายกับโต๊ะ

          “ท่านมาแล้ว” มู่อิงเอ๋อร์ยิ้มกล่าว ท่าทีไม่สบอารมณ์ก่อนหน้านี้หายวับไปจนหมดสิ้น ทว่าไม่นานนักมุมปากก็มีอันกระตุก

          “ว้าว” ไป๋เซ่อตาลุกวาวพร้อมกันนั้นก็ถลาลงนั่งที่เบาะนุ่ม มือฉวยน่องเป็ดขึ้นแทะอย่างเอร็ดอร่อย นานแล้วสินะที่มิได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์แบบนี้

          “ค่อยๆกินสิ เลอะหมดแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่นั่งลงด้านข้างไป๋เซ่อ ก่อนจะเอื้อมมือใช้ปลายเสื้อเช็ดปากที่มันย่องอย่างไม่รังเกียจ ในใจกลับคิดเพียงว่าชุดนี้ข้าเสียเงินซื้อให้เจ้ากี่ตำลึงกันเชียว

          “อื้อ อย่ามายุ่ง” ร่างสีฟ้าสะบัดหน้าหนีอย่างรำคาญใจ ยังไงน่องเป็ดชิ้นนี้ ข้าก็ไม่มีวันยกให้เจ้า

          สตรีที่นั่งดูอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับตัวสั่นสะท้าน บรรยากาศที่แผ่กลิ่นอายหวานแหววตรงหน้าคลับคล้ายทำให้นางกลายเป็นส่วนเกิน ยิ่งไปกว่านั้นที่ชายหนุ่มมาช้า เพียงเพราะนำพาบ่าวรับใช้คนหนึ่งผลัดเปลี่ยนเสื้อใหม่

          ดวงตากลมโตจ้องชุดสีฟ้าอ่อนเนื้อดีที่กำลังเป็นที่นิยมของตงหัว มองเจ้าของดวงหน้าสดใสแฝงกลิ่นอายยั่วยวน ชั่วขณะหนึ่งนางก็รู้สึกด้อยลงไปถนัดตา แต่แล้วเมื่อเผลอคิดเช่นนั้นนางก็ต้องผงะ

          ไม่ได้...นางคือมู่อิงเอ๋อร์ มีรึจะแพ้ให้กับเด็กรับใช้ผู้หนึ่ง

          “คุณชายหมิง ระหว่างที่รอท่าน ข้าสั่งอาหารขึ้นชื่อของร้านมาเจ็ดชนิด หนึ่งในนั้นมีปลาหิมะแดงที่ทางร้านจะปรุงขึ้นมาเพียงวันละตัวเท่านั้น หวังว่าท่านจะถูกปาก” นางส่งยิ้มหวานพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาไปไว้ในชามของอีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ เรื่องบางเรื่องบุรุษก็มิอาจแทนสตรีได้ คิดแล้วก็ส่งสายตาเยาะเย้ยให้เด็กหนุ่ม

          “ขอบคุณแม่นางมู่” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มรับอย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปเหน็บแนมคนข้างกายอย่างฉับพลัน “ไป๋เซ่อ เลิกแทะน่องเป็ดได้แล้ว เจ้าจะกลืนมันลงไปทั้งกระดูกเลยรึไง” เขามองคนที่สวาปามแทบไม่ได้เคี้ยวแล้วก็ต้องส่ายหน้า ไม่น่ามองจริงๆ

          ไป๋เซ่อแทบอยากจะพ่นกระดูกเป็ดใส่หน้าอีกฝ่ายแล้วตวาดถาม...เจ้าเคยเห็นงูที่ไหนเคี้ยวอาหารกันบ้างเล่า ทว่ายังมิทันได้ทำตามที่ตั้งใจ มือที่ดูน่าอบอุ่นก็คีบเนื้อปลาส่งป้อนมาให้ถึงริมฝีปาก

          “เอ้า ลองชิมเนื้อปลาหิมะแดงหายากนี่ดูบ้าง” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม ครานี้ไป๋เซ่อไม่รอช้าอ้าปากงับชิ้นปลาจากตะเกียบ ลืมเลือนเรื่องขุ่นเคืองไปจนหมดสิ้น

          “อร่อย”

          ชมมองรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งให้บุคคลที่ไม่ใช่ตนแล้ว มู่อิงเอ๋อร์ก็กัดฝันกล่าวประชด “ดูท่านใส่ใจเขาเป็นพิเศษจริงๆ”

          “หือ” ซวนหยวนหมิงไท่แสดงสีหน้าแปลกใจ ใส่ใจงั้นรึ? จะว่าไปแล้วการกระทำบางอย่างที่เขามีต่อไป๋เซ่อ ล้วนแล้วแต่กระทำโดยมิได้รู้ตัวทั้งสิ้น เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบ “อาจเป็นเพราะมีคนฝากฝังเขาไว้ ดังนั้นข้าจึงมิอาจเมินเฉย” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กระมัง? แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ในใจลึกๆกลับยังรู้สึกไม่แน่ใจนัก

          เป็นอย่างนี้นี่เอง...ได้ยินดังนั้นนางก็พอจะชื้นใจขึ้นมาบ้าง สาเหตุที่คุณชายหมิงดูแลเอาใจใส่อีกฝ่ายเป็นพิเศษ นั่นก็เป็นเพราะได้รับการฝากฝังมาก็เท่านั้น ถึงตอนนี้มู่อิงเอ๋อร์จึงเผยรอยยิ้มสบายใจออกมาได้แล้ว

          เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บุรุษเจ้าสำอางวัยยี่สิบพร้อมข้ารับใช้คนสนิทเหยียบย่างขึ้นมายังชั้นสอง ครั้นกวาดสายตาหาสตรีที่หน้าตาจิ้มลิ้มพบแล้วก็รีบเข้าไปทักทาย “แม่นางมู่ ช่างบังเอิญนักที่ได้พบเจ้าที่นี่”

          “คุณชายเสิ่น” นางเอ่ยเสียงเบาพลางคิดในใจ บังเอิญรึ...ใครๆก็รู้ว่าคนผู้นี้ติดตามนางยิ่งกว่าเงาตามตัว คงเป็นสุนัขรับใช้ที่คาบข่าวไปบอกผู้เป็นนายว่านางอยู่ที่นี่เสียมากกว่า “พวกเราช่างบังเอิญพบกันบ่อยจริงๆ”

          เสิ่นอันหวางถือวิสาสะนั่งลงที่ข้างกายนางแล้วเปล่งเสียงหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า นี่คงเป็นวาสนาระหว่างข้า...” น้ำเสียงพลันลากยาวต่อเมื่อสายตาปะทะเข้ากับเด็กหนุ่มที่กำลังยัดหมั่นโถวเข้าปากพอดิบพอดี ฉับพลันนั้นใจก็เต้นระทึก ราวกับมีไฟลุกโหมกระหน่ำร้อนแรงภายใน “กับเจ้า”

          คำที่หลุดออกมาถึงกับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องเสียกริยาสำลักชาจิ่งหลงที่กำลังดื่มออกมาอย่างห้ามมิอยู่

          “เด็กน้อยเจ้ามีนามว่ากระไร ข้าเสิ่นอันหวาง เป็นบุตรชายโทนของตระกูลเสิ่น บิดาข้าประกอบการค้ากับทางนอกด่าน คฤหาสน์อยู่ทางด้านตะวันตกของตงหัว” กล่าวได้เต็มปากว่าเขาเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของตงหัวเลยก็ว่าได้

          ประกายตาสาดแสงหยาดเยิ้มแทบทำให้ดวงตาไป๋เซ่อมืดมัวไปชั่วขณะ ผัดผักหิมะที่ใช้ตะเกียบคีบต้องร่วงลงไปนอนนิ่งในจาน กระทั่งรัชทายาทหนุ่มยังคิ้วกระตุก คนผู้นี้อะไรที่ไม่ได้ถามกลับคายออกมาเอง ด้านมู่อิงเอ๋อร์ก็มีอันต้องตัวแข็งทื่ออ้าปากค้าง นางยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ แต่ตัวโง่งมนี้คล้ายลืมเลือนตัวตนของนางไปแล้ว

          “เจ้าคงมิใช่คนของตงหัว หากมิรังเกียจข้าจะพาเจ้าเที่ยวเล่นเอง” ตั้งแต่เกิดมาเสิ่นอันหวางก็มิเคยพบใครที่มีเสน่ห์เย้ายวนขนาดนี้ แม้จะเป็นบุรุษแต่อย่างไรก็ต้องหลอกล่อพากลับบ้านให้จงได้

          “ดี ดี” ได้ยินคำว่าเที่ยวเล่น ไป๋เซ่อก็โห่ร้องอย่างดีใจ แต่แล้วเสียงเข้มกับแทรกขึ้น ส่งผลให้คุณชายเสิ่นต้องกวาดสายตาแล้วจึงพบว่าที่ด้านข้างเด็กหนุ่มยังมีบุรุษที่ดูสง่างามนั่งอยู่เคียงข้างด้วย

          “ต้องขอบคุณคุณชายท่านนี้มาก แต่พวกเรามิกล้ารบกวน” ซวนหยวนหมิงไท่รีบปฏิเสธพร้อมยิ้มบางประจำตัว แลก่อนที่เรื่องราวจะยิ่งยุ่งยากไปกว่านี้ เขาก็ลุกขึ้น “แม่นางมู่ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ ข้ายังมีเรื่องต้องกระทำอีก ฉะนั้นพวกเราขอตัว” ประสานมือเสร็จก็คว้าแขนร่างเล็กที่มัวแต่นั่งบื้อใบ้อยู่

          “เดี๋ยวๆ เจ้ามีธุระ แต่ข้าไม่มีนี่” ไป๋เซ่อร้องท้วงแต่ก็มิอาจสู้แรงดึงได้ ท้ายที่สุดก็ถูกลากออกไปทั้งที่อาหารเต็มปาก

          “ดะ เดี๋ยว” มู่อิงเอ๋อร์เองก็รีบร้องห้าม ทว่าชั่วเสี้ยวหนึ่งนางคล้ายสังเกตเห็นสายตามิพอใจ มือที่ยื่นออกไปพลันหยุดชะงัก ริมฝีปากที่กำลังเอ่ยก็เงียบกริบลงในพริบตา

          “โฮ ให้ข้าหยิบปีกไก่ไปสักสามสี่ชิ้นก่อนจะได้ไหม”

          มาตรว่าร่างสีฟ้าจะร้องราวปริ่มจะขาดใจ ทว่าคุณชายหมิงก็มิได้แยแสข้อเรียกร้องใดๆ นำพาเด็กหนุ่มเดินหายลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นดังนั้นแล้วใจของมู่อิงเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความอิจฉา มือเผลอกำหมัดแน่นด้วยรู้สึกทนจนถึงขีดสุด

          “เฮ้อ อะไรกันมีเจ้าของแล้ว ทั้งยังหวงเสียด้วย” เสิ่นอันหวางเอ่ยขึ้น มิได้สังเกตเห็นท่าทีใกล้ระเบิดของสตรีที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพัง

          มู่อิงเอ๋อร์ถึงกับหันขวับตาเขียวไปยังเจ้าของเสียง โทสะพุ่งปรี๊ดในอก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนแซ่เสิ่นเข้ามาขัดจังหวะทำเสียเรื่องทั้งนั้น ว่าแล้วจานบนโต๊ะก็ถูกนางปัดทิ้งพื้นอย่างระบายอารมณ์

          เสียงข้าวของตกแตกระลอกใหญ่ทำให้คนในตึกไผ่เขียวซุบซิบนินทากันใหญ่ แม้แต่เสิ่นอันหวางและเถ้าแก่เจียงที่วิ่งมาดูก็ต้องตกตะลึงไปตามๆกัน รอจนนางสงบใจได้ก็กระทืบเท้าออกไปอย่างมิสบอารมณ์

          “มารดามันเถอะ สตรีนางนี้ช่างโมโหร้ายเสียจริง” เสิ่นอันหวางสบถโดยมีเถ้าแก่เจียงพยักหน้าเห็นด้วย โชคยังดีที่วันนี้ผู้แซ่เสิ่นถอนตัวทัน มิเช่นนั้นเขาแต่งกับนาง เกรงว่าชีวิตหลังจากนี้จะไม่มีวันสงบสุขอีก



**********************************************


          “ได้ความเยี่ยงไรบ้าง”

          บุรุษที่นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ มือหนึ่งถือจอกชาที่มีควันฉุย สีหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกต่อความรู้สึกใดๆถามขึ้น

          “ตามที่กระหม่อมตรวจสอบคนในจวนตระกูลมู่อย่างลับๆ พบว่าบ่าวรับใช้มีจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน พื้นเพล้วนแล้วแต่เป็นชาวเมืองตงหัวตั้งแต่เกิด อีกทั้งทุกคนกล่าวตรงกันว่าท่านเจ้าเมืองมู่อิงเจี๋ยมีความประพฤติตามแบบอย่างขุนนางที่ดี ทุกวันขึ้นข้างแรมมักจะให้ทานแจกจ่ายอาหารแก่ชาวบ้านที่ยากไร้” เสี่ยวลู่กราบทูล

          “จริงรึ?” ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้ว มู่อิงเจี๋ยเป็นเพียงขุนนางตงฉินจริงๆน่ะหรือ จากที่ตนสังเกตการณ์เพียงผิวเผิน แค่ม้าดีที่จวนตระกูลมู่ครอบครองไว้ก็พอจะบ่งบอกถึงอำนาจที่ไม่ธรรมดาแล้ว

          “จากข้อมูลที่ลู่กงกงพบตรงกับข้อมูลที่กระหม่อมได้รับ ชาวเมืองต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เนื่องเพราะตงหัวเป็นตลาดการค้า ท่านเจ้าเมืองจึงสั่งให้ทหารออกลาดตระเวนอย่างเข้มงวด ประกาศห้ามมิให้มีการเรียกราคาเกินจริง โดยเฉพาะข้าวและเกลือ ทั้งนี้ยังเรียกเก็บภาษีชาวบ้านอย่างเป็นธรรม และมีการจัดส่งตรงตามที่ทางราชสำนักกำหนดไว้อยู่เสมอ ไม่ขาดไม่เกินพะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จิ้งกล่าว

          “ไม่ขาดไม่เกิน” รัชทายาทหนุ่มทวนคำ มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้นน้อยๆให้กับประวัติที่ใสสะอาดเสียจนน่าตกใจ และเพราะเป็นเช่นนี้จึงทำให้เขาต้องให้ความสนใจมากขึ้น “ทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่มีทั้งหมดเท่าไหร่ มีโยกย้ายบ่อยแค่ไหน”

          “ราวสามพันนาย ทั้งนี้มิเคยโยกย้าย เพียงรอรับราชโองการเคลื่อนพลจากองค์เหนือหัวหรือผู้แทนพระองค์ที่มีตราตั้ง และเว้นเพียงเคลื่อนพลโดยพลการตามคำสั่งของท่านเจ้าเมืองในยามที่เหลียวตงตกอยู่ในสภาพเลวร้าย เกิดภัยสงครามด้วยถูกแคว้นเจิ้งรุกราน” ระหว่างที่รายงานหัวหน้าองครักษ์จิ้งก็เผอิญสบเข้ากับสายตาสีดำที่ทอประกายเยียบเย็น รอจนทบทวนได้ครู่หนึ่งก็เสริมกล่าว “ยังไม่มีข้อมูลใดที่ชี้ชัดว่า ท่านเจ้าเมืองมู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอ๋องผิงซางแห่งเมืองเหลียวตง พะย่ะค่ะ”

          เป็นเพราะตงหัวเป็นเขตการค้าที่ใหญ่อันเปรียบเสมือนถุงทองของแคว้นซวนหยวน ทว่าพื้นที่กลับติดกับดินแดนเหลียวตง ซึ่งมีตวนผิงซางรั้งตำแหน่งอ๋องกินเมืองอยู่ ดังนั้นเขาย่อมต้องระแวดระวังมิให้ใครฉวยโอกาสหยิบชิ้นปลามันอันเป็นการกระด้างกระเดื่องในภายภาคหน้าไปได้ง่ายๆ “จับตาดูต่อไป”

          “นี่ พวกเจ้าจะคุยกันคร่ำเครียดอีกนานไหม ข้าเบื่อจะแย่แล้ว”

          น้ำเสียงยานคางที่ดังขึ้น ส่งผลให้เสี่ยวลู่และเหล่าองครักษ์ต้องหันไปจับจ้องเจ้าของเสียงกันเป็นตาเดียว ก่อนจะพบเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าที่นอนแผ่กาย มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ ปากกัดทึ้งขนมแผ่นหิมะจนเศษขนมร่วงกราวลงบนเตียงด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายเต็มที่

          ทว่านั่นมิใช่เตียงขององค์รัชทายาทหรอกรึ? แต่ไหนแต่ไรมามีผู้ใดขวัญกล้านอนบนตั่งเตียงของทายาทมังกรกันบ้างเล่า เหล่าองครักษ์ถึงกับเผยสีหน้างุนงง ผิดกับเสี่ยวลู่ที่ดวงตาปูดโปนจนแทบจะถลน ริมฝีปากเม้มปิดแทบเป็นแทบตาย ราวกับกลัวว่าหากมันเผยอสักนิดความลับของใครบางคนจะหลุดออกมา

          เห็นดวงตาที่เปี่ยมด้วยสงสัยใคร่รู้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเอ่ย “คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักเถอะ”

          “พะย่ะค่ะ”

          รัชทายาทหนุ่มมองส่งผู้คนที่กำลังล่าถอยออกไปจากห้อง จวบจนทั้งหมดออกไปแล้วก็ถอนหายใจยาว “เจ้าจะทำให้ข้าเสียเรื่องน้อยลงกว่าเดิมจะได้ไหม”

          เจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเขียวแสร้งตีสีหน้าไร้เดียงสา “ใคร ใครทำเสียเรื่อง ข้าเพียงบ่นลอยๆก็เท่านั้น” แล้วเมื่อยามมื้อบ่ายใครใช้ให้ลากเขาออกมากลางคันกันเล่า ว่าไปแล้วก็ยังอารมณ์เสียไม่หาย ไป๋เซ่อเบ้ปาก

          “อะไรกันยังโกรธข้าอยู่อีกรึ”

          “เฮอะ”

          “แย่จริง คืนนี้ข้าคิดจะชวนเจ้าออกไปเที่ยวเล่นสักหน่อย ในเมื่อเจ้าอารมณ์ไม่ดี ข้าไปคนเดียวก็ได้” พูดจบก็เดินไปที่ประตู ทว่าก้าวเท้าได้เพียงสามก้าวก็รู้สึกได้ว่าก้นน้อยๆไม่ขยับตามอย่างทุกที เขาเหล่มองคนขี้งอนแล้วจึงตัดสินใจกล่าวอีกสักประโยค “ที่แท้แล้วจ้าวคฤหาสน์ดินเป็นใคร สตรีผมสีเงินผู้นั้นมีที่มาเยี่ยงไร เจ้าไม่อยากรู้สักนิด”

          “......” หูของไป๋เซ่อเริ่มผึ่งออก

          “งั้นก็ช่างเถิด เดี๋ยวขากลับข้าแวะไปเที่ยวหอหมื่นลี้คนเดียวก็ได้”

          คำพูดกล่าวจบไป๋เซ่อก็โยนขนมในมือทิ้งอย่างไม่ไยดี บังเกิดเป็นเสียงอึกทึกลงจากเตียงปุบปับ “ไปสิ ใครบอกว่าข้ามิไปกัน”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองไป๋เซ่อที่ยิ้มหน้าระรื่นแล้วก็ผุดยิ้มขึ้นในใจ เห็นทีจะหลอกล่อเจ้างูตัวน้อยนี้ ก็มิใช่เรื่องยากสักนิด



***************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 5.2 เงาร่างในใจ 24/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 24-01-2016 21:34:25
บทที่ 5.2 เงาร่างในใจ



         ในยามวิกาลที่ทุกอย่างเป็นปกติ บ่าวรับใช้ต่างกลับเข้าที่พัก ทหารเฝ้ายามผลัดเปลี่ยนตำแหน่ง แต่ที่กำแพงจวนเจ้าเมืองตงหัวด้านหนึ่งกลับมีความเคลื่อนไหวหนึ่งลอบกระโดดออกมา ต่อเมื่อฝีเท้าสัมผัสถึงพื้นเงาร่างดังกล่าวก็รุดตัวไปไกลหลายจั้ง กระทั่งหายลับไปกับความมืดอย่างเงียบเชียบ

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          “นี่เจ้าจะหัวเราะอีกนานไหม” แค่ได้ฟังเสียงหัวเราะชอบใจที่ดังแหวกอากาศต่อเนื่องตลอดระยะทาง ก็ให้รู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก บางทีการที่ชวนอีกฝ่ายมา อาจเป็นเขาที่คิดผิดไปถนัดก็ได้ เนื่องเพราะอะไรน่ะหรือ?

          เห็นจะมีแต่เพลานี้ที่ตนจะได้สลายความคับข้องในใจ ไป๋เซ่อชูมือหนึ่งขึ้นอย่างคึกคักอักโข อีกมือหนึ่งรัดคออีกฝ่ายไว้แน่น ทั้งยังไม่ลืมใช้ขากระทุ้งเอวอีกฝ่ายถี่ๆ “ไปเร็ว เจ้าม้าของข้า ว่ะฮ่ะฮ่าๆ”

          “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นม้างั้นรึ” ซวนหยวนหมิงไท่ถลึงตาโต หากมิใช่เพราะพลังของร่างน้อยไม่เสถียร แปรเปลี่ยนร่างได้วันละครั้ง เช่นนี้เขาคงมิยอมให้เจ้าตัวขี่หลัง เพื่อหลบสายตาผู้อื่นมาหรอก

          “สภาพเช่นนี้ยังจะเหมือนกระไรอีก” เจ้าของดวงหน้าเย้ายวนฉีกยิ้มแฉ่ง เขาจะเอาคืนทุกสิ่งคนผู้นี้ทำให้ตนต้องรู้สึกอัปยศให้หมดเลย ว่าแล้วก็ออกคำสั่ง “ไปเร็วเข้า เดี๋ยวจะกลับไปไม่ทันหอหมื่นลี้”

          เฮอะ ได้ทีขี่แพะไล่ ยังคงฝากไว้ก่อนเถอะ ซวนหยวนหมิงไท่กัดฟันสบถในใจก่อนจะชักนำฝีเท้ามุ่งตรงไปยังใต้หุบเขา ครั้นเหยียบย่างเขาสู่ผืนป่าราวหนึ่งเค่อก็ต้องหยุดตัวลงปาดเช็ดเหงื่อที่ศีรษะ

          ทันใดนั้นลมระลอกใหญ่ก็พัดผ่านจนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว หมอกควันบางเบาค่อยๆปกคลุมชั้นบรรยากาศทางด้านในที่เป็นป่าทึบ ให้ความรู้สึกเยียบเย็นอย่างไรบอกมิถูก
         
          ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเปล่งประกายวูบ แม้ตนจะมิได้มีอิทธิฤทธิ์เช่นเก่า แต่สายตาคู่นี้นับว่าไม่มีวันพลาด ยังคงมองเห็นได้ไกลและทะลุปรุโปล่ง “ไปด้านซ้ายสามสิบก้าว จากนั้นวกขวาที่ต้นไม้ใหญ่ เดินตรงไปอีกราวสี่สิบห้าก้าวจะถึงป่าที่ล้อมด้วยเถาวัลย์” ไป๋เซ่อร้องบอก

          ดูว่าป่าแห่งนี้แตกต่างไปจากสภาพในช่วงกลางวันที่ดูเปิดโล่งอยู่มาก เขารับฟังแล้วพยักหน้าให้ ด้วยรอบกายที่มีแต่เพียงความมืดมิด จึงได้แต่พึ่งพาสายตาของไป๋เซ่อ เขาก้าวฝีเท้าไปตามคำกล่าวนั้น ผ่านต้นไม้ใหญ่น้อยแออัดที่ดูเหมือนๆกันไปหมด จนในไม่ช้าก็บรรลุถึงใจกลางป่าที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ห้อยระย้า ดุจเดียวกับที่ตนหลงมาก่อนหน้านี้

          ถึงตอนนี้ไป๋เซ่อก็ยอมลงจากหลังของชายหนุ่ม เดินวนเวียนอยู่สักพักก็ทำหน้าย่น “ที่นี่มีกลิ่นอายประหลาด ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าใกล้เขตแดนจ้าวคฤหาสน์ดินแล้วก็เป็นได้” น่าแปลก แม้แต่ตนก็มิอาจสรุปได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมานี่ใช่เป็นกลิ่นอายปีศาจรึไม่

          ไม่รอให้ทั้งสองได้ครุ่นคิด คมกระบี่เล่มหนึ่งก็แหวกผ่านอากาศ เงาร่างอรชรเกาะเกี่ยวเถาวัลย์เส้นหนึ่งทะยานตัวรุดเข้าหาผู้บุกรุกอย่างไร้ไมตรี “ใครกล้าบุกรุกเขตแดนจ้าวคฤหาสน์ดิน”

          เป็นเสียงสตรีที่คำรามก้อง ซวนหยวนหมิงไท่เห็นเงาร่างสีขาวพุ่งพรวดตรงมาอย่างรวดเร็วก็รีบรั้งร่างไป๋เซ่อมาไว้ที่ด้านหลัง ย่ำเท้าไปด้านหน้าสะบัดปลายแขนเสื้อเข้ารับกระบี่ที่แทงสวนลงมา ส่งผลให้กระบี่ดังกล่าวมิอาจใช้ออกได้อีก

          เมื่ออาวุธในมือถูกหยุดยั้ง พริบตานั้นสตรีในชุดขาวก็แอ่นตัวไปทางด้านหน้า ขาเรียวตวัดโค้งเป็นวงกลมวกกลับเข้าใส่ผู้บุกรุก ระหว่างนั้นแสงสีเงินวิบวับก็สะท้อนออกมาภายใต้ผ้าโพกหัวสีดำ รัชทายาทหนุ่มเห็นดังนั้นก็ปล่อยปละกระบี่ สะกิดปลายเท้าถอยหลังออกไปราวสามก้าวให้พ้นวิถี จากนั้นตะโกนออกมา “โปรดยั้งมือ แม่นางเย่วเซียง”

          “เป็นท่าน” ได้ยินน้ำเสียงนุ่มทุ้มเย่วเซียงก็ร้องถามด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนจะรีบลดกระบี่ในมือลง

          “ใช่ ข้าเอง”

          “คราก่อนท่านหนีรอดจากนางปีศาจวั่นอู่หง นางก็คุ้มคลั่งแทบตายแล้ว ท่านมาที่นี่มิกลัวนางไล่ล่าท่านอีกบ้างรึไง”
ฟังน้ำเสียงร้อนรนแล้วเขาก็หัวเราะน้อยๆ “จะอย่างไรข้าก็มาแล้ว”

          “ท่าน...” เย่วเซียงหยุดเสียง มองหน้าบุรุษที่ราวกับแสงตะวันแล้วก็รู้สึกวูบไหวแปลกๆ นางเอ่ยเสียงเบา “ท่านมาหาข้าหรือ?”

          “เอ่อ” คำถามนี้พลันทำให้เขาอ้ำอึ้ง เสมือนพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนต้องการพบนางเพื่ออะไร เพียงต้องการรู้ที่มาของนาง หรือต้องการทราบข้อเท็จจริงของจ้าวคฤหาสน์ดิน หรือยังมีเหตุผลประการอื่น? คิดอยู่พักใหญ่เขาก็ตอบ “ข้าเพียงต้องการรู้...เจ้าเป็นใคร แล้วจ้าวคฤหาสน์ดินเป็นใคร”

          “ท่านต้องการรู้ไปเพื่ออันใด” เย่วเซียงถามอย่างสงสัย

          “เพราะที่นี่แปลกเกินไป ข้าจำเป็นต้องรู้” มิตรหรือศัตรูจำต้องแยกแยะ กระทั่งเจ้าปกครองยังต้องเข้าใจบ้านเมืองของตน ไหนเลยที่เขาจะมิทำความเข้าใจ ซึ่งไม่แน่ว่าเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้าก็เป็นได้ ฉะนั้นเขามิอาจมองข้าม

          “ข้าบอกได้เพียงข้าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา”

          “ไม่ ในตัวเจ้ามีสมุนไพรวิเศษชนิดหนึ่งที่เรียกว่าผลึกหิมะอัคคี” ไป๋เซ่อที่ก้าวเข้าไปใกล้ตัวเย่วเซียงโพล่งขึ้น ทั้งยังมีท่าทีสูดดมเป็นการใหญ่

          “เจ้ารู้” เย่วเซียงถึงกับขึ้นเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ

          “ข้าไป๋เซ่อ ผู้รอบรู้ทุกเรื่องราว” ไป๋เซ่อถือโอกาสอวดอ้าง

          “ผลึกหิมะอัคคี มันคือสิ่งใดกัน” เป็นซวนหยวนหมิงไท่ถามขึ้นบ้าง

          “หึ หึ ผลึกหิมะอัคคีคือสมุนไพรวิเศษที่มีสรรพคุณฟื้นฟูสามจิตเจ็ดวิญญาณที่บกพร่อง ซึ่งหล่อหลอมด้วยไฟเย็นและบ่มเพาะจากธาตุบริสุทธิ์กว่าห้าร้อยชนิดนานนับพันปี” นับเป็นของหายากที่แม้แต่เทพอาวุโสหวางจื้อยังต้องร้องโอ้วออกมาดังๆ

          “เห็นทีว่าดินแดนของจ้าวคฤหาสน์ดินนั้นมีสมุนไพรวิเศษอยู่จริง แม่นางเย่วในเมื่อพวกเรารู้ถึงขั้นนี้เจ้าก็อย่าปิดบังพวกเราอีกเลย” ชายหนุ่มกล่าวอย่างจริงใจ ตลอดเวลาคล้ายมีบางสิ่งที่ติดค้างในใจว่านางเป็นใคร ซึ่งเขาต้องรู้ให้ได้

          เป็นเพราะดวงตากระจ่างสีดำเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่ ทำให้เย่วเซียงรู้ตัวว่าตนมิอาจบ่ายเบี่ยงคำขอร้องได้อีก “ได้ ข้าจะบอกพวกท่านเพียงที่บอกได้” นางสบสายตามุ่งมั่นนั้นโดยตรง

          “ข้าไม่มีแซ่ มีเพียงนามว่าเย่วเซียง เมื่อสิบแปดปีก่อนข้าถูกทิ้งไว้ตามลำพังยังใต้หุบเหวแห่งนี้ ในตอนนั้นข้าที่ยังแบเบาะเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย หากแต่ท่านจ้าวคฤหาสน์ดินกลับเมตตาข้า ยื้อชีวิตข้าไว้ด้วยผลึกหิมะอัคคี แม้ภายหลังจะรักษาชีวิตตนเองไว้ได้ กระนั้นก็ต้องแลกมาด้วยเส้นผมที่น่ารังเกียจ” กล่าวถึงตรงนี้น้ำเสียงก็พลันเศร้าหมอง

          “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเส้นผมเจ้าน่ารังเกียจ” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็โพล่งกล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สีหน้าดูขัดใจ

          “เป็นเพราะมันไม่เหมือนผู้อื่น น่ะ น่าเกลียด” นางก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบา ทุกครั้งที่นางบังเอิญพบผู้อื่น ล้วนแล้วแต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจ

          “ข้ากลับมองว่ามันงดงามยิ่งนัก” สีขาวเงินที่ดูบริสุทธิ์อ่อนโยน

          เย่วเซียงถึงกับเงยหน้าโดยพลัน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ทะ ท่านบอกว่าเส้นผมของข้างดงาม จะ จริงรึ” ดวงตาของนางทอประกายสว่างไสวสะท้อนถึงความหวังเสี้ยวเล็กๆ

          “ข้าไม่เคยโกหก” เขายิ้มพลางหยิบใบไม้ที่ติดตามเส้นผมของนางออก แต่ครั้นรู้สึกตัวว่าเสียกริยามือก็พลันชะงักค้างไว้ที่เหนือศีรษะของนาง

          “นี่พวกเจ้าอย่าพึ่งเปลี่ยนเรื่องสิ ข้าอยากรู้ว่าทำไมที่นี่จึงมิอาจเข้าออกได้” ไป๋เซ่อร้องขัดคนทั้งสองที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ ส่งผลใบหน้าของเย่วเซียงระเรื่อด้วยสีแดงก่ำ นางก้มหน้างุดกล่าวสืบต่อ

          “อา เพราะที่นี่เป็นเขตแดนของท่านจ้าวคฤหาสน์ดิน ทุกขอบเขตล้วนลงอาคมไว้ ป้องกันมิให้ผู้บุกรุกเข้ามาได้ แต่จะมีเพียงบางราตรีที่หยินแทนหยางอาคมคลายลง ส่วนข้าเป็นเพียงผู้เฝ้าปากทางเข้า มิอาจบอกเล่าถึงความเป็นมาของท่านผู้มีพระคุณได้ พวกท่านโปรดเข้าใจ”

          ต่อเมื่อนางคำนับให้ เขาก็รู้ได้ถึงความลำบากใจที่นางมี จึงมิได้กล่าวซักไซ้เรื่องนี้อีก หากแต่ยังคงอดที่จะเอ่ยถามเรื่องหนึ่งมิได้ “ข้าขอถามอีกสักประโยค เจ้าเคยลงไปที่หมู่บ้านหรือตัวเมืองตงหัวบ้างรึไม่”

          “ไม่เคย”

          “ไม่เคยเลยสักครั้ง” เห็นนางส่ายหน้าเขาก็ถามต่อ “เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยความสมัครใจ”

          “ใช่ ข้าอยู่ที่นี่ด้วยความสมัครใจ” มาตรว่าท่านจ้าวคฤหาสน์ดินจะช่วยชีวิตนางไว้ แต่กระนั้นก็มิได้เรียกร้องบุญคุณใดๆ เป็นนางที่ต้องการชดใช้ให้เอง นอกเหนือไปจากนี้นางก็ไม่มีที่ไปอีก นางไม่รู้จักใคร ไม่รู้จักญาติมิตร หรือแม้กระทั่งรู้ว่าตนเองเป็นใคร

          ประเมินมองสตรีตรงหน้าแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็อึดอัดในอก ดวงตากลับหม่นแสงลง นางเปรียบเสมือนนกในกรงที่มิเคยโผบินสู่โลกภายนอก ทำให้เขาไพล่คิดถึงคนผู้หนึ่ง

          สตรีที่ติดอยู่ในวังหลวง มิเคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น คนที่ตนเอาแต่เย็นชาใส่ ทำให้นางเจ็บปวดจนเลือกเดินทางผิด

          “ในเมื่อพวกท่านรู้แล้วก็กลับไปเถอะ ที่นี่อันตรายมิอาจรั้งอยู่เนิ่นนาน”

          “เจ้า...” ซวนหยวนหมิงไท่สวนขึ้นหากแต่ยังมิทันจบประโยคก็เงียบลงด้วยเปลี่ยนใจในชั่วขณะ “เช่นนั้นในวันข้างหน้าหากเจ้าต้องการช่วยเหลือกระไร โปรดนำของสิ่งนี้ยื่นส่งให้คนของทางการ ข้าจะช่วยเจ้าสุดความสามารถ” เขายัดหยกสีเขียวอ่อนที่ซึ่งสลักคำว่าซวนหยวนไว้ในมือนาง “เช่นนั้นข้าขอลา”

          ได้ยินดังคำลาปุบปับเย่วเซียงก็พลันรู้สึกโดดเดี่ยว นางมิได้มองส่งคนที่จากไปเพียงมองหยกในมือนิ่งงัน ในใจลึกๆแล้วมิอยากให้เขาไป อาจเป็นเพราะนางไม่เคยพบผู้ใดที่ยอมรับนางได้เท่ากับคนผู้นี้ แต่ทว่านางไม่มีเหตุสมควรที่จะรั้งเขาไว้ จึงได้แต่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้

          ในอีกด้านหนึ่งหลังจากที่รัชทายาทหนุ่มจากมาแล้ว สีหน้าก็ปรากฏร่องรอยเคร่งเครียดประการหนึ่ง ในใจได้แต่คิดเย้ยหยันตัวเอง น่าขำนัก เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครถึงคิดอยากจะพานางไปด้วย เจ้าที่ต้องอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดี ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยคมหอกคมดาบ หากพลาดพลั้งเพียงครั้งอาจต้องจบชีวิตลงได้ทุกเมื่อ ยังจะมีความสามารถปกป้องใครได้อีก

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคิดรั้งนางไว้ ไฉนจึงไม่พูดออกมาเล่า”

          “เจ้าอ่านใจข้า”

          น้ำเสียงฟังดูตำหนิ ทว่าไป๋เซ่อกลับไม่ใส่ใจยังยักไหล่กล่าวยอมรับอย่างง่ายๆ “ก็เป็นตามนั้น เจ้านี่โง่จัง หากเป็นข้า แม้ว่านางจะไม่ยินยอม ข้าก็จะหาทางทุบหัวนางแล้วพาตัวไปด้วยให้ได้”

          “เฮอะ” เขาถึงแค่นเสียงหัวเราะน้อยๆ คำดังกล่าวแม้ฟังดูพิลึกพิลั่น แต่มันกลับทำให้ใจเขาเบิกบานขึ้นได้ “แต่ข้ากลับคิดว่ามีเจ้าติดตามข้าก็พอแล้ว”

          “เพ้ย เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร มือขวาของท่านมหาเทพ งูเผือกแห่งพิภพสวรรค์เชียวนะ คิดให้ข้าติดตามเจ้า ฝันไปเถอะ” ไป๋เซ่อสบถก่อนจะร่ายยาวคล่องปาก

          “เห มิใช่ว่าตอนนี้เจ้าเป็นงูเผือกเต้นระบำหรอกหรือ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          เสียงหัวเราะดังก้องไป๋เซ่อถึงกับหน้าดำหน้าแดง จ้องชายหนุ่มด้วยสายตาเขม็ง ทว่าเพลาผ่านไปไม่นานก็เกิดเป็นเสียงตุบ

          “โอ้ย นี่เจ้ากล้าถีบก้นข้า” เขาถึงกับกุมก้นตนเอง

          “ฮึ ข้ายังจะถีบปากเจ้าด้วย ย้ากกก” กล่าวจบก็ถลันตัวเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย
 
          “เฮอะ คิดว่าทำได้ก็ลองดู” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวท้าทาย ก่อนจะเบี่ยงกายหลบไป๋เซ่อที่กระฟัดกระเฟียด พริบตาหนึ่งก็ทอดสายตามองสถานที่ที่ตนพึ่งจากมา

          เขามิเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะบางทีการมีนางอยู่ข้างกาย เขาคงมิอาจสงบใจได้อีก ด้วยนึกถึงเงาร่างหนึ่งที่ยังคงประทับอยู่ในใจ ดั่งรอยแผลที่กรีดลึกไม่มีวันจางหาย และทำให้ชั่วชีวิตนี้เขามิอาจรักใครได้อีก

          เนื่องเพราะเขากลัวเกินไป กลัวว่าจะฝ่ายทำร้าย กลัวว่าจะมิอาจปกป้อง และกลัวว่าจะต้องเป็นฝ่ายส่งคนที่รักจากไปก่อนตน



***************************************************


ไม่ชอบตรงไหน เม้นท์เเนะนำกันได้น้า  :hao3:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 5 เงาร่างในใจ 24/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 25-01-2016 02:16:53
งูน้อยจอมป่วน
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 5 เงาร่างในใจ 24/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 28-01-2016 14:34:22
เรื่องน่ารักอ่านสบายจัง ยาวดีด้วย
เนื้อคู่ต้องเลือกครบสามแล้วใช่ไหมเนี่ย อยากให้เลือกงูน้อยจัง น่ารัก
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 6.1 นักพรต 31/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 31-01-2016 13:54:30
บทที่ 6.1 นักพรตเสียสติ



          แหงนหน้าขึ้นมองดวงตะวันที่สาดแสงไล้ลงบนหลังคาเรือนงาม กลุ่มเมฆสีขาวลอยตัวไปตามนภาอากาศ นกกระจิบขับขานเสียงดังสดใส เขาที่นั่งอ่านรายงานในศาลาก็ยกมือขึ้นป้องปากหาวหวอด ยังมีคนข้างกายที่พยายามปรือตาอย่างยากเย็น ใต้ดวงตาเรียวปรากฏเป็นสีดำคล้ำ สภาพคล้ายคนที่นอนไม่เต็มตื่น ในมือยังถือไว้ด้วยขนมถั่วแดงที่กัดไปไม่ได้ถึงครึ่งคำ

          ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อคืนกว่าที่พวกเขาจะลงจากเขา เดินทางกลับเข้าสู่กลางเมือง หอหมื่นลี้ก็ดับโคมไล่ผู้คนไปจนหมดสิ้นแล้ว ทำเอาไป๋เซ่อโกรธจนลมออกหู เที่ยวอาละวาดใส่เขาเสียจนเช้านี้เรี่ยวแรงหดหาย

          กระทั่งสตรีในชุดสีชมพูกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับแผดเสียงใส่ คนที่นั่งสัปหงกอยู่ก็สะดุ้งขึ้นมาสุดตัว ขนมในมือก็ร่วงผล็อยลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น ไป๋เซ่อถึงกับถลนตาตื่นเต็มที่ จ้องมองขนมที่กลิ้งหลุนๆ จวบจนหยุดลงเมื่ออยู่ใต้ฝ่าเท้าผู้มาใหม่อย่างตกตะลึง

          “เมื่อคืนท่านไปไหนมา” มู่อิงเอ๋อร์ขึ้นเสียงดังลั่น ท่าทีของนางคล้ายโกรธเกรี้ยวอย่างยากที่จะสงบลงได้

          สีหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบางของซวนหยวนหมิงไท่พลันมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง เขาปิดรายงานที่ยังคงอ่านไม่จบ เงยหน้ามองสตรีที่หอบหายใจน้อยๆ เรื่องนี้ตนรู้ ไป๋เซ่อรู้ กระทั่งเสี่ยวลู่ขันทีคนสนิทก็ยังมิทราบ แต่แล้วนางกลับรู้เรื่องนี้ มิใช่ว่ามีคนในจวนคอยสอดส่องจับตามองความเป็นไปเขาอยู่หรอกรึ

          จู่ๆความเย็นชาก็ฉาบทับบนใบหน้าหล่อเหลา นางก็ถึงกับเย็นวาบในใจกล่าวเสียงเบา “เป็น...เป็นเพราะเมื่อคืนข้าไปหาท่านที่ห้อง แล้วไม่พบผู้ใด”

          เป็นเช่นนี้เอง รัชทายาทหนุ่มคิดก่อนยกยิ้มที่มุมปาก “ดึกดื่นถึงเพียงนั้น แม่นางมู่ยังอุตส่าห์มาหาข้าอีก”

          เพราะเขาเน้นย้ำ มู่อิงเอ๋อร์จึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่าสตรีไปหาบุรุษกลางดึกดื่น ย่อมมิใช่เรื่องที่ควรสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคุณหนูตระกูลใหญ่อย่างนาง “อย่าเข้าใจผิดไป ข้าเพียงต้องการถามว่าท่านขาดเหลือกระไรรึไม่ นี่เป็นเพราะพ่อข้าสั่งให้ข้าดูแลความเป็นอยู่ของท่านให้ดี”

          “นี่ๆ เจ้ากำลังเหยียบขนมของข้าอยู่นะ” ไป๋เซ่อแผดเสียงแหลมอย่างเอาเรื่อง คิดว่าเจ้าแผดเสียงเป็นคนเดียวเสียเมื่อไหร่ กล้าดีอย่างไรถึงมาเหยียบย่ำของกินอันเปรียบเสมือนจิตวิญญาณของเขา

          เมื่อถูกขัดจังหวะร่างสีชมพูก็ค่อยๆเบือนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะก้มลงมองขนมใต้ฝ่าเท้าอย่างเงียบงัน สักพักจึงกล่าว “ก็แค่ขนม...ฉงซิ่ว” นางตะโกนเรียกสาวใช้ที่รออยู่ห่างจากศาลาราวห้าก้าว “เจ้าไปซื้อขนมที่แพงที่สุดของตงหัวมาชดใช้บ่าวรับใช้ผู้นี้” นางตอกย้ำสถานะอีกฝ่าย ทั้งยังจงใจขยี้ปลายเท้าใส่ขนมบนพื้น ก่อนจะยิ้มหวานก้าวเข้ามานั่งข้างๆบุรุษผู้สง่างาม

          ไป๋เซ่อมองถั่วแดงที่ทะลักออกมาจากตัวแป้งอย่างน่าสงสาร รู้สึกราวกับตนถูกเหยียบขยี้เสียเอง “แต่นี่เป็นขนมรสมือเสี่ยวลู่ เจ้าคิดว่าแค่นั้นจะชดใช้ได้”

          “หือ” มู่อิงเอ๋อร์ถึงกับงงงันวูบ เคยมีบ่าวไพร่ที่ไหนกล้าหาเรื่องนางบ้าง

          ซวนหยวนหมิงไท่มองดูทั้งสองฝ่ายแล้วจึงหันไปหยิบถ้วยชาที่อุ่นกำลังดีขึ้นดื่ม ดวงตาเปล่งประกายขันราวกับพบเจอเรื่องสนุก เขารู้อยู่แล้วว่าไป๋เซ่อต้องไม่ยอม ก็เพราะเขาผ่านเรื่องแบบนี้มาเยอะ ทั้งกัดทั้งถีบ ไม่ไว้หน้ารัชทายาทของแคว้นซวนหยวนอย่างเขาเลยสักนิด

          หากเป็นตามปกตินางคงด่าทอคนที่ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำไปแล้ว แต่เพราะคุณชายหมิงนั่งอยู่อย่างเงียบๆ คล้ายรอดูท่าทีของนาง จึงมิอาจกระทำตามใจได้ ระหว่างที่คิดใคร่ครวญ จู่ๆเงาร่างของคนผู้หนึ่งก็แวบผ่านเข้ามาในสมอง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น “ก็ได้ข้าจะชดใช้ให้เจ้า แต่ขนมรสมือเสี่ยวลู่อะไรนั่นข้าคงหาคืนให้เจ้ามิได้ และในเมื่อเจ้ามาตงหัวเป็นครั้งแรก มิสู้ให้ข้าพาเจ้าเที่ยวเล่นในเมืองสักหลายรอบ เช่นนี้ดีหรือไม่”

          สีหน้าไม่พออกพอใจของไป๋เซ่อเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นลังเล หากต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในจวน เขาเลือกทำตามข้อเสนอของนางไม่ดีกว่าหรือ “ฮึ เห็นแก่ที่เจ้าจริงใจ ข้าเอาตามนั้น”

          สติของนางแทบหลุดเมื่อไป๋เซ่อกล่าวอย่างถือดี นางกัดฟันกล่าวห้วน “ดี” จากนั้นหันไปกระซิบบอกฉงซิ่วอยู่ครู่หนึ่ง สาวใช้ประจำตัวก็ล่าถอยออกไป ครั้นห่างไปไกลพอสมควรสาวใช้นางนี้ก็หันกายวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน



***************************************************

   
         “ข้าเอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้” เสียงเจื้อยแจ้วพูดจบ ถุงผ้าลวดลายประณีตสามใบก็ถูกโยนส่งให้คนทางด้านหลัง ฝ่ายพ่อค้าได้แต่ยืนกุมมือยิ้มไม่หุบ ดูว่าวันนี้เขาคงได้กำไรพอที่จะซื้อเนื้อกลับบ้านไปหลายชิ้น

          “ไป๋เซ่อ เจ้าจะซื้อมันไปเยอะแยะทำไมกัน” ซวนหยวนหมิงไท่ที่รับเอาถุงผ้าทั้งหมดออกปากตำหนิเล็กน้อย

          “เรื่องของข้า ข้าพอใจ” ไป๋เซ่อสวนตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง ของพวกนี้ล้วนเป็นของฝากแด่ท่านมหาเทพ ถิงถิงและนางฟ้าชิงเซียงทั้งนั้น

          “ขอเพียงเจ้าพอใจ ข้าจ่ายได้อยู่แล้ว” เสิ่นอันหวางรีบตอบเอาหน้า ทั้งยังพยายามเบียดแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง ต้องขอบคุณที่มู่อิงเอ๋อร์ส่งสาวใช้มาบอกเรื่องที่คนงามผู้นี้จะมาเดินเที่ยวเล่น ดังนั้นเขาจึงได้รับโอกาสดีๆเช่นนี้ “เหล่าเฉียว จ่าย”

          “ขอรับคุณชาย” บ่าวรับใช้ผู้มีใบหน้าตกกระตอบรับผู้เป็นนายในทันทีทันใด จากนั้นส่งมอบเงินก้อนตำลึงให้กับพ่อค้า
เฮอะ ช่างเป็นนายบ่าวที่ตอบรับเข้าขา ซวนหยวนหมิงไท่ก่นด่าในใจ มองหนึ่งนายหนึ่งบ่าวด้วยสายตาเย็นชา ก่อนหน้านี้จู่ๆพวกเขาก็โผล่มา ทำล้อมหน้าล้อมหลังร่างเล็กจนเป็นที่น่ารำคาญแก่สายตาจนถึงบัดนี้

          “เอาล่ะ เสี่ยวไป๋ข้างหน้ายังมีหยกประดับสวยๆ รีบไปดูกันเถอะ” เสิ่นอันหวางกล่าวพร้อมกับยื่นมือโอบไปที่เอวบางแล้วดันตัวเด็กหนุ่มไปด้านหน้าอย่างแนบเนียน

          สังเกตเห็นมือที่ฉวยโอกาสแล้วดวงตาของรัชทายาทหนุ่มก็แทบจะถลน ยังมีไป๋เซ่อที่ไม่ท่าทีแม้แต่จะขัดขืน ทั้งยังอือเออติดตามผู้อื่นไปอย่างง่ายดาย ฉับพลันนั้นคล้ายกับเห็นเงาร่างที่คล้ายคลึงกับตนเสียหลายส่วน กำลังถือดาบพาดไว้ที่คอของคนแซ่เสิ่นที่ตัวสั่นระริกอย่างเอาเรื่อง

          “คุณชายหมิง ท่านเหม่ออะไรอยู่”

          น้ำเสียงของมู่อิงเอ๋อร์ผลักดันเขาให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง “ม่ะ ไม่มีอะไร” ราวกับไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อครู่เขากำลังคิดอะไรอยู่ ซวนหยวนหมิงไท่กุมขมับ “เราไปกันเถอะ” รอจนเขาสงบใจได้ก็กล่าวกับสตรีที่ด้านข้าง จากนั้นย่ำเท้าเดินตามคนทั้งสองไปติดๆ

          มองตามแผ่นหลังองอาจแล้วจึงระบายรอยยิ้ม ดูแล้วก็ได้ผลไม่น้อย บางทีคนแซ่เสิ่นที่หน้าด้านผู้นี้ยังพอมีประโยชน์กับนางอยู่บ้าง เพียงเขาเสนอหน้าก็แยกคนทั้งสองนี้ให้ออกห่างกันได้สำเร็จ

          ตลาดกลางวันในเมืองตงหัวนับว่าไม่เคยขาดแคลนผู้คน ถนนจึงค่อนข้างจะแออัดอยู่บ้างแต่ไม่ถึงขั้นติดขัดจนน่าเบื่อหน่าย กลับให้ความรู้สึกคึกครื้นและมีชีวิตชีวา คนทั้งหลายต่างจับจ่ายใช้สอย บ้างหัวเราะ บ้างกินดื่มอย่างสบายใจ ทว่าในเวลานั้นเองกลับปรากฏขุมพลังหนึ่งวูบผ่านไปอย่างเร็วแรง กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ยังปลิวไสว พริบตานั้นไป๋เซ่อและซวนหยวนหมิงไท่ต่างมองตามลมพายุที่ก่อตัวขึ้นอย่างไร้เหตุผล ด้วยรู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่สักหน่อย

          “ลมหลงฤดูหรอกรึ” มู่อิงเอ๋อร์เอ่ยขึ้น ในตงหัวนับว่าหายากที่ลมพายุมาผิดฤดูกาลเช่นนี้
ด้านเสิ่นอันหวางเมื่อได้ทีก็มิลืมที่จะเสริมกล่าว “เสี่ยวไป๋ จากนี้ไปเจ้าต้องระวังสุขภาพ มิเช่นนั้นพี่เสิ่นคงมิวางใจหลับได้สนิท”

          ถ้อยคำหวานที่ฟังเลี่ยนหูแทบทำให้องค์รัชทายาทกุมอกอยากจะอาเจียน แต่ติดที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้จึงทำได้แต่กลืนมันลงไป “คุณชายเสิ่นมิต้องกังวลไป ที่จวนเจ้าเมืองให้การต้อนรับพวกเราอย่างเต็มที่ กระทั่งแม่นางมู่ก็ยังให้เกียรติเสียสละเวลาให้กับไป๋เซ่อ”

          “เป็นข้าเต็มใจ ท่านอย่าได้เกรงใจนัก” ได้ยินเขาพูดเช่นนี้นางก็ยิ้มกริ่ม...คนที่ข้ายอมเสียสละให้ ย่อมเป็นท่านต่างหากเล่า นางกล่าวผ่านทางสายตาที่เปล่งประกาย ทว่าเสียงๆหนึ่งก็ทำให้นางต้องถลึงตาเขียวทันที

          “อะไรกัน นี่มิใช่ชดใช้ให้ข้าหรอกรึ”

          ขณะที่ไป๋เซ่อและมู่อิงเอ๋อร์กำลังประชันหน้าหาเข่นเคี่ยวกัน ก็บังเกิดเป็นความอึกทึกวุ่นวายที่ด้านหลัง ทำให้ทั้งสองต่างละสายตาไปยังต้นเสียง แผงลอยขายผักถูกคนผู้หนึ่งวิ่งสะเปะสะปะก่อนเข้าชนทำลาย ผักสดต่างกระเด็นกระจัดกระจายไปตามท้องถนน

          แต่มาตรว่าคนผู้นี้ล้มแล้วยังคงลุกขึ้นวิ่งต่อ มิได้ใส่ใจพ่อค้าขายผักที่ตะโกนด่าทอจนหน้าเขียว ชาวบ้านเห็นเขาถือดาบไม้ตรงเข้ามาก็ตกใจ ต่างก็แหวกทางให้เขาผ่านไปได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง

          “ปีศาจร้ายเข้าเมืองแล้ว มันมาแล้ว ทุกคนโปรดระวัง” ผู้ตะโกนโวยวายเป็นบุรุษอายุราวสามสิบเศษ แต่งกายด้วยชุดนักพรตสีน้ำเงินซีดที่ดูซอมซ่อ บางจุดถูกประชุนจนเกินเยียวยา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หิ้วห่อผ้าใบเล็กที่ด้านหลัง เอวด้านหนึ่งห้อยไว้ด้วยกระดิ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นน้ำเต้าใบใหญ่ มือยังเหวี่ยงดาบไม้ไปมาไม่หยุดหย่อน

          ซวนหยวนหมิงไท่ ไป๋เซ่อ มู่อิงเอ๋อร์และเสิ่นอันหวางมองบุรุษผู้นี้จากที่ไกลๆแล้วก็ต่างลงความเห็นว่า ชายผู้นี้ดูเสียสติและเป็นที่น่าอันตรายยิ่งกว่าสิ่งที่เขากำลังเอ่ยถึงเสียอีก

          ใครจะคิดว่านักพรตเต้าเหยียนที่นั่งฝึกจิตอยู่ดีๆ กลับถูกปีศาจที่น่าตายก่อกวนจนต้องวิ่งไล่ล่ามาถึงที่นี่ และที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือกระทั่งรูปร่างหน้าตาของมัน เขาก็มิมีโอกาสได้เห็น เพียงสัมผัสได้ว่ามันเข้ามายังเมืองนี้ ว่าแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวา สีหน้าดูคร่ำเครียดจนผู้ใดก็ไม่คิดเข้าใกล้

          “เจ้าเป็นนักพรตหรือคนบ้ากันแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ครานี้สิ่งที่ทุกคนต่างเห็นพ้อง ไป๋เซ่อกลับเป็นฝ่ายออกปากแทนคนทั้งหมดแล้ว

          ประโยคดังกล่าวทำให้นักพรตเต้าเหยียนต้องหันไปมองเจ้าของเสียง เพ่งพิศดวงหน้าที่เย้ายวนเกินกว่ามนุษย์นั้นแล้ว เขาก็คำรามลั่น “เจ้าน่ะเอง เจ้าปีศาจ”

          “สามหาว เจ้ารู้ไหมข้าน่ะเป็นถึงมือข่ะ...”

          มิรอให้ไป๋เซ่อที่หน้าดำหน้าแดงลั่นวาจาจบ ซวนหยวนหมิงไท่เขาก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะกล่าวอะไร สองมือพุ่งเข้าไปอุดปากบางไว้ ส่งผลให้เจ้าตัวได้แต่กระทืบเท้าอย่างมิพอใจ

          “ตายซะเถอะ เจ้าปีศาจร้าย” นักพรตเต้าเหยียนรุดฝีเท้าเข้าหาปีศาจร้ายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้เป้าหมาย สองแขนก็ถูกรวบจับไว้จากทางด้านหลัง ส่งผลให้ต้องหันไปมองผู้กระทำทั้งซ้ายทั้งขวาอย่างงงันวูบ

          “เจ้ามีความผิดฐานก่อความไม่สงบในเมือง ไปที่ทำการกับข้าเดี๋ยวนี้” เป็นทหารหน้าเหี้ยมคนหนึ่งที่เอ่ยเสียงแข็ง

          “ดีๆ จับมันเลย บังอาจว่าร้ายว่าเสี่ยวไป๋เป็นปีศาจร้าย” เสิ่นอันหวางส่งเสียงเชียร์ให้กับกลุ่มทหารแกล้วกล้าของเมืองตงหัว

          “ไม่ๆ ข้าพูดความจริง เจ้านั่นเป็นปีศาจร้ายที่แฝงตัวในคราบมนุษย์ มันใช้ใบหน้าที่งดงามเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาหลอกล่อพวกเจ้า คิดช่วงชิงจิตวิญญาณพวกเจ้าไป หากปล่อยทิ้งไว้ ทุกคนจะพบกับหายนะ” นักพรตเต้าเหยียนกล่าวอย่างไม่ยินยอมก่อนจะถูกบรรดาทหารลากตัวไปจนเสียงดังกล่าวค่อยๆจางลง

          “เพ้ย เจ้าแก่นี่ยังกล่าววาจาเลื่อนเปื้อนอันใด เสี่ยวไป๋ออกจะงดงามเพียงนี้ ต้องเป็นเทพเซียนอย่างแน่นอน” ฮึ ฮึ หากเป็นปีศาจที่งดงามเย้ายวนขนาดนี้ ผู้แซ่เสิ่นก็ยอมพลีกายถวายจิตวิญญาณแล้ว

          มู่อิงเอ๋อร์ฟังคำคนที่ถูกลากไป มองเสิ่นอันหวางที่ดวงตาตกอยู่ในความลุ่มหลงก็บังเกิดเป็นความวิตก ที่จริงแล้วคนแซ่เสิ่นเพียงพบหน้าไป๋เซ่อไม่ถึงสามครั้งกลับหลงใหลอีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ยังมีคำที่ยังคงกล่าวไม่จบก่อนหน้านั้นอีก ดวงตากลมมองไป๋เซ่อสลับกับคุณชายหมิง คล้ายคนหนึ่งมีเรื่องซ่อนเร้น อีกผู้หนึ่งช่วยปิดบัง ทำให้นางรู้สึกสะกิดใจ ทั้งยังเป็นกังวลอยู่ในใจลึกๆ หากเป็นอย่างที่คนเสียสติผู้นั้นกล่าวเล่า...นางขมวดคิ้ว

          จะอย่างไรเรื่องนี้นางต้องสืบจนรู้ให้ได้

          จวบจนสถานการณ์กลับเป็นปกติ ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจนตลาดกลับเข้าสู่ความสงบ ที่หลังคาของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งกลับมีเด็กชายอายุราวสิบกว่าปีนั่งห้อยขาอย่างอารมณ์ดี

          “พี่ใหญ่ ท่านว่าทำไมเจ้าแก่นั่นจึงกล่าวหาว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นปีศาจกันเล่า เขาใช่พวกเดียวกับเรารึไม่”

          ฉับพลันนั้นที่ด้านหลังเด็กชายก็ปรากฏเป็นหมอกควันบางเบาที่ก่อตัวจนเกิดเป็นรูปร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีม่วงตัดดำ แผ่นหลังกว้างมั่นคงดุจภูผา สองมือกอดอกเคร่งขรึม กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่กำจายไปทั่วร่าง คิ้วคมเข้ม ดวงตาสีดำอมม่วงขับดันให้ใบหน้าคมคาย

          “หงลิ่ว จะโอ้เอ้ไปจนถึงเมื่อไหร่ หากไปไม่ทันช่วงฤดูเก็บเกี่ยว แม้หงอู่ออกปากตีเจ้า ข้าก็ไม่คิดช่วย”

          น้ำเสียงเย็นชาที่ดังขึ้น ทำให้หงลิ่วต้องรีบเอื้อมมือไปเกาะขาแกร่งก่อนจะซบลงอย่างออดอ้อน “ไปแล้วๆ ในเมื่อเจ้านักพรตหน้าเหม็นนั่นต้องเข้าไปอยู่ในลูกกรง เช่นนี้เขาก็จะทำร้ายพวกเราอีกมิได้ ข้าจะไปเล่าให้พี่หงอู่ฟัง” พูดจบเด็กชายในชุดสีม่วงก็อันตรธานหายไป

          หลงเหลือคนหนุ่มที่ยืนตระหง่านเพียงลำพัง สายตาคมกล้าทอดมองไปที่เด็กหนุ่มคนที่หงลิ่วกล่าวถึง ในพริบตาที่อีกฝ่ายหันกายมา ดวงตาเขาก็ถึงกับเบิกกว้าง ท่าทางแบบนั้น นิสัยเจ้าอารมณ์เช่นนั้น...

          หากเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจะเป็นเช่นนี้รึเปล่า

          รอยยิ้มที่แทบไม่เคยมีผุดขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่ร่างสีม่วงตัดดำจะหายลับไปจากหลังคาของโรงเตี๊ยมเช่นเดียวกับหงลิ่ว


******************************************


          ในห้องขังใต้ดินของจวนที่ทำการของเมืองตงหัวในยามค่ำคืนนั้นค่อนข้างจะเงียบจนวังเวง แสงไฟจากคบเพลิงที่จุดวางตามตำแหน่งต่างๆทำให้ห้องทะมึนและเหม็นหืนแห่งนี้บรรเทาความเหน็บหนาวลงได้บ้าง

          หญิงสาวนางหนึ่งสวมใส่เสื้อคลุมหนาตรงเข้าไปยังสถานที่ที่ใครๆก็มิคิดจะย่างกราย ด้านหลังของนางยังคงตามติดด้วยสาวใช้ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงห้องขังแห่งหนึ่ง ที่ด้านในนี้ปรากฏร่างบุรุษโสโครกที่กำลังยกน้ำเต้าขึ้นดื่มอย่างกระหาย กลิ่นฉุนที่พวยพุ่งตามตัวบ่งบอกให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นเพียงสุราชั้นเลว

          “เรื่องที่เจ้ากล่าวเมื่อกลางวันเป็นเรื่องจริงรึไม่”

          “เรื่องอันใด” นักพรตเต้าเหยียนเหล่ตามองเจ้าของเสียงที่จู่ๆก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

          “บังอาจ ท่านผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองตงหัว เจ้ายังกล้าทำเสียมารยาทอีกรึ” ฉงซิ่วส่งเสียงตวาด

          บุตรสาวของท่านเจ้าเมือง? น้ำเต้าถึงกับหลุดมือ ดวงตาสร่างเมาไปหลายส่วน เช่นนี้เขาก็มีโอกาสออกไปจากที่นี่แล้วใช่รึไม่ เขาทะลึ่งตัวขึ้นพรวด ทั้งพยายามลอดใบหน้าอันใหญ่โตระหว่างช่องว่างของลูกกรงเหล็ก

          “คำพูดของข้าเป็นจริงทุกประการ เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นปีศาจจริงแท้แน่นอน ข้านักพรตเต้าเหยียนผ่านร้อนผ่านหนาว ปราบปีศาจมาค่อนชีวิตมีหรือจะดูพลาดไป”

          “เช่นนั้นหลักฐานล่ะ” มู่อิงเอ๋อร์กล่าว นางมิใช่คนโง่ หากเป็นเช่นเขาไม่มีหลักฐานก็กล่าวอ้างผู้อื่นเช่นนี้ คุณชายหมิงจะมองนางเยี่ยงไร

          หลักฐาน หลักฐานกระนั้นหรือ ที่ผ่านมาเขาไล่ล่าปราบปีศาจ เพียงชายตามองก็ตัดสิน ยังจะมีหลักฐานอันใดอีก ดังนั้นนักพรตเต้าเหยียนจึงเอ่ย “หากแม่นางสั่งให้คนเฝ้าติดตามมันไปอย่าให้คาดสายตา ไม่ช้าก็เร็วมันต้องเผยสันดานธาตุแท้ให้เห็นแน่ๆ”

          “ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าไม่มีวิธีที่แน่นอนกว่านี้เลยรึไง” มู่อิงเอ๋อร์ขึ้นเสียง

          ครานี้นักพรตเต้าเหยียนขบคิดจนหัวสมองวุ่นวาย กระทั่งนึกออกในที่สุด “ใช่แล้ว เลือดสุนัขดำ ขอเพียงสาดโดนสักนิด ความจริงย่อมปรากฏแน่”

          “เจ้าแน่ใจ? หากผิดไปจากนี้แม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะให้ทหารบั่นคอเจ้า โทษฐานหลอกลวงชาวบ้านชาวเมือง”

          “ฮ่ะ ฮ่ะ มิกล้าๆ ข้าเป็นนักพรตย่อมมิกล้าหลอกลวงผู้คน” นักพรตเต้าเหยียนรีบประสานมือโค้งศีรษะให้ดูน่าเชื่อถือ จนกระทั่งบุตรสาวเจ้าเมืองทิ้งท้ายคำพูดประโยคหนึ่งแล้วจากไปพร้อมกับสาวใช้

          “ดี ข้าจะจำคำพูดเจ้าไว้”

          ในอีกด้านหนึ่งของเวลาเดียวกันนั้น ที่เรือนนอนของผู้ตรวจราชการหมิง ไป๋เซ่อกำลังนั่งดูถุงผ้าที่ได้มาโดยมิต้องเสียสตางค์สักแดงเดียวอย่างภาคภูมิใจ จวบจนฝีเท้าเนิบนาบแต่แฝงไว้ด้วยพลังเปิดประตูเข้ามา เสียงสุขุมที่เป็นเอกลักษณ์ก็ดังขึ้น

          “อีกสี่หรือห้าวันนี้ พวกเราจะออกจากตงหัว” ก่อนหน้านี้ฟังรายงานจากเหล่าองครักษ์และเสี่ยวลู่แล้ว ก็พบว่าไม่มีความคืบหน้ากระไร จึงเห็นสมควรที่จะออกจากที่นี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององครักษ์เงาสืบต่อ

          ทว่าคำกล่าวออกไป แต่กลับไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา ซวนหยวนหมิงไท่ที่งับประตูเรียบร้อยแล้ว ก็กวาดสายตาหาร่างปราดเปรียวที่ด้านใน แล้วจึงพบคนที่ยิ้มโง่งมลูบไล้ถุงผ้าไปมา ก็พาลทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาด

          “ไป๋เซ่อ ทำให้นักพรตผู้นั้นจึงกล่าวหาว่าเจ้าเป็นปีศาจ” เขากล่าวถามอย่างสงสัย

          ได้ยินคำว่าปีศาจ สีหน้ามีความสุขก็พลันเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง “หนอย เจ้านักพรตชั้นปลายแถว กะอีแค่แยกกลิ่นอายปีศาจกับเทพเซียนยังทำไม่ได้ ยังคิดจะปราบปีศาจอีก ไม่เจียมตัวสักนิด” ไป๋เซ่อพ่นลมทางจมูก แต่เดิมกลิ่นอายของเขานั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพียงแค่ช่วงนี้ที่ทานเนื้อสัตว์ เป็นเหตุให้กลิ่นอายขุ่นมัวลงบ้างก็เท่านั้น 

          “เช่นนั้นเจ้าควรอยู่ให้ห่างจากนักพรตผู้นี้” เขาเอ่ยเตือน จะอย่างไรคนผู้นี้ก็มองเห็นความไม่ปกติของไป๋เซ่อ ยังคงอยู่ให้ห่างจะดีกว่า

          “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร ข้าน่ะเป็นถึง...”

          “งูเผือกเต้นระบำ” เขาแทรกตัดบทพร้อมทั้งทำทีแคะขี้หูต่อหน้าต่อตาอีกฝ่าย ยังมิวายหมุนกายเดินตรงไปทิ้งตัวนอนบนเตียงอย่างเสร็จสรรพ ทิ้งให้ไป๋เซ่อดิ้นเร่าโวยวายพ่นน้ำลายอยู่คนเดียวถึงเกือบค่อนคืน



******************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 6.2 นักพรต 31/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 31-01-2016 13:56:43
บทที่ 6.2 นักพรตเสียสติ



          วันต่อมา ซวนหยวนหมิงไท่กับเหล่าองครักษ์ก็ออกตระเวนไปดูความเป็นไปของชาวบ้านตามสถานที่ต่างๆกับมู่อิงเจี๋ยผู้เป็นเจ้าเมือง ทิ้งให้เสี่ยวลู่ดูแลไป๋เซ่อ ด้วยมิกล้าปล่อยให้เจ้าตัวติดตามมา ทั้งยิ่งมิกล้าปล่อยให้อยู่ที่จวนเพียงลำพัง ดังนั้นไป๋เซ่อได้แต่นั่งมองนกกระจิบตัวจ้อยที่บินผ่านไปผ่านมาในศาลาของเรือนอย่างเบื่อหน่าย ครั้นเหลือบมองผ่านทางหางตาก็พบคนที่จับตามองเขามานานถึงครึ่งชั่วยาม โดยไม่มีวี่แววจะกระดุกกระดิกสักนิด

          เพราะเสี่ยวลู่ได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาท ให้เฝ้าติดตามเด็กหนุ่มมิให้คลาดสายตาเป็นอันขาด จึงปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ถึงขนาดทนฝืนพยายามที่จะไม่กะพริบตา ยังผลให้ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

          นั่งอยู่นานแล้วร่างเล็กในชุดสีเขียวอ่อนก็เริ่มหยัดกายบิดขี้เกียจ พริบตานั้นเสี่ยวลู่ที่นั่งพิงรั้วศาลาก็สะดุ้งตัวพรวดขึ้น ไป๋เซ่อที่สองมือเหยียดชี้ฟ้าต้องมีอันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆลดมือลงอย่างช้าๆ จากนั้นค่อยๆหย่อนก้นลงที่เดิม ฝ่ายขันทีน้อยเองก็นั่งลงบ้าง ทว่าฉับพลันนั้นไป๋เซ่อกลับลุกพรวดขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ก้นของเสี่ยวลู่ที่กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนเช่นกัน

          “คิดจับตามองข้าไปถึงเมื่อไหร่ ข้ารู้นะนายเจ้ามีเจตนาไม่ดี พาข้าไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปคุยให้รู้เรื่อง” ไป๋เซ่อสุดจะทนจึงโพล่งหาเรื่อง ตนมิใช่นักโทษถึงคิดจะกักบริเวณเช่นนี้

          “ไม่ได้ๆ เจ้าอย่าทำแบบนี้ ข้ารับผิดชอบไม่ไหว” เสี่ยวลู่กล่าวอย่างอับจนปัญญา ทั้งแสร้งทำน้ำตาหลั่งไหลดูน่าเห็นอกเห็นใจ ใช้ออกด้วยไม้ที่คนในวังหลวงเชี่ยวชาญเป็นที่สุด

          ที่ไม่ไกลออกไป ณ พุ่มไม้แห่งหนึ่งกลับมีคนสองคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ถึงกับต้องผงะกายตกใจ หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น

          “ฉงซิ่ว เจ้าแน่ใจนะว่าเขาไม่รู้เรื่องที่คุณหนูสั่งให้พวกเราทำ”

          ไม่ เรื่องนี้เป็นความลับ เขา...ไม่มีทางรู้หรอก” ฉงซิ่วตอบกลับอย่างไม่แน่ใจนัก

          “แต่หากท่านผู้ตรวจราชการคิดเอาเรื่อง”

          “ชุนอวี้ เจ้าอย่ากลัวไป คุณหนูมิใช่บอกหรือ ว่าเรื่องราวหลังจากนี้นางรับผิดชอบเอง อีกอย่างหากเจ้าทำสำเร็จ คุณหนูยังจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” ฉงซิ่วย้ำเตือน ทำให้ชุนอวี้ที่มีสีหน้าไม่สบายใจยอมตอบตกลงในที่สุด

          “ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” นางเป็นเพียงสาวใช้ในจวนเจ้าเมือง เพียงทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูห้องหับ แม้เคยรับใช้เจ้านายก็ไม่เป็นที่ถูกใจ เงินเดือนที่ได้จึงไม่มากนัก บวกกับญาติพี่น้องที่นางต้องดูแลมีถึงสาม ทำให้นางยอมรับปากกระทำเรื่องที่อาจล่วงเกินคนมีตำแหน่ง จนอาจถึงขั้นถูกโบยตี

          ชุนอวี้ทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้ศาลาที่คนผู้หนึ่งพยายามตะเกียกตะกายออกมาด้านนอก กับอีกผู้หนึ่งที่รั้งเอวอีกฝ่ายร่ำไห้สุดเสียง สองมือหยาบกร้านที่ถือชามใบใหญ่แม้จะสั่นระริก แต่ก็มิได้ทำให้ของเหลวในชามตกหล่นแม้แต่หยดเดียว

          “ว้าย” กระทั่งเข้าใกล้เป้าหมายนางก็แสร้งทำเป็นสะดุดล้ม มือไม้อ่อนมิอาจพยุงสิ่งของมือได้อีกต่อไป

          ประจวบเหมาะกับที่สัญชาตญาณสูงเพียงได้กลิ่นคาวเข้มข้นที่ลอยมา ไป๋เซ่อก็ดิ้นตัวหลุดออกจากพันธนาการ กระโดดหลบเลือดสุนัขที่กำลังสาดกระเซ็นปะทะเข้าตามตัวไปได้อย่างทันท่วงที กลับเป็นเสี่ยวลู่ที่รับเคราะห์รับเอาโลหิตสีแดงคล้ำไปเต็มเปี่ยม

          “น่ะ นี่มันอะไรกัน” เสี่ยวลู่ดมกลิ่นตัวเองแล้วก็แทบสำลัก กระบวนท่าแสร้งทำน่าสงสารถึงกับใช้ไม่ออกอีกต่อไป

          “บ่าวสมควรตาย เป็นบ่าวไม่ทันระวังทำให้ท่านต้องแปดเปื้อน” ชุนอวี้รีบคุกเข่ารับความผิด ในใจเริ่มประหวั่นเนื่องเพราะตนทำงานผิดพลาด 

          “เอาเป็นว่าข้าไปก่อนล่ะ วะฮ่าฮ่า” ได้โอกาสสลัดหลุด ไป๋เซ่อก็ไม่รอช้ารีบเผ่นไปไกลโดยไม่รอให้อีกฝ่ายร้องทัก เสี่ยวลู่เห็นดังนั้นก็มิอาจใส่ใจตัวเองที่เหม็นตลบ มองหน้าชุนอวี้อย่างเอาเรื่องคราหนึ่งก็ร้องลั่นแล้ววิ่งไล่ร่างสีเขียวไปอย่างรีบร้อน

          ทางฝั่งฉงซิ่วเมื่อเห็นว่าเป้าหมายหลุดรอดไปได้อย่างหมดจด ก็ต้องรีบหันกายกลับไปรายงานคนที่รอฟังข่าวอยู่ไม่ไกลจากเรือนรับรอง ต่อเมื่อนางบอกเล่าเรื่องราวแก่ผู้เป็นนายจนจบ ถ้วยชาก็ถูกปัดลงจากโต๊ะ จนน้ำร้อนในถ้วยสาดเข้าที่ใบหน้าของนางเข้าอย่างจัง

          “พลาด แค่นี้ยังทำพลาด มิได้เรื่องกันทั้งนั้น”

          ฉงซิ่วที่ถูกบันดาลโทสะก็ไม่กล้าแม้แต่จะยกแขนเช็ดหน้า นางได้แต่กล่าวแก้ตัว “บ่าวไม่คิดว่าชุนอวี้จะไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้ ถ้าอย่างไรบ่าวจะหาคนที่เหมาะสมมาทำหน้าที่นี้ใหม่”

          “ยังจะหาคนอันใดอีก เรื่องเช่นนี้กระทำอีก มิใช่ส่อพิรุธบอกให้อีกฝ่ายรู้ตัวอีกรึ” มู่อิงเอ๋อร์ตวาดจนฉงซิ่วต้องก้มหน้างุดๆ “สั่งคนสะกดรอยเขาทุกฝีก้าว”

          “เจ้าค่ะ คุณหนู”

          ฉงซิ่วรับคำแล้วจึงรีบออกไป หลงเหลือมู่อิงเอ๋อร์ที่ครุ่นคิดพลางกัดนิ้วตนเองอย่างหงุดหงิด จากคำพูดของนักพรตเต้าเหยียน นางคงเหลือวิธีพิสูจน์เพียงทางเดียวแล้ว



******************************************


          กระทั่งพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม ซวนหยวนหมิงไท่กลับมาถึงเรือนนอนก็พบไป๋เซ่อที่นอนกรนอยู่บนเตียงแล้ว ต่างกับเสี่ยวลู่ที่ดูอิดโรยไปถนัดตา เขาจึงยิ้มทักขึ้น “วันนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง”

          เพียงแค่คำถามไถ่ เสี่ยวลู่ก็แทบอยากร่ำไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ “ยังทนไหวพะย่ะค่ะ ต่อให้ต้องวิ่งไล่เขาไปทั่วจวนติดกันอีกสักสามสี่วัน กระหม่อมก็ยังทนไหวพะย่ะค่ะ”

          มาตรว่าขันทีน้อยจะกล่าวอย่างมั่นใจ หากแต่กายกลับซวนเซจวนจะล้มลงอยู่รอมร่อ รัชทายาทหนุ่มเห็นแล้วก็อดนึกสงสารมิได้ ได้แต่ส่งมือประคองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยปากขอบใจ แต่แล้วกลิ่นคาวที่โชยออกมาจากเจ้าตัว แม้จะเพียงน้อยนิดก็ทำให้เขาขมวดคิ้ว

          “ทำไมตัวเจ้าจึงมีกลิ่นโลหิต”

          “อ่า” เสี่ยวลู่รีบดมกลิ่นตัวเองเป็นการใหญ่ ขนาดเขาอาบน้ำไปตั้งสามรอบแล้วก็ยังมีกลิ่นติดอยู่อีก “เป็นเพราะวันนี้สาวใช้ของเรือนรับรองได้รับคำสั่งให้นำเลือดสุนัขดำไปสาดไว้ที่ท้ายประตูของเรือน เพื่อเป็นการขจัดสิ่งอัปมงคล แต่นางไม่ระวังจึงสาดใส่กระหม่อมเข้า”

          “มีเรื่องเช่นนี้”

          “ยังดีที่เสี่ยวไป๋หลบทัน มิเช่นนั้นคืนนี้พระองค์คงต้องนอนทนดมกลิ่นคาวบนตัวเขาแย่ เฮือก” แทบกลืนน้ำลายไม่ทัน เขาถึงขนาดหลุดปากพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมา ครั้นเห็นสีหน้าทะมึนขององค์รัชทายาท เขาก็รีบเอ่ย “หมดเรื่องแล้ว กระหม่อมมิกล้ารบกวน กระหม่อมทูลลาพะย่ะค่ะ”

          รอจนขันทีคนสนิทจากไป ซวนหยวนหมิงไท่ก็ก้าวเข้าไปนั่งที่ข้างเตียง มองคนที่หลับใหลไม่ได้สติ จู่ๆก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่ลึกๆ

          หากสาวใช้คนนั้นมิใช่ไม่ระวัง แต่เป็นความตั้งใจ หากเป้าหมายที่แท้จริงเป็นร่างเล็กที่ไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ป้องกันตัวที่กำลังนอนอยู่ตรงนี้กันเล่า

          เป็นเพราะเรื่องนี้เฉพาะเจาะจงตอนที่เขาไม่อยู่ ทั้งยังเป็นเลือดสุนัขดำ ทำให้เขานึกโยงถึงนักพรตที่ตนได้พบเมื่อวันก่อน ดูแล้วเรื่องนี้ต้องเกิดปัญหาแน่ ซวนหยวนหมิงไท่คิด

          จนกระทั่งผ่านไปสองวัน สิ่งที่รัชทายาทหนุ่มคิดก็เริ่มเป็นจริง เนื่องเพราะมู่อิงเอ๋อร์ที่ยังคงมิได้รับทราบข่าวคราวความคืบหน้าใดๆ ก็เริ่มที่จะทนไม่ไหว คนที่ถูกส่งไปสะกดรอยต่างรายงานความเป็นไปของไป๋เซ่อด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา

          “ยัง ยังไม่มีท่าทีผิดปกติอีกรึ” นางแผดเสียงดังจนบ่าวรับใช้สามคนตัวสั่นงันงก

          เงยหน้ามองเจ้าของดวงตากลมโตอย่างกล้าๆกลัวๆแล้ว บ่าวคนหนึ่งก็ละล่ำละลักเอ่ยขึ้น “ความจริงแล้วมีอยู่คืนหนึ่ง ข้าน้อยเห็นเขาทำตัวลับๆล่อๆเข้าไปในโรงครัวยามดึกดื่น แต่ว่าเขาเข้าไปนานมาก ข้าน้อยมองดูอยู่ด้านนอก รอคอยอยู่นานก็มิได้ออกมา ส่วนข้าน้อยเป็นเพราะ...เอ่อ เป็นเพราะ”

          “เป็นเพราะกระไรก็ว่ามาสิ” มู่อิงเอ๋อร์รับฟังอย่างตั้งใจ ทว่าเมื่อถูกขัดจังหวะก็ให้รู้สึกขัดใจจึงกล่าวขึ้นเสียง ส่งผลให้บ่าวผู้นี้ยิ่งตกใจจนต้องรีบก้มศีรษะติดกับพื้นด้วยความกลัว

          “เป็นเพราะข้าน้อยเหนื่อยจนเผลอหลับไป ทำให้มิอาจเห็นได้ว่าเขาออกจากโรงครัวไปตอนไหน”

          ฟังแล้วนางก็สูดหายใจลึก ดวงตากลมแทบจะถลน นางแทบอยากกินเลือดกินเนื้อคนผู้นี้นัก “จำได้รึไม่ ว่าเป็นช่วงใด”

          “ยามจื่อ* ขอรับ”

          “ออกไปได้แล้ว” นางออกคำสั่ง ในใจก็ตัดสินแล้วว่ายามจื่อของคืนนี้ นางจะลองออกไปดูสักครั้ง ไม่แน่ว่าสวรรค์จะเข้าข้างนางให้คำตอบนางภายในวันนี้ก็เป็นได้



_______________________________

ยามจื่อ คือ ช่วงเวลา 23:00 – 01:00 น.
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 6 นักพรตเสียสติ 31/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 31-01-2016 19:11:21
รำแม่ชะนีน้อยเสียจริง หึ
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 6 นักพรตเสียสติ 31/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 31-01-2016 19:34:43
อือหือนี่เจ๊จะพิสูจน์ให้ได้ใช่ปะ
ละคือแบบผชเขาก็ไม่เอาไหม?  จะไปยุ่งอะไรกับเขาเยอะแยะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 7.1 สังหรณ์ร้าย 7/2/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 07-02-2016 22:37:28
บทที่ 7.1 สังหรณ์ร้าย

 

          ท่ามกลางความมืดสลัว ทุกอย่างรอบตัวเงียบกริบ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกลับเบิกโพลงขึ้นสะท้อนแสงวิบวับ ร่างเล็กในชุดนอนสีขาวค่อยๆเบือนหน้าสังเกตคนที่อยู่ข้างกาย จากนั้นเริ่มขยับเคลื่อนตัวให้เบาเฉกเช่นเดียวกับขนนก ระหว่างนั้นก็มองเสี้ยวหน้าที่สงบนิ่งคล้ายรูปปั้น สองแขนกอดอกดูเคร่งขรึมแม้ในยามนอน ไป๋เซ่อก็แค่นเสียงประชดในใจ

          ...เฮอะ เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ผู้นี้ ขนาดจะนอนยังจะต้องวางก้ามเขื่องโขหาอันใดอีก

          คิดไปพลางขาข้างหนึ่งก็ก้าวข้ามร่างสง่างามไปอย่างระวัง จวบจนสองขาสัมผัสพื้น ไป๋เซ่อก็รีบรุดไปยังมุมหนึ่งของห้อง แขนเรียวล้วงเข้าไปในแจกันประดับใบใหญ่ ดึงเอาห่อผ้าที่เก็บซ่อนไว้มิดชิดออกมา

          ข้างในนั้นเป็นเพียงเสื้อสีดำตามแบบฉบับนิยมของผู้ร้าย ไม่ว่าจะปล้น ฆ่า ลอบทำร้าย หรือกระทำเรื่องมิดีมิร้ายต่างๆนานา ล้วนแล้วแต่ใส่ได้ในทุกกรณี ร่างเล็กสวมมันทับกับเสื้อนอน ต่อจากนั้นจึงย่องฝีเท้าไปที่ทางออก ครั้นก่อนจะงับประตูปิดสนิทก็ลอบมองชายหนุ่มที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวซ้ำอีกที

          “ฮี่ ฮี่ ฮี่” บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะได้ใจดังออกมาจากริมฝีปาก ทั้งยังเล็ดลอดผ่านช่องว่างประตูที่กำลังถูกปิดสนิทลง ต่อเมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ไป๋เซ่อก็หันกายวิ่งตรงไปอย่างมิเหลียวหลัง

          ผ่านไปไม่นานนัก ร่างสีดำก็มาถึงที่หมาย เหลียวซ้ายมองขวาไม่พบผู้ใดเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ ก็พุ่งพรวดเข้าไปในโรงครัวแล้วทำการปิดประตูลงในทันที

          เพียงแค่ได้กลิ่นหอมอบอวลของขนม ใจของไป๋เซ่อก็แทบจะล่องลอยไปไกล โชคดีที่วันนี้ตนแอบตะล่อมถามป้าแม่ครัวจึงได้ความว่า เช้าตรู่ของพรุ่งนี้เจ้าบ้านตระกูลมู่จะนำของเหล่านี้ติดตัวไปยังวัดบนเชิงเขา ดังนั้นหากตนจะขอลิ้มรสสักหน่อย ก็คงจะไม่ว่ากล่าวกันกระมัง? ฮึ ฮึ

          ว่าแล้วก็โยนขนมเปี๊ยะเข้าปาก อีกมือคว้าจับขนมแป้งทอดไว้ รอจนเคี้ยวหงุบหงับหนังท้องเริ่มตึง ไป๋เซ่อก็เริ่มทำลายหลักฐาน จัดแจงขนมกองโตในจานให้เข้าที่สวยงามอีกครั้ง ก่อนที่จะเตรียมตัวเผ่นอย่างทุกที แต่ในขณะที่หมุนตัวกลับไปยังทางเข้า ก็พลันชะงักตัวเผยสีหน้าใสซื่อ “อ้ะ จริงสิเกือบลืมไป” ฉับพลันนั้นร่างบางในชุดรัดกุมสีดำก็ค่อยๆหดเล็กลงจนกลับกลายเป็นงูเผือกสีขาวตัวหนึ่ง

          “ฝ่อ ฝ่อ ฝ่อ ฝ่อ” เรานี่ช่างหลักแหลม เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่ามีคนเข้ามาฉกขนมบางส่วนไป ไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่งกล่าวยกยอปอปั้น ลำตัวประเดี๋ยวหนึ่งเลื้อยซ้ายประเดี๋ยวหนึ่งเลื้อยขวาไปมาอย่างอารมณ์ดี จากนั้นใช้ศีรษะน้อยๆดุนดันเปิดประตูจนออกไปได้สำเร็จ

          เพลาเดียวกันนั้นที่ด้านนอกของโรงครัวกลับมีคนสองคนที่นั่งหน้าซีดเหงื่อตกติดกับหน้าต่างที่บุด้วยกระดาษสาซึ่งถูกเจาะเป็นวงกลมเล็กๆขนาดเท่าดวงตามองเห็น หนึ่งในนั้นเป็นมู่อิงเอ๋อร์ นางเฝ้ารอการมาของเงาร่างหนึ่งอยู่พักใหญ่ กระทั่งเจ้าของดวงตาเย้ายวนปรากฏตัวขึ้น นางก็ลอบสังเกตความเป็นไป จวบจนได้เห็นบางสิ่งที่ไม่ควรเข้า

          เพียงชั่วลัดนิ้วที่คนกลับกลายเป็นงู ฉงซิ่วที่ติดตามนางมาด้วยก็สติแตกตื่น ดีที่นางฉวยเอามืออุดริมฝีปากก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งเสียงกรีดร้องได้ทันท่วงที คล้อยหลังงูตัวน้อยเลื้อยหายเข้าไปในพงหญ้า มือเรียวจึงค่อยๆลดลง ทันใดนั้นฉงซิ่วร้องลั่น

          “คุณหนู ปีศาจๆ ปีศาจงู”

          “ข้าเห็นแล้ว เจ้าจะแหกปากไปจนถึงเมื่อไหร่” มู่อิงเอ๋อร์ตวาด ยังผลให้ฉงซิ่วที่ตัวสั่นระริกต้องรีบยกสองมือปิดปากตัวเอง ครั้นสาวใช้เงียบเสียงนางก็ผละตัวรีบร้อนเข้าไปในโรงครัว กวาดตาไปรอบๆกระทั่งหยุดสายตาลงบนรอยลากยาวบนพื้น ซึ่งหาได้มีแม้แต่ฝีเท้าคนไม่

          ไม่ผิดแน่...สักครู่นี้นางมิได้มองผิดไปจริงๆ จังหวะนั้นภาพในความทรงจำต่างหวนคืนสู่นัยน์ตาเป็นฉากๆ บางสิ่งที่ติดใจนางมาตลอดพลันบรรลุวาบในชั่วพริบตา

          งูเผือกที่นางเห็น นับเป็นตัวเดียวกันกับงูเผือกที่คุณชายหมิงซื้อคืนไปจากนาง ทั้งยังเป็นตัวเดียวกับที่ชายหนุ่มขว้างมันลงน้ำ ซึ่งนับแต่นั้นมานางก็มิเคยได้พบเจอมันอีกเลย เพียงเจอเด็กหนุ่มที่โผล่ออกมาอย่างน่าแปลกประหลาดแทน คิดถึงตรงนี้ดวงตานางก็พลันเลิกกว้าง

          หรือแท้จริงแล้ว ตลอดมาที่คุณชายหมิงให้ท้ายบ่าวผู้นั้น มิสนใจไยดีนาง จะเป็นเพราะต้องมนต์สะกดของปีศาจงู

          “ฉงซิ่ว พาข้าไป” มู่อิงเอ๋อร์เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย ดวงตาจับจ้องมองไปที่ไกลแสนไกล

          “ป่ะ ไปไหนเจ้าค่ะ คุณหนู” ฉงซิ่วกล่าวอย่างหวาดๆ ทั้งพยายามขยับตัวเข้าประชิดตัวผู้เป็นนายให้ได้มากที่สุด

          “ไปหานักพรตผู้นั้น...เร็ว”


 

*******************************************************

 

          “กลับมาแล้ว?”

          จู่ๆน้ำเสียงเค้นถามก็ดังขึ้น ไป๋เซ่อในอาภรณ์สีขาวที่กำลังก้าวคร่อมผ่านร่างข้างใต้เพื่อไปยังอีกด้านหนึ่งของเตียงถึงกับนิ่งค้าง กรอกตาลงมองแล้วเห็นซวนหยวนหมิงไท่ยังคงหลับตาอยู่ ก็รีบหลับตาปี๋แสร้งทำเป็นละเมอ

          “งืม งืม แจ๊บๆ” ใช้จังหวะนี้ก้าวข้ามคนด้านล่างไปอย่างแนบเนียน แต่ใครจะคิดว่าสองมือที่ค้ำยันกายไว้กลับลื่นพรืดไม่เป็นท่า ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเบิกกว้างสุดขีด มิอาจทรงตัวได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดก็ล้มทับชายหนุ่มอย่างไม่มีทางเลือก “แว๊กก...แอ่กก”

          แก้มนุ่มที่ไซร้ผ่านริมฝีปากกะทันหัน ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ชะงักงันไปชั่วขณะ อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันทำเอาในอกรู้สึกเต้นถี่อย่างไรบอกไม่ถูก เขาเผยยิ้มอย่างไม่รู้ตัวท่ามกลางความมืด

          “.......”

          ร่างเล็กล้มลงแล้วแน่นิ่งไปพักใหญ่ ดังนั้นซวนหยวนหมิงไท่จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา “อืม ตัวเจ้าเย็นจัง”

          เป็นเพราะเสียหน้าจึงไม่กล้าลุก แต่ครั้นได้ยินคำพูดที่แฝงแววห่วงใยก็พลอยทำให้ใบหน้าร้อนผ่าว เดิมทีร่างกายเขาก็เย็นเฉียบแต่ไหนแต่ไร การที่ชายหนุ่มกล่าววาจาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วไหนจะยังมีผิวกายแนบชิดอบอุ่นซึ่งกั้นไว้เพียงชุดนอนชั้นบางๆ แทบทำให้อกเขาจวนเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว ในที่สุดไป๋เซ่อก็โพล่งออกมาด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ “จะ...เจ้าจะฉวยโอกาสข้าเหรอ”

          ฉวยโอกาส เขาน่ะหรือ...เขาเลิกตาโต ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม “เอ เป็นเจ้าที่ฉวยโอกาสมากกว่ากระมัง ดึกดื่นเพียงนี้ยังซุกซนปีนป่ายบนตัวข้า ต้องการสิ่งใดกันแน่”

          “ข้าต้องการสิ่งใด? เพ้ย นี่เป็นเพราะข้า...ข้าละเมอต่างหาก เจ้าลูกเต่า” ไป๋เซ่อกล่าวตะกุกตะกัก ก่อนจะม้วนตัวลงจากตัวชายหนุ่ม แล้วหันหลังอันแข็งทื่อให้กับเจ้าตัว

          เพียงหยอกล้อเล่นเพียงนิดเดียวก็งอนตุบป่องเสียแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่จ้องร่างที่ไม่กระดุกกระดิกแล้วจึงถาม “สักครู่นี้เจ้าไปไหนมา”

          “กระทั่งไปเวจก็ยังต้องบอกเจ้า หรือยังจะให้เสี่ยวลู่ติดตามข้าอีก”

          “ช่างเถอะ ขอเพียงอย่าออกไปเถลไถลก็พอ” ความจริงช่วงนี้เขามักกังวลไม่เข้าเรื่อง สังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นจึงอดเป็นห่วงร่างเล็กมิได้

          คิดไปพลางเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะเล็ก ไป๋เซ่อที่นอนหันกายอยู่สะดุ้งตัวเล็กน้อยแต่ก็มิได้ปฏิเสธโวยวายอย่างที่มักจะเป็น เพียงนอนนิ่งยอมให้เขาลูบศีรษะอย่างว่าง่าย และเป็นเช่นนี้จนกระทั่งพวกเขาทั้งคู่ผล็อยหลับไป

          ต่อเมื่อตะวันยามสายสาดแสงท่ามกลางลมหนาวก่อตัว มวลหมอกจับตัวเป็นชั้นบางๆ ร่างเล็กที่งัวเงียก็ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ ครั้นบิดตัวไปมาทีสองที ภาพที่ชายหนุ่มลูบศีรษะ จนกระทั่งตนคล้อยหลับไปโดยมิรู้ตัวก็ประเดประดังเข้ามาในสมอง ไป๋เซ่อถึงกับสยิวกายเอามือขยี้หัว

          ไม่จริง...ข้าไม่ได้ชอบให้เขาทำแบบนั้น ข้าไม่ได้เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้นสักนิด ไป๋เซ่อส่ายหน้าสะบัดความคิดวุ่นวาย โชคยังดีที่ซวนหยวนหมิงไท่ออกไปแต่เช้าตรู่ จึงมิต้องรู้สึกเข้าหน้าไม่ติด

          เขาลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีเขียว จากนั้นยื่นหน้ามองไปในแจกันใบใหญ่ ดูว่าห่อผ้ายังอยู่ดีก็แสดงว่าอีกฝ่ายยังคงจับมิได้ เขายกยิ้มแฉ่ง อย่างน้อยก็มีบางเรื่องที่พ้นหูพ้นตา รัชทายาทตาไวผู้นี้ไปได้ ฮึ ฮึ

          ผลักประตูเปิดผางแล้ววิ่งไปตามระเบียงอย่างร่าเริง ตั้งใจจะไปกวนเสี่ยวลู่ให้ออกไปเล่นเป็นเพื่อน แต่วิ่งไปสักพักกลับรู้สึกว่าบรรยากาศภายในเรือนออกจะเงียบจนผิดสังเกต เขาเริ่มลดความเร็วฝีเท้าลงอย่างสงสัย แต่แล้วคนผู้หนึ่งก็กระโดดพรวดเข้าขวางเขาหน้าไว้อย่างฉับพลัน

          “ปีศาจงูจงตายเสียเถอะ” นักพรตเต้าเหยียนตะโกนขึ้นสุดเสียง แล้วขว้างผงกำมะถันในมือใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างจัง

          เป็นเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นฉับไว ไป๋เซ่อจึงได้แต่รับเอาฝุ่นผงสีเหลืองที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัว “แค่ก แค่กๆ” กลิ่นฉุนของกำมะถันทำให้เขาสำลักไอไม่หยุด ดวงตาและโพรงจมูกแสบร้อนจนน้ำมูกน้ำตาหลั่งไหล เขาพยายามหรี่ตาอันพร่ามัวขึ้นมองภาพตรงหน้า ก่อนจะได้เห็นมู่อิงเอ๋อร์และสาวใช้ยืนยิ้มเยาะอยู่ทางด้านหลังของคนที่ลอบทำร้าย

          “พวกเจ้า พวกเจ้าจะทำอะไร” ไป๋เซ่อทิ้งตัวพิงกำแพงแล้วเค้นเสียงถามอย่างทรมาน

          “กำจัดเจ้าน่ะสิ” มู่อิงเอ๋อร์ตอบกลับเสียงเย็น

          ด้านนักพรตเต้าเหยียนก็ไม่รีรอ ก้าวเข้าไปใช้ดาบไม้ในมือฟาดลงไปที่ตัวเด็กหนุ่ม “เผยร่างจริงเดี๋ยวนี้ เจ้าปีศาจชั่วร้าย”

          “โอ๊ยๆ นักพรตเฮงซวย กล้าตีข้าเรอะ ถึงทีข้า ข้าจะเอาคืนเจ้าร้อยเท่าเลยทีเดียว โฮ” ร่างเล็กเปล่งเสียงร่ำไห้โหยหวน ได้แต่ใช้สองแขนกันดาบไม้ที่กระหน่ำฟาดลงมาไม่หยุดหย่อน

          เจ็บ...เจ็บแทบตายแล้ว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าตีเขาแบบนี้มาก่อนเลย ไป๋เซ่อน้ำตาซึม กระทั่งทนทานไม่ไหวก็ตะโกนขึ้นฟ้า

          “โฮ เจ้าซวนหยวนหมิงไท่”


 

*******************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 7.2 สังหรณ์ร้าย 7/2/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 07-02-2016 22:39:24
บทที่ 7.2 สังหรณ์ร้าย

 

          เสียงเพรียกที่แว่วลอยตามสายลมทำให้รัชทายาทหนุ่มที่พึ่งกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ หลังจากไปสำรวจความเป็นอยู่ของประชาราษฎร์ต้องผงะหยุด เผลอยกมือหนึ่งกุมอกด้วยรู้สึกถึงความวูบโหวงที่แล่นเข้าสู่กลางใจ เขาขมวดคิ้วเป็นปม ดูว่าสักครู่คล้ายได้ยินเสียงเรียก

          ...เสียงเรียกของไป๋เซ่อ

          องค์รักษ์จิ้งเห็นรัชทายาทหนุ่มหยุดฝีเท้ากะทันหัน มิหนำซ้ำสีหน้ามิสู้ดีนักก็กระซิบถาม “องค์รัชทายาท ทรงเป็นอะไร...”

          “......” ร่างสง่างามไม่เพียงไม่ตอบ แต่กลับรุดไปข้างหน้าไกลแบบไม่เห็นฝุ่น ซวนหยวนหมิงไท่ขับเคลื่อนพลังภายในไปยังฝีเท้า ทะยานถีบตัวข้ามกำแพงสีขาวของจวนตระกูลมู่อย่างไม่ลังเล

          กระทั่งเข้าสู่เขตเรือนรับรอง ก็พบสตรีสองนางที่แสดงสีหน้าเย็นชามองคนที่ถูกบุรุษในชุดนักพรตใช้ดาบไม้ทุบตีอยู่ เพียงแวบเดียวที่เห็นร่างสีเขียวนอนคู้กายอย่างน่าสงสาร ดวงตาสีดำก็พลันลุกโชนไปด้วยความโกรธ ราวกับบางสิ่งบางอย่างในใจถูกบดขยี้ เขากู่ร้องดังไปทั่วบริเวณ
         
          “ไป๋เซ่อ” มือคว้าหักกิ่งหลิวที่อยู่ใกล้ๆ โผทะยานมุ่งตรงไปหากลุ่มคนทางด้านหน้าสุดฝีเท้า

          นักพรตเต้าเหยียนกำลังจะเงื้อดาบลงก็มีอันต้องตื่นตระหนก กิ่งหลิวกิ่งหนึ่งกลับแทรกเข้ามากระแทกมือเขา จนดาบไม้พุ่งกระเด็นออกไปปักทะลุกำแพงอีกฟากฝั่ง มองดูเศษอิฐร้าวที่ทยอยร่วงหล่นลงกับพื้น เขาก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ จากนั้นจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่ขจายอย่างไม่คิดจะปิดบัง ส่งผลให้เขาต้องรีบถอยร่นไปไกลจากผู้มาใหม่

          “ไป๋เซ่อ เจ้าเป็นอะไรไหม” รัชทายาทหนุ่มรีบประคองร่างที่คู้กายกอดตัวเองเข้าสู่อ้อมอกอย่างทะนุถนอม สีหน้าแฝงไว้ด้วยความรวดร้าวประการหนึ่ง

          แค่ได้ยินเสียงอบอุ่นที่คุ้นเคย ไป๋เซ่อก็สะอื้นไห้กอดชายหนุ่มแน่น “โฮ ข้าเจ็บ...เจ็บจังเลย”

          ทอดมองรอยฟกช้ำตามท่อนแขนเรียว อารมณ์ของเขาก็ยิ่งโหมไปด้วยโทสะ คิดหาคนระบายความข้องใจ พอดีกับที่องครักษ์จิ้งตามมาสมทบ จึงฝากร่างบางไว้กับอีกฝ่าย จากนั้นหันกายไปหาบุคคลทั้งสาม

          “เอ่อ คุณชายหมิง ท่านอย่าได้หลงกลเขา เขาเป็นปีศาจงู เขาจะทำร้ายท่าน” มู่อิงเอ๋อร์กล่าวแก้ตัว ครั้นเห็นชายหนุ่มก้มหน้าจนมิอาจเห็นสีหน้าใดๆได้ ก็ให้รู้สึกอึดอัดเสียจนแทบอยากหยุดหายใจไปเสียดื้อๆ

          “แต่ที่ข้าเห็น มีแต่พวกเจ้าที่ทำร้ายเขา” สิ้นเสียงดังกล่าว กิ่งหลิวในมือก็สะบัดออกอย่างรวดเร็ว

          นักพรตเต้าเหยียนยังไม่ทันตั้งสติบุรุษหนุ่มก็บรรลุถึงตัวแล้ว เขารีบเบี่ยงกายหลบ แต่มาตรว่าอีกฝ่ายมาทางซ้าย เขาหลบไปทางขวา กระนั้นกิ่งหลิวก็ยังคงไล่ล่าเขาไม่หยุด ทั้งสะบัดฟาดตีใส่จนปรากฏเป็นรอยเลือดซิบ “อ๊าก พอแล้วๆ”

          เสียงร้องโอดโอยราวกับหมูถูกเชือดดังขึ้น ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับไม่แยแส กลับตวาดก้องด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ข้าตีเขาได้ แต่พวกเจ้าตีไม่ได้” ไม่คิดออมใดๆทั้งสิ้น เขาใช้ออกด้วยท่าร่างอ่อนช้อย หากแต่ซ่อนเร้นพลังดุดันที่รวดเร็วเฉกเช่นอสรพิษ เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็โจมตีใส่นักพรตเต้าเหยียนจนเลือดท่วมเจ็บแสบไปทั่วทั้งกาย ท้ายที่สุดต้องทรุดลงไปกับพื้นด้วยหมดเรี่ยวแรงจะต่อกร

          สตรีทั้งสองต่างตะลึงลานชมดูสภาพน่าเวทนาของนักพรตผู้นี้ ผิดกับไป๋เซ่อที่รับฟังคำกล่าวของชายหนุ่มจนอ้าปากตาค้างไป กระทั่งน้ำตายังหยุดไหล

          โยนกิ่งหลิวที่ชุ่มไปด้วยเลือดลงพื้น เงยมองมู่อิงเอ๋อร์และฉงซิ่งที่หน้าซีดดั่งกระดาษอย่างเย็นชา ก่อนเดินเลยผ่านพวกนางไปยังร่างเล็กที่บอบช้ำ “ไปเถอะ หมดเรื่องแล้ว” เขากล่าวสั้นๆ ใบหน้ายังคงฉาบไว้ด้วยรอยยิ้ม เล่นเอาไป๋เซ่อผุดเหงื่อเย็นที่กลางหน้าผาก แม้แต่องค์รักษ์จิ้งยังต้องลอบกลืนน้ำลาย

          ใบหน้านี้น่ากลัว...น่ากลัวเกินไปแล้ว

          อุ้มไป๋เซ่อที่เลื่อนลอยขึ้นอย่างเบามือ เนื่องเพราะกลัวว่าจะกระทบกระเทือนไปถึงบาดแผล แต่กระนั้นร่างเล็กกลับตัวสั่นเล็กๆ “ยังเจ็บอยู่หรือ” เขาถามเสียงอ่อน สีหน้าแฝงแววห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด

          “เจ้าคงจะไม่ตีข้าดังที่พูดออกมาหรอกนะ” เห็นสภาพดูไม่ได้ของนักพรตนั่นแล้ว ไป๋เซ่อก็พูดไม่ออก ด้านซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วกลับยิ้มหัวเราะน้อยๆ จนเขาหน้าแดง นึกเสียใจที่กล่าวคำพูดน่าอายนั้นออกไป

          “เด็กโง่ ทุกวันนี้เจ้าก็เป็นฝ่ายตีข้ากัดข้าทั้งนั้น” พูดจบก็นำพาคนออกไป ทว่ามู่อิงเอ๋อร์กลับส่งเสียงขัดหวะ

          “หยุดก่อน พวกท่านยังไปไม่ได้”

          “เจ้ายังต้องการอะไร” ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงหันหลังกล่าว

          “ความจริงแล้วท่านรู้ว่าเขาเป็นปีศาจใช่รึไม่” นางเอ่ยขึ้น แต่แล้วความเงียบงันของเขาทำให้นางต้องย่นคิ้ว กล่าวสืบต่อ “เมื่อคืนข้ากับฉงซิ่วเห็นกับตา เขาเข้าไปแอบกินขนมในโรงครัวก่อนจะกลายร่างเป็นงูเผือก เช่นเดียวกับตัวที่ท่านบอกว่าเป็นงูเลี้ยง”

          ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วสูง ถามเจ้างูตัวน้อยในอ้อมอกผ่านทางสายตา “ไหนเมื่อคืนเจ้าบอกข้าว่าไปเวจ"

          ไป๋เซ่อมองชายหนุ่มแล้วเกาแก้ม “เอ่อ ข้าไปเวจจริงๆ แต่เผอิญแวะไปโรงครัวก่อน แฮะ แฮะ”

          รับฟังแล้วเขาก็อยากจะกลับคำตีก้นอีกฝ่ายเสียให้เข็ดหลาบ เขาหันไปกล่าวกับมู่อิงเอ๋อร์ “เกรงว่าเรื่องนี้แม่นางมู่คงเข้าใจผิดแล้ว”

          “ถึงขนาดนี้ ท่านยังเข้าข้างเขา นี่ต้องเป็นเพราะท่านถูกปีศาจงูครอบงำแล้ว” ประโยคดังกล่าวทำให้นางต้องตวาดออกมาอย่างโมโห ที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อเขาแท้ๆ

          “ฮึ ฮึ ฮ่า ฮ่า”

          จู่ๆชายหนุ่มก็หัวเราะ ทำให้นางงงงันวูบ “ทะ ท่านหัวเราะกระไร”

          “นั่นสินะ” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง เขาครอบงำข้าอย่างแท้จริง” ครอบงำถึงขนาดที่ในหัวมีแต่คำถาม วันนี้ไป๋เซ่อกินอะไรไปบ้าง ท้องอืดรึเปล่า ไปเล่นสนุกเถลไถลที่ไหน ทำเสี่ยวลู่หัวหมุนเกินไปรึเปล่า กล่าวได้ว่าหลายวันนี้สมองเขาวุ่นวายเพราะไป๋เซ่อทั้งนั้น

          “ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาเป็นปีศาจ ท่านไม่ควรเก็บเขาไว้ข้างกาย” นางโวยวายอย่างไม่พอใจ ที่ตรงนั้นเป็นของนางต่างหาก มิใช่ปีศาจไร้ยางอาย ยั่วยวนผู้คน

          “เช่นนั้นเจ้าบอกมา เป็นผู้ใดที่เหมาะสม?” เขาย้อนถามสีหน้าทะมึน ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความใจดีหลงเหลืออยู่ สองขายังก้าวเข้าไปกดดัน จนทำให้มู่อิงเอ๋อร์หน้าเสียต้องผงะถอยหลังไปอย่างกลัวๆ

          “เกิดอะไรขึ้น” พอดีกับที่อีกด้านหนึ่ง มู่อิงเจี๋ยซึ่งมีสีหน้ากังวลเดินดุ่มเข้ามาในเรือนอย่างเร่งรีบ ด้วยทราบข่าวจากบ่าวไพร่ว่าทางเรือนรับรองเกิดเรื่องจึงรีบมาดู แต่แล้วกลับพบนักพรตที่สลบไสลเนื้อตัวท่วมไปด้วยโลหิต ยังมีเด็กหนุ่มในอ้อมกอดท่านผู้ตรวจราชการที่ตัวช้ำก็พอจะเดาเรื่องราวได้ “อิงเอ๋อร์ เจ้ากล้าก่อเรื่องถึงขนาดทำร้ายคนเชียวรึ”

          “ท่านพ่อไม่ใช่อย่างนั้น ข้า...”  มู่อิงเอ๋อร์เห็นบิดาโกรธจนตัวสั่นก็รีบกล่าวอธิบาย แต่ทว่าคุณชายหมิงกลับตัดบทนาง

          “ใต้เท้ามู่ ถือเสียว่าเรื่องในวันนี้ให้จบลงเท่านี้ ข้าไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต อีกอย่างในเมื่อข้ารบกวนท่านมาหลายวัน อีกทั้งหน้าที่ก็เสร็จสิ้นลงแล้ว ข้าเห็นสมควรออกเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้”

          ฟังแล้วมู่อิงเจี๋ยก็ทั้งเบาใจและลำบากใจในเวลาเดียวกัน ได้แต่กล่าวอย่างนอบน้อม “เอ่อ ต้องขอบคุณท่านผู้ตรวจราชการหมิง ที่ไม่ถือสาหาความบุตรสาวที่ไม่ได้ความของข้า ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วข้าน้อยก็มิมีหน้าจะรั้งท่านไว้ให้เสียงานอีก ประเดี๋ยวข้าน้อยจะให้พ่อบ้านจัดหาเสบียงและรถม้า รวมถึงตามหมอที่ดีที่สุดให้กับคุณชายน้อยท่านนี้”

          “......” ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็มิได้กล่าวอะไรอีก เพียงยิ้มและพยักหน้าให้ก่อนจะนำพาคนของตนเข้าไปในเรือน

          ไม่ได้ เรื่องนี้มันจบแบบนี้ไม่ได้ “เดี๋ยว คุณชายมู่ คุณชายมู่” มู่อิงเอ๋อร์ร้องเรียก ทว่าชายหนุ่มก็มิได้แยแสเหลียวมองนางกลับเลยสักครั้ง

          “เจ้ายังจะเรีบกหาอันใดอีก รู้ไหมว่าเจ้าล่วงเกินผู้ใด อยากให้ตระกูลมู่ถูกประหารเก้าชั่วโครตนักหรือ ยังไม่รู้จักสำนึกอีก” มู่อิงเจี๋ยถลึงตากัดฟันกล่าวอย่างโมโห หากมิใช่เขาพอจะเดาได้จากท่าทีสุขุม น้ำนิ่งไหลลึกยากจะหยั่งถึงของอีกฝ่าย รวมถึงได้แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือว่าคนผู้นั้นมิได้เสด็จไปพักผ่อนทที่เขาหวงซานจริง ตระกูลมู่ก็คงจบสิ้นไปแล้ว

          มู่อิงเอ๋อร์รับฟังแล้วถึงกับตะลึงลาน พอจะเข้าใจความหมายของบิดาได้ หากมิใช่ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์รับสั่งประหารเก้าชั่วโครตได้ ก็เห็นจะมีแต่องค์ชายและ...องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ ใช่แล้ว นางคล้ายได้ยินชื่อนี้จากปากของไป๋เซ่อ

          เมื่อคิดได้นางก็รีบหันกลับไปมองเรือนที่ปิดสนิทลง ฉับพลันนั้นหัวใจนางก็ดิ่งวูบ ดูว่านางเดินหมากผิดไปหนึ่งตา กลับพ่ายแพ้ไปทั้งกระดาน มิมีโอกาสฟื้นกลับมาเป็นผู้ชนะได้เสียแล้ว


 

*******************************************************

 

          รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนออกจากเมืองตงหัว โดยมีบุรุษรูปร่างสมส่วนสองคนเหยาะย่างม้านำทาง ด้านหลังยังมีอีกหนึ่งบุรุษรูปร่างกำยำขับเคลื่อนรถม้าไปอย่างเรียบง่าย ทั้งหมดนี้จากไปอย่างมิได้เอิกเกริกที่ซึ่งสมฐานะผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ถึงขนาดที่ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่าภายในตัวรถเป็นผู้สูงศักดิ์ หากแต่เป็นเพียงพ่อค้ามั่งมีที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน

          ในที่สุดเช้าตรู่ของวันนี้พวกเขาก็ออกเดินทางตามแผนที่วางไว้ มู่อิงเจี๋ยหรือเจ้าเมืองตงหัวเป็นผู้ส่งพวกเขาถึงที่หน้าประตูเมือง รวมถึงมู่อิงเอ๋อร์ที่ทำสีหน้าสลดตลอดทาง ทั้งยังพยายามหาทางพูดคุยกับองค์รัชทายาทเมื่อสบโอกาส ทว่าเขาไม่ยอมเช่นนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ?

          เพ้ย! ก็เพราะนางเกือบทำให้เขาหัวหลุดออกจากบ่า ละเลยหน้าที่ดูแลคนสำคัญของพระองค์น่ะสิ

          “องค์รัชทายาท กระหม่อมสมควรตาย หากมิใช่เพราะกระหม่อมถูกคนของคุณหนูมู่กักตัวไว้ ไป๋เซ่อก็คงไม่ต้องรับเคราะห์ถึงเพียงนี้” เสี่ยวลู่ที่นั่งอยู่ในรถม้าคร่ำครวญน้ำมูกน้ำตานองหน้าเป็นครั้งที่สองของวัน ครั้นเห็นท่าทีนิ่งเงียบขององค์รัชทายาท เขาก็หยุดคิดหาวิธี ก่อนตัดสินใจลั่นวาจา “ตั้งแต่นี้ไปกระหม่อมจะกระทำหน้าอย่างมิขาดตกบกพร่อง ติดตามเขาไปทุกที่ แม้กระทั่งเวจ กระหม่อมก็จะเข้าไปด้วย”

          “ดี” รัชทายาทหนุ่มตอบสั้นๆ เช่นนี้เขาจะได้มีหูมีตารู้เท่าทันไป๋เซ่อเพิ่มอีกส่วน

          “เดี๋ยวๆ นี่มันเกินไปแล้ว ข้าไม่ยอมเด็ดขาด เจ้ารัชทายาทบ้าอำนาจ”  ไป๋เซ่อถึงกับตาเหลือก หัวคิ้วชนกัน ถึงเขาจะเข้าไปแอบกินขนมในโรงครัวจริง แต่เมื่อคืนนี้เขาก็โดนเจ้าตัวเทศน์เสียกระทั่งหลับคาเตียงไปแล้วยังต้องถูกปลุกมาให้รับฟังสำนึกผิดต่อ

          เด็กหนุ่มโต้เถียงเสียจนเสี่ยวลู่สะท้านไปทั้งกาย เมื่อสักครู่นี้เจ้าตัวถึงกับว่ากล่าวองค์รัชทายาท ถือเป็นโทษหมิ่นเบื้องสูงเลยทีเดียว เจ้าเด็กผู้นี่จะใจกล้าเกินไปหน่อยกระมัง สายตาลอบมองท่าทีผู้เป็นนาย

          “เสี่ยวลู่ เจ้าออกไปก่อน” รัชทายาทหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ

          “พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวลู่จำใจตอบรับ หากแต่เมื่อเลิกผ้าแพรออกไปนั่งกับองครักษ์จิ้งแล้ว ก็มิวายเงี่ยหูฟังเสียงต่อ จากนั้นจึงคลับคล้ายได้ยินบทสนทนาที่แทบไม่เชื่อหู

          “ถึงเวลาทายาแล้ว ยื่นแขนมาเร็ว” ซวนหยวนหมิงไท่บอกคนที่ทำหน้าบึ้งตึงอยู่อีกด้านหนึ่งของรถม้า ทว่าไป๋เซ่อก็ยังงอนไม่ขยับก้น เขาจึงกล่าวอีกสักประโยค “เด็กดีแล้วข้าจะแวะซื้อขนมให้”

          เพียงเท่านี้ไป๋เซ่อก็ยื่นแขนออกให้เขาทายาไวยิ่ง “แผลฟกช้ำเหล่านี้อีกไม่กี่วันก็หาย ช่วงนี้คงปวดเมื่อยอยู่บ้าง”

          ไป๋เซ่ออือออรับฟัง เขาเองรักษาตัวไม่กี่วันก็หาย แต่เจ้านักพรตเน่าเหม็นผู้นั้นจะต้องใช้เวลารักษาสักกี่เดือนกันนะ เผลอเหลือบมองหน้าคนที่ใจจดใจจ่อกับการทายาให้ จู่ๆก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็ดูดีมิใช่น้อย

          “มีอะไรจะพูดกับข้ารึ” แม้มิได้มองหน้าก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง

          “ไม่มี” ไป๋เซ่อชะงักขึ้นเสียงสูงปรี๊ด ทำให้ผู้ถูกมองอมยิ้มน้อย ร่างเล็กจึงแสร้งทำเป็นกลบเกลื่อนถาม “ว่าแต่พวกเราจะไปไหน”

          “ไปเขาหวงซาน” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบ ชั่วครู่หนึ่งที่พูดออกไป ความกังวลใจกลับผุดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แท้จริงแล้วเมื่อตอนไป๋เซ่อเกิดเรื่อง สังหรณ์อันเลวร้ายก็ควรหายไปแล้วมิใช่หรือ ไฉนจึงยังคงอยู่ คล้ายลดทอนไปเพียงบางส่วน แลส่วนที่คาใจกลับร้ายแรงกว่าเมื่อแรกรู้สึก

          ขณะที่กำลังคิดรถม้าก็เคลื่อนผ่านช่องแคบใต้หุบเขา เส้นทางที่ใช้มีขนาดเล็ก จวบจนผ่านพ้นไปทั้งสองข้างทางก็เต็มไปด้วยแมกไม้หนาตา บดบังแสงอาทิตย์จ้าให้กลับกลายเป็นความอบอุ่น ทว่าบรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้ กลับดำเนินไปได้ถึงแค่ยามบ่ายเท่านั้น

          กึง กึง หลังจากที่เดินทางโดยมิได้หยุดพัก ในที่สุดล้อรถก็ชนเข้ากับบางสิ่ง ส่งผลให้ตัวรถต้องโคลงเคลงไปมา คนที่พักผ่อนอยู่ด้านในถึงกับตัวเซ เสี่ยวลู่ที่นั่งสัปหงกก็สะดุ้งตื่น หัวหน้าองครักษ์จิ้งตะโกนบอกองครักษ์ ทั้งสองนายให้หยุดม้า จากนั้นกระโดดลงจากรถก้มลงมองก้อนหินที่เป็นอุปสรรค ก่อนจะเหลือบสายตาสังเกตมองทางด้านหน้า

          ดูว่าเส้นทางดังกล่าวเต็มไปด้วยก้อนหินก้อนเล็กก้อนน้อยระเกะระกะเป็นหย่อมๆ ซึ่งพอจะทำให้การเดินทางหยุดชะงักลงได้ หัวหน้าองครักษ์จิ้งขมวดคิ้ว ปกติแล้วเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสายหลัก ไม่น่าจะมีสิ่งกีดขวางเยอะถึงขนาดนี้ ยกเว้น...

          “แย่แล้วกับดัก”

          ทันทีที่ร้องบอก ธนูฝูงหนึ่งก็หอบเข้ามากระหน่ำ พร้อมกับชายในชุดดำราวสิบถึงสิบห้าคนที่ปรากฏตัวขึ้น ยังดีที่เสี่ยวลู่ถูกหัวหน้าองครักษ์ดึงตัวมาได้ทันก่อนที่จะต้องธนูดอกหนึ่ง ด้านองครักษ์ทั้งสองที่เหลือต่างตกอยู่ในวงล้อมชายชุดดำจำนวนหนึ่ง มิอาจเข้าไปช่วยเหลือคนในรถม้าได้

          กลุ่มคนร้ายที่เหลือเฝ้ามองรถม้าที่ตอนนี้ไม่ต่างกับเม่น หากแต่คนด้านในกลับไม่มีวี่แววจะออกมา พวกเขาก็พากันถือดาบดาหน้าเข้าไป อย่างน้อยต้องตรวจดูให้แน่ชัดว่าเป็นหรือตาย

          ทว่าพริบตานั้นหลังคารถม้าก็ถูกกระแทกลอยขึ้นสูงเสียดฟ้า บุรุษสองคนทะยานตัวออกมาโดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บใดๆ รอจนฝีเท้าพวกเขาสัมผัสถึงพื้น ชายชุดดำคนหนึ่งก็ตะโกนออกมา “ฆ่า อย่าให้เหลือ” สิ้นคำสั่ง เหล่าคนชุดดำก็รุดหน้าเข้าไป

          ซวนหยวนหมิงไท่ประเมินมองสถานการณ์แล้ว ก็รู้ว่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ด้วยกำลังคนที่น้อยกว่า เสี่ยวลู่ที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ อีกทั้งเหล่าองครักษ์ต่างติดพันจนมิอาจคุ้มกันตนได้เต็มที่

          และที่สำคัญยังมีไป๋เซ่ออยู่ข้างกายเขา


 

**************************************************************

 

          - เเอบบ่นนิดว่าฉากต่อสู้เป็นอะไรที่ยาก เเละยิ่งคนเยอะเเล้ว อืม...เขียนไม่ออกง่ะ 5555+ คงต้องใช้เวลาบวกกับต้องอ่านทวนเยอะๆ จึงขอตัดบทบู๊ไปบทหน้าล่ะกันน้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 7 สังหรณ์ร้าย 07/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 08-02-2016 11:17:00

รอนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 7 สังหรณ์ร้าย 07/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 08-02-2016 11:37:26
ขอให้ปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 7 สังหรณ์ร้าย 07/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 10-02-2016 12:19:33
อยากอ่านต่อจัง :katai1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 8.1 มือสังหาร 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 14-02-2016 22:57:50
บทที่ 8.1 มือสังหาร

 

          สถานการณ์มิสู้ดี กลุ่มคนชุดดำปิดล้อมพวกเขาเป็นวงกลม ดูจากการวางแผน สถานที่ เวลาที่ลงมือ ผู้มาใหม่ล้วนไตร่ตรองเตรียมการมาดียิ่ง กระทั่งฝีมือก็มิได้แปลกปลอม สามารถประมือกับหัวหน้าองครักษ์จิ้งที่คอยคุ้มกันเสี่ยวลู่ รวมถึงองครักษ์ที่เหลือได้อย่างไม่ครณามือนัก

          ครั้นปลายเท้าสองคู่สัมผัสถึงพื้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็ไล่มองคนร้ายสี่ห้าคนที่ปิดบังเค้าใบหน้าจนเหลือเพียงแค่ดวงตา จวบจนมีเสียงคำสั่งสังหาร สถานการณ์โดยรอบก็พลันตกอยู่ในสภาพเลวร้ายทันที

          แต่มาตรว่าตกอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ กลับมีคนผู้หนึ่งที่มิได้สะทกสะท้านไปกับเหตุการณ์วุ่นวายเบื้องหน้า

          “ว้าว คนร้าย คนร้ายตัวเป็นๆ” ไป๋เซ่อโห่ร้องคึกคัก ในที่สุดก็ได้พบคนร้ายชุดดำตัวจริงเสียงจริงก็วันนี้ “นี่ๆ ข้ามีชุดแบบพวกเจ้าด้วย” ว่าแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในห่อผ้าสะพายไหล่

          รับฟังแล้วรัชทายาทหนุ่มถึงกับหน้าเหวอ กระทั่งคนชุดดำสี่ห้าคนที่กำลังเข้าโจมตีต้องพลอยชะงักงันสับสน และกินเวลาอยู่พักหนึ่งจึงฟื้นคืนสติ นักฆ่าผู้หนึ่งพลันโถมดาบเข้าใส่เด็กหนุ่มที่ยืนยิ้มแฉ่งไม่รู้เหนือรู้ใต้

          “เป็นเวลาใดแล้ว ยังจะกล่าวล้อเล่นอยู่อีก” ซวนหยวนหมิงไท่ดึงตัวร่างเล็กให้พ้นจากวิถีดาบ

          ไป๋เซ่อที่ถูกดึงก็โน้มตัวไปตามแรง เลิกตาโตพร้อมกล่าวน้ำเสียงจริงจัง “ข้ารึพูดเล่น?”

          เมื่อลงดาบพลาดไป ทั้งยังเห็นคนทั้งสองโต้ตอบเจื้อยแจ้ว หาได้ตระหนักถึงความตายตรงหน้า นักฆ่าผู้นี้ก็เกิดเป็นอารมณ์คุกรุ่น เที่ยวรุกไล่เข้าแทงเด็กหนุ่มอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บุรุษหนุ่มสูงศักดิ์ต้องคอยนำพาอีกฝ่ายหลบคมดาบเป็นพัลวัน

          “เจอแล้ว” ระหว่างที่ยังคงหลบหลีก ท้ายที่สุดไป๋เซ่อก็ควานหาเสื้อสีดำอันเป็นที่นิยมในหมู่โจรผู้ร้ายได้สำเร็จ เขาชูมันแล้วตะโกนบอกกลุ่มคนชุดดำทั้งหลายด้วยสีหน้าแน่วแน่ “หยุดมือๆ พวกเดียวกัน”

          “......” คราวนี้นักฆ่าทุกคนหยุดชะงักไปอีกครั้ง มองเสื้อสีดำที่หมุนควงบนศีรษะเล็กแล้ว ดาบในมือก็กลับไปขยับฟาดฟันอีกที

          “อ้าว รึซื้อคนละร้าน ร้านที่ข้าซื้อตัดเย็บดีกว่าของพวกเจ้าอีกนะ”

          โอ๊ย เป็นครั้งแรกที่รัชทายาทเช่นเขาอยากจะตบหน้าผากตัวเองจังๆ บางทีหลังจากที่ไป๋เซ่อถูกนักพรตเต้าเหยียนฟาดโบยอยู่หลายครั้ง สมองก็คงจะถูกกระทบกระเทือนไปไม่น้อย คิดพลางอุ้มร่างเล็กขึ้นหลบ

          “ไม่ต้องสนใจเจ้าเด็กนั่น สังหารองค์รัชทายาทก่อน” หัวหน้านักฆ่าเห็นลูกน้องจดจ่อกับการสังหารผู้ที่มิใช่เป้าหมายก็ขมวดคิ้วออกคำสั่ง ส่งผลให้นักฆ่าคนดังกล่าวพลันเปลี่ยนเป้าหมาย หันเหคมดาบไปทางด้านองค์รัชทายาทแทน

          ...ชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้ถูกส่งให้มากำจัดเขาโดยเฉพาะ

          ซวนหยวนหมิงไท่แค่นหัวเราะในใจ ก่อนจะผลักไป๋เซ่อไปที่ด้านหลัง จากนั้นเป็นฝ่ายพุ่งปราดไปที่คนร้าย รอจนคมดาบห่างจากอกซ้ายราวหุนหนึ่ง ก็เบนหัวไหล่หลบอาวุธที่หมายเอาชีวิต ทั้งนี้สีหน้าปราศจากความกลัว ด้านนักฆ่าเมื่อไม่ประสบผลก็รีบวกดาบกลับ เตรียมวาดดาบรุกไล่อีกครั้ง แต่มาตรว่ายังมิทันเปลี่ยนท่าร่าง ทั่วทั้งสรรพางค์กายกลับรู้สึกรวดร้าว สองขาอ่อนยวบทรุดลงไปเสียดื้อๆ

          นี่เป็นเพราะรัชทายาทรวดเร็วกว่า ชิงใช้สันมือฟาดเข้าใส่จุดต้องห้ามบนลำคออย่างแรง หัวหน้านักฆ่าเห็นลูกน้องสิ้นท่า ทั้งประจักษ์ในฝีมืออันร้ายกาจของเป้าหมายก็คิดจบฉากโดยพลัน “ง้างธนู”

          “องค์รัชทายาท ระวัง/ยิง”

          ทันทีที่หัวหน้าองค์รักษ์จิ้งร้องบอก ธนูฝูงหนึ่งก็แหวกฝ่าอากาศ ซวนหยวนหมิงไท่กวาดตามองไปรอบๆ มือคว้าตัวนักฆ่าที่กำลังจะล้มลงขึ้นกำบัง พร้อมกันนั้นก็รีบถอยหลังเข้าประชิดร่างเล็ก

          ธนูพุ่งเร็วแรงก่อนจะค่อยๆตรึงปักร่างสีดำไปทั่วทั้งกาย ไป๋เซ่อที่ถูกดันจนแผ่นหลังแนบชิดติดต้นไม้ เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างที่ขวางกั้นตนไว้ชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงเห็นองครักษ์สองนายที่ดื้อรั้นฝ่ากลุ่มชายชุดดำเข้ามาอย่างยากลำบาก หนึ่งในนั้นร้องบอกขณะใช้กระบี่ฟันคนร้าย

          “เสด็จหนีไป พวกกระหม่อมจะต้านไว้เอง”

          พริบตานั้นร่างก็ถูกเหวี่ยงขึ้นหลัง ซวนหยวนหมิงไท่แบกรับร่างเขาไว้ก่อนจะพลิ้วตัวไปยังป่าทางด้านหลัง กระนั้นเสียงฝีเท้าของนักฆ่าบางคนยังคงไล่ตามกระชั้นชิด แต่แล้วเมื่อผ่านไปชั่วครู่จึงค่อยห่างหายไป

          ถึงตอนนี้ไป๋เซ่อจึงสังเกตเห็นได้ความผิดปกติ ครั้งก่อนที่เจ้าตัวแบกตนขึ้นหลัง ใช้ออกด้วยวิชาตัวเบา ก็ยังไม่หอบหายใจกระชั้นถึงเพียงนี้“ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าเป็นอะไรไป”

          “ไม่...ไม่ได้เป็นอะไร”

          “อย่ามาโกหก ฝีเท้าเจ้าช้าลงเรื่อยๆแล้วรู้ไหม” ไป๋เซ่อขมวดคิ้ว คนผู้นี้ต้องมีปัญหาบางอย่างแน่ “หยุด หยุดก่อน”

          “ไม่ได้” ตอนนี้เหล่าองครักษ์ทำได้เพียงถ่วงเวลา ยิ่งเขา...เป็นเช่นนี้ นักฆ่าเหล่านั้นย่อมไม่รามือไปง่ายๆ ฉะนั้นได้แต่กัดฟันวิ่งต่อไป

          “ข้าบอกให้ปล่อยข้าลง”

          มิสนใจไป๋เซ่อที่ร่ำร้องโวยวาย สายตาเขาสอดส่องหาพื้นที่ซ่อนตัว แต่กระนั้นสถานที่ที่มีเพียงต้นไม้ใบหญ้า ก็หาได้มีที่ใดให้พวกเขาซ่อนตัวไม่ครั้นผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม รัชทายาทที่แบกร่างเล็กวิ่งมาตลอดก็มาถึงขอบเขตที่ร่างกายมิอาจทนฝืนได้อีก สุดท้ายต้องซวนเซล้มลง ส่งผลให้ไป๋เซ่อที่อยู่บนหลังพลอยถลาม้วนกลิ้งไปข้างหน้า

          “โอ๊ย ทีอย่างนี้จะหยุดก็ไม่บอก” ร่างเล็กตัวคลุกฝุ่นดินร้องโอดโอย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วกลับพบว่าอีกฝ่ายนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไปก็ร้องเรียก “เฮ้ เจ้าลูกเต่า...ซวนหยวนหมิงไท่”

          พร่ำเรียกอยู่หลายครั้งชายหนุ่มก็ไม่ขยับ ส่งผลให้เขาเริ่มกระวนกระวาย รีบคลานเข้าไปพลิกร่างอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ครั้นได้เห็นสีหน้าซีดขาวที่ชโลมไปด้วยเหงื่อเย็น รวมถึงบาดแผลสีดำที่ยังคงมีลูกธนูหักคาท้องครึ่งหนึ่งแล้ว ใจก็คล้ายเย็นวาบกับดิ่งลงเหว

          “เจ้าบ้า เจ็บขนาดนี้แล้วยัง...อึก” ไป๋เซ่อขบเม้มริมฝีปาก ในอกอึดอัดแทบอยากทุบระบายสักหลายหน คนผู้นี้ไฉนจึงโง่งมยอมแบกเขามาทั้งที่ตนเองบาดเจ็บสาหัส

          “อือ ไป๋เซ่อ”

          “ข้าอยู่นี่”

          รอจนฟื้นสติได้กึ่งหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ก็เร่งรีบกล่าวน้ำเสียงแผ่ว “ไม่บาดเจ็บใช่รึไม่ งั้นเร็ว กลับร่างเป็นงูเผือกแล้วรีบไปจากที่นี่”

          “จะให้ข้าหนีไปคนเดียว ข้าไม่ไป” พูดพลางดึงแขนชายหนุ่มขึ้น

          “แต่ข้าเดินไม่ไหว ดังนั้นเจ้าต้องไป หากชักช้าไปกว่านี้ คนพวกนั้นต้องตามทันแน่” ตอนที่ธนูถูกยิงเป็นคันรบที่สอง แม้เขาจะรอดพ้นไปได้ แต่ก็ต้องเข้าด้วยธนูดอกหนึ่ง โชคไม่ดีที่หัวธนูเหล่านี้เคลือบไว้ด้วยพิษ ทำให้เมื่อใช้พลังภายใน พิษจึงยิ่งแทรกซึมเข้ากระแสโลหิต

          “ไม่ไป ข้าไม่ไป”

          “ข้าบอกให้เจ้าคืนร่าง เร็ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงจนเขาสะดุ้งโหยง นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายดุดันกับตนถึงเพียงนี้ ไป๋เซ่อได้แต่จำใจยอมเปลี่ยนรูปเป็นงูเผือก จากนั้นเลื้อยขึ้นไปนอนบนลำตัวของเจ้าตัวไม่ไปไหน

          “ไป เด็กดีไป” ซวนหยวนหมิงไท่พยายามเกลี้ยกล่อม ทั้งใช้ฝ่ามืออบอุ่นผลักดันงูน้อยลงไป แต่กระนั้นไป๋เซ่อก็ยังคงดื้อดึง เลื้อยกลับขึ้นมาบนตัวเขาอย่างมิยอมแพ้ ส่งผลให้เขาต้องทำสีหน้าถมึงทึง ผลักร่างที่เยียบเย็นลงไปนอนหงายหลัง ตวาดเสียงเย็น “ไป ไปให้พ้นหน้าข้า”

          ตวาดครานี้ทำเอาไป๋เซ่อน้ำตาซึมหันหลังเลื้อยเข้าพงหญ้าไปอย่างน้อยใจ ด้านรัชทายาทหนุ่มได้แต่มองส่งร่างปราดเปรียวนั้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มเศร้า อย่างน้อยก็มิต้องทนเห็นคนสำคัญตายไปต่อหน้าต่อตาอีก

          ดี ดีแล้ว ไปจากข้า เจ้าจะปลอดภัย...ไป๋เซ่อ


 

***********************************************

 

          อีกทางด้านหนึ่งหลังจากไล่ตามองค์รัชทายาทมานานถึงหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็พบร่างขาวซีดที่นอนหมดสติ นักฆ่าผู้หนึ่งย่อกายลงมองบาดแผลที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ดูว่าอีกไม่นานยาพิษนี้จะคร่าชีวิตคนผู้นี้ไป แต่กระนั้นภารกิจจะเสร็จสิ้นได้ก็ต่อเมื่อตัดศีรษะนี้ลงเท่านั้น

          วางดาบพาดลำคอร่างที่เหลือเพียงลมหายใจรวยริน ดวงตาผู้สังหารทอประกายเย็นเยียบ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดขึ้นภายใต้ผ้าปิดปาก จากนั้นจึงเงื้อดาบขึ้นหมายปลิดชีวิตอันสูงค่านี้ ทว่าจังหวะที่กำลังจะลงมือ ในชั่วลัดนิ้วดีด บางสิ่งบางอย่างก็กระโจนเข้าใส่ใบหน้า

          “อั่ก” นักฆ่าถึงกับผงะหงายหลัง ฉับพลันนั้นลมหายใจก็ถูกพรากไป เขาทิ้งดาบล้มตัวนอนตะเกียกตะกาย สองมือพยายามคลายวงรัดที่รอบคอ แต่ในชั่วพริบตานั้นกระดูกลำคอกลับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่เสียงร้องก็มิอาจเปล่งออกได้อีก

          กระทั่งมือสังหารไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต งูเผือกจึงยอมคลายตัวออกในที่สุด ก่อนหน้านี้มันทนรอจนร่างสูงไม่ได้สติ แล้วจึงย้อนกลับมาซุ่มซ่อนในอกเสื้อของเจ้าตัวอย่างเงียบๆ จวบจนมือสังหารผู้นี้คิดลงมือ

          มันเลื้อยตัวกลับไปหาบุรุษที่ยังคงมีลมหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนรูปดุจดั่งมนุษย์ “ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้า” ไป๋เซ่อกล่าวน้ำเสียงสั่นพลางดึงร่างของซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นหลัง ค่อยๆยืนหยัดนำพาอีกฝ่ายหลบหนีไป

          ต่อเมื่อท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มอมแดง ฝูงนกทยอยบินกลับรัง ไป๋เซ่อที่แบกร่างอันหนักอึ้งก็จำต้องทรุดพิงต้นไม้ สังเกตอาการของคนเจ็บอย่างร้อนใจ ดูแล้วหากยังปล่อยทิ้งไว้ เห็นทีชีวิตก็คงยากจะรักษา ทว่าจนป่านนี้ที่ปลอดภัยก็ยังคงหามิได้ ทำได้เพียงกอดร่างที่เริ่มเย็นเยียบเอาไว้

          ขณะที่ความหวังในใจค่อยๆหมดไปทีละเล็กทีละน้อย ที่ด้านหนึ่งก็บังเกิดเป็นเสียงสวบสาบ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวพลันหันขวับไปที่ต้นเสียง  หากครานี้ผู้มาเป็นมือสังหาร เกรงว่าต้องแลกชีวิตกันสถานเดียว

          ทันใดนั้นร่างนุ่มนิ่มเรียวยาวสีดำก็เลื้อยออกมา ไป๋เซ่อจ้องมองเจ้าของดวงตากลมที่ชะงักตกใจตาไม่กะพริบ รอจนครู่หนึ่งก็เผยอรอยยิ้มแฉ่ง กระโจนกายเข้าตะครุบเจ้าตัวเล็กที่เบื้องหน้าในฉับพลัน

          ฝ่ายผู้มาใหม่ถึงกับอ้าปากตาค้าง ได้แต่นิ่งงันมองเงาร่างที่ใกล้เข้ามาอยู่อย่างนั้น ดูว่าตลอดเวลาที่มันล่าเหยื่อ คิดไม่ถึงว่าเพลานี้จะกลายเป็นผู้ถูกล่าบ้างแล้ว

          “รอดแล้วๆ เสี่ยวเฮย[1] ไม่ต้องกลัว บอกข้ามาว่าแถวนี้มีที่ใดสงบๆ พอให้รักษาตัวได้บ้าง” จับเจ้างูน้อยที่โผล่ออกมากะทันหัน แล้วซุกไซ้ใบหน้าคลอเคลียไปมากับหน้าท้องนุ่มอย่างดีใจ

          “ฝ่อ ฝ่อ ฝ่อ” ทางนู้นๆ งูน้อยที่พลาดท่ารีบร้องบอก ทั้งยังรีบใช้ปลายหางบุ้ยใบ้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลูบไล้มันจนปวกเปียกราวกับก้อนแป้งนิ่ม ต่อเมื่อถูกวางลง มันก็มองส่งคนที่ยิ้มกว้างแบกร่างที่ร่อแร่ไปยังทิศทางที่มันพึ่งกล่าวอย่างงงงัน

          ...ไฉนเด็กหนุ่มผู้นี้จึงไม่เกรงกลัวอสรพิษเช่นมันเลยเล่า ผ่านไประยะหนึ่งมันก็ทิ้งความสงสัยไว้แล้วเลื้อยไปยังทิศทางตรงกันข้าม ลอดผ่านโพรงไม้ใหญ่ ผลุบๆโผล่ๆตามพงหญ้าสีเขียว แลไม่นานมันหยุดตัวลงยืดคอมองกลุ่มคนชุดดำราวสามสี่คนที่มีท่าทีเคร่งเครียดที่เบื้องหน้า

          “พวกมันต้องอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ แยกย้ายกันไปหา ใครพบสังหารได้ทันที”

          ดูว่าคนพวกนี้กำลังตามหาใครสักคนอยู่ ระหว่างที่นึกโยงไปถึงเด็กหนุ่มเมื่อครู่ จู่ๆมีดสั้นเล่มหนึ่งก็พลันเหวี่ยงเข้าใส่ แต่มาตรว่าก่อนหน้านี้มันคล้ายได้รับประสบการณ์จู่โจมกะทันหัน ส่งผลให้มันสามารถดีดตัวหลบมีดเล่มดังกล่าวได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

          “ฝ่อ ฝ่อ” มันรีบเกร็งตัวขู่ใส่กลุ่มคนชุดดำที่คิดทำร้าย หากแต่กลุ่มคนพวกนี้กลับมองมันด้วยสายตาหยามหยัน หนึ่งในนั้นเหยียดยิ้ม หยิบมีดที่เหน็บตรงรองเท้า จากนั้นก้าวย่างตรงเข้าหามัน

          “หึ มีทางไม่ไปกลับเดินเข้ามาให้ข้าชำแหละ” พริบตาที่หัวหน้านักฆ่าหยุดตัวลงใกล้งูน้อย หมอกควันอันไร้ที่มาก็พวยพุ่งขวางทัศนียภาพเบื้องหน้า พร้อมกันนั้นน้ำเสียงเหน็บหนาวไปจนถึงขั้วกระดูกก็ดังออกมา

          “เจ้าคิดชำแหละใครกัน”

          เพียงบุรุษร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์ชุดสีม่วงตัดดำ ผู้มีดวงตาประหนึ่งอสรพิษปรากฏกาย โดยรอบก็เกิดกลิ่นอายสังหารรุนแรงประการหนึ่ง ยังผลให้มือสังหารที่เหลือตื่นตัวรีบชักดาบหันเข้าใส่ผู้มาใหม่

          เว้นเพียงผู้เป็นหัวหน้าที่ยังคงตะลึงงันถือมีด “จะ เจ้าเป็นใคร” คนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อุ้มอสรพิษตัวนั้นตั้งแต่ตอนไหน ไฉนตนจึงมองไม่เห็นร่องรอยเลยสักนิด การปรากฏตัวเช่นนี้ราวกับอีกฝ่ายมิใช่มนุษย์ก็มิปาน

          “ฝ่อ ฝ่อ ฝ่อ” พี่ใหญ่ พวกมันเป็นคนชั่วร้ายไล่ฆ่าผู้คน ข้าเห็นๆ

          บุรุษในชุดสีม่วงตัดดำเพียงหลุบตาลงมองอสรพิษน้อยที่ร้องขู่บนเรียวแขน จากนั้นจึงเบนสายตากร้าวกลับไปยังเจ้าของดวงตาที่ค่อยๆถูกครอบงำไปด้วยความกลัว

          หัวหน้านักฆ่าเหงื่อซึมไปทั่วทั้งกาย มีเพียงความรู้สึกต้องการฆ่าเท่านั้นถึงจะมีสายตาเช่นนี้ได้ ทว่าตนย่อมมิยินยอมเป็นฝ่ายถูกฆ่า ดังนั้นตัดสินใจสืบเท้าตวัดวาดมีดในมือเข้าใส่

          แม้มีดกรีดใส่บริเวณลำคอคู่มือเข้าอย่างจัง หากแต่บุรุษตรงหน้าก็หาได้แสดงสีหน้าใดแม้แต่น้อย กลับเป็นตนที่เบิกตากว้าง โลหิตทะลักหลั่งไหลจากลำคอด้วยรอยกรีดลึก แลภาพตรงหน้าก็มีเพียงร่างที่บิดๆเบี้ยวๆ มิอาจจับต้องได้เฉกเช่นเดียวกับหมอกควัน

          เหล่านักฆ่าที่เหลือชมดูแล้วก็ต้องตะลึงลานสุดขีด ถึงตอนนี้จึงเข้าใจว่าพบคู่มือที่ไม่มีทางเอาชนะได้ ต่างคนจึงต่างรีบหนีเอาชีวิตรอด เหลือเพียงบางคนที่ยังคงยืนสั่นสะท้านก้าวขาไม่ออก แลไม่นานน้ำเสียงโหยหวนก็ดังขึ้นอย่างท่ามกลางป่าเขาอันเปลี่ยวร้าง


 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 8.2 มือสังหาร 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 14-02-2016 23:00:15
บทที่ 8.2 มือสังหาร

 

          เปลวเพลิงลุกไหม้กิ่งไม้แห้งจนส่องสว่าง โชคดีที่ถ้ำซึ่งคล้ายปิดตายแห่งนี้เพียงพอแก่การรักษาและซ่อนตัว ต่อเมื่อใช้พลังจุดไฟเสร็จก็รีบผละตัวมาหาคนที่นอนมิได้สติ แนบใบหูฟังเสียงสะท้อนขึ้นลงที่หน้าอก

          “นี่ๆเจ้าห้ามตายนะ ซวนหยวนหมิงไท่” เสียงเต้นที่แผ่วเบาทำให้ไป๋เซ่อร้องลั่น ตัดสินใจกระชากเสื้อชายหนุ่ม ใช้ริมฝีปากขับเอาเลือดเสียทั้งหมดออกจากปากแผลสีดำ ครั้นบ้วนทิ้งเสร็จก็รีบเคี้ยวสมุนไพรที่หามาได้โปะลงบนแผล ถึวแม้จะรู้ดีว่าวิธีนี้มิอาจขับพิษได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็น่าจะสามารถยื้อชีวิตในค่ำคืนนี้ออกไปได้ หากแต่เพียงหวังอยู่อย่างเดียว

          ...ว่ามันจะไม่สายจนเกินไป

          ครั้นเวลาผ่านไปราวสองก้านธูป ซวนหยวนหมิงไท่ก็มีอาการหนาวสั่น แม้ไป๋เซ่อเสียสละเสื้อนอกของตนเองให้ ก็มิอาจยับยั้งเหน็บหนาวลงได้

          “ข้าจะถอดหมดตัวอยู่แล้วนะ” ร่ำร้องโวยวายอย่างทุกที หากมีครั้งนี้ที่น้ำเสียงสั่นไปหมด ยิ่งไม่มีเสียงโต้ตอบเผ็ดร้อนหรือเอาใจก็ยิ่งทำให้เขาซึมหนัก ได้แต่ปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ ทรุดตัวซบกายกับร่างอันเยียบเย็น หวังแบ่งเบาความทุกข์ทนของชายหนุ่ม

          ...ทว่าผลที่ได้กลับตรงกันข้าม

          “ฮึก โฮ” ไป๋เซ่อลุกขึ้นพรวดสะอื้นไห้ออกเสียงในที่สุด เป็นครั้งแรกที่เจ็บใจตัวตนอันไร้ซึ่งประโยชน์นี้ กระทั่งร่างกายอันอบอุ่นก็หามีไม่ จะอย่างไรตนก็เป็นเพียงอสรพิษ จะมีก็แต่ไอเย็นเฉียบที่ทำให้ชายหนุ่มยิ่งสั่นสะท้าน ร่างเล็กร้องไปก็กระเถิบตัวถอยไปให้ห่าง จนในที่สุดข้อมือถูกยึดไว้

          “จะ...ไปไหน” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงแหบแห้ง ฝืนกะพริบเปลือกตาขึ้นมองคนขี้แย อันที่จริงตั้งแต่ไป๋เซ่อช่วยขับพิษผ่านกระแสโลหิต เขาก็คลับคล้ายคลับคลารู้สึกตัวบ้างแล้ว เพียงแต่ไม่มีเรี่ยวแรงจะกล่าววาจาใดก็เท่านั้น และยิ่งร่างเล็กกอดเขาไว้ เขาจึงเลือกที่จะหลับต่ออย่างสบายใจ จวบจนรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าฟื้นแล้ว” ดวงตาสีฟ้าอมเขียวทอประกายสุกใส แต่ไม่นานก็กลับสลดลง “ข้า...ตัวข้าเย็น ควรอยู่ให้ห่างเจ้า” พูดจบก็กระเถิบตัวอีกครั้ง ทว่าชายหนุ่มก็ยังยื้อมือเขาไม่ปล่อย

          “ไม่” หากเป็นไปได้เขาจะไม่มีวันเอ่ยปากไล่เด็กหนุ่มตรงหน้าไปอีก ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบาง “เจ้ากอดข้าไว้ ข้าจะอุ่นกว่า”

          “อุ่นบ้านเจ้าสิ เจ้าจะแข็งตายต่างหาก” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงดุทั้งที่น้ำตาคลอหน่วง

          แต่เขากลับยิ้มกล่าวเสียงอ่อน “มาเถอะ เด็กดี”

          รับฟังแล้วไป๋เซ่อถึงกับนิ่งงัน เขาคล้ายถูกคำว่าเด็กดีล่อลวงให้เขยิบตัวเข้าไปใกล้ จากนั้นนอนตุบแน่นิ่งบนอกกว้าง ปล่อยให้ชายหนุ่มสวมกอดเขาไว้แน่นอย่างว่าง่าย ก่อนจะสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่มีเล็กๆในใจ

          “อืม อุ่น อุ่นรึไม่”

          ไม่รอได้ฟังคำตอบรัชทายาทหนุ่มก็เคลิ้มหลับไปอีกรอบ ทิ้งไป๋เซ่อที่อยู่อ้อมอกนอนตัวแดงเถือก หัวใจเต้นเป็นจังหวะแรงเร็วยากที่จะสงบ

          แท้จริงแล้วซวนหยวนหมิงไท่ต้องการความอบอุ่น หรือต้องการให้เขารู้สึกถึงมันกันแน่?

          คิดไปคิดมาไป๋เซ่อก็โยนสันนิษฐานข้อหลังทิ้ง แล้วพร่ำบอกตนเองว่าคนผู้นี้เป็นนักฉวยโอกาส แต่หากเลือกได้อสรพิษอย่างเขาก็ชอบนอนในที่อุ่นๆ มากกว่าจะนอนในที่หนาวๆ ดังนั้นถึงจะโดนเอาเปรียบไปบ้าง ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าหลับตาข้างเดียวไปล่ะกัน

          เฮอะ ไป๋เซ่อลอบแค่นเสียงในใจ ก่อนจะรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบกริบจนน่ากลัว “เฮ้ ซวนหยวนหมิงไท่ มิใช่ว่าลาโลกไปแล้วนะ”   

          “อือ” ร่างสูงส่งเสียงตอบรับในลำคอ ทำให้ไป๋เซ่อเงียบไป 

          ทว่าเมื่อผ่านไปครึ่งเค่อ

          “ซวนหยวนหมิงไท่

          “อะ อือ”

          ผ่านพ้นไปอีกครึ่งเค่อ

          “เฮ้ เจ้ายังอยู่ดีนะ”

          “.......”

          “เฮ้”

          หัวคิ้วพลันย่นลง “อื้อ”

          จวบจนเข้าเค่อที่สาม

          “ซวนหยวนหมิงไท่”

          “.......”

          “เฮ้ รัชทายาทงี่เง่า”

          “........”

          “โฮ เจ้าลูกเต่า ในที่สุดเจ้าก็ข้ามแม่น้ำเป็นตายไปพบยมบาลหน้าเขียวแล้ว” ไป๋เซ่อร่ำร้องแตกตื่น ทว่ายังมิทันร้องสุดเสียงก็มีอันต้องสะดุด  “อ่ะ เจ้าจะ อุ้บ อื้อ คนเนรคุณ อื้อๆ”

          เฮ้อ เงียบสักที ในที่สุดหัวคิ้วที่ชนกันอย่างที่ยากจะหลับค่อยคลายลง ซวนหยวนหมิงไท่ค่อยๆผล็อยหลับทั้งที่ก่ายรัดร่างเล็กไว้แน่น มือหนึ่งก็อุดปากที่อ้าออกแล้วเป็นต้องเพ้อเจ้อไว้อย่างสบายใจ


 

**********************************************



          เวลาสายของวันต่อมา ไป๋เซ่อตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจซ้ายขวา ครั้นเบนหน้ามองคนยังไม่ตื่นก็พลันพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายมีสีเลือดขึ้นบ้างแล้ว เขาถอนหายใจโล่งอก จากนั้นจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง อาจเป็นเพราะเมื่อคืนได้หลับเต็มตื่น...แต่เอ จริงๆน่ะหรือ

          ดวงตาสีฟ้าอมเขียวพลันเบิกโพลง นึกทบทวนดูแล้วมิใช่ว่าตนโดนอุดปากจนเพลียหลับไปหรอกหรือ เส้นเลือดบนหน้าผากถึงกับกระตุก เขาชูมือขึ้นหมายทุบตีคนน่าชัง

          ทว่าก็เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างสูงขยับ อาภรณ์คลุมกายพลันเลิกขึ้นจนเห็นบ่ากว้าง กล้ามเนื้อหน้าท้องดูสมส่วน ยังผลให้กำปั้นที่ชูเหนือศีรษะต้องชะงักค้าง แลประโยคหนึ่งดังขึ้นในใจ

          น่ากิน...น่ากินไปหมด ฮี่ ฮี่ ฮี่

          “เฮือก” ฉับพลันที่น้ำลายหยดแหมะๆใส่หน้าท้องที่แน่นขนัด ไป๋เซ่อก็รีบสูดน้ำลายที่เอ่อล้นออกมาเข้าปาก จากนั้นกลืนลงคออึกใหญ่แล้วหัวเราะแห้งๆ “ฮ่า ฮ่า นี่เป็นเพราะความหิว ใช่แล้วต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ ข้าต้องออกไปหาของกิน” พร่ำพูดอย่างเลื่อนลอย จากนั้นจึงวิ่งจู๊ดออกจากถ้ำ มิได้สังเกตเห็นว่าคนที่หลับอยู่นั้นลืมตาขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้ว

          “อ๊ากกก” บ้า บ้าที่สุด ไฉนจึงรู้สึกว่าเจ้าลูกเต่านั่นน่ากินกันนะ นี่มันน่าอายเกินไปแล้ว ไป๋เซ่อก็กรีดร้องสุดเสียง แต่มาตรว่าจะปลดปล่อยเสียงไปแล้วก็ยังคงไม่พอ ภาพในขณะที่ตนทำน้ำลายหยดใส่ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงแจ่มชัดในสมอง โชคยังดีที่เจ้าตัวยังคงมิตื่น มิเช่นนั้นเขาคงต้องแทรกหน้าลงกับแผ่นดินแล้ว

          หลังจากพอจะสงบจิตสงบใจได้บ้าง ไป๋เซ่อก็เริ่มออกไปเก็บผลไม้ป่าที่มีอยู่ประปราย ครั้นเก็บได้พอสมควรลำคอก็เกิดแห้งผาก จึงคิดหาลำธารเพื่อดื่มดับกระหาย ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่สายตาเหลือบไปพบบางสิ่ง แลดูคล้ายมันกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง

          “เสี่ยวเฮย” เขาร้องเรียกอย่างดีใจ ก่อนจะใช้มือตะครุบคว้าร่างเรียวยาวสีดำขึ้นลูบคลำจากทางด้านหลัง

          อสรพิษตัวดังกล่าวถึงกับชะงักตกใจ เป็นครั้งแรกที่มันถูกจับโดยที่มิได้ตั้งตัว ทั้งสัมผัสมิได้ถึงเสียงฝีเท้าหรือได้กลิ่นอายของมนุษย์แม้แต่น้อย ดังนั้นมันได้แต่ข้องใจระหว่างนั้นก็สองมือพัวพันนัวเนียมันไม่หยุด

          “ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าเมื่อวาน” นึกดูแล้วคราก่อนยังไม่ได้กล่าวขอบคุณก็จากไป ยังดีที่บังเอิญได้พบเสี่ยวเฮยอีกครั้ง

          หือ ฟังแล้วมันก็หยุดดิ้น หรือนี่จะเป็นคนที่เจ้าเด็กตัวดีนั่นคุยโวว่าช่วยเอาไว้ มันผงกคอมองดวงหน้าที่เย้ายวนแวบหนึ่งก็จดจำได้ว่าเคยพบหน้าคร่าตาอีกฝ่ายมาก่อน แต่แล้วจู่ๆเจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็ทำหน้าฉงน ทั้งยิ่งบีบตัวมันเป็นการใหญ่

          “เอ แต่ทำไมเจ้าถึงอ้วนจัง”

          เปรี้ยง ราวกับมีฟ้าผ่าไปทั่วทั้งร่าง มันตกตะลึงวูบ...นี่มันอ้วนกระนั้นหรือ มันเผลอก้มหน้าดูพุงตัวเอง

          “ไม่ใช่สิ เจ้าไม่ใช่เสี่ยวเฮย เสี่ยวเฮยต้องตัวเล็กกว่านี้ และไม่ยาวขนาดนี้” ไป๋เซ่อยืดตัวอสรพิษที่หดตัวอย่างเหนียมอายออก จดๆจ้องอยู่สักพักจึงกล่าวสืบต่อ “หรือเจ้าจะเป็นพ่อเสี่ยวเฮย”

          เปรี้ยง คราวนี้ราวกับมีฟ้าผ่าที่กลางใจ มันเบิกตาค้างวูบ...มันดูแก่ถึงเพียงนี้เลยหรือ ครานี้มันถึงกับคอตก

          “ต้องใช่แน่ๆเลย” ไป๋เซ่อยิ้มแฉ่งก่อนกล่าวสืบต่อ “ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกข้าได้รึไม่ ว่าลำธารอยู่ทางด้านใด”
         
          “ฝ่อ ฝ่อ” มันร้องขู่ฝ่อเสียงเบา ดูว่าความมั่นใจที่สั่งสมมานานพลันสลายหายไปก็ในวันนี้

          “ทางนู้นหรือ ของคุณเจ้ามาก พบกันคราวหน้าข้าจะต้องตอบแทนพวกพ่อลูกแน่ๆ แฮะ แฮะ”

          เด็กหนุ่มหัวเราะจบก็ถือวิสาสะลูบคลำลำตัวนุ่มนิ่มของมันอีกสักหน่อย จากนั้นวางมันลงอย่างเบามือ แล้ววิ่งไปตามทิศทางมันกล่าวไว้ ยังผลให้มันได้แต่มองส่งคนที่ร่าเริงด้วยอาการจิตตกอยู่ลึกๆ ก่อนจะฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบเลื้อยตามไป

          ณ ลำธารขนาดกว้างซึ่งน้ำไม่ลึกมากนัก หมู่มัจฉาตัวน้อยแหวกว่ายไปตามโขดหินอย่างมีชีวิตชีวา เห็นดังนั้นแล้วไป๋เซ่อที่หอบหิ้วผลไม้ลงจากเนินเขาก็รีบก้มตัวลงดื่มน้ำอึกใหญ่ แลด้วยความชุ่มฉ่ำของสายน้ำ ทำให้เมื่อดับกระหายแล้วก็ต้องเหลียวซ้ายแลขวาอยู่หลายครั้ง ดูว่าแถวนี้ไร้ซึ่งผู้คนอย่างแท้จริง ไป๋เซ่อก็ยกยิ้มแฉ่ง ไม่รีรออีกต่อไปกระโจนกายลงน้ำในทันที

          เป็นเพียงพริบตาเดียวก่อนที่ร่างจะกระทบสู่ผิวน้ำ ร่างเล็กก็กลับกลายเป็นเช่นงูเผือก เลื้อยไปมาในเขตน้ำตื้น ปลายหางพลันสะบัดตีไปมาราวกับชอบใจที่ได้เล่นน้ำอยู่เช่นนี้

          ทว่าห่างออกไปจากลำธารซึ่งไม่ไกลกันมากนัก กลับมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ลอบมองความเป็นไปของเด็กหนุ่มจวบจนเจ้าตัวคืนร่างที่มิใช่มนุษย์ ซึ่งเพียงแวบเดียวที่เขาเห็นงูเผือกตัวน้อย ดวงตาสีดำอมม่วงก็ถึงกับทอประกายเจิดจ้าอย่างยากที่จะเห็นได้ในหลายร้อยปี ริมฝีปากเหยียดยิ้มบางพลางพึมพำเสียงเบา

          “เป็นเจ้า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ”





[1] เฮย (黑) แปลว่า ดำ ซึ่งเสี่ยวเฮยในที่นี่ หมายถึง เจ้าดำน้อย




****************************************************



- เเฮปปี้วาเลนไทน์จ้า บทนี้เเอบติดช่วงท้ายๆ นั่งเขียนอยู่นานเเบบคิดไรไม่ออก เเบบรู้สึกคำซ้ำเยอะ ใช้เเต่คำเดิมๆ อ่านเเล้วเฉยๆ ถ้ายังไงอ่านเเล้วรู้สึกเช่นกัน ก็ฝากเม้นท์เเนะนำกันด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 8 มือสังหาร 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 14-02-2016 23:18:20
โอ้ยยย เดี๋ยวเคลียร์งานที่ท่วมได้หมดจะเข้ามาอ่านมาเม้นน้า มาให้กำลังใจก่อน  :L2:
ชอบตั้งกะภาคที่แล้วล่ะค่า แต่ตอนแรกคิดว่าน้องงูจะคู่กะน้องแมว เมี๊ยวๆซะอีก 55555
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 8 มือสังหาร 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-02-2016 19:41:35
 :L2: :pig4:

็Happy Valentine's Day ย้อนหลังคุณนักเขียน
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 8 มือสังหาร 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 15-02-2016 20:11:58
พระรองเรามาแย้วววว
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 8 มือสังหาร 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 16-02-2016 08:37:26
ฮาไป๋เซ่อ
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 9 ผู้มาใหม่ 22/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 22-02-2016 22:25:44
บทที่ 9 ผู้มาใหม่

 

          ภายใต้ร่มไม้ใหญ่อันร่มรื่น เด็กชายผู้หนึ่งนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดกระสับส่ายตัวไปมาไม่หยุด ริมฝีปากน้อยขบเคี้ยวก้านหลิวบรรเทาอาการท้องไส้กิ่ว มือหนึ่งก็ลูบท้องอันน่าสงสารป้อยๆ หากยังไม่มีของตกถึงท้องอีก เกรงว่าเขาต้องกลายเป็นงูตากแห้งสถานเดียวแล้ว คิดถึงตรงนี้เงาร่างอันเป็นความหวังก็พลันพาดทอลงมา

          หงลิ่วรีบหันไปกล่าวน้ำเสียงสดใส “พี่ใหญ่ในที่สุดท่านก็กลับมาสักที ไหนๆอาหารของข้า”

          ฉับพลับที่เห็นสองมือคู่ใหญ่ว่างเปล่า รอยยิ้มของหงลิ่วก็ชะงักค้าง มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านบอกจะออกไปหาอาหารหรือ แล้วเหตุไฉนจึงไม่มีสิ่งใดติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง รึมันจะซ่อนอยู่ในอกเสื้อ?

          “ไป” น้ำเสียงห้วนเอ่ยขึ้น หงเว่ยก้าวข้ามร่างที่ทำตาโตเท่าไข่ห่านไปเก็บกระบี่เล่มหนึ่งที่วางไว้ข้างกายเจ้าตัวอย่างมิสนใจ

          ความเย็นชาแลเผด็จการของพี่ใหญ่ใช่ว่าเขามิคุ้นเคย แต่ครั้งนี้เพียงกล่าวคำเดียวก็ต้องไป แล้วท้องไส้หิวโหยของเขาเล่า “พี่ใหญ่ ท่านทำเกินไปแล้ว ต่อให้ต้องรีบไปพบหงอู่ก็มิเห็นต้องถึงขนาดละเลยท้องของข้า” ประท้วงจบก็โชว์เสียงร้องโครกครากราวกับแผ่นดินไหวให้อีกฝ่ายฟัง

          “.......” หงเว่ยเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ปรายตามองผู้เป็นน้องชาย “เจ้าควรบำเพ็ญตนให้มากกว่านี้”

          ประโยคเดียวทำเอาหงลิ่วหน้าสลด ตัวซูบซีดลงเฉกเช่นลูกนกที่มิอาจพองขน นับดูแล้วเขาบำเพ็ญตนมาครบเจ็ดวัน ระหว่างวันมีเพียงน้ำสะอาดที่ตกถึงท้อง ล่วงเลยถึงวันนี้ก็ยังต้องอด รู้เช่นนี้เขาคงไม่งอแงออกปากติดตามพี่ใหญ่ไปเผชิญกับโลกหล้า อยู่ช่วงหงอู่ทำนาใช้ชีวิตเรียบง่ายเสียดีกว่า

          เด็กน้อยอยากร้องไห้ก็ร้องมิออก ได้แต่เดินตามหงเว่ยต้อยๆ ไปอย่างนั้น กระนั้นพอเห็นพี่ชายเลี้ยวผิดทางก็ส่งเสียง “พี่ใหญ่ทางลงเขาอยู่ทางนี้”

          “ข้ามิได้จะลงเขา”

          “หือ” หงลิ่วงงงัน เป็นเพราะเขาต้องฝึกตนระยะสั้น ทำให้การเดินทางไปหาหงอู่นั้นล่าช้าไปกว่ากำหนดเดิม แลหากช้าไปกว่านี้...สองมือพลันลูบก้นน้อยๆ “แต่หากมิรีบไปอีก หงอู่จะตีข้าจริงๆนะ”

          เงียบงันอยู่เนิ่นนานหงเว่ยก็เอ่ยเสียงเรียบ “ข้า...รับผิดชอบเอง”

          “เอ๋ จริงเหรอ” รับฟังแล้วก็โล่งใจ จะอย่างไรหงอู่ก็มิกล้าขัดอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว หงลิ่วเริ่มคึกคักกว่าเดิม จนกระทั่งสังเกตเห็นพี่ใหญ่ตรงไปยังทิศทางหนึ่งก็เริ่มเอะใจ “นี่มันทางไปยังถ้ำที่ข้าบอกเด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นนี่นา”

          “......”

          มองแผ่นหลังที่ไร้วาจาก้าวย่างไม่หยุด หงลิ่วก็อุทานเสียงดัง “เอ๊ะ หรือว่าพี่ใหญ่เจอเขาเข้าแล้ว”

          “......” ครานี้หงเว่ยชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อ ทว่าท่าทีเล็กน้อยเหล่านี้กลับมิอาจเล็ดลอดไปจากสายตาฉับไวของหงลิ่วไปได้

          “สวรรค์ ท่านเองก็ถูกเขาลวนลาม” นี่ไม่ธรรมดาแล้ว ถึงกับสามารถแตะต้องตัวพี่ใหญ่ได้

          “......”

          ผู้เป็นพี่ยังคงเมินมิตอบคำถาม ทำให้หงลิ่วต้องลุกลี้ลุกลนวิ่งไปดักหน้าพี่ชายเอาไว้ ครั้นสบใบหน้าคมคายได้เต็มตา เด็กน้อยก็มีอันตะลึงลานไป

          “ทำไม? มีกระไรติดหน้าข้ารึ” หงเว่ยกระแอมไอเอ่ยเสียงเข้ม

          “อ่ะ...เอ่อ ไม่มีอะไร ไม่มีๆ ฮ่า ฮ่า” หงลิ่วหลบหน้า เหงื่อผุดผาดที่แนบข้างแก้ม เขาใช่ตาฝาดไปรึไม่ พี่ใหญ่ถึงกับ...หน้าแดง

          สิ้นสุดบทสนทนาอันสั้น บรรยากาศโดยรอบก็พลันเปลี่ยนเป็นน่าอึดอัด สองพี่น้องนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ จนในที่สุดคนที่มิค่อยกล่าววาจาก็เป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยขึ้นก่อน

          “สีหน้าเขาดูไม่ดี มิอาจนิ่งดูดาย”

          หือ ประโยคที่คล้ายกล่าวลอยๆขึ้นนั้นทำให้หงลิ่วต้องลอบมองพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะแลเห็นสีแดงระเรื่อที่ฉาบทับบนใบหน้าที่มักตายด้านอย่างทุกที เขาเบิกตาโต...เขามิได้มองผิดไปจริงๆ

          พี่ใหญ่ที่มักแสดงสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ขนาดที่เขาโดนหงอู่ตีจนก้นบวมฉึ่งน้ำตาแตกก็ไม่มีแม้แต่ความเห็นใจ ทั้งเสนอตัวช่วยส่งไม้เรียวอันใหม่ให้ ยังสามารถแสดงสีหน้าเขินอายเช่นนี้ได้ด้วย

          หงลิ่วค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว ดูว่าความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อของพี่ใหญ่นี้จะเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มที่ตนเคยช่วยไว้ แลระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักนั้น จู่ๆเจ้าของฝีเท้ามั่นคงที่เบื้องหน้าก็พลันหยุดลง พลอยทำให้เขาต้องหยุดตัวลงถามอย่างสงสัย “มีอะไรรึพี่ใหญ่”

          หงเว่ยหลุบตาต่ำก้มหน้ามองดูดอกไม้ป่าที่เบ่งบานบนพื้น “เจ้าหก เจ้าคิดว่า...” บุรุษหนุ่มเว้นเสียงไปเล็กน้อยอย่างสับสน จากนั้นจึงตัดสินใจกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าอ้วนไปรึไม่”

          “.......” แท้จริงแล้วคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ต้องเป็นปีศาจจิ้งจอกที่จำแลงกายมาหลอกเขาเป็นแน่ หงลิ่วพยักหน้าสรุปในใจอย่างที่ไม่เคยมั่นใจอะไรได้เท่านี้มาก่อน


 

*****************************************************

 

          ร่างเล็กออกไปได้สักพัก ชายหนุ่มที่อยู่เพียงลำพังก็ค่อยๆยันกายขึ้นพิงผนังถ้ำ ทว่าด้วยร่างกายที่บาดเจ็บทำให้การเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความทุลักทุเล เหงื่อกาฬผุดผาดแนบหน้าผาก ลมหายใจกระชั้น

          เห็นทีร่างกายเขาคงยากแก่การฟื้นฟูในระยะเวลาอันสั้น ซวนหยวนหมิงไท่กุมบาดแผลที่หน้าท้อง สีหน้าเคร่งเครียดไปหลายส่วน ตอนนี้มิรู้ว่าเหล่าองครักษ์และเสี่ยวลู่จะเป็นตายร้ายดีเช่นไร อีกทั้งยังมิรู้ว่าเงามืดที่ชักใยอยู่เบื้องหลังกลุ่มนักฆ่านั้นเป็นใครกันแน่

          ประหนึ่งศัตรูอยู่ในที่ลับ เขาอยู่ในที่แจ้ง เดิมทีการที่เขาเป็นผู้แทนพระองค์ออกตรวจราชการลับ นอกจากองครักษ์ประจำตัวแล้วนับว่ามีคนรู้เพียงหยิบมือ แต่แล้วทำไมนักฆ่ากลุ่มนั้นจึงโจมตีพวกเขาระหว่างเดินทางกลับไปยังเขาหวงซานได้ถูกที่ถูกเวลากันเล่า

          นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้นหรือ?

          หึ ซวนหยวนหมิงไท่เหยียดยิ้มมุมปาก เกรงว่าเป็นเพราะข้อมูลรั่วไหลเสียมากกว่า ในกลุ่มองครักษ์จะต้องมีเกลือเป็นหนอน เพราะในทุกๆเมืองที่พวกเขาผ่าน ล้วนมีองครักษ์ประจำพระองค์อีกกลุ่มหนึ่งเดินทางล่วงหน้าเพื่อเตรียมการช่วยเหลือในพื้นที่

          รัชทายาทถอนหายใจยาวได้แต่สรุปว่าเพลานี้มิควรหุนหัน ถึงตอนนี้กองไฟที่เคยให้แสงสว่างก็ดับมอดลง เขาพลันทอดสายตาไปยังปากทางเข้าถ้ำ ความจริงร่างเล็กออกไปนานแล้วมิใช่หรือ ไยจึงยังมิกลับมาอีก

          นั่งชะเง้อรอคอยอยู่ได้ไม่นาน ก็ฝืนยืนหยัดออกไปตามหาคนอย่างร้อนใจ นี่เป็นเขาเลอะเลือนปล่อยให้ร่างเล็กออกไปเพียงลำพัง หากเจ้าตัวพบกับพวกนักฆ่าเล่า “ไป๋เซ่อ” เขาตะโกนร้องเรียกไปทั่วบริเวณ

          ถึงเพลานี้ก็มิกลัวพบมือสังหารอีก เพียงกลัวมิได้พบร่างเล็กเสียมากกว่า ซวนหยวนหมิงไท่พร่ำเรียกราวกับคนเสียสติ ต่อเมื่อมาถึงทางลาดชันสองขาที่ก้าวอย่างเร่งรีบก็เกิดไม่สัมพันธ์กัน ส่งผลให้เขาสะดุดล้มกลิ้งไปหลายตลบ ทว่าไม่นานนักเสียงร้องตกอกตกใจก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก

          “ซวนหยวนหมิงไท่” เห็นคนที่กลิ้งลงมาคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไป๋เซ่อซึ่งมือหนึ่งหอบหิ้วผลไม้ อีกมือหนึ่งถือใบบัวที่บรรจุด้วยน้ำสะอาดก็รีบวิ่งเข้าไปหา

          “เจ้าเป็นบ้าอะไร ถึงได้มากลิ้งเล่นแถวนี้ มิกลัวพวกมือสังหารจะมาตัดศีรษะเจ้ารึ หากต้องการไปพบยมบาลนักก็บอกข้ามา ข้าจะส่งเจ้าไปเอง” ไป๋เซ่อถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างมีโทสะ ก่อนที่จะเผลอสบกับดวงตาใสแป๋วคล้ายเด็กที่กระทำความผิดก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

          จะมีสักกี่คนกันเชียวที่กล้าตำหนิเขาด้วยความห่วงใยเช่นนี้

          ซวนหยวนหมิงไท่จับจ้องมองร่างเล็กอย่างลึกซึ้ง มาตรแม้นถูกตำหนิก็ไม่คิดจะตอบโต้ แต่ทว่าท่าทีเหล่านี้ไป๋เซ่อกลับไม่คุ้นเคย ยังผลให้อึกอักทำตัวไม่ถูก สุดท้ายจึงแสร้งทำรำคาญใจ

          “ยังจะจ้องหาอันใด ไปๆ ข้าจะพยุงเจ้ากลับ”

          กว่าที่คนทั้งสองจะกลับเข้าไปในถ้ำได้สำเร็จ ไป๋เซ่อที่สองมือเต็มไปด้วยข้าวของ อีกทั้งยังต้องช่วยพยุงร่างสูงก็หอบแฮก ด้านชายหนุ่มที่นั่งพิงผนังถ้ำเย็นชืดก็แลดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ริมฝีปากบางแตกระแหง

          “เจ้าดื่มน้ำสักหน่อย”

          รับน้ำที่ยื่นส่งมาขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย ด้านไป๋เซ่อก็หันไปง่วนกับผลไม้ป่าที่เก็บมา ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่กินอย่างมีความสุข จากนั้นจึงกล่าว “หากข้าเป็นเพียงคนธรรมดามิได้มีอำนาจอันใด เจ้ายังจะช่วยข้าแบบนี้อยู่อีกรึเปล่า”

          “เรื่องของเจ้า” ไป๋เซ่อกัดสาลี่คำโตกล่าวตอบห้วนๆ

          สีหน้าของรัชทายาทหนุ่มพลันหม่นหมอง ความผิดหวังและความโดดเดี่ยวกอบกุมภายจิตใจลึกๆ ในอกคล้ายมีบางสิ่งที่อัดอั้นมิอาจระบายมันออกมาได้

          “เจ้าจะเป็นใครก็เรื่องของเจ้า ข้าน่ะเป็นงูเผือกสวรรค์ มือขวาของท่านมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ก็พอแล้ว” 

          รับฟังแล้วดวงตาที่เฉกเช่นแสงตะวันก็ทอประกายระยิบระยับ นี่หมายความว่าไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อีกฝ่ายก็มิได้สนใจตั้งแต่แรกใช่รึไม่ ความผิดหวังที่ได้รับก่อนหน้ากลับสลายหายไปปลิดทิ้ง ริมฝีปากขยับยกยิ้ม ก่อนที่จะเผลอเอ่ยประโยคในใจออกมา

          “ข้าชอบเจ้า”

          ทว่าเสียงที่ดังออกมากลับเป็นเพียงน้ำเสียงเบาบางและอ่อนโยน ไป๋เซ่อหันหน้าไปยังต้นเสียง คลับคล้ายอีกฝ่ายกล่าวอะไรบางอย่าง อะไรข้า อะไรเจ้า ฟังไม่รู้เรื่อง “หือ เจ้าพูดกระไรงั้นรึ”

          “ไม่มี ไม่มีอะไร”

          ไป๋เซ่อมองซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มจนตาเป็นเส้นโค้งอย่างงงัน ก่อนจะกลับไปเคี้ยวแก้มตุ้ยๆ เอ่ยเสียงอู้อี้ “ว่าแต่เจ้าเถอะ แผลเป็นเช่นไรบ้าง อักเสบรึไม่”

          “อ่อ” ชายหนุ่มอือออ จากนั้นก้มหน้าลงแหวกสาบเสื้อ ผิวกายที่ขาวซีด หัวไหล่นวลเนียนค่อยๆเปิดโล่งสู่สายตา เส้นผมที่ไร้การมวยมุ่นปล่อยยาวสยายขับดันให้เจ้าของร่างดูมีเสน่ห์มากขึ้น

          สาลี่ครึ่งลูกที่กัดค้างอยู่ในปากร่วงผล็อย ไป๋เซ่อเผลอชมดูเรือนร่างเปล่งประกายแม้ในยามเจ็บป่วยอย่างโง่งม กระทั่งน้ำลายเอ่อล้นจนถึงมุมปาก เขาก็ได้สติ “ว๊ากกก โรคจิต เจ้าจะทำอะไร”

          โรคจิต...ซวนหยวนหมิงไท่กรอกตาไปมา หากคนอย่างเขาโรคจิต แล้วคนที่ลอบมองร่างกายผู้อื่นจนถึงขั้นน้ำลายหก ยังจะมีสิทธิ์ว่ากล่าวผู้อื่นอีกกระนั้นหรือ เขาพ่นลมทางจมูก แสร้งกล่าวน้ำเสียงซื่อ

          “อา จะว่าไปแล้ว วันนี้ข้าตื่นขึ้นมาเพราะคล้ายรู้สึกถึงหยดน้ำจำนวนหนึ่ง แต่มาตอนนี้ดูๆไปแล้วถ้ำแห่งนี้ก็มิได้อับชื้นถึงขั้นมีน้ำค้างเกาะ เช่นนั้นเจ้าว่ามันคืออะไรกัน”

          ร่างเล็กผงะ นึกถึงเรื่องน่าอับอายก่อนหน้านี้ “ฝะ...ฝน เมื่อคืนฝนตกหนัก ต้องเป็นเพราะฝนแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พร่ำพูดจบก็พยายามหัวเราะกลบเกลื่อน “แต่เดี๋ยวๆ เจ้าเข้ามาใกล้ข้าทำไม”

          “อ้าว มิใช่เจ้าอยากดูหรือ”

          “มารดามันเถอะ ใครอยากดูเรือนร่างเจ้ากัน” ไป๋เซ่อสบถ ทั้งรีบยกสองมือขึ้นปิดตา แต่แล้วทำไมถึงยังเห็นกล้ามหน้าท้องอันแน่นขนัดของอีกฝ่ายชัดนักล่ะ

          “เอ่อ ข้าให้เจ้าดูแผล” เขาบอกคนที่มองลอดหว่างนิ้ว สติดูเลื่อนลอยไปอีกครั้ง

          “อ้ะ อื้อ...ก็แผลเจ้าน่ะสิ” เมื่อตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง ไป๋เซ่อก็ถลึงตาตวาดกลบเกลื่อน

          “......” ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่กล่าวขัดแย้งกับความเป็นจริงแล้วก็ต้องลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ มือหนึ่งเลิกชายเสื้อให้มากขึ้นกว่าเดิม

          “หนอย เจ้าคิดปั่นหัวข้าชัดๆ”

          “ข้าไม่เข้าใจ เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร”


 

***********************************************


          ระหว่างที่ทุ่มเถียง เสียงฝีเท้าสองคู่กลับใกล้เข้ามา ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อที่ประสาทสัมผัสไวต่างรีบพากันอุดปากของแต่ละฝ่าย ก่อนจะจ้องมองไปที่ปากทางเข้ากันอย่างพร้อมเพรียง หวังว่าคงจะมิใช่กลุ่มนักฆ่าหรอกนะ

          “เฮ้ ที่นี่มีใครอยู่บ้าง”

          ลุ้นกันเสียจนเหงื่อแทบตก สุดท้ายกลับกลายเป็นเสียงเด็กชายอายุราวสิบถึงสิบสอง ไป๋เซ่อรีบงับฝ่ามือชายหนุ่มจนร้องโอ๊ยทีหนึ่งแล้วตะโกนถามคนที่อยู่ด้านนอก “เจ้าเป็นใคร”

          “พวกเราเป็นหมอที่เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ หากพวกท่านไม่ว่ากระไร ขอพวกเราพักที่นี่สักสองสาม...เฮือก” เด็กน้อยผู้มีดวงตากลมเดินเข้ามาในถ้ำต้องสะดุ้งเฮือก

          ด้านในถ้ำปรากฏเป็นภาพบุรุษสองคน ซึ่งผู้หนึ่งอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ท่าทางอิดโรยไร้เรี่ยวแรง แต่ที่สะดุดตาคือฝ่ามือที่มีรอยกัดชุ่มด้วยน้ำลายที่เยิ้มหมาดๆ ส่วนอีกผู้หนึ่งสาดสายตาหิวกระหาย ริมฝีปากเหยียดยิ้มประหนึ่งผู้ที่อยู่เหนือกว่า

          “เอ่อ ข้ามิรบกวนแล้ว ประเดี๋ยวจะกลับมาใหม่ พวกท่านมิต้องรีบกันนัก” โอ้ สวรรค์ ข้ายังเด็กถึงเพียงนี้ มิสมควรรับรู้เรื่องเช่นนี้ หงลิ่วบิดตัวอายม้วน ก่อนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว หากแต่กลับชนเข้ากับบุรุษร่างสูงอย่างจัง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องสบเข้ากับใบหน้าดำทะมึน

          ด้านไป๋เซ่อก็รีบผละตัวจากซวนหยวนหมิงไท่ไล่ตามเด็กชายไป “เดี๋ยว พวกเจ้าบอกว่าเป็นหมอหรือ”

          “ฮ่ะ ฮ่ะ ใช่แล้ว” หงลิ่วตอบ ดูว่าถ้าเขาตอบว่ามิใช่แล้วหันหลังจากไป พี่ใหญ่ที่ยืนคุมด้านหลังต้องเอาเขาตายแน่

          “ดีๆ ทางนี้” ไป๋เซ่อฉีกยิ้ม สองมือฉุดลากตัวเด็กชายตัวน้อยเข้าไปในถ้ำ “เจ้าลูกเต่า หมอมาแล้ว”

          “หมอ?” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกตามองเด็กที่ยังไม่โตถูกลากเข้ามาอย่างฉงน แลต่อเมื่อบุรุษร่างสูงก้าวเข้ามาทีหลังอย่างแช่มช้า ดวงตาสีดำก็สับเปลี่ยนเป็นคมกล้าในทันที “เจ้าเป็นหมอ”

          เป็นเพราะน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความสงสัยดังขึ้น หงเว่ยที่ไม่เคยจะเห็นหัวใครนัก จึงค่อยๆชายตามองไปทางบุรุษที่กึ่งนั่งกึ่งนอนตรงหน้าอย่างชืดชา “ใช่”

          ถ้อยคำห้วนสั้นจบลง บรรยากาศโดยรอบแปรเปลี่ยนเสมือนพายุโหม ดวงตาสองคู่ประจันมองกันอย่างไม่ลดละ ด้านไป๋เซ่อและหงลิ่วได้แต่มองคนทั้งคู่จ้องกันราวจะกินเลือดกินเนื้อกันอย่างงงงัน

          ครั้นเห็นท่าไม่ดี หงลิ่วผู้ฉลาดเฉลียวก็ตัดสินใจดึงชายเสื้อปรามผู้เป็นพี่ชาย รอจนหงเว่ยหลุบตาลงอย่างสงบเสงี่ยม เด็กน้อยก็กล่าวเจื้อยแจ้ว “พี่ชายท่านนี้ ข้าหงลิ่ว ส่วนคนนี้เป็นพะ”

          “พี่ชาย ข้าเป็นพี่ชาย...มิใช่บิดา” จู่ๆหงเว่ยก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สีหน้าจริงจังนั้นจ้องเขม็งไปที่ไป๋เซ่อ

          ด้วยท่าทีแปลกประหลาดของหงเว่ยส่งผลให้หงลิ่วเหงื่อตกรีบเสริมกล่าว “ใช่ เขาเป็นพี่ชายข้า นามหงเว่ย ส่วนพวกเจ้า...”

          “ข้าไป๋เซ่อ ส่วนเจ้าคนที่นอนแบบอยู่ตรงนั้นเรียกว่า”

          “หมิงไท่ ข้ามีนามว่าหมิงไท่” ซวนหยวนหมิงไท่ตัดบท เนื่องด้วยการบอกนามแท้จริงในตอนนี้ มิต่างกับการรนหาที่ตาย โดยเฉพาะเมื่อศัตรูเขาอยู่ในที่ลับ ดังนั้นเขามิอาจวางใจใครได้ “พวกเจ้าดูท่าทางไม่เหมือนหมอ” ประเมินมองแล้วหนึ่งเด็กหนึ่งบุรุษตรงหน้ามิได้มีลักษณะของหมอเลยสักนิด กระทั่งกลิ่นอายที่ติดตัวก็มิได้มีกลิ่นสมุนไพรแม้แต่น้อย และยิ่งท่าทีเย็นชาราวน้ำแข็งที่ไร้ความเมตตาของ...

           “ใช่รึไม่ ลองให้พี่ชายข้าตรวจดู พวกท่านจะรู้เอง” ก่อนที่ศึกสายตาจะเริ่มต้นอีกครั้ง หงลิ่วก็ขัดจังหวะ ครั้นพูดจบก็ผลักพี่ชายเข้าไปใกล้คนทั้งสอง

          ถึงตอนนี้หงเว่ยที่ถูกดันตัวไปข้างหน้าก็ก้าวออกไป ใช้นิ้วมือที่เรียวยาวคว้าจับมือเรียวเล็กขึ้นมาอย่างมิให้ตั้งตัว แตะสัมผัสชีพจรที่เต้นเป็นจังหวะอย่างอ่อนโยน ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับถลึงตากร้าว เนื่องด้วยมิชอบใจกับการกระทำนี้นัก

          “นี่เจ้าตรวจผิดคนแล้ว คนเจ็บอยู่ทางนู้นต่างหาก” ไป๋เซ่อกล่าวด้วยอาการมึนงง ไม่ว่าใครต่างดูก็รู้ว่าเขามิใช่คนป่วยทั้งนั้น

          “หงเว่ย เรียกข้าหงเว่ย” หงเว่ยขมวดคิ้วขึ้นน้ำเสียงทุ้มแกมบังคับ แม้เบื้องนอกฟังดูเย็นชา หากแต่ลึกๆแล้วกลับซ่อนไว้ด้วยความชิดเชื้อประการหนึ่ง “ตอนนี้ดวงตาของเจ้าทื่อนัก เป็นเพราะเจ้าฝืนใช้กำลังเกินตัว ต่อไปนี้ห้ามกระทำการหุนหัน”

          “เจ้ารู้” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงสูง อาการเหล่านี้มิใช่ว่าหมอธรรมดาจะตรวจพบได้ เห็นทีพวกเขาโชคดีเจอหมอเทวดาเข้าแล้ว

          หมายความว่าเยี่ยงไร ดวงตาทื่อ ใช้กำลังเกินตัว ซวนหยวนหมิงไท่ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ รึมีบางอย่างเกิดขึ้นกับไป๋เซ่อในตอนที่เขาหมดสติไป

          “ส่วนเจ้า มิจำเป็นต้องตรวจ” หงเว่ยกล่าวโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลซวนหยวนหมิงไท่ เขาหันไปบอกกับน้องชาย “เจ้าหก เจ้ารับผิดชอบหาสมุนไพรมารักษาเขา”

          “เห ข้าเหรอ ทำไมข้า? แล้วท่าน?” เลิกตาโตพร้อมทั้งชี้หน้าตนเอง กระทั่งผู้เป็นพี่ใหญ่สาดสายตาอำมหิตใส่ เด็กน้อยก็หุบปากโดยเร็ว

          “ข้าจะดูแลรักษา...ไป๋เซ่อ” ถึงประโยคนี้สายตากร้าวก็ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หงเว่ยมองใบหน้าเย้ายวนขี้เล่นคราหนึ่งก็หลุบตาลงกล่าวเสียงเบา “เจ้ามิต้องห่วง มีข้าเจ้าจะมิเป็นไร”

          คนผู้นี้กล่าวราวกับตนป่วยหนักแทบเป็นแทบตาย ไป๋เซ่อเกาศีรษะจนดังแกรกๆ ด้านบุรุษแปลกหน้าเองก็มิรอให้เขาหายงุนงง กลับก้าวฉับๆมุ่งมั่นไม่เหลียวแลสิ่งใดออกไป เหลือไว้เพียงหงลิ่วที่อ้าปากเหวอ ก่อนจะผลุนผลันติดตามพี่ชายไป

          “พี่ใหญ่ รอข้าด้วย”


 

*****************************************************

 

          ผู้มาใหม่ประเดี๋ยวมาประเดี๋ยวไป ทำให้บรรยากาศกลับมาสงบอีกครั้ง ซวนหยวนหมิงไท่ที่นั่งเงียบมาพักหนึ่งก็โพล่งถาม กลิ่นอายรอบตัวเปี่ยมไปด้วยความกดดัน “ไปเซ่อ ก่อนหน้านี้เจ้าช่วยข้ามาได้อย่างไร”

          ไป๋เซ่อผงะไปเล็กน้อย แต่แสร้งทำเป็นแค่นเสียงกลบเกลื่อน “เฮอะ ถามโง่ๆ หลังจากที่เจ้าหมดสติไป ข้าก็ย้อนกลับไปลากตัวเจ้ามาที่นี่น่ะสิ”

          “แล้วระหว่างที่เจ้าพาข้ามาที่นี่ เจ้ามิได้พบกับคนร้ายชุดดำสักคน”

          “ไม่ ไม่นี่” ไป๋เซ่อตอบสั้นๆ ก่อนจะหลบสายตาอย่างมีพิรุธ

          “เจ้าโกหก” ถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ลุกพรวดตวาดเสียงแข็ง พลางก้าวเข้าไปประชันหน้ากับร่างเล็ก “แล้วทำไมเขาถึงบอกว่าเจ้าฝืนใช้กำลังเกินตัว ยังมีดวงตาที่ทื่อลงนั้นอีก เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงต้องปิดบังข้า หรือแท้จริงแล้วสำหรับเจ้าข้ามิใช่...” คนสำคัญหรอกหรือ

          “แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้า” เมื่อโดนไล่ต้อนไป๋เซ่อก็แหงนคอมองคนที่เสียสติ ก่อนจะโต้ตอบอย่างไม่พอใจ

          “เจ้ายังไม่รู้?” ซวนหยวนหมิงไท่กัดฟันแน่น ริมฝีปากเม้มจนเห็นเป็นเส้นตรง กระทั่งครู่หนึ่งจึงสามารถพรั่งพรูประโยคที่อัดอั้นภายในออกมาได้ “แล้วเจ้าไม่คิดบ้างว่าข้าจะเป็นห่วงเจ้า”

          ดวงตาสีดำที่มักเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ในเพลานี้กลับมีแต่ความเศร้าเสียใจประการหนึ่ง รัชทายาทหนุ่มถ่ายทอดคำดังกล่าวจบแล้วก็หันตัวกลับไป แผ่นหลังอันโดดเดี่ยวสะท้อนเข้าสู่ดวงสีฟ้าอมเขียว ไป๋เซ่อพลันสะอึก รู้สึกพูดเกินไปอยู่บ้าง

          “นี่ ซวนหยวนหมิงไท่”

          ลองร้องเรียกคนที่กลับไปนั่งหลับตากอดอกอยู่เงียบๆ แต่กระนั้นก็มิได้มีเสียงตอบรับกลับมา คล้ายตนถูกขวางกั้นไว้ด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น หัวใจของไป๋เซ่อพลันเจ็บหนึบอย่างไรบอกไม่ถูก ครั้นหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งก็เข้าไปทรุดนั่งใกล้ๆชายหนุ่มอย่างหงอยๆ

          “ความจริงแล้วข้ามิได้ต้องการปิดเจ้า เพียงแต่ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องกังวล”

          “.......”

          ไป๋เซ่อง้องอน หากแต่ก็มิได้ผล ในที่สุดได้แต่ยอมเปิดปาก“บนพิภพมนุษย์นั้นทุกสรรพสิ่งล้วนมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะดีเลวเช่นใด พวกเราได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง มิอาจก้าวก่ายตัดสินทำลายชีวิตใดด้วยอารมณ์ความรู้สึกของตนได้ นี่ถือเป็นกฎเบื้องต้นของเหล่าเทพเซียนบนพิภพสวรรค์ ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เทพเทวะอย่างข้า หากแต่ว่าวันนั้น...”

          ร่างเล็กนิ่งเงียบนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วก็ตัวสั่นน้อยๆ แม้ตนจะกำจัดปีศาจไปมากมาย แต่กระนั้นกลับเป็นครั้งแรกที่ตนลงมือฆ่าคน “ข้าจำต้องฝืนกฎนั้น”

          ราวกับแผ่นดินถล่ม ประโยคดังกล่าวทำให้ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่เบิกโพลงวูบ มองไป๋เซ่อที่นั่งกอดเข่าเอ่ยน้ำเสียงเศร้า

          “ดังนั้นข้าจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน ดวงตาพันลี้ของข้าก็เลย” นี่เป็นเหตุที่ทำให้เขาเดินวนเวียนตามหาทสถานที่ปลอดภัยอยู่นานสองนาน ซึ่งการที่ดวงตาเขามิอาจใช้ออกได้เหมือนเดิม ยังผลให้เขาตื่นกลัวอยู่ลึกๆ

          “พอแล้ว ไป๋เซ่อ มิต้องพูดแล้ว” พลันโถมตัวกอดร่างเล็กที่ตัวเริ่มสั่นเทาไว้ ถึงตอนนี้จึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทำไมร่างเล็กต้องปิดบังเอาไว้

          มาตรว่าต้องสูญเสียพลังฝีมือที่มีอยู่ มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกสิ้นหวัง ยิ่งคนที่มั่นใจในตนเองเช่นไป๋เซ่อ กลับต้องสูญเสียความสามารถไป...เพราะเลือกช่วยเขา

          “ไป๋เซ่อ ข้า...ข้า” พอคิดว่าร่างเล็กซ่อนความทุกข์ไว้บนรอยยิ้มแฉ่งแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็มิอาจเอ่ยถ้อยคำใดได้อีก สิ่งที่เจ้าต้องจ่ายออกไป ข้าจะตอบแทนเช่นไรได้

          ขณะที่ครุ่นคิดอย่างรู้สึกผิด ฉับพลันนั้นก็รู้สึกถึงของเหลวเยียบเย็นแปลกๆตรงหน้าท้อง เขาพลันก้มหน้าลงโดยปริยาย อืม ดูว่าเขาลืมสวมเสื้อให้มิดชิดสินะ ซวนหยวนหมิงไท่เงยหน้าที่ราวกับคนตายด้าน ท้ายที่สุดแล้วจึงสามารถคิดหาทางปลอบประโลมใจ ทั้งสรรหาคำพูดได้แล้ว

          “โรคจิต”

          อีกทางด้านหนึ่ง ระหว่างที่หงลิ่ววิ่งตามออกมาก็ส่งเสียงหยุดฝีเท้าหงเว่ยเอาไว้ “พี่ใหญ่ๆ ท่านจะไปไหน”

          “ข้าจะไปหาดอกพราวแสง”

          “หา” หงลิ่วอุทาน ดอกพราวแสง สมุนไพรวิเศษหายาก ซึ่งเติบโตอยู่ในส่วนลึกของทะเลตงไห่ที่กว้างใหญ่ ร้อยปีออกดอกเพียงครั้ง มีสรรพคุณเพิ่มพูนตบะเทียบเท่าร้อยปี ทั้งยังสามารถรักษาโรคนานาชนิด เหตุใดพี่ใหญ่จึงทุ่มเทให้กับคนที่พึ่งรู้จัก ทั้งเพียงพบหน้ากันไม่กี่ครั้งด้วย

          “พี่ใหญ่ ทำไมท่านต้องทุ่มเทช่วยเขาถึงเพียงนี้ หากท่านไม่บอกครานี้ข้าไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่” เด็กน้อยเบ้ปากพลางก็กระโจนเข้าไปเกาะท่อนขาแข็งแรงของอีกฝ่าย

          “ปล่อยข้าหงลิ่ว ครั้งนั้นข้ามิได้อยู่ข้างกายเขา มิได้ช่วยปกป้องคุ้มครองเขา ทำให้เขาต้องประสบเคราะห์ร้ายเพียงลำพัง ดังนั้นครานี้ข้าตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันออกห่างจากเขาอีก” ขณะที่เอ่ยแววตาคมกล้าก็ดูล่องลอยไปไกล ผิดกับหงลิ่วที่ตกตะลึง

          “ท่านกำลังบอกว่าเขาคือคนคนนั้น” ดวงตากลมโตเลิกกว้างบุคคลที่ทำให้พี่ใหญ่บ้าคลั่ง จนเกือบถูกท่านพ่อตัดขาดจากตระกูล สุดท้ายถูกลงโทษกักอยู่บนเขานานนับร้อยปีนั้นน่ะหรือ

          “ข้าจะกลับมาก่อนตะวันตกดิน”

          “ตะวันตกดิน ท่านบ้าไปแล้ว” ของวิเศษขนาดนั้นใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ยังมีปีศาจนับไม่ถ้วนที่หมายตาดอกพราวแสง ซุ่มซ่อนรอคอยโอกาสจะชิงของวิเศษ กว่าจะได้มันมาเกรงว่าคงต้องเกิดการนองเลือดกันไปข้าง

          หงเว่ยไม่รอฟังหงลิ่วโวยวายแตกตื่น เพียงเงยหน้ามองตะวันที่ขึ้นเหนือศีรษะแล้วก็กลับกลายร่างดุจดั่งเช่นหมอกควัน พวยพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว ในใจคิดเพียงสิ่งเดียว

          ต่อให้ต้องพลิกทะเลตงไห่ เขาก็ต้องหาดอกพราวแสงมาให้จงได้



**********************************************************



บทนี้ออกจะไม่ค่อยมีอะไร ตันถึงตันที่สุด เลยช้ามากก 55555+

นิยายอัพอาทิตย์ล่ะบท เร็วกว่านี้เค้าจิร้องไห้ เมื่อวันอาทิตย์เขาไปทำบุญเสี่ยงเซียมซี ปรากฏได้คำทำนายว่าจับปลาสองไม่รอดทั้งสองอย่าง หึ หึ คือปัจจุบันเค้าจับทั้งนิยายเเละThesis เครียดมากๆ หลังจากนี้อาจจะพักผ่อน หาไอเดีย จัดเวลาใหม่ เพราะตอนนี้หัวตื้อจริงๆ สู้ๆค่ะ


 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 9 ผู้มาใหม่ 22/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 24-02-2016 00:21:30
สุดท้ายก็อ่านก่อนสอบเสร็จงานเสร็จจนได้ 5555
ไป๋เซ่อน่ารักมากกกกกก คืออ่านไปฮาไปตลอดเลย ปวดหัวแทนองค์รัชทายาทจริงๆ :laugh:
รอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ :3123:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 10.1 มิได้ถูก 29/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 29-02-2016 23:24:56
บทที่ 10.1 มิได้ถูกกำหนด

 

          กลุ่มก้อนเมฆสีเทาเคลื่อนตัวบดบังดวงอาทิตย์ อัสนีบาตส่องประกายแสงวูบวาบ ลมพายุหมุนก่อตัวพัดโหมกระหน่ำ ทำให้คลื่นทะเลสาบตงไห่ปั่นป่วนวุ่นวาย มิต่างกับวันนั้น...

          บุรุษในชุดสีม่วงตัดดำยืนอยู่เหนือมวลคลื่นถาโถม เส้นผมสีดำขลับพลิ้วไหวไปตามกระแสลม ดวงตาคมกล้าทอดมองเบื้องล่างแล้วจึงทิ้งกายลงสู่ทะเลคลั่งดุจลูกธนูที่ปล่อยจากคันศร ไร้ซึ่งความหวาดหวั่นเกรงต่อพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่

          ต่อเมื่อปะทะกับผิวน้ำ ร่างก็พลันกลมกลืนหายไปในความมืด แม้สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่เสียดแทงกระดูก กระนั้นสีหน้าอันแน่วแน่ก็หาได้แปรเปลี่ยนไม่ แต่มาตรว่ายิ่งดำดิ่งลึกลงไปเท่าไหร่ ริมใบหูก็คล้ายได้ยินเสียงเรียกไม่หยุด ฉับพลันนั้นภาพความทรงจำหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา ราวกับได้หวนคืนสู่ฝันร้าย

          ในคืนที่เขาต้องสูญเสียคนคนนั้นไป
 

          “ม่ายยย” เสียงคำรามลั่นดังขึ้น เมื่อคลื่นยักษ์สูงใหญ่ปะทะเข้ากับหุบเขาฉางซาอย่างจัง สองขาที่ลอยอยู่กลางอากาศรีบโผทะยานเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าเพียงพริบตาเดียวกระแสน้ำก็กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีก

          เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าก็ถึงกับชะงักตัวตะลึงลานสุดขีด พอดีกับที่เม็ดฝนร่วงหล่นโปรยปรายจากฟากฟ้า จากนั้นไม่นานก็ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว ย้อมอาภรณ์คนที่นิ่งงันไม่ไหวติงให้เปียกปอนไปถึงดวงตา

          “เสี่ยวอวิ๋น เจ้าต้องไม่ตาย”

          เขามิอาจยอมรับความจริงเช่นนี้ ดวงตาสีม่วงเข้มเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่งก็เปล่งประกายวาบอย่างดื้อรั้น ที่หน้าผากปรากฏนัยน์ตาทิพย์ดวงหนึ่งซึ่งเพ่งมองใต้น้ำที่ยังคงเชี่ยวกราก จวบจนสังเกตเห็นถ้ำที่คุ้นเคย

          ที่ไม่ไกลออกไป ปรากฏเป็นบุรุษวัยกลางคนและเด็กหนุ่มอีกสองคนรุดตัวตามมาอย่างเร่งรีบ ครั้นเห็นเงาร่างที่กำลังย่อขา พวกเขาก็โก่งคอร้องตะโกนฝ่าคลื่นลมพายุ

          “หงเว่ย/พี่ใหญ่”

          ตูม เสียงน้ำดังกึกก้องไปพร้อมๆกับเจ้าของชื่อที่กระโจนตัวหายไปกับคลื่นน้ำรุนแรง หงเว่ยแหวกว่ายลึกลงไปจนเกือบถึงพื้นดิน ระหว่างนั้นก็ต้องคอยหลบหลีกต้นไม้หักโค่นที่ลอยคว้างอยู่ในสายน้ำ ใจภาวนาอย่างมีความหวัง

          บางทีหากเป็นตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะยังพอช่วยเสี่ยวอวิ๋นก็เป็นได้

          กระทั่งมาถึงปากทางเข้าถ้ำ ก็ไม่ลังเลที่จะดำดิ่งเข้าไป แต่ในเวลานั้นฟ้าดินกลับไม่เป็นใจ ทำให้ปฐพีเกิดการสั่นสะเทือนเลือนลั่น ส่งผลให้ก้อนหินใหญ่น้อยรวมไปจนถึงดินโคลนต่างเคลื่อนทยอยลงปิดทางเข้าอย่างรวดเร็ว

          หงเว่ยเบิกตาค้างแทบไม่อยากเชื่อ ความหวังริบหรี่ในใจดับมอดลงไปราวกับแสงเทียน แต่กระนั้นก็ยังคงตัดสินใจดำดิ่งพุ่งปะทะตัวเข้ากับหินแกร่งที่ถล่มลงมา

          กระแทกจนโลหิตสีแดงหลั่งไหล อีกทั้งหลายครั้งหลายหนก็ยังมิยอมหยุด จนในที่สุดเอวก็ถูกร่างสีดำเงาขนาดใหญ่เข้ารัดพันธนาการไว้ จากนั้นถูกเหวี่ยงรั้งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างแรง

          เด็กน้อยสองคนรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างที่นอนแน่นิ่งบนหินผา ครั้นแลเห็นเนตรทิพย์กลางหน้าผากหลั่งโลหิตชโลมใบหน้า กระดูกหัวไหล่บิ่นหักแทงออกมาจากผิวเนื้อ สีหน้าก็ต่างซีดเผือด

          “พี่ใหญ่ ท่านอย่าเป็นแบบนี้สิ ข้ากลัวนะ”

          หงเอ้อร์กอดร่างเขาไว้แน่น ส่วนเขาทำได้แต่พร่ำกล่าวเลื่อนลอย “ข้าต้องไปช่วยเสี่ยวอวิ๋น”

          “พอทีเถอะพี่ใหญ่ ท่านเองก็มิใช่ไม่รู้ว่าคลื่นยักษ์อาคมนั้นดูดกลืนตบะ ทำลายจิตวิญญาณชีวิตของพวกเรา หากท่านยังดื้อดึงอีก แม้แต่ชีวิตท่านก็จะไม่เหลือ อีกอย่างเสี่ยวอวิ๋น...เขา” หงซานสูดลมหายใจลึกก่อนตัดใจกล่าวต่อให้จบ “เขายังเล็กถึงเพียงนั้น ไม่มีทาง...” พูดถึงตรงนี้ก็เบนหน้าหลบดวงตาที่คลอไปด้วยม่านน้ำ

          “เขายังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่...ยังอยู่ในถ้ำนั่น” หงเว่ยเถียงใจแทบขาด ทั้งตะเกียกตะกายจะกลับไปยังถ้ำแห่งนั้นอีกครั้ง

          “พี่ใหญ่ เสี่ยวอวิ๋นตายไปแล้ว” หงซานตวาดย้ำ

          “ไม่ ตราบใดที่หัวใจข้ายังเต้น เสี่ยวอวิ๋นไม่มีทางตาย” เขาโต้กลับ

          “หงเว่ย” ทันใดนั้นเสียงก้องกังวานก็ดังขึ้น เผยให้เห็นร่างสีดำยาวขนาดมหึมาก็ปรากฏกายลอยวนเวียนอยู่เหนือคนทั้งสาม “ถึงตอนนี้เจ้าควรตระหนักได้แล้ว ชะตาชีวิตเจ้ากับเขามิได้ถูกกำหนดมาให้เคียงคู่กัน”

          “ไม่จริง ท่านโกหก ก่อนหน้านี้มิใช่ท่านบอกข้าหรอกหรือ นับตั้งแต่เขาเกิดมาก็ถูกกำหนดให้อยู่ข้างกายข้าแล้ว” หงเว่ยตวาดแย้ง

          “......” หงเหวินเทียนมองหน้าบุตรชายที่ใจแหลกสลาย สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจส่ายหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย

          หงเว่ยรับรู้ถึงความผิดหวังดังกล่าวแล้วจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ยังคงดำมืด หลั่งน้ำตาออกจากดวงตาสีม่วงอมดำอย่างเงียบๆ ทว่าแลไม่นานนักก็เปล่งเสียงหัวเราะขมขื่น

          ใช่แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนักพรตมือถือสากปากถือศีลพวกนั้น หากมิใช่เพราะพวกมัน สายสัมพันธ์ของเขากับเสี่ยวอวิ๋นก็คงจะไม่มีวันสะบั้นลงเช่นนี้

          “นักพรตพวกนั้น ข้าจะไปฆ่าพวกมัน” เขาผุดลุกขึ้นโดยไม่สนใจบาดแผล โลหิตที่ไหลเข้าสู่ดวงตาทั้งสามปรากฏให้เห็นถึงความอำมหิตชนิดหนึ่ง

          “หงเว่ย เจ้าคิดจะทำอะไร” แลเห็นสายตาอาฆาตแค้นคู่นั้น หงเหวินเทียนก็คำรามกึกก้อง กระทั่งหินผาที่ทุกคนยืนอยู่ต้องสะเทือนไปด้วยโทสะ

          “ข้าสาบานข้าจะต้องฆ่า”

          เพี้ยะ พลันถูกตบเข้าที่ใบหน้าฉาดใหญ่ จ้าวอสรพิษเกล็ดอัคคี ผู้เป็นบิดากลับกลายร่างเป็นบุรุษวัยกลางคน เส้นผมขาวโพลนยืนถมึงทึงจ้องเขาอย่างโกรธเกรี้ยว

          “เจ้าคิดกระทำเรื่องแปดเปื้อนอันใด หรือว่าเจ้าลืมปณิธานของพวกเราไปแล้ว? ตระกูลหงที่สูงส่งจะไม่มีวันเกลือกกลั้วกับสิ่งเลวร้ายกระทำตัวเฉกเดียวกับปีศาจชั้นต่ำ หากเจ้าคิดแก้แค้นมนุษย์ผู้ใด ข้าจะไม่ถือว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหง หรือแม้แต่วงศ์วานเกล็ดอัคคี” หงเหวินเทียนประกาศกร้าวดุจดั่งคำประกาศิต

          หงเว่ยเบิกตาตะลึงวูบ สองขาทรุดฮวบลงอย่างไร้เรี่ยว “ข้า...ข้า” หัวใจเสมือนถูกกรีดแทงสาหัส กระนั้นแล้วภาพของเสี่ยวอวิ๋นก็ยังคงอยู่ในห้วงความทรงจำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปยังก้นบึงจิตใจ

          เห็นท่าทีข่มตาหลับกุมศีรษะอย่างทรมานของพี่ใหญ่แล้ว หงเอ้อร์ก็รู้สึกสงสาร ได้แต่อ้อนวอน “พี่ใหญ่ กลับหุบเขาสั่วซีกับพวกเราเถอะนะ”

          “ท่านยังมีพวกเรานะ พี่ใหญ่” หงซานเองก็กล่าวเสริมน้ำเสียงสั่น

          ทว่าคำขอร้องดังกล่าวกลับมิได้เข้าไปถึงใจผู้เป็นพี่ชาย หงเว่ยเงยหน้าคมคายขึ้นจนเผยให้เห็นถึงดวงตาทั้งสามที่ขุ่นมัวไปด้วยหมอกควันดำ กลิ่นอายชั่วร้ายคละคลุ้งกำจายโดยรอบ ริมฝีปากเหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียม

          “แย่แล้ว! หงเอ้อร์ หงซานหลบไป” หงเหวินเทียนอุทาน หากปล่อยไว้เช่นนี้ บุตรชายคนโตย่อมต้องเข้าสู่ทางมารในไม่ช้า เขารีบกลับคืนร่างต้น จากนั้นตวัดตัวเข้ารัดร่างที่โชกไปด้วยโลหิตตรงหน้า

          ในเพลานี้ความอาฆาตพยาบาทในใจของหงเว่ย ได้แปรสภาพกลับกลายเป็นกระแสพลังซึ่งคอยเติมเต็มจิตใจที่ถูกทำลายไป และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็มิได้ทำให้เขารู้สึกเลวร้ายสักเท่าไหร่ กระทั่งพละกำลังก็ยังเปี่ยมล้นเต็มไปด้วยชีวิตใหม่

          พริบตานั้นขุมพลังสีดำรุนแรงก็ถูกปลดปล่อยไปทั่วร่างของหงเว่ย และด้วยอานุภาพของพลังนั้นก็ทำให้จ้าวอสรพิษหงเหวินเทียนที่กอดรัดร่างของอีกฝ่านไว้ถึงกับกระอักเลือดออกมา

          “ท่านพ่อ พี่ใหญ่” หงเอ้อร์ตะโกนลั่น ทั้งพยายามวิ่งเข้าไปหาทั้งสองคน แต่แล้วน้องสามกลับรีบรั้งร่างเขาไว้

          “อย่า อย่าเข้าไปพี่รอง อันตราย” เป็นเพราะหงเว่ยยังคงปลดปล่อยพลังชั่วร้ายอย่างต่อเนื่อง หงซานจึงต้องพยายามฉุดรั้งหงเอ้อร์ให้ออกห่างจากพวกเขา

          หงเหวินเทียนซึ่งบาดเจ็บภายใน สังเกตเห็นบุตรชายทั้งสองยังคงปลอดภัยแล้วจึงหันกลับไปจดจ่อกับร่างที่ตนพันธนาการไว้ ฉับพลันนั้นดวงตาที่สามก็เลิกขึ้นอย่างดุดัน

          หงเว่ยคล้ายแลเห็นแสงวูบวาบ ก่อนที่พลังขุมหนึ่งจะกระแทกเข้าใส่ตนเองอย่างจัง ยังผลให้ทุกส่วนด้านชา แม้แต่ปลายนิ้วก็มิอาจขยับ เปลือกตาที่เบิกกว้างต้องคล้อยปิดลง ท้ายที่สุดจึงมิสามารถรับรู้อะไรได้อีก

          จนผ่านพ้นไปราวสัปดาห์ เด็กหนุ่มก็ฟื้นคืนสติแล้วจึงพบว่าตนเองอยู่ภายถ้ำบรรพบุรุษที่ปิดตายอันไร้ซึ่งแสงเดือนแสงตะวัน สองแขนขาถูกตรวนไว้ด้วยโซ่เหล็กหนักนับพันชั่ง แลทุกคืนทำได้เพียงคำรามร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าจะส่งเสียงมากมายเพียงใดก็ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์

          ซึ่งเป็นเช่นนี้ราวสองร้อยปีเสียงดื้อรั้นจึงสงบเงียบในที่สุด รอจนครบห้าร้อยปี หงเว่ยจึงได้เป็นอิสระ แต่ทว่าการเคี่ยวกรำราวห้าร้อยปีนี้กลับเปลี่ยนเด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวาให้กลายเป็นเงียบขรึม ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เว้นเพียงความเย็นชาที่ระบายบนใบหน้า ดวงตาที่เคยเป็นสีม่วงเข้มกลับปนด้วยหมอกสีดำ บางครั้งกลับทอประกายด้วยความอำมหิตประการหนึ่ง ซึ่งนับแต่นั้นมา หงเว่ยคนนี้...

          ก็มิใช่หงเว่ยที่มีชีวิตจิตใจเฉกเช่นในอดีตอีก

         
 

************************************************

 

          เนื่องด้วยดอกพราวแสงเติบโตอยู่ในหุบเหวลึกของทะเลสาบตงไห่ ระหว่างทางยังรายล้อมไปด้วยความเงียบงัน ไร้ซึ่งแสงสว่างและสิ่งมีชีวิตใดๆ ทำให้ปีศาจมากมายต้องจบชีวิตหรือเสียสติก่อนจะได้พบเห็นของวิเศษนี้ ทว่าสำหรับหงเว่ยแล้ว ความมืดเกินกว่าที่จะหยั่งนี้กลับมิได้แตกต่างไปจากที่ตนถูกขังในถ้ำบรรพบุรุษเนิ่นนานถึงห้าร้อยปีเท่าใดนัก

          จำได้ว่าในช่วงเวลาร้อยปีแรก เขาได้แต่ร่ำร้องดื้อดึงหาทางหลบหนีอย่างโง่งม หากแต่สามร้อยปีต่อมาเขาก็ค่อยๆฟื้นฟูเนตรทิพย์ที่บาดเจ็บหลังจากฝ่าคลื่นอาคม พ้นสี่ร้อยปีนัยน์ตาที่สามจึงกลับมากล้าแข็งและทรงพลังยิ่ง กระทั่งครบห้าร้อยปี เขาก็สำเร็จวิชามายาไร้เงา

          แสงสว่างรำไรทำให้ร่างสีม่วงแหวกว่ายเข้าไปหา น้ำแข็งที่ก่อตัวขวางกั้นตลอดทางมิได้เป็นอุปสรรคต่อชายหนุ่ม เพียงเข้าไปใกล้มันก็หลอมละลายเบิกทางแทบในทันที

          ครั้นผ่านพ้นไปสักระยะ ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดก็ปรากฏสู่ส่ายตา หงเว่ยเอื้อมมือไปคว้าดอกไม้ที่มีหนึ่งเพียงหนึ่งเดียวในร้อยปี จากนั้นขับเคลื่อนพลังไปที่ฝ่าเท้าโผทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว 

          พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว หงเว่ยเงยหน้ามองฟากฟ้าที่กลายเป็นสีส้มอมแดงคราหนึ่งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หากตอนนี้ใช้ออกด้วยพลังสักสี่ส่วนก็คงจะยังคงกลับไปทันที่พัก แต่ทว่า...

          รังสีสังหารพร้อมดวงตานับร้อยคู่จับจ้องมองมาอย่างกระเหือดกระหาย ดูว่าเป้าหมายคงอยู่ที่ดอกพราวแสงในมือเขา ใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์พลันเริ่มมีเค้าความรำคาญใจ

          “ส่งดอกพราวแสงมาให้ข้า” ทันใดนั้นปีศาจที่มีใบหน้าราวกับแร้งก็ปรากฏกายขึ้น แขนสองข้างเป็นปีกที่ทรงพลังคู่หนึ่ง มาตรว่าคนตรงหน้าจะสามารถนำสมุนไพรวิเศษขึ้นมาได้ แต่ย่อมมิใช่หลังจากนี้

          เดิมทีเหล่าปีศาจที่นี่ล้วนซุ่มรอบุคคลโง่งมที่จะลงไปนำของวิเศษจากใต้ทะเลสาบ ซึ่งหากสำเร็จคนผู้นี้ย่อมต้องสูญเสียพลังไปหลายส่วน ดังนั้นพวกมันเพียงรอเวลา จากนั้นค่อยฉวยหยิบชิ้นปลามันไปไม่ดีกว่าหรือ

          หลังจากที่ปีศาจแร้งปรากฏกาย ที่ด้านหลังมันก็ปรากฏปีศาจอีกหลายตน แม้มิใช่พวกเดียวกัน แต่ขอแค่หยุดบุรุษตรงหน้าได้ หลังจากนั้นจึงค่อยว่ากล่าวทีหลัง

          ฝ่ายหงเว่ยกลับหย่อนดอกไม้ในมือลงในถุงผ้าสีเขียวเข้ม แล้วเก็บในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม ริมฝีปากกล่าวงึมงำ “นี่เป็น...”

          “ตายซะเถอะ” เมื่อคำขู่ถูกเพิกเฉย ปีศาจแร้งก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอมพะนำอันใด มันตวาดก้องพร้อมกันนั้นก็รุดเข้าจู่โจม เหวี่ยงปีกที่แฝงด้วยพลังเข้าใส่

          แต่ด้วยกระบวนท่าที่ไม่สลักซับซ้อนเพียงอาศัยแค่ความดุดัน หงเว่ยไม่เพียงรับมือได้ง่าย กระทั่งหยาดเหงื่อก็ไม่กระเด็นให้เห็นสักแหมะเดียว เห็นดังนั้นแล้วปีศาจตนอื่นต่างพากันร้อนใจ บางส่วนกัดฟันกรอดก่อนจะกระโดดเข้าไปกลุ้มรุมชายในชุดสีม่วงอมดำ

          ปีศาจยิ่งมายิ่งมีมาก หงเว่ยขมวดคิ้วมองตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้าก็รู้ตัวว่ามีเวลาไม่มากแล้ว ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ปีศาจตนหนึ่งดาหน้าประชิดตัว ฉับพลับนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็พลันสลาย แทนที่ด้วยหมอกควันสีดำหอบหนึ่งโลดแล่นไปรอบกลุ่มปีศาจชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว

          แลไม่นานละอองสีแดงก็พวยพุ่งราวกับห่าฝน จากนั้นโปรยปรายร่วงหล่นย้อมทะเลสาบให้เป็นสีโลหิต กลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียนคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เหล่าปีศาจทั้งหลายยังมิทันรับรู้เรื่องราวอันใด ศีรษะก็พลันหลุดออกจากบ่าแล้ว

          นี่เป็นเพราะหงเว่ยใช้ออกด้วยวิชามายาไร้เงา อันเป็นวิชาที่ทำให้เขาสามารถปลดโซ่ตรวนและออกจากถ้ำบรรพบุรุษเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้สำเร็จ ครั้นไร้คนขัดขวางฝีเท้าก็ใช้ออกได้เต็มที่ ตรงกลับไปยังสถานที่ที่คนคนนั้นรออยู่

          หากแต่ไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง เขาก็ต้องชะงักตัวหยุดกะทันหัน กล่าวเสียงห้วนที่แฝงไปด้วยการบังคับ “ออกมา”

          ประโยคเพียงประโยคเดียวกลับทำให้นางต้องตัวสั่นงันงก ก่อนหน้านี้นางก็เป็นหนึ่งในปีศาจที่ซุ่มดูการแย่งชิงที่นองเลือด เพลานี้วั่นอู่หงค่อยๆทำใจกล้า ก้าวเข้าไปหาบุรุษที่มีแผ่นหลังกว้าง

          นางส่งยิ้มหวานเอ่ยแนะนำ “พี่ชายท่านนี่ ข้านาม...”
         
          “เจ้าต้องการอะไร”

          ไม่รอให้นางพูดจบ บุรุษผู้นี้ก็เข้าประเด็นตรงๆ ยังดีที่เขารูปร่างสง่างามอย่างหาได้ยากยิ่ง ทำให้วั่นอู่หงพอใจมิใช่น้อย บางทีถ้านางสามารถโปรยเสน่ห์ได้สำเร็จ มิเท่ากับว่านางได้ทั้งคนทั้งของหรือ “ข้า...”

          “หรือเจ้าต้องการดอกพราวแสง”

          “เอ่อ ข้า”

          “เจ้าไปเสีย ของสิ่งนี้ข้าให้เจ้ามิได้”

          “แต่ข้า...”

          “นี่เป็นของเสี่ยวอวิ๋น อ้ะ ไม่ใช่สิตอนนี้ต้องเป็น...ไป๋เซ่อ” หงเว่ยพูดจบ ใบหน้าที่มิค่อยได้แสดงอารมณ์ก็เผยให้เห็นความอ่อนโยน ผิดกับความโหดเหี้ยมเย็นชาก่อนหน้านี้ราวกับเหว

          “ข้าจะบอกว่า”

          “หากเจ้ายังคิดตามมาอีก ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า” ครานี้สีหน้าของหงเว่ยกลับมาตายด้านอีกครั้ง มีเพียงสายตาที่บ่งบอกถึงความเอาจริง อีกทั้งเมื่อเสร็จสิ้นถ้อยคำเขาก็มิสิ้นเปลืองเวลากับนางอีก เงาร่างที่เคยยืนอยู่พลันห่างหายไปในชั่วพริบตา

          “.......” วั่นอู่หงถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่ตัวสั่นระริกไปด้วยความโกรธ บุรุษผู้นี้มิยอมให้นางเอ่ยได้จบแม้สักประโยคเดียว ทำให้นางต้องคับแค้นใจด้วยความเสียหน้า “กรี๊ด อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกเชียว มิเช่นนั้นหากเจ้าไม่ตกอยู่ในกำมือข้า ก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบเลย”

          เสียงกรีดร้องดังลั่นจนไก่ป่าแตกตื่น หากแต่บุรุษหนุ่มกลับมิได้รับรู้แลได้ยินแม้แต่น้อย หงเว่ยทะยานตัวผ่านเมฆหมอก จนกระทั่งเข้าสู่เขาที่เต็มไปด้วยป่าทึบก็เปลี่ยนเป็นลงเดิน จวบจนเห็นเปลวไฟจุดเล็กที่เบื้องหน้า แลไป๋เซ่อและหงลิ่วนั่งล้อมกองไฟพูดคุยกันอย่างออกรส

          ด้วยแสงนวลเนียนที่ส่องสว่างขับดันให้เจ้าของดวงหน้าเย้ายวนทรงเสน่ห์ขึ้นอีกหลายเท่า ยิ่งรอยยิ้มแฉ่งสดใสที่เผยอยิ้มออกมาก็ถึงกับทำให้เจ้าของดวงตาสีม่วงอมดำโง่งมไปชั่วขณะ

          “พี่ใหญ่ท่านกลับมาแล้ว?” สังเกตเห็นเงาร่างสูงตระหง่านย่างกายเข้ามา หงลิ่วก็ส่งเสียงทัก ครั้นเห็นพี่ชายปลอดภัยไร้บาดแผล ก็ต้องลอบนึกในใจ...ร้ายกาจยิ่ง พี่ใหญ่ทำได้อย่างที่พูดจริงๆ

          หงเว่ยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงน้องชาย ก่อนจะรุดตัวเข้าไปทรุดนั่งลงข้างๆร่างเล็กที่มีสีหน้างงงัน “รีบกินนี่เสีย” ล้วงเอาห่อผ้าในอกเสื้อ แล้วดึงเอากลีบของดอกพราวแสงไปให้อีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกาย

          ด้านไป๋เซ่อกลับเอาแต่มองกลีบดอกไม้มือของบุรุษที่มีท่าทีประหลาดอย่างนิ่งงัน คล้ายไม่เห็นของว่าเป็นของกินอย่างที่กล่าว ส่งผลให้หงเว่ยออกจะผิดหวังอยู่บ้าง มือที่ยื่นส่งพลันลดลงอย่างช้าๆ ทว่าในจังหวะนั้นร่างน้อยกลับแสยะยิ้ม โน้มตัวงับเอาของในมือเขาอย่างรวดเร็ว

          คลื่นความสุขแผ่กำจายอยู่ในอก หงเว่ยรู้สึกราวกับฝันว่าตนกำลังอยู่ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ และที่นั่นก็มีร่างเล็กที่โลดแล่นไปพร้อมๆเขา

          เพียงแค่ลิ้นสัมผัส ความหวานเย็นชุ่มฉ่ำก็กระจายตัวอยู่ในโพรงปากแล้ว ต่อเมื่อหมดลงไป๋เซ่อก็ต้องอมนิ้วอย่างแสนเสียดาย “อื้อ อร่อยจัง ขออีกได้ไหม”

          “ม่ะ ไม่ได้ สมุนไพรนี้กินได้วันละครั้ง หากเกินไปกว่านี้จะให้ผลร้ายแก่ผู้กิน” หงเว่ยที่หลุดจากภวังค์รีบร้อนตอบ ครั้นเห็นไป๋เซ่อสีหน้าผิดหวัง ทั้งชะโงกหน้ามองของในห่อผ้าก็กล่าว “ขะ ข้ามีลูกกวาด หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าให้เจ้า”

          “ขอบคุณเจ้ามาก” ไป๋เซ่อตะครุบเอาห่อกระดาษเล็กๆ ในมือหงเว่ย แล้วนับลูกกวาดในห่ออย่างดีใจ ผิดกับหงลิ่วที่ถลนตาโตกระซิบบอก

          “พี่ใหญ่ นั่นมันลูกกวาดที่ท่านริบไปจากข้า”

          “......” หงเว่ยมองหน้าเจ้าหก นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก็ตอบส่งๆ “เด็กอย่างเจ้า กินแล้วจะปวดฟัน”

          “เฮอะ เช่นนั้นท่านสมควรแบ่งดอกพราวแสงให้ข้าชิมบ้าง” พูดจบหงลิ่วก็หัวเราะคิกคัก แต่แล้วก็มีอันแข็งค้างเมื่อเห็นสายตาของพี่ใหญ่

          “นี่ เจ้าลูกเต่า เจ้าชิมนี่สักคำสิ” เห็นคนที่นิ่งเงียบหลังจากพึ่งกินสมุนไพรเหม็นเขียวบดสด นั่งไม่ไกลจากกองไฟแล้วก็เดินไปยื่นขนมให้

          ประจวบเหมาะกับที่เสียงที่ขัดจังหวะ หงเว่ยฟังแล้วก็ต้องชะงักกึก ดูเหมือนว่าเขาจะลืมตัวตนของคนผู้หนึ่งไปโดยสิ้นเชิง

          “ไม่ใช่ของข้า ข้าไม่กิน” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มมองลูกกวาดในอุ้งมือไป๋เซ่อแล้วจึงส่ายหัว สีหน้าไม่ชอบใจที่เห็นเจ้าตัวใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าเกินควร “เหตุใดเจ้าจึงกินของซี้ซั้วเช่นนี้ หากเป็นยาพิษเจ้ามิแย่หรอกหรือ” กล่าวถามทางสายตา

          “เฮอะ แม้ตอนนี้ดวงตาข้าทื่อลง แต่อย่าได้ดูถูกจมูกข้าเชียว” ไป๋เซ่อเชิดหน้าโต้ตอบ “อีกอย่างข้าดูออกว่าพวกเขาเป็นคนดี”

          รับฟังเช่นนั้นรัชทายาทหนุ่มก็เผลอเหลือบมองบุรุษผู้มีนามว่าหงเว่ย ดูว่าอีกฝ่ายเองก็จ้องมองเขาอยู่ แลสายตาที่ปะทะกลับมาเต็มไปด้วยความนัย ครานี้เขาเบือนหน้ากลับไปหาไป๋เซ่ออีกครั้ง “งั้นเจ้าป้อนข้าหน่อยสิ”

          ป้าบ เอ่ยจบมือเรียวที่เย็นเล็กน้อยก็ตะปบเข้าที่ปากเขาอย่างไม่นิ่มนวลสักเท่าไหร่ ลูกกวาดชิ้นเล็กที่ยัดใส่ปากให้รสหวานเจี๊ยบ ซวนหยวนหมิงไท่นิ่วหน้าพลางลอบสังเกตคนที่ยืนจ้องพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง

          แต่แล้วประกายตาของหงเว่ยกลับมอดไหม้ยิ่งกว่าเปลวเพลิง จวบจนครู่หนึ่งจึงจะหลุบตาลงสะบัดปลายแขนเสื้อหันหลังกลับไป ทว่าท่าทีดังกล่าวส่งผลให้เขาต้องเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างจริงจัง รู้สึกสังหรณ์ใจว่าหงเว่ยผู้นี้ไม่ธรรมดา และตนมิอาจวางใจ

          ...หากคนผู้นี้ยังคงอยู่ใกล้ชิดกับไป๋เซ่อ


 

************************************************

ยังมีต่อหน้า 2 เน้อ
 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 10.2 มิได้ถูก 29/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 29-02-2016 23:26:17
บทที่ 10.2 มิได้ถูกกำหนด

 

            ราตรีที่ผ่านไปในคืนนี้ดูไม่ยาวนานเท่าใดนัก มิทันไรแสงตะวันก็ลอดผ่านเข้ามาในถ้ำ คนที่ตื่นนอนแล้วยังคงกระปรี้กระเปร่าเห็นทีจะมีแต่ไป๋เซ่อและหงลิ่ว ผิดกับชายหนุ่มทั้งสองที่สีหน้าทะมึน ไม่ยิ้มแย้ม นั่งกุมขมับอยู่คนละฟากฝั่ง

          ซวนหยวนหมิงไท่ค่อยๆยังกายลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่าบาดแผลที่หน้าท้องไม่เจ็บอย่างที่เคยแล้ว เห็นทีเจ้าเด็กหงลิ่วผู้นี้แม้อายุยังน้อยแต่ฝีมือทางการแพทย์กลับดีมิใช่ย่อย คิดได้ดังนั้นเขาก็เดินไปหาอีกฝ่ายที่กำลังนั่งบดสมุนไพรด้วยหิน

          “หงลิ่ว บาดแผลของข้า ใช้เวลาอีกนานไหมถึงจะหายขาด”

          “กินยาสมุนไพรนี่อีกสักสามมื้อก็หายสนิทแล้ว” หงลิ่วตอบอย่างมั่นใจ แม้เขาจะมิใช่หมอ แต่ก็ตนก็เสมือนยาพิษเคลื่อนที่ได้ ไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่าเขี้ยวของอสรพิษเกร็ดดำ ดังนั้นไม่ว่าจะพิษแบบใด เขาย่อมถอนออกได้ทั้งนั้น

          เขาฟังแล้วก็ครุ่นคิด นี่ก็เข้าวันที่สามแล้วนับจากที่โดนซุ่มโจมตี ไม่แน่ว่ากลุ่มขององค์รักษ์จิ้งอาจจะไปสบทบกับองครักษ์เงาแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องส่งข่าว หากหายตัวไร้ร่องรอยไปนาน พวกเขาอาจจะใจร้อนบุ่มบ่าม กระทำการเคลื่อนไหวจนเป็นเหตุตัวตนเปิดเผย

          แต่มาตรว่าคิดเช่นนั้นก็ยังคงมีอีกห่วงหนึ่ง “แล้วไป๋เซ่อ เขาอาการแย่มากรึไม่ ต้องใช้เวลารักษานานไหม แล้วจะกลับมาเป็นเช่นเดิมได้รึเปล่า” ถามถึงอาการของร่างเล็ก จะอย่างไรต้นสายปลายเหตุที่ทำให้สายตาของไป๋เซ่อทื่อลงก็เป็นเพราะเขา

          “จะใช้เวลารักษานานไหม ท่านต้องลองถามพี่ใหญ่ข้าเอง แต่ข้ารับรองได้ว่าสายตาของเขาจะกลับมาใสแจ๋วดุจเดิม ดีไม่ดีจะยอดเยี่ยมกว่าเดิมด้วยซ้ำ ฮึ ฮึ” ก็เล่นบำรุงด้วยดอกพราวแสง สมุนไพรวิเศษหายาก แค่กลีบดอกเพียงกลีบเดียวก็เพิ่มพูนตบะฟื้นฟูร่างกายได้สูงส่งยิ่ง

          ยิ่งฟังที่เด็กน้อยกล่าว รัชทายามหนุ่มก็ยิ่งขมวดคิ้วหนัก ทว่ายังมิทันได้คิดอะไรต่อ เสียงของไป๋เซ่อก็ดังจากภายนอกถ้ำ

          “หงลิ่วๆ เจ้าจะไปเล่นน้ำที่ลำธารกับข้ารึไม่”

          “ไปๆ” ตอบรับเสร็จหงลิ่วก็วิ่งออกไปอย่างร่าเริง

          ทิ้งไว้ให้ชายหนุ่มสองคนต้องหูผึ่ง หงเว่ยที่ใช้กิ่งไม้แห้งเขี่ยกองขี้เถ้าถึงกับชะงักค้าง กิ่งไม้ในมือร่วงลงกับพื้น พลันหันไปจ้องหน้าจ้องตาฟาดฟันกับอีกฝ่าย รอจนพักใหญ่ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบชิงติดตามออกไปก่อน แต่ทว่าจู่ๆเงาร่างสีม่วงอมดำกลับลอยพลิ้วข้ามตัวเขาไปโดยไว

          “เจ้า” เขาสบถก่อนจะเร่งฝีเท้าให้ทัดเทียมกับหงเว่ย แลไม่นานนักก็เกิดเป็นเสียงร้องดังขึ้นที่เบื้องหน้า

          “ว๊ากกก นี่มันพวกคนร้ายนี่” ไป๋เซ่อส่งเสียงร้องโหวกเหวกเมื่อเห็นคนชุดดำที่วิ่งสะเปะสะปะ ตรงเข้ามาหาเขากับหงลิ่ว          ในสภาพเนื้อตัวมอมแมม
         
          “ช่วยข้าด้วย ปีศาจๆ จะฆ่าข้า” คนชั่วร่ำร้องกอดขาเด็กหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้าอมเขียวราวกับคนเสียสติ ม่านตานั้นเบิกกว้างราวกับพึ่งพบเจอภูติผีมามิปาน

          “เพ้ย ก่อนหน้านี้เจ้าคิดจะฆ่าข้าแท้ๆ” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ตวาดอย่างมีโทสะ เวลานั้นเขาเกือบจะถูกลูกธนูยิงเสียจนตัวพรุนแล้วหากซวนหยวนหมิงไท่มิเข้ามาช่วยเสียก่อน ว่าแล้วเขาก็ระรัวหมัดทุบตีคนผู้นี้จนหน้าเขียวหน้าแดง

          ใช่แล้วๆ ก่อนหน้านี้เจ้าคนผู้นี้ก็เคยมองตนอย่างหยามหยัน ด้านหงลิ่วเองก็ไม่น้อยหน้าประเคนฝ่าเท้าน้อยๆเข้ากระทืบจนอีกฝ่ายต้องร้องโอดครวญ

          “หยุดก่อน” เป็นเสียงของซวนหยวนหมิงไท่ที่ร้องมาแต่ไกล กระทั่งไป๋เซ่อและหงลิ่วหยุดฝีมือฝีเท้ามองเขาอย่างสงสัย เขาก็ทะยานตัวไปคว้าตัวคนชุดดำผู้นี้ออกมา

          ผลักมันไปจนแผ่นหลังกระแทกกับต้นไม้ ท่อนแขนพาดกดไว้ที่ลำคอจนลมหายใจของอีกฝ่ายติดขัด รัชทายาทกัดฟันเค้นกล่าวอย่างดุดัน “บอกข้า ใครส่งพวกเจ้ามา”

          “......” ครั้นเห็นสีหน้าบุรุษหนุ่มผู้สง่างามผู้นี้ ดวงตาของนักฆ่าผู้นี้ก็กลับมามีศูนย์รวมอีกครั้ง คำสั่งและเนื้อหาของภารกิจลับพลันก้องอยู่ในสมอง

          “สารภาพมา” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดอีกครั้ง ครานี้ยังเพิ่มระดับด้วยกลิ่นอายสังหารรุนแรง “ยังมีคนของข้า พวกเขาปลอดภัยรึไม่”

          “ข้าจะบอกเพียงอย่างเดียว พวกมันตายหมดแล้ว ตายอย่างน่าอนาจ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แม้ภารกิจจะไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็สามารถตัดแขนขาขององค์รัชทายาทได้ เพียงเหลือที่พึ่งสำคัญอีกเพียงหนึ่งเดียว...แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟง

          ถ้อยคำของนักฆ่าจบลง มือของเขาก็สั่นสะท้านทั้งยังกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาสีดำของเขานิ่งค้างหากแต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความคับแค้นชนิดหนึ่ง จะอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวลู่ หัวหน้าองครักษ์จิ้ง หรือองครักษ์คุ้มกันคนอื่นๆ ต่างก็เปรียบเสมือนครอบครัวเขาทั้งสิ้น เป็นเช่นนี้แล้วเขาจะไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไร

          “หมิงไท่” ไป๋เซ่อพึมพำเสียงอ่อนด้วยความสะท้อนใจ แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็สนิทสนมกับเสี่ยงลู่ และองครักษ์ผู้อื่นไม่น้อย

          “เอาสิ ฆ่าข้าเลยสิ” จุดจบของนักฆ่าที่ทำงานไม่สำเร็จ มันย่อมรู้ดีกว่าใคร

          คนชุดดำเหยียดยิ้มอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ยิ่งถูกครอบงำไปด้วยความโกรธ แต่ในขณะที่กำลังควบคุมตัวเองไม่อยู่นั้น น้ำเสียงเข้มก็พลันดังขึ้น

          “อยู่หรือมิสู้ตาย แต่ตัวเลวร้ายเช่นเจ้าสมควรตายทั้งเป็น” คำพูดกล่าวจบก็สาดสายตาอำมหิต ถึงกับกล้าทำร้ายเสี่ยวอวิ๋นสมควรทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์

          ด้านนักฆ่าเพลากลับยิ้มมิออกแล้ว มันสังเกตเห็นบุรุษผู้มาใหม่ที่มีดวงตาราวอสรพิษ ความทรงจำที่เลวร้ายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ป่ะ ปีศาจๆ อย่าฆ่าข้าเลย ข้ากลัวแล้ว”

          มาตรว่าคิดจะหลบหนี หากแต่มันกลับสายไปแล้ว เป็นเพียงพริบตาเดียวที่รู้สึกถูกล่วงล้ำเข้าไปในก้นบึ้งจิตใจที่ซึ่งซุกซ่อนไว้ด้วยความอ่อนแอ ขลาดเขลา บีบคั้นเสียงมันต้องส่งเสียงร้องอย่างทรมาน

          “อ๊ากกก”

          จู่ๆคนตรงหน้าก็ส่งเสียงร้องราวกับคนเสียสติ ดวงตาฉายให้เห็นถึงความกลัวสุดขีด เห็นดังนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเค้นถาม “บอกข้า ใครส่งเจ้ามา”

          “ตวน...ตวนผิงซางอ๋อง” ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปาก “ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้า” บางทีการตายด้วยน้ำมือของปีศาจร้ายผู้นั้นแล้ว มันน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะรับได้

          ครั้นได้รับคำตอบแล้วองค์รัชทายาทก็ลดแขนลงอย่างช้าๆ นักฆ่าผู้นี้พอเป็นอิสระก็วิ่งหนีลนลานไปทางด้านหนึ่ง หากแต่กลับไม่รู้ตัวสักนิดว่านับแต่นี้ไป ชีวิตของมันตนจะมิอาจเป็นอิสระจากมายาหลอกหลอนหนึ่งไปได้ตลอดกาล

          “หึ ตวนผิงซางอ๋อง” เสียงพึมพำเบาๆของซวนหยวนหมิงไท่ดังขึ้น

          เห็นทีว่าครานี้เขาต้องไปเยือนเหลียวตงสักครั้งแล้ว



***********************************************



          อัพช้าบ้างไรบ้างก็อย่าว่ากันเลยนะ เเฮะๆ

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 10 มิได้ถูกกำหนด 29/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-03-2016 08:00:50
เย้มาต่อแล้ว ไม่ว่าค่าา ตวนผิงซางอ๋องนี่ใครอ่า
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 10 มิได้ถูกกำหนด 29/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 01-03-2016 11:09:28
ดีใจที่มาต่อ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่11 ตวนผิงซางอ๋อง 06/03/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 06-03-2016 23:33:51
บทที่ 11 ตวนผิงซางอ๋อง



          ในเรือนอักษรที่หรูหราโอ่อ่า คนผู้หนึ่งกำลังตวัดพู่กันลงบนกระดาษสีขาวชั้นดี ท่วงท่าที่ใช้ออกล้วนแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น แลในพริบตาเดียวภาพม้าศึกขับเคลื่อนท่ามกองทัพศัตรูก็เสร็จสรรพ ทุกองค์ประกอบของภาพต่างหาได้มีที่ติ มันดูมีชีวิต ทรงพลัง และหาญกล้า

          พอดิบพอดีกับที่บุรุษร่างใหญ่ในชุดเกราะก้าวเข้ามาอย่างแข็งขัน ครั้นถึงจุดหนึ่งก็หยุดตัวย่อกายคำนับ “ท่านอ๋อง”

          “เตรียมงานไปถึงไหนแล้ว” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น หากแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพ

          “พรุ่งนี้แจกจ่ายเทียบก็แล้วเสร็จ พะย่ะค่ะ”

          “ดี” ถ้อยคำเอ่ยออกมาพร้อมกับเหยียดยิ้ม ก่อนที่ดวงตาจะเปล่งประกายเหี้ยม “เรื่องนั้น”

          “ท่านอ๋อง อย่าได้กังวล ข้าน้อยจัดการเรียบร้อย นับตั้งแต่นี้ไปพวกมันจะไม่มีวันได้เปิดปากพูดอีกแน่นอน” ประโยคนี้กล่าวแล้วก็บังเกิดเป็นกลิ่นอายสังหาร คละคลุ้งไปด้วยโลหิต

          “ฮึ ฮึ” ผู้เป็นอ๋องแค่นเสียงหัวเราะ จากนั้นโบกมือคราหนึ่งทหารคนสนิทก็ร่นถอยออกไป เขาหันกลับไปชื่นชมภาพม้าศึกอีกครั้ง แลไม่นานนักเสียงฝีเท้าอีกคู่ก็ย่ำเข้ามาใกล้ ฟังดูแล้วผู้มาใหม่อารมณ์มิสู้ดีนัก “เป็นไรไป ไม่สำเร็จรึ”

          “เฮอะ ถูกคนช่วงชิงไปแล้ว” นางตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราด

          “มีคนร้ายกาจเยี่ยงกว่าเจ้า?” น้ำเสียงบอกชัดถึงความประหลาดใจ แต่กระนั้นก็ยังปนเยาะหยันอยู่ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้ใบหน้าของปีศาจสาวบิดเบี้ยว ดวงตาสีดำเปล่งประกายสีแดงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

          วั่นอู่หงจ้องมองบุรุษที่แม้จะล่วงเข้าสู่วัยสี่สิบ แต่ยังคงเค้าใบหน้าหลอเหลาสุภาพ รูปร่างกำยำสะท้อนถึงความองอาจ มิต่างกับบุรุษวัยสามสิบกว่าก็พลันส่งยิ้มยวน “เกรงว่าต้องรบกวนท่านอ๋องอีกครั้ง”

          “ย่อมได้” ผู้เป็นอ๋องยิ้มมุมปาก “แต่เจ้าควรรู้ว่าทุกอย่างย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน”

          “ข้าจะทำสุดความสามารถ” นางยอบกายลงอย่างอ่อนช้อย เสร็จแล้วจึงกล่าวต่อ “ว่าแต่นางเป็นเช่นไรบ้าง”

          “ยังคงดื้อด้านท่าเดียว”

          เมื่อพูดถึงนางสีหน้าของท่านอ๋องก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทำให้วั่นอู่หงต้องเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านอ๋องมิทำให้ข้าวสารเป็นข้าวสุกเสีย พอถึงตอนนั้นแล้วนางจะดื้อรั้นอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”

          “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรอีกไม่กี่วันนางก็ต้องแต่งให้ข้าอยู่ดี”

          ฟังแล้วนางก็กลั้วหัวเราะ “มิคิดว่าท่านอ๋องจะรักหยก ถนอมบุปผา” ใช้น้ำเสียงออดอ้อนพลางโน้มตัวไปพิงอกกว้าง “เช่นนั้นท่านมิคิดปลอบใจสาวงามอย่างข้าบ้างหรือ ก่อนหน้านี้ข้ามิอาจช่วงชิงดอกพราวแสงมาได้ ข้าเจ็บใจแทบแย่”

          ร่างแกร่งมิได้หลบหลีก เขาปล่อยให้ปีศาจสาวหยอกเย้าอยู่พักหนึ่งจึงค่อยผละตัวออก จากนั้นก้าวออกไปโดยที่มิได้เอ่ยวาจาใด วั่นอู่หงเห็นอีกฝ่ายมิเล่นด้วยก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย เบ้ปากคราหนึ่งก็สะบัดปลายเสื้อโดยแรง พริบตาเดียวร่างของนางก็พลันหายไป หลงเหลือเพียงขนนกสีสดเส้นหนึ่งที่ร่วงหล่นบนพื้น

          คล้อยออกจากเรือนอักษร เขาก็ย่างก้าวไปยังเรือนหลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ท้ายจวนอันตระการตา สถานที่อันเงียบสงบทั้งห่างไกลสายตาจากคนภายนอก

          จวบจนมาถึงที่หมาย สตรีในชุดสีขาวก็กำลังนั่งเหม่อลอยมองกำแพงที่สูงชัน เหนือขึ้นไปยังมีดวงจันทร์ที่คอยส่องแสงสลัว ขับดันให้นางดูงดงามราวกับภูติดอกโบตั๋น เรือนร่างเปล่งปลั่งจนมิอาจละสายตาแม้ขณะเดียว

          การมาของเขาคล้ายมิได้ทำให้นางรู้สึกตัว ยังผลให้ต้องก้าวเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังของร่างอรชร สองมือประสานไขว้ไว้ด้านหลังอย่างสุขุม พลันยื่นออกไปลูบไล้เรือนผมสีเงินที่เรียบลื่นดุจแพรไหม “คิดอะไรอยู่”

          สิ้นเสียงดังกล่าวเจ้าของเรือนผมสะดุดตาก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้นหันไปประจันหน้ากับผู้มาใหม่อย่างระแวดระวัง “ท่านอ๋อง” ริมฝีปากน้อยร้องขึ้น สองขาก็นำพาตนไปให้ไกลโดยปริยาย

          หากแต่นางก้าวถอยหลังไปเพียงก้าวหนึ่งก็เกิดเป็นเสียงดังกรุ๊งกริ๊งก้องกังวาน เตือนสติให้รู้ว่าตอนนี้นางตกอยู่ในกำมือของคนผู้นี้ แต่กระนั้นนางก็มิอาจห้ามให้ตนเองต้องถอยหลังไปอีก ถึงครานี้น้ำเสียงเข้มก็พลันดังขึ้น

          “หยุด” เพียงคำเดียวก็ทำให้ร่างของนางต้องชะงักนิ่งค้าง มิอาจทำได้แม้แต่จะขยับปลายก้อย เขาก้มลงมองกำไลข้อเท้าที่มีกระดิ่งเล็กๆประดับอยู่ เห็นทีไม่เสียแรงที่ตนทุ่มเทส่งคนออกตามหาของวิเศษชิ้นนี้เป็นนับสิบปี

          กำไลข้อเท้าวิเศษนี้มีอิทธิฤทธิ์สามารถควบคุมมนุษย์ แลไปจนถึงปีศาจ คิดสั่งการใดหรือออกปากสั่งให้ไปตาย ผู้ที่สวมใส่ต่างมิอาจขัดขืน ทว่าสรรพสิ่งใดในโลกล้วนต่างมีข้อดีข้อเสีย กำไลวิเศษนี้ก็เช่นกัน จะดีไม่น้อยหากของวิเศษนี้สามารถควบคุมไปถึงจิตใจคนได้

          “เย่วเซียง” เอ่ยน้ำเสียงอ่อนพลางไล้ดวงหน้านุ่มนวล

          เจ้าของดวงสีน้ำตาลอ่อนหลุบตาลงอย่างมียินยอม ดวงหน้าสีขาวซีดถึงกับระเรื่อไปด้วยสีแดง เพลานี้นางอับอายถึงที่สุด กระทั่งจะเลี่ยงใบหน้าก็ทำมิอาจทำได้ ได้แต่ปล่อยให้คนผู้นี้ต้องกระทำตามอำเภอใจ

          “อีกสามวันที่จะถึงนี้เจ้าจะเป็นชายาของข้าแล้ว” ผู้เป็นอ๋องยิ้มกล่าว ทำให้ดวงตาที่หลุบลงต้องกลับมาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง “มิต้องห่วง ข้าจะทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี” เขารวบตัวนางเข้ากอดจนได้กลิ่นอ่อนๆของดอกโบตั๋น

          ถึงตอนนี้หยาดน้ำตาแวววาวของเย่วเซียงก็ค่อยๆหลั่งไหล หยกสีเขียวอ่อนในกำมือนั้นเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ เงาร่างอบอุ่นของบุรุษผู้หนึ่งฉายอยู่ในความทรงจำอย่างรางเลือน

          “เจ้ากำอะไรอยู่” เมื่อรู้สึกถึงแขนที่แข็งเกร็งเครียดขึงกว่าปกติก็ต้องนึกสงสัย ครั้นเห็นสิ่งของในมือเรียวก็เอื้อมไปแกะมันออก แล้วยกมันขึ้นดูท่ามกลางแสงจันทรา

          ดูว่าตัวหยกเป็นสีเขียวอ่อน ทั้งยังมีขนาดเล็กดูไม่สะดุดตากระไร แต่ทว่าเมื่อพลิกอีกด้านหนึ่งขึ้นมา ดวงตาคู่นี้ก็ต้องเบิกกว้าง ภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและสุภาพพลันสลายไป เขาตวาดถามทั้งยังถลึงตาดุดัน “เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับรัชทายาท”

          เป็นเพราะหยกชิ้นนี้มีลวดลายมังกร อันบ่งบอกถึงสัญลักษณ์ขององค์รัชทายาท และยังมีเพียงชิ้นเดียวในโลกนี้

          “ได้โปรดคืนให้ข้า” เย่วเซียงอ้อนวอน ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่เป็นสิ่งของชิ้นเดียวที่ทำให้นางระลึกถึงเขาได้

          ด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์ของนางเช่นนี้ยังผลให้เขาเจ็บแค้น “ฮึ ฮึ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ามีความสัมพันธ์กับเขา” กล่าวจบก็แลเห็นความตื่นตะลึงบนใบหน้าของนาง ยิ่งทำให้เขามั่นใจ มุมปากพลันคลี่ยิ้มเหี้ยม “รู้เช่นนี้น่ายินดียิ่ง ในที่สุดสวรรค์ก็เปิดโอกาสให้ข้า... ตวนผิงซางอ๋องได้ทำลายคนตระกูลซวนหยวนได้อย่างน่าคับแค้นที่สุดแล้ว”

          สิบปีก่อนเป็นเพราะพวกมันทำให้เขาตายทั้งเป็น สิบปีให้หลังเขาจะเอาคืนมันบ้าง จักต้องให้พวกมันได้รับรู้รสชาตินี้อย่าสาสม

          ได้ฟังเช่นนั้นใบหน้าของเย่วเซียงก็ซีดลง นางกล่าวถามน้ำเสียงสั่น “ท่าน...หมายความเยี่ยงไร”

          “อยากรู้? ได้ข้าจะบอก ตอนนี้ไอ้คนที่เจ้าห่วงหามันได้ทอดกายตายอยู่ในป่าเขาอันแร้นแค้นไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          สิ้นเสียงตวนผิงซางอ๋องก็หมุนกายจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่ง ผลักดันให้หัวใจของเย่วเซียงตกลงสู่ห้วงมืด สองขาสิ้นเรี่ยวแรงทรุดกับพื้น ก่อนที่ดวงตาอันเลื่อนลอยจะทอดมองเห็นหยกชิ้นเล็กที่ตกอยู่ไม่ไกล นางยื่นมือไขว่คว้ามันไว้ จากนั้นแนบมันไว้ที่หน้าอกอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากน้อยพึมพำน้ำตาคลอ “ไม่จริง นี่ไม่ใช่เรื่องจริง”

 

*************************************************

 

          เช้าตรู่ที่หน้าประตูเมืองเหลียวตง ทหารสองนายแง้มเปิดประตูใหญ่ จนเรียบร้อยดีแล้วก็ทำการตรวจแผ่นป้ายประจำตัวของผู้ที่มายืนรอเข้าเมืองแต่ละคน ไม่นานนักชาวบ้านชายหญิงทั้งกลุ่มทั้งเดี่ยวต่างก็ทยอยเข้าไปด้านในเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงรถม้าโทรมๆคันหนึ่งที่เคลื่อนที่มาหยุดลงตรงหน้า

          ทหารผู้ตรวจตราหน้าประตูเมืองจ้องมองสารถี ดูว่าคนผู้นี้มีเค้าใบหน้าเย็นชา สวมอาภรณ์สีม่วงตัดดำดูสง่างามแล้วก็ต้องหันกลับไปมองรถม้าที่ดูไม่น่าใช้การได้อีกครั้ง “พวกเจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่เหลียวตง ตอบมาตามตรงเสีย” ด้วยภาพรวมที่ขัดแย้งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกผิดปกติยิ่ง

          หงเว่ยเงียบจนทหารนายนี้ต้องขมวดคิ้วหนัก ก่อนจำใจเปิดปากเอ่ยเสียงเรียบที่เจือปนไปด้วยความรำคาญส่วนหนึ่ง “พวกข้าเป็นพ่อค้าเดินทางมาจากเขตเจียงหนาน แต่ระหว่างทางถูกโจรผู้ร้ายดักซุ่มโจมตี ข้าวของมีค่าทั้งหมดจึงถูกกวาดต้อนไป เหลือเพียงรถม้าเก่าๆคันนี้ และยังมีพี่น้องที่บาดเจ็บสาหัสจำต้องรีบไปที่โรงหมอ” พูดจบก็ยื่นตราประจำตัวให้

          ทหารตรวจตราเองก็รับป้ายประจำตัวของอีกฝ่ายมาแล้วจึงยกขึ้นดู จากนั้นใช้ด้ามกระบี่เลิกผ้าม่านที่ขาดวิ่นหน้าโถงรถม้าขึ้น

          ภายในปรากฏเงาร่างของคนสามคน หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่นอนไม่ได้สติ หน้าท้องมีผ้าพันแผลที่มีเลือดซึมพันไว้อย่างลวกๆ ถัดจากข้างกายของคนผู้นี้ยังมีเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดกับเด็กชายตัวจ้อยที่ดูอายุไม่เกินสิบสี่ปี

          ด้วยสังเกตเห็นสายตาที่ดูจับผิด สถานการณ์ดูไม่น่าไว้ใจ ไป๋เซ่อก็รีบตีความ...เห็นทีเขาต้องออกโรงแล้ว “โถ ท่านพี่อดทนอีกนิด ประเดี๋ยวก็จะถึงโรงหมอแล้ว ท่านหมอที่นั่นต้องรักษาโรคริดสีดวงให้ท่านได้แน่นอน”

          ฉับพลันนั้นน้ำเสียงแหลมทุ้มก็คร่ำครวญปานใจจะขาด ทว่ารัชทายาทเช่นเขารับฟังแล้วก็แทบจะกระอักเลือดเสียตรงนั้น โรคมีตั้งมากมาย ทำไมจึงจำเพาะเจาะจงเป็นริดสีดวงด้วย

          แลเพื่อให้สมจริงไป๋เซ่อทำทีเป็นใช้ปลายแขนเสื้อซับที่หางตา ระหว่างนั้นก็นึกชื่นชมตนเองในใจ ดีที่วันนั้นไปเดินเที่ยวเล่นที่ตลาดตงหัว แล้วจึงบังเอิญพบท่านป้าผู้หนึ่งซึ่งกำลังประคองสามีที่ริดสีดวงกำเริบจนหน้าดำหน้าเขียวไปโรงหมออย่างทุลักทุเล ระหว่างทางที่คับคั่งด้วยผู้คน นางสามารถร่ำร้องคร่ำครวญจนชาวเมืองต่างสงสารต้องหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว เขาจึงนึกเลียนแบบ

          ด้านหงลิ่วเห็นไป๋เซ่อร่ำร้องครึกครื้นก็ไม่พลาดโอกาส แสร้งทำสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร “ท่านพ่อ อย่าตายนะ” พูดจบก็ซบหน้าใส่คนที่นอนแน่นิ่ง ก่อนจะมีเสียงสูดน้ำมูกดังยาวตามมา

          สมจริงเกินไปแล้ว...ดูว่าคนหนึ่งรับคนหนึ่งส่งตีบทแตกกระจาย แต่ก็เล่นเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของซวนหยวนหมิงไท่ปูดโปน หงเว่ยต้องจ้องมองคนทั้งสองอย่างตะลึงๆไปพักใหญ่

          โชคดีที่เสียงร่ำไห้แหลมปรี๊ดนั้นเป็นที่บาดหูแก่ผู้รับฟัง นำพาให้ผู้คนที่ต่อท้ายแถวต้องชะโงกหน้ามองอย่างอยากรู้อยากเห็น คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็หยุดมองให้ความสนใจ ฝูงชนเริ่มมุงกันวุ่นวายทำให้ทหารคนดังกล่าวต้องรีบไล่ให้พวกเขาเคลื่อนรถจากไปโดยเร็ว

          ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน หลังจากที่นักฆ่ารับสารภาพบอกนามของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตัดสินใจมายังเมืองเหลียวตง ด้านไป๋เซ่อเองก็ดึงดันจะไปด้วย แม้ว่าชายหนุ่มจะกังวลถึงความปลอดภัยและดวงตาที่ยังคงต้องรักษา หงเว่ยในฐานะหมอก็เพียงพูดว่า คนไข้อยู่ที่ใด เขาย่อมต้องอยู่ที่นั่น ได้ยินเช่นนั้นหงลิ่วก็กระโดดเกาะติดพี่ชายไปด้วย

          ผ่านด่านแรกมาแล้วพวกเขาก็พลอยโล่งใจ เดิมทีรถม้าที่ดูมิได้คันนี้เป็นคันเดียวกับที่ถูกนักฆ่าโจมตีเมื่อหลายวันก่อน ส่วนม้าที่ใช้ก็เป็นม้าป่าที่หงเว่ยพบและปราบพยศได้

          ครั้นเข้าเมืองมาแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องทำประการแรกคือหาที่ปักหลักค้างแรม ประการที่สองหาทางติดต่อไปยังกลุ่มขององครักษ์เงา ระหว่างนั้นก็สืบความเป็นไปของอ๋องแห่งเหลียวตง

          รถม้าหยุดจอดหน้าโรงเตี๊ยมอยู่หลายแห่ง จวบจนมาถึงแห่งที่ห้าจึงสามารถหาห้องพักได้ เสี่ยวเอ้ออายุไม่เกินยี่สิบ ผู้มีใบหน้าตกกระ มือไม้คล่องแคล่ว ฝีปากเจรจาพาที เป็นฝ่ายนำพาพวกเขาไปยังห้องพักที่ชั้นสอง

          “นายท่าน หากมีอะไรขาดเหลือสามารถเรียกหาคนของที่นี่ได้ทุกเมื่อ” เสี่ยวเอ้อยิ้มแย้มให้ก่อนผลักประตูเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า

          ด้านในปรากฏเป็นห้องที่ไม่กว้างนัก ผนังสีหม่น ตัวห้องสะอาดสะอ้านใช้ได้ ที่กลางห้องวางไว้ด้วยโต๊ะเก้าอี้ไม้กลมและชุดน้ำชาเล็กๆ นอกจากนี้ยังมีเชิงเทียนและของใช้จำเป็นบางอย่าง คนทั้งสี่กวาดตามองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกพึงพอใจ เว้นเพียง...

          “ขอถามยังมีห้องอื่นที่เตียงใหญ่กว่านี้หรือไม่” ซวนหยวนหมิงไท่ถามเสี่ยวเอ้อ จากที่เห็นนี่เป็นเพียงเตียงที่ทั้งเล็กทั้งแคบ

          “ต้องขออภัยนายท่าน ตอนนี้ที่โรงเตี๊ยมชุนหลัวของเราเหลือสองห้องเล็กสุดท้ายแล้ว” เสี่ยวเอ้อตอบตามตรง ครั้นแลเห็นสีหน้าลำบากใจของแขกเหรื่อก็พอจะเดาได้ บุรุษสองคนนอนเบียดกันบนเตียงเล็กจะนอนหลับได้สบายสักแค่ไหนกันเชียว แต่มาตรว่ามีที่คุ้มหัวย่อมดีกว่าไม่มีเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเอ่ยด้วยความหวังดี “อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้เหลียวตงจะมีงานมงคลอันยิ่งใหญ่ เกรงว่าในเวลาแบบนี้โรงเตี๊ยมอื่นๆก็คงรองรับแขกเต็มที่แล้วเช่นกัน”

          “งานมงคล แสดงว่าที่นี่จะคึกคัก มีของกินเยอะแยะสินะ” ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของไป๋เซ่อเบิกกว้างทอประกาย จากที่อดอยากกินแต่ผลไม้ป่ามานานในที่สุดเขาก็จะได้หลุดพ้น ด้านหงลิ่วก็ตื่นเต้นอดที่จะส่งเสียงมิได้

          “ข้าอยากได้โคมแดง ข้าอยากได้โคมแดง”

          ร่างเล็กตกอยู่ในภวังค์ มุมปากมีน้ำลายซึมอยู่เล็กน้อย ส่วนเด็กน้อยกระโดดโลดเต้น ผู้อ้างตัวเป็นหมอก็ไม่ยินดียินร้าย ผิดกับรัชทายาทหนุ่มที่ต้องขมวดคิ้ว

          ความจริงตั้งแต่เข้าเมืองมาเขาก็สังเกตเห็นโคมแดงที่จัดวางเรียงรายตลอดทาง ให้บรรยากาศราวกับอยู่ในเทศกาลหนึ่ง “งานมงคลของผู้ใดกัน เหตุใดจึงเอิกเกริกเช่นนี้”

          เสี่ยวเอ้อกลั้วหัวเราะ “แน่นอนว่าต้องเป็นของท่านอ๋องตวนอยู่แล้ว”

          “ท่านอ๋องตวนที่เจ้าหมายถึงเป็นตวนผิงซางอ๋อง” เขาย้ำถาม

          ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ย้ำถามจริงจังเช่นนี้ แต่กระนั้นเสี่ยวเอ้อก็ยังคงตอบ “ขอรับนายท่าน”

          ความจริงข้อมูลลับๆของตวนผิงซางอ๋องที่ได้จากองครักษ์เงาเมื่อปีก่อนนั้นระบุเพียงว่า ตวนผิงซางถือกำเนิดในตระกูลขุนนางฝ่ายบู้ขั้นสูง เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากภริยาเอก จึงทำให้เจ้าตัวพลอยมีหน้ามีตาในราชสำนัก มิหนำซ้ำยังโดดเด่นด้วยฝีมือและสติปัญญาที่เฉียบแหลม อุปนิสัยสุขุมนิ่งลึก เป็นกำลังสำคัญของเสด็จพ่อ ตั้งแต่สมัยพระองค์ขึ้นครองราชย์

          กระทั่งตวนผิงซางครบวัยยี่สิบห้าอันเป็นวัยมีครอบครัว ก็ประจวบเหมาะกับแคว้นทางเหนือเข้ารุกราน ฮ่องเต้มีรับสั่งหาผู้นำทัพ และเป็นตวนผิงซางที่เสนอตัวอาสานำทัพเข้าต่อสู้กับศัตรู ซึ่งศึกใหญ่ในครั้งนี้กินระยะเวลายาวนานถึงสี่ปีจึงสงบลง และเป็นศึกที่ทำให้ตวนผิงซางได้รับความไว้วางพระทัยและพระกรุณาธิคุณให้รั้งตำแหน่งอ๋องเหลียวตงในที่สุด

          ทว่าน่าแปลกนักที่เขายึดมั่นครองตัวเป็นโสดอยู่เรื่อยมา แม้ฮ่องเต้ประทานสมรสให้ เขาก็เพียงก้มหน้าขอบพระทัยแล้วเอ่ยปฏิเสธ ทั้งยังมิเคยมีข่าวว่าเขาใกล้ชิดสนิทสนมหรือเหลียวแลสตรีคนไหนจนล่วงมาถึงบัดนี้ สรุปได้ว่าตวนผิงซางอ๋องวางตัวห่างไกลจากเรื่องรักใคร่เป็นที่สุด

          ฉะนั้นซวนหยวนหมิงไท่จึงแปลกใจไม่น้อยที่ได้รับทราบข่าวมงคลเช่นนี้ ดูแล้วสตรีผู้ครอบครองหัวใจอ๋องตวนได้นั้นย่อมไม่ธรรมดา และจะดีที่สุดหากมิใช่เป็นการแต่งงานเพื่อเอื้ออำนวยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

          “หากนายท่านไม่มีกระไรแล้ว ข้าน้อยจะพาอีกทั้งสองท่านไปชมดูอีกห้องหนึ่ง” เสี่ยวเอ้อกล่าวขัดจังหวะความคิด ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่พลันได้สติ หงเว่ยที่เดินไปรอบๆห้องต้องชะงักฝีเท้า

          แต่ทั้งนี้กลับไม่มีใครไหลลื่นได้ไวเท่ากับไป๋เซ่ออีกแล้ว “ดี เราไปดูห้องของเรากันเถอะหงลิ่ว”

          น้ำเสียงสดใสดังขึ้นพร้อมกับหงลิ่วที่พยักหน้าหงึกหงัก ทั้งสองกอดคอย่ำเท้าตามเสี่ยวเอ้อร์ไปอย่างร่าเริง ปล่อยให้สองหนุ่มต้องทวนคำว่า ห้องของเรา... ห้องของเรา... ในสมองเนิ่นนานจนหันมาสบตากันแล้วผงะแตกตื่น แลชั่วประเดี๋ยวก็มีเสียงรัชทายาทหนุ่มร่ำร้องอย่างที่มิสนใจภาพลักษณ์ กระทั่งหงเว่ยที่มักสงบปากสงบคำก็ต้องโพล่งกล่าวออกมา

          “ช้าก่อน ข้าไม่นอนกับเขา”

          “ข้าก็ไม่นอนกับเขา”


 

*************************************************
   

 

          เมื่อตะวันขึ้นตรงกลางศีรษะ ชั้นแรกของโรงเตี๊ยมชุนหลัวซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารก็เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างรับรองลูกค้ากันให้หัวหมุน แลในอีกมุมหนึ่งก็บังเกิดความวุ่นวายไม่แพ้กัน

          “ไยพวกเจ้าจึงพูดมิรู้เรื่องเช่นนี้”

          “คือ...” ซวนหยวนหมิงไท่และหงเว่ยต่างนั่งก้มหน้าก้มตาคอตก

          “ดูพวกเจ้าสิ ตัวใหญ่อย่างกับพ่อวัวแล้วยังจะมานอนกับพวกข้าเพื่อกระไร มิเห็นหรือว่ารูปร่างของข้ากับหงลิ่วเหมาะจะนอนด้วยกันที่สุด” ไป๋เซ่อตวาดยกใหญ่ หากยอมแม้แต่ก้าวเดียวเขามิต้องเปลี่ยนไปนอนพื้นหรอกหรือ

          “ใช่ๆ” ฝ่ายผู้ถูกพาดพิงอย่างหงลิ่วนั่งฟังแล้วกัดหมั่นโถวคำโต ประเมินมองภาพรวมแล้วจึงสรุปในใจ กาลเวลาล้วนทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยน มาตรว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังสึกกร่อน ดังนั้นไม่ว่าจะมองดูในแง่มุมไหน ในเพลานี้พี่ชายไป๋ก็ใหญ่ที่สุด กระทั่งพี่ใหญ่ของเขายังต้องลงให้หลายส่วน

          เมื่อมีคนให้ท้ายไป๋เซ่อ เรื่องราวก็จำต้องจบลงแต่โดยดี มื้อเช้าในวันนี้จึงหวนคืนสู่ความสงบที่แทรกด้วยเสียงซดน้ำเต้าหู้ของไป๋เซ่อ บุรุษหนุ่มอีกสองคนได้แต่กัดหมั่นโถวกันอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่กระนั้นสีหน้ากลับฉายแววขมขื่นอยู่หลายส่วย

          ครั้นกินส่วนอาหารของตัวเองหมด ไป๋เซ่อก็ชะโงกหน้ามองโต๊ะอื่นด้วยความระทมทุกข์ ไฉนโต๊ะข้างๆจึงมีบะหมี่น้ำชามโตกับขนมเม็ดบัวชิ้นใหญ่ ผิดกลับเขาที่ต้องรองท้องด้วยหมั่นโถกับน้ำเต้าหู้จืดชืด ขณะที่คิดอย่างเศร้าใจก็พลันบังเกิดเป็นเสียงร้องดีใจของคนผู้หนึ่ง

          “เสี่ยวไป๋” ผู้มาใหม่กลับเป็นบุรุษหนุ่มเจ้าสำอางในชุดสีฟ้าสด ซึ่งติดตามด้วยข้ารับใช้ผู้หนึ่ง

          “พี่เสิ่น” ไป๋เซ่อร้องเรียก ดูว่าเขาช่างมาได้เหมาะเจาะเสียจริง

          เสิ่นอันหวางตรงรี่เข้าหาก่อนจะเบียดนั่งที่ข้างๆกายร่างเย้ายวนได้สำเร็จ ระหว่างนั้นกลับมิได้สังเกตเห็นสายตาสองคู่ที่ลุกโชนดุจดั่งเพลิงนรกขุมที่สิบแปด “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้กระไร รู้รึไม่ว่าจากไปไม่ลาเช่นนี้ ผู้แซ่เสิ่นเสียใจเพียงใด”

          เดิมทีก่อนหน้าจะมาเหลียวตงนี้ เขาได้แวะไปหาไป๋เซ่อที่จวนตระกูลมู่ หากแต่บ่าวไพร่กลับบอกว่าขบวนท่านผู้ตรวจราชการได้ออกเดินทางไปหลายวันแล้ว ครั้นขอเข้าพบมู่อิงเอ๋อร์กลับได้ความว่านางถูกบิดาสั่งกักบริเวณนานนับเดือน จะด้วยเหตุผลอันใดก็มิทราบได้ ดังนั้นเขาจึงมิอาจสอบถามที่อยู่ของร่างเล็กได้อีก ทว่าการได้บังเอิญพบกันเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เสิ่นอันหวางเชื่อมั่นในพรหมลิขิตระหว่างตนและคนงาม

          “คุณชายเสิ่นท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” เป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่กล่าวขัดจังหวะสายตาอันหยาดเยิ้มของอีกฝ่าย

          “ครั้งนี้ข้าเป็นตัวแทนของบิดามาทำการค้าและส่งมอบของขวัญมงคลให้กับท่านอ๋องตวน มิคาดฝันจะได้พบกันอีก ช่างบังเอิญจริงๆ” เสิ่นอันหวางหัวเราะ ครั้นสังเกตเห็นอาหารเรียบง่ายทั้งชุดเสื้อผ้ามอมแมมของท่านผู้ตรวจหมิงก็เกิดสงสัย “ครั้งนี้ท่านผู้ตรวจราชการหมิงลงทุนปลอมตัวตรวจสอบผู้ใดอยู่ หากมิใช่เสี่ยวไป๋โดดเด่น ข้าคงมิเห็นได้แน่ๆ”

          อีกฝ่ายพูดทีเล่นทีจริง ทว่ารัชทายาทหนุ่มฟังแล้วริมฝีปากก็กระตุก “ล้อกันเล่นแล้ว ความจริงระหว่างทางพวกเราโดนโจรป่าดักปล้น พวกเราจึงเป็นเช่นนี้”

          “จริงรึ? ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก พวกมันเห็นกฎหมายเป็นอันใด” ผู้แซ่เสิ่นถลึงตาโตพร้อมทั้งตบโต๊ะด้วยความโมโห ทำเอาชามน้ำเต้าหู้บนโต๊ะถึงกับสั่นสะเทือน “ว่าแต่เสี่ยวไป๋ เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

          ดูว่าอีกฝ่ายปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวยิ่งกว่าโกหก หงเว่ยที่นิ่งเงียบมานานครั้นเห็นไป๋เซ่อกำลังจะอ้าปากก็เป็นฝ่ายชิงกล่าว “เขามิเป็นไร”

          ด้วยน้ำเสียงห้วนที่ดังออกมา ทำให้เสิ่นอันหวางต้องหันไปสบเข้ากับประกายตาอำมหิตแล้วจึงผงะตัวหน้าซีด ทำไมตนไม่สังเกตเห็นคนผู้นี้แต่แรกกัน “จะ...เจ้าเป็นใครรึ”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองท่าทีหวาดๆของเสิ่นอันหวางแล้วก็ลอบยิ้ม ดูว่ามิต้องถึงมือเขา หงเว่ยก็ออกหน้าจัดการแล้ว

          “ข้าเป็นหมอของไป่ไป๋ หากสงสัยในอาการใดของเขา ข้าจะตอบเอง”

          ประโยคดังกล่าวทำเอาหงลิ่วที่นั่งด้านตรงข้ามถึงกับสำลักน้ำเต้าหู้ ด้วยต้องกลั้นขำอย่างสุดกำลัง พี่ใหญ่ถึงกับกล้าเรียกไป่ไป๋ ไหนจะยังประโยคนั้น เท่ากับมิเปิดโอกาสให้บุรุษเจ้าสำอางผู้นี้สนทนากับไป๋เซ่อสักประโยค

          “หือ ทำไมจึงเป็นไป่ไป๋” ไป๋เซ่อเลิกคิ้วอย่างสงสัย

          “เพราะ...เพราะว่า...น่ารักดี” หงเว่ยกล่าวแล้วหน้าก็แดงก่ำ

          ไป๋เซ่อเห็นท่าทีขัดเขินก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมิใช่คนหเย็นชาอย่างที่เห็นภายนอก อดยิ้มขึ้นมามิได้
         
          ไป่ไป๋...น่ารัก เฮอะ ซวนหยวนหมิงไท่ลอบแค่นเสียงประชด ลองโดนโขกสับถีบก้นแบบเขาดูสิ ยังจะกล่าวคำว่าน่ารักออกมาเช่นนี้ได้รึไม่ คิดเสร็จก็พลันหันไปกล่าวกับบุคคลที่ยังเรียกขวัญกลับมามิได้ “ว่าแต่คุณชายเสิ่น ท่านทำการค้ากับจวนอ๋อง คงจะมีเส้นสายไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นท่านพอจะรู้เรื่องงานมงคลของท่านอ๋องตวนบ้างรึไม่ว่า ว่าที่พระชายาเป็นใคร”

          เสิ่นอันหวางยิ้ม “เรื่องนี้ก็พอรู้มาบ้าง การแต่งงานของท่านอ๋องตวนนับว่ารวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ฝ่ายว่าที่พระชายานั้นเป็นสตรีที่โดดเด่น ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องช่วยนางไว้ในครั้งออกล่าสัตว์ราวเจ็ดแปดวันก่อน ทหารที่ติดตามเล่าลือกันว่าเพียงแค่นางชายตามอง ท่านอ๋องก็ตกหลุมรักนางหัวปักหัวปำแล้ว แม้แต่ขุนนางเก่าแก่คัดค้านเพียงใดท่านก็มิสน”

          “หือ งดงามมากเลยหรือ” ไป๋เซ่อก็ตาโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลอยทำให้เสิ่นอันหวางกระตือรืนร้นพูดต่อ

          “แน่นอน นอกจากหน้าตาที่ชวนให้คนรู้สึกปกป้อง นางยังมีเส้นผมสีเงินราวกับเส้นไหม ไม่ว่าสตรีใดก็มิอาจเทียบเคียง”

          “ผมสีเงิน” ผู้แซ่เสิ่นพูดถึงตรงนี้ทั้งซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อก็อุทานขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหันมาสบตากันอย่างรู้ความ

          “ท่านแน่ใจว่าเป็นสตรีผมเงิน?” ซวนหยวนหมิงไท่ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

          เสิ่นอันหวางเลิกตาโต “แน่ใจสิ เรื่องนี้แม้แต่ชาวเมืองเหลียวตงก็เป็นพยานได้ เพราะหลังจากท่านอ๋องกลับจากล่าสัตว์ ที่หลังม้าของท่านอ๋องก็เพิ่มขึ้นมาด้วยสตรีผมสีเงินนางหนึ่งแล้ว”

          รับฟังแล้วรัชทายาทหนุ่มก็สูดหายใจลึก “คุณชายเสิ่น ขอถามท่านคิดไปเยือนจวนอ๋องเมื่อใด”

          “อีกสองวันที่จะถึงนี้”

          “เช่นนั้นรบกวนคุณชายเสิ่น ข้าต้องการเข้าไปในจวนอ๋อง ท่านพอจะช่วยข้าได้รึไม่”

          ชายหนุ่มกล่าวถึงตรงนี้ไป๋เซ่อก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น คล้ายมีความไม่พอใจก่อตัวในอกลึกๆ มือน้อยกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว แต่กระนั้นก็มิอาจรับรู้แลอธิบายได้ว่าความรู้สึกนี้เป็นเช่นไร แลไม่นานก็ได้ยินเสิ่นอันหวางตอบรับคำ

          “ขอเพียงท่านผู้ตรวจราชการหมิงสั่งมา ข้าย่อมกระทำตาม” เสิ่นอันหวางยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก สันดานพ่อค้ามีหรือจะปล่อยให้ปลาตัวใหญ่หลุดมือ
[/size]


*************************************************



เพราะมีคนถามว่าตวนอ๋องผิงซางคือใคร เค้าเลยจับมาตั้งชื่อตอนเสียเลย 5555+

ถถถถ ความจริงก็เพราะตั้งชื่อตอนไม่ออกชัดๆ เเฮ่


 :katai5:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 11 ตวนผิงซางอ๋อง 06/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 07-03-2016 16:47:20
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 11 ตวนผิงซางอ๋อง 06/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 07-03-2016 19:37:47
อะโถ่พ่อรัชทายาทแสนดี... พอรู้ว่าแม่นางที่เจอในป่าครานั้นจะออกเรือนก็ระริกระรี่จะไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเอง
ทำเอาไป๋เซ่อที่นั่งฟังถึงกับจึ้ก! เดี๋ยวเถอะน้าๆ เดี๋ยวงูขาวตัวน้อยก็หนีไปอยู่กับพลพรรคงูดำหรอก เขายิ่งผูกสมัครรักใคร่เอ็นดูไป่ไป๋อยู่ด้วย โดยเฉพาะหงเว่ยเนี่ย ไม่เก็บไว้ดีๆจะโดนงาบไปไม่รู้ด้วย
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 12.1 ความฝัน 15/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 15-03-2016 22:32:54
บทที่ 12.1 ความฝัน



           หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย เสิ่นอันหวางก็แสดงความใจกว้างราวกับแม่น้ำฮวงโห อาหารเลิศหรูถูกสั่งมาวางเรียงรายบนโต๊ะ หงลิ่วเมื่อได้ลาภปากก็ตาโตเป็นประกายใช้ตะเกียบจ้วงโดยไว

          ด้านไป๋เซ่อเพียงก้มหน้าชิมอาหาร ทว่ากินไปคำหนึ่งก็พลันรู้สึกไร้รสชาติ อารมณ์และรอยยิ้มสดใสจางหายลงไปหลายส่วน เขาวางตะเกียบเงียบๆ แลไม่นานน่องไก่ชิ้นโตก็ถูกวางแหมะลงบนชาม

          “ไป่ไป๋ กินเยอะๆ” หงเว่ยจ้องมองร่างเล็กอย่างอ่อนโยน

          เมื่อรับรู้ถึงความเป็นห่วงไป๋เซ่อก็ยิ้มไปจนถึงดวงตา “ขอบคุณเจ้ามาก หงเว่ย” กล่าวจบก็หยิบน่องไก่ขึ้นมากัดคำโต ประจวบเหมาะกับที่หงลิ่วร้องโวยวาย

          “เฮ้ๆ ข้ายังไม่ได้กินเลย”

          เป็นเสิ่นอันหวางลอบมองคนทั้งสองก็รู้สึกว่าจะเสียหน้ามิได้ จึงยกเอาจานเป็ดน้ำแดงที่ยังคงมีตะเกียบคู่หนึ่งจิ้มอยู่ไปวางไว้ที่ด้านหน้าร่างเล็ก “เสี่ยวไป๋ ลองกินจานนี้ ข้าสั่งให้เจ้าโดยเฉพาะ”

          น้ำเสียงหวานนั้นทำเอาคนทั้งโต๊ะต้องทำหน้าปูเลี่ยน ไป๋เซ่อคีบชิ้นเป็ดเข้าปากก็ส่งเสียง “อร่อย” เขาชำเลืองตาไปที่อีกฟากของโต๊ะ ก็เห็นชายหนุ่มเอาแต่พลุ้ยข้าวต้มเข้าปาก

          พอดีกับที่ซวนหยวนหมิงไท่ลดชามลงก็รู้สึกถึงสายตาจับจ้องเอาเรื่อง เขามองสบดวงตาสีฟ้าอมเขียว จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตากินต่อ

          ด้วยท่าทีเมินเฉยเช่นนี้ยังผลให้ไป๋เซ่อริมฝีปากกระตุก หันไปคว้าฉีกน่องเป็ดน่องไก่แล้วกัดทึ้งพร้อมกันอย่างมีโทสะ...ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันคนใจร้าย เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลชัดๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเอาใจข้าอยู่แท้ๆ

          กระทั่งอาหารบนโต๊ะเริ่มร่อยหรอ เสิ่นอันหวางก็ขอตัวกลับไปตรวจรายการข้าวของที่จะนำไปยังจวนอ๋อง ก่อนไปยังทิ้งเงินก้อนโตให้กับเถ้าแก่ร้าน ทั้งไม่ลืมกำชับกำชาให้ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี

          คล้อยหลังหนึ่งนายหนึ่งบ่าวจากไป ซวนหยวนหมิงไท่ก็ลุกขึ้นเอ่ยจะออกไปทำธุระ ตามติดด้วยน้ำเสียงของเฉื่อยชาของหงเว่ยที่คิดออกไปสำรวจรอบๆเมือง ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อและหงลิ่วก็แทบจะตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า “ข้าไปด้วย”

          ทว่ารัชทายาทหนุ่มกลับขมวดคิ้วกล่าวเสียงแข็งกับร่างเล็ก “ไม่ได้ เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่” ต่อให้ครานี้ไป๋เซ่อดื้อดึงเช่นไร เขาก็ใจอ่อนอีกไม่ได้ เพลานี้เขาอยู่ใกล้ศัตรูเกินไป อีกฝ่ายจะล่วงรู้ถึงจุดอ่อนเขามิได้ ฉะนั้นเคลื่อนไหวตามลำพังจะดีกว่า

          “แต่...” ไป๋เซ่อทักท้วง ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับรีบตัดบท
         
          “ข้าไปครู่เดียว อย่าได้งอแง”

          สิ้นเสียงร่างสูงก็หันกายเดินดุ่มออกจากโรงเตี๊ยมไปโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามองสักครั้ง ไป๋เซ่อตัวแข็งค้าง คนผู้นี้กล้าใช้คำว่าอย่างอแงกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนจะท่าทีที่ห่างเหินนั่นอีก

          อีกด้านหนึ่งหงลิ่วเกาะขาหงเว่ยไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกโยนตุบกลับไปที่เดิม ครั้นตะเกียกตะกายจะถลาไปจับตัวพี่ชายใหม่ ร่างที่เย็นชาก็เดินตัวปลิวไปไกลแล้ว เด็กน้อยตะโกนไล่หลัง “พี่ใหญ่ ท่านทิ้งขว้างข้าเช่นนี้ คอยดูหากกลับถึงเจียงหนานเมื่อไหร่ ข้าจะฟ้องหงอู่ว่าท่านไม่ดูแลข้าให้ดี”

          ทิ้งขว้าง? มองดูเด็กน้อยตะโกนปาวๆ ก็ต้องสะอึกอยู่ลึกๆ ด้วยท่าทีที่ชายหนุ่มแสดงออกยังผลให้พลันสงสัย...รึข้าจะโดนทิ้ง คิดได้ดังนั้นใจก็เริ่มไม่สงบ ทำได้แต่เบือนหน้ามองไปยังทิศทางที่เจ้าตัวลับไปอยู่เงียบๆ

          ครั้นกลับถึงห้องพัก ไป๋เซ่อก็นั่งกอดอกเหยียดขาวางบนกรอบหน้าต่างพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาจับจ้องมองคนที่เดินขวักไขว่อยู่ด้านล่าง เฝ้ารอการกลับมาของรัชทายาทหนุ่มคนผู้หนึ่งอย่างหงุดหงิด ทว่ารออยู่เนิ่นนานก็หาได้มีวี่แววแม้แต่เงาของเจ้าตัว

          ผ่านไปพักใหญ่หน้าท้องที่ตึงแน่นก็เริ่มส่งผลให้เปลือกตาบางหนักอึ้งลงไปทุกที ไป๋เซ่อพยายามปรือตาอยู่นาน หากแต่ในที่สุดก็มิอาจทนฝืน

          .............

          .......

          ...

          บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ฟากฟ้าประดับด้วยประกายแสงของหมู่ดวงดารา งูตัวน้อยสีขาวแหงนมองท้องฟ้าพลางเลื้อยไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย กระแสลมเย็นฉ่ำแทรกผ่านต้นหญ้าจนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว ให้ความรู้สึกหงอยเหงาอย่างไรบอกไม่ถูก

          อากาศของภูเขาเริ่มหนาวเย็นจนเกิดเป็นหิมะตก สัตว์น้อยใหญ่จึงพากันอพยพไปยังสถานที่ที่ดูจะอบอุ่นกว่า ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนไปเป็นฝูงหรือกลุ่มครอบครัวเล็กๆ เว้นเพียงมันที่เคลื่อนตัวไปอย่างโดดเดี่ยวในภายหลัง

          เป็นมันไร้ญาติขาดพี่น้อง นับตั้งแต่จำความได้ก็ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังแล้ว ทว่าอสรพิษส่วนใหญ่ก็ปลีกวิเวกมิต่างกับมันมิใช่หรือ ยังดีที่สัตว์ทั้งหลายบนภูเขาแห่งนี้ดูจะเกรงกลัวมันเป็นพิเศษ แค่เห็นมันปรากฏตัวที่ใดก็พลันหลบลี้หนีหน้าไปให้ไกลทันที

          อืม ดูท่าทางแล้วมันเองก็คงจะดูน่าเกรงขามมิใช่น้อย

          “ฟุ ฟุ” คิดได้เช่นนั้นงูเผือกน้อยก็ฉีกยิ้มแฉ่ง แค่นหัวเราะอย่างหลงตัวเอง สรุปโดยรวมแล้วมันใช้ชีวิตไม่ลำบากสักเท่าไหร่นัก เว้นเพียงมีบางเวลาที่รู้สึกอ้างว้างอยู่บ้าง

          มาตรว่าเลื้อยตัวมาทั้งวันในที่สุดเสียงท้องร้องก็ดังขึ้น ศีรษะที่เคยเชิดอย่างภาคภูมิถึงกับตกลง รอยยิ้มแฉ่งกลับกลายเป็นรอยยิ้มแหย แม้แต่ลำตัวก็ยังค่อยๆห่อเหี่ยวขดม้วนเป็นวงกลม

          หิว...หิวจะตายอยู่แล้ว

          มันตัดสินใจอ้าปากงับต้นหญ้าประทังชีวิต ต่อให้ภายหลังต้องท้องเสีย มันก็มิเลือกตายอย่างหิวโหย และในขณะที่มันกลืนหญ้าลงคอที่แห้งผาก ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเสียงสวบสาบ ดวงตาวิบวับสีฟ้าอมเขียวหันขวับไปยังต้นเสียงในทันที

          ไม่ไกลนักเงาร่างหนึ่งเดินวนเวียนไปตามจุดต่างๆ สองมือแหวกหญ้าสูงคลับคล้ายกำลังมองหาบางสิ่งอยู่ มันสังเกตดูก็พบว่าเงาร่างนี้มีเรือนร่างสีขาวละมุน ชวนให้รู้สึกถึงความบริสุทธิ์อ่อนโยนดุจดั่งดอกบัว งูน้อยฉีกยิ้ม ถึงตอนนี้อีกฝ่ายจะดูน่าชมมองแค่ไหนก็มิอาจห้ามให้สมองของมันผุดคำๆหนึ่งตามสัญชาตญาณกระหายหิว

          เหยื่อ...ในที่สุดมันก็เจอเหยื่อแล้ว มันถ่มหญ้าที่รสชาติเหม็นเขียวในปากทิ้ง จากนั้นเลื้อยตัวไปยังของกินที่ดูน่าอร่อยกว่า จวบจนเข้าใกล้ในระยะสามฉื่อ มันก็เตรียมอ้าปากกว้าง เผยเขี้ยวแหลมสีขาวประดุจดั่งงาช้าง ซึ่งเคลือบไปด้วยน้ำลายแวววาว จะให้ดีมิเปลืองแรงมากนัก มันต้องเขมือบเหยื่อในขณะที่ไม่รู้ตัว เพียงงับสักคำแล้วกลืนลงไป อาจจะต้องรัดพัวพันมิให้หลุดมืออีกสักหน่อยแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี

          แต่มาตรว่าวางแผนไว้เสร็จสรรพ ที่เหนือศีรษะกลับปรากฏเป็นฝ่าเท้าข้างหนึ่งยกขึ้นเหนือตัวมันแล้ว มันเงยหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่งจึงตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงบางประการ

          ...ดูมันเลือกเหยื่อตัวใหญ่เกินไปหน่อยกระมัง

          “อั่ก” ฉับพลันนั้นน้ำหนักที่ราวกับช้างสารก็ประทับลงบนตัวมันอย่างเลี่ยงมิได้ ทว่าอีกฝ่ายเองก็ดูจะมิได้สังเกตเห็นว่าเผลอย่ำมัน เพียงเดินผ่านเลยไปอย่างง่ายๆ ราวกับมิเคยมีอันใดเกิดขึ้น

          งูเผือกสีขาวนอนแดดิ้นด้วยอาการจุกอก หางฟาดตีไปมากับพื้น ลำตัวบิดไปมาซ้ายขวาอย่างเจ็บใจ มันหรี่สองตาจับจ้องเหยื่อไม่ลดละ แลหากคิดว่ามันจะยอมแพ้ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ก็ในเมื่ออีกฝ่ายตัวโตดูน่าอร่อยถึงเพียงนี้ หากได้ลิ้มลองคงจะอิ่มท้องไปอีกหลายสัปดาห์ เหยื่อที่มันหมายตามีหรือที่มันจะปล่อยไปอย่างง่ายๆ

          เช่นเดียวกับอุปนิสัย จะรักหรือเกลียด มันก็ดื้อดึงจนถึงที่สุด

          “ฟุ ฟุ” มันพยายามแค่นเสียงหัวเราะลอดริมฝีปาก จากนั้นไต่ตามหินก้อนเล็กก้อนน้อยติดตามเงาร่างสีขาวขึ้นไป ระหว่างนั้นก็นึกเบิกบานยินดี ด้วยไม่ว่าอย่างไรวันนี้อีกฝ่ายมิพ้นกำมือมันได้แน่นอน

          “เจอแล้วๆ”

          จู่ๆร่างสีขาวงดงามก็หยุดตัวเปล่งเสียงร้องยินดีบนหินผาที่มีลักษณะไล่เรียงเป็นชั้นๆ ส่งผลให้มันต้องชะงักหยุด แหงนหน้ามองคนที่อยู่ห่างขึ้นไปอีกหลายช่วง อาจเป็นเพราะคืนนี้ดวงจันทร์กระจ่างจึงทำให้มันสังเกตเห็นใบหน้าของเจ้าตัวได้ชัดถนัดตา

          ดวงหน้าเล็กขาวใส แก้มระเรื่อด้วยเลือดฝาด รอยยิ้มบางคลี่ออกดูมีชีวิตชีวา ไหนจะยังดวงตาสีน้ำตาลระคนทองน่าหลงใหล เส้นผมยาวเฉกเช่นเดียวกับสีตา เหยียดยาวอ่อนนุ่มสะบัดพัดไหวไปตามสายลม มือเรียวผ่องกำลังประคองลูกแก้วสีโปร่งใสลูกหนึ่งออกจากซอกหลืบเล็กๆ

          คล้ายว่ามันถูกดึงดูดไปกับเรือนร่างนี้ ปากน้อยๆอ้าค้างอย่างโง่งม แต่แล้วมันก็เห็นเต็มสองตาว่าฝีเท้าที่เคยเหยียบย่ำมันกลับเผลอสะดุดขาตัวเอง ส่งผลให้ลูกแก้วใสในมือเลื่อนหลุด สีหน้าเจ้าของมีอันตื่นตะลึงไป

          ทว่าใครจะไปคาดคิดว่าลูกแก้วลูกหนึ่งสามารถสร้างความวิบัติได้รุนแรงเพียงนี้ ลูกแก้วใสเพียงตกกระทบก้อนหินที่ปลายเท้าของเจ้าตัวคราหนึ่งก็บังเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ ตามมาด้วยอาการร้าวไปทั่วบริเวณ แลในชั่วอึดใจก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่พอเพียงแค่นั้นส่วนฐานที่ลดหลั่นกันไปตลอดทั้งแนวถึงกับสั่นครืนยกใหญ่ จากนั้นพร้อมใจกันถล่มลงมาตรงบริเวณที่มันอยู่อย่างรวดเร็ว

          งูเผือกตัวน้อยอ้าปากกว้างแล้วกว้างอีก หากกว้างกว่านี้อีกสักนิดหินเหล่านี้คงจะร่วงใส่ปากมันแล้ว ทันใดนั้นเองเงาร่างสีขาวตรงหน้าก็หายวับไป แทนที่ด้วยหินก้อนใหญ่ รวมถึงฝุ่นควันคละคลุ้งที่เบื้องหน้า

          ชักจะผิดท่าแล้วสิ...ดวงสีฟ้าอมเขียวถลนเหลือกลาน ทุกส่วนของร่างกายแข็งทื่อ กระทั่งลมหายใจยังขาดห้วง

          หลังจากเสียงครืนขนานใหญ่สงบลง มันจึงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แสนสาหัส เลือดหย่อมเล็กๆทะลักออกจากริมฝีปาก ลิ้นแฉกสีแดงห้อยตก ดูว่าลำตัวของมันถูกหินก้อนใหญ่กระแทกทับไปถึงครึ่งส่วน ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวเลือนราง แต่กระนั้นก็ยังเห็นฝีเท้าคู่หนึ่งที่ก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้า ไม่นานนักก็รู้สึกเบาหวิวคล้ายหินก้อนที่หล่นทับถูกผลักออกไปทางด้านข้าง

          “ข้าขอโทษ เป็นอะไรมากรึไม่” ตัวการเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด พลางยื่นส่งมือไปทางงูน้อยที่ดูร่อแร่

          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เจ้าโง่ ข้าถูกทับเสียแบนเรียบขนาดนี้จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไรกันเล่า แฮ่ๆ มันขู่ตวาดอย่างฉุนเฉียว เมื่อสบโอกาสก็พุ่งเข้ากัดข้อมือนวลที่ส่งมาให้อย่างเต็มเขี้ยว อย่างน้อยตอนนี้มันก็บรรลุความต้องการล่าเหยื่อบรรเทาความหิวแล้ว

          กลับกันเจ้าของร่างสีขาวเผยสีหน้าประหลาด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองข้อมือที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำลายก็ต้องยิ้มขัน “คิดไม่ถึงว่าจะยังมีแรงขนาดนี้” ว่าแล้วก็แกว่งข้อมือที่เกาะติดด้วยงูน้อยที่ห้อยต่องแต่งไปมา

          ฝ่ายอสรพิษถึงกับชะงักกึก พึ่งสังเกตได้ว่าตั้งแต่มันจมเขี้ยวอันแหลมคมเหยื่อตรงหน้าก็ยังมิได้ส่งเสียงร้องสักแอะ ดังนั้นมันได้แต่ใช้ไม้ตายรวบรัดอีกฝ่ายในวงรัด แต่ครั้นคิดขยับตัวกลับพบว่าส่วนลำตัวพลันไร้ความรู้สึกไป ยังผลให้สีหน้าของซีดยิ่งกว่าไข่ต้ม ดวงตาเรียวสั่นไหว

          “ไม่เป็นไรความตายมิได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิดหรอก” ร่างสีขาวกล่าวปลอบโยน ทว่างูเผือกเบิกตากว้างตกใจ

          ตาย...มันจะตายงั้นหรือ เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกใจหาย หวาดกลัวไปถึงก้นบึ้งจิตใจ มันกระทั่งใบหน้าของผู้ให้กำเนิดก็ยังไม่เคยพบ แม้แต่ความทรงจำแรกเกิด ชื่อเสียงเรียงนามก็ยังไม่มี วันๆได้แต่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย หาได้รู้ไม่ว่าตนเกิดมาเพื่ออะไร

          ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็ต้องตายอย่างอ้างว้าง โดดเดี่ยว เงียบเหงาเช่นนี้น่ะหรื

          โฮ...มันไม่ยอม ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น น้ำตาหยดใหญ่ร่วงหล่นผ่านดวงตาสีสวย มันสะบัดหัวไปมาพลางขย้ำกัดข้อมือเรียวในปากต่อ บางทีหากได้กินอะไรสักหน่อย ชีวิตมันก็อาจจะมิดับสูญก็เป็นได้

          “ก็ได้ในเมื่อเจ้ามิประสงค์ความตาย อีกทั้งเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดข้า เช่นนั้นข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสาดประกายตาสีทอง นิ้วเรียวลูบไล้ไปที่ศีรษะอันเรียบลื่นอย่างเอ็นดู จากนั้นกล่าวกระซิบ “ไป๋เซ่อ จำไว้ให้ดี สักวันหากเจ้าพบเจอคนที่เจ้าพร้อมจะเสียสละทุกอย่างให้ กระทั่งชีวิตและตรงนี้” นิ้วพลันจิ้มไปที่อกของมันเบาๆ “จงอย่าได้ปล่อยเขาไปง่ายๆ ไม่ว่าจะเจ้าจะพบเจออุปสรรคใดก็ตาม”

          ต่อเมื่อเสียงกระซิบจบลง ริมฝีปากบางของเรือนร่างสีขาวก็เหยียดยิ้ม ทว่าคำพูดเหล่านั้นมันกลับรับฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เพียงรู้สึกว่าสายตาคู่นั้นทำให้มันคลายหวาดกลัว

          งูน้อยยอมคลายริมฝีปากออก สองมือคู่อบอุ่นประคองมันลง แลไม่นานร่างสีขาวก็พร่ามัวไป มันขยี้ตาอยู่หลายครั้งก็พบร่างของมันกลับกลายเป็นมนุษย์ เงาร่างสีขาวที่อยู่ตรงหน้ากลับแทนที่ด้วยบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งใช้สายตานิ่งเรียบจ้องมองมันราวกับทะลุไปถึงจิตใจ

          “ไป๋เซ่อ”

          น้ำเสียงทุ้มที่แม้จะเอ่ยเพียงแค่ชื่อ แต่กลับทำให้รู้สึกตื่นเต้นยินดี ไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่ง หากแต่ริมฝีปากงามนั้นก็ขยับเอ่ยสืบต่อ

          “ข้าขอโทษ ข้าเลือกเจ้ามิได้”

          ราวกับมีฟ้าผ่าไปทั่วร่าง รอยยิ้มบนใบหน้าถึงกับแข็งทื่อ จู่ๆในอกก็เจ็บราวกับถูกมีดกรีด ไป๋เซ่อได้ยินเสียงของตัวเองเอ่ยถาม “เพราะอะไร”

          “เพราะชะตาของข้าผูกติดอยู่ที่นาง มิใช่เจ้า”

          ร่างสูงปริปากตอบด้วยถ้อยคำเย็นชา ก่อนจะถอยหลังออกไปยืนเคียงข้างเรือนร่างบอบบางทางด้านหลัง หากแต่เขากลับมองเห็นนางไม่ชัดนัก รู้เพียงมือที่ตนคุ้นเคยกำลังโอบกอดนางไว้อย่างทะนุถนอม สีหน้าของทั้งสองดูรักใคร่กันอย่างสุดซึ้ง

          “ม่ายยย” ภาพตรงหน้าทำให้มันกรีดร้องสุดเสียง หัวใจแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าเป็นของข้า ของข้าแต่เพียงผู้เดียว”


 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 12.2 ความฝัน 15/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 15-03-2016 22:34:24
บทที่ 12.2 ความฝัน



             .............

          .......

          ...

          “พี่ชายไป๋ๆ”

          เสียงเรียกปลุกสติให้ตื่นขึ้น ไป๋เซ่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนอยู่บนเตียงแล้ว เขายันกายขึ้นนั่งอย่างงงๆ “ข้าเผลอหลับไปหรือ”

          “โธ่ พี่ชายไป๋ ท่านหลับลึกไปตั้งหลายชั่วยาม ทำข้าตกใจแทบแย่ ก่อนหน้านี้พี่ชายข้าก็พึ่งเข้ามาตรวจร่างกายท่าน บอกว่าท่านตรากตรำร่างกายจนเหน็ดเหนื่อยเกินไป ให้ท่านพักผ่อนเยอะๆ”

          “ถ้าเช่นนั้น เขาก็กลับมาแล้วหรือยัง” มาตรว่าหงลิ่วกล่าวด้วยสีหน้าแตกตื่น แต่เขากลับถามเสียงสูง มิได้รับฟังคำก่อนหน้านี้สักกะผีก

          รับฟังแล้วหงลิ่วก็เงียบไปพักหนึ่ง ดูว่าพี่ใหญ่คงเจอคู่แข่งอันน่ากลัวแล้ว “พี่ชายหมิงเองก็กลับมาถึงเมื่อหลายชั่วยามก่อน เห็นท่านหลับจึงกลับไปพักผ่อนแล้ว”

          “หนอย เจ้าลูกเต่านี่ ข้าป่วยเช่นนี้แต่กลับนอนสบายใจเฉิ่ม”

          “เอาน่า พี่ชายไป๋อย่าได้หงุดหงิดไป เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ” พูดจบเด็กน้อยก็ลุกขึ้นไปยกชามบะหมี่บนโต๊ะ จากนั้นหันไปคะยั้นคะยอ “นี่เป็นน้ำแกงไก่ที่พี่ชายข้าสั่งไว้ให้ท่าน รีบกินตอนร้อนๆเถอะ”

          ไป๋เซ่อรับชามบะหมี่ที่ยัดใส่มือ คิดถึงความใจดำของซวนหยวนหมิงไท่แล้วใบหน้าก็เบ้อย่างเห็นได้ชัด

          “ว่าแต่พี่ชายไป๋ ก่อนหน้านี้ท่านฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงละเมอนัก”

          “หือ” ไป๋เซ่อหูผึ่ง ความฝันก่อนหน้านี้คล้ายย้อนกลับเข้ามาในสมอง ไม่เว้นแม้แต่ประโยคสุดท้ายที่เขาตะโกนอย่างรวดร้าว

          ‘ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าเป็นของข้า ของข้าแต่เพียงผู้เดียว’

          เดี๋ยวๆ ว่าไงนะ...เขาถลนตาแทบจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง ประโยคดังกล่าวทำให้เขาหน้าแดง

          ไฉนจึงเหมือนคำกล่าวของภรรยาที่หึงหวงสามีกันนักเล่า

          แทบอยากจะกระอักเลือดมันให้รู้แล้วรู้รอด จะว่าไปแล้วตนฝันถึงท่านมหาเทพแท้ๆ ไยในตอนท้ายจึงมั่วซั่วกลับกลายเป็นซวนหยวนหมิงไท่เข้าไปได้ นอกจากนี้ยังมี...

          ต่อเมื่อนึกถึงร่างที่เลือนราง ฉับพลันนั้นภาพของเย่วเซียงที่ผุดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ไป๋เซ่อพลันรู้สึกหายใจติดขัด พอดีกับเสียงเคาะประตูถี่ๆ ส่งผลให้ร่างเล็กหลุดออกจากภวังค์ หันไปมองหงลิ่วที่วิ่งไปเปิดประตูห้อง จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์ผู้ซึ่งช่างเจรจาก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับห่อกระดาษที่มีควันฉุย

          “ซาลาเปาไส้เนื้อห่อนี้ นายท่านห้องข้างๆให้ข้านำมาให้พวกท่าน”

          “จริงหรือ เป็นพี่ใหญ่สั่งมาแน่ๆ โอ สวรรค์ในที่สุดเขาก็รู้สึกผิดที่ทิ้งข้าไปเสียที ฮ่า ฮ่า” หงลิ่วพูดเองเออเองแล้วโห่ร้องดีใจ ก่อนจะตะครุบเอาห่อซาลาเปาในมือของเสี่ยวเอ้อร์มา

          ด้านเสี่ยวเอ้อร์เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็กลับออกไปนอกห้อง ครั้นจะปิดประตูก็มีท่าทีฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง “จริงสินายท่าน ไม่นานมานี้ในเมืองมักเกิดคดีคนหนุ่มที่มิใช่ชาวเมืองเหลียวตงถูกลักพาตัวไปบ่อยๆ ล่าสุดเป็นกลุ่มบุรุษสี่คนที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมชุนหลัวของเรา แม้แต่ข้าวของพวกเขายังถูกทิ้งไว้ที่นี่อยู่เลย ดังนั้นหากเป็นไปได้พวกท่านก็อย่าได้ออกไปไหนหลังเที่ยงคืนจะดีกว่า”

          สิ้นเสียงของเสี่ยวเอ้อร์ประตูก็งับปิดสนิทลง ใจของไป๋เซ่อกลับคล้ายมีบางสิ่งตีกันปั่นป่วนวุ่นวาย เกรงว่าที่เมืองเหลียวตงนี่จะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้ว

          เช้าวันต่อมา ที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมก็บังเกิดเสียงทุ่มเถียง ลูกค้าที่มาเยือนเพียงมองไปทางต้นเสียงแวบหนึ่งก็มิได้สนใจ อาจเป็นเพราะโรงเตี๊ยมเป็นสถานที่ที่ซึ่งคนมักหาเรื่องกันบ่อยๆ พวกเขาจึงมิใคร่ใส่ใจอะไรให้มากความ

          “เจ้าคิดว่าสถานที่นั้นเป็นที่ใดกัน ข้าไม่อนุญาต” ซวนหยวนหมิงไท่ที่พึ่งดื่มชาไปไม่ถึงครึ่งถ้วยก็ต้องขึ้นเสียงดุ การไปจวนอ๋องตวนครานี้ นับเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ หากโชคดีเป็นเขาโค่นล้มตวนผิงอ๋อง แต่หากโชคร้ายก็กลายเป็นเขาที่มอดม้วยไร้ที่ฝัง เช่นนั้นแล้วเขาจะให้ไป๋เซ่อจะติดตามไปด้วยได้อย่างไรกัน

          “ข้าจะไป ทำไมต้องขออนุญาตเจ้า” ไป๋เซ่อโต้กลับ แม้ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ลึกๆแล้วก็ไม่ต้องการเห็นซวนหยวนหมิงไท่ใกล้ชิดกับสตรีนางใด ยิ่งเป็นเย่วเซียงด้วยแล้ว เขา...สังหรณ์ใจพิกล กลัวว่าจะต้องสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป

          “ดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าขึ้นรถม้ากลับจวนตระกูลเซียวเดี๋ยวนี้” มาตรแม้นมิสามารถควบคุมไป๋เซ่อได้ แต่ยังมีคนอีกผู้หนึ่งกระทำได้

          “นี่เจ้าขู่ข้าเหรอ” ไป๋เซ่อถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง จากนั้นตวาดผ่านสายตา “กล้าใช้ท่านมหาเทพมาขู่ข้าเชียวหรือ”

          “ข้ามิได้ขู่ แต่ข้าคิดทำจริง” รัชทายาทตอบเสียงกร้าว เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องของเขา จะปล่อยให้ไป๋เซ่อพลอยรับเคราะห์ไปอีกด้วยมิได้

          “เจ้า...” ไป๋เซ่อพูดไม่ออกด้วยโกรธจนตัวสั่น ทว่าก็ทำได้เพียงจ้องซวนหยวนหมิงไท่ตาเขม็ง กระทั่งมีน้ำเสียงที่สามแทรกขึ้นมา

          “หากไป่ไป๋ไม่อยากกลับไปที่นั่น เช่นนั้นเจ้ากลับไปเจียงหนานกับพวกเรามิดีกว่าหรือ”

          “ใช่ๆ ไปด้วยกันเถอะพี่ชายไป๋ ข้าจะพาท่านไปชมไร่นาของหงอู่กับพี่เขย” หงลิ่วเสริมกล่าวอย่างคึกคัก

          คราวนี้ดวงตาสีดำถึงกับวาวโรจน์ ถึงทีหงเว่ยสอดคำก็คล้ายตบหน้าเขาอย่างจัง ซวนหยวนหมิงไท่แค่นเสียงในลำคอ ประสานมือคำนับ “ไม่รบกวนพวกท่าน เดิมทีเป็นข้าได้รับไหว้วานให้ดูแลไป๋เซ่อ จึงถือเป็นความรับผิดชอบของข้า ไม่อาจผลักภาระให้ผู้อื่น”

          มาตรว่าจะตอบกลับอย่างสุภาพ ทว่าความหมายที่บอกเป็นนัยๆว่ามิยอมปล่อยร่างเล็กไปกลับทำให้สีหน้าของหงเว่ยทะมึนไปเป็นแถบ กระทั่งบรรยากาศก็แปรเปลี่ยนไปอึดอัดจนแทบหายใจมิออก

          หงลิ่วที่มิรู้อิโหน่อิเหน่ได้แต่ก้มหน้ากัดหมั่นโถในมือเงียบกริบ สองตาลอบมองสีหน้าบึ้งตึงของแต่ละคนแล้วก็ต้องบ่นในใจ...มารดามันเถอะ มื้อเช้านี้จะร้อนระอุไปหน่อยกระมัง

          คนทั้งสี่นั่งอึมครึมอยู่นาน ไป๋เซ่อก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อนใครเพื่อน “ได้ เจ้าอยากไปช่วยสาวงามที่ไหนก็ไปเลย ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าแล้ว เจ้าคนงี่เง่า” กล่าวด้วยสายตาแดงก่ำ จากนั้นกระทืบเท้ากลับห้องพักโดยที่ไม่แตะต้องอาหารใดๆ

          สาวงาม? ซวนหยวนเลิกตาโต ทันสังเกตเห็นร่างเล็กน้ำตาซึมก็พลันเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด แต่แม้คิดอยากรั้งตัวอีกฝ่ายไว้แล้วบอกกล่าวสักหลายคำ แต่กลับมิทันแล้ว

          “พี่ชายหมิง ท่านจะไปไหน” หงลิ่วทักขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากโต๊ะ

          “ข้ามีธุระ” ตัดสินใจปล่อยไป๋เซ่อไว้ ด้วยรู้นิสัยอีกฝ่ายดี หากตอนนี้เขาโอนอ่อนให้สักประโยค สุดท้ายแล้วไป๋เซ่อจะดื้อดึงติดตามเขาไปยังจวนอ๋องตวนจนได้ ซึ่งครั้งนี้มิอาจให้เป็นเช่นนั้น เนื่องเพราะเขามิกล้ารับผลที่จะตามมา หากเรื่องราวออกมาเลวร้าย

          หลังจากซวนหยวนหมิงไท่ลุกออกไป บุรุษหนุ่มที่สะกดกั้นโทสะไว้อย่างเงียบๆมาตลอดก็เอ่ยขึ้นมา “หงลิ่ว เจ้าเฝ้าไป่ไป๋ไว้ให้ดี หากข้าพบว่าเขาหายไปข้าจะแขวนเจ้าไว้ใต้ต้นเหมยสามวันสามคืน”

          “หา” หงลิ่วร้องลั่น “ทะ ท่านจะออกไปอีกแล้ว” ยังมิทันพูดจบหงเว่ยก็สะบัดชายเสื้อจ้ำอ้าวออกไปอีกคน เด็กน้อยพลันเข้าใจความรู้สึกของไป๋เซ่อขึ้นมาทันใด ลองเป็นฝ่ายถูกทิ้งไว้ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ หากไม่เบื่อตาย เขาจะยอมให้ตบหัวทิ่มเลยเออ


 

****************************************************

 

          ที่ร้านเฟิ่งหยูอันเป็นร้านที่ไม่ผิดแผกไปจากร้านแลกเงินทั่วๆไป บุรุษผู้ไว้หนวดเคราหลอมแหลมใต้คางกำลังนับตั๋วเงินปึกหนึ่งที่ได้จากลูกค้าที่พึ่งก้าวออกจากร้าน กระทั่งบุรุษในชุดสีน้ำเงินก้าวเข้ามา สีหน้าที่ดูละโมบก็พลันเปลี่ยนในฉับพลัน

          ผู้เป็นเจ้าของร้านหันซ้ายขวา แล้วสั่งให้ลูกน้องทำการปิดประตูหน้า ทั้งแขวนป้ายปิดร้านไว้ จากนั้นจึงหมุนตัวไปยังหลังร้าน ใช้มีดสั้นที่แนบกับรองเท้างัดเอาแผ่นไม้ธรรมดาบนพื้นขึ้นมา จนเผยให้เห็นบันใดที่ทอดลงไปยังด้านล่างที่มืดมิด

          ฝีเท้าที่ย่ำหนักบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของร้านผู้นี้มิใช่ชนชั้นธรรมดา หากประเมินให้ดีๆจะพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นเพียงคนหนุ่มอายุไม่เกินสามสิบ เจ้าของร้านเฟิ่งหวงจุดเชิงเทียนแล้วเดินนำเขาลงไปด้านล่าง แลไม่นานนักห้องใต้ดินแห่งนี้ก็สว่างไสว ทำให้สังเกตเห็นชุดโต๊ะเก้าอี้ที่วางไว้กลางห้อง และผนังที่แขวนไว้ด้วยอาวุธจำนวนหนึ่ง

          “ได้มารึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่นั่งลงแล้วเอ่ยถาม

          เจ้าของร้านเฟิ่งหยู หรือหนึ่งในองครักษ์เงาคำนับเสร็จก็ยื่นส่งกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้ “นี่เป็นแผนที่จวนอ๋องตวนพะย่ะค่ะ”

          รัชทายาทหนุ่มรับแผนที่มาก็คลี่ออก สักพักจึงกล่าวสืบต่อ “เจ้าได้ข่าวของหัวหน้าองครักษ์จิ้งและคนอื่นๆแล้วรึไม่”

          “ยังพะย่ะค่ะ สองวันก่อนที่องค์รัชทายาทจะเสด็จมาหากระหม่อม หัวหน้าองครักษ์จิ้งได้สั่งการให้กลุ่มองครักษ์เงาจำนวนหนึ่งค้นหาพระองค์ หากแต่ในคืนที่สอง หัวหน้าองครักษ์จิ้งกับคนอื่นๆกลับหายตัวไป จนบัดนี้ยังหาร่องรอยมิได้ กระหม่อมเกรงว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีที่คนหนุ่มหายตัวไปในช่วงนี้”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว คนอยู่ๆดีจะหายตัวไปได้อย่างไร ทั้งจำเพาะเจาะจงต้องเป็นบุรุษหนุ่ม “เจ้าแน่ใจรึไม่ ว่าก่อนที่พวกเขาจะหายไป พวกเขาได้เข้าไปสอดแนมในจวนอ๋องตวน”

          “แน่ใจพะย่ะค่ะ หัวหน้าองครักษ์จิ้งกล่าวกับกระหม่อมเอง”

          “เจ้ารับคำสั่ง พรุ่งนี้ข้าจะไปพบตวนผิงอ๋อง หากรุ่งสางข้ามิได้กลับออกมา จงสั่งการองครักษ์เงาให้บุกเข้าสังหารตวนผิงซางอ๋องเสีย” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงเย็น

          อีกด้านหนึ่งหงเว่ยยืนอยู่เหนือเมฆสีขุ่น ซึ่งนับตั้งแต่เข้าเมืองมาเขาก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ มาตรว่าชาวบ้านจะใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ ทว่าเหนือตัวเมืองแห่งนี้กลับปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายปีศาจรุนแรง

          กระทั่งวันนี้สืบเสาะไปถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ด้านในประดับด้วยโคมแดงและอักษรมงคล กระนั้นที่นี่กลับเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย หงเว่ยวนเวียนไปรอบๆคราหนึ่งก็ทะยานตัวลงสู่เรือนหลังเล็กที่ท้ายจวน

          น่าแปลกที่สถานที่แห่งนี้ยังคงสะอาดไร้สิ่งแปดเปื้อน เขาไล้ปลายนิ้วไปตามโต๊ะหินอ่อนสีขาว มองพุ่มดอกไม้สีชมพูที่เบื้องหน้า ฉับพลันนั้นเสียงกระพรวนก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงแว่วหวานจากทางด้านหลัง

          “ท่านเป็นใคร”

          หงเว่ยหมุนกายปรายตามองเจ้าของเสียงผู้ซึ่งมีรูปร่างเพรียวบาง ดวงหน้าอ่อนหวาน เส้นผมสีเงินปละปล่อยมิได้เกล้าเป็นทรง ก็พลันนึกถึงสตรีที่บุรุษแซ่เสิ่นเคยเอ่ยถึง...รึจะเป็นนาง

          “ท่านเข้ามาถึงที่นี่ได้?” สีหน้าของเย่วเซียงฉายแววประหลาดใจ ครั้นสัมผัสได้ว่าบุรุษแปลกหน้ามิใช่พวกเดียวกับเจ้าของจวนและนางปีศาจวั่นอู่หง นางก็ลุกลี้ลุกลนอ้อนวอน “ได้โปรดพาข้าออกไปจากที่นี่ด้วย”

          ทว่าร่างสูงใหญ่ฟังแล้วก็ยังคงนิ่งเฉย สีหน้ามิได้บ่งบอกอารมณ์ใด นางก็ยิ่งวิงวอน “ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าจำเป็นต้องไปหาเขา”

          ประจวบเหมาะกับที่ฝีเท้าคู่หนึ่งใกล้เข้ามา หงเว่ยได้ยินชัดแล้วก็ถอยหลัง ร่างกลับกลายเป็นหมอกควันสีดำจางๆ แต่แลดูว่าสตรีนางนี้ยังคงดื้อรั้น นางวิ่งไล่ตามเขามาด้วยสีหน้าเจ็บปวด น้ำตาที่รินรดบนใบหน้างามขับดันให้ดูน่าสงสารยิ่ง กระนั้นเขาก็ยังตัดสินไปโดยที่มิคิดจะช่วยเหลือ

          มาตรว่ากระทำเช่นนี้ดูอำมหิต ไร้เมตตาต่อผู้อื่น ทว่าเรื่องราวบนโลกมนุษย์เขาจำเป็นต้องยื่นมือยุ่งเกี่ยวด้วยหรือ ต่อให้นางตายอยู่ที่นี่ ต่อหน้าต่อตาเขา ก็ถือเป็นชะตาชีวิตของนางหาได้เกี่ยวข้องกับเขาไม่

          เพราะสองมือคู่นี้มีไว้ช่วยคนเพียงคนเดียวเท่านั้น




****************************************************



          - บทนี้อัพช้ากว่าที่เคยเป็นเพราะตอนเเรกเรื่องเรียบเรื่อยมาก อ่านเเล้วไม่ได้ดั่งใจ เราเลยเพิ่มเติมความซับซ้อนเข้าไปหน่อย เเต่ถ้าอ่านตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าคืออะไร เเต่คงได้ไปเฉลยในบทอื่นๆ เเต่ก็ไม่ได้ซับซ้อนมากนะ 5555+

          - ขอบ่นเรื่องสุดท้ายและ ก่อนหน้านี้เราไปเจอนิยายวายพีเรียด เขียนได้สละสลวย ภาษาดี๊ดี คนอ่านนี่เยอะมากก หลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเรา ทำเอาเรารู้สึกท้อไปเลย เเบบว่าเราก็อยากเขียนได้เเบบนี้บ้าง สรุปท้อไปสิบนาทีเเล้วก็เงยหน้าขึ้นใหม่ เราว่านิยายของใครก็ของมัน มันต้องมีเอกลักษณ์ของตนเองอ่ะนะ เลียนเเบบไปก็ใช่ว่าจะดี เอาเป็นว่าค่อยๆพัฒนาไปล่ะกัน

          ขอบคุณที่ยังติดตามนิยายหมิงไป๋ (ย่อชื่อเลยล่ะกัน) ที่ค่อนข้างจะใช้เวลาเขียนนานนะคะ


 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 12 ความฝัน 15/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 15-03-2016 23:32:22
ตัวเองก็เขียนได้ดีน้า มีพัฒนาจากตอนแรกของภาคแรกทากๆเลยด้วยค่ะ
ขอบคุณที่ยังไม่ย่อท้อ แล้วก็ยังพยายามเขียนออกมาให้นักอ่านได้อ่านกันนะคะ :L1:

ปอลิง ขออนุญาตกัดหัวซวนหยวนหมิงไท่สักทีได้มั๊ยยยยย ฮ่วยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 13.1 บุกรุก 23/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 23-03-2016 21:41:09
บทที่ 13.1 บุกรุก

 

          นับตั้งแต่มีปากเสียง ไป๋เซ่อก็ปั้นปึ่งใส่จนซวนหยวนหมิงไท่ต้องปวดขมับ สุดท้ายทำได้เพียงปล่อยให้ร่างเล็กสงบอารมณ์โกรธลง ด้านหงเว่ยเมื่อกลับจากสำรวจตัวเมือง ตกเย็นก็เข้าไปตรวจอาการให้กับร่างเล็ก พร้อมจัดการป้อนกลีบดอกพราวแสงที่คงเหลืออยู่ไม่มากให้อย่างทุกที

          ความหอมหวานอบอวลไปทั่งโพลงปาก เปลือกตาบางหลับลงแล้วลองขับเคลื่อนพลังในกาย ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังบริสุทธิ์ที่หมุนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทุกครั้งที่ได้รับการรักษา ผลลัพธ์ก็มักจะเช่นนี้เสมอ จนบัดนี้ดวงตาที่ทื่อด้านกลับกระจ่างใสยิ่งกว่าที่เคย

          “หงเว่ย เจ้าได้ดอกไม้ชนิดนี้มาจากที่ใด” คิ้วน้อยๆของไป๋เซ่อขมวดมุ่นสงสัย สมุนไพรวิเศษที่เกรงว่าจะมีสรรพคุณเพิ่มพูนตบะนี้ คงจะหาไม่ได้ง่ายนัก ยิ่งกับคนธรรมดาด้วยแล้ว นับว่าเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว

          หงเว่ยหลุบตาลง คาดเดาแต่แรกแล้วว่าไป๋เซ่อจะต้องสงสัย เพียงรอเวลาเจ้าตัวเอ่ยขึ้นมาก็เท่านั้น หากแต่ครุ่นคิดดูแล้วเพลานี้กลับไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผยตัวตน อาจเป็นเพราะเขาต้องการรู้ให้แน่ชัด ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น...วันที่คลื่นอาคมถาโถม และเมื่อคิดว่าร่วมพันปีที่ผ่านมาไป๋เซ่อต้องตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาก็กล่าวน้ำเสียงเศร้า “เพียงแค่สมุนไพรธรรมดา ข้าหาได้ลำบากไม่...ข้าเต็มใจ”

          ลิ่วที่รับฟังอยู่อีกด้านหนึ่งถึงกับปากกระตุก มิเห็นด้วยกับคำกล่าวของพี่ชายนัก...ดอกพราวแสงเนี่ยนะ สมุนไพรธรรมดา อีกอย่างท่านเป็นใคร เหตุใดจึงไม่บอกความจริงออกไปเลยกันเล่า รู้ไหมว่าคู่แข่งนำท่านไปก้าวหนึ่งแล้ว

          เป็นเพราะดูออกว่าหงเว่ยบ่ายเบี่ยงมิยอมไม่อธิบายให้ชัด ไป๋เซ่อก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้อีกฝ่ายลำบากใจ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็นับเป็นผู้มีพระคุณ คงมีสักวันที่เจ้าตัวยินยอมเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง เขาเชื่อมั่นเช่นนั้น

          เมื่อเห็นรอยยิ้มระบายบนใบหน้า หงเว่ยก็กระวีกระวาดจัดแจงให้ร่างเล็กนอนลงบนเตียงพร้อมทั้งเหน็บผ้านวมให้ “ดึกแล้ว รีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะมาดูอาการให้เจ้าอีกครั้ง” รอจนไป๋เซ่อพยักหน้า เขาก็ยิ้มเก้อเขิน ก่อนจะกลับมาตีสีหน้าตายหันไปทางน้องชายตัวดี “เจ้าคงยังไม่ลืมที่ข้าสั่งกระมัง”

          “ม่ะ ไม่ลืม” หากลืมก็บ้าแล้ว หงลิ่วส่งเจ้าของสายตาอำมหิตที่หน้าห้อง ปากก็เบ้อย่างงอนๆพลางคิดในใจ...พี่ใหญ่ท่านเปลี่ยนได้ไวเยี่ยงนี้ จะลำเอียงกันมากเกินไปแล้วนะ

          มาตรว่าหงเว่ยจะกลับห้องไปแล้ว หากแต่คนในห้องก็ยังมิได้ดับแสงเทียน เขากับหงลิ่วต่างพากันคุยเล่นจนเพลิน กระทั่งผ่านเลยไปราวเค่อหนึ่งเสี่ยวเอ้อร์ก็มาเคาะประตู พร้อมกับนำซาลาเปาเนื้อสามสี่ลูกที่พวกเขามิได้สั่งมาให้เช่นคืนก่อน

          ระหว่างที่กินรองท้อง จู่ๆไป๋เซ่อก็พลันรู้สึกปวดท้องมวนๆขึ้นมา เขากุมท้องรีบผละตัวลงจากเตียง ทันใดนั้นหงลิ่วกลับถลึงตาขึ้นเสียงที่ฟังดูตกใจ

          “พี่ชายไป๋ ท่านจะไปไหน” 

          ไป๋เซ่อถูกดวงตาวิบวับฉายแววจริงจังจับจ้องจนต้องขนลุกซู่ ให้รู้สึกผิดแปลกจนทำตัวไม่ถูก เขาเกาแก้ม “เอ่อ ข้าจะไปปลดทุกข์” ไม่รู้ว่าดวงตาคู่นี้ดีขึ้นเกินไปรึเปล่า จึงสังเกตเห็นแววตาของหงลิ่วเป็นประกายมาดหมาย ปากที่ยังเคี้ยวซาลาเปาครึ่งลูกแก้มตุ้ยๆยังแสยะยิ้ม

          “ดี เช่นนั้นข้าไปปลดทุกข์ด้วย”

          “........”


 

**********************************************************

 

          เช้าวันต่อมา ทั่วทั้งเหลียวก็เต็มไปด้วยเสียงปะทุของประทัดมงคล รวมถึงเสียงเครื่องเป่าที่ดังจังหวะ คนในเมืองต่างมุงดูขบวนแห่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยาวเหยียดเต็มสองข้างทาง แม้แต่ชั้นบนของร้านค้าก็ยังเบียดเสียดแน่นขนัดไปด้วยผู้คน

          กระทั่งถึงหัวมุมถนน ขบวนอันสมเกียรตินี้จึงเคลื่อนผ่านหน้าโรงเตี๊ยมชุนหลัว แลไม่ไกลจากเกี้ยวหรูหราที่กลางขบวนปรากฏเป็นชายรูปร่างองอาจควบขี่อาชาทรงพลัง มาตรแม้นว่าชายผู้นี้อยู่ในชุดเจ้าบ่าวสีแดงสด แต่ท่วงท่ากลับคล้ายแม่ทัพขุนศึกที่เจนสนามรบ ยังมีผู้ที่เคลื่อนขบวนล้วนอยู่ในชุดเกราะ บันดาลให้ผู้คนรู้สึกต้องมนต์ขลัง อดที่จะพากันเอ่ยถึงวีรกรรมอันโด่งดัง เมื่อครั้งที่อ๋องกินเมืองผู้นี้เข้ารบราขับไล่กองทัพข้าศึกจากแคว้นทางเหนืออย่างเลื่อมใสมิได้

          “บุรุษผู้นั้นคือท่านอ๋องตวน” เสิ่นอันหวางเอ่ยขึ้นพลางเบนสายตามองเจ้าของชื่อที่อยู่ด้านล่าง

          ใช่แล้ว บุรุษบนหลังม้าศึกเป็นตวนผิงซางอ๋องไม่ผิด ซวนหยวนหมิงไท่ทอดสายตาเพียงแวบเดียวก็จดจำได้ คนด้านล่างนี้รูปร่างหน้าตาแทบไม่เปลี่ยนไปจากความทรงจำของเขามากนัก ผิดก็แต่ความน่าเกรงขามที่ดูจะเพิ่มพูนขึ้น นอกเหนือไปจากความสุขุมนิ่งลึกอันเป็นเอกลักษณ์

          ครั้นย้อนนึกกลับไปอีกครั้งก็ตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วตนมิได้พานพบคนผู้นี้สักเท่าไหร่ เป็นเพียงความบังเอิญครั้งสองครั้งในวัยเด็ก แต่ทว่าท่าทีของตวนผิงซางในตอนนั้นกลับเป็นที่สะกิดใจเขาจนถึงทุกวันนี้

          สิบสี่ปีก่อนในห้องทรงพระอักษร ณ วังหลวงฉางอัน ซวนหยวนหมิงจงหรือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจับจ้องมองสารลับเปื้อนเลือดบนโต๊ะอย่างเคร่งเครียด ถัดลงไปเป็นองค์รัชทายาทน้อยที่ยืนนิ่งเงียบขรึม ส่วนที่กลางห้องปรากฏถ้วยชาที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ขันทีที่ถวายการรับใช้ต้องก้มหน้างุดด้วยหวั่นเพลิงพิโรธจากโอรสสวรรค์

          ไม่ช้าไม่นานตวนผิงซางในชุดเกราะเต็มยศก็ก้าวเข้ามาอย่างเร่งรีบ กระทั่งหยาดเหงื่อหลั่งไหลแนบแก้มก็มิสนใจได้ปาดเช็ด ซวนหยวนหมิงจงไม่รอให้แม่ทัพหนุ่มถวายบังคมก็ผุดลุกขึ้นเอ่ย

          “เจ้าคงได้ยินข่าวแล้ว”

          “เพลานี้แคว้นทางเหนือเข้ารุกราน แม่ทัพเติ้งมิอาจต้านทานข้าศึก เมืองหน้าด่านจึงถูกยึดไปแล้ว” ตวนผิงซางในวัยยี่สิบหกประสานมือกล่าวทูลด้วยสีหน้าวิตก

          เมื่อยืนยันว่าข่าวนี้หาได้เป็นความเท็จ ซวนหยวนหมิงจงก็ทรุดนั่งพิงเก้าอี้กว้าง มือข้างหนึ่งกุมขมับด้วยอาการปวดศีรษะ ในยามนี้แคว้นซวนหยวนหาได้แข็งแกร่งดั่งภายนอกที่เห็น แม่ทัพขุนศึกส่วนใหญ่ที่มีก็หาได้มีฝีมือ ส่วนที่ใช้การได้ก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น ทำให้หลายสิบปีมานี้แคว้นข้างเคียงต่างหาโอกาสเข้าก่อกวนโจมตีอยู่บ่อยครั้ง

          ครั้นเห็นองค์เหนือหัวนิ่งงันไป ผู้เป็นแม่ทัพก็พอเข้าใจในความคิดของพระองค์ “ฝ่าบาท เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ โปรดทรงแต่งตั้งกระหม่อมเป็นแม่ทัพหน้า นำทัพต้านข้าศึกชิงคืนดินแดนกลับมาด้วยเถิด” กล่าวจบคนก็คุกเข่า

          ซวนหยวนหมิงจงในชุดมังกรสีเหลืองอร่ามเงยหน้าขึ้นมองร่างของสหายที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แล้วกล่าวน้ำเสียงอ่อน “ตวนผิงซาง ข้ารู้ว่าเจ้ามีใจปกป้องบ้างเมือง แต่ดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เกรงว่าศึกครั้งนี้จะมิจบง่ายๆ อย่างน้อยเจ้าอาจจะมิได้กลับเมืองหลวงราวสองสามปี”

          “ท่านก็รู้ว่าข้ามิสนใจเรื่องนั้น” ตวนผิงซางผุดลุกขึ้น มิสนใจใช้วาจาเช่นนายกับบ่าว

          “แต่เพลานี้ตระกูลตวนเหลือเพียงบุตรชายเพียงคนเดียวก็คือเจ้า อีกทั้งเจ้าก็หาได้มีครอบครัวหรือทายาทสืบสกุลไม่ หากศึกครั้งนี้ร้ายแรงเกินกว่าที่คิด ข้ามิผิดต่อคนตระกูลตวนที่จงรักภักดีต่อตระกูลซวนหยวนมาสามชั่วคนหรอกหรือ”

          “เช่นนั้นหากกระหม่อมได้ชัยชนะกลับมา ก็ขอพระองค์ทรงพระราชทานสมรสให้กับคนที่กระหม่อมเลือกแทนเถอะ” ตวนผิงซางยิ้มบาง เห็นดังนั้นแล้วซวนหยวนหมิงจงก็แค่นพระสุรเสียง

          “เฮอะ ยังมิทันออกรบ กลับกล้าถามถึงความดีความชอบเชียวรึ มิกลัวเราสั่งโบยรึอย่างไร”

          ตวนผิงซางหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะทิ้งคำพูดไว้แล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบ “ข้าจะกลับมา ลั่วจิ่นหลงรอข้าอยู่”

          ประโยคดังกล่าวทำให้องค์รัชทายาทน้อยได้ยินเสียงพระสรวลของพระบิดา ทั้งยังทันสังเกตเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนยามเมื่อแม่ทัพตวนกล่าวถึงสตรีสกุลลั่ว ทว่าใครจะคาดคิดว่าแผ่นหลังที่จากไปนี้กลับต้องใช้เวลาถึงสี่ปีจึงจะสามารถกลับมายังเมืองหลวง

          ตวนผิงซางในสี่ปีให้กลังกลับเป็นบุรุษหนุ่มในชุดเกราะที่องอาจโดดเด่นสะดุดตาแก่ผู้พบเห็น กระนั้นสีหน้าของเขาหาได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวดุจดั่งผู้ชนะศึก ดวงตาที่แน่วแน่คู่นั้นกลับปนไปด้วยความเศร้าหมอง ทั้งยังแฝงด้วยโทสะที่สกัดกั้นไว้ส่วนหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ในวัยเด็กที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ด้วยรู้สึกเช่นนั้น

          “ด้วยคุณความดีปกป้องบ้านเมือง เราขอแต่งตั้งให้แม่ทัพใหญ่ตวน ดำรงตำแหน่งอ๋อง กินเมืองเหลียวตงตลอดชั่วลูกชั่วหลาน พร้อมทั้งพระราชทานสมรสกับบุตรีสกุลจวง” ซวนหยวนหมิงจงรับสั่งเมื่อตวนผิงซางเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง พระสุรเสียงที่ใช้นั้นออกแกมบังคับ

          “เป็นพระกรุณาธิคุณ ฝ่าบาท”

          ตวนผิงซางนิ่งเงียบไปพักหนึ่งในที่สุดก็คุกเข่าน้อมรับ ยังผลให้ซวนหยวนหมิงจงที่เคร่งเครียดอยู่นานพลอยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

          “แต่กระหม่อมมิอาจน้อมรับพระราชทานสมรสครั้งนี้”

          “เจ้ากล้าปฏิเสธ” ทว่ายังไม่ทันพรั่งพรูความลำบากใจได้หมดโอรสสวรรค์ก็ต้องตวาดพร้อมกับเขวี้ยงแท่นหมึกลงมา

          ตวนผิงซางมิได้หลบหลีก ทำให้กลางศีรษะบังเกิดเป็นโลหิตไหลลงมาสาย “หากพระองค์ไม่มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้ กระหม่อมทูลลา”

          “เจ้า ทำไมไม่เข้าใจเราบ้าง”

          กล่าวจบผู้เป็นแม่ทัพก็เดินออกไปทันที มิสนคำทัดทานตำหนิที่ดังไล่หลัง พร้อมกันนั้นยังทิ้งไว้ด้วยสายตาที่แผดเผาลุกโชนราวกับเปลวไฟ ซึ่งแววตานี้เองที่ทำให้องค์รัชทายาทน้อยมิอาจลืมเลือน ว่าสายตาคู่นั้นลึกล้ำสุดที่จะหยั่งอย่างไร

          เมื่อขบวนบ่าวสาวเคลื่อนที่ผ่านไปจนหมดสิ้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็หันไปย้ำเตือนร่างเล็กที่ยังคงชะโงกมองไม่หยุด “ไป๋เซ่อ รอข้าที่นี่ อย่าได้ซุกซน”

          “เฮอะ” เจ้าของชื่อรับฟังแล้วก็กลอกตาไปมา เสิ่นอันหวางส่งสายตาหวานเยิ้มให้เขาคราหนึ่งก็ถูกซวนหยวนหมิงไท่ฉุดลากออกไป ครั้นเหลียวกลับไปมองขบวนบ่าวสาวที่ยังไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ จู่ก็พลันรู้สึกถึงบรรยากาศเย็นวาบที่แผ่ออกมาจากบุรุษอีกผู้หนึ่ง

          ไป๋เซ่อมองตามสายตาสีม่วงอมดำที่ไม่กะพริบ ไล่เรียงไปแล้วก็หยุดลงที่เกี้ยวเจ้าสาว “มีอันใดผิดปกติหรือ”

          “ไม่...ไม่มี” ตราบใดที่กลิ่นอายชั่วร้ายไม่สำแดงเดชไปมากกว่านี้ ทั้งไม่กระทบต่อคนของเขา หงเว่ยก็ไม่คิดจะลงมือ เพียงคิดออกไปดูลาดเลาเบื้องต้นไว้ก่อน “ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่”

          คิดแล้วเชียว...ไป๋เซ่อนับหนึ่งสองสามในใจ แล้วในที่สุดร่างของหงเว่ยที่พุ่งตัวออกไปอย่างที่คิด เขายิ้มกริ่ม ดูว่าช่วงนี้หงเว่ยมักจะออกไปข้างนอกเพียงลำพังราวสองสามชั่วยามอยู่บ่อยๆ ทั้งไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายออกไปทำกระไร แต่เพราะเป็นเช่นนี้จึงทำให้เขาสะดวกขึ้นมิใช่หรือ

          ทีนี้ก็เหลือเพียง...ว่าแล้วตวัดสายตาไปยังดวงตากลมโตคู่หนึ่งที่ลอบมองอยู่ก่อนแล้ว ครั้นหงลิ่วสบสายตาเขาเข้าอย่างจัง เด็กน้อยก็แสยะยิ้มที่ดูไม่เป็นธรรมชาติกลบเกลื่อน

          ชัดเจนว่าเขาโดนจับตามองอยู่ ไป๋เซ่อเหยียดยิ้ม ประสบการณ์เช่นนี้มิใช่เขาพบเจอครั้งแรก ขอเพียงมีเวลา มีช่องโหว่ มีโอกาสเท่านั้น เขาจะสลัดหลุดให้ดู หึ หึ “กลับห้องกันเถอะหงลิ่ว”

          “อื้อ” หงลิ่วตอบรับคำชวนอย่างงงๆ ไฉนวันนี้พี่ชายไป๋จึงตัดใจง่ายกว่าปกติกัน ยังมิทันคิดจบมือเรียวข้างหนึ่งก็ดุนดันหลังเขาให้ออกเดิน เด็กชายเบนหน้ากลับไปหาเจ้าของมือก็พบรอยยิ้มแฉ่งที่ส่งกลับมา

          จวบจนสองเท้าก้าวไปถึงหน้าห้อง เสียงฝีเท้าที่เบาบางก็กลับเงียบกริบลงไปกะทันหัน แย่แล้ว หงลิ่วอุทานในใจก่อนจะรีบเหลียวหลัง ทว่าก็ต้องพบกับความว่างเปล่าแล้ว สีหน้าของหงลิ่วซีดเผือดโดยพลัน

          ไฉนจึงลืมไปว่าอสรพิษนั้นไหลลื่นเสียยิ่งกว่าปลาไหล

          “พี่ชายไป๋ ให้ตายเถอะ” หงลิ่วแผดเสียงดังลั่น แค่คิดว่าพี่ใหญ่จะเอาเรื่อง เขาก็แตกตื่นวิ่งลงบันไดไปแล้ว หาได้สังเกตเห็นงูเผือกเกร็ดสีขาวที่แค่นเสียงหัวเราะหลบอยู่หลังกระถางต้นไม้ของระเบียงชั้นสอง

          “ฟุ ฟุ ฟุ”

          ต่อเมื่อเลื้อยออกมาถึงกลางถนน งูเผือกตัวน้อยก็หยุดตัวลงทำท่าสูดดม มาตรว่ามันไม่รู้จวนอ๋องตวนอยู่แห่งหนใด แต่จมูกของมันจัดว่ายอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง โดยมันสามารถจำแนกกลิ่นได้นับเป็นหมื่นๆกลิ่น

          ในเมื่อดูแคลนฝีมือข้านัก ข้าจะทำให้เจ้าประจักษ์เอง ไป๋เซ่อลั่นเสียงหัวเราะอันดัง แต่หาได้มีใครสนใจรับฟังมันไม่ ครั้นสะใจดีแล้ว มันก็กระแอมไออย่างเจ็บคอ ก่อนจะเลื้อยตัวไปยังจุดมุ่งหมาย

 

**********************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 13.2 บุกรุก 23/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 23-03-2016 21:42:44
บทที่ 13.2 บุกรุก

 

          ขบวนแห่มาถึงคฤหาสน์จวนอ๋อง เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เริ่มพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพเจ้าเตาไฟตามลำดับ จากนั้นหันไปกราบไหว้บรรพบุรุษยังทิศทางหนึ่งก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีในตอนเช้า จะขาดก็แต่คู่ยวนยางยกน้ำชาให้กับญาติผู้ใหญ่ที่มีเพียงเก้าอี้ว่างเปล่า

          ท่ามกลางประเพณีเหล่านี้ เสิ่นอันหวาง ผู้เป็นตัวแทนของตระกูลเสิ่นกลับอ้าปากหาวหวอดๆ ผิดกับผู้ติดตามในชุดสีน้ำเงินเรียบง่ายที่คงความตื่นตัวอยู่เสมอ ผมสีดำเงานั้นปล่อยปรกปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งรวบมัดไว้ราวกับจอมยุทธ์ผู้สันโดษ

          แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมต้องเป็นซวนหยวนหมิงไท่ ซึ่งติดตามเสิ่นอันหวางเข้ามายังจวนอ๋องทางประตูหน้าโดยไม่มีผู้ใดสงสัย รอจนบ่าวสาวกินขนมอี๋เสร็จ แม่สื่อก็แยกตัวเจ้าสาวออกไป ถึงตอนนี้เขาจึงผละตัวออก

          “ขอให้ท่านผู้ตรวจการโชคดี” เสิ่นอันหวางกระซิบบอกเมื่อเห็นอีฝ่ายกำลังล่าถอย ด้วยหลักการของพ่อค้าที่คิดกระทำการใดย่อมยึดถือผลประโยชน์ แต่ทว่าการช่วยอีกฝ่ายลักลอบเข้ามายังจวนอ๋องครั้งนี้ แม้นับเป็นการสร้างบุญคุณ กลับกันก็ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงไม่น้อย

          นึกๆดูแล้วหากบิดารู้ว่าเขาตัดสินใจเช่นนี้ มิรู้ว่าท่านจะหัวเราะรึร้องไห้กันแน่นะ คิดไปคิดมาเสิ่นอันหวางก็ทอดถอนใจรำพึงรำพันถึงร่างเย้ายวน “เฮ้อ ข้าทำเพราะเจ้าเลยนะ เสี่ยวไป๋”

          เนื่องเพราะตำหนักใหญ่จัดพิธีมงคลยิ่งใหญ่ ทหารเฝ้ารักษาการณ์ที่ตำหนักหลังอื่นจึงถูกลดหลั่นจำนวนลงไป ส่วนทหารยามที่ทำหน้าที่เองก็พลอยผ่อนปรนท่าทีเคร่งครัด ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่หลบเลี่ยงสายตาแล้วแอบเข้าไปยังห้องที่ไร้ซึ่งเงาผู้คนได้อย่างไม่ยากเย็น

          เมื่อเข้าสู่ในเรือนอักษร สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตากลับเป็นภาพเขียนตรงผนังที่บ่งบอกถึงความทระนง ม้าศึกที่แม้จะถูกล้อมด้วยกองทัพศัตรูก็ยังคงห้อตะบึงอย่างไม่ลดละ นัยน์ตาแน่วแน่หาได้ยอมแพ้ต่อสิ่งใด ดูว่าภาพทรงพลังนี้วาดโดยตวนผิงซางอ๋อง ทั้งยังเป็นภาพที่เขียนขึ้นใหม่ไม่นานนัก เห็นทีกาลเวลาที่ร้างลาสนามรบนับสิบปี มิอาจลดทอนความห้าวหาญของคนผู้นี้ลงไปได้แม้แต่น้อย

          มาตรว่าเขาชื่นชมบุคคลประเภทนี้ แต่ทั้งนี้หาได้เกี่ยวข้องกับความผิดฐานลอบปลงพระชนม์ สร้างความปั่นป่วนให้กับราชสำนัก ซึ่งการจะเอาผิดอ๋องกินเมืองผู้หนึ่ง ย่อมมิใช่อาศัยเพียงลมปาก ยกอ้างคำเลื่อนลอย หากต้องมีหลักฐานกระทำความผิดที่แน่ชัด

          เขาค้นดูเอกสารต่างๆ เป็นเวลาพักใหญ่ก็ยังคงไม่พบหลักฐานความผิดใด กระนั้นก็ยังไม่ถอดใจ อาจเป็นเพราะมั่นใจว่าการที่หัวหน้าองครักษ์จิ้งและคนอื่นๆหายตัวไปหลังจากที่แฝงตัวสอดแนมย่อมต้องมีสาเหตุ ไหนยังจะคดีคนหายในช่วงนี้ที่ประจวบเหมาะเกินไป บางทีจวนอ๋องแห่งนี้อาจจะซ่อนเร้นความลับประการใดก็เป็นได้

          กระนั้นแล้วยังจะมีสถานที่ใดในจวนที่สามารถซ่อนผู้คนจำนวนหนึ่งไว้ได้อย่างไร้ร่องรอย ขณะที่รัชทายาทหนุ่มยังคิดไม่ตก เสียงของทหารยามก็ดังขึ้นแล้ว

          “มีผู้บุกรุกๆ เร็วเข้า ไปทางนั้นแล้ว”

          สองเท้าว่องไวรีบทะยานตัวออกจากทางหน้าต่างด้านหลัง อ้อมไปด้านข้างกลับเห็นทหารสองสามนายวิ่งไปอีกฟากหนึ่ง คล้ายว่าผู้บุกรุกที่ทหารตามจับมิใช่ตน

          ใครกันที่กล้าบุกรุกจวนอ๋อง คงไม่ใช่ว่า...คิดใคร่ครวญเพียงไม่นาน สมองก็แวบนึกถึงคนผู้หนึ่ง เขาพึมพำเบาๆ “คงไม่ใช่หรอกกระมัง” กล่าวดังนั้นแต่ฝ่ามือกับชื้นด้วยเหงื่อ สุดท้ายตัดสินใจกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ทอดมองลงจากที่สูง ฉับพลันที่กวาดตามองก็พบเงาร่างที่หันรีหันขวาง ชุดดำชุดนั้นเขาคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร ไม่ไกลนักยังมีทหารกลุ่มหนึ่งไล่ตาม

          เฮอะ แค่เผลอทำเสียงดังนิดเดียว ไก่ตื่นเลยรึเนี่ย...เป็นไป๋เซ่อที่ก่นด่าในใจ ก่อนหน้านี้เขาลอบปีนกำแพงตำหนัก ยังไม่ทันจะคืนร่างเป็นงูเผือกก็ถูกจับได้เสียแล้ว ยังผลให้เขาต้องวิ่งหน้าตาตื่น

          โอ๊ย คิดๆดูแล้วเขาก็โกยแนบไวถึงเพียงนี้ ไฉนจึงยังไม่สลัดหลุดจากทหารน่าโง่พวกนี้สักทีนะ

          “ถอดชุดออกเร็ว”

          แลในช่วงที่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไป๋เซ่อก็พลันได้ยินเสียงที่ดังขึ้นในสมอง เพียงแวบเดียวก็จดจำน้ำเสียงของคนน่าชังได้ เขาสวนกลับทันที “ไม่ ชุดดำนี้ข้าอุตส่าห์สั่งตัดเย็บอย่างดี ทำไมข้าต้องถอดทิ้งด้วย”

          แทบอยากจะตบหน้าผากตัวเองอย่างจัง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลืมพกสมองมาด้วยรึไง ร่างสูงถึงกับตวาดกลับ “เจ้าต้องบ้าแล้วแน่ๆ ใส่ชุดดำกลางวันแสกๆล่อเป้าเช่นนั้น มิกลัวเขาจะรู้กันหมดรึว่าเป็นผู้บุกรุก”

          “หนอย ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่ามัวปากดีเป็นเต่าหดหัวไป แน่จริงก็ออกมาสู้กับข้าสักตั้งสิมา” ไป๋เซ่อออกปากท้าปาวๆ ฝีเท้าก็เลี้ยวเข้าไปยังหลังตำหนัก ระหว่างนั้นก็ลั่นสาบานหากวันนี้ตนมิได้ตายดี ก็จะขอลากรัชทายาทน่าชังผู้นี้ไปยมโลกด้วยกันให้จงได้

          “ได้”

          ถ้อยคำตอบรับมั่นคงดังออกมาใกล้เสียจนใกล้ ไม่นานนักไป๋เซ่อก็คล้ายถูกคนอุดปาก ร่างถูกรั้งขึ้นไปกะทันหัน “อื้อ อื้อ”

          “ทางนั้นๆ ทางนั้นเป็นทางตัน”

          ทันเห็นหลังสีดำไวๆ ทหารที่วิ่งนำหน้าก็ตะโกนบอกคนอื่นๆ มือก็ชักดาบหวังรุกไล่ผู้บุกรุกให้จนมุม ทว่าเมื่อฝีเท้าเลี้ยวตามไปจนสุดทางทหารผู้นี้ก็ต้องมีอันโง่งมไป เนื่องเพราะทางตันดังกล่าวหลงเหลือเพียงชุดสีดำที่กองอยู่กับพื้น ไร้ซึ่งเงาร่างใดๆแล้ว

          “เอาไว้ ข้าจะสั่งตัดชุดดำให้เจ้าใส่จนเบื่อเลย ไป๋เซ่อ”


 

**********************************************************

 

          เมื่อกลุ่มทหารคลาดสายตาจากผู้บุกรุก ต่างก็แยกย้ายกันไปตามล่าหาที่อื่นเป็นเวลาครู่หนึ่งแล้ว ทว่าไป๋เซ่อที่ถูกรวบตัวกอดอยู่บนหลังคาตำหนักหลักเล็กๆกลับยังคงถูกมือหนึ่งปิดปากไม่ปล่อย สุดท้ายก็พูดเสียงอู้อี้ประท้วง “จะปล่อยข้าได้รึยัง”

          กระแสไอเย็นที่กระทบกับฝ่ามือ ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่รู้สึกจักกะจี้อยู่น้อยๆ เขาค่อยๆปละปล่อยร่างที่คงเหลือแต่ชุดตัวในสีขาวอย่างเสียดาย ก่อนกระแอมกระไอกล่าว “เจ้าตามข้ามาทำไม”

          “เฮอะ” ไป๋เซ่อแค่นเสียงในลำคอ คืนที่ผ่านมาตนรึสู้เค้นหัวสมองคิดแผนชิงตัวเจ้าสาวตัดหน้าแทบตาย แต่สุดท้ายกลับมาเจอชายหนุ่มเสียก่อนจะลงมือซะได้ น่าเจ็บใจจริงๆ “ทำไม เจ้ามาได้ ข้ามาไม่ได้?”

          “ไป๋เซ่อ ข้าว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว เหตุใดเจ้ายังรั้นจะทำเช่นนี้อีก” ซวนหยวนหมิงไท่สูดหายใจลึก สีหน้าลำบากใจ

          จากท่าทีและน้ำเสียงที่ชายหนุ่มแสดงออก ไป๋เซ่อก็พอจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายระอาใจ เขาพลันขึ้นเสียง “ก็ข้าอยากมานี่” ตวาดจบดวงตาก็แดงก่ำราวกับคนจะร้องไห้

          ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องเจ็บเเปลบในใจ “เฮ้อ ช่างเถอะ หลายวันมานี้เจ้าบึ้งตึงกับข้ายิ่งนัก ไหนบอกมาสิข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจกัน” กล่าวน้ำเสียงอ่อนพลางใช้มือก็ปัดฝุ่นบนเส้นผมสีดำเทาออกอย่างอ่อนโยน

          เมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปนาน ความรู้สึกอัดอั้นของไป๋เซ่อจึงเป็นดั่งเขื่อนทำนบที่แตกออก เขาโพล่งกล่าว “เจ้าไม่แยแสข้า วันนั้นเสิ่นอันหวางหรือแม้แต่หงเว่ยยังยกน่องเป็ดน่องไก่ให้ข้า มีแต่เจ้าที่ไม่ใส่ใจข้าเลยสักนิด”

          ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับหลุดยิ้ม อธิบาย “นี่มิใช่เป็นเพราะข้าไม่อยากเอาใจเจ้า แต่พวกเขาล้วนเอาใจเจ้ากันหมด ไม่มีที่เหลือให้ข้าก็เท่านั้น” ที่แท้แล้วไป๋เซ่อก็งอนที่เขาไม่เอาอกเอาใจนี่เอง 

          โกหก หลังจากนั้นเจ้ายังใจดำ ไม่สนใจว่าข้าจะหิวเป็นงูตากแห้งรึไม่ ขนาดข้าไม่สบาย เจ้ายังข่มตานอนหลับได้เลย” ร่างเล็กยังคงท้วง

          รับฟังคำบริภาษนี้แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว “เจ้ามิได้รับซาลาเปาเนื้อบ้างเลยรึ”

          หือ ซาลาเปาเนื้อ...ไป๋เซ่อเลิกตาโต “อ้าว มิใช่หงเว่ยหรอกหรือ”

          เห็นสีหน้าที่งุนงงของอีกฝ่าย ซวนหยวนหมิงไท่ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวได้บางส่วน แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็อดจะหงุดหงิดขึ้นมามิได้ “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร ไหนลองบอกมาสิ” เขาขึ้นเสียงวางท่ากอดอกจริงจัง

          “ได้” ไป๋เซ่อรับคำก่อนจะบรรยายเป็นหางว่าว “คนเจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง แล้งน้ำใจ เนรคุณ เอาเปรียบ ฉวยโอกาสแล้วก็...เอ่อ” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กรอกตาเค้นความคิด จนนึกถึงคำหนึ่งก็เปล่งเสียง

          “ลูกเต่า!”

          ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังจนหน้าดำหน้าแดง เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน สรุปว่ารัชทายาทเช่นเขาไม่มีดีในสายตาเจ้างูน้อยเลยใช่รึไม่ ครั้นเห็นไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่ง เขาก็ยื่นนิ้วไปดีดกะโหลกน้อยทีหนึ่ง

          “โอ๊ย เจ้าทำอะไรเนี่ย” ไป๋เซ่อร้องลั่น ยกมือลูบศีรษะแล้วแยกเขี้ยวใส่เป็นการใหญ่ ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับตีหน้าเรียบ

          “ใช้อำนาจบาตรใหญ่” ไหนๆก็ไม่มีอะไรดีแล้วก็เพิ่มข้อเสียอีกสักข้อสองข้อ ก็คงจะไม่แย่ไปกว่าเดิมเท่าไหร่กระมัง

          “ใช่ๆ ใช้อำนาจบาตรใหญ่” ร่างเล็กพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าซวนหยวนหมิงไท่เอาแต่ยิ้มจ้องหน้าตนเงียบๆ แล้วจึงรู้สึกอึดอัดไปกับแววตาอบอุ่น เขาแสร้งทำเฉไฉ “แล้วอย่างไรเล่า จะไล่ข้าไปอีกใช่รึไม่” กล่าวจบก็หมุนตัวกลับ ทว่าไม่นานปลายแขนเสื้อก็ถูกรั้งไว้

          ถึงขั้นนี้เขายังจะกล้าไล่อีกหรือ เจ้างูซุกซนตัวนี้หากคลาดสายตาสักนิดเป็นต้องเกิดเรื่องทุกที “เฮ้อ เจ้าอยู่ข้างกายข้าดีที่สุด” ซวนหยวนหมิงไท่ถอนหายใจตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ ทว่าน่าแปลกนักที่ประโยคนี้กล่าวออกไปในใจกลับรู้สึกดียิ่ง คล้ายหินที่หนักอึ้งภายในใจสลายหายไปจนหมดสิ้น

          ด้านไป๋เซ่อก็ยิ้มออกแล้ว ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง “แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป”

          อืม เดิมทีเขาคิดหาเบาะแสหลักฐานความคิดของตวนผิงซางอ๋อง รวมถึงค้นหาร่องรอยของหัวองครักษ์จิ้งและคนอื่นๆ แต่ดูจากเวลาที่เหลือน้อยนิดเห็นทีคงเหลือเพียงหนทางเดียว “ไปหาเย่วเซียง”

          ที่แท้เจ้าก็มาที่นี่เพราะนางจริงๆด้วย…ไม่ผิดไปจากที่คิดจริงๆ ฉับพลันที่ได้ยิน ไป๋เซ่อก็ยิ้มค้าง รู้สึกฝาดขมในใจ

          จู่ๆสีหน้าของร่างเล็กก็เปลี่ยนไปกะทันหัน ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องรีบเอ่ยอีกสักหลายประโยค “เดิมทีเสี่ยวลู่ หัวหน้าองครักษ์จิ้งและคนอื่นๆหายไปหลังจากเข้ามาสอดแนมที่นี่ บางทีเย่วเซียงอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้”

          “เจ้าบอกพวกเสี่ยวลู่กับคนอื่นๆยังมิตาย” ดวงตาของไป๋เซ่อเปล่งประกาย

          “ใช่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ติดตามข้ามานาน ข้าจะเมินเฉยไม่ใส่ใจความเป็นความตายของพวกเขาไม่ได้ ส่วนเย่วเซียง ข้าคิดว่ามันเเปลกที่จู่ๆนางก็ยินยอมออกจากเขตเเดนจ้าวคฤหาสน์ดิน ทั้งที่ท่าทีของนางก่อนหน้านี้ไม่เป็นเช่นนั้น เเต่ถ้าหากนาง...” ซวนหยวนหมิงไท่หยุดเสียงกะทันหัน คล้ายไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อไปดี ครู่หนึ่งจึงกล่าว “หากนางเลือกติดตามตวนผิงซางอ๋องด้วยความเต็มใจ ก็แล้วแต่นางเถิด”

          “.......” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็เงียบงันไป เพียงมองชายหนุ่มอย่างมีคำถาม แต่กระนั้นก็มิได้เอ่ยวาจาใดออกมา

 

****************************************************



- อัพช้าอีกล่ะ เเฮะๆ ช่วงนี้สมาธิหดหายเลยเเต่งช้ามากก บทนี้คิดอยู่นานว่าจะเลือกเดินเรื่องเเบบ A หรือ B ดี เเต่พอเลือกเเล้ว เขียนไปเขียนมากับต้องคิดเเบบใหม่ซะงั้น สุดท้ายเลือกจบบทลงทั้งที่เเอบรู้สึกว่าเรื่องไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่ เเต่บทหน้าวางแผนไว้ว่าคงถึงเวลาปะทะกันสักที ถ้าใครรู้สึกว่าเรื่องอืดก็เตือนกันไหนน้อ อย่าพึ่งทิ้งกันไปไหนนะ ฮือ ฮือ
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 14 พลาดท่า 28/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 28-03-2016 23:46:59
บทที่ 14 พลาดท่า

 

          เพราะเหลือเพียงเสื้อตัวในสีขาวบางๆ จะอย่างไรซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่ยอมให้ร่างเล็กเพ่นพ่านแบบนี้ โชคดีที่ใต้หลังคาเป็นห้องตัดเย็บจึงพอจะมีเสื้อสำรองให้ผลัดเปลี่ยน มิต้องให้พวกเขาเปลืองแรงรอดักชิงเสื้อผ้ามาจากผู้ใด

          ไป๋เซ่อเลือกชุดสีเขียวทะมัดทะแมงพอดีกับตัวมาสวมใส่ จัดการรวบผมมัดด้วยเชือกผ้าเป็นทรงหางม้า ทำให้เมื่อยืนเคียงคู่กับชายหนุ่มจึงดูคลับคล้ายคู่หูจอมยุทธ์พเนจร

          ครั้นเรียบร้อยดีแล้ว ทั้งสองก็ลอบไปยังตำหนักใหญ่ อาศัยความรวดเร็วหลบหลีกทหารรักษาการณ์ที่เพิ่มกำลังคนและกวดขันเวรยามเคร่งครัด กระทั่งมาถึงที่หมาย บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนเป็นสงบ ผิดแผกกับภายนอกที่ดูวุ่นวาย ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

          เรือนหอในตำหนักใหญ่แห่งนี้แขวนเรียงรายไว้ด้วยโคมหรูหรา ตัวเรือนติดกระดาษมงคลสีแดงประณีตสวยงาม กลิ่นกำยานหอมลอยฟุ้งให้ความรู้สึกผ่อนคลายแก่ผู้มาเยือน

          ซวนหยวนหมิงไท่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ใช้นิ้วดีดก้อนหินเล็กๆเข้าใส่แม่สื่อและสาวใช้สองสามคนที่ยืนรอรับใช้อยู่หน้าห้อง พริบตาเดียวก็สามารถจี้จุดสตรีเหล่านี้ให้สลบไป รอจนร่างของพวกนางอ่อนระทวยล้มลง ไป๋เซ่อก็โผล่พรวดออกจากต้นไม้ วิ่งไปลากร่างที่ไร้สติไปหลบอยู่ในมุมมืด

          คนทั้งคู่ลงมือด้วยความเงียบเชียบว่องไว ต่อเมื่อไร้คนขัดขวางซวนหยวนหมิงไท่ก็ผลักประตูห้อง ร่างอรชรที่นั่งนิ่งบนเตียงเพียงลำพังจึงปรากฏสู่สายตา

          มาตรว่าใบหน้างามถูกปกปิดด้วยผ้าคลุม กระนั้นลำคอและมือสีขาวกลับตัดกับอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสด ขับดันให้นางดูมีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล ทว่าฝีเท้าที่ก้าวเข้าไปพลันหยุดชะงัก คล้ายมีบางอย่างที่แปลกออกไป

          “เย่วเซียง” รัชทายามหนุ่มเอ่ยขึ้น

          มาตอนนี้สตรีในชุดเจ้าสาวจึงค่อยๆขยับตัว คล้ายพึ่งได้ยินเสียงเพรียกจากคนภายนอก นางหันใบหน้าที่ยังมิได้ปลดผ้าคลุมไปทางเสียงเรียก “เป็นท่าน?”

          น้ำเสียงนั้นติดออกจะแปลกใจ ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ผ่อนคลายท่าทีลง “ข้ามีเรื่องต้องการถามเจ้า”

          “ในที่สุดท่านก็มา” ไม่รอให้ชายหนุ่มเอ่ยจบ นางก็โพล่งกล่าวด้วยความยินดี ก่อนจะใช้น้ำเสียงบีบคั้นหัวใจยิ่งแก่ผู้รับฟัง “ข้า...รอท่านมาตลอด”

          ใจพลันหล่นตุ้บไปที่ตาตุ่ม ไป๋เซ่อจ้องมองสตรีเบื้องหน้า จู่ๆก็รู้สึกไม่ถูกชะตา ไม่เหมือนคราแรกที่ได้พบ ราวกับมีตรงไหนที่ผิดปกติไปสักแห่ง

          “ท่านจะช่วยมาพยุงข้าได้รึไม่”

          “เจ้าบาดเจ็บหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วตรงเข้าไปจะประคอง หากแต่เมื่อฝีเท้าหยุดลงตรงหน้านาง ทันใดนั้นร่างเล็กก็ตะโกนขึ้น

          “ถอยออกมา นางมิใช่เย่วเซียง” ไป๋เซ่อร้องลั่น หยิบเอากาบรรจุเหล้ามงคลที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้องเขวี้ยงใส่ร่างบอบบาง

          พริบตานั้นดวงตาสีดำก็พลันเห็นรอยยิ้มแสยะที่ใต้ผ้าคลุมนั้น ซวนหยวนหมิงไท่คืนสติรีบเบี่ยงกายถอยเท้ากลับ เป็นเวลากันกับที่ปลายเสื้อสีแดงยกขึ้นตวัดใส่กาเหล้าสีขาวอย่างไม่สะทกสะท้าน

          เพล้ง ทันทีที่มันตกแตกก็บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะหวีดแหลม ร่างอรชรพลิ้วตัวไปลุกขึ้น ผ้าคลุมสีแดงพลันเลื่อนหลุดจากศีรษะ เผยให้เห็นเส้นผมที่มิใช่สีเงิน

          วั่นอู่หงชำเลืองตามองบุรุษรูปร่างสง่างามที่เคยตกเป็นเหยื่อของนางมาก่อน ริมฝีปากเอ่ยอย่างเย้ายวน “ ดูว่าเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ องค์รัชทายาท”

          “เฮอะ ปีศาจจริงๆด้วย” ไป๋เซ่อขมวดคิ้วแค่นเสียงในลำคอ ก่อนหน้านี้หากมิใช่รู้สึกผิดปกติ ด้วยมิได้รับกลิ่นอายใดๆจากสตรีผู้นี้ พวกเขาอาจตกหลุมพรางของนางปีศาจไปแล้ว

          “โอ๊ะ หนุ่มน้อยเจ้าก็อยู่ด้วย มิเสียแรงที่ข้าลงทุนเล่นละครฉากนี้” วั่นอู่หงแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวสืบต่อ “จะว่าไปแล้วเจ้าเองก็มิธรรมดา ถึงกับรู้ว่าข้ามิใช่นังเด็กนั่น” นางสู้อุตส่าห์เปลี่ยนน้ำเสียงให้เป็นดั่งเย่วเซียง เก็บซ่อนกลิ่นอายปีศาจ มิคิดว่าจะถูกมองออกอย่างง่ายดาย

          “แน่นอน ข้าเป็นถึงงูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ มือขวาของท่านมหาเทพเชียวนะ มีหรือจะหลงกลปีศาจอย่างเจ้าได้ง่ายๆ”

          อืม ซวนหยวนหมิงไท่ส่งเสียงในลำคอ ดูว่าประโยคที่ไป๋เซ่อพึ่งกล่าว เขาแทบมิได้ยินมาตั้งนานแล้ว แต่มันออกจะผิดเวลาไปหน่อยไหม

          “ช่างอวดอ้างยิ่งนัก ดูสิจะร้ายกาจอย่างที่พูดจริงรึไม่”

          วั่นอู่หงเมื่อถูกยั่วยุก็กระทืบเท้าทีหนึ่ง ฉับพลันนั้นร่างในอาภรณ์แดงก็ถลาเข้าหา ไป๋เซ่อตั้งรับอยู่ก่อนแล้ว ทว่านางปีศาจยังมิทันบรรลุถึง ชายหนุ่มที่ถอยกลับมาตั้งหลักก็โผเข้าแทรกกลาง

          “ยังไม่ถึงตาเจ้าลงมือ” ซวนหยวนหมิงไท่ลั่นเสียง มิเปิดโอกาสให้ไป๋เซ่อแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมแม้แต่น้อย เขาเข้าประมือกับวั่นอู่หงเสียก่อน “อย่าลืมสิเจ้าถูกสะกดพลังอยู่ จะไปสู้นางได้เยี่ยงไร” ทั้งไม่ลืมกระซิบสื่อผ่านทางจิต ยังผลให้ร่างเล็กต้องกัดฟันคำรามเสียงฮึ่ม

          ปีศาจสาวหลบหลีกฝ่ามือของชายหนุ่มไปทั่วห้องอย่างไม่จริงจังนัก ระหว่างนั้นริมฝีปากก็เอื้อนเสียงหวาน “องค์รัชทายาท ท่านใจร้อนเสียจริง อยากจะเล่นกับข้าแล้วก็มิบอก”

          “หุบปาก” เมื่อโดนหยอกเย้า รัชทายาทหนุ่มก็ขึ้นเสียงไม่พอใจ

          “หึ หึ อยากจะรู้นัก ถึงคราท่านแนบเนื้อกับข้าแล้ว ท่านยังจะกล้าเย็นชาเช่นนี้อีกรึไม่” ถึงตอนนั้นนางจะทำให้อีกฝ่ายลุ่มหลงมัวเมากระทั่งชีวิตยังต้องยอมมอบให้

          “หน้าไม่อาย”

          ครานี้เป็นไป๋เซ่อที่ตะโกนด่า เขาทนฟังคำพูดไร้ยางอายนี้ต่อไม่ไหว ร่างพลันแปรเปลี่ยนงูเผือก กระโจนเข้าใส่สตรีตรงหน้า ยังผลให้วั่นอู่หงรับมือซวนหยวนหมิงไท่อยู่จึงมิทันระวัง ถูกปลายหางอันเย็บเฉียบตบฉาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง

          เพี้ยะ เสียงที่ดังสนั่นพร้อมกับแรงตบทำให้วั่นอู่หงต้องหยุดมือนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะได้รับคำด่าทอระรัวจากอีกฝ่าย

          “หน้าท้องเขามีไว้ให้ข้าลูบได้เท่านั้น นางปีศาจอัปลักษณ์อย่างเจ้าชาตินี้อย่าได้หวัง” ไป๋เซ่อเหวี่ยงตัวกลับพร้อมกันนั้นก็คืนร่างมนุษย์อย่างฉับไว แล้วยืนบังเจ้าของหน้าท้องงาม

          ไฉนจึงฟังดูลวนลามมิแตกต่างไปจากปีศาจสาวกันนะ

          ด้วยคำพูดและท่าทางเฉกเช่นเดียวกับงูที่หวงไข่ ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องผุดรอยยิ้มขึ้น ผิดกับอีกคนที่ยืนโกรธตัวสั่นระริก มือเรียวแนบแก้มที่ร้อนลวกเป็นรอยอย่างมิอยากจะเชื่อ

          อัปลักษณ์...อัปลักษณ์อย่างนั้นเรอะ

          “เจ้างูปากพล่อย วันนี้ข้าวั่นอู่หงจะฉีกปากเจ้า” นางแผดเสียงลั่นไปทั่วบริเวณ...ให้รู้กันไปแค่งูปากดีตัวเดียว นางจะจัดการมิได้

          ปีศาจสาวรวบรวมกระแสพลังจากทั่วร่าง ก่อนปลดปล่อยใส่ร่างสีเขียวเป็นระลอกคลื่นไม่หยุดหย่อน

          พริบตาที่คลื่นพลังใกล้เข้ามา สัญชาตญาณของซวนหยวนหมิงไท่ก็บอกให้ตนรวบไป๋เซ่อที่เบิกตากว้างนั้นหนี ทว่าวิถีพลังกลับกว้างเกินไป พลอยทำให้ทั่วทั้งห้องต้องพังพินาศ กระทั่งพวกเขายังถูกปะทะจนกระเด็นออกจากห้องหอ โดยมิทันต้านรับ


 

******************************************************



          เมื่อโดนเข้าไปยกหนึ่ง ไป๋เซ่อที่ถูกร่างสูงทับติดกับพื้นก็ลืมตาสีฟ้าอมเขียว ไม่ไกลนักเห็นเป็นรองเท้าสีดำคู่หนึ่ง ยังผลให้เขาต้องผงกศีรษะขึ้นมองอย่างสงสัย

          เจ้าของรองเท้าสีดำสวมใส่ชุดแดงสง่างาม ใบหน้านิ่งเรียบสุขุม ร่องรอยที่หางตาบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่มีไม่น้อย ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง สองมือไขว้ไว้ที่ด้านหลัง

          อีกด้านหนึ่งท่ามกลางห้องที่มีฝุ่นควันคละคลุ้ง เงาร่างในชุดเจ้าสาวกลับเยื้องย่างออกมาจนเด่นชัด วั่นอู่หงยิ้มย่อกายให้บุรุษองอาจ ดูว่าวันนี้นางสร้างผลงานได้ไม่น้อย “คารวะท่านอ๋อง”

          ตวนผิงซางอ๋องเพียงโบกมือให้ จากนั้นหันไปออกคำสั่งกับทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง “กุมตัวองค์รัชทายาทเสีย”

          “พวกเจ้า...พวกเจ้าจะทำอะไร” ไป๋เซ่อร้องลั่นเมื่อทหารองครักษ์สองคนตรงเข้ามา กระนั้นร่างที่ทับอยู่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะขยับ “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าตื่นสิ เร็ว”

          ครั้นรู้สึกเหมือนถูกฉุดกระชาก รัชทายาทหนุ่มจึงค่อยๆคืนสติ เห็นดวงตาที่ลุกโชนทอดมองลงมาก็พลันเข้าใจสถานการณ์ทันที “ตวนผิงซางอ๋อง มิคิดว่าท่านจะตกต่ำถึงขนาดร่วมมือกับปีศาจได้”

          เจ้าของนามยิ้มเย็น ไม่ถือสาคำพูดเย้ยหยัน “อีกประเดี๋ยวท่านจะตกต่ำยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

          “ปล่อยเขานะเจ้าพวกคนชั่ว”

          เสียงดังโหวกเหวกที่ขัดจังหวะสนทนา ทำให้ตวนผิงซางอ๋องต้องหันมาให้ความสนใจ ประเมินมองร่างเล็กที่กำลังหน้าชี้ด่า ก็พบว่ามีใบหน้าเย้ายวนทรงเสน่ห์ เขาแค่นเสียงเอ่ยปากชม “เป็นสุนัขรับใช้ที่ไม่เลวเลยจริงๆ” 

          “หนอย ขุนนางกังฉินว่าใครเป็นสุนัขรับใช้กันหา” ไป๋เซ่อถลึงตาโต ก่อนจะกระโจนเหวี่ยงหมัดเข้าใส่อย่างเต็มที่

          “อย่าไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องห้าม รู้ดีว่าไป๋เซ่อมิอาจสู้คนผู้นี้ได้ ทว่ามันกลับสายเกินไป

          ตวนผิงซางอ๋องรวบรับหมัดที่เหวี่ยง แม้แต่ขนตาสักเส้นก็หาได้สั่นสะเทือน ถึงตอนที่ไป๋เซ่อคิดขยับดึงมือออก ก็มิอาจทำได้อย่างใจนึก ขณะเดียวกันก็รู้สึกแรงบีบมหาศาล ส่งผลให้ต้องเผยสีหน้าบิดเบี้ยวเจ็บปวด

          “เสียแต่ไร้มารยาท มิรู้จักที่ต่ำที่สูง” ผู้เป็นอ๋องกล่าวสำทับด้วยใบหน้านิ่งเฉย

          “ท่านอ๋องมิต้องกังวล” วั่นอู่หงพูดขึ้น ประโยคต่อมากลับหันไปแสยะยิ้มให้กับร่างเล็ก “อีกไม่นานเขาจะมิอาจกล่าวล่วงเกินผู้ใดได้อีก”

          “ตวนผิงซางอ๋อง นี่เป็นเรื่องระหว่างท่านกับข้า ปล่อยเขาไปซะ” ซวนหยวนหมิงไท่ซึ่งถูกพันธนาการด้วยเชือกรั้นตัวขึ้นเอ่ย ทั้งพยายามกลบเกลื่อนน้ำเสียงที่กระวนกระวายไว้ภายใจ

          ผู้เป็นอ๋องได้ฟังแล้วก็ต้องชำเลืองตามองคนที่คุกเข่า เลิกคิ้วขึ้นอย่างเหยียดๆ “ท่านออกคำสั่งใครกัน?” มาตอนนี้องค์รัชทายาทตกอยู่ในกำมือเขา ยังนับเป็นตัวกระไรได้อีก ว่าแล้วคลายแรงบีบจากมือ ร่างของเล็กก็ถูกเขาสะบัดจนล้มลง

          “เจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่แค่นเสียงคำราม ก่อนจะหันไปสำรวจดูไป๋เซ่อที่ลงไปงอตัวดั่งกุ้ง กุมมือที่เริ่มกลายเป็นสีม่วงคล้ำ เปลือกตาบางข่มปิดลงแน่น หยาดเหงื่อผุดผาดเต็มหน้าผาก

          มาตรว่าเจ้าตัวจะเจ็บปวดเพียงใด ตั้งแต่ต้นก็หาได้ร้องสักนิดไม่ กระนั้นกลับทำให้หัวใจเขารวดร้าว จำได้ว่าก่อนหน้านี้เพียงดีดนิ้วใส่ศีรษะเบาๆ เจ้าตัวก็ร้องลั่นแล้ว มิรู้ว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้มากมายเท่าไหร่

          ชายหนุ่มคิดอยากจะเอื้อมไปสัมผัสเกาะกุมมือน้อย ให้คลายความทรมานลงบ้าง ทว่าบัดนี้สองมือเขากลับถูกลิดรอนไป ได้แต่มองดูร่างเล็กถูกมัด พลันให้รู้สึกคับแค้นตนเองอย่างที่สุด

          ซวนหยวนหมิงไท่ผู้นี้ แม้เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆก็หาได้ดีไม่ กระทั่งเป็นถึงรัชทายาทก็ยังมิอาจปกป้องคนที่รักได้อีก

          ...เขาช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง


 

******************************************************

 

          ที่เรือนอักษร ตวนผิงซางอ๋องก้าวเข้าไปด้านในแล้วจึงหยุดมองที่ภาพม้าศึก ปล่อยให้วั่นอู่หงยื่นมือเรียวไปหมุนเชิงเทียนซึ่งดูไม่สะดุดตาบนหิ้งหนังสืออย่างรู้หน้าที่

          ไม่ช้าไม่นานก็บังเกิดเสียงครืดคราด ภาพเขียนดังกล่าวพลันขยับเคลื่อนที่ เผยให้เห็นเส้นทางลับที่มีแสงสลัวจากเทียน รอจนท่านอ๋องและปีศาจสาวก้าวย่างต่อ ทหารองครักษ์ก็ผลักดันองค์รัชทายาทและเด็กหนุ่มที่ถูกปิดตาปิดปากให้เดินเข้าไป

          ตลอดทางมานี้ซวนหยวนหมิงไท่มองไม่เห็นแสงสว่าง ทำได้เพียงนับจำนวนฝีเท้าในแต่ละก้าว ครั้นหยุดตัวลงก็พอจะเดาออกว่าเป็นที่ใด ทว่าหลังจากที่ถูกผลักให้เดินอีกครั้ง คราวนี้เขาก็ต้องงงงันแล้ว

          ผ่านไปราวหนึ่งเค่อดูเหมือนว่ากลุ่มคนได้มาถึงที่หมาย ทหารองครักษ์นายหนึ่งยกขาขึ้นถีบขาพับองค์รัชทายาทและเด็กหนุ่มให้คุกเข่าลง ก่อนจะปลดผ้าปิดตาปิดปากสีดำให้

          ทันทีดวงตาเป็นอิสระ ก็พบเสิ่นอันหวางถูกมัดราวกับเป็นดักแด้ ปากถูกอุดด้วยก้อนผ้าร้องอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ สายตาบ่งบอกความช่วยเหลือภายในห้องขัง ซวนหยวนหมิงไท่แค่นเสียงในลำคอ “หึ ที่แท้ท่านก็รู้ว่าข้าต้องมาหาท่าน” คนผู้นี้รู้อยู่แล้วว่าตนยังไม่ตาย ทั้งยังต้องมาที่นี่อีกด้วย

          ตวนผิงซางอ๋องมิได้ตอบกลับ หากแต่ยิ้มรับ ก่อนหน้านี้นักฆ่าที่ส่งไปกลับมาเพียงแค่คนเดียว ทั้งยังเสียสติพูดจามิรู้เรื่อง ประกอบกับคนสนิทของรัชทายาทแอบเข้ามาสอดแนมในจวน เขาก็ทราบแล้วว่าภารกิจล้มเหลว

          “คนของข้าอยู่ที่ใด” ซวนหยวนหมิงไท่มั่นใจแล้วว่าคนของเขาถูกจับไปจริงๆ แต่จะเป็นหรือตายนั่นยังไม่ทราบแน่ชัด

          “องค์รัชทายาท ท่านอย่าพึ่งใจร้อนไป ก่อนหน้านี้ท่านพึ่งตรวจค้นตำหนักของข้าไป มิอยากทราบหรือว่าข้าคิดกระทำเรื่องใดกัน”

          ซวนหยวนหมิงไท่จ้องใบหน้านิ่งเรียบของตวนผิงซางอ๋อง ครู่หนึ่งจึงเปิดปาก “หรือท่านคิดจะก่อการกบฏ” เขาคาดเดาเรื่องราวไปในทางที่เลวร้ายที่สุด

          “องค์รัชทายาทเฉลียวฉลาดมิผิดไปจากที่ร่ำลือ ถูกแล้ว ข้าต้องการทำให้ตระกูลซวนหยวนล้มจมสาบสูญ”

          “เสียทีที่เสด็จพ่อเห็นท่านเป็นสหาย”

          “สหาย...เขาน่ะหรือเห็นข้าเป็นสหาย ฮ่า ฮ่า” จู่ๆตวนผิงซางอ๋องก็หัวร่ออย่างขมขื่น ก่อนจะตวาดเสียงแข็ง “เหลวไหลทั้งเพ สหายประเภทใดกันที่ไม่รักษาคำพูด ทั้งยังบีบบังคับคนของข้า ทำให้นางต้อง...” แต่งให้กับผู้อื่น

          นับครั้งที่แรกซวนหยวนหมิงไท่เห็นอ๋องผู้มีภาพลักษณ์นิ่งขรึมตกอยู่ในอาการควบคุมตัวเองมิได้ ดวงตาแดงก่ำของอีกฝ่ายนั้นเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น

          ครั้นรู้สึกตัวว่าเสียการควบคุมตวนผิงซางอ๋องก็หันหลังให้ ต่อจากนั้นจึงกล่าวสืบต่อ “ท่านมิต้องห่วง ข้ายังไม่คิดฆ่าท่านตอนนี้ เพราะอย่างไรท่านก็ยังมีประโยชน์อยู่ หึ หึ” สิ้นเสียงลงอ๋องจากแดนเหลียวตงก็ออกเดินต่อ โดยมีวั่นอู่หงสั่งการทหารองครักษ์ให้นำตัวคนเข้าไป

          ต่อจากนั้นซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่สังเกตไปรอบๆ ก่อนจะสรุปได้อย่างคร่าวๆว่าที่นี่เป็นทางลับที่อยู่ใต้จวนอ๋อง ทว่าก็เป็นทางลับที่ดูมิปกติสักเท่าไหร่ เพราะสองข้างทางเรียงรายไปด้วยห้องขังที่กักตัวคนไว้มากมาย

          บ้างเป็นคนธรรมดา บ้างก็เป็นจอมยุทธ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างหน้าตาแข็งแรงเข้าที เว้นเพียงดวงตาที่เลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด รวมทั้งสัญลักษณ์นาบไฟบางอย่างที่ลำคอ

          “พวกเจ้าช่างบังอาจนัก คิดท้าทายสวรรค์ ควบคุมจิตวิญญาณมนุษย์พวกนี้อย่างนั้นรึ” ไป๋เซ่อกวาดตามองดูคนพวกนี้แล้วก็ต้องตวาดอย่างมีโทสะ

          “สุนัขรับใช้ผู้นี้ของท่านไม่เลวเลยทีเดียว ถึงกับดูออกว่าคนของข้าเล่นเล่ห์กระไร” ตวนผิงซางอ๋องเลิกคิ้ว

          “อย่ายุ่งกับเขา” ซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงขรึม

          รับฟังแล้วผู้เป็นอ๋องก็ยิ้ม หันไปมองเหล่าตุ๊กตาที่สูญเสียความรู้สึกนึกคิดในห้องขัง จากนั้นจึงกล่าวต่ออย่างไม่ใส่ใจ “นี่เป็นคนของท่านยังไงล่ะ เหล่าทหารผู้ร่วมอุดมการณ์ของท่าน”

          “ท่านคิดให้ข้าเป็นตัวการก่อการกบฏ หวังชิงราชบัลลังก์จากเสด็จพ่ออย่างนั้นรึ” เขาหัวเราะน้อยๆ “ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้ท่านจูงจมูก กระทำตามทุกอย่างที่ท่านสั่งอย่างนั้นหรือ ท่านคิดง่ายเกินไปหน่อยกระมัง”

          “แน่นอนข้าก็ไม่คิดว่าองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง ยึดมั่นในความถูกต้องเช่นท่านจะกระทำตามข้าโดยง่าย” ตวนผิงซางอ๋องหลุบตาลงก่อนจะหยิบกำไลสีเงินชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อขึ้นลูบไล้ “แต่หากมีของชิ้นนี้ แม้ท่านไม่คิดก็มิอาจไม่กระทำ”

          กล่าวถึงตรงนี้ดวงตาของอีกฝ่ายก็ทอประกายวูบ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ยังผลให้รัชทายาทหนุ่มเคร่งเครียด มิอาจหายใจได้ทั่วท้อง สัญชาตญาณบอกว่าคนผู้นี้มิได้พูดเล่น

          วั่นอู่หงรับกำไลดังกล่าวจากผู้เป็นนายแล้วหันมาแสยะยิ้ม นางตรงเข้ามาหาองค์รัชทายาทที่รูปงาม เลิกแขนเสื้อของอีกฝ่ายขึ้น จากนั้นบรรจงสวมมันใส่ที่ข้อมือของเขา

          “จากนี้ไปท่านจะได้รับรู้ถึงรสชาติที่กลืนก็มิได้ แม้อยากจะคายก็คายมิออก” ตวนผิงซางอ๋องเน้นย้ำ ดวงตาฉายให้เห็นถึงความบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง กระทั่งถูกขัดจังหวะด้วยทหารองครักษ์คนสนิท

          “ท่านอ๋อง นี่ก็นานแล้ว เกรงว่าใต้เท้าเสียนยังคงรอท่านอยู่ที่ห้องโถงขอรับ”

          “อืม” คิ้วพลันย่อย่น ตั้งแต่ตนสั่งกำจัดตระกูลที่ไม่เข้าพวกกับตนอย่างลับๆ คนแซ่เสียนที่เคยรั้นจนหัวชนฝาก็เปลี่ยนเป็นประจบประแจงจนน่ารำคาญ

          “เช่นนั้นท่านอ๋องเห็นสมควรจัดการพวกเขาอย่างไรดี” เห็นทีท่าว่าท่านอ๋องจะจากไป วั่นอู่หงก็รีบทักขึ้นเสียก่อน

          “ในเมื่อองค์รัชทายาทต้องการพบคนของเขา ก็ให้เขาสมปรารถนา นอกเหนือไปจากนี้เป็นเจ้ารับผิดชอบ อยากจะทำอะไรก็เชิญ” กล่าวจบคนก็ออกไป

          “ขอบคุณท่านอ๋อง วางใจข้าได้” ปีศาจสาวเอ่ยขึ้น ดวงตาเปล่งประกายอำมหิต รอยยิ้มฉีกกว้างดูน่ากลัว นางรอประโยคพวกนี้อยู่นานแล้ว


 

******************************************************

 

          ในเรือนหลังเล็กอันสงบเงียบปราศจากผู้คน ซึ่งตั้งอยู่ท้ายจวนอ๋อง สตรีผู้มีเส้นผมสีเงินกระจ่างตากำลังนั่งซึมเซาที่ข้างหน้าต่าง เรือนร่างที่ขาวดุจดั่งกระดาษเซวียนจื่ออยู่ใต้อาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสด ตามปลายกระโปรง ปักด้วยดิ้นทองลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต

          มาตรว่าอีกไม่กี่ชั่วยามนี้ นางจะกลายเป็นหญิงที่มีมลทิน ถูกครอบครองด้วยชายผู้เป็นสามี ทว่าในใจของนางกลับไพล่คิดถึงบุรุษอีกผู้หนึ่ง อยากได้ยินเสียงที่อบอุ่น อยากเห็นแววตาที่อ่อนโยน

          ...บางทีหากตอนนั้นนางรั้งมิให้เขาไป เอ่ยปากขอติดตามเขา เรื่องราวจะยังคงเลวร้ายอยู่อีกรึไม่

          วันนั้นหลังจากที่เขาหันหลังให้ นางได้แต่จดจำแผ่นหลังสง่างามไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่แล้วคืนวันต่อนางกลับได้ยินเสียงผู้บุกรุกในเขตที่ตนเฝ้าดูแล เสี้ยวหนึ่งนางคิดว่าเป็นเขา จึงได้ออกวิ่งไปโดยมิได้ฟังคำไล่หลังของบรรดาบริวารของท่านจ้าวคฤหาสน์ดิน

          ท้ายที่สุดก็ต้องหลงกลถูกนางปีศาจวั่นอู่หงลอบทำร้าย ก่อนจะถูกทหารกลุ่มหนึ่งพาตัวไปที่กระโจมหลังหนึ่ง ที่นั่นบุรุษที่ผู้คนเรียกขานว่าท่านอ๋องตวน เพียงมองนางครั้งหนึ่งก็มีสีหน้าตกตะลึง นามของคนผู้หนึ่งหลุดออกจากริมฝีปากเขา ซึ่งนางก็หาได้รู้จักไม่ แต่กระนั้นก็ยังคงจำมาถึงบัดนี้

          ...ลั่วจิ่นหลง

          นับจากนั้นท่านอ๋องตวนก็พานางมาที่นี่ ทั้งยังปฏิบัติกับนางราวกับเป็นคนรัก ทว่านางกลับไร้ซึ่งความรู้สึกที่มีต่อเขา ครั้นเมื่อนางเอ่ยปากต้องการกลับไปยังดินแดนที่จากมา นางก็ถูกเขาบังคับโดยกำไลวิเศษ แลไม่กี่วันเรื่องราวก็เลยเถิดไปจนถึงขั้นแต่งงาน

          แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนางมิอาจรู้ว่าเขาเป็นปรปักษ์กับคนผู้นั้น คนที่อบอุ่นราวกับแสงตะวันที่สาดแสงอบอุ่น กระทั่งตอนนี้นางก็ยังมิรู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร

          ระหว่างที่กำลังคิดอย่างเศร้าสร้อยก็บังเกินเป็นเสียงเอะอะโวยวายที่ด้านนอก เย่วเซียงถึงกับผุดลุกขึ้นอย่างแปลกใจ เนื่องเพราะเรือนที่นางพักอาศัยนี้ นอกจากจากท่านอ๋องตวนแล้วก็ไม่มีใครสามารถเหยียบย่างเข้ามาได้อีก เช่นนั้นเสียงที่นางได้ยินเป็นผู้ใดกัน

          แวบแรกนางนึกถึงชายแปลกหน้าที่ปรากฏกายภายใต้เขตอาคมของวั่นอู่หง ทั้งจากไปโดยที่ปีศาจสาวไม่รู้สึกระแคะระคายสักนิด

          ...บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีม่วงตัดดำ ผู้มีท่าทีเย็นชาสง่างามเหนือโลกีย์

          “พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าพี่ชายไป๋อยู่ในจวนอ๋อง แต่ดูว่าที่นี่ออกจะเป็นเรือนร้างอย่างมิต้องสงสัย” หงลิ่วในร่างอสรพิษเกร็ดดำซึ่งถูกหิ้วคอน้ำมือของพี่ใหญ่ทำสีหน้าฉงน

          “เขาย่อมต้องอยู่ในจวนนี้ แต่มิใช่ที่นี่ หงลิ่ว เจ้ามิเห็นรึว่ารอบๆจวนแห่งนี้รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายปีศาจชั่วร้าย เว้นเพียงที่นี่” หงเว่ยตอบกลับน้องชายที่ดีแต่เที่ยวเล่น มิรู้จักใช้เวลาฝึกตนบำเพ็ญเพียร ขนาดคนหายไปยังมิรู้จักใช้จมูกค้นหา ดีที่เขาเจอเจ้าตัวที่สติแตกกลางตลาดระหว่างทาง มิฉะนั้นกว่าจะรู้เรื่องราวก็คงผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว

          “เอ๊ะ จริงหรือ ไหนๆ” ดวงตากลมโตของหงลิ่วเพ่งมองท้องฟ้า ก่อนจะถูกแทรกด้วยเสียงของสตรีนางหนึ่ง

          “พวกท่านผ่านเขตอาคมมาได้อย่างไร” เมื่อเห็นเป็นคนผู้เดียวกับที่นางพบ เย่วเซียงก็รีบปรากฏตัวออกมา

          หงเว่ยเงยหน้ามองหญิงสาวที่เคยร้องขอให้เขาพานางไป แม้ว่าวันนี้นางจะสวมใส่อาภรณ์งดงามเพียงใดก็มิอาจปกปิดสีหน้าที่หมองเศร้าของนางได้ ทว่าเขาจำเป็นต้องใส่ใจด้วยหรือ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

          “ข้าขอร้อง ได้โปรดพาข้าไปด้วย” เย่วเซียงอ้อนวอน คล้ายยึดถือคนผู้นี้เป็นฟางเส้นสุดท้าย

          “ไม่”

          “เอ๋ ทำไมล่ะ พี่ใหญ่ดูนางน่าสงสารถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงใจดำกับนางนัก บางทีนางอาจจะรู้ว่าพี่ชายไป๋อยู่ที่ใดก็ได้” หงลิ่วแย้ง

          ”ข้าไม่อยากมีตัวถ่วง” หงเว่ยโต้กลับเสียงเย็น จวนอ๋องใหญ่โตเพียงแค่นี้ เขาไม่เชื่อว่าจะหาตัวไป๋เซ่อไม่เจอ

          “ข้าให้สัญญา หากข้าเป็นตัวถ่วงท่านเมื่อใด ท่านสามารถทิ้งข้าไว้ ข้าจะไม่กล่าวโทษสักคำ” เย่วเซียงรีบบอก ใจเริ่มพองโตอย่างมีความหวัง

          หากแต่หงเว่ยกลับขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ดีว่าเจ้ามิสามารถออกจากเขตอาคมนี้ได้ และถ้าหากข้าทำลายเขตอาคมเสีย แน่นอนว่าเจ้าของกลิ่นอายชั่วร้ายจะต้องรู้ตัวในอีกไม่ช้า นี่มิเท่ากับทำให้ข้าเสียการเสียเวลาหรอกรึ”

          รับฟังคำกล่าวแล้วนางก็ถึงกับคอตก ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตา ที่เขากล่าวมามิผิด ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นตัวถ่วงให้พวกเขาอยู่ดี

          “โอ๊ย พี่ใหญ่ท่านอย่าไร้หัวจิตหัวใจอย่างนี้จะได้ไหม หากพี่ชายไป๋รู้ว่าท่านใจดำ มิช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน เขาต้องไม่ชอบท่านแน่ๆ” หงลิ่วทนมองน้ำตาสาวงามไม่ไหวโพล่งออกมาในที่สุด

          “หือ” หงเว่ยเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาจะไม่ชอบจริงๆรึ”

          “ข้าเอาหัวเป็นประกัน” จากที่ฟังไป๋เซ่อพูดกรอกหูเรื่องวีรกรรมของเจ้าตัวนั้น หงลิ่วก็สามารถสรุปได้ว่าเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องผดุงความยุติธรรม ถึงแม้จะแหวกแนวไปหน่อยก็เถอะ อย่างเรื่องที่อีกฝ่ายยื่นมือให้ความช่วยเหลือบุรุษงี่เง่าที่ต้องบุกฝ่าเข้าไปในปราสาทมาร ชิงตัวผู้เป็นที่รักออกมา

          “ได้” เมื่อหงลิ่วยืนกรานดังนั้น หงเว่ยก็ตอบเสียงหนักแน่น พลอยทำให้คนที่สิ้นหวังไปแล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาใหม่ “จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี” เขาเน้นย้ำ

          “......” เย่วเซียงพูดอะไรไม่ออกได้แต่รีบผงกศีรษะ

          ด้านหงเว่ยก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ยกฝ่ามือขึ้นปลดปล่อยพลังขุมหนึ่งขึ้นใส่เหนือท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกำแพงอากาศที่มองไม่เห็นก็ค่อยๆร้าวเป็นวงกว้าง ก่อนจะแตกออกในชั่วพริบตา




******************************************************



         ปกติเเล้วงูมีจมูกเเต่ไม่สามารถรับกลิ่นได้มาก จึงให้ลิ้นเป็นตัวในการรับกลิ่นนะจ้ะ ดึกไปหน่อยเเต่พยายามปั่นให้ เจอคำผิดที่ใดก็เตือนกันได้น้า 


หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 14 พลาดท่า 28/03/2559
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 29-03-2016 22:28:59
มารอครับ
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่15.1 ช่วยเหลือ 6/4/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 06-04-2016 16:04:07
บทที่ 15.1 ช่วยเหลือ

 

          ต่อเมื่อเห็นเค้าใบหน้าซูบตอบในห้องขังอันทะมึน รัชทายาทหนุ่มก็ต้องสูดหายใจลึก แม้จะทำใจอยู่ก่อนว่าคนของเขาตกอยู่ในกำมือศัตรู ผลลัพธ์ย่อมร้ายมากกว่าดี แต่กระนั้นภาพเบื้องหน้ากลับทำให้เขาต้องตกตะลึงวูบ กระทั่งไป๋เซ่อก็ยังต้องเงียบงันไป 

          ขันทีน้อยผู้มีภาพลักษณ์กระตือรือร้นอยู่เสมอ ในเพลานี้ดูราวกับหลงเหลือเพียงครึ่งชีวิต ท่อนล่างเปราะเปื้อนไปด้วยโลหิตแห้งกรัง ดวงตาเหม่อลอยไปยังที่ไกลแสนไกล

          “เสี่ยวลู่” เขาอุทานร้องเรียกเบาๆ ทำให้ใบหน้าที่ดูอาลัยตายอยากค่อยๆผินมองมาช้าๆ

          เจ้าของชื่อมองเงาร่างอันพร่าเลือนตรงหน้า พลันรู้สึกตกอยู่ภายใต้ความฝัน กระนั้นก็ยังเอ่ยเสียงแหบแห้ง “องค์รัชทายาทหรือ”

          “นี่ข้าเองเสี่ยงลู่”

          สุ้มเสียงดังกล่าวทำให้ดวงตามืดหม่นฟื้นคืนประกายอีกครั้ง จวบจนมั่นใจว่ามิใช่ภาพลวงตา เสี่ยวลู่ก็รีบตะเกียกตะกายเข้าหา ทว่าด้วยสองขาที่ถูกโบยตีสาหัส ทำให้มิอาจใช้การได้อีก ได้แต่ใช้สองแขนอันไร้เรี่ยวคืบคลานเข้าไปอย่างยากลำบาก “ดี...ดีจริงๆ ที่กระหม่อมยังสามารถพบพระองค์”

          ขันทีน้อยเอ่ยด้วยสภาพน้ำตานองหน้า บันดาลให้ผู้คนต้องรู้สึกสงสารเวทนา ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็ก้มตัวลง ยื่นมือลอดผ่านลูกกรงเหล็ก จับกุมมือเล็กๆที่แห้งกร้านเอาไว้ กลั้นโทสะที่พวยพุ่งในใจ “ที่ผ่านมาลำบากเจ้าแล้ว”

          “ไม่พะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยจริงๆ” เสี่ยวลู่สะอื้นไห้พร่ำกล่าวไม่หยุด สองมือปาดเช็ดน้ำมูกน้ำตาเป็นพัลวัน แต่ในเวลาเดียวกันนั้นกลับบังเกิดเป็นเสียงปรบมือดังแปะๆ

          วั่นอู่หงมองหนึ่งนายหนึ่งบ่าวตรงหน้าแล้วจึงแสร้งแสดงท่าทีซาบซึ้ง “ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจจริง”

          ถึงตอนนี้เสี่ยวลู่จึงพึ่งสังเกตเห็นเงาร่างของเสี่ยวไป๋ รวมถึงปีศาจสาวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก หน้าเขาพลันซีดเผือด ร่างกายสั่นเทิ้ม ยังคงจดจำคืนแล้วคืนเล่าที่ต้องทนมองเหล่าองครักษ์ถูกนางทำร้าย จนแทบจะเสียสติอยู่รอมร่อ

          ท่าทีหวาดกลัวเด่นชัดส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องตวาดถามวั่นอู่หง “เป็นเจ้าทำร้ายเสี่ยวลู่?”

          รับฟังแล้วนางก็ถึงกับเบิกตาโต หวีดเสียงหัวเราะขบขัน เดิมทีบุรุษหนุ่มที่ถูกลักพาตัวมา ล้วนเป็นนางที่เลือกสรร เว้นเพียงเจ้าเด็กน่ารังเกียจที่หญิงก็มิใช่ชายก็มิเชิง กระทั่งหางตานางก็ไม่คิดจะเหลือบแล ดังนั้นจึงมีแต่คนของจวนอ๋องที่จัดการทรมานตัวไร้ประโยชน์ผู้นี้

          “อย่างเขาน่ะรึ มิคู่ควรให้ข้าวั่นอู่หงต้องลงมือหรอก หากเปลี่ยนเป็นองครักษ์ของท่าน ยังนับว่าพอให้ข้าใช้กล้อมแกล้มได้บ้าง” พูดจบก็พยักพเยิดใบหน้าไปทางด้านหนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยเงาดำมืดทึบ จากนั้นจึงฉีกยิ้มกล่าว “นั่นไงล่ะ ผลงานที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ของข้า ท่านเห็นเป็นเช่นไร”

          ข้างในห้องขังปรากฏร่างกำยำซึ่งถูกตรึงไว้กับไม้ ผมเผ้าสีดำยุ่งเหยิงบดบังใบหน้า ข้อมือข้อเท้าถูกตรวนด้วยเชือกป่านหนา ทั่วทั้งร่างชโลมไปด้วยเลือด มีเพียงหน้าอกที่ยังคงสะท้อนขึ้นลง บ่งบอกให้รู้ว่ายังคงมีลมหายใจ หากแต่ก็แผ่วเบายิ่ง คนผู้นี้แวบแรกเป็นเพียงคนแปลกหน้า ครั้นหรี่ตาเพ่งมองให้ชัดเจนอีกครั้ง กลับเป็นคนที่พวกเขารู้จักดี

          “หัวหน้าองครักษ์จิ้ง” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องเรียกเบาๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุดเงาร่างของบุรุษอีกสองคนซึ่งถูกปิดตาปิดปาก ร่างถูกตรึงในแต่ละฟากฝั่งซ้ายขวาของกำแพง ดูแล้วคงไม่แคล้วเป็นองครักษ์ติดตาม
         
          “ดูดีใช่ไหมล่ะ อีกไม่นานพวกเขาก็จะเป็นดั่งตุ๊กตาเชื่องๆที่คอยรับใช้ข้าทั้งวันทั้งคืน” วั่นอูหงยังคงแสดงความเห็นอย่างอารมณ์ดี

          “ชั่วช้าสามานย์ สวรรค์ต้องไม่ปราณีเจ้าแน่นอน” ไป๋เซ่อกัดฟันกรอด ดวงตาจับจ้องมองนางปีศาจอย่างคับแค้น

          “ขอน้อมรอรับการสั่งสอน” วั่นอู่หงเหยียดยิ้มรับ ทั้งตอบกลับโดยมิหวั่นเกรง ก่อนจะสั่งให้ทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งจัดการลากคนทั้งสองไป ท่ามกลางเสียงร้องกระวนกระวายไล่หลังของเสี่ยวลู่


 

****************************************************

 

          ประตูเปิดออก มีเพียงห้องอันมืดมิดที่อยู่ตรงหน้า ถึงตอนที่ก้าวย่างเข้าไป กระแสไอเย็นเฉียบก็พวยพุ่งโลมเลียเรือนร่าง ไม่นานนักเทียนสีขาวก็ถูกจุด มันส่องแสงสีเหลืองนวลเผยให้เห็นคลื่นอารมณ์ไม่ปกติบนใบหน้าของสตรีสาวในชุดสีแดง

          “ที่นี่จัดไว้ให้องค์รัชทายาทโดยเฉพาะ”

          วั่นอู่หงกระซิบที่ริมใบหู ระหว่างที่แขนขาของเขาถูกคนตรวนโซ่ไว้แน่นหนา อีกด้านหนึ่งไป๋เซ่อร่ำร้องโวยวาย ทั้งดีดดิ้นไปมาก่อนจะโดนตีตรวนที่ด้านตรงข้ามเช่นกัน

          รอจนทหารองครักษ์ล่ามพวกเขาเสร็จ ต่างก็ล่าถอยออกไปอย่างรู้ความ เหลือไว้เพียงหนึ่งคนหนึ่งอสรพิษและหนึ่งปีศาจในห้องขังปิดตายที่เงียบสนิท ชนิดที่เข็มเล่มหนึ่งตกก็ยังได้ยินชัด

          ร่างกายถูกพรากอิสระ ทั้งยังหนักอึ้งไปด้วยโซ่ตรวน แม้แต่จะยืนก็ยังลำบาก ในเวลานี้ไป๋เซ่อได้แต่ซ่อนงำประกาย ไม่คิดหุนหันพลันแล่นอีก แม้ยังพอมีพลังเปลี่ยนรูปเป็นอสรพิษ แต่เกรงว่าเพลานี้ตนมิใช่คู่มือของนางปีศาจ

          “เป็นไรไป ก่อนหน้านี้ยังปากดีอยู่มิใช่หรือ” เห็นเด็กหนุ่มสิ้นพิษสงไปเสียดื้อๆ วั่นอู่หงก็ยืนมือไปตบใบหน้าเล็กอันเย้ายวนเบาๆเป็นการสัพยอก “อ่อ เจ้าหาว่าข้าอัปลักษณ์สินะ แต่น่าแปลกที่ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้างดงามแปลกตายิ่ง จะดีรึไม่หากข้าถลกใบหน้านี้มาเป็นของข้าเสียเอง”

          ถึงประโยคสุดท้ายดวงตาสีแดงก็ฉายแววอำมหิต เล็บยาวแหลมคมลากไล้ไปตามโครงหน้ารูปไข่ ทิ้งรอยแผลและโลหิตซึมไว้บนผิวขาวเนียน ไป๋เซ่อทนรับการกระทำนี้ ซ้ำโต้ตอบด้วยการกะพริบตามองปริบๆ สีหน้าปราศจากความขลาดเขลา ไร้ซึ่งคำพูดด่าทอใดๆ

          กลับกลายเป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่ร้อนรนยิ่งกว่า สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว “นางปีศาจ มิใช่เจ้าต้องการข้าหรอกหรือ ไยจึงปล่อยให้ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายเช่นนี้”

          น้ำเสียงที่ฟังดูยานคางราวกับแมวที่เกียจคร้าน ยังผลให้ปีศาจสาวต้องชะงักหยุดมือ หันหน้ามาส่งรอยยิ้มหยาดเยิ้ม “องค์รัชทายาท ท่านทำเช่นนี้มิใช่ต้องการปกป้องเขาหรอกกระมัง”

          นางมิใช่คนตาบอด จึงจะไม่เห็นสายสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างคนทั้งสอง แม้แต่ตอนที่นางระเบิดพลัง องค์รัชทายาทผู้นี้ไม่เพียงหนีเอาตัวรอด กลับเลือกที่จะคว้าร่างเล็กเอาไว้เพื่อรับความเสียหายนั้นเอง กระทั่งความเป็นตายของตนเองก็หาได้สนใจไม่

          ซวนหยวนหมิงไท่เม้มปาก ตระหนักว่ามิอาจใช่ลูกเล่นกันอีกฝ่ายได้ ที่สุดแล้วคงได้แต่ใช้ตนเองเดิมพัน “ความจริงข้าเคยได้ยินมาว่า บุตรของโอรสสวรรค์นั้นมีปราณชีวิตแตกต่างจนปุถุชนทั่วไป เรียกขานกันว่าปราณมังกร หากปีศาจตนใดได้ครอบครอง ไม่เพียงสามารถเพิ่มพูนตบะ กระทั่งพลังฝีมือยังเทียบเท่ากับเทพเซียน เฮ้อ มิรู้ว่าเป็นจริงกี่ส่วน เป็นเท็จเสียกี่ส่วน”

          ถึงตรงนี้ดวงตาของปีศาจสาวก็ทอแววกระหิวกระหาย ไป๋เซ่อที่รับฟังอยู่เนิ่นนานต้องรีบโพล่งออกมา “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าบ้าไปแล้ว”

          “ใช่ ข้ายอมเป็นคนบ้า ดีกว่าต้องทนเห็นเจ้าถูกทรมาน” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบผ่านสายตาที่ห่วงใย ครั้นเห็นไป๋เซ่อถลึงตาอย่างไม่เข้าใจ มุมปากก็พลันผุดรอยยิ้ม มิรู้ว่าร่างเล็กมีอิทธิพลกับเขามากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ครั้นเมื่อรู้ตัวก็กลับกลายเป็นว่าเขา...

          มิอาจเสียเจ้าตัวไปได้อีก

          “ท่านอยากรู้” นางกระหยิ่มยิ้มย่อง ขาก้าวเข้าไปหาองค์รัชทายาท ละเลยเด็กหนุ่มไปโดยสิ้นเชิง “เช่นนั้นข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นเอง” ในเมื่อเสนอตัวเอง นางก็ไม่คิดจะปฏิเสธ

          จังหวะที่ร่างสีแดงย่างก้าวสามขุม ก็บังเกิดเสียงโซ่ตรวนกระทบพื้นดังก้องไปมาไม่หยุด เขาเห็นไป๋เซ่อดิ้นตัวอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนที่สายตาจะถูกใบหน้าเปื้อนยิ้มของวั่นอู่หงเคลื่อนที่เข้าบดบังจนหมดสิ้น

          แม้เดิมพันครั้งนี้ออกจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่ตราบใดที่ตนยังมีประโยชน์ต่อตวนผิงซางอ๋อง นางย่อมมิให้เขาตายตอนนี้เป็นแน่ ซวนหยวนหมิงไท่คาดการณ์ในใจ

          วั่นอู่หงเอียงศีรษะ หมายลิ้มลองปราณมังกรอันยอดเยี่ยม แต่แล้วเมื่อนางเคลื่อนที่เข้าใกล้จนห่างจากริมฝีปากชายหนุ่มราวหนึ่งหุน ก็มีอันต้องหยุดชะงัก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งยาก ซ้ำระคนไปด้วยความหงุดหงิด

          “ตัวเลวร้ายที่ไหน บังอาจมาก่อกวนข้า” นางแค่นเสียงอย่างมีโทสะ สัมผัสได้ถึงขอบข่ายพลังที่ถูกทำลาย แม้มิอยากใส่ใจ แต่เรื่องราวเกี่ยวข้องกับเรือนพำนักของเย่วเซียง หนำซ้ำคืนนี้ยังเป็นคืนเข้าหอ หากตวนอ๋องพบว่าเจ้าสาวหายตัวไปในสถานที่ที่นางรับผิดชอบ นางยังจะแก้ตัวได้อย่างไรกัน

          ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจผละตัวออกจากองค์รัชทายาทอย่างไม่ค่อยยินยอมนัก ปีศาจสาววาดปลายแขนเสื้อขึ้น สะบัดวูบหนึ่งร่างก็อันตรธารหายลับไป บังเกิดเป็นความเงียบงันในห้องอีกครั้ง จนกระทั่งมีเสียงถอนหายใจโล่งอกดังขึ้น

          “รัชทายาทงี่เง่า ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะสิ้นไร้ความคิดขนาดนี้” ไป๋เซ่อตวาดใส่ ทว่าคนถูกด่ากลับหัวเราะแห้งๆ โชคยังดีที่จู่ๆปีศาจสาวก็ผละตัวไปกะทันหัน มิเช่นนั้นหากช้าไปกว่านี้ ตนที่กลายเป็นงูเผือกคงกระโจนเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิตแล้ว

          นึกถึงตรงนี้ร่างเล็กก็เปลี่ยนเป็นอสรพิษสีขาว โซ่ที่เคยพันธนาการไว้พลันร่นไปกองกับพื้น มันชูคอเลื้อยตรงไปยังร่างชายหนุ่ม ก่อนจะสับร่างกลับเป็นมนุษย์ดังเดิม

          ไป๋เซ่อรีบคว้าดึงโซ่ที่ล่ามติดอยู่ตามข้อมือข้อเท้าของร่างสูง แล้วออกแรงทำลายจนหน้าดำหน้าแดง ตอนนี้นับว่าอยู่ในภาวะคับขัน ปีศาจสาวมีสิทธิ์ย้อนกลับมาได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงยิ่งลุกลี้ลุกลน กระทั่งเหงื่อซึมไปทั่วแผ่นหลัง

          เห็นสองมือบอบบางกระชากโซ่ตรวนจนถลอกปอกเปิก เขาก็ขมวดคิ้ว ร้องบอกร่างเล็ก “ไป๋เซ่อ เจ้าพอเถอะ”

“อย่ามากวนข้า”

          “.......” ซวนหยวนหมิงไท่โดนตวาดจนต้องเงียบงันไป ครั้นแลเห็นสีหน้าแน่วแน่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ก็คล้ายถูกดึงดูดให้ต้องตกอยู่ในภวังค์ เหม่อมองหยาดเหงื่อประดุจมุกงามซึ่งไหลรินตามหน้าผากน้อย จนในที่สุดก็เปล่งเสียง “เด็กดี เข้ามาใกล้ๆข้า”

          ด้วยสุ้มเสียงกระซิบแฝงความอบอุ่นปลอดภัย กลับล่อลวงให้คนที่มือไม้ปั่นป่วนต้องหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีดำกระจ่าง สองขาก้าวเข้าไปประชิดร่างสูงโดยไม่รู้ตัว แลในพริบตานั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ก้มหน้าลง ประทับริมฝีปากบางโดยไม่บอกไม่กล่าว

          ดวงตาสีฟ้าอมเขียวถึงกับตะลึงวูบ คิดจะผลักอีกฝ่าย กระนั้นสัมผัสที่ชายหนุ่มมอบให้กลับแว่วหวานยากตัดใจ แลถึงตอนที่จุมพิตอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง ไป๋เซ่อก็หลับตาลงตอบรับอย่างเต็มใจ

          รสหวานกำจายในโพรงปาก ลิ้นอุ่นละมุนนุ่มลึก ซวนหยวนหมิงไท่เคลิบเคลิ้มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งมิอาจผละออกจากริมฝีปากบางแม้ชั่วครู่ชั่วยาม ผิดกับไป๋เซ่อที่หัวใจตกอยู่ในความระส่ำระสาย หากทำได้มันคงกระดอนออกจากอกไปนานแล้ว ยังมีทั่วร่างที่หมุนเวียนด้วยกระแสพลัง ส่งผลให้รู้สึกราวกับล่องลอยอยู่กลางสายลม

          ผ่านไปพักใหญ่ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง เปลี่ยนมาจ้องมองแผงขนตาที่สั่นระริก จวบจนเปลือกตางามแอบหยีขึ้นมองก็ต้องหลุดเสียงหัวเราะ

          “เจ็บตาหรือ” เขาเอ่ยหยอกท่าทางน่ารัก

          ครานี้ไป๋เซ่อถึงกับลืมตาพรึ่บ สบถกล่าว “บ้านเจ้าสิ เจ้าคนหน้าหนา” รู้ทั้งรู้ยังจะมีหน้ามาถาม รัชทายาทผู้นี้หน้าด้านเกินเยียวยาแล้วจริงๆ “เป็นเพลาใดแล้วยังทำเล่นอีก มิกลัวนางปีศาจจะกลับมาแทะกระดูกเจ้ารึ”

          “หือ ใคร...ใครทำเล่น”

          ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วตีสีหน้าเหรอหรา ยังผลให้ใบหน้าเขาต้องแดงเถือก คงมิใช่ว่าชายหนุ่มตั้งใจหรอกนะ ไป๋เซ่อคิดอย่างสับสน ก่อนสัมผัสถึงพลังขุมหนึ่งที่หมุนเวียนในร่างกาย ที่แท้เจ้าตัวทำเช่นนี้ก็เพราะมีเหตุผล ฉับพลันนั้นก็แอบรู้สึกผิดหวังแกมเสียดายอยู่นิดๆ

          อืม...นิดเดียวจริงๆนะ ไป๋เซ่อแย้งในใจ


 

*******************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 15.2 ช่วยเหลือ 6/4/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 06-04-2016 16:06:46
บทที่ 15.2 ช่วยเหลือ

 

          ชายกระโปรงสีแดงสะบัดไหวไปตามกระแสลมแรง วั่นอู่หงที่พึ่งเสร็จจากการตรวจเรือนท้ายจวนเสร็จ ก็ต้องเร่งรุดหาคนอย่างหงุดหงิดใจ ระหว่างทางได้แต่ขบคิดสงสัย ใครกันที่ให้ความช่วยเหลือเย่วเซียง? และใครกันที่มีพลังมากมายถึงขนาดทำลายอาคมของนางได้?

          แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะใครหน้าไหนก็ล้วนมิอาจออกไปจากที่นี่ได้ นางหลับตาลงเพ่งสมาธิ ด้วยอาคมปราการใหญ่ที่นางกางไว้รอบจวนอ๋อง ย่อมมิมีสิ่งใดรอดพ้นไปจากสายตานางได้

          อีกทางด้านหนึ่ง ตะวันลาลับขอบฟ้า แขกเหรื่อในห้องโถงใหญ่ยังคงดื่มกินอาหารที่จัดเตรียมอย่างสบายใจ มิได้สังเกตเห็นทหารมากมายที่ทำการเข้าห้อมล้อม ซ้ำยังมีบางคนที่แวะไปทำธุระด้านนอกแล้วมิได้กลับมาอีก

          ไม่ไกลออกไปบนต้นไม้ใหญ่ ปรากฏเงาร่างของบุรุษและสตรี เพิ่มเติมด้วยงูน้อยสีดำอีกตัวหนึ่งที่กำลังขู่ฟ่อๆ

          “ไม่มี ที่นี่ก็ไม่มี” หงลิ่วร้องบอก น่าแปลก ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายไป๋ พี่หมิงไท่หรือคนแซ่เสิ่น ล้วนหายตัวไปอย่างร่องรอยทั้งนั้น

          หงเว่ยย่นหัวคิ้วน้อยๆ เดิมทีคิดรับตัวคนกลับไปเงียบๆ แต่ด้วยกลิ่นอายร่างเล็กหรือคนอื่นๆถูกลบออกไปจนหมดสิ้น เกรงว่าปีศาจที่ควบคุมที่นี่ร้ายกาจพอตัว

          “ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจถูกจับตัวไว้ที่ห้องลับในเรือนอักษรก็เป็นได้” ขณะที่สองพี่น้องนิ่งใช้ความคิด เย่วเซียงก็ตัดสินใจออกความเห็น มาตรว่าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังตามหาผู้ใด แต่จากท่าทางที่เป็นกังวล นางก็พอเดาได้ว่าคนผู้นี้จะต้องสำคัญยิ่ง

          “เจ้ารู้?” หงเว่ยขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงถาม สีหน้ายังคงความเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน

          เย่วเซียงพยักหน้าแล้วกล่าวอธิบายต่อ “ก่อนที่ข้าจะถูกกักตัว ข้าเคยหลงเข้าไปในห้องลับของท่านอ๋องตวน ที่นั่นซ่อนตัวบุรุษไว้หลายคน แต่ล้วนถูกวั่นอู่หงควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้” บางทีอาจเป็นเพราะนางรู้ความลับนี้จึงเป็นเหตุให้ถูกตวนผิงซางอ๋องควบคุมตัวไว้ก็เป็นได้

          “ดี พาเขาไป” หงเว่ยเอ่ยถ้อยคำห้วนๆ ก่อนจะดึงอสรพิษน้อยที่เลื้อยอยู่รอบคอไปยัดใส่มือบอบบาง ทำเอาเย่วเซียงที่รับร่างเย็นเฉียบ ต้องเผยสีหน้าอย่างงงงันไปชั่วขณะ ฝ่ายหงลิ่วเองก็ไม่ต่างกัน

          “พี่ใหญ่แล้วท่านเล่า”

          “ไปกับนาง หากคับขัน เจ้ารู้ว่าต้องทำเยี่ยงไร” หงเว่ยเน้นย้ำ ทั้งยังคงไร้คำอธิบายใดๆ กล่าวจบก็กระโดดลงจากต้นไม้ เพียงแต่ปลายเท้ายังมิทันสัมผัสถึงพื้น ร่างของเขาก็พลันหายไปราวกับลมหอบหนึ่ง

          ร่างสีม่วงตัดดำปรากฏตัวอีกครั้งในสวนพฤกษา ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ เบื้องหน้ามีน้ำตกจำลองให้บรรยากาศชุ่มฉ่ำ ไม่ไกลกันนักปลูกไว้ด้วยเก๋งหกเหลี่ยมอันเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ

          แต่กระนั้นที่นี่ ในตอนนี้...กลับไร้ผู้คน

          เป็นเพราะก่อนหน้านี้สัมผัสถึงดวงตามุ่งร้ายคอยจับจ้อง หงเว่ยก็รีบละจากหงลิ่วจนมาถึงที่นี่ ต่อจากนั้นจึงส่งเสียงตวาด “ออกมา”

          ทันทีที่ถ้อยคำดังออกมา บรรยากาศเย็นยะเยียบไปถึงขั้วหัวใจก็กระจายตัวรอบๆบริเวณ วั่นอู่หงที่หลบซ่อนอยู่ถึงกับเสียวสันหลังวาบ คิดไม่ถึงว่าคนที่ทำลายอาคมของนางจะเป็นคนผู้นี้...

          นึกถึงตอนที่ถ่อไปทะเลสาบตงไห่เพื่อชิงดอกพราวแสง แต่แล้วต้องกลับมามือเปล่า นางก็ขยี้เท้าด้วยความเจ็บใจ ไหนยังจะต้องเสียหน้า เนื่องเพราะอีกฝ่ายมิยอมชายตามองนางสักกะผีก กระทั่งนามก็มิคิดรับฟัง ทำเอาเสน่ห์ของนางป่นปี้ย่อยยับ ณ ตรงนั้น

          “หึ หึ” แต่แน่นอนครานี้ย่อมไม่เป็นเช่นเก่า นางฉีกยิ้มกว้าง แม้มิอาจครอบครองสมุนไพรวิเศษเพิ่มพูนตบะ ทว่านางก็ได้สิ่งทดแทนอย่างจิตวิญญาณบุรุษหนุ่มเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้อิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้นหลายส่วน มิจำเป็นต้องหวั่นเกรงบุรุษลึกลับผู้นี้อีก คิดได้ดังนั้นก็ก้าวออกไปเผชิญหน้า

          “มิคิดว่าจะได้เจอท่านอีก” นางเชิดหน้าเอ่ย เผยรอยยิ้มที่ยั่วยวนที่สุดตั้งแต่มีมา

          “.......” ร่างแกร่งถึงกับขมวดคิ้ว เพ่งมองสตรีตรงหน้าอย่างจริงจัง

          วั่นอู่หงเห็นดังนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ในที่สุดนางก็ทำให้คนผู้นี้มองนางได้อย่างเต็มตาเสียที แต่ทว่า...

          “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือ?” หงเว่ยถามอย่างงุนงง ความทรงจำที่มีต่อปีศาจสาวผู้นี้ช่างเลือนรางยิ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีแม้แต่ในเศษเสี้ยวของสมองเลยก็ว่าได้

          ประโยคดังกล่าวคล้ายเสียดแทงใจดำของปีศาจสาวอย่างหนัก ขนาดที่ริมฝีปากที่ฉีกยิ้มยวนต้องกระตุกถี่ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันกราดเกรี้ยว “กรี๊ด ข้าคือคนที่ต้องการดอกพราวแสงจากเจ้าอย่างไรกันเล่า”

          “........”

          ผ่านไปราวครึ่งเค่อ ดวงตาสีแดงก็ต้องถลึงอย่างเอาเรื่อง จนในที่สุดหงเว่ยก็เปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง

          “อืม”

          นี่มันจะสั้นเกินไปหน่อยไหม... วั่นอู่หงแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายซักถามต่อ “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับนังเด็กเย่วเซียง”

          “เย่วเซียง” ใครคือเย่วเซียง? ร่างสีม่วงอมดำคล้ายขบคิดอย่างหนัก ครั้นไม่เห็นความจำเป็นต้องตอบก็นิ่งเงียบไปอีกหน

          โอ๊ย แค่จะสนทนากับนาง มันยากเย็นนักหรือ... เป็นอีกครั้งที่นางถูกเมิน ปีศาจสาวหน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธ แทบอยากฉีกทึ้งคนตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ “หากท่านไม่ตอบข้าลงมือ”

          ว่าแล้วปีศาจสาวก็สะบัดแขนขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่าทางของนางราวกับเริงระบำที่ดุเด็ดเผ็ดร้อน ฉับพลันนั้นอาวุธกลุ่มหนึ่งก็ถูกซัดออกมา หงเว่ยหมุนตัวตลบหนึ่งก็สามารถหลบหลีกการโจมตีได้ทั้งหมด ทั้งยังคว้าอาวุธที่กำลังลอยผ่านไปได้ทันท่วงที

          มองดูสิ่งของในมือก็พบว่าเป็นขนนก ปลายก้านมีขนาดยาว ทั้งแหลมคมประดุจเข็ม ส่วนปลายแพนขนหางพลิ้วไหวมีลักษณะเป็นสีเขียวสด ตรงกลางยังมีดอกดวงสีน้ำเงินแกมดำดูงดงามยิ่ง

          “ที่แท้เป็นปีศาจนกยูง” หงเว่ยพึมพำ

          ในชั่วลัดนิ้วดีดอาภรณ์สีแดงของวั่นอู่หงก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำเงิน นอกจากนี้ยังคลุมด้วยขนนกยูงยาวสง่างามไว้ชั้นหนึ่ง ผลักดันให้เจ้าของร่างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล

          “พี่ชาย ท่านมิคิดว่าข้าสวยบ้างหรือ” กล่าวจบก็วางท่าอ่อนช้อย ทรวดทรงองค์เอวอ่อนเฉกเช่นเดียวกับเหล่าสนมนางวัง ด้วยมั่นใจว่าไม่มีใครทนทานกระบวนท่านี้ของนางได้

          “......”

          หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงหนักแน่นไปกับท่าทีเดิมๆ หรือได้แต่มองแล้วนิ่งเงียบไปหนึ่งอึดใจ วั่นอู่หงต้องฝืนแข็งค้างกายอยู่นานจนเหงื่อตก จนในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก

          “สวย”

          ครานี้ดวงตาของนางถึงกับเลิกกว้าง มิอาจห้ามรอยยิ้มที่แทบฉีกไปถึงจนใบหู นางมิได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ บุรุษเย็นชาผู้นี้กำลังเอ่ยชื่นชมน่ะ…

          “จะสวยมากหากคลุมอยู่บนร่างไป่ไป๋” 

          ...นาง

          เปรี้ยง ใบหน้าพลันแตกร้าวเสียยิ่งกว่ากระจกทองเหลือง วั่นอู่หงมิทันได้ลิ้มรสปลื้มปริ่ม ตัวนางก็คล้ายดิ่งลงเหว ดวงตากลายเป็นดั่งโลหิตแตกซ่าน ครั้นจะระเบิดพลัง เบื้องหน้าของนางก็ปรากฏพลังขุมหนึ่งแล้ว

          “กรี๊ด” นางร้องเสียงแหลมปรี๊ด

          มาตรว่าเบี่ยงกายหลบ แต่ปลายเท้ากลับหลบมิทัน จึงปรากฏเป็นลูกไฟสีม่วงเข้มแผดเผาปลายหางของนาง ร่างอรชรพลันกระโดดโหยงเหยงดับไฟร้อนที่ตัวพัลวัน หมดสภาพความสง่างามก่อนหน้านี้สิ้นเชิง

          “อืม ไม่ได้สินะ เสื้อคลุมจะมีตำหนิ” หงเว่ยประเมินมองแล้วจึงใช้น้ำเสียงบางเบาพึมพำบอกตัวเอง ทว่ามิอาจเล็ดรอดสองหูของปีศาจสาว

          เดี๋ยว เขาคิดจะถอนขนอันงดงามของข้า เพียงเพื่อไปทำเสื้อคลุมอย่างนั้นรึ... ครานี้โทสะถึงกับทะยานถึงจุดขีดสุด นางโกรธจนลมออกหู ได้แต่รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ฝ่ามือ ครั้นจะใช้ออกลูกไฟสีม่วงอ่อนกลับลอยลิ่วๆตรงมาหานางอีกระลองหนึ่งแล้ว

          “กรี๊ด” นางกรีดร้องเป็นคันรบที่สอง พลังทั้งหมดเปลี่ยนมาใช้ต้านรับ ระหว่างนั้นหยาดเหงื่อต้องหลั่งไหลยิ่งกว่าสายน้ำ แลไม่นานก็บังเกิดเป็นแสงสว่างจ้าแล้วตามมาด้วยเสียงดังก้อง

          ตูม


 

*******************************************

 

          ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มพลันบังเกิดเป็นแสงสว่างวาบคราหนึ่งก็หายไป แต่กระนั้นกลับทิ้งเสียงที่ดังกึกก้องอันน่าตกใจ แขกเหรื่อในงานมงคลพากันร่ำร้องแตกตื่น ทั้งวิ่งพล่านแทบเหยียบกันตาย

          ครั้นวิ่งมาถึงหน้าห้องโถง ตวนผิงซางอ๋องในชุดเจ้าบ่าวกลับยืนขวางทางอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าของเจ้าตัวดูขุ่นมัวยากแก่คาดเดา ไม่นานนักทหารที่โอบล้อมก็ก้าวเข้ามาใช้ทวนไล่ต้อน ทำเอาบรรดาแขกเหรื่อซึ่งล้วนเป็นขุนนางพ่อค้าหน้าซีดรีบถอยเท้ากลับเข้าอย่างจำใจ

          ...อาจกล่าวได้ว่ากว่าที่พวกเขาจะรู้ซึ้งถึงความผิดปกติ ขาข้างหนึ่งก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางนรกไปเรียบร้อยแล้ว

          ที่ห้องลับใต้ดิน หลังจากเกิดเสียงระเบิด ไป๋เซ่อก็ตั้งหน้าตั้งตาเสกมนตร์คลายตรวนข้อเท้าข้างหนึ่งของซวนหยวนหมิงไท่ต่อ กระทั่งมีเสียงคลิ๊กดังขึ้นเขาก็โห่ร้องดีใจ

          ด้านรัชทายาทหนุ่มรีบยันตัวลุกขึ้น ด้วยเสียงที่ดังอยู่ข้างนอก ไม่ช้าคนของอ๋องตวนจะต้องเพิ่มจำนวนเฝ้ากวดขันที่นี่มากขึ้นเป็นแน่ “รีบไปเถอะ”

          ทว่ากล่าวจบภาพตรงหน้าก็พลันดับมืด สองขาไร้เรี่ยวแรงจึงทรุดฮวบลงกะทันหัน โชคดีที่ไป๋เซ่อไหวตัวทันเข้าประคองร่างสูงไว้ได้ทัน แต่ ระหว่างนั้นก็มิวายบ่นกระปอดกระแปด

          “สมน้ำหน้าใครใช้ให้เจ้าถ่ายเทปราณมังกรเกินตัวขนาดนี้”

          เพลานี้ซวนหยวนหมิงไท่กุมขมับ ข่มปิดตาแน่นด้วยความวิงเวียน “เอาเถอะ ข้าถ่ายเทให้เจ้าจนหมดตัว ยังดีกว่าให้นางปีศาจมิใช่รึ”

          “เฮอะ ก็จริง”

          ร่างเล็กไม่ปฏิเสธ ทั้งช่วยพยุงตัวรัชทายาทหนุ่มไปที่ประตูทางออก แต่แล้วภายนอกกลับมีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งรีบ ส่งผลให้คนทั้งสองมองหน้ากันวูบหนึ่ง ต่างรีบหลบฉากไปที่ข้างประตู

          ฝีเท้าของผู้มาใหม่วนไปวนมาที่ด้านนอก ต่อจากนั้นจึงเกิดเป็นเสียงกระแทกประตูห้องอย่างรุนแรง ซึ่งกินเวลาชั่วลัดนิ้วดีดประตูที่ทำด้วยเหล็กก็ต้องลอยหวือไปอีกฟากฝั่ง

          ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อจับจ้องมองแสงสว่างที่พาดทอกับพื้น ทันทีที่มีคนเหยียบย่างเข้ามา พวกเขาก็พร้อมลงมือ ทว่ารออยู่นานก็ยังไม่เห็นใคร จวบจนผ่านพ้นไปครู่หนึ่งเงาร่างสีดำเล็กๆก็เลื้อยเข้ามา

          “เสี่ยวเฮย” ไป๋เซ่อร้องเรียกพลางตะครุบร่างสีดำยาวมาซุกไซ้กับใบหน้าอย่างแสนคิดถึง “ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ แล้วบิดาเจ้าเล่า”

          “โอ๊ยๆ ปล่อยข้าทีเถอะ พี่ชายไป๋ ข้าปวกเปียกจนจะเป็นก้อนแป้งอยู่แล้ว” งูน้อยร่ำร้องบอกอย่างอึดอัด ปลายหางพยายามดันดวงหน้ารูปไข่ของอีกฝ่ายออกไป

          “หือ” ด้านไป๋เซ่อกลับอุทาน ดึงเจ้างูตัวน้อยที่พยายามเลื้อยหนีอย่างเอาเป็นเอาตายออกมาจ้องหน้า เสียงนี้ หรือจะเป็น... “หงลิ่ว”

          “ใช่ ข้าเองหงลิ่ว” ว่าแล้วก็ดีดตัว เปลี่ยนรูปเป็นเด็กชายตากลมโต

          “ฮา ที่แท้เจ้าก็เป็นอสรพิษ” เพลานี้ไป๋เซ่อยังหัวเราะออก ต่อจากนั้นจึงค่อยถามน้ำเสียงจริงจัง “ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร คงมิใช่ว่าหงเว่ยก็มาด้วยหรอกนะ” กล่าวจบร่างเล็กก็ชะโงกหน้าออกดู ทันใดนั้นร่างบอบบางชวนทะนุถนอมก็วิ่งผ่านเขาไปหน้าต่อหน้าต่อตา

          “คุณชายหมิง”

          น้ำเสียงแม้ไม่ออดอ้อนแต่ชวนให้ติดตรึงใจ ทว่ามันกลับบีบรัดหัวใจเขายิ่ง ไป๋เซ่อนิ่งค้างในท่าเดิม จนกระทั่งได้ยินเสียงของชายหนุ่ม

          “แม่นางเย่วเซียง” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงเบา ออกจะตกใจที่นางวิ่งมาหา

          “ที่แท้ท่านก็ถูกจับตัวมา” ดีที่เขามิได้ถูกทำร้ายเช่นที่ตวนผิงซางอ๋องบอก เย่วเซียงโพล่งกล่าวอย่างดีใจ ดวงตาระยิบระยับ กระทั่งลืมตัวจับแขนของรัชทายาทหนุ่ม

          หงลิ่วมองท่าทีคนทั้งสาม ไหนยังจะมีพี่ใหญ่ คิดดูแล้วช่างเป็นความสัมพันธ์ที่น่าปวดหัวยิ่งนัก ว่าแล้วเด็กน้อยก็กระตุกชายเสื้อของไป๋เซ่อซึ่งจมอยู่ในภวังค์ “มนตร์สะกดข้าอยู่ได้อีกไม่นาน รีบไปกันเถอะ”

          “อืม ไปกันเถอะ” ซวนหยวนหมิงไท่ได้ทีกล่าวเสริม เขาดึงมือที่นุ่มนวลออกพลางยิ้มให้เย่วเซียงอย่างสุภาพ สองขาก้าวตามหงลิ่วที่จูงมือไป๋เซ่อลิ่วๆไป

          ด้านเย่วเซียงได้แต่มองเงาหลังอบอุ่นที่ตอนนี้ดูเหินห่าง มิรู้ว่านางคิดเองหรือไม่ว่าคล้ายมีกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างนางและเขาอยู่

          ดูว่าด้วยมนตร์สะกดของหงลิ่วใช้การได้ดี ทหารผู้คุมที่เฝ้ายามจึงยังคงสลบไสลมิได้สติ ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่พอมีเวลาช่วยเหลือเสี่ยวลู่และองค์รักษ์ทั้งสาม

          เด็กน้อยตรวจดูอาการให้คร่าวๆก็แนะนำว่าควรรีบส่งโรงหมอ โดยเฉพาะหัวหน้าองครักษ์จิ้งที่หายใจรวยริน และเสี่ยวลู่ที่สองขาหักหากปล่อยทิ้งไว้นานจะพิการได้ นอกเหนือไปจากนี้องครักษ์ทั้งสองยังพอมีแรง จึงช่วยกันประคับประคองร่างของหัวหน้าองครักษ์จิ้งออกไป เหลือเพียงเสี่ยวลู่ที่ถูกซวนหยวนหมิงไท่แบกขึ้นหลัง

          “ปล่อยกระหม่อมเถอะ เช่นนี้ไม่สมควร พระองค์จะลดตัวทำเช่นนี้ได้อย่างไร” เสี่ยวลู่ร้องคร่ำครวญ

          “เวลานี้อย่าได้พูดมาก ข้ามิอาจเสียพวกเจ้าไปได้แม้แต่คนเดียว” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยดุ ทำเอาขันทีน้อยต้องสะอื้นไห้ซาบซึ้งไปตลอดทาง

          ท้ายที่สุดคนทั้งหมดรีบร้อนพากันกลับไปยังปากทางเข้าห้องลับ โดยมีเย่วเซียงเป็นผู้นำทาง แต่ทว่าเมื่อใกล้ถึงทางออกพวกเขากลับถูกขัดด้วยเสียงร้องโวยวายของคนผู้หนึ่ง

          “นี่ๆ พวกเจ้าลืมข้าไปรึเปล่า”

          เป็นเสิ่นอันหวางที่นอนเป็นดักแด้ร้องบอกอย่างร้อนใจ ครั้นพอคนทั้งหมดมองเห็นตนก็ถอนใจ รอจนถูกแก้มัดแล้วเขาก็มิวายปากหวาน “ดีใจๆจริงที่เสี่ยวไป๋ยังมิลืมข้า” ได้ทีสองมือก็คว้ามือเรียวอันนุ่มนิ่มขึ้นจับ ความเย็นเฉียบทำให้เขางุนงงไปเล็กน้อย

          “ยังจะจับอีกนานไหม มิรีบไปอีก” ครานี้ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงดุ ทั้งคว้ามือเรียวของไป๋เซ่อมาจับเสียเอง

          ด้วยแรงบีบน้อยๆทำให้ไป๋เซ่อเงยหน้ามองชายหนุ่ม ต่อเมื่อสังเกตเห็นสายตาของเย่วเซียง เขาก็สะบัดหลุดหันไปจูงมือหงลิ่วแทน ท่าทีเช่นนั้นเอาซวนหยวนหมิงไท่ไร้คำพูดจาใดๆ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าให้เสิ่นอันหวางจับกุมอยู่ดี

          ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ พวกเขาก็เร่งรีบมาถึงปากทางเข้า ดูแล้วห้องลับใต้ดินแห่งนี้อยู่ในเรือนอักษรอย่างที่รัชทายาทหนุ่มคิดไม่ผิด ทว่าในเพลานี้กลับยังไม่เห็นทหารคนใด จวบจนก้าวออกไปยังนอกเรือน พวกเขาก็มาถึงทางตัน

          “จะไปไหนรึ เย่วเซียง” ตวนผิงซางอ๋องเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งแฝงแววเย็นชา ที่ด้านหลังเขายังตามมาด้วยกลุ่มทหารองครักษ์จำนวนหนึ่ง

          เสียงทุ้มที่ดังออกมาผลักดันให้เย่วเซียงต้องก้าวถอยหลัง หลบอยู่ด้านหลังเขา ซวนหยวนหมิงไท่ประเมินมองสถานการณ์ตรงหน้าก็รู้ว่ามิอาจหลีกเลี่ยงการปะทะได้อีก เขาหันไปกระซิบบอกคนทั้งหมด “ทางซ้ายมือห่างออกไปสามก้าว พวกเจ้ารีบฝ่าออกไปซะ”

          “ข้าไม่ไปหรอกนะ ข้าจะรอคิดบัญชีกับขุนนางกังฉิน” ไป๋เซ่อแย้งขึ้น เจ้าคนผู้นี้บังอาจเปรียบเทียบเขาเป็นสุนัขรับใช้ เขาต้องเอาคืนแน่นอน

          “หากพี่ชายไป๋ไม่ไป ข้าก็ไม่ไป” หงลิ่วก็ร้องบอก เขารับหน้าที่ดูแลไป๋เซ่อ หากพี่ใหญ่รู้ว่าเขาทิ้งอีกฝ่ายไว้ เขามิโดนตีก้นจนลายหรอกหรือ

          “กระหม่อมก็ไม่ไป”

          เสี่ยวลู่เองก็กล่าวอย่างกล้าๆกลัว ครั้นมองเย่วเซียงนางก็ส่ายหน้าให้เช่นเดียวกัน “พวกเจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วขึ้นเสียง สุดท้ายได้แต่มองไปที่เสิ่นอันหวาง

          “เช่นนั้นข้ารับหน้าที่นี้เอง” บุรุษหนุ่มเจ้าสำอางเอ่ยขึ้น ยังไงตระกูลเสิ่นจำเป็นจะต้องมีเขา ดังนั้นเขาได้แต่อาสารับหน้าที่นี้ ว่าแล้วก็รับร่างของเสี่ยวลู่มาจากรัชทายาทหนุ่ม พลางมองร่างเล็กอย่างอาลัยอาวรณ์

          ด้านองครักษ์ทั้งสองแม้มิอยากไป แต่รู้ว่าสถานการณ์คับขันจำเป็นต้องออกไปเรียกกำลังสมทบจึงย่อกายลง “พวกกระหม่อมจะกลับมาให้เร็วที่สุด”

          “ข้าจะรอเจ้า เสี่ยวไป๋”

          รอจนเสิ่นอันหวางเอ่ยประโยคทิ้งท้าย ทหารของตวนผิงซางอ๋องก็ตรงเข้ามา ไม่ช้าก็เกิดเป็นการปะทะกันดุเดือด พ่อค้าหนุ่มแบกร่างขันทีน้อยวิ่งตามองครักษ์ทั้งสองอย่างไม่คิดชีวิต แม้บางครั้งต้องเผชิญหน้ากับทหารกลับคล้ายมีพลังบางอย่างกระแทกอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกไป

          จวบจนกลุ่มของเสิ่นอันหวางหลุดออกจากวงล้อมเป็นระยะไกล บรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบ ทั้งให้ความรู้สึกเย็นยะเยียบอย่างไรบอกไม่ถูก ซึ่งระหว่างนี้ก็หาได้มีทหารคนใดเข้าขัดขวางอีก พวกเขาจึงสามารถตรงออกจากประตูใหญ่โดยใช้เวลาไม่มากนัก

          “คุณชาย นี่ท่านเล่นตลกอะไรกันเนี่ย”

          ข้ารับใช้คนสนิทของเสิ่นอันหวางซึ่งรออยู่ด้านนอกถึงกับร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อเห็นคุณชายแบกร่างที่โชกเลือดออกมา ซ้ำยังมีบุรุษอีกสองคนพยุงร่างที่ดูใกล้หมดลมหายใจตามออกมาด้วย

          “อย่าพึ่งพูดมาก รีบพาพวกเขาขึ้นรถม้าเร็ว” เสิ่นอันหวางตะโกนบอก ข้ารับใช้หนุ่มได้แต่อือเอออย่างงุนงง ก่อนจะช่วยเขานำพาคนทั้งหมดขึ้นรถม้าไป ครั้นเสร็จเรียบร้อยดีก็กระโดดขึ้นนั่งด้านหน้า เร่งให้คนสนิทไปโรงหมอโดยด่วน

          แลในระหว่างรถม้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วนั้น ก็สวนเข้ากับกลุ่มคนสามสี่คนที่แต่งกายราวนักพรตกลุ่มหนึ่ง ดูว่าพวกเขามุ่งตรงไปยังที่ที่ตนพึ่งจากมา เสิ่นอันหวางกวาดตามองเพียงครั้งก็พบเห็นนักพรตเต้าเหยียน หรือนักต้มตุ๋นที่เคยถูกทางการตงหัวจับตัวไป

          พวกเขาไปที่นั่นทำไมกัน... ได้แต่เหลียวหลังมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะทิ้งความสงสัยไว้ หันไปสั่งเร่งม้ายิ่งกว่าเดิม

          “ต้นกำเนิดกลิ่นอายชั่วร้ายมาจากที่นี่สินะ”

          ต่อเมื่อมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ซึ่งอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด นักพรตเฒ่าผู้หนึ่งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พลอยทำให้นักพรตคนอื่นๆลูบเคราพยักหน้าลงความเห็นไม่ต่างกัน




****************************************************************



แฮะ ๆ อัพช้าเเต่เนื้อเรื่องก็ยาวกว่าเดิมอยู่น้าาาา  ฝากเม้นท์ ติชม กันบ้างน้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 15 ช่วยเหลือ 06/04/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 17-04-2016 21:41:19
 :hao7: เค้าเขินนนนนฉากจูบมาก ตอนแรกๆอ่านจะด่าองค์รัชทายาทบะ แบบไม่ชัดเจนอ่ะ เหมือนอ่อยๆแบบไม่ได้คิดไร แต่ไป๋ไป๋เขาจริงจังอ่ะ แทบจะเชียร์หงเว่ย แต่ฉากจูบมานี่เคลิ้มมมมมม ฉากไม่จับมือเยว่เซียงก็ดีงามมมมมม เริ่มจะจริงจังขึ้นบ้างแล้วอ่ะเนอะ 55555

รอตอนถัดไปค่าา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 16.1 ความพยาบาท 18/4/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-04-2016 22:20:00
บทที่ 16.1 ความพยาบาท



          คล้อยหลังจากที่กลุ่มของเสิ่นอันหวางฝ่าวงล้อมออกไปได้สำเร็จ การปะทะกันก็ยิ่งทวีความหนักหน่วง ในไม่ช้าไม่นานทั้งสองฝ่ายบ้างก็เริ่มแสดงท่าทีอ่อนล้า กระนั้นไป๋เซ่อกลับโห่ร้องฮึกเหิม ฝีเท้าอันฉับไวจู่โจมอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวปรากฏตัวทางซ้าย ประเดี๋ยวปรากฏตัวทางขวา ปั่นหัวให้ทหารเหล่านี้ก้าวเข้าไปคนหนึ่งก็ต้องพลาดท่าล้มลง

          “ฮ่า ฮ่า เข้ามาให้บิดาถีบก้นพวกเจ้าซะ” นี่เป็นผลจากการได้รับปราณมังกรจากชายหนุ่มไปส่วนหนึ่ง บวกกับอาการเก็บกดที่พลังถูกสะกดไว้เนิ่นนาน ไป๋เซ่อจึงใช้ฝีมือออกอย่างเต็มที่ โดยมีหงลิ่วที่กลายเป็นงูตัวน้อยคล้องอยู่รอบคอ คอยส่งเสียงเชียร์ไม่หยุด

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่เหวี่ยงปลายเท้าใส่ลำคอของทหารที่ดาหน้าเข้ามา ฝ่ามือยังซัดเข้าใส่คนด้านข้างอย่างไม่หยุดพัก ครั้นแว่วเสียงหัวเราะกังวานสะใจต่อเนื่องอันคุ้นเคย ก็คลายความกังวลไปได้ส่วนหนึ่ง

          ทว่าไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ร่างบอบบางกลับถูกทหารต้อนให้จนมุม เส้นผมสีเงินสลวยราวเส้นไหมสะบัดไปมา ใบหน้าของเย่วเซียงแดงเรื่อ นางหอบหายใจติดขัด กระบวนท่าไม่มั่นคงเช่นแรกเริ่มอีกต่อไป

          ขณะนี้นางพึ่งจะสลัดหลุดจากทหารผู้หนึ่ง แต่เมื่อหันหลังกลับ ฝ่ามือหนาก็ดิ่งลงมาอย่างกระชั้นชิด แลในจังหวะที่กำลังจะปะทะถึงตัว ทันใดนั้นเงาร่างสูงเพรียวสง่างามก็รุดเข้ามาใช้แขนต้านเอาไว้

          “อย่าอยู่ห่างจากข้า” พูดจบเจ้าของฝ่ามือก็ถูกฝ่าเท้าของซวนหยวนหมิงไท่กระแทกตัวลอยละลิ่วไป

          “คุณชายหมิง” ด้วยการปกป้องเช่นนี้ ยังผลให้เย่วเซียงรู้สึกตื้นตันใจ ความห่างเหินที่สัมผัสได้ก่อนหน้าสลายหายไปจนหมดสิ้น นางจ้องมองบุรุษที่ยื่นมือช่วยเหลืออย่างเลื่อนลอย พลันตัดสินใจแล้ว

          ...ขอเพียงชีวิตนี้ได้อยู่เคียงข้างกายเขา ไม่ว่าต้องต้านลมต้านฝนกระหน่ำเพียงใด นางก็พร้อมจะเผชิญ

          อีกด้านหนึ่ง มาตรว่าไม่ว่าใครเห็นเจ้าสาวของตนเปล่งประกายตาลึกซึ้งให้กับบุรุษอื่น ย่อมมิอาจทนความกราดเกรี้ยวในใจได้ ตวนผิงซางอ๋องกำหมัดแน่น พริบตานั้นก็คล้ายกับมีภาพซ้อนทับ

          ที่หน้าจวนตระกูลไป๋ สาวใช้นางหนึ่งกำลังประคองสตรีในอาภรณ์สีชมพูอ่อนให้ก้าวลงมาจากรถม้าอย่างระแวดระวัง หลังม่านสีไข่ไก่นั้นค่อยๆเผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มเจิดจ้าสว่างไสว

          ดวงตาสีดำค่อยๆเบิกกว้างด้วยความตกใจ ภาพเบื้องหน้าราวกับเป็นฝันร้าย หญิงสาวซึ่งเปรียบดั่งดอกไม้แรกแย้มกลับเกล้าผมเช่นเดียวกับสตรีที่ออกเรือน

          แรกเริ่มได้ยินว่านางแต่งให้กับบุรุษอื่น เขาก็มิอยากเชื่อหู จึงมิสนใจคำทัดทานของมารดา เร่งร้อนควบม้าไปที่สกุลลั่ว หากแต่พวกเขากลับปิดประตูหนี ได้แต่ตัดสินใจมาที่นี่ หวังถามไถ่ให้เรื่องราวกระจ่างชัด แต่ทว่าในตอนนี้

          เขาได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว...

          นางมิใช่บอกว่ารักเขา? จะรอเขากลับมาหรอกหรือ?


          เท้าก้าวตรงเข้าไปอย่างยากเย็น คลับคล้ายมีหินนับพันชั่งถ่วงอยู่ในใจ ซึ่งพอดีกับที่บุรุษในชุดขุนนาง ผู้ซึ่งมีเครื่องหน้าใจดีก้าวออกมาจากจากด้านในเรือน ฝีเท้าของเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพบาดตาตรงหน้า

          ไป๋จวิ้นเข้าโอบล้อมร่างบอบบางไว้ ว่ากล่าวอยู่หลายประโยค หญิงสาวก็หัวเราะสดใส มือของชายหนุ่มจะเลื่อนไปสัมผัสหน้าท้องของนางอย่างแผ่วเบา ทั้งสองเผยสีหน้าอันเปี่ยมสุขซึ่งฉายแววรักใคร่ลึกซึ้ง จนกระทั่งนางสังเกตเห็นเขา

          ลั่วจิ่นหลงหรือไป๋จิ่นหลงในตอนนี้ เผลอสบสายตาบุรุษองอาจในชุดเกราะที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป ดูว่าผิวขาวของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีคล้ำแตกต่างไปจากความทรงจำไม่กี่ปีที่ผ่านมา แววตายังมีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมองเศร้า

          สีหน้าของนางค่อยๆซีดเผือดลง รอจนไป๋จวิ้นสัมผัสถึงความผิดปกติก็เงยหน้าขึ้นพบผู้มาใหม่ ทั้งสามจ้องมองกันอย่างไร้วาจา ท้ายที่สุดฝ่ายสามีก็สั่งให้สาวใช้พาฮูหยินเข้าจวนไป

          ตวนผิงซางอ๋องจ้องมองสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยสัญญาจะร่วมชีวิต กระทั่งร่างของนางหายลับไป บุรุษแซ่ไป๋ หรือหรือทั่นฮวา[1]ผู้มีความสามารถในราชสำนักก็หยุดลงตรงหน้าเขาพอดิบพอดี

          “ท่านอ๋องตวน จิ่นหลงกับข้าเป็นสามีภรรยากันมาหกเดือนแล้ว ถึงตอนนี้ระหว่างท่านกับนาง...” ไป๋จวิ้นเงียบเสียงลง         คล้ายลำบากใจที่ต้องเอ่ย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกล่าว “ก็ถือเสียว่าสิ้นสุดวาสนาต่อกันเถิด”

          ...สิ้นสุดวาสนาอย่างนั้นหรือ

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาถึงกับหัวร่ออย่างขมขื่น กดน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้ากับนางผูกพันกันมากว่าสิบปี เราต่างคนต่างรู้ใจกันดี ไหนเลยจะสิ้นเยื่อใยได้ง่ายดายปานนั้น?”

          ฟังแล้วไป๋จวิ้นก็ย่นคิ้ว สองมือประสาน ค้อมศีรษะลง กล่าววิงวอน “ขอท่านอ๋องโปรดส่งเสริม จิ่นหลง ภรรยาข้าตั้งครรภ์แล้ว”

          ตั้งครรภ์...คล้ายมีสายฟ้าฟาดตกกระทบร่างเขา ดวงตาของตวนผิงซางเลิกกว้าง ห้วงลมหายใจติดขัด ปลายนิ้วจิกลงบนฝ่ามือ ใจเจ็บปวดราวกับมีดกรีดเฉือน เขากัดฝันเอ่ยถาม “นางตั้งครรภ์แล้ว?”

          “เรียนท่านอ๋อง นางตั้งครรภ์ลูกของข้าสามเดือนกว่าแล้ว” ไป๋จวิ้นเน้นย้ำ ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นคนรักเก่าของภรรยา

          ทว่าวันเวลามิคอยท่า กาลเวลามิอาจหวนกลับ

          แม่ทัพใหญ่ตวนจากเมืองหลวงเพื่อออกรบถึงสี่ปี กระนั้นปีก่อนกลับไร้ซึ่งข่าวคราว เป็นหรือตายไม่มีใครล่วงรู้ ทำให้ราชสำนักต้องส่งคนสืบหา ไม่นานนักก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นว่า แม่ทัพผู้องอาจตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกนับแสน และเพื่อมิให้ตกเป็นตัวประกัน จึงพลีชีพในสนามรบอย่างห้าวหาญ

          ยังผลให้ลั่วจิ่นหลงที่ทนรออยู่หลายปี อีกทั้งสูญเสียวัยออกเรือนที่ดีที่สุด ต้องตรอมใจโศกเศร้า กระทั่งล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงแทบลาจากโลกนี้ไป สุดท้ายสกุลลั่วมิอาจทนดูบุตรสาวตายได้ จึงร่วมกับสกุลไป๋ขอพระราชทานสมรสให้แต่งกับเขา...ไป๋จวิ้น

          แต่แล้ววันหนึ่งแม่ทัพใหญ่ตวนก็หวนกลับมา

          “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขอตัว” 

          ทั่นฮวาตรงหน้าคำนับกายให้เขาอีกครั้งก่อนกลับเข้าจวนไป ส่วนเขาได้แต่ยืนเหม่อ ทั่วทั้งร่างชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มิอาจบรรยายรสขมที่อัดอั้นในอก และในคืนนั้นจดหมายฉบับหนึ่งก็ถูกส่งมา

 

          ทุกอย่างเป็นความผิดข้า มิเกี่ยวกับไป๋จวิ้น ขอท่านอย่างได้ขัดเคืองเขา ชาตินี้เป็นข้าเองที่ไร้วาสนา มิอาจร่วมเรียงเคียงหมอนกับท่าน ขอชดใช้ให้ท่านอ๋องชาติหน้า

จิ่นหลง


          ...เมื่อใดกันที่คำสัญญากลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่า

          จดหมายถูกขยำจนไม่เป็นชิ้นดี เช่นเดียวกับใจที่แหลกสลาย ความเจ็บปวดแทรกซึมลึกถึงกระดูก เขากับนางเป็นเพื่อนที่เติบโตกันมาตั้งแต่เด็ก จากความสนิทสนมก่อเกิดเป็นความรัก เขาเคยเชื่อว่าเข้าใจนางดียิ่งกว่าใคร แต่ทว่าสตรีที่เขาได้พบในวันนี้ กลับมิใช่จิ่นหลงที่เขารู้จักและทำความเข้าใจได้อีกต่อไป

          นางคือจิ่นหลงที่เคียงคู่ไป๋จวิ้น

          จิ่นหลงที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข แม้จะไม่มีเขา

          จิ่นหลงที่เป็นคนของสกุลไป๋...ไป๋จิ่นหลง

          มิใช่ลั่วจิ่นหลง ที่รักเขาอีกต่อไป


          สุดท้ายความเกลียดชังก็อยู่ใกล้กว่าที่คิด เพียงแค่หลับตาก็สัมผัสได้ถึงมัน ทว่าเยื่อใยสายสัมพันธ์รักหาใช่จะตัดขาดกันได้ง่ายๆ หากชะตาฟ้าลิขิตให้เขากับนางไร้วาสนา มิอาจครองคู่กันได้ เขาคนนี้ก็จะเป็นผู้ลิขิตมันใหม่เสียเอง

          ตวนผิงซางลืมตาที่ฉาบไปด้วยความเย็นเยียบขึ้น ยื่นจดหมายจ่อที่เปลวไฟ พลางนึกถึงเมื่อใดกันที่นางเปลี่ยนไปจากที่ตนรู้จัก

          ใช่เป็นเพราะเวลาสี่ปีที่ตนหายไปใช่หรือไม่? หรือเป็นเพราะไป๋จวิ้น และพระราชทานสมรสที่ทำให้วาสนาระหว่างเขาและนางต้องขาดสะบั้นลง?

          “ฆ่าเขาซะ”

          เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น สายตาซึ่งติดตรึงบนแผ่นหลังอบอุ่นได้ละออกแล้ว ก่อนสบเข้ากับบุคคลที่มิต้องการเผชิญหน้าแทน เย่วเซียงตกตะลึงวูบ กายถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง จากนั้นสองมือจึงสัมผัสถึงบางสิ่งที่เยียบเย็น

          “ไป”

          สิ้นเสียงดุดัน ร่างก็นางก็ถูกผลักให้พุ่งตรงไปข้างหน้า ครั้นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเต็มตา นางก็ต้องกรีดร้องสุดเสียง

          “ม่ายยย”
[/size]

 

**************************************************

 

          ขุมพลังสีม่วงอ่อนปะทุ บังเกิดระเบิดขนาดใหญ่ ลำแสงสว่างวาบล้อมรอบคฤหาสน์วูบหนึ่งก็หายไป แทนที่ด้วยกลุ่มควันคละคลุ้งจำนวนหนึ่ง วั่นอู่หงปะทะถูกพลังเข้าอย่างจัง ยังผลให้ร่างลอยไปกระแทกกับศาลาหกเหลี่ยม นางบาดเจ็บภายในสาหัสถึงกับต้องกระอักเลือดออกมาคำโต ระหว่างนั้นหางตาเหลือบเห็นเงาร่างสูงใหญ่ใกล้เข้ามา นางก็กัดฟันฝืนกระโจนขึ้นฟ้าไปยังทิศทางหนึ่ง

          ข้าต้องการพลังชีวิต ต้องการมัน...เพลานี้นางรีบร้อนต้องการพลังอย่างเร่งด่วน จะเป็นพลังชีวิตจากบุรุษหนุ่มรึแก่ก็หาได้สนใจแล้ว

          สตรีในเสื้อคลุมนกยูงทะยานมาถึงตำหนักหลังใหญ่ ณ ที่แห่งนี้นางสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันมากมาย น่าจะเพียงพอให้นางสามารถฟื้นฟูพลังได้ส่วนหนึ่ง ว่าแล้วมือเรียวซึ่งมีเล็บแหลมคมก็โบกสะบัด บังเกิดเป็นเสียงร้าวครืนใหญ่ พร้อมกันนั้นกระเบื้องหลังคาก็ถูกคลื่นพลังซัดปลิวหายไป เศษซากบางส่วนยังตกลงไปยังด้านล่าง

          แสงจันทร์สว่างส่องทาบทอลงไปยังห้องโถง บรรดาแขกเหรื่อที่ถูกทหารโอบล้อมกักขังต่างแหงนมองขึ้นไปอย่างหวั่นๆ ครั้นเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ที่เบื้องบนแล้วก็พากันร่ำร้องขลาดเขลา

          ดวงตาของวั่นอู่หงทอแววหิวกระหาย สองมือวาดเป็นวงกลมแล้วปละปล่อยกระแสพลัง ทันใดนั้นบุรุษน้อยใหญ่ก็ต้องรับรู้ถึงความกระอักกระอ่วน กายค่อยๆอ่อนเปลี้ยเหนื่อยล้า จิตใจดิ่งฮวบจมตกอยู่ภายใต้ความมืดมิดที่ไร้ทางออก

          “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้มีประโยชน์”

          เสียงกระซิบที่ทุ้มต่ำไร้ความรู้สึกลอยทะลุโสตประสาท วั่นอู่หงผงะไปเล็กน้อย กัดฟันสูบพลังต่ออย่างเจ็บใจ พลังฝีมือของบุรุษผู้นี้เกินกว่าที่นางจะหยั่ง ได้แต่เสียใจที่ตนถือมั่นเข้าไปพัวพันตอแหยอีกฝ่าย

          หงเว่ยมองปีศาจนกยูงที่กระเสือกกระสนหาทางรอดชีวิต จากนั้นมองเหล่ามนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายที่น่าเวทนา ทว่าทุกชีวิตล้วนก้าวไปตามครรลอง ต่างมีเคราะห์กรรมเป็นของตนเอง มิมีความจำเป็นให้เขาต้องยุ่งเกี่ยว แต่ว่าแปลกนักที่ครั้งนี้กลับมีน้ำเสียงของหงลิ่วดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจ

          ‘หากพี่ชายไป๋รู้ว่าท่านใจดำ มิช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน เขาจะต้องไม่ชอบท่านแน่ๆ’

          “เพื่อไป่ไป๋” เขาพึมพำ เอาเป็นว่าเพื่อเจ้าของรอยยิ้มยียวนน่าเอ็นดูผู้นั้น เขาก็จะยอมทิ้งหลักการมิยุ่งเกี่ยวนี้สักคราก็แล้วกัน ว่าแล้วหงเว่ยก็เหยียดแขนตั้งฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังบริสุทธิ์ที่กลั่นกรองจากจิตใจที่ขาวสะอาด ตรงเข้าชะล้างความดำมืดชั่วร้ายดั่งขุมนรกที่เบื้องล่าง

          พลังของหงเว่ยโอบล้อมครอบคลุมไปตามตำหนักหลังใหญ่ สัมผัสที่ร้อนเกิดทนผลักดันให้วั่นอู่หงต้องผละตัวถอยห่างอย่างมิเต็มใจ ก่อนที่พลังดังกล่าวจะนำทางทุกชีวิตที่ตกอยู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังให้ค่อยๆฟื้นคืนกลับสู่จิตใจที่ปกติ

          ปีศาจสาวได้แต่อ้าปากค้างมองดูแหล่งพลังชีวิตไหลวนกลับคืนสู่เจ้าของ จนผ่านไปพักใหญ่ก็แววปรากฏเสียงผู้มาใหม่เข้าขัดจังหวะ

          “ปีศาจชั่วร้าย ทำร้ายเหล่ามนุษย์ วันนี้พวกเราผู้บำเพ็ญพรต ขอเป็นตัวแทนสวรรค์ กำจัดเจ้าให้สิ้นซากเอง” นักพรตผู้มีผมสีดอกเลาตะโกนจบก็ตวัดปลายนิ้ว ดาบไม้ที่กลางหลังพลันพุ่งออกมา ตรงเข้าจู่โจมปีศาจตรงหน้าอย่างไม่ปราณี

          อาวุธซึ่งบรรจุด้วยพลังปราณแหวกว่ายผ่านสายลม ก่อนแทงทะลุร่างสีม่วงอมดำ หงเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเก็บฝ่ามือที่ปลดปล่อยพลังชำระล้าง หันมาก้มมองหน้าอกที่เป็นรูกว้าง สีหน้าหาได้แสดงความเจ็บปวดใดๆ ทว่าแวบหนึ่งกลับเหยียดยิ้มประชด

          หึ ทั้งๆที่เขาช่วยมนุษย์เหล่านี้ไว้แท้ๆ

          วั่นอู่หงมองดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังก็ต้องลอบยิ้ม แก้แค้นสิบปีก็ยังมิสาย นักพรตกลุ่มนี้ช่างมาได้ถูกจังหวะจริงๆ คิดได้ดังนั้นนางก็ถือโอกาสหนี โบกมือเพียงวูบเดียวร่างของนางก็จางหายไป

          หงเว่ยที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศค่อยๆเบือนหน้าก้มลงมองเหล่านักพรตที่มวยผม สวมใส่ชุดสีขาวดุจดั่งผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแช่มช้า รอบกายแผ่กลิ่นอายสังหารรุนแรง ขณะนี้ดวงตาสีม่วงอมดำฉายแววกร้าว ยังผลให้กลุ่มผู้มาใหม่ต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

          เป็นพวกมันที่พรากคนที่เขารัก
         
          เป็นพวกมันที่พรากคนในครอบครัวเขาไป


          ในชีวิตที่ผ่านมานับพันปี หงเว่ยไม่เคยขัดเคืองหรืออาฆาตแค้นผู้ใด เว้นเพียงพวกนักพรตที่ดีแต่ตัดสินถูกผิดด้วยความนึกคิดของตนเอง

          แลในชั่วลัดนิ้วดีด ร่างสีม่วงอมดำก็เริ่มขุ่นมัว ก่อนกลายสภาพเป็นไร้ตัวตนเฉกเช่นหมอกควัน กระทั่งบาดแผลบนอกก็ยังหายไป กลุ่มนักพรตที่มีกันอยู่สี่คนต่างตกอยู่ในความแตกตื่น เงาสีดำเริ่มกระจายไปรอบๆพวกเขา จนในที่สุดนักพรตผู้อาวุโสซึ่งไว้หนวดเครายาวสีขาวก็เปล่งเสียง

          “ตั้งค่ายกักมาร เร็ว”

          คำสั่งเอ่ยจบ เหล่านักพรตคนที่เหลือก็ตอบรับ แต่ละคนหมุนตัวแยกย้ายกันไปในแต่ละทิศ จากนั้นตั้งมือพลางกล่าวอย่างแข็งขัน “ซ้ายมังกรเขียว ขวาเสือขาวครอง หงส์แดงนำหน้า เต่าดำสถิตยังเบื้องหลัง อัญเชิญเทพผู้พิทักษ์กักขังมาร”

          เส้นสีเหลืองเรืองรองพวยพุ่งจากพื้นทั้งสี่ทิศ ล้อมกรอบกั้นเป็นพื้นที่บริเวณหนึ่ง หงเว่ยซึ่งร่างประดุจเมฆหมอกวนไปเวียนมารอบๆถึงกับต้องส่งเสียงหัวร่อออกมา “ค่ายกลเด็กเล่นเช่นนี้ คิดว่ากักตัวข้าไว้ได้?”

          “วาจาโอหังยิ่ง ท่านอาจารย์ปู่ อาจารย์ลุง อาจารย์อา อย่าเสียเวลาอีกเลย รีบกำจัดปีศาจเสียเถอะ” นักพรตเต้าเหยียนตะโกนบอก ส่งผลให้คนทั้งหมดพยักหน้า พลางรวบรวมพลังปราณส่งไปที่ปลายนิ้ว

          “ดาบกำจัดมาร”

          ทันที่ถ้อยคำพร้อมเพรียงหลุดจากริมฝีปาก ดาบไม้ของนักพรตทั้งสี่ก็พุ่งทะยานตรงเข้าฟาดฟันใส่กลุ่มควันโดยรอบ ปีศาจร้ายต้านรับไม่กี่กระบวนท่าก็กลับรวมร่างเป็นหนึ่ง ยังผลให้พวกนักพรตต่างลอบตื่นเต้น ทว่าพวกเขายังมิทันจะเชิดหน้า น้ำเสียงหยามหยันก็ดังขึ้น

          “ข้าไม่เสียเวลาให้กับพวกปาหี่” หงเว่ยกดเสียงเน้นย้ำ เพลานี้เรื่องของไป่ไป๋จึงจะสำคัญที่สุด

          เหล่านักพรตรับฟังจนตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ แต่ก่อนที่พวกเขาจะตอบโต้ ก็พบเห็นนัยน์ตาซึ่งประดับที่กลางหน้าผากของอีกฝ่าย ดวงตานั้นคมกริบเช่นอสรพิษ แลด้วยใบหน้าเคร่งขรึมบวกกับเส้นผมสีดำที่ปรกใบหน้าบางส่วน ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ทั้งดูน่ากลัวและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

          ไม่จริง เหตุใดจ้าวอสรพิษเกร็ดอัคคีจึงยังไม่หายไปจากโลกนี้

          นักพรตผู้ซึ่งอาวุโสที่สุดถึงกับต้องผงะตกใจ ชั่วขณะหนึ่งถึงกับทำอะไรไม่ถูก พอดีกับที่หงเว่ยซัดใช้ออกถึงพลังที่ซ่อนงำไว้ ฉะนั้นไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำ ล้วนต้องกระแสพลัง บ้างหลังกระแทกพื้น บ้างก้นจ้ำเบ้า ล้มนอนแผ่หมดสภาพอย่างน่าสงสาร

          “ไสหัวไปให้ไกล” หงเว่ยเอ่ยเสียงห้วน สองมือกำหมัดแน่น ต่อให้ตนคับแค้นนักพรตพวกนี้มากเพียงใด ก็มิอาจลืมเลือนปณิธานที่หงเหวินเทียนหรือบิดาของเขากำชับก่อนตายได้

          ตระกูลหงที่สูงส่ง จะไม่มีวันเกลือกกลั้วกับสิ่งเลวร้าย กระทำตัวเฉกเดียวกับปีศาจชั้นต่ำ หากมันผู้ใดฆ่าฟันทำร้ายมนุษย์ จะไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหง หรือแม้แต่วงศ์วานเกล็ดอัคคี จำให้ดี...หงเว่ย


 

**************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 16.2 ความพยาบาท 18/4/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-04-2016 22:21:52
บทที่ 16.2 ความพยาบาท

 

          โลหิตสีแดงสาดกระเซ็นเปราะเปื้อนใบหน้าขาวซีด สองขาอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น หยาดน้ำตาประดุจมุกงามหลั่งไหลไม่ขาดสาย ให้นางทำร้ายคนที่รัก ช่างโหดร้ายเกินกว่าจะรับได้ “คุณชายหมิง ข้าไม่ต้องการทำเช่นนี้ ไม่ได้ต้องการจริงๆ” เย่วเซียงร่ำร้องราวคนเสียสติ

          ซวนหยวนหมิงไท่ก้มลงมองร่างของทหารที่ต่อสู้ติดพันกันอยู่พักใหญ่ ทว่าบัดนี้อีกฝ่ายกลับนอนจมกองเลือด ม่านตาขยายค้างฉายแววไม่เข้าใจ บางทีหากเขาไม่เบี่ยงกายหลบฝ่ามือกะทันหัน อาจเป็นเขาเองที่ถูกมีดสั้นปักกลางหัวใจ

          “ต่อให้พวกเจ้าผูกพันลึกซึ้งเพียงไรก็มิมีวันสมหวัง คนที่พรากนางไปจากข้า พวกมันจะต้องทุรนทุราย เจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น” ตวนผิงซางอ๋องคำรามลั่น จะคนแซ่ไป๋ก็ดีหรือแซ่ซวนหยวนก็ช่าง ทั้งหมดล้วนต้องตายใต้เงื้อมมือเขา

          กระบี่พลันชักออกจากฝัก ปลายเท้าสะกิดพื้นตรงเข้ารุกไล่ ซวนหยวนหมิงไท่พลันเบี่ยงกายหลบ ทว่าผู้เป็นอ๋องลงมือด้วยท่วงท่าดุดัน ตรงเข้าจู่โจมจุดตายเขาแทบทุกครั้ง ส่งผลให้เขามิอาจหยุดพักหายใจ เหงื่อเย็นผุดผาดแนบใบหน้า

          มาตรว่าตวนผิงซางอ๋องจะมิได้จับอาวุธออกศึกนานนับหลายปี กระนั้นรอบกายกลับแผ่กลิ่นอายฆ่าฟันรุนแรง ทั้งนี้ไม่รวมฝีมือยอดเยี่ยมอันไร้ซึ่งช่องโหว่ พลอยทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว และด้วยร่างกายใกล้ถึงขีดจำกัด กระบวนท่าที่ใช้ออกจึงเชื่องช้าลง แลเมื่อมิอาจหลบก็ได้แต่ทนรับ

          ยังมิทันที่ปลายดาบสัมผัสถึงหน้าท้อง ปลายเท้าของคนผู้หนึ่งก็ตวัดใส่คมกระบี่ ตวนผิงซางอ๋องรีบหมุนตัวชักอาวุธกลับ ครั้นมองไปรอบๆก็พบว่าทหารของตนสิ้นท่าแล้ว เขาก็เอ่ยน้ำเสียงประชด “คาดมิถึงว่าสุนัขรับใช้อย่างเจ้าก็พอจะมีฝีมือ องค์รัชทายาทช่างมีสายตาดียิ่ง”

          คำก็สุนัข สองคำก็สุนัข ข้าเป็นอสรพิษผู้สง่างามต่างหาก

          ร่างเล็กที่พลิ้วกายเข้าขัดจังหวะ รับฟังแล้วก็ต้องถลึงตาใส่ หากมิใช่พลังส่วนใหญ่ถูกสะกดเอาไว้ รับรองว่างูเผือกแห่งแดนสวรรค์ มือขวาของท่านมหาเทพเช่นเขาผู้นี้ จะต้องซัดปากคนตรงหน้าไม่ให้เหลือแม้แต่ฟันจะเคี้ยวข้าวเลยทีเดียว

          “ขุนนางกังฉิน เจ้ารังแกคนอ่อนแอกว่า เช่นนี้ไม่นับเป็นลูกผู้ชาย”

          หือ คนอ่อนแอ... ซวนหยวนหมิงไท่เลิกตามองคนด้านข้างที่ชี้หน้าด่าอีกฝ่ายอย่างงุนงง คนอ่อนแอที่ไป๋เซ่อเอ่ย หวังว่าคงจะมิใช่เขาหรอกนะ

          “ถอยไปเจ้าซวนหยวนหมิงไท่ เชื่องช้าเป็นลูกเต่าอย่างเจ้าถอยไปไกลๆเลย” ว่าแล้วไป๋เซ่อก็ผลักร่างสูงให้หลบอยู่ทางด้านหลัง

          อืม ชัดเจนว่าเป็นเขา... ไป๋เซ่อตวาดจนรัชทายาทเช่นเขาอดจะคอตกมิได้ หากมิใช่เพราะถ่ายทอดปราณมังกรให้เจ้าตัวจนอ่อนล้า เขาก็คงไม่มีวันเพลี่ยงพล้ำให้แก่ตวนผิงซางอ๋องอย่างแน่นอน

          “หึ คิดว่าคนของท่านจัดการทหารของข้าได้ ชนะข้าได้ ท่านจะรอดตัวไปได้หรือ” ตวนผิงซางอ๋องเหยียดยิ้ม ดวงตาฉายแววโหดเหี้ยม “ผิดแล้วองค์รัชทายาท ท่านตกอยู่ในกำมือข้า ข้อนี้มิมีวันเปลี่ยน”

          “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

          ซวนหยวนหมิงไท่มิทันเอ่ย เย่วเสียงก็เปล่งเสียงด้วยความตกใจ นางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าแตกตื่น ครั้นไล่สายตาหยุดลงที่ข้อมือเขา ดวงตาของนางก็สว่างวาบ

          มิผิด นางมิได้มองผิดไป นั่นเป็นกำไลข้อมือสีเงิน มิต่างกับกำไลข้อเท้าของนาง ร่างของนางพลันสั่นสะท้าน หันไปตวาดอ๋องผู้เลือดเย็น “ท่านควบคุมข้าคนเดียวไม่พอหรือ เหตุใดต้องควบคุมเขาด้วย”

          “หึ ตราบใดที่เจ้าปันใจให้บุรุษอื่น ปลายทางคนผู้นั้นย่อมมีแต่ตายสถานเดียว” ตวนผิงซางอ๋องกล่าวเสียงเข้ม จ้องลึกในดวงตาหวานที่คลอน้ำตา “เย่วเซียง เจ้ายังมิต้องวิตกนัก ข้าจะมิให้มันตายเร็วเป็นแน่”

          รับฟังแล้วหัวใจก็ถึงกับดิ่งวูบ เย่วเซียงฝืนยืนหยัดแล้วโพล่งกล่าวน้ำเสียงสั่น “ไม่ ท่านผิดแล้ว คนที่ท่านรักมิใช่ข้า แต่เป็นลั่วจิ่นหลงต่างหาก”

          บังเกิดความเงียบงันไปอึดใจ ตวนผิงซางอ๋องทั้งมิได้ปฏิเสธและยอมรับ เจ้าตัวเพียงมองเย่วเซียงด้วยใบหน้าเรียบเฉย กระนั้นนามลั่วจิ่นหลงมิใช่ว่าตนพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ยังมีสีหน้าเย็นชาที่จดจำได้เป็นอย่างดี “ที่แท้เป็นเพราะเรื่องของไป๋จิ่นหลง ท่านจึงเคียดแค้นเสด็จพ่อมาโดยตลอด” ซวนหยวนหมิงไท่แทรกเอ่ย

          ไป๋...จิ่นหลง

          นามนี้กระตุ้นให้โทสะเขาพลุ่งพล่าน ดวงตาที่สงบนิ่งสั่นไหวเป็นระลอกคลื่น ตวนผิงซางอ๋องคำรามใส่องค์รัชทายาท “เจ้ามันจะไปรู้อะไร นางมิได้แซ่ไป๋ ทั้งมิใช่คนของไป๋จวิ้น นางเป็นลั่วจิ่นหลงของข้าต่างหาก”

          ในที่สุดซวนหยวนหมิงไท่ก็ยิ้มบาง ดูว่าเขามาถูกทางแล้ว “เช่นนั้นข้ามีเรื่องบางประการใคร่ถามตวนอ๋อง สิบกว่าปีก่อนตระกูลไป๋ออกเดินทางไปยังแถบทางใต้ แต่แล้วระหว่างทางกลับถูกลอบสังหาร เป็นฝีมือของท่านใช่รึไม่”

          เรื่องราวอันน่าสลดนี้เลื่องลือในเมืองหลวงพักใหญ่ เนื่องเพราะคนตระกูลไป๋ รวมข้ารับใช้กว่ายี่สิบชีวิตต้องจบลง ฮูหยินซึ่งตั้งครรภ์แก่หายสาบสูญ ส่วนทั่นฮวาผู้เปี่ยมความสามารถกลับต้องตายด้วยคมดาบและลูกธนูนับสิบ การลงมือเป็นไปอย่างโหดเหี้ยม เสมือนเป็นการแก้แค้นส่วนตัว ยังมีร่างถูกปล่อยทิ้งให้ฝูงสุนัขป่ากัดแทะมิเหลือสภาพดี สุดท้ายคดีกลับจบลงที่คนร้ายลอยนวล ดังนั้นฮ่องเต้จึงมีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงอีก

          “เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น” ผู้เป็นอ๋องหรี่ตายิ้ม ภายนอกอ่อนโยน หากแต่แฝงความอำมหิตไว้ภายใน

          “นั่นเป็นเพราะไป๋จวิ้นถูกฆ่าตายอย่างน่าอนาถเกินไป ฮูหยินไป๋เองก็หายสาบสูญ อีกทั้ง...” ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วจ้องมองไปที่เย่วเซียง “ในเวลาใกล้เคียงกัน ที่ใต้หุบเขาตงหัวใกล้เขตแดนจ้าวคฤหาสน์ดินกลับปรากฏทารกหญิงอันไร้ที่มาผู้หนึ่ง” กล่าวถึงตรงนี้ก็ย้ายสายตาไปที่ตวนผิงซางอ๋อง “ดังนั้นการที่ท่านยึดติดกับเย่วเซียง ต้องการให้นางเป็นพระชายาของท่าน นั่นเป็นเพราะนางเป็นบุตรสาวของไป๋จิ่นหลงใช่รึไม่”

          “คะ คุณชายหมิง ท่านกล่าวอะไร” เย่วเซียงรับฟังจนตกอยู่ในอาการสับสน นี่เป็นชาติกำเนิดของนางแน่หรือ นางหันไปจ้องมองบุรุษอีกคนอย่างต้องการคำตอบ

          “ใช่ เป็นข้าวางแผนสังหารตัวอุบาทว์ไป๋จวิ้น เรื่องเดียวที่ข้าเสียใจคือจิ่นหลง นางหลบหนีไปยังเขตแดนจ้าวคฤหาสน์ดิน ทว่าข้าไม่สามารถติดตามนางเข้าไปด้วยได้ ข้าได้แต่เพียรเฝ้าหาวิธีมาหลายสิบปี จนกระทั่งพบวั่นอู่หงที่รู้ทางเข้านั้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อส่งคนเข้าไปแล้ว คนที่ข้าได้พบกลับมิใช่จิ่นหลง กลับเป็นเจ้า..เย่วเซียง” เขาเว้นเสียงไปพักหนึ่ง ก็มองไปที่ร่างบอบบาง “เจ้าเป็นบุตรสาวของจิ่นหลงอย่างมิต้องสงสัย”

          ประโยคสุดท้ายทำให้ทั่วร่างของเย่วเซียงต้องเย็นเฉียบ ฝ่ายตวนผิงซางอ๋องก็เดินเข้าไปลูบไล้ใบหน้าอ่อนหวานที่เหมือนคนรักเก่าราวกับแกะ “เย่วเซียง เจ้าย่อมเป็นสิ่งที่จิ่นหลงชดใช้ให้ข้า”

          “ขุนนางกังฉิน เจ้ามันโรคจิต หนี้รักหนี้แค้นของใครก็ของผู้นั้น จะให้ลูกชดใช้แทนได้อย่างไร” ไป๋เซ่อฟังอยู่นานก็ทนไม่ได้ เขาเกลียดความอยุติธรรมเป็นที่สุด หันไปกล่าวกับงูน้อยที่เลื้อยรอบคอ “หงลิ่ว ดูให้ดีว่าพี่ชายไป๋คนนี้จะผดุงความยุติธรรมเช่นไร”

          “ฟ่อ” หงลิ่วผงกหัวน้อยๆ ส่งสายตาเป็นประกายชื่นชม

          อีกด้านหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่กลับตบเข้าที่หน้าผาก อืม ใครก็ได้ช่วยบอกเจ้างูสองตัวนี้ทีว่าสถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดจะแย่อยู่แล้ว

          “จอมยุทธ์ผู้ผดุงความยุติธรรมงั้นรึ” ตวนผิงซางอ๋องหัวเราะน้อย “หึๆ ถ้าเจ้าอยากเล่น ข้าจะให้เจ้าเล่น แต่ทว่า...” เขาหยุดเสียงยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าคงต้องหยุดเขาให้ได้เสียก่อน”

          สิ้นเสียงกระบี่เล่มหนึ่งก็ถูกโยนขึ้นฟ้า ตามติดด้วยร่างสูงเพรียวที่กระโจนรับไว้ แขนเสื้อข้างขวายังเลิกขึ้นเผยให้เห็นกำไลสีเงิน แลไม่นานเจ้าของร่างก็พลิ้วกายหยุดลงตรงเบื้องหน้า ทำเอาดวงตาสีฟ้าอมเขียวต้องถลึงมองอย่างไม่เข้าใจ “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ารับกระบี่เจ้านั่นทำไม”

          ซวนหยวนหมิงไท่พลันยิ้มแหย ก้มมองกำไลสีเงินที่ข้อมือ สุดท้ายจึงเอ่ย “เกรงว่าข้าจะถูกควบคุมเข้าให้แล้ว”

          “รัชทายาทงี่เง่าเอ๊ย” ไป๋เซ่อกระทืบเท้าส่งเสียงด่า

          “ใช่ว่าข้าอยากจะใส่มันสักหน่อย” เขาเองก็ถลึงตาโต้ตอบ

          ทำให้หงลิ่วต้องกระซิบถามไป๋เซ่อ “ทำอย่างไรดี พี่ชายไป๋”

          “จัดการมันซะ”

          ขณะที่ยังคงคิดไม่ออก อ๋องผู้เลือดเย็นกลับออกคำสั่งเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ชายหนุ่มตั้งท่าก็ถลันเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว ไป๋เซ่อทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่ปัดป่ายกระบี่ที่พุ่งแทงเข้ามา “นี่เจ้าคิดจะแทงข้าจริงเหรอ” กล่าวพลางเอี้ยวตัวหนี

          ซวนหยวนหมิงไท่เองก็ทำหน้ารู้สึกผิด ก่อนตอบไปว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจ” แม้กล่าวเช่นนั้นแต่ข้อมือไม่รักดีกลับหมุนวาดกระบี่เข้าใส่ร่างน้อย

          ไป๋เซ่อรีบถอยเท้าไปหลายก้าว ใช้วิธีตั้งรับแทน “เจ้าหาวิธีเข้าสิ”

          มองดูทั้งสองคนทั้งโต้ตอบทั้งประมือไปมา จวบจนผ่านพ้นไปหลายกระบวนท่า ตวนผิงซางอ๋องก็ใคร่รู้สึกไม่ถูกต้อง
ท่วงท่าที่ทั้งคู่ใช้ออกมีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน บางครั้งคนหนึ่งอ่อนช้อย อีกคนใช้ออกรวดเร็ว สอดประสานหมุนเวียนสลับกันไป ดูไปไม่คล้ายเป็นการต่อสู้ หากแต่เป็นเพลงกระบี่คู่เสียมากกว่า เขาขมวดคิ้ว

          ต้องรู้ใจกันเพียงใด จึงจะสามารถเป็นเช่นนี้ได้

          นอกเหนือไปจากตวนอ๋อง ก็ยังคงมีอีกบุคคลที่รู้สึกไม่แตกต่าง เย่วเซียงตะลึงมองคนทั้งสองรับมือซึ่งกันและกัน ดูไม่ว่าใครก็มิอาจแทรกกลางระหว่างพวกเขาได้ จู่ๆใจก็วูบโหวง ได้แต่จ้องมองบุรุษร่างเล็กอย่างเลื่อนลอย

          แท้จริงแล้วที่ข้างกายชายหนุ่ม หาใช่ที่ของนางแน่หรือ?

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”

          แลในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างตกอยู่ในความสับสน ตวนผิงซางอ๋องกลับหัวเราะออกมา “ช่างน่าสมเพชแท้ๆ ซวนหยวนหมิงไท่ ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้น เเต่กลับมอบใจให้บุรุษผู้หนึ่ง มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ต้อยต่ำ ความรักของท่านช่างวิปริตยิ่งนัก ฮ่า ฮ่า”

          น้ำเสียงเหยียดหยามดังขึ้น หากแต่รัชทายาทเช่นเขากลับเผยรอยยิ้มสดใส หัวเราะอย่างเขินๆก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น “ข้าจะรักเขา ใครจะทำไม”

          หือ เขาใช่หูฝาดไปหรือไม่ เจ้าลูกเต่าอย่างซวนหยวนหมิงไท่กำลังบอกว่ารักเขา

          วาจาอันน่าตกตะลึงพรึงเพริดนี้เล่นเอาไป๋เซ่อที่กำลังรับมือเจ้าตัวถึงกับเบิกตาค้าง จู่ๆรสสัมผัสอันนุ่มนวลของจุมพิตก่อนหน้านี้ก็หวนกลับมาให้หัวใจเต้นไม่หยุด ครั้นเห็นรอยยิ้มสว่างไสวระบายบนใบหน้าชายหนุ่ม หน้าเขาก็พลันร้อนผ่าวจนแดงก่ำ อีกทั้งยังลามเลียไปถึงใบหู กระทั่งทานทนไม่ไหวก็ต้องหลับตาลงร่ำร้อง

          “ตัวข้าจะระเบิดแล้ว”

          ตัวข้า...เขินแทบตาย เขินแทบตายแล้ว

 




[1] ทั่นฮวา เป็นตำแหน่งผู้สอบบรรจุเข้ารับราชการ ซึ่งรองจากตำแหน่งจ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน ตามลำดับ




***********************************************************


ห่างหายไปนาน กลับมาเเล้วจ้า ช่วงที่ผ่านมากลายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เลยไม่มีเวลาเขียนเลยจ้า หวังว่าบทนี้จะโดนใจใครหลายคนนะ แบบว่าอาการเขินของไป๋เซ่อ ดาเมจรุนเเรงมากก 5555+ เค้าชอบ

 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 17 จุดจบและคลื่น 27/4/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 27-04-2016 22:30:48
บทที่ 17.1 จุดจบและคลื่นถาโถม

 

          ร้อน...ร้อนจนแทบระเบิด

          ความร้อนโลดแล่นไปทั่วร่าง หัวใจพองโตเต้นตึกตักรัวเร็วราวบรรเลงกลองศึก ไป๋เซ่อหลุดคำพูดประหลาดที่แม้แต่ตนเองก็มิรู้ตัว พร้อมกันนั้นฝีมือที่ใช้ออกก็เริ่มมั่วซั่วไม่เป็นตัวของตัวเอง

          “หยุดมือ หยุดมือให้ข้าก่อน”

          ไม่นานร่างเล็กก็ต้องโพล่งบอกให้หยุด ส่งผลให้ทุกคนชะงักงันสงสัย กระทั่งซวนหยวนหมิงไท่ที่ถูกควบคุมกายยังต้องดึงกระบวนท่ากลับ

          พริบตานั้นงูน้อยที่กำลังงุนงงได้ที่ก็ถูกคว้าหมับออกจากรอบคอ ไป๋เซ่อหันหลัง มือกุมลำตัวนิ่มยาวไว้ ก่อนจะฟาดแปะบนใบหน้าตัวเองอย่างสะเปะสะปะ

          หงลิ่วดิ้นขลุกขลัก หน้าท้องถูกถูไถจนจักกะจี้ มันเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “พะ พี่ชายไป๋ ท่านจะทำอะไร”

          “หงลิ่ว เจ้าปิดใบหน้าข้าไว้เร็ว” ไป๋เซ่อไม่สนใจฟังเสียง ยังคงจับลำตัวนุ่มนิ่มให้วุ่นวาย

          “อ่ะ เอ๋ อื้อๆ” ด้วยน้ำเสียงเร่งรัดส่งผลให้หงลิ่วที่ตกใจต้องรีบอือออให้ความร่วมมือแต่โดยดี จนแล้วเสร็จเรียบร้อย ไป๋เซ่อก็ถอนหายใจ เปล่งเสียงด้วยความโล่งอก

          “เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย” สัมผัสเย็นสบายช่วยทำให้ใบหน้าที่ร้อนฉ่าสงบลง ไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่ง ก้มหยิบกระบี่ซึ่งตกอยู่ใกล้ปลายเท้า แล้วหันกลับไปขึ้นน้ำเสียงจริงจัง “มา ข้าพร้อมแล้ว”

          “พรืด” ชั่วขณะที่ได้เห็นเต็มตา องค์รัชทายาทเช่นเขาก็เสียกิริยาหลุดขำพรืด นี่เป็นเพราะดวงหน้าเล็กเผยให้เขาเห็นเพียงดวงตาสีฟ้าอมเขียวและริมฝีปากเล็กๆ ทว่าส่วนกึ่งกลางของใบหน้ากลับพันรอบไว้ด้วยร่างสีดำของหงลิ่ว ทำให้ไป๋เซ่อในตอนนี้ ช่าง...

          ดูน่ารักและน่าขบขันในเวลาเดียวกัน

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”  เขาหัวเราะลั่น ไม่คิดว่าทั้งสองจะรวมร่างแล้วกลายเป็นเช่นนี้

          อีกด้านหนึ่งคิ้วน้อยๆของไป๋เซ่อต้องมีอันย่นลง กระทั่งหงลิ่วซึ่งเกยศีรษะเล็กๆไว้บนบริเวณกระหม่อม พลันรู้สึกว่าไม่เข้าท่าบ้างแล้ว 

          “เจ้าลูกเต่ามีอันใดน่าหัวเราะกัน” ไป๋เซ่อตบฉาดที่หน้าขา ส่งเสียงตวาดด้วยรู้สึกอับอาย ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องใช้มือปิดปาก เพื่อกันมิให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจห้ามหัวไหล่ที่ยังคงสั่นไหวได้อยู่ดี

          ท่าทีสนิทสนมทั้งหมดทั้งมวลนี้ตกอยู่ภายใต้สายตาอันสับสนของเย่วเซียง แท้จริงแล้วบุรุษน้อยก็มีใจให้กับชายหนุ่ม ถ้าเช่นนั้นมิใช่ว่าพวกเขาต่างหลงรักซึ่งกันและกันหรอกหรือ

          แล้วตัวนางเล่า?

          ฉับพลันนั้นไร้เรี่ยวแรงกลับหายไปเสียดื้อๆ ราวกับโลกทั้งใบดับวูบลง ดูว่าความรักของนางเปรียบเสมือนดั่งพายุ ทั้งรวดเร็วทั้งโหมกระหน่ำ มิให้นางได้ตั้งตัวแต่อย่างใด ต่อเมื่อกระแสวายุสงบลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็อันตรธารว่างเปล่า แม้กระทั่งหัวใจของนางเองก็มิหลงเหลือ

          ชมดูคู่บุรุษหยอกล่อต่อกระซิกอยู่นาน ดวงตาของตวนผิงซางอ๋องก็ฉายแววชิงชัง “ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง วันนี้ข้าจะให้คู่ยวนยางอย่างพวกเจ้าตกตายกันไปข้างหนึ่ง” พูดจบก็หยักยิ้ม ปล่อยให้เกิดบรรยากาศนิ่งเงียบกดดันในอึดใจหนึ่ง จากนั้นจึงเปล่งเสียงที่ไร้ความปราณี

          “ฆ่ามันซะ”

          สิ้นคำสั่งสังหาร ร่างของซวนหยวนหมิงไท่ก็รุดเข้าฟาดฟันไป๋เซ่ออย่างหนักหน่วง บังเกิดเป็นประกายไฟยามเมื่ออาวุธต่างกระทบกระทั่งกันดูน่าหวาดกลัว

          ร่างเล็กใช้กระบี่ต้านการโจมตีในแต่ละครั้ง แรงสั่นสะเทือนที่ได้รับก็ถึงกับทำให้ปลายนิ้วชาดิก แม้เพลงกระบี่ที่ชายหนุ่มใช้จะเป็นเพลงเดียวกับที่เคยเคียงคู่ต่อสู้ หากแต่พลานุภาพของมันขณะนี้กลับมิสามารถทำให้เขาโต้กลับได้แม้แต่ครั้งเดียว

          บัดนี้กำไลสีเงินแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ ราวกับว่ามันเคยถูกย้อมด้วยโลหิตมาก่อน ใคร่ครวญดูแล้วของวิเศษชิ้นนี้ ตอบสนองต่อความต้องการฆ่าของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี

          ซวนหยวนหมิงไท่ตีสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยกายที่มิเป็นตัวของตัวเอง หากยังคงชักช้ามิอาจหาทางออก เกรงว่าอีกไม่นานคงได้พลาดพลั้งทำร้ายคนรักในที่สุด

          นึกถึงตรงนี้หัวใจก็ต้องร้อนรนเช่นเกาทัณฑ์ที่แล่นปราดจากคันศร จวบจนร่างเล็กพลิกตัวหลบหลีกไปรอบๆตัว สมองก็พลันขบคิดวิธีหนึ่งขึ้นได้ ซึ่งแม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะดีร้าย ทว่าตอนนี้พวกเขาได้แต่ลองเสี่ยง

          ดวงตาสีดำกวาดมองลึกในดวงตาสีฟ้าอมเขียวอย่างมีความนัย ไป๋เซ่อจ้องมองเพียงแวบเดียวก็ทำความเข้าใจได้

          มือเรียวเก็บกระบี่คืน ถีบปลายเท้าทีหนึ่งก็พุ่งทะยานห่างจากชายหนุ่มไปหลายก้าว ฝ่ายรัชทายาทหนุ่มมิปล่อยให้ร่างเล็กไปได้ไกล สองเท้าโผทะยานติดตามไปอย่างกระชั้นชิด

          เมื่อเห็นว่าเป็นไปตามที่คิด อ๋องเลือดเย็นก็ยิ้มเยาะอย่างย่ามใจ คิดจะหนี ย่อมมิง่ายดายนัก... แต่แล้วไม่นานสถานการณ์เบื้องหน้าก็ทำให้เขาต้องหุบยิ้ม หากประเมินมองไม่ผิดทั้งสองกำลังม้วนตัวตรงมาทางเขา

          ราวกับนัดแนะไว้ ไป๋เซ่อลอยตัวข้ามไปที่ด้านหลัง ซวนหยวนหมิงไท่หยุดลงตรงหน้า บีบให้บุรุษในชุดแดงอยู่ตรงกลางมิอาจขยับได้อีก พริบตาต่อมากระบี่ยาวหนึ่งจั้งทั้งสองเล่มก็เสือกแทงซ้ายขวา

          ตวนผิงซางอ๋องไหวตัวทันจึงเบี่ยงร่างขนาบเข้ากับตัวกระบี่ ความเยียบเย็นของโลหะแนบติดหน้าอกและแผ่นหลัง ยังผลให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น แลในจังหวะนั้นเองเจ้าของกระบี่พลันพลิกข้อมือลง จากนั้นอาศัยความรวดเร็วชักกระบี่กลับคืน


 

***************************************************

 

          ทันทีที่พู่กระบี่ไหววูบ หยาดหยดโลหิตก็ฉีดพุ่งเป็นสาย กระจายตัวเป็นละอองสีแดงท่ามกลางสายลมแผ่วเบา เสียงงูขู่ฟ่อๆร้องคลออย่างชื่นชม แม้แต่เย่วเซียงเองก็ยังอดที่จะตะลึงมองมิได้

          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” ยอดเยี่ยมไปเลย พี่ชายไป๋ 

          “น่าตายนัก คิดใช้ข้าเป็นเกราะกำบัง” ตวนผิงซางอ๋องระเบิดโทสะเป็นเสียงคำรามลั่น คาดคิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะเจ้าความคิดขนาดนี้ เขาเกร็งกำลังเท้านำพาตนเองถอยปราดออกไป แต่มาตรว่าเป็นเช่นนั้นเงากระบี่กลับยังคงไล่ล่าตามเขาไม่ห่าง

          ซวนหยวนหมิงไท่กับไป๋เซ่อยังคงหันหน้าฟาดฟันกระบี่ ฝีเท้ารุกคืบไปยังบุรุษองอาจในชุดสีแดงอย่างไม่ลดละ ยามเมื่อสองเท้าหยุดยืนได้มั่นคง ตวนผิงซางอ๋องก็ตกอยู่ในวงล้อมไว้อีกครั้ง พลางรับการจู่โจมทั้งสองด้านซึ่งสอดประสานฝีมือกันอย่างพร้อมเพรียง

          ทั้งสามประมือกันไปแล้วกว่าสามสิบกระบวนท่า ผ่านไปสักพัก อ๋องแห่งเหลียวตงก็เล็งเห็นจุดอ่อน จู่ๆรอยยิ้มเหี้ยมก็ผุดขึ้นกะทันหัน ให้รัชทายาทหนุ่มสังหรณ์ใจไม่ดี ครั้นส่งสัญญาณให้ร่างเล็กล่าถอย ตวนผิงซางอ๋องกลับชิงโคจรลมปราณหมุนฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังวัตรสูงส่งออกมาแล้ว

          ไป๋เซ่อกำลังถลันตัวเข้าไป พริบตานั้นขุมพลังหนึ่งก็ตรงเข้าทักทายในระยะประชิด ส่งผลให้ร่างต้องลอยละลิ่วไป ก่อนไถลกับพื้นอยู่หลายตลบ หงลิ่วซึ่งยังคงเกาะอยู่บนใบหน้าเจ้าตัวก็ยังกระเด็นหายเข้าไปในพุ่มไม้ที่มมืดมิด

          “ไป๋เซ่อ” รัชทายาทหนุ่มใจหายวูบ สบโอกาสให้ตวนผิงซางอ๋องวาดฝ่ามือกระแทกเข้าที่หน้าอก ทันใดนั้นความแสบร้อนก็โลดแล่นจากอกไปถึงลำคอ ให้ต้องซวนเซถอยหลังไปราวสามก้าว 

          “คุณชายหมิง” ถึงเพลานี้เย่วเซียงจึงร้องลั่น วิ่งเข้าไปประคองชายหนุ่มที่บาดเจ็บเอาไว้ แต่ฝ่ามือนี้นับว่าสร้างความสาหัสให้แก่ร่างสูงเพรียว ถึงขนาดต้องทรุดนั่งลงกระอักเลือดคั่งออกมาคำใหญ่

          “คุณชายหมิงพอเถิด อย่าสู้อีกเลย ตราบใดที่ท่านถูกกำไลวิเศษพันธนาการไว้ จะอย่างไรก็มิอาจเอาชนะเขาได้” เย่วเซียงได้แต่กล่าววิงวอน หยาดน้ำรื้นในดวงตาสุกใส อานุภาพของวิเศษชิ้นนี้ นางรู้ดีกว่าใคร จึงมิอาจทนเห็นเขาถูกทำร้ายไปมากกว่านี้อีก

          คิ้วย่นลงด้วยความเจ็บปวด เห็นทีว่าซี่โครงหักราวสองถึงสามซี่ มาตรแม้นเป็นเช่นนั้นก็มิอาจถอดใจ หากยอมรับชะตากรรมแล้วไซร้ ไป๋เซ่อเล่า...จะมีทางรอดได้เช่นไร ดังนั้นได้แต่ฝืนหยัดยืน แต่แล้วดวงตาสีดำก็ต้องเบิกกว้าง

          บัดนี้ลำคอระหงถูกมือใหญ่กำรอบ ใบหน้าเย้ายวนบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ปลายเท้าเหยียดตรงสัมผัสพื้นเพียงผิวเผิน ดวงตาสีฟ้าอมเขียวหรี่มอง หายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก

          ขอเพียงออกแรงอีกนิด คอเล็กๆนี้ก็จะหักได้ในพริบตา ทว่าทำเช่นนั้นยังไม่ดีพอ ตวนผิงซางอ๋องจึงยิ้ม “เอาล่ะ ถึงเวลาท่านปลิดชีวิตอันน่าสมเพชของเขาแล้ว”

          “ท่านทำเช่นนี้แล้วได้กระไรขึ้นมา” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเสียงพร่า ในที่สุดสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่อยากให้เกิด ก็บังเกิดขึ้นแล้ว

          “อย่างน้อยพวกเจ้าตระกูลซวนหยวนจะได้รู้จักรสชาติคนตายที่ยังมีลมหายใจ”

          บทสนทนาจบลง มือที่กำไว้อาวุธอันแหลมคมก็ต้องสั่นสะท้าน ซวนหยวนหมิงไท่ย่างก้าวไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะพรรณนา หัวใจบีบคั้นเสมือนถูกทุบครั้งแล้วครั้งเล่าแทบไม่เหลือชิ้นดี จวบจนสองขาหยุดลง เขาก็เงยหน้ามองไป๋เซ่อด้วยสายตาที่เจ็บปวด

          แต่แล้วไป๋เซ่อกลับยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มผู้มักเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ในส่วนลึกแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาเช่นนี้ “เฮอะ เอาเถอะเห็นแก่สีหน้านี้ของเจ้า ข้าจะยอมรับสักดาบ คงจะไม่เจ็บเท่าไหร่กระมัง” เขาสบถกล่าว แต่ท้ายประโยคยังคงลังเลอยู่บ้าง

          ไม่ ให้ข้าฆ่าเจ้า ไม่ ไม่มีทาง

          ในอกพลันตะโกนอย่างรวดร้าว แม้จะฝืนตัวเองอย่างไร ร่างกายกลับสวนทางมิฟังคำสั่ง กระบี่ในมือเงื้อขึ้นสูงเรื่อยๆ เขาหลับตาลงอีกครั้ง

          หากต้องเสียไป๋เซ่อไป แขนข้างนี้เขาก็ไม่ต้องการมันอีก

          คิดได้เช่นนั้นดวงตาก็สว่างวาบ คล้ายบรรลุข้อเท็จจริงบางประการ เขาชำเลืองมองมือข้างที่ถือกระบี่ มันเกร็งข้อเขียวจนเส้นเลือดปูดโปน ทันใดนั้นก็ฝืนยกมืออีกข้างขึ้นเล็งจุดๆหนึ่งจนท่อนแขนสั่นระริก

          ต่อให้ต้องพิการ ร่างกายพังพินาศ...เขาก็มิสน

          “เฮ้ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะตัดแขนตัวเอง” เห็นสายตาดื้อรั้นที่เด็ดเดี่ยวผิดปกติคู่นั้น ไป๋เซ่อก็หรี่ตามองก็ต้องร่ำร้องออกมา

          “ก็ข้ามันรัชทายาทงี่เง่านี่นา” ซวนหยวนหมิงไท่กลั้วหัวเราะ เหงื่อหลั่งไหลแนบข้างแก้ม เพลานี้ไม่ว่าใครก็มิอาจห้ามจิตใจอันแน่วแน่นี้ได้ ทว่าเย่วเซียงกลับรับฟังจนตะลึงลาน

          “ไม่” นางถลันเข้ารั้งแขนเขาไว้ ช้อนดวงตาสุกใสซึ่งคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำขึ้นจ้องดวงหน้าสง่างาม เอ่ยถามเสียงแผ่ว “คุณชายหมิง ท่านทำเช่นนี้มันคุ้มค่าแล้วหรือ”

          “คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

          ซวนหยวนหมิงไท่สวนตอบแทบมิต้องคิด น้ำหนักเสียงทำให้เย่วเซียงต้องผงะถอยหลัง สองมือบอบบางตกลงจากแขนแกร่งอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ใจเยียบเย็นราวกับแช่แข็งในพริบตา

          เช่นเดียวกับไป๋เซ่อที่ฟังแล้วก็ต้องสะท้านใจ เขาเอ่ยเสียงอู้อี้ “โฮ ซวนหยวนหมิงไท่ หากจบเรื่องนี้ ข้าจะไปขอรากบัวจากตาแก่อาวุโสเทพหวางจื้อมาต่อแขนเจ้า รับรองมันต้องยอดเยี่ยมกว่าของเก่าเป็นแน่”

          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็เลิกคิ้วหัวเราะ “ขออย่าได้พิสดารมากนักเป็นพอ”

          “องค์รัชทายาท ท่านมันโง่งม กำไลวิเศษอาบเลือดข้าถึงสี่สิบเก้าวัน ท่านมิอาจหลุดพ้นจากมนตร์ควบคุมนี้ไปได้” ตวนผิงซางอ๋องกล่าวด้วยความมั่นใจ แต่แล้วกลับมีแว่วเสียงประชดดังออกมาจากทางด้านหนึ่ง

          “แค่มนตร์กระจอกๆ หาใช่ของวิเศษแต่อย่างใด”

          สิ้นเสียงก็บังเกิดเป็นลำแสงสว่างจ้าพุ่งวาบ ตรงเข้าทำลายกำไลเงินจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยวิถีพลังสะท้อนร่างรัชทายาทหนุ่มให้เสียหลักหงายหลังล้มลง กระบี่ในมือกระเด็นออกไปทิศทางใดก็ไม่ทราบได้

          “เป็นท่าน?” เย่วเซียงหลุดน้ำเสียงแปลกใจ

          ด้านซวนหยวนหมิงไท่มิได้หันกลับไปมองผู้มาใหม่ แม้มิค่อยชอบหน้าคนผู้นี้สักเท่าใด แต่ในเพลานี้มีแต่ต้องยอมรับนับถือ เพียงบุรุษผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น สถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายพลันคลายลงอย่างน่าประหลาด


 

****************************************************

 

          “พวกเจ้าเป็นใคร?”

          อ๋องผู้ปกครองดินแดนเหลียวตงกล่าวถาม ทว่าบุรุษสูงใหญ่ในชุดสีม่วงอมดำมิคิดตอบคำ กลับเป็นเด็กชายที่มีเค้าใบหน้าน่ารัก ผมรวบเป็นหางม้า อ้าปากพูดจาฉะฉานขึ้นแทน

          “พี่ใหญ่ ขุนนางผู้นี้นับว่าโฉดชั่วโดยแท้ เขาฆ่าผู้บริสุทธิ์ เป็นตัวการช่วงชิงจิตวิญญาณผู้อื่น ควบคุมร่างของแม่นางน้อยกับพี่ชายหมิง ที่สำคัญเขาทำร้ายข้ากับพี่ชายไป๋ด้วย ถ้าข้ากัดเขา จะถือว่าผิดกฎตระกูลหรือไม่” ได้ทีหงลิ่วก็ฟ้องใหญ่ ทั้งยังไม่ลืมถามเพื่อให้มั่นใจ

          เดิมทีตระกูลหงตรากฎมิให้ทำร้ายฆ่าฟันมนุษย์ เว้นเพียงบุคคลชั่วช้ามิต่างกับเดรัจฉาน

          ทันใดนั้นดวงตาสีม่วงอมดำก็ทอประกายวาบ ทอดมองคนที่กำรอบคอเล็กอย่างกินเลือดกินเนื้อ หงเว่ยกดเสียงต่ำ “แค่แตะต้องไป่ไป๋ก็สมควรมิได้ผุดได้เกิดแล้ว”

          รังสีสังหารแผ่ขยาย กลิ่นอายความตายปกคลุมไปทั่วบริเวณ ตวนผิงซางอ๋องขมวดคิ้วมุ่น ลงความเห็นว่าบุรุษผู้นี้หาใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น ดังนั้นจึงลองหยั่งเชิง “ดูจากที่เจ้าปรากฏตัว เห็นทีวั่นอู่หงจะมิได้เรื่องจริงๆ” 

          “แค่ปีศาจชั้นปลายแถว มิคู่ควรเป็นคู่มือข้า” เขาพูดพลางเล่นปลายนิ้วของตนเองอย่างไม่ยี่หระ

          มิต่างไปจากที่คิด ปีศาจนกยูงช่างเป็นหมากที่ไร้ประโยชน์ ตวนอ๋องขบกรามกรอดๆ เรื่องราวดำเนินถึงขั้นนี้ เขามิยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฉะนั้นมิสู้ลงมือเสียก่อน “ข้ามิเชื่อว่าจะสู้ปีศาจอย่างเจ้ามิได้”

          มือปละปล่อยจากลำคอระหง สะกิดเท้าพุ่งปราดทะยานตัวไปข้างหน้า เขากราดฝ่ามือซึ่งแฝงพลังแยบคายเข้าใส่ผู้มาใหม่ ด้านหงเว่ยยังคงยืนอยู่กับที่ มีเพียงเหยียดแขนออกไปแลกฝ่ามือโดยตรง

          รอจนสองมือประกบ ขุมพลังทั้งสองก็ต่างผลักดันซึ่งกันและกัน ทว่าไม่ช้าไม่นานผู้เป็นอ๋องก็ต้องผละตัวออก เนื่องเพราะกระแสพลังร้อนแผดเผาที่หลั่งไหลเข้าสู่กาย กดดันให้เขาต้องซวนเซถอยหลังไปราวสามก้าว ครั้นก้มลงมองก็พบรอยไหม้บนฝ่ามือ
         
          “ถึงทีข้าบ้าง” เมื่อสบโอกาสเด็กน้อยข้างกายหงเว่ยก็กระโจนออกไป หงลิ่วค่อยๆเปลี่ยนรูปเป็นอสรพิษตัวสีดำเงา ดีดตัวเข้าพัวพันบุรุษชุดแดงด้วยท่วงท่ารวดเร็ว

          ฝ่ายตวนผิงซางอ๋อง เขาสูญสิ้นพลังไปกว่าครึ่งจากการแลกฝ่ามือเมื่อครู่ ยามเหตุการณ์แปรเปลี่ยนฉุกละหุก จึงมิอาจปัดป้องอสรพิษที่ตรงดิ่งเข้ามาได้ทันการณ์ เพียงได้ยินเสียงขู่ฟ่ออย่างดุร้ายคราหนึ่ง ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่บริเวณต้นคอ

          หลังจมรอยเขี้ยวอันแหลมคมไว้ได้สำเร็จ หงลิ่วก็ดีดพุ่งตัวออกไป คืนรูปลักษณ์เป็นเด็กชายวิ่งกลับไปยืนอยู่ข้างกายหงเว่ยตามเดิม

          เพลานี้สีหน้าของตวนผิงซางอ๋องเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ สองนิ้วรีบสกัดจุดเบื้องต้นบนกาย กระนั้นพิษส่วนหนึ่งกลับแล่นเข้าสู่หัวใจ ทำให้ดวงตาเขาเริ่มพร่ามัว ภาพเบื้องหน้าไหววูบราวกับพสุธากำลังสั่นคลอน เหงื่อกาฬหลั่งชโลมใบหน้า อาการแข็งทื่อด้านชาลามเลียไปทั่วร่างกาย

          พริบตาเดียวบุรุษองอาจกล้าหาญกอปรไปด้วยสติปัญญา กระทั่งอริราชศัตรูยังต้องเบือนหน้าหนี ก็มิหลงเหลือความสง่างามที่เคยมีอีก ผมเผ้ากลับกลายเป็นขาวโพลน เส้นเลือดสีดำกระจายไปทั่วใบหน้าขาวซีด ดวงตาโหลลึกไร้ประกาย ปลายเล็บเป็นสีม่วงคล้ำ ไม่นานนักโลหิตดำคล้ำก็เริ่มไหลออกจากทางทวารทั้งเจ็ด

          “ข้าขอสาปแช่งพวกเจ้า ตระกูลซวนหยวน”

          ฉับพลันนั้นตวนผิงซางอ๋องก็ส่งเสียงด่าทอซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ดวงตาเบิกกว้างอย่างน่ากลัว สะกดให้ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปพักใหญ่

          “พิษของพวกเจ้าร้ายกาจยิ่ง”

          กระทั่งไป๋เซ่อซึ่งได้รับการพยุงตัวจากซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยขึ้น คนตรงหน้าก็เริ่มเห็นภาพหลอน

          “ไป๋จวิ้น เจ้ายังไม่ตาย ข้าจะฆ่าเจ้า” กล่าวไปก็เที่ยวออกกระบวนท่าไล่ฟาดฟันอากาศไปมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นไป๋จวิ้นในสภาพเลือดท่วมตัว ใช้สายตามองมาอย่างเหยียดหยาม

          จวบจนคนเสียสติโงนเงนสะดุดล้มลง สองมือก็เอื้อมสัมผัสโดนปลายเท้าของคนผู้หนึ่ง “ซวนหยวนหมิงจง เป็นเจ้าผิดคำสัญญา ข้า...ขอพยาบาทเจ้า”

          ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยกล่าวอย่างหนักใจ “ท่านอ๋อง ท่านไม่เคยคิดจริงๆหรือ คดีของไป๋จวิ้นอุจฉกรรจ์ถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงปิดลงง่ายๆ ทั้งไม่มีผู้ใดกล่าวถึงอีก”

          ตวนผิงซางอ๋องฟังแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมองผู้กล่าวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายสหายสนิท

          “นี่เป็นเพราะเสด็จพ่อรู้...รู้ว่าเป็นฝีมือท่าน แต่เพราะท่านเป็นสหายของพระองค์ เสด็จพ่อจึงเลือกที่จะปกปิดมันไว้ มิให้ผู้ใดรื้อฟื้นมันอีก” ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ คงจะมีแต่พระบิดาเท่านั้นที่ให้คำตอบได้

          “หมิงจง” ฟังแล้วสีหน้าของตวนผิงซางอ๋องก็คล้ายซีดขาวลงกว่าเดิม เขาพยายามหยัดยืนด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนเอ่ยถึงนามของคนอีกผู้หนึ่งด้วยความคะนึงถึง “จิ่นหลง”

          สองเท้าลากเข้าไปหาสตรีที่มีดวงหน้าหวาน เย่วเซียงเห็นดังนั้นก็ผงะถอยออกไปก้าวหนึ่ง แต่มาตรว่าท่านอ๋องมาถึงตัว เขากลับเดินผ่านเลยไปคล้ายมองไม่เห็นตัวนาง

          คนทั้งหมดจึงได้แต่มองส่งวาระสุดท้ายของบุรุษที่เป็นที่กล่าวขาน ซึ่งมุ่งหน้าไปทางเรือนอักษรด้วยแผ่นหลังที่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง โดยไม่มีใครคิดขัดขวางคนผู้นี้อีก


 

*********************************************************

 

          เรือนร่างบุรุษชุดแดงลับไป ฟากฟ้ากระจ่างตาขับไล่ความมืดมัวออกไปบางส่วน ดูว่าอีกไม่กี่ชั่วยามตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้า ส่องแสงนำทางให้ผู้คนเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง

          หงลิ่ววิ่งเข้าไปกอดไป๋เซ่อยกใหญ่ เด็กน้อยกล่าวน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว“พี่ชายไป๋ เห็นข้าผดุงความยุติธรรมแล้วรึไม่ ดูเป็นเช่นไรบ้าง”

          “ดีมาก หงลิ่ว เจ้าเดินตามรอยเท้าข้าได้ดียิ่ง” ไป๋เซ่อพูดจบก็ยืดอก ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องกลอกตาไปมารอบหนึ่ง หงเว่ยผุดรอยยิ้มที่เสมือนมิมีออกมา

          ทว่าในจังหวะที่ทุกคนคลายใจ เคราะห์กรรมอีกระลอกกลับคืบคลานมาเยือนพวกเขา ท้องฟ้าด้านหนึ่งเริ่มประกายเรืองรองเป็นสีอำพัน ทว่าอีกฟากฝั่งกลับทะมึนมัว แสงอสนีบาตวูบวาบเป็นระยะๆ ไม่นานนักเสียงสะเทือนเลือนลั่นราวปฐพีแยกก็บังเกิดขึ้น

          “เสียงคลื่นน้ำ?” เย่วเซียงที่อยู่ใกล้สุดพลันเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

          หงเว่ยได้ยินดังนั้นดวงตาที่ม่วงอมดำก็เลิกกว้าง ตะโกนออกมาพร้อมเหินทะยานตัวเหนือลม “ออกห่างจากที่นี่เร็ว หงลิ่ว ไป่ไป๋”

          เจ้าของนามทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็งงงัน ไม่เว้นแม้แต่รัชทายาทและเย่วเซียงที่จับจ้องหงเว่ยที่ลอยตัว สองมือรวบรวมขุมพลังขนานใหญ่

          อันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ปรากฏคลื่นน้ำที่ก่อตัวสูง มันตรงเข้าถาโถมทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า

          ทว่าก่อนบังเกิดการปะทะ คลื่นมหาศาลกลับถูกสกัดกั้นด้วยกำแพงใสสีม่วงที่จับตัวเป็นชั้นหนา หงเว่ยปลดปล่อยพลังต้านรับคลื่นอาคมเต็มที่ สมาธิทั้งหมดถูกใช้ออกด้วยการนี้

          หากแต่ไม่นานกำแพงดังกล่าวกลับบางลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยมิอาจทนทานต่อมวลคลื่นที่กระแทกมาไม่มีหยุดยั้ง ท้ายที่สุดมันก็แตกร้าว กลืนกินของร่างหงเว่ยเข้าไปอย่างรวดเร็ว

          เหตุการณ์ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นฉับไว ต่อจากนั้นคลื่นยักษ์ตรงหน้าก็เตรียมกระหน่ำใส่คนที่เหลือต่อ ซวนหยวนหมิงไท่รีบร้องบอกให้เย่วเซียงหาที่กำบังไว้ ส่วนตนเอื้อมไปคว้าจับมือที่เย็นเฉียบของไป๋เซ่อไว้ให้มั่น

          แลไม่นานมวลน้ำโครมใหญ่ก็ปะทะถึงตัว สองมือที่จับกันไว้อย่างแน่นเหนียวพลันถูกคลื่นอันรุนแรงบีบบังคับให้เลื่อนหลุดออกจากกัน ไป๋เซ่อกับหงลิ่วพลอยม้วนตัวเข้าสู่กระแสน้ำไปต่อหน้าต่อตา

          “ไป๋เซ่อ หงลิ่ว” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องเรียกคราหนึ่งก็ตระหนักได้ถึงความผิดแผก

          มาตรว่าคลื่นยักษ์ถาโถม หากแต่ตัวเขากลับยืนอยู่ที่เดิม มิได้รับผลกระทบใดๆจากคลื่นน้ำทั้งสิ้น ราวกับสิ่งที่เคลื่อนที่ผ่านเขาไปเป็นเพียงกระแสลมแรง กระทั่งเย่วเซียงที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็ต้องเงยหน้ามองคลื่นผิดปกติที่รวมกันเป็นก้อนกลมอย่างไม่เข้าใจ

          “นี่มันอะไรกัน”

          ทันที่เย่วเซียงเอ่ยขึ้น นักพรตราวสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพมอมแมม ตามร่างกายมีบาดแผลอยู่เล็กน้อย หนึ่งในนั้น ผู้มีเส้นผมสีขาว ดูมีอายุมากที่สุดก็เป็นฝ่ายตอบคำ

          “พวกท่านปลอดภัยแล้ว มีคลื่นอาคมนี้อยู่ จ้าวอสรพิษเกร็ดดำมิอาจสร้างเภทภัยให้แก่มนุษย์ได้อีก”

          “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ได้ยินวาจาเช่นนั้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็รุดตัวเข้าไปเค้นถาม มือกระชากคอเสื้อนักพรตเฒ่า

          “นี่เจ้า” นักพรตเต้าเหยียนชี้หน้าอุทาน บุรุษผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่ทำร้ายเขาเมื่อครั้งจับปีศาจในเมืองตงหัวมิใช่หรือ

          “ข้าถามว่าพวกเจ้าทำกระไรลงไป” เขายังคงไม่สนใจ หันไปถลึงตาใส่นักพรตหนวดเคราสีขาวอย่างกดดัน

          นักพรตคนดังกล่าวสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารก็ต้องรีบอธิบายต่อ “คุณชาย ท่านอาจจะไม่รู้ เมืองเหลียวตงแห่งนี้ถูกครอบงำด้วยปีศาจชั่วร้าย ยังมีชายหนุ่มหลายรายหายตัวไปอย่างลึกลับ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจ้าวอสรพิษเกร็ดดำ ถึงแม้พวกเราทั้งสี่มิอาจต่อกรมารร้าย หากแต่บรรพชนรุ่นก่อนของสำนักเราได้ทิ้งอาคมเก่าแก่ชนิดหนึ่ง ดั่งที่ท่านเห็นอยู่ในขณะนี้ นี้เป็นคลื่นอาคมที่ใช้สำหรับขจัดอสรพิษเช่นพวกมันโดยเฉพาะ”

          ขจัดอสรพิษเช่นพวกมันโดยเฉพาะงั้นหรือ...

          ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังจนตัวสั่นเทิ้ม สองมือคลายออกจากเสื้อนักพรตเฒ่า สายตาเบิกค้างหันไปจ้องมองคลื่นน้ำที่รวมตัวเป็นหยดน้ำขนาดใหญ่ แม้ภายนอกดูใส หากแต่มิอาจเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ เสมือนทุกชีวิตได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว

          ฉับพลันนั้นภาพของร่างน้อยที่ชอบฉีกยิ้มแฉ่งก็วนเวียนอยู่ตรงหน้า คำพูดที่ชอบประชดประชันก็ลอยเข้าสู่โสตประสาท ความเจ็บปวดร้าวเจียนแตกสลายกอบกุมให้จิตใจเขาคล้ายพังทลาย หยาดน้ำตาสายหนึ่งร่วงหล่นจากนัยน์ตา ริมฝีปากพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว

          “ไป๋เซ่อ เจ้าอยู่ไหน”

          เห็นชายหนุ่มก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย เย่วเซียงก็รู้สึกปวดใจไม่ต่างกัน “คุณชายหมิง” นางเอ่ยเสียงเบา ยื่นมือออกไปด้วยต้องการปลอบโยน ทว่ายังมิทันสัมผัสถึงไหล่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็กู่ร้องไปทั่วบริเวณแล้ว

          “ไป๋เซ่อ”


 

**********************************************************



          ในที่สุดก็มาถึงบทสรุปของตวนผิงซางอ๋อง รู้สึกวนเวียนกับเฮียมาหลายบท เอาเป็นว่าเฮียเเกก็มีมุมน่าสงสาร ถูกกาลเวลาช่วงชิงสตรีที่รักไปแบบงงๆในขณะที่ทุ่มเทให้กับชาติบ้านเมือง คือเฮียเเกผิดหวังเเละเเบบไม่รู้จะโทษใคร เลยพาลใส่คนที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น

          บทนี้ใครรอความมุ้งมิ้ง ไรท์คงโดนตบ ก็สถานการณ์มันน่าสิ่วน่าขวาน ฟรุ้งฟริ้งมากไม่ได้ ขออภัยด้วยจ้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่17จุดจบเเละคลื่นถาโถม 27/4/59
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 28-04-2016 00:30:04
จริงค่ะ สงสารท่านอ๋องด้วยค่ะ ความจริงแล้ว เกลียดและกลัวงอสระอูมาก แต่ฝืนอ่านเพราะเรื่องนี้ พวกนางนั้ลลัค
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่17จุดจบเเละคลื่นถาโถม 27/4/59
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 29-04-2016 22:06:17
เสียใจแทนท่านอ๋อง แต่สิ่งที่ท่านอ๋องทำก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
ส่วนหมิงไท่ ในที่สุดก็ชัดเจนเสียที อ่านแล้วแทบกรี๊ดแน่ะ 5555  :impress2:
จัดการปัญหาไปเรื่องนึง เรื่องใหม่มาอีกล้า กว่าจะได้ครองคู่กัน คงต้องฟันฝ่าหลายตลบ

 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 18.1 แยกจาก 04/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 04-05-2016 22:34:48
บทที่ 18.1 แยกจาก


          เสียงกู่ก้องคำรามจบไปหนึ่งคำรบ ซวนหยวนหมิงไท่ก็โจนตัวเข้าไปในคลื่นอาคมซึ่งมีรูปร่างเสมือนหยดน้ำขนาดใหญ่ แต่กระนั้นตัวเขากลับทะลุผ่านเลยไป ราวกับว่าสิ่งที่เห็นอยู่นี้เป็นเพียงอากาศธาตุ ทั้งยิ่งมิสามารถจับต้องได้

          ดังนั้นชายหนุ่มทำได้เพียงพร่ำตะโกนหาร่างเล็ก เฉกเช่นเดียวกับเด็กที่กำลังหลงทาง มิอาจเห็นเส้นทางส่องสว่างยังเบื้องหน้า ได้แต่เฝ้ารอน้ำเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกตน จากนั้นพากันจับมือแนบแน่น เคียงคู่กันไปสู่ทางออกด้วยกัน

          ...แค่อีกสักครั้ง อีกสักครั้งเดียว ขอให้ข้าได้ยินเสียงเจ้า แล้วชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ต้องการอะไรอีก

          “ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าแกล้งข้าแบบนี้สิ”

          น้ำเสียงที่แปร่งปร่า บันดาลให้จิตใจของผู้คนโดยรอบต้องสั่นไหว ความโศกเศร้าแผ่กำจายไปถึงขั้วกระดูก

          ยามนี้เย่วเซียง นางคล้ายไร้ตัวตนโดยสิ้นเชิง แม้แต่ความสามารถจะเอ่ยปลอบก็ไม่มี ได้แต่ทนมองคนที่รักใจสลายเพราะผู้อื่น จึงเป็นนักพรตผู้มีเส้นดอกเลาที่ชมดูอยู่นานเอ่ยขึ้นแทน

          “เฮ้อ คุณชายท่านนี้ ทางที่ดีท่านตัดใจเสียเถอะ ถึงอย่างไรมนุษย์กับปีศาจก็มิอาจอยู่ร่วมภพร่วมชาติกันได้”

          ทว่าด้วยคำปลอบนั้นกลับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องชะงักกึก เขาเสมองผู้กล่าวอย่างแช่มช้า เผยดวงตาที่เป็นประกายกร้าว “กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนอันใด สมควรตายยิ่งนัก”

          ด้วยอำนาจบารมีของลูกหลานโอรสสวรรค์ข่มขวัญให้นักพรตเจ้าของคำกล่าวต้องหน้าซีดเผือด จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเป็นดำเป็นแดงสลับไปมาไม่หยุด

          นักพรตเต้าเหยียนได้ยินวาจาสบประมาทก็บรรลุถึงโทสะ ก้าวเข้าไปโพล่งด่าบุรุษตรงหน้า “เจ้ามันช่างหน้ามืดตาบอดโดยแท้ พวกเราช่วยกำจัดเภทภัยให้เจ้า แต่เจ้ากลับมิสำนึกบุญคุณแม้แต่น้อย”

          “เฮอะ ข้าน่ะรึ ตาบอด...” ซวนหยวนหมิงไท่ถลึงตาแค่นเสียงในลำคอสวนกลับทันควัน อีกทั้งหยุดเสียงไปเล็กน้อยก่อนใช้น้ำเสียงกึกก้อง “เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ไร้สามารถ กระทั่งปีศาจกับเทพเซียนยังแยกแยะไม่ออก ยังจะกล้าอวดอ้างเป็นนักพรตขจัดมารอันใด หลอกลวงผู้คนทั่วหล้าทั้งเพ” ไป๋เซ่อเป็นใคร สูงส่งเพียงไหน มีหรือเขาจะไม่รู้

          วาจาเผ็ดร้อนทำเอาโทสะของนักพรตเต้าเหยียนพลุ่งพล่านในอก จนวาจาโต้เถียงไปชั่วขณะ ได้แต่ส่งเสียง “เจ้า! เจ้า! เจ้า!” เพียงแค่นี้

          “คุณชาย ท่านกล่าวเช่นนี้ข้าเห็นไม่ถูกต้องนัก หากพวกเราแยกแยะไม่ออกจริง เหตุไฉนคนของท่านจึงถูกกลืนเข้าไปในคลื่นอาคม นี่มิใช่เป็นสิ่งยืนยันหรอกหรือว่าเขาเป็นปีศาจชั่วช้าจริงๆ” นักพรตเฒ่าหนวดขาว ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มโต้แย้งอย่างสุขุม

          ซึ่งคำพูดดังกล่าวทำให้เขาได้คิด ทั้งมีสติยิ่งขึ้น ซวนหยวนหมิงไท่เชิดหน้าเอ่ยเสียงสูง “เช่นนั้นหากเป็นท่านดูผิดไป? หากพวกเขากลับออกมาจากคลื่นนั้นได้?”

          “พวกเราทั้งสี่จะขอสึกจากการเป็นนักพรต ต่างคนต่างอยู่ มิยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์และปีศาจอีก” นักพรตเต้าเหยียนลั่นวาจาไม่คิดหน้าคิดหลัง ด้วยมั่นใจในสายตาของตน ไหนยังจะมีอาจารย์ปู่ อาจารย์ลุง อาจารย์อาช่วยยืนยันอีก

          ได้ยินเช่นนั้นรัชทายาทหนุ่มก็หยักยิ้มเล็กน้อย ดวงตาสีดำปรากฏแววมุทะลุ ต่อให้วันนี้ต้องตายเขาก็จะนำตัวไป๋เซ่อออกมาให้ดูเป็นขวัญตา ว่าแล้วก็รวบรวมพลังที่มีทั้งหมดเตรียมเข้ากระหน่ำใส่ ขอเพียงทำลายมันลงได้ ไป๋เซ่อที่อยู่ด้านในย่อมต้องปรากฏแก่สายตาอย่างแน่นอน

          “ดี นักพรตชั่วช้าจงเบิกตาอันต่ำเตี้ยของพวกเจ้าดูไว้ให้ดี”

          ร่างสูงเพรียวยังมิทันใช้ออกถึงพลัง จู่ๆสุ้มเสียงตวาดก็ดังก้องออกมาจากคลื่นอาคม เหล่านักพรตรับฟังแล้วก็สะอึกกันถ้วนหน้า มีเพียงซวนหยวนหมิงไท่ที่มีสีหน้าดีขึ้น หากเขาฟังมิผิด นี่ย่อมเป็นเสียงของ...

          หงเว่ย

          ฉับพลันนั้นหยดน้ำขนาดใหญ่ ณ เบื้องบนก็เริ่มบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทั้งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในพยายามดิ้นรนแทรกตัวออกมา ทำเอาคนชมดูต่างใจเต้นระทึก หากแต่ทว่าเมื่อผ่านไปสักพักมันก็ค่อยๆอ่อนกำลังลง จนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

          ดูว่ามันสิ้นท่าแล้ว ผู้บำเพ็ญพรตได้โอกาสถอนหายใจ มีเพียงแวบหนึ่งที่ต่างคิดไปว่าคลื่นอาคมมิอาจทานทนปีศาจร้าย ครั้นสำรวจมองผนังอาคมหรือปราการด่านสุดท้ายก็พลันพบว่ามันเบาบางลงไปหลายส่วน ดังนั้นยามนี้พวกเขาได้แต่ภาวนา ขอเพียงมิมีสิ่งใดมากระตุ้น อาคมเก่าแก่ก็จะมิมีทางพังทลายลง

          แต่ดูว่าวันนี้สวรรค์กลับไม่เข้าข้างพวกเขาเหล่านักพรต เมื่อซวนหยวนหมิงไท่ซัดฝ่ามือออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คนยังมิทันจะอ้าปากร้องห้าม พลังปราณก็พุ่งวาบไปที่หยดน้ำที่นิ่งสงบเป็นที่เรียบร้อย แลประจวบเหมาะกับที่พลังสีม่วงปะทุขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งการประสานพลังทั้งนอกทั้งในเช่นนี้ ต่างส่งเสริมเพิ่มพูนพลานุภาพอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง

          บังเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ผู้คนต่างตาพร่าจำต้องเบนหน้าหนี จวบจนแสงดังกล่าวหมดไป เบื้องหน้าก็ปรากฏหมอกควันประหนึ่งเมฆหมอกเข้าบดบังทัศนียภาพ ที่ด้านหลังปรากฏบางสิ่งที่มีขนาดมหึมากำลังเคลื่อนตัวอย่างแช่มช้า ก่อให้เกิดบรรยากาศเย็นเยียบพวยพุ่งประการหนึ่ง

          ห้วงลมหายใจของเหล่านักพรตพลันชะงักติดขัด รังสีสังหารแผ่ขจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ดวงตาสีม่วงอมดำขนาดใหญ่และอีกหนึ่งนัยน์ตาสีแดงก่ำที่เปล่งประกายวาบ กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ


 

*********************************************************

 

          “หลบเร็ว” ในที่สุดนักพรตผู้อาวุโสผู้นำกลุ่มก็ร้องออกมา

          ทว่ามิทันขาดคำ อสรพิษเกร็ดดำซึ่งขดลำตัวยาวกลางอากาศก็ขยับตัวแล่นวูบ ปลายหางกวาดเอาคนที่สวมชุดบำเพ็ญเพียรทั้งหมดให้ตัวลอยละลิ่วราวกับว่าวที่สายป่านขาดกะทันหัน ไม่ช้าไม่นานร่างทั้งสี่ก็ตกลงกระแทกพื้นจนต้องร้องโอดโอย

          จ้าวอสรพิษหมายเข้าไปขย้ำซ้ำอีกครั้ง กระนั้นน้ำเสียงหนึ่งพลันขัดจังหวะให้ต้องหยุดชะงักลง

          “หงเว่ย พวกเขาเป็นอะไร”

          เป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่ร้องลั่น ทั้งนี้มิได้แปลกใจหรือแม้แต่แสดงสีหน้าหวาดกลัวเมื่อเห็นอสรพิษขนาดยักษ์ เพียงแต่สนใจรับร่างไร้สติทั้งสองที่ค่อยๆลอยลงมาจากอ้อมกอดของงูยักษ์ในขณะที่โจมตีเหล่านักพรต

          บัดนี้ไป๋เซ่อข่มหลับตา คล้ายได้รับการเคี่ยวกรำสาหัส สีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด สองมือเล็กยังคงกอดหงลิ่วในรูปของงูตัวน้อยที่ดูย่ำแย่มิต่างกันเอาไว้แน่น เห็นแล้วเขาถึงกับใจหายวูบ

          ด้านเย่วเซียงกลับได้สติขึ้นมาก่อน นางปราดเข้าไปจับชีพจรของไป๋เซ่อและหงลิ่ว “คุณชายหมิงไม่ได้การแล้ว พวกเขาสูญเสียพลังไปมาก หากทิ้งไว้นานกว่านี้ แม้กระทั่งร่างก็มิอาจรักษา”

          นางพูดถึงตรงนี้ หงเว่ยที่เปลี่ยนกลับเป็นร่างมนุษย์ก็เคลื่อนตัวมาถึงพอดิบพอดี ใบหน้าที่มักสลักเสลาความเย็นชาเผยให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกร้อนใจแล้ว

          ร่างแกร่งก้มตัวลงหยิบถุงผ้าสีเขียวเข้มในอกเสื้อ เทมันลงฝ่ามือ กลีบดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฏแก่สายตา แต่แล้วดวงตาของหงเว่ยกลับเลิกกว้างตะลึงงันไปชั่วขณะ เนื่องเพราะกลีบดอกพราวแสงกลับมีอยู่หนึ่งเดียว

          ร้อยปีออกดอกเพียงครั้ง หากแม้นแบ่งกลีบออกครึ่งส่วน สมุนไพรวิเศษจะกลับกลายเป็นดอกไม้ทะเลธรรมดาๆในทันที

          มือที่เคยมั่นคงในเพลานี้กลับสั่นน้อย หงเว่ยเบือนหน้ามองไป๋เซ่อ ในใจอดนึกมิได้ว่าต้องพลัดพรากแยกจากกันอีกนานแค่ไหน กว่าจะได้มีวาสนาใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ตนก็ทนโดดเดี่ยวมานานถึงพันปี

          ครั้นหันเหไปมองอสรพิษน้อยที่นอนสิ้นสติใกล้หมดลมหายใจ หงลิ่วนับเป็นน้องเล็กที่สุด ทั้งไร้เดียงสา ซุกซน เป็นที่รักใคร่และน่าเป็นห่วงมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง

         ดังนั้นหากให้เขาต้องเลือกช่วยชีวิตได้เพียงหนึ่ง เช่นนั้นเขาจะเลือกช่วยใคร?

          มองดูคนที่กลืนมิเข้าคายไม่ออก ซวนหยวนหมิงไท่ก็พอจะเข้าใจอีกฝ่าย การต้องเลือกเพียงหนึ่งเช่นนี้นับว่าสวรรค์โหดร้ายเกินไป แม้แต่เขาเองก็จนปัญญาจะเอื้อนเอ่ย ได้แต่กำชับมือที่เย็บเฉียบของร่างเล็กไว้แนบแน่น

          ต่อเมื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปตามนิ้ว ไป๋เซ่อก็สะลึมสะลือหรี่ตาขึ้น เขานิ่งไปอยู่พักหนึ่ง คล้ายทบทวนเหตุการณ์ที่พึ่งประสบพบเจอ ครั้นเบนหน้าเห็นกลีบดอกพราวแสงในมือหงเว่ย ยังสีหน้าสับสนระคนเจ็บปวด ก็พลันเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าทันที

          “ช่วยหงลิ่ว” ไป๋เซ่อฝืนกล่าวน้ำเสียงแหบแห้ง

          “แต่เจ้าเอง...” กล่าวถึงตรงนี้ หงเว่ยก็ต้องเงียบงันไป สองมือกำหมัดแน่นราวกับคับแค้นในโชคชะตา

          “ข้ารู้ตัวเองดี สำหรับข้ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง ผิดกับหงลิ่วที่ไม่อาจรอได้อีก” ไป๋เซ่อเอ่ยอ้อนวอนหงเว่ย เดิมทีตัวเขาก็มีพลังปราณของเทพเซียนอยู่ หากแต่ถูกสะกดไว้ ร่างที่ใช้ตอนนี้จึงเป็นเพียงกายหยาบธรรมดา มิอาจต้านทานอาคมร้ายแรงใดๆ โชคยังดีอยู่บ้างที่ก่อนหน้านี้ได้ฟื้นฟูแก่นพลังชีวิตด้วยดอกพราวแสง จึงพอให้ฝืนทนได้อยู่บ้าง

          ในเวลานี้เองจึงสัมผัสถึงมือที่สั่นไหว ไป๋เซ่อเงยหน้ามองบุรุษอีกผู้หนึ่งที่กุมมือข้างหนึ่งเขาไว้แน่น ดูว่าชายหนุ่มก็มีสีหน้ากระวนกระวายไม่แพ้กัน “พวกเจ้าต้องเชื่อใจข้า ฉะนั้นรีบช่วยหงลิ่ว เร็ว!”

          น้ำเสียงหนักแน่นดังพร้อมกับที่ร่างเล็กประคองงูตัวจ้อยยื่นส่ง หงเว่ยรับร่างน้องชายที่มักเจื้อยแจ้วไม่หยุด ก่อนจะสังเกตเห็นจี้หยกประจำตระกูลที่แตกเป็นเสี้ยวซึ่งเจ้าตัวขดตัวกอดไว้ไม่ปล่อย ยังดีที่สิ่งนี้มีพลังคุ้มครองกาย ทำให้หงลิ่วมิสูญสลายในทันทีที่ถูกม้วนเข้าสู่คลื่นอาคม

          ว่าแล้วมือก็รีบป้อนดอกพราวแสงกลีบสุดท้ายให้กับหงลิ่ว ไม่นานนักร่างอสรพิษสีดำก็กลับกลายเป็นร่างเด็กหนุ่มที่นอนสลบไสล หงเว่ยรีบพยุงตัวน้องชายให้นั่ง จากนั้นรวบรวมพลังบำเพ็ญเพียรแล้วส่งฝ่ามือทั้งสองเข้าที่กลางหลังอีกฝ่าย

          แต่แล้วดาบไม้ทั้งสี่เล่มซึ่งเปี่ยมด้วยพลังปราณกลับฉวยพุ่งตรงไปที่หลังของบุรุษชุดดำ ทว่าคมดาบยังมิทันสัมผัสถึง สตรีในชุดแดงก็คว้ากระบี่กระโจนเข้าไปฟาดฟันจนดาบไม้หักเป็นสองท่อน

          เย่วเซียงทันเห็นการกระทำอันต่ำช้าจึงเข้าขัดขวางไว้ นางใช้น้ำเสียงขุ่นเคืองกล่าว “ฉวยโอกาสเช่นนี้มิใช่วิสัยของผู้ละซึ่งทางโลก” จะอย่างไรหงเว่ยและหงลิ่วก็ถือเป็นผู้มีพระคุณของนาง จุงมิอาจทนเห็นเขาถูกลอบทำร้ายได้

          “พวกเราเหล่านักพรตมีหน้าที่ต้องขจัดเหล่ามารปีศาจร้าย นี่ถือเป็นคุณธรรม หาได้กระทำผิดแต่อย่างใด” หนึ่งในนักพรตเอ่ยตะโกนเถียงข้างๆคู

          “ช่างเป็นนักพรตที่ชั่วช้าสามานย์นัก” หงเว่ยที่กำลังใช้สมาธิถ่ายเทพลังให้กับหงลิ่วถึงกับตาเขียวปัด

          ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องเอ่ยปราม “หงเว่ย เจ้าดูแลรักษาหงลิ่วไป เย่วเซียงเจ้าเองก็เช่นกัน ตรงนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ข้า” กล่าวจบก็ผุดรอยยิ้มเหี้ยมที่เสมือนมิมีให้กับกลุ่มคนชุดขาวมอมแมมไม่น่าดู

          ทำเอานักพรตเต้าเหยียนสะดุ้งเฮือกคราหนึ่ง คล้ายรอยแผลที่เคยถูกชายหนุ่มผู้นี้โบยตีจนหายสนิทพลันเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

          ฝ่ายไป๋เซ่อได้ฟังน้ำเสียงของรัชทายาทหนุ่มก็พลันรับรู้ว่าด้านมืดของอีกฝ่ายกำลังจะเผยตัวในไม่ช้าแล้ว เขาฉีกยิ้มแฉ่งกล่าวเสริม “ดีๆ ตบปากเจ้าแก่ปากมากพวกนี้ให้ข้าด้วย”

          ครานี้ถึงทีรัชทายาทเช่นเขาวางอำนาจบาตรใหญ่แล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ประคองร่างไป๋เซ่อขึ้น จากนั้นหยัดยืนขึ้นเผชิญหน้ากับนักพรตทั้งสี่ แลไม่นานก็สังเกตเห็นบางสิ่งรอบๆด้าน

          “พวกเจ้าช่างมาได้จังหวะ ดี ดียิ่งนัก”

          บุรุษรูปงามซึ่งแผ่รังสีรอบกายไม่ธรรมดาแค่นเสียง พวกนักพรตต่างฟังแล้วก็ต้องงุนงงยกใหญ่ พริบตานั้นฝีเท้านับยี่สิบสามสิบคู่ก็ก้าวเข้ามาพร้อมคุกเข่า เอ่ยเป็นเสียงดังก้อง

          “น้อมรับพระบัญชา องค์รัชทายาท” กลุ่มผู้มาใหม่แต่งกายด้วยชุดดำปักด้วยกิเลนสีแดงกลางหน้าอก ใบหน้าสวมใส่หน้ากากที่ทำขึ้นเฉพาะ ให้กลิ่นอายที่ดูน่าเกรงขามและน่ากลัวในเพลาเดียวกัน

          ขณะนี้กลุ่มคนลึกลับต่างยืนโอบล้อมไปทั่วทุกสารทิศ บรรดานักพรตล้วนชมดูกันจนแตกตื่น เหงื่อแตกพลั่ก ดูว่าพวกเขาล่วงเกินทายาทมังกรสวรรค์ ต่อให้พวกเขามีปีกบินหนี ก็เกรงว่าครั้งนี้จะรอดได้ยากแล้ว

          ผู้มาใหม่ย่อมเป็นใครอื่นอีกไม่ได้นอกจากองครักษ์เงา ดังนั้นซวนหยวนหมิงไท่จึงเริ่มออกคำสั่ง “จัดการให้พวกเขาให้สงบปากสงบคำ พ่นถึงคุณธรรมจอมปลอม ตัดสินผู้ใดเลวร้ายเสียที”

          “รับพระบัญชา”

          สิ้นเสียงนายเหนือหัว เหล่าองครักษ์เงาก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สะเทือนไปทั่วพื้นดิน ก้าวย่างสามขุมไปหาคนทั้งสี่ที่ยังคงยืนตะลึงลาน แลไม่นานก็ปรากฏเสียงดังตุบตับไปพร้อมๆกับเสียงร้องโอดโอยราวหมูถูกเชือด กระทั่งผ่านพ้นไปหนึ่งเค่อเหตุการณ์ทั้งหมดก็ถือว่าเสร็จสิ้น...เหลือเพียงคนผู้นั้น

          ซวนหยวนหมิงไท่คิดแล้วก็หันไปที่ทิศทางหนึ่ง ดูว่าฟากฟ้าเหนือเรือนอักษรในยามนี้กลับมีกลุ่มควันและเปลวเพลิงลุกโชนขนาดใหญ่ เขานิ่งมองอยู่สักพักก็ถอนหายใจยาว เอ่ยกับผู้นำกลุ่มองครักษ์เงา

          “ส่งข่าวไปยังเมืองหลวง ตวนผิงซางอ๋องสิ้นแล้ว”


 

******************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 18.2 แยกจาก 04/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 04-05-2016 22:37:20
บทที่ 18.2 แยกจาก

 

          ยามเช้ามาเยือนพร้อมกับฝนเม็ดใหญ่ ชั่วพริบตาเดียวก็ดับไฟแค้นที่มอดไหม้มิให้เหลือสิ่งใดเว้นเพียงเศษซากธุลี ชาวเมืองเหลียวตงค่อนข้างจะตกใจเมื่อเห็นควันดำที่ลอยออกมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่

          ด้านทหารองครักษ์คนสนิทของตวนผิงซางอ๋อง เมื่อพบว่าผู้เป็นนายเสียชีวิตแล้วก็พากันกลืนยาพิษตายตามไป หลงเหลือเพียงทหารที่มิได้มีส่วนรู้เห็น จวนอ๋องจึงพลันตกอยู่ในสภาวะวุ่นวายเมื่อขาดผู้นำ และเพราะเป็นเช่นนี้จึงคาดว่าอีกไม่กี่ชั่วยาม ข่าวการตายขุนศึกผู้ปกครองเมืองเหลียวตงจะเป็นที่รับทราบแก่ชาวเมือง

          ขณะนี้รถม้าคันใหญ่ได้เคลื่อนที่ออกจากทางประตูหลังของจวนอย่างเงียบเชียบ การมาและจากไปขององค์รัชทายาทต้องปิดเป็นความลับ ดังนั้นเรื่องราวหลังจากนี้ไปได้แต่รอให้ทางราชสำนักเข้าจัดการต่อ

          แลที่พักใหม่ที่องครักษ์เงาจัดหาให้นั้น เป็นเพียงโรงเตี๊ยมเล็กๆท้ายเมืองที่ดูไม่สะดุดตากระไร ทั้งมีบรรยากาศเงียบสงบแตกต่างจากโรงเตี๊ยมในเมืองที่ค่อนข้างครึกครื้น เหมาะสำหรับพวกเขาที่ต้องการพักฟื้นเป็นอย่างยิ่ง

          นี่ก็ผ่านไปสองวันแล้ว ทว่าหงลิ่วยังคงนอนมิได้สติอยู่บนเตียง หงเว่ยเองก็นั่งเฝ้าน้องชายอยู่ไม่ห่าง เมื่อรู้เช่นนั้นร่างเล็กก็อาสานำอาหารเข้าไปในห้อง “หงเว่ย หงลิ่วเป็นเช่นไรบ้าง”

          “ร่างกายของหงลิ่วดีขึ้นมากแล้ว”

          “เช่นนั้นทำไมเขาถึงยังไม่ฟื้น” ไป๋เซ่อแย้ง สีหน้าเคร่งเครียด นี่เป็นเขาดูแลปกป้องหงลิ่วไม่ดีเอง

          หงเว่ยคล้ายรับรู้ว่าร่างเล็กกำลังโทษตัวเองก็เอ่ยเสียงอ่อน “ไป่ไป๋ อย่าได้โดนเจ้าเด็กจอมอู้ผู้นี้หลอกให้ เขาขี้เซากว่าใครในบรรดาพี่น้อง”

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ยิ้มออกแล้ว “เช่นนั้นเจ้าก็กินสักหน่อยเถอะ”เขาวางชามบะหมี่กับจานซาลาเปาที่โต๊ะกลม

          ฝ่ายหงเว่ยก็ยอมลุกออกจากข้างเตียงแล้วเดินไปที่โต๊ะซึ่งมีอาหารส่งควันฉุย ครั้นนั่งลงแล้วก็คล้ายคิดอันใดอยู่ สักพักจึงตัดสินใจกล่าว “พรุ่งนี้เช้า ข้า...จะพาหงลิ่วกลับไปที่หุบเขาสั่วซี”

          “หือ กะทันหันถึงเพียงนี้” ไป๋เซ่อเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ

          “ที่นั่นเป็นถิ่นกำเนิดของเหล่าอสรพิษเกร็ดดำ หากเป็นที่นั่นหงลิ่วจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” หงเว่ยอธิบายจบก็หลุบตาลงทำท่ากระมิดกระเมี้ยนแล้วกล่าวต่อ “ไป่ไป๋ เจ้ายินดีจะไปกับข้ารึไม่ ข้าแน่ใจว่าระหว่างนั้นจะต้องหาวิธีทำลายเวทย์สะกดพลังในตัวเจ้าได้แน่” พูดจบก็เงยหน้ามองร่างเล็กด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหวัง แต่กระนั้นประตูกลับเปิดผึง พร้อมกับมีเสียงทุ้มเอ่ยขัด

          “ไป๋เซ่อ จำต้องกลับเมืองหลวง ที่นั่นมีผู้ที่สามารถคลายมนตร์สะกดพลังให้แก่เขาได้” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบแทนร่างเล็ก น้ำเสียงมีโทนหึวหวงอยู่น้อยๆ เขาก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับของสิ่งหนึ่งในมือ

          “เจ้าแน่ใจ?” หงเว่ยมองบุรุษผู้มาใหม่ตาขวาง ก่อนจะหันไปหาไป๋เซ่อด้วยต้องการคำตอบ

          “หงเว่ย ข้าจะกลับไปที่เมืองหลวง แต่เจ้ามิต้องเป็นห่วงไป หากท่านผู้นั้นมิอาจคลายมนตร์สะกดได้ ในโลกหล้านี้ก็ย่อมไม่มีใครกระทำได้อีก” ไป๋เซ่อยิ้มกล่าวอย่างมั่นใจ กายหยาบนี้คงอยู่ได้อีกเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น แต่กระนั้นเขาก็มิได้กังวลกับมันมากสักเท่าไหร่ ทั้งยังดีใจที่จะได้กลับไปหาท่านผู้นั้นโดยเร็ว

          เมื่อร่างเล็กยืนยันเช่นนั้นสีหน้าของหงเว่ยก็สลดลงเล็กน้อย แลไม่นานม้วนไม้ไผ่เก่าๆม้วนหนึ่งก็วางบนโต๊ะ จากนั้นถูกส่งมาให้เขา

          “นี่เป็นของที่คนของข้ายึดมาจากพวกตาเฒ่านักพรต ถือเป็นการตอบแทนเจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวจบก็เทชาร้อนลงบนถ้วย จากนั้นยกขึ้นดื่มเงียบๆ

          ร่างแกร่งรับมาแล้วก็คลี่ออกดู เขาไล่สายตาไปไม่กี่ครั้ง สีหน้าก็พลันฉาบทับด้วยโทสะ ต้องกำหมัดทุบโต๊ะอย่างแรง “บัดซบ เพียงแค่คำทำนายไร้สาระ กลับคร่าชีวิตพวกเราไปตั้งมากมาย ทั้งยังทำให้เสี่ยวอวิ๋นต้องประสบเคราะห์กรรม”

          หงเว่ยสบถ ไม่ว่าจะวงศ์วานเกร็ดดำหรือเกล็ดหิมะ ล้วนแล้วแต่จิตใจบริสุทธิ์ รักสงบ มิทำร้ายมนุษย์หรือแม้แต่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก ทั้งนี้มีแต่พวกเขาที่ถูกระรานฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผล

          ฉับพลันนั้นม้วนไม้ไผ่ในมือก็บังเกิดเป็นไฟสีม่วงลามเลีย ไป๋เซ่อรับฟังหงเว่ยอย่างเงียบๆ ก่อนหน้านี้เขาได้อ่านบันทึกม้วนนี้แล้ว ตอนนี้จึงได้แต่จับจ้องมองบันทึกที่ค่อยกลายเป็นเถ้าถ่าน ก่อนที่มันจะลอยละล่องไปกับสายลมที่นอกหน้าต่าง พลางนึกคิดในใจ...

          ต่อไปนี้ผู้บริสุทธิ์ก็คงจะไม่ต้องรับเคราะห์อีก ดียิ่งนัก

          ตามบันทึกของบรรพชนสำนักปราบมารได้บันทึกไว้ มีเนื้อหาบอกเล่ากันว่า ในค่ำคืนที่ท้องฟ้าปั่นป่วน ผู้ก่อตั้งสำนักนามเถียนคง ได้ทอดมองฟากฟ้าแล้วจึงพิเคราะห์ว่าโลกมนุษย์จะกำเนิดเภทภัย ปีศาจร้ายจะออกอาละวาด จึงสั่งศิษย์ทั้งห้าให้ลงเขา สืบเสาะปีศาจร้ายที่มีเค้าอันตราย

          จนวันหนึ่งได้พบอสรพิษเกร็ดดำและอสรพิษเกร็ดหิมะ ด้วยความที่มีขนาดใหญ่ อิทธิฤทธิ์สูงส่งยากต่อกร นักพรตเถียนคงทำนายนิ้วเพียงครั้งก็กล่าวว่าปีศาจร้ายเหล่านี้เป็นภัยแก่มวลมนุษย์ หากทั้งสองวงศ์วานร่วมมือกัน ทั่วหล้าย่อมลุกเป็นไฟ เด็กเล็กมิอาจหลับนอนได้อีก จำต้องกำจัดให้สิ้นซาก

          เกิดเป็นการต่อสู้ระหว่างนักพรตกับปีศาจ ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย สุดท้ายนักพรตเถียนคงตัดสินใจเก็บตัวหาวิธีอยู่เนิ่นนานก็สามารถคิดค้นอาคมที่จะใช้กำจัดปีศาจชั่วร้ายนี้ได้ นับตั้งแต่นั้นมาเหล่าอสรพิษเกร็ดดำและอสรพิษเกร็ดหิมะจึงลาหายไปจากโลกใบนี้


 

******************************************************

 

          จันทรายามค่ำคืนเปล่งแสงนวลผ่อง ดูว่าวันหนึ่งช่างผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รัชทายาทหนุ่มปรึกษาหารือกับองครักษ์เงาเรื่องเดินทางกลับเมืองหลวงอยู่ด้านในนั้น ไป๋เซ่อที่กินอิ่มหนำสำราญก็ออกไปเดินเล่นรอบๆโรงเตี๊ยม

          ออกเดินไปสักพักก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดาวสุกสว่าง จวบจนสะดุดตาเข้ากับชายเสื้อที่มีสีม่วงอมดำที่บนหลังคาโรงเตี๊ยม ไป๋เซ่อหรี่ตามองซ้ายขวา จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปนั่งข้างๆอีกฝ่าย

          “เจ้าทำกระไรอยู่ หงเว่ย”

          “ไม่มีกระไร แค่คิดว่าพ้นคืนนี้ไปแล้ว จะได้พบหน้าเจ้าอีกเมื่อใดกัน” หงเว่ยตอบแล้วยิ้มปนเศร้า หากเป็นไปได้ก็มิอยากคลาดสายตาจากร่างเล็กไปอีก แต่กระนั้นตนก็ยังมีหน้าที่คุ้มครองคนในตระกูลหง

          ได้ฟังแล้วไป๋เซ่อก็แค่นหัวเราะ “หากอยากพบก็ไปหาข้าที่เมืองหลวง อสรพิษที่ร้ายกาจดุดันเช่นเจ้าคงหาข้าพบได้ไม่ยาก ฮา”

          หงเว่ยเห็นดวงหน้าที่ยิ้มแฉ่งให้ใบหน้าก็พลันแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย แต่ชั่วประเดี๋ยวก็ต้องคับแค้นใจที่ตนสนทนาไม่เก่ง ได้แต่มองไป๋เซ่อที่แผ่นอนดูดวงดาราบนฟ้าอยู่แบบนั้น

          “นี่ หงเว่ย เสี่ยวอวิ๋นที่เจ้ากล่าวถึงเป็นใครกัน” น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้แค่ได้ฟังชื่อ ไป๋เซ่อก็รู้สึกถูกชะตาแล้ว ดังนั้นจึงอดถามขึ้นเรื่อยเปื่อยมิได้

          “เขา...เป็นคู่หมั้นของข้า” พูดถึงตรงนี้ดวงตาสีม่วงอมดำก็เปล่งกายสดใส ริมฝีปากเอ่ยเจื้อยแจ้วผิดวิสัยโดยไม่รู้ตัว       

          “ครั้งแรกที่ข้าพบเขา เขายังมิได้ลืมตาดูโลกเสียด้วยซ้ำ ข้าจำได้ว่าตอนข้าอายุครบสามร้อยปี ดวงตาคู่นี้ก็สามารถเบิกเนตรได้แล้ว วันนั้นท่านพ่อพาข้าไปพบจ้าวอสรพิษเกร็ดหิมะทางทิศเหนือ คนที่ข้าพบเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ดูงดงามเหมาะสมกันยิ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็พาข้าและท่านพ่อเข้าไปในถ้ำพำนัก ที่ซึ่งปกปักษ์รักษาไข่ก้อนรีๆอยู่ใบหนึ่ง

          ยามนั้นท่านพ่อถามข้าว่าชอบรึไม่ ตอนนั้นข้ายังมิได้ตอบ เพียงเห็นคู่สามีภรรยาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ข้าจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆไข่ใบนั้น ในดวงตาข้าเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่หัวใจกำลังเต้นแรงเป็นจังหวะ เขาซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกบางๆ กำลังหลับตาพริ้มส่งรอยยิ้มที่ดูโง่งม

          แม้กายของเขาจะเริ่มมีเกร็ดสีขาวขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังดูนุ่มนิ่มชวนให้น่าสัมผัส พอข้านาบฝ่ามือของข้าลงแนบกับเปลือกบาง จู่ๆหางของเขาก็สะบัดฟัดเหวี่ยงไปมาอย่างเจ้าอารมณ์ นึกถึงตอนนั้นแล้ว อา ช่างน่ารักจริง ราวกับเขากำลังตอบรับข้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น ณ เพลานั้นข้าถึงได้เข้าใจ เข้าใจว่าที่สวรรค์ให้ข้าถือกำเนิด นั่นเป็นเพราะต้องการให้ข้าดูแลเขานั่นเอง”

          พูดไปหงเว่ยก็ส่งยิ้มที่มิค่อยได้พบเห็นนัก หากแต่ไป๋เซ่อทั้งรับฟังแลสังเกตรอยยิ้มดังกล่าวแล้วก็อดที่จะขนลุกเกรียวมิได้

          คนผู้นี้ออกจะโรคจิตไปหน่อยกระมัง ไฉนจึงเล่าออกมาได้น่าประหลาดเช่นนี้ ยังมีเด็กตนนั้นที่ฟาดหางไปมา มิใช่ต้องการบอกหรือว่า...อย่ามากวนข้านอนนะ เขาคาดเดาความคิดแทนเจ้างูน้อยตัวดังกล่าว รอจนหงเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็ถามต่อ “แล้วต่อจากนั้น?”

          “หลังจากนั้นเขากลับถูกพวกนักพรตเลวร้ายใช้คลื่นอาคมสังหารตั้งแต่ที่ยังมิได้ลืมตาดูโลก” หงเว่ยกล่าวจบดวงตาก็ปรากฏแววเคียดแค้น “วันนั้นพวกมันเจรจากับจ้าวอสรพิษเกร็ดหิมะเพื่อขอสงบศึก แต่แล้วในคืนนั้นพวกมันกลับตระบัดสัตย์ลอบใช้คลื่นอาคม ทำให้พวกเขาทั้งครอบครัวต้องสาบสูญ”

          ฟังถึงตรงนี้ไป๋เซ่อก็ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของนักพรตเหล่านั้น “เช่นนั้นพวกเจ้าทำอย่างไรต่อ” จากบันทึกเก่าแก่ของพวกนักพรตได้บันทึกไว้ว่า นอกจากอสรพิษเกร็ดหิมะตายจาก ชะตาของอสรพิษเกร็ดดำก็มิต่างกัน

          “เป็นบิดาข้าสร้างภาพลวงตาว่าพวกเราทุกคนถูกพวกมันสังหาร จากนั้นจึงสั่งให้บรรดาพี่น้องลี้ภัย จากนั้นมาพวกเราก็เก็บตัวตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่เนิ่นนานหลายร้อยปี พวกมันจึงคิดว่าสามารถกำจัดพวกเราจนหมดแล้ว” หงเว่ยตอบ

          ครานี้ไป๋เซ่อเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่หมองเศร้าจากร่างแกร่ง จึงให้รู้สึกผิดอยู่บ้าง ดังนั้นจึงแสร้งเปลี่ยนเรื่องคุย “หงเว่ย ฟังจากหงลิ่วแล้ว พวกเจ้าล้วนมีพี่น้องมากมาย”

          “อืม ไม่น้อยจริงๆ” คล้ายนึกถึงความหลังหงเว่ยจึงเลื่อนลอยอยู่บ้าง “หงเอ้อร์ เป็นคนใจดีและใจอ่อนที่สุดในหมู่พี่น้อง หงซาน กลับเป็นคนใจร้อน โผงผาง แต่ก็กล้าหาญยิ่ง หงซื่อ โดดเด่น ชมชอบเสียงดนตรี ทั้งเสียสละมากกว่าใคร หงอู่ งดงาม อ่อนโยน ให้ความรู้สึกดั่งสายน้ำ ส่วนหงลิ่ว กลับเป็นเจ้าลิงน้อยที่วุ่นวายที่สุด”

          ฟังแล้วไป๋เซ่อก็พลันอยากมีพี่น้องเป็นของตัวเองบ้าง หากแต่เขาเกิดมาตัวคนเดียว หากมิได้ท่านมหาเทพช่วยชีวิตไว้ ไม่แน่ว่าตนเองจะมีวันนี้ “เช่นนั้นครอบครัวของเจ้าคงคึกครื้นไม่น้อย”

          “ใช่ คึกครื้นเป็นอย่างมาก” หงเว่ยตอบสั้นๆ หากแต่ก็มิได้กล่าวถึงส่วนที่เหลือด้วยกลัวว่าไป๋เซ่อจะหดหู่

          ในอดีตที่ผ่านมาหงเอ้อร์ได้แอบช่วยเหลือนักพรตใกล้ตายคนหนึ่ง แต่ภายหลังกลับถูกลอบทำร้ายเพื่อช่วงชิงตบะจนตาย ครั้นหงซานรู้เข้าก็เสียสติบุกเข้าทำร้ายนักพรตคนดังกล่าว สุดท้ายต้องเข้าสู่ทางมาร แลจากนั้นมาเจ้าตัวก็ไม่กลับไปเหยียบที่หุบเขาสั่วซีอีก

          ฝ่ายหงซื่อกลับน่าคับแค้นใจที่สุด เขาออกเผชิญโลกหล้าตามลำพังจนตกหลุมรักบัณฑิตจนๆผู้หนึ่ง ครั้นพวกเขาแต่งงานกันได้ไม่นานในหมู่บ้านก็เกิดโรคระบาด สามีพลอยติดโรค หงซื่อจึงยอมแบ่งพลังชีวิตให้ เป็นเหตุให้นักพรตที่เข้าช่วยเหลือชาวบ้านในยามนั้นเปิดโปงว่าเป็นปีศาจ

          บัณฑิตผู้นั้นด้วยความรู้สึกกลัวจึงปล่อยให้นักพรตจับตัวหงซื่อไปขังไว้ในเจดีย์สลายวิญญาณ ครั้นภายหลังบัณฑิตผู้นั้นเกิดละอาย ออกดั้นด้นตามหาเขา แต่กว่าเขาจะรุดไปช่วย กลับกลายเป็นว่าหงซื่อกลับสิ้นจิตวิญญาณไปแล้ว

          ทุกเรื่องราวเหล่านี้ทำให้หงเว่ยโกรธแค้นแทบอยากจะฉีกทึ้งร่างนักพรตเหล่านั้นออกเป็นชิ้นๆแล้วทำลายให้สิ้นซาก หากแต่คำสัตย์สาบานที่มีต่อบิดายังคงฝังอยู่ในใจ จึงมิอาจกระทำอย่างที่ใจต้องการ ดังนั้นจึงเหลือเพียงหงอู่ที่แต่งงานกับชาวนาธรรมดาผู้หนึ่ง แล้วใช้ชีวิตทำไร่ไถนาอย่างมีความสุข กับหงลิ่วที่ยังไม่ประสีประสากับโลกภายนอก

          “นี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าไปนอนดีกว่า” ไป๋เซ่อหาวหวอดๆเสร็จก็ยันตัวลุกขึ้น กล่าวอำลาหงเว่ยแล้วกระโดดลงจากหลังคาไป

          หงเว่ยเองก็กล่าวอำลาเบาๆทิ้งท้ายไล่หลังไวๆของร่างเล็ก “แล้วข้าจะไปหาเจ้า เสี่ยวอวิ๋น”

          อีกทางด้านหนึ่งในที่ประชุมของรัชทายาทหนุ่ม บัดนี้กลับไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยอันใด เนื่องเพราะผู้เป็นนายห้ามเสียงคนทั้งหมดไว้ ก่อนจะมีสีหน้าอึมครึมประการหนึ่ง

          ลอบฟังเสียงบทสนทนาที่พูดคุยอย่างเบาเบื้องบนหลังคาแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็คล้ายพบเจอเรื่องหนักใจอีกประการหนึ่ง เขาพึมพำเสียงเบาจนเหล่าองครักษ์เงาต้องทำสีหน้างุนงง

          “ที่แท้เจ้าก็เคยหมั้นหมายกับเขา”

          เช้าวันต่อมา รถม้าที่จัดเตรียมเสบียงและคนส่วนหนึ่งก็พร้อมรอที่หน้าโรงเตี๊ยมท้ายเมือง เสิ่นอันหวางและคนของเขาก็แวะมารอส่งคนไปยังเมืองหลวง ด้านหงเว่ยและหงลิ่วก็จากไปแต่เช้าตรู่ เหลือเพียงสตรีอีกผู้หนึ่งที่มีสีหน้าโศกเศร้า

          “องค์รัชทายาท เสี่ยวไป๋ พบกันใหม่คราหน้า” เสิ่นอันหวางยิ้มแย้ม ทั้งไม่ลืมหลิ่วตาให้คนงามที่ฉีกยิ้มแฉ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะขึ้นรถม้าไป ดูว่าครั้งนี้เขาตัดสินใจไม่ผิดนัก เมื่อโชคหล่นทับจากผู้ตรวจราชการกลับกลายเป็นองค์รัชทายาท เห็นทีตระกูลเสิ่นในยุคของเขาต้องรุ่งเรืองเป็นแน่

          “คุณชายหมิง” ครั้นเห็นบุรุษที่เป็นดั่งแสงตะวันหันหลังไปแล้ว เย่วเซียงก็ร้องเรียกเอาไว้

          ด้านซวนหยวนหมิงไท่ก็ชะงักตัวหยุดกึก แต่ทั้งนี้กลับมิได้หันกลับไปมองนาง ทว่าเพียงแค่นี้เย่วเซียงก็ตระหนักแล้ว หัวใจของเขานางมิอาจเอื้อมไปถึง แม้ตอนแรกคิดใคร่ขอติดตามไปด้วย หากแต่ตอนนี้นางตัดสินใจแล้ว

          “ลาก่อน” นางเอ่ยสั้นๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยักหน้าให้แล้วก้าวขึ้นรถม้าไป จากไปยังสถานที่ที่นางไม่รู้จัก แม้นน้ำตาสายหนึ่งจะหยดลงแนบแก้ม แต่ความรู้สึกรักนี้ นางจะไม่มีวันลืมเลือน

          “แม่นางอย่าได้เสียใจ ความรักเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งของมนุษย์เช่นพวกเรา เเต่ทว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ ไยไม่ติดตามขบวนของเราไปเปิดหูเปิดตา รับรองว่าทุกที่ที่ขบวนผู้แซ่เสิ่นผ่านไปย่อมมีแต่ความสุข” เสิ่นอันหวางกล่าวแล้วยิ้มให้สตรีผู้มีเส้นผมสีเงินงดงาม นางเองก็มองเขาด้วยสายตางงงันอยู่บ้าง ก่อนที่จะยินยอมพยักหน้าตกลง


 

******************************************************

 

          บทนี้จบเเบบเศร้านิดๆเเต่มีความสุขรออยู่ข้างหน้า ช่วงก่อนหน้านี้หลายคนคงหมั่นไส้เย่วเซียงอยู่บ้าง อันนี้รวมถึงไรท์เองด้วย เเต่หมั่นไส้นิดๆนะ 55555 ความจริงเย่วเซียงก็น่าสงสารน้า ยังไม่ทันเริ่มความรักก็หลุดลอยไปเเล้ว เเต่พื้นเพนิสัยนางเป็นคนดี ยังยอมรับความจริง มิดื้อดึงเป็นมือที่สาม

          ส่วนใครรอหงเว่ย เฮียเเกจากไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับมา ความจริงหงเว่ยค่อนข้างผ่านความทุกข์มาเยอะมาก ไรท์เเค้นเเทนด้วย เรื่องพี่น้องเฮีย อย่างหงซื่อนี้เค้าเอาเค้าโครงมาจากภาพยนตร์เรื่องงูขาว จำชื่อเต็มไม่ได้ เเต่รู้ว่าเกลียดนักพรตอ่ะ เเยกคู่รัก ยึดมั่นเเต่ความคิดตนว่าถูกต้องที่สุด ดังนั้นในนิยายเรื่องนี้ นักพรตดวงซวยตลอดจ้าาาา

          อนึ่ง เรียงลำดับพี่น้องตระกูลหง : หงเว่ย หงเอ้อร์ หงซาน หงซื่อ หงอู่ หงลิ่ว (1-6)

          แต่งไปเเต่งมาเนื้อเรื่องเกินครึ่งเรื่องเเล้ว เย้ๆ
     

             
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 18 แยกทาง 04/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 13-05-2016 00:22:55
ตอนแรกก็ขำตอนหงเว่ยพร่ำเพ้อ แบบว่า เห็นเงียบๆที่จริงก็พูดมากใช่ย่อยนะ :laugh:
แต่พอเล่าถึงพี่น้องตัวเองปุ๊บ อารมณ์เปลี่ยนแทบไม่ทัน ทำไมถึงได้หดหู่ขนาดนี้ล่ะ
ชีวิตนายช่างเศร้าเหลือเกินนนนน พระรองงงงงงงง //โดนโบก
ส่วนเยว่เซียง ที่จริงก็ไม่ได้อะไรกะนางหรอก นางน่าสงสารด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นคนดีที่สุดท้ายตัวเองก็ยอมตัดใจ ขอคู่ให้นางด้วยยย ชีวิตเศร้าเกินไปละ :hao5:

 :L1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 19.1 ตัวปลอม 13/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 13-05-2016 20:39:57
บทที่ 19.1 ตัวปลอม

 

          ค่ำคืนที่ท้องฟ้าส่งเสียงดังกึกก้องเป็นระยะๆ ด้านนอกห้องหับมีเม็ดฝนทิ้งตัวไม่ขาดสาย บุรุษอายุราวสี่สิบกว่าปีผู้หนึ่งสวมใส่ชุดลำลองเรียบง่ายกำลังนั่งเดินหมากอยู่เพียงลำพัง เพลานี้สีหน้าของเขาดูครุ่นคิดหนักใจ ต่อเมื่อวางหมากบนกระดานแล้วสีหน้าจึงคลายลงบ้าง

          “นายท่าน”

          กระทั่งเสียงเรียกหนึ่งขัดจังหวะ คนที่นั่งเล่นหมากรุกก็ชะงักมือที่ถือหมากสีดำไว้ หากแต่สายตากลับมิได้แม้แต่เหลือบแลผู้มาใหม่ ยังคงมองไปที่หมากสีขาวตัวหนึ่งบนกระดานที่แน่นขนัด

          ร่างที่ก้าวเข้ามาสวมใส่ชุดสีน้ำตาลนั้นเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน เขาหยุดตัวตรงเบื้องหน้าบุรุษผู้ภูมิฐานแล้วจึงเอ่ย “สายของเรายืนยันว่าตวนผิงซางอ๋องสิ้นแล้วจริงๆ นอกจากนี้ยังพบบุรุษที่คล้ายองค์รัชทายาทปรากฏตัวขึ้นที่เหอหนานเมื่อสามวันก่อน”

          เพล้ง

          “บัดซบ เช่นนั้นบุคคลที่แม่ทัพเซียวเชิญเสด็จไปที่ท้องพระโรงเป็นผู้ใดกัน” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวดังขึ้น พร้อมกับถ้วยชาที่ถูกปัดตกจากโต๊ะ มันแตกละเอียดโดยที่ยังทิ้งควันร้อน

          ผู้มาใหม่มองดูผู้ที่ตวาดหอบหายใจกระชั้นก็ตอบเสียงอึกอัก “เรื่องนี้ ข้าน้อยเองก็...มิทราบ”

          “ช่างเถิด ลู่เหวิน ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะให้คำตอบแก่ข้าได้” ครานี้จากเสียงตวาดกลับกลายเป็นเสียงเรียบ ผู้เป็นนายนั่งกุมขมับหลับตาลง ขบคิดถึงความเป็นไปได้ “หากข้าเดาไม่ผิด นี่เป็นแผนถ่วงเวลา ต่อให้รัชทายาทเสด็จไปพักผ่อนที่เขาหวงซานจริงก็ไม่มีทางกลับถึงเมืองหลวง ติดต่อกับแม่ทัพใหญ่เซียวได้ทันการ”

          นี่เป็นเพราะเมืองหลวงในสามวันที่ผ่านมาต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังเกิดขึ้นรวดเร็วโดยที่มิมีใครตั้งตัว เมื่อจู่ๆซวนหยวนหมิงจงฮ่องเต้ก็เสด็จสวรรคตกะทันหัน องค์รัชทายาทเองก็มิได้พำนักอยู่ในวัง ฮองเฮาเซิงซึ่งรับรู้ข่าวเป็นบุคคลแรกๆ จึงถือโอกาสสั่งให้คนของตระกูลตระเตรียมการก่อกบฏ ยึดอำนาจโอรสสวรรค์ เคลื่อนกำลังพลเข้าสู่วังหลวงในกลางดึก

          ทว่าทหารตระกูลเซิงยังมิทันจะบุกยึดตำหนักใดได้ กลับถูกทหารในสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาวของแม่ทัพใหญ่เซียวเข้ากวาดล้าง ท้ายที่สุดฮองเฮาเซิงถูกกักบริเวณภายในตำหนัก แลในเช้าวันต่อมา ผู้เป็นแม่ทัพก็นำเสด็จองค์รัชทายาทเข้ารับพระราชโองการของอดีตฮ่องเต้ สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อไป

          “ยังดีที่นายท่านฉลาดเฉลียว ไตร่ตรองถี่ถ้วน มิผลีผลามผิดกับตระกูลเซิง” ลู่เหวินยิ้มกล่าว

          “ฮึ ฮึ เป็นตระกูลเซิงไม่เจียมตัว ประเมินกำลังขององค์รัชทายาทผิดไป ต่อให้ฮองเฮาเซิงยึดอำนาจได้แล้วอย่างไร ให้องค์ชายซวนหยวนหย่าเซิงที่เสียสติขึ้นครองราชย์กระนั้นหรือ สตรีโง่เขลาเช่นนาง ขอเพียงกลุ่มบัณฑิตในราชสำนักลงความมิเห็นชอบ นางก็มิอาจต้านทานได้ด้วยซ้ำ”

          กล่าวพลางลงหมากตัวต่อไปอย่างใจเย็น “ทว่าสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงก็คือ แม้แต่ตวนผิงซางอ๋องยังพ่ายแพ้ให้แก่องค์รัชทายาท อ๋องผู้นี้ยึดมั่นในเพลิงแค้นมากเกินไป จนเผาผลาญแม้กระทั่งตัวเอง แต่ก็ต้องถือว่าเขามิใช่หมากชั้นเลวเลยทีเดียว”

          “นายท่านหมายความเช่นไร”

          เห็นสีหน้าลูกน้องฉายแววสงสัย มุมปากก็พลันหยักยิ้มขึ้น “หากมิใช่เพราะตวนผิงซางอ๋องลงมือ ขัดขวางมิให้องค์รัชทายาทกลับมายังเมืองหลวง ตระกูลเซิงมิใจร้อนก่อกบฏ เจ้าคิดว่าพวกเราจะทราบถึงกำลังคนที่องค์รัชทายาทเตรียมพร้อมอยู่ในวังหลวงทุกสถานการณ์หรือ”

          “เช่นนั้นองค์รัชทายาทที่อยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่เซียว...”

          “ย่อมต้องเป็นตัวปลอม พวกเราติดตามทุกฝีก้าวขององค์รัชทายาท ไหนเลยจะถูกปั่นหัวได้ง่ายดาย”

          “หากเป็นอย่างที่นายท่านกล่าว เพลานี้หาได้มีใครทราบว่าบุคคลที่พำนักในวังหลวงเป็นองค์รัชทายาทตัวปลอม ขอเพียงสังหารองค์รัชทายาทตัวจริง นำร่างไร้วิญญาณเป็นข้อพิสูจน์ เช่นนี้ตัวปลอมก็จะหลอกตาผู้คนมิได้ แม่ทัพใหญ่เซียวก็จะต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูงกลายเป็นกบฏต่อแคว้นซวนหยวน”

          ลู่เหวินเสนอความเห็น ในมุมมองของเขาเห็นว่า ต่อให้คิดสังหารตัวปลอม ช่วงชิงอำนาจมานั้นมิใช่วิธีที่ง่ายนัก เนื่องเพราะขณะนี้อีกฝ่ายได้รับการคุ้มกันอย่างแม่ทัพใหญ่เซียว ยังมีองครักษ์ที่เดินกันให้ขวักไขว่ในวังหลวง ผิดกับองค์รัชทายาทตัวจริงที่ยังไม่รู้เรื่องราวทางด้านนอก

          “ความคิดของเจ้าแม้ไม่เลว แต่ข้าสิ่งที่ข้าต้องการมิใช่การยึดอำนาจ หากแต่เป็นอำนาจที่ชอบธรรมต่างหาก” กล่าวถึงตรงนี้ก็สังเกตเห็นสายฝนที่ด้านนอกเริ่มซาลงบ้างแล้ว แต่สีหน้าของลู่เหวินยังคงเค้างุนงงฉายอยู่ หากแต่ครานี้เขามิให้คำอธิบาย เพียงกล่าวถาม “คำนวณดูแล้วองค์รัชทายาทจะกลับถึงฉางอันเมื่อใด”

          “ยามนี้แม่ทัพใหญ่เซียวพึ่งจัดการกับกลุ่มกบฏแล้วเสร็จ เกรงว่าอีกสองวันข่าวการสวรรคตของอดีตฮ่องเต้จึงจะกระจายไปทั่วแคว้น ถึงตอนนั้นองค์รัชทายาทจะเสด็จมาถึงเมืองหลวงฉางอันภายในเวลาห้าวัน”

          “ดี” น้ำเสียงยินดีโพล่งออกมา “พรุ่งนี้เจ้าจงไปจัดการแจ้งคนเหล่านั้น ว่าให้ ‘ส่งคนมา' ทันที”

          “ขอรับนายท่าน” ลู่เหวินขานรับ ทว่าขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ นายท่านก็หยุดเขาไว้

          “ยังมีอีก” ครั้นอีกฝ่ายหันกลับมา เขาจึงเอ่ย “บอกนางให้เตรียมพร้อมเสีย ถึงเวลาของนางแล้ว”

          “ขอรับนายท่าน”

          คล้อยหลังบุรุษในอาภรณ์เปียกฝนจากไป เขาหันกลับไปประเมินมองหมากบนกระดานอีกครั้ง ดูว่าหมากสีขาวและดำต่างขับเคี่ยวสูสียากแก่การคาดเดาว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ จนกระทั่งเม็ดหมากสีดำถูกวางลงไปยังบริเวณหนึ่ง เสียงทุ้มที่แฝงความรื่นรมย์ก็ดังขึ้น

          “ต่อให้ท่านฉลาดเฉลียวเพียงใด ก็ไม่พ้นเป็นหมากในกระดานข้าอยู่ดี องค์รัชทายาท” กล่าวจบหมากสีขาวก็ถูกเขี่ยให้พ้นทาง เหลือเพียงหมากสีดำที่ยืนหยัดในท้ายที่สุด


 

**********************************************************

 

          ท้องฟ้าสีครามสว่างไสว เมฆหมอกเคลื่อนที่ไปตามสายลมเอื่อยเฉื่อย แมกไม้สีเขียวนำพาให้บรรยากาศทั้งเงียบสงบ ลำธารสีใสที่เต็มไปด้วยฝูงนกยวนยางคลอเคลีย

          ไม่ไกลออกไป ณ ลานกว้างแห่งหนึ่ง ร่างในชุดสีเขียวอ่อน หน้าผากคาดไว้ด้วยผ้าดิบสีดำตัดกับเส้นผมสีเทา กำลังนั่งยองๆ หลับตาพริ้มกอดไม้กวาดฝันหวาน รอจนปักษาบินผ่านส่งท่วงทำนองแหลมหูต่อเนื่อง เด็กหนุ่มก็เริ่มขยับตัวบิดขี้เกียจ

          ครั้นแอ่นอกเหยียดสองแขนไปจนสุดตัว ทัศนียภาพเบื้องหน้าจึงค่อยๆกระจ่างชัด ส่งผลให้คนงัวเงียก็ต้องเผยสีหน้าเหลอหลา ปากน้อยๆอ้ากว้าง ดวงตาสีฟ้าอมเขียวแทบจะถลนออกมา

          ที่นี่มันที่ไหนกัน มิใช่ว่าข้าอยู่ในป่าแร้นแค้น ได้แต่แทะไก่ป่าเนื้อเหนียวแห้งๆ หรอกหรือ

          ขณะที่ตกอยู่ภายใต้ความงุนงงอยู่นั้น ที่ปลายขากลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งสะกิดไม่หยุด ทำให้เขาต้องเบนหน้าลงมอง ก่อนจะพบนกเป็ดน้ำตัวอวบอ้วนใช้จะงอยปากจิกขาตนเอง

          “เฮ้ นี่เจ้าจิกขาอยู่นะ” เขาร้องบอกพลางยกขาหนี ยังผลให้เจ้าเป็ดน้ำน้อยหยุดการกระทำ เงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วส่งเสียงร้องบาดหู

          “แคว่ก แคว่ก แคว่ก”

          “โอ๊ย” แทบยกมือปิดหูมิทัน ดูว่าเจ้าเป็ดน้ำร่ำร้องออกมาชุดใหญ่ ประเดี๋ยวยกปีกชี้ไปทางโน้นทางนี้ ก่อนจะทำท่าคล้ายกลืนยาพิษลงคอ จากนั้นก้มหน้ามองพื้น สักพักจึงส่งสายตาเหลือก แล้วส่ายก้นอุ้ยอ้ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง

          “แคว่ก แคว่ก” มันตบท้ายด้วยน้ำเสียงสงบ สีหน้าปรับเปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งโล่งอก จนคนที่ชมดูต้องปรบมือให้

          “อืม ข้าว่าเจ้าจัดการแสดงได้ดีทีเดียว” เขาชื่นชมจากใจจริง หากแต่เจ้านกน้ำตัวอ้วนกลับถลึงตาใส่ หนำซ้ำยังสยายปีกกระโจนตัวเข้ามาจิกตีเป็นพัลวัน

          “โอ๊ยๆ หยุดๆ” เด็กหนุ่มร้องลั่น มือไม้ทั้งจับทั้งดึงมันออกไปจากตัว แต่กระนั้นเจ้าเป็ดน้ำตัวนี้คล้ายสติแตกไปแล้ว เมื่อมิอาจหยุดมันได้เขาก็โพล่ง “หากเจ้าไม่หยุด เจ้าได้กลายเป็นนกเป็ดน้ำย่างแน่”

          สิ้นคำขู่ เจ้าเป็ดยวนยางในมือเขาก็ตัวแข็งทื่อ ขนของมันลีบลงอย่างน่าสงสาร เห็นทีว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลไม่น้อย เขาฉีกยิ้มแฉ่ง สายตาจับจ้องมองมันเขม็ง แต่แล้วไม่นานหัวคิ้วก็ย่อย่นลง

          “เอ ข้าว่าข้าเคยพบเจ้าที่ไหนมาก่อน”

          จู่ๆก็รู้สึกคุ้นตาอย่างไรบอกไม่ถูก ยังมีทัศนียภาพอันน่านอนนี้อีก เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบๆ จนสุดท้ายหยุดสายตาที่ประตูบานหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังตนเอง

          ประตูบานใหญ่แง้มเปิดเล็กน้อย กระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น ฝีเท้าพลันก้าวเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นยวนยางตัวอ้วนที่หนีบอยู่ข้างลำตัวร่างเล็กก็ร้องปราม เขารีบก้มหน้าส่งสายตาดุ มันจึงยอมเงียบเสียงลงทันที

          เขามองลอดผ่านช่องที่มีอยู่เพียงนิด ด้านในปรากฏให้เห็นร่างของผู้เฒ่าผมขาวในชุดสีไข่ไก่ กำลังเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ไม่นานนักมือที่ถือไม้เท้าก็ยกขึ้น ก่อนทุบพื้นกระเบื้องอย่างแรงด้วยความโมโห

          “ช่างกล้าดี...กล้าดีอย่างไรมาทำลายงานของข้า ข้าจะฟ้องเจ้า เจ้าเด็กตัวแสบ ไป๋เซ่อ”

          น้ำเสียงตวาดลั่นทำเอาไป๋เซ่อที่หลับฝันสะดุ้งตื่น คนข้างเคียงสัมผัสถึงอาการเกร็งตัวฉับพลันก็เอ่ยปากถามขึ้น

          “เป็นไรไปฝันร้ายหรือ”

          สติยังมิทันเข้าร่องเข้ารอยดีก็พลันสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำที่แฝงแววอบอุ่น ไป๋เซ่อได้แต่นิ่งงันจ้องสายตาคู่ดังกล่าวไปพักใหญ่ หากแต่ภายในอกกลับมีบางสิ่งเต้นระรัวไม่หยุด

          ครั้นเห็นเจ้างูน้อยไม่หือไม่อือ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตีความว่าเป็นฝันร้าย “นี่ต้องเป็นเพราะเจ้ากินอิ่มมากเกินไป ทำให้นอนหลับไม่สนิท วันหลังให้กินแต่พอดี เข้าใจไหม” กล่าวจบก็ยื่นปลายแขนเสื้อซับเหงื่อที่กลางหน้าผากของเจ้าตัวให้ แต่แล้วร่างเล็กกลับร้องลั่นราวกับร้อนลวก

          “ว๊ากกก เจ้าจะทำอะไรน่ะ” ไป๋เซ่อหน้าแดงเรื่อท่ามกลางความมืดสลัว เขารีบผุดตัวลุกขึ้น จนศีรษะแทบโขกกับชายหนุ่มเบื้องบน

          รัชทายาทหนุ่มถึงกับชะงักมือค้างไปชั่วขณะ แลไม่นานนักจึงลดแขนลง ดูว่านับตั้งแต่ออกจากเมืองเหลียวตง หากไป๋เซ่อมิพูดคุย ก็พยายามหลบเลี่ยงเขา และถึงแม้จะเดินทางในรถม้าเทียมเดียวกัน ร่างเล็กก็ยังอุตส่าห์บังคับขู่เข็ญเสี่ยวลู่ที่ดามสองขา เดินเหินไม่สะดวกให้มานั่งเบียดเป็นเพื่อน

          หรือทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเขา...คิดไปเองคนเดียว
         
          “เพียงแค่จะเช็ดเหงื่อ ไยต้องตกอกตกใจเพียงนี้” รัชทายาทหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อน ทว่าในใจกลับเจ็บแปลบอยู่ลึกๆ ต่อให้เพลานี้กายใกล้ชิดกันเพียงไร แต่ใจกลับสัมผัสได้ถึงความเหินห่าง

          หากเปลี่ยนเป็นหงเว่ย เจ้าก็คงจะไม่ปฏิเสธน้ำใจสินะ

          ฟังน้ำเสียงที่เศร้าไปถนัดหู ไป๋เซ่อก็พลันรู้สึกผิด เขารีบแก้ตัว “ก็...ก็ใครใช้ให้เจ้ามาแตะข้ากันกะทันหัน อีกอย่างที่นอนข้าอยู่มุมนี้ชัดๆ ไฉนเจ้าจึงโผล่มาแย่งที่ข้าได้”

          “หือ มิใช่เจ้าเลื้อยมาทับข้าก่อนหรอกหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกตาโต เห็นอยู่ชัดๆว่าเขานอนอยู่ดีๆ ก็มีคนนอนดิ้นมาเกยทับหน้าท้องเขา อีกทั้งยังแถมน้ำลายเป็นดวงๆที่ยังไม่แห้งสนิทอีกต่างหาก

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็กรอกตาซ้ายทีขวาที แล้วจึงเห็นร่างสูงเพรียวนอนเบียดติดกับหน้าต่างรถม้า หากแต่ตรงมุมที่ควรเป็นที่นอนของเขา กลับเว้นว่างไว้ มีเพียงกองผ้าห่มม้วนเป็นก้อนกองนิ่ง มิผิดไปจากคำพูดของอีกฝ่ายจริง

          ใบหน้าถึงกับแดงซ่านขึ้นมาอีกครั้ง เขารีบสบถกลบเกลื่อน “บ้านเจ้าสิ” ใครใช้ให้หน้าท้องเจ้าหนุนได้พอดีกับคอข้ากันเล่า พูดจบก็สะบัดตัวกระโดดลงจากรถม้าไป ทันใดนั้นเสียงของซวนหยวนหมิงไท่ก็ดังไล่หลัง

          “ไป๋เซ่อ เจ้าจะไปไหน”

          “ข้าจะไปปลดทุกข์” ไป๋เซ่อตะโกนตอบ ก่อนจะเดินฉับๆผ่านกลุ่มองครักษ์สี่ห้าคนที่นั่งล้อมวงผิงไฟไป มิสนใจหันไปมองคนที่ร้องถาม


 

***********************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 19.2 ตัวปลอม 13/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 13-05-2016 20:41:49
บทที่ 19.2 ตัวปลอม

 

           ทั้งๆที่อุณหภูมิในกายตนออกจะเย็นเฉียบ แต่เพราะเหตุใดเมื่อชายหนุ่มสัมผัสตัว เขากลับร้อนรุ่มราวกับงูนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ไป๋เซ่อคิดแล้วก็ย่อตัววักเอาน้ำในริมธารเข้าดับความร้อนบนใบหน้า ส่งผลให้หยาดน้ำสาดกระเซ็นลามเปียกไปถึงเสื้อตัวใน

          “ทำเช่นนั้นเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

          ครั้นมีเสียงจากทางด้านหลัง ตัวของไป๋เซ่อก็แข็งค้าง ด้วยคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตามมาดูเขาปลดทุกข์จริงๆ ขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะหันหลังกลับไปดีหรือไม่ เสื้อคลุมสีน้ำเงินก็คลุมลงบนศีรษะเขา พร้อมกับน้ำหนักมือที่วางไว้เช่นกัน

          หากเป็นเพราะความรู้สึกของข้าที่ทำให้เจ้าต้องอึดอัดลำบากใจ ข้าก็จะขอเก็บมันไว้ไม่ตอแยเจ้าอีก ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มเศร้า “ไป๋เซ่อ หากเจ้ามิชอบให้ข้าแตะตัวเจ้า ข้า...จะไม่ทำอีก” นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้สัมผัสเจ้า เพราะข้าคงไม่มีความกล้าเช่นนี้อีก

          ต่อเมื่อคำพูดจบลง สัมผัสอบอุ่นก็ห่างหายไป ฉับพลันนั้นใจของไป๋เซ่อก็วูบโหวง จิตใต้สำนึกได้แต่ร่ำร้องบอก เขา...ต้องการมัน ริมฝีปากอ้าออกปล่อยเสียงตะกุกตะกัก “ขะ ข้าก็ไม่ได้บอกว่ารังเกียจสักหน่อย”

          สองเท้าที่กำลังถอยห่างพลันหยุดชะงัก ครั้นสังเกตเห็นใบหูซึ่งโผล่พ้นจากเส้นผมสลวยเป็นสีแดงก่ำ ความหวังที่ใกล้ดับมอดกลับสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มาตรว่าจากที่เคยคิดว่าคงต้องวางมือ ครานี้มือกลับฉวยไปข้างหน้าแล้ว

          ไป๋เซ่อเผลอสูดหายใจลึก เมื่อจู่ๆร่างก็ถูกรั้งจนตัวแทบลอยเข้าสวมกอดไว้จากทางด้านหลัง ราวกับมีกระแสไฟแล่นปราดส่งผ่านจากกายชายหนุ่ม ทำให้เขาอ่อนยวบหลังพิงเจ้าตัวแต่โดยดี

          “แล้วแบบนี้รังเกียจรึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่สวมกอดไป๋เซ่อไว้แนบแน่น ก่อนหลับตาลงเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยออกมาจากเส้นผมนุ่มซึ่งปล่อยสยายจนถึงกลางหลัง

          พวกเขาอิงแอบกันอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งร่างสูงเพรียวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “หากเจ้าไม่ตอบ ข้าจะตีความว่าไม่นะ” ประโยคดังกล่าวแฝงไว้ด้วยความเอาแต่ใจ เพราะเมื่อเอ่ยแล้วสองมือก็กระชับร่างเล็กให้แน่นกว่าเดิม

          “......” แม้ไป๋เซ่ออยากจะเปล่งเสียงก็เปล่งมิออกแล้ว เนื่องเพราะไออุ่นกระทบลงที่หลังใบหู ส่งผลให้ดวงตาต้องเลิกโตอย่างแตกตื่น ไฉนคนผู้นี้จึงชอบไล่ต้อนผู้อื่นให้ทำตัวไม่ถูกด้วย “เจ้าแกล้งข้า” เขาโพล่งประท้วง

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่กลับดึงตัวร่างเล็กออกแล้วยิ้มกริ่ม “เป็นเจ้าคิดมากไปเองต่างหาก” กล่าวจบก็ก้มลงรังแกแก้มนุ่มนิ่มด้วยริมฝีปาก

          ไป๋เซ่อมิทันอ้าปากเถียงแก้มเนียนก็ถูกหอมฟอดไปแล้ว ครั้นอีกฝ่ายลงมือเสร็จก็ส่งยิ้มกว้างอวดฟันขาวให้ แทบทำให้สมองเขาระเบิดตูมใหญ่ “อ๊ากกก เจ้าคนหน้าด้าน ไร้ยางอาย หากเชื่อคำเจ้า ข้าก็เป็นไส้เดือนแล้ว” ว่าแล้วก็ไล่เหวี่ยงหมัดใส่คนฉวยโอกาส

          เห็นท่าไม่ดีซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเบี่ยงกายหลบ แลไม่นานคนหนึ่งก็ได้แต่หนี อีกหนึ่งได้แต่ไล่ตาม แม้ลงลุยริมน้ำเปียกโชกไปทั้งกายร่างเล็กก็มิได้มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ

          “จุ๊ยๆ ไป๋เซ่อ เจ้านี่ขี้อายจัง หากว่าเจ้ารู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ เช่นนั้นข้าให้เจ้าจูบคืนบ้างดีไหม” สังเกตเห็นใบหน้าแดงก่ำเปี่ยมด้วยความอับอายและขวยเขิน ซวนหยวนหมิงไท่ก็หยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี

          “หนอย ใครอยากจะจูบลูกเต่าอย่างเจ้ากัน” ไป๋เซ่อแค่นเสียง สองขายังคงกระโดดหย็องแหย็ง เตรียมหาจังหวะตะบันหน้างามๆของอีกฝ่ายสักทีสองที

          ในที่สุดร่างสูงเพรียวก็ยอมให้ไป๋เซ่อทุบอกครั้งสองครั้ง จากนั้นหัวเราะลั่นแล้วรวบกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมอกของตนเองอีกครั้ง นัยน์ตาสีดำกระจ่างทอดมองท้องฟ้าพร่างพราว ก่อนกระซิบที่ริมใบหูน้อย

          “ไป๋เซ่อ เจ้ายังมิต้องตอบตอนนี้ก็ได้ว่าเจ้ารู้สึกกับข้าเช่นไร แค่เพียงรู้ไว้ว่าข้า...ฝากใจและกายให้กับเจ้าแล้ว”

          ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเลิกกว้าง บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกในตอนนี้เป็นเช่นไร มาตรว่าความอ่อนโยนนี้ก็เคยได้รับจากท่านมหาเทพ แต่กระนั้นกลับมีบางส่วนที่แตกต่างออกไป หัวใจเขาพองโตอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน เสมือนได้รับการรักใคร่ทะนุถนอม เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของคนผู้นี้

          ...เพียงผู้เดียว

          ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลด้วยความชื่นมื่น อีกด้านหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากลำธารมากนัก กลับมีร่างทั้งสองนอนนิ่งใต้พงหญ้าที่มิสูงมากนัก ทั้งพยายามกระทำตัวเสมือนไร้ตัวตนอย่างสุดกำลัง

          กล่าวได้ว่าพวกเขาต่างมาได้ผิดเวลาจริงๆ เพียงแค่แวะจะมาทำธุระเบากลับต้องมาเจอะเจอผู้อื่นพลอดรัก มิหนำซ้ำผู้อื่นที่ว่าดันเป็นทายาทมังกรผู้สูงศักดิ์ หากขยับตัวตอนนี้ ตนจะถูกตัดหัวไหมหนอ หัวหน้าองครักษ์จิ้งคิดในใจ

          นอกเหนือไปจากนี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่ยกมือปิดปากไว้แน่นสนิท คล้ายกลัวจะเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาทุกขณะ ดวงตาทั้งสองแทบถลนออกจากเบ้า ทั้งจ้องมองคู่รักที่หยอกล้อกันตาไม่กะพริบ

          สีหน้าของขันทีน้อยแดงเรื่อ คำพูดหน้าไม่อายเหล่านั้น ใช่ออกมาจากริมฝีปากองค์รัชทายาทผู้เพียบพร้อม สุขุม วางตนได้เหมาะสม ซึ่งตนรู้จักรับใช้ใกล้ชิดมาสิบกว่าปีแน่หรือ ข้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อเด็ดขาด เขาได้แต่ร่ำร้องในใจ เฉกเดียวกับคนที่กระทบกระเทือนใจอย่างหนัก

          จวบจนผ่านไปพักใหญ่ซวนหยวนหมิงไท่ก็จูงมือไป๋เซ่อกลับไปยังที่รถม้า สภาพเปียกปอนของพวกเขาสร้างความแปลกใจให้กับองครักษ์เฝ้ายามสามสี่คนอยู่ไม่น้อย

          แลในระหว่างนั้นเองก็ปรากฏเสียงม้าห้อตะบึงไม่หยุด ทั้งดูเหมือนตรงดิ่งมาทางพวกเขา เหล่าองครักษ์พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมต่างคว้าอาวุธเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยยามดึกดื่นกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ นอกจากเรื่องเร่งด่วนแล้ว ยังคาดเดาได้ว่าผู้มาประสงค์ร้าย

          “หยุด” กระทั่งร่างผู้มาใหม่ในชุดสีดำปรากฏตัวขึ้น เขาก็หยุดม้าไว้ก่อนถลาไปหาคนผู้หนึ่ง เหล่าองครักษ์เห็นคนผู้นี้ก็มิได้มีท่าทีต้องการหยุดอีกฝ่าย สีหน้ายังผ่อนคลายลงกว่าเดิม

          “องค์รัชทายาท”

          “หลิวซีฝู” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเรียกนามสายลับ กลุ่มสายลับของเขากลุ่มนี้แตกต่างไปจากองครักษ์เงา เนื่องเพราะในยามปกติพวกเขามีตัวตนในราชสำนัก หากแต่ลับหลังก็จะมีอีกบทบาทหนึ่ง

          “องค์รัชทายาทโปรดรีบเสด็จกลับวังหลวงเถิด เพลานี้ฝ่าบาทเสด็จสวรรคตแล้วพะยะค่ะ”

          ประโยคดังกล่าวจบลงบรรยากาศโดยรอบก็พลันเงียบกริบ สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด และเป็นครั้งแรกที่ไป๋เซ่อรู้สึกว่ามือของชายหนุ่มนั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง


 

***********************************************************

 

          หลังจากที่อ่านประกาศจากทางราชสำนักซึ่งหยิบฉวยครั้นอยู่ในตัวเมืองลู่หยางอีกครั้ง เสี่ยวลู่ก็มีสีหน้าทะมึน ข่าวที่หลิวซีฝูแจ้งมาเมื่อสามวันก่อนนั่นมิผิดพลาดไปจริงๆ

          ซวนหยวนหมิงจงฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้ว ระหว่างนั้นตระกูลเซิงยังก่อกบฏ โชคยังดีที่กระทำการมิสำเร็จ เป็นแม่ทัพใหญ่เซียวยุติความวุ่นวาย ก่อนเชิญเสด็จองค์รัชทายาทขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์

          เรื่องราวคล้ายจบลงด้วยดี แต่ทว่าองค์รัชทายาทผู้เป็นเจ้าของบัลลังก์มังกรตัวจริงกลับยังคงรีบเร่งเดินทางไปยังเมืองหลวง ขันทีน้อยชำเลืองมองพระพักตร์ที่นิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ซึ่งนับแต่องค์รัชทายาททราบข่าวร้าย พระองค์ก็แทบจะไม่ปริปากหลุดคำพูดออกมา มีเพียงไป๋เซ่อที่พระองค์พอจะสนทนาด้วยอยู่บ้าง

          “องค์รัชทายาท เป็นไปได้รึไม่ว่า แม่ทัพใหญ่เซียวจะ...” ก่อกบฏ ในที่สุดเสี่ยวลู่ซึ่งนั่งเงียบอยู่ในรถม้าก็ทนทานมิไหวเอ่ยถามออกมา หากให้เขาคิดมากไปกว่านี้ สมองเขาต้องระเบิดเป็นแน่

          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ต้องผินหน้ามองเสี่ยวลู่ เอ่ยเสียงเรียบราวกับมิใช่เรื่องของตนเอง “หากข้าเป็นเขา ข้าก็คงจะทำเช่นเดียวกัน”

          เสี่ยวลู่รับฟังจนแตกตื่น ที่แท้ความคิดเห็นขององค์รัชทายาทมิแตกต่างไปจากที่ตนคิดจริงๆ “เช่นนั้นหากพระองค์เข้าเมืองตอนนี้ จะมิอันตรายหรอกหรือ”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่ทำหน้าเคร่งเครียดแล้วก็แค่นเสียงหัวเราะเบาๆ “ฮึ ฮึ อันตรายรึไม่ ข้าก็ทนรอเจอตัวปลอมผู้นี้แทบมิไหว”

          “ข้าด้วยๆ” ไป๋เซ่อกล่าวเสริมแล้วฉีกยิ้มแฉ่ง

          หา ขันทีน้อยอ้าปากค้าง สมองงุนงงหนักยิ่งกว่าเดิม

          ใช้เวลาเกือบสามวันกว่าที่รถม้าจะรีบเร่งเดินทางมาถึงคฤหาสน์รกร้าง ซึ่งตั้งห่างจากท้ายวังหลวงในเมืองฉางอันเป็นระยะทางราวสิบลี้ในยามดึก ด้านในของจวนยังคงเต็มไปด้วยฝุ่นและซากปรักหักพัง กระนั้นบรรดาองครักษ์ก็มิได้ใส่ใจ ยังคงเดินนำทุกคนไปยังด้านในอย่างคุ้นเคย

          ต่อเมื่อมาถึงสวนกว้าง ในมุมอับตาก็ปรากฏต้นไม้ใหญ่ มันแผ่กิ่งก้านสาขาดูน่าเกรงขาม ส่วนลำต้นเป็นโพรงขนาดกว้าง องครักษ์นายหนึ่งมุดเข้าไปไม่นานนักก็ทางที่อยู่ใต้ดินก็เปิดขึ้น ทำเอาเสี่ยวลู่และไป๋เซ่อตะลึงวูบ

          ทางใต้ดินที่พวกเขาย่างก้าวลงไปนั้นทอดยาวไปไกล ตามผนังมีคบเพลิงจุดเตรียมไว้เสร็จสรรพ บรรยากาศเงียบสงบขนาดที่ใครคนหนึ่งหายใจแรงๆก็ยังได้ยิน

          กระทั่งผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงปลายทางที่มีลักษณะเป็นบันได องครักษ์เดินขึ้นไปจนสุดขั้นจากนั้นเคาะที่เพดานทีสองที ไม่นานแสงสลัวก็ส่องผ่านลงมา ผู้เปิดทางเป็นสตรีน้อยหน้าตาน่ารัก ตากลมโตเมื่อต้องแสงแล้วจึงเกิดประกายวิบวับ นางสวมใส่อาภรณ์ที่ดำไปทั้งตัวซึ่งตัดกับผิวที่ขาว

          “ถิงถิง” ไป๋เซ่อร้องเรียกดีใจ เมื่อได้เจอแมวสาวเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน หากแต่ถิงถิงกับมองหน้าเขาแวบหนึ่งก็ทำเมินหันไปกล่าวกับชายหนุ่มซึ่งอยู่ข้างกายเขาแทน

          “องค์รัชทายาท พวกเขาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร”

          “ขอบคุณมาก ถิงถิง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวขอบคุณ ถิงถิงเองก็เชิดหน้าอย่างภูมิใจ ในตอนนี้นางรับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายสอดแนมให้กับเขา ภารกิจแต่ละครั้งล้วนทำหน้าที่ได้ดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง

          เขาเหลียวมองรอบๆห้องอย่างคุ้นเคย ต้นไม้นานาชนิดยังคงเติบโตได้ดีเมื่ออยู่ในเรือนพฤกษา หรือสถานที่ลับซึ่งใช้ติดต่อเรื่องส่วนตัว ทั้งยังเชื่อมต่อไปยังคฤหาสน์รกร้างนอกวังหลวง

          “เช่นนั้นเสี่ยวลู่และคนอื่นให้ไปรอข้าที่ตำหนักเหวินหัว ส่วนข้าจะตามไปสมทบทีหลัง” รอจนทุกคนขึ้นมาครบแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ออกคำสั่ง ทั้งนี้มิรอให้ใครคัดค้านก็คว้าตัวไป๋เซ่อรุดออกจากเรือนพฤกษาไป

          เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อชายหนุ่มก็ใช้กำลังภายในนำพาร่างเล็กมาถึงหน้าตำหนักทรงพระอักษร พื้นที่โดยรอบในยามนี้กลับไร้ซึ่งทหารองครักษ์รักษาการณ์คนใด ทว่าภายในห้องกลับมีแสงเทียนส่องสว่าง ทั้งมีเสียงพูดคุยกันเบาๆ บ่งบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน

          รัชทายาทหนุ่มเดินดุ่มเข้าไปอย่างไม่รอช้า จากนั้นจัดการผลักประตูเข้าไป แลภาพด้านในจึงค่อยๆเปิดโล่งสู่สายตา

          ที่เนินบันไดเล็กๆ ณ กึ่งกลางห้องปรากฏร่างของบุรุษสองคนที่นั่งเท้าคางชันเข่าด้วยสีหน้าล่องลอยกึ่งเอือมระอา เหนือพวกเขาขึ้นไปเป็นโต๊ะสีทองที่ล้นปรี่ไปด้วยม้วนฎีกาที่วางกระจัดกระจาย

          บัดนี้หนึ่งบุรุษในชุดเกราะ แลอีกหนึ่งบุรุษที่มีหน้าตาเหมือนรัชทายาทเช่นเขาทุกกระเบียดนิ้วกำลังจับจ้องมองพวกเขาอย่างไม่วางตา

          แลไม่นานนักไป๋เซ่อที่ก้าวเข้ามาก็ต้องเบิกตาโต ร่างเล็กแสยะยิ้มราวกับเห็นเหยื่อโอชะ ฝีเท้าพลันกระโจนไปข้างหน้า ก่อนที่ร่างจะแปรเปลี่ยนเป็นอสรพิษตัวสีขาวปลอดอย่างรวดเร็ว มันดีดตัวเข้าจู่โจมคนที่มีใบหน้าเดียวกับซวนหยวนหมิงไท่ ปากยังอ้ากว้างเผยให้เห็นเขี้ยววาววับดูดุร้ายยิ่ง

          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”


 

***********************************************************

 

           เนื้อเรื่องในบทนี้เริ่มเฉลยเรื่องราวบางส่วน (ต้น) บ้างเเล้ว ส่วนตัวปลอมจะเป็นใครเฉลยบทหน้า เเต่คิดว่าทุกคนน่าจะเดาออกอยู่เเล้ว 5555+

          เจอคำผิดตรงไหนก็เว้นๆไปก่อนนะจ้ะ เดี๋ยวมาตามเก็บตอนรีไรท์ ซึ่งก็มีหลายบทที่ผิดพลาดไปเยอะอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นบางบทเขียนอสรพิษเกร็ดอัคคี บทหลังๆเขียนอสรพิษเกร็ดดำ ยังมีบางส่วนที่หงเว่ยเรียกหงลิ่วว่า 'น้องหก' เเต่หลังๆเรียกหงลิ่วอย่างเดียว โอ้ย ช่างเบลอจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 19 ตัวปลอม 13/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 20-05-2016 22:53:10
นึกว่าเรื่องร้ายจะจบลงทั้งหมดละ ดันมีเรื่องมาเพิ่มซะได้
แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆอยู่นะ  :hao7:

ช่วงนี้คู่นี้หวานนนนนน กันจัง องค์รัชทายาทขยันเลี่ยนมากค่า
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่20.1ผู้ครองแคว้น 22/05/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 22-05-2016 09:42:04
บทที่ 20.1 ผู้ครองแคว้น

 

          ทันทีที่ก้าวข้ามประตู เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวก็สบเข้ากับอีกหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่ เพลานี้ไป๋เซ่อคล้ายไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัวอันใด ดวงตาเป็นประกาย โจนตัวออกไป เผยร่างอสรพิษสีขาวบริสุทธิ์สู่สายตา

          ฝ่ายร่างเพรียวสง่างามที่กำลังนั่งเท้าคางชันเข่ากลับนิ่งงันไม่ขยับ มีเพียงดวงตาสีดำขลับที่แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทองเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองอสรพิษที่อ้าปากกว้างจนเห็นเขี้ยวแหลมโดยมิได้แตกตื่น ราวกับว่าซวนหยวนหมิงไท่ตัวปลอมผู้นี้ คุ้นชินการจู่โจมเช่นนี้เสียแล้ว 

          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” โฮ ข้าคิดถึงท่านจะแย่อยู่แล้ว

          เจ้างูน้อยปล่อยโฮแล้วลั่นเสียงด้วยความดีใจ ครั้นเหวี่ยงตัวเข้าคล้องรอบคอเรียวได้สำเร็จ มันก็ระดมหอมแก้มนวลเนียนของบุรุษผู้เป็นเอกอุในสามพิภพอย่างบ้าคลั่ง ลำตัวยังถูไถใบหน้างามเสียจนเป็นสีอมชมพู มิได้สัมผัสถึงบรรยากาศคุกรุ่นที่กำลังสูงขึ้นแม้แต่น้อย

          ผู้เป็นองค์รัชทายาทมองเจ้างูน้อยสลับกับบุรุษที่ถอดรูปตนแทบจะพิมพ์เดียวกันแล้วพลันรู้สึกอยากจะร้องไห้ก็ร้องมิออก ได้แต่ลอบนึกอย่างอิจฉา

          ...ข้าเองก็อยากให้เจ้ากระโจนใส่แบบนี้บ้างเหมือนกันนะ ไป๋เซ่อ

          ทว่าในเวลาเดียวกันนี้ยังมีอีกหนึ่งบุรุษในชุดเกราะที่ตัวสั่นระริก ยิ่งรัชทายาทตัวปลอมซึ่งนั่งเคียงกายหัวเราะคิกคัก ส่งยิ้มหวานพลางจุมพิตหน้าผากเจ้างูเผือก จนตัวมันแดงระเรื่อแสยะยิ้มบิดม้วนตัวด้วยความเขินอาย สีหน้าเขาก็ทะมึนไปทั้งแถบ

          “นี่มันจะมากเกินไปแล้ว~” เซียวถิงฟงคำรามลั่น ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกจะมิใช่ตัวจริง แต่ถึงอย่างไรภายในก็ยังคงเป็นคนของเขา

          ความหึงหวงครอบงำแม่ทัพหนุ่ม กรงเล็บพยัคฆ์พุ่งเข้าหาสิ่งมีชีวิตเย็นเฉียบ ทว่ายังมิทันถึงตัว ฝ่ามือหนึ่งก็พลันตัดหน้าเข้าคร่ากุมตัวมันเสียก่อน ส่งผลให้เซียวถิงฟงตกตะลึงวูบ ต้องรีบชักมืออันว่างเปล่ากลับคืนมา

          ซวนหยวนหมิงไท่ดึงลำตัวสีขาวออกจากลำคอผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายตนทุกส่วนอย่างเบามือ แต่มาตรว่าทำเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ยังรั้นตัวขู่ใส่ ทั้งสะบัดฟัดเหวี่ยงตัวฟาดตีเขาอย่างหัวเสีย เสมือนเขาพรากปีกไก่น้ำแดงสุดรักของมันไป หากแต่ตอนนี้ยังคงขัดใจร่างนุ่มนิ่มไปก่อน

          “ต้าเซียน ไม่พบกันนาน” ระหว่างคว้าจับร่างน้อยที่ดิ้นพล่านไม่หยุด เขาก็เอ่ยทักทายบุรุษผู้ซึ่งมวยผมครอบด้วยกวานทอง สวมใส่ชุดมังกรสีเหลืองอร่ามด้วยรอยยิ้ม “หากท่านมิว่าอะไร ช่วยคลายมนต์สะกดให้ไป๋เซ่อที”

          นี่ก็ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ที่ร่างน้อยถูกคลื่นอาคมกลืนกินกายหยาบ แลในบางคืนร่างของไป๋เซ่อดูจะเลือนรางหายไป แทบทำให้เขาเสียสติทุกครั้งที่เห็นเช่นนั้น ดังนั้นเขามิอาจทนรออีกได้แม้แต่ยามเดียว

          ด้านต้าเซียนในรูปกายของซวนหยวนหมิงไท่กลับเลิกตาโต กล่าวน้ำเสียงอารมณ์ดี “เห พวกเจ้าเดินทางครั้งนี้คงจะเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยกระมัง ฮ่า ฮ่า”

          รัชทายาทหนุ่มฟังเสียงหัวเราะของมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ก็ต้องกระตุกยิ้มแหย ไพล่นึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้ก่อนออกเดินทาง

          ‘ไปดีมาดี การเดินทางครั้งนี้คงต้องเผชิญเรื่องราวมากมาย’

          ...ที่จริงท่านก็รู้อยู่แล้วว่าการไปครานี้ ข้ากับไป๋เซ่อจะประสบพบเภทภัย

          ซวนหยวนหมิงไท่ลอบคิดพลางยื่นงูเผือกที่กำลังรัดแขนเขาอย่างเอาเป็นเอาตายไปตรงหน้าเจ้าตัว ดูว่าการกระทำนี้ทำให้ไป๋เซ่อพึงพอใจไม่น้อย เพราะเมื่อร่างของมันเข้าใกล้ต้าเซียน มันก็ยอมคลายแรงรัดรึงบางส่วน หันไปส่งสายตาอ้อนอีกฝ่ายแทน

          ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็ยิ้มเอ็นดู จากนั้นยกสองนิ้วขึ้นระดับอก วาดเป็นตัวอักษรกลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว ปรากฏเป็นละอองสีทองวูบวาบในแต่ละครั้งที่ปลายนิ้วตวัดขึ้นลง ครั้นเสร็จสิ้นก็จรดปลายนิ้วกลางศีรษะเจ้างูน้อย

          ไป๋เซ่อหลับตาส่ายหัวคลอเคลียไปกับปลายนิ้วนั้น แสงสีทองค่อยๆโอบอุ้มตัวมันให้ลอยเหนือสองมือของชายหนุ่ม กระแสพลังซึ่งถูกสกัดกั้นไว้พลันทลายไปทีละส่วน ร่างกายที่เคยอึดอัดหายใจไม่สะดวกกลับกลายเป็นเบาหวิว

          พริบตาต่อมาร่างของอสรพิษสีขาวปลอดก็สว่างวาบ แล้วจึงปรากฏร่างเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าเย้ายวน ผมสีเทาปล่อยยาวสยาย สวมใส่ชุดสีเขียวอ่อนสบายตา ยิ่งสีหน้าของเจ้าตัวปลอดโปล่งสดใส ริมฝีปากเผยอยิ้มแฉ่งก็แทบทำให้ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่พร่าเลือนไปชั่วขณะ

          “ท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่อร้องเสียงกังวานพลางอ้าแขนจะถลาเข้าไปสวมกอดบุรุษในดวงใจ ทว่าเพียงย่างก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกลับยื่นดันหน้าเขาไว้จนตั้งฉาก

          "แอ่ก" คอข้า...จะหักอยู่แล้ว

          ร่างเล็กถึงกับขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก้มตัวหลบซ้ายขวา หากแต่ฝ่ามืออันหยาบกร้านกลับเกาะติดหน้าเขาไว้เหนียวแน่นยิ่งกว่าอะไรดี ให้มุมปากเขาต้องกระตุกอย่างมีโทสะ “เพ้ย เจ้าคนแซ่เซียว ไปตายซะ” ไป๋เซ่อร้องโวยวาย ระดมส่งปลายเท้าเข้าเหยียบอีกฝ่ายเต็มที่

          “หากมีความสามารถก็เข้ามา” เซียวถิงฟงในชุดเกราะสีดำกล่าวท้าทายพลางยกเท้าสลับซ้ายขวาเพื่อหลบหลีก

          ทั้งสองต่างประลองฝีเท้ากันอย่างไร้สาระอยู่ราวครึ่งเค่อ แต่กระนั้นมือของผู้เป็นแม่ทัพก็ยังคงยันอยู่ที่เดิม พลอยทำให้ไป๋เซ่อหน้าดำหน้าแดง “เซียวถิงฟง อย่าคิดว่าเจ้ามีพลังเซียนแล้วจะเอาชนะข้าได้”

          “เฮอะ นี่ข้ายังไม่ได้พลังเซียนสักเสี้ยวหนึ่งเลยนะ” เซียวถิงฟงแค่นเสียง ยิ้มกริ่มพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

          “หนอย เจ้า...” ไป๋เซ่อฟังแล้วก็ต้องขบกรามกรอดๆ ครั้นจะตวาดอีกครั้ง ร่างก็ถูกอ้อมอกที่คุ้นเคยสวมกอดแล้วยกออกมา ยังผลให้ฝ่ามือเลื่อนหลุดไปจากหน้าเขาอย่างง่ายๆ ทั้งมิต้องเสียแรงสักกะผีกเดียว

          “ถิงฟง เจ้าอย่าได้แกล้งไป๋เซ่อไป เขาพึ่งจะฟื้นฟูพลัง ย่อมสู้เจ้ามิได้”

          ประโยคดังกล่าวทำเอาดวงตาของเซียวถิงฟงต้องเลิกกว้างมองผู้เป็นสหายสนิทซึ่งรั้งตำแหน่งผู้ปกครองแคว้นในขณะนี้อย่างประหลาดใจ “ซวนหยวนหมิงไท่ ท่านเข้าข้างผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน”

          “ไป๋เซ่อย่อมมิใช่ผู้อื่น” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกล่าวแล้วถือโอกาสกระชับกอดร่างเล็กจากทางด้านหลัง เอ่ยเปิดเผยอย่างไม่คิดปิดบัง “เขาเป็นคนรักของข้า”

          “หา” ถ้อยคำอันน่าตกตะลึงที่เอ่ยออกมาทำเอาเซียวถิงฟงถึงกับหลุดเสียงอ้าปากค้าง แทบมิอยากเชื่อหูตัวเอง ผิดกับต้าเซียนที่มิได้มีสีหน้าแปลกใจอันใด เนื่องเพราะเขาคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว

          “เจ้า! เจ้า! เจ้า! กับงูปากพล่อยนั่น” แม่ทัพหนุ่มละล่ำละลักกล่าว ชี้นิ้วใส่คนทั้งสองไปมาด้วยสีหน้าราวกับสามพิภพกำลังถล่ม

          “ปล่อยข้าเจ้าลูกเต่า ข้าจะกระโดดกัดคนแซ่เซียวปากสุนัขนั่น” ไป๋เซ่อกระทืบเท้าร้องโวยวายภายใต้พันธนาการของชายหนุ่ม

          “เอาเป็นว่าตอนนี้เหตุการณ์ในราชสำนักเป็นเช่นไร ข้าต้องการทราบ” ซวนหยวนหมิงไท่เหงื่อตกรีบตัดบทคนทั้งสอง หันไปกล่าวถามมหาเทพแห่งแดนสวรรค์แทน

          “ตอนนี้จะนับว่าสงบก็ไม่เชิง” ต้าเซียนยิ้มฝืด หันไปมองกองฎีกาเกลื่อนกลาดบนโต๊ะ ซึ่งมีทั้งเปิดอ่านแล้วและยังมิได้อ่าน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขากับเซียวถิงฟงต้องลงมานั่งเอือมระอาอยู่บนพื้นเมื่อครู่ก่อน

          คิดๆดูแล้วปกครองสามพิภพก็ยังไม่ปวดหัวถึงเพียงนี้ ยังมีตอนออกว่าราชการที่ท้องพระโรง ขุนนางพวกนี้แทบเกิดมาเพื่อเปิดปากทุ่มเถียงกันโดยเฉพาะ เพียงเปิดโอกาสให้เขาพูดขัดไม่กี่ประโยค

          กระทั่งพ่อตาอย่างเซียวถิงหลี่ยังถือฮูป่าน[1]งาช้างยืนสัปหงกอย่างไม่เกรงใจใคร แล้วมีหรือผู้เป็นบุตรอย่างแม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงจะไม่กระทำตาม ส่วนมหาเทพอย่างเขาน่ะหรือ? หึ หึ ก็ได้แต่ร่ำร้องน้ำตาไหลอยู่ในใจไม่รู้กี่ล้านหน

          ...โอ๊ย ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว ใครก็ได้ทำลายสมดุลโลก เปิดหลุมดำ ดูดกลืนขุนนางพวกนี้เข้าไปที

          เพียงแค่เห็นสีหน้าจะร้องไห้ของต้าเซียน ซวนหยวนหมิงไท่ก็พอจะเดาได้ ใช่ว่าเขาไม่รู้ฤทธิ์ฝีปากขุนนางเหล่านี้ “ลำบากพวกท่านแล้ว” เขายิ้มบางเป็นเชิงขอบคุณ

          หากมิได้เซียวถิงฟงดูแลความสงบในวังหลวงและต้าเซียนที่ปลอมแปลงเป็นเขาออกว่าราชการแทน เกรงว่าสถานการณ์ของเขาคงจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว คิดจบสีหน้าก็ปรับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม หันไปกล่าวถามสหายสนิทเซียวถิงฟง

          “เกากงกงยังอยู่หรือไม่ ข้าต้องการพบเขา”


 

********************************************************

 

          “ทางนี้เกากงกง” เมื่อมาถึงที่หมาย เอ้อหู รองทัพแม่ทัพภายใต้สังกัดกองธงพยัคฆ์ก็บอกกล่าวกับชายสูงอายุที่มีเส้นผมขาวโพลน สีหน้ายังไม่คลายความโศกเศร้า

          เกากงกงในชุดขันทีสีแดงเลือดหมูเงยหน้าขึ้นมองห้องทรงพระอักษรอย่างเงียบๆ เพียงวูบหนึ่งก็ก้มหน้าก้าวเข้าไปในห้องที่มีบุคคลผู้สูงส่งรออยู่

          เดิมทีตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจากไป ตนซึ่งเป็นขันทีประจำพระองค์ก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองจากแม่ทัพใหญ่เซียวเรื่อยมา แลพระราชโองการอันมีเนื้อความแต่งตั้งองค์รัชทายาทก็เป็นตนเก็บรักษาเอาไว้

          จวบจนพบแผ่นหลังดุจภูผาแกร่งในอาภรณ์เรียบง่ายสีน้ำเงิน กำลังยืนหันหลังให้ตนบริเวณโต๊ะกว้างสีทอง เกากงกงที่เริ่มเดินเหินมิค่อยสะดวกก็ก้มลงคุกเข่าถวายพระพร

          “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”

          “..........” ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็ต้องชะงักเงียบไป ดวงตาหม่นแสงลงเล็กน้อย หากบอกว่าเสี่ยวลู่ติดตามเขามาหลายสิบปี หัวหน้าขันทีเกากงกงผู้นี้ก็คอยปลอบโยน ช่วยเหลือ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบนับตั้งแต่เขาขาดมารดาเรื่อยมา

          เขาถอนหายใจยาวก่อนย่างก้าวไปหาชายชราซึ่งเปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง จากนั้นก้มลงประคองอีกฝ่ายขึ้นมา “เกากงกง มิต้องมากพิธี ท่านเองก็อายุมากแล้วลุกขึ้นเถิด อย่าคุกเข่าอีกเลย”

          “กระหม่อม...ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง” เกากงกงตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง ก่อนลุกขึ้นยืนโดยมีทายาทมังกรช่วยพยุงแขนไว้

          “เกากงกง ข้าอกตัญญูนัก เสด็จพ่อจากไป หากแต่ผู้เป็นบุตรอย่างข้ากลับมิได้ทันดูใจพระองค์” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยด้วยความรู้สึกผิด แม้จะรู้พระอาการประชวรอยู่คร่าวๆ แต่ก็มิได้คิดว่าผู้เป็นบิดาจะจากไปโดยไม่ทันให้เขาตั้งตัวเช่นนี้

          “อย่าทรงตรัสเช่นนี้ นี่มิใช่ความผิดของฝ่าบาท ก่อนฝ่าบาทพระองค์ก่อนจะจากไป ก็ทรงมิได้เอ่ยโทษพระองค์แม้แต่น้อย” เกากงกงรีบส่ายหน้าทั้งน้ำตา

          ซวนหยวนหมิงไท่สูดหายใจลึก คล้ายมีบางอย่างติดขัดอยู่ภายใน “เช่นนั้นก่อนที่เสด็จพ่อจะจากไป ท่าน...ท่านได้รับสั่งถึงข้าบ้างรึไม่”

          ขันทีชราคล้ายรับรู้ความอัดอั้นตันใจของร่างสง่างาม จึงกำชับมือที่ประคองตนไว้ให้มั่น เงยหน้ามองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำที่มีร่องรอยหมองเศร้า แล้วจึงเค้นเสียงกล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ฝ่าบาทพระองค์ก่อนเพียงต้องการให้พระองค์อยู่อย่างมีความสุข มิปรารถนาให้พระองค์ต้องจมอยู่แต่กับความเศร้า และยิ่งมิต้องการให้พระองค์ถูกกลืนกินด้วยสถานที่เลือดเย็นแห่งนี้”

          รับฟังจบดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่ก็ทอประกายวูบ นึกไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะตรัสสั่งเสียไว้เช่นนี้ ในความทรงจำที่ผ่านมา ผู้เป็นบิดาเอาแต่ทรงงานหนัก และมักหยิบยื่นเพียงความเหินห่างให้ ยิ่งก้าวเข้าใกล้มากเท่าใด พระองค์ก็ยิ่งตีตัวออกห่างมากเท่านั้น ดังนั้นความสัมพันธ์บิดากับบุตรจึงฉาบทับด้วยความเย็นชาที่มองไม่เห็น

          ทว่าในทางกลับกันสิ่งนี้กลับเป็นวิธีที่เสด็จพ่อใช้ปกป้องเขา ปกป้องจากเหล่าขุนนาง ปกป้องเขาจากวังหลวงที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี เพื่อให้เขาหยัดยืนขึ้นด้วยพละกำลังของตนเองในวันที่พระองค์มิได้อยู่บนโลกอีกต่อไป

          “ข้าจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวัง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้ามุ่งมั่น ส่งผลให้รอบตัวทอประกายทรงอำนาจดูน่าเกรงขาม

          คล้อยหลังเกากงกงจากไป ภายในห้องจึงเหลือคนอยู่สี่คนดังเดิม ไป๋เซ่อควงพู่กันหางพังพอนออกสำรวจหาของเล่นในห้องทรงพระอักษร ด้านเซียวถิงฟงกับต้าเซียนที่กลับคืนร่างเดิมก็ช่วยกันม้วนเก็บฎีกาที่วางเกลื่อนกลาด ทั้งยังจัดเรียงฎีกาเร่งด่วนให้

          “พรุ่งนี้ตอนเช้า ตอนท่านออกว่าราชการอาจจะมีเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่สักหน่อย” ต้าเซียนเอ่ยขึ้น ดวงตายังคงจับจ้องไปทางฎีกาม้วนหนาที่พึ่งถูกม้วนเก็บไปวางแน่นิ่งในฎีกากองธรรมดา

          “หือ” ซวนหยวนหมิงที่กำลังขมวดคิ้วอ่านฎีกาม้วนหนึ่งต้องหลุดเสียงสงสัย

          “เอาเป็นว่าท่านเตรียมใจไว้ นี้ก็ดึกมากแล้ว ข้ากับต้าเซียนมิได้กลับบ้านมาหลายวัน ยามนี้คงต้องขอตัวก่อน” เซียวถิงฟงแสร้งตัดบทมิให้สหายมีโอกาสเอ่ยถามถึงอีก 

          ต้าเซียนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ทว่าก่อนไปก็ส่งปลายนิ้วลูบไล้ฎีกาเจ้าปัญหาอย่างปกติ กระนั้นดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนพลันสับเปลี่ยนเป็นสีทองวูบหนึ่ง ก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการกระทำของเขาหาได้มีใครสังเกตเห็นหรือเข้าใจ เว้นเพียงร่างในชุดเกราะที่มองอย่างรู้ความ

          “เดี๋ยวๆ รอข้าก่อน ข้ากลับด้วย”

          ระหว่างที่เซียวถิงฟงกับต้าเซียนกำลังเตรียมตัวกลับกันอยู่นั้น จู่ๆไป๋เซ่อก็โพล่งออกมา สองขาวิ่งเข้าหาทั้งคู่ด้วยความรวดเร็ว ทั้งนี้ยังมิลืมหยิบเอาเต่าหินที่ใช้ทับกระดาษไปเป็นของติดไม้ติดมือมาด้วย ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องชะงักทิ้งฎีกาในมือลงบนโต๊ะ

          “ไม่ได้/ข้าไม่อนุญาต”

          เสียงของบุรุษทั้งสองดังขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง หนึ่งเป็นเสียงแตกตื่นของรัชทายาทหนุ่ม และอีกหนึ่งเป็นเสียงของเซียวถิงฟงที่เอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดวงตายังถลึงบ่งบอกความไม่ยินยอม

          แค่กลางดึกทุกวันนี้เจอเจ้าเด็กเฟยเทียนก่อกวน ลอบปีนขึ้นเตียงแล้วมุดเข้ามานอนเบียดตรงกลางระหว่างเขากับต้าเซียน ประสาทเขาก็เสียมากพออยู่แล้ว หากยังตื่นขึ้นมาพบเจ้างูเผือกปากร้ายเข้าอีก เขาคงจะถึงขั้นเสียสติเลยทีเดียว

          “คนแซ่เซียว ใครเขาขออนุญาตเจ้ากัน” ไป๋เซ่อสวนตวาดทันควัน ก่อนเปลี่ยนมาส่งยิ้มออดอ้อนให้กับท่านมหาเทพ

          ฝ่ายต้าเซียนกลับชำเลืองมองซวนหยวนหมิงไท่ เห็นชายหนุ่มมีสีหน้าลนลานก็ต้องลอบขบขันอยู่ในใจ บุรุษผู้สุขุมเยือกเย็นเสมอมา ในยามนี้กลับมีท่าทีร้อนรนไม่ติดที่ มิหนำซ้ำยังพยายามส่งสายตาเป็นเชิงอ้อนวอนเขาเป็นการใหญ่ “ไป๋เซ่อ เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ ข้ากับถิงฟงมิได้กลับบ้านมาหลายวัน ป่านนี้เฟยเทียนคงเตรียมอาละวาดชุดใหญ่แล้ว”

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ยิ้มค้างคอตก ฝันสลายเมื่อจะมิได้นอนกอดท่านมหาเทพให้หนำใจ ซวนหยวนหมิงไท่ก็คล้ายรู้ความคิดของร่างเล็กจึงรีบเข้ามาปลอบโยน

          “เอาเถิดที่นี่ก็เป็นบ้านเจ้าเช่นเดียวกัน หากนอนไม่หลับ ข้าจะนอนเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

          มองรอยยิ้มที่เหยียดกว้างขึ้นทุกทีๆ ไป๋เซ่อก็ต้องกรอกตาเสมองไปทางอื่น เห็นแก่หน้าท้องที่หนุนสบายกำลังดีของเจ้า ข้าก็จะละเว้นให้สักครั้งก็แล้วกัน ว่าแล้วก็แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างช่วยไม่ได้ “เฮอะ”

          ด้วยท่าทียอมรับกลายๆนี้ ส่งผลให้เขาโล่งอก ทว่าในเวลาเดียวกัน เสียงกวนของผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่กำลังก้าวขาพ้นประตูก็แว่วเข้าสู่โสตประสาท

          “ต้าเซียนในที่สุดเจ้าก็กลับร่างเดิมเสียที บอกตรงๆตัวเจ้าในร่างซวนหยวนหมิงไท่ นี่มันออกจะ...เฮ้อ” ทำใจกอดไม่ลง เซียวถิงฟงกล่าวแล้วก็ส่ายหน้าให้ต้าเซียนอย่างทนรับไม่ได้

          “ทำไม ร่างข้ามันทำไมกัน” ฟังแล้วเส้นเลือดบนหน้าผากถึงกับกระตุกขึ้น เห็นทีเขาพอจะเข้าใจไป๋เซ่อแล้วว่าทำไมจึงชอบต่อล้อต่อเถียงกับเซียวถิงฟงนัก ใครใช้ให้สหายผู้นี้ปากไม่มีหูรูดเอาเสียเลย

          “เพ้ย หูไวจริงๆ” ผู้เป็นแม่ทัพได้ยินเสียงเอาเรื่องดังไล่หลังก็กล่าวสบถ คว้าจูงมือเจ้าของร่างสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังส่งเสียงหัวเราะเยาะตนแล้วนำพาจากสถานที่แห่งนี้โดยไว


 

********************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่20.2ผู้ครองเเคว้น 22/5/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 22-05-2016 09:48:58
บทที่ 20.2 ผู้ครองแคว้น



          ยามเช้าตรู่ที่ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี ซวนหยวนหมิงไท่ลืมตาตื่นขึ้นอย่างรู้เวลา ดูว่าหน้าท้องยังคงอึดอัดเหมือนเคย แต่กระนั้นก็เรียกรอยยิ้มในเช้าวันใหม่ให้แก่เขาได้เป็นอย่างดี

          มือหนึ่งเลิกผ้าห่มขึ้นก็พบร่างเล็กนอนอุตุซุกหน้าไปกับหน้าท้องของเขา มุมปากยังเอ่อล้นไปด้วยน้ำลาย ดังนั้นได้แต่ขยับศีรษะนี้ให้หนุนนอนบนหมอนนกเป็ดน้ำอย่างเบามือ ขณะกำลังหย่อนขาลงจากเตียง ด้านนอกผ้าม่านโปร่งสีขาวกลับมีเงาร่างคนผู้หนึ่งเข้ามาในห้อง

          “เกากงกง” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกผ้าม่านเอ่ยเสียงเบา มองดูของมืออีกฝ่ายก็พบอ่างล้างหน้าที่มีควันฉุย

          “โปรดให้กระหม่อมรับใช้ฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิดพะยะค่ะ” ขันทีผู้ชราก้มหน้ากล่าว

          “ท่านจะมิคิดใคร่ครวญอีกสักหน่อยหรือ” พูดจบก็วักน้ำขึ้นล้างหน้า ต่อด้วยรับน้ำเข้าบ้วนปาก

          เกากงกงพลันหัวเราะน้อยๆ ก่อนยื่นส่งผ้าสะอาดให้ “ฝ่าบาท แคว้นซวนหยวนผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ บ้านเมืองจำเป็นต้องมีคนหนุ่มขับเคลื่อน ยังมีเสี่ยวลู่ เขารับใช้ฝ่าบาทมานาน แม้ขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่เขาก็ฉลาดเฉลียวอดทนต่อความลำบากได้ไม่เลว หากขัดเกลาอีกสักหน่อย ภายภาคหน้าย่อมช่วยงานฝ่าบาทได้มาก ส่วนคนแก่อย่างกระหม่อม ถึงเวลากลับบ้านเกิด มองดูลูกหลานเติบโตเพียงอย่างเดียวแล้ว” กล่าวไปพลางคลุมเสื้อให้ร่างสง่างามอย่างคล่องแคล่ว

          นึกดูแล้วก็พลอยให้เขายิ้มบาง เป็นเกากงกงที่คัดเลือกให้เสี่ยวลู่ ขันทีซื่อๆตัวน้อยนิดมารับใช้เขา จึงอดกล่าวชื่นชมมิได้ “นี่เป็นเพราะท่านสั่งสอนและเข้มงวดกับเขาแต่เด็ก”

          กระทั่งจัดแจงชุดทรงอำนาจบนเรือนกายดีแล้ว ประตูห้องบรรทมจึงเปิดกว้าง หน้าห้องมีเสี่ยวลู่ในชุดหัวหน้าขันทีสีแดงเลือดหมูยืนรอน้ำตาซึมอยู่ แลจังหวะที่กำลังก้าวพ้นประตูห้อง ซวนหยวนหมิงไท่ก็หยุดฝีเท้า เอื้อนเอ่ย “เดินทาง โปรดระวังตัวด้วย”

          พระสุรเสียงจริงใจเอ่ยจบก็ย่างก้าวไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่หนักแน่น เกากงกงได้แต่มองตามแผ่นหลังประดุจหินผา สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ บัดนี้บุรุษผู้นี้มิใช่เด็กน้อยที่ไร้กำลังเช่นในอดีต และยิ่งมิใช่องค์รัชทายาทที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ระมัดระวังไว้ซึ่งทุกฝีก้าวจากคนรอบตัว หากแต่เป็นฮ่องเต้ผู้ปกครองแคว้นซวนหยวนอันยิ่งใหญ่ในขณะนี้

          ครั้นออกจากตำหนัก ขบวนเสด็จก็เคลื่อนที่ไปยังหน้าท้องพระโรง ซวนหยวนหมิงไท่มองตรงเข้าไปก็พบเหล่าบรรดาขุนนางที่ยืนเข้าแถวซ้ายขวาอย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางเป็นบัลลังก์มังกรสีทองซึ่งว่างเว้นไว้ รอเพียงบุคคลที่เหมาะสมก้าวขึ้นไปครอบครอง

          ความรู้สึกแรกที่นั่งในตำแหน่งที่สูงที่สุดกลับมิได้สบายอย่างที่ใครๆคิด บัลลังก์กว้างและแข็งผลักดันให้ผู้เป็นเจ้าของต้องตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่พึงปฏิบัติทุกช่วงขณะ ยังมีขุนนางเบื้องหน้าที่คล้ายกดดันให้เขามิอาจผ่อนคลายหรือเสียสมาธิทุกชั่วครู่ชั่วยาม

          หลังจากนั้นการประชุมเช้าจึงดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด เรื่องเร่งด่วนมีเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานปัญหาก็ยิ่งยากแก่การแก้ไข เขาใช้เวลาครุ่นคิดรับฟังความเห็นขุนนางแต่ละคนอย่างถี่ถ้วน ไม่นานก็เอ่ยถึงวิธีจัดการกับปัญหา เหล่าขุนนางดูแปลกใจไม่น้อยกับท่าทีของเขาที่มิได้นั่งนิ่งเงียบเช่นวันที่ผ่านมา แต่กระนั้นก็ยังน้อมรับคำสั่งแต่โดยดี

          รอจนตะวันขึ้นเหนือศีรษะ ในสองชั่วยามที่ผ่านมาข้อราชการทั้งหลายแหล่ล้วนจัดการไปได้ด้วยดียิ่ง แต่ทว่าเมื่อขุนนางร่างสูงผอมอายุวัยสี่สิบกว่าก้าวตรงออกมา ยื่นสองมือที่ถือฮูป่านออกมาแล้วค้อมตัวก้มศีรษะลงกล่าวตัดหน้าเขาในขณะที่กำลังเอ่ยปากบอกเลิกประชุม ชั่วพริบตานั้นทั่วทั้งท้องพระโรงก็บังเกิดตกอยู่ในความอื้ออึงชุดใหญ่

          ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ณ ตำหนักหลังใหญ่อันแสนจะเงียบสงบ บรรยากาศร่มรื่นผ่อนคลาย ปรากฏร่างหนึ่งพึ่งตื่นจากฝันหวาน ทั้งกำลังกลิ้งตัวไปมาบนเตียงไม่ยอมลุก กระทั่งผ่านพ้นไปสักระยะจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นกรอกสายตาไปรอบๆห้อง

          “เพ้ย เจ้าลูกเต่าหายไปไหนกัน หากจะทิ้งกันแบบนี้ก็ช่วยทิ้งอาหารไว้ให้ข้าด้วยสิ” ไป๋เซ่อผุดลุกขึ้นนั่งแล้วก่นด่าอย่างหงุดหงิด เมื่อมิเห็นเจ้าของตำหนักโผล่หัวกลับมาสักทีก็คงมีแต่ต้องคิดหาทางอื่น

          ร่างเล็กใช้เวลาคิดไม่นานดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็พลันฉายแววซุกซน ก่อนส่งเสียงหัวเราะลอดไรฟัน “ชี่ ชี่ ชี่ หากยังรอเจ้าอีก เห็นทีข้าคงได้กลายเป็นงูตากแห้งแล้ว”

          ว่าแล้วก็กระโดดลงจากเตียง หมุนตัวคราหนึ่งอาภรณ์สีเขียวอ่อนก็สวมทับกายเสร็จสรรพ จากนั้นถลาออกจากทางหน้าต่างมุ่งตรงไปทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว มิทันได้เห็นขันทีผู้หนึ่งเดินถือสำรับอาหารชุดใหญ่เข้ามาวางไว้ด้านใน

          ไป๋เซ่อตรงไปยังห้องเครื่องที่รู้จักเป็นอย่างดี ในยามใกล้เที่ยงเช่นนี้ย่อมต้องจัดเตรียมอาหารไว้ให้เจ้านายในวังเรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่ต่างไปจากที่คิด บัดนี้อาหารหลากตาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ส่งผลให้เขาที่หลบอยู่นอกห้องถึงกับน้ำลายสอ

          ร่างเล็กรอจนขันทีนางกำนัลออกไปส่งอาหารจนหมดก็ลอบเข้าไปหยิบฉวยน่องไก่ชิ้นอวบมาสองชิ้น บวกกับขนมหวานจานหนึ่งที่ดูน่ากิน ขณะกำลังคิดว่าจะนั่งกินที่ใดให้สบายใจ ก็พลันนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่แลดูเงียบสงบ ทั้งยังมีของเล่นเยอะแยะให้หยิบจับ

          ต่อเมื่อมาถึงห้องทรงพระอักษรอันไร้ผู้คน ไป๋เซ่อก็กระโดดไปนั่งบนเก้าอี้สีทอง จากนั้นเริ่มต้นกัดแทะน่องไก่คำโตอย่างเอร็ดอร่อย ทว่าไม่นานนักที่ด้านนอกกลับมีเสียงผู้คนกลุ่มหนึ่ง ร่างเล็กได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ้ะในลำคออย่างขัดใจ มือหนึ่งรวบจานขนมไว้บริเวณในอก สองขาถีบตัวขึ้นไปซ่อนตัวบนขื่อตำหนักอย่างเงียบเชียบ

          “ขุนนางพวกนี้น่าตายนัก ข้าขึ้นครองบัลลังก์มิกี่วัน กลับกล้าพูดถึงเรื่ององค์รัชทายาท มิเท่ากับแช่งให้ข้าอายุสั้นหรอกรึ”

          เป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่ก้าวนำหน้าผู้คนเข้ามาอย่างหัวเสีย ครั้นพูดจบก็สะบัดปลายแขนเสื้อไปไขว้หลังอย่างมิพอใจ ฝ่ายเซียวถิงฟงในชุดเกราะที่เดินตามเข้ามาเห็นอารมณ์ที่ไม่ลดลงสักนิดของจักรพรรดิหนุ่มก็ต้องเอ่ยขึ้น

          “ฝ่าบาท ความจริงพวกเขาก็ใช่ไม่มีเหตุผล” ทว่าเพียงเอ่ยสั้นๆ มังกรหนุ่มก็หันขวับมาถลึงตาใส่ ทำให้เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจ กล่าว “ซวนหยวนหมิงไท่ ยามนี้ท่านขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นซวนหยวน แต่ท่านนึกดูวังหลังของท่านมีผู้ใดอาศัยอยู่บ้าง”

          เซียวถิงฟงเอ่ยเตือน ทำให้เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ด้วยนึกขึ้นได้ว่ายามนี้วังหลังขาดประมุขฝ่ายใน ซึ่งเดิมทีบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนี้อย่างฮองเฮาเซิงกลับถูกกุมตัวอยู่ในตำหนักเย็น เนื่องด้วยโทษทัณฑ์กบฏ แลนับแต่นั้นฝ่ายในก็รกร้างราวป่าช้าเป็นต้นมา

          ยังมีอีกประการหนึ่งแม้สถานะฮ่องเต้จะอยู่เหนือคนทั่วหล้า คุกเข่าเพียงฟ้า แต่กระนั้นก็มิใช่ว่าจะสามารถเมินคำขุนนางทั่วทั้งแผ่นดิน หรือกระทำตามใจนึกได้ เรื่องนี้เขาเข้าใจดี แต่คิดแล้วก็ทำให้กลุ้มนัก เห็นทีมรสุมลูกใหญ่ผ่านพ้นไป มรสุมลูกเล็กก็เตรียมรอถล่มเขาให้เละอยู่เช่นกัน

          “จะอย่างไรฝ่ายในก็ต้องมีคนปกครอง เอาเป็นว่าท่านลองเลือกๆดูก็มิเสียหาย เพียงสามคนเท่านั้น หากแต่งตั้งแล้วท่านจะมิดูดำดูดีหรืออยากจะเอ็นดูพวกนางก็ตามแต่ท่าน” กล่าวจบเซียวถิงฟงก็เดินไปหยิบฎีกาม้วนหนาจนแปลกตาจากกองฎีกาที่ไม่เร่งด่วนขึ้นมา จากนั้นยัดใส่มือคนที่ทำหน้าทะมึน ซึ่งซวนหยวนหมิงไท่ก็รับมาอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนไล่เปิดดูผ่านๆอย่างไม่แยแส เห็นดังนั้นเซียวถิงฟงก็ตัดสินใจกล่าวอีกสักประโยค “บางทีท่านอาจจะเจอคนถูกใจก็เป็นได้ใครจะไปรู้”

          จักรพรรดิหนุ่มถึงกับมองอีกฝ่ายตาขวาง แล้วจึงไล่เปิดดูอีกครั้งอย่างจำใจ ดูว่าภาพสตรีในม้วนฎีกานี้ก็พอมีคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง แต่หากจะให้ต้องเลือกก็คงต้องหาคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่เป็นพิษเป็นภัยสักเท่าไหร่ ทั้งนี้ต้องไม่ระรานเขากับคนสำคัญของเขาด้วยเช่นกัน

          จวบจนกระทั่งเปิดไปจนถึงหน้าสุดท้าย พอถึงร่างวาดหนึ่งสีหน้าที่ดูไม่ได้ก็พลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงวูบ ทั้งยังดับความโกรธเกรี้ยวในใจเป็นปริบทิ้ง เขาย้ายสายตาขึ้นมองเซียวถิงฟงอย่างแปลกใจ “นี่...เจ้ากับต้าเซียน”

          “เห็นไหมข้าบอกแล้ว คนมีตั้งเยอะต้องมีถูกใจท่านแต่งตั้งเป็นพระสนมบ้างสักคน” เซียวถิงฟงยักไหล่อย่างกวนๆ “หากฝ่าบาทไม่มีอะไรแล้ว ข้า...ทูลลา” เขาก้มคำนับอย่างส่งๆ ก่อนจะหันหลังก้าวไปยังประตูทางออกโดยไม่ทนรอฟังคำอนุญาต

          คำพูดกึ่งนอบน้อมกึ่งเป็นกันเองแทบมิเข้าหู เพลานี้ใจของซวนหยวนหมิงไท่ล่องลอยไปอยู่ที่อื่นแล้ว “กลับตำหนักใหญ่” สิ้นเสียงตะโกน ฎีกาก็ถูกโยนไปข้ามศีรษะไปอย่างไม่ไยดี สองเท้าจ้ำอ้าวไปยังที่หมาย

          ถึงตอนนี้ไป๋เซ่อที่ซ่อนตัวบนขื่อก็ได้โอกาสกระโดดลงมาด้านล่าง ทว่าในใจคล้ายมีเปลวไฟแผดเผา ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเต็มไปด้วยโทสะ “หนอย เจ้าลูกเต่าคิดจะแต่งเมีย ยังจะกล้าบอกรักผู้อื่นอีก คอยดูหากเจอเจ้าอีกเมื่อไหร่ ข้าจะตะบันหน้าเจ้าให้คอหักตายไปเลย เฮอะ”

          แม้ไป๋เซ่อจะก่นด่า แต่สองขากลับนำพาตนเองมาหยุดลงตรงม้วนฎีกาที่ตกอยู่บนพื้น มองมันอยู่ครู่หนึ่งก็ตระหนักได้ว่ามิอาจห้ามใจที่อยากรู้อยากเห็น จึงได้แต่ก้มลงหยิบมันขึ้นมาด้วยท่าทีคล้ายไม่เต็มใจ

          เมื่อเปิดออกดูภาพร่างหญิงงามมากมายก็ปรากฏแก่สายตา รวมไปถึงประวัติความสามารถของพวกนางที่เรียกว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย เขาดูไปอารมณ์โกรธเกรี้ยวในอกก็เพิ่มขึ้นทีละส่วน อดไม่ได้ที่จะดูไปค่อนแคะไปไม่หยุดปาก

          “ดูคนนี้สิตาเหล่ถึงเพียงนี้กลับกล้าเอามาคัดเลือกได้อย่างไร คนนี้ก็อีกปากเบี้ยวเสียจนเวลาดับไฟข้ายังกลัวเลย อ่ะ ฮ่า ฮ่า คนนี้แก้มแดงเป็นตูดลิง นี่คิดจะแต่งเมียหรือแต่งลิงกันแน่...”

          “ยังมีคนนี้ใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตาเย้ายวนจะไปหลอกล่อผู้ใดกัน แบบนี้มันอสรพิษชัด...ชะ ว๊ากกก” ร่างเล็กดูไปก็แทะน่องไก่ไป จวบจนถึงภาพสุดท้าย เขาก็เป็นอันต้องผงะหงายหลังก้นจ้ำเบ้า ม้วนภาพและกระดูกไก่ต่างกระเด็นหลุดมือ เหงื่อกาฬพากันหลั่งไหลเต็มหน้าผาก ม่านตาสีฟ้าอมเขียวเลิกกว้างอย่างตกใจ

          “ไม่ได้การ ไม่ได้การแล้ว” ไป๋เซ่อได้แต่พึมพำทำอะไรไม่ถูก สองขาวิ่งวนไปรอบห้อง แลสักพักหนึ่งจึงคิดขึ้นได้

          “ใช่แล้ว ข้า...ต้องหนี ต้องหนีแล้ว”


 


[1] ฮูป่าน(笏板)แผ่นป้ายเตือนความจำหรือสมุดจดบันทึกที่ขุนนางจีนพกติดตัวทุกครั้งที่มีการถวายรายงานเหตุการณ์บ้านเมืองต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ในท้องพระโรง

 

********************************************************

 

- บทนี้เรื่อยเอื่อยหน่อยน้า ส่วนบทหน้าหงเว่ยน่าจะได้กลับมาเเล้ว...ม้างงง แอบรู้สึกพลอตในหัวเยอะ เยอะจนจะจบเรื่องใน 30 บทได้รึเปล่า 5555+ ติดตามกันต่อด้วยน้าาา

- กำลังคิดว่าจะเปลี่ยนชุดมังกรของซวนหยวนหมิงไท่เป็นสีดำเเดงจะเท่กว่าสีเหลืองอร่ามอ้ะป่าว เพื่อนๆเม้นบอกกันได้น้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 21.1 พระสนม /05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 30-05-2016 22:47:54
บทที่ 21.1 พระสนม

 

          ซวนหยวนหมิงไท่รีบเร่งกลับตำหนักเฉียนชิง ทิ้งให้ขบวนเสด็จกลุ่มใหญ่ปาดเหงื่อวิ่งเหยาะๆตามหลังไปตลอดทาง เพลานี้เขาไม่มีแก่ใจจะนึกถึงเรื่องใด เพียงต้องการพบหน้าคนที่ชอบยิ้มแฉ่งอยู่เนืองๆ

          “ไป๋เซ่อ” ครั้นก้าวสู่ห้องบรรทมก็ร้องเรียก แต่แล้วสีหน้าประดับรอยยิ้มก็มีอันต้องชะงักค้าง คนที่ควรอยู่กลับไม่อยู่อีกต่อไป หลงเหลือเพียงขันทีผู้หนึ่งและนางกำนัลราวสองสามคนคุกเข่าก้มหน้าตัวสั่น

          “เกิดอะไรขึ้น เขาไปไหน”

          ด้วยน้ำเสียงทรงพลังกึ่งตวาด ทำเอาเหล่าคนที่คุกเข่าสั่นเป็นเจ้าเข้า รอจนครู่หนึ่งขันทีทางด้านหน้าสุดข่มความกลัวก็ละล่ำละลั่กตอบ “ฝ่าบาท เป็นพวกกระหม่อมขาดตกบกพร่อง ค่ะ คุณชายท่านนั้น...หายไปแล้ว”

          เดิมทีห้องบรรทมแห่งนี้เป็นที่พำนักส่วนพระองค์ กระทั่งองครักษ์ประจำตำหนักยังไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามา ทำให้ไม่รู้ว่าคนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

          หายไปแล้ว...ได้อย่างไรกัน

          ดวงตาของสีดำขลับเลิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ ขันทีคนดังกล่าวสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของโอรสสวรรค์ก็รีบโขกศีรษะกับพื้นจนเกิดเสียงดังปึง ส่งผลให้นางกำนัลที่เหลือรีบกระทำตาม

          เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวลู่ซึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ สองมือใช้ไม้เท้าช่วงพยุงตัวต้องขึ้นเสียง “พวกเจ้า เกิดอะไรขึ้น”

          “ลู่กงกง ก่อนยามเที่ยงข้าน้อยยกสำรับอาหารมาให้คุณชายไป๋ แต่ตอนที่มาถึงคุณชายก็มิได้อยู่ในห้องแล้ว ส่วนนางกำนัลพวกนี้ก็ยืนยันได้ว่าไม่เห็นผู้ใดออกมาจากห้อง”

          “เหลวไหลทั้งเพ คนอยู่ดีๆจะหายตัวไปได้อย่างไร” เสี่ยวลู่ตวาดใส่ กระนั้นกลับลืมนึกไปว่าบุคคลซึ่งมีความสัมพันธ์ลับๆกับนายเหนือหัว เป็นคนผู้เดียวกับคนที่ทำให้เขาต้องหัวหมุนครั้งพักในจวนเจ้าเมืองตงหัวอยู่บ่อยๆ

          “หรือว่า...” คล้ายมีบางอย่างดลใจ ซวนหยวนหมิงไท่พานนึกถึงสถานที่ที่พึ่งจากมา มิรอให้เสี่ยวลู่เอะใจ เขาก็รุดฝีเท้าทะยานตัวออกจากห้องไปก่อนแล้ว

          จักรพรรดิหนุ่มใช้กำลังภายในย้อนกลับไปยังตำหนักทรงพระอักษร และดูว่าลางสังหรณ์เขามิผิดไป เพราะเมื่อย่างก้าวเข้าไปในห้องกว้างอันเงียบสงัด ณ กึ่งกลางห้องกลับมีกระดูกไก่ชิ้นเบ้อเริ่มไม่ทราบที่มาตกอยู่ใกล้ฎีกาที่คว่ำหน้าบนพื้น 

          เขาก้มลงหยิบม้วนฎีกา ไม่นานนักภาพร่างแสยะยิ้มให้กับลูกพลับในสวนของไป๋เซ่อก็ปรากฏสู่สายตา ด้านล่างของมุมภาพยังเพิ่มด้วยรอยนิ้วมือมันย่องสองจุด ดูจากสภาพรีบร้อนจากไป กระทั่งน่องไก่ยังมีเนื้อติดกระดูกอยู่ ร่างสง่างามก็พอจะเข้าใจความคิดของร่างน้อย

          ...ไป๋เซ่อ เจ้าคิดหนีอย่างนั้นหรือ

          “ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จิ้งได้รับรายงานเกี่ยวกับท่าทีผิดแผกของเจ้าชีวิตก็รีบดิ่งตามเสด็จพระองค์มาทันที

          สมองอันว่างเปล่าพลันหลุดจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินเสียงผู้มาใหม่ ทันใดนั้นความคิดดื้อรั้นก็แล่นวูบ

          ข้าไม่ยอม ไม่ยอมให้เจ้าหนี เป็นเจ้าทำให้ข้ากระวนกระวาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉะนั้นไป๋เซ่อ...เจ้าต้องรับผิดชอบ

          ซวนหยวนหมิงไท่หันขวับกะทันหัน ยังผลให้หัวหน้าองครักษ์จิ้งตกใจเล็กน้อยด้วยสัมผัสถึงบรรยากาศกดดัน

          “สั่งการลงไป ให้องครักษ์ของเราออกตามหาไป๋เซ่อโดยด่วน หากพบเขาที่ใดให้ขวางเขาไว้ อย่าให้เขาออกจากวังหลวงไปได้ จากนั้นรีบส่งคนมาแจ้งข้าโดยด่วน”

          “พะยะค่ะ” ร่างบึกบึนรับคำเสร็จก็เตรียมล่าถอย แต่แล้วฝีเท้าก็มีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อจู่ๆน้ำเสียงเครียดกลับหยุดเขาไว้

          “ช้าก่อน หากทำผู้ใดทำเขาบางเจ็บแม้แต่เพียงปลายก้อย...”

          ฝ่าบาทตรัสถึงตรงนี้ ดวงตาสีดำขลับที่มักทอแววเมตตาก็ตาลปัตรแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบเย็นชา หัวหน้าองครักษ์จิ้งใจหายวาบ ลอบนึกในใจ...บั่นศีรษะสินะ

          “อ่อ ยังมีอีก หากพบงูเผือกเลี้ยงของข้าก็ให้กระทำเช่นเดียวกัน และที่สำคัญห้ามทำให้มันบอบช้ำแม้แต่น้อย มิเช่นนั้น...”

          ประหารเก้าชั่วโครตสินะ...ไม่ต้องบอกเขาก็พอจะเดาได้ ยังมีสายตาที่ทำให้คนต้องหนาวๆร้อนๆคู่นั้นอีก “เอ่อ กระหม่อมใคร่ขอถามฝ่าบาทอีกสักนิด พระองค์ประสงค์จะตามหาคุณชายไป๋ก่อน หรืองูเผือกเลี้ยงก่อนดี?”

          “ทั้งคู่” ซวนหยวนหมิงไท่ถลึงตาตอบ ทำเอาหัวหน้าองครักษ์สะดุ้งโหยงในใจ “หากคนของเราไม่พอก็จงไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่เซียว ให้ส่งทหารสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาวช่วยตามหาอีกแรงหนึ่ง”

          โอ้ สวรรค์ เพียงหาคนกับงูตัวหนึ่งกลับต้องเกณฑ์กำลังคนมากมายเพียงนี้ หัวหน้าองครักษ์จิ้งงุนงงวูบ หาคนเขายังพอจะทำเนาเข้าใจ เพราะถึงอย่างไรคุณชายไป๋ก็เป็นคนรักลับๆของฝ่าบาท ทว่างูเผือกเลี้ยงนี่สิ แต่เอ๊ะ มันกลับมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด มิใช่มันหายไปตั้งแต่ฝ่าบาทพำนักที่จวนเจ้าเมืองตงหัวหรอกหรือ ครุ่นคิดสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ขัดรับสั่ง เขารับคำเสร็จก็ล่าถอยออกไปโดยไว

          รอจนคนจากไป ซวนหยวนหมิงไท่ก็เลื่อนมือกุมขมับ พึมพำอย่างเคร่งเครียด “ไป๋เซ่อ เจ้าคงมิคิดหนีข้าไปยังหุบเขาสั่วซีหรอกนะ”

          กล่าวได้ว่าหากจะมีคนผู้ใดทำให้ฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้หวาดวิตก ก็เห็นทีจะมีแต่บุรุษนามหงเว่ยเพียงผู้เดียว


 

**********************************************

 

          ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ กระนั้นก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆของไป๋เซ่อ ร่างในชุดมังกรได้แต่เดินวนเวียนรอบห้องอย่างกระวนกระวายใจ พลอยให้สองตาของเสี่ยวลู่กรอกไปมาวุ่นวาย จวบจนกระทั่งแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึง ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตรงรี่เข้าถาม ไม่เปิดจังหวะให้อีกฝ่ายอ้าปากแม้แต่น้อย

          “ได้เบาะแสบ้างรึไม่”

          สังเกตท่าทีร้อนอกร้อนใจของสหายก็ให้รู้สึกแปลกตาไม่น้อย เซียวถิงฟงกล่าวเสียงเรียบ “ท่านจะกังวลไปไย ไป๋เซ่อจะหนีท่านไปไหนได้”

          ประโยคดังกล่าวเท่ากลับบอกว่าไม่มีข่าวคราว ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับถอนหายใจ จากนั้นเดินกลับไปนั่งพิงหลังบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าก้มมองภาพร่างของเจ้าตัวน้อยแล้วเอ่ยเสียงเบา “ถิงฟง เจ้าไม่รู้กระไร ไป๋เซ่อ เขามี...มีที่ให้ไป ทั้งยังมีคนผู้หนึ่งรอเขาอยู่”

          “หือ” เจ้างูเผือกปากพล่อยน่ะหรือ มีคนรอคอยอยู่ ดูว่ามีเรื่องแปลกใจเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องแล้ว “แล้วอย่างไรเล่า ท่านเป็นถึงผู้ปกครองแคว้น เขาเทียบท่านได้?”

“ได้”

          คำตอบชัดถ้อยชัดคำนี้ทำเอาดวงตาของเซียวถิงฟงเลิกโต ชักจะอยากพบคนผู้นี้ขึ้นมาตงิดๆ ครั้นจะอ้าปากล้วงความอีกสักหน่อย ร่างสูงส่งก็พลันห่อเหี่ยวไปเรียบร้อยแล้ว จึงได้แต่เปลี่ยนมาปลอบใจแทน

          “อีกสักประเดี๋ยวต้าเซียนก็ตามมาแล้ว ตัวท่านอย่าพึ่งสิ้นหวังไป” ยังไงชาตินี้ไป๋เซ่อ เขาก็หนีท่านไม่พ้นหรอก แม้คิดกล่าวประโยคหลัง แต่ท้ายที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็ยังคงเก็บเงียบความในใจไว้

          ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย ส่งผลให้บรรยากาศหดหู่ภายในตำหนักผ่อนคลายลงบ้าง อันเป็นเวลาเดียวกับที่แมวสาวตัวสีดำหน้าท้องสีขาวปรากฏตัว มันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง พริบตาเดียวร่างทั้งร่างของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นสตรีสาวในชุดสีดำคล่องตัวอย่างน่าอัศจรรย์

          “จ๊ากกก นี่มันอะไรกัน” เสี่ยวลู่ร้องลั่น ดวงตาแทบถลน เข่าแทบทรุดลงไปกองกับพื้น เขาใช่เสียสติตาฝาดไปรึไม่ ไฉนจึงได้เห็นแมวกลายเป็นคนเช่นนี้

          หญิงสาวแทบไม่ใส่ใจกับอาการตกอกตกใจของเสี่ยวลู่ เจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววซุกซน เมื่อเข้ามาแล้วก็โพล่งถามทันที “นี่พวกท่านกำลังเล่นซ่อนหากันอยู่หรือ ทหารองครักษ์จึงได้เพ่นพ่านเต็มวังหลวงไปหมด อ่อ ยังมีไป๋เซ่อเดินย่องๆหลบซ่อนผู้คนไปทั่วอีก”

          “ถิงถิง เจ้าบอกว่าพบไป๋เซ่อ” คล้ายสวรรค์มาโปรด ซวนหยวนหมิงไท่ผุดลุกขึ้นยืน สองขาปรี่ลงจากโต๊ะไปคว้าจับไหล่บางของนางไว้ “เจ้าพบเขาที่ใด”

          มองดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ถิงถิงก็งุนงงไปวูบหนึ่ง สักพักจึงตอบ “เมื่อเค่อก่อนข้าเห็นเขาย่องไปทางตำหนักห้องเครื่อง”

          “ดี” เขาเอ่ยถ้อยคำสั้นๆ แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะถิงถิงเป็นเชิงขอบคุณ ต่อจากนั้นหันไปตะโกนบอกองครักษ์ทางด้านนอก “รีบแจ้งแก่องครักษ์จิ้งให้สั่งการล้อมตำหนักห้องเครื่องโดยด่วน”

          “พะยะค่ะ”

          ในขณะเดียวกันของอีกทางด้านหนึ่ง ไป๋เซ่อผู้ซึ่งกำลังหงุดหงิดเต็มทนก็โยนห่อผ้ากองโตซึ่งตุนไปด้วยขนมลงบนโต๊ะไม้ในห้องเครื่อง

          นี่นับเป็นรอบที่สาม...รอบที่สามแล้วที่เขาวกกลับมาห้องต้นเครื่อง ทั้งนี้ยังไม่รวมจำนวนครั้งที่เขากระโดดข้ามกำแพงวังสูงตระหง่านไปมา เพราะเกิดคิดไม่ตกว่าจะไปที่ใดดี จะหนีไปหาท่านมหาเทพก็มิได้ ครั้นจะกลับไปยังพิภพสวรรค์ ก็เกรงว่าพวกอาวุโสเทพทั้งสามจะหาเรื่องถีบตนลงมายังโลกมนุษย์อีก ดังนั้นไป๋เซ่อได้แต่เทียวไปเทียวมาตั้งหลักยังที่ประจำเดิม

          “เพ้ย เอาที่นี่แหล่ะ” ระดมสมองอยู่ครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดไป๋เซ่อก็ตบฉาดลงบนโต๊ะบอกตัวเอง จะคิดให้มากไปไย ในเมื่อไม่มีสถานที่ใดอุดมสมบูรณ์ไปกว่าห้องเครื่องแห่งนี้อีก

          ว่าแล้วดวงหน้าเย้ายวนหมุนไปรอบๆ ก่อนสะดุดตาไปยังโถเคลือบซึ่งวางเรียงอยู่เหนือศีรษะ ดูเนื้อสัมผัสของมันเรียบลื่นเป็นเงา อีกทั้งขนาดพอเหมาะแก่การขดตัวนอนหลับ ร่างเล็กพลันยิ้มแฉ่ง ขอเพียงรอให้เรื่องราวเงียบไป ตนค่อยปรากฏตัวก็ยังมิสาย “ชี่ ชี่ ชี่”

          ระหว่างที่เสียงหัวเราะลอดไรฟันดังขึ้น ทหารสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาวก็ได้ทำการปิดล้อมภายนอกตำหนักห้องเครื่องเป็นที่สำเร็จ ต่อด้วยองครักษ์ส่วนพระองค์ทยอยหลั่งไหลเข้าไปภายใน จัดการไล่ต้อนขันทีนางกำนัลในกองซั่งสือ[1]ออกมาจนหมดสิ้น

          เสียงฝีเท้ามากมายทำให้คนที่กำลังย่ามใจรู้สึกผิดแปลก รอยยิ้มชะงักค้างกะทันหัน ครั้นเบนหน้าชะโงกออกไปนอกหน้าต่างก็พบกลุ่มองครักษ์กำลังทยอยเข้าโอบล้อมห้องเครื่องเอาไว้

          “มารดามันเถอะ ไฉนแห่กันมาเร็วถึงเพียงนี้” ไป๋เซ่อสบถพร้อมทั้งดึงใบหน้ากลับมาโดยเร็ว ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกรอกไปมาวุ่นวาย มันต้องมีสักหนทางให้เขาหนีสิ ว่าแล้วก็เผลอสบเข้ากับโถเคลือบอีกครั้ง เพียงชั่วลัดนิ้วเดียวมันกลับจุดประกายความคิดหนึ่ง

          หลังจากถ่ายทอดคำสั่งปิดล้อมสถานที่ได้ไม่นาน เจ้าชีวิตก็เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ องครักษ์พร้อมเหล่าทหารในชุดเกราะสีดำต่างทำหน้าที่แข็งขัน ปิดกั้นทางเข้าออกหนาแน่น มิยอมให้ใครเข้าออกแม้กระทั่งหนูสัก ผู้เป็นแม่ทัพอย่างเซียวถิงฟงเหลียวมองไปรอบด้านก็ให้ตะลึงอยู่ไม่น้อย จำได้ว่าคราตนสั่งล้อมกบฏตระกูลเซิงยังไม่อลังการเพียงนี้

          “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

          “ยังไม่มีการเคลื่อนไหวพะยะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จิ้งเอ่ยตอบเจ้าชีวิตที่พึ่งเสด็จมาถึงพร้อมกับแม่ทัพใหญ่เซียว ลู่กงกง และหัวหน้าฝ่ายสอดแนมถิงถิง

          “ให้ทุกคนล่าถอยออกไปสิบก้าว เราจะเข้าไปเอง” กล่าวจบ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตรงเข้าไปผลักประตูห้องเครื่องออก

          ภายในเป็นห้องขนาดกว้าง ด้านข้างจัดเก็บด้วยเครื่องครัว รวมถึงโถใส่เครื่องปรุงต่างๆอย่างเป็นระเบียบ โดยรวมแล้วดูสะอาดสะอ้าน เว้นเพียงจานเปล่าที่วางส่งๆบนโต๊ะไม้ทรงยาว ณ กึ่งกลางห้อง

          “หนีไปแล้วหรือ” เซียวถิงฟงนึกชื่นชมในความรวดเร็วของเจ้างูเผือกจอมตะกละ ขนาดจะหนียังไม่วายคิดถึงเรื่องปากท้อง

          ร่องรอยกลิ่นอาหารสดใหม่ยังคงวนเวียนอยู่ในห้องไม่จางหาย ร่างมังกรหยิบเอาจานเปล่าที่มีเศษขนมติดอยู่ขึ้นมอง คล้ายขนมพวกนี้ถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยงอย่างรีบร้อน เขาขมวดคิ้วมุ่น

          ไป๋เซ่อ เจ้ารังเกียจที่จะแต่งให้ข้าจริงๆหรือ

          ทว่าความจริงข้อนี้ยากทำให้เขายอมรับ ดังนั้นได้แต่ครุ่นคิดวิธีหยุดยั้งร่างเล็กอีกครั้ง ยามนี้ใครจะว่าตนดื้อด้านก็ไม่สน ขอเพียงได้ถามไถ่เจ้าตัวต่อหน้าต่อตา ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ค่อยว่ากันอีกที

          แลคล้ายสวรรค์รับรู้ความตั้งใจของจักรพรรดิหนุ่ม ทำให้ภายนอกห้องบังเกิดเป็นเสียงดังครืดคราดแปลกๆท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบกริบ ส่งผลให้ชายหนุ่มทั้งสองต่างหันมาสบตากัน

          ซวนหยวนหมิงไท่เป็นฝ่ายยกนิ้วจรดริมฝีปาก เซียวถิงฟงเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ต่อจากนั้นทั้งคู่จึงออกติดตามต้นตอของเสียง กระทั่งพบโถเคลือบสีขาวธรรมดาคว่ำหน้าอยู่กลางทางเดิน สีหน้าของพวกเขาก็ถึงกับแปรเปลี่ยนไปมา ความรู้สึกหลายหลายพวยพุ่งในอก ยากยิ่งแก่การสรรหาคำพูดใดๆมาบรรยาย

          ทั้งนี้เป็นเพราะโถดังกล่าวหาได้ธรรมดาอย่างที่ควรจะเป็น ดูจากความพิเศษของมันแล้ว เกรงว่านอกจากมันจะสามารถงอกเงยขาได้เองแล้ว มันยังสามารถนำพาตนเองเคลื่อนที่ไปยังสวนเล็กๆของตำหนักได้อีกด้วย


 

****************************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 21 พระสนม 30/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 30-05-2016 22:49:54
บทที่ 21.2 พระสนม

 

          “เจ้าพวกโง่ ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่มีทางจับข้าได้หรอก ว่ะฮ่ะฮ่า”

          ไป๋เซ่อในร่างงูเผือกส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ระหว่างนั้นก็ใช้ศีรษะดุนดันโถเคลือบไปยังด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง รอให้มันผ่านเข้าพงหญ้าแล้วตัดผ่านทางสวนก่อนเถอะ มันจะโลดแล่นไปหลบซ่อนในตำหนักตัดเย็บโดยที่ใครก็คาดไม่ถึง

          คลับคล้ายได้ยินเสียงขู่ฟ่อชวนน่าจับตีก้น ซวนหยวนหมิงไท่เดินไปดักทางงูน้อยไว้แล้วจึงกอดอกยิ้มกว้าง ซูฮกให้กับความซื่อจนเซ่อโดยไม่รู้ตัวของไป๋เซ่อ ด้านเซียวถิงฟงกลับยิ้มแหย เป็นเขาประเมินมองมันสูงไป น่าจะรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าสมองของงูเผือกตัวนี้มีปัญหา

          จังหวะที่โถเคลือบค่อยๆคืบคลานเข้าสู่พงหญ้าอย่างแช่มช้า บนฟากฟ้านภาอากาศก็ปรากฏเงาร่างสีขาวบริสุทธิ์ของต้าเซียน ร่างน้อยทะยานตัวลงมาพร้อมกับผู้เฒ่าผมขาวในชุดสีไข่ไก่ มือหนึ่งถือด้วยไม้เท้า แลอีกมือหนึ่งอุ้มนกเป็ดน้ำตัวอ้วน เป็นที่สะดุดสายตาแก่สองบุรุษถึงขนาดมองหนึ่งคนหนึ่งเป็ดน้ำขึ้นลงอยู่หลายครั้ง

          กระทั่งปลายเท้าของผู้มาใหม่สัมผัสพื้น ผู้เฒ่าคนดังกล่าวก็ระเบิดความเกรี้ยวกราด หมุนควงไม้เท้าก่อนวาดชี้ไปยังโถเคลือบมีชีวิต “เจ้าเด็กตัวแสบ คิดว่าจะหนีพ้นรึ”

          สิ้นเสียงลำแสงก็แล่นปราดผลักโถสีขาวให้กระเด็นออกไป แลยังมิทันให้งูเผือกได้ตั้งตัว นกยวนยางก็กระโดดลงจากอ้อมแขนของผู้เฒ่า ตรงเข้าจิกตีจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง

          “จ๊ากกก ก้นข้าๆ”

          ไป๋เซ่อร้องลั่น หากแต่เจ้าเป็ดน้ำตัวอวบกลับมิได้เห็นใจ ยังคงไล่จิกไล่ต้อนจนงูเผือกเลื้อยหนีชุลมุน

          “เป็นไงล่ะ รู้ฤทธิ์ข้าผู้เฒ่าจันทราบ้างรึยัง ฮ่า ฮ่า”

          ผู้เฒ่าจันทราเปล่งเสียงหัวเราะสะใจ ด้านไป๋เซ่อน้ำตาซึมกระโดดผึงกอดคอซวนหยวนหมิงไท่ หมดสภาพอสรพิษผู้เป็นดั่งมือขวามหาเทพแห่งพิภพสวรรค์ “เอ่อ ท่านผู้เฒ่าจันทรา ให้ยวนยางของท่านหยุดก่อนดีไหม” ต้าเซียนเกาแก้มเอ่ยขัดจังหวะ

          “เฮอะ” ผู้เฒ่าจันทราแค่นเสียงใส่เจ้างูตัวดี สองมือเหี่ยวย่นจำใจอุ้มนกเป็ดน้ำกลับไป หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าของท่านมหาเทพ เขามิมีทางหยุดมือง่ายเช่นนี้เป็นแน่

          ไป๋เซ่อมองหนึ่งเซียนกับอีกหนึ่งตัวอย่างหวาดๆ ฉับพลันนั้นก็จดจำฝันประหลาดเมื่อหลายคืนก่อนขึ้นได้ แน่ชัดว่าเจ้าเป็ดน้ำดุร้ายตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับที่ส่ายก้นอุ้ยอ้ายไปมาให้ตนดู ยังมีผู้เฒ่าหนวดเคราขาวร้องก่นด่าผู้คน เป็นเฒ่าจันทราที่ตนมิได้พบหน้าคร่าตาเป็นเวลานาน

          “พวกเจ้ามีความแค้นกับข้าหรือไร จึงรุมทำร้ายข้าเช่นนี้” ไป๋เซ่อกอดคอซวนหยวนหมิงไท่ไว้แน่นพลางอ้าปากขู่ฝ่อประท้วง ส่งผลให้อารมณ์ของเฒ่าจันทราเดือดดาลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

          “น่ะ หนอย  มิใช่เป็นเพราะเจ้าทำลายผลงานข้าก่อนหรือ”

          ครั้นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่กำลังจะประทุขึ้นมาอีกหน ต้าเซียนก็รีบปรามผู้เฒ่า โดยกล่าวเข้าประเด็น “ไป๋เซ่อ เจ้าต้องแต่งให้กับซวนหยวนหมิงไท่”

          “หือ” ไป๋เซ่อเลิกตาโต คำพูดเหล่านี้พลอยทำให้หัวใจเขาเต้นตึกตักอยู่ไม่สุข ทั้งยิ่งทำตัวไม่ถูก มันจึงคลายตัวจากคำชายหนุ่ม กระโดดลงสู่พื้น เปลี่ยนร่างเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวสดใส “ทะ ท่านมหาเทพจะให้ข้าแต่งกับเขา” ประโยคนี้พูดออกไป พลันรู้สึกตัวเองหน้าแดงอย่างห้ามมิอยู่ ครั้นเห็นซวนหยวนหมิงไท่กำลังจดๆจ้องๆตนเองด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาก็โพล่งแก้เขิน “เรื่องอะไรข้าจะต้องแต่งด้วย”

          “หนอย ยังมีหน้ามาถามถึงเหตุใด เจ้า! เจ้า!เจ้า! จำได้รึไม่ว่าตอนที่เจ้าถูกลงโทษมาทำความสะอาดที่ตำหนักของข้า เจ้าก่อเรื่องอะไรไว้ ฮึ่ย!” หากทำได้ผู้เฒ่าจันทราคงเอานิ้วจิ้มหน้าผากเจ้าเด็กตัวดีให้จมติดดินไปแล้ว ทว่ายังคงควบคุมอารมณ์ แม้ในใจจวนเจียนจะระเบิดรอมร่ออยู่แล้ว

          ฝ่ายไป๋เซ่อกลับยิ่งทำสีหน้างุนงงหนัก เรื่องราวผ่านมาตั้งหลายพันปี ใครมันจะไปจดจำได้ แต่กระนั้นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นม้วนไม้ไผ่หมิ่นแหม่ในอกเสื้อสีไข่ไก่ของผู้เฒ่าโมโหร้าย ฉับพลันนั้นใจก็เย็นวาบ ข้อความที่ซุกซ่อนในส่วนลึกของความทรงจำก็เผยปรากฏ

          เจ้าผู้ครองแผ่นดินซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่ ถือทศพิธราชธรรม เป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้า ยึดถือน้ำใจเป็นหลัก วาสนารายล้อมไปด้วยผู้โดดเด่น ชะตาพันผูกคู่ชีวิต จะดีเลวเกื้อหนุนฉุดรั้ง ขึ้นอยู่กับผู้ที่เลือก...

          กล่าวได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะน้ำชาถ้วยเดียว ทำให้เขาต้องเช็ดขัดถูม้วนไม้ไผ่อย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพในอดีตค่อยๆย้อนกลับมาทักทาย ราวกับเป็นเรื่องสดใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ว่าแล้วไป๋เซ่อก็เสมองเจ้าเป็ดน้ำตัวดีผู้ซึ่งเคยเป็นพันธมิตร แต่แล้วมันกลับทำมองไปทางอื่น

          ...เจ้านกสองหัว สักวันข้าจะจับเจ้าไปย่างกินให้ได้ หึ หึ

          “แล้วอย่างไร ทำไมข้าจะต้องแต่งให้กับเจ้าลูกเต่านี่ด้วย” ไป๋เซ่อแย้ง ยังคงไม่เข้าใจว่าการลบเลือนนามของคนผู้หนึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการที่เขาต้องแต่งให้ซวนหยวนหมิงไท่ตรงไหน

          ครั้นเห็นผู้เฒ่าจันทรากำลังจะอาละวาดอีกระลอกหนึ่ง ต้าเซียนก็ชิงตอบแทน “นั่นเพราะซวนหยวนหมิงไท่ เป็นผู้ครองแคว้นราชวงศ์ซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่” 

          “หา” ไป๋เซ่ออ้าปากค้าง ดวงตาแทบถลนประดุจดั่งไข่ห่าน ก่อนจะเห็นซวนหยวนหมิงไท่กลับรีบพยักหน้าหงึกหงักพร้อมฉีกยิ้มเผยฟันขาว ดวงตาของท่านมหาเทพเองก็เปล่งประกายระยิบระยับ ก่อนกล่าวสืบต่อ

          “ครั้งนั้นเจ้าเพียงเผลอลบชื่อ แต่หาได้ลบไปถึงแซ่ไม่ ข้าตรวจสอบกับผู้เฒ่าจันทราดูแล้ว เจ้าของรายนามที่ถูกลบนามไป บังเอิญใช้แซ่ที่เป็นอักษรตัวเดียวกับนามของเจ้าพอดิบพอดี”

          แซ่ไป๋...ไป๋เซ่อถึงกับอ้าปากค้าง คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นแซ่ไป๋จริงๆ...นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว แลยังมิทันจะหายตกใจดี ท่านมหาเทพก็ปล่อยประโยคเด็ดที่ราวกับต่อยหน้าเขาในหมัดเดียว

          “ดังนั้นข้าก็เลยเติมชื่อเจ้าลงไปแทนเรียบร้อย เพียงเท่านี้เรื่องก็จบจริงไหม ฮ่า ฮ่า” กล่าวจบต้าเซียนก็หัวเราะสดใส หากแต่คนฟังกลับสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว

          ...อ๊ากกก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย


 

****************************************************


          กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเหมยอบอวลในห้องอบอุ่น พลอยทำให้คนที่พึ่งลืมตาตื่นจ้องมองหลังคาห้องด้วยความขี้เกียจ ครู่หนึ่งไป๋เซ่อก็กลับไปหลับตาพริ้ม ทั้งยังเปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคงอย่างสบายอารมณ์

          อืม หมอนหนุนใบนี้ช่างเหมาะกับคอของข้าเป็นอย่างดี เห็นทีต้องสั่งให้เจ้าลูกเต่าซื้อมาเพิ่มอีกสักหลายๆใบ ระหว่างคิดมือก็ลูบไล้หมอนคู่ใจอย่างมันมือ ต้องแบบนี้สิจึงจะปลอบประโลมฝันร้ายของข้าเมื่อครู่ก่อน

          “ฟื้นแล้วรึ”

          ทว่ามีหมอนหนุนที่ไหนพูดภาษาคนได้กัน ดวงตาสีฟ้าอมเขียวพลันลืมพรึ่บ ก่อนจะแลเห็นเค้าใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งเอนหลังใกล้ๆ

          “เมื่อครู่เจ้าเป็นลมไป หากยังรู้สึกไม่ดีขึ้น ข้าจะตามหมอหลวงให้”

          “ว๊ากกก ฝันร้ายนั่นเป็นเรื่องจริงหรอกหรือ” ไป๋เซ่อถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับแหกปากร้องถาม

          ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกว้าง ตอบเสียงเรียบ “แน่นอนย่อมมิใช่ความฝัน” กล่าวพลางเล่นปอยผมสีดำเทาสลวยของเจ้าตัว

ครั้นได้รับคำตอบสีหน้าของไป๋เซ่อก็ยิ่งแตกตื่น หันซ้ายทีขวาที ราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดกระโดดออกมาแฉความผิดเขาอีก

          “ต้าเซียนพาท่านผู้เฒ่าจันทรากลับไปแล้ว เจ้ามิต้องกังวลไป”

          ได้ยินดังนั้นไป๋เซ่อก็ถอนหายใจโล่งอก กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ในยามนี้กลับตีสีหน้าจริงจัง ต่างจากเพลาที่อยู่ด้วยกัน

          “ไป๋เซ่อ หากเจ้าลำบากใจที่จะแต่งกับข้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า”

          ลำบากใจหรือ...แม้น้ำเสียงของร่างสง่างามจะฟังดูเป็นปกติ ทว่าดวงตากลับมิเป็นเช่นนั้น มันดูหม่นแสงลงไปมาก ทั้งซ่อนความโดดเดี่ยวอ้างว้างไว้ภายใน ทำให้เขารู้สึกราวกับทำผิดกับอีกฝ่ายไป “ข้า...ข้า”

          “หรือว่าเจ้าทนเห็นข้าอยู่กับสตรีอื่นได้?” ครั้นเห็นไป๋เซ่ออึกอัก ฝ่ายโอรสสวรรค์ก็สบโอกาสตีบทโศก จะว่าด้วยเล่ห์หรือด้วยกล เขาก็งัดขึ้นมาใช้ทั้งหมด

          “ข้า” ก่อนหน้านี้ด้วยอารามตกใจทำอะไรไม่ถูก ตนจึงลืมนึกถึงข้อนั้นไปเสียสนิท แถมมานึกดูตอนนี้ พลันไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องหนีด้วย ร่างเล็กเกาศีรษะแกรกๆ

          “เจ้านึกดูสิ หากข้าแต่งให้ผู้อื่น ข้าก็คงตามใจเจ้าเหมือนก่อนมิได้ แล้วยังมีที่ตรงนี้...” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มลงมองหน้าท้องซึ่งมักถูกยึดครองด้วยศีรษะร่างเล็ก

          “อา” ไป๋เซ่อหลุดเสียงด้วยเข้าใจความหมายของชายหนุ่ม ก่อนนึกโอดครวญในใจ...หน้าท้องหนุนนอนกำลังพอดีของข้า

          สังเกตเห็นประกายตาแสนเสียดาย ร่างสง่างามก็รีบกล่าวเสริม “เจ้าจะยอมแบ่งปันมันให้สตรีอื่นแน่หรือ”

          “เพ้ย นี่มันหมอนหนุนของข้าชัดๆ เจ้ากล้าแบ่งปันมันให้ผู้อื่นได้อย่างไร” แค่คิดว่าจะมีสตรีคนใดมาแทนที่เขา โทสะก็พลุ่งพล่านแล้ว

          ถึงตอนนี้เจ้าของดวงตาสีดำขลับก็ผุดรอยยิ้มที่เสมือนมิมี “ใช่ มันจะของๆเจ้าเพียงคนเดียว หากเจ้ายินยอมแต่งให้กับข้า”

          “มารดามันเถอะ เช่นนั้นข้าจะแต่ง” ไป๋เซ่อโพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิด หากไม่มีหน้าท้องอันแน่นขนัดนี้แล้ว เขาจะนอนหลับสนิทได้อย่างไร และอีกประการหนึ่งที่ยอมมิได้คือ...เขาหวง

          ของๆข้า หากมิใช่ข้ายกให้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังกินเต้าหู้

          “ดี ดีที่สุดเลย ข้ารักเจ้าไป๋เซ่อ”

          ไม่ทันไรตัวก็ถูกรั้งเข้าไปกอด ริมฝีปากก็ถูกช่วงชิงโดยไม่ทันตั้งตัว ซวนหยวนหมิงไท่จุมพิตเขาเบาๆทีหนึ่งก็ผละตัวออก ส่งยิ้มแก้มแทบปริ ดวงตาหยีโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ ความเบิกบานของชายหนุ่มทำให้สมองไป๋เซ่อถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ

          “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้านอนเล่นที่นี้ไปก่อน ข้าจะกลับไปร่างราชโองการแต่งตั้งเจ้าโดยเร็ว” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวโดยไม่หยุดพักหายใจ ราวกับกลัวว่าหากมิรีบจัดการ อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจเสียก่อน รอจนเขาเหน็บผ้าห่มให้ร่างเล็กเสร็จก็รีบร้อนออกจากห้องบรรทมไปด้วยความยินดี

          จวบจนพ้นไปเค่อหนึ่ง ในห้องกว้างก็พลันมีเสียงร่ำร้อง

          “พับผ่าสิ ไฉนจึงถูกกินเต้าหู้อีกแล้ว ต้องเป็นข้ากินเต้าหู้เจ้าสิ คนหน้าด้าน” ไป๋เซ่อลูบปากที่ยังคงทิ้งไออุ่นไว้ กระทั่งฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง “อ้ะ เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้ข้าบอกจะแต่งให้กับเจ้าลูกเต่าหรือ ว๊ากกก ข้าโดนหลอก โดนหลอกแน่แท้ ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันคนเจ้าเล่ห์สองหน้าชัดๆ”

          เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรง เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็เข้าประชุมกันถ้วนหน้า หาได้มีใครลาป่วยหรือลาหยุดกะทันหัน อาจเป็นเพราะวันนี้เรื่องราวสำคัญบางประการจะถูกป่าวประกาศ

          กระทั่งข้อราชการทั่วไปเสร็จสิ้น ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลี่เชียน ผู้เป็นตัวตั้งตัวในเรื่องแต่งตั้งพระสนมก็ก้าวออกมาด้านหน้า แลในชั่วพริบตาเดียวท้องพระโรงก็เป็นอันเงียบกริบ

          “ฝ่าบาท เรื่องประมุขฝ่ายในเองก็เป็นเรื่องที่มิอาจมองข้าม ทั้งยิ่งมิอาจเพิกเฉยละเลยได้ ขอฝ่าบาท...” หลี่เชียนยังมิทันพูดจบก็พลันหยุดปาก เนื่องเพราะมือเรียวของเจ้าชีวิตยกขึ้นแล้ว

          “เรื่องนี้เราตัดสินใจแล้ว เราเห็นพ้องกับพวกท่าน ประมุขฝ่ายใน มิอาจเว้นว่างได้แม้แต่วันเดียว ดังนั้นเราเห็นสมควรจัดพิธีแต่งตั้งพร้อมกับพิธีขึ้นครองราชย์ในอีกห้าวันที่จะถึงนี้”

          สิ้นเสียงขุนนางผู้ใหญ่หลายท่านก็มิอาจปิดซ่อนสีหน้ายินดีไว้ได้ ซวนหยวนหมิงไท่ในชุดมังกรส่งเสียงเรียก “ลู่กงกง”

          “พะยะค่ะ” เสี่ยวลู่รับคำอย่างรู้ความ ก่อนจะหันไปทางเหล่าขุนนางทั้งหลาย คลี่พระราชโองการในมือแล้วเปล่งเสียงดังก้อง “ด้วยพระราชโองการ ฝ่าบาท โปรดแต่งตั้งให้บุตรสาวตระกูลหลี่ หลี่ซิ่วหลันและบุตรสาวตระกูลเจิน เจินเริ่นผิงเป็นพระสนม พร้อมทั้งเข้าพำนักที่ตำหนักจวี๋ฮวาและที่ตำหนักหลันฮวาได้ทันที”

          ถึงตรงนี้หลี่เชียนยืดอกเชิดหน้าพึงพอใจกับการตัดสินพระทัยในครั้งนี้ ผิดแผกกับขุนนางใหญ่เจินหยวนที่เพียงก้มหน้าสงบเสงี่ยม ไม่ถึงแสดงออกสีหน้าใดๆ

          “นอกจากนี้ยังโปรดแต่งตั้งให้หลานชายตระกูลเซียว เซียวไป๋ เป็นพระสนม เข้าพำนักที่ตำหนักเฉียนชิงทันที จบพระราชโองการ”

          จนกระทั่งหัวหน้าขันทีเสี่ยวลู่เอ่ยข้อความส่วนสุดท้าย ท้องพระโรงก็คล้ายเกิดระเบิดเป็นเสียง ความไม่พอใจระบายอยู่บนหน้าขุนนางแทบทุกคนขนานใหญ่

          “ไม่ได้ ทำเช่นนี้ไม่ได้ฝ่าบาท” เป็นหลี่เชียนรีบทูลแย้ง

          “ทำไมถึงมิได้ เราเองก็ทำตามเงื่อนไขของพวกท่านทุกประการ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นพระสนมล้วนคัดเลือกมาจากม้วนภาพที่พวกท่านส่งถึงเรา” ซวนหยวนหมิงไท่ตีสีหน้าตาย ก่อนจะบุ้ยใบ้ให้เสี่ยวลู่แกะม้วนภาพร่างดังกล่าวออก

          ครั้นเหล่าขุนนางต่างเห็นรูปบุรุษด้านในสีหน้าก็ทะมึนไปทั้งแถบ ได้แต่หันขวับไปจ้องอัครเสนาบดีเซียวถิงหลี่และแม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงที่กำลังแสร้งทำหูหนวกอย่างเอาเรื่อง

          “แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็ตัดสินพระทัยแบบนี้มิได้ การแต่งตั้งบุรุษเป็นพระสนมย่อมผิดประเวณี ขัดต่อหลักการทั้งปวง เบื้องบนจะพิโรธ แคว้นซวนหยวนอาจจะพบกับภัยพิบัติ” หลี่เชียนทูลกล่าวน้ำเสียงเครียด

          “หือ เบื้องบน” ซวนหยวนหมิงไท่หัวเราะน้อยๆ เจ้าเฒ่าผู้นี้ช่างหลักแหลมยกอ้างสวรรค์มาบีบบังคับเขา แต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์นั่นแหละ เป็นคนส่งสนมคนนี้มาให้เขากับมือต่างหาก “เช่นนั้นในวันงานแต่งตั้ง เราจะให้กรมพระราชพิธีเพิ่มพิธีสำคัญอีกหนึ่งพิธี”

          หลี่เชียนฟังแล้วก็งุงงนวูบ “พิธีอะไรหรือพะยะค่ะ”

          “พิธีถามฟ้า” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวแล้วยิ้มขบขันให้กับใบหน้าที่โง่งมของขุนนางทั้งหลาย “ในเมื่อพวกท่านเป็นกังวลกับความสุขสงบของแคว้น เราเห็นควรให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสิน”

          อีกด้านหนึ่งผู้เฒ่าจันทรามองดูความวุ่นวายเบื้องล่างก็อดมิได้ที่จะเคร่งเครียดตาม “ท่านมหาเทพ ทำเช่นนี้ถูกต้องดีแล้วหรือ ความจริงสตรีที่ควรจะอยู่ที่นั่นควรจะเป็นไป๋เย่วเซียง”

          ต้าเซียนยิ้มบางกล่าว “ท่านผู้เฒ่าอย่าพึ่งคิดมากไป เรื่องราวล้วนดำเนินถึงเพียงนี้ หากท่านยังฝืนให้นางกลับเข้าสู่วังวนโศกนาฏกรรม มิเท่ากับพวกเราพิภพสวรรค์ไม่ยุติธรรมกับนางเกินไปหรือ เรื่องนี้นางเป็นผู้เสียหาย ไป๋เซ่อเป็นผู้ก่อ จำเป็นต้องให้เขารับช่วงต่อแทน...แม้เรื่องราวจะมิได้ราบเรียบก็เถอะ ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ที่พวกเขาตัดสินใจ”

 

[1] กองซั่งสือหรือกองห้องเครื่อง (尚食局) มีหน้าที่ประกอบเครื่องเสวย จัดการดูแลเรื่องสุรา ฟืน และโอสถ แบ่งออกเป็น 4 แผนก คือ แผนกเครื่องเสวย น้ำจัณฑ์ โอสถ ต้นเครื่อง

กินเต้าหู้ เป็นสำนวนจีนที่มีความหมายว่า ลวนลาม

 

****************************************************************


- บทนี้อัพช้าหน่อยนะจ้ะ พอดีมาตันช่วงท้ายๆ ก่อนจะเขียนก็คิดอยู่นานว่าจะเฉลยปมเรื่องเด็กหนุ่มในบทนำเลยดีรึป่าว สุดท้ายก็เอาเลยล่ะกัน เก็บมานานล่ะ คันปาก 5555+

- หงเว่ยยังไม่มา เเต่บทหน้าเฮียเเกมาเเน่ พร้อมกับคนเเปลกหน้าอีกคนจ้า

- บทนี้เราไม่ได้เเบ่งลำดับขั้นของพระสนมนะคะ เลยเป็นเเบบเท่าเทียม กลัวเเบ่งเยอะ พออ่านล่ะสับสน
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 21 พระสนม 30/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 31-05-2016 05:29:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 22.1 การกลับมา 07/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 07-06-2016 20:19:41
บทที่ 22.1 การกลับมาของหงเว่ย

 

          หลังจากผ่านการโต้เถียงในโถงประชุมอย่างดุเดือด เช้าวันต่อมาคำสั่งแต่งตั้งอันผิดประเวณีของเจ้าชีวิตหนุ่มก็เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง และเพราะด้วยการแต่งตั้งบุรุษเป็นพระสนมนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในแคว้นซวนหยวนมาก่อน ทำให้เหล่าบัณฑิตต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันในแง่ลบ ไม่เว้นแม้แต่นักเล่าเรื่องที่พากันเสริมเติมแต่งเรื่องราวกันไปต่างๆนานา

          เช่นเดียวกับในขณะนี้ที่ผู้คนหลากหลายอาชีพมารวมตัวกันนั่งล้อมวงฟังนักชายวัยห้าสิบกล่าววาจาออกรสบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงฉางอันอย่างแน่นขนัด

          “จากที่ทุกท่านทราบ รัชสมัยผลัดเปลี่ยน ซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ กระนั้นพระองค์กลับยังคงไร้คู่บุญบารมี ขุนนางทั้งหลายเห็นแก่ความมั่นคงของแคว้น จึงสนับสนุนให้พระองค์แต่งตั้งสนมชายา ว่ากันว่าเรื่องนี้ถกเถียงกันอยู่ในท้องพระโรงหลายครั้ง ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงยินยอมรับสั่งให้คุณหนูตระกูลหลี่และตระกูลเจินที่เพียบพร้อมเข้าสู่วังหลวง พร้อมทั้งแต่งตั้งเป็นพระสนมในทันที” นักเล่าเรื่องฉีเอ่ยวาจาถึงตรงนี้ก็พลันเปลี่ยนน้ำเสียงให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

          “ทว่าเรื่องราวไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะพระองค์ยังทรงแต่งตั้งเซียวไป๋ หลานชายผู้มีประวัติคลุมเครือไม่ทราบชัดของตระกูลเซียวขึ้นเป็นพระสนมอีกคน...ไม่ทราบว่าพวกท่านยังจดจำได้รึไม่ แต่ก่อนแม่ทัพใหญ่เซียวเพียงจัดทัพออกศึก ไม่เคยเหลียวแลสตรีคนใด แต่แล้วเหตุใดเมื่อกลับมาประจำการยังเมืองหลวง กลับรีบร้อนจัดงานแต่งกะทันหัน มิหนำซ้ำผู้ที่แต่งด้วยกลับเป็นบุรุษชายชาตรี”

          “หือ บุรุษ...เป็นบุรุษหรอกหรือ” บังเกิดเป็นเสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึงไปทั่วบริเวณ สีหน้าของชาวบ้านบ้างแสดงออกอย่างงุนงง บ้างแสดงออกอย่างรังเกียจ

          “เขามิเพียงเป็นบุรุษ แต่ยังเป็นบุรุษรูปงามประดุจเทพเซียน แต่พ่อแม่พี่น้อง เขามาจากที่ใด ปรากฏตัวเมื่อไหร่ มีผู้ใดทราบ?”

          “นั่นสิ”

          รอจนชาวบ้านระเบิดอารมณ์ นักเล่าเรื่องฉีก็รีบตีเหล็กกำลังร้อน “ในอดีตจักรพรรดิแคว้นเซี่ยหลงใหลมัวเมาในตัวบุรุษรูปงามเกินธรรมดา ไม่สนข้อราชการบ้านเมือง ท้ายที่สุดแคว้นเซี่ยจึงต้องล้มสลาย ยังมีองค์ชายแคว้นจ้าวต้องตาชายบำเรอเพียงแค่สบตา ถึงขนาดรับสั่งให้คนลักพาตัว ล่วงเกินเจ้าครองแคว้นเป่ย ทำให้เกิดศึกสงคราม เหล่าประชาราษฎร์ตกอยู่ภายใต้ไฟสงครามนานนับหกปีเต็ม กล่าวกันว่าสตรีรูปโฉมงดงามมักเป็นภัย หากแต่บุรุษเองงดงามมากก็ล้มเมืองได้เช่นกัน”

          ประโยคสุดท้ายเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคน ถึงกับมีคนตะโกนว่าเจ้าชีวิตหนุ่มถูกปีศาจจิ้งจอกของตระกูลเซียวจำแลงกายมายั่วยวน

          “หึ หึ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเซียวไป๋ผู้นั้นงามล่มเมือง หรือท่านเคยพบหน้าค่าตา?”

          ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ซึ่งทวีความคุกรุ่น กลับมีคนผู้หนึ่งหยุดเสียงทั้งหมดไว้ให้ผู้คนเงียบลง ยังผลให้นักเล่าเรื่องไม่สบอารมณ์ คิดถลึงตามองอีกฝ่าย ทว่าเพียงแวบเดียวก็คล้ายมีฝูงธนูที่มองไม่เห็นพุ่งปราดปักตรึงไปทั่วร่าง เมื่อบุรุษเจ้าของเสียงในอาภรณ์เขียวหม่นใช้สายตาลึกล้ำยากแก่การหยั่งถึงเข้ากดดันให้จนหายใจมิคล่องจมูก ซึ่งรออยู่ครู่ใหญ่กว่าตนจะสามารถทำใจกล้าเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ม่ะ...แม้มิเคยพบ แต่หากมิใช่หน้าตา ยังจะมีสิ่งใดสามารถรั้งใจเจ้าชีวิตไว้ได้”

          เปรี๊ยะ ฉับพลันนั้นบังเกิดเสียงร้าวจากถ้วยชาในมือบุรุษหนุ่ม นักเล่าเรื่องถึงกับใจหายวาบ ร่างเย็นเฉียบเมื่อสบเข้านัยน์ตาอำมหิตอีกคู่ซึ่งมีสีม่วงอมดำดูโดดเด่น ทั้งให้บรรยากาศหนักหน่วงประหนึ่งร่างกายถูกฉีกทึ้ง

          “กล่าววาจาสุนัข ไป่ไป๋ ย่อมมีดีเกินกว่าที่เจ้าจะคาดถึง” น้ำเสียงตวาดอันทรงพลังระเบิดออก แทบทำให้ผู้คนในโรงเตี๊ยมหูอื้อไปตามๆกัน

          ต่อให้ไป๋เซ่อหน้าตาขี้เหร่แล้วอย่างไร มาตรว่าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ยังต้องการ ร่างแกร่งในชุดสีม่วงอมดำพลันผุดลุกขึ้น แล้วจึงตวัดปลายแขนเสื้อโดยแรง จากนั้นนำพาตนเองทะยานตัวไปจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม

          “พี่ใหญ่ ท่านจะไปไหน” เจ้าของร่างสีเขียวหม่นรีบรุดตามไป

          “ไปคิดบัญชีเจ้าคนน่าตายนั่น” กล่าวจบก็พุ่งตรงไปยังทางหนึ่งอย่างไม่รีรอ รอบกายแผ่จิตสังหาร ใครจะคาดคิดว่าจากกันเพียงไม่กี่วัน เรื่องราวจะเปลี่ยนไปรวดเร็วเช่นนี้ แต่งตั้งพระสนมกระไรกัน หากรู้ว่าปล่อยไป่ไป๋ไว้กับคนแซ่ซวนหยวนแล้ว ร่างเล็กจะถูกผู้คนหยามหยันเช่นนี้ เขาคงพาเจ้าตัวหลีกเร้นสู่สถานที่เงียบสงบ ห่างไกลจากผู้คนไปนานแล้ว

          คล้อยหลังบุรุษลึกลับจากไป นักเล่าเรื่องแซ่ฉีก็เดินโซเซออกจากโรงเตี๊ยมด้วยอาการแข้งขาสั่น ก่อนหน้านี้นึกว่าจะถูกอีกฝ่ายสังหารเข้าแล้วเชียว เขาถอนหายใจโล่งอกคราหนึ่งก็ออกเดินต่อ ครั้นย่างก้าวไปจนสุดทางของซอยเปลี่ยว ข้างทางมีแต่กำแพงสูง พลันปรากฏร่างกำยำซึ่งสวมหมวกคลุมใบหน้า มือถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่งกระโดดลงมาขวางทางไว้

          “อา ท่านจอมยุทธ์ ข้าทำตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างไรเรื่องนั้น” ผู้แซ่ฉีตกใจเล็กน้อยก่อนกล่าวน้ำเสียงระรื่น สองมือถูกันไปมาอย่างมีนัย

          “......” ผู้มาใหม่มิคิดตอบวาจาใดๆ เพียงโยนถุงผ้าหนักอึ้งไปให้ ด้านนักเล่าเรื่องรับมันไว้ได้ก็แง้มเปิดดู พอเห็นเงินทองก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านใน สองตาของเจ้าตัวก็ลุกวาว

          “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ หากมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้อีก ข้าน้อย...”

          ชายแก่ยังมิทันพูดจบ แววตาละโมบก็ต้องสับเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวกะทันหัน เมื่อกระบี่ไร้ปราณีฟาดฟันลงมา แลในชั่วลัดนิ้วดีดมันก็ย้อมร่างของนักเล่าเรื่องฉีให้เต็มไปด้วยสีแดงโลหิต

 

******************************************************

 

          ณ ตำหนักเสวียนเจิ้ง ที่ทำการประจำวังของจักรพรรดิซวนหยวน

          ร่างสูงในชุดมังกรสีเหลืองสง่างาม ผมสีดำสนิทรวบเก็บมวยประดับด้วยกวานทอง รอบกายแผ่อำนาจบารมียากจะหาคนเทียบเทียมในยามนี้กลับมีสีหน้าทะมึนขึ้นเรื่อยๆ

          “บังอาจนัก”

          ในที่สุดม้วนฎีกาก็ถูกเขวี้ยงลงพื้น ยังผลให้เซียวถิงฟงในชุดแม่ทัพเกราะดำต้องรีบชักเท้าหนี ฎีกาที่น่าสงสารจึงกระเด็นลอดหว่างขาเขาไปพอดิบพอดี ระหว่างนั้นในใจก็ได้แต่ลอบคิดไม่ตก

          เอ ท่วงท่าที่ใช้ออกเมื่อสักครู่ใช่ตั้งใจรึเปล่านะ หรือช่วงนี้เขาค่อนแคะเจ้างูเผือกตัวดีมากเกินไปหน่อย จึงโดนจ้องจะเอาคืน

          หลังจากตามเก็บฎีกาขึ้นมาแล้ว เซียวถิงฟงก็ไล่อ่านก่อนสรุปออกมา “ขุนนางพวกนี้คิดจะให้ท่านถอนรับสั่งแต่งตั้งไป๋เซ่อเป็นพระสนม”

          “ฮ่องเต้ตรัสแล้วมิคืนคำ” ซวนหยวนหมิงไท่เน้นย้ำอย่างมีโทสะ

          “ท่านอย่าพึ่งมีโทสะไป พวกเขาคัดค้านถือเป็นเรื่องปกติ ดูอย่างข้า ตอนพวกเขารู้ว่าข้าแต่งกับต้าเซียนที่เป็นบุรุษ พวกเขาก็หาเรื่องโจมตีข้าในท้องพระโรงแทบไม่เว้นวัน หาว่าข้าทำตัวไม่เหมาะสมบ้างล่ะ ผิดประเพณีบ้างล่ะ อ่อ...” แม่ทัพหนุ่มร่ายยาวสักพักก็หยุดเสียง ด้วยนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

          “ยังมีพักหลังที่เหล่าขุนนางเอือมระอา แสร้งทำลืมๆไป เจ้าบัณฑิตซุนจื่อหานกลับออกมาร้องเรียนว่า ข้าล่อลวงบุรุษดีงามจนเสียผู้เสียคน หึ” พูดจบก็แค่นเสียง เจ้าคนแซ่ซุนผู้นี้คอยหาโอกาสเกี้ยวต้าเซียนมาตลอด สักวันเขาต้องหาโอกาสสั่งสอนเป็นแน่ “ฉะนั้นท่านก็อย่าได้ใส่ใจ รอจนถึงพิธีถามฟ้าเสร็จสิ้น ขุนนางขี้เบื่อพวกนี้ก็จะเงียบไปเอง”

          “เซียวถิงฟง เจ้าบอกไม่ให้ข้าใส่ใจ แต่รู้รึไม่ภายนอกร่ำลือถึงไป๋เซ่อเช่นไร ข้าถูกปีศาจจิ้งจอกเซียวไป๋ยั่วยวนจนหน้ามืดตาบอดอย่างนั้นรึ”
         
          “ข้าเองก็เห็นไม่ต่าง ฮ่า ฮ่า” แม่ทัพหนุ่มยักไหล่พูดติดตลก ทว่าจักรพรรดิหนุ่มผู้เป็นสหายสนิทกลับถลึงตาใส่

          “เฮอะ กระทั่งต้าเซียนยังถูกพาดพิงว่าเป็นตัวกาลกิณี ภายภาคหน้าจะทำลายชาติบ้านเมือง เจ้ายังจะทนฟังเฉยๆได้อีกหรือ” ประโยคท้ายๆ ซวนหยวนหมิงไท่แอบเสริมเติมแต่งขึ้นนิดหน่อย ซึ่งพอจะบันดาลให้สีหน้าของเซียวถิงฟงบิดเบี้ยวเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

          “มารดามันเถอะ ข้าจะไปปิดปากพวกมัน”

          หลังคำสบถหลุดจากปากของอีกฝ่าย ฮ่องเต้หนุ่มก็หยุดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเอ่ยถึงความเป็นไปได้ “บางทีอาจมีขุนนางบางกลุ่มปลุกปั่นชาวบ้าน โดยใช้ตระกูลเซียวเป็นเหยื่อ”

          ในรัชสมัยซวนหยวนหมิงจงฮ่องเต้ ตระกูลเซียวและเซิงโดดเด่นในราชสำนัก ตระกูลอื่นที่เห็นพอจะเข้าตาก็มีแต่ตระกูลหลี่และเจิน หลี่เชียนและเจินหยวนต่างเป็นขุนนางขั้นสามซึ่งมากด้วยความสามารถ และเป็นที่นับหน้าถือตาแก่ขุนนางน้อยใหญ่ หากแต่ที่ผ่านมากลับถูกเซิงอู่เจิง อัครเสนาบดีฝ่ายขวาหรือพระสัสสุระในขณะนั้นขัดแข้งขัดขาจนมิอาจสยายปีก

          ครั้นเข้าสู่รัชสมัยของเขา ตระกูลเซิงล่มสลาย หลี่เชียนและเจินหยวนเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสอง คนหนึ่งเป็นเสนาบดีกรมคลัง อีกคนเป็นเสนาบดีกรมยุติธรรม แม้มิอาจเทียบเท่ากับอัครเสนาบดีเซียวถิงหลี่ ขุนนางขั้นหนึ่ง แต่ราชสำนักก็บังเกิดเป็นสามขั้วอำนาจแล้ว

          ซึ่งการที่หลี่เชียนเป็นตัวตั้งตัวตีให้คัดเลือกสนมชายา ดูไปเบื้องหน้าหวังดี ทว่าเบื้องหลังกลับบีบบังคับนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่เก็บซ่อนในใจของอีกฝ่าย ดังนั้นนอกจากจะแต่งตั้งสนมที่มาจากตระกูลหลี่แล้ว เขายังแต่งตั้งสนมที่มาจากตระกูลเจิน เพื่อหวังใช้คานอำนาจระหว่างกัน

          แต่ทว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ การแต่งตั้งไป๋เซ่อขึ้นเป็นสนมโดยใช้แซ่เซียวบังหน้า กลับเป็นการเปิดโอกาสให้คนบางกลุ่มโจมตีตระกูลเซียวไปเรียบร้อยแล้ว

          “ข้าจะไปสืบดู” ได้ยินเช่นนั้นเซียวถิงฟงก็เกิดข้อสงสัย แต่แล้วในจังหวะเดียวกันกลับสัมผัสได้ถึงพลังขุมหนึ่งที่ใกล้เข้ามา พลันส่งเสียง “มีคนกำลังมา” และอาจไม่ปรารถนาดี

          “เป็นเขา” เช่นเดียวกับซวนหยวนหมิงไท่ที่จับกลิ่นอายเยียบเย็นซึ่งแฝงไว้ด้วยรังสีสังหาร เขาเอ่ยจบก็พุ่งตัวออกจากตำหนัก โดยมีร่างในชุดเกราะสีดำติดตามไปติดๆ

          ความผิดแผกไร้สัญญาณการคงอยู่ของทหารองครักษ์ ขันทีนางกำนัล หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดๆ ทำให้เซียวถิงฟงขมวดคิ้ว “มิติปิดกั้น พวกเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว”

          “......” ทายาทมังกรยิ้มน้อยๆ คิดอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วคนผู้นี้ต้องมา ซ้ำยังมาได้ประจวบเหมาะอีกด้วย

          เหนือฟากฟ้าบังเกิดเป็นพายุหมุนขนาดย่อม ก่อนปรากฏเป็นร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีม่วงอมดำ พร้อมกับบุรุษผู้ซึ่งมีเค้าหน้าใกล้เคียงในชุดสีเขียวหม่นพลิ้วกายลงมา

          “คนแซ่ซวนหยวน” หงเว่ยเปล่งน้ำเสียงเย็นชา ดวงตาแข็งกร้าวจับจ้องคนที่อยู่ในชุดมังกรตาไม่กะพริบ “เจ้าทำให้ไป่ไป๋ต้องถูกหยามเกียรติ”

          คำกล่าวโทษดังกล่าวทำเอาซวนหยวนหมิงไท่สะอึกไปเล็กน้อย ไร้วาจาจะโต้ตอบไปชั่วขณะ ซึ่งท่าทียอมรับกลายๆนี้ ยังผลให้ร่างที่ลอยเหนือกลางอากาศบรรลุแก่โทสะ ดวงตาวาวโรจน์

          “เช่นนั้นเรื่องแต่งตั้งสนมก็เป็นความคิดเลวร้ายของเจ้า” ไม่รอคำตอบ หงเว่ยก็สะกิดปลายเท้าพุ่งปราดตรงเข้าไป หมายจะฟาดฟันร่างในชุดมังกรให้ตายในฝ่ามือเดียว

          มาตรว่าไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือ ทว่าปฏิกิริยาก็ยังคงว่องไวพอจะโคจรพลังภายในกาย ไหล่ซ้ายพลันเบี่ยงหลบ แลพลังขุมหนึ่งก็แล่นวาบผ่านสีข้างเขาไป บังเกิดเป็นเสียงดังตูมขึ้นทางด้านหลัง แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่กลับหาได้แตกตื่นไม่ กลับเหยียดแขนรับฝ่ามือของหงเว่ยไว้แทน ก่อนสัมผัสได้ว่าขุมพลังที่ตนต้านทาน หาใช่คนธรรมดาจะรับมือได้

          “หมิงไท่ ปล่อยมือ” เซียวถิงฟงร้องบอก เห็นสีหน้าซีดเผือดของสหายสนิท เม็ดเหงื่อประปรายทั่วใบหน้า ก็พบว่าฝ่ามือนั้นมีปัญหา ว่าแล้วสองเท้าก็เร่งรุดเข้าไป หมายแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง กระนั้นยังไม่ถึงสามก้าวดี บุรุษในชุดสีเขียวหม่นกลับแล่นปราดขวางเขาไว้

          “ต้องขอชมเชย ท่านร้ายกาจพอจะเข้าสู่โลกมายาของพี่ใหญ่ได้”

          บุรุษลึกลับเอ่ยจบก็เงยหน้าที่ก้มต่ำ เผยให้เห็นถึงดวงตาสีแดงก่ำ มุมปากมีรอยยิ้มเหยียด ยังผลให้ผู้เป็นแม่ทัพต้องขมวดคิ้ว นับแต่จอมมารเฟยหลงหายไปจากสามพิภพ เขาก็มิได้สัมผัสถึงพลังชั่วร้ายเช่นนี้อีก

          “เจ้าเป็นมาร”

          ร่างในชุดเกราะดำแยกเขี้ยวยิงฟัน ปลดปล่อยพลังเซียนส่วนหนึ่งไปรอบๆกาย ยังผลให้ความแปลกใจพาดผ่านบนใบหน้าของบุรุษลึกลับ เริ่มเข้าใจว่าคู่ต่อกรหาใช่อย่างที่เห็นภายนอก

          “เจ้าเองก็มิใช่มนุษย์ธรรมดา”


 

******************************************************


          เห็นได้ชัดว่าอีกไม่ถึงครึ่งเค่อ อีกฝ่ายจะมิอาจต้านทานพลังเขาได้ หนำซ้ำยังเป็นการบ่อนทำลายธาตุในกาย แต่แล้วทำไมจึงยังทนฝืนมิยอมปละปล่อย หงเว่ยขบคิดอย่างไม่เข้าใจ “ไยเจ้าต้องกระทำเรื่องโง่งม”

          “โง่งมรึไม่ ข้าไม่สน แต่ข้าจะไม่ขอยอมแพ้ง่ายๆ”

          ฟังคำอวดดีนั้นแล้วหงเว่ยก็แค่นหัวเราะ “เฮอะ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าไป่ไป๋คือไป่อวิ๋นของข้า ทั้งยังเป็นคู่หมั้นของข้า” วันนั้นที่เขาเล่าเรื่องไป่อวิ๋นให้ร่างเล็กฟัง ก็เป็นเพราะตนเผลอหลุดปาก หากแต่เมื่อล่วงรู้ตัวจึงเจตนาให้คนที่แอบฟังได้รับรู้เอาไว้

          “เจ้าผิดแล้ว แม้ในอดีตเขาคือไป่อวิ๋น แต่ปัจจุบันเขาคือไป๋เซ่อ เป็นไป๋เซ่อเท่านั้น มิใช่ไป่อวิ๋นของเจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่กัดฟันกล่าว เขามั่นใจว่ารู้จักร่างเล็กดีพอ ไม่ว่าผู้อื่นจะเป็นใคร ไป๋เซ่อก็ย่อมเป็นไป๋เซ่อ งูเผือกจากแดนสวรรค์ มิมีทางเป็นอื่น

          “เหลวไหล”

          ร่างทรงพลังยิ่งเดือดดาลจึงส่งเสียงตวาดดังก้อง ลึกลงไปในดวงตาปรากฏเปลวเพลิงเผาผลาญ ความร้อนทวีคูณแผ่ซ่านไปยังฝ่ามือ ส่งผลให้คนที่สีหน้าซีดขาวแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ อวัยวะภายในคล้ายกำลังลุกไหม้ จักรพรรดิหนุ่มได้แต่หลับตาข่มกลั้นความทรมาน แลไม่นานน้ำเสียงโวยวายกลับดังขึ้นในสมอง

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันโง่จริงๆ อ้ะ...เดี๋ยวสิ เพ้ย! นี่ข้าตกลงแต่งให้กับคนโง่หรอกรึ”

          ฉับพลันที่ลืมตาบางสิ่งซึ่งเรียวยาวและแหลมคมก็พุ่งตรงลงมา แยกเขาและหงเว่ยให้ออกห่างจากกันอย่างจำใจ ครั้นเหตุการณ์สงบลงชายหนุ่มทั้งสองต่างก็เพ่งมองวัตถุปักดินที่ซึ่งจู่ๆก็ทิ้งดิ่งลงมาจากฟ้า

          เพียงเห็นกระบี่สีขาวงดงาม ด้ามดาบประดับตกแต่งไว้ด้วยพลอยสีฟ้าอมเขียวเล่มหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ก็โพล่งออกมา “กระบี่พิสุทธิ์”

          นี่เป็นอีกร่างหนึ่งของไป๋เซ่อ หรืออาวุธประจำกายของต้าเซียน มหาเทพแห่งพิภพสวรรค์

          “แพ้เขายับเยิน ยังจะมีหน้ามาเรียกข้าอีก หากข้าไม่สัมผัสถึงขุมพลังแกร่งกล้า เจ้าคงได้ตายไปแล้ว เจ้าหน้าโง่”

          เสียงบ่นกระปอดประแปดดังออกมา ไม่นานนักหมอกควันบางๆก็โอบล้อมตัวกระบี่ไว้ ฮ่องเต้หนุ่มพลันขยี้ตา คลับคล้ายเห็นเงาร่างมหึมาที่มีเกร็ดสีขาวละเอียดค่อยๆเคลื่อนตัวโอบล้อมรอบกาย ก่อนจะบรรจงกอดเขาเอาไว้หลวมๆ ทันใดนั้นไอเย็นประดุจหิมะก็กำจายซึมลึกสู่ผิว ช่วยบรรเทาความร้อนระอุภายในกายให้หายวับไป

          “อย่าบอกนะว่านี้คือร่างจริงของเจ้างูเผือกสมองเท่าเมล็ดถั่ว” จ้องมองร่างอสรพิษยักษ์ที่ม้วนตัวกอดคนกลางวันแสกๆ เซียวถิงฟงก็หลุดเสียงตื่นตะลึงแกมขบขัน ก่อนสบเข้ากับดวงตาเขียวปั้ดสามคู่ให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอ

          “เซียวถิงฟง สักวันเจ้าต้องตายเพราะปากเข้าสักวัน” ต้าเซียนปรากฏตัวข้างกายแม่ทัพหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้น สีหน้าไม่สะทกสะท้อนอารมณ์ใดๆพลอยให้เจ้าตัวร้อนรน

          “ต้าเซียน เจ้าแช่งสามีตัวเองได้อย่างไร”

          น้ำเสียงเลี่ยนชวนออดอ้อนอันไม่สมควรหลุดมาจากปากแม่ทัพผู้ห้าวหาญแทบทำให้สีหน้าคนทั้งหมดต้องแข็งค้าง ไป๋เซ่อในร่างงูถึงกับสำลักน้ำลาย ฝ่ายหงเว่ยกับบุรุษลึกลับต้องเบนหน้าหนีด้วยทนมองมิได้

          รอจนซวนหยวนหมิงไท่ฟื้นฟูพลังภายในได้สำเร็จ อสรพิษขาวก็กลับกายเป็นเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีเขียวสดใส กระโดดเข้าไปเบื้องหน้าร่างแกร่ง “หงเว่ย เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อน บอกข้ามาว่าพวกเจ้ามีความแค้นอะไรกัน หากคนหน้าด้านนั่นผิดจริง เจ้าจะเข้าไปอัดเจ้านั่นอีกสักยก ข้าก็จะไม่ห้าม”

          ไป๋เซ่อทุบอกกล่าวด้วยท่าทีของลูกผู้ชาย สีหน้ามุ่งมั่นเฉกเช่นผู้ผดุงความยุติธรรม ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับต้องเลิกตาโต พลันอยากจะเอ่ยว่า ไป๋เซ่อ เจ้าคิดจะให้ผู้อื่นซ้อมว่าที่สามีได้อย่างไรกัน บ้างแล้ว

          “ไป่ไป๋ บอกข้ามาตามตรง หากเขาบีบบังคับให้เจ้าเป็นสนม ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี้เอง”

          “เรื่องนี้...” ไป๋เซ่อนิ่งคิดไปหนึ่งอึดใจ เอ เขาใช่ถูกบังคับให้ตอบตกลงหรือไม่ หรือว่าที่ตนตอบตกลงไปเป็นเพราะต้องการรับผิดชอบต่อชะตาที่ถูกแปรเปลี่ยนของชายหนุ่ม

          ความเงียบงันบวกกับท่าทีลังเลของร่างเล็ก ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่และหงเว่ยเริ่มมีสีหน้ากังวล จวบจนร่างเล็กเอ่ยปาก

          “เป็นข้าเต็มใจเอง” ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ไป๋เซ่อก็ตอบอย่างซื่อตรง เพียงรู้สึกว่าหากไร้หมอนหน้าท้องอันแน่นขนัด ไร้รอยยิ้มคลี่กว้างอย่างเจ้าเล่ห์ ไร้ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายอบอุ่น เขาก็คงไม่วันอยู่สุข และยิ่งทั้งหมดนี้ตกอยู่ในมือสตรีอื่นด้วยแล้ว เขาคงได้เต้นแร้งเต้นกาเป็นแน่

          ราวกับอัสนีบาตกระหน่ำฟาดลงบนตัว แม้แต่ฝีเท้าหนักแน่นยังต้องซวนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาสีม่วงอมดำเลิกกว้างมิอยากจะเชื่อ ราวกับหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะใหญ่ เสมือนมีดกรีดลึกลงกลางใจ หงเว่ยฝืนกัดฟันทวนถาม “จะ เจ้าบอกว่าเจ้าเต็มใจ?”

          “อื้ม” ไป๋เซ่อพยักหน้าตอบอย่างซื่อๆ มิได้รับรู้ถึงความซับซ้อนในใจของร่างแกร่งแม้แต่น้อย

          แท้จริงแล้วหัวใจเจ้าก็ยกให้ผู้อื่นไปแล้ว...

          หงเว่ยขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวด ศีรษะก้มต่ำ มิอาจให้ใครเห็นม่านน้ำซึ่งคลอเป็นชั้นบางยังนัยน์ตาคู่นี้ สองมือกำหมัดแน่นข่มกลั้นความรู้สึกขมขื่นในอก ทั้งที่ตนเข้าใจว่าตัดขาดจากอารมณ์ทั้งเจ็ด[1]นับตั้งแต่ร่างเล็กหายไปเมื่อพันปีก่อนไปจนหมดสิ้นแล้ว ทว่าเมื่อได้พบกันอีกครั้ง อารมณ์เหล่านั้นกลับหวนคืนมา ทั้งยังทำให้รู้สึกคลั่งเกินกว่าที่ควรจะเป็น

          ดีใจก็ดีใจแทบบ้า แต่ครั้นรู้สึกชิงชัง ก็แทบอยากจะทำลายทุกสิ่ง

          “หงเว่ย ข้าดีใจที่เจ้ามา แล้วหงลิ่วเล่า มิได้มาด้วยหรือ แล้วคนที่มากับเจ้าเป็นใครกัน”

          ต่อเมื่อน้ำเสียงสดใสดังขึ้น สติที่จมอยู่ในห้วงมืดก็หวนกลับสู่โลกแห่งความจริง ดวงตาซึ่งใกล้จะแดงก่ำพลันเปลี่ยนกลับเป็นปกติทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มแฉ่ง ทั้งนี้ยังมีประกายตาตื่นเต้นยินดีจากร่างเล็ก ที่ทำให้ส่วนลึกในใจต้องผุดคิด

          ไป่ไป๋ดีถึงเพียงนี้ ข้าจะตัดใจทำร้ายเขาได้อย่างไร

          หงเว่ยจ้องนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวตาไม่กะพริบ ก่อนจะเผลอหลุดความในใจ “ข้าคิดถึงเจ้า”

          “ข้าก็คิดถึงเจ้า” ไป๋เซ่อตอบกลับอย่างร่าเริง

          “หงลิ่วสบายดี แต่เพราะเขาเล่นซนทำให้เล้าไก่ของหงอู่เสียหาย จึงถูกจับตีจนก้นบวมฉึ่ง ต้องนอนรักษาตัวไปอีกสักระยะ”

          คำบอกเล่าเรียกเสียงหัวเราะให้กับร่างเล็ก ดูว่าทั้งสองสนทนากันอย่างสนิทสนม มิได้สนใจจักรพรรดิหนุ่มซึ่งทำสีหน้าง้ำจากการดื่มน้ำส้มสายชู[2]ไปทั้งไห ยังผลให้ต้าเซียนกับเซียวถิงฟงลอบหัวเราะคิกคัก ส่วนบุรุษลึกลับจับจ้องหงเว่ยกล่าวเจื้อยแจ้วอย่างไม่เชื่อสายตา

          “วันนี้นอกจากจะมาหาเจ้าแล้ว ข้ายังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ไป่ไป๋” หงเว่ยยังคงสนทนามิสนผู้ใด คล้ายที่ตรงนี้มีเพียงพวกเขาสองคน “ข้าต้องการพบท่านผู้นั้นที่เจ้าเคยกล่าวถึง”

          ท่านผู้นั้น...ไป๋เซ่อส่งเสียงดังอา นึกถึงคำพูดที่เคยกล่าวไว้ให้หงเว่ยสบายใจก่อนแยกตัวกลับมาเมืองหลวง...หากท่านผู้นั้นมิอาจคลายมนตร์สะกด โลกหล้านี้ก็มิมีใครกระทำได้อีก



******************************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ ลิขิตชะตารัก ♧♣ by RyuKi (นิยายจีนพีเรียด) บทที่ 22.2 การกลับมา 07/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 07-06-2016 20:21:45
บทที่ 22.2 การกลับมาของหงเว่ย

 
          “เจ้าต้องการพบข้า” ต้าเซียนขัดจังหวะคนทั้งสอง ด้วยหยั่งรู้ว่าบุคคลที่กำลังกล่าวเป็นตัวเขาเอง

          บุรุษลึกลับถึงกับหันขวับมองผู้กล่าว แรกเริ่มเขาเพียงมองบุรุษร่างเล็ก ผู้มีดวงหน้างดงาทั้งอ่อนโยนเพียงผ่านตา แม้ติดใจอยู่บ้างว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงสามารถผ่านมิติปิดกั้นอันทรงพลังของหงเว่ยเข้ามาได้โดยไม่สูญเสียพละกำลังใดๆ ทว่าบัดนี้เมื่อได้สบดวงตาสีน้ำตาลประกายทอง เขาก็พลันคุกเข่า โขกศีรษะดังสะท้าน

          “ผู้ต่ำต้อยหงซาน ขอวิงวอนท่านมหาเทพ ได้โปรดช่วยเหลือหงเอ้อร์ด้วย”

          “เจ้าเป็นน้องชายของหงเว่ย?” ไป๋เซ่อมองคนที่มีใบหน้าใกล้เคียงกับหงเว่ยถึงสามส่วน ผิดแผกตรงที่นัยน์ตาของคนผู้นี้กลับมืดหม่นปรากฏแววหมองเศร้า อีกทั้งยังดูอมทุกข์

          “เจ้ามีเหตุผลอันใดให้ข้าช่วย บัดนี้พี่ชายเจ้าหลงเหลือเพียงจิตวิญญาณ มิอาจไปผุดไปเกิด ทั้งยิ่งมิอาจกลับคืนสู่ร่างเดิม ได้แต่เร่ร่อนไปทั่วพิภพมนุษย์ราวกับผีสาง” ต้าเซียนชำเลืองมองอีกฝ่ายจากทางหางตา

          “......” หงซานฟังแล้วก็ต้องนิ่งอึ้งไปกับท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย ความหวังในใจดับมอดลงไปกว่าครึ่ง ยังผลให้ความกลัวซึ่งเคี่ยวกรำมานานกว่าหลายร้อยปีกอบกุมจิตใจ กลัว...กลัวโลกที่ไม่มีหงเอ้อร์

          “หงเอ้อร์ เขา...จิตใจดี ไม่เคยสักครั้งที่จะคิดหรือกระทำเรื่องเลวร้ายอันใด เขามีแต่จะช่วยเหลือผู้อื่น กระทั่งศัตรูก็ยังปล่อยให้ช่วงชิงตบะ ทำลายร่างโดยไม่ตอบโต้ ทั้งมิถือสา” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็สั่นเครือ ความเจ็บปวดตอกย้ำในอก “เขาไม่สมควรได้รับผลกรรมเช่นนี้ เป็นข้า...ข้าต่างหาก สองมือข้าเปื้อนเลือด ต้องอยู่อย่างละอายใจต่อตระกูลหง สมควรเป็นข้าที่ไร้ตัวตน”

          แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานกว่าร้อยปี ทว่าหงซานยังคงยึดมั่นถือมั่นในความหวังที่มีอยู่น้อยนิด ได้แต่ออกตามหาสามจิตเจ็ดวิญญาณที่ถูกทำลายของหงเอ้อร์ไปทั่วทุกเขตคามอย่างบ้าคลั่ง จวบจนสามารถรวบรวมสามจิตไว้ได้ กระนั้นตนกลับไร้พลังจะฟื้นคืนร่างให้พี่รอง

          จิตวิญญาณของหงเอ้อร์ร่อนเร่ เขาก็ออกร่อนเร่ เขารวบรวมสามจิตของหงเอ้อร์ได้ ก็เท่ากับเขาเก็บหัวใจที่หล่นหาย...ให้กลับคืนมา

          รับฟังคำดังกล่าวก็พลันเข้าใจว่าน้องสามรู้สึกเช่นไร ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เป็นน้องรองคอยดูแลน้องสามมาตลอด เจ้าสามเองก็แทบเป็นเงาตามติดอีกฝ่ายไม่ห่าง ทั้งสองจึงสนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้องคนใด จากความสัมพันธ์ใกล้ชิดแปรเปลี่ยนเป็นความรัก จะตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่มีใครทราบได้ จวบจนถึงวันที่สูญเสียทั้งสองฝ่ายจึงได้รู้ตัว

          การที่หงเว่ยกลับไปหุบเขาสั่วซีพร้อมกับหงลิ่วซึ่งได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับน้องชายที่หลบหน้าไปกว่าร้อยปี พร้อมกับดวงจิตทั้งสามของหงเอ้อร์ และเพราะเจ้าสามอ้อนวอนให้ตนช่วยเหลือ ดังนั้นเขาซึ่งเป็นพี่ใหญ่จะนิ่งดูดายได้อย่างไร ทว่าน่าเจ็บใจที่เรื่องนี้เกินความสามารถเขา จึงได้แต่คาดเดาไปถึงท่านผู้นั้นที่ไป๋เซ่อเคยเอ่ยถึง

          ทอดสายตาไปทั่วทั้งพิภพ ผู้ที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรนับพันปีนับว่ามีเพียงหยิบมือ โดยส่วนใหญ่ล้วนมีคนคอยชี้แนะนำ ประกอบกับเขาสัมผัสถึงพลังเซียนที่ถูกสะกดในกายร่างเล็ก ยังมีคำพูดซ่อนความนัย ทำให้หงเว่ยกล้าคาดเดาว่าท่านผู้นั้นอาจเป็นผู้ที่อยู่เหนือสามพิภพ

          ว่าแล้วก็ก้าวไปอยู่ด้านหน้า ทิ้งเข่าอันหนักแน่นทั้งสองข้างลงบนพื้น เคียงข้างเจ้าสาม “ข้าน้อยหงเว่ย ขอยืนยันคำพูดของเขาด้วยชีวิต”

          “พี่ใหญ่” หงซานร้องเรียก มิคิดว่าพี่ชายผู้ทระนงจะยินยอมคุกเข่าขอร้องแทนเขา

          “ท่านมหาเทพ หงซานผู้นี้มิได้โป้ปดเป็นแน่” ไป๋เซ่อกล่าวน้ำเสียงสั่น ด้วยถูกความรันทดของหงซานและหงเอ้อร์สั่นคลอนหัวใจ

          “ข้าเองก็ขอยืนยันด้วยเช่นกัน” ขนาดร่างเล็กยังเอ่ยเช่นนี้ ซวนหยวนหมิงไท่มีหรือจะไม่สนับสนุน อีกทั้งตนยังเข้าใจดียิ่งกว่าใคร รักต้องห้ามระหว่างพี่น้อง มิใช่ว่าเขาเคยผ่านมาแล้วหรือ องค์หญิงหย่าเหลียน แม้มิได้สายเลือดเดียวกับเขา ทว่าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาว สถานะของนางทำให้เขาทนทุกข์ในใจมาตลอด จะก้าวข้ามก็มิกล้า จะถอยกลับก็มิอาจตัดใจ ทว่าหงซานผู้นี้ก้าวผ่านคำว่าศีลธรรมไปแล้ว มิรู้ว่าจะต้องเจ็บปวดมากเท่าไร

          เป็นเพราะน้ำเสียงของหงซานสั่นสะท้าน บันดาลให้ผู้ฟังรู้สึกสงสารในชะตากรรม อีกทั้งยังมีผู้อื่นช่วยวิงวอนเช่นนี้ ต้าเซียนฟังแล้วก็ใจอ่อน “เอาเถอะ แม้ข้ามิอาจฟื้นฟูกายเดิมให้เขาได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี”

          “ขอบคุณท่านมหาเทพ ขอบคุณท่านมหาเทพ” หงซานรีบโขกศีรษะอย่างซาบซึ้งใจ

          “ข้าจะส่งพี่รองของเจ้าไปยังพิภพสวรรค์ ให้ผู้อาวุโสเทพหวางจื้อใช้ก้านบัว รากบัว และใยบัววิเศษสร้างรกายใหม่ให้แก่เขา และนับจากนี้ไปเขาจะเป็นศิษย์ท่านผู้อาวุโสเทพหวางจื้อ”

          ร่างสีขาวพูดพลางพลิกฝ่ามือขึ้น ไม่นานดวงจิตทั้งสามก็ล่องลอยออกจากอกของหงซาน ตรงเข้ามาอยู่ในมือเรียว ต่อจากนั้นต้าเซียนก็สะบัดมือวูบหนึ่ง บังเกิดเป็นละอองทรายสีทองนำพาดวงจิตเหล่านี้ตรงไปยังพิภพสวรรค์ ทิ้งให้หงซานได้แต่มองตามอย่างอาลัย

          “ส่วนเจ้า” ต้าเซียนเอ่ยขึ้น

          “ข้าน้อยหงซาน ยินดีทำลายตบะบำเพ็ญเพียร คืนสู่วัฏจักรสงสาร” หงซานกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว เขารู้ตัวเองดี มารในใจเขาสักวันหนึ่งจะนำเภทภัยแก่คนรอบตัวและเหล่าหนุษย์ เทพเซียนทั้งหลายย่อมไม่มีทางปละปล่อย ดังนั้นมีแต่ละทิ้งสังขารเพื่อให้จบเรื่องลงด้วยดี

          “......” ต้าเซียนมองผู้กล่าวอย่างมีความในใจ ด้วยไพล่นึกถึงคนผู้หนึ่งซึ่งถูกจิตมารกัดกินจิตใจเช่นกัน ครู่หนึ่งจึงกล่าวสืบต่อ “ที่ตำหนักของอาวุโสเทพหวางจื้อยังขาดคนทำความสะอาด หากเจ้ายินยอมก็ไปเถอะ”

          พูดจบร่างสีขาวบริสุทธิ์ก็หันหลังให้ ก่อนโผทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว หงซานรับฟังอย่างตกตะลึง แต่ก่อนเพียงคิดช่วยเหลือหงเอ้อร์ แม้จะแลกด้วยชีวิตของตนก็มิเป็นไร ขอเพียงอีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าบัดนี้ท่านมหาเทพกลับเมตตาเปิดโอกาสให้เขา

          “แม้บนโลกนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถขจัดมารในใจตนได้สำเร็จ แต่ภายภาคหน้าใช่ว่าจะไม่มี ข้าเชื่อมั่นเช่นนั้น” เซียวถิงฟงกล่าวทิ้งท้ายก่อนตามร่างคนรักไปติดๆ


 

******************************************************

 

          ผ่านวันที่เต็มไปด้วยเรื่องราว แต่กระนั้นทุกอย่างก็จบลงด้วยดี หงซานผู้นั้นติดตามต้าเซียนไปยังพิภพสวรรค์ ทิ้งให้เซียวถิงฟงที่ซึ่งอยู่บนโลกมนุษย์ย้ำเตือนร่างน้อยราวกับคนบ้าว่าให้กลับบ้านโดยเร็ว แต่จะให้ดีกว่านี้ทำไมท่านไม่พาหงเว่ยไปด้วยเล่า...ท่านมหาเทพต้าเซียน

          ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เห็นทีเรื่องจบลงแต่หงเว่ยยังคงวนเวียนไปมาหาสู่สนทนากับไป๋เซ่อทุกครึ่งค่อนวัน ผิดกับเขาที่ต้องนั่งอ่านฎีกาจัดการงานราชกิจต่างๆ หน้าดำหน้าแดงในตำหนักเสวียนเจิ้งอยู่คนเดียว

          “มารดามันเถอะ วันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าพวกเจ้ามีเรื่องอะไรให้คุยกันนักกันหนา” จนถึงวันนี้ที่เขาทนมิไหว ก็ตัดสินใจละทิ้งงานบนโต๊ะไปสักประเดี๋ยว ตะโกนบอกเสี่ยวลู่ว่าจะไปยังตำหนักเฉียนชิง

          เพลานี้ขบวนเสด็จที่นำโดยร่างสง่างามสีเหลืองใกล้เข้ามายังอุทยานหลวงแล้ว หากแต่อีกทางด้านหนึ่งก็มีนางกำนัลผู้หนึ่งชะโงกหน้าขึ้นดูลาดเลา ครั้งเห็นกลุ่มคนมาแล้วก็รีบวิ่งกลับไปหาผู้เป็นนาย

          “พระสนมหลี่ ฝ่าบาทใกล้เสด็จมาถึงแล้ว”
         
          “จริงรึ เร็ว ดูสิว่าข้ายังงดงามดีรึไม่” หลี่ซิ่วหลัน หรือพระสนมหลี่รีบจัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปยิ่งกว่าเดิม ส่วนฝ่ายนางกำนัลแซ่ฉู่ก็ยิ้มเอ่ยยกยอ

          “งดงามมากเพคะ”

          “ดี เช่นนั้นพาข้าไป จดจำไว้ว่าอย่ากระโตกกระตากจนผิดสังเกต”

          สิ้นเสียงเตือนไม่นาน กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ก็เลี้ยวเข้ามายังเส้นทางที่พวกนางยืนอยู่ พระสนมหลี่ในอาภรณ์สีเหลืองอ่อน แขนคล้องด้วยตะกร้าไม้สานซึ่งบรรจุด้วยดอกไม้สด รีบเดินเข้าไปขวางขบวนเสด็จ พลางยิ้มหวานถวายบังคมด้วยท่าทีอ่อนช้อย

          “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีๆ”

          น้ำเสียงแว่วหวานหยุดฝีเท้ามังกรที่กำลังเร่งรีบลง ฮ่องเต้หนุ่มได้แต่จดๆจ้องๆสตรีเบื้องหน้า จนกระทั่งนางทำท่าเอียงอาย จึงเอ่ย “เจ้าคือ?”

          คำถามดังกล่าวทำเอาพระสนมหลี่หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย นางรีบกล่าวทูลด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยใจ “หม่อมฉัน พระสนมหลี่ หลี่ซิ่วหลัน บุตรีของเสนาบดีหลี่เชียนเพคะ”

          “อา” ซวนหยวนหมิงไท่อุทานเบาๆ ความจริงเขาเลือกสนมทั้งสองนางขึ้นมาโดยที่มิได้แลดูภาพร่างของพวกนางเลยด้วยซ้ำ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ”

          “หม่อมฉันอยู่ที่ตำหนักว่างๆ เกิดรู้สึกเบื่อจึงให้นางกำนัลพาออกมาเก็บดอกไม้ที่อุทยานหลวงเพคะ หวังจะไม่เป็นการรบกวนพระองค์” พระสนมหลี่กล่าวเรื่อยเปื่อย ทว่ากลับแฝงความนัยว่าต้องการให้โอรสสวรรค์เสด็จมาที่ตำหนักของตน ซึ่งนับตั้งแต่นางกับเจินเริ่นผิง สนมอีกคนหนึ่งเข้าวังมา ก็ล่วงเลยมาถึงห้าวันแล้ว แต่กระนั้นพวกนางกลับยังมิมีโอกาสถวายตัวให้กับเจ้าชีวิตเลย แม้แต่จะพบพระพักตร์ก็ยังยาก ดังนั้นนางจึงได้ถือโอกาสมาดักรอเพื่อเป็นฝ่ายรุกเสียก่อน

          “ไม่เป็นไร หากสนมหลี่ชอบก็ทำตามใจเถิด ส่วนเรื่องที่เจ้าว่างจนเกิดรู้สึกเบื่อ ข้าจะจดจำไว้” กล่าวจบเขาก็ส่งยิ้มบาง จากนั้นนำพาขบวนเสด็จจากไป ทิ้งให้หญิงงามเซื่องซึมไปกับรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนนั้น

          จดจำนาง...นี่หมายความว่าพระองค์จะเสด็จไปยังตำหนักของนางคืนนี้ใช่หรือไม่ สนมหลี่วาดฝัน ก่อนจะบอกกล่าวให้นางกำนัลรีบกลับจตำหนักไปขัดสีฉวีวรรณเรือนร่างของนางอย่างเร่งด่วน

          ครั้นมาถึงตำหนักเฉียนชิงก็ประจวบเหมาะกับที่หงเว่ยพึ่งเข้ามาได้ไม่นานนัก ด้านไป๋เซ่อยังคงนั่งเอกเขนกบนตั่งกว้างตัวสีทอง รอบด้านมีอาภรณ์หรูหราสำหรับพระราชพิธีที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันวางเรียงรายอยู่ ซึ่งดูว่าเจ้าตัวยังเลือกมิได้สักชุด
         
          “ในเมื่อเขามาแล้ว วันนี้ข้ากลับก่อนดีกว่า” หงเว่ยกล่าว สีหน้ามีความมิพอใจเคลือบแฝง หากแต่ร่างเล็กกลับมองไม่เห็น

          “เอ๋ หงเว่ย เจ้าพึ่งมาไม่นานจะไปแล้วหรือ” ไป๋เซ่อร้องท้วง

          “ข้า...แล้วข้าจะมาใหม่” เห็นสีหน้าไม่สดใส หงเว่ยก็รีบตอบคำ

          ยังจะมาอีกรึ...ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับหน้าบึ้งไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมิต้องการเห็นหน้าเขาจึงรีบขอตัวจากไป
         
          “เจ้ายังต้องมางานแต่งข้าด้วยนะ ข้าจะรอ” ไป๋เซ่อพูดไล่หลังหงเว่ย หากกล่าวถึงสหายบนโลกมนุษย์ เห็นจะมีแต่หงเว่ย หงลิ่ว และถิงถิงที่สนทนากันถูกคอ อ้ะ ยังมีเสิ่นอันหวาง แต่เกรงว่าเขาคงจะมิได้มาร่วมงานนี้

          “อืม” ร่างในชุดสีม่วงอมดำเงียบไปพักใหญ่จึงส่งเสียงตอบในลำคอ มิมีใครทราบว่าเพลานี้เขาเจ็บปวดเพียงใด เว้นเพียงชายตรงหน้าที่มองออก แต่แล้วไม่นานเขาก็ยกยิ้มมุมปาก

          ซวนหยวนหมิงไท่มิได้พูดอะไร ด้วยรู้ว่าหากพูดปลอบจะกลายเป็นการเย้ยหยันอีกฝ่ายจึงเลือกที่จะเงียบไว้ จวบจนสังเกตเห็นรอยยิ้มสะใจของหงเว่ย ก็พลันให้เขาสับสนงุนงงไปพักใหญ่

          รอจนในห้องเหลือเพียงคนสองคน ไป๋เซ่อก็ถลึงตา “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคนกะล่อน ยังมิทันจะแต่งกับข้าก็เกี้ยวสตรีอื่น เจ้ามันน่าตายนัก”ตวาดจบร่างเล็กก็กระโจนเข้ากระชากศีรษะร่างสูงที่มิทันตั้งตัว และมาตรว่าชายหนุ่มจะแผดเสียงร้องโหยหวนสักแค่ไหน งูน้อยก็มิคิดจะหยุดมือ “หงเว่ยบอกข้าหมดแล้วว่าเจ้าบอกจะจดจำผู้ใด”

          “อ๊ากกก ไป๋เซ่อ เข้าใจผิด เข้าใจผิดแล้ว ถึงข้าจะกล่าวเช่นนั้นจริง แต่ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นนะ”

          “เพ้ย นี่เจ้ายอมรับ โฮ เจ้ามันคนหลายใจ ข้าแต่งให้เจ้าต้องกินน้ำตาต่างข้าวเป็นแน่” ไป๋เซ่อร่ำร้องเสียงดัง มือยิ่งขยุ้มเส้นผมสีดำจนหลุดลุ่ย กระทั่งกวานทองประดับศีรษะยังกระเด็นตกพื้น

          “โอ้ยๆ เบามือหน่อย ศีรษะข้าจะแยกอยู่แล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ทั้งอยากจะร้องไห้ก็ร้องมิออก อยากจะตีร่างเล็กก็ทำมิได้ ได้แต่ทนรับการลงมือ ในใจแค้นเคืองหงเว่ยผู้ที่ทิ้งระเบิดไว้ก่อนจากไป ความจริงเขามิควรเห็นใจคนผู้นี้แม้แต่น้อย

          หงเว่ย เจ้ามันคนจอมปลอม ลอบกัดยุแยงผู้อื่น

          หลังจากคู่รักจบการลงไม้ลงมือ ที่ซึ่งไป๋เซ่อใช้กำลังอยู่ถ่ายเดียว ก็มีอยู่หลายคืนที่ซวนหยวนหมิงไท่ต้องสะดุ้งตื่นมากลางดึก เหงื่อกาฬชโลมกาย ก่อนจะยกมือลูบศีรษะตัวเองอย่างหวาดๆ

          ...ดูว่าในประวัติศาสตร์ของแคว้นซวนหยวน คงจะมีแต่จักรพรรดิหนุ่มเช่นเขากระมัง ที่เส้นผมอาจร่วงโรยหมดศีรษะก่อนวัยอันควร


 

 

[1]อารมณ์ทั้งเจ็ด ประกอบด้วย ยินดี เดือดดาล โศกเศร้า สุขสันต์ รัก ชิงชัง และปรารถนา

[2]ดื่มน้ำส้มสายชู สำนวนจีนที่มีความหมายว่า หึงหวง


 
 

******************************************************

 

- บทนี้ออกทะเลไปหน่อย เเต่อยากจะให้ชีวิตหงเว่ยมีอะไรดีๆกับเขาบ้าง แฮ่ๆ บทหน้าเจอกัน

- รีดเดอร์อยากเเนะนำอะไร เม้นท์บอกได้น้า เเบบเนื้อหายังไม่เข้าอารมณ์ไรงี้
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) เพิ่มบทที่ 22.1 เนื้อหาลงไม่ครบ 8/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 08-06-2016 20:32:18
 :oo1:ทีอยากได้ 5555
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) เพิ่มบทที่ 22.1 เนื้อหาลงไม่ครบ 8/6/59
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 10-06-2016 21:46:06
คู่อื่นเขาเคลียร์กันเรียบร้อย เหลือแต่คู่หลักเนี่ยแหละ มีแต่เรื่อง 55555
สงสารหงเว่ยเหมือนกันน้า ทำได้แค่มองคนที่ตัวเองรักมีความสุข โชคยังดีที่ไม่ทำอะไรแย่ๆ
ส่วนไป๋เซ่อก็ซื่อจนบื้อไปเลยยยยย 55555 อยากจับมาเขย่าคอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 23.1 พิธีถามฟ้า 14/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 14-06-2016 19:37:14
บทที่ 23.1 พิธีถามฟ้า

 

          ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวบดบังแสงตะวันให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ใบเฟิงสีแดงร่วงหลุดจากต้น ส่งผลให้ตำหนักดูหลันฮวาในยามนี้ดูเฉิดฉันท์เป็นพิเศษ

          ที่ด้านนอกระเบียงตำหนัก ร่างสตรีในชุดสีขาวนวลกำลังใช้ดวงตาอันพราวเสน่ห์ทอดมองใบไม้แห้งเหล่านี้อย่างเงียบงัน แลไม่นานนักนางกำนัลอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาทำลายความสงบนี้

          “พระสนม เช้านี้หม่อมฉันได้ข่าวมาว่า ฝ่าบาทรับสั่งให้ขันทีส่วนพระองค์นำหีบจำนวนหนึ่งไปยังตำหนักจวี๋ฮวา จากนั้นถ่ายทอดพระราชดำรัสว่า พระองค์เห็นพระทัยสนมหลี่ที่อยู่แต่ในตำหนักมิมีสิ่งใดกระทำจนว่างเกินไป จึงทรงพระราชทานตำราพระธรรมกว่าสามร้อยเล่ม ให้นางใช้เป็นต้นแบบคัดลอกให้กับวัดวาอารามเป็นการคลายเหงา ฮ่า ฮ่า สมน้ำหน้านางนัก คิดยั่วยวนฝ่าบาทแล้วเป็นอย่างไรเล่า” นางกำนัลอวี้ส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย แต่แล้วพลันมีเสียงดุ

          “หุบปาก ร้ายดีอย่างไรนางก็เป็นถึงพระสนม นางกำนัลเล็กๆเช่นเจ้ามีสิทธ์ขานพระนามโดยตรงหรือ?”
         
          “หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ” นางกำนัลอวี้รีบคุกเข่า สีหน้าแตกตื่น เดิมทีนางเป็นข้ารับใช้ซึ่งติดตามผู้เป็นนายเข้าวังมา กิริยามารยาทจึงมิได้สงบเสงี่ยมเช่นนางข้าหลวงฝ่ายใน “หม่อมฉันเพียงทนไม่ได้ที่เห็นพระสนมหลี่ใช้ลูกไม้เช่นนี้”

          “กำแพงมีหูประตูมีตา ต่อไปให้เจ้าระวัง” พระสนมเจินเอ่ยเสียงนุ่มทุ้ม นางกำนัลอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็พลอยโล่งอก ลุกขึ้นมาประคองร่างบอบบางเดินเข้าไปในห้อง

          “อวี้ชิงจำไว้ สนมหลี่หาใช่คนที่เราจะต่อกร ทว่าเป็นคนที่พำนักอยู่ในตำหนักเฉียนชิงกับฝ่าบาทต่างหาก”

          “แต่เขานับเป็นบุรุษ มิได้มีตำหนักมีข้ารับใช้มากมายเช่นเดียวกับพระสนม เป็นเพียงชายบำเรอผู้หนึ่งเท่านั้น” กล่าวคือคนผู้นี้หาได้มีอำนาจอย่างแท้จริง รอจนฝ่าบาทหมดความสนใจ ย่อมกลายเป็นดั่งของใช้แล้วทิ้ง ไม่มีค่าให้ผู้ใดจดจำ

          “ผิดแล้ว เจ้าคิดว่าเพียงชายบำเรอผู้หนึ่งสามารถทำให้ฝ่าบาทต่อกรกับเหล่าขุนนาง จัดทำพิธีถามฟ้าได้หรือ สิ่งนี้ต่างหากที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ธรรมดา ซ้ำยังน่ากลัวยิ่งกว่าพระสนมหลี่”

          นางกำนัลอวี้ชิงขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงความไม่เข้าใจ ทว่าอีกกึ่งกลับไม่เห็นด้วย เห็นดังนั้นเจินเริ่นผิงก็ไม่สนใจ หยิบจดหมายปิดผนึกในอกเสื้อแล้วยื่นส่งให้

          “เอาเถิด เจ้านำจดหมายนี้ไปส่งให้ท่านพ่อที”

 

          บางครั้งกาลเวลาก็ผ่านไปเร็วราวโกหก เพียงแวบเดียววันงานสำคัญที่ควบทั้งพิธีขึ้นครองราชย์ พีธีพระราชสมรสและพิธีถามฟ้าก็มาถึง ทำให้คนที่เอาแต่เก็บตัวกินนอนจนรากงอกอย่างไป๋เซ่อต้องได้รับความลำบาก เมื่อถิงถิง แมวสาวในร่างมนุษย์ก้าวฉับๆนำหน้านางกำนัลโขยงหนึ่งเข้ามาลากตัวเขาที่นอนงัวเงียเมาขี้ตาขึ้นจากเตียง

          “ตัวขี้เกียจไปล้างหน้าแต่งตัวให้ไว มิเช่นนั้นข้าจะข่วนหน้าเจ้า”

          สิ้นคำเย็นชาของนาง ไป๋เซ่อก็ตาสว่าง สองขากระโจนลงจากเตียงโดยไว ฤทธิ์กรงเล็บนางเขาโดนคราเดียวก็เข็ดขยาบ สมัยก่อนซวนหยวนหมิงไท่ต้องพอกยาให้เขาเป็นอาทิตย์กว่าจะหายดี

          หลังล้างหน้าบ้วนปาก ร่างเล็กก็ถูกห้อมล้อมด้วยนางกำนัลมากหน้าหลายตา ชุดต่างๆถูกสวมบนร่างรวมเก้าชั้น ทำให้ไป๋เซ่ออึดอัดต้องขยับตัวยุกยิกไปมา แต่ครั้นเหลือบไปเห็นถิงถิงลูบปลายเล็บต่อหน้า ร่างก็พลันแข็งค้างปล่อยให้คนนำตัวไปเกล้าผมแต่โดยดี กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ความพยายามของนางกำนัลก็เสร็จสิ้น พวกนางต่างยิ้มภูมิใจให้ผลงานตรงหน้า หากแต่เขากลับยิ้มไม่ออก

          “ดีมาก รีบไปเร็วพิธีจะเริ่มขึ้นแล้ว” ถิงถิงอมยิ้มเจือขบขัน ทว่าไป๋เซ่อกลับยิ่งทำหน้าแหยราวกับจะร้องไห้

          อีกด้านหนึ่ง พิธีขึ้นครองราชย์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ซวนหยวนหมิงไท่ในฉลองพระองค์สีแดงตัดดำปักดิ้นทองลายมังกรอันน่าเกรงขาม สวมพระมาลาม่านมุขสิบสองสายก้าวขึ้นไปนั่งยังบัลลังก์กว้างสีทอง ฟังเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญจากเหล่าขุนนางเสร็จก็กล่าววาจาเล็กน้อย จากนั้นนำพาขบวนขุนนางไปยังลานพิธีในตำหนักหานหยวน

          เพลาต่อมาพิธีพระราชสมรสก็เริ่มขึ้น ขบวนเกี้ยวอันสมเกียรติสองหลังได้เคลื่อนที่มา เป็นพระสนมหลี่ในอาภรณ์สีแดงคลุมทับด้วยเสื้อตัวยาวสีส้มปักลายดอกฝูหรง[1]สามสี ตามมาด้วยพระสนมเจินในอาภรณ์สีแดงคลุมเสื้อตัวยาวสีชมพูปักลายดอกจื่อเถิง[2]สีม่วงอ่อนสะดุดตา

          สองร่างระหงหนึ่งบอบบางอ่อนหวาน อีกหนึ่งงดงามเรียบร้อย พวกนางก้าวย่างไปตามทางเดินสีแดงทอดยาว แล้วหยุดฝีเท้าตรงลานถัดจากเจ้าชีวิตขั้นหนึ่ง ถึงตอนนี้ขุนนางซึ่งก้มศีรษะเล็กน้อยก็เริ่มเบนหน้ามองกันอย่างงุนงง เนื่องเพราะยังไม่เห็นวี่แววร่างของพระสนมผู้เป็นบุรุษเสียที

          ต่อเมื่อจักรพรรดิหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ เกี้ยวหลังหนึ่งก็หยุดลงตรงด้านหน้าตำหนักพอดิบพอดี คนผู้หนึ่งถูกประคองลงจากเกี้ยว เผยร่างเปล่งประกายสู่สายตา มุมปากของซวนหยวนหมิงไท่พลันหยักขึ้นอย่างพึงใจ ผิดกับเหล่าขุนนางซึ่งยืนขนาบฝั่งซ้ายขวา ต่างตกตะลึงนิ่งอึ้ง บ้างอ้าปากค้าง บ้างสีหน้าเลื่อนลอยให้กับร่างที่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีแข็งทื่อไปเรียบร้อย


 

**********************************************************

 

          “มารดามันเถอะ ไฉนพวกเจ้าสวมชุดไม่กี่ชั้น แต่ข้ากลับต้องสวมชุดหนาเป็นขนมจ้างด้วย”

          ไป๋เซ่อก่นด่าในใจพลางเดินลากอาภรณ์สีแดงพร้อมเสื้อคลุมสีดำหรูหราปักดิ้นทองลายหงส์ฟ้าไปข้างหน้า ไหนยังจะมีเฟิ่งกวาน[3]ประดับศีรษะอันแสนจะหนักอึ้ง ทำให้มิอาจกระทำได้แม้แต่ผินหน้าซ้ายขวา จึงได้แต่กรอกตาไปมาคราหนึ่ง แล้วจึงสะดุดเข้ากับเจ้าของนัยน์ตาดอกท้อซึ่งกำลังยิ้มมองตนอยู่

          อีกฝ่ายยืนอยู่ด้านหลังขุนนางชั้นผู้น้อย ก่อนจะรีบโบกมือหย็อยๆให้ เขาพลันยิ้มแฉ่งดีใจ มิคิดว่าเสิ่นอันหวางจะมาร่วมพิธี ครั้นเดินผ่านท่านมหาเทพ รอยยิ้มอ่อนโยนก็ส่งตรงมา ยังมีเซียวถิงฟงจ้องเขาตะลึงๆ ด้วยสีหน้าดูโง่งมเป็นที่สุด

          ทว่ายามนี้กวาดมองไปทั่วบริเวณแล้วก็ยังไม่พบคนผู้หนึ่ง ไป๋เซ่อมองหาอยู่นาน กระทั่งกวาดผ่านร่างสง่างามในชุดมังกรสีดำองอาจก็ถูกดวงตาสีดำขลับคู่นั้นสะกดมิให้ละสายตาไปไหนได้อีก

          ด้านสนมหลี่กลับไล่สำรวจมองเซียวไป๋อย่างไม่เป็นมิตร เพียงมองผ่านตาก็รู้ว่าอาภรณ์ของอีกฝ่ายหรูหราประณีตกว่าของนางอย่างเทียบชั้นไม่ติด ไหนจะเฟิ่งกวานประดับศีรษะอันนั้น ไยเขาจึงสวมใส่มันได้ ผิดกับนางที่ประดับได้เพียงแค่ปิ่นทองกับมุขธรรมดา

          ฝ่ายสนมเจินประเมินมองเด็กหนุ่มผู้มีดวงตาเรียวเย้ายวนเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมสีเทาแปลกตาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน ต้องยอมรับว่าเจ้าตัวสะดุดตายากลืมเลือน มิแปลกใจเลยที่ฝ่าบาทจะทรงหวง มิเปิดเผยตัวเขาแก่คนภายนอกจนถึงวันพิธี

          รอจนร่างในชุดหงส์มาถึง ซวนหยวนหมิงไท่ก็ยื่นส่งมือไปให้ ไป๋เซ่อเงอะงะไปเล็กน้อยก่อนจับมือนั้น สัมผัสอบอุ่นจากผิวกายชายหนุ่มกระตุ้นให้หัวใจเต้นรัวระรัว หากแต่ก็ทำให้เขาหายประหม่าไปได้เช่นกัน

          “ในเมื่อฤกษ์งามยามดีแล้ว สนมทั้งหลายติดตามเราขึ้นไปกระทำพิธีถามฟ้า” กล่าวจบโอรสสวรรค์ก็จูงมือร่างเล็กขึ้นบันไดทางด้านหลัง ทิ้งให้สนมอีกสองนางเดินตามขึ้นไปอย่างเปล่าเปลี่ยว

          ณ แท่นบรวงสรวงยกสูงจากพื้น ตรงกลางมีกระถางธูปทองแดงสามขาขนาดใหญ่ ขันทีประจำพิธีมองตะวันขึ้นตรงศีรษะแล้วจึงส่งธูปที่จุดแล้วให้กับเจ้าชีวิตหนุ่มและบรรดาพระสนม

          ระหว่างนั้นหลี่เชียน เสนาบดีกรมคลังก็ต้องย่นคิ้วตงิดใจ ดูไปฉลองพระองค์ของเจ้าชีวิตกับร่างเย้ายวนช่างเข้าคู่เหมาะเจาะ ยังมีสัญลักษณ์หงส์ฟ้าบนร่างเซียวไป๋ คล้ายมีบางเรื่องถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว

          “ข้าซวนหยวนหมิงไท่ ผู้ปกครองแคว้นซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่ ได้รับโองการสวรรค์ให้ดูแลบรรเทาทุกข์สุขชาวประชา ปกครองบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป บัดนี้ต่อหน้าฟ้า ข้าขอความยินยอมจากสวรรค์ แต่งตั้งสนมหลี่ซิ่วหลันเป็นพระชายาขั้นหนึ่ง[4]ตำแหน่งซูเฟย สนมเจินเริ่มผิงเป็นพระชายาขั้นหนึ่ง ตำแหน่งกุ้ยเฟย พร้อมทั้งแต่งตั้งเซียวไป๋...”

          กล่าวถึงตรงนี้น้ำเสียงมังกรก็พลันหยุดไป ส่งผลให้ขุนนางน้อยใหญ่คาดเดาพระทัยองค์จักรพรรดิกันไม่ถูก แต่จากตำแหน่งสูงสุดอย่างกุ้ยเฟยและซูเฟยก็แต่งตั้งไปแล้ว ดังนั้นเซียวไป๋ย่อมต้องได้รับสถานะด้อยกว่าอย่างแน่นอน

          “เป็นฮองเฮา พระแม่ของแผ่นดิน”

          ฮ่องเต้หนุ่มลั่นเสียงก้องกังวานจบ ขุนนางทั้งหลายก็รู้สึกราวถูกตบใบหน้าฉาดใหญ่ สีหน้าของเจินกุ้ยเฟยและหลี่ซูเฟยซีดเผือด ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์วุ่นวาย แม้แต่หลี่เชียนเองก็รีบตะโกนทักท้วง

          ไป๋เซ่อมองไปรอบๆ เห็นผู้คนมิได้มีสีหน้าแสดงความยินดีก็เกิดอาการวิตก แต่แล้วกลับมีมือหนึ่งสอดนิ้วเข้ากระชับมือชุ่มเหงื่อของตนไว้
         
          “ไม่ต้องกลัว ไป๋เซ่อ เจ้าเป็นถึงงูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ เพียงอ้าปากก็กลืนพวกเขาลงท้องไปกว่าครึ่งแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยขบขันผ่านทางสายตา ไป๋เซ่อฟังแล้วก็เกิดฮึดฮัด

          “เฮอะ ให้ข้ากลืนคนพวกนั้น ไร้รสนิยมสิ้นดี”

          ทั้งสองตอบโต้ผ่านจิตแล้วจึงหัวเราะให้กัน ก่อนจับมือแนบแน่นตรงไปยังกระถางทองแดง มองชายหนุ่มแสร้งทำหูทวนลมปักธูปลงในกระถางแล้วหันมาส่งยิ้มให้ เขาก็ยิ้มกว้างสดใสยื่นมือไปปักธูปบ้าง

          กระนั้นธูปในมือปักลงไปได้ไม่เท่าไหร่ นางกำนัลผู้หนึ่งก็แผดเสียงลั่น นิ้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งมีเขม่าควันสีเทาลอยสูง ไม่ไกลออกไปนักเปลวไฟสีส้มอมเหลืองกำลังลามเลียเผาไหม้ตำหนักหลังหนึ่งอยู่

          เสียงของเหล่าทหารรักษาการณ์ตะโกนให้ดับไฟแว่วมา ไป๋เซ่อฟังแล้วก็หลุดคำพูดพร้อมสีหน้าเหลอหลา “ไอ้หยา คงมิได้ไหม้ที่ตำหนักห้องเครื่องหรอกนะ”

          ...ไป๋เซ่อ เจ้าควรห่วงเรื่องอื่นก่อนจะดีไหม ซวนหยวนหมิงไท่ฟังคำร่างเล็กแล้วต้องกุมขมับ หากแต่ยังมิทันขาดคำดี หลี่เชียนซึ่งยืนประจำอยู่ทางด้านล่างก็กล่าวเสียงดังก้อง

          “นี่ต้องเป็นความต้องการสวรรค์ สวรรค์มิยินยอมรับเซียวไป๋ มิยอมรับบุรุษเป็นพระมารดาของแผ่นดิน ขอฝ่าบาทยกเลิกการแต่งตั้งเซียวไป๋ด้วยพะยะค่ะ”

          ทันทีที่ถ้อยคำของเสนาบดีกรมคลังจบลง ก็คล้ายเกิดเป็นพายุโหม ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพร้อมใจกันคุกเข่า เว้นเพียงคนตระกูลเซียว และกลุ่มคนของจักรพรรดิหนุ่มไม่กี่คน

          “ขอฝ่าบาท ยกเลิกการแต่งตั้งเซียวไป๋ด้วยพะยะค่ะ”

          “พวกเจ้า!” ดูก็รู้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง ซวนหยวนหมิงไท่โกรธจนตัวสั่น กระทั่งไป๋เซ่อกระชับมือเขาคราหนึ่ง ตาจึงหลับตาข่มโทสะไว้ภายใน สมองครุ่นคิดแล้วตัดสินใจว่ายามนี้ควรถอยหลังเพื่อเปลี่ยนมาตั้งหลักแทน

          ขณะกำลังจะเอ่ยปากพักพิธี เมฆทะมึนกลุ่มหนึ่งกลับลอยตัวเหนือสถานที่เกิดไฟไหม้ แลไม่ทันไรห่าฝนก็ตกกระหน่ำอยู่เพียงบริเวณเดียว ส่งผลให้ผู้คนอ้าปากค้างมองเม็ดฝนเหล่านี้อย่างอัศจรรย์ใจ

          เปลวเพลิงเผาผลาญไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ดับลง เมฆหมอกบนฟากฟ้าเริ่มกระจายตัวออก เผยแสงตะวันส่องสว่างจ้าหลังฝนตก หากแต่ทว่าเรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อจู่ๆขันทีตาดีผู้หนึ่งตะโกนขึ้น

          “มังกร มังกรบนฟ้า” เป็นหัวหน้าขันทีลู่ หรือเสี่ยวลู่ร่ำร้องอย่างตื่นตาตื่นใจ ทำให้คนในงานพิธีทั้งหลายต้องแหงนหน้าขึ้นตาม

          ฟากฟ้าสีครามปรากฏร่างยาวสีดำเกร็ดเงางามเลื้อยขดไปมาหลังเมฆหมอกสีขาว แม้มิได้เห็นรูปร่างมังกรสวรรค์ทั้งหมด ทว่าความน่าเกรงขามสูงส่งก็ยังส่งผ่านให้ผู้มองต้องคุกเข่าโขกศีรษะกราบไหว้

          “เม็ดฝนดับเภทภัย มังกรดำเผยโฉม ส่งเสริมบารมีเจ้าแผ่นดิน” ต้าเซียนเอ่ยลอยๆ หากแต่บันดาลให้ผู้ฟังคล้อยตาม

          ด้านเซียวถิงฟงก็ไม่พลาดที่จะกล่าวเสริม “เห็นได้ชัดว่าสวรรค์ยินยอม อวยพรให้พระสนมเซียวไป๋ขึ้นเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดิน”

          “ใช่แล้ว ขอฮองเฮา ทรงพระเจริญพันปี พันปีๆ”

          เพียงเท่านี้ก็หามีใครกล้าทัดทานอีก ต่างหมดข้อโต้แย้ง ประสานเสียงคำถวายพระพรแต่โดยดี “ขอฮองเฮา ทรงพระเจริญพันปี พันปีๆ”

          ร่างในชุดหงส์ฟ้าฟังแล้วก็อดขนลุกซู่มิได้ แต่ถึงอย่างไรประโยคสนับสนุนช่วงท้าย คลับคล้ายว่าเป็นน้ำเสียงของเสิ่นอันหวาง คนผู้นี้ยังคงไหลลื่นตามสถานการณ์ได้ดีจริงๆ ไป๋เซ่อยิ้มอย่างซาบซึ้งแล้วทอดมองไปยังท้องนภา จากนั้นลอบส่งเสียงดุเบาๆ “หงเว่ย เจ้ามาสาย”

          เดิมทีคิดให้ร่างแกร่งปรากฏตัวระหว่างเขาแสดงตัวแก่เหล่าขุนนาง จะได้ดูอลังการสูงส่งเสียหน่อย หากแต่อีกฝ่ายกลับมาสายเสียได้

          ...เอ ว่าแต่ทำไมจู่ๆฝนจึงตกได้จังหวะนักนะ ไป๋เซ่อเอียงคอครุ่นคิดสงสัย หาได้รู้ว่าเทพเซียนทั้งหลายบนพิภพสวรรค์ พร้อมผู้อาวุโสเทพทั้งสามต่างระบายลมหายใจโล่งอกให้กับพิธีถามฟ้าที่พึ่งสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

          มองดูผิวเผินเทพเซียนเหล่านี้คล้ายรวมตัวกัน เพื่อเป็นกำลังใจให้งูเผือกตัวน้อย หากแต่ที่จริงแล้วสำหรับพวกเขา...

          “โอ๊ย เปลี่ยนแผนการกะทันหันเช่นนี้ ข้าเกือบส่งเมฆฝนไปไม่ทันการณ์แล้ว”

          “ท่านทำดีมาก เทพสายฝน หยี่ซือ”

          สิ้นเสียงคำกล่าวชมก็พลันมีเสียงเฮดังกึกก้องไปทั่วดินแดนสวรรค์

          “เฮ พวกเราจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกสักพักแล้ว”
         
          ...กลับเป็นการพร้อมใจกันส่งเผือกร้อนลวกมือให้ผู้อื่นต่างหาก


 

**********************************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 23.2 พิธีถามฟ้า 14/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 14-06-2016 19:39:23
บทที่ 23.2 พิธีถามฟ้า

 

            ณ ตำหนักหลินเต๋อ งานเลี้ยงสุราอาหารพระราชทานในช่วงเย็นมีขึ้นหลังคณะทูตจากแคว้นต่างๆ ซึ่งพำนักอยู่ในเมืองหลวงเข้าเฝ้าแสดงความยินดี พร้อมถวายเครื่องราชบรรณาการอีกขบวนใหญ่ แม้แต่ละแคว้นจักมิได้มีตัวแทนราชนิกุลสักเท่าใด เนื่องจากพิธีจัดขึ้นกะทันหัน แต่กระนั้นก็มิอาจลดทอนความยิ่งใหญ่ของแคว้นซวนหยวนลงน้อยไปได้

          ขณะนี้บรรยากาศในงานเริ่มครึกครื้นไปด้วยเสียงดนตรี เหล่านางรำร่ายรำเป็นจังหวะ ซวนหยวนหมิงไท่กับไป๋เซ่อชมดูความรื่นเริงตรงที่นั่งยกสูงด้านในสุดของห้องโถง ถัดลงมาเป็นที่นั่งของพระชายาทั้งสอง ชั้นล่างสุดซ้ายขวาเป็นที่นั่งของขุนนาง พ่อค้าคนสำคัญ และคณะทูตต่างๆ

          กระทั่งการแสดงระบำอาภรณ์ขนนกจบลง เรียกเสียงตบมือไปชุดใหญ่ นางรำชุดเก่าถอยร่นออกไปแทนที่ด้วยนางรำชุดใหม่ก้าวเข้ามา บุรุษร่างกายสูงใหญ่ แขนขาเก้งก้าง แต่งกายด้วยชุดหนาทำจากขนสัตว์กลับลุกขึ้นประสานมือค้อมตัวชิงกล่าว

          “ฝ่าบาท ข้าน้อยราชทูตจากแคว้นหวู่ มีการแสดงแปลกตาชุดหนึ่งต้องการให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตร รับรองว่าเป็นที่ถูกพระทัย”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียว อารมณ์เพลิดเพลินทำให้เขายิ้มกล่าว “โอ้ จริงหรือ หากทำให้เราเบิกบานได้ เราจะตบรางวัลให้แคว้นหวู่อย่างงาม”

          ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของราชทูตแคว้นหวู่ก็ดีใจไม่น้อย รีบตบมือส่งสัญญาณให้บุรุษร่างท้วมหนวดเครารุงรัง ศีรษะโพกผ้าหนา สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวแปลกตา เอวคล้องตะกร้าสานและเครื่องเป่าไม่เชิงเป็นขลุ่ยทีเดียว พร้อมกับสตรีอีกสามนางในชุดมิดชิดปิดบังใบหน้า เหลือไว้เพียงดวงตาสีฟ้าลึกลับน่าค้นหา ก้าวออกมาท่ามกลางความสนใจของผู้คน

          คนเหล่านี้หยุดตัวลงกลางห้องโถง ก่อนยกมือหนึ่งแนบหน้าอก ค้อมตัวเล็กน้อย เป็นการแสดงความเคารพต่อเจ้าชีวิต จากนั้นบุรุษร่างท้วมก็นั่งลงวางตะกร้าสาน คว้าเครื่องเป่าประจำกายขึ้นจรดริมฝีปากทันที สตรีทางด้านหลังเองก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้า แต่ละคนเผยชุดระบำรัดรูป โชว์หน้าท้องขาว แลความงามเย้ายวนส่งผลให้ทุกคนจ้องตาไม่กะพริบ

          ต่อจากนั้นท่วงทำนองแปลกๆก็ดังออกมา ปลุกเจ้างูตัวสีน้ำตาลอ่อนที่นอนนิ่งในตะกร้าต้องผงกศีรษะ ชูลำตัวยาวแล้วยักย้ายตัวคลอจังหวะไปมา ทั้งนี้ท่วงท่าของนางระบำเองก็เร่าร้อนยั่วยวน สะโพกงามบิดไปมา ข้อเท้าเรียวเล็กๆเคาะกับพื้นเป็นจังหวะ ล้วนทำให้ผู้คนต้องลอบกลืนน้ำลาย อากาศในห้องโถงร้อนขึ้นต่อเนื่อง

          ผิดแผกกับซวนหยวนหมิงไท่ที่ชมดูระบำชุดนี้แล้วอมยิ้มขบขัน สายตาของเขาหาได้หยุดที่ตัวนางระบำ ทว่าเป็นเจ้างูน้อยที่เต้นดุ๊กดิ๊กในตะกร้าสานต่างหาก ดูจากท่าทางมันแล้ว ทำให้อดนึกถึงงูเผือกขี้โมโหซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต้นระบำอย่างออกรสต่อหน้าชาวบ้านกลางตลาดมิได้

          จักรพรรดิหนุ่มเหม่อลอยไปครู่ใหญ่ สักพักจึงสังเกตเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวผิดปกติ นางระบำบิดเอวหมุนตัวไปมาอย่างเร่งจังหวะ คลับคล้ายกำลังต่อสู้กับผู้ใดอยู่ ทางด้านนักดนตรีเองก็ปรับระดับการเป่าให้ทวีความดุเดือด เพียงดูสีหน้าก็รู้ว่าแทบขาดอากาศหายใจ ยังมีสายตาอันตกตะลึงของแขกเหรื่อ ต่างพุ่งตรงมายังจุดเดียวกันอย่างสมานสามัคคี

          ไม่จริงน่า อย่าบอกนะว่า... ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่เลิกกว้าง แม้แต่เหงื่อยังไหลกลิ้งตามหน้าผาก ก่อนจะค่อยๆเหล่มองไปยังคนใกล้ตัวอย่างหวาดๆ ใจไม่อยากให้เป็นอย่างที่คิด

          “โฮ ซวนหยวนหมิงไท่ ช่วยข้าด้วยยย”

          ...ทว่ามันเป็นไปแล้ว ร่างเล็กร่ำร้องน้ำตาซึมพลางเต้นระบำเข้าทำนองอย่างมิมีตกหล่น เอวบิดพลิ้วไปมาบ้าคลั่ง ขนาดที่เขาเห็นแล้วยังต้องผงะ สติถูกดึงดูดไปกับท่วงท่าอันน่าตกตะลึงพรึงเพริดไปเรียบร้อยแล้ว

          “เจ้าโง่ จะดูอีกนานไหม หาทางช่วยข้าเร็วสิ”

          “วะ ฮ่ะ ฮ่า ต้าเซียนเจ้าดูสิ เขามีความสามารถเช่นนี้ด้วย”

          ครั้นเสียงระเบิดหัวเราะกึกก้องไม่ไว้หน้าของเซียวถิงฟงดังขึ้น ก็ปลุกซวนหยวนหมิงไท่ให้ได้สติขึ้นมา กระนั้นก็ยังคงลนลานทำอะไรไม่ถูก ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจรวบร่างงูเผือกน้อยขึ้นพาดบ่า จากนั้นแสร้งทำกระแอมกระไอกล่าวเสียงขรึมท่ามกลางสายตานับร้อยคู่

          “วันนี้เรากับฮองเฮาเหนื่อยแล้ว เชิญทุกท่านตามสบาย” กล่าวจบก็รีบใช้กำลังภายในทะยานตัวพาคนออกจากห้องโถง ตรงไปที่ตำหนักเฉียนชิงโดยมีเสียงร้องโหยหวนของไป๋เซ่อดังไปตลอดทาง

          “โฮ ป่นปี้หมดแล้ว ภาพลักษณ์ฮองเฮาผู้สูงส่งของข้า”


 

**********************************************************

               

          ประตูห้องเปิดผางด้วยแรงถีบจากฝีเท้าข้างหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ตรงเข้าไปด้านในห้องซึ่งจุดเทียนส่องสว่างอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งมาถึงเตียงนอนกว้างก็จัดแจงวางร่างเล็กอย่างเบามือ ครั้นเจ้าตัวเป็นอิสระก็ยันตัวขึ้นมานั่งกอดเข่าเบะปาก

          ความจริงตั้งแต่เจ้าหนวดรุงรังผู้นั้นเป่าเครื่องดนตรีประหลาด เขาก็มิอาจควบคุมร่างกายตนเองได้อีก รู้เพียงเลือดในกายพลุ่งพล่าน หากมิขยับตัวจะรู้สึกไม่สบายยิ่ง ซึ่งกว่าจะรู้ตัวตนก็เต้นระบำไม่หยุด นึกถึงสายตาผู้คนในยามนั้น ไป๋เซ่อก็หน้าแดงโพล่งกล่าวออกมา

          “ช่างน่าอับอาย น่าอับอายยิ่ง”

          “จุ๊ยๆ เด็กดีอย่าคิดมาก หากใครพูดถึงเรื่องนี้ ข้าจะลงโทษมันให้เอง” เขาลูบศีรษะน้อยๆเป็นการปลอบ ทว่าไป๋เซ่อกลับช้อนสายตาซึ่งคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำแล้วเอ่ยเสียงสั่น

          “แต่คนแซ่เซียวนั่นหัวเราะเยาะข้า”

          ท่าทีออดอ้อนนั้นทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ใจเต้นรัว พลันกล่าวเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ไม่มีละเว้น” ถือเป็นคราวซวยของเจ้าเองนะ เซียวถิงฟง “มาเถอะ ให้ข้าช่วยถอดเฟิ่งกวาน เจ้าจะได้สบายตัวขึ้น”

          ชายหนุ่มยิ้มกล่าวพลางหยิกแก้มนุ่มเบาๆ ยังผลให้ไป๋เซ่อสะดุดกึกมองอีกฝ่ายตาปริบๆ ปล่อยให้นิ้วเรียวปลดกวานบนศีรษะแต่โดยดี ระหว่างนั้นก็แอบสูดดมกลิ่นกายอบอุ่นของอีกฝ่ายลึกๆ

          วางเฟิ่งกวานลงบนโต๊ะแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็ถอดมาลาม่านมุขสิบสองสายของตนลงบ้าง แต่ครั้นหันหน้ากลับไปหาคนบนเตียงก็ต้องเป็นอันนิ่งงันไป เส้นผมสีเทาสลวยกำลังถูกร่างเล็กใช้นิ้วสางออกมา แสงสลัวที่ทอผ่านดวงตาสีฟ้าอมเขียวขับดันให้เจ้าตัวดูยั่วเย้ายิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้เขาหลุดกล่าวหยอก

          “ไป๋เซ่อ เจ้ารู้ไหมว่าเข้าหอคืออะไร”

          “........”

          บังเกิดเป็นเสียงเงียบอึดใจใหญ่ ไป๋เซ่อประสานสายตากับร่างสูงแล้วจึงยิ้มแฉ่งกล่าว “ก็กินเต้าหู้เจ้าไง” พร้อมกันนั้นก็กระโจนตัวเข้าล็อกคอจนอีกฝ่ายล้มลงบนเตียง จากนั้นรีบขึ้นคร่อมร่างดังกล่าว ลั่นวาจา “คืนนี้ต้องเป็นข้าเอาเปรียบเจ้า กินเต้าหู้เจ้า”

          “ตามใจเจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่ถูกกดให้อยู่ใต้ร่าง กลับนอนยิ้มกริ่มดูงูน้อยแสยะยิ้มกระชากเสื้อเขาจนผิวกายเปิดโล่งสู่สายตา

          อา ซ่อนรูปจริงๆ... มองดูกล้ามเนื้อแน่นขนัด ไป๋เซ่อก็ตาเป็นประกาย ส่งมือเข้าไปลูบไล้หน้าท้องชายหนุ่มอย่างคนน่าไม่อาย ทว่าลูบไปมาพักหนึ่งก็ต้องเอียงคอสงสัย

          ...เอ มันออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย แล้วจะทำอย่างไรต่อดี

          “เป็นไรไป ทำไม่ถูกแล้ว?”

          “เฮอะ เจ้าเป็นพยาธิในท้องข้ารึไง จึงได้รู้ดีเช่นนี้”

          ร่างเล็กสบถกล่าวอย่างเสียอารมณ์ ให้เขาต้องหัวเราะน้อยๆ ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มา เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้า อันดับแรกเลย...” ว่าแล้วก็กระดิกนิ้วให้คนทางด้านบน

          เห็นดังนั้นไป๋เซ่อก็ก้มลงตามอย่างสงสัย แต่ทันใดนั้นต้นคอก็ถูกรั้งลงไป ริมฝีปากพลันแนบสนิทกับของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งตัว “อื้อๆ”

          เป็นเพราะจุมพิตออกจะกะทันหัน ร่างเล็กจึงตกใจเผลอขบริมฝีปากอีกฝ่ายจนได้รสเลือด ครู่หนึ่งซวนหยวนหมิงไท่จึงปละปล่อยต้นคอระหง ทว่าสายตายังคงติดตรึงใบหน้าของงูเผือกน้อยไม่ไปไหน

          ด้านไป๋เซ่อทาบทับกายอบอุ่น มองดูชายหนุ่มเลียโลหิตตรงมุมปาก พลันรู้สึกว่าคนตรงหน้าซุกซ่อนเสน่ห์อันร้ายกาจเอาไว้ ทั้งยังมีความสามารถฉุดรั้งให้เขาเผลอก้มหน้าประทับปากนุ่มไปอีกที

          ซวนหยวนหมิงไท่คาดไม่ถึงว่าไป๋เซ่อจะเริ่มสัมผัสเขาก่อน แต่กระนั้นก็ตอบรับจุมพิตนั้นทันที มอบความอ่อนโยนผ่านทางปลายลิ้น ให้ไป๋เซ่อดื่มด่ำไปกับรสหวาน

          ขณะที่สมองกลับกลายว่างเปล่า หัวใจหลอมละลาย อุณหภูมิในกายขึ้นสูง ตัวกลับถูกพลิกลงจนแผ่นหลังแนบกับเตียง จากนั้นมืออบอุ่นก็สอดเข้ามา ดึงร่างขาวเย็นของเขาให้ออกจากชุดหรูหราเก้าชั้นในคราเดียว แลด้วยสองแขนไร้การยึดเหนี่ยว ทำให้ไป๋เซ่อต้องโอบรอบคอชายหนุ่มไว้

          ถึงตอนนี้ซวนหยวนหมิงไท่จึงถอนริมฝีปาก มือไล้ผ่านร่างนวลเนียนอย่างหลงใหล ใบหน้าหันไปคลอเคลียริมใบหูน้อยแทน

          “ต้องขอบคุณเจ้า...ที่ถอดเสื้อให้”

          “หือ” ไป๋เซ่อที่กำลังเผลอไผลไปกับแรงปรารถนาถึงกับต้องลืมตาขึ้นพรึ่บ แล้วจึงสังเกตเห็นผิวกายส่วนบนของตนเปลือยเปล่า ช่วงล่างมีแต่ผ้าปกปิดไว้หมิ่นเหม่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ แต่ครั้นแหงนหน้ามองคนด้านบน

          อ๊ากกก...เขากลับโล่งโจ้งไปหมดแล้ว

          “ทะ ทำไมเจ้าไม่ใส่เสื้อผ้า”

          “เด็กดี ตกใจไปไย ก่อนหน้านี้มิใช่เจ้ากระชากออกเองกับมือหรอกหรือ ฮึ ฮึ” เขาหยอกเย้าร่างข้างใต้ ทั้งส่งปลายนิ้วเข้าไล้ดวงหน้างาม

          “ล่ะ แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ด้านบน ไหนบอกจะสอนข้าไง” ไป๋เซ่อเอ่ยตะกุกตะกักหน้าตาแตกตื่น

          ฝ่ายร่างสูงอุทานดังอาคล้ายพึ่งนึกขึ้นได้ “นี่เป็นเพราะบางขั้นตอนต้องกระทำให้เจ้าดูก่อน จึงจะเข้าใจ”

          “มีขั้นตอนเช่นนั้นด้วย” ครานี้ไป๋เซ่อขึ้นเสียงสูงอย่างใคร่รู้

          “ย่อมต้องมีแน่นอน” ซวนหยวนหมิงไท่เน้นย้ำจริงจัง ก่อนกล่าวอีกสักประโยค “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะทำให้เบามือที่สุด”

          “หา” ร่างเล็กหลุดเสียงงุนงง ฉับพลันนั้นริมฝีปากก็ถูกครอบครองอีกหน ผิวเนียนถูกลูบไล้ ความร้อนวูบวาบแล่นปราดไปทั่วร่างกายเย็นเฉียบ ผ่านไปครู่หนึ่งไป๋เซ่อก็ต้องกระสับกระส่าย ด้วยถูกทรมานจากสัมผัสอ่อนหวาน ให้นิ้วต้องขยุ้มลงบนศีรษะที่กำลังซุกไซ้ตรงซอกคอ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเลื่อยลอยแยกไม่ออกว่า ภาพตรงหน้าเป็นจริงหรือฝัน

          ไม่นานเอวก็ถูกรั้งไว้บนตักชายหนุ่ม กลิ่นน้ำมันหอมพลันกระจายตัวในอากาศ แลครู่ต่อมาบางสิ่งก็แทรกตัวเข้ามาด้านใน งูน้อยถึงกับสูดหายใจลึกพร้อมกับเกร็งตัวไปชั่วขณะ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบรับเขาเข้าไปในอ้อมอกอุ่น ส่งเสียงที่ราวกับผู้ใหญ่ปลอบเด็กน้อย มือลูบแผ่นหลังเขาอย่างทะนุถนอม

          “เด็กดี ไม่เกร็งนะ หากไม่ไหวจริงๆ ข้าจะหยุดมือ”

          เสียงดังกล่าวปลอบประโลมเขาที่ตื่นตระหนกให้สงบลง กายที่แข็งทื่อพลันค่อยๆโอนอ่อนขึ้น ถึงตอนนี้ร่างสูงจึงขยับตัวช้าๆ น่าแปลกที่ความเจ็บเมื่อครู่กลับมลายหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเร่าร้อนที่มิอาจทนไหว สองขาเรียวเกี่ยวกระหวัดรัดตัวซวนหยวนหมิงไท่โดยไม่รู้ตัว

          ยิ่งนานลมหายใจก็ยิ่งหอบกระชั้น เสียงหวานหลุดจากลำคอเป็นระยะ ครั้นเห็นใบหน้าทรมานไม่แตกต่างกัน จู่ๆในอกก็เกิดเป็นความยินดี ไป๋เซ่อกอดชายหนุ่มไว้แน่น คลับคล้ายว่าไม่ต้องการไปจากอ้อมอกนี้อีก

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่มองร่างเล็กซุกตัวในกายตน ก็ก้มหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากชุ่มเหงื่อ จังหวะการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเร็วขึ้น ก่อนทะยานขึ้นจุดสูงสุดแล้วจึงหยุดลง

          เขาทาบทับไป๋เซ่อที่ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน บัดนี้ร่างเล็กมิได้เย็นเฉียบอีกต่อไป หากแต่ตัวร้อนผะผ่าวด้วยอุณหภูมิในกายตน เขาพลิกตัวลงนอนด้านข้าง เกลี่ยเส้นสีเทาซึ่งปรกบนดวงหน้าอีกฝ่าย จากนั้นจึงวางใจหลับตาลง

          สุดท้ายนี้เพียงชั่วข้ามคืน เต้าหู้ขาวอย่างเขาก็ถูกจักรพรรดิปลิ้นปล้อนกลืนลงท้องไม่เหลือชิ้นดี ไป๋เซ่อตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ก็ต่อเมื่อรุ่งสางของเช้าวันถัดมา

          “อ่ะ โอ้ย เอวข้า ปวดแทบตายแล้ว” ร่างเล็กร้องลั่น คล้ายตัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ครั้นเหลือบไปเห็นคนที่หลับเป็นตายหน้าตาอิ่มเอิบสบายใจตรงข้างกาย ก็ต้องเปล่งเสียง “ข้าขอสู้ตาย ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าอยู่เลย”

          “อ๊ากกก ผมข้า อย่าดึงผมข้า”

 

          ทว่าหากบอกมังกรหนุ่มตื่นมาก็พบกับโชคร้ายอยู่เพียงคนเดียวก็นับว่าไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะยังมีคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวรอรับความซวยอยู่ที่บ้าน ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มเหี้ยมพร้อมกับนวดหนังศีรษะที่ถูกดึงจนชายิบในห้องทรงพระอักษรเพียงลำพัง

          อีกด้านหนึ่งเสี่ยวลู่นำขบวนขันทีพร้อมองครักษ์จำนวนหนึ่งไปยังจวนตระกูลเซียว เอ่ยเนื้อความในราชโองการให้คนในตระกูลได้รับฟัง

          “เนื่องจากในงานเลี้ยงพระราชทาน แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงได้แสดงพฤติการณ์มิสำรวมต่อหน้าพระพักตร์ ฝ่าบาทจึงรับสั่งให้ตัดเบี้ยเลี้ยงสามเดือนหลังจากนี้ไป จบราชโองการ”

          ร่างในชุดเกราะดำฟังแล้วถึงกับตัวสั่น รอจนขบวนขันทีหันหลังจากไปก็ส่งเสียงคำรามลั่น

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามัน ฿¥&#!$%?#%€&!!#$%&?!$%W”

          ทว่าก่อนที่เซียวถิงฟงจะสบถคำพูดอันสมควรโดนลากไปบั่นศีรษะ ต้าเซียนที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็พลันใช้เวทย์ดูดเสียง จากนั้นเดินกลับเข้าไปดื่มน้ำเต้าหู้กับเด็กน้อยเฟยเทียนอย่างสบายอกสบายใจ ปล่อยให้แม่ทัพผู้องอาจต้องอ้าปากพะงาบๆอยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม

 

[1] ดอกฝูหรง คือ ดอกพุดตาน

[2] ดอกจื่อเถิง คือ ดอกวิสเทอเรีย

[3] เฟิ่งกวาน คือ มงกุฎหงส์

[4] พระชายาชั้นหนึ่ง ในที่นี้จะแบ่งเป็นสี่ตำแหน่ง โดยผู้ที่มีศักดิ์สูงสุดคือ กุ้ยเฟย รองลงมาคือ ซูเฟย เต๋อเฟย และเสียนเฟย ตามลำดับ

 

***เพิ่มเติมเกร็ดความรู้ : การที่นักดนตรีเป่าปี่เเล้วงูออกมาเต้นระบำเป็นจังหวะ ความจริงเเล้วไม่ได้เป็นผลมาจากเสียงปี่ เเต่เพราะงูเหล่านี้ไวต่อเสียงเเรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินหรอกจ้า เลยทำให้พวกมันต้องลุกขึ้นมาจับจ้องนักเป่าแล้วออกเสต็ปตาม ซึ่งนักดนตรีจะมีการเคาะฝีเท้าเป็นจังหวะ หรือไม่ก็ตีตระกร้าไปด้วย

 

**********************************************************


          เนื้อหาบทนี้บรรยายค่อนข้างเยอะหน่อยน้า เนื้อหาช่วงหลังอาจไม่ถึงกับ NC อะไรมาก คือเราอยากเขียนเเบบไม่หวือหวาจนเกินไป หากไม่ถูกใจบ้างก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยจ้า

 : 222222:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 23 พิธีถามฟ้า 14/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: yeelove ที่ 16-06-2016 20:25:31
มาต่ออีกน่ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 23 พิธีถามฟ้า 14/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 19-06-2016 16:36:43
 :laugh: :m20: สมน้ำหน้าเซียวถิงฟง ที่จริงฮีก็น่ารักอยู่น้า ภาคนี้โผล่มาเป็นตัวประกอบก็ยังน่ารักอยู่ดี
ในที่สุดเขาก็ได้กันล้าวววววว อ่านตั้งแต่ภาคที่แล้ว เอาจริงๆไม่คิดเลยว่าไป๋เซ่อ กะซวนหยวนหมิงไท่จะคู่กัน แต่มันก็มาถึงจุดๆนี้จนได้  :hao7:

 เอาจริงๆแอบโชคดีนะที่ฮองเฮาเป็นไปเซ่อ คือคิดว่ารับมือสองนางนั่นได้ เพราะแสบได้ใจ ถ้าเป็นเยว่เซียงอาจจะได้มีกุมขมับลุ้นกันหน่อย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 24.1 ลิขิตชะตา 23/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 23-06-2016 21:30:33
บทที่ 24.1 ลิขิตชะตา

 

          ดวงดาวระยิบระยับเหนือฟากฟ้า ส่องสว่างพื้นพิภพมิให้มืดมิดจนเกินไป ยามนี้ร่างสีขาวในชุดคลุมขนสัตว์ตัวหนาทะยานตัวเข้าไปในป่าไผ่ลึก แทรกผ่านลมหนาวหอบหนึ่งที่กำลังมาเยือนเมืองหลวงฉางอาน

          กระทั่งเห็นร่างโดดเดี่ยวนั่งอยู่ตรงชะง่อนผา ข้างกายมีขวดสุราวางระเกะระกะ บ้างดื่มไปแล้ว บ้างยังคงมิได้ดื่ม เขาจึงลดฝีเท้าลงพลางเดินเข้าไปใกล้ แล้วทอดสายตามองทัศนียภาพเฉกเช่นเดียวกับคนผู้นี้

          “ดื่มไปก็หาได้เมามาย ไยยังต้องดื่ม”

          “ท่านไม่เข้าใจ...ความสูญเสีย” หงเว่ยพึมพำจบก็กรอกป้านสุราในมือต่อ แม้สุราบนโลกมนุษย์หาได้ช่วยให้ตนเมามาย กระนั้นยังคงหวัง...หวังให้มันบรรเทาความเจ็บปวดในอกสักเล็กน้อยก็ยังดี

          ต้าเซียนทอดถอนใจ ความสูญเสียเช่นนี้ไยเขาไม่เคยประสบ แต่ทว่าอย่างน้อยตัวเขายังได้รับกลับมา แม้ต้องเสี่ยงต่อการดับสูญ “หงเว่ย ความจริงพลังในกายเจ้าเทียบเท่าเทพเซียน เหตุใดจึงไม่ละทิ้งกายเดิม ละทิ้งความโศกเศร้า แล้วถือกำเนิดขึ้นในแดนสวรรค์ เริ่มต้นชีวิตใหม่”

          “ท่านมาเพราะเป็นห่วงไป่ไป๋?” หงเว่ยยิ้มขื่น เดิมทีที่เขามิยินยอมละทิ้งกายเดิมขึ้นสู่แดนสวรรค์ ใช้ชีวิตดุจดั่งเทพเซียน ก็เพราะเป็นห่วงพี่น้องในวงศ์วาน มิกล้าปละปล่อยพวกเขาให้เผชิญกับโลกเพียงลำพัง ยิ่งตอนนี้มีไป่ไป๋อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว...เขาก็ยิ่งมิอาจจากไป

          “.......” ต้าเซียนมิได้ตอบคำ แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแฝงแววกังวล

          “ท่านมหาเทพโปรดวางใจ สำหรับข้าแล้วไป่ไป๋สำคัญยิ่งกว่าชีวิต”

          “แม้เขาจะเป็นภรรยาผู้อื่น?” ร่างสูงส่งเลิกคิ้วถาม

          คำพูดนี้เสมือนมีดกรีดแทงหัวใจ หงเว่ยเงียบเสียงไป ทว่ามือกลับกำป้านสุราไว้แน่นยิ่งขึ้น แล้วเค้นเสียงตอบ “ใช่ ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปเช่นไร อยู่ในสถานะใด ข้าก็ยังจะปกป้องเขา”...และยังรักเขา

          “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็วางใจ” อย่างน้อยหากเกิดเรื่องเลวร้ายระหว่างที่ตนไม่อยู่ หงเว่ยผู้นี้ก็คงไม่นิ่งดูดายไป๋เซ่อ ต้าเซียนคิดแล้วยื่นมือออกไป เพียงพริบตาเดียวสุราขวดสีขาวก็ปรากฏในมือ “นี่เป็นสุราหมักจากดอกท้อสวรรค์หมื่นปี อย่างไรคงช่วยได้บ้าง”

          “ขอบคุณท่านมหาเทพ” หงเว่ยรับขวดสุรามาอย่างเซื่องซึม เขาหันกลับไปเหม่อลอยต่อ ดวงตาโศกเศร้าจ้องมองแสงโคมเจิดจ้าจากตัวเมือง สถานที่ที่ร่างน้อยอยู่ หากแต่ที่อยู่เคียงข้างกายเจ้าตัวกับมิใช่ตน

          “เป็นอย่างไรบ้าง เขายินยอมไปยังพิภพสวรรค์รึไม่” หลังจากเห็นคนรักเดินกลับมาเพียงลำพังเซียวถิงฟงก็ถามขึ้น แต่ต้าเซียนกลับยักไหล่

          “พิษรักแรงกว่าที่คิด บางทีเขาอยู่ที่นี่อาจจะเป็นการดีกว่า”

          เซียวถิงฟงฟังแล้วก็มิได้แปลกใจ คล้ายเดาออกแต่แรกว่าผลลัพธ์ต้องออกมาเป็นเช่นนี้ “เฮ้อ ว่าแต่เจ้าต้องไปจริงๆ หรือ”

          “ถิงฟง แม้ข้าจะเป็นภรรยาเจ้า แต่ก็ยังคงเป็นมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ พวกเขาถูกสาปมาหลายร้อยปี ทั้งที่มิได้ทำกระไรผิด สมควรได้รับการปลดปล่อยแล้ว” ร่างน้อยกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

          “เอาเถิด เจ้าต้องรีบกลับมา ข้ากับเฟยเทียนรอเจ้าอยู่ที่บ้าน ต้าเซียน” เซียวถิงฟงสวมกอดร่างน้อยไว้แล้วจุมพิตบนหน้าผากเบาๆ “ส่วนเรื่องทางนี้เจ้ามิต้องกังวลไป หากเกิดเรื่องขึ้นจริงข้าเชื่อว่าพวกเขาจะผ่านมันไปได้”

          “อืม พวกเขาต้องพบกับความสุขแน่” ต้าเซียนหลับตารับสัมผัสอบอุ่น มาตรว่าฟันเฟืองของชะตากรรมได้ขับเคลื่อนแล้ว ทว่าพวกเขากลับมิอาจยุ่งเกี่ยว ทำได้เพียงยืนมองความเป็นไป จนกว่าจะถึงเพลาอันสมควร


 

******************************************************

 

          ช่วงสายที่แสงแดดรำไร อากาศเย็นสบาย ชวนให้ผู้คนออกมารับลม ในเขตพระราชฐานของวังหลวง ปรากฏขบวนขนย้ายข้าวของออกจากตำหนักเฉียนชิงไปยังตำหนักอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน

          “อ้าวๆ พวกเจ้าระวังให้มาก ข้าวของเหล่านี้ห้ามมีตำหนิแม้แต่จุดเดียว”

          เสียงตะโกนของขันทีผู้หนึ่งดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคนที่ยกย้ายของกันให้วุ่นวาย ไป๋เซ่อฟังแล้วก็ยิ้มแฉ่ง ตามกฎราชสำนักแล้ว ผู้เป็นฮองเฮาควรได้รับตำหนักที่พำนักของตนเอง ดังนั้นเมื่อผ่านพ้นงานพิธีมาสามวัน เขาก็เหมาเอาเองว่าวันนี้เป็นฤกษ์ดี แล้วจึงถือโอกาสย้ายออกมาเสีย

          ทิ้งกลุ่มนางกำนัลน้อยประจำกายให้ตื่นเต้นไปกับตำหนักใหญ่โตหลังใหม่ ไป๋เซ่อเยื้องย่างเข้าไปสำรวจรอบๆ บริเวณอย่างอารมณ์ดี ครั้นเห็นสมเกียรติฮองเฮาและฐานะของงูเผือกหรือมือขวาของมหาเทพแดนสวรรค์ ใบหน้าเย้ายวนก็เผยอยิ้มกว้างเห็นฟันขาว แต่ไม่ช้าไม่นานมุมปากก็เป็นอันต้องกระตุก เมื่อประโยคหนึ่งลอยทะลุเข้าสู่โสตประสาท

          “หีบเหล่านี้เป็นของฝ่าบาท จงนำไปเก็บไว้ในห้องบรรทมขององค์ฮองเฮา”

          มารดามันเถอะ ไฉนเจ้าลูกเต่าจึงย้ายออกมาด้วย...

          ไป๋เซ่อสบถด่าในใจ ได้แต่ยืนเหลือกตามองหีบสมบัติห้าหกใบใหญ่ โต๊ะตั่งสีทองมิใช่ของตน แลข้าวของตกแต่งเป็นขบวนแถวยาวเหยียดไปจนถึงหน้าประตู ค่อยๆเคลื่อนย้ายเข้ายึดครองตำหนักที่พึ่งเป็นของตนไปหมาดๆ

          “พี่ชายไป๋ พี่ชายไป๋”

          ขณะที่ตกอยู่ในความตะลึงพลันมีเสียงดังขัดจังหวะ เสียงขู่ฟ่อเล็กๆ ทำให้ดวงตาเรียวเกิดประกายความยินดี เขาเพ่งมองไปที่พุ่มไม้ใกล้ๆ ไม่นานนักร่างสีดำยาวก็โผล่ใบหน้าจิ้มลิ้มออกมา

          “หงลิ่ว” ไป๋เซ่อร้องเรียก หากมิใช่เพราะต้องวางมาดขึงขังดั่งผู้เป็นฮองเฮา เขาคงจะกระโดดตะครุบเสี่ยวเฮยตัวน้อยไปแล้ว “หงลิ่ว เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้หงเว่ยบอกว่าเจ้าโดนตีจนก้นลายต้องรักษาตัว ตอนนี้หายดีแล้วรึ?” ร่างเล็กย่อตัวลงดึงร่างนุ่มนิ่มออกจากพุ่มไม้เตี้ยสีเขียว จากนั้นยกขึ้นถูไถกับแก้มตนให้หายคิดถึง

          หงลิ่วถูกลูบคลำจนเกรงว่าภายภาคหน้าจะแต่งมิออก ต้องรีบกล่าว “เอ่อ ก้นข้าหายดีแล้ว แต่มิรู้พี่ใหญ่ไปได้สุราสวรรค์มาจากที่ใด เมื่อคืนเขาเมามายกลับบ้าน บอกว่าท่านแต่งให้กับพี่ชายหมิงแล้ว พอกล่าวจบก็ลักพาตัวข้ามาทันที ทว่าพอมาถึงเมืองหลวงพี่ใหญ่ก็สลบเหมือดไป ข้าเลยถือโอกาสมาเยี่ยมท่านก่อน”

          “หือ จริงหรือ” มิน่าจึงมิได้เห็นหน้าหงเว่ยมาสามวันแล้ว

          “ว่าแต่ท่านแต่งกับพี่ชายหมิงแล้วจริงหรือ? เหตุใดจึงปุบปับเยี่ยงนี้” แม้เดาออกว่าอีกฝ่ายมีใจให้พี่ชายหมิง แต่หงลิ่วก็มิคาดคิดว่าเรื่องราวจะรวดเร็วปานนี้ ตัดโอกาสพี่ใหญ่ไปเสียจนหมด

          “เรื่องนี้เป็นความจริง ส่วนที่ปุบปับนั่นเป็นเพราะ...เอ่อ” เจ้างูน้อยถามขึ้น แต่กลับทำให้เขาหน้าแดง มิกล้าบอกความจริงว่าตนสมัครใจ จึงได้แต่เท้าความถึงต้นสายปลายเหตุแทน

          ไป๋เซ่อเล่าถึงม้วนบันทึกเนื้อคู่ ทั้งยังเล่าถึงตอนเป็นที่ตนเป็นสัตว์เทวะฝึกหัด วันหนึ่งถูกลงโทษไปทำความสะอาด ณ ตำหนักของเฒ่าจันทรา กระทั่งเผลอลบนามของสตรีผู้หนึ่งเข้า ส่งผลให้ชะตาของซวนหยวนหมิงไท่ต้องเปลี่ยนไป

          หงลิ่วรับฟังอย่างตื่นตาตื่นใจ เนื่องเพราะเป็นเรื่องราวบนพิภพสวรรค์ ครั้นอีกฝ่ายเล่าจบก็กระตือรือร้นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ฟังจากที่พี่ชายไป๋เล่า คำทำนายกล่าวถึงสตรีทั้งสามที่อาจเป็นเนื้อคู่ของพี่ชายหมิง ถ้าเช่นนั้นพวกนางเป็นใครกัน”

          “หือ” ไป๋เซ่อเงียบไปสักพักจึงเกาศีรษะ “เอ เรื่องนี้...แฮะ แฮะ ข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว” เป็นเพราะมิได้ใส่ใจจึงพานลืมเลือนไปนานแล้ว

          “หา ท่านจำมิได้แล้ว”

          จู่ๆเด็กน้อยก็ถลนตาใส่เขา ราวกับเขาทำอะไรผิดไป

          “พี่ชายไป๋ ท่านออกจะวางใจไปหน่อยกระมัง แม้พี่ชายหมิงจะเลือกท่าน แต่จากบันทึกเจ้าของชะตาต้องพิจารณาเลือกคู่ชะตาจากคนทั้งสาม ซึ่งถ้าหากพวกนางยังมิได้ปรากฏขึ้นมา จะถือเป็นการเลือกได้อย่างไร”

          “อา” ไป๋เซ่ออุทานเบาๆ ด้วยมิเคยคิดละเอียดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้มาก่อน

          “หรือต่อให้พวกนางปรากฏตัวขึ้นแล้ว บันทึกนั่นก็มิได้มีกฎตายตัว ห้ามมิให้เจ้าของชะตาปรับเปลี่ยนคู่ชะตาในภายหลัง จะอย่างไรพวกนางก็มีชะตาเป็นว่าที่เนื้อคู่ ย่อมต้องมีอิทธิพลต่อพี่ชายหมิงไม่มากก็น้อย”

          ครานี้ไป๋เซ่อเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาจะบันทึกเนื้อคู่ก็ดี หรือบันทึกชะตาชะตาชีวิตก็ช่าง ล้วนยากแก่การตีความ เนื่องเพราะมีจุดผันผวน บางครั้งชะตาคล้ายลิขิตผู้คน แต่บางคราคล้ายผู้คนลิขิตชะตาขึ้นเอง ดังนั้นบันทึกต่างๆ จึงมิได้บ่งบอกชะตาคนผู้หนึ่งอย่างแน่ชัด

          “แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?”

          “อันหญิงงามเปรียบดั่งงูพิษ ทว่าพวกเราที่เป็นอสรพิษย่อมต้องร้ายกาจกว่า ท่านรีบนึกๆดู พวกนางชื่อแซ่อะไรบ้าง” หงลิ่วทำสีหน้าแข็งขัน อย่างน้อยต้องสกัดพวกนางไว้ มิให้มีโอกาสเข้าใกล้พี่ชายหมิง

          “อะ อืม” ว่าแล้วไป๋เซ่อก็รีบนึก ทว่าจะบอกให้คิดๆตอนนี้ก็ดันคิดไม่ออก จะนั่งคิดนอนคิดก็ไม่ประสบผล จนผ่านพ้นไปกว่าราวครึ่งชั่วยาม เขาก็โพล่งเสียงหงุดหงิด “โอ๊ย ไม่คงไม่คิดมันแล้ว ข้าจะไปพิภพสวรรค์ ไปดูให้รู้กับตา”


 

******************************************************

 

          เขตแดนทางฝั่งบูรพาอันไพศาล แมกไม้เขียวชอุ่ม ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ลมพลิ้วไหวพัดพาเมฆาล่องลอย ฝูงยวนยางแหวกว่ายในลำธารน้ำใส ไม่ว่าจะมองอย่างไรบรรยากาศน่านอนของที่นี่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

          ร่างในชุดสีดำปิดบังใบหน้าเหลียวซ้ายแลขวาคราหนึ่ง ครั้นไม่เห็นผู้ใดก็กระโดดออกไปยังเบื้องหน้าตำหนักใหญ่อันเงียบสงบ แลดวงตากลมโตของเจ้างูน้อยเองก็เบิกกว้าง

          “พี่ชายไป๋ ที่นี่เป็นตำหนักของเฒ่าจันทราจริงๆหรือ” หงลิ่วซึ่งคล้องรอบลำคอคนชุดดำพลันถามน้ำเสียงตื่นเต้น

          “แน่นอน หากข้าเดาไม่ผิดเวลานี้ตาเฒ่าต้องกำลังออกตระเวนตรวจตราชะตาเนื้อคู่บนโลกมนุษย์เป็นแน่” ไป๋เซ่อแสยะยิ้มบอก สองมือรีบผลักประตูบานใหญ่เข้าไป จากนั้นย่องผ่านลานกว้างนั่งเล่นสี่เหลี่ยม ตรงไปยังเรือนด้านใน

          จวบจนประตูสีแดงเปิดออก ห้องสีขาวสะอาดตาเปิดโล่งสู่สายตา บนโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องมีม้วนไม้ไผ่วางกองไว้สูง ร่างเล็กก็แทบถลาเข้าไปคลี่มันออกอ่านอย่างบ้าคลั่ง ด้านหงลิ่วก็แปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มช่วยกันคุ้ยหาจนกระจัดกระจาย

          “ไม่ใช่อันนี้ นี่ก็ไม่ใช่” ม้วนไม้ไผ่ถูกเขาโยนข้ามหัวไปอย่างไม่ไยดี

          “พี่ชายไป๋ หรือจะอยู่ในหีบ”

          รื้อค้นจนเหงื่อเริ่มออก หงลิ่วก็ชี้นิ้วไปยังหีบที่ปิดสนิทอยู่ทางด้านข้าง ไป๋เซ่อผละออกจากม้วนไม้ไผ่ตรงหน้า มุ่งตรงไปยังหีบต้องสงสัยทันที “เฮอะ ถึงกับลั่นกุญแจไว้ ต้องเก็บของสำคัญไว้ในนี้แน่ๆ”

          ร่างเล็กกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนทำการรวบรวมขุมพลังไปที่ปลายนิ้ว ครั้นสะบัดวูบหนึ่ง แม่กุญแจก็ร่วงผล็อยไปนอนแน่นิ่งกับพื้น

          “ยอดเยี่ยมไปเลย พี่ชายไป๋”

          เด็กน้อยชมดูกระบวนท่านี้แล้วจึงปรบมือเปาะแปะ พลอยให้คนถูกชมยืดตัวผึ่งผาย หลังจากพวกเขาเปิดหีบก็พบว่าด้านในอัดแน่นไปด้วยม้วนชะตา ไป๋เซ่อคว้าม้วนอันบนสุดแกะออกอ่าน ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงโพล่งน้ำเสียงดีใจ

          “นี่เป็นม้วนชะตาของพวกเชื้อพระวงศ์ หงลิ่วเรามาถูกทางแล้ว มันต้องอยู่ในหีบนี้แน่ๆ”

          เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ต่างก็ตาเป็นประกาย ร่วมมือกันค้นหาสิ่งที่ต้องการมือเป็นระวิง ระหว่างนั้นกลับมิได้มีใครสังเกตเห็นนกเป็ดน้ำสามสี่ตัวเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาในตำหนัก

          ทว่าเมื่ออ่านไปอ่านมาราวเกือบครึ่งชั่วยาม ไฟอันมุ่งมั่นของทั้งสองกลับค่อยๆหดหายไป แทนที่ด้วยการสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น

          ยามนี้ไป๋เซ่อกึ่งนั่งกึ่งนอนเท้าแขนบนหีบที่เปิดอ้า กระนั้นภายในหาได้มีม้วนชะตาลดลงไปสักเท่าไหร่ สักพักปากจึงพร่ำบ่น “เจ้าครองแคว้นเฉินนี่โง่จริง รักคนผู้หนึ่งกลับปากแข็งแต่งกับอีกผู้หนึ่ง ช่างคล้ายเจ้าคนงี่เง่าแซ่เซียวยิ่ง”

          “เฮอะ เจ้าครองแคว้นหลัว รักนางไฉนจึงปล่อยให้นางอยู่อย่างอ้างว้างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็นกันเล่า” หงลิ่วนั่งแผ่กับพื้นเองก็กล่าวอย่างมีอารมณ์ สองมือน้อยๆยังโยนม้วนบันทึกทิ้งอย่างไม่พอใจ ครั้นเอี้ยวตัวจะคว้าม้วนอันใหม่ มาตอนนี้จึงได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติรอบๆตัว “เหตุใดนกยวนยางจึงเข้ามาที่นี่ได้”

          ไป๋เซ่อเงยหน้าขึ้นมองนกเป็ดน้ำฝูงเล็กๆในห้อง “สงสัยก่อนเข้ามาข้าลืมปิดประตูใหญ่” เขาตอบน้ำเสียงราบเรียบแล้วจึงหันกลับไปง่วนกับบันทึกในมือต่อ

          “.....” ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอันใด หงลิ่วก็ไม่ใส่ใจบ้าง

 

          แคว่ก แคว่ก

          กระทั่งผ่านพ้นไประยะหนึ่ง กลับเริ่มมีเสียงเป็ดน้ำร้องกันวุ่นวาย หงลิ่วขมวดคิ้วละสายตาจากม้วนไม้ไผ่ก็เป็นอันต้องสะดุ้งตัว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระแสธารยวนยางหลั่งไหลเข้ามามิหยุดหย่อน แปรสภาพห้องนี้ให้กลายเป็นดั่งเล้าเป็ด ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็พบเห็นแต่ก้นอุ้ยอ้าย

          ดวงตากลมโตจ้องมองนกเป็ดน้ำตัวน้อยใกล้ตัวก็รีบเอ่ยขึ้น “พี่ชายไป๋ ยวนยางพวกนี้ออกจะมากเกินไปหน่อยแล้ว”

          “หงลิ่ว นี่เป็นเพราะเฒ่าจันทราเป็นตาแก่ขี้เหงา วันๆได้แต่เลี้ยงยวนยางนับหมื่นคู่ไว้เป็นเพื่อน มิผิดปกติที่มันจะมีมากขนาดนี้” ไป๋เซ่อตอบอย่างไม่ยี่หระ

          “แต่พี่ชายไป๋ ข้าว่าพวกมันออกจะแปลกๆ” หงลิ่วแย้ง เขาเชื่อมั่นในประสบการณ์เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ให้กับหงอู่ “ท่านดูดวงตาของพวกมันสิ คล้ายพวกมันมิยินยอมให้พวกเราแตะต้องของพวกนี้”

          “อย่าได้สนใจพวกมัน รีบหาม้วนบันทึกเล่มนั้นก่อนเถอะ” ฟังแล้วไป๋เซ่อก็โยนม้วนบันทึกในมือทิ้ง ราวกับพึ่งนึกถึงจุดประสงค์การมาได้ ครั้นยื่นมือลงหีบ กระทั่งปลายนิ้วแตะโดนม้วนไม้ไผ่อันใหม่ เสียงร้องประสานอันแสบแก้วหูกลับพลันดังขึ้น แทบทำให้พวกเขายกมือปิดหูมิทัน

          “ข้าว่าตอนนี้พวกมันดูเหมือนโกรธอะไรมาสักอย่าง” หงลิ่วเอ่ยท่ามกลางฝูงยวนยางที่จ้องมองพวกเขาตาขวาง ทั้งยังแสดงท่าทีข่มขู่ตีปีกพั่บๆ ครานี้เขาเริ่มเดินเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายแล้ว

          ด้านไป๋เซ่อเองก็คล้ายสัมผัสถึงเหงื่อซึมกลางแผ่นหลัง ได้แต่กล่าวปลอบใจงูน้อยและตนเอง “เอ่อ หงลิ่ว เจ้ามิต้องกลัวไป ปกติแล้วยวนยางเป็นสัตว์ละเอียดอ่อน รักสงบ ไม่ทำร้ายคะ...” ใคร

          ทว่าประโยคหลังยังคงกล่าวไม่จบ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็ต้องเบิกตากว้างด้วยอาการตื่นตะลึงสุดขีด เนื่องเพราะยวนยวงนับไม่ถ้วนต่างสยายปีกถาโถมเข้าใส่พวกเขาที่กระโดดกอดกันตัวกลม 

          แลไม่นานก็บังเกิดเป็นเสียงร้องโหยหวนของงูน้อยทั้งสองตัวดังคลอเคลียไปกับเสียงร้องแคว่กๆ ที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ

          “ว๊ากกก”


 

******************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 24 ลิขิตชะตา 23/06/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 23-06-2016 21:33:15
บทที่ 24.2 ลิขิตชะตา

 

          “เรื่องเพลิงไหม้ในระหว่างพิธีถามฟ้าได้ความถึงไหนแล้ว” ร่างสูงในชุดมังกรถามขึ้นในขณะจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะทรงพระอักษร

          “เรื่องนี้ขันทีผู้ดูแลรับผิดชอบตำหนักแห่งนั้นชิงผูกคอตายไปแล้ว” เซียวถิงฟงกล่าวจบก็เงียบไป ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วถาม

          “แค่นั้น?”

          “จากสภาพศพ สาเหตุการตายน่าจะมาจากท้ายทอยต้องอาวุธลับขนาดเท่าเข็ม คาดการณ์ดูแล้วขันทีผู้นี้เป็นผู้วางเพลิง หากแต่ถูกคนใช้มาอีกทอดหนึ่ง แลเมื่อกระทำไม่สำเร็จจึงถูกฆ่าปิดปาก จากนั้นจัดฉากว่าเขาผูกคอตายเพื่อชดใช้ความผิด”

          “เฮอะ เห็นทีมีคนเล่นตลกกับข้าจริงๆ” เขาแค่นเสียง

          “จริงสิ เมื่อเจ็ดแปดวันก่อนยังเกิดคดีฆาตกรรมแปลกๆรายหนึ่ง ผู้ตายประกอบอาชีพเป็นนักเล่าเรื่องในเมืองหลวง แต่กลับถูกคนร้ายใช้ดาบยาวสามฉื่อทำร้ายจนเสียชีวิตภายในดาบเดียว จากความลึกของบาดแผล ดูผิวเผินน่าจะเป็นฝีมือคนในยุทธภพ เห็นทีนักเล่าเรื่องผู้นี้คงไปกล่าวล่วงเกินผู้มีฝีมือเข้า ทว่าเรื่องนี้ข้ากลับคิดว่ามันประจวบเหมาะเกินไป ท่านว่าช่วงนั้นมีเรื่องใดอื้อฉาวไปทั่วเมือง”

          “ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ข้าถูกจิ้งจอกเซียวไป๋ยั่วยวนจนหน้ามืดตามัว” ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วเผยสีหน้าทะมึน เพียงสองเรื่องนี้ก็เห็นชัดแล้วว่ามีจุดร่วมเดียวกัน “สืบหาเบาะแสต่อไป หากพวกเขายังคงมุ่งเป้าไปที่ไป๋เซ่อ ก็จงกำจัดซะ”

          แม่ทัพหนุ่มฟังแล้วก็พยักหน้า ถึงขนาดฆ่าคนปิดปาก ผู้อยู่เบื้องหลังย่อมไม่หยุดมือเพียงเท่านี้ “ว่าแต่ท่านได้พบปะพูดคุยกับพระชายาทั้งสองบ้างรึไม่”

          “จู่ๆไยจึงถามถึงพวกนาง?”

          “ไม่มีอันใด จะว่าไปนี่ก็ถึงเวลาออกงานแล้ว ข้ากลับบ้านได้เสียที” จู่ๆเซียวถิงฟงก็เปลี่ยนเรื่อง ทั้งแสร้งทำเป็นยืดตัวแล้วก้าวออกจากห้องไปโดยที่มิได้เอ่ยคำทูลลา

          ซวนหยวนหมิงไท่มองดูสหายสนิทที่นับวันจะลืมเลือนมารยาทก็ต้องส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ จากนั้นหันไปบอกเสี่ยวลู่ “ไปตำหนักฮองเฮา”

          ซึ่งกว่าขบวนเสด็จจะไปถึงตำหนักหมิงเยว่กวงหรือที่พำนักของฮองเฮา ตะวันก็เริ่มเคลื่อนคล้อยตกดินแล้ว ฟากฟ้ายังแปรเปลี่ยนเป็นสีแสด เหมาะแก่การชมบรรยากาศไปพร้อมกับกินมื้อเย็น

          แต่แล้วเมื่อก้าวเท้าไปด้านในเรือนหลักเพียงก้าวเดียว สายตาก็ต้องสะดุดไปยังกลุ่มนางกำนัลพร้อมขันทีที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นสะท้านรออยู่ก่อนแล้ว แลไม่ต้องรอให้พวกเขาอ้าปากเอ่ยทูล เขาก็ต้องร่ำร้องในใจ

          ไป๋เซ่อ หรือเจ้าหายตัวไปอีกแล้ว?

 

          ขณะนี้ใบหน้าหล่อเหลาฉายโทสะ ฝีเท้าได้แต่เดินวนไปเวียนมาในโถงนั่งเล่น ครั้นเหลือบมองท้องฟ้ามืดมิดทางด้านนอก แล้วหันกลับมามองอาหารหลากชนิดบนโต๊ะซึ่งไร้ควันกรุ่นเป็นรอบที่สอง เขาก็ตวาดเสียงดัง

          “เอาอาหารพวกนี้ไปอุ่นมาใหม่”

          เสี่ยวลู่ฟังแล้วก็รีบโบกมือให้นางกำนัลยกเอาอาหารชุดเก่าออกไปอย่างเร่งด่วน ก่อนจะหันไปเอ่ยปลอบเจ้าชีวิต “ฝ่าบาท อย่าทรงกริ้วไป ไม่แน่ว่าฮองเฮาทรงอาจจะกำลังกลับมาแล้วก็เป็นได้”

          “ช่างเถิด พวกเจ้าออกไปได้ หากมีอะไรข้าจะเรียกใช้เอง” รออยู่นานเขาก็ทรุดลงนั่งเท้าคาง หลับตาถอนหายใจไปเฮือกใหญ่ เสี่ยวลู่เห็นเขานิ่งไปจึงส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ แล้วพากันถอยฉากออกไป

          จวบจนหลงเหลืออยู่เพียงลำพัง ไม่นานก็คล้ายมีลมวูบหนึ่งพัดเข้ามา ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าสองคู่ ให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องรีบผุดลุกขึ้น ก่อนจะเห็นร่างเด็กและผู้ใหญ่พลิ้วกายเข้ามาราวกับพายุ

          “ไป๋เซ่อ” เขาร้องเรียก หากแต่ก็ต้องชะงักตกใจ ด้วยผู้มาใหม่ต่างมีสภาพไม่น่าดู ราวกับไปฟัดเหวี่ยงกับผู้ใดมา อาภรณ์บางส่วนฉีกขาด ทรงผมหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง ใบหน้าคลุกฝุ่นคลุกดิน เนื้อตัวมอมแมมไปทั่ว “พวกเจ้าไปไหนมา เหตุใดสภาพจึงเป็นเช่นนี้”

          “......”

          ร่างเล็กไม่ตอบ หากแต่เบะปาก น้ำตาคลอ ทำให้เขาต้องหันไปเค้นกับอีกคนแทน หงลิ่วคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาเขา แต่กระนั้นกลับใช้น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยตอบ ดวงตายังเบิกกว้างเลื่อนลอยพิกลๆ

          “อืม ข้าว่าเพลานี้พี่ใหญ่คงสร่างเมาแล้ว สมควรต้องกลับแล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ปล่อยให้เด็กน้อยเดินล่องลอยจากไป แล้วจึงหันไปซักไซ้ไป๋เซ่อต่อ “ไปก่อเรื่องที่ใดมา แล้วแก้มเป็นอันใด ทำไมจึงกุมไม่ปล่อย” นี่เพราะอีกฝ่ายสวมชุดสีดำ เขาได้แต่คาดเดาเช่นนี้

          “.........” ครานี้ไป๋เซ่อรับฟังแล้วก็ต้องทำสีหน้าสะเทือนใจ ทั้งบ่ายหน้าหนีมือที่ยื่นเข้ามา

          “ให้ข้าดูแก้มเจ้าเร็ว” เขาดุเด็กดื้อตรงหน้า สองมือบังคับกุมดวงหน้าเล็กไม่ให้ไปไหน ไป๋เซ่อบ่ายเบี่ยงอยู่พักใหญ่จึงยอมลดมือลง เผยแก้มนุ่มที่เป็นรอยตีนเป็ดสีแดงก่ำประทับอยู่

          “อุก” ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่หยักโค้ง แทบกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ยังผลให้ไป๋เซ่อต้องปล่อยโฮลูกใหญ่

          “โฮ เป็ดน้ำยวนยางช่างน่ากลัวเหลือเกิน”

          ใครจะไปคิดว่าตาเฒ่าจันทราจะลงอาคมไว้ที่แม่กุญแจ พอพวกเขาแตะต้องของที่ต้องการ ฝูงนกยวนยางพวกนั้นจึงรุมทึ้งพวกเขาอย่างไม่ปราณี ทำเอาเขากับหงลิ่ววิ่งหนีกันอุตลุด หัวหกก้นขวิด หน้าตาแตกตื่น เข็ดขยาดกับสัตว์ปีกไปอีกนาน

 

******************************************************

 

          ชายหนุ่มกอดปลอบร่างเล็กที่ร้องโวยวายอยู่สักพัก จากนั้นก็พาไปแช่น้ำอุ่นยังห้องด้านใน ครั้นไป๋เซ่อชำระล้างกายเปลี่ยนใส่เป็นชุดนอน เขาก็พาเจ้าตัวมานั่งที่ข้างเตียง หยิบผ้าสะอาดมาเช็ดผมสีเทาให้ ครั้นเห็นดีแล้วก็บรรจงสางเส้นผมสลวยจากทางด้านหลัง

          ไป๋เซ่อปล่อยให้ร่างสูงจัดการตามใจชอบ ทั้งมิคิดเอ่ยปราม เพราะรู้สึกว่าเจ้าตัวดูมีความสุขที่ได้กระทำเช่นนี้

          “ไป๋เซ่อ เจ้ารู้ไหมว่าคู่สามีภรรยามักจะทำสางผมให้กันเช่นนี้” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวไปก็ยิ้มไป

          ทว่าร่างเล็กกลับนิ่งเงียบ ด้วยไม่อาจสลัดเรื่องหนึ่งไปจากใจได้ สุดท้ายจึงเอ่ย “ซวนหยวนหมิงไท่ วันหน้าเจ้าจะเปลี่ยนใจไปเลือกผู้อื่นที่ไม่ใช่ข้ารึไม่”

          ฟังน้ำเสียงไม่ร่าเริงของไป๋เซ่อ เขาก็ได้เเต่กล่าวหยอก “หือ ไยจึงถามเช่นนั้น หากมีวันนั้นเจ้าจะยอมหรือ” แม้เจ้าตัวน้อยมิได้บอกว่าไปทำกระไรมา แต่เขาก็ดูออกว่าอีกฝ่ายมีความในใจ

          “เจ้ากล้าหรือ”

          ไป๋เซ่อแยกเขี้ยวใส่ ทั้งยังหันขวับมาขบกัดไหล่เขาเบา ยังผลให้หัวใจพลันจักกะจี้ขึ้นมา “เด็กดี อย่าได้คิดเหลวไหล ทุกวันนี้เจ้ามิเห็นรึว่าข้าคลั่งเจ้าแค่ไหน ยังจะมีเวลาไหนไปมองคนอื่น”

          “เฮอะ แล้วสตรีที่เป็นพระชายาของเจ้าเล่า พวกนางออกจะงดงาม คนหนึ่งก็อ่อนหวานน่ารัก อีกคนก็สวยราวกับบุปผา”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็ยิ้มกว้าง ยิ่งร่างเล็กแสดงท่าทีหึงหวง เขาก็ยิ่งมีความสุข “แต่สำหรับข้า เจ้าเย้ายวนยิ่งกว่าสตรีใด หากให้เปรียบเทียบกัน ข้าว่าพวกนางออกจะจืดชืดเกินไป”

          “ว่าแต่มือเจ้าจับตรงไหน” คุยไปคุยมา ไป๋เซ่อก็ร้องท้วง

          “เอ เจ้ามิได้ปวดตรงนี้หรอกหรือ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้าลงน้ำ ที่บั้นท้ายยังมีรอยเท้ายวนยางอีกข้างหนึ่ง”

          “เพ้ย นับวันจักรพรรดิเช่นเจ้ายิ่งโรคจิต ถึงขนาดแอบดูผู้อื่นอาบน้ำ”

          “จุ๊ยๆ สามีดูภรรยาอาบน้ำจะเรียกโรคจิตได้อย่างไร” เขายิ้มกริ่ม

          “บ้านเจ้าสิ แล้วนี่จะจับก้นข้าอีกนานไหม” ไป๋เซ่อถลึงตาใส่คนน่าไม่อาย ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องชักมือกลับ กระนั้นยังคงกล่าวทิ้งท้ายอีกสักประโยคด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

          “ฮึ ฮึ เช่นนั้นข้าจับตรงอื่นก็ได้”

          “จะ...เจ้า อื้อ” ไม่ทันได้ตั้งตัวตนก็ถูกรวบกอด ให้ต้องนอนราบลงไปกับเตียง มาตรว่าตอนแรกเขาจะร้องเสียงดังโวยวาย ทว่าไม่นานนักก็ต้องกลับกลายเป็นส่งเสียงครางหวาน

          มารดามันเถอะ ข้าแต่งให้เจ้ามีแต่ขาดทุนย่อยยับ

 

          ลมหนาวแทรกผ่านต้นไม้จนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว ภายในห้องมืดสลัวกลับมีเพียงแสงเทียนจวนเจียนใกล้จะดับ ร่างอรชรในชุดบางสีขาวนั่งนิ่งอยู่กลางห้องบรรทมเพียงลำพัง สักพักจึงตะโกนบอกนางกำนัลซึ่งยืนด้านนอก

          “มิต้องรอแล้ว ดับเทียนเสีย ข้าจะเข้านอนแล้ว”

          ทันทีที่นางเอ่ยกล่าว นางกำนัลผู้หนึ่งก็เข้ามาจัดแจงเหน็บผ้าห่มให้กับนาง กระนั้นกลับมีแวบหนึ่งที่นางรู้สึกว่านางกำนัลผู้นี้แสดงสีหน้าเห็นใจ อาจเป็นเพราะตั้งแต่นางเข้าวังมากลับมิเคยถูกเจ้าชีวิตเรียกตัวถวายงานรับใช้อย่างใกล้ชิดเลยสักครั้ง แม้แต่จะเสด็จมาเยี่ยมเยียนก็มิเคย ช่างเป็นสามีภรรยาที่เหินห่างกันจริงๆ

          รอจนเทียนดับลง นางกำนัลผู้นั้นกลับออกไป นางหลับตาอยู่ครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงหน้าต่างแง้มเปิดออก นางส่งเสียง “ลู่เหวิน”

          “เป็นข้าเองคุณหนู ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอ” ผู้มาใหม่เป็นบุรุษหนุ่มสวมชุดดำ รูปกายคล้ายผู้ฝึกยุทธ์ มือยังถือไว้ด้วยกระบี่เล่มหนึ่ง

          “ท่านพ่อสืบประวัติเซียวไป๋ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”

          “เซียวไป๋ผู้นี้ความเป็นมาแปลกประหลาดนัก เมื่อสองปีก่อนคล้ายมีคนพบเขาอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิสมัยที่ยังเป็นรัชทายาทอยู่บ้าง หากแต่จู่ๆเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนปรากฏตัวอีกครั้งที่เมืองตงหัว เรื่องนี้ท่านเจ้าเมืองตงหัวยืนยันได้ ยังมีบุตรสาวของเขายืนกรานว่าเซียวไป๋ผู้นี้เป็นปีศาจงู”

          “หือ ปีศาจงู” ฟังแล้วนางก็ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู

          “นางบอกว่านางเห็นกับตา แม้นางเคยไหว้วานนักพรตให้กำจัดปีศาจ หากแต่กลับโดนองค์จักรพรรดิขัดขวางไว้”

          “หรือว่าวันนั้นที่จู่ๆห่าฝนก็ตก ทั้งยังมังกรนั่น” อาจจะเป็นอิทธิฤทธิ์ของปีศาจแสร้งตบตาผู้คนว่าเป็นความยินยอมของสวรรค์

          แม้ตอนแรกฟังแล้วนางจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหล หากแต่เมื่อประเมินมองเหตุการณ์ผิดปกติดังกล่าว มันกลับสอดคล้องลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

          “คุณหนูคิดการเช่นไรต่อ” เอ่ยถามสตรีที่ตกอยู่ในห้วงคิด

          “บอกท่านพ่อให้หานักพรตผู้นั้นโดยเร็ว ข้าต้องการใช้เขา”

          “ขอรับคุณหนู”

          ต่อเมื่อรับคำเสร็จ ร่างของลู่เหวินก็หายไปในความมืดมิด เหลือเพียงสตรีที่นั่งอยู่บนเตียง ก่อนที่มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มเหยียด

          “ฝ่าบาท อีกไม่นานท่านจะต้องตกอยู่ในกำมือข้า”


 

*************************************************************************


- บทนี้รอนานกันหน่อยเนอะ เเต่เนื้อหายังเรื่อยๆ เป็นการเกริ่นเข้าสู่ช่วงสุดท้าย กะคร่าวๆว่า 30 บทจบ เเต่เกรงว่าอาจจะเกินกว่านั้น 5555+ หลังจากนี้คงอัพช้าบ้าง เพราะเริ่มไม่ค่อยมีเวลา กับรู้สึกไม่ค่อยถนัดเขียนชิงดีชิงเด่นเรื่องการเมืองกับพวกตำหนักใน ปาดเหงื่อๆ เอาเป็นว่าติดตามตอนต่อไปด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 25.1 พร้อมหน้า 03/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 03-07-2016 22:09:29
บทที่ 25.1 พร้อมหน้า

 

          “อย่า อย่าตามข้ามา”

          เสียงร้องภาวนาตื่นกลัวดังขึ้นไม่หยุดหย่อน บุรุษวัยสามสิบกว่า ปล่อยผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เนื้อตัวสกปรกคละคลุ้งด้วยกลิ่นสุรา สวมใส่เสื้อผ้าปะชุนราวขอทาน กำลังล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้าไปซ่อนตัวในวัดร้างกลางป่าลึก

          มือกระชากปิดประตูห้องเอียงกะเท่เร่ จากนั้นขดตัวอันสั่นเทานั่งพิงทางเข้าออกเพียงหนึ่งเดียว ระหว่างนั้นก็เงี่ยหูสดับฟังเสียงฝีเท้าจากทางด้านนอก ไปพร้อมๆกับหัวใจเต้นระทึกประดุจรัวกลอง

          ทำไม...ทำไมกัน นางรู้ถึงสิ่งที่ต้องการรู้ไปแล้วนี่ ไยจึงย้อนกลับมาฆ่าคนอีก

          ทั้งที่นางหายไปกว่าเดือน ให้พวกตนโล่งอกคิดว่ารอดตัวแล้ว แต่แล้วอาจารย์ปู่ อาจารย์ลุง อาจารย์อากลับถูกฆ่าตาย ซ้ำยังถูกช่วงชิงตบะบำเพ็ญเพียรไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เขาประหวั่นพรั่นพรึงใจ ได้แต่หนีตายสุดชีวิต

          เพลานี้ดวงตาสั่นระริกกวาดมองไปรอบด้าน เหงื่อกาฬชโลมใบหน้าซีดเผือดภายใต้หนวดเครา ท่ามกลางความมืดมิดโอบล้อมไปทั่วทุกด้าน กลับมีเพียงแสงจันทร์จากภายนอกส่องกระทบเสี้ยวหน้าสงบนิ่งของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ซึ่งมีฝุ่นจับหนา แลไม่ทันไรก็บังเกิดเงาดำแล่นวูบวาบ ก่อนซ้อนทับรูปหล่อองค์อรหันต์ ให้เขาต้องคำรามร้องสุดเสียง

          “อ๊ากกก”

          เป็นเพลาเดียวกับพลังขุมหนึ่งกระแทกทำลายประตู วิถีพลังผลักดันให้ผู้ร้องกระเด็นไปที่กลางห้องอย่างแรง เกิดเป็นโลหิตหลั่งไหลจากกลางศีรษะแนบลงข้างแก้ม 

          “อาจารย์ข้าบอกเจ้าไปหมดแล้ว พวกมันเป็นอสรพิษเกล็ดอัคคี นอกเหนือไปจากนี้ข้าไม่รู้จริง” ละล่ำละลักกล่าวพร้อมรีบยันตัวขึ้นกระถดตัวหนี จวบจนแผ่นหลังประชิดกระถางธูปเก่าๆ ก็หาได้มีทางหนีอีก

          “.......”

          แม้จะบอกไปเช่นนั้น แต่นางกลับยื่นมืออันมีปลายเล็บแหลมคมเข้ามา “ได้โปรดไว้ชีวิตข้า” อดีตนักพรตเอ่ยวิงวอน โขกศีรษะให้กับสตรีตรงหน้าไม่หยุด แต่นางกลับแค่นเสียงหัวเราะ

          “ฮ่า ฮ่า ไว้ชีวิตเจ้า” มือเรียวตรงเข้ากุมลำคอหนา ก่อนจะค่อยๆส่งแรงบีบให้เหยื่อดิ้นทุรนทุราย “เดิมทีพวกเจ้านักพรตต่างชื่นชอบฆ่าฟันปีศาจอยู่แล้วนี่ ไยข้าต้องไว้ชีวิตเจ้าด้วย”

          “ม่ะ ไม่ ข้า...อั่ก” เมื่อถูกลิดรอนอากาศ ใบหน้าของเขาก็เริ่มเขียวคล้ำ สองมือพยายามตะกุยใส่นางปีศาจ แต่นางหาได้สะทกสะท้าน ยังคงส่งแรงไปที่มือเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดเสียงลั่น

          กร๊อบ

          ช่างไพเราะเหลือเกิน... วั่นอู่หงหลับตารับฟังเสียงกระดูกแตกละเอียดทีละเล็กทีละน้อยด้วยสีหน้าอิ่มเอม นางชื่นชอบเสียงแบบนี้ และจะดีสักแค่ไหน หากเสียงเหล่านี้เกิดจากลำคอของพวกมัน

          ว่าแล้วเปลือกตาก็เลิกขึ้นมองใบหน้าบิดเบี้ยวตรงหน้า ผิดกับใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาในความทรงจำอย่างรังเกียจ ซึ่งนับตั้งแต่กลับจากชนเผ่าหมอผี นางก็ออกไล่ล่าชิงตบะบำเพ็ญเพียรของผู้อื่น จะปีศาจด้วยกันเองก็ดี หรือจากพวกนักพรตก็ช่าง แต่กระนั้นเห็นจะมีแต่บุรุษเน่าเหม็นผู้นี้ที่นางกลืนกินไม่ลง ยังดีที่อีกฝ่ายมีตบะบำเพ็ญเพียรน้อยนิด นางจึงมิได้รู้สึกเสียดายสักเท่าใด

          พลันแว่วเสียงฝีเท้าเคลื่อนใกล้เข้ามา วั่นอู่หงรีบถอนมือจากลำคอสกปรก หันหน้าไปยังปากทางเข้าด้วยท่าทีปกติ

          “มิทราบว่าท่านนักพรตเต้าเหยียนอยู่ที่นี่รึไม่” ทันทีผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาในวัดร้างก็เอ่ยถาม

          “ท่านมาสายไป ท่านอาจารย์เต้าเหยียนสิ้นบุญไปเมื่อสักครู่นี้เอง”

          น้ำเสียงโศกเศร้าที่ปิดไม่มิดนั้น ทำให้จอมยุทธ์ในชุดสีดำต้องสังเกตผู้กล่าว อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี ดวงหน้ากระจ่างตา นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงคลอไปด้วยหยาดน้ำ สวมใส่ชุดนักพรตสีขาวบริสุทธิ์ดูสูงส่งไร้ราคี กลางหลังยังสะพายด้วยกระบี่ไม้

          เด็กหนุ่มกล่าวจบก็ขยับตัวไปอีกทาง เผยให้เห็นร่างที่นั่งคุกเข่าศีรษะห้อยตกไร้สัญญาณชีวิต ลู่เหวินมองดูแล้วก็เผยสีหน้ายุ่งยาก ทั้งที่ตนอุตส่าห์ตามหาเบาะแสอย่างยากเย็น หากแต่คนกลับชิงตายไปเสียก่อน“เจ้าเป็นใคร เกี่ยวข้องอันใดกับท่านนักพรต”

          “ข้านามอันหลงเป็นศิษย์โดยตรงของท่านอาจารย์เต้าเหยียน” เด็กหนุ่มแนะนำตัวเองอย่างสุภาพ

          “เช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องปีศาจงูที่ปรากฏตัวขึ้นในเมืองตงหัวหรือไม่” ได้แต่ลองถาม เขามิอาจกลับมือไปเปล่า

          “ปีศาจงู?” เด็กหนุ่มนามอันหลงเลิกคิ้วขึ้นเสียงสูง “หรือจะเป็นอสรพิษเกล็ดอัคคี”

          “เจ้ารู้จักพวกมัน?”

          “แน่นอน เป็นเพราะพวกมัน ท่านอาจารย์จึงใช้ให้ข้าดั้นด้นไปยังชนเผ่าหมอผีนอกเมือง ศึกษาวิธีกำจัดพวกมัน ทว่าแม้ยามนี้ข้าจะพอมีวิธี แต่ท่านอาจารย์กลับด่วนจากไปเสียก่อน”

          อันหลงหลุบตาลงอย่างเศร้าๆ ผิดกับลู่เหวินที่ยกยิ้มอย่างมีความในใจ เห็นทีครานี้ตนมาไม่เสียเที่ยวจริงๆ “เจ้ามีวิธีกำจัดการกับพวกมัน”

          “แม้ไม่ถึงกับสามารถกำจัด แต่ยังพอมีวิธีควบคุมให้อยู่ใต้อาณัติ”

          “ดี ท่านนักพรตอัน เช่นนั้นโปรดตามข้าไปยังวังหลวง พระชายาต้องการความช่วยเหลือจากท่าน” กล่าวจบก็ผายมือไปยังทางออก ทว่าอีกมือกลับกำชับกระบี่แน่นขึ้น

          ไม่ถามถึงความเห็นและความสมัครใจ หากแต่เป็นการบีบบังคับ นักพรตน้อยอันหลงเผยสีหน้ากังวล ก่อนจะพยักหน้าให้แต่โดยดี ลู่เหวินเหยียดยิ้มนิดๆ ก่อนนำพาเด็กหนุ่มไปยังรถม้าซึ่งจอดรออยู่ด้านนอก จากนั้นตั้งหน้าตั้งตาเร่งม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวง

          ทั้งนี้ทั้งนั้นกลับไม่รู้เลยว่านักพรตหนุ่มที่เดินทางไปด้วยได้กลับกลายเป็นสตรีในชุดคลุมขนนกยูงหรูหรา ดวงตาสีน้ำตาลแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีโลหิต ริมฝีปากงามแย้มยิ้มอารมณ์ดี ดูว่านางมิต้องไปหา คนก็มารับถึงที่

          รอก่อนเถิด อีกไม่นานวั่นอู่หงคนนี้จะเอาคืนพวกเจ้าให้สาสม

 

********************************************************

 

          สัมผัสอบอุ่นประทับตรงกลางหน้าผาก ปลุกให้ร่างในชุดสีขาวตื่นขึ้นจากฝันร้าย ไป๋เซ่องัวเงียลุกขึ้นนั่งอย่างมิใคร่สดชื่นเท่าไหร่ ครั้นสังเกตไปรอบๆ ก็พบว่าชายหนุ่มมิได้อยู่ในห้องแล้ว

          บางทีคงกำลังออกว่าราชการในตอนเช้าอยู่กระมัง นึกแล้วก็ยกมือนวดกุมขมับ ตั้งแต่เขาย้ายมาตำหนักหมิงเยว่กวงก็นอนมิค่อยหลับ มีแต่ต้องยามที่ซวนหยวนหมิงไท่กอดเอาไว้จึงจะคล้อยหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว

          “ไป่ไป๋ เจ้าตื่นแล้ว?”

          ชั่วขณะที่ตกในห้วงภวังค์พลันมีเสียงกล่าวทัก ไป๋เซ่อสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนลืมตาขึ้นมา ร่างสีม่วงอมดำนั่งอยู่ข้างเตียงแล้ว

          “สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก” สังเกตรอยคล้ำใต้ตาบนใบหน้าเย้ายวน หว่างคิ้วของหงเว่ยก็ย่นลง “ให้ข้าตรวจดูสักหน่อยดีหรือไม่”

          “ม่ะ...” ไม่ทันได้ปฏิเสธ ร่างแกร่งก็ส่งปลายนิ้วมาจับตรงข้อมือ

          “ดูเหมือนเจ้าจะมีเรื่องกังวลในใจ ทำให้มิอาจหลับสนิทได้เต็มที่”

          พอถูกสายตาคมกล้าจับจ้อง ไป๋เซ่อก็รีบเบนสายตาหนี แสร้งทำเป็นกล่าวแย้ง “มิใช่เจ้าที่มีเรื่องให้ดื่มสุราจนเมามายไปกว่าสามคืนหรือ”

          “.......” หงเว่ยเลิกตาโตคล้ายถูกจับได้ว่ากระทำความผิด จนวาจาโต้เถียงไปชั่วขณะ ได้แต่โทษเจ้าเด็กตัวดีปากสว่าง “หงลิ่วพูดเกินไป ข้ามิได้ดื่มจนเมามายขนาดนั้น นี่เป็นเพราะหลับสนิทมากเกินไป ทำให้ตื่นสายก็เท่านั้น”

          “มีเหตุผลแบบนี้ด้วยหรือ” ไป๋เซ่อฟังคำแก้ตัวแล้วก็ต้องหัวเราะครืน

          หงเว่ยฟังแล้วก็ยิ้มบาง รอจนเสียงหัวเราะค่อยๆจางไป จึงเอ่ยน้ำเสียงอ่อน “ความจริงหงลิ่วเล่าให้ข้าฟังหมดแล้วเรื่องบันทึกคู่ชะตาม้วนนั้น หากเจ้าต้องการรู้รายชื่อพวกนั้น ข้าจะเป็นคนนำมันมาให้เอง"

          “ไม่นะ อย่าทำเช่นนั้น” ร่างเล็กร้องท้วง สองมือรีบเกาะแขนร่างแกร่งมิให้ผลุนผลันไปยังตำหนักจันทราบนพิภพสวรรค์ “โทษฐานขโมยบันทึกคู่ชะตาร้ายแรงไม่น้อย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมีปัญหาเพราะข้า”

          ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ตนก็มิสน หงเว่ยคิดจะบอกเช่นนั้น ทว่าดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่จ้องมองมากลับแฝงแววห่วงใยและกึ่งอ้อนวอน ทำให้เขาได้แต่เงียบไป “เช่นนั้นจำไว้ หากมีเรื่องใดรบกวนใจเจ้า หรือมีเรื่องใดให้ข้าช่วย บอกข้าอย่าได้เกรงใจ”

          ...เพราะข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง

          “อื้ม”

          ไป๋เซ่อยิ้มพลางพยักหน้าหงึกหงัก ดูน่ารักไร้เดียงสาอย่างไรบอกไม่ถูก หงเว่ยมิอาจห้ามใจยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กนั้นได้ ต่อเมื่อสัมผัสถึงเรือนผมสีเทาสลวย พลันใบหน้ากลับร้อนฉ่า “ม่ะ มีคนมา ข้าต้องไปแล้ว”

          “เอ๋” ไป๋เซ่อร้องออกมาคำหนึ่ง ร่างแกร่งก็กสลายตัวประดุจหมอกควัน ให้เขาทันเห็นเพียงใบหูแดงก่ำ คนผู้นี้ช่างมาไวไปไวโดยแท้ ไป๋เซ่อนึกแล้วก็เกาศีรษะแกรกๆ เอ ว่าแต่หงเว่ยตั้งใจมาหาด้วยเรื่องอะไรกันหนอ

          คล้อยหลังคนจากไป หัวหน้านางกำนัลส่วนพระองค์นามหรูอี้ก็ก้าวเข้ามาในห้องบรรทม กล่าวถามด้วยน้ำเสียงสดใส “ฮองเฮา จะทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์แล้วรับอาหารเช้าเลยดีไหมเพคะ”

          ไป๋เซ่อครุ่นคิดเล็กน้อย ครั้นเห็นว่าเข้าทีก็รับคำ หรูอี้ผู้นี้เป็นเสี่ยวลู่คัดมาให้ดูแลเขาโดยเฉพาะ แลด้วยนิสัยช่างพูดช่างเจรจาของนาง ก็ช่วยคลายเหงาในช่วงที่ชายหนุ่มไม่อยู่ไปได้มากโข

          “เจ้าลูกเต่าใกล้จะกลับมารึยัง?”

          ‘เจ้าลูกเต่า’ ในที่นี้หรูอี้ย่อมรู้ว่าเป็นใคร คราแรกที่นางได้ยินก็เล่นเอาหัวใจแทบวาย ทว่าผ่านไปไม่นานก็เคยชินกับคำพูดไม่ไว้หน้าเจ้าชีวิตของฮองเฮาบุรุษผู้นี้

          นางหัวเราะคิกคัก “ฝ่าบาทยังคงว่าราชการที่ท้องพระโรงเพคะ อีกสักครึ่งชั่วยามคงจะแล้วเสร็จ” กล่าวพลางสวมฉลองพระองค์ให้ร่างเพรียวไปพลาง “หรือฮองเฮาจะทรงไปรับพระองค์ที่ตำหนักหานหยวน”

          “เฮอะ ทำไมข้าต้องไปรับเขาด้วย” ไป๋เซ่อขึ้นเสียง กระนั้นแก้มนุ่มกลับระเรื่อด้วยเลือดฝาด

          “ไปเถอะเพคะ ก่อนหน้านี้ชิวเยี่ยนพึ่งบอกว่าพระชายาหลี่ไปรอดักขบวนเสด็จฝ่าบาทยังอุทยานหลวง ฮองเฮาไม่ไปจะดีหรือ” หรูอี้คะยั้นคะยอ ชิวเยี่ยน หนึ่งในนางกำนัลประจำตำหนักหมิงเย่วกวง เป็นคนแล่นมาแจ้งข่าวแก่นางหลังจากกลับมาจากกองเย็บปัก

          “ข้า...” ไป๋เซ่อคิดจะค้าน ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมา

          “หรือเจ้าไม่กลัวนางแย่งสามี”

          เป็นถิงถิงในชุดประจำตำแหน่งสีดำม้วนตัวกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง ดูว่าคนรู้จักเขาแต่ละคน ล้วนลอบเข้ามาในตำหนักด้วยวิธีการไม่ธรรมดา คนหนึ่งคิดจะปรากฏตัวก็มาแบบไม่มีสัญญาณ ส่วนอีกผู้หนึ่งมักชมชอบหน้าต่างมากกว่าประตู

          หรูอี้มิได้แปลกใจกลับการมาไม่ปกตินี้ อาจเพราะหัวหน้าขันทีเสี่ยวลู่ ซึ่งตนสนิทถึงขั้นเรียกพี่เรียกน้องได้บอกเล่าถึงคนข้างกายที่ออกจะแปลกๆขององค์ฮองเฮาไว้แต่ต้น กระนั้นช่วงแรกก็ยังไม่ชินอยู่บ้าง

          “ระวังเถิด กว่าจะรู้ตัวคนก็ถูกแย่งไปแล้ว ถึงเพลานั้นอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งเชียว” ถิงถิงกอดอกกล่าววาจาโผงผาง หรูอี้จึงช่วยเสริม

          “แม่นางถิงพูดถูก นอกจากฮองเฮาแล้ว ก็มีพระชายาหลี่กับพระชายาเจินนี่แหละที่สามารถใกล้ชิดกับฝ่าบาท ประมาทไม่ได้นะเพคะ”

          ถูกคำพูดของพวกนางกรอกหู ดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็พลันสว่างวาบ หากนามในบันทึกคู่ชะตาเป็นพระชายาทั้งสองเล่า? เขาขมวดคิ้วยุ่ง“เอาเป็นว่าข้าจะลองไปดู” อย่างน้อยไปดูท่าทีพวกนางสักครา ไม่แน่ว่าสิ่งที่ค้างคาในใจอาจจะคลี่คลายลงก็เป็นได้ ไป๋เซ่อบอกกับตัวเอง


 

********************************************************

 

          อากาศหนาวเยี่ยมเยือนเมืองหลวงฉานอัน ดอกเหมยในอุทยานหลวงก็เริ่มผลิกลีบบานสีชมพูอ่อนให้เห็น ต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบบ่งบอกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนผ่าน จากฤดูใบไม้ร่วงไปสู่ฤดูหนาวอย่างเงียบเชียบ

          บัดนี้ไป๋เซ่อในอาภรณ์สีเขียวอ่อนประดุจคุณชายผู้สูงศักดิ์กึ่งเจ้าสำราญกำลังเดินอาดๆมุ่งหน้าไปยังตำหนักหานหยวน ติดตามด้วยนางกำนัลหรูอี้และชิวเยี่ยน พร้อมถิงถิงที่หวังชมดูเรื่องสนุก

          จวบจนใกล้ถึงสระน้ำไท่เย่ก็พบร่างสตรีผู้มีดวงหน้าอ่อนหวาน ริมฝีปากแย้มยิ้มราวพระจันทร์ สวมใส่ชุดสง่างามสีเหลืองนวล พร้อมกับนางกำนัลอีกสองนาง กำลังชะโงกหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ โดยไม่สังเกตเห็นเลยว่าพวกเขาได้หยุดฝีเท้าเบื้องหน้าพวกนางแล้ว

          “เจ้าคือพระชายาหลี่” เป็นไป๋เซ่อทักขึ้น ขัดจังหวะให้เจ้าของนามต้องเบือนหน้ากลับมาโดยไม่เต็มใจ

          หลี่ซิ่วหลันจ้องมองบุรุษหน้าตางดงามเย้ายวนก็ชะงักไปเล็กน้อย คล้ายพึ่งนึกออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จากนั้นสายตาจึงเปลี่ยนมามองขึ้นลงอย่างเหยียดๆ ยังดีที่อีกฝ่ายมิแต่งกายด้วยชุดสตรี มิเช่นนั้นนางคงจะคลื่นเหียนเป็นอย่างยิ่ง “หม่อมฉันพระชายาหลี่ คำนับฮองเฮา” นางกล่าวคำนับพร้อมย่อตัวส่งๆ 

          ร่างเล็กดูออกถึงสายตาไม่เป็นมิตร กระนั้นกลับไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยถามขึ้นแทน “เจ้ากำลังรอซวนหยวนหมิงไท่อยู่ที่นี่หรือ?”

          ทั้งการกล่าวพระนามจริงของเจ้าชีวิตอันเป็นการลบหลู่เบื้องสูง  รวมถึงคำถามที่เอ่ยออกมาตรงๆ ออกจะทำให้พระชายาหลี่นิ่งอึ้งไปบ้าง นี่เป็นเพราะคนในวังส่วนใหญ่มักระวังคำพูดเพื่อซ่อนจุดประสงค์แท้จริงไว้ แล้วแสร้งปั้นแต่งสีหน้าหลอกลวงผู้อื่น แต่มาตรว่ารู้เช่นนั้น นางยังคงเชิดหน้ายอมรับ “เพคะ”

          “แล้วไยไม่ไปหาที่ตำหนักหานหยวนเล่า” ไป๋เซ่อถามอย่างสงสัย อยากจะหาใครก็ไปหาสิ ไฉนต้องมาดักรอด้วย

          ประโยคดังกล่าวถึงกับทำให้สีหน้าของพระชายาหลี่แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ...หึ เจ้าไม่รู้หรือต้องการเยาะเย้ยข้ากันแน่ “กราบทูลฮองเฮา นี่เป็นเพราะตำหนักหานหยวนเป็นสถานที่ว่าราชการ มิใช่ที่ที่สตรีจะก้าวก่ายเข้าไปได้ตามใจ” นางพูดจากระทบกระแทก

          “หืม มีข้อห้ามเช่นนี้ด้วย แย่จัง” ไป๋เซ่อฟังแล้วก็เกิดความเห็นใจ ไฉนบนโลกมนุษย์จึงแบ่งแยกบุรุษสตรีให้วุ่นวาย ไม่ยุติธรรมชัดๆ

          ใช่สิ ก็เจ้าเป็นบุรุษ ทั้งยังเป็นนายบำเรอยั่วยวนบุรุษด้วยกันเอง พระชายาหลี่ถลึงตาใส่ หากแต่เด็กหนุ่มกลับทำท่าทีงงงันไร้เดียงสา ทั้งที่พึ่งเหน็บแนมนางไปแท้ๆ ...เฮอะ อสรพิษชัดๆ

          “ข้าว่าเจ้าไปนั่งเล่นตรงศาลาริมน้ำกับข้าดีหรือไม่ ประเดี๋ยวซวนหยวนหมิงไท่ก็ตามมาเอง”

          จะโอ้อวดว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาก็เป็นเพราะเจ้าสินะ พระชายาหลี่ได้แต่ฝืนยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ กระนั้นยังคงเอ่ยคำ “เป็นพระกรุณาเพคะ”

          ว่าแล้วทั้งสองก็ย่างก้าวเข้าไปในศาลาริมน้ำสีขาวที่มุงกระเบื้องสีแดงสด จากนั้นนั่งลงตรงเก้าอี้หินอ่อนที่จัดวางอยู่ด้านใน ส่วนนางกำนัลเพียงยืนอยู่รอบนอก มิรบกวนผู้เป็นนายสนทนาปราศรัยกัน

          “ซวนหยวนหมิงไท่ปฏิบัติต่อเจ้าดีรึไม่”

          ครั้นหย่อนก้นไม่เท่าไหร่ ไป๋เซ่อก็ไม่เสียเวลาเริ่มถามสิ่งที่อยากรู้ ทว่าคำถามนี้กลับแทงใจพระชายาหลี่ ให้มือเรียวต้องขยุ้มผ้าเช็ดหน้าใต้โต๊ะหินอ่อนด้วยความขุ่นเคือง

          จะรังแกกันเกินไปแล้ว ใครๆต่างก็รู้ว่ากลางคืนนางต้องทนนอนอย่างเปลี่ยวร้าง ส่วนกลางวัน ทั้งที่นางเป็นถึงพระชายาแค่จะขอเข้าเฝ้าพบพระพักตร์ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญกว่านางกำนัลรับใช้ รอก่อนเถิด วันใดเจ้าหมดความสำคัญ วันนั้นข้าจะเหยียบเจ้าให้จมธรณีเชียว

          นางกล้ำกลืนฝืนกล่าว “ฝ่าบาททรงดีกับหม่อมฉันมากเพคะ ทั้งยังวางใจมอบหมายงานใหญ่ให้หม่อมฉันคัดลอกพระธรรม ส่งมอบวัดวาอารามเชิดชูพระเกียรติของพระองค์”

          “อ่อ อย่างนี้นี่เอง หึ หึ” ไป๋เซ่อรับคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าลงท้ายกลับแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ สองมือถูไปมาด้วยคันไม้คันมืออยากจะกระชากหนังศีรษะเจ้าลูกเต่าหลายใจยิ่ง ซึ่งพอดีกับที่มีเสียงหวานดังขัดภาพรังแกคนในห้วงความคิด

          “ไม่ทราบว่าฮองเฮากับพระชายาหลี่อยู่ที่นี่ หม่อมฉันรบกวนทุกท่านแล้ว”

          รบกวน รบกวนอันใด เป็นเจ้าเข้ามาเองมิใช่รึ ไป๋เซ่อเผยสีหน้างงงัน ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสตรีในอาภรณ์สีขาวนวลปักลายโบตั๋น ใบหน้าประดับรอยยิ้มตรึงใจ “อา เจ้าคือพระชายาเจินสินะ เข้ามาสิ”

          “ขอบพระทัยเพคะ” พระชายาเจินย่อกายคำนับอย่างอ่อนช้อย จากนั้นเยื้องย่างร่างระหงเข้ามาด้านใน ทว่าเมื่อถึงโต๊ะกลับปราดมองสตรีอีกคนด้วยสายตานิ่งเรียบวูบหนึ่ง

          “คำนับ พระชายาเจิน” จะอย่างไรเจินเริ่นผิงก็มีศักดิ์เป็นกุ้ยเฟย ขั้นตำแหน่งสูงกว่าซูเฟยอย่างนางหนึ่งขั้น หลี่ซิ่วหลันจำต้องลุกขึ้นคำนับพลางลอบก่นด่านางแพศยาอยู่ในใจ

          “น้องพี่ไม่ต้องมากพิธี” พระชายาเจินกล่าวจบก็นั่งลง กระนั้นยังนั่งไม่ติดที่ พระชายาหลี่ก็เอ่ยค่อนแคะ

          “ปกติเห็นพี่สาวชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก มิใคร่ได้เห็นสักเท่าไหร่ เหตุใดวันนี้จึงออกมาเดินเล่นที่อุทยานหลวงล่ะเพคะ” นี่เป็นเพราะนางรู้ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา จึงได้แล่นออกมาจากตำหนักหลันฮวาเป็นแน่

          “อยู่แต่ในตำหนักช่างอุดอู้นัก พี่สาวคิดว่าออกมาสูดอากาศบ้างก็ไม่เลว แต่เผอิญเห็นน้องสาวสนทนากับเซียวฮองเฮาอย่างถูกคอ จึงนึกอยากเข้าร่วมด้วย”

          มองดูทั้งสองนางเรียกพี่เรียกน้อง ไป๋เซ่อพลันรู้สึกแปลกแยก แต่อย่างไรก็ดีเพลานี้พานพบพวกนางสองคนพร้อมหน้า ประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย “ดียิ่ง พี่ชายเองก็อยู่แต่ในตำหนักเหงาจะแย่ หวังจะได้พูดคุยกับพวกเจ้ามานานแล้ว”

          ‘พี่ชาย’ คำแทนตัวนี้ถึงกับทำให้พระชายาทั้งสองชะงักวูบ สีหน้าผิดแผกไปจากเดิม อีกทั้งบังเกิดความรู้สึกยากจะบรรยายกัน ทั้งรังเกียจทั้งไม่พอใจ กระนั้นไป๋เซ่อกลับมองไม่เห็น แลยังเอ่ยปากแสดงความใจกว้าง

          “ไหนๆก็พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว เรามาร่วมมื้อเช้าด้วยกันเถิด” 

          “.......” บังเกิดเป็นเสียงเงียบกริบที่แม้แต่แมวเดินยังได้ยิน

          “อ่ะแฮ่ม ยามนี้ถึงเพลาอาหารกลางวันแล้วเพคะ ฮองเฮา”ท่ามกลางบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนหรูอี้พลันส่งเสียงกระแอมกระไอ

          ไป๋เซ่อได้ยินแล้วก็ต้องเปลี่ยนคำเสียใหม่ “อา ข้ากินมื้อเช้า ส่วนพวกเจ้ากินมื้อกลางวัน ตามนี้นะ”

          “.......”

          ยังคงไม่มีเสียงตอบรับจากชายาคนใด ร่างเล็กรอคอยอยู่สักพักก็ต้องสบถในใจ ...มารดามันเถอะ ช่างพวกเจ้าแล้ว ข้าจะกินซะอย่าง


 

********************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 25.2 พร้อมหน้า 03/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 03-07-2016 22:12:29
บทที่ 25.2 พร้อมหน้า


 
          ระหว่างนางกำนัลทยอยวางอาหารบนโต๊ะ ให้ไป๋เซ่อต้องลอบสูดน้ำลายเป็นระยะๆ ก็เป็นเวลาเดียวกับร่างสูงในชุดมังกรน่าเกรงขาม พร้อมกับขบวนติดตามมาถึง

          “หือ ไฉนพวกเจ้าใจร้ายใจดำไม่ชวนเราร่วมโต๊ะบ้าง หากเราไม่ผ่านมาเกรงว่าได้แต่นั่งแกร่วลำพังในตำหนักแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่แสร้งทำสีหน้าน่าสงสาร ทว่าสายตากลับจ้องร่างเล็กที่เบ้ปากถลึงตาใส่

          “หม่อมฉันมีหรือจะไม่ชวนฝ่าบาท” พระชายาหลี่กล่าวน้ำเสียงออดอ้อนพลางยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “เป็นหม่อมฉันกับฮองเฮามานั่งรอพระองค์ที่นี่ตั้งนานแล้ว” นางเน้นย้ำเพียงแค่คนสองคน หาได้มีนางแพศยาร่วมด้วย

          “โอ้ พวกเจ้ามารอเราหรอกหรือ” ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของโอรสสวรรค์ก็ทอเป็นประกาย มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเจ้าของดวงหน้าเย้ายวน “เช่นนั้นเราไม่เกรงใจแล้ว” กล่าวจบก็ตรงเข้าไปนั่งเบียดก้นน้อย ให้ไป๋เซ่อดิ้นขลุกขลักอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องยินยอมแบ่งที่นั่งให้อย่างมิพอใจสักเท่าไหร่

          “ฝ่าบาทพึ่งทรงงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ถ้าอย่างไรดื่มชาดับกระหายก่อนดีไหมเพคะ”

          น้ำเสียงฟังรื่นหูละมุนละไมประดุจสายน้ำในลำธาร ทำให้เขาต้องหันไปยังต้นเสียงทางด้านข้างตน ก่อนสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตราวกับลูกกวางน้อย เครื่องหน้าสมส่วน นับได้ว่าเป็นหญิงงามที่หาตัวจับได้ยากทีเดียว

          ซวนหยวนหมิงไท่รับถ้วยชาที่ยื่นส่งมาให้ เพียงแค่ได้กลิ่นก็รู้สึกผ่อนคลาย ครั้นปลายลิ้นสัมผัสรสชากลมกล่อมก็ต้องโพล่งออกมา “ชาดี”

          “นี่เป็นชาปี้เหลยชุน จากทางเจียงซูเพคะ บิดาเห็นหม่อมฉันชอบดื่มชาชนิด จึงคอยให้คนส่งมาไม่ขาด หากฝ่าบาททรงโปรด หม่อมฉันจะให้คนส่งไปที่ตำหนักเฉียนชิงเพคะ”

          พระชายาเจินกล่าวอย่างกระตือรือร้น ท่าทีที่ใช้ก็เป็นธรรมชาติ ยังผลให้พระชายาหลี่ซึ่งอยู่ด้านตรงข้ามต้องกรอกตาไปมา ฝ่ายไป๋เซ่อนั่งฟังคำพูดออดอ้อน บ้างก็นอบน้อมเอาใจบ้างก็ต้องก่นด่าในใจ

          ...ทีกับข้าไม่เห็นพวกเจ้าจะพูดจาลื่นไหลเช่นนี้บ้างเลย

          “อืม” ซวนหยวนหมิงไท่ส่งเสียงตอบสั้นๆ จากนั้นหันไปเอาใจร่างเล็กโดยการคีบแต่เนื้อปลา หลีกเลี่ยงเนื้อเป็ดเนื้อไก่ที่เจ้าตัวเข็ดขยาดในช่วงนี้

          ได้รับการเอาอกเอาใจแบบนี้ ไป๋เซ่อจึงพอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง กระทั่งการรับประทานอาหารดำเนินไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ พระชายาเจินก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำสนทนา

          “จานปลาหิมะแดงผัดจานนี้ พี่ชายน่าจะชอบนะเพคะ” เพราะเห็นอาหารส่วนใหญ่ที่เจ้าชีวิตคีบให้อีกฝ่าย ล้วนเป็นจานปลา จะมีก็แต่จานใกล้ตัวนางที่ยังคงไม่ใครลิ้มลอง เจินเริ่นผิงอดแนะนำมิได้

          ทว่าซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงสูงอย่างแปลกใจ “พี่ชาย”

          “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเห็นพวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน สมควรดูแลกันประดุจพี่น้อง จึงอาจเอื้อมเรียกขานเช่นนี้”

          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็นิ่งไป สักพักจึงส่งเสียงตอบ “ก็ดี”

          ดูท่าทีไม่ปฏิเสธนี้ พระชายาเจินก็ยิ้มออก ฝ่ายพระชายาหลี่นั่งฟังอยู่แล้วบังเกิดอาการกินไม่ลง เมื่อสักครู่นังแพศยายังรังเกียจจะนับพี่น้องกับฮองเฮามิใช่หรือ นางคิดไปพลางยื่นมือที่ถือถ้วยไปด้านข้าง เป็นสัญญาณให้นางกำนัลก้าวเข้ามาเทน้ำชาให้ แต่แล้วนางกลับต้องแผดเสียง

          “โอ๊ย ร้อน”

          เป็นเพราะนางกำนัลมือสั่นไปชั่ววูบ ทำเอาชาร้อนหกรดมือขาวนวลของพระชายา ยังผลให้คนรอบข้างตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จะมีก็แต่ไป๋เซ่อที่การกระทำไวกว่าความคิด วาดแขนออกไปคว้ามือแดงพองเข้ากุมไว้ “ไหนๆ เป็นอย่างไรบ้าง”

          ความเย็นส่งผ่านทางมือ บรรเทาแผลร้อนลวกไปได้รวดเร็ว พระชายาหลี่พลันตกตะลึงวูบ ริมฝีปากโพล่งออกมา “ไฉนมือของฮองเฮาจึงเย็นเยียบราวกับอสรพิษก็มิปาน”

          ประโยคนั้นทำเอาซวนหยวนหมิงไท่หน้าตึง ไป๋เซ่อเองก็ผงะไปแล้วรีบคลายมือกลับมาเก็บไว้ข้างตัว แลขณะที่เกิดเป็นบรรยากาศน่าอึดอัด นางกำนัลผู้ก่อเรื่องพลันคุกเข่าส่งเสียงขอประทานอภัยดังลั่นพอดิบพอดี ส่งผลให้ชายหนุ่มได้สติ

          “เกี่ยวกับเรื่องนี่ให้หัวหน้านางกำนัลที่ดูแลลงโทษตามสมควร” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงเรียบแล้วหันสั่งกับไปเสี่ยวลู่ที่ยืนอยู่ด้านนอก “นอกจากนี้พระราชทานบัวหิมะจากแคว้นจ้าวให้กับพระชายาหลี่ ยังมี...”

          เขาพลันหยุดเสียงแล้วฉวยดึงมือที่ซุกตรงหน้าตักน้อย “วันนี้อากาศหนาว เจ้าไม่สมควรสวมชุดบางเบาเช่นนี้ มาข้าจะอุ่นมือให้” ว่าแล้วก็เป่ารดลงหายใจอุ่นร้อนลงบนมือนุ่มเย็น

          ทว่าการกระทำนี้หาได้ช่วยให้มือเขาอุ่นขึ้นแม้แต่น้อย มีแต่ยิ่งจะทำให้หน้าเขาร้อนผ่าวแทน ไป๋เซ่อรีบสะบัดมือทิ้งพลางกล่าวผ่านสายตา “เจ้าคนน่าไม่อาย ชอบฉวยโอกาส”

          เห็นคนแยกเขี้ยวตาเขียวปั้ด ซวนหยวนหมิงไท่ก็หัวเราะน้อยๆ พระชายาหลี่จึงได้แต่กัดริมฝีปากมองดูทั้งสองหยอกล้อกันอย่างอิจฉา ฝ่ายพระชายาเจินเพียงนั่งอยู่เงียบๆเท่านั้น


 

********************************************************

 

          จวบจนอาหารร่อยหรอ นางกำนัลยกเก็บจานไปแทนที่ด้วยขนมหวานล้างท้อง ก็บังเกิดเสียงร่ำไห้โหยหวนจากทางด้านนอก ให้ทายาทมังกรต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างรำคาญใจ

          “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ได้โปรดช่วยบุตรชายกระหม่อมด้วย เขาถูกคนของแคว้นหวู่บังคับนำตัวไปแล้ว”

          เจ้าของเสียงเป็นขุนนางเส้นผมสีดอกเลา อายุอานามปาไปสี่สิบกว่า วิ่งพรวดพราดเข้ามา แต่กลับโดนองครักษ์ประจำพระองค์สกัดกั้นไว้ เขามองดูคนน้ำหูน้ำตานองหน้าก็ถอนใจยาว โบกมือให้อีกฝ่ายเข้ามา

          สัปดาห์ก่อนบุตรชายของใต้เท้าซุน ขุนนางใหญ่สังกัดกรมโยธา ทำตัวกเฬวรากล่วงเกินนางระบำแคว้นหวู่ในโรงน้ำชายังกลางวันแสกๆ บังเอิญที่คนของราชทูตแคว้นหวู่มาพบเข้าจึงเกิดการปะทะกันรุนแรง สุดท้ายบุตรชายใต้เท้าซุนสู้มิได้จึงบันดาลโทสะ คว้าเอาพิณโบราณของคู่กรณีมากระแทกพื้นเสียหาย ทำให้คนของแคว้นหวู่มิยอมจบเรื่องง่ายๆ จึงฟ้องร้องทางราชสำนัก ให้ชดใช้พิณโบราณคืน

          “ใต้เท้าซุน ทางแคว้นหวู่ยังมีปัญหาใดอีก”

          “ฝ่าบาท แม้พระองค์จะทรงเมตตารับสั่งทำพิณเจ็ดสายขึ้นมาใหม่ด้วยวัสดุชั้นดีหายาก ทว่าคนของเรากลับไม่มีใครสามารถปรับเสียงพิณชนิดนี้ได้เลยพะยะค่ะ”

          “.......”

          ทันทีที่กล่าวจบก็บังเกิดเป็นเสียงเงียบกริบอันน่ากดดัน พระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้วาวโรจน์ อีกทั้งฉายชัดด้วยความโกรธ จึงไม่มีใครกล้าปริปากอันใด กระทั่งใต้เท้าซุนเองยังตัวสั่นงันงก แต่แล้วไม่นานกลับมีน้ำเสียงจากสวรรค์เปล่งออกมาคลี่คลาย

          “ขอถามใต้เท้าซุน พิณเจ็ดสายที่ท่านกล่าวใช่กู่ฉินรึไม่”

          “ใช่พะยะค่ะ พระชายาเจิน” ใต้เท้าซุนตอบทั้งๆที่ยังก้มหน้า

          เจินเริ่นผิงได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปกล่าวกับเจ้าชีวิต “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอลองปรับสายพิณชนิดนี้ได้รึเปล่าเพคะ”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองสตรีผู้นี้อย่างแปลกใจ จากนั้นออกคำสั่ง “นำพิณโบราณมาให้พระชายาเจิน”

          ครู่ใหญ่พิณไม้สีน้ำตาลแดงลวดลายเมฆาล่องลอยสีทองก็ถูกนำมา พระชายาเจินรับกู่ฉินมาก็ไม่รอช้า ลงมือปรับฉินฮุยหรือตำแหน่งบอกเสียงซึ่งเป็นลูกบิดทำจากทอง ห้อยด้วยพู่ยาวสีแดงทันที นางลองไล่ปลายนิ้วลงบนเส้นไหมทีละสาย ทำสลับไปมา จนครบเจ็ดสายก็เริ่มบรรเลงเพลง

          ท่วงทำนองที่ดังออกมาเป็นเสียงทุ้มต่ำ มิได้กังวานดั่งเครื่องดนตรีกู่เจิงอ้นเป็นที่นิยมในสมัยนี้ เพียงเค้าคลอกับเสียงธรรมชาติโดยรอบอย่างลงตัว ทางด้านบทเพลงเป็นจังหวะช้า จากเสียงต่ำผันแปรเป็นเสียงสูง แล้วจึงผ่อนลงต่ำอีกครั้ง ก่อนพลิ้วไหวสั่นคลอนจิตใจผู้คนให้สัมผัสถึงความสุขสงบ

          “เป็นหม่อมฉันทำเรื่องขายหน้าแล้ว” ครั้นถ่ายทอดบทเพลงสั้นๆจบ นางก็เอ่ยอย่างถ่อมตัว หากแต่คนอื่นกลับคล้ายพึ่งสะดุ้งตื่นจากห้วงฝัน

          “พระชายาเจินทรงปรีชาสามารถยิ่ง” ใต้เท้าซุนโพล่งอย่างดีใจ

          “ใต้เท้าซุนรีบนำไปให้คนของแคว้นหวู่เถิด” ซวนหยวนหมิงไท่ไล่คนไป จากนั้นจึงกล่าวชม “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีความสามารถอันน่าประทับใจเช่นนี้ด้วย”

          นับแต่โบราณกู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีชั้นสูงถูกจำกัดให้ใช้แค่ในพิธีกรรม ต่อมาจึงมีเพียงนักปราชญ์หรือชนชั้นสูงเท่านั้นที่ร่ำเรียน แต่ยากคนนักที่จะทำความเข้าใจถึงความลึกซึ้งของกู่ฉินได้

          “ชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันมิกล้ารับเพคะ”

          “ฝ่าบาทเพคะ พระชายาเจินไม่เพียงแต่บรรเลงกู่ฉินแล้ว ยังทรงเก่งทั้งหมาก อักษรและภาพวาดด้วยเพคะ”

          “เสียมารยาท อวี้ชิง!” ฉับพลันที่มีเสียงนางกำนัลแทรกขึ้นมา พระชายาเจินก็ขึ้นเสียงดุ ยังผลให้นางกำนัลคนดังกล่าวก็ต้องก้มหน้าอันซีดเผือดลง

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่มิได้มีโทสะใดๆจึงเอ่ย “พระราชทานกู่ฉินให้กับพระชายาเจินในอีกสิบวัน”

          “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” ได้ยินดังนั้นเจินเริ่นผิงก็รีบลุกขึ้นถวายคำนับอย่างซาบซึ้งใจ

          “หมดเรื่องแล้วพวกเจ้าก็ตามสบาย เรากับฮองเฮาขอตัวกลับตำหนักก่อน” กล่าวจบซวนหยวนหมิงไท่ก็ดึงแขนไป๋เซ่อซึ่งทำหน้าเหรอหรา มือน้อยยังมิทันยื่นส่งถึงจานขนมกุ้ยฮัวก็ถูกบังคับให้ยืนขึ้น

          “อะ อา” เมื่อพลาดจากชิ้นขนม ไป๋เซ่อได้แต่มองขนมตาละห้อย ตัวถูกลากไปพลางทำสีหน้าราวจะร่ำไห้

          “อ่อ” แต่แล้วชายหนุ่มกลับหยุดตัวกะทันหัน “ยังมีชาปี้เหลยชุน เพียงส่งไปที่ตำหนักเย่วหมิงกวงก็พอ” คล้ายพึ่งนึกออก เขากล่าวทิ้งท้ายพร้อมยิ้มบาง จากนั้นนำพาฮองเฮาตัวตะกละออกไปอย่างอารมณ์ดี มิได้ฟังเสียงไล่หลังของพระชายาหลี่

          “เดี๋ยวเพคะ ฝ่าบาทยังมิได้ทันชิมขนมฝีมือหม่อมฉันเลย”


 

********************************************************

 

          เวลาเคลื่อนคล้อยสู่ช่วงบ่าย หนึ่งนายหนึ่งบ่าวพึ่งพากันกลับถึงตำหนักก็พลันพบว่ามีแขกรออยู่ด้านในก่อนแล้ว ร่างระหงรอให้นางกำนัลตระเตรียมชาจนครบ ก็ออกคำสั่งให้ถอยร่นออกไปแล้วงับประตูห้องให้ปิดสนิท ก่อนจะปริปากสนทนาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

          “ว่ามา” กล่าวไปพลางพิงหลังกับเบาะนุ่ม

          “คนที่พระชายาต้องการ ข้าน้อยพามาด้วยแล้ว” ลู่เหวินในวันนี้หาได้ปิดบังใบหน้าหรือสวมชุดดำ กลับแต่งกายเสมือนคุณชายในตระกูลสูงศักดิ์ ทิ้งคราบจอมยุทธ์ไปโดยสิ้นเชิง พร้อมกันนี้ยังพาคนอีกผู้หนึ่งมาด้วย

          นางเลิกตากลมโตซึ่งมีแพขนตาหนาขึ้นมองเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้ากระจ่างตา สวมใส่ชุดขาวบริสุทธิ์ไร้ราคี “เป็นเขา?”

          “เขามิใช่นักพรตเต้าเหยียน หากแต่เป็นศิษย์โดยตรงของท่านนักพรต นักพรตอันหลง” ลู่เหวินกล่าว

          “อ่อ เช่นนั้นเจ้าปราบปีศาจงูได้?” คิ้วงามย่อย่นลงอย่างสงสัย

          “แม้ไม่อาจกำจัดอสรพิษเกร็ดอัคคีให้สิ้นซาก แต่ข้ายังพอจะควบคุมพวกมัน” นักพรตอันหลงเอ่ยอย่างมั่นใจ ให้ดวงตาอีกฝ่ายทอประกายลึกล้ำ ทำให้ท่าทีของนางกลับกลายเป็นกระตือรือร้น

          “ต้องทำอย่างไร”

          นักพรตหนุ่มล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นนำขวดสีใสขึ้นมา หากมองดูดีๆ จะเห็นตัวหนอนตัวสีน้ำเงินแปลกตาจากภายใน “นี่เรียกว่าหนอนทุกข์ระทม เป็นเพียงหนึ่งในสามตัวที่ข้าได้รับจากชนเผ่าหมอผี หากมันเล็ดลอดเข้าสู่ร่างกาย มันจะชอนไชกัดกินสมองแล้วควบคุมร่างของอีกฝ่ายไว้ แต่ทั้งนี้ใช่ได้กับพวกปีศาจอสรพิษเท่านั้น”

          “เรียนถามท่านนักพรต แล้วเราจะนำมันเข้าสู่ตัวปีศาจอสรพิษแล้วควบคุมพวกมันได้อย่างไร” นางเอ่ยถามสายตาจับจ้องหนอนทุกข์ระทมอย่างไม่วางตา

          “ก่อนอื่นพระชายาต้องกรีดเลือดปริมาณหนึ่งให้กับหนอนทุกข์ระทมเป็นเพลาติดต่อกันสามคืน เพื่อให้พวกมันจดจำผู้เป็นนาย ต่อจากนั้นหาทางหลอกล่อให้ปีศาจอสรพิษกินหญ้าสิ้นซากเสีย เท่านี้หนอนทุกข์ระทมก็จะตามหาร่างเหยื่อแล้วชอนไชเข้าสู่สมอง ซึ่งเมื่อถึงขั้นตอนนี้พระชายาสามารถใช้เสียงกระดิ่งพันลี้ควบคุมตัวพวกมันได้” นักพรตอันหลงอธิบาย

          “แต่หญ้าสิ้นซากกับกระดิ่งพันลี้ ข้าจะหาได้จากที่ไหน” แม้ฟังดูเป็นแผนที่เข้าท่า แต่ทว่าสิ่งของเหล่านี้นางกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน

          “พระชายามิต้องเป็นห่วง กระดิ่งพันลี้ข้ามีอยู่แล้ว หากแต่หญ้าสิ้นซากจำต้องให้เวลาข้าค้นหา”

          “เช่นนั้นท่านนักพรตจำต้องใช้เวลากี่วัน” ลู่เหวินแทรกถาม

          “เพียงสามวันพะยะค่ะ”

          “ดี ตกลงตามนี้ สามวันให้หลังข้าจะรอท่านที่นี่” นางลั่นวาจา รอยยิ้มงดงามประดับร่องรอยอำมหิตประการหนึ่ง

          อีกทางด้านหนึ่งวั่นอู่หงในคราบนักพรตอันหลงก็ก้มศีรษะคำนับ แลภายใต้ใบหน้าที่ไม่มีใครเห็นปรากฏยิ้มเหยียดกว้าง ดวงตาทอประกายสีโลหิต นางพร้อมแล้วที่จะดำเนินการแผนขั้นต่อไป

          ...โดยการทำลายสิ่งที่พวกมันรัก สิ่งที่พวกมันทะนุถนอม ให้พวกมันดิ้นพล่านอยู่ก็เหมือนตาย


 

********************************************************


         บทนี้อัพช้าก็จัดเนื้อหาไปยาวๆ เเต่ความเรื่อยเอื่อยระดับเเปด 5555+ บทหน้าน่าจะเข้มข้นได้สักที คิดว่าอัพอีกทีน่าจะไม่เสาร์ก็อาทิตย์หน้านะจ้ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 26.1 ไม่รู้ตัว 10/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 10-07-2016 22:02:44
บทที่ 26.1 ไม่รู้ตัว

 

          แสงแดดอ่อนๆสาดส่องทาบทับใบหน้าหลอเหลอ ซึ่งกำลังหยุดยืนขยี้ตา เงยหน้าขึ้นอ่านป้ายไม้เบื้องหน้าเป็นครั้งที่สาม ครั้นไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ได้แต่คำเดิม เขาก็ยกมือบีบนวดขมับ อีกมือหนึ่งเท้าสะเอว พร้อมทั้งส่งเสียงเรียก

          “เสี่ยวลู่ เป็นเพราะเราทำงานหนักมากไป จึงเลอะเลือนเห็นป้ายตำหนักหมิงเย่วกวงกลายเป็นชื่อขนมไปเองใช่รึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่ย้ำถามเพื่อความมั่นใจ หรือบางทีอาจต้องการหลีกเลี่ยงความจริงก็เป็นได้

          “เอ่อ คือว่า” เสี่ยวลู่เองมองไม่เห็นความแตกต่าง พลอยเหงื่อตกอึกอักไปเล็กน้อย ทว่าอย่างไรก็มิอาจหลอกลวงเบื้องสูง สุดท้ายต้องกลั้นใจกราบทูล “ฝ่าบาทเป็นป้ายตำหนักถั่วแดงจริงๆพะยะค่ะ”

          กระทั่งได้คำยืนยัน ซวนหยวนหมิงไท่ก็นิ่งไปพักใหญ่ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ เลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็น “ถือว่าเรามิเคยกล่าวถามล่ะกัน”

          สองเท้าก้าวมุ่งไปยังเรือนหลัก ก่อนจะพบร่างน้อยกำลังยกสองมืออังเตาไฟอุ่นอย่างสบายใจ ด้านข้างมีหรูอี้ นางกำนัลรับใช้คอยรินชาปี้เหลยชุน ซึ่งถูกส่งมาจากตำหนักหลันฮวาให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

          “ไป๋เซ่อ ช่วงนี้เจ้ายังงอนอะไรข้าอยู่หรือไม่” เขาเหยียดยิ้มหยั่งถามพลางนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามเจ้าตัว ให้ไป๋เซ่อถลึงตาลอบสบถในใจ

          เพ้ย ผ่านไปหนึ่งคืน เจ้าพึ่งจะรู้ตัวหรอกหรือ

          เขาใช้น้ำเสียงหยอกเย้ากล่าวถาม หากแต่ไป๋เซ่อกลับเบะปากเชิดหน้าใส่ เมื่อลองคาดเดาสาเหตุที่อีกฝ่ายขุ่นเคืองก็เห็นจะมีแต่เรื่องนี้ “หรือจะเป็นเรื่องที่ข้าพระราชทานกู่ฉินให้กลับพระชายาเจิน”

          ถ้อยคำพึ่งหลุดออกไปคนก็เบือนหน้าหนี ซวนหยวนหมิงไท่ได้ข้อสรุปในใจ ...เป็นเรื่องนี้เองสินะ “ที่ข้าทำเช่นนั้นมิได้สิเน่หาในตัวนาง เพียงต้องการให้พวกนางมิมีเวลามายุ่งกับข้าเท่านั้นเอง”

          “เฮอะ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ทีกับชายาของเจ้าเดี๋ยวก็ประทานบัวหิมะบ้างล่ะ เดี๋ยวก็กู่ฉินบ้างล่ะ ส่วนข้า...” ไป๋เซ่อย่อมเชื่อมั่นในสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าว แต่ยังคงแค่นเสียงเบะปากอย่างสะเทือนใจ “ทำไมมีแต่ขนมพื้นๆเท่านั้นเล่า” ลำเอียงกันเห็นๆ

          “หือ” ซวนหยวนหมิงไท่ตะลึกวูบ ไม่คิดว่าด้วยเหตุผลนี้จะทำให้ป้ายตำหนักหมิงเย่วกวง ซึ่งมีความหมายอย่างจันทร์กระจ่าง ต้องกระเด็นหลุดไปแทนที่ด้วยขนมถั่วแดงของโปรดเจ้าตัว ทำเอาเขาหัวร่อมิได้ จะร่ำไห้ก็ร้องมิออก มีฮองเฮาราชวงศ์ซวนหยวนคนใดพำนักในตำหนักถั่วแดงบ้าง เห็นทีบันทึกประวัติฮ่องเต้อย่างเขาออกจะมีสีสันเกินไปหน่อยแล้ว

          “โอ๋ๆ เอาอย่างนี้เจ้าอยากได้อะไร ข้าจะพระราชทานให้”

          “จริงหรือ” ได้ยินเช่นนี้ไป๋เซ่อก็ตาโต รอจนชายหนุ่มพยักหน้า จึงพูดออกมายาวเหยียดเป็นหางว่าว “ข้าอยากกินลูกท้อ องุ่นแดง เซาปิ่ง ขนมจ้าง ปลาแดงนึ่ง อ้ะ ยังมีข้าวต้มเม็ดบัว...”

          สุดท้ายก็ยังเป็นของกินพื้นๆอยู่ดี ริมฝีปากของซวนหยวนหมิงไท่กระตุกเล็กน้อย มองไม่ออกว่าของพวกนี้ต่างจากขนมถั่วแดงอย่างไร “แล้วป้ายตำหนักหมิงเย่วกวง?” เขาเกริ่นถาม

          “อ่อ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าให้ขันทีน้อยในตำหนักนำออกไปให้เสิ่นอันหวางประมูลขายแล้ว ได้เงินมาไม่น้อย” ไป๋เซ่อยิ้มแฉ่ง แต่กลับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่อ้าปากค้างราวกับถูกสายฟ้าฟาดกระหน่ำ

          “ดะ ดี เจ้าหัวการค้ายิ่ง” เขากัดฟันฝืนกล่าวชม แต่กลับกลายเป็นการส่งเสริมให้ไป๋เซ่อพล่ามต่อโดยไม่รู้สึกตัว

          “เฮอะ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว อีกอย่างข้าว่าตำหนักถั่วแดงชื่อไพเราะกว่าตำหนักจันทร์กระจ่างอะไรนั่นอีก เจ้าเองมิเปลี่ยนชื่อตำหนักเฉียนชิงเป็นตำหนัก...เอ อะไรดีหนอ”

          ระหว่างฮองเฮานึกคิด กายของเจ้าชีวิตก็เริ่มโงนเงนไปเช่นกัน เสี่ยวลู่พลันเข้าใจจิตใจบอบช้ำของผู้เป็นนาย เมื่อได้ทีก็ก้มลงกระซิบถาม “ฝ่าบาทจะทรงเรียกหมอหลวงไหมพะยะค่ะ”

          “......” เขายกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่ายังไหว ภาวนาในใจมิให้เจ้างูน้อยคิดออก แลยังโชคดีสวรรค์เข้าข้างให้ขันทีประจำตำหนักก้าวเข้ามาขันจังหวะ เพื่อกราบทูล

          “พระชายาหลี่ มาขอเข้าเฝ้าฮองเฮาอยู่ด้านนอกแล้วพะยะค่ะ”

          “หือ นางมาทำไม” ไป๋เซ่อเลิกคิ้วสงสัย “เชิญนางเข้ามา”

          ทางเดินด้านนอกปรากฏสตรีสาวร่างบอบบาง ดวงหน้าหวานเข้ากับอาภรณ์สีชมพูเยื้องย่างมาพร้อมกับนางกำนัลอีกสองนาง หนึ่งในนั้นคล้องแขนด้วยกล่องใส่อาหารกลมๆใบหนึ่ง พวกนางตามขันทีประจำตำหนักเข้ามา กระนั้นเมื่อใกล้ถึงเรือนหลักก็แว่วเสียงพระชายาหลี่ถามเพื่อให้มั่นใจ

          “นี่เป็นตำหนักหมิงเย่วกวงของฮองเฮาจริงๆหรือ” สีหน้านางดูงุนงงไม่ต่างกับผู้อื่นยามได้อ่านป้ายชื่อตำหนักถั่วแดง แลมาตรว่าขันทีคนดังกล่าวยังมิทันได้ตอบ สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นเงาร่างสูงส่งรางๆ ฉับพลันใบหน้าจึงเผยยิ้มหวาน เร่งฝีเท้าเข้าไปย่อตัวคำนับอย่างชดช้อย “ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮาเพค่ะ”

          “พระชายาหลี่ลำบากมาถึงที่นี่ มีธุระอะไรกับฮองเฮาหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบางถาม

          “หม่อมฉันมิได้ลำบากอะไรเพค่ะ เมื่อวานเห็นฮองเฮาทรงบ่นต้องการคนสนทนาด้วย หม่อมฉันเองก็ว่างอยู่จึงนำขนมอี๋ทำเองมาแบ่งปัน ไม่คิดว่าฝ่าบาทประทับอยู่ที่นี่ด้วย” นางพูดไม่หยุดปาก มือก็เร่งเร้าให้นางกำนัลเปิดฝากล่องบรรจุขนมอี๋อุ่นร้อน ส่งให้นางกำนัลของฮองเฮาไป

          แน่นอนว่าขนมพวกนี้ล้วนทำมาเพื่อฝ่าบาท ส่วนของนายบำเรอผู้นี้ถือว่ามีลาภปาก และด้วยแผนการที่นางดีดลูกคิดรางแก้วมาเป็นอย่างดี เพียงเอาใจฮองเฮาบุรุษผู้นี้สักหน่อย ภาพลักษณ์สตรีผู้อ่อนโยนมีน้ำใจย่อมต้องประทับติดตรึงพระทัยองค์ฮ่องเต้ไม่มากก็น้อย

          “หม่อมฉันเคี่ยวไฟอยู่หลายชั่วยาม รับรองกลมกล่อมแน่เพค่ะ” พระชายาหลี่รับขนมอีกถ้วยจากนางกำนัล ใช้ช้อนเล็กคนขนมหวานรอบหนึ่งก็ตักยกขึ้นมา จรดริมฝีปากเป่าลมไล่ความร้อนแล้วส่งให้ชายหนุ่ม ดวงตาทอประกายความคาดหวัง “นี่ เพค่ะ”

          ท่าทีออดอ้อนจะป้อนให้เช่นนี้ ทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ผงะเอนหลังนิ่งอึ้งไป แลในชั่วต้องขณะบรรยากาศรอบกายแปรเปลี่ยนเป็นน่าอึดอัด พลันปรากฏใบหน้าเย้ายวนแทรกเข้าไปงับช้อนกลืนก้อนขนมกลมๆสีชมพูในคำเดียว

          ฉับพลันนั้นพระชายาหลี่เกือบจะเปล่งเสียงกรีดร้อง ดวงตาถลนออกจากเบ้า จะ เจ้ามันนายบำเรออสรพิษ ถึงกับกล้าทำลายเรื่องดีงามของผู้อื่น ทว่านางยังมิทันได้ระบายความคับคั่งจนหมด ก็แทบจะกระอักเลือดตามออกมา เมื่อได้รับฟังคำวิจารณ์ไม่ไว้หน้า

          “เค็มเกินไป ก้อนแป้งไม่เหนียวหนุบหนับ บางก้อนก็แข็ง บางก้อนก็ไม่สุก ฝีมือเท่านี้เกรงว่าท้องข้าจะรับไม่ไหว เจ้าไปทำมาใหม่เถิด” ไป๋เซ่อพูดจบก็พ่นลมออกจมูก เอนหลังลูบท้องไม่สนใจสตรีที่ยืนตัวสั่น

          ชมดูร่างน้อยที่รับมิไหว แลหันไปมองถ้วยว่างเปล่าราวกับชามใบใหม่ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ต้องขบขำในใจ หัวไหล่สั่นสะเทือนไปมา กระทั่งนางกำนัลกับขันทีในห้องยังต้องเม้มปาก สะกดกลั้นเสียงหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย 

          “อืม นี่ก็สายมาแล้ว เห็นทีเรารีบต้องไปสะสางกองฎีกา พวกเจ้าก็คุยตามสบายเถิด” ถือโอกาสถอยตอนพระชายาหลี่ยังมิทันคืนสติ ก้มลงหอมแก้มนุ่มหยอกเย้างูน้อยเสียทีหนึ่ง ก่อนจะรีบเอี้ยวตัวหนีสองมือไล่ทุบตีของเจ้าตัว ส่งเสียงหัวเราะฮาฮาจากไป

          กระทั่งขบวนเสร็จติดตามออกมาถึงหน้าตำหนัก ซวนหยวนหมิงไท่พลันหยุดฝีเท้าหันไปมองป้ายตำหนักถั่วแดงอีกครั้ง “เราควรทำอย่างไรกับเจ้าป้ายนี้ดี” กล่าวถามความเห็น ทว่าเสี่ยวลู่กลับรีบกระแทกศอกไปยังหัวหน้าองครักษ์จิ้งแทน

          “อ่ะ เออ กระหม่อมเห็นควรว่า...เอ่อ” ร่างในชุดเกราะถูกทุบคราหนึ่งก็ขมวดคิ้ว เรื่องรักๆใคร่ๆ เช่นนี้เขาจะไปรู้ได้อย่างไร “ฝ่าบาท ลองพระราชทานขนมปุยหิมะดูไหมพะย่ะค่ะ เผื่อฮองเฮาทรงนึกเปลี่ยนพระทัย”

          “......” ช่างเป็นคำแนะนำที่ทำให้สีหน้าเขายับยู่ลง คล้ายต้องยอมรับชะตากรรมนี้เท่านั้น จะอย่างไรก็ต้องขนมสินะ ซวนหยวนหมิงไท่คิด ก่อนออกคำสั่ง “เสี่ยวลู่ สั่งคนจัดส่งขนมไหว้พระจันทร์ไปที”


 

******************************************************

 

          นับแต่ตนขึ้นเป็นฮองเฮา เขาก็ทำตัวลอยชายมาตลอด เรื่องของฝ่ายในไม่ว่าจะน้อยใหญ่ อย่างกำหนดรายจ่ายให้กับพระชายา กองปักเย็บ หรือกองต่างๆในฝ่ายใน ล้วนมีหรูอี้จัดการ ส่วนเขา? มีหน้าที่ประทับตราตั้งหงส์ฟ้าลงบนพระราชเสาวนีย์เท่านี้ก็เป็นอันจบปิ้ง

          มากล่าวถึงพระชายาหลี่ หลังจากเยี่ยมเยือนตำหนักถั่วแดงเมื่อหลายวันก่อน นางก็มิได้เหยียบย่างมาอีก เพียงให้นางกำนัลตำหนักจวี๋ฮวานำส่งขนม พร้อมรับคำวิจารณ์กลับไป แลเมื่อได้ฟังจากปากถิงถิง ผู้ชื่นชอบตรวจตราวังหลวง กุมความลับผู้คนในวังไม่น้อย กลับสืบเสาะพบว่านางกำลังหมกตัวเค้นสมองคิดค้นสูตรขนมใหม่

          ด้วยนิสัยเอาชนะเช่นนี้ ออกจะรับมือได้ไม่ยากนัก ขอเพียงเขาบ่นพอหอมปากหอมคอ เช้าวันต่อมาก็ได้ลิ้มรสขนมชนิดใหม่ ส่วนนางลืมเลือนเจ้าลูกเต่าไป ผิดกับพระชายาเจินที่นิสัยเรียบง่าย ชอบเก็บตัวเงียบมิค่อยพบปะผู้คน ให้ผู้คนยากเดาใจทำอะไรไม่ถูก

          คล้ายมีอะไรดลใจ เมื่อนึกถึงนาง ท่วงทำนองลึกซึ้งทุ่มต่ำของกู่ฉินพลันแว่วลอยเข้าสู่โสตประสาตอันว่องไวกว่าผู้อื่นพอดิบพอดี ราวกับมีก้อนหินถ่วงในใจ ยิ่งช่วงนี้นางออกจะบรรเลงถี่กว่าปกติ เสมือนต้องการดึงดูดใครบางคนให้เข้าไปหา และคนผู้นั้นย่อมเป็น...

          “ข้าจะออกไปข้างนอก” ไป๋เซ่อตบฉาดลงบนโต๊ะ ทำเอาลูกเกาลัดในจานกระเด็นกระจัดกระจาย

          “จะเสด็จไปไหนหรือเพค่ะ?” หรูอี้กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนบัญชีรายรับรายจ่ายอีกทางด้านหนึ่งต้องเงยหน้าขึ้นถาม มือละจากพู่กัน

          “ไปจับตาดูหญิงชั่วชายชู้”

          “หา” หรูอี้อุทานงงงัน ก่อนจะเห็นฮองเฮากระทืบเท้าออกจากเรือนหลักไป ในใจลอบคิด ...ให้ตายเถอะผู้เป็นนายว่างจนฟุ้งซ่านอีกแล้ว

          ไป๋เซ่อไล่ตามเสียงไพเราะไปยังอุทยานหลวง มาตรว่ายังไม่พบคน แต่เสียงกลับเงียบลงไปกลางคันซะก่อน เขารีบจ้ำอ้าวต่อจนแม้แต่หรูอี้ก็ยังไล่ตามไม่ทัน

          “โอ้ย”

          เสียงร้องดังขึ้น ดูเหมือนเขาจะรีบร้อนจนชนเข้ากับนางกำนัลผู้หนึ่ง ในมือนางถือไว้ด้วยกล่องใส่อาหาร แต่ท่าทางกลับร้อนรนผิดปกติ กระนั้นไป๋เซ่อมิได้ใส่ใจ ยิ่งไม่รอฟังนางกล่าวขอโทษ เดินผ่านเลยไปพลางปราดสายตาหาคนไปทั่ว กระทั่งพบร่างสูงในชุดมังกรยืนหันหลังในศาลาริมสระบัว เบื้องหลังเป็นชายาเจินในชุดสีงาช้าง แก้วขาวระเรื่อเลือดฝาด สายตาเปี่ยมเสน่ห์ช้อนมองชายหนุ่มอย่างหวานซึ้งเอียงอาย

          เพ้ย...มันน่าจับตอนนัก ฟ่อ ฟ่อๆ

          สบถด่าตามประสางู ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับหันขวับสบตา ราวสัมผัสได้ถึงรังสีมาดร้าย ก่อนจะเรียกเขาด้วยสีหน้าระรื่น ผิดกับพระชายาเจินที่สะดุ้งตัวตกใจ กระนั้นพริบตาเดียว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนกลับมาสงบราบเรียบดังเดิม

          “ถวายบังคมเซียวฮองเฮาเพค่ะ”

          ไป๋เซ่อพยักหน้าเล็กน้อยอย่างรำคาญใจ ธรรมเนียมพวกนี้เขารับฟังมาจนเอียนแล้ว จะมีสักคนกันเชียวที่ปฏิบัติกับเขาอย่างคนทั่วไป ว่าแล้วจึงกล่าว “ได้ยินเสียงกู่ฉินน้องสาวเข้า ข้าไม่อยากพลาดฟังจึงรีบมา มิคิดว่าพวกเจ้าจะสนทนากันอยู่”

          ฟังวาจาประโยคนี้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ยิ้มประหลาดใจ กล่าวเย้าผ่านทางสายตา “อย่างเจ้าเคยสนใจฟังดนตรีกับเค้า? เกรงจะหึงหวงข้าเสียมากกว่า ฮึ ฮึ”

          “หึงบ้านเจ้าสิ แฮ่” ไป๋เซ่อโต้กลับพร้อมแยกเขี้ยวใส่ สาบานไว้ในใจว่าคืนนี้ต้องเตะโด่งคนเจ้าชู้ไปนอนบนพื้นให้ได้

          เจินเริ่นผิงสังเกตเห็นทั้งสองคล้ายลืมเลือนตัวตนนางไป เสี้ยวหนึ่งในใจไม่ยินดี นางเอ่ยขัด “เมื่อสักครู่ฝ่าบาทผ่านทางมา บังเอิญเห็นหม่อมฉันบรรเลงกู่ฉินอยู่ จึงได้หยุดสนทนากันสักครู่เพค่ะ”

          “อย่างนั้นหรือ?” ไป๋เซ่อเลิกคิ้วถาม เจตนาของนางมีเพียงเท่านี้แน่หรือ “ช่วงนี้เจ้ามาเล่นกู่ฉินที่นี่บ่อยๆสินะ”

          “เพค่ะ กู่ฉินตัวนี้ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาพระราชทานให้ ทั้งยังเป็นของใหม่ที่จัดทำขึ้นมา หม่อมฉันจึงอดใจหยิบมาฝึกฝีมืออยู่บ่อยๆมิได้” นางยิ้มแย้ม ก่อนจะสะดุดตาบนตัวอีกฝ่าย “อ้ะ ขอประทานอภัยเพค่ะ”

          จู่ๆ นางก็เปลี่ยนท่าที ย่างฝีเท้าก้าวเข้ามาจัดแจงอาภรณ์สีเขียวอ่อนของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆของสมุนไพรโชยออกมาจากตัวนาง ให้เขาวิงเวียนอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ทิ้งไว้นานจมูกก็ชาชิน

          “ดูว่าฮองเฮาทรงรีบร้อนมากไป ฉลองพระองค์จึงไม่เข้าที่”

          ท่าทีเอาใจใส่รวมไปถึงน้ำเสียงเป็นมิตรเช่นนี้ ทำเอาเหล่าขันทีนางกำนัลซึ่งประจำอยู่รอบนอกศาลาต่างประทับใจไปกับพระจริยาวัตร อันแตกต่างกับพวกสนมที่มักแย่งชิงความโปรดปรานในอดีต

          “ฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่เซียวรอเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรแล้วพะย่ะค่ะ” ในที่สุดเสี่ยวลู่ก็หาโอกาสแทรกกล่าวทูล เจ้าชีวิตรับฟังแล้วก็พยักหน้า แล้วหันไปบอกกับเซียวฮองเฮา

          “ไป๋เซ่อ เจ้ากลับไปรอข้าที่ตำหนัก ข้าคุยธุระกับเซียวถิงฟงสักประเดี๋ยวจะรีบไปหา”

          “เฮอะ ใครบอกจะรอเจ้ากัน อ้ะ...”  ไป๋เซ่อแค่นเสียงขึ้นจมูก ทว่าไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งโหยง สองมือกุมก้นซึ่งโดนบีบไปหมาดๆ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวได้แต่จ้องเขม็งไล่หลังชายหนุ่ม ใบหน้าแดงก่ำ ได้แต่สบถลอดไรฟัน

          ...ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคนหน้าไม่อาย คืนนี้ได้เห็นดีเเน่

          “หม่อมฉันเองก็ออกมานานแล้ว คงต้องขอตัวกลับเสียที”

          พระชายาเจินกล่าวจบก็ย่อตัวคำนับเสร็จสรรพ มือเรียวส่งให้นางกำนัลผู้หนึ่งประคองตัวไป อีกผู้หนึ่งถือกู่ฉินพระราชทานติดตามนางกลับตำหนัก มิให้โอกาสเขารั้งตัวหรือเอ่ยอนุญาตแม้ชั่วครู่ชั่วยาม

          เพ้ย คนในวังหลวงมิใช่เคร่งครัดกฎระเบียบกันนักหรือ ไฉนนางสะบัดก้นจากไปเช่นนี้ มารดามันเถอะ หลอกลวงผู้คนชัดๆ

          ท้ายที่สุดการจับตาดูหญิงชั่วชายชู้(?)ก็จบลงอย่างเงียบๆ มาตรว่าเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่เขากลับสังหรณ์ใจ... ไม่แน่ว่าชายาเจินหรือเจินเริ่นผิงผู้นี้ อาจเป็นสตรีหนึ่งในม้วนบันทึกเนื้อคู่ก็เป็นได้ เมื่อสรุปได้เช่นนั้นจึงได้แต่ตัดสินใจถอยไปตั้งหลักยังตำหนักตนเอง


 

******************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 26.2 ไม่รู้ตัว 10/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 10-07-2016 22:04:09
บทที่ 26.2 ไม่รู้ตัว

 

          ในโถงนั่งเล่นอันหรูหรา อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ประทับตำหนักพระแม่แผ่นดิน นางกำนัลผู้หนึ่งกำลังง่วนจัดแจงวางจานขนมบนโต๊ะอย่างรีบร้อน โดยมิทันสังเกตถึงฝีเท้าสองคู่ที่กำลังก้าวเข้ามาด้านใน

          “ชิวเยี่ยน!”

          ฉับพลันน้ำเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นมา ส่งผลให้นางกำนัลน้อยสะดุ้งตกใจ “เซียวฮองเฮา พี่หรูอี้ ไยกลับมามิให้สุ้มให้เสียง” ใบหน้าของชิวเยี่ยนเผือดสี มิคาดคิดว่าเจ้าของตำหนักจะมายืนอยู่ทางด้านหลังของนางแล้ว

          ฟังน้ำเสียงสั่นน้อย ไป๋เซ่อก็รู้ว่ากลั่นแกล้งคนได้สำเร็จ จึงส่งเสียงหัวเราะ “ฮา ดูหน้าเจ้าสิ ราวกับพบเห็นภูตผีก็มิปาน”

          “เซียวฮองเฮา ดูท่านทำเอานางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว” หรูอี้กล่าวตำหนิแต่มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นของว่างทางด้านหลัง นางถาม “พระชายาหลี่ส่งขนมมาให้อีกแล้วหรือ”

          “......” ชิวเยี่ยนมิได้ตอบเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อย ส่งผลให้ร่างเย้ายวนตาลุกวาว ต้องรีบเบียดนางเข้าไปหาแป้งกรอบโรยงาน่ากิน

          “แล้วเหลียนฮัวเล่า นางมิอยู่รอคำวิจารณ์หรือ” หรูอี้มองหานางกำนัลของจากตำหนักของพระชายาหลี่

          “นาง...นางบอกว่ามีธุระเร่งด่วน มิอาจอยู่รอเซียวฮองเฮากลับมาจึงจากไปแล้ว”

          หือ คิ้วพลันขมวดเข้าหา แม้รู้สึกผิดแปลกไปบ้าง แต่นางยังคงบอกชิวเยี่ยน “ถ้าเช่นนั้นรออีกสักครู่เจ้าค่อยนำความเซียวฮองเฮาไปที่ตำหนักจวี๋ฮวาล่ะกัน...ว้าย” หรูอี้สั่งเสร็จก็เบือนหน้าไปหาอีกคน แต่แล้วก็ต้องลั่นเสียงตกใจ เมื่อขนมแป้งกรอบในจานได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น “เคี้ยวด้วยสิเพคะ อย่ากลืนอย่างเดียวประเดี๋ยวจะติดคอเอา”

          นางบ่นเขาราวกับมารดา สองมือยังอุตส่าห์รินชาอุ่นร้อนให้อย่างเร็วรี่ เขารับมาก็ดื่มรวดเดียวหมด “อ่า ขนมครั้งนี้ใช้ได้ทีเดียว ทั้งมีรสสมุนไพร ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ยังคงต้องปรับปรุงเรื่องของขนาด เพียงคำสองคำก็หมดแล้ว ช่างตระหนืดจริงๆ”

          คำกล่าวนี้ทำเอาหรูอี้หลุดขำ ครั้นกินเสร็จหนังตาบางก็เริ่มปรือ จู่ๆก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมากะทันหัน ไป๋เซ่อจึงย้ายตัวเองไปยังเตียงนอนนุ่มสบาย คิดว่าได้หลับสักงีบคงจะกระปรี้ประเปร่าไม่น้อย กระทั่งหรูอี้เหน็บผ้าห่มให้ ปิดประตูมิให้ใครรบกวน เขาจึงค่อยเข้าสู่ความฝัน

          ในห้องอันเงียบสงบหลงเหลือเพียงลมหายใจเข้าออกราบเรียบ ด้วยร่างกายคลายความระมัดระวัง อีกทั้งวางใจเช่นนี้ ยังผลให้ร่างเล็กมิได้รับรู้ถึงบางสิ่ง ซึ่งกำลังคืบคลานออกมาจากปกเสื้อสีเขียวของตน

          หนอนสีน้ำเงินแปลกตาดูน่ากลัว ไต่ไปยังลำคอ แลใบหน้าที่หลับตาพริ้ม และเพราะตัวมีมันขนาดเล็กประดุจไร้น้ำหนัก ทำให้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าของร่างก็มิอาจรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้ง่ายๆ มันตามกลิ่นหญ้าซากศพเข้าไปยังริมหูอันเป็นทางเข้ามืดมิดใกล้กับเนื้อสมองมากที่สุด

          พริบตาที่ร่างของมันหายไป สักพักหนึ่งร่างของไป๋เซ่อก็กระตุกโดยแรง ร่างแข็งทื่อ กล้ามเนื้อเกร็งแน่นจนเม็ดเหงื่อไหลซึมไปทั่วกาย คิ้วย่อย่นลง สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน เป็นเช่นนี้อยู่พักใหญ่กอ่นจะแน่นิ่งไปราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน

          กว่าดวงตาสีฟ้าอมเขียวจะตื่นขึ้นมาครั้ง ก็พลันเห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลาแฝงแววเคร่งเครียดกำลังอ่านฎีกาฉบับหนึ่ง ไม่รู้ชายหนุ่มกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมยังเสียสละต้นขาข้างหนึ่งให้ตนหนุนนอนอีกต่างหาก

          “ตื่นแล้ว?” สังเกตเห็นร่างเล็กกะพริบ ซวนหยวนหมิงไท่จึงยิ้มกว้าง วางฎีกาในมือลงแล้วเอื้อมมือมาลูบศีรษะน้อย “นี่เป็นเวลาเย็นแล้ว จะกินข้าวเลยรึไม่”       

          ไป๋เซ่อฟังแล้วก็ลูบท้องตัวเอง น่าแปลกที่ไม่รู้สึกหิวสักนิด อีกทั้งเมื่อลุกขึ้นนั่งกลับไม่รู้สึกสดชื่นเอาเสียเลย ทั้งๆที่พึ่งหลับไปเมื่อสักครู่แท้ๆ

          “เป็นไรไป อยากนอนอีกหรือ ถ้าอย่างไรหาอะไรรองท้องเสียก่อน ค่อยกลับมานอนพักเถอะ” ซวนหยวนหมิงไท่แนะนำ จากนั้นจูงมือร่างเล็กไปนั่งที่โต๊ะอาหาร

          อาหารเย็นวันนี้ละลานตา แต่ไม่เพิ่มความอยากให้เขาแม้แต่น้อย ไป๋เซ่อกินคำสองคำก็วางตะเกียบ ผิดไปจากปกติซึ่งกินเกลี้ยงไม่เหลือหลอ ยังผลให้สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ฉายแปลกใจ ซ้ำระคนเป็นห่วง ตนจึงอธิบายไปว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้กินขนมจนอิ่มท้อง เท่านี้ชายหนุ่มก็มิได้ติดใจ เพียงเอ่ยปากสั่งให้คนทำมื้อดึกเตรียมไว้แทน 

          จบเรื่องกินครานี้เขาโหยหาเตียงยิ่งกว่าเก่า ดังนั้นเมื่อได้ล้มตัวนอนอีกครั้ง ก็แทบจะคล้อยหลับทันทีที่ศีรษะถึงหมอน ทิ้งให้ร่างสูงต้องส่ายหน้ายิ้มๆอย่างอ่อนอกอ่อนใจ


 

******************************************************

 

          ยามดึกสงัด โคมไฟทั่ววังหลวงล้วนดับลงเกินกว่าครึ่ง ลมหนาวเย็นเยียบหนักข้อขึ้นกว่าเก่า ทหารประจำเมืองหลวงผลัดเปลี่ยนเวรยามเป็นคันรบที่สอง กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงที่แว่วมาตามสายลม

          เป็นเสียงกระดิ่งกังวานดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เสมือนต้องการปลุกให้ใครคนหนึ่งตื่นขึ้นมา แลท่ามกลางความมืดมิดไร้ซึ่งแสงเทียนให้ความสว่าง ในที่สุดดวงตาคู่หนึ่งก็เบิกโพลงขึ้นแล้ว

          บัดนี้ดวงตาเรียวงามกลับมิได้เป็นสีฟ้าอมเขียว แต่เป็นสีดำทื่อไร้ประกายและจุดรวมแสง สองขายาวเพรียวเหาะเหินผ่านร่างสูงส่งไป กระทั่งปลายเท้าก็หาได้สัมผัสถึงเตียง จากนั้นทะยานร่างออกไปด้านนอกดุจดั่งหมอกควันที่มิอาจจับต้อง

          แหวกผ่านสายลมไปจนถึงตำหนักแห่งหนึ่งซึ่งปลูกต้นเฟิงล้อมรอบ ที่นั่นมีบุรุษในชุดสีดำรออยู่แล้ว สีหน้าของเขาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะหันไปเปิดประตูห้องเรือนซึ่งงับปิดสนิท

          “คุณหนู เขามาแล้ว” ลู่เหวินเอ่ยเสียงราบเรียบ แลไม่นานสตรีทางด้านในก็ส่งเสียง

          “ดีให้เขาเข้ามา”

          สิ้นเสียงหวานราวสายน้ำ มิรอให้ลู่เหวินเข้ามา ฝีเท้าก็นำพาตนเองเข้าไปใกล้สตรีผู้นี้  ทันทีที่เข้าใกล้แสงเทียน ดวงหน้าสวยสง่า ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ราวลูกกวางน้อยก็ปรากฏสู่แววตาเลื่อนลอย

          “นับแต่ข้าเจินเริ่นผิงเกิดมา มิเคยได้เห็นเรื่องราแปลกประหลาดเช่นนี้” พระชายาเจินลุกขึ้นพลางก้าวเข้าไปมองร่างเย้ายวนในอาภรณ์สีขาว สังเกตใบหน้าเย้ายวน งดงามยากหาใครเทียบเทียม ยังมีกลิ่นกายอบอุ่นของเจ้าชีวิตที่ยังคงติดตรึงผิวกาย ชวนให้ผู้คนเกิดริษยา

          เพี้ยะ

          ฝ่ามือหนึ่งกระทบเข้าบนดวงหน้าเย้ายวน ด้วยแรงเหวี่ยงทำให้ไป๋เซ่อเบี่ยงหน้าไปทางด้านข้าง แต่กระนั้นก็หามีเสียงใดเล็ดลอดจากริมฝีปาก มีเพียงรอยแดงเห่อขึ้นบนแก้มนวล

          “คุณหนู โปรดระงับโทสะ หากเขามีรอยแผล ฝ่าบาทต้องเกิดข้อสงสัยแน่” ลู่เหวินเอ่ยปราม

          “ข้ารู้ ข้าแค่ต้องการทดสอบ” นางตอบทว่าสายตายังคงจ้องเขม็งไม่ละไปจากเซียวไป๋ ชายบำเรอผู้นี้ช่างน่าชัง มิเพียงแต่แย่งที่ของนาง กลับแย่งเอาความรักจากชายที่นางหลงรักไปอีกด้วย นางสั่งน้ำเสียงเย็นชา “คุกเข่า!”

          ทันใดนั้นคนที่ยืนอย่างไร้จิตวิญญาณก็ชะงักไปเล็กน้อย ทั้งมีท่าทีขัดๆ คล้ายลังเลจะทำตาม ทำให้เจินเริ่มผิงต้องตวาดย้ำ หากแต่ก็ไม่ประสบผลแต่อย่างใด เพราะร่างตรงหน้ายังคงไม่ฟังคำสั่ง “ไยจึงเป็นเช่นนี้”

          “พระชายาเจิน อย่าพึ่งใจร้อนไป นี่เป็นเพราะจิตใต้สำนึกเขายังต่อต้าน” ต่อเมื่อน้ำเสียงของบุคคลที่สี่ดังขึ้น ร่างๆหนึ่งก็เผยตัวออกมาจากเงามืดมิด ดวงตาสีน้ำตาลแดงบางครั้งดูเหมือนโลหิต “เผาหญ้าสิ้นซากเสีย ทีนี้หนอนทุกข์ระทมจะกัดกินสมองเขา รอจนเขาทนมิไหวจึงสั่นกระดิ่งพันลี้ เท่านี้เขาก็จะศิโรราบต่อพระชายาแล้ว”

          นักพรตอันหลงกล่าวจบ สีหน้าของพระชายาเจินก็ฉายแววอำมหิต นางปราดสายตาไปยังลู่เหวิน เพียงไม่นานเขาก็จัดแจงนำกระถางกำยานทองเหลืองสลักลวดลายหงส์ จากนั้นจึงเผาหญ้าสิ้นซากที่ได้จากท่านนักพรตมา

          กลิ่นหอมอ่อนๆค่อยๆคละคลุ้งในบรรยากาศ คนทั้งสามกลับมิได้รู้สึกผิดแผกอันใด ยกเว้นเพียงเซียวไป๋ที่เริ่มมีสีหน้าขาวซีด เหงื่อกาฬไหลกลิ้งแนบแก้ม มือเรียวข้างกายกำชับแน่นขึ้น

          “อึก...”

          ใช้เวลาประมาณเกือบหนึ่งเค่อ พลันมีเสียงเล็ดลอดจากไรฟัน ดูท่าทางแล้วเจ้าตัวอดกลั้นไว้ได้ดียิ่ง นางจึงสั่งให้ลู่เหวินเพิ่มจำนวนหญ้าสิ้นซาก เพียงไม่นานไป๋เซ่อก็เริ่มกุมศีรษะ บางสิ่งที่ชอนไชภายในทำให้เขาเจ็บปวดแทบคลั่ง

          “อา...อา” ท้ายที่สุดเสียงร้องเจ็บปวดก็ดังออกมา ต้องคู้กายกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างทุรนทุราย

          เจินเริ่นผิงมองดูคนเจ็บปวดราวกับจะตายผู้นี้ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ไร้ซึ่งความเมตตาอันใด อีกทั้งไม่มีท่าทีจะสั่นกระดิ่งพันลี้ในมือ รอจนร่างดังกล่าวไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนไหว จวนเจียนจะหมดสติไปนางจึงยุติการทรมาน

          ทันทีที่มีเสียงติงติงดังขึ้น ร่างสีขาวก็นอนแน่นิ่งบนพื้นอย่างหมดสภาพ กระนั้นดวงตาสีดำยังคงเลื่อนลอยไม่ปิดลง พระชายาเจินจึงก้าวเข้าไปใช้ฝ่าเท้าเขี่ยร่างฮองเฮาบุรุษโดยแรง ถึงตอนนี้มิต้องสั่งคุกเข่า อีกฝ่ายก็ต้องสยบใต้ฝ่าเท้านางแล้ว

          “ท่านนักพรตอันหลง หากข้าใช้หญ้าสิ้นซากไปเรื่อยๆ ปีศาจงูผู้นี้จะเป็นอย่างไรบ้าง” นางยกยิ้มแฝงด้วยความอำมหิตประการหนึ่งก่อนถาม

          “หากใช้ถี่เกินไป สมองของปีศาจอสรพิษย่อมถูกกลืนกินจนถึงแก่ความตาย ทว่า...” นักพรตอันหลงหยุดเสียง มุมปากคล้ายปรากฏรอยยิ้มที่เสมือนมิมี “ในทางตรงกันข้าม หญ้าชนิดนี้มีฤทธิ์กล่อมประสาทพวกเหล่าอสรพิษ ขอเพียงลิ้มลองเพียงครั้ง จะมิอาจตัดขาดจากมันได้ตลอดกาล ส่วนกำยานหญ้าสิ้นซากนี้ เมื่อจุดหนึ่งกำจะสิ้นฤทธิ์ในสามวัน หากมันมิได้รับเข้าสู่ร่างกายในภายหลังจะกระวนวาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายต้องทรมานทั้งเป็น ยากจะทนทานได้ ต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายจึงจะพ้นเคราะห์

          จนถึงก่อนหน้านั้น พระชายาสามารถใช้หญ้าสิ้นซากนี้เรียกร้องสิ่งที่ต้องการจากมัน มันย่อมกระทำตาม แต่กระนั้นเมื่อเริ่มจุดกำยานอีกครั้งหนอนทุกข์ระทมก็จะเริ่มกัดกินสมองมันอีกครา ขอเพียงไม่ทิ้งไว้นานสั่นกระดิ่งพันลี้ระงับไว้ เท่านี้มันก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมไปอีกนาน”

          ฟังดูไม่ว่าทางใดล้วนทุกข์ระทมสมชื่อ เจินเริ่นผิงถึงกับหัวเราะออกมา ไม่นานลู่เหวินซึ่งรอรับคำสั่งต่อไปจึงเอ่ยถาม

          “คุณหนูคิดวางแผนต่อไปเยี่ยงไร”

          “ย่อมต้องฉุดเขาลงจากตำแหน่งฮองเฮา ทั้งมิให้มีโอกาสพลิกฟื้นได้อีก” นางกล่าวเสียงแข็ง ดวงตาประดุจลูกกวางน้อยกลับกลายเป็นแข็งกร้าว

 
          ย่ำเช้าของวันต่อมาไป๋เซ่อลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดร้าวร่างกายอย่างหนัก สมองหนังอึ้งซ้ำยังปวดตุบๆ ยังมีใบหน้าที่ชาบวมคล้ายถูกบางสิ่งฟาดเข้าอย่างแรง เขาร้องโอดโอยคราหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ซึ่งกำลังยืนให้เสี่ยวลู่จัดฉลองพระองค์ให้เข้าที่ก็เอี้ยวหน้าถาม

          “เป็นไรไป ไม่สบายหรือ”

          “ข้า...” ด้วยไม่รู้ว่าเกิดอันใด และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเป็นห่วง ไป๋เซ่อจึงตอบออกไป “เจ้าจะรีบไปประชุดเช้ามิใช่หรือ มิต้องสนใจข้าหรอก ข้าคงจะท้องอืด มิได้เป็นอันใดมากหรอก”

          “ให้ข้ามิสนใจ ฮึ ฮึ จะเป็นไปได้อย่างไร” ซวนหยวนหมิงไท่หันมาจุมพิตหน้าผากน้อย “ข้ารู้เมื่อคืนเจ้าแอบไปที่ตำหนักห้องเครื่อง”

          “.......” ชายหนุ่มกระซิบบอก ทว่าไป๋เซ่อกลับเลิกตางุนงง

          “วันหลังหากอยากกินก็มิต้องเทียวไปเทียวมา ข้าจะสั่งเปิดห้องเครื่องที่ตำหนักถั่วแดงเอง”

          “จริงๆนะ” ได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มร่า กระทั่งซวนหยวนหมิงไท่สั่งให้คนต้มยาแก้ท้องอืดอันมีรสชาติสุดจะบรรยาย เขาก็ยังดื่มจนหมดถ้วยอย่างอารมณ์ดี ระหว่างนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าเป็นเพราะเมื่อคืนตนละเมอไปยังห้องเครื่องตามประสาคนหิวโหย ดังนั้นคงเกิดซุ่มซ่ามให้ปวดเมื่อยไปบ้าง

          แต่ดูทว่าเรื่องนี้เขาอาจคิดผิด เพราะเมื่อในเช้าวันต่อมา และต่อมาอาการไร้เรี่ยวแรง ปวดศีรษะ กับหนักข้อขึ้นทุกวันๆ ซึ่งเป็นเช่นนี้อยู่สามวัน อาการที่เพียรเก็บไว้ไม่บอกใคร โดยเฉพาะซวนหยวนหมิงไท่ก็พลันปรากฏให้เห็น

          “ไป๋เซ่อ เจ้าไม่สบายใช่รึไม่ อย่าได้โกหก” สีหน้าของร่างสูงขึงขัง คล้ายต้องการกดดันให้เขายอมรับความจริง

          ด้วยเช้าวันนี้เขาตื่นขึ้นมาด้วยอาการพะอืดพะอม สีหน้าที่เคยมีน้ำมีนวลกลับดูขาวโพลนราวกับคนป่วย ตัวก็เย็นเยียบผิดปกติ ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วเค้นถาม กระนั้นเขาก็ปฏิเสธ

          งูเผือกแห่งพิภพสวรรค์เช่นเขาจะป่วยได้อย่างไร ให้เทพเซียนองค์ใดรู้เข้า เขาคงได้แต่มุดดินหนี

          “ไป๋เซ่อ”

          แลในขณะที่กำลังฝืนยืนให้อีกฝ่ายวางใจ ร่างของเขาก็พลันทรุดฮวบ ภาพตรงหน้าดับวูบไม่เห็นสิ่งใด ได้ยินเพียงเสียงร้องตกใจจากนั้นจึงมิอาจรับรู้อันใดได้อีก


 

******************************************************

 

          จบไปอีกหนึ่งบท เหอ เหอ บทนี้เค้าใจร้ายกับไป๋เซ่อ เขียนไปก็สงสารไป ขอโทษด้วยน้าาา

          บทหน้าก็อาจจะอัพเสาร์หรืออาทิตย์เหมือนเดิมน้า หากมิอะไรเปลี่ยนเเปลงอาจจะเเจ้งข่าวในหน้าเฟสน้า ส่วนใครมีข้อเเนะนำ คอมเมนท์ไว้ได้จ้า เดี๋ยวกลับมาอ่าน สุดท้ายนี้ติดตามเชียร์เจ้างูเผือกน้อยกันต่อในบทน้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 27.1 ร่างปริศนา 18/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-07-2016 20:57:46
บทที่ 27.1 ร่างปริศนา

 


          “ไป๋เซ่อ”

          มองร่างเล็กล้มครืนไปต่อหน้าต่อตา ใจของซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับดิ่งลงเหว สองแขนรับร่างเบาหวิวเข้าสู่อ้อมกอด ครั้นเห็นเปลือกตาเรียวบางปิดลง ไป๋เซ่อแน่นิ่งไม่รู้สึกตัว ก็ตวาดลั่น “เสี่ยวลู่”

          “พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงร้อนรนผิดปกติ เสี่ยวลู่ก็รีบผลักประตูห้องบรรทมเข้าไปทันที บัดนี้ภายในห้องปรากฏภาพนายเหนือหัวกอดร่างสิ้นสติที่ทรุดกับพื้น ยังผลให้เขาแตกตื่น ตามมาด้วยเสียงร้องตกใจของหรูอี้ซึ่งประคองอ่างน้ำเข้ามาทีหลัง

          “ตามหมอหลวงเร็ว” ซวนหยวนหมิงไท่รีบตะโกนบอก สลับกับตบแก้มขาวซีดเรียกสติเจ้างูเผือกน้อยเบาๆ

          เสี่ยวลู่ไม่รีรอหมุนตัวกลับ คิดตามหมอหลวงให้เร็วที่สุด แต่ทว่าฝีเท้ามิทันจะก้าวออก หน้ากลับกระแทกเข้ากับกำแพงตระหง่านที่ไม่รู้มีมาตั้งแต่เมื่อใด รอจนผงะกายถอยหลัง บุรุษร่างองอาจในชุดสีม่วงอมดำพร้อมด้วยเด็กน้อยดวงตากลมโตในชุดสีม่วงอ่อนก็ฉายเต็มตา

          “ไม่ต้องตามแล้ว”

          คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นบอก หากแต่มนุษย์กำแพงผู้มีใบหน้าเย็นชาฉาบทับกลับล่วงผ่านตัวเสี่ยวลู่ไปไวราวกับพายุ แลพริบตาเดียวเจ้าตัวก็บรรลุถึงร่างซีดขาวไร้สติ

          “วางเขาลงบนเตียง”

          น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นเหนือศีรษะ ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วบังเกิดความเจ็บแปลบขึ้นในอก ทั้งนี้ได้แต่กระทำตามโดยดี สองมือบรรจงวางร่างในอ้อมอกลงบนเตียงนุ่มอย่างทะนุถนอม จากนั้นเป็นฝ่ายถอยให้คนอีกผู้หนึ่งเข้าแทนที่

          ด้านหงเว่ยไม่เสียเวลาแม้ชั่วครู่ชั่วยาม ก้มตัวลงนั่งข้างเตียง ยื่นมือไปตรวจอาการคนสลบไสลไม่รู้สึกตัว ระหว่างนั้นหงลิ่วก็เข้ามาสำรวจใบหน้าขาวโพลนของไป๋เซ่ออย่างเป็นห่วง

          “พี่ใหญ่ พี่ชายไป๋เป็นอย่างไรบ้าง”

          “........” หงเว่ยมิได้ตอบวาจา แต่หัวคิ้วกลับย่อย่นลง ดูว่าภายนอกไป่ไป๋ดูย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ทว่าภายในกลับเพียงแสดงอาการไข้หวัดเล็กน้อย ออกจะผิดแผกขัดแย้ง เขาเบนสายตาไปยังชายอีกคน “ก่อนหน้านี้เขากินอะไรผิดสำแดงหรือไม่”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วตัวชาวูบ ครานี้หมัดที่กำแน่นอยู่แล้วต้องกดลึกเข้าไปในฝ่ามืออีกระดับ วังหลวงเป็นสถานที่แห่งใด ไฉนตนจึงลืมเลือนไปได้ เขากดเสียงข่มความพลุ่งพล่านในใจแล้วเอ่ยเสียงเย็น “หรูอี้ ตอบข้ามา”

          “ก่อนหน้านี้...” เจ้าชีวิตทรงตรัสถาม แต่หรูอี้กลับพูดมิออก ด้วยจับต้นชนปลายมิถูก สีหน้าจึงถอดสีไม่แพ้ผู้เป็นนาย สุดท้ายได้แต่โขกศีรษะ “เป็นหม่อมฉันดูแลเซียวฮองเฮาไม่ดี โปรดทรงลงพระอาญาเถิดเพคะ”

          ประโยคนี้ทำเอาซวนหยวนหมิงไท่สาดสายตาเกรี้ยวกราดใส่ ให้บรรยากาศโดยรอบกดดันหนักอึ้ง แม้แต่ข้ารับใช้ในตำหนักซึ่งคุกเข่ายังด้านนอกยังมิกล้าขยับตัวหายใจแรงนัก แต่แล้วในขณะที่เรื่องราวเลวร้ายลงไปทุกทีกลับมีเสียงหนึ่งผุดขึ้นอย่างมั่นใจ

          “ต้องเป็นเพราะขนมของพระชายาหลี่แน่ๆ เพคะ”

          “เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เจ้าชีวิตขึ้นเสียงแปลกใจ หรูอี้เองก็หันไปมองผู้กล่าวอย่างตกตะลึง

          “ตั้งแต่วันนั้น...วันที่เซียวฮองเฮาเสวยแป้งกรอบโรยงาของพระชายาหลี่เข้าไปก็มิทรงอยากอาหาร หนำซ้ำร่างกายยังเหนื่อยอ่อนลงทุกวันๆ” ชิวเยี่ยนเงยหน้าขึ้นกราบทูล

          “เจ้ากำลังบอกว่าพระชายาหลี่วางยาพิษเซียวฮองเฮาอย่างนั้นรึ”

          พระสุรเสียงตวาดก้อง ดวงพระเนตรสีดำอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ ชิวเยี่ยนสบเข้าก็นึกกลัวต้องก้มศีรษะล่ะล่ำละลักกล่าว “มะ...หม่อมฉันมิกล้า”

          อีกด้านหนึ่งไป๋เซ่อได้รับการกดจุดเหรินจง[1]พลันฟื้นตื่นทันประโยคกล่าวโทษพระชายาหลี่ เขาฝืนใช้น้ำเสียงระโหยโรยแรงเอ่ยแย้ง ด้วยมิต้องการให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตไปกว่านี้ “ยาพง ยาพิษอะไรกัน ซวนหยวนหมิงไท่เจ้าอย่าฟังคำนาง ข้าก็แค่ไม่สบายเท่านั้น” หากเป็นยาพิษจริง มีหรือจะตบตาอสรพิษจมูกไวอย่างตนไปได้

          “ไป๋เซ่อ” แค่ได้ยินเสียง ซวนหยวนหมิงไท่ก็คลายสีหน้าทะมึนลง อีกทั้งตรงเข้าไปดูอาการคนดื้อรั้น ก่อนเบนสายตาถามร่างสีม่วงอมดำ “จริงรึ?” ยามนี้มีเพียงคนผู้นี้ยืนยัน ตนจึงจะวางใจ

          “........” หงเว่ยสบสายตากับฮ่องเต้หนุ่ม เนิ่นนานจึงอ้าริมฝีปาก “ระยะนี้คงเป็นหวัดเล็กน้อย อย่าให้เขาต้องลมหนาว ข้าจะให้หงลิ่วอยู่ที่นี่ชั่วคราว คอยรับผิดชอบต้มยาให้เอง” แม้อสรพิษเกล็ดหิมะจะทนทานต่ออากาศหนาว แต่หากร่างกายอ่อนแอเกินไปก็มีสิทธิ์แข็งทื่อประดุจน้ำแข็ง

          “โฮ ดีจังเลย บำเพ็ญเพียรมาตั้งหลายวัน ในที่สุดข้าจะได้เที่ยวเล่นบ้างแล้ว” หงลิ่วแทรกกายระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง กระโดดขึ้นบนเตียงไปซุกกอดร่างสีขาว ให้ไป๋เซ่อส่งเสียงคิกคักลอบตีก้นไปคราหนึ่ง

          “วิเศษยิ่ง” ซวนหยวนหมิงไท่เห็นพ้องต้องกัน จึงมีรับสั่งให้รีบจัดเตรียมห้อง หรูอี้รับพระบัญชาแล้วก็มิกล้ารีรอหมุนตัวออกไปจัดการทันที ด้านชิวเยี่ยนและคนอื่นๆ ถูกเสี่ยวลู่สั่งแยกย้ายกลับไปทำงาน ส่วนเขารอดูไป๋เซ่ออยู่สักพัก จนสีหน้าของเจ้าตัวดีขึ้นก็จำใจปลีกตัวออกไปจัดการเรื่องบ้านเมืองต่อ

          ต่อเมื่อขบวนเสด็จห่างจากตำหนักถั่วแดงไป สีหน้าของโอรสสวรรค์ก็ฉายแววเคร่งเครียดอย่างไม่ปิดบัง ด้วยรู้สึกมีบางสิ่งติดค้างในใจ

          ปกตินางกำนัลผู้หนึ่งคิดกล่าวโทษสนมชายา ย่อมต้องมีท่าทีลังเลขลาดเขลาอยู่บ้าง เพราะหากเรื่องราวพลิกผัน กลับกลายเป็นตนกล่าวเท็จทูลเจ้าเหนือหัว แน่นอนว่าโทษทัณฑ์ไม่จบแค่โบยตี กระนั้นชิวเยี่ยนผู้นี้กลับใช้วาจาฉะฉาน น้ำเสียงมั่นใจ คล้ายรอให้เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้อยู่ก่อนแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ประเมินมอง เกรงว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

          “เสี่ยวลู่” เรียกขันทีผู้ซึ่งติดตามอยู่ข้างกาย รอจนอีกฝ่ายขานรับจึงกระซิบบอก “สั่งการองครักษ์เงา จับตาดูความเคลื่อนไหวของนางกำนัลชิวเยี่ยนว่าติดต่อกับผู้ใดบ้าง” ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร เขาจะลากมันออกจากเงามืดให้จงได้

          “น้อมรับด้วยเกล้า พะยะค่ะ” เสี่ยวลู่ค้อมกายรับพระบัญชา

          ย้อนกลับไปอีกทางฝากฝั่ง หงเว่ยมองไป๋เซ่อกับหงลิ่วสนทนาพาที ตนเองก็ตกเข้าสู่ภวังค์ ต่อให้เป็นไข้หวัดเพียงเล็กน้อย ร่างน้อยย่อมไม่มีทางหมดสติไปเช่นวันนี้ เว้นเพียงร่างกายเจ้าตัวจะมีปัญหาจริงๆ

          หรือว่าถูกพิษ? ร่างแกร่งประสานมือสองจ่อใกล้ริมฝีปาก ครุ่นคิดได้ไม่นานก็ต้องส่ายศีรษะ อสรพิษที่พิษร้ายแรงเช่นพวกตน ยังจะมีพิษใดกล้ำกราย ...แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมาเล่า ฉับพลันพานนึกถึงหงซานผู้ซึ่งออกตามหาจิตวิญญาณหงเอ้อร์ไปทั่วดินแดน พบเห็นสิ่งแปลกประหลาดผ่านตาไม่มากก็น้อย น่าจะพอระแคะระคายถึงบางสิ่งบางอย่างก็เป็นไปได้

          “อ้าว พี่ใหญ่ท่านจะไปไหน” หงลิ่วกล่าวถาม เมื่ออีกฝ่ายลุกพรวด

          ยามนี้หงเว่ยจึงรู้สึกตัว พลันพบว่าไป่ไป๋กำลังจ้องเขาอยู่ “ขะ...ข้า” ตัวแข็งทื่อใบหน้าแดงก่ำ ได้แต่โพล่งออกไป “ข้าจะไปเวจ”

          สิ้นเสียงคนก็หายตัวไปไวชนิดไม่เห็นฝุ่น ทิ้งให้ไป๋เซ่อตีหน้าไร้เดียงสาเอ่ยอย่างเห็นใจ “สงสัยข้าศึกประชิดกำแพงเมือง หงเว่ยเจ้าไปดีมาดีเถอะ”


 

**********************************************

 

          นับแต่องค์เหนือหัวทรงพระพิโรธ ขันทีนางกำนัลในตำหนักถั่วแดงเผชิญเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน วันต่อมาข่าวคราวเซียวฮองเฮาทรงประชวรก็ล่วงรู้ไปทั่วทั้งวัง แน่นอนไม่เว้นแม้แต่ข่าวลือว่าต้นสายปลายเหตุเกิดจากพระชายาหลี่ทรงหึงหวง จึงมีรับสั่งวางยาพิษเซียวฮองเฮา

          ข่าวลือนี้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ให้ผู้ถูกพาดพิงอย่างพระชายาหลี่เกรี้ยวกราด ต้องระบายโทสะปัดเครื่องครัวเสียหายไปไม่น้อย จนเมื่อสงบสติอารมณ์ได้นางก็เชิดหน้าลั่นวาจาจะทำอาหารฟื้นบำรุงให้กับเซียวฮองเฮา เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แลหากระหว่างนี้อีกฝ่ายเกิดทรุดหนัก ตนยินดีนำศีรษะพาดไว้บนเขียง

          ด้วยคำประกาศนี้สยบข่าวลือมิให้รุนแรงมากเกินไปนัก กระนั้นก็ยังมีคนบางส่วนปักใจเชื่อว่าเป็นการกระทำของนางอยู่ดี ส่วนเพลานี้คู่กรณีอย่างไป๋เซ่อกลับไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว นอนแผ่หลาหงายหน้าท้องสีขาวบริสุทธิ์ท่ามกลางกองฎีกาเกลื่อนกลาดบนโต๊ะ แต่แล้วไม่นานก็มีบุรุษสูงวัยมาตะโกนเสียงดังทำลายความสงบ

          “ฝ่าบาท แม้พระชายาหลี่จะอารมณ์เลวร้ายไปบ้าง แต่พระนางมิเคยปองร้ายเซียวฮองเฮาจริงๆ ได้โปรดทรงเชื่อกระหม่อมเถิดพะยะค่ะ”

          ขุนนางขั้นผู้ใหญ่หลี่เชียนมิรอให้ลู่กงกงขานเสียงบอก กลับพรวดพราดบุกรุกเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ครั้นมาถึงก็คุกเข่าลั่นเสียงก้อง ยังผลให้มือเรียวซึ่งกำลังตวัดพู่กันต้องหยุดชะงัก ดวงหน้าสง่างามเงยขึ้นทอดมองไปยังผู้มาใหม่อย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งไม่มีกระแสรับสั่งใดแม้แต่จะให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน

          บรรยากาศเงียบกริบกำจายไปทั่วห้อง โอรสสวรรค์ปลดปล่อยรังสีกดดันให้ขุนนางแซ่หลี่เหงื่อตก จวบจนได้ยินเสียงฟึดฟัดราวกับหายใจไม่สะดวก ก็พบว่าเจ้าตัวน้อยผงกศีรษะขึ้นให้ความสนใจผู้มาใหม่แล้ว

          “อ้าว ไป๋เซ่อสั่งน้ำมูก” ยื่นผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีไปให้ งูเผือกน้อยเห็นดังนั้นก็ยิ้มแฉ่งก้มหน้าสั่งน้ำมูกเสียงดังสนั่น

          ระหว่างนั้นหลี่เชียนลอบหรี่ตามอง พลันเห็นฮ่องเต้หนุ่มพับผ้าผืนเล็กอันเต็มไปด้วยน้ำมูกเข้าไปในอกเสื้อ พร้อมกันนั้นยังระบายรอยยิ้มอ่อนโยนให้อสรพิษตัวสีขาว ในใจก็อดตะลึงวูบมิได้ เห็นทีรสนิยมของเจ้าชีวิตพระองค์นี้ออกจะพิสดารเกินกว่าตนจะเข้าใจ เขากระอักกระอ่วนอยู่พักใหญ่จึงเปล่งเสียง “ฝ่าบาท เรื่องพระชายาหลี่...”

          “เรื่องนี้เรามิได้สั่งกักขังชายาหลี่สักหน่อย ท่านจะโวยวายไปไย”

          “เช่นนั้นทรงเชื่อพระชายาหลี่ใช่ไหมพะย่ะค่ะ” สีหน้าของหลี่เชียนแสดงความดีอกดีใจ แต่แล้วองค์เหนือหัวกลับนิ่งเงียบและเพียงตัดบท

          “หากไม่มีอะไรแล้ว ท่านก็กลับไปเถอะ เรื่องข่าวลือหากยังมีคนพูดจาเลื่อนเปื้อน เราจะสั่งลงโทษสถานหนัก” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยจบก็มิได้สนใจอีกฝ่าย หันกลับไปหยอกล้อกับเจ้างูน้อยต่อ

          “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ กระหม่อม...ทูลลา” หลี่เชียนได้ฟังดังนั้นถึงกับเซื่องซึม แม้ฝ่าบาทจะทรงรับปากลงโทษผู้ปล่อยข่าวลือ แต่มิได้หมายความว่าทรงมิได้ระแวงบุตรสาวตน

          มองดูขุนนางผู้นี้คอตกกลับบ้าน ไป๋เซ่อจึงถามชายหนุ่ม “เจ้ายังคิดว่าชายาหลี่วางพิษข้าอยู่อีกหรือ?” ถึงนางจะถือตัวอยู่บ้าง แต่ตนกลับไม่รู้สึกว่าหลี่ซิ่วหลันผู้นี้ใจคอโหดเหี้ยม ขนมที่นางทำแต่ละชิ้น แม้นมิได้เลิศรส แต่กลับพิถีพิถันบอกถึงความใส่ใจ ยิ่งรวมกับนิสัยรั้นไม่ยอมแพ้ ทำให้เขาชอบอกชอบใจนางอยู่ไม่น้อย

          “วันนี้ไม่ แต่วันหน้าไม่แน่นัก” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบห้วนๆ เขาซึ่งเติบโตในวังหลวง เห็นเล่ห์ร้ายของสนมชายามาก็ไม่น้อย และอีกอย่างมิใช่ว่าพระมารดาสิ้นพระชนม์ด้วยยาพิษหรอกหรือ “ไป๋เซ่อ ต่อให้เจ้าหมื่นพิษไม่กล้ำกราย แต่อย่างไรก็ต้องรู้จักระวังตัว เข้าใจไหม”

          ชายหนุ่มเอ่ยเตือน หากแต่ไป๋เซ่อกลับเบ้ปากใส่ พอดีกับพายุหมุนลูกเล็กปรากฏตัวกลางห้อง เป็นหงลิ่วถือชามยารสขมร้องบอกอย่างร่าเริง

          “พี่ชายไป๋ ได้เวลากินยาแล้ว”

          แค่เหลือบไปเห็นชามยาส่งควันกรุ่น ไป๋เซ่อก็ดิ้นพล่านร้องโหยหวน ตนอุตส่าห์หนีมาหลบอยู่ที่นี่ ไฉนเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ยังตามมาพบอีก

          ซวนหยวนหมิงไท่เห็นท่าทีแดดิ้นของไป๋เซ่อก็หัวเราะน้อยๆ พลางถาม “หงลิ่ว เขายังต้องการกินยาอีกกี่เทียบหรือ”

          หงลิ่วแสยะยิ้มบอกหน้าตาย “สองเทียบไม่ขาดไม่เกิน”

          “ข้าดีขึ้นแล้ว มิจำเป็นต้องดื่มยาอีก” ไป๋เซ่อท้วง อีกทั้งรีบเบนศีรษะมุดเข้าไปหลบในอกเสื้อของชายหนุ่ม

          “เด็กดี ถ้าดื่มหมด ข้ามีลูกอมหวานให้เจ้า” เขาพยายามดึงงูน้อยตัวเรียบลื่นออกจากเสื้อ ทั้งหลอกล่อเจ้าตัวด้วยขนมหวาน ไป๋เซ่อได้ฟังก็เกิดลังเล ก่อนจะพร่ำยืนยันว่าจะดื่มยาอันมีรสชาติสุดแสนจะห่วยแตกนี้เป็นชามสุดท้าย

          ครั้นบรรลุหน้าที่ หงลิ่วจึงเอ่ยถาม “จริงสิไป๋ ท่านเห็นพี่ใหญ่ของข้ากลับมารึยัง?”

          “หือ อะไรกันเขายังไม่กลับมาอีกรึ” ไป๋เซ่อตอบกลับอย่างงุนงง ก่อนนึกถึงท่าทีรีบร้อนก่อนจากไปของหงเว่ย “คงถ่ายท้องหนักกระมัง”

          คำกล่าวนี้ทำเอาหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยิ้มขัน หารู้ไม่ว่า ณ ที่ไกลออกไปยังทะเลทรายอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ไร้ซึ่งสรรพสิ่ง กระแสลมร้อนพัดพาอย่างบ้าคลั่ง กลับมีบุรุษสองคนคลุมเสื้อสีน้ำตาลปิดบังใบหน้า เดินย่ำเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่มีย่อท้อ

          “ฮัดเช้ย”

          “พี่ใหญ่ จะพักก่อนรึไม่” เห็นพี่ชายจามออกมา หงซานก็เอ่ยปากถาม ดูจากสภาพอากาศตรงหน้า อีกไม่นานคงจะเกิดพายุทะเลทราย

          “ไม่ ไปต่อเถอะ”

          เนินทรายปรากฏรอยฝ่าเท้าเหยียบย่ำ ทว่าไม่นานก็ถูกกลบด้วยเม็ดทรายละเอียด พวกเขาทั้งสองต่างเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งผ่านพ้นไปราวเค่อหนึ่ง พายุหมุนหอบใหญ่ก็ตรงเข้าโหมกระหน่ำ มาตรว่าต่อให้ไม่อยากหยุด แต่ครานี้พวกเขาก็จำต้องหยุดลงแล้ว

          “หงซาน ชนเผ่าหมอผียังอยู่อีกไกลรึไม่” หงเว่ยถาม หัวคิ้วขมวดด้วยความร้อนใจ

          “อีกประมาณห้าสิบลี้เห็นจะได้” หงซานตอบพลางสร้างเกราะคุ้มกันพายุทราย

          เพลานี้ทัศนียภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความมืดมัว แทรกด้วยเสียงคลื่นลมอื้ออึง ยากจะแยกทิศทางหรือแม้แต่กลางวันกลางคืน ทว่าชนเผ่าหมอผีหาใช่สถานที่ธรรมดา ที่ใครนึกอยากจะไปก็ไปได้ ฉะนั้นหงเว่ยได้แต่รอคอย ให้พายุสงบด้วยจิตใจอันเยือกเย็น


 

**********************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 27.2 ร่างปริศนา 18/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-07-2016 21:04:39
บทที่ 27.2 ร่างปริศนา

 

            ต่อเมื่อยาสองเทียบหมดลง อาการหวัดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไป๋เซ่อถึงกับกระโดดโลดเต้น กอดคอหงลิ่วออกตะลอนๆ ไปเที่ยวเล่นรอบวังหลวง กว่าจะกลับตำหนักก็เกือบย่ำค่ำ ครั้นศีรษะถึงหมอนก็หลับสนิท

          เป็นเช่นนี้อยู่สองสามวันชายหนุ่มผู้ซึ่งอัดอั้นก็ปริปากบ่นชุดใหญ่ กระนั้นไป๋เซ่อนั่งฟังอยู่ได้ไม่นานก็มักสัปหงกเสียกลางคัน ให้ซวนหยวนหมิงไท่ร่ำไห้อยู่ในใจได้แต่นอนกอดเจ้าตัวถ่ายเดียว ยิ่งกว่านั้นพอถึงกลางดึกยังมิวายถูกร่างเล็กถีบไปนอนตรงขอบเตียง ต้องนอนเกร็งไปตลอดทั้งคืน

          เสมือนวันเวลาผ่านไปอย่างสงบ แต่แล้วเมื่อถึงคืนเดือนมืด หมู่ดาวอับแสง เหตุการณ์อันมิบังควรเกิดก็ได้เกิดขึ้น

          ช่วงยามจื่อ[2] นายทหารเฝ้ายามผู้หนึ่งพึ่งผลัดเปลี่ยนเวรกับทหารเฝ้ายามโฉ่ว[3] ขณะกำลังเตรียมตัวออกจากวังหลวง กลับได้ยินเสียงสวบสาบ แลไม่นานเงาตะคุ่มหนึ่งก็วิ่งตัดหน้าผ่านเข้าไปในอุทยานหลวง เห็นดังนั้นนายทหารหนุ่มก็วิ่งตามไป

          “เฮอะ หายไปไหนแล้ว” กล่าวสบถ ทั้งๆที่คิดว่าไล่ตามไปติดๆ แต่เงาดังกล่าวกลับคล้ายอันตรธานหายไปในความมืด ไม่ว่ามองไปทางใดก็ไร้ความเคลื่อนไหว สอดส่องอยู่พักใหญ่จึงตัดสินใจหมุนตัวกลับ หากแต่ทันใดนั้นดวงตาเขาก็ต้องเลิกกว้าง ส่งเสียงอุทาน

          “เจ้า!” บัดนี้ร่างในชุดขาวบอบบาง ดวงหน้าขาวซีด นัยน์ตาเรียวสีดำทื่อดูไร้ชีวิตจิตใจ มุมปากมีโลหิตไหลเป็นสาย กลับยืนขวางตรงหน้าเขาแล้ว “เจ้าคือฮะ...อึ่ก”

          จู่ๆ น้ำสีแดงข้นทะลักออกจากปาก คล้ายมีบางสิ่งยัดเยียดเข้ามาจนทะลุหน้าอก เขาก้มลงมองก็พบเป็นมือข้างหนึ่ง แต่พริบตานั้นมันก็กระชากออกโดยแรง กายพลันทรุดฮวบกับพื้น สีหน้าบิดเบี้ยวเจ็บปวด ท้ายที่สุดลมหายใจขาดห้วง ดวงตายังคงเบิกโพลงด้วยความตกใจ

          นับแต่มีศพตายอย่างปริศนา วังหลวงก็หาได้มีความสงบ ซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้รับสั่งให้สืบหาผู้กระทำความผิด ทว่ายังมิทันพบเบาะแสศพที่สองที่สามตามมา ให้เหล่าขันทีนางกำนัลอยู่กันอย่างหวาดกลัว ด้วยบรรยากาศตึงเครียดไม่น่ารื่นรมย์นี้ หันไปทางใดก็ไร้ความสดใส ยังผลให้ไป๋เซ่อและหงลิ่วเริ่มเที่ยวเล่นไม่สนุก ออกมานอกตำหนักได้แวบเดียวก็ชักชวนกันกลับไป

          “ผู้น้อยขอถวายบังคมเซียวฮองเฮาพะย่ะค่ะ”

          ระหว่างทางแยกไปตำหนักถั่วแดงพลันมีบุรุษดวงหน้ากระจ่างใสค้อมตัวหยุดพวกเขาไว้ ไป๋เซ่อมองผู้มาใหม่ในอาภรณ์สีฟ้า มือถือห่อผ้าใบหนึ่งก็ต้องเลิกคิ้วงุนงง “เราเคยรู้จักกันด้วยหรือ?”

          “นับว่าเคยพบพาน แต่เกรงว่าพระองค์จะทรงจำกระหม่อมมิได้”

          บุรุษผู้นี้เอ่ยวาจา หากแต่กลับทำให้พวกเขายิ่งงงงัน หงลิ่วจึงเป็นฝ่ายแทรกถาม “เอ สรุปว่าพี่ชายเป็นใครกัน”

          “เสียมารยาทแล้ว กระหม่อมมีนามว่าอันหลง เป็นพ่อค้าใบชา วันนี้นำเอาชาปี้เหลยชุนจากเจียงซูมาให้พระชายาเจินยังตำหนักหลันฮวาตามกำหนด มิคิดว่าจะมีโอกาสได้พบพระพักตร์เซียวฮองเฮาที่นี่”

          “เช่นนั้นหรือ” บางทีคนผู้อาจจะเคยพบตนเองขณะตระเวนไปรอบวังหลวงก็เป็นไป ไป๋เซ่อคิด พอดีกับที่มีเสียงเรียกจากทางด้านหลัง

          “เซียวฮองเฮาเพค่ะ ฝ่าบาททรงรอพระองค์กับคุณชายหงลิ่วกลับไปเสวยอาหารที่ตำหนักแล้วเพค่ะ” ชิวเยี่ยนซึ่งมีเหงื่อผุดผาดเต็มใบหน้าร้องบอก แต่ครั้นเห็นบุคคลที่ผู้เป็นนายสนทนาด้วยก็รีบก้มหน้างุด

          “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ไป๋เซ่อเอ่ย หันไปมองพ่อค้านามอันหลงอีกครั้ง ดูว่าอีกฝ่ายเห็นเขามีธุระก็รีบบอก

          “กระหม่อมไม่รบกวนพระองค์แล้ว น้อมส่งเสด็จ”

          อันหลงกล่าวจบก็เผยรอยยิ้ม ฉับพลันหัวคิ้วเขากลับขมวดมุ่น คล้ายคุ้นเคยรอยยิ้มดังกล่าวอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วชั่ววูบหนึ่งบังเกิดเป็นภาพเลือนรางแวบผ่านทางสมอง เป็นภาพอีกฝ่ายเหลือบตามองเขาจากทางด้านบน ก่อนจะแสยะยิ้มฉายแววตาประดุจเลือด

          “รีบเถอะพี่ชายไป๋ เดี๋ยวพี่ชายหมิงจะงอนท่านอีก”

          “อื้อ” หงลิ่วเอ่ยขัด ทำให้เขาหลุดจากภวังค์ นึกในใจว่าตนคงเลอะเลือนไป ก่อนจะพากันรีบเร่งกลับตำหนักโดยมิได้สนใจบุรุษนามอันหลงอีก


          คล้อยเข้าสู่ราตรีกาล เหล่าขันทีนางกำนัลพากันหลบฉากอยู่แต่ในห้องพัก ส่วนคนที่จำต้องออกมาล้วนออกมาเป็นกลุ่ม เว้นเพียงสตรีสองนางที่เดินเพ่นพ่านไปยังท้ายสวนของตำหนักจวี๋ฮวากลางดึกดื่น

          “พระชายาหลี่ ไยพระองค์ถึงต้องเสด็จมายามนี้ด้วย พระองค์ทรงมิรู้หรือว่าช่วงนี้มีทหารยามถูกฆ่าตายไปสามรายแล้ว”

          “เฮอะ มิใช่ข้าไม่รู้ แต่หากไม่มาข้าคงนอนไม่หลับ อีกอย่างสถานที่เกิดเหตุอยู่ไกลจากตำหนักจวี๋ฮวาของข้าตั้งเยอะ จะต้องกลัวไปไย” พระชายาหลี่เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตากรอกไปมามองหาบางสิ่ง ก่อนมิวายกล่าวเร่งรัด “เร็ว! เหลียนฮัวส่องไฟทางนี้หน่อย”

          “ระ...รับสั่งให้คนไปเก็บมาให้ไม่ดีกว่าหรือเพค่ะ” เหลียนฮัวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ กระนั้นยังยื่นโคมไปยังข้างหน้าเพื่อส่องแสงนำทาง

          “ไม่ได้ คนเหล่านี้ล้วนมิได้ดั่งใจ ให้ข้าเลือกเองยังจะดีกว่า”

          “แล้วถ้าพระชายาถูกทำร้ายเล่า?” นางกำนัลน้อยยังคงเอ่ยเตือน หากแต่ผู้เป็นนายกลับไม่รับฟัง ทั้งยังหัวเราะใส่

          “ฮ่า ฮ่า ข้าคงไม่ดวงซวยขนาดนั้นกระมัง อ้ะ นั่นไงเจอแล้ว” นิ้วชี้ไปยังต้นทับทิมซึ่งออกผลหลายต้นบริเวณท้ายตำหนัก ดูว่ามีมากพอให้นำกลับไปทำขนมหวานสูตรใหม่ในยามดึกนี้ ว่าแล้วแขนนวลก็ยื่นออกไปเด็ดผลทับทิมสีแดงอวบอ้วน หากยังไม่ทันเรียบร้อยดี นางกำนัลคนสนิทกลับหวีดเสียงร้อง ด้วยสังเกตเห็นดวงตาคู่ทะมึนบนต้นไม้

          “กรี๊ด ปีศาจ” โคมไฟในมือร่วงหล่นตกพื้น เงาร่างบนต้นทับทิมเองก็กระโดดพรวดลงมา เหลียนฮัวขวัญอ่อนตื่นตระหนก วิ่งหนีหายไปในความมืด

          หลงเหลือเพียงดวงตาหวานเบิกกว้าง สองขาสั่นสะท้านก้าวมิออก แลใกล้ปลายเท้ามีโคมซึ่งตกอยู่ฉายแสงจวนเจียนจะริบหรี่ มันค่อยๆ ฉายให้เห็นใบหน้าเปราะเปื้อนสีแดงประดุจโลหิต

          เห็นดังนั้นชายาหลี่ก็แทบอยากจะกรีดร้องสุดเสียง แต่จนปัญญาที่ปากอ้าค้างหุบไม่ลง ได้แต่ยืนมองดูคนผู้นี้อ้าปากเผยเขี้ยวแหลม สาดสายตาหิวกระหายพลางคืบคลานเข้ามา ขณะที่คิดว่าไม่รอดแล้ว มือเยียบเย็นกลับคว้าผลทับทิมในมือนางไป จากนั้นก้มตัวอ้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ตะกละตะกราม ส่งผลให้นางนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนได้สติสังเกตคนผู้นี้

          เป็นบุรุษใบหน้าเย้ายวน นัยน์ตาเรียวยาวเป็นเอกลักษณ์ คลับคล้ายกับ... ดวงตาของนางเลิกขึ้นอย่างคาดไม่ถึง หาได้รู้ตัวว่าอีกเงามืดหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามาจากทางด้านหลัง

          “กรี๊ด คุณหนู”

          แต่แล้วจังหวะที่มืออำมหิตใกล้บรรลุถึงตัวนาง นางกำนัลน้อยผู้ซึ่งวิ่งลับหายไปก่อนหน้านี้ กลับหลับหูหลับตาวิ่งย้อนกลับมาช่วยนายตน

          “เหลียนฮัว” ชายาหลี่ร้องเรียก

          “ออกไปนะเจ้าปีศาจ อย่ามาแตะคุณหนูของข้านะ” เหลียนฮัวทำใจกล้าก้มลงหยิบก้อนหินพลางปาใส่ร่างสีขาว มันเองก็ดูตกใจขยี้ปลายเท้าคราหนึ่งแล้วหายไปพร้อมกับผลทับทิมในมือ

          ด้านเงามืดหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนัก ได้แต่ปล่อยให้สตรีทั้งสองพยุงตัวกันกลับไป ก่อนทะยานตัวปราดไปคว้าร่างสีขาวที่ยืนเหม่อลอยอีกด้านหนึ่งของกำแพงตำหนัก กระชากคอเสื้อบังคับกึ่งลากกึ่งเดินไปยังเรือนที่มีร่างอรชรนอนเหยียดขาเอนหลังพิงหมอนอย่างเกียจคร้าน ข้างกายยังมีนักพรตนามว่าอันหลงนั่งอยู่ใกล้ๆ

          “เป็นอย่างไรบ้าง มันออกอาละวาดฆ่าคนบ้างแล้วรึยัง” เจินเริ่นผิงเอ่ยถาม หากแต่ลู่เหวินกลับส่ายหน้า ก่อนผลักปีศาจงูให้คุกเข่ากับพื้น

          “เมื่อสักครู่มันก่อเรื่องน่าตายนัก มันมิยอมฆ่าคน แต่กลับลอบเข้าไปในตำหนักจวี๋ฮวา ปละปล่อยให้พระชายาหลี่เห็นใบหน้า แม้กระหม่อมคิดปิดปากพระนาง ทว่ากลับถูกนางกำนัลแทรกเข้ามาเสียก่อน” ลู่เหวินเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องเพราะกลัวจะทำลายแผนการที่มีอยู่ทั้งหมด

          “หลี่ซิ่วหลันเห็นหน้ามัน?” เจินเริ่นผิงเลิกตาโตตกใจ แต่แล้วกลับ แค่นเสียง “ดี แบบนี้สิดี เช่นนี้เราได้พยานปากสำคัญแล้วว่าเซียวฮองเฮาผู้นี้เป็นปีศาจกินเลือดเนื้อคน” ด้วยความริษยา หลี่ซิ่วหลันผู้นี้ย่อมได้พลาดโอกาสทำลายเซียวฮองเฮา ว่าแล้วนางก็ลุกขึ้นเดินไปหาคนที่มีท่าทีเลื่อนลอย ในน้อยมือยังถือผลทับทิมซึ่งยังคงกินค้างไว้อย่างแช่มช้า จิกรั้งศีรษะของอีกฝ่ายขึ้นมา เค้นเสียงเน้นย้ำให้สลักลึกลงไปส่วนลึกของจิตใจ

          “จำไว้ให้ดี เจ้าเป็นปีศาจชั่วร้าย กระหายเลือดเนื้อคนเป็น”

          คำกล่าวจบลงร่างสีฟ้าของนักพรตอันหลงก็ตรงเข้าไปส่งชามบรรจุโลหิตข้น พระชายาเจินรับมันมาด้วยรอยยิ้ม กรอกมันเข้าปากร่างเล็ก แลเมื่อหยดเลือดค่อยๆ ทยอยหลั่งไหลผ่านสู่ลำคอ ดวงตาสีดำทื่อก็ต้องเลิกกว้างบ่งบอกความสะอิดสะเอียน


 

******************************************************

 

          ในห้องบรรทมอันเงียบงัน บนเตียงมีเพียงซวนหยวนหมิงไท่ปล่อยผมยาวสยายนอนอยู่ แลไม่นานคนนอนนิ่งก็พลิกตัวไปด้านข้าง แขนยาวพาดออกไปหมายกอดคนตัวเย็น หากแต่น่าแปลกที่สัมผัสได้แต่ความว่างเปล่า ยังผลให้ต้องลืมตาขึ้น ก่อนพบเห็นแต่กองผ้านวมหนาวางสุมอยู่

          “ไป๋เซ่อ” ขมวดคิ้วพึมพำ ยามดึกใกล้รุ่งสางเจ้าตัวยังออกไปที่ใด สุดท้ายเขาได้แต่ลุกขึ้นมาจุดเทียนแล้วนั่งรออีกฝ่ายที่โต๊ะกลมกลางห้อง

          แอ๊ด

          บ่นในใจมิทันไรประตูก็แง้มเปิดช้าๆ ขณะกำลังอ้าปากว่ากล่าว กลับเห็นร่างเล็กโงนเงนเข้ามาทั้งดวงตายังคงปิดสนิท ใบหน้ามีคราบเปื้อนน้ำสีแดงจางๆ มือกำผลทับทิมครึ่งลูกไว้แน่น ทำเอาเขามองอย่างอึ้งทึ่ง จนกระทั่งร่างนั้นล้มฟุบบนเตียง กรนคร่อกเสียงดังครืน

          ไป๋เซ่อ เจ้าออกจะละเมอร้ายกาจไปหน่อยแล้วกระมัง

          ซวนหยวนหมิงไท่ส่ายศีรษะอย่างออกอกอ่อนใจ แงะผลทับทิมในมือเล็กทิ้ง พลางเหน็บผ้านวมให้ไป๋เซ่อ ดูว่ายามนี้จะให้เขาหลับต่อก็หลับไม่ลง คงต้องหยิบจับอะไรขึ้นทำฆ่าเวลารอรุ่งสางที่กำลังมาถึง

          ยามเมื่อตะวันโผล่พ้นม่านหมอก ส่องแสงสีส้มเรืองรอง ไป๋เซ่อจึงขยับตัว งัวเงียปาดน้ำลายมุมปาก ดวงตาสะลึมสะลือขึ้นมาเห็นชายหนุ่มยิ้มกว้างนั่งตวัดพู่กันบนโต๊ะกลม

          “เจ้าทำอาราย” ส่งเสียงเนือยถาม ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับหัวเราะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นให้ตนดู

          “วาดรูปเจ้าตอนนอนน่ะสิ น่าดูรึไม่” ในกระดาษมีภาพเด็กหนุ่มนอนอ้าปากกว้าง มุมปากมีน้ำลายไหลยืด ไม่ไกลมีผลไม้ลูกกลมสีแดงวางอยู่ ผมยาวสีเทาพันใบหน้ายุ่งเหยิง มือหนึ่งคล้ายยกเกาพุงโต ขาข้างหนึ่งยกก่ายเต็มเตียง

          “บ้านเจ้าสิ ข้าจะน่าเกลียดอย่างนี้ได้อย่างไร อ่ะ แค่กๆ” ไป๋เซ่อโพล่งแย้ง แต่ท้ายประโยคกลับไอแห้งๆไม่หยุด ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่รีบเทชาอุ่นมา ครั้นเขารับมาดื่มคำหนึ่งก็ถึงกับตาเหลือก มิอาจไม่พ่นชาออกมาจากทางปาก ใบหน้าพลันถอดสี

          ...ไยลำคอจึงรู้สึกมีกลิ่นคาวเลือด

          “ค่อยดื่มสิๆ” ซวนหยวนหมิงไท่ว่าพลางตบหลังให้ “จริงสิ เมื่อคืนเจ้ารู้ตัวรึไม่ว่าตัวเองนอนละเมอเดินไปทั่ว”

          “ข้าเนี่ยนะนอนละเมอ? ไม่มีทาง เจ้าลูกเต่าอย่ามาอำข้า” ได้ฟังเช่นนั้นตนก็ขึ้นเสียงสูง แต่แล้ววูบหนึ่งภาพนายทหารนอนจมกองเลือดกลับแล่นวาบในสมอง เขาผงะไปเล็กน้อย ...นี่มันความทรงจำอะไรกัน

          ไม่รอให้ไป๋เซ่อได้ทำความเข้าใจ พลันมีเสียงเคร่งเครียดของหัวหน้าองครักษ์จิ้งตะโกนอยู่ด้านนอก

          “ขอประทานอภัยฝ่าบาท เมื่อสักครู่เราพบศพทหารรายที่สี่ถูกฆ่าตายบริเวณสระน้ำไท่เย่พะย่ะค่ะ”

          “ว่าอย่างไรนะ” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับผุดลุกขึ้น ก้าวออกไปเปิดประตูทันที ทว่าไม่ทันไรก็มีนางกำนัลอีกคนวิ่งเข้ามาคุกเข่าพลางร่ำร้อง

          “แย่แล้วเพค่ะฝ่าบาท เมื่อคืนพระชายาเจินถูกลอบทำร้าย ตอนนี้นอนมิได้สติแล้วเพค่ะ”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังก็ต้องนิ่งอึ้ง มิคาดคิดว่าเรื่องราวจะถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ดังนั้นต้องใช้เวลาสงบสติไปครู่หนึ่งจึงสูดหายใจลึกกล่าว “ไปตำหนักหลันฮวา”


          ในฐานะที่ตนเป็นถึงฮองเฮา ย่อมต้องติดตามร่างสูงไปดูอาการพระชายาเจินด้วย บัดนี้ตนเหยียบย่างเข้าสู่ตำหนักหลันฮวา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ตนมาที่นี่ ทว่าเมื่อเหลือบแลเห็นต้นเฟิงสูงใหญ่เรียงรายตลอดทาง ตนกลับไม่มั่นใจเท่าไรแล้ว คล้ายเขาคุ้นเคยสิ่งแวดล้อมนี้ แม้กระทั่งกับเรือนที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า

          ดูว่าพระชายาหลี่มาถึงที่นี่ก่อน นางพร้อมกับนางกำนัลคนสนิทเหลียนฮวาถวายบังคมให้พวกเขาเสร็จก็เบี่ยงกายหลบไปอีกฝากฝั่ง ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่เดินเข้าไปใกล้ชายาเจินที่หลับสนิท มองดูต้นแขนข้างหนึ่งซึ่งพันไว้ด้วยผ้าสีขาวซึมด้วยเลือด ก็เอ่ยถามหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่ไม่ห่าง

          “นางเป็นอย่างไรบ้าง”

          “ทูลฝ่าบาท เพลานี้พระนางบรรทมด้วยฤทธิ์ยา ส่วนบาดแผลมิได้ลึกมากนัก แลหลังจากนี้อาจจะยังมีอาการตกพระทัยอยู่เล็กน้อย แต่ไม่นานก็จะหายไป ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”

          หมอหลวงกล่าวจบซวนหยวนหมิงไท่ก็พยักหน้าให้ ก่อนหันไปไล่เบี้ยตวาดนางกำนัลรับใช้ในตำหนัก “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

          “เมื่อคืนนี้พระชายานอนไม่หลับจึงออกไปรับลมตอนยามโฉ่วเพค่ะ พอดีหม่อมฉันเห็นว่าอากาศหนาวจึงผละตัวไปหยิบเสื้อคลุมให้พระนาง แต่ไม่คิดว่าขากลับจะพบเห็นเงาร่างหนึ่งกระโจนเข้าทำร้ายพระชายา ดีที่มันเห็นหม่อมฉันส่งเสียงเอะอะโวยวาย จึงได้หนีไปเพค่ะ” นางกำนัลอวี้ชิงบอกเล่า แต่แล้วเจ้าชีวิตกลับยิ่งบึ้งตึงอีกทั้งขึ้นเสียง

          “เวลาเกิดเหตุผ่านไปตั้งนาน เหตุใดจึงไม่มาแจ้งให้เร็วกว่านี้”

          รับสั่งถึงตรงนี้นางกำนัลอวี้ชิงก็น้ำตาหลั่งไหลไม่หยุด “เรื่องนี้เป็นพระชายาเจินมิให้หม่อมฉันไปแจ้งข่าวเพค่ะ พระนางเห็นว่าฝ่าบาทอยู่กับเซียวฮองเฮาก็เลยมิกล้ารบกวน เพียงรับสั่งให้หม่อมฉันทำแผลให้ แต่พอถึงตอนรุ่งสางพระนางก็มิรู้สึกตัวเพค่ะ”

          “.......” ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ทรุดนั่งกุมขมับบนเตียง จากนั้นหันไปมองสตรีที่แม้นอนหลับก็ยังมีเหงื่อผุดพราย “เช่นนั้นเจ้าเห็นใบหน้าคนที่ทำร้ายพระชายารึไม่”

          “ทันเห็นเพียงแค่รูปร่างสูงบาง สวมใส่อาภรณ์สีขาว ผิวขาวราวกระดาษ ท่าทางปราดเปรียวเพค่ะ”

          “อ้ะ ต้องเป็นปีศาจตนนั้นแน่ๆ โอ้ย” หลังจากนางกำนัลอวี้ชิงเล่าจบ นางกำนัลเหลียนฮัวซึ่งคิดภาพตามก็พลันหลุดปาก กระนั้นยังพูดไม่จบก็ถูกปลายเท้าผู้เป็นนายอย่างพระชายาหลี่ขยี้เท้าเข้าให้

          “เจ้าพบเห็น?” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับหันขวับ

          เมื่อกลายเป็นเป้าสายตา เหลียนฮัวก็กลับกลายเป็นกระอักกระอ่วน “เพค่ะ เมื่อคืนหม่อมฉันกับพระชายาหลี่ไปเก็บผลทับทิมกลางดึกท้ายตำหนัก แต่กลับบังเอิญเจอปีศาจตนหนึ่งเข้า โชคดีที่องค์พระคุ้มครอง พระชายาหลี่จึงมิได้รับอันตรายแต่อย่างใดเพค่ะ”

          ผลทับทิม แค่ได้ยินคำนี้ สีหน้าของซวนหยวนก็แปรเปลี่ยน คล้ายมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำ ต้องผุดลุกขึ้นรีบร้อนกล่าวถามชายาหลี่ “ที่นางพูดจริงรึไม่ เจ้าพบเห็นเวลาใด แล้วเห็นใบหน้าเขาชัดรึไม่”

          ถูกระรัวถามเช่นนี้หลี่ซิ่วหลันก็ตกใจไปไม่น้อย “เป็นเรื่องจริงเพค่ะ เวลาที่พบก็ประมาณยามโฉ่ว ส่วนใบหน้า...” เอ่ยถึงตรงนี้นางก็หยุดเสียง เหลือบมองเจ้าของดวงตาเรียวยาวเป็นเอกลักษณ์ ครั้นเห็นอีกฝ่ายมองตนด้วยสีหน้าไร้เดียงสาก็รีบหลุบตาลง “ไม่เห็นเพค่ะ ตอนนั้นมืดมากประกอบกับความตกใจจึงมิทันสังเกตเห็นเพค่ะ”

          “......” ได้ยินเช่นนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ถอนหายใจยาว จากนั้นเดินไปจับมือไป๋เซ่อเอาไว้แน่น “เรื่องนี้เราจะให้คนสืบสวนทันที หากไม่มีอันใดแล้ว ให้ชายาเจินพักผ่อนอย่างสงบเถิด” พูดจบก็ลากตัวร่างเล็กออกไป

          ด้านไป๋เซ่อสัมผัสได้ถึงแรงบีบมือ รวมไปถึงความตึงเครียดของชายหนุ่มก็มิได้ต่อต้าน เพียงนึกสงสัยนับตั้งแต่นางกำนัลเหลียนฮัวบอกกล่าว ซวนหยวนหมิงไท่ก็มีท่าทีผิดแปลกไป ไหนจะสายตาแปลกๆ ของพระชายาหลี่ ทั้งนี้ไม่รวมถึงเรื่องตนเดินละเมอยามดึกดื่น ลำคอมีกลิ่นคาวโลหิต ภาพคนนอนจมกองเลือดในสมอง นายทหารถูกฆ่าตายใกล้สระน้ำไท่เย่ ตำหนักหลันฮวาที่มิคล้ายมาเป็นครั้งเเรก เเละพระชายาเจินถูกทำร้าย

          ...เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องราวทั้งหมดนี่จะเกี่ยวข้องกับตน


 


[1] จุดเหรินจง คือ บริเวณร่องใต้จมูก

[2] ยามจื่อ เวลา 23:00 – 24:59 น.

[3] ยามโฉ่ว เวลา 01:00 – 02:59 น.


 

****************************************************************

 

          จบไปอีกบทเเล้วจ้า หลังจากนี้จะมีทยอยรีไรท์หทัยเทพสวรรค์ (ต้าเซียน) อีกน้า เเต่จะรีไรท์ในเด็กดี กับธัญวลัย ในที่ยังรู้สีกว่าอ่านเเล้วติดขัด สามารถเข้าไปลองอ่านได้ใหม่น้า สุดท้ายนี้เม้นท์ให้กำลังใจกันบ้างน้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 27 ร่างปริศนา 18/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 18-07-2016 23:39:42
ชอบมากกกก ตามอ่านมาทุกเวบบที่ลงเลยค่ะ อ่านตั้งแต่หทัยเทพสวรรค์แล้ววววว
ชอบมากกกกกกกก เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ แทบจะมนรอตอนต่อไปไม่ไหวแล้ววว
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 28.1 คำสัญญา 27/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 27-07-2016 22:38:46
บทที่ 28.1 คำสัญญา

 

          สองมือเกาะกุมชื้นเหงื่อ จากฝีเท้าเร่งรีบแปรเปลี่ยนเป็นทะยานออกไป ให้ขบวนเสด็จรั้งท้ายวิ่งไล่กันเหน็ดเหนื่อย ราวกับชายหนุ่มต้องการหลีกหนี จึงพาเขาลัดเลาะเข้าไปยังป่าไผ่ลึกด้านหลังอุทยานหลวง กระทั่งแลเห็นเรือนไม้พฤกษาหลังเล็กตรงหน้า ฝีเท้าจึงได้ปรับเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า เสมือนได้พบแหล่งพักพิงใจ

          ประตูไม้เปิดออก กลิ่นอายความสงบพวยพุ่งจากภายใน เขาปละปล่อยมือเล็กที่บีบแน่นมาตลอด ก้าวเข้าไปนั่งกุมขมับครุ่นคิดไม่พูดไม่จาตรงชั้นวางกระถางต้นไม้พุ่มเตี้ยสีเขียว

          ไป๋เซ่อเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าร่างสูง เอ่ยถามอย่างข้องใจ “ซวนหยวนหมิงไท่ ที่เจ้ามีท่าทีวิตกเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวข้องกับข้าใช่รึไม่”

          “ไม่ใช่สักหน่อย เจ้าคิดมากไปแล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่รีบเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ ทว่าเขามองออกว่ารอยยิ้มนั้นทนฝืน ร่างเล็กขมวดคิ้วมีโทสะ “เจ้าคิดว่ากำลังหลอกผู้ใด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าปีศาจที่พวกนางเล่าถึง...เป็นข้า”

          “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร” เขาผุดลุกขึ้นแย้ง 

          “ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าบอกเองว่าข้าเดินละเมอไปทั่ว หลังจากนั้นก็มีข่าวคนตาย ไหนยังจะพระชายาเจินถูกทำร้าย”

          “ไป๋เซ่อ เจ้าเดินละเมอก็ส่วนหนึ่ง แต่มิได้หมายความว่าเป็นเจ้าจะเป็นฆาตกรฆ่าคนสักหน่อยนี่”

          “........” โต้เถียงไปมาพวกเขากลับขึ้นเสียงใส่กัน ทว่าชายหนุ่มพูดจบครานี้เขาก็นิ่งเงียบไป

          ซวนหยวนหมิงไท่เห็นเจ้างูน้อยยังคงคิดมาก จึงรั้งร่างเย็นเข้ากอด “นี่เป็นเพราะเรื่องราวประเดประดังกะทันหัน พลอยทำเจ้าฟุ้งซ่านไปด้วยก็เท่านั้น”

          ร่างสูงลูบหลังแล้วบอกเขาเช่นนั้น ยังผลให้เขามิอาจกล่าววาจาใด เพียงเก็บข้อสงสัยไว้แล้วอิงแอบอีกฝ่ายเงียบๆ อยู่เช่นนี้ หากแต่มันกลับจบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำเสียงเครียดของเสี่ยวลู่ดังขึ้นจากด้านนอกเรือน

          “ฝ่าบาท รีบเสด็จไปที่สระน้ำไท่เย่เถอะพะย่ะค่ะ ตอนนี้ท่านแม่ทัพเซียวกับใต้เท้าเจินกำลังมีปากเสียงกันใหญ่แล้ว”

          “เข้าใจแล้ว” ได้ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ผละตัวออก “ไป๋เซ่อ เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ตำหนักก่อน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าได้คิดมากอีก” เขาย้ำบอกร่างเล็กพลางลูบเรือนผมสีเทาสลวยทีสองทีแล้วตามเสี่ยวลู่ไป

          ด้านไป๋เซ่อทำได้เพียงมองแผ่นหลังอบอุ่นค่อยๆ ห่างออกไป รอจนประตูเรือนพฤกษาปิดลง ภายในห้องก็ไม่หลงเหลือเงาร่างของผู้ใดอีก

 

          “เสี่ยวลู่ ใต้เท้าเจินที่เจ้าเอ่ยถึง ใช่ขุนนางขั้นสอง เสนาบดีฝ่ายตุลาการรึไม่”

          ขณะรีบร้อนเสด็จไปยังที่เกิดเหตุ เจ้าชีวิตพลันทวนถาม สีหน้าเจือแววไม่เชื่ออยู่ส่วนหนึ่ง อาจเพราะเจินหยวนผู้นี้เป็นขุนนางนิสัยรักความสงบ มิใคร่มีปากเสียงกับผู้ใดนัก ซึ่งเสี่ยวลู่เองก็เห็นมิแตกต่าง และเข้าใจในความคิดผู้เป็นนายเหนือหัวดีจึงเอ่ยย้ำ “เป็นใต้เท้าเจินหยวน ขุนนางขั้นสอง เสนาบดีฝ่ายตุลาการ พระสัสสุระของพระชายาเจินพะย่ะค่ะ”

          “อ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบรับสั้นๆ เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายรับทราบข่าวบุตรสาวถูกทำร้ายแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลใดขัดแย้งกับเซียวถิงฟง แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น เขาขมวดคิ้วแฝงแววเคร่งเครียด ลึกลงไปในดวงตาสีดำขลับมีคลื่นอารมณ์จวนเจียนจะขาดผึง

          บัดนี้สระน้ำไท่เย่ ปรากฏกลุ่มคนยืนประจันหน้าคนละฝากฝั่ง หนึ่งเป็นทหารในสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาว และอีกหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบฝ่ายตุลาการ ต่างฝ่ายต่างตั้งท่าลูบอาวุธในมือ สีหน้ามึนตึงเตรียมพร้อมจะโรงรันเข้าใส่ บรรยากาศโดยรอบคุกรุ่น

          “พวกเจ้าคิดทำกระไร ยังเห็นเราผู้เป็นจักรพรรดิอยู่ในสายตาบ้างไหม” ทันทีที่น้ำเสียงตวาดดังก้อง คนทั้งหลายต้องรีบคุกเข่า ขานเรียกเป็นเสียงเดียวกัน

          “ฝ่าบาท”

          “เราทำไม? ถืออาวุธกันถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะเกรงกลัวอันใดอีก” ซวนหยวนหมิงไท่เค้นเสียงดุดัน บัดนี้ฮ่องเต้ผู้มีเมตตาปราณีพลันสลายไปจากตัวเขาแล้ว

          “ขอประทานอภัยฝ่าบาท เป็นพวกกระหม่อมวู่วามใจร้อนเกินไป ขอทรงโปรดลงโทษ” ใต้เท้าเจินซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าคนของฝ่ายตุลาการเอ่ยทูล

          ฮ่องเต้หนุ่มชำเลืองมองผู้กล่าวจากทางด้านบน จากนั้นตำหนิเสียงเย็น “ปกติท่านเองออกจะละเอียดรอบคอบ ไฉนวันนี้จึงได้วู่วามนัก”

          “เป็นเพราะก่อนหน้านี้กระหม่อมได้รับข่าวว่าพระชายาเจินถูกทำร้าย เพลานี้ยังมิได้สติจึงเกิดโทสะชั่ววูบ อีกอย่าง...”

          “อ่อ แล้วเจ้า?” ไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวจบ เขาตัดบทหันไปถามแม่ทัพใหญ่ในชุดเกราะดำน่าเกรงขาม

          “กระหม่อมเพียงทำตามหน้าที่ ด้วยรับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้สืบหาเบาะแสคดีมือสังหารปริศนาในวังหลวง และเมื่อกระหม่อมได้รับทราบข่าวผู้เคราะห์ร้ายรายใหม่ จึงมิกล้าหย่อนยานนิ่งเฉย นำกำลังคนมาปิดล้อมสถานที่เกิดเหตุ เร่งตรวจสอบสภาพศพ รวมถึงร่องรอยคนร้าย แต่ทว่ากลับถูกคนของฝ่ายตุลาการขัดขวางไว้” เซียวถิงฟงประสานมือกราบทูล

          “เรื่องนี้เราให้อำนาจแม่ทัพใหญ่เซียวเป็นผู้สืบคดี เหตุใดท่านจึงก้าวก่ายให้ยุ่งวุ่นวาย หรือท่านเห็นว่าพระบัญชาของเราไม่ถูกต้อง” เจ้าชีวิตรับสั่งหรี่ตากล่าวประชดประชัน

          เจินหยวน เสนาบดีฝ่ายตุลาการรีบปฏิเสธ “มิได้พะย่ะค่ะ แต่ที่กระหม่อมทำเช่นนี้เป็นเพราะมีเหตุผล”

          “เหตุผล? เหตุผลอันใด”

          “ขอฝ่าบาททรงพิจารณา นับแต่เกิดเหตุคดีลอบสังหาร จนกระทั่งบัดนี้แม่ทัพใหญ่เซียวก็ยังไม่พบเบาะแสสำคัญใดๆ แต่เมื่อกระหม่อมลองตรวจสอบดู กลับพบว่าผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามศพ รวมถึงศพรายใหม่นี้ล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน นั่นคือต่างถูกทำร้ายในระยะประชิด คล้ายผู้ตายรู้จักนักฆ่ามาก่อน ทำให้มิทันระวังตัวถูกสังหารในที่สุด ยังมีบาดแผลอันเป็นเอกลักษณ์ เสมือนถูกทะลุทะลวงด้วยพลังฝีมือชนิดหนึ่ง ซึ่งดูในเวลานี้กลับมีคนผู้หนึ่งกระทำได้”

          “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เซียวถิงฟงขึ้นเสียงกร้าว ดวงตาคมเข้มวาวโรจน์ เนื่องเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

          “ใต้เท้าเจิน ท่านคิดว่าบาดแผลนี่เกิดจากกรงเล็บพยัคฆ์?” ซวนหยวนหมิงไท่ถามน้ำเสียงเรียบ หากให้ทอดสายตาทั่วทั้งวังหลวง ณ ตอนนี้ เห็นทีจะมีแต่เซียวถิงฟง ผู้เดียวที่ใช้วิชานี้ได้

          “เป็นการคาดเดาพะย่ะค่ะ” เสนาบดีเจินกล่าว

          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่แค่นเสียงยิ้มเหยียด ลั่นวาจา “ดี ในเมื่อใต้เท้าเจินสันนิษฐานเช่นนี้ เราจะชันสูตรศพเอง”


 

*************************************************

 

          รอจนกลุ่มคนก้มหน้าแหวกทางให้ ร่างสีเขียวอันโปร่งใสราวอากาศจึงก้าวขาตามชายหนุ่มในชุดมังกรไปติดๆ กระทั่งพบกองผ้าดิบสีไข่ไก่คลุมทับบางสิ่งยังเบื้องหน้า ก็มิอาจห้ามหัวใจมิให้เต้นถี่รัวเร็ว มือน้อยกำแน่นมิรู้ตัว ความอึดอัดก่อตัวขึ้นในอก

          “เปิดผ้าออก” ซวนหยวนหมิงไท่ออกคำสั่ง องครักษ์ในขบวนเสด็จจึงเป็นฝ่ายเลิกผ้าออกดู ภายใต้ผ้าห่อศพปรากฏร่างซีดขาวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลงไร้ประกาย ริมฝีปากบิดเบี้ยวทรมาน

          เพียงเห็นเท่านี้ลมหายใจก็พลันขาดห้วง มาตรว่ามิใช่เห็นคนตายเป็นครั้งแรก แต่ครานี้ไป๋เซ่อต้องผงะซวนเซถอยหลังแล้ว เนื่องเพราะบุรุษผู้นี้ ...เป็นคนเดียวกับในความทรงจำที่ผุดขึ้นทุกกระเบียดนิ้ว

          ดูว่าบริเวณกลางอกของทหารยามผู้นี้เป็นรอยทะลวงกว้าง หนำซ้ำโลหิตยังคงเนืองนองมิแห้งสนิทดี ดูผิวเผินร่องร่อยไม่ต่างจากวิชากรงเล็บพยัคฆ์ หากแต่กลับทิ้งรอยแผลเหวอะหวะ มิใช่พลังฝ่ามือขั้นสูงสุดที่ไร้โลหิต ฮ่องเต้หนุ่มประเมินมองครู่หนึ่งก็โบกมือให้องครักษ์คลุมผ้าดิบตามเดิม

          ระหว่างนี้เสนาบดีเจินหยวนจึงถือโอกาสเอ่ย “จากสภาพศพกระหม่อมเห็นควรมิให้แม่ทัพใหญ่เซียวเป็นผู้รับชอบคดีอีก ทั้งนี้ควรกักบริเวณท่านแม่ทัพไว้ยังที่พำนักรับรองของกรมตุลาการเพื่อสืบหาความจริงต่อไป ขอพระองค์ทรงโปรดอนุญาตด้วย”

          “เจ้า!”

          ร่างในชุดเกราะดำยิ่งฟังก็ยิ่งเดือดดาล ผิดกับเจ้าชีวิตเองที่ยังคงท่าทีนิ่งเฉย แลยิ่งมิได้ปริปากเห็นด้วยหรือยอมรับ เมื่อตระหนักได้เช่นนั้นขุนนางผู้เถรตรงก็กล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

          “เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมจำต้องก้าวก่าย นอกเสียจากคดีนี้จะมิได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ กระหม่อมถึงจะยอมเลิกรา”

          ฟังถึงตรงนี้บังเกิดประกายวูบผ่านดวงตาสีดำขลับ ประโยคดังกล่าวคล้ายจี้ใจดำเขาพอดิบพอดี โอรสสวรรค์หลับตาลงครุ่นคิด จากนั้นสะบัดตัวหันหลังเอ่ยวาจาอันไร้เยื่อใย “นับตั้งแต่นี้ไปปลดแม่ทัพใหญ่เซียวออกจากการสืบสวนคดีมือสังหารปริศนา ทั้งกักบริเวณยังที่พำนักรับรองของกรมตุลาการ จวบจนกระทั่งพ้นข้อกล่าวหา”

          “เป็นพระมหากรุณายิ่ง”

          กระแสรับสั่งนี้ทำให้ใต้เท้าเจินขานตอบอย่างยินดี ด้านเซียวถิงฟงกลับมิได้โต้แย้งอันใด เพียงเอ่ยน้อมรับพระบัญชาอย่างว่าง่าย ซวนหยวนหมิงไท่ลอบชำเลืองมองท่าทีของสหายด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาต้องปกป้องไป๋เซ่อไว้ก่อน

          หลังจากขบวนเสด็จทยอยจากไป แม่ทัพเกราะดำก็ถูกกุมตัวไปยังกรมตุลาการ ผู้คนที่มาเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึง ด้านกลุ่มทหารกองธงพยัคฆ์ได้แต่มองส่งผู้บังคับบัญชาการอย่างเคืองใจ มิมีใครสังเกตว่าเพลานี้ผ้าดิบได้เลิกขึ้น

          เป็นไป๋เซ่อกลั้นใจสำรวจใบหน้าผู้ตายอีกครั้ง พร้อมกันนั้นยังปลุกปลอบใจว่าตนฟุ้งซ่านจำผิดไป แต่แล้วถ้อยคำหลากหลายกลับแล่นผ่านสมอง กระทั่งสะดุดตรงคำบอกเล่าของเหลียนฮัว ดวงตาสีฟ้าอมเขียวจึงเบิกกว้างคล้ายพึ่งนึกอะไรออก สองขาพุ่งทะยานไปยังห้องบรรทม รีบร้อนหยิบกระดาษวาดเล่นในยามเช้าขึ้นกวาดมองให้ละเอียด จนในที่สุด...

          “เป็นผลทับทิมจริงๆ” ไป๋เซ่อทรุดตัวนั่งบนเตียง มิใช่เรื่องบังเอิญที่จู่ๆ ชายหนุ่มก็วาดขึ้น เพราะทั้งหมดนี้เป็นฝีมือเขา ทันใดนั้นราวกับมีหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ทั้งยังบังเกิดความเจ็บลึกประการหนึ่ง

          เขาก้มมองสองมือขาวสะอาดอย่างหวาดหวั่น พริบตานั้นมันกลับเปราะเปื้อนด้วยโลหิต ไม่ว่าจะสะบัดอย่างไรก็มิจางหาย เดิมทีสองมือคู่นี้ล้วนปราบปีศาจขจัดคนพาล ทว่าเพลานี้มันกลับคร่าชีวิต...ผู้บริสุทธิ์

          ยามนี้อารมณ์ของร่างเล็กพลุ่งพล่านสับสน จวบจนท้ายที่สุดก็พึมพำออกมา “ต้องบอก...ต้องบอกหมิงไท่” คิดได้ดังนั้นก็รุดตัวออกไป หากแต่ย่างก้าวไปถึงสิบก้าว ฝีเท้ากับหยุดลงเสียดื้อๆ 

          ในอดีตเพื่อปลดปล่อยซวนหยวนหย่าเหลียนจากความมืด และเพื่อปกป้องความสุขสงบของคนในวัง ซวนหยวนหมิงไท่มิใช่ยินยอมสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักผู้ซึ่งถูกปีศาจครอบงำด้วยน้ำมือตนหรอกหรือ ฉับพลันนั้นคล้ายเห็นตนเองถูกร่างสูงเสือกกระบี่เข้าแทงหัวใจ

          “ไม่ได้ บอกไม่ได้”  ข้าไม่ต้องการ ไม่ต้องการแบบนี้ ความเจ็บที่ราวกับโดนมีดกรีดทำให้เปลือกตาเรียวข่มปิดแน่น ทั้งยังสั่นระริกไปด้วยความกลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการ...กลัวจะทิ้งเขาไป

          ไป๋เซ่อนิ่งงันไปพักใหญ่ เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่ภาพเงาร่างสีขาว ผู้มีรอยยิ้มบางจะผุดขึ้นในสมอง  “ใช่แล้วท่านมหาเทพ ท่านมหาเทพ”

 

          เอี๊ยด

          เสียงฝืดของประตูเหล็กทึบดังขึ้นเมื่องับปิดลง ทิ้งให้บุรุษในชุดเกราะดำกวาดตามองห้องสี่เหลี่ยมอันมีแสงส่องสว่างลอดผ่านหน้าต่างแคบๆ เพียงหนึ่งในสาม พื้นปูด้วยฟางเก่าๆ ส่งกลิ่นอับชื้นเหม็นหืน

          รอยยิ้มแหยผุดขึ้น “เฮอะ ก็นึกอยู่ว่ากรมตุลาการมีที่พำนักรับรองอันใด ที่แท้ก็คุกนั่นเอง” เขาแค่นเสียงประชด แล้วตรงเข้าไปหงายหลังนอนลงบนเตียงแข็งกระด้าง พลางนึกถึงร่างน้อยที่มิได้พบหน้าค่าตามาหลายวันอย่างหงอยเหงา

          แลในชั่วขณะที่บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงัด เซียวถิงฟงกลับสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนอีกผู้หนึ่ง เขาเปล่งเสียง “ไป๋เซ่อ เจ้าจะพรางตัวไปถึงไหน”

          คำดังกล่าวทำให้ร่างน้อยถึงกับสะดุ้ง ด้วยลืมเลือนว่าคนตรงหน้ามีพลังเทพแอบแฝงอยู่ ดังนั้นต่อให้ซ่อนเร้นรูปกาย ก็มิอาจปกปิดสายตาคมกล้าคู่นั้นไปได้

          “คนแซ่เซียว ท่านมหาเทพอยู่ที่ใด” รูปกายสีเขียวยังมิทันกระจ่างชัด ไป๋เซ่อก็โพล่งถามอย่างร้อนใจ แม้นตนออกรุดตามหาท่านมหาเทพทั่วทั้งจวนตระกูลเซียว แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาร่างสูงส่ง ดังนั้นได้แต่ลังเลบากหน้ามาถามอีกฝ่าย
         
          “เจ้าต้องการพบต้าเซียน?” เซียวถิงฟงขมวดคิ้วถาม

          “......”

          ไป๋เซ่อไม่ตอบคำ คลับคล้ายมีเรื่องหนักใจ เขาจึงเป็นฝ่ายบอกกล่าว “ต้าเซียนเดินทางไปช่วยคน มิมีกำหนดกลับ” แต่เมื่อครั้นพูดจบ เจ้าตัวกลับยิ่งมีสีหน้าไม่สู้ดี “หรือเจ้ากำลังมีปัญหา หากมีอะไรให้ข้าช่วย...”

          “ม่ะ ไม่มี ไม่มี” ร่างเล็กละล่ำละลักตอบ “ข้ามิได้พบหน้าท่านมหาเทพมาหลายวันจึงลองถามดูก็เท่านั้น”

          ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็ต้องกลืนคำพูดส่วนสุดท้ายลงคอ แล้วเพ่งมองดวงตาเรียวซึ่งหลุบลงอย่างว้าวุ่น “ไป๋เซ่อ ข้าเห็น... เห็นเจ้าติดตามซวนหยวนหมิงไท่ไปสถานที่เกิดเหตุ เพราะสาเหตุใดกัน”

          “ขะ ข้า” ไป๋เซ่อถูกเค้นถามจนตัวชา หัวสมองว่างเปล่า ได้แต่มองปลายเท้าตัวเองอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งใกล้เข้ามาเซียวถิงฟงผินหน้ามองประตู ตนก็ใช้จังหวะนี้หนีหายไป

          “อ้ะ ไป๋เซ่อ” เขาร้องเรียกแต่ก็มิทัน เงาร่างเล็กจางหายไปแล้ว ซึ่งพอดีกับเจ้าหน้าที่เฝ้ายามหยุดฝีเท้าที่หน้าประตู เขาจึงได้แต่เลยตามเลย

          “ท่านแม่ทัพใหญ่เซียว ฝ่าบาททรงมีสาสน์ลับให้ท่าน”

          สาสน์ใบเล็กถูกสอดยังใต้ประตู เซียวถิงฟงฟังดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของซวนหยวนหมิงไท่ เขารีบกระวีกระวาดไล่อ่านข้อความ พริบตาเดียวก็ถอนหายใจ หยิบเอาลูกแก้วสีใสที่คนรักได้ทิ้งเอาไว้ให้ใช้ในยามฉุกเฉิน

          “จำต้องใช้มันแล้วสินะ”


 

****************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 28.2 คำสัญญา 27/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 27-07-2016 22:40:47
บทที่ 28.2 คำสัญญา

 

            ณ ตำหนักหลันฮวา ร่างอรชรในชุดสีขาวได้ลืมนัยน์ตาเฉกเช่นลูกกวางน้อย ทั้งนี้ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าที่นางจะหยัดตัวขึ้นนั่งบนแท่นบรรทม ทอดมองไปที่กระถางกำยานพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงมิได้ดั่งใจ

          “นึกไม่ถึงว่าหลี่ซิ่วหลันจะยอมละทิ้งโอกาสโค่นล้มเซียวไป๋ เพราะอะไรกัน?”

          “คุณหนู”

          ทันใดนั้นมีเสียงทุ้มจากบุรุษหนุ่มดังขึ้นทางด้านหลัง หากแต่ดวงหน้างดงามกลับมิได้หันไปทางต้นเสียง ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายซุ่มซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ “ลู่เหวิน ทางด้านนั้นเป็นเช่นไรบ้าง”

          “เพลานี้นายท่านสามารถตัดแขนขวาของฝ่าบาทได้ชั่วคราวแล้ว”

          เมื่อแผนการสำเร็จไปอีกขั้น เจินเริ่นผิงก็ยิ้มเบิกบาน “ดี ดีมาก จากนี้ไปเราต้องเร่งมือ”

          “อีกสักประเดี๋ยวฝ่าบาทจะเสด็จมาที่นี่ ขอคุณหนูโปรดเตรียมตัว”

          “อืม” นางตอบรับ ฝ่ายลู่เหวินเมื่อมาส่งข่าวเรียบร้อยก็พลันหายไปในมุมมืด ระหว่างนี้ร่างงดงามก็หันไปจัดทรงผมพลางเหยียดยิ้มอย่างรอคอย “เรื่องจะเป็นเช่นไรตอนนี้ก็ขึ้นกับท่าทีของท่านแล้ว ฝ่าบาท”

          ไม่ช้าไม่นานด้านนอกห้องก็เกิดเสียงฝีเท้าอึกทึก เป็นอวี้ชิง นางกำนัลผู้ติดตามเจ้านายมาจากจวนตระกูลเจินผลีผลามผลักประตูห้องบรรทมเข้ามา ฉายใบหน้าแสดงความตื่นเต้นยินดี

          “พระชายา ฝ่าบาทเสด็จมาถึงหน้าตำหนักแล้วเพค่ะ”

          “แต่งตัวให้ข้าเร็ว” ได้ยินเช่นนั้นเจินเริ่นผิงก็เร่งรัดบอกนางกำนัลอวี้ด้วยน้ำเสียงเจือแหบแห้งน่าสงสาร

          พอดีกับที่บุรุษในชุดมังกรสง่างามก้าวเข้ามา ทันเห็นสตรีฝืนลุกขึ้นตัวโงนเงนก็ต้องรีบปราม “ไม่จำเป็น เจ้าบาดเจ็บอยู่ก็นอนพักไปเถอะ เราแค่มาดูอาการเจ้า”

          “ขอบพระทัยเพค่ะ ฝ่าบาท” นางกล่าวอย่างซาบซึ้งแล้วจึงเซนั่งลงข้างเตียง ระหว่างนี้นางกำนัลอวี้ชิงก็หลบฉากให้ผู้เป็นนายได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

          “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

          เจ้าชีวิตเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา ทำให้นางก้มหน้าหลบสายตาที่มีร่องรอยหวาดกลัว “ดีขึ้นแล้วเพค่ะ เพียงแต่ตอนนี้ยังตกใจอยู่บ้าง”

          “เจ้าไม่ตกใจไป เราสั่งให้องครักษ์จัดเวรยามกวดขันที่นี่ให้แล้ว อีกอย่างเรื่องนี้เป็นเพียงการกระทำของคน หาใช่ปีศาจอย่างที่พวกนางกำนัลร่ำลือกัน เจ้าอย่าได้เชื่อเรื่องเหลวไหลพวกนั้น” ซวนหยวนหมิงไท่เน้นกล่าว

          “แต่...เขาเหมือนปีศาจมากจริงๆ”

          “เจ้าเห็นหน้าเขา?” เขาเค้นถาม สายตาหรี่ลงฉายแววเยียบเย็น ทำให้ชายาเจินก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา

          “หม่อมฉันเห็นเพียงรางๆ เพค่ะ เวลานั้นเขาจู่โจมกะทันหัน ยังดีที่อวี้ชิงส่งเสียงร้องเสียก่อนจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมาก”

          ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ลอบถอนใจ “นี่เป็นเพราะเจ้าตื่นตระหนกจึงรู้สึกว่าคนร้ายเหมือนปีศาจ”

          “พระองค์ไม่ทรงเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจรึเพค่ะ” เจินเริ่นผิงช้อนสายตาขึ้นถามอย่างอยากรู้ หากแต่คำถามนี้กลับทำให้เจ้าชีวิตเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังให้พร้อมตอบสั้นๆ

          “ไม่” ดวงตาสีดำขลับทอดมองไปไกล ยังทิศทางของตำหนักแห่งหนึ่ง “นี่ก็บ่ายแล้วเราไม่รบกวนเจ้า พักผ่อนเถิด”

          “อย่าพึ่งไปเพค่ะ ฝ่าบาท” ก่อนพระวรกายจะถอยห่างไป นางก็เอื้อมมือไปไขว่คว้าปลายแขนเสื้อมังกรไว้ จวบจนใบหน้าอ่อนโยนหันมา นางก็กล่าวอ้อนวอน “อยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันอีกสักพักได้ไหมเพค่ะ”

          “........” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับนิ่งเงียบ ด้วยตกตะลึกกับการกระทำนี้อยู่ไม่น้อย

          “หม่อมฉันยังกลัวอยู่ หากฝ่าบาทไม่อยู่ด้วยแล้ว...”

          เจินเริ่นผิงเอ่ยถึงตรงนี้ก็เงียบไป ดวงตาคลุกเคล้าหยาดน้ำใส ทำให้เขายินยอมนั่งลงเป็นเพื่อนนางครู่หนึ่งแต่โดยดี กระนั้นบรรยากาศระหว่างนางกับเขากลับเต็มไปด้วยความอึดอัด และเพราะเหตุนี้ทำให้ชายาเจินลุกพรวดลงจากเตียง

          “เสด็จมาตั้งนานแล้ว พระองค์ต้องกระหายน้ำแน่ๆ เป็นหม่อมฉันสะเพร่า ...ว้าย” ทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้น ร่างบอบบางถึงกับอ่อนยวบ เจินเริ่นผิงร้องตกใจ หากแต่เอวกลับถูกรั้งไว้ในอ้อมกอดอบอุ่นก่อนจะล้มตัวลงทาบทับร่างแกร่ง

          “ไยจึงลุกลี้ลุกลนเป็นเด็กน้อย อย่าได้ลืมไปว่าเจ้าบาดเจ็บอยู่” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเตือน ทำให้ดวงหน้างามซึ่งอยู่ใกล้เพียงคืบเงยขึ้นสบสายตาอย่างลึกซึ้ง

          “...เป็นหม่อมฉันหลงรักฝ่าบาทตั้งแต่แรกเจอ”

          ร่างอรชรกระซิบบอก น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาราวสายน้ำ แลไม่นานดวงหน้างดงามราวบุปผาแรกแย้มจึงเคลื่อนเข้าใกล้ ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่จ้องมองแพขนตาหวานกะพริบน้อยๆ กลิ่นหอมของนางคล้ายมอมเมาให้ผู้คนต่างหลงใหล แม้แต่เขายังนิ่งงันไป จนกระทั่งริมฝีปากจิ้มลิ้มกำลังแนบลงมา เขาจึงได้สติเบือนหน้าหนี

          “เราต้องไปแล้ว” เอ่ยเสียงเรียบก่อนผละตัวนางออกอย่างเบามือ

          เมื่อจู่ๆ ก็ถูกปฏิเสธเช่นนี้ ยังผลให้ตัวนางแข็งค้าง บังเกิดเป็นโทสะในใจ นางกดเสียงต่ำ “ความจริงคืนนั้นหม่อมฉันเห็น...เซียวฮองเฮา”

          ฝีเท้าของซวนหยวนหมิงไท่พลันหยุดชะงัก “ผิดแล้วเพลานั้นเจ้าตื่นตระหนกจึงเกิดสับสนไปเอง” พูดจบก็ย่างก้าวต่อไป ไม่มีความคิดจะหันกลับไปอีก

          ต่อเมื่อคำขู่มิได้ผล แผ่นหลังเย็นชายังคงลับจากไป เจินเริ่นผิงก็ทุบหมัดลงบนเตียงอย่างแค้นเคือง “ใช้ไม้อ่อนดีๆ ไม่ชอบ กลับอยากให้ข้าใช้ไม้แข็ง คอยดูท่านจะได้เห็นเองว่าคนที่ท่านรักนักหนา มันน่าสมเพชเพียงไร”


 

****************************************************


          หลังจากพบพานกับความผิดหวัง ไป๋เซ่อก็ไม่มีกระจิตกระใจจะร่าเริงอีก ซึ่งประจวบเหมาะกับหงลิ่วกลับไปหาหงอู่ ด้วยต้องการถามหาหงเว่ยที่หายไปโดยไม่บอกกล่าว ดังนั้นในยามไม่มีใครอยู่ด้วยเช่นนี้เขาจึงได้แต่นั่งซึมกะทือ

          คล้อยตกเย็นหรูอี้เปิดประตูเข้าไปในห้องบรรทม เห็นร่างสีเขียวหงอยเหงาเซื่องซึมอุดอู้อยู่แต่ในห้องตั้งแต่กลับมา นางก็ทอดถอนใจอย่างเป็นห่วง “เซียวฮองเฮา ฝ่าบาทใกล้เสด็จมาถึงแล้วเพค่ะ”

          “.......”

          แม้จะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าคนในห้องก็ยังไม่รู้สึกตัว ทั้งที่ปกติจะต้องสบถกล่าวเจ้าลูกเต่าสักคำสองคำไปแล้ว หรูอี้คิดกล่าวอีกสักประโยค แต่แล้วเงาร่างหนึ่งก็ทาบทอตัว นางหันหลังกลับไปก็พบเป็นเจ้าเหนือหัวกำลังทอดมองคนนั่งนิ่งเหม่อลอยอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งคล้ายสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้ารางๆ ดังนั้นตนจึงไม่กล้ารบกวนอีก สองเท้าถอยหลังออกมา

          ฉับพลันนั้นสัมผัสได้ถึงกระแสไออุ่น กายถูกกอดจากทางด้านหลัง ไป๋เซ่อสะดุ้งตัวเล็กน้อย เอ่ยเสียงดัง “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ากลับมาแล้ว?”

          “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มบอก “จุ๊ยๆ ดูเจ้าเหม่อลอยเข้าสิ คงคิดถึงข้าจะแย่อยู่แล้วใช่รึไม่ มา มาให้ข้าจูบเจ้าสักหน่อย” ว่าแล้วก็ยื่นริมฝีปากเข้าใส่ หากแต่มือน้อยๆ กลับยันหน้าเขาไว้อย่างใจร้าย

          “เฮอะ เป็นแค่ลูกเต่าแท้ๆ คิดว่าข้าจะคิดถึงเจ้ารึ ฝันไปเถอะ”

          ร่างเล็กเชิดหน้าวางท่ากล่าว ให้ตัวเขายิ้มมุมปาก ลอบคิดในใจ...นี่สิถึงจะเป็นเจ้า “เช่นนั้นลูกเต่าตัวนี้จะขอปรนนิบัตินายท่านทั้งคืน รับรองนายท่านจะต้องสุขสมชอบใจเป็นแน่ ฮึ ฮึ”

          “พะ พูดอะไรออกมาเจ้าคนหน้าไม่อาย สะ สุขสมอะไรกัน” ถูกหยอกเย้าเข้าเช่นนี้ไป๋เซ่อก็พลอยหน้าแดงเถือก

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่กลับเลิกคิ้ว “หืม นายท่านยังไม่เข้าใจ เห็นทีลูกเต่าน้อยตัวนี้ต้องขออภัยแล้ว”

          ทันใดนั้นสายตากระหิวกระหายก็สาดเข้าใส่ ยังผลให้ไป๋เซ่อมีอันตะลึงอ้าปากค้าง พริบตาเดียวก็ถูกกระโจนเข้าใส่ ริมฝีปากบางถูกช่วงชิงไป กระแสหวามไหวแทรกซึมลึกไปทั่วทั้งตัว ลิ้นอุ่นรุกไล่พัวพัน ไม่ช้าไม่นานเปลือกตาเรียวก็คล้อยปิดลง ต่างฝ่ายต่างกระชากเสื้อผ้าอาภรณ์ออก จนในที่สุดผิวกายหนึ่งร้อนหนึ่งเย็นต่างกอดรัดโหยหาซึ่งกันและกัน

          “อา” จนกระทั่งไออุ่นร้อนแทรกผ่าน ไป๋เซ่อก็หลุดเสียงครางหวาน ขาเรียวตวัดรัดเอวชายหนุ่ม

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่ไล่มองใบหน้าเย้ายวนแดงก่ำด้วยสายตารักใคร่ แล้วขับเคลื่อนกายเป็นจังหวะถาโถมให้ร่างน้อยรู้สึกตัวลอยละล่อง พร่ำเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงจวนเจียนคลั่ง

          “หมิงไท่ หมิงไท่”

          “ไป๋เซ่อ ไม่ว่าอย่างไรข้าจะปกป้องเจ้า...ตลอดไป”

          เสียงกระซิบแว่วดังข้างริมหู ทำให้หยาดน้ำตาอุ่นไหลรินจากหางตาเรียว ไป๋เซ่อกดเสียงสะอื้นไห้ในลำคอ จากนั้นจึงสวมกอดร่างอบอุ่นนี้ไว้อย่างแนบแน่น ...ตลอดไป


 

****************************************************

 

          ท้องฟ้าขมุกขมัว คนส่วนใหญ่เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ แต่แล้วลมหนาวกลับหอบเอาเสียงกระดิ่งเข้ามา ปลุกให้คนผู้หนึ่งลืมตาเบิกโพลงในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายรัก รอจนสองขาเรียวเหอะเหินออกไป พริบตานั้นเจ้าของดวงตาสีดำขลับก็ขยับกายพุ่งพรวดติดตามไปทันที

          ร่างสีขาวเดินละเมอวนเวียนหลบเลี่ยงทหารยาม จากตำหนักถั่วแดงไปยังตำหนักกลาง ผ่านอุทยานหลวงไปสู่สระน้ำไท่เย่ ระหว่างนี้เจ้าตัวกลับมีพฤติกรรมแปลกๆ บางคราดึงทึ้งกลีบบุปผาแดงเข้าปาก บางครั้งกระโจนลงสระน้ำไล่จับปลาตัวสีออกแดง ครั้นเจ้าตัวรู้ว่ามิใช่สิ่งที่ตามหาก็โยนมันทิ้งไป จากนั้นมุ่งหน้าเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย

          จวบจนร่างดังเข้าไปยังตำหนักที่มีต้นเฟิงสูง ไม่ไกลออกไปมีเรือนหลังใหญ่ ทว่ามีห้องๆ หนึ่งที่ยังมิได้ดับแสงไฟ คลับคล้ายรอการมาของใครบางคน วูบหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่พลันสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ไป๋เซ่อยังคงตรงไปและหายเข้าไปในห้องดังกล่าว

          “มาแล้ว?” น้ำเสียงปนความมิพอใจดังขึ้น ทำให้ร่างเลื่อนลอยต้องสั่นเทาน้อยๆ นางเห็นแล้วก็นึกขบขัน ก้าวเข้าไปบีบดวงหน้าอีกฝ่าย แต่พริบตานั้นรอยจ้ำแดงบนลำคอกลับปรากฏสู่สายตา ให้ฝ่ามือบางต้องฟาดเข้าใส่ใบหน้าเย้ายวนไม่ยั้ง “จะ เจ้า น่ารังเกียจที่สุด”

          ไป๋เซ่อถูกตีจนหน้าแดงก่ำ หากแต่เจินเริ่นผิงไม่หยุดมือเพียงแค่นี้ นางตรงเข้าไปจุดกำยานเผาหญ้าสิ้นซาก แม้กลิ่นที่ลอยออกมาจะเบาบาง กระนั้นกลับทำให้ปีศาจงูต้องดิ้นพล่าน กุมขมับร้องครางอย่างเจ็บปวด

          “อ่ะ อา”

          เสียงคุ้นเคยที่ดังลอดออกมาจากภายใน ภาพอันโหดร้ายแทบทำให้ดวงใจเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซวนหยวนหมิงไท่ทนหลบซ่อนอยู่ทางด้านนอกมิได้นาน ก็มิอาจห้ามใจมิให้เผยตัวโผทะยานเข้าไปฉุดร่างเย็นขึ้นกอด “ไป๋เซ่อ ไป๋เซ่อเจ้าเป็นอะไรไป เจ็บตรงไหนบอกข้ามาเร็ว”

          บุรุษในชุดคลุมสีเหลืองทองเอ่ยน้ำเสียงที่ฟังดูรวดร้าว ให้นางต้องเหลือบมองคนทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “ถวายบังคมฝ่าบาท”

          มาตรว่าจะพยายามปลุกสติไป๋เซ่อ แต่กระนั้นกลับไม่เป็นผล มิหนำซ้ำยังดูมีวี่แววทรมานขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เขาขึ้นเสียงดุดันใส่สตรีที่ยืนไม่ไกล “เจ้าทำอะไรเขา”

          “ฮึ ดูท่าฝ่าบาทจะรักใคร่เขาไม่น้อย ไม่นึกว่าจะออกมาเร็วเพียงนี้”

          “เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าข้าต้องตามเขามา”

          “.......”

          เจินเริ่นผิงไม่เพียงไม่กล่าว แต่กลับส่งยิ้มหวานให้เป็นคำตอบ ทำให้เขาได้แต่เอ่ยถามเจตนาที่แท้จริง “เจ้าต้องการอะไร”

          “ข้าต้องการอะไรน่ะหรือ?” ฉับพลันนางก็ส่งเสียงหัวเราะพลางก้มตัวลงใกล้ๆ จากนั้นยื่นมืออันนุ่มนวลไล้ใบหน้าหล่อเหลาแฝงแววชิงชัง กล่าวเสียงแข็ง “ประทานบุตรให้หม่อมฉัน ...แต่เพียงผู้เดียว”

          “......” ประโยคดังกล่าวทำให้เขาตะลึงวูบ ทว่าข้อเสนอของนางมิได้มีเพียงเท่านั้น

          “ยังมีปลดเซียวไป๋จากตำแหน่งฮองเฮา”

          สิ้นคำดังกล่าว ซวนหยวนหมิงไท่ก้มมองใบหน้าขาวซีดบิดเบี้ยวในอ้อมกอด ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกลับกลายเป็นสีดำทื่อไร้ชีวิตชีวา เหงื่อเย็นไหลซึมกาย แม้แต่ลมหายใจก็ยังแผ่วเบาลง “หากข้าไม่...”

          “เช่นนั้นก็รอดูเขาตายต่อหน้าต่อตาเถอะ” มิรอให้ร่างสูงส่งกล่าวจบ นางก็เอ่ยแทรกกลางคัน

          ได้ยินเช่นนั้นตัวเขาก็พลันชาวูบ หัวใจเจ็บหนึบราวกับมีดกรีดลึกในอก สองมือกำจนสั่นระริก หากจะให้ตนทนดูไป๋เซ่อ... “ไม่ ไป๋เซ่อๆ” จู่ๆ ร่างน้อยก็เกร็งตัวกระตุกโดยแรง ดวงตาเบิกกว้างบ่งบอกความเจ็บปวด

          ทันใดนั้นคำสัญญาที่บอกว่าจะปกป้องพลอยดังก้องอยู่ในสมอง แลด้วยไม่ว่าอย่างไรมิอาจทนสูญเสียเจ้างูน้อยไปได้ ทำให้เขารีบโพล่งรับปาก “ได้ๆ ข้ารับปากเจ้า หยุดทรมานเขาก่อน”

          ทันทีที่เสียงกระดิ่งดังขึ้น ร่างเล็กก็พลอยคลายตัว หลับตาลงหายใจอย่างสงบ ชายหนุ่มคิดจะยกปลายแขนเสื้อปาดเช็ดเหงื่อให้ แต่เจินเริ่นผิงมิให้โอกาสคนทั้งสอง “ฝ่าบาทอย่าได้เสียเวลาอีกเลย ราตรีนี้ไม่นานเท่าไหร่แล้ว” 

          ซวนหยวนหมิงไท่ชะงักหยุดกึก ต่อหน้าไป๋เซ่อเช่นนี้ จะให้เขากระทำเรื่องชั่วช้าต่ำทรามได้อย่างไร “ให้เขาออกไปจากที่นี่ก่อน”
         
          “เฮอะ ท่านยังมิเข้าใจอีกหรือ ว่ายามนี้ท่าน...”

          “ข้าบอกว่าให้เขาออกไปจากที่นี่” ร่างสูงตวาดก้อง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ ใบหน้าไม่เหลือเค้าความอ่อนโยน รังสีกดดันแผ่ซ่านรอบกาย ยังผลให้เจินเริ่นผิงถึงกับผงะไปเล็กน้อย แล้วจึงจำใจออกคำสั่ง

          “กลับไปได้” ฉับพลันนั้นร่างที่หลับตากลับหยัดยืนขึ้น เซียวไป๋เดินโงนเงนเหมือนคนนอนละเมอ รอจนเขาลับประตูไปนางก็หันไปว่ากล่าวบุรุษอีกผู้หนึ่ง “อาลัยอาวรณ์พอแล้วกระมัง อย่าลืมสิที่นี่ยังมีข้า”

          สตรีบอบบางฉุดรั้งร่างสูงเข้าไปยังด้านในสุดของห้อง ครั้นมาถึงเตียงก็ผลักชายหนุ่มให้นั่งลง แล้วจึงก้าวขึ้นคร่อมบนตักแกร่ง มือนวลปลดเปลื้องเสื้อนอกของตน แลไม่นานเรือนร่างอันบานสะพรั่งก็ปรากฏสู่สายตา

          ทว่ามาถึงขั้นนี้ฮ่องเต้หนุ่มกลับแน่นิ่งไม่ต่างจากก้อนหิน ทั้งยิ่งไม่เหลือบแลมองนางสักหน เจินเริ่นผิงได้แต่มองชายหนุ่มอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วจึงเป็นฝ่ายดึงทึ้งอาภรณ์ของอีกฝ่าย จนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรง จากนั้นนางเหยียดยิ้มขึ้น ก่อนก้มหน้าลงกัดบ่ากว้างโดยแรง

          “.......” เขากัดฟันรับความเจ็บปวด มาตรว่าต่อให้เจ็บเพียงใด กระนั้นข้างในอกกลับร้าวรานยิ่งกว่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนพึ่งตระกองกอดเจ้างูน้อย หากแต่ตอนนี้กลับทำได้เพียงนึกถึง จวบจนริมฝีปากจิ้มลิ้มเคลื่อนเข้ามาใกล้ ตนจึงได้ข่มปิดตาลงอย่างขมขื่น

          แต่ในชั่วอึดใจพลันบังเกิดเสียงนิ้วดีด แลทุกอย่างกลับหยุดนิ่งลงอย่างน่าอัศจรรย์ ซวนหยวนหมิงไท่ลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า ก่อนพบว่าเจินเริ่นผิงนิ่งค้างไม่ขยับกายแล้ว แม้แต่ดวงตาก็หาได้ทอประกาย ทำให้เขาได้แต่มองนางอย่างงุนงง พลันลดเข็มยาสลบที่ตนใช้จ่อลำคอระหง ปลายนิ้วผลักหัวไหล่มนเบาๆ ร่างเบ่งบานก็ล้มพับไป

          เห็นทีว่าเข็มยาสลบเล่มนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว เขาสรุปในใจแล้วหันไปกล่าวกับเงาร่างสูงใหญ่ ผู้ซึ่งยืนส่งสายตาเย็นชา

          “มิคิดว่าจะเป็นเจ้า”


 

****************************************************

 

          โฮก จบบทนี้นี่เเอบเหนื่อย 55555+ เวลาเขียนตัวละครที่ตกอยู่ในอารมณ์สับสน ผู้เเต่งเองก็พลอยสับสนไปด้วย สารภาพว่าก่อนหน้านี้ลังเลจะอัพ สุดท้ายก็เลยปรับเปลี่ยนเนื้อหาไปนิดหน่อยก่อนลง จะว่าไปพอเข้าช่วงใกล้จบเรื่องทีไร ทำไมมันยากขึ้นทุกที ช่วงหลังๆ อาจจะอัพช้ากว่าปกติ เเบบว่าโอย ทำไมปมมันเยอะจุงเบย
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 28 คำสัญญา 27/07/59
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 29-07-2016 22:51:23
โฮกกกกก สงสารไป๋เซ่อ ทำไมต้องมาตกอยู่อยู่ในวังวนชิงดีชิงเด่นกันแบบนี้ :ling3:
ที่จริงแอบบสงสารแม่นางสนมทั้งสองอยู่เหมือนกันนะ คือเกิดเป็นลูกสาว ก็ต้องตอบแทนบุญคุณของตระกูล แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองไม่รัก หรืออาจจะรัก แต่เขาไม่รักเรา ก็มันคือแต่งงานการเมือง จะให้มีความสุขทั้งสองฝ่ายได้ยังไง แล้วจะไปรักใครคนอื่นอีกก็ไม่ได้ แต่ทำร้ายคนอื่นแบบนี้เนี่ย รับไม่ได้ :angry2:

ว่าแต่ว่า เนื้อคู่ซวนหยวนหมิงไท่คนนึงใช่ หย่าเหลียนป่ะคะ คุ้นๆว่าหมิงไท่ชอบนางนี่นา


ขอโทษน้าหายไปนาน ช่วงนี้ชีวิตเรียนเราวิกฤตมากเลยค่ะ  :pig4:

หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 29.1 เจินเริ่นผิง 05/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 05-08-2016 21:31:35
บทที่ 29.1 เจินเริ่นผิง

 

            ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม สะท้อนป่าเขียวชอุ่มตกอยู่ในมนต์ขลัง สะกดให้เจ้าของดวงตากลมโตต้องหยุดฝีเท้าเหม่อมองความงดงามนี้ แต่แล้วสาวใช้ที่ติดตามมากลับเอ่ยเร่งรัด

          “คุณหนูเจ้าค่ะ หากมิรีบไปประเดี๋ยวจะถูกชิงที่นั่งดีๆ นะเจ้าค่ะ”

          “อืม” นางพยักหน้าพลันรู้สึกตัวว่าช้ามิได้อีก จึงเร่งฝีเท้าจ้ำอ้าวไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน ไปยังวนอุทยานชวีเจียง

          ได้ยินว่างานเลี้ยงเสาะหาบุปผาในปีนี้ ซวนหยวนหมิงจงฮ่องเต้วางใจให้องค์หญิงหย่าเหลียนเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้นรายละเอียดของงานจึงมีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม บัณฑิตจิ้นซื่อและคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลายทราบเรื่องก็พากันตื่นเต้น อาจเพราะคาดเดาไม่ออกว่างานจะออกมาเป็นรูปแบบใด

          ขณะนี้ผู้คนในงานต่างจับจองที่นั่งไม่น้อยแล้ว เจินเริ่นผิงในชุดสีชมพูอ่อน ปลายกระโปรงปักด้วยลวดลายดอกเหมยเล็กๆ เยื้องย่างผ่านพรมแดงตรงกลางลานกว้าง ตรงไปที่โต๊ะฝั่งซ้ายมือแล้วนั่งลงบนเบาะนุ่ม ท่ามกลางสายตาจับจ้องเลื่อนลอยของบัณฑิตทางฝั่งตรงข้าม

          “เฮอะ”

          ฉับพลันนั้นนางก็ได้ยินเสียงแค่นในลำคอจากใกล้ๆ ครั้นหันไปก็สบเข้ากับสายตาไม่เป็นมิตรของสตรีในชุดสีส้มสะดุดตา ดวงหน้าหวานไม่เป็นรองใคร ทั้งนี้นั่งห่างจากนางไปโต๊ะหนึ่ง

          “หึ คุณหนูตระกูลหลี่ผู้นี้ชอบจิกกัดคุณหนูเป็นประจำ ต้องมานั่งใกล้นางเช่นนี้โชคไม่ดีจริงๆ” อวี้ชิงก้มตัวกระซิบบอก

          “ช่างเถอะ อย่าไปสนนางเลย” เจินเริ่นผิงเบือนหน้าออกจากหลี่ซิ่วหลัน จังหวะนั้นเกิดเป็นเสียงฮือฮาคิกคักของสตรี ผู้คนในงานต่างพุ่งสายตาไปยังทางเข้าเป็นจุดเดียว ส่งผลให้นางต้องมองตามอย่างสงสัย

          ทันใดนั้นเท้าคู่ก็หนึ่งเหยียบย่างลงบนพรมแดง ผู้มาใหม่เป็นบุรุษหนุ่มเค้าใบหน้าหล่อเหลา สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์กระจ่างตา ทั้งดูสูงส่งอบอุ่นราวกับตะวันทอแสงในคราเดียวกัน พลอยให้นางลืมตากลมโตราวลูกกวางน้อยอย่างตะลึงงัน จนกระทั่งเขาเดินล่วงผ่านนางไปยังศาลาหลังใหญ่ที่จัดไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์จึงได้หยุดฝีเท้าหันตัวกลับมา

          “เริ่นผิง จงจำไว้ให้ดี หาทางเข้าใกล้องค์รัชทายาทให้ได้”

          จู่ๆ คำพูดของเจินหยวนกลับวูบผ่านสมอง แม้รู้ถึงความทะเยอทะยานในใจบิดา แต่ผู้เป็นบุตรสาวอย่างนางกลับไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ ดังนั้นจิตใจของนางในยามนี้จึงนับว่าไร้เดียงสา ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมใดๆ

          ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมิอาจละสายตาไปจากร่างสง่างามนั้นได้ หนำซ้ำมันยังฉายแววพึงพอใจ ก่อนจะนึกเอะใจเมื่อเห็นเขาทอดสายตาเย็นเยียบให้กับสตรีผู้หนึ่ง ...สตรีผู้ขึ้นชื่อว่างดงามราวดอกโบตั๋น

          องค์หญิงหย่าเหลียนในชุดผ้าแพรสีฟ้าโดดเด่นพร้อมกลุ่มกำนัล ก้าวเข้ามาถึงตรงกลางลานกว้างก็หยุดตัวถวายคำนับ ทว่าองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์กลับหลุบสายตาลงแล้วเสด็จเข้าไปประทับยังศาลาด้านหลังโดยมิได้กล่าวอันใด ความเหินห่างเย็นชานี้เสมือนมีเพียงนางรับรู้ แต่เด็กสาวอายุสิบสี่อย่างนางรู้เรื่องอันใด สุดท้ายจึงได้แต่มองข้ามไป

          งานเลี้ยงดำเนินขึ้น เหล่านางรำออกมาร่ายรำในจังหวะเพลงสนุกสนาน อาหารนานาชนิดถูกนำออกมาวางเรียงรายไว้บนโต๊ะ ผู้คนในงานต่างสนทนากันอย่างออกรส แต่ถึงอย่างไรก็พุ่งความสนใจไปยังบุคคลที่นั่งในศาลากลางเป็นระยะๆ ไม่เว้นแม้แต่นาง

          ในศาลากลางนอกเหนือจากรัชทายาทหนุ่มแล้ว ผู้ที่จับจองที่นั่งข้างกายล้วนแต่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นคุณชายเซียวถิงฟงที่พึ่งได้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพ สตรีปริศนาในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนประดุจฉางเอ๋อเทพธิดาจันทรา กับเด็กหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้ากินอาหาร และเด็กสาวในชุดสีดำดูเย็นชา

          ต่อมางานลอยจอกสุราเพื่อขับกลอนโต้กวีในสระน้ำชวีเจียงก็เริ่มขึ้น นางเองได้รับจอกสุรามาใบหนึ่ง ครั้นถึงเวลาลอยจอกตนกลับซ่อนมันไว้กับตัว อวี้ชิงบ่นนางใหญ่ แต่นางเพียงยิ้มแล้วลอบมองบุรุษร่างสีขาวซึ่งแอบโยนจอกสุราไปในโพรงหญ้า ใบหน้าอมยิ้มราวกับเด็กที่กระทำเรื่องซุกซน จวบจนช่วงสุดท้ายของงานผู้คนต่างคึกคักเป็นพิเศษ เพราะการเสาะหาบุปผาในปีนี้ ทุกคนสามารถมอบดอกไม้ให้แก่บุคคลที่ตนพึงใจได้

          “คุณหนู ข้าว่าหลี่ซิ่วหลันผู้นั้นคิดมอบดอกไม้ให้กับองค์รัชทายาทแน่ๆ ข้าเห็นนางส่งสายตาหยาดเยิ้มให้พระองค์ตลอดเวลา เฮอะ ทั้งน่ารังเกียจทั้งไม่เจียมตัว พระองค์สูงส่งเพียงใดมีรึจะชายตามองบุตรสาวขุนนางขั้นเล็กๆ อย่างนาง” อวี้ชิงก่นด่า

          “อวี้ชิง อย่าพูดแบบนี้สิ องค์รัชทายาทเป็นบุรุษเพียบพร้อม จะมีสตรีคนใดบ้างไม่สนใจ” เจินเริ่นผิงเอ่ยปรามขณะเอื้อมมือไปเด็ดดอกโบตั๋นขาวอมชมพู

          “เอ๋ เช่นนั้นคุณหนูเองก็สนใจองค์รัชทายาทใช่ไหมเจ้าค่ะ” ดวงตาของอวี้ชิงทอประกายดีใจ ครั้นเห็นผู้เป็นนายหน้าแดงก็ชิงกล่าว ”ช้าไม่ได้แล้ว พวกเราต้องตัดหน้าก่อนหลี่ซิ่วหลันจะมอบดอกไม้ รีบไปเร็วคุณหนู”

          สาวใช้พูดจบนางก็กึ่งลากกึ่งเดินพานางตามหาร่างสง่างามไปทั่ว แลสวรรค์เองก็เป็นใจ เพราะไม่นานก็ได้พบคนที่ตามหา องค์รัชทายาทยืนอยู่แถวริมสระน้ำ แลกำลังเหม่อมองไปยังทิศทางหนึ่งเพียงลำพัง เพลานี้แสงสีเหลืองจากโคมข้างทางส่องสลัวในความมืด ส่งผลให้นางใจเต้นระรัว ดูว่าในมือของพระองค์ยังมีดอกกุ้ยฮวาสีขาวนวลเล็กๆ น่ารักอยู่ ระหว่างนี้นางก็ถูกอวี้ชิงดุนหลังเข้าไป พอดีกับเสียงหนึ่งดังขึ้นหลังพุ่มดอกกุ้ยฮวา

          “องค์หญิงหย่าเหลียนรีบเสด็จไปทางนี้ รองแม่ทัพเซียวไปถึงสวนดอกเหมยแล้ว”

          เป็นเสียงขันทีผู้หนึ่งกล่าวอย่างเร่งรีบ พร้อมกับร่างอรชรในชุดแพรสีฟ้าผลุนผันออกไปไกล พริบตานั้นนางคล้ายเห็นใบหน้าที่วาวโรจน์อย่างมิพอใจ แม้แต่มือที่กำดอกไม้ยังกำแน่นขึ้น ตนคิดหยุดฝีเท้าด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศผิดปกติ หากแต่อวี้ชิงกลับมิได้รู้สึกทั้งยิ่งผลักนางออกไป

          “อ้ะ” ในที่สุดนางก็ชนเข้ากับแผ่นหลังกว้าง ให้บุรุษหนุ่มหันกลับมาทันใด “ขะ ขอพระราชทานอภัยเพค่ะ หม่อมฉัน ...หม่อมฉัน” เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางกลับกลายเป็นคนพูดติดอ่างไปเสียอย่างนั้น

          “มีธุระอันใด”

          รัชทายาทหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าของนางแดงก่ำ มิกล้ามองหน้ามองเขาชัดๆ จึงได้แต่ยื่นมือที่มีดอกโบตั๋นบอบบางไปให้ กระนั้นเขากลับไม่คิดจะรับไว้ สองมือไพล่หลังไม่แม้แต่จะขยับ

          ต้องการให้ข้า?” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มลงมองดอกไม้ในมือหญิงสาว ก่อนจะแค่นเสียงหยัน “หึ ดอกโบตั๋น”

          ได้ฟังน้ำเสียงชิงชังนางถึงกับตัวชาวาบ ยามนี้จึงตัดสินใจเงยหน้ามองอีกฝ่าย แล้วจึงพบประกายความเย็นชาในดวงตาสีดำขลับ

          “เจ้าเก็บไว้มอบให้คนอื่นเถอะ”

          องค์รัชทายาทเปล่งเสียงห้วน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อทิ้งดอกกุ้ยฮวาในมือลงสระน้ำไป นางมองดอกไม้สีขาวนวลเล็กค่อยๆ จมลงสู่ผิวน้ำ จากนั้นหางตาก็เหลือบเห็นร่างสูงเดินผ่านตัวนางไปอย่างไม่ไยดี การกระทำนี้คล้ายบ่งบอกว่านางมิคู่ควร ให้นางต้องนิ่งอึ้งไปพักใหญ่

          “คุณหนู”

          อวี้ชิงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบวิ่งเข้ามาอย่างเป็นห่วง ส่วนนางได้แต่ยืนเซื่องซึม หยาดน้ำใสปริ่มนัยน์ตากลม ความผิดหวังกอบกุมจิตใจ แต่แล้วน้ำเสียงหนึ่งก็ดังเข้าซ้ำเติม

          “หึ สตรีที่น่ารังเกียจ ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว องค์รัชทายาทสูงส่งเพียงใดมีรึจะชายตามองบุตรสาวขุนนางขั้นเล็กๆ อย่างเจ้า”

          เป็นหลี่ซิ่วหลันที่มีสาวใช้ประคอง พร้อมกับเหล่าคุณหนูตระกูลอื่นเดินเข้ามากลุ่มหนึ่ง ครั้นนางพูดจบก็บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะเยาะ ส่งผลให้นางต้องก้มหน้ากำมือด้วยความอับอาย

          “คำพูดนั้นเป็นข้ากล่าว ไม่เกี่ยวกับคุณหนูข้า พวกเจ้าอย่ามารังแกกันแบบนี้นะ” อวี้ชิงขึ้นเสียง คาดว่าอีกฝ่ายคงบังเอิญได้ยินนางกล่าวประชดประชัน

          “เฮอะ” หลี่ซิ่วหลันแค่นเสียง ขี้คร้านจะใส่ใจกับสาวใช้ปากเสียจึงเชิดหน้าเดินนำคนอื่นไป แต่แล้วครู่ต่อมาก็บังเกิดเสียงร้องพร้อมกับเสียงน้ำกระจัดกระจาย นางหันกลับไปก็เห็นเจินเริ่นผิงตกลงไปในสระสภาพเปียกปอนน่าสงสาร ด้านอวี้ชิงร่ำร้องตกใจ ส่วนธิดาขุนนางคนอื่นๆ หัวเราะยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น ดูว่าอีกฝ่ายถูกกลั่นแกล้ง ทว่านางมองดูอยู่พักหนึ่งก็เอ่ย “เหลียนฮัวไปเถอะ”

          ฟังเสียงหัวเราะเยาะดังก้อง ริมฝีปากจิ้มลิ้มก็กัดเม้มจนรสเลือดล่วงผ่านลำคอ ดวงตาราวกวางน้อยทอประกายแค้นเคือง นางทำผิดกระไร เพียงชื่นชมบุรุษผู้หนึ่ง เขากลับหยิบยื่นความเย็นชาให้ ไม่ไว้แม้แต่ไมตรี ให้สตรีอื่นเหยียดหยาม หรือเพราะนางเป็นเพียงสตรีต่ำต้อย มิคู่ควรให้เขายุ่งเกี่ยว ตนจึงต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายนี้

          งานเลี้ยงยังคงไม่เลิกรา แต่สองนายบ่าวจำต้องกลับจวนตระกูลเจินไป อวี้ชิงช่วยนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมดวงตาแดงก่ำ กระนั้นนางเพียงเงียบงัน แลครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยปากให้อีกฝ่ายออกไป จากนั้นตรงไปยังห้องหนึ่งที่ยังคงไม่ดับแสงเทียน

          “เริ่นผิง”

          คนในห้องมองนางอย่างแปลกใจ นางกล่าว “ท่านพ่อ จากนี้ไปข้อเสนอของท่าน ข้าจะกระทำตาม”

          ต่อไปนี้ไม่ว่าจะร่ำเรียนหมากล้อม พิณ พู่กัน ร่ายรำ ตำราอะไร นางก็จะฝึกฝนให้ชำนาญ ให้เพียบพร้อมไม่น้อยหน้าสตรีใด เพื่อก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดเดียวกับท่าน และสักวันหนึ่งท่านจะต้องชดใช้ให้กับข้า

          ...ด้วยหัวใจของท่านเอง องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่


 

*******************************************************

 

            ยามเช้าซึ่งนกกระจิบโบยบินส่งเสียงขับขาน แสงแดดรำไรทาบทอนวมอุ่น ทำให้คนขี้เกียจที่ยังคงหลับอยู่ต้องขยับตัวหนีทีหนึ่งก็ต้องนิ่วหน้าด้วยอาการปวดระบมไปทั่วทั้งตัว ต่อเมื่อแว่วเสียงคนคุยกันมิไกลก็พลันลุกพรวดพราดโพล่งถามด้วยสีหน้าแตกตื่น

          “มีคนถูกทำร้ายอีกรึไม่?”

          ได้ยินร่างเล็กร่ำร้องแตกตื่น หยาดเหงื่อเม็ดเล็กผุดบนหน้าผาก รัชทายาทหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับขันทีประจำกายต้องหันกลับไปหาคนที่นอนอยู่บนเตียง “ข้าเพียงสั่งงาน เจ้าเองพึ่งหลับไปได้ไม่นาน นอนต่อเถิด” เขาเดินเข้าไปดันร่างไป๋เซ่อให้นอนราบลงไปอีกครั้ง หากแต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าทวนถามอย่างร้อนใจ

          “ไม่ ตอบข้ามาก่อน เมื่อคืนมีคนถูกทำร้ายอีกรึเปล่า”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองแก้มนวลที่แม้จะใส่ยาแล้วก็ยังคงทิ้งรอยแดงจางๆ ไว้อย่างเจ็บปวด มือหนึ่งยื่นออกไปลูบไล้ “ไม่มีสักหน่อย”

          “จริงหรือ” ไป๋เซ่อย้ำถาม รอจนชายหนุ่มพยักหน้าให้จึงได้ผ่อนคลายลง จ้องมองอีกฝ่ายที่แต่งตัวเต็มยศ “เจ้าจะออกว่าราชการแล้ว?”

          เห็นความหงอยเหงาในดวงตาสีฟ้าอมเขียว เขาก็นิ่งเงียบไป “ข้าขอโทษ” เป็นข้าไม่มีเวลาให้ เจ้าจึงถูกทำร้ายเช่นนี้

          “เฮอะ อย่ามาแสร้งตีหน้าเศร้านะเจ้าคนเจ้าเล่ห์”

          ไป๋เซ่อหรี่ตามองอย่างจับผิด ทำให้เขาต้องหยิกก้นน้อยๆ “ฮึ รู้ทัน”

          “อ๊ากกก เจ้าลูกเต่าลามก” ร่างเล็กกระโดดผึงร้องลั่น ใบหน้าแดงก่ำชวนมอง ส่งผลให้คนหยอกต้องหัวเราะคิกคัก

          “จริงสิ หากเจ้าเบื่อหน่าย เขารอเจ้าอยู่ที่ห้องโถงแล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่ทิ้งท้ายบอกกล่าว ให้เขาต้องเกาศีรษะงุนงงว่าใครกัน หรือว่าจะเป็น... ดวงตาเรียวเบิกกว้าง สองขารุดไปยังโถงรับแขกสุดฝีเท้า จวบจนแลเห็นเงาร่างหนึ่งนั่งหันหลังให้ก็หลับหูหลับตาโถมตัวเข้าใส่

          “หงลิ่ว” ในที่สุดเจ้าตัวน้อยก็กลับมาเสียที ครั้งนี้ต้องลูบคลำให้มากเสียหน่อย ไป๋เซ่อคว้ากอดหมับ แต่แล้วร่างข้างใต้กลับแข็งทื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น เอ ...หงลิ่วผู้นี้จะตัวใหญ่ไปหน่อยกระมัง “ไม่เจอเพียงไม่กี่วันไฉนเจ้าตัวโตเป็นหมีเช่นนี้”

          เปรี๊ยะ เสมือนใบหน้าบังเกิดรอยแตกร้าว หงเว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ “ขะ ข้าเหมือน...หมี”

          “หงเว่ย” ได้ยินเสียงเข้มไป๋เซ่อก็ผละตัวออกอย่างตกใจ ก่อนจะสบเข้ากับใบหน้าเคล้าน้ำตาของบุรุษหนุ่มในชุดสีม่วงอมดำ เขาเกาแก้มเก้อเขิน หัวเราะแห้งๆ “ข้าเพียงเปรียบเทียบเท่านั้น แฮะ แฮะ”

          พริบตาที่แขนเรียวคลายลง ใจของหงเว่ยก็วูบโหวงไปด้วย ระหว่างนี้ก็จับจ้องดวงหน้าเย้ายวนที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามาหลายวัน ดูว่าอีกฝ่ายผอมลงไปถนัดตา ยังมีรอยแดงที่ประทับบนแก้มนวลจางๆ ในยามนี้

          ...มันน่าตายนัก

          ทันใดนั้นเกิดรังสีอาฆาตในดวงตาคม แต่ก่อนที่ไป่ไป๋จะรู้สึกตัว ตนก็เก็บซ่อนมันไว้พลางย้ำเตือนตนเอง ...นี่ยังมิถึงเวลาอันสมควร

          “ว่าแต่เจ้าไปไหนมา ไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ข้ากับหงลิ่วเป็นห่วงนะ” ไป๋เซ่อบ่นอย่างเอาเรื่อง แต่ร่างแกร่งฟังแล้วกลับดูเลื่อนลอย ดวงตาทอประกายระยิบระยับ

          “ไป่ไป๋เป็นห่วงข้า”

          “แน่นอน หงลิ่วเห็นเจ้าหายไปนานจึงกลับไปสืบข่าวกับหงอู่แล้ว”

          “ให้ข้าตรวจดูอาการเจ้า”

          “หา” เขาอุทานเลิกตาโต นี่พวกเขาพูดคุยกันเรื่องเดียวกันรึเปล่าหนอ ถึงตอนนี้มือจึงถูกฉวยไป ไป๋เซ่อถึงกับหน้าซีดรีบชักมือกลับ เกรงกลัวว่าความลับในใจจะเปิดเผย “ข้ามิได้เป็นอะไรสักหน่อย”

          “.......” มองมือที่ว่างเปล่า รวมถึงท่าทีวิตกของอีกฝ่าย ตนก็นิ่งเงียบไป สักพักจึงตัดสินใจใช้ความกล้า ยื่นมือไปลูบศีรษะน้อยอย่างเงอะงะ “ไป่ไป๋ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เจ้าพูดกับข้าได้ทุกเรื่อง เพราะข้าอยู่ข้างเจ้า”

          “ข้า...” ไป๋เซ่ออึกอักลังเล มาตรว่ารู้จักกันได้ไม่นานนัก ทว่าหงเว่ยผู้นี้กลับคอยเอาใจใส่ดูแลตนอยู่เสมอ ทั้งปฏิบัติต่อเขาราวกับญาติสนิท เปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่งก็ว่าได้ แลยิ่งเห็นความจริงใจเช่นนี้ ก็ยากจะปฏิเสธไปได้ เขาหลุบตางึมงำเสียงเบา “ช่วงนี้ข้านอนละเมอไม่รู้ตัวมาตลอด ข้าไม่อยากเป็นแบบนี้” กระนั้นก็มิได้บอกถึงความกลุ้มใจทั้งหมด

          “ไม่เป็นไร เจ้าจะต้องหายดี” หงเว่ยยิ้มบาง ดวงตาสีม่วงอมดำฉายแววอ่อนโยน และดูว่ารอยยิ้มนี้คล้ายปลอบประโลมจิตใจงูเผือกน้อย นัยน์ตาเรียวเย้ายวนจึงปรากฏน้ำตาคลอหน่วง “เช่นนั้นตอนนี้ให้ข้าตรวจชีพจรเจ้าดีไหม”

          ถามครานี้ร่างเล็กก็พยักหน้าน้อยๆ ยินยอมยื่นข้อมือให้อีกฝ่ายแต่โดยดี หงเว่ยใช้ปลายนิ้วสัมผัสแตะท้องแขนบาง พริบตานั้นราวกับมีมีดกรีดหัวใจ เนื่องเพราะเขาสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติในกายเจ้าตัว

          จากคำบอกเล่าของแม่เฒ่าในชนเผ่าหมอผี แรกเริ่มหนอนทุกข์ระทมจะฝังตัวอยู่ในสมอง ซึ่งยากต่อการตรวจพบหรือรับรู้ถึงการคงอยู่ของมัน แต่หากเมื่อไหร่ที่มันเผยตัวชัดเท่ากับร่างเหยื่อนั้น ...เกินเยียวยาแล้ว

          เฉกเช่นโลกทั้งมวลสลายลงต่อหน้า แต่เพราะร่างเย้ายวนมองอยู่ จึงมีแต่ต้องข่มกลั้นความร้าวรานไว้ภายใน แต่ครั้นเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาไร้เดียงสา กลับกลายเป็นว่าตนมิอาจควบคุมสติทั้งหักห้ามใจ มิให้สวมกอดคนตรงหน้า

          “หงเว่ย” ไป๋เซ่อร้องออกมาอย่างตกใจ หากแต่ก็มิได้ผลักร่างเย็นเยียบที่ต่างจากร่างอบอุ่นที่ตนคุ้นเคยออกไป

          “ไป่ไป๋ ไม่ต้องกลัวนะ จากนี้ไปข้าจะดูแลเจ้าเอง” หงเว่ยลั่นสัตย์สาบาน ...ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องหาวิธีรักษาเจ้า ทั้งจัดการปีศาจสารเลวผู้นั้นให้จงได้

          ในเมื่ออีกฝ่ายบอกกล่าวเช่นนี้ ไป๋เซ่อก็พลอยคลายใจลง ทั้งนี้เริ่มมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเป็นอยู่จะต้องหาย อสุรกายเลือดเย็นในร่างจะดับสูญไป แลทุกอย่างจะต้องดีขึ้น เขาเหยียดยิ้มบาง

 

          ณ ห้องทรงพระอักษร บนโต๊ะกว้างสีทองมีฎีกาม้วนหนึ่งคลี่วางไว้กว่าครึ่งชั่วยาม บุรุษในชุดมังกรได้แต่นิ่งมองตัวอักษรที่คัดอย่างบรรจงตาไม่กะพริบ เพลานี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจสงบจิตสงบใจให้พุ่งสมาธิกับรายงานตรงหน้า กระทั่งบังเกิดเสียงเอะอะยังหน้าห้อง

          “พระชายาได้โปรดหยุดก่อน ที่นี่พระนางเข้ามิได้” เป็นเสี่ยวลู่ร้องห้าม แต่กระนั้นสตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินก็ยังผลักประตูเข้ามาอย่างมิไยดี

          “เจ้า”

          เจินเริ่นผิงก้าวเข้าไปอย่างมาดมั่น ก่อนเผยรอยยิ้มตรึงใจเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของโอรสสวรรค์ “ฝ่าบาท ท่านช่างไร้เยื่อใยเหลือเกิน ทั้งที่พึ่งร่วมคืนกันแท้ๆ กลับทิ้งหม่อมฉันไปตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง”

          “พวกเจ้าออกมาไปก่อน” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวไล่

          เสี่ยวลู่รับฟังจนหน้าซีดแล้วจึงส่งสายตาดุให้นางกำนัลอวี้ชิงที่ยิ้มแก้มปริให้รีบออกจากห้อง รอจนประตูงับปิดลง เจ้าเหนือหัวก็ขึ้นเสียงตวาด

          “เจ้ายังต้องการอะไรอีก”

          “ฮึ ข้าต้องการอะไร?” พระชายาเจินแค่นเสียงขบขัน แล้วเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงกร้าวในพลิกฝ่ามือ “ราชโองการปลดเซียวฮองเฮา”

          “.......” ชายหนุ่มตะลึงวูบ มาตรว่าจะโกรธจนตัวสั่น สองมือบนโต๊ะกำแน่น แต่ยามนี้จำต้องอดกลั้นไว้ เขากัดฟันเอ่ย “ยังมิใช่ตอนนี้ ข้าต้องใช้เวลา”

          เป็นไปอย่างที่นางคาด “ได้ หม่อมฉันให้เวลาเพียงสามวัน หากฝ่าบาทยังทรงคิดยื้อเวลาไว้อีก ดีไม่ดีคนที่อยู่ในคุกอาจจะตายเสียก่อน”

          “เจ้ากล้าขู่”

          ฮ่องเต้หนุ่มถลึงตาทุบโต๊ะเสียงดังปัง แต่นางยังคงยิ้มกล่าวเสียงเรียบ “มิบังอาจเพค่ะ หม่อมฉันเพียงต้องการเตือน เพลานี้ฝ่าบาทไร้คนพึ่งพิงแล้ว และแน่นอนว่าคนที่ตัดแขนตนเองก็มิใช่ใครอื่น เป็นฝ่าบาทเอง ดังนั้นหากยังทรงปกป้องเจ้าปีศาจผิดเพศนั่นอีก สุดท้ายพระองค์จะไม่เหลือใคร” วาจาเยาะหยันจบลง เจินเริ่นผิงก็หมุนตัวไปยังทางออกก่อนทิ้งท้าย “หวังว่าจากนี้ฝ่าบาทจะฉลาดพอว่าควรจะเสด็จไปพำนักที่ตำหนักใด”

          ถ้อยคำดังกล่าวถึงกับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่เป็นดั่งคนเป็นที่ยังมีลมหายใจ เขาทิ้งตัวนั่งบนบัลลังก์กว้างอันแสนหนาวเหน็บ แววตาฉายความเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะสะท้อนถึงดวงหน้ายิ้มแฉ่ง

          ไม่ ข้าจะปล่อยวางตอนนี้มิได้ หงเว่ยมิได้บอกรึว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเจินเริ่นผิงไม่มีทางนำหนอนทุกข์ระทมมาจากชนเผ่าหมอผีได้ เว้นแต่จะมีปีศาจตนใดให้ความช่วยเหลือ ขอเพียงจับมันได้ไป๋เซ่อก็ยังมีหนทางรักษา คิดได้ดังนั้นดวงตาสีดำขลับก็ฟื้นขึ้นมาอย่างมีกำลัง

          แลเมื่อล่วงเข้าสู่รัตติกาล ขบวนเสด็จของเจ้าชีวิตก็มุ่งหน้าไปเยือนตำหนักหลันฮวา ผ่านต้นเฟิงสูงเรียงยาวตามทาง แลเรือนหลักมีร่างอรชรยืนต้อนรับอยู่

          “นับว่าท่านยังคงฉลาด” เจินเริ่นผิงเปรย แลในห้องอันไร้ผู้คนนางผลักร่างสูงเพรียวลงบนเตียง จากนั้นตรงเข้าทาบทับเรือนกายสูงส่ง สองมือแหวกสาบเสื้อมังกรจนเผยกลิ่นอายบุรุษเพศ ปลายนิ้วลากไล้รอยฟันแดงจ้ำบนบ่ากว้างที่ตนเจตนาทิ้งเอาไว้ ก่อนก้มลงกัดซ้ำโดยแรง

          กว่าสี่ปีที่นางทนต่อความอับอาย ต้องใช้ชีวิตอย่างเข้มงวด แลในที่สุด ณ เพลานี้ นางเหยียดยิ้ม

          ...บุรุษที่อยู่เหนือคนทั้งปวงก็กลับกลายเป็นของเล่นของนาง


 

******************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 29.2 เจินเริ่นผิง 05/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 05-08-2016 21:33:14
บทที่ 29.2 เจินเริ่นผิง

 


          “นายท่าน”

          “เจ้ามาแล้ว” บุรุษในชุดขุนนางปักลายไก่ฟ้าสีทองกำลังนั่งดื่มน้ำชาในห้องหนังสือ บนโต๊ะใกล้ๆ วางไว้ด้วยกระดานหมากอันหนึ่ง ดูยามนี้หมากสีดำต่างล้อมรอบหมากสีขาว แลเพียงอีกตาเดียวผลลัพธ์แพ้ชนะก็จะปรากฏสู่สายตา “ทางเริ่นผิงเป็นเช่นไรบ้าง”

          “ฝ่าบาททรงอยู่ในกำมือคุณหนูแล้วขอรับ สามคืนก่อนก็ทรงเสด็จไปพำนักที่ตำหนักหลันฮวาแต่โดยดี” ลู่เหวินรายงาน

          “......” เจินหยวนรับฟังเงียบๆ นิ้วชี้เคาะบนโต๊ะไม้เป็นจังหวะราวกับครุ่นคิดอันใด “ชิวเยี่ยน ผู้นั้นยังคงใช้การได้รึไม่”

          ชิวเยี่ยนที่กล่าวถึงนี้ ย่อมเป็นนางกำนัลที่แฝงตัวรับใช้ในตำหนักของเซียวฮองเฮา ลู่เหวินขมวดคิ้วสงสัย ไยนายท่านจึงเอ่ยถามถึงนาง “ได้ ขอรับ”

          ได้ยินเช่นนั้นชายอายุล่วงสี่สิบกว่าก็ยื่นขวดแก้วใบเล็กซึ่งบรรจุด้วยน้ำสีใส ไร้สีไร้กลิ่น หากแต่สิ่งนี้สะสมอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลานาน เส้นเอ็นก็จะเสื่อมสภาพ และกลับกลายเป็นดั่งคนพิการในที่สุด “ให้นางหาวิธีให้ฮ่องเต้ทรงดื่ม เพียงวันละหยดเท่านั้น”

          “นายท่าน แล้วคุณหนู...” 

          เจินหยวนเอ่ยถามเสียงเย็น “ลู่เหวิน บอกสิว่านายเจ้าเป็นใคร”

          “......” ผู้เป็นนักฆ่าเงียบไปครู่หนึ่งก็คุกเข่า “ย่อมเป็นนายท่าน” แม้คุณหนูเจินจะดีกับตนมาตลอด ทว่าเจินหยวนผู้นี้กลับคนชุบเลี้ยงขอทานข้างถนนเช่นตน ทั้งหยิบยื่นชีวิตใหม่ให้ มิใช่ชีวิตไร้ค่า ผู้คนรังเกียจเหยียดหยาด

          “ดี ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องใด แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป ด้วยยาพิษนี้จนกว่าจะครบสามปีมันจะไม่แสดงอาการให้เห็น ระหว่างนี้ข้าไม่เชื่อว่าเริ่นผิงจะไม่ตั้งครรภ์”

          “ขอรับนายท่าน” นายท่านพูดเช่นนี้ ตนก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มิอาจบอกกล่าวแก่คุณหนู

          “ยังมีสิ่งนี้” เสนาบดีฝ่ายตุลาการยิ้มเหี้ยม “ส่งมอบให้กับแม่ทัพใหญ่เซียว จำไว้ว่าอย่าให้มีพิรุธหรือเบาะแสใด”

          สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นห่อบรรจุผงยาเล็กๆ พร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง เพียงมองผ่านตาก็รู้ว่าต้องทำเช่นไร เขาเก็บของทั้งหมดไว้ในอกเสื้อ “ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย” เอ่ยจบก็รุดออกจากเรือนไป

          จวบจนทุกอย่างอยู่ในความสงบ เป้าหมายแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง บนกระเบื้องหลังคากลับมีเงาร่างสูงใหญ่หยัดยืนขึ้นบดบังแสงจันทร์กระจ่าง เจ้าของใบหน้าคมหยักยิ้ม

          “ฮึ ฮึ ถึงเวลาไล่ล่าหนูสกปรกแล้ว”

          “เมี้ยว”

 

          เป็นเวลายามโฉ่ว[1] คนในชุดสีดำปิดบังใบหน้า หลังสะพายกระบี่กำลังทะยานตัวมุ่งตรงไปยังกรมตุลากรม ดูว่านี้ราตรีเยียบเย็นกว่าปกติ มาตรว่ากายจะแหวกฝ่าลมหนาว ทว่าแผ่นหลังกลับมีหยาดเหงื่อซึมกาย คลับคล้ายตนตกอยู่ภายใต้สายตาแหลมคมคู่หนึ่ง

          กระทั่งมาถึงกลางทาง บนถนนอันเปลี่ยวร้าง ผู้คนต่างเข้าสู่นิทรา แต่แล้วชั่วขณะหนึ่งขุมพลังหนึ่งกลับแล่นเข้าจู่โจม ลู่เหวินสัมผัสถึงความอันตรายจึงผลักดันตัวให้พลิ้วกายหลบกะทันหัน ยังผลให้พลังดังกล่าวระเบิดตัวกลางอากาศ เกิดเป็นประกายสีขาวปนน้ำเงินวูบหนึ่งแล้วหายไป

          “เฮ้อ พลังเซียนไม่ได้ใช้มานานก็อย่างนี้ กับคนธรรมดาแล้วรุนแรงเกินไปจริงๆ” เสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงจังลอยออกมาจากเงามืด

          ผู้เป็นนักฆ่าถึงกับหรี่ตาเขม็ง จับจ้องต้นเสียงอย่างระแวดระวัง ครานี้หยาดเหงื่อหลั่งไหลแนบใบหน้า เขาชักกระบี่ที่กลางหลังอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณบอกว่าอีกฝ่ายมิใช่คนธรรมดา พริบตานั้นก็แลเห็นดวงตาสีเหลืองวิบวับท่ามกลางความมืด พร้อมกับฝีเท้าทรงพลังคู่หนึ่งเคลื่อนกายเข้ามา รอจนอีกฝ่ายเยื้องย่างไปยังจุดที่มีแสงสลัว ร่างสูงใหญ่ที่มีแมวเกาะอยู่บนไหล่ มือหนึ่งถือด้วยพัดเหล็กก็เผยสู่สายตา

          ไม่จริงคนผู้นี้ติดอยู่ในคุกยังส่วนลึกของกรมตุลาการ ไม่มีทางที่จะเป็นเขา...แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟง ลู่เหวินบังเกิดความตื่นตระหนก ต้องตะโกนถาม “จะ เจ้าเป็นใคร”

          “ข้าเป็นใครน่ะหรือ” บุรุษชุดเกราะดำเลิกคิ้วกวนๆ “บิดาเจ้าไง” พูดจบพัดเหล็กก็กางออกจนเกิดเป็นเสียงฟึ่บ พร้อมกันนั้นยังสะบัดใส่คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

          ผู้เป็นนักฆ่าเห็นเป็นแสงสีขาว ยังมีเสียงหวีดหวิวของกระแสลม แม้ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ยังวาดกระบี่เข้าสู้ แต่กระนั้นวิถีพลังของอีกฝ่ายหนักหน่วงเกินไป ดังนั้นต้านรับได้ไม่นานกระบี่ในมือก็หลุดลอยไป ร่างถูกกระแทกไถลไปกับพื้น

          “ดูจากกระบวนท่าเมื่อสักครู่กับคมดาบเล่มนี้ เห็นทีนักเล่าเรื่องแซ่ฉีคงตายด้วยน้ำมือเจ้าไม่ผิดตัว” เซียวถิงฟงสำรวจกระบี่ในมือเเล้วเอ่ยสรุป

          ห่างออกไปราวเจ็ดแปดก้าว ลู่เหวินกัดฟันลุกขึ้น มือหนึ่งกดแผลฟาดฟันบนหน้าอก โลหิตหลั่งไหลไม่หยุดหย่อน แต่แล้วก็ต้องตะลึงวูบ ด้วยมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ทั้งที่กระบี่กระเด็นไปคนละทาง มันกลับตกอยู่ในมือผู้เป็นแม่ทัพตั้งแต่ตอนไหนก็มิทราบได้

          สังเกตเห็นดวงตาที่เบิกกว้าง เขาก็นึกขบขัน “อะไรกันเพียงแค่นี้ก็ตกใจ เจ้าปลอมเป็นข้าทั้งทีควรรู้ว่าข้ามิได้มีฝีมือกระจอกงอกง่อย”

          ไม่ผิดลู่เหวินลอบกลืนน้ำลาย พยุงร่างยืนขึ้น เขาสืบเรื่องของแม่ทัพใหญ่เซียวมาก็จริง แต่มิคิดว่าจะมีฝีมือร้ายกาจผิดมนุษย์เช่นนี้ เห็นทีครั้งนี้ได้แต่ตัดสินเป็นตาย คิดได้ดังนั้นก็ถลาตัวพุ่งกรงเล็บพยัคฆ์เข้าใส่มิให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว

          “เฮอะ กรงเล็บสุนัข” เขาส่งเสียงคำรามดังก้อง ทีแรกจะสบถว่ากรงเล็บแมวก็กลัวว่าถิงถิงที่เกาะบนไหล่จะข่วนหน้าเข้าให้ บัดนี้เซียวถิงฟงโคจรพลังไปที่ฝ่ามือ บิดหมุนข้อมือรอบหนึ่งก็ซัดออกไป 

          ผู้เป็นนักฆ่ารับฟังจนหน้าเขียวคล้ำ ยังไม่นับที่ถูกคนตรงหน้าสกัดกั้นกระบวนท่าไว้ สองมือเกร็งกำลังใช้ออกด้วยกรงเล็บทรงพลัง หากแต่ยังเข้าไม่ถึงตัว มือข้างหนึ่งทะลวงมาถึงแล้ว ทันใดนั้นราวกับมีคลื่นพลังกระทบถูกภายใน หัวใจบีบรัดอย่างรุนแรง ลู่เหวินก้มมองบริเวณหน้าอกตนเอง ก็เห็นว่าซี่โครงยุบตัวลงไป ...หรือนี้จะเป็นกรงเล็บพยัคฆ์ที่แท้จริง

          “โอ๊ะ เร็วจริง ขนาดมิได้ใช้พลังเซียนนะเนี่ย”

          มองดูคนล้มครืนหมดสติไป ถึงตอนนี้แมวสาวจึงกระโดดลงจากบ่ากว้าง ทว่าตัวยังไม่สัมผัสถึงพื้น ร่างของมันก็กลับกลายเป็นหญิงสาว ถิงถิงแหวกเสื้อสีดำออก จากนั้นล้วงมือเข้าไปหยิบขวดยาสีใส ห่อยาพิษเล็กๆ และจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา “นี่ของท่าน”

          เซียวถิงฟงรับมันไว้ ไล่สายตาอ่านวูบหนึ่งก็ต้องแค่นเสียง “เฮอะ ตาเฒ่าสองหน้าเจินหยวน คิดให้ข้าเป็นแพะรับบาป หึ หึ ได้ ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

 

******************************************************

 

          แอ๊ด

          ราวกับได้ยินเสียงประตูเปิด ไป๋เซ่อซึ่งนั่งสัปหงกบนโต๊ะกลมกลางห้องก็เงยหน้าขึ้นพลางถาม “เจ้ากลับมาแล้ว?”

          “อืม กลับมาแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงเบา ครั้นเห็นร่างเล็กทุบเอวตุบๆ ก็อดกล่าวมิได้ “เด็กดื้อ ไยไม่นอนบนเตียงเล่า อีกอย่างหากเจ้าง่วงก็หลับก่อนก็ได้นี่”

          “เจ้าหมอนหน้าท้อง เจ้ามีสิทธิ์พูดเช่นนี้ด้วยหรือ” ไป๋เซ่อแยกเขี้ยวใส่ หากแต่ชายหนุ่มกลับยิ้มกว้าง ก้าวเข้ามารวบตัวเขาไว้ แล้วนำพาไปยังเตียงด้านใน “ซวนหยวนหมิงไท่ ช่วงนี้เจ้างานยุ่งหรือ ไยจึงกลับมามืดนัก”

          ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบ “อืม แค่ช่วงนี้เท่านั้น”

          “แล้วทำไมไม่จึงเห็นเสี่ยวลู่ ยังมีองค์รักษ์คนอื่นๆ อีก” แปลกมากทั้งที่เมื่อก่อนตนได้พบพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ช่วงสามวันมานี้กลับพบหน้าเพียงครั้งสองครั้ง ยังมีตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาคนข้างกายก็หายไป ทิ้งไว้เพียงจุมพิตอบอุ่นติดตรึงบริเวณหน้าผาก ให้เขาหน้าแดงฉ่าใจลอยนั่งลูบมันอยู่นานสองนาน

          “พวกเขาเองก็ทำงานหนัก ข้าเลยให้พวกเขากลับไปพักผ่อนแล้ว”

          “อ่อ”

          “เอาเถิด อย่าคิดถึงพวกเขาอีกเลย หลับเถิด” ซวนหยวนหมิงไท่หันไปกอดคนตัวเล็ก แขนกดให้ศีรษะอีกฝ่ายซบตรงหน้าอก แต่แล้วเจ้างูน้อยกลับซุกไซ้เลื้อยคอลงไปนอนกรนตรงหน้าท้องแกร่ง เรียกอมยิ้มน้อยๆ ให้คืนนี้เขาได้พักผ่อนอย่างวางใจ

          เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรยามก็ใกล้เข้ายามเหม่า[2] ดวงตาสีดำขลับพลันตื่นขึ้นอย่างรู้เวลา ก่อนจะขยับร่างที่กอดก่ายเขาน้ำลายไหลยืดให้นอนดีๆ สุดท้ายก้มตัวประทับริมฝีปากบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา จากนั้นรีบรุดกลับไปยังสถานที่หนึ่ง

          ต่อเมื่อมาถึงร่างสีม่วงอมดำก็ทำหน้าทะมึนยืนรอพร้อมกับเสี่ยวลู่และองค์รักษ์ส่วนพระองค์อยู่ก่อนแล้ว ท่าทางที่ยืนกอดอกนิ่งๆ ยังหน้าประตูเรือนที่ซึ่งมีคนของเจ้าตำหนักหลันฮวาต้องมนต์สลบไสลนั้นไม่ต่างไปจากตอนที่ตนออกไปสักเท่าไหร่ ดูว่าเจ้าตัวจะขยะแขยงสิ่งที่อยู่ภายในสุดขั้วหัวใจ จึงยินยอมยืนตากน้ำค้างร่วมกับคนของเขาเช่นนี้แทน

          จวบจนดวงตาเย็นชาสบเห็นบุรุษในชุดขาว ก็ไม่คิดพูดจาเดินผ่านอีกฝ่ายไปทันที แต่แล้วไม่นานก็ต้องชะงักฝีเท้า

          “หงเว่ย” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องทัก กระทั่งเจ้าของนามหยุดตัว ก็เอ่ยด้วยความจริงใจ “ขอบคุณเจ้ามาก”

          ประโยคดังกล่าวทำให้หงเว่ยผินหน้าเล็กน้อย “ข้ามิได้ทำเพื่อช่วยเจ้า แต่ทำเพื่อไป่ไป๋ต่างหาก” ขอเพียงให้ไป่ไป๋มีความสุข ไม่ว่าอะไรเขาก็จะกระทำ ว่าเเล้วร่างแกร่งก็ทะยานตัวขึ้นฟ้า ทิ้งให้ฮ่องเต้หนุ่มพึมพำ

          “แค่นั้นก็เพียงพอเเล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่ถอนหายใจ เอื้อมมือไปผลักประตูตรงหน้า ทันทีที่มันเปิดออก หมอกควันสีขาวหม่นหนาก็ค่อยๆ จางไป ครู่หนึ่งจึงได้เห็นเงาร่างดุจดั่งตนเองนอนข้างกายร่างอรชร ทว่าในชั่วพริบตาก็อันตรธานหายไป

          ยามนี้เจินเริ่นผิงจึงขยับกาย ก่อนสบเข้ากับดวงตาเย็นชาคู่หนึ่ง ทั้งที่ร่วมเรียงเคียงหมอนมีสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา กระนั้นแววตาของเขากลับหาได้มีเศษเสี้ยวความหลงใหล นางหยัดกายลุกขึ้นเผยทรวงอกงดงาม แต่แล้วเขากลับหมุนกายหันหลัง หยิบฉลองพระองค์ที่วางพาดบนเก้าอี้ขึ้นสวมไม่แยแส ส่งผลให้นางขุ่นเคือง “นี่ก็ครบกำหนดสามวันแล้ว หวังว่าวันนี้หม่อมฉันจะได้เห็นราชการโองการปลดเซียวฮองเฮา”

          “........” ร่างมังกรรับฟังนิ่งๆ ก่อนแค่นเสียงไม่พอใจ แล้วสะบัดปลายแขนเสื้อออกไปโดยไม่คิดอยู่รับอาหารเช้า ด้านเสี่ยวลู่และเหล่าองค์รักษ์ยืนรอเขาอยู่หน้าห้อง แลนางกำนัลขันทีตำหนักหลันฮวาก็ฟื้นสติเรียบร้อยแล้ว เขาเอ่ยเสียงเย็น “ไปท้องพระโรง”

          ต่อเมื่อขบวนเสด็จมาถึงท้องพระโรง เสียงอื้ออึงจากบรรดาขุนนางก็พลันเงียบกริบไปโดยปริยาย หลังจากซวนหยวนหมิงไท่นั่งลงยังบัลลังก์สีทองโอ่อ่า เสียงกล่าวถวายพระพรซ้ำซากก็ดังขึ้น ครั้นธรรมเนียมปฏิบัติจบลงเจินหยวนในชุดปักลายไก่ฟ้าสีทองก็ก้าวขึ้นมาเบื้องหน้า

          “ฝ่าบาท จากคดีมือสังหารในวังหลวงสี่รายที่ผ่านมานั้น เพลานี้กระหม่อมได้ข้อสรุปแล้ว” สิ้นเสียงกราบทูล บรรยากาศก็สับเปลี่ยนเป็นตึงเครียด หากแต่เสนายดีกรมตุลาการยังคงกล่าวสืบต่อ “ยามโฉ่วของวันนี้แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงได้กระทำการอัตวินิบาตกรรมจนสิ้นชีวิตแล้ว”

          ประโยคดังกล่าวทำให้ทั่วทั้งพระโรงเกิดเป็นเสียงฮือฮาปนถกเถียง แม้แต่เจ้าชีวิตยังตกตะลึงวูบ ดวงพระเนตรเบิกกว้าง พระวรกายยังหยัดยืนขึ้นด้วยมิอยากเชื่อ

          “นี่เป็นจดหมายที่แม่ทัพใหญ่เซียวทิ้งไว้ก่อนตาย ใจความด้านในเป็นคำสารภาพผิดที่ได้สังหารทหารยามทั้งสี่ราย เนื่องจากไม่พอใจที่พวกเขาดูหมิ่นกองกำลังสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาว ทว่าด้วยความละอายใจที่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง จึงขอชดใช้ความผิดครั้งนี้ด้วยการผูกคอตาย” เจินหยวนกล่าวเสริม พร้อมทั้งยื่นจดหมายฉบับหนึ่งตรงหน้า ลู่กงกงหรือเสี่ยวลู่ก็รีบรับ แล้วนำขึ้นไปให้โอรสสวรรค์ได้ทอดพระเนตร

          ซวนหยวนหมิงไท่คลี่อ่านจดหมายด้วยใบหน้าซีดขาว ข้อความเหล่านี้บอกถึงแรงจูงใจสังหารเหยื่อ แลที่สำคัญตัวอักษรเหล่านี้ล้วนเป็นลายมือของเจ้าตัว ฉับพลันนั้นภาพตรงหน้าก็สั่นไหว ก่อนจะรางเลือนไปพร้อมกับเสียงร้องตะโกนของคนในห้อง


 

******************************************************

 

            ทันทีที่ได้รับข่าวว่าซวนหยวนหมิงไท่หมดสติในท้องพระโรง ไป๋เซ่อก็ตื่นตกใจ มิฟังเสียงห้ามปรามของหงเว่ยก็คิดเหาะเหินไปหาเจ้าตัว ยังดีที่ก้าวเท้าไปได้สองก้าว หัวหน้าองครักษ์จิ้งก็แบกร่างสูงเตะประตูเข้ามาพอดิบพอดี

          “เกิดอะไรขึ้น” ไป๋เซ่อร้องถามพลางติดตามผู้เป็นองครักษ์ไปยังห้องด้านใน เสี่ยวลู่ซึ่งติดตามมาติดๆ จึงเป็นฝ่ายตอบคำด้วยตาแดงก่ำ

          “เมื่อครู่นี้ในท้องพระโรง ฝ่าบาททรงรับทราบข่าวว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเสียชีวิตในที่พำนักของกรมตุลาการแล้ว”

          “หา” ร่างเล็กถึงกับอุทาน “ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้” ไป๋เซ่อพึมพำ มือเรียวปาดเช็ดเหงื่อประปรายบนใบหน้าชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง หงเว่ยเองก็เข้ามาตรวจอาการพร้อมกับฟังเข็มให้

          “อื้อ”

          ครั้นเจ้าตัวเริ่มรู้สึกตัวขึ้น ไป๋เซ่อก็กล่าวพรวดเดียว “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าพึ่งคิดมากไป เรื่องคนแซ่เซียวต้องมีการเข้าใจผิดเป็นแน่ เขามีพลังเซียนคุ้มกาย นิสัยยังเจ้าเล่ห์ มิมีทางตายได้ง่ายๆ เอาอย่างนี้ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาเอง” พูดจบตนก็ผละตัวออก แต่แล้วข้อมือกลับถูกรั้งไว้

          “ไม่ อย่าไป” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยห้ามเสียงแผ่ว อันเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูเปิดผาง กลุ่มขันทีและองครักษ์จำนวนหนึ่งกรูเข้ามาในห้อง

          “บังอาจ องค์เหนือหัวประทับอยู่ด้านในพวกเจ้ากล้าเสียมารยาท” เสี่ยวลู่ผู้เป็นหัวหน้าขันทีถึงกับตวาด หากแต่กลับมีเสียงหวานดังแทรก

          “นำตัวฝ่าบาทไปพำนักที่ตำหนักหลันฮวา” เจินเริ่นผิงเยื้องย่างกายเข้าไป จากนั้นกวาดตามองรอบด้าน กระทั่งพบบุรุษสูงส่งซึ่งกุมข้อมือเซียวไป๋ไว้ ไม่ไกลนักมีบุรุษผู้ท่าทางเย็นชาที่ตนไม่รู้จักอยู่อีกคน

          “เจ้าจะทำอะไร” ในเมื่อผู้เป็นสามีล้มป่วย ผู้เป็นภรรยาเช่นไป๋เซ่อก็ต้องออกอาละวาดแทน อ้ะ ไม่ใช่ๆ วางอำนาจบาตรใหญ่

          ดวงตาราวลูกกวางน้อยมองดูเซียวไป๋ตวาดใส่อย่างเหิมเกริม แตกต่างไปจากเวลาร้องโอดครวญทรมาน พลันนึกสมเพช “พาฝ่าบาทไป”

          ชายาเจินไม่สนใจยังคงออกคำสั่ง ทำให้คนของนางเคลื่อนไหวอีกครั้ง ร่างเล็กคำราม “ลองพวกเจ้าเข้ามาอีกก้าว อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ครานี้เขาปลดปล่อยรังสีเอาจริงแล้ว ส่งผลให้องครักษ์ที่ก้าวเข้ามาต้องหยุดชะงักด้วยถูกพลังที่มองไม่เห็นกดดันให้มิอาจขยับไปไหน

          เจินเริ่นผิงเองก็มิแตกต่าง นางรู้สึกราวกับแบกหินก้อนใหญ่ไว้บนบ่า กระทั่งทนทานมิไหวจึงเปล่งเสียงออกมา “เซียวฮองเฮาไม่มีสิทธิ์มาขวางข้าที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับฝ่าบาท”

          ...ร่วมเรียงเคียงหมอน ไป๋เซ่อขมวดคิ้วเป็นปม โพล่งกล่าว “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด”

          ฉับพลันนั้นความกดดันที่ไหล่ก็จางหายไป ทิ้งให้ร่างอรชรหอบหายใจน้อยๆ “ทรงมิเชื่อ?” ริมฝีปากงามยกยิ้ม สองขารุดไปหาโอรสสวรรค์อย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมานางก็แหวกสาบเสื้อท่ามกลางสายตกตะลึง “ทรงเห็นร่องรอยนี้รึไม่ หลักฐานที่ฝ่าบาททรงเป็นของข้า” เจินเริ่นผิงเอ่ยเสียงดังก้องปนสะใจ

          ทว่า... เซียวไป๋กลับหรี่ตามองนางอย่างเยียบเย็น

          “เจ้าพูดอะไร?” ทำเช่นนี้คิดจะลวนลามคนของเขาอย่างนั้นหรือ

          จากท่าทีเฉยชานั้นทำให้นางเอะใจ ครั้นหันไปมองบ่ากว้างก็ต้องร่ำร้องราวเสียสติ “ไม่มี ทำไมไม่มี ข้าจำได้ว่าทำร่องรอยไว้ตรงนี้นี่”

          “ร่องรอย... เฮอะ หากเป็นร่องรอยแถวๆ ก้น ข้ากลับจำได้ว่ายังมีอยู่ เป็นข้าหมั่นเขี้ยวกัดเขาเอง เจ้าจะดูไหม”

          สังเกตเห็นดวงตาสีฟ้าอมเขียวฉายแววจริงจัง สองมือของซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบจับกางเกงตัวเองไว้แน่น ผิดกับเจินเริ่นผิงที่ฟังแล้วหน้าซีด ด้วยถูกหักหน้าเข้าอย่างจังๆ

          “จะเอายังไง หากยังไม่ออกไป ข้านี่แหละจะโยนเจ้าออกไปเอง แฮ่ แฮ่” ไป๋เซ่อถลึงตาโต ท้ายประโยคยังแยกเขี้ยวส่งเสียงขู่ ทั้งวิ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง เรียกเสียงขบขันให้กับคนในตำหนักถั่วแดง ขนาดหงเว่ยกับซวนหยวนหมิงไท่ยังต้องอมยิ้มน้อยๆ หากแต่เจินเริ่นผิงกลับยิ้มไม่ออก นางกรีดร้องตกใจรีบนำพาตัวเองถอยร่นออกมาให้ห่าง

          “กรี๊ดๆ” จวบจนคนของนางรวมถึงนางเองถูกต้อนออกจากห้อง นางจึงต้องถอยกลับไปตั้งหลักอย่างสับสน

 

          ที่ตำหนักหลันฮวา

          นางกำนัลอวี้ชิงเห็นนายสาวกลับมาด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนางก็เอ่ยถาม  “ใครกันทำให้พระชายาเจินหงุดหงิดพระทัย ช่างไม่รู้ความจริงๆ”

          “ออกไป”

          “เอ๋”

          “ข้าบอกให้ออกไป” คราวนี้นางมิทนข่มกลั้นโทสะในใจอีกต่อไป สองมือกวาดถ้วยชาอย่างดีบนโต๊ะอย่างแรง ส่งผลให้อวี้ชิงตกตะลึงต้องรีบกระทำตามแต่โดยดี ครั้นห้องโถงกลับมาเงียบสงบ เจินเริ่นผิงก็หยุดมือ หอบหายใจถี่กระชั้น มือกำแน่นอย่างเดือดดาล ก่อนร้องเรียก “ลู่เหวิน”

          “......” ทั้งที่ทุกครั้งเขาจะตอบรับทันที แต่มาเวลานี้กลับไร้วี่แววไปเสียอย่างนั้น นางเรียกลู่เหวินอีกสองสามครั้งก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับอันใดถึงครานี้จึงได้มีเวลาครุ่นคิด แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงตายแล้ว จะอย่างไรขวากหนามผู้นี้ก็ต้องถูกกำจัด กระนั้นบิดากลับเลือกลงมือในเวลานี้ โดยมิคิดปรึกษานางแม้แต่น้อย แลเรื่องราวมาถึงขั้นนี้นางจึงได้แต่มองข้าม ทั้งยังตัดสินใจใช้โอกาสนี้บีบบังคับให้ฝ่าบาทแตกหักกับเซียวไป๋

          ...แต่แล้วเรื่องราวกลับตาลปัตร

          “มันเป็นไปได้อย่างไร” ทั้งที่ตนจำได้ดีว่าทิ้งรอยกัดไว้เพื่อได้เห็นปีศาจอสรพิษต้องใจสลาย

          “พระชายา”

          ขณะที่ตนกัดนิ้วขบคิดอย่างสับสน พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ครั้นเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับบุรุษผู้มีดวงหน้ากระจ่างตา นางเบิกตากว้าง รอยยิ้มผุดขึ้นมาในที่สุด

          “นักพรตอันหลง”


[1] ยามโฉ่ว เวลา 01:00 น. – 2:59 น.

[2] ยามเหม่า เวลา 05:00 น. – 6:59 น.


 

*************************************************************

 

            บทนี้ช่วงท้ายบทอาจจะรวบรัดไปหน่อย เอาไว้รีไรท์ค่อยว่ากัน ส่วนช่วงเเรกของบท เป็นที่มาของเจินเริ่นผิง อ่านเเล้วอาจจะรู้สึกว่าโดนเเค่นี้ถึงกับต้องโกรธเเค้นกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ เอาเป็นว่านางเป็นคนหน้าบาง เเต่เพราะโดนกลั่นเเกล้งดูถูกจนกลายเป็นตัวตลกก็เลยฝังใจ บวกกับนิสัยทะเยอทะยานที่ได้มาจากบิดาไรงี้ ก็เลยเป็นเเบบนี้
ส่วนเรื่องเนื้อคู่ 3 คนจะมีบอกช่วงตอนจบจ้า รออ่านละกันเน้อ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 29 เจินเริ่นผิง 05/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 06-08-2016 20:01:07
หงเว่ยยย รักไป่ไป๋มากอ่ะ สงสารรร อยากเห็นหงเว่ยมีคู่บ้างจังค่ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 30.1 แผนร้าย 17/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 17-08-2016 21:29:46
บทที่ 30.1 แผนร้าย

 

            คล้อยหลังตำหนักถั่วแดงเงียบสงบ เหล่าคนอุกอาจถอนกำลังกลับไป ภายในใจของไป๋เซ่อก็คล้ายมีส่วนหนึ่งทลายลง สองมือน้อยสั่นระริก ก่อนเค้นเสียงแข็งออกจากลำคอ

          “ซวนหยวนหมิงไท่พูดมา นางฝากรอยอะไรไว้บนตัวเจ้า” หากมิใช่ความจริง นางจะกล้ากล่าววาจาเลื่อนลอยหรือ

          “ไป๋เซ่อ เรื่องนี้ข้าอธิบายได้” ซวนหยวนหมิงไท่รีบแย้ง เจินเริ่นผิงผู้นี้นับเป็นสตรีอำมหิตอย่างแท้จริง นางจงใจทิ้งร่องรอยเพื่อการณ์นี้ เพื่อทำให้ไป๋เซ่อตายทั้งเป็น

          “อธิบายมา หากฟังไม่ขึ้นข้าจะ... ” กล่าวถึงตรงนี้ตนก็เงียบเสียง เบนสายตาเขียวไปยังนางกำนัลแลขันทีที่ยืนอออยู่หน้าห้อง “หรูอี้ เจ้าไปครัวเล็กท้ายตำหนัก นำเอามีดทำครัวของพ่อครัวหวังมาให้ข้าเล่มหนึ่ง จำไว้ต้องเอาเล่มที่คมที่สุดด้วย”

          “หะ หา เพค่ะ” หรูอี้รับฟังจนตะลึงลานก่อนจะตอบรับสั่ง

          “เดี๋ยวๆ ไป๋เซ่อ เจ้าให้คนนำมีดทำครัวมาทำไม” เขารีบเอ่ยถามอย่างฉงน แต่แล้วเจ้างูน้อยกลับหันขวับแยกเขี้ยวถลึงตาใส่

          “ก็จะเอามาตอนเจ้าน่ะสิ” ในเมื่อเจ้าลูกเต่าน้อยนั่นมีปัญหา มิสู้ตัดไฟเสียแต่ต้นลม กำจัดให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลยเล่า

          ประโยคดังกล่าวทำเอาจักรพรรดิหนุ่มหน้าทะมึนไปทั้งแถบ คนในห้องอึ้งทึ่งสุดขีด เริ่มรู้สึกตัวว่าอยู่ผิดที่ผิดทาง ยังมีประโยคลบหลู่เบื้องสูงที่ไม่ควรได้ยิน ไม่นานนักเสี่ยวลู่ก็ได้สติตาลีตาเหลือกไล่หัวหน้าองครักษ์จิ้งพร้อมข้ารับใช้คนอื่นๆ ก่อนทำการงับปิดประตูอย่างรวดเร็ว

          “นางบังคับข้าก็จริง แต่ข้ามิเคยแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อย” รอจนคนทั้งหมดออกไป ชายหนุ่มก็แตกตื่นเอ่ยอธิบาย ระหว่างนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นชายในชุดสีม่วงอมดำกำลังขยับตัวลุกหนี เขาโพล่งทันที “หงเว่ยเป็นพยานให้ข้าได้”

          “.......” เจ้าของนามชะงักหยุดกึก ได้แต่ลอบทำเสียงจิ๊จ้ะขัดใจใน ลำคอ ไป่ไป๋จะตอนเจ้าเกี่ยวอันใดกับข้า หงเว่ยก่นด่าในใจแต่ครั้นเผลอสบสายตาเข้ากับดวงตาสีฟ้าอมเขียวทอแดงระเรื่อ ก็มิอาจไม่เอ่ยความจริง “สตรีผู้นั้นต้องมนต์มายาของข้าจึงเข้าใจผิดไป”

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ลมออกหู แค่นเสียงนิ้วไล่ชี้เอาผิดพวกเขา “หึ หึ ดีมาก พวกเจ้าสองคนกล้ามีเรื่องปิดบังข้า ไม่สิต้องรวมเจ้าคนน่าโมโหตายยากยิ่งกว่าแมลงสาบแซ่เซียวด้วยใช่ไหม?” ตายเตยอะไรกัน หากคนหน้าด้านนั่นตายจริง โลกมนุษย์คงหายไปในหลุมดำด้วยน้ำมือท่านมหาเทพไปนานแล้ว

          โทสะของร่างเล็กทำเอาซวนหยวนหมิงไท่และหงเว่ยตัวลีบเล็กลง ได้แต่ต้องสารภาพตามตรง “อืม”

          “อ่อ เจ้าบอกว่าสตรีแซ่เจินนั่นบังคับเจ้า นางขู่เจ้าด้วยเรื่องกระไร” ร่างเล็กเค้นถามต่อ หากแต่ร่างสูงกลับอึกอักคล้ายมิต้องการตอบคำเขา คิ้วเรียวขมวดมุ่น ข้อสันนิษฐานในใจทำให้เขาหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ “หรือจะเกี่ยวข้องกับข้า”

          ทันทีที่ความหม่นหมองปกคลุมดวงตาคู่สดใส ในอกบังเกิดอาการแปลบปลาบ ซวนหยวนหมิงไท่ตอบเสียงอ่อน “ไป๋เซ่อ เจ้าจำนายทหารที่ถูกฆ่าตายใกล้สระน้ำไท่เย่ได้รึไม่ เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้เซียวถิงฟงตกเป็นผู้ต้องสงสัย เจินหยวน บิดาของเจินเริ่นผิงจึงบีบให้ข้าขังเขาไว้ แต่เจินเริ่นผิงกลับใช้ความปลอดภัยของเขามาข่มขู่ข้า แลกกับการให้ข้าปลดเจ้าออกจากตำแหน่งฮองเฮา พร้อมกับมอบครรภ์มังกรให้กับนาง”

          คำกล่าวทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง หากแต่เป็นความจริงที่ยังไม่สมบูรณ์ หงเว่ยนิ่งฟังเงียบๆ หากเขาเป็นชายตรงหน้าก็คงบอกไป่ไป๋เช่นนี้ เพราะเพลานี้มีแต่ต้องกันให้ร่างเล็กอยู่ห่างจากสตรีผู้นั้นให้มากที่สุด

          “ชั่วช้ายิ่งนัก เพียงเพราะกระหายอำนาจถึงกับต้องฆ่าคนบริสุทธิ์” ไป๋เซ่อสบถออกมาอย่างมีโทสะ แล้วจึงถามสืบต่อ “เช่นนั้นเจ้ากับหงเว่ยจึงร่วมมือกันตบตานาง?”

          โอรสสวรรค์รีบพยักหน้า “ใช่ๆ นี่เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง เพื่อให้นางตายใจ ลากตัวผู้เกี่ยวข้องออกมาทั้งหมด”

          “เฮอะ แล้วไป หากข้ารู้ว่าทั้งหมดเป็นคำโกหก ลูกเต่าน้อยกลางหว่างขาเจ้า ข้าไม่ปล่อยไว้แน่” ร่างเล็กลั่นวาจา แขนยังวาดซ้ายขวาก่อนทำท่าสับๆ สับๆ อย่างบ้าคลั่ง ให้บุรุษทั้งสองต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปถึงปลายเท้าเย็นวาบอย่างไรบอกไม่ถูก

          ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็คอตก ได้แต่ร่ำร้องในใจ ...ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าทำตัวน่ากลัวแบบนี้สิ จะอย่างไรลูกเต่าน้อย มันก็ยังมีประโยชน์กับเจ้านะ
 

****************************************************

 

            “ภาพมายา! เจ้าบอกว่านั่นเป็นภาพมายา”

          อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน บังเกิดเสียงสตรีโพล่งขึ้นอย่างตกตะลึง ก่อนใบหน้างามจะชายิบ ที่ผ่านมาเป็นนางถูกหลอกลวงอย่างร้ายกาจ ค่ำคืนเร่าร้อนล้วนเป็นเพียงความเพ้อฝัน เรือนกายแนบสัมผัสนั้นเป็นของปลอม ...มิน่าเขาถึงมิเคยลุ่มหลงหวั่นไหวในตัวนาง

          นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำไปด้วยความชิงชัง นักพรตผู้สวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างตาลอบยิ้ม น้อมกายตอกย้ำความเจ็บแค้นนี้ให้กับสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า “เป็นภาพมายาไม่ผิด ฟังจากที่พระชายาบอกเล่าแล้ว กระหม่อมคาดว่าเป็นฝีมือของปีศาจอสรพิษเกร็ดดำ หรือบุรุษในชุดสีม่วงอมดำที่พระนางได้พบที่ตำหนักเซียวฮองเฮา”

          “มีปีศาจอสรพิษอยู่อีกตน”  บุรุษแปลกหน้าซึ่งมีบรรยากาศเย็นชาชายผู้นั้นน่ะหรือ เจินเริ่นผิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ต่อเมื่อตระหนักได้ว่ายากจะควบคุมเจ้าชีวิตให้อยู่ในกำมือ นางก็ถามอย่างกระวนกระวายใจ “แล้วเจ้าจัดการมันได้หรือไม่”

          “เรื่องนี้พระชายาเจินมิต้องห่วง กระหม่อมรู้จุดอ่อนของปีศาจอสรพิษตนนี้ดี” นักพรตอันหลงกล่าว ชั่ววูบหนึ่งยังเผยยิ้มเหี้ยมเกรียมผิดภาพลักษณ์สะอาดบริสุทธิ์ของผู้ทรงศีล

          “ดี” ได้ยินเช่นนั้นร่างอรชรบนตั่งก็หยัดยืนขึ้นเปล่งเสียง ดวงตากลมโตราวลูกกวางน้อยทอแววอาฆาต นางเรียกอวี้ชิงเข้ามาก่อนสั่งให้นำชุดกระดาษพู่กันมาให้ จากนั้นลงมือเขียนข้อความยาวเหยียด ครั้นเรียบร้อยดีแล้วจึงยื่นให้อีกฝ่าย “นำส่งให้บิดาข้ากับมือ”

          “เพค่ะ” อวี้ชิงยอบกายรับจดหมายแล้วกลับออกไปอย่างรวดเร็ว

          เจินเริ่นผิงจ้องนางกำนัลส่วนพระองค์ที่ไม่รีรอรั้งอยู่แม้ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่นานก็เอ่ยเสียงเย็น “ฝ่าบาท มิใช่ข้าใจร้าย เป็นพระองค์บังคับข้าเองต่างหาก”

          ค่าตอบแทนของการหลอกลวงในครั้งนี้ ท่านย่อมต้องได้รับคืนอย่างสาสม

 

          ใช้เพลาราวครึ่งชั่วยาม อวี้ชิงที่ใช้ป้ายผ่านทางออกจากวังหลวงก็นำจดหมายส่งถึงมือเจ้าของ ณ ห้องหนังสือของจวน เจินหยวน หรือเสนาบดีฝ่ายตุลาการเปิดอ่านข้อความภายใน น้ำเสียงเสียงหยันก็ดังขึ้น

          “เฮอะ แค่กุมพระทัยฝ่าบาทยังทำมิได้ รอจนเจ้าคลอดองค์รัชทายาทออกมาเมื่อไหร่ เจ้าก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก”

          เดิมทีตระกูลเจินควรมีบุตรผู้สืบทอด แต่ระหว่างฮูหยินเจินคลอดเด็กกลับตกเลือดเสียชีวิตไปกลางคัน แม้นตัวบุตรชายสามารถลืมตาดูโลก ทว่าร่างกายก็มิได้แข็งแรงนัก อีกทั้งอายุไม่ถึงขวบดีก็เสียชีวิตลง ดังนั้นเจินหยวนจึงตัดสินใจรับอนุ แต่กระนั้นผ่านไปหลายปีก็ยังไร้วี่แววบุตรชาย จะมีก็แต่บุตรสาวเรื่อยมา เรื่องนี้ทำเขาเสียใจมาตลอด ยังดีสวรรค์ยังเมตตา ในจำนวนบุตรสาวทั้งหมดห้าคน มีเจินเริ่นผิงฉลาดที่สุด และพอจะใช้ประโยชน์จากนางได้มากที่สุด

          หากบอกว่าบุตรสาวโหดเหี้ยม กระนั้นผู้เป็นบิดากลับเหี้ยมโหดไร้หัวใจยิ่งกว่า คนชุดดำซึ่งยืนไม่ไกลลอบคิดอยู่ด้านข้าง รอจนบุรุษวัยสี่สิบกว่าหันมาก็รีบเก็บซ่อนแววตาคมเอาไว้

          “ลู่เหวิน ส่งข่าวให้คนของเรานำกำลังเข้าเมืองหลวงอย่างลับๆ ภายในคืนวันนี้” กล่าวพลางนำจดหมายลับราวสองสามฉบับยื่นให้อีกฝ่าย

          “นายท่านจะลงมือตอนนี้? ไม่เร็วไปหน่อยหรือ” เขารับจดหมายมาแล้วถามอย่างแปลกใจ

          เจินหยวนแค่นยิ้ม หันไปทอดมองภาพวาดมังกรทางด้านใน “ในเมื่อฝ่าบาทเล่นตุกติก พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้า ยิ่งตอนนี้ทรงสูญเสียมือขวาอย่างแม่ทัพใหญ่เซียวไป ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะควบคุมราชสำนัก”

          “ยินดีกับนายท่านล่วงหน้า” เขาเปล่งน้ำเสียงกึกก้อง สร้างความปรีดาให้กับอีกฝ่าย ครั้นตนเอ่ยจบก็ถอยฉากออกมา ใช้สองขาเร่งรุดไปข้างหน้าไม่มีหยุด กระทั่งห่างจากห้องหนังสือไปไกล ด้านหลังจึงปรากฏฝีเท้าย่องเบาเฉกเช่นแมวเก้าชีวิตไล่ตามมา

          ถึงตอนนี้ดวงตาสีดำจึงมิปกปิดแววคมกล้า ภายในสามชั่วยามนี้พวกเขาจำต้องแข่งกับเวลาแล้ว ริมฝีปากพึมพำเสียงเบาบาง “ส่งข่าว เจินหยวนเสนาบดีฝ่ายตุลาการเตรียมการก่อกบฏแล้ว”

          “เมี้ยว”
[/size]

 

****************************************************

 

          ราตรีนี้เงียบสงัดผิดปกติ ไป๋เซ่อผินมองท้องฟ้าซึ่งถูกความมืดกลืนกินยังนอกหน้าต่าง ชั่วขณะหนึ่งใจก็พลันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกสังหรณ์ร้ายแปลกๆ จวบจนหรูอี้งับปิดบานหน้าต่างลง  หงเว่ยก็พูดขึ้น

          “ถึงเวลาแล้ว”

          ซวนหยวนหมิงไท่พยักหน้าให้ พริบตานั้นร่างสีม่วงอมดำก็อันตรธานหายไป จวบจนดวงตาสีดำขลับลึกซึ้งเบนมา ตนก็เปล่งเสียงแผ่วเบา “เจ้าไม่ไปไม่ได้หรือ”

          “......” ชายหนุ่มถึงกับนิ่งเงียบ สองมือรั้งร่างเล็กเข้ากอดโดยแรง อาจเพราะประโยคดังกล่าวกระทบถึงก้นบึ้งจิตใจ ทำให้มิอาจเพิกเฉยคนตรงหน้าไปได้ เนิ่นนานทีเดียวที่ซวนหยวนหมิงไท่ตกอยู่ในห้วงฝัน หากแต่ลมหายใจเย็นๆ ในอ้อมกอดกลับเตือนให้หวนคืนสู่ความเป็นจริง ตราบใดที่ยังมิอาจกำจัดหนอนทุกข์ระทม ตนอาจสูญเสียไป๋เซ่อไปได้ทุกเมื่อ “ข้าให้สัญญาอีกไม่นานเรื่องจะจบลง”

          ศีรษะน้อยก็ซบลงตรงอกแกร่ง คล้ายเวลานี้ตนโหยหาความอบอุ่นมากกว่าปกติ แต่สุดท้ายไป๋เซ่อก็ต้องยอมปล่อยร่างสูงไป แม้ว่าใจจะร่ำร้องว่าไม่ต้องการ

          “ไปตำหนักหลันฮวา” ร่างมังกรกัดฟันบอกขบวนเสด็จที่รออยู่ด้านนอก ใจหนึ่งคิดอยากจะจับจ้องดวงหน้าเย้ายวนอีกสักหน แต่สุดท้ายกลับข่มกลั้นความอาลัยรักนี้ไว้ แลก้าวฝีเท้าไปโดยมิได้หันกลับมา

          คนจากไปนานเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าไป๋เซ่อยังคงเหม่อลอยอยู่ที่หน้าประตู คล้ายจะรอคอยอยู่ตรงนี้จนกว่าจะได้พบชายหนุ่มอีกครั้ง แม้หรูอี้จะชักชวนให้นั่งรอด้านในห้อง ตนก็เอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ จนท้ายที่สุดนางก็ยอมแพ้บอกว่าจะไปนำของว่างจากเรือนเล็กมาให้แทน

          คล้อยหลังนางกำนัลคนสนิทออกไป กระแสลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านเข้ามา ยังผลให้จมูกสัมผัสถึงกลิ่นหอมเบาบาง ไป๋เซ่อมิทันนึกแปลกใจ ลมหายใจก็พลันขาดห้วง ตัวแข็งทื่ออึดอัด ความเจ็บปวดบีบรัดโลดแล่นตั้งแต่ท้ายทอยไปยังกึ่งกลางสมอง

          “อึก” มือน้อยกุมขมับ สองขาซวนเซไปทางด้านหลัง สองตาพร่าเลือน ในที่สุดลำตัวก็ชนถูกกับโต๊ะกลม มือกวาดเอาถ้วยชาตกพื้นไปพร้อมๆ กับกายที่ล้มลง รอจนฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เหลือบไปเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนถือกระถางกำยานซึ่งมีกรุ่นควันเยื้องอยู่ไม่ไกล แลกลิ่นอบอวลที่ลอยฟุ้งออกมานั้น ทำให้ศีรษะเขาปวดร้าวแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

          ณ ตำหนักหลันฮวา

          “นึกว่าฝ่าบาทจะไม่เสด็จมาที่นี่แล้ว” ร่างในชุดสีขาวบางเผยส่วนโค้งเว้ากล่าวขึ้นเมื่อเห็นบุรุษที่ตีสีหน้าบึ้งตึงก้าวเข้ามาในห้องของตน

          หึ คนของข้าอยู่ในกำมือเจ้า ข้าไม่มาได้หรือ ซวนหยวนหมิงไท่คิดพลางสะบัดปลายแขนเสื้อแล้วไพล่หลังไว้ ครั้นเดินถึงกลางห้องก็ถอดชุดมังกรบนร่างแล้วโยนทิ้งไปอย่างมิไยดี “จะมัวพิรี้พิไรอันใด อยากจะทำอะไรก็รีบทำให้มันจบๆ เสีย”

          “........” มาตรว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้น แต่เจินเริ่นผิงกลับแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ครู่หนึ่งนางจึงหยักยิ้มกล่าวเสียงหวาน “ฝ่าบาททรงลืมราชโองการปลดเซียวฮองเฮาที่ทรงรับปากจะมอบให้หม่อมฉันไปแล้วหรือเพค่ะ”

          “แล้วเซียวถิงฟงมิใช่ตายด้วยน้ำมือของพวกเจ้าหรอกรึ ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่เป็นไปตามข้อตกลง” เขาสวนตอบอย่างมีโทสะ แต่แล้วร่างอรชรตรงหน้ากลับเปล่งเสียงหัวเราะ ฝ่ามือบอบบางปรบดังเปาะแปะ

          “ฮึ ฮ่า ฮ่า ใช้ประโยชน์จากความตายของสหาย ทั้งที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายสิบปี เพียงเพื่อปีศาจเดรัจฉานตนหนึ่ง ฝ่าบาท พระองค์ทรงโหดร้ายจริงๆ จุดนี้หม่อมฉันต้องขอนับถือจากใจ”

          “เกรงว่าคงไม่เลวร้ายเท่าเจ้า” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวประชด

          “เรื่องนี้เดี๋ยวพระองค์ก็รู้เอง” ว่าแล้วก็เดินเข้าประชิด ก่อนขยับตัวอิงแอบบุรุษผู้สูงศักดิ์ ริมฝีปากเอ่ย “ครั้งก่อนฝ่าบาทอาจจะทรงลบร่องรอยของหม่อมฉันไปได้ แต่ครั้งนี้จะไม่ง่ายดายเช่นนั้นแน่”

          สิ้นเสียงมือบางก็ลูบไล้แผงอก ลากไปยังหน้าท้องแกร่ง จากนั้นค่อยๆ เลื่อนลงสู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า จนใกล้ถึงจุดหนึ่งเขาก็ปัดมือนางทิ้งโดยแรง “ปล่อย”

          เจินเริ่นผิงหัวเราะน้อยๆ ไม่ใส่ใจกับท่าทีปฏิเสธนี้ นางหยอกเย้า “ทรงอายหรือเพค่ะ ทั้งที่ออกจะมีความสุขเมื่อได้กอดก่ายหม่อมฉันแท้ๆ หรือบางทีเทียบกันแล้วอาจจะสุขสมมากกว่าปีศาจอสรพิษนั่นเสียอีก”

          “เหลวไหล” แค่ต้องเห็นเรือนกายนี้เขาก็นึกรังเกียจแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงตวาด ครู่ต่อมาจึงได้รู้สึกผิดปกติ ทั้งที่มนต์ของหงเว่ยควรจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่กระนั้นกลับยังคงไร้วี่แววใดๆ

          “มองหาใครรึเพค่ะ” เห็นสีหน้าหยิ่งทะนงแปรเปลี่ยนไป ร่างอรชรก็เหยียดยิ้ม เผยใบหน้าชิงชังทั้งใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราด “รึจะเป็นปีศาจอสรพิษที่คอยสร้างภาพมายาตบตาหม่อมฉัน”

          “......” คำกล่าวนั้นทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ชะงักไป คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายรู้ตัวไวขนาดนี้ ดูว่าปีศาจที่อยู่เบื้องหลังนางจะระแคะระคายเปิดโปงพวกเขาในที่สุด ดังนั้นหงเว่ยจึงมิอาจใช้มนต์มายาช่วยเขาได้อีก

          “แปลกใจรึเพค่ะว่าหม่อมฉันทราบได้อย่างไร ความจริงหม่อมฉันอยากจะถามฝ่าบาทอยู่เช่นกัน...” เจินเริ่นผิงหยุดเสียง เขย่งปลายเท้า สองแขนโอบรอบลำคอเพรียวไว้ “ปีศาจตนนั้นได้บอกรึไม่ หนอนทุกข์ระทมแฝงตัวอยู่ร่างผู้ใด มันผู้นั้นก็เปรียบเสมือนทาส ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้เป็นนายคงอยู่ มันอยู่ หากผู้เป็นนายตาย มันก็ต้องดับสูญ”

          น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมดังขึ้นริมหู เขาถึงกับตัวชาวาบ ดวงตาสีดำขลับทอประกายโทสะปนสับสน

          “ฉะนั้นหากทรงขัดใจหรือตุกติกกับหม่อมฉันอีก ก็อย่าหวังว่ามันจะอยู่อย่างเป็นสุข” ใช่แล้ว หนอนทุกข์ระทมรับเลือดผู้เป็นนายอย่างนางไป ดังนั้นต่อให้เขาอยากจะฆ่านางสักแค่ไหน ก็ทำได้เพียงฝัน “อ้ะ จริงสิในเมื่อฝ่าบาทมิอาจมอบราชโองการปลดเซียวฮองเฮา หม่อมฉันเลยถือวิสาสะกระทำแทนแล้ว”

          “เจ้า! หมายความว่าอย่างไร” ซวนหยวนหมิงไท่ถลึงตาใส่ มือพุ่งบีบแขนเรียว ทว่านางกลับยิ้มเป็นคำตอบ ครั้นเมื่อนึกถึงร่างเล็ก เขารีบผละตัวออก หมุนตัวทะยานกายไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว ในใจได้แต่ภาวนา

          ...ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าพึ่งเป็นอะไรไป ได้โปรด

          “ต่อให้ท่านไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” เจินเริ่นผิงยิ้มกล่าวทิ้งท้าย


 

******************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 30.2 แผนร้าย 17/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 17-08-2016 21:31:46
บทที่ 30.2 แผนร้าย

 

            ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ร่างสีม่วงอมดำแหวกม่านหมอกหนาทึบบดบังทัศนียภาพ เหาะเหินเข้าสู่ตำหนักหลันฮวา แลหยุดฝีเท้าไว้ยังหลังคาเรือนที่มีแสงสว่าง ดวงตาแหลมคมทอดมองไปรอบด้าน น่าแปลกที่วันนี้ไร้วี่แววข้ารับใช้คนใด บรรยากาศจึงเงียบกริบผิดปกติกว่าทุกที

          เขาหยุดสายตาไปยังปากทางเข้า เฝ้าคอยคนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามา ทว่าฉับพลันนั้นกลับต้องชะงักกึกด้วยกลิ่นอายปีศาจ อันผลักดันให้เขาพุ่งตัวไปยังห้องด้านล่าง ก่อนสบถออกมาเมื่อห้องนั้นว่างเปล่า ดูว่าเขากับคนแซ่ซวนหยวนติดกับเข้าอย่างจัง ปีศาจตนนั้นลงมือโต้ตอบอย่างที่มิให้พวกเขาทันตั้งตัว และเกรงว่าเพลานี้ไป่ไป๋จะตกอยู่ในอันตรายแล้ว

          หงเว่ยมุ่งตรงกลับไปยังตำหนักของร่างน้อย ครั้นไปถึงครึ่งทางเบื้องหน้ากลับมีเสียงกรีดร้องหนึ่ง หัวใจเขาคล้ายดิ่งลงเหว ครั้นใกล้ต้นเสียงจึงได้เห็นร่างคุ้นตานอนฟุบอยู่กลางอุทยานหลวง

          “ไป่ไป๋” เขาประคองเจ้างูน้อยเข้ามาในอ้อมกอด ยามนี้ดวงหน้าของอีกฝ่ายซีดขาว คิ้วเรียวย่อย่นด้วยความเจ็บปวด อาภรณ์สีเขียวอ่อนชื้นเหงื่อแนบติดผิวกาย รอจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวสะลึมสะลือ เขาก็โพล่งถาม “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้ แล้วคนแซ่ซวนหยวนเล่า”

          “ขะ ข้าไม่รู้”

          สีหน้าของไป่ไป๋ดูมึนงงสับสน แต่แล้วพริบตานั้นกายกลับสั่นกระตุกบิดเร่าทรมาน หงเว่ยตกใจได้แต่ลนลานกอดคนตรงหน้าไว้แนบแน่น

          “อึก ชะ ช่วยข้าที ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”

          ไป่ไป๋ส่งเสียงครวญสลับกับคำเว้าวอน หงเว่ยจึงรีบผละตัวงูน้อยออกคิดจี้จุดสลบ ทว่าจังหวะนั้นเจ้าตัวกลับโผเข้ามาจุมพิต ส่งผลให้เขาตะลึงวูบ สมองว่างเปล่าในบัดดล แลไม่นานความอ่อนนุ่มอันติดตรึงริมฝีปากก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ลิ้นอุ่นแทรกเข้ามา ต้อนเอาความต้องการที่เก็บกักซ่อนเร้นไว้ภายในให้ปรากฏขึ้น

          ต้องการร่างตรงหน้านี้ ...เป็นของเขาคนเดียว

          ทันทีที่เปลือกตาปิดลง มือก็รั้งท้ายทอยระหง กดจูบตอบรับอย่างหนักหน่วงจนแทบจะกลายเป็นการบีบบังคับ ทั้งยังรุกไล่ปลายลิ้นที่สร้างความร้อนรุ่มให้อีกฝ่ายต้องหอบหายใจกระชั้น เขาตักตวงดื่มด่ำรสหวานเนิ่นนาน ต่อเมื่อถอนริมฝีปากดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็มองตนอย่างเลื่อนลอย

          “ปลดปล่อยข้าที ได้โปรด” น้ำเสียงเย้ายวนเจือแหบแห้งกระซิบบอก บันดาลให้คนฟังลุ่มหลงยากจะถอนตัว มือเรียวปลดเสื้อตัวนอกสีเขียวพร้อมทั้งเสื้อตัวในสีขาวออก ผิวกายนวลเนียนสีขาวดุจหิมะเปิดโล่งสู่สายตา ต่อเมื่อร่างแกร่งนิ่งค้างไปก็เอ่ยกระตุ้น “ช่วยข้า ปลดปล่อยข้าไปจากความทรมานนี้ที”

          สิ้นเสียงร่างงดงามก็โน้มกายเข้ากอด ดวงหน้าซุกไซ้บริเวณลำคอ มือน้อยแหวกเข้าไปในสาบเสื้อ แต่แล้วหงเว่ยกลับเผยสีหน้าเจ็บปวด พลันดีดนิ้วด้วยนึกละอาย ยังผลให้ไป่ไป๋ตรงหน้าสูญสลายเฉกเช่นหมอกควัน ความจริงนับแต่ร่างเล็กจุมพิตก็รับรู้ได้ทันทีว่าตกอยู่ในห้วงมายา กระนั้นชั่ววูบตนกลับมิอาจห้ามจิตหยาบช้า มิสนถูกผิดต้องการครอบครองอีกฝ่าย

          “นึกไม่ถึงว่าในใจท่านต้องการเขา ...ลึกล้ำถึงเพียงนี้” น้ำเสียงกึ่งหัวเราะกึ่งหยันดังขึ้น บุรุษหนุ่มในชุดสีขาวกระจ่างตาเดินเข้าไปหาคนที่ยังก้มตัวหันหลัง สายตายังคงอาลัยควันจางๆ ที่พึ่งหายไป “ข้ามีวิธีทำให้เขาเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว ท่านจะไม่ลองพิจารณาดูหน่อยหรือ”

          ได้ยินดังเช่นนั้นร่างแกร่งจึงหยัดยืนขึ้นอย่างแช่มช้า เบนสายตาเย็นเยียบกลับไป “ถ้ากล้าเสนอหน้าออกมาก็จงเผยร่างแท้ของเจ้าซะ”

          “ท่านยังคงมีสายตาเฉียบแหลม” นักพรตอันหลงยิ้มดีใจ ในที่สุดคนผู้นี้ก็เห็นตนอยู่ในสายตา เขาอ้าแขนมองตัวเองซ้ายขวา ทันใดนั้นร่างก็แปรเลี่ยนเป็นสตรีในชุดน้ำเงินคลุมด้วยเสื้อขนนกยูงสีเขียวสดสง่างาม

          ที่แท้เป็นปีศาจนกยูงที่อยู่เบื้องหลัง อีกทั้งดูว่าตบะบำเพ็ญเพียรของนางยังก้าวกระโดดไปไกลกว่าครั้งที่ประมือกันมากนัก หงเว่ยจ้องปีศาจสาวด้วยหางตา จากนั้นจึงเอ่ยถามถึงข้อเสนอก่อนหน้านี้ “วิธีอันใด”

          “ขอเพียงท่านสูบเลือดเนื้อพระชายาเจิน เท่านี้ไป่ไป๋ก็จะเป็นของท่าน ไม่ว่าท่านจะสั่งกระไร เขาย่อมกระทำตาม หรือต่อให้ท่านต้องการร่างกายเขา เขาก็ยิ่งมิอาจขัดขืน” วั่นอู่หงยิ้มยวน ดวงตาทอประกายอำมหิต นางต้องการเห็นบุรุษผู้นี้ตกต่ำ กลับกลายเป็นปีศาจชั่วช้าในที่สุด

          เดิมทีการบำเพ็ญเพียรสั่งสมตบะถูกแบ่งเป็นสองด้าน ด้านสว่างเป็นการบำเพ็ญเพื่อบรรลุสู่ขั้นเซียน โดยต้องละเว้นต่อความชั่วทั้งปวง ผิดกับด้านมืดที่ต้องคอยช่วงชิงชีวิตและโลหิตของมนุษย์เพื่อบรรลุสู่ขั้นมาร แลหากก้าวข้ามเส้นทางสายนี้ไปเมื่อไหร่ก็อย่าหวังจะได้หวนกลับ ต้องมีชีวิตแปดเปื้อนเลือดต่อไปเท่านั้น

          “เจ้ายังต้องการอะไร” แน่นอนว่านางคงมิได้บอกเขาโดยไร้ข้อแลกเปลี่ยน

          “ปราณมังกรของซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ ท่านเพียงนำคนของท่านไป ทิ้งเขาไว้ให้ข้าก็พอ” นกยูงสาวยิ้ม เมื่อไหร่ก็ตามที่อสรพิษเกร็ดอัคคีดื่มกินเลือดมนุษย์ ตบะด้านสว่างของเขาจะตกต่ำ รอจนนางดูดกลืนปราณมังกรแล้วเสร็จ เขาย่อมมิใช่คู่มือนางอีกต่อไป ถึงตอนนั้นนางค่อยเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเขา เล่นสนุกกับเขาจนเบื่อแล้วจึงดูดกลืนตบะ ส่วนอสรพิษเกร็ดหิมะผู้นั้นไม่แคล้วพ้นมือนาง หากนำมาถลกหนังคงงดงามไม่น้อย

          มาตรว่าแผนการของนางจะดูอ้อมค้อม ให้เจินเริ่นเผิงเป็นฝ่ายลงมือ ส่วนนางเพียงนั่งดูเฉยๆ หากแต่สุดท้ายตนกลับบรรลุถึงทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นปราณมังกร หรือปีศาจอสรพิษเกร็ดอัคคีและเกร็ดหิมะ ล้วนตกอยู่ในกำมือนางทั้งสิ้น

          “หึ หึ” เพียงได้ฟังแค่นั้น หงเว่ยก็แค่นหัวเราะ เขามีหรือจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของปีศาจสาว “ข้าได้ตัวไป่ไป๋ไปแล้วอย่างไร หนอนทุกข์ระทมในตัวเขามีทางแก้หรือ มิใช่ว่าเขาก็ต้องตายหรือ”

          ยิ้มที่เหยียดอยู่เป็นอันต้องหุบลง วั่นอู่หงขมวดคิ้ว จะหลอกบุรุษผู้นี้ไม่ง่ายจริงๆ “ท่านรู้ถึงเพียงนั้น เกรงว่าท่านคงได้พบยายเฒ่าที่ชนเผ่าหมอผีแล้ว เช่นนั้นนางบอกรึไม่ ยังมีสมุนไพรวิเศษชนิดหนึ่งที่ช่วยเขาได้”

          แน่นอนว่ายังมีสมุนไพรชนิดหนึ่งช่วยรักษาไป่ไป๋ แต่การจะหาสิ่งนั้นมีเพียงหนึ่งในล้าน โอกาสน้อยนิดริบหรี่ยิ่งกว่าดอกพราวแสง ทั้งนี้เพราะมันได้สาบสูญไปนานแล้ว “แล้วอย่างไร จะบอกว่าเจ้ามีมันกระนั้นหรือ”

          “ถึงข้าจะไม่มีผลซวงเซิง แต่ข้าพอจะรู้ว่ามันอยู่ที่ใด” นางยิ้มเช่นคนที่อยู่เหนือกว่า หากแต่จู่ๆ บุรุษตรงหน้ากลับปลดปล่อยรังสีสังหารอย่างไม่ยี่หระ ส่งผลให้นางรีบเอ่ย “หรือท่านไม่ต้องการช่วยชีวิตเขา? ขอเพียงท่านกระทำตาม ข้าจะบอกสถานที่ของผลซวงเซิงทันที”

          ดูจากท่าทีร้อนรนข่มขู่ เห็นได้ชัดว่าปีศาจนกยูงโป้ปด “ข้าสัญญากับไป่ไป๋ไว้ว่าต้องฆ่าปีศาจร้ายเช่นเจ้าให้จงได้” ราวกับมิต้องการเสียเวลาแม้เพียงเค่อเดียว หงเว่ยวาดฝ่ามือใส่ปีศาจสาว

          วั่นอู่หงปัดป่ายฝ่ามือที่โจมตีกะทันหันอย่างตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่านางหลอกเขามิสำเร็จ ผลซวงเซิงมีแค่ในตำนาน ผู้พบเห็นมันจริงๆ มีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ “ท่านจะต้องเสียใจ” นางขู่เสียงเย็น

          ปีศาจสาวหมุนตัววูบสะบัดเสื้อคลุมสง่างาม ทันใดนั้นปรากฏเป็นขนนกยูงจำนวนหนึ่งพุ่งโจมตีในระยะประชิด หงเว่ยหักข้อมือปลดปล่อยพลังต้านทานไว้ ทว่ากลับป้องกันมิได้หมดจด ยังคงมีขนนกยูงส่วนหนึ่งแหวกผ่านม่านพลังสร้างรอยแผลเป็นริ้วๆ บนใบหน้าเย็นชา

          มองดูบาดแผลที่มีโลหิตไหลซึม นกยูงสาวก็หัวร่อ “เป็นอย่างไร ฝีมือของข้า มิอาจดูแคลนใช่รึไม่” ครั้นพูดจบก็ร่ายระบำด้วยท่วงท่าดุดัน เป็นเหตุให้การโจมตีหนักหนายิ่งขึ้น

          “.......” หงเว่ยได้แต่นิ่งงันใช้ม่านพลังต้านนางปีศาจ มือหนึ่งป้องลมพายุที่กระทบดวงตา ต่อให้ตอนนี้กายเกิดเป็นบาดแผลนับไม่ถ้วน เขาก็ยังคงเผชิญหน้าโดยมิบ่ายเบี่ยง สองเท้าค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างมั่นคง

          ขนนกยูงตรงกระหน่ำร่างสีม่วงอมดำไม่ลดละ ให้กายแกร่งหลั่งชโลมโลหิตไม่หยุดหย่อน ระหว่างนี้วั่นอู่หงบังเกิดความย่ามใจ มิได้สังเกตว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาทีละนิด รอจนนางเริ่มรู้สึกผิดปกติ อสรพิษเกร็ดอัคคีก็ขยี้ปลายเท้าโจนตัวรวดเร็ว

          “สำหรับเจ้าเพียงกระบวนท่าเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้ว”

          สิ้นเสียงคำราม ลำคอระหงก็ถูกรวบกดชีพจร ลำตัวถูกยกลอยขึ้นสูงจนเห็นดวงหน้าคมฉายแววโทสะ กลางหน้าผากปรากฏดวงตาสีดำประดุจดั่งดวงตาพญายม วั่นอู่หงเผลอจ้องนัยน์ตานั้น ฉับพลันกายก็ร้อนลวกราวกับอยู่ท่ามกลางไฟนรกอเวจี

          “ม่ะ ไม่” ตบะในกายลดฮวบ ยังผลให้ความหวาดกลัวครอบงำจิต ช่วงระยะเวลาสั้นๆ นางคล้ายเห็นจุดจบตนเอง เรื่องนี้เป็นนางคิดง่ายเกินไป บุคคลระดับนี้ย่อมมิให้ใครจูงจมูกง่ายๆ สองตาเหลือกขึ้นหวาดหวั่น ครั้นใกล้หมดความอดทน สัญชาตญาณก็สั่งให้นางเค้นเสียงตะกุกตะกัก

          “เอาสิ ขอเพียง... ท่านเสียเวลาอีกนิด ไป่ไป๋ของท่าน... ก็เข้า... ใกล้ความตายไปทุกที”

          ได้ยินเช่นนั้นเจ้าของมือก็ชะงักไป นกยูงสาวจึงถือโอกาสสาดสิ่งหนึ่งในมือเข้าใส่ แม้หงเว่ยมีปฏิกิริยาว่องไว กระนั้นก็ไม่สามารถหลบฝุ่นละอองสีเทาซึ่งตลบฟุ้งไปทั่วใบหน้า ส่งผลให้นัยน์ตาทั้งสามแสบร้อนราวมีดกรีด กระทั่งหยาดโลหิตหลั่งไหลจากกลางหน้าผาก


 

******************************************************

 

            อาการรวดร้าวยังคงแผ่ซ่านในสมอง มิหนำซ้ำยังลามเลียไปถึงปลายเท้าทุกช่วงขณะ ดูว่าต้นสายปลายเหตุมาจากกำยานในมือคู่นั้น คล้ายกลิ่นของมันกระตุ้นความเจ็บปวด ไป๋เซ่อพยายามหรี่ตามองก็พบเป็นสตรีที่คุ้นตา

          ทำไม...เป็นเจ้า

          พลันบังเกิดคำถามหลากหลายในใจ หากแต่กลับมิอาจเปล่งเสียงออกมา นางเองก็จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชาครู่หนึ่ง แล้วจึงวางกำยานไว้ตรงโต๊ะข้างผนัง จากนั้นเดินออกไปโดยมิสนใจเขาที่ทุรนทุรายบนพื้น

          คล้ายเวลาดำเนินไปอย่างช้ายิ่ง ไป๋เซ่อข่มกลั้นต่ออาการเจ็บปางตาย ใบหน้าไร้สีเลือด ริมฝีปากเม้มกัดกลายเป็นสีม่วง ข้อมือข้อเท้าเกร็งจนข้อเขียว เหงื่อรินรดกาย แลบางทีที่ทนอยู่ได้โดยยังไม่ขนาดสติจนบัดนี้ อาจเป็นเพราะตนยังเฝ้ารอคนผู้หนึ่ง

          ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนตนจึงได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนวิ่งตรงเข้ามา ไม่นานประตูก็เปิดผาง ปรากฏเป็นบุรุษที่มีใบหน้าซีดขาวดูมิได้ ครั้นเห็นเขาที่นอนคู้กายตัวงอกับพื้นก็ร่ำร้องเสียงดัง เขาเผลอยิ้มออกมา

          ...ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ซวนหยวนหมิงไท่

          หลังจากที่เจ้าชีวิตหนุ่มออกตำหนักหลันฮวาก็ใช้กำลังภายในเร่งรุดไปหาร่างเล็กราวกับคนบ้า ทั้งยิ่งมิอาจควบคุมสติใดๆ ได้อีก ฝีเท้าเหินร่อนลงหน้าห้องบรรทมอันเงียบกริบจนน่ากลัว มือผลักประตูซึ่งขวางกั้นทาง ให้ร่างสีเขียวยังกลางห้องปรากฏสู่สายตา

          “ไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ถลาเข้าไปรวบคนตรงหน้าไว้ ก่อนรีบอุ้มขึ้นมุ่งตรงไปด้านในอย่างลนลาน สภาพของไป๋เซ่อถึงกับทำให้เขาพูดไม่ออก เสมือนมีก้อนสะอึกติดค้างในลำคอ หัวใจพลอยบีบรัด เขาวางไป๋เซ่อลงบนเตียง มิกล้าแตะต้องคนในอ้อมกอดมากนัก ด้วยกลัวจะทำให้เจ้าตัวเจ็บ “ปะ เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหน”

          เห็นสีหน้าราวจะร้องไห้แล้ว ไป๋เซ่อตื้นตันอย่างไรบอกไม่ถูก พอคิดอยากยกมือขึ้นลูบแก้มเจ้าตัวให้สงบลง ด้านหลังชายหนุ่มกลับปรากฏร่างคนผู้หนึ่งแล้ว ดวงตาสีฟ้าอมเขียวถึงกับเบิกกว้าง สองมือยื้อเกร็งชุดสีขาวนวลไว้ ทั้งยิ่งฝืนเค้นกำลังทั้งหมดเพื่อเปล่งเสียงบอกเขา “ระ...วัง ชิว”

          สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติเขาจึงเอียงใบหน้าลงฟัง ทว่ายังมิทันเข้าใจดี คนผู้หนึ่งก็วิ่งปราดเข้ามา ครั้นตนเบี่ยงตัวผินหน้ากลับไป มีดสั้นเล่มหนึ่งก็บรรลุถึงตัวเขาแล้ว

          “ม่ายยย” เลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปตามใบหน้า ครานี้น้ำเสียงของงูเผือกน้อยเล็ดลอดจากริมฝีปาก

          อาวุธแหลมคมปักตรึงตรงหัวไหล่ซ้าย เหนือขึ้นไปจากหัวใจพอดิบพอดี ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานซวนหยวนหมิงไท่พลันโคจรพลังไปยังฝ่ามือ ก่อนวาดใส่เจ้าของมีดทันทีที่ผิวกายฉีกขาด วิถีพลังรุนแรงขับดันให้อีกฝ่ายรวมไปถึงมีดเปื้อนเลือดกระเด็นไปกระแทกเก้าอี้ยังฝั่งตรงข้าม

          “กรี๊ด” ชิวเยี่ยนกรีดร้องใบหน้านองไปด้วยน้ำตา กระดูกหัวไหล่ไล่ไปจนปลายนิ้วมือซ้ายแตกละเอียด

          ซวยหยวนหมิงไท่ทรุดกายก้มหน้า โลหิตหลั่งทะลักย้อมเสื้อสีขาวนวล แต่เขาหาได้ใส่ใจเพราะแววตาของไป๋เซ่อสะท้อนอาการตกตะลึงสุดขีด ยังมีร่างกายนิ่งงันทำให้เขาใจไม่ดี “ไป๋เซ่อ ไม่เป็นไรนะ ไป๋เซ่อ”

          เป็นเพราะได้เห็นบุคคลที่ตนหวงแหนถูกทำร้ายต่อหน้า จิตใจของไป๋เซ่อจึงจวนเจียนจะแตกสลาย กระทั่งโสตประสาทสัมผัสถึงกลิ่นคาว จักษุแลเห็นสีเลือดเข้มข้นดุจดอกไห่ถัง ฟางเส้นสุดท้ายก็พาลขาดสะบั้นลง ปลุกความมืดที่แอบแฝงในจิตใต้สำนึกออกมา

          พลังขุมหนึ่งระเบิดออกจากร่างสีเขียว ดวงตาคู่สดใสกลับกลายเป็นสีรัตติกาล ซวนหยวนหมิงไท่ถูกม่านพลังผลักออก ให้ซวนเซถอยหลังเข่าทรุดลงไป เห็นทีว่าไป๋เซ่อไร้สติสัมปชัญญะแล้ว เพราะเจ้าตัวเอาแต่จับจ้องมองสตรีที่คร่ำครวญสะอื้นไห้อย่างกินเลือดกินเนื้อ

          ด้านชิวเยี่ยนถึงกับหน้าซีดตัวสั่น เพียงจุดกำยานกระตุ้นให้เซียวฮองเฮาเผยร่างปีศาจ รอจนฝ่าบาทเสด็จมานางสร้างบาดแผลให้ เท่านี้ปีศาจงูก็จะไม่ทำร้ายนางแล้วมิใช่หรือ พระชายาเจินรับสั่งไว้เช่นนี้นี่ แต่แล้วทำไม... นางพยายามกระถดร่างปวกเปียกหนี

          เดิมนางเสี่ยงกระทำเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นทำร้ายเจ้าชีวิต ต่อให้มีสิบหัวก็ยังมิพอ แต่ด้วยความคิดที่ว่ายามนี้ตระกูลเจินถือไพ่เหนือกว่า หากยอมกระทำ อนาคตนางก็อาจมีสิทธิ์เป็นถึงนางข้าหลวงชั้นสูง

          ในชั่วอึดใจนั้นไหล่บางถูกคว้า ตัวชิวเยี่ยนถูกฉุดกระชากประจันหน้า ไป๋เซ่อผู้มีดวงตาทะมึนเผยเขี้ยวแหลมสองซี่วาววับในปาก สมองบอกให้ฉีกทึ้งสตรีอ่อนแอผู้นี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ให้นางเปราะเปื้อนด้วยโลหิต ก่อนกลืนกินชิ้นเนื้อให้หมดสิ้น

          “กรี๊ด” นางกรีดร้องสุดเสียง ด้วยสองแขนถูกรั้งฉีกโดยแรง แทบจะหลุดออกจากร่าง

          ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็ตะลึงลาน ครั้นได้สติก็ถลาเข้ากอดร่างเล็กจากทางด้านหลัง “ไป๋เซ่อ อย่า! เจ้าฆ่านางไม่ได้นะ” คราก่อนเพื่อช่วยชีวิตตนจากนักฆ่า เจ้างูน้อยถึงกับต้องสละดวงพันลี้ไป แลครั้งนี้เขาจะยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีกไม่ได้เด็ดขาด “ปล่อยนางไป ไป๋เซ่อ ปล่อยมือ”

          “ไว้ชีวิตข้า ได้โปรดไว้ชีวิตข้า”

          แลดูคำพูดของเขาส่งไปไม่ถึง ไป๋เซ่อยังคงลงมือกับชิวเยี่ยนรุนแรง ทำเอาดวงตานางแทบถลน ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ตัวสั่นเทาไร้ทางสู้ ฮ่องเต้หนุ่มคิดหาทางช่วย จวบจนครู่หนึ่งก็โพล่งออกไป

          “ไป๋เซ่อ ข้ามิเป็นไร ข้ายังอยู่ตรงนี้ เด็กดีข้าอยู่ตรงนี้ อย่ากลัว”

          ต่อเมื่อถ้อยคำสิ้นสุดลง มือเรียวก็หยุดค้าง งูเผือกน้อยชะงักงัน รู้สึกคุ้นเคยไปกับน้ำเสียงราวกับปลอบโยน เขาเบนหน้ามองคนกล่าว ดวงตาสีดำทะมึนเริ่มก่อประกายบุรุษผู้หนึ่ง

          “ใช่ เด็กดี มองตาข้า นี่ข้า... เจ้าลูกเต่าของเจ้าไง”

          ไป๋เซ่อมองคนกล่าวอย่างเลื่อนลอย ครู่ใหญ่จึงหลุดเสียง “เจ้าลูกเต่า” มือพลันปลดปล่อยชิวเยี่ยน หันไปสวมกอดซุกไซ้ร่างที่ให้สัมผัสอบอุ่นอย่างเคยตัว

          ชิวเยี่ยนเมื่อเป็นอิสระสองขาก็ทรุดฮวบ อาเจียนเอาน้ำย่อยในกระเพาะออกมาจนหมด จากนั้นคืบคลานผ่านประตูที่เปิดค้างไว้ด้วยสภาพน่าเวทนา ปากร่ำร้องตะโกนด้วยความกลัว “ปีศาจ ปีศาจจะฆ่าข้า”

          ปีศาจ...

          “พระชายาเจินช่วยข้าด้วย เซียวฮองเฮาจะฆ่าข้า ปีศาจงูจะฆ่าข้า จะฉีกร่างข้า ใครก็ได้”

          ปีศาจ...งู

          คลับคล้ายได้ยินเสียงเรียก ไป๋เซ่อพลันหลุดจากอาการไม่เป็นตัวของตัวเอง ดวงตาเรียวเปลี่ยนกลับเป็นสีฟ้าอมเขียว พริบตานั้นความทรงจำหลากหลายที่ตนมิเคยรู้ตัวก็แล่นผ่านสมอง





****************************************************



            มาเเล้วจ้าเริ่มเข้าสู่จุดพีค เนื้อเรื่องอาจจะยืดไปบ้างนะคะ เเบบว่าตัวร้ายเยอะ เเละเราอยากเก็บกวาดให้ครบ ไม่อยากข้ามเพราะมันจะดูรวบรัดไป ใครรอบทสรุปเจินเริ่นผิงตอนหน้าเลยค่ะ ตอนเเรกกะจะบทนี้เเต่สุดท้ายตัดไปบทหน้าดีกว่า ไม่อยากให้รีดเดอร์รอนาน เพราะนี่ก็นานมากเเล้ว แฮะ แฮะ

หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 31.1 ทางเลือก 27/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 27-08-2016 20:56:44
บทที่ 31.1 ทางเลือก

 

            อนธกาลยังคงปกคลุมท้องฟ้า อากาศยามค่ำคืนกลับกลายเป็นเย็นย่ำ ฟากฟ้าโปรยปรายละอองหิมะสีขาว บัดนี้ที่หน้าตำหนักอันเป็นที่พำนักขององค์ฮองเฮามีกลุ่มทหารในชุดสีน้ำเงินกลุ่มใหญ่วางกำลังล้อมรอบหนาแน่น  ด้านหลังยังมีกลุ่มคนในตำหนักที่ถูกกุมตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ หนึ่งในนั้นมีนางกำนัลหรูอี้ซึ่งมีผ้าอุดปาก สองมือถูกมัด

          ราวกับมีการนัดแนะ เพราะเมื่อบังเกิดเสียงกรีดร้องขึ้นภายใน ผู้เป็นหัวหน้าทหารก็หันกายมาคำนับสตรีสูงศักดิ์ในชุดคลุมสีชมพูที่นั่งเงียบบนคานหามเก้าอี้ ครั้นนางโบกมือเป็นสัญญาณ เขาก็ตะโกนบอกเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา

          “ทหารทั้งหลายจงฟัง เซียวฮองเฮา ผู้เป็นเจ้าของตำหนักนี้ เป็นปีศาจงูจำแลงกายมาเพื่อทำลายแคว้นซวนหยวนของเรา ทั้งยั่วยวนหวังปลิดพระชนม์ชีพฝ่าบาท ผู้ใดสามารถตัดศีรษะปีศาจอสรพิษตนนี้ จะได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพบัญชากำลังพลนับหมื่น”

          สิ้นเสียงก็เกิดเป็นเสียงฮึกเหิม กลุ่มทหารพากันทั้งกรูเข้าไปยังตำหนักเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เจินเริ่งผิงมองดูแล้วจึงยกยิ้ม ก่อนลุกขึ้นเยื้องย่างติดตามรั้งท้ายพวกเขาไป แน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้ล้วนเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งของตระกูลเจิน ทั้งยังไม่รวมกลุ่มตระกูลอื่นที่ติดตามบิดาของนางไปที่ตำหนักเสวียนเจิ้ง

          แว่วเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมาก ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วจ้องมองเงามืดกลุ่มใหญ่ที่ใกล้เข้ามาด้วยสีหน้ามึนตึง พอดีกับชุดภาพความทรงจำที่ถูกทรมานสิ้นสุด ไป๋เซ่อที่นิ่งงันตะลึงไปพักใหญ่ก็พบว่าทหารในชุดสีน้ำเงินดาหน้าเข้ามาล้อมเรือนบรรทมของตนเอาไว้อย่างไม่ประสงค์ดีแล้ว

          กระทั่งอวี้ชิงประคองแขนพระชายาเจินเดินแหวกกลุ่มมาด้านหน้า ดวงตาของชิวเยี่ยนก็เบิกกว้างดีใจ นางรีบคืบคลานเข้าไปกอดขาสตรีผู้สง่างามโดยเร็ว “พระชายา เซียวฮองเฮาเป็นปีศาจ เขาลอบทำร้ายฝ่าบาท ทั้งยังจะฆ่าหม่อมฉันด้วยเพค่ะ”

          เจินเริ่นผิงมองเจ้าของดวงตาชิงชัง ดูว่าบ่าข้างซ้ายของเขามีโลหิตไหลรินหยาดหยดไล่ตามปลายนิ้ว ส่วนของที่อยู่ในอ้อมกอดกลับหลุบตาลงจนไม่อาจรู้ว่ากำลังคิดอันใด แล้วจึงเหลือบสายตาไปยังหญิงสาวซึ่งกำลังกอดขานางราวคนเสียสติด้วยสายรังเกียจ ทว่าคิ้วเรียวพลันขมวดน้อยๆ เห็นทีกำยานจากหญ้าสิ้นซากจะน้อยไป เซียวไป๋จึงหลุดจากการควบคุม แลแว้งกัดนางกำนัลชิวเยี่ยนแทน

          “กล้าติดอาวุธเข้ามาในตำหนักในเช่นนี้ หรือพวกเจ้าคิดก่อการกบฏ” ซวนหยวนหมิงไท่กวาดตามองทหารทุกนาย แล้วจึงตวาดด้วยเสียงอันน่าเกรงขาม กระนั้นพวกเขากลับยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง คล้ายมิได้รับฟังสิ่งที่ตนกล่าวแม้สักน้อย

          “ฝ่าบาททรงเข้าใจผิดแล้ว หม่อมฉันนำพวกเขามาที่นี้มิใช่เพื่อก่อกบฏ แต่มาช่วยพระองค์จากปีศาจอสรพิษต่างหากเพค่ะ”

          เขาสูดหายใจลึกควบคุมโทสะ ก่อนแค่นเสียงหยัน “ดี เจ้าทำได้ดีมาก เจินเริ่นผิง”

          นางยิ้มตอบรับแล้วจึงหันไปสั่งการเหล่าทหาร “พวกเจ้าฟังให้ดี คุ้มครองฝ่าบาท กำจัดปีศาจอสรพิษ”

          “พะย่ะค่ะ”

          เสียงก้องตอบอย่างพร้อมเพรียง เช่นเดียวกับฝีเท้าคุกคามขยับเข้ามา ปลายทวนแหลมคมหันเข้าใส่ ชายหนุ่มรีบดึงเขาไปหลบทางด้านหลัง ให้ตนได้รับการปกป้องภายใต้แผ่นหลังตระหง่านเช่นทุกที

          “ตัดหัวปีศาจอสรพิษ”

          ทหารผู้หนึ่งไม่รั้งรอตะโกนขึ้นแล้วพุ่งทวนตรงมา ยังผลให้คนอื่นลงมือตามโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตผู้เป็นจักรพรรดิ ต่อเมื่อตระหนักได้เช่นนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ผลักดันลมปราณสายหนึ่ง ปลายเสื้อข้างขวาหมุนรับเอาทวนไว้ทั้งหมดแนบสีข้าง จากนั้นซัดพลังขุมหนึ่งออกไป

          พลังดังกล่าวกระแทกร่างผู้เป็นเจ้าให้ผงะหงายหลัง ทว่าพึ่งทลายคนกลุ่มนี้ไปได้ คนกลุ่มใหม่ก็ใช้ทวนโจมตีเข้ามา เขาปัดป่ายได้จำนวนหนึ่ง อีกฝากฝั่งก็ตวัดปลายอาวุธเข้าใส่แล้ว แลด้วยแผลแทงลึกยังไหล่ซ้ายทำให้มิอาจป้องกันได้ทันท่วงที ไป๋เซ่อเห็นว่าร่างสูงหลบไม่พ้นก็สะบัดปลายเท้าเตะด้ามทวนจนหัก ถึงขั้นนี้ตนมิยินยอมเป็นฝ่ายถูกปกป้องข้างเดียวอีก

          “ไป๋เซ่อ เข้าไปด้านใน” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องบอก มิต้องการให้สถานการณ์คับขันนี้บีบงูเผือกน้อยต้องแสดงฝีมือเข้าทางเจินเริ่นผิง

          ถึงเพลานี้ร่างอรชรก็สบเข้ากับนัยน์ตาเย็นยะเยือก วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตัวแข็งค้าง หนาวเสียดกระดูก แต่ไม่นานเจ้าของดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็ละสายตา กระทำตามคำบอกของมังกรหนุ่ม

          ทั้งสองพากันวิ่งกลับเข้าไปห้อง ติดตามด้วยฝีเท้าดื้อด้านของทหารกบฏ แต่แล้วมิทันไรกลับบังเกิดเสียงร้อง ทหารชุดน้ำเงินซึ่งวิ่งนำหน้าก็ถูกถีบตัวลอยละลิ่วให้คนด้านหลังแตกฮือเสียกระบวนทันที

          ด้วยปรากฏกลุ่มผู้มาใหม่ราวสิบคน ซึ่งอยู่ในชุดดำกลางหน้าอกปักกิเลนสีแดงน่าเกรงขาม สวมใส่หน้ากากเฉกเช่นยักษ์มารข่มขวัญ แลการมาของพวกเขาราวกับภูตผี ต่างเหินตัวลงจากหลังคาตำหนัก ขัดขวางการไล่ล่าของทหารชุดน้ำเงิน

          แน่นอนว่าคนนี้ย่อมเป็นองครักษ์เงา เมื่อมาถึงต่างก็ตวัดดาบลงมือรวดเร็ว พริบตาเดียวแทบเท้าก็ปรากฏร่างไร้ชีวิต แอ่งโลหิตไหลนองพื้น ระหว่างนี้ซวนหยวนหมิงไท่พาร่างสีเขียวเข้าไปในห้องได้สำเร็จ ทว่าคล้ายพละกำลังทั้งหมดสูญสิ้น ต้องทรุดลงนั่งหลังพิงประตูทางเข้า ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากขาวซีด ร่างกายสูญเสียความอบอุ่นไปทีละน้อย

          “ซวนหยวนหมิงไท่” ไป๋เซ่อร้องเสียงดัง สองมือคิดจะยื่นกดบาดแผลหลั่งเลือด หากแต่ยังมิทันแตะต้อง กลิ่นหอมจากภายนอกก็เล็ดลอดเข้ามา ยังผลให้สมองปวดแปลบชาด้าน เสมือนมีเมฆดำพาดผ่านนัยน์ตา สีแดงเข้มข้นตรงหน้าดูน่าโอชะ ร่างกายไวเท่าความคิด เขาโน้มตัวเข้าไปดูดดื่มโลหิตจากทางปากแผลอย่างหิวกระหาย รสชาติหอมหวนล่วงผ่านลำคอ ทำให้ศีรษะหนักอึ้งกลับกลายเป็นล่องลอยไปไกล

          “อึก” ฮ่องเต้หนุ่มกัดฟัน ไหล่ที่ซึ่งมีรอยแผลถูกขย้ำสร้างความเจ็บปวด เพลานี้ดวงตาของไป๋เซ่อกลายเป็นสีดำทะมึนอีกครั้ง  กระนั้นเขาก็ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ทั้งมิอาจทำใจผลักเจ้าตัวออกไป ด้วยสังเกตว่าสีหน้าเจ็บปวดนั้นหายไป “อือ ไป๋เซ่อ” เขายิ้มฝืนมือลูบไล้เรือนผมสีเทา

          หากโลหิตในกายข้าช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเจ้าได้ ข้าก็ยินดีจะมอบให้ เพราะหัวใจและกายของข้า ล้วนเป็นของเจ้า...เพียงผู้เดียว


 

************************************************

 

            ณ ตำหนักเสวียนเจิ้งอันโอ่อ่า กองกำลังกลุ่มใหญ่ซึ่งรวบรวมจากหลายตระกูลซู เจิ้ง หย่วน เมิ่ง กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องทรงพระอักษร โดยเจินหยวนเป็นผู้นำ บรรยากาศโดยรอบในขณะนี้เงียบกริบ ไร้ซึ่งการขัดขวาง หรือต่อให้ต่อต้านก็ถูกฆ่าตายกลายเป็นศพที่ถูกพวกเขาเหยียบย่ำ

          ดูว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน วังหลวงที่ไร้การปกป้องจากทหารกองธงพยัคฆ์ทำให้เขาบรรลุถึงที่หมายโดยเร็ว เจินหยวนลงจากม้าก้าวขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปยังตำหนักที่ยังมีแสงสว่าง ผลักประตูเบื้องหน้า ตราตั้งหยกขาวละเอียด สลักลวดลายมังกรสูงส่งวางไว้บนโต๊ะสีทอง ณ กึ่งกลางห้องก็ปรากฏสู่สายตา เปลี่ยนใบหน้าเคร่งขรึมให้ประดับรอยยิ้มยินดี ฝีเท้าก้าวตรงไปอย่างเร่งรีบ ดวงตาฉายแววละโมบอำนาจ

          ...เพียงแค่มีสิ่งนี้ตัวเขาก็จะครอบครองทุกสิ่งในแคว้นซวนหยวน

          เสนาบดีกรมตุลาการยื่นมือหมายจะหยิบจับ ทว่าปลายนิ้วยังมิทันสัมผัสโดน ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาจากด้านข้าง ปักทะลุฝ่ามือที่กำลังอาจเอื้อมอย่างแม่นยำ

          “อ๊าก” เจินหยวนร้องลั่น ต้องซวนเซถอยหลังด้วยความตื่นตระหนกระคนเจ็บปวด ครั้นหันไปสบเข้ากับผู้มาใหม่ก็ต้องคำราม “ลู่เหวินเจ้า! เจ้าจะทำอะไร”

          “กำจัดภัยร้ายราชสำนัก ภัยร้ายต่อแคว้นซวนหยวน”

          ลู่เหวินในชุดสีน้ำเงินตอบกลับน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนเผยให้เห็นดวงตาคมกล้าราวพยัคฆ์ร้าย กลิ่นอายสังหารรุนแรง พลอยให้ตัวชาวาบ สายตาแบบนี้ มิใช่... นี่มิใช่ลู่เหวินที่ตนรู้จัก “เจ้าเป็นใคร”

          “เฮ้อ รู้ตัวสักที” บุรุษใบหน้าคมคายส่งยิ้มยียวน อาภรณ์สีน้ำเงินพลันแปรเปลี่ยนเป็นชุดเกราะดำองอาจในชั่วลัดนิ้วดีด “เล่นเป็นสุนัขรับใช้ของเจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ”

          เจินหยวนอ้าปากตาค้างจ้องภาพตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ สมองครุ่นคิดแทบระเบิด เรื่องนี้ผิดพลาดตั้งแต่ที่ใด แลเป็นครั้งแรกที่เขาผู้มักสุขุมต้องลนลานเหงื่อตก “ไม่จริง เจ้าตายไปแล้ว ลู่เหวิน...”

          “จะบอกว่าเขาฆ่าข้าน่ะหรือ เฮอะ อาศัยฝีมือสุนัขๆ แค่นั้น ประเมินข้าต่ำไปหน่อยกระมัง” เซียวถิงฟงแค่นเสียง ให้อีกฝ่ายหน้าซีดเผือดลง ต้องผงะถอยหลังออกไป ก่อนจะสงบความหวาดหวั่นได้

          เซียวถิงฟง เจ้าอย่าพึ่งได้ใจ เจ้าไม่ตายแล้วอย่างไร คนของข้าล้อมวังหลวงไว้หมดแล้ว เจ้าจะทำอะไรได้” ต่อให้อีกฝ่ายจะระแคะระคายว่าเขาก่อกบฏ แต่กระนั้นก็มิมีทางรวบรวมไพร่พลได้ทัน มาตรว่าทหารกองธงพยัคฆ์มีนับหมื่น หากแต่ส่วนใหญ่กลับยังวางกำลังไว้ยังชายแดนทางฝั่งตะวันตก มิมีทางเดินทางยกทัพมาเมืองหลวง หยุดยั้งการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ทันการ

          แต่แล้วแม่ทัพหนุ่มกลับยิ้ม ทั้งถือโอกาสเดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะสีทองของเจ้าชีวิต หยิบเอาตราตั้งมังกรขึ้นมาโยนเล่น “แน่ใจหรือ”

          ครั้นวาจาจบลงก็มีเสียงร้องโหยหวนยังด้านนอก เจินหยวนตกตะลึงวูบพลางรีบวิ่งออกไปทันที แลไม่นานก็เห็นกลุ่มทหารกองธงพยัคฆ์ รวมถึงกลุ่มคนชุดดำสวมหน้ากากไม่รู้ที่มาล้อมปะทะรุนแรง ทางฝ่ายกลุ่มกบฏเองก็คาดได้ถึงจึงพลันเสียกระบวน พริบตาเดียวก็โดนกวาดล้างล้มลงราวใบไม้ร่วง

          ไม่ ไม่จริง นี่เป็นไปไม่ได้” ภาพตรงหน้าบ่งบอกประสบการณ์ฟาดฟันที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ดวงตาของเสนาบดีเบิกกว้าง แผนการที่ข้าสู้อุตส่าห์เตรียมการมานับสิบปี ...กลับทลายลงง่ายๆ “ไม่ ข้าไม่แพ้ มิมีวันพ่ายแพ้” เขาคำรามลั่นแล้ววิ่งออกไปเบื้องหน้า หยิบดาบที่ตกอยู่ขึ้นวาดไปมา กระนั้นผู้ที่ไร้วิทยายุทธ์ย่อมมิอาจสู้ใครได้

          เซียวถิงฟงมองดูชายที่สุดท้ายถูกกดไว้กับพื้น เส้นผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง มีอำนาจล้นฟ้าแล้วอย่างไร สุดท้ายต่างต้องลงไปอยู่ใต้ผืนดินอยู่ดี

          มองเห็นความดูแคลนในสายตา เจินหยวนก็ระเบิดหัวเราะราวคนบ้า “ฮึ ฮ่า ฮ่า เซียวถิงฟง ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่มีความต้องการในบัลลังก์ มิเช่นนั้นเจ้าจะส่งปีศาจตนนั้นไปอยู่ข้างกายฝ่าบาททำไม”

          ได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าที่กำลังจะล่วงผ่านก็พลอยหยุดชะงัก ก่อนก้มยองๆ กระซิบบอก “แย่หน่อยนะตาแก่เฒ่า สิ่งที่ข้าต้องการมีหนึ่งเดียว เพียงเคียงข้างคนที่ข้ารัก อีกอย่างปีศาจที่เจ้ากล่าวเมื่อสักครู่นั่นน่ะ เป็นถึงมือขวาของมหาเทพแดนสวรรค์ เจ้าล่วงเกินเขาเท่ากับล่วงเกินต้าเซียน และเมื่อหากล่วงเกินต้าเซียนแล้วล่ะก็ หึ หึ” เซียวถิงฟงยิ้มเหยียด เห็นทียามนี้หัวใจครึ่งดวงของเฟยหลงในร่างก็ส่งผ่านความโหดเหี้ยมให้แก่เขาเช่นกัน

          “...ย่อมหมายความว่าล่วงเกินข้า”

          เจินหยวนเลิกตาโต นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก คล้ายโดนรังสีอำมหิตข่มขวัญ เซียวถิงฟงลุกขึ้นอย่างมิสบอารมณ์ เป็นเพราะคนกลุ่มนี้แท้ๆ ที่ทำให้ต้าเซียนต้องตระเวนหาผลซวงเซิง มิอาจกลับบ้านกลับช่องจนป่านนี้

          มารดามันเถอะ ไม่ได้เห็นหน้าเจ้า ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว ต้าเซียน


 

************************************************

 

         
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 31.2 ทางเลือก 27/08/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 27-08-2016 20:59:02
บทที่ 31.2 ทางเลือก

 
            “เสี่ยวไป๋ ปล่อย!”

          ราวกับได้เสียงเรียก...

          “ปล่อยฝ่าบาทเร็ว พระองค์จะไม่ไหว จะไม่ไหวแล้ว ได้โปรด”

          ใคร... ใครไม่ไหวกัน

          ไป๋เซ่อสะลึมสะลือเสมือนได้ยินน้ำเสียงสั่นของเสี่ยวลู่ จึงอ้าริมฝีปากคิดถามไถ่ หากแต่กายกลับถูกคนลากดึงออกมา ยังผลให้ภาพตรงหน้าเปิดโล่งสู่สายตา แม้แรกเริ่มเลือนรางทว่าตอนนี้กลับชัดเจนแล้ว

          เบื้องหน้าปรากฏร่างสูงที่ก้มหน้าหลับตา สีหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ทั้งนั่งนิ่งไม่ขยับกายราวกับไร้ลมหายใจ ส่งผลให้ลมหายใจเขาขาดห้วง คมมีดนับพันนับหมื่นทิ่มแทงทั่วร่าง ใจจะขาดรอนๆ น้ำตาสายหนึ่งร่วงหล่นจากดวงตาที่เลิกกว้าง “ม่ะ...อื้อ”

          ก่อนที่ร่างสีเขียวจะหลุดเสียงกรีดร้องสะเทือนใจ เสี่ยวลู่ซึ่งอยู่ด้านหลังก็รีบใช้สองมือปิดปากน้อยเอาไว้แน่น “เสี่ยวไป๋ อย่าร้อง อย่าพึ่งร้องตอนนี้” หัวหน้าขันทีร้องบอกด้วยดวงตาแดงก่ำ

          “อึก อื้อ” เมื่อมิอาจส่งเสียงไป๋เซ่อก็ได้แต่สะอื้นไห้ เพียงมองหัวหน้าองครักษ์จิ้งจับชีพจรของชายหนุ่มแล้วเผยสีหน้าหนักใจ แลกล่าวก่อนก้าวเข้าไปถ่ายทอดลมปราณผ่านทางแผ่นหลัง

          “เสี่ยวลู่ จากนี้ไปเจ้าต้องจัดการเองแล้ว”

          นับตั้งแต่ฮ่องเต้หนุ่มรีบร้อนไปจากตำหนักหลันฮวา ขบวนเสด็จก็ถูกกลุ่มทหารของพระชายาเจินห้อมล้อมเอาไว้ จวบจนนางเสด็จออกไป หัวหน้าองครักษ์จิ้งก็ฝ่าวงล้อมพาเขาออกมา ด้วยการช่วยเหลือคุ้มกันจากทหารองครักษ์คนอื่น ต่อเมื่อเล็ดรอดออกมาได้ สถานการณ์ภายนอกก็ตึงเครียด ทหารกบฏเพ่นพ่านไปทั่ว พวกเขามีแต่ลักลอบเข้ามาในตำหนักฮองเฮาผ่านทางรูกำแพงท้ายตำหนัก ก่อนจะได้มาเห็นสภาพมิสู้ดีของเจ้าชีวิตและเซียวฮองเฮาซึ่งถูกครอบงำสติ

          เสี่ยวลู่นึกแล้วก็ปาดเช็ดน้ำตา ใช้น้ำเสียงมุ่งมั่นจริงจัง “เสี่ยวไป๋ฟังข้าให้ดี ตอนนี้เป็นเวลาคับขัน องครักษ์เงาที่ด้านนอกคงสกัดกั้นไว้ได้อีกไม่นาน เจ้าต้องใช้โอกาสนี้หนีออกไป”

          “หนี... ข้า” ได้ฟังแล้วสีหน้าของร่างเล็กก็มึนงงสับสน “ให้ข้าหนี แล้วซวนหยวนหมิงไท่เล่า ข้าไม่ไป ข้าจะไม่ทิ้งเขาไปไม่มีวัน” ไป๋เซ่อพูดแล้วก็ส่ายหน้าทั้งน้ำตา หนำซ้ำยังคืบคลานไปกอดขาคนสลบไสลเอาไว้แน่น

          “ไม่ได้ เจ้าต้องหนีไป” เสี่ยวลู่กล่าวห้าม ทั้งพยายามดึงตัวไป๋เซ่อที่ยื้อยุดออกมา ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องกระทำตามรับสั่งขององค์เหนือหัวให้ได้

เสี่ยวลู่จำไว้ หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า จงพาไป๋เซ่อหนีไป ไปหาหงเว่ย เขา... จะปกป้องไป๋เซ่อได้แน่
         
          คำพูดที่เหมือนสั่งเสียนั้นเจือด้วยความขมขื่นระคนหมองเศร้า พระพักตร์ราวกับคนเป็นที่ตายไปแล้ว ยากจะให้ผู้คนลืมเลือน “ไป๋เซ่อ เจ้าต้องไป ...เพื่อฝ่าบาท”

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ชะงักหยุดกึก พึมพำออกมาแล้วเบนหน้ามองไปยังร่างสูง “เพื่อซวนหยวนหมิงไท่”

          “ใช่ เพื่อฝ่าบาท” เสี่ยวลู่ไม่มีเวลาอธิบาย ได้แต่เอ่ยเร่งรัด

          ครานี้ดวงตาสีฟ้าอมเขียวหันกลับมามองสองมืออันเปราะเปื้อนโลหิตของคนที่ตนรัก ทันใดนั้นภายในอกก็บีบรัดหนักหน่วง ทั้งยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก ต้องหลั่งรินน้ำตาเงียบๆ ทว่าหัวใจกลับเกิดเป็นแผลสาหัสยิ่ง

          ใช่แล้ว เพื่อเขา เพื่อปกป้องเขาจากปีศาจร้าย ...อย่างข้า

          “ได้”

          ในที่สุดไป๋เซ่อก็กล้ำกลืนกล่าว เสี่ยวลู่จึงโล่งใจเอ่ย “เสี่ยวไป๋ ยามนี้ทหารกบฏอยู่ด้านนอกเต็มไปหมด เจ้ามิอาจไปเช่นนี้ ดังนั้น...”

          “ได้” ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบ เขาก็แปลงเป็นงูเผือกทันที

          หัวหน้าขันทีแม้รู้ถึงร่างแท้จริงของไป๋เซ่ออยู่บ้าง แต่มาตรว่าได้เห็นคนกลายร่างเป็นอสรพิษต่อหน้าต่อตาก็อดที่จะตกตะลึงมิได้ กระนั้นก็ยังคงกลับคืนสติได้รวดเร็ว โอบอุ้มร่างสีขาวเย็นซ่อนในอกเสื้อ ออกวิ่งไปยังท้ายตำหนัก

          เสี่ยวลู่พางูเผือกน้อยลัดเลาะออกจากเรือนบรรทม ตรงไปยังห้องครัวเล็กท้ายเพียงลำพัง เนื่องเพราะชีวิตของฝ่าบาทแขวนอยู่บนเส้นด้าย จำต้องให้หัวหน้าองครักษ์จิ้งถ่ายเทลมปราณรักษา กระทั่งไปถึงอุทยานก็มิอาจหลบสายตาเหล่าทหารกบฏได้อีก เขาได้แต่จ้ำอ้าวสุดแรงเกิด มุ่งตรงไปยังทางที่ตนใช้เข้ามา ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงคมหอกคมดาบไล่หลังติดๆ เมื่อตระหนักได้ว่าหนีไม่พ้น จึงตัดสินใจนำร่างสีขาว โยนออกไปทางรูกำแพงเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล

          “ไป เสี่ยวไป๋ ไปหาหงเว่ย”

          เสียงตะโกนของเสี่ยวลู่ดังก้อง ทั้งสิ้นสุดลงเมื่อร่างงูของไป๋เซ่อกระเด็นออกไปยังนอกตำหนัก พร้อมกับใจที่เคว้งคว้างว่างเปล่า


 

************************************************

 

            บัดนี้ใบหน้างดงามฉาบทับความเย็นชา ดวงตาประดุจลูกกวางน้อยทอประกายโกรธเกรี้ยว คนชุดดำสวมหน้ากากทั้งสิบยังคงสกัดกั้นขวางทางมิขยับไปไหน ต่อให้มีกองทหารนับร้อยก็ยังมิสามารถฝ่าเข้าไปได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นนางจึงต้องสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนกว่านี้

          กำยานหญ้าสิ้นซากถูกจุดแล้วจุดอีก หากแต่ภายในยังไร้การเคลื่อนไหว เสมือนวิธีการนี้มิสามารถบีบบังคับปีศาจอสรพิษได้อีก ยิ่งไปกว่านั้นคนของนางเองก็ลดน้อยถอยลง ซากศพทับถมเป็นกองพะเนินสูงยากจะก้าวข้ามไปได้โดยง่าย

          ร่างอรชรกัดริมฝีปากอย่างมิค่อยไม่พอใจ ตัดสินใจให้หัวหน้ากองทหารส่งข่าวยืมกำลังคนจากบิดา ซึ่งประจวบเหมาะกับทหารจากอีกกองกำลังหนึ่งรีบร้อนมาพอดี สภาพศีรษะแตก ชุดเกราะเปื้อนเลือด สีหน้าแตกตื่น ทำให้นางขมวดคิ้ว

          “พระชายาแย่แล้ว ท่านเสนาบดีเจินถูกทหารกองธงพยัคฆ์ล้อมไว้ที่ตำหนักเสวียนเจิ้ง จำต้องขอกำลังจากทางนี้เข้าช่วยเหลือเร่งด่วน”

          ดุจดั่งสายฟ้าฟาดดินฟ้าถล่ม ขาเรียวซวนเซแทบล้มทั้งยืน โชคดีที่อวี้ชิงร้องลั่นเข้าประคองไว้ “คะ ใคร...ใครเป็นผู้นำทัพ” เจินเริ่นผิงถามเสียงตะกุกตะกัก เมื่อไม่มีแม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟง ทหารกองธงพยัคฆ์ที่ขาดผู้นำสมควรระส่ำระสาย มิมีทางเป็นปึกแผ่นได้ในระยะเวลาสั้นๆ หรือว่า...

          “เป็นท่านแม่ทัพใหญ่เซียว เซียวถิงฟงพะยะค่ะ”

          คำตอบนี้ทำให้ผู้เป็นชายารู้สึกราวถูกตบหน้าฉาดใหญ่ นางมิควรดูแคลนแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ และยิ่งมิอาจดูแคลนคนที่ฝ่าบาทไว้วางใจตั้งแต่ต้น พลันผินดวงหน้าย่ำแย่ไปยังเรือนบรรทมที่ยังคงปิดสนิทไร้ความเคลื่อนไหว ประเมินมองดูแล้วการส่งกำลังคนจากทางนี้ไปช่วยทั้งที่บิดาคุมกำลังกว่านางหลายเท่าในเพลานี้ มิใช่การตัดสินใจที่ดี มีแต่ต้องจับตัวเจ้าชีวิตเป็นตัวประกันเท่านั้นสถานการณ์จึงจะพลิกกลับ

          “ไม่ว่าอย่างไรต้องฝ่าคนชุดดำจับเป็นฝ่าบาทให้ได้” นางกล่าวออกมาพลางพยายามสงบใจให้นิ่ง แลจับจ้องการกลุ่มคนสวมหน้ากากเริ่มเหน็ดเหนื่อยเรรวน ทว่าสวรรค์กลับมิให้เวลานางเท่าไรนัก เพราะเมื่อหิมะเริ่มตกหนัก อากาศเย็นเฉียบ เสียงฝีเท้าม้าอึกทึกก็ทะยานมาถึง พร้อมกับเสียงคำรามก้องของคนผู้หนึ่ง

          “คุมตัวกบฏทั้งหลาย ใครขัดขืนฆ่าได้ทันที” เป็นเซียวถิงฟงเปล่งน้ำเสียงทรงพลัง ติดตามด้วยทหารกองธงพยัคฆ์ที่ขึ้นชื่อดุดันฮึกเหิม ยังผลให้ทหารชุดน้ำเงินหน้าถอดซีดตระหนักได้ว่าไร้ทางหนี จึงมีคนบางส่วนทิ้งอาวุธลงแต่โดยดี

          “พระชายารีบเสด็จหนีเถอะเพค่ะ”

          อวี้ชิงเห็นท่ามิดีก็รีบกล่าวเตือน ยามนี้เจินเริ่นผิงพลันได้สติ ก่อนใช้โอกาสที่ยังคงมีคนบางส่วนสู้ตายพากันถอยร่นไปยังท้ายตำหนัก

          แม่ทัพเกราะดำบนหลังม้ากวาดมองเบื้องหน้า เห็นองครักษ์เงาที่ยังคงปกปักษ์คุ้มครองเรือนบรรทมก็พลันโล่งอกไปส่วนหนึ่ง เนื่องเพราะกบฏที่ก่อการครั้งนี้ลงมือรวดเร็ว มิให้เวลาเขารวบรวมกำลังพลได้มากนัก มาตรว่าต่อให้เข้าควบคุมตระกูลซึ่งเข้าร่วมกับเจินหยวนไว้ ก็ยังคงมีอีกสามสี่ตระกูลที่เล็ดรอดมายังวังหลวง ดังนั้นมีแต่ให้ถิงถิงหัวหน้าหน่วยสอดแนมติดต่อหยิบยืมกำลังคนจากองครักษ์เงาในเมืองหลวงอย่างฉุกละหุก ทั้งนี้โอกาสแจ้งเตือนซวนหยวนหมิงไท่จึงไม่ทันการ

          ม้าถูกควบไปด้านหน้า เมื่อถึงจุดหนึ่งเซียวถิงฟงก็ตบหลังมันผลักดันตัวขึ้น ใช้ฝีเท้าทะยานตัวข้ามทหารสองกลุ่มซึ่งกำลังโรมรันปะทะ ผ่านองครักษ์เงาทั้งสิบอีกชั้นไปหาคนในเรือน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่บุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเหนือความวุ่นวาย

          อาภรณ์สีม่วงอมดำสะบัดไหวไปตามกระแสพายุหิมะ หงเว่ยทอดสายตาพร่ามัวค้นหาร่างๆ หนึ่ง ต่อให้นัยน์ตาเจ็บร้าวด้วยพิษกัดกร่อน ตนก็ยังฝืนใช้ ไม่สนว่าสุดท้ายว่ามันจะมืดบอดรึไม่

          ...ไป่ไป๋ เจ้าอยู่ที่ไหน ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว


 

************************************************

 

            ทหารเกราะดำไล่กวาดล้างจับกุมกบฏแข็งขัน เพียงไม่นานคนที่ติดตามเจินเรินผิงก็ถูกไล่ต้อนหายไปทีล่ะคน บ้างไปคนละทิศทาง บ้างถูกสังหารตาย ส่งผลให้นางกับอวี้ชิงหนีหัวซุกหัวซุน ต้องหลบซ่อนตัวหลังพุ่มไม้ใหญ่ใกล้ครัวท้ายตำหนัก

          “พระชายาทางนั้นมีทางออก” เป็นนางกำนัลสาวตาดีมองเห็นรูโหว่ตรงกำแพงตำหนักในมุมลับตา ซึ่งห่างจากจุดซ่อนตัวออกไปราวเจ็ดแปดก้าว รอจนทหารบางตานางก็ดุนหลังผู้เป็นนายออกไป

          เจินเริ่นผิงมิกล้าหันไปมองรอบด้าน ทำได้แต่มุ่งหน้าไปเท่านั้น นางคลุกคลานกองหิมะที่เริ่มทับถมสูงขึ้น ลอดผ่านช่องเล็กๆ ออกไปอย่างทุลักทุเล กระทั่งโผล่พ้นทั้งตัวนางก็รีบลุกขึ้น หันกลับไปเรียก “อวี้ชิง”

          “........”

          “อวี้ชิง...” นางร้องเรียก กระนั้นกลับไร้สุ้มเสียง แม้แต่เงาร่างของนางกำนัลคนสนิทก็หาได้มีไม่ วูบหนึ่งหัวสมองก็พลันวูบโหวง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการอยู่เพียงลำพังช่างน่ากลัว ยิ่งยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นเลวร้ายแล้ว...

          สวบ สวบ

          “ใคร” บังเกิดเป็นเสียงไหวของพงหญ้า ร่างสีชมพูตวัดสายตามองต้นเสียง ฉับพลันนั้นก็ต้องรู้สึกหนาวเยือกสะท้านไปถึงขั้วกระดูก เหงื่อกาฬหลั่งไหลแนบแก้ม แม้หิมะจะเริ่มตกหนัก

          ต่อให้ตอนนี้นางมีกำยานหญ้าสิ้นซากในมือ ก็ไม่มั่นใจว่าจะควบคุมอีกฝ่าย เนื่องเพราะในดวงตาสีฟ้าอมเขียวคู่เล็กนั้นมีประกายอาฆาต นางตัวชาวาบ ใจเกิดพรั่นพรึงต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงจะสามารถขยับหนี ทว่าตลอดทางรังสีชิงชังนั่นก็หาได้ลดละ คลับคล้ายว่ามิยอมปละปล่อยนางไปง่ายๆ

          สุดท้ายเมื่อไร้หนทางไปก็ได้แต่ย้อนกลับไปยังตำหนักหลันฮวา ใจภาวนาถึงคนอีกผู้หนึ่ง ถ้าเป็นเขาต้องช่วยนางหนีไปได้แน่ๆ มือเรียวผลักประตูโถงตำหนัก ทันใดนั้นก็เห็นเป็นบุรุษชุดสีขาวกระจ่างยืนหันหลังให้ด้านใน “นักพรตอันหลง ช่วยข้าเร็วเข้า ปีศาจอสรพิษมันตามข้ามา” เจินเริ่นผิงร้องเรียกอย่างดีใจ มิได้สังเกตเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในเงามืด

          “พระชายาเจิน มาทางนี้สิ”

          เสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้น นางไม่รีรอรีบสาวเท้าเข้าไป แต่แล้วคนผู้หนึ่งกลับทัดทาน
         
          “อย่าเข้าไป คนผู้นั้นเป็นปีศาจ ออกมาให้ห่างจากเขา” เป็นไป๋เซ่อในร่างมนุษย์กล่าวเตือน คิ้วเรียวขมวด สีหน้ามีแววเคร่งเครียด หากแต่เจินเริ่มผิงกลับตีความตรงข้าม คิดว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวคนที่อยู่ด้านใน

          “ฮึ ฮึ ใครกันที่เป็นปีศาจ อย่าคิดว่าข้าจะหลงกลเจ้าได้” พูดจบนางก็เหยียดยิ้มหยัน ก่อนผินหน้ากลับไปหานักพรตอันหลง แต่แล้วก็เป็นอันตกตะลึงสุดขีด เนื่องเพราะใบหน้าครึ่งซีกของนักพรตหนุ่มเป็นรอยไหม้ช้ำเลือดช้ำหนอง “กรี๊ด อั่ก”

          ยังมิทันได้ร้องสุดเสียง ลำคอก็ถูกกระชากดึง บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะแหลมที่ฟังดูชายก็มิใช่หญิงก็ไม่เชิง แม้แต่รูปร่างบริสุทธิ์เช่นผู้ทรงศีลก็กลับกลายเป็นอาภรณ์สีน้ำเงินซึ่งคลุมทับด้วยชุดขนนกยูง

          “อะไรกันตกใจหรือ” วั่นอู่หงยิ้มถามสตรีที่ทำดวงตาเบิกถลน ก่อนจะตวาด “ตกใจร่างแท้จริงของข้า หรือใบหน้าเน่าเฟะนี่กันแน่”

          หลังจากที่เอาตัวรอดโดยการสาดผงกัดกร่อนเข้าใส่ดวงตาทั้งสามของอสรพิษเกร็ดอัคคี ในชั่วขณะที่กำลังจะเร้นกายลับไปได้สำเร็จ อีกฝ่ายกลับระเบิดขุมพลังเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ใบหน้าของนางถูกเผาไหม้ไปซีกหนึ่ง นอกจากตบะบำเพ็ญเพียรแล้ว อิทธิฤทธิ์ในกายนางเองก็ลดฮวบดั่งปีศาจชั้นปลายแถว จำเป็นต้องหาพลังมาทดแทนเร่งด่วน และแน่นอนว่าสิ่งนั้นก็คือพลังชีวิตของมนุษย์

          “หากเจ้าขยับมาอีกก้าวเดียว นางตายแน่” ปีศาจสาวขู่ใส่ ทำให้ร่างสีเขียวตรงหน้าชะงักฝีเท้า

          “ที่แท้เป็นเจ้า” ไป๋เซ่อเอ่ยเสียงเรียบ นับแต่ตวนผิงซางอ๋องตาย หงลิ่วบาดเจ็บสาหัสตน ปีศาจตนนี้ก็หายสาบสูญ คิดไม่ถึงว่านางจะอยู่ ร่วมมือกับเจินเริ่นผิง วางแผนใช้หนอนทุกข์ระทมทำร้ายตน

          สังเกตเห็นคราบโลหิตที่มีกลิ่นอายพลังฟ้า นกยูงสาวก็เลียริมฝีปากถาม “รสชาติเลือดเนื้อมังกรเป็นอย่างไรบ้าง ในที่สุดเจ้าก็ตกต่ำไม่ต่างจากปีศาจชั้นต่ำ” นางยิ้ม ยิ่งเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าขมขื่นก็นึกสะใจ รอให้นางดูดกลืนพลังชีวิตสตรีในมือเสียก่อน ปราณมังกรเหล่านั้นก็ต้องตกเป็นของนางเช่นกัน

          มือที่กุมลำคอพลันบีบแน่นขึ้น เจินเริ่นผิงขาดอากาศหายใจจนหน้าเขียว นางดิ้นรนตะเกียกตะกาย ก่อนปัดคมเล็บเข้าใส่ซีกหน้าเหวอะหวะ

          “โอ้ย” วั่นอู่หงมิทันระวังร้องลั่น ครั้นนังตัวดีผละตัวหลุดพ้นกำมือ นางก็ถลึงตาตวาดก้อง “เป็นแค่ภาชนะกล้าดียังไงมาทำร้ายข้า” สองมือใช้พลังดึงดูดร่างเหยื่อให้ย้อนกลับ ดังนั้นเจินเริ่นผิงวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกพลังดังกล่าวลากตัวลอยกลับไป

          “ช่วยด้วย ช่วยข้าที กรี๊ด”

          นางร่ำร้องหวาดกลัว ต่อให้เจินเริ่นผิงจะชั่วดีอย่างไรตนก็มีหน้าที่ปกป้องมนุษย์ ไป๋เซ่อขยี้ปลายเท้าพุ่งตัวเข้าช่วยอีกฝ่าย ทว่ายังไม่ทันบรรลุถึง เสื้อคลุมขนนกยูงก็สยายออกตัดหน้า คลุมร่างบอบบางในชั่วอึดใจ เพียงทันเห็นสีหน้าสุดท้ายอันซีดขาวตื่นตระหนก ก่อนที่ปีศาจนกยูงจะนำร่างของพระชายาพลิ้วหมุนกลางอากาศราวพายุ

          แลไม่นานวั่นอู่หงก็หยุดตัว ก่อนทิ้งร่างเหี่ยวแห้งไร้โลหิตหล่อเลี้ยงลงสู่พื้น ไป๋เซ่อรับร่างปวกเปียกของชายาเจินไว้ ดูว่าพริบตาเดียวนางปีศาจก็เปลี่ยนหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งให้มีสภาพน่าอเนจอนาถ ใบหน้าบิดเบี้ยวห่อเหี่ยว ดวงตากลมโตราวลูกกวางน้อยลึกโหลไร้ประกาย ริมฝีปากอ้าค้างบ่งบอกความทรมาน ยังมีผิวกายแห้งเป็นสีน้ำตาลคล้ำ เขาวางร่างแข็งเกร็งลงเบาๆ จากนั้นคำรามก้อง “วันนี้ข้าจะกำจัดปีศาจร้ายเช่นเจ้าให้ได้”

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นกยูงสาวระเบิดหัวเราะด้วยใบหน้าไร้รอยแผล แล้วจึงเอ่ยความจริงข้อหนึ่งที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ “เจ้าจะทำอะไรข้าได้ ยามนี้โลหิตของเจินเริ่นผิงวนเวียนในกายข้า หนอนทุกข์ระทมเปลี่ยนเจ้าของ หากแต่ทาสอย่างเจ้าทำได้เพียงเชื่อฟังข้าเท่านั้น”

          “ฝันไปเถอะ” สิ้นเสียงสบถ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าก็ก่อเกิดประกายมุ่งมั่น เขาถีบเท้าทะยานตัวโดยแรง เข้าประมือกับปีศาจสาวพัลวัน ระหว่างสมองก็ค่อยๆ บีบรัดทรมานขึ้นเรื่อยๆ ไป๋เซ่อกัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวด มิไยต้องแลกด้วยชีวิต จักต้องกำจัดภัยร้ายนี้ให้ได้

          ...ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าจะไม่เจ็บตัวเปล่า ข้าจะลากนางไปลงนรกพร้อมกันให้ได้

          ตูม

          บังเกิดระเบิดขนาดใหญ่ อันเกิดจากการแลกฝ่ามือเป็นตายของทั้งสอง วั่นอู่หงเหาะเหินแหวกฝุ่นควันคละคลุ้ง แล้วลอยตัวเหนือหลังคาตำหนัก นัยน์ตาสีแดงจับจ้องดูซากปรักปรักพังด้านล่าง พร้อมกับกวาดหาร่างๆ หนึ่งที่หายลับไป ทว่าผ่านพ้นไปครู่ใหญ่ทุกอย่างก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว คล้ายทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว

          “ที่แท้ก็มีเพียงแค่นี้” นกยูงสาวหัวเราะ ฝีมือของอีกฝ่ายไม่นับว่าดีกระไร ทั้งออกไปทางอ่อนด้อย เห็นทีที่ผ่านมาคงอาศัยเพียงใบหน้าอันมีเอกลักษณ์ ยั่วยวนบุรุษให้ได้มาซึ่งการคุ้มครอง ซึ่งหากในกายอีกฝ่ายมิได้มีปราณมังกร ก็ไม่คู่ควรให้นางต้องลงมือด้วยซ้ำ

          ขณะปีศาจสาวย่ามใจ กลับรู้สึกถึงกลิ่นอายบริสุทธิ์ชนิดหนึ่ง จู่ๆ ซากตำหนักที่ถล่มจะปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ความเย็นเยือกแผ่ลามไปทั่วบริเวณ พื้นเบื้องล่างเกิดการสั่นไหว ทันใดนั้นร่างอสรพิษสีขาวเงางามขนาดมหึมาก็พลันกระโจนตัวขึ้นมา

          มันอ้าปากเผยเขี้ยวแหลม ลิ้นแฉกสีแดงท่ามกลางโพรงมืดมิด วั่นอู่หงคาดคิดไม่ถึงจึงทำได้แต่เพียงจ้องมองอย่างตะลึงงัน “ม่ะ ไม่ เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้ หากผู้ควบคุมหนอนทุกข์ระทมตาย เจ้าเองก็ตายไปด้วย”

          กระนั้นไป๋เซ่อมิให้โอกาสนางต่อรอง ต่อเมื่อถ้อยคำจบลงร่างของปีศาจนกยูงก็ถูกกลืนกินเข้าไปในคำเดียว รอจนบรรยากาศกลับคืนความสงบ ตนจึงสัมผัสถึงบางสิ่งที่แดดิ้นในสมอง ดูว่าหนอนทุกข์ระทมรับรู้การตายของผู้เป็นนาย มันจึงออกอาละวาดกัดกินเนื้อสมอง ไม่ช้าไม่นานนักภาพสีดำก็วูบวาบผ่านนัยน์ตา สมองปวดร้าวจนมิอาจบังคับกาย สุดท้ายต้องคืนสู่ร่างมนุษย์ ค่อยๆ ร่วงหล่นกลางอากาศ

          ครั้นรู้สึกตัวอีกทีตนก็อยู่ในอ้อมกอดเย็นๆ ของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ริมฝีปากยังเอาแต่พร่ำโทษตัวเองไม่หยุด แม้เขาคิดเอ่ยปลอบ แต่ก็มิอาจฝืนเปลือกตาอันหนักอึ้ง ทำได้เพียงเอ่ยในใจ

          นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นข้าผิดเอง เป็นข้าเลือกทางนี้เอง หงเว่ย


 

 

************************************************

 

          บทหน้านี้ บทที่ 32 เป็นดราม่าสุดท้าย เเต่ว่าคาดว่าจะจบเนื้อเรื่องหลักในบทที่ 33 นะจ้ะ สเปเชี่ยลว่ากันทีหลังจ้ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 32.1 ละทิ้ง 04/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 04-09-2016 21:57:02
บทที่ 32.1 ละทิ้ง

 

            “เจ้าตื่นแล้ว”

          เสียงใจดีปลุกเขา ให้เปลือกตาเรียวลืมขึ้นมองคนชะโงกหน้ายิ้มให้ข้างเตียง แล้วจึงรู้ว่าตนอยู่ในห้องนอนอบอุ่น

          “ครั้งนี้ข้าอาละวาดนานรึไม่” ไป๋เซ่อกล่าวถามบุรุษที่ตอนนี้ลุกขึ้นไปยังโต๊ะกลมกลางห้อง แล้วใช้มืออันหยาบกร้านไปเล็กน้อยจากการทำงานเทน้ำชากรุ่นไอร้อนยื่นให้

          “เกือบครึ่งชั่วยาม นับว่าดีกว่าช่วงแรกมาก เห็นทีสมุนไพรที่พี่ใหญ่หามาจะได้ผลจริงๆ”

          อีกฝ่ายตอบกลับด้วยใบหน้าสงบแฝงความอ่อนโยน น้ำเสียงใสราวสายน้ำในลำธาร เจ้าตัวสวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนตัวหนา ขับความงามตามธรรมชาติ

          “แต่อย่างไรก็มิหายขาด”

          “........” หงอู่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไป จากนั้นเอื้อมมือลูบศีรษะน้อยปลอบ “เมื่อสักครู่สามีข้าพึ่งตกได้ปลาตัวใหญ่ เย็นนี้เราคงมีน้ำแกงปลากินแล้ว หิมะปีนี้รุนแรงจริงๆ ของดีเช่นนี้คงช่วยไป่ไป๋ฟื้นฟูร่างกายได้ไม่น้อย”

          นับแต่ตนกำจัดปีศาจนกยูง ส่งผลให้หนอนทุกข์เกิดคลุ้มคลั่งกัดกินสมอง เพลานั้นตนคิดว่าคงจะตกตายตามกันไปแล้ว หากแต่ก็ยังฟื้นตื่นขึ้นมาในที่สุด ก่อนจะได้พบเครือญาติของหงเว่ยและหงลิ่วผู้นี้กำลังนั่งเฝ้าตนอยู่

          “เจ้าอยากออกไปเดินเล่นรึไม่” หงอู่เอ่ยชวน ดูว่าหิมะที่ตกกระหน่ำตลอดคืนได้หยุดลงเมื่อตะวันทอแสง

          ไป๋เซ่อพยักหน้าก้าวลงจากเตียงติดตามอีกฝ่ายไป สถานที่ที่เขาพักฟื้นเป็นเพียงบ้านเรือนไม้สองชั้น เบื้องหลังมีหุบเขาสั่วซีตั้งตระหง่านซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน บัดนี้ที่ลานกว้างของเรือนชั้นแรกปรากฏบุรุษร่างบึกบึนผิวคล้ำแดด ใบหน้าแม้มิได้หล่อเหลา กระนั้นก็ดูซื่อสัตย์ยิ่ง เจ้าตัวกำลังนำปลาส่วนหนึ่งที่จับมาได้เสียบไม้ย่างไฟ โดยมีหงลิ่วนั่งยองๆ ต้มยาอยู่ด้านข้าง ใช้สายตาจับจ้องการกระทำของอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ

          “สามี ไยท่านมาย่างปลาตรงนี้ หากพลั้งเผลอไป มิถูกเจ้าเด็กตัวดีขโมยปลาย่างไปหรือ”

          “เป็นเขาย้ายมาต้มยาทีหลังข้า” หยางเฉินตอบผู้เป็นภรรยาด้วยสีหน้าราวจะร้องไห้ ให้หงอู่ยิ้มละมุนเดินเข้าไปนั่งอิงแอบช่วยอีกฝ่าย

          “พี่ห้า ท่านพูดเกินไป ข้ามิใช่แมวสักหน่อย” หงลิ่วบ่นอุบอิบ ก่อนหันไปคุยกับคนอีกผู้หนึ่ง “พี่ชายไป๋ ท่านตื่นแล้วก็ดื่มยาสักถ้วยก่อนเถิด”

          เด็กน้อยส่งถ้วยยาชามใหญ่ซึ่งเตรียมไว้ก่อนแล้วมาให้ หากแต่เขาเพียงก้มดูน้ำสีน้ำตาลแดงที่มีกลิ่นแลรสชาติขมเจือโลหิตนิ่งๆ จากนั้นเบนสายตาไปยังหม้อยาที่ยังคงต้มอยู่

          “ยาในหม้อนี้ส่วนผสมยังไม่ครบ รอพี่ใหญ่นำเห็ดหลินจือโลหิตกลับมาเพิ่มเติมจึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์” อาจเป็นเพราะกลิ่นที่แตกต่างผิดกันทำให้หงลิ่วรีบอธิบาย

          “อืม” ไป๋เซ่อตอบรับสั้นๆ แล้วจึงรับถ้วยยากลั้นใจยกดื่ม ตามคำบอกเล่าของอีกฝ่าย ในป่าลึกของเมืองหนานผิงมีเห็ดหลินจือวิเศษบำรุงสมอง ทว่ามีรสชาติดุจเลือดเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยลดอาการคลุ้มคลั่งจากหนอนทุกข์ระทมในเพลานี้ได้

          “ให้เจ้า”

          “ขอบคุณเจ้ามาก” จู่ๆ หยางเฉินยื่นปลาย่างที่สุกแล้วมาให้ ด้วยนิสัยยังซื่อๆ ทั้งยังเอาใจใส่คนรอบข้าง ยังผลให้ไป๋เซ่อยิ้มอ่อนมิกล้าปฏิเสธ สามีของหงอู่ผู้นี้เป็นเพียงชาวนาธรรมดา ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวอีกฝ่ายกับหงอู่จะทำไร่นาในแถบเจ้อเจียง กระทั่งย่างเข้าฤดูหนาวจึงได้กลับมาใช้ชีวิตกันที่หุบเขาสั่วซี

          “อ้ะ พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” ขณะที่ทุกคนกำลังละเลียดชิมเนื้อปลาอันหอมหวาน ฝีเท้าคู่หนักแน่นก็ย่ำหิมะเข้าใกล้ หงลิ่วเห็นร่างสีม่วงอมดำเป็นคนแรกก็ร้องดีใจ รีบวิ่งเข้าไปประจบ “มีของฝากข้ารึเปล่า”

          “........” หงเว่ยไม่ตอบ มือยื่นกระบอกน้ำไปให้อย่างทุกที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคืออะไร เด็กน้อยเห็นแล้วก็เบะปากรับไปอย่างว่าง่าย

          ด้านไป๋เซ่อได้แต่มองบุรุษที่พันผ้าสีขาวรอบดวงตาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ที่หงเว่ยได้รับบาดเจ็บจนสูญเสียตบะไปราวสามพันปีเช่นนี้ สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะปกป้องตน

          “เจ้ายังคงรู้สึกผิด” ร่างแกร่งโพล่งออกมาทั้งที่มองมิเห็น เนื่องเพราะใช้ใจสัมผัสจึงได้รู้สึก “ไป่ไป๋ หากมิใช่เจ้า ข้ากับปีศาจนกยูงต่างก็มีความแค้นกันอยู่แล้ว”

          .......”

          มาตรว่าเขาพูดเช่นนั้น ร่างเล็กก็ยังคงเงียบงัน หงเว่ยจึงถามสืบต่อ “อยู่ที่นี่สบายดีรึไหม หงลิ่วทำเจ้ารำคาญบ้างรึเปล่า”

          “สบายดี หงอู่กับหยางเฉินดูแลข้าดีมาก หงลิ่วเองก็เช่นกัน” ไป๋เซ่อรีบบอก ตลอดเวลาที่พักอยู่ที่นี่มาเดือนกว่า เขาก็มิได้รับความลำบากกระไร

          ...แต่เจ้าไม่มีความสุข

          หงเว่ยแย้งในใจ เขารับรู้อยู่เต็มอก กระนั้นก็มิกล้ากล่าววาจาหนึ่งออกมา เป็นเขาเห็นแก่ตัว พาไป่ไป๋มาดูแลรักษามิให้ไกลสายตายังที่นี่ ใจหวังให้งูน้อยหายดีและกลับมาสดใสอีกครั้ง ทว่าทุกอย่างกลับผิดไป

          ผ่านมาเดือนกว่าฮ่องเต้หนุ่มเดินทางมารับงูเผือกน้อยถึงสี่ครั้ง แต่ทุกครั้งไป่ไป๋มิเคยยอมพบหน้า ทั้งเอาแต่ขังตัวอยู่ในห้อง เพียงมองส่งชายหนุ่มที่กลับไปในยามรุ่งสาง จากนั้นอาการก็กำเริบอย่างหนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ใจเขาก็มีแต่ร้าวราน ต่อให้ดีใจที่ได้อยู่ร่วมกัน

          ...แต่นานแค่ไหนแล้ว ที่ข้ามิได้เห็นรอยยิ้มแฉ่งของเจ้า

 

************************************************

 

          เพลาผ่านไปรวดเร็วยิ่ง เพียงไม่นานตะวันก็ตกดิน น้ำแกงปลาน่ากินพร้อมกับข้าวอื่นๆ ก็ทยอยขึ้นโต๊ะ หงอู่ตักข้าวใส่ถ้วย ยื่นส่งให้ทุกคนแข็งขัน เห็นเป็นแม่ศรีเรือนเช่นนี้ แต่แท้จริงแล้วอาหารทั้งหมดล้วนเป็นหยางเฉินลงมือทำ หงลิ่วจึงมักพูดเป็นประจำว่าพี่ห้าหลอกตาผู้คน เป็นเหตุให้ถูกหงอู่เขกศีรษะน้อยๆ

          ระหว่างที่ทุกคนลงมือรับประทานอาหารพร้อมหน้า เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นอย่างเหมาะเจาะ กระนั้นทุกสายตาพลันมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว ตนรีบวางตะเกียบคิดวิ่งขึ้นไปหลบยังห้องเช่นทุกที แต่แล้วประตูกลับถูกถีบจนเปิดผางเสียก่อน กระแสลมพัดเอาเกร็ดหิมะเข้ามาภายใน ส่วนตัวเขาแข็งค้างมิกล้าหันไปมอง ด้วยกลัวจะเห็นคนผู้หนึ่ง

          “เฮอะ ในที่สุดก็ถึงซะที หนาวจะแย่อยู่แล้ว”

          ...มิใช่เขา เสียงบ่นอันไร้มารยาทดังขึ้น ทำให้ไป๋เซ่อโล่งอก แต่ในเวลาเดียวกันหัวใจก็วูบโหวงแปลกๆ ก่อนจะเกิดคำถาม ...ทำไมมิใช่เขา หรือจะเกิดอะไรขึ้นกัน

          ด้านผู้มาใหม่เมื่อมาถึงก็ไม่ชักช้ากล่าวถึงจุดประสงค์ “ข้ามารับเจ้ากลับ ไป๋เซ่อ” เซียวถิงฟงกอดอกบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

          “ขะ ข้าไม่กลับ” ไป๋เซ่อตอบเสียงตะกุกตะกัก “ข้าจะกลับก็ต่อเมื่อเขามารับเอง”

          “หึ หึ ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าทำบ่ายเบี่ยง ต่อให้เขามารับ เจ้าก็ไม่กลับอยู่ดี มิใช่ก่อนหน้านี้เจ้าก็ปฏิเสธรึ” แม่ทัพหนุ่มในชุดลำลองสีน้ำเงินคลุมเสื้อขนจิ้งจอกแค่นหัวเราะ ครั้นอีกฝ่ายไม่ตอบก็เค้นถาม “ตอบมาคำเดียว เจ้าอยากเห็นซวนหยวนหมิงไท่ตรอมใจใช่ไหม”

          “ไม่” ไป๋เซ่อโพล่งตอบหน้าตาแตกตื่น เขาไม่ได้หวังให้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่...

          “เช่นนั้นก็กลับไปกับข้า”

          “แต่...” จากมือขวาของมหาเทพแห่งสวรรค์ กลับกลายเป็นปีศาจชั้นต่ำดื่มด่ำเลือดมนุษย์ ความจริงข้อนี้ทำให้เขาวิตก กลัว...กลัวว่าจะเผลอทำร้ายซวนหยวนหมิงไท่อีก

          เห็นสังเกตเห็นท่าทีลังเลเซียวถิงฟงก็ทอดถอนใจเอ่ย “ไป๋เซ่อ ข้ารู้ว่าเจ้ากังวล แต่บัดนี้วังหลวงคืนความสงบ จะไม่มีใครทำร้ายซวนหยวนหมิงไท่กับเจ้าได้อีก ส่วนอาการของเจ้า แม้ยังไม่มีหนทางรักษา ทว่าขอเพียงมีหวังทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้ เข้าใจไหม” ...เพราะอย่างนี้ทุกคนจึงได้ห่วงเจ้านักหนาไงเล่า

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ดวงตาแดงก่ำ คาดไม่ถึงว่าคนแซ่เซียวก็พูดอะไรซึ้งๆ เป็นกับเขาเหมือนกัน “ฮึกๆ เซียวถิงฟง” เขาถลาเข้ากอดร่างสูง ทำเอาเจ้าตัวเกาแก้มทำตัวไม่ถูก “เสื้อนี่มัน กลิ่นของท่านมหาเทพนี่นา โฮ ท่านมหาเทพ”

          เซียวถิงฟงถึงกับกรอกตาสบถในใจ ...มารดามันเถอะ

          รอจนสงบสติอารมณ์ได้ ไป๋เซ่อก็หันไปหาคนผู้หนึ่ง ในอกเต็มไปด้วยความลำบากใจ “หงเว่ย...”

          “เจ้ากลับไปอยู่ข้างกายเขาเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า” เจ้าของนามตอบกลับน้ำเสียงเรียบ ทว่าในใจเสมือนถูกมีดกรีดลึก ในที่สุดคำพูดนี้ก็หลุดออกมาจากปากเขา หากต้องแลกกับรอยยิ้มของร่างเล็ก ความเจ็บปวดทั้งมวลนี้ เขาก็จะ ...ทนรับมันเอง

          “ฮือ พี่ชายไป๋แล้วข้ากับพี่ใหญ่ พี่ห้า พี่เขยจะไปเยี่ยมท่านที่วังหลวง” เมื่อต้องจากกันอีกครั้ง หงลิ่วก็ร่ำร้องฟูมฟาย

          “อะไรกัน มิได้จากกันชั่วชีวิตสักหน่อย จะอย่างไรเจ้าก็ยังต้องรับหน้าที่ต้มยาอยู่มิใช่รึ” หงอู่ยิ้มกล่าวกับน้องชายซื่อบื้อ

          “เอ๊ะ นั่นสิ ข้าจะร้องทำไม” หงลิ่วพูดแล้วก็เกาศีรษะ

          “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เซียวถิงฟงเอ่ยเร่งรัด แต่แล้วก็พลันรู้สึกถึงพลังกดดันขุมหนึ่ง ให้เขาต้องกล่าวสำทับอีกหลายคำ “วางใจ ข้าจะส่งเขาถึงที่ อย่างปลอดภัย”

          ได้ยินเช่นนั้นหงเว่ยก็ยอมก้มหน้าลง ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายซ่อนเร้นพลังเซียนไว้ และหากให้แสดงฝีมือทั้งหมด ต่อให้เป็นตนเข้าต่อกรก็ยากจะคาดเดาผล กระนั้นตนก็อดห่วงไป่ไป๋มิได้ อาจเพราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายเล็ดลอดสายตา ก็มักเกิดเรื่องถึงขั้นอาจมิได้พบหน้าอีก แต่มาตรว่าเรื่องราวดำเนินถึงขั้นนี้ หากตนยังรั้นตามไปส่ง เกรงว่าสุดท้ายคงมิอาจห้ามใจที่เห็นแก่ตัว ฉุดรั้งร่างเล็ก ทำลายความสุขของเจ้าตัว

          “ข้าจะรอพวกเจ้าที่วังหลวง”

          หลังจากที่หยางเฉินกวาดเสบียงใส่ห่อผ้ามาให้ ไป๋เซ่อก็ตะโกนบอกทุกคน จากนั้นเหาะเหินติดตามเซียวถิงฟงลับหายไปในเมฆซึ่งโปรยปรายหิมะสีขาว ทิ้งให้หงเว่ยยืนส่งงูเผือกน้อยตรงลานหน้าบ้าน จวบจนกระทั่งหิมะหยุดตกก็เป็นเพลาเช้าพอดี
[/size]

 

************************************************

 

            ฝีเท้าสองคู่ฝ่ามวลเมฆมืดครึ้มอันมีหิมะตกหนัก ดูว่ายิ่งใกล้ถึงที่หมาย หัวใจก็ยิ่งหนักอึ้ง ที่ผ่านมาเป็นเขาขลาดเขลาหลบหนี จึงบังเกิดเป็นช่องว่างให้อึดอัดทำตัวไม่ถูก

          ณ เรือนบรรทมตำหนักฮองเฮา ในเพลานี้ปรากฏขันทีผู้หนึ่งยืนเฝ้าหน้าประตูด้วยท่าทีกลัดกลุ้ม ครั้นเมื่อเงยหน้ามองเห็นคนที่ลอยตรงเข้ามาก็โพล่งเสียงดัง

          “ขอบคุณสวรรค์” ท่านแม่ทัพใหญ่เซียวไปครั้งนี้นับว่าประสบผลแล้ว เสี่ยวลู่ประนมมือร่ำร้องยินดี หางตาปริ่มน้ำใส

          ก่อนหน้านี้บุรุษนามหงเว่ยกลับออกไปได้ไม่กี่ชั่วยาม เจ้าชีวิตหนุ่มก็พลันทรุดหนัก ด้วยอาการบาดเจ็บที่ยังมิหายดี บวกกับทรงรั้นตากหิมะรอรับฮองเฮาน้อยอยู่หลายครา ส่งผลให้มิอาจฝืนกาย ต้องล้มหมอนนอนเสื่อไม่รู้สึกตัว ท้ายที่สุดแม่ทัพใหญ่เซียวจึงตัดสินใจไปตามตัวร่างเล็กเองกับตัว

          “เร็วเข้า เสี่ยวไป๋ ฝ่าบาททรงเพ้อเรียกหาแต่เจ้า”

          ไป๋เซ่อมิทันได้เตรียมใจ เสี่ยวลู่ก็ผลักเขาเข้าไปในห้องแล้ว แสงสลัวจากเทียนไขเผยให้เห็นแผ่นหลังเดียวดายบนเตียงกว้าง นี่เป็นแผ่นหลังที่เขาเฝ้ามองอยู่ห่างๆ กว่าหนึ่งเดือน สองขาเดินเข้าไปอย่างแช่มช้า มือเรียวหมายยื่นสัมผัสด้วยคะนึงหา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อชายหนุ่มพลิกตัวหันมาเสียก่อน

          ทันทีที่ใบหน้าซูบตอบสะท้อนเข้าสู่ดวงตา ความตกใจแลรู้สึกผิดท้วมท้นก็จู่โจมจิตใจ “ไม่จริง ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”

          “ใคร เสี่ยวลู่หรือ?” แว่วน้ำเสียงเบาบางใกล้ๆ ซวนหยวนหมิงไท่ที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็เปล่งเสียงแหบแห้งถาม ทั้งๆ ที่เปลือกตายังคงข่มปิดแน่น

          “........”

          “ป่ะ ไป๋เซ่อ เป็นเจ้าใช่ไหม เจ้ากลับมาหาข้าแล้วใช่ไหม” ร่างสูงพร่ำเพ้ออย่างมีความหวัง มือควานไขว่คว้ากลางอากาศไปมาไม่หยุด เพราะแม้แต่ในฝันก็ยังตามหา ...งูเผือกน้อยของเขา

          การกระทำดังกล่าวทำให้ไป๋เซ่อต้องรีบเกาะกุมมือนั้นให้สงบลง ความร้อนผ่าวที่ส่งผ่านกายทำให้รู้ว่าร่างนี้ทรมานแค่ไหน เขาก้าวขึ้นไปกอดคนนอนกระสับกระส่ายบนเตียงไว้แน่น จากนั้นกระซิบปลอบ “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่” กล่าวจบดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็หลับลง น้ำตาสายหนึ่งไหลกลิ้งข้างแก้ม

          “อือ” ไอเย็นที่แทรกซึมผิวกายทำให้เขารู้สึกสบายตัว คิ้วขมวดมุ่นคลายลง ใจว้าวุ่นสับสนเสมือนได้รับการเยียวยา พลอยให้ยินยอมปล่อยวางหลับลึก

 

          จวบจนรุ่งสางร่างกายอันเมื่อยล้าก็บรรเทาลง ดวงตาสีดำขลับลืมขึ้น ก่อนรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับหน้าท้อง หรือว่า...

          “ไป๋เซ่อ” เขาสะดุ้งตัวผุดลุกขึ้น แล้วจึงเห็นใบหน้าเย้ายวนกำลังหลับใหล เสียงเมื่อคืนมิใช่ความฝันจริงๆ ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มดีใจ มือลูบไล้เรือนผมสีเทาอย่างเบามือ

          ถึงช่วงเย็นย่ำ คนที่นอนลืมเวลาก็รู้สึกตัว ครั้นมิเห็นร่างสูงใกล้ๆ ก็เกิดกระวนกระวาย ขณะกำลังจะร้องหาประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มเห็นเขาตื่นแล้วก็ยิ้มร่า

          “ไป๋เซ่อ เจ้าหลับทั้งวัน คงหิวมากแล้วมากินข้าวเถอะ”

          ซวนหยวนหมิงไท่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จูงเขาไปยังโต๊ะอาหาร คีบเนื้อบนจานให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งอิ่มท้องยังคะยั้นคะยอพาออกไปเดินเล่น ก่อนจะกลับห้องนอนกอดตนหลับพร้อมรอยยิ้ม แม้ระหว่างนั้นตนแทบไม่พูดไม่จา เจ้าตัวก็ไม่ได้เซ้าซี้ไถ่ถาม ทั้งยิ่งมิได้ตำหนิว่ากล่าว คล้ายเรื่องราวเดือนกว่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

          ส่วนเรื่องราวช่วงที่เขาไม่อยู่ หรูอี้เป็นคนบอกเล่าให้ฟังในวันต่อมา ได้ความว่าคืนนั้นโชคดีที่เซียวถิงฟงถ่ายทอดลมปราณช่วยซวนหยวนหมิงไท่ที่สูญเสียโลหิตเป็นจำนวนมากต่อจากหัวหน้าองครักษ์จิ้งได้ทัน เสี่ยวลู่เองหลังจากช่วยเขาก็ถูกทำร้าย เกิดเป็นแผลฟาดฟันกลางหลัง รักษาได้ไม่ถึงเดือนก็หายดี

          ด้านเจินเริ่นผิง ทหารในกองธงพยัคฆ์เป็นผู้พบศพ แต่เพราะนางมีส่วนร่วมกับกองกำลังกบฏจึงมิอาจร่วมฝังในสุสานหลวงตามกฎมณเฑียรบาลได้ ผู้นำกลุ่มกบฏอย่างเจินหยวนหลังถูกคุมขังในคุกหลวงก็เอาแต่โวยวายไม่หยุด ต่อเมื่อทราบข่าวบุตรสาวตาย ผู้เป็นพันธมิตรล้วนถูกจับกุม ตนไร้ที่พึ่งหมดสิ้นหนทางก็ชิงผูกคอตายหนีความผิด นางกำนัลชิวเยี่ยน นางถึงกับวิกลจริต เมื่อรู้ว่าต้องรับโทษทัณฑ์ประหาร

          ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็วราวพายุ ไม่นานวังหลวงก็คืนความสงบเฉกเช่นเดียวกับที่เซียวถิงฟงบอก จะไม่มีใครทำอันตรายตนและซวนหยวนหมิงไท่อีก เขาจึงพลอยใช้ชีวิตอย่างวางใจ ทว่าเมื่อถึงเพลาต่อมา...

          ตนจึงตระหนักได้ว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์


 

************************************************

 
         
            แสงอรุณทาบทอไออุ่น ละลายหิมะบางส่วนให้เป็นชั้นบางลง วันเวลาที่เรียบง่ายเช่นนี้กลับมีคู่รักโต้เถียงกันจนคนรอบด้านต้องกลั้นหัวเราะ ไป๋เซ่อทำตาเหลือกไล่ส่งฮ่องเต้หนุ่มซึ่งคอตก วันๆ ดีแต่อู้งานเอาแต่ลูบไล้ผู้อื่นให้ไปสะสางงานราชกิจ ยิ่งเมื่อคืนถูกกวนทั้งคืนด้วยแล้ว เขายิ่งดุร้ายกว่าเดิม

          กระทั่งไล่คนออกไปได้สำเร็จแล้ว ตนก็หาวหวอดๆ ล้มตัวนอนบนเตียงนุ่ม ครั้นศีรษะถึงหมอนก็ผล็อยหลับทันที จวบจนเกิดเสียงลมกระทบประตูดังตึงตังจึงได้เคลิ้มตื่นขึ้น ดูท่าพายุหิมะระลอกใหญ่กำลังพัดผ่านมาในอีกไม่ช้า ร่างเล็กหยัดตัวลุกขึ้นคิดปิดหน้าต่าง ฉับพลันนั้นสมองกลับวูบวาบกะทันหัน

          ...ไม่จริง ทำไมถึงเป็นเพลานี้ เขาเลิกตากว้างตกใจ ก่อนจะลนลานหยิบห่อผ้าเก่าใต้หมอน ในนั้นมียาลูกกลอนที่หงลิ่วทำไว้ล่วงหน้าพอกินไปจนถึงหนึ่งเดือน แต่กระนั้นตนกินไปเมื่อคืน จึงมิน่าเป็นไปได้ที่มันจะออกอาการในตอนนี้

          “กำลังหาอะไรอยู่รึเพค่ะ” หรูอี้เข้ามาปิดหน้าต่างเอ่ยถามขึ้น หากแต่กลับทำให้คนที่อยู่ในห้องสะดุ้งตัว

          “หรูอี้" ไป๋เซ่อพยายามกุมมือสั่นเทาของตนเอง ทั้งบีบบังคับมิให้หันไปมองนาง “อ่ะ ออกไปให้ห่างจากข้า เร็ว”

          “หือ” หรูอี้เลิกคิ้ว ต่อเมื่อเห็นท่าทีฝืนกลั้นผิดปกติก็โพล่งออกมา “หม่อมฉัน หม่อมฉันจะรีบไปตามฝ่าบาทเดี๋ยวนี้เพค่ะ” นางพูดจบก็วิ่งออกไปมิทันได้ฟังเสียงปรามไล่หลัง

          “ไม่ อย่าตามเขา อย่าตามเขามา”

          ประจวบเหมาะกับที่สองพี่น้องตระกูลหง รวมไปถึงฮ่องเต้หนุ่มมาถึงอุทยานในตำหนักพอดิบพอดี หงลิ่วเห็นนางกำนัลสาววิ่งออกมาจากเรือนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกก็เป็นฝ่ายเอ่ยทัก

          “พี่หรูอี้ ท่านรีบร้อนจะไปไหนกัน”

          “ฝ่าบาท เซียวฮองเฮา เกิดเรื่องกับเซียวฮองเฮาแล้ว” นางระรัวคำพูดทั้งที่ยังหอบฮัก

          “หา ไม่จริงน่า อาการของพี่ชายไป๋ต้องกำเริบหลังจากนี้สามสี่วันสิ ไฉนจึงเร็วเพียงนี้” หงลิ่งอุทาน ผิดกับฮ่องเต้หนุ่มและหงเว่ยที่ตะลึงวูบ ต่างทะยานมุ่งไปหาคนในห้องอย่างร้อนใจแล้ว

          ภายในห้องปิดสนิทบังเกิดเป็นเสียงโครมคราม ข้าวของถูกทำลายลงต่อเนื่อง ซวนหยวนหมิงไท่คิดจะเข้าไป แต่แล้วหงเว่ยกลับวาดแขนหยุดเขาไว้เสียก่อน เจ้าตัวส่งสายตาให้จังหวะ จากนั้นจึงกระแทกประตูเปิดเข้าไป

          ทันทีที่คนในห้องกวาดสายตาดำทะมึนเห็นร่างในชุดมังกรก็พลันชะงักหยุดกึก แต่ไม่ช้าไม่นานริมฝีปากก็อ้าออกเผยเขี้ยวแหลม ไป๋เซ่อถลาวิ่งเข้าใส่ราวกับพบเหยื่อ ส่งผลให้ตนนิ่งอึ้งที่เห็นร่างเล็กคลุ้มคลั่งเช่นนี้ ต่อให้อีกฝ่ายกระโจนใส่ก็หาได้หลบหลีก ยังผลให้บุรุษในชุดสีม่วงอมดำต้องผลักเขาให้ไปอีกทางหนึ่ง

          “พี่ใหญ่ ยามิได้เป็นปัญหา พี่ชายไป๋ยังกินไม่ขาด เช่นนั้นปัญหาอยู่ที่ใด” หงลิ่วที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตะโกนบอก นับดูจากจำนวนยาที่ตกพื้นก็มิได้ขาดเกินแม้แต่เม็ดเดียว

          หงเว่ยรวบตัวไป๋เซ่อจากด้านหลัง ทำให้เจ้าตัวดิ้นพล่านต่อสู้ ระหว่างนั้นก็พยายามคิดใคร่ครวญอย่างหนัก ดูไปแล้วครั้งนี้เจ้าตัวอาละวาดหนักกว่าครั้งใด ทุกทีมีแต่ทำลายข้าวของ ทว่าครานี้เสมือนมีบางสิ่งกระตุ้นให้ทำร้ายคน ซึ่งจำเฉพาะฮ่องเต้หนุ่ม เขาขมวดคิ้วนึกถึงความเป็นไปได้

          ...หรือว่าโลหิตโอรสสวรรค์จะมีส่วนกระตุ้นให้เป็นเช่นนี้

          นับจากตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเจินเริ่นผิง ไป๋เซ่อคล้ายถูกล้างสมองให้เป็นดั่งปีศาจร้าย ต่อเมื่อผู้เป็นนายหนอนทุกข์ระทมดับสูญ เดิมทีเจ้าตัวต้องตกตายตามกัน กระนั้นเลือดของโอรสสวรรค์ที่เผอิญดื่มกินกลับช่วยต่อชีวิตให้คงอยู่

          ดังนั้นตนจึงปรึกษากับซวนหยวนหมิงไท่ นำเอาโลหิตของอีกฝ่ายมาปรุงเป็นยารักษา โดยอุปโลกน์ว่าเป็นเห็ดหลินจือโลหิตวิเศษ แต่ไม่คาดคิดว่านานวันเข้าร่างเล็กกลับเสพติดมันอย่างช้าๆ ต่อให้ยามนี้กินยาลูกกลอนไปมากเท่าใด ก็มิเพียงพอต่อความต้องการอีก ทำให้อาการกำเริบเร็วขึ้น

          “จำต้องใช้เลือดสดแล้ว” หงเว่ยบอกด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม สองแขนยังคงพยายามพันธนาการร่างเล็กมิให้ไปไหน

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่ได้ฟังแล้วก็ยิ่งไม่ลังเล ก้าวเข้าไปหยิบมีดสั้นในอกเสื้อขึ้นตวัดใส่ฝ่ามือตนเองทันที จังหวะที่โลหิตข้นไหลทะลักออกมา ไป๋เซ่อพลันหยุดการดิ้นรน เปลี่ยนมาจับจ้องหยาดหยดสีแดงเขม็ง ครั้นมือนั้นส่งมา ก็ชะโงกหน้าเข้าดูดดื่มอย่างหิวกระหาย

          ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ดวงตาคู่สีทะมึนจึงพร่าเลือน ก่อนสะท้อนถึงใบหน้าซีดขาว นัยน์สีดำขลับโศกเศร้า สติที่กลับคืนทำให้ไป๋เซ่อตกตะลึง คลายริมฝีปากออก รสชาติคาวในลำคอร้อนลวก ความจริงเขาควรเอะใจแต่แรกแล้ว เพราะรสชาตินี้ ...เป็นรสชาติเดียวกับเห็ดหลินจือโลหิตที่ตนกลืนกินอยู่ทุกค่ำคืน

          พริบตานั้นเขาผละตัวหงเว่ย แล้วถลาเข้าตีคนตรงหน้าโดยแรง “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นโอสถวิเศษหรือไง เจ้าทำได้อย่างไร เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไร” ไป๋เซ่อตวาดคร่ำครวญ สองมือทุบอกอีกฝ่าย หลั่งน้ำตามิขาดสาย เขาควรรู้แต่แรกแล้วเห็ดหลินจือวิเศษอะไรนั่นไม่มีอยู่จริง ยาสมุนไพรที่หงลิ่วต้มให้ก็เป็นเพราะต้องการกลบกลิ่นเลือด

          “ไป๋เซ่อ ข้าเพียงแต่...” ใจของซวนหยวนหมิงไท่ปวดแปลบ เขาคิดมาโดยตลอด ไม่ว่าต้องสละเลือดในกายสักเท่าใด ขอเพียงข้างกายเขายังมีไป๋เซ่อ ตนก็ยินยอม
         
          “ข้าเกลียดเจ้า ซวนหยวนหมิงไท่ ข้าเกลียดเจ้า ข้าเกลียดเจ้า ฮือ” ที่แท้เป็นเขาเองทำร้ายซวนหยวนหมิงไท่ เป็นเขามาตลอด ก่อนหน้านี้เจ้าตัวไม่สบาย ร่างกายซูบเซียวไร้สีเลือด นั่นก็เป็นเพราะเขา ...เป็นเพราะต้องให้เลือดแก่เขา

          “ข้าขอโทษ” เจ้าชีวิตหนุ่มได้แต่พร่ำกล่าวขอโทษ

          หงเว่ยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาพูดเสียงอ่อน “ไป่ไป๋ เจ้าอย่าพึ่งโกรธตอนนี้ มิฉะนั้นอาการจะกำเริบอีก” กล่าวพลางเอื้อมมือไปจับแขนอีกฝ่ายเป็นการปลอบ แต่แล้วกลับถูกสะบัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ยังผลให้เขาตัวชาวาบ

          “หงเว่ย เจ้าเองก็หลอกข้า หลอกข้ามาตลอด” ไป๋เซ่อกัดฟันสะอื้นไห้ เหตุการณ์ในวันนี้เสมือนกรีดทับบาดแผลในใจ สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงปีศาจชั่วช้า ดูดกลืนชีวิตมนุษย์ “ออกไป ออกไปให้หมด ตอนนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น”

          สิ้นเสียงร้าวราน บุรุษหนุ่มทั้งสองก็รู้สึกเหมือนฟ้าดินถล่ม มิอาจทนอยู่ให้ร่างเล็กเห็นหน้าได้อีก พวกเขาต่างเดินออกมาอย่างแช่มช้า ราวคนไร้จิตวิญญาณ ความจริงผลลัพธ์เช่นนี้พวกเขาคาดเดาได้แต่แรกแล้ว แต่เพราะความเห็นแก่ตัว มิอาจทนเห็นงูเผือกน้อยดับสูบ จึงได้ตัดสินใจหลอกลวงอีกฝ่าย

          “พี่ใหญ่ พี่ชายหมิง พวกท่านอย่ายอมแพ้เช่นนี้สิ บอกพี่ชายไป๋ไป พวกท่านทำเช่นนี้เพราะต้องการช่วยเหลือ” หงลิ่ววิ่งตามคนทั้งสองพลางกล่าวอย่างร้อนใจ

          “หงลิ่ว ไป๋เซ่อ...” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยแต่แล้วก็หยุดเสียงไป ราวกับมีบางสิ่งติดค้างในลำคอ สองมือเขากำแน่น “เขาละเอียดอ่อนกว่าที่เจ้าคิด เขายอมเป็นทุกสิ่ง แต่จะมิยอมเป็นปีศาจร้ายเด็ดขาด” ตนเข้าใจในความทระนงของไป๋เซ่อดี ยิ่งเมื่อนึกถึงประโยคที่เจ้าตัวมักย้ำว่าเป็นงูเผือกแห่งแดนสวรรค์ มือขวาของมหาเทพอย่างภาคภูมิใจแล้ว ตนเองก็อดยิ้มขมขื่นมิได้

          หนึ่งชั่วยามผ่านไป หากแต่ยาวนานคล้ายแรมปี เสียงสะอึกสะอื้นจบลงไปนานแล้ว หลงเหลือเพียงความเงียบงันสิ้นหวัง หงลิ่วเห็นบุรุษทั้งสองยืนท้อแท้ซึมกะทือคนละฝากฝั่ง ก็ต้องถอนหายใจแล้วฮึดฮัดขึ้นมาใหม่

          “ในเมื่อพวกท่านมิกล้า ข้าจะเข้าไปเอง” ว่าแล้วก็เดินตรงเข้าไปเผชิญหน้ากับคนในห้อง

          ถึงตอนนี้ซวนหยวนหมิงไท่และหงเว่ยต่างมองเด็กน้อยอย่างมีความหวัง ทว่าหงลิ่วหายเข้าไปได้ไม่นานกลับโผล่หน้าออกมาเปล่งเสียงแตกตื่น

          “แย่แล้ว พี่ชายไป๋หายตัวไปแล้ว”


 

************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 32.2 ละทิ้ง 04/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 04-09-2016 22:00:20
บทที่ 32.2 ละทิ้ง

 

            ท่ามกลางพายุพัดโหม กระแสลมส่งเสียงหวีดหวิว ขุนเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ ผืนธารากว้างจับตัวเป็นธารน้ำแข็ง ต้นเหมยรอบด้านเบ่งบานออกดอกสีชมพู ขับดันให้สถานที่แห่งนี้งดงามต้องมนตร์ขลัง บันดาลให้ร่างสีเขียวซึ่งเหาะเหินผ่านมาต้องเปลี่ยนมาทอดเดิน

          สุดทางเบื้องหน้าเป็นภูผาสูงชัน ต่อเมื่อแหงนหน้าดูก็พบปากทางเข้าถ้ำยังกึ่งกลางผา ไป๋เซ่อถีบเท้าพุ่งตัวพริบตาเดียวก็บรรลุถึง ด้วยความมืดมิดที่ด้านในทำให้เขาต้องดีดนิ้ว ก่อนปรากฏลูกไฟเล็กๆ คอยส่องแสง ความสงบเงียบในเพลานี้ช่างทำให้ใจหนาวเหน็บ กระทั่งมาถึงจุดที่ลึกจึงหยุดฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าลึก พลางนึกถึงช่วงชีวิตที่ประสบพบเจอ

          จากงูเผือกร่อนเร่พเนจรกลายเป็นสัตว์เทวะ มือขวาของมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ทว่าวันนี้ชะตากลับเล่นตลกตนร่วงหล่นกลายเป็นปีศาจกระหายเลือด

          หากข้าไม่ไป เจ้าคงได้ตายด้วยน้ำมือข้าสักวัน แลเมื่อถึงวันนั้นเจ้าจะคงเสียใจที่เลือกรักข้าก็เป็นได้ บางทีนี่อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว ...ซวนหยวนหมิงไท่

          ไป๋เซ่อหันกลับไปที่ปากถ้ำ ตัดสินใจโบกมือร่ายเวท ทันใดนั้นก็บังเกิดเป็นเสียงครืนขนานใหญ่ บังเกิดเป็นก้อนน้ำแข็งเป็นชั้นหนาก่อตัวปิดทางเข้าออกหนึ่งเดียวลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหลับตาลงนึกถึงเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นแกมเจ้าเล่ห์ ทั้งนี้ไม่รู้เลยว่าที่ด้านนอกมีคนติดตามมาถึงแล้ว

          “ไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ซึ่งนั่งอยู่บนตัวอสรพิษเกร็ดสีดำเงาร้องเรียก หากแต่เสียงนั้นกลับไปไม่ถึงคนทางด้านในหลังจากไป๋เซ่อหายตัวไปจากตำหนัก เขาก็ร้อนใจทั้งสังหรณ์ใจไม่ดี ยังดีที่หงเว่ยสามารถแกะรอยกลิ่นอายร่างเล็กมาถึงที่นี่

          “ชักช้าไม่ได้แล้ว หากเวทย์สมบูรณ์เขาจะหลับใหลไปอีกหลายพันปี” หงเว่ยขมวดคิ้วบอก น้ำเสียงตึงเครียด ทำให้ผู้เป็นฮ่องเต้ตะลึงวูบ โพล่งถาม

          “แล้วจะทำเช่นไร?” ข้าไม่ยอม ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ไป๋เซ่อ ...เจ้าทิ้งข้าลงได้อย่างไรกัน

          ครานี้อสรพิษเกร็ดดำนิ่งเงียบไป เดิมทีที่ตนใจอ่อนรับฟังคำขอร้องให้คนแซ่ซวนหยวนติดตามมาด้วย ก็เป็นเพราะในยามนี้มีแต่อีกฝ่ายที่หยุดยั้งไป่ไป๋ได้ “คราวนี้ต้องเสี่ยงเดิมพันแล้ว เจ้าเข้าไปปลุกไป่ไป๋ ข้าจะชะลอเวทย์หลับใหลนี้อยู่ทางด้านนอก จำไว้มีเวลาไม่มากนัก เจ้าต้องรีบพาเขาออกมา มิเช่นนั้นตัวเจ้าจะถูกแช่แข็งไปด้วย”

          เจ้าชีวิตหนุ่มพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ด้านหงเว่ยก็ไม่รีรอพ่นไฟสีม่วงอ่อนไปยังชั้นน้ำแข็งตรงหน้า ด้วยความร้อนสูงส่งผลให้มันค่อยๆ ละลายลงเปิดปากทางเข้า เขาตะโกน “ไปเร็ว”

          สิ้นเสียงซวนหยวนหมิงไท่ก็ทะยานตัวเข้าไปทันที ไอร้อนจากขุมพลังยังคงส่งควันกรุ่นร้อน แต่ไม่นานไอเย็นก็ลามเลียกลบทับไป เช่นเดียวกลับน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นใหม่ เห็นดังนั้นเขาก็วิ่งตรงไปโดยไม่เหลียวหลัง จวบจนถึงใจกลางภูผา ร่างเย้ายวนที่ยืนหลับตาพริ้มท่ามกลางลูกไฟลอยละล่องราวฝันจึงปรากฏสู่สายตา

          “ไป๋เซ่อ” เขาร้องพลางถลาเข้าไปกอดเจ้าตัว ทว่าท่าทีที่แข็งทื่อไม่ขยับโอนอ่อนกลับทำให้รู้สึกผิดปกติ ครั้นใช้สายตาไล่มอง หัวใจก็ถึงกับโหวงวูบ ที่ปลายขาทั้งสองของร่างเล็กเกิดเป็นผลึกน้ำแข็งยึดเกาะเป็นชั้นหนา ทั้งยามลามไปถึงเข่าแล้ว

          “ทำไมถึงโง่งมเช่นนี้” เขาตวาดเจ้าตัวด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ก่อนรีบก้มตัวใช้พลังวัตรทำลายน้ำแข็งนั้นโดยเร็ว กระนั้นมันกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย “ไม่นะ ได้โปรด”

          ซวนหยวนหมิงไท่ร่ำร้องพลางใช้กำลังทั้งหมดทำลายผลึกเย็นเยียบอย่างบ้าคลั่ง ในอกปวดร้าว แทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด เขาเว้าวอน “เจ้าไม่อยากจะเห็นหน้าข้าแล้วหรือ ต่อให้เจ้าไม่อยากดื่มโลหิตข้า ข้าก็จะไม่บังคับเจ้าแล้ว เรา... เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะนะ ฉะนั้นได้โปรด...”

          ลืมตาสิไป๋เซ่อ...

          ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าเพียงใด แต่คล้ายมีลมหายใจอุ่นๆ รินรดข้างหู ให้เขาต้องขยับเขยื้อนเล็กน้อย ก่อนลืมตาขึ้นมองบุรุษงดงามอ่อนโยน เรือนกายมีกลิ่นตะวันทอแสงน่าโหยหา

          ทันใดนั้นมุมปากพลันเหยียดยิ้ม มิคิดว่ายามนี้ตนจะยังละเมอเห็นชายหนุ่มได้อีก หากแต่เมื่อเสียงเบาบางดังขึ้น ใบหน้าเขาก็ต้องผิดสี

          "ไป๋เซ่อ”

          “อะไรกัน ทำไมเจ้าถึง” ร่างเล็กตะกุกตะกัก ดวงตาฉายแววตกตะลึงพรึงเพริด นี่มิใช่ความฝัน สัมผัสอบอุ่นนี้เป็นของจริง

          บัดนี้สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่สูญสิ้นชีวิตชีวา เกล็ดน้ำแข็งเกาะทั่วใบหน้าและเปลือกตาจนขาวโพลน น้ำเสียงผะแผ่วแหบแห้งดังออกมาจากริมฝีปากแห้งแตก

          “อืม อุ่น...อุ่นรึไม่”

          ประโยคนี้ถึงกับทำให้หยาดน้ำใสร่วงหล่นจากนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียว ไป๋เซ่อพาลนึกถึงความหลัง ระหว่างที่หนีการไล่ล่าของเหล่านักฆ่า ในยามนั้นพวกเขาแทบเอาชีวิตมิรอด กระนั้นชายหนุ่มก็ยังให้ความสำคัญกับเขามากกว่าตนเอง

          “......”

          กระทั่งซวนหยวนหมิงไท่เงียบกริบไป เขาก็รีบโพล่งตอบ ในใจนึกภาวนาของให้เจ้าตัวยังคงรู้สึกตัว "อุ่น อุ่นยิ่ง สำหรับข้า ตัวเจ้าอุ่นที่สุด ยังมีกล้ามท้องแน่นน่าอิจฉา ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าพึ่งหลับไปเด็ดขาด ได้ยินข้าไหม"

          สำหรับเขาเวทย์น้ำแข็งเหล่านี้เพียงแช่แข็งเขา กักกันให้เขาหลับใหลอยู่ที่นี่ไปนับพันปี แต่ทว่าสำหรับซวนหยวนหมิงไท่แล้ว กลับเป็นความตายอันน่าทรมาน ไอเย็นเหล่านี้เสียดแทงกระดูก ให้รู้สึกเหมือนถูกเข็มนับหมื่นนับพันทิ่มแทงทั่วร่าง

          "อืม ข้ารู้...รู้ว่าเจ้าชอบ ถึงขนาดทำน้ำลายหกรดผู้อื่น แล้วยังโบ้ยว่าเป็นน้ำค้าง”

          “อึก” ดูว่าคำสารภาพดังกล่าวมิได้ทำให้ร่างสูงแปลกใจสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังฝืนอมยิ้มให้น้อยๆ ส่งผลให้ไป๋เซ่อต้องอุดปากกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดกำลัง

          “แต่เจ้ารู้ไหม ข้าไม่ชอบอะไรมากที่สุด ข้าไม่ชอบน้ำตาของเจ้า เพราะมันทำให้ข้าทรมานใจ...” เขาหยุดเสียงพยายามยกมือที่แข็งเกร็งลูบไล้แก้มของงูเผือกน้อย “ไป๋เซ่อที่ดื้อรั้นของข้า เจ้ารู้ไหม เจ้าเป็นดั่งหัวใจที่หล่อหลอมชีวิตข้า หล่อหลอมความสุขของข้า เป็นหนึ่งเดียวในใจข้า ที่ไม่อาจมีผู้ใดทดแทนได้"

          ได้ยินเช่นนั้นน้ำตาอุ่นก็ยิ่งหลั่งไหล ใจเขาอัดอั้นจนต้องพรั่งพรูความในใจ "อื้อ ข้ารักเจ้า ซวนหยวนหมิงไท่ ข้ารักเจ้า" เป็นครั้งแรกที่ไป๋เซ่อเอ่ยคำว่ารัก แม้เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้ หากแต่ตอนนี้กลับสัมผัสถึงมันอยู่ทุกขณะ ทุกห้วงลมหายใจเข้าออกนี้

          เสียงแหบแห้งยังคงเอ่ย คล้ายกลัวจะมิอาจเอ่ยได้อีก "ข้ายังจำวันนั้นได้ ข้าถามเจ้า หากข้าเป็นเพียงคนธรรมดาเจ้าจะยังยอมเสี่ยงชีวิตช่วยข้าอีกรึไม่ ตอนนั้นเจ้าตอบข้าอย่างมั่นใจ ต่อให้ข้าเป็นใคร ขอเพียงเจ้าเป็นงูเผือกแห่งแดนสวรรค์ แค่นั้นก็เพียงพอ แต่ไป๋เซ่อ ข้าเองก็เช่นกัน ต่อให้เจ้ามิใช่เทพเซียน เป็นเพียงปีศาจงูธรรมดา จะดุร้ายเอาแต่ใจไปบ้าง ข้าก็ยังจะรักเจ้า เพราะข้ารักทุกสิ่งที่เจ้าเป็น"

          ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม ปาดเช็ดน้ำตาที่หลั่งรินไม่หยุดบนแก้มนวล เขาเอ่ยความในใจสุดท้าย "ข้าปรารถนามาตลอด ปรารถนามิให้เจ้าจากไปก่อนข้า นับว่าวันนี้สมความตั้งใจแล้ว"

          "ม่ายยย ข้าไม่ยอม ไม่ยอม" ไป๋เซ่อร่ำไห้ใจจะขาดรอนๆ กระนั้นเสียงเหล่านี้กลับมิอาจส่งถึง มือได้แต่ร่ายเวทหยุดยั้ง ทว่ามันกลับสายไปเสียแล้ว ผลึกน้ำแข็งได้เกาะกุมตัวซวนหยวนหมิงไท่ไปจนถึงระดับหน้าอก ไม่ว่าเขาจะพยายามสักกี่ครั้งก็ยังคงไร้ประโยชน์

          “ไม่ เจ้าจะตายแบบนี้ไม่ได้ ได้โปรดใครก็ได้ช่วยที หงเว่ย เซียวถิงฟง ท่านมหาเทพ ใครก็ได้ช่วยหมิงไท่ที โฮ”

          เขาร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง หัวใจแหลกสลาย เมื่อชายหนุ่มหลับตาแน่นิ่ง ไม่มีไออุ่นมอบให้เช่นเคย งูเผือกน้อยได้แต่คลอเคลียร่างที่กอดเขาไว้แน่น ครู่ต่อมาจึงเอื้อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย

          "ข้าจะไปกับเจ้า ซวนหยวนหมิงไท่ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ภพภูมิไหน ข้าก็จะไม่ขอแยกจาก ครองคู่ไปชั่วนิรันดร์” ร่างเล็กก้มหน้าลงประทับริมฝีปากชายหนุ่ม สัมผัสความรักทั้งมวลที่จะไม่มีวันสูญสลาย จากนั้นตัดสินใจ

          ...ละทิ้งชีวิตอมตะของตนเอง

          ว่าแล้วไป๋เซ่อก็ยิ้ม ทั่วร่างพลันส่องแสงสีขาวบริสุทธิ์ พลังในกายทั้งหมดก็ทุกปลดปล่อยออกมา บ้างกระจายหายไปในอากาศ บ้างซึมลึกสู่สรรพสิ่งตามธรรมชาติ สมองเขาพลันล่องลอย ชั่วขณะที่กำลังจะคืนสู่ร่างเดิม กลับบังเกิดเป็นแสงสีทองบริสุทธิ์ปกคลุมไปทั่วปราการน้ำแข็ง

          ดวงหน้างดงามราวดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์เหาะเหินมาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากที่ดูนุ่มนวลนั้นเปล่งเสียงขึ้นต่อเนื่อง หากแต่เพลานี้เขากลับมิได้ยิน เขายิ้มให้กลับคนตรงหน้า ได้เห็นคนผู้นี้ก่อนตายนับว่าน่ายินดียิ่ง

          ท่านมหาเทพ ข้าไปแล้ว ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง แต่เพลานี้ข้าอยู่มิได้ถ้าไม่มีเจ้าลูกเต่าจริงๆ ต่อให้ชาติหน้าเขาเกลียดข้า รำคาญข้า ข้าก็จะขอตามตอแยเกาะติดเขาไปจนวันตาย


 

************************************************

 

            ในชั่วเวลาที่เปลือกตาเรียวปิดลง ทุกสิ่งทุกอย่างพลันตกอยู่ในความมืด มันเคว้งคว้างว่างเปล่าจนน่ากลัว ไป๋เซ่อได้แต่ข่มหลับตาอยู่เช่นนั้น กระทั่งกายหล่นตุบยังพื้นนุ่มนิ่ม จึงได้เผลอลืมตาแล้วจึงตกตะลึง

          เบื้องหน้าปรากฏทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ให้บรรยากาศสดชื่นทั้งดูอิสรเสรี ครั้นเขากวาดสายตารอบด้านอย่างช้าๆ กลับเห็นซวนหยวนหมิงไท่ในชุดสีขาวยืนอยู่อีกทางด้านหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว

          พอเห็นเขาเจ้าตัวก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์หน้าไม่อาย สองแขนค่อยๆอ้าออก ไป๋เซ่อเผยอยิ้มแฉ่ง ไม่รอช้ารุดวิ่งเข้าไป แล้วโผทะยานสู่อ้อมกอดอบอุ่น เสียงหัวเราะของพวกเขาดังคลอเคลียสดใส ต่างจึงจูงมือกันไปยังกระท่อมร้างซึ่งตั้งอยู่บนเนินดินถัดไป

          ภายในกระท่อมนั้นโล่งกว้าง แทบไม่มีเครื่องเรือนอะไรอยู่เลย แต่ก็ยังดีที่มีใบจากคุ้มหัว เห็นดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจทำโต๊ะ เก้าอี้ เตียงไม้อย่างง่ายๆ

          อา แต่ก็บอกได้เพียงว่าข้านั่งมองซวนหยวนหมิงไท่เหงื่อตกทำเสียมากกว่า ก็นะมีงูตัวไหนเป็นช่างไม้กันบ้าง

          วันต่อมาพวกเราเริ่มจับเป็ดจับไก่มาเลี้ยง ถึงตอนนี้ข้าได้แต่หัวเราะซวนหยวนหมิงไท่ที่แม้แต่จับเป็ดจับไก่ก็ยังสู้ข้ามิได้ แต่พอไปถึงลำธารเท่านั้น ข้าก็ต้องเบ้ปากมองคนใช้ไม้แหลมจับปลาอย่างเชี่ยวชาญ

          เฮอะ เห็นแก่ที่เจ้าเปลือยท่อนบน เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถือสา

          ผ่านพ้นไปหลายวันกระท่อมแห่งนี้กลับดูไม่ร้างอีกต่อไป หนำซ้ำยังเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ด้านนอกยังมีเล้าเป็ดเล้าไก่ที่ข้าประคบประหงมอย่างดี ฮี่ ฮี่ ฮี่ ยิ่งพอมีเวลาว่าง พวกเขาต่างออกไปตระเวนดูรอบๆ ทุ่งหญ้าแห่งนี้ มองดูสัตว์น้อยใหญ่ใช้ชีวิตเรียบง่าย บางครั้งพวกเขาก็เที่ยวเล่นเอาต้นหญ้าไล่ตีหยอกล้อ

          อืม ก็ได้ข้ายอมรับว่าข้าเป็นฝ่ายไล่ตีซวนหยวนหมิงไท่เสียมากกว่า ฮ่า ฮ่า

          แต่พอตกดึกเท่านั้น... เพ้ย เจ้าลูกเต่า เจ้ามันตัวเลวร้าย

          มาตรว่าวันเวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ พวกเขากลับมีความสุขใจไม่ขาด จวบจนกระทั่งวันหนึ่งบังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือฟากฟ้า ก็เป็นอันยุติชีวิตสุขสงบเช่นนี้อย่างน่าเสียดาย

          "เฮ้ เจ้าคู่รักยวนยางจะเสพสุขกันอยู่ในฝันกันอีกนานรึไม่ ต้าเซียน ภรรยาข้า เบื่อหน่ายตาแก่ในราชสำนักจวนเจียนจะหนีไปยังพิภพสวรรค์แล้ว หากพวกเจ้ามิยอมกลับ ข้าสาบานข้าจะก่อกวนให้พวกเจ้าอยู่ไม่เป็นสุข คอยดู”

          ด้วยน้ำเสียงบ่นกระปอดกระแปดฟังดูคล้ายเป็นเสียงแม่ทัพหนุ่มเซียวถิงฟง ทำเอาไป๋เซ่อกับซวนหยวนหมิงไท่มองหน้ากันเหราหรา

          แลไม่นานก็ปรากฏแสงห่อหุ้มตัวพวกเขาเอาไว้โดยไม่ถามความเห็น ก่อนจะพาลอยสูงขึ้นไปอย่างบังคับกลายๆ เพื่อกลับไปยังสถานที่มีคนรอพวกเขาอยู่

          ขณะที่ตัวกำลังลอยคว้างอยู่นั้น ไป๋เซ่อพลันกวาดสายตามองสถานที่แห่งสุขเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งใจจะเก็บความทรงนี้เอาไว้ในส่วนลึก ทว่าปราดมองคราหนึ่งกลับเห็นฝูงเป็ดฝูงไก่มองส่งพวกเขาด้วยหน้าตาลิงโลดอยู่หน้าบ้าง บางตัวยังตีปีกพั่บๆ อย่างดีใจ บางตัวยังส่งเสียงร้องโหวกเหวกเสมือนขับไล่พวกเขาให้ไปสักที ฉับพลันเขาจึงฉุกคิดขึ้นมาได้

          "อ้ะ เป็ดไก่พวกนั้น ข้าอุตส่าห์ประคบประหงมมาตั้งนาน ยังไม่ได้กินสักตัวเลย ไม่นะ อย่าพึ่งพาข้าไป โฮ อย่างน้อยก็เอาเป็ดไก่ข้าไปด้วยยย"

          ด้านซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับนิ่งอึ้งยิ้มแหย ได้แต่มองไป๋เซ่อดีดดิ้นแหวกว่ายกลางอากาศ ทว่าก็มินำพา ร่างลอยสูงต่อเนื่อง

          แสงวูบวาบไปมาทำให้เปลือกตาของคนทั้งสองขยับ แลไม่นานเสียงร่ำร้องดีใจของเสี่ยวลู่ หรูอี้และหัวหน้าองครักษ์จิ้งก็ปลุกซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อที่ต่างหลับไปกว่าสามเดือนให้ตื่นขึ้น ก่อนพบใบหน้าอ่อนโยนของท่านมหาเทพ ใบหน้าถมึงทึงของเซียวถิงฟง ยังมีหงเว่ย หงลิ่ว หงอู่ และหยางเฉินที่ยิ้มแย้มรอคอยพวกเขาทั้งสองคน

          “ฝันดีหรือไม่” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยถามคนข้างกาย ยังผลให้ไป๋เซ่อยิ้มแฉ่งตอบ

          “ดี ดีที่สุดเลย”




************************************************


         บทนี้อย่างยาววว ถือเป็นคำขอโทษที่อัพช้านะจ้ะ ความจริงเเล้วบทนี้เคยคิดจะให้เป็นตอนจบ เเต่เผอิญยังมีเนื้อหาที่คิดไว้ส่วนหนึ่งที่จะปูเรื่องไปสู่บทสเปเชี่ยลได้ คือจะเป็นสเปก็ได้ เเต่เราตัดสินเขียนในเนื้อเรื่องหลัก อีกอย่างยังมีรายละเอียดบางเรื่องที่ไม่ได้กล่าวถึงในบทนี้ ยกยอดไปบทหน้าซึ่งเป็นบทสุดท้ายนะจ้ะ ที่สำคัญไม่มีดราม่าจ้ะ ส่วนบทนี้เเค่ดราม่าน้ำตาซึมจ้ะ โฮะ โฮะ ใครเจอคำผิดเตือนได้นะคะ พอดีเขียนเสร็จหมาดๆ ตื่นเต้นรีบอัพ 5555+ (ความจิงจะรีบไปอ่านนิยายต่อ)

   
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 33.1 ผลท้อกำเนิด 25/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 25-09-2016 21:02:09
บทที่ 33.1 ผลท้อกำเนิด

 

            ณ เช้าวันที่ท้องฟ้าสีคราม อากาศสดชื่นแจ่มใส นางกำนัลไช่ทำหน้าที่ยกน้ำชาเสร็จก็ก้มหน้าถอยเท้าออกจากห้องโถงไป ทว่าถึงจังหวะหนึ่งนางกลับถือโอกาสลอบชำเลืองสายตาไปยังแขกผู้มาตำหนักถั่วแดงอย่างห้ามใจไม่อยู่

          ที่ไม่ไกลออกไป ปรากฏบุรุษชุดขาวบริสุทธิ์กำลังกะพริบนัยน์ตาสีน้ำตาลกระจ่าง ใบหน้างดงามสว่างไสวแต่งแต้มรอยยิ้มละมุน แลทุกอากัปกิริยาเคลื่อนไหวของเป็นไปดั่งมนต์สะกด พาลให้ใจสั่นไหวเลื่อนลอย จวบจนสองขาพ้นประตูจึงได้สติ ถึงตอนนี้นางกำนัลไช่ได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดาย ก่อนตัดใจหันหลังจากไป

          “นี่นางเห็นหัวข้าบ้างรึเปล่า?”

          เสียงบ่นค่อนแคะทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ชะงักกาย ก่อนทอดสายตามองบุรุษชุดดำที่ทำหน้าบึ้งอย่างขบขัน ครั้นอีกฝ่ายหันมาสบตาก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี พลางแสร้งกระแอมไอ

          “คนใจแคบ กับสตรีก็ยังไม่ละเว้น”

          คราวนี้บุรุษชุดขาวเอ่ยวาจาแดกดันบ้างแล้ว มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างไม่สะทกสะท้าน คล้ายไม่เห็นแววตาเสมือนพายุคลั่งของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา ยังผลให้ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวเปลี่ยนบรรยากาศ “เอ่อ ต้าเซียน ท่านจะพาไป๋เซ่อไปรักษาตัวบนพิภพสวรรค์นานเท่าใดกัน?”

          “ไม่นานหรอก ท่านอาวุโสเทพหวางจื้อปรุงโอสถที่ได้จากผลซวงเซิงเข้าที่แล้ว เหลือเพียงรับไอฟ้าอีกสักหน่อย หลังกินเข้าไปก็รอไป๋เซ่อปรับพลังเซียนในกายสักสัปดาห์หนึ่งก็จะหายดี” ต้าเซียนยิ้มตอบ

          ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อหาหนทางช่วยงูเผือกน้อย เขาได้สืบเสาะหาเจ้าของเมล็ดซวงเซิงในตำนาน แล้วทำการแลกเปลี่ยนด้วยข้อเสนอบางอย่าง ครั้นได้มาก็รีบนำไปบ่มเพาะยังพิภพสวรรค์ ใช้พลังธาตุเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งกว่ามันจะออกผลเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ก็แปรผันไปมาก ไป๋เซ่อและซวนหยวนหมิงไท่ต่างเหยียบย่างสู่ยมโลกหนึ่งฝ่าเท้า ดีที่เขาร่ายเวทกักดวงจิตของทั้งสองไว้ในฝันได้ทันการ รอกระทั่งกายของทั้งคู่ฟื้นตัวเป็นปกติจึงได้ปลุกขึ้นมา

          “เรื่องทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่าน หากไม่มีท่าน พวกเราก็คง...” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยอย่างตื้นตันใจ เป็นต้าเซียนที่ทุ่มเทช่วยเหลือ เขากับไป๋เซ่อจึงได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง

          “อย่าได้กล่าวเช่นนี้ ไป๋เซ่อเป็นมือขวาของข้า ติดตามข้ามาก็เนิ่นนาน ชีวิตของเขาย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของข้าเช่นกัน” ทว่าผู้เป็นมหาเทพกล่าวจบไม่ทันไรก็มีเสียงหวานชวนเลี่ยนเสริมขึ้นมา

          “อา เช่นเดียวกับชีวิตและหัวใจของข้า พวกมันอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าเช่นกัน”

          ต้าเซียนฟังแล้วแทบสำลักเอาน้ำชาที่ดื่มไปเมื่อครู่ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มกลายเป็นคนพูดจาประเจิดประเจ้อเช่นนี้

          “เฮอะ เจ้าคนแซ่เซียวหนังหนาหน้าไม่อาย” ได้ยินวาจาไร้ยางอาย ร่างเล็กในชุดสีเขียวที่ซึ่งมาถึงพอดิบพอดีก็กระโดดเข้าไปในห้องโถง

          ด้านเซียวถิงฟงถูกไป๋เซ่อทำลายโอกาสอันดีงามเช่นนี้ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ หากไม่ติดว่าสหายชุดมังกรนั่งอยู่ด้วยแล้ว เขาคงได้โต้ไปสักสองสามประโยคแล้ว

          “ท่านมหาเทพ ข้าพร้อมแล้วเราไปกันเถอะ”

          หลังจากเหน็บแนมคนได้สำเร็จ ไป๋เซ่อก็ระริกระรี้เข้าไปประจบร่างสีขาว ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทำเอาหนึ่งฮ่องเต้หนึ่งแม่ทัพต่างมีสีหน้ามึนตึง รอจนดวงตาสีดำขลับสังเกตเห็นห่อผ้ากองโตสะพายกลางแผ่นหลัง ซวนหยวนหมิงไท่ก็โพล่งถามอย่างสงสัย

          “เดี๋ยวก่อนไป๋เซ่อ เจ้าไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ไฉนจึงนำข้าวของไปมากมายเช่นนี้ ราวกับจะไปเป็นดะ...” เดือน ยังพูดไม่จบตัวเขาก็ตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง ดวงตาเขาพลันเบิกกว้าง ก่อนสบเข้ากับรอยยิ้มแฉ่ง ดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวเปี่ยมด้วยเลศนัย ฮ่องเต้หนุ่มรีบผุดลุกขึ้น ทว่าร่างเล็กกลับไวกว่า

          “ฮึ ฮึ เจ้าลูกเต่า แล้วใครบอกว่าเจ้าว่าข้าจะไปเพียงหนึ่งสัปดาห์กันเล่า ว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          ราวกับเตรียมการไว้ ไป๋เซ่อหันไปคว้าจับมือของท่านมหาเทพโดยพลัน ทันใดนั้นแสงสีทองก็โอบล้อมไปทั่วกาย ร่างของพวกเขารางเลือนโปร่งแสง ก่อนทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะลั่นสะใจ ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่กับเซียวถิงฟงได้แต่ถลนตาอ้าปากค้าง ต่อเมื่อได้สติคนรักก็อันตรธานหายตัวไปแล้ว

          “ท่านมหาเทพ ดูหน้าพวกเขาสิ ตลกสิ้นดี ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นึกถึงสีหน้าโง่งมของบุรุษทั้งสอง ไป๋เซ่อในร่างงูเผือกเกร็ดหิมะก็โพล่งหัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ด

          ต้าเซียนที่ซึ่งกำลังเหาะเหินผ่านเมฆหมอกได้ฟังก็ต้องยิ้มส่ายหน้าน้อยๆ กล่าวกับร่างปราดเปรียวที่เลื้อยรอบลำคอ “เจ้านี่ก็ช่างแกล้งพวกเขาเสียจริงๆ”

          ฮึ ใครใช้ให้พวกเขาแต่ละคนชอบวางท่ากันนัก คนหนึ่งก็ชอบหลอกกินเต้าหู้ผู้อื่น อีกคนก็ปากเสียหน้าด้าน” งูเผือกน้อยขู่ฟ่อก่นด่า ให้คนที่กำลังคลั่งอยู่บนผืนปฐพีต้องจามไปตามๆ กัน


 

****************************************************

 

            เมฆหมอกสีขาวดุจปุยนุ่นลอยเอื่อยบนฟากฟ้า แสงตะวันทาบทอไล้ไปตามกระเบื้องตำหนักสีน้ำตาลแดง บัดนี้ที่ลานกว้างตำหนักโอสถสวรรค์ปรากฏบุรุษผู้หนึ่งสวมใส่ชุดเทาเรียบง่าย กำลังก้มหน้ากวาดเศษใบไม้แห้งไปรวมไว้เป็นกองเดียวกันอย่างตั้งใจ

          “หงซาน เจ้าคือหงซานใช่รึไม่”

          จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น หงซานเงยหน้ามองไปทางต้นเสียง แล้วจึงเห็นเป็นร่างสดใสฉีกยิ้มร่าก้าวขึ้นบันไดมา แน่นอนว่าเป็นไป่ไป๋ที่พี่ใหญ่ของตนยินยอมเป็นปฏิปักษ์กับคนของชนเผ่าหมอผีทั้งหมด เพียงเพื่อให้ได้ทราบเรื่องของหนอนทุกข์ระทม

          “ไป่ไป๋” เขายิ้มรับเรียกอีกฝ่าย

          “เจ้าสบายดีหรือ? ตาแก่หวางจื้อคงมิได้โขกสับเจ้าหรอกนะ จริงสิ ข้าได้ข่าวว่าร่างใหม่ของหงเอ้อร์สมบูรณ์ดีแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน” ไป๋เซ่อกล่าวจบก็ชะโงกหน้ามองหาคนอย่างอยากรู้อยากเห็น อาจเป็นเพราะคนตระกูลหงล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะ หงเว่ยเงียบขรึมสง่างาม หงซานหนักแน่นดั่งหินผา หงอู่อ่อนโยนราวสายน้ำ หงลิ่วร่าเริงสดใส บันดาลให้เขาสนใจใคร่รู้จักบุตรชายรองของตระกูลหง

          ร่างเล็กพูดยาวเป็นหางว่าว หาได้รู้ไม่ว่าคำเรียกขานถึงอาวุโสเทพผู้สูงส่งทำให้ตนสะดุ้งเฮือก ไม้กวาดเกือบร่วงหล่นจากมือ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนขวัญกล้าเช่นนี้ หงซานเหงื่อตก ในระหว่างนั้นเองก็บังเกิดเป็นเสียงบานประตูกระทบกันปึงปังบ่งบอกถึงความกราดเกรี้ยว

          “หนอย เจ้างูเผือกปากพล่อย คิดว่ามีท่านมหาเทพหนุนหลังแล้วจะกำเริบเสิบสานได้รึ” เทพอาวุโสหวางจื้อเหาะเหินออกมาหน้าดำหน้าแดง ด้านหลังยังมีลูกศิษย์ผู้หนึ่งซึ่งมีเค้าใบหน้ากระจ่างตาสวมใส่ชุดสีขาวนวลเหินตัวตามออกมาติดๆ

          “ท่านอาจารย์ ไป่ไป๋คงมิได้ตั้งใจกล่าว ท่านอย่าได้ใส่ใจ”

          “แบบนี้เรียกว่ามิได้ตั้งใจ? เช่นนั้นหากเขาตั้งใจคงมิขึ้นมาถอนหงอกข้าแล้วหรือ หะ อ่ะ แฮ่ม ท่านมหาเทพ” เทพอาวุโสผมขาวถลึงตาดุ กระนั้นตวาดใส่เจ้างูเผือกน่าชังได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเปลี่ยนมากระแอมไอเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์ที่เคลื่อนเข้ามา

          “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” ผู้เป็นมหาเทพยิ้มแย้มด้วยสีหน้าเหรอหรา แต่ใครจะรู้ว่าในใจกลับขบคิดวุ่นวาย ...ข้าแวะไปหานางฟ้าชิงเซียงเพียงครู่เดียว ไป๋เซ่อคงมิได้ก่อเรื่องอันใดไว้กระมัง

          “ท่านมหาเทพ ท่านอาวุโสเทพหวางจื้อบอกว่าผมหงอกเขามีมากเกินไป ต้องการให้ข้าเปลี่ยนทรงใหม่ให้” ไป๋เซ่อยิ้มเหี้ยม ยังคงจดจำความแค้นที่ถูกอาวุโสเทพทั้งสามถีบตกสวรรค์ จนชะตาชีวิตรันทดกลับกลายเป็นงูเผือกเต้นระบำได้ดี

          ...ฮึ ฮึ ต่อหน้าท่านมหาเทพยังไงเจ้าก็ต้องไว้หน้าข้าสามส่วน

          “หือ จริงรึ? ต้องให้ข้าช่วยรึไม่” แม้เรื่องดังกล่าวจะมีบางส่วนที่ฟังดูพิลึกพิลั่น แต่มหาเทพอย่างเขาก็ยังเลิกตาถามจริงจัง ทำเอาอาวุโสเทพหวางจื้อต้องกระตุกปากเอ่ยอย่างเจ็บปวด

          “เอ่อ เรื่องนี้ให้ศิษย์ข้าหงเอ้อร์ช่วยก็เพียงพอแล้ว” เขาค้อมตัวกล่าว ภายใต้ใบหน้าที่ก้มลงฉายถึงโทสะที่ยากจะมองเห็น ...ไป๋เซ่อ เจ้างูวายร้าย สักวันข้าต้องย้อนเกล็ดเจ้าให้ได้ คอยดู

          เพียงย่างเท้าเข้าสู่ตำหนักโอสถสวรรค์กลิ่นสมุนไพรนานาชนิดๆ ก็พลันกระทบปลายจมูก ภายในตำหนักสีน้ำตาลแดงเป็นเรือนไม้เรียบง่ายเฉกเช่นเดียวกับโรงหมอในแดนมนุษย์ แต่ที่น่าสะดุดตามากที่สุดคือเตาหลอมขนาดใหญ่สีทองที่ใช้หลอมโอสถสวรรค์ตรงกลางเรือน

          “ท่านมหาเทพ บัดนี้โอสถซวงเซิงรับไอฟ้าครบเก้าสิบเก้าวันแล้ว หลังจากที่ไป๋เซ่อกินเข้าไปจะต้องทำการปรับสมดุลในกายทุกๆ สามเวลากระทั่งครบเจ็ดวันจึงจะสามารถกำจัดหนอนทุกข์ระทมได้สำเร็จ” อาวุโสเทพหวางจื้อกล่าวทั้งน้ำตา มาตรว่าจะได้สมุนไพรวิเศษที่หายากยิ่งกว่าอะไรดี แต่ท้ายสุดมันกลับตกอยู่ในมือเจ้างูเผือกจอมป่วนเสียนี่

          “อืม ขอบคุณท่านมาก เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาด ข้าคิดจะให้ไป๋เซ่อพำนักที่นี่ไปสักระยะ ต้องขอฝากท่านแล้ว” ต้าเซียนยิ้มแสร้งทำไม่เห็นท่าทีจะเป็นลมของเจ้าของตำหนัก ดีที่หงเอ้อร์เข้ามาช่วยพยุงตัวไว้ได้ทัน

          “หะ หงเอ้อร์” อาวุโสเทพหวางจื้อกัดฟันกล่าว “จัดห้อง”

          “ขอรับท่านอาจารย์” ผู้เป็นศิษย์รับคำ ก่อนจะลอบส่งสายตาที่เผยประกายใจดีให้ร่างเล็ก

          เห็นดังนั้นไป๋เซ่อก็ฉีกยิ้มแฉ่งสดใส ดูไปแล้วหงเอ้อร์ผู้นี้มีรัศมีเมตตาปราณีประดุจพระโพธิสัตว์ ไม่แปลกที่คนรอบข้างจะรู้สึกวางใจ

          เพลาต่อมาเซียนผู้เฒ่าก็วาดฝ่ามือไปยังเตาหลอม ก่อเกิดเป็นพลังขุมหนึ่งกระแทกฝาเตาหลอมให้เปิดออก ไม่นานเม็ดยาสีน้ำตาลขนาดเท่าผลองุ่นก็ล่องลอยลงมาตรงหน้าเขา ดูว่าเป็นโอสถผลซวงเซิงที่ได้รับการหล่อหลอมมาอย่างดี

          “ไป๋เซ่อ ข้าต้องไปจัดการเรื่องอื่นอีก เจ้าอยู่รักษาตัวที่นี่อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวาย” เห็นว่าไม่มีอะไรแล้วต้าเซียนก็ลูบศีรษะงูน้อยพลางบอก จากนั้นแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นเม็ดทรายสีทองแล้วพัดพาไปตามกระแสลม

          “หงเอ้อร์ บอกกฎระเบียบเขาด้วย” ฝ่ายเซียนนักปรุงยาเองก็มิรั้งรออยู่ เพียงออกคำสั่งรวบรัดก็สะบัดปลายแขนเสื้อหายไป

          หลังสำรวจบริเวณตำหนักโอสถสวรรค์อยู่ครึ่งชั่วยาม หงเอ้อร์ก็พาเขามาส่งที่เรือนพักด้านหลัง ก่อนจะแบ่งหมั่นโถไว้ให้กินตอนท้องว่างในยามดึก ยิ่่งทำให้ไป๋เซ่อยิ่งรู้สึกถูกชะตากับอีกฝ่าย กระทั่งได้อยู่ตามลำพังตนก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนเตียงไม้ในห้อง หยิบโอสถผลซวงเซิงจากแขนเสื้อโยนเข้าปาก รสชาติขมยังไม่ทันสัมผัสลิ้นก็ล่วงสู่ลำคอ ไม่นานนักความร้อนเอ่อท้นกำจายไปทั่วร่าง เขาเคลื่อนพลังในกายเพื่อปรับสมดุล ทำเช่นนี้ราวสองชั่วยามจึงได้หยุดลง

          เขาออกมาเตร็ดเตร่เดินเล่น ความจริงตำหนักของตาแก่ขี้งกหวางจื้อก็มิได้มีอะไรให้เขาได้ซุกซนสักเท่าไหร่ จะมีเพียงส่วนปีกตำหนักซ้ายที่เป็นป่าสมุนไพรที่น่าลองเข้าไป หากแต่มันกลับเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ใครก็มิอาจเหยียบย่าง จวบจนถึงโถงกลางก็คล้ายเห็นคู่รักอยู่รางๆ ดูว่าหงเอ้อร์จะได้ยินเสียงฝีเท้าจึงรีบดึงมือซึ่งถูกหงซานเกาะกุมอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาทันเห็นจึงแสยะยิ้มให้คนทั้งสอง ทำเอาหงเอ้อร์หน้าแดงก่ำไปทั้งวัน


 

****************************************************

 

            ห้าวันผ่านไปร่างกายเขาฟื้นฟูไปได้บางส่วน และนับตั้งแต่เขาพักรักษาตัวที่นี่ อาวุโสเทพหวางจื้อก็มิค่อยปรากฏตัวให้เห็นนัก เพียงให้หงเอ้อร์ตรวจดูชีพจรเขาหลังปรับสมดุลเสร็จ ซึ่งคล้อยหลังจากนั้นตนก็แอบแวบไปนู่นมานี่ไปทั่วพิภพสวรรค์

          เช่นเดียวกับตอนนี้ที่กำลังกลับจากตำหนักผู้เฒ่าจันทรา ไป๋เซ่อพลันเห็นปีศาจอีกาถูกขุมพลังสีดำกระแทกใส่จนร่วงตกสวรรค์ กล่าวได้ว่านานๆ ครั้งตำหนักโอสถสวรรค์แห่งนี้จะมีแขกไม่ได้รับเชิญคิดมาขโมยยาวิเศษอยู่บ้าง กระนั้นก็ต้องผ่านด่านหงซานซึ่งทำหน้าที่เฝ้าประตูแข็งขัน

          “หงซาน ฝีมือเจ้าเยี่ยมไปเลย” เขาซึ่งลอยตัวอยู่เอ่ยปากชื่นชม

          “น่ะ นี่ยังห่างชั้นจากพี่ใหญ่อยู่มาก” หงซานพูดจาถ่อมตน แต่แล้วกลับมีเสียงของตกหล่นให้พวกเขาตกใจ

          “หงซาน เจ้าบาดเจ็บรึไม่” เป็นหงเอ้อร์ทิ้งถาดยาลูกกลอนแล้ววิ่งเข้ามาตรวจดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแตกตื่น

          สัมผัสได้ถึงความห่วงใยหงซานจึงเผยรอยยิ้มเบิกบาน ใบหน้าเจ้าตัวไร้ซึ่งแววทุกข์ตรมเช่นในอดีต ไป๋เซ่อมองดูคู่รักส่งสายตาแว่วหวาน ก็ชักจะคิดถึงเจ้าลูกเต่าขึ้นมาบ้างแล้ว มิรู้ว่าป่านนี้จะนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งคิดถึงตนบ้างรึเปล่า ดูว่าพอไม่มีชายหนุ่มอยู่ด้วยไม่ว่าอะไรก็น่าเบื่อไปเสียหมด คิดได้ดังนั้นเขาก็ตัดสินใจกลับไปปรับสมดุลในกายยังที่พำนัก

          ร่างสีเขียวเหาะเหินผ่านทางเข้าป่าสมุนไพรต้องห้าม ครั้นพ้นไปได้ราวสี่ห้าก้าวก็ชะงักฝีเท้าถอยหลังกลับ ด้วยคำต้องห้ามนี้ช่างเย้ายวนใจ ไม่รู้ว่าตาแก่หวางจื้อผู้นั้นจะซุกซ่อนของดีอะไรไว้บ้าง ฉับพลันนั้นก็เผยอยิ้ม การที่ตนหักห้ามใจมาถึงห้าวันได้ก็นับว่าอัศจรรย์มากพออยู่แล้ว ไป๋เซ่อเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นไม่มีผู้ใดจึงลอบเข้าไปอย่างเงียบงัน

          ป่าสมุนไพรต้องห้ามด้านหลังตำหนักโอสถสวรรค์ล้วนเต็มไปด้วยสมุนไพรหลากหลายชนิด มาตรว่าส่วนใหญ่หาได้ยากยิ่ง แต่เมื่อมาอยู่รวมกันแล้วดูเผินๆ ก็มิได้พิเศษสักเท่าใด เขาเดินลึกเข้าไปไม่นานนักก็รู้สึกเบื่อหน่าย ทั้งออกจะรู้สึกผิดหวังลึกๆ ด้วยนึกว่าจะได้เห็นอะไรแปลกใหม่

          “เฮอะ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนุกเลย” กวาดสายตามองพุ่มสมุนไพรเตี้ยเบื้องหน้าแล้วจึงบ่นพึมพำ ประจวบเหมาะกับเสียงโครกครากดังขึ้น เขาลูบหน้าท้องตัวเองทีหนึ่งก็นั่งยองๆ เด็ดเอาดอกสมุนไพรสีเหลืองตรงหน้าขึ้นเอ่ย “ถ้ากินเข้าไปจะท้องเสียไหมนี่”

          ขณะที่กำลังจะเอาเข้าปาก สายลมกลุ่มหนึ่งก็พัดผ่าน นำพาผลท้อสีแดงอมชมพูลูกหนึ่งให้กลิ้งมานอนแน่นิ่งแนบปลายเท้า ยังผลให้ดวงตาเรียวลุกวาว น้ำลายเอ่อล้นเต็มปาก “ลูกท้อ” ไป๋เซ่อส่งเสียงดีใจ ก่อนไม่ไยดีต่อดอกสมุนไพรในมือ หันไปคว้าหยิบลูกท้ออวบอ้วน แลจังหวะที่ปัดฝุ่นเสร็จแล้วอ้าปากหมายจะลิ้มรส ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

          เดี๋ยวสิ หากมีผลท้อที่นี่ ย่อมต้องหมายความว่ามีต้นท้ออยู่แถวนี้

          ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นถี่ เขาแสยะยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย สองขาทะยานออกไป ความตะกละครอบงำจิตใจไปเรียบร้อยแล้ว ท้ายที่สุดก็พบต้นท้อสูงใหญ่ห่างออกไปไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก ดูจากผลที่ออกแน่นขนัดทั้งส่องประกายเรืองรองก็รู้ได้ว่ามันถูกประคบประหงมมาเป็นอย่างดี เขากระโดดตัวขึ้นไปอย่างร่าเริงพลางชี้นิ้วนับผลท้ออย่างสุขใจ จากนั้นเลือกผลที่ดีที่สุดมาละเลียดชิม ทันทีรสชาติหวานละมุนกำจายในโพรงปาก ตัวก็คล้ายเบาหวิวลอยละล่องอยู่บนก้อนเมฆ

          “อร่อย” งูเผือกน้อยเปล่งเสียง มือคว้าผลท้อลูกอื่นๆ เข้าปากไม่หยุด กระทั่งหนังท้องเริ่มตึงก็พลันฉุกคิดได้ว่าไม่ควรกินเกินกว่าเหตุ ประเดี๋ยวจะโดนจับได้เสียก่อน ตนยังมีเวลาเก็บเกี่ยวอีกสองวัน ทั้งลักลอบขนพวกมันกลับไปด้วย เมื่อคิดแผนได้เสร็จสรรพเขาก็ล่าถอยออกไปเงียบๆ หากแต่เมื่อกลับถึงห้องคนผู้หนึ่งก็รอเขาอยู่ก่อนแล้ว

          “ไป่ไป๋ เจ้าหายไปไหนมา นี่เป็นเวลาปรับสมดุลในกายแล้ว อย่าได้ชักช้าอยู่เลย” หงเอ้อร์ถามคนที่พึ่งเปิดประตูเข้าห้องอย่างเป็นห่วง

          “อื้อ ข้าจะทำเดี๋ยวนี้” ไป๋เซ่อยิ้ม ใช้น้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดตอบ ระหว่างนั้นมือก็ไพล่หลังลอบเช็ดกางเกงให้สะอาด

 

          ณ โถงกลางสีขาวอันทอดยาวด้วยพื้นหินอ่อนเป็นเงา งูเผือกน้อยชะโงกหน้ามองหามหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในสามภพ เพลานี้ครบหนึ่งสัปดาห์ในการรักษาตัวแล้ว เขาที่เก็บข้าวของบอกลาและขอบคุณหงเอ้อร์และหงซาน ก็โผทะยานมาหาท่านมหาเทพที่ตำหนักใหญ่ด้วยความคิดถึง

          ทว่าการมาของเขากลับผิดจังหวะ ด้วยขณะนี้เทพเซียนทั้งหลายล้วนกำลังพบปะโต้แย้ง โดยศูนย์กลางมีท่านมหาเทพที่ได้แต่ยิ้มลำบากใจ เห็นดังนั้นไป๋เซ่อก็มิกล้ารบกวนอีก เห็นทีต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปก่อกวนผู้อื่น คิดได้ดังนั้นเงาร่างคนคนหนึ่งก็ฉายในสมอง “ฮึ ฮึ เจ้าต้องแปลกใจแน่” ร่างเล็กแค่นหัวเราะซุกซน จากนั้นเหาะเหินออกไปไม่เหลียวหลัง มิทันได้ฟังเสียงกลุ่มเทพเซียนที่ฟ้องร้องกันวุ่นวาย

          “เจ้างูเผือกนั่น บังอาจลอบเข้ามากร้อนขนยวนยางของข้า ยวนยางของข้า” เป็นผู้เฒ่าจันทราคร่ำครวญจะเป็นจะตาย ในมือยังหนีบนกเป็นน้ำอัปลักษณ์ไร้ขนตัวหนึ่งที่ดูสติหลุดไปแล้ว

          ต้าเซียนเหลือบดูก็ต้องสะดุ้งเฮือก นึกสงสารยวนยางที่โชคร้ายสุดแสน กระนั้นยังไม่พอยังมีเทพเซียนอัสนีกับเทพเซียนวายุที่ฟ้องร้องกันติดๆ ทำเอามหาเทพอย่างเขาได้แต่เกาหัวไม่รู้จะปลอบใครก่อนดี ประจวบเหมาะกับที่เทพอาวุโสหวางจื้อกับลูกศิษย์ปรากฏตัว

          “ท่านมหาเทพแย่แล้ว”

          ได้ฟังแค่นั้นน้ำตาของต้าเซียนก็รื้นขึ้น แค่นี้ยังไม่แย่พออีกหรือ

          “ไป๋เซ่อ เขา... เขา” เทพอาวุโสหวางจื้อโกรธเกรี้ยวจนพูดมิออก เป็นเหตุให้บุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าเมตตาเป็นฝ่ายคุกเข่าชิงกล่าว

          “ท่านมหาเทพ ท่านอาจารย์ เป็นข้าที่บกพร่องมิได้กำชับไป่ไป๋ให้ดี หงเอ้อร์น้อมรับโทษทัณฑ์ทั้งหมด” บังเกิดเป็นเสียงโขกศีรษะกับพื้น ยังผลให้ผู้เป็นอาจารย์ตวาด

          “หนอยๆ ยังจะออกหน้ารับแทนเขาอีก เจ้าจะมองเขาในแง่ดีเกินไปแล้ว”

          “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน” ต้าเซียนเริ่มขมวดคิ้ว ส่งผลให้บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความกดดัน เทพเซียนต่างพากันเงียบกริบ จนกระทั่งอาวุโสเทพหวางจื้อเก็บโทสะแล้วค้อมตัวตอบ

          “ท่านมหาเทพ ในช่วงที่ไป๋เซ่อรักษาตัวยังตำหนักโอสถสวรรค์อยู่นั้น เขาได้ลอบเข้าไปในป่าสมุนไพรต้องห้าม แล้วทำการเด็ดกินผลท้อไปกว่าครึ่งต้น เกรงว่าปีนี้จะมิสามารถส่งผลท้อไปยังโลกมนุษย์ได้ครบอีก”

          “เฮ้อ ยังดีที่เป็นแค่ผลท้อ” นึกว่าจะมีอะไรร้ายแรงกว่านี้เสียอีก ต้าเซียนถอนหายใจ แต่ยังมิทันโล่งอกอีกฝ่ายกลับแย้งเสริม

          “แต่ท่านมหาเทพ นั่นมิใช่ผลท้อสวรรค์ธรรมดา หากแต่เป็น...”

          ดูจากสีหน้าประดักประเดิด ต้าเซียนพลันเกิดสังหรณ์ใจไม่ดี “เดี๋ยว ท่านอย่าบอกนะว่าเป็น...”

          “........” เทพนักปรุงยามิตอบคำเพียงพยักหน้ารับ ยังผลให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้าง มหาเทพผู้สูงศักดิ์โพล่งเสียงลั่นตำหนัก

          “ผลท้อกำเนิด”


 

****************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 33 ผลท้อกำเนิด 25/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 25-09-2016 21:03:40
บทที่ 33.2 ผลท้อกำเนิด

 

            ท่ามกลางความมืดอันเงียบสงบ เสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เพลานี้ดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวทอดมองบุรุษในชุดสีขาวปล่อยผมยาวสยายหลับลึกบนเตียงนอน แต่แล้วครู่หนึ่งกลับฉีกยิ้มกว้าง สองขาย่างก้าวสามขุมเข้าไปอย่างแช่มช้า หัวเข่าที่กดลงบนเบาะทำให้เตียงอ่อนยวบ ไป๋เซ่อใช้จังหวะนี้ตวัดตัวขึ้นคร่อมคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

          “ถึงทีข้ากินเจ้าแล้ว ลูกเต่าน้อย ว่ะ ฮ่า ฮ่า”       

          เสียงแผดหัวเราะทำเอาคนหลับลึกเริ่มรู้สึกตัว ก่อนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบลามเลียหน้าท้อง ซวนหยวนหมิงไท่สะลึมสะลือหรี่ตามองแล้วจึงเห็นเป็นเจ้าของใบหน้าเย้ายวนทำการกระชากเสื้อเขา ใบหน้าอ่อนโยนพลันอมยิ้ม แลรอดูงูเผือกน้อยลักหลับเขาอย่างใจจดใจจ่อ

          มือเรียวลูบไล้กล้ามเนื้อแน่นขมัด ยิ่งบุรุษใต้ร่างมิรู้สึกตัวก็ยิ่งย่ามใจ “อา” ไป๋เซ่อหลุดเสียงพึงพอใจ อุณหภูมิความร้อนจากผิวกายทำให้เขาต้องนอนราบทับชายหนุ่มแล้วซุกไซ้ไปมาอย่างสบายใจ

          “อะไรกันจบแล้วรึ” เห็นหนังตาเรียวกระพือจะคล้อยหลับ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ยิ้มเอ่ยทัก น้ำเสียงฟังดูเสียดาย ทำเอาคนด้านบนสะดุ้งเฮือก สูดน้ำลายเข้าปากแทบมิทัน

          “เจ้าตื่นแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ไป๋เซ่อโพล่งถามแตกตื่น

          “ฮึ ฮึ ก็ตั้งแต่ที่เจ้าคิดจะทำมิดีมิร้ายข้านั่นแหละ” ฮ่องเต้หนุ่มพูดจบก็ยื่นหน้าเข้าไปประทับริมฝีปากโดยที่มิให้งูน้อยตั้งตัว แลทันทีที่เคลื่อนใบหน้าออก ดวงหน้าสีแดงก่ำก็กระจ่างชัดในแววตา

          “จะ เจ้าๆ”

          “ข้าทำไมรึ” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกริ่ม แล้วผลักร่างเล็กให้นอนอยู่ใต้ร่างแทน “มิใช่เจ้าต้องการให้เป็นแบบนี้แต่แรกหรือ” เขาหยอกเย้า

          “เพ้ย กะ กล่าววาจาเลื่อนเปื้อน คะ ใครต้องการให้เป็นแบบนี้กัน” ไป๋เซ่อแย้งตะกุกตะกัก หัวใจเต้นระรัวแทบทะลุออกมาจากอก

          “ข้าคิดถึงเจ้า”

          จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้น ทั้งใช้ดวงตาสีดำขลับจ้องมองมาอย่างลึกซึ้ง ดึงดูดให้ไป๋เซ่อนิ่งอึ้งเลื่อนลอย ไม่นานปากที่เผยอเล็กน้อยก็ถูกประกบอีกครั้ง ความอ่อนโยนอบอุ่นซึมซาบไปถึงขั้วหัวใจ ร่างที่เกร็งตัวค่อยๆ โอนอ่อนตอบรับ

          “ในปากเจ้า... ลูกท้อหรือ” สัมผัสถึงรสชาติหวานฉ่ำในโพรงปาก ร่างสูงก็ผละริมฝีปากออกเล็กน้อยก่อนถาม

          “อื้อ เป็นผลท้อในตำหนักโอสถสวรรค์ ข้าเอามาฝากเจ้าตั้งหลายลูกแน่ะ ลองกินดูสิ” พูดพลางกระวีกระวาดหยิบเอาห่อผ้าใบโตกลางหลัง ล้วงเอาลูกท้ออวบอ้วนซึ่งส่องประกายเรืองรองยื่นให้

          ซวนหยวนหมิงไท่มองดูผลท้อในมือเรียว จากนั้นไล่มองคนที่ยิ้มแฉ่งอย่างภาคภูมิ ฉับพลันมุมปากเขาก็ยกยิ้ม พลันโถมกายเข้าหาร่างเล็กโดยเร็ว “ข้าว่ากินเจ้าก่อนดีกว่า ฮึ ฮึ”

          “เจ้ามันตัวเลวร้าย อ้ะ อื้อ” ไป๋เซ่อสบถด่า หากแต่ไม่นานก็ต้องส่งเสียงครางหวานแทน

          เช้าวันรุ่งขึ้นถ้อยคำก่นด่าสาปแช่งก็ดังไปทั่วตำหนัก ซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ถูกไล่ออกจากห้องด้วยรอยยิ้มและสีหน้าสดชื่นอิ่มเอิบ เพียงแค่นี้ขันทีนางกำนัลก็พอเดาออกแล้วว่าค่ำคืนที่ผ่านบังเกิดศึกหนักระหว่างเจ้าชีวิตและฮองเฮา

          “โอย” ไป๋เซ่อนอนคว่ำหน้าแผ่กายโอดโอยในสภาพหมดแรง ถึงตอนนี้จึงตระหนักได้ว่าตนช่างรนหาที่ คิดก่อกวนผู้อื่นกลับกลายเป็นโดนเข้าเอง อีกทั้งความอัดอั้นคิดถึงราวหนึ่งสัปดาห์เป็นเรื่องที่มิอาจมองข้าม เนื่องเพราะเมื่อคืนเขา ...แทบเละเป็นโจ๊ก

          “พระชายาหลี่ ไม่ได้นะเพค่ะ ฮองเฮากำลังทรงพักผ่อนอยู่”

          “ข้าบอกให้หลีกไป”

          ขณะที่นวดเอวตัวเองที่ด้านนอกก็เกิดเสียงดัง งูเผือกน้อยพลันจดจำน้ำเสียงวางอำนาจนั้นได้เป็นอย่างดี จะว่าไปหลังเกิดเรื่องนานัปการ เขากับซวนหยวนหมิงไท่ติดอยู่ในฝัน ท่านมหาเทพก็สวมรอยฮ่องเต้หนุ่มออกว่าราชการ ส่วนเขาถูกปล่อยข่าวว่าป่วยหนักได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบ ยังผลให้เขาลืมเลือนนางไปจนกระทั่งวันนี้

          ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างของสตรีผู้ซึ่งมีใบหน้าอ่อนหวานสวมใส่อาภรณ์สีส้มอ่อนพร้อมนางกำนัลส่วนพระองค์ก็รุดเข้ามา

          “พระชายาหลี่”

          “เซียวฮองเฮา” หลี่ซิ่วหลันมองดูบุรุษที่นั่งอยู่บนเตียง สีหน้าแม้ซีดไปบ้าง หากแต่ไม่เหมือนคนป่วยหนักก็งุนงงไปเล็กน้อย

          “เจ้าต้องการพบข้าด้วยเรื่องอะไร” ไป๋เซ่อวางท่าขึงขังเตรียมพร้อมรับมือ ดูสิครั้งนี้นางจะหาเรื่องเขาด้วยเหตุอันใด แต่แล้วสตรีตรงหน้าก็พลันทำให้เขาตกใจยิ่ง นางทรุดเข่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาเขาเลิกตากว้าง “จะ เจ้าทำอะไร”

          “หลี่ซิ่วหลันขอบังอาจร้องขอ ได้โปรดปลดหม่อมฉันออกจากตำแหน่งพระชายาด้วยเถิดเพค่ะ”

          “หา” เขาถึงกับอ้าปากเหวอ

          “หรือจะทรงขับไล่หม่อมฉันออกจากวังด้วยก็จะยิ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณเพค่ะ”

          “พระชายาหลี่” เหลียนฮัวนางกำนัลซึ่งติดตามชายาหลี่เข้าวังมาร้องเสียงสูง ก่อนจะสะอื้นไห้ “ถ้าต้องถูกขับออกจากวังพระองค์จะถูกส่งไปบวชชีนะเพค่ะ”

          “ข้าไม่สน” ชายาหลี่กล่าวเสียงแน่วแน่ ต้องบอกว่าชีวิตนางน่าสมเพช หลงระเริงไปกับการวาดฝันฝ่ายเดียว แรกเริ่มที่ได้พบฝ่าบาทสมัยยังทรงเป็นองค์รัชทายาทนางก็ตกหลุมรักหมดใจ แลเฝ้าคิดถึงราวคนตาบอด ต่อเมื่อมีข่าวการคัดเลือกนางสนมก็เป็นนางคะยั้นคะยอบิดาให้หาทางส่งนางเข้าวัง ด้วยคิดว่าตนมีความสามารถชนะใจฝ่าบาท เป็นสตรีพิเศษกว่าใคร แต่ทว่าทุกอย่างกลับผิดไปจากที่นางคิด ฝ่าบาทรักมั่นต่อเซียวไป๋ ไม่ว่านางจะใช้วิธีการใดสายตาสูงส่งคู่นั้นก็มิเคยชำเลืองมองมา นานวันเข้านางก็ได้แต่อยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง หากแต่ใครจะคิดว่าสวรรค์ยังคงเล่นตลก ส่งคนผู้นั้นมาในวันที่สายไป “ได้โปรดเถอะเพค่ะ ชาติหน้าหม่อมฉันยอมเป็นม้าเป็นลารับใช้พระองค์ก็ได้”

          กล่าวจบนางก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทำเอาไป๋เซ่อตกตื่นตระหนกลนลานเข้าไปปลอบสตรีตรงหน้าอย่างงกๆ เงิ่นๆ “มีอะไรก็ค่อยๆ บอกกล่าว หากข้าช่วยได้ข้าจะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่เอง”

          “จริงรึเพค่ะ” หลี่ซิ่วหลันช้อนนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสขึ้น รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าให้จึงได้บอกเล่าความทุกข์ในใจออกมา



*****************************************************


            “เจ้าก็เลยอยากให้ข้าส่งหัวหน้าองค์รักษ์ต้วนเจิงกับชายาหลี่ซิ่วหลันออกจากวังหลวง”

          “ใช่”

          “ไป๋เซ่อ เจ้าพูดง่าย แต่ถ้าเกิดนางไม่อยู่ ขุนนางทั้งหลายก็จะหาข้ออ้างเรื่องที่ข้าไม่มีผู้สืบทอดบัลลังก์แล้วให้ข้ารับสนมชุดใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าจะทนได้หรือ” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยกล่าวจริงจัง

          “แน่นอนว่าข้าทนไม่ได้ แต่ยังไงข้าก็จะช่วยพวกเขา” งูเผือกน้อยตอบทันควัน ฟังเรื่องราวของหลี่ซิ่วหลันแล้วก็ทำให้เขาซาบซึ้งใจ

          เรื่องราวของนางเริ่มขึ้นในวันที่กบฏตระกูลเจินบุกยึดวังหลวง ตำหนักจวี๋ฮวาในวันนั้นก็ถูกทหารกบฏเข้ากวาดล้างด้วยเช่นกัน ขณะที่หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หัวหน้าองครักษ์ต้วนซึ่งทำหน้าที่ดูแลตำหนักกลับเป็นฝ่ายเข้าปกป้องคุ้มครองอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งยังรับดาบแทนนางกับเหลียนฮัวจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อให้หลี่ซิ่วหลันบอกให้มิต้องสนใจนางอย่างไร เขาก็มิยอมฟัง เพียงส่งยิ้มให้นางก่อนเข้ากลุ้มรุมบรรดากบฏสุดชีวิต ซึ่งในยามนั้นนางจึงได้เข้าใจ สิ่งที่ตนตามหามีเพียงคนผู้นี้ที่ให้นางได้ และยังต้องเป็นเขาเท่านั้น

          ภายหลังจากทหารกบฏพ่ายแพ้ หัวหน้าองครักษ์ต้วนปลอดภัย หากแต่พวกเขากลับต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายในยามต่อมา นางเป็นสตรีของฝ่าบาท ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจเอื้อม ความรักของพวกเขาได้แต่มองมิอาจจับต้อง มาตรว่ารักใคร่หวานซึ้ง แต่ก็ต้องสัมผัสกับความขมขื่นด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ทั้งเขาและนางกลายเป็นดั่งคนเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่

          “เรื่องนี้เจ้ากระทำโดยพลการมิได้” ฮ่องเต้หนุ่มพูดเตือนด้วยรู้นิสัยดื้อรั้นของอีกฝ่ายดี แต่แล้วคำกล่าวนี้กลับกระตุ้นให้ไป๋เซ่อเกิดโทสะ

          “ไม่รู้ล่ะ หากเจ้าไม่ช่วยข้าจะใช้วิธีของข้าเอง” พูดจบก็หุนหันเดินจากไป

          “ไป๋เซ่อ ไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ผุดลุกจากเก้าอี้มังกรในห้องทรงพระอักษร ทว่าต่อให้ส่งเสียงเรียกเท่าไรเจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าจะหยุด กระทั่งเรียกเป็นหนที่สาม ฝีเท้าของร่างเล็กจึงได้หยุดชะงักลง ก่อนจะทรุดนั่งกับพื้นไปเสียดื้อๆ เห็นดังนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปประคอง “ไป๋เซ่อ เจ้าเป็นอะไรไป”

          “ขะ ข้าจะอ้วก”

          ไป๋เซ่อใช้สองมือปิดปาก สีหน้าดูพะอืดพะอม ดวงตาข่มหลับลงอย่างทรมาน เขารีบลูบแผ่นหลังน้อย ในใจวิตกเนื่องเพราะร่างเล็กพึ่งผ่านการรักษาฟื้นฟูกายมาได้ไม่นาน

          จังหวะที่กำลังเงยหน้าหมายตะโกนเรียกหมอหลวง ซวนหยวนหมิงไท่ก็เป็นอันสะดุ้งเมื่อพบเงาร่างหนึ่งซึ่งทำสีหน้าตกตะลึง ทั้งนี้มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้

          “ม่ะ ไม่ทันการหรือ” ผู้เป็นมหาเทพพึมพำเลื่อนลอย ที่ด้านหลังมีเซียวถิงฟงที่เดินเข้ามาพร้อมมองไป๋เซ่อด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย

          “เขาเป็นอะไรไป” คลับคล้ายคลับคราว่าคำพูดของพวกเขาเกี่ยวพันกับไป๋เซ่อ ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยถาม กระนั้นต้าเซียนกลับมิตอบคำ เซียวถิงฟงจึงเป็นฝ่ายยิ้มกวนตอบ

          “ขอแสดงความยินดีกับเจ้า งูน้อยของเจ้ามีเด็กแล้ว”

          “หา”

          “โอ๊ก”

 

****************************************************

 

            มาเเล้วจ้าที่หายไปยาวเเบบว่าปวดหัวกับทีสิสมากมาย เครียดหนักช่วงที่ผ่านมาเลยเขียนนิยายได้ช้า สรุปเเล้วบทหน้าเป็นบทจบนะจ้ะ

          ยังมีข่าวร้ายอีกจ้า ซึ่งต้องขอโทษมากๆ กับคนที่รอเล่มหทัยเทพสวรรค์ สรุปเราพึ่งขอถอนตัวกับสำนักพิมพ์ที่เคยมาติดต่อไว้ แล้วออกมาเริ่มต้นใหม่ คือ ลองส่งต้นฉบับไปที่สำนักพิมพ์อื่น ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของทางฝั่งสนพ. ความจริงนิยายเราก็ไม่ได้ฮอตมาก (เเต่มีคนอ่านเท่านี้เราก็ดีใจเเล้ว) ก็เลยต้องทำใจไว้บ้าง ซึ่งเราคิดว่าถ้าภายในสิ้นปีนี้ไม่มีสนพ.รับต้นฉบับ เราก็จะอัพสเปเชี่ยลนิยายหทัยเทพสวรรค์ให้อ่านกัน

หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 33 ผลท้อกำเนิด 25/09/59
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 25-09-2016 23:25:43
สนุกมากค่า  รอดูไป๋เซ่อกะลูกงูตัวน้อยๆนะค้าาาา
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34.1 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 10-10-2016 20:09:05
บทที่ 34.1 สวรรค์ลิขิต (จบ)

 

            ณ ตำหนักเสวียนเจิ้ง

          “เจ้าจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปถึงไหน” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญใจ ให้สหายในชุดมังกรต้องหัวเราะเสียงดัง

          “อะไรกันเจ้าอิจฉา” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มแก้มปริ ไม่มีครั้งใดที่เขานึกขอบคุณนิสัยตะกละตะกรามของไป๋เซ่อได้มากเท่าครั้งนี้

          “เฮอะ” เซียวถิงฟงแค่นเสียง นึกถึงตอนที่งูเผือกน้อยรู้ตัวก็สติแตกโอ๊กอ๊ากไปหลายชั่วยาม ต้าเซียนต้องหัวหมุนปลอบจ้าละหวั่น เขาก็กอดอกถามขึ้น “ว่าแต่ตอนนี้ไป๋เซ่อเขารับกับเรื่องนี้ได้แล้ว?”

          “หากยังรับมิได้ ข้าจะถูกถีบมานั่งอยู่ที่นี่รึ แค่นอนไปตื่นหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นมาสวาปามของกินเข้าท้องไปจนเกลี้ยงครัวได้แล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่พูดไปน้ำตาก็แทบจะไหลพราก ต้องขอบคุณที่ไป๋เซ่อยอมรับความจริงได้รวดเร็วอีกเช่นกัน แม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคำกล่าวโน้มน้าวของต้าเซียน

          แรกเริ่มเดิมทีผลท้อกำเนิดปลูกขึ้นเพื่อสตรีผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ทำการอ้อนวอนขอบุตรธิดากับเทพเซียนทั้งหลาย หากมิใช่ไป๋เซ่อลักลอบกินมัน ประจวบเหมาะกับเมื่อลงมาโลกมนุษย์ พวกเขาก็...กัน เจ้าตัวน้อยก็คงจะไม่ถือกำเนิด ฮึ ฮึ ยังดีที่เจ้าตัวมีอิทธิฤทธิ์ทำให้ย่นเวลาตั้งครรภ์จากเก้าเดือนให้เหลือเพียงสามเดือนได้ มิเช่นนั้นคงสติแตกยิ่งกว่านี้

          “จริงสิเมื่อเช้าตอนเขาตื่นมาหน้าท้องเขานูนขึ้นมาบ้างแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มระรื่น

          “เจ้าคนเห่อลูกเอ้ย” แม่ทัพหนุ่มสบถใส่คนทำหน้าบาน อ้าปากเป็นพูดพล่ามถึงเมียถึงลูก แล้วจึงเปลี่ยนมาเข้าเรื่องอื่น “เรื่องพระชายาหลี่ ข้าจะจัดการตามที่เจ้าบอก”

          “อืม” ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี มิใส่ใจท่าทีกระแนะกระแหนของสหาย ก่อนจะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “จริงสิ องครักษ์เงา”

          “ฝ่าบาท”

          สิ้นเสียงเรียกก็พลันมีเสียงตอบรับกลับมา หากแต่ไร้ซึ่งเงาผู้กล่าว กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงรับสั่ง “ทางตะวันตกของฉางอันมีร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อว่าหอปี้หลัว เจ้าไปซื้อปีกไก่น้ำแดงมา จากนั้นนำส่งไปยังตำหนักฮองเฮา”

          “น้อมรับพระบัญชา”

          “เดี๋ยวๆ” ประโยคสนทนาดังกล่าวถึงกับทำให้เซียวถิงฟงถลนตาอ้าปากค้าง ไฉนองครักษ์เงาที่ขึ้นชื่อดั่งยมบาล ไปมาว่องไวกลับกลายเป็นเด็กส่งอาหารไปแล้วเล่า “เจ้าจะใช้งานพวกเขาพร่ำเพรื่อไปรึไม่ จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นถึงองครักษ์เงา”

          “ก็มีแต่พวกเขาที่ทันใจไป๋เซ่อนี่นา อ้ะ” เสมือนหลุดคำพูดที่เก็บซ่อนไว้ ซวนหยวนหมิงไท่รีบกระแอมกระไอ “ความจริงพวกเขาอยู่แต่ในเงามืด สมควรมีชีวิตอิสรเสรีเฉกเช่นคนปกติบ้าง”

          พับผ่าสิ เจ้าคนหัวไว ยังอุตส่าห์คิดเหตุผลนี้ออกมาได้...

          ริมฝีปากของแม่ทัพหนุ่มพลันกระตุก ก่อนตัดสินใจเอ่ยลาเพื่อไปจัดการเรื่องสำคัญที่ได้รับ ร่างในชุดมังกรเองก็ส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงอนุญาต ต่อเมื่อเช้าวันใหม่เริ่มขึ้นข่าวคราวหนึ่งก็ค่อยๆ กระจายไปทั่วราชสำนักและตัวเมืองฉางอัน สร้างความปีติยินดีให้กับขุนนางและเหล่าข้าราชบริพาร เว้นเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง

          ...พระชายาหลี่ซิ่วหลันตั้งครรภ์มังกรได้สามเดือนแล้ว

 

          ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ กิตติศัพท์เลื่องชื่อห่วงลูกเมียเกินเหตุของซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่คนรอบข้าง โดยเฉพาะแม่ทัพหนุ่มเซียวถิงฟงที่ต้องเข้าเฝ้าทุกวัน แลต้าเซียนที่แวะเวียนไปตรวจชีพจรให้งูเผือกน้อยอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่เสี่ยวลู่และหัวหน้าองครักษ์จิ้งก็ไม่พ้นหัวหมุน

          ผิดกับขันทีนางกำนัลแลขุนนางทั่วไปที่กลับเห็นต่างออกไป เพียงรู้สึกว่าจักรพรรดิหนุ่มพระองค์นี้มีรสนิยมแปลกประหลาด คอยดูแลเอาใจใส่งูเผือกตัวอ้วนดียิ่งกว่าสตรีคนใด บางคราถึงขนาดยกโต๊ะในห้องทรงพระอักษรให้มันได้นอนแผ่หลา ทั้งปล่อยให้มันสวาปามอาหารบนโต๊ะ โดยที่ตนเองนั่งฉีกยิ้มกว้างมองมันจัดการของกินไม่เหลือ แม้แต่ในท้องพระโรงยังสั่งให้ลดเสียง มิให้รบกวนการนอนหลับของมัน ส่งผลให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต้องกราบทูลรายงานด้วยสุ้มเสียงเบาเช่นสตรี ทั้งกวาดไม้กวาดมืออธิบายไปมายกใหญ่ดูเหน็ดเหนื่อยยิ่ง

          ท่ามกลางนิสัยแปลกประหลาดของเจ้าชีวิตยังคงอีกกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบ อย่างเช่นในเพลานี้ ณ อุทยานหลวง กลุ่มกององครักษ์หลวงกลุ่มใหญ่ต่างวุ่นวายค้นหาบางสิ่งอย่างเคร่งเครียด แทบจะถอนรากถอนโคนต้นไม้ในสวน ทำเอาเหล่าขันทีกองพฤกษาแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด

          “ทางนี้ไม่มี”

          “ทางนี้ก็ไม่มี”

          องครักษ์ทั้งหลายตะโกนบอก ส่งผลให้หัวหน้าองครักษ์จิ้งต้องขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นตำหนักนั้นเล่า ไปดูที่ตำหนักนั้นโดยเร็ว อีกอย่างจำไว้ให้ดี หากพบเห็นให้ระวังให้มาก อย่าได้ทำให้มันตกใจ มิเช่นนั้นต่อให้พวกเจ้ามีสักสิบหัวก็ไม่พอ”

          “ขอรับ”

          จู่ๆ วันนี้ก็มีเรื่องให้เขาปวดขมับ เซียวฮองเฮาหายไปจากตำหนักร่วมชั่วยาม เจ้าชีวิตจึงสั่งระดมองครักษ์ทั้งหลายออกตามหา แลเมื่อหาคนไม่พบเขาก็ได้แต่สั่งหางูเผือก ทำเอาลูกน้องใต้สังกัดเขางงกันไปทั้งแถบ

          “เจอแล้ว มันนอนหลับอยู่บนต้นไม้”

          ราวกับสวรรค์มาโปรด สีหน้าของหัวหน้าองครักษ์จิ้งพลันดูดีขึ้นในพริบตา เขารีบออกคำสั่ง “รีบส่งคนไปแจ้งข่าวให้ฝ่าบาทโดยเร็ว”

          “ขอรับ”

          คล้อยหลังองครักษ์นายหนึ่งไปส่งข่าว ไม่นานบุรุษในชุดมังกรสีเหลืองอร่ามก็ทะยานตัวลงมาใกล้กลุ่มคนที่ล้อมรอบต้นไม้ใหญ่ไวราวโกหก ใบหน้างดงามที่มักสุขุมบัดนี้ดูร้อนรนเล็กน้อย ฝีเท้าหนักแน่นนั้นก้าวยาวฉับๆ ตรงเข้ามา

          “เขาอยู่ที่ไหน”
         
          “อยู่ตรงนั้นพะย่ะค่ะ กระหม่อมให้ลูกน้องปีนขึ้นไปแล้ว” หัวหน้าองครักษ์จิ้งชี้ไม้ชี้มือบอก ด้านฮ่องเต้หนุ่มเงยมองร่างน้อยแล้วกลับแลไม่เห็นคนที่ปีนป่ายไปถึงครึ่งทางอยู่ในสายตา

          “ไม่ต้อง”

          พระสุรเสียงตัดจบก็ถีบปลายเท้าคราหนึ่ง นำพาตัวเองขึ้นไปยังกิ่งไม้สูง ก่อนกระโดดไปตามกิ่งต่างๆ อย่างแผ่วเบา จนกระทั่งไปถึงกิ่งไม้เล็กๆ ที่ยื่นรับแดดให้ความร่มรื่นก็เห็นงูตัวน้อยสีขาวปลอดขดตัวหลับอยู่

          “เด็กดี ไยมานอนตรงนี้” เขาใช้นิ้วเกาคางให้งูเผือก เมื่อถูกกวนดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวลืมขึ้น ก่อนเชิดศีรษะถูไถมือเขาอย่างรักใคร่ ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบาง นับแต่ไป๋เซ่อมีเด็กก็มักออดอ้อนเขาเช่นนี้ “กลับกันเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น ด้านงูน้อยขู่ฟ่อตอบรับสองทีก็เลื้อยรัดแขนเขาไว้แล้วหลับตาพริ้ม

          เมื่อถึงตำหนักถั่วแดง ไป๋เซ่อกลับกลายร่างเป็นมนุษย์ทอดแผ่นหลังพิงพนักนุ่ม สองมือลูบท้องที่นูนป่อง นึกถึงเดือนแรกที่โก่งคออาเจียนแพ้ท้อง ตอนนี้ก็นับว่าดีกว่ากันเยอะ เพียงรู้สึกหิวแลเหนื่อยง่ายกว่าแต่ก่อน

          “เป็นอย่างไรบ้าง” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยถาม ใกล้ครบกำหนดสามเดือนแล้วเขาจึงคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ

          “ก็ดี” ร่างเล็กตอบกลับสั้นๆ มือคว้าผลองุ่นบนจานใกล้ตัวขึ้นเคี้ยวตุ้ยๆ


 

****************************************************

 

            ตกดึก ไป๋เซ่อนอนกระสับส่ายไปมาไม่หยุด เหงื่อกาฬหลั่งไหลท่วมตัว ตัวที่เย็นเฉียบอยู่แล้วกลับยิ่งเย็นเยียบเข้าไปใหญ่ ซวนหยวนหมิงไท่ที่กอดเจ้าตัวเอาไว้รู้สึกถึงความผิดปกติก็เอ่ยทัก

          “ไม่สบายตัวหรือ”

          “ขะ ข้าปวดท้อง” ไป๋เซ่อเค้นเสียงพูดอย่างทรมาน ส่งผลให้ชายหนุ่มต้องเบิกตากว้างก่อนจะผุดลุกขึ้นด้วยสีหน้าแตกตื่นปนตะลึง แล้วจึงหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก จนสุดท้ายก็หันกลับมาคว้ากุมมือเขาไว้

          “จะ เจ้าทำใจดีๆ ไว้ สูดหายใจเช้าลึก ฟื้ด อา”

          “เจ้าบ้า คิดจะฆ่าข้าใช่ไหม ไปตามหมอสิ คนซื่อบื้อ อ๊ากกก” ไป๋เซ่อตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวด มือดึงทึ้งผมคนตรงหน้าโดยแรง

          “โอ๊ยย ไป๋เซ่อ เจ้าเบามือหน่อย หนังศีรษะข้า... หนังศีรษะข้าจะแยกออกจากกันแล้ววว”

          ต่อเมื่อโดนทำร้ายไปยกหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงก็พลันได้สติวิ่งไปยังประตูหมายเรียกคนให้ตามหมอหลวง กระนั้นเมื่อประตูเปิดออกกายกลับต้องชะงักหยุดกึก เนื่องเพราะเบื้องหน้าปรากฏร่างสีขาวในสภาพพึ่งตื่นยืนอยู่หน้าประตูพอดิบพอดี เสมือนอีกฝ่ายล่วงรู้เหตุการณ์เร่งด่วนล่วงหน้า

          “ไม่ต้องตามหมอหลวงแล้ว เจ้ารออยู่ด้านนอกเถอะ” ต้าเซียนก้าวผ่านฮ่องเต้หนุ่มไป ที่ด้านหลังยังมีเซียวถิงฟงในชุดนอนอ้าปากหาวหวอดๆ รออยู่ที่หน้าห้องเช่นกัน

          “ฝากไป๋เซ่อด้วย” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวอย่างเป็นกังวล ต่อเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้ตนจึงได้วางใจ

          ประตูถูกปิดลง ด้านในห้องมีเพียงคนทั้งสอง ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ยืนเกาะอยู่หน้าห้องเงี่ยหูฟังเสียงโอดโอยที่ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง กระทั่งเสียงเงียบสนิทกะทันหัน เขาเริ่มใจไม่ดี กระทั่งต้าเซียนเปิดประตูออกมา ท่าทางของเขาดูเหน็ดเหนื่อยยิ่ง

          “ไป๋เซ่อ เขา...”

          “ไป๋เซ่อ” ไม่รอฟังอีกฝ่ายพูดจบ เขาก็วิ่งเข้าไปหาคนในห้องแล้ว ครั้นได้สบเข้ากับร่างเล็กที่กรนคร่อกหลับลึก เสมือนมิเคยผ่านการคลอดลูกมาก่อนก็ถอนหายใจโล่งอก

          อ้ะ... จริงสิเด็กเล่า

          “ลูกข้า” เห็นว่าคนรักปลอดภัยดี ตนจึงพึ่งตระหนักได้ ดูว่าตั้งแต่ครู่ก่อนหาได้มีเสียงเด็กร้องดังออกมาสักนิด “เกิดอะไรขึ้นกับลูกข้า”

          “เขาอยู่นี่” เซียวถิงฟงเดินเข้ามาพร้อมพยักพเยิดไปทางร่างสีขาว

          บัดนี้ในมือเรียวของต้าเซียนกำลังกอบกุมบางสิ่งอย่างอ่อนโยน ผู้เป็นมหาเทพยิ้มบางแล้วยื่นบางสิ่งในมือไปให้ ด้านจักรพรรดิหนุ่มแม้งุนงงได้ที่แต่ก็ยังคงยื่นมือออกไปรับ

          ตุบ ทันใดนั้นพลันมีไข่ก้อนกลมรีใบเล็กสีขาวมุกนอนแน่นิ่งในมือ จากความเย็นเยียบส่งผ่านผิวกาย หากแต่ภายในเปลือกบางคล้ายมีสิ่งที่มีชีวิตหายใจอยู่ ดวงตาสีดำขลับก็เลิกกว้าง

          ...สวรรค์ นี่เขาลืมไปได้อย่างไรว่างูออกลูกเป็นไข่

          “จากนี้เจ้าต้องระวังมิให้เขาถูกความเย็น ยิ่งอบอุ่นมากเท่าใดเขาก็จะยิ่งแข็งแรงขึ้นมากเท่านั้น”

          ต้าเซียนกำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะ ซวนหยวนหมิงไท่รีบพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งคู่สามีภรรยาจากไป จากนั้นกลับไปกระวีกระวาดให้เสี่ยวลู่หาตะกร้าใบเล็ก เบาะนุ่ม และผ้านวมผืนเล็กมา

          “ลูกพ่อนอนตรงนี้ แล้วรีบโตไวๆ นะ” จัดแจงวางไข่น้อยลงไปในตะกร้าเล็กอย่างแผ่วเบา ก่อนนำไปวางไว้ที่บริเวณอกของไป๋เซ่อ แล้วจึงทำกอดสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้มหลับไป

 

          นับตั้งแต่ไข่ใบน้อยสัมผัสโลกภายนอก ระดับความพร่ำเพ้อถึงลูกของซวนหยวนหมิงไท่ก็มีมากขึ้นในระดับก้าวกระโดด ถึงขนาดประคองไข่ใบน้อยซุกอกไปด้วยทุกที่ และแน่นอนต้องหนีบงูเผือกน้อยไปมาด้วยกัน บ้างก็โต้ตอบกับไข่ใบน้อยเพียงฝ่ายเดียว บางคราก็เหม่อลอยจินตนาการถึงหน้าลูก อีกทั้งยังจดจ่อฟูมฟักลูกน้อยเฉกเช่นแม่ไก่ แลหากทำได้เขาคงกกไข่แทนไป๋เซ่อไปแล้ว

          ผ่านไปหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ฮ่องเต้หนุ่มยังคงทำหน้าที่ได้อย่างมิขาดตกบกพร่อง ถึงขนาดที่ไป๋เซ่อยังตบมือเปาะแปะเอ่ยชมเชยไม่หยุดปาก ก่อนจะได้ทีวิ่งไปเล่นพนันกับกลุ่มขันทีท้ายตำหนักอย่างคึกคัก ทิ้งให้ชายหนุ่มลูบไล้ไข่ใบน้อยยิ้มเป็นคนบ้าไปกว่าครึ่งชั่วยาม

          มาตรว่าเรื่องราวดำเนินไปได้ด้วยดี ทว่าเมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไป ซวนหยวนหมิงไท่ที่ยิ้มแย้มมาตลอดกลับกลายเป็นคนวิตกจริต ทั้งไม่เป็นอันหลับอันนอน เอาแต่เฝ้ามองไข่ใบน้อยจนขอบตาสองข้างดำคล้ำลงไปทุกทีๆ พาลให้ผู้คนต่างคิดว่าถูกไป๋เซ่อทุบตีอย่างไม่ยุติธรรม ยังผลให้ร่างเล็กโวยวายตำหนักแทบแตกเมื่อโดนปรักปรำ แม้จะเป็นความจริงอยู่ส่วนหนึ่งก็ตามที
         
          “ทำไมไป๋อวี้ของข้าถึงยังมิออกมา หรือเขาปัญหาที่ตรงไหน” เมื่อได้โอกาสฮ่องเต้หนุ่มก็ทำการปรึกษาต้าเซียนอย่างจริงจัง

          “เอ้ะ เจ้าตั้งชื่อลูกข้าว่าไป๋อวี้?” ไป๋เซ่อหันขวับไปถลึงตา ก่อนจะดิ้นพล่านตะเบ็งเสียง “เพ้ย นี่ลูกข้า ต้องเป็นข้าตั้งให้สิจึงจะถูก”

          “.......” มองดูคนโวยวายซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเบือนหน้าหนี ทั้งแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ต่อให้น้ำลายของงูเผือกน้อยจะกระเด็นใส่หน้าสักแค่ไหน ขอเพียงเรื่องนี้ที่เขาอ่อนข้อให้มิได้ มิเช่นนั้นลูกเขาคงได้ชื่อ ถั่วเหลือง แป้งกรอบ งาดำ เซาปิ่งเป็นแน่ “ต้าเซียน ท่านพอจะรู้บ้างรึไม่”

          “เอ่อ เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ข้ารับประกันได้ว่าเขามิได้ผิดปกติอันใด อีกทั้งไป๋เซ่อเองก็ยังสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของเจ้าตัวน้อย” ต้าเซียนยิ้มเกาศีรษะพลางตอบตามที่ตนทราบ โดยปกติแล้วลูกงูจะกะเทาะเปลือกออกมาภายในระยะเวลาหกสิบวัน แต่ทว่านี่ก็ผ่านมานานแล้ว... “อ้ะ ข้าคิดออกแล้ว บางทีเรื่องนี้อาจมีคนตอบพวกเจ้าได้”

          “ใครกัน?” จักรพรรดิหนุ่มถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

****************************************************

 

            แสงแดดอบอุ่นทาบทอหุบเขาเขียวขจีที่สูงตระหง่าน ขับดันเรือนไม้ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแห่งนี้มีกลิ่นอายเงียบสงบ ไร้ซึ่งความสับสนวุ่นวาย จนกระทั่งประตูเรือนเปิดออก สองนัยน์ตาคู่ดำขลับแลสีม่วงอมดำต่างสบกันด้วยความบังเอิญ ทันใดนั้นจึงบังเกิดเป็นลมกรรโชกหอบใหญ่ แลวูบหนึ่งจึงเกิดไฟปะทุในดวงตาให้คนรอบข้างรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เว้นเพียงไป๋เซ่อยิ้มแย้มเอ่ยเรียกอย่างไม่รู้สึกรู้สา

          “หงเว่ย หงลิ่ว หงอู่”

          “พี่ชายไป๋” หงลิ่วร้องลั่นดีใจพลางโถมตัวเข้ากอดบุรุษในอาภรณ์สีเขียว “ในที่สุดท่านก็มาเยี่ยมข้า อ้ะ จริงสิลูกท่านเล่าอยู่ที่ใด” ภายหลังจากที่ได้อ่านจดหมาย ตนก็ตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดเขาก็จะมีน้องกับเขาเสียที

          “เป็นเพราะหุบเขาสั่วซีอยู่ไกลเกินไป ข้ากลัวเขาจะปรับอุณหภูมิในกายมิทันจึงได้ฝากเขาไว้กับท่านมหาเทพ ไว้คราหน้าเจ้าก็ไปเยี่ยมเขาที่วังหลวงแทนแล้วกัน” ไป๋เซ่อบอกก่อนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง “ว่าแต่เจ้าสูงขึ้นนี่นา”

          “แน่นอน อยู่ที่นี่ข้าถูกหงอู่ใช้แรงงานเกือบทุกวัน ดูสิกล้ามเนื้อข้าปวดไปหมด โอ่ะ โอ๊ย”

          เด็กน้อยร้องลั่น เป็นหงอู่กำหมัดน้อยๆ เขกศีรษะน้องชาย “เจ้าเด็กนี่ต้องขอบคุณข้าสิถึงจะถูก ไป่ไป๋ เจ้าเองอย่าไปฟังเขาพล่ามไร้สาระ ไปกินขนมกับข้าในเรือนดีกว่า หยางเฉิงเตรียมของชอบไว้ให้เจ้าด้วย”

          “ดี ดี ข้าเองก็มีของจะให้พวกเจ้า แต่ว่าไว้กินก่อนล่ะกัน”

          ร่างเล็กกระโดดโลดเต้น ติดตามหงอู่ หงลิ่วเข้าไปด้านในห้องรับรองอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้บุรุษสองคนยืนส่งประสายตากันอยู่นานสองนาน กว่าจะรู้สึกตัวประตูก็ปิดสนิท สายลมส่งเสียงหวีดหวิว บันดาลให้รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างไรบอกไม่ถูก

          หลังจากไม่ได้รับการใส่ใจ ซวนหยวนหมิงไท่กับหงเว่ยต่างก็นั่งจิบชาคอตกซึมเซากันไปคนละฟากฝั่ง ฝ่ายหยางเฉินก็เงอะงะไม่รู้จะปลอบพวกเขาอย่างไรดี ผิดกับด้านหนึ่งที่มีแต่รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะคิกคัก ไป๋เซ่อ หงลิ่ว หงอู่ต่างสนทนาพาที ไม่มีช่องว่างให้บุรุษทั้งสามได้เข้าแทรกแม้แต่น้อย

          “ฟังจากที่ไป่ไป๋เล่ามา สรุปว่าผ่านมาสี่เดือนกว่าเขาก็ยังมิกะเทาะเปลือกออกมา” หงอู่กล่าวเข้าเรื่องที่สำคัญ

          “ใช่ ท่านมหาเทพเห็นว่าพวกเจ้าน่าจะรู้สาเหตุ ข้ากับเจ้าลูกเต่าก็เลยมาที่นี่”

          “อา เรื่องนี้พี่ใหญ่น่าจะรู้ดีที่สุด” หงลิ่วออกความเห็น จะอย่างไรพี่ใหญ่ของเขามีโอกาสคลุกคลีกับอสรพิษรุ่นก่อนๆ มากกว่าพวกเขา

          คลับคล้ายคลับคลาว่ากำลังกล่าวถึงตน หงเว่ยหูผึ่งผุดรอยยิ้มแสยะให้ซวนหยวนหมิงไท่ราวเด็กที่ได้รับชัยชนะ ดวงตาเปล่งประกาย ริมฝีปากโพล่งตอบ “เรื่องนี้อาจเป็นเพราะอสรพิษเกร็ดอัคคีและอสรพิษเกร็ดหิมะต่างให้กำเนิดทายาทได้ไม่ง่ายนัก ยิ่งวงศ์วานเกร็ดหิมะยิ่งแล้วใหญ่ แต่ละรุ่นมักให้กำเนิดทายาทเพียงรุ่นละตัว อีกอย่างเวลาในการกะเทาะเปลือกของพวกเราก็มิได้แน่นอน บางตัวเพียงหกสิบวัน บางตัวถึงห้าหกร้อยปี อย่างพวกเราพี่น้องตระกูลหงล้วนเกิดในคืนเดียวกัน หากแต่กลับใช้เพลากะเทาะเปลือกลืมตาดูโลกภายนอกแตกต่างกัน ดูอย่างหงลิ่ว เขาลืมตาดูโลกห่างจากข้าถึงแปดร้อยปี”

          “........” ไป๋เซ่อถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็ต้องอ้าปากค้าง เขารีบหันหน้าไปหาชายหนุ่ม แล้วจึงพบว่าซวนหยวนหมิงไท่มีสีหน้าเจื่อน แววตาโศกเศร้าปนตื่นตะลึงไปเรียบร้อยแล้ว

          “แล้วมีวิธีกระตุ้นให้เขาออกมาก่อนเวลากำหนดได้บ้างรึไม่” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวถามด้วยสีหน้าเลื่อนลอย

          “น่ะ นั่นสิมีหนทางอื่นบ้างรึไม่” แม้แต่หยางเฉินก็พลอยถาม ด้วยเห็นใจเจ้าครองแคว้นผู้นี้ มาตรว่าต่อให้มีบุตรธิดา แต่กลับไม่มีวาสนาได้เห็นหน้าลูกตนเอง จะต้องขมขื่นเท่าใดกัน

          “......” ถึงตรงนี้หงเว่ยก็เงียบไป คิ้วขมวดครุ่นคิดครู่ใหญ่แล้วจึงกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก “ข้าเคยได้ยินจากบิดาอยู่บ้าง ว่ามีอสรพิษเกร็ดอัคคีบางตัวที่กะเทาะเปลือกออกมาก่อนเวลา สาเหตุเพราะได้พบเจอสิ่งที่ถูกตาต้องใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นับว่าหายากที่จะเป็นเช่นนี้”

          ถ้อยคำดังกล่าวถึงกับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่สลดใจ ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา นึกถึงไข่ใบน้อยที่ตนมักโอบกอดไว้อยู่เสมอในอกก็เจ็บแปลบรุนแรง

          เย็นวันนี้พวกเขาต่างรับปากหงอู่กับหงลิ่วว่าจะอยู่ค้างที่เรือนไม้หนึ่งคืน แลหลังจากผ่านมื้อเย็นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ไป๋เซ่อที่พึ่งได้แช่น้ำมาหมาดๆ เข้าห้องมาก็กลับเห็นซวนหยวนหมิงไท่นั่งเหม่อลอย ดูก็รู้ว่าชายหนุ่มยังคงหดหู่กับเรื่องเมื่อสักครู่

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เรื่องเจ้าตัวน้อย...”
         
          “ไป๋เซ่อ ไฉนจึงไม่เช็ดผมให้แห้ง หากไม่สบายขึ้นมาเล่า” เสียงของร่างเล็กปลุกสติเขาให้หลุดจากภวังค์ ครั้นเห็นร่างที่เปียกปอนก็เอ่ยดุ มือพลางคว้าผ้านุ่มขึ้นมาซับเรือนผมสีเทาชุ่มน้ำให้อย่างเบามือ จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งเค่อบรรยากาศก็พลันตกอยู่ในความเงียบ เปลวเทียนในห้องส่องแสงนวลพลอยทำให้จิตใจผ่อนคลายลง “ไป๋เซ่อ หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว ไป๋อวี้คงต้องฝากเจ้าดูแล”

          “ไม่อยู่!” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็เลิกตาขึ้นเสียง “เจ้าจะไปไหน?”

          “เรื่องนี้...” ซวนหยวนหมิงไท่หลุบตา “ข้าเป็นเพียงมนุษย์ อายุขัยมิได้ยาวนานสักเท่าใด”

          ฟังท้ายประโยคที่น้ำเสียงยังแผ่วเบาลงไป หัวใจของเขาก็เจ็บหนึบ ไป๋เซ่อโต้กลับ “ข้ออ้าง นี่คิดจะทิ้งข้าไว้คนเดียวใช่ไหม”

          “ไป๋เซ่อ แต่สักวันข้าก็ต้องตาย”

          สีหน้าของฮ่องเต้หนุ่มเคร่งเครียด หากแต่ตนเบือนหน้าหนี “ไม่รู้ ไม่สน ข้ารู้เพียงเมื่อถึงวันนั้น ข้าจะตามตอแยเจ้าไปถึงยมโลก”

          “ไป๋เซ่อ!” ซวนหยวนหมิงไท่ตะลึงวูบ คนตรงหน้ายังคงเป็นไป๋เซ่อที่ดื้อรั้น เป็นไป๋เซ่อที่เขารักสุดหัวใจ “แต่ไป๋อวี้จะไม่มีที่พึ่ง ข้าไม่ต้องให้เขาเป็นเช่นข้าในอดีต”

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าพึ่งถอดใจจะได้รึไม่ ข้าไม่เชื่อว่าลูกของเราจะมิยอมออกมาพบหน้าเจ้า เจ้าดูแลเขาดีเพียงนี้ เขาย่อมต้องออกมาในเร็ววัน อ่ะ ใช่แล้ว ข้าสัมผัสได้ ข้ามีลางสังหรณ์ พวกเราจะได้อยู่พร้อมหน้าในไม่ช้าแน่นอน” 

          มองดูรอยยิ้มมั่นใจระบายบนใบหน้าเย้ายวนแล้ว ความกังวลใจทั้งหมดทั้งมวลก็พลันมลายหายในพริบตา ร่างสูงค่อยๆ ยิ้มบาง พลางโอบกอดงูเผือกน้อยเอาไว้ในอ้อมอก จากนั้นอุทานในใจ

          อา... ที่แท้เจ้าเองก็พูดจาจริงจังเป็นกับเขาเหมือนกันนี่ ไป๋เซ่อ

          รุ่งเช้าของวันต่อมา สภาพอากาศนับว่าแช่มชื่นสดใส เหล่าคนตระกูลหงต่างออกมาส่งแขกคนสำคัญที่หน้าเรือน ด้านหงเว่ยได้แต่ตาละห้อยมองร่างเล็กจนคนลับตาไป

          “พี่ใหญ่ ท่านยังไม่ตัดใจไม่ได้อีกหรือ” หงอู่ถามคนที่ยังคงยืนอยู่หน้าเรือนมาครึ่งค่อนวัน ส่งผลให้หงเว่ยขยับเขยื้อนกายบ้างแล้ว

          “กว่าจะได้พบเสี่ยวอวิ๋นไม่ง่ายนัก แม้เขาจะไร้ความทรงจำ กลับกลายเป็นคนใหม่ ทั้งมอบใจให้บุรุษอื่น สำหรับข้าเขาก็ยังเป็นคนที่ข้ารัก มิมีวันเปลี่ยน”

          ฟังคำกล่าวอันดื้อดึงหงอู่ก็ส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่ ไฉนท่านมิลองเปิดใจให้คนผู้อื่นบ้าง บางทีท่านอาจได้พบกับคนที่สวรรค์ลิขิตมาก็เป็นได้”

          “.......” หงเว่ยได้ฟังก็พลันนิ่งเงียบไป อันเป็นเวลาเดียวกับที่หงลิ่วส่งเสียงตื่นเต้น

          “พี่ห้า ดูสิข้าเก็บอะไรได้จากในห้องพี่ชายไป๋” เด็กน้อยวิ่งออกมาพร้อมทั้งชูบางสิ่ง “ดูผลท้อลูกนี้สิคล้ายสีแสงเรืองรองออกมาด้วย ต้องอร่อยแน่ๆ”

          “เจ้าเด็กบ้า นี่มิใช่ของเล่น เอามานี่” เห็นของในมือน้องชาย นัยน์ตาของหงอู่พลันเป็นประกาย อีกทั้งยังมือเอื้อมไปตะครุบผลท้อกำเนิด ...อย่าบอกนะว่านี้คือของที่ไป่ไป๋บอกว่านำมาฝากเขา เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น ริมฝีปากก็หยักยิ้มรีบร้องเรียก “หยางเฉิน หยางเฉินเรามาอบอุ่นร่างกายกันดีกว่า”

          “อ้ะ อะไรกัน ข้าเจอมันก่อนนะ ท่านจะฮุบไปเช่นนี้มิได้” หงลิ่วโวยวาย หากแต่พี่ชายกลับเดินหนีไปอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้เขาต้องเดินไล่ตาม

          หงเว่ยมองดูน้องชายทั้งสองวิวาทกันอย่างชินตา สักพักจึงหันไปกวาดสายตามองท้องฟ้าสีครามอันสดใส จากนั้นทวนคำของหงอู่ออกมา “คนที่สวรรค์ลิขิตอย่างนั้นหรือ”


 

****************************************************

 
 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34.2 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 10-10-2016 20:10:52
บทที่ 34.2 สวรรค์ลิขิต (จบ)

 

            ผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว ดูว่าไข่ใบน้อยก็ยังไร้วี่แววใดๆ เหมือนเคย กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงปฏิบัติดูแลทะนุถนอมมิมีตกหล่น คอยขัดถูให้ความรัก มาตรว่าจะมีไป๋เซ่อคอยเย้าแหย่ก่อกวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนแม้แต่เซียวถิงฟงยังอดนับถือในความอดทนมิได้

          “ต้าเซียน เจ้าคิดว่าลูกของไป๋เซ่อกับซวนหยวนหมิงไท่จะเป็นเช่นไร”

          จู่ๆ ร่างแกร่งที่นั่งเช็ดพัดเหล็กหรืออาวุธประจำตัวในเก๋งหกเหลี่ยมของตระกูลเซียวก็ถามขึ้น ยังผลให้ต้าเซียนเลิกคิ้วเงยหน้าขึ้นจากม้วนไม้ไผ่ที่นำติดตัวมาจากพิภพสวรรค์

          “อืม” เรื่องนี้แม้แต่เขาเองก็มิเคยนึกถึงมาถึง “ก็คงจะเด็กร่าเริงสดใสซุกซน หรือบางทีอาจจะเป็นเด็กที่สุขุมอบอุ่นว่าง่ายก็เป็นได้” ท้ายที่สุดเขาก็เลือกตอบจากบุคลิกของคนทั้งสอง แต่แล้วเซียวถิงฟงก็แสดงสีหน้าที่ดูยากจะบรรยาย

          “ขอให้เป็นอย่างหลังทีเถิด” แม่ทัพหนุ่มภาวนา แล้วจึงเสริมกล่าว “แค่ให้ข้านึกภาพคนที่ถอดแบบจากไป๋เซ่อทุกกระเบียดนิ้ว มายืนยิ้มแฉ่งสวมใส่ชุดมังกรออกว่าราชการ กายข้าก็สั่นสะท้านแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงภายภาคหน้าของแคว้นซวนหยวน บางทีอาจได้ชื่อว่าเป็นแคว้นประหลาด ฮ่องเต้นิยมก่อเรื่องวุ่นวายก็เป็นได้” เขาพูดไปก็กอดตัวเองไป ราวกับอากาศในบริเวณนั้นเย็นยะเยือก

          “ฮึ ฮึ” มหาเทพอย่างเขาได้ฟังก็ต้องหัวเราะเบาๆ ด้วยพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนรักว่าเป็นเช่นไร แค่ทุกวันนี้ไป๋เซ่อแวะเวียนเที่ยวเล่นยังพิภพสวรรค์ บรรดาเทพเซียนทั้งหลายต่างก็หลบลี้หนีหน้าจะแย่อยู่แล้ว ยังดีที่มีซวนหยวนหมิงไท่คอยรั้งให้เจ้าตัวอย่าก่อเรื่องให้มากนัก ยิ่งตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วเทพเซียนเหล่านี้ก็วางแผนโยนเผือกร้อนลวกมือให้ถูกคนจริงๆ หากมิใช่เพราะไป๋เซ่อลบนามคนผู้หนึ่งในบันทึกคู่ชะตาจนเหลือเพียงแต่แซ่ พวกเขามิลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้เขียนนามงูเผือกน้อยทับลงไป วันนี้พวกเขาก็คงมิอาจหายใจโล่งคอได้มากนัก ต้าเซียนยิ้มเอ่ย “ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็เชื่อว่าวันหนึ่งจะมีคนหยุดเขาได้”

          “หา เจ้าพูดเช่นนี้หรือว่าจะมีไป๋เซ่ออีกคนออกมาจริงๆ” เซียวถิงฟงตาถลนแทบเท่าไข่ห่าน ทว่าร่างน้อยกลับยิ้มเพียงอย่างเดียว “ต้าเซียน ไหนๆ เรื่องก็เลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าชักอยากจะรู้จริงๆ ว่าชะตาของซวนหยวนหมิงไท่ที่แท้จริงเป็นเช่นไร ในเมื่อชะตาของเขาดีร้ายอย่างไรล้วนขึ้นกับคู่ชะตา ถ้าหากวันนี้คนที่เขาเลือกมิใช่ไป๋เซ่อเล่าจะเป็นเช่นไร”

          “เจ้าอยากรู้ถึงลิขิตสวรรค์?” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแฝงประกายสีทองถาม ครั้นเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ทำเป็นพูดลอยๆ “หย่าเหลียน หากเป็นนาง ซวนหยวนหมิงไท่จะไม่มีวันได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ เนื่องเพราะเขาจะถูกตัดสินว่ากระทำผิดจารีต ผิดทำนองครองธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในแคว้นมิอาจยอมรับ หากเป็นไป๋เย่วเซียง มาตรว่าได้รักบริสุทธิ์ กลับมิอาจเคียงคู่ได้จนแก่เฒ่า แต่งงานได้เพียงสามปี แผนร้ายของคนในวังก็พรากชีวิตนางไป ทิ้งให้เขาต้องครองบัลลังก์อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง เป็นดั่งคนตายที่มีลมหายใจ แต่หากเป็นเจินเริ่นผิง จิตใจของนางซ่อนความทะเยอยานไว้ลึกสุดหยั่ง ยามเมื่อซวนหยวนหมิงไท่อายุครบสามสิบหก เขาจะกลายเป็นเพียงจักรพรรดิหุ่นเชิด ไร้ซึ่งกำลังและอำนาจ ต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของตระกูลเจิน จนกว่าเขาจะอายุห้าสิบสาม ตระกูลซวนหยวนจึงจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง กระนั้นเขาก็ประคองลมหายใจได้อีกไม่นาน”

          “หา” เซียวถิงฟงทำหน้ายับด้วยมิอาจทนฟังมากไปกว่านี้ “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็เลวร้ายยิ่ง เทพเซียนอย่างพวกเจ้าจะใจร้ายกับเขามากไปรึไม่”

          “ผู้ถือกำเนิดเป็นผู้ปกครองแคว้นล้วนมีชะตาหนักหนา รักโลภโกรธหลงยากฝ่าฟัน ทั้งต้องแบกรับความทุกข์ที่ผู้อื่นมิมีวันเข้าใจ ถือเป็นการทดแทนกับสิ่งที่ได้ครอบครอง” มหาเทพเช่นเขาเอ่ย แล้วจึงกล่าวถึงความจริงอีกประการหนึ่ง “ความจริงแม้เขาเลือกไป๋เซ่อ ที่ผ่านมาเขาก็พบกับอุปสรรคนานัปการ เฉียดตายก็หลายครั้งเช่นกัน”

          “เฮอะ โชคดีที่ข้าเป็นคนธรรมดา” แม่ทัพหนุ่มพูดขึ้น ก่อนหลุบตาจะสอดนิ้วเข้าไปในมือเรียวของคนตรงหน้าแล้วกุมไว้ ใบหน้าคมคายแดงระเรื่ออย่างยากจะได้เห็น “ต้าเซียน มิรู้ข้าเคยบอกเจ้ารึไม่ การได้เจอเจ้านับเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิตข้าแล้ว”

          “แม้ว่าข้าจะให้กำเนิดลูกของเจ้ามิได้?” ร่างบางถามขึ้น ต่อให้ผลท้อกำเนิดมีอิทธิฤทธิ์ทำให้บุรุษตั้งครรภ์ได้ ทว่ามันกลับไม่มีผลกับเขา

          “มีเฟยเทียนคนเดียวข้าก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว” ชายหนุ่มตอบพลางดึงมือที่กุมไว้ขึ้นมาหอมฟอดใหญ่

          ได้ยินเช่นนั้นต้าเซียนก็ยิ้มกว้าง ต่อหน้าคนผู้นี้เขามิใช่มหาเทพผู้สูงศักดิ์ มิใช่ก้อนหินที่ไร้จิตใจ แต่เป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่มีความรัก... เฉกเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป “เซียวถิงฟง การได้พบเจ้า... นับว่าเป็นความโชคดีของข้าด้วยเช่นกัน”


 

****************************************************

 

            วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มขมุกขมัว พริบตาเดียวก็เรียกสายฝนให้ตกกระหน่ำผิดฤดูกาล ผู้คนต่างมองลอดหน้าต่างแล้วก็ต้องส่ายหน้าด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศอันเป็นลางไม่ดี ซึ่งในขณะเดียวกัน ณ วังหลวงโอ่อ่าศูนย์กลางเมืองฉางอันกลับบังเกิดความวุ่นวายอันน่าตื่นตกใจ

          ที่ตำหนักจวี๋ฮวาปรากฏนางกำนัลคุกเข่าอยู่หน้าห้องบรรทมของผู้เป็นนาย แลครั้นได้ยินเสียงกรีดร้องทรมานแต่ละครั้ง ใจของนางก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม ก่อนหน้านี้หมอตำแยได้กล่าวว่าพระครรภ์ในท้องพระชายาหลี่คลอดยาก อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตแม่และเด็ก ซึ่งหากวันนี้เกิดเรื่องผิดพลาดอันใด ไม่รู้ว่าชีวิตของพวกนางจะเป็นอย่างไรต่อไป

          จวบจนขบวนของเจ้าชีวิตฝ่าสายฝนมา พระวรกายสีทองก็ตรงไปยังหน้าห้องที่ปิดสนิททันที ความเงียบงันกดดันให้ไม่มีผู้ใดกล้าสังเกตพระพักตร์ ต่อเมื่อยังเกิดเสียงเปรี้ยงปร้างพร้อมกับแสงวาบคราหนึ่ง เสียงกรีดร้องด้านในก็พลันหยุดลง หมอตำแยค่อยๆ เปิดประตูออกมาพร้อมกันเด็กน้อยที่ร้องจ้าในอ้อมแขน

          “กราบทูลฝ่าบาท พระชายาหลี่ซิ่วหลันทรง...ทรงจากไปแล้วเพค่ะ” หมอตำแยสูงอายุทรุดเข่าแล้วกล่าวน้ำเสียงสลด มืออันเหี่ยวย่นค่อยๆ ประคองเด็กในห่อผ้าสีทองให้กับพระหัตถ์มังกร “เป็นพระโอรสเพค่ะ”

          ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ ได้แต่มองดูเด็กที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดในอ้อมแขน “ตั้งแต่วันนี้เขามีนามว่าเต๋อหมิง... ซวนหยวนเต๋อหมิง”

          ผ่านไปสามวันซวนหยวนเต๋อหมิงที่พึ่งถือกำเนิดก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของคนในตำหนักถั่วแดง แน่นอนว่างูเผือกเช่นเขาจะดูแลเด็กทารกเป็นเสียที่ไหน ดังนั้นภาระหน้าที่จึงตกอยู่กับหรูอี้ไปเต็มๆ ส่วนพระศพของพระชายาหลี่ก็ถูกนำไปไว้ที่สุสานหลวง เรื่องราวโศกเศร้าวุ่นวายในวังเพียงไม่กี่วันทุกอย่างก็กลับมาสงบเช่นเคย

          เพลานี้ไป๋เซ่อในชุดสีเขียวอ่อนยืนดูบนกำแพงวังสูง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าทอดมองลงไปยังขบวนพ่อค้าที่ทยอยเคลื่อนย้ายรถสินค้ายาวเหยียดที่ว่างเปล่าออกไป หนึ่งในนั้นมีรถม้าเรียบๆ คันหนึ่งแล่นตามไปอย่างเชื่องช้า แลผู้ที่บังคับอาชาเป็นบุรุษร่างสูงในชุดสีน้ำเงิน ดูผ่านๆ ก็รู้ว่าเป็นองครักษ์ต้วนที่จู่ๆ ก็ขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปดูแลมารดาที่ป่วยหนัก ทว่าสต่รีที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับปิดบังใบหน้าเผยเพียงดวงตาหวาน แต่งกายราวนางรำนอกด่าน ยังมีสตรีทางด้านในที่ก้มหน้าก้มตาดูท่าจะเป็นสาวใช้ในขบวนพ่อค้า น่าแปลกที่รถม้าคันดังกล่าวเมื่อเคลื่อนผ่านจุดหนึ่ง จู่ๆ นางรำก็คล้ายสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านบน นางส่งสายตาเป็นประกายซาบซึ้งพร้อมทั้งก้มศีรษะให้ ก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนออกไปภายนอกวังหลวง

          “เสี่ยวไป๋ มิต้องเป็นห่วงไป ข้าจะส่งพวกเขาให้ถึงที่เอง”

          ฟังเสียงที่ดูสบาย ไป๋เซ่อก็หันหน้าไปยังบุรุษที่หยักยิ้มเจ้าเล่ห์ที่กำลังก้าวย่างเข้ามา “เสิ่นอันหวาง ขอบคุณเจ้ามาก”

          “เกรงใจไปไย หากเสี่ยวไป๋ต้องการ ผู้แซ่เสิ่นย่อมจัดการให้ ฮา”

          ถ้อยคำจบลงเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น นับว่าคนตรงหน้าช่างมาได้จังหวะจริงๆ นอกจากจะนำส่งสินค้าตามที่ราชสำนักต้องการแล้ว เขายังมาพร้อมกับเด็กน้อยปริศนาคนหนึ่ง ดูว่าเป็นเด็กกำพร้าคลอดออกมาก็ไร้ซึ่งบิดามารดา หรือก็คือซวนหยวนเต๋อหมิงที่อยู่ในตำหนักเขานั่นเอง

          “เจ้าไม่รีบกลับไปพร้อมคนของเจ้ารึ” ไป๋เซ่อสงสัย ผู้นำขบวนยังเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ แล้วขบวนทางด้านล่างจะไม่วุ่นวายหรอกรึ 

          “อ่ะ เอ้อ” ถูกถามเช่นนั้นพ่อค้าหนุ่มก็พลันอึกอัก ทั้งอิดออดจะเอ่ยปาก “ความจริงข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” เสิ่นอันหวางเกาแก้มดูเขินอายไม่เป็นตัวของตัวเอง

          “หือ เรื่องอะไรกัน”

          “ข้ากับเย่วเซียง... เรา จะเข้าพิธีแต่งงานกันมะรืนนี้”

          “หา” ไป๋เซ่ออุทาน เลิกตาโตอย่างคาดไม่ถึง “พวกเจ้า... ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

          “แฮะ แฮะ ก่อนหน้านี้ขบวนเดินทางของพวกเราไปเปิดหูเปิดตาที่นอกด่าน บังเอิญประสบเหตุอันตราย ข้ากับนางจึงค่อยๆ สนิทสนมกัน” พูดไปบุรุษหนุ่มเจ้าสำราญอย่างก็หน้าแดงขึ้นอย่างยากจะได้เห็น

          มองเห็นคนตรงหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข ไป๋เซ่อก็ระบายยิ้มถามเสียงอ่อน “ว่าแต่นางสบายดีรึไม่?” เดิมทีเป็นเขาเปลี่ยนโชคชะตาแย่งที่ของนางไป หากจนป่านนี้นางยังหาได้มีความสุข ตนก็มิอาจสู้หน้านางได้

          “สบายดียิ่ง ตอนนี้นางทำหน้าที่ดูแลเด็กๆ ในตระกูลเสิ่น แม้บางวันต้องปวดหัวไปบ้าง แต่ก็ดูสนุกสนานยิ่ง” ผู้แซ่เสิ่นยิ้มกว้าง เสมือนตัวได้ลอยละล่องไปที่ที่นางอยู่เรียบร้อยแล้ว

          สุดท้ายพวกเขาพูดคุยกันอีกสักสองสามประโยค เสิ่นอันหวางก็รับปากว่าจะพาเย่วเซียงมาเที่ยวเมืองหลวงยังช่วงปลายปี เห็นทีอะไรๆ ก็เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ร่างเล็กมองเงาร่างที่เดินตัวลอยออกไปไกลแล้วจึงสูดหายใจรับอากาศสดชื่นอย่างคลายกังวล

          ...ยามนี้คงเหลือเพียงไข่ใบน้อยที่ยังมิมีวี่แววจะออกมากระมัง

          “ไฉนเจ้าตัวน้อยจึงได้ขี้เซานักนะ” ไป๋เซ่อโพล่งขึ้นมาทั้งเอียงศีรษะอย่างนึกฉงน รออยู่สักพักก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโครกครากในท้อง “อ้ะ จริงสิต้องรีบไปกินมื้อเช้า” ว่าแล้วสองขาเรียวของร่างเล็กก็วิ่งออกไป มิรู้ว่าเจ้าลูกเต่าจะยังคอยเขากินอาหารเช้าอยู่รึเปล่าหนอ


 

****************************************************

 

            “สวรรค์ลิขิต”

          เสียงนุ่มทุ้มบางเบาพึมพำไม่ได้สรรพ นับแต่คำดังกล่าวหลุดออกจากปากหงอู่ ชีวิตเขาก็เสมือนถูกรังควานไปเรียบร้อยแล้ว แลไม่ว่าจะพยายามสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไปเท่าใด มันก็ดูจะไม่เป็นผล หงเว่ยขมวดคิ้วเลิกตาที่ข่มหลับขึ้นอย่างจำใจ เป็นอีกครั้งที่การบำเพ็ญเพียรถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

          “พี่ใหญ่ ท่านจะไปไหน” หงลิ่วหรี่ตาถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงขยับตัว

          “ไปสูดอากาศ” เขาที่นิ่งงันหาสาเหตุอยู่นานก็ผุดลุกขึ้นตอบสั้นๆ ทั้งหมุนตัวไปยังปากทางเข้าถ้ำของหุบเขาสั่วซี

          “ดียิ่ง ข้าก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”  เห็นพี่ชายเลิกบำเพ็ญเพียรเสียดื้อๆ เด็กน้อยก็พลันลิงโลดใจ ครั้นจะยันตัวลุกขึ้นตาม เสียงห้วนที่ทำร้ายจิตใจกลับดังขึ้น ทำเอาเขาค้างในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืนดูประหลาดยิ่ง

          “เจ้า... บำเพ็ญเพียรต่อไป” เขาพูดทั้งที่มิได้หันหลัง ทว่าก็คาดเดาได้ไม่ผิดว่าใบหน้าของหงลิ่วคงยับยู่ยี่เสียจนดูไม่ได้

          พ้นปากถ้ำหงเว่ยก็ทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า อาภรณ์สีม่วงอมดำสะบัดพัดไหวไปตามกระแสลม นำพาตัวเองเหาะเหินไปอย่างไร้จุดหมาย ไร้ซึ่งปลายทางสิ้นสุด เพียงต้องการลืมเลือนความว้าวุ่นในใจชั่วประเดี๋ยว แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกทีตนกลับลอยตัวอยู่เหนือที่แห่งนี้แล้ว

          ราวกับจิตสำนึกโหยหาผู้เป็นเจ้าของตำหนักหลังใหญ่ ร่างแกร่งหลุบตาลงทอดถอนใจ ยามนี้ไป่ไป๋มีคนเคียงข้างกาย ยังจะต้องการเขาไปไย คิดได้ดังนั้นอารมณ์หดหู่ก็กำจายไปทั่วบรรยากาศ ครั้นตัดสินใจจากไปเงียบๆ ร่างสีม่วงอมดำก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไป แต่แล้วชั่ววูบหนึ่งกลับก่อเกิดความลังเลประการหนึ่งขึ้นมากะทันหัน

          เพียงเห็นหน้าสักครู่ ...เพียงครู่เดียวเท่านั้น

          หงเว่ยบอกตัวเองก่อนตรงเข้าไปตามใจเรียกร้อง ต่อเมื่อฝีเท้าสัมผัสพื้นก็สังเกตได้ว่าตำหนักถั่วแดงนั้นเงียบกริบผิดไปจากทุกที วี่แววของเหล่าขันทีนางกำนัลประจำตำหนักก็หาได้มีไม่ ว่าแล้วจึงใช้มือผลักประตูให้เปิดออกเบาๆ ยังผลให้ภาพทางด้านในปรากฏสู่สายตาทีละนิด

          ไม่มี... ไม่ได้อยู่ที่นี่

          ความผิดหวังกอบกุมใจอีกครั้ง เห็นทีเมื่อไร้วาสนาก็ยากจะพานพบ เขาเดินเข้าไปในห้องอย่างแช่มช้า กวาดตามองดูห้องที่ไป่ไป๋ใช้ชีวิตอยู่  ทว่าฉับพลันนั้นกลับสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตหนึ่งภายในห้องอย่างมิได้ตั้งใจ เขาหันซ้ายแลขวาไปทั่ว กระทั่งหยุดสายตาที่มุมหนึ่ง

          ผ้านวมบนเตียงถูกเลิกออก เผยให้เห็นไข่ก้อนรีๆ สีขาวมุกในตะกร้าไม้สานที่ปูรองด้วยเบาะนุ่ม ดวงตาสีม่วงอมดำพลันฉายแววประหลาดใจ หรือนี่จะเป็นไข่ใบน้อยที่ไป่ไป๋พูดถึงวันนั้น เขาจ้องมองมันอย่างไม่วางตา จำได้ว่าตอนพบเสี่ยวอวิ๋นหรือไป่ไป๋คราแรก เจ้าตัวก็อยู่ในสภาพเช่นนี้ ทันใดนั้นเองดวงตาที่สามก็ปรากฏขึ้น แม้พลังยังฟื้นฟูไม่ได้ทั้งหมด แต่อาการบาดเจ็บก็หายดีแล้ว เขาเพ่งสายตาไปทั้งที่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออันใด จนในที่สุดก็เห็นร่างยาวเรียวสีขาวที่ขดตัวภายใต้เปลือกบาง ทั้งกำลังหมุนคว้างราวโบยบินกลางอากาศ จวบจนร่างนั้นหันมาพบตนก็พลันชะงักหยุดลง

          เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้อง งูเผือกน้อยที่กำลังสบายอารมณ์ก็ตกใจไปเล็กน้อย มันช้อนดวงตาเรียวสีดำขลับจ้องตอบคนแปลกหน้าอย่างไร้เดียงสา ด้วยทุกทีมันพบเพียงแต่บุรุษผมดำดูสง่างามน่าเกรงขามในชุดมังกรกับชายร่างเล็กที่มักยิ้มแฉ่งในชุดสีเขียว นอกจากนี้ยังมีคนชุดขาวดูสูงส่งกับคนในชุดดำที่ชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำให้ครานี้มันได้แต่เอียงคอสงสัย หาได้รู้ว่าท่าทางน่ารักน่าชังดังกล่าวสะกดให้หงเว่ยมิอาจละสายตาไปที่ใด ทั้งยังยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสไข่ก้อนน้อยอย่างอดใจไม่อยู่

          จนกระทั่งปลายนิ้วแตะโดนเปลือกบาง งูเผือกน้อยก็หยีตาลง ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง มันสะบัดหางโบยตีไปทั่ว พานให้หัวใจของหงเว่ยเต้นระรัวแทบกระดอนออกจากอก อาการนี้ทำให้เขาต้องผงะตัวออกมา ใบหน้าแดงเรื่อทั้งร้อนผ่าว

          น่ะ ในอกข้า... เกิดอะไรขึ้นกัน

          เปรี๊ยะ

          บังเกิดเป็นเสียงแตกร้าว ดูว่าตั้งแต่เขาผละตัวออกห่าง งูเผือกน้อยก็ไม่สบอารมณ์ ทั้งฟาดโบยหางอย่างหนักจนเกิดเป็นรอยร้าวต่อเนื่อง เห็นดังนั้นหงเว่ยก็ตกอยู่ในอาการตื่นตกใจ ได้แต่หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก

          “หรูอี้ เดี๋ยวเอาขนมแป้งกรอบมาให้ที่ห้องข้าด้วย”

          จังหวะนั้นเองเสียงเจื้อยแจ้วกลับดังลอดเข้ามา หงเว่ยหันขวับหน้าตาตื่น ฟังจากเสียงฝีเท้าแล้วอีกไม่นานพวกเขาจะมาถึงที่นี่ ...ไม่ได้การแล้ว จะให้เห็นพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด

          “ไป๋เซ่อ เช้านี้เจ้าก็กินไปตั้งเยอะ ยังจะกินไหวอยู่อีกรึ?”

          “ท้องก็ท้องข้า เจ้าจะทำไม”

          ไป๋เซ่อตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนเปิดประตูห้องเดินฉับๆ เข้าไปนั่งดื่มชายังโต๊ะข้างหน้าต่าง มิได้สนใจชายหนุ่มที่ตามเข้ามาแม้แต่น้อย จวบจนกระทั่งเจ้าตัวส่งเสียงลั่น พลอยให้เขาสำลักน้ำชาออกมา

          “ไป๋อวี๋ ทะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้” ใบหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ซีดเผือด เพียงออกไปจัดการธุระพริบตาเดียว ไข่ใบน้อยของเขาถึงกับเกิดรอยร้าวน่ากลัว

          “ไหนๆ เกิดอะไรขึ้น” ไป๋เซ่อถลาเข้าหาด้วยอาการแตกตื่น ครั้นเห็นไข่ใบน้อยตรงหน้า ดวงตาเรียวก็เลิกกว้าง “ขะ... เขาจะออกมาแล้ว”

          “หา” สิ้นเสียงอุทานของฮ่องเต้หนุ่ม เปลือกบางสีขาวส่วนหนึ่งก็ถูกผลักหลุดออกมา จากนั้นศีรษะน้อยๆ ก็ดุนดันขึ้น ก่อนใช้ดวงตาเรียวสีดำขลับกะพริบมองคนคุ้นหน้าคุ้นตา

          “ไป๋อวี้ลูกพ่อ ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมา” ซวนหยวนหมิงไท่หลุดเสียงดีใจ ทั้งส่งมือไปลูบไล้เจ้าตัวเล็กตรงหน้าอย่างเงอะงะ

          ฝ่ายงูเผือกน้อยเองก็คลอเคลียศีรษะทั้งยิ้มกว้างตอบ ทว่าในเวลาต่อมาก็เกิดเป็นเสียงปุ้งเล็กๆ ร่างของงูเผือกหายไปแทนนี้ด้วยเด็กชายคนหนึ่ง ดวงตาของเขาเรียวเป็นสีดำดูมีเสน่ห์น่าดึงดูด เส้นผมสีดำขวับเงาวับ ยังมีผิวกายที่ขาวเนียนตัดกับอาภรณ์สีฟ้า

          ไป๋เซ่อทำตาโตอุ้มเด็กน้อยที่ตัวโตขนาดอายุราวปีขึ้นมองซ้ายขวาอย่างละเอียด ระหว่างนั้นเด็กน้อยก็ส่งเสียงคิกคัก “เพ้ย ทำไมเหมือนเจ้าเช่นนี้”

          “ฮึ ฮึ หากเขาไม่เหมือนข้า จะให้เหมือนเสี่ยวลู่หรืออย่างไร มาเถอะ มาให้บิดาอุ้มสักหน่อย” ซวนหยวนหมิงไท่พูดจบก็ยิ้มหน้าระรื่นรับบุตรชายมาอุ้ม “ความจริงเขาเหมือนเจ้ามากกว่าต่างหาก ไป๋เซ่อ” 

          ระหว่างที่ไป๋อวี้ถูกซวนหยวนหมิงไท่อุ้ม ดวงตาน้อยก็กวาดไปยังทิศทางหนึ่งเขม็ง ตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างไร้สาเหตุ ยังผลให้เงาดำต้องรีบหลุบหายไปยังด้านหลังของต้นไม้ใหญ่นอกตำหนัก

          เมื่อกี้เขาตาฝาดไปใช่รึไม่ ไม่มีทางที่เด็กน้อยไป๋อวี้ผู้นั้นจะรู้ว่าตนหลบซ่อนอยู่ตรงนี้ นี่คงจะเป็นเรื่องบังเอิญเสียมากกว่า หงเว่ยบอกตัวเอง แต่แล้วก็อดนึกถึงรอยยิ้มสดใสเมื่อครู่มิได้ ว่าแล้วตนก็ยกมือทาบหน้าอก กระทั่งภายในสงบลงไปส่วนหนึ่ง สองขาหนักแน่นก็ก้าวย่างไปข้างหน้า ก่อนเงยใบหน้าคมคายขึ้นมองท้องนภาอันกว้างใหญ่

          “จะใช่เจ้ารึเปล่า?”

          หงเว่ยพูดจบก็ยิ้มน้อยๆ ไม่นานนักเงาร่างสีม่วงอมดำก็อันตรธานหายไปจากตำหนัก สายลมบางเบาพัดผ่านนำพาให้ใบไม้ร่วงหล่นเฉกเช่นเดียววันธรรมดาทั่วไป แต่เพิ่มขึ้นด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสดใสที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

 

(จบ)
[/size]


 

****************************************************

 

          จบเนื้อเรื่องหลักจ้ะ อาจจะเรื่อยเปื่อยเเต่ตัวละครต่างก็มีรอยยิ้ม เราชอบตรงนี้ เเฮะ เเฮะ สเปยังไม่ลงนะจ้ะ ขอดูอะไรหลายๆ อย่างก่อน หรือถ้าได้อัพก็คงอัพที่เว็บอื่นพวกเด็กดีไรงี้ สามารถติดตามข่าวสารอีกทีที่หน้า fanpage https://www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/ (https://www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/)

          สุดท้ายขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และขอบคุณทุกกำลังใจนะจ้ะ ไหนๆ เรื่องก็จบเเล้ว ถ้าอย่างไรก็ฝากคอมเม้นท์กันสักนิด เป็นกำลังใจให้กันนะจ้ะ เเพลนหลังจากนี้ มีรีไรท์นิยายเก่าๆ รวมถึงเรื่องนี้ ส่วนต้นปีหน้าเราจะเปลี่ยนมาเขียนนิยายปัจจุบันบ้าง คือ มีพลอตที่คิดว่าน่าจะสนุก ตลกคลายเครียดไรงี้จ้า

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 18-10-2016 11:30:18
ขอบอกว่าเขียนได้เห็นภาพมาก ทำให้อ่านแล้วสนุกเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลย ขอบคุณมากครับ ตอนพิเศษเอามาลงที่นี่บ้างน้าครับ *_*
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 19-10-2016 00:07:47
ขอบคุณนะคะ นิยายสนุกมากเลย จะรอตอนพิเศษน้าาาา
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 20-10-2016 12:31:55
สนุกมากๆเลย ไป่ไป๋น่ารัก อยากให้หงเว่ยสมหวังกับเด็กน้อยไป่อวี้ รอตอนพิเศษค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: thanagorn ที่ 21-10-2016 08:38:37
อ่าาาจบไปแล้วเนาะ2ภาค...จะมีภาคเฟยเทียนกับน้องค้างคาวไหมน้อ^_^หรือว่าโดนดูดหายไปกับหลุมดำแล้ว
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 22-10-2016 11:55:00
สนุกๆ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: mass ที่ 24-10-2016 23:38:21
สนุกสนุกมากเลย เป็นเรื่องที่ทั้งยิ้มให้ทั้งน้ำตาซึมตลอดเรื่อง ชอบไป่ไป๋ กับหงษ์เว่ยมาก รออ่านเรื่องอื่นๆนะคะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 26-10-2016 23:29:49
สนุกมากกก จะมีถาคต่อของไป๋อวี้น้อยไหมน้าาา
 :katai2-1:
รอจ้ะ จบแล้วก็ยังรออ 55555  :laugh:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 28-10-2016 17:02:51
มีตอนพิเศษมั้ยยยยย
อยากอ่าน หงเว่ยกับไป๋อวี้ แลน่ารักดี

หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 29-10-2016 00:21:47
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
อยากอ่านตอนไป๋อวี้น้อยจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 29-10-2016 21:47:57
สนุกมากๆค่ะ  เพิ่งจะมาติดตามเสียดายมาก  ไม่งั้นคงจะตามเม้นเรื่อยๆ  แต่ปกติเป็นคนชอบมาอ่านในนิยายจบแล้วมากกว่า ส่วนนิยายปัจจุบันจะนานๆทีไปอ่าน เพราะในเซ็งเป็ดเยอะมาก ไล่อ่านนิยายเก่าก่อนค่ะ  อาจทำให้พลาดเรื่องนี้ไป 
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: Pine_apple ที่ 30-10-2016 03:01:21
อยากอ่านเรื่องเสี่ยวอวี๋กับเสี่ยวเว่ยซะแล้วล่ะค่ะ  :o8:
นี่รู้สึกว่าคงเว่ยจะเคะ ไม่รู้ทำไม  :laugh:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-11-2016 19:46:28
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 10-12-2016 10:39:10
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆอย่างนี้นะคะ ชอบการใช้ภาษามาก รื่นไหลดี

 :pig4:

รอเรื่องของไป๋อวี้กับหงเว่ยอยู่นะคะ ^^

หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-02-2017 13:17:05
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 01-03-2017 23:25:07
 :-[
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 01-04-2017 22:06:21
พลาดเรื่องนี้ได้ไงเนี่ยะ เราอ่านรวดเดียวจบเลยสนุกมากกกก ชอบไป๋เซ่อมาก ขำตรงฉากเต้นระบำ ขอบคุณที่แบ่งปันนิยายดีๆนะคะ
เนื้อเรื่องกระชับดีชอบอ่ะ จะมีรุ่นลูกอีมั้ยน้าาาาา  ไป่อวี้ต้องแสบแน่ๆ รักเรื่องนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-04-2017 22:35:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 09-07-2017 16:42:12
สนุกสุดๆเลย ทั้งภาคมหาเทพ ภาคงู่เผือกป่วน5555
ชอบหมิงไท่มากๆ มีความเป็นพระเอกสูง ถึงสกิลจะไม่สูงเท่าแม่ทัพเซียว แต่เท่กว่ากันมาก ชอบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-07-2017 16:55:51
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: Nithi ที่ 07-11-2019 19:07:46
ขอบคุณครับ สนุกมาก :z13:
หัวข้อ: Re: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 19-11-2019 00:33:37
อ่านรวดเดียวเลย
ตามมาจากเรื่องของแม่ทัพ-มหาเทพ
เรื่องนี้ครบรสมาก
ป่วง เศร้า เทาๆ หวาน หื่น มีทุกแบบ