พิมพ์หน้านี้ - Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Wendy ที่ 19-12-2015 19:49:24

หัวข้อ: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 19-12-2015 19:49:24
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


Just Love ❤ รักนะครับ

"ทำไมมึงพูดกับคุณเพราะจังวะ”
“หืม..ก็พูดอย่างนี้มาตั้งนานแล้ววะ มึงมีปัญหา” มันถามกลับ
“เฮ้ย ไม่มีๆ” รีบปฏิเสธเสียงหลง ที่สงสัยก็แค่เวลาพวกมันสองคนคุยกัน
บรรยากาศมันไม่เหมือนเวลามึงคุยกับพวกกูนี่หว่า “งั้นมึงก็รู้จักกับมันนานแล้วสิ” 
“ตั้งแต่เกิด...ไม่สิ ก่อนกูเกิดแล้วมั้ง”


(http://i166.photobucket.com/albums/u83/rainbow_ryohei/intro_zpsqhqoux0e.jpg)


Just Love ❤ รักนะครับ
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3261494#msg3261494)
ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3261778#msg3261778)
ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3262913#msg3262913)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3263543#msg3263543)
ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3264120#msg3264120)
ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3265136#msg3265136)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3267550#msg3267550)
ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3269025#msg3269025)
ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3270842#msg3270842)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3272898#msg3272898)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3274048#msg3274048)
ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3274955#msg3274955)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3276616#msg3276616)
ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3277736#msg3277736)
ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3278496#msg3278496)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3280270#msg3280270)
ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3281612#msg3281612)
ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3282239#msg3282239)
ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3283658#msg3283658)
ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3286377#msg3286377)
ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3290256#msg3290256)
ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3291157#msg3291157)
ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3292149#msg3292149)
ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3294389#msg3294389)
ตอนพิเศษ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3295004#msg3295004)
ตอนพิเศษ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50844.msg3296895#msg3296895)
(http://i175.photobucket.com/albums/w127/mnatt/line/web8_line.gif)

สวัสดีค่ะ
เรื่องนี้เป็นนิยายอีกเรื่องที่เราแต่งไว้
เคยลงในเวปเด็กดีมาแล้วค่ะ
อยากแบ่งปันให้กับคนในเล้าเป็ดที่เราได้เข้ามาอ่านบ่อยๆ บ้าง
ฝากด้วยนะคะ *แจกกอด*
 :กอด1:
Lavender's blue

งานเขียน
[เรื่องสั้น] เรา (จบในตอน) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48808.msg3178858#msg3178858)
[เรื่องสั้น] At the beginning of the end ❆ (จบในตอน) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50965.msg3265986#msg3265986)
★ Lucky! ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว ★ จบแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48933.msg3185091#msg3185091)
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 1) 19-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-12-2015 19:56:57
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 1) 19-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 19-12-2015 20:02:21

Just Love ❤ รักนะครับ
 



1
 



“ซันๆ ตื่นหรือยัง”

 
เสียงที่คุ้นเคยดังผ่านโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือ แม่โทรมาหาเขาแต่เช้า เออ...ความจริงก็ไม่เช้าเท่าไหร่แค่เข็มสั้นชี้ไปเกือบๆ เลขสิบเอ็ดและเข็มยาวก็อยู่ใกล้ๆ กันเอง ยังไม่ตื่นดีเลยได้แต่ทำเสียงอืออาตอบไปตามเรื่อง แม่คงรู้จึงพูดต่อไป
 
“เมื่อวานแม่ไปเจอของกินที่ซันๆ ชอบเลยฝากไปกับน้าอรนะ ลูกอย่าลืมไปเอาของล่ะ”

“คร้าบบบ” แม่ฝากขนมมาให้ เย็นๆ ไปร้านน้าอร ทวนคำพูดในใจ

“ของซันๆ ถุงสีแดงนะ แล้วของเดือนถุงสีเขียว เอาไปให้เดือนด้วยล่ะ”

 “อ่า ได้ครับๆ” ขนมสองถุง สีแดงของเขา สีเขียวของเดือน โอเค

 “แล้วก็ตื่นได้แล้วลูก หาข้าวกินเสียล่ะ อีกสองอาทิตย์เจอกันนะ”

 “ครับ คิดถึงแม่กับป๊านะ สวัสดีครับ”
 

ปล่อยให้แม่วางสายไปจากนั้นบิดขี้เกียจแล้วหาวปากกว้าง เตียงขนาดคิงไซด์ทำให้เขาบิดตัวกลิ้งไปมาได้อย่างเต็มที่ เหลือบมานาฬิกาบนผนังแล้วจึงลุกขึ้นไปจัดการตัวเอง
 



วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แน่นนอนอยู่แล้วว่าเป็นวันหยุด ชายหนุ่มจึงปล่อยตัวตามสบาย ไม่ได้รีบตื่นไปเรียนเหมือนอย่างวันอื่นของสัปดาห์ ขนาดวันเสาร์เขาก็มีเรียนด้วย
 
...ใช่สิ ปีสามแล้วพวกเธอจะทำตัวตามสบาย เหลวไหลได้ยังไง ถ้ายังเสียงดังอีกฉันจะนัดวันอาทิตย์ด้วยดีไหม...

เสียงโวยวายของเหล่านักศึกษาที่เพิ่งขึ้นปีสามได้หมาดๆ เงียบลงทันทีที่ ‘เจ้ใหญ่’ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์เอ็ดเสียงดังซึ่งอาจารย์ไม่ได้ชื่อเจ้ใหญ่แต่นั่นเป็นรหัสลับที่นักศึกษาใช้เรียกกันลับหลัง
 

วันนี้พิเศษอีกอย่างนอกจากจะเป็นวันหยุดพักผ่อนที่จะหมดไปกับการเล่นเกมกับพรรคพวกในโลกออนไลน์แล้ว ตอนเย็นต้องไปร้านน้าอรเพื่อไปเอาขนมที่แม่ฝากมาด้วย


มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่นี้ห่างจากจังหวัดบ้านเกิดของเขาประมาณ 300 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เขาเดินทางกลับบ้านได้สะดวกและบ่อยตามความต้องการของมารดาที่เคารพ ช่วงแรกตอนปีหนึ่งแม่แทบจะให้กลับบ้านทุกอาทิตย์ แต่ตอนนี้แม่ของเขาเก่งเรื่องเทคโนโลยีขึ้นเยอะ ไลน์ เฟสบุค เฟสไทม์ ใช้เป็นหมดแล้ว มาตรการกลับบ้านอาทิตย์เว้นอาทิตย์จึงเหลือแค่เดือนละครั้ง หรือบางทีถ้ายุ่งมาก ก็สองเดือนครั้งยังพอไหว
 

ป๊าก็จะบ่นแม่ (ด้วยเสียงกระซิบกับเขา) ว่า ...ซันๆ เป็นผู้ชายก็ไปใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชายให้เต็มที่เลยก็ได้ ป๊าไม่ว่าไรหรอก ของแบบนี้... คราวหนึ่งแม่ได้ยิน ป๊ากับลูกชายถึงต้องทำงานบ้านกันเองไปหลายวัน
 





“หมูกระเทียมพิเศษเหมือนเดิม ด่วนเลยนะเจ้ หิวมากวันนี้”

ร้านอาหารตามสั่งไม่ไกลจากหอพักมีลูกค้าประปราย เขาเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะประจำ ครู่หนึ่งก็ได้หมูทอดกระเทียมราดข้าวร้อนๆ มารับประทาน กำลังชั่งใจระหว่างจะราดน้ำปลาพริกหรือซอสพริกก็มีมือปริศนามาผลักหัว หันไปกำลังจะอ้าปากด่า เจ้าของมือกลับด่าออกมาก่อนซะงั้น


“สัตว์”
         
“เชี่ยกาย!”

คนที่มาทำร้ายร่างกายเป็นเพื่อนร่วมคณะและบังเอิญอยู่หอพักเดียวกัน ไอ้กายไม่สนใจคำสบถนั่งลงข้างๆ ซดน้ำโค้กที่เพิ่งสั่งมาไปอึกใหญ่
 
“มึงตบหัวกู ด่ากู แล้วยังมีหน้ามาแดกน้ำกูอีกนะสัตว์”
 
“นิดหน่อยน่าไอ้ซัน แบ่งเพื่อนกินไม่ได้หรือไงวะ” 
 
กะเพราไข่ดาวของไอ้กายมาเสิร์ฟ พร้อมกับน้ำเก็กฮวยสีเหลือสวยในแก้วทรงสูง ไม่รอให้มันพูดอะไร เขาคว้ามาซดอึกๆ แก้แค้น
 
“อร่อยไหมมึง” มันถามพร้อมกับยักคิ้วให้
 
“มาก!!” คิดว่าเขาจะรู้สึกอะไรไหม ฝันไปเถอะ 


ทานข้าวกันไปจนหมดจาน คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยชวน


“มึง ไปดูน้องที่สโมฯ หน่อยสิวะ เป็นประธานชมรมบอลห่าไร ไม่เคยโผล่หัวไปดู”

“อันนั้นมันปีที่แล้ว ปีนี้กูเป็นแค่อดีตเว้ย” แก้ไขคำพูดของเพื่อน ประธานชมรมน่ะเป็นตอนปีสอง

“นั่นแหละ ใครๆ เค้าก็ไปมึงอย่าอู้ เสียชื่อหมด” ไอ้กายไม่สนใจ มันยังคงพยายามชวนต่อไป เหตุที่มันสนใจขนาดนี้เพราะปีที่แล้วมันเป็นรองประธานฯ

“อู้ของมึงคือแค่กูไม่ได้ไปอาทิตย์ที่แล้วเนี่ยนะ”


อาทิตย์ก่อนก็คือเพิ่งเปิดเทอม เขาคุยกับพวกปีสองที่ขึ้นมาดูแลชมรมต่อไปตั้งแต่ก่อนปิดเทอมแล้ว จึงไม่เข้ามาดูปีสองแนะนำชมรมแก่นักศึกษาปีหนึ่ง เอาไว้ค่อยมาดูวันจริงตอนคัดเลือกนักกีฬาทีเดียว


“ไม่รู้เว้ย รู้แต่ว่าวันนี้มึงต้องไปกับกู”
 
“เออๆ เดี๋ยวกูไปเอง ต้องไปธุระต่ออีกนิดหน่อย" ใช่ว่าจะไม่อยากดู แต่เพราะว่าอยากให้น้องปีสองได้ทำงานเองบ้างจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ในเมื่อวันนี้เพื่อนเอ่ยชวนจึงตอบตกลง
 



.

.

.
 


เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นเรื่อยๆ จากที่จับใจความไม่ได้ ค่อยชัดเจนขึ้น เมื่อเขาขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาใกล้สนาม จอดรถและเดินตามมา เสียงที่ว่าก็ยังดังไม่หยุด

กายยืนรออยู่แล้วหน้าประตูทางเข้า พยักหน้าให้แล้วเดินเข้าไปพร้อมกัน
 


“เฮ้ย ไอ้พวกปีหนึ่งนะ วิ่งให้มันเร็วๆ หน่อยสิวะ นี่เล่นบอลนะเว้ยไม่ได้มาเดินชอปปิ้ง!!!”

“ถ้ามึงทำกันได้แค่นี้ อย่าไปบอกใครว่าเรียนคณะวิทยาฯ นะเว้ย กูอาย!!”

“เอ้าเหนื่อย ลงไปวิ่งไม่ถึงสิบนาทีเหนื่อยแล้ว บอลเล่น เก้าสิบนาทีนะเว้ย พวกมึงรู้กันหรือเปล่าเนี่ย!!”
 

เสียงตะโกนนั้นดังมาจากแสตนด์ไม่ไกลจากทางเข้า บนนั้นมีนักศึกษาพวกรุ่นน้องปีสองทั้งหญิงและชายนั่งกันอยู่ร่วมสามสิบชีวิต พวกที่แหกปากตะโกนจนเหนื่อยหันมากินน้ำจากกระติกแล้วเหลือบตาเห็นไอ้กายกับเขาเข้าพอดี


“พี่กาย!!”


“พี่ซัน!!”


คนที่นั่งอยู่บนแสตนด์หันขวับ ไอ้กาย ยกนิ้วกลางแจกก่อนที่น้องๆ จะเข้ามารุมคนเพิ่งมาถึง

“ชู่ว์ เงียบๆ สิวะ” ไอ้กายบอกพวกรุ่นน้องที่ยังส่งเสียงไม่เลิก


“เป็นชู้ก็ต้องเงียบๆ อยู่แล้วพี่ เสียงดังเดี๋ยวผัวมันแม่งจับได้“ ไอ้แมนประธานชมรมคนปัจจุบันเล่นมุก ที่ทำเอาทุกคนสตั้นไปหนึ่งวินาทีก่อนจะพร้อมใจกัน...
 


“เหี้ย!!!”
 

“ไอ้ห่าแมน กูหมายถึงกูจะมาดูเงียบๆ ไม่ให้เด็กๆ มันรู้เว้ย” ไอ้กายโวยวาย เอื้อมมือไปตบหัวไอ้เด็กกวนตีน
 
“ผมล้อเล่นน่าพี่ก็ จริงจังไปได้ มานั่งทางนี้ดีกว่าพี่ มืดๆ หน่อย น้องมันจะได้ไม่เห็น” ว่าแล้วเดินนำไปทางฝั่งซ้ายของแสตนด์ห่างจากแสงไฟ คนอื่นก็พากันตามมาบ้าง หลังจากเปิดเทอมไปอาทิตย์กว่าเพิ่งจะเข้ามาดูชมรม น้องคงมีอะไรอยากปรึกษาเยอะบ้างเป็นธรรมดา
 
“เป็นไงมึง ไหวไหม” เมื่อนั่งกันเรียบร้อย เขาถึงได้มีโอกาสถามตามหน้าที่พี่ปีแก่ที่ดี

“ก็ดีว่ะพี่ แต่ด๋อยชะมัด ให้วิ่งนิดๆ หน่อยๆ ก็ดูท่าไม่ไหวซะแล้ว” ไอ้แมนบ่น

“แหมทำมาบ่นนะมึง ทีรุ่นพวกมึงกูให้สก็อตจัมพ์แค่ห้าสิบยังไม่ถึงครึ่งก็แข้งขาอ่อนกันหมด” ไอ้กายรำลึกความหลัง พร้อมดูถูกไอ้แมนนิดๆ ไอ้แมนกำลังจะต่อปากต่อคำ แต่ก็ต้องเงียบไปเพราะเขาชิงพูดขึ้นมาก่อน ขืนปล่อยให้ไอ้แมนได้พูด คืนนี้คงไม่ได้กลับกันพอดี

“เออ ก็อย่างนี้แหละมึง วันแรกๆ น้องมันก็ยังไม่เคย ต้องค่อยซ้อมไปทีละนิด ใจเย็น แต่อย่าเข้าไปใจดีใกล้ชิดมากล่ะ เดี๋ยวเหลิง ให้ทำอะไรไม่ฟัง”

“ครับพี่ ถ้าพี่ซันมาดูทุกวันก็ดี ให้คำแนะนำดีกว่าพี่กายเยอะเลย” เสียงไอ้แมนตอนท้ายเบาเสียงลง แต่ก็ไม่ลอดหูไอ้กายไปได้

“ทำไม กูไม่ดีตรงไหนวะ วันแรกถ้าพวกมึงไม่มีกูจะรอดไหมไอ้ห่า พอไอ้ซันมารีบเข้าไปอ้อนนะมึง เดี๋ยวพ่อถีบ” มันพูดว่า เดี๋ยว แต่ตอนนี้ขายื่นออกมาแล้ว

“ก็ทำไมพี่กายไม่พูดดีๆ แบบพี่ซันบ้างเล่า ทำตัวไม่มีความน่าเชื่อถือเอง”

“โห ไอ้แมนมึงว่ากูเหรอ กูพี่รหัสมึงนะเว้ย” ไอ้กายตบหัวไอ้แมนไปเน้นๆ
         


“พอหรือยังพวกมึง” เพิ่มระดับเสียงขึ้นนิดหน่อย ไอ้สองตัวที่กำลังจะตีกันจึงค่อยชะงัก


“ไอ้แมนขอโทษไอ้กาย” ไอ้แมนอ้าปากหวอ  ตกใจ สงสัยไม่เคยเจอเขาในมาดดุมานาน จนต้องพูดย้ำ “เดี๋ยวนี้”

“...ขอโทษครับพี่กาย” ไอ้แมนยกมือไหว้ ไอ้กายรับไหว้พร้อมทั้งส่งยิ้มกวนๆ ให้

“ส่วนมึงกาย...”

“อะไรเล่า กูไม่ได้ทำไรผิดนะเว้ย” ไอ้กายรีบโวยวาย

“มึงก็หยุดทำตัวเล่นๆ ได้แล้ว น้องมันต้องการความช่วยเหลือมึงก็ทำตัวให้น่าเชื่อถืออย่างที่น้องมันว่าบ้างเถอะ กูรู้มึงรักและห่วงน้องมันมาก ช่วยกันดูแลน้องสิวะ”

ตอนพูดกับกายเขาพูดแค่ให้มันและไอ้แมนเท่านั้นที่ได้ยิน คนอื่นจึงทยอยกลับไปนั่งส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจน้องปีหนึ่งตามประสาชมรมฟุตบอลต่อไป
 
“เออ กูจะพยายามละกัน” กายรับคำ เขาปล่อยมันไว้กับไอ้แมนแล้วเดินเข้าไปหาน้องปีสองที่เหลือ




“เป็นไงกันบ้าง เหนื่อยไหมวันนี้”

“เหนื่อยมากพี่ซัน ทำไมเป็นปีสองมันเหนื่อยขนาดนี้” น้องชมพู่ ผู้จัดการชมรมฟุตบอลคนหนึ่งบ่นออดแอด

“ผมอยากจะกลับไปเป็นเด็กปีหนึ่งอีกรอบจังพี่ ที่ว่าเหนื่อยตอนนั้นกับตอนนี้คนละเรื่องเล้ย” น้องผู้ชายหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

“โอ้ย วันนี้ไม่เหนื่อยค่ะคุณพี่ แค่พี่ซันมา หัวใจและร่างกายของกิ๊ฟซี่ก็กระชุ่มกระชวยแข็งแรงราวกับได้กลับไปเป็นเด็กปีหนึ่งหน้าใสคนเดิมอีกครั้ง” กิ๊ฟซี่ สาวสวยหัวหน้าฝ่ายกองเชียร์และสันทนาการประจำทีมพูดขึ้นแล้วลุกขึ้นทำท่าจะโผมากอด

“น้อยๆ หน่อย อีกีบ สงสารพี่ซันบ้างเถ้อะ” ขอบคุณแมนที่เดินกลับมาบล็อคเพื่อนตัวเองได้ทัน เพราะเขาน่ะสุภาพบุรุษเกินกว่าจะปฏิเสธสาวๆ ได้ ทั้งสาวจริงและสาวเกือบจริงก็เถอะ
 

“...ทีนี้เราก็ได้รู้แล้วว่า การเป็นพี่มันเหนื่อยมากแค่ไหน พี่ก็หวังว่าน้องๆ จะเอาความรู้สึกนี้ส่งผ่านไปให้น้องปีหนึ่งกันนะครับ ช่วยดูแลน้องๆ ให้เหมือนกับที่พี่ได้ดูแลเรามา แม้ตอนแรกน้องอาจไม่เข้าใจ ต่อต้าน บางคนอาจเกลียดเราไปเลย แต่ทุกคนก็รู้แล้วว่าสักวันน้องมันก็ต้องเข้าใจแล้วว่าที่เราทำให้มันทุกวันนี้ ที่ยอมเป็นผู้ร้ายมากกว่าเป็นพระเอก มันแสดงว่าเรารักน้องมากแค่ไหน มีอะไรก็มาบอก ถามพี่ปีแก่ๆ กันได้ตลอดนะ” 
 

ส่งยิ้มกว้างให้น้องอีกครั้งหลังพูดจบ เห็นหลายคนแอบน้ำตาซึม


การรับน้อง นอกจากจะให้ปีหนึ่งใกล้ชิดรักกันแล้ว ที่สำคัญยังทำให้เด็กปีสองได้รู้จักและเข้าใจถึงการเป็นพี่อีกด้วย บางคนอาจเข้าใจ บางคนอาจไม่เข้าใจกับการรับน้องของชมรมของเรา แต่เขาคิดว่าถ้าไม่ได้เข้ามาลองทำความรู้จัก มันก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจอะไรได้
 

กำลังซึ้งกันสักพัก



“ไอ้ห่าซัน กูมาดูน้องเป็นอาทิตย์น้องมันยังไม่เห็นค่ากูขนาดนี้ มึงมาไม่ถึงยี่สิบนาที มึงแย่งคะแนนกูไปหมดเลย ใจร้ายที่สุดดดดดดดดด”


คนที่ทำลายบรรยากาศได้ขนาดนี้ มีแค่คนเดียว ไม่ใช่คนอื่นไกล
 

ไอ้กายนี่แหละ
 

ทุกคนหัวเราะกันออกมาเบาๆ บรรยากาศเริงร่าขึ้นทันตา นั่งดูน้องปีหนึ่งที่พวกน้องปีสองคุมให้ซ้อมกีฬาจนเกือบๆ สองทุ่ม ถึงได้กลับออกมา ขับมอเตอร์ไซด์ไปที่ร้านอิงอร ขนมหวาน เพื่อไปรับของฝากจากแม่ตามบัญชา
         






น้าอิงอรเป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่ที่มาเปิดร้านขายขนมเบเกอรี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่ หากมีเวลาว่างเขาก็มาช่วยงานที่ร้านนี้ประจำ พนักงานในร้านจึงคุ้นหน้ายิ้มแย้มทักทายกันอย่างยินดี
 
“สุดหล่อมาแล้ว!” น้าอรร้องทักเมื่อเขาเดินยิ้มร่าเข้าไปหา
 
“สวัสดีครับสาวสวย” ยกมือไหว้พร้อมกับเอ่ยแซว น้าอรยิ้มกว้าง
         
“แม่เราฝากขนมมาให้แหนะ อ้อ แม่คงบอกเราแล้วล่ะสิถึงได้โผล่มา ไม่งั้นก็ไม่มาหาน้าหรอกใช่ไหม” จากที่ยิ้มกว้างอยู่ดีๆ ทำไมน้าถึงเข้าโหมดงอนไปแล้ว
 
“โธ่ น้าก็รู้ว่าเปิดเทอมอาทิตย์แรก ซันยุ่งจะตาย ไหนจะรับน้อง ไหนจะลงทะเบียน ย้ายตารางเรียน ติดต่ออาจารย์สารพัด แล้วยังจะ..” เขารีบแก้ตัว กำลังจะร่ายยาวถึงกิจกรรมที่ผ่านมาในหนึ่งอาทิตย์ที่เปิดเรียนก็โดนขัดขึ้นมาก่อน
 
“จ้ะ พอเถอะจ้ะ ฉันรู้หรอกว่าหลานฉันฮอตแค่ไหน”
 
“ฮ่าๆ สาธุ สมพรปากนะครับสุดสวย” น้าเดินเข้าไปหยิบถุงกระดาษสีแดงและสีเขียวออกมาให้
 
“ของซันๆ สีแดง ของเดือนสีเขียวนะ” 


น้าล้อเลียนเสียงและท่าทางของพี่สาวที่มักจะพูดย้ำกับน้องเสมอราวกับกลัวว่าคนฟังจะลืมเรื่องที่เธอบอกไม่กี่นาทีหลังจากที่ตัวเองพูดจบ อดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางนั้น แม่น่ะเป็นห่วงเรื่องของลูกๆ เสมอแหละ โดยเฉพาะของกิน

ของที่ฝากมาคงไม่พ้นพวกขนมขบเคี้ยวจำพวกกล้วยอบน้ำผึ้ง ลูกพลับแห้ง คุกกี้ ช็อกโกแลต อัลมอนด์อบ และที่สำคัญของโปรดของเขา เมล็ดทานตะวันอบเนย
       
   
กอดลาน้าอรและสวัสดีพี่ๆ ในร้านแล้วก็ขับรถออกไป มองนาฬิกา สามทุ่มกว่า คิดคำนวณเวลาในใจ หาเอาของไปให้เดือนตอนนี้น่าจะทัน แต่เพื่อความแน่นอนเลยต้องโทรไปถามก่อน


สัญญาณรอสายดังไม่เกินสี่ครั้งคนปลายสายก็รับด้วยเสียงทุ้มแหบอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง


"เดือน แม่เค้าฝากของมาให้ ตัวเองอยู่ไหน ที่คณะ? ออกมาแล้วตอนนี้อยู่ร้านน้าอร อีกห้านาทีถึง ออกมารอเลย เจอกัน"
   


-------------------------------------
[19/12/58]
ฝากซันๆ ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
 :กอด1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 2) 20-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 20-12-2015 08:34:58
Just Love ❤ รักนะครับ




2



ภายในสิบนาทีเขาก็ขับมอเตอร์ไซด์มาถึงคณะศิลปกรรมศาสตร์ ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาในตอนกลางวัน ยามนี้กิ่งก้านใหญ่น้อยบดบังแสงจากเสาไฟหลายต้นส่งผลให้อาคารสี่ชั้นรูปร่างแปลกตาเป็นเงาตะคุ่มในความมืด


ชายรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงไฟ ผมยาวระต้นคอบดบังใบหน้า มือซ้ายซุกอยู่ในกางเกงขายาวตัวหลวม เอียงหัวไปทางเดียวกันนิดๆ ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไม่ไกล


ถึงแม้ไม่เห็นหน้าก็รู้ว่านี่คือคนที่นัดมาเจอ ยี่สิบปีที่รู้จักกันมา แค่เห็นข้างหลังก็ยังจำได้ แสงสีแดงริบหรี่ร่วงลงพื้น ร่างนั้นขยับเท้าเพื่อขยี้ปลายบุหรี่ แล้วจึงหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้

“สูบอีกแล้ว” เอ่ยทักไปด้วยเสียงอ่อนใจ บอกตัวเองหลายครั้งว่าไม่อยากยุ่งเรื่องของคนตรงหน้าแต่ก็อดไม่ได้ทุกที

“นิดหน่อยน่า...ตัวแรก” เดือนเกาท้ายทอย เส้นผมสีดำขยับไล้กรอบหน้า

“ลดๆ หน่อยก็ดีนะ” ยืนถุงกระดาษสีเขียวให้ มือขาวซีดก็ยื่นมารับ แสงไฟสีขาวสะท้อนให้เห็นรอยแดงแถวข้อมือ มองจนเจ้าของรู้ตัวขยับหนีให้พ้นสายตา เขาเลื่อนสายตาขึ้นมาสบตากับคนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไร เดือนทำเสียงงึมงำในคอ กำลังจะอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง ก็มีเสียงตะโกนแทรกเข้ามาก่อน



“เชี่ยคุณ หมดเวลาพักแล้วเว้ย มาช่วยงานเลยไอ้เฉื่อย ถ้าคืนนี้ยังไม่ขึ้นรูปนะ กูจะเอาดินเหนียวยัดปากมึง” เสียงนั้นแหลมสูงเกินกว่าจะเป็นเสียงผู้ชาย

“เออๆ อีกแปบหนึ่งคร้าบคุณนาย คุยกับซันก่อน” เดือนตะโกนตอบไป ก่อนจะได้ยินเสียงกรี๊ดไม่นานเจ้าของเสียงก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหา


“ซัน สวัสดีจ๊ะ” หญิงสาวเจ้าของเสียงเมื่อครู่นั่นเอง รู้สึกว่าจะชื่อ ฝัน

“สวัสดีครับ”  เขาทักทายกลับ

“ไอ้คุณ ไม่บอกนะยะว่าซันจะมา ปล่อยให้เราพูดเอะอะเสียงดังไปได้” เธอว่าพลางเอื้อมมือไปตบหลังเพื่อนคุณเสียงดังป้าบ

“ไอ้ฝัน เจ็บนะเว้ย ตีมาได้ นี่มือหรือตีนวะ” คนถูกตีบ่น

“นี่..แบ่งเพื่อนกินละกัน ทำงานกันดึกหรือครับ” ยื่นถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่แวะซื้อก่อนเข้ามาในมหาวิทยาลัยให้เดือน แล้วจึงหันไปคุยกับฝัน

“คงดึกจ๊ะซัน สนใจมาอยู่เป็นเพื่อนกันป่าวคะ” เธอบิดมือไปมา เดือนทำปากขมุบขมิบเลียนเสียงอยู่ข้างๆ หันไปมองหน้าเดือนเป็นเชิงถาม เดือนก็ยักไหล่ให้ ท่าทางแบบนี้แปลว่า ‘แล้วแต่’

“งั้น...คงอยู่เป็นเพื่อนสักพักละกันนะ” ฝันร้องวี้ดออกมาคว้าถุงของกินแล้ววิ่งกลับเข้าไปในตัวอาคาร ปล่อยให้เขาและเดือนหัวเราะกันกับท่าทางตลกของเธอ

“ยัยนี่ประสาท” เดือนพูดเสียงเบาเมื่อเราออกเดินไปตามทางที่ฝันเดินนำเข้ามาก่อนแล้ว

“ตลกดีนะ” ท่าทางจะเป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนข้างๆ เขายิ้มและหัวเราะได้บ่อยก็ดีแล้ว

“แล้วนี่คือว่าง? เช็คเรทติ้งหรือไงซัน” เดือนยักคิ้วเผล็บ ลูกตุ้มเหล็กสีเงินบนคิ้วซ้ายสะท้อนแสงเข้าตา

“งั้นมั้ง” เจ้าตัวอารมณ์ดีเอ่ยแซวจนเขาต้องตอบไปด้วยเสียงกรัวหัวเราะ




กลิ่นโคลน กลิ่นสี เสียงเครื่องจักร และเสียงเพลงตีกันยุ่งไปหมด เมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานขนาดใหญ่ หลายคนส่งเสียงทักทายเกรียวกราว

“อ้าวซัน ดีเว้ย”

“กำลังหิวพอดี ปาท่องโก๋อร่อยมาก”

“มึงแวะมาบ่อยๆ ดิวะซัน กูคงลาภปากไปหลายวัน”

“ให้มันน้อยๆ หน่อย เกรงใจซันมั่งพวกเอ็ง” เดือนพูดกับเพื่อนตนเองขณะเดินมาถึงโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ลึกคนละฝากประตู

“มึงจะทำไมไอ้คุณ ซันเค้ายังไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย”

“เปล๊า” เดือนยักไหล่ คนต่างคณะได้แต่นั่งยิ้ม ปล่อยให้ทุกคนทำงานกันไป แซวกันไปเรื่อย





“ทำอะไรน่ะ” เขาถามเมื่อเห็นเดือนขยับตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ และหยิบก่อนดินเหนียวสีเทาเข้มทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์มาวางบนแท่นกลมแบน

“ปั้นดินเหนียว” เดือนทำหน้ายุ่ง สองมือตบเบาๆ ไปตามก้อนดิน

“ปั้นทำอะไร” เดือนไม่ตอบแต่ค่อยๆ หมุนแท่นนั้นด้วยมือขวา มือซ้ายประคองแล้วใช้มือขวากวักน้ำในถังที่วางอยู่บนพื้นข้างแท่นพรมใส่ก้อนดินเหนียว จากรูปสี่เหลี่ยมทรงลูกบาศก์กลายเป็นก้อนกลม


คนปั้นใช้ปลายนิ้วซ้ายกดลงไปด้านบน มือขวายังคงหมุนแท่นอย่างต่อเนื่องให้ความเร็วคงที่ ก้อนดินกลมเปลี่ยนรูปไปเกิดรูตรงกลางก่อนจะขยายใหญ่ขึ้น จนตอนนี้ก้อนเดินเหนียวทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์มีลักษณะคล้ายแก้วกาแฟอ้วนป้อมไม่มีหู


“นี่ไง เดาได้ยังว่าจะทำอะไร”


เดือนหันมายักคิ้วให้ ผมยาวปรกตาทำให้เจ้าตัวต้องคอยเอียงคอเพื่อให้กลุ่มผมหลบพ้นสายตาให้มองเห็นภาพตรงหน้าชัดๆ เขาหันซ้ายหันขวา ก้มลงไปหยิบยางเส้นเล็กที่หล่นอยู่ขึ้นมา ลุกขึ้นไปยืนด้านหลังของคนทำงาน เพราะเดือนนั่งอยู่เขาจึงต้องก้มตัวลง รวบผมสีดำสนิทยาวระต้นคอนั้น


“เออ ขอบคุณ เค้ากำลังจะบอกพอดี”

เหงื่อผุดเต็มใบหน้า โต๊ะทำงานของเดือนอยู่ใกล้เตาเผาที่กำลังทำงาน ปล่อยไอร้อนกระจายทั่วบริเวณ เขาหยิบทิชชู่วางบนโต๊ะเช็ดเหงื่อให้ร่างที่ก้มหน้าก้มตาขึ้นรูปงานปั้นต่อไป


“เฮ้ย เบาๆ หน่อยดิ หน้าหงายแล้วเนี่ย” เดือนบ่นอุบเมื่อเขากดมือหนักไปจนใบหน้าเกลี้ยงแหงนเงย


“ฮะฮะ   กินน้ำหน่อยไหม” หัวเราะกลบเกลื่อนแทนคำขอโทษ เดือนส่ายหัว



“คู่นั้นนะ สนใจชาวบ้านบ้างดิเว้ย” เสียงโห่แซวตามมาติดๆ

“พวกเอ็งอย่าแซวไอ้คุณมันมาก ไม่เห็นหรือไงพอซันมา มันทำงานเร็วขึ้นเยอะ” ฝันเจ้าเก่าบอกให้เพื่อนสงบปากสงบคำ

“ก็งี้แหละ ผู้ปกครองมาคุมนี่หว่า ฮ่าๆ”

“อยากมีคนซับเหงื่อให้จุงเบย” ถ้อยคำหยอกล้อคงไม่จบลงง่ายๆ ถ้าไม่มีประโยคนี้ของเขา



“แซวมากๆ นี่  ระวังเข้าตัวนะครับ”



เงิบ!!



ได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอจากเดือน กลายเป็นว่าคนอื่นชะงักกันหมด เขาไม่เคยสนใจเรื่องที่มีคนเอ่ยแซวเขากับเดือน แต่พอถึงตาเขาสวนกลับทีไร ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกเงิบกันถ้วนหน้าแบบนี้ เลยชอบที่จะนิ่งๆ ยิ้มๆ ไปตามเรื่องมากกว่า


“กูว่าแล้วว่าทำไมไอ้คุณถึงอยู่ ไม่กล้าหือเลยวะ”

“เออๆ จริง ซันแม่งโหดแท้ เห็นเงียบๆ ยิ้มๆ แบบนี้”

“พวงเอ็งหุบปาก แล้วทำงานต่อได้แล้วย่ะ ข้าจะคุยกับซันแปบดิ” ฝันบอกให้เพื่อนๆ เลิกแซว แล้วเดินมาที่โต๊ะ



“ครับฝัน?”

“เรามีเรื่องรบกวนซันหน่อยน่ะ ไม่รู้ว่าคุณบอกหรือยังนะ” ฝันหันไปมองหน้า เดือนเป็นเชิงถามพอส่ายหน้าตอบ เธอก็ตบไหล่เดือนไปทีหนึ่ง แอบเห็นคนถูกตีคิ้วกระตุก

“พอดีว่าเดือนหน้า จะมีงานแสดงละครของน้องปีหนึ่ง”

“อ๋อ ครับ คงไม่ได้ให้เรามาเป็นพระเอกใช่ไหม” พูดติดตลก

“เปล่าๆ เราไม่รบกวนซันขนาดนั้นหรอก แต่ความจริงก็อยากได้อยู่นะ ซันสนใจจะ—“

“ฝัน!” เดือนเรียกชื่อเพื่อนที่ทำท่าจะออกทะเลไปไกลเสียงหนัก

“เอ้อ ถึงไหนละ มีงานแสดงละครใช่ไหม เราจะขอยืมเสื้อชอปวิทยาฯ หน่อย” ฝันกลับเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว พูดพลางพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง

“อ้อ แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะเปื้อนจะเลอะนะ เดี๋ยวให้คุณดูแลให้อย่างดีเลย อีกอย่างใช้แสดงตอนเย็นจ้า ซันคงไม่ได้ใช้หรอกใช่ไหม” เธอพูดจบก็เอียงหน้า ส่งสายตาขอแกมบังคับมาให้


“ถ้าตอนเย็นก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”


“ซันใจดีที่สุด” ฝันบอกขอบใจแล้วกลับไปทำงานต่อ


“ตัวไปยืมของเพื่อนให้อีกสักสองตัวดิ” เดือนบอกเมื่อลับหลังฝันไปแล้ว

“หืม? ไม่เอาเสื้อคนอื่น จะเอากี่ตัว เค้ามี 3 พอไหม” 

“ถ้างั้นก็ยืมหมดนั่นแหละ”

“อย่าเอาไปเละล่ะ”


“เออน่า ไม่เปื้อนหรอก เชื่อเค้าสิ” ขออย่างเดียวกลัวเสื้อเลอะ คณะนี้ยิ่งทำอะไรกันแผลงๆ อยู่เรื่อย



ยังจำได้ตอนปีหนึ่งช่วงรับน้อง เดือนผื่นขึ้นทั้งตัวจากการทำกิจกรรมที่มีทั้งแป้ง ทั้งไข่ น้ำ และสีต่างๆ ตอนไปโรงพยาบาล ขนาดพยาบาลยังนิ่วหน้าใส่ แม่บ้านมองตาเขียวโทษฐานที่ทำให้พื้นที่เพิ่งเช็ดไปเลอะอีกรอบ


“ตัวยังไม่กลับหรือ จะสี่ทุ่มกว่าแล้วนะ” เดือนบอกเวลา

“เออ งั้นกลับก่อนละ น้ำเต้าหู้ก็กินด้วยล่ะ เดี๋ยวปวดท้องอีกนะ”

“คร้าบๆ พ่อคร้าบ รีบกลับเถอะ” ลากเสียงยาวล้อเลียน

“แล้วก็...” เขาลังเล ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยออกไปดีไหม

“ว่า?” รอยยิ้มของเดือนวันนี้ทำให้เขาลองถาม

“อีกสองอาทิตย์ กลับบ้านด้วยกันไหม” รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่หายไป ใบหน้านั้นกลับมาราบเรียบ อีกครั้ง


“...คงไม่ว่างหรอก ต้องอยู่ดูน้องซ้อมละคร ฝากบอกที่บ้านด้วยละกันนะ”

“ได้ๆ แม่น้องฝากมาบอกว่าคิดถึง” คนตรงข้ามหลบสายตาแล้วออกเดินนำ


“อือ ไปได้ละ”


เขาเดินตามมาพลางครุ่นคิด ตลอดสองปีที่ได้เรียนที่นี่ เขากลับบ้านเฉลี่ยแล้วแทบจะเดือนละสองสามครั้ง ในทางกลับกัน เดือนกลับบ้านอย่างมากแค่เทอมละครั้ง



เอาเถอะ ชวนบ่อยๆ อาจมีสักครั้งที่เดือนกลับด้วยกันก็ได้






มอเตอร์ไซด์แล่นออกไปตามแสงไฟบนถนน ได้แต่หวังว่าเดือนคงจะทำงานให้เสร็จเสียคืนนี้ ไม่โดนฝันเอาดินเหนียวกรอกปากอย่างที่ขู่ไว้ละกัน



----------------------------------
[20.12.58]
เป็นเรื่องที่ออกจะเอื่อยเฉื่อยสักหน่อยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ❤
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 3) 21-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 21-12-2015 22:51:33
Just Love ❤ รักนะครับ





3





“ซันว่าสีน้ำเงินกับสีเขียวใบไหนสวยกว่ากัน”



เสียงหวานใสของแพงสาวน้อยน่าตาจิ้มลิ้มกำลังเอียงคอทำหน้าตาน่ารักพลางยื่นกระเป๋าสองใบสองสีมาข้างหน้าให้เขาช่วยตัดสินใจ ใบหน้ารูปไข่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มยาวสยายถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตสีอ่อน ริมฝีปากมันวาวด้วยสีชมพูใส เธอยกประเป๋าสลับซ้ายขวาเอียงตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ 


อ่า...แพงเป็น...เรียกว่า แฟน? ยังหรอกนะ ถ้าจะให้ตั้งสถานะให้คนตรงหน้าในความรู้สึกของเขา เอาเป็นว่า เธอเป็น ‘คนคุยๆ กันอยู่’ ก็แล้วกัน อย่างที่เรียกกันว่า กิ๊ก ละมั้งมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนน่ะ ใช่เลย 


“สวยทั้งคู่ครับ แพงชอบสีไหนมากกว่ากันล่ะ”  เธอถามเป็นรอบที่สอง และเขาก็ตอบคำถามเป็นรอบที่สองแล้วเช่นกัน

“แพงชอบสีชมพู”

“ฮะฮะ งั้นก็เอาสีชมพูสิ”  สีที่สามนี่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกเลย แต่ก็เอาเถอะ ส่งยิ้มให้เธอ คนน่ารักทำอะไรก็น่ารักอยู่แล้ว ไม่ว่ากัน ลอบระบายลมหายใจด้วยความเบื่อ

“ซันเบื่อแล้วหรือ แพงไม่ซื้อแล้วดีกว่า ซันอยากไปดูอะไรล่ะไปกันเถอะ” แพงจับอารมณ์ของเขาได้เร็วเสมอ แค่เริ่มเบื่อกับการตอบคำถามเธอรอบที่สาม เธอก็เปลี่ยนเรื่อง หันมายิ้มน่ารักให้แล้ว จับมือเขาออกเดินต่อไป


ไม่ได้เอาแต่ใจตนเองจนน่าเบื่อ หรือคอยเอาใจเขาจนน่ารำคาญ เพราะแบบนี้ละมั้ง...แพงถึงเป็นคนที่คิดว่าถ้าจะเป็นแฟนกัน...เป็นแพงก็ดีนะ



“ซันกินเค้กกันไหม” เวลามาเที่ยวด้วยกัน เธอมักจะถามถึงความต้องการของเขาเสมอ ไม่ทึกทักลากไปไหนๆ แบบ ‘คนที่คุยๆ กัน’ หลายคนเคยทำ



“ไอติมไหม ร้อนๆ อย่างนี้ สตอเบอร์รี่ที่แพงชอบเนอะ” เห็นว่าเธอโดนขัดใจไปแล้วจากร้านกระเป๋าเลยเอ่ยปากเอาใจ แพงไม่ตอบยิ้มกว้างและดวงตาเป็นประกายก็บอกความพอใจได้เป็นอย่างดี 









หลังจากแยกกันกับแพงแล้ว เขากลับมาถึงห้องพัก ขณะที่กำลังจัดขนมทานเล่นเข้าตู้เย็น โทรศัพท์ที่ตั้งด้วยเสียงเฉพาะก็ดังขึ้น

‘ซันๆ ทำอะไรอยู่จ้ะ’

“เพิ่งกลับมาถึงห้องครับ ไปข้างนอกมา”

‘แหม ไปเที่ยวกับสาวๆ ล่ะซิ แม่เห็นรูปนะ คนนี้ชื่อแพงหรือ” ติดตามทุกความเคลื่อนไหวแบบนี้แหละแม่ของเขา

“ครับ ไปเดินเที่ยวด้วยกันมา”  ไม่เคยมีความลับกับแม่อยู่แล้ว ท่านถามมาก็ตอบตรงๆ เสมอ

‘หน้าตาก็น่ารักดีนะแม่ว่า’

“นิสัยก็ดีด้วยนะแม่”  แอบโฆษณาทำคะแนนให้นิด


‘จ้าๆ สุดหล่อ นี่แล้วช่วงนี้ได้เจอเดือนบ้างไหมลูก’ หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันแล้วสักพักแม่ก็ถามถึงเดือน หรือนี่จะเป็นจุดประสงค์ที่โทรหาเขา?


“ไม่ได้เจอเลยแม่” มหาวิทยาลัยออกจะกว้าง คณะของเขากับเดือนใช่ว่าจะใกล้กันเสียเมื่อไหร่ ถ้าไม่ตั้งใจไปหา ทั้งสองคนก็แทบจะเดินสวนกันนับครั้งได้

‘เห็นแม่น้องบ่นๆ ว่าช่วงนี้เดือนไม่ค่อยสบาย ซันๆ แวะไปดูหน่อยสิ’


“อากาศเปลี่ยนก็อย่างนี้แหละแม่ เดี๋ยวก็หาย” เดือนไม่ได้เช่าหอพักอยู่คนเดียวอย่างเขา แต่อยู่กับเพื่อนประมาณเจ็ดแปดคนเช่าบ้านหลังใหญ่พักอยู่ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าหากป่วยขึ้นมาเพื่อนๆ ก็ช่วยดูแลกันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง


“แม่ขนมที่ฝากมาคราวนี้รสชาติแปลกๆ เปลี่ยนร้านเหรอ”


ชวนคุยเรื่องอื่นอย่างไม่สนใจกระทั่งดวงอาทิตย์ลับฟ้า แม่ก็ย้ำให้เขาแวะไปดูเดือนอีกครั้งยอมรับปากแม่จึงวางสายไป


อากาศตอนหัวค่ำเย็นสบายกว่าตอนกลางวัน เอาเถอะ ออกไปดูก็ได้ ขยับตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ คว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์
 




.

.

.





บ้านไม้สองชั้นสีขาวหลังเก่าตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ บรรยากาศยามค่ำที่มีแสงสลัวยิ่งทำให้ตัวบ้านดูหม่นหมองลงไปอีก หลังคาสังกะสีขึ้นสนิมหลายแห่งไม่ต่างจากรางน้ำฝนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดยามต้องลม บานหน้าต่างด้านหน้าถูกตีปิดตาย ประตูไม้บานสีถลอกเปิดแง้มไว้เล็กน้อย เสียงเพลงดังแผ่วๆ แทรกออกมาจับใจความไม่ได้จากตัวบ้าน แสงสีเหลืองนวลส่องออกมาจากกระจกขุ่นเหนือประตู
 


เขาจอดมอเตอร์ไซด์ไว้นอกรั้วเก่า เดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้านที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่กังวลเรื่องความปลอดภัย ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูหน้า กลิ่นควันบุหรี่ลอยเข้ามากระทบ เปิดประตูออก มองผ่านม่านควันที่ลอยอ้อยอิ่งเข้าไป


ชายหญิงหลายคนนั่งจิบเครื่องดื่ม พลางสูบบุหรี่ พูดคุยกันด้วยท่าทางแนบชิดท่ามกลางแสงไฟหรี่สลัวและเสียงเพลงคลอเบาๆ มีบ้างที่เหลือบตามองคนแปลกหน้าแต่ก็ผละไปอย่างไม่สนใจ มองหาใบหน้าที่พอจะเคยคุ้นจากกลุ่มคนเหล่านั้นแต่ก็ไม่พบ ระหว่างที่เขากำลังชั่งใจว่าจะเดินขึ้นไปดูที่ชั้นสองดีหรือไม่ ก็มีเสียงทักขึ้นมา



“ซัน?” หันไปตามเสียงเรียกก็เจอกับคนที่มาหา เดือนนั่นเอง “ไปคุยกันข้างนอกเถอะ” เดือนเข้ามากระซิบข้างหูแล้วเดินนำออกมา


“เห็นว่าไม่สบายเค้าเลยมาดู แต่ตัวท่าทางก็ไม่เห็นเป็นไร หายดีแล้ว?” เขาพูดขึ้นเมื่อเราออกมายืนที่หน้าบ้าน พ่นลมหายใจแรงเพื่อขับไล่กลิ่นควันบุหรี่ที่สูดเข้าไป แล้วต้องย่นจมูกเมื่อทราบว่ากลิ่นฉุนนั้นติดตัวมาด้วย


“ไม่ได้ป่วยหรอกน่า สบายดี” เดือนทำหน้ายุ่ง ยกมือปัดยุงไปมา กลิ่นบุหรี่ยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก สายลมโชยพัดผ่านคราวนี้กลิ่นดูจะบางเบาลงไป


“เดือนย้ายออกมาเถอะ อยู่ที่นี่...” แม้จะบอกเดือนทุกครั้งที่เขามาบ้านหลังนี้ แต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน


“เค้าก็บอกตัวหลายรอบแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ ไม่ต้องพูดแล้ว” เดือนตอบเสียงเรียบ แสงไฟน้อยเหลือเกินทำให้มองไม่เห็นหน้าตาขงคนพูด แต่ถ้าให้เดาเดือนก็คงตีหน้านิ่งเรียบเฉยเหมือนน้ำเสียงนั่นแหละ แม้จะรู้ว่าถ้าพูดเรื่องนี้ทีไรคนตรงหน้าจะไม่พอใจแต่ก็ยังอดไม่ได้ทุกที


“ดื้อ” เขาว่าเข้าให้  ไอ้บ้านหลังนี้ไม่เห็นจะน่าอยู่ตรงไหน มากี่ครั้งก็เห็นคนในบ้านดื่มเหล้า สูบบุหรี่กันคลุ้ง ห้องไฟสลัวเมื่อครู่ที่เดินเข้าไป ยังเห็นว่ารกรื้อไปทุกแห่ง เสื้อผ้า ข้าวของวางกองกันมั่วไปหมด เดือนทนอยู่เข้าไปได้ไง สกปรกแย่
   

แสงจากไฟถนนที่อยู่มุมรั้วส่องให้เห็นเพียงการแต่งกายของอีกฝ่ายรางๆ  กวาดตามองการแต่งกายของคนตรงหน้าแล้วส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่ชอบใจ


ผมระบ่าเมื่อตอนต้นเทอมที่เจอกันครั้งล่าสุดยาวขึ้นกว่าเดิมจนเจ้าตัวใช้ดินสอมวนไว้ได้แล้ว เสื้อยืดสีดำตัวโคร่งที่ใส่อยู่คอกว้างเสียจนเห็นกระดูกไหปลาร้าชัด เดือนผอมลงอีกแล้ว กางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ก็สั้นเสียจนถูกเสื้อคลุมทับไว้หมด ดูผาดๆ อาจเข้าใจว่าไม่ใส่กางเกงด้วยซ้ำ


เดือนคงรับรู้ว่าเขาไม่พอใจเรื่องการแต่งกายเท่าไหร่จึงขยับขาไปมา สายตาประสานกันอยู่นั้นดวงตาสีเข้มเปล่งประกายท้าทายชั่วแวบหนึ่ง เมื่อกะพริบตาก็หายไป ระหว่างที่ความเงียบเข้ามายืดพื้นที่การสนทนา ประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับเสียงทุ้มห้าว



“คุณมาอยู่ตรงนี้นี่เอง พี่ตามหาตั้งนาน” แม้จะอยู่ในที่แสงน้อยเขายังเห็นว่าผู้พูดเป็นผู้ชายผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่ กายนั้นเดินตรงมาที่เดือน คว้าเอวไปกอดไว้แน่นพร้อมซุกหน้าลงมาที่ซอกคอขาว


เดือนผลักคนตัวโตออกแล้วเอ็ดเสียงดัง ชายแปลกหน้าจึงสังเกตเห็นว่ามีเขายื่นอยู่ตรงนั้นอีกคน เราประสานสายตากัน สักพักหมอนั่นก็ยักไหล่แล้วพูดกับเดือนใกล้จนริมฝีปากหนาชิดกับปากของอีกฝ่าย


“พี่รออยู่นะ”


กดแนบกับกลีบปากบาง เดือนหันหน้าหนี ชายหนุ่มก้มลงงับแก้มสีซีดแล้วก็เดินกลับเข้าไป


ทิ้งไว้ซึ่งความเงียบระหว่างเราสองคนอีกครั้งซึ่งครั้งนี้มวลอากาศกลับข้นหนักจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เขาไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรจึงได้แต่ยืนนิ่ง หวังว่าเดือนอาจทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ไปเสีย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เป็นพยานในรู้เห็นในเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย


แต่จะให้พูดว่า ชิน หรือ ยังไงก็ไม่ใช่คำนี้แน่ๆ




เดือนยังคงยื่นเฉย แสงไฟริมรั้วส่องไปไม่ถึงใบหน้าของกันและกัน เดือนจะทำหน้าอย่างไรออกมาในรูปแบบไหน เขินอายจากภาษากายของชายหนุ่มเมื่อครู่ หรืออาจโมโหที่เขาเข้ามาขัดจังหวะหรือเปล่า เขาไม่ทราบ



“เออ...งั้นเดือนก็ดูแลดีๆ ตัวเองละกัน เค้าไปล่ะ” เป็นเขาที่ทนไม่ไหว เอ่ยลาคนที่นิ่งเงียบ หากเป็นปกติคงเข้าไปขยี้หัวอีกฝ่ายจนเจ้าตัวร้องห้ามเสียงหลงจนพอใจก่อนจะกลับ แต่วันนี้...มันไม่ปกติแล้วล่ะ



จนติดเครื่องมอเตอร์ไซด์ เดือนที่เดินตามมาตอบรับเบาๆ แค่ “อื้อ”  คล้ายมีเสียงสะอื้นดังลอดออกมาแผ่วๆ หรือเปล่า ไม่นานก็มีแต่เสียงเครื่องยนต์และเสียงลมฉวัดเฉวียดตามเขาไปทุกที่จนถึงที่พัก   





.

.

.




ประตูเปิดออก ร่างที่เพิ่งก้าวเข้ามาถูกรวบไปกอดรัดเสียแน่นตามมาด้วยเสียงประตูล็อกดังกริ๊ก



สองแขนขาวซีดยกขึ้น เสื้อยืดสีดำถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วลิ้นร้อนๆ ก็สัมผัสกับแผ่นอกขาวทันที สองมือหนาลูบไล้ร่างกายของคนที่ยื่นนิ่งไม่ต่อต้านการจาบจ้วง ไม่ขัดขืนแต่ก็ไม่ร่วมมือ 



“คุณ” เสียงแหบพร่ากระซิบกับขมับทำให้ดวงตาสีดำวาวราวกับเม็ดลำไยลืมขึ้น ใบหน้านั้นแดงปลั่งด้วยแรงอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายใน เจ้าตัวไล้มือซีดขงตนเองไปตามเค้าหน้ากายสูงใหญ่ คว้าปลายคางของใบหน้าที่กำลังซุกไซร้ลำคอของตนให้ขึ้นมาสบตา



“เดือน เรียกว่า เดือน ที” เอ่ยออกไปด้วยเสียงเบาหวิวทว่ามันดังเหลือเกินในยามที่ร่างกายทั้งสองบดเบียดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ในตอนนี้
 


แววตางุนงงผ่านเข้ามาในดวงตาเสี้ยววินาที แล้วหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อร่างเล็กเริ่มเป็นฝ่ายปลุกเร้าความต้องการของตนเอง มือเล็กลูบไล้แผ่นอกแกร่ง กล้ามท้อง ลูบผ่านขอบกางเกงอ้อยอิ่ง แผ่วเบา รางกับจะยั่วเย้า ร่างสูงใหญ่รวบเอวบาง ก้าวไปอีกสามก้าวจึงล้มลงบนเตียง



มือซีดดึงดินสอที่ม้วนผมออก เส้นผมสีเดียวกับดวงตาแผ่สยายคลุมหมอน เมื่อคนที่กำลังถอดเสื้อออกโน้มตัวขึ้นคร่อม คว้ามือขาวมาวางไว้ที่กลางลำตัว กระซิบเสียงพร่า



“ช่วยพี่ถอดหน่อยนะ เดือน”



ราวกับคำนั้นเป็นสวิตช์เปิดเครื่องจักร ร่างข้างใต้มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว สองมือรีบเร่งดึงกางเกงของอีกฝ่ายลงระหว่างนั้นก็เข้าประชิดประกบริมฝีปาก แลกลิ้นดูดดื่ม






“ถุง!” เสียงเข้ม


“ไม่ได้หรือ” กระซิบเสียงพร่าพร้อมปลุกปั่น


“ไม่! ถ้าไม่ก็พอ”  เสียงนั้นเด็ดขาดชัดเจนและมั่นคง ราวกับว่าห้วงอารมณ์เร้าร้อนที่ร่วมกันก่อไม่ได้มีผลกับการควบคุมสติของร่างข้างใต้แต่อย่างใด



ข้อมือขาวปัดมือหนาให้พ้นจากตัว กำลังจะดันร่างให้ลุกขึ้น ร่างสูงใหญ่ก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในกางเกงที่ถูกถอดทิ้งไว้ข้างเตียงขึ้นมา คว้ามือเล็ก



“งั้นก็...ใส่ให้ด้วยสิ แบบไม่ใช้มือน่ะ” เมื่อร่างตรงหน้ายังนิ่ง จึงพูดต่อ “นะครับ..เดือน” ทอดเสียงท้ายอ่อนยาว



ความมืดคืบคลานเข้าปกคลุมดวงตาทั้งสองข้าง ร่างกายถูกกลืนกินทีละน้อย ทีละน้อย ทั้งๆ ที่ถูกกกกอดแต่ร่างกายกลับหนาวเหน็บ ท่ามกลางความดำมืด แสงสีขาวส่องกะพริบจากจุดเล็กค่อยขยายใหญ่ขึ้น ที่ปลายทางของอุโมงค์แว่วเสียงกระซิบที่กระชากร่างขึ้นมาด้วยแรงมหาศาล แจ่มจ้า บางเบา


‘เดือน’

















“เดือน”


มือหนายังคงลูบไล้ร่างกายไม่หยุด เสียงห้าวกระซิบเรียกชื่อซ้ำๆ ร่างso7j’ขยับตัวลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าที่ถูกถอดไปทั่วขึ้นสวม พูดขึ้นโดยไม่หันไปมองหน้า


“พอเถอะ เรียกว่า ‘คุณ’ อย่างเดิมได้แล้ว ถ้าจะนอนต่อก็ตามสบาย”


เอื้อมมือมาที่ลูกบิดประตูแล้วชะงักอย่างนึกขึ้นได้ กลับไปมองคนที่นอนนิ่งบนเตียงอีกครั้งก่อนออกจากห้องไป
 





“คนชื่อเดือนน่ะ พี่ไม่รู้จักหรอกนะ อย่าเผลอไปเรียกเข้าล่ะ” 


----------------------------------------------
[21.12.58]
*กอดเดือน*
 :กอด1:
Lavender’s blue
   
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 4) 22-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 22-12-2015 21:27:59

Just Love ❤ รักนะครับ





4






“ตาเดือน ออกมาจากบ้านหลังนั้นเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง เข้าใจไหม!!”



เสียงแม่น้อง แม่ของเดือนดังสนั่นทันทีที่ประตูห้องพักปิดลง


แม่ของเขาและแม่น้องมาเยี่ยมแบบไม่บอกล่วงหน้า สงสัยกะมาเซอร์ไพรซ์ลูกๆ ผลปรากฏว่า โดนลูกเซอร์ไพรซ์แทนสังเกตจากท่าทางของแม่ทั้งสองคนแล้วคงจะตกใจกันน่าดู

   

“แม่!!” เดือนเรียกแม่ตัวเองเสียงดัง เดินลงส้นเสียงตึงตังกระแทกตัวนั่งบนโซฟาท่าทางหัวเสีย
   

แม่น้องเดินตามไปยืนประจันหน้า สองมือจับใบหน้าลูกชายพลิกซ้ายขวาไม่สนใจการขัดขืน กวาดสายตาขึ้นลงสำรวจสภาพร่างกายอย่างรวดเร็ว

   

“แค่เห็นแม่ก็ทนไม่ไหวแล้ว เสื้อผ้ากองแกะกะ กลิ่นบุหรี่ ซากขวดเหล้าขวดเบียร์เป็นลังๆ  โอ้ยยยย...เห็นแล้วจะเป็นลม แล้วดูเราสิ จุดแดงๆ ตามตัวนี่มันอะไร ยุงกัดหรือเป็นอีสุกอีใสฮะ  เสื้อผ้านี่ซักกันบ้างหรือเปล่า แล้วเราทำไมเล็บยาว ผมยาวอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ลูก แม่นึกว่าเป็นพวกขี้ยาที่ไหน ดูเพื่อนแกแต่ละคน โอ้ยยย รับไม่ได้ๆ”

   

แม่น้องวีนแตก พอจบคำว่า ‘รับไม่ได้ๆ’ เธอก็ทำท่าจะเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจนต้องช่วยพยาบาลกันยกใหญ่ ยาดม พิมเสน ยาหอม ถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าถือของแม่เขาเอง ช่างเป็นคนที่เตรียมพร้อมทุกอย่างจริงๆ

   


จากสายตาของเขาสภาพของเดือนก็ไม่ถึงกับเป็นพวกขี้ยาหรอก แค่ติสท์ๆ เซอร์ๆ ตามสไตล์เด็กศิลปกรรมศาสตร์เท่านั้น ถ้าจะผิดก็ผิดที่เดือนเองที่ผอมลงกว่าเดิมมากจนทำให้ดูซูบซีดเข้าไปใหญ่
   


ระหว่างที่พยาบาลนั้น คนต้นเหตุพาหน้างอง้ำขยับเข้าใกล้ ฉวยพัดจากมือเขาไปพัดให้แทน ริมฝีปากบางเม้มโค้งเป็นรูปตัวยูคว่ำ ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดรอดจากริมฝีปากที่เม้มสนิทแม้แต่น้อยทว่าดวงตากลับแฝงด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด

   


“น้องอย่าไปว่าลูกมากนักเลยเธอ ช่วงนี้เดือนทำโปรเจ็คไม่ใช่หรือจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลบ้านเล่า แค่เวลาจะกินจะนอนยังไม่มีเลย เธอดูสิ ลูกผอมลงไปอีกแล้วนะ”

   

แม่เห็นท่าไม่ดีจึงเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยกับแม่น้องเบาๆ โดยมีเขาพยักหน้าเห็นด้วย ช่วงทำงานส่งแค่เวลาจะนอนยังหาได้ยาก อย่าไปหวังให้ต้องดูแลเรื่องอื่นเลย

   

“แล้วทำไมตาซันถึงทำได้ล่ะ ซันก็ต้องทำงานเหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่รู้แหละยังๆ แม่ก็ไม่อยากให้เดือนอยู่บ้านนั้นแล้ว” แม่น้องหันมาพูดเสียงอ่อน มองหน้าเขาสลับกับเดือน สุดท้ายหันไปมองเดือนตาขวาง ตอนนี้สองแม่ลูกทำหน้าตาแบบเดียวกันไม่ผิด


   
“แล้วแม่จะให้เดือนทำไงละ” เดือนพูดเสียงสะบัด ติดประชด มือยังคงขยับพัดอย่างต่อเนื่อง

   
แม่น้องมองหน้าเดือน ย้ายมามองหน้าเขา หันไปสบตากับแม่ แล้วทั้งคู่ก็พยักหน้าพร้อมกัน ใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้าง ไม่พอยังพูดพร้อมกันอีกว่า


   

“ก็ย้ายมาอยู่กับซันๆ ซะสิ”

   

ฮะฮะ...สองคนคงจะเตี๊ยมกันมาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แค่สบตาก็รู้ใจขนาดนี้ เขาส่ายหัวกับแม่ที่แกล้งตีหน้าซื่อไม่สนใจสายตารู้ทันจากเขาและเดือน
 




แล้วแผนเซอร์ไพรซ์ของแม่ๆ ก็ประสบความสำเร็จ ทั้งเขาและเดือนมองหน้ากันความรู้สึกที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดปรากฏขึ้นในดวงตาสีเข้ม เดือนถึงกับถอนหายใจออกมาเสียงดัง 

    

“ถ้าแม่ๆ บอกว่าจะให้มาอยู่กับซันๆ แต่แรกก็จบแล้ว ทำไมต้องทำอะไรวุ่นวายด้วย” เดือนถามแม่ๆ ทั้งสอง อารมณ์คงเริ่มดีแล้วถึงได้เอ่ยปากถาม

   

“ตอนแรกแม่ก็กะจะมาแค่เยี่ยมพวกลูกๆ เฉยๆ แบบไม่ให้รู้ตัว...” แม่เขาเป็นคนอธิบาย
   

“มาแอบดูพฤติกรรมพวกผมน่ะสิแม่” เขาพูดแทรกขึ้น แม่หันมาซัดไหล่แล้วพูดต่อ

   

“แม่ก็อยากรู้ไงว่ากินอยู่กันอย่างไร ทำอะไรกันบ้างวันๆ น่ะ มาที่ห้องเราก่อนนะซันๆ แม่ยังกลัวว่าเราจะแอบเอาสาวๆ มานอนด้วยเสียอีก”

   

แม่โพล่มาที่ห้องตอนแปดโมงเช้าเกือบเก้าโมง ไขกุญแจห้องเข้ามาเองด้วยกุญแจสำรอง เวลานั้นเขายังไม่ตื่นเพราะเพิ่งเข้านอนตอนหกโมงเช้า
   

แผนการมาสำรวจพฤติกรรมของลูกคราวนี้นับว่าชาญฉลาดเพราะมาแบบไม่บอกล่วงหน้า แต่ช่องโหว่งอย่างหนึ่งของแผนการนี้คือช่วงนี้เป็นช่วงที่ทั้งเขาและเดือนต้องทำงานส่งจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เรื่องที่แม่คาดว่าจะมาเจอน่ะ ไม่มีทาง 
   
   

“โหแม่ คิดว่าลูกชายเป็นคนยังไงเนี่ย” กอดเอวแม่ออดอ้อน
   
“แม่ก็คิดว่าลูกชายแม่ ฮอตสุดๆ น่ะสิ ในเฟสมีสาวมา สวัสดีพี่ซัน ขอบคุณพี่ซันสุดหล่อ พี่ซันน่ารัก พี่ซันใจดีเต็มไปหมด”

   
ถ้ามีแม่เป็นเพื่อนในเฟสบุคแล้วล่ะก็ อย่าไปคิดมีความลับเชียวนะ พวกแม่นี่ยิ่งกว่าแฟนเก่าเสียอีก อัพเดทตามติดทุกความเคลื่อนไหวไม่มีพลาด

   


แม่ทั้งสองเข้ามาในห้อง พอเห็นเขานอนหลับก็บ่นนิดหน่อยเรื่องห้องรกกับจานที่ไม่ได้ล้าง ทั้งคู่คงเห็นผมเรียบร้อยเป็นเด็กดีที่นอนตื่นสาย ไม่มีเรื่องอะไรให้เป็นห่วง ก็พากันไปยังบ้านเช่าของเดือน ทิ้งเขาให้ทานข้าวเช้าที่แม่ทำมาให้ที่ห้องลำพัง

   

“พอไปบ้านเดือน แม่ก็...” แม่เพื่อหยุดพิจารณาเลือกคำที่จะไม่ทำร้ายความรู้สึกของแม่น้องและเดือนมากนัก แม่น้องก็รีบพูดขึ้นก่อน

   

“แม่น้องก็ตกใจสุดๆ น่ะสิซันๆ เอ้ย ผู้หญิงผู้ชายนอนกันเกลื่อน กลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้าเหม็นเต็มบ้านไปหมด ยังดีที่ตาเดือนอยู่ชั้นสองไม่มีกลิ่นอะไรให้แม่ปวดหัว แต่ห้องนี่รกมาก แม่น้องว่าบางทีหนูอาจเข้าไปนอนกับเดือน รายนี้ยังจะไม่รู้ตัวเลย”

   


เขาลุ้นเหตุการณ์ตอนที่แม่ๆ ไปหาเดือนมากกว่าตอนที่ทั้งสองคนโผล่มาหาตัวเองเสียอีก สบตากันเดือนยักคิ้วให้ข้างหนึ่ง แปลว่า เหตุการณ์เรียบร้อย ไม่มีเรื่องที่ทำให้สองคุณนายระคายเคือง ฟังจากเรื่องที่แม่เล่าๆ มาพอก็จะทราบเรื่องอยู่ ถ้าเจอ ‘แจ็ตพอต’ เข้าละก็...ไม่อยากจะคิดเลยสิ

   

ต้องสารภาพอีกอย่าง พอแม่ออกจากห้องไป สิ่งแรกที่เขาทำคือรีบกดโทรศัพท์หาเป้าหมายต่อไปทันทีหลังเสียงประตูปิด ลองนึกภาพตามมันคงจะไม่สวยเท่าไหร่ที่ถ้าแม่โพล่ไปบ้านเดือนแล้วเจอเดือนนอนบนเตียงกับ ‘เพื่อน’ ที่เป็นผู้ชายด้วยกัน แต่ไม่สวมเสื้อผ้าใช่ไหมล่ะ

ด้วยความช่วยเหลือจากเขา ‘แจ็คพอต’ เลยไม่แตก โล่งใจไปที

   


เขาตกอยู่ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด ปกปิดความลับของเดือนกับแม่มาตั้งแต่สมัยเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ หลังจากที่เจอ ‘แจ็คพอต’ ด้วยตนเองครั้งแรกที่เอาของไปให้เดือนที่บ้านตอนเช้าอย่างที่แม่ได้พยายามทำนี่แหละ

   

คราวนั้น ‘เพื่อน’ ของเดือนก็ตัวสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้มคล้ายคนที่เจอเมื่อวันก่อนที่แม่ให้แวะไปดูอาการป่วยของเดือน อืม...สงสัยสเป็คของลูกชายเพื่อนแม่คนนี้ คงเป็นพวกดาร์ก ทอลล์ แอนด์แฮนด์ซัม เจ้าตัวอาจเบื่อผิวขาวซีดของตัวเอง แฟนแต่ละคนเลยเป็นคนผิวสีเข้มๆ ทั้งนั้น

   

นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองไปพักใหญ่ เสียงของแม่ผมก็ดังเข้ามาขัดจังหวะ มืออบอุ่นอ่อนนุ่มของแม่ก็เอื้อมมาจับแขนเขา

   

“...เดือนก็มาอยู่ห้องที่ว่างเลยลูก ซันๆ ไม่ว่าอะไรหรอกใช่ไหมจ๊ะ” ห้องนั้นเป็นห้องทำงานของเขาต่างหากเล่า ไม่ได้ว่างเสียหน่อย คิ้วขมวดกับสิ่งที่ได้ยิน กำลังจะแย้งออกไปอย่างใจคิด แม่ก็จิกแขนเต็มแรง จนต้องพยักหน้าไปแบบแกนๆ แม่ส่งยิ้มหวานมาให้แล้วคลายนิ้วออก แม่จับแขนเขาไว้เพราะรู้ว่าจะปฏิเสธหรือเปล่านะ



เดือนสบตาเขา ดวงตาสีดำสนิทมีคำถามที่แม้ไม่ได้เอ่ยออกมาก็เข้าใจ ..รบกวนหรือเปล่า..มาอยู่ด้วยจะดีเหรอ...พยักหน้าให้เป็นคำตอบ เดือนก็พยักหน้ากลับมา ..ขอบใจนะ...

   

“งั้นก็ไปขนของวันนี้เลย แม่จะได้ช่วยจัด” แม่น้องเห็นท่าทางของเขาและเดือนก็รีบพูดราวกับกลัวว่าถ้าช้าไปอีกนิด ลูกชายของเธอจะเปลี่ยนใจ ไม่ยอมทำตามข้อตกลงเสียอย่างนั้น
 
   

พวกเราก็ช่วยกันย้ายของของเดือนจากบ้านเช่าเข้ามาที่ห้องพักตั้งแต่สิบโมงเช้าจนเกือบห้าโมงเย็นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเรียบร้อย

   

ไม่ต้องบอกเลยว่าหูชากับคำบ่นของแม่ๆ กันขนาดไหน เมื่อไปค้นเจอซองบุหรี่เปล่าๆ กระป๋องเบียร์ เสื้อผ้าที่เดือนยังไม่ได้ซักกองอยู่บนเศษอุปกรณ์ทำงานปนกันไปหมด








.

.

.







   

อาหารเย็นอร่อยถูกปากเมื่อได้แม่ครัวที่คุ้นเคยทำให้ทานถึงที่ คืนนี้แม่ก็จะนอนพักที่ห้องก่อนแล้วพรุ่งนี้สายๆ จึงกลับ

   

เขาพลิกตัวกอดเนื้อเย็นๆ ของแม่ทันทีที่แม่ล้มตัวลงนอนข้างๆ สูดกลิ่นแป้งหอมอ่อนที่แม่มักทาประจำก่อนนอน แม่ยกมือขึ้นลูบหัวอย่างตอนที่เขาเป็นเด็ก หลับตาพริ้ม

   

“ซันๆ” แม่พูดขึ้นเมื่อเรานอนกอดกันสักพัก

“ครับแม่” ตาปิดไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการขนของขึ้นลงเกือบทั้งวัน

“ช่วยแม่น้องดูแลเดือนหน่อยนะลูก”

“โธ่แม่ เดือนก็อายุเท่าผมน่า ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก” เดือนเรียนปีสามเท่ากับเขา ไม่ได้อยู่อนุบาลสามเสียเมื่อไหร่

“ซันก็รู้ว่าเดือนไม่ชอบดูแลตัวเอง ชวนเดือนทานข้าวให้ครบทุกมื้อ เตือนให้ซักผ้าบ้าง แบ่งกันกวาดห้องทำความสะอาดห้องเสียบ้าง แม่เห็นวันนี้แล้วเหนื่อยใจ พูดกันดีๆ ล่ะ อย่าทะเลาะกันนะ”

“ไม่ทะเลาะกันหรอกครับ โตแล้วน่าแม่ แล้วเรื่องพูดกันดีๆ นี่ ซันกับเดือนพูดกันเพราะมาก จนโดนล้อว่าเป็นแฟนกันไปทั้งมหา’ลัยแล้วแม่ รู้หรือเปล่า”

   
โอดครวญกึ่งฟ้องแม่ ถึงจะบอกว่าโตแล้ว แต่กับพ่อแม่อย่างไรเสียเราก็ไม่เคยอยากที่จะ ‘โต’ ยิ่งกับเขาแล้วอ้อนได้อ้อนดีเลยล่ะ
   

“ฮะฮะ เป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ ทั้งแม่กับแม่น้องจะได้หายห่วง” แม่พูดติดตลก


“แม่ยังจำเรื่องเจ้าสาวของซันๆ ได้อยู่เลยนะ” แม่เอ่ยแซว


“โหยแม่ ซันโตแล้วเรื่องนี้ขอเถอะคร้าบบบ อย่าล้อเลย” รีบขัดพลางรัดแม่แน่ขึ้น


“ทำไมละ แม่ว่าน่ารักดีนะ เดือนตอนนี้ก็ยังน่ารักใช้ได้นะซันๆ เปลี่ยนใจมารักมาชอบเหมือนตอนเด็กๆ แม่กับป๊าก็ไม่ว่าอะไรหรอก” 
   





พูดเรื่องนี้แล้วอายชะมัด ความทรงจำย้อนกลับไปตอนที่เขากับเดือนยังเป็นละอ่อนอยู่นั้น เขาเข้าใจผิดมาตลอดคิดว่า เดือน...เป็นเด็กผู้หญิง



ใบหน้าหวานใส ดวงตาสีดำเข้มเป็นประกาย แก้มยุ้ยสีชมพูอ่อน ริมฝีปากสีสดภาพถ่ายสีซีดจางไปตามกาลเวลายังยืนยันได้เป็นอย่างดี เดือนในตอนนั้นมองยังไงก็เด็กผู้หญิงชัดๆ


ทั้งแม่น้องเองก็ชอบให้ลูกชายตัวน้อยใส่ชุดสีอ่อน สวมหมวกกันแดดเสมอ ดูแลทะนุถนอมมาก เวลาเขาจะเล่นกับเดือนแรงๆ ทีไรก็โดนห้ามทุกที ต่างจากแม่ของเขาที่ไม่เห็นจะดูแลถนอมขนาดนั้น ปล่อยให้ตากแดดตัวดำคล้ำจนโตเลยทีเดียว



เด็กชายตะวันในชั้นอนุบาลสาม ช่วงนั้นใครๆ ก็ฮิตมีแฟนกัน เขาก็มีบ้างตามแฟชั่น ชวนเดือนที่อยู่ต่างห้องมาเป็นแฟนกัน ทั้งที่ยังไม่ทราบความหมายของคำว่า ‘แฟน‘ ด้วยซ้ำ แค่เข้าใจว่าต้องมาโรงเรียนด้วยกัน กลับด้วยกัน แบ่งขนมกัน เล่นด้วยกันเท่านั้น อย่างนั้นเขาและเดือนก็เป็นแฟนกันตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ เราทำทุกอย่างที่ว่ามาด้วยกันตั้งแต่จำความได้



เย็นวันนั้นตอนที่แม่มารับ เขารีบวิ่งไปหาแม่จับมือของเดือนที่เลอะไอศกรีมไปด้วย แล้วพูดกับแม่อย่างมั่นใจว่า


‘ผมกับเดือนเป็นแฟนกันแล้วนะแม่’


แม่น้องที่กำลังเช็ดมือของเดือนอยู่หัวเราะเสียงดังประสานเสียงกับแม่ เขาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงหัวเราะ เป็นแฟนกันเป็นเรื่องน่าขำตรงไหน

‘แล้วพอโตขึ้นเดือนก็จะเป็นเจ้าสาวของซันด้วย เนอะเดือน’ อันนี้เพิ่งคิดได้ ยังไม่ได้ตกลงกันจึงหันไปถามคนข้างตัว


เดือนพยักหน้าตอบ ส่งยิ้มหวานอวดฟันหลอมาให้
 

‘แม่กับแม่น้องอย่าหัวเราะสิ ซันพูดจริงนะ‘เริ่มไม่พอใจเมื่อทั้งสองคนยังคงหัวเราะทั้งที่เขาจริงจังมากขนาดนี้


‘จ้ะ จริงจ้ะ ว่าแต่ซันๆ รักเดือนหรือจ๊ะ’ แม่น้องอุ้มเดือนขึ้นแล้วก้มลงถามเขาที่ยืนเกาะชายกระโปรงของแม่


‘รักครับ’ ตอบไปด้วยน้ำเสียงฉะฉานเท่าที่เด็กวัยอนุบาลจะทำได้

‘แล้วเดือนล่ะ รักซันๆ หรือเปล่า’ คราวนี้แม่เป็นฝ่ายถามเดือนบ้าง

‘รักครับ’ เดือนตอบอายๆ แก้มแดงจัดจากการที่โดนทั้งลากทั้งวิ่งมา



...ครับหรือ...สะกิดใจจึงดึงกระโปรงแม่แล้วถาม



‘ทำไมเดือนพูดครับล่ะแม่ เป็นผู้หญิงต้องพูด ค่ะ ไม่ใช่เหรอ’


แม่กับแม่น้องหัวเราะกันอีกยก แล้วจึงตอบคำถามที่ทำให้เขาตกใจไปสามวัน


‘ซันๆ เดือนเป็นผู้ชายเหมือนลูกน่ะสิจ๊ะ’



จำไม่ได้ว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าตัวเองแผดเสียงร้องไห้จ้า รู้สึกเสียดายไอศกรีมที่แบ่งให้เดือนทานที่สุด












เป็นความทรงจำที่เมื่อมีโอกาสแม่มักจะเอามาล้อทั้งเขาและเดือนเสมอ



“แม่กับแม่น้องตั้งชื่อให้สองคนคู่กัน ซันๆ กับเดือน ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ดูแลกันด้วยนะลูก”




คำพูดทิ้งท้ายของแม่คืนนั้น
เขาได้ยินตั้งแต่จำความได้
ไม่ได้ตอบรับแต่ขยับตัวกอดแม่แน่นกว่าเดิม


-------------------------------------
[22.12.58]
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
Lavender’s blue
   
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 4) 22-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-12-2015 10:33:28
หม่นๆดี ชอบ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 23-12-2015 15:16:10


Just Love ❤ รักนะครับ





5






“เฮ้ยๆ ส่งให้ไอ้บอลสิเว้ย ...เออดี อย่างงั้นแหละ”
   
“วิ่ง!! ไอ้ศักดิ์ให้ไวหน่อยเว้ย พ่อมึงจะเสียประตูแล้ว”

“โอ้ยยยย เชี่ย เมื่อกี้ทำอะไร เต้นระบำหรือไงหะ ลูกผ่านหน้าแท้ๆ สกัดไม่ได้”


ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างสนามออกท่าทางสุดมันส์ บ้างลุกยืน บ้างนั่งนิ่ง บ้างก็วิ่งตามลูกกลมๆ ที่กลิ้งบนสนามหญ้าพร้อมตะโกนเสียงดังสุดใจขาดดิ้น เมื่อทีมตนเองได้ลูกก็ดีใจล้นเหลือ ส่งยิ้มหน้าบาน แต่เมื่อทีมเป็นฝ่ายตั้งรับกลับทำหน้าหยิกงอ ตะโกนด่าลูกทีมป่าวๆ ทำให้หลายคนอยู่ใกล้หัวเราะขบขัน ทั้งที่รู้ว่าถูกมอง ถูกหัวเราะกับท่าทางเหล่านั้น เจ้าตัวกลับไม่สนใจ ซ้ำยังคงแสดงอาการนั้นอยู่เนื่องๆ



เมื่อถึงเวลาพักครึ่งนักฟุตบอลต่างพากันนั่งพัก คนที่ยืนส่งเชียร์เมื่อครู่ก็ช่วยส่งน้ำ ส่งผ้า พูดจาเล่นหัวกันอย่างทั่วถึง 
   

“พี่กายเหนื่อยปะ”


“ฮะ มึงว่าอะไรนะไอ้แมน” คงเพราะมัวแต่มองดูเกมอยู่ เลยไม่ได้ยินสิ่งที่รุ่นน้องพูด คนถามจึงพูดซ้ำอีกครั้ง


“ผมถามว่า พี่เหนื่อยไหม”


“หือ ไม่ว่ะ กูไม่ได้ลงไปเตะสักหน่อย ทำไมต้องเหนื่อย” คิ้วหนาขมวดชนกันย่น


“ก็ผมเห็นพี่แหกปากตะโกนตั้งแต่เริ่มเกมยังไม่ได้พักเลยเป็นห่วง” พูดจบก็ขยับตัวออกห่างให้พ้นระยะบาทาที่อีกฝ่ายส่งมาทันทีที่ได้ฟังเหตุผล


“สัส กูส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจเว้ย ไม่ได้เหมือนไอ้ซัน ที่แม่งมาดูแล้วก็นั่งเฉยๆ กูยังนึกว่ามันกลายร่างเป็นเก้าอี้ไปแล้วนะเนี่ย” หนุ่มกายบอกรุ่นน้องก่อนจะหันมาแขวะเพื่อนตัวเองที่มานั่งดูน้องปีหนึ่งและสองซ้อมฟุตบอลด้วยกันตั้งแต่แรก แต่ไม่แสดงตัวตนออกมาสักแอะ


“กูมาดูน้องซ้อม ไม่ได้มาเอะอะโวยวายบ้าพลังเหมือนมึง” เพื่อนรักว่าเข้าให้นิ่มๆ ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อมองนาฬิกา


“อย่างกูเขาเรียกว่าเป็นคนเอ็นเนอร์ไจทิคเว้ย ไม่ได้บ้าพลังพูดให้มันดีๆ หน่อย”


ซันหันไปสนใจเกมในสนาม ไม่สนใจต่อปากต่อคำ   

   
“ทำไม มองหน้ากูเพื่อ” หนุ่มบ้าพลังหันไปหาเรื่องไอ้เด็กรุ่นน้องที่บังเอิญหันมาสบตาเข้าพอดี

   
“ไม่มีไรพี่ ส่งกำลังใจเชียร์ของพี่ไปเถอะ”

   

แล้วเสียงเชียร์จากข้างสนามก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง จนหมดเวลาการแข่งขัน












“โอ้ย แสบคอชะมัด”  คนพูดกุมคอตัวเอง แล้วพยายามส่งเสียงไอค่อกแคก ราวกับว่าตนเผลอกลืนเสียงลงไป พอไอแล้วเสียงจะคืนมาอย่างนั้น
   
   
“ผมว่าแล้ว” คนที่เดินตามมาติดๆ สำทับทันที

   
“ชะไอ้แมน เอ็งอย่ามาทำตัวเป็นแม่ไก่เลียนแบบคนแถวนี้อีกคนได้ไหมวะ” กายหันไปผลักศีรษะรุ่นน้องเบาๆ

   
คงรู้ตัวว่าโดนเพื่อนแขวะเข้าให้อีกรอบ ซันจึงถามคนแขวะ “อะไรมึง”

   
“เออมึงรู้ตัวก็ดี...มึงกลายพันธุ์เป็นแม่ไก่ไปแล้ว ตั้งแต่ที่คุณย้ายไปอยู่กินกับมึงน่ะ” ถึงจะรู้สึกว่าคำ ‘อยู่กิน’ จะกินความหมายลึกซึ้งแต่ซันไม่สนใจถามต่อไปด้วยความสงสัย

   
“แม่ไก่ยังไงวะ”

   
“เอ้า ก็เอาแต่บ่นเช้า บ่นเย็น ห่วงคุณสารพัดไปหมด ทำอย่างกับคุณเป็นเด็กไงเล่า” พักกลืนน้ำลายแล้วก็พูดต่อไปว่า

   
“คุณมันก็อายุเท่าเราไม่ใช่หรือวะ วันนี้มึงรีบกลับหอไปทำกับข้าวให้มันกินอีกหรือไง เห็นมองแต่นาฬิกาอยู่นั่น”

   
“พี่ซันทำกับข้าวเป็นด้วยหรือ” แมนที่ฟังเงียบๆ ถาม


“ช่ายยยย...โคตรอร่อยกูบอกมึงเลย” กายรับรองพร้อมชูนิ้วโป้ง ทำท่ากดไลค์สามรอบ

   
“โห สุดยอดเลยว่ะพี่” รุ่นน้องตาโต ทำหน้าตื่นเต้น

   
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” ซันพูดปัด แล้วหันไปพูดกับเพื่อน

   
“เดือนมันเรื่องมาก นั่นไม่กิน นี่ไม่กิน กูเลยต้องเป็นคนทำให้มันกินหรอก แล้วอีกอย่างกูก็จะได้บังคับให้มันกินข้าวให้ตรงเวลาด้วยไง ไม่งั้นกระเพาะกำเริบแล้วเดือนร้อนอีก”

   

ทั้งสามคนมาถึงที่จอดรถข้างสนามกีฬาพอดี กายจึงตัดบท

   

“เออๆ เรื่องของมึงเถอะ ว่าแต่วันนี้ไปก๊งกันหน่อยไหมมึง ไปร้านพี่ช้างสิ กับข้าวอร่อย ห่วงมันมากก็ลากคุณไปด้วยกันเลย ไปไหมไอ้แมน” บอกเพื่อนพร้อมเลือกร้านวางแผนให้เสร็จสรรพ หันไปคว้าคอรุ่นน้องเอ่ยชวน

   
“โหย มีหรือจะปฏิเสธพี่ นึกว่าพี่รหัสจะไม่ชวนซะแล้ว” คนถูกชวนยิ้มรับหน้าตาชื่นบาน

   
“งั้นเดี๋ยวกูกลับหอก่อนละกัน ไว้เจอกันที่ร้าน” ซันพูดแล้วก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไป   

   

“ไปร้านกันเลยไหมพี่” แมนให้มาถามรุ่นพี่
   

“กว่าซันจะมาก็คงชั่วโมงกว่าๆ  ไปหอกูปะ วินนิ่งสักเกม” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ขับมอเตอร์ไซด์นำไปหอพักของตนที่อยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัยทางเดียวกับเพื่อนรักที่เพิ่งจากกัน

   

   




“รกมาก”


   
ป้าบ! และ “โอ้ย!!”

   

บรรทัดแรกเป็นคำพูดแรกของไอ้แมนเมื่อมันเดินเข้ามาในห้อง บรรทัดที่สองเป็นเสียงฝ่ามืออันทรงพลังกระทบกับหัวเกรียนๆ ของคนพูดและเสียงที่สามเป็นคำอุทานของไอ้แมน สม! มาห้องพี่รหัสมันแท้ๆ ยังมีน่ามาบ่น

   

“อย่าให้กูเห็นห้องมึงบ้างนะ” คาดโทษเดินไปก้าวกระย่องกระแย่งข้ามข้าวของที่วางไว้ระเกะระกะไปถึงหน้าโทรทัศน์ที่มีที่ว่างพอดีสำหรับคนสองคนนั่งเล่นเกม

   

“วิ่นนิ่งกับกูไหมสาดดดดด!!” ระหว่างที่รอเซ็ตเครื่อง เขาก็ตะโกนเสียงดังจนไอ้เด็กที่นั่งข้างๆ สะดุ้ง

   

“พี่กาย จะตะโกนทำไม”

   

“อุ่นเครื่องไงมึง ฮ่าๆ” เห็นทางหางตาว่าไอ้แมนทำปากขมุบขมิบไม่ออกเสียง บ่นอะไรอีก... โอ้ มาแล้วครับ เรื่องของมันละกัน สาดดดดดดดดด


   
   



   



“อ่อนว่ะสาดดดด”  ฮ่าๆ พี่มันระดับเมพครับน้อง อย่าได้แข่งเชียว ผลการแข่งขันออกมาตามความคาดหมาย ชนะใสๆ ขนมกรุบมาก

   
“เหอะ ผมยังไม่เอาจริงหรอกน่า”  ป้าดดดด...ดูมันเถียง ไอ้อ่อนเอ้ย

   
“โด่ว มึงยอมรับเถอะวะ อยากชนะพี่ยังเร็วไปครับน้อง” ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้สองจึก

   

ไอ้แมนไม่ตอบแต่พูดแบบไม่ออกเสียงว่า ‘ปัญญาอ่อน’ ถึงเห็นแต่ไม่ได้ยินกูจะยอมให้มึงละกัน

   

“พี่ซันก็อยู่หอนี้หรือพี่” นั่น แพ้แล้วเปลี่ยนเรื่องเลยนะ

   

“เออ...บนกูนี่แหละ” พูดแล้วชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน ห้องของไอ้ซันอยู่ข้างบนห้องเขาพอดี
   
   

“แล้วคนชื่อ ‘เดือน’ นี่คือแฟนพี่ซันปะ” ไอ้แมนพยักหน้าแล้วก็ถามต่อ เขาถึงกับหัวเราะพรวด แหม...ไม่รู้เลยนะว่าเมื่อกี้แอบฟังพวกเขาพูดทุกคำ

   

“ฮ่าๆ กูอยากจะบอกมึงว่าใช่ว่ะ ฮ่าๆ ชื่อเหมือนผู้หญิงเลยใช่ไหม” หัวเราะไม่หยุด

   
“เป็นผู้ชายหรือพี่” ไอ้แมนทำหน้างง

   
“เออ เพื่อนมันแหละ ชื่อ ‘เดือน’ เพิ่งย้ายมาอยู่กับมันเมื่อเดือนก่อน” อยากให้เจ้าของชื่อมาเห็นหน้าไอ้แมนตอนนี้ชะมัด ทำหน้าเอ๋อได้อีก

   
“อ้าว คนที่ย้ายมาอยู่ไม่ได้ชื่อพี่คุณหรือพี่กาย” พอถึงคำถามนี้เขาหงายหลังหัวเราะ นี่ถ้ามีพื้นที่ให้กลิ้งได้ก็กลิ้งไปแล้ว ขำกลิ้งเลย  ฮ่าๆ

   
“ฮะๆ ไม่ใช่มึงคนแรกหรอกที่งง แรกๆ กูก็โคตรงงเลยวะ” หยุดหัวเราะแล้วจึงตอบคำถาม

   
“จะชื่อคุณ หรือชื่อ เดือน ก็คนเดียวกันนั่นแหละวะ เพื่อนๆ จะเรียกว่าคุณ ส่วนไอ้ซันจะเรียกว่าเดือน” น่าเอาไปเล่าให้ไอ้สองคนนั้นฟังชะมัด

   
“อ๋อ แล้วมึงอย่าเลือกไปเรียกมันว่าเดือนล่ะ ถ้าไม่อยากเจอตีนทั้งจากไอ้ซันกับไอ้คุณ ชื่อ ‘เดือน’ เนี่ย ไอ้คุณให้ไอ้ซันเรียกได้คนเดียวว่ะน้อง” ต้องรีบบอกไอ้แมนก่อนที่มันจะเผลอไปเรียกชื่อเฉพาะของไอ้คุณเข้า เดี๋ยวเป็นเรื่อง

   
“ยุ่งชะมัดเลยนะพี่”

   
“ความจริงมันจะไม่ยุ่งเลยถ้ามึงไม่เลือกแอบฟังพวกกูอะ กูก็จะแนะนำให้มึงรู้จักแค่ว่าเพื่อนไอ้ซันกับกูคนนี้ชื่อ คุณ จบล่ะ”

   
ไอ้คนที่ยุ่งมันคือมึงนั่นแหละไอ้แมน 
   
   

โทรศัพท์ดังขึ้น ไอ้ซันโทรมาบอกว่าจะออกไปแล้ว เขาบอกมันว่าไอ้แมนก็อยู่ที่ห้อง เราเลยออกจากหอไปที่ร้านพร้อมกันทั้งสี่คน

 
.

.

.



   
   
“แมน นี่เพื่อนพี่ ชื่อคุณ เรียนศิลปกรรม รุ่นน้อง ชื่อ แมน” ซันแนะนำผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ผอมบางที่รวบผมสีดำยาวไว้ด้วยดินสอไม้ให้กับรุ่นน้อง
   
“สวัสดีครับพี่” แมนยกมือไหว้ทักทายแล้วโดนเขาลากตัวไปนั่งโต๊ะด้านใน

   
“เวลาไอ้สองคนนั้นคุยกันมึงอย่าทำหน้าแปลกๆ ล่ะ” กระซิบบอกมันหลังจากได้รับเมนูอาหาร สองคนนั้นยังคงยืนอยู่หน้าร้าน

   
“น่า เดี๋ยวมึงก็รู้ ได้ยินแล้วก็นิ่งๆ อย่าถามมันละกัน ... เอ้า อยากแดกไรมึง น้องรหัส” ไอ้แมนทำหน้งงงไม่หาย เขากระซิบแล้วจึงเปลี่ยนมาพูดเสียงดังเมื่อสองคนที่ตกเป็นหัวข้อในการนินทาเมื่อครู่เดินเข้ามานั่ง

   
“พี่รหัสจะเลี้ยงใช่ไหมครับ งั้นไม่เกรงใจนะพี่”  โอ้โห เห็นเอ๋อๆ แบบนี้ก็ไวใช้ได้นี่หว่า ต่อบทเนียนเลยเว้ย

   
ไอ้แมนสั่งกับแกล้มสองสามอย่าง บอกจุดประสงค์ชัดมากว่าจะแดกยอดข้าวไม่แดกข้าว เขาเลยสั่งเพิ่มอีกอย่าง แหม...ก็ชวนมันมาก๊ง ไม่ได้ชวนใครมากินข้าวเหมือนไอ้คู่ตรงข้าม ว่าแล้วก็เหล่มองสักหน่อย


   
“เดือน” ไอ้ซันพูดเสียงเข้มเมื่อไอ้คุณไม่สนใจเมนูที่มันยื่นให้ เอาแต่นั่งก้มหน้ากดโทรศัพท์

   
“เดือน!! ตัวจะกินอะไร”  หันไปมองหนไอ้แมนที่นั่งข้างๆ กัน มันก็มองมาที่สีหน้าสงสัยเต็มที่ เขาก็ได้แต่พยักพเยิดหน้าให้สังเกตเอาเอง

   
“กินได้หมดแหละ ซันๆ เลือกมาเลย”  ไอ้คุณตอบแบบไม่มองหน้า ก้มหน้าก้มตากดมือถือต่อ

   
“แล้วอย่ามาบ่นทีหลังนะ” ว่าแล้วไอ้ซันก็หันไปสั่งรายการอาหารสามอย่างกับข้าวหนึ่งโถ มันหันหน้ากลับมาเห็นพวกเขาสองคนนั่งจ้องพวกมันตาเป๋งเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

   
“เปล๊า กูก็แค่อยากรู้ว่ามึงจะสั่งอะไรบ้าง แหมกับข้าวที่มึงสั่งไปน่ากินจริงๆ เลยเนอะไอ้แมน กูหิวเลยวะ” 

     
คนฟังส่ายหัว แล้วหันไปหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดช้อนส้อม จานแล้วก็เลื่อนไปวางตรงหน้าคนที่เอาแต่เล่นมือถือ ก่อนจะเช็ดให้ตัวมันเองแล้วหยุด

   
“อ้าว แล้วของกูล่ะ” เห็นมันนั่งนิ่ง จิบน้ำไปนานเลยถามขึ้น

   
“ท้องมึง ปากมึง ทำเองสิวะ” ไอ้ซันตอบ ไม่น่าถามมันเล้ยยยย ใช่สิ ‘กาย’ จะไปสู้ ‘เดือน’ ได้ยังไงเล่า เหอะ ไอ้ดับเบิ้ลแสตนด์ดาด

   
“ถือว่าพี่จะเลี้ยง นี่พี่ จานผมทำให้แล้ว” ไอ้แมนเลื่อนจากที่มีช้อนส้อมวางอยู่ข้างบนมาให้

   
“เออๆ ทำตัวให้สมกับที่กูจะเลี้ยงดีมาก”

   
ร้านนี้เป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่เน้นไปทางขายเครื่องดื่มมากกว่าเลยมีเมนูอาหารให้เลือกไม่มาก เจ้าของชื่อช้างครับ แกใจดี สั่งกับข้าว แกก็ให้เยอะ ทำอาหารเร็วด้วย แถมราคาประหยัด สบายกระเป๋า กับแกล้มอร่อย กินเพลินรู้ตัวอีกทีก็เมาหัวทิ่มไปแล้ว

   
   
“ซันๆ สั่งอะไรมาให้เค้าเนี่ย” รอไม่นานอาหารก็มาวางบนโต๊ะ ไอ้คุณโวยวายใหญ่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าอาหารตรงหน้าเต็มไปด้วยผัก ผักและผัก!!

   
“เมื่อกี้เดือนบอกว่าจะกินอะไร” ซันย้อนเพื่อนทำเสียงเข้มไปอีก

   
“...อะไรก็ได้...แต่ซันๆ ก็รู้เราไม่ชอบผักคะน้า ตัวจะสั่งมาทำไมล่ะ” ไอ้ซันไม่สนใจเสียงโอดครวญ มันเอื้อมมือไปหยิบจานตรงหน้าไอ้คุณ แล้วตักข้าวลงไปสองทัพพี

   
“หมูมะนาว คะน้าหมูกรอบ สองอย่างที่เป็นคะน้า” ซันบอกเมนู

   
“แล้วอีกจานล่ะ”

   
“ต้มแซบกระดูกหมู”

   
พอได้ยินชื่อเมนูสุดท้าย ไอ้คุณค่อยยิ้มออกหน่อย แล้วกับแกล้มของก็มา โอ้ยเด็ด หมูทอดกระเทียม ปีกไก่ทอด  ถั่วทอด แล้วก็ปูอัดของโปรด ว่าแล้วก็น้ำลายส่อ ชนกันเถอะไอ้แมน เอ้า ชน!!


   



หมดค่อนกลม ไอ้แมนลุกไปเข้าห้องน้ำ เหลือแค่เขา ไอ้ซันแล้วก็คุณที่ยังนั่งอยู่ จึงเอ่ยชวนคุณที่พึ่งจะได้รับอนุญาตให้รวบช้อนได้จากคุณผูกรครองที่มาด้วยกันหลังจากจัดการอาหารในจานจนหมด

   
“คุณ สักแก้วไหม” พูดพร้อมชูแก้วของตัวเองที่ไอ้แมนเพิ่งชงให้ก่อนไปเข้าห้องน้ำขึ้น

   
“เอาสิ โซดานะ” จัดการชงให้อย่างไว แล้วส่งข้ามโต๊ะไปให้

   
“แก้วเดียวพอนะ” คุณพ่อบอกเสียงเข้ม อยู่กับเดือนทีไรมันชอบเก๊ก ทำตัวเป็นคุณพ่อทุกที

   
“จะกิน พรุ่งนี้วันเสาร์เค้าว่าง ไม่มีเรียนเหมือนตัวหรอก ฮ่าๆ” ไอ้คุณรับแก้วไปแล้วยกซดทันที


   
“มึงด้วยไหม” หันมาถามเพื่อนตัวเอง
   

“อืม ไม่ต้องเข้มล่ะ”

   

“ช่ายยยสิ นอกจากมึงจะมีเรียนวันเสาร์พร้อมกูแล้วเนี่ย มึงยังจะต้องดูแลไอ้คนที่ซดเอาๆ ด้วยใช่ไหม ฮ่าๆ” คิดเองในใจนะ แต่ไหงมันมีเสียงออกมาด้วยวะ

   
“เออสิ มึงรู้ว่ามีเรียนก็เบาๆ ลงหน่อย เจ้ใหญ่เช็คชื่อนะ” ไอ้ซันรับแก้วไปจิบ แล้วก็เงียบไป

   

   
“โอ๊ะ...” ไอ้แมนที่เดินกลับมาจากห้องน้ำเข้ามานั่งชิดกับเขาที่กำลังยกแก้วขึ้นแนบริมฝีปาก

   
แค่กๆ

   
แอลกอฮอล์ทะลักเข้าปากเข้าจมูกแสบไปหมด น้ำตาไหลเลย

   
“อ้ายสาดดดดดแมน มึงแกล้งกูใช่หมายยยย แค่กๆ” เสียงที่แหบจากการตะโกนเมื่อเย็นผสมกับน้ำเมาและอาการสำลัก ยิ่งทำให้แสบคอมากขึ้น พยายามไอออกมาหลายครั้งก็ยังไม่ดีขึ้น

   
“โทษทีพี่ๆๆๆ มาเช็ดให้” ไอ้แมนขอโทษขอโพย พลางเอากระดาษมาซับน้ำที่หกเลอะตามใบหน้าและลำคอ

   
“นิ่งๆ สิพี่” กระดาษทิชชู่ชุ่มน้ำถูกป้ายลงที่หางตาแผ่วเบา ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายตัวควายๆ อย่างไอ้แมนจะมือเบาได้ขนาดนี้ ขนตามันยาวน่าดึงเล่นชะมัด

   
“ยังแสบตาอยู่ไหมพี่” มือไอ้แมนผละไปจากตัวเขาตอนไหนก็ไม่รู้ จนกระทั่งมันพูดขึ้นนั่นแหละถึงเพิ่งรู้ตัว

   
“เออ ดีขึ้นละ มือมึงเบาดีนะ” อันนี้ก็คิดในใจนะทำมันมันมีเสียงอีกแล้ววะ


   
“กาย มึงเมาแล้ว”

   
ไอ้ซันที่จิบเหล้าอยู่เงียบๆ พูดขึ้น
    
   
“ไม่เมาเว้ย” แค่มึนๆ

   
“เมา”

   
“ยังเว้ย” อะไรกันวะ ทำไมยัดเยียดให้เมาจัง แค่นี้จิ๊บๆ เว้ย

   
“ไม่เมาก็ไม่รู้ทำไงแล้วพี่ซัน ที่หมดไปนี่ของพี่กายคนเดียวเลยนะ” ได้ยินไอ้แมนว่าอะไรกับไอ้ซันไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่ายังไม่เมาเว้ย ไฟที่ร้านมีห้าดวงเขาก็นับได้ห้าดวงนะ

   
“ไฟที่ร้านมีห้าดวงใช่ไหม” พูดเสียงดัง

   
“ใช่พี่” ไอ้แมนตอบ

   
“กูนับได้ห้าดวงเหมือนกัน ยังไม่เมาว่ะ” ว่าแล้วก็ยกต่อ

   
“ฮะๆ พี่ คนไม่เมาที่ไหนเขาจะนับไฟกันเล่า” ไอ้แมนขยับไปชงเล่าเพิ่มให้พี่รหัสมันอีกแก้ว และอีกแก้ว

   

เขาว่าเขานับผิดแล้วล่ะ
ไฟในร้านมีแค่ดวงเดียวเท่านั้นแหละ


นั่นเป็นสติที่เหลือสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะพร่าเลือน




.

.

.





โทรศัพท์แผดเสียงลั่น ทำเอาคนที่นอนหลับสบายฝันหวานสะดุ้งตื่นทะลึ่งพรวด

   
“อีกห้านาที ถ้ามึงไม่มาเจ้ใหญ่เรียกพบที่ห้องว่ะ” ไอ้ซันโทรมา พูดแค่นั้นแล้วก็วางสายไป เอาชื่อใครมาอ้าง เอาชื่อเจ้ใหญ่ แค่สองนาทีก็ออกห้องแล้วโว้ย ไอ้ซัน


   
บิดมอเตอร์ไซค์มาอย่างไว วิ่งขึ้นบันไดด้วยความเร็วยิ่งกว่าสัตว์สี่เท้า เพื่อนผู้หญิงหลายคนทำจมูกฟุดฟิดเมื่อเขาเดินผ่าน ขอโทษนะสาวๆ ทั้งกลิ่นเหงื่อกลิ่นละมุดตีกันมั่วไปหมด

   
“ถ้าเธอมาช้ากว่านี้ ได้เจอกับครูตัวต่อตัวแน่ กรวิทย์” เจ้ใหญ่พูดเสียงดังใส่ไมโครโฟนมาจากหน้าชั้น เมื่อเขาเดินเข้าห้องได้ทันเวลา

   
“ขอโทษครับอาจารย์” เราทำผิดก็รู้จักขอโทษ ลูกผู้ชายแมนๆ อยู่แล้ว

   
“ไปนั่งทีได้ เอาล่ะ นักศึกษา เรามาต่อกันเรื่องทฤษฎีการกลายพันธุ์ของชาลล์ดาวินส์ที่อาจารย์ให้งานไปเมื่อสัปดาห์ก่อน....” เจ้ใหญ่เริ่มสอนทันที เขานั่งลงข้างเพื่อนสนิทที่เว้นเก้าอี้ไว้ให้

   
“ขอบใจวะมึง ถ้ามึงไม่โทรมากูยังไม่ตื่นเถอะ” พึมพำขอบใจมันที่โทรปลุก ย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นตัวเอง

   
“อืม” 

   
“อ้อ แล้วก็ขอบใจที่เมื่อคืนเอากูมาส่ง...แม่งปวดหัวชะมัด” ไอ้ซันยื่นเครื่องดื่มแก้แฮงค์มาให้ เขาพูดขอบใจอีกรอบ

   
“กูไม่ได้เอามึงไปส่ง”  ไอ้ซันก้มหน้าจดแล็คเชอร์อย่างไม่สะดุดแม้จะต้องตอบคำถามเขาอยู่ก็ตาม

   
“อ้าว งั้นใคร ไอ้แมน?”  ไปกันสี่คน ถ้าไม่ใช่มันก็ต้องเป็นน้องรหัสอยู่แล้ว มันพยักหน้า

   
“เออ นิสัยดี น่ารักสมเป็นน้องรหัสกู” ต้องไปขอบใจมันเสียหน่อย รู้ตัวเองว่าเมาแล้วเรื้อนมาก ไอ้ซันมองหน้าเขาแล้วเลื่อนสายตาลงมาอยู่แถวๆ ต้นคอสักพักมันก็พูด

   
“มึงส่องกระจกยัง”

   
ฮะ ทำไมต้องส่อง คนหล่อยังไงก็หล่ออย่างนั้นไม่เปลี่ยนหรอก มีแต่หล่อขึ้นหล่อขึ้นไม่ว่า

   
ไอ้ซันหันไปยืมกระจกเพื่อนผู้หญิงที่นั่งข้างๆ แล้วยื่นให้

   
“เอ้า ส่องซะ แล้วอย่าเสียงดังล่ะ”


   
รับกระจกมาอย่างงงๆ ส่องดูก็หล่อเหมือนเดิมนี่หว่า นอกจากหัวยุ่งๆ เพราะขับมอเตอร์ไซด์กับตาคล้ำเพราะนอนดึกและเมาแล้วก็ไม่มีอะไรต่าง


ไอ้ซันเงยหน้ามาจากสมุดเล็คเชอร์ เมื่อเห็นว่าเขาพยายามเสริมหล่อด้วยการลูบผมให้เข้าที่เช้าทาง มันทำหน้าเอือมระอาแล้วบอก


“ที่คอน่ะ”


ส่องกระจกอีกครั้ง แล้วเขาก็ได้คำตอบว่าทำไมมันถึงห้ามเสียงดัง





เชร็ดดดดดดดดด
ยุงห่าที่ไหนกัดวะ พ่อจะตามไปกระทืบถึงที่เลยมึง


----------------------------------------
[23.12.58]
ขอบคุณ คุณ B52 ที่มาอยู่เป็นเพื่อนนะคะ 5555   
 :กอด1:
Lavender’s blue   
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-12-2015 15:40:46
ริจะกินคนแก่หรือแมน
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: sentpai ที่ 24-12-2015 03:38:43
ติดตามครับ
สนุกดี บรรยากาศของเรื่องเรียบๆดี
ทำให้อ่านได้เรื่อยๆ สนุกดีครับ
#ขออนุญาตถามหน่อยนะครับ ว่าเรื่องนี้จะมีประมาณกี่ตอน
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 24-12-2015 03:48:23
เรื่องนี้เราเคยอ่านแล้วที่เด็กดี เราชอบนิยายที่คุณเวนดี้แต่งนะ สนุกดี

ปล.มีเรื่องใหม่รึยังคะตอนนี้
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 5) 23-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 24-12-2015 14:22:10
พี่รหัสเสร็จน้องรหัสไปซะล่ะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 6) 24-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 24-12-2015 21:17:41
Just Love ❤ รักนะครับ




6




แม้ดูเหมือนว่าเขาสนิทกับเดือน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เลย ... เดือนแทบจะกลายเป็นใครคนอื่นที่เขาไม่รู้จักซึ่งความจริงข้อนี้เพิ่งจะรู้ตอนที่เดือนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันนี่แหละ


ใครคนอีกคนที่มาอยู่ในร่างเดือนแสดงตัวตนออกมาทันทีในช่วงบ่ายหลังจากที่แม่ๆ กลับไปแล้ว 


“ซันๆ เค้าออกไปข้างนอกนะ” เดือนบอกอย่างนั้นแล้วตามมาด้วยเสียงประตูปิดดังปัง!


ทิ้งให้เขาที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่กับพรมหน้าโทรทัศน์หันขวับไปมองก็ไม่ทันเสียแล้ว


ไปไหน กับใคร ทำอะไร กลับเมื่อไหร่ จะมาทานข้าวด้วยกันไหม เขาต้องทำกับข้าวเผื่อหรือเปล่า จะกินเหล้าไหม ที่ร้านไหน ให้ไปรับหรือเปล่า



คำถามผุดขึ้นมาในยาวเป็นขบวนรถไฟ ไม่ได้สนใจเกมจนตัวแพ้สีแดงขึ้นเต็มจอ จะว่ายังไงดีล่ะ คือไม่ใช่ว่าจะอยากรู้เพื่อเข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรหรอกนะ แต่ก็อยากรู้เรื่องของอีกฝ่ายไว้บางไหนๆ ก็มาอยู่ห้องด้วยกันแล้ว ฐานะของเราก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ไม่ใช่แค่แปลกหน้าของกันและกันสักหน่อย แค่บอกกล่าวกันบ้างก็พอ


แต่บางทีก็นั่นแหละ เดือนอาจติดนิสัยจากที่อยู่กับคนมากๆ ที่ไม่ค่อยสนใจใครสักเท่าไหร่ก็ได้ ...คิดในทางบวกอย่างน้อยก็บอกว่าจะไปข้างนอกละวะ



เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเลิกสนใจ กลับไปเล่นเกมต่อ สักทุ่มก็อุ่นกับข้าวที่แม่ๆ ทำเผื่อไว้ ทานเสร็จก็อุ่นกับข้าวเผื่อไว้ให้ลูกชายเพื่อนแม่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันไว้บนโต๊ะ ควบฝาชีไว้เรียบร้อย กลับไปเล่นเกมต่อ









มองนาฬิกาอีกทีก็ใกล้เวลาห้าทุ่มกว่าๆ พรุ่งนี้มีเรียนเช้าเลยรีบอาบน้ำแล้วเข้านอน กับข้าวบนโต๊ะคงเย็นไปหมดแล้ว ช่างเถอะ ถ้าเดือนกลับมาก็คงอุ่นทานอีกรอบได้



ตอนเช้าตื่นมายังเห็นว่ากับข้าวยังวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แสดงว่าเดือนยังไม่กลับหรือ เปิดฝาชี ยกกับข้าวขึ้นดูยังไม่เสีย เลยอุ่นทานตอนเช้า ตอนที่ใส่รองเท้ากำลังจะออกจากห้องก็เห็นรองเท้าแตะคีบคู่สีดำแปลกตาถอดวางไว้ พลิกคว่ำพลิกหงาย เขาจัดรองเท้าคู่นั้นใส่ไว้ในตู้ใกล้ประตู แล้วย้ำกับตัวเองว่าคงต้องหาเวลาคุยกับเดือนเรื่องที่วางรองเท้าสักหน่อย แล้วจึงไปเรียน



เลิกเรียนไปดูน้องๆ ซ้อมบอลกับไอ้กาย ไอ้แมนเข้ามาปรึกษาเรื่องการคุมน้องนิดหน่อย ปีสองทุกคนก็ดูทุ่มเทรักใคร่กับน้องปีหนึ่งดีซึ่งเขาก็ดีใจที่น้องสนิทกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว แน่นอนว่ามันจะเป็นผลดีมากเมื่อเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย บอกเลยว่าไม่มีเพื่อน เปอร์เซ็นต์ในการเรียนไม่จบสูงสุดมาก ดูอย่างไอ้กายที่เกือบลงทะเบียนเรียนไม่ทันเพราะมัวแต่ทำกิจกรรม โชคดีที่พอเขาลงทะเบียนเรียนของตนเองเสร็จแล้วถาม มันยังไม่ได้ลงเลยจัดการให้เสร็จสรรพ



เขาเปิดประตูเข้ามาห้องพักปิดไฟมืดสนิท สงสัยเดือนออกไปข้างนอกอีกแล้ว วางข้าวถุงที่หิ้วมาเผื่ออีกคนไว้บนโต๊ะกะว่ารอจนหายร้อนแล้วค่อยเอาใส่ตู้เย็น



ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กินแล้วถูกวางทิ้งไว้ในอ่างล้างชาม คงเป็นฝีมือของคนที่วางรองเท้าไม่เป็นระเบียบอีกแน่  ข้อสองที่จะบอกเดือนคือเรื่องทิ้งขยะ






จนเกือบเที่ยงคืนเดือนก็ไม่กลับมา เขาจึงปิดหนังสือ ปิดไฟ ล้มตัวนอน









   

วันถัดมาก็คล้ายๆ สองวันแรกคือไม่เจออีกคนที่เข้ามาอยู่ในห้องด้วยกันเลย เจอแต่เศษซากขยะและความรกรุงรังไม่เป็นระเบียบของอีกฝ่ายที่ทำให้รู้ว่าที่ห้องนี้ยังมีใครอีกคนอยู่ด้วย




ในที่สุดเขาก็เจอเพื่อนร่วมห้องในวันพุธ เขาไม่ได้ออกไปไหนอยู่ห้องเพราะไม่มีเรียนเช้ากำลังจัดการกับห้องน้ำที่เลอะเทอะพอดีกับที่เดือนกลับมาถึงห้อง



“ไง” เดือนทักเมื่อเห็นเขาโผล่ออกมาจากห้องน้ำ หยุดทักอย่างไม่สนใจคำตอบเดินผ่านตรงไปยังห้องนอนของตน


“คุยกันก่อนสิ”


เดือนหันตัวกลับมา ยืนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขานั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะกินข้าว อีกฝ่ายจึงนั่งตรงข้าม ระหว่างเรามีโต๊ะไม้ขนาดสองฟุตครึ่งกั้นอยู่


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เดือนถามขึ้นเมื่อเขาเงียบ เอาแต่มองคนตรงข้ามนิ่ง


“สองสามวันนี่...ได้กินข้าวครบสามมื้อไหม” เขาคิดว่าเดือนน่าจะเห็นกับข้าวที่ซื้อมาวางไว้บนโต๊ะนะ ทุกครั้งที่กลับมาทำไมกับข้าวยังวางอยู่ที่เดิมก็ไม่รู้


“..ก็ถ้าหิววันละสามครั้งก็คงครบแหละ” เดือนตอบ


“ถ้าหิววันละครั้งล่ะ”


“ก็กินเท่าที่หิว”


“แสดงว่าถ้าวันไหนไม่หิวก็ไม่กิน” เดือนพยักหน้ากับคำพูดนี้ของเขา


“แม่บอกให้กินข้าววันละสามมื้อ” คนอย่างเดือนจะให้บอกตรงๆ ว่าให้ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะจะต่อต้านโดยการทำตรงกันข้ามทันที ต้องค่อยๆ ตะล่อมให้เจ้าตัวรู้สึกและคิดเอง


“บางทีมันก็ลืมน่า...ซัน” ทอดเสียงอ่อนตรงชื่อเขา หวังจะอ้อนล่ะสิ
   

“อืม อย่าเผลอลืมบ่อยจนต้องไปหาหมอนะ” คำว่า ‘หมอ’ ทำให้เดือนรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เดือนไม่ชอบหมอซึ่งไม่ชอบในที่นี้แปลว่ากลัวนั่นแหละ อย่าไปพูดให้เจ้าตัวได้ยินนะ เพราะจะเถียงทันทีว่า ‘ใครบอกกลัว แค่ไม่ชอบเฉยๆ’


เมื่อเจ้าตัวเริ่มคล้อยตาม เขาก็พูดต่อไป


“เค้าเลยจะชวนตัวกินข้าวด้วยกันจะได้ไม่ลืม ดีไหม”


“...บางทีเค้าก็ต้องทำงานที่สตูฯ กับเพื่อน ไม่ได้กลับห้องนะ” อ้อ แสดงว่าที่หายไปสองสามวันนี่ไปทำงานที่สตูดิโอของคณะ


“ไม่เป็นไร ถ้าวันไหนตัวไม่ว่างก็โทรมาบอกก็ได้ ถ้าเค้าไม่ว่างก็จะโทรไปเตือนตัวเหมือนกัน” แค่โทรเตือนให้ทานข้าวให้ตรงเวลา ไม่ต้องกินข้าวพร้อมกันทุกมื้อก็ได้


“เออ แบบนั้นก็ได้” เดือนยอมตกลง ขีดฆ่าข้อที่สาม กินข้าวให้ตรงเวลาในกระดาษออก


“วันก่อนเค้าเดินเข้าห้องมา แล้วรีบไปหน่อย สะดุดรองเท้าตัวล้มเลย” ชี้มั่วๆ ไปแถวข้อศอก ผิวคล้ำกับสีช้ำๆ มันไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้งนะ


“เอ้า จริงดิ ซุ่มซ่ามว่ะซันๆ” เดือนมองที่ข้อศอกแล้วส่ายหน้าอมยิ้มที่มุมปากกับความซุ่มซ่ามของเขา


นี่!! เดือนเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า คนที่ควรทำท่าเหนื่อยใจแบบนั้นคือเขาไม่ใช่หรือไงเล่า!    


“เออ!! เค้าซุ่มซ่ามก็เลยต้องเก็บของให้เป็นระเบียบคราวหลังตัวเอารองเท้าวางไว้ในตู้ด้วยสิ เดี๋ยวเผลอไปเหยียบแล้วลื่นอีก”


“โอ๋ๆ น้องซันๆ ไม่ต้องกลัวจะล้มนะครับ เดี๋ยวพี่จะเอารองเท้าไปซ่อนไว้อย่างดี ไม่ให้น้องซันๆ ลื่นล้มได้อีกเด็ดขาด” คนตรงหน้าล้อเสียงเล็กเสียงน้อย ...บางทีเราก็ต้องยอมที่จะโกหกเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือความจริงคือประโยชน์ของคนตรงหน้าที่พูดจาล้อเลียนเขาอยู่ตอนนี้ต่างหาก ยอมๆ ไป ไม่ว่ากัน


ขีดฆ่าเรื่องวางรองเท้าให้เป็นระเบียบได้แล้ว เหลืออีกข้อ ทิ้งขยะ


“แล้วอย่างนี้ถ้วยมาม่าที่เราวางไว้ไปไหนแล้วล่ะ ซันๆ เก็บไปทิ้งแล้วหรือ” เดือนเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน ดีเลย เขากำลังคิดว่าจะแต่งเรื่องอะไรตะล่อมคนตรงหน้าพอดี


“ใช่” ตอบสั้นๆ อยากรู้ว่าเดือนจะพูดอะไรต่อ


“คราวหลังจะเก็บไปทิ้งให้สะอาดเลย เดี๋ยวคนแถวนี้ทำหน้าบึ้งอีก” เดือนส่งยิ้มตาหยีมาให้ ...บางทีก็รู้สึกว่าเดือนเหมือนจะรู้ตัวว่าเขาต้องการจะบอกอะไร


“เออดี บางทีเราก็เหนื่อย ไม่มีอารมณ์มาตามเก็บขยะเหมือนกัน”


รอยยิ้มของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั้นเลือนไปเล็กน้อยเมื่อเขาบอกความรู้สึกออกไปตรงๆ


“บางทีก็ลืมไปว่าซันๆ เจ้าระเบียบน่ะ” เดือนบอกเบาๆ


“เค้าเป็นภูมิแพ้”


“จริงสินะ ลืมไปเลย เห็นแข็งแรงดี” เดือนนึกขึ้นมาได้


“แล้วเค้าก็อยากรู้ด้วยเวลาตัวออกไปข้างนอก บอกกันบ้างว่าจะไปไหน ทำอะไร กลับกี่โมง รอตัวมาสองวันแล้วเนี่ย” เดือนเริ่มยอมรับฟังความต้องการของเขาแล้วจึงไม่ต้องคิดมุกมาเพื่อตะล่อมบอกความต้องการของตนเองอีก


“หือ ทำไมละ จะโทรไปรายงานแม่หรือไง”


“เฮ้ย ไม่ใช่ ก็ไหนๆ ก็อยู่ห้องด้วยกันแล้ว รู้ไม่ได้หรือ เป็นห่วงน่ะ”


จากที่พูดคุยมองหน้ากันอยู่ พอพูดจบ เดือนก็ก้มหนาลงไม่สบตา พูดอืออารับคำในคอเบาๆ ทำไมเนี่ย เขาจะรู้ไม่ได้หรือไงเล่า


“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”


“เปล่าๆ บอกได้ แค่ไม่ชินน่ะ” เดือนยกมือขึ้นเกาท้ายทอย


“เดี๋ยวเค้ามีเรียนบ่าย ตัวกินข้าวเที่ยงยัง ออกไปกินด้วยกันไหม” เดือนตกลง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเราก็เดินลงมาทานข้าวกันที่ร้านใกล้หอพัก เลือกได้ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำ สั่งอาหารกันคนละจานแล้วก็นั่งรอ



ระหว่างที่รออาหารอยู่นั้น เดือนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดเสียงห้วน ระคายหูแบบที่พวกแม่ๆ ได้ยินแล้วเดือนคงโดนบ่นยาว


‘ไรมึง’
‘เออ กูทำเสร็จแล้ว ส่งแล้ว เมื่อเช้า’
‘ห่าเอ้ย แล้วทำไมมึงไม่ดูดีๆ เล่า เดี๋ยวรอกูแดกข้าวก่อนแล้วจะไปช่วย แค่นี้นะ....เออ ใช่ เชี่ย!!!’ 



ว่าแต่เดือน เขาก็พูดเถอะ คำหยาบน่ะ แค่ต้องระวังไม่ให้แม่ได้ยินเท่านั้นเอง ตอนเด็กๆ มีเพื่อนสอนคำว่า กู กับ มึง ให้รู้จักครั้งแรก เอามาพูดกับเดือน พอแม่ได้ยินเข้าเท่านั้นแหละ โดนลงโทษ แม่ให้เอามือตบปากตัวเอาสิบทีกับบ้วนน้ำยาบ้วนปากเผ็ดๆ อีกสิบรอบ


ดังนั้นคำพูดไพเราะที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเดือนจึงเป็นคำที่แม่ๆ เป็นผู้คัดกรองให้แล้วนั่นเอง พูดอย่างนี้กันมาตั้งแต่เด็กจนติดจนมาถึงปัจจุบัน


“ซันๆ กินแตงกวาด้วย” นั่นพลาดละ ไม่น่าสั่งข้าวผัดเลย


“มันเหม็น” ใครเคยกินข้าวกล่องแล้วเจอแตงกวาเน่าไหม นั่นละ เขาเลยเกลียดแตงกวามาจนถึงทุกวันนี้ แค่เห็นกลิ่นแตงกวาเน่าๆ ในวันนั้นก็ลอยมาเหมือนมาจ่ออยู่ใต้จมูก นี่แอบเขี่ยออกไปชิ้นหนึ่งแล้วนะ เหลือชิ้นเดียวเดือนยังเห็นอีก



“ถ้าไม่กินก็เอามานี่” เดือนคว้าข้อมือเขาที่ถือส้อมจิ้มแตงกวาอยู่แล้วส่งมันเข้าปากตัวเอง เคี้ยวกรวบๆ อย่างอร่อย เห็นแล้วแหยงๆ พิกล


“ทำหน้าแปลกๆ” เดือนถาม

“กินเข้าไปได้ไง”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนิ ทำไมกินช้อนเดียวกันไม่ได้ไง?” เดือนทำหน้ายุ่ง หน้าผากย่น



“ไม่ใช่ หมายถึงแตงกวาน่ะ” กินด้วยท่าทางอร่อยแบบนั้นได้อย่างไร เหม็นจะแย่



“ก็เหมือนกับที่ตัวชอบบังคับให้กินคะน้านั่นแหละ” เดือนว่า ...อ้อ ชักเข้าใจความรู้สึกของเดือนที่ถูกเขาบังคับให้กินคะน้าบ่อยๆ แล้วแฮะ แต่รายนั้นเจ้าตัวแค่บอกว่า คะน้ามันขม ไม่เหมือนเขาที่เจอแตงกวาเน่าเสียหน่อย




.

.

.





หลังจากที่ได้คุยกับเดือนไปหลายวันก่อน รองเท้าก็ไม่รกแล้ว เขากลับห้องก็ไม่เจอถ้วยบะหมี่ทานแล้วหรือเศษขยะทิ้งเกลื่อนนอกถังขยะเลย บางทีเดือนก็ไปกินข้าวพร้อมกับเขาที่คณะบ้าง เขาไปทานกับเดือนที่คณะบ้างถ้ามีโอกาส แล้วทุกเย็นเราก็จะกลับห้องมาทานข้าวพร้อมกัน


บางวันถ้าเกิดอารมณ์ดีๆ ก็ทำกับข้าวทานเอง


“ซันๆ วันนี้เค้าอยากกินแกงเขียวหวาน” เดือนบอกตอนเช้าขณะที่เรากำลังจะออกจากห้องไปมหาวิทยาลัย


“ขนมจีนด้วยไหม” คิดรายการของที่ต้องซื้อในใจ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนจะไปซื้อที่ตลาดใกล้ที่พัก


“อยู่แล้ว ใส่หมูนะ หมูเด้งก็ได้ ไม่เอาไก่ เบื่อมากกก” เดือนลากเสียงยาวตรงคำว่ามาก เรากินกับข้าวถุงกันมาหลายวันแล้วซึ่งกับข้าวถุงพวกนั้นก็มีแต่รายการอาหารที่มีไก่เป็นส่วนประกอบให้เลือก เขากำลังจะรอดูว่าเมื่อไหร่เดือนจะลุกมาขันตอนเช้า ตีปีกพับๆ อยู่


“อืม” ว่าแล้วก็ต้องจดสินะว่าต้องซื้ออะไรบ้าง




สลัดไอ้กายที่เกาะติดเพื่อลากเขาไปดูน้องๆ ซ้อมกีฬามาได้โดยบอกมันว่า ไปทานแกงเขียวหวานที่ห้องได้ ถ้าดูน้องซ้อมเสร็จ มันถึงยอมปล่อยตัวออกมา จากนั้นเขาก็ตรงดิ่งไปซื้อของเพิ่มเติม


แกงเขียวหวานที่จะทำนี้เป็นสูตรที่แม่ทำทานเองที่บ้าน ใส่มะเขือยาวแทนที่จะใส่มะเขือเปราะ ใส่หมูเด้งปั้นเป็นก้อนกลมๆ ใส่น้ำตาลมะพร้าว น้ำพริกต้องใช้เจ้าประจำ แม่เอามาใส่ตู้เย็นไว้ให้คราวก่อนที่มาหา พูดแล้วน้ำลายสอ รีบซื้อของแล้วกลับห้องไปทำดีกว่า


ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นกลิ่นหอมๆ ของแกงเขียวหวานก็หอมฟุ้งไปทั้งห้อง 


ตอนที่กำลังซอยพริกเพื่อทำพริกน้ำปลาอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สงสัยเป็นไอ้กายที่แวะมาเร็ว ทำไมเลิกซ้อมกันไวผิดปกติ เขาคิดพลางเดินไปเปิดประตูโดยไม่มองที่ตาแมว


“อ้าว”


เดือนยืนอยู่หน้าประตู ส่งยิ้มแหย่ๆ มาให้ เคาะประตูทำไมเล่า


“พอดีมีเพื่อนจะมากินด้วยน่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอก” เดือนกระซิบเบาๆ เขาจึงสังเกตว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่โดนประตูบังไปเกือบครึ่ง อ้อ ‘เพื่อน’ คนที่เจอที่บ้านเช่าคนนั้นเอง


“หวัดดี” เพื่อนของเดือนเอยทักทาย


“สวัสดีครับ”


“คนนี้พี่นนท์ แล้วนี่ซัน”


เดือนพูดแนะนำแค่นั้นแล้วก็เดินนำเข้าห้องไป เขาให้พี่นนท์เดินเข้าไปก่อนแล้วจึงเดินกลับเข้ามาเป็นคนสุดท้ายพร้อมปิดประตูห้อง สองคนนั้นหายเข้าไปในห้องนอนของเดือน เขาจึงกลับไปซอยพริกต่อ
ในใจมีคำถามมากมายแต่ไม่คิดจะถามออกไป
   





“ทานได้แล้วนะ” เคาะประตูเรียก ประตูเปิดผัวะออกมาจนเกือบโดนหน้า ดีนะที่หลบทัน


“โทษทีซัน ไหนแกงเขียวหวานเสร็จแล้วเหรอ ไปกินกันเถอะ” เดือนว่าแล้วก็ลากแขนเขาไปทางครัว ไม่สนใจพี่นนท์ที่เดินตามมาเลยแม้แต่น้อย


“เดี๋ยวไอ้กายก็จะมาทานด้วย”


ระหว่างที่เราสามคนนั่งทานกันอยู่ เขาบอกเดือนเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัด จะไม่อึดอัดยังไงไหว ไอ้พี่นนท์ก็เอาแต่จ้องหน้าเดือน ตั้งแต่คำว่าหวัดดีเมื่อครู่ แกก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย เดือนก็ทำเป็นเฉย ไม่สนใจราวกับว่าคนที่มาพร้อมกันเป็นธาตุอากาศ แล้วเขามาเกี่ยวอะไรกับสองคนนี้วะเนี่ย



เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นไอ้กายชัวร์ ขอบใจมันที่มาตอนนี้ ไม่งั้นแกงเขียวหวานของเขาคงรสชาติแย่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาแน่ๆ ให้ตายสิ! มันน่าจะเป็นมื้อที่เขาและเดือนทานข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย มีความสุข เจริญอาหารสิวะ ไม่ใช่มานั่งเขี่ยมะเขือไปมาในจานแบบนี้ !




“หอมสัสๆ อะไอ้ซัน กูโคตรหิวเลยว่ะ” ไอ้กายมาถึงก็พูดเสียงดังแล้วตรงดิ่งไปที่ครัวก่อนจะร้อง ‘อ้าว’ ออกมาเสียงดัง


“หวัดดีคุณ” ไอ้กายทักทายเดือน ทำหน้าตาสงสัยใคร่รู้ไปยังผู้ชายอีกคนที่นั่งตรงข้ามกับเดือนอย่างออกนอกหน้า เขาจึงดึงมันไปตักอาหาร


“ใครวะมึง” นั่น มันกระซิบถามทันที


“พี่นนท์”


“แฟนคุณเหรอ” จะเล่นมุกว่า ไม่ใช่แฟนกู มันจะเงิบใช่ไหม งั้นก็ผ่านเถอะ


“ไม่รู้ เดือนบอกว่าเพื่อน” ถึงลึกๆ แล้วจะอยากรู้สถานะของ ‘พี่นนท์’ แค่ไหนก็คิดว่าไม่ควรไปถามอยู่ดี ไอ้กายตักพูนจาน เราจึงพากันเดินกลับมาที่โต๊ะ


“อร่อยว่ะไอ้ซัน” ไอ้กายนั่งลงข้างพี่นนท์ ตักแกงเขียวหวานเข้าปากแล้วพูดออกมาทั้งที่ยังเคี้ยวไม่หมด


“เออดิ ฝีมือกูซะอย่าง” ต่อบทสนทนาหวังคลายบรรยากาศน่าอึดอัด   


“กูเพิ่งรู้มึงทำกับข้าวอร่อยก็วันนี้ บอกมาว่าหมดรสดีไปกี่ซอง” ไอ้กายพูดติดตลก ทำให้เดือนขำพรึดออกมา บรรยากาศผ่อนคลายลงนิดหน่อย


“ระดับซันไม่ต้องเพิ่งผงชูรสหรอกน่าไอ้กาย” เดือนพูดแก้ต่างให้ ค่อยสมกับที่เขาทำอาหารให้ทานหน่อย


“อร่อยมาก” พี่นนท์พูดชมบ้าง เขายิ้มรับ


“ขอบคุณพี่ ทานเยอะๆ ไม่ต้องกรงใจ ไอ้กายด้วย”


ไม่นานหม้อแกงเขียวหวานก็ถูกย้ายลงไปอยู่ในอ่างล้างชาม หมดเกลี้ยง พ่อครัวอย่างเขาก็ได้แต่ยิ้มหน้าบานอยู่ในใจ


   

กายมาช่วยล้างจาน ปล่อยให้เดือนกับพี่นนท์อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงพี่นนท์พูดอะไรแว่วๆ จับความไม่ได้ ไม่ได้ยินเสียงเดือนตอบเลยสักคำ


“กูเพิ่งรู้ว่ามึงทำอาหารเป็นด้วย” ล้างจานเสร็จกายก็พูดขึ้น

“เออ อยู่คนเดียวกูก็ไม่ทำหรอกว่ะ พอดีเดือนอยากกิน”

ตั้งแต่อยู่หอมาจนตอนนี้ปีสาม ยังไม่เคยทำอาหารทานเองที่หอแบบจริงจังเท่านี้มาก่อน ปกติอยู่คนเดียวแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เจียวไข่ก็พอแล้ว ทำไปก็ขี้เกียจไม่มีคนทานด้วย กลับบ้านไปทำทานกับครอบครัวอร่อยกว่าเยอะ อบอุ่น


“กูต้องไปขอบคุณไอ้คุณสินะ ที่อยากแดกน่ะ” ไอ้กายว่าพลางเดินนำไปห้องนั่งเล่น

แล้วเราก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ เดือนก็ตะโกนเสียงดัง



“พี่นี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่ะ บอกว่าจบก็จบสิ”


ไอ้กายและเขามองหน้ากัน เราก็หยุดยืนฟังเงียบๆ อยู่ในห้องครัว ไม่ยอมเดินไปต่อ
จะว่าแอบฟังก็ไม่ถูกนะ เดือนตะโกนให้ได้ยินเอง


“........................”


พี่นนท์พูดเสียงเบา แต่เดือนคงโมโหมากตะเบ็งเสียงตอบเต็มที่


“เออ!! ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว มาเห็นกับตาแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือไง”


“.......................”



“คนนี้จริงจังที่สุด ขอบคุณพี่มากที่เสียเวลากับผม เชิญเถอะครับ ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่”


เดือนลดเสียงตะโกนลง แต่ก็ยังดังอยู่ดีถ้าเทียบกับระดับปกติ แล้วก็มีเสียงเปิดและปิดประตู
ไอ้กายโผล่หน้าไป มันบอกว่าสองคนออกไปแล้ว


“โห เวลาไอ้คุณมันโมโหนี่ก็เอาเรื่องนะ”


“อืม อย่าไปมีเรื่องเข้าล่ะ” เห็นเงียบๆ นิ่งๆ แบบนั้น ยามโมโหก็ร้ายเอาเรื่องไม่หยอก


“ไอ้ซัน กูไม่อยากเดาเลยวะ” ไอ้กายทำหน้าลังเลใจ

   
“เดาอะไร”


“ก็เรื่องที่คุณพูดเมื่อกี้ มึงว่าคุณมันหมายถึงใครวะ เป็นมะ---“ ไม่รอให้กายพูดจบประโยค เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อน


“ไม่ต้องเดาห่าไรหรอก มันโมโหก็พูดไปเรื่อยแหละ”


ต้องรีบบอกมันก่อนที่มันจะพูดออกมา...เขายังไม่อยากได้ยิน

   



เรื่องบางเรื่องแม้จะรู้อยู่เต็มอกทำเป็นนิ่งเฉยเสียบ้างอาจจะดีกว่าพูดออกมาก็ได้





เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังคำพูดแค่ไม่กี่คำ






อย่างที่แม่เคยบอกเสมอ
สามสิ่งที่ไม่สามารถคืนมาได้คือ เวลา คำพูดและโอกาส







และเขายังไม่พร้อมที่จะเสียทั้งสามสิ่งนี้ไปพร้อมกัน




-----------------------------------------------------
[24.12.58]
คุณ B52 น้องแมนอาจจะโดนคนแก่กินก็ได้นะคะ
คุณ sentpai #ขออนุญาตถามหน่อยนะครับ ว่าเรื่องนี้จะมีประมาณกี่ตอน: มี 24 ตอนค่ะ
คุณ ammchun ขอบคุณค่ะ ดีใจจัง ตอนนี้มีแต่ที่แต่งไม่จบ 5555 เลยเอาที่แต่งจบแล้วมาลงไปพลางๆ *วิ่งหนี*
คุณ Kaemmiizz ใครจะเสร็จใครอันนี้ต้องดูอีกทีค่ะ 555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :กอด1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 6) 24-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-12-2015 22:52:25
อึดอัดกับบรรยากาศ แต่น่ารักมากกับวิธีการตะล่อมของซัน
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 6) 24-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 24-12-2015 23:28:07
เห้อ!!  หม่นๆหน่วงๆ ผ่านไปเร็วๆเหอะ อยากอ่านฉากสวีทตี้พิ้งบ้าง
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 6) 24-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: sentpai ที่ 24-12-2015 23:54:46
ขอบคุณครับ
สนุกดีเรื่องนี้ ตามมาจาก lucky เลยนะครับ
คุณคนแต่งเขียนได้สนุกดีครับ ไม่น่าเบื่อ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 7) 27-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 27-12-2015 22:42:57
Just Love ❤ รักนะครับ





7


   

‘ซันๆ ถ้าว่างพาเดือนไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่หน่อยสิ แม่น้องเห็นแต่ละตัวแล้วปวดหัว’

   

แม่น้องแอบโทรศัพท์มาหาเขาในเช้าวันหนึ่ง น้ำเสียงเป็นกังวล สงสัยวันที่ย้ายของแม่น้องคงไปเจอเสื้อสีซีดเต็มไปด้วยรอยขาด กางเกงขาสั้นเหว่งวิ่น ไม่ก็กางเกงขายาวแต่มีรอยปุปะเต็มไปหมดของเดือนเป็นแน่  เสื้อผ้าพวกนั้นแม่น้องคงจะแอบเอาไปทิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นวันแรกๆ ที่เดือนย้ายเข้ามาทำท่าทางหัวเสีย บ่นพึมพำว่าหาเสื้อผ้าไม่เจอ
 
   

เขารับปาก คิดว่าวันนี้จะพาเดือนไปห้างซื้อเสื้อผ้า แน่ล่ะ มันต้องมีแผนล่อแมวออกจากตะกร้า คิดสำนวนใหม่ขึ้นมาเองเพื่อเดือนโดยเฉพาะ สำนวนไทยมีแต่ล่อเสือออกจากถ้ำใช่ไหมล่ะ เดือนยังห่างไกลจากคำว่าเสือเยอะ เป็นแมวไปก่อนละกัน ตระกูลเดียวกัน

   

“เดือน ตอนบ่ายว่างป่าว ออกไปข้างนอกกัน” ถามคนที่กำลังนอนทำหน้าง่วงๆ ดูโทรทัศน์อยู่ เดือนปรือตาขึ้นมองแล้วถาม

   

“ปายหนายยยยย” เสียงยานคาง ท่าทางเกียจคร้านเหมือนแมวผึ่งแดด

   

“ไปห้าง เค้าอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่หน่อย เห็นวันก่อนๆ ตัวก็บ่นเหมือนกันใช่ป่าว” งานนี้เอาความเหมือนเข้าแลก เดือนก็อยากซื้อเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราไปซื้อเสื้อผ้ากันเถอะ ตรรกะแปลกๆ แต่อย่าไปคิดมากเลย

   
แมวดูเหมือนจะให้ความสนใจไม่น้อย เพราะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองมาที่เขา ท่าทางกระตือรือร้นขึ้นทันตา

   
“ซันๆ อยากซื้อเสื้อผ้าเหรอ”

   
“อืม ก็นะ เหมือนจะอ้วนขึ้นนิดๆ แฮะ” กางเกงเริ่มจะคับชอบกล ตั้งแต่เดือนมาอยู่ด้วยกัน กินข้าวครบสามมื้อไม่พอยังกินหมดจานตลอด บางครั้งก็เติมด้วย บางทีมีของหวานตบท้าย ล้างปาก
   
ซ้ำร้ายชมรมก็ไม่ค่อยได้ไป สงสัยเขาต้องหาเวลาไปออกกำลังกายบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นซิกซ์แพ็คทั้งหลายที่อุตสาห์พากเพียรเพาะมาจะหายไปหมด เสียดายแย่

   
“ที่ห้างแพง ไม่ต้องไปหรอก เรามีที่แนะนำ ถูกด้วย สนป่าว” ท่าทางกระตือรือร้นขนาดนั้น ปฏิเสธไม่ลง ไหนๆ แมวก็ตกหลุมตามแผนพอดีเลยตามใจ











ปริ้นๆ!!


รถมอเตอร์ไซค์ดังลั่นแล้วเลี้ยวเข้ามาจอดอย่างฉวัดเฉวียนจนคนที่อยู่ริมถนนรวมทั้งเขาเงยหน้าขึ้นมอง

“สก็อยพร้อมยังจ๊ะ แว้นซ์พร้อมแว้ววววว”

   
คนขับสวมหมวกกันน็อคเต็มใบสีดำเปิดหน้ากากแล้วตะโกนเสียงดังพร้อมกดแตร เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา รีบสวมหมวกกันน็อคครึ่งใบที่ถือในมือยอมเป็นสก็อย กระโดดขึ้นซ้อนหลังทันที ก่อนจะตกเป็นเป้าสายตามากไปกว่านี้
โธ่ เดือนก็กดแตรมาได้ เขายืนอยู่หน้าร้านขายกับข้าวช่วงเวลาเที่ยง คิดภาพคนในร้านหันมามองกันให้พรึบ เท่านั้นยังไม่พอยังมีหน้าหันมาบอกว่า “จับแน่นๆ หน่อยนะน้องนะ” เป็นทำนองเพลง หัวเราะเสียงดังแล้วจึงออกรถไป

   
แทนที่เดือนจะขับรถออกไปทางชานเมืองซึ่งเป็นทางไปห้างสรรพสินค้า แว้นซ์กลับเร่งเครื่องเข้ามุ่งสู่ใจกลางเมือง ขับผ่านหน้ามหาวิทยาลัยไปสักพักหาที่จอดรถได้แล้วดับเครื่อง

   
“ตลาด?” ถามอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นว่ารถเข้ามาจอดที่ไหน


   
“แม่นแล่วซันๆ” เด็กแว้นซ์ถอดหมวกกันน็อค ยักคิ้วอีกแล้ว อยากจะซื้อท่าทางกวนๆ นั่นชะมัด
   

เดือนพามาที่ตลาดสด ตลาดเดียวกับที่เขามาซื้อของเพื่อทำกับข้าวนั่นแหละ ตลาดสดนี้มีของขายหลากหลาย ส่วนที่เป็นของสดอย่างผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารทะเลก็มี ส่วนที่เป็นของแห้งต่างๆ ก็มี หรือจะเป็นส่วนของเครื่องใช้ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าก็มี ตลาดสดใกล้บ้านช่างครบวงจรจริงๆ เป็นสรรพสินค้าเหมือนกันนะ

   
ตอนบ่ายที่มาถึงโซนตลาดที่ขายของสดเงียบเหงาซึ่งไม่แปลกใจเพราะโซนนี้จะครึกครื้นแค่ตอนเช้ากับตอนเย็น ช่วงบ่ายแม่ค้านอนหลับกันเพลิน นานๆ ถึงจะตื่นมาขายของกันที

   
เจ้าถิ่นเดินผ่านโซนของสดอย่างชำนาญ เลาะไปตามทางลัดต่างๆ อย่างรวดเร็ว เขาไม่ทราบมาก่อนว่าเดือนเดินตลาดคล่องขนาดนี้ เห็นท่าทางคุณหนูแบบนั้น คราวหลังพามาซื้อของด้วยท่าจะรุ่ง   

   
“ร้านนี้แหละ” มาหยุดที่ร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่งตั้งอยู่ในตรอกแคบเล็ก ประตูร้านเป็นรั้วเหล็กเปิดออกเพียงครึ่งเดียว มองเข้าไปในร้านมีเสื้อผ้าวางอยู่เต็มจนเหลือทางเดินพอดีตัว ใกล้ประตูมีอาซิ้มแก่ๆ คนหนึ่งนั่งดูโทรทัศน์พร้อมโบกพัดใบลานไปมา

   
“อาซิ้ม หวัดดีครับ” เดือนกล่าวทักทายเจ้าของร้านเสียงร่าเริง อาซิ้มแกหันมายิ้มให้ ตอบด้วยท่าทางสนิทสนม

   
“อาคุน ไม่เจอกังนานนะ มาซื้อเสื้อป่าว ลื้อเข้ามาเลือกเอาเลย” ว่าแล้วอาซิ้มก็ลดเสียงโทรทัศน์ลงเล็กน้อย กวักมือเรียกแล้วนั่งดูโทรทัศน์ต่อไป

   
“ปะซันๆ ไปเลือกเสื้อผ้ากันเถอะ” พูดแล้วก็เดินนำเข้าไปในร้าน เขาเข้าไปยกมือไหว้สวัสดีอาซิ้มตามคนข้างหน้า

   
“ซันๆ อยากได้เสื้อผ้าแบบไหน” คนถามเดินผ่านกองเสื้อผ้าที่วางซ้อนกันตั้งแต่บนพื้นจดเพดาน เสื้อผ้าเหล่านั้นตั้งเป็นแถวแน่นร้านไปหมด มีเพียงแสงไฟสีขาวที่ห้อยลงมาจากเพดานสามดวงให้ความสว่างเท่านั้น 

   
“เสื้อยืดธรรมดาๆ ก็พอแล้วล่ะ” เขาไม่ได้ตั้งใจมาซื้อ เอาเสื้อยืดไว้ใส่เล่นก็พอ

   
“อืม สีที่ชอบ ขาวเหรอ ลองเปลี่ยนเป็นสีดำไหม” เดือนหยิบเสื้อยืดสีขาวล้วนมาหนึ่งตัว แล้วก็หยิบสีดำขึ้นมาวางข้างกัน

   
“ตัวไหนก็ได้ แล้วแต่เลย” ใส่ออกมาแล้วก็เป็นเสื้อเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะขาวจะดำ เขาไม่เคยสนใจอยู่แล้ว ปกติเรื่องเสื้อผ้าก็เป็นแม่ที่จัดการให้ตลอด

   
“หรือสีเทาดีล่ะ” หยิบสีเทาออกมาวางอีกตัว

   
“อืม สีเทาก็ได้ เลือกตามที่เดือนชอบเลย” จะได้ซื้อไปพร้อมกัน นี่แหละแผนของเขา

   
“หือ ให้เราเลือกเหรอ สีเทานะ”

   
“ได้เลย งั้นก็เอาสีเทาสองตัว เบอร์แอลกับเบอร์เอ็มครับ” ไม่รอให้อีกคนได้ทักท้วงรีบหันไปบอกคนงานที่อาซิ้มให้มายืนบริการใกล้ๆ 

   
“เอ้า เค้าก็ต้องซื้อด้วยเหรอ ไม่ค่อยชอบเสื้อแบบนี้เลย”  เดือนทำท่าจะบอกปฏิเสธเลยชิงพูด

   
“ตัวไม่ต้องซื้อ เค้าซื้อให้ไง เอาไว้ใส่ด้วยกัน” คนถามถึงได้ยอม แล้วส่งยิ้มหน้าบาน สงสัยดีใจได้เสื้อใหม่




   
เลือกเสื้อยืดให้เดือนได้อีกสองสามตัว แล้วก็กางเกงขาสามส่วนสองตัว กางเกงทรงกระบอกขายาวอีกตัวจึงพากันกลับ คราวนี้สก็อยเป็นคนขับ ให้แว้นซ์ไปซ้อนแทน โดยมีข้ออ้างให้เดือนถือถุงเสื้อผ้าไว้

   
   
มาถึงเด็กแว้นซ์ก็รีบไปลองเสื้อผ้าในห้องทันที ท่าทางเห่อมาก เขาไม่รู้ว่าเดือนชอบซื้อของ คราวหลังจะได้ชวนไปตลาดบ่อยๆ

   
“เป็นไงซันๆ ไหวไหม” เขากำลังเซ็ตเครื่องเตรียมเล่นเกม คนขี้เห่อก็ออกห้องมาด้วยชุดใหม่เสื้อยืดสีเทากางเกงสามส่วนสีดำ

   
“เออ  ดูดีนี่”
   

   
“อืม เสื้อร้านอาซิ้มก็เนื้อดี ไม่ร้อนด้วย เค้ามาซื้อไปทำเสื้อขายบ่อยๆ” เสื้อยืดสีเทาพอดีกับช่วงไหล่กว้าง กางเกงสามส่วนขนาดพอดีตัวตัดกับผิวขาวซีด พอได้ยินที่เดือนตอบเขาก็ไม่แปลกใจที่ลูกชายเพื่อนแม่จะสนิทกับอาซิ้มเจ้าของร้านขายเสื้อ แถมที่ซื้อของเมื่อครู่ซิ้มยังลดให้แทบไม่คิดกำไร

   
“ซันๆ ไปลองดูสิ...เผื่ออ้วนขึ้นแล้วใส่เสื้อเบอร์เดิมไม่ได้ทำไง” คำพูดแรกๆ ยังไม่ค่อยสนเท่าไหร่ แต่พอเจอประโยคหลังเท่านั้นแหละ เขากดพักเกมไว้ก่อน แล้วรีบไปลองเสื้อทันที

   
เดือนก็คงรู้วิธีที่จะบอกให้เขาทำตามความต้องการของตนเองได้ พอๆ กับที่เขาวางแผนตะล่อมให้อีกฝ่ายทำตามเขาบอกเหมือนกัน

   

“หล่อมาก...เวลาชมคนอื่นควรจะบอกอย่างนี้ ไม่ใช่แค่  เออ ดูดีนี่ แบบเมื่อกี้
รู้ป่าวซันๆ” 

   

เดือนพูดขึ้นอย่างประชดประชัดพร้อมย่นจมูกเมื่อเขาเดินออกมาด้วยเสื้อยืดสีเทา

   

“คร้าบๆ จะเล่นเกมแล้วคร้าบ” เอาเถอะครับว่ายังไงก็ได้แหละ เกมพร้อมแล้ว ลุยละนะ ย้ากกกกก!!!

   

“ฟุบ พลิกตัว ได้ทัน โอ้โห ไอ้นี่โหดว่ะ”
   
“หมุนซ้าย หมุนขวา เฮ้ย กดยิงไม่ทัน”
   
“ฮ่าๆ ช้าครับน้องครับ พี่มันเสือปืนไว”
   
“บุกเข้าเลย บุกเลย เย้ยยย กูโดนสอย”

   
เกมมันก็มีเสียงประกอบ แต่พากย์เองมันส์กว่าเยอะ นี่พูดเลย ใครติดเกมแล้วไม่เป็นแบบเขาบ้างมีไหมนะ รู้สึกหนักๆ ที่ไหล่ เหลียวไปมอง เดือนมานั่งข้างๆ โดยกดมือลงกับไหล่เพื่อย่อตัว

   
“อยากเล่นป่าว” เห็นจ้องเกม ท่าทางอยากเล่นเลยเอ่ยชวน
   
“ม่ายยยเอา เล่นไม่เป็น” บอกอย่างนั้นแต่ตายังคงมองภาพในจอโทรทัศน์

   
“ไม่ยากๆ มือซ้ายสี่ตัวนี้ก็เดินหน้าซ้ายขวาถอยหลัง มือขวาสามเหลี่ยมก็ยิง สี่เหลี่ยมฟัน วงกลม---“ เขาไม่ทันพูดจบก็โดนขัด

   
“เยอะ จำไม่ได้ เวียนหัว”  เมื่อเห็นว่าคนข้างๆ ไม่สนใจจริงๆ ก็หันไปสนใจเกมต่อ

   
“กองกำลังเสริม กองเสริม มาเร็วเด้” ค่ายจะโดนตีแล้ว คนอื่นอยู่ไหนวะ
   
“ทำไมต้องเล่นไปพูดไป” คนนั่งดูเขาเล่นเกมถามขึ้น ได้ฟังคำถามแล้วเขาชะงักค้าง ไม่รู้จะตอบยังไงเลย

   
“....ไม่งั้นไม่หนุก ไม่มันส์อะ” นั่งเล่นเงียบๆ เขาก็เบื่อบ้าง ต้องมีซาวนด์ประกอบ


   
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง...แล้วทำไงถึงชนะล่ะ” สงสัยเบื่อเหมือนกันเลยแปลงร่างเป็นเจ้าหนูจำไมซะแล้ว

   
“ถ้าบุกทำลายฐานทัพฝ่ายตรงข้ามได้ก็ชนะเลย นี่ไง ต้องเข้ามายืนตรงนี้จนเวลามันหมด”  ตอนนั้นเขาเข้าบุกฐานได้พอดี วางกับดักเตรียมถล่มฝ่ายตรงข้าม จับเวลาเลยได้เลย งานนี้ชนะใสใส

   
เดือนขยับตัวเข้ามาชะโงกดูเครื่องบังคับเกมในมือใกล้จนเบียดไหล่ ปลายจมูกได้กลิ่นเฉพาะตัวที่ทำให้เขาต้องกะพริบตาเรียกสมาธิ   

   
“สหายข้ามาช่วยแล้ว สหายข้ามาช่วยแล้ว” โชคดีที่เกมเปลี่ยนไป เพื่อนเข้ามาช่วยตอนเขาโดนถล่ม เอ้าวิ่งให้ไวหน่อย เร็วฐานเราโดนบุกแล้ว

   
“เวียนหัว” คนข้างๆ บ่นขึ้นเมื่อเกิดการตะลุมบอนในเกม หน้าจอเคลื่อนไหวไปมาซ้ายขวาไม่หยุดนิ่ง

   
“ฮ่าๆ ตัวก็ไปทำอย่างอื่นก็ได้” เวียนหัวก็ไปทำอย่างอื่นหันไปคุยไม่ถึงสามวินาที เขาโดนแทง หมออยู่ไหน ฮิลล์ด่วน!!

   
“ซันอยากกินไรป่าว เดี๋ยวเค้าไปหยิบมาให้” ตอบไปว่าได้หมด เพื่อนร่วมห้องจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว

   


จังหวะนั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็มีสายเรียกเข้า ล้วงออกมาจากการะเป๋ากางเกง กดรับแบบไม่ดู เอียงหน้าใช้ไหล่ดันเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กแนบหู สองมือยังคงบังคับเกมต่อไป

   
“คร้าบบบ”
   
“ตอนนี้เลยเหรอ? กำลังเล่นเกมอยู่อ่า ค่ำๆ ได้ไหม งั้นให้เกมนี้จบก่อนก็แล้วกัน ครับ แพง เจอกันครับ”

   
ขนมสองถุงอยู่ในมือตอนที่เดือนเดินออกมา ชะงักนิดหน่อยทำท่าจะเลี่ยงออกไปแต่เมื่อเห็นว่าเขาเพิ่งวางโทรศัพท์ก็เดินเข้ามา

   
“เออเดือน ต้องออกไปข้างนอกอะ” ร้องบอกเดือนโดยไม่ละสายตาออกจากจอโทรทัศน์

   
“ไปไหน” เดือนทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ขนมสองถุงนั้นถูกวางไว้ข้างตัว

   
“แพงชวนไปดูหนัง” เกมโอเวอร์จนได้ เขาถอนหายใจด้วยความเซ็ง

   
“ตอนนี้?”

   
“อืม เดี๋ยวก็ไปล่ะ ไปด้วยกันไหม” เดือนถามเขามากกว่าปกติ สงสัยอยากไปด้วยเขาจึงชวนไปด้วยกัน

   
“ไปได้เหรอ”  ทำหน้าดีใจแบบนั้น ไม่ให้ไปก็ใจร้ายแย่ เขามองนาฬิกาแล้วจึงรีบออกห้องทันที







.

.

.



   

“ซัน!!” 

   
แพงร้องทักเมื่อเห็นเขา ส่งยิ้มกว้างน่ารักพร้อมเดินมาใกล้

   
“หวัดดีแพง โทษทีช้าหน่อยนะ”  ช้าไปสิบนาที พอดีกับหนังที่กำลังจะเริ่มเวลาฉาย

   
“อ้าว คุณ หวัดดีจ้า โทษทีนะ พอดีไม่เห็น ซันบังคุณมิดเลย” เดือนส่งยิ้มเบาๆ ให้เป็นการทักทาย สองคนนี้รู้จักกันเพราะเขาเคยพาแพงไปเดินเล่นแล้วบังเอิญเจอเดือนพอดี จึงได้แนะนำให้รู้จักกัน

   
“ไปซื้อตั๋วเลยไหม หนังจะเริ่มแล้ว” เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นสองคนมองกันอยู่อย่างนั้นไม่สานต่อบทสนทนา

   
“อื้อ ซันเลือกเลยนะ นี่บัตรส่วนลดจ้า” แพงได้บัตรส่วนลดราคาภาพยนตร์มา เลยชวนดูหนัง วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ไม่งั้นอด ได้ตั๋วราคาพิเศษสามใบแล้วเราสามคนก็เดินเข้าโรงภาพยนตร์

   
เขานั่งตรงกลางระหว่างสองคน ด้านซ้ายเป็นแพง ทางขวาคือเดือน คนท่ามมาด้วยซื้อป๊อบคอนมาทาน เห็นท่าทางกินอย่างจริงจังของเดือนแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าความจริงเรายังไม่ได้ทานข้าวเย็นกันเลย

   
“หิวก็หยิบ” เดือนหันมากระชิบ แล้วภาพยนตร์เริ่มขึ้น










   
“ตอนแรก แพงนึกว่าเป็นหนังรัก ทำไมตอนจบมันเศร้าจัง” หญิงสาวหนึ่งเดียวเดินตาแดงออกมาโรงหนัง บ่นงึมงำ


“อารมณ์เศร้าก็เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งเหมือนกันนะแพง” เดือนพูดปลอมใจคนฟังยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ


“คุยกับเด็กศิลป์นี่ อ่อนโยนละมุนละไมจังนะ” แพงตอบส่งยิ้มให้อย่างเคย


“หิวกันไหมจ๊ะหนุ่มๆ กินข้าวกันก่อนกลับดีไหม” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ร้านอาหารบุพเฟ่ต์ได้รับการโหวดมากที่สุดคือจากเขาและเดือน ส่วนสลัดของแพงแพ้ย่อยยับ










“แพงดื่มน้ำอะไรดี” เมื่อได้โต๊ะแล้วซันเดินไปตักอาหาร ทิ้งคุณกับฉันไว้ที่โต๊ะ คุณหยิบแก้วสามใบขึ้นมาแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา


“โค้กจ้า” ส่งยิ้มให้ คุณยิ้มกลับมาแล้วก็เดินไปยังซุ้มเครื่องดื่ม


คุณในสายตาของฉัน คือผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ตัวผอมซีด ผมยาวเกล้าไว้ด้วยดินสอ ปอยผมที่หล่นระเรื่อยต้นคอนั้นดูมีเสน่ห์มาก ทั้งหน้านิ่งๆ แบบที่เจ้าตัวทำประจำแล้วมันไม่ขัดตาสักนิด ดูกลมกลืนกันไปหมด


มองภายนอกคุณดูหยิ่ง แต่เมื่อได้รู้จักกลับไม่ใช่ ถึงจะดูเงียบๆ แต่ก็มีน้ำใจให้คนรู้จักตลอด นิสัยคล้ายซันมากผิดแต่ซันจะดูร่าเริง แล้วก็ยิ้มง่าย รอยยิ้มมักจะมาพร้อมกับคนนี้เสมอ ไม่ยากเลยที่ใครๆ ก็หลงรักรอยยิ้มอบอุ่น


ซันเลือกตักอาหารที่ทำสำเร็จแล้วมาวางก่อน แล้วชักชวนให้ฉันทาน ขณะรอหม้อน้ำซุป แล้วคุณก็เดินกลับมาในมือถือน้ำโค้กหนึ่งแก้ว มีชายหนุ่มอีกคนเดินตามมาถือแก้วสองใบในมือมาด้วย


“โต๊ะนี้แหละ ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มคนนั้นวางแก้วลง ฉันกล่าวขอบคุณเขา เขาส่งยิ้มให้คุณอย่างจงใจ แล้วเดินจากไป


“คนรู้จัก?” ซันถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มแปลกหน้าเดินลับไปแล้ว


“ไม่ เขาช่วยถือมาให้” คุณเลื่อนแก้วน้ำโค้กส่งให้ฉันพร้อมเสียบหลอดดูด ก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำชาให้ซันและตัวเอง


“แพงไปตักของก่อนนะ” ของที่ซันตักมามีแต่ทอดๆ ฉันอยากกินผักบ้างจึงเดินไปตักเอง คุณก็เดินตามมาด้วย


“แพงอยากทานอะไรบ้าง ผลไม้รองท้องก่อนไหม” ถามแล้วไม่รอคำตอบตักสับปะรดใส่จานทันที


“ว่าจะไปตักสลัดน่ะ คุณกินไหม” คุณทำหน้าแหยงๆ แล้วส่ายหัวปฏิเสธ แต่ก็ทำท่าจะเดินตามมาด้วย


“ไม่เป็นไรหรอก แพงเดินไปเองได้” ฉันพยายามให้คุณกลับไปนั่งที่ เพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวจะไม่ได้อยากตักอะไรเป็นพิเศษ


“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน” เห็นไหม คุณน่ะ น่ารักจะตาย





กลับมาที่โต๊ะ หม้อสุกี้ก็มาถึงแล้ว ซันใส่ของที่หยิบมาลงไปเรียบร้อย

“ไม่มีเนื้อหรอก แพงไม่ทานใช่ไหม เดือนก็ไม่กินเหมือนกัน” ซันบอกฉันพร้อมรอยยิ้มกว้าง มันคงจะดีถ้าไม่มีประโยคสุดท้าย ...แค่ชื่อเรียกเอง...ทำไมฉันถึงรู้สึกแปลกๆ ในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ไม่รู้ แล้วยังวันนี้ที่ใส่เสื้อแบบเดียวกัน สีเดียวกันอีก


“สุกแล้ว แพงทานเลยนะ” ซันเอื้อมมือมาตักอาหารใส่ถ้วยใบเล็กให้ เมื่อหันจะไปหยิบถ้วยอีกใบ คุณก็คว้าถ้วยของตัวเองไว้แน่น ไม่ยอมให้ซันตัก


“ไม่เอา จะตักเอง”


“เอามาน่า เดี๋ยวก็ไม่กินผักอีก” ซันพูดเสียงเข้ม


“วันนี้กินไปแล้วสองมื้อ ตอนเย็นไม่ต้องก็ได้” คุณต่อรอง ฉันหัวเราะเบาๆ กับคำต่อรองเหมือนเด็กน้อย


“กินไปแล้วสองมื้อ มื้อเย็นก็กินอีกได้ เอามาเร็ว” แล้วถ้วยใบเล็กก็ไปอยู่ในมือซันจนได้
ฉันคงหัวเราะเสียงดังไปนิด ทั้งสองคนถึงได้มองมาที่ฉันเป็นตาเดียว



“...สนิทกันมากๆ เลยเนอะ ซันกับคุณ ดีจัง”



“โธ่ ไม่สนิทยังไงไหวล่ะแพง เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กแล้วยังจะมาเป็นรูมเมทกันอีก” ซันบอก


“เค้าก็ไม่ได้อยากย้ายมาอยู่ด้วยสักหน่อย” คุณเถียง...แทนตัวเองว่าเค้าเหรอ?


“เหอะ ตัวออกมาน่ะดีแล้ว อยู่คนเดียวก็ไม่ดูแลตัวเอง” ซันเรียกคุณว่าตัว...นอกจากเรียกว่าเดือนแล้วน่ะนะ


“อืม ถ้าขุนไม่อ้วนจะฟ้องแม่แน่ซันๆ” ซันๆ งั้นเหรอ?









...สนิทกันมากๆ เลยเนอะซันกับคุณ ดีจัง...






ดีแล้ว...ที่ยังไม่ตกลงใจ
 
ดีแล้ว...ที่ยังเป็นเพื่อนกับซันก่อน

ไม่งั้นคงเสียใจแย่เลยนะเรา





รากฐานของความรักที่มั่นคงก็มาจากคำว่าเพื่อนนี่แหละ

มิตรภาพมันล้ำลึกเสียยิ่งกว่าความสัมพันธ์ใดๆ รวมกันเสียอีก





--------------------------------------------------
[27.12.58]
ซึ้งใจกับคอมเม้นท์มาก :D
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 
ที่หายไปแอบไปลงเรื่องสั้นมาค่ะ
[เรื่องสั้น] At the beginning of the end ❆(จบในตอน) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50965.msg3265986#msg3265986)
ลองเขียนฉากพระนายดูไม่รู้แปลกๆ ไหม
อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้างบอกด้วยนะคะ
*กอด*
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 7) 27-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 28-12-2015 23:14:29
ดีแล้วแหละแพงที่ไม่ตกลงปลงใจก่อน ก็มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นล่ะที่ทำเหมือนไม่มีอะไรทั้งๆที่ใครๆก็ก็ดูออก
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 8 ) 29-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 29-12-2015 21:06:01

Just Love ❤ รักนะครับ



8




“ไอ้ซัน กูลงชื่อให้มึงแล้วนะเว้ย”


เช้านี้เมื่อเดินเข้ามาที่คณะ กายที่นั่งเล่น ชวนคนโน้นคนนี้คุย ป้อสาวไปทั่ว อยู่ใต้ตึกตะโกนเสียงดัง พร้อมโบกไม้โบกมือเรียก

“ลงชื่ออะไรวะ” เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เพื่อน หาวและบิดตัวไปมาไล่ความง่วง

“ลงชื่อไปค่ายชมรมไงเล่า บ๊ะ ไอ้นี่ ยังไม่แก่ ลืมซะแล้ว”

“อ๋อ เออ วันเสาร์อาทิตย์นี้ใช่ไหม”

ค่ายที่ว่าคือกิจกรรมค่ายอาสาของชมรมฟุตบอล ที่จัดขึ้นปีละสี่ครั้ง ช่วงกลางเทอมและตอนปิดเทอมทั้งสองภาคเรียน ค่ายกลางเทอมจะเป็นค่ายสั้น ระยะเวลาแค่เสาร์อาทิตย์ ส่วนค่ายปิดเทอมหรือที่เรียกว่าค่ายใหญ่จะประมาณ 2-3 สัปดาห์

“ไปทำอะไรล่ะ”

สองครั้งที่ไปค่ายสั้นส่วนใหญ่เป็นค่ายพัฒนาชุมชน ให้ความรู้ด้านการเกษตรแก่เกษตรกร สร้างห้องน้ำ อาคารเรียนหลังเล็ก ห้องสมุด ทาสีปรับปรุง อาคารต่างๆ บ้างตามความต้องการของชุมชนและศักยภาพของนักศึกษาที่ออกไปช่วยพัฒนาท้องถิ่น

“...ไม่รู้เว้ย ได้ยินว่าจะไปสร้างอาคารมั้ง” รอยยิ้มของไอ้กายจางลงไปนิดเพียงเสี้ยววินาที แล้วจึงกลับมาพูดเสียงดังอีกครั้ง

“เย็นนี้ไปเตะบอลกันไหม ไม่ได้ไปดูน้องๆ หลายวันแล้ว” ปกติไอ้กายจะเป็นคนชวนไปชมรมตลอด คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยชวนมันบ้างก็ไม่คิดว่ามันจะปฏิเสธ

“วันนี้กูไม่ว่างว่ะ...นัดสาวไว้แล้ว” ไอ้กายบอกปฏิเสธเสียงเบา ไร้ซึ่งท่าทางทะเล้นอย่างเคยยามที่ได้อวดสาวๆ

“เออๆ ขอให้สนุกละกันมึง กูจะไปเตะบอล ถ้าว่างก็มา” มองนาฬิกาก็ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วจึงพากันขึ้นอาคารเรียน






.

.

.





“พี่ซัน หวัดดีครับพี่”


ไอ้แมนยิ้มร่าเดินเข้ามาทักทาย เขาถามไถ่เรื่องชมรมหลายอย่าง แมนวันนี้แม้ว่ามันจะพูดเก่งมากกว่าเดิมแต่เขาก็สังเกตได้ว่ามันมองไปทางลานจอดรถบ่อยๆ ราวกับรอใครบางคน



ตามน้ำทำเป็นไม่สนใจท่าทางการรอคอยของมัน ชวนมันคุยบ้าง จนไอ้แมนที่ทนไม่ไหวถึงได้ถามขึ้น

“พี่กายไม่มาเหรอพี่”


“ไม่มา มันนัดสาวไว้” เขายักไหล่กับแววตาเสียดายหน่อยๆ ของมัน ว่าแล้วก็เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินออกมาเพื่อใส่รองเท้าข้างสนาม โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เดือนโทรมา


‘ซันๆ วันนี้เค้าจะไปกินข้าวกับเพื่อนนะตอนเย็น ตัวไม่ต้องซื้อข้าวให้นะ’
   
“อืม เค้าก็มาเตะบอลเหมือนกัน”
   
‘เออๆ งั้นแค่นี้ละกันนะ’

“ที่ร้านไหน แล้วจะให้ไปรับหรือเปล่า”

‘ที่บ้าน ดูอีกทีละกัน เดี๋ยวโทรบอก’

บ้านที่ว่าคือบ้านเช่า แล้วไอ้ ‘กินข้าว’ ของเดือนเนี่ย คือ กินยอดข้าว ข้าวจริงๆ น่ะไม่ได้กิน ดีที่พรุ่งนี้เขามีเรียนสาย ยังไงคืนนี้ก็ไม่มีปัญหาถ้าต้องไปรับคนขี้เมาดึกดื่น



“พี่ซัน ลงเถอะ”

น้องๆ ตะโกนเสียงดังข้ามสนามบอลมาเมื่อเห็นเขาวางโทรศัพท์จึงลุกขึ้นแล้ววิ่งเหยาะๆ เข้าไปในสนาม เล่นจนฟ้ามืดจึงขอตัวออกมาก่อนพร้อมเสียงหัวใจเต้นแรงและเหงื่อโทรมกาย  ไม่ได้เล่นมาหลายวัน หักโหมเหมือนเก่าจะบาดเจ็บเอาได้







ตอนเดินมาถึงมุมมืดใกล้ลานจอดรถก็เห็นแสงเรื่องจากปลายบุหรี่ มีคนนั่งสูบบุหรี่อยู่ในเงามืดที่แสงไฟฟ้าจากสนามส่องไม่ถึง เดินเข้าไปใกล้ เขาก็จำได้เอ่อยทักออกไปด้วยความแปลกใจ


“กาย มึงไม่เข้าไปล่ะ อยู่ทำอะไรมืดๆ” ไอ้กายที่ยืนหันหลังสะดุ้งสุดตัวเผลอปล่อยบุหรี่ร่วงลงพื้น

“เชี่ยซัน มึงมาเงียบๆ กูตกใจหมด บุหรี่ตกเลย แสรดดด” ไอ้กายโวยวาย

“กูเดินมาของกูปกติ มึงไม่ได้ยินเอง”

“เออ มึงจะกลับแล้วใช่ไหม กูกลับด้วย”

“แล้วมึงมาทำไรตรงนี้ ไม่เข้าไปเตะบอลด้วยกัน” อะไรของมัน ท่าทางแปลกๆ

“กูไม่ได้จะมาเว้ย แค่มาสูบบุหรี่เฉยๆ” มาสูบไกลนะมึง คณะของเขากับสนามกีฬาอยู่คนละฝากถนน ฟังคำแก้ตัวของมันแล้วได้แต่ส่ายหน้า

“แล้วที่มึงนัดสาวไว้ล่ะ” ตอนนี้เพิ่งจะทุ่มกว่าๆ เลิกเรียนตอนห้าโมง พาสาวไปเที่ยวในเซเว่นหรือไงไม่รู้ ถึงได้กลับไวนัก

“เออน่า มึงจะถามไรเยอะแยะ กลับยัง ยุงเยอะชิบ” ไอ้กายไม่ตอบแต่เร่งเขาแทน

เอาวะ เรื่องของมึงละกัน










“วิ่นนิ่งกับกูไหมสาดดดดด” เมื่อขับรถมาถึงหอ ไอ้กายโดดลงไปยืนแล้วถามด้วยท่าทางกวนโอ้ย 

   
“เออ เดี๋ยวกูอาบน้ำก่อน มึงจะกินไรวะ” ดูก็รู้ว่ามันยังไม่ได้กินข้าว เลยชวนกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนแยกย้ายเพื่อจัดการตัวเอง เตรียมพร้อมเล่นเกม

   
ประมาณสองทุ่ม เขาก็เดินลงมาที่ห้องเพื่อนสนิท เคาะห้องเรียก ไม่ถึงอึดใจประตูก็เปิดออกกว้าง –ประตูเปิดออกได้กว้างมากจนสุดบาน เมื่อเห็นสภาพในห้องก็ต้องอุทานออกมาด้วยความงุนงง


   
“กูเข้าห้องผิดป่าววะ” เดินออกไปหน้าประตูเพื่อมองเลขห้องชัดๆ

   
“กวนตีนละมึง จะเข้าไม่เข้า” ไอ้กาย ลากคอเข้ามาแล้วปิดประตูเสียงดัง

   
“เป็นบุญเท้ากูมากที่ได้สัมผัสพื้นห้องมึง”



เขาพูดจริงๆ ไม่ได้ประชด ตั้งแต่วันแรกที่ช่วยกันขนของเข้ามาก็เพิ่งมีวันนี้ที่เห็นห้องมันสะอาดเอี่ยมขนาดนี้ ข้าวของที่ระเกะระกะ วางไม่เป็นระเบียบหายไป เศษขยะเศษขนมจุกจิกของมันที่วางไปทั่วก็ไม่เจอ น่าจะถ่ายรูปบีฟอร์กับอาฟเตอร์ไว้  ไอ้กายเปลี๋ยนไป๋ 

   
“มึงกราบเลยไหมสลัด กูเก็บห้องหน่อยทำประชดว่ะ” ไอ้กายนั่งลงบนพื้นหน้าโทรทัศน์จอใหญ่ที่ซื้อมาเพื่อเล่นเกมโดยเฉพาะ

   
“มึงแน่ใจว่ามึงเก็บเอง” นั่งลงข้างๆ มัน สองมือถือขนมมาด้วยก็ถูกเจ้าของห้องฉกไปอย่างรวดเร็ว

   
“เออดิวะ ทำไมเสียใจที่ไม่ได้มาช่วยกูเรอะ” มันพูดทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวขนมเต็มปาก

   
“ไอ้แมนมาช่วยบ้างไหม” ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามคำถามนี้ออกไป สังเกตจากท่าทางแปลกๆ ของพวกมันแล้วเขาเลยลองโยนหินถามทางดู ซึ่งโดนคำถามนี้เข้าไป มันชะงักไปนิด

   
“ถามทำไม แล้วทำไมห่าเหวไรมันต้องมาช่วยกู”

   
“เปล่า ก็เห็นสนิทกันดี วันนี้มันยังถามถึงมึงเลย”

   
“เฮ้ย นั่นโหลดเสร็จละ มาเลยครับน้องซันครับ พี่พร้อมถล่มน้องแล้ววววว” เป็นอีกครั้งที่มันไม่ตอบคำถาม

ช่างแม่ง วิ่นนิ่งเถอะ แสรดดดดดดด


   






   
เล่นกันไปห้ารอบกำลังขึ้นรอบที่หก เดือนก็โทรมา

   
‘ซานซาน ตัวมารับเค้าหน่อยยยยย’ เสียงยานคางมาเชียว
   
“เออๆ แปบได้ปะ วิ่นนิ่งอยู่  จบเกมก่อน”
   
‘ฮื่อ ด้ายเด้ ...อื้อ ไม่เอาเว้ย พอแล้ว’ เดือนตอบแล้วหันไปคุยกับเพื่อน
   
“เหล้าไม่ต้องกินแล้ว กินน้ำเปล่าเยอะๆ เดี๋ยวไป” บอกเดือนเสียงเข้มแล้วจึงวางสายไป ไอ้กายเล่นทีเผลอ โดนยิงประตูแล้วเว้ย

   

ผลปรากฏว่าเสมอ 3-3 เล่นไปหกเกม ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ คราวหลังค่อยมาแก้มือใหม่ บอกลาไอ้กายแล้วขับมอเตอร์ไซด์ไปรับคนเมา







.

.

.




   
บ้านสีขาวหลังเดิมสลัวอยู่ในความมืด แสงสีส้มยังคงลอดออกมาตามรอยแยกของตัวบ้าน เสียงเพลงดังสนั่นลั่นซอย มีรถยนต์ มอเตอร์ไซด์จอดเต็มหน้าบ้าน เขาดับเครื่องรถ จอดห่างออกมาใต้เสาไฟฟ้าที่ไม่มีรถจอดขวาง แล้วเดินเข้าไป

   
คนเยอะจนแทบเดินไม่ได้ ทันเห็นเพื่อนเดือนที่ชื่อฝันจึงเรียกไว้ ฝันเข้ามาทักแล้วบอกว่าเดือนอยู่ชั้นสอง เขาเกือบสิบนาทีเดินเบียดผู้คนทั้งหลายเพื่อขึ้นบันได

   
การมองหาเดือนไม่ยากเลย ได้ยินเสียงหัวเราะดังขนาดนั้น หันไปตามเสียงก็เจอกลุ่มคนสองสามคนกำลังยืนก้มหน้าพูดคุยพลาง หัวเราะไปพลาง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นเดือนนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ถือขวดน้ำไว้ในมือ กำลังหัวเราะกับมุกตลกสุดเห่ยเท่าที่เขาเคยได้ยินมา ไม่ขำสักนิด หัวเราะเข้าไปได้ไงนั่น

   
“กลับยัง” ถามเสียงดัง ทุกใบหน้าหันมามองเขาเป็นตาเดียว

   
เดือนหันมาเห็นก็ลุกขึ้น มีหลายมือจะเข้ามาช่วยพยุงแต่เจ้าตัวก็ปัดทิ้งไปอย่างไม่สนใจ

   
“มาช้า” เดือนพูดตัดพ้อแต่ส่งยิ้มกว้างมาให้

   
“อื้อ กลับเหอะ” หันหลังกลับ เดือนก็คว้ามือแล้วเดินนำไป ทิ้งเสียงพึมพำไม่พอใจไว้เบื้องหลัง

   


   



เมื่อออกมานอกบ้านได้ เขาก็เดินนำมายังรถมอเตอร์ไซด์ กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่คลุ้งจนต้องย่นจมูก

   
“จะรีบไปไหน รอก่อนเด้” เดือนตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ เมื่อถูกทิ้งไว้ให้เดินเอง ไม่ช่วยประคองให้เดินมาพร้อมกัน

   
“ไม่ได้รีบ มารอที่รถ” ว่าแล้วก็สตาร์ทรถรอ ส่ายหน้าแล้วหาวออกมายกใหญ่ ง่วงนิดๆ แล้ว

   
“อื้อ ดีมากๆ แว้นซ์กลับเลย เร็วๆ นะ” เดือนขึ้นมาซ้อน กอดเอวเขาแน่น เกยคางไว้บนไหล่ เขาส่ายหัวกับสภาพดูไม่ได้ของอีกฝ่าย เดือนไม่ค่อยจะกินจนเมามากขนาดนี้อย่างมาก็แค่กึ่มๆ พอหอมปากหอมคอ เขาหยิบหมวกกันน็อคขึ้นสวมให้คนซ้อนแล้วจึงสวมให้ตัวเองเรียบร้อยแล้วเร่งเครื่องออกไปสู่ความมืดยามค่ำคืน


   
“ไวไวเลยซี่ซัน” คนเมาตะโกนบอกข้างหู หมวกกันน็อคกระทบกันดังกึก ไม่พอยังจะเอื้อมมือมาบิดคันเร่งให้ได้ดังต้องการ

   
“เฮ้ย นั่งเฉยๆ น่าเดือน มือกอดเอวเค้านี่ อย่าปล่อยนะ” พูดกำชับเสียงเข้มรับมือกับคนเมา ต้องคอยย้ำ บทจะว่าง่ายก็ฟัง บทจะไม่ฟังก็ยาก 

   
“อยากไปเที่ยวอ่า” สองมือกอดเอวแน่นรู้สึกได้ถึงแรงบีบรัด คนซ้อนขยับเข้ามาพูดใกล้จนหมวกกันน็อคชนกันดังโบ๊ก

   
“คร้าบๆๆ ไปคร้าบ นั่งดีๆ นะ” พอเมาแล้วอารมณ์ติสท์จะแสดงออกอย่างรุนแรง เจ้าตัวจะรบเร้าให้พาไปมหาวิทยาลัย แล้วให้ขับรถวนบนถนนเลียบอ่างเก็บน้ำจนพอใจแล้วค่อยกลับบ้านได้
   

บริเวณอ่างเก็บน้ำของมหาวิทยาลัยมีต้นไม้ปลูกไว้อย่างร่มรื่น ในคืนนี้เงาไม้ส่ายไหวยามลมพัดเป็นจังหวะ ดอกไม้กลางคืนส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ เดือนขยับตัวเพื่อถอดหมวกกันน็อคออก ไม่พอยังพยายามมาถอดหมวกกันน็อคเขาอีก เขาต้องตั้งศีรษะตรงให้อีกคนถอดออกไม่อย่างนั้นรถอาจล้มได้
   

ราตรีที่เงียบสงบนอกจากเสียงธรรมชาติแล้วก็ไร้ซึ่งเสียงอื่นใด รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นรบกวนความเงียบสงบนี้
   

“เฮ้อ หอมชื่นใจจังเล้ยยยยยย” คนซ้อนตะโกนเสียงดัง เสียงก้องสะท้อนไปในอากาศ
   

“ซันๆ ขับช้าหน่อย ดูสิ พระจันทร์สวยนะ” เดือนชี้มือชี้ไม้


เขาละสายตาจากถนนเบื้องหน้าแล้วเงยหน้ามองพระจันทร์เสี้ยวสีเงินยวง ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆ แสงสีเงินสะท้อนกับน้ำในอ่างเก็บน้ำ ส่องแสงระยิบระยับยามผิวน้ำขยับระลอกน้ำน้อยใหญ่แวววาว

จอดรถไว้ใต้ต้นก้ามปูขนาดสามคนโอบ เดือนกระโดดลงจากรถแล้วเดินลงไปนั่งริมฝั่งน้ำ ก่อนจะเอนตัวลงนอนเหยียดบนพื้นหญ้า เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เดินตามมา ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ดอกไม้กลางคืนส่งกลิ่นหอมอ่อนลอยมาตามสายลม

   
“ซันๆ ว่าพระจันทร์สวยไหม” เดือนพูดขึ้น

   
“สวย” คืนนี้พระจันทร์สวยมาก เป็นเสี้ยวโค้งได้รูปพอดี











“อยู่คนเดียวจะเหงาไหมนะ” เดือนพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาหันกลับมามองหน้าคนพูด แสงจันทร์ส่องกระทบผิวขาวซีดสะท้อนแสงสีเงินยวงนั้นจนดูเป็นสีเดียวกัน


ใบหน้าของเดือนขึ้นสีระเรื่อด้วยฤทธิ์ของน้ำเมา ริมฝีปากยกยิ้มน้อยๆ เมื่อหันมาสบตากับเขา ดวงตาสีดำสนิทวาววับสะท้อนแสงจันทร์


“ไม่เหงาหรอก มีดาวออกเต็มท้องฟ้า” เขาตอบคำถามพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอีกครั้ง ถึงจะตอบไปอย่างนั้นแต่ความจริงคืนนี้ไม่มีดาว ท้องฟ้าสีดำสนิทเห็นแต่พระจันทร์เสี้ยวลอยเด่นโดดเดี่ยว



“...งั้นเหรอ” คนข้างตัวว่าเบาๆ แล้วเงียบไป



จิ้งหรีดส่งเสียงร้องระงม นานๆ ทีจึงมีเสียงเครื่องยนต์จากถนนใหญ่แว่วเข้ามาให้ได้ยิน 








“แต่วันนี้เดือนไม่ต้องเหงาหรอก ซันอยู่กับเดือนแล้วไง”      






คงเพราะความเงียบของคนข้างกายบรรยากาศจึงยิ่งวังเวง เขาพูดขึ้นโดยที่ยังคงจ้องมองพระจันทร์เสี้ยวอยู่อย่างนั้น เดือนสะอื้นเสียงเบา แล้วคว้ามือเขาไปแนบแก้มเย็นจัดของตนเอง



“ถ้าพูดช้ากว่านี้โดนโกรธนานแน่ๆ ซันๆ”
 

ริมฝีปากของเดือนที่แนบชิดกับหลังมือของเขาขยับขึ้นลงตามจังหวะการพูด





กลิ่นดอกไม้ราตรีลอยลมมาอีกครั้ง คราวนี้ความเงียบกลายเป็นความสุนทรีขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ












“กลับหรือยัง” เดือนไม่ตอบคำถามแต่พยักหน้าแล้วชูสองแขนขึ้นไปในอากาศ ขยับมือไปมา

“ไม่ไหวมั้ง ตัวไม่ได้เล็กนะ” ให้เขาอุ้มนี่ เดี๋ยวได้ล้มกลิ้งไปทั้งคู่แน่น

“น่านะ” เขาลืมไปว่าพูดกับคนเมาสินะ

“เอ้า หนึ่ง สอง ซั่ม” ออกแรงดึงตัวคนนอนยาวเหยียดขึ้นมา พอทรงตัวได้เดือนก็โผตัวเข้ามากอด

“แปบนะซัน ขอกอดหน่อย” เขายกมือโอบอีกฝ่ายไปพลาง ลูบหลังตบไหล่ไปพลาง

“พลังเต็มแล้ว กลับห้องเถอะ” สักพักเดือนก็คลายตัวออกจากอ้อมกอดแล้วเดินนำกลับไปที่รถ













ล้มตัวลงนอนตอนเข็มนาฬิกาชี้ใกล้เลขสอง ภาพอ่างเก็บน้ำสะท้อนแสงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าไร้ดาวยังคงติดตา

กลิ่นดอกไม้ราตรียังคงหอมกรุ่นในจมูก

แต่ที่หอมกรุ่นอยู่ในใจคือ กลิ่นดินกลิ่นหญ้าที่ติดตัวคนที่กอดกันเมื่อครู่




สงสัยว่าเดือนจะได้กลิ่นอะไรจากตัวเขา....


จะเป็นกลิ่นน้ำยาทำความสะอาดพื้นห้องไอ้กายหรือเปล่า

ถ้าใช่คงต้องชวนเดือนลงไปดูอาการแปลกๆ ของไอ้กายหน่อยแล้ว


-----------------------------------------------------
[29.12.58]
 :man1:
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ <3
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 8 ) 29-12-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 31-12-2015 07:17:59
เมื่อไหร่จะขยับความสัมพันนะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 9) 01-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 01-01-2016 01:50:28

Just Love ❤ รักนะครับ






9



   
วันเสาร์เขามีเรียนแค่ช่วงเช้า ตอนบ่ายไปค่ายชมรมกลับวันอาทิตย์ วันศุกร์ค่ำๆ อย่างตอนนี้เลยออกมาซื้อกับข้าวตุนไว้ให้กับอีกคนที่ต้องอยู่ห้องคนเดียวช่วงเสาร์อาทิตย์นี้

   
“มึงจะซื้ออะไรเยอะแยะวะ ไอ้คุณคนเดียวจะแดกหมดเรอะ”


ไอ้กายบ่นออกมาเป็นรอบที่สามเมื่อเห็นเขาซื้อของไม่หยุด ซื้อของเยอะๆ เผื่อให้เดือนเลือกทาน ไอ้เพื่อนคนนี้มันก็ประสาท ขอตามมาเองแท้ๆ บ่นอยู่ได้


“ถ้ามึงเบื่อก็กลับห้อง” พูดโดยไม่หันกลับไปมอง ปล่อยให้เดินตามหลังต้อยๆ


“ไม่เอา กูยังไม่อยากกลับ”


“งั้นก็ไม่ต้องบ่น เอ้า กินนี่จะได้ไม่ต้องพูดมาก” ว่าแล้วก็ยื่นซาลาเปาให้หนึ่งลูก “ถือด้วย” ส่งถุงสองสามถุงให้คนบ่นถือไว้


กายยื่นมือมารับซาลาเปาไปกัดกิน อีกมือก็หิ้วถุงกับข้าวไว้ ค่อยสบายหูขึ้นหน่อย เดินไปหยุดตรงร้านขายผลไม้ ระหว่างที่เลือกส้มเขียวหวานอยู่ ไอ้กายที่กินซาลาเปาหมดแล้วก็พูดขึ้น


“ไอ้ซัน คุณมันชอบกินส้มเหรอ”
   

“ก็ไมเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย กินวิตามินซีบ้างจะได้ไม่ป่วย” เลือกส้มไปประมาณหนึ่งกิโลก็ส่งให้แม่ค้าคิดเงิน


“ไม่ซื้อฝรั่งล่ะ วิตามินซีสูงกว่าเยอะ” ไอ้กายยื่นมือไปรับถุงส้มแทนจากแม่ค้า ระหว่างที่เขากำลังค้นเศษเหรียญจ่ายเงิน


“มันไม่ชอบ” ได้ฟังเพื่อนกายหมดคำถาม เขาทบทวนรายกายของที่ซื้อมา พลางหยิบกระดาษแผ่นน้อยที่จดไว้มาดู กับข้าวห้าอย่าง ขนมปัง ซาลาเปา ผลไม้ น่าจะพอแล้ว เดี๋ยวต้องกลับไปจดไว้ว่าหุงข้าวตอนก่อนออกจาห้องวันเสาร์ด้วย เผื่อลืม


“มึงอย่างกับแม่บ้านเลยว่ะไอ้ซัน” เพื่อนชะโงกหน้าเข้ามาอ่านกระดาษจดรายการของด้วยแซว “มึงไปแค่วันสองวันไอ้คุณมันจะหาไรแดกไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือไงวะ”


“ถ้าไม่ซื้อไว้มันก็จะไม่กิน เดี๋ยวมัน---“ พูดไม่ถึงไหนคนถามก็แทรก


“ไม่สบาย ปวดท้อง เดือนร้อนอีก โอเค กูไม่ถามแล้วคร้าบแม่คร้าบ” มันว่าล้อๆ เขาไม่ต่อความ เดินกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์


“กลับไปแล้วกูไปนั่งเล่นห้องมึงก่อนนะ” บอกแค่นั้นแล้วขับรถออกไปก่อน


ช่วงนี้เพื่อนเขาทำตัวแปลกๆ ห้องก็ไม่ค่อยกลับ ชอบมาขลุกอยู่กับเขาจนค่ำมืด พอชวนไปชมรม มันก็ปฏิเสธตลอด แล้วไอ้แมนก็ถามถึงอยู่นั่น พอจะถามว่าพวกมันเป็นอะไรกัน ไอ้กายก็เหมือนรู้หาเรื่องบ่ายเบี่ยงได้ตลอด เอาเถอะ ค่อยๆ ดูกันไป เดี๋ยวถ้ามันทนไม่ได้ก็คายออกมาให้รู้ ไม่ก็เขานี่แหละจะเคลียร์ให้เอง เห็นแล้วหงุดหงิด รำคาญที่ต้องคอยตอบคำถามแปลกๆ ของพวกมันเต็มที



.

.

.




“นี่เดือนตื่นๆ เค้าจะไปแล้วนะ” ยื่นเคาะประตูห้องเดือน เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป เจ้าของห้องนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แม้ว่านอกห้องเดือนจะไม่ทำของรกเกะกะแล้ว แต่ภายในห้องตนเองยังคงรกเหมือนเดิม เห็นแล้วเหนื่อยใจจริงๆ ก้าวข้ามกระดาษวาดรูป ดินสอ ขวดสีทั้งหลายมาแล้วก็เอื้อมมือไปปลุกคนขี้เซา
   


“จะไปแล้วนะ ตื่นมาฟังก่อน” เดือนส่งเสียงอืออา จะพลิกตัวหลบ เมื่อคืนไม่รู้นอนกี่โมงเขาตื่นมาดื่มน้ำตอนตีสามแสงไฟยังลอดออกมาจากห้องอยู่เลย เด็กคณะนี้เป็นค้างคาวกลับชาติมาเกิดแน่น ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาใกล้บ่ายโมงอยู่แล้วยังไม่ตื่น เขาใช้ความพยายามนิดหน่อยคนนอนหลับสนิทก็ลืมตาขึ้นมา พยักหน้าว่าพร้อมฟังเห็นดังนั้นก็รีบพูด


“กับข้าวน่ะ เค้าแช่แข็งไว้ ตัวจะกินก็อุ่นนะ ขนมปัง ซาลาเปาก็กินได้เลย ส้มบนโต๊ะกินให้ถึงครึ่งที่ซื้อไว้ ถ้ากินหมดเลยได้จะดีมาก ไหนลองทวนสิ” เห็นหน้าตาแล้วไม่รู้ว่าจะได้ยินแล้วเข้าใจหรือเปล่า เลยให้ทวนอีกรอบแบบที่แม่ทำกับเขาบ่อยๆ


“อื้อ ในตู้เย็นอุ่นกินได้ กินส้มให้หมด” เสียงแหบๆ อย่างคนเพิ่งตื่นนอนก็ดังขึ้น พยักหน้าน้อยๆ เมื่อทวนคำสังได้ถูกต้องเดือนก็ทำตาปรือๆ จะนอนต่อ


“โอเค เจอกันวันอาทิตย์ อ้อ แล้วทีหลังหัดใส่เสื้อนอนด้วยสิ เดี๋ยวไม่สบายเอา ไปละนะ”



ว่าจะไม่พูดแล้วก็อดพูดไม่ได้จริงๆ สังเกตหลายครั้งแล้วว่าพออากาศเปลี่ยนทีไร เดือนก็ไม่สบายง่ายๆ ทุกที วันนี้เขาก็ได้ข้อสรุปแล้วเพราะเดือนไม่ชอบใส่เสื้อนอนนี่เอง ผ้าห่มก็ไม่ห่ม


แม่น้องให้เดือนย้ายมาอยู่กับเขาและฝากฝังให้ขุนให้อ้วน พอเห็นเดือนวันนี้รู้สึกเสียใจนิดหน่อย ซี่โครงบานเชียว ไอ้ที่กินๆ ไปนี่เอาไปไว้ที่ไหนหมดว่ะเนี่ย สงสัยคราวหน้าต้องบังคับให้กินข้าวเยอะกว่านี้ จะได้มีเนื้อมีหนังกับเขาบ้าง


เดินคิดเรื่องของเดือนจนลงมาเจอไอ้กายด้านล่างตึกแล้วพากันขี่มอเตอร์ไซค์ออกนอกเมืองไปเพื่อไปยังโรงเรียนหนึ่งในต่างอำเภอซึ่งเป็นสถานที่จัดค่ายชมรม




.


.


.



“(พี่) ซัน (พี่) กาย”


เสียงตะโกนทักทายจากน้องเพื่อนและพี่ชาวค่ายดังต้อนรับเมื่อเขาและกายขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาในเขตโรงเรียน เดินเข้าไปทักทายจนทั่ว ไอ้แมนก็พาไปห้องนอนเพื่อเก็บของ


“ถึงไหนละ กำลังจะก่อกำแพงเหรอ” ตอนเดินเข้าไปทักทาย เห็นว่าหลายคนกำลังกวนปูน บ้างกำลังก่ออิฐ


“ครับพี่ ค่ายนี้มีผู้ชายไม่มากเท่าค่ายก่อน เลยช้าหน่อยครับ” ไอ้แมนตอบเขาแต่ตามองไปทางไอ้กาย เขาจึงหันไปมองมันบ้าง เพิ่งสังเกตว่าตั้งแต่มาถึงนี่เพื่อนสนิทยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ไอ้กายทำเป็นมองซ้ายขวาสำรวจอาคารเรียนที่เราจะอาศัยนอนกันคืนนี้ เห็นได้ชัดว่ามันรู้ว่าทั้งเขาและไอ้แมนต่างมอง มันก็ทำเป็นไม่สนใจ


“มีอะไรก็คุยๆ กันซะ...ไปช่วยพวกนั้นก่อนแล้วกัน” เขาขอตัวออกมา ปล่อยพวกมันไว้ด้วยกัน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันสองคนแปลกไป บางทีอาจทะเลาะกัน บรรยากาศมันแย่ยิ่งกว่าเมื่อก่อนที่สองคนเอาแต่กัดกัน ทะเลาะกันเสียงดังซะอีก คุยๆ กันซะแล้วกลับมาทะเลาะกันอย่างเดิมเถอะ เขาเหงาหูชะมัด


เข้าไปช่วยเพื่อนที่กำลังนั่งพักหลังจากกวนปูนไปแล้วเมื่อครู่ “ไงมึง เหนื่อยเลย” เขาคว้าจอบขึ้นมาช่วยตักปูนที่ผสมแล้วใส่ในถังที่น้องผู้หญิงยืนเรียงแถวส่งปูนต่อๆ กัน


“เออเหนื่อยโคตร กูกวนคนเดียวมาสามบ่อแล้วมึง ไอ้คนอื่นก็หลบไปก่อผนังซะงั้น” คนถูกถามถือโอกาสบ่นให้ฟัง ท่าทางเหนื่อยอ่อน


“เดี๋ยวบ่อนี้หมดกูทำเอง มึงบอกส่วนผสมละกัน”


การกวนปูนด้วยมือนี้ไม่ง่ายเริ่มแรกต้องสร้างบ่อปูนขึ้นมาก่อน วิธีการง่ายๆ คือขุดดินขึ้นมาทำเป็นบ่อขนาดประมาณ 1x2 เมตร จากนั้นก็เริ่มผสมปูน น้ำ ดิน ทราย ตามอัตราส่วน เช่น ปูนหนึ่งถุง หินสิบถัง ทรายแปดถัง น้ำสิบถังเป็นต้น จากนั้นกวนโดยใช้จอบจ้วงไปมาจนปูนผสมกันดีเป็นเนื้อเดียว เวลาที่ใช้ในการกวนปูนประมาณ 5-10 นาทีได้ คนสองกวนโดยยืนคนละฝั่งสลับกันเขี่ยปูนในบ่อไปมา หากต้องการจะให้ปูนผสมเสร็จไวต้องใช้หลายๆ คน การที่เพื่อนเขายืนกวนอยู่ลำพัง แค่ปูนกับน้ำไม่เท่าไหร่ แต่บวกทั้งหิน ทั้งทราย ผสมกันทั้งหมดแล้วหนักมาก กวนยาก ไม่แปลกเลยที่คนทำจะบ่นออกมา


เขากวนปูนไปประมาณ 2 บ่อ ไอ้กายก็เข้ามาช่วย เหลือบมองมันเห็นหน้าตาปกติ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ก็ค่อยเบาใจ ตอนแรกก็นึกว่าสองคนจะมีเรื่องชกต่อยกันซะอีก


“กูนึกว่าจะต่อยกันปากแตกแล้วซะอีก” พูดออกไปอย่างที่ใจคิด

“เหอะ กูไม่ทำร้ายเด็กหรอกเว้ย ไอ้เด็กบ้านั่น แม่ง” ไอ้กายพูดพลางยักไหล่ ชวนคุยเรื่องค่ายเปลี่ยนเรื่องไม่พูดอะไรต่อเรื่องนี้อีก



อาคารที่พวกเรามาสร้างเป็นอาคารขนาดเล็กประมาณ  6x10 เมตร ไอ้แมนบอกว่าทางโรงเรียนต้องการสร้างเป็นห้องเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมที่เพิ่มขึ้น โดยรุ่นน้องชมรมปีสองได้มาติดต่อทางโรงเรียนโดยทำเรื่องขอวัสดุและเงินทุนสนับสนุนตั้งแต่ช่วงปิดเทอม พอเปิดเทอมมาอาทิตย์แรกๆ ก็มาช่วยกันปรับหน้าดิน ลงคานทำฐานอาคารไว้เรื่อยจนมาอาทิตย์นี้ก็เปิดรับให้คนในชมรมที่สนใจมาช่วยกันก่อผนัง และปรับภูมิทัศน์ ส่วนอาทิตย์หน้าพวกรุ่นน้องมาทาสีแล้วจึงเสร็จสมบูรณ์


ขณะที่เรากำลังทำงานกันอยู่นั้น ก็มีเด็กๆ นักเรียนหลายคนสนใจ เข้ามาวิ่งเล่น เข้ามาพูดคุยอย่างสนุกสนาน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนก็ขนอาหาร ทั้งผักผลไม้มาให้ แสดงถึงน้ำใจของชาวบ้านที่ออกมาต้อนรับนักศึกษาเต็มที่


ประมาณหกโมงเย็นถึงเวลากินข้าว ทุกคนต้องไปกินพร้อมกันทั้งเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการดูแลชาวค่ายและเนื่องจากอาหารที่มีจำนวนจำกัดเพราะทำกับข้าวทานกันเองจากของที่ชาวบ้านนำมาให้และที่นำมา อาหารที่ทำส่วนใหญ่จึงไม่พ้นพวกผัดกะหล่ำ แกงจืดสาหร่าย หรือไม่ก็ผัดฟักทองเพราะวัตถุดิบพวกนี้ไม่เน่าเสียง่ายซ้ำยังเก็บได้นาน


เขาจำได้ตอนปีหนึ่งครั้งแรกที่ไปค่ายใหญ่ระยะเวลาประมาณสามสัปดาห์ วันไหนได้กินเนื้อหมูชาวค่ายจะเจริญอาหารกันมาก ทานข้าวเกลี้ยงจาน บางมื้อเป็นแค่ปลากระป๋องที่ปกติเขาไม่ชอบพอได้ทานในค่ายเท่านั้นแหละ รู้เลยว่า สวรรค์ เพราะในค่ายแหล่งโปรตีนหลักมาจาก ‘อัลโป้’ ที่ไม่ใช่อาหารหมา แต่เป็นชื่อที่เรียกกันขำๆ ของโปรตีนเกษตรที่เอามาใส่ในอาหารทดแทนเนื้อสด เรียกว่า อัลโป้ ก็เพราะว่ามันเป็นเม็ดกลมๆ สีส้มแดงคล้ายอาหารเจ้าตูบ เวลารับประทานต้องนำมาแช่น้ำให้อิ่มตัวแล้วค่อยนำไปประกอบอาหารทานได้



“เดี๋ยวประชุมสรุปงานตอนทุ่มครึ่งนะครับ ให้ทุกคนตรงเวลาด้วย” ไอ้แมนประกาศหลังจากทุกคนสวดมนต์ขอบคุณคนทำอาหารเสร็จและเริ่มลงมือทาน





ความสนุกในค่ายมันเริ่มขึ้นตอนกินข้าวนี่แหละ



“อุ้ย ผัดกะล่ำ เอ้ย ผัดกะหล่ำ เอ้ย ถูกแล้ว” นั่นเริ่มแล้ว ใครคนหนึ่งเล่นมุกขึ้นมาระหว่างที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างหิวโหย


“น้องปอจ๊ะ พี่ก้องหาหัวใจไม่เจอเลยฝากหัวปลีมากำนันไปก่อนนะจ๊ะ” น้องก้องปีสองพูดแซวรุ่นน้องปีหนึ่งหน้าใสที่นั่งกินข้าวข้างๆ พร้อมตักแกงหัวปลีให้ เสียงโห่แซวก็ตามมา


“เอ้ยๆ พี่กายจ๊ะ” ชาวค่ายกินข้าวเป็นวงกลมบนพื้น วงละหกคน ในหนึ่งวงมีจานข้าวสามใบซึ่งกฎคือข้าวหนึ่งจานต่อคนสองคน วิธีการนี้นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของชาวค่ายแล้วยังช่วยประหยัดน้ำในการล้างทำความสะอาดด้วย


ว่าแล้ววงเขาก็มี ‘น้องกีบ’ หรือที่เรียกตัวเองว่า ‘กิ๊ฟซี่’ เข้าทรุดตัวนั่ง พลางประคองช้อนในมือ เรียกชื่อไอ้กายเสียงหวาน “ลองชิมน้ำกิ๊ฟซี่ เอ้ย น้ำแกงที่กิ๊ฟซี่ทำหน่อยสิคะ อยากรู้ว่าจะถูกปากพี่กายไหม” ยื่นช้อนเข้ามาจ่อปากไอ้กาย เป้าหมายหาทางหนีแต่ถูกเพื่อนจับแขนขาไว้แน่น


“พี่ชิมแล้วจ๊ะน้องกีบในถ้วยก็มี” ไอ้กายพยายามต่อรองแต่อย่าหวังว่าจะสำเร็จ


“ไม่เอาสิคะ ลองชิมนี่ก่อน น่านะ” ว่าแล้วก็จับปากไอ้กายบีบแล้วยัดช้อนลงไป ไอ้กายขัดขืนสำลักเป็นการใหญ่จนหน้าแดงไปหมด แล้วมันก็แก้แค้นโดยการตักพริกในพริกน้ำปลาขึ้นให้กิ๊ฟซี่คืน น้องร้องลั่นหน้าแดงพอๆ กันทั้งคู่ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนเสียงดัง


“พี่ซันๆ” แล้วก็มีคนเรียกเขา

“ครับ?” ทุกคนหยุดหัวเราะแล้วหันมาสนใจเขากับคนถามแทน


“พี่ซันมีแฟนหรือยังคะ” โลกเข้าสู่โหมดเงียบรู้เลยว่าทุกคนรอคอยคำตอบมาก


“ยังไม่มีครับ”


//กรี๊ดดดดด //ว้าย แกพี่เค้ายังโสด


“ถ้าสนใจจะสมัครต้องทำไงคะ” เสียงโห่แซวตามมาอีกระรอกใหญ่หลังคำถามของคนใจกล้า เขาส่งยิ้มไปก่อนอย่างเคยยังแต่ไม่ทันได้ตอบไอ้คนที่เพิ่งหายสำลักก็ชิงพูดขึ้นก่อน



“ไม่ต้องทำไงครับ เปลี่ยนชื่อเป็นพระจันทร์ให้คู่กับตะวันก็พอ”



ฮิ้ววววววววววววววว เสียงโห่คราวนี้ดังมาจากพวกปีสอง ปีสามและรุ่นพี่ปีแก่ๆ เด็กปีหนึ่งทำหน้างงก่อนจะส่งเสียงถามกันให้วุ่น


“เป็นพระจันทร์ยังไม่ดีพอนะเว้ย ต้อง ‘เดือน’ เท่านั้นว่ะ”


ฮิ้ววววววววววว


“ทำไมอะพี่ ทำไมคะ” น้องๆ ปีหนึ่งยังคงสงสัย


“ก็คนที่ไอ้ซันมันเทคแคร์ดูแลยิ่งกว่าลูกไงเล่า ที่รีบกลับห้องเร็วทุกวันก็เพราะไปทำกับข้าวให้แฟนมันกิน” ไอ้กายรีบป่าวประกาศ เขาไม่ปฏิเสธได้แต่นั่งยิ้มตามน้ำไป


หลายคนทำตาโต แล้วก็อุทาน ‘พี่ซันทำกับข้าวได้ด้วย’



“ยิ่งกว่าแฟน ทำแทนทุกอย่าง”  ไอ้กายร้องออกมาเป็นทำนองล้อเลียนเพลงลูกทุ่งชื่อดัง  ‘ไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้’
 


“โธ่ แล้วไหนว่าไม่มีแฟนไงคะ” หลายคนร้องออกมาเสียงดังท่าทางผิดหวัง


“ก็...ไม่ใช่แฟนครับ” เขายังคงยืนยันคำตอบ


“ไม่ใช่แฟนแต่....” เป็นเพื่อนสนิทที่ยังคงปากไวอย่างเคย มันเงียบไปสักพักเพื่อเร้าความสนใจของทุกคน ก่อนจะพูดต่อ “เป็นเมียใช่มะ” แล้วทุกอย่างก็โดนกลบด้วยเสียงโห่ฮากรีดร้องของชาวค่าย เขารู้ว่าพูดปฏิเสธไปอย่างไรก็คงไม่มีใครฟัง ยิ่งแก้ตัวจะหาว่าเป็นความจริงอีกก็ได้แต่ยิ้มไปตามเรื่อง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ



พอนึกถึงคนที่ตกเป็นเป้าของการโห่แซวในครั้งนี้เขาก็เริ่มเป็นห่วงขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้จะกินข้าวหรือยัง คิดแล้วอดหงุดหงิดในเล็กๆ ไม่ได้ ในค่ายนี้ชาวค่ายทุกคนห้ามใช้โทรศัพท์ซึ่งทางค่ายอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์เฉพาะเวลา 16.00-16.30 เท่านั้น ถ้าขี้เกียจอุ่นกับข้าว ขนมปังกับซาลาเปาก็มี เดือนคงหาทานได้แหละอย่างที่เพื่อนสนิทกรอกหูเสมอ เขาคิดถึงเพื่อนร่วมห้องไปอีกพักก็เห็นว่าไอ้กายยังคงพล่ามเรื่องของเขากับเดือนให้น้องปีหนึ่งฟังไม่หยุดเลยคิดแก้แค้น



“ไอ้แมน” เรียกแมนเบาๆ


“ครับพี่”


“คืนนี้มึงเป็นเวรตอนกี่โมง” ทุกค่ายจะต้องมีเวรยามเฝ้าไว้ตลอดทั้งคืน ทั้งเพื่อป้องกันอันตรายจากคนนอกที่จะเข้ามาและกันคนในออกนอกค่าย จำนวนคนในแต่ละเวรให้อยู่เวรละ 2 คนซึ่งแบ่งเป็น 3 เวร เวรละ 2 ชั่วโมงเริ่มจาก ห้าทุ่มจนถึงตีห้า พอตีห้าคนที่เป็นเวรทำอาหารก็จะลุกขึ้นมาเตรียมอาหาร จนกระทั่งหกโมงชาวค่ายต้องตื่นขึ้นมาเตรียมตัวเพื่อทานข้าวตอนเจ็ดโมงเช้า พอแปดโมงก็เริ่มทำงานต่อไป


“เวรสองน่ะพี่” ช่วงเวรสองคือเวลาตีหนึ่งถึงตีสามเขาถามรายละเอียดต่อไปอีก “คู่กะใครวะ” ไอ้แมนตอบชื่อรุ่นน้องที่เขาพอจะสนิท เลยบอกมันว่าจะขอแลกเวรอยู่แทนน้องคนนั้นกับมันคืนนี้ ไอ้แมนก็ยอมแล้วขอตัวไปคุยกับเพื่อน  เขาจึงเริ่มดำเนินแผนต่อไป


“ไอ้กาย” เรียกแล้วเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังดื่มน้ำ “คืนนี้กูเหนื่อยว่ะ เมื่อคืนเตรียมของให้เดือนดึก มึงอยู่เวรแทนกูได้ไหม” ไอ้กายไม่มีเวร มันโชคดีที่ไม่โดนจับชื่อ ด้วยว่าค่ายนี้เป็นค่ายนอนคืนเดียวผู้ชายมีแปดคน สองคนไม่ต้องอยู่เวรเลยจับสลากสุ่มชื่อ ไอ้กายกับเพื่อนที่กวนปูนเมื่อกลางวันไม่ต้องอยู่เวร เขานึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่มีใครมาช่วยมันกวนปูนเมื่อบ่าย คืนนี้มันได้นอนทั้งคืนนี่เอง


“แหม ทีอย่างนี้นี่มาพูดว่าเหนื่อยนะไอ้ซัน ตอนมึงเดินซื้อของขาแทบลากไม่บ่นซักคำ” ไอ้กายกระแหนะกระแหน


“มึงจะอยู่ไหม ไม่งั้นกูไปขอคนอื่น” ทำเสียงเบื่อๆ แกล้งทำเป็นรำคาญไปงั้นแหละ เพื่อนสนิทก็ลีลาอยู่ได้ “เออๆ ได้ มึงอยู่กี่โมง” มันถามเวลา “เวรสอง ตีหนึ่งถึงตีสามนะ ขอบใจเว้ย” ตบไหล่ขอบคุณแล้วเดินไปเตรียมตัวรอประชุม


อยากแกล้งเขาดีนัก ขากที่ลอบสังเกตมันกับไอ้แมนยังไม่พูดกันเลย แถมยังนั่งห่างกันคนละฝากอีกต่างหากแม้ว่าจะพยายามหัวเราะ สนุกสนานไปกับมุกตลกของทุกคนก็เถอะ เขาเดาว่าต้องไม่ใช่ทะเลาะกันแบบธรรมดาแล้ว ต้องเกี่ยวอะไรกับรอยแดงๆ บนคอไอ้กายวันที่มันเมาแน่


ขอให้มึงได้ ‘ผัว’ เถอะ ไหนๆ ก็ยัดเหยียดให้กูมี ‘เมีย’ แล้ว สลัดกาย!!






.


.


.





   


“ไอ้ซัน มึง!!”


“โอ้ย! เชี่ยเตะมาได้” เขาสะดุ้งตื่นสุดตัว เพื่อนสนิทมาปลุกด้วยบาทา มองออกไปข้างนอกฟ้ายังไม่สาง


“อะไรมึง” ถามออกไปด้วยความหงุดหงิดเพราะนอนไม่พอซ้ำยังต้องนอนบนพื้นอีก ไอ้กายลากเขาออกมาข้างนอกคงกลัวเสียงดังปลุกคนอื่น


“มึงหลอกกู” ท่าทางมันโมโหแต่ก็ไม่สุดเหมือนโมโหกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง


“หลอกไรวะ” เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะ


“ทำไมมึงไม่บอกว่ามึงอยู่เวรคู่กับไอ้แมนละวะ มึงก็รู้ว่ากูทะเลาะกับมันอยู่”


“แล้วดีกันยัง” เออ..ก็เพราะมึงทะเลาะกันไง กูเลยช่วยให้พวกมึงได้มีเวลาปรับความเข้าใจกัน ผิดตรงไหนล่ะ


“เหอะ” ไอ้กายตอบมาแค่นั้น ดูเอาจากท่าทางของมันแล้วเขาขอเดาว่า...

“ดีกันแล้วสิ เออ ค่อยดีหน่อย กูรำคาญพวกมึงมาหลายวันละ” ว่าแล้วก็ยังอยากถามอีก มึงจะเป็นผัวหรือเมีย? ได้แต่คิดใจในเขาว่าถามตอนนี้ยังไม่เหมาะเท่าไหร่


“พี่กาย” นั่น ไม่ทันขาดคำ ไอ้แมนก็วิ่งหน้าเริดเข้ามา พอเห็นเขาก็ยิ้มแหยะๆ ให้ มือถือแก้วควันฉุยมาด้วยสองใบ


“ผมเอานมมาให้ครับ อันนี้ของพี่กาย..” ยื่นให้ไอ้กายหนึ่งแก้ว แล้วอีกแก้วหนึ่ง แมนลังเลแล้วก็ยื่นให้ผม “..ของพี่ซันครับ ผมไม่ใส่น้ำตาลนะพี่ กินได้ไหม” ดูก็รู้ว่าเตรียมมาให้แค่ไอ้กาย แต่เขาก็ยังยื่นมือไปรับ


“เออ..ขอบใจ” รับแก้วนมมาแล้วก็เดินหนี ด้วยยืดคติว่า ตอนทะเลาะกันเป็นเรื่องของคนอื่น แต่พอดีกันแล้วเป็นเรื่องของพวกมัน เข้าไปยุ่งจะหาว่าเสือก น่าแปลกพอตอนทะเลาะกันดันลากคนอื่นเข้าไปเกี่ยวทุกที



เช้าวันนั้นเราก็ก่อผนังเสร็จ ตอนบ่ายมีพิธีปิดค่าย ขอบคุณชาวบ้านที่ให้ความร่วมมือและส่งมอบอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนแล้วก็ช่วยกันเก็บของ ทำความสะอาดค่าย บ่ายสี่โมงก็ถึงเวลาเดินทางกลับ ขามาไอ้กานซ้อนท้ายแต่ขากลับเขากลับเอง ไอ้กายตัวดีดอดไปกับรถค่ายซะงั้น พอดีกันแล้วคนอื่นก็เป็นคนอื่นจริงๆ ให้ตายสิ








การเดินทางกลับใช้เวลาน้อยกว่าตอนไปมาก ขับรถเองบางครั้งก็บิดเพลินไปบ้าง  พอเครื่องเริ่มร้อนก็ต้องหาที่จอดพักเป็นอย่างนี้ตลอดการเดินทาง เขาแวะซื้อข้าวกล่องใต้ตึกแล้วก็เดินขึ้นห้อง



อากาศร้อนจนเหงื่อหยดเป็นเม็ด เขาอยากจะอาบน้ำก่อนค่อยทานข้าวจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินให้ไว้ขึ้น


ไขประตูจึงพบว่าห้องไม่ได้ล็อค เดือนสะเพร่ามากไม่ล็อคประตูได้ยังไง เปิดประตูก็เจอรองเท้าที่เคยเป็นระเบียบกระจัดกระจายเต็มทางเดิน เขาส่ายหัวไม่ไหวจะบ่นเหนื่อยมากหิวมากค่อยจัดการทีหลัง



รองเท้าอาจจะน้อยไป ตามทางเดินมีกางเกงถอดทิ้งไว้บนพื้น เข้ามาในห้องนั่งเล่นมีเสื้อถูกทอดทิ้งไว้บนโซฟา เขาเดินเก็บมาตามทาง วางกล่องข้าวลงบนโต๊ะ เห็นส้มลดไปนิดหน่อยทั้งที่บอกให้กินเยอะๆ เขาขมวดคิ้วยุ่งด้วยความหงุดหงิดอารมณ์กรุ่นๆ เริ่มเกิดขึ้นในใจ



นำเสื้อผ้าใส่เครื่องซักผ้าแล้วเดินออกมาดื่มน้ำ เปิดตู้เย็นก็เห็นว่ากับข้าวที่ซื้อมาตุนไว้พร่องไปน้อยนิด ได้ยินเสียงคนในห้องเปิดประตูออกมาพอดี หันไปมองแล้วชะงักค้างเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน






“ซันๆ !!”








รู้แต่ว่าจู่ๆ อารมณ์ก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่จนมือที่ถือแก้วน้ำสั่นไปหมด เขากลัวแก้วจะตกแตกจนต้องหาที่วาง ตกใจกับภาพที่เห็นตะโกนออกไปอย่างไม่ได้คิด





“จะไปมั่วที่ไหน ซันไม่เคยว่านะเดือน แต่ต้องไม่ใช่ที่ห้อง”






ตะคอกออกไปเสียงดัง สองหูไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากควันคุกรุ่นว่าแล้วก็เปิดตู้เย็นคว้าของกินที่ซื้อทุกอย่างออกมา




“ข้าวเนี่ย ซื้อมาให้กิน ไม่กินใช่ไหม” ชูของในมือขึ้นเดินตรงไปยังถังขยะ โดนทุกอย่างทิ้ง เดือนเบิกตาโพลงชะงักค้างอยู่ที่เดิมพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนที่นัวเนียกันออกห้องมาเมื่อครู่ผละออก




เดินไปหยิบส้มแล้วปาลงไปในถังขยะเต็มแรง ส้มแตกกระจายเลอะเต็มพื้น เดือนถึงได้สติถลันเข้ามาห้าม





“ซันๆ ซันๆ เค้าขอโทษ เค้าขอโทษ” เดือนพยายามยื้อมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ นาทีนั้นเขาโมโหจนพูดไม่ออก ได้แต่หลบมือขาวซีดของอีกคนที่พยายามเข้ามาฉุดยืด



“เค้าขอโทษ ฮื่อๆ อย่า!  อย่าไปนะ อย่าไปนะซัน”




พยายามหายใจเข้าหายใจออกช้าๆ อย่างที่แม่เคยจับไปนั่งสมาธิตอนเด็กเพื่อระงับสติอารมณ์แต่ก็ทำไม่ได้ยิ่งเห็นท่าทางลนลานหวาดกลัวของเดือนก็ยิ่งโมโห ถ้าไม่ได้ทำอะไรให้เขาโกรธจริงจะกลัวทำไม เดินหนีเข้าไปในห้องของตัวเอง เดือนเดินเบียดประตูตามเข้ามา เขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้า อีกฝายถลันเข้ามาขวาง



“ไม่เอานะซัน ไม่เอานะ อย่าทิ้งเค้าไป อย่าไปไหนนะ”



พอเห็นเดือนเต็มตาแล้วเขาจึงได้สติ น้ำตามากมายอาบแก้มขาวซีด ไหลลงมาถึงลำคอขาวที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการร่วมรัก




“อย่าทิ้งเค้าไป ซันๆ อย่าทิ้งเค้าไป” เดือนคว้ามือเขาได้ก็เอาไปกอดแนบอก ท่าทางนั้นบวกกับเรื่องราวของเดือนที่เขาตระหนักอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ใจอ่อนยวบ


“เดือนขอโทษ ขอโทษ ซันๆ เดือนขอโทษ อย่าทิ้ง อย่าทิ้งเค้าไว้คนเดียว” เสียงกุกกักเคลื่อนไหวด้านนอกทำให้เขาและเดือนสะดุ้ง ชายคนนั้นนั่นเอง เดือนยืนกอดมือนิ่งราวกับไม่สนใจสิ่งอื่นใด น้ำตายังคงไหลพราก



“กลับไปซะ” เขาบอกผู้ชายคนนั้น “ไม่ต้องกลับมาอีก ไม่ต้องติดต่อ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว จบแล้วก็จบไป หวังว่าคงเข้าใจนะครับ”





ต้องตัดให้ขาดเหมือนกับที่เดือนทำกับคนก่อนๆ ชายคนนั้นยักไหล่แล้วเดินผละไปจากประตูห้อง สักพักก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องดังปัง! เหลือเพียงความเงียบเข้าปกคลุม เสียงสะอื้อของคนที่คว้ามือเขาไปกอดยังคงมีเป็นพักๆ














“เค้าขอโทษ” เดือนสูดหายใจลึก แล้วขอโทษออกมาอีกครั้ง เขาไม่ตอบแต่ลากเดือนไปยังห้องน้ำ เปิดฝักบัวรดตัวอีกฝ่ายอย่างแรง





“อาบน้ำซะ แล้วเดี๋ยวออกมาคุยกัน”






ปล่อยให้เดือนอยู่ในห้องน้ำข้างในห้อง ตัวเขาเองก็คว้าผ้าเช็ดตัวออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอก








เปิดน้ำเย็นจัดราดหัวเผื่อความร้อนที่มีอยู่ในกายตอนนี้จะบรรเทาลงบ้าง


...สักนิดก็ยังดี



----------------------------------------
[01.01.59]
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุขตลอดปีค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
 :L2:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 9) 01-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 01-01-2016 11:02:37
ไม่ชอบนิสัยเดือนว่ะ จะมั่วคั่วไม่เลือกไปถึงไหนว่ะ
ดูก็รู้ว่าเดือนรักซันแล้วทำแบบนี้มันยิ่งดูไม่มีค่ามากกว่าเดิมอีก แทนที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง เบื่อเดือน ซันก็เหอะ หวงเค้าจะตายแต่ปากหนอปากจะแข็งไปไหน

HNY2016  มีความสุขมากๆนะค่ะ มีแต่สิ่งดีๆเข้ามา  เรื่องร้ายๆผ่านพ้นไป  มาเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆกัน
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 10) 03-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 03-01-2016 18:48:09
Just Love ❤ รักนะครับ






10









‘เดือน...ตัวร้องไห้ทำไม’


เด็กชายคนหนึ่งร้องถาม แก้มสองข้างสีแดงปลั่งเพราะวิ่งเล่นจนเหนื่อยหอบ เด็กน้อยกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งที่กำลังนั่งน้ำตาไหลเงียบๆ ไร้เสียงสะอื้น ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นกำลังวิ่งเล่นกันเสียงดัง


‘…………………’ อีกฝ่ายไม่ตอบเอาแต่ส่ายหน้า ขยับตัวหนี


‘โดนใครแกล้งอีกใช่ไหม’ เด็กชายตะวันถามพลางเดาเหตุผลที่ทำให้เพื่อนตัวขาวซีดของเขาร้องไห้


‘…………………’ ใบหน้าขาวซีดดวงตาแดงก่ำยังคงส่ายหน้า


‘งั้น...หิวหรือเปล่า อยากกินขนมไหม เดี๋ยวซันไปหยิบมาให้ เดือนนั่งรอก่อนนะ’ ถ้าไม่โดนแกล้ง ก็คงหิวแน่ แม่น้องบอกว่าเดือนมักจะปวดท้องจนร้องไห้บ่อยๆ ให้เขาเป็นคนดูแลเดือนให้ทานข้าวให้หมด แต่วันนี้เด็กชายมัวแต่สนใจที่เพื่อนนำหุ่นยนต์ตัวใหม่มาอวดเลยลืมหน้าที่ตนเองเสียสนิท


เด็กชายตัวป้อมวิ่งกลับเข้าไปในห้อง คุณครูน้ำฝนกำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะก็ส่งเสียงทัก


‘ตะวัน เดินดีๆ อย่าวิ่งจ้ะ’ เด็กชายตะวันเปลี่ยนเป็นเดินเร็วๆ แทนการวิ่งอย่างว่าง่าย ‘หาอะไรคะ’


‘ขนมครับ’ เด็กชายเดินไปหลังห้องเปิดกระเป๋าตนเองออก ค้นหาขนมที่แม่ใส่ไว้ให้ประจำออกมา

‘หิวหรือ เมื่อกี้กินข้าวไม่อิ่มเหรอคะ’ ครูสาวเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย เด็กชายตะวันส่ายหัว

‘จะเอาขนมไปให้เดือนครับ เดือนหิวมาก ร้องไห้ใหญ่เลย’ หยิบขนมออกมาได้ก็วิ่งไปหาเพื่อนทันที



คุณครูมองตามไปครู่หนึ่ง หยิบนมกล่องเล็กจากลิ้นชักออกมาลุกขึ้นเดินตามร่างกลมป้อมออกไป



เด็กชายนพคุณ มีชื่อเล่นว่า คุณ ซึ่งเด็กชายตะวันจะเรียกว่า เดือน นั้น รูปร่างสูงกว่าเด็กคนอื่นในชั้นแต่กลับผอมบางแก้มตอบหัวโตซ้ำมีผิวขาวซีดเลยยิ่งทำให้ร่างกายดูเล็กลีบเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นในชั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะอยู่กับเด็กชายตะวันผู้อุดมสมบูรณ์ด้วยใบหน้าเอิบอิ่มและสูงที่สุดในห้อง ทั้งคู่มักจะคลุกอยู่ด้วยกันเสมอไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ผิวขาวซีดของนพคุณจะตัดกับผิวสีเข้มของเพื่อนอีกคนอย่างที่จะโดนล้อบ่อยๆ ว่าทั้งคู่เป็นแสงและเงา


ครูสาวสืบเท้าเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเด็กชายตะวันพูดกับเพื่อน



‘เดือนกินขนมนี่เลย เค้าเก็บไว้ให้เดือนกินเลยน้า’ ตะวันฉีกถุงขนม ส่งขนมปังก้อนเล็กให้ เมื่ออีกคนยังคงนิ่งเลยพูดต่อไป ‘ไม่ชอบเหรอ เค้าบอกให้แม่ซื้อมาชิม เดือนชอบไส้ครีมใช่ไหมล่ะ เค้าเลยลองกินบ้าง’


ดวงตากลมแป๋วจ้องมองกันนิ่งแล้วเด็กชายนพคุณก็เอื้อมมือมาหยิบขนมไป ตะวันส่งยิ้มแป้น ‘อร่อยมากเลย ขนาดเค้าไม่ชอบไส้ครีมยังกินไปหลายอันเลยนะ’


‘เดือนวันนี้ไปนอนบ้านเค้าไหม มีการ์ตูนเรื่องใหม่มา ไปดูด้วยกันนะ’


เด็กชายนพคุณพยักหน้าเบาๆ พลางกัดกินขนมปัง ครูน้ำฝนจึงเดินเข้าไปหาสองเด็กชาย

‘เอ้านี่จ้า นพคุณ ครูเอานมที่ชอบมาให้’ เด็กชายนพคุณเงยหน้าขึ้นมอง ยังไม่ทันส่งมือมารับ เด็กชายตะวันก็เอื้อมมือมารับของแทนแล้วยกมือไหว้ขอบคุณเสียงใส เด็กชายนพคุณจึงทำตามพลางกล่าวขอบคุณเสียงเบา



ครูสาวกวาดตาสำรวจลูกศิษย์ตัวน้อยอย่างละเอียด เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำกระจายปกหน้าผากมน เหงื่อซึมอยู่ตามไรผม ใบหน้าขาวซีดมีคราบน้ำตาอยู่เป็นทาง ดวงตาสีดำสนิทสองข้างแดงช้ำ ริมฝีปากเล็กๆ กำลังเคี้ยวขนมที่เพื่อนยื่นให้มีสีแดงจัดราวกับถูกเม้มไว้เป็นเวลานาน กวาดสายตามองมายังเสื้อผ้าก็เห็นว่าสะอาดเรียบร้อย แสดงถึงการเอาใจใส่ของผู้ปกครองเป็นอย่างดี


อะไรกันนะที่ทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้ จะว่าหิวข้าวก็คงไม่ใช่เพราะตอนกลางวันเธอก็เห็นอยู่ว่านพคุณทานข้าวหมดจานตามที่ตะวันบอกเสมอ แม้ว่าวันนี้จะทานช้าไปหน่อยเพราะเพื่อนไม่ค่อยใส่ใจก็ตาม ในฐานะครูประจำชั้นเธอทราบว่าฐานะทางบ้านของเด็กชายอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปในทางดี หากจะมองว่าเป็นปัญหาเรื่องฐานะการเงินก็ไม่น่าใช่ 


เด็กชายตะวันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วพยายามเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าเล็กๆ ของเพื่อน จังหวะนั้นเองที่นพคุณเงยหน้าเพื่อให้เพื่อนเช็ดหน้าได้ถนัด รอยช้ำสีม่วงแดงใต้ผิวในร่มผ้าก็ปรากฏ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่นพคุณจะขยับตัว แต่ก็ไม่รอดจากสายตาที่มองอยู่ไปได้



ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว?  นึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มใจดีของมารดาของนพคุณที่มารับตอนเย็นของทุกวันแล้ว....ครูสาวขมวดคิ้ว ร่องรอยพวกนั้นมาจากไหนกันนะ




เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นจากเด็กชายทั้งสองทำให้ครูสาวกลับมาสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า



‘ทำไมซาลาเปาถึงมีจุดสีแดงๆ’ เด็กชายตะวันถามเพื่อนเสียงใส ยกมือขึ้นกอดอกทำหน้าตาเคร่งครึมอย่างสุดความสามารถ


‘เอ่อ....’ อีกฝ่ายทำท่านึก คิ้วขมวดกันแน่น


‘เร็วซี่เดือน นับนะ


หนึ่ง


...


สอง


...


สาม’



‘จะได้รู้ว่าเป็นไส้หมู แม่บอกว่าซาลาเปาจุดสีแดงเป็นไส้หมูใช่ไหมล่ะ’ นพคุณพูดจบก็พยักหน้า เด็กชายทานขนมในมือหมดไปแล้วแววตาหม่นหมองค่อยสดใสขึ้นมา

‘ม่ายช่าย ยอมหรือยัง’ ตะวันส่ายหัวดุ๊กดิ๊กเล่นหูเล่นตา ‘ยอมแล้ว’ นพคุณยกฝ่ามือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้


‘ซาลาเปากำลังอายอยู่’


‘เอ๋ ทำไมล่ะ’



‘ก็ซาลาเปาโดน ขนม จีบ ไง’ ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะคิกคัก เพื่อนทำหน้างง
สักพักแล้วก็หัวเราะตามพลางว่า ‘เอาอีกๆ ซันๆ ทายอีก’



‘ทำไมโอวัลตินถึงหกล้ม’   


‘โอวัลตินหกล้มได้ด้วยเหรอ’


‘ได้สิ’ ตะวันตอบเพื่อนเสียงสะบัดพลางทำปากจิจ๊ะ ตอนที่เพื่อนมาทายเขายังไม่สงสัยเหมือนเดือนเลย ‘ทายเลยๆ ดื่มนมด้วย’ เจาะนมในมือแล้วส่งให้เพื่อน คนตัวเล็กรับนมมาเม้มริมฝีปากทำท่าคิด


‘โอวัลตินถูกแกล้ง’ นพคุณดูดนมจนแก้มป่องแล้วตอบ




‘ผิดดดดด โอวัลตินหกล้มเพราะถูกมอลท์ สกัด ฮ่าๆ’



แล้วเด็กชายทั้งสองก็ประสานเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครง เป็นเด็กก็คงดีแบบนี้ล่ะ เจ็บก็ร้องไห้ อีกเดี๋ยวก็กลับมาหัวเราะใหม่ได้แล้ว 



เรื่องรอยช้ำพวกนั้น มารดาของนพคุณทราบไหมนะ ถ้ามีโอกาสเธอต้องลองถามดูบ้างเสียแล้ว




.



.



.




   

เวลาผ่านไปจากวัยอนุบาลเด็กชายทั้งสองคนเติบโตตอนนี้อยู่ชั้นประถมศึกษาปีสุดท้าย

   
เด็กชายตะวันเปลี่ยนจากกลมป้อมเป็นสูงเก้งก้าง ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาสีดำสนิทเป็นประกายเจิดจ้า ใบหน้านั้นเตะแต้มด้วยรอยยิ้ม สมกับชื่อตะวัน พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างพาความหวัง ความสุข ความสนุกสนานรื่นเริงมาให้แก่ผู้พบปะเสมอ
   

เด็กชายตะวันเรียนดี มีความรับผิดชอบสูงทำให้ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าชั้นตลอดตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนชั้นประถม ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักเรียนไปแข่งด้านวิชาการบ่อยๆ ทั้งยังมีความสามารถทางด้านกีฬาโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟุตบอล เจ้าตัวหมั่นฝึกซ้อมจนได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียนอย่างไม่น่าแปลกใจ

   

ไม่ว่า ‘ตะวัน’ จะทำอะไร ทุกคนต่างชื่นชมและสนับสนุนเขาอย่างดีเสมอมา

   

ต่างกับเด็กชายตะวันราวขาวกับดำ เด็กชายนพคุณ นั้นรูปร่างสูงก็จริงแต่กลับผอมแห้ง ผิวซีดขาว ดูอ่อนแอราวกับคนป่วยเรื้อรัง เด็กชายนพคุณในสายตาของครูทุกคนเป็นเด็กเรียนกลางๆ ไม่เก่งแต่ก็ไม่ได้อ่อนจนต้องกวดขัน ความสามารถทางด้านกีฬาเป็นศูนย์ในช่วงโมงพละเป็นได้แค่เด็กเก็บบอลหรือไม่ก็ผู้ช่วยครูจดคะแนนเพื่อนๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น


หากไปถามนักเรียนคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันว่ารู้จักนพคุณไหม คนถามก็จะทำท่านึก แล้วก็ร้อง อ๋อ ก่อนตอบว่า คนที่เป็นเพื่อนสนิทตะวันใช่หรือเปล่า แน่ล่ะ เด็กชายตะวันเป็นที่รู้จักของทุกคนอยู่แล้ว

   
   

นพคุณเป็นเด็กเรียบร้อย เงียบ เก็บตัว บางครั้งก็ทำตัวจืดจางเสียจนถูกลืมบ่อยๆ คนที่ทำให้นพคุณหัวเราะ ยิ้มได้ตลอดก็คือเด็กชายตะวันนี่เอง ถ้าถามนพคุณว่ารู้สึกอิจฉาหรือเปล่าที่ตะวันเป็นที่รักของเพื่อนๆ ทั้งเรียนเก่ง เล่นฟุตบอลเก่ง ทำอะไรก็ดีไปหมดทุกอย่างแบบนี้

เด็กชายจะส่ายหัวแล้วพูดเสียงหนักแน่น ‘ไม่อิจฉาหรอกฮะ ซันๆ เค้าเก่งอย่างนั้นจริงๆ’ ด้วยแววตาของความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง


   

คนใกล้ชิดจะรู้ว่าหากต้องการให้นพคุณทำอะไรสักอย่าง แค่เอาชื่อตะวันเข้ามาเอี่ยวเจ้าตัวก็จะทำตามอย่างไร้ข้อกังขา

   

‘เดือนลูก ทำการบ้านหรือยัง’ แม่เดินมาถามเมื่อเห็นว่าลูกชายนั่งดูโทรทัศน์อยู่

   
‘เดี๋ยวฮะ’ สองตายังคงจ้องเป๋งอยู่ที่จอสี่เหลี่ยม

   

‘เดี๋ยวก็ทำไม่เสร็จหรอก วันนี้ซันๆ จะมาหาไม่ใช่หรือ’ พอได้ยินชื่อเพื่อนสนิท เจ้าตัวก็รีบเปิดกระเป๋า หยิบการบ้านขึ้นมาทำทันที



 
   






‘คุณ!’ เด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา ผมเปียสะบัดไปมาตามจังหวะการเคลื่อนไหว เด็กชายร่างสูงเก้งก้างเจ้าของชื่อจึงหยุดรอ

   
‘คุณสนใจลงแข่งวาดภาพไหม’ มาถึงเด็กหญิงก็ถามทันที เด็กชายนพคุณชอบเรียนวิชาศิลปะ เจ้าตัวมักจะทำได้ดีเสมอ เป็นวิชาเดียวที่ชื่อของนพคุณจะได้รับคำชมจากครูประจำ

   
‘เออ...ไม่ไหวมั้ง ให้เราไปวาดเนี่ยนะ’ เด็กชายบอกปฏิเสธ ‘ไหวซี่’ เด็กหญิงสวนออกมาทันควัน ‘นายวาดรูปสวยออก’ เมื่อยังเห็นอีกฝ่ายลังเลก็พูดต่อ

‘เนี่ย ซันๆ ลงแข่งคณิตกับวิทยาศาสตร์ด้วยนะ’

‘เหรอ...ถ้าซันๆ ลง เราลงด้วยก็ได้’

‘ขอบใจนะ ห้องเราต้องได้รางวัลเยอะแน่เลย ไปก่อนนะคุณ’ เด็กหญิงบอกลาแล้วเดินจากไป






‘เดือนลงวาดรูปเหรอ ชนะแน่ ตัววาดรูปสวย’ ตะวันเพิ่งมาถึงได้ยินเพื่อนคุยกันคร่าวๆ


‘อื้อ ไม่ขนาดนั้นหรอก เค้าแค่วาดได้’ แก้มขาวซีดขึ้นสีชมพูจางเมื่อได้รับคำชม


‘โหย ถ้าเดือนแค่วาดได้ แล้วเค้าล่ะ เรียกว่าอะไร’ เด็กชายตะวันร้องครวญ วิชาที่ตะวันทำได้แย่ที่สุดคือศิลปะ   


ปลายเดือนมกราคมพัดพาสายลมโชยอ่อนไล้ปลายผม ตะวันยอแสงสีส้มจางแล้วเมื่อทั้งคู่เดินออกมาตามทางเดินด้วยกัน ใบไม้ส่ายไหวก่อนจะร่วงหล่นจากขั้ว


‘เดือน...ตัวยังเจ็บตัวบ่อยๆ อยู่หรือเปล่า’ เด็กชายตะวันถามระหว่างเดินออกมาจากโรงเรียนเพื่อรอผู้ปกครองมารับที่ลานจอดรถด้านหน้าโรงเรียน


นพคุณชะงักไปครู่หนึ่ง เหลียวมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในรัศมีได้ยินก็พยักหน้า


‘เค้าลองไปคิดมาแล้ว เค้าว่าตัวต้องบอกพ่อศักดิ์กับแม่น้องนะ’ เห็นเพื่อนท่าทางไม่สบายใจ กลัวว่าจะมีคนได้ยินตะวันจึงกระซิบเสียงเบา


‘บอกไม่ได้หรอก ถะ...ถ้าเกิด...’


‘ไม่หรอก มันไม่ทำอย่างที่มันขู่หรอกเดือน เชื่อเค้าสิ ถ้าตัวไม่กล้า ให้เค้าบอกแทนไหม’


‘แล้วซันๆ จะไม่เป็นไรเหรอ...มันเจ็บมากเลยนะ’ เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ตนเองได้รับ ใบหน้านั้นก็เผื่อนลงขาวซีดกว่าเดิม เหงื่อหยดเล็กๆ ผุดขึ้นตามไรผม



‘เถอะน่า วันนี้ตัวมานอนบ้านเค้าเถอะ ไปบอกแม่เค้ากันว่าจะทำยังไง’ แววตามุ่งมั่นที่คนพูดส่งมาให้ทำให้นพคุณมั่นใจอย่างที่ไม่เคยมั่นใจมาหลายปีว่า ทุกเรื่องที่ซันๆ จัดการจะต้องผ่านไปอย่างเรียบร้อยแน่นอน เจ้าตัวจึงยอมตกลง 










เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากเล็กๆ พร้อมทั้งร่องรอยตามร่างกายซีดผอม และเสียงสนับสนุนของลูกชายตนเองนั้นแล้ว ผู้ใหญ่สองคนก็ตกใจ วิ่งวุ่นโทรศัพท์ทันที



ภายในเวลาไม่กี่นาที รถยนต์สีขาวก็แล่นเข้ามาจอดในบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน ขนาดกลางที่ปลูกต้นไม้ครึ้มด้วยความเร็วจนได้ยินเสียงห้ามล้อดังเอี๊ยด ประตูรถเปิดออกอย่างรวดเร็ว แม่น้องวิ่งลงมาสวมกอดลูกชายของตนแนบอก ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น พร้อมพูดขอโทษลูกชายไม่ขาดปาก



‘เดือน เดือนลูกแม่ แม่ขอโทษนะ เดือน ขอโทษ’



พ่อศักดิ์เข้ามากอดสองคนไว้อีกชั้น ดวงตาผู้เป็นพ่อนั้นแดงก่ำ น้ำตาคลอหน่วยตา



เมื่อถูกทั้งแม่และพ่อกอดแน่นอย่างที่ไม่เคยได้รับตั้งแต่จำความได้ เด็กชายนพคุณก็ปล่อยโฮ ทั้งจากความดีใจที่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่อย่างพร้อมเพรียง ความรักความอบอุ่นที่ได้รับอย่างปัจจุบันทันด่วน ความเจ็บปวด ทรมานและเสียงร่ำไห้ในอดีตที่เคยแต่กล้ำกลืนไว้ในอกถูกส่งออกมา เสียงร้องไห้นั้นเริ่มจากแผ่วเบาแล้วค่อยๆ ดังขึ้นจนปล่อยโฮออกมาราวกับถังน้ำที่เปิดน้ำใส่ไว้จนเต็มล้น แค่ได้ยินพ่อและแม่ก็ร่ำไห้ออกมาอย่างหมดอาย



อีกสามคนที่ยืนมองภาพนั้นได้แต่น้ำตาซึม เด็กชายตะวันถึงกับร้องไห้ออกมาจนแม่และพ่อต้องก้มลงไปกอดลูกชายไว้แน่น


   

การดำเนินคดีเกิดขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงถัดมา พี่เลี้ยงและคนงานในบ้านถูกจับกุมในฐานะผู้ต้องสงสัยในการทำร้ายร่างกายและทารุณกรรมทางเพศ ต่อมาถูกตัดสินว่าได้กระทำความผิดจริงจึงถูกลงโทษตามกฎหมาย


   

บาดแผลทางกายรักษาหายได้ในไม่กี่วัน แต่บาดแผลทางใจนั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะค่อยทุเลาลง
   




แม่น้องที่เคยเป็นพนักงานประจำของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาเป็นแม่บ้าน คอบดูแลลูกชายตัวน้อยของเธอด้วยตนเอง แล้วเธอก็ต้องน้ำตาซึมทุกครั้งที่เห็นร่องรอยมากมายบนตัวลูกชาย ทั้งรอยเก่าที่จางลงไปแล้วและรอยแผลเป็นที่ยังใหม่สด
   

พ่อศักดิ์จากที่เคยเป็นวิศวกรที่ต้องตระเวนทำงานไปตามจังหวัดต่างๆ เป็นเวลาหลายเดือนกว่าจะได้กลับบ้านก็ทำเรื่องย้ายเข้าประจำที่บริษัทแม่ทำให้มีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น
    


เด็กชายนพคุณเริ่มสดใสร่าเริง ยิ้มเก่ง ช่างพูดมากขึ้น ในตอนที่ย้ายเข้ามาเรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนใหม่ เด็กชายตะวันสอบได้ห้องหนึ่ง ขณะที่เด็กชายนพคุณสอบได้ห้องสิบ ทั้งคู่เรียนอยู่กันคนละห้อง การปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่และเพื่อนใหม่ทำให้ทั้งคู่เริ่มห่างกันไป

   

‘เดือน!’ ตะวันร้องเรียกเพื่อนเสียงดังด้วยน้ำเสียงทุ้มห้าวเพราะเริ่มแตกหนุ่ม ก่อนจะวิ่งตัดสนามหญ้าออกมา ‘ตัวจะไปไหน’ ถามคนที่จะเดินออกนอกโรงเรียนกับเพื่อนกลุ่มใหญ่
   

‘ไปบ้านบอย ซันจะไปด้วยเหรอ’ นพคุณในตอนนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองสูงขึ้นทั้งยังดูสุขภาพดีขึ้น พูดเก่ง ยิ้มง่ายเป็นที่รักของใครหลายคนในโรงเรียน
   

‘เปล่า ...แล้วจะไปทำไรกัน’ ตะวันลากแขนอีกคนให้ห่างจากเพื่อนท่าทางไม่น่าไว้ใจของเดือนที่ยืนรออยู่
   

‘ตัวรู้ไหมว่าไอ้พวกนั้นมันนิสัยไม่ดีนะ’
   

‘หือ? ไม่หรอก พวกบอยก็ดีกับเราออก ถึงจะไม่เท่าซันก็เถอะนะ’ ตอบเพื่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ‘จะไปจริงเหรอ’ ตะวันกัดริมฝีปาก ปัดเหงื่อที่ไหลออกมาจากไรผม ใบหน้าคมเข้มขึ้นเพราะตากแดดวิ่งเล่นฟุตบอลกลางแจ้งบ่อยๆ
   

‘เอางี้ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็โทรหาเค้าละกันนะ จะไปรับ’
   

‘เป็นห่วงขนาดนั้นเลย ไม่มีอะไรหรอกน่า’ ตะวันคาดคั้นจนได้คำสัญญาจากเพื่อนจึงวางใจปล่อยให้อีกฝ่ายเดินกลับไปรวมกลุ่ม








.



.




.
   



เสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นกลางดึง ปลุกให้คนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนสะดุ้งตื่น นาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงบอกเวลาตีสองกว่า



‘ซันๆ ...ฮึก...ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย’ เสียงสั่นเครือป่นสะอื้นดังออกมาจากปลายสาย
   

‘เดือน! อยู่ไหน’ ตะวันร้องถามออกไป เมื่อทราบที่อยู่จึงเร่งมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปด้วยความเร็วอย่างน่าหวาดเสียว

   

เด็กชายวัยรุ่นรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้นหน้าอาคารพาณิชย์สามชั้นซึ่งตั้งอยู่กลางเมือง เขาเดินผ่านประตูเหล็กที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งเข้าไป แสงไฟสีส้มจากหลอดไฟดวงเดียวเหนือเพดานเผยให้เห็นลักษณะภายในอาคาร สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งเก็บสินค้ามีกล่องมากหมายหลายขนาดกองวางไว้เต็มพื้นที่เหลือเพียงทางเดินแคบพอเดินได้หนึ่งคนเท่านั้น เขาตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง กลิ่นบุหรี่โชยมาจนแสบจมูกเมื่อก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย เดินผ่านร่างของเด็กวัยรุ่นหลายคนที่นอนเกลื่อนกลาดไม่ได้สติ บางคนยังสวมชุดนักเรียนมอต้นด้วยซ้ำ

   

คนที่โทรศัพท์เรียกเขามานอนเอนตัวพิงผนังห้องน้ำอยู่ มือขวากุมแน่นที่ข้อมือซ้ายซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

   

‘เดือน!’ เด็กชายพุ่งตัวเข้านั่งคุกเข่าลงข้างๆ คนที่นอนอยู่ลืมตาขึ้นมอง เอ่ยเสียงแหบโหย ‘ซันๆ มาแล้ว’ เด็กชายตัวโตช้อนตัวเพื่อนขึ้นมาอย่างง่ายดาย แม้ว่าร่างนั้นจะสูงพอๆ กับเขาแต่ก็ผอมเก้งก้างไม่มีเนื้อหนัง

   


เขาอุ้มเพื่อนลงมายังมอเตอร์ไซค์พาไปส่งโรงพยาบาลแล้วนั่งรอ เวลาผ่านไปสักครู่บุรุษพยาบาลก็เข็นรถออกมา คนเจ็บมีผ้าพันแผลที่ข้อมือเรียบร้อย คนนั่งรอเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นเดินจากไปอย่างรวดเร็วทำให้คนที่นั่งรถเข็นรีบเดินตามแม้ว่าร่างกายจะอ่อนล้าเต็มที เมื่อเดินออกมานอกโรงพยาบาล คนที่เดินนำออกมาก็ชะลอ คนเดินตามจึงเอ่ยออกมาเป็นคำแรก

   

‘ซันๆ’ คนเจ็บเรียกชื่อเพื่อนตัวเอง ‘ขอโทษนะ’ พูดจบก็ก้มหน้ามองพื้น

   

‘รู้ตัวไหมว่าพูด ขอโทษ ออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว’ ตะวันตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบ อารมณ์ที่คุกกรุ่นในใจก็ระเบิดออก

   


‘ถ้าอยากตายจริงๆ ก็ไม่ต้องโทรมา’  หันมาตะคอกร่างตรงหน้าสุดเสียง เวลาดึกสงัดทำให้เสียงก้องสะท้อนไปมา



‘จะไปไหน ทำอะไรก็ทำเลย ยังไงความรู้สึกของแม่น้อง พ่อศักดิ์ แม่ ป๊าแล้วก็ซันไม่มีความหมายอยู่แล้ว ใช่ไหม!!’



‘.....................’ คนตรงหน้าเงียบ น้ำตาไหลอาบแก้ม สองมือกอดตัวเอง จิกเล็บจนมือขึ้นข้อขาว ผ้าพันแผลมีเลือดซึม


‘ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วก็ไปเลย จะตายไม่ใช่เหรอ ไม่อยากเจอกันแล้วใช่ไหม!!!’ คนพูดเองก็น้ำตานองหน้าไม่แพ้กัน หลายคนที่ได้ยินเสียงก็ออกมาเมี่ยงมอง ไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยว


    

‘ไม่!! ไม่จริงนะ’ คนที่เอาแต่ก้มหน้ารีบเงยหน้าขึ้นมาพูดละล่ำละลัก ‘อยากอยู่ อยากอยู่กับซัน กับทุกคน....’ พูดไม่ทันจบตะวันก็แทรกขึ้น

   
‘หึ ไม่จริงหรอกเดือน เดือนไม่อยากอยู่ด้วยกันหรอก ถ้าอย่างนั้นจะกรีดข้อมือตัวเองทำไมฮะ ถ้าไม่อยากตายจะกรีดข้อมือตัวเองทำไมอีก!!!




‘ฮื่อ..ฮึก…..ซันๆ ไม่เข้าใจ ในหัวเค้ามีแต่เสียงเต็มไปหมด ทำยังไงก็ไม่เงียบ ฮื่อ...เค้าเรียกแม่ เรียกพ่อ...เรียกตัวแล้ว เค้าเรียกซันๆ แล้วตัวก็ไม่มา...ฮื่อ...มีแต่คนบอกให้ตายซะจะได้เจอซันๆ เจอแม่ พ่อ...ฮื่อ...ตัวจะให้เค้าทำอย่างไงล่ะ’


ราวกับความอดทนของคนผอมเก้งก้างได้สิ้นสุดลง เจ้าตัวร้องไห้ออกมาเสียงดัง พร่ำพูดความในใจที่ไม่เคยพูดออกมาอย่างหมดเปลือก พูดจบก็ทุบตีตัวเอง ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสงสาร


ตะวันตะลึง ตกใจชั่วครู่จนเมื่อพยาบาลต่างวิ่งเข้ามาเพื่อห้ามไม่ให้ทำร้ายร่างกายตนเองก็ได้สติ วิ่งเข้าไปกอดคนที่กรีดร้องแน่น พูดกับคนในอ้อมกอดข้างหูซ้ำ ‘ซันขอโทษเดือน ซันอยู่นี่แล้ว ซันอยู่นี่แล้ว ซันมาแล้วเดือน’ จนอีกฝ่ายหยุดร้องไห้แล้วหมดสติไป




นพคุณนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาเดือนกว่า โชคดีที่เป็นเวลาปิดเทอมก่อนจะขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก การรักษาตัวเป็นไปอย่างเรียบร้อยด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง



ปีสุดท้ายของชั้นมัธยมผ่านไปด้วยความระมัดระวังของทุกคน นายตะวันเข้าศึกษาต่อที่คณะวิทยาศาสตร์ตามที่ได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยตั้งแต่เริ่มเรียนเทอมสุดท้ายของชั้นมอหก นายนพคุณเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะศิลปกรรมศาสตร์จากการสอบรับตรง       



ความทรงจำในช่วงเวลาต่างๆ ถูกลืมเลื่อนไปตามกาลเวลา...ความทรงจำที่เลวร้ายของคนอื่นมักถูกลืมไปก่อนเสมอ เว้นแต่คนที่ประสบกับเรื่องเลวร้ายโดยตรงเท่านั้นที่แม้จะเวลาผ่านไปเท่าใด ภาพเหตุการณ์อาจเลื่อนรางไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยลบหายออกไปจากใจ





.


.



.




   

‘ไอ้คุณ วันนี้ไปด้วยกันป่าววะมึง’ เวลาหัวค่ำวันเสาร์นพคุณนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องเงียบๆ ลำพัง ใครคนหนึ่งก็โทรมาชวนออกไปข้างนอก
   

‘ไม่ไปว่ะ กูเฝ้าห้อง ซันไม่อยู่’
   

‘เฮ้ย พ่อมึงไม่อยู่อะดีแล้ว ออกมาเถอะ อยู่คนเดียว ไม่เหงาเหรอ’ คำว่า เหงา สะกิดใจให้เจ็บแปลบขึ้นมา ปลายสายก็พูดย้ำขึ้นมาอีกรอบ

   

‘มาเถอะน่า คนกันเองทั้งนั้น อย่างนั่งเหงาคนเดียวที่ห้องเลย’ ได้ยินอย่างนั้นก็ตอบตกลง เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปตามคำชักชวน

   




ท่ามกลางม่านควันและแสงไฟหลากสี ใครคนหนึ่งก็เข้ามาชนแก้ว






‘ชื่ออะไรครับ ผมซัน’





ซันเหรอ?





‘เดือนเอง ดีจังที่ซันกลับมาแล้ว’ ชนแก้วพร้อมส่งยิ้มกว้างให้




 

ริมฝีปากหนาที่บดเบียด ล้วงลึกเข้ามาด้วยความกระหาย เสียงพร่ากระซิบเรียก ‘เดือน...เดือน’ ดังอยู่ข้างหู ฝ่ามือร้อนนาบลงมาตามร่างกาย ช่วงเวลาเหล่านั้นร่างผอมเหมือนถูกกระชากขึ้นจากพื้นดิน ลอยละล่องไปในฟ้ากว้างไร้ขอบเขต เบาสบาย ความรู้สึกอ้างว้างมลายหายไป เหลือเพียงตัวเขาที่ล่องลอย ไร้ความรู้สึก...








ตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายจัดเพราะการรบกวนของคนข้างตัว นพคุณลืมตาขึ้นมาก็รู้ว่านอนอยู่บนเตียงในห้องพักของตนเอง สลัดหนีการเกาะกุมของคนแปลกหน้า หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมแล้วเปิดประตูออกมา เดินได้สองสามก้าวคนที่เดินตามออกมาก็คว้าเอวเขาได้ แล้วโน้มใบหน้าลงมาจูบ สะบัดหน้าหนีหันไปเจอใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าตู้เย็น จ้องมองด้วยสีหน้าตกตะลึง






‘ซัน!!!’





-----------------------------------
[03.01.59]
หวังว่าคงพอเข้าใจน้องเดือนกันบ้างนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :กอด1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 10) 03-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 03-01-2016 20:45:55
เหอะ เดือนไม่น่าทำตัวอย่างงี้เลย ถึงจะมีปมในใจแต่เวลาจะทำอะไรทำไมไม่นึกถึงคนข้างๆให้เยอะๆล่ะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 04-01-2016 21:13:29
Just Love  ❤ รักนะครับ





11




   


นาฬิกาเดินเป็นจังหวะในความเงียบ เสียงรถราสัญจรไปมาแว่วจากถนนใหญ่เข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ เป็นเวลาหลายนาทีแล้วที่ทั้งเขาและเดือนออกมาเผชิญหน้ากัน โต๊ะทานข้าวที่กั้นระหว่างเราอยู่ดูใหญ่และกว้างกว่าเดิมในความรู้สึก


   


เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย...มันอึดอัดจนแทบไม่กล้าทำเสียงดังเวลาหายใจ


   

หลังจากใช้น้ำราดตัวจนพอที่จะควบคุมสติอารมณ์ได้แล้วจึงค่อยๆ ทบทวนความรู้สึกของตนเองอีกครั้ง เขาตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบ

   

อะไรที่ทำให้โมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่?
 
   


คำตอบที่แวบขึ้นมาในความคิดคือ...เดือน เพราะเพื่อนร่วมห้องคนนี้ทั้งนั้น

   


เดือนวางรองเท้าไม่เป็นระเบียบ ถอดทิ้งไว้ทั้งที่เคยบอกให้เดือนจัดรองเท้าให้ดีก่อนเข้าห้องไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ ที่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ความรู้สึกราวกับคำพูดของตนเองไร้ความหมายต่อคนที่ใส่ใจดูแลเป็นเหมือนน้ำมันหยดแรกที่หยดลงไปในกล่องอารมณ์ที่ซ่อนไว้ลึกสุดใจ

   


เดือนทำให้ห้องรก วางของเกะกะ ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้เกลื่อนกลาด...คิดมาถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ...เสื้อผ้าเหล่านั้นเจ้าตัวเป็นคนถอดออกเองหรือว่าถูกใครคนอื่นถอดออก น้ำมันหยดที่สองหยุดลงกระทบผิวน้ำเบื้องล่างแตกกระจายเป็นวงกว้าง

   


น้ำมันหยดที่สามคือเมื่อเปิดตู้เย็นแล้วเจอทั้งกับข้าวและขนมที่ซื้อเตรียมไว้ให้ถูกแตะต้องไปเล็กน้อย ส้มหลายลูกยังวางอยู่ในตะกร้าเล็กๆ บนโต๊ะ ดูแวบเดียวก็รู้ว่าไม่มีคนสนใจใยดีกับสิ่งที่เขาได้ทุ่มเทใช้เวลาคัดเลือกแต่สิ่งดีๆ ให้แม้แต่น้อย ราวกับว่าการกระทำนั้นมันช่างไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์ใด คราวนี้มิใช่เป็นหยดน้ำมันแต่เป็นเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ถูกโยนลงไปในบึงกว้างด้วยหวังว่ามันจะช่วยถมบึงนั้นให้เต็ม




เขาเหนื่อยเต็มทีกับการทุ่มเทให้คนที่ไม่คิดจะรับ ลำคอแห้งผากจนกระทั่งกลืนน้ำลายยังลำบาก ทั้งที่บอกกับตัวเองไว้แล้วว่าค่อยบอกกับเดือนอีกครั้งหลังจากที่เขาได้พักจนหายเหนื่อยแล้ว




แต่
 


   
...เขาก็ต้องยอมรับว่าเมื่อหันมาเจอภาพที่เดือนกอดรัดแลกลิ้นกับใครคนอื่นในห้องของเขาเองทำเอาสติขาด ได้ยินเสียงแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ภาพตรงหน้าเป็นเหมือนเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นแล้วโยนใส่ในกล่องที่เต็มไปด้วยน้ำมันจนล้นปรี่



   
เปลวเพลิงร้อนแรง แผดเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า

   

   
ระเบิดอารมณ์ออกไปด้วยคำพูดรุนแรงชนิดที่คนพูดเองกลับมาทบทวนยังรู้สึกเจ็บปวด....แล้วคนฟังล่ะ คงรู้สึกยิ่งกว่าถูกตบหน้าอีกเป็นแน่ เดือนถึงกับน้ำตาร่วง ร้องไห้เสียงดังสะอึกสะอื้นอย่างไม่อาย ผิดจากทุกครั้งที่ร้องไห้ เจ้าตัวจะแค่ปล่อยน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ กัดริมฝีปากแน่นจนไม่มีเสียงใดลอดออกมาให้ใครได้ยิน


   
เขาควรจะทำอะไรในเวลานี้ แม้ว่าจะเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจที่ตะคอกใส่ด้วยถ้อยคำรุนแรงแต่เขาก็ไม่อยากเอ่ยคำว่า ขอโทษ กับอีกฝ่ายเลยแม้ครึ่งคำ



ทุกครั้งที่ขยับจะพูดขอโทษ ภาพความใกล้ชิดของเดือนกับใครต่อใครก็แวบขึ้นมาในหัว...พยายามสูดหายใจเข้าลึกระบายออกช้าๆ เพื่อเรียกสติ รู้ดีว่าถ้ายังคงคิดเรื่องเดือนต่อไป อารมณ์ที่คิดว่าระเบิดออกไปแล้วคงหวนหลับมาอีกในไม่ช้า


   
‘ถ้าเดือนร้องไห้ แสดงว่าเดือนอาจหิวก็ได้นะซันๆ เตือนเดือนให้ทานข้าวเยอะๆ นะจ๊ะ’   

   

เสียงแม่น้องแว่วเข้ามาจากอดีตของวันวาน....ในเวลาแบบนี้ทำอย่างอื่นอาจดีกว่าที่ต้องนั่งมองคนตรงหน้าเช็ดน้ำตาปอยๆ อั้นเสียงสะอื้น เขารู้ดีว่ายิ่งมองเห็นมากเท่าไหร่ อกข้างซ้ายก็ปวดแปลบมากเท่านั้น

   

เมื่อตัดสินใจได้เขาลุกขึ้น เสียงเก้าอี้ครูดไปกับพื้นกระเบื้องทำให้เดือนสะดุ้ง เงยหน้ามอง

   

“จะ...จะไปไหน...ฮึก”

   

“ต้มมาม่า...หิว”
   
   

ไม่นานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ส่งควันฉุยอยู่ในชาม ชามแรกถูกเขาบดเส้นจนแหลกชุบไข่ที่เจียวไว้แล้วจึงนำไปต้มกับน้ำพอขลุกขลิก ชามที่สองใส่เส้นบะหมี่รอจนน้ำเดือดตอกไข่ลงไปในหม้อ นับหนึ่งถึงสิบแล้วปิดเตา

   

“ไปยกเอง อยู่บนเคาน์เตอร์”

   

วางชามบะหมี่ร้อนๆ ไว้ตรงหน้า หยิบตะเกียบและช้อนขึ้นมาแล้วเริ่มกินราวกับหิวจัดทั้งที่ในอกตื้อไปหมด

   

เดือนถือถ้วยบะหมี่วางบนโต๊ะ ใช้ช้อนยาวตักบะหมี่เป่าเบาๆ แล้วทาน เสียงสะอื้นเงียบหายไปแล้ว






   
แก้วน้ำเย็นจัดถูกส่งมาให้เมื่อเขาทานเสร็จ ยังไม่อยากมองหน้าคนที่ยื่นแก้วน้ำมาจึงมองไปที่ชามบะหมี่ก็เห็นว่าหมดเกลี้ยง

   
“ซันๆ” เดือนพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เค้าขอโ--”

   
“ไม่ต้องหรอก เค้าเบื่อที่จะได้ยินแล้ว” แค่ได้ฟังก็รู้ว่าเดือนจะพูดอะไร เขาจึงตัดบท คิดว่าเขาทนฟังคำขอโทษแล้วยังทำซ้ำๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว



   
“.................................”

   
“เดือน”

   
“....ฮึก......อึก”

   
“หยุดร้องไห้เถอะ ตาช้ำไปหมดแล้วนะ” เดือนร้องไห้อีกแล้ว เพราะคำพูดไม่กี่คำของเขา

   
“.................ฮึก”

   
“ไม่ต้องร้อง มันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ” เผลอโมโหขึ้นมาอีกจนได้เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้กับพูดขอโทษราวกับแผ่นเสียงตกร่อง

   
“ซะ...ซันๆ....ฮื่อ...” เดือนร้องไห้หนักขึ้น ยกสองมือขึ้นมากอดตัวเอง น้ำตาไหลเป็นทาง

   

“....................”
 



เขายกมือขึ้นมากอดอกมองคนตรงหน้าเฉย
ในเมื่อบอกแล้วยังไม่หยุดก็ปล่อยให้ร้องต่อไป
เสียงสะอื้นเริ่มเบาลงแล้วก็ส่งทิชชู่ให้




คนร้องไห้จนเสียงแหบมองกระดาษในมือเขา ข้อมือขาวซีดขยับมาใกล้ช้าๆ ทำท่าจะเอื้อมมาหยิบแต่กลับหดไป ริมฝีปากบวมเจ่อเม้มเน้น ดวงตาแดงช้ำเพราะร้องไห้สบเขา พูดออกมาเสียงตะกุกตะกักปนสะอื้น

   
“...อย่า..ทั้งๆ ที่รังเกียจกัน...ทะ..ไมต้องมาทำดีด้วย..ฮึก”

   
“....................” เขาขมวดคิ้ว พยายามฟังคำพูดแสนเบาปนสะอื้น รังเกียจหรือ? เขาเนี่ยนะ

   
“..อึก..ระ...รักไม่ได้..ยะ...อย่าทำดี...ฮื่อ...ด้วย”

   
“...เดือนพูดอะไร” เขาจ้องร่างตรงหน้าเขม่ง เดือนออกแรงจิกแขนตัวเองจนข้อมือขาว

   
“ฮื่อ....คะ...เค้าสกปรก...ระ...รักซันไม่ได้...”



สังเกตเห็นท่าทางไม่ดีของคนพูดจึงรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปดึงมือที่กำลังจิกต้นแขนของตนเองเอาไว้ออก ปากบางที่ถูกกัดจนเลือดซึมยังคงพึมพำไม่หยุด



    
“อย่า...ไม่เอา...อย่าจับนะ...สกปรก...ซันปล่อย...ซันปล่อย”



เดือนขัดขืน สองมือสองเท้าเตะต่อย ดิ้นรนสะบัดพยายามหนีออกจากการเกาะกุม ข้อศอกของเดือนถองเข้ากับซี่โครงทำเอาจุกจนเผลอคลายมือ เดือนอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวสุดแรง วิ่งไปที่ประตูและกำลังกระชากออกแต่เขาตามมาคว้าเอวไว้ได้ทันก่อนจะออกห้องไป



เสียงประตูปิดดังปัง!



สองแขนแข็งแรงกอดเอวของเดือนไว้แน่น ยื้อยุดกันอยู่ที่หน้าประตู

   


“ไม่...ปล่อย...อย่าแตะ...ซัน...ปล่อย...ฮื่อ” เดือนยังคงพยายามดิ้นรนขัดขืน มือซีดขาวสองข้างทุบตีไปตามร่างกายของเขาเท่าที่จะเอื้อมถึง สองเท้ากระทืบไปมา

   
“ไม่” แรงกระทืบจากเท้าหยุดลง เหลือเพียงแขนยังคงทุบตีต่อเนื่องไป

   
“ฮึก....ได้โปรด...ปล่อยเค้าไปเถอะ....ซัน...ได้โปรด...อื่อ” เดือนยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น

   
“ไม่ปล่อย” พูดย้ำให้อีกฝ่ายได้ยินช้าชัด เรี่ยวแรงของคนที่ร้องไห้เริ่มอ่อนลง เขายังไม่คลายอ้อมกอด

   
“...ไม่ต้องสงสารหรอก...ไม่เป็นไร...ซันปล่อย---“

   

“สงสารเหรอ? ....ทำไมเค้าต้องสงสารตัว ฮะ!!” ตะโกนออกมาอย่าไร้สติเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เคยคิดหลุดออกมาจากปาก เดือนสะดุ้ง ร่างกายกระตุกแล้วเริ่มสั่น คว้าจับบ่าคนในอ้อมแขนหมุนตัวมาสบตา

   
“คนที่เป็นเพื่อนกันน่ะ ไม่คบกันเพราะความสงสารหรอกนะ” จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทหยาดรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา 

   
“..เพื่อนเหรอ?..”

   

“.............................”

   

“...ไม่...เค้าไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับตัว...ตัวเข้าใจไหม....เพื่อนงั้นเหรอ...ไม่ได้อยากเป—“

   

“เดือน!!!” เจ้าตัวหลบตาพูดออกมาราวกับเพ้อ เขาจึงตะโกนชื่ออีกฝ่ายเสียงดังหวังเรียกสติ คนตรงหน้าสะดุ้งเฮือกอีกครั้งก่อนจะนิ่งไป

   



ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไม่คิดจะเร่งรัดหรือทำสิ่งใดกับคนที่ซบหน้าแนบอก
เสียงสะอื้นเงียบหายไปแล้วและเขาก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าลึก




   
“เค้ารักตัว”




   
“..............................”



ชา




ความรู้สึกทั้งหลายที่ผสมปนเปกันจนเขาไม่อยากจะแยกแยะหายไป
ร่างกายชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด






“เดือนรักซันๆ ได้ยินไหม!!!”





   
   
คลายมือที่เคยกอดเอวของเดือนออกทิ้งสองแขนลงแนบลำตัว ในหัวมีแต่เสียงของเดือนสะท้อนไปมา . . . เดือนพูดว่าอะไรนะ?


    
“.................................”


   
“เค้ารักตัวนะซันๆ”


   
เดือนเงยหน้าขึ้นกระซิบเสียงแผ่วเบาแล้วแนบริมฝีปากเข้ามาเสี้ยววินาทีแล้วผละออก


   
เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง สมองประมวลผลไม่ทัน ได้แต่ยื่นนิ่งปล่อยให้เดือนเดินออกจากห้องไป ทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า



   

“ขอบคุณที่ดูแลมาตลอด

แล้วก็ขอโทษที่รบกวนนะซันๆ” 











.



.



.



   
“...ซัน...ไอ้เชี่ยซัน” สะดุ้งสุดตัวจากเสียงตะโกนใกล้หู หันไปก็พบว่าไอ้กายนั่นเองที่เป็นตัวต้นเหตุ
   
“มึงจะตะโกนทำไมวะ”
   
“แสรด มึงเหม่อนี่หว่า กูพูดกับมึงไปสิบเรื่องแล้ว มึงได้ยินบ้างไหมเนี่ย”
   

มองหน้ามันแล้วก็เห็นว่าเพื่อนสนิทท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านเขาจึงได้แต่เงียบ เพราะรู้ว่ายิ่งพูดออกไปก็จะทำให้อีกฝ่ายหัวเสียยิ่งขึ้น
   

“ขอโทษว่ะ”
   

“คำพูดติดปากมึงหรือไง เอะอะก็ขอโทษ สองสามวันนี้ฟังมาเป็นรอบที่สามสิบแปดแล้วเว้ย”
   

ไอ้กายพูดจบก็ไม่สนใจหันไปดูบอลในสนาม เสียงเชียร์จากกองเชียร์ดังลั่นเมื่อทีมในสนามทำคะแนนได้ คำประชดของเพื่อนช่างคล้ายกับที่ได้พูดออกไปเมื่อวันก่อนไม่มีผิด

   

ขณะนี้เขาและกายกำลังนั่งอยู่บนอัฒจันทร์เพื่อดูการแข่งขันฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศงานกีฬารับน้องซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างคณะวิทยาศาสตร์กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ 
   

ป้ายบอกคะแนนว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ขึ้นนำไปก่อนแล้ว หนึ่งต่อศูนย์ เหลือเวลาอีกสิบนาทีจะถึงเวลาพักครึ่งแรก
   
   

นั่งมองลูกกลมๆ ที่ถูกเตะกลิ้งไปทั่วสนามก็รู้สึกเบื่อ ทั้งที่เป้าหมายของการซ้อมนักกีฬาปีหนึ่งที่เขาเข้าไปช่วยซ้อมประจำก็เพื่อให้มีวันนี้ วันที่คณะวิทยาศาสตร์ได้เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ เขากลับไม่รู้สึกลุ้นไม่สนุกไปกับการแข่งขันอย่างที่เคยคิดไว้จนถอนหายใจออกมาเสียงดัง


   
“เออ แม่งเซ็งเนอะไอ้ซัน ดูดิ ส่งลูกข้ามสนามแบบนั้นได้ไงวะ เบอร์สิบเอ็ดคือใคร ไอ้ดิวปล่าววะ เดี๋ยวเจอพ่อด่าเช็ด” กายหันมาคุยด้วยแล้วบ่นไปตามเรื่องเขาไม่บอกมันหรอกว่าที่ถอนใจไม่เกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลเลยแม้แต่น้อย



   
เข้าวันที่สามแล้วที่....เดือนออกจากห้องไป ทิ้งเขาไว้กับความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกกับสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นร้อนที่แนบเข้ามา ยามคิดถึงเรื่องนี้คราใดก็อดไม่ได้ที่จะยกมือลูบริมฝีปากตนทุกครั้ง


   
“เฮ้ย!! เร็วดิวะ โธ่ ใครบอกให้ทำอย่างนั้นเล่า ไอ้จั๊ดง่าว เว้ยยยย” เสียงตะโกนอย่างขัดใจจากกายทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากความคิด หันกลับไปสนใจกีฬาต่อ สองตาก็มองเห็นว่าฝ่ายตัวเองกลับมาครองบอลได้...คนข้างตัวเขาควรจะต้องดีใจไม่ใช่หรอวะ สลัดกาย

   
“มึงโมโหห่าไร ฝ่ายเราได้ลูกนะเว้ย นั่นไอ้ศรลากเข้าไปแล้ว เอ้า เชียร์หน่อยดิวะ”
   
คนที่ปกติจะส่งเสียงเชียร์สุดใจกลับนิ่งเงียบ เสียงตะโกนโห่ร้องยินดีจากกองเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ดังเข้ามาเมื่อฝ่ายตนตีเสมอได้เป็น 1-1 สีหน้ากายเริ่มไม่ดีขาวเผื่อนลงจนน่าตกใจ

   

“เป็นไรมึง ไม่สบาย?” มองหน้าไอ้กายด้วยความสงสัย “จะเป็นลมหรือไง”

   

“..ปะ..เปล่า...กูแค่...แค่ดีใจมากไปหน่อย” ไอ้กายสะบัดหัวอย่างไม่กลัวหลุดแล้วตอบคำถาม หยิบน้ำแดงที่ไปขโมยมาจากฝ่ายสวัสดิการขึ้นมาดูดอึกใหญ่ เสียงเป่านกหวีดดังขึ้นบอกเวลาพักครึ่ง เขาลุกขึ้นเพื่อจะลงไปพูดคุยกับนักกีฬาปีหนึ่งและปีสองที่มาดูแล เดินออกมาแล้วเพิ่งเห็นว่ากายยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเหม่อลอย
   


“เฮ้ยมึง ไปดูน้องกัน” ตะโกนเรียกไอ้กายจึงรีบขยับตัวตามลงมา






   

ขณะที่เข้าไปพูดคุยกับน้องปีสองที่มาดูแลนักกีฬาปีหนึ่ง สักพักแมนก็เดินเข้ามาทักทายเสียงใส “เป็นไงบ้างครับพี่ซัน วันนี้น้องเล่นดีไหม”

   

“เออ..ดีกว่าที่ซ้อมวันแรกๆ เยอะว่ะ แผนมึงดีนะวันนี้ มึงเตือนหรือยังเบอร์อะไรนะไอ้กายที่ส่งบอลตัดสนามบ่อยๆ น่ะ” หันไปถามเพื่อน มันกลับทำเป็นไม่ได้ยินหันไปคุยกับน้องฝ่ายพยาบาลแทนซะงั้น

   
“ไอ้ดิวน่ะพี่ซัน ผมคุยแล้วครับ”
   

“เออถ้างั้นก็คงไม่มีปัญหาไรแล้ว ช่วงหลังนี้คงกดดันมาก มึงก็ใจเย็นๆ ละกัน” ตบบ่าแมนแล้วเดินออกมาพร้อมกับไอ้กาย แมนเดินเข้ามาใกล้ เขาหยุดรอนึกว่ามีเรื่องจะปรึกษาเพิ่ม แต่มันกลับเข้าไปคว้าแขนไอ้กายที่เห็นว่าพยายามหลบไว้แทน

   
“อย่าลืมสัญญานะครับ” ไอ้แมนพูดจับมือพี่มันไว้แน่น

   
“....................” กายไม่ตอบเอาแต่สะบัดมือไปมา “น้องมันถามน่ะมึง” เขาพูดย้ำนึกว่ามันคงไม่ได้ยิน

   
“เออ!!” ไอ้กายกระแทกเสียง ใบหน้าขาวซีดเริ่มมีสี “ปล่อยได้แล้วแสรด” ว่าแล้วมันก็สะบัดแขนออกรีบเดินหนีไป ทิ้งเขายืนงงกับไอ้แมนที่ยิ้มหน้าบาน









   
“สัญญาไรกันวะ” เมื่อกลับมาถึงที่นั่ง เขาก็ถามคนที่กำลังยกกระป๋องโค้กขึ้นซดจนได้ยินเสียงกลืนดังอึก อึก

   
“คะ แค่กๆ” ไอ้กายสำลัก “ไอ้สลัด มึงถามเชี่ยไร กูกินน้ำอยู่” 

   
“อยากรู้...เห็นไอ้แมนทำท่าดีใจอย่างกับหมาได้กระดูก”

   
“เออ..ไม่มีไรหรอก..เรื่องปัญญาอ่อนนะสิ” เอื้อมมือไปตบหลังไอ้กายแรงๆ เพราะเห็นว่าหน้ามันแดงราวกับว่าจะสำลักขึ้นมาอีกรอบ

   

จะโกหกก็ไม่เนียนเอาซะเลย...เพื่อนใครวะ




.



.



.






   
กลับมาที่ห้องเขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นว่าห้องยังคงสะอาด เรียบร้อยเหมือนเดิมตั้งแต่ก่อนออกไป


   
...เวลานี้ถ้าเปิดประตูเข้ามาแล้วเจอรองเท้าแตะปอนๆ ถอดทิ้งไว้ลวกๆ ไม่เป็นระเบียบ เขาอาจสบายใจขึ้นบ้างก็ได้


   
อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยเป็นคิดจินตนาการไปเองว่าอีกฝ่ายจะกินข้าวหรือยัง ปวดท้องหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหน ปากยังเป็นแผลอยู่ไหม หรือแม้กระทั่งว่า.....กำลังกอดอยู่กับใคร


   

“เว้ย!!” บรรยากาศมันอึดอัดจนทนไม่ไหวต้องตะโกนออกมาด้วยหวังว่าจะช่วยระบายให้ความรู้สึกที่อัดแน่นในอกและบรรยากาศอึมครึมให้หายไปได้บ้าง


   
เดือนจะเอายังไงกันแน่? บอกว่ารังเกียจ บอกว่าตัวเองสกปรก บอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขา แล้วสุดท้ายมาตะโกนบอกรักเขา จูบปากแล้วก็ออกจากห้องไป

 
   

เขา...ต้องทำอะไร...ในเมื่ออยู่เฉยเพื่อรอคอยแล้วมันรู้สึกอึดอัดจนทนแทบไม่ไหว





   


‘หาสาเหตุสิซันๆ อะไรที่ทำให้ลูกอึดอัดล่ะ ถ้ารู้แล้วก็ไปจัดการให้เรียบร้อยนะ อย่ามาอารมณ์เสียแล้วพาลคนอื่นแบบนี้’

   
แม่ทำเสียงเฉยชาใส่ หลังจากที่โทรมาแล้วเล่าให้ฟังว่ามีเรื่องหงุดหงิด อึดอัดไม่สบายใจ ไม่ได้บอกว่าทะเลาะกับเดือน เขารู้ว่าถ้าบอกแม่คงบ่นจนหูชาเลยบอกแค่ว่าทะเลาะกับเพื่อนแล้วอึดอัดมาก พอเล่าไปได้สักพักแม่ก็ขัดจังหวะ พูดจ้อเรื่องนั้นโน้นนี้ จากนั้นก็ถามถึงเดือน ... เขาคงทำเสียงรำคาญใจแม่จึงพูดประโยคดังกล่าวแล้วตัดสายทิ้งไป

   
   
สาเหตุทั้งหลาย มาจากคนๆ เดียว ... ต้องไปคุยกับเดือนสินะ


----------------------------------
[04.01.59]
อาทิตย์นี้จะพยายามมาต่อทุกวันนะคะ
เพราะอาทิตย์หน้าอาจไม่ว่าง ย้ายที่ทำงานรับปีใหม่เลยเรา 5555
ขอบคุณ คุณ Kaemmiizz ที่อยู่เป็นเพื่อนกันนะคะ <3

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ   
 :กอด1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 04-01-2016 21:54:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: haemin ที่ 04-01-2016 23:46:21
เราว่าเดือน น่าสงสารมาก ถึงมากที่สุด โดนกระทำมาตั้งแต่เด็ก รักและชื่นชมซัน แต่ไม่กบ้าเพราะคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดี ตัวเองสกปรก เรื่องนี้ซัน และโง่ อยู่ใกล้กันขนาดนี้ กลับใส่ใจดูแล เดือนไม่พอ เฮอะ  เค้าไปตั้งสามวัน ยังไม่ตาม  เชอะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-01-2016 23:56:11
 :pig4:

ขอให้งานที่ออฟฟิตใหม่ ราบลื่นนะ^^
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เลิฟมี ที่ 05-01-2016 00:39:50
งื้ออออ สงสารเดือนนนนนนน :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: มาต่อไวๆนร้าาาาา  :hao4: :hao4: :hao4: :mew3: :mew3: :mew3: #สนุกมากก
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 11) 04-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 05-01-2016 00:55:51
เดือนรันทดมากอ่ะ เก่งนะที่เข้มแข็งมาถึงตอนนี้ได้ ซันต้องกล้ายอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วแหละ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 12) 05-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 05-01-2016 20:28:15

Just Love ❤ รักนะครับ




12


   

เขาใช้เวลาอีกสองวันแล้วจึงตัดสินใจไปตามเดือน เดาเองว่าเดือนคงไปอยู่ที่บ้านเช่ากับเพื่อนหลังเดิมที่เขาเคยไปพบเจ้าตัวประจำ บ้านไม้สองชั้นดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัดในเวลากลางวัน รอบตัวบ้านมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมร่มครึ้ม บ้านเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ รถรามากมายที่เคยเห็นยามค่ำคืนนั้นหายไปเหลือเพียงมอเตอร์ไซค์เก่าสองคันกับจักรยานแม่บ้านจอดทิ้งไว้ในโรงจอดรถ

   
จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ริมรั้วไม้สีถลอกเดินผ่านประตูรั้วที่เปิดไว้เพียงครึ่งเดียวเข้าไปยังตัวบ้าน น่าแปลกใจที่ภายในห้องซึ่งมาเมื่อไรก็เห็นว่ารกข้าวของปนกันเกลื่อนกลาดจนแยกไม่ออกตอนนี้กลับเรียบร้อยสะอาดตาข้าวของที่เคยกระจัดกระจายหายไปเหลือพื้นสะอาดเกลี้ยงมันวับ หนังสือ กระดาษวางกองไว้เป็นระเบียบในตู้ไม้ใหญ่ชิดผนัง

   
ขณะที่กำลังลังเลว่าจะร้องเรียกคนที่มาหาดีหรือไม่ก็มีเสียงตกใจดังขึ้นด้านหลัง

   
“อ้าว” หันขวับไปมองต้นเสียง เพื่อนของเดือนที่ชื่อฝันนั่นเอง “หวัดดีซัน”

   
“มาหาไอ้คุณเหรอ” ฝันทักขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่าแล้วก็ผิวปากเป็นทำนองเพลง เขาพยักหน้าตอบ “มันเพิ่งไปนอนเมื่อกี้แน่ะ เป็นบ้าอะไรไม่รู้กลับมาก็แม้งแตก โวยวายให้ทุกคนจัดบ้าน บ้าบอชะมัด ไม่ได้หลับได้นอนกันสองวันแล้วเนี่ย” เธอพูดเหมือนบ่นทั้งที่ริมฝีปากฉีกยิ้ม แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ไม้รับแขก พยักพเยิดให้เขานั่งลงเด้าอี้ที่เหลือ

   
“แต่ก็ดีเหมือนกัน บ้านสะอาดขึ้นเยอะเลย ไล่ไอ้พวกซกมกกินเหล้าเมายาออกไปหมด ต่อจากนี้คงน่าอยู่มาบ้างล่ะนะ” ฝันพูดต่อ เขานั่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่าง “ซันมาช้าไปวันหนึ่งนะ ถ้ามาเมื่อวานจะเห็นของที่หาเจ้าของไม่ได้วางกองอยู่เต็มลานหน้าบ้านเลยล่ะ ไอ้คุณเอะอะจะจุดไฟเผา ต้องช่วยห้ามกันใหญ่ ดีที่ไอ้แหยมไปเรียกซาเล้งมาทัน มันเลยยอมวางมือ”


คนพูดเล่าด้วยท่าทางออกรสแล้วหัวเราะตบท้ายเสียงดังแล้วก็เหมือนรู้ตัว เธอจึงเงียบเสียงแล้วส่งยิ้มอ่อนเป็นเชิงขอโทษมาให้ ทั้งที่คนตรงหน้ามีท่าทางเป็นธรรมชาติแต่เขากลับอึดอัดกับสายตาที่เหมือนจะรู้ทันนั่น สิ้นเสียงหัวเราะทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เขาทนกับความกดดันแปลกๆ จากเพื่อนของเดือนไม่ไหวจึงเอ่ยถามถึงคนที่ตามหา   
   

“อยู่ไหน”


ฝันยกมือชี้บนเพดานตรงตำแหน่งห้องเดิมที่เดือนเคยอาศัยอยู่ ส่งยิ้มที่แปลไม่ออกให้บางเบา “จะเอามันกลับเลยเหรอ ให้มันตื่นก่อนค่อยไปก็ได้มั้ง”

   

“อืม” เขานั่งรอ ฝันเดินไปเปิดโทรทัศน์สักพักก็ถามขึ้น

   

“ซัน...ทะเลาะกันเหรอ?” เขาละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมสบตากับคนถาม ใช้เวลาคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเดือน เรียกว่าทะเลาะกันหรือเปล่า?
   
   
“...อืม” 
   

“เห็นไอ้คุณร้องไห้แล้วตกใจ ปกติมันไม่เคยร้องเลยน่ะ” ฝันพูดต่อไป มองหน้าเขาสลับกับโทรทัศน์ไปมา


“ไอ้คุณ...มันแคร์ซันมากนะ” เขานั่งเงียบไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะต้องตอบฝันว่าอย่างไรเขารอฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อ


“ลองให้โอกาสมันบ้างเถอะซัน...คงเป็นซันคนเดียวที่เติมมันเต็ม” ฝันสูดหายใจลึกแล้วสบตากับเขา “ยอมรับ รัก จากไอ้คุณซะที...อย่าทำเป็นไม่รู้ต่อไปอีกเลยทั้งที่สองคนรักกันมากขนาดนี้”

   

ดั่งถ้อยคำของหญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องเป็นค้อนใหญ่ มันตรงเข้าทุบก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเขาจนปวดหนึบจนต้องหลับตา ทั้งที่ไม่อยากได้ยินแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว กล่องที่ซุกซ่อนไว้ลึกสุดใจถูกค้นจนเจอไม่พอยังถูกยกขึ้นมารื้อค้นเสียกระจัดกระจายป่าวประกาศเรื่องราวความรู้สึกของเขาไปทั่ว   

   

“.................................รัก?” เงียบไปหลายอึดใจ เขาก็กระซิบคำพูดที่รู้จักแต่ไม่เคยเข้าใจออกมา ใจทั้งใจสั่นสะเทือน

   

ผู้หญิงตรงหน้าที่เจอทีไรถ้าไม่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายก็จะกรี๊ดกร๊าดจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำตัวไร้สาระไปวันๆ การพบกันวันนี้เธออยู่กลับจริงจังอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เธอบอกกับเขาว่าเขารักเดือนอย่างนั้นหรือ?
 
   

“รัก...ใช่แล้ว”

   

ทั้งที่คำว่ารักสามารถให้กับใครได้หลายสถานะแต่นาทีนี้ทั้งเขาและเธอต่างก็รู้ดีว่ามันคือความรักในแบบใด มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน

   

“ไม่จริงหรอก...ไม่ใช่ เดือนเป็นเพื่อน--” ปฏิเสธออกมาไม่ถึงครึ่งคำก็โดนสวนกลับ

   

“ไม่มีเพื่อนที่ไหนดูแลกันขนาดนี้หรอก ดูอย่างกายสิ ซันอยากดูแลไอ้กายแบบไอ้คุณไหม”

   

สั่นหัวทันที ให้ดูแลหาข้าวหาน้ำให้ไอ้กายเนี่ยนะ ไม่มีทาง

   

“เห็นไหม แล้วถ้าเดือนเป็นเพื่อนทำไมต้องดูแลขนาดนั้นด้วยล่ะ” ฝันรุกถามต่อไปอย่างไม่รอให้เขาตั้งตัว

   

“...ก็แม่น้องบอกให้ดูแล เดือนไม่ดูแลตัวเอง—“

   

“มันก็อยู่ของมันมาได้ตั้งสองปีแล้วน่ะซัน พอแค่ย้ายไปอยู่กับซันมันถึงกับดูแลตัวเองไม่เป็นเลยหรือไงเล่า โธ่ ที่มันทำตัวอย่างนั้นมันอ้อนนายนะซัน รู้บ้างไหมเนี่ย” 

   

ฝันพูดจบก็ส่ายหัว ทำราวกับว่าเหนื่อยใจเสียเหลือเกินที่ต้องอธิบายเรื่องง่ายๆ อย่างที่ใครก็รู้ให้กับคนที่เรียนปีสามอย่างเขาฟังแล้วไม่เข้าใจเสียที   

   

“ลองคิดดูดีๆ สิ” ฝันพักหายใจ

“ถ้าสรุปออกมาว่าไม่ใช่ก็เลิกให้ความหวังไอ้คุณมันได้แล้ว”

ประโยคสุดท้ายเธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดหนักแน่น   
   
   

“............................”

   

เขาก็พอรู้อยู่บ้างหรอกว่าเดือนคิดยังไงกับตัวเอง หากจะให้ยอมรับจริงๆ แล้วก็คือเดือนสารภาพออกมากับเขาแล้ววันก่อน แต่ที่เขาทำไปทั้งหมดเรียกว่าให้ความหวังหรือ...ที่ดูแลเพราะกลัวว่าอีกคนจะไม่สบายเนี่ยนะ

   
เสียงฝีเท้าเดินย่ำบันไดลงมา ทั้งเขาและฝันหันไปมอง

   

“ไอ้ฝันคุยอะไรกับใคร---“ เดือนชะงัก ยืนอึ้งเมื่อเห็นว่าคนที่ฝันคุยด้วยคือเขา

   
“เออ...ซันมาหามึงน่ะ” ฝันเดินไปตบบ่าเดือนแล้วออกจากห้องเดินขึ้นบันไดหายไป

   


คนที่เขาตามหายืนอยู่นั่งสักพักจึงเดินมานั่งที่เก้าอี้แทนฝัน กวาดสายตามองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแล้วก็พบว่ารอยคล้ำใต้ตาของคนผิวขาวซีดนั้นเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสื้อยืดสีดำที่เจ้าตัวสวมใส่ทำให้ร่างดูผ่ายผอมลงไปถนัดตา จ้องมองที่ข้อมือทั้งสองข้างก็พบว่าปกติ ไม่มีผ้าพันแผลหรือร่องรอยบาดแผลให้เห็น 


   
“เค้า...จะย้ายออกมาอยู่บ้านนี้นะ” เดือนพูดเสียงเบาโดยเพราะมัวแต่สำรวจร่างกายของฝ่ายตรงข้ามจึงไม่ทันได้ยิน หรือจริงๆ แล้วเขาได้ยินแต่ไม่อยากเข้าใจ

   

“.........................” มีคำถามมากมายอยู่ในหัวแต่ไม่สามารถถามออกไปได้ เขารู้สึกเหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอจึงได้แต่เงียบ

   

“เค้ารบกวนซันมากเลยใช่ไหม ทั้งเรื่องที่อยู่ ทำอาหาร แล้วยังเรื่องทำความสะอาดอีก...ขอโทษนะ” คนพูดเอาแค่ก้มหน้ามองโต๊ะรับแขกที่กั้นเราไว้ สิ้นคำพูดเขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว เดือนพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกัน

   
“ใคร?”

   
“หะ ใครอะไร” เงยหน้าขึ้นมาสบตาจึงเห็นว่าตาทั้งสองข้างเริ่มแดง

   
“ใครบอกว่ารบกวน...ยังไม่ได้พูดอย่าคิดไปเอง” ดวงตาของเดือนเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

 
“จะย้ายมาอยู่นี่เหรอ...ไม่ต้อง! ไม่อนุญาต”


“...ซันๆ” เดือนเรียกชื่อเขาแม้จะด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่พอได้ยินชื่อตัวเองผ่านริมฝีปากบางออกมา อารมณ์คุกกรุ่นค่อยเย็นลง ความหงุดหงิดหายไปราวกับควันไฟยามต้องลม




“กลับเถอะ...กลับห้องเถอะเดือน”


เขาพูดออกมาแล้ว ถ้อยคำที่อยากพูดมาตลอดตั้งแต่วินาทีที่เดือนก้าวออกจากห้องไปเมื่อห้าวันก่อน




.



.



.



รถมอเตอร์ไซค์จอดลงที่หน้าร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่ง เวลาประมาณสามทุ่มกว่าๆ เกือบสี่ทุ่มคนในร้านบางตา ลงมายืนข้างรถรอให้คนขับล็อครถแล้วก็เดินตามไป

“จะกินอะไร”

   
“ข้าวผัดหมู” คนที่นั่งตรงข้ามสั่ง “ข้าวผัดหมูสองครับป้า”

   
ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ ทุกครั้งที่ทะเลาะหรือมีเรื่องผิดใจกันต้องหาอะไรกินเสมอ

   
ซันๆ เวลาหิวแล้วจะโมโหล่ะมั้ง

   

ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาระวังไม่ให้คนตรงหน้าได้ยิน ตั้งแต่เกิดเรื่องทะเลาะกันอย่างรุนแรงเมื่อห้าวันก่อน เขาได้ตะโกนถ้อยคำที่อัดแน่นอยู่ในใจออกมา

   

‘เดือนรักซันๆ ได้ยินไหม’

   

แนบริมฝีปากตนเองเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่ายเสี้ยววินาทีอย่างไม่ทันได้รู้ตัว พอรู้ว่าทำอะไรลงไปก็รีบหนีออกมา

   

ขับมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ จนมาจอดหน้าบ้านเช่าสองชั้นสีขาวที่เคยอยู่ เดินเข้าไปเจอฝันก็ร้องไห้ออกมาเสียงดังนอนนิ่งซังกะตายอย่างเลื่อนลอย เมื่อรู้สึกตัวก็ทำตัวเสียสติไล่ตะเพิดพวกที่ไม่รู้จักออกบ้านไป ทั้งยังโวยวายจนเพื่อนๆ ทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาช่วยกันทำความสะอาดบ้านกันทั้งคืน ลากยาวมาจนถึงตอนค่ำของอีกวัน เมื่อเห็นว่าบ้านสะอาดดูดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็โล่งใจ โดนเพื่อนลากขึ้นไปนอน

   

สะดุ้งตื่นตอนค่ำได้ยินเสียงพูดคุยมาจากด้านล่าง เดินลงบันไดมาเจอคนที่หนีมาก็ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่ง เวลาผ่านไปสักพักซันๆ ก็ไม่พูดอะไรจึงบอกเรื่องที่ตัดสินใจแล้วออกมา

   

จะย้ายออกมาอยู่บ้านนี้ ไม่อยากรบกวน ทำให้ซันๆ ต้องอารมณ์เสียอีกแล้ว

   

รู้ตัวว่าเขานั้นแย่ สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นคงทำให้ความอดทนของซันๆ ถึงขีดสุด ระเบิดอารมณ์รุนแรงออกมา

   

คำว่า ‘มั่ว’ ที่ได้ยินจากปากของซันๆ ช่างเจ็บปวด กรีดหัวของของเขาจนทนไม่ไหว น้ำตาทะลักด้วยความละอาย

   


น่าสมเพช

   


ร่างกายนี้แปดเปื้อนเสียจนน่ารังเกียจยังมีหน้าไปทำให้ดวงตะวันของเขาต้องพลอยแปดเปื้อนไปด้วย

    
   

แต่...

   


‘ใครบอกว่ารบกวน...ถ้ายังไม่ได้พูดอย่าคิดไปเอง’
   
   

ดั่งถ้อยคำนั้นคือคำว่าให้อภัย เขาเบิกตากว้าง ความรู้สึกดีใจที่รู้ว่าไม่ควรเกิดก็เข้าท่วมหัวใจที่ปวดระบม ช่วยเยียวยาดวงใจบอบช้ำให้กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง

   

‘กลับเถอะ...กลับห้องเถอะเดือน’

   


ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
แค่ซันๆ ยกโทษ
แค่ซันๆ ให้อภัย

เขาคนนี้สัญญาว่าจะไม่ทำตัวอย่างที่แล้วมาอีกต่อไป







   

‘สนใจทำไมอดีต หรือว่าเดือนกลับไปแก้ไขได้’ 

   

ยังจำคำพูดของซันๆ ในวัยสิบแปดปีที่พูดกับเขา หลังจากที่ได้สติรู้สึกตัวขึ้นมาในโรงพยาบาลเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้เพราะอาการเสียเลือดมาก ข้อมือซ้ายปวดแปลบจนไม่กล้าที่ขยับ


‘ตั้งใจทำปัจจุบันให้ดีแล้วอนาคตก็ดีเอง’

   
ซันๆ ไม่ได้พูดอะไรที่เขาไม่เคยได้ยินหรือไม่รู้มาก่อน แต่เพราะคำเหล่านั้นออกมาจากปากของซันๆ คนที่อยู่กับเขาเสมอมาทำให้เขาคิดได้ ไม่ทำร้ายตัวเองโดยการกรีดข้อมืออีก และคำพูดเหล่านั้นยังเป็นแรงบันดาลใจให้เขาพยายามตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันอีกด้วย

   

   



ข้าวผัดหมูสองจานวางลงบนโต๊ะ แตงกวาสามชิ้นย้ายจานชามแรกมานอนอยู่ในจานของเขา ช้อนส้อมที่เช็ดแล้ววางตามมา

   
“ซันๆ” เขาสบตากับดวงตาสีดำสนิท “ต่อไปเค้าจะไม่ทำตัวแย่ๆ อีกแล้ว”

   
“.......................” ซันๆ ไม่ตอบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะฟัง

   
“เค้าสัญญา...”

   
ไม่ว่าซันๆ จะเชื่อในคำสัญญาหรือไม่ เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะปรับปรุงตัวเอง ไม่ทำตัวเสเพล ไร้สาระอย่างที่ผ่านมา

   
“กินข้าวเถอะ”

   
“ไม่ต้องเชื่อก็ได้...แต่คอยดูหน่อยละกันนะซันๆ”   
   
   


อีกฝ่ายแค่พยักหน้า จากนั้นก็ทานอาหาร ไม่มีคำพูดใดๆ อีก





   
กลับมาถึงห้องซันๆ เดินนำเข้าไปก่อนนั่งลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์พยักหน้าให้นั่งลงข้างๆ

   
“ที่พูดวันนั้นน่ะ...จริงใช่ไหม” สบตากับดวงตาสีเข้มแล้วก็พยักหน้า พวงแก้มอุ่นวาบ ที่บอกว่าเดือนรักซันๆ น่ะ จริงๆ นะ


“ทำได้” หะ อะไรนะ


“อะไรนะ”


“ที่บอกว่ารักไม่ได้น่ะ ทำได้สิ” หัวใจเต้นรัวจนต้องยกมือขึ้นกด สูดหายใจเข้าลึกระงับอาการ




“......................”



อึ้งไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร รู้แต่ว่าดีใจเหลือเกิน



“......................”



ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่ แล้วซันๆ ก็พูดขึ้นใหม่


“ไปถามเพื่อนที่เรียนจิตวิทยามา มันบอกว่าเดือนเหงา ให้หาอะไรทำ”



ใช่ เหงา เพื่อนต่างก็รู้ว่าพอพูดคำนี้ออกมาชวนไปไหนไอ้คุณก็ไปไม่ปฏิเสธ




“อยากเลี้ยงอะไรล่ะ” คนนั่งข้างๆ ถามออกมา จับต้นชนปลายไม่ถูก



“เลี้ยงอะไร” ไม่เข้าใจ ซันๆ จะให้ทำอะไรน่ะ


“แมว หมา นก กระต่าย อยากเลี้ยงอะไร”



“สัตว์เลี้ยง?” ให้เลี้ยงสัตว์เหรอ “ไม่รู้สิ” หัวใจยังคงเต้นระห่ำจากเสียงที่ไม่ได้ยินมาตลอดห้าวันทั้งที่คนพูดเปลี่ยนเรื่องไปตั้งนานแล้ว


“เพื่อนมีลูกแมวเพิ่งเกิด”
 

“เลี้ยงแมวก็ได้”


“อืม”



เราเงียบกันไปอีก






เพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาคลอเมื่อมืออุ่นของใครอีกคนเช็ดน้ำตาให้พลางพูดพึมพำว่า “ขยันร้องไห้ชะมัด”


“ซันๆ” เสียงของเขาแหบพร่าสั่นครือ


“อืม”   


“ถึงไม่อยากฟังแต่...ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” พูดออกมาอีกครั้งเพราะถ้อยคำเหล่านั้นมันอัดแน่นอยู่ในใจ


“อืม...ไม่ต้องพูดแล้ว” ความอบอุ่นที่แก้มหายไปยามซันๆ ละมือออก


“ไปนอนเถอะ” ขยับตัวลุกขึ้น “เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปซื้อของให้ลูกแมวกัน”


เขาลุกขึ้น ขยับตัวเข้าไปใกล้ “ขอบคุณมากนะซันๆ”


“อืม ฝันดีนะ”





ซันๆ ยกมือขึ้นมาขยี้ผมจนยุ่งเหยิง บอกฝันดีแล้วเดินเข้าห้องนอนไป ทิ้งเขาไว้ให้ใจสั่นระรัว


แค่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง


คำว่า ฝันดี ยังน้อยเกินไป



------------------------------
[05.01.59]
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย// ยิ้มแก้มแตก
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเช่นเคยค่ะ
 :man1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 12) 05-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 06-01-2016 21:01:30
เดือนน่าสงสารอ่ะ แล้วที่ซันทำมันก็การให้ความหวังดีๆนี่เอง
อยากจะร้องเพลงไม่รักไม่ต้องให้ซันๆฟังเลยอ่ะ
แต่นี่มันรักกันแต่ไม่ยอมรับ เห้อ เอาใจช่วยล่ะกันนะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 12) 05-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: haemin ที่ 06-01-2016 22:07:01
เมื่อไหร่ซันจะปากตรงกับใจ รักก็แค่รักมันจะอะไรนักหนา จะได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 13) 07-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 07-01-2016 19:32:07

Just Love ❤ รักนะครับ





13


   



“พี่...พี่กาย ไหวไหม”

   

ผมเขย่าร่างที่นอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะแรงขึ้นเมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจนสุดท้ายก็รู้ว่าเปล่าประโยชน์เลยหยุด ถอนหายใจกับตัวเองเฮือกใหญ่ ทั้งที่กะจะแกล้งมอมเหล้าคนขี้โวยวายเพื่อความสนุกสนานสักหน่อย ผลกลับเป็นว่าต้องมาดูแลซะงั้น พี่ซันก็พาพี่คุณที่เมากรึ่มกลับไปก่อนแล้วด้วย อะไรวะเนี่ย!!



เวลาตีหนึ่งกว่าเกือบตีสองแสงไฟสลัวที่เคยเปิดตั้งแต่เปิดร้านตอนนี้กลายเป็นไฟนีออนสีนวลตา ลูกค้าแน่นขนัดช่วงห้าทุ่มเที่ยงคืนเหลือเพียงเสียงพูดคุยเบาๆ ของลูกค้าสองสามโต๊ะ เพลงที่เปิดคลอตั้งแต่หัวค่ำถูกปิดลงไปแล้ว
 

พยุงร่างสูงใหญ่พอๆ กันออกมาด้วยความช่วยเหลือของพนักงานในร้าน ติดเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ได้ จู่ๆ คนเมาอยู่ก็สะดุ้งพรวดตื่นขึ้นตะโกนออกมาเสียงดัง


“ไอ้เหี้ยยยยย!!!” รถเซเกือบล้ม ดีนะที่ยังประคองไว้ได้ ไอ้พี่กาย สลัด


“เฮ้ยพี่กาย...นั่งนิ่งๆ ดิเว้ย เอออย่างนั้นแหละ เดี๋ยวรถล้มไปละซวยแย่นะพี่” ผมหันไปบอกคนเมาที่ตอนนี้ดิ้นขยับตัวจะลงจากรถ พี่กายเหมือนจะรู้ตัวก็ยอมทำตามที่บอกพยับหน้าพูดตอบด้วยเสียงงึมงำ “ครับๆ”
เมาแล้วว่าง่ายชะมัดเลยเว้ยเฮ้ย


   
 
ขับรถมาด้วยความเร็วกว่าปกติเพราะกลัวว่าคนเมาจะทำอะไรแปลกๆ จนทำให้รถล้มกลางทางเสียงก่อน ผมยังไม่อยากวัดพื้นถนนยามดึกด้วยสภาพกรึ่มๆ อย่างนี้ซะด้วย

   
“พี่กุญแจอยู่ไหน” ห้องพี่กายแม่งอยู่ไกลอีก ลิฟต์อยู่กลางอาคาร ห้องที่ใกล้ลิฟต์คือห้อง 512 ห้องพี่กาย 501 ริมสุดของตึกเลยทีเดียว พยุงอย่างทุลักทุเลพอสมควรก็มาหยุดที่ประตูหน้าห้อง


ผมให้พี่กายพิงผนังไว้ ตบมือไปตามกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายไม่มี กระเป๋าด้านขวามีของเล็กๆ อยู่ ล้วงออกมาเป็นเศษกระดาษที่ถูกฉีกออกมาจากระดาษรายงาน เขียนด้วยตัวหนังสือหวัดๆ แต่ตัวใหญ่ชัดเจนว่า
 

ผมนายกรวิทย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยXXX
หอพักXXX ห้อง 501 โทร XXXXX ตอนนี้เมามาก
ถ้าไปส่งถึงหอพักจะขอบพระคุณมาก ค่ารถรับที่ยามใต้ตึกนะครับ




อ่านจบแล้วถึงกับกลั้นหัวรเราะไม่อยู่ อะไรวะเนี่ย เขียนชื่อที่อยู่ใส่กระเป๋าไว้อย่างกับเด็กๆ มีประวัติเมาแล้วโดนทิ้งมาก่อนหรือเปล่า ฮ่าๆ


เสียงหัวเราะของผมคงจะเข้าไปรบกวนการนอนของแก คนเมาขยับกะพริบตาถี่ๆ เห็นดังนั้นจึงรีบถาม “พี่กุญแจห้องอยู่ไหนอะ”
เหมือนจะรู้ตัวพี่กายสะบัดหัวค้อมตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยแล้วหยิบกระเป๋าเงินจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังมาให้

   
“ไม่เอาตังค์พี่ เอากุญแจห้อง” พี่แกงึมงำแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจก็เลิกเสื้อขึ้น ...อ่ากุญแจอยู่นั่นเอง คล้องกับหูกางเกงยีนส์อยู่ ผมหยิบออกมา อดไม่ได้ที่จะมองกล้ามท้องลอนสวย หุ่นดีเวอร์ๆ พี่รหัสผม

   
เปิดประตูห้องเข้ามาได้ก็พาไปยังห้องนอน ตอนผ่านห้องนั่งเล่นระเกะระกะ ได้ยินเสียงของหล่นตามทางระนาว ...อย่ามาว่าผมนะที่ทำของพี่พัง ห้องพี่รกเองนะเว้ย

   
   




“ไอ้ดิววววว มึงทำเชี่ยไรวะ ส่งลูกกลางสนามด้ายงายยยย” สะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ ก็ถูกกระชากคอเสื้อโดยคนที่พยุงอยู่เลยเสียหลักล้มลงไปบนเตียงทั้งคู่

   
“โอ้ย!/เฮ้ย!”

   
 
ผมถูกคนเมานอนทับ ตอนที่ล้มลงหัวดันโขกกันอีก อู้ย จะโนไหมเนี่ย “พี่กาย! อยู่นิ่งๆ ดิวะ”

   
คนเมายังคงไม่รู้ตัวยื่นมือออกมาคว้าคอเสื้อผมอีกครั้ง
“คราวหน้ากูไม่ให้มึงลงแล้วสัตว์...มึงไปเป็นตัวสำรองซะดีๆ”


   
“พี่ ผม แมน ไม่ใช่ไอ้ดิวเว้ย” ปัดมือที่กำคอเสื้อออกไปดันตัวขึ้นนั่ง พี่กายกะพริบตา

   

“แพนเหรอ?”



ฮะ! แพนไหนวะ

   

กำลังจะถามคนที่เพิ่งถูกผลักออกกระโจนขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่ทับลงมากดผมลงไปนอนราบกับเตียงอีกครั้ง “โอ้ย อะไรพี่วะเนี่ย” ไหนพี่ซันบอกเมาแล้วหลับไง ตอนขับรถมาก็หลับ แล้วทำไมตอนนี้เป็นอย่างนี้วะ
   

ผมพยายามจะลุกขึ้นแต่พี่กายกลับเพิ่มน้ำหนักที่กดลงมาอีก คนเมาแรงเยอะชิบเป้ง ทั้งผลักทั้งดิ้น คนที่ทับคงรำคาญเลยเอามือมาจับใบหน้าให้อยู่นิ่งๆ แล้วบังคับให้สบตากับดวงตาสีดำสนิทที่กำลังมองตรงมา ผมชะงักกึก ร่างกายเหมือนถูกสะกดไปเสี้ยววินาที

   

“คิดถึงจัง”


   
“เฮ้ย!” ไม่ว่าเปล่าคนไม่ได้สติก็ซบหน้าลงมาที่ซอกคอพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ จักกะจี้ชะมัด ขณะที่กำลังรวบรวมแรงเพื่อผลักอีกคนออกไป


ริมฝีปากร้อนจัดก็ขบเม้มเข้าที่ต้นคอ
เจ็บจี้ด เชร็ดโด่ว ผมถูกผู้ชายทำรอยจูบที่คอ



   
ด้วยความตกใจเรี่ยวแรงที่เหมือนจะหายไปเมื่อจ้องตาคืนก็กลับมาอย่างรวดเร็ว ผมผลักไอ้พี่รหัสตัวเองออกไป คนเมาพลิกตัวนอนหงายไปกับเตียงอย่างหมดสภาพ ไม่นานเสียงกรนเบาๆ ก็ดังออกมาจากปากที่....แม่ง กัดคอผม!!!



   
หึ...พี่คิดว่าตัวเองทำเป็นคนเดียวหรือไงวะ !!

    

หัวเราะทีหลังได้เปรียบ
ผมไม่ชอบเสียเปรียบว่ะพี่
ถ้าไม่เท่าทุนก็ขอกำไรนะครับ





.


.


.

   



ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าห้องชมรมเพื่อไปเปลี่ยนชุดลงมาซ้อม อยู่ก็ถูกลากหลุนๆ เข้าห้องน้ำไปทั้งอย่างนั้นพร้อมกับถูกจับมือไขว้หลัง หัวถูกกดเข้ากับผนังห้องน้ำ “เฮ้ย อะไร ใครวะ”

   
“เงียบ!” ได้ยินเสียงก็รู้

    
“พี่กาย พี่ทำบ้าไรวะ” พยายามสะบัดตัวออกแต่ก็ถูกกดไว้แน่น

   
“มึงทำเหี้ยไรลงไป ยังมีหน้ามาถามกูอีกเรอะ ไอ้ห่าแมน”

   
“โอ้ยพี่ มือหนักชะมัด ผมทำอะไรเล่า” ดึงหนังหัวแรงไปแล้วนะเว้ย

   
“ก็ที่มึง...” คนพูดเงียบไปได้ยินเสียงกัดฟันกรอด

   
“ที่ผมดูดคอพี่ใช่มะ--...โอ้ย!!” ตึง! ไอ้พี่กายจับหัวผมโขกกำแพง เฮ้ย! รุนแรงเกินไปแล้วนะเว้ย

   
“สลัด มึงจะตะโกนให้พ่อมึงรู้เรอะ แม่งกูโคตรอยากต่อยมึงชิบหาย” ทำอย่างกับตัวเองไม่ตะโกน

   
“ผมไม่ผิดนะ” พอขยับปากเท่านั้นแหละ โอ้ย หนังหัวจะหลุดแล้ว

   
“ไม่ผิดเหี้ยไรมึง เอาหน้ามาให้กูต่อยซะดีๆ ไอ้ห่า”

   
“ผมไม่ผิดเพราะพี่ทำผมก่อนอะ” คราวนี้ไม่รอให้พี่แกได้ลงมือ ผมรีบพูดออกไปอย่างรวดเร็ว

   
“ฮะ มึงว่าไรนะ” แรงดึงหนังหัวลดลงไปเล็กน้อย

   
“ผมว่าผมไม่ผิดเพราะพี่กายเป็นคนมาดูดคอผมก่อน”   


“ไอ้สัตว์ อย่างกูเนี่ยนะจะไปดูดคอมึง ละเมอชัดๆ”


“พี่ดูหลักฐานไหมล่ะ” ไอ้พี่กายยอมปล่อย ผมหันไปปลดกระดุมคอ ไอ้พี่กายจ้องรอยแดงๆ ที่คอผมจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้า


“กูไม่ได้ทำ!” ปฏิเสธเสียงแข็ง


“เหอะ ถ้าพี่ไม่ทำแล้วใครจะทำล่ะ เพราะพี่ทำไงผมเลยต้องทำคืนบ้าง เสมอกันนะพี่”


“.......มะ....ไม่จริง...กู.......” คนตรงหน้ายังส่ายหน้าหวือ ท่าทางตกใจสุดขีด 


“พี่ลองนึกดูดีๆ ดิ น่าจะพอจำได้นะว่าทำอะไรลงไปบ้างเมื่อคืน” ผมพูดจบก็ไม่สนใจ ปล่อยให้คนแก่กว่าย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เดินชนไหล่กลับมาที่ล็อคเกอร์เปิดกระเป๋าหยิบเสื้อบอลออกมาปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาจนหมด


“เหี้ยยยยยยยยยยย!!!” หันตัวกลับไปมองหน้าคนที่ทำหน้าตาช็อคโลก ตลกชะมัด


“จำได้แล้วใช่ปะพี่ คราวนี้ผมจะถือว่าเจ๊ากันไปละกันนะ ----“


ปัง!!!


ยังไม่ทันจบประโยคคนที่มาหาเรื่องก็เปิดประตูออกไปแล้วกระแทกประตูปิดเสียงดังสนั่น เห็นแวบๆ ว่าใบหน้าคล้ำแดดนั้นขึ้นสีแดงหน่อยๆ ผู้ชายตัวโตๆ หน้าแดง...เห็นแล้วน่าแกล้งชะมัด ว่าแล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ตามออกไป


“พี่ พี่กาย” ร่างสูงใหญ่ชะงักตามเสียงเรียก แต่ไม่หันหน้ามาคุย


“พี่ทำอะไรผมแล้วจะหนีไปได้ไง”


“กูไม่ได้ทำไรมึงเว้ย”


“โหพี่ แล้วเมื่อกี้ล่ะ” ที่จับมือผมไขว้หลังแล้วเอาหัวโขกกำแพงน่ะ


“อันเมื่อกี้ไม่นับ ไม่มีไรกุจะไปละ เด็กมันซ้อมกันแล้วเนี่ย” ว่าแล้วก็ขยับเท่าเดิน


“นอกจากดูดคอแล้ว พี่จำอย่างอื่นได้ปะ” ได้ผล พี่กายหมุนตัวกลับมาทันที ตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน


“...มึงว่า...นอกจากกูจะ...จะ..ดูดคอ..แล้วยัง...”  พี่แกพูดตะกุกตะกัก


“ไม่ใช่” ผมชิงพูดขึ้นก่อนที่จะจบประโยค


“ฮะ อะไร—“ เดินเข้าไปใกล้ กระซิบเบาๆ ให้ได้ยินสองคน


“นอกจากที่คอแล้ว ยังมีที่ปากด้วยนะพี่ที่ผมทำน่ะ ถือว่าเป็นค่าไปส่งที่ห้อง” ยักคิ้วให้ทีหนึ่งแล้วจากมา เสียงตะโกนตามหลัง


“ไอ้สัตว์แมนนนนนนน!!!”


.

.

.



ตั้งแต่วันนั้นที่ไปหาเรื่องไอ้แมนถึงที่ชมรม ผมก็ไม่ไปชมรมอีกเลย ไปให้มันล้อสิครับ ไอ้ห่า...เพราะกูเมาใช่ไหม ปล่อยให้ไอ้เด็กเปรตนั่นทั้งดูดทั้ง...โว้ย อยากจะปฏิเสธอยู่หรอกว่ามันไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่เมื่อลองกลับไปทบทวนความทรงจำ ความรู้สึกอุ่นๆ ที่ริมฝีปากก่อนที่จะหลับสนิทก็ยังคอยตอกย้ำจริงๆ ว่าโดนไอ้เด็กบ้านั่น ‘จูบ’ ไปซะแล้ว คิดแล้วมันน่าจับมาหักคอชะมัด



แล้วไอ้ซันไม่รู้เป็นบ้าคึกอะไรขึ้นมาชวนไปชมรมทุกวันนะช่วงนั้น ผมเลยต้องหาทางปฏิเสธมันตลอด รู้ว่ามันสงสัยแต่ก็นั่นแหละถ้าไม่บอกมันก็ไม่ถามหรอก


หลบหน้าไอ้แมนได้เกือบอาทิตย์ เย็นวันศุกร์มันมาหาผมที่หอ นั่งรออยู่ที่หน้าประตูห้องท่าทางเหมือนเด็กหลง ยามใต้หอปล่อยให้มันขึ้นมาได้ไงวะเนี่ย?!!


“พี่คิดว่าตัวเองจะหนีไปเฉยๆ ได้ไง” ผมกำลังจะหันหลังกลับไอ้เด็กนั่นก็หันมาเห็นเข้าซะก่อน เมื่อยังเห็นว่าผมเฉย มันก็พล่ามต่อ “จะให้ผมบอกไหมว่าพี่ทำอะไรกับผมบ้าง หรือ อ๋อ อยากให้ผมบอกว่าผมทำอะไรกับพี่บ้างใช่มะ---“

“สัตว์แมน!!” ไอ้แมนหุบปาก แต่มันยังจ้องมาที่ผมนิ่ง ไม่มีสลด

“มีอะไรก็ไปคุยข้างใน” ต้องยอมมันจนได้สิน่า


เสียงประตูปิดดังปัง เข้ามายืนในห้อง ไอ้แมนก็ยังเงียบ ผมขยับตัวอย่างอึดอัด ทำไมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กับมันด้วยวะ

“ผม...ขอโทษนะพี่กาย” มันพูดจบก็ก้มหน้ายืนนิ่ง “ไปชมรมเถอะพี่...ชมรมตอนที่ไม่มีพี่โคตรไม่สนุกเลย”

“มาขอโทษเพื่อให้กูไปชมรมเนี่ยนะ” ถามมันออกไป


“...ผมแค่---“


“พอเถอะ มึงจะพูดแค่นั้นก็กลับไป”


“พี่กาย” ไอ้แมนเรียกชื่อผมสียงโหย มันเงียบไปสักพัก ทำหน้าลังเลใจก่อนจะพูดขึ้นว่า “ถ้าพี่ได้ชกผมแล้วจะอารมณ์ดีขึ้นไหม”
 

“ทำไม มึงจะให้กูชกหรือไง” ถามมันกลับด้วยเสียงนิ่งๆ อารมณ์เริ่มไม่ดีขึ้นมาจริงๆ แล้ว


“อืม ผมยอม” พูดด้วยเสียงหนักแน่น “ถ้าพี่ชกผมแล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมผมยอมให้พี่ชก—“ ไม่รอให้มันพูดจบประโยค หมัดผมก็ซัดเข้าให้ที่ปลายคางของไอ้คนพูดแล้ว ด้วยไม่ทันตั้งตัวไอ้แมนล้มลงกับพื้น


มันไม่ส่งเสียงร้องสักเอะ เหอะ คิดว่าจะสงสารหรือไงวะ


ตึง!!

ผมเตะกล่องกระดาษกล่องใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นห่างจากที่ที่ไอ้แมนล้มลงไปนอนแค่ฝ่ามือเดียวสุดแรง ของในกล่องกระจายไปทั่ว “โธ่เว้ย!!” ผมตะโกนเสียงดัง เรายืนเงียบกันอยู่อย่างนั้นสักพัก

“พี่กาย...พี่ชกผมแล้ว...ก็หายโกรธเถอะนะ..อู้ยยย” ผมหันไปมองหน้าเหยเกของมัน ไม่น่าเชื่อว่าแผลช้ำที่มุมปากของไอ้แมนจะทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้

“แล้วห้องนี่...ผมจะเป็นคนช่วยพี่เก็บเองนะ” มันมองซ้ายมองขวาแล้วส่ายหัวทำหน้าอ่อนใจกับสภาพห้องของผม

“มึงอยากทำมึงก็ทำ...กูไม่ทำเว้ย” ได้คนมาทำความสะอาดห้องก็ดี

“พี่ช่วยผมลุกขึ้นหน่อย” ไอ้แมนยกสองแขนขึ้นทำท่าเหมือนเด็กที่อยากให้อุ้ม เมื่อเห็นว่าผมเฉยมันก็เร่งขึ้นมาอีก “โหย เร็วดิพี่ ช่วยหน่อยน่า” นี่คือคำขอร้องของมึงเรอะ

“ขอบคุณครับ”

“ไปพูดไกลๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องมากระซิบใกล้ๆ ไอ้ห่า ตกใจหมด” ไอ้แมนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะซูดปาก เจ็บแผลใช่ไหม สม อยากแกล้งผมดีนัก

“พี่กาย พี่ไม่โกรธผมแล้วใช่ปะ”

“เออ” ต่อยมันแล้วอารมณ์ดีขึ้นเยอะ

“พี่จะให้ผมมาทำความสะอาดห้องให้ด้วยใช่ไหม”

“อืม มึงพูดเองก็ทำด้วยล่ะ” อย่าเบี้ยวเด็ดขาด

“งั้น...ผมขอกุญแจห้องพี่ด้วยสิ”

“เอาไปทำไรวะ”

“ถ้าพี่ไม่อยู่ ผมก็จะได้เข้ามาทำความสะอาดไงเล่า วันเสาร์พี่มีเรียนใช่ป่าว ผมอาจจะมาทำวันเสาร์เลยนะ” อืม รีบๆ มาทำเลยแหละดี ผมเดินเข้าไปในห้องนอน หยิบกุญแจสำรองโยนให้


“พี่..หิวข้าวอะ” ไอ้แมนเอากุญแจใส่รวมกับพวงกุญแจของมันแล้วบอกหิวข้าว


“ไปกินเดะ” หิวก็ไปกิน บอกทำไม ห้องผมไม่มีอะไรที่กินได้หรอกครับน้องจากน้ำเปล่าและเครื่องดื่มมึนเมา


“ไปเป็นเพื่อนหน่อย นะ...ผมมารอพี่ตั้งแต่สี่โมงแล้วอะ นะพี่กายนะ” มึงไม่ต้องมากะพริบตาปริบๆ เป็นลูกหมา


“เออ ไปก็ไป ทุเรศว่ะ นึกว่าเป็นเด็กอนุบาลหรือไงมึง”


ไอ้แมนทำหน้าดี้ด้าผิดกับที่มันตีหน้าเศร้าๆ บอกหิวข้าวเมื่อกี้ราวกับคนละคน อดไม่ได้ต้องโบกหัวมันไปอีกที ตอแหลเก่งนักนะมึง ช่วงที่มึงมาทำความสะอาดก็ทำคนเดียวละกัน กูไม่อยู่ช่วยหรอกเว้ย



.


.


.



ไอ้แมนมาทำความสะอาดห้องผมจริงๆ ทำคนเดียวด้วยโดยที่ผมไม่มาช่วยไม่โผล่มาเจอมันเลยสักครั้ง ปล่อยให้มันทำของมันไปเอง ผมหลบไปอยู่ห้องไอ้ซันจนดึกจะกลับห้องเมื่อเห็นว่าไอ้แมนขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปแล้ว


ทุกคืนหน้าตู้เย็นก็จะเจอกระดาษทับแม่เหล็กไว้ ไอ้แมนมันจะเขียนบอกสิ่งที่มันทำในแต่ละวัน เป็นต้นว่าเก็บอะไรไปแล้วบ้าง เอาของอะไรวางไว้ตรงไหน กองไหนคิดว่าจะทิ้งให้ผมมาเรื้อดูอีกที นั่นโน่นนี่สารพัด ตัวหนังสือเรียงกันเป็นพืดทั้งตัวอักษรที่เป็นระเบียบของไอ้แมนและตัวหวัดเล็กๆ ของผม ยาวเป็นหน้าๆ แสดงข้อความที่มันถามและผมก็เขียนตอบกลับไปมา



การสื่อสารล้ำสมัยไปถึงไหนต่อไหน
แต่ทำอย่างนั้นทำไม...ผมไม่เคยคิดหาคำตอบสักที


เวลาผ่านไปอีกเกือบอาทิตย์ ห้องก็สะอาดเอี่ยมจนไอ้ซันที่แวะมาเล่นเกมพูดล้อแต่ทำไมต้องถามถึงไอ้แมนวะครับ เรื่องอะไรจะบอก ปล่อยให้มันสงสัยเงียบๆ เองละกัน มึงไม่ถามกูก็ไม่บอกเว้ย

ไอ้แมนหายเงียบไปหลังจากมันทำความสะอาดห้องเสร็จ ทั้งๆ ที่ไอ้ซันบอกว่ามันถามถึงผมกับมันจากชมรมบ่อยๆ


เรื่องชมรม ไอ้แมนมันไม่รู้ว่าผมไปทุกวันแต่แอบดู ไม่เข้าไปทักทาย เล่นบอลอย่างเคย...ไม่รู้สิ แค่รู้สึกแปลกๆ มาแอบมองน้องซ้อมบอลไปก็เพลินดี คนที่เจอผมก็ไอ้ซันอีกแล้ว แต่เมื่อบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามมันก็ไม่ถามเซ้าซี้ คงคอยสังเกตเงียบๆ อีกตามเคย


สุดสัปดาห์ที่ไปค่ายชมรม ไอ้ซันก็ดันทิ้งผมไว้กับไอ้แมนให้คุยกันอีก จะให้คุยอะไรวะ มันเป็นคนหายไปก่อนเองนั่นแหละ และก็จริง ตอนบ่ายวันนั้นผมกับแมนแค่ยืนอยู่ด้วยกัน ไม่มีคำพูดบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นเลย เพื่อนไอ้แมนมาตามไปคุยงาน ผมก็ผละจากไปโดยไม่เหลียวมองมันสักนิด

   




“พี่กาย?!!” ไอ้แมนทักขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่เวรคู่กับมันคือใคร “พี่ไม่มีเวรนี่ แล้วทำไม—“

“ไอ้ซันให้กูอยู่แทน” ได้ฟังคำอธิบายไอ้ซันก็เงียบไป หันไปยุ่งอยู่กับกองไฟที่จุดทิ้งไว้ตั้งแต่ช่วงเย็น ตอนนี้ก็เริ่มมอดดับลงไป เหลือเป็นแสงสีส้มแก่ส่ายไหวตามจังหวะของสายลมที่พัดผ่าน

ไอ้แมนหยิบกาน้ำร้อนใกล้กองไฟขึ้นมา เทลงในแก้ว ไม่นานกลิ่นกาแฟก็หอมกระจายไปทั่วบริเวณ มันหันมามองผมบ้างแต่เมื่อเห็นว่าผมมองมันอยู่มันก็หันหน้าหนีเป็นอย่างนี้จนรอบที่สามผมทนไม่ได้ก็ถามมัน “มึงเป็นเชี่ยไรวะเนี่ย”

ไอ้แมนหันมามองหน้าผม ดวงตาสีดำสนิทของมันล้อแสงไฟ “ผมเปล่า”

“ก็เห็นชัดๆ ว่าเป็น มองหน้ากูแล้วไม่พูด พอกูเห็นก็หันหน้าหนี” นั่นมึงทำอย่างที่กูว่าไปชัดเลยคราวนี้

“ลีลานักนะมึงเนี่ย”

“พี่กาย พี่โคตรนิสัยเสียเลยรู้ไหม”

“อะไรมึง อยู่ดีๆ ก็มาว่ากูซะงั้น”

“ผมยอมให้พี่ชกก็เพราะว่าอยากขอโทษ พี่ชกผมแล้วพี่ก็ทำท่าง่าจะหายโกรธแล้วแท้ๆ แต่ทำไมไม่ไปชมรมล่ะ ผมมาทำความสะอาดห้องพี่เป็นอาทิตย์พี่ก็ไม่โผล่มาสักครั้ง คำขอบคุณสักคำไม่มีแล้วยังจะมาคาดคั้นคนอื่นอีก พี่โคตรแย่เลยว่ะ”
พูดจบมัยก็ยกกาแฟขึ้นจิบ

“ไอ้ห่าแมน มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ไปชมรม” ถามมันเสียงนิ่ง

“ก็ไม่เจอพี่น่ะสิ ผมไปชมรมทุกวันนะพี่ ไม่เคยเจอพี่เลยสักครั้ง”

“กูก็ไปทุกวัน มึงไม่เห็นกูเอง”

“...พี่ไปจริงดิ...แล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะ” มันหันหน้ากลับมาพูดกับผมแล้ว เออดี อย่าให้อารมณ์เสีย

“ไม่อยากเข้า แล้วก็ถ้ามึงอยากได้คำขอบคุณจากการที่มึงเข้าไปทำความสะอาดห้องกู...กูขอบคุณมึงก็ได้ ขอบใจไอ้แมน ...เชี่ย ก็พอมึงทำเสร็จแล้วก็หายหัวไปกูจะรู้ไหมว่าต้องทำอะไรน่ะสัตว์” หมั่นไส้ที่มันยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำขอบคุณ โบกหัวมันไปทีเต็มๆ

“โอ้ยพี่ ชอบตบหัวผมจังวะ” อารมณ์ดีแล้วสิมึง

“มึงมันไอ้กะล่อน” ว่าแล้วก็ขอยีหัวมันอีกหลายๆ ทีจนมันร้องโอดโอย

“พอก่อนพี่...พี่กายพอแล้ววววว....กาแฟไหมพี่เดี๋ยวผมชงให้นะ”

“ขอตบหัวอีกที โทษฐานไม่ทำให้กูก่อน สลัด” มันแบบมือให้ ผมตบลงไปเต็มแรง ไอ้แมนคว้ามือไปกุมไว้ไม่ปล่อย

“พี่กายขอยืมมือก่อนนะ อากาศหนาวจะได้อุ่นๆ นะพี่”

เออ ความสามารถพิเศษของมึงคือชกกาแฟมือเดียวใช่ไหม ถ้าหกเดี๋ยวโดนแน่


------------------------------------------------
[07.01.59]
พักยกคู่เอกมาดูคู่รองบ้าง คู่นี้จะ แมนxกาย หรือ กายxแมน ดีน้อ ฮ่าๆ
ดีใจที่มีความเห็นใจเดือน *กอด* ความจริงคนที่น่าตีที่สุดในเรื่องคือซันๆ เลยนะเนี่ย
ความดราม่าของเรื่องนี้ไม่มีค่ะ เป็นนิยายเฉื่อยๆ เรื่อยๆ จะเศร้าก็ไม่สุด จะกิ๊บกิ๊วไหมก็ไม่รู้ คนอ่านรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าหนีน้า อยู่ด้วยกันจนจบเรื่องเลยนะคะ *อ้อน*
 :mew1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 13) 07-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 08-01-2016 05:47:53
#แมนกาย ก็น่ารักไม่หยอก
ดีๆ ไม่มีดราม่า ชอบๆๆ คึคึ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 14) 08-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 08-01-2016 21:52:17
คำเตือน: โปรดดื่มเครื่องดื่มเข้มๆ ขณะอ่าน



Just Love ❤ รักนะครับ





14






เดือนเลือกแมวสีดำตัวเล็กที่สุดในคอกมาเลี้ยง เจ้าตัวเล็กมีขนสีดำปลอดทั้งตัวยกเว้นบริเวณเท้าทั้งสี่ที่มีขนสีขาวแซมเหมือนใส่ถุงเท้า

   
เดือนบอกให้เขาเป็นคนตั้งชื่อเลยให้ชื่อเจ้าดำปลอดว่า ‘แสนดี’

   

...เผื่อคนเลี้ยงจะแสนดีตามชื่อแมวบ้าง

   

ลูกแมวนี้ได้มาจากพี่รหัสของแพง เห็นบอกว่าแมวที่บ้านที่คิดว่าเป็นตัวผู้มาตลอดอยู่ๆ พุงโตขึ้นนึกว่าอ้วนแต่ที่ไหนได้ดันท้องซะงั้นเลยรีบหาคนดูแลเจ้าเหมียวทั้งสามที่เกิดมาอย่างไม่ทันรู้ตัว แพงโพสเรื่องในเฟซบุ๊คพอดีจึงไปติดต่อและก็ได้เจ้า ‘แสนดี’ มาอยู่ด้วยกัน
   
   

ก่อนที่ทั้งเขาและเดือนจะไปรับ ‘แสนดี’ มาเลี้ยงเรามีข้อตกลงกันเล็กน้อย

   

‘เดือน...ลูกแมวที่จะไปรับมาเลี้ยงน่ะ เค้าไม่เลี้ยงนะ’

   

‘อ้าว...’ เดือนที่กำลังดื่มน้ำหลังทานข้าวเสร็จรีบวางแก้วน้ำลงพร้อมทำหน้างุนงง เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำหน้ายุ่งรีบพูดต่อ
   

‘เค้าจะให้เดือนเลี้ยง’

   
‘ยังไง’

   
‘เค้าจะไม่ยุ่งกับเจ้าเหมียวเลย จะเล่นด้วยเฉยๆ เดือนจะต้องเป็นคนดูแลนะ ทั้งคอยทำความสะอาดกระบะทราย ให้อาหารให้น้ำทุกวัน แล้วก็อาบน้ำด้วย’

   
‘เฮ้ย!! ซันๆ เค้าจะทำได้เหรอ เค้าไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อนเลยนะเว้ย’

   
‘ได้ ตัวทำได้ ยังไงเค้าก็จะคอยช่วยห่างๆ ไง’


ให้กำลังใจคนที่ไม่เคยดูแลอะไรแม้กระทั่งตัวเอง
โดยเริ่มจากการดูแลสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
สักวัน เดือนคงจะเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น ดูแลตัวเองได้ดีขึ้น


‘ซันๆ ก็...’ คนที่จะต้องรับผิดชอบแมวส่ายหน้าจะเอ่ยปฏิเสธ

‘ทำไม ตัวไม่เชื่อเค้าเหรอ เค้าเชื่อนะว่าตัวทำได้’ สบตาให้กำลังใจ

‘ซันๆ จะช่วยเค้าใช่ปะ...’ พยักหน้าให้คนไม่มั่นใจ ‘ถ้าอย่างนั้น...ก็ได้’ ดวงตาสีเข้มค่อยเปลี่ยนจากแววลังเลเป็นมั่นคง

‘ดีมาก...ไปกันเถอะ แพงนัดพี่เค้าไว้ที่คณะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว’



จัดการเก็บโต๊ะ สวมรองเท้าหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์เดือนก็เดินตามมาไม่นานมอเตอร์ไซค์ที่มีผู้ชายสองคนซ้อนกันก็แล่นออกไปบนท้องถนนยามสายด้วยความคุ้นเคย




.



.



.




หญิงสาวสามคนนั่งรออยู่แล้วใต้ตึกคณะเมื่อชายหนุ่มทั้งสองคนไปถึงแพงแนะนำว่าเป็นรุ่นพี่คณะชื่อพี่หวานกับพี่ซี  พี่หวานส่งยิ้มให้เขาและเดือนอย่างอ่อนหวานสมชื่อ พี่ซีเพียงแค่พยักหน้าให้อย่างง่ายๆ


“เลี้ยงไม่ยากหรอกจ้ะ สีดำน่ะน่ารักที่สุดในคอกแล้วนะ”


พี่หวานเริ่มคุยเมื่อทุกคนนั่งลง เธอเลื่อนตะกร้าหูหิ้วที่มีฝาปิดขนาดสองฟุตมากลางโต๊ะแล้วเปิดฝาด้านบนออก เขามองเข้าไปภายในตะกร้าสีฟ้าใสลูกแมวตัวเล็กสีดำขยับตัวอยู่บนผ้าบนหนูสีเข้ม มันกะพริบตามองไปมาอย่างแปลกที่ก่อนส่งเสียงร้องเหมียวอย่างออดอ้อนดวงตาสีดำใสแจ๋วมองผู้ชายแปลกหน้าอย่างสนใจ


“มันชอบกินขนมปัง” พี่ซีเสริมแล้วบ่นออกมา “พี่ดีชอบให้แมวกินของแปลกๆ เรื่อย”


“อย่าว่าพี่ดีสิ” พี่หวานหันไปปรามเพื่อน อีกคนก็รีบพูดทันควัน “เอ้า ก็จริงนะหวาน ตัวเองดูที่พี่ดีให้แมวกินแต่ละอย่าง แตงโมงี้ ขนมปังแผ่นๆ งี้ โหย”


“แต่เจ้าเหมียวก็ชอบนี่น่า พี่ดีอาจรู้ก็ได้ว่าแมวชอบกินอะไรก็ได้”


“ตัวกับพี่น้ำตามใจพี่ดีมากไปแล้วนะ” พี่ซีกระตุกชายเสื้อพี่หวานเบาๆ ท่าทางงอแงเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ   


แพงหันมายิ้มให้พร้อมทำปากแบบที่ไม่มีเสียงว่า ‘เป็นแบบนี้ตลอด โทษทีนะ’


“แพงเป็นไงบ้าง” นับจากวันนั้นที่ไปทานข้าวกันสามคน เขาก็ไม่ได้ติดต่อหญิงสาวตรงหน้าอีกเลย


“สบายมาก ซันกับคุณล่ะ” แพงคงสบายดีอย่างที่บอกหน้าตาสดใสไม่เปลี่ยน


“ยุ่งนิดหน่อย ไม่ได้ติดต่อไปเลย โทษทีนะ” แพงส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร แล้วหันไปส่งยิ้มกว้างให้คนที่นั่งเงียบ


“คุณไม่ต้องคิดมากน้า ซันกับแพงเป็นเพื่อนกันจ้า”   


“เฮ้ย เราไม่ได้คิดอะไรนะ” เดือนรีบพูดแก้มขึ้นสีเรื่อ ปฏิกิริยาของเดือนทำให้สองสาวรุ่นพี่ที่คุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งเงยหน้าขึ้นมา พี่ซีกวาดสายตามองสถานการณ์อย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยเสียงเข้มกับแพงว่า


“ทำไม ยัยแพง แกไปทำให้สองคนนี้เค้ามีปัญหากันเรอะ”

“บ้าพี่ซี แพงไม่ได้ทำนะ” แพงรีบลุกขยับไปนั่งใกล้ๆ พลางเกาะแขนออดอ้อน

“แล้วไป” พี่หวานหัวเราะเบาๆ “เค้าเหมาะสมกันดีที่สุดแล้ว แพงถอยออกมาเถอะนะ” ลิ่วตาล้อเลียน


พี่ซีปลดแขนแพงออกอย่างเนียนๆ พร้อมขยับเข้าไปใกล้เพื่อนตัวเอง แพงไม่ตอบแต่หันมามองเขาและเดือนยกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากพึมพำว่า ‘แค่เกือบไปแล้ว’ จากนั้นก็ไปกระซิบกระซาบกันสามคนโดยแอบเหลือบตามองมาที่เขาไม่ก็เดือนเป็นระยะ


“เออ...” ตั้งใจจะขัดจังหวะของสามสาวและขอตัวจากสถานการณ์ประหลาด แต่ก็พี่ซีก็ถามขึ้นมาก่อน



“ซันรู้จักกับคุณนานแค่ไหนแล้ว” สาวสามเงยหน้าขึ้นมองมาที่เขาเป็นตาเดียว

   
“ก็...ตั้งแต่เล็กแล้วครับ” ...นี่ต้องสอบประวัติก่อนจะเอาแมวไปเลี้ยงหรือเปล่า 

   
“น้องคุณจ้ะ ซันชอบกินอะไร” ได้คำตอบแล้วพี่หวานก็หันไปถามเดือน

   
“...พวกขนมนะ ใช่ไหม” เดือนหันมาถาม เขาพยักหน้าตอบ

   
“ซันทำอาหารเป็นด้วยหรือเปล่า อร่อยไหมจ๊ะ” แพงถามเขาแต่พยักพเยิดให้เดือนตอบ

   
“อร่อยมาก” เดือนบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง สาวๆ หัวเราะกันยกใหญ่

   
“แล้วซันเกลียดอะไร” ถามเรื่องเขาแต่ทำไมพี่ซีไปถามกับเดือนล่ะ

   
“แตงกวา”

“...ไม่ได้เกลียด แค่ไม่กินเฉยๆ” ท้วงออกมาทันควัน ทุกคนหัวเราะขำ

   
“น้องซัน น้องคุณล่ะ เกลียดอะไร”

   
“ผักครับ ตักมาให้ผมทานตลอด” ได้ทีเอาคืน หันไปยักคิ้วให้คนที่ถูกเผาบ้าง

   
“ไม่ได้เกลียด คะ---“ เดือนแก้ตัวไม่ทันจบเขาก็ต่อ “แค่ไม่ชอบ” ได้รางวัลเป็นกำปั้นต่อยเข้าที่สีข้างเบาๆ

   

“โอ้ยยยยย หวานเค้าไม่ไหวแล้วววววว” พี่ซีที่หัวเราะอยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นเสียงดัง พี่หวานและแพงตกใจ “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน” แพงเปิดกระเป๋า ค้นหาของวุ่นวาย หยิบยาดมออกมาจ่อจมูกคนร้องโอดโอย

   

“ฟินจ๊ะ ฟินเกิ้นนนนนน งุ้งงิ้ง มุ้งมิ้ง สุดๆ” พี่ซีคว้ายาดมไปสูบเองเฮือกใหญ่

   

“ยัยบ๊อง ทำเอาตกใจหมด” พี่หวานผลักหัวเพื่อนตัวเองพี่ซีไม่ทันตั้งตัวจึงเกือบหงายหลัง พอตั้งตัวได้ก็ทำแก้มป่องต้องให้เพื่อนง้ออีกยกใหญ่

   

“แพงบอกแล้วว่าเรียล เชื่อหรือยังคะ แค่ซันยังซึนๆ และคุณก็มึนๆ แค่นั้นแหละ” แพงพูดสำทับ ...แพงพูดอะไรนะ อะไรที่ว่าจริง ทำไมเขาซึน เดือนมึนคืออะไร เขาฟังที่เธอพูดออกแต่ทำไมไม่เข้าเลยวะเนี่ย

   

“ขอให้รู้ใจตัวเองไวๆ จ๊ะ พวกป้าๆ จะได้ไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยนะ” พี่หวานเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาลูบหัวลูบหางเจ้าแมวน้อยพูดจบก็ส่งยิ้มหวานมาให้อีกรอบ
   

พี่ซีอ้าปากจะถามอะไรแปลกๆ ด้วยสายตาพิลึกๆ ต่อแต่เขาชิงพูดก่อน

   
“ขอบคุณที่ให้แสนดีมาเลี้ยงนะครับ จะดูแลอย่างดีเลย” เอื้อมมือไปคว้าตะกร้าขึ้นมา เตรียมลุกขึ้น
   

“เออ...เดียวต้องไปซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อยน่ะครับ ขอบคุณมากนะครับพี่ซี พี่หวาน แพงด้วยนะ”

   
เดือนกล่าวขอบคุณทั้งสามคนแล้วเตรียมจะเข้ามาถือตะกร้า เขาบอกปฏิเสธ“ไม่เป็นไร เค้าถือก่อนได้”

   
สาวๆ ลุกขึ้น โบกมือลา
   

“ดูแลให้ดีทั้งคน ทั้งแสนดีนะ ซัน”
   
“รักกันมากๆ นะ”     
   
“ซันกับคุณสู้ๆ”

   
เป็นคำบอกลาที่แปลกประหลาด
เขาแค่มารับแมวไปเลี้ยง ทำไมคำร่ำลาถึงเหมือนกับอวยพรคู่บ่าวสาวชอบกล
   

เดือนหัวเราะกับท่าทางโบกไม้โบกมือของคนทั้งสามแล้วหันไปโบกมือตอบบ้าง เพราะเดินหันหลังเลยสะดุดเข้ากับรอยต่อของพื้นคอนกรีต

   
“ระวัง”

โชคดีที่เขาคอยระวังไว้ก่อน จึงคว้าเอวคนเซจะล้มไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นมีหวังล้มกลิ้งไม่เป็นท่าแน่
คนที่เขาช่วยไว้ส่งยิ้มขอบคุณจับมือที่โอบรอบเอวออกแล้วเลยถือโอกาสจับไว้ตลอดทาง


   
หันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามพลางเขย่ามือที่กุมอยู่หลวมๆ เดือนเพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนมาให้



“..นะ”

   

โอเค อยากจับก็ได้
ทางเดินแถวนี้มันไม่เรียบหรอก ล้มอีกจะได้ช่วยกันทัน





.


.


.


   

“นี่ซันๆ คนทำดีก็ต้องได้รางวัลใช่ปะ”

   

เดือนพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนนั่งกับพื้นดูลูกแมวกินมื้อเย็น ตอนเช้าหลังจากไปรับลูกแมวมาเลี้ยงพวกเขาไปซื้อของใช้สำหรับแสนดีหลายอย่างจนเดือนต้องถือของซ้อนมอเตอร์ไซค์พะรุงพะรัง กลับมาถึงห้องตอนเที่ยงกว่าทานบะหมี่น้ำที่ซื้อมาแล้วก็พาแสนดีสำรวจบ้านใหม่ไปตามเรื่อง

   
‘แสนดีจ๋า’ เดือนคลานไปกับพื้นตามหลังลูกแมวดำที่สำรวจไปทั่วห้องใหม่ ร้องเรียกชื่อ ‘แสนดีจ๋า...แสนดีจ๋า’ ตลอดเวลา

   
‘เดือน ตัวไปจัดการของที่ซื้อมาด้วยสิ’ เขาล้างชามเสร็จก็ชวนคนเลี้ยงแมวไปจัดของ ถุงพลาสติกหลายใบที่กองอยู่บนพรมหน้าโทรทัศน์ถูกรื้ออย่างช้าๆ
   
‘อันนี้อะไร’ เดือนเข้ามาถาม ขณะที่เขายกถุงกระสอบใบเล็กออกมา
   
‘ทรายแมว’
   
‘หอมดีจัง’ กลิ่มหอมอ่อนๆ เหมือนไม้ลอยออกมาเมื่อเจ้าตัวก้มลงไปดมใกล้ๆ

   
‘อืม ไว้ตอนแสนดีเข้าห้องน้ำน่ะ’
   
‘หา’
   
‘ทรายแมว เอาไว้ให้แมวเข้าห้องน้ำน่ะ’
   
‘เฮ้ย ซันๆ ไม่บอก ก้มลงไปดมแล้วเนี่ย’

   
‘ฮะฮะฮะ’ หัวเราะพลางยกกระสอบเทลงไปในกระบะพลาสติก เขาซื้อมาสองกลิ่นทั้งกลิ่นไม้กับกลิ่นแอปเปิ้ลใช้ผสมกันให้กลิ่นหอมอ่อนๆ

   
‘แล้วอันนี้ล่ะ’ ถาดสีน้ำตาลตรงกลางเป็นขดเชือกแผ่เป็นวงรอบๆ ถูกยื่นเข้ามาถาม

   
‘ที่ลับเล็บ’ พอได้คำตอบคนถามก็พยักหน้าหงึก คว้าตัวเจ้าแสนดีที่อยู่ใกล้มาอุ้มแล้วพยายามจับเท้าหน้าเล็กๆ ข่วนแป้น ‘แบบนี้ใช่ไหมๆ เหมียวๆ แสนดีข่วนเล็บหน่อย’

   
ลูกแมวน้อยไม่ขัดขืนปล่อยให้เดือนจับหมุนซ้ายขวาตามชอบ เดือนลูบหัวทีก็เข้าไปอ้อนอีก...รักกันน่าดู

   
‘เดือน อันนี้แชมพูนะ’ ยื่นขวดขนาดเล็กไปให้ เดือนเปิดดมแล้วบอกว่าหอม

   
‘อาบน้ำเดือนละครั้งก็ได้ วันนี้เลยป่ะ’ จัดของเสร็จพอดีเขาว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ สอนให้เดือนอาบน้ำแมวด้วยเลยละกัน รอสักพักไม่เดินตามมาก็ส่งเสียงเรียก

   
‘เดือน ตัวเองพาแสนดีมาในห้องน้ำนี่’

   
‘ให้ไปอาบในห้องน้ำเหรอ เค้านึกว่าอาบที่อ่างล้างจาน’

   
‘ในห้องน้ำนี่แหละ เอากะละมังที่ซื้อเมื่อกี้มาด้วย เค้าหยิบแชมพูมาแล้ว’

   
กะละมังสีเขียวถูกยื่นเข้ามาในห้องน้ำก่อน แสนดีนั่งหน้าแป้นอยู่ข้างในแล้วเดือนก็ตามเข้ามา พอเห็นเขาเดือนก็ชะงักก่อนจะร้องอออกมาอย่างตกใจ

   
‘เฮ้ย! ซันๆ ถอดเสื้อทำไม’

   
‘เดี๋ยวเปียก’ เดือนก็โวยวายไปได้ ทำอย่างกับไม่เคยเห็น

   
‘ใส่เถ้อะ’ ลงท้ายหางเสียงสูง ‘ใจคอไม่ดี’ อะไรจะขนาดนั้น

   
‘ไม่เป็นไรหรอก มาอาบน้ำแสนดีเร็ว’

   
ว่าแล้วก็เปิดน้ำอุ่นใส่กะละมัง ปากก็คอยบอกวิธีอาบน้ำแสดีกับเดือนไปด้วย
   
‘ให้อาบน้ำตอนบ่าย อากาศร้อนหน่อย ไม่งั้นแสนดีจะเป็นหวัด’

   
‘อื้อ’

   
‘ใส่น้ำแค่ครึ่งเดียวพอ ลองเอามือจุ่มดูสิ ร้อนไหม’ มือขาวซีดจุ่มลงในน้ำ

‘ร้อนนิดหน่อย’ เขาเปิดน้ำเย็นเข้าผสม ‘ให้น้ำประมาณนี้ ไม่เย็นไปไม่ร้อนไป โอเคนะ’ เดือนเอามือจุ่มน้ำแกว่งไปมา ‘ทำไงต่อ’

   
‘ค่อยๆ กวักน้ำในกะละมังลูบตามตัว ช้าๆ พูดปลอบได้ด้วย แสนดี คนดี คนเก่ง อยู่นิ่งๆ นะ’ เดือนมองแล้วทำตาม สองมือขาวซีดวางลูกแมวลง กวักน้ำจากกะละมังลูบตามตัวปากก็พร่ำบอก
   
‘แสนดีจ๋า คนดี อยู่นิ่งๆ นะ แสนดี ดีดี๊ ดี คนเก่ง’
   
‘ระวัง ให้เปียกแค่คอพอ หัวกับหน้าอย่าเพิ่งนะ’
   
แสนดียิ่งนิ่งๆ ให้อาบน้ำไม่รู้เป็นเพราะเสียงนุ่มทุ้มจากปากเล็กๆ หรือมือขาวๆ ที่คอยวักน้ำลูบตามตัวอย่างแผ่วเบากันแน่


   
‘เรียบร้อยแล้ว ทำไงต่อ...ซันๆ’ เดือนเรียกเขาสะดุ้งเผลอมองเพลินไปหน่อย เสียงนุ่มทุ้มนั้นเงียบลงไปแล้ว

   
‘ใส่แชมพูเลย ผสมกับน้ำตีเป็นฟองแล้วก็เอามาลูบเร็วๆ ให้ทั่ว’ เทแชมพูแมวขวดเล็กลงในขันพลาสติกใช้น้ำผสมตีจนขึ้นฟองยื่นให้คนที่กำลังจับแสนดี

   
‘แชมพูห้อมหอม แสนดีอยู่นิ่งๆ จะได้ตัวหอมๆ น้า’ เดือนพูดปลอมเจ้าเหมียวเมื่อเริ่มหยุกหยิกราวกับรู้แสนดีก็ร้องเหมียวตอบรับแล้วก็ยื่นเฉย

   
‘พอสะอาดดีแล้วก็กวักน้ำล้างออกเหมือนตอนแรกเลย’ พูดจบก็ยืนขึ้นหันไปค้นผ้าเช็ดตัวผืนเล็กออกมา ’สีไหน’ 

   
เดือนเงยหน้าขึ้น มือขาวเกี่ยวผมยาวทัดหูฟองสีขาวติดเต็มแก้ม ‘สีเทาก็ได้ ไม่ค่อยได้ใช้ เดือนยกให้แสนดีละกันนะ’ บอกเขาแล้วหันไปพูดกับแมว

   
ผ้าเช็ดผมผืนสีเท่าที่เจ้าตัวบอกไม่ค่อยได้ใช้ก็ถูกนำมาห่อเจ้าแสนดี เช็ดตัวไปพลางปลอบเบาๆ ไปพลาง เขาจัดการเก็บของในห้องน้ำเสร็จแล้วเดินออกมายังเห็นว่าฟองติดอยู่ที่แก้มของเดือนก็เดินเข้าไปใกล้

   
‘ซันๆ...จะทำอะไร’

   
ไม่ตอบคำถามแต่คอยยื่นมือเช็ดคราบฟองสบู่บนแก้มขาวแผ่วเบา กลิ่นดอกลาเวนเดอร์หรือดอกไม้อะไรสักอย่างที่เขาไม่อยากจะหาคำตอบส่งกลิ่นอ่อนตามสายลม

   
ขยับเข้าไปใกล้จนเห็นเงาตัวเองสะท้อนในดวงตาสีดำสนิท


   
‘เหมี้ยววววว’ 

   
แล้วเขาก็ต้องกะพริบตาเมื่อได้ยินเสียงร้องของแสนดี ปลายจมูกชนกับแก้มนุ่มเมื่อเดือนหันหน้าไปตามเสียงร้อง

   
‘แสนดี หิวหรือเปล่า’ เดือนลุกไปคว้าเจ้าแสนดีมากอด ทันได้เห็นแก้มขึ้นสีแวบเดียว

   
‘ซันๆ ให้แสนดีกินอะไรหน่อยไหม’
    
   
‘ได้สิ ไปกินข้างนอกตรงระเบียบเถอะ รับลมร้อนๆ สักหน่อยแสนดีจะได้แห้งสนิท’ หยิบถาดอาหารและน้ำขึ้นมา เดินนำออกไปที่ระเบียบห้อง วางอาหารให้ ลูกแมวสีดำสวมถุงเท้าสีขาววิ่งเข้ามาดมๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินอย่างรวดเร็วท่าทางหิวจัด

   
‘หิวจริงๆ ด้วยล่ะซันๆ กินไม่หยุดเลย’ เดือนลูบหน้าลูบหลังเจ้าตัวเล็ก เส้นผมสีดำร่วงลงมาจนเจ้าตัวต้องคอยสะบัดไม่ให้บังสายตา ผมยาวๆ แบบนั้นไม่รำคาญหรือไงนะ

   
เดินกลับเข้าห้องหยิบหนังยางมัดผมออกมา ยื่นให้ เดือนเงยหน้าขึ้นมาช้อนสายตามอง

   
‘มัดให้หน่อย …..นะ’

   

เส้นผมสีเข้มยังคงนุ่มลื่นมืออย่างเคย รวบเส้นผมที่ปล่อยสยายรวมกันแล้วม้วนให้ เป็นจุกด้านหลังเสร็จแล้วทิ้งตัวลงนั่งลงบนพื้นพิงระเบียงข้างกัน


   
“นี่ซันๆ คนทำดีก็ต้องได้รางวัลใช่ปะ” หันไปมองหน้าคนถามที่ตอนนี้กะพริบตาทำหน้าออดอ้อน

   
“ก็ได้...อยากได้อะไร”

   
“อยากได้คำตอบ” เจ้าตัวกัดฟันพูดแก้มขึ้นสีชมพูจางๆ

   
“คำตอบ?”

   
“ใช่...คำตอบของคำถามนี้ ซันๆ ตัวว่า เค้ายังจะมีโอกาสไหม” ดวงตาสีนิลเปล่งประกายสะท้อนแสงตะวันจ้องตรงมายังเขา

   
“โอกาสอะไร” ยังไมเข้าใจคำถาม


   
“เค้ายังจะมีโอกาส ‘รัก’ ซันๆ ได้อีกหรือเปล่า”

   

ดวงตาสีเข้มยังคงจ้องมองตรงมาและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ หลับลงช้าๆ จนเขาเห็นเพียงเปลือกตาขาวซีดที่ต้องแสงแดดยามเย็นกับขนตาสีดำยาวเป็นแพ

   
ลมหายใจของเดือนเหมือนสะดุดไปครู่หนึ่ง
เสียงรบกวนรอบตัวจางหายไป รับรู้แค่เสียงลมหายใจของคนตรงหน้า

   

ฝ่ามือของเดือนเย็นเฉียบเมื่อสัมผัสกับลำคอ เขากดเบียดริมฝีปากแนบลงไปหนักหน่วงยกมือขึ้นไปนวดบริเวณหลังคอเล็กเจ้าของก็ส่งเสียงอื้ออาเปิดปากให้เขาได้สำรวจอย่างไม่ขัดขืน ส่งลิ้นไล่เลาะไปตามแนวไรฟัน ดูดดึงกระพุ้งแก้ม ไม่นานลิ้นเล็กก็เข้ามาทักทายเกาะเกี่ยวกระหวัดพันอย่างอ่อนหวาน

   

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ลมหายใจถี่กระชั้นของเราจึงกลับมาเป็นปกติ เขาค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมาจูบซับไปตามริมฝีปากของเดือนเรื่อยไปตามแก้ม แชมพูกลิ่นดอกไม้เมื่อตอนบ่ายยังคงลอยวน

   
เดือนขึ้นมาอยู่บนตักเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอนตัวซบกับซอกคอของเขา แก้มทั้งสองข้างร้อนจัดขึ้นสี ริมฝีปากสีเข้มกว่าปกติจากการดูดเม้ม

   
“นี่...พอจะเรียกว่าคำตอบได้หรือเปล่า” มือทั้งสองข้างลูบหลังลูบไหล่คนบนตักแผ่วเบา

   
“ซันๆ ตัวยังไม่ต้องพูดก็ได้ ให้เค้าพูดเอง เดือนรักซันๆ นะ”

   
เดือนพูดอู้อี้กับอก แล้วเงยหน้าขึ้นมาจูบที่ปลายคางเร็วๆ ก่อนจะก้มหน้ากลับที่เดิม

   
“แน่หรือเปล่า” กระซิบข้างใบหู

   
“อื้อ”

   
“เปลี่ยนใจไม่ได้นะ”

   
“ไม่เคยเปลี่ยนอยู่แล้ว”

   
“จะมาร้องไห้ทีหลังก็ไม่ปล่อยแล้วนะ”




คราวนี้เดือนไม่ตอบแต่เอื้อมแขมขึ้นมาเกี่ยวคอของเขา
กระซิบชิดริมฝีปากเป็นประโยคสุดท้าย



“ไม่ต้องถามแล้ว รักมาตั้งนาน ยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก”



----------------------------------------
[08/01/2559]
ตอนนี้น่ารักจุง แต่งเองกรี๊ดเอง ฮ่า
มุมโฆษณา สองสาวมาจากเรื่อง ★ Lucky! ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว ★ (จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48933.msg3185091#msg3185091) ค่ะ รับบทเป็นตัวป่วนที่คอยเชียร์ให้พี่ชายรักกัน
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเช่นเคยค่ะ
 :-[
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 15) 09-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 09-01-2016 22:25:41


Just Love ❤ รักนะครับ






15




   

เคร้ง!!

   

เสียงโลหะกระทบพื้นทำให้เขาที่กำลังนอนหลับสนิทสะดุ้งพรวดตื่นขึ้น รีบลุกจากเตียงนอน มุ่งตรงไปยังแหล่งกำเนิดเสียงทันที

   

“เดือน! ทำอะไรน่ะ”

   

เห็นอยู่หรอกว่าเดือนกำลังทำอะไร แต่หมายถึงทำไมถึงทำ

   

“อ่า ซันๆ ตื่นแล้วเหรอ แฮะๆ” คนพูดเกาท้ายทอยแก้เก้อที่โดนเขาจับได้
 
   

ยื่นพิงกรอบประตูมองคนที่ก้มๆ เงยๆ เก็บตะหลิวและส้อมที่เจ้าตัวเผลอทำหล่น ไล่สายตาไปทั่วห้องครัวเล็กเครื่องปิ้งขนมปังบนเคาน์เตอร์ส่งกลิ่นหอม ไม่รวมใกล้กันมีจานใส่ขนมปังแผ่นสองแผ่นที่ไหม้จนดำเกรียม เดือนที่ก้มเก็บตะหลิวกับส้อมได้แล้วก็หันกลับไปยุ่งอยู่บนเตา เขาเดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นซอสปรุงรสและเสียงฉ่าของน้ำมันร้อนจัด


   
“โอ้ย!” เดือนก้าวถอยหลังหลบน้ำมันร้อนๆ ที่กระเด็นขึ้นมาจากการตอกไข่แล้ว ‘โยน’ ลงน้ำมันเดือด

   
ถอยออกมาดูอยู่ห่างๆ รอดูว่าฝีมือการเข้าครัวของพ่อครัวมือใหม่จะออกมาในรูปแบบไหน ระหว่างนั้นเองเครื่องปิ้งขนมปังก็ได้ที่ เดือนจึงหันไปจัดการขนมปัง มือขาวซีดคีมแผ่นขนมปังร้อนๆ ขึ้นมาจากเครื่องปิ้งแล้วทิ้งลงบนเคาน์เตอร์ดื้อๆ เจ้าของมือสะบัดมือไปมา “ร้อนโว้ย” ว่าแล้วยังไม่พอเอาปลายนิ้วที่แดงเพราะความร้อน เข้าปากหน้าตาเฉย


ให้ตาย!

   

ครู่เดียวไข่ที่ทอดไว้ก็เกิดควันคลุ้ง เขาจึงร้องเตือน “เดือน! ไข่”

   

ชายหนุ่มหันตัวกลับมาด้วยท่าทีร้อนรน หยิบตะหลิวขึ้นมาถืออย่างเงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก ควันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“ปิดเตาก่อน” มือขาวซีดทำตาม ได้ยินเสียงถอนหายใจเสียงดัง ฟู่

“เอาตะหลิวค่อยๆ ช้อนไข่ขึ้นมา แล้วใส่จานนี่” ยื่นจานที่ปูทิชชู่ซับน้ำมันแล้วให้

“ดูไม่จืดเลยนะ” ก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในจานแล้วอดหัวเราะไม่ได้

“เฮ้ย อย่าขำดิซันๆ” เดือนถูปลายจมูกของตัวเองไปมา

“ไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวเค้าจัดโต๊ะแล้วออกมากินข้าวกัน” เดือนฉวยจานในมือไปวางบนโต๊ะ หยิบขนมปังที่ถูกทิ้งไว้นอนแอ้งแม้งบนเคาน์เตอร์ใส่จานวางไว้ข้างๆ กัน เตรียมตัวจะทำอาหารเช้าอีกชุด

“อย่าทำไฟไหม้ล่ะ” เขาไม่ขัดศรัทธา ขยี้ผมสีดำสนิทของพ่อครัวแล้วไปอาบน้ำตามคำสั่ง



อาหารหน้าตาแปลกประหลาดวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับพ่อครัวส่งยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ เขานั่งลงเดือนก็เลื่อนจานขนมปังปิ้งมาให้ หยิบเข้าปากก่อนจะเคี้ยว

   

“เป็นไง”

หน้าตาคนถามมีความหวังสุดๆ


“ก็กินได้”


ขนมปังปิ้งเกรียมด้านหนึ่งอีกด้านขาวจั๊วะไม่ผ่านความร้อน ผสมน้ำลายพ่อครัวนิดหน่อย
ดีที่ซื้อกาแฟชงสำเร็จรูปไว้เมื่อวันก่อน รสชาติจึงเหมือนเดิม จิบคล่องคอเป็นที่สุด


เห็นว่าคนตรงข้ามเงียบไป เงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นทำหน้าแดงๆ ยิ้มแก้มแตกจนตาเป็นขีดโค้ง


“กาแฟน่ะ”


“ซันๆ อ่า” เดือนเอ่ยเสียงละห้อย ทำคอตก


“เอาน่า แรกๆ ก็งี้แหละนะ”


“ห้ามบ่นนะ”


“เออ ไม่บ่นหรอก” ขนาดห้ามยังไม่ห้ามเลย เกิดบ่นเดี๋ยวคนทำเสียกำลังใจแย่ แค่นี้ก็รู้สึกว่าเดือนกำลังพยายามปรับปรุงตัวเองอยู่ ไม่บอกหรอกว่าดีใจ เดี๋ยวได้ใจใหญ่


สงสัยอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ได้กินแค่ไข่ดาวกับขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้าแน่นอนไม่ต้องรอใครฟันธง


เลื่อนจานขนมปังที่ตอนนี้ว่างเปล่าออกไป เดือนก็เลื่อนอีกชามแทนที่ เขาตักกิน


“ไข่ดาวเป็นไง กินได้ไหม”


“อ้าว นี่ไข่ดาวเหรอ”


“ใช่สิ ทำไมอ่า”


“นึกว่าช็อคโกแล็ตทอด” มันก็ไม่ถึงกับไหม้เกรียมจนดำปี๋ขนาดนั้น แค่เปลี่ยนสีจนมองไม่ออกว่าตรงไหนไข่ขาวตรงไหนไข่แดงเท่านั้น


“ซันๆ!” พ่อครัวหน้าง้ำหน้างอ ปากบางนั่นยื่นล่ะ


“ฮ่าๆ”


“ไข้หวัดนกระบาดกินไข่ทอดสุกๆ น่ะดีแล้ว รู้หรือเปล่า” อันนี้มันสุกเกินไปหรือเปล่า


“เดือนก็กินด้วยสิ” เห็นว่าคนตรงหน้าเอาแต่นั่งมองเขากินจึงชวนบ้าง เดือนลองชิมไข่ดาวก่อน ตักเข้าปากได้ไม่ถึงสองวินาทีก็โวยวายใหญ่


“ซันๆ กินไข่เข้าไปได้ไง เค็มโคตร”


“เอาน่า กินๆ ไปเถอะ” ซดกาแฟตามก็ไม่เค็มแล้ว จริงๆ

“งะ ไม่อร่อยอ่า ตัวกินหมดได้ไงเนี่ย” เดือนยกแก้วกาแฟของตนเองมาดื่มจนเกิดเสียงดังอึก


“หิวละมั้ง” ลุกขึ้นหยิบจานไปเก็บ เหลือบไปเห็นแสนดีก้มหน้าก้มตาเคี้ยวอะไรอยู่บนพื้นใต้โต๊ะกินข้าวเลยก้มลงไปดู

“เดือน! เอาขนมปังปิ้งให้แสนดีกินหรอ”


“เออใช่ แสนดีชอบมากเลย กินไปเกือบแผ่นเลยนะ”


หยิบเศษขนมปังแถวๆ นั้นมาดูก็เห็นว่าปิ้งออกมาเป็นสีเหลืองสวย เออดี เอาขนมปังที่ปิ้งดีๆ ให้แมว ของคนนี่กินอันที่ไหม้เกรียมๆ สินะ
 

“เอ้า ไปอาบน้ำเลย เค้าเก็บครัว ล้างจานเอง เดี๋ยวจะได้ออกไปกัน”


มองนาฬิกาก็บอกเวลาแปดโมงครึ่ง วันนี้มีเรียนเก้าโมงทั้งคู่ เดือนถึงลุกมาทำอาหารแต่เช้าได้อย่างไม่มีปัญหา


เขาเริ่มล้างจานก่อน เสร็จแล้วก็หันกลับไปจัดการกับความเลอะเทอะที่พ่อครัวมือใหม่ทำไว้ เคาน์เตอร์ใกล้เตาไฟเต็มไปด้วยเศษขนมปังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดก็สะอาด เขาถึงกับส่ายหัวด้วยความอ่อนใจเมื่อเห็นสภาพเตาไฟซึ่งมีคราบน้ำมันกระจายไปมั่ว กระทะที่เดือนหยิบมาใช้คือกระทะเคลือบสารเทฟลอน ดังนั้นการทำแค่ไข่ดาวจึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันแต่อย่างใด แน่นอนว่าข้อนี้คนทำไม่รู้...ก็เล่นเทน้ำมันลงไปค่อนขวดขนาดนั้น... เขาสวมผ้ากันเปื้อนแล้วก็ขัดกระทะต่อไป


เอาเถอะ ค่อยๆ บอกแล้วกัน 

     

.



.



.



ตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก หกโมงครึ่ง ถือว่าเป็นการตื่นที่เช้าที่สุดในรอบเกือบสามปีตั้งแต่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย


“แค่ทอดไข่กับปิ้งขนมปังเอง ง่ายๆ”


เห็นซันๆ ทำเดี๋ยวเดียวตอนเช้าก็ได้ทานแล้ว นี่เผื่อเวลาเกือบๆ สองชั่วโมงยังไงก็น่าจะได้กิน
เปิดตู้เย็น ดื่มน้ำสองแก้วโตๆ แล้วหยิบวัตถุดิบออกมาเตรียม ไข่ดาวกับขนมปังปิ้ง ก็มีไข่กับขนมปังแผ่น
คิดแล้วก็หยิบไข่ออกมาสี่ฟองกับขนมปังหนึ่งแถววางบนเคาน์เตอร์


เฮ้ย! เดี๋ยวสิ


ไข่ฟองแรกที่วางลงไปกลิ้งหลุนๆ ไปตามความยาวของเคาน์เตอร์ก่อนจะ...


โผล๊ะ


รีบวางไข่ที่เหลือใส่ตะกร้าแล้วหยิบกระดาษทิชชู่แผ่นใหญ่สำหรับทำความสะอาด ก้มลงไปเช็ดพื้นอย่างลนลาน


...แค่เริ่มก็ยากละ


เช็ดพื้นจนสะอาดดีแล้วก็เดินไปเสียบปลั๊กเครื่องปิ้งขนมปัง ใส่ขนมปังลงไปในช่องสองแผ่น


...เอ้า ทำไมมันไม่ทำงานล่ะ ปกติก็เห็นซันๆ แค่เอาขนมปังใส่แล้วรอมันเด้งขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอ


สองมือจับเครื่องปิ้งขนมปังขึ้นมาพลิกซ้ายขวาแล้วจึงเห็นปุ่มตั้งเวลา เลื่อนเวลาไปที่เลข 3 เหนือปุ่มปรับเวลาก็เห็นปุ่มกดอีกปุ่มจึงนึกขึ้นได้ กดลงไปจนสุดความยาวของปุ่ม เครื่องทำขนมปังปิ้งก็ค่อยๆ ร้อนจนมองเห็นขดลวดด้านในเป็นสีแดงปลั่ง


แค่นี้เองสินะ


ขณะนั้นเองแสนดีที่ได้ยินเสียงกุกกักในครัวก็วิ่งเข้ามาแล้วส่งเสียงร้องเหมียวๆ ออดอ้อน สักพักมือขาวซีดก็ลูบไปตามตัว แสนดีเอียงคอให้มือผอมๆ เกาอย่างสบายอารมณ์



“ขี้อ้อนนะเรา”




ปิ้ง!


เสียงเครื่องปิ้งขนมปังดีดตัวพร้อมกับกลิ่นควันไฟอ่อนๆ คว้าแสนดีขึ้นมาแล้วรีบเดินไปดู


อุตส่าห์วาดหวังว่าจะออกมาสีเหลืองทอง ส่งกลิ่นหอมอย่างที่ซันๆ ทำประจำ แต่ทำไมมันดำเสียจนดูไม่ออกว่าเคยเป็นขนมปังมาก่อนขนาดนี้เลยล่ะ


ขนมปังสองแผ่นแรกถูกโยนทิ้งลงถัง พร้อมด้วยเสียงถอนหายใจ เฮ้อออออ



“เหมี้ยวววววว” ราวกับรู้ว่าคนที่อุ้มเริ่มรู้สึกท้อแท้ แสนดีจึงส่งเสียงให้กำลังใจพลางเอาหัวเล็กๆ ถูกไถ่ไปตามมือที่อุ้มอยู่


“แสนดี แสนดี แสนดีจ๋า” อย่างน้อยๆ แสนดีก็ยังให้กำลังใจอยู่นะ



คราวนี้มือผอมลองหมุนปรับเวลาลดลงมาอยู่ที่เลข 1 ใส่ขนมปังแล้วกดลงไปอีกครั้ง


ปิ้ง!


ขนมปังที่ออกมาครั้งนี้เป็นสีเหลืองอ่อนแทบจะไม่ต่างจากแผ่นที่ยังไม่ได้ปิ้ง ยกขึ้นมาดมๆ ก็น่าจะไหวอยู่ แสนดีส่งเสียงร้องดังหลายครั้ง ถี่กว่าเดิม คล้ายเวลาเขาเขย่ากระป๋องใส่อาหารของเจ้าเหมียว


“หิวเหรอ” ส่งเสียงร้องยาวอีกครั้ง เหมี้ยวววววววววววว


“กินแผ่นนี้ก็ได้” วางแสนดีลงกับพื้น นั่งลงข้างๆ แล้วยื่นขนมปังสีเหลืองอ่อนในมือให้ แสนดีแลบลิ้นสีชมพูเลียไปมา ทำท่าจะงับแต่ก็งับไม่ได้


“เอ้า ฉีกให้ละกันนะ” บิดขนมปังเป็นชิ้นเล็กเท่าปลายก้อย ส่งให้แมวดำ แสนดีร้องเหมียวออกมาหนึ่งครั้งแล้วเคี้ยวกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย


คนป้อนยังคงป้อนเจ้าเหมียวไปเรื่อยๆ ขนมปังหมดไปกว่าครึ่งแผ่นแล้วจึงรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่  “แสนดีกินเองก่อนนะ ไปทอดไข่ก่อน นี่ฉีกไว้ให้แล้ว”

   
ทอดไข่ จะทอดก็ต้องใช้กระทะ หยิบกระทะใบขนาดกลางที่เห็นซันๆ ใช้ประจำออกมา

   
เทน้ำมันลงไปแล้วก็เปิดเตา พรึบ! โอเค รอให้น้ำมันร้อนแล้วก็...

   

หาตะหลิวก่อน หันไปค้นกุกกักในลิ้นชักเคาเตอร์ เจอตะหลิว ช้อนยังต้องคู่กับส้อม ตะหลิวกับส้อมก็คงไม่แปลกอะไร...มั้ง   
 ระหว่างรอน้ำมันร้อน นึกได้ว่าต้องใส่ผ้ากันเปื้อนด้วย หันไปสวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลที่แขวนไว้ใกล้ตู้เย็น เผลอปล่อยมือทั้งตะหลิวและส้อมก็หล่นกระจาย



เคร้ง!!

   

เสียงโลหะกระทบกับพื้นดังก้องไปในความเงียบ ...แย่แล้ว
ก้มลงไปเก็บก็ได้ยินเสียงซันๆ

   

“เดือน! ทำอะไรน่ะ” เหลือบมองก็เห็นซันๆ ยืนกอดอกพิงตัวกับกรอบประตูห้องไม่ได้เดินเข้ามาในบริเวณที่เป็นครัว

   

...กำลังจะทอดไข่ดาว ตอบในใจ แต่ก็นั่นแหละ เห็นกันอยู่เลยไม่พูดออกไป เสทักทายปกติ



“อ่า ซันๆ ตื่นแล้วเหรอ แฮะๆ” มือไปอยู่ที่ท้ายทอยอัตโนมัติ ไข่แตกหนึ่งฟองและขนมปังไหม้หนึ่งคู่ในถังขยะ ซันๆ อย่าเพิ่งเห็นนะ



หันกลับไปมองเตาเห็นน้ำมันเริ่มเดือด เอาซอสปรุงรสออกมา ตอกไข่ใส่ลงไปในกระทะ ใส่ซีอิ๊วตาม น้ำมันแตกกระจาย



“โอ้ย!”



ก้าวถอยหลังหลบน้ำมันร้อนๆ ขนมปังก็กระเด้งออกมาพอดี ถลาเข้าไปหยิบแล้วก็ต้องทิ้งลงเพราะขนมปังร้อนจัด สะบัดมือไปมา ใช้น้ำส่วนตัวดับก็ค่อยยังชั่วแต่ปลายนิ้วยังคงเป็นสีแดงจัด


“เดือน! ไข่” หันไปมองกระทะก็คลุ้งไปด้วยควัน แล้วต้องทำไงล่ะ เอาตะหลิวตักออกมาน้ำมันจะกระเด็นใส่ไหม ระหว่างที่รีๆ รอๆ ทำอะไรไม่ถูก เสียงซันๆ ก็แว่วเข้ามาอีก
   

“ปิดเตาก่อน” รีบทำตามอย่างไว ฟู่ ปล่อยลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กลุ่มควันหนาค่อยจางลง

   

“เอาตะหลิวค่อยๆ ช้อนไข่ขึ้นมา แล้วใส่จานนี่”

   

ซันๆ ยื่นจานที่เอากระดาษทิชชู่รองไว้เรียบร้อยมาให้ พูดแซวพอให้ขำก็ไล่ไปอาบน้ำ

   

...ถ้ารู้ว่าทำอาหารแล้วเหนื่อยขนาดนี้ล่ะก็นะ ขอสมัครเป็นคนกินต่อไปน่าจะดีกว่า...





.



.



.


   

โดนไล่ไปอาบน้ำ เสียงซันๆ ล้างจานแว่วเข้ามา

   

เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนถึงชอบบังคับให้ทานข้าวให้หมด โดยเฉพาะถ้ามื้อไหนเป็นมื้อที่ทำทานกันเองแล้วล่ะก็ กินไม่หมดโดนซันๆ โกรธไปหลายชั่วโมง

   

เห็นซันๆ กินไข่เค็มๆ กับขนมปังเกรียมด้านเดียวก็เข้าใจ


ความรู้สึกพองโตในอกมันอัดแน่นจนทนไม่ไหว กลั่นออกมาเป็นรอยยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง ...แม้กระทั่งในตอนนี้ มองตัวเองในกระจกยังแปลกใจ วันนี้ยิ้มเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็เหลือจะนับ

   

เห็นคนกินอาหารที่ลงมือทำเองจนหมด มันสุขใจอย่างนี้นี่เอง
   

   


คราวหน้าจะทำให้อร่อยกว่านี้เลย สัญญานะซันๆ






   

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยออกมาก็เจอซันๆ นั่งรออยู่แล้ว ส่งยิ้มแหย่ๆ ไปให้ ทำไมต้องทำหน้านิ่งขนาดนั้นด้วย คงจะมาว่าเรื่องทำครัวเลอะเทอะแน่

   

“เป็นไงทำอาหารครั้งแรก” ผิดคาดซันๆ ไม่ได้ว่า แต่ถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย

   

“ก็...เหนื่อยดี” เหนื่อยโคตรๆ เลย

   

“คราวหลังจะได้รู้ว่าตั้งใจทำให้กินขนาดไหน” คนพูดพูดจบก็ยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง

   

“อื้อ” ได้ยินก็อดยิ้มกว้างอีกครั้งไม่ได้

   

“ถ้าอยากทำก็บอก จะสอน” เกือบเดือนที่ย้ายเข้ามาอยู่กับซันๆ ไม่มีครั้งไหนที่เขาขอให้ซันๆ ทำอาหารอะไรให้ทานแล้วซันๆ จะปฏิเสธ

   

“อื้อ” ซันๆ ดูนาฬิกาข้อมือแล้วลุกขึ้น พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าจะออกไปมหาวิทยาลัยจึงเดินไปใส่รองเท้า

   

ขณะที่นั่งลงตรงหน้าประตูห้องใกล้ที่วางรองเท้าเพื่อใส่รองเท้า

   

ลมหายใจอุ่นก็ปัดผ่านแก้ม ไวเสียจนแทบไม่รู้สึก
เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงประตูปิดดังปัง คนที่แอบขโมยหอมแก้มก็หายไปเลยแล้ว

   
รอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะรีบใส่รองเท้าข้างที่เหลือแล้วรีบวิ่งลงไปหาคนที่ติดเครื่องมอเตอร์ไซค์รอ กำลังจะสวมหมวกกันน็อค

   
“แอบหอมคนอื่น นิสัยไม่ดี”
   

ซันๆ ชะงัก ใบหูที่โผล่จากกลุ่มผมสีดำสนิทเป็นสีชมพูอ่อน


“แล้วไม่ให้?”



“เปล๊า คราวหลังขอนานๆ กว่านี้หน่อยนะ ฮ่าๆ” ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์



คนโดนแซวจับหมวกกันน็อคยัดใส่หัวได้ก็เคาะแรงๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะเร่งเครื่องออกไป


-------------------------------------------------------
[09/01/59]
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ : )
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 15) 09-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 10-01-2016 01:40:14
หูย!!  น่ารักอ่ะ รู้ใจตัวเองกันแล้ว อ่านไปนี่ยิ้มไปด้วย กรี๊ดดดดดดดด!! มาต่ออี๊กกกกกก
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 15) 09-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 10-01-2016 11:07:18
น่ารักมากจ้า  ทั้งแสนดีแมวน้อยน่ารัก  และน้องเดือน น่ารักขึ้นมากเลย
ตื่นมาทำอาหาร  สู้ๆๆ  นะ  ต้องทำอาหารอร่อยๆ  ให้ซันได้กินแน่นอน  อิอิ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 16) 11-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 11-01-2016 20:46:42

Just Love ❤ รักนะครับ





16


   

“ชีวิตดีสิมึง”

   

ขณะที่กำลังเดินทอดน่องมองดูต้นไม้ใหญ่บริเวณหน้าคณะซึ่งตอนนี้ออกดอกสีเหลืองพราวส่งกลิ่นหอมฟุ้งอบอวนไปทั่วบริเวณ เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากแนวพุ่มไม้ทางซ้ายมือที่เขาเพิ่งจะเดินผ่านมาเพียงสองก้าว

   

กายขยับตัวลุกขึ้นบัดเศษดินเศษหญ้า สะบัดผมเดินฝ่าไม้พุ่มสูงระดับเอวออกมา

   

เขาไม่ตอบคำถามเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงทักทาย

   

“เงียบเชียวมึง ทำไมกลัวคนเขารู้หรือไงว่าแฟนทำกับข้าวอร่อยน่ะ”

   

เงียบแล้วผิดตรงไหน เกี่ยวอะไรกับทำกับข้าว...ขมวดคิ้วยังไม่ทันได้ถามข้อสงสัย ไอ้กายก็ยื่นมาปัดเศษขนมปังแถวๆ ปกเสื้อให้

   

“วันนี้เมนูเดิมอีกแล้วเรอะ” 

   

“อืม”



ขนมปังไข่ดาวกินมาวันนี้ครบ 1 สัปดาห์พอดี ช็อคโกแล็ตทอดกลายร่างเป็นไข่ดาวแสนสวยกึ่งดิบกึ่งสุกแบบที่เขาชอบ เหมียวเล็กได้กินขนมปังปิ้งสีเหลืองอร่ามสวยงามเช่นเดียวกับเขาทุกเช้า


นึกถึงสีหน้าภูมิอกภูมิใจของคนทำอาหารเช้านี้ก็อดที่จะยิ้มบางๆ ขึ้นมาไม่ได้


“แน่ะ พูดแค่นี้ยิ้มไม่หุบนะมึง หมั่นไส้โว้ย” ไอ้กายที่โดนเพื่อนสนิทเมินเริ่มเสียงดังเรียกร้องความสนใจ


“อะไรมึง ไอ้แมนไม่เลี้ยงแล้วหรือไงวะ”


“เหอะ”


สวนกลับไปประโยคเดียวแท้ๆ เพื่อนสนิทพ่นลมหายใจใส่หน้าเต็มๆ พร้อมทำเสียงดังแล้วสะบัดตูดเดินนำขึ้นอาคารเรียนไปซะอย่างนั้น


...มึงแซวกูหลายประโยคกูยังไม่เขินแบบมึงเลยนะเว้ย




มองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเหลือเวลาอีก 10 นาทีก่อนจะเริ่มเรียนจึงยังคงทอดน่อง พูดคุยตอบคำถามทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ใต้อาคารชั่วครู่



ใกล้เวลาเรียนจึงลุกขึ้นเตรียมตัวเข้าห้องเรียน


“พี่ซัน!!!”


เสียงตะโกนก้องจนเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ทั้งโต๊ะรวมทั้งเขาหันไปมอง


“ว่าไง”


ชายหนุ่มรุ่นน้องวิ่งมาหยุดตรงหน้าพลางหายใจหอบฮัก ดูก็รู้ว่าคงวิ่งมาเต็มที่ ความเข้าใจเกิดขึ้นในใจเขาเงียบๆ เลยอดที่จะเอ่ยแซวไม่ได้


“วิ่งแค่นี้เหนื่อย เมื่อวานหนักหรือไง”


“แฮ่ก ...โถ่พี่ หนักดิ นี่ไม่ได้นอนทั้งคืน” คนพูดเอามือเท้าสะเอว เงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าออกยาวๆ


“เออ มิน่ามันงอนมึงอะ”


“..แหะๆ ...ก็นะ ใกล้สอบแล้ว ไม่อ่านหนังสือก็แย่ดิพี่” ไอ้แมนหันไปเปิดกระเป๋าค้นเอาถุงพลาสติกใบย่อมออกมา


“ฝากให้พี่กายหน่อยนะครับ” ...ทีจะใช้คนอื่นก็ยิ้มประจบประแจงเสียจนน่าเตะ


“เออ มีไรอีกมะ”


“...งั้นฝากบอกด้วยว่า...ทานให้หมดนะครับ คนซื้อเป็นห่วง”



เสียงกริ่งบอกเวลาเข้าเรียนดังขึ้น ไอ้แมนรีบยกมือไหว้ขอบคุณยกใหญ่ก่อนจะวิ่งหน้าตั้งเข้าห้องเรียน เขาจึงไม่มีโอกาสได้แซวมันอีกสักนิด



เดินเข้ามาในห้องเรียน ไอ้กายฟุบหน้าอยู่กับกระเป๋า โยนถุงใบย่อมให้มันสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมา ไม่รอให้มันได้โวยวายก็รีบชิงพูดใส่หน้ามันด้วยคำพูดที่มีคนฝากมาทันทีว่า



“ทานให้หมดนะครับ...คนซื้อเป็นห่วง” กระตุกยิ้มมุมปากใส่มันไปที ไอ้กายอ้าปากแล้วหุบแล้วอ้าอยู่นั่น ก่อนจะได้ยินเสียงงึมงำในคอ “ไอ้บ้าเอ้ย!”




ไม่รู้ว่าไอ้แมนซื้ออะไรใส่ถุงมาให้เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดเล็คเชอร์เมื่อหมดคาบ ถุงใบย่อมก็ลงไปนอนในถังขยะเสียแล้ว
ไอ้กายที่หน้าเป็นตูดก็เริ่มยิ้ม หัวเราะส่งเสียงแซวคนโน้นคนนี้เมื่อหมดคาบได้อย่างเคย 




.


.


.





   
“ครับ...อยากทำเหรอ...เอางั้นก็ได้...เดี๋ยวเค้าซื้อของเข้าไปเอง ตัวเองรอที่ห้องนั่นแหละ....อ่า เลิกบ่ายสามโมง...ตึก 3 มาถูกใช่ไหม...ครับแล้วเจอกันครับ”
   
   
วางสายเสร็จหันมาก็สบตากับใบหน้าสนอกสนใจเรื่องของชาวบ้านอย่างไอ้กายทันที

   
“เดี๋ยวๆ มึงไม่ต้องพูดก็ขอเดาก่อน” มันทำท่านับนิ้วทำปากขมุบขมิบไม่มีเสียงเลียนแบบพวกหมอดู ตบโต๊ะดังตึง แล้วก็พูดออกมาเป็นฉากๆ

   
“คนเมื่อกี้ที่โทรมาเป็นคนที่คุณให้ความสนิทสนมมาแต่เล็กใช่ไหม” มันพยักพเยิดให้พยักหน้าก็เลยหยักหน้าให้ทีหนึ่ง หมอดูจึงตั้งคำถามต่อไป
   

“คนที่โทรมาบอกว่าต้องการทำอะไรสักอย่างที่คุณถนัดแล้วขอให้คุณสอนใช่หรือไม่” พยักหน้า
   

“คุณเสนอตัวว่าจะซื้อวัสดุอุปกรณ์เข้าไปเองแต่ถูกปฏิเสธใช่หรือไม่”
   

“เออ”
   

“คุณถูกปฏิเสธ คนที่โทรมาบอกว่าอยากจะไปด้วยแล้วจะมาหาคุณที่คณะชะ..โอ้ย!”

   

“พอเหอะ เล่นไรมึงเนี่ย” ตบหัวไอ้คนที่พยายามทำตัวลึกลับไปที

   

“เดือนจะมาหาใช่มะ พวกมึงจะทำไรกัน” ไอ้กายกลับมาเป็นเจ้าของไร่เผือกอีกหนอย่างเปิดเผย

   

“จะทำกับข้าว มึงสนปะ”
   

เดือนโทรมาบอกว่าอยากทำอาหารอย่างอื่นบ้าง เขาเห็นว่าเดือนใช้ครัวเริ่มคล่องแล้วเลยตกลง พอบอกว่าจะซื้อของเข้าไปกลับอยากไปซื้อของด้วยเลยไม่ขัด เดี๋ยวรอเลิกเรียนวิชาบ่ายก็จะมาหาที่คณะแล้วไปซื้อของพร้อมกัน

   

“ไปซื้อที่ไหน ตลาดเหมือนเดิมปะ กูไปด้วย”

   

เจ้าของไร่เผือกยังไงก็ขายเผือกอยู่วันเย็นค่ำ



   

ตลาดสดยามเย็นเต็มไปด้วยผู้คนจอแจทั้งแม่บ้านที่หอบหิ้วตะกร้าบรรจุผักสด เนื้อสด ผลไม้พะรุงพะรัง พ่อค้าแม่ขายตะโกนร้องเรียกลูกค้า บ้างก็ไล่ลูกค้า บ้างก็ส่งเสียงแส่คุยเกี่ยวกับโชคลาภที่พลาดไปเมื่อตอนกลางวัน บ้างกระซิบเสียงเบาจนได้ยินกันทั่วเกี่ยวกับเลขเด็ดงวดหน้าที่บอกว่าแม่นมาหลายงวดแต่ก็ไม่เคยถูกสักทีกับแผงข้างๆ

   

ภาพบรรยากาศเหล่านี้เขาคิดว่าน่าสนุกกว่าการเดินในตลาดนัดติดแอร์ ห้างสรรพสินค้าเป็นไหนๆ ที่สำคัญราคาที่ติดป้ายไว้สามารถ ‘คุย’ กันได้

   

หันไปหวังจะถามคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่ามองซ้ายมองขวาเหลียวหน้าเหลียวหลังไปทั่ว ใบหน้าขาวมีเหงื่อพราวผมยาวสยายเกล้าไว้ด้วยดินสอไม้แท่งเดียว ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายสดใส มองไปตามแผงร้านต่างๆ อย่างสนใจ

   
จังหวะนั้นเอง มือขาวก็คว้าเข้าที่มือใหญ่ กระตุกสองสามที
   

“นั่นอะไรน่ะซันๆ ลูกสีเหลืองๆ ใบเขียวๆ” หันไปมองตามนิ้วที่ยกขึ้นชี้ เห็นแล้วก็ส่ายหัวเพราะเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเหมือนกัน แม่ค้าเห็นทำท่าสนใจก็ร้องบอกว่า
   

“ชมพู่น้ำดอกไม้จ๊ะ สนใจไหมหนุ่ม กองละ 35”
   

ส่ายหัวแล้วส่งยิ้มให้พลางกระตุกมือขาวให้เดินตาม


   
“อยากกินไร”

   
“ข้าวผัดหมูกับต้มยำไข่เจียว” เดือนพูดพลางแกว่งมือที่จับกันอยู่ไปมา

   
“สองอย่างเลย?”

   
“อ่า...ไม่ได้เหรอ” บีบมือตอบเบาๆ เดือนก็ส่งยิ้มกว้างคืนมา

   
“ทำไมต้องข้าวผัดหมูด้วยวะเดือน ข้าวผัดกุ้งแทนไหม” ไอ้กายที่เดินตามหลังมาทันส่งเสียง

   
“ไม่ได้เว้ย ซันๆ แพ้กุ้ง” แค่นั้นก็ทำให้คนที่ตั้งตาจะโน้มน้าวให้เปลี่ยนจากหมูเป็นกุ้งก็ล้มเลิก ยักไหล่ให้อย่างกวนๆ แทน

   
เมื่อทราบเมนู เขาก็เดินนำเดือนและกายมาฝั่งแผงขายเนื้อสัตว์
   

“หมูชิ้น 50 ครับ” มือกระตุกจึงหันไปมองต้นเหตุ

   
“เอาที่ยังไม่ได้หั่นไหม อยากลองทำ”

   
“พี่ๆ เอาแบบยังไม่ได้หั่นแทนล่ะกันครับ...ขอโทษแล้วก็ขอบคุณครับ”

   

เดินย้อนกลับมาที่แผงขายผักผลไม้

   

“มะเขือเทศ 4 ลูกกับแครอท 1 หัวครับ....” เหลือบไปเห็นผักใบเขียวจึงหันไปแซว “...คะน้าหน่อยไหม”
   

“ง่า ไม่เอา” จ่ายเงินก็ยื่นให้เจ้าของไร่เผือกที่ยื่นมือมารับไปถือ

   

“ไอ้ซัน มึงจะทำต้มยำด้วยไม่ใช่เรอะ” กำลังจะเดินกลับ กายที่ถือของมาก็ทักขึ้นจึงเดินกลับไปซื้อเครื่องต้มยำอีกรอบ หอมแดง พริกขี้หนู และเห็ดอีกหลายชนิด

   

กลับมาถึงที่จอดรถก็พบว่ามีคนนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ของเขา

   

“พี่กาย!! / ไอ้แมน!!”

   

ไอ้กายหันขวับมองมาที่เพื่อนตนเองอย่างเขาทันที ดูสายตามันแล้วไม่โกรธเท่าที่แสดงออกหรอก...เป็นเพื่อนกันมาหลายปีดูแค่นี้ก็รู้

   

“พี่ซัน พี่คุณ หวัดดีพี่” ไอ้แมนหันมาไหว้ แล้วก็หมดความสนใจหันไปพูดกับพี่มันต่อ เสมือนว่าไม่มีพวกเขาสองคนยืนอยู่

   

“พี่กายอ่า...”

   

“อะไรมึง” ไอ้กายเอาสาละวันกับการเอาของแขวนกับแฮนด์รถ

   

“...ขอโทษนะครับ พี่ไม่โกรธผมน้า ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ”

   

“อะไรมึง” พูดได้คำเดียวแล้ว

   

ไอ้แมนส่งยิ้มตาปิดไปให้ไอ้กายอีกที ท่าทีของเพื่อนก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

   

“ขอโทษทำไม มึงทำไรผิด”

   

เท่านั้นแหละ ไอ้เด็กนั่นก็แทบจะโดดใส่ ไอ้กายยกตีนขึ้นมากระดิก ไอ้แมนจึงยอมยื่นนิ่งๆ แล้วเขากับเดือนก็ได้รับความสนใจจากพวกมันอีกครั้ง

   

“พี่ซันกับพี่เดือนจะทำอาหารใช่ป่าวพี่ ทำไรกันอะ” ไอ้แมนหลบไปค้นๆ ดูของที่ซื้อมาแก้เก้อเมื่อเห็นสายตาของพวกเขาที่ส่งยิ้มล้อเลียน

   

“ข้าวผัดหมูกับต้มยำไข่เจียว มากินด้วยกันดิ” เดือนบอกเมนูพร้อมเอ่ยชวน ถ้ามีหางไอ้แมนคงกระดิกขาดใจ




.


.


.


   

กลับมาที่ห้อง การสอนทำอาหารก็เริ่มขึ้น นักเรียนเดือนกับครูซันๆ สองคนส่งเสียงคุยกันหงุงหงิงในครัว ไอ้สองคนที่ตามมา คว้าเกมได้ก็นั่งส่งเสียงดัง กวนกันไปมา

   

“ล้างผักก่อนให้สะอาด เอามือลูบ เช็ดให้ทั่ว เบาๆ สิ แรงเดียวช้ำหมด” รีบบอกเมื่อเห็นว่าเดือนออกแรงล้างมะเขือเทศแรงเกินไป

   

“เอ้า เครื่องต้มยำ แม่ค้าเขาทำมาให้แล้วก็จริงแต่ก็ต้องล้างอีกรอบ เลือกเอาที่ใบงามๆ พอ ใบที่กระดำกระด่างก็เด็ดทิ้งได้”

   

เดือนก้มหน้าทำตามคำบอกอย่างดี นานๆ จึงจะถามออกมาสักครั้ง

    
 
“ล้างผักแล้วก็ล้างเนื้อสัตว์ ถ้าล้างผักทีหลังกลิ่นคาวจะติดผัก ตัวไม่ชอบกลิ่นคาวๆ ใช่ปะ”

   
“อืม ต้องล้างผักก่อนสินะ”
 
   
“ล้างแล้วก็หั่นเลย ทำผักให้เสร็จก่อนแล้วค่อยทำหมูทีเดียว”

   
บอกวิธีหั่นผักแต่ละชนิด คนทำก็ทำได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

   
“ความจริงถ้าเอาเนื้อหมูแช่แข็งไว้แล้วมาหั่นจะง่ายมาก นิ่มๆ แบบนี้ก็ระวังหน่อยมันจะลื่น” เขาเตือนพ่อครัวคนใหม่พลางเทเนื้อหมูลงในชามส่งให้เดือนล้าง สะเด็ดน้ำพักไว้ครู่หนึ่งพอหมาด

   
เตรียมเขียงกับมีดอีโต้พร้อมแล้วก็เริ่มหั่นหมูได้

   
“ค่อยๆ เริ่มหั่นช้าๆ สังเกตดูลายเนื้อด้วยให้หั่นตามขวาง หั่นตามยาวแล้วเคี้ยวยาว” ทำเป็นตัวอย่าสองสามชิ้นแล้วถอยออกมายื่นมองนักเรียนที่สีหน้าตั้งใจจนอยากแอบถ่ายไปอวดแม่กับน้าน้อง

    

กึก! กึก! กึก! เสียงมีดกระทบกับเนื้อหมูและเขียงไม้ดังต่อเนื่องเป็นจังหวะก้องในครัวเล็กๆ
   
   

“ไอ้ซัน! โทรศัพท์” กายตะโกนมาจากหน้าโซฟา เดือนหันมาส่งยิ้มให้บอกว่าทำได้ เขาจึงพยักหน้าเดินครัวไป

   

เพื่อนโทรมาจะขอยืมสมุดเล็คเชอร์ไปถ่ายเอกสาร เขาตกลง หันมาหยุดมองดูจอโทรทัศน์ที่พี่รหัสกับน้องรหัสเล่นเกมกันอย่างเมามัน



พริบตาเดียวก็มีเสียง กึก! …และ  “โอ้ยยยยยยยย” เพล้ง! เสียงโลหะตกกระทบพื้น



กระโจนเข้ามาในครัวเห็นเดือนยืนกุมมือซ้ายไว้แน่น กวาดตามองเห็นเลือดหยดเป็นดวงหลายแห่งบนพื้น รีบเดินเข้าไปใกล้คว้าข้อมือเล็กมาจับ มีดสับเข้าไปบนนิ้วขาวจนเกือบเห็นกระดูก



“กูพาเดือนไปคลินิกหน่อยนะ ไอ้แมนมึงมาทำต่อดิ กลับมาต้องเสร็จนะมึง”


 
ตะโกนบอกงานแล้วพาเดือนออกจากห้อง เร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว

   


   




“มาล้างแผลที่คลินิกทุกวันนะคะ ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากนั้นคนไข้ก็สามารถทำแผลตามปกติเองได้ค่ะ” พยาบาลประจำคลินิกบอกกับคนที่นั่งหน้าซีดไม่พูดอะไรออกมาสักคำตั้งแต่มาถึง

   
“มียาอะไรทานแก้ปวดบ้างไหมครับ”

   
“เดี๋ยวรอเรียกชื่อสักครู่ค่ะ”

   

โชคดีที่คลินิกคนไม่เยอะ พอเดือนมาถึงพยาบาลก็สามารถทำแผลได้ทันที จนตอนนี้เหลือเพียงแค่จ่ายเงินและรับยาแก้ปวดเท่านั้น เดือนตกใจมากจนหน้าซีดเผือดลงกว่าเดิม
   

เอื้อมมือไปตบบ่าเบาๆ แล้วพักมือไว้อย่างนั้น เดือนหันหน้ามามอง เอียงหัวซบลงบนบ่า ไถ่หัวไปมา ปราศจากคำพูด...อ้อนเหมือนเด็กๆ

   

“แสบไหม”
   

“...ไม่เท่าไหร่ซันๆ ปวดตุ้บๆ ที่แผลกับที่แขนมากกว่า”
   

“เดี๋ยวกินยาก็หาย”
   

“ไม่จริงหรอก...อยู่ใกล้ๆ ซันๆ ก็หาย” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มใส่ตา อดจะบีบจมูกเล็กๆ นั่นไม่ได้ “แล้วทำไมซันๆ ต้องตรวจอะไรด้วยล่ะ ตัวไม่สบายตรงไหน” เดือนเอี้ยวตัวมามองผ้าพันแผลที่บริเวณข้อพับของเขาเทียบกับของตนเอง
   

“ตรวจเป็นเพื่อนคนขี้แงไง” คนฟังทำท่าจะโวยวายแต่พยาบาลก็ขานชื่อออกมาก่อน
   


“คุณนพคุณค่ะ” พยาบาลเรียกชื่อ เขาเดินไปรับยาสีชมพูสดมาหนึ่งแผง
   

“ค่าทำแผลกับค่ายาเป็นเงิน ห้าร้อยห้าสิบบาทค่ะ ส่วนค่าตรวจ---/ ชู่ว์“  พยาบาลชะงักไปนิดเมื่อเขาส่งเสียงบอกว่าไม่ต้องพูด
   

“รวมเป็นเงิน ----“ ไม่รอให้พูดจบส่งแบงค์พันหลายใบให้พยาบาลยื่นรอสักครู่ใบเสร็จและเงินทอนก็ถูกส่งมาให้

   

“จะรู้ผลภายในหนึ่งสัปดาห์ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะโทรแจ้งให้มาฟังผลนะคะ”

   
“ครับ”  หันกลับไปก็ตกใจเดือนมายื่นใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่

   
“ฟังผลอะไร”

   

“ผลตรวจเชื้อบาทยักน่ะ เห็นว่าหั่นหมูพอดีไง มันสกปรกแล้วก็ตรวจอะไรๆ อีกเยอะแหละ นี่พยาบาลนัดมาฟังผลอาทิตย์หน้า” เดือนคงไม่ทันสังเกตว่าเขาพูดเร็วและอธิบายยืดยาวกว่าปกติ
 
   
เดือนพยักหน้าเข้าใจแล้วก็เดินนำไปรอที่รถ ก่อนจะขับกลับหอพัก

   

...ไม่ได้โกหกหรอกมั้ง แค่บอกไม่หมดเท่านั้นเอง
    
ยังไงอาทิตย์หน้าก็นัดมาฟังผลพร้อมกันอยู่แล้ว



.


.



.

 

   

“โหพี่คุณ เลือดยังซึมๆ อยู่เลยอะ”
   

“นั่นถุงไร มียาด้วยเรอะ”

   

สองหนุ่มออกมาต้อนรับถึงหน้าประตู ถามนั่นชี้โน้นวุ่นวายไปหมด ยังดีที่เดินเข้ามาเห็นว่าบนโต๊ะทานข้าวมีอาหารวางไว้รออยู่แล้ว เขาจึงไม่พูดอะไรออกไป จูงแขนเดือนไปนั่งเก้าอี้ รอทานข้าว
   
ทุกคนเดินมานั่งเรียบร้อย เมื่อทานไปได้สักพัก เขาก็ถามขึ้น
   

“ใครทำ”

   

“มึงคิดว่าใคร” ไอ้กายยักคิ้วให้อย่างกวนๆ

   

“ไม่ใช่มึงล่ะ ทำกับข้าวอร่อยนะแมน” หันไปชมรุ่นน้องที่นั่งตรงข้ามกัน ไอ้แมนส่งยิ้มเขินๆ มาให้

   

“เออ ไอ้นี่นะ ทำกับข้าวเป็นก็ไม่บอก ปล่อยให้กูเปิดคอมฯ งมหาวิธีทำตั้งนาน” ไอ้กายบ่น พลางตักข้าวเข้าปากคำโต

   

“ก็ผมไม่เห็นพี่ถาม ที่เปิดคอมฯ นึกว่าเล่นเฟส...”

   

ปล่อยมันหนุงหนิงหันไปมองคนที่ซดน้ำต้มยำแล้วยิ้มออกมาอย่างถูกใจรสชาติก็อารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนที่เห็นว่าเดือนหน้าซีดอย่างในคลินิกหลายเท่า


“กินเยอะๆ จะได้หายไว้ๆ” ตักมะเขือเทศกับหมูในจานของเขาใส่ในจานของคนข้างๆ ส่งยิ้มให้


กำลังจะตักไข่เจียวให้ตัวเองจากจานของเดือน เจ้าของก็ขวางไม่ให้เสียอย่างนั้น


“เป็นแผลกินไข่ๆ เยอะ ไม่ดี เดี๋ยวแผลหายช้า เอามาให้เค้านี่ ตัวกินมะเขือเทศกับหมูแล้วก็ซดน้ำต้มยำไปแหละ จะได้หายไวๆ”



เดือนถึงยอมยกไข่เจียวให้
ส่งยิ้มขอบคุณที่ทำให้เขายิ้มตอบเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้มาให้อีกหน : D




----------------------------------------------------------
[11.01.59]
ซันๆ ไปตรวจอะไรเป็นเพื่อนเดือนน้อ *คิคิ
(ความจริงซันๆ ทำผิดนะ เดือนมีสิทธิ์ฟ้องได้ การจะตรวจเลือดคนไข้มีสิทธิ์ที่จะรู้และทราบผลได้ด้วยตนเองค่ะ จะมาแอบเอาเลือดไปตรวจแล้วก็หลอกแบบซันๆ ทำไม่ได้นะคะ)
ตอนนี้คนเขียนมึนๆ กับที่ทำงานใหม่ ขอเวลาปรับตัวสักระยะนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและขอบคุณมากๆ ที่แสดงความคิดเห็นไว้ค่ะ ดีใจมากเลย //กอดๆ
 :กอด1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 16) 11-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 11-01-2016 22:54:09
ขอบคุณค่า  เดือนใสซื่อจัง  จะทันพี่ซันไหมเนี่ยน้องเดือน  หุหุ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 16) 11-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 11-01-2016 23:30:52
ซันๆแอบตรวจเลือดเดือนเหรอ ถึงตัวเองจะตรวจด้วยแต่ก็ไม่น่าทำนะ ถ้าบอกกันดีๆ เดือนก็น่าจะยอมตรวจง่ายๆ แต่ทำแบบนี้เป็นเรา เราคงโกรธแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 16) 11-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: nixnix ที่ 12-01-2016 18:01:23
แปะไว้....ตามอ่านก่อนคะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 16) 11-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-01-2016 21:29:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 17) 12-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 12-01-2016 23:19:55

Just Love ❤ รักนะครับ






17

   


เทศกาลสอบกลางภาคเกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังนั้น ทั้งที่เขาเตรียมตัวอ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลายังอดหวั่นไม่ได้ว่าจะอ่านหนังสือไม่ทัน ไอ้กายก็อพยพย้ายตัวเองมาอยู่ที่ห้องด้วยอีกคนเพื่อติวหนังสือกันทุกเวลาที่มีโอกาส เทอมนี้ต้องทำเกรดกันให้ดีหน่อย เพื่อที่จะมีโอกาสได้เลือกที่ฝึกงานดีๆ

   
ถามถึงเดือน...เจ้าตัวไม่อยู่ห้องย้ายไปกินนอนทำไฟนอลโปรเจ็คหลังจากนิ้วเริ่มหายดี เขาเพิ่งขนของใช้จุกจิกกับเสื้อผ้าไปให้เมื่อวาน เห็นสภาพแล้วอดไม่ได้ที่จะลากกลับมาที่ห้อง บังคับให้อาบน้ำ กินข้าวและนอน จนเห็นว่าเจ้าตัวพักผ่อนเต็มที่แล้วจึงพากลับไปทำงานต่อ

   
“เหมี้ยว”
   

แสนดีเดินมาใกล้ ส่งเสียงพลางเอาหัวและลำตัวถูกไถ่กับข้อเท้า เลยอุ้มขึ้นมานั่งตัก ปกติถ้าเดือนอยู่แสนดีไม่เคยที่จะมาอ้อนเขาด้วยซ้ำ วันนี้คงหิวมากจนทนไม่ไหว ถึงได้อ้อนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
   

ว่ากันว่า สัตว์เลี้ยงกับเจ้าของจะมีนิสัยเหมือนกัน จะว่าไปแล้ว เจ้าของแมวก็อ้อนเก่งแต่เด็กแล้วเหมือนกันล่ะนะ
ยังจำได้ตอนที่เพิ่งขึ้นชั้นมัธยม ๑ ได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ เดือนก็ถูกเพื่อนในห้องแกล้งอย่างที่เคยโดดประจำช่วงประถม

   

ตอนนั้นเป็นช่วงพักเที่ยง เขาเพิ่งเลิกการจากเตะบอลกับเพื่อน ระหว่างที่เดินกลับห้องนั้น เดือนก็โผล่ออกมาจากมุมตึก ใบหน้าขาวซีดขึ้นสีแดงเรื่อ เดินก้มหน้าไม่สบตาใคร
   

‘เดือน จะไปไหน’ เขาเดินไปหยุดตรงหน้าคนที่เดินก้มหน้างุดๆ สิ้นเสียงเดือนเงยหน้าขึ้นมามองอย่างรวดเร็ว
   

‘..ซัน..ซัน..’ เรียกชื่อเขาด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีน้ำตาคลอ ริมฝีปากถูกเม้มจนเป็นสีแดงก่ำ เห็นดังนั้นก็หันไปส่งภาษามือบอกให้เพื่อนขึ้นไปก่อน แล้วจูงแขนคนตัวเล็กไปนั่งใต้ต้นไม้
   

‘ใครแกล้ง บอกซันมา เดี๋ยวซันไปจัดการให้’ เดือนส่ายหัว น้ำตาที่กลั้นไว้หยดต้องแก้มขาว ก่อนจะกลิ้งหล่นพื้นไปตามแรงโน้นถ่วง
   

‘เดือน...ไม่เอาอย่าร้อง’ เห็นท่าไม่ดี เขารีบขยับเข้าใกล้ เอื้อมมือไปลูบหลังลูบไหล่ ‘บอกเถอะมีเรื่องอะไร ซันไม่ไปจัดการก็ได้ ไปบอกครูแทน เนอะ’ เดือนพยักหน้าเห็นด้วย เอียงหัวซบลงตรงไหล่ ความสูงของเดือนเพิ่มขึ้นแค่ 2-3 เซนติเมตรในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ขณะที่เขาสูงขึ้นกว่าเดิมสัก 7-8 เซนได้
   

‘มีอะไรบอกซันเถอะ ไม่เชื่อใจซันเหรอ’ จบคำพูดก็ทำให้เดือนรีบบอกทันที

   
‘...มือถือเค้าหาย...หาไม่เจอ’ ผมกับเดือนเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ตั้งแต่อนุบาล และคาดว่าคงจะเรียนต่อไปจนถึงระดับมัธยมปลาย โรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษานำโทรศัพท์มาโรงเรียนได้ แต่ให้ปิดเครื่องไว้ อนุญาตให้เปิดได้ช่วงเลิกเรียนแล้วเท่านั้น แม่น้องเพิ่งซื้อโทรศัพท์ให้เดือนเมื่อวาน วันจันทร์มาโรงเรียนก็หายเสียแล้ว
   
ได้ยินดังนั้นก็ออกเดินนำขึ้นตึกไปที่ห้องเรียนทันที นักเรียนหลายคนวิ่งเล่นกันวุ่นวายส่งเสียงดังอยู่บริเวณสนามหญ้าข้างตึก เดินเข้าไปหาแป้ง หัวหน้าห้องเพื่อขอกุญแจห้องเรียน ห้องเรียนแต่ละห้องจะต้องล็อคกุญแจห้องไว้ ทุกครั้งที่พักสามเวลาคือเช้า เที่ยงและบ่าย เขาเปิดประตูเข้าไปค้นกระเป๋าของเดือนที่เก็บโทรศัพท์ไว้ แล้วก็ไม่เจอโทรศัพท์จริงๆ เพื่อนคนอื่นที่พอทราบเรื่องก็เข้ามาช่วยหา เดือนเดินตามมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ


‘ใครเอาไป’ เขาถาม หลายคนที่เล่นกันอยู่ชะงักค้างแล้วหลบตาอย่างมีพิรุธ


‘จะให้ค้นทีละคนไหม....นับ หนึ่ง สอง สาม’ เขาเดินไปค้นดูตามโต๊ะของเพื่อนทีละคนจนมาถึงโต๊ะของบอมคนที่มักจะแกล้งเดือนเป็นประจำตั้งแต่ชั้นประถม


‘ใครเอาไปบอกมา ถ้าเจอละก็...’ เขาละคำพูดไว้ไม่พูดจนจบ ก้มลงค้นกระเป๋า



ไม่มี



ก้มดูที่ใต้โต๊ะ ก็ไม่มีอีก ขณะที่เงยหน้าขึ้นมา ก็มีเพื่อนผู้หญิงส่งเสียงมาจากโต๊ะหน้า



‘ซัน...คุณ เจอแล้ว!’ แป้งนั่นเองที่หาเจอ โต๊ะตัวที่โทรศัพท์ของเดือนถูกนำไปวางไว้นั้นเป็นโต๊ะว่างที่ไม่มีใครนั่ง



‘อยากให้รู้นะว่าเล่นอะไรแบบนี้อีก’
 


‘แค่สนุกๆ น่า ไอ้ซันมึงจะไรนักหนา’ บอมรีบพูด


‘กูไม่สนุก...อย่าให้มีอีก’ จ้องตาไอ้บอมเขม่งจนมันหลบตาไป



‘ทำอะไรกันนักเรียน...เอ้าเร็ว รีบสวดมนต์ค่ะ จะได้เริ่มเรียน’


ครูประจำวิชาเดินเข้ามา ทุกคนกลับไปนั่งที่เริ่มต้นสวดมนต์ เดือนยิ้มออกมาได้แล้ว แก้มแดงก่ำ ตาวาววับไปด้วยน้ำตา กับรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้ความหงุดหงิดใจของเขาจากการที่เดือนถูกแกล้งปลิวหายไปราวกับควันต้องลม


‘ไง นพคุณ หาโทรศัพท์เจอหรือยังคะ’ ครูเดินเข้ามาถาม เดือนพยักหน้าตอบ ครูส่งยิ้มให้แล้วเดินไปหน้าชั้น


‘ถ้ามีใครแกล้งเพื่อนแบบที่แกล้งนพคุณวันนี้อีก ครูทำได้อย่างเดียวค่ะ โทรเรียกผู้ปกครองมาพบ และอย่างที่ทราบกันดีแล้วว่าคุณพ่อไม่ชอบเด็กนิสัยเสีย คิดว่าคุณพ่อจะทำอะไรก็ลองไปคิดดูนะคะ’ ทั้งห้องเงียบกริบ
แล้วก็มีเสียงของบอมดังขึ้นมาว่า

‘คิดไม่ออกครับครู’

ครูเดินเข้าไปใกล้คนพูดส่งยิ้มหวานพร้อมพูดว่า ‘กฤษดาจะลองไปเรียนรู้ด้วยตนเองเลยไหมคะ’ เท่านั้น บอมก็นิ่งเงียบอาจด้วยชนักที่ปักหลังอยู่ก็ได้



เดือนขยับตัวเข้ามาใกล้ กระซิบ ‘ขอบคุณนะซันๆ’
แก้มขาวๆ ยังมีรอยหยาดน้ำตา แต่รอยยิ้มที่เดือนส่งมาให้ก็สดใสเหมือนเดิมทุกครั้งที่ยิ้มให้กัน



เย็นนั้นเรากลับบ้านโดยตามปกติโดยไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนให้ผู้ใหญ่ฟัง พ่อศักดิ์กับแม่น้องยังไม่เลิกงาน เดือนจึงต้องมาคอยพ่อกับแม่ที่บ้านเขาเกือบทุกเย็น ระหว่างที่ทำการบ้านกันอยู่นั้น อยู่ๆ เดือนก็วางปากกา แนบตัวลงนอนกับโต๊ะญี่ปุ่น ถอนหายใจออกมายาวเหยียด


‘เฮ้อออออออ’


เหลือบตาขึ้นมองคนที่เตรียมตัวงอแง ก่อนจะทำก้มหน้าทำการบ้านต่อไป


‘..................’


รับรู้ได้ถึงสายตาของเดือนที่มองอยู่


‘อะไร’



‘ซันๆ อ่า’



‘ทำการบ้านให้เสร็จเลย’



เดือนนอนหนุนแขน เอียงหน้ามองตาแป๋ว ‘ซันๆ อ่า วันนี้เค้าโดนแกล้งมานะ’



‘……………’



‘ซัน..ซัน’ นั่น เริ่มทำเสียงเครือๆ แล้ว ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ เอาหัวทุยๆ มาไถๆ แขน



‘………..’



พอเห็นเขาเงียบ เดือนก็ขยับเข้ามาใกล้ มุดเข้ามาในวงแขน



‘ซันๆ’



‘เฮ้ออออออ’ แกล้งถอนหายใจเสียงดังไปงั้น สุดท้ายก็ยอมให้ไอ้ตัวเล็กมันขึ้นมานั่งบนตัก ลูบหัวตบหลัง ปลอบกันไป



‘ซันๆ ใจดีกับเค้ามากๆ นะ’


‘อือ’


‘ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงดี’



เดือนหันมายิ้มให้แล้วก็ลงจากตักไปนั่งทำงานต่อ
จนเดือนกลับบ้านไปแล้ว เขาเพิ่งรู้ตัวว่า เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยหลังจากนั้น



ทั้งๆ ที่มีแต่ความเงียบ กลับไม่รู้สึกถึงความอึดอัดสักนิด










“เหมี้ยววววว”



แสนดีส่งเสียงร้องอีกครั้ง เขากลับออกมาในโลกปัจจุบัน วันนี้เป็นวันที่เดือนส่งโปรเจ็ค หกโมงเย็นคือเส้นตาย ตอนนี้เพิ่งบ่ายสาม ออกไปซื้อของมาทำกับข้าวเตรียมไว้ก่อนน่าจะดี พอไปรับเดือนกลับมาจะได้กินข้าวแล้วก็พักผ่อนเลยวางแผนเสร็จก็นั่งเล่นกับแสนดีสักพัก จึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถมอเตอร์ไซค์




เปิดประตูห้องออกมาก็เห็นว่ามีคนนั่งพิงกำแพงข้างประตูห้องอยู่



“กาย?”



“ไอ้กาย”
 

เรียกแล้วไม่ตอบรับเลยเดินเข้าไปใกล้แล้วเอาเท้าสะกิด กายเงยหน้าขึ้นมาทำหน้าตาเคร่งเครียดที่สุด


“ไอ้ซัน”


“นั่งทำไรตรงนี้วะ”


“..กะ..กูไม่รู้ว่ะ” กายยันตัวลุกขึ้น เห็นหน้ามันแล้วเขายังส่ายหัว โทรมสุดๆ วันก่อนที่เจอกันวันสอบยังดูได้กว่านี้


“งั้นเข้าไปรอในห้องเป็นเพื่อนแสนดีทีดิ กูจะไปตลาด” โยนกุญแจให้มันแล้วก็เดินจากมา ลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง กดโทรศัพท์ไปหาคนที่น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ให้เพื่อนของเขามีสภาพอย่างที่เห็นทันที


“ครับพี่ซัน”


“ไอ้กายอยู่ที่ห้องกู ถ้ามึงยังทำให้มันกลับมาเป็นปกติไม่ได้ วันจันทร์กูสั่งซ่อม!” พูดจบก็วางโทรศัพท์ทันที



...ยังไง ไอ้แมนก็ต้องรีบมาดูแลพี่รหัสมันด้วยความเร็วแสงอย่างเคยอยู่แล้ว...






.


.


.




เปิดประตูห้องเข้ามาเห็นรองเท้าหน้าตาแปลกๆ สองคู่ เดินเข้ามาข้างใน แปลกใจนิดหน่อยที่ไม่มีเสียงพูดคุย ทีวีเปิดไว้แต่ไม่มีคนดู สองคนนั้นหายไปไหน


“แสนดี...แสนดีอยู่ไหน มาหาพ่อซันเร็ว” แสนดีร้องเหมียวมาจากโซฟา แกว่งหางไปมาสองสามทีแล้วก็นอนต่อไป  ...เอาวะ ยังดีที่ส่งเสียงตอบ


สองคนนั้นอาจไปคุยปรับความเข้าใจกันที่ไหนสักแห่ง ผ้าม่านตรงระเบียบพลิ้วเพราะแรงลม ... คงคุยกันอยู่ตรงระเบียง

   
เดินเข้าไปในครัว จัดการกับของที่ซื้อมาอย่างรวดเร็ว ตอนไปไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไร พอมาดูตอนนี้มีแต่ของชอบของเดือนทั้งนั้น แทบจะหาผักใบเขียวไม่เจอ

   
“.................”

   
“..........................”

   
มีเสียงแว่วมาจากระเบียงห้อง ....จะว่าไปแล้วไอ้สองคนนี้มันยังไงกันอยู่นะ

   

“เหมี้ยว” เขาขยับตามแสนดีออกมาจากครัว ย่อง...ย่อง...มาผ่านห้องนั่งเล่น แสนดีกระโดดขึ้นนั่งบนโซฟา เขาก็ลงไปนั่งข้างๆ

   

“พี่กาย ผม..”
   

“กู...”
   

“พี่..พี่ฟังหน่อยไม่ได้เหรอครับ”
   

“...กู...ไม่อยากได้ยิน..”
   

“............................”
   

“............................”
   

“ผม....ขอโทษที่รบกวนครับ”
   

แล้วไอ้แมนก็เปิดประตูระเบียงเข้ามาในห้อง มันยกมือไหว้เขา ตาแดงๆ ทำอย่างกับจะร้องไห้ แล้วรีบเดินออกจากห้องไป
   

ตึง!
   

“โว้ย!”
   
   
บรรยากาศตึงเครียดเขารีบก้าวกระโดดกลับไปทำทีเตรียมอาหารต่อ

   

“ไอ้ซัน กูรู้ว่ามึงได้ยิน บอกมาดิว่ากูควรทำไงดี”

   

กายตะโกนจากระเบียงนำเข้ามาก่อน หยุดเท้าแขนกับเคาน์เตอร์เตรียมอาหารฝั่งห้องนั่งเล่น หลังมือมีเลือดซึมสายตาจ้องเขม่งมาที่เขาสีหน้าบอกว่า กูรู้ว่ามึงจะให้คำตอบกูได้

   
“กูจะรู้กับมึงไหมวะ สลัด!”
   

“มึงต้องตอบได้สิ มึงกับเดือนเป็นแฟนกันนะเว้ย”
   

“พ่อง! เกี่ยวไรกับเดือน เรื่องของมึงก็เรื่องของมึงว่ะ เรื่องกูกับเดือนไม่เหมือนมึง”

   
สีหน้าไอ้กายดูสับสนจนเขาเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ พูดปลอบมันไปอีกว่า
   

“กูถามมึงคำเดียว...ถ้ามึงไม่ได้ทำตามที่มึงต้องการตอนนี้ มึงจะเสียใจไหม”

     

ไอ้กายเม้มปากแน่น

   

“เรื่องบางเรื่อง มันไม่ต้องใช้สมองหรอกวะมึง ทำตามใจมึงบ้างเถอะ”

   

พูดไปแล้ว ตัวเขาเองก็ได้แต่นิ่งอึ้ง


   
เส้นสีขาวพาดผ่านเข้ามาในสมองแล้วสว่างวาบไปทั้งหัว แจ่มแจ้ง เห็นชัดยิ่งกว่าเวลาเที่ยงวัน

   



...เรื่องของเขากับเดือนทั้งหมด มันเป็นเพราะเขาเองสินะที่ยังไม่ยอมรับตัวเอง ปล่อยทุกอย่างให้คลุมเครือ ไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจ กดความรู้สึกที่มีต่อเดือนไว้ภายใต้คำว่า ...เพื่อนสนิท เพื่อนรัก เพื่อนตาย

   
ทั้งๆ ที่ถ้าเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นแต่เปลี่ยนเป็นไอ้กายแทนที่จะเป็นเดือน เขายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นเดือดเป็นร้อน หรือ สนใจเท่าที่เป็นเรื่องของเดือนเองหรือไม่

   
คิดไปแล้วมันก็น่าขำ ...อย่างที่คนโบราณว่าไว้ ผงเข้าตาตัวเองแล้วเขี่ยไม่ออก มันเป็นอย่างไร เขาก็เพิ่งเข้าใจ
   
ต้องขอบใจกายและไอ้แมน ที่ช่วยให้เขาเข้าใจตัวเองมากขึ้น

   

“....................”

   

“ไอ้ซัน! น้ำเดือดแล้วเว้ย”

   

“ฮะ! เออๆ” รีบกุลีกุจอปั้นหมูสับเป็นก้อนกลมๆ ใส่ในน้ำเดือด

   

“เหอะ เพื่อนกำลังทุกข์ใจแท้ๆ มึงยังไปคิดถึงแฟนมึงได้อีก” ไอ้กายเดินมาข้างๆ ล้างมือทำความสะอาดแผลของมันไปตามเรื่อง

   

“อะไรมึง”

   

“อย่ามาทำมึน...เรื่องที่ทำให้มึงยิ้มเป็นบ้าได้แบบนี้ก็มีเรื่องไอ้คุณคนเดียวละว้า”
กายเดินออกไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลทำแผลของตัวเองอย่างรวดเร็ว

   

“...................”

   

“กูจะลองไปคิดดูแล้วกันนะ” ไอ้กายพูดต่อไป

   

“ไม่ต้องบอกกู ไปบอกไอ้แมนโน้น” ใส่ผักกาดขาวลงไป ต้องต้มนานหน่อยเพราะเดือนชอบกินแบบนุ่มๆ

   

“เหอะ!”

    
   

“เดี๋ยวน้ำเดือด มึงปิดเตาทีนะ กูไปรับเดือนก่อน”

   

“แวะซื้อถุงใส่กับข้าวมาด้วย”

   

“เอามาทำไร”

   

“เอามาเถอะน่า...รีบไปเลยมึง เดี๋ยวไอ้คุณรอแย่”

   

เมื่อขับมอเตอร์ไซค์มาถึง เดือนก็รออยู่แล้วพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน เห็นท่าทางเล่นหัวใกล้ชิดสนิทสนมแล้วเขาก็รู้สึกหงุดหงิดชอบกล

   

“ซันๆ” เดือนตะโกนเรียกชื่ออกมาเสียงดัง คนทั้งโต๊ะก็หันมองมาที่เขาเป็นตาเดียวยกมือทักทายฝันที่โบกไม่โบกมือมาให้

   

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็มีเสียงเป่าปาก โห่แซวขึ้นมาระรอกหนึ่ง

   

“พอเลยพวกมึง! เล่นไม่เข้าเรื่อง” เดือนรีบปรามเพื่อนตัวเอง
   

“แหมๆ ที่อย่างนี้ทำเขินนะไอ้คุณ” คนหนึ่งเอ่ยแซวแล้วที่เหลือก็ตามมา
   
“ทีตอนออกไปพรีเซ็นต์หน้าห้อง กูหายางอายมึงไม่เจอสักหยด”
   
“ม่ายมีรายมากกกก แค่อยากบอกรักผะ- อุ๊ป!” เดือนหันไปตบปากเพื่อนตัวแสบเสียงดัง
พลางเหลือบมองหน้าเขา แก้มขาวซีดก็ค่อยๆ มีเลือดฝาด

   
“ฮิ้ววววว”
   
   
เขาพอจะเข้าใจเรื่องได้รางๆ แล้ว รอยยิ้มก็ถูกจุดขึ้นที่มุมปาก
   

“โอ้ย ซัน ได้โปรดเถอะ!” ฝันตะโกนขึ้นมาทำเอาทุกคนเงียบกริบ
   

“ครับ?”

    

“ยิ้มแบบนั้นเอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า” ฝันยักคิ้วให้สองที เล่นเอาหุบยิ้มไม่ทัน

   

“ฮิ้วววววววววว”

   

“พอๆ กลับล่ะพวกมึง เจอกันๆ” เดือนพูดขอตัว โบกมือลาเพื่อนๆ แล้วลากแขนเขาออกมา ทิ้งคำล้อเลียนและเสียงหัวเราะฮาเฮไว้เบื้องหลัง

   
   



   

“เดือน”

   

ขับรถกลับมาถึงหอพัก เดือนก็รีบกุลีกุจอทำทีจะเดินขึ้นห้องไปก่อน

   

“อารายยยย”

   

“พูดให้ฟังหน่อยสิ” ส่งยิ้มล้อเลียนไปให้

   

“พูดอะไร หิวข้าวมากตอนนี้” ท้ายเสียงลากยาวใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องหรอกนะ ท้ายประโยคลากเสียงแบบกวนๆ ด้วย

   

“อยากได้ยินน่ะ”

   

“ซาน...ซานนนนนนน ไม่เอา ไปๆ เข้าห้องๆ” แก้มแดงไปหมดแล้วซะงั้น

   

“ไม่ได้เหรอ” ทำท่าอ้อนสุดชีวิต เดือนมองหน้าเขานิ่งไปสักพัก สะบัดหัวแล้วรีบเข้าห้องไป

   

“ถ้ากับข้าวอร่อยจะพูดให้ฟัง ฮ่าๆ”

   

เข้ามาในห้องก็ต้องแปลกใจที่เห็นห้องมืดสนิท มีเพียงแสงสีเหลืองส้มมะลังมะเลืองมาจากโต๊ะกินข้าว เดือนยืนนิ่ง ก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างบนโต๊ะ เขาเดินเข้าไปใกล้ แล้วพบว่าอาหารเย็นถูกจัดใส่จานแล้วเรียบร้อย คนที่จะทำได้ก็คงมีแต่ไอ้กายคนเดียว ยิ่งกว่านั้น มันหาเทียนไขมาจุดไว้อีกต่างหาก พร้อมดอกกุหลายสีแดงใกล้เหี่ยวสามดอกเสียบไว้ในขวดน้ำพลาสติก


“ไอ้กาย เล่นไม่เข้าเรื่อง” เขาว่ามันให้เดือนได้ยิน เดือนเงยหน้าขึ้นมาสบตา ส่งยิ้มกว้างตาปิดให้

 
“ซันๆ มาอ่านนี่สิ”

เดือนหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กบนโต๊ะขึ้นมาแล้วยื่นให้



กระดาษแผ่นนั้นมีลายมือที่พยายามเขียนเป็นระเบียบของไอ้กายความว่า




“บอกกูให้คิด มึงก็อย่าลืมถามตัวเองด้วยล่ะไอ้ซัน
แต่เชื่อกูเถอะว่า มึงรักใครไม่ได้อีกแล้วล่ะ นอกจากไอ้คุณ
               Guy ผู้ชายสุดหล่อ”





อ่านจบแล้วแทบจะคิดท่ามันยักคิ้วสองทีออก เงยหน้าขึ้นมาก็เจอเดือนฉีกยิ้มกว้างให้


“ว่าไงซันๆ”


“หิวแล้ว กินข้าวกันเถอะ” เขาทำเป็นไม่เข้าใจ เป่าเทียนดับจนเหลือแต่ควันนั่งลงหยิบช้อนส้อมเตรียมกินข้าว


“โธ่ ซันๆ อ่า บรรยากาศออกจะเป็นใจขนาดนี้” เดือนโอดครวญ แต่ก็ยอมนั่งลงและยกช้อนขึ้นมาบ้าง



“เอ้านี่ กินเลย ไม่พักเดียวจะกลับมาผอมเท่าเดิมแล้วนะ” ตักเต้าหู้ไข่กับหมูก้อนใส่ชามคนที่ยังคงส่งเสียงบ่นหงุงหงิงไม่หยุด



“อ้าปากเลย” เมื่อเห็นว่าเดือนยังไม่ยอมทานสักทีก็ตักหมูไปจ่อปาก “เร็วๆ”



“ซะ------ กินเองได้น่า” เดือนเปิดปากจะพูดแต่ก็โดนป้อนเข้าให้ก่อนแล้ว



“อร่อยไหม” พอได้ลงมือทาน ไอ้ตัวเล็กก็ทานไม่หยุดจนอดแซวไม่ได้



“ไม่น่าถาม ฝีมือซันๆ อร่อยที่สุดอยู่แล้วเถอะ”



“ใช่ไหม งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็มาพูดให้ฟังด้วย”



“เห้ยยยยย นี่ยังไม่ลืมอีกหรือเนี่ย”



“ไม่ลืมหรอก อยากได้ยิน”



“....ง่า”



“งั้นแลกกัน เดี๋ยวเค้าก็จะบอกตัวด้วย ตกลงปะ”



ได้ยินดังนั้น เดือนก็ยิ้มกว้างอีกรอบ ดวงตาสีดำสนิทส่องแสงแวววับเปี่ยมไปด้วยความยินดี
แล้วความเร็วในการกินข้าวของเดือนก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า



.


.


.




ล้างจานเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็แยกกันไปจัดการธุระของตัวเอง เขาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมานั่งดูโทรทัศน์บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ครู่หนึ่งเดือนก็เดินออกมา อาบน้ำแล้วปล่อยให้ผมเปียกน้ำหยุดเป็นทาง ในมือถือผ้าขนหนูมาถึงก็ยื่นให้



“เช็ดให้หน่อย” พร้อมนั่งลงข้างๆ



“พูดก่อนจะเช็ดให้” รู้ว่าถ้ารอเช็ดผมให้แห้งก่อนแล้วค่อยพูด เดือนคงได้แอบหลับไปก่อนแน่ๆ



“ซันๆ อ่า ไม่เคยดูคลิปเหรอ เดี๋ยวเปิดให้ดู” เดือนทำท่าจะลุกขึ้นแต่คว้าแขนไว้ทัน



“ไม่ต้องเลย จะฟังที่ตัวพูด พูดให้ฟังหน่อยนะ”  เดือนเม้มปาก แก้มขึ้นสีอีกแล้ว



“งะ...งั้นขอผ้าเช็ดผมก่อน” พูดแล้วก็เอื้อมมือมาหยิบผ้าเช็ดผมไปด้วยความเร็วแสง
เอาไปปิดหน้าตัวเองซะงั้น

   

“เอ้า ฟังดีๆ นะ....เฮ้ยยย เขินอะ ซันๆ หลับตาก่อน” ทั้งๆ ที่มีผ้าขนหนูปิดหน้าไว้แล้ว ยังเขินได้อีก

   

“...สึดดีชาวโซเชี่ยวแคม...”

   

“หึๆ ....โอ้ย!” หมัดขาวๆ ต่อยเข้าที่สีข้างอย่างแรง “อย่างขำเด้ จะฟังไหม”

   

“อ่าครับๆ”

   

“..สึดดีชาวเชี่ยวแคม...ม่ายมีรายมาก..แค่อยากบอกรัก—“ เอื้อมมือไปเปิดผ้าขนหนู ดวงตาสีดำเบิกกว้าง “ซันๆ”

   

“ครับ...”

   

แนบริมฝีกปากลงบนปากของเดือนแผ่วเบา กดแนบไว้อย่างนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวใดใด จนเริ่มรู้สึกถึงความร้อนจากร่างกายของทั้งคู่จึงผละออกมา

   

“ซันก็ไม่มีไรมาก...แค่อยากบอกให้รู้ว่า รักเดือนเหมือนกันนะ”



“ซัน..ซัน” น้ำตาเม็ดโตร่วงลงมาต้องแก้มขาว


ขยับตัวช้อนเดือนให้ขึ้นมานั่งบนตัก



“โอ๋ๆ จะร้องไห้ทำไมครับ คนบอกรักก็ต้องดีใจสิ”



“...ซันๆ” เดือนฝังหน้าลงตรงซอกคอรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำตาที่ซึมผ่านเสื้อยืด


“.........” หยิบผ้าเข็ดผมมาซับผมเปียกๆ ของคนเจ้าน้ำตา



“ซันๆ เค้าน่ะไม่ดีพอ—“



“เดือนน่ะ ดีที่สุดแล้ว ไม่เชื่อเค้าเหรอ”



เดือนไม่ตอบ ส่งยิ้มตาปิดมาให้อีก โน้มใบหน้าลงใกล้ แววตาของเดือนสะท้อนใบหน้าของเขา





“ซันๆ ถ้าไม่จูบ
เค้าจูบก่อนละนะ”



--------------------------------------------------------------
[12/01/59]
ใครจูบก่อนชนะ เย้!
ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :-[
Lavender’s blue
ปล มุกเก่าเพราะเรื่องนี้ตั้งไว้ตั้งแต่ปี 57 แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 17) 12-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: nixnix ที่ 12-01-2016 23:51:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 18) 13-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 13-01-2016 20:06:48

Just Love ❤ รักนะครับ








18







“โธ่เว้ย!!”

   
ปัง!!

   


แตะขอบประตูเข้าไปเต็มแรง เจ็บจี๊ดจนต้องทรุดตัวลงกุมเท้าเอาไว้



รู้สึกร้อนผ่าวบริเวณขอบตา
กะพริบตาถี่ๆ ... ไล่หยดน้ำใส


   
ห้องพักมืดสนิท แสงไฟจากเสาไฟฟ้าตรงถนนใหญ่ส่องเข้ามาให้เห็นสภาพภายในห้องเป็นเงาตะคุ่ม ทรุดตัวนั่งลงราบไปกับพื้น หลังพิงประตู เงยหน้าสูดลมหายใจลึก

   



อารมณ์ปั่นป่วนยังคงทำให้คิดอะไรไม่ออก ทั้งความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ น้อยใจ ปะปนกันมั่วไปหมด




เรื่องน่าตลกมันอยู่ที่ ถึงแม้จะรู้สึกอย่างไร ก็ทำใจให้โกรธต้นเหตุไม่ลง
เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกเลยจริงๆ

   

“หึ หึ” หัวเราะออกมาท่ามกลางความเงียบ

   


ใจย้อนกลับไปถึงครั้งแรกที่ได้รู้จัก ผู้ชายงี่เง่าที่ชื่อ ‘กาย’







.



.



.



   

“นายชื่อไรอะ”

   

ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ หันไปมองคนที่เข้ามาสะกิด เขาสวมชุดนักเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ทรงผมสไตล์เกาหลีนั่นขัดใจผมชะมัด โรงเรียนรัฐบาลของผมให้ตัดได้แค่ทรงผมนักเรียนเกรียนๆ เท่านั้นเอง คนที่เข้ามาทักคงประหม่าไม่น้อยถึงได้คอยเอามือดันแว่นตากรอบสีแดงตลอดเวลา
   

“แมน”
   
“เออ..เรากายนะ”
   

คำแทนตัวที่สุภาพอย่างคำว่า ‘นาย’ หรือ ’เรา’ ที่ไอ้แว่นแดงพูดออกมา มันดูขัดกับหน้าตาอย่างสิ้นเชิง
   

“ไม่ต้องพูดเพราะกับกูก็ได้..ไม่ชินว่ะ”

   
“เออ..เห็นหน้าตาเรียบร้อยแบบนี้ กูก็นึกว่ามึงคุณหนูไง”

   
นั่นไง มันไม่ได้เป็นคนสุภาพหรือพูดเพราะอะไรจริงๆ ด้วย


   
“กิจกรรมน่าเบื่อรึไง กูเห็นมึงนั่งเล่นแต่โทรศัพท์” กายนั่งลงข้างๆ

   
วันนี้เป็นวันสอบสัมภาษณ์ในการเข้าเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง คณะวิทยาศาสตร์ รุ่นพี่นัด ‘ว่าที่’ ปีหนึ่งตั้งแต่แปดโมงเช้า เพื่อเข้ามาละลายพฤติกรรม ทำความรู้จักกันก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์โดยคณาจารย์ประจำคณะตอนสิบโมง
   

“มั้ง..กูไม่ชอบ”

   
ตั้งแต่มาถึง ผมไม่เห็นว่าจะได้ทำอะไรนอกจากแนะนำตัวและร้องเพลงกับเต้นท่าตลกๆ
   
   

“สนใจหน่อยก็ดีนะกูว่า . . . พี่ๆ เขาก็เตรียมมาตั้งเยอะนะเว้ย” พูดจบไอ้กายก็หันไปมองดูกิจกรรม ตบมือ แหกปากร้องเพลง หัวเราะราวกับว่ามันสนุกสนานเต็มที

   

ผมเก็บโทรศัพท์ หันไปมองกิจกรรมตรงหน้า อาจเพราะเสียงหัวเราะอย่างเต็มที่ของคนข้างๆ ก็ได้ที่ทำให้ผมเริ่มสนุกไปกับกิจกรรมต่างๆ







   

“ไงมึง”

   
กายส่งเสียงทักเมื่อผมเดินออกมาจากห้องสอบสัมภาษณ์

   

“ก็ดี”

   

“เออ มึงไม่เครียดก็ดีละ..กูไปถามพี่มา อาจารย์ไม่ได้ซีเรียสไรมาก ถ้ามึงพูดกับเค้ารู้เรื่องก็ผ่านละ .... แล้วมึงจะไปไหน ไปกินข้าวกันไหม” เราลงลิฟต์มาชั้นล่างของตึก กายเดินนำต่อไปยังโรงอาหารของคณะ
   

“มึงดูเชี่ยวนะ” แปลกใจกับท่าทางคุ้นเคยของเพื่อนใหม่จนต้องพูดออกมา

   

“เอ้า...ก็พี่กูเรียนนี่... มาๆ มึงจะแดกไรแมน ก๋วยเตี๋ยวอร่อยนะ ลองไหม” 
    
   

“งั้นก็ได้”

   
คนในโรงอาหารบางตา คงเป็นเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอม

   

“มึงไม่ไปซื้ออะ” แทนที่จะไปซื้อข้าวพร้อมกัน ไอ้กายกลับนั่งลงเอาโทรศัพท์มาเล่นซะงั้น

   
“มึงไปก่อนเลย กูนั่งจองโต๊ะให้”

   
“ไม่ต้องจองหรอกน่า ไปซื้อพร้อมกันนี่แหละ มึงจะได้แนะนำเมนูอร่อยๆ ให้กูไง”



   
ร้านก๋วยเตี๋ยวที่กายแนะนำเป็นร้านที่มีต่อคิวซื้อเยอะที่สุด โดยเฉพาะรุ่นพี่ปีสองที่มาจัดกิจกรรมให้กับน้องๆ ปีหนึ่งวันนี้และเพื่อนใหม่ของเขาดูจะเป็นที่รู้จักของพี่ปีสองทุกคน


   
“น้องกายยยยยยย” พี่ผู้หญิงหน้าตาหน้ารักคนหนึ่งส่งเสียงเรียกชื่อกายลั่น เมื่อเราเดินมาต่อแถวซื้อก๋วยเตี๋ยว

   
“หวัดดีครับพี่แนน” กายยักคิ้วให้

   
“แหม ใส่ชุดนักเรียนแล้วน่ารักจังเลยนะ” พี่ผู้หญิงอีกคนทักขึ้นบ้าง

   
“แน่นอน พี่หญิง คนหล่อใส่อะไรก็หล่อ” กายตอบพลางเก๊กหล่อเต็มที่ ไม่สนใจเสียงหัวเราะคิกคักของรุ่นพี่ที่ส่งให้อย่างล้อเลียน

   
“แล้วนี่เพื่อนเหรอ. . . แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ” เมื่อหันมาเห็นผม พี่แนนก็ทักขึ้นมา

   
“แมน นี่รุ่นพี่คณะปีสอง พี่แนน พี่หญิง พี่ฝ้าย ..คนสุดท้ายนี่ ไม่บอกไม่รู้สินะว่าเป็นดาวคณะ” ว่าแล้วกายก็หันหน้ามายักคิ้วให้ผมหนึ่งที หัวเราะกับท่าทางตลกๆ และเสียงโวยวายของรุ่นพี่สาวสวยทั้งหลาย

   

 “ปากเสียชะมัด อิกายยยยยยย”
 
   
พี่ฝ้ายรี่เข้ามาหมายจะทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้าม กายหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานใช้ตัวผมเป็นเครื่องกำบัง



   
“เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ”
   

เสียงห้าวๆ ดังขึ้นขัดขังหวะ ทุกคนหันไปมองที่ต้นเสียง ชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำหน้าตาคมเข้มยืนกอดอกมองอยู่

   

“อ้าว พี่ซัน หวัดดีครับ”

   

กายหยุดเล่นหันไปทักทายพี่หน้าโหดอย่างอารมณ์ดี ขณะนั้นเองพี่ฝ้ายอาศัยจังหวะที่กายเผลอ ต่อยเข้าที่หัวไหล่เต็มแรง

   

“โหยยยยย ดาวคณะประสาไรวะเนี่ย หมัดหนักชะมัด” ได้ยินเสียงกายบ่นงึมงำ

   

“พอเถอะน่ากาย เอ้าเร็ว แนะนำเมนูไร” ผมบอกกายอย่างเพลียๆ ให้เลิกกวนตีนพี่ๆ เมื่อแถวขยับมาใกล้ กายก็กลับมาพูดจ้อ แนะนำเมนูอาหารนั่นนี่เรื่อยเจื้อย




กายเป็นเพื่อนคนแรกของผมที่คณะ ตั้งแต่วันแรกที่มาสัมภาษณ์ มีงานอะไร ซื้อของ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชุดนักศึกษา อุปกรณ์การเรียนต่างๆ กายก็เป็นคนชวนออกไปซื้อพร้อมแนะนำร้านดีๆ ให้ตลอด



ผมไม่ได้เอะใจเลย



ไม่เลยสักนิดว่าชีวิตน้องใหม่ปีหนึ่ง




จะได้พบกับกิจกรรมที่เรียกว่า ... พี่เนียน ...








วันสุดท้ายของกิจกรรม เรื่องราวต่างๆ ก็ได้เฉลยออกมาว่า กาย และเพื่อนๆ ผมอีกหลายคนที่ดูจะคุ้นเคยกับพี่และคณะนั้น เป็น “พี่เนียน”




“พี่เนียน” รุ่นพี่ที่แฝงตัวเข้ามาเป็นเพื่อนกับน้องๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างน้องใหม่ด้วยกันเองให้แนบแน่นยิ่งขึ้น เป็นคนที่คอยให้คำแนะนำน้องๆ อย่างเนียนๆ ในหลายๆ ด้าน




เข้าใจแล้วว่าทำไม กายถึงเข้ามาทักผม ชวนคุย ในวันแรกที่ผมมาสัมภาษณ์



เข้าใจแล้วว่าทำไมกายถึงพูดมาก ชวนคุย สร้างหัวข้อให้ผมและเพื่อนๆ ได้คุยกันตลอด




เข้าใจแล้วว่าทำไมกายถึงบอกเรื่องกิจกรรม ชวนไปซื้อของ พาไปที่ต่างๆ ในคณะอย่างถูกต้อง





หลายคนคงรู้สึกเหมือนถูกหลอก ผมเองก็คิดแบบนั้น





แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอ่อนและใบหน้ารู้สึกผิดของกายที่กำลังถูกรุ่นน้องผู้หญิงทั้งหลายรุมซักไซ้
ความรู้สึกว่าถูกหลอกก็หายไป



คำพูดของ “พี่กาย” ในวันสอบสัมภาษณ์แว่วมาให้ได้ยินอีกครั้ง




‘สนใจหน่อยก็ดีนะกูว่า . . . พี่ๆ เขาก็เตรียมมาตั้งเยอะนะเว้ย’






ผมถึงได้เข้าใจว่า ถ้าไม่สนใจ ไม่ห่วงใย พี่เนียนหลายคนคงไม่ยอมเสียสละมาทำงานนี้ งานที่เสี่ยงต่ออารมณ์ ความรู้สึกของทั้งตนเองและน้องๆ หลายคน













พี่กายผละออกมาจากกลุ่มรุ่นน้องผู้หญิงเมื่อเห็นผมยืนอยู่ใกล้ๆ



“ไงมึง”



“....” ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ให้



“มึงโกรธกูเหรอ....น้องรหัส” พี่กายเดินเข้ามารวบไหล่เข้าไปกอด ทำหน้ากรุ้มกริ่ม ล้อเลียน



“โหพี่...” กำลังจะพูด พี่กายก็ตะโกนขัดขึ้นมาก่อน



“...ซัน ไอ้ซัน”  พี่ซันเดินเข้ามาใกล้ พี่กายก็รีบพูด



“กูจองไอ้แมนเป็นน้องรหัสกู” พอได้ฟังพี่ซันก็เลิกคิ้ว



“กูถูกชะตาว่ะ ... กูเป็นพี่รหัสมึงนะเว้ย” ประโยคหลังพี่กายหันมาย้ำกับผมอีกที



“อันนี้แล้วแต่น้อง ไอ้กาย บอกกูก็ไม่ช่วยไรหรอก” พี่ซันพูดเท่านั้น ก็เดินจากไป



“ไอ้แมน ... มึงอยากเป็นน้องกูป่าว ไม่เอา ไม่ต้องตอบ กูไม่ถามล่ะ ยังไงน้องรหัสกูก็ต้องเป็นมึง นี่เป็นคำสั่ง!!”



พี่กายพูดจบ ก็ทิ้งผมไว้ หายไปท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย











ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ผมก็ได้เป็นน้องรหัสพี่กายจริงๆ



.
.
.



   



ก๊อก ก๊อก ก๊อก !!!


   
“แมน เปิดประตู”


   
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงเคาะประตู


   

เสียงที่เรียกผมเมื่อครู่ คือเสียง พี่กาย หรือเปล่า


   


ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!

   



“กูเอง เปิดประตูหน่อยเว้ย ยุงกัด”

   


เมื่อแน่ใจว่าเป็นพี่กายก็เปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา


   

   

“เปิดช้าชะมัด ยุงกัดกูจนอิ่มทั้งตระกูลแล้วมั้ง สลัด!” พอเข้ามาในห้องก็บ่นเสียงดัง ถอดรองเท้าแบบขอไปทีแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟา

   

ผมเขี่ยรองเท้าให้เป็นระเบียบแล้วเดินตามมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ




   

ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ในห้อง ผมได้ยินกระทั่งเสียงหึ่งๆ ของยุง



   
แขกยามวิกาลขยับตัวอย่างอึดอัดหลายหน แต่ก็ไม่พูดอะไร
ผมได้แต่ยืนรออย่างไม่เข้าใจการมาของเขา 

 


   
“เอ้า..ไอ้สลัด มึงจะพูดไรก็พูดเด้ กูมาฟังแล้วไง”
    



พูดกับทีวีหรือไง
คนที่จะพูดด้วยอยู่ตรงนี้นะครับ





“...ไม่มีอะไรพูดแล้วพี่”





“อย่ามากวนตีน ตอนเย็นมึงยังเซ้าซี้จะให้กูฟังอยู่เลย”





“...ผมคงไม่..”




“นับ! หนึ่ง!....”




จะให้พูดอะไร




“ถ้ากูนับถึงสาม แล้วมึงยังไม่พูด ก็จะไม่ฟังมึงอีกเลย ...สอง!”





หัวใจผมเต้นระรัว






“...สะ”






ผมชอบพี่!!



“ชอบมากๆ จนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว . . . ผมพยายามที่จะไม่ชอบพี่แล้วแต่ก็ทำไม่ได้ . . . พี่กาย...ผมชอบพี่จริงๆ นะ ถ้าพี่ไม่ชอบ ผมจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวาย แต่ให้ผมได้เป็นน้องพี่เหมือนเดิม เป็นไอ้แมนน้องรหัสพี่เหมือนเดิมก็ได้ อย่าไล่ อย่ารังเกียจผมเลยนะพี่...”



“..................”



“..................”




ผมก้มหน้าก้มตาพูด ไม่รู้ตัวสักนิดว่าถูกจ้องจากคนที่ทำทีเป็นมองซ้ายขวาไม่สบตา
จนรวบรวมความกล้าขึ้นมาได้มากพอก็เงยหน้าขึ้น
สบตากับดวงตาสีเข้ม
เราจ้องมองกันอยู่อย่างนั้น




“...ถ้ารังเกียจ กูจะยังมานั่งฟังมึงพูดไหม มึงประสาทว่ะไอ้แมน”



“.....”

   

“เอ้า ทำน้ำตาคลอ ง่วงแล้วมึง ไปจัดที่นอนดิ จะให้กูนอนบนโซฟานี่หรือไงวะ”



รีบกุลีกุจอไปทำตามที่บอก    




ความรู้สึกที่ไม่โดนปฏิเสธยังคงโลดแล่นอยู่ทั่วร่างกาย
จนกระทั่งเมื่อปิดไฟนอน
ได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ




พี่กาย แขก นอนบนเตียงผมสบายใจ สบายหลัง
ผม เจ้าของห้อง ถูกขับไล่ลงมาให้นอนบนพื้นข้างเตียง ถึงจะสบายใจ แต่ก็ปวดหลังไม่น้อย




“พี่กาย” กระซิบเรียก



“........”



“พี่กาย” ไม่ตอบก็กระซิบให้ดังขึ้นอีกนิด



“..เออ” เสียงห้วนๆ ส่งมาจากบนเตียงที่เคยเป็นของผม



“พี่ไม่ว่าถ้าผมจะชอบพี่ใช่มะ”



“เออ”



“แบบนี้แสดงว่า...”ลากเสียงยาว เชิงออดอ้อน



“ว่า?”   



“ผมจะมีโอกาสใช่ป่าว”



“.............” เอ้า ทำไมเงียบซะงั้นล่ะ



“พี่กาย” ตอบผมด้วยเด้



“...........”




“เอ้า พี่กาย นอนแล้วเหรอ ตอบคำถามผมก่อนเด้”



“เงียบไปเลยสลัด!! คนจะนอนเว้ย”  ยังไม่หลับจริงๆ นั่นแหละ



“...พี่กาย” แต่เมื่อไม่อยากให้กวนก็...



“..อะไรอีก” พี่กายเลิกผ้าห่ม พลิกตัวกลับมา พร้อมท่าทางหัวเสียเต็มที



“ฝันดีครับ”




“เออ!” 



-------------------------------------------------------
[13/01/2559]
เด็กมันมุ้งมิ้งอย่างนี้นี่เองสินะ *-*

ซันๆ : หมาป่าในคราบแกะจ่าฝูง
เดือน: แมวนวดนาดบนรั้ว
กาย: เพื่อนแกะจ่าฝูง
แมน: หมาน้อยต้อนแกะแต่กลับโดนแกะไล่ *โธ่วววว น้องแมนของป้า 5555

 :katai5:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 18) 13-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: NOPKAN ที่ 13-01-2016 20:16:37
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 18) 13-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: littlegift ที่ 13-01-2016 20:34:13
แมนน่ารักมุ้งมิ้งมากกก ><
กายกาย กินเด็กแล้วเป็นอมตะนะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 18) 13-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 15-01-2016 20:36:53
ซันๆกับเดือนก็หวาน แมนกายก็มุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมวสุดๆไปเลย
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 19) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 15-01-2016 20:39:37

Just Love ❤ รักนะครับ






19



   

ตื่นมาตอนเช้าตรู่ พร้อมอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ขณะที่เหยียดมือออกไปก็พบว่ามีใครบางคนแอบเข้ามานอนอยู่ข้างๆ
   
...ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้...



   
“เดือน”


   
ส่งเสียงเรียกพร้อมเอื้อมมือไปเขย่าหัวไหล่ผอมๆ


   
“..ฟี้..อื้อ...”

   

“แอบมานอนเตียงคนอื่นแล้วยังตื่นสายอีกนะ” พูดออกมาเบาๆ แล้วก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเอง

   

เขาไม่เคยล็อคห้องนอน ไม่แปลกใจเลยว่าเดือนจะเข้าห้องมาได้ยังไง ...ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดือนแอบเข้ามานอนด้วยเสียเมื่อไหร่
เดือนเกลียดเสียงฟ้าร้อง... เหตุผลเดียวที่ทำให้เดือนเข้ามานอนข้างๆ   



บิดขี้เกียจมองไปยังคนที่นอนงอตัวเหมือนกุ้งลวกสุกรู้ตัวอีกทีปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสกับริมฝีปากบางของคนที่แอบมานอนข้างกัน ได้สติจึงละนิ้วออกขยับตัวลุกขึ้นตื่นเต็มตา
   


คนที่นอนอยู่บนเตียงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมานั่งหัวยุ่งตอนที่เขากำลังเริ่มแต่งตัวพอดี

   
“งื้อ... ซันๆ”

   

“เอ้า ตื่นแล้วก็เก็บเตียงเลย เดี๋ยวออกไปข้างนอกกัน”

   

“ไปหนายยย” เดือนขยี้ตาถามเสียงง่วงๆ

   

“เถอะน่า เร็วๆ”


   

“Hug me, kiss me”

   
“บ่นอะไรงุ้งงิ้ง”

   
“จุ๊บหน่อย”

   
“ไม่เอา ไม่จูบกับคนไม่แปรงฟัน”

   
“โห...ใจร้ายว่ะ”

   
“ไปอาบน้ำ”

   
เดือนทำหน้ายุ่ง จัดการพับผ้าห่ม ตบหมอน จัดเตียงเรียบร้อย เดินหน้างอมาใกล้ๆ

   
“ขอมัดจำไว้ก่อนล่ะกันนะ” พูดจบเจ้าตัวก็แขย่งตัวขึ้นมาหอมแก้มเขาเต็มฟอด ยักคิ้วกวนๆ หนึ่งทีแล้วก็ลอยหน้าลอยตาเดินออกจากห้องไป

   

   
“.........”

   

ความรู้สึกร้อนวาบกระจายไปทั่วใบหน้าและลำคอ หันไปมองกระจก ใบหน้าคล้ำแดดนั้นไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ส่วนใบหูและลำคอนั้นเป็นสีจัด
   

...ต่อให้ก่อนละกันนะเดือน

   

   



พวกเรามาทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหอพักนัก บริเวณวัดร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยผลิใบสีเขียวขจีให้ร่มเงา บรรยากาศเงียบสงบอย่างที่ไม่พบเจอมาหลายวันให้รู้สึกผ่อนคลาย


    
   
เขาหวังว่าบรรยากาศและความเงียบสงบนี้จะช่วยให้เรื่องที่จะคุยกับเดือนเป็นไปอย่างราบรื่น


   

เดินมาถึงท่าน้ำ ศาลาไม้สภาพเก่าแต่ได้รับการดูแลอย่างดี เมื่อก้าวขึ้นไปนั่ง สายลมอ่อนพัดกลิ่นของสายน้ำ ดอกไม้และแสงแดดผ่านมาอย่างนุ่มนวล ในศาลามีกล่องพลาสติกขนาดย่อมหนึ่งกล่อง เปิดดูพบว่าเป็นอาหารปลา เขาและเดือนบริจาคเงินจำนวนหนึ่งทำบุญ และหยิบอาหารปลาที่บรรจุไว้ออกมาคนละถุง


   
“ซันๆ ตัวว่าปลามันจะเบื่อไหม”

   
จู่ๆ เดือนก็ถามขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังเพลิดเพลินกับการมองดูปลาตัวโตโผล่จากน้ำขึ้นมาฮุบกินอาหารเม็ดที่โปรยลงไป

   
“ไม่หรอก ทีตัวยังไม่เบื่อข้าวเลย”

   
“แต่บางวันก็กินก๋วยเตี๋ยว กินสปาเก็ตตี้ เค้กบ้างนะซันๆ”

   
“นี่อยากรู้จริงๆ ใช่ปะ”

   
“เอ้า จริงเด้ ไม่งั้นจะถาม’ไมอะ” ตายังคงมองปลาจำนวนมากที่มากินอาหาร ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

   
“แล้วเดือนเบื่อซันปะ”

   
จบคำถามเดือนหันควับมาอย่างรวดเร็ว ขยับเข้ามาใกล้ ตอบเร็วปรือ เสียงดังฟังชัด

   
“ไม่เบื่อ ไม่เคยคิดเลยเถอะ!!”


   
อดที่จะส่งยิ้มกว้างให้ทั้งน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางที่จริงจังนั้นไม่ได้

   
“ก็เหมือนปลาไง...อะไรที่รักก็ไม่เบื่อหรอก...ใช่ปะ”

   
“โหหหหหห....ตายเลยซันๆ พอๆ เขิน ฮ่าๆ” เดือนโห่เสียงดัง แล้วเดินผละไปอีกด้าน

   
“ไม่ชอบเหรอ” เดินตามไปถาม

   
“ชอบ..ชอบมากกกกกก แต่นี่วัดปะ ทำไรไม่ได้ ฮ่าๆ”

   
“ตรงตลอด”


ว่าแล้วก็ขยี้หัวคนช่างคิดไปอีกหลายทีจนเจ้าตัวต้องบอกให้หยุด





ให้อาหารปลากันไปอีกสักพักจนหมด กลับมานั่งชมบรรยากาศของสายน้ำต้องแดดเป็นประกายระยิบระยับ หมู่ไม้สีเขียวส่ายไหวตามสายลม

   
...ช่วงเวลานี้ คงเหมาะสมแล้ว หรือเปล่า...

   
“เดือน”

   
“หืม”  เดือนละสายตา หันมามองหน้าเขา ใบหน้าแต้มรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก

   
“พรุ่งนี้...”

   

“...?”


   

“พรุ่งนี้...กลับบ้านด้วยกันนะ”

   

ริมฝีปากถูกเม้มเป็นเส้นตรง เดือนหลุบสายตาลงต่ำ ไม่สบตา

   

“......................”


“....ว่างใช่ไหม กลับบ้านกันเถอะ”


“.......ไม่รู้สิซันๆ”


“...เค้าไปด้วยนะ ซันๆ ไปด้วย เดือนไม่ต้องกลัวอะไรหรอก”



คว้าข้อมือขาวทั้งสองข้างที่เริ่มจะเกรงแน่นมากุมไว้



“...ยังไงไปนอนบ้านเค้าก็ได้..บ้านเดือนก็แวะไปตอนกลางวัน...โอปะ”



“แล้วซันๆ จะมาด้วยไหม”



เหงื่อชื้นๆ ในมือของเดือนค่อยๆ แห้งไป



“ไปสิ ตัวอยู่ไหน เค้าก็อยู่นั่นแหละ ตกลงไหม”


“ซันๆ อย่าทิ้งกันนะ” เดือนเงยหน้าขึ้นมาสบตา ความกังวลฉายชัดในแววตา


“ไม่มีทาง”


กระชับมือที่กุมไว้แน่น ส่งยิ้มกว้างแบบที่เดือนชอบให้ กระตุกให้ลุกขึ้นยืน



“ถ้ารู้สึกแย่เมื่อไหร่ก็บอก แล้วซันพากลับเลย ดีไหม”


“..อื้อ..”


“อาหารอีกถุงไหม” พยักเพยิดหน้าไปทางกล่องอาหารปลา  เดือนส่ายหัวเป็นคำตอบ


“งั้น..วันนี้จัดทริปตามใจนพคุณ..อยากไปไหนต่อครับ”



เดือนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะคว้ามือเขาไปกุมไว้และออกเดินนำ





“ไปเดินเล่น”

 





.


.



.





เราเดินเที่ยวเล่นไปทั่วจนหัวค่ำ เมื่อกลับถึงห้องต่างก็แยกย้ายกันไป เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสำหรับใส่อยู่บ้านแล้วก็นั่งลงตรงพื้นหน้าจอขนาดใหญ่ทันที



ก๊อกๆ !!



“ซันๆ”



เห็นจากทางหางตาว่า เดือนเคาะประตูห้อง มือข้างหนึ่งหอบหมอน ข้างที่ใช้เคาะห้องมีผ้าห่มพาดอยู่



“นอนด้วย”



“อืม”



ไม่ละสายตาไปจากภาพตรงหน้า สองมือกดปุ่มเล็กรัว จนกระทั่ง หน้าจอขึ้นคำว่า Completed ถึงได้เบือนหน้าจากหน้าจอโทรทัศน์



เดือนนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง มีผ้าห่มที่ขนเข้ามาคลุมอยู่และซ้อนทับด้วยผ้าห่มของเขา ...รู้ทั้งรู้ว่าห้องเขาเปิดแอร์เย็น แต่ก็ยังคงใส่แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นนอน สุดท้ายก็ต้องมาลากผ้าห่มไปห่มเพิ่ม



ตอนออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จก็พบว่าเดือนหลับไปแล้ว ทั้งๆ ที่มือยังคงถือโทรศัพท์มือถืออยู่อย่างนั้น



“เดือน”



เดินเข้าไปใกล้ โน้มตัว เพื่อจะหยิบโทรศัพท์ออกจากมือของคนที่นอนหลับแต่เดือนก็สะดุ้งตื่น



“อื้อ ซันๆ”



“จะนอนแล้วก็เลิกเล่นได้แล้ว โทรศัพท์น่ะ”



“อารายยยย ยังไม่นอน..ฮ้าวววว”   ยังจะเถียงให้ได้ นั่นหาวขนาดนั้นแล้วแท้ๆ



“งั้นเค้าจะนอนแล้วนะ ถ้าตัวจะนอนก็ปิดไฟด้วย” ทำท่าจะล้มตัวนอนบนเตียง เดือนจึงได้รีบบอก



“เอ้ยยยย ถ้าซันๆ จะนอนแล้วก็ปิดไฟเลย เค้าก็จะนอนแล้วเถอะ ฮ้าววว ง่วงแล้ว”




ว่าแล้วก็รีบเก็บโทรศัพท์ แล้วก็หาวออกมายกใหญ่ ขยี้หัวทุยนั่นอย่างอดไม่ได้แล้วจึงไปปิดไฟ




ล้มตัวลงนอนได้ไม่กี่อึดใจ
คนข้างๆ ก็พูดขึ้นมา




“ซันๆ “  น้ำเสียงของเดือนดังขึ้นมาแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบ





“หือ?” ตอบรับในลำคอ นอนหลับตานิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงมีเสียงของเดือนตอบมาช้าๆ




“...เปล่า”




ไม่มีใครพูดอะไรต่อ จนเมื่อถึงกึ่งหลับกึ่งตื่น เสียงของเดือนก็เข้ามาปลุกให้เขาตื่นอีกครั้ง





“ซันๆ”






“เดือน...ทำไร” เหมือนว่าเดือนจะจับน้ำเสียงได้ว่าเขาเริ่มหงุดหงิด จึงได้พูดออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ   
 






“... เปล่า ...แค่อยากรู้ว่า...ไม่ได้อยู่คนเดียว” 




มันคงเป็นการกระทำที่ผ่านสไปนอล คอร์ต (Spinal cord ระบบตอบสนองของร่างกายที่เป็นไปโดยสัญชาติญาณ) มากกว่าสมองแน่ๆ ที่ทำให้เขาพลิกตัวเข้าไปกอดเดือนทั้งตัวทันทีที่พูดจบ




“ซันๆ”





เดือนตกใจกับการถูกรวบไปกอดแบบไม่ทันตั้งตัว เกรงตัวอยู่ครู่เดียวก็ยอมอยู่ในอ้อมกอดโดยดี แผ่นหลังของเดือนมีเหงื่อซึม ทั้งๆ ที่อุณหภูมิภายในห้องเย็นสบาย 


“อยู่กับเดือนนี่แหละ”



เดือนเอียงคอมาซบตรงซอกคอ สัมผัสได้ถึงความชื้นจากบริเวณไรผม



“ซันๆ  ถ้าพรุ่งนี้..”



เดือนกระซิบไม่ทันขาดคำ ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงริมฝีปากของเดือน สกัดคำพูดและความคิดที่จะทำให้เจ้าตัวไม่สบายใจยิ่งขึ้นให้หายไป




เริ่มจากการจากบดเบียดอย่างแนบสนิทอย่างช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการดูดดึงริมฝีปากของกันและกัน ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัด เลาะเล็ม ปลอบประโลม รสจูบของเราไม่ได้เป็นกองไฟที่ร้อนแรงลุกโชน แผดเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่เป็นสายลมอ่อนที่พัดแผ่วเบาให้กองไฟไม่มอดดับ



ก่อนที่กองไฟลุกโชน ริมฝีปากของเราก็กดแนบกันและกันไว้นิ่ง จนจังหวะของหัวใจกลับมาเต้นคงที่สม่ำเสมอจึงได้ผละออกมา กระซิบแนบริมฝีปากของคนในอ้อมกอด



“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เชื่อสิ”




เดือนกดริมฝีปากเข้าที่ปลายคาง




“อื้อ”





ลากมือลูบแผ่นหลังของเดือนอย่างแผ่วเบา คิดไปถึงสิ่งที่เดือนกังวล แม้ว่าเดือนจะไม่เคยบอกแต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่พ้นคำบอกเล่าจาก ‘แม่’ ของเขาอยู่แล้ว






.



.



.





‘ตาซัน อยู่หอคนเดียวเหงาไหม’


แม่โทรหาเขาตอนเช้าวันหนึ่งซึ่งเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เดือนกว่า การปรับตัวเข้ากับระบบการเรียนแบบใหม่ สังคมและเพื่อนใหม่ผ่านไปอย่างราบรื่น แม่เพิ่งจะมาเป็นห่วงลูกชายหรือยังไงกัน


‘ก็มีบ้างแหละแม่ แต่คิดว่าอยู่คนเดียวสบายใจกว่า’



แม่ไม่ตอบในทันที ได้ยินเสียงถอนหายใจ



‘...เออ งั้นก็ดีแล้วล่ะ’


‘มีไรป่าวแม่’


‘ก็เดือนนะสิ แม่น้องโทรมาเล่าให้ฟังว่าไปทะเลาะกับพ่อศักดิ์เรื่องอยู่หอนี่แหละ’



‘อ่า... ’



‘พ่อศักดิ์โมโหมากทะเลาะกันใหญ่โต แล้วเดือนก็ออกจากบ้านไปเลย ไม่ติดต่อมาเลยล่ะ วันก่อนเพิ่งจะโทรหาแม่น้องบอกกว่าไปอยู่กับเพื่อน’



‘ครับ...แล้ว..’



‘เดือนบอกพ่อว่าอยู่หอคนเดียวแล้วเหงา อยากออกไปอยู่กับเพื่อน พ่อศักดิ์ไม่อนุญาตเลยทะเลาะกันน่ะ’



‘อ๋อ’



‘แม่ก็กลัวซันเหงาไง แต่ลูกอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม งั้นคงไม่มีปัญหาไรนะยะ’



เริ่มตั้งแต่โทรมาเสียงของแม่ซึมๆ ฟังดูคล้ายกังวลและเป็นห่วงเขาจริงๆ แต่ตอนนี้ดูความกังวลของแม่จะหายไปแล้วถึงได้พูดเล่นเฮฮาขึ้นมาได้บ้าง



‘ไปสืบมาหน่อยดิว่าเดือนไปพักอยู่แถวไหน’




‘โหวแม่ ถ้าเดือนไม่บอกก็แปลว่าไม่บอกไง’ บอกแม่ สนิทกันตั้งแต่เด็กๆ ทำไมจะไม่รู้ว่าเดือนชอบหรือไม่ชอบอะไร



‘แม่กับแม่น้องแค่อยากรู้ เผื่อมีอะไรจะได้ติดต่อได้..ไปหามาเถอะน่าซัน แกจะปล่อยให้เดือนเร่ร่อนไปนอนนั่นทีโน้นทีไม่เป็นหลักแหล่งหรือไง’



‘อ่า ครับๆ’




ไม่กี่วันก็ทราบว่าเดือนไปอยู่บ้านเช่าหลังใหญ่กับเพื่อนร่วมคณะ เขาก็รายงานแม่ไป ทางแม่น้องก็ไม่ได้กล่าวอะไรถึงเรื่องนี้อีกปล่อยให้เดือนได้ใช้ชีวิตอยู่กบเพื่อนอย่างที่ต้องการ แม่น้องไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายใช้ชีวิตลำพังแน่จึงแอบแวะมาดูบ้างจนเจ้าตัวรู้เข้า ทั้งคู่ทั้งเดือนและแม่น้องถึงได้ยอมพูดคุยกันดีๆ เหมือนเดิมจนในที่สุดเมื่อต้นเทอมที่ผ่านมา ทั้งสองแม่คงทนกับความติสท์ของศิลปินเพื่อนของเดือนแต่ละคนไม่ไหว ถึงได้บังคับแกมข่มขู่ให้เดือนย้ายมาอยู่กับเขา




ไม่ทราบว่าเหตุการณ์ที่แม่เรียกว่า ‘ทะเลาะกันใหญ่โต’ ระหว่างเดือนกับพ่อศักดิ์นั้นเป็นอย่างไร ทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน สาดคำพูดร้ายกาจใส่กันมากเพียงใด จนกระทั่งเดือนหันหลัง เดินออกมาจากบ้าน และไม่เคยกลับไปเลยตั้งแต่วันนั้น




ทั้งคู่ไม่เคยพูดถึงอีกฝ่ายอีกเลย





แต่เท่าที่เขามองสถานการณ์ ทั้งแม่น้องและแม่ที่คอยแวะเวียนมาดูแลเดือนและเขาอย่างสม่ำเสมอแล้ว อารมณ์โมโหพ่อศักดิ์อาจหายไปกับสายลมทันทีที่เดือนเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วก็ได้




------------------------------------------------------
 [15/01/2559]
นอกจากอยากให้เดือนได้กลับบ้านทำความเข้าใจกับพ่อศักดิ์แล้ว
ตาซันยังแอบมีวาระซ่อนเร้นกับเขาด้วยนะ ;D
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
Lavender’s blue

หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 19) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: nixnix ที่ 15-01-2016 23:09:27
 :3123: :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 19) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 16-01-2016 03:18:01
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ งานการไม่ได้ทำเลย
โอ้ยยย ชอบมากก ชอบซันๆ ทำไมเป็นผู้ชายอบอุ่นขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เดือนจะชอบ
แล้วก็ชอบอีกคู่ด้วย คู่นั้นก็มึนๆกันดี อิพี่กายมึนคนเดียวมากกว่า 5555

เขียนดีค่ะ ชอบภาษา
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 19) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: mynamejnkf ที่ 16-01-2016 06:52:49
บรรยากาศฟรุ้งฟริ้งมากเลยอ่ะ งื่ออออ

อ่านรวดเดียวเลยเนี่ย

เมื่อไหร่จะได้กันคะ 19 ตอนแล้วนะ ...สักทีเถอะน่าา นะ น้าาา ~ อยากรู้ซันๆจะแผดเผาเดือนได้ขนาดไหน อิ๊อ๊ะ

ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายดีๆค่ะ สู้ๆน้า :-[ :impress2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 19) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: imvodka ที่ 16-01-2016 11:12:55
 :hao5: อ่านรวดเดียว  รอดูผลการตรวจ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 19) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 16-01-2016 11:16:29
ทะเลาะกับพ่อศักดิ์ถึงขนาดที่กลัวจะกลับบ้านตัวเอง มันเรื่องอะไร
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 19) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 16-01-2016 15:47:00
ฮื้ออออ ตามอ่านรวดเดียวเลยยยย

ซันๆกับเดือนน่ารักกกกกกกกกกกกกกกก~
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 19) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: nixnix ที่ 17-01-2016 20:14:09
รออ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 20) 18-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 18-01-2016 21:12:19


Just Love ❤ รักนะครับ






20






“ไปบ้านเค้าก่อนป่าว”


เขาถามคนที่เอาแต่นั่งพิงหน้าต่างรถมาตลอดทางการเดินกลับบ้านด้วยกัน เดือนส่ายหัวทั้งที่ยังหลับตาท่าทางอ่อนล้า เขาลูบหัวทุยแผ่วเบา



“ซันๆ อยู่ด้วยน่า เดือนจะกัวไยฮะ”


ประโยคหลังเลียนเสียงที่พูดไม่ชัดเหมือนเด็กๆ ซึ่งก็ได้ผลเดือนลืมตาขึ้นมามองพร้อมหัวเราะหึหึในคอ มีความกังวลไม่น้อยอยู่ในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น



“เดือนมีซันๆ นะครับ”



“อืม”



ไม่นานรถประจำทางก็จอดลงตรงสถานีปลายทาง เวลาเช้าตรู่ท้องฟ้ายังคงสลัว ดวงอาทิตย์ยังไม่ปรากฏให้เห็น มีเพียงแสงสีส้มสะท้อนบนก้อนเมฆใหญ่ตัดกับสีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้า ดาวประกายพรึกส่องสว่างเปล่งประกาย



“สวยจังเลยนะซันๆ”



เดือนมายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ กระซิบเสียงแผ่ว



“เรื่องที่บ้านน่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ” พยักหน้าตอบ





สถานีขนส่งผู้โดยสารอยู่ห่างจากบ้านของเดือนไม่มาก เราเดินลัดเลาะมาตามคลองเล็กข้างสถานีเพื่อจะมาโผล่บนถนนสายหนึ่งในหมู่บ้านชานเมืองอันเงียบสงบ ละทิ้งความจอแจของผู้คนและเสียงอันวุ่นวายของสถานีขนส่งไว้เบื้องหลัง



เราสองคนเดินทอดน่องกันอย่างช้าๆ ด้วยหวังว่าจะยืดเวลาในการเผชิญหน้ากับความจริงออกไปให้นานที่สุด อย่างไรก็ตาม ๑๕ นาทีต่อมารั้วปูนสีน้ำตาลอ่อนก็ปรากฏให้เห็นเจ้าของบ้านชะงักไป เขาจึงยื่นมือไปตบบ่าเบาๆ เพื่อจะบอกว่า


เขายังอยู่ตรงนี้ข้างๆ กัน





ได้ยินเสียงสูดลมหายใจลึก แล้วสองเท้าของเดือนก็ออกเดินอีกครั้ง จนมาหยุดที่ประตูบ้านรั้วไม้สีน้ำตาลเข้ม เสียงกริ่งดังไม่นาน ประตูไม้บานเล็กข้างประตูใหญ่ก็เปิดออกพร้อมกับเสียงที่ทั้งเขาและเดือนคุ้นเคย



“กว่าจะมาถึงนะ...พ่อบอกจะไปรับก็ไม่ยอม” 





 “พ่อ!!/ พ่อศักดิ์”






.


.


.





“ไงละเรา ยอมกลับบ้านแล้วเรอะ”




ผู้ชายรูปร่างสันทัดคนนี้คือพ่อศักดิ์ พ่อของเดือน เกือบสามปีที่ไม่ได้พบกัน พ่อศักดิ์ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ทรงผม หนวดหรือหน้าตาที่ดูเคร่งขรึมจริงจังสมกับอาชีพวิศวกรใหญ่ของบริษัทแห่งหนึ่ง


เขาเงยหน้าสบตากับเจ้าของคำพูด พ่อศักดิ์กะพริบตาพร้อมส่งยิ้มให้ชั่วพริบตาจนคิดว่าตนเองตาฝาด ก่อนจะกลับมาทำหน้าเคร่งขรึม หันไปมองลูกชายของตนเองที่มัวแต่ก้มหน้ามองพื้น


   
“..ครับ”


   
ลูกชายก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตาผู้เป็นพ่อ
ท่าทางอึดอัดกับบรรยากาศเคร่งเครียดที่พ่อของตนเองสร้างขึ้น


   


ความเงียบเข้าปกคลุมห้องชั่วขณะ
จะหายใจยังกลัวว่าจะทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดนี้



   
“สภาพดูไม่ได้ แกไปเรียนหนังสือหรือทำไรฮะเจ้าเดือน!” พ่อศักดิ์พูดเสียงดัง เน้นชื่อของเดือนเป็นพิเศษ

   

“.........” เดือนไม่ตอบ กำสองมือแน่น

   

“หายไปสามปี ไม่ติดต่อกลับมาบ้าง ดีนะที่มีซันๆ ถึงได้ตามหาแกเจอ”

   

“...........” เดือนยังคงไม่ตอบคำถาม ริมฝีปากถูกเม้มแน่นขึ้น

   

“อวดเก่ง บอกว่าดูแลตัวเองได้แล้วเป็นไง สุดท้ายก็ต้องมาให้ซันๆ ดูแลอยู่ดี”
   
   

“ผมไม่ได้อวดเก่ง”

   

“บอกว่าโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ จะให้เชื่อยังไงล่ะ” พ่อศักดิ์พูดต่อราวกับไม่ได้ยินเสียงของลูกชาย


   

เขาทนเห็นเดือนโดนต่อว่าไม่ได้ขยับตัวจะพูด กลับถูกห้ามไว้ด้วยสัญญาณมือจากพ่อศักดิ์ ซึ่งหันหน้ามาทางเขาแล้วส่งยิ้มแล้วทำสัญญาณให้เงียบ

   


และด้วยท่าทีนั้นเอง
เหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจอะไรบ้างแล้ว


   


“ไปอยู่กับเพื่อน กินเหล้าเมายา จนแม่เขาทนไม่ได้ต้องบังคับให้มาอยู่กับซันๆ ไม่อยากจะคิดถึงสภาพตอนแกไปอยู่กับเพื่อนเลย ให้ตายสิ ถ้าแกเชื่อพ่อแต่แรกก็คง...”

   

ทั้งที่กำลังใช้วาจาว่ากล่าวแดกดันเดือนอยู่ รอยยิ้มบนหน้าพ่อศักดิ์กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถซ่อนไว้ได้ เขามองเดือนที่ยังคงก้มหน้ากำมือไว้แน่นแล้วก็อดสงสารไม่ได้
   



กำลังคิดว่าจะทำอะไรสักอย่างให้เดือนเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าโดนพ่อตัวเองแกล้งนั้น เสียงแม่น้องก็ดังขึ้น

   

“พ่อ!! แกล้งอะไรลูกอีกล่ะนั่น”

   

เดือนหันขวับไปตามเสียง แม่น้องเดินมาจากทางครัวด้านหลังของบ้านพร้อมผ้ากันเปื้อนสีหวาน ส่งยิ้มกว้างให้ลูกชาย เดือนทำตาโตมองแม่และหันกลับมามองที่พ่อตนเองอย่างรวดเร็ว

   

“พ่อ!! แกล้งเดือนเหรอ” ดวงตาสีดำสนิทมีน้ำตาคลอ พ่อศักดิ์เห็นดังนั้นก็หัวเราะดังลั่น อย่างกลั้นไม่อยู่

   

เดือนลุกขึ้นไปกอดแม่พูดอู้อี้กับอกฟังไม่เป็นภาษา แม่น้องลูบหัวลูบหน้าเช็ดน้ำตาลูกชายอย่างอ่อนโยน พลางหันหน้าไปทำหน้าดุกับสามีตนเอง อาการของทั้งสามคนทำให้เขาอดที่จะยิ้มกว้างไม่ได้ เดือนเงยหน้าขึ้นมาสบตากันกลับถูกเจ้าตัวค้อนเข้าให้

   
“แม่!! พ่อกับซันๆ แกล้งเดือน”

   
“ซันๆ ไม่ได้แกล้งเถอะแม่น้อง พ่อศักดิ์ไม่ให้บอก” เขาหุบยิ้ม รีบแก้ตัว แม่น้องพยักหน้าอย่างเข้าใจ 

   
“พ่อ!!” เสียงแม่น้องเรียกพ่อศักดิ์เสียงดัง จนพ่อศักดิ์สะดุ้งโหยง หยุดหัวเราะ รีบอธิบาย

   
“ก็ใครบอกให้เจ้าเดือนทำท่าอย่างกับว่าพ่อเป็นยักษ์เป็นมารอย่างนั้นล่ะ”

   
“เดือนไม่ได้ทำ” คนโดนป้ายความผิดร้องบอกทันที

   
“ทำสิ เหอะ พ่อก็เสียใจนะ” พ่อศักดิ์เริ่มเข้าโหมดดราม่า

   
“ก็ตอนนั้น พ่อบอกไม่ให้เดือนกลับบ้านอะ!!”

   
“เหอะ ตอนไหน จำไม่เห็นได้เลย” ไม่พูดเปล่า พ่อศักดิ์ยักไหล่อย่างกวนๆ ให้เดือนด้วย

   
“พ่อ!! นิสัยไม่ดี!!” ถ้าเป็นตอนเด็กเจ้าตัวคงกัดปากกำมือกระทืบเท้าสองข้างเสียงดังไปด้วยเป็นแน่น

   


“โอ้ย พอเถอะจ้ะ ซันๆ มานี่ลูก ไปกินข้าวกันดีกว่า ปล่อยสองพ่อลูกเขาทะเลาะกันต่อไปเถอะ”

   

แม่น้องที่โดนทั้งเดือนกอดและพ่อศักดิ์เหวี่ยงไปมาเลิกสนใจ ผละออกจากเดือนแล้วเดินมาควงแขนพาเขาไปห้องครัว
สองพ่อลูกได้แต่ประสานเสียงร้อง “แม่!!” เสียงดัง ก่อนจะตามมาทานอาหารเช้ากัน

   
   

อาหารเช้านั้นอร่อยมากเสียจนเดือนที่ปกติจะกินข้าวนิดเดียวพอกับแสนดี เติมถึงสองครั้งเลยนะทีเดียว




   


หลังจากทานข้าว เราขึ้นมาพักผ่อน ระหว่างรอเดือนอาบน้ำ เขาผล็อยหลับไปด้วยความเมื่อยล้าจากการเดินทาง
สะดุ้งตื่นเพราะเดือนสะบัดผมที่ยังเปียกๆ ใส่หน้าตนเอง



“ลุกไปอาบน้ำเลย อี๋ๆ”


เส้นผมสีดำสนิทถูกเจ้าตัวสะบัดไปมาแกว่งไกว
หยดน้ำต้องแสงแดดพราวใส แก้มสีซีดมีเลือดฝาดริมฝีปากบางอมยิ้มน้อยๆ



“เหอะ ตัวสะอาดตายล่ะ”



“สะอาดสิ อาบน้ำแล้วด้วย” เจ้าตัวยกแขนขึ้นมาดมด้วยท่าทางเยาะเย้ย

   

“ขอพิสูจน์ก่อน มานี่เลย”
   
   

คว้าตัวเดือนมาได้ ก็กดหน้าเข้ากับซอกคอขาว
กลิ่นหอมของสบู่และความเย็นจากผิวเนื้อที่เพิ่งผ่านน้ำมาหมาดๆ
ทำให้เขาเผลอ

   


เผลอกดจมูกหนักๆ ไปตาม ลำคอเรื่อยมาถึงลาดไหล่

   

“อือ”

   


เผลอสบตากับเจ้าของดวงตาสีดำสนิท

   


เผลอมองริมฝีปากบางที่เผยออกน้อยๆ 

   


“ซันๆ”

   

ก่อนที่ริมฝีปากจะบรรจบกัน
เสียงของเดือนเหมือนดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล

   

คนอาบน้ำแล้วเอียงหน้าหลบจึงได้สัมผัสกับแก้มนุ่มแทน
สติที่หายไปค่อยๆ กลับเข้ามา พร้อมกับเสียงตะกุกตะกักของคนในอ้อมกอด

   

“ปะ... ไปอาบน้ำเลย ซันๆ”

   

สบตากับดวงตาสีดำอีกครั้ง
คราวนี้เดือนหลบตาผละไปแต่งตัวอย่างเร่งรีบ








ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำ เดือนนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงไปแล้ว เขาล้มตัวลงนอนขยับเข้าไปกอดเดือนจากด้านหลัง คนขี้เซาขยับตัวเล็กน้อยกระซิบอย่างงัวเงียว่า




“ซันๆ ขอบคุณนะ”




“ครับ”





ฝังจมูกลงต้นคอขาวอีกครั้ง ก่อนจะค่อยเข้าสู่ห้วงนิทรา






.


.


.




เขาตื่นขึ้นมาตอนบ่ายแก่ๆ เพราะความหิว
เห็นว่าคนในอ้อมกอดยังคงนอนหลับตาพริ้ม หวนคิดถึงเรื่องเมื่อตอนเช้าก็อดที่จะยิ้มไม่ได้



พ่อศักดิ์ ผู้ชายหน้าดุท่าทางจริงจังคนนั้น น้อยคนนักจะรู้ว่าเป็นพวกชอบแกล้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกชายคนเดียวเสมอ



ตอนที่เรายังเด็กอยู่นั้น พ่อศักดิ์ยังเป็นเพียงวิศวกรตำแหน่งเล็กๆ ที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดประจำ นานครั้งจึงจะได้กลับบ้าน ปล่อยให้ภรรยาและลูกชายอยู่บ้านตามลำพังกับคนงานสองสามคนในบ้านหลังใหญ่



แม้ทั้งสองคนจะรักลูกชายคนเดียวนี้มากเพียงไร แต่ด้วยหน้าที่การงานจึงทำให้ไม่มีเวลาดูแลใส่ใจได้เต็มที่จนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น แม่น้องออกจากงานมาดูแลเดือนเต็มตัว พ่อศักดิ์ย้ายมาเป็นพนักงานประจำเข้ามาทำงานในบริษัท



ช่วงเวลาแห่งความรักและความเข้าใจจึงเกิดขึ้นในครอบครัวอีกครั้ง 



ส่วนเรื่องทะเลาะกันของสองพ่อลูก คงเป็นเพราะความเป็นห่วงของพ่อศักดิ์และอารมณ์ร้อนของเดือน ทั้งสองคนจึงมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ด้วยความโมโหพ่อศักดิ์คงเผลอไล่เดือนออกจากบ้าน ลูกชายคงเสียใจกับคำพูดของพ่อมากถึงได้จากบ้านมาอย่างที่พ่อพลั้งปากพูดจริงๆ


แต่เมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งทั้งคู่คงรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น




ทางพ่อศักดิ์จึงได้ส่งแม่น้องมาหาเดือนและเดือนเองก็ยอมมาเจอแม่น้อง
การคืนดีกันแบบไม่เห็นหน้า ไม่แม้แต่พูดคุยกัน ใช้การสื่อสารผ่านคนกลางอย่างแม่น้องล้วนๆ

 

เขาค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น มองหน้าคนที่หลับตาพริ้มอีกครั้ง



“เดือน ไปกินข้าวกัน”


ปลายนิ้วไล้ไปตามใบหน้ามน
ไล่จากหน้าผาก
เรื่อยมาจมูก
ปัดป่ายปลายนิ้วแผ่วเบาบนริมฝีปากบาง



เดือนไม่ตอบ ส่ายหน้าหยุกหยิกเมื่อถูกรบกวน



เขาตัดสินใจปล่อยให้เดือนนอนต่อไปเดินลงมาชั้นล่างพบว่าพ่อศักดิ์กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน



“ให้ผมช่วยนะพ่อศักดิ์”



“เออดี เอาเลยซันๆ” พ่อศักดิ์ยื่นสายยางมาให้ ก่อนจะชวนคุย



“โตขึ้นเยอะนะเรา เรียนเป็นไงบ้างล่ะ”



“ก็ดีครับ ปีสามเรียนหนักขึ้นแต่ก็พอไหว”



“เจ้าเดือนล่ะ มันไปอยู่ด้วยรบกวนหรือเปล่า”



“ฮ่าๆ ไม่หรอกครับ”



ซุ้มดอกเฟื่องฟ้าริมรั้วออกดอกสีขาวพราวสะพรั่ง เสียงพ่อศักดิ์ร้องบอกให้รดน้ำน้อยๆ เพราะเกรงว่าดอกจะร่วงไปเสียก่อน ระหว่างนั้นก็จัดการปัดทำความสะอาดโต๊ะ เก้าอี้ใต้ซุ้ม เขารับรู้ได้ถึงสายตาคมกริบที่เฝ้ามองเขาอย่างพิจารณา ไม่นานเสียงทุ้มเข้มที่คุ้นชินก็ดังขึ้น



“ฝากดูแลเดือนด้วยนะซันๆ”



หันกลับไปสบตากับพ่อศักดิ์ที่มองมาอย่างแน่วแน่
สายตานั้นมีแววคาดคั้นจริงจังอย่างที่เขาไม่ค่อยได้เห็น



“ครับ”



รับคำเสียงหนักแน่น
พ่อศักดิ์คลายสีหน้าลงส่งยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากให้ ก่อนจะแย่งสายยางไปถือและไล่เขาเข้าไปหาอะไรทานในครัว




เข้ามาด้านในพบว่าแม่ของเขากำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับแม่น้อง สองมือก็ล้างผักหลากสีสันไปด้วย


“แม่! มาตั้งแต่เมื่อไหร่” กอดแม่ด้วยความคิดถึง

“มาตั้งแต่บ่ายสามแล้วย่ะ นอนหลับสนิทเลยละซิเรา”


แม่ส่งสายตาเป็นประกายมาให้ก่อนจะหันไปหัวเราะกับแม่น้องสองคน






เย็นนั้น เรามีงานเลี้ยงฉลองกันเล็กๆ ป๊า แม่ พ่อศักดิ์ แม่น้อง เขาและเดือน นั่งทานอาหารกันในสวนใต้ซุ้มเฟื่องฟ้าที่เตรียมไว้ตอนเย็น อาหารค่ำมื้อเป็นไปอย่างชื่นมื่น ความสุข รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอบอวลฟุ้งอยู่ในอากาศ


เขาหันไปสบตากับเดือน ผู้ที่ถูกแซว ถูกล้อ และถูกแกล้งมากที่สุด เลื่อนมือเข้าไปกุมมือของคนที่นั่งข้างไว้ แล้วบีบเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยออกมาว่า



“พ่อครับ แม่ครับ...”


ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนหันมามองที่เขารอยยิ้มจากความสนุกสนานยังคงแตะแต้มบนใบหน้า




“ซันๆ กับเดือน เราคบกันอยู่ครับ” 



เดือนสะดุ้งสุดตัว มือกระตุกรุนแรงแทบจะหลุดออกจากการเกาะกุมแต่เขาคว้าเอาไว้แน่น



“ซะ ซันๆ” เดือนครางออกมาอย่างตกใจ



“ผมรักเดือนมาก จากนี้ไปอนุญาตให้ผมได้ดูแลเดือนนะครับ”



พูดจบเขาก็ยกมือไหว้ ก้มหน้านิ่งรอรับผลจากคำสารภาพของตนเอง
ไม่ทราบว่าผู้ใหญ่สี่คนที่เหลือนิ่งค้างตกใจกันมากน้อยแค่ไหนอย่างไร



“เจ้าซัน ลูกพูดว่าอะไรนะ” พ่อของเขาได้สติขึ้นมาก่อน เอ่ยถามออกมา



“ซันรักเดือนครับป๊า เราคบกันอยู่” เงยหน้าขึ้นมาสบตากับพ่อของตนเอง



“.............” พ่อไม่ตอบ ได้แต่กะพริบตาปริบท่าทางจนคำพูด



เหลือบสายตามองคนอื่น พ่อศักดิ์มองหน้าเขากับเดือนสลับกันไปมา แม่น้องมองเขาตาค้างจนเครื่องดื่มที่กำลังรินล้นแก้วออกมาไหลไปโดนแม่ของเขาทั้งคู่ร้องขอโทษขอโพยกัน ยกใหญ่ เช็ดทำความสะอาดกันวุ่น



“พ่อครับ แม่ครับ” เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างทำเป็นไม่สนใจ เดือนจึงเรียกพ่อกับแม่ของตนเองบ้าง



“ว่าไงจ้ะเดือน ลูกจะเอาข้าวเพิ่มหรือเปล่า เดี๋ยวแม่ตักให้นะ” แม่น้องกระวีกระวาดลุกขึ้นเตรียมจะตักข้าวให้เดือน



“...ผม...” เหมือนเดือนจะพูดอะไรออกมาอีก เขาบีบมือเดือนเป็นเชิงว่าให้เงียบแล้วจึงว่า



“...ขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังนะครับ แต่ซันๆ รักเดือนจริงๆ ให้เราได้คบกันเถอะครับ”



แม่ของเขาหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว



“แม่ไม่เคยผิดหวังในตัวลูกนะซันๆ..เดือนก็ด้วย”



สิ้นคำพูดทุกหันไปมองแม่ทั้งด้วยความตกตะลึงและความไม่เข้าใจ



“อะไรกันยะ ทำไมล่ะ ลูกทั้งสองคนจะรักกันไม่ได้หรือไงเล่า”



ท่าทางแม่จะเริ่มหัวเสียกันท่าทีมึนงงของเพื่อนและสามีตัวเองจนเริ่มเสียงดัง
ป๊ารีบส่ายหัวแล้วหันมามองหน้าเดือน ก่อนจะถามว่า



“แล้วเดือนละลูก ว่าไงบ้าง เห็นเจ้าซันพูดเอาๆ คนเดียว ลูกชายป๊ามันบังคับอะไรเดือนหรือเปล่า”



ใบหน้าซีดเผือดของเดือนในตอนแรก ค่อยซับเลือดจนตอนนี้กลายเป็นสีแดงจัด



“มะ..ไม่ครับ”



ป๊าหันไปมองหน้าพ่อศักดิ์ ยักคิ้วหลิ่วตากันช่วงแวบแล้วพ่อศักดิ์ก็รีบพูด



“ไม่อะไร เจ้าซันมันโมเมไปเองใช่ไหม แกไม่ได้รักมันหรอกใช่ไหมเจ้าเดือน”



เดือนเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อของตนเองด้วยสายตาแน่วแน่



“เดือนรักซันๆ นะ มากๆ ด้วย”



หน้าตาที่จริงจังนั้นทำให้เขายิ้มกว้างออกมาทันที สิ้นเสียงยืนยันของเดือน พวกผู้ใหญ่ก็หัวเราะออกมาเสียงดังปล่อยให้ต้นเรื่องงงงวย หันไปมองคนนั้นทีคนนี้ที สุดท้ายก็หันมาถามเขา



“ทำไมทุกคนหัวเราะแบบนี้ พ่อกับแม่ไม่โกรธแล้วเหรอ”



เห็นหน้าตาสงสัยขมวดคิ้วยุ่งของเจ้าตัวแล้วก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆ ถึงชอบแกล้งเดือนนัก ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายอะไร แม่ของเขาก็พูดขึ้นมา




“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าให้เตรียมใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยสิ”



“ป๊าก็ไม่ได้เถียงอะไรแม่สักคำนะ” ป๊ารีบพูดเอาใจแม่ยกใหญ่พลางรินเครื่องดื่มใส่แก้วเพิ่มให้



“แม่ก็ทำใจไว้ตั้งนานแล้วเหมือนกันล่ะนะ” แม่น้องส่งยิ้มมาให้เรา



“พ่อไม่เห็นต้องทำใจเลยแม่ ลูกมันจะรักใครไม่ว่าไรหรอกนะ แล้วเจ้าเดือน มัวแต่ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่นั่น กินข้าวอิ่มแล้วหรือไง”




“นี่ รู้กันหมดแล้วเหรอครับ” คนถูกแกล้งยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย



“ฉันจะไม่รู้จักลูกตัวเองได้ไงเล่า ซันๆ ก็อีก เลี้ยงมาด้วยกันแท้ๆ” พ่อศักดิ์ทำท่าน้อยใจ ก่อนจะหันไปออดอ้อนภรรยาตัวเอง



“ป๊าไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้าจะคบกันก็ดูแลกันดีๆ ล่ะ” ป๊าลุกขึ้นมาตบบ่าเขาและเดือนหนักๆ ก่อนจะกลับไปสังสรรค์ต่อ



“ซันๆ ก็ใจเย็นกับเดือนหน่อยนะลูก เราน่ะโมโหร้าย เดือนก็อย่าไปใจดีกับคนอื่นมาก ลูกแม่น่ะ ขี้หึงมากๆ นะ” จบประโยคด้วยเสียงหัวเราะคิกคักราวกับสาวๆ  แม่ของเขาพูดท่าทางร่าเริงพวงแก้มเป็นสีชมพูปลั่ง เดินถือแก้วเครื่องดื่มเข้ามาคุยหยอกล้อด้วย



“ได้ไปแล้วอย่าทิ้งอย่าขว้างเดือนนะซันๆ” แม่น้องที่น้ำเสียงเริ่มจะอ้อแอ้เดินเข้ามาร่วมวง



“ยังไม่ได้ครับ โอ้ย..” เดือนซัดเข้าที่ชายโครงเต็มเหนี่ยว



“ฮะฮะฮะ เออดีๆ หมัดหนักๆ แบบนี้ ซันๆ ก็อย่าริเจ้าชู้ล่ะ”
 

พ่อศักดิ์เสริมเมื่อเห็นท่าทางเขินอายแล้วใช้กำลังของเดือน โดนแซวหนักเข้าจนตัวแดงเป็นกุ้งเผา ในที่สุดเดือนก็ทนไม่ไหวร้องออกมา




“ทำไมแกล้งผมกันจัง”




พ่อแม่ต่างหัวเราะแล้วเดินกลับไปนั่งสังสรรค์ต่อ ทิ้งเขาไว้กับเดือนลำพัง



“ก็เดือนน่ารัก เวลาเขินแก้มแดงมันน่าแกล้งดี”


“อะไรวะเนี่ย เจอพ่อแปบเดียว ติดโรคขี้แกล้งมาอีกคนหรือไงซันๆ” เดือนโวยวาย


“น่าจะติดเดือนมากกว่านะตอนนี้”



“โอ้ย พอ! ทีเวลาอยากให้พูดแทบตายไม่พูด พอได้พูดแล้วพูดไม่หยุดเลยนะ”



“ไม่ชอบเหรอ” ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของเขาคงสูงพอตัว ทำให้ตอนนี้พูดไม่หยุด คิดอะไรก็พูดออกไปทันที



“ไม่ชอบ” คำตอบของเดือนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด



“แน่ใจนะที่พูด” อารมณ์กรุ่นๆ เริ่มคุกอยู่ในใจ



“ไม่ชอบ เพราะ ‘รัก’ ต่างหากเล่า ล้อเล่นแค่นี้โกรธ” เดือนละล่ำละลักตอบคำถาม ไม่วายเอื้อมมือมาบีบจมูก ริมฝีปากยกส่งยิ้มกว้างเห็นฟันไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้มีเรื่องต้องให้ยิ้มมากขนาดนี้ ก้มหน้ากระซิบข้างใบหูเล็ก



“รักนะครับ”



“อือ”



เขายังไม่พอใจคำตอบ



“อือ นี่คืออะไรเหรอ” คาดคั้นกับคนข้างกาย



“ก็นั่นแหละ” พวงแก้มใสแดงก่ำ ไม่ทันได้รู้ตัวปลายจมูกก็กดเข้ากับเนื้อนุ่มนั้นเสียแล้ว



“เฮ้ย ทำอะไร” เดือนผลักเขาออก พลางหันไปมองทางพ่อแม่อย่างประหม่า ซึ่งทางนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรพวกเราเลย



“บอกซันก่อน เร็ว”



สองมือดึงเดือนให้ขยับเข้ามาใกล้ๆ



“เค้าบอกตัวหลายทีแล้วเหอะ ตาซันบอกเดือนบ้างดิ” สบเข้ากับลูกแก้วสีดำสุกใส เขาหันหน้าไปทางพ่อแม่อย่างรวดเร็ว



“พ่อครับ แม่ครับ ซันๆ รักเดือนนะครับ” ไม่พูดเปล่าดึงตัวเดือนที่ดิ้นรนหนีเข้ามากอดไว้แน่น




“ฮ่าๆ”




งานเลี้ยงในวันนั้นจบลงราวๆ สี่ทุ่ม ความสุขและเสียงหัวเราะทำให้หัวใจของเขาพองโต รอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจนกระทั่งนอนหลับไปพร้อมกับคนในอ้อมกอด




“รักนะครับ”



เดือนพลิกตัวขยับเข้ามานอนในวงแขน พูดอู้อี้กับอก




“รักซันๆ เหมือนกัน”








เพราะเหตุนี้เขาถึงได้ชวนเดือนกลับบ้านเสมอ


บ้านจะคอยตอนรับเราอย่างอบอุ่นทุกครั้ง
ไม่ว่าการจากลาของเราจะเกิดขึ้นในรูปแบบไหน


บ้านที่มีความรัก ความเข้าใจ ความปรารถนาดีให้เราเสมอมา




การกลับบ้านครั้งหน้าของเรา เขาอาจไม่ได้เป็นคนชวนฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว




-----------------------------------------------------
[18/01/2559]
หัวหน้าไม่มา ลูกน้องร่าเริง //อย่าถามถึงพรุ่งนี้ 55555 อาทิตย์นี้ต้องเคลียร์งานใหญ่หลายงานเลย ไม่แน่ใจว่าจะได้มาต่อไหม ขอโทษไว้ตรงนี้เลยนะคะ
ส่วนใครเป็นห่วงบอกเลยเรื่องนี้ไม่มีดราม่าอะไรค่ะ หวานแหววกุ๊งกิ๊งสุดๆ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :กอด1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 20) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 18-01-2016 23:45:16
น่ารักอ่ะ โคตรๆเลย อ่านไปยิ้มไป ปลื้มปริ่ม
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 20) 15-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 19-01-2016 00:58:27
ขอให้รักกันอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรมาทำให้ต้องมัวหมองเสียใจกันนะทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 23-01-2016 17:44:36


Just Love ❤ รักนะครับ 





21


   
   


“แสนดี คิดถึงจังเลย”
   


เดือนวิ่งเข้าไปคว้าแสนดีจากแมนมากอดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาคุยกับแมวหงุงหงิง เขาที่เพิ่งเดินตามเข้ามาเดินเข้าไปทักทายไอ้กายและแมนที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่

   

“เพิ่งมาถึงเหรอ” กายละสายตาจากโทรทัศน์เหลือบมอง
   

“อืม แสนดีเป็นไงบ้าง ยุ่งไหม”

   

ช่วงกลับบ้านพวกเราเอาแสนดีมาฝากไว้กับไอ้กาย เดือนเป็นห่วงจนบ่นออกมาหลายครั้งกลัวว่ากายจะดูแลแสนดีไม่ดี แต่เท่าที่ดูจากสายตา เขาว่าแสนดีก็มีความสุขดี ออกจะสบายเกินไปด้วยซ้ำ ดูท่าทางปีนขึ้นตักไปออดอ้อนเจ้าของสิ

   

“เฮ้อ...” ไอ้กายถอนหายใจเสียงดังทั้งยังแอบเอาเท้าไปเขี่ยไอ้แมนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนดูทีวีอยู่บนพื้น
   

“อะไรพี่กาย”
   

“ซันมันถามว่าแสนดียุ่งไหม”
   

“อ๋อ ไม่ยุ่งครับ แสนดีน่ารักมากๆ เลยพี่ซัน” นั่งเงียบๆ มองมันสองคน “เนี่ย แสนดีเก่งมากเลย ชอบออกกำลังกายด้วยนะพี่ ให้กินอะไรก็กินหมด สุดยอดมาก... แล้วแสนดีนะ ก็ชะ--”
   
   
“หึหึ กูว่านะไอ้ซัน แสนดีมันไม่ยุ่งหรอก แต่คนรับเลี้ยงมากกว่าที่ยุ่ง”

   
“ไม่ต้องเลยนะพี่กาย ผมเป็นคนดูแลแสนดีทั้งเสาร์อาทิตย์แท้ๆ ตัวเองไม่ทำไรเลยเถอะ”

   
“เหรอมึง...แน่ใจเหรอ...ทุกครั้งที่ไอ้ซันเอาแสนดีมาฝากกูยังไม่ต้องทำอะไรให้มันเยอะแยะแบบที่มึงทำเลย แสนดีก็ยังไม่ตายสักหน่อย”
   
“อ๋อ เพราะทำแบบนั้นไงครับ แสนดีเลยนิสัยเสีย...กินข้าวแล้วก็ต้องออกกำลังกายสิ”  ไอ้กายส่ายหัวกับคำพูดของแมน ก่อนจะหันมาอธิบายว่า
   
“มันจับแสนดีเต้น T25 ด้วย”
   
“แสนดีอยากเต้นด้วยต่างหากเล่า” อีกคนรีบแก้ตัว
   
“มึงคุยกับแมวรู้เรื่องงั้นสิ”
   
“แค่มองตาก็รู้แล้วครับ”

   

ฟังพวกมันต่อปากต่อคำแล้วปวดหัวปล่อยคนสองคนคุยกันไป ลุกเดินไปหาน้ำกินในตู้เย็นใกล้ๆ เอามาเผื่อเดือนแก้วหนึ่ง แล้วเดินมานั่งบนพรมหน้าโทรทัศน์เอนหลังพิงโซฟาที่ไอ้กายนั่งอยู่

   
“ผมอ่านใจได้นะเห็นแบบนี้”
   
“ไปหลอกเด็กเหอะ กูเชื่อตายแหละ” ไอ้กายหยิบรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อย
   
   

เดือนอุ้มแสนดีที่ตอนนี้นอนหลับตาพริ้มกับอกมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอาหัวมาถูๆ ที่แขนบอกทำนองว่าอยากกลับห้องแล้ว เขาส่งสัญญาณว่าอีกสักพัก เดือนจึงเอียงหัวมาซบไหล่หลับตาพริ้ม มือข้างหนึ่งประคอง อีกข้างคอยลูบหลังแมวดำ

   
“ขอมองตาหน่อยสิครับ”       
   
“ไม่” อีกสองคนในห้องยังคุยกันไม่จบ
   
“ไม่เชื่อก็ลองสิพี่.. นะ แค่มองตาเองน่า... พี่จะกลัวไรวะ กลัวว่าผมอ่านออกจริงๆ หรือไง” ไอ้แมนค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา ตอนนี้มันอยู่โซฟาเดียวกับไอ้กายแล้ว

   

ไอ้กายถอนหายใจเสียงดัง
ก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้แมนนิ่งๆ












   

“ผมชอบพี่ว่ะ พี่กาย”







   
แม้แต่เดือนที่กำลังใกล้เคลิ้มหลับยังเด้งตัวขึ้นมามองคนสองคน เขากระตุกยิ้มมุมปาก

   

“งั้นกูกลับก่อนละ ขอบใจมากที่ดูแลแสนดีนะมึง”

   

เดินไปตบบ่าทั้งเพื่อนกายที่ตอนนี้ยืนนิ่งเป็นหินและไอ้แมนที่ไม่ละสายตาจากคนที่ตัวเองเพิ่งสารภาพรักออกไป



   
   

ปัง!


   



“ไม่อยากจะเชื่อเลยซันๆ” ทันทีที่ประตูห้องพักของเราปิดลง เดือนก็ส่งเสียงขึ้นมาอย่างประหลาดใจ แสนดีกระโดดลงจากมือ วิ่งไปทั่วห้องก่อนจะกระโดดขึ้นนอนบนโซฟาที่ประจำ

   
“เรื่องไอ้กายกับแมนน่ะเหรอ” เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่นับถือไอ้แมนที่กล้ามาก กล้าบอกชอบไอ้กายทั้งที่มีเขาและเดือนนั่งอยู่ในห้องด้วย

   
“ป่าว เรื่องของเราต่างหาก”

   

เดือนไม่พูดเปล่า แถมยิ้มกว้างสุดๆ จนตาปิดมาให้พร้อมเข้ามากอด ซุกหน้าลงกับซอกคอ

   

“ตอนแรกเค้ากลัวแทบแย่แน่ะ แต่รู้ว่ามากับซันๆ ยังไงก็ต้องไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
   
   

“ใครบอก ไม่ใช่เพราะซันหรอก เพราะเดือนต่างหาก”
   
   

“อิอิ...พูดได้ดีมีรางวัล” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ยึดตัวมาจุ๊บเร็วๆ ที่ปลายคาง ฉีกยิ้มกว้างตาปิดให้หนึ่งที




ตอนที่กำลังจะซุกหน้าเข้าไหล่อีกรอบ มือของเขาก็รั้งใบหน้าของเดือนไว้ ก่อนจะแนบริมฝีปากบนรอยยิ้มกว้างนั้น เดือนตอบรับจูบอย่างเต็มใจ บดเบียดริมฝีปากเข้าด้วยกันอย่างนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ เลาะเล็ม ดูดดึง ปลายลิ้นเล็กของเดือนไล่วนอยู่บนริมฝีปากของเขาอย่างอ้อยอิ่ง เนิบช้า เยาะยั่ว ความอ่อนหวานที่เปรียบเหมือนฝูงผึ้งบินหาน้ำหวานจากดอกไม้ค่อยๆ เปลี่ยนไป อุณหภูมิในร่างกายของเราเพิ่มขึ้น การดูดดึงแลกลิ้นยังคงเนิบนาบแต่หนักหน่วงขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
 
   

“อืม...พะ...พอก่อน” เดือนกระซิบบอกเมื่อถอนริมฝีปากออก ไล่ปลายไปจมูกไปตามโครงหน้าเรื่อยลงมาที่ลำคอ
   

“จะไปไหน” ส่งเสียงอู้อี้ ไม่รู้เพราะอะไร ถ้าได้ซบหน้าลงกับผิวกายของเดือนแล้วมันยากที่จะละออกมา


   
“อาบน้ำ...ไปอาบน้ำ” เดือนขยับตัวลุกขึ้น เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เราทั้งคู่ลงมานอนอยู่บนพื้นหน้าโทรทัศน์ แสนดีนอนหลับตานิ่งบนโซฟาพร้อมวาดหางไปมาราวกับจะบอกให้รู้ว่ามีความสุขที่ได้กลับบ้านตัวเองขนาดไหน

   
“ไม่เอา” กอดเอวเดือนที่กำลังลุกขึ้นไว้

   
“นั่งรถมาทั้งวัน สกปรกจะตาย ไปเร็ว..อาบน้ำก่อน” เดือนพยายามแกะมือออก

   

“อาบด้วยกัน” ใบหน้าสีระเรื่อกลายเป็นสีแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที

   

“ไม่”

   

“ไม่ต้องอายน่า”

   

“ปล่อยเลย จะไปอาบน้ำ” ตีหน้ามึน ทำหูทวนลมล่ะเก่งนัก แม้หน้าคนพูดจะแดงกว่าเดิมก็เถอะ เขาหลุดหัวเราะ เดือนถือโอกาสนั้นดิ้นออกจากการเกาะกุม

   

“ไม่ต้องใส่ชุดนอนนะ ยังไงเดี๋ยวเค้าก็ต้องถอดอยู่แล้ว”

   


เดือนตอบด้วยขวดครีมนวดผมเข้าเต็มๆ ที่กลางอก พร้อมกับเสียงปิดประตูห้องน้ำดัง ปัง !



   

เขาหัวเราะกับตัวเองก่อนะลุกขึ้นมาเก็บของฝากสารพัดที่บรรดาแม่ๆ ให้นำกลับห้อง เก็บกระเป๋าเดินทาง เดินสำรวจดูความเรียบร้อยของห้องพัก เติมอาหารและน้ำให้แสนดี แค่ได้ยินเสียงเขย่ากระป๋องอาหาร แสนดีที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นมาอย่ารวดเร็ว หูเล็กนั้นตั้งตรง เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเทอาหารลงในถาดก็กระโดดมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ พร้อมส่งเสียงอ้อนอย่างเคย

   

“เจ้านายก็ขี้อ้อนเหมือนแกเลยแสนดี” เทอาหารให้แสนดีมากกว่าปกตินิดหน่อย ลูบหัวเกาหลังจนแสนดีพอใจแล้วก็จึงเข้าไปจัดการตัวเองบ้าง





   
.


.


.




   

อากาศเย็นปะทะเข้ากับผิวหนัง แสงสลัวจากไฟถนนที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างส่องให้เห็นเงาตะคุ่มบนเตียงนอน


   

เขาเดินไปที่เตียงช้าๆ ให้เงียบที่สุด คนบนเตียงขยับตัวยุกยิกได้ยินเสียงผ้าห่มเสียดสีแผ่วเบา กดจมูกลงบนแก้มนุ่มแล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าสบู่ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้มีกลิ่นหอมมาก มากจนไม่อยากละจากไปไหน

   

เดือนขยับตัว เอื้อมมือมาคล้องคอก่อนจะนวดเบาๆ ที่ต้นคอ
   
   

“คอยนานไหม” ในระยะที่ริมฝีปากใกล้บรรจบกันนั้น ดวงตาของเดือนแวววับด้วยน้ำตา

   

“...นานมาก”  ภายใต้แสงสลัวไล่สายตากวาดไปทั่วใบหน้าของอีกฝ่าย ไล่ตั้งแต่หน้าผากมน คิ้วบาง ดวงตาชั้นเดียวที่เวลายิ้มจะเป็นขีดโค้ง จมูกเล็กรั้นปลาย แก้มที่เคยตอบตอนนี้เริ่มเต็มอิ่ม ก่อนจะไล้นิ้วโป้งบนริมฝีปากบาง

   

“นานแค่ไหน” แล้วก็อดใจไม่ไหว กดจมูกดมดอมลำคอ ระเรื่อยผ่านไหปลาร้า ขบเม้มที่ฐานคอ กดจูบซ้ำๆ ที่หัวไหล่

   

“อืม .. ซันๆ”
   
   

“นานแค่ไหนครับ” ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ถามไปต้องการอะไร แต่การที่ได้เห็นคนตรงหน้าหลุดความต้องการออกมามันทำให้เขาอยากแกล้งเข้าไปใหญ่



“นาน...เหมือนทั้งชีวิตเลย— อืมมมม”



ทั้งที่มีเจตนาจะแกล้งอีกฝ่ายแท้ๆ กลับเป็นเขาเสียเองที่พ่ายแพ้ เดือนแค่ปรือตาจ้องมองมาที่เขา ตอบด้วยน้ำเสียงที่วิงวอนปนออดอ้อน ความอดทนที่ถูกกลั้นเอาไว้ก็ทะลายสลายไป



เราจูบกันแนบแน่น ปลายลิ้นเกี่ยวพัน ดูดเม้ม กวาดไปทั่วโพรงปาก เดือนดึงตัวเขาให้ล้มลงไปบนเตียง สี่ขาบดเบียดเกี่ยวพันกันยุ่ง สองมือลูบไล้ร่างกายของอีกฝ่ายด้วยความเสน่หา บ้างเนิบช้า บ้างร้อนแรง



“ฮื่อ...” นิ้วผอมๆ ชอนไชไปในกลุ่มผมเหลือบสายตาขึ้นมอง ใบหน้าของเดือนเป็นสีเข้มในแสงอ่อนสลัว ริมฝีปากถูกเม้มกัดแวววับเปล่งประกายล้อแสงไฟ ดวงตาสีดำสนิทก้มลงมาสบตา เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เดือนพยายามผลักออก แต่เขากลับขยับไวขึ้นจนรู้สึกว่าคนข้างล่างเกร็งตัวชั่วครู่ก่อนจะปลดปล่อยออกมา



“อ่าห์ ... ซันๆ อย่าแกล้ง” 
   


   

ยกขาสองข้างของเดือนพาดบ่า ยักคิ้วให้คนที่อายม้วนดันตัวเองลงแนบกับเดือนสนิทโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากกันเอื้อมมือหยิบซองเล็กใส่มืออีกคน

   
   

“อ้าห์...” เดือนฝังเขี้ยวเข้ากับหัวไหล่ ความเจ็บปวดที่เขาได้รับคงช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเดือนได้บ้าง

   

“ชะ..ช้า ก่อน อื้ออออ”

   

ความร้อนค่อยดูดกลืนตัวตนของเขาเข้าไปข้างในเดือนทีละนิด เราสบตากันตลอดเวลา เม็ดเหงื่อผุดพรายบริเวณไรผม เอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อให้ลากมือผ่านริมฝีปากที่ถูกขบเม้มจนเป็นสีแดงช้ำ ช้าๆ


   

“รัก”



เดือนกะพริบตา




“อ่าห์ ..รัก”




เดือนขยับตัวบีบรัดจนลมหายใจสะดุด





มอบจูบแสนหวานส่งท้าย สบตากันอีกครั้งก่อนจะประสานมือเข้าด้วยกัน
บีบเบาๆ แล้วคลาย เขาขยับมือช้าๆ ปลอบโยน กดจูบอีกครั้งแล้วจึงขยับเข้าไปจนแนบสนิท





“ฮื่อ....รักนะครับ.....”





“อื้ออออออ...”




จ้องคนที่พยายามหลบตา กดจูบย้ำบนริมฝีปาก สองมือยังคงบีบเบาๆ แล้วคลายอยู่อย่างนั้น
 



“พร้อมยัง”




ดวงตาหวานซึ้งเงยขึ้นมาสบตาแล้วพยักหน้าน้อยแทบมองไม่ออก เขาขยับตัวช้าๆ เห็นว่าคนข้างล่างกลั้นเสียงไว้ก็หยุดนิ่ง




“ยังไม่พร้อมเหรอ งั้นรอก่อนเนอะ”



เดือนเงยหน้าขึ้น คิ้วสองข้างขมวดน้อยๆ พยักหน้ามากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย
เห็นดังนั้นจึงขยับตัวอีกนิด ถอยออกมาแล้วเข้าไปในตัวเดือนลึกขึ้นอีกหน่อย



“อ่าห์.....ซันๆ”



คนข้างใต้ตอดรัดถี่



“ครับ?”

   


“ขะ...ขยับเถอะ....นะ...ซะ... ซันๆ ..อ่าห์”


   

คว้าริมฝีปากช่างพูดขึ้นมาจูบ พร้อมทั้งขยับตัวตามความต้องการของร่างกาย
คนตัวเล็กขยับตัวตามจังหวะ เสียงเนื้อกระทบเนื้อ
เสียงครวญครางเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ขาทั้งสองข้างเกี่ยวเอวเขาไว้แน่น
 
   
   

“ซันๆ ..จูบหน่อย”

   

จูบหนักๆ พร้อมกับกระแทกตัวแรงๆ หลายครั้ง ความสุขของเดือนก็ทะลักออกมา

   

“อ่าห์....ซันๆ ..เดือนรักซันๆ นะ ฮื่อ.....”


   

จบประโยคบอกรักกระท่อนกระแท่นของเดือน
เขาก็กระตุก ปลดปล่อยความสุขออกมาเช่นกัน





   

ร่างกายเฉอะแฉะจากหยาดเหงื่อ เราบดเบียดริมฝีปากเข้าหากันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จูบย้ำๆ ตามร่องรอยรักบนร่างกายของอีกฝ่ายจนเหงื่อแห้ง ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ขนลุกซู่


   

เขาลุกขึ้นนั่ง มองเดือนที่นอนผมกระจายสยายเต็มหมอน แล้วก็อดจูบจมูกเล็กๆ นั้นไม่ได้ ก่อนจะลุกขึ้นสวมกางเกงนอน เดินเข้าห้องน้ำ เอากะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูมาเช็ดตัวคนบนเตียง

   
      
   

“ซันๆ”


   
เดือนพูดอู้อี้กับอก แขนทั้งสองข้างโอบรัดคนบนเตียงไว้อย่างหวงแหน

   

“หืม?”

   

“บอกอีกครั้งสิ”

   
ฝ่ามือลูบไล้จากต้นคอของเดือน
ลากผ่านแนวกระดูกสันหลัง บดคลึงช่วงเอวนิดหน่อยจนเจ้าตัวตีมือดังเพี๊ยะถึงได้หยุด




กอดคนในอ้อมแขนแน่นๆ





จูบที่หน้าผาก กระซิบบอก
   



“รัก”





จูบที่ขมับ กระซิบข้างหู





“ซันๆ รักเดือนนะครับ”






จูบซับน้ำตาของคนขี้แงอีกรอบ
บอกคนในอ้อมแขนซ้ำๆ






“รักนะครับ”


-------------------------------------------
[23.01.59]
ยุ่งกับที่ทำงานใหม่มาก ไม่มีเวลามาต่อเลย ขอโทษนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :pig4:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 23-01-2016 18:25:28
ถึงซันๆ จะรักเดือน
แต่ซันๆ มีความผิดที่ปิดบังเดือนอยู่นะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: mynamejnkf ที่ 23-01-2016 18:55:56
โอ้ย เขาได้กันแล้วอ่ะแก

อย่างฟิน โอ้ย ยิ้มแก้มปริ

พ่อแม่ของทั้งคู่น่าจะทำใจมานานแล้วล่ะจ้ะ แหม่ เล่นตัวติดกันขนาดนั้น

สู้ๆนะคะคนเขียน  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-01-2016 20:57:11
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 23-01-2016 21:14:17
ถึงจะรักกันแต่ซันยังมีความผิดนะ ไถ่โทษด้วยการดูแลเดือนให้ดีๆล่ะ รักกันให้มากๆ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 23-01-2016 21:38:56
โหยยย เรื่องนี้ดีงามมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 23-01-2016 22:10:32
 :m25:      เดือนดูเปราะบางน่าถนุถนอมมากๆเลย
อยากฟัดแสนดีจังค่ะ

รอค่ะ อยากรู้ตอนจบ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 24-01-2016 00:46:48
 :impress2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 24-01-2016 15:07:39
Just Love ❤ รักนะครับ





22





   


“ผมรักพี่ว่ะ ... พี่กาย”





   
   
ความรู้สึกมันเหมือนกำลังเต้นๆ อยู่ในเธคแล้วไฟก็ดับ พรึ่บ!
เสียงไอ้ซันบอกอะไรสักอย่างแว่วราวกับดังมาจากที่ไกลทั้งที่มันนั่งอยู่ข้างกายแล้วทุกอย่างก็เงียบไป


   

“ผมพูดจริงๆ นะ”

   

ไอ้เด็กกะล่อนพูดต่อตอนที่เรายังสบตากัน แววตาสีดำสนิทดูจริงจังเหมือนตอนที่มันทำหน้าที่ประธานชมรมฟุตบอล
   
   

“พี่กาย... ได้ยินไหม...พี่”

   

ผมหลบตา ไม่ตอบคำถาม ตั้งใจจะหยิบรีโมทขึ้นมาเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ แต่ก่อนที่จะคว้าได้นั้นก็ถูกมือดีมาแย่งไปเสียก่อน

   

“เฮ้ย ทำไรมึงเนี่ย เอารีโมทมา” สองตามองดูรายการสารคดีสัตว์โลกในโทรทัศน์ ตั้งใจอย่างแน่วแน่นว่าไม่มีทางละสายตาไปไหนเด็ดขาด

   

“สนใจผมสักนิดไม่ได้เหรอครับ”

   

“.................”

   

“ปลานีโม่มาเป็นฝูงเลยเว้ย...หน้าตาเหมือนกันหมดแบบนี้จะจำได้ไงว่าตัวไหนพ่อวะ ไอ้แมนมึงว่านีโม่มันตามหาพ่อมันถูกได้ไงวะ”

   
“...สักนิดก็ไม่ได้เหรอครับ”

   

แม้ไม่หันไปมองก็รู้ว่าสายตาของไอ้แมนยังคงจ้องมาที่ผม
คำขอร้องของมันสั่นเครือ ไม่ร้องนะเว้ย ไม่เอาดราม่า!


   
“..ฮึก... ผมชอบพี่จริงๆ นะ พี่กาย ..”
   

ผมหันขวับไปมองมันทันทีที่ได้ยินเสียงสะอื้น ใบหน้าเกรียมแดดนั้นนองด้วยน้ำตา ไอ้แมนกัดหลังมือตัวเองไว้กั้นเสียงสะอื้น มือขวาเช็ดน้ำตาตัวเองปอยๆ

   

เฮ้ย! คือร้องจริง



“............”



ตัดสินใจอยู่นาน ยื่นมืออกไปแล้วเก็บกลับมาไม่รู้กี่รอบ จนในที่สุดฝ่ามือของผมก็เอื้อมไปสัมผัสหัวเกรียนๆ ของคนที่นั่งร้องไห้จนได้



ไอ้กายเงยหน้าขึ้นมามองทันที ผมหันกลับไปมองทีวี แต่มือยังคงลูบหัวกลมๆ นั้นไม่หยุด




ปึก!




“อะไรมึง!”




ไอ้แมนปัดมือผมทิ้ง ตาสองข้างของมันแดงก่ำ น้ำตายังคงไหลลงมาเป็นสาย ริมฝีปากสั่นระริก




“..เพราะพี่ทำแบบนี้ไง ... ผม..”



“ทำไม กูทำอะไร”



“..พี่ทำแบบนี้ตลอดอะ...ถ้าไม่สนใจก็บอก ก็ไล่สิวะ...อย่าทำเป็นไม่ได้ยินแล้วยังดีกับผมได้ไหม...”



“...........”



“พี่ทำแบบนี้...มันเจ็บกว่าโดนปฏิเสธอีก” เสียงสะอื้นหายไปแล้ว เหลือเพียงน้ำจากดวงตาทั้งสองข้างที่ยังไม่ยอมหยุด



“...........”


   
“...........”

   

ผมนั่งเงียบอย่างไม่พูดอะไร ปล่อยให้ไอ้แมนร้องไห้จนมันหยุดไปเอง
ลุกไปรินน้ำใส่แก้วยื่นให้ เมื่อไม่มีคนรับก็เอาวางลงกับโต๊ะเตี้ย

   

เสียงนาฬิกาเดินเป็นจังหวะก้องไปในความเงียบระหว่างเราสองคน

   


“มึงรู้จักไข่มุกหรือเปล่า”



ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงเปิดปากเล่าเรื่องที่มีแค่ไอ้ซันกับเพื่อนสนิทอีกสองสามคนให้ไอ้เด็กกะล่อนฟัง

   

“...ไข่มุกเหมือนมึงเลยไอ้แมน... มาชอบคนอย่างกู” ไม่รอให้มันพูดตอบรับอะไร ผมเล่าต่อไป

   

“ตอนช่วงรับน้องใหม่ คนก็แซวกันไป กูก็ไม่คิดอะไร...จนวันหนึ่งไข่มุกก็มาบอกรักกู” เล่ามาถึงตรงนี้ ผมยิ้มออกมาบางๆ เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต

   

หญิงสาวตัวผอมบาง รวบผมม้า เดินเข้ามาสารภาพรักกับผมกลางคณะ ใบหน้ามนแดงปลั่งอย่างเขินอาย ดวงตาใสแจ๋วราวกับลูกแก้วนั่นเต็มไปด้วยความหวัง

   

“..เดินมาบอกรักกูกลางคณะเลยมึงคิดดูไอ้แมน ..คนงี้โห่กันสนั่น..หึหึ”

   

“..............”

   

“กูตกใจมาก...บอกปฏิเสธไป.....”

   

“กูจำได้ติดตาเลยว่า ไข่มุกร้องไห้โฮ แล้ววิ่งหนีไป”





   
‘กาย...เรา...เอ่อ..ไข่มุกชอบกายนะ’

‘เฮ้ย! จริงดิ’


   

‘............’ หญิงสาวไม่ตอบ แต่พยักหน้าน้อยๆ แก้มสองข้างซับสีเลือด ผิดกับทุกวันที่เคยขาวซีด

   

ตอนนั้นเป็นเวลาพักกลางวัน ผมกำลังนั่งทานข้างอยู่ในโรงอาหารประจำคณะ ไอ้พวกรุ่นพี่ทั้งหลายที่ได้ยินก็ส่งเสียงโห่แซว บ้างก็ทำท่าร้องไห้เสียใจ บ้างก็ทำท่าโกรธโมโหกันอย่างสนุกสนานด้วยไม่คิดว่าน้องใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้จะใจกล้ามาสารภาพรักอย่างโจ่งแจ้ง

   

‘เราขอโทษวะไข่มุก...เราไม่ได้ชอบเธอว่ะ’

   

‘...ฮึก! .. ขอโทษนะกาย’


   

ทั้งที่น้ำตานองหน้า เธอยังหันมาบอกขอโทษก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีหายไป

   




   

“.... ตั้งแต่วันนั้น กูก็ไม่เจอเขาอีกเลย”

   

“..พี่เขาเป็นอะไรหรือเปล่าพี่กาย”

   
“..อืม”

   

หน้าไอ้แมนจากที่แดงเพราะร้องไห้กลับซีดขาวทันทีราวกับถูกป้ายสี

   

“..พี่เขา... ตะ—ตายเหรอพี่กาย”

   

“โอ้ย!” โบกหัวเกรียนๆ ของไอ้แมนได้ยินเสียงดังเพี๊ยะ


   
“ไอ้เชี่ย ไม่ตายเว้ย..มาแช่งเพื่อนกู”

   
“อ้าว ...” ไอ้กายทำท่าจะเดาเหตุการณ์ต่อไปแต่ผมชิงพูดขึ้นมาก่อน กลัวว่ามันจะพูดอะไรแย่ๆ อีก

   
“ย้ายไปเรียนเมืองนอกเว้ย...ไอ้ห่าเพื่อนกูนอนสะดุ้งอยู่แหงตอนนี้”

   
“............”

   
   

“กูยังจำหน้าไข่มุกได้อยู่เลย”
   

ทั้งสีหน้าและแววตาแสนเศร้า

   

“ถ้าไปรักใครแล้วจะเศร้าขนาดนั้น...กูว่าไม่รักคงดีกว่าละมั้ง”

   
   

“......................”
   
   

“.........................”

   





ไอ้แมนฟังอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไรอีกเลย มันกลับไปตอนสามทุ่มกว่าๆ
ห้องที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบกว่าเดิม




ผมนั่งอยู่ที่เดิมบนโซฟาครุ่นคิดกับตัวเอง
ถึงแม้ใครหลายคนจะบอกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามแค่ไหน
สำหรับผมแล้วมัน...ไม่ใช่เลย




พ่อยอมออกจากบ้านหลังใหญ่มาอยู่บ้านเช่าเล็กเก่าโทรมตอนมีผมเพราะไป ‘รัก’ กับแม่ ‘ผู้หญิงที่ไม่คู่ควร’ จากผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำงานอย่างขยันขันแข็งกลายมาเป็นคนติดเหล้า การงานไม่ทำ นั่งคิดถึงแต่เรื่องในอดีตที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในปัจจุบัน



แม่ต้องกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่คุณย่าจากบ้านใหญ่แวะเวียนมาด่าว่า แม่ได้แต่หมอบอยู่บนพื้น ฟังถ้อยคำเสียดสี ถ้อยคำร้ายกาจต่างๆ โดยไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ แม่กลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว ดูแลทั้งพ่อและผม ทำงานอย่างหนักไม่เว้นวัน เพราะ ‘รัก’ ครอบครัวของเรา ครอบครัวที่มีพ่อขี้เหล้าและลูกชายคนเดียว




ไข่มุกที่ฝืนยิ้มทั้งน้ำตาให้กับผม คนที่ปฏิเสธเธอท่ามกลางคนนับร้อย เพราะ ‘รัก’ ผม




เห็นไหมว่า ‘ความรัก’ มันไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ





ทุกครั้งที่พอรู้ตัวว่าเริ่มชอบใครมากเกินไปแล้วละก็ ... ผมจะรีบถอยห่างคนนั้นทันที ผมคงรับไม่ไหวถ้าวันหนึ่งต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบไข่มุก แม่ หรือพ่อ




.


.


.


.   




ก๊อกๆ


เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำให้คนที่นอนหลับสนิทบนเตียงสะดุ้งพรวด   
พลิกตัวขึ้นมาจากกองผ้าห่ม คว้าโทรศัพท์มาดูเวลา
    

06.09
   

ให้ตายสิ! ใครมาปลุกแต่เช้าวะเนี่ย
   
   


ก๊อกๆ

   
เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
กลัวจะไปรบกวนห้องข้างๆ เข้า เลยรีบเดินไปเปิดประตู


“มาแล้วคร้าบบบบ”

   


   
“พี่กาย อรุณสวัสดิ์ครับ!”

   

ไอ้แมนยืนส่งยิ้มกว้างมาให้ รอยยิ้มที่สว่างไสวขนาดนั้นทำเอาผมตาพร่า ได้แต่ยืนกะพริบตาปริบปล่อยให้มันเดินเข้ามาในห้องได้อย่างง่ายดาย

   
“พี่กาย ทานข้าวกัน ผมซื้อโจ๊ก น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋มาด้วย”

   
ผมเดินตามมา กวาดสายตาไปบนโต๊ะกินข้าวแล้วก็พบว่าอาหารเช้าที่มันบอกถูกจัดใส่จานชามเรียบร้อยแล้ว

   

“เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนละกัน”

   
“ทานก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ”

   
“อืม”

   
แมนส่งยิ้มกว้างมาให้อีกครั้ง พอผมนั่งลงก็จัดแจงเลื่อนถ้วยน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และชามโจ๊กมาให้อย่างเอาใจ

   
“พี่ใส่ขิงกับต้มหอมไหมครับ” เลื่อนถ้วยผักเล็กๆ มาให้
   
“อืม”
   
“ซีอิ๊วหน่อยไหม ผมว่ามันจืดไปนิดนะ” ขวดซีอิ๊วถูกวางลงใกล้มือ
   
“อืม... มึงกินบ้างสิ มานั่งมองกูทำเชี่ยไร”
   
“ครับๆ”

   

   
“อร่อยจังเลยเนอะพี่” ไอ้แมนที่ทานโจ๊กหมดพูดขึ้นมา ผมพยักหน้า
   
“ไม่ใช่ว่าโจ๊กอร่อยนะ แต่กินกับพี่ต่างหากที่ทำให้โจ๊กอร่อย” ยิ้มอีกแล้ว ขยันยิ้มจริงๆ


   
“กูไปอาบน้ำละ ...มึงไม่ต้องล้างก็ได้ เก็บไว้ในอ่างก็พอเดี๋ยวเย็นๆ กูล้าง”

   
มันอุตสาห์ซื้อมาให้กินแล้วยังให้มันเก็บล้างอีกก็เกินไปหน่อย

   
“ครับๆ พี่ไปแต่งตัวเถอะ”

   
   
ท่าทางเริงร่าราวกับคนละคน
บางทีมันอาจจะคิดได้





เรื่องเมื่อคืนมันก็แค่เรื่องล้อเล่นขำๆ เท่านั้นแหละ


   


   

ระหว่างการเดินทางมากหอพักมาถึงคณะ ผมไม่ได้พูดกับมันสักคำ แม้ว่ามันจะบ่นหงุงหงิงอ้อนตีนโดดซ้อนรถมอเตอร์ไซค์มาด้วยโดยอ้างเหตุผลสุดแสนจะรักษ์โลกว่า ประหยัดน้ำมันและลดโลกร้อนก็ตาม
   
หลังจากจอดรถ ไอ้แมนหันมาพูดกับผมก่อนจะเดินแยกไปเรียน
 
   

“ตอนเย็นพี่ไปชมรมด้วยนะ ผมรออยู่”


   

ผมเดินขึ้นห้องเรียน เจอไอ้ซันนั่งหน้ามึนๆ เหมือนเดิม แต่ที่แปลกไปคือรอบตัวมันเหมือนมีรังสีแห่งความสุขกระจายออกมา ทั้งที่แม่งก็นั่งทำหน้านิ่งเหมือนเดิมแท้ๆ

   
“ไง” พอนั่งลงข้างได้ไอ้ซันหันมาทัก

   
“...........” ผมไม่ตอบแต่แกล้งกวนตีนมันด้วยการลุกขึ้น เอียงหน้าทำหน้าทำตาเคร่งเครียด ก้มๆ เงยๆ มองมัน 360 องศา

   

“ไม่ต้องหา มุมไหนก็หล่อ”  ไอ้ซันพูดขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปากโชว์ลักยิ้มแก้มซ้าย

   

“สัดดดดดด!” ช่างกล้า ถีบขาเก้าอี้ได้ยินเสียงเก้าอี้ครูดพื้น ไอ้ซันแค่หัวเราะหึหึ กลับมา
   
   

“มีความสุขสิมึง”

   

“มาก” 

   

เหอะ หมั่นไส้วุ้ย!
   
ไม่ทันได้ตอบโต้ อาจารย์ก็เริ่มคลาสเรียนเสียก่อน




   

   

ตกเย็น ผมโดนไอ้ซันลากมาชมรมด้วย แต่ไม่ได้ทำไร นั่งดูเด็กๆ มันซ้อม กลับกันกับไอ้ซันที่วันนี้มันลงไปโค้ชน้องๆ


   
“ดีใจจังที่พี่มา” เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมหันไปมีขวดน้ำเย็นส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้างจากไอ้ซัน

   
“อืม” เอื้อมมือออกไปรับแต่มันกลับขยับมือหนี ตอนแรกยังไม่รู้แต่พอคว้าอีกครั้งที่สองมันดึงขวดน้ำกลับไปกอดเฉย

   
“พี่กาย ... ถ้าเอาไปแล้วอย่าคืนนะครับ”
   

“อะไรมึง จะให้ก็เอามา ร้อนชะมัด”


ไม่พูดเปล่า คว้าแฟ้มในกระเป๋าที่ถูกวางไว้ข้างๆ มาพัดจนผมกระจาย
ไอ้แมนเงียบไปสักอึดใจ ก่อนจะพูดกับตัวเองเสียงเบา

   

“ผมไม่รู้ว่าพี่จะเข้าใจไหม หรือต้องบอกตรงๆ ดีวะพี่”
   

“พูดอะไรมึง เอามาเด้!”

   

เอาน้ำมาให้ก็เอาสักทีเถอะ พิธีอะไรของมันเยอะแยะ

   

“ความรู้สึกของผมตอนนั้นเหมือนพี่ตอนนี้เลยพี่กาย”
   

“ฮะ ทำไมมึงหิวน้ำเหรอ ทำไมไม่เอามาอีกขวดเล่า จะมาแย่งกูเนี่ยนะ” ผมลดมือลงหลังจากที่ยื่นมาไปรอรับขวดน้ำจากมันหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ยังไม่ส่งให้อยู่ดี

   

“เหมือนจะให้ก็ไม่ให้ พอเข้าใกล้ก็ไม่ชอบแต่ถอยห่างออกไปก็ไม่ชอบอีกเหมือนกัน เหมือนจะชอบก็ไม่ชอบ โคตรงงเลยว่ะพี่ ผมไม่รู้จะทำไงดี”

   

“เลิกเพ้อเจ้อไร้สาระแล้วเอาน้ำมาให้กูได้ละ มึงได้ไปต่อถ้าทำตามที่กูบอก”

   

“ผมก็กลัวนะ ถ้าให้ไปแล้วพี่จะดูแลไหม ผมไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้นนะ”

   

“แค่ขวดน้ำกินหมดแล้วก็ทิ้งเด้ จะดูแลไรนักหนา”


เอาน้ำให้กินนี่ต้องคิดมากขนาดนั้นเลยหรือไงวะ แต่เหมือนกับคำพูดของผมเป็นเชื้อเพลิงที่เข้าไปแหย่เปลวไฟ ไอ้แมนอยู่ๆ ก็โยนขวดน้ำให้แทบจะกระแทกเข้าหน้า ก่อนจะตะโกนขึ้นมาเสียงดังที่สุดเท่าที่ประธานชมรมฟุตบอลอย่างมันจะทำได้

   

“ก็มันไม่ใช่แค่ขวดน้ำไงพี่ หัวใจของผมต่างหากเล่า โว้ย!!! ไอ้เชี่ยพี่กาย ทำไมกูต้องมารักมึงด้วยวะเนี่ย”

   
   

ไอ้แมนพูดจบก็สะบัดตูดหายไป ได้ยินเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเครื่องยนต์จะเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว
พวกที่ซ้อมบอลกันอยู่ในสนามยังหยุดเล่น หันมามองที่ผมเป็นตาเดียว ไอ้ซันที่ตะโกนโหวกเหวกข้างสนามได้สติก่อนใครเพื่อน ตะโกนบอกให้เล่นต่อก่อนมันจะเดินตรงมาที่ผม


"ทะเลาะอะไรกัน"
เพื่อนสนิทถามหน้าตาเคร่งเครียดผิดกับตอนเช้าลิบลับ


“ไม่รู้ น้องมึงแม่งบ้า เอาน้ำมาให้กู แล้วก็ไม่ให้ พูดอะไรเพ้อเจ้อแล้วก็มาด่ากู นี่ขับมอเตอร์ไซค์ไปไหนแล้วไม่รู้เนี่ย”
โยนให้เป็นน้องไอ้ซันซะเลย อยู่ๆ มาตะโกนใส่กูเพื่อ!!


ไอ้ซันไม่สะทกสะท้านกับคำพูดโวยวายของผม มันจ้องหน้าผมนิ่งๆ สายตาคมนั้นราวกับเครื่องแสกนทำให้ผมอดเกรงขึ้นมาบ้างไม่ได้


“มึงเป็นห่วงมันหรือเปล่า”


“ไม่”  ขับรถออกไปเอง เดี๋ยวแม่งก็กลับมาเองแหละ


“ไม่กลัวมันเกิดอุบัติเหตุอะไรเลย?”


ทันทีไอ้ซันพูดจบก็มีเสียงฟ้าร้องครืนๆ พร้อมกับฟ้าแลบ กลิ่นดินฟุ้งขึ้นจมูก ลมแรงพัดมาจนใบไม้ส่ายไหว คนที่ซ้อมบอลอยู่วิ่งกรูเข้ามาที่ร่มกันก่อนจะแยกย้ายกลับกันไป



ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่า ไม่ ไอ้ซันก็รีบสำทับขึ้นมา “คิดดีๆ ก่อนจะตอบนะมึง ถ้าไม่ห่วงมึงก็กลับห้องไปนอนให้สบายใจ แต่ถ้ายังห่วง ยังแคร์มันอยู่ก็รีบตามหามันแล้วคุยกันให้รู้เรื่องซะ”



“กูจะบอกมึงอีกรอบ ถ้ามึงไม่ได้ทำตามที่มึงต้องการตอนนี้ มึงจะเสียใจไหม”



มันเห็นว่าผมยังเงียบเลยพูดย้ำอีกรอบว่า



“ทำตามใจมึงบ้างเถอะ”


   
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง ลมพัดแรงมาอีกระรอก ความสับสนในใจของผมพัดแรงพอๆ กับใบไม้ที่แกว่งไกวตามแรงลม

   

“แล้วถ้ามันไม่เวิร์คล่ะ... กูคงทนไม่ไหวว่ะซัน”

   
“มึงรู้ได้ไงว่ามันไม่เวิร์ค” ไอ้ซันถามทันทีที่ผมพูดจบ “มึงยังไม่ทันจะเริ่มเลย รู้ได้ไงว่าไม่รอด”

   
“ดูก็รู้แล้ว กูกับมันเนี่ยนะ ผู้ชายนะเว้ย” ผู้ชายตัวควายๆ สองคนเลยนะเว้ย

   
“งั้นกูกับเดือนก็ไม่รอดสิ”

   
“มันไม่เหมือนกัน มึงกับคุณมันไม่เหมือนกู”

   
“อย่ามาแถไอ้สัด กูกับเดือนก็ผู้ชายเว้ย ตรรกะผู้ชายคบกันไม่รอดของมึงตัดออกไปได้ ยังมีอะไรอีกฮะ ถ้ามึงจะไปไม่รอดมึงก็คุยกันสิ ไม่พอใจอะไรกันตรงไหนคุยกันก่อน จนถ้ามันสุดทางจริงๆ แล้วมึงค่อยยอมแพ้ ไม่ใช่จะยอมตั้งแต่ยังไม่เริ่มแบบนี้”

   

ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ กลายเป็นสีเทาเข้ม กลุ่มเมฆสีดำสนิทเคลื่อนที่เข้ามาปกคลุมท้องฟ้าเหนือหัว หมู่เมฆสีดำลอยตัวต่ำคาดว่าคงกลั่นตัวเป็นหยาดฝนในอีกไม่ช้า

   

“ฝนจะตกละเชี่ยกาย มึงจะทำไงเรื่องของมึงละกันกูไปรับเดือนล่ะ คิดดีๆ อย่ามานั่งเสียใจทีหลัง” คงเห็นว่าผมหง่อยลงไปถนัดมันเลยเดินตามตบไหล่เบาๆ สองสามทีก่อนจะรีบร้อนไปรับคุณ
   


ผมถอนหายใจออกมา ขณะที่ยังลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรนั้น ฟ้าร้องครืนก่อนจะผ่าลงมาดังเปรี้ยง ได้ยินดังนั้นก็รีบขับมอเตอร์ไซค์ออกมาอย่างรวดเร็ว




   

ขับวนไปทั่วมหาวิทยาลัยอย่างไม่มีจุดหมาย สายตากวาดไปเรื่อยๆ จนเมื่อท้องฟ้ามืดสนิท เมฆสีดำกลั่นตัวเป็นหยาดฝนพร่าพรมเบาบาง ก่อนจะกระหน่ำตกลงมาไม่ลืมหูลืมตา

   

ขับมอเตอร์ไซค์ด้วยความระมัดระวังจนถึงหอพัก ทั้งร่างสั่นระริกด้วยความหนาวเย็น

   
   

“พี่!!!”

   

ตอนที่กำลังจะไขประตูนั้น ประตูถูกเปิดจากด้านใน พร้อมกับตัวควายๆ ของไอ้แมนเข้ามากอดผมไว้ทั้งตัว

   

“ผมมารอพี่ตั้งนาน ทำไมเปียกแบบนี้ นึกว่าพี่จะเป็นอะไรไปแล้วซะอีก” มันพูดอู้อี้กับบ่าผม เห็นว่ามันห่วงขนาดนั้นเลยกอดมันตอบเบาๆ ตัวมันนี่อุ่นจนเกือบร้อนเลย

   

“ทำไมตัวเย็นงี้อะพี่ รีบเปลี่ยนชุดเร็ว”

   

มันประคองผมที่ตอนนี้ตะคริวกินไปครึ่งตัวช้าๆ เข้ามาในห้อง ลากไปห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นแล้วค่อยๆ ใช้ฝักบัวรดไปตามแขนและขา

   

“ดีขึ้นไหมพี่”
   

“อืม ...โอ้ย” ผมลองขยับขา ตะคริวยังไม่หายไป
   

“ถอดเสื้อผ้าก่อนดีกว่าพี่ น้ำอุ่นจะได้รดทั่วๆ” ไม่พูดเปล่า มันเอาฝักบัววางคืนที่ แล้วใช้สองมือปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผม

   


ในห้องน้ำเต็มไปด้วยไอน้ำสีขาวจากน้ำอุ่นที่เปิดไว้ มือของไอ้แมนแตะที่ขอบกางเกง มันสบตากับผม ดวงตาสีดำสนิทมีหลากหลายความรู้สึกอยู่ภายใน ไม่รู้ว่าไอ้แมนอ่านสายตาของผมว่าอย่างไร มันถึงได้ค่อยๆ โน้นใบหน้าเข้ามาใกล้จนเห็นขนตาเรียงกันเป็นแพล้อมดวงตาคมเข้ม

   

“เป็นแฟนกันนะพี่กาย”

   

ไม่รู้ว่าเป็นผมหรือมันที่เริ่มก่อน ริมฝีปากของเราเคลื่อนเข้าหากัน ไอน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำอุ่นค่อยๆ ทำให้อาการตะคริวของผมหายไป มือของแมนค่อยบีบนวดมือผมช้าๆ เริ่มจากปลายนิ้วไล่ขึ้นมาถึงต้นแขน เมื่อครบทั้งสองข้างริมฝีปากของเราก็บรรจบกันพอดี

   

เราไม่ได้ละสายตาจากกันไปสักวินาที ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำของมันอยู่ในสายตาและการรับรู้ของผม

   

อาจเป็นเพราะตัวผมเย็นเลยรู้สึกว่าลิ้นของไอ้เด็กนี่ร้อนมาก ความร้อนไล่เรื่อยไปตามริมฝีปากจนเมื่อผมยอมเปิดปากออกก็เข้าชอนไชไปตามแนวฟัน ดูดวนกระพุ้งแก้ม น้ำอุ่นจากฝักบัวบนผนังกระทบเข้ากับหน้าของเราเต็มๆ กลบเสียงดังของการดูดดึงริมฝีปากไว้หมด ลิ้นของผมถูกดึงไปทักทายริมฝีปากหนา เกี่ยวพันดูดดึงกันแนบแน่น บางครั้งก็อ่อนหวานบางครารุนแรง จนผมเริ่มจะเป็นตะคริวขึ้นมาอีกรอบนั่นแหละ เจ้าเด็กกะล่อนถึงยอมถอนริมฝีปากออก
   



“เป็นแฟนกันแล้ว อย่าทิ้งผมนะพี่กาย”




ไอ้แมนเอามือเหี่ยวย่นเพราะโดนน้ำเป็นเวลานานของมันลูบริมฝีปากของผมเบาๆ ก่อนจะกดแนบริมฝีปากลงมาแผ่วๆ ขณะที่มันกำลังปิดประตู ผมได้สติ คว้าขวดแชมพูใกล้มือเขวี้ยงตามหลัง ขวดกระแทกประตูดังปัง!




“มึงต่างหากอย่าทิ้งกู ไอ้แมน”




เหอะ! พูดมาได้ว่าอย่าทิ้งมัน มันควรจะบอกตัวเองดีกว่าไหม จูบคนอื่นคล่องขนาดนี้

ไอ้เด็กกะล่อนเอ้ย!!



-----------------------------------------
[24/01/2559]
จิ้มน้องแมน พี่กายปากแข็งไหมน้อ 55555
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ  *ได้ไอเดียตอนพิเศษเพิ่มแล้ว *จะไหวหรือเปล่าขอดูงานอาทิตย์นี้อีกทีนะคะ แฮ่ XD
อีก 2 ตอนจะจบแล้วค่ะ
 :mew1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-01-2016 20:37:51
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-01-2016 21:16:37
ก็น้องแมนเขารุกเสียขนาดนี้พี่กายก็ยอมรับเถอะนะ. อิอิ
กดแลยน้องแมนคืนนี้.  กดเขาแล้วบอกเขาว่าอย่าทิ้งผมนะ
ขอบคุณค่ะ  :mew1: 
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 24-01-2016 21:26:56
พี่กายยอมเปิดใจแล้วววววว เย้!!
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: DE SaiKuNee ที่ 25-01-2016 13:21:45
 o18 o18
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 23) 25-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 25-01-2016 19:45:47


Just Love ❤ รักนะครับ 






23



   

กลิ่นหอมของอาหารปลุกชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างรับกับแสงแดดอ่อนโยนในยามเช้าของวันใหม่ ท้องฟ้าหลังหน้าต่างกระจกใสเป็นสีฟ้ากระจ่างตา ปุยเมฆขาวบางลอยเห็นเป็นเงาจาง ชายหนุ่มสะบัดศีรษะสองสามครั้งลุกขึ้นจัดเตียง มองหมองสองใบที่วางเคียงกันแล้วก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะทำทีเป็นคนตื่นนอน เดินสะลึมสะลือตามกลิ่นมาที่เคาน์เตอร์ในครัว


   

เคาน์เตอร์เล็กนั้นมีพ่อครัวตัวผอมเก้งก้างสาละวนกับการทำอาหารบนเตา หยิบซอสปรุงรสบ้าง หยิบทัพพีมาคนอาหารขึ้นชิมทุกๆ สองนาทีบ้าง พยักหน้าพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อพอใจในรสชาติอาหารที่ปรุงจนคนลอบมองอยู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม


   

“ทำอะไรน่ะ หอมจัง”



ค่อยย่องเข้าไปใกล้จนได้ระยะก็รวบพ่อครัวมากอด กระซิบประโยคสุดท้ายกับลำคอขาวพร้อมสูดกลิ่นกายหอมเย็นของอีกฝ่ายเต็มปอด

   

“เฮ้ย!!”



พ่อครัวสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ก็โดนรวบไปกอดทั้งตัวจนเกือบปล่อยทัพพีลงพื้น คนที่ลอบเข้ามาสวมกอดทำเป็นง่วง เอาหน้าซบบนบ่าของคนเตี้ยกว่าไว้ และเริ่มพรมจูบต้นคอขาวๆ ลงมายังไหปลาร้า เมื่อเห็นว่าพ่อครัวตัวเล็กเอาแต่ง่วนกับการปรุงอาหารจึงงับริมฝีปากของตนเองซ้ำๆ กลับขึ้นมาบริเวณหลังใบหูเรื่อยลงมาถึงลาดไหล่จนคนถูกกระทำต้องหันกลับมาสนใจจนได้


“จั๊กจี้ ฮ่าๆ ปล่อยก่อน”


ขยับออกมาจากอ้อมกอด มองข้าวต้มที่กำลังเดือดจัดบนเตา ใช้ทัพพีที่เจ้าตัวใช้คนอาหารไปชิมไปเมื่อครู่ตักอาหารในหม้อขึ้นมาให้คนที่ทำเนียนกอดเอวไว้ไม่ปล่อยชิม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายบอกว่ารสชาติถูกปากแล้วก็ปิดเตา ตักใส่ถ้วยก่อนจะให้คนตัวสูงกว่ายกไปวางบนโต๊ะที่ช้อนและแก้วน้ำถูกวางไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว


“เดี๋ยวนี้พัฒนา ทำได้มากกว่าขนมปังปิ้งแล้วเนอะ”


ข้าวต้มในชามส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไอความร้อนลอยขึ้นมาจางๆ ไม่ได้สวยงามเหมือนตามร้านอาหาร หมูสับก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ข้าวก็เละเสียจนแทบจะกลายเป็นโจ๊ก ท่ามกลางกลิ่นหอม ชายหนุ่มได้กลิ่นไหม้ลอยมาจางๆ ด้วย
   

“แน่นนอน ฮ่าๆ อร่อยไหม เค้าโทรถามแม่เลยนะเนี่ย”


ความคาดหวังเต็มเปี่ยมบนใบหน้า เขาจึงตักอาหารขึ้นมาชิม ลิ้มรสช้าๆ เพื่อซึมซับความตั้งใจของคนทำผสมกับแกล้งคนที่นั่งลุ้นจนตัวโก่งอยู่ จนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแทบจะลุกขึ้นมาเค้นเอาคำตอบนั้นแหละ เขาจึงเอ่ยออกไปว่า


“อือ อร่อยดี”


แค่นั้นคนที่ตื่นมาทำอาหารแต่เช้าก็ยิ้มกว้างไม่ต่างจากคนทานเลย




   
“นั่งมองก็อิ่มหรือไงเล่าเดือน กินเลย อ้าม..”


เมื่อเห็นว่าคนรักของตนเองเอาแต่นั่งมองเขาทานอาหารเลยบอกให้อีกฝ่ายทานบ้าง ยื่นช้อนให้พร้อมอ้าปากกว้างพยักพเยิดบอกให้อีกคนทำตาม
   

เดือนอ้าปากอย่างว่าง่าย แต่แล้วมือแข็งแรงที่กำลังยื่นช้อนเข้าต้มเข้าปากเล็กๆ กลับถูกดึงกลับมาอยู่ที่ปากคนป้อนเอง คนตัวเล็กกว่าเลยโวยวายใหญ่
   

“เอ้า..แกล้งทำไม ป้อนเค้าดิ ป้อนๆๆ”
   

“ไม่ได้แกล้ง”


ว่าแล้วซันๆ ก็ก้มลงเป่าอาหารในช้อนเบาๆ สองสามที ภาพผู้ชายตัวโตๆ ก้มหน้าพยายามเปาลมให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เศษอาหารในช้อนกระเด็นทำให้เดือนยิ้มกว้างเสียจนรู้สึกว่าเวลาเกือบสองชั่วโมงที่เขาพยายามทำอาหารนั้นไม่สูญเปล่าเลยสักนิด


“อ้า...”
ยังไม่ทันบอกให้อ้าปาก ลูกนกก็อ้าปากรออยู่แล้ว
   

“ทานเยอะๆ นะครับ คนเก่ง”


ไม่พูดเปล่าส่งรอยยิ้มพิฆาตที่เห็นทีไรก็ใจเต้นแรงมาให้ คนถูกป้อนได้ใจเลยถือให้คนที่นอนตื่นสายกว่าป้อนจนหมดชาม



   









“แสนดีจ๋า มาหาเดือนหน่อย แสนดี...เมี้ยวๆ”



หลังจากทำความสะอาดห้องครัวที่เลอะเทอะจากการทำอาหารเช้าที่ไม่ใช่ขนมปังเสร็จเรียบร้อย สองหนุ่มก็ย้ายมานอนเอกเขนกบนโซฟาหน้าโทรทัศน์


เดือนร้องเรียกเจ้าแมวสีดำที่นอนขดตัวอยู่หน้าประตูห้องนอน แสนดีลืมตาขึ้นมามองคนเรียกก่อนจะวาดหางสีดำไปมาสองสามทีเป็นการตอบรับ แล้วนอนต่ออย่างไม่ใยดี



“อะไรอ่าแสนดี ทำอย่างนี้ได้ไง ลุกเลยแมวขี้เกียจ”



เดือนโวยวายร้องเรียกเจ้าเหมียวที่ไม่แสดงอาการสนใจตัวเองแต่อย่างใดเสียงดัง แล้วก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกมือของคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ รวบแล้วลากให้นั่งเกยบนตัก



“ซันๆ ทำอะไร”



ถามออกมาด้วยความสงสัยเพราะเมื่อดึงเขาเข้ามานั่งใกล้แทบจะกลายเป็นนั่งตักอยู่แล้วคนที่ลากมาก็นั่งดูโทรทัศน์ต่อไปไม่บอกไม่กล่าวอะไร



“ดูทีวี” ตอบมาได้หน้าตาเฉย แล้วไอ้มือที่กำลังลูบต้นคอเขานี่มันอะไร    




“แน่ใจ?”



จบคำพูดด้วยหางเสียงสูง ซันๆ หันมามองหน้า มืออุ่นยังคงลูบไล้ต้นคอของเขาอยู่ก่อนจะค่อยเลื่อนขึ้นมาแนวสันกราม นิ้วโป้งไล้ริมฝีปากของเขาหนักๆ สองสามที และไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวเขาปัดฝ่ามืออุ่นหนานั้นทิ้งแล้วฉกริมฝีปากของตนเองเข้ากับริมฝีปากรูปกระจับ



รสจูบนี้ไม่ได้อ่อนหวาน ละเมียดละไมเหมือนคืนที่ผ่านมา มันเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความต้องการอย่างเปิดเผย ปลายลิ้นเล็กล้วงเข้าไปในโพรงปากหนา ไล่เลาะไปตามแนวไรฟัน ดูดดึงกระพุ้งแก้ม ไล่กวาด ลิ้นร้อนที่หลบไปมา และต้องส่งเสียงอืออาอย่างขัดใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมส่งลิ้นมาเกี่ยวพันด้วย สองแขนเล็กจึงโอบรวดรอบลำคอหนา ใช้ปลายเล็กกรีดเบาๆ ไปตามความยาวของลำคอ มือหนึ่งชอนไชเข้าไปในกลุ่มผมสีดำหนา บางคราจิกทึ้งเมื่อโดนขัดใจ ไม่เพียงเท่านั้นขยับตัวเข้าไปนั่งบนตักอุ่น บดเบียดสะโพกเล็กไปตามจังหวะความต้องการของร่างกาย





เหมือนคนที่เวียนว่ายอยู่ในความฝัน เมื่อตื่นมาพบความจริงก็ดีใจเหลือเกินจนไม่อาจควบคุมอารมณ์และความต้องการที่ส่งมาจากเบื้องลึกของจิตใจ



ความฝันที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะเป็นจริง ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว คนตัวเล็กกว่าดิ้นรน ไขว่คว้าความฝันนั้นให้ได้มากที่สุด




เพราะกลัว
กลัวเหลือเกินว่า เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ทุกอย่างจะหายไป



พยายามผูกมัดด้วยร่างกาย
เพราะไม่เคยรู้เลยว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้คนที่รักที่สุดคนนั้นอยู่กับตนเองตลอดไปตามต้องการ




การพยายามปลุกเร้าของร่างเล็กไม่ได้ทำใหญ่ร่างสูงใหญ่สติหลุดเตลิดไปกับกามอารมณ์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามยิ่งเดือนพยายามรุกไล่เขามากเท่าใด ความว้าเหว่ อ้างว้างและโดดเดี่ยวก็ถูกถ่ายทอดออกมามากขึ้นเท่านั้น
 



เรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับเดือนไหล่ทะลักเข้ามาในหัว เขารู้สึกเสียใจที่หลายครั้งเขาไม่สามารถช่วยเหลือคนตรงหน้าได้ในอดีต แม้ว่าเขาจะเป็นคนแรกที่เดือนเอ่ยปากขอความช่วยเหลือก็ตาม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าหากเขายอมรับตัวเองเสียตั้งแต่ต้น ไม่ทำเฉยต่อความรู้สึกของเดือน คนตรงหน้าเขาคงได้มีช่วงเวลาแห่งความสุขนานแล้ว ไม่ต้องทนอยู่กับความทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่หลายปี   




คิดได้ดังนั้นเขาจึงปรับลมหายใจ ยกสองมือโอบกอดร่างกายผอมบางของคนบนตักไว้ ส่งปลายลิ้นเกาะเกี่ยวลิ้นของอีกฝ่าย ส่งสัมผัสเนิบช้าอ่อนหวาน กุมมือเล็กที่ตอนนี้เริ่มปัดป่ายไปตามลำตัวของเขามารวบกันบนหน้าอกข้างซ้าย




ตึก! ตึก!




จังหวะของของหัวใจที่ฝ่ามือขาวสัมผัสได้ถึงมั่นคงและหนักแน่น สัมผัสของซันๆ นั้นอบอุ่นและอ่อนโยนจนความรู้สึกร้อนแรงที่เขาได้จุดขึ้นเองเมื่อครู่ค่อยคลายลงจนมอดดับเหลือไว้แต่ความนุ่มนวลแสนหวานที่กำลังเยียวยาหัวใจอันแสนบอบบางนี้




คนที่กำลังใช้ภาษากายปลอบเขาอยู่ตรงนี้คือ ซันๆ



คนตรงหน้ายังคงเป็น ซันๆ




คนที่มอบจูบแสนหวานและอบอุ่นนี้มาให้คือ ซันๆ





...เพียงเท่านั้น ลมหายใจถี่ของเขาค่อยกลับเข้าที่ รสละเมียดละไมหวานละมุนที่ได้รับทำให้เขาหยุดนิ่ง ไม่ดิ้นรน ไม่ไขว่คว้า ปล่อยความรู้สึกที่อยากจะใช้ร่างกายผูกมัดคนตรงหน้าทิ้งไป





เมื่อสิ่งที่ได้รับกลับมามันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากล้น
เติมเต็มหัวใจวิ่นแหว่งของเขาอย่างที่ไม่เคยรับจากใคร





สองมือใหญ่โอบกอดเอวเล็กไว้หลวมๆ ก่อนจะค่อยๆ ไล่มือไปตามแนวกระดูกสันหลังบีบผ่อนคลายบริเวณต้นคอเรื่อยลงไปถึงเอว แล้วไล่ขึ้นมาใหม่อีกรอบ เมื่อได้รับจูบแสนหวานตอบกลับมา เขาก็รู้แล้วว่าเดือนคนเดิมของเขากลับมาแล้ว ปล่อยให้อีกฝ่ายจูบเขาจนพอใจแล้วจึงค่อยๆ ผละออก ในระยะที่ปลายจมูกยังสัมผัสกัน เขาเอ่ยออกมาแผ่วเบาแต่หนักแน่นว่า
 



“รัก”




ที่ผ่านมาความรู้สึกของเขาอาจแสดงออกมาอย่างชัดเจนในด้านการกระทำซึ่งบางครั้งคนตรงหน้าอาจยังไม่มั่นใจ การเอ่ยคำว่ารักออกไปในครั้งนี้คงสร้างความมั่นใจให้กับเดือนได้มากขึ้น ด้วยรู้ดีว่าถ้าเป็นเรื่องของเขาแล้วละก็ คนบนตักจะไม่คิดอะไรไปเองเด็ดขาด




น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งจากดวงตาสีเข้มของคนฟังไปตามแก้มขาวและหายไปเมื่อถึงปลายคาง รอยยิ้มกว้างที่เขาเห็นมาตลอดตั้งแต่ตื่นนอนถูกส่งมาให้อีกครั้ง พร้อมกับคำพูดที่ฟังแล้วใจเต้นผิดจังหวะ ริมฝีปากบางกระซิบคลอเคลียบนริมฝีปากเขา




“รัก...รักซันๆ ที่สุดเลย”
   




ดวงตาสีเข้มสว่างสดใสสะท้อนภาพของเขา ขนตาสีดำมีหยดน้ำเล็กเกาะพราว กลิ่นหอมนวลของผิวเนื้อที่สัมผัสอยู่ปลายจมูกทำให้เขาขยับใบหน้า ที่หมายคือริมฝีปากสีแดงก่ำหวานล้ำตรงหน้า





แต่ทว่า...
   





“เมี้ยววววววววววววววว”
   





เพราะเสียงร้องของเจ้าแมวเหมียวเสียมารยาทแท้ๆ ที่ทำให้เดือนรีบลุกไปจากตักเขา ลงไปนั่งกับพรมบนพื้น คว้าแมวดำที่เมื่อครู่เดินเข้ามาส่งเสียงร้องออดอ้อนพันแข้งพันขาขึ้นมาวางบนตัก มือที่ลูบไล้ร่างกายของเขาอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเกาคาง เกาพุงไอ้ตัวแสบไปเสียได้ คิดแล้วก็เริ่มหมั่นไส้แมวดำขึ้นมาตงิด


   


“แสนดี...แสนดี” น้ำเสียงกระจุ๋งกระจิ๋งที่ใช้คุยกับแมวแล้วปล่อยให้เขาเป็นธาตุอากาศคืออะไร






รักแท้จะมาแพ้แมวดำไม่ได้นะเว้ย!!




   


“ซัน...ซั้น!!” ร้องออกมาด้วยความตกใจ คว้าแมวดำเข้ามากอดแนบอก เมื่ออยู่ๆ คนที่นั่งอยู่ข้างบนโซฟาอยู่ดีๆ ก็ลากเขาขึ้นมานั่งบนตักแถมยังกอดเอวเสียแน่นจนแทบขยับตัวไม่ได้

   

“ลากเค้าขึ้นมาทำไม” ถามไปด้วยความงุนงง แต่คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังยิ้มแก้มปริ

   

“หึง!!” ทำหน้าบึ้งเหมือนจะเปิดห้องเชียร์กับเขาซะอย่างนั้น

   


“หึงใคร...แสนดีน่ะนะ”



มองซ้ายมองขวาก็พบว่าสิ่งมีชีวิตเดียวที่คิดว่าจะทำให้ชายหนุ่มหึงได้ก็คงเป็นแมวขี้เกียจตัวนี้ เมื่อเห็นว่าซันๆ พยักหน้าตอบรับก็หัวเราะออกมา หันไปจุ๊บแก้มคนขี้หึงแล้วกระซิบข้างหูว่า


   

“รักแมว...ไม่เท่ารักคนหรอกนะ”


   


จริงๆ นะ





.



.



.



   
   




   

ถนนคนเดินช่วงหัวค่ำเต็มไปด้วยผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ แสงไฟจากโคมไฟทรงพื้นเมืองหลากหลายสีสันส่องแสงสีนวลสว่างเห็นเป็นแนวไปตามท้องถนนยาวสุดสายตา เสียงดนตรีพื้นเมืองแว่วมาเป็นระยะแทรกกับเสียงของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าร้องเรียกลูกค้าเข้าร้านของตนระงม
 


มอเตอร์ไซค์คันนึ่งแล่นเข้ามาจอดบริเวณวัดหลวง ผู้ชายตัวเล็กที่เมื่อครู่เกาะเอวคนขับแน่นกระโดดลงจากรถ เมื่อรถจอดสนิทก็เข้าไปช่วยคนขับถอดหมวกกันน็อค ส่งยิ้มให้กันท่ามกลางแสงสลัว ก่อนจะเริ่มออกเดินมายังบริเวณร้านค้า มองเห็นฝูงชนบนถนนข้างหน้า คนข้างตัวก็หันมาถามด้วยเสียงเหย้าหยอกว่า

   

“คนเยอะขนาดนี้ แน่ใจว่าจะเดินไหวนะ?” เพราะรู้ดีว่าซันเป็นพวกชอบไม่ชอบความวุ่นวาย ...คนเยอะจนแทบจะอัดเป็นปลากระป๋องตั้งแต่ทางเข้าขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าข้างในคนจะมากขนาดไหน

   

“ปกติคงไม่...แต่วันนี้พิเศษละกัน” แล้วคำตอบนี้ก็ทำเอาคนถามดีใจยิ้มแก้มปริ
   
   

เดินข้ามถนนกำลังจะเข้าไปยังบริเวณส่วนต้นทางของถนนคนเดิน กลิ่นนมอุ่นๆ ที่ลอยตามลมมาก็ทำให้คนสูงเก่งก้างหันไปคว้าแขนคนตัวสูงใหญ่ จูงมือไปยังร้านรถเข็นข้างทางทันที

   

“นมจืดเย็น 1 นมหวานเย็น 1 ขนมปังนมเนยสองแผ่นครับ”

   

สั่งอาหารโดยไม่ได้หันมาถามกันสักคำ แล้วก็เดินไปนั่งโต๊ะ เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วก็ส่งยิ้มมาให้

   

“กินก่อนเข้าไปเดินดีกว่า เดี๋ยวคนแถวนี้โมโหหิวแล้วงอแงกลับ”

   
“ว่าคนอื่น ตัวเองหิวละซิเดือน” ซันๆ ผลักหัวคนที่ยักคิ้วหลิ่วตามาให้เบาๆ หนึ่งที


ระหว่างที่กำลังรอ มือปริศนาก็ผลักเข้าที่ศีรษะซันอย่างแรง

   

“เชี่ย!” หันไปกะจะเอาเรื่อง เจอไอ้กายหัวเราะเสียงดังใส่หน้าซะงั้น มันหัวเราะจนพอใจก็คว้าเก้าอี้พลาสติกจากโต๊ะใกล้ๆ มานั่งโต๊ะเดียวกัน “กูนั่งด้วย”

   

“หวัดดีกาย มาเที่ยวเหมือนกันเหรอ” เดือนทักเสียงใส
   

“หวัดดีคุณ อื้อ พาเด็กโข่งมาเที่ยวน่ะ” กายทำหน้าเหมือนจำใจมา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเต็มใจ ทำหน้าแบบนี้ รู้เลยว่ามากับใคร ถ้าไม่ใช่... “แล้วไอ้แมนล่ะ” 
    

“หาที่จอดรถอยู่ ..เฮ้ย มึงรู้ได้ไงว่ากูมากับมัน” หันขวับมาจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

   
“ไม่รู้ กูเดา” ยักไหล่ทำท่าทางสบายๆ ตอบ ไอ้กายยกมือขึ้นมาเกาแก้มตัวเองแก้เก้อ

   
“ตกลงมากับมัน?” เห็นมันเขินแล้วตลกเลยย้ำอีกครั้ง เดือนยิ้มมุมปาก

   
“เออ ...”  ทำท่าจะอธิบายยกเหตุผลยืดยาวแต่มีพนักงานเสิร์ฟยกอาหารที่สั่งมาให้เสียก่อน


   
“มาแล้ว นี่ๆ นมจืดของซันๆ” เดือนยิ้มร่า เลื่อนแก้วนมจืดเย็นมาตรงหน้า แล้วก้มลงดูดนมเย็นสีชมพูของตัวเอง ก่อนจะทำเสียง “อ่า..สดชื่น” ด้วยท่าทางน่ารักจนต้องเอามือไปขยี้ผมด้วยความมันเขี้ยว

   
“กายชิมหนมปังดู อร่อยมาก” คงนึกได้ว่ามีกายนั่งอยู่ด้วยเลยเลื่อนขนมปังปิ้งสีเหลืองกรอบราดด้วยนมข้นจนชุ่มให้

   
เสียงโทรศัพท์ของกายดังขึ้นก่อนมันจะลุกออกไปหน้าร้าน ไม่นานก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยผู้ชายตัวสูงหนาเท่าๆกัน

   
แมนส่งยิ้มร่าให้ซันและเดือน ยกมือไหว้แล้วมองหาเก้าอี้นั่ง ซันชวนคุยเรื่องชมรมเสียก่อน เลยไม่ได้นั่ง เห็นกายลุกไปขอเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาให้

   
“จะยืนอีกนานไหม” ผลักเก้าอี้ชนขาคนที่ยืนโม้อยู่ด้วยความหมั่นไส้
   
“โอ๊ะ ขอบคุณครับพี่กาย” ไอ้เด็กขี้โม้ก็หันมาส่งยิ้มขอบคุณแล้วนั่งลงคุยต่อ ไม่สนใจคนข้างกันเลยสักนิด “...แล้วที่นี้นะพี่ซัน ไอ้ดิวก็เสนอว่าให้ลองเปลี่ยนตำแหน่งของคนในทีมดูเผื่อจะเห็นแววเด็กใหม่บ้าง..”
   
“อืม..น่าสนใจนะ มึงตกลงกันว่าไงล่ะ” ยังไม่ทันที่แมนจะตอบ ไอ้กายก็รีบชิงพูดขึ้นมาก่อน

“..ตกลงกันไม่ได้นะสิ ...นั่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา โคตรของโคตรเสียเวลากูที่แวะไปเลย” 
   
“กำลังคิดต่างหากพี่กาย ..ผมก็เลยให้พวกมันไปตกลงกันนอกรอบพี่ รอดูพรุ่งนี้อีกที” ไอ้แมนแก้คำพูดของกาย ก่อนจะหันมายืนยันกับอดีตประธานชมรมฟุตบอล

“พรุ่งนี้ก็ตกลงกันไม่ได้ว่ะ มึงบอกคนที่มีปัญหาเลยนะว่าถ้าไม่เอาแผนนี้ก็ไปคิดแผนใหม่ที่ดีกว่านี้มา ....” ไอ้กายโดนพนักงานเสิร์ฟเบรกอีกครั้ง นมเย็นสองแก้วกับขนมปังปิ้งแยมสตอเบอร์รี่ คว้าแก้วน้ำสีหวานมาดูดแล้วหันไปบอกคนข้างๆ ว่า
   
“หวาน”
   

แมนละการปรึกษาจากซัน หยิบแก้วของตัวเองไปชิม ก่อนจะเลื่อนให้ “อันนี้หวานน้อยครับ” กายขยับตัวมาชิม “เออ งั้นกูกินแก้วนี้นะ”
   

“กินขนมปังด้วยนะพี่ กินนมตอนท้องว่างเดี๋ยวปวดท้อง” แมนเลื่อนจานขนมปัง จิ้มขนมปังในจานส่งให้ การกระทำของทั้งสองคนทำให้ซันถามทะลุกลางปล้อง

   

“ตกลงมึงคบกันแล้ว?” เดือนหัวเราะคิกคัก จิ้มขนมปังส่งให้คนถาม สองคนที่โดนถามชะงัก
   
   

“...คะ..ใครว่า ยังเว้ย” เป็นไอ้กายที่ส่งเสียงตะกุกตะกักขึ้นมาก่อน
   

“กำลังจีบครับ” ไอ้แมนบอกตามมายิ้มๆ ก่อนจะร้องโอดโอยเพราะโดนศอกไปเต็มๆ

   

“ฮ่าๆ ขอให้จีบติดนะน้องแมน” เดือนอวยพร และส่งสายตาล้อไอ้กาย “อันนี้ต้องขอกายช่วยด้วยเนอะ”

   

เห็นเดือนเงียบๆ แต่เอ่ยแซวสองคนนี้แต่ละที ทำเอาสองคนไปไม่เป็นเหมือนกัน

   

ไอ้กายรีบลุกออกจากร้านทันทีที่มันกินหมด ไอ้แมนหันมายกมือไหว้แล้วรีบวิ่งตามไป เดือนกันมาหัวเราะท่าทางตลกๆ ของแมนและกาย ชายหนุ่มสองคนออกมานอกร้าน จำนวนคนที่มาเที่ยวเพิ่มมากขึ้นจนแทบไม่มีที่ยืน



“กลับล่ะไหม” ซันถาม


“โห ไหนบอกวันพิเศษไง เดินก่อนนะ...นะ” ลากเสียงนะยาวอย่างออดอ้อน “นี่ คนเยอะเดี๋ยวจับมือไว้ไม่ปล่อยเลย ไปกันเถอะ”


สอดมือขาวประสานกับมือใหญ่แล้วออกเดิน สินค้าหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ทำมือ ของกระจุกกระจิก อาหาร เครื่องดื่ม ผักปลอดสารพิษ ขนมหวานสารพัดชนิดไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือเทศวางขายละลานตาตลอดความยาวของถนน พวกร้านขายของจะไม่ได้รับความสนใจจากเดือนเท่าไหร่ แต่ร้านขายของกินนี่สิ ไม่พลาดเลยสักร้าน


 “ซันๆ กินข้าวโพดไหม” ข้าวโพดคลุกเนยส่งกลิ่นหอมฟุ้งเมื่อเดินมาถึง มีลูกค้าสองสามรายยืนอยู่ ซันส่ายหน้าตอบ แกว่งมือที่จับกันไว้มั่นเบาๆ เดือนทำหน้าเสียใจนิดหน่อยแต่ก็เดินต่อไป

 “หมูปิ้งป่าว” เจอร้านหมูปิ้งนมสดก็ถูกชายหนุ่มปฏิเสธเช่นกัน

“โหอะไร นี่ไม่หิวเลยเหรอ” คนที่ทำตัวเป็นเชลล์ชวนชิมเริ่มโอดโอย

เดินเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เดือนรีบลากมือซันตรงไปยังร้านของคุณยายท่าทางใจดีที่กำลังพัดไฟในเตาถ่าน ก่อนจะวางแผ่นแป้งสีดำๆ ลงบนตะแกรง

“ข้าวปุ๊กดีกว่าเนอะ” อันนี้เป็นของถูกใจ ไม่ต้องรอถามความเห็น “ข้าวปุ๊กหวานน้อยสองชิ้นครับ” สั่งแล้วก็หันมายิ้มให้ “หิวแล้วอะ สงสัยขนมปังย่อยหมดแล้ว”


คนขายวางแผ่น ‘ข้าวปุ๊ก’ บนเตาไฟเพิ่มอีกชิ้น ข้าวปุ๊กทำมาจากข้าวเหนียวนึ่งสุกผสมกับงาดำ ตำจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วแผ่ทำเป็นแผ่น ถึงเวลากินก็เอาไปทอดหรือปิ้งก็ได้ แต่ที่ขายตามร้านจะเป็นแบบปิ้งแล้วโรยด้วยน้ำอ้อยที่พอโดนความร้อนก็จะละลายกลายเป็นน้ำตาลข้นเหนียวหอมอร่อย


“หอมมากเลย” ได้ข้าวปุ๊กมา คนตัวเล็กก็รีบกินสมกับที่บอกว่าหิว พยายามขยับนิ้วเพื่อจะคลายมือที่กุมกันไว้ แต่อีกคนไม่ยอมปล่อย


“ซันๆ ปล่อยมือหน่อย กินไม่ถนัด” ซันไม่ตอบแต่กระชับมือแน่ขึ้น คล้องถุงหิ้วเข้ากับข้อมือจากนั้นใช้มือที่ว่างช่วยประคองข้าวปุ๊กของเดือน


“แบบนี้เขินแย่” เดือนหัวเราะ ปล่อยให้ซันช่วยถือข้าวปุ๊กเข้าปากด้วยความทุลักทุเล


“ก็บอกว่าจะไม่ปล่อยไง” เพราะกำลังกินของหวานหรือยังไงไม่ทราบ รอยยิ้มของอีกคนจึงดูหวานกว่าทุกครั้ง


“น้ำอ้อยเลอะ” ลิ้นสีชมพูพยายามเลียไปทั่วริมฝีปาก ซันหัวเราะแล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดออกให้ ขณะที่เลื่อนมือกลับ แขนสีแทนก็ถูกมือขาวๆ คว้าไว้ ก่อนนิ้วโป้งนั้นจะถูกเจ้าของมือขาวดูดเลียน้ำหวานไปจนหมด
 


“อร่อยจัง” 



พูดจบก็กัดริมฝีปากยั่ว ซันหัวเราะแล้วขยี้กลุ่มผมสีเข้มจนหลุดลุ่ย



.


.



.



   

“พี่จะรีบไปไหน” เดินตามคนที่รีบจ้ำออกจากร้านมาติดๆ
   

“ไปข้างหน้า” พี่กายหันเสี้ยวหน้ามาตอบแล้วเดินต่อไปอย่างไม่มีท่าว่าจะหยุด ทั้งคู่เดินเข้ามาในส่วนผู้คนหนาแน่น เลยทำให้คนที่เดินตามต้องรีบทักเพื่อให้หยุดเดิน แต่กลายเป็นว่ากายเร่งฝีเท้าขึ้น และกำลังจะหายไปกลางฝูงชน

   

“เฮ้ย เดี๋ยวดิพี่”

   

ไม่บอกหรอกว่าทำตัวไม่ถูกเลยต้องเดินให้เร็วที่สุด เผื่อไอ้อาการหน้าร้อนๆ นี่จะเปลี่ยนมาเกิดเพราะความเหนื่อยแทนอย่างอื่น

   

หมับ!

   

เดินมาถึงช่วงที่ผู้คนบางตา ขณะที่กำลังลังเลว่าจะเดินตรงไปหรือเลี้ยวไปทางซ้ายดี มือแข็งแรงก็คว้าเข้าที่ไหล่
   

“มาด้วยกันก็ต้องเดินด้วยนะสิพี่...นะ” 
   

หันมาเห็นคนที่ตามมาทันเต็มๆ ตา อาการหน้าร้อนผ่าวก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เก็กหน้าขรึมแล้วตอบไปว่า
   

“อืม”

   

เดินผ่านร้านเสื้อยืดที่ไม่มีคน แมนสะกิดคนข้างๆ “ไปดูเสื้อหน่อยนะพี่”

   

ร้านนั้นเป็นร้านเสื้อยืดสีดำลายการ์ตูนหลายเรื่องทั้งดิแอดเวนเจอร์ครบทีม แบทแมน สไปเดอร์แมน หรือไม่ว่าจะเป็นฝั่งการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างวันพีช และครอบครัวซานริโอ้แขวนทั่วร้าน

   

“พี่กายชอบตัวไหน” ไอ้แมนเดินเข้ามาถามราคา ลองจับเนื้อผ้าแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง หันมาถาม

   

“กูชอบไอ้นี่” ชี้ไปที่ไอ้ตัวมีเขาชุดคุมสีเขียวทำเชิดๆ ถือไม้เท้าอยู่

   

“หือ ไหนๆ” ละมือจากแบทแมนหันมาดู “ตัวนี้โลกิพี่” บอกชื่อตัวละคร

   

“เออ นั่นแหละ ดูหนังมันกวนตีนดี”
   

“งั้นผมก็ต้องซื้อธอร์อะดิ” แมนชี้มือไปที่เสื้อยืดตัวข้างๆ ตัวการ์ตูนในชุดนักรบยุโรปโบราณในมือถือค้อนอันใหญ่
   

“ถ้าชอบก็ซื้อ ไม่เอาแบทแมนที่ดูเมื่อกี้ล่ะ”เมื่อกี้มันดูลายแบทแมนนี่หว่า
   

“ก็พี่ชอบโลกิอะ หรือผมจะซื้อโลกิดีวะ” ไอ้แมนทำท่าลังเลใจ ตัดสินใจไม่ถูก
   

“มึงอย่ามาแย่งของกู” รีบเอามือปัดมือแมนที่ทำท่าว่าจะคว้าเสื้อลายโลกิมาดู “มึงไปเอาลายอื่นเลย”
   

“ได้เหรอ?” ไอ้แมนหันมาทำหน้าดีใจ “ให้ผมซื้อธอร์ พี่ซื้อโลกินะ” ถามย้ำ ถอนหายใจเซ็งๆ ใส่หน้าคนถามที่ทำท่าตื่นเต้นดีใจเกินเหตุ

   
“ตัวเท่าไหร่พี่” หันไปถามราคาจากคนขาย
   

“ร้อยเก้าเก้าน้อง ถ้าเอาสองตัวพี่ลดให้ คิดสามร้อยห้าสิบ”  คนขายพูดแล้วส่งยิ้มการค้า
 

“ลดอีกหน่อยดิพี่คนสวย” ปากหวานขึ้นมาทันที

“นี่ลดเยอะแล้วนะน้อง พิเศษเลยเนี่ย”
   
“สองตัวครับพี่ ไซซ์แอล โลกิกับทอร์ครับ” กำลังจะต่อราคาลงอีก ไอ้แมนดันขัดขึ้นมาเอาเงินไปยื่นให้คนขายตัดหน้าไปซะงั้น หันมาทำปากจุ๊ๆ ให้เงียบอีก

   
ได้รับสินค้าก็รีบจูงมือคนที่เริ่มทำหน้าบึ้งออกจากร้าน เดินเร็วๆ ออกจากร้านไป

   
“หน้างอเลย กินไอติมไหม” ไม่พูดเปล่าหยุดหน้าร้านไอศกรีมโฮมเมด สั่งรายการครู่เดียวก็ยื่นถ้วยกระดาษที่มีไอศกรีมสีชมพูราดด้วยสตรอเบอร์รี่หลายลูกให้คนที่นิ่งเงียบไม่โวยวาย
   
“พี่กาย เดียวละลายนะ...นะ”
   

“ฮึ!” ทำเสียงในคอ แต่ก็รับไอศกรีมไปกิน
   
   
“นิดๆ หน่อยๆ น่าพี่กาย ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อเห็นว่าไอศกรีมถูกกินไปกว่าครึ่งแล้วจึงพูดออกมา
   
“....” เงียบ
   

“คราวหลังผมจะรอให้พี่ต่อให้เสร็จก่อนแล้วค่อยจ่ายตังค์เลยเอ้า..ขอโทษนะครับ” ยืนก้มหน้าสำนึกผิด
   

“ไม่ใช่เรื่องนั้น”
   

“แล้วโกรธไรอ่า” เงยหน้าขึ้นมาสบตา
   

“ค่าเสื้อ กูจ่ายเอง” หยิบจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้ แมนไม่มีท่าทีว่าจะรับเลยทำเสียงจิ๊จ๊ะ
   

“ผมอยากซื้อให้อ่า” พูดอ้อนๆ ทำตาเศร้าๆ หน่อย

   

“ไม่!” ทำตาถลึงอีก เลยรับมาอย่างไม่เต็มใจ เริ่มทำหน้างอตามคนข้างๆ เลยพูดต่ออุบอิบ
   

“เลี้ยงไอติมก็พอละ” 

   

แค่นั้น..รอยยิ้มกว้างแสบตาก็กลับมาบนใบหน้าไอ้เด็กบ้าเหมือนเดิม


   

ตอนเดินกลับมาที่รถ แมนพูดคนที่กำลังจะนั่งซ้อนท้าย

   

“เสื้อที่ซื้ออะ พิเศษนะพี่”
   

“ทำไม ใส่แล้วปล่อยพลังได้หรือไง”
   

“ตลกละ มันเป็นเสื้อคู่ต่างหากเล่า ไว้ใส่ไปเที่ยวด้วยกันนะพี่กาย”
   

“มั่วละมึง” คนฟังหัวเราะในคอ
   
แมนสตาร์ทรถ กายขึ้นซ้อนแล้วออกรถ พูดต่อ
   

“ไม่มั่ว จริงๆ ธอร์กะโลกิอะเป็นแฟนกันรู้ปะ”
   


“ก็เชี่ยละมึง” ผลักหัวคนขับรถเบาๆ

   

“จริงจริ๊ง เหมือนผมกับพี่ไง ไม่เชื่องั้นกอดแน่นๆ เลยนะ” พูดจบก็เร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยความเร็ว คนนั่งซ้อนไม่ทันได้เตรียมตัวก็คว้าเอวคนข้างหน้าสมใจคนเจ้าเล่ห์

   


“ไอ้เชี่ย แมนนนนนนน!!” 


--------------------------------------------
[25/01/2559]
อ่านตอนนี้จากหนาวๆ กลายเป็นร้อนผ่าวๆ ที่ตา 555555
ตอนหน้าจะจบแล้วน้า ฝากติดตามด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ <3
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 23) 25-01-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 25-01-2016 21:46:00
อิจฉาเดือนง่ะ ซันๆดูแลดี๊ดีย์
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 24) 28-01-2559 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 28-01-2016 20:41:51
*เนื่องจากเรื่องนี้เขียนเมื่อสองปีที่แล้วซึ่งตอนนั้นตรงกับช่วงเทศกาลพอดีนำมาลงตอนนี้คงรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง





Just Love ❤ รักนะครับ







24




   

ครืด! ครืด!

   


ตวัดสายตามองไปที่ต้นเสียงอย่างหงุดหงิด โทรศัพท์ของเดือนที่ตั้งระบบสั่นไว้วางอยู่บนเคาน์เตอร์กั้นระหว่างครัวกับห้องนั่งเล่น กำลังสั่นอย่างไม่รู้จักเหนื่อยตลอดเวลาเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา


   

ทั้งไลน์เอย เฟซบุ๊คเอย และหลายสายที่โทรเข้ามาอย่างไม่หยุด ปรากฏเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้หลายสิบสาย ซึ่งคนเหล่านั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากบรรดา ‘กิ๊กเก่า’ ของเจ้าของโทรศัพท์


   

แม้ว่าเดือนจะไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านั้นเลยตั้งแต่คบกัน แต่เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดจริงๆ ให้ตายสิ!

   


ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้น เลื่อนปุ่มเล็กๆ ด้านข้างเพื่อให้เข้าสู่โหมดเงียบ เครื่องมือสื่อสารที่สั่นมาตลอดจนเครื่องร้อนก็นิ่งสนิท พอดีกับเจ้าของอาบน้ำเสร็จออกมาจากห้อง
   


“หน้ายุ่งเชียว”
   


ผมถูกเซ็ตมาอย่างดีแบบที่นานๆ ทีจะได้เห็นใบหน้าแบบเต็มๆ ตาซึ่งเจ้าตัวจะทำในโอกาสพิเศษเท่านั้น ดูขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก

   

“โทรศัพท์น่ะ เยอะนะ”

   

ตอนแรกก็กะจะไม่บอก แต่พอสบดวงตาสีเข้มที่มองมาอย่างซื่อตรงแล้วปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งนั่นจุดรอยยิ้มกว้างบนหน้านวลผ่องทันที

   

“หึงเหรอ ดีใจจัง”


ส่งยิ้มตาปิดแล้วคนพูดก็เข้ามายืนใกล้ๆ ยกสองแขนขาวขึ้นคล้องคอ เขย่งตัวขึ้นกดจูบหนักๆ ที่ปลายคาง กระซิบริมใบหูหนา

   

“รักซันๆ ที่สุดเลย”

   

จับปลายคางของเดือนขึ้นมาให้มารับจูบร้อนแรงจนเดือนต้องบ่นออกมาเบาเพราะกลัวจะไม่ได้ออกไปเที่ยวกัน


   
   


ปลายเดือนพฤศจิกายนตะวันลับขอบฟ้าไวขึ้น ตอนนี้เพิ่งเลยเวลาหกโมงเย็นมาไม่กี่นาที แต่ถนนทุกสาย รถทุกคันกลับต้องเปิดไฟกันหน้าเพราะความมืดที่มาเยือนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มสองคนขับรถมอเตอร์ไซค์คันเดิมออกจากหอพักใกล้มหาวิทยาลัย พอพ้นเขตมหาวิทยาลัยออกมาเข้ามาในตัวเมืองก็พบกับการจราจรที่เริ่มติดขัด แต่ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ทำให้สามารถซอกแซกไปได้อย่างไม่มีปัญหา


อากาศเย็นๆ พัดผ่าน แม้ว่าทั้งคู่จะสวมเสื้อหนังสีดำสนิท สายลมเย็นที่บาดผิวทำให้คนนั่งซ้อนขยับเข้ามากอดเอวไว้แน่น ส่งมอบความอบอุ่นให้กันและกัน




“ซันๆ ดู สวย”



จอดรถแล้วกำลังเก็บหมวกกันน็อค เดือนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ชี้ชวนให้ดูบางอย่างบนท้องฟ้า  โคมลอยพัดลอยตามสายลม สีมะลังมะเลืองของเปลวไฟตัดกับสำดำสนิทของท้องฟ้ายามค่ำคืนลูกแล้วลูกเล่า ทั้งที่เป็นภาพธรรมดาที่พบเห็นได้ทุกปีในวันยี่เป็ง แต่ภาพที่เดือนบอกให้ดูวันนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น สวยงาม และน่าค้นหายิ่งกว่าปีก่อนๆ 







“ไอ้คุณ!”


ฝันตะโกนร้องเรียกมาแต่ไกลพร้อมโบกมือหยอยๆ จุดนัดพบของค่ำคืนนี้คือร้านอาหารกึ่งผับที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยต้นไม้นานาพรรณ พร้อมกับแสงไฟส่ายไหวให้บรรยากาศราวกับอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ฝันนั่งอยู่กับเพื่อนอีกสี่ห้าคน โต๊ะหลายตัวถูกลากมาต่อกัน ขวดเบียร์วางอยู่หลายขวดและของกินเล่นสามสี่จาน ช่วงเวลาหัวค่ำในคืนเทศกาลภายในร้านตอนนี้เพิ่งมีอยู่ไม่กี่โต๊ะและแทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าตกดึกจะแน่นขนัดขนาดไหน
 

“มาช้าอะมึง”

“ช้าอะไร มาก่อนเวลานัดอีก” ฝันยื่นแก้วไพน์เย็นเจี๊ยบให้ กำลังจะคว้ามือไปรับกลับโดนมือเล็กที่ดูบอบบางตีดังเพี๊ยะ!


เจ็บ!


“ให้ซันจ๊ะ .... มึงรินเองเว้ย” ว่าพลางส่งยิ้มหวานให้ซันๆ ซะงั้น เจ้าตัวก็ดันหัวเราะร่วนแล้วยกขึ้นจิบเฉย สองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องร้องโอดโอยเพราะยังไงมันก็จะไม่ทำให้


“จะไปลอยกี่โมง” ยกมือทักทายเพื่อนคนอื่นกันเรียบร้อยก็หันกลับมาพูดกับไอ้ฝันต่อ
   

“ดึกๆ โน้นดิ เพิ่งทุ่มรีบเหรอมึง”

   

“เดือนมากินข้าวก่อนปะ” กำลังจะยกแก้วที่มีฟองฟอดขึ้นจิบ ซันๆ ก็เลื่อนจานข้าวสวยร้อนๆ เข้ามา เอ็นไก่ทอดกับคอหมูย่างวางพร้อม บอกขอบคุณก่อนจะลงมือกินอย่างไม่อิดออด
   

“คือดีงามอะ ซันๆ” จ้องเข้าไป หญิงสาวเพื่อนสนิทนั่งมองตาไม่กะพริบ
   

“ที่หยอดๆ น่ะ แฟนกูปะ” อีกคนก็ไม่สนอะไรนอกจากฟุตบอลบนจอมอนิเตอร์ตัวใหญ่
   

“อะไร กับเพื่อนมึงก็หึงเหรอ” ฝันหันมามองหน้า ถอนหายใจแบบเอือมระอาเต็มทน
   

“หึง” เดือนพยักหน้าตอบหงึกหงัก ทำเอาเพื่อนๆ ส่งเสียงโห่แซวทั้งโต๊ะ ซันๆ ที่พอรู้เรื่องก็ละสายตาจากจอโทรทัศน์ แล้วส่งยิ้มโชว์ลักยิ้มมาให้ นั่งจิบเบียร์ฟังเพลงกันไปเกือบสองทุ่ม ซันออกไปหาเพื่อนที่ร้านข้างๆ 

   

“เออมึง กูไปเจอเพลงหนึ่ง กูว่ามึงน่าจะชอบ”


   
ฝันขยับเข้ามาพูดด้วยเสียงอู้อี้ ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของน้ำเมาที่ดื่มกันแบบไม่ยั้ง แต่ยังคงสติเต็มร้อย ลวงเอาโทรศัพท์ออกมา เลื่อนๆ อยู่สักพักก็เอามาจ่อหู



เพลงที่ได้ยินทำเอาเขายิ้มตาม ทั้งจังหวะ ทำนองและเนื้อเพลง



...มันใช่...ชอบอย่างที่ฝันบอกจริงๆ ด้วย

   

“เอ้า... นี่กูโหลดมาละ มึงเอาไปจัดการเลย” ฝันยื่นโทรศัพท์ให้แล้วลุกไปคุยกับคนอื่นๆ

   

กดส่งเพลงผ่านบลูธูท ตั้งเป็นเพลงโปรด และเสียงรอสายเรียบร้อยก็เปิดฟังไปพร้อมรอยยิ้มอย่างถูกใจไม่รู้กี่รอบ



...รู้สึกว่าถูกมอง เงยหน้าขึ้นไปก็มีจริงๆ ด้วย คนที่นั่งโต๊ะถัดไปชูแก้วพร้อมส่งยิ้มแบบสื่อความหมายมาให้ ไม่ได้ตอบอะไร ก้มหน้าฟังเพลงเหมือนเดิม รอยยิ้มที่หายไปเพราะถูกรบกวนก็ปรากฏขึ้นใหม่เมื่อได้ยินเสียงเพลงจากมือถือเครื่องเล็ก

   

“เดือน” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือหัว เงยหน้าขึ้นมา พบว่าคนที่เรียกชื่อไม่ใช่คนที่รออยู่ ใบหน้าเปื้อนยิ้มจึงเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย
   

“ไม่ได้รู้จักกันอย่างเรียกชื่อนั้น” คนที่เข้ามาทักรูปร่างสูงใหญ่ รอยยิ้มที่ส่งมาบ่งบอกว่า ‘เคยรู้จัก’ กันมาก่อน ...แต่ก็นั่นแหละ จำไม่ได้หรอกว่าใคร
   

“เย็นชาจังนะ” ร่างใหญ่ยังคงตีมึน ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดตัดเยื้อใย ...เข้ามาทักทายแต่ถูกปฏิเสธด้วยการก้มเล่นโทรศัพท์ราวกับไม่มีตัวตน
   

“ดีใจจังที่ได้เจออีก ตัดผมแล้วก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ”
   

“...................”
   

“ถึงจะบอกว่า one night stand ก็เถอะ แต่-“ โดนขัดขึ้นเสียก่อน

   
“พอเถอะครับ...ถ้าอยากเป็นเพื่อนก็ได้แต่ฐานะอื่นไม่ได้จริงๆ” สายตาว่างเปล่าถูกส่งมา ทำให้คนเข้ามาง้องอนถึงกับพูดไม่ออก สบตากับสายตาแน่วแน่แล้ว แม้จะเจ็บแต่ก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้จึงได้เอ่ยถาม
   

“บอกได้ไหมว่า ใคร...คนที่เป็นตัวจริงน่ะ”

   


เว้นจังหวะให้ได้มีเวลาพักหายใจ เรียบเรียงความคิดก่อนจะตอบไปว่า
   


“ไม่มีตัวจริงหรือตัวปลอมหรอกครับ...มีหนึ่งเดียวมาตั้งแต่ต้น”



จบประโยคด้วยรอยยิ้มหวานที่คนฟังนึกว่ายิ้มให้ตนเอง แต่เมื่อมองดีๆ ไล่ตามสายตาก็พบว่าส่งยิ้มให้คนด้านหลังที่กำลังใกล้เข้ามา หันกลับไปมองจึงเห็น ชายหนุ่มร่างสูงกำยำ ผิวสีเข้มคนหนึ่งส่งยิ้มสว่างตอบกลับมาให้...คนนั้นเอง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของทั้งสองคนมีให้กัน คนนอกก็เหมือนถูกกันออกไปอยู่อีกโลกหนึ่ง

   

“หิวแล้ว...เหลืออะไรให้กินมั่ง” เขานั่งลงข้างเดือนที่ขยับให้ เลื่อนจานข้าวและกับข้าวหลายอย่างให้ทันทีที่คนนั้นพูดจบ

   

“เพื่อนเหรอ...หวัดดี”
   

เดือนส่งยิ้มให้ เหลือบมองมานิดหน่อย “เปล่า เพิ่งรู้จัก ... ซันๆ กินข้าวเร็ว เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมาแย่งนะ”
   

“กินด้วยกันไหมครับ”
   

คนที่เพิ่งรู้จัก กล่าวขอบคุณก่อนจะรีบขอตัวลุกออกไป

   

“แปลกๆ นะ หรือยังไง” ซันเหมือนจะติดใจคนแปลกหน้าเมื่อกี้ไม่น้อย
   

“เมาแล้วมั้ง” ซันพยักหน้าเห็นด้วยแล้วก็ทานอาหารต่ออย่างไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก

   
   



เกือบสี่ทุ่มเมื่อเพื่อนๆ มากันเกือบครบแล้ว ฝันก็ออกนำทุกคนไปข้างนอก เดินผ่านร้านค้าต่างๆ ไปตามถนนประมาณห้าร้อยเมตร ก็เป็นท่าน้ำที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน  เสียงประทัดดังขึ้นเป็นครั้งคราว พร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัว เดือนผวาตัวทุกครั้งที่เกิดเสียง ทั้งคู่เดินจับมือกันแน่น
   
   

“ซื้อแบบที่เป็นขนมปังหรือใบตองดี”

   

“ใบตองก็ได้มั้ง ป่านนี้ปลาคงหลับแล้ว หรือไม่ก็กินไม่ไหวแล้วแน่ๆ” ซันพูดติดตลกก่อนจะเดินไปซื้อกระทงใบตองมาตามความต้องการ

   

ขณะที่กำลังมองหาเพื่อนคนอื่นนั้น ฝันก็หันมาเจอพอดี มองกระทงในมือซันแล้วก็พยักหน้า

   

“ซื้ออันเดียวกันก็ดีนะ ซันๆ ฉลาดมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องกระทงหลงทาง อิอิ”

   

“ขอไฟแช็กหน่อย” ฝันเดินมาขอไฟ ส่ายหัวตอบ พอซันๆ บอกให้เลิกก็พยายามเลิกสูบจนตอนนี้เลิกได้แล้ว ซันๆ ยิ้มๆ มองมาก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบไฟแช็กออกมา
   

“เฮ้ย ทำไมมีล่ะ”
   

“เตรียมพร้อม” ซันๆ ยักคิ้วตอบ

   

เกือบห้านาทีแสงเทียนบนกระทงเล็กๆ ของกลุ่มเพื่อนก็ส่องสว่าง ทุกคนเงียบเพื่อขอขมาพระแม่คงคาและอธิษฐานขอพร

   

“เฮ้ยยยยยย รอด้วย” เสียงโหกเหวกโวยวายดังขึ้น และเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทุกคนหันไปมอง

   

“ไอ้เชี่ยกาย!!”


อย่าแปลกใจว่าทำไมกลุ่มเพื่อนๆ รู้จักกายหมด กายเป็นคนกว้างขวาง เคยไปช่วยงานสภานักศึกษาเสมอทำให้เป็นที่รู้จักของคนเกือบทั้งมหาวิทยาลัย ไม่เว้นคณะที่ค่อนข้างจะลึกลับอย่างวิจิตรศิลป์


กายหยุดหอบตรงหน้า สองมือเท้าหัวเข่า

“กูโทรมาไม่รับสักคน” บ่นโวยวายตามประสา
   

“แต่ก็มาถูก” ซันๆ ตอบโต้ ทำเอากายได้แต่ทำกรอกตา เพราะอับจนถ้อยคำ
   

“หวัดดีครับพี่” คนที่เดินตามมาทีหลังเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...แมน เด็กปีสองที่เข้ามาสนิทกับปีสามจนแทบจะนับเป็นกลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว

   

“มาช้าว่ะพวกมึง ทำไรกันอยู่วะ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยแซว มันจะไม่มีอะไรเลยถ้าอยู่ๆ กายไม่หน้าแดงขึ้นมาอย่างมีพิรุธกับแมนที่ยิ้มหน้าชื่นตาบาน รับคำโห่แซวล็อตใหญ่

   

ก่อนทั้งคู่จะหายไปซื้อกระทง จุดไฟ แล้วเราทั้งหมดจึงขอขมาและอธิษฐานพร้อมกันอีกครั้ง
   
   

กระทงใบตองทำท่าพลิกคว่ำพลิกหงายหลายหนเพราะความเชี่ยวของสายน้ำ คนลอยกระทงลุ้นอย่างใจหายใจคว่ำ กายหันซ้ายหันขวาคว้าไม้ไผ่ลำยาวที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทางขึ้นมา ค่อยยื่นไปเขี่ยกระทงที่ลอยไปติดกอสวะเบาๆ ทีละกระทง จนกระทงของเราทั้งหมดถูกสายน้ำพัดพาไปโดยสวัสดิภาพ

   

“นึกว่ากระทงจะคว่ำซะแล้ว” ฝันพูดขึ้นแล้วก็ถูกเพื่อนผลักหัวอย่างแรง
   

“ปากเสียเถอะมึง กระทงพวกเราลอยไปอย่างดีเลยเว้ย”
   

“เออโทษทีๆ เห็นน้ำนิ่งๆ ที่ไหนได้ไหลแรงเหมือนกันนิหว่า”
   

“เอ้า ยังไม่จบอีก เดี๋ยวกระทงมึงได้คว่ำจริงๆ ฝัน” พอเพื่อนขู่มาอย่างนั้นฝันถึงได้ร้องขอโทษขอโพยเพื่อนๆ ใหญ่

   

“ที่กูมาช้าเพราะไปซื้อ ‘นี่’ อยู่ต่างหากเว้ย พวกมึง” ขณะที่กำลังจะกลับร้านกันนั้น กายพูดขึ้นพร้อมชี้มือไปที่รถตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ท่าน้ำ แมนเดินไปหยิบกระดาษว่าววงกลมสีขาวขึ้นมา แล้วทุกคนก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ

   

“โคมลอย”

   

“เออ มาลอยโคม ลอยทุกข์ ลอยโศกกันเถอะ”
   

แมนค่อยๆ คลี่โคมลอยออกมาเป็นทรงกระบอก บริเวณปากโคมมีเชื้อเพลิงสำหรับจุดไฟพร้อมประทัดผูกเป็นสายไว้เรียบร้อย

   

“มาเร็ว” ทุกคนกรูเข้าไปจับโคมลอย ยืนล้อมเป็นวงกลมแล้วจับตัวโคมคนละมือ ซันๆ จุดไต้ แสงสีเหลืองนวลค่อยๆ ลุกแล้วเปลี่ยนเป็นเปลวไฟโหมแรง จนโคมลอยสีขาวเปลี่ยนเป็นสีสว่างของแสงไฟ
   

“จับไว้จนกว่าโคมมีแรงดันมากๆ จนจับไว้ไม่อยู่เลยนะ” เพื่อนคนหนึ่งพูดเตือนขึ้นมา
   

“เออ เมื่อกี้เห็นคนปล่อยก่อนที่โคมลอยจะพร้อมด้วย เกือบติดสายไฟ”
   

“ดีที่มาลอยนอกเมือง ไปตกในแม่น้ำนะ อย่าไปตกในที่ของใครล่ะ”
   


ถกเรื่องข่าวที่ทางการขอไม่ให้ปล่อยโคมในพื้นที่เมืองเรื่อยมาถึงปัญหาเศรษฐกิจเงินเฟ้อ กำลังจะไปเรื่องปัญหาวัยรุ่นเสียตัว ฝันก็ขัดขึ้น
   

“เริ่มได้ที่แล้ว อธิษฐานเร็วๆ”
   

โคมลอยที่จับไว้ปล่อยไอร้อนออกมาจนแทบจะจับไว้ไม่ไหว รู้สึกตึงๆ เพราะโคมใกล้จะลอยขึ้นเองได้แล้ว จนในที่สุดโคมลอยก็ร้อนมากจนจับไม่ไหว กายนับ หนึ่ง สอง สาม แล้วทุกคนก็ปล่อยมือ

   


โคมลอยลูกนั้นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลืนไปกับโคมลอยใบอื่นอีกหลายสิบลูกที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้ายามค่ำคืน พัดไปตามกระแสลม สีส้มของโคมลอยตัดกับสีขาวพราวพร่างของดวงดาว เมฆก้อนใหญ่ลอยผ่านไปเผยให้เห็นพระจันทร์วันเพ็ญส่องแสงเหลืองนวลเด่น   

   


“ขอให้ได้มาลอยกระทงกับเดือนทุกๆ ปี”

   


ซันๆ เข้ามากระซิบ กดริมฝีปากเข้ากับขมับอย่างเร็วๆ ขณะที่ทุกคนเงยหน้ามองโคมที่ลอยสูงขึ้นไปจนสุดสายตา กระซิบตอบไปว่า “เหมือนกัน”



   

เดินกลับมาที่ร้านก็พบว่าคนแน่นจนแทบจะเดินไม่ได้อย่างที่คาดการณ์ไว้ ดื่มกันอีกนิดหน่อยแล้วก็ขอตัวกลับเพราะวันพรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า

   

“แวะไปอ่างแก้วหน่อยไหม”
   

“ผ่านก็พอมั้ง ง่วงแล้ว” เอาหน้าถูกแผ่นหลังกว้าง ซันหัวเราะบอกรับทราบก่อนจะออกรถไป
   


เสียงประทัดดังแว่วมาจากระยะไกล อ่างแก้วในคืนลอยกระทงสว่างไสวแสงไฟหลากสีถูกประดับประดาอย่างสวยงาม เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานดังกลบสำเนียงเสียงธรรมชาติไปหมด รถเข็นหลายสิบคันจอดอยู่บนถนน คนทั่วไปและนักศึกษาเดินกันขวักไขว่
   


“ไม่จอดเนอะ” ซันๆ เอี้ยวตัวหันมาบอก กระชับวงแขนกับเอวสอบ วนรถรอบอ่างแล้วงจึงตรงกลับที่พัก



.


.



.




   


“เดือน อาบน้ำ”
   

“อืม เดี๋ยว”
   

บอกรอบที่สาม ได้ยินมาสามเดี๋ยวล่ะ อดไม่ได้เยี่ยมหน้าเข้าไปมอง หน้าจอมือถือไม่ได้แสดงอะไรพิเศษนอกจากหน้าจอที่แสดงว่ากำลังเล่นเพลงอยู่เท่านั้น

   

กำลังจะเอื้อมมือมาดึงหูฟังออก เดือนก็ดันขยับตัวลุกขึ้น ไปเตรียมตัวอาบน้ำซะก่อน
   

ใช้เวลาไม่นานเดือนก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมร้องเพลงหงุงหงิงในคอ

   

“วันนี้ร้องเพลงด้วย?”

   

“อารมณ์ดีน่ะ”


หันมาตอบก่อนจะจัดการกับกระปุกครีมตรงหน้ากระจกเพราะเข้าสู่ฤดูหนาว ผิวบอบบางของเดือนและซันจึงแตกลอกเป็นขุย แสบเวลาโดนน้ำ แม่ๆ แวะมาหาเมื่อสัปดาห์ก่อนพร้อมกระปุกครีมบำรุงหน้าสารพัดชนิดที่บังคับแกมขู่ให้ทั้งคู่ใช้อย่างสม่ำเสมอ พอแต่งตัวเสร็จแทนที่จะเข้ามาอ้อนเหมือนทุกวัน ไอ้ตัวเล็กกลับเดินไปหยิบมือถือมาเล่นต่อเฉย เสียบหูฟังด้วยนะ

   

จากที่ทำเป็นอ่านหนังสือในมือ ซันค่อยวางหนังสือลงบนโต๊ะญี่ปุ่นบนพื้นช้าๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีสนใจเลยก็ลุกขึ้นขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ จนมายืนอยู่หลังคนที่มัวแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ พอได้ระยะก็กดริมฝีปากจูบต้นคอขาว
   


เดือนสะดุ้งสุดตัวเพราะถูกจู่โจมแบบไม่รู้ตัวกะทันหัน เมื่อเห็นว่าเดือนหันมาแต่ยังไม่เลิกสนใจโทรศัพท์ก็ใช้ริมฝีปากของตัวเองงับเข้าที่สายหูฟัง ออกแรงดึงเบาๆ หูฟังข้างซ้ายก็หลุดออกไม่รอให้เดือนโวยวายก็เข้าจูบใบหูเล็ก
   


“ฮือ...”
   


ส่วนอ่อนไหวที่ถูกรุกรานทำเอาเดือนตัวอ่อนยวบ พยายามหันตัวหนีแต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะถูกกันไว้หมดแล้วทุกทาง

   

“ซันๆ เดี๋ยวก่อน”

   

สายหูฟังด้านขวาก็ถูกดึงออกด้วยวิธีการเดียวกัน ซุกไซร้ริมฝีปากจากใบหูลงมายังแนวกรามต่อไปยังต้นคอก่อนจะออกแรงเม้มเบาๆ ที่ฐานคอพอให้ผิวซีดขึ้นสี

   

“ทำอะไรอยู่”  ปล่อยให้คนที่พยายามหาทางมุดออกจากวงแขนแกร่งได้พักหายใจบ้าง
   


“..ฟะ ..ฟังเพลง ..ฮือ..” ก่อนจะเริ่มรุกรานทีละนิดจนกว่าพอใจ
   
   


“เพลงอะไร..สำคัญกว่าซันเหรอ”

   


ไม่ได้เป็นประโยคคำถาม พอร่างเล็กจะตอบคำตอบก็ถูกกลืนหายไปในลำคอพร้อมๆ กับริมฝีปากอุ่นจัดทาบทับลงมา ....นาทีนี้อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเท่าคนตรงหน้าอีกแล้ว

   


ริมฝีปากอุ่นจัดมอบจูบร้อนแรงทว่าเรียกร้อง และออดอ้อนมาให้ ร่างเล็กตอบกลับไปด้วยความร้อนแรงที่ไม่ต่างกัน อุณหภูมิในห้องพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สองมือหนาช่วงชิงในยามที่อีกฝ่ายเผลอปลดเอาโทรศัพท์ตัวปัญหาโยนไว้บนพรมหน้าโต๊ะกระจก เดินหน้ารุกคนตัวเล็กจนหงายหลังลงไปบนเตียง

   


เส้นผมสีดำสนิทกระจายบนผ้าปูที่นอน ดวงตาสีเข้มส่งประกายสุกใสวาบหวาม ริมฝีปากเป็นสีแดงก่ำเพราะถูกบดเบียดด้วยความเอาแต่ใจเมื่อครู่

   

เดือนยกสองแขนขึ้นสูง กดริมฝีปากล่าง กระซิบเสียงพร่า “มากอดหน่อย” เท่านั้นเอง ก็เปลี่ยนความคิดของซันที่หมายจะถามเรื่องที่เดือนเอาแต่เล่นโทรศัพท์ไปทันที

   


ร่างกายของคนตรงหน้ายังคงหอมหวานเหมือนครั้งแรกที่ได้ลิ้มรส ผิวกายซีดแต่ก็เนียนละเอียดทุกส่วนที่สัมผัส กล้ามเนื้อเล็กน้อยตามลำตัว แผ่นอกตึงเรียบ สองมือซุกซนที่ปัดป่ายไปตามร่างกายของเขา ใบหน้าแดงก่ำด้วยกามารมณ์ แรงตอบรับจากการรับเขาเข้าไปทั้งตัว เสียงกระเส่าแหบพร่า ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึกของเดือนที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดความอิ่มเอิบใจแก่เขาอย่างที่ไม่เคยเกิดกับใครมาก่อน
   




...เดือน ....เติมเขาเต็มทุกครั้ง
และเขาเชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป


    

เดือนนอนซบอยู่บนอกข้างซ้าย ใบหูขาวเอียงฟังเสียงจังหวะหัวใจ

   

“เมื้อกี้ฟังเพลงอะไร” ถามสิ่งที่ยังคงค้างคาใจ

   

“หืม?..” เสียงแหบพร่าของเดือนดังขึ้น “อย่าบอกว่าที่หึงตะกี้คือ..เพลง..เหรอ?”

   


“ก็ไม่สนใจซันเลยนี่” หึงเพลงจริงๆ นั่นแหละ หรือจะให้จริงที่สุดก็คือทุกอย่างที่ทำให้เดือนไม่สนใจเขา
เขาที่เป็นที่หนึ่งของเดือนเสมอมา

   

“..ฟอด..” เดือนยกตัวขึ้นมาหอมแก้ม ก่อนจะขยับตัวลุกไปสวมเสื้อนอนของเขา ไม่ต้องใส่กางเกงชายเสื้อยาวลงมาถึงต้นขา ก้มไปหยิบโทรศัพท์ที่ถูกโยนไว้แถวๆ พื้นขึ้นมา

   

เสียบหูฟังเข้าที่เขาหนึ่งข้าง เดือนฟังเองหนึ่งข้าง “ฟังดีๆ นะ” บอกยิ้มๆ ก่อนจะกดเล่นเพลง

   


เสียงกีตาร์ทำนองสดใสร่าเริงดังอย่างแผ่วเบาก่อนจะมีเสียงแหบหวานของนักร้องหญิง Elizabeth Mitchell ดังขึ้นตามจังหวะ
(เพลงประกอบ https://www.youtube.com/watch?v=1moWxHdTkT0 (https://www.youtube.com/watch?v=1moWxHdTkT0))





You are my sunshine, my only sunshine
You make me happy when skies are grey
You never know, dear, how much I love you
Please don't take my sunshine away


      


ดวงตะวันหนึ่งเดียวในห้อง ส่งยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน

   


I'll always love you and make you happy
If you will only say the same
But if you leave me to love another,
You'll regret it all one day





You are my sunshine, my only sunshine
You make me happy when skies are grey
You never know, dear, how much I love you
Please don't take my sunshine away

Please don't take my sunshine away






เสียงเพลงจบลงไปแล้ว ระหว่างเขาทั้งสองไม่มีคำพูดใดๆ เกิดขึ้น ดวงตาที่มองสบกันนั้นมีน้ำตาคลออยู่ในหน่วยตาทั้งคู่
ซันๆ โน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกชนกัน





“You are my sunshine, my only sunshine
You make me happy when skies are grey
You never know, dear, how much I love you
Please don't take my sunshine away

….Please don't take my sunshine away”





เดือนร้องเพลงนี้ออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา มันดังก้องไปในห้องที่เงียบสงัด ดังก้องมาจากหัวใจดวงเล็กที่เต้นกระหน่ำและหวังว่ามันจะดังก้องเข้าไปในหัวใจดวงโตของคนฟัง












“You are my moonlight, my only moonlight
You make me happy when I see you
You never knew, ‘DEOUN’, How much I love you
Please trust me, love me, my moonlight”






ซันกระซิบแผ่วเบาตอบมาด้วยเสียงกระซิบที่ดังไปถึงหัวใจ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลด้วยความซาบซึ้ง ทั้งๆ ที่คิดว่าจะเอาเพลงนี้มาให้ซันๆ ซึ้งแท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำให้เขาซึ้งกว่าเสียอย่างนั้น




ดวงตาสีนิลของซันเป็นประกายวาววับสะท้อนในห้องสลัว
ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งคู่จะสัมผัสกันอย่างแนบแน่น เสียงทุ้มกระซิบอย่างอ่อนหวาน




“I love you, with all my life…”






ซันจูบซับน้ำตาไว้ทุกหยด
กระชับอ้อมกอดลูบหลังเล็กที่สั่นไหว





กระซิบข้างหูตลอดคืนไม่ขาด







“รักนะครับ”


   






ซัน ดวงตะวันที่สดใสในยามเช้า ให้ความร้อนแรงยามกลางวัน ส่งมอบความอบอุ่นให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ขับไล่ความเหน็บหนาว ขจัดความมืดมิด นำพาแสงสว่าง และเป็นความหวังของทุกคน




เดือน พระจันทร์ที่สวยงามในคืนวันเพ็ญ เยือกเย็น อ่อนหวาน ทว่าโดดเดียว ในหนึ่งเดือนมีเพียงหนึ่งวันเท่านั้นที่พระจันทร์เต็มดวง ผู้คนพากันชี้ชวนให้มองพระจันทร์วันเพ็ญ จะมีใครกี่คนที่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของพระจันทร์ในคืนเดือนแรม 






เพราะตะวันแผดแสงแรงกล้าทุกเมื่อเชื่อวัน แม้ในวันของคืนเดือนแรม ความอบอุ่นที่แผ่ออกมานั้นทำให้เพราะจันทร์ขี้เหงาตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะมีหมู่ดาวน้อยใหญ่เข้ามาเกี้ยวพาราศีในคืนวันเพ็ญอย่างไร พระจันทร์ก็ยังคงซื่อสัตย์มั่งคงต่อดวงตะวันเสมอไปในทุกค่ำคืน







ขอให้ตะวันและเดือนอยู่เคียงคู่กันเสมอไป





The End


------------------------------------------
[28/01/2559]
เพลงประกอบ You are my sunshine – Elizabeth Mitchell เป็นเพลงที่ฟังปุ๊บคิดถึงคู่นี้ทันทีเลยค่ะ //โบกป้ายไฟ ซันๆ<3เดือน
ตอนจบแล้วขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ *กอด*
 :mew1:
Lavender’s blue
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 24) 28-01-2559 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 28-01-2016 20:56:20
 :pig4:

ร้องไห้ให้กับเดือน

เขียนดีมากค่ะ รอตามอ่านเรื่องใหม่นะคะ

(ตอนแรกนึกว่าเดือนจะไม่ได้ลงเอยกับซันซะแล้ว)  :katai1:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 24) 28-01-2559 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-01-2016 22:13:40
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 24) 28-01-2559 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: DE SaiKuNee ที่ 28-01-2016 23:15:36
 :L2: :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 24) 28-01-2559 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 29-01-2016 00:40:27
เรื่องนี้คือดีงามนะเนี้ยะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 1) 29-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 29-01-2016 19:35:39


Just Love ❤ รักนะครับ






ตอนพิเศษ 1



   


เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นพร้อมกับการเฮโลของนักเรียนจากห้องเรียนสู่สนามฟุตบอล บนทางเดินอาคารเรียนชั้นห้าเด็กชายผิวสีเข้มรูปร่างสูงเก้งก้างเพราะเพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น เดินออกมาจากห้องเรียนด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยต่างจากคนอื่นที่เร่งรีบลงอาคารให้ไวที่สุด

   


“ไอ้ซัน ไปเตะบอลกัน” เสียงตะโกนจากโก้เพื่อนร่วมห้อง ทำให้เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วชูสมุดบันทึกการเรียนเล่มใหญ่ให้ดู
   
   

“จองให้กูด้วย เดี๋ยวเอาบันทึกฯ ไปส่งก่อน”



เพื่อนโก้ยกมือทำท่ารับทราบแล้วรีบวิ่งลงบันไดจากไป เวลาไม่นานทางเดินบนอาคารเรียนก็ว่างเปล่า ห้องเรียนที่เคยมีเสียงดังโหวกเหวกกลับเงียบสงัดจนได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงโห่ฮาดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระรอกจากสนามหญ้าด้านล่าง มองไปจะเห็นนักเรียนทุกระดับชั้นชุมนุมกันอยู่อย่างครึกครื้นกับลูกบอลหลายลูกที่กลิ้งไปตามแรงเตะบนพื้นหญ้า

   

เด็กชายตะวันเดินไปยังบันไดทางทิศตะวันตก ลงมายังชั้นสี่แล้วจึงเดินไปทางทิศเหนือผ่านห้องชมรมต่างๆ ระหว่างทางเดินไปทางเชื่อมอาคารหนึ่งเพื่อส่งบันทึกการเรียนที่เขาถืออยู่ในมือ บรรยากาศของชั้นสี่ต่างจากชั้นห้า นักเรียนกระจายอยู่ทุกห้องชมรมมากบ้างน้อยบ้างตามความสนใจ


ความร้อนและแสงแดดจ้ายามเย็นที่ส่องเข้ามากินพื้นที่กว่าสองในสามของระเบียงทางเดินทำให้เขาต้องรีบเดินกว่าปกติ แต่เมื่อผ่านห้องชมรมศิลปะก็ผ่อนฝีเท้าลง พร้อมกับเหลือบสายตามองเข้าไปในห้องที่มีนักเรียนบางตากว่าห้องอื่นๆ ที่ผ่านมา

   


อยู่ตรงนั้น กำลังง่วงอยู่กับการผสมสีน้ำบนจานสี ในมุมที่เขามองเห็นนั้นแสงแดดสีส้มจัดยามเย็นส่องกระทบร่างขาวซีดพอดีทำให้ร่างนั้นราวกับเปล่งแสงด้วยตัวเอง ผมสีดำสนิทเป็นประกายสว่างยามต้องแสงอาทิตย์ ผมที่ทัดไว้ข้างหูเผยให้เสี้ยวหน้าด้านข้างและแก้มเนียนใสซึ่งในยามปกติเจ้าตัวจะปล่อยผมปรกไว้เสมอ ริมฝีปากยกน้อยๆ ที่มุมปากเพราะได้ทำในสิ่งที่ชอบ เพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆ นั่นก็ทำให้ใบหน้าติดจะเฉยชาเสมอสดใสขึ้นมาทันตา

   

ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปหา รุ่นพี่คนหนึ่งกลับเรียกอีกฝ่ายขึ้น ร่างสูงใหญ่ของเด็กมัธยมปลายโน้มตัวลงมาพูดอะไรบางอย่างที่ข้างหูเล็ก มันน่าโมโหตรงที่นอกจากจะไม่หลีกหนีปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากๆ แล้ว กลับส่งยิ้มหัวเราะไปกับฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย

   

ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมอยู่ๆ ถึงอารมณ์เสียกับภาพเพื่อนสนิทของตนเองที่มีท่าทีร่าเริงกับคนอื่นนอกเหนือไปจากยิ้มหัวเราะให้เขา



ตึง!




จังหวะที่เดินจากมาปลายเท้าชนเข้ากับขอบประตูเสียงดังเรียกความสนใจจากคนในห้องมาที่แหล่งกำเนิดเสียงทันที




“ซันๆ!”

 

นพคุณเรียกชื่อเขาเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นก้าวเร็วๆ มาหา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างที่เขามั่นใจว่าไม่มีใครได้รับแน่นอนช่วยปัดเปาอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่ลงได้บ้าง



“จะกลับแล้วเหรอ” คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามาถาม


“ยัง เอาบันทึกฯ ไปส่งห้องปกครองก่อน อยากกลับแล้ว?”




ทั้งที่อยากจะใจแข็งไม่ตอบคำถามเพราะโมโหที่ไปทำตัวสนิทสนมกับไอ้รุ่นพี่คนนั้นแท้ๆ แต่พอเห็นรอยยิ้มนี้แล้วก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้

   

“ก็ถ้าซันๆ จะกลับแล้วก็กลับ” พอได้ยินคำตอบนี้เขาต้องกดมุมปากไว้ไม่ให้หลุดยิ้มออกมา
   

“ขอแตะบอลก่อนงั้น” รอยยิ้มยังคงแตะแต้มใบหน้าเล็ก อารมณ์หงุดหงิดก็หายไปจึงอารมณ์ดีพอที่จะกลับไปเตะบอลตามที่นัดไว้กับเพื่อนได้อย่างสบายใจ
   


“อืม เลิกแล้วโทรมานะ รออยู่บนนี้แหละ”
   

“เปิดเสียงโทรศัพท์ด้วย ไปละ”
   
   


ย้ำเจ้าของโทรศัพท์อีกครั้งหมุนตัวออกเดินไปสองสามก้าวก็นึกขึ้นได้ หันไปบอกเพื่อนสนิทต่างสีผิวที่ยืนส่งเขาอยู่ยังไม่กลับเข้าห้อง
   
   


“ไอ้พี่หนุ่มน่ะ นิสัยไม่ดี เดือนอย่าไปสนิทกับมันล่ะ”

   

รีบเดินหนีปล่อยนพคุณยืนงงอยู่หน้าห้องชมรมศิลปะไว้เบื้องหลัง




.


.


.

   

“ช้าว่ะมึง” เพื่อนโก้ทักเมื่อเขาวิ่งเหยาะๆ ลงสนาม

   

“เอาบันทึกฯ ไปส่งไง” โยนกระเป๋านักเรียน ถอดเข็มขัดแล้วชายเสื้อนักเรียนสีขาวก็หลุดออกมาจากกางเกงสีน้ำเงินสด

   

“ไม่ใช่ว่าแวะไปคุยกับคุณเหรอ” ไอ้จ๊อบที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยพร้อมหลิ่วตาล้อๆ

   

“แล้วไง”




โดนล้อจนชินแล้วล่ะเรื่องเดือนกับเขาน่ะ ช่วงขึ้นมัธยมหนึ่งแรกๆ เขามองว่ามันเป็นเรื่องน่าอายและหงุดหงิดทุกครั้งที่ถูกล้อ เพื่อนเลยยิ่งพูดแซวกันใหญ่จนพอถึงปีนี้มัธยมสองเขากลับมองว่าดีแล้วที่เพื่อนล้อจนเป็นที่รู้กันทั่วโรงเรียน เพราะนั่นทำให้ปริมาณช็อคโกแล็ต ลูกอมและดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์ของเดือนลดลงไปบ้าง แม้จะแค่ห้าหกชิ้นก็ตาม

   


“ไม่มีไรคร้าบบบ เอ้าไอ้นัทออกล่ะ มึงลงเลยประธาน”

   
   


   
   


ผลัดกันเตะผลัดกันนั่งพักจนรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าต้นเดือนธันวาคมเวลาหกโมงเย็นก็มืดสนิทเสียแล้ว ร่างสูงผอมเก้งก้างก็ขอตัวเพื่อน คว้ากระเป๋านักเรียนที่โยนทิ้งไว้ข้างสนามวิ่งเข้าไปในอาคารเรียน ระหว่างรีบขึ้นบันไดแต่ละขั้นมือก็ค้นกระเป๋าหาโทรศัพท์มือถือไปด้วย


   

2 Missed Call
   


Deon  1
   
Mom 1

   


โทรศัพท์ขึ้นสายที่ไม่ได้รับสองสาย เบอร์หนึ่งเป็นของแม่สุดที่รัก อีกเบอร์เป็นของเดือนเพิ่งโทรมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

   


เขากดโทรกลับไปหาแม่ก่อนเพื่อที่จะบอกว่ากลับบ้านค่ำ ไม่ต้องรอทานข้าว แม่ก็รบเร้าให้กลับบ้านทันทีจนต้องบอกว่าจะหาข้าวเย็นทานข้างนอกกับเดือน แม่ถึงจะยอมวางสายไป

   


ขึ้นบันไดมาถึงชั้นสี่พอดี หลอดไฟจากบันไดทำให้เห็นทางเดินอาคารมืดสนิทยาวออกไปเหมือนไม่สิ้นสุด เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นกระเบื้องดังเป็นจังหวะ มันดังก้องไปในความเงียบที่มืดสนิท แสงสว่างหนึ่งเดียวในชั้นมาจากปลายทางเดินอีกฟากหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่ก็คือ แสงนั้นส่องสว่างออกมาจากห้องชมรมศิลปะ ไม่บอกก็รู้ว่าเดือนยังคงคอยเขาเหมือนที่บอกไว้เมื่อเย็นไม่ผิด

   

“เดือนกลับบ้านกะ--”

   

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้เขาชะงัก คนที่เขาเรียกนอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ศิลปะทั้งหลอดสี พู่กัน ม้วนกระดาษทั้งวาดแล้วและยังไม่ได้ใช้ ที่ทำให้เขาสะดุดคือร่างหนาของรุ่นพี่ที่ชะโงกเหนือร่างที่นอนอยู่ต่างหาก

   

เมื่อเห็นมีคนเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มสะดุ้งก่อนจะหันรีหันขวาง ยิ่งเห็นสายตากดดันจากรุ่นน้องผิวสีเข้มเลยยกมือขึ้นเกาแก้ม
   


“เอ่อ ... หวัดดีซัน” เอ่ยทักทายแก้เก้อ

   

“พี่หนุ่มจะทำอะไร” ถามออกไปด้วยเสียงกระชาก
   


“ปะ..เปล่า พี่แค่จะมาปลุกเดือนเฉยๆ” บอกปฏิเสธในตอนต้นแต่ก็ทนสายตาคมไม่ได้จึงรีบหาข้อแก้ตัวที่แม้แต่คนพูดเองก็ยังรู้ว่าโกหก 
   



“อย่าเรียกชื่อนั้น”

   


ตะวันเดินเข้ามาประชิดตัวรุ่นพี่ สองมือกำแน่นข่มความโมโห ชื่อเล่นของนพคุณที่ทุกคนรู้จักในโรงเรียนคือ ‘คุณ’ ชื่อ ‘เดือน’ นั้นเป็นชื่อสำหรับคนในครอบครัวเท่านั้น ครอบครัวเล็กๆ สองครอบครัวที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ นอกจากพ่อแม่แล้ว คนที่ยอมให้เรียกว่า ‘เดือน’ ก็มีเพียงเขา ‘ซันๆ’ คนเดียวอย่างที่เขายอมให้เดือนเรียกเหมือนกัน

   

“อ่า..พี่ไม่ตั้งใจ”

   

“พี่หนุ่ม..เป็น ‘พี่ชาย’ ที่ดีอยู่แล้วครับสำหรับ ‘คุณ’ ” ขีดเส้นสถานะให้ชัดเจน คนฟังจะได้รู้เสียทีว่าควรทำ ไม่ควรทำอะไรบ้าง

   

“หึ...เตะไม่ได้เลยนะคนนี้” หนุ่มรุ่นพี่ขยับตัวเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียน จังหวะที่กำลังก้าวออกประตู เขาหันมาบอกคนที่ยืนนิ่งอยู่ว่า

   



“ยังไงซันก็ดูแลคุณไม่ได้ตลอดหรอก”  ทิ้งคำพูดไว้ให้เขาเจ็บใจเล่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขารู้ดีว่าหากเจ้าตัวไม่ยินยอมให้ปกป้องแล้ว ต่อให้ขังเอาไว้ เดือนก็จะดึงดันดิ้นรนออกไปจนได้

   

คิดดังนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ คนที่หลับสนิท หยิบการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ขึ้นมาทำ รอเวลาให้คนขี้เซาตื่นขึ้นเอง

   

“อื้ออออ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด คนนอนหลับสนิทก็ขยับตัว หน้าผากย่นเป็นรอยแดงเพราะถูกกดทับไว้เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง

   

“อ่า ซันๆ ไม่ปลุกล่ะ” กะพริบตาถี่ๆ เห็นเพื่อนนั่งทำการบ้านรอข้างๆ แล้วก็บ่นออกมา

   

“เสร็จพอดี กลับเถอะ”


ขีดเส้นใต้ข้อสุดท้ายเก็บของใส่กระเป๋า แล้วลุกไปยืนรอตรงสวิตช์ไฟ รอให้เดือนหยิบกระเป๋าออกไปรอหน้าห้องแล้วปิดไฟ เดินลงบันไดไปพร้อมกัน สนามหญ้ายังมีนักเรียนหลายคนแตะฟุตบอลกันอยู่ประปราย เพื่อนสองสามคนตะโกนบอกลาเมื่อสองคนเดินผ่าน

   

“หิว” เมื่อเดินออกมาหน้าโรงเรียน เดือนกระตุกชายเสื้อ ชี้นิ้วไปทางร้านหมูปิ้ง
   

“นอนหลับแล้วยังหิวอีกนะ” เดินไปหยุดหน้าร้านหมูปิ้ง แล้วหันมาถามเพิ่ม “ข้าวเหนียวไหม” ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวจนผมกระจายเพราะเจ้าตัวปากไม่ว่าง คว้าหมูปิ้งไปกินทันทีที่คนขายใส่ถุงยื่นให้

   

“กินบะหมี่ไหม” ระหว่างยืนรอรถเมล์ คนตัวเล็กที่เงียบมาตลอดทางเพราะง่วนกับการกินหมูปิ้งก็พูดขึ้น

   

“อืม” 

   


ร้านบะหมี่รถเข็นตั้งอยู่อีกฝากของถนน บะหมี่หมูแดงส่งกลิ่นหอมโชยมาพร้อมกับกลิ่นกระเทียมเจียว ทำเอาคนที่ยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เที่ยงท้องร้อง ตะวันมองซ้ายขวา เดินเร็วๆ ผ่านหน้ามอเตอร์ไซค์ไปยืนกลางถนนได้สำเร็จ เขาข้ามไปอีกเลนไม่ได้เพราะรถวิ่งตลอดไม่มีจังหวะให้ก้าวไป



หันไปมองข้างๆ หมายจะคว้ามือของคนที่ข้ามถนนไม่เป็นเพื่อวิ่งข้ามไปยังร้านบะหมี่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขาข้ามถนนมาลำพัง หันหลังกลับไปเห็นเดือนส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาให้จากอีกฟากถนน 



“ข้ามมาเลย”


กวักมือเรียกคนที่ไม่กล้าข้ามถนนให้เดินตามมา เดือนก้าวขากล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ไม่ยอมข้ามสักที เขาหันกลับไปได้จังหวะรถว่างจึงรีบเดินข้ามถนนไปฝั่งร้านบะหมี่ทันที ทางม้าลายที่ข้ามกันนี้ไม่มีไฟสัญญาณกดให้คนข้าม ต้องข้ามด้วยตัวเองแต่ทั้งที่อยู่ตรงทางม้าลายแท้ๆ กลับไม่มีรถคันไหนหยุดให้คนตัวเล็กข้ามเลยสักคัน




ตะวันยืนกวักมืออยู่หน้าร้านบะหมี่ เดือนก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมเดินข้ามถนนมา เขาจึงหันไปสั่งบะหมี่สามชาม กำลังจะนั่งรอให้อีกฝ่ายข้ามมาเอง คุณลุงที่นั่งทานบะหมี่อยู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดหัวเราะขึ้นมาแล้วกระเซ้าว่า “ต้องข้ามกลับไปรับแล้วมั้ง ไอ้หนู”




 

ปรี๊น!!!
       
   


ไม่ทันขาดคำเสียงแตรรถก็ดังขึ้น เด็กหญิงที่ทานบะหมี่อยู่โต๊ะข้างกันสะดุ้งแล้วร้องไห้จ้า ใจของคนฟังหล่นไปที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าเดือนยืนตัวแข็งอยู่หน้ารถเก๋งเจ้าของเสียงแตร เจ้าของรถเปิดหน้าต่างออกมาตะโกนต่อว่า ร่างผอมจึงก้มหัวขอโทษขอโพยแล้วกระโดดขึ้นไปยืนบนทางเดินเท้าที่เดิม

   

เขาลุกขึ้นวิ่งมองซ้ายมองขวา ทำมือหยุดรถวิ่งข้ามถนนไปยังร่างที่ยืนอยู่

   

“เดือน!”

   

“ซันๆ” มือของเดือนเย็นเฉียบ คงจะตกใจไม่น้อย ฝ่ามือเริ่มกำแน่น ลมหายใจเริ่มสะดุดเป็นช่วงๆ
   


“ไม่เป็นไรแล้วๆ ซันๆ มาแล้ว อยู่กับเดือนแล้วนะ ขอโทษครับ ขอโทษนะ”

   


ถูฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันจนร้อนแล้วลูบไปตามแขนเรียวเล็กทั้งสองข้าง บีบย้ำๆ บริเวณฝ่ามือให้คลายตัว ปากก็พูดขอโทษซ้ำๆ

   


“เดือนดูโน้นๆ บนฟ้าๆ มีอะไร หายใจเข้า....หายใจออก” ลูบหลังพลางบีบนวดพลาง ชี้ไปยังท้องฟ้าสีเข้มด้านบน ก้อนเมฆใหญ่ถูกสายลมพัดลอยไป เผยให้เห็นจันทร์เสี้ยวสีเหลืองนวลเด่น

   

“พระ—จันทร์ ฮะฮา” ลมหายใจของเดือนยังคงติดขัด
   

“สวยไหม พระจันทร์สวยไหม”   
   

“สะ—สวย” บีบมือเป็นจังหวะให้เดือนหายใจตาม
   

“จริงเหรอ ...แล้วสวยเท่า ‘เดือน’ นี้ป่าว”
   

“ฮื้ออออ มะ—ใช่ละ ซะ-ซันๆ” เดือนสะบัดมือไปมาเองได้แล้ว มองหน้าเขาเป็นตัวประหลาด
   

“เป็นไง ดีขึ้นหรือยัง”
   

“อื้อ” เดือนยังคงต้องค่อยๆ หายใจแต่ก็ดีขึ้นมาก

   

“ขอโทษนะ”
   

“ไม่เอาแล้วนะ” ดวงตากลมใสต้องแสงไฟแวววาว

   

“ครับๆ ขอโทษ”

   


รอจนเดือนหายใจเป็นปกติ พร้อมแล้วก็คว้ามือผอมขาวมากุมไว้แน่น ก้าวลงไปยืนบนถนน รถยนต์วิ่งผ่านไปมาราวกับไม่เห็นนักเรียนสองคนที่ยืนจะข้ามถนนบนทางม้าลายแม้แต่น้อย ตะวันยกมือขึ้นห้ามรถเก๋งสีขาวที่แล่นมาช้ากว่าคันอื่น โค้งตัวเป็นการขอบคุณที่หยุดรถให้ดึงมือเดือนตามมาหยุดกลางถนน มองซ้ายขวาเตรียมตัวจะข้าม โชคดีที่แท็กซี่หยุดให้ก้มหัวขอบคุณ พาเดือนข้ามฝั่งมายังร้านบะหมี่ได้อย่างปลอดภัย

   

คุณลุงที่นั่งทานบะหมี่อยู่ส่งยิ้มให้ แม่ค้ารีบตักน้ำซุปใส่ชามบะหมี่แล้วยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว “กินเยอะๆ นะ ป้าให้พิเศษ”
   
   

“ขอบคุณครับ” กล่าวขอบคุณแล้วลงมือรับประทานบะหมี่ร้อนๆ ทันที หมดไปหนึ่งชาม เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเดือนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว บะหมี่ในชามพร่องลงไปเล็กน้อย

   

“เป็นอะไร ไม่หิวเหรอ” ขยับชามที่สองเข้ามาใกล้ คีบหมูแดงใส่ชามอีกฝ่ายเป็นการเอาใจ “เอ้า...ให้หมูแดง กินได้แล้ว”

   


“ขอบคุณนะซันๆ” ส่งรอยยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก เหงื่อชื้นตามไรผมจนเจ้าตัวต้องเอาผมทัดหูทั้งสองข้าง รอยยิ้มแบบนี้ทำให้ใบหน้าผ่องละมุนขึ้น ตรึงสายตาคนมองได้มากกว่ารอยยิ้มกว้างอย่างที่เห็นประจำเสียอีก

   

“รีบกินเลย..แม่น้องโทรตามแล้ว”

   


คืนนั้นกว่าทั้งสองคนจะถึงบ้านก็เกือบสี่ทุ่ม เขาโดนแม่บ่นงึมงำ โชคดีที่คิดถูกนั่งรถแท็กซี่ไปบ้านเดือนก่อน และให้แม่น้องขับรถมาส่งที่บ้านอีกที ไม่อย่างนั้นนอกจากเรื่องกลับบ้านดึกแล้ว เขาคงโดนว่าเรื่องทำให้เดือนเหลวไหลไปด้วยแน่ๆ


   


เวลาห้ามทุ่มกว่าเขาปิดไฟเตรียมตัวจะนอนแล้ว แต่แสงสีนวลที่ส่องสอดเข้ามาทางหน้าต่างข้างเตียงก็ดึงดูดให้เขาเดินไปหา เงยหน้าขึ้นไปเห็นพระจันทร์เสี้ยวดวงเดียวกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาใครบางคนชมว่าสวย

   


เขามองยังไงพระจันทร์สีนวลนั้นก็สวยไม่เท่าใบหน้างบอ้อยของเพื่อนสนิทยามต้องแสงเดือนเมื่อหัวค่ำจริงๆ



…………………………………..

[29/01/2559]
คิดนานมากว่าตอนพิเศษของสองหนุ่มจะเป็นช่วงไหนดี กลับไปอ่านดูแล้วรู้สึกไม่ค่อยได้เขียนถึงความผูกพันของสองคนนี้มากเท่าไร เลยเลือกช่วงม.ต้นที่สองคนกำลังจะปรับตัวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้นมาให้อ่านกันค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์ค่ะ ดีใจที่มีคนชอบนะคะ <3<3
 :กอด1:
Lavender’s blue <3
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 1) 29-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 29-01-2016 19:53:07
เสียดายจบซะแล้ว

 :pig4:

น้องเดือนกับซัน ดูแลกันไปตลอดนะครับ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 1) 29-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 30-01-2016 18:37:42
มุ้งมิ้งน่ารัก
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 1) 29-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-01-2016 18:57:16
 :katai2-1:   แน่นอน. เดือนไหนจะสวยงามเท่าเดือนของซันล่ะ
ขอบคุณมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 1) 29-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 31-01-2016 21:00:31
 o13
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 31-01-2016 21:20:16


Just Love ❤ รักนะครับ






ตอนพิเศษ 2




   


“นั่นๆ ไอ้เดียว โยนสูงๆ หน่อย”




เสียงแหบห้าวตะโกนจากข้างสนามพร้อมกับออกท่าทางเตะอากาศประกอบคำพูด ทำเอาคนที่ยืนอบอุ่นร่างกายอยู่ข้างๆ หันไปยิ้มกับท่าทางเกินจริงนั่น



“ส่งเลย เออดี! ไอ้วัชรรีบขึ้นมาเด้ โธ่ เตี่ยมึงเป็นเต่าหรือไงว้า ให้ไวหน่อยดิวะ” ว่าแล้วก็ใช้มือขยี้ทั้งหัวจนผมยุ่งกระจาย บ่นงึมงำกับตัวเอง คิ้วขมวดยู่ คนที่มองอยู่หลุดขำออกมา สายตาคมตวัดจ้องเขม่ง


“ขำกูนะไอ้สัด!”


รีบหุบยิ้ม แต่ก็ทำไม่ได้ ตอบไปตามจริง “ก็พี่ตลก”



กายจ้องตาไอ้เด็กบ้าที่หัวเราะเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปสนใจสนาม แต่ยังไม่วายบ่นกับตัวเองทำปากขมุบขมิบไปตามความเคยชิน ....จ้องตาสู้ไม่ได้ เรื่องด่าในใจนี่ชนะแน่นอน



“พอผมลงแล้ว มองผมคนเดียวก็พอแล้วนะพี่” ลมหายใจของอีกฝ่ายปะทะเข้าที่หลังใบหู สะดุ้งสุดตัวหันกลับไป ปลายจมูกก็เฉียดเข้ากับแก้มที่เอียงรออยู่ก่อนแล้ว



ปึก!



กำปั้นซัดเข้าที่อกเต็มๆ คนโดนยังมีหน้ามายิ้มตาปิดให้อีก ไม่เจ็บใช่มะ ได้เลย...



“เย็นนี้ ขอรางวัลด้วยนะครับ”



กำลังจะง้างมือซัดอีกรอบ ไอ้ตัวดีก็รีบบอกก่อนจะวิ่งไปยืนใกล้ๆ กรรมการรอเวลาเปลี่ยนตัว



วิศวะนำอยู่ 2 - 0 คิดว่าจะชนะก็ขอไปเหอะ!



แมนลงสนามไปแล้ว ทิ้งให้รุ่นพี่ยืนมองการแข่งขันอยู่ลำพัง น่าแปลกที่ท่าทางเกินจริงตั้งแต่เริ่มเกมหายไป เหลือเพียงท่ายืนกอดอกมองไปที่ผู้เล่นคนหนึ่งนิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่เจ้าตัวคงจะไม่รู้สึก




มันกล้าขอ เขาก็กล้าให้ว่ะ. . . ถ้าชนะ





.


.



.

   


แมนเดินหน้าหงอย เข้ามาหาหลังจากหมดเวลา 90 นาที 

   

“แพ้อะพี่กาย”

   

ดวงตาสีดำสนิทที่ปกติจะแพรวพราวอยู่เสมอหม่นแสงลง แมนเดินเข้ามาใกล้ระยะเอื้อมถึง สบตากันสักพักแล้วก้มหน้าไป

   

“เล่นกีฬาก็งี้ ผลัดกันแพ้ชนะ”

   

ผลเป็นไปตามคาด วิศวะชนะไป 2-1 หนึ่งลูกที่ตีไข่แตกเกิดจากการยิงประตูของไอ้แมนที่มาตีหน้าเศร้าอยู่ตรงหน้านี่แหละ

   

“ปะเลี้ยงปลอบใจ มึงอยากกินไร” พูดออกไปอีกเมื่อคนที่ก้มหน้านิดๆ ยังไม่มีท่าทีดีขึ้นจากคำพูดปลอบใจข้างบน

   

“พี่กายจะเลี้ยง” ไอ้แมนทำหน้าประหลาดใจสุดๆ แปลกตรงไหนวะ

   

“เออ หรือไม่กิน”

   

“กิน! ไปกินหมูกระทะกันนะพี่”
   

เท่านั้นแหละ ไอ้คนที่ทำหน้าเป็นหมาป่วยก็กลับมาดี๊ด๊า หูตั้งหางกระดิกเหมือนเดิม


   





“พี่กายจะเลี้ยงเหรอ ไปด้วยดิ!” ไอ้อ้นผู้รักษาประตูดันหูดีได้ยินเข้าพอดีก็รีบเสนอหน้าเข้ามา
   
“ไม่!” ไอ้แมนหันไปผลักหัวเพื่อน ท่าทางของพวกมันทำให้ตอนนี้คนอื่นเริ่มสนใจมากขึ้น
   
“โหไรวะมึง ให้พี่กายเลี้ยงมึงคนเดียวได้ไงหะ พี่พาผมไปด้วยดิ นะ” อ้นบ่นเพื่อนแล้วหันมาประจบ เสียงของมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ไอ้พวกที่เหลือเริ่มส่งเสียงชักชวนกันไปกันวุ่นวาย

   
“พวกมึงจะไปกินเหล้าไม่ใช่หรือไง” ไอ้แมนหันไปโวยวายกับเพื่อน

   
“เปลี่ยนใจละ กูอยากกินหมูกระทะ”
   
“ใช่ๆ อากาศเย็นๆ แบบนี้ไปกินหมูกระทะดีกว่า”
   
“พวกกูทำลายสุขภาพทุกวัน วันนี้อยากรักสุขภาพบ้าง”



และอีกหลายตีกันจนฟังไม่เป็นภาษา สุดท้ายไอ้แมนขบเขี้ยวเข่นฟันบอกเพื่อน “อย่าเห็นใครแดกเหล้านะมึง!”  แล้วต้อนเขาไปขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ก่อนจะขับออกไปยังร้านหมูกระทะด้วยความเร็ว


   



 

“หงุดหงิดไรเยอะแยะ”
   


ถึงร้านหมูกระทะ ไอ้แมนเดินไปอาหารจนล้นโต๊ะแล้วนั่งกินงุดๆ ไม่สนใจเพื่อนๆ มันที่เข้ามาชนแก้วบ้าง ชวนคุยเรื่องบอลที่เพิ่งเตะไปเมื่อครู่บ้างเลยแม้แต่น้อย
   

เหลือบตามขึ้นมามองแต่ไม่ตอบ สนใจพลิกหมูสามชั้นมากกว่ากูหรือไง! ยังดีที่พอหมูสุกได้ที่มันคีบมาใส่ถ้วยให้ไม่งั้นมีเฮ

   

“แมน” ลงเสียงหนักแล้วลากหางเสียงยาวๆ

   

“พี่กายกินผักบุ้งด้วยนะ” ก่อนที่มันจะคีบผักสีเขียวเข้มที่ต้มจนสุกมาใส่ถ้วย เขารีบเอามือป้องถ้วยของตัวเองไว้
   

“ไม่กิน!”
   

“เอ๋ พี่ไม่กินผักเหรอ” ทำไมรู้สึกเหมือนโดนมันว่า
   

“แค่ผักบุ้งเว้ย”
   

“นี่ล่ะครับ” ใช้ตะเกียบชี้ไปที่ผักอีกชนิดสีเขียวๆ บนกระทะ
   

“ไม่” ไอ้แมนทำแก้มป่อง ตาโต ชี้นิ้ววนๆ รอบกระทะ “ในกระทะนี้ทานผักอะไรครับ”
   



มองลงไปบนกระทะที่ส่งควันร้อนๆ หอมฉุย ด้านบนเต็มไปด้วยหมูสามชั้น หมูหมักพริกไทยดำ เบคอน ปลาหมึก กุ้งตัวจิ๋วกำลังเริ่มเป็นสีส้ม ข้างๆ คือส่วนของน้ำซุปผักใบเขียวครองพื้นที่เกิดครึ่ง หนึ่งส่วนเป็นพืชสีขาวที่น่าจะเป็นกะหล่ำกับเห็ด ลูกชิ้นกับปูอัดสองสามชิ้นลอยอยู่ข้างๆ

   

“นี่ กับ นี่”  ชี้ไปที่พืชสีขาว
   


“เห็ดกับกะหล่ำนะ เดี๋ยวผมไปหยิบเพิ่มให้” ว่าแล้วแมนก็ลุกไป ...เหมือนก่อนหน้าที่จะมาเรื่องที่เขาทานหรือไม่ทานผักอะไร ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้นี่หว่า...

   


“พี่กาย ยกหน่อยนะพี่” ไอ้เดียวยื่นแก้วน้ำสีเหลืองอำพันมาให้ ก่อนจะนั่งลงที่นั่งของไอ้แมน พวกนักฟุตบอลนั่งอยู่อีกฝากของร้านซึ่งต่อเป็นโต๊ะยาว ไอ้แมนไม่สนใจเพื่อนมันเดินมานั่งคนละฝั่งของร้านจนได้
   

“ยกให้น้องหน่อยนะพี่” มันพูดย้ำเมื่อเห็นว่าเขายังไม่ได้ดื่ม
   

“ไม่ยกมาทั้งขวดวะไอ้เดียว แก้วเดียวจะพอไร”
   

“ไว้ไปกินด้วยกันโต๊ะโน้นดิพี่”
   

“บอกเพื่อนมึงดิ” ตอนที่มันลากเขามานี่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้มันลากตามใจ
   

“แน่ะ เดี๋ยวนี้มีต้องถามกันด้วย” ไอ้เดียวยักคิ้วหลิ่วตาเป็นเชิงล้อเลียนมาให้
   

“เดี๋ยวมันงอแง” ไม่ได้ดั่งใจแล้วเดี๋ยวทำหน้าเป็นตูดอีก
   


“ดูจะไปได้ดีนะพี่”
   


คำถามเรียบๆ จากอีกฝ่ายทำให้เขาหยุดคิด เดียวเป็นเพื่อนสนิทแมน ไม่แปลกใจที่มันจะพอรู้เรื่องเขาอยู่บ้าง ถามว่า...ไปได้ดี...ไหมเหรอ มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้หรอก
 
   

“อืม”
   
   


“ของมันแน่นอนอยู่แล้วเว้ย!”
   


สะดุ้งเพราะอยู่ๆ ก็มีเสียงดังตะโกนขึ้นมาข้างๆ หู แมนโน้มตัวข้ามเก้าอี้มาวางของโดยที่สองแขนของมันคร่อมตัวเขาไว้ มองเผินๆ เหมือนโดนกอดไว้ข้างหลังชอบกล กลิ่นเหงื่อลอยจากท่ามกลางกลิ่นควันไฟ

   

“ทำหวงไปได้” เดียวหัวเราะกับท่าทางตลกของเพื่อน
   

“เยอะไปละ” เขาหันไปบอกไอ้ตัวฉวยโอกาสที่ตอนนี้เอาคางวางบนไหล่ สายตาจ้องเขม็งไปที่เพื่อนสนิทของตัวเอง ...พอเห็นว่าไม่ว่าอะไรนี่เอาใหญ่

   

“มึงมานั่งดีๆ” บอกแล้วก็ยังเฉยเลยยกมือขึ้นบีบไหล่กว้าง
   

“โอ้ย พี่กายอ่า อีกนิดเดียวจะครบสิบวิแล้วแท้ๆ” ไอ้แมนกระฟัดกระเฟียดมานั่งข้างๆ

   

“เอ้ามึง”ไอ้เดียวกลับไปใส่เหล้ามาอีกแก้วยื่นส่งให้แมน ไอ้แมนยิ้มกว้างแล้วยกซดรวดเดียวหมดแก้ว
   

“พวกมึงนี่กินกันโหดไปไหมวะ” เคยไปกินกับรุ่นพี่ตอนปีหนึ่งปีสองตอนนั้นเขายังกินเหล้าไม่เป็นด้วยซ้ำ เพิ่งเคยเห็นไอ้แมนมันกินเหล้าจริงๆ ก็วันนี้ ปกติไม่เคยสังเกต
   

“ฮ่าๆ นี่ยังเบาๆ ครับ”   
   

“ไปโต๊ะโน้นได้แล้วมั้งมึง” เหมือนเหล้าแก้วนั้นจะทำให้ไอ้แมนดีกับเพื่อน มันสบตาเป็นเชิงถาม เขาก็บอกยังไงก็ได้ สุดท้ายก็เลยย้ายโต๊ะไปรวมกัน


เพื่อนกลับมาดีกันแล้วคิดว่าเป็นไงครับ ไอ้แมนยกไปหลายสิบแก้ว จนตอนนี้ฟุบไปล่ะ เหลือเขากับเพื่อนมันอีกสองสามคนที่มีรถยนต์ไว้ ใช่ว่าไม่อยากกินนะ แต่ตอนที่เริ่มกึ่มๆ ไอ้แมนมาขอ เลยต้องเป็นคนเก็บศพมันไป  ..เห็นว่าวันนี้แพ้บอลหรอก
   

   

“พี่กายไหวป่าวเนี่ยพี่ ห่าแมนก็แดกไม่ดูเลย” ไอ้เดียวช่วยพยุง ไอ้แมนที่เมาเละมาส่งที่รถมอเตอร์ไซค์
   

“ไหวๆ มึงไปเถอะ เดี่ยวกูรอมันสร่างแล้วจะพากลับ”
   


ถึงขนาดร่างกายจะไม่ต่างกันมาก แต่แรงของคนเมานี่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เกิดพามันขึ้นรถกลับ แล้วดิ้นขึ้นมากลางทางนี่แย่แน่

   


ทิ้งไอ้แมนลงนั่งบนม้านั่งสักพัก ไอ้เดียวก็ขอตัวกลับ สายลมยามเย็นยามค่ำคืนโชยมาคลายความร้อนจากแอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายได้บ้าง หันไปมองไอ้แมนที่ตอนนี้หลับสนิทเกิดความหมั่นไส้ เอามือตบหน้าผากมันไปแรงๆ หนึ่งที
   

ป้าบ!
   


นอนนิ่งสนิท ถ้ารู้ว่ามันเมาแล้วหลับสนิทขนาดนี้ จับมอมเหล้าแล้วทำร้ายร่างกายมันไปนานล่ะ จมูกน่ะ โด่งมาใช่ไหม บีบแน่นๆ ให้มันขายอากาศ ตายไปเลย ฮะฮะฮะ

   

“ฮึม” คนเมาสะบัดหน้าหนีเมื่อถูกรบกวนหนักขึ้น
   
   

“รีบสร่างเร็วมึง ง่วงจะตายแล้ว” นาฬิกาบอกเวลาตีสองกว่าๆ ร้านหมูกระทะปิดไปแล้ว แสงไฟริมถนนส่องให้เห็นโครงหน้าของอีกฝ่ายรำไร เดินไปซื้อน้ำเย็นจัดที่ร้านสะดวกซื้อพร้อมยาแก้แฮงค์ จากนั้นจัดการราดน้ำเข้าที่ใบหน้าของอีกคนเมาเต็มๆ

   

“เฮ้ย!”
    
   

ไอ้แมนสะดุ้งสุดตัวกระโดดขึ้นยืน พร้อมสะบัดหน้าไปมา มันมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าใครสาดน้ำก็ถามเสียงอ่อน
   

“สาดผมทำไมอ่าพี่”
   

“สร่างแล้วขึ้นรถ กูง่วงละ” โยนถุงของที่ซื้อมาให้ แล้วเดินไปติดรถมอเตอร์ไซค์รอ

   

“เอ้าเร็ว ไม่ไปกูทิ้ง” ไอ้แมนยังคงมึนๆ อยู่หน่อย พอได้ยินประโยคนี้ก็รีบมาซ้อน รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปบนท้องถนนกลางดึกที่เงียบสงัด ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงหอพักของเขา

   


เดินเข้าไปอาบน้ำ ทิ้งคนเพิ่งสร่างเมาไว้ในห้องลำพัง แมนมองถุงพลาสติกในมือ เปิดดูพบว่ามีน้ำเปล่า ยาแก้แฮงค์ นม แล้วก็ขนมปังอีกสองสามชิ้น
   


เขาเอานมกับขนมปังใส่ตู้เย็น ก่อนจะกินยา เดินไปนอกระเบียงมองท้องฟ้ายามค่ำคืน อากาศเย็นๆ กับสายลมอ่อนๆ ทำให้อาการปวดหัวเพราะดื่มเหล้าหายไปเกือบจะเป็นปกติ

   


ล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ออกมาคาบไว้ในปาก ควานหาไฟแช็กตามตัวแต่ไม่เจอ
   



ฟุบ!
   
   


กลิ่นสบู่บางเบาหายไป แทนที่ด้วยกลิ่นบุหรี่ลอยฟุ้งไปในอากาศ นิ้วเรียวคีบบุหรี่เข้าปาก พ่นควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ข้างๆ กัน ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่

   


“หันมาสิ” เสียงทุ้มกล่าวขึ้น หันไปมองก็พบว่าคนที่เข้าไปอาบน้ำสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงบอลยืนเท้าแขนกับระเบียง มือหนึ่งคีบบุหรี่ อีกมือเคาะไฟแช็กเล่น เขาขยับตัวเข้าโน้มใบหน้าลงด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะจุดไฟให้
   
   

กลิ่นสบู่อ่อนๆ ทำให้เขาลืมตาขึ้นและพบว่าใบหน้าของพวกเขาอยู่ใกล้กันเกินไป จังหวะหัวใจเต้นผิดปรกติ ขณะที่กำลังคิดจะถอยห่างมือของอีกคนก็คว้าลำคอของเขาไว้ ริมฝีปากบางฉกเข้ามาใกล้ กัดเบาๆ ให้เผยปาก แล้วปล่อยควันที่อัดแน่นเข้ามาช้าๆ

   

“ฮึ่ม” จนหมดลมหายใจอีกฝ่ายก็ผละออก ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม ดื่มด่ำบรรยากาศกึ่งดิบกึ่งอ่อนหวานไว้จนพอใจแล้วจึงเอ่ย

   

“เมื่อกี้ เป็นรางวัลหรือเปล่าครับ”
   

“คิดว่าไง” ไม่หันหน้ามาตอบแต่กลับหยิบบุหรี่ขึ้นสูบ เขาคว้ามืออีกฝ่ายไว้ทันก่อนมวนบุหรี่จะสัมผัสริมฝีปากของเจ้าตัว
   

“คิดว่ายังไม่ใช่ครับ”
   



กระซิบชิดริมฝีปากแล้วแนบลงไปสนิท กดแช่ไว้ก่อนจะเริ่มขยับ กลิ่นนิโคตินกับริมฝีปากอุ่นๆ ปลุกอารมณ์ดิบขึ้นมาช้าๆ กัดริมฝีปากล่างแล้วดึงเบาๆ ก่อนจะส่งลิ้นไล้รอบขอบปาก ไม่มีท่าทีที่จะรุกรานเข้าไปจนอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวออกถึงได้คว้าลำคอแกร่ง ส่งนิ้วไล่ไปตามแนวกราม นวดลูกกระเดือกพอเผลออ้าปาก ลิ้นร้อนก็ไม่รอช้าเข้าไปกวาดต้อน ตักตวง และท้าทายทันที

   

บุหรี่ในมือกายร่วงลงกับพื้นเพราะมือที่คีบไว้ปล่อยทิ้งอย่างไม่ใยดี กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นบุหรี่ตีกันคลุ้ง สองมือแนบแก้มของคนที่ตะบบจูบ ปล่อยให้ร่างกายโดนรุกรานอย่างที่ไม่เคยยอมมาก่อน แผ่นหลังสัมผัสกับระเบียงเย็นชืด จนเมื่อมือของอีกฝ่ายเริ่มเลื้อยต่ำลงเกือบถึงกึ่งกลางลำตัวก็ขยับตัวประท้วง
   


แมนได้สติรีบย้ายมือของตัวเองขึ้นมาคล้องคอ แนบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง งับริมฝีปากเล่นอยู่อย่างนั้นจนเมื่อพายุอารมณ์สงบ จึงกระซิบหลังใบหูแล้วผละไปทำความสะอาดร่างกาย

   


“แปะไว้ก่อนเนอะ”

   
   


ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำ ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดแล้ว แสงสว่างรำไรจากถนนพาคนอาบน้ำช้าขึ้นมาบนเตียง ล้มตัวลงนอนให้เบาที่สุดเพราะกลัวปลุกคนที่นอนหลับไปแล้ว ขยับเข้าไปนอนข้างๆ
   

ทั้งที่ปกติรู้ว่าไม่มีทางที่จะยอม แต่วันนี้กลับกล้าที่จะยกมือขึ้นกอดเอวร่างที่นอนอยู่ ยกตัวขึ้นบอก “ราตรีสวัสดิ์” ชิดใบหู
   

“อืม” เสียงตอบกลับมาพร้อมกับมือที่ยกขึ้นมากระชับมือเขาที่กอดตัวเองเอาไว้ เพียงเท่านั้น แมนก็ยิ้มออกมาราวกับคนบ้า

   

“พี่กาย...รักนะครับ”
   


“อืม ...นอนได้แล้ว”

   


ทิ้งตัวลงนอน แนบริมฝีปากลงบนหลังคอ กระชับอ้อมแขน ก่อนจะพล่อยหลับไปพร้อมรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่หากคนในทีมรู้เขาคงโดนกระทืบตาย

   




...ถ้ารู้ว่าแข่งบอลแพ้แล้วพี่กายจะใจดีแบบนี้


แพ้ไปตั้งแต่นัดแรกแล้ว...






The End
--------------------------------------------------
[31/01/59]
แฮ่ ตอนพิเศษหมดแล้ว เพราะความขี้เกียจของคนเขียนเอง XD
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :pig4:
Lavender’s blue <3
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 01-02-2016 01:25:50
ตกลงคู่นี้ใครกอดใครคะ ???
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 02-02-2016 11:09:37
หูย นั่นดิ่จบแล้วอ่ะ แล้วแมนกายนี่ใครเป็นฝ่ายกอด
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 05-02-2016 01:31:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: packy ที่ 05-02-2016 15:31:39
ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้คู่กันซะแล้ว
เศร้ารอเลย ยังดีที่ตอนท้ายมุ้งมิ้งกันบ้าง
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 14-07-2016 11:18:32
ซัน ๆ - เดือน น่ารักมากครับ แม้ตอนช่วงต้นจะหน่วง ๆ ไปบ้าง

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 18-12-2017 19:14:23
เรื่องนี้มันก็จะหม่นๆหน่อยๆ มาเจอเรื่องนี้เอาตอนนี้ 555 สนุกดีค่ะ ชอบเดือนนะ ถึงแม้แรกๆจะทำตัวไม่ดีแต่ทุกคนที่เข้ามาคือตัวแทนของซันๆหมดเลย เข้าใจเดือนทุกอย่างเลย คู่แมนกายนี่กล้ามชนกล้ามใช่มั้ย ฮือออ ดิบๆดีอ่ะ ชอบๆๆๆ o18
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 01-03-2018 08:32:18
โง้ยยยยยสนุกมากเลยค่า ถึงแรกๆจะหม่นๆ เทาๆไปบ้าง แต่หลังๆหวานชื่น ชอบค่าา
หัวข้อ: Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 23-02-2020 18:55:58
อ่านหน้าแรกจบละกำลังจะหน้าสอง คือเดือนแอบชอบซันแต่คิดว่าตัวเองไม่ดีพองี้หลอ ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ดีพอแล้วทำไมต้องทำให้มันเละเทะไปกว่าเดิมด้วยอะ งงมาก เราไม่ชอบนิสัยเดือนเท่สไหร่ ถึงจะรู้ต้นสายปลายเหตุก็ยังไม่ค่อยชอบอยู่ดี