พิมพ์หน้านี้ - {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : หัวใจ ไซส์ (จุลชีวะ) P.2 (07.07.2559)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: desevbas ที่ 31-12-2015 03:03:31

หัวข้อ: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : หัวใจ ไซส์ (จุลชีวะ) P.2 (07.07.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 31-12-2015 03:03:31
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

____________________________________________________________________________________________

(http://www.mx7.com/i/c30/cWssjT.png) (http://www.mx7.com/view2/yP0GJ57E8n5gQKRa)


สารบัญ
[/color]
คณิตจิตป่วน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51056.msg3270133#msg3270133)

ชีวะ กะ จะ รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51056.msg3292369#msg3292369)
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 31-12-2015 03:10:47
คณิตจิตป่วน
[/color][/size]


   ผมเรียนวิทยาศาสตร์ เอกคณิตศาสตร์ นอกจากจะเรียนคณะที่เขาไม่ค่อยจะเรียนกันแล้ว หรือเรียกว่าคณะพักของเด็กแอดมิชชั่น ยังต้องมาเรียนในเอกที่เขาบอกว่าหางานยากอันดับต้นๆ ก็เขาบอกกันมาสิครับว่า เรียนเลข เป็นอะไรได้นอกจากเป็นครู ผมนี่ลุกขึ้นเลยครับ


   ผมเห็นด้วย


   ก็มันจริงนี่ครับ แต่อยากกว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงฝั่งฝันไหม เพราะนี่ก็ขึ้นปี 2 ละ หลังจากที่ลองแอดมิชชั่น บัญชีตามที่อยากเรียน แต่ก็ชวด เลยจำใจยอมรับในโชคชะตาของตัวเองที่ต้องมารันทดเรียนวิทยาฯ เอกคณิตฯ แบบนี้


   พอเรียนไปเรียนมา ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงทำหน้าแขยงทุกทีเวลาพูดถึงคณะวิทยาศาสตร์ ก็เพราะว่าพวกผมเรียนถึงขั้นแก่นไงครับ ถ้าใครคิดว่าเรียนเลขแบบผมแล้วจะเจอตัวเลขนะ เลิกคิดไปได้เลย พิสูจน์สูตรล้วน พิสูจน์จนต้องเข้าใจว่ามันมายังไง เอากับเขาสิครับ


   แต่ว่าผมเลิกพูดถึงอันพวกนั้นดีกว่า เรามาพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันกันดีกว่าครับ ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าคลาสชั้นเรียนเพราะว่าผมมีหน้าที่ติวให้กับน้องๆ ปี 1 ในวิชาแคลคูลัส เพราะเหตุที่ว่าทำคะแนนไว้ท็อปในปีที่แล้ว เด็กทุนในคณะเลยให้ผมมาช่วย ทั้งที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรแม่งกับทุนของเขาเลย เพื่อนเคยยุให้ขอทุน แต่ผมไม่ขอ ไม่ใช่ผมหยิ่งหรอกครับ


   ผมเหนื่อย


   เป็นเด็กทุนห่าเหวอะไร ต้องมานั่งปวดหัวเพราะกลัวหลุดทุน สู้เรียนสบายๆ แต่เกรดงามๆ แบบผมดีกว่าเยอะ อิอิ


“สวัสดีครับน้องๆ วันนี้เรามาเริ่มกันเลยเนอะ...จะได้ไม่เสียเวลา”ว่าแล้วผมก็จับไมค์ขึ้นโซโล่กันเลย มีเวลาที่สองชั่วโมงเท่านั้น แรปได้ผมแรป ข้ามได้ผมข้าม แต่ก็เน้นตรงจุดสำคัญ

“ตรงนี้เลยตอบเท่าไรครับ ลิมิต...”ผมเงยหน้าจากกระดาษที่ตัวเองเขียนขึ้นโปรเจ็คเตอร์ แล้วถามรุ่นน้องหน้าตาน่ารักที่นั่งเรียงรายกันอยู่หน้าสลอน แต่


“...”


   ขออภัยค่ะ ไม่มีเสียงตอบรับจากสิ่งที่คุณต้องการค่ะ


   เสียงภรรยาน้อยพ่อผมเวลาที่ผมจะโทรฯ ไปหาพ่อแล้วพ่อปิดเครื่อง ผมก็งงทุกครั้งว่าทำไมพ่อถึงไม่รับเอง หรือให้แม่รับ ไม่พอใจอย่างมากที่พ่อเอาผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มารับโทรศัพท์ - -


   แต่อันนั้นไม่ใช่ประเด็น


“กลัวตอบผิดกันละสิ ไม่ต้องกลัว ข้อนี้ตอบ 0 นะครับ”ผมบอกแล้วเขียนวิธีทำให้ดู

“ขออนุญาตครับพี่”อยู่ๆ ก็มีเสียงน้องคนหนึ่งดังขึ้นมา

“ครับ”ผมเลิกคิ้วแล้วมองหน้าน้องเขา แววตาสีดำเข้ม คิ้วหนา ริมฝีปากหนา จมูกโด่งเป็นสันนั้น ทำให้ผมใจกระตุกทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง คือจะพูดว่าหล่อก็ได้ครับ น้องมันหล่อมาก ยิ่งอยู่ในชุดนักศึกษาผูกเนคไทแล้ว ผมว่าส่วนสูงของมันคงไม่ต่ำกว่า 180 เป็นแน่


“ผมว่าข้อนี่พี่คิดผิดครับ”โอ้โห...ภาพเจนเถียงกับครูอังกฤษในเรื่องฮอร์โมนเข้ามาเป็นฉากๆ เลยครับ แต่ผมเป็นแค่นักศึกษารุ่นพี่ จะมาปาช็อคใส่ไม่ได้ แล้วจะบอกน้องว่า


   “พี่เรียนเลขมา 14 ปีตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง การจะเทคลิมิตต้องดูตามบริบทของโจทย์ จะมาเทคมั่วๆ ซั่วๆ ไม่ได้”


   แต่ก็ได้แค่คิดครับ กลัวว่าตัวเองจะหน้าแตกก่อน ผมเลยก้มลงมองโจทย์อีกครั้งแล้วก็ลองทำ ผมก็ว่ามันก็ได้ 0 ไอ้เด็กหล่อ ห่าคนนี้นี่

“พี่ว่าได้ศูนย์นะครับ คนอื่นว่ายังไงครับ”ผมเลิกคิ้วถามน้องๆ ในห้องนั้น ทุกคนก้มหน้าก้มตามองดูโจทย์อย่างเคร่งเครียด

“มันต้องหาค่าไม่ได้ครับ”น้องมันบอกแล้วลุกขึ้นเดินทำหน้านิ่งมาหาผม มึงคิดว่ามึงหล่อมากหรือไง


   เออ ! มึงหล่อ


   น้องหล่อมันวางกระดาษดังตึง ตรงหน้าผม ผมนี่แทบสะดุ้ง พร้อมกับเสียงฮือฮาในห้อง ก่อนที่น้องมันจะชี้จุดที่มันต้องการจะอธิบาย

“พี่ผ่านแคลคูลัสปีหนึ่งมาได้ยังไง เรื่องแค่นี้ยังสะเพร่า ส่วนมันเป็นศูนย์ครับ แล้วเลควิธีอื่นๆ ก็เหมือนกัน เลยหาค่าไม่ได้”ไอ้สัส ไอ้เด็กเวรนี่ ถ้าไม่ติดว่ามึงหล่อนะ ในตัวมึงจะไม่มีอะไรดีเลย ไอ้เด็กปีหนึ่งเปรต ผมหันขวับลงมองโจทย์แล้วทำตามความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง แล้วสิ่งที่ผมเจอนี่ผมแทบลุกขึ้นจ้องตากับน้องมันเลยครับ ผมจองเข้าไปในดวงตาของมันอย่างไม่ยอมแล้วบอกว่า


“ใช่ครับ พี่ผิดเอง น้องเก่งมากๆ เลย เดี๋ยวพี่มีของรางวัลให้นะ แต่ตอนนี้ติดไว้ก่อน”ผมบอกแล้วยิ้มให้มันแห้งๆ คือน้องมันถูกจริงๆ ครับ และผมก็สะเพร่าเอง การทำโจทย์เลขต้องรอบคอบอย่างมาก จะมาผิดแบบนี้ ถือว่าเป็นนักคณิตศาสตร์ที่จะไม่ได้ใบประกาศเกียรติคุณ


   ไอ้น้องนั่นถอนหายใจแล้วหยิบกระดาษของตัวเอง เดินกลับเข้าที่นั่งไป ผมได้แต่คิดในใจ ตอนกูถามทำไมมึงไม่ตอบ นี่มึงกะมาตอบตอนกูเฉลยให้กูหน้าแตกใช่ไหม ไอ้เวร

“อย่าลืมมาทวงด้วยนะ ว่าแต่น้องชื่ออะไร อยู่เอกอะไรอ่ะ”ผมถามใส่ไมค์ ผมตั้งใจจะให้น้องจริงๆ ครับ ไม่ใช่เพราะความพิศวาส
หรอกนะ แต่เพราะว่าน้องมันเก่งและเป็นนโนบายของผมที่จะสนับสนุนเด็กไทยที่มีความสามารถ

“ทอย เคมีครับ”น้องมันตอบ

“อ่อ น้องทอย ทุกคนปรบมือให้น้องทอยคนเก่งและสุดหล่อของเราหน่อยเร็ว”ผมเชิญชวนเด็กทั้งห้อง แล้วทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี


   ผ่านไปสองชั่วโมงเต็ม ผมก็ปล่อยน้องกลับเลย ก่อนที่ผมจะเก็บของของตัวเองนิดหน่อยแล้วก็เดินออกจากห้องสอนเพื่อไปหาเพื่อนที่นั่งรออยู่ข้างล่าง

“ไอ้พลัส ว่าไงมึง ติวเสร็จแล้ว ?”ไอ้มีนเพื่อนผมเลิกคิ้วขึ้นถาม ผมเลยพยักหน้า พลัสคือชื่อของผมเองครับ นอกจากจะเรียนเลขแล้ว ยังมีชื่อเล่นที่เหมาะเหมงกับเอกอีก แล้วชื่อจริงที่แปลว่าเพิ่มพูนอะสักอย่างนี่อีก ด้วยชื่อ “ทวีพัฒน์” เหมือนฟ้ากำหนดมาให้ผมเรียนด้านนี้โดยเฉพาะ


“แล้วไปไหนต่อ”ไอ้มีนถามผม

“แดกข้าว”

“งั้นป่ะ”มันลากแขนผมไปทันที

“เฮ้ย เบาๆ กูเดินเองได้ไอ้สัส”

“ก็มึงช้า”มันบอกก่อนที่ผมจะสะบัดแขนตัวเองออกอย่างสะดีดสะดิ้ง กูเป็นผู้ชายรักนวลสงวนตัว ผมเดินลงมาหน้าตึก ก็เห็นไอ้น้องหน้าหล่อนั่นยืนรออะไรอยู่ ผมเลยทัก

“อ้าว น้องทอย รอใครครับ”ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนกัน แต่ผมรู้สึกอยากคุยกับน้องเขามากๆ

“รอรถรางครับ”น้องมันบอก แล้วหันไปมองถนน

“อ่อ วันนี้เก่งมากนะ ขอบคุณที่ช่วยเตือนพี่ด้วย อย่าลืมเตือนเรื่องของรางวัลล่ะ”ผมย้ำ

“พี่ก็อย่าสอนผิดบ่อยสิครับ”มันหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ

“พี่จะพยายาม”

“ไม่ใช่พยายามแต่ต้องทำ”

“รู้แล้วน่า”

“ในฐานะติวเตอร์หรืออาจารย์ มันไม่ควรสอนอะไรผิดๆ ให้กับนักเรียนนักศึกษาครับ”กูว่ากูเริ่มจะทนไอ้น้องน่านิ่งสุดหล่อนี่ไม่ไหวละ มึงจะเอาไง มึงว่ามา กูพร้อมสู้ มาดิมา !

“คร้าบ ขอบคุณครับพี่เตือน หน้านิ่งต่อไปเถอะน้อง ขอให้โดนฉุด”ผมบอกแล้วเดินออกมาทันที ผมเปลี่ยนใจไม่ให้ของรางวัลมันได้ไหมอ่ะ


   กูเริ่มหมั่นไส้มันแล้ว


   วันรุ่งขึ้นผมแวะเข้าร้านกิฟท์ช็อปหน้าหอเล็กน้อยเพื่อหาของรางวัลให้ไอ้น้องทอยของเล่นอะไรนั่น แต่เดินวนอยู่แปดรอบ ผมก็ไม่รู้ว่าจะให้อะไรมันดี คุณลองนิ่งผู้ชายตัวสูงๆ ขาวๆ หน้าตี๋ๆ แต่ไม่ติ๋มแล้วหน้านิ่งๆ ไร้อารมณ์ดูสิครับ ดูของในร้านกิฟท์ช็อปนี่มันไม่มีอะไรเข้ากับหน้าน้องมันเลยสักอย่าง


   สงสัยผมต้องไปซื้อดีวีดีเสียงอีสาน ตลกตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้านอะไรเทือกนั้นให้มันดู เผื่อมันจะยิ้มออกมาได้บ้าง แต่ที่นี่ไม่มีไง ผมเลยเดินไปเจอพวงกุญแจตุ๊กตาหน้ามึนตัวหนึ่ง ซึ่งผมว่าน่ารักดี แล้วคิดว่าหน้ามันเหมือนไอ้น้องทอยหน้ามึนนั่น ผมเลยหยิบมาแล้วไปจ่ายตังค์ ก่อนจะไปที่มหา’ลัยทันที เพราะว่าจะไม่ทันคลาสแรกอยู่แล้ว


   เรียนคลาสเช้าเสร็จก็ถึงเวลาพักกลางวัน ผมเดินลงจากตึกพร้อมกับเพื่อนๆ ในเอก แล้วก็แยกไปกับไอ้มีนที่มากับผม ผมคุยจ้อกับมันไปเรื่อยๆ โดยที่พลันสายตาไปสังเกตเห็นทอยเดินมากับผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาน่ารัก เธอเงยหน้าคุยหงุงหงิงกับมันอยู่ ผมได้แต่เบะปากอย่างหมั่นไส้


“ทอยจ๋าวันนี้ว่างไหม ?”น้องผู้หญิงถาม

“ไม่”มันตอบหน้านิ่งๆ

“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ”

“ไม่”

“มะรืน”

“ไม่”

“วันเสาร์”

“ไม่”

“อาทิตย์?”

“ไม่”

“ตอนเย็น”

“ไม่”

“ถ้าขอเป็นแฟนจะปฏิเสธไหม ?”

“ไม่...เฮ้ย”ไอ้ทอยร้องเสียงหลงทันทีเมื่อโดนน้องผู้หญิงแกล้ง เธอดูจะชอบอกชอบใจใหญ่ “ไปไหนก็ไป ไปกวาง เราจะไปกิน
ข้าว”น้องทอยหันไปไล่หญิงสาวอย่างตัดรำคาญ ผมมองหน้ามันที่ไล่น้องเขาแล้วก็อดสงสารน้องเขาไม่ได้ โธ่ น้องสาว มันไม่รักมาหาพี่ก็ได้

“ทอยอ่ะ เราแค่อยากให้ทอยช่วยติวแคลฯ ให้เราหน่อยแค่นั้นเอง”น้องกวางบอกกับมัน ทอยถอนหายใจก่อนที่หางตามันจะจ้องมาที่ผม

“พอดี...เราไม่ว่าง เรานัดติวกับพี่พลัสไว้”ไอ้ทอยเดินเข้ามาหาผม แล้วยืนข้างๆ ทันที ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ อย่าๆ อย่าเอากูไปเกี่ยวกับสถานการณ์ ไม่นะไม่

“งั้นดีเลย พี่พลัสติวให้กวางด้วยสิ”น้องกวางวิ่งเข้ามาเกี่ยวแขน

“อะ...อะไรนะครับ ?”ผมเลิกคิ้ว

“ไม่ได้หรอก พี่พลัสต้องไปติวที่หอเรา เป็นหอชาย กวางขึ้นไม่ได้”ไอ้ทอยพูด ผมหันหน้าไปมองหน้ามันแล้วเลิกคิ้วถามว่า


“มึงจะเล่นอะไร ?”


“ก็...”น้องกวางจะพูด

“ใช่ไหมพี่พลัส พี่พลัสบอกทอยว่าจะติวตอนนี้เลยนี่ งั้นไปเถอะ ป่ะ ขอโทษนะกวาง”ไอ้ทอยพูดจบมันก็ลากแขนผมออกมาทันที ไอ้มีนยังไม่ทันได้มีบทบาทในการสนทนาครั้งนี้ มันก็ถูกผมทิ้งไว้กลางทางเสียแล้ว

   
กูขอโทษมีน กูยังไม่ได้พูดอะไร กูก็โดนออกมาแล้ว (พูดเสียงตีญ่า)


   ไอ้ทอยลากผมมาที่หน้าคณะ โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านอะไรจากผมเลยสักนิด เล่นเอาผมเหนื่อยและหอบ ไอ้น้องห่านี่ นอกจากหน้านิ่งแล้วยังป่วนหัวผมเล่นจนจะกระเจิงละ

“เฮ้ย ช่วยบอกพี่ทีดิ๊ว่าทำอะไร”ผมเลิกคิ้วถาม

“ตัดรำคาญ”มันพูดหน้านิ่งๆ ตามสไลต์มัน

“รำคาญใคร”ผมเลิกคิ้ว

“ไม่มี”

“เอ้า..”งงสิครับคุณผู้ชม โงงงง “อะไรของมึงวะ”ผมพึมพำ “แล้วนี่พี่มีเรียนต่อนะ แค่นี้ใช่ป่ะ งั้นโชคดี...”ผมจะเดินออกไป


“อ้อ เกือบลืม อ่ะนี่”ผมยื่นตุ๊กตาที่ซื้อเมื่อเช้าให้มัน “ของรางวัล”ผมยิ้มทอยรับไปอย่างงงๆ แล้วมองอย่างพินิจอยู่ครู่หนึ่ง

“ไม่ชอบอ่ะ ขอเปลี่ยนได้ป่ะ”มันพูดแล้วมองหน้าผมหน้านิ่งๆ กูอยากจะเอาอะไรกรีดหน้ามึงจริงๆ ทอย หน้านิ่งได้กวนบาทากูสุดๆ

“เปลี่ยนเป็นอะไร”ผมเลิกคิ้วถาม

“พี่ต้องติวแคลฯ ให้ผมจนจบเทอมนี้”

“อะไรนะ? !!!”เสียงดังลั่นถนนหน้าคณะเลยครับ ตกใจจริงๆ  “พูดเล่นใช่ไหม พี่รู้น่า”ผมตบไหล่มันอย่างเป็นเชิงตลก

“ผมพูดจริง”มันพูดกับผมด้วยหน้านิ่งๆ จริงจัง เออกูเชื่อก็ได้

“เอาจริงดิ”ผมยังไม่เชื่อมันครับ มันพยักหน้าด้วยหน้ามึนๆ ของมัน คือกูอยากรู้ไงทอย ว่าหน้าหล่อๆ อย่างมึงเวลายิ้มจะหล่อขนาดไหน

“งั้นขอตุ๊กตาคืน”ผมแบมือ

“ให้ผมแล้ว รู้เปล่าว่าถ้าลิงได้กล้วยแล้วมันจะได้คืนยาก”มันบอก

“หมาได้กระดูกมากกว่า”ผมบอกแล้วยิ้มหัวเราะ

“ลิงน่ารักกว่าเยอะ”กูให้มุกนี้มึงไม่ผ่าน มึงไม่ได้แสดงหน้าตาน่ารักอะไรเลย หน้ามึงมีอยู่หน้าเดียว ตลอดเวลา จะทำตัวน่ารักก็ช่วยน่ารักให้จริงด้วยครับ น้องทอย !

“เออ ติวก็ติว”ผมบอกแล้วยิ้มๆ ไม่รู้ทำไม ผมก็อยากจะเห็นรอยยิ้มของมันสักครั้งเหมือนกัน แต่แค่เริ่มเทอมนี้ ผมก็หัวปั่นกับไอ้เด็กเวรนี่แล้วครับ ป่วนจิต ป่วนใจผมได้ตลอดจริงๆ


มิดเทอมตัวร้าย


   ผมอยู่ที่ห้องไอ้ทอยครับ กำลังนั่งสอนกฎโลปิตาลให้มันอยู่ แต่ดูท่าผมไม่ได้สอนอะไรมันมากหรอก มันเข้าใจอยู่แล้ว

“ดิฟล่าง ดิฟบน คิดเลขแล้วได้เท่าไร”มันทำหน้างงเล็กน้อยหลังจากที่ผมถามไป “สองบวกสองเนี่ย เท่ากับเท่าไร ? เก่งมาตั้งนาน เรื่องง่ายๆ อย่าโง่นะโว้ย สองบวกสองเท่ากับเท่าไรเนี่ย”ผมบอกแล้วย้ำ

“หัวใจ”

“ห๊ะ !!”คือมันตอบได้หน้านิ่งมากครับ

“ก็ผมโง่เรื่องหัวใจไง”มันบอกผม คือผมกับมันจะเรียกว่าสนิทก็สนิทนะครับ คือเจอกันทุกวันที่คณะ ผมมาติวให้มันทุกครั้งที่มีสอบเก็บคะแนน บางวันดึกก็นอนที่ห้องมัน เป็นแบบนี้จนชิน ผมแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่อยู่ๆ ผมต้องมาทำอะไรให้คนอื่นอย่างที่ไม่เคยทำ ผมจะรำคาญทุกครั้งที่มีใครขอให้ผมช่วยทำอะไร แต่ผมไม่เคยคิดจะรำคาญมันเลยสักครั้งที่มันขอให้ช่วย


   ผมเต็มใจด้วยซ้ำ


“หน้าอย่างทอย ไม่โง่หรอกมั้ง หน้าตาก็ดี”ผมบอกแล้วหัวเราะ

“คนหน้าตาดี แต่ผมไม่รู้ว่าความรักคืออะไรนี่พี่”มันบอกแล้วเกาหัว

“เดี๋ยว นี่พี่มาติวให้ทอยนะ ไม่ได้มาสอนเรื่องหัวใจ”ผมว่าไอ้น้องคนนี้เริ่มจะป่วนจิตผมไปเรื่อยๆ แล้วครับ

“ก็ผมเก่งแล้วอ่ะ แต่ผมอยากเก่งเรื่องหัวใจบ้าง”มันบอกแล้วทำหน้ามึนๆ

“โอเคๆ”ผมหัวเราะ “อย่างแรกนะ ช่วยทำหน้าให้มันมีอารมณ์มากกว่านี้หน่อยได้ไหม ก็หน้าแบบนี้ไงคนอื่นถึงไม่เคยเข้าใจทอยสักที”

“ก็ผมรำคาญ”

“รำคาญใคร ?”

“คนที่มาจีบ”

“แล้วไม่ชอบ ?”ผมเลิกคิ้ว

“รำคาญ”มันส่ายหน้าแล้วตอบ ผมถอนหายใจ

“แล้วชอบใครบ้างป่ะ”ผมถาม

“ก็เหมือนจะมี”มันตอบหน้านิ่ง

“แล้วชอบยังไง”ผมเลิกคิ้วอีกครั้ง ตอนนี้วิชาแคลคูลัสถูกวางกองทิ้งไว้ข้างหลังแล้วครับ

“ก็...”มันทำหน้าเหมือนจะคิด แต่มันก็มีน่าเดียว ไอ้คุณชายหน้าเดียว ไอ้คุณชายทอย

“ขอได้ประหน้านิ่งๆ แบบนี้ ไหนยิ้มดิ๊”ผมบอกแล้วยิ้มกว้างให้มัน

“ไม่ชอบยิ้ม”มันบอกสั้นๆ หน้านิ่งๆ

“ยิ้มๆ”ผมเอื้อมมือไปแตะมุมปากมันทั้งสองข้างแล้วฉีกออกเป็นรอยยิ้ม แต่มันก็ดูฝืนๆ

“ลำบากน่า”มันบอกเสียงรำคาญ

“ยิ้มดิ”ผมบอกแล้วทำหน้ากวนๆ ให้มันไป “ยิ้มหน่อยน้า ทอยคนหล่อของคณะ ยิ้มน้า เดี๋ยวมีรางวัลให้”ผมทำเสียงอ้อน แล้วทำหน้าตาตลกๆ ใส่มันไปครับ ไม่ว่างจะเอียงหัว เล่นหน้าเล่นตา แลบลิ้น ตาเหล่


“คึ...”แล้วมันก็ได้ผม ไอ้ทอยหลุดหัวเราะออกมาแล้วยิ้มกว้างแบบ


   หล่อชิบหายวายวอด
   หล่อวัวตายความล้ม


   ถ้าใครได้เห็นมันยิ้มต้องมีเป็นลมล้มพับกันไปบ้างล่ะ เหมือนผมตอนนี้ ที่จ้องรอยยิ้มของมัน แปลกนะครับที่ผมอยากเห็นมันยิ้มให้คนอื่น แต่ผมอยากเก็บรอยยิ้มของมันไว้คนเดียว เก็บไว้แบบเวลานี้ ตอนนี้


“พี่...”


“...”


“พี่พลัส...”


“...”


“พี่พลัสครับ !!!”ไม่รู้ว่าผมจ้องมันนานเท่าไร แต่ผมสะดุ้งตอนมันเรียกผม


“ห๊ะๆ มีอะไร”ผมถามแล้วทำหน้าเลิกลัก

“พี่ไม่สบายหรือเปล่า หน้าแดง”ทอยถามผม แล้วจิ้มที่หน้าตัวเอง โอยตายๆ หน้าตามึนๆ ของมันทำให้ผมถึงจ้องได้นานขนาดนั้นนะ

“เปล่าๆ มาติวต่อเถอะ”ผมบอก

“ติวอะไรพี่วันนี้จบแล้ว”ทอยบอกกับผม

“อ้าวหรอๆ”

“ไปกินข้าวกัน”มันชวนผม “หิวป่ะ ?”ทอยถามผม ผมพยักหน้า ทำไมใจเต้นแรงขนาดนี้วะ หยุดเต้นเร็วก่อนได้ไหม เลือดมันสูบฉีดเกินไปแล้ว ร้อนหน้าฉิบหายด้วย


   ผมกับทอยขี่รถมาที่ตลาดเล็กๆ ในซอยหา เพื่อหาอะไรกินแล้วเราก็จบที่ร้านอาหารตามสั่งร้านเดิมที่พวกผมมากันประจำเป็นเวลาตลอดเดือนกว่าที่ติวให้กัน

“อ้าวพลัส มากับน้องทอยอีกแล้วหรอ”เสียงเพื่อนในเอกคนหนึ่งถามขึ้น ทอยค่อนข้างจะป๊อบในคณะครับ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ทำตัวเด่นห่าเหวอะไรเลย แต่ด้วยหน้าที่ดึงดูดทำให้มันค่อนข้างจะดัง

“อื้อ”ผมตอบสั้นๆ

“แหนะ...เป็นอะไรกันหรือเปล่า มาด้วยกันบ่อยๆ แบบนี้”เพื่อนผมชี้หน้า ผมรู้สึกร้อนขึ้นหน้าทันที

“เฮ้ย เปล่า แค่ไปติวให้น้องเฉยๆ”ผมบอกแล้วยิ้มหัวเราะ

“พี่พลัสกินเหมือนเดิมป่ะ”ทอยถามผมพร้อมกับกระดาษในมือ ผมพยักหน้า

“อ่ะ...เออๆ เหมือนเดิม”ผมบอกไป ทอยมันรู้ครับว่าคำว่า เหมือนเดิม ของผมคืออะไร เพราะไม่ว่าจะมากี่ครั้งผมก็สั่งเหมือนเดิมทุกครั้งที่มา

“ฮั่นแน่...รู้ด้วยว่าเหมือนเดิมคืออะไร มากกว่ารุ่นน้องแล้วมั้ง”เพื่อนผมยังแซวไม่หยุด ไอ้ห่าทอย มึงช่วยมาแยแสกูหน่อยได้ไหม

“ไม่มีอะไรจริงๆ เราขอตัวนะ”ผมบอก แต่ว่าไปเจอเพื่อนอีกคนที่เป็นผู้ชายในคณะแล้วค่อนข้างสนิทกัน

“อ้าวพลัส มากินข้าวหรอ”เสียงเขาถาม

“อื้อ ภีมล่ะ ?”ผมถามกลับ

“มากินข้าวเหมือนกัน นั่งไหนอ่ะ”ภีมถาม ผมเลยชี้ไปที่โต๊ะไอ้ทอยที่นั่งอยู่

“มากับน้องทอยหรอ ?”ภีมถามผมแล้วยิ้มให้กว้างๆ

“อื้อ”ผมบอกแล้วยิ้มกลับ

“งั้นขอนั่งด้วย...”

“ป้าครับ ใส่กล่องกลับครับ”เสียงไอ้ทอยบอกแล้วลุกขึ้นเดินมาหาผม ก่อนจะมายืนข้างผม สักพักป้าเขาก็เอาข้าวใส่กล่องมาให้ ทอยรับมาแล้วก็จ่ายตังค์พอดี ก่อนจะจับแขนผมแล้วลากออกไปทันที ผมนี่งงเลย

“เฮ้ยจะไปไหน?”

“กลับ”มันบอกสั้นๆ

“เฮ้ยทำไมไม่กินที่ร้าน”ผมถาม

“รำคาญคน”มันบอกแล้วลากผมไม่หยุด

“ภีมๆ...เราขอตัวนะ เฮ้ย อย่าเร็วดิ เดินไม่ทัน”ผมโวยวาย ผมนี่งงมากเลยครับอยู่ดีๆ มันก็ลากผมกลับโดยไม่ถามผมสักคำ ไอ้ห่าเวรนี่ก็ตามอารมณ์ไม่ทันจริงๆ โว้ยยยยย


   ไม่นานก็มาถึงหอ ไอ้ทอยไม่พูดพร่ำ มันจัดการนั่งกินข้าวในกล่องอย่างเงียบๆ โดยที่ผมไม่กล้าพูดกับมัน เวลามันเงียบมันจะน่ากลัวมากครับ ผมยังไม่กล้าคุยกับมันเลย

“อ่ะ..เอ่อ กินข้าวเสร็จแล้ว พี่ว่าพี่กละ...”

“นอนนี่แหละ...”มันพูดสั้นๆ สายตาจดจ้องอยู่หน้าจอโน๊ตบุ๊คของมัน

“พี่ไปนอนหอพี่ดีกว่า มันยังไม่ดึก”ผมบอกอย่างเกรงใจ

“บอกให้นอนก็นอนดิวะ”ทอยบอกกับผม ผมนี่ตกใจเลยครับโหมดนี้ของมันน่ากลัวมาก น่ากลัวกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ

“กะ...ก็ได้”ผมบอก


   เวลาเลยมาจนถึงเที่ยงคืน ผมอาบน้ำเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนที่เตียงที่ประจำทันที สักพักก็ได้ยินเสียงทอยเดินไปปิดไฟ ตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนล้มตัวนอน ทอยยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ผมก็ไม่กล้าชวนคุย จนตอนนี้ผมนอนห่มผ้า มีแต่เสียงแอร์ทำงานดังอยู่แค่นั้น กับเสียงลมหายใจของผมกับมัน


   แต่อยู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงวงแขนแกร่งที่เอื้อมมาโอบเอวผมไว้ พร้อมกับหน้าที่ซุกอยู่ทางด้านหลัง

“ทะ...ทอย”ผมร้องพูดชื่อน้องติดๆ ขัดๆ

“ไม่ชอบเลย”มันพูดสั้นๆ สไตล์มัน

“ไม่ชอบอะไร”ผมถาม

“ไม่ชอบที่พี่คุยกับพี่ภีม”มันบอกกับผม ผมเลยพลิกตัวหันไปมองหน้ามัน สายตาของผมจ้องกับมันอยู่ในความมืด

“ทำไมจะคุยไม่ได้ พี่กับภีมเป็นเพื่อนกัน”ผมบอก

“ก็ไม่ชอบ...มันรู้สึก...”ทอยบอกกับผม “แปลกๆ”

“แปลกยังไง ?”ผมถาม ตอนนี้ผมจ้องตาทอยอยู่ในความมืด แต่ผมก็ยังเห็นดวงตาของมันชัดเจน แม้ทุกครั้งที่จ้องมันจะไม่แสดงความรู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าแววตาของทอยแตกต่างออกไป

“มันแปลก...ตรงนี้”ทอยเอื้อมมือมาจับผมมือแล้วไปทาบที่อกข้างซ้ายของมัน ผมรับรู้ได้ว่ามันเต้นแรงจนผิดปกติ “แต่ผมไม่ชอบที่พี่คุยกับพี่ภีมจริงๆ นะ”ทอยบอกกับผม ผมเลยถอนหายใจ

“หึงหรือไง ?”ผมถาม

“ผมไม่รู้ว่าหึงคืออะไร ?”อยากจะบ้าตาย ให้มันได้อย่างนี้สิ มึน อึน ซึน ยังไงก็อย่างนั้น ผมมั่นใจแล้วว่าตอนนี้ผมรู้สึกดีมากที่มันบอกว่าไม่ชอบที่ผมคุยกับคนอื่น แต่คนที่บอกกับผมเองมันยังงงๆ อยู่เลย ผมก็ไม่สามารถเชื่อได้หรอกว่ามันจะชอบผมหรือเปล่า

“แล้วทำยังไงถึงจะเข้าใจ”ผมถามแล้วหัวเราะเบาๆ

“ก็มันคืออะไรอ่ะพี่ หึงอ่ะ”ผมล่ะอยากดึงหน้าตาหล่อของมันทิ้งจริงๆ ผมว่าถ้าเกิดมันรู้จักบริหารเสน่ห์ของมันนิดหน่อยก็คงจะป่วนหัวใจสาวๆ ไปทั่ว ขนาดตอนนี้ มันยังป่วนหัวจิตหัวใจของซะกระเจิงเลย

“ก็แบบ...”ผมจะอธิบาย “เวลาเราเห็นคนที่ชอบหรือแฟน ไปคุยกับคนอื่นแล้วเราไม่ชอบอ่ะ แบบที่ทอย...”ผมกำลังจะพูดแต่มองหน้ามัน

“ก็ผมยังไม่ชอบใคร”จบกัน โอเค งั้นนอน

“โอเค งั้นนอนเถอะ”ผมบอกแล้วหันกลับไปนอนเหมือนเดิม

“พี่บอกก่อนดิว่าคืออะไร ?”ไอ้นี่มันอายุเท่าไรแล้วครับ

“เดี๋ยวอยู่ๆ ไปเข้าใจเองแหละ ตอนนี้นอนเถอะ”ผมบอกแล้วก็นอนหลับไปทันที


   ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ทอยเข้าใจจริงๆ ครับ ผมไม่รู้จริงๆ แต่ที่น้องบอกว่ามันยังไม่มีคนชอบผมนี่โคตรของโคตรเฟลเลย มันจะป่วนใจผมมากเกินไปแล้วจริงๆ ผมว่าที่มันบอกว่ามันโง่เรื่องหัวใจ สงสัยจะจริงแหละครับ มันโคตรของโคตรโง่เลย ยังไม่รู้ความรู้สึกตัวเอง แต่ทีกระชากผมออกจากคนอื่นล่ะทำได้ ดีจริง ไอ้เด็กเวร


ไฟนอลนั้น ฉันตายมาเยือนแล้วครับทุกคน ใช่แล้วเข้าสู่ช่วงไฟนอลของภาคการเรียนที่ 1 ช่วงที่นักศึกษากำลังจะบ้าคลั่ง เหมือนกับผมตอนนี้ที่กำลังจะบ้ากับไอ้เด็กที่อยู่ตัวติดกันมาตลอด 4 เดือน

“ก็ทำไมพี่ต้องไปกอดคอกับพี่ภีมด้วยล่ะ”ผมกับมันยืนทะเลาะกันกลางตึกใหญ่ของคณะเลยครับ

“แล้วเพื่อนกันกอดคอกันไม่ได้หรือไง ?”ผมเท้าเอวถามมัน เอาวะวันนี้เป็นไงเป็นกัน กูจะยอมหักล้างกับมึงตรงนี้แหละ

“ก็ผมไม่ชอบ”มันบอกหน้าตานิ่งๆ

“ทำไมถึงไม่ชอบ”ผมถาม

“ก็แค่ไม่ชอบ”ให้ตายเถอะทอย ทำไมมึงถึงได้เข้าใจเรื่องนี้ยากนักวะ กูเหนื่อยแล้วนะ ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมานี่กูอยู่กับมึงตลอด รู้สึกดีกับมึง แต่เป็นมึงที่เข้าใจอะไรยากชิบหาย กูปวดหัวแล้วโว้ยยยยย ตายเป็นตายวันนี้

“งั้นก็อยู่อย่างนี้ต่อไปแล้วกัน”ผมบอกแล้วหันหลังจะเดินกลับออกไป


“แต่ผมชอบพี่”ประโยคเสียงดังฟังชัดดังลั่นกลางคณะ ทักสายตาจับจ้องมาที่ผมแล้วก็ทอย ซึ่งเหมือนจะหยุดเวลาที่อย่างไว้ตรงนั้น แล้วผมก็อยากจะหยุดมันไว้แบบนี้เหมือนกัน หัวใจผมกำลังพองโตกับคำคำนั้น มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สิ ก็แค่


   รู้สึกดี


“อะ...อะไรนะ”ผมเลิกคิ้วถามมัน

“ผมชอบพี่”มันบอกด้วยหน้าเดียวของมันอีกนั่นแหละ ก่อนจะเดินมาหาผม “พี่พลัส ผมยอมรับก็ได้ว่าหึง ผมไม่ชอบให้พี่ไปคุยเล่น กอดคอกับคนอื่น แล้วผมก็รู้ว่าตลอดเวลาผม กับพี่อยู่ในสถานะที่คลุมเครือมาตลอด ผมขอโทษ”มันพูดเหมือนรู้สึกผิด

“เฮ้ยจะขอโทษทำไม ?”ผมหัวเราะ ตอนนี้เหมือนทุกอย่างถูกสต๊าฟไว้หมดแล้วครับ


“พี่พลัส เป็นแฟนกันนะ”ผมเบิกตากว้างทันทีที่มันพูดคำนี้ออกมา ทั้งตกใจแล้วก็ดีใจ

“อะ...อะไรนะ !!!”ผมร้อง พร้อมกับเสียงฮือฮาดังลั่นคณะที่ทุกคนจ้องมา

“ผมจะได้บอกได้ไงว่าพี่เป็นแฟนผม คนอื่นจะได้ไม่ต้องมายุ่ง”มันพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ ผมล่ะอยากจะตบหน้ามัน ขอเป็นแฟนได้หน้านิ่งมาก

“ไหนยิ้มก่อน”ผมบอกมัน มันก็ยิ้มแบบฝืนๆ แล้วก็ไม่ใช่รอยยิ้มแบบที่มีให้กับผม “ยิ้มให้มันธรรมชาติสิ”ผมบอก

“แบบไหนอ่ะ ผมทำไม่เป็น”กูต้องสอนมึงทุกอย่างใช่ไหม ? ผมล่ะเหนื่อยใจ

“งั้นตกลง”ผมบอกกลับไป พอผมบอกนั่นไง อย่างที่ผมคิด ไอ้ทอยยิ้มกว้างแบบที่ยิ้มให้ผมวันนั้น ยิ้มแบบที่ผมชอบให้มันยิ้ม ไม่ต้องยิ้มบ่อยๆ แต่แค่ยิ้มให้ผมดูบ้างก็พอ

“จริงๆ นะครับ”ทอยร้องออกมาอย่างดีใจ

“อื้อ”ผมบอกแล้วหัวเราะกับท่าทางเหมือนเด็กได้ของเล่น

“เย่...ทุกคนครับ คนนี้แฟนผมนะ ใครห้ามยุ่งด้วย”โอยยย ตายๆ มันเล่นประกาศแบบนี้เลย ดังไปทั้งมหา’ลัยแน่ๆ งานนี้

“เฮ้ยจะบ้าหรอ”ผมบอกแล้วหัวเราะกับท่าทางของมัน ตอนนี้เด็กน้อยของผมไม่โง่เรื่องหัวใจอีกแล้วครับ แต่ต่อไปนี้ผมจะบอกว่า แฟนผมคนนี้โคตรขี้หึงเลยครับ

“พี่พลัส ผมเคยเห็นในทีวี เวลาผู้ชายของผู้หญิงเป็นแฟนแล้วตอบตกลง ผู้ชายหอมแก้มผู้หญิงทุกทีเลยอ่ะ”มันจับมือผมแล้วหันมาพูด

“เฮ้...”


ฟอดดดดดดด


   ไม่ทันแล้วครับ เล่นหอมแก้มผมอย่างรวดเร็ว ผมนี่อึ้งไปพร้อมกับทุกคนในคณะเลยครับ ไม่ได่มีแค่คณะผม แต่คณะอื่นที่มาเรียนที่คณะผมด้วย ให้ตายเถอะ ถึงจะโง่เรื่องหัวใจแค่ไหน แต่มันก็เร็วทุกครั้งจะตักตวงการการถึงเนื้อถึงตัวผม ไม่ว่าจะกอด จับแก้ม ลูบหัว หรือหอมแก้ม ก็มันเล่นแบบนี้ไง มันทำแบบนี้ ก็มันเล่นปั่นป่วนหัวใจผมตลอดผมถึงได้


รักมัน


END

Talk : เปิดเรื่องสั้นอีกเรื่อง เรื่องนี้เป็นซีรีส์ครับ เป็นซีรีส์สไตล์เด็กวิทยาฯ ฮ่าๆๆ ก็เพราะคนเขียนเรียนวิทยาฯ
จะทะยอยมาทีละเอกนะครับ หวังว่าทุกคนคงชอบ มีอะไรติชมกันได้
ยังไม่ได้ตรวจคำผิดนะ ... แต่งด้วยความอยากล้วนๆ
ถ้าชอบ แชร์ ก็ติด #นักวิทย์วุ่นรัก ด้วยนะครับ
ขอบคุณมากๆ ครับบบบบบบ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: BeautifulGirl ที่ 31-12-2015 13:29:24
เรเรื่องนี้น่ารักกมากกก  เราชอบอ่ะ :impress2:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 31-12-2015 21:54:53
พี่พลัสตั้ลล้ากกกกกก >< ทอยแกมึนไปนะจริงๆ -.-"
มาต่อไวๆนะค้าาาาาา
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 01-01-2016 00:55:25
น่ารักอ่ะ ฮาทอยอ่ะ มึนจริงๆ :hao3:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Kokyo ที่ 01-01-2016 02:50:55
น้องทอยคนซื่อออออออออออ งือออ น่ารัก
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 01-01-2016 09:30:51
น่ารักมากเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-01-2016 11:04:21
 :o8: :o8: :o8: :o8:
ทอยทั้งซึน มึน อึน แต่ก็ชอบอ่ะหอมพี่พลัสแถมยังประกาศให้รู้อีก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 01-01-2016 11:58:37
ทอยซึนไปอีก :hao7:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: lazyishappy ที่ 02-01-2016 10:10:09
น้องทอยพอเลิกซึนนี่จัดหนักจัดเต็มน้อ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 25-01-2016 23:25:56
ชีวะ กะ จะรัก


“ข้อสอบของอาจารย์ไม่มีอะไรมาก ข้อเขียนทั้งหมด แต่กรุณาเขียนให้มันอ่านง่ายๆ หน่อย ครูเป็นคนไม่อยากอ่านลายมือ “ควาย””อูย เจ็บไปสิครับคุณผู้ชม อาจารย์ประจำคลาสบอกข้อสอบให้พวกผมของการสอบปลายภาค ตอนแรกกะจะโอดครวญนะ แต่พออาจารย์บอกว่าไม่อยากอ่านลายมือควาย พวกผมนี่เงียบกันทั้งคลาสเลย การเรียนชีววิทยาปี 3 เป็นอะไรที่หนักหนาที่สุดในชีวิตแล้ว นอกจากตัวในภาคแล้ว ยังต้องสู้กับวิชาภาคอื่นที่แสนจะมหาโหดอย่างภาคเคมีอีก ตายไม่ตาย ก็เกือบตายแล้วล่ะครับ


“ไอ้พลานท์ ฟิสิโอ นี่มึงเก็บเอมะ”ไอ้จีนเพื่อนสาวในกลุ่มของผมทักขึ้น อย่าเพิ่งคิดว่าผมเป็นตุ๊ดนะครับ ผมเป็นผู้ชาแมนๆ คนหนึ่ง แต่คุณลองเข้ามาเรียนชีวะ ดูจะรู้ว่าผู้ชายหายากมากกกกก ก.ไก่ล้านตัว

“เอก็เหี้ยละ คะแนนมิดเทอมกูได้เกินครึ่งมานิดเดียว”ผมหันไปบอกเพื่อน พลานท์คือชื่อผมครับ พลานท์ หรือ Plant ที่แปลว่าพืช แต่ผมเสือกกระแดะเลือกเรียนทางด้านสัตววิทยา วิชาที่เพื่อนถามคือวิชาสรีรวิทยาของสัตว์ ผมขอไม่อธิบายรายละเอียด หากอยากรู้คุณไปถามอากู๋ เอาแล้วกันนะครับ

“กูว่ามึงได้เอแน่ๆ”เพื่อนผมอีกคนบอก
“เอ...จะทำไฟนอลได้ไหมน้า”ไอ้สัสกวนตีนละไอ้จีน จีนเป็นผู้หญิงลุยๆ ห้าวๆ หน้าขาวๆ ครับด้วยนิสัยคล้ายกัน แล้วก็ดิบๆ เหมือนกันเลยสนิทกัน รวมถึงไอ้แต้วอีกคน ทั้งกลุ่มผมที่สนิทก็มีแค่นี้แหละครับ แต่ความจริงก็คุยได้ทั้งเอก จะมีบ้าง บางคนที่ผมไม่ค่อยอยากคุย ไม่ต้องพูดถึงมันละกัน ปวดจิต
“กวนตีนละ”ผมด่าเพื่อนของผมอย่างไม่คิดมาก


   อย่าว่าแต่เรียนภาคอื่นแล้วตายเลยครับ ตั้งแต่ขึ้นปี 3 มา อย่าถามหาข้อสอบปรนัยจากอาจารย์ เขียนตอบล้วนๆ เขียนแบบแถๆ ไปด้วย ทุกครั้งที่สอบ ผมกับเพื่อนจะออกมามองหน้ากันแล้วยิ้มเหมือนคนบ้า แล้วก็ไม่มีใครพูดถึงข้อสอบเลยสักครั้ง


   นี่แหละพวกผม


   จะบ้าก็บ้าสุด จะเครียดก็เครียดสุดติ่ง แต่เวลาจริงจังก็เข้าโหมดดาร์คได้เหมือนกันครับ อ่ะๆ เห็นผมหน้าใสๆ แบบนี้นี่ผมโสดนะ ไม่มีใครคนใดมาเกี่ยวแขนสักที


   มันอ้างว้าง


   คือนี่อยู่มหาวิทยาลัยมาสามปีแล้วนะโว้ย ไม่มีใครแอบชอบกูบ้างหรือไงวะ กูล่ะเซงจิต แล้วเรื่องที่ดังลั่นคณะแล้วก็มหา’ลัยก็คือเรื่องสดๆ เมื่อเช้านั้นแหละครับ ผมเดินลงจากคลาสเช้าแล้วมาป๊ะกับไอ้น้องพลัสเอกคณิตศาสตร์แล้วก็น้องทอยเอกเคมี มันยืนทะเลาะอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ แต่ผมเข้าไปทันได้ยินประโยคเด็ดพอดี


“พี่พลัส...เป็นแฟนกับผมนะ”เสียงไอ้น้องทอยดังลั่นคณะ เสียงฮือฮาดังลั่น พร้อมกับเสียงหวีดร้องของสาวๆ ที่ทำท่าทางเขิน



   เดี๋ยวๆ เขาขอผู้ชายเป็นแฟน ไม่ได้ขอมึง
   จะเขินกันทำไม ผู้หญิงพวกนี่นิ



   ผมนึกแล้วก็ได้แต่อิจฉาในใจ ยุคสมัยนี้แล้วผมไม่ซีเรียสเรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกันหรอกครับ เพราะคนที่ผมชอบ ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คิดแล้วก็ถอนหายใจอย่างหมดแรง



   ผมแอบชอบเขามา 3 ปีตั้งแต่เข้าปี 1
   ผมแอบมองเขาทุกครั้งที่เดินสวนกัน แต่เราไม่เคยคุยกัน
   ผมแอบหวงเขาเวลาที่เขาคุยกับผู้หญิงคนอื่น
   ผมเจ็บที่เห็นเขามีแฟน
   ผม...ทำได้แค่นั้น




   รู้สึก แต่พูดอะไรไม่ได้



   ผมมองไอ้ทอยหอมแก้มแฟนหมาดๆ ของมันกลางคณะอย่างกล้าหาญแล้วยิ้มในใจ อย่างน้อยถ้าผมได้มีโอกาสผมคงจะได้บอกอะไรกับเขาบ้างก็แล้วกัน


   ผมกับแต้วแล้วก็จีนเดินไปหาอะไรกินกันที่โรงอาหาร ซึ่งแน่นขนัดมากในตอนนี้ กูอยากจะผายลมให้ดังที่สุดแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่อไล่ไอ้พวกคนเยอะๆ กลางโรงอาหารแต่จะติดที่ว่า


   ผมไม่กล้า



“เฮ้ยพลานท์ ซีๆ”เสียงจีนเรียกผม
“มึงจะเอาแค่ซีวิชาอาจารย์เขาหรอ”ไอ้แต้วแซว

“สัด มึงดู ซีเดินมา”จีนบอกทำให้ผมหันมอง ใช่จริงๆ ครับ ซี เด็กวิศวะฯ ที่ผมแอบชอบไม่รู้ว่าทำไมผมถึงชอบ แต่ผมชอบตั้งแต่รับน้องด้วยกันตั้งแต่เข้าปีหนึ่งใหม่ๆ แล้ว แล้วผมก็แอบมองเขามาตลอด ตั้งแต่ทำกิจกรรม เป็นเดือนคณะ จนมาถึงได้เป็นเดือนมหาวิทยาลัยปีผม  แต่ผมย้อนกลับมาดูตัวเองแล้ว


   ไม่มีแม่ง อะไรที่คู่ควรกับเขาสักอย่าง


   ซีสูง ผมเตี้ย ซีขาว ผมผิวไม่ออกขาว ซีหล่อ แต่ผมพอไปวัดไปวา ซีเรียนเก่ง แต่ผมพอให้มันผ่านๆ ไป คุณดูสิครับ ว่าผมจะไปเทียบอะไรกับเขา แม้แต่แฟนของซีแต่ละคนที่ผ่านมาก็มีดีกรีกันทุกคน ผมนี่แทบไม่กล้ามองหน้าเขาหรอกครับ ทำได้แค่ลอบมองจากด้านหลังเท่านั้น


“กูว่าจะไปวิศวะฯ อาสา”เสียงจีนดังขึ้นทำให้ผมกับแต้วหันไปมอง


   มึงปรึกษากูยัง ?


“หือ ?”ไอ้แต้วเลิกคิ้วเล็กที่เขียนมาอย่างดีโดยดินสอเขียนคิ้วยี่ห้อดังพร้อมกันน้ำ
“กูจะไปวิศวะฯ อาสา”จีนย้ำอีกครั้ง ผมกินข้าวที่เคี้ยวลงคอ
“มึงจะไปกับใคร”ผมถามพร้อมกับตักข้าวเข้าปาก ก่อนจะกลืนแล้วดื่มน้ำตาม
“กูจะไปกับมึง”จีนบอก ผมแทบจะสำลักน้ำที่กินเข้าไป เลยต้องรีบกลืน
“มึงถามกูหรือยัง ?”ผมถามเสียงสูง จีนยักไหล่ อย่างกวนๆ ตามประสาของมัน


   ผมตบผู้หญิงจะมีคนด่าผมไหมครับ


“ไม่ถาม แต่กูยังคับ”เพื่อนสาวจอมเจ้ากี้เจ้าการ แม่งมันเป็นคนทำอะไรไม่เคยจะปรึกษาผมสักคำ ทั้งสองคนรู้ดีครับ ว่าผมแอบชอบซีอยู่ แต่ผมไม่ต้องการจะบอกให้เขารู้ ทุกครั้งที่ซีมีแฟน ผมก็จะไปนั่งปรับทุกข์กับทั้งคู่อยู่เสมอ แม้ผมจะรู้ดีว่า ซีเปลี่ยนแฟนบ่อยแค่ไหน แค่ผมก็เศร้าทุกครั้ง



   ก็คนมันชอบไปแล้ว
   ถอนใจตอนนี้ก็ไม่ทัน



“กูว่านะ ซีแม่งเจ้าชู้ เลิกชอบเหอะว่ะ”แต้วบอกกับผม ผมได้แต่ถอนหายใจ ผมว่ามันก็จริง แต่แปลกนะ ถึงแม้ซีจะเปลี่ยนแฟนบ่อยแค่ไหน แต่ทุกคนก็อยากเข้าหาเขา เหมือนกับผมตอนนี้ไง
“ไม่ลองไม่รู้ รีบแดก จะพาไปตึกวิศวะฯ”จีนบอก แล้วรีบกิน ก่อนจะเจ้ากี้เจ้าการให้พวกผมรีบกินตามมันอีก ผมล่ะยอมใจเพื่อนคนนี้ของผมจริงๆ



ณ ใต้ตึกวิศวะฯ หน้าชมรม วิศวะฯ อาสา

“เอ่อ ซีไปค่ายด้วยไหมคะ ?”จีนถามเสียงหวาน คนรับสมัครเงยหน้ามามองแล้วยิ้มก่อนจะพยักหน้า
“ไปครับ”
“โป๊ะเช๊ะ งั้น 3 คนค่ะ”จีนสมัครให้พวกผมโดยไม่ถามสุขภาพสักคำ ผมได้แต่กอดอกยินดูมันอย่างเซ็ง พร้อมกับส่ายหน้าพร้อมกับแต้ว
“คณะอะไรครับ ?”น้องปีสองที่นั่งรับสมัครถาม
“วิทยาฯ ค่ะ หน้าตาดีมากๆ”จีนบอก พร้อมกับโฆษณาตัวเอง
“เอ่อ...น้องครับ ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วย มันไม่ค่อยปกติ”ผมบอกกับน้องเขาแล้วยิ้มให้แห้งๆ น้องเขาก็หัวเราะเบาๆ แล้วก็ก้มหน้าเขียนอะไรไม่รู้อยู่
“ชั้นปีไหนครับพี่”น้องเขาเงยหน้ามาถามอีกครั้ง
“ปีสาม ห้ามจีบ เดี๋ยวจะโดนถีบไม่รู้ตัว”จีนพูดพร้อมกับกอดอกทันทีที่ไอ้น้องนั่นส่งสายตาหวานมาให้ ผมนี่แทบหลุดขำ ไอ้นี่มันก็แมนจริงๆ
“ค่าสมัคร 300 บาทครับ นัดประชุมค่ายหลังสอบไฟนอลเสร็จอาทิตย์หน้านะครับ”น้องเขาบอกแล้วก็เอาใบเสร็จให้พวกผม ผมรับมาพร้อมกับจ่ายตังค์กันไปคนละ 300 นี่ใช่เรื่องของกูไหมเนี่ย ที่ต้องมาเสียเงินไปค่ายกับมึง ผมไม่รู้ว่าไอ้จีนมันนึกคึกอะไรอยากไปออกค่ายอาสาหรอกครับ แต่ไหนๆ ก็ปิดเทอมไม่มีอะไรทำ กลับบ้านก็เปลืองข้าวที่บ้าน ไปออกงานอาสาบ้างดีกว่า เผื่อจะมีเรื่องที่มีประโยชน์ให้ทำบ้าง



“เฮ้ยไอ้ขัน พี่เหมงบอกให้ไปช่วยเขายกของหน่อย เดี๋ยวตรงนี้กูดูเอง”ผมเงยหน้าตามเสียง


ผ่าง ผ่าง ผ่างงงงงงงงงงง



ซีครับ ซีตัวเป็นๆ ตัวจริงเสียงจริง เดอะว้อยซ์มาก เดินเข้ามา ใจผมนี่กระตุก พร้อมกับเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกร้อนๆ ขึ้นหน้า อากาศใต้ตึกนี้ก็ไม่ได้ร้อนมากนะ แต่ทำไมผมร้อนวะ ? แต่แปลก ที่เหงื่อไม่ออก


“เอ้า เมื่อกี้เฮียแกก็เพิ่งให้ผมไปยกลังน้ำ นี่ยกอะไรอีก”น้องขันหันหน้าไปมอง
“ไม่รู้...ไปๆ เถอะน่า เดี๋ยวพี่แกโมโหนะเว้ย”ซีบอกแล้วเร่งน้อง ไอ้น้องขันก็ถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าแล้วลุกขึ้นไป คนไล่ก็นั่งลงแทนที่
“เอ่อ...สมัครยังครับ ?”ซีเลิกคิ้วถาม  พวกผมก็สะดุ้งกันไปตามๆ กัน
“เรียบร้อยล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”แต้วบอกแล้วยิ้มให้ชายตรงหน้าแบบหวานๆ ส่วนผมนะหรอครับ ตกหลุมอากาศยังหาทางออกไม่เจอเลยครับ ตอนนี้ผมเข้าสู่ความว่างเปล่าทางกล่องเสียงไปเรียบร้อย ไม่รู้ว่าอักเสบ หรือหาเส้นเสียงไม่เจอ
“แล้วมีอะไรให้ช่วยอีกไหมครับ ?”เสียงถามแข็งๆ ห้วนๆ แม้จะลงท้ายประโยคเพราะขนาดไหนแต่ก็ยังฟังห้วนอยู่ดี แต่ห้วนสำหรับคนอื่น แต่กับผม มันน่าฟังดีนะ
“ช่วยดูแลหัวใจหน่อยได้ไหมคะ ?”จีนเล่นทันที ผมสองคนหันหน้าไปมอง


ฟึบ !



“ไอ้จีน !”แต้วปรามเพื่อน
“คนไหนดีละครับ”เหมือนว่าลายเจ้าชู้เริ่มออก ผมมองใบหน้าขาวตี๋ คิ้วเข้ม จมูกโด่งนั้นอย่างหลงใหล คนอะไรหล่อชะมัด แล้วด้วยคารมคมคายแล้ว ไม่แปลกเลยที่ซีจะมีคนอยู่ข้างกายตลอด
“ทุกคนเลยได้ไหมคะ ?”จีนยังต่อคารมกับคนตรงหน้าสุดหล่อไม่จบ ผมก็ได้แต่ยืนดู ไม่คิดจะแยกมันออกมาหน่อยหรอไอ้พลานท์ !!!
“เอ่อ...คงไม่ไหวมั้งครับ แต่ถ้าสำหรับบางคน ผมดูแลเต็มที่เลย”เสี้ยวหนึ่งของสายตาที่ผมรู้สึก เหมือนซีจะหล่อมองมาทางผม แต่ก็ส่งสายตาหวานไปให้จีน พร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าค่ะ เรากลับกันเถอะ”จีนหุบยิ้มทันที แล้วหันกลับมาชวนพวกผมกลับ ผมก็เดินตามมันไป ก่อนจะเดินออกมา ผมมองเสี้ยวหน้าน้อยๆ ของเขาอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรงที่ผมได้ยินเสียงของซีแบบชัดๆ ไม่ได้ผ่านไมโครโฟน มันยังตรึงอยู่ในกระดูกค้อน ทั่ง โกลน ของผมอยู่เลย



“เจ้าชู้ !”จีนสบถ
“แล้วจะไปเล่นกับเขาทำไมล่ะ”แต้วเปรยแล้วหัวเราะ
“ไม่ชอบว่ะ”จีนว่า
“ให้ไอ้พลานท์ชอบคนเดียวพอ”แต้วบอก ซึ่งผมยังหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เสียงหายไปเลยหรือไง วู้ว”จีนบ่นพร้อมกับทำแก้มป่อง
“พอๆ ไปเรียนกันเถอะ”ผมบอกแล้วลากเพื่อนทั้งสองคนออกไปทันที


   






พวกผมผ่านสัปดาห์สอบมหาประลัยกันไปด้วยร่างที่ว่าแทบพัง เขี้ยวแทบลากดิน มันเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนน้อยมากๆ  ผมเกือบจะไปสอบไม่ทันด้วย ดีที่แต้วโทรฯ มาตาม ช่วงนี้หน้าผมอย่าให้พูดถึง โทรมมากถึงมากที่สุด ที่หน้าตาพอไปวัดไปวา ตอนนี้หน้าสัตว์เลื้อยคลานยังดูดีกว่าผมเลยครับ


ตอนนี้ผมนั่งอยู่ใต้ตึกใหญ่คณะวิศวะฯ เพื่อรอประชุมเรื่องที่จะไปค่ายวิศวะฯ อาสาที่ไอ้จีนเจ้ากี้เจ้าการให้ผมมาสมัครเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้ผมนั่งง่วง นั่งหาวจะหลับอยู่รอมร่อครับ คือเมื่อคืนผมแทบจะอ่านหนังสือโต้รุ่ง เพราะเครียดกับวิชาสัตว์มีกระดูกสันหลังอย่างมาก เพราะอาจารย์ออกข้อสอบที่


อาจารย์ไม่เคยสอน !




   พอสอบเสร็จก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ ยังดีที่ได้ไหล่ของแต้วช่วยรับไว้ พร้อมกับลูบหัวอย่างเอ็นดู ผมง่วงผมก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ จะอ้อนเหมือนเด็ก เริ่มงอแง

“งือ...กลับก่อนได้ไหมอ่ะ ฝากประชุมแทนที”ผมงัวเงียบอกพร้อมกับงอแง
“อย่างอแงน่า แปปเดียวเดี๋ยวก็เสร็จ”จีนหันมาดุผม ผมเลยได้แต่เบะปากไปอย่างไม่พอใจ ไม่มีใครเข้าใจผมเลย


   ผมอยากนอนนนนนนนน


“ก็กูอยากนอนอ่า ง่วง งือออ”ผมงอแงไม่เลิก



“ถ้าไม่อยู่ประชุม ก็ถูกตัดรายชื่อออกนะ”เสียงแขกผู้มาใหม่พูดขึ้นพร้อมกับร่างสูงนั่งลงข้างๆ ผม ผมหันไปมองพร้อมกับเบิกตากว้างทันที


   ซีครับ ซีตัวเป็นๆ หย่อนก้นลงนั่งข้างๆ ผม แล้วหันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มทะเล้นตามสไตล์เพลย์บอย ผมได้แต่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าเริ่มร้อน ซีเห็นหน้าผมก็ขมวดคิ้วแล้วยิ้ม


“จะไม่สบายหรอ”ซีถามผม



   แปลก มันแปลกมากจริงๆ


   มันแปลกที่คนที่ผมแอบชอบมาตลอด 3 ปี ตอนนี้เขาจะมาคุยกับผมอย่างสนิทสนม ผมได้แต่ตบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วยังอึ้งอยู่ ทำไมไอ้เพื่อนสองคนนั้นไม่พูดห่าเหวอะไรเลยวะ


“เอ้า ตบอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็เจ็บหรอก”พูดจบเขาก็หัวเราะ ก็ไม่ได้ฝันนี่หว่า แสดงว่ายังตื่นอยู่
“อ่อ...”ผมออกเสียงแล้วลูบแก้มตัวเองเบาๆ
“ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ ?”เขาเรียกสรรพนามแทนตัวผมอย่างสนิทสนม ผมเลยชี้หน้าตัวเองแล้วเลิกคิ้ว
“เราหรอ ?”ผมถาม ซีพยักหน้า
“ก็ถามมึงสิ เห็นกูมองคนอื่นอยู่หรือไง ?”ซีพูดพร้อมกับหัวเราะ
“อ่อ เราพลานท์”ผมบอกชื่อตัวเองไป เป็นความรู้สึกที่มันอธิบายไม่ถูกจริงๆ ครับ คุณลองคิดดูว่า คุณชอบคนๆ หนึ่งมากๆ แล้ววันหนึ่งเขามานั่งคุยกับเราแบบใกล้ชิด เราได้เห็นหน้าที่เราหลงใหลเขามานานแบบใกล้ๆ


   มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากอย่างบอกไม่ถูก


“พลานท์ ?”ซีเลิกคิ้วพร้อมกับขมวดเหมือนสงสัยในชื่อผม
“อื้อ...พลานท์ที่แปลว่าพืช อ่ะ”ผมบอก ซีพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วสองสาวล่ะครับ ?”ซีหันไปถาม แหม่กับกูแทน มึง พอเรียกสาวๆ นี่เรียกซะเพราะเชียวนะ


   เชอะ


“เราแต้ว ส่วนไอ้นี่จีน”แต้วบอกและแนะนำจีนที่นั่งมองไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจพวกเราอยู่เลย เพราะข้างหน้าเริ่มมีประธานค่ายเข้ามาแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”ซีบอก “ยินดีที่ได้รู้จักเว้ย”ซีหันมาพูดกับผมแล้วยิ้ม ก่อนที่จะหันไปมองข้างหน้า ผมมองเสี้ยวหน้าของเขาอย่างหลงใหล ผมนั่งใกล้เขา ผมได้กลิ่นกายของเขา ทำไมไม่รู้มันติดจมูกของผมมาก จากที่ง่วงๆ ผมตื่นเลยครับ




“เอาล่ะครับ ก็ได้รู้กลุ่มแล้วเนอะ เราจะทำงานอาสากันเป็นทีมนะครับ งานมีเยอะ เราเลยต้องแบ่งกันไปทำเป็นกลุ่มตามที่แบ่งนะครับ”


   นั่นแหละครับ ตามนั้นเลย พวกพี่ค่ายปี 4 จัดแบ่งกลุ่มกันตั้งแต่วันก่อนไปเลย เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา แล้วที่แจ็คพอตกว่านั้นคือ ผมอยู่กลุ่มเดียวกับซี


   ส่วนจีนกับแต้ว ก็ระหกระเหิน ไปอยู่กันคนละกลุ่มแล้วครับ สรุปว่าพวกผม แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง


   ก็...ตามนั้น


“ไงพลานท์ อยู่กลุ่มเดียวกันเลยว่ะ”ซีทักผมพร้อมกับยิ้ม ผมเงยหน้ามองหน้าซีก่อนจะยิ้มแบบเขินๆ ทำไมสูงจังวะ ผมว่าผมก็สูงอยู่นะ 179 แต่ทำไมซีสูงแบบนี้
“อ่อ...อ่ะ อื้อ”ผมพยักหน้าแล้วยิ้ม เริ่มจะไม่ค่อยเกร็งเท่าไรแล้วครับ ผมรู้สึกว่าซีเป็นคนเข้าถึงง่ายกว่าที่คิดอีก
“โชคดี เนอะ”ซีว่าแล้วมองผมด้วยหางตา ผมพยักหน้า
“อือ”ผมตอบได้แค่นั้นจริงๆ
“พูดเป็นแค่ อือ อืม อื้อหรือไงวะ”ซีแซวผมแล้วหัวเราะ
“ก็มันไม่รู้จะพูดอะไรนี่”ผมบอก ก็ผมเริ่มต้นคุยไม่ถูกจริงๆ นี่ครับ ผมเขินอยู่
“งั้นกูไปก่อนนะ เจอกันวันไปค่าย”ซีบอกพร้อมกับยกมือให้ผม
“อื้อ เจอกัน”ผมบอกกลับแล้วยิ้มให้ ตอนนี้รุ่นพี่เขาปล่อยแล้วครับ พวกผมสามคนก็แยกย้ายกันกลับหอ ซึ่งตอนนี้ผมง่วงจนตาแทบจะปิดแล้ว ระหว่างที่เดินกลับ ไอ้สองคนนั่นก็ถามผมไม่หยุด ผมก็ไม่รู้จะตอบมันยังไง แล้วก็มาด่าผม ทำไมไม่ให้ผมบุก


   บุกห่าอะไร กูไม่ใช่ฉลาม





   วันไปค่าย


   ผมตื่นมาแต่เช้าเพื่อมารอพี่ๆ เขา เพราะว่าการเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายของเราคือ รถไฟ เพราะว่าที่ที่พวกผมจะไปคือโรงเรียนกับชุมชนที่อยู่ในอำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี แต่ว่าจะห่างไกลนิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีความสะดวกสบายมากเท่าไร พี่เขาเลยจะไปที่นี่กัน


   ระหว่างรอกันไป รอกันมา พี่ๆ เขาก็ให้ทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันได้ ซึ่งจะมีตั้งแต่น้องปี 1 ปี 2 แล้วก็ไล่ไปจน ปี 4 ก็มี มาจากหลายคณะ ซึ่งอาจจะยังไม่สนิทสนมกันเลยต้องให้ทำกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์กันเล็กน้อย

“เอาล่ะครับ เกมส์ต่อไป เกมส์ส่งลูกโป่ง...ฮิ้ววว”เสียงเฮลั่นสถานีรถไฟ พร้อมกับเสียงกลองดึงขึ้น พี่เขาก็อธิบายวิธีการเล่น ก็จะให้ลำเลียงลูกโป่ง แต่ไม่ได้ให้ใช้มือ แต่ให้สองคนช่วยกันลำเลียงโดยใช่ปาก


   ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิด ใช่ปาก
   แล้วลูกโป่งไม่ใช่ลูกใหญ่นะ ลูกโป่งขนาด 3 นิ้ว เล็กกว่าหน้าผมอีก เอากับเขาสิ แล้วพี่เขาก็ให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกไป


“สีส้ม ส่งใครดีครับ”พี่เขาขี้มาทางกลุ่มผม
“พลานท์ ไปเหอะ”ซีว่าแล้วจับแขนผมลุกขึ้นไปทันที เฮ้ย ! เดี๋ยว ยังไม่ได้ตั้งตัว ถามความสมัครใจกูหรือยัง ไม่มีพูดห่าเหวอะไรเลย ซีก็ลากผมออกมายืนข้างหน้าแล้วครับ
“โอ๊ะ โอ๋ น้องซีสุดหล่อเดือนมหา’ลัย ปีสาม ของเรานี่เอง ออกมากับใครล่ะครับ...น้อง”พี่เขาส่งโทรโข่งให้ผม
“พลานท์ วิทยาฯ ปี 3 ครับ”ผมแนะนำตัวพร้อมกับเสียงปรบมือดังขึ้น
“เอาล่ะครับ เราจะเริ่มเกมส์กันเลยนะครับ สำหรับทีมชนะ จะได้...ความภูมิใจให้กับกลุ่มครับ”พี่เขาบอก
“โห่”เสียงโห่ร้องดังขึ้น
“เอาล่ะครับๆ ห้า...สี่...สาม...สอง...เริ่มได้”พาสัญญาณเริ่มปุ๊บซีก็หยิบลูกโป่งขึ้นมาแล้วจับหน้าผมให้ไปชนกับลูกโป่ง


   ให้ตายเถอะ หน้าผมใกล้กับเขามาก


   ผมมองตาทั้งสองข้างของซีผ่านลูกโป่งลูกเล็กที่กั้นระหว่างเราสองคนอย่างตะลึง ทำไมเขาถึงดึงดูดผมได้ขนาดนี้ แต่ผมก็ต้องเล่นเกมส์แข่งกับเขาไปด้วย


   ลูกแรกผ่านไปด้วยใจที่เต้นโครมคราม
   .
   ลูกที่สองผ่านไปด้วยขาที่สั่นระรัว
   .
   ลูกที่สามผ่านไปด้วยมือที่สั่นเทา
   .
   ผมอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้
   .
   ลูกที่สี่...เพราะผมประคองไม่ดี พร้อมกับแรงผลักจากหน้าของซี ลูกโป่งลูกน้อยจึงหลุดไป หน้าผมกับซีจึงชนกันและส่วนที่ชนกันไม่ใช่จมูก แต่เป็น


   จุ๊บ !

   ปาก



   ผมเบิกตากว้างทันที และรีบยกมือปิดปากตัวเอง ผมมองหน้าซีที่มองหน้าผมเช่นกัน ก่อนที่เขาจะยิ้ม แล้วเกาหัว ผมรีบหันหน้าหนีทันที เพราะว่าเขิน อาย และหน้าอกแทบระเบิด

“ฮิ้วววว”เสียงโห่ร้องแซวมาจากคนที่นั่งอยู่
“อ่าว สีส้มเกิดเหตุนิดหน่อยนะครับ ทำไมล่ะครับ ลูกโป่งมันไม่หวานหรอ ต้องมาชิมปากกัน”ไอ้พี่ห่านี่ก็แซวจังเลย ไม่ไหวแล้วครับ ผมยืนอยู่ตรงนี้ผมต้องเป็นลมแน่ๆ แต่ก็วิ่งออกไปไหนไม่ได้
“มันเป็นอุบัติเหตุนะครับ”เสียงซีบอกแล้วมองหน้าของผม โอ้ย อย่ามองได้ไหม กูเขิน ไอ้นี่ก็จะจ้องแล้วยิ้มทำไมนักหนา ห๊ะ ! เดี๋ยวพ่อต่อยคว่ำเลย


   แล้วเกมส์ก็ดำเนินต่อไป โดยกลุ่มผมแพ้เพราะว่าผมมัวแต่ยืนนิ่งอยู่ ผมเล่นต่อไม่ได้แล้วครับ มันทำอะไรไม่ถูกสักอย่างตอนอยู่ตรงนั้น ระหว่างทางที่เดินกลับมานั่งไอ้คนระหว่างทางก็แซวจัง กูเตะทิ้งแม่งเลย พอนั่งลงปุ๊บ ซีก็หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มอีกครั้ง ผมจ้องหน้าเขาอยู่สักครู่

“ย่ะ...ยิ้มอะไร ?”ผมถามเสียงขัดๆ
“น่ารักดี”ซีบอกกับผม ผมนี่น่าแดง


.
.
่ต่อด้านล่างครับ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : คณิตจิตป่วน up 31/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 25-01-2016 23:31:14
ต่อ
.
.



“อะไร ?”ผมถามอีกครั้ง ซียักไหล่ไม่ตอบ แล้วยิ้มอยู่คนเดียว “มะ...เมื่อกี้...”ผมจะเรียกซี
“เฮ้ย...ขึ้นรถไฟแล้ว ไปกันเถอะ”ซีบอกแล้วจับมือผมลากไปอีกแล้ว ไอ้ซีนี่มึงชอบลากกูจังเลย รู้ว่ากูแรงน้อยสินะ บนรถไฟพี่เขาก็จัดให้นั่งเป็นกลุ่มครับ ทำให้ผมยังไม่ได้คุยกับแต้วแล้วก็จีนสักที



   ฮือ...อกไอ้พลานท์จะแตก





   ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงสถานีรถไฟเพชรบุรีแล้วครับ แล้วทางที่ผมจะไปถึงโรงเรียนต่อนั้นก็คือ

   รถสองแถว

   รถที่ทางพี่ๆ เขาเช่ามาเป็นรถโดยสารที่มีที่นั่งยาวด้านหลังเป็น 2 แถว คันหนึ่งบรรจุแบบแน่นๆ ก็ได้ประมาณ 30 กว่าคน ทำให้ค่ายนี้ใช้ประมาณ 3 คันก็น่าจะพอดีกับเด็กค่ายทั้งหมด


   ต่อเวลาเดินทางไปที่โรงเรียนอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ทางที่ผ่านมาก็เป็นทางที่ไม่ค่อยจะสะดวกสบายมากเท่าไร แต่ก็ทนได้อยู่ครับ ไม่ถึงกับลำบากอะไรมากเท่าไร แต่ที่หนักหนาคือพอถึงที่พักแล้วแยกย้ายเก็บของ ก็ต้องไปทำงานเลยนี่สิ


   เดี๋ยวๆ ให้กูพักบ้างได้ไหมล่ะ


กลุ่มผมได้รับมอบหมายให้ทำงานที่เบสิคที่สุดของการมาค่ายอาสาครับ นั่นก็คือ

ทาสีตึกเรียนใหม่

ผมนี่แทบจะเอาหน้าไปล้มทับถังสีแล้วก็ทาบไปกับกำแพง 



   ก็ซีน่ะสิเล่นยืนอยู่ใกล้ผมตลอด แล้วตลอดเวลาที่เขาอยู่ใกล้ไอ้เหตุการณ์ปากชนปากก็ว้าบเข้ามาในหัวแบบห้ามไม่อยู่ เขาว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าวนี่ของจริง ผมไม่สามารถจิตตัวเองให้ไม่คิดอะไรได้เลยครับ มือไม้สั่นไปหมด ผมชำเลืองมองร่างสูงของคนข้างๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เม็ดเหงื่อเล็กๆ ไหลออกมาตามใบหน้าหล่อเหลานั้น แต่มันก็ยังมีเสน่ห์ ใบหน้าขาวใส ผมสีน้ำตาลเข้มๆ ที่ย้อมตามแฟชั่นเข้ากับสีผิว คิ้วที่หนา ริมฝีผากเข้ารูปหยักสีชมพูรับกับสันจมูกที่โด่ง อะไรๆ บนใบหน้าของซีมันเข้ากันไปหมด จนผมหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และผมก็ไม่คิดไม่ฝันว่าผมจะได้มาอยู่ใกล้กับเขามากขนาดนี้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ผมลอบมองเขาข้างเดียวมาตลอด


   ซียกแขนขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อของตัวเอง ผมจึงเช็ดมือเล็กน้อย มือผมไม่ได้เลอะอะไรมากมาย ก่อนจะล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงของตัวเองออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปหา เพื่อจะยื่นให้ซี

“พี่ซีคะ...เหงื่อไหล เช็ดหน่อยไหมคะ ?”น้องผู้หญิงหน้าตาน่ารักกลุ่มผมเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซีหันไปมองหน้าน้องเขาแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณครับ แต่มือพี่เลอะ มะ...”ผมกำลังจะเดินกลับเพื่อไปทำงานของตัวเอง


   ผมลืมไปเลย มีคนชอบซีตั้งเยอะแยะ
   ซีเป็นที่รู้จักมากมาย ซียืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ
   แต่ผมเป็นแค่เทียนดวงเล็กๆ ซีจะเห็นผมได้ยังไง
   แต่ผมก็มีความสุขนะ ที่ได้แอบมองอยู่ตรงนี้


“พลานท์ !!!”เสียงซีเรียกผมทำให้ผมเสียงดัง
“อะ...อะไร ?”ผมหันมาเลิกคิ้ว ซียิ้มให้ผม
“รับผ้าเช็ดหน้าน้องเขา แล้วเช็ดเหงื่อให้หน่อยดิ”ซีบอกกับผม ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะชี้หน้าตัวเอง
“กู ?”ผมย้ำ ในเมื่อซีแทนตัวเองว่ากูได้ ผมก็พูดได้ครับ
“เออ มึงแหละ”ซีบอกแล้วเร่งผม ผมก็พยักหน้า
“แต่หนูเช็ด หะ...”
“ไม่เป็นไรครับ น้องเป็นผู้หญิงจะดูไม่ดีเนอะ”ซีบอกน้องเขาเสียงใจเย็น ทำให้น้องผู้หญิงคนนั้นยิ้มแห้งๆ ผมเดินเข้าไปรับผ้าเช็ดหน้า
“อ๊ะ...”เสียงซีร้องขึ้นมา
“อะไรอีก ?”ผมเลิกคิ้ว
“เมื่อกี้กูเห็นมึงหยิบผ้าเช็ดหน้าของเหมือนกัน ใช้ของมึงดีกว่า”ซีบอก ไอ้นี่ก็ตาไว้จริงๆ พ่อคุณ ผมหันไปมองหน้าน้องผู้หญิงที่ตอนนี้ถอดสีไปแล้ว
“แต่น้อง...”
“เถอะน่า ใช้ของมึงก็ของมึงดิ”ซีเร่ง
“เออๆ”ผมล้วงมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ว่าจะเป็นหมันไปแล้วขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเอื้อมไปเช็ดเหงื่อให้เขาแบบมือสั่นๆ ก็ซีเล่นจ้องหน้าผมแล้วยิ้มมุมปากอยู่อ่ะดิครับ ผมก็ทำอะไรไม่ถูก
“จะจ้องอะไรเนี่ย”ผมบอกแล้วถอนหายใจ
“เอ้า ก็จะให้หันไปทางอื่นหรือไง เหงื่อมันออกด้านนี้อ่ะ ก็ต้องเช็ดด้านนี้ดิ”ซีบอกแล้วจ้องหน้าผมแล้วยิ้มอีกครั้ง ดูท่าเขาจะมีความสุขมากๆ ครับ
“เอ่อ...งั้นหนูขอตัวนะคะ”น้องคนนั้นบอกแล้วเดินออกไปทันที ซีไม่สนใจแต่จ้องหน้าผมแบบไม่วางสายตา ผมก็รีบๆ เช็ดแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้ายัดใส่กระเป๋า
“เสร็จละ กูไปทำงานต่อละ”ผมบอกแล้วเดินออกไป ทันที
“ขอบคุณครับ”ซีตะโกนตามหลังผมแล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะตามมาเบาๆ



   คนบ้า ทำให้คนหัวใจวายตายมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ




   หลังจากเสร็จงานอาสาทั้งวัน และทำภารกิจส่วนตัวทานอาหารเย็นอะไรเสร็จเรียบร้อย ก็มาถึงบรรยากาศกิจกรรมสนุกสนานตอนกลางคืนครับ พวกผมทั้งหมดมานั่งล้อมวงอยู่ที่สนามบอลของโรงเรียนที่มาทำงาน และตรงกลางจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น เพราะที่นี่อยู่กลางหุบเขาอากาศค่อนข้างเย็น



   ตอนนี้เป็นบรรยากาศการเล่นดนตรีสด เสียงกีตาร์และเสียงร้องท่ามกลางลมหนาวครับ มันทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ไม่มีกลุ่มแล้วครับ ใครอยากนั่งตรงไหนก็นั่ง ผมเลยเลือกที่จะนั่งกับเพื่อนของผมเพราะคุ้นเคยมากกว่า


   ผมนั่งฟังดนตรีไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาผมเลยหันไปบอกเพื่อนก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ ผมไม่ลืมที่จะเปิดไฟฉายนำทางไปด้วย ผมเป็นพวกไม่ค่อยกลัวอะไรครับ ผมเลยเดินมาคนเดียวได้ ไม่เหมือนกันเพื่อนสาวสองคนนั่น กลัวอะไรเยอะแยะไปหมด ก็อย่างว่าผู้หญิงนี่เนอะ ผมเดินจนจะเลี้ยวเข้าห้องน้ำซึ่งเป็นทางที่มืด ผมก็เดินอย่างระวัง


“แพรขอโทษซี เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอ ?”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดึงขึ้นมาทำให้ผมหยุดเท้าโดยอัตโนมัติ แล้วยืนอยู่เงียบๆ ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นซีกับแพร ที่เป็นแฟนคนล่าสุด ถึงว่าผมเห็นซีเดินออกมาหน้าตาเคร่งเครียดจากบรรยากาศตรงนั้น

“มันจบแล้วแพร เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ”เสียงของซีดูรำคาญ ผมรู้สึกได้
“ทำไมล่ะซี เรารักกันนะ แพรรักซีมากด้วย”หญิงสาวร้องอ้อนวอน ผมยืนฟังเงียบๆ จนลืมว่าปวดฉี่ ผมกะว่าจะเดินออกจากที่ตรงนั้นเพราะรู้สึกว่าผมไม่เกี่ยว รอจนกว่าสองคนจะเคลียร์กันเสร็จแล้วค่อยมาเข้า หรือไม่ถ้าทนไม่ไหว ก็เดินไกลหน่อยไปเขาด้านหลังโรงเรียน
“แค่เคยแพร”เสียงของซีเหมือนตัดเยื่อใย ผมจะวกตัวกลับเพราะรู้สึกว่าผมก้าวก่ายมากเกินไปแล้ว แต่พลันได้ยินเสียงชื่อตัวเองขึ้นมาก่อน
“หรือเป็นเพราะพลานท์ เด็กวิทยาฯ นั่น”แพรถามเสียงดัง เท้าของผมหยุดชะงัก
“พลานท์มันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะแพร อย่างี่เง่าน่า”ซีบอกแล้วถอนหายใจอย่างรำคาญ
“ก็วันนี้แพรเห็นซีจูบกับพลานท์ด้วย ไหนน้องปีสองยังบอกว่าซีให้พลานท์เช็ดเหงื่อให้ มันจะมากกว่าเพื่อนร่วมมหา’ลัยแล้วนะ”แพรพูดเสียงดังและแหลมเหมือนสาวปรี๊ดแตก เล่นเอาผมสะดุ้งไปด้วย
“แพร ! ที่ซีจูบพลานท์เพราะมันเกิดอุบัติเหตุนะ แล้วก็ที่ให้มันเช็ดเหงื่อให้เพราะว่าถ้าน้องผู้หญิงเช็ดให้แล้วมันจะดูไม่ดี แพรหัดมีเหตุผลบ้างสิ แบบนี้ไงซีถึงเบื่อแพร”ซีบอกเสียงดังกลับ
“แต่แพรไม่ชอบ หรือซีชอบพลานท์”
“นั่นมันผู้ชายนะแพร !”



   นั่นมันผู้ชายนะแพร

   นั่นมันผู้ชายนะ
   
   นั่นมันผู้ชาย

   ผู้ชาย

   

   เสียงของซีดังเข้ามาในโสตประสารทของผม ใช่ ผมเป็นผู้ชาย และซีก็เป็นผู้ชาย ผมเป็นผู้ชายที่ชอบซี ชอบมากจนถึงขึ้นหวั่นไหวและคิดไปว่าซีก็รู้สึกเหมือนผม แต่ผมลืมคิดไปว่า ซีเป็นผู้ชาย ที่ไม่มีวันหันมามองผู้ชายแบบผม ผมเคยบอกแล้วว่าซีคือนักดนตรีในแสงสปอร์ตไลท์ ท่ามกลางผู้คน ไม่ว่ายังไงทุกคนก็มองเห็นซี แต่ผมเป็นเพียงเทียนแท่งเล็กๆ คนจะมองเห็นแค่วูบหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ดับไปตามแรงที่มี แล้วผมคิดอะไรอยู่จะให้ซีหันมาสนใจ ซึ่งมัน



   เป็นไปไม่ได้




   ผมรู้สึกว่าขาตัวเองก้าวไม่ออกตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมถึงหมดแรงแบบนี้ แต่ผมต้องเข้มแข็ง ผมเป็นผู้ชาย เจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอก เดี๋ยวกลับไปผมก็ลืมแล้ว สู้กับวันข้างหน้าดีกว่าไอ้พลานท์ จังหวะที่ผมจะหันตัวกลับแต่เท้าผมดันลงน้ำหนักไปที่กิ่งไม้พอดี


   แกร๊ก !


“ใครน่ะ ?”เสียงซีดังขึ้น ผมได้แต่กลั้นหายใจ คือเสียงมันดังมากแล้วมันเป็นจังหวะเดียวถ้าเป็นสุนัขวิ่งผ่านจะไม่ได้ยินเสียงแบบนี้ ทำให้ผมกลั้นหายใจเข้าอีกครั้ง เอาวะ เจอหน้าให้เจ็บจนชาไปเลย แต่มึงห้ามร้องไห้นะเว่ย พลานท์ 


   ผมเดินเข้าสู่แสงไฟ และพยายามฝืนยิ้ม ให้เป็นปกติที่สุด ซีกับแพรตกใจมากที่เห็นผมเดินเข้ามา


“พลานท์”ซีเรียกผมแบบตกใจ
“คือเรามาเข้าห้องน้ำน่ะ”ผมบอกแล้วเดินผ่านทั้งสองคนไป แต่ข้อมือผมถูกดึงไว้ด้วยมือของซี
“พลานท์ กูไม่ได้ตั้งใจ...”
“ช่างมันเถอะ เราเข้าใจ แล้วก็ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบฟัง เราแค่จะมาเข้าห้องน้ำ”ผมบอกโดยไม่หันไปมองหน้าซี ก่อนที่จะสะบัดแขนออกแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที เมื่อล็อคประตูห้องน้ำเสร็จ ผมก็เปิดน้ำให้แรงที่สุด แล้วอยู่ดีๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมาจากไหนไม่รู้


   มันเป็นความรู้สึกที่อัดอั้นมานานมาก
   ตลอด 3 ปีที่ผมแอบชอบเขามา และมีความหวัง
   มาตอนนี้มันไม่มีแล้ว ผมหวังอะไรลมๆ แล้งๆ มาตลอด
   จะดีกว่าถ้าผมแอบชอบเขาโดยที่ผมไม่ก้าวเข้ามาในชีวิตเขา
   ให้เขาเป็นผู้ชายที่หลายๆ คนใฝ่ปอง แล้วผมจะมองดูเขาอยู่ห่าง
   ให้เลิกชอบมันยาก แต่ผมก็จะมีเขาเป็นผู้ชายผมแอบมองมานานหลายปีอยู่ดี
   ขอบคุณนะซี



   ไม่รู้ว่านานเท่าไรแต่ผมรู้ว่ามันนานมากที่ผมขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ จนโทรศัพท์ของผมดังขึ้นไม่หยุด ผมเลยบอกเพื่อนไปทางไลน์ว่าผมขอเข้าเต็นท์ก่อนเพราะผมรู้สึกไม่สบาย ผมจะทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าผมนอนเต๊นท์เดียวกับซี ซึ่งผมนอนกันสองคน ผมจะชิงหลับก่อน เพราะไม่อยากจะเผชิญหน้าอะไรกับเขา ให้วันนี้ผ่านไป ผมจะเป็นแบบเดิม ผมปิดน้ำที่ล้นจนจะท่วมแล้วนึกรู้สึกผิดในใจ


   ผมขอโทษครับ ถ้ามีโอกาสผมจะใช้ค่าน้ำคืนโรงเรียนนะ


“ออกมาเถอะพลานท์”เสียงของซีดังขึ้นจากหน้าห้องน้ำ ทำให้ผมสะอึกทันที ผมยืนเงียบพิงประตูอยู่เงียบๆ ซีก็เคาะประตูเรียกผม “พลานท์ ออกมาเถอะ มึงเข้าไปนานแล้วนะ”ซีเรียกผมอีกครั้ง ผมจึงคิดว่าถ้าอยู่ในนี้ต่อไปก็รังแต่จะยื้อเวลา ออกไปเผชิญหน้าให้มันจบๆ ผมเปิดประตูออกมา ซีเงยหน้ามองหน้าผม แววตาของเขาเหมือนจะร้องไห้และรู้สึกผิด
“พอดีกูท้องเสียว่ะ”ผมบอกแล้วฝืนยิ้ม
“มึงไม่ได้ร้องไห้ใช่ไหม ?”ซีถาม
“เฮ้ย...กูจะร้องทำไม บ้าหรอ”ผมบอกแล้วยิ้มอย่างร่าเริง โดยที่ผมกำลังเสแสร้ง
“กูขอโทษ”ซีบอก
“...”ไม่มีเสียงออกจากลำคอผม
“ที่กูเอาเรื่องมึงมาพูดกับแพร กูขอโทษ”
“มะ...ไม่เป็นไร”ผมมองหน้าซีตอนนี้เหมือนรู้สึกผิดมากๆ
“ที่กูพูดกับแพรแบบนั้นเพราะกูไม่อยากให้แพรมายุ่งกับมึง ที่กูบอกกูไม่ได้ชอบมึงกูโกหกแพร ที่กูบอกว่ามึงเป็นผู้ชายแล้วกูชอบมึงไม่ได้ จริงๆ กูชอบมึงมากๆ กูชอบมึงมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมสอง แต่กูไม่กล้าเข้าหามึง กูเลยมีแฟนไปทั่วเพื่อให้มึงสนใจ แต่มึงก็ไม่มีทีท่าสนใจกูเลย จนมาค่ายนี้กูเลยบอกตัวเองว่ากูจะไม่ให้มึงหลุดมือไปอีกแล้ว กูชอบมึงมาก จนกูแทบบ้าที่มึงมาได้ยินตอนที่กูคุยกับแพร กูไม่เคยแคร์ใคร แต่กูแคร์ความรู้สึกมึงมาก กูไม่อยากให้มึงเสียใจ แต่กูทำให้มึงร้องไห้ กูขอโทษ มึงอย่าโกรธกูนะ กูรอมึงมาจะสามปีแล้วนะ มึงอย่าเกลียดกูได้ไหมพลานท์ กูจะเลิกเจ้าชู้แค่มึงบอกว่ามึงจะไม่โกรธกู มึงไม่ต้องชอบกูก็ได้แค่มึงไม่เกลียดกูก็พอ ได้ไหมพลานท์”ซีพูดทุกอย่างออกมา



   เอ่อ......



   ความรู้สึกผมตอนนี้ครับ มันมึนไปหมด อยู่ดีๆ ก็โดนคนที่แอบชอบมาบอกชอบก่อนแบบนี้เล่นเอาตั้งตัวไม่ทันเลยเหมือนกัน เดี๋ยวๆ เดี๋ยวสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมต้องชอบซีมากจนคิดเข้าข้างตัวเองแล้วเก็บเอาไปฝันแน่ๆ แต่ไม่ใช่ทำให้มันไม่มีแสงจ้าๆ เหมือนในฝันเลยวะ นี่มันเรื่องจริงนี่หว่า เดี๋ยว นี่ซีแคร์ผมมากขนาดนี้เลยหรอวะเนี่ย เฮ้ย จะบ้าหรอ


   ผมตกอยู่ในสภาวะโดนดูดกล่องเสียงครับ ผมได้แต่จ้องหน้าของซีแบบมึนๆ


“อะ...เอ่ออออ”ผมจะพูดแต่ไม่รู้จะพูดอะไร
“มึงอย่าโกรธกูได้ไหมพลานท์”ซีเหมือนจะร้องไห้
“เฮ้ย ไปกันใหญ่แล้ว ใจเย็นๆ ก่อน ทำไมซีผู้ชายที่มั่นใจในตัวเองมาเป็นแบบนี้ได้เนี่ย”ผมบอกแล้วยิ้มหัวเราะ
“ก็เพราะมึงไง กูชอบมึง จนไม่กลัวว่ามึงจะเกลียดกูละเนี่ย”ซีบอกกับผม
“เอ่อ...อย่าบอกชอบบ่อยๆ ดิ มันเขิน”ผมบอกแล้วเกาแก้มตัวเองแก้เขิน
“ก็มึงไม่บอกว่ามึงไม่โกรธกูนี่”ซีบอก
“ก็เดี๋ยวก่อนสิวะ...กูตั้งตัวไม่ทัน อยู่ดีๆ คนที่แอบชอบมาตั้งสามปีมาบอกชอบก่อนแบบนี้มันก็มึนๆ บ้างดิ ให้ตั้งตัวก่อนได้ไหมเล่า”ผมบอกเสียงดัง ตายๆ อยากจะมุดดินหนีชะมัด ก็มันเขินนี่ครับ นี่ผมกับซีใจตรงกันมาตั้งแต่ตอนไหนแล้วก็ไม่รู้


“อะ..อะไรนะ ?”ซีขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ยังจะมาถามอีก...กูบอกครั้งเดียวนะ กูชอบมึงเหมือนกัน ชอบมึงมาก ชอบคนยิ้มคนเดียวตอนเห็นมึงเดินผ่านหน้า ชอบคนเอาเก็บไปฝัน เอาไปคิดเข้าข้างตัวเองต่างๆ นาๆ กูชอบมึงมากจนคิดว่าอยากได้มึงเป็นแฟน อยากอยู่ข้างๆ มึง ชอบมากจนมึงบอกว่ากูกับมึงเป็นไปไม่ได้กูก็แอบไปร้องไห้ จนมึงมา...บอกว่าชอบกู กูก็แทบ...อุ๊บ”



   อยู่ๆ ซีก็ดึงผมเข้าไปจูบอย่างแรง ในขณะที่ผมไม่ได้ตั้งตัว ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่สักพักผมก็เคลิ้มไปกับรสจูบอันแสนหวาน จนผมอยากจะอยู่แบบนี้ไปนานเนิ่นนาน ซีแทรกลิ้นของตัวเองเข้ามาเพื่อตวัดลิ้นผมเข้าไปรับรส ผมก็ตอบกลับอย่างรู้งาน ไม่รู้ว่านานเท่าไร แต่เมื่อผมทั้งสองคนรู้สึกพอใจจึงผละออก แล้วอยู่ดีๆ ผมก็ยิ้มอย่างเขินอายออกมา ซีก็จ้องหน้าผมไม่วางสายตา จนผมแทบจะมุดหน้าหนี


“จ้องทำไมเล่า”ผมทุบอกเขาไปเบาๆ
“ก็...มึงน่ารัก”ซีบอกแล้วจับจมูกผมบิดไปมา ผมเลยตีมือเขาไปเบาๆ
“คนมันเขิน โว๊ะ !”ผมบอกแล้วหันหน้าหนี
“หันมานี่ก่อน”ซีบอกแล้วจับหน้าผมให้หันมา ผมจ้องตาซีที่ตอนนี้พร้อมจะกินเลือดกินเนื้อผมเข้าไปทุกที ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เพราะความหื่นล้วนๆ
“อะไร”ผมพูดสั้นๆ
“ตอนปีหนึ่งที่มึงเดินล้มทำชามก๋วยเตี๋ยวล้มกลางโรงอาหาร ภาพที่มึงทำป้ำๆ เป๋อๆ มันอาจจะตลกในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเด็กวิศวะฯ คนนี้ มึงน่ารักและกูก็จำมึงได้ตั้งแต่ตอนนั้น มึงน่ารักในสายตากูเสมอนะพลานท์”ซีบอกทุกคำพูดออกมาจากใจ และส่งสารมาให้ผมผ่านทางสายตา ก่อนที่ซีจะจูบหน้าผากผมอย่างแผ่วเบาๆ


“เป็นแฟนกันนะ”


   แล้วคำพูดจากปากที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินก็ออกมาจากลำคอของชายตรงหน้าที่หลายคนใฝ่ฝัน ผมเงยหน้ามองซีอย่างอึ้งๆ ในใจมันรู้สึกเกินฝันมากๆ คนที่ผมชอบ มาขอผมเป็นแฟน มันเกินฝันมากๆ เลยครับ


“เพิ่งรู้จักกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง”ผมบอกอย่างเขินๆ
“แต่ชอบมาหลายปีแล้วนะ”
“ก็...กะ จะ รัก มาตั้งนานแล้วล่ะ”ผมบอกแล้วโผกอดซีอย่างเต็มความรู้สึก


“ดูแลให้ดีด้วยนะ ไอ้เด็กวิศวะฯ ขี้แกล้ง”ผมบอก
“จะรักษาและซ่อมแซมความรักอย่างดีเลยครับ สมกับเป็นวิศวะฯ ของพลานท์เลย”ซีบอกกับผม
“ทฤษฎีมันใช่กับความรักไม่ได้ แต่ภาคปฏิบัติกูไม่เกี่ยงนะ”
“งั้น กลับเต็นท์กัน”
“เฮ้ย”ซีลากผมออกไปทันที ตอนนั้นไม่รู้ว่าบรรยากาศข้างนอกเป็นยังไงแล้วครับ รู้แต่ว่าแม้อากาศจะหนาว แต่ร่างกายผมต้องอบอุ่นแน่ๆ ก็ผมมีคนนอนกอดทั้งคืนแล้วแน่ๆ เลย แต่เป็นคนที่ออกมาจากความฝันของผม และยืนอยู่ข้างๆ ผม แต่มันดีเนอะ ดีแบบผมแทบจะลมจับ


   เราบอกรักกันในห้องน้ำ !!!!



   หลายเดือนต่อมา

“กูขอนอนก่อนน่า”ผมบอกแล้วล้มตัวลงนอนที่เตียง
“มึงบอกกูมาก่อนดิว่ามึงไปคุยอะไรกับไอ้คิง”ซีจับแขนผม ให้ตายเถอะ ซีโคตรขี้หึง
“คิงไม่ให้บอก”ผมบอกแล้วล้มตัวลงนอน
“แต่กูหวงมึงนะ มึงไปคุยกับมันใกล้ชิด โดยกูไม่รู้ มึงไม่รักกูแล้วหรอ”ซีถามผมอย่างตัดพ้อ สรุปใครเป็นมากกว่ากันครับ ผมเลยลุกขึ้นแล้วจับหน้ามันหันมา

“กูบอกแล้วไง ว่า...กูรักมึงมากที่สุด ในสายตากูมีแต่มึง ไม่ว่ายังไง กูก็รักมึง”ผมบอกด้วยเสียงหนักแน่นและแววตาที่มั่นคง ซีเลยยิ้มออกมาได้ ก่อนจะจูบผมเบาๆ
“รู้แล้วครับ...ตอนนั้น กะ จะ รัก แต่ตอนนี้พลานท์ก็รักซีนี่เนอะ”


   เออ...ยังไม่รู้ตัวอีก !!

   ไอ้วิศวะฯ โง่





Talk.
ขอโทษครับที่หายไปนาน พอดีโน็ตบุ๊คพัง ส่งเคลมเกือบเดือน
พอมาก็ไฟล์หาย ... เลยต้องหาเวลาแต่งใหม่
ตอนนี้มายาวหน่อย ... แต่อาจจะไม่มีอะไรมากนะครับ ฮ่าๆๆๆๆ
ยังไงก็ #นักวิทย์วุ่นรัก #ซีพลานท์ ด้วยนะครับบ
เจอกันเอกต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ชีวะ กะ จะรัก up 25/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: lazyishappy ที่ 26-01-2016 00:56:48
ต่างคนต่างก็ชอบกันซะงั้นนน
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ชีวะ กะ จะรัก up 25/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 26-01-2016 23:18:33
' ไอ้วิศวะฯโง่ ' #ลั่น 5555555555555
โอ้ยยยยย เขารักแกมาตั้งนานละซี  :hao3:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ชีวะ กะ จะรัก up 25/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 30-01-2016 22:59:26
ซีขี้หึงมากกกก หวงสุดๆอีกเน้อออออออ :hao7:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ชีวะ กะ จะรัก up 25/01/2559
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 12-02-2016 02:57:27
เคมี หนีรัก
[/b][/size]


“ซี๊ดดด”เสียงครางของร่างแกร่งด้านบนตัวบนร้องออกมาอย่างสมอารมณ์ ตอนนี้บนตัวผมถูกบรรเลงบทรักด้วยความต้องการที่ห้ามไม่อยู่ของชายที่ผมเรียกว่า


   เพื่อน


“มิวครับ”เพียงแต่ว่า ภาพในหัวของเขา ไม่ใช่ผม ถามว่าทำไมผมถึงยอม เพราะผม “รักมัน”


   เป็นความรักที่ผมต้องยอมอดทนเพื่อเห็นเพื่อนที่รักไปรักคนอื่น หลายต่อหลายคน หลายครั้งที่ผมยอมเจ็บเพื่อความสุขของเพื่อน รวมถึงครั้งนี้เหมือนกัน

   ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะอดทนได้นานสักแค่ไหน แต่ผมก็จะทน ทน ทนโดยไม่รู้ว่าความอดทนนี้จะหมดไปพร้อมกับความรักที่ผมให้กับมันไปเมื่อไร


   ผมไม่รู้หรอกว่าผมรู้สึกกับมันเกินคำว่าเพื่อนตั้งแต่เมื่อไร แต่ผมมารู้ตัวอีกที ผมก็มีแต่มันในหัวใจแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร ผมจะคิดถึงมันเป็นคนแรก เวลาจะหลับผมจะหลับไปพร้อมกับใบหน้าของมันในความคิด ตื่นขึ้นมา ก็พบกับหน้าของมัน ทุกอย่างที่มันทำอยู่ในชีวิตประจำวันของผม ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นความเคยชิน แต่พอมันไม่อยู่ ผมก็รู้ว่า ผมคิดถึงมันมาก อยากนอนกอด อยากได้ยินเสียง อยากจะให้มันมาคอยกวนตลอดเวลา


   แต่มันก็ได้แค่คิดอยู่ในใจผมคนเดียว
   เพราะใจของมันมีแต่คนอื่นในใจเรื่อยมา


   กูรักมึง...กันต์



   กันต์เป็นผู้ชายหน้าตาดีที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน แต่มันก็เป็นสุภาพบุรุษที่ไม่ฟันผู้หญิงแล้วทิ้ง แม้ภายนอกจะแสดงตัวว่าเป็นเพลย์บอยแค่ไหนก็ตาม ดวงตามีเสน่ห์ชั้นเดียว ที่มีคิ้วหนาวางทาบอยู่ข้างบนอย่างเหมาะสม จมูกยาวเป็นสันให้เห็นอย่างโด่งขึ้นมาเด่นชัด รับกับปากยาวพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นเครื่องหมายประจำตัวที่เวลามันยิ้มทีไร หลายๆ คนก็พร้อมกับสลบทุกที


   ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับ ว่ากันต์มันไม่เคยฟันผู้หญิงหน้าไหนแม้จะเป็นเพลย์บอย นั่นก็แสดงว่า มันมีเซ็กส์ครั้งแรก


กับผม



   ผมตื่นเช้าขึ้นมาในวันใหม่ที่แม้จะปวดกับช่วงล่างมากแค่ไหนก็ต้องฝืนที่จะต้องไปเรียน ผมเดินเข้าห้องน้ำ ส่องกระจกมองหน้าของตัวเองในกระจก ไม่รู้ว่าผมโง่ หรือบ้า ที่ยอมอะไรเหี้ยๆ แบบนั้น แต่ไม่รู้ ก็ผมยอมไปแล้ว ผมล้างหน้าล้างตา เงยหน้ามองกระจกอีกครั้งแล้วบอกตัวเองว่า


   มันก็แค่ฝันไป


   ผมเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวด้วยความเคยชิน พอออกมาก็พบกับคนตัวสูงกว่านั่งอยู่บนเตียงนิ่งๆ ก่อนที่จะเงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่เหมือนกับคิดอะไรบางอย่าง ผมเช็ดผมแล้วมองหน้ากันต์ก่อนที่จะขมวดคิ้ว ผมพยายามไม่คิดถึงเหตุการณ์และทำตัวปกติ แม้มันจะยาก แต่ผมก็ต้องทำ

“ไปอาบน้ำดิ นั่งทำห่าอะไรล่ะ ?”ผมเลิกคิ้วพร้อมกับไล่มันไปอาบน้ำ
“บอนด์...ม่ะ...เมื่อคืน กูกับมึง”กันต์มองหน้าผมเหมือนหาคำตอบ ผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเอาชุดนักศึกษามาใส่
“ก็อย่างนั้นแหละ”ผมบอกพร้อมกับใส่เสื้อนักศึกษา กันต์เบิกตากว้าง
“ล่ะ..แล้ว”กันต์จะพูด แต่ผมไม่อยากจะคิดถึงมันอีก ผมโยนผ้าเช็ดตัวให้มัน
“เลิกคิดเรื่องนั้นเถอะ กูผู้ชาย มึงก็ผู้ชาย ปล่อยมันไปเถอะ กูรู้ เดี๋ยวมึงก็ลืม อย่าคิดมาก กูเองก็ไม่คิดอะไรเหมือนกัน”ผมบอกแล้วหันไปปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเดินไปใส่รองเท้าเพื่อไปเรียน ผมกับมันเรียนกันคนละคณะ แต่รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยม  ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ผมจะรักมันมานานแค่ไหน

   ผมเดินไปถึงประตูสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นหลังแล้วก็จะจับกลอนเพื่อออกจากห้อง

“กูไปเรียนก่อนนะ”ผมจะเดินออกจากห้อง
“มึงทำได้หรอวะ ?”กันต์ถามผม ผมชะงักเท้า คำถามนั้นมันสะท้อนอยู่ในหัวผม ใช่ บางทีผมอาจจะทำไม่ได้ แต่ผมทนได้
“ทำได้ เราเป็นเพื่อนกันนี่หว่า เชื่อเถอะ เดี๋ยวมึงก็ลืม กันต์”ผมเดินออกจากห้องทันที


ขนาดเมื่อคืนมึงมีอะไรกับกู คนที่มึงคิดถึงยังไม่ใช่กูที่อยู่ใต้ร่างกายของมึงเลย


ผมยืนพิงประตูอยู่สักพักแล้วถอนหายใจ ผมเจ็บ เจ็บมาหลายครั้ง เจ็บจนบางทีมันอาจจะชินไปแล้วก็ได้ ผมอยากจะเจ็บจนชิน แล้วให้มันชาไปเลย ให้ผมไม่ต้องคิดเรื่องอะไรของมัน เพราะอีกไม่นาน เขาก็จะลืม

.
.
.
.
.


   แล้วมันก็เป็นแบบที่ผมคิดไว้จริงๆ ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพคนสองคนที่ยืนคุยกันสนุกสนานอยู่ด้านข้างผม คือภาพกันต์กับมิว เด็กในคณะเดียวกับเขา เดินด้วยกันคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมบอกว่าผมจะไม่มา แต่กันต์มันก็ลากผมมาจนได้ มันบอกว่ามันตื่นเต้นกลัวทำตัวไม่ถูก ผมเลยต้องจำใจมากับมัน ทั้งๆ ที่ทำใจแล้วล่ะว่าจะต้องเห็นภาพที่ทำให้ใจปวดแบบหน่วงๆ แต่ผมก็ต้องยอมทน

   
เมื่อไรนะที่ผมจะเลิกรู้สึกแบบนี้สักที


   เขาว่าความรักทำให้คนอ่อนแอ สงสัยจะจริง


“กันต์ เดี๋ยวมิวขอเข้าไปดูร้านนี้หน่อยนะ กันต์เข้าไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”มิวหันมาดึงแขนกันเบาๆ ก่อนที่จะเงยหน้ามองป้ายร้านซึ่งเป็นร้านขายเครื่องสำอางผู้หญิง กันต์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะหันมามองหน้าผม ผมรู้เขาไม่ชอบรออะไรนานๆ

   ผมพยักพเยิดให้เขาเข้าไป เพราะกันต์แสดงหน้าลำบากใจเล็กน้อย กันต์ก็พยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปกับมิว ก่อนที่เขาจะหันมามองหน้าผมที่ยืนอยู่หน้าร้าน ผมมองหลังของทั้งสองคนจนหายลับตา ก็คิดในใจว่าจะไปเดินเล่นสักหน่อย แต่ผมก็ส่งข้อความไปบอกกันต์ก่อนที่จะเดินไป


   Bonding : กูไปเดินเล่นนะ มึงเดินเล่นกับมิวไปเลย ถ้าจะกลับแล้วบอกกูอีกที ค่อยนัดกัน
   Kanpimuk : มึงไม่เดินกับกูหรอ
   Bonding : ไม่ล่ะ มึงเดินกับมิวเถอะ เดทแรกของมึงนะเว้ย
   Kanpimuk : แต่กูทำตัวไม่ถูก
   Bonding : มึงเป็นผู้ชายเปล่าวะ อย่าป๊อดดิ ไอ้สัส เดินหน้าไปดิ ชอบก็บอกเขาไป
   Kanpimuk : แต่...
   Bonding : ไม่แต่เต่อ อะไรทั้งนั้นแหละ ถ้ากลับห้องแล้วไม่มีอะไรคืบหน้า กูจะถีบมึง
   Kanpimuk : มึงก็โหด 555
   Bonding : ไม่โหดไม่ใช่กู 555 เออๆ เสร็จแล้วไลน์มาบอกนะ ว่าอยู่ไหนจะเดินไปหา
   Kanpimuk : เคๆ



   หลังจากส่งไลน์ไปบอกเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินเล่นเรื่อยๆ เข้าร้านนั้นร้านนี้ หยิบนั่นนี่ดูแล้วก็วางเพราะไม่ค่อยอยากได้อะไรเท่าไร จนผมเดินมาถึงช็อป Nike ผมจึงเดินเข้าไปดูสักหน่อย ผมเดินไปเรื่อยๆ จนไปเจอรองเท้ารุ่นหนึ่งแล้วเสียงของกันต์ก็ลอยเข้ามาในหูทันที


“บอนด์ๆ มึงดูไนกี้รุ่นนี้ดิ สวยโคตรๆ เลยอ่ะ”กันต์ยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปรองเท้า Nike รุ่น Huarache run ultra มาให้ ผมก็พยักหน้าแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านแลบไดเรคชั่นต่อไป เพราะมีสอบ
“อือๆ สวยดี อยากได้หรอ ?”ผมหันไปถามมันทั้งนั่งอยู่ข้างๆ
“อยากได้ว่ะ แต่ไม่มีเงินอ่ะ แพงชิบหาย”มันบอก
“เก็บเงินดิ ไม่ใช่เอาแต่แดกเหล้า”ผมบอกมัน มันหันมามองหน้าผมนิดหน่อย
“ก็เพื่อนมันชวน กูก็ต้องไปดิวะ”มันบอก
“ปฏิเสธไม่เป็น ?”ผมเลิกคิ้วถามมัน
“เป็น แต่ไม่อยาก”มันยักคิ้วใส่ผม
“ไอ้สัส !”ผมด่ามันแล้วยิ้ม
“แต่อยากได้ว่ะ”มันบอก แล้วดูรูปอย่างหลงใหล ผมก็มองหน้ามันแล้วยิ้ม


   ผมหยิบรองเท้าขึ้นมาดูแล้วยิ้มเมื่อคิดถึงหน้าตอนที่กันต์มันบอกว่าอยากได้ หน้าตอนที่มันอยากได้นี่เหมือนเด็กอยากได้ของเล่นมากเลยครับ

“ลองได้นะครับ”พนักงานเดินเข้ามาหาผม ผมเลยหันไปยิ้ม
“รุ่นนี้มีเบอร์ 43 ไหมครับ”ผมถามกับพนักงาน ก่อนที่เขาจะหยิบไปดู
“สักครู่นะครับ”พนักงานหายเข้าไปหลังร้าน ผมก็เดินดูอะไรไปเรื่อยๆ จนสักครู่เขาก็เดินออกมา “เหลือคู่สุดท้ายพอดีเลยครับ”เขาบอกแล้วหยิบออกมาให้ผมดู ผมดูสักพักเห็นราคาแล้วก็ตัดสินใจซื้อทันที เพราะอีกสองอาทิตย์ก็วันเกิดกันต์แล้ว ผมว่าซื้อให้มันเป็นของขวัญวันเกิดดีกว่า
“ผมเอาคู่นี้ครับ เท่าไรครับ”ผมยื่นคืนให้พนักงาน ก่อนที่จะเดินนำผมไปที่เค้าท์เตอร์
“ทั้งหมด 4,900 บาทครับ”พนักงานบอก ผมหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาแล้วยื่นบัตรให้ มันไม่ใช่บัตรเครดิตหรอกครับ แต่มันเป็น visa ที่ผมทำเรื่องตัดเงินในบัญชีเอาไว้ เพราะขี้เกียจเดินไปกดเงิน สักพักพนักงานก็คืนบัตรให้ผม ผมก็รับถุงมาแล้วเดินออกจากร้านทันที ผมไม่ใช่คนรวยอะไรที่คิดจะซื้ออะไรก็ซื้อ แต่ผมเก็บเงินเป็น เมื่อผมคิดว่ามันพอเหลือเงิน ผมเลยซื้อ


   ผมเดินถือถุงรองเท้าแล้วเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ ก็ไม่เห็นอยากมีของที่ตัวเองอยากได้ จนครบทุกชั้นของห้างแล้ว กันต์ก็ยังไม่ตามผมเลยไปหาร้านกาแฟนั่ง จึงเดินเข้า starbuck แล้วก็สั่งกรีนทีลาเต้ มากิน นั่งได้สักพักก็มีข้อความเข้า


   Kanpimuk : บอนด์ กูออกมาจากห้างแล้วนะ พอดีมิวอยากกินปิ้งย่างข้างนอกว่ะ กูเลยพามา


   ผมอ่านข้อความของมันแล้วก็ถอนหายใจเล็กน้อย แม้จะนอยด์นิดหน่อย แต่ก็เข้าใจ ก็คนเข้ามาเดทกัน ผมจะไปห้ามเข้าได้ยังไง แถมเพื่อนผมชอบเขามากขนาดนั้น ผมก็ต้องสนับสนุนสิ


   Bonding : อ่อๆ เคๆ งั้นกูกลับห้องก่อนนะ
   Kanpimuk : มึงไม่โกรธกูใช่ไหม



   ถ้าบอกว่าโกรธ แล้วมึงจะกลับมาหากูไหม


   Bonding : โกรธเชี่ยไรล่ะ 555 มึงแดกๆ ไปเถอะ ขอให้อร่อยๆ นะเว้ย


   ผมพิมพ์กลับไปแล้วก็ถอนหายใจ นี่รู้สึกเหมือนผมโดนทิ้งเลยแฮะๆ ฮ่าๆ แต่ช่างเถอะ ผมไปซื้ออะไรรองท้องแล้วกลับห้องดีกว่า แม้ในใจจะเจ็บนิดหน่อยเพราะถ้ากันต์กลับมาอาจจะมีรอยยิ้มของความสุขที่ความสัมพันธ์คืบหน้า แต่มันก็ควรเป็นอย่างนั้นนี่ และผมเตรียมใจไว้แล้ว


RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR

เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมดูชื่อเบอร์โทรฯ เข้า หวังจะให้เป็นกันต์ แต่ก็ไม่ใช่ เป็นเพื่อนผมในเอก ผมจึงกดรับ

“ว่าไง ไอ้เชี่ยเต้”ผมรับสายมัน
“แดกเหล้ากัน มึงอยู่ไหน”มันถามผม
“อยู่ห้าง...”ผมบอก
“นึกไรไปเดินห้าง ไปแดกเหล้า”มันบอกกับผมมา
“ควายเถอะ พรุ่งนี้มีควิซ ออร์แกนิคเคม”ผมบอก
“กูไม่ลืม แต่มาแดกเหล้าก่อน เนี่ย พวกไอ้วัฒน์ ก็มา”มันบอก ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เออๆ แต่กูขอกลับไปเปลี่ยนชุดก่อน อยู่ชัดนักศึกษาอยู่เลยเนี่ย”ผมบอก มันก็เออออกลับมา ผมเลยตัดสาย ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องอยู่ฟังเรื่องอะไรที่มันบาดใจ


   ผมกลับถึงหอ ก็เอาถุงรองเท้าซ่อนเอาไว้ก่อน เดี๋ยวกันต์จะเข้ามาเห็น ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ แล้วก็ใส่ผ้าใบธรรมดาก่อนจะเดินออกจากห้องทันที ก่อนที่จะนั่งรถไปถึงร้านในเวลาไม่ถึง 20 นาที ผมเดินเข้าร้าน ยื่นบัตรประชาชนตรวจสอบอายุ แล้วก็มองหาเพื่อนทันที ไอ้เต้ก็โบกมือไหวๆ อยู่ ผมเลยเดินเข้าไปหามันทันที

“โห กว่าจะเสด็จมานะไอ้หล่อ”ไอ้เต้ทักผมทันที
“หล่อเชี่ยไร หล่อปานนี้กูมีแฟนไปแล้ว”ผมบอกหยอกล้อกับมัน ก็กลุ่มเพื่อนผมนี่ครับผมก็ต้องสนุกสนานเป็นธรรมดา
“ก็มึงไม่จีบใครสักทีนี่หว่า”ไอ้วัฒน์แซวผม
“ขี้เกียจ”ผมบอก
“โถ ไอ้สัส เลือกได้นิมึง”ไอ้จูน สาวห้าวประจำกลุ่มบอก
“แน่น๊อน”ผมยักไหล่
“อ่ะ งั้นแดก”อยู่ดีๆ ไอ้วัฒน์ก็ยื่นแก้วเครื่องดื่มสีชามาให้ผม ผมก็รับแล้วก็กระดกทันที
“เพื่อนเราน่ะเลือกได้เว้ย แต่แม่งไม่เลือก เสือกจมปลักอยู่กับอะไรก็ไม่รู้””ไอ้เต้พูดกับผมทันที พวกมันรู้ครับว่าในใจผมมีใครอยู่ แล้วมันก็ด่าผมทุกทีว่าผมโง่ โง่ที่ไม่ยอมเลิกรักมันสักที โง่ที่ยอมเจ็บซ้ำๆ ซากๆ โง่ที่อยู่แบบไร้ตัวตนในสายตามันแบบนี้
“ก็ความสุขกู”ผมบอก
“มึงแน่ใจนะว่าความสุข ?”จูนกอดคอผมแล้วถาม หน้าเธอเริ่มแสดงอาการว่าเมาแล้วครับ
“ก็...”ผมไม่รู้ว่าเรียกมันว่าความสุขได้ไหม แต่แค่มีกันต์อยู่ด้วย ผมก็พอใจแล้ว
“ถามจริงๆ นะบอนด์ มึงมีความสุขหรอวะ ที่เห็นไอ้กันต์มันมาบอกว่าชอบใครต่อใครต่อหน้ามึง”วัฒน์ถามผม
“ก็มันเป็นเพื่อนกู”ผมบอก
“แต่มึงคิดกับมันเกินเพื่อน”จูนบอกผมอีกครั้ง แล้วถอนหายใจ “เอาเถอะ พวกกูพูดไปมึงก็ไม่เลิกรักมันหรอก แต่วันไหนมึงเจ็บจนชาแล้ว มึงมาหาพวกกู พวกกูจะอยู่กับมึงเอง”จูนบอกกับผมแล้วยิ้ม ผมเลยยิ้มให้เธอกลับครับ จูนเป็นผู้หญิงห้าวๆ ที่จริงใจกับทุกคน พวกผมเลยไว้ใจจูนในทุกๆ เรื่อง แม้แต่เรื่องเข้าหาอาจารย์
“พอๆ เลิกดราม่า วันนี้ชนนนนน”ไอ้เต้หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วชวนพวกผมชน พวกผมก็นั่งกินกันไปเรื่อยๆ จนลืมดูเวลาผม เสียงข้อความผมก็ดังขึ้น ก็เห็นว่ากันต์ส่งข้อความมาหาผม


   Kanpimuk : บอนด์มึงยังไม่กลับห้องหรอ ?
   Bonding : กูมากินเหล้ากับพวกไอ้เต้
   Kanpimuk : ทำไมมึงไม่บอกกูล่ะ
   Bonding : ก็บอกอยู่นี่ไง เป็นอะไรของมึง ?
   Kanpimuk : เปล่า กูแค่เป็นห่วง


   ชั่วเวลาหนึ่ง ผมรู้สึกใจเต้นแรงและดีใจที่มันบอกว่าเป็นห่วง แต่ผมก็คิดขึ้นได้ว่าคงเป็นห่วงเพื่อน


   Bonding : กูดูแลตัวเองได้น่า มึงนอนก่อนก็ได้
   Kanpimuk : มึงอยู่ร้านไหนกัน
   Bonding : สุรา มีไร

   ชื่อร้านจริงๆ ครับ ชื่อร้านโคตรหาเรื่อง

   Kanpimuk : จะกลับกี่โมง ?
   Bonding : ไม่รู้ว่ะ
   Kanpimuk : ถ้ากลับไม่ไหว โทรฯ มาหานะ จะไปรับ
   Bonding : ไม่ต้องห่วงกูน่า นอนก่อนไปเลย มาแปลกๆ นะมึงวันนี้ 555 หญิงไม่รับรักไง
   Kanpimuk : เอ้าไอ้นี่ กูก็เป็นห่วง
   Bonding : เออๆ รู้แล้ว ไปแดกเหล้าละ ฝันดี



   ถ้าผมคุยกับมันนานกว่านี้ ใจผมอาจจะเตลิดคิดไปไกลกว่านี้ก็ได้ ผมจึงหยุดแค่นี้ไว้ก่อน ผมไม่อยากคิดอะไรไปไกลมาก


   ผมดื่มจนไม่รู้ว่ามันดึกมากแค่ไหน แค่รู้ว่าตอนนี้ผมสนุกกับคืนนี้ที่สุดที่ได้อยู่กับเพื่อน ได้หัวเราะ ได้ทำอะไรฮาๆ ทั้งเดินไปชนกับคนนู้น คนนี้ บางคนก็นั่งคุยกันยาว แต่ดูท่า ผู้ชายที่ผมคุยตอนนี้จะคุยนานสุดละ พี่เขาชื่อพี่วิน คุยกันถูกคอดี

“แล้วนี่เมายังเนี่ย”พี่วินถามผม ผมเลยยกมือปัด
“โอ้ยพี่ แค่กรึ่มๆ ยังพูดได้ชัดเจนอยู่เลยเห็นไหม ?”ผมชี้หน้าตัวเอง
“แน่ใจนะ แต่พี่ว่าบอนด์ไม่ไหวแล้วนะ ฮ่าๆ”พี่วินบอกผม เพื่อนในโต๊ะเขาก็หัวเราะ
“จะดูถูกผมมากเกินไปแล้วพี่ ระดับผมแล้ว”ผมบอกแล้วยกแก้วขึ้นชนกับพี่เขา
“พี่ถามอะไรอย่างสิ”พี่วินหันมาถามผม
“ครับ”ผมเลิกคิ้ว
“บอนด์มีแฟนหรือยัง ?”พี่วินถามผม ผมเลยยิ้ม
“ฮั่นแน่ ถามแบบนี้จะจีบผมหรอ ?”ผมชี้หน้าเขาแล้วหัวเราะ
“ก็ถ้ายังไม่มีพี่ก็จะจีบ”พี่วินบอกผมตรงๆ ผมก็ยิ้มแล้วยกมือโบก
“ยังไม่มีหรอกครับ แค่มี...”ผมสะอึกไปนิด
“มีอะไรหรอ ?”พี่วินถาม “อย่าบอกนะว่ามีคนที่ชอบแล้ว”พี่วินถามอีกครั้ง
“ก็มีแหละครับ แต่เขาคงไม่ชอบผมแหละ ก็แสดงว่าไม่มีแฟนนั่นแหละ ฮ่าๆๆ”ผมบอกแล้วหัวเราะ
“งั้นพี่จีบนะ”พี่วินถามตรงๆ
“ก็ลองดูดิครับ”ผมบอก
“เฮ้ยๆ ไอ้วินมึงนี่เอาจริงนะเว้ย ฮิ้ว”กลุ่มเพื่อนเขาแซว
“หยุดแซวเลยไอ้เชี่ย”พี่วินหันไปชี้หน้าเพื่อนทุกคน


   ผมก็นั่งโต๊ะพี่วินซะเพลินเลยครับ คุยนู่นโม้นี่อย่างสนุกสนาน จนร้านใกล้ปิด พี่วินก็เรียกเก็บตังค์โต๊ะเขา ผมเลยลุกขึ้นเพื่อจะกลับโต๊ะ แต่พี่วินดึงไว้

“บอนด์ครับ พี่ขออะไรอย่างได้ไหม ?”พี่วินดึงผมลงไปนั่ง
“อะไรครับ ?”ผมเลิกคิ้ว ถาม ตอนนี้ตาเริ่มพร่าแล้วครับ มองหน้าพี่เขาไม่ชัดแล้ว
“พี่ขอ...จูบ บอนด์ได้ไหม ?”พี่วินถามตรงๆ ผมเลยยิ้มอย่างเขินเล็กน้อย
“เอาจริงหรอครับ ?”ผมชี้หน้า ก็ดีเหมือนกัน ลองไปไม่เสียหาย ผมจะลองคิดว่าผมจะลืมกันต์ได้ไหม ถ้าเกิดจูบกับคนอื่นๆ
“ครับ”พี่วินยืนยัน ผมเลยพยักหน้า ผมไม่สนใจว่าจะเจอคนในร้านแล้วครับ พี่วินยื่นหน้าเข้ามาหาผมช้าๆ ก่อนที่จะประกบริมฝีปากอย่างแผ่วเบา
“ฮิ้ววววววววว”เสียงโห่ร้องดังลั่นกันใหญ่ แต่ผมไม่สนใจ ผมหลับตาตามอารมณ์ไปกับรสจูบของพี่วิน แต่...มันไม่ทำให้ผมรู้สึกดีเลยสักนิด


   แล้วอยู่ดีๆ พี่วินก็ถูกกระชากออกจากตัวผมแล้วโดนต่อยจากคนที่ผมคุ้นเคย กันต์ตามไปจะต่อยซ้ำ แต่โดนเพื่อนของผมเข้ามาดึงไว้เสียก่อน

“เฮ้ยๆ ไอ้กันต์มึงต่อยพี่เขาทำไมวะ ?”เสียงไอ้เต้ดังขึ้น
“ก็มันจูบไอ้บอนด์ นี่หว่า”เสียงกันต์เสียงดัง
“เขาก็แค่จูบ มึงจะไปต่อยเขาทำไม”ไอ้จูนถามขึ้นมา ผมเดินเข้าไปประคองพี่วินลุกขึ้น ก่อนจะมองหน้าไอ้กันต์ที่หน้าขึ้นเลือดอย่างโกรธ
“ก็มัน...”เสียงไอ้กันต์ดังขึ้น ชี้หน้าพี่วิน ก่อนที่จะสบตาผม ซึ่งผมก็มองมันอย่างโกรธ โกรธที่มันใช้อารมณ์โดยไม่ถามผมสักคำ ผมมองหน้ากันต์แล้วถอนหายใจก่อนจะหันไปไหว้พี่วิน
“ผมขอโทษนะครับพี่วินที่เพื่อนผมมันต่อยพี่ ขอโทษจริงๆ”ผมหันไปมองหน้าพี่วินอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรครับ”พี่วินบอก
“ผมขอโทษจริงๆ นะครับ แต่ผมขอตัวก่อน”ผมบอกพี่วินแล้วหยิบกระเป๋าตังค์เดินผ่านหน้ากันต์โดยไม่พูดอะไรกับมันสักคำ กันต์จับแขนผม แต่ผมสะบัดออกก่อนจะเดินออกมาหน้าร้านทันที กันต์ก็วิ่งตามผมมาแล้วจับแขนผมไว้
“บอนด์..”
“กลับไปคุยกันที่ห้อง”ผมหันมาบอกแล้วเดินออกไปขึ้นแท็กซี่ทันที  กันต์ก็วิ่งตามผมมาแล้วขึ้นรถตาม


   ผมขึ้นมาห้องแล้วก็หันมามองหน้ามันอย่างโกรธ กันต์ก็เหมือนรู้สึกผิด

“มึงไปต่อยพี่เขาทำไม”ผมถาม
“ก็มันจูบมึงอ่ะ”เสียงกันต์ดังขึ้นอย่างหัวเสีย
“เขาแค่จูบกู แล้วมึงไปต่อยเขาทำไมกันต์”ผมถามกันต์เสียงดังลั่นอีกครั้ง
“แล้วถ้ามันไม่ได้ทำแค่จูบล่ะ ทำไมมึงยอมให้มันจูบวะบอนด์ กูส่งไลน์ไปหามึงตั้งหลายข้อความมึงก็ไม่ตอบ กูก็เป็นห่วง เลยไปตามแล้วเห็นมึงกำลังจูบกับผู้ชายเนี่ยนะ”กันต์เสียงดังใส่ผม ทำให้ผมเริ่มโมโห
“กูจูบกับพี่เขาแล้วทำไม คนสองคนกำลังจีบกันนะกันต์”ผมบอกมัน
“อะไรนะ มึงชอบพี่เขาหรือไง”กันต์ถามผม
“เปล่า แต่พี่เขาชอบกู”ผมบอก
“แล้วมึงยอมให้มันจูบอ่ะนะ บอนด์มึงคิดว่ามันจะชอบมึงจริงๆ หรือ ถ้าเกิดมันหลอกมึงไปฟันแล้วหายไปล่ะ มึงจะไม่เสียใจหรอ ความรักแบบนี้มันเอาอะไรมาไว้ใจวะบอนด์ มึงมั่นใจได้ไง ?”กันต์พูดกับผม ทำให้ผมหันไปมองหน้ามันอย่างอึ้งๆ เพราะตอนนี้กันต์กำลังดูถูกความรักของเกย์ และมันก็รวมถึงดูถูกความรักของผมด้วย
“อะ...อะไรนะ ?”ผมถามเสียงสั่น ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากร้องไห้
“ก็มันชอบมึงจริงๆ หรือเปล่าล่ะ ? หรือแค่มันจะหลอกมึง”กันต์พูดอีกครั้ง ผมเลยมองหน้ามันอีกครั้ง เมื่อก่อนผมมีความหวังว่าสักวันความใกล้คิดและความผูกพันของเราจะทำให้กันต์มองผมแบบอื่นบ้าง แต่ตอนนี้มันหมดแล้วความหวังนั้น มันมีแต่ความผิดหวัง และมั่นใจว่าผมคงจะเปลี่ยนใจของกันต์ไม่ได้ ผมหันหลังให้กันต์แล้วอยู่ดีๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมา
“มึงกำลังดูถูกความรักของพี่เขาที่มีต่อกู”ผมพูดเสียงสั่น
“มะ...มึงร้องไห้ หรอวะ?”กันต์ถามแล้วจับศอกผม แต่ผมเดินหนีออกมาโดยไม่หันกลับไปมอง
ถ้ามึงดูถูกความรักของพี่เขาที่มีต่อกู มึงก็กำลังดูถูกความรักของกูที่มีกับมึงด้วย”ผมบอกทั้งน้ำตา ผมรู้แล้ววันนี้มันต้องมาถึง ผมควรจะบอกมันไปสักที แต่ผมไม่คิดว่าจะต้องมาบอกพร้อมกับความผิดหวังภายในใจมากมายขนาดนี้ เพราะผมรักมันมากไป รักมันมากเกินไปจริงๆ

“อะ...อะไรนะ”เสียงกันต์ถามผมเบาๆ อย่างอึ้งๆ ผมหันหน้าไปมองหน้ามันทั้งน้ำตา

กูรักมึง รักมึงมากกว่าเพื่อน รักมานานแล้วด้วย กูเคยหวังว่าความเป็นเพื่อนของกูกับมึงจะทำให้มึงหันมารักกูบ้าง แต่วันนี้กูรู้แล้ว ว่ามันคงไม่มีวันนั้นจริงๆ มึงก็ยังเห็นกูเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น”ผมบอกมันจบ มันก็ถอยหลังหนีห่างจากผมอย่างอึ้งๆ ผมรู้ว่ามันคงรังเกียจผมแน่ๆ ก่อนที่มันจะออกจากห้องไป
   

   หมดแล้วความสัมพันธ์ของผมกับมันที่มีมา
   ลาก่อนความรักและความเป็นเพื่อนของผมกับมัน


   หลังจากที่กันต์วิ่งออกจากห้องไป ผมก็นอนร้องไห้อยู่ในห้อง ก่อนที่จะหมดแรงแล้วหลับไป คืนนี้อาจจะเป็นคืนที่ผมฝันร้ายที่สุดก็ได้


   ผมรู้สึกตัวขั้นมาอีกครั้งในตอนใกล้สว่าง ก่อนที่จะดูข้างๆ ก็ไม่มีร่างสูงนอนอยู่เหมือนทุกวัน น้ำตาผมเหมือนจะไหล แต่มันแห้งเหือดไปหมดแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดสายหาเพื่อนสนิทที่สุด

“ว่าไงวะ ?”เสียงของไอ้เต้งัวเงีย
“กูรบกวนมึงป่าววะ”ผมผมถามมัน
“ไม่รบกวนมั้ง โทรฯ มาตอนตีสามเนี่ย”ไอ้เต้บอก
“มึง...มาช่วยกูเก็บของหน่อยดิ”ผมบอกมันเสียงสั่น พยายามกลั่นแบบที่สุด
“มึงเป็นอะไรวะ”ไอ้เต้ตื่นทันที
“มันจบแล้วว่ะ กูบอกรักมันไปแล้ว แต่มัน...คงรังเกียจกูไปแล้วล่ะ”ผมบอกแล้วอยู่ดีๆ น้ำตาผมก็ไหล
“มึงโอเคไหมวะ ?”
“ไม่โอเค แต่กูคงอยู่กับมันไม่ได้แล้ว มึงมารับกูหน่อยนะเต้”ผมร้องไห้กับเพื่อนแบบไม่อายแล้ว “กูอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว กูกับมันไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้ว มารับกูบหน่อยเต้ ฮือ”ผมร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง
“เออๆ เดี๋ยวกูไปเดี๋ยวนี้แหละ”เต้บอกแล้วตัดสายผม ก่อนที่ผมจะค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าและของใช้ของตัวเองทุกอย่าง รูปภาพทุกภาพที่มีผมกับมัน ผมเก็บใส่กระเป๋าผมทั้งหมด ผมไม่คิดจะเก็บไว้แต่ผมจะเอามันไปทิ้งให้ไกลที่สุด รองเท้าที่ผมซื้อให้ ผมเก็บไว้ที่เดิม เขียนแค่คำว่าสุขสันต์วันเกิดวางไว้



   เต้มาถึงก็ช่วยผมเก็บของแล้วก็เอากระเป๋าผมขึ้นรถ ผมหันมามองประตูห้องครั้งสุดท้าย ผมถอดลูกกุญแจออกจากพวงแล้ววางไว้บนโต๊ะทำงานของกันต์เดินออกมา



   ลาก่อนนะกันต์ เพื่อนที่กู “รัก” มากที่สุด
   ดูแลตัวเองดีๆ นะ
   อย่านอนดึก
   อย่ากินเหล้าเยอะ
   เลิกสูบบุหรี่ได้แล้ว
   เก็บห้องบ้าง
   กินข้าวให้ตรงเวลาด้วย
   อย่ากินแค่ขนมปัง
   ถ้าผมยาวต้องไปตัดผมนะ
   ถ้าหนวดขึ้นโกนด้วย เดี๋ยวแม่มึงด่า
   พับผ้าห่มด้วย
   เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ้าง
   อย่าอยู่หน้าคอมฯ เยอะ
   อย่านั่งทำงานนานๆ
   อย่าจำว่ากูเคยเป็นเพื่อนและคิดกับมึงมากกว่าเพื่อนนะ
   ลาก่อน...



   ผมลงมาจากห้องและเดินมาที่รถของเต้ เพียงหางตาผมเห็นกันต์เดินมากับมิว ใบหน้าของมิวดูเหมือนจะเป็นห่วงกันต์มาก ผมไม่ต้องเป็นห่วงมันอีกแล้ว มันมีอีกคนที่เป็นห่วงมันมากกว่าผมแล้ว

   
   ดูแลกันต์ดีๆ นะมิว

...



ครึ่งแรกก่อนนะครับ
เดี๋ยวมาต่อครึ่งหลัง
เรื่องนี้ดราม่ายาววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 1) up 12/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 12-02-2016 08:32:43
รออ่านนนน

ชอบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 1) up 12/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ifangza! ที่ 12-02-2016 19:21:11
มาเร็วๆนะ เรารออยู่วววว

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 1) up 12/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 12-02-2016 22:14:32
สนุกดี รอน้า
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 1) up 12/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 13-02-2016 20:55:40
รออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 1) up 12/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 14-02-2016 00:03:08
Part 2

Voice of Kan

   “กันต์ นอนได้แล้ว เดี๋ยวค่อยทำงานต่อ”
   “กันต์ ผมยาวแล้ว ไปตัดผม”
   “กันต์ มึงกินขนมปังอีกแล้วนะ มากินข้าว”
   “กันต์ อย่าสูบบุหรี่เยอะดิ มันไม่ดี”
   “กันต์ อย่ากลับดึกนะ อย่าเมานะเว้ย ไม่ไปรับนะ”
   “กันต์ ผ้าเย็น จ้องคอมนานเกินไปแล้ว”
   “กันต์ มึงมาช่วยกูเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหน่อย”
   “กันต์ เอาผ้าห่มไปตากที่ระเบียง”
   “กันต์ ไปโกนหนวด เดี๋ยวกูจะฟ้องแม่มึง”
   “กันต์ ช่วยเก็บห้องก่อน ถ้าไม่วันนี้มึงห้ามออกไปแดกเหล้า”
   “กันต์ อย่าลืมกินข้าวกลางวันด้วย”
   “กันต์...”   


 
   ผมนั่งอยู่บนเตียงกว้าง ที่เมื่อก่อนมันเคยมีคนๆ หนึ่งนอนอยู่ด้วยตลอด ผมหันไปมองข้างๆ แล้ววางฝ่ามือลงไปเบาๆ สองอาทิตย์แล้ว ที่ไม่มีอีกคนนอนอยู่ข้างๆ มันทำให้เตียงที่ผมเคยนอนกว้างขึ้นอย่างถนัดตา ตั้งแต่เจ้าของที่นอนฝั่งซ้ายของเตียงไม่อยู่ ทำให้ผมรู้สึกแปลกทุกครั้งที่พยายามหลับตาลง กว่าจะหลับได้ก็นานเป็นชั่วโมง ไม่รู้ทำไม


   เพราะทุกคืน ผมจะได้ยินเสียงสวดมนต์ก่อนนอนอยู่ข้างๆ
   เพราะทุกคืน ผมจะโดนดึงลุกขึ้นมาสวดมนต์ด้วยเสมอ
   เพราะทุกคืน จะต้องมีคนมาตามผมเข้านอน
   เพราะทุกคืน...ผมจะต้องลูบหัวอีกคนให้นอนหลับ

   
   แต่พอไม่มีเขา ผมรู้สึกไม่ได้ทำอย่างที่เคยทำ มันทำให้ผมรู้สึกแปลกไปหมด


   สองอาทิตย์ที่แล้ว วันนั้นบอนด์ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนผมกับมิว ที่ห้าง วันนั้นผมโดนมิวลากเข้าไปเลือกเครื่องสำอางอยู่นานสองนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุด ถ้าหากเป็นบอนด์แล้วละก็


   “กันต์ เดี๋ยวกูเข้าร้านนี้ก่อนนะ อาจจะนาน มึงไปเดินเล่นทำอะไรก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูโทรฯ ตาม”


   บอนด์ไม่ชอบให้ผมรอนาน เพราะบอนด์รู้ดีว่า ผมจะหงุดหงิดเวลารออะไรนานๆ เพราะตอนเรียนมัธยม ผมรอพ่อมารับนานมาก แล้วเผลอโมโหใส่บอนด์ แต่บอนด์ก็กล่อมให้ผมใจเย็นลงได้


   วันนั้นผมเดินผ่านร้านไนกี้ แล้วเห็นรองเท้ารุ่นที่ผมอยากได้ ผมขอมิวเข้าไปดู แต่เธอบอกว่าหิว แล้วลากผมออกไปทันที ผมได้แต่มองรองเท้าคู่นั้นด้วยความอาลัย แต่ตอนที่ผมเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้า เห็นตู้ที่มีพื้นที่เยอะขึ้นเพราะเสื้อผ้าราวฝั่งซ้ายมันว่างไป สายตาผมก้มลงเห็นกล่องรองเท้าไนกี้ แล้วมีการ์ดเขียนติดอยู่


   “สุขสันต์วันเกิด หวังว่าคงจะชอบนะ ”



   ใช่ วันนี้วันเกิดผม เป็นวันที่ผมควรจะออกไปมีความสุข และสนุกเฮฮากับเพื่อน แต่ไม่เลย ยิ่งผมเปิดกล่องรองเท้านั้นออกและเห็นรองเท้ารุ่นที่ผมอยากได้อยู่ในกล่อง เล่นเอาน้ำตาผมซึมทันที


ผมไม่คิดว่าบอนด์จะจำมันได้ เพราะผมเคยบ่นกับเขาว่าผมอยากได้
ผมไม่คิดว่าบอนด์จะซื้อมันให้ผม เพราะบอนด์เป็นคนใช้เงินประหยัดมาก
ผมไม่คิดว่าบอนด์จะใส่ใจผมเสมอ ในขณะที่ผมไม่เคยสนใจเขาเลย


ตั้งแต่วันนั้นที่ผมเมาแล้วเผลอมีอะไรกับบอนด์ อีกเช้าที่ผมตื่นมา ผมตกใจกับการกระทำของตัวเอง ผมไม่เคยคิดอยากจะมีอะไรกับผู้ชาย เพราะผมเชื่อว่ามันไม่ควรเกิดขึ้น


แต่ผมทำมันลงไปกับบอนด์


แต่บอนด์ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บอนด์ทำตัวว่าไม่เป็นอะไร แล้วบอกให้ผมสบายใจ ผมเห็นบอนด์ยิ้มแย้มปกติ ผมก็นึกว่าเขาจะไม่เป็นอะไร


แต่ผมไม่คิดเลยว่า ผมจะทำร้ายความรู้สึกนั้นด้วยการกระทำของผม


บอนด์รักผมมาตลอด รักแต่ไม่เคยบอก รักแต่ทำเหมือนผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าบอนด์คิดกับผมเกินเพื่อนตั้งแต่เมื่อไร แล้วผมก็มีรู้ว่าความรู้สึกที่เขามีต่อผมนั้น มันจะทำร้ายเขา เพราะผมเอง


ผมเป็นคนไม่ชอบบอนด์เวลาร้องไห้มากที่สุด น้ำตาของเขามีอิทธิพลกับผมมาก เพราะบอนด์เป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนแอ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็กๆ เขาเคยโดนแกล้งตอนอนุบาลจนร้องไห้ แต่ผมก็ช่วยไล่พวกนั้นออกไปจนหมด ผิวขาวๆ ของเขาเป็นรอยแดงเต็มไปหมด ผมกล่อมตั้งนานกว่าจะหยุดร้อง แล้วบอนด์ตัวติดผมแจตลอดเวลา ตั้งแต่นั้นมา เรียนก็เรียนห้องเดียวกันมาตลอด เข้ามหา’ลัย ก็เรียนที่เดียวกันแต่คนละคณะ เรียกได้ว่า สนิทกันจนพ่อแม่ พลอยสนิทกันไปด้วย


ทุกความรู้สึกที่บอนด์มีต่อผม ผมไม่เคยรู้ คืนนั้นผมโดนลากไปกินปิ้งย่างโดยบอนด์โดนทิ้งไว้อยู่ที่ห้าง ผมเป็นห่วงกลัวเขาจะโกรธ ผมเลยบอกเขา แต่เขาก็ไม่โกรธ บอกว่าให้ผมกินให้อร่อย เพราะบอนด์รู้ว่าผมชอบใครแล้วผมจะไม่กล้า ทุกครั้งเขาจะยุให้ผมจีบคนอื่นเสมอ แต่พอผมไปลองคุยแล้วเดทแล้ว ไม่มีใครที่นิสัยเข้ากับผมได้เลยสักคน บางคนก็ไม่ตรงเวลานัด บางคนก็ชอบห้ามนู่นนี่ บางคนก็งี่เง่า จนผมรำคาญแล้วตัดความสัมพันธ์ทันที


จนผมกลับมาที่ห้องแล้วไม่เห็นบอนด์อยู่ห้อง ผมเลยไลน์ไปตาม ก็เห็นว่าไปร้านเหล้ากับเพื่อน ผมก็นึกเป็นห่วงเพราะบอนด์เป็นคนไม่ค่อยดื่ม และดื่มไม่เก่ง เวลาเมาแล้วจะทำอะไรบ้าๆ ได้เสมอ แต่เขาบอกว่าดูแลตัวเองได้ ผมเลยปล่อยไป จนดึกดื่น ผมไลน์ไปบอนด์ก็ไม่ตอบ ผมเป็นห่วงมาก กลัวไปโดนทำร้ายอะไรเข้า ผมเลยต้องออกไปตามที่ร้าน แต่ภาพที่ผมเห็นคือ เขากำลังนั่งจูบกับผู้ชายวันทำงานอยู่ ตอนนั้นผมโกรธมาก ไม่รู้ทำไมผมโกรธได้มากขนาดนั้น ผมเลยต่อยหน้าเขาไปทีหนึ่ง แต่ผลกลับมาคือบอนด์โกรธผมมาก โกรธแบบที่ผมไม่เคยรับมือมาก่อน โกรธจนผมไม่สามารถยั้งอารมณ์เขาไว้ได้ แล้วก็เป็นวันที่ผมได้รู้ความจริงว่า


บอนด์รักผม


รักมาก รักผมจนวันนั้นบอนด์ร้องไห้และบอกความรู้สึกออกมาทั้งหมด แต่พอผมได้ยิน ผมกลับทำอะไรไม่ถูก มันตื้อไปหมด ผมสับสน เหมือนในใจกับสมองมันตีกันไปหมด จนผมมึนว่าความรู้สึกที่ได้ยินคำพูดจากปากของบอนด์มันเป็นแบบไหน จนผมต้องวิ่งหนีออกมา ผมวิ่งออกมาโดยที่ผมไม่รู้จะไปที่ไหน ผมจึงโทรฯ หามิว แล้วไปนั่งคุยกับมิวตั้งนาน


สองอาทิตย์ที่แล้ว
“เป็นอะไรกันต์ มาหามิวดึกๆ ดื่นๆ”มิวลงมาหาผมทั้งที่ใส่ชุดนอน ผมเงยหน้ามองมิว ทำไมนะ คนที่ผมชอบ แต่กลับไม่ทำให้ผมยิ้มได้เลย ผมกลับเป็นห่วงอีกคนมากกว่า
“คะ...คือ กันต์มารบกวนหรือเปล่า”ผมถามอย่างเกรงใจ มิวนั่งลงแล้วถอนหายใจ
“ไม่มั้ง นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะกันต์”มิวพูดแล้วยิ้มอย่างตลก
“ขอโทษนะ”ผมบอกเสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไรน่า แล้วสรุปนี้เป็นอะไร ทำไมดูซึมๆ”มิวถามผม ผมเงยหน้ามอง
“ปละ...เปล่า”ผมบอกแล้วยิ้มให้เธอ
“แน่ใจนะ มีอะไรก็เล่ามาได้”มิวบอก
“มิว มิวรู้ใช่ไหมว่าเราชอบมิว”ผมบอกกับเธอออกไป มิวกอดอกแล้วมองผมยิ้มๆ
“รู้ดิ ทำไมจะไม่รู้”มิวเลิกคิ้ว
“ละ...แล้ว มิวดีใจหรือเปล่า”ผมบอก
“ถามว่าดีใจหรือเปล่า มันก็ดีใจ เพราะกันต์กับมิวเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ปีหนึ่ง แต่มิวดีใจแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้นแหละ เพราะมิวรู้ว่ากันต์แค่ชอบมิว แต่กันต์รักอีกคนมากกว่ามิว”มิวบอกกับผม ทำให้ผมเงยหน้ามองเธอทันที
“คะ...ใครหรอ ?”ผมถาม มิวถอนหายใจ
“แล้วมาหามิวตอนดึกแบบนี้มาทำไม”
“คือ...บอนด์มันบอกรักเรา”ผมบอกกับเธอออกไป มิวขมวดคิ้ว
“แล้วไม่ดีใจ ?”มิวเลิกคิ้วถามผม
“ก็มันรู้สึกแปลกๆ มากกว่า อยู่ดีๆ เพื่อนก็มาบอกรักอ่ะ”ผมบอกไปเสียงเครียด
“กันต์นี่กันไม่รู้ความรู้สึกของตัวเองจริงๆ หรอ ?”มิวถามผม
“รู้ รู้อะไร ?”ผมถามมิวอย่างงงๆ
“รู้ว่าตัวเองรักใครมากกันแน่”มิวถามผม
“ระ...เรารักใครอ่ะ”
“โอ๊ย กันต์ ทำไมถึงโง่แบบนี้นะ เราจะไม่บอกกันต์ทุกอย่างนะ แต่เราจะถามกันต์แล้วให้กันต์ตอบตามความรู้สึกของตัวเองจริงๆ แบบว่า กันต์ลบคำว่าเพื่อนออกไปก่อน”มิวบอกผม ผมก็พยักหน้า
“เมื่อค่ายรับน้องสองเดือนก่อนที่เราไปทะเลกัน กันต์โทรฯ หาบอนด์กี่ครั้ง”มิวถาม
“เจ็ด”ผมตอบ
“แล้วไลน์หากี่รอบ”
“ว่างก็ส่ง”
“แล้วโทรฯ บ่อย ไลน์บ่อยขนาดนี้ทำทำไม”
“คิดถึง”
“อ่ะ บอนด์จำคำตอบไว้นะ เราจะถามต่อ ในเดือนที่ผ่านมา มีกี่วันที่กันต์ไม่ได้ไปรับบอนด์กับห้องพร้อมกัน”มิวถามผมอีกครั้ง ผมก็นั่งคิดตาม
“ก็ตอนช่วงมีงานโชว์ของที่คณะอ่ะ แต่ช่วงอาทิตย์นั้นก็จะเจียดเวลาไปรับตลอดนะ มีช่วงใกล้ๆ งานไม่ได้ไป ประมาณ 3-4 วันมั้ง”ผมตอบตามที่นึกได้
“แล้วทำไมถึงไปตลอด”
“ก็ต้องไปกินข้าวด้วย ต้องรู้ว่าบอนด์ถึงห้องแล้ว ถ้าไม่มีใครออกไปไหนด้วย ก็ไม่อยากให้ออกไปไหน กลัวไปทำอะไรให้ตัวเองเจ็บตัวอีก”ผมตอบ
“แล้วเมื่อเย็น ทำไมถึงชวนบอนด์มาด้วย”มิวถามอีก
“ก็ไม่อยากให้อยู่ห้องคนเดียว กลัวบอนด์เหงา แล้วก็เวลาไปเดินห้าง บอนด์ก็มาด้วยตลอด เลยชวนมา”ผมตอบ
“แล้วเบื่อไหมที่เราเลือกของนาน”
“เบื่อ”
“แล้วตอนที่บอนด์โดนทิ้ง ที่มิวลากออกมา กันต์รู้สึกยังไง”
“เป็นห่วง เป็นห่วงมากๆ กลัวบอนด์โกรธ กลัวบอนด์ไม่คุยด้วย ก็อยู่ดีๆ มิวลากเราออกไป เราก็เลยเป็นห่วงบอนด์”
“กันต์กันฟังมิวนะ เราถามกันต์ไป กันต์ก็ตอบว่าเป็นห่วงบอนด์มาก เราจะถามคำถามสุดท้าย ทำไมถึงเป็นห่วง”
“ก็...บอนด์เป็นเพื่อนเรา”ผมตอบ ก็บอนด์มันเป็นเพื่อนผมนี่ครับ
“โอ๊ยกันต์ ถามอีกคำถามหนึ่งก็ได้ ถ้าเกิดวันไหนบอนด์ไปจูบกับคนอื่น กันต์จะรู้สึกยังไง เอาความรู้สึกจริงๆ ลองคิดดู”ไม่ต้องคิดหรอกครับ วันนี้ผมรู้แล้วว่าผมคงโกรธมาก
“คงโกรธมาก”
“ถ้ากันต์บอกว่าบอนด์เป็นเพื่อนกันต์ แต่พอบอนด์ไปจูบกับคนอื่น ทำไมถึงโกรธมาก เราขี้เกียจฟังคำตอบละ กันต์ฟังนะ กันต์ลองตัดคำว่าเพื่อนทิ้งไปก่อน แล้วลองคิดว่า บอนด์เป็นใครก็ไม่รู้มาจากไหนไม่รู้ ลองถามว่าสิ่งแรกที่กันต์อยากทำต่อหน้าบอนด์คืออะไร”มิวบอกผม ผมจึงคิดตาม ผมคิดถึงใบหน้าขาวๆ ปากเรียวๆ สีชมพูของเขาแล้วเผลอยิ้มออกมา
“คงเข้าไปกอด”ผมบอกแล้วยิ้มเขิน
“แล้วเข้าไปกอดทำไม”
“ก็ชอบ”ผมตอบไปโดยไม่คิด แล้วตกใจกับคำตอบของตัวเอง บางสิ่งเกิดขึ้นมาในใจของผมทันทีที่ผมตอบแบบนั้นออกไป ภาพบอนด์ร้องไห้ย้ำเข้ามาให้หัวของผม
“เห็นไหมกันต์ กันต์ตอบทันที กันต์มิวรู้มาตั้งนานแล้วว่ากันต์นะ รักแล้วก็เป็นห่วงบอนด์ขนาดไหน ทุกอย่างที่กันต์ทำให้บอนด์ กันต์อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นความเคยชิน เพราะกันต์ไม่ได้ทิ้งคำว่าเพื่อนออกไป แต่ในสายตาคนนอกอย่างเรา เรามองสิ่งที่กันทำให้บอนด์ว่า ความรัก เราไม่รู้ว่ากันต์จะรู้สึกหรือเปล่านะ รู้สึกไหม ว่ากันต์น่ะหวงแล้วก็ห่วงบอนด์มากขนาดไหน”มิวเอื้อมมือมาจับมือผม ผมจึงคิดตาม



   นั่นสินะ ทุกอย่างที่ผมกับให้บอนด์เพราะผมเป็นห่วงมันล้วน แล้วเหตุการณ์ที่ผมมีอะไรกับเขา ไม่ใช่ผมรู้สึกไม่ดี หรือรังเกียจ แต่ผมติดกับคำว่าเพื่อน เพราะเพื่อนไม่ควรทำอะไรแบบนี้ ทุกครั้งที่บอนด์มาบอกว่าชอบใคร ผมจะอารมณ์เสียใส่เขาทุกที จนบอนด์ก็บอกว่าแค่ชอบ ไม่ได้คิดจะจีบ ผมก็เลยวางใจ


   แล้วคิดดูสิครับ วันนี้ผมทำบอนด์ร้องไห้ ทั้งที่ผมควรจะทำให้เขารู้ว่า ผมก็รักเขาไม่ต่างกับที่เขารักผม ผมรักเขามาก รักมากจนโง่ไม่รู้ความรู้สึกของตัวเอง


   โง่ที่ไม่รู้ว่าตัวผมเอง ไม่เคยกินข้าวเย็นกับเพื่อนเลยทุกครั้งต้องกินกับบอนด์
   โง่ที่ไม่รู้ว่าตัวผมเอง ต้องไปรับบอนด์กลับห้องทุกวัน
   โง่ที่ไม่รู้ว่าตัวผมเอง ไม่ส่งบอนด์ที่คณะทุกวัน
   โง่ที่ไม่รู้ว่าตัวผมเอง คิดถึงเขามากแค่ไหนในวันที่ใครสักคนไม่อยู่
   โง่ที่ไม่รู้ว่าตัวเอง...รักเขามากแค่ไหน


“กันต์ ตอนนี้คงจะรู้แล้วนะว่ากันต์รักใคร ความรู้สึกที่กันต์มีต่อมิว มันเป็นความรู้สึกที่กันต์ชอบมิวแค่เพื่อนที่คุยกันถูกคอ แต่มันไม่ถูกใจกันต์ มิวแค่อยากให้กันต์รู้ว่า กันต์โชคดีมากแค่ไหน ที่มีอีกคนคอยดูแลอยู่แล้ว”มิวบอกผมแล้วยิ้ม ผมเงยหน้ามองมิวแล้วยิ้มถาม

“ขอบใจนะมิว ขอบใจจริงๆ”ผมบอกมิวแล้วยิ้ม หลังจากนั้นผมก็คุยกับมิวอย่างสนุกสนาน แต่ผมต้องรีบกลับเพราะผมไม่อยากทิ้งบอนด์ให้อยู่คนเดียว ก็เป็นห่วงนี้ครับมันเป็นความเป็นห่วงที่ผมมีให้บอนด์มาตลอด แต่ในใจติดคำว่าเพื่อนเสมอ


   แต่เมื่อผมกลับมา ผมกลับผมเพียงความเงียบภายในห้อง ห้องที่มืด ผมเรียกอีกคนที่อยู่กับผมมาตลอด แต่ก็ไม่พบ ผมจึงเดินเข้าไปดูในห้องแต่ก็ไม่เจอ แล้วผมก็ต้องแปลกใจ เมื่อผมพบว่าของใช้ต่างๆ ของบอนด์หายไป ผมเดินเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า บอนด์หนีไป บอนด์หนีผมไป ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรฯ หา แต่ก็ไม่ติด ได้ยินแต่เสียงฝากข้อความ ผมร้อนใจมาก ไม่รู้ว่าหายไปไหน ถามเพื่อนของเขาก็บอกว่าไม่รู้ แล้วยิ่งตอนดึกๆ แบบนี้ ผมไม่รู้ว่าหายไปไหน ผมนั่งกุมขมับ คืนนั้นทั้งคืนผมนอนไม่หลับ บอนด์หนีผมไป เป็นเพราะผมเองแท้ๆ ที่รู้สึกตัวช้าไป ผมกลัว กลัวว่าบอนด์จะโกรธ กลัวเขาจะเกลียดผม กลัวว่าจะไม่รักผมแล้ว

   
   หลังจากคืนนั้นวันรุ่นขึ้นผมก็ไปหาที่คณะ ถามหาคนไปทั่ว ถามทุกคนที่น่าจะรู้จักบอนด์ แต่ก็ทุกคนก็บอกว่าไม่เห็น ผมไปตามทั้งเช้าและเย็น แต่ก็ไม่เจอ ผมพยายามโทรฯ หา แต่ก็ไม่ติด เหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนเบอร์แล้ว ผมพยายามไปตามหา ไปเฝ้าเขาตลอดสองอาทิตย์แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า ทำไม แค่คณะวิทยา ทำไมผมถึงไม่เจอบอนด์ เหมือนว่าโลกที่เคยแคบ มันกว้างขึ้นมากๆ เมื่อบอนด์ไม่อยู่กับผม


   จนผ่านมาสองอาทิตย์ ที่ผมมานั่งโง่ๆ อยู่ในวันเกิดตัวเองที่ห้อง ผมไม่อยากจะออกไปไหน ไม่อยากจะเจอผู้คน ผมอยากจะรอเผื่อว่าบอนด์จะกลับมาที่ห้อง ผมอยากนั่งอยู่แบบนี้ คิดถึงช่วงเวลาที่บอนด์อยู่ด้วย ผมเอาแต่ติดคำว่าเพื่อน สนใจคนอื่นมาก คิดว่าตัวเองชอบคนอื่นและปิดกั้นหัวใจมาตลอด จนมาวันที่บอนด์ไม่อยู่กับผม ทุกอย่างที่ผมเคยทำ มันไม่ได้ทำอีกแล้ว

   
ผมอยากลูบหัวเขาตอนเขาจะนอน
ผมอยากได้ยินเสียงเขาเรียกเข้านอนทุกคืน
ผมอยากสวดมนต์กับเขา
ผมอยากได้ยินเสียงเขาไล่ผมไปตัดผม
ผมอยากได้ยินเสียงเขาตามไปซักผ้า เก็บห้องในวันว่าง
ผมอยากได้ยินเสียงเขาห้ามให้ไปกินเหล้า
ผมอยากจะบอกเขาว่า ผมเลิกสูบบุหรี่แล้ว


RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูแล้วก็เห็นว่าเพื่อนโทรฯ มา ผมจึงกดรับ

“โทรฯ มาทำเชี่ยไร”ผมกรอกเสียงไปตามสายโทรศัพท์
“มึงจะตะคอกทำห่าไร ไม่ออกมาแดกเหล้ากับพวกกูหรอวะ วันเกิดมึงนะเว้ย”เสียงเพื่อนต่างคณะของผมดังขึ้น
“ไอ้เชี่ยซี กูบอกแล้วไงว่ากูไม่อยากไป”ผมบอกมัน ไอ้ซีเรียนอยู่วิศวะฯ ครับ สนิทกันตอนไปค่ายอาสาครับ แล้วก็มารู้ว่าตอนนี้มีแฟนเป็นเด็กวิทยาฯ ด้วย เสือกเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก
“เด็กถาปัตย์ แบบมึงเนี่ยนะไม่อยากมา มาเถอะน่า”ไอ้ซีรบเร้าผม
“มะ...”
“พลานท์จะไปไหนอ่ะ”เสียงไอ้ซีถามแฟนมัน
จะไปนั่งกับพวกบอนด์อ่ะ เพื่อนในคณะ”เสียงแฟนมันบอกมา ทำให้ผมตื่นเต้นทันที
“ละ...”
“เฮ้ยๆ ไอ้ซี มึงถามแฟนมึงหน่อยว่า บอนด์ไหน ที่เรียนเคมีหรือเปล่า ?”ผมรีบถามไปอย่างตื่นเต้น
“พลานท์ บอนด์ที่เรียนเคมีอ่ะนะ”ซีถามตามที่ผมถาม
“อื้อ”พลานท์บอก
“ใช่มึง มีไรวะ”
“มึงรอที่ร้านนะ กูจะไป”ผมรีบกดวางสายแล้วออกจากห้องทันที ขาผมไม่ไวเท่าหัวใจที่ตอนนี้ไปอยู่ที่ร้านเรียบร้อยแล้ว


   ผมใช้เวลาไม่นานก็มาถึงร้านที่ไอ้ซีนัดไว้ ผมรีบเดินเข้าไปทันที ก็เห็นไอ้ซีโบกมือไหวๆ ให้อยู่ ซึ่งตอนนี้มันนั่งกอดคอแฟนมันอยากหวงแหน


“ว่าไง ไอ้กันต์ เด็กถาปัตย์ฯ สุดหล่อ”ไอ้ซีทักผมขึ้นทันที
“บอนด์อยู่โต๊ะไหน”วันนี้คนแน่นไปหมด ผมมองหาบอนด์ไม่เจอเลย
“โต๊ะนั้น”แฟนไอ้ซีชี้ให้ผมมองไปตามมือ ผมจึงเห็นบอนด์นั่งหัวเราะอยู่กับพวกเต้ เพื่อนของมัน ผมจึงเดินเข้าไปหาทันที
เมื่อผมเข้าไปหา บอนด์เงยหน้ามองหน้าผมแล้วเบิกตากว้าง ผมไม่รอให้เขาพูดอะไร จับแขนบอนด์แล้วก็ลากออกมาจากร้านทันที
“เฮ้ย ไอ้กันต์ มึงจะลากเพื่อนกูไปไหน”เสียงเต้ดังขึ้นมาแล้วจับแขนบอนด์ไว้
“ปล่อย ถ้ามึงไม่อยากโดนต่อยๆ เรื่องของกูกับบอนด์”ผมจับแขนมันออกแต่บอนด์ยื้อไว้
“กันต์ มึงมีเหตุผลหน่อยดิวะ ค่อยๆ พูดกัน”บอนด์พูดกับผม
“ถ้าอยากให้ค่อยๆ พูดก็กลับไปคุยกันที่ห้อง”ผมต้องใช้ไม้แข็งกับมันแล้ว ไม่งั้นมันไม่ยอมไปแน่ๆ
“กูไม่ไป”
“แต่กูจะให้ไป”ไม่รอ ผมอุ้มมันขึ้นพาดบ่าแล้วเดินออกจากร้านทันที โดยไม่สนใจเสียงโวยวายของบอนด์แล้วก็สายตาทุกคน
“เฮ้ย กันต์มึงจะกลับแล้วหรอวะ ละ...”ซีเรียกผม


“เมียหนีเที่ยว ต้องพากลับบ้าน”


   ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินออกจากร้านทันที ผมพาบอนด์ขึ้นมาบนห้อง แล้ววางเขาลงบนเตียง บอนด์ที่ดิ้นมาตั้งแต่ที่ร้าน เมื่อถึงห้องก็หอบไม่แพ้กับผม

“ไอ้กันต์ มึงลากกูมาทำไมเนี่ย กูนั่งกะ...”
“เงียบแล้วฟังกู...”ผมจับไหล่มันแล้วมองตามันให้ลึกที่สุด
“อะ...อะไร”เสียงบอนด์สั่น แล้วหลบตาผม
“กลับมาอยู่กับกูนะ มาอยู่ที่ห้องของเรา”ผมพูดเหมือนขอร้อง บอนด์หันมามองหน้าผม
“กูกลับมาไม่ได้หรอก จะให้กูกลับมาในฐานะอะไร ในเมื่อมึงเป็นคนผลักกูออกไปจากชีวิตเอง”มันบอกกับผม
“บอนด์กูพูดหรือยังว่ากูไล่มึงไป”ผมกอดอกแล้วถามคนตรงหน้า บอนด์หลบตาผมอีกครั้ง
“ยะ...ยัง”
“แล้วมึงเก็บข้าวของออกจากห้องทำไม รู้ไหมว่าตลอดสองอาทิตย์ก็ต้องคลั่งแค่ไหนที่หาตัวมึงไม่เจอ ทั้งไปหาที่คณะ ไปรอตั้งแต่เช้าจนเย็น กลับมาห้องแล้วไม่เจอมึงกูโคตรเหงาเลยนะเว้ย ตอนเย็นกูก็กินแทบไม่ได้ ทำไมมึงถึงหนีไปแบบนั้น ไม่รอกูกลับมา มึงทำให้กูนอนไม่หลับนะบอนด์”ผมพูดยาวแล้วมองหน้าบอนด์ ที่ตอนนี้เหมือนน้ำตาจะไหล

“ก็มึงจะให้กูคิดยังไง มึงจะให้กูอยู่ที่นี่ให้ใจก็เจ็บหรอ มึงวิ่งออกไปแบบนั้นกูก็ต้องคิดว่ามึงรับไม่ได้อยู่แล้ว มึงคิดว่ากูจะหน้าด้านอยู่ที่นี่ทั้งที่คิดกับมึงเกินเพื่อนหรือ...กูทะ”ผมไม่รอฟังจนจบดึงตัวมันเข้ามากอดทันที ผมไม่อยากให้เขาคิดไปเองอีกแล้ว ผมไม่อยากให้เขาร้องไห้ไปมากกว่านี้ ผมอยากให้เขารู้ว่าเขาเป็นคนที่มีค่ากับผมมากที่สุด

“กูขอโทษบอนด์ กูขอโทษที่โง่มาตลอด ขอโทษที่ทำอะไรไม่ชัดเจน กูขอโทษที่ยึดติดคำว่าเพื่อน จนไม่รู้ว่าที่จริงแล้วกูก็รักมึงไม่ต่างจากที่มึงรักกูเลย กูขอโทษ กลับมาอยู่กับกูนะ”ผมพูดเสียงแผ่วเบาๆ ผมพูดให้เขาฟังให้ชัดที่สุด ให้เขารู้สึกว่าทุกคำพูดของผมมันมาจากหัวใจ

“อะ...อะไรนะ”บอนด์พูด
“กูรักมึง”ผมบอกกระซิบข้างหูเขา ก่อนที่จะผละออก ตอนนี้บอนด์มองหน้าผมอย่างอึ้ง เหมือนพูดไม่ออกแล้วหน้าก็แดงขึ้นมา “มึงสบายหรอ ทำไมหน้าแดง ไปหาหมอไหม ไปเถอะ”ผมเอื้อมมือไปอังหน้าผาก แล้วจับมือจะพาไปหาหมอ
“โอ๊ยๆ กูไม่ได้เป็นอะไร...กูแค่...”บอนด์เว้น “เขิน”แล้วเขาก็ยิ้มออกมาแล้วหันหน้าหนีผม ผมยิ้มทันทีที่เห็นท่าทีของเขา อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาเริ่มจะหายโกรธผมแล้ว ผมจึงโผไปหอมแก้มทันที
“ไอ้กันต์ มึงทำอะไรเนี่ย”บอนด์หันมามองหน้าผมแล้วตีแขนเบาๆ
“หอมแก้มเมีย”ผมตอบหน้าตาย
“ใครเมียมึง”บอนด์ถลึงตาใส่ผม
“ให้ฟื้นความจำไหม ?”ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“มะ...มะ...ไม่ต้องๆ”บอนด์ผลักหน้าผมออกทันที แล้วนั่งหันหลังให้ผม ผมเลยสะกิด
“บอนด์...”เขานิ่ง “บอนด์...หันมาคุยกับกูก่อนดิ มึงหายโกรธกูแล้วใช่ไหม”ผมถามเสียงอ่อยรู้สึกผิด
“กูไม่ได้โกรธ กูแค่โกรธตัวเองที่กู...”บอนด์หันมามองหน้าผม ก่อนที่จะก้มหน้า “รักมึงมากเกินไป”บอนด์พูดกับผมแล้วยิ้มออกมา ผมยิ้มทันทีที่ได้ยินคำนั้น ทำไมตอนได้ยินคำนี้ตอนนี้เหมือนโลกของผมที่มืดหม่นมาสองสัปดาห์มันสว่างขึ้นมาทันที ผมยื่นหน้าไปจูบปากเขาอย่างแผ่วเบา พร้อมกับสอดลิ้นไปลิ้มรสความหวานจากคนตรงหน้า บอนด์ไม่ขัดขืนจูบตอบผมอย่างรู้งาน ก่อนที่ผมจะผละออก
“อย่าโกรธตัวเอง กูแค่รู้ตัวช้า แต่ตอนนี้กูรักมึง รักมึง รักจนไม่อยากให้ใครจับต้องมึงนอกจากตัวเอง”ผมบอกพร้อมกับลูบแก้มนวลของเขา
“รู้แล้วน่า”บอนด์บอกผมแล้วยิ้มอย่างเขิน น่ารักชะมัด ทำไมเมื่อก่อนผมไม่เห็นว่าเขาน่ารักนะ
“งั้นขอหอมแก้มอีกครั้งนะครับ”ผมจะยื่นหน้าไปหอมแก้ม
“พอๆ...ไปโกนหนวด !”บอนด์ดันหน้าผม แล้วพูดเสียงดุ แต่ผมกลับยิ้มที่ได้ยินแบบนั้น ผมล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงกว้าง
“คิดถึงจังเสียงนี้”ผมกอดเอวบอนด์จากด้านหลังเบาๆ ทั้งที่ตัวเองนอนอยู่พร้อมกับเอาหน้าซุกเอวไว้
“คิดถึงจริงอ่ะ”บอนด์ถาม
“จริงดิ”
“งั้นไปตัดผมด้วย”
“คร้าบ”
“โกนหนวดด้วย”
“คร้าบ”
“ผ้าปูที่นอนนี่ได้เปลี่ยนบ้างไหม”
“รอให้เมียมาเปลี่ยนให้”
“ทุกที แล้วผ้าห่มอ่ะ ซักบ้างยัง”
“ก็รอให้เมียมาซักให้อยู่”
“ได้ทีเอาใหญ่”บอนด์บอกแล้วหัวเราะ

“ลืมไปเลย บอนด์มันอาจจะช้าไปหน่อยนะ แต่...ถึงเวลาแล้วที่วันนี้กูจะบอกมึงว่า เราสองคนรู้จักกันมานานแล้วเนอะ ตั้งแต่อนุบาล มึงกับกูตัวติดกันตลอด ทำอะไรก็ทำด้วยกัน มึงเป็นห่วงกูเสมอ มึงเป็นคนที่มองข้ามข้อเสียของกูแล้วยอมรับมันได้ กูว่ามันถึงวันแล้วที่เราสองคนจะข้ามคำว่าเพื่อน มึงพร้อมจะดูแลกูมากกว่าเพื่อนไหม ?”ผมจับมือบอนด์แล้วถาม บอนด์น้ำตาซึมแล้วโผกอดผมทันที

“เป็นมากกว่าเพื่อนนี่เป็นอะไรอ่ะ”บอนด์ถามทั้งที่กอดผม
“แฟนไง”ผมตอบ บอนด์ผละออกทันที แล้วบีบจมูกผม
“มึงกับกูข้ามขั้นแฟนไปแล้วมั้งตั้งแต่คืนนั้น”บอนด์พูดแล้วหัวเราะ ผมจึงจับแก้มเขาแล้วบีบทันที
“ฮ่าๆ ได้เมียกลับมาแล้วโว้ยยย งั้น...คืนนี้ก็...”
“หยุดคิด แล้วไปโกนหนวด !”บอนด์ชี้หน้าผมแล้วสั่ง
“คร้าบบบบ”ผมน้อมรับแล้วยิ้มแต่ก็ทำตามคำสั่ง “แต่โทรฯ หาแม่ก่อน”
“โทรฯ ทำไม ?”บอนด์ขมวดคิ้ว

“บอกว่ามีเมียแล้ว”

“ไอ้สัส !”บอนด์ขว้างหมอนใส่ผมแล้วหัวเราะ

“แล้วก็...สุขสันต์วันเกิด กูรักมึง”บอนด์พูดแล้วเดินเข้ามาจูบปากผมเบาๆ แล้วยิ้มอย่างมีความสุข ผมดึงเขาเข้ามากอดอย่างรักและคิดถึงมากที่สุด


   ผมเห็นรอยยิ้มของเขาแล้วทำให้ผมกลับมาชีวิตอีกครั้ง ขอบคุณนะบอนด์ ขอบคุณที่มึงเข้ามาในชีวิตกูแล้วผูกหัวใจกูด้วยพันธะของมึงให้กูไม่สามารถหนีมึงไปไหนได้


   กูรักมึง รักมึงมากที่สุด กูจะดูแลแล้วรักษาพันธะที่มึงสร้างไว้ให้ดีที่สุด
   มึงเป็นของขวัญวันเกิดที่กูอยากได้มากกว่ารองเท้านั้นอีก
   

Love you my heart bonding


_____________________________________________________________________________

เรื่องนี้ดราม่าไป 80%
มาแล้วครับ Part 2
หวังว่าคงจะชอบนะครับ
สุขสันต์วันแห่งความรักครับ

เจอกันเอกต่อไปครับ

ใครเล่นทวิตเตอร์ ฝากด้วยครับ #นักวิทย์วุ่นรัก
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 1) up 12/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wtftt ที่ 14-02-2016 00:07:21
เรื่องแรกกับเรื่องที่สองดูหน่วงจิตใจสดท้ายก็แฮปปี้
แต่เรื่องที่สามนี่โอ๊ย เอามีดมาจิ้มจ้วงง ฮืออออออออ

แต่งได้สนุกน่าติดตามมากอะ
เป็นซีรี่ย์กี่เรื่องฮับ5555
แต่งเรื่องอื่นอีกไหมง่า จะตามอ่านเลย
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 14-02-2016 13:04:49
ชอบทุกตอนเลย น่ารักๆ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-02-2016 20:01:07
สนุกอ่ะ แต่งมาให้อ่านเยอะๆนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: fongbeer37 ที่ 15-02-2016 01:05:57
คือดี ชอบบบบบ  แต่งมาอีกกกกกกกกกกกเน่ออออ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 15-02-2016 19:48:57
นายความรู้สึกช้ามากกันต์ เกือบเสียบอนด์ไปซะแล้ววววว
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 16-02-2016 23:17:00
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-02-2016 14:21:54
ตามมาอ่านเรื่องนี้ด้วยคนนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 18-02-2016 19:49:57
สนุกมากค่ะ ชอบมาก รอเอกต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 19-02-2016 02:29:43
น่ารักทุกตอนเลยยย
รอติดตามค่าาา
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: lazyishappy ที่ 25-02-2016 20:19:56
ขอบคุณนะคะ สนุกมากๆเลย ต้องชมมิวจริงๆ ที่เตือนสติกันต์ ไม่งั้นก็คงเคลียร์กันไม่รู้เรื่องหรอกคู่นี้ :mew1:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: BeautifulGirl ที่ 13-04-2016 16:50:04
รอออมาต่อออ นะคะ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 14-04-2016 23:49:50
คือดี ครบรสมาก... o13
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: kawoat ที่ 24-04-2016 16:55:42
อรั๊ยยยยย เพืื่อนรักรักเพื่ือนอ่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Napii ที่ 26-04-2016 22:27:17
ชอบมากเลย  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 27-04-2016 06:42:40
หูยยยย งานดีมากค่ะ สนุกทุกเรื่องเลย  :katai2-1:
มาต่อไวๆนะคะ เก๊ารออยู่  :mew1:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : เคมี หนีรัก (Part 2) จบ up 14/02/2559
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 05-05-2016 20:45:32
สวัสดีคร้าบบบบบบบ ... ต้องขออภัยจริงๆ ที่ทิ้งหายไปแบบนี้
คือช่วงนี้ คนเขียนอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกำลังจะจบแหล่ ไม่จบแหล่
ต้องขออภัยจริงๆ ครับที่ไม่ได้มาอัพเลย แต่ยังไม่ลืมนะครับ
กำลังพยายามหาเวลาอยู่ว่าจะได้กลับมาแต่งเมื่อไร ถ้าได้กลับมาแต่งจะลงให้เลยสัญญา
.
.
ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ ยังไงก็ติดตามจนจบทุกเอกนะครับ
สัญญาว่าจะมาต่อเอกต่อไปให้นะครับแต่เมื่อไรไม่รู้ รอก่อนนะครับ

ขอบคุณจากใจจริง
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ทักทายหลังจากหายไป 05/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-05-2016 22:13:53
รอนะคะ :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ทักทายหลังจากหายไป 05/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 06-05-2016 12:38:47
จะรอนะคะ

พยายามเข้าน้าาาาาา o13
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ทักทายหลังจากหายไป 05/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 27-05-2016 02:01:22
ฟิสิกส์คลิกใจ
[/color]

กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง


   เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นทำให้ผมเอื้อมมือปิดอย่างรำคาญ ก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยความขี้เกียจ ผมจำได้ว่าวันนี้วันเสาร์ ใช่วันนี้วันเสาร์ เป็นวันที่ผมนอนตื่นสายได้


   อ่า แค่คิดก็สบายแล้ว


“นิว...ตื่นได้แล้ว วันนี้รายงานตัวทุนที่มหา’ลัยไม่ใช่หรือไง”แล้วอยู่ดีๆ เสียงของหญิงใหญ่ภายในบ้านก็ดังขึ้น ผมเลยขมวดคิ้วอย่างหนวกหู


   ว่าแต่ เมื่อกี้แม่ว่าอะไรนะ ?


   รายงานตัว ?

   ไอ้ชิบหาย ! วันนี้ลืมไปเลยว่ามีรายงานตัวทุนคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่ผมยื่นไป ด้วยความที่เกรดถึงเลยลองสมัครไป

   
   ผมสะดุ้งตัวขึ้นจากเตียงแล้วรีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำ รีบจัดการให้เร็วที่สุด เพื่อจะทำเวลา โอ๊ย ตายๆ แก้ไม่หายนิสัยขี้เซาของผม แต่ยังดีครับที่มีแม่คอยเตือนตลอดเวลา


   ผมอาบน้ำเสร็จก็ใส่เสื้อนักเรียนอย่างเร่งรีบ


“นิวตัน ! เสร็จหรือยัง เดี๋ยวก็ไม่ได้กินข้าวหรอก”ใช่ครับ ผมชื่อนิวตัน ชื่อนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ที่ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก และตั้งกฎของแรงขึ้นมา ทำให้นักเรียนสายวิทย์ ปวดหัวมาครึ่งโลก
“ลงไปเดี๋ยวนี้แหละแม่ เสร็จแล้วๆ”ผมรับคำของแม่แล้วรีบคว้ากระเป๋าตรวจเอกสารอีกครั้ง เมื่อครบแล้วก็วิ่งลงข้างล่างทันที
“เอาเอกสารมาครบนะ”เสียงผู้เป็นพี่ชายของผมทักขึ้น ตาคมชั้นเดียวภายใต้กรอบแว่นของเขามองมาที่ผม พี่ชายผู้เนี๊ยบทุกการกระทำของผม พี่โอห์มนั่นเอง
“ครบแล้วน่าพี่โอห์ม”ผมบ่นเบาๆ เหมือนกับพี่โอห์มจะเคร่งกับผมนะครับ แต่พี่โอห์มดูแลผมโคตรดี แล้วอีกอย่างเป็นผู้ชายเคร่งขรึม ที่บทจะทำอะไรน่ารักๆ ก็น่ารักจนผมแทบอ้วก มีครั้งหนึ่งเขาเซอร์ไพรส์วันเกิดผมด้วยการซื้อกล้องถ่ายรูปให้ แต่เขาก็ดันเขินเอง ผมก็ฮาสิครับ แล้วอีกอย่างนะ พี่โอห์มอ่ะ ฮอตมากในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงของผม เวลาไปรับผมที่โรงเรียนนะ เพื่อนผู้หญิงจะเดินตามผมกันเป็นขบวนเชียว


   ผมก็ใช้ข้อดีตรงนี้แหละครับในการจีบสาวไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครสนใจผมเลย ก็พี่โอห์มแม่ง หล่อเกินไป แต่ผมก็ชื่นชมพี่ชายผมนะครับ ทำอะไรก็ดีไปหมด นี่เรียนเภสัชฯ อีก อะไรจะเฟอร์เฟ็ค ขนาดน้านนน


   อิจฉา


“พี่โอห์ม เด็กคณะพี่แจ่มป่ะ ?”ผมถามพี่โอห์มที่ตอนนี้กำลังอ่านชีทอะไรสักอย่าง มีแต่โครงสร้างอะไรไม่รู้เต็มไปหมด
“วันนี้ไปรายงานตัว ไม่ได้ให้ไปเต๊าะสาว รีบๆ แดก !”น่าน มาแล้วไงความโหดของพี่ผม
“คร้าบๆ โหดจริ๊ง แบบนี้สิไม่มีแฟนสักที”ผมบอก
“เสือก”ไอ้เหี้ยพี่นี่ ผมไม่รู้ว่ากับคนอื่นมันเป็นหรือเปล่านะครับ แต่กับผมพี่โอห์มแม่งโคตรโหด
“เออๆ”ผมว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป


   ผมขึ้นรถมากับพี่โอห์มครับ เพราะว่าผมเรียนโรงเรียนสาธิตของมหา’ลัยแหละครับ ทำให้ผมต้องไปเรียนกับพี่โอห์มทุกวัน


“ไม่ลืมอะไรนะ ?”พี่โอห์มถาม
“ไม่แล้วพี่”
“อือๆ ถ้ารายงานตัวเสร็จแล้วหิวข้าวเดินไปโรงอาหารเองได้นะ แล้วก็ไปรอที่หอสมุดก็ได้เย็นดี พี่เรียนเลิกเที่ยงกว่าๆ”พี่โอห์มบอก ผมก็พยักหน้าตาม
“นิวกลับก่อนไม่ได้หรอ ?”
“รอพี่แปปเดียวน่า เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงซูกิชิ ฉลองที่ได้ทุน”พี่ชายผมพูดทำให้ผมตาวาวทันที
“โอเค ได้เลยนิวรอ นานๆ พี่จะเลี้ยง”ผมว่า
“กูเลี้ยงมึงมาตั้งแต่เด็กละนิวตัน”พี่โอห์มว่า ทำให้ผมหัวเราะ
“ครับๆ นิวไปก่อนนะ เจอกันพี่”ผมโบกมือ พี่โอห์มก็เอามือมาลูบหัวผม
“โชคดี”นี่แหละครับ ความอบอุ่นของพี่ชายผม ผมยิ้มให้แกอีกครั้งแล้วก็ลงจากรถ ก่อนจะเดินไปตามป้ายที่ทางคณะติดไว้ให้ อ่า จะได้มาเรียนที่นี่แล้วนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย ผมจะทำหน้าที่นักศึกษาที่นี่อย่างดีไม่ให้เสียชื่อเลย



   ใช้เวลาในการรายงานตัวประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ผมก็เรียบร้อยแล้ว แต่กว่าจะมีกิจกรรมของทางคณะ นู่นนี่ ก็เกือบจะพอๆ กับเวลาเลิกเรียนที่โอห์มพอดี

   ผมได้รู้จักเพื่อนอีกเยอะเลยครับ เกือบจะครบทุกเอกด้วยซ้ำ ส่วนตัวผมได้ทุนเอกฟิสิกส์ ตามชื่อที่ทุกคนเกลียดเลยครับ แต่อย่าเพิ่งเกลียดเด็กผู้ชายตาดำๆ น่ารักๆ คนนี้นะครับ // ทำตาปริบๆ


   ผมเดินออกมาจากคณะแล้วก็เดินมาหาที่นั่งเย็นๆ แถวๆ ริมสระน้ำของมหา’ลัย ผมชอบลมธรรมชาติมากกว่าอากาศปรุงแต่งในห้องแอร์ครับ ผมหาที่นั่งแล้วก็หยิบกล้องสุดรักที่พี่ชายซื้อให้ออกมาแล้วก็ถ่ายรูปวิวไปทั่ว ถ่ายนู่นถ่ายนี่ เมื่อได้รูปที่พอใจก็ส่งเข้าไอโฟนแต่งสีนิดหน่อยก็ลงในไอจีครับ


   Izaxnewton : ไม่ต้องตามหา แค่รู้สึกว่ามีความสุขกับที่นี่ 
   Muaymuay : อีนิว มึงทิ้งพวกกูมีที่เรียนแล้ว
   Toomtam : จริง มึงไม่รอพวกกูเลย ปล.พี่โอห์มอยู่ไหม
   Izaxnewton : มันจะหมดเทอมอยู่แล้วไอ้สัด @ Muaymuay @ Toomtam


   ผมตอบกลับเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ ก็พวกมันเอ้อระเหยเอง ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่รู้ล่ะ อนาคตผมผมก็ต้องเดินตามทางที่มันควรจะเป็น ผมคิดแล้ว ฟิสิกส์คือวิชาที่ผมชอบมากที่สุด ผมเลยเลือกมัน และทิ้งมันไม่ได้ เพราะชื่อที่ได้มายังเกี่ยวเลย


   ไม่นานพี่โอห์มก็โทรฯ มาหาผม

“ว่าไงพี่”
“อยู่ไหน ?”
“นั่งอยู่ริมสระน้ำอ่ะ”
“ฝั่งคณะอ่ะหรอ ?”
“อื้อ”
“โอเคๆ กินข้าวยัง”
“ยังอ่ะ พี่บอกจะเลี้ยงเลยไม่ได้กิน ฮ่าๆ”
“อืมๆ งั้นเดี๋ยวไปรับ อ้อ เดี๋ยวมีเพื่อนไปด้วยนะสองคน”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายอ่ะ”ผมถามอย่างกระตือรือร้น
“กะเทย”
“ควาย ไม่ต้องเอามาเลย”ผมบอกแล้วหัวเราะ พี่โอห์มก็หัวเราะ
“ผู้ชายทั้งคู่”
“ครับๆ”
“เออๆ รอนั่นแหละ”


   พูดจบพี่แกก็ตัดสายไป แต่ไม่นานรถสีดำขลับคุ้นตาก็จอดเทียบข้างๆ โต๊ะมาหินอ่อนที่ผมนั่ง ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่รถทันที ผมโดนเนรเทศไปนั่งข้างหลังครับ เพราะว่ามีเพื่อนพี่โอห์มอีกคนนั่งอยู่ข้างหน้า ผมเลยได้นั่งกับพี่อีกคน ทันทีที่ผมมุดหัวเข้ารถแล้วเห็นหน้าของเพื่อนพี่โอห์ม พูดได้คำเดียวเลยว่า


   หล่อชิบหายวายวอด !!!


   ผมอึ้งอยู่นานเพราะพี่เขาหล่อมาก แม้จะใส่แว่น แต่ไม่สามารถบังความหล่อของเขาได้ ผมโคตรอิจฉาพี่เขาเลย อะไรจะหล่อขนาดนั้น

“จะขึ้นรถได้ยัง หิวข้าว”พี่โอห์มเรียกผม
“เออๆ รีบจริงวุ้ย”ผมบ่นก่อนจะปิดประตูรถ
“นิว นี่พี่คิน ส่วนหลังไอ้เวฟ”ผมยกมือไหว้ทีละคน “ส่วนนี้ น้องกูนิวตัน มันได้ทุนที่วิทยาฯ นี่แหละ”พี่โอห์มโฆษณาให้ผมเสร็จสรรพ ผมถอนหายใจก่อนที่ยกมือไหว้พี่เขาทีละคน
“หวัดดีครับพี่”ผมบอกแล้วเข้าไปนั่งอย่างชิน เพราะคันนี้ผมนั่งตั้งแต่เรียนสาธิตที่นี่แล้ว
“เฮ้ย ไอ้โอห์ม น้องมึงหน้าตาน่ารักนี่หว่า ไหงกูไม่เคยเห็นวะ ?”ไอ้พี่คินที่นั่งอยู่ข้างหน้าพูดแซวดังขึ้น ผมเกลียดคำว่าหน้าตาน่ารักมากครับ มันทำให้ผมดูเป็นผู้ชายที่ไม่เหมือนผู้ชาย
“มึงเสือกไปเต๊าะสาวไม่สนใจไง กูก็ไปรับไปส่งมันอยู่ทุกวัน”พี่โอห์มบอกแล้วก็ขับรถออกไปทันที
“หวัดดีน้อง พี่ชื่อคินนะ ไอ้หน้านิ่งนั่นเวฟ”
“พี่ชายผมบอกแล้วครับ”ผมบอกแล้วยิ้มให้เขาพี่เขา จะย้ำทำไม กูรู้แล้วครับ ก่อนที่ผมจะหันไปมองหน้าพี่ใส่แว่นที่นั่งข้างๆ แล้วผมก็สงสัยว่า ทำไมถึงได้นั่งหน้านิ่งแบบนี้ ตั้งแต่ขึ้นรถมาผมยังไม่ได้ยินเสียงพี่เขาสักคำ ผมก็ไม่สนใจนั่งดูรูปในกล้องของผมต่อไป


   วันนั้นพี่โอห์มก็พาผมกับเพื่อนไปกินบุฟเฟ่จริงๆ แหละครับ แต่ผมก็คิดไม่คุ้มค่าเท่าไร เพราะเป็นคนกินไม่เยอะไร ตัวมันถึงแค่นี้ ถึงแม้กระเพาะอาหารเราจะขยายได้ แต่ของผมมันก็เล็กเกินไป หลังจากทานกันเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ พี่คินขอแยกกลับไปแล้วเพราะว่าต้องขึ้น BTS กลับบ้านไปแล้ว ตอนนี้เลยเหลือพี่เวฟคนเดียว


“ไอ้เวฟ มึงกลับไงวะ”พี่โอห์มหันมาถามร่างสูงพอๆ กันข้างๆ ตั้งแต่ขึ้นรถมาผมได้ยินเสียงพี่เวฟ คุยกับพี่โอห์ม พี่คิน ก็นับประโยคได้
“ก็รถเมล์ กูก็กลับประจำอยู่แล้ว”เจ้าของดวงตาภายใต้กรอบแว่นหันมาตอบ
“เออๆ แล้วที่มึงถามกูในไลน์ มึงจริงจังใช่ไหม ?”พี่โอห์มถาม ในไลน์ จริงจัง ? อะไรวะ งง
“กูเคยพูดเล่นหรอ อะไรที่กูบอกว่าจริงจัง กูก็ทำจริงๆ”เสี้ยววินาทีหนึ่งเหมือนหางตาของพี่เขาให้มามองผม
“เออ กูรู้ งั้นกูเอาใจช่วยละกัน กูเชื่อว่ามึงจริงจังเพราะมึงเป็นเพื่อนกู แต่สู้ๆ นะมึง ดูท่าจะยากว่ะ”พี่โอห์มบอกแล้วตบไหล่
“ยากแค่ไหนก็จะทำ ก็มัน...”พี่เวฟเว้นวรรคไปสักพักแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะยิ้มมุมปาก “คิดจริงจังไปแล้ว”


ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย !!!
ทำไมหล่อแบบนี้ ผมไม่เคยเห็นคนใส่แว่นที่หล่อโคตรๆ แบบนี้มาก่อนเลย
.
.
แต่เดี๋ยวก่อน ผมเป็นผู้ชาย
ผมเป็นผู้ชาย ทำไมมาใจเต้นกับรอยยิ้มของไอ้พี่เวฟหน้านิ่งคนนี้วะ


“เออๆ แต่อย่าลืมที่กูบอกนะ กูก็จริงจังเหมือนกัน”พี่โอห์มบอก โอ๊ยแม่ง ทำไมมันงงแบบนี้สรุปเขาไปคุยอะไรกันทั้งที่ผมไม่รู้หรือเปล่าวะ แต่ช่างแม่งเถอะ เขาไม่อยากให้รู้ กูก็ไม่ยุ่งก็ได้
“อืม งั้นกูไปก่อนนะ”พี่เวฟบอก แล้วหันมามองหน้าผม “พี่ไปก่อนนะครับ”แล้วก็ยิ้มวัวตายควายล้มให้ผมอีก ผมรู้สึกได้ว่าใจผมสั่นกับรอยยิ้มนั่น
“คะ...ครับ”ผมบอกตะกุกตะกัก



   พอพี่เวฟไปแล้ว ผมกับพี่โอห์มก็เดินมาที่รถ แล้วก็ขับรถกลับบ้านทันทีเพราะมันค่ำแล้ว ถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถและผู้คนท่ามกลางเมืองหลวงช่างวุ่นวาย


“พี่โอห์ม พี่เวฟเขาเป็นคนพูดน้อยเป็นปกติหรอ ?”อยู่ดีๆ ผมก็ถามออกไป พี่โอห์มทำหน้าแปลกใจนิดๆ ก่อนจะยิ้มออกมา
“ก็นะ...มันพูดน้อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่พูดเลย เป็นคนขี้เกียจพูดมากกว่า ถามทำไม”พี่โอห์มถาม
“เปล่า ก็เห็นว่าพูดน้อยนึกว่าจะหยิ่ง แล้วก็คิดว่ายิ้มยากแต่วันนี้นิวรู้สึกว่าพี่เขายิ้มนิดหนึ่งด้วยนะ”พี่ว่า พี่โอห์มยิ้มหัวเราะเบาๆ
“ใช่ มันยิ้มยาก ยิ้มยากมาก แต่ไอ้เวฟมันจะยิ้มในเรื่องที่มันชอบและพอใจเท่านั้น เช่น เจอคนที่ชอบ”ท้ายประโยคทำให้ผมใจกระตุกนิดหนึ่ง แล้วรู้สึกเหมือนใจสั่น ก็เขายิ้มตอนเหล่มองผมนี่จะไม่สั่นได้ไง
“ระ...หรอ”ผมว่า


   ช่างเถอะ คงไม่ใช่มั้ง




เปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ โอ้โห หกเดือนที่ปิดไปแม่งโคตรของโคตรเหงา ทำไมมันเหงาสิ้นดีแบบนี้นะ  แต่ผมก็ไม่ควรเหงานะ เพราะช่วงปิดเทอมก็แม่งยุ่งวุ่นวายไปทั้งหมด พี่โอห์ม ก็เรียนซัมเมอร์ มีงานเข้ามาให้ทำตลอด ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไร ซึ่งหลังจากที่ไปรู้จักเพื่อนพี่มันวันนั้น รู้สึกไอ้คนที่ผมเจอหน้าบ่อยสุดก็ไอ้พี่เวฟนี่แหละ วนเวียนแม่งมาบ้านผมได้อาทิตย์ละเจ็ดวัน พอมาถึงก็อาศัยข้าวบ้านผมกินทุกครั้ง จนตอนนี้นะ เป็นลูกรักแม่ไปอีกคนละ

“เวฟลูก มาช่วยแม่ขนกับข้าวไปตั้งโต๊ะอาหารหน่อย วันนี้ก็อยู่ทานข้าวบ้านแม่ก็แล้วกันนะ”นั่นไง แม่ไม่ต้องชวนพี่มันหรอก แม่ง ก็อยู่กินข้าวมาผมมา 2 อาทิตย์ละตั้งแต่รู้จักกันวันนั้น แล้วช่วงนี้นะ ก็โคตรของโคตรหาเวลากวนผมได้ตลอดเวลา
“แม่ไม่ต้องชวนผมหรอกครับ ผมฝากท้องกับแม่อยู่แล้ว”พี่เวฟพูดแล้วยิ้มออกมา ช่วงนี้ก็เหมือนกัน จะยิ้มทำห่าอะไรนักหนา ยิ้มบ่อยจริ๊ง ไหนบอกว่ายิ้มยากไง ตอนนี้นี่ยิ้มบ่อยสัดๆ



รู้ป่ะว่ากูหวั่นไหวโว้ยยยยยยยยยยยย


“เออ เอาเข้าไป นี่พี่มาอาศัยข้าวบ้านผมกินมาสองอาทิตย์ละนะ แม่ไม่เหงาหรือไง มากินข้าวบ้านคนอื่นอ่ะ”ผมพูดแล้วทำหน้าบึ้ง
“นิวตัน ! ทำไมพูดแบบนั้น”ฝ่ามือแม่ตีแขนผมเบาๆ
“ก็มันจริงอ่ะแม่ แล้วนี่นะ มาแม่ค้งแม่ครับ น่ารักตายล่ะ”ผมก็ไม่วายกัดพี่เขาไป พี่เวฟก็ขยับแว่นนิดหนึ่งแล้วก็ยิ้มมุมปากแบบที่ทำให้ผมใจสั่นมาอีกครั้ง


   นี่กูเป็นผู้ชายนะโว้ยยยยยยยยยยยยย


“ก็กับข้าวบ้านนี้อร่อย พี่ก็เลยอยากกินไง นี่ว่าจะฝากตัวเป็นลูกบ้านนี้แล้วนะเนี่ย”พี่เวฟบอก ไม่สมกับที่เคยบอกว่าเป็นคนนิ่งๆ เลยสักนิด
“ไม่ต้องเลย ไหนบอกว่าเป็นคนพูดน้อยวะ ตั้งแต่รู้จักกัน พี่แม่งพูดมากกว่าผมอีก”ผมพูดไปแล้วตักข้าวเข้าปาก พี่โอห์มก็ลงมาพอดี
“ไอ้นิว ทำไมไม่รอพี่กับพ่อ !”
“พ่อไม่อยู่ พี่โอห์มลงมาช้า”ผมพูดอย่างไม่สนใจแล้วก็กินข้าวต่อไป
“ก็มีคนอยากให้คุยด้วย ก็เลยอยากพูด ความจริงก็ฝืนๆ อ่ะนะ แต่ว่าพูดกวนใครบางคนแล้วสนุกดี”พี่เวฟว่าแล้วยักคิ้วให้ผม
“ให้มันน้อยๆ เลยมึง แดกข้าวไม่เสือกรอ”พี่โอห์มว่า สมน้ำหน้า
“ก็มึงลงมาช้า”พี่เขาให้ไปบอกกับพี่โอห์ม
“เอาๆ อย่าเพิ่งเถียงกันลูก ทานข้าว”แม่บอกแล้วนั่งลงบนหัวโต๊ะแล้วก็จัดการกับข้าวทันที แต่แม่งข้าวมื้อนี้ทำไมมันขัดหูขัดตานักวะ ก็ไอ้พี่เวฟอ่ะดิ เล่นจ้องหน้าผมตลอดการกินข้าวเลย
“พี่จะจ้องหน้าผมทำไม ข้าวติดหน้าผมหรือไง”ฮึ่ย คนมันหวั่นไหวนะโว้ย
“ก็อย่างมอง เผื่อหวั่นไหว”นั่นไง เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องละ
“ใครหวั่นไหว บอกเลยว่าผมชอบผู้หญิงนะพี่ หน้าแบบพี่นี่ชอบผู้ชายหรอวะ ?”ผมว่าออกไป
“ตายแล้วลูก น้องเวฟ จะจีบนิวตันหรอลูก คิดดีแล้วหรอลูก ลูกแม่อย่างกับลิง”โธ่แม่ก็ ทำไมไม่เข้าข้างลูกชายของแม่เลยสักนิด
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมปราบลิงเก่ง”ไอ้พี่เวฟ ไอ้แว่นนรก !
“ใครจะยอมให้ปราบ แม่ก็ไม่เข้าข้างลูกเลย คิดจะเอาลูกใส่พานให้ผู้ชายหรือไง ผมเป็นผู้ชายนะแม่”ผมโวยวาย ไม่กินแม่งแล้ว แม่ง แล้วทำไมใจต้องเต้นด้วยวะ เกิดมาไม่เคยมีคนมาบอกว่าจะจีบตรงๆ แบบนี้เลย คนมันก็ไปไม่ถูกสิวะ “พี่โอห์มก็อีกคน แม่งไม่ช่วยกันน้องเลย”คิดจะเอาลูกกับน้องประเคนให้ผู้ชายหรือไง

“นิวตัน...”แม่หันมาเรียกผม แม่เห็นใจผมแล้วใช่ไหม ผมรักแม่ที่สุดในโลกเลย

 “แม่ว่าลูกมโนมากเลยนะลูก”

   พรววดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!
   
   พี่เวฟที่กินน้ำอยู่ถึงกับสำลัก แล้วหัวเราะเบาๆ แล้วก็ยิ้มกว้างทันที  จากหัวเราะเบาๆ ก็กลายมาเป็นหัวเราะดังลั่น
“พี่ ! จะหัวเราะอะไรลั่นขนาดนั้นวะ แม่ง ขัดใจโว้ยยยย”ไม่กินแม่งแล้ว หนีขึ้นห้องแม่ง
“นิว...”แม่ผมหันมาเรียก แม่จะง้อผมใช่ไหม แม่จะเข้าข้างผมแล้ว ผมสัมผัสได้ แม่นี่น่ารักที่สุดเลย


   “เอาจานไปเก็บแล้วก็ล้างด้วยลูก”


แม่ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


ฮือ ทำไมแม่ถึงได้ไม่เข้าข้างลูกเลยล่ะ นี่ผมยังเป็นลูกแม่อยู่ใช่ไหม ฮึ่ย พี่เวฟแม่งแยกความรักจากแม่ผมไป ผมจะต้องเอาคืน ว่าแต่ ผมคิดได้ไงวะ ปัญญาอ่อนสิ้นดี



   ชีวิตนักศึกษาปีหนึ่งไม่ง่ายอย่างที่คิด แม่เช้าเรียนเลคเชอร์ บ่ายเรียนแลบ แล้วชีวิตเด็กทุน ก็ไม่ได้สบายอย่างที่เหมือนได้ทุนเลยสักนิด ทั้งที่ทำใจไว้แล้วว่ามันจะต้องหนักหนา แต่ทำไมมันไม่ชิน นี่สินะที่เขาเรียกว่าช่วงปรับตัว บรรยากาศในห้องแลบก็โคตรร้อน โต๊ะเรียนแลบยาวปลายทั้งสองด้านมีอ้างน้ำ แล้วด้านบนมีที่วางสารอยู่มากมาย ผมกำลังเร่งทำแลบเพราะเวลาใกล้หมดแล้ว ก่อนที่ผมจะต้องกลับบ้านพร้อมกับพี่โอห์ม ไม่งั้นมีหวังต้องกลับเองแหงๆ



   แต่จนแล้วจนรอดก็เสร็จไม่ทันพี่โอห์มกลับบ้าน เลยต้องมานั่งแหง่วรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรถเมล์ พลันสายตาก็หันไปเห็นร่างสูงที่มีดวงตาคมภายใต้กรอบแวนที่เข้ากับใบหน้า พี่เวฟเป็นคนหล่อ เป็นคนที่ใส่แว่นแล้วไม่ได้ดูเนิร์ดมาก แต่มันดูดีในส่วนที่มันควรเป็น เรียกได้ว่า หล่อมากๆ คนหนึ่งเลยแหละ แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่มากวนตีนผม

“เอ้า ว่าไงเด็กมโน”นั่นไง มาถึงก็เริ่มกวนเลย
“พี่ไม่กวนผมสักวัน พี่จะตายไหม”ผมหันไปมองหน้าที่เขาเหวี่ยงๆ
“ไม่ตายหรอก แต่รู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง เลยต้องหาสิ่งเติมเต็ม”พี่เวฟพูดแล้วมองตาผมอย่างจริงจัง เล่นเอาผมใจสั่นแบบล้านริกเตอร์ ไอ้ใจเจ้ากรรมนี่ก็เต้นอะไรไม่รู้
“บางทีสิ่งเติมเต็มของพี่ มันก็น่าจะเป็นอย่างอื่นบ้างนะ”ผมพูดแล้วก็เสมองไปทางอื่น
“ก็อย่างอื่นมันเติมไม่ได้ บางทีสิ่งที่เติมเต็มในชีวิต เราจะรู้เองว่าอะไรที่เราขาดไป เราจะได้เติมถูก”พี่เวฟพูดแล้วมองหน้าผมไม่วางตา โอ้ย ใจเต้นแรงเหี้ยๆ เหมือนอะดรีนาลีนหลั่งมาเยอะแยะจากต่อมใต้สมอง
“คือบางทีพี่ก็เลี่ยนเกินไป”ผมบอก
“เรียนฟิสิกส์ไม่เคยรู้หรอ โลกมีแรงโน้มถ่วง โลกจะดึงสิ่งของตกอยู่ที่ต่ำเสมอ บางทีแรงโน้มถ่วงก็อาจจะมีในมนุษย์ รู้ป่ะ คนสองคนมีแรงดึงดูดเข้าหากันนะ”พี่เวฟว่าแล้วยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ผมใจสั่นทุกครั้งที่เห็น
“พี่พูดอะไรของพี่วะ ไม่เห็นเข้าใจ”ผมพูดแล้วจะเดินหนีขึ้นรถเมล์
“อ้าว ไปไหนล่ะ”พี่เวฟหันมาถาม
“ก็กลับบ้านไง”
“นี่มันไม่ใช่สายที่ไปบ้านนิวนะ”พี่เวฟบอก ผมเลยหันไปมองรถเมล์คันใหญ่ แล้วมองเลขสายซึ่งมันก็ไม่ใช่สายที่ผมจะไปจริงๆ นั่นแหละ เฮ้ยๆ นี่กูเป็นอะไรไป ทำไมพี่มันแม่งมีอิทธิพลกับการกระทำของผมขนาดนี้วะ


“แต่เดี๋ยวค่อยกลับบ้าน ไปเดินเล่นที่สยามเป็นเพื่อนพี่ก่อนนะ”พี่เวฟบอกแล้วก็ลากแขนผมไปทันที เฮ้ยๆ เดี๋ยวกูยังไม่ได้ตั้งตัว เฮ้ยยยยย พี่ !!


   ว่าแต่ทำไมกูไม่ขัดขืนวะ



   พักกลางวัน นี่กูเรียนมาจนจะมิดเทอมอยู่แล้วหรอวะ เกือบ 2 เดือนแล้วนี่นะ โคตรเร็วเลย แล้วก็ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ชีวิตผมก็มีไอ้พี่เวฟเข้ามากวนตีนอยู่ทุกวัน แล้วก็มาพูดเหี้ยห่าอะไรไม่รู้ แต่ว่าพี่เวฟนี่โคตรโซฮอตเลยนะครับ ก็แน่สิ ดีกรีเดือนคณะเภสัชฯ รองอันดับ 1 เดือนมหาลัย จะไม่ฮอตได้ยังไง


   ผมเดินมาที่โรงอาหารที่เต็มไปด้วยนักศึกษาจากหลายคณะ เพราะนี่คือโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย ทำให้ได้เจอหน้าตานักศึกษาทุกคณะวิชา รวมไปถึงนักศึกษาเภสัชศาสตร์ อย่างพวกพี่โอห์มด้วย แดดตอนกลางวันก็โคตรร้อน โรงอาหารก็ไม่ติดแอร์ ทำให้เหงื่อผมเริ่มจะไหลออกมาทีละน้อย ในขณะที่ผมยืนต่อแถวเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยว ผมยกแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นจะเช็ดเหงื่อ แต่ถูกรั้งไว้โดนมือของอีกคน ก่อนที่เขาจะยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้

“บอกแล้วไง อย่าใช้เสื้อเช็ดเหงื่อมันสกปรก”ไม่ยื่นเปล่า พี่เวฟก็เช็ดเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดมาบนหน้าให้ผม ผมรู้สึกได้ทันทีว่าหน้าผมร้อนขึ้นมา แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะอากาศที่ร้อน แต่เป็นเพราะหัวใจที่กำลังสูบฉีดเลือดขึ้นหน้า
“ขะ...ขอบคุณ”ผมว่าเสียงเบา
“เฮ้ยเวฟ ปกติไม่เห็นให้ใครยืมผ้าเช็ดหน้านี่หว่า ทำไมถึงเช็ดให้น้องเขาวะ ว่าแต่น้องเขาเป็นใครวะ กูไม่เคยเห็น”รู้สึกจะเป็นเพื่อนของพี่เขาเดินเข้ามาทัก พี่เวฟหน้านิ่งแล้วหันไปพูดกับเพื่อนตามสไตล์



“ผ้าเช็ดหน้าของกู กูก็หวง แต่ถ้าใครสำคัญกูก็ให้ใช้ได้”ตรงคำว่าสำคัญ พี่เวฟหันมามองหน้าผมแล้วมองตาด้วย ทำให้ผมรีบหลบสายตาทันที พี่เวฟแม่ง “ขี้อ่อย”
“แสดงว่าน้องเขาสำคัญ”พี่คนนั้นถามแล้วหันมามองหน้าผม “สวัสดีครับน้อง พี่ชื่อชายนะครับ เรียนเภสัชฯ ปี 4 ยินดีที่ดะ...”พี่เขาจะยื่นมือมาจับผม แต่โดนปัดด้วยมือของพี่เวฟแล้วมองหน้าพี่เขานิ่ง
“นี่ไอ้ชายเพื่อนพี่เอง ส่วนนี่นิวตัน น้องไอ้โอห์ม เรียนวิทยาฯ”พี่เวฟตอบแทนผมทันที คือกูตอบเองได้โว้ยยยย
“อ่อ น้องไอ้โอห์มนั่นเอง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องนิวตัน น่ารักนะเรา”พี่ชายพูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกไปทันที
“จะหลอกจับมือ แม่ง”
“พี่เป็นอะไรของพี่เนี่ย หน้าบึ้งเชียว”ผมหันไปบอก
“ร้อน !”อยู่ดีๆ พี่เวฟก็ขึ้นเสียงกับผมทันที
“แล้วจะตะคอกทำไมเล่า ตกใจหมด”
“นี่วันหลังอย่าไปให้ใครจับมือมั่วซั่วนะ มีเชื้อโรคอะไรบ้างก็ไม่รู้ แล้วอีกอย่างเดี๋ยวนี้เชื้อโรคมันเร็ว เดี๋ยวจะป่วยเอา เอานี่ เอาผ้าเช็ดหน้าไป พี่ไปซื้อข้าวก่อน นี่นั่งโต๊ะไหน จะไปนั่งด้วย”พี่เวฟพูดยาว ผมก็งงแล้วก็ชี้ไปที่โต๊ะที่ผมนั่ง


   ซื้อข้าวเสร็จก็เดินมานั่งที่โต๊ะโดยที่พวกพี่โอห์มมานั่งด้วย พี่เวฟนี่หน้านิ่งกว่าเดิมอีกจากเหตุการณ์เมื่อกี้ เพื่อนผมเลยไม่กล้าคุยกับพี่เวฟเท่าไร เพราะกับเพื่อนพี่เวฟไม่เคยแม้แต่จะยิ้มให้

“เฮ้ย ไอ้เวฟมึงเป็นอะไรวะ”พี่คินหันไปถามพี่เวฟ ที่ตอนนี้มานั่งข้างๆ ผม
“เปล่า ร้อน”พี่เวฟตอบแบบที่ตอบกับผม ผมก็งงมากสิครับ อยู่ดีๆ ก็อารมณ์เสีย ปกติเห็นหน้านิ่งๆ แต่ไม่เคยจะอารมณ์เสียแบบนี้เพราะเป็นคนที่หน้านิ่งเป็นปกติอยู่แล้ว ยกเว้นเวลาอยู่กับผม
“เอ่อ พี่เวฟคะ ทำไมพี่เวฟถึงชอบทำหน้านิ่งล่ะคะ เวลาพี่เวฟอยู่กับไอ้นิว หนูเห็นพี่เวฟยิ้มแล้วหล่อมากเลยนะคะ”ส้มเพื่อนผมบอก ผมนี่นั่งเงียบเลยครับ ไม่กล้าคุยกับพี่เขาเลย
“พี่จะยิ้มให้เฉพาะคนที่พี่อยากยิ้มครับ แล้วก็ต้องเป็นคนที่พี่...สนใจ จริงๆ”คำว่าสนใจ พี่เวฟหันมามองหน้าผมอีกแล้ว
“แล้วทำไมต้องมองหน้าผมด้วยวะ กินข้าวไปดิ”ผมว่าแล้วก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยว
“ผ้าเช็ดหน้าอยู่ไหน ?”พี่เวฟถามแล้วยื่นมือมาหาผม ผมเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นให้ ผมก็นึกว่าจะเช็ดเหงื่อตัวเอง แต่ที่ไหนได้พี่เวฟซับเหงื่อให้ผมอย่างเบามือ
“โอ๊ย ไอ้เวฟ น้องกูไม่ได้เป็นง่อย”พี่โอห์มคงจะเห็นแล้วหมั่นไส้ เลยตะโกนจากอีกฝั่งของโต๊ะ
“นี่พี่เวฟจีบเพื่อนหนูหรอคะ ?”ส้มเงยหน้ามาถาม ผมนี่ชะงักค้างเลยครับ พลันสายตาหันไปรอคำตอบ
“อ้าว พี่จีบหรอครับ ?”ฮึ่ย ไอ้เราก็ว่าจะซึ้งสักหน่อย
“ค่ะ”
“พี่นึกว่า พี่เลยคำนั้นมาแล้วซะอีก”


   ไอ้พี่เวฟ ไอ้อ่อยหน้านิ่ง
   หน้าพี่มันนิ่งจริงๆ ครับ ไม่รู้ที่มันพูดนี่หยอดผมหรือเปล่า แต่ก็ทำให้ผมหน้าร้อนได้แหละวะ


“หยอดได้หยอดดี”ผมว่า
“แล้วใจอ่อนยังอ่ะ”พี่มันหันมาถามแล้วยิ้มมุมปาก ผมไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน ระดับนิวตันแล้ว ไม่มีหรอกคำว่าหวั่นไหว ก็พี่มันผู้ชายนี่หว่า


   แต่มันก็ทำกูใจสั่นได้ตลอดเช่นกัน
   แม่ง ! ทำไมพระเจ้าเอาเสน่ห์ไปอยู่ที่พี่มันหมดวะ กูเลยไม่ได้แดกใครเลย


“นี่พี่ อยู่ห่างๆ ผมได้ป่ะ พี่นั่งกับผมนะ สาวๆ ไม่มองผมเลย ผมก็ไม่ได้มองสาวไหนด้วย”ผมว่าแล้วตักก๋วยเตี๋ยวเข้าปากอีกครั้ง
“มองพี่คนเดียวก็พอแล้ว”พี่เวฟพูดหน้านิ่ง ก่อนจะยักคิ้วให้ผม
“โอ้ รุกหนักเว้ย รุกหนัก”พี่คินว่า
“อ้ายยยยย พี่เวฟจีนนิวตัน อ้ายยย เขิน”เพื่อนผมไปแล้วครับ ตอนนี้มันนั่งปิดจนจะเป็นเกลียวน็อตอยู่แล้ว


   เขาหยอดกูไม่ได้หยอดมึง


   แต่เอ๊ะ แล้วผมจะดีใจทำไม เอ้า แล้วทำไมต้องเขินด้วยวะ


“ให้มันน้อยๆ หน่อยเว้ย รุกหนักแบบนี้น้องกูตั้งตัวไม่ทัน”พี่โอห์มพูดขึ้นแล้วหัวเราะ ไอ้พี่นี่ก็แม่ง ไม่ได้มีความหวงน้องเลย จะใส่พานประเคนให้เลยไหม
“พี่โอห์มก็อีกคน ไม่คิดจะห้ามเพื่อนตัวเองแล้วก็ห่วงน้องเลย นี่ใส่พานให้เขาแล้วใช่ป่ะ ไม่พาส่งเข้าเรือนหอเลยล่ะ”ผมพูดประชด
“รอไอ้เวฟมันมาขออยู่”นั่นยังไม่เลิกพูดอีก
“กูไปขอพรุ่งนี้เลยก็ได้นะ”


   กูประชดดดดด โว้ยยยย พี่เวฟฟฟฟฟฟ

“ประชด ประชดเนี่ยเข้าใจไหม”ผมว่าแล้วก็กระแทกตะเกียบ ไม่ด่งไม่แดกแม่งมันละ กินไม่ลง แม่ง มีเทพบุตรหนุ่มแว่นมานั่งหยอดอยู่ข้างๆ กูทำเหี้ยอะไรไม่ถูกเลย แล้วยังมีพี่ชายตัวเองมาเสริมอีก เอาเข้าไป นี่ไปสมรู้ร่วมคิดกันมาใช่ไหม ฮึ่ย !
“ผมไปเรียนแล้วนะ หวังว่าเย็นนี้พี่จะไม่ไปบ้านผมนะ”ผมบอกแล้วจับกระเป๋าขึ้นพาดบ่าแล้วเดินออกไป แต่ใครจะไปห้ามได้ครับ มันก็แม่งไปอยู่ดี



ต่อด้านล่างครับ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ทักทายหลังจากหายไป 05/05/2559
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 27-05-2016 02:10:38
วันเวลาผ่านไปจนมิดเทอมเสร็จ ช่วงมิดเทอมแม่ง พี่เวฟหายหน้าหายตาไป จากที่เคยมากินข้าวกับผมทุกวันตอนกลางวัน เดี๋ยวนี้มาบ้างไม่มาบ้าง ผมก็แปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่ว่าไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องนั้นมากครับช่วงนั้น อ่านหนังสืออย่างเดียว จนสอบเสร็จ พี่มันก็แม่งหายหน้าหายตาไปอีก วันนี้ก็ไม่เห็นจนผมนั่งอยู่บนรถ จะถามพี่โอห์มเดี๋ยวก็โดนแซวอีก

“พี่โอห์ม...”ผมเรียกพี่ชายสุดที่รัก
“หือ...”พี่โอห์มเลิกคิ้ว
“คือ...”ผมจะถามดีไหมวะ แม่ง ว่าจะไม่คิดถึงแล้วนะ ทำไมถึงคิดถึงได้วะ ตาสวยใต้กรอบแว่นนั้นแม่งติดตาเลย ก็คนมันเคยเห็นทุกวัน นี่ตอนเย็นก็ไม่เสือกไปแดกข้าวบ้านผมเลย แม่ผมก็ถามหา
“อะไร ?”
“พี่เวฟหายไปไหนวะ ?”ผมถามแล้วขมวดคิ้ว
“อ่อ...ช่วงนี้มันยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลาหรอก ถามทำไม คิดถึงมันหรอ ?”พี่โอห์มเลิกคิ้วถาม
“เปล๊า”ผมเสียงสูง “ก็แค่ถามดู แม่เขาบ่นหาอยู่”
“แม่หรือมึง”แหนะ ยังมาแขวะน้องอีก รักน้องมากมั้ง
“แม่ดิ๊ ผมจะไปคิดถึงกัน ผมไม่ได้คิดถึงมันเล้ย จริงจริ๊ง”ผมว่าแล้วยักไหล่อย่างไม่สนใจ
“กูยังไม่ได้ถามเลยนะว่ามึงคิดถึงมันไหม มึงก็พูดยาวจนเหมือนร้อนตัว”
“ใครร้อนตัว ไม่มี๊”
“แหนะ เนี่ย อาการแบบนี้เขาเรียกว่าร้อนตัว”พี่โอห์มเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ แล้วยิ้มหัวเราะ “ผ่านสี่ห้าวันนี้ไปมันก็โผล่หน้ามาเองแหละ อดทนหน่อยแล้วกันนะน้องชาย”
“อดทนอะไรล่ะ วู้”


   นี่ผมคิดถึงมันหรอวะ คิดถึงหรือเปล่าวะ แม่ง ไม่รู้โว้ยยยย


   วันมาเรียนปกติ ผมก้มลงตรวจชีทที่ถ่ายเอกสารมาจากร้านถ่ายเอกสารว่าครบหรือเปล่า ถ้าไม่ครบจะได้เอากลับไปถ่ายเพิ่ม ก็ตรวจดูแล้วว่าครบก็เดินผ่านหน้าห้องสมุดไป แต่ภาพที่ผมเห็นก็คือพี่เวฟที่ไม่ได้เจอหน้ามาเป็นอาทิตย์ เดินมาพร้อมกับสาวคนหนึ่งหน้าตาโคตรสวย พร้อมกับคุยกันกระหนุงกระหนิงหัวเราะคิกคัก ร่างสูงของพี่เวฟที่ผมคุ้นเคยดูผอมลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังดูดีอยู่ พ่วงด้วยสาวคนนั้นก็โคตรจะสวยเหมาะสมกันชะมัด ผมมองตามหลังคนทั้งคู่ที่เดินเข้าไปในหอสมุด จนลับตา แม่ง ทำไมมันรู้สึกหน่วงในหัวใจแปลกๆ วะ เฮ้ย แล้วตานี่ทำไมมันรู้สึกร้อนๆ อ่ะ เหมือนจะมีอะไรไหลออกมาเลย


   อย่านะ อย่านะเว้ย สงสัยฝุ่นคงเข้าตาแม่ง ไปล้างหน้าก่อนดีกว่า


   แต่ว่า เขาเป็นอะไรกันวะ


   แล้วทำไมกูต้องหน่วง รู้สึกแบบนี้ด้วยวะ กูเป็นอะไรของกูวะเนี่ย แม่งทนไม่ไหวละ เดินตามไปเสือกแม่งเลย ไหนๆ ตอนบ่ายก็ไม่มีเรียนแล้ว คิดได้แล้วผมก็เดินเข้าไปตามหาคนสองคนที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อครู่ ก็เห็นว่านั่งอยู่ชั้นหนึ่ง ทั้งสองคนกำลังนั่งหัวเราะแล้วหัวชนกันพร้อมกับโน๊ตบุ๊คหนึ่งตัว


ทำไมพี่แม่งดูมีความสุขจังวะ แล้วที่มาหยอด มาอ่อยผมทุกวันนี้คือยังไงอ่ะ


แล้วนั่น ทำไมพี่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พี่เขาด้วยวะ ไหนบอกว่าหวงผ้าเช็ดหน้าไง อ๋อ สงสัยว่ากำลังจีบพี่คนนั้นอยู่เหมือนกันใช่ไหม แม่ง พี่เวฟคนโลเล พี่เวฟหน้านิ่งๆ แต่แม่งโคตรเจ้าชู้


เหี้ยแม่ง !


แล้วทำไมอยู่ดีๆ ขาถึงก้าวไม่ออกวะ เดินออกไปดินิวตัน มึงจะยืนอยู่ทำไม แล้วทำไมมึงถึงต้องรู้สึกเหี้ยแบบนี้ด้วย เหมือนมีดมาแทงข้างหลัง เหมือนโดนหลอกให้รู้สึกแล้วทิ้งมึงไว้ ทำไมมึงต้องรู้สึกแบบนี้ด้วยวะ
แล้วดูเหมือนอะไรดลใจให้พี่มันแม่งเงยหน้ามามองหน้าผมก็ไม่รู้ ทันทีที่มันเห็นผม มันยิ้มแล้วก็ลุกมาหาผมทันที ไหนรอยยิ้มนั้นพี่ถึงมีให้อีกคนได้วะ ไหนบอกว่าไม่ชอบยิ้มแล้วทำไมยิ้มกับคนนั้นได้อ่ะ

“นิว”พี่มันเรียกผม ผมมองหน้าพี่มันนิ่งๆ “มาทำอะไร”พี่เวฟเดินมาหาผม
“คือ...”จะตอบว่ายังไงดีวะ บอกว่าเห็นพี่มากับผู้หญิงเลยเดินตามมาดูหรอ
“คิดถึงใช่ป่ะ”ยังมีหน้ามาพูดเล่นอีก ไอ้เหี้ย !
“ป...เปล่า ใครคิดถึง ไม่มี”ผมพูดพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
“โธ่ ไอ้เราก็คิดถึงทุกวัน ไม่ได้ไปหาเลย มั่วแต่ยุ่งๆ”เหอะ นี่หรอ ยุ่งของพี่
“ร...หรอ”ผมเปล่งเสียงไปแบบตะกุกตะกัก
“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”พี่เวฟเดินเข้ามาจะเอามืออังหน้าผากผม แต่ผมหลบ
“ป...เปล่า นิวไปก่อนนะ รบกวนพี่เปล่าๆ”ผมจะเดินออกไป แต่ถูกรั้งไว้ด้วยแรงของพี่เวฟ
“นิว...”พี่เวฟเรียกผม แต่ผมไม่หันไปมอง “อย่าคิดไปเองรู้เปล่า ที่พี่ไม่ไปหาเพราะพี่ยุ่งๆ จริงๆ ช่วงนี้ มีอะไรให้ถาม พี่รู้ว่าพี่ยังไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวนิว แต่เชื่อใจพี่นะ ว่าที่ทำมากับนิวตลอดเวลา 3 เดือน พี่จริงใจ”จะให้เชื่อใจยังไงวะ พี่แม่งก็เหมือนผู้ชายทั่วไปแหละ
“ครับ”แต่ผมก็ตอบไปแบบนั้น ผมจะมีสิทธิ์อะไรไปถามเค้า เค้าก็ดูมีความสุขกับคนนั้นดีนี่ ผมสะบัดแขนออกแล้วเดินออกมาทันที แม่งเอ้ย ทำไมกูเป็นแบบนี้วะ กูหาคำตอบไม่ได้สักที โจทย์ฟิสิกส์ยากๆ กูยังคำนวณได้เลย แค่ความรู้สึกของเราทำไมมันหาไม่ได้ล่ะวะ


   ผมไม่รู้ว่าผมเดินมาจนถึงสระน้ำกลางมหาลัยเมื่อไร แต่ก็รู้จนเดินมาถึงริมสระน้ำแล้ว ผมไม่ร้องไห้เพราะผมไม่ใช่คนขี้แย แต่แค่ผมสับสนว่าที่ผมรู้สึกมันเป็นอะไรกันแน่ ทำไมผมถึงหาคำตอบไม่ได้ก็ไม่รู้ แต่การที่ผมเห็นพี่เวฟเดินมากับใครอีกคนที่สวยมาก มันทำให้ผม


   รู้สึกแพ้




   หลังจากวันนั้นมา 3 วันผมก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าผมเป็นอะไร แต่ทุกครั้งที่ผมเจอพี่เวฟ พี่เวฟจะมากับผู้หญิงคนนั้นเสมอ แล้วจะทำให้ผมหลบตาหลบตาพี่เขาตลอดเวลา ทำไมผมต้องทำตัวเหมือนคนขี้แพ้แบบนี้ด้วยวะ ผมไม่ได้แพ้ ผมยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เวฟเลยสักนิด แต่ทำไมผมต้องรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ด้วย


   มันเหมือน หน่วงๆ ที่หัวใจ
   เหมือนมันเต้นช้าลง
   ความรู้สึกเหมือนกับว่า อยากเข้าไปถาม “พี่ชอบผมหรือเปล่า” มันเป็นแบบนั้น


   แต่ผมก็ชอบมาตั้งคำถามว่า ผมจะไม่สนใจทำไมว่าพี่จะชอบผมหรือเปล่า ทำไมผมจะต้องสนใจว่าวันนี้พี่จะมาหาผมไหม ตั้งแต่วันที่พี่มามันแค่รู้สึกแปลกๆ เวลาไม่ได้เจอหน้าพี่ ทุกวันจะได้ยินเสียงพี่ พอไม่ได้ยินเสียงก็รู้สึกเหมือนขาดอะไร ไม่ได้เจอหน้า ก็อยากเห็น แบบนี้เขาเรียกว่า...


   คิดถึงหรือเปล่าวะ ?


 “แม่งโว้ยยยยยย”ผมร้องลั่นห้องนอนพร้อมกับขยี้หัวตัวเองจนไม่เป็นทรง ผมตรงสวยของผมตอนนี้มันเละหมดแล้วครับ เละพอๆ กับความรู้สึกที่กำลังสับสนอยู่ตอนนี้


   ต้องไปหาพี่โอห์ม ใช่ ต้องไป


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ไม่ได้ล็อค”เสียงพี่ชายสุดที่รักของผมดังเข้ามา ทำให้ผมเปิดประตูเข้าไปทันทีที่พี่เขาบอก

“อ้าว..มีไรมาหาซะดึกเชียว”พี่โอห์มนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือปลายเตียง พี่เขาอยู่ในชุดนอนขายาวลายทางสีขาว ส่วนของผมสีน้ำเงิน ผมเดินไปนั่งที่ปลายเตียงแล้วถอนหายใจ
“คือ...พี่โอห์ม”ผมเรียกพี่ชาย ตอนนี้แม่งโคตรสับสน
“หืม”พี่โอห์มหันมาเลิกคิ้วมองหน้าผม
“ค...คือว่า...”ผมจะเริ่มต้นยังไงดี
“มีอะไรก็พูด”พี่โอห์มกอดอกมองหน้าผม
“ค...คือ ตอนนี้ พ...พี่เวฟ เขาจีบผู้หญิงอยู่หรอ ?”ในที่สุดผมก็ถาม ทำไมผมถึงกล้าถาม แล้วผมถามทำไม ผมยังงงตัวเองอยู่เลย
“หรอ...ไม่รู้สิ”พี่โอห์มพูดแล้วยกยิ้มมุมปากเหมือนมีอะไรดีใจสักอย่าง “ถามทำไม ?”
“ก...ก็ นิวเห็นพี่เขาช่วงนี้อยู่กับพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง สวยด้วยนะ ก็เลยถามดู สงสัยเขาจะจีบอยู่ละมั้ง”ผมพูดอย่างลอยหน้าลอยตาแล้วก็หยิบหมอนข้างมาต่อยแก้เก้อ ทำไมผมจะต้องสนใจก็ไม่รู้
“ปากแข็งจริงๆ”พี่โอห์มพึมพำขึ้นมา
“ใครปากแข็งพี่”ผมเลิกคิ้วถาม พี่โอห์มหัวเราะเบาๆ
“ฮึ...”พี่โอห์มลุกขึ้นมาแล้วเอามือแตะที่หัวของผม “แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาถาม ปกติเห็นเบื่อขี้หน้ามันจะตายไอ้แว่นหน้านิ่งนั่นน่ะ”พี่โอห์มจับผมมองหน้าเขา ผมก็หลบตา
“ก...ก็ ช่วงนี้ไม่เห็นเขามาที่บ้าน ไม่มากวน ก็เลยรู้สึกแปลกๆ”ผมบอกไปตามความจริง
“คิดถึง ?”พี่โอห์มเลิกคิ้วถาม
“ทำไมพี่กับพี่เวฟถึงคิดว่าผมคิดถึงเขาวะ ก็แค่...”หรือว่าจะคิดถึงวะ ?
“อย่าปากแข็งให้มากนัก ถ้าอยากรู้ว่าไอ้เวฟจีบใครหรือเปล่า พรุ่งนี้ก็ลองถาม”พี่โอห์มเดินไปปิดไฟอ่านหนังสือ ก่อนที่เดินอ้อมมาบนเตียง
“งั้นผมไปนอนก่อนนะ”ไม่รู้มาหานี่จะได้คำตอบของความรู้สึกหรือเปล่า แม่ง ไม่ได้ช่วยอะไรเลยพี่กู - -
“นิว...”พี่โอห์มเรียก
“หือ ?”
“ลองคิดดูนะสามเดือนที่ผ่านมาการเจอหน้าไอ้เวฟมันทุกวัน มันทำอะไรให้บ้าง ลองรับรู้ความรู้สึกมันดู มันไม่ใช่คนพูดมาก แต่มันพูดมากขึ้นเพราะอะไร ลองคิดดู ถ้านิวเปิดใจสักนิด นิวจะรู้คำตอบ ว่าที่มันทำไปมันทำไปเพื่ออะไร”พี่โอห์มพูดกับผม แต่
“พี่โอห์มแม่ง พูดจาวกวน งงโว้ย”ผมสบถแล้วเดินเกาหัวออกจากห้องทันที ไม่รู้แม่งละ ไปถามเจ้าตัวให้มันจบๆ


   ว่าที่ผ่านมา 3 เดือนมันมาที่บ้านผมทุกวันนี่เพื่ออะไร
   ที่เมื่อก่อนพูดน้อย แต่พูดมากกับผมนี่เพื่ออะไร
   ที่ไม่ชอบยิ้ม แต่ยิ้มกับผมเพื่ออะไร
   พรุ่งนี้กูจะถามให้หมดเลยแม่ง...



   แต่กูจะไปถามตอนไหนวะ อย่างตอนนี้ก็เหมือนกันกูยืนอยู่หน้าตึกใหญ่ของคณะเภสัชศาสตร์ คณะที่อยู่ปลีกวิเวกสัดๆ แต่ผมก็มายืนเอาเท้าเขี่ยก้อนหินหน้าตึกไปมา เหมือนเตะลมนั่นแหละครับ ก็กูไม่รู้ว่าพี่เวฟมันเรียนตึกไห กูเลยมารอตึกใหญ่แม่งเลย แต่ไม่เห็นวี่แววคนตัวสูงสักที หรือกูมาผิดตึกวะ ?

“นิวตัน !!!”เสียงเรียกทำให้ผมตกใจหันไปมองหน้าอย่างไม่ตั้งตัวแต่...



   จุ๊บ


ไอ้สาสสสส มึงเอาปากสากๆ ของมึงมาชนแก้มกูทำไม ไอ้พี่เวฟหน้านิ่ง ฮือ แก้มกูต้องเป็นจุดด่างพร้อยบนใบหน้าแน่ๆ ไอ้แว่นพี่เวฟ ไอ้ฉวยโอกาส ฮือ แล้วแก้มกูจะเป็นรอยไหมวะเนี่ย ผมจับแก้มแล้วมองหน้าพี่เวฟอึ้งๆ ส่วนมันนะหรอ ไม่ได้มีหน้าสำนึกผิดเลย ยังยืนยิ้มแป้นพอใจกับผลงานตัวเองอยู่อีก

“อยากให้หอมแก้มก็ไม่บอก”ไอ้หน้านิ่งบอกแล้วหัวเราะเบาๆ ยิ้มอีกและ มึงยิ้มทำไมมมม ไหนบอกไม่ชอบยิ้ม
“บ้านพ่อง มึงสิพี่เวฟ ใครจะไปอยากโดนพี่หอมแก้มกัน”
“เอ้าหรอ นึกว่าอยากให้หอมแก้ม จะหอมคืนก็ได้นะ”พี่เวฟพูดแล้วยื่นแก้มมาให้ผม ผมเลยตบมันไปเบาๆ
“บ้าหรอ”ผม
“บ้ารักนิวนะ”เหี้ย ! ทำไมหน้าร้อน แค่พูดคำนี้กับกู กูก็หน้าร้อนแล้วเนี่ย
“พ่องตาย”
“เอ้า แช่งพ่อพี่อีก เดี๋ยวไม่มีเงินมาสู่ขอนะเว้ย”พี่เวฟพูดแล้วยิ้มหัวเราะ
“จะมาสู่ขอทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกัน”ผมพูดแล้วหันไปมองทางอื่น
“แล้วเมื่อไรจะเป็นอ่ะ?”พี่เวฟเลิกคิ้วถาม
“เป็นบ้าอะไร แล้วแฟนพี่ไม่อยู่หรือไงเล่า”ผมขมวดคิ้วถาม ยังมีหน้ามาถามอีก ตัวเองกำลังจีบคนอื่นอยู่แท้ๆ แม่งยังจะมา
“ยังไม่มี”พี่เวฟตอบหน้าตาเฉยๆ
“แล้วผู้หญิงคนนั้นละ ?”ผมถามอย่างไม่คิด เหี้ย ปากกูก็ไวเกิ๊น ผมรีบเอามือปิดปาก พี่เวฟทำหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วก็ยิ้มมุมปากมองหน้าผมอย่างเจ้าเล่ห์
“อ๋อ คนนั้นอ่ะหรอ คือ...”
“เวฟ”นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี ตายยากจริงนะเจ้ นี่มาตามแฟนล่ะสิ เออๆ เอาไปสักทีดิ๊ รำคาญแม่ง
“อ้าว แพรว”พี่เวฟหันไปมองหน้าพี่เขาแล้วยิ้มนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผม แหม พอแฟนมานี่หน้าระรื่นเชียวนะ ฮึ ! ไอ้พี่เวฟ ไอ้คนโลเล มึงมันโลเล กูไม่อยู่แม่งละ รกหูรกตา
“เดี๋ยว นิวจะไปไหน”พี่เวฟรั้งแขนผมไว้
“จะกลับคณะ”ผมบอก
“เอ้า แล้วมาที่นี่ทำไม”เอ้อ กูมาทำไมวะ เหี้ย กูยังงงกับตัวเองอยู่ ก็กะว่าจะมาถามว่าเป็นอะไรกับอีเจ้ที่ยื่นข้างๆ นี่ แต่เจ้เขามาพอ แล้วก็มายิ้มระรื่นให้กัน


   เหี้ยเอ้ยยย แล้วทำไมกูต้องรู้เหมือนเป็นเด็กขี้อิจฉาจังวะ
   แล้วกูเป็นอะไรมาแขวะผู้หญิงเนี่ย กูนี่นิสัยผู้หญิงจริงๆ


“ก็...ค...คือ”ผมไม่รู้จะตอบยังไง
“นี่หรอ น้องคณะวิทย์ฯ ที่เวฟจีบอยู่”อีเจ้ถามแล้วชี้มาที่ผม จีบห่าอะไรครับเจ้ มันยังไปจีบเจ้อยู่เลย
“โอ๊ย พี่มันจะมาจีบอะไรผมครับ มันจีบพี่นั่นแหละ เห็นเดินยิ้มเข้าหอสมุด กระหนุงกระหนิงด้วยกัน แถมยังยิ้มกว้างอีก เหอะ ! แล้วบอกเป็นคนไม่ชอบยิ้ม โธ่ เอ้ย มันก็แค่มุกจีบสาวล่ะว้า แล้วไงล่ะ ใช้ได้ผลป่ะ เอามาใช้มั่งจะได้ไปใช้”ผมพูดยาวออกไป ไม่รู้ผมพูดไปได้ยังไง แต่ก็พูดไปแล้ว นี่กะแขวะพี่เวฟจริงๆ เลยนะครับ แต่อีเจ้นั่นดันมาหัวเราะสะได้ หัวเราะอะไร กูแขวะมึงทั้งคู่อยู่เนี่ย
“น้องน่ารักดีนะ”เจ้แพรวบอกแล้วยิ้มออกมา
“น่ารักดี แต่มันมึนไปหน่อยแค่นั้นเอง คนเขาตามจีบอยู่สามเดือน ยังมีหน้ามาบอกว่าจีบคนอื่นอีก จีบ หยอด ทำทุกอย่างแล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าจีบ เล่นตัวชิบหาย”พี่เวฟพูดแล้วเหล่มาที่ผม
“ใครเล่นตัว ผมไม่ได้เล่นตัว ก็พี่ไปบ้านผมทุกวันก็ไปทำงานกับพี่โอห์มไม่ใช่หรอ มากินข้าวกับผมก็มากับพี่โอห์มไม่ใช่หรอ ก็แค่มากวนตีนผมแค่นั้น”ผมพูดไปตามความรู้สึก
“คึคึ...น้องมึนจริงๆ ด้วย เอาเป็นว่าแพรวไปก่อนนะ งานเรียบร้อยแล้ว หวังว่ามันจะดี ถ้าอาจารย์ไม่โหดนะ แพรวไปก่อน โก้มาพอดี”พี่แพรวบอกแล้วยกมือลา ก่อนจะเดินไปยังชายหนุ่มที่ขี่บิ๊กไบค์มารับก่อนที่ชายคนนั้นจะลูบหัวแล้วเอาหมวกใส่ให้พี่แพรวแล้วพากันออกไปทันที ผมสงสัยนะ
“นั่นโก้ แฟนแพรว”


   ห๊ะ แฟน ????



“เอ้า แล้ว...”ผมหันมาขมวดคิ้วแล้วชี้หน้าพี่เวฟ


   ไอ้ชิบหายยยยยย กูปล่อยไก่ตัวเบ้อเร้อเลย สรุปแล้ว พี่เวฟแม่งไม่ได้จีบ แต่พี่แพรวมีแฟนอยู่แล้ว แล้วคือยังไง พี่เวฟอกหักหรอ ?

“พี่เวฟ พี่อกหักหรอ ?”ผมถาม พี่เวฟถอนหายใจ
“ทำไมเราถึงได้มึนขนาดนี้เนี่ยนิว พี่ไม่ได้จีบแพรว เราแค่ทำงานด้วยกันเฉยๆ เป็นรายงานคู่ ช่วงหลังๆ มันต้องส่งแล้วเราต้องไปทำด้วยกัน แค่นั้น แล้วเด็กที่ไหนไม่รู้มาคิดเป็นตุเป็นตะว่าพี่จีบคนอื่น ทั้งที่พี่จีบเค้าแทบตายยังไม่รู้ตัวเลย โง่ หรือยังไงก็ไม่รู้”พี่เวฟพูดแล้วตะคอกคำว่าโง่มาที่หน้าผมแรงๆ เอ้า กูผิดอะไร
“สงสัยจะโง่ ไหนอ่ะคนที่พี่จีบ ผมจะไปถามให้”ผมชะเง้อมอง พี่เวฟถอนหายใจแล้วจับหน้าผมให้มองหน้าพี่เขา
“นิว มองตาพี่นะ แล้วก็เลิกโง่ได้แล้ว ตลอดเวลาสามเดือนที่พี่ไปบ้านนิวทุกวัน ไปกัด ไปกวนตีน ไปกินข้าว ไปทำอะไรต่อมิอะไรให้ นิวรู้สึกอะไรบ้างไหม ?”พี่เวฟถามผม ผมก็ครุ่นคิด
“ก็ธรรมดาปกตินะ”ผมตอบ พี่เวฟปล่อยมือ
“โอ๊ยยยย เรานี่โง่จริงๆ ด้วย พี่ทำไปทุกอย่างก็เพราะอยากเจอ อยากเห็นหน้าเราทั้งนั้นนะนิวตัน พี่พยายามจีบ พยายามทำให้พี่อยู่ในสายตานิว แต่นิวดูท่าจะไม่เห็นอะไรเลย”ทำไมท้ายประโยคพี่เวฟมันดูเบาๆ แปลกๆ วะ

“พี่พยายามไปบอกไอ้โอห์มตั้งแต่วันแรกที่พี่เห็นนิวว่าพี่ชอบนิว พี่จะจีบนิว พี่ไปบอกกับแม่กับพ่อนิวว่าพี่ชอบนิดมาก จนตอนนี้มันเกินคำว่าชอบแล้ว พี่อยากเห็นหน้านิว อยากได้ยินเสียงนิว อยากกวนนิวในทุกๆ วันที่ลืมตาขึ้นมา ซึ่งมันก็เรียกว่าความรัก แต่ดูเหมือนนิวจะไม่เห็นความรักของพี่เลย พี่เหนื่อยแล้วว่ะ บอกพี่สินิว นิวไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ หรอ”

   ทำไมมันรู้สึกว่าพี่เขาตัดพ้อกับผม แต่เดี๋ยวๆ นี่มึงเล่นเข้าหาครอบครัวกูก่อนเลยหรอ ไอ้พี่เวฟ มึงมันร้ายกาจมากที่ลอบเข้าทางพ่อแม่ หวังให้กูใจอ่อน แอบติดต่อกันไว้ยังไงล่ะ หือ ถามว่ากูจะใจอ่อนไหม บอกเลยว่า...


“การที่ผมบอกว่าพี่ไปบ้านผมทุกวันมันปกติ มันธรรมดา แต่จริงๆ มันธรรมดาจนถ้าวันหนึ่งพี่หายไปผมคงต้องวุ่นวายแน่ๆ ผมคิดตามที่พี่บอกทุกอย่างนะ แต่ผมโง่นะพี่เรื่องความรัก เห็นผมพูดเรื่องนั้นนี้กับสาว แต่ผมไม่กล้าหรอก ผมมันเป็นคนซื่อจนอาจจะเซ่อ”
“อันนั้นพี่รู้”อย่าขัดจังหวะกูสิโว้ย แม่งกำลังซึ้ง
“อย่าขัดดิ...อาทิตย์ที่แล้วพี่หายไป รู้ป่ะ ผมโคตรไม่เป็นตัวเอง เฝ้าถามว่าวันนี้พี่เวฟไปไหนวะ ทำไมไม่เห็นหน้า ทำไมไม่ได้ยินเสียง ทำไมไม่เห็นรอยยิ้ม เสียงของพี่คนอื่นอาจจะไม่ได้ยินมาก แต่สำหรับผมผมได้ยินจนเคยชินในทุกวัน ยิ้มของพี่คนอื่นเห็นว่าเป็นเข็มในมหาสมุทรที่หาได้ยาก แต่สำหรับผมมันเป็นเกลือในมหาสมุทรที่ไม่ว่าตอนไหนผมก็เจอ จนตอนนี้...”ผมว่าผมแน่ใจแล้วก็หาคำตอบให้ความรู้สึกตัวเองได้แล้วล่ะ ผมดีใจที่พี่เวฟไม่ได้จีบพี่แพรว ผมดีใจที่เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะ ผมจะได้ยินเสียง แล้วก็รอยยิ้มของพี่เขาทุกวัน

“ผมว่าผมขาดมันไม่ได้แล้วล่ะ รอยยิ้มของพี่น่ะ”


เหี้ย พูดเองเขินเอง ทำไมกูเขินวะ

“ตะ...”ไม่ทันจะได้พูดพี่เวฟก็บุกเข้ามาขโมยจูบผมทันที ลิ้นสากของเขากวัดแกว่งเขามาสัมผัสกับลิ้นผม ความหวานแผ่ซ่านไปทั่วริมฝีปาก ใครจะไปคิดว่าหนุ่มแว่นหน้านิ่งคนนี้จะมีจูบที่หวานมาก

“เฮ้ย...กลางคณะเลยหรอวะ แบบนี้สาวๆ เขาก็อกหักสิไอ้เวฟ”เสียงพี่คินดังลั่นทำให้ผมกับพี่เวฟผละออกจากกัน
“กูไม่สนใจสาวคนอื่นหรอก กูสนใจนิวตันคนเดียว กว่าจะจีบสำเร็จนี่มันยากนะเว้ย แฟนกูทั้งคน”พี่เวฟบอกกลับไปแล้วจับมือผม พี่โอห์มเดินเข้ามาหาผม แล้วลูบหัว
“เป็นไง หาคำตอบได้ยัง”พี่โอห์มถาม ผมก็พยักหน้า “ดูแลน้องกูดีๆ นะ ไม่งั้น”
“กูจะตัดความเป็นเพื่อนแล้วสับมึงเป็นชิ้นๆ...กูรู้แล้วน่า จีบมาตั้งสามเดือนจะทิ้งง่ายๆ ได้วะ แล้วก็นะ ไม่มีวันทิ้งแน่นอน”พี่เวฟพูดแล้วขยิบตาให้ผม


   แม่ง โคตรมีเสน่ห์
   ผมขอบอกเลยนะครับคุณผู้ชม ว่ามีเวฟอ่ะ ไม่ได้พูดน้อยหรอก กับผมแม่งพูดมาก ไม่ได้ยิ้มยากหรอก แต่กับผมแม่งยิ้มโคตรบ่อย เพราะอะไรรู้ไหมครับ


   กูผมเป็นแฟนพี่เขาไง
   .
   .
   .
   .
   .
   แต่เดี๋ยวก่อน...พี่เวฟ คุณแฟนครับ ?


   มึง...ยัง...ไม่...ได้...ขอ...กู...เป็น...แฟนนนนนนนนนนนนนน !!!!

   พี่เวฟหน้านิ่ง แต่ขี้อ่อย
   พี่เวฟยิ้มยาก แต่ชอบหยอด
   พี่เวฟไม่พูดมาก แต่จีบผม
   แล้วยังไง กูก็ใจอ่อนสิ แรงโน้มถ่วงหัวใจของนิวตัน มันเข้าไปหาพี่เวฟเต็มๆ แล้วครับ

   อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


   คำขอของเวฟ
“กูชอบน้องมึง”เสียงของชายหนุ่มใส่แว่นบอกหนักแน่น
“อะไรนะ”พี่ชายเลิกคิ้ว
“กูชอบน้องมึง กูจะจีบ”
“แน่ใจหรอ”
“แน่ใจ กูจริงจัง”ดวงตาเรียวภายใต้กรอบแว่นจริงจัง แล้วมีหรือคนเป็นเพื่อนอย่างพี่ชายจะไม่รู้
“จริงจังนี่จริงใจไหมวะ”
“แน่นอน”
“แล้วถ้าน้องกูเสียใจอ่ะ”
“จะไม่มีวันนั้น”
“กูจะเชื่อมึงได้ยังไง ?”
“เอาความเป็นเพื่อนของกูเป็นประกัน”
“แต่ถ้าวันไหนมึงทำน้องกูเสียใจ ความเป็นเพื่อนก็ขาดกันนะ”
“กูบอกแล้วจะไม่มีวันนั้น”
“แต่ยากหน่อยนะ น้องกูมันมึน ซื่อ แล้วก็โง่ด้วย”
“ยากแค่ไหนกูก็จะจีบ”
“กูยอมใจมึง”

นี่แหละความร้ายกาจของชายหนุ่มที่ชื่อเวฟ เป็นคนจริงจังและจริงใจ เล่นเข้าทางพี่ มีหรือน้องจะรอด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ


END

___________________________________________________________________________________________

Talk :
กลับมาแล้วครับ กลับมาพร้อมกับเรื่องสั้นซีรีส์ที่ 4 กับความยาว 20 หน้ากระดาษเอ 4
อ่านกันให้จุใจหลังจากที่หายไปนาน
มาคราวนี้ มาแนวน่ารักใสๆ
ขออภัยในความหยาบคายของน้องนิวตันด้วยนะครับ
แต่น้องเป็นคนซื่อและมึน และเซ่อจริงๆ
และก็ขออภัยในความหล่อของพี่หมอยาเวฟ คนอะไรเขียนไปยังรู้สึกเขินแทนเลย
พี่เวฟคือตัวแทนของคนที่พูดน้อยแต่ทำจริง เวลาเจอคนที่ชอบ แต่มันก็มีความร้ายโดยการเข้าทางครอบคัว
น้องนิวตันคือตัวแทนของเด็กเซ่อๆ เอ๋อๆ แต่ปากเก่ง
เป็นไงล่ะ เสร็จพี่เวฟเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุณทุกๆ กำลังใจนะครับ ตอนนี้งานทุกอย่างเริ่มเคลียร์แล้ว
แต่จะบอกว่า วางพล็อตเอกต่อไปยังไม่ได้ ไม่รู้จะดึงดราม่า สดใส กุ๊กกิ๊ก จิดกัด หรือยังไงดี
ไม่รู้จะเอาคาแร็คเตอร์พระเอกยังไง นายเอกยังไงแล้วด้วย ฮ่าๆๆๆ
แต่ไม่นานเดี๋ยวก็คิดออก ขอหาแรงบันดาลใจก่อน นะครับ
ยังไงก็ ติดแฮชแท็ก #นักวิทย์วุ่นรัก #ฟิสิกส์คลิกใจ #เวฟนิวตัน ด้วยนะครับสำหรับใครที่เล่นทวิตเตอร์
สุดท้ายนี้ ไรท์ รักทุกคนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ฟิสิกส์คลิกใจ P.2 (27.05.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 27-05-2016 15:55:00
ชอบพี่เวฟอ่ะ เนียนๆมึนๆมาจีบ 55555

แต่ฮานิวมากกว่าอีก อะไรจะมึน ซื่อ ขนาดน้านนนนนนนนนนนนนน  :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ฟิสิกส์คลิกใจ P.2 (27.05.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-05-2016 21:51:52
พี่เวฟ o13 o13 o13 o13 o13
น้องนิวทั้งมึนซึนอึนยังทำให้น้องมาเป็นแฟนได้

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ฟิสิกส์คลิกใจ P.2 (27.05.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-05-2016 18:45:48
ดีใจกับพี่เวฟด้วยนะคะที่ได้เด็กโง่ เด็กมึน มาเป็นแฟนสักที
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ฟิสิกส์คลิกใจ P.2 (27.05.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 29-05-2016 22:07:20
มึนแต่น่ารักโพดดดดด จริงจังและจริงใจ อยากได้แบบเน้~~~
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : ฟิสิกส์คลิกใจ P.2 (27.05.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 07-07-2016 23:48:08
หัวใจ ไซส์ (จุลชีวะ)
[/b][/size]



-  เค้าว่ากันว่า หัวใจคนเราจะเล็กลง เมื่อเจอคนที่แอบรัก  -
[/b]


   ผมไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้เป็นจริงไหม แต่สำหรับผมเวลาเจอคนที่แอบรัก ไม่รู้ทำไมเหมือนหัวใจผมถูกบีบให้เล็กลงไปทุกที อาจเป็นเพราะเค้าเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนเค้าก็ดูดีและมีเสน่ห์เสมอ หลายคนอยากได้เค้าเป็นแฟนก็มาก จนผมไม่รู้ว่าผมมีสิทธิ์นั้นมากมายแค่ไหนกัน


   หลายคนเคยบอกให้ผมทำใจกล้าไปบอกเขาสักที แต่ผมกลัว กลัวว่าเขาจะไม่มองผม เมื่อผมไปบอกกับเขาแล้ว กลัวว่าวันหนึ่ง ผมจะไม่ได้เห็นเขาอีกเลย


   ผมรู้จากหลายๆ คนมาว่าเขาเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่หยิ่ง และคุยเล่นกับทุกคน นั่นอาจจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเขาก็ได้ที่ผมรู้สึก เวลาที่เขายิ้มคุยเล่นกับคนอื่นมันน่ามองสำหรับผมเสมอ



- เขาบอกว่า ถ้าหากบอกรักก็มีโอกาส 50/50 แต่ถ้าหากไม่บอกเลยโอกาสก็คือ 0 –



   ซึ่งผมไม่รู้ว่าโอกาสผมจะมีเท่าไร แต่ภาวนาให้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั่นมันมาอยู่ที่ผมบ้าง เพราะตอนนี้ผมยืนอยู่ต่อหน้าเขา ชายหนุ่มร่างสูง ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด ผมชอบผู้ชาย ผู้ชายที่สูงกว่าผมสัก 7 เซนติเมตร ผมเงยหน้านิดหนึ่งแล้วพยายามสูดหายใจเขาลึกๆ เพราะรวบรวมกำลังที่จะเปล่งประโยคที่ผมอยากพูดกับเขาที่สุดมาเป็นเวลา 2 ปี ผมชอบเขาต้องแต่ปี 1 ขึ้นปี 2 ก็ยังชอบ จนตอนนี้กลายเป็นผมรักเขาแล้วมั้ง


   รักแบบที่ผมไม่ต้องการอะไรตอบแทนแล้วตอนนี้
   รักแบบที่ผมอยากบอกให้เขารู้
   อย่างน้อยผมก็ได้บอก


   ถ้าหากรักครั้งนี้ถูกปฏิเสธ ผมก็อาจจะเสียใจ แต่ก็ยังดีใจที่ได้บอกเขาไป ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าเขาหัวใจผมเต้นเร็วและรัว หัวใจขนาดเท่ากำปั้นของผมกำลังทำงานและรู้สึกตื่นเต้นอยู่ทุกวินาที


   “ก้าว”ตึก ตึก เสียงใจผมเต้นดังกว่าเสียงผมอีก ผมรู้สึกได้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น
   “หือ ... มีอะไรหรอ ?”เขาถาม
   “เราชอบนายนะ”ผมบอกแล้วหลับตาปี๋ ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าผมเป็นยังไง และหน้าเขาเป็นยังไง รู้อย่างเดียวว่าใจผมเต้นโคตรดังและแรง เลือดผมเหมือนสูบฉีดเร็ว ความดันขึ้นจนเกือบจะเป็นลม แต่ผมก็ยังบังคับให้ตัวเองตั้งสติ เพื่อรอฟังคำตอบก่อน นานทีเดียวกว่าที่อีกฝ่ายจะเปล่งเสียง และเป็นเสียงที่ผมคาดไม่ผิด น้ำเสียงที่เป็นมิตร รอยยิ้มที่จริงใจ และคำพูดที่ผมฟังแล้วไม่ผิดแปลกจากที่คาดไว้


   “ขอบคุณนะที่ชอบเรา เราไม่ได้รังเกียจนายด้วย แต่ว่า...”
   “อืม ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ไม่รังเกียจ แค่อยากบอกให้รู้ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว”ผมรู้ว่าเขาจะพูดว่าอะไรต่อจากนั้น มันก็คือคำปฏิเสธในลักษณะเขาที่รักษาน้ำใจคน เขาแค่จะพูดว่า


   “เราไม่ได้ชอบนาย”


   แต่แปลก ! ที่ผมกลับไม่รู้สึกเสียใจสักนิด ไม่เลยแม้แต่จะนอยด์หรืออะไร ผมได้รู้ว่าการที่เราบอกรักใครสักคนไม่ว่าจะ 50 เปอร์เซ็นต์ไหนมันก็มีความสุขทั้งนั้น อาจจะเป็นความสุขในคนละแบบ แต่ผมก็เรียกมันว่าความสุข


   ความสุขในแบบผมคือ โล่ง สบายใจ และผมก็จะยิ้มอยู่คนเดียว ผมเงยหน้ายิ้มให้เขาอีกครั้งเป็นยิ้มที่จริงใจที่ผมอยากยิ้มให้เขาจริงๆ ก่อนที่ผมจะพูดกับเขาอีกครั้ง

“ขอบคุณที่รับฟังนะ แล้วก็ขอบคุณที่ไม่ต่อยหน้าเรา”ผมบอกแล้วหัวเราะ “เราไปก่อนนะ”ดีที่ยืนตรงนี้คนไม่มี เพราะผมเรียกเขามาแค่สองคน ผมหันหลังแล้วเดินมาในความรู้สึกที่อบอุ่นใจ อย่างน้อยผมก็ได้บอกละวะ ต่อให้เขาปฏิเสธ ผมก็ไม่เสียตาย


   เพราะผมไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนจากคำพูดที่ผมบอกเขาไป ก็แค่นั้น


   แค่ไม่หวัง เราก็ไม่ผิดหวังแล้ว



- อย่าให้ความรักที่ผิดหวัง ทำให้ชีวิตเราด้อยค่า –



   ผมไม่รู้ว่าคำพูดนี้ใครพูดให้ฟัง แต่ผมรู้ว่าชีวิตผมก็ดำเนินต่อไปแถมยังมีความสุขมากๆ อีกต่างหาก ตอนนี้ผมนั่งกินปิ้งย่างบุฟเฟ่ต์อยู่ในร้านแถวๆ หอ ซึ่งเป็นร้านที่ผมกับเพื่อนมากินประจำ กลุ่มผมมีกันอยู่ 4 คน เป็นผู้ชาย 2 และผู้หญิง 2 ผมกำลังนั่งแกะกุ้งก้ามกรามตัวใหญ่สมราคาที่จ่ายอยู่อย่างตั้งใจ ตลอดการทานอาหารมันจะมีเรื่องคุยและเรื่องสนุกสนานตลอดเวลา

“เออ ไอ้ยีสต์ เรื่องเด็กวิทย์ฯ กีฬา คนนั้นเป็นไงวะ มึงบอกไปยัง”เสียงนุ่น เพื่อนหญิงสาวของผมดังขึ้นผมเงยหน้าแล้วเลิกคิ้ว
“อ่อ ก้าวอ่ะนะ บอกไปแล้วว่ะ แต่ก็อย่างที่คาดไม่มีผิด”ผมบอกแล้วจับกุ้งยัดใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย
“มึงบอกไปแล้วจริงง่ะ แล้วโดนปฏิเสธป่ะวะ”เสียงจิน หญิงสาวอีกคนถามขึ้น ผมพยักหน้าแต่ก็ยังยัดกุ้งไปต่อ
“แล้วมึงไม่เสียใจ ?”ไอ้แมนเพื่อนชายของผมถาม ผมส่ายหน้า
“ฮึ”
“โคตรแข็งแกร่ง”นุ่นบอแล้วปรบมือเบาๆ
“แข็งแกร่งจริง มึงไม่เสียใจจริงๆ หรอวะ ?”แมนถาม ผมจับกุ้งอีกตัวที่เพิ่งแกะเสร็จแล้วจับยัดไปอีกตัว แล้วเช็ดมือที่เลอะด้วยกระดาษทิชชู่

“เสียใจทำไมวะ กูดีใจซะอีกที่ได้บอก อย่างน้อยก็ได้บอกแล้ว กูไม่ได้หวังให้เขามาชอบกลับนี่”ผมบอก
“มึงแม่ง กูนับถือใจจริงๆ”จินบอกผมแล้วยิ้ม “เอ้าชน ให้กับเพื่อนผู้ได้บอกความลับออกไปแล้ว”เพื่อนทุกคนยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นแล้วเหมือนดื่มฉลองให้ผม



   ผมลืมบอกไปใช่ไหมครับว่าผมชื่อ ยีสต์ เรียนอยู่สาขาจุลชีววิทยา ปี 3 ชื่อยีสต์ก็คือไอ้เชื้อจุลินทรีย์ที่เขาเอาไปทำทั้งเบียร์ ขนมปังนั้นแหละครับ ไอ้แซคคอโรไมซีส เซเรเวซิอี้ นั่นแหละ โคตรเข้ากับเอกที่เรียน ส่วนก้าว คนที่ผมชอบเรียนคนละคณะครับ เรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่ของ มหา’ลัยผม จะอยู่ในคณะศึกษาศาสตร์ เพราะเอกในคณะผมมันเยอะแล้ว ดูแลไม่ไหว ทางคณะเลยเฉดหัว เอ้ย ให้ไปอยู่ในคณะศึกษาศาสตร์แทน


   “กูไปกดน้ำนะ ใครจะฝากป่ะ”ผมลุกขึ้นแล้วหันไปถามเพื่อนผม พวกมันส่ายหน้า เป็นอันรับรู้ว่าไม่มีใครเอา ผมเลยเดินไปคนเดียว


   ระหว่างที่กดน้ำอยู่ ก็มีคนมายืนข้างๆ กำลังตักน้ำแข็ง ซึ่งเป็นก้าวนั่นแหละครับ ผมใจกระตุกนิดหน่อย แต่พอคิดได้ว่าไอ้บอกความรู้สึกไปแล้ว ก็เลยสบายใจขึ้น

   
        “ก้าว”ผมเรียก เขาหันมามองแล้วยิ้มกว้างทันที
   “อ้าว มากินเหมือนกันหรอ มานานยัง”เขาถาม
   “อื้อ มาจนจะหมดเวลาแล้วล่ะ ก้าวล่ะ มานานยัง”
   “เพิ่งมาอ่ะ”เขาบอก ผมเลยพยักหน้า
   “อ่อ กินให้อร่อยนะ”ผมบอกแล้วยกน้ำขึ้นดูดอย่างสบายใจ ก่อนจะเดินออกมา ไม่รู้ครับ ว่าทำไมผมถึงสบายใจแบบนี้ เขาก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมสักนิดเดียว


   “เอ่อ นาย !”เขาเรียกผมทำให้ผมหันไปเลิกคิ้วข้างขวาขึ้นทั้งที่ยังดื่มน้ำอยู่ ทำให้เขาหัวเราะเบาๆ นิดหนึ่ง
   “หือ ว่าไง”ผมเลิกดูดแล้วถามขึ้น
   “นายชื่ออะไร ?”เขาถาม
   “อ่อ ขอโทษนะวันนั้นไม่ได้บอก เราชื่อยีสต์ เรียนวิทยาฯ ปี 3 อ่ะ”ผมบอกแล้วยิ้มให้เขาอีกครั้ง
   “อือ แต่ว่า นายไม่เสียใจหรอที่เราปฏิเสธนายวันนั้น”เขาถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ผมเลยยกยิ้มนิดหน่อย
   “จะเสียใจทำไม เราบอกแล้วว่าแค่อยากบอก ไม่ได้หวังให้ก้าวมาชอบเรากลับสักหน่อย แค่เราได้บอก เราก็สบายใจแล้ว อีกอย่างก้าวก็ไม่ได้รังเกียจเรา เราก็เป็นเพื่อนกันได้นี่”ผมบอกแล้วยิ้มอย่างจริงใจให้เขาอีกครั้ง

   “หรอ ?”เขาก้มหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่าง
   “อื้ม ทำไมหรอ หรือไม่สบายใจที่เรามาคุยด้วย เราไม่คุยก็ได้นะ เราโอเค”ผมบอกเสียงร่าเริงครับ ผมเป็นคนแบบนี้แหละ อะไรที่ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ ผมก็ไม่อยากทำ
   “เปล่าๆ คุยได้”เขาเงยหน้ามายิ้ม ผมเลยยิ้มกลับ
   “งั้นเราไปจริงๆ แล้วนะ”ผมยกมือขึ้นโบก ผมไม่รู้ว่าเขาจะไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้ที่จะติดตามเขา แต่แค่มองหน้าบ้างเวลาที่รู้ว่าจะเจออีกฝ่าย ไม่รู้สิ ผมเป็นของผมแบบนี้ สบายใจที่ได้มองหน้าก็โอเคแล้ว


- เหตุผลของคนที่จะคุยกันมีไม่กี่ข้อหรอก ขอแค่ได้คุยก็ดีแล้ว -


   หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
   หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็เรียน ทำตัวปกติของผมเหมือนทุกวัน แต่ที่แปลกคือ ผมเจอก้าวบ่อยมากๆ มันก็ดีนะครับ ผมแฮปปี้ดี ได้เจอบ่อยๆ ผมเจอกับเขาก็ทำตัวปกติไม่ได้มีท่าทีว่าจะทำให้ไม่สบายใจอะไร ซึ่งก้าวก็คุยกับผมปกติ ดูจะมากกว่าปกติด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็ไม่คิดอะไรเพราะว่ายังไงก็คนรู้จักกัน มันทำให้ผมรู้สึกดีไปด้วย



   วันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ครับ ผมเลยมาวิ่งออกกำลังกายอยู่ในสนามออกกำลัง ข้างๆ มหา’ลัย ซึ่งผมก็มาประจำ อาจจะเหลวไหลไปบ้างเวลาที่ขี้เกียจ ปกติจะมีเพื่อนมาด้วย แต่วันนี้พวกมันกลับบ้านกัน ผมเลยต้องมาคนเดียว แต่ก็โอเคแล้วครับ ไม่ต้องรอใคร ให้เสียเวลา

   ผมวิ่งไปได้ 3 รอบก็รู้สึกถึงลิมิตตัวเองแล้ว ผมเลยไปกดอาหารปลาจากตู้กดมา หยอดเหรียญไป 10 บาท อาหารปลาเม็ดก็ไหลออกมาพร้อมกับเสียงเพลงฟังไพเราะเสนาะหู หรือเปล่าไม่รู้ สำหรับผมคือหนวกหูมาก ก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งขอบปูนขั้นบันไดริมสระแล้วก็ค่อยๆ โปรยทีละนิด ปลาตัวใหญ่ก็ว่ายขึ้นมาฮุบทันที การได้นั่งดูปลาไปเรื่อยๆ แบบนี้มันสบายใจและเพลินดีครับ

“ยีสต์ !”เสียงเรียกตะโกนจากด้านหลังทำให้ผมหันไปก็เห็นร่างสูงของก้าวยกมือทักทาย ผมเลยโบกมือให้เขาแล้วยิ้ม ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาแล้วนั่งลงข้างๆ
“มาวิ่งหรอ ?”เขาถาม ผมพยักหน้า
“อื้ม วิ่งได้แค่สามรอบอ่ะ เหนื่อย”ผมพูดเสียงแห้งๆ แล้วหัวเราะ ก้าวก็หัวเราะตามเบาๆ อย่างว่าแหละครับ เขาเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นนักกีฬาร่างกายเลยสมบูรณ์แบบมาก ผมไม่เคยเห็นกล้ามเนื้อเขาชัดหรอก แต่ดูจากหุ่นก็เฟิร์มมากแล้ว
“ฮะๆ ถึงว่าตัวผมแห้งแค่นี้เอง”เขาบอกแล้วมองผม ผมเลยเกาแก้มแก้เขิน
“กินก็เยอะนะ แต่ไม่อ้วนอ่ะ ไม่รู้ทำไม”ผมบอก
“กินโปรตีนดิ จะได้สร้างกล้ามเนื้อ”เขาบอก
“ก็กินนะ เนื้อสัตว์นี่กินทุกวันเลย ฮะๆ”ผมบอกแล้วหัวเราะเบาๆ ความจริงผมก็รู้แหละครับว่าโปรตีนที่ดีมันมาจากไหนบ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่กินไม่ค่อยจะดีเท่าไร
“ฮะๆ”เขาหัวเราะ แล้วก็มองปลาที่ฮุบอาหารไป ผมเลยยื่นถังอาหารปลาให้เขา
“อ่ะ ให้ไหม ?”ผมถาม
“ขอบคุณ”เขาบอกแล้วก็โปรยอาหารปลาไป
“มาวิ่งบ่อยหรอ ?”ผมถาม
“อือ ก็บ่อยนะ แต่ปกติจะเล่นบาส อยู่ใน มอ อ่ะ”เขาบอกแล้วยิ้ม ผมเลยพยักหน้า
“อือหึ”
“เอ้อ ยีสต์”ก้าวเรียกผม
“หือ ?”ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“ก้าวถามอะไรหน่อยดิ”สรรพนามแทนตัวเขาเปลี่ยนไปแล้วครับ ผมก็งง แต่ไม่ได้ว่าอะไร
“อือ เอาดิ”ผมบอกแล้วแบ่งอาหารมาโปรยให้บ้าง
“ทำไมถึงชอบก้าวอ่ะ”เขาถาม เล่นเอาผมหันไปมองหน้าเขา แล้วยิ้มทันที
“จะให้บอกจริงอ่ะ”ความจริงก็เขินแหละครับ ก็อยู่ดีๆ มาถามกันแบบนี้ผมก็เขินอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาถาม ผมก็จะบอก ที่บอกคืออยากบอกความรู้สึกมานานแล้ว ไม่ได้หวังสิ่งใดเลย

“บอกดิ”เขาพยักหน้า
“ถามว่าทำไมชอบหรอ ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าเห็นครั้งแรกแล้วมีเสน่ห์อ่ะ คือเราว่าทุกคนก็คงคิดแบบนี้ แต่สำหรับเรา เราชอบที่ก้าวเป็นก้าวนี่แหละ ไม่ได้ชอบที่อะไร เข้าใจไหมอ่ะ”ผมชอบที่เขาเป็นเขาจริงๆ ทุกอย่างที่เป็นเขาผมชอบหมด
“ก้าวไม่ใช่คนดีมากนะ”
“คนเราเป็นคนดีทั้งหมด ไม่มีหรอกก้าว ยีสต์ก็จะบอกว่ายีสต์ไม่ใช่คนดีมาก แต่คนเราจะชอบใคร จะรักใครเราต้องมองข้ามข้อเสียของเขาคนนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่คอยจับผิด เราต้องรับที่เขาเป็นเขาให้ได้สิ แบบนั่นแหละความรัก”ผมบอกแล้วยิ้มกับสระข้างหน้า ไม่ได้มองเขาเลย ที่ผมบอกไปเพราะผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“แสดงว่ายีสต์ชอบที่ก้าวเป็นก้าว ไม่ได้มองหน้าตาหรอ”ก้าวถาม ผมเลยหันไปมองหน้าเขาแล้วยิ้มออกมา จริงครับเขาเป็นคนหน้าตาดี ใครๆ ก็หันมองทุกครั้งที่เดินผ่าน ยอมรับว่าครั้งแรกที่มองเพราะเขาโดดเด่นกว่าใคร แต่แปลกผมรู้สึกว่าผู้ชายข้างๆ ผมมีอะไรดึงดูดมากกว่านั้น ผมเลยกลายเป็นมองหาทุกอย่างที่เป็นเขา
“ยอมรับว่ามองครั้งแรกก้าวโดดเด่นกว่าคนอื่น แต่ถ้ามองหน้าตา ถ้ายีสต์ไปเจอคนที่หน้าตาดีกว่ายีสต์ก็เลิกชอบก้าวไปนานแล้ว นี่แสดงว่ายีสต์ชอบที่ก้าวเป็นแบบนี้แหละ เฟรนด์ลี่ ยิ้มง่าย รักษาน้ำใจคน แต่เรื่องอื่นเราไม่รู้นะ”ผมบอกแล้วยิ้ม
“ก้าวเคยเมาแล้วมีอะไรกับเพื่อนผู้หญิงในคณะ แต่ไม่ได้คบกันยีสต์รู้ใช่ไหม”ผมเลิกคิ้วนิดหน่อยที่เขาพูดเรื่องนี้ออกมา ไม่ใช่ไม่รู้ ผมรู้ แต่ผมไม่พูด
“รู้”
“แล้วยีสต์ไม่รู้สึกว่าก้าวฟันแล้วทิ้งหรอ ?”เขาถาม ผมเลยถอนหายใจ
“แล้วยังไงหรอ ? จะให้ด่าก้าวว่า หน้าตัวเมีย ฟันผู้หญิงแล้วไม่รับผิดชอบหรอ มันไม่ใช่ตัวยีสต์ว่ะ ยีสต์แค่รับรู้ว่า เอ้อ ก้าวทำเรื่องนี้ลงไป ผู้หญิงคนนั้นก็โดนทำแบบนี้ ยีสต์เป็นคนนอกจะให้ไปด่าทำไม ยีสต์ไม่รู้หรอกนะว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เรื่องแบบนั้น เป็นเรื่องพื้นฐานของอารมณ์มนุษย์ เอาหลักเหตุผลของสังคมมาตัดสินไม่ได้ว่าก้าวเป็นอะไรยังไง แต่ถ้าเราพอใจทั้งสองฝ่ายและไม่ติดค้างกัน ไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น มันก็แค่คนเคยร่วมเตียงป่ะ”ที่ผมพูดเพราะผมรู้สึกแบบนี้จริงๆ ครับ เซ็กส์เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้ว ผมไม่คิดว่ามันจะต้องมีหลักเหตุผล หรือกฎเกณฑ์ของสังคมมาบีบให้รู้สึกผิดเลยสักนิด

“แล้วยีสต์ไม่คิดว่าเราสำส่อนหรอ ?”ก้าวถาม ผมเลยถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง วันนี้เขาเป็นอะไรมีเรื่องหนักใจอะไรมา แต่ถ้าเขาเลือกถามผม แสดงว่าเขาไว้ใจผม ผมก็ต้องให้คำปรึกษา
“อธิบายความหมายคำว่า สำส่อน สิ”ผมบอก
“ก็ประมาณว่า มั่ว อะไรแบบนั้น”
“แล้วก้าวมั่วไหม ?”ผมถาม เขาส่ายหน้า
“ก็เมาแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวแหละ”เขาบอก
“แล้วจะมาว่าสำส่อนได้ไง เขาเรียกพลาดเพราะขาดสติ”ผมบอกแล้วยิ้มออกมา
“ขอบคุณนะ”เขาบอก
“ไม่เป็นไร ไม่สบายใจก็มาถามยีสต์ได้”ผมบอกแล้วก็โปรยอาหารที่เหลือไปทั้งหมด แล้วลุกขึ้น “ฟ้าจะมืดแล้ว ยีสต์กลับก่อนนะ”ผมบอก ก้าวเลยลุกขึ้นตาม
“ขอบคุณจริงๆ นะยีสต์”ก้าวบอกกับผมอีกครั้ง ผมเลยพยักหน้า
“ยีสต์เต็มใจ”ผมบอก ผมเต็มใจจริงๆ ยิ่งรู้จักเขามากขึ้น มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผมจะชอบเขาน้อยลง มันกลับทำให้ผมรู้สึกว่าผมได้เข้าไปอยู่ในโลกของเขามากขึ้น แม้จะในสถานะเพื่อนก็ตาม “ก็เพื่อนกันนี่”ผมบอกแล้วตบบ่าเขาเบาๆ
“เพื่อนหรอ ?”เขาเลิกคิ้ว
“อื้อ เพื่อน จะให้คิดอะไร หรือจะมาเป็นแฟนล่ะ ฮ่าๆ”ผมแกล้งแซวไปงั้นๆ แหละ

“เป็นได้หรอ ?”เขาเลิกคิ้วถามอีกที เล่นเอาผมหุบยิ้มทันที

“เฮ้ยๆ ไม่เอาๆ ถึงจะรู้ว่ายีสต์ชอบก้าว แต่ยีสต์ไม่ชอบให้ใครมาเล่นสนุกกับความรู้สึก ตอนนี้ยีสต์มีความสุขดีที่มองก้าวแบบนี้ ก้าวไม่ต้องชอบยีสต์กลับก็ได้ เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ ยีสต์โอเคแล้ว”ผมยิ้มกับเขาอีกครั้ง เป็นยิ้มที่ผมไม่ได้เสแสร้งจะยิ้มให้เขาไม่สบายใจ
“ก้าวไม่ได้เล่นกับความรู้สึกยีสต์นะ ก้าวพูดเพราะก้าวอยากจะ...”ก้าวมองหน้าผม ผ่านแสงไปนีออนสีส้มที่เปิดผ่านมา

“อยากลองคุยกับยีสต์ดู”


   เสียงของเขายังคงก้องดังในหัวของผม มันเป็นความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ที่เด่นกว่านั้นคือหัวใจดวงเล็กๆ ของผมกำลังเต้นถี่ และเป็นความรู้สึกที่ดีใจแบบอธิบายไม่ได้ มันเหมือนผีเสื้อในทุ่งดอกไม้ที่บินวนในท้องผม


   “อื้อ ก็คุยดูดิ”ผมบอกแล้วยิ้มกว้าง จะว่าเขินก็เขิน แต่มันดีใจมากกว่า อย่างน้อยโอกาสก็เข้ามาหาผมแล้ว เป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับ



- ระยะเวลาในการคุย ไม่ได้บ่งบอกระยะเวลาในการคบ –


   อาทิตย์ถัดมา ผมกำลังนั่งง่วนงุนงงอยู่ในเย็นวันศุกร์ ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเรียกได้ว่า ผมกับก้าวตัวติดกันยิ่งกว่าตังเมหรือปาท่องโก๋ ตอนกลางวันเขาจะมารอผมที่หน้าคณะแล้วก็ไปกินข้าวด้วยกันข้างนอกโดยเขาขับรถพาไปทุกวัน จนเพื่อนต่างตกใจที่เขามา จากปกติเขาไม่เคยมาเลย เพื่อนผมต่างลงความเห็นว่าผมอาจจะสมหวังกับคนที่แอบชอบแล้วก็ได้ ตอนนี้ไม่เรียกว่าแอบแล้วดีกว่าเรียกว่าชอบไปเลยแล้วกัน


RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR
เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนยี่ห้อดังโลโก้แอปเปิ้ลรุ่นล่าสุดของผมดังขึ้นทำให้ผมที่นั่งงงกับผลแลบอยู่ต้องหยิบขึ้นมารับ ซึ่งมันไม่ใช่ใครครับ คนที่จะลองคุยกับผมและมารับผมไปกินข้าวทุกวันนี่แหละ

“ครับ”ผมรับสาย

[ยีสต์คืนนี้เพื่อนมันจะไปร้านเหล้าอ่ะ ก้าวขอ...(เฮ้ยๆ แค่นี้ต้องขออนุญาตเมียเลยหรอวะ// เสียงเพื่อน) ไอ้สัด !!! เงียบๆ เดี๋ยวพวกมึงเจอตีนกู... ก้าวขอไปได้ไหมครับ] ผมหัวเราะกับน้ำเสียงของเขาซึ่งมันมีทั้งหมดสองน้ำเสียงครับตอนพูดกับผมนี่เสียงอ่อน อ้อนมาก แต่พอเพื่อนแซวนี่ด่าเสียงแข็งขึ้นมาเลย

“ฮะๆ จะไปก็ไปสิ”ผมบอก

[ไม่ห้ามหน่อยหรอ (เสียงอ้อน)...ไอ้เหี้ย !!! พวกมึงจะแซวกันอะไรนักหนา (เสียงด่า)...คืนนี้ก้าวก็ไม่ได้ไปนั่งเล่นห้องยีสต์นะ (เสียงอ้อน)] เขาพูดมา

“ก็ค่อยมาก็ได้”ผมบอกแล้วเขียนผลบรรทัดสุดท้ายเสร็จพอดี

[แต่ก้าวอยากอยู่ด้วยอ่ะ งั้นไปด้วยกันไหม ก้าวจะได้รับกลับ (เสียงอ่อน)... ไอ้สัดต้อง ปล่อย ! (เสียงด่า)] ผมนี่หัวเราะครับ อะไรจะทำให้เป็นสองโทนได้ขนาดนั้น

“โอเคๆ งั้นมารับยีสต์ด้วยนะ”ผมบอก ไหนๆ ก็ได้ไปเปิดหูเปิดตาแล้วก็ไปบ้างแล้วกัน ไหนๆ งานก็เสร็จแล้ว

[ครับผม งั้นก้าวไปรับตอนนี้เลยนะ แล้วนอนเล่นห้องยีสต์เลย] เขาว่า

“เคยห้ามได้หรอ”

[น่ารักที่สุด ! ... ไอ้สัด พวกมึงนี่ ยีสต์เกือบไม่ให้ไปละ] นั่นเขาโกหก ผมเลยหัวเราะ

“ไปคุยกับเพื่อนก่อนไป ยีสต์รอที่คณะนะ ถึงแล้วยิงมา”ผมบอก

[ครับ] ก่อนที่จะวางสายไป

ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่คุยกันก้าวไม่ใช่คนดีอะไรมากหรอกครับอย่างที่เขาบอก กับเพื่อนก็ไปกินเหล้า สังสรรค์กันบ้าง คำพูดคำจาก็ไม่ได้เพราะพริ้งมากเหมือนอย่างที่คนอื่นคิด แต่ตลอดอาทิตย์ที่คุยกันเขาพูดเพราะกับผมมาก แทนตัวเองว่า “ก้าว” และแทนผมด้วยชื่อผมทุกครั้ง ซึ่งเวลาเพื่อนผมได้ยิน มันจะหมั่นไส้กันทุกคน


แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากเพื่อนนะครับ แต่เป็นเพื่อนที่มีความรู้สึกพิเศษให้กันแค่นั้น ทุกเย็นถ้าก้าวว่างก้าวจะมานั่งเล่นที่ห้องผม แต่ไม่ถึงกับนอนค้าง เพราะก้าวก็มีห้องที่ต้องกลับไปนอน ซึ่งผมว่ามันก็โอเคดีกับความสัมพันธ์ของเราตอนนี้ ไม่ต้องเร่งรีบ ค่อบเป็นค่อยไป มันมีความสุขดี


แต่ที่เพื่อนของเขาแซวนั้นเพราะว่าก้าวทำตัวผิดปกติจากเดิมเพราะว่าเมื่อก่อนจะไปไหนกับเพื่อนตลอดตอนเย็นก็ไปเล่นบาส ออกกำลังบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ต้องมาห้องผมก่อนเสมอ แล้วก็ไปหาอะไรกินด้วยกัน ผมรู้สึกไม่ชิน แต่ก็โอเคดี ส่วนเพื่อนผมนะหรอ ฟันธงไปแล้วครับ


“อีกหน่อยก็แฟนกัน”


พวกมันพูดมาแบบนี้ ซึ่งผมก็ป่วยการที่จะเถียงกับพวกมัน เพราะผมเถียงไม่เคยชนะเลยสักครั้ง

- มีต่อครับบบบบบ -
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : หัวใจ ไซว์ (จุลชีวะ) P.2 (07.07.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: desevbas ที่ 07-07-2016 23:55:38
ต่อครับ


- คนเราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด ถ้าพลาดแล้วยังทำอีก ก็เรียกว่า โง่ –


ผมนั่งอยู่ในร้านชิว เล็กๆ ใกล้ๆ หอที่ผมมักจะได้ยินเสียงเพลงทุกวันยามดึกๆ หลังเวลาสี่ทุ่มไปแล้ว ซึ่งผมก็ไม่ใช่พวกที่เรียบร้อยถึงกับขนาดไม่เคยมา แต่แค่มาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะครึกครื้นไปสักนิดเพราะเพื่อนก้าวมากันเยอะมาก เรียกได้ว่าขนกันมาเกือบทั้งสาขาแล้วมั้ง ส่วนผมนะเหรอ ? เป็นคนนอกคณะคนเดียวในโต๊ะเลยก็ว่าได้ครับ


เครื่องดื่มสีชาพร้อมกับของผสมตั้งเรียงอยู่มากมายบนโต๊ะ ซึ่งใครที่ถนัดที่จะดื่มแบบไหนก็ผสมกันเอาเอง ซึ่งผมก็ดื่มได้ครับเป็นโซดาธรรมดาก็โอเคแล้ว แต่ผมไม่ใช่พวกดื่มเก่งสักเท่าไร เพราะดื่มแล้วจะมีอาการตัวแดงและคันร่วมด้วยทำให้ผม มึนง่ายมาก แต่ก็เคยเมาแบบไม่สติเหมือนกัน ครั้งนั้นลงไปวัดถนนเลยครับ ดีที่ไม่ได้มีบาดแผลอะไรมาก


ผมนั่งฟังเพลงและเสียงคุยโหวกเหวกที่ดังข้ามโต๊ะไปมา บางเพลงที่วงดนตรีข้างบนร้องแล้วโดนใจก็จะมีเสียงร้องตาม ซึ่งผมก็โอเคเพราะมันเป็นธรรมดาของร้านแบบนี้ ก้าวกำลังนั่งคุยกับเพื่อนเขาอย่างสนุกสนาน เพื่อนบางคนผมก็เคยเห็นหน้าค่าตาบ้างครับเลยไม่ได้เก้อเขินเท่าไร

“เฮ้ย ยีสต์ มึงมาด้วยหรอวะ ?”เสียงทักดังขึ้นทำให้ผมเงยหน้าไปมองก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ไอ้บอนด์กับไอ้พลานท์ ที่เรียนคณะเดียวกัน ไอ้บอนด์เรียนเคมี ส่วนไอ้พลานท์มันเรียนชีวะ แต่ว่ามันสนิทกัน ซึ่งรวมถึงผมด้วย เพราะว่าเพื่อนในชั้นปีบอกว่า พวกผมต่างก็เป็นมาสคอตประจำเอก คือด้วยหน้าตา และนิสัยที่ต่างกันบ้างบางอย่างแล้ว มาสนิทกันตอนทำงานด้วยกันแหละครับ คนที่ทักผมมาก็คือไอ้บอนด์ครับ

“ไม่ยักค่อยเห็นมึงเลย”ไอ้พลานท์เดินเข้ามาแล้วโอบไหล่ผมไว้พร้อมกับยิ้มกว้างสไตล์มัน
“ก็มาแล้วนี่ไง พวกมึงนี่นะ แล้วพวกมึงมากับใคร”ผมถามแล้วชะเง้อไปมอง
“ก็เพื่อนในคณะแหละ นี่เด็กศึกษาฯ หมดเลยนี่หว่า”ไอ้บอนด์ทัก แล้วดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผม ผมเห็นก้าวเหล่มาทางผมนิดๆ ครับ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
“เออดิ”
“เฮ้ยนาย เราพลานท์นะ เป็นเพื่อนในคณะไอ้ยีสต์มัน แต่คนละเอก”พลานท์ยกแก้วทั้งคนข้างๆ ผม ก้าวเลิกคิ้วแล้วยกแก้วขึ้นมาชนด้วย
“เพื่อนยีสต์เอง นี่บอนด์เรียนเคมี ส่วนนี่พลานท์เรียนชีวะ ส่วนพวกมึง นี่ก้าว เพื่อนกูเอง”ผมแนะนำคนทั้งคู่ให้เขารู้จัก
“อือ หวัดดี”ก้าวทักแล้วยกมุมปากขึ้นนิดๆ ก่อนจะกระซิบข้างหูผม “มันจีบยีสต์หรอ ?”ผมแทบจะหลุดหัวเราะแต่ยิ้มก่อนที่จะหันไปกระซิบกลับ


“นั่งกินกับเพื่อนไปเหอะน่า”ผมบอกแล้วยิ้มให้กับเขา ผมไม่รู้ว่าเขาหึงหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร เขาก็ไม่ได้พูด เพราะว่าเขาคงรู้ว่าเราไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาหึงหวงกัน
“เฮ้ยกระซิบกระซาบอะไรกันวะ ?”บอนด์เลิกคิ้วถาม
“เสือก มึงอ่ะ”ผมว่าแล้วยกแก้วขึ้นชนกับมัน มันก็ยกขึ้นชน
“มึงแม่ง !”บอนด์บ่น
“แล้วแฟนพวกมึงอ่ะ ไปไหนกันหมด”ผมพูดถามเพราะรู้สึกไอ้สองตัวเพื่อนผมเนี่ยกับแฟนมันจะตัวติดกันมาก ไปไหนเห็นกันตลอด นั่นไง ทักไม่ทันได้ 10 วิ สองหนุ่มร่างสูงคนละมาดก็เดินเข้ามา คนแรกตี๋ๆ ขาว รอยยิ้มมีเสน่ห์ นั่นซีครับ แฟนไอ้พลานท์มัน เรียนวิศวะ ส่วนอีกคนหนุ่มมาดเซอร์หน้าคม ชื่อกันต์ แฟนไอ้บอนด์มัน พวกมันทั้งสองคนอ่ะ กวนตีนแฟนยิ่งกว่าอะไรดี แต่ในความกวนตีนก็ขี้หึงสัดๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะซี แต่ผมอิจฉาในความรักของมันทั้งคู่นะครับ อาจจะไม่สมหวังในทีแรก แต่ก็แฮปปี้ในตอนจบ นับวันจะยิ่งแฮปปี้ด้วย แล้วก็มีคนอิจฉาพวกมันเยอะ แม่ง ก็เล่นได้แฟนหล่อคนละสไตล์ตามสมัยนิยมแบบนี้ ใครจะไม่อิจฉา แต่ก็ดูหน้าเพื่อนผมสองคนด้วยครับ ใช่ย่อยที่ไหน


“นั่นไง ตายยากไหมล่ะ ? แฟนกู”เสียงไอ้พลานท์ร้องขึ้นหลังจากที่ซีเดินเข้ามายื่นข้างๆ กอดคอแล้วยิ้ม
“เห็นมึงหายไปนาน นึกว่าไปอ่อยใครซะละ”ซีแกล้งแฟน
“อ่อยพ่อมึงสิ มึงตามกูขนาดนี้ กูจะไปอ่อยใคร”
“แสดงว่าจะอ่อย ถ้ากูไม่ตาม”ซีเลิกคิ้วถาม
“เคยเห็นอ่อยไหม ?”พลานท์ก็สู้
“ไม่เคย”ซียักไหล่ พลานท์เลยถอนหายใจแล้วส่ายหน้า แต่ก็ยิ้ม
“รู้ไว้ก็ดี กูแอบชอบมึงมานาน จะให้ไปชอบใครได้อีกวะ”พลานท์บอกแล้วหัวเราะเงยหน้ามองแฟนมัน
“มึงรักกู”ซีแซว
“เออ ! แล้วมึงไม่รัก ?”พลานท์เลิกคิ้วถาม
“ไม่อ่ะ”ซีบอก พลานท์เลยทำหน้างอน
“งั้น...”
“ไม่มีวันไหนไม่รักมึงเลยสักวัน”นั่นไง กูว่าแล้ว นี่กูเป็นก้างหรือเปล่าวะ แรงสะกิดจะคนข้างๆ ทำให้ผมหันไปมอง ผมเลยเลิกคิ้วถาม

“เขาเป็นแฟนกันหรอ ?”ก้าวถาม ผมเลยพยักหน้า
“อื้ม คบกันมาได้สักพักละ”ผมบอกแล้วยิ้ม
“น่ารักเนอะ”เขาพูดแล้วยิ้ม ผมเลยพยักหน้าตาม “แล้วคู่นี้อ่ะ ก็แฟนหรอ ?”ก้าวเบ้ปากไปทางคู่บอนด์กับกันต์ที่กำลังคุยกันอยู่หนุงหนิง
“อื้อ”


“หายไปนานนึกว่าเป็นอะไร ?”เสียงกันต์พูดออกมาอย่างเป็นห่วง โอ่ย ตายๆ มึงจะฆ่ากูใช่ไหม ห๊ะ ? แฟนแม่งก็หวงเกิ๊น
“เปล่า มานั่งคุยกับเพื่อน เดี๋ยวกลับโต๊ะแล้ว”บอนด์บอกแล้วยิ้ม กันต์เลยเอามือลูบหัว
“เป็นห่วงเลยเดินหา”กันต์บอกแล้วยิ้ม บอนด์นี่ก็โชคดีครับ มีแฟนทีก็รักเกิน ดูแลกันดีเพราะรู้จักกันมานานเป็นเพื่อนกันมาก่อนจะเลื่อนขั้นเป็นแฟน
“อือ คืนนี้อย่ากินเยอะนะ ต้องขับรถรู้ไหม ?”บอนด์ว่า
“รู้แล้ว ไม่เมาหรอก ยังไงก็กลับได้”กันต์บอก
“ดีแล้ว”


“ยิ้มทำไมอ่ะ ?”เสียงก้าวถามผมขึ้นมา เพราะว่าผมกำลังยิ้มกับความรักของพวกมันอยู่
“เปล่าแค่อิจฉา เพื่อนมันมีความรักดีน่ะ”ผมบอกแล้วยิ้มหัวเราะ ก้าวก็ยิ้ม
“เดี๋ยวเราก็มี”เขาบอกทำให้ผมหันไปยิ้มกับเขาแล้วหัวเราะ
“พวกมึงสองคนแม่งกระซิบอะไรกันอยู่วะ จะจีบกันก็กลับห้องไปไป”เสียงต้องเพื่อนก้าวดังขึ้น ตอนนี้หน้าไปแล้วครับ น่าจะเมาได้ที่อยู่เหมือนกัน
“มึงนี่ก็เสือกจริงๆ นะไอ้สัดต้อง...ยีสต์อยากกลับหอยังครับ”อีกแล้วครับน้ำเสียงที่แตกต่างกัน พูดด่าเพื่อนแต่หันมาถามผมเสียงหวาน
“โอ๊ย ไอ้เหี้ยนี่ก็พูดเพราะจริง !”ต้องยังไม่หยุด
“กินต่อก็ได้ หอยีสต์อยู่แค่นี้เอง”ผมบอกแล้วยิ้ม ก้าวเลยพยักหน้าแล้วหันไปกินกับเพื่อน
“พวกกูกลับโต๊ะก่อนนะ ไว้เจอกัน”บอนด์บอกแล้วลุกขึ้นเดินไป ก่อนที่ผมจะหันมาสนใจคนข้างๆ ที่คุยเฮฮากับเพื่อน แล้วยิ้มออกมา


ก้าวเป็นคนที่มีเสน่ห์จริงๆ นะครับ ผมมองเขายังไงก็ไม่เบื่อ ยิ่งเขาอยู่กับผมแล้วพูดกับผมแบบที่ไม่เหมือนกับคนอื่นแล้ว ทำให้ผมยิ่งชอบเขาไปใหญ่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกชอบผมมาบ้างหรือยังหลังจากคุยกันหนึ่งอาทิตย์ แต่ผมก็มีความสุขกับตอนนี้ดี



- ถ้าตอนนี้ยังมีความสุขก็ทำไป ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ -


ร้านสุราปิดแล้วครับ ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง ซึ่งข้างหลังผมคือชายหนุ่มที่จะเดินขึ้นมาส่งและขอเขามาทำธุระส่วนตัวด้วยเนื่องจากทนไม่ไหว เขาก็เมาได้ที่เหมือนกันครับ หอเขาอยู่ห่างออกไป ผมไม่อยากให้เขาขับรถเท่าไร

“ยีสต์ไม่อยากให้ก้าวขับรถ คืนนี้นอนห้องยีสต์ก็ได้นะ”ผมบอกเมื่อเปิดประตูได้แล้ว แต่เจ้าตัวก็วิ่งเข้าห้องน้ำทันที
“ก้าวนอนได้หรอ ?”ก้าวตะโกนออกมาจากห้องน้ำ
“ทำไมจะนอนไม่ได้”ผมถามกลับไป
“ก็นึกว่ายีสต์จะไม่ไว้ใจก้าว”เสียงกดชักโครกดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินออกมา
“มีเรื่องอะไรที่จะไม่ไว้ใจ”ผมเลิกคิ้วถาม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาที่ปลายเตียงที่ผมนั่งอยู่ ก่อนที่จะนั่งยองๆ จ้องหน้าผมแล้วยิ้ม ตาเขาปรือเล็กน้อยแต่ยังเห็นว่ามันมีบางอย่างซ่อนอยู่
“ก็เรื่องแบบ...”เขายื่นหน้ามาใกล้หน้าผม ในหน้าขาวกับริมฝีปากได้รู้ คิ้วเข้มรับกับใบหน้านั้น ผมมองเท่าไรก็ไม่เคยเบื่อ แถมยังมีดวงตาที่มีเสน่ห์มากอีกด้วย


ตึก ตึก ตึก
เสียงหัวใจผมเต้นในความเงียบนี่ผมจ้องตาเขา เขาก็จ้องตาผม ตาของเราทั้งคู่ประสานกัน พร้อมกับรอยยิ้มของคนตรงหน้า จมูกของเราชนกัน ดวงตาของก้าวเปลี่ยนเป็นจ้องที่ริมฝีปากของผม ก่อนจะยิ้มออกมา แล้วเปล่งเสียงที่เหมือนจะอ้อนเล็กน้อย



“ก้าวขอจูบได้ไหม ?”



นาทีที่เสียงนั้นเอ่ยออกมา ทำให้สายตาผมจ้องไปในดวงตาของคนตรงหน้าที่ห่างไม่ถึง 10 เซนติเมตร มันใกล้ ใกล้มากจริงๆ ใกล้จนลมหายใจของเขาผมก็รู้สึกได้ แม้มันจะมีกลิ่นแอลกอฮอล์ แต่มันก็เป็นกลิ่นที่ชวนให้หลงไปกับคำขอมาก ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรได้แต่อึ้งก่อนที่จะจะ


“อ่ะ...เอ่ออออ...อื้อ”เหมือนเขาจะไม่รอให้ผมตอบ ริมฝีปากสวยได้รู้จู่โจมริมฝีปากผมทันที ด้วยความรวดเร็ว ภายใต้ความเร็วนั้น ผมสัมผัสได้ความอุ่นจากอีกฝ่ายที่ส่งผ่านริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะสอดลิ้นเข้ามาเพื่อสัมผัสกับลิ้นของผม เขาค่อยๆ ประคองใบหน้าของผมด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกแล้วเอามือข้างหลังประคองหลังผมแล้วดันหลังผมลงไปบนเตียงนุ่มทั้งที่ปากยังประคองจูบผมอยู่ด้วยความอ่อนโยน


ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือเปล่า แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่มันก็เป็นสัมผัสที่หวานและอบอุ่นมากที่ผมเคยได้สัมผัสมา มือของเขาเริ่มจะสอดเข้ามาในเสื้อ ก่อนที่ผมจะรู้สึกตัวแล้วจับข้อมือผมไว้เพื่อบอกให้เขาหยุด ก่อนที่เขาจะถอนจูบออกจากริมฝีปากผม แล้วจ้องหน้าเหมือนตกใจเล็กน้อย

“เมาหรือเปล่า ?”ที่ผมถามไม่ใช่เพราะเล่นตัว ผมรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ผมรู้ว่าเขาเมาแล้วเคยมีอะไรกับเพื่อนผู้หญิง แต่ว่ามันเป็นแค่ความเมาที่ตื่นมาทั้งสองฝ่ายไม่ได้รู้สึกพิเศษต่อกัน แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าผมยอมแล้วมันเกิดเหมือนผู้หญิงคนนั้น แต่ผมเป็นคนรู้สึก ผมจะเป็นคนเจ็บเอง


ผมเห็นแก่ตัวพอที่จะปกป้องตัวเองแบบนั้น
ทั้งที่ผมเป็นคนบอกเองว่า เซ็กส์เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์


ใช่ผมเคยพูด แต่ผมชอบเขามาก เมื่อผมตกเป็นของเขา ผมอาจจะเจ็บปวดก็ได้ใครจะไปรู้ ผมมองดวงตาที่หวั่นไหวคู่นั้นแล้วผมรู้สึกได้ทันทีว่า เขายังไม่มั่นคงกับความรู้สึกของตัวเอง

“นิดหน่อย ต...แต่ยีสต์บอกเองไม่ใช่หรอว่า”ก้าวจะพูด แต่ผมผลักอกเขาให้ลุกขึ้นแล้วมองหน้าเขา
“ก็ใช่ แต่ครั้งนั้นก้าวไม่ได้รู้สึก อีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึก แต่ครั้งนี้ยีสต์รู้สึก ก้าวไม่คิดว่ามันจะเร็วไปหรอ เราอยู่ในความสัมพันธ์ที่จะมีอะไรแบบนั้นทั้งที่ก้าวยังรู้สึกตัวไม่ได้เมาแบบนี้หรอ ?”ผมถาม ก้าวมองหน้าผมแล้วส่ายหน้า
“ขอโทษ ก้าวแค่...”ก้าวจะพูดบางคำออกมาแต่เขาก็เงียบไป

“ยีสต์ไม่ได้เร่งรัดความรู้สึกก้าวนะ แต่ยีสต์อยากให้เราค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้เรายังเป็นคนคุยอยู่ ยีสต์ไม่อยากข้ามขั้น ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดวันหนึ่งเราคบกันมันจะเร็วเกินไปจนบางทีอาจะเบื่อ ค่อยๆ เติมความรักให้กันเนอะ”ผมบอกแล้วยิ้มให้กับเขา

“ยีสต์รักก้าวหรอ ?”เขาถาม
“ถ้าก้าวคิดว่าแบบนั้น ก็คงรักแหละ”ผมบอกเขิน “ก็ยีสต์ชอบก้าวมาตั้งนาน”ผมบอกแล้วก็เกาแก้มตัวเอง เขาเลยยิ้มออกมา แล้วกอดผม

“ขอเวลาก้าวอีกนิดได้ไหม ถ้ามั่นใจเมื่อไร สัญญาว่าจะบอกให้รู้ แต่อย่าเพิ่งไปมีใครนะ”เขาบอกกับผมเหมือนเป็นการมัดมือชก
“งั้นระหว่างที่รอ ยีสต์ก็ไม่มีสิทธิ์มองใครเลยสิ”ผมเลิกคิ้วถามแล้วหัวเราะ
“มองได้ แต่ให้รอก้าวก่อนไง”เขาบอก ผมเลยพยักหน้า ความจริงก็ถามไปงั้นแหละครับผมมองคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว ก็ในสายตาของผมมีเขาคนเดียว


ก้าวเป็นคนไม่มั่นใจในความรักของตัวเอง อันนั้นคือสิ่งที่ผมรู้ เพราะว่ารอบกายเขามีแต่คนยื่นความรักให้เสมอ จนไม่รู้ว่าการรักคนอื่นมันเป็นยังไง ผมเลยเหมือนเป็นฝ่ายสอนให้เขารู้ความรักที่ให้คนอื่นนั้นเป็นแบบผมนี่แหละ ผมรักเขาในแบบที่เขาเป็นเขา ไม่ได้เป็นแบบคนอื่น ไม่ได้หวังให้เขาชอบกลับ ผมรู้ว่าปลายทางข้างหน้าผมอาจจะผิดหวัง แต่ลองผิดหวังดูบ้าง ใจผมจะได้เข้มแข็งขึ้น



- หากในวันที่เหนื่อยล้า แล้วมีคนที่กอดเราในยามร้องไห้ นั่นคือคนที่รักเรา –



ชีวิตผมกับก้าวก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตามแบบแผนเดิมของชีวิตครับ ผมกับก้าวก็ยังเจอกันทุกวัน บางวันอาจจะไม่เจอเพราะเขาเรียนเลิกค่ำ ส่วนผมก็ยังหัวหมุนกับแลบอยู่ทุกๆ วัน แต่แปลกที่ผมกลับรักเขามากขึ้นกว่าเก่าเพราะเขาเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายตลอดเวลา เขาไม่เคยเบื่อที่จะมารับผมไปเรียนในตอนเช้าแม้เขาจะไม่มีเรียน และมารับผมไปกินข้าวทุกเย็น ตอนกลางวันผมขออยู่กับเพื่อนบ้าง ซึ่งเขาก็โอเค ผมก็ไม่รู้ละว่าตอนนี้ใครติดใครกันแน่



ตอนนี้ผมกำลังหัวหมุนกับผลแลบในตอนเวลาตี 2 ครับ วันนี้ก้าวขอไปกินเหล้ากับเพื่อนเหมือนเคยและต่อยาวไปถึงผับซึ่งปิดตี 2 ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา ผมไม่ใช่คนที่จะหวง เขาก็ต้องมีสังคมของเขาบ้าง แค่บอกกันบ้างก็โอเค คุยกันครั้งล่าสุดคือตอนตี 1 ครึ่งนี่แหละครับ เขาบอกว่ากำลังจะกลับ ผมเลยบอกให้เขาขับรถดีๆ ถึงแล้วให้โทรฯ หาด้วย เขาก็รับปาก


หาวววววววววววววววววววว

รอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่ว่างานยังไม่เสร็จเลยจะเข้านอนไม่ได้ ผมยังต้องถ่างตาต่อไป ดีที่วันนี้วันเสาร์ พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่นไปไหน นี่ตี 2 กว่าแล้วผับหน้าจะปิด ไม่รู้ว่าก้าวถึงห้องหรือยัง ผมเลยจะโทรฯ ถามเขาสักหน่อย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แต่ยังไม่ทันโทรฯ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน ผมเลยวางโทรศัพท์แล้วเดินไปเปิดประตู ก็พบร่างสูงของคนที่ผมกำลังจะโทรฯ หายืนอยู่หน้าห้อง ผมเลยยิ้ม แต่ที่แปลกใจคือแววตาของเขาดูไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เขาก้มหน้าแล้วทำหน้าเศร้า ผมเลยแปลกใจเล็กน้อย

“ก้าวเป็...”ยังไม่ทันที่ผมจะถามจบคำถาม ร่างสูงก็โผกอดผมเสียแรง แล้วกอดผมแน่นมาก จนผมตกใจแล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบหลังเขา เขาอาจจะมีเรื่องทุกข์ใจผมเลยต้องผลอบเขา
“เป็นอะไร ?”ผมถามเขาทั้งที่คางเกยไหล่เขาอยู่
“ยีสต์...ก้าวขอโทษ”อยู่ดีๆ เขาก็เอ่ยคำขอโทษออกมา
“ขอโทษยีสต์ทำไม ?”ผมถาม
“ก้าวขอโทษ ที่ไม่ซื่อสัตย์กับยีสต์ ก้าวขอโทษ ขอโทษๆๆๆ”เขาพูดคำว่าขอโทษรัว ทำให้ผมต้องผละออกจากอ้อมกอดเขาแล้วจับมือเขาเข้ามาในห้อง
“มีอะไร แล้วไม่ซื่อสัตย์อะไร”ผมถามเลิกคิ้วถาม ก้าวเงยหน้ามองหน้าผม เหมือนรู้สึกผิด
“ก้าว...ไป จูบกับคนอื่นมา ต...แต่ก้าวไม่ได้ตั้งใจนะ ก้าวแค่มึนๆ แต่ พ...พอ”เขาพูดรัวแล้วก็เร็ว
“เดี๋ยว ใจเย็นๆนะก้าว ค่อยๆ พูด”ผมไม่ตกใจที่เขาไปจูบกับคนอื่น แต่ตกใจที่เขาไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ ผมเคยบอกแล้วว่าก้าวเป็นคนที่มีความรักยื่นให้เสมอ แต่กับตัวเองเขาไม่รู้ว่าใจเขากำลังรู้สึกยังไง เพราะได้รับมาตลอด ไม่เคยให้

“ก้าวจูบกับผู้ชายในผับ แต่ด้วยความเมานะ”เขาบอกแล้วจับมือผมเหมือนไม่ให้ผมโกรธ ผมเลยพยักหน้า “ต...แต่พอก้าวจูบ มันไม่เหมือนกับที่ก้าวเคยจูบยีสต์เลย มันไม่ใช่พอจูบเขาหน้ายีสต์ก็ลอยเข้ามา และความรู้สึกมันไม่ใช่เลยสักนิด มันไม่หวาน ไม่อุ่น ไม่รู้สึกดีเหมือนที่ก้าวจูบกับยีสต์ แบบนี้ก้าวรักยีสต์หรือเปล่า ?”ผมบอกแล้วไม่ผิดใช่ไหมครับ ผมเลยยิ้ม ก้าวอยู่กับผมเขาเหมือนผู้ชายที่เหมือนเด็กทุกครั้ง ผมเลยจับไหล่เขา

“จะรักยีสต์ยังต้องมาถามอีกหรอ ?”ผมถามแล้วหัวเราะ

“ก็ก้าวไม่รู้นี่ ยีสต์ก็รู้ว่าก้าวไม่เคยรักใคร ไม่รู้ว่าการรักคนอื่นรู้สึกยังไง เพราะก้าวได้รับมาตลอด พอมีคนที่รู้สึกดีเข้ามาคุยด้วยแล้วก้าวก็อยากเจอคนที่รับก้าวในแบบที่ก้าวเป็น พอบอกว่าก้าวเคยมีอะไรกับคนอื่นแต่ไม่ได้คบ เขาก็รับไม่ได้กันทุกคน เขาคิดว่าก้าวเป็นคนดี แต่ก้าวไม่ใช่ แต่ยีสต์รับได้ในสิ่งที่ก้าวเป็นทุกอย่าง ยีสต์ไม่เคยมองสิ่งที่ก้าวเคยทำพลาดมาในอดีต แต่เรื่องวันนี้ก้าวรู้สึกผิดจริงๆ นะยีสต์ ยีสต์อย่าโกรธก้าวเลยนะ แต่จะตี จะตบก็ได้ ก้าวยอม”เขาจับมือผมแล้วเอาไปตีตัวเขาเอง จนผมหัวเราะออกมา นี่เขาไม่เป็นตัวเองขนาดนี้เลยหรอเนี่ย ไหนก้าวคนที่สุขุม หายไปไหนแล้ว

“ก้าว พอก่อน พอๆ”ผมยกมือห้าม แล้วจ้องหน้าเขา
“ก้าวกลัวยีสต์โกรธ”
“แล้วอยากให้ยีสต์โกรธไหม”เขาส่ายหน้า “ใช่ ยีสต์ไม่โกรธก้าวเลย แต่ดีใจที่ก้าวคิดถึงยีสต์เวลาที่ไปจูบกับคนอื่น แสดงว่าก้าวแคร์ยีสต์มากกว่าคนๆ นั้น แล้วมันเป็นสิ่งที่ลึกๆ อยู่ในใจก้าวเองว่า ยังมียีสต์ที่ก้าวยังทำแบบนั้นได้ ก้าวที่เป็นคนซื่อ ทำผิดแล้วมาบอกยีสต์แบบนี้ ก้าวที่เป็นคนยิ้มให้คนอื่นๆ ไม่เคยหน้าบึ้ง แต่จะมาร้องไห้ต่อหน้ายีสต์คนนี้ ไม่ก้าวจะเป็นอะไรแบบไหนในสายตาคนอื่น ก้าวจะแย่ในอดีตสักแค่ไหน แต่สำหรับยีสต์”ผมจับแก้มเขาแล้วยิ้ม


“ก้าวยังคงเป็นก้าวที่ยีสต์รู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้เสมอ”


ผมบอกกับเขา เขาเลยยิ้มออกมา นี่แหละรอยยิ้มที่ผมชอบ รอยยิ้มที่ผมรัก ผมรักที่เขาเป็นแบบนี้ เขาจับหน้าผมแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะยื่นหน้าเขามาใกล้ๆ

“ก้าวขอจูบได้ไหม ?”เขาขอผม ทำไมเวลาจะจูบเขาต้องขอผมตลอดแบบนี้ก็ไม่รู้สินะ แต่มันก็ดีนะครับ ผมชอบเขาที่เป็นแบบนี้ ผมพยักหน้าแล้วเขาก็จูบผมทันที มันยังคงนุ่มนวล หอมหวานเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน ผมยังรู้สึกดีที่ได้จูบเขา แม้จะมีรอยจูบคนอื่นทับอยู่บนริมฝีปากเขา แต่สำหรับผมมันกลบไม่ได้เลย เขาจูบผมอยู่เนิ่นนานก่อนที่จะผละออก แล้วเอาหน้าผากแตะหน้าผากผมไว้


“เป็นแฟนกับก้าวนะ”


คำขอที่เอ่ยออกมาจากปากคนตรงหน้าทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมา มันถึงเวลานี้แล้วจริงๆ หรอ วันที่ผมได้ใช้คำว่า แฟน กับคนที่ผมแอบรักมาตลอด 3 ปี มันอาจจะนานแต่ถ้าเทียบกับเวลานี้ ตรงนี้แล้ว มันคุ้มมากที่ได้มา ผมพยักหน้า


“อื้อ”


ผมบอกออกไปอย่างเขินๆ แล้วซุกไปกับอกกว้างของคนตรงหน้า เขาโอบกอดผมอย่างหวงแหนแล้วจูบลงกระหม่อมผมเบาๆ


“ยีสต์ขอบคุณนะที่รอก้าวนานขนาดนี้ วันแรกที่ยีสต์มาบอกชอบก้าว ตอนนั้นก้าวก็ไม่ตั้งตัวเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไมในสายตาก้าวตั้งแต่วันนั้นมองหาแต่ยีสต์ตลอด ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก้าวก็อยากเห็นหน้า ก้าวในตอนนั้นก็คงเหมือนกับตอนที่ยีสต์ยังไม่มาสารภาพกับก้าว ความรู้สึกที่เรียกว่าชอบ แต่พอได้รู้จัก ได้คุย ยีสต์เป็นคนที่มองข้ามข้อเสียของก้าวเสมอ มันเลยทำให้ก้าว...”เขาดึงไหล่ผมออกมาหลังจากเว้นการพูด


“รักยีสต์ในแบบที่เป็นยีสต์”



คำพูดของเขาที่เปล่งออกมาทำให้หัวใจน้อยๆ ของผมมันรู้สึกดี นี่สินะที่เขาบอกว่าเวลาแอบรักหัวใจจะเล็ก แต่เมื่อได้รักตอบเหมือนกับลมถูกเป่าเข้าไปทำให้หัวใจพองโต


ผมรู้สึกแล้วจริงๆ


“แต่ก้าวยังไม่ได้บอกยีสต์ใช่ไหมว่าข้อเสียของก้าวมีอีกอย่าง ?”เขามองหน้าผมแล้วยิ้ม ผมเลยเลิกคิ้ว
“หือ ?”

“ก้าวเป็นคนหื่นนะ”พูดจบเขาก็กดผมลงกับเตียง แล้วจูบผมอย่างร้อนแรง พร้อมกับไซร้ซอกคอ “อ่อ...”อยู่ดีๆ เขาก็ผงกหัวขึ้นแล้วมองหน้าผมแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์


“เรื่องจูบกับคนอื่นอ่ะ ก้าวโกหก แค่อยากให้ยีสต์หึง แต่ดันไม่หึงซะได้ รู้ป่ะ ก้าวโคตรโชคดีที่ได้ยีสต์เป็นแฟน ต่อจากนี้ก็รอรับความหื่นของแฟนเลยนะครับ คุณแฟนที่น่ารักของก้าว”


เอาล่ะครับท่านทั้งหลาย ชีวิตต่อข้างหน้านี้ ผมจะไปรอดได้แค่ไหน ช่วยเอาชีวิตผมด้วยนะครับ แต่ข้อเสียอันหลังสุดนี่ดูจะยอมรับยากสักนิดหนึ่ง แต่ในเมื่อเป็นแฟนเขาแล้วก็คงต้อง


ยอมๆ ไปละนะ




END....


________________________________________________________________________________________

มาทีเดือน มาทีละตอน ฮ่าๆๆๆๆ
แต่ก็งานเยอะอ่ะนะ
มาตอนนี้ขอบอกว่าเอาแบบละมุนกันไปเลยแล้วกันเนอะ
คาแรกเตอร์ก้าว ดึงมาจากเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่มั่นใจในความรักตัวเองสักเท่าไร
แต่เป็นคนที่ทำอะไรจะบอกแฟนตลอด แฟนมันก็นะเป็นคนที่โคตรของๆ จะโต ฮ่าๆๆๆๆ
เอาเป็นว่าผ่านไปแล้วครับสำหรับตอนนี้ รอเอกต่อไปละกัน
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
เหลืออีก 3 เอกก็จะจบซีรีส์นี้แล้วครับ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับบบบบบบบ
กราบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : หัวใจ ไซส์ (จุลชีวะ) P.2 (07.07.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 08-07-2016 00:22:11
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : หัวใจ ไซส์ (จุลชีวะ) P.2 (07.07.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 09-07-2016 00:17:27
น่ารักอ่ะ ยิ่งข้อเสียข้อสุดท้ายนี่ ยิ่งชอบอ่ะ เอามาแบ่งปันความหื่นให้อ่านบ้างก็ได้น้าาาาาา :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: {เรื่องสั้น} นักวิทย์วุ่นรัก The series : หัวใจ ไซส์ (จุลชีวะ) P.2 (07.07.2559)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-07-2016 14:46:56
ก้าวโคตรโชคดีที่ได้ยีสต์เป็นแฟน  :mew1: :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: