พิมพ์หน้านี้ - The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:29:33

หัวข้อ: The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:29:33
บอกกล่าว..
จริงเรื่องนี้ผมเคยเอาไปลงที่เด็กดี และธัญวลัย ก็ได้รับการตอบรับในระดับหนึ่งไม่มากนัก ก็เลยอยากจะเอามาฝากให้เพื่อนๆอ่านเล่นกัน เผื่อใครจะไม่ค่อยได้ไปอ่านที่บอร์ดอื่นจะได้มาอ่านกัน

นำเรื่อง

เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวของนายจุ๊ย(ถ้าเป็นจีนแต้จิ๋วจะเป็นจุ้ย.. แต่ผมสะกดผิดเอาไว้ ขี้เกียจแก้ที่หลังเลยปล่อยเลยตามเลย)  เขาเป็นนักดนตรีที่มากไปด้วยพรสวรรค์ แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะเรียนต่างประเทศเพราะต้องการอยู่ช่วยเหลือครอบครัวที่มี พ่อ พี่ชาย น้องชาย และน้องสาว
โป้งเป็นคนร่าเริง และตลก จึงเป็นที่ถูกใจของทั้งหญิงและชายมากมายที่อยู่รอบตัวเขา แต่เขากลับรักคนแค่สองคนเท่านั้น  คือคนที่จากไปแล้ว และคนที่กำลังจะเข้ามา.. จุ๊ยจะทิ้งอดีตได้หรือไม่ หรือจะจมปลักกับอดีตมาติดตามกันนะครับ

โดยเรื่องจะไม่เน้นเซ็กซ์ ดันนั้นถ้าใครคาดหวังว่าจะเห็นฉากหวือหวาจากเรื่องนี้อาจผิดหวังได้นะครับ..  และเรื่องนี้แต่งจบไปแล้วครับ  ดังนั้นมันจะยาวมาก เอาเป็นว่าผมจะลงให้ทีละยี่สิบตอนไปเลยแล้วกันนะครับ..

คำติชมคือกำลังใจครับ ไม่ว่าจะติหรือจะชม เป็นสิ่งที่ทำให้ผมทราบว่าท่านติดตามอ่าน  ผมหวังว่าจะได้รับจากทุกท่านด้วยความยินดี

ขอใหสนุกกับเรื่องราวนี้นะครับ.. The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ

Mr. Valentin
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:32:29
ตอนที่ 1 จุ๊ยแปลว่าน้ำ เด็กผู้ชายชื่อนายจุ๊ย

พัดลมเพดานส่งเสียงครางต่ำๆราวกับอุทธรณ์ถึงอายุของมัน  จนเด็กหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับสมุดบัญชีและเอกสารวางบิลมากมายต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“ชิบหาย... บางที ไอ้หูเรานี่แมร่งก็ดีเกิน” เด็กหนุ่มบ่น  มองพัดลมที่หมุนเอื่อยๆ
“ลุงพัดลมคร๊าบ ผมรู้ว่าลุงเหนื่อยมาทั้งวัน  แต่ผมต้องทำให้เสร็จครับ  ผมสัญญาว่าจะเช็ดลุงจนสะอาดวันเสาร์นี้แน่นอนครับ  อย่าบ่นนักเลย  ผมมันหูดีเกิน ได้ยินลุงบ่นทุกคำเลย”
เหมือนจะคุยกันรู้เรื่อง  พัดลมก็หยุดส่งเสียงครางไปเฉยๆ  เด็กหนุ่มทำท่าสะดุ้ง  แล้วก็โคลงหัวเบาๆก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ
“ขอบคุณคร๊าบผม”
นานเท่าไหร่ไม่รู้  แต่รู้ตัวอีกทีก็คือเมื่อเสียงวางขาร่มดังสะท้อนของอาแปะขายน้ำเต้าหู้ดังมาบอกเวลาประจำวัน
“อ้าว...” เด็กหนุ่มหันมองนาฬิกาเรือนเก่าที่แขวนไว้บนผนังหลังหัวของเขา
“เช้าซะละไม่ได้ต้องนอนกันพอดี  ดีนะเสร็จแล้ว”
แล้วเด็กหนุ่มก็เก็บข้าวบนโต๊ะใส่ลิ้นชัก  จากนั้นก็ลุกขี้นบิดไล่ขี้เกียจก่อนจะเดินฮัมเพลงบรรเลงคลาสิคของ Joseph Haydn The Finale of the symphony no. 82 เดินเข้าไปในครัว
“จุ๊ย” เสียงเรียกดังมาจากชั้นลอย
“ครับป๊า”  เขาขาน
“ซาอี้(น้าสาวคนที่สาม)ของลื้อเอาบะจ่างมา  เอาออกมาอุ่นนะ”
เด็กหนุ่มมองลงมาเห็นถุงบะจ่างที่ว่าในชั้นล่างสุด
“ครับ ผมเห็นแล้วครับ” เด็กหนุ่มตอบออกไป


อุ่นเสร็จก็ต้องเอามาแกะใส่จาน จากนั้นก็ยกออกมาด้านนอก  เขาวางจานแล้ววิ่งไปแย่งไม้สอยจากมือบิดา
“เดี่ยวจุ๊ยทำเอง ป๊าไปกินบะจ่างนะครับ  ผมอุ่นวางไว้บนโต๊ะแล้ว”
บิดามองหน้าบุตรชายก่อนจะเดินเข้าไป
นี่คือกิจวัตรของจุ๊ย  ตอนเช้าเขาต้องมีหน้าที่เอาสินค้าภายในร้านขายเครื่องเหล็กและอะไหล่ออกมาเรียงหน้าร้าน  แม้จะหนักแต่ก็ไม่มีจำนวนมากเท่าไหร่ที่ต้องเอาออกมา ก็แค่เอาของพวกตัวอย่างท่อและข้าวของอีกหลายชิ้นออกมาแขวนด้านนอกเพื่อให้ ลูกค้ามองเห็น  เข็นลังของออกมาอีกสองสามลัง อุปกรณ์ก่อสร้างชิ้นใหญ่ๆอีกนิดหน่อย แล้วก็เสร็จ  จากนั้นก็กวาดหน้าร้าน และทำความสะอาดขี้แมว
“ห่าเอ้ยเห็นหน้าบ้านกูเป็นส้วมหรือไง” จุ๊ยบ่นขณะเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาหยิบแล้วห่อ
“เหม็นฉิบหาย... แมวบ้านี่ อย่าให้เจอตัวนะ  จับเอาลวดร้อยตูด ให้ไม่ต้องขี้ไปตลอดชาติเลย”
เดินเข้ามาภายในบ้าน  บิดากำลังนั่งตรวจสมุดบัญชีที่จุ๊ยพึ่งทำเสร็จเมื่อคืน
“ป๊าครับ  วันนี้ผมต้องซ้อมถึงดึกนะครับ  เพราะอาทิตย์หน้าเราจะไปประกวดชิงแชมป์ประเทศไทยแล้ว”
บิดาเหลือบมองหน้าลูกชาย  แล้วก็ตอบว่าอืมแค่คำเดียว
จุ๊ยก็เลยเดินต่อเข้าไปกำลังจะเลี้ยวขึ้นบันได หนุ่มร่างสูงก็วิ่งสวนลงมา
“ขอโทษจุ๊ย” แล้วก็หันไปคว้ารองเท้าบนชั้นตรงหน้าครัว
“ผมอุ่นบะจ่างให้แล้วเฮียตี้กินก่อนไหมครับ” จุ๊ยถาม
ตี้หันมาทำหน้าเซ็งเบื่อ
“ไม่เอาล่ะจุ๊ย  มันเลี่ยนจะตาย เฮียไปกินที่ ม.ดีกว่า”
แล้วเขาก็เดินฉับๆออกไป
“ผมไปแล้วนะป๊า”
“เออ.. แล้วตอนเย็นจะกลับมากินข้าวไหม  อั๊วจ้างแปะซาตุ๋นซุปไก่โสมมาให้  ดื่มบำรุงสมอง ใกล้จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ” บิดากล่าวแก่ลูกชายคนโต
“โอ๊ย ป๊า  ซุปไก่มันมีประโยชน์จริงๆที่ไหนเล่า  ผมมีLab ตอนเย็น  คงกลับมากินข้าวเย็นไม่ทันนะครับ”
จุ๊ยมองเห็นแต่พี่ชายคว้ากุญแจรถจากบนโต๊ะแล้วเดินออกไป
เขาก็เลยเดินต่อขึ้นบันได
“อาซัวล่ะจุ๊ย” เสียงป๋าตามไล่หลังมา
“เดี่ยวผมไปปลุกครับ” จุ๊ยตอบ
 
 ครอบครัวของเขาในตอนนี้มีสมาชิกอยู่ห้าคน  บิดา พี่ชายคนโตเฮียตี้ นักศึกษาแพทย์ปีสี่ ตัวเขาเองนักเรียนมัธยมหก  และน้องชายน้องสาวฝาแฝดอีกสองคน  ซัวกับฮัว แต่ฮัวถูกส่งไปอยู่กับยี่อี้(น้าสาวคนรอง) ที่ระยองตั้งแต่เด็กๆ เพราะคำทำนายของหมอดูว่าซัวกับฮัวแม้เป็นฝาแฝดแต่ดวงขัดกัน  ถ้าหากอยู่ด้วยกันจะมีใครคนหนึ่งต้องตาย  แม้ป๊าจะไม่ใช่คนเชื่อเรื่องพวกนี้อย่างฝังหัว  แต่ก็ทำตามคำแนะนำนั้น  ส่วนซัว...น้องชายที่อายุห่างกับจุ๊ยแค่สองปีนั้น...
“ไอ้ซัว มึงนอนกินบ้านกินเมืองแข่งกับนักการเมืองหรือไงวะ  นี่มันกี่โมงแล้วไม่ไปโรงเรียนเหรอ”  จุ๊ยร้องพร้อมเคาะประตู
เงียบ
เงียบสำหรับคนอื่น... แต่หูดีเกินขีดมาตรฐานของจุ๊ยได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายใน  และได้ยินเสียงสนทนากัน เป็นเสียงของซัว กับ...
“ไอ้ซัวเปิดประตู” จุ๊ยส่งเสียงเข้มเด็ดขาด
ซัวเรียนโรงเรียนอาชีวะ เพราะเขาไม่ชอบสนใจการเรียนตามแผนของมัธยม  แล้วก็เป็นเด็กที่หัวแข็งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็เลยรู้สึกขบถกับความคิดของป๊าที่อยากจะให้เรียนต่อสายสามัญ
แต่ตั้งแต่ซัวเข้าโรงเรียนอาชีวะ ก็มักจะกลับบ้านดึกๆ  เริ่มสูบบุหรี่และกินเหล้า
ประตูเปิดออกตามคำสั่ง
“เฮียจุ๊ย” ซัวยิ้มอ้อนๆในแบบที่จุ๊ยอ่านออกว่าต้องมีอะไรร้องขอ
เขาค่อยๆเปิดประตูให้จุ๊ยเห็นภายใน
บนเตียงมีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งอยู่ ยกมือไหว้เขาอย่างเก้งๆกังๆเพราะเขิน
“ไอ้ซัวนี่มัน” จุ๊ยหลุดปากออกไปเสียงดัง
“เฮียเบาๆดี๊  เดี่ยวป๊าได้ยิน” ซัวปิดปากจุ๊ยแล้วลากเข้ามาภายในห้อง
“เฮียต้องช่วยผมนะ  ก็เฮียนั้นหล่ะผิด”
จุ๊ยทำตาโต
“อ้าวไอ้ห่า กูผิดยังไง... นี่มึงพาลูกสาวบ้านไหนก็ไม่รู้มาบ้าน เสือกมาบอกว่ากูผิด กูเป็นคนฉุดเขามาหรือไง” จุ๊ยเอ็ด
“ก็เมื่อคืนผมกะว่าจะแอบพาออกไปตอนตีสอง แต่เฮียดันตื่นมาตอนนั้น  ผมก็เลยกลัวเฮียจะโวยจนป๊ารู้ก็เลย... ไม่กล้าออก” ซัวพูดทั้งทำหน้าจ๋อยๆ
ดวงหน้าของซัวคมคายแบบหล่อเหลา  เป็นตี๋หล่อที่เนื้อหอมพอสมควร...
เขาถอนหายใจ
“เฮียช่วยผมนะ” ซัวเกาะแขนจุ๊ยออดอ้อนในแบบที่ทำเสมอกับจุ๊ยเวลาจะขอความช่วยเหลือจากจุ๊ย
จุ๊ยมองหน้าเด็กสาวก่อนทีนึง  นึกอยากจะถีบน้องชายสักทีแต่ก็เกรงใจเด็กสาว
“ครั้งเดียวนะ... อย่าให้มีครั้งที่สอง “จุ๊ยชี้หน้าน้องชาย
“แล้วเราน่ะ อย่าคิดว่าไอ้ซัวมันจะจริงจัง เรียนหนังสือหนังหาดีกว่า อายุเท่าไหร่แล้วนี่  ดูเหมือนยังม.ต้น  เรียนหนังสือหนังหาดีกว่านะน้อง  อย่ามาหลงหน้าหล่อๆของไอ้นี่มาก ไอ้นี่มันเมียเยอะ”  จุ๊ยเผาน้องชายซึ่งหน้า  แล้วก็เดินออกมา


บนรถเมล์ที่มีผู้โดยสารแน่นขนัด  จุ๊ยยืนชิดกับเด็กสาวผิวขาวเนียน ผมยาวสลวยรวบมัดอย่างเรียบร้อย  ชุดนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังเรียบกริบ และถูกระเบียบแป๊ะ
“ซัวนี่ร้ายกาจจริงๆ นี่ถ้าแปะจุ๊งเห็นมีหวังบ้านแตก” เด็กสาวกล่าว
“ก็ไม่หรอก” จุ๊ยตอบ
“ป๊าไม่ใช่คนชอบโวยวาย แต่ไอ้ซัวอาจโดนเรียกไปฟาดซักโหล แต่ขอบใจหลิวมากเลยนะ  ถ้าไม่ได้หลิวพาไปทางบ้านหลิว จุ๊ยคงต้องจับใส่ตระกล้าชักรอกลงจากดาดฟ้า”
หมิวมองจุ๊ยส่ายหัวพลางยิ้มในลักษณะของเขา
จุ๊ยไม่ใช่คนหล่อประเภทสะดุดตา  เขาหน้าตาธรรมดาแต่มีรอยยิ้มที่ทำให้โลกของหลิวงดงามขึ้น
เธอกับจุ๊ยเป็นเพื่อนกันแต่เล็กๆ เพราะบ้านอยู่ติดกัน  จุ๊ยเป็นคนร่าเริง ใครอยู่ใกล้มักจะอารมณ์ดี  ทีสำคัญคือความจิตใจดี และเป็นคนขยันขันแข็งซึ่งเป็นจุดที่แม้แต่พ่อแม่ของหลิวยังชมบ่อยๆ และรักเอ็นดูเขามาก  ซึ่งที่จริงผู้ใหญ่แถวนั้นที่เห็นจุ๊ยมาแต่เด็กก็มักเอ็นดูจุ๊ยอยู่แล้วทุกคน
“หลิวถ้าจะมีแฟน ถ้าไม่ได้อย่างจุ๊ย หนูไม่ต้องพามาให้ป๊าดูหน้านะ ป๊าอยากได้อย่างจุ๊ย” บิดากล่าวในเชิงเล่นในโต๊ะอาหาร เล่นเอาเด็กสาวหน้าร้อนฉ่า
“ป๊าก็อย่าไปแซวลูกสิ ดูสิหน้าแดงเป็นลูกพลับแล้ว” มารดาปราม  แต่กลับเป็นฝ่ายแซวเสียเอง
“แต่ม๊าก็อยากได้นะ ขยันๆแบบนี้รับรองหนูไม่อด”
“เป็นอะไร.. มีไข้หรือร้อน  หน้าแดงเชียว” จุ๊ยทัก
หลิวหันขวับ
“เปล่า”
จังหวะนั้นมีคนเบียดออกมา  เป็นผู้ชาย
จุ๊ยดึงหลิวเข้ามา แล้วเอาตัวบัง
“เออไอ้นี่...กูรู้ทันหรอก.. “จุ๊ยกล่าว แล้วส่งสายตาไม่เป็นมิตรไล่หลังชายคนนั้น
“หลิวระวังนะ  ไอ้นี่มันโรคจิต  วันก่อนจุ๊ยแอบเห็นมันเอาเป้าถูกก้นเด็กผู้หญิง  ไอ้ตั้ม ไอ้ปอเกือบจะเข้าไปต่อยแล้ว”
จุ๊ยกล่าวจบก็หันกลับมา
“อ้าวทำไมหน้าแดงกว่าเดิมอะ  เป็นไข้เหรอ”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:33:59
ตอนที่ 2 เสียงSaxยามเข้า

ในสนามฟุตบอลของโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้วุ่นวายเหมือนทุกวัน ด้วยทีมฟุตบอลมากกว่าสิบทีมที่แบ่งปันพื้นที่สนามขนาดมาตรฐานสนามเดียวกัน ด้วยสมานฉันท์อย่างน่าอัศจรรย์
เด็กหนุ่มผิวขาวเรือนร่างสูงเดินในลักษณะลากเท้า  เขาวางกระเป๋าหนังสือดังตุ๊บ เล่นเอาเพื่อนๆที่นั้งเพลินๆสะดุ้ง
“อะไรของมึงเนี่ย  ตกใจ” เพื่อนร้อง
 “กูง่วง กูเพลีย” เขาบอกแล้วทิ้งกายลงกับม้านั่งยาว จากนั่งก็นอนลงบนตักของเด็กหนุ่มหน้าจีนที่กำลังอ่านนิตยสารเกี่ยวกับดนตรี
“ไปทำอะไรมาล่ะไอ้อ๊อด  ดูหนังโป๊แล้วว่าวจนดึกจนเพลีย?” คนโดนนอนตักถาม
“เปล่า... “ อ๊อดพลิกตัวแล้วพลิกตัวหันเข้าหาตัวคนถูกหนุน จนแก้มมาชนเป้ากางเกง  เล่นเอาเด็กหนุ่มหน้าจีนสะดุ้ง
“ไอ้ห่า” เขาผลักจนเพื่อนร่วงลงไปบนพื้น
“มึงนี่ลามก... “
อ็อดตะกายขี้นมานั่ง  หัวเราะ
“เป้ามีงหอมวะจุ๊ย”
“ไอ้สัตว์” จุ๊ยตบกระบาลอ็อดด้วยหนังสือ
“กูล้างดี.. เปลี่ยนกางเกงในทุกวัน  ไม่ได้ซกมกเหมือนมึงจะได้เหม็น”
เพื่อนคนอื่นก็หัวเราะกันครืนเครง
“พี่จุ๊ยครับ” เด็กม.สี่คนหนึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
“ครูอติเรียกครับ”
 ห้องพักครูที่อยู่ติดกับห้องดนตรี เป็นห้องพักของครูผุ้สอนวิชาดนตรี  ปกติจะมีครูอยู่สี่คน  แต่ตอนนี้ยังเช้าจึงมีแค่อติคนเดียว
เขาติดรูปของเด็กหนุ่มที่กำลังเป๋าแซกโซโฟนบนเวทีประกวดระดับประเทศลงบนบอร์ดแสดงผลงานของนักเรียน
บนบอร์ดมีรูปของเด็กนักเรียนที่สร้างชื่อเสียงด้านคนตรี  มีทั้งประเภทเดี่ยวและวงโยธาวาทิต  แต่เกือบทุกรูปความสำเร็จของนักเรียนในช่วงห้าปีนี้ ต้องมีเด็กหนุ่มมือแซกโซโฟนคนนี้อยู่ด้วย 
เขาชื่อนทีธาร หรือจุ๊ย 
“สวัสดีครับครู”
อติหันมา  จุ๊ยพึ่งเงยจากอาการไหว้
 
เอกสารที่ยื่นมาคือเอกสารตามคำบอกเล่าของอติ
“จุ๊ยไปลองทบทวนดูนะ โอกาสแบบนี้หาไม่ได้แล้ว  สถาบันที่ยื่นข้อเสนอมาเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษ  เขาส่งคนมาซุ่มดูจุ๊ยหลายเดือนแล้ว แต่ครูก็กลัวจุ๊ยกดดันเลยไม่ได้บอก   แล้วเขาติดต่อครูมาเมื่อวานนี้  ให้สถานทูตเอาเอกสารนี้มาให้  เขาต้องการแค่ให้จุ๊ยยอมรับเงื่อนไข แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยหมด  จุ๊ยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสักบาท”
เด็กหนุ่มปกติแล้วจะมีรอยยิ้มเสมอ เหมือนกับโลกไม่มีอะไรน่ากังวล  รอยยิ้มที่เป็นกำลังใจให้วงโยธาวาทิตในทุกๆเวลา ไม่ว่าแพ้หรือชนะ  เป็นเหตุให้ทุกคนรักหัวหน้าวงจุ๊ย  และเป็นแรงบันดาลใจเด็กอีกหลายคน
“แต่ผม... “ จุ๊ยมีสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน  แต่ก็ยังยิ้ม
“ผมยังเรียนไม่จบเลยนะครับ”
“ก็ไม่ต้องให้จบนี่จุ๊ย  การเรียนดนตรีเขาไม่ได้ใช้วุฒินะจุ๊ย  เขาวัดกันที่ฝีมือ ฝีมือคือสิ่งสำคัญ  โอกาสอย่างนี้แม้แต่ครูเองยังอยากได้  แต่ครูไม่มีสิ่งที่เธอมี..” อติลุกมาบีบไหล่ของจุ๊ยด้วยมือข้างหนึ่ง
“มันเป็นเรื่องดีที่จุ๊ยเป็นคนกตัญญู และความรับผิดชอบสูง  แล้วจุ๊ยก็ทำได้ดีมาโดยตลอด   แต่นี่ไม่ใช่การละทิ้งความรับผิดชอบนะ  จุ๊ย คิดดูสิถ้าจุ๊ยเรียนจบเป็นนักดนตรีมีชื่อเสียง  จุ๊ยก็จะสามารถจุนเจือครอบครัวได้  พ่อของจุ๊ยก็ต้องภูมิใจแน่นอน  ถ้าท่านยังมีข้อสงสัยอะไร ครูยินดีจะไปคุยกับท่านให้”
จุ๊ยหรี่ตาลงชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ
“ผมจะคิดดูครับ”
 
จุ๊ยเดินผ่านตามทางเดิน   เขาได้ยินเสียงเป่าเครื่องดนตรี จึงหยุดฟัง  เดินเข้าไปในห้องเรียนก็เห็นเด็กหนุ่มดวงหน้าสะอาดสะอ้านกำลังเขม่นเป่าไคลิเนต
เขายืนกอดอกยิ้มจางๆ
วาทิตเป็นเด็กชั้นมัธยมปีที่สี่  เขามีรูปร่างเล็ก  แต่กลับใฝ่ฝันจะเล่นแซกโซโฟน  จุ๊ยจึงแนะนำว่าให้วาทิตเริ่มจากไคลิเนตก่อน
จุ๊ยเห็นเม็ดเหงื่อก็เลยหยิบล้วงหยิบกระดาษทิชชูในกระเป๋าออกมาซับให้
“เป่าต่อสิ” เขาบอกเสียงเบาๆ เพราะเด็กหนุ่มมีอาการคล้ายชะงักจะหยุด
“เล่นต่อให้จบท่อน  อย่าเล่นครึ่งๆกลางๆ  คนอื่นจะรำคราญ แล้วเราก็ไม่ได้อะไรด้วย”
วาทิตมองตาจุ๊ยที่ดูแสนอ่อนโยน  เขาเป่าต่อจนจบท่อนโดยสามารถไม่ถอนสายตาได้
แต่พอเป่าจบก็ก้มหน้า
จุ๊ยเอียงคอ ยืดตัวตรงกอดอก
“ลมเรามันยังไม่พอนะ  พี่แนะนำให้เราไปว่ายน้ำหรือวิ่งทุกเข้า  ไม่อย่างนั้นเวลาเป่าจะเป็นลมตายเอา  แถมลมหมดด้วย”
วาทิตทำหน้าเศร้า จุ๊ยจึงโอบไหล่
“เอาน่า สู้ๆพี่เป็นกำลังใจให้”
แล้วจุ๊ยก็เดินออกไป เพราะเพลงมาร์ชโรงเรียนสัญญาณเรียกเข้าแถวดังขึ้น  วาทิตมองตามไป
ท่อนแขนของพี่จุ๊ยอบอุ่นเหลือเกิน...
 
วรรณาเดินตรวจแถวเด็กนักเรียนที่เธอประจำชั้นแล้วก็เดินออกมาท้ายแถวเพื่อรวมยืนร่วมกับอาจารย์ท่านอื่น
“แฟชั่นมาใหม่อีกแล้วนะ” อาจารย์สอนวิชาภาษาญี่ปุ่นกล่าวแก่เธอ
“นี่ดูสิ  กางเกงมันดูแปลกๆเห็นไหม  เดี่ยวจะปรึกษาผอ.ว่าผิดระเบียบรึเปล่า”
วรรณายิ้ม
“ปล่อยๆบ้างเถอะค่ะ  ตึงเกินไปเดี่ยวก็พาลจะประท้วงเอา” คนออกความเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ จริงๆคนสอนวิชานี้น่าจะเป็นคนเข้มข้นระเบียบ  แต่เธอกลับไม่ได้มีบุคลิกแบบนักคณิตศาสตร์เลย  เธอเป็นคนทันสมัย  พูดจาฉะฉานน่าฟัง  เด็กๆจึงชอบกันมาก
คนสอนญี่ปุ่นก็จะแย้ง
แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นผ่านลำโพง เป็นเสียงเป่าของแซกโซโฟนที่กังวานทว่านุ่มนวลแม้เครื่องเสียงจะไม่ได้ดีดั่งในโรงมหรสพ  แต่มันก็ไม่สามารถกลบความงามในเส้นเสียงของเพลงที่ได้รับการถ่ายทอดโดยนักดนตรีมือเอกของโรงเรียน
ปีที่แล้วตอนที่เธอเข้ามาสอนใหม่ๆ ได้ยินการบรรเลงนี้ครั้งแรก ถึงกับลืมร้องเพลงชาติแถมยังเผลอปรบมือให้ด้วย
มองไปก็เห็นเด็กหนุ่มยืนตัวตรงบรรเลงเครื่องเป่าอย่างตั้งใจ  นทีธาร  เด็กในห้องที่เธอประจำชั้นนั่นเอง
“เมื่อก่อนเคยเป็นการเล่นคู่...” มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกไว้
“แต่พอคนที่เป่าคู่กับนายจุ๊ยเสียไป  ก็ไม่มีใครเป๋าคู่กับเขาได้อีก  คือยอมแพ้ถอนตัวไปทุกราย  ที่สุดก็ต้องเป่าคนเดียว”
เด็กคนนี้มีพรสวรรค์อย่างมาก..
แต่.. เธอต้องลอบถอนหายใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่อติ อาจารย์หนุ่มผุ้สอนดนตรีและเป็นที่ปรึกษาของวงโยธวาทิต มาร้องขอให้เธอช่วย
“เด็กที่กตัญญู... มันพูดยากนะคะ  ให้ดิฉันคุยกับเด็กเกเรยังจะง่ายเสียกว่า  เด็กคนนี้ดูผิวเผินเป็นเด็กเชื่อฟัง  แต่เขาก็มีจุดยืนในตัวเข้มแข็งมาก  ดิฉันว่าคงยาก  จุดนี้อาจารย์ก็รู้นี่ค่ะ” เธอตอบออกไปอย่างนั้น
“ครับผมทราบ... แต่ถ้าเราช่วยกัน  ผมว่าเขาอาจจะใจอ่อน  ผมไม่อยากจะเรียกจุ๊ยมาคุยบ่อยๆตอนฝึกซ้อม  กลัวเขาจะเสียสมาธิ  ก็คงต้องรบกวนอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษานั้นล่ะครับ” อติตอบมา
“แต่อาจารย์ใส่ใจเด็กมากเลยนะครับ  รู้จักเขาแค่ปีเดียวก็อ่านออกแล้วจุ๊ยเป็นคนอย่างไร”
อาจารย์สาวหันไปทางแถวอาจารย์ผุ้ชายที่อยู่ห่างออกไป
 
อ๊อดสัปหงกโงกเงกไปมาตั้งแต่ต้นชั่วโมงเรียน  แล้วที่สุดเขาก็เกือบฟุบกระแทกกับโต๊ะแต่จุ๊ยก็รับไว้ได้ทัน
“ห่าเอ้ย ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนวะ” จุ๊ยเอี่ยวหน้ามากระซิบ
“นี่มันชั่วโมงอาจารย์พัฒน์ ประเดียวมึงก็ได้โดนทำโทษ”
“ก็มันง่วงนี่หว่า  เมื่อคืนก็เข้านอนตามเวลานั้นล่ะแต่นอนไม่ค่อยหลับ” อ็อดตอบ  แล้วตาของเขาก็หรี่ลงอีกรอบ
“เหรอ... ง่วงมากเลยใช่ไหม”
“ก็ใช่สิ... เนี่ยตาจะปิดให้ได้เลย”
“อยากหายง่วงไหมล่ะ”
อ๊อดเลยลืมตาหันมาหาจุ๊ย
“เอาลูกอมมาสิ  ขอหน่อยจะได้หายง่วง”
แต่จุ๊ยเม้นปากแน่น  เบิกตาโตและพยับเผยิบให้รู้
อ๊อดบ่นพึมพำแล้วหันไปตามสัญญาณ
“ซวยแล้วกรู”
อาจารย์พัฒน์วัยราวสามต้นๆ ขยี้หัวอ๊อด
“ไปหน้าชั้น”
“คร๊าบผม” อ๊อดยิ้มแหย่ๆแล้วลุกไป
จุ๊ยมองตามไปหัวเราะเบาๆคิกๆคักๆ
“เธอด้วยนทีธาร”
จุ๊ยสะดุ้ง
“แต่ผมไม่ได้...”
“ไป” อาจารย์พัฒน์ย้ำเสียงหนักแน่น
“มัวแต่นั่งมองเพื่อนสัปหงก  แทนที่จะตั่งใจเรียน”
จุ๊ยเอามือมาตะเบะแบบกลับข้าง
“กับป๋ม”
ที่จริงอาจารย์พัฒน์ไม่ใช่คนดุหรือระเบียบจัดอะไร  เป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างเฮฮา  แม้จะสอนวิชาเกี่ยวกับสังคม ประวัติศาสตร์ และศาสนา  แต่อาจารย์พัฒน์กลับมีวิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนชอบ และหัวเราะกันครืนเครงในบางคาบเรียนที่ไม่ได้มีความเข้มข้นของเนื้อหาไม่มากนัก
แต่ใครก็รู้  อย่าได้เผลอไม่ตั้งใจฟังแกสอนให้เห็นอาจโดนลงโทษแปลกๆได้
“เอ้าเมื่อกี้เล่าถึงไหน” อาจารย์ถาม  แต่ตอบเอง
“อ้อหนุมาน.. หนุมานเนี่ยแกเป็นลูกพระพายใช่ไหม  แต่ถ้าอาจารย์จะบอกว่าจริงๆแล้วแกเป็นลูกพระศิวะต่างหาก  โดยแกใช้พระพายเป็นสื่อ แล้วนางสวาหะเป็นแม่อุ้มบุญ จะเชื่อไหม”อาจารย์พัฒน์มองไปทั่วๆ เห็นเด็กทำหน้างง
“พวกเธอสงสัยกันหล่ะสิ.. ทำไมหล่ะก็อาจารย์สมัยประถมกับบอกว่าหนุมานเป็นลูกพระพาย  ทำม๊ายตาอาจารย์นี่ถึงมาบอกอย่างนี้  อยากรู้ไหม...ว่าทำไม”
จุ๊ยหันไปมองหน้ากับอ๊อด  ที่จริงเขาชอบอาจารย์พัฒน์อยู่ไม่น้อยนะ  ถึงจะออกเพี้ยนๆเพราะเรียนมาก  แต่เพราะอาจารย์พัฒน์มักจะท้าทายเด็ก ด้วยการสร้างข้อสงสัยเสมอในสิ่งที่สอน  และมักจะแสดงให้เห็นเลยว่าสิ่งที่สอนพวกเขาตอนนี้ยังสอนไม่หมด  ยังมีอีกมากให้ค้นคว้า 
“ไม่บอก” อาจารย์พัฒน์ก็ลงเอยด้วยการอมพะนำ
“ถ้าใครอยากรู้ก็ต้องหาคำตอบเอง  แล้วถ้าใครได้คำตอบ  เอาโพสในแฟนเพจของอาจารย์นะ  จะมีคะแนนพิเศษให้”
มีเสียงบ่นว่าอีกละ  บางคนก็บอกว่ายั่วแล้วไม่ทำให้เสร็จ  ค้างคามากๆ
“เอ้าๆ แต่วันนี้อาจารย์จะจำลองเหตุการณ์ของกำเนิดหนุมานตามรามเกียรติไทยให้ดู  มานี่สินางสวาหะ”
อ๊อดเดินหน้าเซ็งไปหา
“นางสวาหะนี่ แกถูกสาบนะ  ให้ยืนขาเดียว เหนี่ยวกินลม” อาจารย์พัฒน์บอก
“เอ้ายืนขาเดียว”
อ๊อดก็ยกข้าขึ้นข้างหนึ่ง
“ไม่ใช่ไม่แมนขนาดนี้ เราเป็นผู้หญิง  ต้องยืนแบบนางแบบเพลย์บอยสิ  ยกขาหนึ่งกระดกไปข้างหลัง อีกข้างย่อๆหน่อย แล้วค่อมตัวแอ่นอกมาข้างหน้า”
พูดไม่พูดเปล่าทำให้ดู เรียกเสียงหัวเราะลั่นห้อง
อ๊อดเลยนึกสนุกทำตาม ยืนย่อค่อมตัว ขากระดก อกแอ่น
อาจารย์ยืดตัวตรง
“เอ้าอ้าปาก”
อ๊อดก็อ้าปาตามคำสั่ง
“ไม่ใช่ๆ  หรี่ตาข้างหนึ่งทำปากเจ่อๆแล้วพูดว่าคิมมูจี่ แล้วไม่ต้องหุบปากอ้างค้างไว้”
ตอนนั้นก็เริ่มมีเสียงหัวเราะกันแล้ว
แต่พออ๊อดทำตาม หรี่ตาลงข้างหนึ่ง ทำปากเจ่อ
“คิมูจี่”
เสียงหัวเราะประสานกันดังลั่น  โดยเฉพาะหัวหน้าห้องนายก้องภพ  ซึ่งนั่งหน้าห้อง    จุ๊ยต้องเข้าไปช่วยรั้งตัวเพราะหัวเราะจนเกือบตกเก้าอี้
“อ้าวๆใจเย็นๆ  ยังมีพระพาย”
แล้วอาจารย์ก็หันซ้ายหันขวา หันไปหยิบเอาไม้บรรทัดของนักเรียนคนที่นั่งใกล้มือที่สุด
“มานี่ มาตรงนี้”
จุ๊ยรู้ชะตาว่าคงจะทุเรศไม่แม้กันแน่นอน
เดินส่ายหัวดุกดิกมา
“ถือไว้สองมือตรงระหว่างเป้า”
จุ๊ยรับไม้บรรทัดมาแล้วก็เอามากำไว้ด้วยสองมือตรงตำแหน่งเป้ากางเกง
“แยกขาย่อเข่า แล้วทำตาโตๆหื่นมองหน้านางสวาหะ”
จุ๊ยย่อเข่าแล้วตำตาโตๆหื่นๆอย่างที่ว่า
“กระดกค... เอ้ยไม่ใช่ไม้บันทัดตั้งตรงแล้วกระโดดไปข้าง แล้วพูดเสียงสั่นๆห้าวๆว่า  โอ๊ยยยย สุโขยเน่”
พอจุ๊ยทำตามเท่านั้นล่ะ ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะ  แต่ยังมีเสียงโครมของนายก้องภพที่ล้มลงหงายลงไปเพราะไม่มีจุ๊ยช่วยรับ
จุ๊ยยกกองรายงานที่เพื่อนส่งให้อาจารย์เดินตามอาจารย์พัฒน์ไปที่รถโตโยต้ากลางเก่ากลางใหม่ของอาจารย์  ที่จริงอาจารย์พัฒน์ไม่ใช่อาจารย์ประจำ  แต่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยที่มาช่วยสอนตามนโยบายใหม่ของกระทรวงศึกษาในรายวิชาที่เสริมเข้ามาในแต่ละแผนการเรียน
“วางตรงนี้เลยนะ”  อาจารย์พัฒน์บอก
พอวางลงที่ที่นั่งเบาะหลัง แล้วก็หันมา
อาจารย์พัฒน์ยืนกอดอกอยู่
“ได้ยินว่าเราจะไม่เรียนต่อ”
จุ๊ยทำหน้าปั้นยากแล้วตอบ
“ยังไม่แน่ครับ  ผมแค่คิดว่าจะไม่เรียนต่อเท่านั้นเอง”
อาจารย์พัฒน์เป็นอาจารย์พิเศษก็จริง  และพึ่งมาสอนที่นี่แค่สองปี แล้วยังสอนแค่สัปดาห์ละครั้ง แต่ก็สอนห้องของจุ๊ยตลอด  แล้วก็ยังเป็นลูกชายคนเล็กของน้าสาวรองของเขาด้วย
“เพราะเรื่องของฐานะของพ่อเธอใช่ไหม  ได้ยินว่าขายตกมากเลยไม่ใช่เหรอ” อาจารย์พัฒน์หรือจริงๆคือเฮียพัฒน์ของจุ๊ย วางมือบนบ่าของจุ๊ย
จุ๊ยยังไม่ได้หน้าจ๋อยซะทีเดียว ยังมีรอยยิ้มอ่อยๆให้เห็น
“ก็ส่วนหนึ่งครับ”
พัฒน์ถอนหายใจแล้วหันไปมองพระพุทธรูปประจำโรงเรียน
“กตัญญูเป็นเรื่องที่ดีนะจุ๊ย  อย่าหาว่าเฮียสอด  แต่จุ๊ยต้องคิดถึงตัวเองบ้าง  ไอ้เฮียตี้ของจุ๊ยล่ะ  เรียนหนักยังไงก็มันก็ช่วยอาเตี๋ยว(น้าเขย) ได้บ้างไม่ใช่เหรอวะ  อย่าให้มันมัวแต่เที่ยว”
“ไม่ได้เที่ยวนะ เฮียเขาเรียนหนัก” จุ๊ยแก้แทนให้
พัฒน์ถอนหายใจ
“ไอ้เรามันก็เป็นซะอย่างนี้ล่ะจุ๊ย  โลกสวยเหลือเกิน โดยเฉพาะกับเรื่องครอบครัวแกนี่ล่ะ”
จุ๊ยเกาหัวปอยๆ
“มันมีแฟนแล้ว ป๊าแกรู้รีเปล่า”
จุ๊ยตกใจนิดหน่อย แต่ก็ส่ายหน้า
พัฒน์ถอนหายใจอีกรอบ 
“เอาเหอะ  ก็เป็นเรื่องของมันหล่ะนะ  เฮียก็ไม่อยากพูดมาก  แต่เรื่องของเราเฮียไม่ไหวนะ  แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของแก แต่ ถ้าแกคิดว่านี่คือการทำตามสั่งเสียของอี้เหม่ย  ฉันว่าแกคิดผิด  อี้เหม่ยอยากให้เรียนสูงๆไม่แพ้ไอ้ตี้หรอก”
พัฒน์เห็นรอยยิ้มของจุ๊ยจางหายไปสนิท  เขาจี้ถูกส่วนเปราะบางของน้องชายลูกพี่ลูกน้องโดยตรง
“เอาเหอะ  คิดดูดีๆแล้วกัน “
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:34:55
ตอนที่ 3 สายน้ำที่รักของเดฟ
จุ๊ยรีบไปที่โรงอาหาร เพราะไปช้าร้านข้าวมันไก่เจ้าอร่อยก็เลยคิวยาว  แต่กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจต่อคิว  แล้วต้องชะเง้อคอมองเป็นระยะว่าไก่จะเหลือพอถึงเขาหรือไม่
ตอนนั้นเองที่จุ๊ยรู้สึกโดนประชิดจากด้านหลัง
“ทำไมผมจุ๊ยหอมจัง ใช้ยาสระผมอะไร” พูดแล้วดมบนหัวของเขาเพราะคนพูดที่อยู่ด้านหลังตัวสูงกว่าเขา
จุ๊ยตอบแต่เป็นชื่อยาล้างห้องน้ำแทน
อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ
“สำหรับจุ๊ยใช้อะไรผมก็หอมทั้งนั้น” ว่าแล้วก็โอบเอวแถมแนบสนิทจนเป้ากางเกงถูกับของหลังจุ๊ยบริเวณบั่นเอว
“หื่นจริงนะมึงเนี่ย” จุ๊ยว่าแล้วสะบัดตัวหนี
“เอาอะไรมาถูหลังกูอีกแล้ว”
นายคนนี้เป็นลูกครึ่งไทยอเมริกันหน้าตาผสมตะวันออกผสมตะวันตกอย่างลงตัว  ชื่อจริงคือเดวิด แต่ให้เพื่อนๆเรียกว่าเดฟ
“ก็จุ๊ยทำให้ผมอดใจไม่ได้สักที “ เดฟส่งสายตาเต็มที่
เดฟเป็นเกย์แบบเปิดเผย  เป็นเกย์รุกที่ไม่ออกสาว  แถมหน้าตาดี จึงเป็นขวัญใจชาวเกย์ของโรงเรียน  แม้เรียนกันคนละห้องกับจุ๊ย  แต่ก็เรียนที่นี่มาตั้งแต่มัธยมต้นจึงรู้จักจุ๊ยเป็นอย่างดี  แถมยังแสดงออกชัดเจนว่าสนใจในตัวเขา
“ผมเลี้ยงจุ๊ยเองมื้อนี้  แต่เดี่ยวกินเสร็จจุ๊ยไปนั่งเล่นกับผมตรงบันไดดาดฟ้าหน่อยสิผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ไม่พูดเปล่ายังเอามือมาจับแก้มจุ๊ยด้วย
จุ๊ยถอนหายใจ เอามือออก
“ไม่กินแม่งล่ะ เชิญมึงกินไปตามสบายเลยนะ”
“เฮ้ยจุ๊ยผมมีเรื่องจะคุยด้วยจริงๆนะ”
“เอออ กูรู้  คุยไปแดกกูไปน่ะสิ” เขาตอบแล้วก็เดินออกจากแถว
“ไม่นะ  ผม..” เดฟทำท่าจะตาม
จุ๊ยทำท่าตั้งการ์ดสูงแบบนักมวย
“อย่านะเฟ้ย นักดนตรีก็ต่อยเจ็บนะมึง”
จุ๊ยทำท่าย่างสามขุมแต่ถอยหลัง แล้วกลับหลังหันเดินไป
เดฟมองตามไป  มีแวดตาเศร้าลงเล็กน้อย แต่ก็กลับมาร่าเริงอย่างเก่า
“ตัวหอมชิบหาย” เขาดมมือตัวเอง 
“ชื่นใจ”
 
จุ๊ยมารวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมห้องที่นั่งกันอยู่ทีแถวโต๊ะประจำ
“มึงก็ยอมๆมันไป  มันเผื่อมันจะหายเงี่ยนมึงซะที” คนพูดคือปอ  เพราะทั้งกลุ่มสังเกตเห็นเหตุการณ์จากระยะไกล
“กูเห็นมันเข้าหามึงแต่ละที สิงได้ สิงมึงไปละ”
จุ๊ยคลุกข้าวในจานเพื่อให้น้ำแกงผสมกับข้าวจะได้กินในแบบที่เขาชอบ
“ไม่ไหวล่ะ  ตัวสูงใหญ่ขนาดนั้น ของของมันไม่เท่า’นี่’หรือไงวะ” ว่าแล้วจุ๊ยก็ยกแขกขึ้นกำหมัดประกอบ
“ตายห่า  โดนไปที  กูมิขี้ไม่ต้องเบ่งไปตลอดชาติ”
แล้วก็หยิบช้อนช้อมมากินตักข้าวกิน
“อ้าวไม่ดีเหรอ จะได้ขี้คล่อง” เจ้าของประโยคนี้คือตั้ม หนุ่มใต้ผิวเข้ม  นักเรียนทุนจากพัทลุง  พูดติดสำเนียงใต้
“ไม่อะ... กูยังชอบอารมณ์ตอนเบ่ง” จุ๊ยส่ายหัว  ตักขาหมูเข้าปาก แล้วตามด้วยข้าว เคี้ยวแล้วกลืน
“ยิ่งเวลาไม่ได้ขี้สักสองวันนะ  เบ่งแล้วมันหลุดออกมา...โหยแม่ง...สุดยอด”
เสียงวางช้อนจากข้างหนึ่ง
“ไอ้จุ๊ยมึง กูกินผัดฝักทองอยู่ไอ้สัตว์” ไอ้ฮ้อยเพื่อนร่วมห้องและร่วมวงดนตรีของจุ๊ยอุทธรณ์
“ทำไมกินไม่ลง มากูแดกเอง” จุ๊ยมองหน้า แล้วเอื้อมไปตักฟักทองจากจานเพื่อนมาใส่ปาก เคี้ยวให้แบบไม่ปิดปากจงใจให้เห็นเหลืองเละในปาก
มองจุ๊ยแล้วก็ส่ายหัว แต่อัศวะก็อมยิ้ม
เขารู้จักจุ๊ยมาตั่งแต่มัธยมต้นเช่นกัน  แต่รู้จักจริงจังตอนม.2  จากการไปเป็นตัวแทนโรงเรียนไปกิจกรรมเข้าค่ายที่ต่างจังหวัด
จุ๊ยเป็นคนที่เหมือนไม่มีสาระ  เขาพูดเล่นพูดหัวได้ตลอดไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น  แถมยังเป็นคนตลกลามกหยาบคายแบบเด็กหนุ่มคะนองทั่วๆไป  แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงจังจุ๊ยจะเป็นคนละแบบ  เขาตั้งใจกับทุกอย่าง  และเวลาจุ๊ยตั้งใจทำงานนั้นดุราวกับเป็นคนละคนกับจุ๊ยในยามปกติ 
แล้วที่สำคัญคือเขาเป็นคนอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ..
นี่กระมังที่ทำให้ใครๆก็รักจุ๊ย ไม่ว่าในแบบไหนแง่ไหน  เพราะ หากต้องการเพื่อนเล่น เพื่อนคุยจุ๊ยก็จะเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วครื้นเครง ถ้าหากต้องการคนที่จะวางใจพึงพาได้ จุ๊ยก็จะทำหน้าได้อย่างดี  และถ้าต้องการกำลังใจ...
“เฮ้ยกูก็ปลอบใจคนไม่เก่งนะ” นั้นคือประโยคติดปากจุ๊ยเวลาเข้าหาเพื่อนที่กำลังมีปัญหา... แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด
 “แล้วนี่ไอ้อ๊อดไปไหน” จุ๊ยถามขี้นโดยมุ่งไปที่ฮ้อย
“ไม่รู้ว่ะ” ฮ้อยตอบ
 
 “ต๊ายตาย.. แกดู แกดู... ใครว่านักดนตรีขี้ก้าง  แกดู”  เจ้าของเสียงเป็นเกย์สาวทำท่าบิดไปบิดมาด้วยความเขิน
ทั้งกลุ่มที่นั่งอยู่ จีงหันมาสนใจ 
เด็กหนุ่มพับเสื้ออย่างเรียบร้อยก่อนจะวิ่งลงไปในสนาม  เขารับลูกบอลที่เพื่อนเขี่ยส่งมาให้ด้วยเท้า แล้วเตะไปข้างหน้า
ผิวใต้ร่มผ้าจะขาวกว่าปกติ  มันเลยสะท้อนแดด  พอวิ่งไปสักพักก็อาบเหงื่อจนมัน  พลิกตัวกล้ามเนื้อก็บิดไปตาม 
“ซิกแพค ซิกแพค..  โอ้ยฉันจะตาย” นางหนึ่งกล่าวแล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาบิดเป็นเกลียว
“โอ้ยยยย พี่จุ๊ยขา... ขอน้องสักคืนจะไม่ลืมพระคุณเลย”
“ก็มีความหวังอยู่นะ” คนหนึ่งกล่าว  นางคืออิม เพื่อนเรียกอิม  นางเรียกตัวเองอิมเมจิ้น  นางเคยอยู่วงโยธวาทิตตอนม.ต้น
“ถ้าที่เขาเม้าท์เรื่องนั้นเป็นจริง พวกแกอาจมีความหวัง”
“เรื่อง...” เพื่อนอีกคนหันมา
“อ้าวก็เรื่องแซกคู่ไง  พี่ไตรรุ่นพี่เราสองปีไง ถ้าพี่เขายังอยู่จะอยู่มหาลัยแล้ว” อิมตอบ
“อ้ออ” คนลากเสียงคือคนบิดผ้าเช็ดหน้า
“แต่พี่ไตรแกมีแฟนไม่ใช่เหรอ  ชะนีหน้าสวยนั้นไง ที่ไปงานศพ ฉันเป็นตัวแทนนักเรียนไป จำได้”
“อ้าวก็ไม่แน่...” อิมกอดอก
“อะไรมันก็เกิดขึ้นได้นี่...”
ไม่ได้ดีดดิ้นเหมือนคนอื่น  เมืองฟ้าเด็กหนุ่มผิวขาวแบบคนเหนือนั่งฟังการสนทนาเฉยๆ  แม้จะสนใจฟังเรื่องจุ๊ยอยู่บ้าง  แต่หันกลับไปในสนามเขามองใครอีกคน...
ผิวขาวแบบคนเหนือเหมือนกัน  เรือนร่างสูงโปร่ง  ใบหน้าทะเล้นนั้นยิ้มแย้ม...  แล้วเมืองฟ้าก็ยิ้มออกมา
“แต่แกอย่าไปพูดเรื่องพี่ไตรมั่วๆเชียวนะ  จุ๊ยมันรู้แกตาย... เห็นอย่างนี้เอาเรื่องนะแก  ถ้าเป็นเรื่องพี่ไตร” อิมกล่าวออกมา
 
แม้จุ๊ยเล่นแซกโซโฟนเป็นหลัก  แต่จริงๆแล้วจุ๊ยสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิดในวง  ดังนั้นในยามที่ความจำเป็นมุ่งไปที่เครื่องสาย จุ๊ยก็โยกตัวเองไปช่วยอ็อดที่เป็นมือหนึ่งไวโอลินติวเครื่องสายให้กับน้องๆ
ดังนั้นที่วาทิตพบคือจุ๊ยกำลังยืนสีไวโอลินส่งเสียงแว่วหวานให้กับน้องสองคนฟังเป็นตัวอย่าง
วาทิตจีงถือโอกาสนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน
“อย่างนี้นะ  ลองดู  ลองสีทั้งท่อนพร้อมๆกัน” จุ๊ยกล่าวแล้วลดไวโอลินลง  แล้วก็นั่งลง
นักไวโอลินที้งสองจึงลุกยืนสีตามคำบอกเล่า จุ๊ยก็ใช้นิ้วโบกเหมือนไวทยากร  แต่พอหันมาเห็นวาทิตก็กวักมือเรียก
วาทิตก็เดินมานั่งลงข้างๆ
จุ๊ยมองที่นักไวโอลิน ปากก็ฮัมทำนอง  จากนั้นเขาก็หลับตา...
ใบหน้าของจุ๊ยต้องแสงเป็นมันเพราะทำโน่นทำนี่มาทั้งวัน  วาทิตคิดอยากจะเอาผ้าเช็ดหน้าซับให้แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่เอาผ้ามากำไว้แน่น
เพลงจบ
“อืมม ใช่ได้ แต่” จุ๊ยชี้ไปที่ไวโอลินของนักดนตรีคนหนึ่ง
“สายมันหย่อนไปนิดๆ  ลองปรับใหม่ดู  ส่วนของอาร์ท  เวลาลงปลายเสียง เผื่อด้วยว่าเพื่อนจะทิ้งจังหวะไม่พร้อมเรา  เวลาเล่นวงสำคัญต้องพร้อมเพรียง  อย่าโชว์ออฟมาก”
แล้วจุ๊ยก็ลุกขึ้น
“เอ้าซ้อมกันไป  เอาท่อนนี้ท่อนเดียวเลย เพราะจะเป็นคิวที่เป็นเสียงไวโอลินเด่นอย่างเดียว  เอาให้เนียน”
แล้วเขาก็หันมาหาวาทิต
“ไปเครื่องเป่าของเราซ้อมอยู่ข้างล่าง”
 
เดินตามจุ๊ยลงมาที่ลานหลังตึกก็เห็นต้นเสียงเครื่องเป่าที่ดังไม่เป็นจังหวะและไม่เป็นเพลงเพราะต่างคนต่างเป่า
“ไหนเล่นเพลงที่เล่นเมื่อเช้าให้ฟังหน่อย เอาท่อนเมื่อเช้าเลยนะ”
วาทิตตอบว่าครับ  แล้วก็วางกระเป่าเพื่อหยิบอุปกรณ์
ระหว่างนั้นจุ๊ยหันไปฟังคนที่เป่าฮอนอยู่ไม่ไกล  เขาเดินเข้าไปขมวดคิ้วแต่ฟังจนจบท่อน
“ไอ้อู๊ดนี่มึงใช้ลมเยอะไปปะ  แล้วมึงจะเป่าจบเพลงไหม ตายก่อนพอดี”
“โอ้ยไม่มีพี่  ผมลมเยอะ” อู๊ดหันมาพูดอวด
“โถไอ้ควาย  เดี่ยวกูแนะนำน้องเขาเสร็จถึงตามึง  เอาทั้งเพลง  เอาด้วยลมที่มึงเป่าเมื่อกี้ด้วยนะ ถ้ามึงหมดลมกูจะให้เขาเตะมึงรอบวง”
อู๊ดทำหน้าแปลกๆ
“เหม่ทีเรียกวาเรียกวาน้อง ที่ผมเรียกไอ้... ลำเอียงเปล่าวะเนี่ย”
วาทิตชะงักมือที่กำลังเหน็บReed เข้าที่ปลายปากเป่าของไคลิเนต


“ก็น้องเขาน่ารัก  แต่มึงมันน่าถีบ” พูดแล้วก็ยกขาถีบที่ขาอู๊ดเบาๆ
“เออๆ จำไว้เลย  ผมมันไม่ขาว ไม่น่ารัก  ไม่มุ๊งมิ๊งนี่  พี่เลยไม่สนใจจะดูแล” อู๊ดทิ้งประโยคประชดตอนท้ายแล้วถืออุปกรณ์วิ่งไปเสียก่อนที่จุ๊ยจะถีบมันทัน
ตอนนี้หน้าวาทิตร้อนฉ่า

 “อืมม.. วาใช้ลมผิดน่ะ”  แล้วจุ๊ยก็แบมือ
วาทิตรู้ว่าหมายถึงไคลิเนต จึงส่งให้
พอจุ๊ยเป่า  มันเป็นคนละเรื่องเลย... เสียงหวานหูของไคลิเนตมันยิ่งหวานไปกันใหญ่เมื่อจุ๊ยเป่า...
“เสียงดนตรีของไอ้จุ๊ยมันแปลกมาก... ไม่ว่าจะเป็นอะไร  ลองเป็นมันเล่น  มันจะฟังดูดีขี้นกว่าคนอื่นแทบทุกอย่า  อย่างกับเทพอะพอลโลมาเอง” นั้นเป็นสิ่งที่พี่อ็อคเคยพูดให้คนอื่นฟัง
วาทิตฟังเพลินจนจบท่อน
“เข้าใจไหม” จุ๊ยถาม
วาทิตสะดุ้ง  ตัดสินใจส่ายหน้า
จุ๊ยก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่อยู่ๆก็จับมือของวาทิต  แล้วเอามาทาบที่อกของเขา
“เดี่ยวพี่จะเป่าใหม่นะ แล้วเธอสังเกตุการเคลือนไหวของอกพี่”
วาทิตได้สัมผัสถึงความอบอุ่น  และเสียงต่ำๆของหัวใจ  เด็กหนุ่มเกือบจะพลุ่งพล่าน  ทว่าเสียงของไคลินเนตของจุ๊ยตรึงเขาไว้อยู่กับที่
“เข้าใจไหม หรือจะลองอีกที” จุ๊ยถาม
แต่คนตอบไม่ใช่วาทิต
“เอา... “  แล้วก็ขยับเข้ามาด้านหลังจุ๊ย
“น้องเอามือจับอกไว้  ผมจะเอามือกุมเป้าจุ๊ยให้เอง”
จุ๊ยถอนหายใจแล้วจะถองศอกใส่ แต่เดฟโดนบ่อยจึงรู้ทัน ถอยหลบได้ทัน
“นี่มึงบุกถึงถิ่นกูเลยนะ  ชมรมมึงเขาไม่มีอะไรทำหรือไงวะ”
จุ๊ยส่งไคลิเนตให้วาทิต
“มี... แต่ต้องมีจุ๊ยอยู่ด้วย เพราะเราต้องการจุ๊ยพรุ่งนี้” เดฟตอบแสดงอาการจริงจังด้วยการไม่เข้ามาลวนลามต่อ
“ทำอะไร... จะให้กูไปเล่นงานอะไรให้อีก ละครเวที?” จุ๊ยกอดอกถาม
“ใช่เล่น... แต่ไม่ใช่ดนตรี.. เป็นละคร” เดฟตอบ
จุ๊ยทำหน้างง
“มึงบ้า... กูเล่นละครเป็นที่ไหน” จุ๊ยตอบออกไปด้วยความเคยชิน
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:35:38
ตอนที่ 4 โยชิ การกลับมาเจอกันอีกครั้ง
“เทคคค” เสียงสั่งดังลั่น  จากผู้กำกับ
อย่างไม่อาวรณ์แม้จะเป็นซีนที่เข้าพระเข้านางจูบกัน   เด็กหนุ่มร่างสูงก็พละจากเด็กสาวเดินออกจากพื้นที่ถ่ายทำออกไปนั่ง 
“โยชิ พรุ่งนี้เราจะถ่ายที่นี่นะ รู้จักไหม” ผู้จัดละครสาวเอากระดาษที่เขียนรายละเอียดกับแผนที่มาให้
“ครับ  น่าจะไปถูก” โยชิตอบ  แล้วเขาก็นั่งนิ่งให้ช่างแต่งหน้ามาเช็ดเครื่องสำอางออก
“เหมือนหงุดหงิดนะ เป็นอะไรทะเลาะกับคุณแม่อีกแล้วเหรอ” ผู้จัดสาวคงเป็นคนเดียวที่กล้าถาม  เพราะโยชิแม้จะไม่ใช่คนขี้วีนเหมือนพระเอกที่กำลังดังบางคน  แต่ก็ไม่ค่อยจะพูดจาจนแม้นักแสดงรุ่นเดียวกันก็ไม่ค่อยกล้าสุงสิงด้วยมากนัก  ซี่งอาจเพราะเขาในวัยยี่สิบพอดี  อายุมากกว่าเพื่อน  แต่ เพราะหน้าอ่อนตามแบบคนมีสายเลือดชาวญี่ปุ่นทำให้โยชิได้บทเป็นพระเอกกางเกง ขาสั้น ก็เลยอาจไม่ค่อยสนิทใจกับการเล่นหัวกับนักแสดงที่วัยต่างกัน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นเด็กกว่า
จริงๆผู้จัดการกองเป็นเพื่อนสนิทของแม่ของเขา
“เปล่าครับ น้าทิพย์ ผมยังไม่เจอกันเลย” โยชิตอบ
น้าทิพย์กอดแฟ้มเอกสาร  เขารู้จักเด็กคนนี้ก่อนหน้านี้นานปีดีดัก  ตั่ง แต่ยังอยู่กับคุณพ่อที่เป็นชาวญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นเลยด้วยซ้ำ แถมก็ยังรู้จักแม่ของเขาอย่างดีที่สุด เพราะเป็นรูมเมตของเธอในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย  สไบทอง ฉัตรอัคร  อดีตนางเอกชื่อดัง ซึ่งแม้ปัจจุบันก็ยังเป็นนักแสดงนำในระดับแถวหน้าแม้จะไม่ค่อยรับงานแสดงมากนัก  เธอไม่จำเป็นต้องง้อเงินจากวงการบันเทิง  เพราะเธอคือน้องสาวของนามมินทร์ ฉัตรอัครประธานกลุ่มบริษัทฉัตรอัคร ที่ร่ำรวยเกือบที่สุดในเอเชีย
“แล้วก่อนไม่ได้เจอกันล่ะ  ทะเลาะกันใช่ไหม” น้าทิพย์ดักทางได้
โยชิหันมองหน้าของน้าทิพย์
“อย่าไปเอาคำพูดแม่มาคิดมาก  ก็รู้ว่าแม่ของเธอชอบเหวี่ยง  ถ้าเราไม่ใส่ใจก็จะเห็นว่าเธอไม่ได้คิดอะไรตามที่พูด”
 
รถสปอร์ตราคาแพงวิ่งมาตามถนนของเขตบริเวณกว้างใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของตระกูลฉัตรอัคร  เขาเลี้ยวตรงแยกก่อนจะเทียบรถจอดไว้ข้างทาง
คนขับรถวิ่งมารับกุญแจ แล้วเด็กหนุ่มก็เดินเข้าบ้านไป
พอเข้ามาถึงเขาก็เดินเลยชุดรับแขกที่แม้จะมีหญิงสาวใบหน้าสวยงามนั่งอยู่
“นี่ใจคอจะไม่ทักทายแม่เลยเหรอ อาราอิ” หญิงสาวกล่าว
โยชิหยุดเท้าหันมาโค้งให้ทีหนึ่ง
“สวัสดีตอนค่ำครับคุณนาย  ผมขอตัวก่อน” เขากล่าวเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วเดินต่อไป
“แกจะโกรธหรืออะไรก็ช่าง ยังไงเรื่องของพ่อของแกกับฉันก็จะจบลงแบบนี้” มารดากล่าวแล้วไขว้ห้าง
“แกเป็นเด็ก เป็นลูกไม่มีสิทธิมาร่วมตัดสินใจ”
โยชิหยุดกึก
แล้วกล่าวตอบโดยไม่หัน
“ครับ  ตามนั้น  ผมเข้าใจ  แต่ถ้าแต่แรกผมมีสิทธิผมก็ไม่อยากจะมาเกิดเป็นลูกของบ้านนี้เหมือนกัน”
จากนั้นก็เขาก็เดินขึ้นชั้นสองไป  แม่ไม่ได้ตอบ มันไม่ใข่นิสัยของเธอที่จะมาต่อปากต่อคำกับใคร  เช่นกันกับโยชิ  พูดไปแค่นั้นก็คือจบเพียงพอแล้ว
โยชิทิ้งกายลงบนเตียง  เขาหันไปคว้ารีโมทเอามากดเปิดเพลง  เปิดเพลง Kenny G…
แม้จะเป็นเสียงแว่วหวานของนักแซกโฟโฟนระดับโลก  แต่สิ่งที่โยชิหลับตาลงและเห็นจากภาพแห่งความทรงจำคือ
หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่เป่าแซกโซโฟนใต้แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์...
“สามปีแล้วสินะ... ฉันคิดถึงนายจัง”
 
 
วันนี้ มีเรียนวิชารักษาดินแดน ทำให้โรงเรียนของจุ๊ยที่เป็นโรงเรียนชายล้วนจะมีว่างไปครึ่งหนึ่งเพราะนัก เรียนม,ปลายเกือบทั้งหมดจะเรียนครึ่งวัน แล้วเดินทางไปเรียนที่สถานที่ฝึก
จุ๊ยเองก็เรียน แต่วันนี้เขาได้รับอนุญาตพิเศษให้ลาได้
เขานั่งนิ่งๆให้ช่างแต่งหน้าลงเครื่องสำอางบนใบหน้า
“อันนี้พี่เลือกพิเศษเลย  เห็นน้องเดฟบอกว่าน้องจุ๊ยไม่เคยแต่งหน้า นี่ก็ขนาดเอาเครื่องสำอางแบบอ่อนโยนมาให้พี่แต่งเลยนะ”
จุ๊ยทำหน้าเหร่อๆ
“เห็นไหมว่าแฟนเราน่ะใส่ใจเรามาก”
จุ๊ยสะอึก หันขวับไปมองหน้าเดฟที่แต่งหน้าอยู่ไม่ห่างไป  ส่งสายตาให้ในแบบว่า มึงตายแน่ๆ  แต่เดฟยิ้มหวานให้
“หันมาๆ อย่าพึ่งสวีตกัน น่ารักกันจริงๆเลยน๊า” ช่างแต่งหน้าดึงหน้าจุ๊ยหันมา
เมื่อวานจุ๊ยได้รับคำอธิบายว่าจะมีกองถ่ายละครมาถ่ายทำที่โรงเรียน  ซึ่งเดฟเองก็แสดงในเรื่องนี้ด้วยในบทรองแต่ก็ค่อนข้างเด่น  และกองถ่ายต้องการนักแสดงเพิ่มเพื่อบทประกอบดังนั้นจึงให้ขอให้เดฟหานักแสดงให้
“ในชมรมมึงไง เยอะแยะ” จุ๊ยแย้งความคิด
“หมดแล้ว  คนที่พอจะเข้าเค้าผมก็จับยัดๆไปหมด  แต่พอดีบทหนึ่งเขาต้องการคนที่แมนๆ แรงๆ ผมเลยนึกถึงจุ๊ยไง” เดฟกล่าว
ตอนแรกก็ฟังดูดี
“พอบอกว่าเป็นพวกกักขฬะ สถุณนิดๆ  แบบกากเดนสังคม  ผมก็ว่าเหมาะมาก”
จุ๊ยฟังไปฟังมา
“เฮ้ยมึงด่ากูเหรอวะ”
“นี่ไงกักขฬะ”
“ไม่ได้กักขฬะ แต่มึงด่ากู”
“ก็เห็นไหม ผมยังไม่ได้ด่าสักคำ ผมก็แค่พูดเฉยๆ”
“ไอ้สัตว์แต่มึงหลอกด่ากู”
“ก็นี่หล่ะกักขฬะ  เอะอะก็จะใช้กำลัง”
“กูเป็นกับมึงคนเดียวนี่ล่ะ ไอ้ลามก”
“ไม่เป็นไร ผมชอบ ตบจูบ ตบจูบ  ได้รสชาติอีกแบบ”
“ประเดี่ยวกูก็ต่อยจริงๆ”
 
บทเป็นบทเล็กๆอย่างที่ว่า ซึ่งจุ๊ยจะต้องเข้าฉากสองตอน  โดยเขาจะต้องเป็นคนที่มาจีบนางเอก  แต่นางเอกไม่เล่นด้วย
แล้วก็ตามตื้อนางเอกจนพระเอกเข้ามาช่วย
“กักขฬะตรงไหน  ก็แค่แย่งหญิงกัน มันก็ต้องมีบ้างวะ ถ้าไอ้พระเอกมันหน้าตากวนตีนมาก” จุ๊ยกล่าวขณะอยู่กับเดฟที่ทางเดินระหว่างตึกเพื่อรอคิวแสดง
“ไม่นะ พระเอกเขาก็หน้าตาเรียบร้อย  แบบลูกครึ่งญี่ปุ่น  โยชิไง นี่จุ๊ยไม่รู้จักโยชิเหรอ”
จุ๊ยส่ายหัว
“อะไรเขาออกจะดัง” เดฟมองหน้าด้วยความแปลกใจ
แต่ถ้าคิดว่าจุ๊ยมีอะไรต้องทำตลอด ไม่ว่าจะดนตรี การเรียน แล้วยังช่วยทำงานที่บ้านอีกต่างหาก  มันก็ไม่แปลกหรอก  และนี่ไม่ใช่เหรอที่ให้เขาประทับใจในตัวจุ๊ย  คนเหมือนจะโดนรุมด้วยอะไรสารพัดแต่ก็ยังแจ่มใสได้เหมือนดวงตะวันเหนือท้องฟ้า
“น่าเสียดายนะ ผมอยากให้ผู้กำกับเพิ่มบทให้จุ๊ยจัง” เดฟกล่าว
จุ๊ยหันมองหน้า
“อะไรของมึง”
“ก็ฉากที่ผมแก้แค้นให้พระเอก แล้วกลายเป็นเราสปาร์กกันจูบกับจุ๊ยอะไรอย่างนี่ไง” เดฟพูดแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ
จุ๊ยได้แค่ทำปากขมุบขมิบด่า เพราะกองถ่ายกำลังถ่ายทำฉากอื่นอยู่ใกล้ๆ
 
ตอนที่โยชิมาถึง ก็ยังไม่ถึงคิวถ่ายของเขา  เพราะต้องมีฉากอื่นของตัวรองๆอีกหลายฉากที่ต้องถ่าย  พอแต่งหน้าเสร็จเขาก็เลยเดินมาดูการถ่ายทำ
“ฉากนี้นางเอกจะต้องโดนตามจีบ น้องตัวขาวนั้นคือคนที่ต้องต่อยกับโยชินะ  ดูสิว่าหน่วยก้านพอจะฟัดเหวี่ยงกันไหม”  ผู้จัดสาวกล่าว
แต่พอหันมา  ก็เห็นว่าตาของโยชิจ้องเขม็ง 
 
“คัท...”ผู้กำกับสั่ง  เริ่มจะอ่อนใจ  เขาลุกไป
ฉากนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร  ก็แค่พระเอกก็คือโยชิมาเห็นนางเอกถูกคนมาตามตื้อจีบ  นางเอกจะหนี  แต่ก็โดนจับเนื้อต้องตัว พระเอกก็เข้ามาช่วย...
แต่พระเอกของเข้าก็เข้ามาได้เกือบสมบูรณ์  แล้วมาตกม้าตายตอนที่เข้าขวางแล้วจะเงื้อต่อย.. กลายเป็นว่าพระเอกของเขาหยุดไปดื้อๆ  กระชากคอเงื้อหมัดค้างอย่างนั้น  ที่จริงก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ตอนซ้อมแล้ว  เขาต้องย้ำให้ต่อยเขาถึงจะต่อย
“สมาธิไปไหนหมดโยชิ..” ผู้กำกับถาม
โยชิโค้งให้ตามความเคยชินของคนที่เติบโตในประเทศญี่ปุ่น
“ขอโทษครับ”
แล้วผู้กำกับก็หันไปหาตัวประกอบ เห็นคอของเขาแดงเป็นปื้นเพราะโดนโยชิขย้ำไปหลายรอบ
“ไหวนะน้อง”
เด็กหนุ่มพยักหน้า  ตอนนั้นโยชิก็หันมามอง  แล้วอยู่ดีๆเขาก็เดินมาประชิด
“นายจำฉันได้ไหม”
เด็กหนุ่มเอียงคอทำหน้างง
“ไม่นะ  เราไม่เคยเจอกันไม่ใช่เหรอ” เขาตอบ
รอบที่เท่าไหร่แล้ววะ จุ๊ยคิดในใจตอนที่ทำท่าเดินร่วมกับตัวประกอบคนอื่นอีกสองคนเดินตามไปจับแขนนางเอกลูกครึ่งหน้าสวย  เล่นซะจะเขาชักเริ่มจะคล่องแล้ว  รู้สึกตัวเองเล่นดีกว่าฉากเมื่อกี้ตอนที่ตามจีบนางเอกครั้งแรกเยอะมากๆ
“ปล่อยนะ” นางเอกแอ็คติ้งเต็ม ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วพยายามสะบัดมือ
“เฮ้ยเล่นตัวว่ะ  อะไรแค่ขอเบอร์เอง ไม่ได้ขอไปนอนบ้านสักหน่อย” จุ๊ยตอบเสียงทั้งคุกคามและยียวน
แล้วต่อจากนี้พระเอกก็ต้องเข้ามา
มาแล้วเร็วและแรงผลักเขาออกไป
เฮ้ยแรงไปปะ  อินเนอร์มาเต็มไปเปล่า จุ๊ยนึกตอนผงะถอย
“เสือก” จุ๊ยกล่าวออกไป
พระเอกคว้าคอเสื้อของเขา  เมื่อกี้จะหยุดไปแค่นี้ เพราะพระเอกจะหยุดไปเฉยๆแล้วจ้องตาเขานิ่งค้าง
แต่คราวนี้
ผลัก
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:37:34
ตอนที่ 5 สิ่งของไว้เชื่อมใจ
จุ๊ยเหมือนโดนค้อนฟาดหน้า
เขาสะบัดล้มกลิ้งไปโดยไม่ต้องเซแสร้ง
“เทค” ผู้กำกับตะโกน
อ้าวผ่านสักที... แต่ตอนนี้จุ๊ยลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว แถมรู้สึกหมือนมีอะไรไหลในปาก
“จุ๊ย จุ๊ย” เดฟที่เข้าฉากด้วยเพราะเป็นเพื่อนพระเอกรีบเข้ามา
“โอเคไหมจุ๊ย”
“โอเค” เขาตอบแล้วจะพยายามยิ้ม  ปรากฏว่าสิ่งที่ไหลออกมาในปากมันก็ย้อยมาข้างแก้ม
“เฮ้ยเลือดเต็มเลย” เดฟร้องเสียงหลง
โยชิที่หันหนีไป พอได้ยินก็หันมากลับมาทันที
 
โยชิต้องมีอีกสองสามฉากที่ต้องถ่ายคู่กับนางเอก  เขาพยายามควบคุมสมาธิโชคดีที่ไม่ใช่ซีนอารมณ์ยากเย็นเพราะตอนนี้พระเอกยังต้องงอนกับนางเอกอยู่
“แล้วเพื่อนนายไปไหนแล้ว” โยชิเข้าไปถามกับเดฟที่นั้งให้ช่างแต่งหน้าลบหน้าอยู่
เดฟเงยหน้ามอง
“จุ๊ยเหรอ” เดฟถามก่อนจะตอบ
“กลับไปแล้ว..พี่งไปเมื่อกี้ ปฐมพยาบาลแล้วให้นั่งพักเขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็กลับ  ก็นายต่อยเขาซะเลือดกลบ  สมจริงไปเปล่าโยชิ”
โยชิถอนหายใจ
“ยังไม่ได้ขอโทษเขาเลย” โยชิกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก  จุ๊ยเขาเป็นคนไม่ถือสาอะไรใคร  พี่ ทิพย์ก็ให้เงินพิเศษแล้วก็ขอโทษแทนนายไปแล้วด้วย จุ๊ยเขาไม่ได้ติดใจอะไร” เดฟตอบแล้วหลับตา เพราะช่างแต่งหน้ากำลังทำท่าจะเช็ดที่ตาของเขา
“ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะบอกให้ว่า..” เดฟกล่าวแล้วลืมตา เมือช่างเช็ดที่ตาเขาเรียบร้อย
แต่ปรากฏว่า โยชิเดินไปแล้ว
 ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่จุ๊ยก็ปากเจ่อมาเรียนในวันรุ่งขึ้น
อ๊อดดูแผลจุ๊ยแล้วก็ส่ายหัว
“นี่มันจงใจเปล่าวะ”
ฮ้อยก็กอดอกส่ายหน้า
“กูว่าแมร่งจงใจ อิจฉาที่มึงหล่อสู้มันไม่ได้”
ทุกคนหันมามองหน้า
“อะไรของมีง”
“อ้าว... ก็เพราะไม่หล่อไง เราก็เคยมีอิสรเสรี  อยากทำอะไรก็ทำได้ ไม่ต้องอายสายตาใคร” ฮ้อยทำท่ากอดฟ้า
จุ๊ยมองหน้า ส่ายหัวแล้วพูดแบบปากเจ่อ
“ไม่ล่ะ กูอาย เพราะกูหล่อ  ไม่ได้เป็นปลาจวดว่ายบวกประตุเขื่อนเหมือนมึง”
“อ้าว..ปากแตกยังปากดี  เอาอีกแผลไหมวะ” ฮ้อยคว้าคอจุ๊ยมากอดทำจะต่อย แต่ยิ้มแย้ม


“นายนทีธาร นักเรียนชั้นม.หกห้องสิบเอ็ด ติดต่อที่แผนกประชาสัมพันธ์ตอนนี้ด้วยครับ” เสียงประกาศดังขึ้น
“อะไรวะ” จุ๊ยบ่นแต่ก็ลุกขึ้น  เขามักจะโดนเรียกตัวบ่อยๆอยู่แล้วก็เลยไม่แปลกใจ
“เฮ้ยกูไปด้วย กูจะไปฝ่ายห้องการเงิน” อัศวะลุกขึ้น
 
ตอนที่ทั้งสองหนุ่มไปถึงตึกอำนายการ  อาจารย์ที่ทำหน้าทีประชาสัมพันธ์ประจำวันก็ออกมาจากห้องพอดี
“อ้าวมาเร็วดีนี่” อาจารย์หนุ่มกล่าว
“มีอะไรให้ผมรับใช้คร๊าบผม” จุ๊ยยืนตรงตะเบะ
อาจารย์ส่ายหน้า
“ไม่ใช่ครู  มีคนมาหาเธออยู่ทางโน่น”
มองตามที่อาจารย์ชี้ไป  แล้วจุ๊ยก็ยืนนิ่ง
แล้วอาจารย์ก็เดินไป 
“เฮ้ยจุ๊ยกูไปห้องการเงินก่อนนะ” อัศวะบอกแล้วทำท่าจะเดินไป
“เฮ้ยเดี่ยว” จุ๊ยคว้าคอไว้
“อะไร” อัศวะถาม
“ไปเป็นเพื่อนกูก่อน”
“ทำไม.. ก็มีคนมาหามีง ไม่ใช่กู” อัสวะตอบ
“เฮ้ย... แต่มัน...” จุ๊ยกลืนน้ำลายดังอึก
“มันคือคนที่ต่อยกู”
 
เพราะกลัวจะมีคนจดจำได้  โยชิจึงมาในชุดนักศึกษาของสถาบันการศึกษาที่เรียน  ทว่าใส่แว่นตากรอบหนามาด้วยเพื่ออำพราง กระนั้นกลับเป็นอีกมุมมองที่ดูดี  จนแม้อาจารย์สาวที่จะเดินขึ้นตึกก็ยังหันมามอง

“นาย... มาหาเราเหรอ”
โยชิหันมาเห็นจุ๊ยยืนอยู่คู่กับอีกคนที่เขาไม่รู้จัก
“เราโยชินะ” เขาเลื่อนแว่นตาขี้น
“เออจำได้.. “จุ๊ยตอบ
“มีธุระอะไรรีเปล่า หรือว่าจะมาหาเดฟ เดฟมันชื่อจริงชื่อเดวิด วูลดิ้งเบอร์ก  เดี่ยวฉันเรียกให้ใหม่นะ”
“เปล่า” โยชิปฏิเสธ
“เรามาหานาย”
จุ๊ยมองหน้าอัศวะแบบไม่ไม่แน่ใจ
“คือเราอยากจะ” แล้วเขาก็ยืนตัวตรง แล้วโค้งให้สุดตัวแบบญี่ปุ่น
“ขอโทษที่ผมทำร้ายคุณ”
จุ๊ยอึ้งนิ่งทำอะไรไม่ถูก
รู้สึกตัวก็รีบดึงเขาขี้นมา
“อะไรเล่า ไม่เป็นไร  มันเป็นอุบัติเหตุจากการแสดงฉันเข้าใจ”
ระหว่างนั้นก็เหลือบตามองอัศวะ
“ขอบคุณนะ” โยชิยิ้ม  แต่ก็มองปากของจุ๊ย
“เป็นอะไรมากไหม”
“โอ๊ยสบาย  โดนบอลอัดหน้ายังเจ็บกว่านี้” จุ๊ยหัวเราะ แต่ต้องผืนความเจ็บปากไว้นิดๆ
โยชินิ่งไปตอนมองอาการหัวเราะของจุ๊ย
“คือ... ฉันขอถามอีกครั้ง” โยชิกล่าว
จุ๊ยเลยหยุด
“ฉันถามอีกรอบนะ  นายจำฉันไม่ได้จริงๆเหรอ”
จุ๊ยอึ้ง..  เมื่อวานเขาถามว่าจำเขาได้ไหม  ตอนนั้นจุ๊ยจำได้ว่าคำตอบทำให้เขาดูไม่พอใจ  แล้วโยชิก็ต่อยเขา... ถ้าให้คำตอบเดิม... จะโดนต่อยอีกรอบไหม
“เออออ” เขาลากเสียง ก็ก่อนจะกล่าวต่อไป
“คือเราจำไม่ได้จริงๆว่าเราเคยเจอกันที่ไหน  เราความจำสั้นน่ะ เป็นญาติกับปลาทอง”
โยชิไม่ได้มีอาการเหมือนเมื่อวาน
“มีอะไรช่วยเตือนความจำได้ไหม ว่าที่ไหนอะไรยังไง ที่เราเจอกันก่อนหน้านี้” จุ๊ยกล่าวต่อไป


โยชินิ่งไปก่อนจะหันไปมองทางอื่น แต่กล่าวออกมา

“รถประจำทาง  ระยองกรุงเทพ”
จุ๊ยนิ่งคิด...
แล้วเขาก็คิดออก
“อ๋ออออ” เขาร้อง
“อย่าบอกนะว่านายคือเด็กญี่ปุ่นคนนั้น ”
โยชิหันมา  รอยยิ้มยินดีปรากฏขี้นเต็มใบหน้าทำให้ดวงหน้าของเขาสว่างโรจน์
“ใช่ๆ ฉันเอง” โยชิกล่าวอย่างดีใจ
แต่เพลงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  โยชิไม่รับก็รู้เพราะเสียงเรียกเข้านี้เป็นเสียงเรียกเข้าเฉพาะของเลขหมายหนึ่งที่บันทึกไว้
“เราต้องไปแล้ว  นายมีเบอร์ไหม เราจะได้โทรคุยกับนาย” โยชิถาม
“เราไม่มีโทรศัพท์มือถือ มีแต่เบอร์บ้าน” จุ๊ยตอบแบบไม่ลังเล
โยชินิ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องออกมาจากกระเป๋า จริงแล้วนี่คือโทรศัพท์ส่วนตัวที่เขาใช้กับเพื่อนสนิทเท่านั้น  แต่เครื่องที่ดังคือเครื่องที่ใช้เรื่องงาน
“เอาโทรศัพท์เราไว้”
“เฮ้ย บ้าเหรอ...มันแพงไม่ใช่เหรอ” จุ๊ยปฏิเสธ
แต่โยชิจับมือจุ๊ยขี้นมาแล้วเอามันโทรศัพท์ราคาแพงยัดใส่มือ
“เอาไว้  เราจะได้คุยกันได้”
แล้วโยชิก็อำลาด้วยการโบกมือก่อนจะเดินกึ่งวิ่งไปเรียกรถแท็กซี่ที่ผ่านมาหน้าโรงเรียนพอดี
“อะไรวะ” จุ๊ยหันมาถามกับอัศวะ
อัศวะก็ยังงง
 
“ให้มือถือ” ก้องภพเอาสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่จุ๊ยได้รับมาจากโยขิมาดู
มันเป็นยี่ห้อญี่ปุ่นชื่อดัง  แถมรุ่นใหม่ล่าสุดด้วย
“ถึงไม่ใช่ยี่ห้อผลไม้ก็แพงอยู่นะเนี่ย  นี่มันพึ่งออกเลย”
“ยี่ห้ออะไรวะยี่ห้อผลไม้” จุ๊ยเอาโทรศัพท์กลับมา
“ก็...” ก้องภพตอบชื่อยี่ห้อออกมา  แล้วหยิบของเขาขึ้นมา
ฮ้อยมองหน้าจุ๊ย
“มันคิดอะไรกับมึงรึเปล่า  หรือว่าจะคิดแดกมึงอย่างไอ้เดฟ”
จุ๊ยเอียงคอ
“ไม่รู้สิ... แต่เขาก็ดูไม่ใช่อย่างเดียวกับไอ้เดฟนะ”
“แล้วไอ้เดฟมันพันธุ์ไหน...”ตั้มกล่าวพลางเกาหลังคอเบาๆ
“มันเหมือนเราม๊าย  มันก็ดูแมนๆเหมือนเรานี่ล่ะ  แต่มันชอบมึง ชอบผู้ชายด้วยกัน”
อัศวะจ้องหน้า จุ๊ยตอนนี้เงียบไป และพิจารณาโทรศัพท์
“ไม่หรอกมั้ง... อาจแค่อยากให้กูเป็นเพื่อนมัน” จุ๊ยตอบ
“เออ” อัศวะนึกอะไรได้อย่างหนึ่ง
“มันพูดเหมือนเคยเจอมึงมาก่อน”
จุ๊ยดันริมฝีปากล่างขึ้นบนแล้วพยักหน้า
“ก็ใช่ว่ะ  คือมันสามหรือสองปีนี่ล่ะ ข้าไปหาน้องสาวตอนปิดเทอม  กลับมาเจอมันนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆบนรถทัวร์  กูก็ไม่รู้จะทำยังไง  เพราะมันก็ดูเหมือนไม่ใช่คนไทย เพราะแม่งพิมพ์โทรศัพท์เป็นภาษาญี่ปุ่น  ก็เลยชวนมันคุยเพราะคิดว่ามันเป็นเด็กหลง  คุยไปคุยมาก็แค่นั้น”
“ไม่แค่นั้นม๊าง  มันไม่ใช่แค่พูดไทยได้  ตอนนี้แม่งเป็นดาราดัง  แถมมันยังชกมึง แต่ดันเอาโทรศัพท์ให้มึง...”ก้องภพวิเคราะห์
“แบบนี้กูว่า...”
เพื่อนตั้งใจฟังกันหมด
“ไม่รู้สิ” ก้องภพกล่าวออกมา
“ไอ้หอก” จุ๊ยเอาสันโทรศัพท์เคาะกระบาล
แล้วจุ๊ยก็พลิกโทรศัพท์ไปมา ขมวดคิ้วเครียด
“แต่กูมีปัญหาใหญ่กว่านั้น”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:38:56
ตอนที่ 6 รหัสปลดล็อก
“อะไร...” ฮ้อยถาม
จุ๊ยถอนหายใจเฮือก
“อย่าพูดเลยแม่งเศร้า”
เพื่อนมองหน้ากัน เพราะตอนนี้จุ๊ยจ้องโทรศัพท์นิ่ง ดวงตาที่เคยแจ่มใสเป็นนิตย์หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรจุ๊ย  บอกกูสิกูช่วยได้” อัศวะบีบไหล่จุ๊ย
“ไม่.. มึงก็ช่วยกูไม่ได้ ใครก็ช่วยกูไม่ได้” จุ๊ยเอาโทรศัพท์มากอดแนบอก
“เฮ้ยอะไรวะมึง นี่กูเป็นเพื่อนมึง ตั้งแต่หมอยยังขึ้นไม่เต็ม จนตอนนี้สังคังกินจนไข่ดำไปหมดแล้ว  มึงไม่บอกกูแล้วมาว่ากูช่วยมึงไม่ได้” ฮ้อยเอามือไสหัวจุ๊ยแรงๆ
แต่จุ๊ยก็ยังส่ายหน้านัยน์ตาเศร้า
เพื่อนมองหน้ากัน
“คือ..ว่า” จุ๊ยมองโทรศัพท์ เพื่อนขยับเข้ามาโดยเฉพาะอัศวะกอดคอเอี่ยวหน้ามาจนชิด
“มันไม่ได้บอกรหัสปลดล็อกโทรศัพท์  แล้วกูจะใช้ยังไง”
เงียบกริบไปชั่วขณะ  อัศวะคนแรกที่ถอนหายใจดังเฮือก
ก่อนฮ้อยจะตบหัวจุ๊ยดังป๊าบ
“ไอ้สัตว์กูก็นึกว่าอะไร”
จุ๊ยคลำหัวป่อยๆแต่หัวเราะคิกคัก
 
ตอนเที่ยงเดฟกำลังนั่งกินข่าวกับเพื่อนร่วมห้อง  เงยหน้ามาเห็นจุ๊ยกำลังเดินมา  ถึงกับวางช้อนแล้วปรี่มาหาก่อนจุ๊ยจะมาถึงโต๊ะด้วยซ้ำ
ว่าแล้วก็โอบเอว
“จุ๊ยมาหาผมหรือครับ”
จุ๊ยมองหน้า  เขากำลังจะออกปากด่า แต่เปลี่ยนใจตอบ
“ครับเดฟ”
เดฟเป็นฝ่ายนิ่งไปเอง
ถอยห่างออกไปนิดหน่อย เพื่อพินิจจุ๊ยให้เต็มตา  ก่อนจะเอามือมาอังหน้าผาก
“จุ๊ยโดนต่อยจนไข้ขี้นรีเปล่าครับ เดี่ยวผมจะพาไปห้องพยาบาล”
แล้วก็ทำท่าจะโอบประคองจุ๊ยไป
“เฮ้ยไม่ต้อง  กูปกติดี” จุ๊ยแกะมือของเดฟออก
มองหน้าตาขวาง
แต่เดฟกลับยิ้มชอบใจ
“เออ...ค่อยเหมือนจุ๊ยที่รักของผมหน่อย” แล้วก็เข้ามากอดเอวเหมือนเดิม
จุ๊ยกรอกตาขึ้นบน ถอนหายใจแต่ก็ยอมให้กอด
“คือกูอยากให้มึงช่วยหน่อย”
 
“เอาเบอร์โยชิ” ทวนคำแล้วทำหน้างง
จุ๊ยเอากิ่งไม้แห้งที่ตกอยุ่ในสวนหย่อมหน้ามาหัก
“จะเอาไปทำไมครับ” เดฟจ้องหน้า
จุ๊ยเอาเศษไม้โปรยบนหัวของเดฟ เดฟก็ปัดออกทำหน้าจริงจัง
“จุ๊ยจะเอาเบอร์ไปทำไมครับ  บอกก่อนไม่งั้นผมจะไม่ให้”
จุ๊ยหักไม้อีกแล้วโปรยอีก
“มีธุระจะถามเขานิดหน่อย”
เดฟก็ปัดอีก
“ธุระอะไรครับ  หรือว่าจุ๊ยจะโทรไปด่ามัน หรือจะไปนัดมันมาต่อยหลังโรงเรียน”
“โหไม่ไหวมั้ง” จุ๊ยส่ายหัว
“มันตัวสูงกว่ากูตั้งครึ่งหัว แถมโตกว่าด้วย”
แล้วก็หักไม้อีก  แต่คราวนี้เดฟไม่ให้โปรย คว้ามือจุ๊ยมาได้ก่อน
กุมมือไว้แล้วจ้องตา
“บอกมาก่อน ไม่งั้นไม่ให้”
จุ๊ยถอนหายใจ
“คือ.. กูได้ไอ้นี่มาจากมัน”
แล้วก็ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“โทรศัพท์” เดฟทำหน้างง
“ก็โทรศัพท์สิ  เหลี่ยมๆอันบางๆ เป็นที่ทับกระดาษมั้ง” จุ๊ยตอบประชด
“แต่มันไม่ได้ให้รหัสปลดล็อกกู แล้วกูจะใช้ยังไง กูก็เลยจะไปโทรถามมัน”
เดฟทำหน้าฉุกคิด
“ทำไมมันให้โทรศัพท์จุ๊ย”
“ก็ไม่รู้  เอาไว้ให้มันโทรมาหากูได้มั้ง” จุ๊ยตอบ
“จุ๊ยรู้จักมันตอนไหน” เดฟซักอีก
“ก็นานแล้วหล่ะ เคยเจอกันโดยบังเอิญ คุยกัน อะไรอย่างนี้ล่ะ แต่เจอแค่หนเดียวนะ  จุ๊ยเองก็จำมันไม่ได้ในตอนแรกจนเมื่อเช้ามันมาขอโทษแล้วก็เล่าถึงความหลัง ถึงได้นึกออก” จุ๊ยเล่าไปตามท้องเรื่อง
“แน่นะ” เดฟยังทำหน้าไม่ไว้ใจ
“ไม่ใช่จุ๊ยนอกใจผมนะ”
“เฮ้ยบ้า กูจะนอกใจมึงได้ไง “ จุ๊ยทำท่าเขิน เอามือเอื้อมไปเหมือนจะแตะแก้ม  แต่กลายเป็นตบหัน
“กูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง”
แต่เดฟหันกลับมายิ้มแป้น
“โอเค  ผมเชื่อจุ๊ย”
แล้วก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองมากดหาหมายเลขของโยชิ
จุ๊ยลอบถอนหายใจมองกิริยาดี๊ด้าของเดฟ  ทำปากอ่านได้ว่า
แม่งท่าจะบ้า...
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:39:45

เขาออกจากห้องของผู้จัดละครซึ่งอยู่ภายในอาคารของสถานีโทรทัศน์
พี่ก้องผู้จัดการส่วนตัวหนุ่มก็ถาม
“ใครโทรมาน่ะโยชิ โทรมาตั้งหลายครั้ง”
“เป็นพวกผู้จัดหรือตัวแทนบริษัทหรือเปล่าถึงได้มีหมายเลขนี้ของโยชิ”
โยชิเอาโทรศัพท์มาดู
ก็เห็นว่ามีมีสคอลอยู่เกือบสิบสาย เป็นหมายเลขเดิม
“ไม่รู้สิตื้อน่าดูเลย แต่ผมไม่รู้จักนะ” โยชิตอบ
หมายเลขนั้นโทรเข้ามาอีก โยชิก็วางสายอีก
ก้องชะเง้อมองหน้าจอ
แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว..
“นี่มันเบอร์เดฟใช่ไหมน่ะ  สเตฟานไง” ผู้จัดการกล่าวพร้อมบอกชื่อตามบทบาทที่เล่นด้วยกัน
 
 
“ไม่รับ” เดฟส่ายหัว
จุ๊ยเอาโทรศัพท์ที่ได้มา มาดู  กดให้เห็นรูปล็อกหน้าจอที่เป็นรูปของโยชิเอง
“เอาโทรศัพท์ให้กูหาพ่อมึงหรอ ไม่ให้รหัสปลดล็อกแล้วกูใช้ได้ไหมไอ้ควาย”
เดฟรู้สึกบางอย่างที่โทรศัพท์ เขาขยับนิ้วบนหน้าจอ
“โถ... ไอ้หอกนี่กูจะโทรหาเพื่อถามรหัสปลดโทรศัพท์หรอก ไม่ได้จะโทรไปจีบมึง  ควายเอ้ย  นึกว่าหล่อตายห่าล่ะ” จุ๊ยยังด่าต่อเนื่อง
“เราขอโทษ... คือเราไม่เมมเบอร์ของเดฟไว้เครื่องนี้  ก็เลยจำไม่ได้”
เสียงนั้นผ่านลำโพงมา
จุ๊ยหันขวับมา
 
เดฟยืนเอาเอวพิงกับขอบผนังกันตกของช่องบันไดมองจุ๊ยเอาโทรศัพท์มากดนั่นกดนี่พลางคุยกับโยชิด้วยโทรศัพท์ของเขา
อะไรหนอทำให้เดฟชอบจุ๊ยอย่างจริงจัง  แดดยามสายที่ต้องบนผิวค่อนข้างขาว  ใบหน้าที่ไม่ได้หล่อเหลาจนสะดุด มีแค่ดวงตาที่สดใสเป็นประกายที่พอจะโดดเด่นบ้าง และประดับรอยยิ้มไว้เสมอแทบไม่เคยจางหายไป  แต่แค่นั้นก็ทำให้หัวใจของเดฟพองโตทุกครั้งที่มองเห็น  จุ๊ยจะรู้ไหมว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นกับการที่เข้าหาจุ๊ย  เขาจริงจัง... ทุกการกอด ทุกการสัมผัส.. เขาทำไปตามหัวใจ
“ทำไมมึงไม่รู้จักแอ๊ปหน่อย  ไอ้จุ๊ยมันก็กลัวมึงสิวะ  มึงก็แมนๆ  ถ้าจะทำเข้าไปหามันอย่างปกติ ผู้ชาย ก็ไม่โดนมันถีบ มันด่าแล้ว” นั้นคือการแนะนำของอ๊อดเพื่อนสนิทของจุ๊ย
“ไม่เป็นไรผมชอบ”
เดฟไม่ต้องการปฏิเสธตัวเอง  เขาไม่ต้องการหลอกลวงเพื่อเข้าใกล้จุ๊ย  แถมสุดท้ายเมื่อเผยความในใจจุ๊ยอาจเกลียดเขาไปเลยก็ได้
“อีกอย่างมึงไม่อายเหรอวะ  มึงเปิดเผยตัวเป็นเกย์แบบนี้  มีผลกับงานแสดงของมึงด้วยไหม  เพราะมึงออกจะหล่อแต่ได้รับบทรองตลอด”
“ก็ไม่แคร์หรอก... ขอแค่ผมได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำ  ผมชอบผู้ชายผมก็แสดงความชอบออกมาเลย  ทำไมต้องปิดบัง  ก็ผมเป็นของผมอย่างนี้  จะให้ผมไปทำเป็นผู้ชายแท้ชอบผู้หญิง  แต่แอบอยากกินผู้ชายด้วยกัน  อันนั้นมันโกหกตัวเองรึเปล่า” เขาตอบไปอย่างนั้น
 
จุ๊ยเดินกลับมาแล้วยื่นสงโทรศัพท์ให้  เดฟรับเครื่องกลับ
“เรียบร้อย”
“อืม” จุ๊ยตอบ
“ทำไมนานจังครับ”
“ก็มันสอนกูให้ลบข้อมูล สอนให้สมัครไลน์ สมัครเฟสบุ๊ค ก็เลยนาน” จุ๊ยตอบ แล้วหยิบโทรศัพท์มาเลื่อนหน้าจอดู
“ผมขอแอตจุ๊ยนะ” ว่าแล้วก็ชะโงกดูชื่อแอคเคาร์ของจุ๊ย
“Water Purelove เหรอ ทำไมล่ะ”
“ก็ชื่อกูแปลว่าน้ำ ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นเลย” จุ๊ยตอบ  แล้วก็เอาโทรศัพท์เก็บ
“ขอบใจนะ” แล้วจุ๊ยก็ตบบ่าของเดฟ แล้วหันหลังจะเดินลงบันได
ทันใด
เดฟดึงตัวจุ๊ยให้หันกลับ 
จุ๊ยไม่รู้ตัวจึงไม่ได้ขัดขืน  เขาตกในอ้อมกอดของเดฟ
แล้วเดฟก็ประกบริมฝีปากกับเขาอย่างรวดเร็ว
“ปากจุ๊ยหวานมากเลย ไม่เหมือนกับเวลาจุ๊ยด่าเลย” เดฟบอกตอนที่ผละออกแล้ว

จุ๊ยยืนตัวแข็งทื่อ
เดฟก็เลยหอมอีกฟอดแล้วเดินลงบันไดไป
พอสติคืนมา
“ไอ้เดฟ มึงขโมยจูบกู” เขาวิ่งตามลงบันไดไป
“ยอมแพ้ยอมแพ้  ให้จูบคืนก็ได้”
“พ่อมึง ใครอยากจะจูบ  มาให้กูเตะซะดีๆ”
“โอ้ยเบาๆสิจุ๊ยอย่าทำแรง เดี่ยวก้นช้ำ โอ๊ย... เสียว”
“เสียวพ่อมึง  นี่ถีบสักอีกที”
 
 
 
 
“สะอาดแล้วน๊าลุง” จุ๊ยยิ้มแป้นให้พัดลมตัวเก่าแก่
แล้วเขาก็ปีนลงมา พอลงมาจึงได้เห็นว่าหลิวยืนอยู่
“จุ๊ยคุยกับพัดลมรู้เรื่องด้วยเหรอ”
“ก็... ไม่รู้เหมือนกันนะ  อาจรู้ก็ได้ วันก่อนกำลังทำบัญชี  พัดลมมันคราง แล้วจุ๊ยรำคราญเลยสัญญาว่าจะเช็ดให้  เท่านั้นหล่ะเงียบเลย” จุ๊ยตอบแล้วก้มลงเอาผ้าซักน้ำในถัง
หลิวมองพัดลม
“ถ้าอย่างนั้นก็สั่งให้เปิดเองให้ดูหน่อยสิ”
จุ๊ยเงยหน้ามองหลิว  ก่อนจะมองพัดลม
“ลุงจ้า ร้อนจัง ติดหน่อยสิ” เขากล่าวเสียงหวาน
แล้วพัดลมก็ค่อยๆหมุนช้าๆ
ทั้งจุ๊ยและหลิวตกใจมองหน้ากัน
“เช็ดเสร็จแล้วก็เปิดสิ  อากาศมันร้อน” ป๊าเดินออกมาพร้อมหนังสือพิมพ์แล้วนั่งลงที่โต๊ะบัญชี
จุ๊ยถอนหายใจโล่งอก 
“นึกว่าผีพัดลมหลอกซะแล้ว”
จุ๊ยเอาผ้าห่มนวมที่เปียกพาดกับราวโดยมีหลิวช่วย
“นี่ของใคร” หลิวถาม
“ของจุ๊ยเหรอ”
“ของเฮีย” จุ๊ยตอบแล้วหันไปเอาปลอกหมอนมาหนีบใกล้กัน
“นี่จุ๊ยต้องซักผ้าพวกนี้ให้ด้วยเหรอ  โตๆกันแล้วนี่นะ” หลิวทำหน้าหงุดหงิด
“ก็ถ้าจุ๊ยไม่ทำ ป๊าก็ทำ  จุ๊ยก็เห็นว่ามันไม่มีอะไร  แค่เอาใส่เครื่องซักผ้า  ยังไงจุ๊ยก็ต้องซักของจุ๊ยอยู่แล้ว” จุ๊ยตอบแล้วก็ก้มลงไปหยิบปลอกหมอนมาหนีบ
“จุ๊ยนี่ อภิชาตบุตร อภิชาตนุชา เลยนะ”  หลิวกล่าว
จุ๊ยแปลกหูหันมา
“ไอ้อภิชาตบุตรเคยได้ยิน แต่อภิชาตนุชานี่มันอะไร”
“ก็อภิชาต อนุชาไง แปลว่าน้องที่ดี” หลิวเฉลย
“แล้วยังเป็นอภิชาตเชษฐาด้วย”
จุ๊ยหนีบปลอกหมอนอีกใบแล้วมองหน้าหลิว
“แปลว่า... “
หลิวยิ้มเหมือนท้าทาย
“รู้น่า” แล้วจุ๊ยก็สาดน้ำในกระป๋องไปบนต้นโบ๊ยเซียนที่ปลูกไว้
“แปลว่าหลานชายที่ดี”
หลิวถอนหายใจ
“นี่ภาษาไทยนะจุ๊ย... แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปสอบ”
“โถเค้าแกล้งหรอก  รู้หรอกน่าว่าแปลว่าอะไร”
หลิวส่ายหน้าไม่เชื่อ
“แปลว่าพี่ชายที่ดี” แล้วจุ๊ยก็เดินมาใกล้ๆ
“แต่จุ๊ยอยากเป็นอภิชาตภัสดามากกว่า”
หลิวหน้าแดงก่ำ  ถึงขนาดต้องเดินหนี
“บ้า... ไม่เอาล่ะหลิวมีงานต้องทำอีก” แล้วเธอก็ปีนข้ามกำแพงกั่นไป  หันมามองจุ๊ย
แต่จุ๊ยยืนเกาหัว...
“อะไร  แค่บอกว่าจะเป็นเพื่อนที่ดี  เขินทำไม”
หลิวนิ่ง
“บ้าเหรอ... แปลผิดอีกแล้ว”
“ผิดอะไร... “จุ๊ยแสดงความมั่นใจ
“บิดาแปลว่าพ่อ มารดาแปลว่าแม่  บุตรแปลว่าลูก อนุชาก็น้อง” จุ๊ยนับนิ้ว
“เชษฐาแปลว่าน้อง เพื่อนก็... “ แล้วจุ๊ยก็นิ่งไปเอง
“เออออวะ  เพื่อน มิตร... โอยจำผิดโทษๆ”
หลิวทำหน้าเซ็ง
“ตกภาษาไทยแหง่”
“เออ แล้วภัสดาแปลว่าอะไร” จุ๊ยนึก
“โอย” หลิวทนไม่ไหว
“ยืนคิดไปเถอะ ไปรีดผ้าดีกว่า”
“อ้าว..” จุ๊ยจะเรียกรั้ง เพราะเขากะจะบอกหลิวเรื่องโทรศัพท์มือถือ  แต่หลิวเดินเข้าประตูที่เปิดทิ้งไว้ไปเสียก่อน
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:40:36
ตอนที่แปด ทำความความรู้จัก
เพราะเป็นวันเสาร์ ร้านของจุ๊ยก็เลยเปิดแค่ครึ่งวัน  ปกติหลิวจะมาชวนจุ๊ยไปซื้อของหรือไม่ก็ไปเดินเล่นที่ห้าง แต่วันนี้หลังจากแยกกันแล้วเธอก็ปวดท้องประจำเดือน  แต่จุ๊ยต้องไปหาซื้อของเพื่อทำรายงานเขาก็มาเดินอยู่ที่ศูนย์การค้าใจขนาดใหญ่ชานเมืองเพียงลำพัง
ระหว่างเขาเดินดูกระเป๋าสะพายเพื่อทดทนของเดิมที่ใช้เกือบจะใช้การไม่ได้  ป๊าคือคนที่เป็นคนสังเกตว่ามันขาดเพิ่มจากที่จุ๊ยเคยเย็บซ่อมไว้เลยเอาเงินให้มาซื้อ
“ถืออยู่ได้ขาดๆ ประเดี่ยวกระเป๋าสตางค์ก็หล่นมาตามรู แล้วจะคุ้มกันไหม เดี่ยวนี้มีมือถือด้วย ก็ยิ่งต้องระวัง”
เรื่องมือถือ จุ๊ยแปลกใจไม่น้อยที่ป๊ารับฟังเรื่องของเขาโดยไม่แย้ง  นอกจากถามคำสองคำ แล้วก็กำชับให้ใช้อย่างระวังตัว ไม่หยิบมาเล่นพร่ำเพรื่อเวลาเดินริมถนน  ไม่ รู้เพราะอะไร หรืออาจเพราะป๊าพึ่งอนุญาตให้เฮียตี้ซื้อไปเมื่อวันก่อน เป็นโทรศัพท์ราคาแพงยี่ห้อผลไม้เหมือนของไอ้ก้องภพ แต่ผ่อนรายเดือนเป็นงวดๆด้วยบัตรเครดิตของพ่อของหลิว
แล้วจู่ๆโทรศัพท์ก็ดัง  ตอนแรกก็ไม่รู้ตัว  เพราะเขาไม่เคยมีโทรศัพท์มือถือ  กระทั้งที่อยู่ในร้านหันมามองหน้าเขากันหมด
“ขอโทษครับ” จุ๊ยกล่าวพร้อมผงกหัว แล้วหยิบมันออกมารับสาย
“ฉันเองจุ๊ย” เสียงนี้คือโยชิ
“จุ๊ยอยู่ไหนล่ะ  วันนี้ฉันว่างเดี่ยวไปหา”
 
จุ๊ยนั่งตัวเกร็ง เพราะร้านที่โยชินัดให้จุ๊ยมาเจอเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นราคาแพง  แถมอนุญาตให้จุ๊ยสั่งอาหารรอได้เลย  จุ๊ยก็สั่งมาแค่เกี๊ยวซ่ากับน้ำเปล่า เพราะคิดว่าต่อให้โยชิไม่มาเขาก็ยังพอจะมีเงินจ่าย
“รอนานไหม”
จุ๊ยถึงกับสะดุ้งเพราะมัวแต่กังวล
“อ้ออ ไม่นาน” จุ๊ยตอบมองโยชินั่งลง 
โยชิแต่งตัวธรรมดาๆก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วๆไป  แต่เพราะเขาเป็นคนดูดี แค่เสื้อยืดกางเกงยืนก็ยังดูดีว่าคนแต่งเต็มยศเสียอีก
“กินอะไร... เกี๊ยวซ่า...  ทำไมไม่สั่งอย่างอื่น เราเลี้ยงนะจุ๊ย” แล้วเขาก็ยกมือเรียกพนักงาน
พนักงานเดินมามีอาการเหมือนตกใจนิดหน่อย  คงเพราะเห็นโยชิที่กำลังดังมากตอนนี้
“ขอชุดปลาดิบพิเศษนะครับ” โยชิสั่งโดยไม่มองเมนู
แล้วหันมาหาจุ๊ย
“กินเป็นไหมปลาดิบ”
จุ๊ยพยักหน้า เพราะเขาเคยชนะเลิศแข่งขันดนตรีงานใหญ่ อาจารย์อติที่สัญญาว่าจะพามาเลี้ยงก็เคยพามาร้านอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
“งั้นเอาเป็นสองเลยครับ  แล้วก็ชาร้อนหนึ่งกา”
 
“ทำไมจุ๊ยดูเกร็ง”
“ก็เกร็งเพราะกลัวนายไม่มานั้นล่ะ  เกิดนายไม่มาฉันไม่ตายเหรอ... ในกระเป๋ามีเงินอยู่แค่ไม่กี่ร้อย” จุ๊ยตอบตามตรง
“ไม่ใช่  จุ๊ยดูไม่ร่าเริงเหมือนที่เราเจอกันครั้งแรกเลยนะ  ตอนนั้นจุ๊ยร่าเริงมากจนเรานึกอิจฉาเลย” โยชิแย้ง
“ก็ตอนนั้นเราไม่รู้จะทำยังไงให้นายหยุดร้องไห้  ก็เลยต้องทำฮาๆให้นายตลกไง” จุ๊ยตอบ มองพนักงานเอาชาวางลงบนโต๊ะแล้วถอยไป
“แปลว่าจุ๊ยจำได้หมดแล้ว” โยชิรินชา แต่ตาอยู่ที่จุ๊ย
“ใช่ ก็พอนายพูดเราก็เลยนึกออก” แล้วจุ๊ยก็เงียบไป
“แต่นิดหนึ่งเถอะนายพูดไทยพึ่งได้ หรือว่าพูดได้นานแล้ว”
โยชิจิบชา
“ฉันเกิดเมืองไทย  อยู่ที่นี่จนอายุเจ็ดขวบแล้วถึงตามพ่อกลับญี่ปุ่น”
“อ้าว  แล้วก็หลอกให้เรางมงูงมปลาอยู่ตั้งนาน  เราก็นึกว่าพูดไทยไม่ได้” จุ๊ยเอนหลังหลบ เพราะตอนนี้พนักงานเอาชุดปลาดิบพิเศษออกมาเสริพ
“ก็เราเห็นจุ๊ยพยายาม  เราก็เลยไม่อยากให้เสียกำลังใจเลยปล่อยให้พูดไป  ตอนนั้นฉํนเองก็ไม่ได้ถนัดภาษาอังกฤษ ก็งูปลาแข่งเหมือนกันนั้นล่ะ”
 “มิน่าไอ้คนเบาะหลังเรามันทำหน้าแปลกๆ  มันคงตลกที่เราคุยกันมั่วๆ” จุ๊ยยิ้ม
“มันคงลุ้นว่าไอ้ห่าแม่งจะคุยกันรู้เรื่องไหม”
โยชิหัวเราะ
แต่จุ๊ยนึกได้ว่าพูดคำหยาบเลยขอโทษ
“เฮ้ยไม่เป็นไร  เต็มที่ ฉันอยากให้จุ๊ยเป็นกันเองมากกว่า  ตอนนั้นจุ๊ยก็แจกเรามาหลายตัว ทั้งเห้ ทั้งอะไร” โยชิโบกมือ
“ก็เกือบหมดสวนสัตว์นั้นล่ะ ก็นึกไม่ออกนี่หว่าว่าจะพูดอะไร พอมันนึกไม่ออกก็หลุดด่าออกมา  แบบมันไปเองตามความเคยชิน  แล้วก็ไม่คิดว่านายจะฟังรู้เรื่อง” จุ๊ยตอบ
“มีงกูก็ได้นะจุ๊ยถ้าจะสะดวก” โยชิกล่าวพลางแยกตะเกียบ
“ยังๆ  เอาไว้ก่อน  ขอสุภาพบ้างเหอะ  อยู่กับพวกเพื่อนๆก็พูดไปด่าไปจนจะเคยปากอยู่ละ  อีกอย่างฉันพูดกู นายก็พูดมึง คนอื่นจะมองนายไม่ดีนา” จุ๊ยตอบพลางแยกตะเกียบบ้าง
“เฮ้ยไอ้นี่มันอะไร” จุ๊ยถาม  แล้วเอาตะเกียบเขี่ย 
“อ้อไข่หอยเม่น  อร่อยนะ” โยชิพูดแล้วคีบใส่ปาก
จุ๊ยก็ลองคีบมานิดเดียวลองกินแล้วก็พูด
“เออมันๆหวานอร่อยดี”
แล้วเขาก็เอียงคอคิด
“เหมือนจะมีคนบอกว่าเป็นอสุจิหอยเม่นรีเปล่าวะ หรือเราเข้าใจผิด”
โยชิกลืนลงคอก่อนจะพยักหน้า
แต่ตอนนั้นจุ๊ยก็เอาใส่ปากกลืนลงคอไปแล้วเหมือนกัน  ทำหน้าตื่นเอามือกุมท้อง
“อ้าวเหี้ยละ  นี่กินอสุจิหอยไปแล้วหรอวะ แล้วจะท้องกับหอยไหมเนี่ย”
โยชิหัวเราะจนหัวโยก
“ขำ..ขำ” จุ๊ยเอาน้ำมาดูด
แล้วจุ๊ยก็ชี้อีกอัน
“หอยโอตาเตะ” โยชิตอบ

“งั้นต้องเก็บไว้ก่อน” จุ๊ยว่าแล้วหันไปคีบปลาแซลม่อนกิน
“ทำไมล่ะอร่อยนะ” โยชิถาม
“อ้าว ก็กินที่หลังรอให้ไอ้อสุจิมันตายก่อน  กินหอยเหมือนกันตามกันไป เดี่ยวมันไปสปาร์กแพร่พันธุ์ในท้องทำไงเล่า” จุ๊ยตอบหน้าตาเฉย
โยชิที่พึ่งเอาคีบเอาอาหารเข้าปากหลุดหัวเราะจนเกือบสำลักต้องเอาชามาจิบกินไล่อาการ แล้วก็นั่งยิ้มหูตาแดง
จุ๊ยมองหน้าแล้วส่ายหัว
“เส้นตื้นนะเนี่ย”
 
ทิพย์กำลังเลือกเสื้อผ้าจากราวที่ลดราคา
“อันนี้ราคาพิเศษเลยนะค่ะคุณทิพย์  ถ้าคุณทิพย์จะซื้อเดี่ยวดิฉันจะเอาของใหม่ให้เลย”
ทิพย์แม้จะมีรายได้สูง  แต่เพราะถูกเลี้ยงมาโดยครอบครัวคนจีนที่ประหยัดจนรวยก็เลยถูกสอนเรื่องความประหยัด เธอไม่อายที่จะบอกว่าเธอซื้อแต่ของลดราคาเท่านั้น
“งั้นพี่เอาสองตัวนะ  สีนี้” เธอตอบ
พนักงานก็เอาเดินเข้าไป  เธอหมุนไปหมุนมาสักครู่ ก่อนจะสังเกตุเห็นคนเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้าร้านมาในส่วนของเสื้อผ้าผู้ชาย
“ช่วยเลือกหน่อย” คนหนึ่งว่า
“โอยใครจะไปรู้รสนิยมนาย  ไอ้เสื้อผ้าแพงๆแบบนี้เราก็ไม่รู้จักด้วย” อีกคนตอบ เดินไปชี้หุ่น
“ไม่รู้จักได้ไง นี่ก็เสื้อนั้นกางเกง”
คนหน้าตี๋ตัวเตี้ยกว่าเชิดริมผีปากขึ้น มองหน้า
“อ้อเหรอ”  แล้วเขาหันไปหยิบกางเกงในบ็อกเซอร์มา
“เอ้านี่หมวก นายเอาไปใส่ซะ  ลองดูเข้ากับนายมาก”
คนตัวสูงหัวเราะอย่างสดใส
“เฮ้ยฉันไม่ใช่ซุปเปอร์แมน” เขาตอบ
เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่า ยิ้มทะเล้นเอาบ็อกเซอร์อีกยกขึ้นเสมอหน้า
“ซุปเปอร์แมนอะไร  เฮนไต คาเมน” แล้วก็ทำเสียงเหมือนในหนัง 
คนตัวสูงหัวเราะเสียงดัง จนคนตัวเล็กกว่าต้องอุดปาก
“รักษาภาพพจน์ ภาพพจน์” เขากระซิบ
แล้วเด็กหนุ่มร่างสูงก็ยืดตัวขึ้นตรง ทำท่าหล่อ
“เอออม... เหลวไหลนะเราน่ะ” เขาเก็กเสียงหล่อ
ทิพย์ยิ้มออกมา
นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ได้เห็นโยชิยิ้มอย่างสดใสเช่นนี้
เด็กคนนี้เป็นใครกันหนอทำให้โยชิหัวเราะได้นอกฉากการแสดง
หน้าตาคุ้นๆ
อ้อ... เด็กที่เป็นเอ็กช์ตร้าที่โดนโยชิต่อยนั้นเอง
“อ้าวนี่เป็นเพื่อนกัน หรอกเรอะ”
ระหว่างนั้นนั่นเอง  ที่หน้าร้านมีเด็กสาวหลายคนวิ่งมา
“เอาแล้วไง” โยชิเห็นท่าไม่ดี วางกางเกงใน
จุ๊ยถอยมาเอาศอกกระตุ้น
“ยิ้มสิยิ้ม “
ตอนนี้จุ๊ยเข้าใกล้เขามากจนเขาได้กลิ่นจากโคโลนญน์อ่อนๆ
เขาก็ยิ้มออกไป เหล่าสาวๆก็กรูกันเข้ามา
“ใจเย็นๆค้า” ก่อนจะถึงตัว  ทิพย์ก็ปราดเข้าทัน
ทิพย์หันไปหาโยชิ
“ออกไปนอกร้านก่อน รปภ.มาพอดี”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:41:10
ตอนที่ 9 ปรัชญาเต้าหู้ยี้   
ลงจากรถรับส่งของโรงเรียน ซัวก็เดินตรงเข้าบ้าน  เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องเจอกับนักเรียนโรงเรียนอื่น  เพราะสถาบันที่เขาเรียน  กำลังมีกรณีกับอีกโรงเรียน   
ถ้าเช้าบ้านไปตอนนี้อาจไม่มีข้าวกิน เขาก็เลยแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อย
“เส้นเล็กครับเจ๊ก” เขาสั่งแล้วเดินมานั่ง
สักครู่เด็กสาวเรือนร่างท้วนเล็กน้อยก็เดินอกมาจากหลังร้าน พอเห็นซัวเธอก็ชะงัก
“เฮียไปโรงเรียนเหรอ”
ซัวเงยหน้ามอง
“อืม  หมวยเล็กก็ไปโรงเรียนมาเหมือนกันเหรอ”
หมวยเล็กยิ้มอายๆ
“ก็มีติว  ก็เลยต้องไป”

“หมวยเล็กมาเอาก๋วยเตี๋ยว” เจ้าของร้านและบิดาของเด็กสาวเรียก
เด็กสาวก็เดินไปยกก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ
แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามเลย
“คือ..” หมวยเล็กลากเสียงหลังจากซัวกินไปได้สักระยะ
“วันก่อนหมวยเห็นเฮียเดินจูงมือผู้หญิงคนหนึ่ง  แฟนใหม่เฮียเหรอ”
ซัวขมวดคิ้ว  กำลังนึกว่าคนไหนตอนไหน
“เออม ใช่  แต่อย่าเอาไปบอกเฮียจุ๊ยนะ เดี่ยวเฮียจุ๊ยเล่นงานเฮียตายเลย”  ซัวตอบไป
เด็กสาวนิ่งไปนิดหนึ่ง
“เฮียนี่แฟนเยอะจัง”
ซัวกำลังจะตอบอะไรออกไป  แต่เหลือบไปเห็นรถสปอร์ตคันเสียแดงมาจอด  แล้วคนที่ลงมาคือพื่ชายของเขา
“ใครเป็นคนขับวะ  เพื่อนเฮียคนไหนวะขับรถสปอร์ตด้วย”
หมวยเล็กก็หันไปบ้าง
จังหวะนั้นจุ๊ยเดินไปแล้ว แต่เพราะคนขับเปิดประตูรถลงมาพร้อมถุงพลาสติก
“ใครวะไม่เคยเห็น” ซัวเคยเห็นเพื่อนจุ๊ยเกือบทุกคน เพราะเมื่อก่อนเคยเรียนที่เดียวกับจุ๊ย 
“ดารา...” หมวยเล็กกว่าขึ้นอย่างตื่นเต้นถึงขนาดลุกขึ้นก็เลยบังซัว
ซัวก็เลยวางตะเกียบ แล้วชะโงกออกมามอง
สองคนนั้นคุยอะไรบางอย่าง  ซึ่งใครคุยกับจุ๊ยก็ต้องยิ้มแย้ม  เพราะเฮียของเขาช่างสรรหาวิธีพูดให้ตลก
“ดารา” ซัวหันมามองหน้าหมวยเล็กที่เอามือประสานกันไว้ใต้คาง
“ดาราพี่ โยชิ  พระเอกซีรี่กำลังดังเลย”
ซัวทำหน้ามุ้ย
“ซีรี่อะไร”
 
จุ๊ยเอาของมาวางเรียงต่อหน้าป๊า เป็นขนมปังหลายชนิดน่ากิน
“เพื่อนจุ๊ยคนที่เอาโทรศัพท์ให้ซื้อให้ครับ ป๊าอยากกินอันไหน” จุ๊ยถาม
บิดามองข้าวของแล้วมองหน้าลูกชาย
“นี่เขารวยมากเลยงั้นสิ”
“ก็เป็นดาราน่ะป๊า” เจ้าของเสียงคือซัว 
เดินผ่านช่องประตูเหล็กที่เปิดอ้าไว้นิดหนึ่งเข้ามา
“ชื่ออะไรนะ โยชิ”
“อ้าวนี่แกรู้จักด้วยเหรอ”
จุ๊ยถาม
“ก็เห็นเลยล่ะ  รวยไม่รวยก็ขับรถสปร์อตก็แล้วกัน  ดันละสิบล้านเลยนะป๊ารถอย่างนั้น”  แล้วเขาก็มาร่วมดูขนมที่จุ๊ยว่า
“โอ้โหนี่แพงๆทั้งนั้นเลย  ผมเอาอันนี้นะ” ซัวทำท่าจะเอื้อมมาหยิบ
“เฮ้ย ให้ป๊าเลือกก่อน” จุ๊ยรั้งมือมันไว้
บิดามองหน้าลูกชายคนรอง
“พวกแกเอาไปกินกันเถอะ  อย่าลืมแบ่งให้เฮียด้วยแล้วกัน”
“ครับป๊า” จุ๊ยรับคำ จังหวะนั้นซัวก็คว้ากล่องเค้กที่หมายตาแล้ววิ่งไป
“ขอบคุณครับเฮีย”
“เฮ้ยอันนั้นของกู กูจะกิน” จุ๊ยร้องเสียงหลง
ซัวชะโงกหน้ามาจากช่องเปิดของชั้นลอย
“ไม่เอาซัวจะกินอันนี้  เฮียมีตั้งหลายอันก็เลือกเอา”
“ไอ้ซัว” จุ๊ยทำท่าจะเอาเรื่อง
“จุ๊ย” บิดาเรียก
จุ๊ยจึงหยุด
“เราต้องรู้จักฐานะเราเองนะ  ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อนใช้ชีวิตหรูหราแล้วจะเอาอย่างเขา  แล้วก็ไม่ใช่ว่าเห็นเขาเป็นถังเงินถังทองจะไปกอบโกยจากเขา  เราต้องรู้จักประมาณตนเอง แล้วก็มีความเกรงใจ  เข้าใจไหม” บิดามองหน้า
“ครับ ผมรู้แล้วครับ” จุ๊ยตอบบนรอยยิ้ม
แล้วเหมือนบิดาจะนิ่งไป แต่ก็แค่แว่บเดียวก็ก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ
“ไปอาบน้ำ ป๊าหุงข้าวต้มหมู แต่เฮียลื้อบ่นว่าเค็ม  เดี่ยวลื้อลงมาแก้ไข แล้วเรียกมันลงมากิน”
“ครับป๊า” แล้วจุ๊ยก็เดินวางของในครัวก่อนจะเดินขี้นชั้นสองไป
ไท้จุ๊งลดหนังสือพิมพ์ลง
“เหม่ย  ลื้อกลัวอั๊วเหงาหรือไง  เวลาไอ้จุ๊ยมันยิ้ม  เหมือนลื้อเหลือเกิน”
 
จุ๊ยชิมรสชาติอีกครั้ง ความเค็มที่ว่าหายไปแล้ว เขาจึงปิดไฟในเตา
“จุ๊ย ป๊าหล่ะ” 
ตี้ถามตอนเลี้ยวเข้าครัว
นั่งลง
“อ้าวเมื่อกี้ยังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่”
“ไม่มี ก็เฮียชะโงกลงมาจากชั้นลอย ก็ไม่เห็นแล้ว  ประตูก็ปิดแล้วด้วย”
จุ๊ยตักข้าวต้มใส่ชามแล้ววางให้พี่ชาย  ไม่ลืมเอาขิงซอยโรยให้ในปริมาณที่เจ้าตัวชอบ
“ผมก็ไม่รู้นะ  มัวแต่ตั้งใจทำข้าวต้ม  สงสัยไปคุยกับเจ๊กปิงที่หน้าโรงหนังมั๊ง”
ตี้ยักไหล่แล้วคนข้าวต้มก่อนจะชิม
“เออ เอ็งทำอร่อยกว่าป๊าเยอะเลย”
จุ๊ยส่งเสียงหึ
ก็แน่อยู่แล้ว เพราะตั่งแต่แม่ของเขาตายไปเมื่อตอนที่พวกเขาอายุได้ราวสิบสามปี ก็เป็นเขานี่หล่ะเตรียมอาหาร  แม้ส่วนใหญ่จะเป็นของที่ซื้อ แต่ก็บ่อยๆที่เขาจะนึกสนุกลงมือทำเมนูที่มารดาเคยสอนเอาไว้
จุ๊ยหันไปหยิบชามมาตักของตัวเอง  ระหว่างนั้นเห็นตี้กดโทรศัพท์อยู่ตลอด
“เฮียมีแฟนแล้วหรอ”
ตี้สะดุ้ง  หันไปมองประตูก่อนจะตอบ
“เอ้ยใครบอกแกนี่”
จุ๊ยเลิกคิ้ว
“ก็มีล่ะ  ผมก็ไม่ได้แยกร่างได้จะได้ตามไปรู้เรื่องของเฮียที่มหาลัย”
ตี้คนข้าวต้มช้าๆ
“เออ.. “
“สวยไหม” จุ๊ยถามต่อมีรอยยิ้มอย่างสนใจ
“ก็ต้องสวยสิวะ  ก็เฮียหล่อ” ตี้ตอบ ทั้งเก็กหน้า

จุ๊ยเบือนหน้าหนี
“โอยหลงตัวเองว่ะ”
หันกลับมาปรุงข้าวต้มแล้วก็ตักมาคำหนึ่ง
“พามาบ้านบ้างดิ  ผมอยากเห็น ป๊าก็คงอยากเห็น ป๊าคงไม่ว่าหรอก เพราะก็บอกบ่อยๆว่ามีได้แต่ไม่เสียการเรียน”
ตี้นิ่งไป
“เออๆ เอาไว้พามา เอาไว้แน่นอนก่อนตอนนี้ยังแค่ดูใจ”
ในบรรดาสามพี่น้อง คนหล่อสุดคือซัว เพราะมีหน้าตาคมคาย แต่ซัวก็มีรูปร่างค่อยข้างเล็กเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่น  ส่วนเฮียตี้รองลงมาในเรื่องความคมคาย  แต่พอเจอกับเรือนร่างสูงโปร่งที่ได้จากป๊า  ก็ต้องยอมรับเฮียตี้ดูดีที่สุดในพี่น้อง  บวกกับความเรียนเก่ง ฉลาด  ทำให้สมัยเรียนเฮียดังขนาดมีสาวโรงเรียนอื่นมารอดูที่หน้าโรงเรียน  แต่ก่อนหน้าเฮียก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อน เพราะมัวแต่มุ่งมั่นเรียนหนังสือ 
“จุ๊ย” ตี้เรียก
“ครับ”จุ๊ยเงยมามองหน้า
“เอ็งว่าคนรวยนี่เขาจะรังเกียจคนจนไหมวะ”
จุ๊ยมองหน้าเฮีย
“ก็ไม่รู้สิ  บางคนก็เป็นบ้าง  บางคนก็ไม่เป็นนะ” จุ๊ยตอบ เขาดูจากเพื่อนของเขา
ก้องภพเป็นลูกเจ้าของโรงงานน้ำปลาชื่อดัง  มันก็ไม่เห็นจะรังเกียจจุ๊ย  อีกคนที่รวยๆก็คือเดฟ  ถึงมันจะน่ารังเกียจเพราะความหื่น  แต่จุ๊ยก็ต้องยอมรับว่ามันดีกับเขาไม่น้อย
ตี้ทำหน้าคิด
“แล้วส่วนใหญ่ล่ะ คนรวยเขาจะเลือกคนรวยด้วยกันหรือคนจนๆ”
คำถามของเฮียตี้ทำให้จุ๊ยสงสัย 
ตี้เป็นเด็กที่อยู่ในกรอบของป๊ามาโดยตลอด  หมดชีวิตมัธยมไปกับการเรียนพิเศษ
จะว่าไปเพราะจุ๊ยไม่เคยถูกคาดหวัง เขาก็เลยมีชีวิตที่โลดโผนกว่าเฮียตี้  อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนมากกว่าและไปไหนต่อไหนได้มากกว่าเฮียตี้
“ก็ไม่หรอก  แต่ก็ไม่แน่ใจนะ  แต่คนเรามันต้องมองหลายๆอย่างรีเปล่าเฮีย ถ้าจะตัดสินใจคบกับใครหรือไปกับใคร”จุ๊ยตอบ
“ถ้าเป็นผม ผมจะไม่กังวลนะ  ผมก็แค่เป็นตัวของผมแค่นั้นเอง ถ้าเค้าจะไม่รักเรา  มันก็ช่วยไม่ได้นี่”
ตี้พยักหน้าช้าๆ  มองในชามข้าวต้ม
“แต่มันยากไม่ใช่เหรอ  กับการจะตัดใจ หรือทำใจถ้าเค้าไม่เลือกเรา เพราะเราด้อยกว่า มันรู้สึกแย่ใช่ไหม  แล้วแบบนี้เราควรจะเลิกกับเขา ไม่ดีกว่าเหรอ”
จุ๊ยมองหน้าตี้  แล้วเขาก็หันไปหยิบอะไรมาอย่างหนึ่ง  หยอดลงไปชามของตี้
“เฮ้ย นี่มัน”
จุ๊ยยิ้ม
“เต้าหู้ยี้”
“ก็รู้ว่าเฮียไม่กิน แล้วหยอดลงมาทำไม”
ตี้ทำท่าเซ็ง
“ตักชามใหม่ให้เลยนะ  อยู่ดีๆเอ็งแกล้งเฮียทำไมเนี่ย”
จุ๊ยส่ายหัว  แถมหันไปเอาเต้าหู้ยี้หยอดลงในหม้อข้าวต้มด้วย
“เฮ้ยจุ๊ย” ตี้ชักโกรธ
แต่จุ๊ยจ้องตาพี่ชาย
“เฮียจะเลือกเอาแต่สิ่งที่เฮียชอบกินไม่ได้หรอกนะ  เพราะบางทีเราก็ควบคุมทุกอย่างไม่ได้  เราอาจต้องเจอกับสถานการณ์มัดมือชก  โดยเฉพาะเวลาที่คนที่ตัดสินใจคั่นสุดท้ายไม่ใช่เรา  บางที่เราอาจต้องลองชิมมันดู  เผื่อว่าเราอาจชอบรสชาติมัน  หรือถ้าเราไม่ชอบ  เราก็จะได้รู้ว่ารสชาติมันแย่จริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าเฮียเททิ้ง  เฮียก็คือทิ้งโอกาสไปหมด  ทิ้งแม้แต่รสชาติในส่วนที่อร่อยไปด้วย  เฮียลองคิดดูเอาเองนะ”
ตี้มองหน้าน้องชาย 
“ลองดูก่อนผมจะเอาใจช่วยตรงนี้เสมอ  ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น  ผมจะอยู่กับเฮีย”
ตี้ยิ้มกับคำพูดของน้องชาย

แล้วจุ๊ยก็หยอดเต้าหู้ยี้ในชามตัวเอง
“แต่ผมชอบนะเต้าหู้ยี้เนี่ย” จุ๊ยกล่าว
“มันรสชาตกระดึกกระดึ่ยดีออก”
ตี้ทำหน้าบอกว่าแปลกหูกับคำพูดของจุ๊ย
“อะไรของแกกระดึกกระดึ๋ย”
“ก็บอกไม่ถูกไงเฮีย  มันแบบว่ากระดึก กระดึกในคอ  กระดึ๋ยกระดึ๋ยด้วย” จุ๊ยกล่าวก็กินเต้าหู้เข้าไปทั้งชิ้น แล้วทำท่าตัวสั่น  ก่อนจะทำตาเยิ้ม
“อาสุดยอด...”
ตี้หัวเราะแล้วโคลงหัว
“ไหนลองดูสิ”
พอกินเข้าไป ตี้ก็ทำหน้าหยีไปทั้งหน้า
“รู้ละว่าทำไมถึงชื่อเต้าหู้ยี้” แล้วตี้ก็จิบน้ำที่จุ๊ยรินไว้เผื่อตอนที่เขาตักเข้าเต้าหู้ยี้เข้าปาก
“แต่ก็...” ตี้มองในชาม
“อร่อยเหมือนกันเนอะ ไอ้กระดึกกระดึ๋ยของแกเนี่ย”
แล้วสองพี่น้องก็ประสานเสียงหัวเราะกัน
 
สองพี่น้องเดินขึ้นชั้นบนมาพร้อมกัน  แล้วก็แยกตรงชั้นสอง เพราะชั้นสองเป็นชั้นที่ตี้นอนคนเดียวทั้งชั้นโดยมีการกั่นสัดส่วนอย่างดี
“เข้าไปเล่นคอมก่อนไหม” ตี้ถาม
“ไม่ล่ะเฮีย  ผมง่วง  แล้วต้องไปตอบไลน์ด้วย ไอ้เดฟมันอะไรก็ไม่รู้มาตลอดเลย ไม่ได้ยินเหรอเมื่อกี้”
“แกลงมานอนข้างล่างกับเฮียบ้างก็ได้  จะได้ไม่ต้องเปิดแอร์หลายเครื่อง” ตี้กล่าว

จุ๊ยส่ายหน้า
ตี้มองหน้าน้องชาย  แล้วเขาก็ลูบหัวเบาๆ
“ขอบใจนะจุ๊ย  เอ็งทำให้เฮียสบายใจได้ตลอดเลย”
จุ๊ยยิ้มแล้วยกมือบอกว่า
“ราตรีสวัสด์นะเฮีย”
จุ๊ยเดินต่อขึ้นไป  ตี้มองตามหลังไป
ในสามพี่น้อง  จุ๊ยเหมือนแม่มากที่สุด ทั้งหน้าตาและก็นิสัย
 
“ม๊าจะทิ้งผมไม่ได้นะ แล้วใครจะทำกับข้าวให้ผมกิน”
มารดามองหน้าเขาอย่างอ่อนโยน  แม้กำลังข่มความเจ็บปวดที่เผชิญ
“ไม่ต้องกลัวนะ  อาม๊าฝากทุกอย่างไว้ในตัวจุ๊ยหมดแล้ว  ต่อไปน้องก็จะดูแลตี้ต่อ ตี้ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี  ทำให้สำเร็จจากนั้นก็กลับมาดูแลน้องคืนบ้างไง”
แล้วจุ๊ยก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ  จะว่าไปเขาก็รู้ว่า เขาเป็นพี่ชายคนโต หน้าที่ซึ่งจุ๊ยรับผิดชอบอยู่ในทุกวันนี้เป็นของเขา  แต่ตัวเขาเองก็ต้องแบกความคาดหวังของป๊าเอาไว้จนเต็มบ่า  ตั้งแต่มัธยมเขาก็อยากจะช่วยจุ๊ยบ้าง 
แต่วันๆนอกจากเรียนที่โรงเรียนเขาก็ต้องไปเรียนพิเศษ ไปติวพิเศษ  ไปเช้าค่ายติววิชานั้นวิชานี้  จนชีวิตช่วงวัยรุ่นของเขาหมดไปกับตัวหนังสือ   
พอเข้ามหาวิทยาลัยในคณะแพทย์ทุกอย่างไม่ได้คลายไปเลย  เขายังเรียนหนักกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า  เพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่ได้หัวดี  แม้หลายคนจะบอกว่าเขาเรียนเก่ง  แต่นั้นเพราะการทำงานหนักเป็นสองเท่าของเขาต่างหาก 
เขายังจำได้ดีถึงสีหน้ากังวลต่อผลการเรียนบางวิชาในตอนมัธยมของป๊า  ดังนั้นเพื่อให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์เขาจึงทุ่มสุดตัว
แต่นอกจากจุ๊ยจะทำหน้าที่แทนเขาแล้ว  ยังทำตัวเป็นกองหนุนที่ดี  ทำให้เขาสบายใจในเวลาที่เขาเคร่งเครียด   รอยยิ้มอันสดใสของจุ๊ยสร้างความสบายใจให้เขาเสมอ
ก็รู้นะว่าคนอื่นอาจว่าเขาเห็นแก่ตัว  แต่ถ้าเขาทำทุกอย่างสำเร็จ  เขาตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะชดเชยทุกอย่างให้จุ๊ย  และจะให้ทุกคนได้เห็นว่าเขารักน้องชายคนนี้เพียงไร
ตี้หันไปทางหิ้งที่วางภาพชองมารดาเอาไว้
“ผมสัญญาครับม๊า  ผมจะทำให้สำเร็จแล้วจะดูแลเขาให้ดีเลย”


หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:42:31
ตอนที่ 10 ห้องนอนนักดนตรี
จุ๊ยเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง  เป็นห้องที่อยู่บนชั้นสามที่แบ่งเป็นส่วนห้องโกดังเก็บของเก่าที่ไม่ได้ใช้และห้องนอนของเขา
มันก็เลยกว้างแค่ประมาณกว้างห้าเมตรยาวห้าเมตร  ซึ่งเล็กที่สุดในบรรดาห้องนอนของสามพี่น้อง  แถมยังแคบไปอีกนิดด้วยผนังที่บุด้วยวัสดุซึมซับเสียง พื้นก็หนาขึ้นจนต่างระดับกับพื้นนอกห้องนิดหน่อย 
อันนี้เพราะป๊าคงรำคราญเวลาเขาซ้อมดนตรี และกลัวข้างบ้านด่าก็เลยทำห้องแบบนี้ให้จุ๊ย 
ต่อให้เขาเป่าเครื่องดนตรีเสียงก้องสะท้อนแค่ไหนมันก็ได้ยินจากภายนอกแค่เสียงเบาๆ  แต่ก็ไม่ดีขนาดห้องซ้อมดนตรีดีๆ
ภายในนอกจากเตียงนอนชนาดสามฟุต  โต๊ะเขียนหนังสือ  ตู้เสือ้ผ้าแล้วยังมีตู้ถ้วยรางวัลของเขาที่ตั้งเรียงรายจนไม่มีที่จะวาง  ใบประกาศก็มีมากจนติดแล้วดูไม่สวยจึงต้องเก็บไปบ้าง 
ซึ่งแต่ก่อนมีเครื่องดนตรีนานาชนิดที่เขาได้จากการชนะการประกวดด้วย  แต่จุ๊ยชายทิ้งหมด 
แม้แต่ไคลิเนตที่วาทิตใช้อยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เขาขายให้วาทิตไปในราคาไม่แพง   
ส่วนที่เก็บไว้จริงๆคือที่อยู่ในเสื้อผ้าที่แบ่งส่วนไว้วางของด้วย เพราะเขาก็ไม่ได้มีเสื้อผ้ามากอะไร 
นั่นคือแซกโซโฟนสามตัว เสียงเทรนเนอร์ เอาโต้ และโซบราโน่  จะขาดไปก็คือบาริโทน  ซึ่งแม้จะเป็นชิ้นที่เขาเล่นบ่อยในตอนนี้ เพื่อประคองวงในการซ้อม  แต่ก็ไม่มีเป็นของตัวเพราะมันใหญ่และหนัก  จึงใช้ของโรงเรียนคิดไม่เคยซื้อ
อัลโตตัวนี้เป็นแซกโซโฟนตัวสำคัญที่สุดของเขา เพราะเป็นตัวที่แม่ชองเชาซื้อให้ก่อนเสีย  ราคาของมันแพงระยับ  แถมมีลายเซ็นชองนักแซกโซโฟนระดับโลก Ornette Coleman อยู่ด้วย  จุ๊ยเอามันออกมาทำความสะอาดบ่อยๆ และจะว่าไปก็ใช้บ่อยมากที่สุดในเวลาประกวด 
ส่วนเข้าโทนเนอร์นี่ได้มาจากการประกวดแล้วก็ใช้บ้างในตอนประกวด  แล้วก็ที่วางไว้ในสุดคือ... โซบราโน่ ตั้งพิงฝาตู้เอาไว้โดยมีหมวกแก็ปทีมเบสบอลญี่ปุ่นสวมไว้ตรงด้านบน
เขาไม่ค่อยทำความสะอาดมัน  แม้จะหยิบออกมาบ่อยๆ เพราะเขาไม่ได้เป่ามัน  เจ้าของคนก่อนหน้า คือคนที่เคยเป่าเพลงชาติคู่กับเขาในทุกเช้านั้นเอง  พี่ไตร...
เด็กหนุ่มอายุมากกว่าเขาสองปี  ผิวสองสีดวงหน้าเข้ม  มีรอยยิ้มที่บางและน้อยครั้งที่จะยิ้มกับคนอื่น  แต่จะแผดเสียงหัวเราะจนตัวโยน แถมยังยิ้มกว้าง ให้กับเขา
ภาพในใจคนอื่นจะเป็นอย่างไรจุ๊ยไม่รู้  แต่จุ๊ยจำภาพหนึ่งได้ คือภาพที่เขาเป่าแซกโซบราโน่  แต่แอบเหลือบมองมาและยิ้มให้  โดยใส่หมวกแก็ปกลับหลัง
“ไม่ใช่พี่ไม่ชอบยิ้มนะจุ๊ย  แต่พี่ไม่เห็นว่าน่ายิ้มอะไร  นอกเสียจากเวลามีจุ๊ยอยู่ใกล้ๆ  ตอนนั้นพี่อยากจะยิ้ม อยากหัวเราะ ตลอดเลย”
 
เสียงเรียกเข้าทำให้จุ๊ยสะดุ้ง 
ตอนแรกนึกว่าเป็นหมายเลขของโยชิ  แต่กลายเป็นเดฟ
“จุ๊ยนอกใจผม” เสียงกรอกมาเหมือนจะร้องไห้
“จุ๊ยไปเที่ยวกับคนอื่นได้ยังไง  ผมเสียใจนะจุ๊ย ที่จุ๊ยนอกใจผม”
“อะไรของมึง  กูเข้าไปอยู่ในใจมึงตอนไหน ถึงมาว่ากูนอกใจ” จุ๊ยตอบแล้วปิดประตูฝั่งเก็บของ เปิดฝั่งเสื้อผ้า
“ก็ผมเอาจุ๊ยมาไว้กลางใจเสมอ”
จุ๊ยทำหน้าเลี่ยน
“มึงถามกูไม๊ว่ากูอยากไปนั่งไหมในนั้นน่ะ”
“ไม่รู้หล่ะ  ตอนนี้จุ๊ยนอกใจผม  จุ๊ยไปเที่ยวกับคนอื่น”  เดฟตอบมา
“ใครอะไรที่ไหนตอนไหน” จุ๊ยถามเป็นชุด
“แสดงว่ายังไม่ได้ดูภาพในไลน์ “ เดฟว่า
“เดี่ยวนะ” แล้วจุ๊ยก็เอาโทรศัพท์มาเรียกแอพพริเคชั่นไลน์
เป็นรูปเขากับโยชิในอิริยาบถแนบชิด  คงเป็นตอนที่เขาเอาศอกถองให้โยชิยิ้ม
“เฮ้ยๆ เดี่ยวเข้าใจผิดแล้วมั๊ง  กูแค่ไปกินข้าวแล้วไปซื้อของกับมันนิดหน่อย  แล้วตอนนั้นแฟนคลับของมันมา  กูก็เลยเช้ากระซิบเตือนให้มันยิ้ม”
“กินข้าว ซื้อของ โอยนี่ยังไม่เรียกนอกใจ  จุ๊ยเคยไปกินข้าวกับซื้อของกับผมไหม”  เดฟโอดครวญ
“ทำไมจะไม่เคย” จุ๊ยย้อน
“ตอนไหน”
“ก็ทุกวัน”
อีกฝ่ายเงียบ
“อะไรของจุ๊ย”
จุ๊ยนั่งลงบนเตียง
“อ้าวก็เที่ยงไง  กูกับมีงกินข้าวโรงอาหารเดียวกันเวลาเดียวกัน  มึงซื้อข้าวกูก็ซื้อ  มึงกินกูก็กิน” จุ๊ยกล่าว แล้วเขาก็กล่าวประโยคต่อไป โดยไม่รู้ว่าตัวเองพูดไปอย่างนั้นทำไม
“เราใช้เวลาร่วมกันมาตั้งแต่ม.หนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
เดฟนิ่งเงียบไป  ก่อนจะถอนหายใจให้ได้ยิน แล้วตอบมา
“เฮ้ยไม่เหมือนกัน อันนั้นมันต่างคนต่างกิน” เดฟแย้ง
จุ๊ยถอนหายใจก่อนจะตอบออกไป โดยไม่รู้ว่าตัวเองพูดไปอย่างนั้นทำไมอีกเช่นกัน
“ถึงยังไงนะ เราก็ได้เห็นกันทุกวันไม่ใช่เหรอ แค่นั้นมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ มึงจะให้กูนั่งจ้องตามึง นั่งเบียดมึงหรือไง แบบนั้นมึงก็รู้กูทำไมเป็นหรอก กูไม่ใช่คนโรแมนติกขนาดนั้น”
คราวนี้เดฟเงียบไปนานพอสมควร  ก่อนะจะแผดเสียงครวญออกมา
“ไม่รู้หล่ะ ผมเสียใจมากเลย เสียใจเสียใจ เสียใจ เสียใจ...เสีย..”
จุ๊ยกดโทรศัพท์ทิ้งด้วยความรำคราญ
“เหี้ย... นี่ท่าจะบ้าแล้วนะเนี่ย ไอ้เดฟ”
 
เดฟนั่งมองโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ของเขาอยู่นาน  ก่อนจะเรียกโปรแกรมเฟสบุ๊คขึ้น  เขาเลือกเข้าไปส่วนหน้าโปรไฟล์ของจุ๊ย  ยังไม่มีอะไรเลยในนั้น  นอกเสียจากรูปของจุ๊ยเองที่คงถ่ายตัวเอง 
“ถึง ยังไงนะ เราก็ได้เห็นกันทุกวันไม่ใช่เหรอ แค่นั้นมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ มึงจะให้กูนั่งจ้องตามึง นั่งเบียดมึงหรือไง แบบนั้นมึงก็รู้กูทำไมเป็นหรอก กูไม่ใช่คนโรแมนติกขนาดนั้น”
แค่นั้น.. เขาไม่พอใจอย่างนั้นเหรอ  ไม่เลย  เขาพอใจ  แม้ปากจะบอกว่าไม่พอใจ  แค่นั้นก็มีความสุขมากพอแล้ว
แม้จุ๊ยจะแสดงอาการรังเกียจเวลาเขาแตะเนื้อต้องตัวจุ๊ย  ซึ่งจะว่าไปถ้าใครมาทำอย่างนี้กับเขา  เขาก็คงรู้สึกรังเกียจเหมือนกัน  แต่จุ๊ยกลับไม่เคยหลีกเลี่ยงจะไม่เจอเขา  จุ๊ยเหมือนพร้อมจะเผชิญหน้ากับเขาไม่ว่าเขาจะเข้ามาในลักษณะไหนก็ตาม
แล้วจะถามว่าอะไรทำให้เขาประทับใจในตัวจุ๊ยมาก  คงจะเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น  เมื่อตอนที่เขาอยู่ม.สาม
มันเป็นวันที่ทุกข์ใจที่สุดในชีวิต  เมื่อพบว่าชีวิตครอบครัวที่เหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่างของเขามันกำลังจะแตกสลายลง  แม่จับได้ว่าพ่อมีผู้หญิงอื่น และกำลังทะเลาะกันหนัก  ส่วนเขาก็ไปรับรู้ว่าในยามที่พ่อไม่อยู่แม่เองก็แอบมีความสัมพันธ์แบบสามเส้ากับคนสวนที่มีเมียเป็นคนรับใช้ในบ้าน
เดฟรู้สึกช็อกและผิดหวังในพ่อแม่มาก  เพราะเขาเคยคิดว่าพ่อแม่รักกันมากแม้จะค่อยไม่ได้อยู่ด้วยกัน  วันนั้นเขาเดินทิ้งเสียงทะเลาะของพ่อกับแม่ไว้ข้างหลัง เดินไปอย่างไรจุดหมาย 
แล้วไปนั่งอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้บ้าน  และจะกระโดดลงไปอย่างไม่ทันยังคิด  แต่กลับถูกรั้งรวบไว้ด้วยท่อนแขนของจุ๊ย
คืนนั้นเขานั่งคุยปรับทุกข์กับจุ๊ยทั้งคืนตรงข้างราวสะพาน  แล้วก็เผลอหลับไปทั้งคู่ในลักษณะหัวพิงกันและกัน
ตลอดเวลาที่จุ๊ยคุยกับเขา จุ๊ยรับฟังจนจบ ก่อนจะตอบในมุมมองของเขา  ซึ่งเป็นมุมมองง่ายๆ แต่เขากลับลืมมองไป  แล้วก็ทำให้สบายใจเมื่อคิดไปตามนั้น
“กูก็ปลอบใจคนไม่เก่งนะ” นั้นคือคำพูดติดปากของจุ๊ย
แต่ไม่เลย  จุ๊ยคือคนที่ใครมีทุกข์ควรจะเข้าไปคุยกับมากที่สุด..
ตั้งแต่นั้นเขาก็พบกว่าตัวเองหลงรักจุ๊ยไปแล้ว
ผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ มีแค่ดวงตาที่เป็นประกายเป็นจุดเด่น  ทำไมเขาถึงได้มีความสุขนัก  เมื่อยามได้เห็น  แม้จากระยะไกลลิบก็ตาม
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:43:18
ตอนที่ 11 แซกเสียงหวาน/สามเสือแห่งวงโย
“มาแล้วมาแล้ว” ปอร้องเมื่อเห็นจุ๊ยเดินมา
เขาวางกระเป๋าลงข้าง หันมา
ปรากฏว่าเพื่อนกำลังรวมตัวเป็นกระจุกมองหน้าเขาด้วยอาการแปลกประหลาด
“เป็นเหี้ยอะไร “
เพื่อนๆมองหน้ากัน ก่อนจะส่งอ๊อดเป็นตัวแทน เขากอดคอจุ๊ยแล้วพาหันไปหาโต๊ะของกลุ่มเกย์สาว พวกนั้นแสดงอาการคล้ายกัน
“เฮ้ยจุ๊ย  มึงไม่สังเกตหรือวะว่าคนทั้งโรงเรียนมองมึงเหมือนพวกกูทั้งนั้น”
จุ๊ย ไม่ได้สนใจอะไรตอนเดินมา เพราะเมื่อกี้เดินมาเขาก็มัวแต่คิดเรื่องการประกวดวงโยธวาทิตวันพรุ่งนี้  แต่พอมองไปรอบๆ ก็เห็นสายตาหลายคู่มองมาจริงๆ

“เออ มองทำไม” แล้วจุ๊ยก็เริ่มสำรวจตัวเอง  โดยเฉพาซิบกางเกงว่ารูดรึเปล่า
“ไม่ใช่ๆ” ก้องภพเอาโทรศัพท์ของเขามากดให้จุ๊ยดู
“จงอธิบายภาพนี้อย่างถูกต้องและเหมาะสม.. สิบคะแนน”
ก็คือภาพเดียวกับที่เดฟส่งให้จุ๊ยดูเมื่อคืน
“เฮ้ยไอ้เดฟมันแชร์ไปทั่วเลยเหรอวะ” จุ๊ยร้อง
“ไอ้เดฟมึงตาย” เขาทำท่าจะเดินไป
“เดี่ยวๆ ไม่ต้องๆ ใครๆเขาก็มีรูปนี้จุ๊ย ตอนนี้เผลอๆไม่ใช่แค่โรงเรียน  กูว่าแฟนคลับของไอ้โยชิทั่วประเทศก็อยากจะถามแบบนี้กับมึง” ก้องภพเข้ามาขวางเขาด้วยการดันอก
แล้วทั้งอ็อดและก้องภพก็ดันเขาให้นั่งลง  ก่อนทุกคนจะล้อมกรอบมา
“จุ๊ยมึงสารภาพมา  มึงไปสนิทกับเขาตอนไหน” อ๊อดถามเสียงเข้ม
“แล้วมึงไปทำอะไรกันมา” ก้องภพคำราม
“นี่กระเป๋าใหม่  เขาซื้อให้มึงใช่ไหม” ปอเอากระเป๋าจุ๊ยมาแสดงด้วย
“มึงกับมันเป็นอะไรกันแน่” อัศวะจ้องตาเขา
“คุณต้องการอะไรจากสังคม”ตั้มเค้นเสียงถาม
เงียบกริบ..
“ไอ้เหี้ยไม่เข้าพวก” อ๊อตตบหัวตั้มทีนึง
“มึงเป็นเฮียสรหรือไงวะ” 
แล้วรุมกันเหมือนเดิม
จุ๊ยมองหน้าเพื่อนที่ละคน  ก่อนจะลุกพรวด
“ไอ้หอก... เป็นเพื่อนกัน  มึงจะบ้าเหรอ กูกับมันเจอกันแค่สามสี่ครั้ง พวกมึงจะให้กูมันเป็นอะไรกันเล่า”
เสียงจุ๊ยค่อนข้างดัง จึงได้ยินไปถึงแก็งค์เกย์สาว พวกนั้นเริ่มสุมหัวกัน
“พวกมึงนี่ท่าจะบ้า  ถ้ามันไม่ใช่ดารามึงจะสนใจกันอย่างนี้ไหม  ทีกูกับไอ้อ๊อดนอนด้วยกัน  ไอ้ฮ้อยอาบน้ำห้องเดียวกับกู  ไอ้อัสไปเที่ยวเชียงใหม่กับกูสองคน  ไอ้ปอกระโดดจูบกูกลางสนามบอลพวกมึงไม่เห็นสนใจกันบ้างวะ”
“เออวะ” ก้องภพถอยออกมานั่ง
“แม่งก็ไม่เห็นจะมีอะไร  ก็แค่ยืนใกล้กันรีเปล่าวะ”
อ๊อดก็นั่งลงข้างๆ
“เปล่ากูก็ไม่ได้สงสัยอะไร  แค่ทำตามกระแส กูโดนถามตั้งแต่เมื่อคืน”
“ใครถามมึง” จุ๊ยย้อน
อ๊อดถึงกับสะอึก
“ก็เพื่อนไง เพื่อนที่อยู่หอเดียวกับกู เขาถามกันหมดหล่ะ”
“เฮ้ยมึงจะหงุดหงิดไม่ได้นะ  ถ้าเป็นกูกับคนอื่นต่อให้มีรูปไปกระโดดกอดคอมันก็คงไม่มีใครสงสัย  แต่มึงป็อปไอ้จุ๊ย  ใครๆก็อยากจะรู้เรื่องของมึง” ปอกอดคอแล้วพานั่งลง
“ป๊อปตรงไหน” จุ๊ยส่ายหัว
อัศวะมองหน้า
“นี่มึงไม่รู้ตัว  ตอนนี้ใครก็สนใจมึง  โดยเฉพาะสาวๆแก็งค์โน้น  ว่างๆมีงไปไลค์เพจนี้นะ  แซคเสียงหวาน  มึงจะได้รู้ว่าวันๆมีคนคอยแอบถ่ายรูปมึงอยู่ทุกวัน อัพทุกวัน มีคนไปไลค์จะหมื่นแล้ว  ทั้งโรงเรียนเรา ทั้งโรงเรียนแฟนมึง แล้วยังจะโรงเรียนที่มึงเคยไปแสดง ไปแข่ง” อัศวะเอาโทรศัพท์ของตัวเองมากดให้ดู
“ห่า... นี่มันอะไรวะ  กูไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย” จุ๊ยเอามาดู  ก็จริงอย่างว่า  เป็นภาพเขาตอนเล่นเพลงชาติ  ตอนเดินตรงระเบียง  แม้แต่ตอนกำลังเอ็ดรุ่นน้องในวงที่มีแค็ปชั่นว่า  ดุมากเลยวันนี้  แต่ก็ยังน่ารัก
“ก็มึงพี่งจะมีเฟสไม่ใช่เหรอ ดีนะมึงตั้งไพรเวทไว้สูง  ไม่อย่างนั้นมึงเชื่อกูไหม  คนมาขอแอดเฟรนมีงเป็นพัน” ก้องภพว่า เขาก็อยู่หน้าเพจเดียวกัน
“นี่ล่าสุดเลย... เมื่อกี้นี้เลย”
จุ๊ยเลื่อนขึ้นไปดู
เป็นภาพเขายืนอยู่กับพวกเพื่อนๆ
“กูว่ามึงมีสโตรกเกอร์วะ  ใครสักคนนี่หล่ะรอบตัวเรา”  ปอว่า
“หรือว่าไอ้เดฟ” ก้องภพเสนอทฤษฏี
“ไม่น่านะ  เพราะไอ้เดฟมันไม่เห็นต้องแอบถ่ายรูป มันมาแนวลวนลามมากกว่า” ปอส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับก้องภพ
“อีกอย่าง  มันไม่อยู่ไปดูละครเวที กับพวกชมรมละครกับชมรมดนตรีไทย” อ๊อตกล่าวสนับสนุน
แต่จุ๊ยหันมามองหน้า
“มึงรู้ได้ไง”
“ก็กู..” อ๊อดเหมือนจะพูดไม่ออก 
“ก็เห็นป้ายประกาศหน้าห้องอำนายการ”
จุ๊ยยังสงสัย
“อ๊อดพักนี้มึงแปลกๆรีเปล่าวะ  กูว่ามึงชอบหายไปเวลาเช้าๆ กับเที่ยง  ไม่ค่อยไปกินข้าวกับพวกกู”
อ๊อดอึ้ง  กำลังหาคำตอบแก้ตัว
“จุ๊ย อ๊อด” ฮ้อยเดินหน้าเครียดเข้ามา
“มึงสองคนมานี่หน่อย  มีเรื่องด่วน”

จุ๊ยเดาไว้ว่าเป็นเรื่องของวงโยธวาทิตแน่นอน เพราะมีแค่สิ่งนี้ที่จุ๊ย ฮอยและอ็อดต้องรับผิดชอบร่วมกัน
“สปอร์นเซอร์เขาส่งหนังสือมาขอโทษ  ว่าเขาจะต้องถอนตัว เพราะเขาล้มละลาย” อาจารย์อติบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีไม่แพ้ลูกศิษย์
“แปลว่าถึงพรุ่งนี้เราจะชนะ เราก็อาจไม่ได้ไปแข่งที่ต่างประเทศ” อ๊อตกล่าวแบบสรุป
ทุกคนหันมามอง
“ใช่ เพราะเงินทุนมันจะไม่พอ โรงเรียนก็เอางบไปสนับสนุนชมรมอื่นหมดแล้ว เพราะตอนนี้ชมรมละครก็มีผลงานดี จากหนังสั้นที่ได้รางวัล แล้วกำลังจะได้ไปฉายที่ต่างประเทศ  ชมรมวิทย์ก็พึ่งชนะประกวดโครงการจะได้ไปญี่ปุ่น  ยังจะพวกชมรมกีฬาที่ได้เขารอบลึกๆ  คือตอนนี้เหมือนทุกชมรมของโรงเรียนจะมีผลงานกันหมดเลย” อาจารย์อติเคาะนิ้วพลางกล่าว
“ส่วนเรามีสปอร์นเซอร์รายนี้สนับสนุนมาหลายปี  เขาก็ไม่เคยมีปัญหาการเงิน  ไม่นึกว่ามีทีเดียวจะถึงขนาดล้ม “
“แถมล้มตอนที่เราก็คงหามาแทนยากด้วย เพราะเวลาจำกัด” ฮ้อยกอดอก
“แล้วเราจะเอาไงกันดี”
“ครูจะไปบอกพวกน้องๆให้ทำใจล่วงหน้า  แต่ก็ยังพอมีทาง  เพราะยังไงก็ยังพอมีเวลานะ” อาจารย์อติเสนอตัวในสิ่งที่ยากลำบากที่สุด
ทุกคนหันมาหาจุ๊ย  เพราะจุ๊ยยังไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่แรก
“ไม่ครับ” จุ๊ยตอบออกมา
ดวงตามักจะแจ่มใสขี้เล่นกลับฉายแววมุ่งมั่นออกมาอย่างแรงกล้า  เป็นสายตาเดียวกับเวลาที่จุ๊ยมองขึ้นไปบนสแตนเวลาเป็นผู้นำในการแสดง
“ผมจะทำทุกอย่างให้น้องๆได้ไป  ผมต้องการให้เขาได้สัมผัสกับประสบการณ์นั้น  ผมอยากเห็นเขาเติบโตในเส้นทางดนตรีที่พวกเขาใฝ่ฝัน “
จุ๊ยมองหน้าอาจารย์
“ผมไม่อยากเสียใครสักคนไปเพราะความผิดหวัง เพราะนี่อาจหมายถึงการที่เขาอาจเลิกเล่นไปเลย  ผมไม่อยากให้ดนตรีที่ทำให้ทุกคนรวมตัวกันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”
“แต่” อติประสานมือแล้วโน้มตัวมาข้างหน้า
“จุ๊ยก็เคยพูดบ่อยๆเวลารอผลตัดสิน ว่าคนเราหลีกเลี่ยงจากความผิดหวังไม่ได้  โดยเฉพาะเวลาที่การตัดสินใจอยู่กับคนอื่น”
“ครับผมเข้าใจ”  จุ๊ยตอบกลับ  แล้วเขาก็ยิ้มออกมา
“แต่เรายังไม่ได้พยายามกันถึงที่สุดนี่ครับ  เรายังพอมีทาง  ครูก็พูดเองเมื่อครู่”
“แม้ทางที่ว่าจะยากหรือแคบ  แต่ผมจะต้องทำให้สำเร็จ ผมขออย่างเดียวอย่าให้พวกน้องรู้ พวกเขายังต้องซ้อม ยังต้องฝึกอีกมาก  ไม่ใช่แค่พรุ่งนี้  แต่จนกว่าจะได้แสดงที่ต่างประเทศ”
อติรู้สึกสองอย่างใจตอนนี้ คือ รู้สึกทึ่งในความตั้งใจและกำลังใจของลูกศิษย์คนโปรด  แต่เขาก็อายตัวเองที่ไม่สามารถคิดบวกได้อย่างจุ๊ย
อ็อดเอื้อมมือมากอดคอจุ๊ย
“ผมก็เหมือนกัน  ผมจะสู้จนกว่าจะนาทีสุดท้าย”
ฮ้อยก็โอบก็เช่นกัน
“ครับเราจะทำให้น้องๆไปอย่างที่เราเคยมีโอกาส และทำให้เราเติบโตในเส้นทางสายนี้”
อติอยากจะลุกขึ้นไปร่วมกอดคอกับสามสหายแห่งวงโยธวาทิต ก็สมแล้วที่เขาฝากความไว้วางใจทั้งหมดให้สามคนนี้ดูแล  นี่คือสิ่งที่บอกว่าเขาคิดไม่ผิด
“ตกลง  ครูเชื่อใจพวกเธอ”
ที่นอกห้องวาทิตยืนกำหมัดแน่น  เขาต้องใช้มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่เกิดจากความซาบซึ้งใจออก  แล้วเขาก็เดินไป
“ผมก็จะช่วยพี่ๆเหมือนกัน”
 
“ว่าแต่เราจะทำยังไง” สามคนมาสุมหัวกันหลังในช่วงเที่ยง พวกเขาไม่บอกคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเพราะกลัวช่าวจะรั่วไปถึงหูน้องๆ
“พูดไปอย่างนั้น  แต่คิดไม่ออกว่าจะเอาเงินสองสามล้านมาจากไหนได้” อ็อดกอดเขามองลงไปในบ่อน้ำเล็กของสวนหย่อม
ปลานิลตัวโตก็มองกลับขึ้นมาด้วยความหวังจะได้อะไรกิน
“ถ้ากูบอกอีพ่อกู  ก็อาจได้มาสักสองแสน  แต่มากกว่านั้นคงไม่ได้” ฮ้อยกล่าว  เขาเป็นลูกอดีตตระกูลนายฮ้อยที่ต้อนวัวควายไปขายตามถิ่นต่างๆ  ปัจจุบันประกอบธุรกิจค้าเนื้อสัตว์
“กูจะแดกยังต้องคิด  เงินที่ใช้อยู่ทุกวันก็เบี้ยเลี้ยงวงโย  คงไม่มีปัญญา” อ๊อดกล่าว
จุ๊ยตบบ่าอ๊อตเบาเชิงบอกว่าเข้าใจ
“คงต้องแสดงเปิดหมวกหล่ะวะ” จุ๊ยตอบหนทางสุดท้าย 
“เราสามคนก็คงต้องไปแสดงเปิดหมวก  แต่ต้องเลือกที่เลือกเวลา เพราะไม่อย่างนั้นไอ้น้องเรามันไปเจอมันจะสงสัย”
“ก็เอาวันที่พวกมันต้องซ้อมกันไง  กูหรือไม่ก็ไอ้อ็อดอยู่คุมวง  ส่วนมึงแน่นอนต้องเป็นคนไปเล่น  เพราะคงต้องอาศัยความสามารถมึงแล้วล่ะ  ไม่อย่างนั้นคงจะทำให้คนเขาเชื่อไม่ได้ว่าวงเราฝีมือดี” ฮอยเสนอ
“ก็ตามนั้น”  จุ๊ยผงกหัว แล้วก้มหน้าลงมองเป้ากางเกงตัวเอง
“ถ้าไม่พอกูจะไปยืนแอ่นแถววังสราญรมภ์  ขายน้ำขายตูดแม่งเลย”
ฮ้อยหัวเราะหึๆ
“ก็คงได้หรอก  ตูดขาวๆ ไข่ขาวๆ คงพอได้ราคา”
“กูขาวพอใช้ เดี่ยวกูไปด้วย” อ็อดว่าแล้วนอนลงบนตักจุ๊ยเงยมองหน้าเพื่อน
“สองคนคนละหลายๆน้ำคงได้หลายอยู่”
จุ๊ยมองหน้าอ๊อดก่อนไสหัวมันออก
“มึงจะทดสอบสินค้าก่อนหรือไง  นอนหนุนของกูเนี่ย  ประเดี่ยวก็ถอดให้อมเลย”
“เอออ ก็ดีนะ สร้างความคุ้นเคยก่อนไง” อ็อดที่ร่วงไปบนพื้นลุกมาคุกเข่าท่าหมาจ่อหน้าตรงเป้าจุ๊ย
“ดีงั้นตอนนี้เลย  ของกำลังขึ้นพอดี” แล้วจุ๊ยก็กดหน้าอ๊อดใส่เป้าตัวเอง แต่กดแบบเต็มแรงกะให้ตายคามือ
อ็อดดิ้นขลุกขลักก่อนจะหลุดไปได้  ลงไปนั้งพับเพียบส่งสายตาหวานเยิ้ม
“โอยๆ เบาสิค่ะเฮีย หนูหายใจไม่ออก”
ฮอยหัวเราะจนเกือบตกบ่อปลา 
วรรณารู้สึกอายแทนกับการเล่นกันลามกของลูกศิษย์  แต่เธอก็รู้สึกดีที่ได้เห็นสามคนยังมีกำลังใจเต็มเปี่ยม
เธอรู้เรื่องจากอาจารย์อติเมื่อตอนสายๆ  คิดจะมาคุยกับเด็กๆเพื่อให้กำลังใจ
เห็นอย่างนี้แล้วคงไม่ต้อง  ดังนั้นเธอจึงบอกตัวเองว่าสิ่งที่ต้องทำยังมีอีกมากเพื่อช่วยเหลือพวกเขาจึงเดินจากออกมาเงียบๆ แต่กำหมัดเรียกกำลังใจตัวเอง
อติยืนอยู่ในอีกด้านเห็นวรรณาเดินไป เขาก็กอดอกมองตาม  แล้วก็กลับหลังหัน
“เราก็เหมือนกันอติ” เขาบอกกับตัวเอง

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:43:58
ตอนที่ 12 ด้วยพลังแห่งดนตรี และร่วมแรงร่วมใจ
บรรยากาศ การประกวดวงโยธวาทิตสนามนี้ เหมือนเป็นการตัดสินวงที่ดีที่สุดในประเทศไทย เพราะเป็นการปะทะกันของวงโยธวาทิตทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย  และมีรางวัลเป็นถ้วยทรงเกียรติ กับสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไปแข่งขันต่างประเทศซึ่งเป็นเดิมพันใหญ่
“ปีนี้วงจาก...” แล้วก็ออกชื่อโรงเรียนชายล้วนใหญ่ที่ชนะเลิศปีที่แล้ว
“เด็กคนนั้นไม่ได้เล่นเองแล้วนี่  ก็อยากจะรู้ว่าจะเอาอะไรมาสะกดจิตกรรมการ”
ที่พูดนี้คือกรรมการคนหนึ่งสนทนากันหมู่
“นทีธารน่ะเหรอ แต่เด็กคนนั้นก็สะกดจิตเราจริงๆนะ  เสียงแซกของเขา  ปลายๆเสียงมันวิ่งจี๊ดเข้านี่เลย... ผมเกือบหัวใจวายตาย” อีกกรรมการอีกท่านพูดทำท่าจับหัวใจ
“เห็น ครูอติบอกว่าเปลี่ยนมาขายความพร้อมเพรียง เอาระบบเก่าๆมาสู้ แต่เน้นมากๆ อันนี้เป็นไอเดียของนายนทีธารเองเลยนะ” กรรมการอีกคนที่สนิทสนมกับครูผู้ฝีกสอนกล่าว
“ก็จะรอดู”
 
จุ๊ยกวาดตามองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า หันสอบตากับอ็อดและฮอย
“ขอบใจที่ทุกฝ่าฟันกันเข้ามาได้  ถึงเราจะมาได้ถึงรอบชิงแต่เรายังมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น  และต่อให้เราจะชนะวันนี้ก็ยังแค่ครึ่งทาง  แม้แต่พี่เองก็แค่ครึ่งทาง  เพราะความฝันของพวกเราคือการยืนอยู่บนสายทางของดนตรีที่เรารัก” จุ๊ยกล่าว แววตาฉาบไปด้วยความมุ่งมั่น
“แต่ถึงจะเป็นครึ่งทาง  พวกเราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด เพราะทุกย่างก้าวของเราสำคัญ  ตอนที่พี่เรียนดนตรีใหม่ๆ อาจารย์ของพี่คนแรก  เคยบอกเขาว่า  เส้นทางสายดนตรีไม่เคยมีจุดสูงสุด แต่มันจะสูงไปเรื่อยๆตราบเท่าที่เรายังเดินไปกับมัน  ดังนั้น...”
จุ๊ยมองไปทั่วๆ แล้วหยุดที่วาทิต
“แม้เราจะอ่อนแอ แต่เราจะไม่ท้อ”
จากนั้นก็มองมาที่อู๊ด
“แม้เราจะเข้มแข็งเราก็ต้องไม่ประมาท”
แล้วมองไปตรงไป
“เราจะสร้างทุกย่างก้าวด้วยความมั่นคง มั่นใจ  และทำทุกก้าวของเราให้ดีที่สุด”
วาทิตมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว... พี่จุ๊ยของเขา
 
วรรณามองลงไปในสนามการแสดงของลูกศิษย์ของเธอกำลังจะเริ่ม
จุ๊ยอยู่ที่ข้างสนามยืนเอามือไขว้หลังอย่างมาดมั่น โดยมีสองสหายสนิทยืนอยู่ใกล้ๆ
แล้วก็เริ่มต้น  เสียงรัวกลองที่ดังพร้อมเพรียง กึกก้องสะท้อนและราวจะสั่นสนามให้ไหวได้  เครื่องเป่าพร้อมประโคมอย่างมั่นคงมั่นใจ  เครื่องสายเครื่องเคาะทุกอย่างประสานกันอย่างลงตัว
แม้ จะเคลื่อนที่ แปรขบวน ความพร้อมเพรียงและแม่นยำก็ไม่ลดไป ทุกคนก้าวไปจุดที่ตัวเองซ้อมมาเป็นพันๆครั้ง ทุกคนรักษาพื้นที่ตัวเองอย่างดีที่สุด
ทุกคนตระหนักดีว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งของวง...
ไม่มีดรัมเมเยอร์หรือแม้แต่การแสดงอื่นประกอบ เป็นการแสดงของวงโยธวาทิตล้วนๆ 
แสดงออกถึงพลังอย่างเต็มที  แม้เหงื่อจะโทรมกาย และแม้จะเหนื่อยล้า  วาทิตก็ตั้งใจแสดง  เขาจะให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่อ่อนแอ และเขาได้รับการฝึกสอนมาจากใคร
“นี่มัน” กรรมการท่านหนึ่งพึมพำ
“วงโยธวาทิตจริงๆนั้นหล่ะ  นี่หล่ะวงโยธวาทิต”

จุ๊ยยืนมองน้องๆในชุดเครื่องแต่งกายเรียบๆ เดินและเล่นดนตรีกันอย่างเป็นแบบแผน 
เขาก็อยากจะรู้ว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่ออกแบบการแสดงออกมาแบบนี้  ไม่ใช่ว่าเขาจะดูหมิ่นการแสดงประกอบ  แต่เขาต้องการบอกให้รู้ว่าพลังของวงโยธวาทิตไม่ใช่มีแค่การเต้นการลีลาศ หรือสีสันสวยงาม  แต่มันคือพลังของเสียงดนตรี และความพร้อมเพรียงของนักดนตรีด้วย
เขาพิสูจน์มันมาเกือบทุกเวที  และนี่คือเวทีที่สำคัญที่สุด 
“น้องมันตั้งใจผิดปกติหรือเปล่าวะจุ๊ย”  ฮอยกระซิบ
“จะว่าไปตั้งแต่รอบแรกกูยังไม่ได้ยินพวกมันบ่นเลยสักคำนะเนี่ย”  อ็อตสนับสนุน
จุ๊ยมองไปตรงๆ 
ชอบใจ.. นะทุกคน  ไม่ชนะก็ไม่เป็นไร ขอบใจมาก
 
ทุกวงจากทุกโรงเรียนเดินพาเรดกลับเข้าสนามมาอีกครั้ง  แล้วมายืนรอการประกาศผล
ซึ่งก็ประกาศไปแล้วสองรางวัล  มาถึงรางวัลสุดท้ายซึ่งก็คือรางวัลชนะเลิศ จุ๊ยที่ตอนนี้ลงมายืนในสนามด้วยถึงกับมือเย็น
เขามองนิ่งที่สแตนท์  นึกไปถึงเมื่อปีที่แล้ว  เขาก็ยืนอยู่ในสนามแบบนี้  แต่ไม่ใช่แค่ผู้ควบคุมวง  แต่เป็นผู้แสดงเอง
“ก่อนที่เราจะประกาศรางวัลชนะเลิศ  ประธานคณะกรรมการตัดสินมีเรื่องจะกล่าวค่ะ” พิธีกรบอก
แล้วประธานผู้ตัดสินก็ก้าวเข้ามา  โด้งให้ประธานในพิธี
“กราบเรียนท่านประธาน ผมในฐานะประธานการตัดสิน ขออนุญาตกราบเรียนว่า  ตลอดหลายปีที่เราได้จัดให้มีการประกวดวงโยธวาทิต  การประกวดมีการพัฒนาไปมาก มีการแสดงสวยงาม และน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง  แสดงออกถึงความตั้งใจจริงของบรรดาผู้เขาประกวด และทีมงานผู้อยู่เบื้องหลัง” แล้วท่านก็วรรค
“แต่นี่คือการประกวดวงดนตรี  เราลืมไม่ได้ว่าดนตรีคือหัวใจหลักของการแสดง  ดังนั้นในปีนี้  ผมขออนุญาตใช้ดนตรีเป็นเครื่องตัดสินหลัก”
อ็อดหันมองหน้าจุ๊ย
“แต่แม้ผลการตัดสินเป็นเช่นไร  ก็ขอให้ทุกคนรักษาความตั้งใจอย่าให้เลือนหาย  พวกคุณได้ใช้ความสามารถทุกด้านอย่างดีแล้ว เพียงแต่ว่า  วันนี้ คณะกรรมการ โดยเฉพาะตัวกระผมเองที่เกี่ยวข้องกับการดนตรีโดยตรงต้องตัดสินใจออกมาอย่าง เป็นเอกฉันท์ ด้วยพลังและความสามารถที่วงที่ได้รับรางวัลแสดงออก  พวกเราจึงขอตัดสินใจเลือกให้พวกเขาเป็นผู้ชนะเช่นนี้ ขอบคุณครับ”
แล้วพิธีกรสองหญิงชายก็ก้าวขี้นมา
“รางวัลชนะเลิศการประกวดวงโยธวาทิตชิงถ้วยประเทศไทยได้แก่ ได้แก่”
สนามเงียบ
พิธีกรประกาศชื่อออกมา  แต่จุ๊ยหูชาไปเสียแล้ว  เขาหันหลังไปมองเห็นน้องกระโดดขี้นสุดตัว  อ๊อดกับฮอยก็กระโดดกอดและเขย่าตัวเขาอย่างแรง
ที่น่าประทับใจคือแม้คู่แข่งก็หันมาปรบมือให้พวกเขาอย่างพร้อมเพรียง
จุ๊ยกำกับน้องๆให้เก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เพราะถ้าปล่อยไปเดี่ยวจะดีใจเกินไปจนข้าวของหาย
“เฮ้ยจุ๊ย” ฮ้อยหยุดมือที่ช่วยน้องแยกส่วนฮอนเพื่อเก็บ
“ไอ้ไก่”
จุ๊ยหันไป
 “นี่ไม่ว่ากูจะอยู่ที่ไหน ก็แพ้มึงทุกทีสินะ” ไก่ในชุดนักดนตรีกล่าว  เข้าท้าวแขนกับราวของอัฒจันทร์
“บ้าน่า กูเคยคิดจะแข่งกับมึงที่ไหน” จุ๊ยตอบ แล้วตบบ่ามัน
“เราฝึกด้วยกัน เล่นเครื่องดนตรีอย่างเดียวกัน  เราคือทีมเดียวกันมาโดยตลอดต่างหาก”
ไก่เหลือบตามองจุ๊ย
“ยังโกรธกูหรือเปล่าวะเรื่องนั้น”
จุ๊ยนิ่ง
“ไม่แล้วล่ะ  ไม่อย่างนั้นกูจะมายืนคุยกับมึงอยู่นี่หรอ”
“แต่กูยังโกรธตัวเอง” ไก่บอกออกไป
“กูก็ไม่ควรพูดรึเปล่าวะ  ถ้ากูไม่พูด ไม่เอาเล่าเป็นมุขตลกในโต๊ะอาหาร  ทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างนี้”
“กูถึงได้ลาออกจากโรงเรียน  แต่มีงรู้ไหม  ต่อให้กูไปไหน  เหมือนผีพี่ไตรก็ยังตามไปหลอกกูอยู่  กูไม่เล่นแซกแล้วจุ๊ย  เพราะเวลากูเล่นกูนึกถึงพี่เขา”
ไก่หันมามองจุ๊ย  นึกอยากจะมีโทรจิตเขาจะได้อ่านออกว่าสายตาที่มองตรงไปของจุ๊ยมันหมายถึงอะไร
“แล้วตอนนี้มึงเล่นอะไร”
“กูกลับไปเป่าไคลิเนต บางทีก็โอโป” ไก่ตอบ
จุ๊ยหัวเราะหึๆ
“มึงก็ทิ้งแซกไม่ลงอยู่ดี  ไม่อย่างนั้นมึงคงไปเล่นเครื่องสายหรือเครื่องเคาะแล้วหล่ะ”
ไก่อึ้งนิ่ง
ไก่เคยเรียนที่เดียวกับจุ๊ย  แต่เพราะเหตุการณ์หนึ่งที่ไก่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ ไก่จึงลาออกไปตอนจบม.สี่  สมัยก่อนเขากับจุ๊ยถือเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนกับจุ๊ยกับอ๊อตตอนนี้ เพราะจริงแล้วอ๊อดคือเด็กที่เข้ามาใหม่ตอนม.ปลาย  แต่จุ๊ยกับไก่เป็นคู่หูกันมาโดยตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง
“กูว่า” จุ๊ยโอบไหล่ไก่อย่างสนิท
“มึงเลิกฝืนตัวเองเถอะ  นอกจากพี่ไตร ก็มีมึงนี่ล่ะที่เล่นเข้าขากับกู  ถ้าคนอื่นเขาชมกูอย่างนั้นอย่างนี้  มึงก็ถือว่าควรเป็นคนที่ถูกชมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ  อีกอย่างถ้ามึงคิดว่านี่คือการไว้อาลัย หรือการแสดงความเสียใจ  กูว่ามึงผิดละ  มึงลืมไปแล้วมั๊งว่าคนที่คอยเคี่ยวพวกเราคือพี่ไตร  พี่ไตรคงอยากให้มึงกลับมาเล่นมากกว่า  เลิกเล่น” 
แล้วจุ๊ยก็ปล่อยมือ หันมาเผชิญหน้ากับไก่
“มึงจำไว้  กูรู้จักพี่ไตรดี  พี่ไตรไม่มีทางอยากให้เด็กที่เขาเคี่ยวเข็ญทิ้งสิ่งที่เขาสอนเด็ดขาด  มึงเชื่อกูสิ”
ไก่ประสานตากับจุ๊ยโดยไม่อาจหลบได้ จนกระทั้งจุ๊ยเป็นฝ่ายหันไปเอง
“มึงก็เล่นดีนี่” จุ๊ยกล่าว
“กูแอบดูอยู่”
“หึ แต่ก็แพ้พลังของน้องๆมึง  โคตรตะลึงเลยว่ะ  ใครคิดตีมนี้ มึงรึว่าครูอติ” ไก่ส่ายหน้ากล่าว แล้วก็ถาม
“ตอนน้องมึงรัวกลอง  แมร่งยังกับกลองสงคราม  กูนี่รู้สึกอย่างกับยืนบนกำแพงเมือง แล้วข้าศึกมาล้อม เครื่องเป่าแมร่งก็ชัดเจนสุดๆ เหมือนมาเป่าข้างหู เครื่องสายก็เปะสุดๆ  เดินก็อย่างกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำ เป๊ะซะจนกูหาคนผิดตำแหน่งไม่เจอ  พวกมันเล่นกันตั้งใจจริงๆ  พวกกูใส่ไปร้อย  น้องมึงใส่ไปร้อยห้าสิบ ก็แพ้อยู่แล้วล่ะ”
จุ๊ยยิ้มแล้วเอี่ยวหน้าเข้ามา
“มึงอยากรู้เคล็ดลับไหม”
ไก่มองหน้าจุ๊ย
“อะไรของมึง”
“กูแอบหยอดยาบ้าลงไปในน้ำที่พวกมันกินกัน”
“ไอ้สัตว์” ไก่ผลักหัวจุ๊ย
“ถ้าพร้อมขนาดนั้นกูว่ามึงเอายาสั่งลงไปมากกว่ามั้ง  สั่งหันซ้ายแม่งก็หัน หันขวาแม่งก็หันซะอย่างนั้น”
“ใครบอกกูแอบฝั่งชิพใส่สมองพวกมัน  แล้วเอารีโมทกดเอา”
“อ้าว กูก็นีกว่ามึงเอาปราสิตแพร่เข้าสมองพวกมันแล้วสั่ง”
“เฮ้ยไม่ใช่ รีโมทธรรมดานี่หล่ะ”
“อ้าวนึกว่าจอยเกมส์”
“ใช่ที่ไหนรีโมททีวีนี่หล่ะ”
“เฮ้ยเดียวนี้เขา เซตอับบ๊อกซ์ ทีวีดิจิตอลมีงหลังเขาเปล่าวะจุ๊ย”
“อ้าวก็อยู่หน้าบ้านมึงนิดนึงนั้นล่ะ แหม่ทำเป็นพูด”
ฮอยมองภาพนั้นจากจุดที่ห่างไปพอสมควร  เขาอดอมยิ้มไม่ได้
 
ผ่านช่วงเวลาที่หวานชื่น  สามหนุ่มก็ต้องกลับมาเผชิญกับความจริง  วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันซ้อมใหญ่ประจำสัปดาห์  แต่จุ๊ยมอบหมายให้ฮ้อยเป็นคนดูแลน้องๆซ้อม  ส่วนเขาอ็อดก็หิ้วเครื่องดนตรีส่วนตัวมาที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพมหานคร 
“อายเหมือนกันนะเนี่ย” ฮ๊อดบ่นแล้วมองไปบนทางเดินสกายยวอร์คของสถานีรถไฟฟ้า
“เฮ้ยเพื่อน้อง ท่องไว้เพื่อน้อง เพื่อน้อง เพื่อน้อง”
อีอดก็ท่องตาม
“เพื่อ น้อง เพื่อน้อง เพื่อน้อง...เอาเว้ยเพื่อน้อง” เขาตะโกนแล้วชูกำปั้นหันมานึกว่าจะเจอจุ๊ยยืนอยู่ด้วย แต่กลายเป็นว่าจุ๊ยเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เขาก็เลยกลายเป็นเป้าเดี่ยวให้คนที่ผ่านไปผ่านมอง
“ไอ้เหี้ยจุ๊ย” เขาพึมพำตอนซ่อนหน้าหลังกล่องไวโอลิน
 
ฮอยเดินควงไม้กลองตามตึก พลางฮัมเพลงเบาๆ 
“ป่านนี้ไอ้สองคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างว๊า” เขาบ่นก่อนจะหยุด  สูดลมหายใจลึกๆ  ระหว่างนึกว่าจะบอกน้องๆยังไงที่จุ๊ยคนที่ไม่เคยขาดซ้อมเลยสักครั้งหายไป
แต่พอเข้ามา  ห้องคนตรีว่างเปล่า  ว่างเปล่าจริงๆ  ไม่ใช่ไม่มีแค่น้องๆ  แต่เครื่องดนตรีมูลค่ารวมกันหลายล้านก็หายไปด้วย
“เฮ้ย...เราโดนยกเค้ารีเปล่าวะเนี่ย”
แล้วเขาก็วิ่งไป
“ช่วยด้วยยามหมูวงโยโคนยกเค้า”
 
ตกลงเพลงกันได้สองสหายก็เตรียมเครื่องดนตรีให้พร้อม
“อ้าวจุ๊ย” เสียงเรียกทำให้หยุด
“มาทำไรกันวะ” ก้องภพมากอดคอ  เขาไม่ได้มาคนเดียวแต่มากับเพื่อนในชมรมศิลปะอีกหลายคนเดินมาล้อมพวกเขาไว้
จุ๊ยกับอ๊อดมองหน้ากัน
“มาเล่นเปิดหมวก” จุ๊ยตอบตามตรง แต่บิดวัตถุประสงค์นิดหน่อย
“กูกับไอ้อ็อดจะมาเล่นเปิดหมวกหาเงินพาน้องไปเลี้ยง เพราะพวกกูยังไม่ได้เลี้ยงพวกมันเลย”
“อ้อเหรอ พวกกูมาขายเสื้อหวะ” ก้องภพดึงเสื้อที่ใส่ให้ดู เป็นลายสกรีนเขียนว่า
“Victory is the goal, but enjoying the game is the prize”
“เหม่เก๋ดีวะ ชัยชนะคือเป้าหมาย แต่การสนุกกับเกมคือรางวัล  ลึกนะเนี่ยใครคิดวะ” จุ๊ยถาม
“มึง” ก้องภพตอบคำเดียว
จุ๊ยขมวดคิ้ว
“กู... คิดตอนไหน”
“เออมึงคิด”  ก้องภพตอบ
“เอ้าเล่นสิ กูจะขายเสื้อตรงนี้  เอาให้เต็มที่  เอาเสียงแซกสะกดโลกของมึงเรียกคนให้กูหน่อย”
จุ๊ยกับอ็อดมองหน้ากัน
“เอ้าเล่นก็เล่น  แต่มึงขายเสื้อไป อย่ามายุ่งกับกล่องรับบริจาคกูนะเว้ย” จุ๊ยพูดแล้ววางกล่องลงตรงพื้นข้างหน้า
“เฮ้ยจุ๊ย” เสียงเรียกจากด้านบน

จุ๊ยเงยหน้า  บนสกายวอร์กตั้มกับปอที่เป็นนักฟุตบอลโรงเรียนก็ยืนอยุ่ด้านบนโบกมือมา  ไม่ได้มาแค่สองคนแต่มากันยกทีม อยู่ในชุดแช่งแต่ถือลูกบอลมาคนละลูก
“แล้วพวกมันมาทำไมกัน” จุ๊ยหันมาถามกับก้องภพ
“ก็มาเดาะบอล โชว์เปิดหมวก คล้ายกับมึง”
“เพื่ออะไรวะ” อ๊อดเกาหัว
“ชมรมฟุตบอลได้งบเต็มอยู่แล้ว”
ก้องภพโบกมือ
“ก็มันไม่พอ  ต้องหาเพิ่ม พวกมึงเล่นไปเหอะ  ดีเลยจะได้ช่วยๆกันเรียกคน  คนมามุงเยอะกูจะได้ขายเสื้อดีๆ”
จุ๊ยกับอ็อดมองหน้ากันอีกรอบ  แต่ก็ตัดสินใจเริ่มต้น
จุ๊ยเริ่มเป่าก่อน เพราะเป็นเพลงที่แซกโซโฟนเป็นเสียงนำ  เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยหยุดคนได้เหมือนเดิม  คนเป็นจำนวนมากเดินมามุงกันตั้งที่จุ๊ยเล่นไปได้แค่ไม่ถึงนาที
แล้วก็ถึงตาอ็อด ซึ่งจริงๆถ้าเป็นวงดนครีก็คือดนตรีทั้งหมดบรรเลง
อ็อดหลับตาแล้วสีโน้ตแรกออกไป
แต่เสียงที่ดังกระหึ่มกลายเป็นเครื่องดนตรีนานาชนิด
จุ๊ยกับอ็อดไม่ได้หยุดเล่น ด้วยความที่ฝึกฝนมาอย่างดี  แต่หันกลับมา
เด็กชมรมศิลปะที่บังอยู่ก็ถอยออกไป
ที่เห็นคือวงโยธวาทิตทั้งวงของกำลังบรรเลงเพลงอย่างเต็มที่และตั้งใจ
พอหมดท่อนแซกโซโฟน หากเป็นการเล่นคู่จะเป็นไวโอลีนที่เล่นเดียว  แต่นี่ทั้งวงก็เลยกลายเป็นบรรดาเครื่องสายทั้งหมด
จุ๊ยกวาดตาไปรอบสถานที่ เขาจึงได้เห็นเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกำลัง ถือป้ายที่มีคำจั่วหัวว่า
“Victory is the goal, but enjoying the game is the prize” และเชิญชวนให้คนบริจาคเงิน  บ้างขายเสื้อบ้าง ขายขนมบ้างให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณนั้น
ไม่ห่างไปเดฟยืนโพสท่าเซลฟี่กับเด็กสาวๆหลายคน เสร็จแล้วก็ยกกล่องให้บริจาค  สมาชิกชมรมฟุตบอลก็เดาะบอลกันอย่างขมันขมีเพื่อเรียกให้คนบริจาคเงิน
ครูวรรณากับครูอติก็ยังมาช่วยขายเสื้อด้วย..
จุ๊ยไม่รู้ว่าน้ำตามันร่วงลงตอนไหน  แต่รู้ตัวตอนที่เดฟเดินมาซับให้
“อย่าร้องไห้สิ  ทุกคนมาข่วยจุ๊ยแล้วไง”
จุ๊ยยิ้มแล้วตะโกนออกไป
“ขอบคุณมากทุกคน”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:44:49
ตอนที่ 13 ความในใจของจุ๊ย   
โยชิถูกเรียกออกมาจากงานงานอีเว้นเพราะความครึกครื้นอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นซึ่งดึงคนที่มางานให้ไปหาแทนจะมาสนใจดูเขาเปิดตัวสินค้า
“รู้สึกเขาระดมทุนช่วยวงโยธวาทิตที่ชนะเลิศให้ได้ไปแข่งที่ต่างประเทศนะ” ผู้จัดการบอกแก่เขา
โยชิพยักหน้าช้าๆ
เขาเหลือบไปเห็นนักข่าวที่มาทำข่าวเขาเมื่อครู่ทยอยกันเดินออกมาจากงาน
มองอีกทางเห็นเด็กนักเรียนสองคนกับป้ายเดินมา
เขาก็เกิดความคิด
“น้องๆพี่ขอยืมหน่อย” เขาเดินไปขอป้ายจากเด็กนักเรียนสองคน
แล้วเดินไปหากลุ่มนักข่าว
“พี่ๆครับ”
 
หลังปล่อยให้น้องๆกลับบ้านไปแล้วก็เหลือแต่พวกประธานชมรมและหัวหน้าทีมมารวมตัวกันนับเงินอยู่ภายในร้านอาหารฟาตฟู๊ดชื่อดัง
แม้ตัวเลขไม่ได้สูงมากพอจะน่าทำให้จุ๊ยยิ้มออกได้  ทว่าเขาก็ยังยิ้มได้เพราะพวกเพื่อนๆ
“ก็ได้แค่นี้หล่ะ หรือว่าเราจะจัดอีกรอบ”  ก้องภพกล่าวแก่ทุกคน
“ยังขาดอีกเป็นล้านนี่น่า” เดฟกอดอก แต่เอนไปซบไหล่จุ๊ย
“เราเต็มที่แล้วนะจุ๊ย  ได้แค่นี้เอง”
จุ๊ยไม่ได้ว่าอะไรปล่อยให้ซบอย่างนั้น
“เฮ้ยแค่นี่กูก็ซึ้งใจพวกนายแล้ว ก็ทำเต็มที่แล้วนี่หว่า  ขอบใจพวกนายมาก” จุ๊ยแจกคำขอบคุณให้ทั่ว
เดฟลุกนั่งตรง
“อันนี้จุ๊ยต้องขอบคุณน้องวา เมียน้อยของจุ๊ยนะครับ  เพราะน้องวาเขามาบอกผม ผมก็เลยไปรวมกำลังพวกนี้ๆๆๆๆ” เดฟชี้หน้าประธานและหัวหน้าทีมที่ละคน
“มาช่วย”
จุ๊ยหันมองวาทิตที่นั้งอยู่เกือบปลายโต๊ะที่ต่อออกไปจนยาวเหยียด
“วา” เขาลากเสียงเข้ม เปลี่ยนท่าทีไปในทันที
ทุกคนเงียบ งงกับท่าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“คือผมได้ยินที่พวกพี่คุยกับอาจารย์ก็เลยไปบอกเพื่อนๆในวง” วาทิตก้มหน้าตอบ เพราะคิดว่าอาจมีความผิดเนื่องจากจุ๊ยมีเจตนาไม่บอกพวกเขา
“พี่จุ๊ยอย่าดุผมนะครับ ผมแค่อยากจะช่วยบ้าง”
“เฮ้ยพี่จุ๊ย”  อู๊ดออกมาปกป้อง
“พวกเราก็อยากจะช่วยพวกพี่นะครับ  แล้วตอนแข่ง ที่พวกเราตั้งใจเป็นพิเศษก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ  เราก็เลยชนะ”
“เออมึงดุน้องไม่ได้เว้ย  ถ้าพวกกูไม่รู้เรื่อง พวกกูก็ไม่ได้มา” ก้องภพสนับสนุนบ้าง
“ถ้ากลายเป็นว่ากูมารู้ทีหลังว่ามึงปิดเรื่องนี้กับพวกกู  กูเลิกคบจริงๆ  เพื่อนต้องช่วยกันยามยากสิวะ  จริงไหม”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
จุ๊ยโบกมือ
“พวกมึงนี่พอเลย  พวกมึงคิดรีเปล่าว่าถ้าหากผลเป็นด้านตรงข้าม  วงโยเสียกำลังใจ  แล้วตกรอบ  อย่าว่าแต่ไปต่างประเทศเลย  อะไรสักอย่างก็ไม่ได้”
ทุกคนมองหน้ากัน  ลืมคิดถึงข้อนี้กันทุกคน
“ก็จริงอยู่  แต่จุ๊ยก็เห็นเด็กพวกนี้มันรักจุ๊ย รักไอ้อ็อด รักไอ้ฮ้อย พวกมันก็เลยเล่นกันได้ดีขนาดนี้” เดฟแย้ง
อ็อดมองหน้าเดฟแล้วบ่นเบาๆ
“ทีไอ้จุ๊ยเรียกจุ๊ยๆซะหวาน ทีกูเรียกไอ้”
“ใช่จุ๊ย..” เจ้าของเสียคือประธานชมรมวิทยาศาสตร์
“เอาเหอะวะ  น้องมันหวังดี”
“ใช่จุ๊ย” คนออกเสียงคือประธานชมรมคหกรรม ดีดเสียงสูง
“ที่ฉันรากร่างลุกมาทำขนมตั้งแต่ตีสี่ก็เพราะเห็นแก่ความตั้งใจจริงของน้องๆนะยะ แล้วก็เห็นแก่ซิกแพค เอ้ยความดีของแกด้วย”
“ซิคแพครีความดี อีเหมียว” กัปตันทีมบาสแซวเพราะอยู่ใกล้ๆ
“ความดีสิ” ประธานคหกรรมตีไหล่
จุ๊ยโบกมืออีกรอบ
“เอาเป็นว่ากูขอบใจพวกมึง  พวกมึงดีกับกูกับชมรมกูมาก” จุ๊ยกล่าว
“แต่นี่มันเรื่องในชมรม  วามานี่”
วาทิตมองหน้าอู๊ดก่อนจะลุกมา
“อย่ารุนแรงนะพี่” อู๊ดกล่าวดักเสียก่อน
วาทิตเผชิญหน้ากับจุ๊ย 
เวลาจุ๊ยเอาจริงอ๊อดก็ไม่กล้าขัด เขาได้แต่นั่งก้มหน้า
“เราผิดรู้ไหม” จุ๊ยถาม
“ครับ” วาทิตตอบน้ำตาเริ่มซึมๆ
“อีจุ๊ยมึงก็” เหมียวกล่าวด้วยความสงสารน้อง
“เฮ้ยจุ๊ย” เดฟก็ห้ามแต่ไม่กล้าจะแตะตัวจุ๊ยเวลานี้
“ถ้าหากเราบอกแล้วเพื่อนเสียกำลังใจ ผลมันจะเลวร้ายมากเลย  พวกพี่กลัวตรงนี้กัน  พวกพี่ก็เลยไม่บอกพวกเรา  ไม่ใช่เพราะพวกพี่อยากทำเท่ห์หรอกอะไรนะ  ถ้าหากเราไม่ได้ถ้วยใหญ่ใบนี้ก็ไม่ควอลิไฟล์จะไปร่วมแข่ง  ต่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องการเงินก็เถอะ” จุ๊ยกล่าวเสียงจริงจัง

ประธานและหัวหน้าทีมหันไปมองฮ้อยเหมือนจะถามว่าจริงไหม
ฮ้อยก็พยักหน้า
วาทิตน้ำตาร่วงแหมะ
“พรุ่งนี้วาต้องวิ่งรอบสนามสามรอบ เย็นสามรอบ ติดต่อกันจนกว่าจะไปแข่ง  เข้าใจไหม”
“ผมทำด้วย”อู๊ดลุกขึ้น เพราะผมก็ต้องรับผิดชอบกับวา เพราะ”
จุ๊ยหันมามองหน้า  อู๊ดถึงกับฟ่อนั่งลง
“อีกอย่างหนึ่ง” จุ๊ยหันหาวาทิตที่ก้มหน้าอยู่
“ต่อไปนี้วันเสาร์ วาต้องมาซ้อมกับพี่วันละสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย พี่จะสอนให้เราเล่นแซกโซโฟนสักที”
วาทิตเงยหน้าแต่น้ำตายังอาบอยู่
จุ๊ยยิ้มแล้วขยี้หัวเบาๆ ก่อนจะเช็ดน้ำตาให้
“พี่บอกแล้วไง  คนจะเล่นเครื่องเป่าต้องมีกำลังลม  ไม่วิ่งเข้าเย็นจะเอาลมมาจากไหน”
“โถไอ้จุ๊ย” เพื่อนประสานเสียงกัน แล้วระดมขว้างเฟรนฟรายใส่
จุ๊ยโอบวาทิตเข้ามาในลักษณะปกป้องจากกระสุนเฟรนฟราย
“กูก็นึกว่ามึงโกรธน้อง”
“ใช่ๆ”
“เนียนเลยนะไอ้จุ๊ย”

ก้องภพให้จุ๊ยกับอ็อดติดรถกลับบ้านด้วย เพราะยังไงก็ต้องผ่านทั้งบ้านของจุ๊ย และหอของอ๊อตอยู่แล้ว
“นี่มึงมีใบขับขี่ไหม” จุ๊ยถามมือก็ลื้อซีดีเพลง
“มีสิ... กูอายุสิบแปดแล้วจุ๊ย”
“อ้าวแก่” จุ๊ยว่าซี่งหน้า
“ไอ้เหี้ยกูแก่เดือน  กูเกิดวันที่สามมกรา  ก็ที่เลี้ยงวันนั้นไง” ก้องภพตอบ
มองไปเบาะหลังเห็นอ๊อดที่บอกจะเอนหลังหลับไปแล้ว
“มึงรู้รีเปล่าว่าทำไมกูถึงบอกว่าคำพูดนั้นเป็นของมึง  คำพูดบนเสื้อที่กูออกแบบน่ะ”
 “เออ.. ทำไมวะ” จุ๊ยถาม
“ก็คือคำพูดของมึงสองปีที่แล้วไงหน้าเสาธง” ก้องภพตอบ
“ตอนนั้นมึงเป็นตัวแทนไปแข่งแซกโซโฟน แล้วชนะเลิศมากล่าวรายงานความสำเร็จ”
ก้องภพกดไฟเลี้ยวเพื่อเลี้ยวตรงสี่แยก
“มึงบอกว่า  เคล็ดลับความสำเร็จของมึงคือมีเป้าหมาย  แต่มึงไม่ได้มองแต่เป้าหมายอย่างเดียว  มีงก็เลยไม่ผิดหวังหรือถอดใจ” ก้องภพกล่าว
“แล้วมึงก็บอกว่า”
“ชัยชนะคือเป้าหมาย แต่ความสนุกที่ได้ทำสิ่งที่รักคือรางวัล”
จุ๊ยคิด..
“เออใช่เนอะกูพูดอย่างนั้นจริงๆ”
ก้องภพท้าวแขนกับขอบกระจกข้างหนึ่งในจังหวะที่รถติดไฟแดง
“กูจำคำนี้ได้แม่นเลย  แล้วกูก็เอาคำนี้มาปรับใช้กับชมรมกู  จนกูกับชมรมกล้าส่งผลงานเข้าประกวดกัน  จนได้รางวัล”
จุ๊ยนิ่งเพราะเขิน  เหมือนโดนชมซึ่งหน้า
“ปรากฏว่าตอนไอ้เดฟเรียกประชุมพวกเราปรึกษาเรื่องชมรมมึง  กูก็เลยบอกว่ากูจะทำเสื้อขาย โดยใช้คำพูดของมึงเนี่ยละใส่ไปบนเสื้อ รู้ไหมพวกมันบอกว่ายังไง” ก้องภพเล่าต่อก่อนจะถาม
จุ๊ยหยิบได้ซีดีแผ่นหนึ่งพลิกไปพลิกมา
“จะไปรู้ได้ไง”
“พวกมันบอกว่าก็เพราะคำนี้ล่ะที่พวกมันออกไปประกวดนั้นประกวดนี่โดยไม่กังวลผล  แล้วปรากฏว่าผลออกมาดี  พวกมันยังบอกอีกว่า  พอรู้ว่าวาระของเดฟเกี่ยวข้องกับชมรมมึง  พวกมันก็คิดแผนจะมาช่วยกันเต็มที่ เพราะอยากขอบใจมึงที่เป็นแรงบันดาลใจให้” ก้องภพหันมามองหน้าจุ๊ย
จุ๊ยก็หยุดหมุนซีดี
“บ้าน่า  กูก็แค่พูดสวยๆ พวกมึงพยายามกันเองต่างหาก”
แต่ก้องภพเอามือมาวางบนบ่าของเขา
“มึงคงไม่รู้  ว่ามึงไม่ได้แค่เล่นแซกโซโฟนเพื่อนำเราร้องเพลงชาติ  แต่มึงทำให้กูและพวกมันระลึกถึงคำพูดของมีง...”
จุ๊ยหันมามองหน้าก้องภพ แล้วก็เงียบทั้งคู่ นานพอสมควร
“ขอบคุณนะเว้ยเพื่อน”ก้องภพกล่าวจากความจริงใจ
จุ๊ยเงียบอยู่สักพัก
แล้วก็ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อโล่งอก”
“อะไร” ก้องภพถามโดยไม่หันมาเพราะได้จังหวะไฟเขียว
“ก็มึงมองตากู แถมพรรณนาขนาดนั้น” จุ๊ยตอบพลางสอดแผ่นซีดีใส่เครื่องเล่น
“กูนึกว่ามึงจะบอกว่า”
แล้วก็ดัดเสียง
“เฮ้ยเพื่อน กูรักมึงว่ะ”
ก้องภพหัวเราะ
“ไอ้สัดว์นี่มึงจะเว้นความฮาของมึงสักนาทีให้พอซึ้ง นิด...นึงได้ไหมวะ”
จุ๊ยหันมายิ้มทะเล้น
“ไม่ได้เพราะกูเป็นคนตลก”
 
“แน่ใจนะว่าไม่หิว” จุ๊ยถามก่อนที่ลงจากรถ
“เออไม่  เมื่อกี้เล่นไปไก่เป็นสองชิ้น  อิ่มโคตร” ก้องภพตอบ
“ร้านก๋วยเตี่ยวไก่ร้านนี้อร่อย  ลูกสาวคนโตสวยโคตร” จุ๊ยชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่
“กูไม่หิว” ก้องภพปฏิเสธ
จุ๊ยทำหน้าน้อยใจ
“มึงปฏิเสธน้ำใจเพื่อน  กูก็คิดว่ามึงมาส่งเลยจะตอบแทน”
ก้องภพถอนหายใจ แล้วทำท่าจะดับเครื่อง
“เอาวะนานๆมึงจะเลี้ยงกูสักที”
“ใครว่าเลี้ยง” จุ๊ยถาม
“อ้าว” ก้องภพชะงัก
“นี่มึงชวนนี่ไม่ใช่ว่ามึงจะเลี้ยงกูหรอกเหรอวะ”
“โห... ดูๆๆ นี่มึงมีรถราคาเป็นล้านขับ  นี่มึงกะจะให้กูเลี้ยง  มึงนี่เห็นแก่ตัวฉิบหาย  มึงต่างหากที่ต้องเลี้ยงกู” จุ๊ยว่าแล้วส่ายหน้า
ก้องภพขำก็ขำหมั่นไส้ก็หมั่นไส้  ดันตัวจุ๊ยจนติดประตู
“ไปๆลงไปเลย คุยกับมึงตัวๆนี่ สู้มึงไม่ไหวจริงๆ  ไม่มีไอ้ปอไอ้ตั้มช่วยกูตาย  ไม่ทันมุกมึงจริงๆ”
“แล้วมีงอย่าไปลักหลับไอ้อ๊อดนา... พรุ่งนี้มามันบ่นเจ็บตูกูจะให้มึงแต่งงานกับมันเพื่อแสดงความรับผิดชอบ”
ก้องภพชำเรืองมองไปเบาะหลัง
“เออ... “
จุ๊ยยกนิ้วชี้กำกับแล้วทำท่าจะลงจากรถ
“เออจุ๊ย” ก้องภพนึกได้
จุ๊ยหยุด
“อะไรเปลี่ยนใจจะเลี้ยงกูแล้วสิ”
ก้องภพเคาะพวงมาลัยเหมือนช่างใจจะพูด ก่อนจะกล่าว
“คือมึง  กูก็เข้าใจนะว่ามึงอาจจะรังเกียจไอ้เดฟ  ก็เข้าใจก็มันเล่นเข้าหามึงแบบสุดๆจริงๆนั้นหล่ะ” ก้องภพเกริน
“แต่มึงรู้ไหมว่า  เรื่องนี้มันเป็นตัวตั้งตัวตีในการประสานงานชมรมต่างๆ  ค่าเสื้อที่ทำเสื้อที่กูออกแบบ มันก็ออกไปก่อน  แถมบอกว่าไม่ต้องเอามาคืนมัน  แล้วมึงก็เห็นมันเอาตัวเข้าแลกขนาดนั้น  ถึงมันจะเป็นแค่พระรอง แต่มันก็เป็นดาราคนหนึ่งนะเว้ย  มันยอมให้คนนั้นถ่ายรูปหอมแก้ม สารพัดก็เพื่องานนี้”
ก้องภพไม่กล้ามองตาจุ๊ยตรงๆจึงมองผ่านกระจกมองหลัง
“คือกูก็ไม่ขออะไรมาก  ก็แค่อยากให้มึงรุนแรงกับมันน้อยๆหน่อย  กูว่ามันไม่แค่เงี่ยนหื่นกับมึง  แต่มัน... ชอบมึงจริงๆเลยนะเว้ย”
จุ๊ยนิ่งไป
“มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอ”
ก้องภพต้องหันมามองหน้าจุ๊ย
“ไอ้เดฟมันชอบกูมาก กูรู้  กูถึงไม่เคยหลบหน้ามัน  แล้วก็ปล่อยให้มันลวนลามอยู่ได้ทุกวันไง” จุ๊ยมองไปข้างหน้า
“กูก็ไม่ได้รังเกียจมันหรอก แต่มันน่ะแสดงออกเกินไปแล้วลามกกับกู กูก็เลยต้องตอบโต้บ้าง  ไม่งั้นมันได้ปล้ำกูกลางโรงเรียนแน่ๆ”
ก้องภพพยักหน้า แต่ก็ถามกลับ
“แล้วถ้ามันไม่หื่นกับมึง  แสดงออกอย่างพอดี มึงจะเล่นด้วยรึไง”
จุ๊ยถอนหายใจ
“มันไม่ควรเป็นแบบนั้นรีเปล่าวะเพื่อน  กูกับมันไม่ควรจะเป็นอะไรมากกว่าที่เป็นใช่ไหมเพื่อน  เพราะเราคือเพื่อนกัน”
แล้วจุ๊ยก็เปิดประตูรถ  แต่ไม่ลืมหันไปคว้ากล่องแซกโซโฟนคู่ชีพ
“เอาเป็นว่าก่อนจะจากกันกูจะเคลียร์กับมันแน่นอนมึงไม่ต้องห่วง”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:46:03
ตอนที่ 14 ดรัมเมเยอร์ทีหายไป
จุ๊ยเปิดประตูบ้านเข้าไปก็เห็นป้ากำลังจุดยากันยุง
“กลับมาแล้วครับป๊า”                     
“ไปหาทุนไปต่างประเทศให้วงดนตรีมาเรอะ” ป๊าถาม
จุ๊ยเอียงคอ
เขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับป๊านี่น่า ตอนเขาออกไปก็แค่บอกเหมือนทุกๆทีที่ออกไปในวันอาทิตย์
“ป้ารู้ได้ยังไงครับ”
“ข่าวออก” ป๊าตอบแล้วกดรีโมทโทรทัศน์เปลี่ยนช่อง
“เพื่อนลื้อที่เป็นดารานั้นหล่ะ  เขาบอกออกทีวี  พึ่งออกข่าวช่วงบันเทิงตอนหัวค่ำนี่เอง”
“จุ๊ย” เสียงเฮียดังจากชั้นลอย
“มาสิ เฮียจะเปิดข่าวย้อนหลังให้ดูในเนต”
 
“น้องกลุ่มนี้เขาฝึกซ้อมกันหนักมากเลยครับ  ผมเลยอยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุน  วันนี้พวกเขาก็มาจัดกิจกรรมขายเสื้อ เปิดหมวกเล่นดนตรีครับ”
“แล้วโยชิรู้จักพวกเขาเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า”
“อ้อครับ ผมรู้จักกับหัวหน้าวง  เขาเป็นคนมีความสามารถมาก เขากับน้องๆของเขาฝึกกันหนักมาจนได้รางวัล  ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าถ้าเขาเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดต้องสร้างชื่อเสียงให้ได้แน่นอน”
“ช่วยกันหน่อยนะครับ”
แล้วก็เป็นภาพโยชิถ่ายรูปคู่กับน้องชมรมหนึ่งชมรมใดชมรมหนึ่ง  ซื้อเสื้อมาใส่เอง  แล้วยังแจกลายเซ็นให้คนที่ซื้อเสื้อคนอื่นด้วย
“ทาง รายการตรวจสอบไปทางโรงเรียนและได้คุยกับผู้บริหารโรงเรียน ทำให้ได้ทราบว่าน้องกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวงโยธวาทิตที่ชนะเลิศถ้วยเกียรติยศ ประเทศไทย  แต่เนื่องจากสปอร์นเซอร์หลักที่เคยให้การสนับสนุนประสบปัญหาการเงิน  ก็ เลยอาจกระทบกับการที่น้องๆจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเราไปแข่งขันวงโยธวาทิตโลก เนื่องจากงบประมาณของทางโรงเรียนก็มีจำกัด และงบจากราชการก็อาจไม่พอ  ซึ่งทางทีมข่าวของเราก็จะประสานกับทางสถานีเพื่อจะเข้าสัมภาษณ์กับผู้เกี่ยวข้องโดยตรง  และอาจมีการสนับสนุนช่วยเหลือกันไปตามกำลังของเรา  ถ้าท่านผู้ชมท่านไหนสนใจร่วมส่งเสริมกิจกรรมของเด็กไทยเรา ก็สามารถติดต่อได้ที่โรงเรียนโดยตรงเลยนะค่ะ”
แล้วก็เป็นการกล่าวปิดรายการ
“ดังใหญ่แล้วแก เฮียว่าพรุ่งนี้ต้องมีนักข่าวแห่กันไปโรงเรียนไปสัมภาษณ์แกแน่ๆเตรียมตัวไว้เถอะ”
จุ๊ยยิ้มเจือนๆ
 
โยชิพยายามโทรหาจุ๊ยตั่งแต่เย็นเขาก็ไม่รับสาย  คิดในแง่บวกว่าอาจกำลังประชุมหรือทำอะไรที่จำเป็นอยู่
พอรู้สึกหิวก็เลยเดินลงมาด้านล่างพอดีกับที่คนรับใช้จะชึ้นไป
“อ้าวคุณโยชิลงมาพอดีเลยค่ะ คุณเพลงให้ไปพบที่ตึกใหญ่นะค่ะ”
 
โยชิเข้ามาที่บ้านหลังกลางของฉัตรอัครแทบนับครั้งได้  แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่อยากมา แต่ไม่ได้มีธุระจะมา

ตอนทีเข้าไปถึงก็ได้รับการบอกเล่าจากคนรับใช้ว่า คุณเพลงพิณ หรือป้าเพลงของเขารออยู่ในห้องนั่งเล่น พอเข้าไปก็ได้พบสตรีวัยสูงกว่าแม่ของเขาแต่ยังมีดวงหน้างดงาม  แล้วเธอยังตอบรับการทำความเคารพของเขาด้วยรอยยิ้มก่อนสั่งให้เด็กไปหยิบขนมมาเสริพ
“เป็นยังไงบ้างอยู่เมืองไทยมาจะสองปีแล้วปรับตัวได้แล้วใช่ไหม” เพลงพิณถามอย่างใจดี
เธอคือภรรยาของลุงนามมินทร์ของเขา  แต่สำหรับบริษัทแล้วเธอเป็นเหมือนเสาหลักของการสนับสนุนและช่วยเหลือลุงนามมินทร์ของเขา  ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่ดูใจดี ใจเย็นคนนี้จะเป็นนักธุรกิจหญิงที่มีคนยกย่องและเกรงบารมีเกือบจะมากที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้
“ครับผม  แต่ยังติดเรื่องอากาศร้อนมาก”  โยชิตอบตามตรง
“อืม..เข้าใจ” เธอพยักหน้า
“แล้วงานล่ะ ซีรี่ที่แสดงก็ใกล้จะจบแล้วนี่ มีรับงานอื่นอีกไหม”
“ก็มีครับ  เป็นหนังหนึ่งเรื่อง ซีรีย์อีกเรื่องหนึ่ง” โยชิตอบแล้วกินขนม
“อร่อยครับ” เขาออกปากทันที
เพลงพิณยิ้ม
“เดี่ยวป้าให้เด็กเอาไปให้ที่บ้านนะ  ป้าทำเองหล่ะ  ทำไว้เยอะเลย”
โยชิกล่าวขอบคุณ
“อืมพอดีป้าดูข่าวเห็นว่าโยชิกำลังช่วยเพื่อนหาทุนอยู่ใช่ไหม” เพลงพิณเข้าเรื่องที่จะคุย
โยชิพยักหน้าช้าๆ
“ครับ”
 
“ที่พวกเราได้มาเมื่อวานสองแสน  ก็ถือว่าเยอะมากเลยนะจากการกิจกรรมแค่วันเดียว” อตินั้งเป็นประธานหัวโต๊ะโดยมีหัวหน้าทีมกีฬาและชมรมนั่งอยู่โดยพร้อมเพรียง ในการประชุมตอนบ่าย
“แล้วก็เมื่อเช้านี้มีผู้ปกครองนักเรียนปัจจุบัน กับสมาคมศิษย์เก่าให้มาอีกหกแสน “คนที่กล่าวคือประธานนักเรียน
“ผมก็ประสานงานออกหนังสือไปหลายบริษัท  แต่ก็คงต้องใช้เวลา เพราะเราขอสนับสนุนไปเป็นจำนวนเยอะมาก”
“ที่จริงในหน้าเพจของโรงเรียนก็มีคนเข้าโพสต์เยอะมากว่าอยากช่วยเหลือ แต่ผอ.ท่านเห็นว่าเป็นการวุ่นวายเกินไป และกลัวการแอบอ้างก็เลยงดไว้  ตอนนี้จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมผู้บริหารระดับกระทรวง  เผื่อจะได้งบประมาณเพิ่มเติม  แต่ก็อาจช้า และไม่ทันการก็ได้”
เดฟกอดอกขมวดคิ้วดูหน้าเครียดเสียยิ่งกว่าจุ๊ยที่หันมามองหน้าเขาเสียอีก
“แล้วเราจะทำยังไง”
“ก็ต้องรอใจเย็นๆ  เพราะตอนนี้เหมือนทุกฝ่ายจะตื่นตัวกันมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอาจมีมาตรการช่วยเหลือลงมา” อาจารย์อติกอดอก
เดฟรู้สึกขัดใจเพราะเขาเป็นคนใจร้อน  พอมองกลับไปที่จุ๊ยทีอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะยาว ก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา   ก็สมเป็นนักดนตรีหรอก ใจเย็นแถมยังยิ้มได้
แต่พอมองไปที่โทรศัพท์ของจุ๊ยที่วางไว้บนโต๊ะ  เขาก็เห็นเป็นภาพของโยชิ เป็นภาพแสดงสายเรียกเข้า
“จุ๊ย  โยชิโทรมา”
“อ้าวเหรอ” จุ๊ยยกโทรศัพท์ขึ้นดู
แล้วเขาก็หันไปบอกอาจารย์อติ
“ขอตัวสักครู่นะครับ”
จุ๊ยออกไปแล้ว
เหมียวมองตามจุ๊ยไป
“โยชิ ดารา ที่มีรูปแชร์กันสนั่นว่าไปเที่ยวด้วยกันน่ะเหรอ”
เดฟยักคิ้ว
“ก็มีอยู่คนเดียวหล่ะ  โยชิฮิสะ อาราอิ”

จริงๆแล้ววงโยธวาทิตของจุ๊ยก็มีดรัมเมเยอร์เหมือนวงอื่นๆ  แต่เพราะการประกวดปีนี้จุ๊ยออกมาแบบการแสดงโดยไม่มีดรัมเมเยอร์ ดรัมเมเยอร์เลยว่างงานไม่ต้องไปประกวด  ซึ่งจริงๆแล้วดรัมเมเยอร์ตัวเอกของโรงเรียนก็คือเดฟนั้นเอง 
ซึ่งถ้าไม่ใช่เดฟ  จุ๊ยยังคิดว่าคงมีเรื่องทะเลากันไปแล้ว เพราะเล่นตัดออกไปอย่างเด็ดขาด แต่เดฟก็แค่ย้ายไปอยู่ชมรมละคร แต่ก็ยังไปมาหาสู่เหมือนเดิม

งานวันนี้เมื่อบอกเท่านั้น  เดฟก็ยินดีจะทำหน้าที่ให้
พอสวมชุดดรัมเมเยอร์ดาดสายสะพายของโรงเรียนเต็มยศ เดฟที่ยืนอยู่หน้าแถวของวงโยธวาทิตก็ดูโดดเด่นชวนมองไม่น้อย
“น้องคนนั้นก็เป็นดาราใช่ไหม  ที่เล่นเรื่องเดียวกับหลานท่านประธาน”  พนักงานสาวบอกแก่กันบนอัฒจันทร์
“หล่อจังเลยเนอะ  ที่จริงหล่อไม่แพ้พระเอกเลยนะนั้น  แต่หล่อคนละแบบ”
“แต่เขาว่าเป็นเกย์นะ  ดูแมนออกไม่น่าจะเป็น”
“เหม่หล่อนเดี่ยวนี้เกย์มีหลายแบบ  ไม่ได้ดูสาวเหมือนกันเหมือนในหนังหรอก  แบบน้องเขาเรียกว่าคิง เป็นรุก ถ้าชอบผู้หญิงได้ด้วยเรียกว่าไบ” คนที่บอกเป็นเกย์สาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“แต่ว่าแต่น้องเขากล้าเนอะ  นี่เขาบอกกับนักข่าวเองเลยนะว่าเขาชอบผู้ชายตอนที่มีคนไปจับคู่จิ้นเขากับนักแสดงผู้หญิงที่เล่นด้วยกัน  นักข่าวที่ไปสัมภาษณ์หงายเงิบ”
พนักงานสาวพยักหน้าช้า
“ที่จริงก็ไม่เห็นต้องปกปิดเลยเนอะ  อยากจะเป็นอะไรก็เป็นไป  ยังดีกว่าแอ๊บแมนมาหลอกพวกเรา  ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าผู้หญิงอย่างพวกเรารู้ที่หลังจะเป็นยังไง” พนักงานสาวกล่าว
“รู้ว่าผัวมีเมียน้อย ยังเจ็บน้อยกว่าผัวมีผัวน้อยนะแก”
 
พอได้สัญญาณจากจุ๊ย  เดฟก็ยกคฑาชี้ขี้นฟ้า
กลองก็รัวกันสนั่นอย่างพร้อมเพรียง
เดฟโยนคฑาขึ้นฟ้าแล้วก้าวออกไปรับ แล้วก็ควงมันอย่างคล่องแคล่วเดินนำวงโยธวาทิตออกสู่สนาม  ท่ามกล่างเสียงปรบมือจากบรรดาพนักงานของฉัตรอัครกรุ๊ปที่อยู่เต็มสนามราชมังคลากีฬาสถาน
 
“ถ้าไม่บอกว่ามันวางมือไปนาน แล้วพึ่งมาซ้อมได้สามวันนี่ กูนึกว่ามันฟิตอยู่ทุกวันนะเนี่ย” อ็อดกล่าวแก่ฮ้อย
“ก็มันเป็นดรัมเอกของโรงเรียน  สมัยก่อนมันก็มีส่วนนะกับความสำเร็จของวง จำไม่ได้เหรอ เวลาไปแสดงที่ไหน มันโยนคฑาทีก็มีเสียงกรีดสนั่นจากหมู่สาวๆทุกที”
“สมัยนี้หล่ะ” อ๊อดถาม
“ก็มีหนุ่มๆกรี๊ดเพิ่มมาด้วยไง” ฮอยตอบ แล้วถองศอกกันไปมากับอ็อด
“ตัวเองอะ”
จุ๊ยหันมามอง
“แล้วจะมีท่าไม้ตายของมันไหม” อ็อดถาม
“ไอ้ลังกาหน้าสองตลบแล้วตามลังกาเกรียวปิดด้วยม้วนหน้าของมันน่ะเหรอ... ไม่รู้เหมือนกัน  ต้องถามไอ้จุ๊ย เพราะ ถ้าจะมีคงต้องแอบไปซ้อมกันสองคน” ฮ้อยตอบ แล้วหันไปมองหน้าจุ๊ย
“ซ้อมแล้วไง” จุ๊ยตอบก่อนจะก้มหัวมา
“มึงดูนี่  คฑาลงหัวกูนี่ ยังดีกูให้หุ้มผ้าไว้ก่อน  ยังมึนไม่หายเลย”
สามหนุ่มมองหน้ากันหัวเราะกิ๊กกัก
แต่พอมองกลับมาในสนาม
เดฟยืนนิ่งอย่างตั้งใจ
“เฮ้ยมัน” จุ๊ยรีบวิ่งเข้าไป
เดฟโยนคฑาขึ้นฟ้าสูงกว่าทุกครั้ง  สปีดไปเต็มเหนี่ยวแล้วก็ตีลังกาหน้าสองตลบจากนั้นก็ตามด้วยลังกาเกรียว ก่อนย่อตัวลงม้วนหน้าแล้วรับคฑาได้อย่างแม่นยำ
จุ๊ยหยุดเท้าเมื่อเห็นว่าทุกอย่างจบลงด้วยดี
เดฟลุกขึ้นควงคฑาแล้วหันกลับ  ทิ้งสายตามาทางจุ๊ย
“เหี้ยแม่งทุ่มสุดตัว” ฮอยปรบมือด้างอยู่อย่างนั้นเหมือนๆกับคนในสนาม
“ไม่รักมากไม่ทุ่มให้ขนาดนี้นะเนี่ย”
อ๊อดคลอนหัวเบาๆ
วาทิตที่ยังไม่เคยเห็นมาก่อนถึงขนาดลืมเป่าไคริเนตไปชั่วขณะ
แต่พอรู้ตัวก็รีบจับจังหวะโน้ตเพื่อเป่าตามเพื่อนให้ทันพร้อมกับเดินแปรขบวนไปพร้อมกัน
“เมื่อก่อนพี่เดฟก็อยู่กับเรานี่ล่ะ” เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเอาไว้
“แต่พอพี่จุ๊ยแกประกาศคอนเซ็บใหม่ พี่เขาก็เลยออกไปอยู่กับชมรมละคร  ตอนนั้นดราม่ากับพี่จุ๊ยอยู่นานเลย  แต่ที่สุดก็เป็นฝ่ายมาดีกับพี่จุ๊ยเหมือนเดิม” อู๊ดเล่าเพราะเขาเป็นเด็กเก่าตั้งแต่ม.หนึ่ง
“พี่แกน่ะ  เก่งมากนะ  แกแสดงไม่เคยพลาดเลย เพราะแกซ้อมหนักมาก”
“พี่แกดีทุกอย่าง  หน้าตาดี เรียนเก่ง แต่เสียตรงเป็นเกย์ แล้วก็ชอบพี่จุ๊ยมากๆจนไม่เก็บอาการนั้นหล่ะ  พี่จุ๊ยแกก็เลยรำคราญไล่เตะแกบ่อยๆ  แกก็ไม่เคยว่า  ก็เลยกลายเป็นตัวตลกสำหรับคนอื่นไป”
“แต่ว่านะ  แกคงรักของแกมากนั้นล่ะ เพราะต่อให้พี่จุ๊ยด่าแกตี ไล่ยังไง  พี่เดฟก็ยังเหมือนเดิม  เป็นกูนะโกรธตาย  แล้วคงเลิกยุ่งไปแล้ว”
อู๊ดเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตอนกลับบ้านพร้อมกันเมื่อวาน
“แล้วพี่จุ๊ยหล่ะ ชอบพี่เดฟไหม”  วาทิตถามทั้งที่กลัวคำตอบ
อู๊ดเงียบอยู่นานมาก  ก่อนจะพูด
“เอ็งรู้เรื่องนี้แล้วเหยียบตรงนี้เลยนะ  แต่ข้าอยากจะให้เอ็งรู้ไว้“
“จริงๆแล้วเมื่อก่อนวงเรามีพี่คนหนึ่งชื่อไตร... เป็นมือเอกเครื่องเป่าคู่กับพี่จุ๊ยนี่หล่ะ  สองคนสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกัน ถึงจะอายุต่างกันสองปีก็เถอะ แต่ยังกับปาท่องโก๋เลย  แล้วเขาก็ลือกันว่าพี่เขากับพี่จุ๊ยน่ะเป็นคู่เกย์”
“แต่ก็แค่ลือไหมอ่ะพี่อู๊ด”
“ก็ใช่... แต่.. ข้าเห็นกับตาเลย  วันนั้นข้าลืมกระเป๋าเงินในห้องซ้อม ก็เลยกลับมาเอา เห็นพี่เดฟแก่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วจู่ๆก็เดินหนีไป  แต่พอข้าเดินเข้าไป ก็เจอจังๆเลย  พี่ไตรกับพี่จุ๊ยจูบกันอยู่”
“อุบัติเหตุรีเปล่า อย่างในหนังไง”
“ไม่ใช่หล่ะ  นั่งถือแซกกันคนละตัว นั่งตัวหันไปข้างหน้าทั้งคู่  แต่หน้าเอี่ยวลงมาจูบกัน  ไม่ใช่จูบกันธรรมดานะ  ต้องเรียกว่าดูดปากกันเลยดีกว่า ข้าเลยไม่กล้าเข้าไป  ถอยออกมา  ดีนะบ้านอยู่ใกล้เลยเดินกลับบ้านได้”
“ข้าว่าพี่เดฟก็คงเห็นนั้นหล่ะเลยเดินหนีไป  แต่พี่เดฟแกก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ  แต่ข้าว่าแกต้องเห็นนั้นหล่ะ ข้ามาที่หลังยังเห็นแล้วแกอยู่ตรงนั้นมาก่อนจะไม่เห็นได้ไง”
 
เดฟวางคฑาแล้วทิ้งกายลงถอนหายใจเอนหลังพิงพนังของห้องแต่งตัวอย่างอ่อนล้า
“ไม่ ฟิตเลยหนอเรา” แล้วเขาก็หลับตาฟังเสียงกลองที่ยังสนั่นไปหมด เพราะยังวงโยธวาทิตทำแสดงในชุดการแสดงเดียวกันกับที่ชนะเลิศอยู่ข้างนอก
แต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าของจุ๊ยตอนนั้น
“ขอแค่แววตาเป็นห่วงจากจุ๊ยผมก็สุขใจแล้ว”
แล้วเขาก็ลุกขึ้นเพื่อไปถอดชุดออกตากเพราะยังต้องเดินพิธีปิดอีกรอบ
จุ๊ยมองแผ่นหลังที่แกร่งไปด้วยมัดกล้ามเพราะการออกกำลังกายของเดฟ  ตอนแรกเขาจะเข้าไปแต่พอได้ยินเดฟพูดประโยคนั้นเขาก็ยืนตัวชาอยู่กับที่ เขาตัดสินใจเดินกลับหลังออกไปเมื่อตั้งหลักได้
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:47:09
ตอนที่ 15 Saxophone Solo บทเพลงของสายน้ำ
พอบ่ายคล้อย กีฬาและเกมส์ก็เล่นไปหลายอย่างแล้ว  พนักงานก็ดูจะอ่อนล้า  เพลงพิณจึงหันไปบอกกับเลขานุการของเธอที่อยู่ใกล้ๆบริเวณ
“คุณเนมค่ะ” เธอเรียกเมื่อเห็นสามีคุยกับแขกที่มาร่วมงานซึ่งเป็นบริษัทที่จะมาร่วมทุนในธุรกิจใหม่ จบไปส่วนหนึ่งแล้ว
สำหรับฉัตรอัคร ทุกอย่างทำไปอย่างมีความหมายที่สุด
“เดี่ยวมีทีเด็ด” เธอกล่าว
สามีของเธอวัยจะเข้าห้าสิบแล้วแต่ยังดูเด็ก มองหน้าเธอแล้วยิ้ม
“อะไร  เพลงจะลงไปเต้นเป็นปอมปอมเกริลเหรอ  เอาแบบสมัยเรียนมหาวิทยาลัย”
“พูดเป็นเล่น  เพลงเคยเป็นปอมปอมเกริลที่ไหนล่ะ “ เธอปฏิเสธ
“แต่เด็ดกว่าปอมปอมเกริลแน่นอน  เพลงได้ดูจากยูทูปเมื่อคืนแล้ว”
คุณนามมินทร์พยักหน้า  เขาเชื่อตามภรรยา เพราะเธอเป็นคนมีสายตาและวิสัยทัศน์กว้างไกลมากกว่าผุ้หญิงคนไหนที่เขารู้จัก  เป็นมือขวาของเขาอย่างเต็มตัว 
เอ... หรือเขาเป็นมือขวาของเธอกันแน่...
ฮ้อยจัดการกับอิเลคโทนของตัวเองเรียบร้อยก็หันไปมองหน้าจุ๊ยเชิงบอกว่าพร้อม
จุ๊ยก็หันไปมองหน้าอ็อด อ็อดก็พยักหน้า
บนลู่วิ่งด้านที่ร่ม สามหนุ่มยืนอยู่บนแทนยกหันหน้าเข้าสู่ส่วนที่ผู้บริหารนั่งอยู่
“ลำดับ ต่อไปขอเชิญพบกับ นักดนตรีที่เคยชนะการประกวดรางวัลถ้วยเกียรติยศประเทศไทยประเภทเครื่องเป่าที่อายุน้อยที่สุด เขาและเพื่อนจะมาขับกล่อมบทเพลงให้เราหายเหนื่อยกัน  เชิญรับชมครับ”
พิธีกรกล่าวจบ
เสียงขลุ่ยแว่วหวานก็ขึ้นเป็นต้นเพลงมายฮาร์ทวิลโกออน
“คนนี้เหรอ...เก่งนี่” นามมินทร์หันมาถาม
แต่เพลงพิณส่ายหน้า
ท่อนขลุ่ยจบลง พลันเก็ดเสียงแซกโซโฟนที่หวานหยดย้อยและเสนาะหูแม้ปลายเสียง
ครั้นท่อนกังวานก็กังวานใสจนเหมือนจะได้เห็นแสงสว่างส่องลงจากท้องฟ้ามาจับกายของเด็กหนุ่มที่กำลังเคลื่อนกายไปอย่างสอดคล้องกับการเป่าของตัวเอง
ไพเราะ..
แต่ทว่าใจของเดฟกลับกำลังรวดร้าว
เพราะแซกโซโฟนที่จุ๊ยกำลังเป่านั้นไม่ใช่อัลโตแซคโซโฟนที่หวงแหน  แต่เป็นโซบราโน่ที่เดฟไม่ได้เห็นมันมานานนับจากงานศพของพี่ไตร
เพลงพิณหันไปมองหน้าสามี เห็นเขาหลับตาลง แล้วเอนหลังอย่างสบายอารมณ์
 
จบไปสามเพลงอ็อดก็เปลี่ยนไปสามอุปกรณ์  แต่เขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยกับการเล่นกับจุ๊ย  เพราะเขาชอบมัน  พอจบเพลงเขาก็ทำท่าจะไปช่วยฮ้อยเก็บอุปกรณ์
“เดี่ยวครับน้อง” เสียงดังจากบนอัฒจันทน์
“ท่านผู้บริหารสูงสุด คุณนามมินทร์อยากจะให้น้องเล่นเพลงหนึ่งให้” พิธีกรที่เป็นพิธีกรมืออาชีพหันมาหานามมินทร์
นามมินทร์ก็ลุกขึ้นรับไมค์มา
“ถ้าเล่นได้ ผมจะให้เงินพิเศษน้องไปเลยสามหมื่น เอาไปแบ่งกัน “
เพลงพิณดึงแขนสามีให้ย่อลงมาเพื่อกระซิบ
“แล้วก็จะเป็นสปอร์นเซอร์ให้วงของโรงเรียนเป็นเวลาสามปี”
สามหนุ่มหันมองหน้ากัน ยิ้มอย่างตื่นเต้น
แต่จุ๊ยก็หวั่นๆใจ 
“ผมขอเพลง Out Of Nowhere”
“เอา..” ฮ้อยร้องออกมา เพราะเป็นเพลงJazz ชื่อดังเพลงหนึ่ง  แต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่น แซกโฟโฟนจะเล่นยากมาก เพราะมีเสียงเล็กเสียงน้อยเต็มไปหมด
อ็อดก็หันมามองหน้าจุ๊ยที่ยังยืนนิ่งกับโซบราโน แซ็คตัวนั้น
พิธีกรหญิงเดินลงมาพร้อมไมค์  เอาไมค์จ่อปากจุ๊ย
เขามองขึ้นไปบนอัฒจันทน์
“ยากไปรึเปล่า” นามมินทร์ถาม
จุ๊ยหันมองหน้าไปทางน้องๆวงโยธวาทิตที่ออกมาดูเขาอยู่ข้างสนาม
“ครับ Out Of Nowhere” เขาตอบออกไป
“แต่ผมต้องเปลี่ยนอุปกรณ์นะครับ”
 
พร้อมอีกครั้ง  คราวนี้อ็อดก็เอาดับเบิ้ลเบสออกมา  เคราะห์ดีที่เมื่อเช้าอยู่ดีๆเขาก็นึกอยากเอามาด้วย ทั้งที่คิดว่าไม่น่าจะได้ใช้หรอก  แถมทั้งใหญ่ทั้งหนัก  น้องๆที่แบกยังถามว่าเอามาทำไม
ส่วนฮอยปรับอีเลคโทนให้เล่นเสียงเปียโนแบบเต็มๆ
และจุ๊ยถืออัลโตแซกโซโฟนคู่ชีพยืนเผชิญหน้ากับอัฒจันทน์ด้วยแววตามาดมั่น
นามมินทร์เรียกหาไมค์
“ไม่ต้องดีขนาดต้นฉบับ  ฉันเข้าใจ”
แล้วบทเพลงในช่วงปี 40 ก็ดังขึ้นเริ่มจากเสียงเปียโนจากเครื่องอิเลคโทน ตามด้วยดับเบิลเบส 
จากนั้นแซกโซโฟนก็เปล่งเสียงของมันออกมา  มนตราของมันแพร่กระจายในกระแสอากาศ ลูกเล่นในหางเสียง การเอื้อน ราวกับคนขับร้องออกมา  แต่เป็นการขับร้องด้วยเครื่องดนตรี..  การขึ้นเสียงสูงต่ำทำได้อย่างราบรื่น  การเปล่งเสียงต่อเนื่องก็ไม่มีวี่แววว่าเสียงจะขาดหาย หรือลมหมด..

นามมินทร์ได้ฟังก็นิ่งเงียบ  แล้วเขาก็หลับตาลง
เพลงพิณอยากจะรู้จริงว่าเขาคิดอะไร
“เพลงอะไรอะ ไม่เห็นเพราะ” พนักงานสาวบ่นขี้น
“หล่อนจะไปรู้อะไร... Johnny Green แต่งไว้ เวอร์ชั่นนี้เป็น Ballard ของCharlie Parker” พนักงานเกย์สาวกล่าว
“น้องเขาไม่ได้เล่นได้ดีขนาด Charlie Parkerหรอกนะ  แต่ก็สุดยอดกว่านักดนตรีอาชีพตามคลับแจสที่ฉันไปนั่งอีก นี่คุณเพลงพิณไปหามาจากไหนเนี่ยเด็กคนนี้  Charlie Parker กลับชาติมาเกิด รึเปล่า หน้าตาก็ดูดี ความสามารถก็ยอด  มีคนส่งเสียรียังค่ะน้อง”
พนักงานสาวกรอกตา
 
เล่นจบจุ๊ยถึงกับปาดเหงื่อที่ออกโทรมใบหน้า
“หมดแรงเลยดิมึง” ฮ้อยกล่าวแล้วหันไปขอความเห็นจากอ๊อด
“แหง่ดิ... เจอเพลงระดับนี้เข้า”
คุณนามมินทร์ลุกขึ้น
“น้องครับน้องอายุเท่าไหร่”
พิธิกรสาวเดินลงมาเตรียมพร้อมอยู่แล้วส่งไมค์ให้
“สิบเจ็ดย่างสิบแปดครับ”
ทั้งสนามเกิดเสียงฮือฮา
“นี่เรานั่งฟังเด็กม.ปลายเล่นจริงๆหรือนี่”
นามมินทร์นิ่งพยักหน้าช้ารับรู้
“เก่งนะ เก่งมาก” ผู้บริหารสูงสุดของฉัตรอัครกล่าว
“เอ้าตกลง  เอาไปเลยตามสัญญาไว้”
เด็กวงโยที่ออกมานั้งลุ้นร้องชัยโยเสียงดัง
 

โยชิที่นั่งแฝงอยู่ในกลุ่มพนักงานก็ยิ้มออกมา
“นายมันเยี่ยมอยู่แล้วจุ๊ย”
อติที่มาในฐานะเพื่อดูแลลูกศิษย์ตามหน้าที่ ถอนหายใจออกมา
เขานึกถึงเด็กชายอายุสิบสองคนนั้น  ที่ถือแซกโซโฟนมาสมัครวงโยธวาทิต  เด็กคนนี้เติบโตแล้ว  แถมไปไกลเกินกว่าที่อติจะคาดคิดถึง   
ตอนนี้อติรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจอุทกดาบถตอนที่ให้เจ้าชายสิทธัตทะ ออกจากอาศรมเพราะไม่มีอะไรจะสอนแล้ว
เขาคงไม่มีความสามารถไปสอนเด็กคนนี้ได้อีก  เด็กคนนี้เกินกว่าระดับของอาจารย์โรงเรียนมัธยมธรรมดาจะให้คำแนะนำ  แล้วก็ไม่แน่ว่าอาจารย์ในระดับสูงกว่าจะสามารถแนะนำได้
ระบบการศึกษาในประเทศนี้ ก็คงไม่เพียงพอจะรองรับเด็กคนนี้เสียแล้ว
เด็กคนนี้จำเป็นต้องโบยบินไปสู่โลกที่กว้างไกล  แต่เขาจะยอมบินไปหรือจะตัดสินใจเกาะแค่กรอบประตูกรงที่เปิดอ้าไว้เพียงเพราะอาวรณ์ในภาระและพันธสัญญาของตัวเอง


หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:48:32
ตอนที่ 16 ความในใจของหลิว
ดอกชมพูพันทิพย์บานแล้วเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นและสิ้นสุดของการสอบปลายภาค
ในตอนย่ำเย็นของวันสุดท้าย  จุ๊ย อ็อด ฮอย ก้องภพ ปอ ตั้มและอัศวะเดินกอดคอกันเป็นแผงออกพ้นประตูโรงเรียน  แล้วทั้งหมดก็หันกลับมา  แต่ละคนเสื้อผ้าลายจนไม่มีที่เขียน  โดยเฉพาะจุ๊ยที่มีแม้แต่บนแก้มและแขน
จุ๊ยยังจำวันแรกที่มาโรงเรียนไม่ได้แล้ว  แต่ยังจำช่วงเวลาต่างๆได้ดี  ยังจำเสียงหัวเราะเพื่อนๆได้ ยังจำได้ว่าเขาซ้อมดนตรีหนักหนาและผ่านเวลาสุขร่วมกับสมาชิกวงโยธวาทิต  ยังจำช่วงเวลาโดนทำโทษเพราะความคะนอง  ยังจำตอนที่วิ่งไล่เตะไอ้เดฟไปตามระเบียง 
และยังจำรอยยิ้มของคนที่ไม่เคยได้มีวันนี้เหมือนเขา  พี่ไตร...
 
จุ๊ยเดินกลับมาตามทางซอยเข้าบ้าน  ก็โดนล้อเรื่องลวดลายบนใบหน้าและร่างกายมาโดยตลอด 
“อ้าว... นึกว่าเสือโคร่งที่ไหน  จุ๊ยนี่เอง  ไปตกกระป๋องสีที่ไหนมา” หลิวแซว
จุ๊ยยิ้มอายๆ
“ก็เพื่อนมันแกล้ง  มันบอกเสื้อไม่มีที่ ก็มีตัว แล้วมันละเลงเลยแถมล็อกจุ๊ยไว้ด้วย”
หลิวยิ้ม  แล้วเดินมาใกล้ใช้นิ้วปาดสีที่ย้อยลงมาใกล้ตา
“จะเข้าตาอยู่แล้ว”
รอยยิ้มหลิวสว่างได้จนน่าแปลกใจ
“ยิ้มอะไร” เธอถาม
“เปล่า” จุ๊ยตอบ
“เข้าบ้านก่อนนะ  ไปอาบน้ำ”
“เออจุ๊ย เดี่ยวขึ้นไปบนดาดฟ้าหน่อยสิ” หลิวเรียกรั้ง
จุ๊ยหยุด  เขาสังเกตเห็นกิริยาที่แปลกไปนิดหน่อย  แต่ก็เลิกคิ้วแล้วตอบ
“โอเค”
 
จุ๊ยอาบน้ำแล้วอยู่ในชุดเตรียมจะเข้านอน เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น
ขึ้นดาดมาเห็นหลิวนั่งกับกำแพงระหว่างบ้านเขากับหลิว
“มีอะไรรีเปล่า”
“ไม่สบายใจเหรอ”
เขานั่งลงข้างๆ
“เปล่าหรอก จริงๆหลิวกำลังดีใจต่างหาก” เธอตอบแล้วยิ้ม
“หลิวได้ทุนไปเรียนที่ออสเตเรียน่ะจุ๊ย”
จุ๊ยทำตาโตยินดี เผลอเอามือจับแขนของเธอ
“จริงเหรอ  ดีจังเลย ยินดีด้วยนะ”
หลิวมองมือของจุ๊ย แล้วหันไปทางอื่น
“แต่เราจะไม่เจอกันนานเลยนะจุ๊ย”
จุ๊ยเอามือออกแล้วหันไปอีกทาง
“ก็ไม่เป็นไรนี่  เดี่ยวหลิวปิดเทอมก็ได้เจอกันแล้ว  เรียนจบกลับมาก็ต้องเจอกันอยู่ดี  จุ๊ยไม่ได้หนีไปไหนซะหน่อย”
หลิวนิ่งก่อนจะลุก เดินมาตรงหน้าจุ๊ย
“หลิวถามตรงๆ จุ๊ยรู้สึกยังไงกับหลิว”
จุ๊ยอึ้งเพราะไม่คิดว่าจะโดนจู่โจม
“เออคือ” จุ๊ยออกปาก
แต่หลิวกลับหอมแก้มจุ๊ย
จุ๊ยตะลึง
“หลิวชอบจุ๊ยมาเลยนะ  จุ๊ยเป็นคนเดียวในโลกทีหลิวอยากจะอยุ่ด้วยไปตลอดชีวิต”
จุ๊ยมองตาหลิว  เขาเห็นเกล็ดน้ำตา  นี่เธอคงรวบรวมความกล้าอย่างมากที่ทำและพูดออกมาอย่างนั้น  ที่จริงที่ผ่านมากก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลิวคิดอะไรกับเขา  เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น
จุ๊ยเม้มปากก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ขอบกั่นฝั่งที่หันออกไปหน้าบ้าน
“ทำไมหลิวถึงอยากรวบรัดอะไรตอนนี้ล่ะ  เราก็รุ้จักกันมานานมากแล้ว  ทำไมหลิวถึงต้องการจะรู้ตอนนี้  ไม่คิดว่ามันเร็วไปเหรอ”
หลิวนั่งลงในที่ที่จุ๊ยลุกไป
“ก็หลิวกลัวว่าถ้าเราไม่เจอกัน  จุ๊ยจะเปลี่ยนไป  จุ๊ยกำลังจะเรียนมหาวิทยาลัย  แต่ไหนแต่ไรจุ๊ยเรียนโรงเรียนชายล้วน  หลิวก็เลยกลัวว่าถ้าจุ๊ยไปเจอผู้หญิงคนอื่นที่สวยกว่าหลิวที่มหาวิทยาลัย จุ๊ยจะลืมหลิว”
จุ๊ยหันกลับมามองเธอ  แล้วเดินกลับมายืนตรงหน้า
“หลิว  สำหรับจุ๊ยหลิวเป็นผู้หญิงที่พิเศษที่สุดเท่าที่จุ๊ยมีในชิวิตเลยนะ  แต่เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ  เพราะคนที่ไปเจอโลกกว้างกว่าไม่ใช่จุ๊ยแต่เป็นหลิว  ดังนั้นทำไมหลิวไม่คิดว่าคนที่อาจเปลี่ยนเป็นหลิว  หลิวอาจเจอคนที่ดีกว่าจุ๊ยก็ได้”
หลิวน้ำตาร่วง
“ไม่หรอก  หลิวชอบจุ๊ยคนเดียว”
จุ๊ยสูดลมหายใจลึก หลับตาลงชั่วครู่
“ฟังนะหลิว” เขาเช็ดน้ำตาออกให้หลิว
“สำหรับจุ๊ยหลิวจะพิเศษเสมอ  ไม่ว่าเจอผู้หญิงกี่คน หลิวก็มีความสำคัญกับจุ๊ยมากเหมือนเดิม  ตรงนี้จุ๊ยสัญญากับหลิว”
เธอเงยมองหน้าจุ๊ย  ดวงตาของจุ๊ยแสนจะอบอุ่น
“แต่เราจะเป็นเพื่อนกันก่อนไม่ได้เหรอ  เราจะเป็นเหมือนเคยกันไปก่อน  จนกว่าหลิวและจุ๊ยแน่ใจว่าตัวเองคิดอะไรแล้วเราค่อยคุยกันอีกทีว่าเราควรจะเป็นอะไรกัน  เพราะถ้าเร่งรีบไปแล้วความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด  มันอาจไปทำลายความทรงจำดีๆของเราก็ได้นะหลิว  หลิวไม่เสียดายเหรอที่เราใช้เวลาร่วมกันมาตั้งสิบกว่าปี”
หลิวถอนหายในแล้วหลับตา
“จุ๊ยก็เป็นแบบนี้ล่ะ  เวลาจุ๊ยพูดอะไรซึ้งๆก็กลายเป็นว่าใครก็หาเหตุผลมาแย้งไม่ได้ทุกที”
แล้วทั้งคู่ก็นิ่งไป
หลิวเป็นฝ่ายลุกขึ้นเอง 
“หลิวจะมีจุ๊ยในใจไปตลอด  จุ๊ยก็อย่าลืมว่าหลิวสำคัญกับจุ๊ย  เพราะจุ๊ยสัญญาแล้ว”
จุ๊ยมองตาเธอ
“อืม จุ๊ยไม่ลืมหลอก  จะลืมได้ยังไง”  แล้วเขาก็เผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา
หลิวเดินกลับไปบ้านตัวเองแล้ว  แต่จุ๊ยยังยืนอยู่  เขาเดินกอดอกมองไปอย่างไร้จุดหมาย  สุดจะคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไรตอนนี้
 
งานปัจฉินนิเทศจัดขึ้นหลังจากการสอบสุดท้ายของทุกชั้นปีการศึกษาจบลงได้ราวหนึ่งอาทิตย์
งานนี้เพราะทุกคนลงความเห็นว่าจุ๊ยควรจะได้พักบ้าง  เพราะทุกๆปีในงานสำหรับรุ่นพี่  จะต้องมีจุ๊ยมาเล่นดนตรีบนเวทีทุกครั้งไป  งานบนเวทีจึงเป็นวงจากข้างนอกที่จ้างมา  และจุ๊ยก็ได้ไปนั่งสบายกับเพื่อนๆชมการแสดง
วันนี้แม้จุ๊ยจะแต่งตัวหล่อขึ้นมานิดนึงด้วยรองเท้าผ้าใบ และกางเกงยีนต์ใหม่ที่ป๊าอนุญาตให้ไปซื้อได้  แต่ก็ยังดูเรียบๆอยู่ดีถ้าเทียบเคียงกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่แต่งกันมาเต็มยศเหมือนจะมาปลดปล่อย  แม้แต่อ๊อดยังแต่งมาซะหล่อด้วยกางเกงยีนต์สีครีมพับขา เสื้อสีฟ้าอ่อน มีหมวกทรงไบเล่ย์ติดตัวมาด้วย
“เอ็งไปเอาเสื้อผ้าแบบนี้มาจากไหน” จุ๊ยถามแล้วพิจารณาอ๊อดจากหัวถึงเท้า
“แต่งซะอย่างกับจะไปเดินแบบที่ไหน”
“แน่นอนคนมันหล่อ” อ็อดวางที่นายแบบ
จุ๊ยทำปากแบะ
“เปล่ากูกำลังจะบอกว่าเดินแบบชุดแรงงานประมงน่ะ  ที่ซอยหอมึงน้ำท่วมหรือวะถึงต้องพับขากางเกงหนีน้ำมา  แล้วนี่หัวค่ำ  มึงกลัวพระอาทิตย์บ้านพ่อมึงส่องกระบาลรึไงถึงได้ใส่หมวก  แล้วนี่ห่าอะไร... แว่นตา  กูจำได้ว่าสายตาไม่สั้นนี่  แล้วเอามาทำไม  ไปตีหัวเด็กนักเรียนแถวบ้านแย่งมารีเปล่า”
ก้องภพที่ฟังอยู่หัวเราะ
“โดนไอ้อ็อดโดน”
“ไอ้สัตว์ด่าซะเสียเซล  กูไปฆ่าพ่อมึงเหรอจุ๊ยจองเวรกูจริง  นี่มันวันปัจฉิม  มึงจะฝากหมาในปากอยู่บ้านให้พี่น้องมึงดูแลไม่ได้เหรอไอ้หอก”อ๊อดว่า
จุ๊ยทำหน้าไม่หยีหละ
“ก็กูรู้ไงว่ามึงจะแต่งตัวแบบนี้มา กูเลยเตรียมหมามาเห่าไล่  กลับไปวิดน้ำท่วมหน้าบ้านเหอะมึงอย่ามาเก๊กแถวนี้”
ปอกับตั้มเดินกลับมาจากโต๊ะของเพื่อนนักกีฬาฟุตบอลได้ยินพอดี
“มึงก็รู้หมาไอ้จุ๊ยมันดุ  ก็เสือกแต่งมายั่วหมา  ไม่โดนแม่งกัดก็บุญละ” ปอว่าแล้วนั้งลงกอดคอจุ๊ย
แต่จุ๊ยแกะมือมันออก
“โถไอ้ปอ  พ่อคุณปากเป็นสิริมงคล  ใครจะพูดจาเข้ารูแตดเหมือนมึง  ถ้าหมากูดุ หมามึงหมาหอบแดดล่ะวะ  มึนถึงได้ห้อย...” พูดไม่พูดเปล่าดึงปากไอ้ปอด้วย 
“จะยานติดพื้นอยู่แล้วไอ้หอก.. เก็บๆซะบ้าง ลากพื้นเป็นทาง กูเดินตามนี่นึกว่าลายแทง”
เพื่อนหัวเราะกันหัวคลอน
ปอนึกอยากจะตอบแต่ยังเจ็บปากเพราะโดนดึงเลยลูบปากทำเสียงอู้ๆอี้ๆ
“อะไรนะเอี้ย” จุ๊ยทำท่าป้องหูฟัง ก่อนใช้โอกาสที่เพื่อนยังตอบโต้ไม่ได้
“เอี้ยทำไมกูไม่ได้สั่งมึงโดดหอ  มึงนี่ท่าจะขอบเรียนรด.นะ  ชอบดิรอ...ดอเนี่ย  เอากี่ดอดีหล่ะ เดี่ยวกูไปเรียกไอ้เดฟมาช่วยสนอง”

“ดอของผมเก็บไว้ให้จุ๊ยคนเดียวครับ”
ประโยคนี้ทำเอาจุ๊ยสะดุ้ง
“อีเหี้ยนี่มึงเป็นญาติอะไรกับผีจูอนรีเปล่าวะ พูดถึงก็โผล่มาเงียบๆ  กูตกใจ”
เพื่อนหัวเราะ เดฟนั่งลงข้างจุ๊ย
อัศวะเดินหัวคลอนมานั่ง
“แม่งเยอะ” 
“อะไร เยอะ” อ็อดถามอัสวะที่นั่งลงข้างๆ เนื่องจากเขาเป็นผุ้ประสานงานเสียงและแสง เพราะทั้งหมดเช่ามาจากบ้านของอัศวะที่เป็นบริษัทจัดการเกี่ยวกับงานอีเว้นท์
“ก็แก็งอีเหมียวไง  แม่งจะแสดงระบำเหี้ยอะไรไม่รู้ บอกเวทีมืดเดี่ยวไม่สวย” อัศวะถอนหายใจ
“ไอ้ควาย มึงก็ส่งไฟฉายกระบอกนี้ให้” แล้วก็เอื้อมไปตบที่เป้าของอัศวะจนเขาสะดุ้ง
“เอาให้มัน มันจะดูด เอ้ยส่องเงียบๆ”
“เอาของมึงไปให้ไป๊ ไอ้จุ๊ย..” อัศวะตอบ
“ไม่ได้นะครับ  อันนี้ของผม” ไม่พูดเปล่ากุมหมับลงไปเล่นเอาจุ๊ยสะดุ้งโหย่ง
“ไอ้ห่า”เอามือออกแล้วตบหัวไปที
“ไข่กู ของสงวนไม่ได้มีไว้จับเล่น  ไปเลยไปนั่งโต๊ะห้องมึง เดียวกูก็ให้ไอ้พวกนี้รุมเอาตูด”
เดฟลุกขึ้นแล้วส่ายหน้า
“ไม่เอาหล่ะครับ  ตูดผมเก็บไว้จุ๊ยคนเดียวเท่านั้น”
แล้วก็หยิกแก้มจุ๊ย
“ไอวิวคัมแบ๊กนะดาห์ลิงค์”
“Fuck UUUU” จุ๊ยแหกปากไล่หลังไป
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:49:22
ตอนที่ 17 ความในใจของวาทิต
แต่เดฟที่เดินพ้นไปได้สักระยะแล้วก็หันมาส่งยิ้มให้อย่างเท่ห์ก่อนจะชูมือบอกไอเลิฟยูเป็นภาษามือ
ตั้มมองตามหลังเดฟไป
“กูว่าทั้งโรงเรียนนิ  ถ้าจะมีใครที่ไม่ค่อยหมาไอ้จุ๊ยกัดก็คงเป็นไอ้เดฟนี่หล่ะ คือไม่ได้โดนมันแขวะมันแซว แต่โอนอัดอย่างเดียว... น่วมเป็นกระสอบซ้อมมือ”
“ไหนมึงว่ามึงจะเคลียร์กับมัน” ก้องภพทวงคำพุดของจุ๊ยเอง
จุ๊ยกอดอก
“ก็มันหาเวลาไม่ได้เลยนี่หว่า... มึงก็รู้ว่ามัน...” แล้วจุ๊ยขยี้หัวที่ผมเริ่มจะยาวกว่าเดิมแรงๆจนยุ่งขี้โบ้ชี้เบ้
“โอยย... แม่งก็ดีกับกูเหลือเกิน... บางทีกูก็หวั่นไหวนะเว้ยบอกตามตรง”
อ็อดส่ายหัว
ก่อนจะหันไปเห็นอะไรบางอย่าง
“มีอีกคนที่มึงต้องเคลียร์ โน่นเดินมาโน่นแล้ว”
วาทิตกำลังเดินตามอาจารย์ไปยังหน้าเวที
จุ๊ยสงบท่าทีลง 
กับวาทิตเขารู้สึกอยากทะนุถนอม  เพราะความที่มีเรือนร่างบอกบางและนิสัยน่ารัก
“น้องเขาก็เป็นเหรอวะ” ก้องภพถาม
“เปล่า..”จุ๊ยปฏิเสธ
“มึงรู้ได้ไง” ฮ้อยโผล่มาข้างหลัง  แล้วนั่งลง ฮ้อยออกไปรับน้องม.สี่กับม.ห้าที่มาร่วมงานในฐานะตัวแทนตามคำสั่งอาจารย์
“กูดูออกจุ๊ย น้องเขาชอบมึงแน่นอน... ว่าแต่มึงเถอะเวลามึงสอนน้องเขานี่หน้าแทบจะติดกัน  ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ  แล้วไม่คิดจะร่ำลากันเป็นกิจลักษณะหน่อยเหรอ”
“ก็ลาไปแล้วไง เมื่อสองวันก่อน”
จุ๊ยหมายถึงตอนเข้ามาซ้อมวันอาทิตย์ครั้งสุดท้ายของเขา อ็อดและฮ้อย
ซึ่งทั้งสามสหายและเพื่อนสมาชิกวงโยธวาทิตม.หกที่ถอยออกไปจากชมรมเพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนก็มาพร้อมกันและกล่าวอำลา
สามสหายตัดสินใจเลือกอู๊ดเป็นหัวหน้าวงคนต่อไป และมอบหมายตำแหน่งคนดูแลฝึกสอนน้องใหม่ในแต่ละเครื่องดนตรีต่อไปด้วย
“พวกกูลากันเรียบร้อยแล้ว”
จุ๊ยหันไปมองหน้าวาทิตอีกครั้ง
 
“พี่จุ๊ยครับ” วาทิตกล่าวหลังจากเก็บแซกโซโฟนตัวใหม่เอี่ยมลงกล่อง
“หือ” จุ๊ยขาน
“วันนี้เราผมเรียนกับพี่จุ๊ยเป็นวันสุดท้ายใช่ไหมครับ” วาทิตกล่าวเสียงค่อยๆเบาลง
“เฮ้ยบ้า  พี่ยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ตาย  วาก็เหมือนกัน  วันไหนติดขัดตรงไหน อยากได้คำแนะนำก็ไปหาพี่ก็ได้  พี่ยินดีจะสอน  หรือไม่พี่ก็อาจจะมาบ่อยๆ เผื่อเราหรือน้องคนอื่นอยากจะถาม” จุ๊ยตอบแต่ยังไม่ได้หันไปมองหน้าวาทิตก็เลยไม่รู้ว่าวาทิตทำอะไรตอนนั้น
พอหันไปก็เห็นวาทิตถือซีดีที่มีปกเป็นรูปศิลปินแจ๊สหลายคน
“ผมอยากจะให้พี่ครับ  ขอบคุณที่สอนผมครับ”
จุ๊ยรับซีดีมา
“ขอบใจ  ที่จริงพี่ก็แค่สอนไปตามหน้าที่  พี่จะไปแล้วก็ส่งทอดตัวแทนไว้บ้าง  เอาไว้ช่วยไอ้อู๊ดมัน”
วาทิตนิ่งไปอีกเหมือนมีอะไรจะพูด
“มีอะไรเหรอ  หน้าตาอึดอัดอยากจะพูดอะไรกับพี่รึเปล่า”
แล้ววาทิตก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ผมชอบพี่ครับ”
จุ๊ยรู้สึกเหมือนถูกแรงปะทะจากเสียงนั้น  จริงๆแล้วตอนที่จุ๊ยตัดสินใจเลือกวาทิตจากกลุ่มเด็กม.สี่ ทั้งที่ตัวเล็กบอบบาง  เพราะวาทิตมีวิธีการเปล่งลมที่แปลกกว่าคนอื่น
พอวาทิตพูดออกมาแบบนี้  เขาก็ใช้การหายใจแบบนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว  เสียงจึงก้องไปทั่วบริเวณ
“พี่ ก็ชอบเรานะ เราเป็นเด็กดี” จุ๊ยตอบออกไปเพราะไม่รู้จะตอบอะไรดีกว่านั้นเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดที่ เกิดจากความเงียบหลังวาทิตบอกออกมาแล้ว
“ไม่ใช่ครับ” วาทิตก้มหน้า  มีเกล็ดน้ำตาอีก
“ผมชอบพี่แบบผู้ชายชอบผู้หญิง  ผมรู้ครับว่าผมไม่ควรชอบพี่ แต่ผมก็ชอบพี่ไปแล้ว  ผมไม่ได้คาดหวังอะไร แค่หวังให้พี่รู้เอาไว้ก็พอ”
จุ๊ยมองหน้าเด็กที่ตัวเองใช้เวลาด้วยมาร่วมปีเต็มๆ
“วา” เขากล่าวออกมาแล้วดึงร่างเล็กๆเข้ามา
“พี่เป็นผุ้ชาย  เราเป็นผู้ชาย  วาจะชอบพี่แบบผุ้ชายชอบผู้หญิง ได้ยังไง  วาจะให้พี่เป็นผู้ชาย วาเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้หรือกลับกันก็ไม่ได้  เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่”
วาทิตเริ่มสะอื้น
“แต่ผมชอบพี่จริงๆ  เวลาพี่อยุ่ใกล้ๆหัวใจผมมันจะเต้นแรงมาก  เวลาพี่ยิ้มให้ผม ผมจะรู้สึกว่าตัวมันจะลอย ผมรู้สึกจริงๆ”
จุ๊ยเอื้อมมือดึงตัววาทิตเข้ามา  แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองทำไปอย่างนั้น  คือจูบลงที่หน้าผากของวาทิต
“วา..โลกนี้มีความรักอยู่แบบหนึ่งที่มันน่าประทับใจและยั่งยืนมาก  คือความรักระหว่างพี่กับน้อง  เราจะเป็นแบบนั้นได้ไหม  วากอดพี่ได้ หอมแก้มพี่ก็ได้  แต่เป็นในแบบพี่กับน้อง  แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ  เราก็รักกันแบบนั้นดีกว่า  เพราะพี่อยากได้น้องน่ารักๆอย่างวามากกว่าแฟนผู้ชายตัวเล็กๆ”
วาทิตน้ำตาร่วงเหมะ แต่แล้วเขาก็ปาดน้ำตาออก
“ที่จริงผมก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้  แต่ถ้าไม่พูดออกไปผมต้องอกแตกตายแน่ๆ”
จุ๊ยยิ้มแล้วขยี้หัวก่อนจะดึงวาทิตมากอด
“ขอกอดหน่อยสิน้องของพี่”
แล้วเขากับวาทิตก็เดินคู่กันออกจากโรงเรียน ไปกินข้าว แถมไปดูหนัง แล้วเขายังไปส่งวาทิตถึงหน้าบ้านก่อนจะแยกจากกันด้วยรอยยิ้ม
“ผมเรียกพี่ว่าเฮียได้ไหม” วาทิตถามก่อนจะเข้าบ้าน
“ทำไมหล่ะเราคนจีนเหรอ”
วาทิตพยักหน้า
“เอาสิตี๋วา” จุ๊ยจับหัววาทิตอีก
“ครับเฮียจุ๊ย” วาทิตตอบ
แล้วเหมือนวาทิตจะรู้ตัว  เขาหันมาเห็นจุ๊ยก็ยิ้มแล้วโบกมือ  เรียกเขาด้วยการขยับริมฝีปากว่าเฮีย
จุ๊ยยิ้มและยกมือตอบ  ก่อนจะส่งสัญญาณว่าให้มานั่งนี่
แต่วาทิตชี้ไปทางอาจารย์แล้วเดินตามไป
“อ้าวนั้นน้องมันด่ามึงทำไมวะ” ไอ้อ๊อดถาม
“มันด่ามึงว่าเหี้ยรึเปล่าวะ”
จุ๊ยหันมอง 
“เปล่ามันเรียกกูว่าเฮีย  แต่ถ้ามึงน่ะ” แล้วเขาก็ขยับไปใกล้ๆหน้าอ๊อด
“ไอ้เหี้ย”
อ๊อดต้องหลับตาเพราะเหี้ยนั้นมาพร้อมน้ำลาย
อ็อดถลันลุกปลุกปล้ำทั้งจับมือจุ๊ยที่พยายามปัดป้อง
“มึงสิเหี้ยๆๆไอ้สัตว์เหี้ยของมึงนี่น้ำลายเต็มหน้ากู เหี้ยๆๆ”
อัศวะส่ายหัวขณะตัวเขาก็โดนสองคนเบียดดันจนโอนไปเอนมา
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:50:27
ตอนที่ 18 สายน้ำที่ไม่ยอมร้องเพลง และความลับของจุ๊ย   
จุ๊ยรู้อยู่แล้วเรื่องรางวันนักเรียนดีเด่นสาขาดนตรี เขาจึงมายืนรออยู่ข้างเวที  พอถูกเรียกก็เดินขั้นเวทีมารับรางวัลจากผู้อำนวยการ
“นายนทีธารขอบใจนะ  ที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนมาหลายปี”
จุ๊ยตอบว่าครับ  แต่พอจะเดินลงจากเวที 
“ขอบคุณท่านผู้อำนวยการครับ  แต่นายจุ๊ย อยู่ก่อน”
จุ๊ยหันมามองหน้า
ประธานนักเรียนที่เป็นพิธีกรก็หันไปมองวงดนตรีที่อยู่ข้างหลัง ก่อนจะหันเดินมาดึงตัวจุ๊ย
“คือพวกเราก็ได้เห็นจุ๊ยบนนี้บ่อยมากๆ  ทั้งมารับรางวัล มารายงานความสำเร็จ  มาเล่นดนตรี  แต่อย่างหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นนายทำคือ..”


จุ๊ยทำตาโตมองหน้าประธาน
“ร้องเพลง ร้องเพลง ร้องเพลง” บรรดาเพื่อนๆตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน
“ล้อเล่นน่า” จุ๊ยส่ายหน้าแล้วทำท่าจะวิ่งลงเวที
“เจ๊เหมียวสกัดไว้” ประธานรีบบอก
แก๊งค์เหมียวที่แต่งตัวมาแนวคาบาเร่ห์จัดเต็ม  ก็ปรีมาขวางทางลงจากเวทีไว้
“อุ๊ย... ตกใจเลย“ จุ๊ยทำท่าสะดุ้ง แล้วเดินถอยกลับขึ้นมา
ประธานเดินมายัดไมค์ใส่มือ
“เอาเพลงอะไรก็ได้ ที่จุ๊ยถนัด...”
จุ๊ยยืนคิด ก่อนจะบอกชื่อเพลง
คนตรีก็เริ่มเล่น
แต่เดี่ยวเขาก็ทำท่าวิงเวียน
“อุ๊ยๆ เวียนหัวจะเป็นลม ขอตัวไปนั่งก่อนนะ”
แล้วทำท่าจะเดินลงเวที
 “ไม่ต้องไม่ต้อง” ประธานดีงเขากลับขึ้นเวที 
“เจ๊เหมียวเตรียมซีพีอาร์”
แล้วเหมียวแอนด์เดอร์แก็งค์ก็วิ่งขึ้นมา
จุ๊ยวิ่งหนีไปอีกทางก็เจอรองประธานตามมาขวางไว้
“ร้องก็ได้วะ” เขาว่าเพราะโดนดักทั้งหน้าและหลัง เดินหน้าจ๋อยกลับมากลางเวที
เพื่อนหัวเราะกันครืนเครง
เขาเอาไมค์ไขว้หลังแล้วทำบางอย่าง
พอเอาไมค์ออกมาทำท่าจะร้อง ถ่านข้างในก็ร่วงกราว
“ว้า..พังซะละ”  เขาทำเสียงเล็กเสียงน้อย แล้วหันมาส่งไมค์ให้ประธานที่ยืนกำกับอยู่ไม่ห่างไป
“ซ่อมไมค์เสร็จค่อยเรียกนะ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินลง
“เดี่ยวๆ อัสขอไมค์” ประธานขวางทาง แล้วสั่ง
อัศวะก็ขึ้นมาบนเวทีโดยมีไมโครโฟนเหน็บเอวมาห้าหกอัน
“เอาไป” ส่งให้ตัวหนึ่ง
จุ๊ยรับไมค์มาทำปากเผยอ มองไมโครโฟนรอบเอวอัศวะ ก่อนจะกล่าว
“โห... พกมาเป็นโหล  นึกว่าพวงปลัดขิก  กลัวผีหลอกเหรอครับพี่”
“เปล่า” อัศวะ เอี่ยวเข้ามาที่ไมค์
“ก็กลัวนายจะพังไมค์ เลยเตรียมมาเยอะๆ  เขารู้ทันนายกันหมดแล้วจุ๊ย”
จุ๊ยทำหน้าปุเลี่ยน แล้วก็บ่น
“โหย... ดักทางหมดเลยนะ”
แต่แล้วเขาก็ผงาดขึ้นอย่างมาดมั่น
“กลัวอะไร ร้องก็ร้องดิ”  แล้วเขาก็ขยับมาหน้าเวทีจนชิดขอบ
“เอ้ามิวสิค” เขาชี้นิ้วขึ้นฟ้าสั่ง อย่างกับร๊อกสตาร์
นักดนตรีก็เริ่มต้นอีก  แต่จุ๊ยกลับปีนหนีลงจากเวที
แต่ปรากฏว่าอ็อด ฮ้อย ปอ และตั้มที่รออยู่แล้วก็กรูกันเข้ามาจับ
“ช่วยด้วยช่วยด้วย” จุ๊ยโวยวายดิ้นรนแต่ก็สู้แรงนักฟุตบอลสองคนกับนักดนตรีอีกสองไม่ได้
“ช่วยด้วยผมถูกข่มขืน”
แม้แต่ผู้อำนวยการยังหัวเราะจนตัวโยน
วรรณาป้องปากหัวเราะ  แล้วก็หันมาถามอติที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ
“จุ๊ยเขาร้องเพลงแย่ขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ ถึงไม่ยอมร้อง”
“อ้อก็เปล่าหรอก แค่มันผิดคีย์  คือจุ๊ยเขาอาจเก่งเรื่องเล่นดนตรี  แต่ร้องเพลงเหมือนเขาจะคุมเสียงตัวเองไม่ได้ก็เลยร้องผิด ขนาดเพลงชาติยังเพี้ยนก็แล้วกัน”
อติกล่าวกลั้วหัวเราะ
“แต่เพื่อนรักเขามากเลยนะค่ะ” เธอยิ้มมองเพื่อนรุมปล้ำจับจุ๊ยที่ดิ้นหลุดในนาทีสุดท้ายแล้ววิ่งลงเวทีมาอีก
อติก็ยิ้มมองไปในภาพโกลาหล
แล้วอาจารย์ก็มองไปในความหลังที่พ้นผ่าน
“เราคุ้นเคยกับการได้เห็นหน้าจุ๊ยบนเวทีกับหน้าเสาธง  แล้วเขาก็เป็นคนยิ้มง่ายและเป็นมิตร ที่สำคัญคือไม่เคยมองใครในแง่ลบ  อย่างนี้ล่ะมั๊งเพื่อนร่วมรุ่นก็เลยชอบเขา”
“ผมคงเหงาไม่น้อยที่ไม่ได้เห็นเขาในห้องชมรม  และคงเหงาไม่น้อยที่ไม่ได้ยินเสียงแซ็กโซโฟนของเขาในตอนเช้า”
 
“ใครจับไอ้จุ๊ยได้เอาไปเลยห้าร้อย” ประธานประกาศ เมื่อจุ๊ยหนีลงไปจากเวทีได้อีกรอบ
คราวนี้ทั้งหมดที่อยู่โต๊ะด้านหน้าก็เลยลุกขี้นมาขวางทางจุ๊ย
จุ๊ยหันรีหันขวาง ปรากฏว่าโดนล้อมทุกด้าน
เลยล้มตัวลงนอนบนพื้นสนามหญ้า แขนขากาง
“กูยอมแพ้  จะฆ่าจะแกง เชิญ”
“เอามันขึ้นมามัดกับเสา  เอาเข็มขัดโบยมันจนกว่ามันจะร้อง” ประธานบัญชา
เพื่อนๆก็กรูเข้ามา
“เฮ้ยเบาๆ  โอยๆ อย่าข่มขืนกู...” จุ๊ยร้องเสียงหลง
วาทิตยิ้มกับภาพรุ่นพี่พร้อมใจกันหามพี่จุ๊ยขึ้นไปบนเวที  แล้วก็ให้เดฟเอาเข็มขัดโบยเบาๆแบบเรื่องนางทาส
พี่จุ๊ยก็ดีดดิ้นไปอย่างสมจริง
“กูว่าพี่จุ๊ยของมึงน่ะ  เลิกเล่นดนตรีเหอะ” เพื่อนรุ่นเดียวกันคนหนึ่งที่มาด้วยกล่าวกับวาทิตหลังจากหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาเล็ด
“ไปเล่นตลกเหอะว่ะ ท่าจะรุ่ง”
วาทิตยิ้มตอบแต่ไม่ตอบเป็นคำพูด
ผมคงคิดถึงพี่มากเลย พี่จุ๊ย.. เขาบอกกับตัวเองในใจ

งานในโรงเรียนจบลงตามพิธีการ แม้จะมีช่วงที่โกลาหลวุ่นวายกับความพยายามจะจับจุ๊ยร้องเพลง  แต่ก็ดำเนินต่อไปอย่างเรียบร้อย  จนกระทั้งงานเลิก
แต่งานปาร์ตี้ของจริงคือหลังจากนี้  เดฟบอกว่าเนรมิตบ้านของเขาให้กลายเป็นผับขนาดย่อมๆและชวนเพื่อนๆไปอย่างไม่จำกัดกลุ่มห้อง
แต่ไปจริงๆก็จะมีแต่พวกที่สามารถไปค้างอ้างแรมบ้านเพื่อนได้ แล้วก็คนที่สนิทสนมกันอย่างจริงจัง
จริงๆแล้วจุ๊ยไม่ได้บอกว่าบิดาว่าจะไม่กลับบ้าน เขาก็เลยพยายามเลี่ยง  แต่กลับถูกแก็งค์เกย์สาวจับล็อกแล้วมัด ให้พวกหนุ่มๆแบกไปโยนใส่เบาะหลังรถของเดฟ
“กูไม่ไป  พรุ่งนี้ กูมีนัด กูจะกลับบ้าน” จุ๊ยดิ้นแต่ไม่อาจปลดพันธนาการชองเชือกที่รัดได้
“ไม่มีแกจะสนุกเหรอจุ๊ย” เดฟว่า
“ไม่เอา กูจากลับบ้าน” จุ๊ยโวยวาย เดฟรำคราญเลยปิดประตูรถซะเลยแล้วหันไปหาก้องภพกับเพื่อนที่มีรถ
“พวกนายไม่เคยไปกันใช่ไหม  ขับตามกันมานะไม่ไกลหรอก อยู่แถวตลิ่งชันนี่เอง”
ระหว่างอธิบายทาง ก็มีซาวประกอบเป็นเสียงอุทธรณ์และเอาหัวโขกกระจกเรียกร้องของความสนใจชองจุ๊ย
 
แม้จะบอกว่าเป็นผับย่อมๆแต่พอไปถึงก็ต้องตะลึงเพราะมีการจัดบรรยากาศบ้านทั้งหลังให้เป็นเหมือนคลับหรู
“ทำอย่างนี้พ่อไม่ว่าเหรอ” จุ๊ยตอนนี้สงบได้แล้วปีนมานั้งเบาะข้างเดฟ
“เขาไม่ได้อยู่หลังนี้นี่ หลังนี้เป็นของเดฟ  โน่นเขาอยู่กับภรรยาใหม่ของ” เดฟตอบ
จุ๊ยก็ไม่ได้พูดต่อ เพราะเขารู้ดีเรื่องความระหองระแหงของเดฟกับพ่อที่เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใหญ่
 
“ตอนแรก กูก็ว่า...เหี้ยเพื่อนกูโดนเสือคาบไปแดกรีเปล่าวะ ก็เลยมุดเต็นท์ออกมาหาเดินไป  เห็นพุ่มไม้สั่น... เฮ้ย หมี หรือเสือวะแดกเพื่อนกูอยู่  แต่พอเข้าไปเท่านั้นชัดเจนเลย ป๊าบ ป๊าบ โอ๊ยเบาๆ ป๊าบ ป๊าย “
เพื่อนหัวเราะกับเสียงของจุ๊ยตอนบรรยายภาพ
“กูเลยยืนตรง” จุ๊ยทำท่าให้ดู
“ทำความเคารพครูฝึก”
“เท่านั้นแม่งพรวดขึ้นมา  ตัวยังติดกันอยู่เลยอย่างกับหมาติดเป้ง”
เพื่อนที่ล้อมวงฟังอยู่หัวเราะกันครื้น
“ไอ้จุ๊ยนี่มันสรรหาอะไรมาเล่าให้ฮาได้ตลอดว่าไหม” ก้องภพที่ยืนพิงเสากล่าวแก่เดฟที่กำลังเดินผ่านมา
“ด้วยการเอาเรื่องของผมมาเผานี่เนี่ยนะ  เอาปืนลงมายิงทิ้งซะดีไหม” เดฟหยุดเท้า แล้วกล่าวทั้งจิบเครื่องดื่ม
“อ้าวเหรอ ฟังอยู่ตั้งนาน ก็นึกอยู่ว่าใครวะ” ก้องภพหัวเราะเขินเพราะจุดได้ตำตอ
แต่เดฟกลับเดินตรงเข้าไป
“เหม่ผมก็นึกว่าจุ๊ยเพราะมันมืด  พอเห็นจุ๊ยก็เลยรู้ว่า อ้าว..ผิดตัวนี่หว่า”
ฮากันครืนยกกำลังสอง
“แล้วตกลงใคร” เหมียวสนใจจะรู้
“ไม่ต้องรู้เขาเอากันแบบไหน  ไม่ต้องหาว่าใครไหนโดยไอ้เดฟสอยตูดบาน” จุ๊ยตอบเป็นเพลงแบบผิดคีย์
“บอกหน่อยสิ ใบ้ก็ได้อยู่ในนี้ไหม”
จุ๊ยหันมองรอบตัว  แล้วส่ายหน้า
“ไม่มา  สงสัยกลัวกูขุดเอามาเล่า”
“ใคร” เหมียวหันมาหาเดฟ
เดฟทำหน้าโปรยเสน่ห์
“ความลับครับ”
แต่เหมียวยังค้างคาใจ จะแย้ง
“เปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนเรื่อง  เอาเรื่องนี้ดีกว่า  เพื่อนๆรู้ไหมว่าพี่จุ๊ยของเรากลัวอะไร”เดฟโบกมือก่อนจะกล่าวเรียกความสนใจ
“เฮ้ยๆเดฟสัญญากันแล้วนะ” จุ๊ยท้วง
“เอาเรื่องผมมาเผาได้ ผมก็จะเผาจุ๊ยบ้าง” เดฟลอยหน้าตอบ
“เฮ้ยกูยอมแพ้ ขอโทษ อย่าเล่าเลยนะนะ” จุ๊ยยกมือไหว้
“ไม่เอา ผมจะเล่าทีจุ๊ยยังเล่าเรืองเขาได้ พอเรื่องตัวมาทำขอร้อง”
“กลัว..ก...”
เดฟออกเสียงได้แค่นั้นเพราะจุ๊ยพุ่งช้ามโต๊ะมาอุดปากจนล้มกลิ้งไปทั้งคู่
“กลัว” เดฟดึงมือออกได้ก็จะพูดอีก
“หุบปากเลย” จุ๊ยรีบอุดปากมันอีกรอบ แล้วกล้าเป็นปล้ำกันไปปล้ำกันมาอยู่บนพื้น
“กลัว”
“เฮ้ยหุบปาก”
“กลัว”
“เงียบเลยไอ้เดฟ”
เพื่อนๆหัวเราะร่วนกันอีก
 
“ต่อ ไปเราจะได้มีโอกาสสนุกกันแบบนี้อีกไหมนะ” ปอที่เดินมาพร้อมตั้มและอัศวะ แล้วเเดินมาข้างหลังยืนข้างก้องภพ เขาถามแล้วเกาะไหล่ก้องภพ
“ก็ไม่รู้สิ”  ก้องภพยิ้ม
“เราคงคิดถึงมันมากแน่ๆเลยว่าไหม”
“หูกูคงโล่งไปเลยล่ะ  ประสาทก็ไม่ต้องเสีย ลุกนั่งก็ไม่ต้องกังวลว่าไอ้จุ๊ยจะคอยแกล้ง” ตั้มหัวเราะเบาๆ
 
“กลัวกระต่ายนะเหรอ” เจ้าของเสียงคืออ็อด ที่พึ่งเดินมาจากทางห้องน้ำ
ทุกคนเงียบหันมามองหน้าอ็อด  รวมทั้งจุ๊ย
“กลัวทำไมออกจะน่ารัก” เหมียวสงสัย
“ก็...” จุ๊ยตอบเสียงอ่อยๆ แล้วลุกจากร่างของเดฟ
“ตอนเด็กเคยวิ่งเล่นกับมันแล้วล้มทับมันตาย”
เพื่อนฮากันลั่น
“เฮ้ยไม่ตลกนะเว้ย กระต่ายน้องสาวกู กูทับแม่งตาย  ป๊าเอากูฟาดตั้งสิบกว่าที  ตั้งแต่นั้นมาเห็นมันแล้วก็” จุ๊ยทำท่าขนลุก
“แบบว่ากลัวไปเหยียบมันอีกอะไรอย่างเนี่ย”
ระหว่างที่จุ๊ยเล่าไป  ฮ้อยก็โผล่มาข้างหลัง
“กระต่ายแบบนี้ใช่ไหม”
จุ๊ยหันมาเห็นกระต่ายตัวขาวมองเขาตาวาว
“เหี้ย” เขาร้องลั่น แล้วกระโจนหนี
“จับมันไว้” ฮ้อยสั่ง เพื่อนก็รุมกันมาล๊อกไว้
“ไม่เอา ไม่เอา พวกมึงแกล้งกู” จุ๊ยตะโกนลั่น ดิ้นรนทว่าไร้ผล
“ไม่เอา กูบอกว่าไม่เอา...ไม่เอา..ไอ้เพื่อนชั่ว ไอ้เพื่อนเลว เพื่อนทรยศ”
 
“คนเหี้ยอะไรกลัวกระต่าย” ปอส่ายหัว
“ก็คนอย่างไอ้เหี้ยนี่ไง” ตั้มกล่าวแล้วมุ่งเข้าไปร่วมวง
“มึงตายไอ้จุ๊ย แกล้งกูไว้เยอะตั้งแต่ม.ต้น ขอเอาคืนบ้างหล่ะ”
อัศวะส่ายหัวดุกดิกกับเพื่อนๆที่เล่นเป็นเด็กไม่รู้จักโต แต่เขาก็หัวเราะชอบใจ
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:51:26
ตอนที่ 19 : ขอเป็นเพื่อนอย่างเดิมได้ไหม
พอถึงเวลาใกล้จะเช้า  ก็เหลือแค่เพลงคลอเบาๆเท่านั้นที่ยังเล่นอยู่  แล้วจากเกือบร้อยคนก็ลากลับไปบ้าง เมาจนต้องขอตัวไปนอนที่ห้องซึ่งเดฟเตรียมไว้บ้าง  นอนกลิ้งอยู่กลางบ้านบ้าง  จนแอลอีดีทีวีที่เปิดทิ้งไว้เป็นฝ่ายดูคนหลับกันหมด
แม้จุ๊ยจะกินเหล้าอย่างระวังตัวแต่เพราะอาการง่วงจึงผล็อยหลับไป  ตื่นมาพบว่าเขาโดนทั้งอ๊อดและฮ้อยกอดก่ายเขาอยู่
ดันพวกมันออกไป แล้วหันมองนาฬิกาบนฝาก็เห็นเป็นเวลาตีสี่แล้ว
“ตายๆ กลับบ้าน กลับบ้าน” เขาบอกกับตัวเอง
แต่พอล้างหน้าล้างตา แล้วออกมาจากตัวบ้าน  เขาก็เห็นเดฟนั่งกอดเข่าตามองดาวอยู่คนเดียวริบสระว่ายน้ำ
จุ๊ยมองอยู่เขานาน ก่อนจะเดินเข้าไป
“ไม่ง่วงเหรอ  กินไปตั้งเยอะ”
เดฟรู้ตัวอยู่ตั่งแต่ตอนจุ๊ยออกจากบ้านแล้วจึงตอบ
“พวกนั้นมันคออ่อน ผมปาร์ตี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แค่นี้ไม่มีปัญหาหรอกครับ”
จุ๊ยนั่งลงข้างๆ
“ทำไมมึงชอบดูดาวจัง”
“ก็มันสวย” เดฟตอบ
“ดูดาวแล้วก็จินตนาการเป็นรูปนั้นรูปนี้สนุกดีออก”
ในแสงเงาแบบนี้เดฟยังคงดูดี  ด้วยตาน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย  สันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางได้รูป
“คิดถึงเนอะ” เดฟกล่าวออกมา
“จำได้รึเปล่าว่าเราคุยกันครั้งแรกในท้องฟ้าจำลอง”
จุ๊ยพยักหน้า
“ตอนนั้นนายยังเป็นผุ้ชายอยู่เลย”
เดฟยิ้ม
“ตอนนี้ผมก็ยังเป็นผู้ชาย  แต่เป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันก็เท่านั้นเอง”
เดฟเปิดเผยความเป็นเกย์ หลังจากมีเรื่องลือกันสนั่นกองร้อยลูกเสือเรื่องที่เดฟสุดหล่อมีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมหมู่ในเต้นท์  แทนที่เดฟจะโกรธ  เขากลับแสดงตัว และยักไหล่ต่อเสียงครหาอย่างไม่ยี่หระ
แต่ปัญหาของจุ๊ย คือปีต่อมา  เขาก็ประกาศไปทั่วโรงเรียนว่าหมายตาจุ๊ย  แถมแสดงอาการให้เห็นอย่างเปิดเผยว่าชอบจุ๊ย
“ทำไมมึงถึงชอบกูวะ  กูถามจริงๆ อย่ากวนตีนนะ” จุ๊ยตัดสินใจถามออกไป
เดฟหัวเราะดังหึ หันไปหยิบแก้วที่เหลือแค่น้ำที่ละลายมาจากน้ำแข็ง มาไกวดู
“คำตอบนี้จุ๊ยต้องถามตัวเอง  เพราะตัวจุ๊ยเองทำให้ผมชอบจุ๊ย”
 
จากในบ้านก้องภพมองกำลังมองออกไปข้างนอก
“แอบดูมันทำไม” ฮ้อยกล่าวแล้วดึงก้องภพให้นอนลง
“ให้กูกอดหน่อยกูหนาว”
“เฮ้ยเดี่ยวไอ้จุ๊ยก็โดนไอ้เดฟปล้ำหรอก ปล่อยมันไว้สองคนอย่างนั้น”
“ไม่มีทาง” ฮ้อยกล่าวเสียงหนักแน่น
“ให้กูปล้ำมึงยังมีโอกาสมากกว่าเลย”
ก้องภพทานแรงดึงไม่ไหว
“กอดอย่างเดียวนา ห้ามไซร้ห้ามสี”
“เออ”
 
จุ๊ยนิ่งไป ถอนหายใจแล้วมองไปทางอื่น
“กูขอโทษถ้าสิ่งที่กูทำมันทำให้มึงคิดเลยเถิด กูก็แค่”
“อย่าครับอย่าพูดอย่างนั้น  มันเจ็บ” เดฟตัดบท
แล้วก็มองลงไปในสระน้ำ
“ผมขอมโนไปว่าจุ๊ยทำไปเพราะมีใจให้ผม แค่นั้นผมก็พอใจ”
 “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันเดฟมันไม่มีทางปล้ำไอ้จุ๊ย” ก้องภพถาม
“พวกกูเคยลองมาแล้ว” อ็อดตอบแทน
“อ้าวยังไม่หลับเหรอ”
“ไอ้จุ๊ยมันลุกเลยตื่น” อ๊อดตอบ
“ลองอะไร ที่ว่าลอง” ก้องภพถามเข้าเรื่อง
“คือปีที่แล้ว” ฮ้อยเล่า
“เราก็ไปกินฉลองกันที่วงชนะ  ตอนนั้นไอ้จุ๊ยมันเจอของแสลงของมัน คือน้ำแดงกระทิง  มันเลยเมาแอ๋ไปเลย พวกเราเห็นไอ้เดฟมันคอยพยาบาลมัน ก็เลยแกล้งทิ้งมันไว้สองต่อสอง  แล้วกะจะเข้ามาทำให้เดฟตกใจตอนจะลักหลับไอ้จุ๊ย”
อัศวะที่นอนอยู่ใกล้ๆก็พลิกตัวมาฟัง
 
“ทำไมมึงต้องทำอย่างนี้  มึงมีบ้านใหญ่โต มีคนชื่นชอบ เป็นดารา  มึงมีทุกอย่างที่เด็กวัยรุ่นทั่วประเทศอยากมี  ทำไมมึงต้องชอบคนธรรมดาอย่างกู  มึงดู  กูนี่ กูมีอะไร  นอกจากวิชาดนตรีกับหำ กูก็ไม่มีอะไร  มึงชอบอะไรกู  ถ้าจะบอกว่ามึงชอบเสียงแซคของกู  มึงก็ไม่ต้องทำขนาดนี้  ถ้าจะบอกว่ามึงชอบหำ ...” จุ๊ยร่ายยาวเหยียด แล้วก็เงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“มึงก็มีโอกาสตั้งหลายที แต่มึงก็ไม่ทำ”
 
“มันไม่แค่ไม่ทำอะไรจุ๊ย  พอไอ้จุ๊ยอ้วกราดมันก็พาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อย่างดี  ไอ้จุ๊ยจะอุบาทว์ยังไงเวลานั้นมันก็ไม่รังเกียจเลยสักนิด” อ็อดกล่าวต่อจากฮ้อย
“เขาอาจรู้ก็ได้ว่าพวกมึงแกล้ง ก็เลยแอ๊บ” ก้องภพแย้ง
“มึงพูดเหมือนไอ้จุ๊ย” ฮ้อยว่า
“หลังจากนั้นมันยังมีอีก เพราะไอ้จุ๊ยมันลองใจเองเลย  แกล้งชวนไปกินเหล้า  แล้วก็แกล้งเมาหลับคาร้าน  แล้วก็แกล้งขอไปนอนบ้านมัน  แกล้งอ้วก แกล้งกระทั่งฉี่ราด ปรากฏว่ามันก็ยังดูแลไอ้จุ๊ยอย่างดี เหมือนเป็นแม่ไอ้จุ๊ย ไม่ใช่คนที่แอบมาชอบ”
ก้องภพถึงกับอึ้ง อัศวะก็รู้สึกอย่างนั้น

“พวกเราถึงได้รู้ว่า แม่งไอ้เดฟมันโคตรจะรักไอ้จุ๊ย  แถมความรักของมันนี่โคตรจะบริสุทธิ์ “ อ็อดว่าแล้วหงายมองเพดาน  แล้วตาของเขาก็ลอย
“ถ้ามึงเจอใครที่รักมึงได้เท่านี้ มึงจะทำยังไง”
 
“ใครว่า ผมก็ทำอยู่ทุกวัน  ผมก็ปล้ำจุ๊ย แล้วก็บีบช้างน้อยจุ๊ยทุกวัน” เดฟตอบแต่ไม่มองมา

ทว่าจุ๊ยจ้องเขาเขม็ง โดยเดฟที่ยังมองลงไปในสระน้ำ  โมโหก็เลยฉุนเฉียวดึงเดฟมาเผชิญหน้า
“พอทีเถอะเดฟ  มันทำให้กูลำบากใจ  มึงช่วยเลิกดีกับกู เลิกทำเหมือนกับกูเป็นสิ่งมีค่ากับมึงได้ไหม”
เสียงของจุ๊ยดังพอสมควรเลยในยามดึก
ทั้งคู่เงียบจ้องตากันนาน
จุ๊ยเป็นฝ่ายหลบตาก่อน  นั่งลงข้างๆเดฟ
“กูอาจมีเพื่อนหลายคน  แต่สำหรับคนที่กูแคร์มากมีกันแค่ไอ้อ็อด ไอ้ฮ้อย ไอ้ปอ ไอ้ตั้ม ไอ้อัส แล้วก็มึง”
จุ๊ยมองพื้นที่ว่างเปล่า
“กูแคร์ความสัมพันธ์ของพวกเรามาก  กูบอกตามตรง  แม้มึงจะยังไงกับกู  กูก็ไม่เคยคิดจะรังเกียจมึงเลย  แต่กู...”
แล้วเขาก็หันมามองหน้าเดฟ
“สิ่งที่กูลำบากใจไม่ใช่การที่มึงลวนลามกู  แต่เป็นความรักของมึงต่างหากไอ้เดฟ  กูรู้ว่ามึงรักกูมากแค่ไหน  นั้นหล่ะที่ทำให้กูลำบากใจ”
เดฟก้มหน้า
“ผมเข้าใจ  จุ๊ย”
“มึงเข้าใจอะไร” แล้วจุ๊ยก็จับหน้าของเดฟเงยขึ้นมาเผชิญหน้า
“มึงเข้าใจอะไรกูเดฟ  มึงไม่เข้าใจหรอก...  มึงไม่เข้าใจว่า ถ้ากูต้องเสียพวกมึงไปอีกสักคนเดียว  กูจะเจ็บปวดมาก  กูกลัวเดฟกูกลัวที่สูญเสียความรู้สึกดีๆของเรา และความเป็นเพื่อนของเรา”
แล้วจุ๊ยก็ดึงเดฟเข้ามากอด
“อย่าเลยนะ  เราอย่าล้ำเส้นของความเป็นเพื่อนเลยนะ  เพราะกูกลัว  กูกลัวว่าพอเราล้ำไปแล้ว เราจะไม่สามารถกลับมายืนที่เดิมได้อีก  ไม่ต้องการเสียมึงไปอีกคน”
กอดไว้อย่างนั้นนานพอสมควร
เดฟหลับตาลง
“จุ๊ยครับ ถ้าอย่างนั้นเรายิ่งต้องเป็นเหมือนเดิม  ผมจะเป็นคนเดิมที่คอยไล่จับจุ๊ยต่อไป  ผมจะเป็นคนเดิมที่คอยตามตื้อจุ๊ยต่อไป  เพราะทำอย่างนั้นแล้วผมกับจุ๊ยถึงจะเป็นคนเดิม และเหมือนเดิม เพราะถ้าผมเลิกทำอย่างนั้น  ก็แปลว่าเราไม่เหมือนเดิม  จุ๊ยก็ช่วยทำให้เหมือนเดิม  ไล่เตะไล่ต่อยผมเหมือนเดิม  ทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิม เพราะเราเท่าอย่างนั้นแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม  ไม่เปลี่ยนไป  ดังนั้นเราต้องทำตัวให้เหมือนเดิม”
 “ผม จะไม่ทิ้งจุ๊ยไปไหน จนกว่าจุ๊ยจะทิ้งผมไปเอง ผมสัญญา แต่ถึงจุ๊ยจะทิ้งผมไป ผมก็ยังจะเป็นเพื่อนของจุ๊ยตลอดไป ผมสัญญาครับเพื่อนรักของผม”
พอได้ฟังจุ๊ยก็ไม่อาจลืมตาได้อีก  เขาหลับตาลง และยิ่งกอดเดฟแน่นมากขึ้น  กอดเอาไว้อย่างนั้นเนิ่มนาน
 
แม้จะรีบแคไหน แต่จุ๊ยคิดว่าคงก็ไม่มีทางจะไปทันเที่ยวบินที่เดินทางในเวลาหกโมงครึ่งได้เลย  ดังนั้นเขาจึงนั่งเงียบตลอดทางที่เดฟขับรถด้วยความเร็วไปสนามบิน
“เฮ้ยผมขอโทษ  ผมทำให้จุ๊ยเสียเวลา” เดฟกล่าวแต่ทั้งมือและตาจับอยู่กับถนน
จุ๊ยถอนหายใจรับชะตากรรมของตัวเอง
“ก็คงโดนหลิวเฉ่งเอาแหง่ๆตอนที่เขากลับมาตอนปิดเทอม”
เดฟเงียบ
“ตกลงจุ๊ยชัวร์กับคนนี้แล้วเหรอ”
จุ๊ยหันมามองหน้าเดฟ
“หมายถึงอะไร”
เดฟเหลือบมองจุ๊ยนิดนึง
“ก็เลือกผู้หญิงคนนี้แน่นอนแล้วใช่ไหม”
จุ๊ยเงียบไป แล้วก็ถอนหายใจ
“เราเป็นเพื่อนกันนานมากเลยเดฟ  กูรู้จักเขาตั่งแต่เด็กๆ  ถ้าลำดับความสำคัญ ผุ้หญิงในชีวิตกู นอกจากแม่กับน้องสาว  ก็มีเขานี่ล่ะสำคัญมาก”
“ถ้าอย่างนั้น ยังไงล่ะ  บอกรักแล้วคบกันเป็นทางการแล้วหรือยัง” เดฟถามต่อ
“ยัง”
“อ้าว” เดฟถึงกับหันมามองหน้าตรงๆ  แต่รีบกลับไปมองถนน
“เอาน่า... เรายังเด็กไม่ใช่เหรอเดฟ  เรายังต้องเจอกันอีกคนอีกมาก  หลิวเขาไปต่างประเทศอาจเจอคนที่ใช่กว่ากู  หรือกูเองก็อาจดักดานอยุ่ในประเทศแล้วเจอคนที่ใช่ก่อนเขา  หรือเราอาจพบว่าความจริงแล้วเราเป็นเพื่อนกันอย่างเดิมดีทีสุด... “
จุ๊ยมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ให้เวลาบอกเราเองดีกว่า  ส่วนเราก็แค่รอให้มันถึงเวลาที่เหมาะสมและเราเองก็เหมาะสมดีกว่าไหม”
เดฟเงียบก่อนจะถอนหายใจแรงๆ
“ผมไม่เข้าใจจุ๊ย” เขากล่าว
“ผมไม่รู้ว่าทำไมจุ๊ยไม่ชัดเจนลงไป... ทำแบบนี้แล้วได้อะไร  หรือว่าจริงๆแล้วจุ๊ยมีอะไรอยู่ในใจกันแน่”
จุ๊ยหันมองหน้าเดฟ กำลังจะตอบแต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พอมองหมายเลขก็ต้องขมวดคิ้ว
“ใครวะ” แต่ก็รับสาย
“ไงค่ะคุณขี้เมา  เมาอยู่ไหนล่ะ ดิฉันเข้ามาข้างในแล้วนะคะ  ไม่ต้องมาแล้วค่ะสนามบิน” เสียงหลิวดังมาในสาย
“โอยหลิวจุ๊ยขอโทษ ก็พวกมันอ่ะลากจุ๊ยไปต่อ จุ๊ยไม่ได้อยากไปเลยนะ  กะจะกลับบ้านไปเตรียมตัวมาส่งหลิว  แต่พวกมันน่ะ” จุ๊ยกรอกเสียงอ๋อยๆ เหลือบมองหน้าเดฟ
พอดีเดฟหันมา เขาเลยส่งสัญญาณให้ชะลอรถ
ฝ่ายโน้นเหมือนจะไม่ได้โกรธอะไรมาก
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร  หลิวก็คิดอยู่แล้วว่าจุ๊ยอาจมาไม่ทัน  เพราะจริงๆหลิวก็เปลี่ยนวันเดินทางขึ้นมาด้วยหล่ะ แล้วดันตรงปัจฉิมนิเทศของจุ๊ย  หลิวก็คิดอยู่แล้วหล่ะว่าจุ๊ยไม่มีทางกลับมาเร็วอย่างที่ว่าได้แน่นอน  ก็จุ๊ยป็อบในหมู่เพื่อนซะขนาดนั้น”
“ขอโทษด้วยน้า... “ จุ๊ยอ้อน
“แล้วยังไงก็ขอให้หลิวเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ  ดูแลสุขภาพให้ดีด้วย  เขาว่ารัฐที่ไปหนาวมาก  รักษาสุขภาพดีๆนะอย่าให้เป็นหวัด จุ๊ยเป็นห่วงหลิวนะ”
หลิวเงียบไป น้ำเสียงตอบกลับมาแจ่มใสอย่างเด่นชัด  จนจุ๊ยเห็นรอยยิ้มของเธอในหัว
“อืม.. จะรักษาตัวอย่างดีเลยหล่ะ  เพราะหลิวจะกลับมาทวงสัญญากับจุ๊ยตอนเรียนจบ  หลิวไม่ยอมเป็นอะไรไปก่อนอยู่แล้ว”
จุ๊ยยิ้มกับน้ำเสียงของเธอ
“จุ๊ย.. ก็รักษาตัวแล้วก็รักษาใจให้ดี  รักษาสัญญาของเราด้วยหล่ะ”
จุ๊ยเม้นปากก่อนจะตอบ
“อืม.. จุ๊ยสัญญา”
เดฟมองไปข้างหน้า  เขาอยากจะหลับตาลงมากกว่าเพื่อข่มความรู้สึก  แต่ก็ไม่อาจหลับตาได้
เหลือบไปก็เห็นจุ๊ยสนทนากับเธออยู่ด้วยรอยยิ้ม เป็นการแก้ตัวเรื่องเมา
ตอนนี้หัวใจของเดฟจวนจะแหลกสลาย...
เขาจู่ๆน้ำตาก็ไหลลงมา  แต่เขากลัวจุ๊ยจะเห็นก็เลยรีบปาดออกอย่างรวดเร็ว
แสงตะวันที่ปลายขอบฟ้าทิศตะวันออกแตะดวงตาที่ยังเปียกชื้น 
เดฟสูดลมสะกดหัวใจเอาไว้ เพลงอกหักเหงาๆดังขึ้นในใจอย่างเงียบๆ
 
จุ๊ยยังคุยโทรศัพท์ต่อไป โดยมองที่หน้าต่างประตูข้าง..
เงาสะท้อนของเดฟเห็นได้ชัดจากตรงนี้  และตั้งแต่เมื่อกี้เขาก็กำหมัดไว้แน่น  แน่นจนเล็บจิกลงไปบนเนื้อ...

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 18-12-2015 20:54:07
แค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ  เพราะถ้าแบ่งเป็นช่วง นี่คือช่วงจบภาคมัธยมพอดีเลย...

คำติชมเป็นยอดปรารถนาครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 18-12-2015 21:08:13
ลงกฎด้วยครับ เดวกระทู้ปลิว
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:16:21
ตอนที่ 20 : ร้านเครื่องดนตรี
จุ๊ยปีนขึ้นไปหลังตู้เพื่อทำความสะอาด  โดยมีป๊ายืนดูอยู่
“ตรงนั้นด้วยจุ๊ย”
“ครับ”จุ๊ยขานแล้วก็ทำตาม
“ผมไปข้างนอกนะครับ” ซัวบอกกล่าว แล้วก็เดินออกไปโดยไม่รอให้บิดาตอบ  เพราะบิดาไม่เคยตอบเขาอยุ่แล้ว
“เฮ้ยไปไหนวะ”  กลายเป็นจุ๊ยที่เรียกรั้ง
ซัวหันมา
“ไปกับเพื่อน  เดี่ยวบ่ายๆก็กลับแล้ว”
“เออๆ” จุ๊ยตอบออกไป เพราะไม่อยากจะทำให้เกิดการต่อปากต่อคำไปมากกว่านี้
 
จุ๊ยก็ไปทำโน่นทำนี่ต่อจากนั้นอีกหลายอย่างจนคิดว่าไม่มีอะไรจะทำแล้วก็ไปอาบน้ำ  แต่พอเดินกลับเข้าห้องมาก็เห็นว่าโทรศัพท์มีทั้งแจ้งเตือนจากFacebook และสายไม่ได้รับ
เปิดFacebook ก่อนเป็นรูปของหลิวในชุดแต่งกายของฤดูใบไม้พลิในอิริยาบถต่างๆภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา  เขาอมยิ้ม  จะว่าไปหลิวในชุดแบบนี้ก็ดูเหมือนนางเอกในซีรี่เกาหลีอยู่มากเหมือนกัน  จุ๊ยยิ้มตอนเลื่อนรูปไปเรื่อยๆ
พอดูเสร็จครบอัลบัม  เขาก็เรียกดูสายไม่ได้รับ
“โยชิ”
 
โยชิลบหน้าเสร็จแล้ว กำลังจะเตรียมตัวเขากลับบ้าน  แต่เขาเหลือบไปเห็นเดฟเดินเข้ามายกมือไหว้ช่างแต่งหน้าและทีมงานคนอื่นอย่างไม่นอบน้อม 
เขาก็เลยเดินเข้าไปทัก
“เฮ้ยได้เจอกันอีกแล้วนะเรื่องนี้”
เดฟนั่งลงให้เพื่อให้ช่างแต่งหน้า
“เออดิ... เค้าคงติดภาพซีรี่เรื่องเก่าที่เราเล่นด้วยกันมั้ง ผมเลยได้งานนี้”
โยชิพยักหน้า
“เออ.. ได้เจอจุ๊ยบ้างไหม”
เดฟมองจะมองหน้าโยชิแต่จังหวะนั้นช่างแต่งหน้าก็เข้ามา เขาเลยได้แต่ตอบไม่ได้เห็นหน้ากัน
“ไม่เลย ทำไมเหรอ”
“ก็ฉันโทรไปตั้งหลายครั้งเขาไม่รับ  กะจะชวนไปเที่ยวกันหน่อย มีคิวว่างหลายวัน  แถมไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
เดฟไม่ได้ตอบในทันที  แต่พอช่างแต่งหน้าหลบพ้นไป  โยชิก็ได้เห็นหน้าเขาจากกระจก
“มันคงไม่ว่างมั้ง  จุ๊ยมันชอบปิดเสียง  พอโทรศัพท์ดังก็เลยไม่ค่อยรู้” เดฟตอบ
โยชิกำลังจะพูดอะไร  แต่เพราะโทรศัพท์สั่นก็เลยยกมารับก่อน
“ครับจุ๊ย” โยชิตอบสาย ก่อนหันมายกมือบอกโยชิในเชิงขอตัว
เดฟมองโยชิเดินออกไปผ่านกระจก
พักนี้เป็นอะไรหนอ... นึกอยากจะปิดระบบโทรศัพท์ทั้งโลกไปเลยทีเดียว
 
วันนี้จุ๊ยคิดจะไปซื้อReed ของแซกโฟโฟนของใหม่เนื่องจากของเก่าของเขาพังไปหมดแล้ว  แต่พอโยชิโทรมาก็เลยชวนไปด้วย
โยชิต้องใส่แว่นดำพลางแถมใส่หมวก เพราะตอนนี้กำลังมีงานหลายงานจน เป็นที่สนใจของสังคมตอนนี้
เขาเดินตามจุ๊ยลัดเลาะย่านวรจักร จนมาถึงร้านเล็กๆพอเขาพลักประตูเข้าไป ชายผิวขาววัยประมาณยี่สิบกว่าก็เงยหน้า
“เฮียอาร์ท สวัสดีครับ” จุ๊ยกล่าวแล้วยกมือไหว้
“อ้าวไม่ได้มานานเลยจะจุ๊ย  นี่โตขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย” พูดแล้วก็ออกมาโอบบ่าเขย่าด้วยความเมตตา
แล้วก็หันไปมองโยชิ
“นี่เพื่อนของผม  โยชิ” จุ๊ยแนะนำ
อาร์ทถอยหลังนิดหนึ่งตอนที่โยชิถอดแว่นตาดำออก
“เฮ้ยดารานี่หว่า” อาร์กร้องแล้วหันมองหน้าจุ๊ย
โยชิทำท่าจะยกมือไหว้  แต่เขาห้ามเสียก่อน
“ไม่ต้องๆ เราอายุใกล้ๆกัน  ผมพึ่งจบจากที่เดียวกับคุณ ก่อนคุณแค่ห้าหกปี”
 
โยชิเดินดูอุปกรณ์ที่อยู่ในร้านอย่างสนใจ ระหว่างที่รออาร์ทขึ้นไปหยิบของที่สต็อกชั้นสอง
“พวกนี้มือสองหมดเลยเหรอ”
“อืม.. ร้านนี้เขารับซื้อรับแลกเปลี่ยน แล้วก็ขายมือสอง  จุ๊ยเองก็ได้แซกจากร้านนี้  แล้วก็ได้วิชาจากที่นี่ด้วย”
“ได้วิชา” โยชิทวนคำ
จุ๊ยก็ชี้ให้ดูรูปถ่ายที่แขวนอยู่บนผนัง
“อาจารย์ถนอม  เขาเป็นเพื่อนแม่ของเรา แล้วก็เป็นอาจารย์ของฉันด้วย เราก็มาร้านนี้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะแม่อยากให้ฉันเรียนดนตรี  เฉันก็เลยเรียนทุกอย่างอย่างจากที่นี่”  แล้วก็เดินมาที่เปียโนที่ตั้งอยู่ด้านในสุดชิดข้างฝา
เขาเปิดฝาครอบคีย์แล้วนั่งลงบรรเลงเป็นเพลง Old Time Rock and Roll ของ Bob Seger
อาร์ทเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกล่องReed ที่จุ๊ยต้องการ
ภาพของบิดาซ้อนเข้ามา  บิดากำลังสอนเด็กชายตัวน้อยวัยประมาณ ห้าขวบให้เล่นเปียโนตัวนี้
จุ๊ยเป็นเด็กหัวไวมาก  เขาเรียนเปียโนอยู่แค่ครึ่งวันก็เล่นได้หนึ่งเพลงแล้ว  ด้วยความหัวไว ทำให้บิดาของเขาชอบใจมาก  จนกระทั้งสอนวิชาเอกของท่านให้คือเครื่องเป่า
ถนอม จิตรวรรณาพงษ์ นักดนตรีไทยคนหนึ่งที่เคยเล่นร่วมวงกับวงดนตรีชื่อดังของโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน  คือบิดาของเขา
พอจบเพลง  โยชิก็ปรบมือ
“ยังๆๆ นี่มันวิชาที่ไอ้จุ๊ยไม่ค่อยถนัด  ต้องแซกสิของจริง เคยฟังหรือยังหล่ะ” อาร์ทกล่าวกับโยชิ  แล้วเดินผ่านไปหาจุ๊ย
“นี่... ของดีสุดเลย ”
จุ๊ยลังเล
“ผมมีเงินไม่เยอะนะพี่” จุ๊ยบอก
“เฮ้ยเอาไว้ค่อยมาให้วันหลังก็ได้  วันนี้เอาของไปก่อน” อาร์ทตอบ
จุ๊ยทำหน้าบอกชัดว่าเกรงใจมาก
แต่อาร์ทเอาใส่ถุงให้
“เอาไปสิ... เธอกับไตรเป็นศิษย์แค่สองคนของพ่อ  ตอนนี้ไตรก็ไม่อยู่แล้ว  เธอก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปในฐานะศิษย์  อย่าทำให้ชื่อของพ่อหายไปนะจุ๊ย  แม้คนไทยจะลืมท่านไปแล้ว  แต่นายต้องทำให้ท่านกลับมา  โดยการกลับมาในตัวจุ๊ยเข้าใจไหม”
จุ๊ยมองหน้าอาร์ท  ก่อนเขาจะพยักหน้าช้าๆแล้วยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความซึ้งใจ
โยชิถึงกับต้องอมยิ้มเพราะภาพนั้น
 
สองหนุ่มออกไปแล้วแต่อาร์ทก็มองส่งออกไปก่อนจะหันมามองรูปของบิดา
บิดาเคยบอกเขาว่า ความสุขใจของครูไม่ใช่การสอนให้ลูกศิษย์เหมือนตน  แต่การทำให้ลูกศิษย์ก้าวไกลไปกว่าตนเอง
“พ่อเชื่อว่าเด็กคนนี้จะไปได้ไกล  อาจไกลกว่าพ่อมาก ถ้าเขายังเดินบนเส้นทางดนตรีไม่ทิ้งลงกลางคัน”
 
โยชิยังไม่เคยมาเดินเที่ยวเยาวราชมาก่อนเลย  พอจุ๊ยเดินพาลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยก็รู้สึกตื่นตาไม่น้อย  แม้จะร้อนเหงื่อไหลย้อยจนเสื้อเปียก  ยังดีที่เขาใส่เสื้อยืดตัวบางๆเท่านั้น
“หอยทอดเจ้านี้อร่อยมาก” จุ๊ยบอก
“กินได้ไหม”
โยชิมองหน้าจุ๊ย
“ทำไมคิดว่าเรากินไม่ได้”
“อ้าวก็โยชิเป็นคุณหนูนี่  ก็กลัวว่าจะกินไม่ได้”
“เฮ้ยตอนเราอยู่ญี่ปุ่นเราก็กินอย่างนี้ล่ะ” โยชิตอบแล้วกอดคอจุ๊ยเดินเข้าร้าน
พอสั่งเสร็จจุ๊ยก็ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยตามนิสัย
ตอนกินก็กินไปเงียบๆ นอกจากจะถามว่าอร่อยไหม แล้วก็กินกันต่อไป
แต่สักครู่
“ขออ่อส่วนนะคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น
โยชิที่นั่งหันหลังให้หน้าร้านก็เลยหันกลับไปมอง
“ไปไหนมาค่ะคุณสไบทอง”
“ไปร้านทองหัวมุมมาค่ะ เอาสร้อยมาให้ต่อให้มันขาดตอนไปถ่ายรายการ”
พอได้ยินชื่อว่าสไบทองจุ๊ยก็หันไปบ้าง
“แม่ของนายนี่”
โยชิหันกลับ
“อย่ามอง  หันไปแกล้งทำไปเป็นไม่เห็น”
แต่จุ๊ยยิ้มแหย่ๆ
“ไม่ทันแล้วล่ะ”
“ไม่ คิดว่าจะเจอที่นี่นะ อาราอิ” หญิงสาวดวงหน้าสวยงามแม้จะสูงวัยพอสมควรกล่าว แล้ววิสาสะนั่งลง เพราะรู้ว่ายังไงลูกชายก็ไม่เชิญแน่นอน
จุ๊ยจึงยกมือไหว้เธอ
สไบทองรับไหว้ แล้วก็ทำท่านึก
“อ้อนี่น้องที่ไปเล่นดนตรีที่งานของฉัตรอัครใช่ไหม  ฉันก็ไปนะ  ไปตอนที่เธอแสดงพอดี”
จุ๊ยตอบว่าครับ  แต่โยชิเมินไปอีกทาง
จุ๊ยเห็นแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“ดีแล้วล่ะที่มีหนูเป็นเพื่อนแบบนี้  อาราอิ เอ้ย โยชิสินะ  เขาไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกนะ  ว่างก็มาเที่ยวที่บ้านบ้างก็ได้” สไบทองกล่าวกับจุ๊ย
“ว่าแต่หนูเก่งมากเลย  แล้วนี่จบม.หกแล้วสินะ  จะเรียนต่อที่ไหนล่ะ คะแนน.. อืมเรียกว่าAdmission ใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”
“ผมไม่ได้สอบครับ” จุ๊ยตอบ
“อ้าว” สไบทองทำท่าแปลกใจ
แม้แต่โยชิยังหันมา
“ก็ผมคิดว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเปิดครับ  ของรามคำแหงเขาก็มีวิชาเกี่ยวกับคนตรี” จุ๊ยอธิบาย
“อืม.. ถ้าติดขัดเรื่องทุนฉันช่วยได้นะ” สไบทองกล่าวทั้งเสนอตัว
จุ๊ยเคยได้ยินว่าพวกดาราจะเสแสร้งได้เก่งมาก  จุ๊ยเลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสไบทองกำลังเล่นละครเป็นคุณแม่ของเพื่อนที่แสนดีหรือว่าเป็นคนอัธยาศัยดีอย่างนั้นจริงๆ
“คงไม่ต้องลำบากแม่หรอกครับ  เพราะลุงเนมเสนอให้จุ๊ยไปแล้ว แต่จุ๊ยเขาปฏิเสธ”  โยชิกล่าวตามที่รู้มาจากเพลงพิณ
“ผมขอตัวนะครับ”
แล้วโยชิก็ลุกขึ้นโค้งอย่างเป็นทางการมาก ก่อนจะหันหลัง
“อ้อก่อนฉันจะลืม” สไบทองกล่าวขึ้น
“ถ้ามีคิวว่างๆ ไปญี่ปุ่นไปจัดการเรื่องบ้านกับทรัพย์สินด้วยนะ  เพราะสินสมรสของพ่อแกกับฉันน่ะ ฉันไม่ได้อยากได้  ยกให้แกทั้งหมด”
โยชิยืนนิ่ง  จุ๊ยเห็นเขาขบกรามจนเป็นสัน
“ครับคุณนาย” เขาหันมาโค้งให้อีกทีแล้วเดินออกไป
 
จุ๊ยเดินตามโยชิอยู่นานพอสมควรโดยไม่ได้พูดอะไร
กระทั้งโยชิกล่าวขึ้นขณะทั้งคู่เดินมาหยุดตรงบริเวณใกล้กับสถานที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน
“ขอโทษนะเลยทำให้นายหมดอารมณ์เลย”
จุ๊ยมองรอบตัวแล้วก็ตอบ
“ไม่เป็นไร  ฉันก็ไม่ได้เสียอารมณ์อะไรนี่ ว่าแต่..”
“ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่ไม่ได้ดีอย่างที่คนอื่นเข้าใจหรอก  แม่น่ะเล่นละครเก่ง  เขาทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้น  แต่ฉันกับแม่แทบไม่ได้คุยกัน”
“อืมเข้าใจหรอก  ว่าแต่..”จุ๊ยกล่าวอีก
“แม่กับพ่อฉันแยกกันอยู่น่ะ  ฉันก็เลยตามพ่อกลับญี่ปุ่นไปแต่เล็ก  แต่พ่อกับแม่พึ่งจะหย่าขาดจากกันก็เมื่อปลายเดือนก่อนนี่เอง”
จุ๊ยเดินมาตบบ่าเพื่อน
“เราเข้าใจนาย  อย่าคิดมาก ว่าแต่...”
“เราก็อยากทำดีกับแม่นะ  แต่มันทำไม่ได้จริงๆ  นายยังจำเรื่องที่พัทยาได้ใช่ไหมหล่ะ”
จุ๊ยคิด  ตอนนั้น อ้อ.. ตอนที่พวกเขาสองคนลงรถทีพัทยาก็เพื่อจะไปตามหาแม่ของโยชิที่เข้าพักที่โรงแรมในพัทยา
“อื่ม... ฉันก็เข้าใจ  แต่ที่สุดเราก็ต้องยอมรับนะ  ในเมื่อเขาสองคนเดินทางไปด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว  ก็ต้องแยกกันเป็นธรรมดา” จุ๊ยกล่าว
“ว่าแต่”
“ฉันไม่น่าเล่าเรื่องพวกนี้เลยเน้อ ทำให้นายไม่สบายใจไปด้วย” โยชิหันมามองหน้าจุ๊ย
ตอนนี้ใบหน้าของโยชิมีมันเคลือบจางๆ  ทำให้รู้สึกถึงความเป็นปุถุชนของเขามากขึ้นกว่าก่อน
“ขอบใจนะที่อุตส่าห์เข้าใจเราโดยตลอด”
จุ๊ยเงียบเพราะตอนนี้โยชิมองตาจุ๊ยอย่างลึกซึ้งเหมือนจะจ้องเข้าไปภายใน
“เอออ ไม่เป็นไร” เชาหลบตาก่อน
โยชิก็เหมือนจะเขิน หันไปอีกทาง
“แล้วนี่เราอยู่ไหนกัน” เขาเริ่มสังเกตว่ารอบตัวไม่คุ้นเคย
“ก็นี่หล่ะที่จะถาม” จุ๊ยกล่าวแล้วกอดอก
“นายจะไปไหนเดินเอา เดินเอาอย่างกับรู้ทาง”
“อ้าว.. เหรอ” โยชิยิ้มเขินๆ หัวเราะออกมาแก้เก้อ
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
 
 
 ระหว่างเดินกลับไปที่จุดซึ่งโยชินำรถไปฝากจอดไว้  โทรศัพท์ของจุ๊ยก็ดังขึ้น
“จุ๊ยเหรอ  เฮียพัฒน์นะ” ฝ่ายโน่นตอบมา
“ครับ” จุ๊ยตอบ
โยชิหันมามองแล้วก็เดินคู่กันต่อไป
 
ในรถที่ค่อนข้างติดขัด
จุ๊ยเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด 
โยชิก็เลยถาม
“เป็นอะไรเหรอ  มีอะไรรึเปล่า”
จุ๊ยที่เอาแขนท้าวกับขอบประตูมองออกไปนอกหน้าต่างก็หันมา
“อ้อ.. คิดอะไรเพลินๆน่ะโทษที”
โยชิกดปุ่มเพื่อเปลี่ยนแผ่นซีดี
“พรุ่งนี้ฉันก็ว่างนะ  อยากจะไปเที่ยวไหนกันไหม  ฉันว่างตั้งสามวัน”
จุ๊ยนิ่งอยู่นิดหนึ่ง
“ไประยองไหม” จุ๊ยถามออกไป
โยชิหันมามองหน้า
จุ๊ยก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองชวนออกไปอย่างนั้น  แต่ก็ชวนไปแล้ว
“เรามีน้องสาวอีกคนอยู่ระยอง  เราไปเยี่ยมทุกปี ปีนี้ยังไม่ได้ไปเลย  ไปด้วยกันไหมล่ะ”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:17:01
ตอนที่ 20 : ร้านเครื่องดนตรี
จุ๊ยปีนขึ้นไปหลังตู้เพื่อทำความสะอาด  โดยมีป๊ายืนดูอยู่
“ตรงนั้นด้วยจุ๊ย”
“ครับ”จุ๊ยขานแล้วก็ทำตาม
“ผมไปข้างนอกนะครับ” ซัวบอกกล่าว แล้วก็เดินออกไปโดยไม่รอให้บิดาตอบ  เพราะบิดาไม่เคยตอบเขาอยุ่แล้ว
“เฮ้ยไปไหนวะ”  กลายเป็นจุ๊ยที่เรียกรั้ง
ซัวหันมา
“ไปกับเพื่อน  เดี่ยวบ่ายๆก็กลับแล้ว”
“เออๆ” จุ๊ยตอบออกไป เพราะไม่อยากจะทำให้เกิดการต่อปากต่อคำไปมากกว่านี้
 
จุ๊ยก็ไปทำโน่นทำนี่ต่อจากนั้นอีกหลายอย่างจนคิดว่าไม่มีอะไรจะทำแล้วก็ไปอาบน้ำ  แต่พอเดินกลับเข้าห้องมาก็เห็นว่าโทรศัพท์มีทั้งแจ้งเตือนจากFacebook และสายไม่ได้รับ
เปิดFacebook ก่อนเป็นรูปของหลิวในชุดแต่งกายของฤดูใบไม้พลิในอิริยาบถต่างๆภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา  เขาอมยิ้ม  จะว่าไปหลิวในชุดแบบนี้ก็ดูเหมือนนางเอกในซีรี่เกาหลีอยู่มากเหมือนกัน  จุ๊ยยิ้มตอนเลื่อนรูปไปเรื่อยๆ
พอดูเสร็จครบอัลบัม  เขาก็เรียกดูสายไม่ได้รับ
“โยชิ”
 
โยชิลบหน้าเสร็จแล้ว กำลังจะเตรียมตัวเขากลับบ้าน  แต่เขาเหลือบไปเห็นเดฟเดินเข้ามายกมือไหว้ช่างแต่งหน้าและทีมงานคนอื่นอย่างไม่นอบน้อม 
เขาก็เลยเดินเข้าไปทัก
“เฮ้ยได้เจอกันอีกแล้วนะเรื่องนี้”
เดฟนั่งลงให้เพื่อให้ช่างแต่งหน้า
“เออดิ... เค้าคงติดภาพซีรี่เรื่องเก่าที่เราเล่นด้วยกันมั้ง ผมเลยได้งานนี้”
โยชิพยักหน้า
“เออ.. ได้เจอจุ๊ยบ้างไหม”
เดฟมองจะมองหน้าโยชิแต่จังหวะนั้นช่างแต่งหน้าก็เข้ามา เขาเลยได้แต่ตอบไม่ได้เห็นหน้ากัน
“ไม่เลย ทำไมเหรอ”
“ก็ฉันโทรไปตั้งหลายครั้งเขาไม่รับ  กะจะชวนไปเที่ยวกันหน่อย มีคิวว่างหลายวัน  แถมไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
เดฟไม่ได้ตอบในทันที  แต่พอช่างแต่งหน้าหลบพ้นไป  โยชิก็ได้เห็นหน้าเขาจากกระจก
“มันคงไม่ว่างมั้ง  จุ๊ยมันชอบปิดเสียง  พอโทรศัพท์ดังก็เลยไม่ค่อยรู้” เดฟตอบ
โยชิกำลังจะพูดอะไร  แต่เพราะโทรศัพท์สั่นก็เลยยกมารับก่อน
“ครับจุ๊ย” โยชิตอบสาย ก่อนหันมายกมือบอกโยชิในเชิงขอตัว
เดฟมองโยชิเดินออกไปผ่านกระจก
พักนี้เป็นอะไรหนอ... นึกอยากจะปิดระบบโทรศัพท์ทั้งโลกไปเลยทีเดียว
 
วันนี้จุ๊ยคิดจะไปซื้อReed ของแซกโฟโฟนของใหม่เนื่องจากของเก่าของเขาพังไปหมดแล้ว  แต่พอโยชิโทรมาก็เลยชวนไปด้วย
โยชิต้องใส่แว่นดำพลางแถมใส่หมวก เพราะตอนนี้กำลังมีงานหลายงานจน เป็นที่สนใจของสังคมตอนนี้
เขาเดินตามจุ๊ยลัดเลาะย่านวรจักร จนมาถึงร้านเล็กๆพอเขาพลักประตูเข้าไป ชายผิวขาววัยประมาณยี่สิบกว่าก็เงยหน้า
“เฮียอาร์ท สวัสดีครับ” จุ๊ยกล่าวแล้วยกมือไหว้
“อ้าวไม่ได้มานานเลยจะจุ๊ย  นี่โตขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย” พูดแล้วก็ออกมาโอบบ่าเขย่าด้วยความเมตตา
แล้วก็หันไปมองโยชิ
“นี่เพื่อนของผม  โยชิ” จุ๊ยแนะนำ
อาร์ทถอยหลังนิดหนึ่งตอนที่โยชิถอดแว่นตาดำออก
“เฮ้ยดารานี่หว่า” อาร์กร้องแล้วหันมองหน้าจุ๊ย
โยชิทำท่าจะยกมือไหว้  แต่เขาห้ามเสียก่อน
“ไม่ต้องๆ เราอายุใกล้ๆกัน  ผมพึ่งจบจากที่เดียวกับคุณ ก่อนคุณแค่ห้าหกปี”
 
โยชิเดินดูอุปกรณ์ที่อยู่ในร้านอย่างสนใจ ระหว่างที่รออาร์ทขึ้นไปหยิบของที่สต็อกชั้นสอง
“พวกนี้มือสองหมดเลยเหรอ”
“อืม.. ร้านนี้เขารับซื้อรับแลกเปลี่ยน แล้วก็ขายมือสอง  จุ๊ยเองก็ได้แซกจากร้านนี้  แล้วก็ได้วิชาจากที่นี่ด้วย”
“ได้วิชา” โยชิทวนคำ
จุ๊ยก็ชี้ให้ดูรูปถ่ายที่แขวนอยู่บนผนัง
“อาจารย์ถนอม  เขาเป็นเพื่อนแม่ของเรา แล้วก็เป็นอาจารย์ของฉันด้วย เราก็มาร้านนี้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะแม่อยากให้ฉันเรียนดนตรี  เฉันก็เลยเรียนทุกอย่างอย่างจากที่นี่”  แล้วก็เดินมาที่เปียโนที่ตั้งอยู่ด้านในสุดชิดข้างฝา
เขาเปิดฝาครอบคีย์แล้วนั่งลงบรรเลงเป็นเพลง Old Time Rock and Roll ของ Bob Seger
อาร์ทเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกล่องReed ที่จุ๊ยต้องการ
ภาพของบิดาซ้อนเข้ามา  บิดากำลังสอนเด็กชายตัวน้อยวัยประมาณ ห้าขวบให้เล่นเปียโนตัวนี้
จุ๊ยเป็นเด็กหัวไวมาก  เขาเรียนเปียโนอยู่แค่ครึ่งวันก็เล่นได้หนึ่งเพลงแล้ว  ด้วยความหัวไว ทำให้บิดาของเขาชอบใจมาก  จนกระทั้งสอนวิชาเอกของท่านให้คือเครื่องเป่า
ถนอม จิตรวรรณาพงษ์ นักดนตรีไทยคนหนึ่งที่เคยเล่นร่วมวงกับวงดนตรีชื่อดังของโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน  คือบิดาของเขา
พอจบเพลง  โยชิก็ปรบมือ
“ยังๆๆ นี่มันวิชาที่ไอ้จุ๊ยไม่ค่อยถนัด  ต้องแซกสิของจริง เคยฟังหรือยังหล่ะ” อาร์ทกล่าวกับโยชิ  แล้วเดินผ่านไปหาจุ๊ย
“นี่... ของดีสุดเลย ”
จุ๊ยลังเล
“ผมมีเงินไม่เยอะนะพี่” จุ๊ยบอก
“เฮ้ยเอาไว้ค่อยมาให้วันหลังก็ได้  วันนี้เอาของไปก่อน” อาร์ทตอบ
จุ๊ยทำหน้าบอกชัดว่าเกรงใจมาก
แต่อาร์ทเอาใส่ถุงให้
“เอาไปสิ... เธอกับไตรเป็นศิษย์แค่สองคนของพ่อ  ตอนนี้ไตรก็ไม่อยู่แล้ว  เธอก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปในฐานะศิษย์  อย่าทำให้ชื่อของพ่อหายไปนะจุ๊ย  แม้คนไทยจะลืมท่านไปแล้ว  แต่นายต้องทำให้ท่านกลับมา  โดยการกลับมาในตัวจุ๊ยเข้าใจไหม”
จุ๊ยมองหน้าอาร์ท  ก่อนเขาจะพยักหน้าช้าๆแล้วยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความซึ้งใจ
โยชิถึงกับต้องอมยิ้มเพราะภาพนั้น
 
สองหนุ่มออกไปแล้วแต่อาร์ทก็มองส่งออกไปก่อนจะหันมามองรูปของบิดา
บิดาเคยบอกเขาว่า ความสุขใจของครูไม่ใช่การสอนให้ลูกศิษย์เหมือนตน  แต่การทำให้ลูกศิษย์ก้าวไกลไปกว่าตนเอง
“พ่อเชื่อว่าเด็กคนนี้จะไปได้ไกล  อาจไกลกว่าพ่อมาก ถ้าเขายังเดินบนเส้นทางดนตรีไม่ทิ้งลงกลางคัน”
 
โยชิยังไม่เคยมาเดินเที่ยวเยาวราชมาก่อนเลย  พอจุ๊ยเดินพาลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยก็รู้สึกตื่นตาไม่น้อย  แม้จะร้อนเหงื่อไหลย้อยจนเสื้อเปียก  ยังดีที่เขาใส่เสื้อยืดตัวบางๆเท่านั้น
“หอยทอดเจ้านี้อร่อยมาก” จุ๊ยบอก
“กินได้ไหม”
โยชิมองหน้าจุ๊ย
“ทำไมคิดว่าเรากินไม่ได้”
“อ้าวก็โยชิเป็นคุณหนูนี่  ก็กลัวว่าจะกินไม่ได้”
“เฮ้ยตอนเราอยู่ญี่ปุ่นเราก็กินอย่างนี้ล่ะ” โยชิตอบแล้วกอดคอจุ๊ยเดินเข้าร้าน
พอสั่งเสร็จจุ๊ยก็ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยตามนิสัย
ตอนกินก็กินไปเงียบๆ นอกจากจะถามว่าอร่อยไหม แล้วก็กินกันต่อไป
แต่สักครู่
“ขออ่อส่วนนะคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น
โยชิที่นั่งหันหลังให้หน้าร้านก็เลยหันกลับไปมอง
“ไปไหนมาค่ะคุณสไบทอง”
“ไปร้านทองหัวมุมมาค่ะ เอาสร้อยมาให้ต่อให้มันขาดตอนไปถ่ายรายการ”
พอได้ยินชื่อว่าสไบทองจุ๊ยก็หันไปบ้าง
“แม่ของนายนี่”
โยชิหันกลับ
“อย่ามอง  หันไปแกล้งทำไปเป็นไม่เห็น”
แต่จุ๊ยยิ้มแหย่ๆ
“ไม่ทันแล้วล่ะ”
“ไม่ คิดว่าจะเจอที่นี่นะ อาราอิ” หญิงสาวดวงหน้าสวยงามแม้จะสูงวัยพอสมควรกล่าว แล้ววิสาสะนั่งลง เพราะรู้ว่ายังไงลูกชายก็ไม่เชิญแน่นอน
จุ๊ยจึงยกมือไหว้เธอ
สไบทองรับไหว้ แล้วก็ทำท่านึก
“อ้อนี่น้องที่ไปเล่นดนตรีที่งานของฉัตรอัครใช่ไหม  ฉันก็ไปนะ  ไปตอนที่เธอแสดงพอดี”
จุ๊ยตอบว่าครับ  แต่โยชิเมินไปอีกทาง
จุ๊ยเห็นแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“ดีแล้วล่ะที่มีหนูเป็นเพื่อนแบบนี้  อาราอิ เอ้ย โยชิสินะ  เขาไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกนะ  ว่างก็มาเที่ยวที่บ้านบ้างก็ได้” สไบทองกล่าวกับจุ๊ย
“ว่าแต่หนูเก่งมากเลย  แล้วนี่จบม.หกแล้วสินะ  จะเรียนต่อที่ไหนล่ะ คะแนน.. อืมเรียกว่าAdmission ใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”
“ผมไม่ได้สอบครับ” จุ๊ยตอบ
“อ้าว” สไบทองทำท่าแปลกใจ
แม้แต่โยชิยังหันมา
“ก็ผมคิดว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเปิดครับ  ของรามคำแหงเขาก็มีวิชาเกี่ยวกับคนตรี” จุ๊ยอธิบาย
“อืม.. ถ้าติดขัดเรื่องทุนฉันช่วยได้นะ” สไบทองกล่าวทั้งเสนอตัว
จุ๊ยเคยได้ยินว่าพวกดาราจะเสแสร้งได้เก่งมาก  จุ๊ยเลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสไบทองกำลังเล่นละครเป็นคุณแม่ของเพื่อนที่แสนดีหรือว่าเป็นคนอัธยาศัยดีอย่างนั้นจริงๆ
“คงไม่ต้องลำบากแม่หรอกครับ  เพราะลุงเนมเสนอให้จุ๊ยไปแล้ว แต่จุ๊ยเขาปฏิเสธ”  โยชิกล่าวตามที่รู้มาจากเพลงพิณ
“ผมขอตัวนะครับ”
แล้วโยชิก็ลุกขึ้นโค้งอย่างเป็นทางการมาก ก่อนจะหันหลัง
“อ้อก่อนฉันจะลืม” สไบทองกล่าวขึ้น
“ถ้ามีคิวว่างๆ ไปญี่ปุ่นไปจัดการเรื่องบ้านกับทรัพย์สินด้วยนะ  เพราะสินสมรสของพ่อแกกับฉันน่ะ ฉันไม่ได้อยากได้  ยกให้แกทั้งหมด”
โยชิยืนนิ่ง  จุ๊ยเห็นเขาขบกรามจนเป็นสัน
“ครับคุณนาย” เขาหันมาโค้งให้อีกทีแล้วเดินออกไป
 
จุ๊ยเดินตามโยชิอยู่นานพอสมควรโดยไม่ได้พูดอะไร
กระทั้งโยชิกล่าวขึ้นขณะทั้งคู่เดินมาหยุดตรงบริเวณใกล้กับสถานที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน
“ขอโทษนะเลยทำให้นายหมดอารมณ์เลย”
จุ๊ยมองรอบตัวแล้วก็ตอบ
“ไม่เป็นไร  ฉันก็ไม่ได้เสียอารมณ์อะไรนี่ ว่าแต่..”
“ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่ไม่ได้ดีอย่างที่คนอื่นเข้าใจหรอก  แม่น่ะเล่นละครเก่ง  เขาทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้น  แต่ฉันกับแม่แทบไม่ได้คุยกัน”
“อืมเข้าใจหรอก  ว่าแต่..”จุ๊ยกล่าวอีก
“แม่กับพ่อฉันแยกกันอยู่น่ะ  ฉันก็เลยตามพ่อกลับญี่ปุ่นไปแต่เล็ก  แต่พ่อกับแม่พึ่งจะหย่าขาดจากกันก็เมื่อปลายเดือนก่อนนี่เอง”
จุ๊ยเดินมาตบบ่าเพื่อน
“เราเข้าใจนาย  อย่าคิดมาก ว่าแต่...”
“เราก็อยากทำดีกับแม่นะ  แต่มันทำไม่ได้จริงๆ  นายยังจำเรื่องที่พัทยาได้ใช่ไหมหล่ะ”
จุ๊ยคิด  ตอนนั้น อ้อ.. ตอนที่พวกเขาสองคนลงรถทีพัทยาก็เพื่อจะไปตามหาแม่ของโยชิที่เข้าพักที่โรงแรมในพัทยา
“อื่ม... ฉันก็เข้าใจ  แต่ที่สุดเราก็ต้องยอมรับนะ  ในเมื่อเขาสองคนเดินทางไปด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว  ก็ต้องแยกกันเป็นธรรมดา” จุ๊ยกล่าว
“ว่าแต่”
“ฉันไม่น่าเล่าเรื่องพวกนี้เลยเน้อ ทำให้นายไม่สบายใจไปด้วย” โยชิหันมามองหน้าจุ๊ย
ตอนนี้ใบหน้าของโยชิมีมันเคลือบจางๆ  ทำให้รู้สึกถึงความเป็นปุถุชนของเขามากขึ้นกว่าก่อน
“ขอบใจนะที่อุตส่าห์เข้าใจเราโดยตลอด”
จุ๊ยเงียบเพราะตอนนี้โยชิมองตาจุ๊ยอย่างลึกซึ้งเหมือนจะจ้องเข้าไปภายใน
“เอออ ไม่เป็นไร” เชาหลบตาก่อน
โยชิก็เหมือนจะเขิน หันไปอีกทาง
“แล้วนี่เราอยู่ไหนกัน” เขาเริ่มสังเกตว่ารอบตัวไม่คุ้นเคย
“ก็นี่หล่ะที่จะถาม” จุ๊ยกล่าวแล้วกอดอก
“นายจะไปไหนเดินเอา เดินเอาอย่างกับรู้ทาง”
“อ้าว.. เหรอ” โยชิยิ้มเขินๆ หัวเราะออกมาแก้เก้อ
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
 
 
 ระหว่างเดินกลับไปที่จุดซึ่งโยชินำรถไปฝากจอดไว้  โทรศัพท์ของจุ๊ยก็ดังขึ้น
“จุ๊ยเหรอ  เฮียพัฒน์นะ” ฝ่ายโน่นตอบมา
“ครับ” จุ๊ยตอบ
โยชิหันมามองแล้วก็เดินคู่กันต่อไป
 
ในรถที่ค่อนข้างติดขัด
จุ๊ยเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด 
โยชิก็เลยถาม
“เป็นอะไรเหรอ  มีอะไรรึเปล่า”
จุ๊ยที่เอาแขนท้าวกับขอบประตูมองออกไปนอกหน้าต่างก็หันมา
“อ้อ.. คิดอะไรเพลินๆน่ะโทษที”
โยชิกดปุ่มเพื่อเปลี่ยนแผ่นซีดี
“พรุ่งนี้ฉันก็ว่างนะ  อยากจะไปเที่ยวไหนกันไหม  ฉันว่างตั้งสามวัน”
จุ๊ยนิ่งอยู่นิดหนึ่ง
“ไประยองไหม” จุ๊ยถามออกไป
โยชิหันมามองหน้า
จุ๊ยก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองชวนออกไปอย่างนั้น  แต่ก็ชวนไปแล้ว
“เรามีน้องสาวอีกคนอยู่ระยอง  เราไปเยี่ยมทุกปี ปีนี้ยังไม่ได้ไปเลย  ไปด้วยกันไหมล่ะ”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:17:48
ตอนที่ 22 : ดอกไม้ร่วงก่อนเวลา
“ที่จริงนายก็ไม่ต้องก็ได้อาราอิ  นายเข้าไปในงานเดี่ยวจะมีคนจำได้” จุ๊ยกล่าวแก่อาราอิ ตอนที่เขาจอดรถภายในโรงแรมระดับหรูของระยอง
“แล้วจะให้ฉันรอนายที่บ้านน้าของนายได้ยัง  ไม่รู้จักใครสักคน แถมน้องนายก็ไม่ยอมออกมาด้วย”
จุ๊ยถอนหายใจกับคำตอบของอาราอิ
เพราะแม้ตอนที่ถูกขอร้องให้มาเล่นแซกโซโฟนในงานแต่งงานของเพื่อนของฮัวคนหนึ่ง ที่ได้รับคำอธิบายว่าเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกัน  แต่เพื่อนเขาต้องแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งเพราะไม่ต้องการขัดใจพ่อ  เธอก็เลยอยากให้จุ๊ยมาเล่นเพลงนิ้เพื่อเป็นกำลังใจจากเธอ
“พ่อของพี่กายเขาเป็นคนใหญ่คนโต  มีบารมีมาก  แต่ก็ต้องพึ่งพาครอบครัวฝ่ายผุ้หญิงให้ช่วยเหลือด้านคดีที่พ่อของพี่กายเขาโดนเล่นงานอยู่  ก็เลยจำเป็นต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น  ฮัวสงสารเขาน่ะ  รักก็ไม่รัก  นะแต่ต้องแต่งงานกัน  ถ้าฮัวสบายดีฮัวก็อยากไปนะ  แต่ตอนนี้ฮัวไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น  ฮัวอยากให้เฮียไปแทนหน่อย”
แล้วเธอก็ยืนกระดาษที่พับไว้ออกมาผ่านร่องประตู
“เพลงอะไร”จุ๊ยถามแล้วจะแกะดู
“ไม่สิเฮีย  อย่าอ่านก่อน  ไม่งั้นจะเซอร์ไพร์สได้ยังไง”
“อ้าวแล้วถ้าเป็นเพลงที่เฮียเล่นไม่ได้ไม่แย่เหรอ”
“เฮียเล่นได้อยู่แล้วหล่ะ เฮียเก่งจะตายไป”
 
จุ๊ยเข้าไปในงานโดยไม่มีการ์ดเชิญ  โดยอาศัยความเป็นดาราของอาราอิเป็นใบเบิกทาง
“เห็นไหม ดีนะที่ฉันมาด้วย” อาราอิกล่าวขณะเดินเข้างานมา
แล้วจุ๊ยก็เดินไปหาเจ้าบ่าวตอนได้จังหวะ
ชายหนุ่มได้ฟังเรื่องของจุ๊ยจบเขาก็เงียบไปนาน  ก่อนจะตอบ
“ครับ เดี่ยวผมบอกพ่อให้”
จุ๊ยรู้สึกแปลกๆกับแววตาของเจ้าบ่าว
แต่เข้าใจว่าเจ้าบ่าวคงเหนื่อย เพราะเขาก็เคยไปช่วยงานญาติที่แต่งงานแล้วได้รู้ว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเหนื่อยมากในวันแต่งงาน
“ถ้าไม่สะดวกไม่ต้องก็ได้นะครับ  เดี่ยวจะเป็นการเสียพิธีการ”
กายยิ้มแบบแห้งแล้งเหลือเกิน
“เห็นฮัวบอกว่าจุ๊ยเก่งมากเลย  ได้รางวัลระดับประเทศด้วย  ผมก็อยากฟังจุ๊ยเล่นสดๆเหมือนกัน”
แล้วเขาก็มองหน้าอาราอิ
“แล้วก็ดีใจจังที่มีดาราดังมางานผมด้วย”
 
จุ๊ยรออยู่ข้างเวที  เขาตัดสินใจจะคลี่กระดาษดู
“ต่อ ไปเราจะมีนักดนตรีพิเศษที่ นายนทีธาร แซ่จาง นักดนตรียอดเยียมประเภทเครื่องเป่า แซกโซโฟน รางวัลเกียรติยศประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว จะมาแลดงดนตรีให้กับแขกผุ้มีเกียรติรับชมและรับฟังนะครับ”
ตอนนั้นผู้ประสานงานมาถาม จุ๊ยก็คลี่กระดาษดู แล้วก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย
“เพลงของ Rascal Flatts…” เขาอ่าน 
แน่นอนต้องเล่นได้ เพราะเขาเคยฟังและเลยเล่นมาแล้วในงานปีใหม่ของโรงเรียน  แต่จุ๊ยก็ไม่ได้ลึกซึ้งในเนื้อหาเพราะเขาฟังจากเวอร์ชั่นที่มีคนมาเป่าเป็นCover ด้วยแซกโซโฟน เพื่อฟังอารมณ์เพลง
“เพลงนี้มันเศร้าออกนี่น่า” จุ๊ยพึมพำแต่ไม่มีเวลาคิดแล้ว
“เชิญครับ”
พิธิกรกล่าว
จุ๊ยก็ได้รับสัญญาณจากคนที่ดูแลคิวเวที  จึงต้องเดินขึ้นไป
พอขึ้นไปเขาก็กล่าว
นักดนตรีเริ่มต้นเล่นเพลง  จุ๊ยก็รอจนถึงจังหวะ  แล้วเขาก็จรดปากเป่าบทเพลงออกไปอย่างสุดความสามารถของเขา
เสียงดนตรีสะกดคนมางานแต่งงานใหญ่โตระดับจังหวัดได้อย่างหมดสิ้น  ไม่มีสักคนจะพูดคุยกัน แม้จะไม่ใช่คนชอบฟังเพลงก็ยังหลงไปมนต์เสียงเพลงของจุ๊ย
แต่อาราอิกลับค่อยๆตื่นตัวเมื่อตระหนักได้ว่าเพลงนี้คือเพลงอะไร...
จุ๊ยก็เล่นไปตามเนื้อเพลง  และในตอนที่เขากำลังจะเล่นจบ เขาก็เห็นเจ้าบ่าวร้องไห้ออกมา
“What hurt the most” อาราอิพึมพำชื่อเพลงนั้นออกมา
แล้วเขาก็วิ่งไปหน้าเวที
“จุ๊ย กลับบ้าน ฮัวแย่แน่แล้ว”
จุ๊ยหยุดเล่นในทันที  ทั้งที่ปกติเขาเป็นคนไม่ชอบหยุดเล่นกลางคัน
เขาเริ่มตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งงานแตกตื่นที่อยู่ดีๆ นักดนตรีก็กระโดดลงจากเวทีแล้ววิ่งออกไป
ไม่เท่านั้นไม่นาน เจ้าบ่าวก็ลุกขึ้นวิ่งตามออกไป
 
รถของอาราอิวิ่งไปราวกับเหาะเหินได้  เขามาถึงบ้านยี่อี้ของจุ๊ยในเวลาแค่สิบกว่านาที
“อ้าวจุ๊ยมาเมื่อไหร่” พัฒน์พึ่งกลับมาไม่นาน กำลังเอาข้าวของออกจากเบาะหลัง
แต่จุ๊ยไม่ตอบวิ่งเข้าตัวบ้านไปพร้อมกับผู้ชายที่เขาไม่รู้จักแต่คุ้นหน้า
“ฮัว ฮัวเปิดประตู” จุ๊ยทุบประตูโครมๆ
อาราอิดึงเขาให้หลบแล้วก็ตั้งท่าคาราเต้ ก่อนออกแรงถีบประตูเต็มแรงจนกลอนทีขัดขวางอยู่หักสะบันออกไป
ร่างของฮัวที่ประตูเปิดเผยให้เห็น  เธอนอนอยุ่บนพื้นที่โซกไปด้วยเลือดสดๆ เธอกรีดข้อมือตัวเองทั้งสองข้าง
จุ๊ย จะถลาเข้าไปแต่ทว่าคนที่เข้ามาที่หลังวิ่งพรวดพลักจนเขาเซล้มไปพ้นทาง แล้ววิ่งไปช้อนร่างของเด็กสาวขึ้นมาเขาตรวจสอบชีพจรที่คอและก้มดูลมหายใจ ก่อนจะวางร่างของเธอลง
“ฮัวอย่าทิ้งพี่ไป  อย่าไปสิฮัว” เขาพึมพำออกมาขณะปลดชุดสูทแล้วก็เริ่มต้นทำซีพีอาร์  เอา หน้าแนบฟังแล้วก็เปลี่ยนเป็นใช้นิ้วบีบจมูกฮัวอีกมือเชยหน้าเธอขึ้นแล้ว ประกบปากเป่าลม จากนั้นก็ขยับอย่างรวดเร็วมานั่งกระชับวางมือไปที่กลางอกแล้วกดลงเป็นจังหวะ
เขาทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง สลับกับการหยุดตรวจสัญญาณชีพ
ตอนนั้นเองแม้จุ๊ยจะตกใจแค่ไหน ก็เริ่มได้สติ  เขาเดินเข้าไปจับบ่าชองชายรุ่นพี่
“พอแล้วครับ เธอจากไปแล้วครับ พี่กาย เธอจากเราไปแล้ว”
กายหยุดทั้งเพราะความเหนื่อยและการเตือนสติของจุ๊ย  แล้วเขาก็เอาร่างที่อาบไปด้วยเลือดมากอดแน่น แน่นมาก...
แล้วก็แผดเสียงร้องอย่างสิ้นความอาย
คร่ำคราญจนจุ๊ยเองกลัวว่าเขาจะขาดใจตายไปตามเธอ
ตอนนั้นเองที่อาราอิเดินเข้ามาโอบเขาไว้อย่างอ่อนโยนเช่นกัน


หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:18:19
ตอนที่ 23 : จับเข้าเรียนแบบมัดมือชก
ทั้งป๊า เฮียตี้ และซัวก็มาพร้อมหน้ากันหมดในวันรุ่งขึ้น  พวกเขาตัดสินใจว่าจะเผาร่างของฮัวในทันที่ได้ร่างของเธอกลับจากการชันสูติพลิกศพ 
จุ๊ยเป่าเพลง Autumn Leaves อีกครั้งเพื่อส่งวิญญาณของเธอ  เขาเป่าเพลงนั้นจนกระทั้งควันไฟพลุ่งขึ้นจากปล่องเมรุ
เมือจบอีกรอบหนึ่งเขาก็หยุดเป่าและมองส่งควันเหล่านั้นเสมือนด้วยการส่งดวงวิญญาณของเธอ
“จุ๊ย.. แปลว่าน้ำ  ดังนั้นแม่อยากให้จุ๊ยเป็นน้ำที่ประคองเรือ ให้แล่นไปได้อย่างสงบ  และคอยหล่อเลี้ยงแผ่นดินให้เกิดผล  คอยประสานทรายให้ควบแน่น  และทำให้ดอกไม่ผลิบาน  จุ๊ยทำได้ใช่ไหมครับ” เสียงของอาม๊าดังมาจากอดีต
จุ๊ยหลับตาลง  แล้วพูดออกไป
“ผมพยายามแล้วครับม๊า แต่ผมทำไม่สำเร็จ”
“ใครว่าหล่ะ” เฮียตี้ก้าวมายืนข้างๆกอดคอจุ๊ย  ซัวก็เช่นกัน
“อย่างน้อยที่สุดก็มีตอนที่จุ๊ยทำให้ฮัวแย้มยิ้มได้อย่างงดงาม แม้จะต้องจากกันไปไกล  แต่อย่างที่จุ๊ยเคยบอก  บางที่เราก็ทำใจ กับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้  นี่คือการติดสินใจของตัวเธอเอง  เราคงไปทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ระลึกถึงเธอ”
ไฮ้จุ๊งผู้บิดามองสามพี่น้องกอดคอกันด้วยแววตาที่อยากจะคาดเดา  แล้วเขาก็หันไปหลังกลับเดินไปอย่างเงียบๆ
อาราอิมองภาพทั้งหมดแล้วก็หันไปอีกทางที่มีชายหนุ่มที่นั้งอยู่คนเดียวมองไปที่เมรุจับนิ่งอยู่อย่างนั้น กายผู้สูญเสียดวงใจของเขาไป

 
บิดาและซัวกลับรถของเฮียตี้  และออกรถไปแล้ว
พัฒน์วางมือบนไหล่ของจุ๊ย
“ก็รักษาตัวให้ดีนะ  คอยดูเตี๋ยวด้วย  ถึงจะดูไม่ค่อยออกอาการแต่ก็คงเสียใจอยู่ไม่น้อยหล่ะ” เฮียพัฒน์กล่าว
จุ๊ยถอนหายใจแล้วตอบไปว่าครับ
“ส่วนเฮียคงต้องอยู่เป็นเพื่อนม๊าสักระยะ  เพราะนี่ก็ร้องไห้ตลอด  ร้องๆหยุดๆไม่เลิกสักที  อย่างว่าหล่ะ  ท่านก็รักของท่าน  อยู่ดีๆมาจากไปกะทันหันก็ต้องเสียใจมากอยู่แล้ว”
จุ๊ยมองไปในตัวบ้าน
พูดถึงความเสียใจ  แม้เขาจะเสียใจมาก  แต่พอได้เห็นว่ามีคนที่ร้องไห้ฟูมฟายยิ่งกว่าเขาก็ระงับความเสียใจและตั้งสติได้  อายี่อี้ก็คนหนึ่ง  เพื่อนๆของฮัวที่มางานก็เหมือนกัน  แต่ไม่มีใครเทียบได้กับกายที่เหมือนดวงใจจะขาดตามไปด้วย  นี่ก็ได้ยินว่าเมื่อคืนก็นั่งอยู่ทีวัดจนถึงเวลาเก็บกระดูก ตอนไปลอยอังคารก็มองส่งเธอจนเรือพ้นระยะจะมองเห็น
“ผมฝากเฮียไปดูพี่กายด้วยนะครับ” จุ๊ยกล่าว
พัฒน์พยักหน้า แต่ก็แสดงสีหน้าลำบากใจ
“ไม่รู้พ่อของเขายอมให้เฮียไปดูไหมนะ  นี่งานแต่งก็ล้มไปเลย เพราะเจ้าบ่าวหนีออกจากงานมาแบบนี้”
กลาย เป็นว่าพัฒน์รับรู้เรื่องของกายมาโดยตลอด เพราะเขาเองเป็นคนติดต่อให้กายมาเป็นคนติวพิเศษให้ฮัวเพราะกายเป็นลูกศิษย์ คนหนึ่งของพัฒน์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
ที่จริงจุ๊ยก็เคยได้ยินชื่อกายบ่อยๆจากปากของฮัว  แต่คิดว่าเป็นเพื่อนกันเฉยๆ ไม่คิดว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งจนเกินเลยไปขนาดนี้ 
 กายบอกกับจุ๊ยเองว่าเขาเป็นพ่อของเด็กที่ฮัวทำแท้งตัวเองไป  และขอโทษกับจุ๊ย 
ทว่าจุ๊ยกลับไม่สามารถโทษเขาเรื่องนี้ได้เลย  ถ้าดูจากความเสียอกเสียใจของเขา 
ภาพที่กายในชุดเจ้าบ่าวสีขาวซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดของฮัวนั้นคงติดตาของจุ๊ยไปอีกหลายปีแน่นอน 
ภาพนั้นบรรยายอื่นใดได้นอกดวงใจที่แหลกรานจากความเจ็บปวดอย่างที่สุด และความเสียใจที่ท่วมท้นออกมา
 
จุ๊ยนั่งมองหน้าอาราอิมานานตั้งแค่ออกจากระยอง
“ขอโทษนะ  แทนที่นายจะได้สนุกกับการมาเที่ยว  ที่ไหนได้กลายเป็นแบบนี้”
อาราอิเหลือบมามอง
“แต่เรากลับดีใจนะ”
จุ๊ยทำหน้าบอกได้ว่าแปลกหูกับคำพูดของเขา
“เฮ้ยไม่ใช่ หมายถึงฉันดีใจที่ได้ร่วมทุกข์กับจุ๊ยนะ  ก็อย่างที่บอกจุ๊ยเคยร่วมทุกข์กับฉันมาแล้วไง  ตอนนี้ฉันก็ร่วมทุกข์กับจุ๊ยบ้าง  แถมยังได้รู้จักกับครอบครัวจุ๊ยด้วย”
จุ๊ยก็ยังมองหน้าเขาอยู่
“ทำไมอะ ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”
“เปล่า” จุ๊ยยักไหล่ในที่สุด
“ก็... แค่คิดว่านายนี่แปลกดี”
“แปลกยังไง” อาราอิถาม
“ก็แปลกแล้วกันน่า” จุ๊ยไม่ตอบแล้วก็มองออกไปข้างหน้า
“แต่ก็ดีนะ  ขอบใจนายด้วย  ถ้าไม่ได้นาย ฉันก็แย่เหมือนกัน”
 
เวลาที่ผ่านไปทุกวันเป็นไปอย่างเร็วบ้างช้าบ้างในความรู้สึกของแต่ละคน  แต่สำหรับจุ๊ยมันผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ
เพราะเขานอกจากงานบ้านในแต่ละวัน  เขา ยังต้องไปช่วยครูอติคุมการซ้อมของน้องวงโยธวาทิต ซึ่งแม้จะได้หัวหน้าวงคนใหม่แล้ว แต่อู๊ดก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังทำหน้าที่ไม่ได้ดีพอ  แล้วเขายังไปรับงานเล่นดนตรีตามงานอีเว้นท์ที่เดฟและอาราอิผลัดกันหามาให้เขาตลอด
ต่อมาก็นั่งลุ้นผลวงโยธวาทิต ปรากฏว่าได้รางวัลกลับมา  นั้นทำให้เขารู้สึกภูมิใจกับน้องๆของเขามาก ฉลองกันไปหลายยกเลยที่เดียว

รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลับจากงานอีเว้นท์แล้วได้ยินเด็กรุ่นเดียวกันสองคนคุยกัน อย่างออกรสเรื่องที่พวกเขาเข้าสถาบันที่ใฝ่ฝันได้ในรถไฟฟ้า
จุ๊ยมองกล่องแซกโซโฟน แม้จะบอกว่าไม่ได้คิดจะเรียนต่อ  แต่นึกเสียดายเหมือนกันที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่น  แต่ก็ปลอบใจตนเองว่า มหาวิทยาลัยเปิดก็น่าจะเหมือนกัน  ว่าแล้วพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
 วันรุ่งขึ้นจุ๊ยก็เลยแต่งตัวด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนต์สีเข้มสวมรองเท้าผ้าใบ
“จะไปไหน” อาป๊าถาม
“ไปสมัครเรียนรามครับ” จุ๊ยตอบ
“รู้สึกเฮียแกก็จะพาแกไปเหมือนกัน”
“ไม่ต้องหรอกครับ เขาไม่ต้องใช้ผู้ปกครอง” จุ๊ยตอบ
แต่เฮียตี้เดินลงมาพร้อมจากชั้นสองพร้อมถุงใบหนึ่ง
“เอานี่ไปเปลี่ยนซะ”
จุ๊ยเปิดถุงแล้วเห็นเป็นเสื้อนักศึกษาสีขาว กางเกงผ้าสีดำ เนคไท และเข็มขัดของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง
“อะไรครับนี่” จุ๊ยมองหน้า
“ก็ชุดนักศึกษาของแกไง  ฉันจัดการแทนแกไปแล้วภายใต้การยินยอมของอาป๊า  วันนี้แกต้องไปรายงานตัวกับตรวจสุขภาพกับฉัน”
“แต่” จุ๊ยจะปฏิเสธ
“แต่อะไร” ป๊าเสียงเข้ม
“ไปแต่งตัวเดี่ยวก็สายหรอก”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:18:51
ตอนที่ 24 : ความลับของอ๊อด
พอเลิกจากกิจกรรมสามหนุ่มก็พอกันกลับบ้าน โดยเดินมาตามทางอันร่มรื่นด้วยเงาไม้ของมหาวิทยาลัย แทนจะขึ้นรถรับส่งของมหาวิทยาลัยเพราะเห็นว่ามันค่อนข้างแน่น
“คนอื่นๆ เป็นยังไงบ้างวะ  กูไม่ได้ข่าวใครเลย”
ฮ้อยถาม
“อ้อมึงมัวแต่กลับไปเลี้ยงควายนี่หว่า  ใครจะไปส่งข่าวให้มึง” จุ๊ยเค้นเสียงตรงว่าควาย
“กูไม่ได้เลี้ยงควายเว้ย  เลี้ยงวัว  โคเนื้อขุนอย่างดีด้วย  ไม่ใช่ควายบ้านๆอย่างมึง” ฮ้อยตอบโต้
“อ้าวไอ้เด็กเลี้ยงควาย.. กูไม่ใช่ควาย  ควายที่ไหนจะหล่ออย่างกู” ว่าแล้วก็เสยผม
ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่เด็กนักเรียนหัวเกรียนอีกต่อไปแล้ว  ฮ้อยไว้ผมด้านบนแต่ไถเตียนที่ขอบหูไปทั้งสองข้าง โกรกเป็นสีทองอ่อนๆ ส่วนอ๊อดไว้ทรงบ๊อบปัดไปข้างหนึ่งทำไฮไลท์เป็นสีออกแดง ส่วนจุ๊ยตัดทรงรองทรงมาตราฐานแต่ค่อนข้างสั้นและเสยขึ้นไปให้พอดูเท่ห์  ซึ่งทรงนี้อาราอิเป็นคนแนะนำ
“ไอ้ก้องติดที่มศว. ส่วนไอ้ปอก็ได้โควตาของที่ของแก่น  ไอ้ตั้มได้ที่ม.อ. ภูเก็ต  ส่วนไอ้อัศ เขาเรียนหลักสูตรนานาชาติที่นี่  แต่ก็ยังไม่เห็นมันเลย” อ๊อดตอบ เพราะเขากำลังเห่อเล่นมือถือใหม่ของเขาก็เลยคุยกับเพื่อนทางโซเชียลมีเดียแทบทุกวัน
“แตกกระสานซานเซนไปหมด  ก็มีแต่เรานั่นหละยังเกาะกันอยู่อย่างเหนียวแน่น” ฮ้อยพูดแล้วถอนหายใจ
“ใครอยากเกาะกับมึง  กูเนี่ยนะ  มึงบร้า... กูไม่อยากจะเจอมึงเลยยย ให้ตายชัก” จุ๊ยตอบเสียงยียวน
ฮ้อยเลยหมั่นไส้ขยี้หัวจนผมยุ่ง แต่จุ๊ยก็แค่เสยๆปัดๆ ก็เข้าทรง
“แล้วมีใครเข้าที่นี่อีกวะ  กูจะได้ไปเยี่ยม” ฮ้อยถาม
“ก็มี... ก็เยอะอยู่นะราวสี่สิบห้าสิบคนเลยหล่ะ  ที่สนิทๆก็ไอ้สังดัง ประธานชมรมวิทย์” จุ๊ยตอบ
“มันชื่อสังข์เฉยๆ” ฮ้อยแย้ง
“ทำไมคันหล่ะสิ  พูดถึงไม่ได้เลยนะมึง” จุ๊ยย้อนกลับ
ฮัอยเลยจับมันล็อกคอแล้วลากเดิน  จุ๊ยก็ดิ้นหนีออกมาได้
“มีใครอีก”
“ก็อีเหมียวเข้าคหกรรม  ไอ้ประธานชมรมบาสเข้าวิทยาศาสตร์  ไอ้โม่งที่เล่นกลอง ก็เข้าที่นี่แต่ไปเรียนอักษร” อ๊อดไล่เรียง  แล้วเขาก็วรรค
“ส่วนเมียไอ้จุ๊ย... ก็โน่นไงมาแล้ว... อยู่อินเตอร์”
จุ๊ยลอบถอนหายใจดังเฮือก
“จุ๊ยคร๊าบ คิดถึงจังเลย”  แล้วเดฟก็โผเข้ากอดจุ๊ยแนบแน่นแถมซบลงมาบนหัวของจุ๊ยด้วยความสูงที่เหนือกว่า
เป็นจังหวะพอดีกับรถรับส่งของมหาวิทยาลัยวิ่งผ่านมาพอดี  คนในรถก็เลยหันมามองกันหมด จุ๊ยได้แต่ส่งยิ้มจืดๆให้อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น
“เฮ้ยมึง... อะไรวะเนี่ย  อายคนมั่งไม่ได้อยู่เหมือนกันเมื่อก่อนมีแต่ผู้ชาย  เดี่ยวนี้ผู้หญิงก็มี ไม่รักษาภาพพจน์กูก็รักษาของตัวเองบ้าง  มึงเป็นดารา” จุ๊ยติงเมื่อปลดจากการกอดมาได้  แต่เดฟก็ยังเอาแขนจุ๊ยมาควงแล้วเดิน
“จุ๊ยแคร์เหรอครับ  ผมไม่แคร์”
“หนังสดก็ยังตามมาให้ดูถึงรั้วมหาลัย...” อ็อดบอกกับฮ้อย
แล้วก็เดินตามทั้งคู่ไป
“แล้วเราจะไปไหนกันดีครับ  กินข้าวไหม  ผมไม่ได้กินข้าวกับจุ๊ยนานแล้ว”
“ไม่ต้องซบ”
“หน่อยน่าคิดถึง”
“บอกว่าไม่ต้องงง เว้ย... นี่มึงไซร้หูกูเลยเหรอ”
“ก็จุ๊ยหอมน่าไซร้”
“ไอ้เหี้ยเดฟ”
“โอยอย่าทำผัวสิครับ ผัวเจ็บ”
“ใครเมียมึงงง”
“งั้นเอาใหม่  อย่าทำเมียสิครับที่รัก  เมียเจ็บ”
ห่างออกไปพอสมควร  อาราอิเดินลงมาจากตึกเห็นพวกของจุ๊ยผ่านไปแต่ไกล คิดจะวิ่งตามไปเรียก  แต่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน
เลขหมายที่แสดงเป็นเลขหมายของประเทศญี่ปุ่น
นามิจัง..
“ไฮ นามิจัง” เขาตอบสายเป็นภาษาญี่ปุ่น
 
“เออใช่กว่าจะถามจุ๊ย” เดฟกล่าวตอนที่อยู่ในศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสถาบัน
“เพจแซกเสียงหวานนี่ ตกลงรู้ไหมใครเป็นแอตมิน”
“หือ...” จุ๊ยขมวดคิ้ว
“อ้าวกูก็นึกว่ามึง  ก็กูเห็นมึงออกอยากจะได้กูทำผัว นี่ไม่ใช่เหรอ”
“เฮ้ย แล้วผมจะทำไปทำไม  ผมมีรูปจุ๊ยเยอะแยะในเครื่องก็จริง  แต่ผมเก็บไว้ส่วนตัว”
“เก็บทำไม” จุ๊ยจ้องตา
“อย่าบอกนะว่ามึงเก็บรูปกูไว้ว่าว”
เดฟทำลอยหน้าลอยตา
“เอาโทรศัพท์มาเลย” จุ๊ยทำท่าจะล้วงโทรศัพท์จากกางเกง
“ไม่ให้ จุ๊ยจะเอาไปทำอะไร”
“ก็เอามาลบรูปกูน่ะสิ  อุบาทว์มากเลยไอ้เดฟ” จุ๊ยว่าแล้วก็ยังพยายามจะล้วงแต่เดฟหมุนไปหมุนมา
“อย่าครับ เดี่ยวโดนเดฟน้อย” เดฟร้องออกมาค่อนข้างดัง  คนในศูนย์อาหารก็เลยหันมามองกันหลายคน
จุ๊ยจึงรีบผละออกมา
“ผัดไทสองจานได้แล้วจ้า” แม่ค้าสาวบอก 
“ครับ” จุ๊ยขานแล้วก็เดินมารับ เดฟก็ตามเข้ามา
แม่ค้ามองหน้าจุ๊ย แล้วก็มองหน้าเดฟ ก่อนจะยิ้มกรุ่มกริม
“หยอกกันน่ารักจัง” เธอว่า
เดฟยิ้มหวาน แต่จุ๊ยคว้าจานแล้วรีบเดินไป

“คือเพจมันอัพเมื่อเช้าน่ะ  เป็นรูปจุ๊ยใส่ชุดนักศึกษา” เดฟเปิดFacebook ในโทรศัพท์ให้ดู
“ตอน แรกเดฟสงสัยว่าจะเป็นนังเมียน้อย ก็เลยไม่คิดว่าเพจมันอัพอีก เพราะเขาก็ไม่ได้อยู่กับพวกเรา แล้วภาพมันก็หยุดอัพไปตั้งแต่ปิดเทอม”
“ใครวะนังเมียน้อย” ฮ้อยสะดุดหู
“ก็น้องวาไง” อ๊อดตอบ
“อ้อเหรอ” ฮ้อยพยักหน้า
“นี่มันพฤติกรรมสโตกเกอร์ไหมเนี่ย  น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย” อ๊อดเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ
“โอ้โห้พยายามถ่ายมากเลยนะเนี่ย  มีกระทั้งไอ้จุ๊ยตอนเป่าแซกให้พวกพี่ปีสองปีสามฟัง”
จุ๊ยมีอาการเครียดเล็กน้อย
“แล้วจะทำยังไงหล่ะ  เกิดเป็นพวกโรคจิตอะไรอย่างนี้มิแย่เหรอ” เดฟเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  หน้าตากังวลกว่าจุ๊ย
“มึงจะทำหน้าอย่างนั้นทำไม” จุ๊ยว่าแล้วเอื้อมมาตบบ่าเดฟ
“กูยังไม่เครียดเลย  กูเจอไอ้โรคจิตอยู่บ่อยๆอยู่แล้วนี่หว่า จะมีสโตรกเกอร์เพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่มีปัญหา”
“ใคร โรคจิตไหน  นี่จุ๊ยมีโรคจิตอื่นรบกวนด้วยเหรอ” เดฟสปริงตัวมานั่งตรง
สามหนุ่มนักดนตรีมองหน้ากัน ก่อนจะรุมกันเข้ามา
“ก็มึงไง”
เดฟมองหน้าที่ละคน
“ผมไม่โรคจิตนะ” เขากล่าวเสียงอ่อยๆ
ก่อนจะหันไปคว้าคอจุ๊ยมากอด
“ผมแค่รักจุ๊ยเฉยๆ”
“ปล่อย เดี่ยวกูจิ้มด้วยซ้อม”
“ไม่เอาอะ จิ้มด้วยอย่างอื่นได้ไหม”
“ไอ้โรคจิต”
“ไม่นะแค่รักจุ๊ยเฉยๆ”
“ปล่อยนะไอ้เดฟ”
ฮ้อยถอนหายใจแล้วสบตาอ๊อดที่มองกลับมาด้วยสีหน้าเดียวกัน
 
เพราะฮ้อยย้ายมาอยู่คอนโดมิเนี่ยมริมแม่น้ำใกล้กับบ้านจุ๊ย ก็เลยได้ร่วมทางกลับบ้านด้วยกัน ตอนแรกก็มีอ๊อดมาด้วยกัน
แต่อยู่ๆอ๊อดที่แม้จะย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ใหม่ก็ยังอยู่ใกล้ของเดิม จึงยังต้องร่วมทางกับจุ๊ยเหมือนเดิม  แต่พอเดินทางไปไม่ถึงไหนอยู่ๆอ๊อดก็บอกว่าจะลงก่อนเพราะมีธุระจะไปทำ
สองคนเลยคุยกันเรื่องต่างๆ จุ๊ยก็เลยเล่าถึงเรื่องความตายของน้องสาวด้วย  ฮ้อยได้ฟังถึงกับสลด
“นี่เขาคงรักกันมากจริงๆนั้นหล่ะ  ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเนอะ” ฮ้อยถอนหายใจ 
“ดีนะกูลูกเมียน้อย  พ่อกูคงไม่มายุ่งกับกู”
จุ๊ยเผยรอยยิ้มมุมปาก แต่ตายังเศร้าอยู่
ฮ้อยจะพูดอะไรต่อ แต่โทรศัพท์ดังขึ้นก่อน
“เออ” เขาขานไปเลยแบบนั้นเพราะหมายเลขที่แสดงเป็นของอ๊อด
“เออได้ๆ  เอากี่อัน”
“เออๆ”
แล้วฮ้อยทำท่าจะวางหู แต่เห็นอ๊อดยังไม่วางก็เลยเอามาฟังอีกทีเผื่อเพื่อนจะมีอะไรพูด  แต่ฟังแล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
“เฮ้ยจุ๊ย”
จุ๊ยเงยหน้า จากการสนทนากับหลิวทางไลน์
“อะไร” เขาถามเพราะอยู่ๆฮ้อยก็เอาโทรศัพท์มาแนบหู
“มึงช่วยเอาเพอร์เฟคพีชของมึงฟังสิ”
จุ๊ยฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
“เสียงไอ้อ๊อด กับใครวะ เหมือนคุยอะไรกัน “
“ได้ยินไหมคุยอะไร”
“กินข้าว.. ไอ้อ๊อดบอกว่ากินแล้ว  ฝ่ายโน้นบอกไม่เป็นไร  เดี่ยวไปช่วยเลือกกางเกงหน่อย อยากได้กางเกงเพิ่ม” จุ๊ยตอบ แต่แล้วเขาก็ทำท่าจุ๊ปาก
ฮ้อยที่กำลังจะถามก็เลยเงียบ
“มันวางสายแล้ว” จุ๊ยกล่าว ฮ้อยก็เลยเอาโทรศัพท์เก็บ
“เสียงใครวะ สาวที่ไหน”
“ไม่ใช่สาว  ก็บอกอยู่ว่าไปซื้อกางเกง  ผู้ชายเว้ย” จุ๊ยตอบ  กดพิมพ์ต่อไปเพราะหลิวยิงข้อความมารัวยิบ
“เสียงใครหล่ะ” ฮ้อยอยากรู้
“มึงว่ามันมีใครที่ไม่อยากให้เรารู้อยู่ด้วยรีเปล่าวะ”
จุ๊ยนิ่งไป  แต่ไม่นานเพราะถ้านานกว่านี้ฮ้อยจะจับอาการเขาได้
“ก็ไม่รู้หรอก  ช่างมันเหอะ เดี่ยวมันอยากจะบอก มันก็บอกเอง”
อ๊อดยังมองหน้าจอโทรศัพท์ที่แม้จะไม่มีภาพใดๆแสดงแล้วเพราะหน้าจอดับไปอัตโนมัติ
เขาลืมกดโทรศัพท์ทิ้ง  ซึ่งที่จริงปกติก็ไม่น่ากังวลอะไรเพราะเขาหยอดมันใส่กระเป๋าสะพาย ก็ไม่น่าจะได้ยินเสียงอะไร
แต่ถ้ามีไอ้จุ๊ยอยู่ด้วย   ด้วยหูที่มีความสามารถ Absolute Pitch หรือ Perfect Pitch ที่เป็นความสามารถหายากของมนุษย์ในด้านการได้ยิน  ก็อาจได้ยินสิ่งที่เขาสนทนาเมื่อกี้
เขามองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังเลือกกางเกงจากราว  เด็กหนุ่มผิวค่อนข้างขาว ดวงหน้าเนียนตามแบบคนที่มาจากภาคเหนือเหมือนกับเขา
“ไม่เอาเหรอ  เมืองออกให้นะ  อ๊อดมีแค่สองตัว สลับใส่เดี่ยวก็สังคังกินพอดี”
อ๊อดส่ายหัว
“ไม่กินหรอก  เพราะเมืองก็ซักให้อ๊อดก่อนจะกางเกงจะเน่าอยู่แล้ว”
เมืองฟ้าเผยอมุมปากนิดหนึ่ง แล้วออกปากว่า
“สกปรก”
อ๊อดถอนหายใจแล้วก็ตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน  ถ้าหากโดนคาดคั้น  เขาก็คงยอมรับไปโดยดี ว่าเขากับเมืองฟ้าคบหากันมาได้เกินหนึ่งปีแล้ว...
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:19:36
ตอนที่ 25 : ต้นเหตุแห่งความชิดใกล้
กลับถึงห้องเมืองฟ้าก็เอากับข้าวที่ซื้อมาไปใส่จาน  อ็อดวางกระเป๋าแล้วมองเมืองฟ้าทำอะไรของเขาไปเรื่อย
ถ้าจะลำดับความของความสัมพันธ์ของเขากับเมืองฟ้า 

ความสัมพันธ์ที่เวียนมาครบรอบปีเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา  ทั้งหมดเริ่มจากวันนั้น
วันหนึ่งกลางเดือนเมษายน  หลังสงกรานต์  ในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นม.หก
วันนั้นอ็อดกำลังเซ๊งสุดขีดกับการประกวดดนตรีที่พึ่งจบลงด้วยชัยชนะของจุ๊ยอย่างงดงามในประเภทเครื่องเป่า  แต่เขากลับพลาดในประเภทเครื่องสาย  เพราะความตื่นเต้นในรอบชิงชนะเลิศ
ก็ไม่ใช่ว่าจะอิจฉาจุ๊ยหรอก เพราะเขารู้ดีว่าจุ๊ยกับเขาต่างกันมากๆ  ต่อให้เขาจะนับเป็นมือหนึ่งเรื่องเครื่องสายของโรงเรียน  แต่ถ้าเทียบกับความสามารถที่อ๊อดอยากบอกว่าเหนือคนของจุ๊ยแล้ว  เขาก็เทียบไม่ได้จริงๆ  เพราะแม้แต่เครื่องสายที่ไม่ใช่เครื่องดนตรีถนัด  จุ๊ยก็ขาดแค่ทักษะการเล่นบางอย่างเท่านั้น  แต่ก็เกือบเทียบได้กับเขาเลยทีเดียว
แต่ที่ทำให้เขาต้องมานั่งเหงาอยู่นี่เพราะเซ็งความตื่นเต้นของตัวเอง
ตอนนั้นนึกๆ ก็เลยเอาไวโอลินมาสีแก้เบื่อ
เขาเล่นเพลง Sad Romance ให้กับเขากับอารมณ์ของตัวเอง
เขาเล่นไปตามอารมณ์  ในส่วนหย่อมเล็กๆข้างหอพักที่แทบจะร้างเพราะผู้เข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียน ซึ่งก็กลับบ้านหมด เพราะเป็นช่วงปิดเทอม  แต่อ๊อดไม่มีบ้านให้กลับ... อย่างน้อยที่สุดนั้นก็ไม่ใช่บ้านเขา
อ๊อดปล่อยอารมณ์ไปกับบทเพลง  หลับตาลง 
กระทั้งเพลงจบ  กลับมีเสียงปรบมือดังขึ้น
พอเขาหันมาก็เห็นร่างกะทัดรัดของเด็กหนุ่มยืนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตดำกางเกงขาสั้นแดง  ยิ้มให้เขาและปรบมืออย่างตั้งใจ  ในแสงอาทิตย์ยามเย็น  เขารู้สึกราวได้เห็นเทวดาตัวน้อย
 
“เราพึ่งย้ายมาน่ะ” เมืองฟ้ากล่าวขณะนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกันในร้านอาหารตามสั่ง
“พอดีหอที่เราอยู่ก่อนหน้ามันแพงเกิน  เราก็เลยย้ายมานี่  เพราะเขาว่าถูกมาก  โรงเรียนก็ชอบมาเช่าให้เด็กทุนอยู่”
“ตอนนี้ย้ายไปหมดแล้วหล่ะ  เพราะอ๊อดเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วที่โรงเรียนจะมาเช่าที่นี่  เพราะ เขามีหอใหม่ใกล้ๆโรงเรียน แล้วอาจารย์คนหนึ่งก็เป็นเจ้าของหอด้วย ก็เลยได้ราคาดีกว่า ส่วนอ๊อดนไม่ได้ไป เพราะห้องที่นั้นมันเต็ม” อ๊อดตอบ
เมืองฟ้าเงียบอยู่นิดหนึ่งเหมือนช่างใจก่อนจะถาม
“ทำไมอ๊อดเศร้าจังเลย คือเมืองอาจเล่นดนตรีสากลไม่เป็นนะ แต่ชอบฟังมากๆ  โดยเฉพาะไวโอลิน  แต่เสียงไวโอลินของอ๊อด เมืองว่ามันเศร้าจัง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
อ๊อดมองจานกระเพราะหมูที่กินอยู่
“วันนี้อ๊อดไปแข่งดนตรีรอบชิงมา  แล้วแพ้น่ะ” เขาตอบ แล้วตักข้าวขึ้นกิน  เคี้ยวจนหมดคำ
“อ๊อดตื่นน่ะ เล่นผิดหลายครั้งเลย  ก็เลยโดนตัดคะแนน  เลยแพ้”
เมืองฟ้าได้ฟังก็ถอนหายใจ
“น่าเสียดายเนอะ  อุตส่าห์มาถึงรอบชิงแท้ๆ”
“อืม... อ๊อดหวังไว้เยอะเลยหล่ะ  กะว่าถ้าชนะเลิศจะเอาเงินรางวัลไปซื้อไวโอลินใหม่  แต่นี่ก็อดไป”
แล้วก็หันมองกล่องไวโอลินข้างตัว
“อันนี้มันเก่ามากแล้ว แต่มันไม่ใช่ของดีอะไร  ก็เลยจะพังอยู่แล้ว  วันนี้ก็เอามันไปเหมือนกันนะ  แต่ครูอติบอกให้ใช้ตัวที่ครูเขาเอามาแทน”
เมืองฟ้าพยักหน้า
“เพราะไม่ถนัดหรือเปล่า แบบว่าใช้ไวโอลินที่ไม่ถนัดมืออะไรอย่างนี้ไง”
อ๊อดหัวเราะดังหึ
“แต่ไวโอลินตัวนั้นเป็นไวโอลินที่อ๊อดซ้อมประจำเลยนะตอนอยู่โรงเรียน”
“อ้าว” เมืองฟ้านิ่งทำหน้าเจื่อน
“ไปไม่เป็นเลยแฮะเรา  กะจะปลอบใจอ๊อดซะหน่อย”
อ๊อดยิ้มกับเสียงหัวเราะแหะๆของเมืองฟ้า
“ไม่ต้องแล้วหล่ะ  อ๊อดสบายใจแล้ว”
เขากล่าวแล้วก็ก้มหน้ากินต่อไป
“ก็ยังดีได้ที่สอง”
เมืองฟ้าสะดุด
“อ้าว... ได้ทีสอง... เมืองก็คิดว่าไม่ได้อะไรเลย”
“โอโห้ ได้ที่สองก็แย่แล้ว”
“อ้าวก็นึกว่าตกรอบ”
“จะตกได้ยังไง ก็บอกว่าเข้าชิง”
“เข้าขิงกันกี่คน”
“ก็สิบคน  แต่ถ้ารวมของรอบแรกก็ราวๆ ร้อยกว่าคนได้”
“โอ๊ยแล้วจะเสียใจทำไมเนี่ย... ได้ที่สองจากคนเป็นร้อยก็เก่งจะแย่แล้ว”
“แต่ไอ้จุ๊ยได้ที่หนึ่ง”
“นั้นมันจุ๊ย...เขาเป็น Exceptional person ครูอติก็บอกอย่างนั้นนี่”
“ก็รู้  แต่ที่พูดไม่ได้อิจฉานะ  แต่ว่าแค่รู้สึกแย่เพราะเล่นพลาด  อยากจะเป็นเหมือนมันบ้าง เล่นไม่พลาดเลย”
“ก็ไม่เหมือนกัน  เราคือคนธรรมดา  แต่นั้นมันยอดมนุษย์  ได้ข่าวว่าเขาหูดีมากเลยนี่  แถมฟังเพลงที่เดียวก็เขียนโน้ตได้แล้ว เรามันคนธรรมดา  แค่นี่ก็เก่งมากแล้วอ๊อด...”
เมืองฟ้ากับอ๊อดเคยเห็นหน้ากันบ่อยๆอยุ่แล้ว เพราะเมืองฟ้าอยู่ชมรมดนตรีไทย  มักซ้อมถึงตอนเย็นๆเหมือนกัน  อย่างนี้กระมังทั้งสองจึงรู้คุยกันได้ถูกคออย่างรวดเร็ว
เมืองฟ้าแม้จะอยู่กลุ่มพวกอิมและเจ๊เหมียว  แต่บุคลิกของเมืองฟ้าไม่ได้ออกสาวเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ  เขาแค่ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย  ไม่แต่งหน้าแต่งตา  แถมเวลาคุยกันนานๆจะพบว่าเมืองฟ้าเป็นคนพูดตลกได้ดีไม่แพ้ใคร  เพียงแต่ไม่ค่อยคุยกับใครก่อนก็เลยเหมือนเป็นคนไม่ค่อยพูด
 
เมืองฟ้าแกะห่ออาหารแล้วก็ยกมาวางที่โต๊ะญี่ปุ่นที่อ๊อดลากออกมากาง
ระหว่างกินกันไปเงียบๆ  เมืองฟ้าก็ตักไก่ชิ้นใหญ่ให้
“อ้าว... เมืองชอบไก่นี่” อ๊อดท้วง
“ไม่เป็นไร  นี่อ๊อดกินเยอะๆ เถอะ จะได้อ้วนๆ”
“อ้าว...ถ้าอ๊อดอ้วนเมืองก็เบืออ๊อดดิ”
เมืองฟ้ายิ้มละไม
“ไม่หรอก... ไม่แน่นอน”
อ๊อดยิ้มตอบ
“ไม่ทิ้งกันใช่ไหม”
“เปล่า... ไม่อยู่แน่นอน” เมืองฟ้าตอบแล้วหัวเราะเสียงใส
“งั้นนี่... มาแบ่งกันจะได้อ้วนคู่กันไปเลย” แล้วอ๊อดก็แบ่งไก่ออกเป็นสองส่วนตักใส่จานของเมืองฟ้า
“เป็นหมูเหมือนๆกันไง  หมูสองตัว”
แล้วก็ประสานหัวเราะกัน
 
แล้วพวกเขากลายจากเพื่อนเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร  ก็คงต้องย้อนไปถึงฝนหลงฤดูที่ตกมาหลายวัน และตกหนักมากๆวันนั้น
อ๊อดผิวปากสบายอารมณ์แข่งกับเสียงฟ้าร้องสนั่น  แม้จะเปียกไปครึ่งตัวแต่ก็ยังดีที่ท่อนบนไม่เปียกด้วยร่มที่แย่งมาจากไอ้จุ๊ย
ป่านนี้จุ๊ยคงเปียกฝนเป็นลูกหมา  นึกแล้วสะใจได้แก้แค้นที่มันแกล้งเอาร่มของเขาไปซ่อนแถมทำหายจริงๆอีกต่างหาก
แต่พอเปิดประตูห้องเท่านั้น  เข่าอ่อนแทบทรุด
“เหี้ย... ทำไมกรรมมันตามทันแต่กู...  กูลืมปิดประตูระเบียงงงง”
 ตอนนี่เมืองฟ้าขึ้นมาเห็นอ๊อดก็คือเห็นอ๊อดนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวทำความสะอาดห้องที่เปียกและกระจุยกระจายไปหมดด้วยเดชพายุฝน
“เกิดอะไรขึ้น... มีใครร่ายเวทย์พายุในห้องนี้เหรอ”
เมืองฟ้าไม่เปียกมากนัก  คงเพราะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยเดินเข้าซอยมา
“เวทย์อะไรเล่า... ลืมปิดประตูระเบียง” อ๊อดบอกก็ใช้ผ้าซับน้ำบิดลงถัง
“ฝั่งอ๊อดฝนสาดเต็มๆ  ถ้าลืมปิดประตูก็เรียบร้อย  ทั้งลมทั้งฝน”
เมืองฟ้าเดินเข้ามาดู
“หมดเลยเนอะ ทั้งเสื้อผ้าทั้งที่นอน” เขากล่าวอย่างไม่ทันคิด
พอหันมาเห็นอ๊อดทำตาขวางก็ยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษ”
แล้วเมืองฟ้าก็มาช่วยอ๊อดเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายจนเสร็จ  แต่กระนั้นที่นอนก็ยังเปียก
“แล้วจะนอนยังไง” อ๊อดเกาหัวแกรก
เมืองฟ้ามองหน้าอ๊อดก่อนจะกล่าว
“ไปนอนห้องเมืองไหมหล่ะ”
แล้วทั้งสองก็สบตากันใน  แม้เสียงฟ้าที่ร้องสนั่นอยู่ข้างนอกก็เรียกให้ทั้งคู่หันเหไม่ได้
 
“เรานอนบนพื้นก็ได้นะ” อ๊อดบอก
“จะนอนยังไง  พื้นเย็นจะตาย”  เมืองฟ้าตอบพลางใช้ผ้าเช็ดผมแรงๆ
“ก็... เอาอะไรมาปูนอนเอา”
“เอาอะไรหล่ะ  ห้องนี้มีผ้าห่มผืนเดียว  คือเมืองยังไม่ได้ซื้อเพิ่มนะ ตอนย้ายเห็นมันหนักเลยไม่เอามาด้วย”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบอีก
“นอนเบียดกันก็ได้มั้ง อุ่นดี” อ๊อดว่าแล้วนั่งลงข้างๆตัว
เมืองฟ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองหน้าแดงจนเป็นลูกตำลึง
“เอางี้สิ” เมืองฟ้าเสนอ
“เมืองจะเอาผ้าปูเตียงห่มตัว  ส่วนอ๊อดก็เอาผ้าห่มนี่ลงไปปูนอน”
“ไม่ต้องหรอก” อ๊อดตอบ
“ก็นอนด้วยกันนี่ล่ะ  ทีเวลานอนในค่ายรด.ยังนอนกันได้  หรือเมืองคิดอะไรกับอ๊อด”
เมืองฟ้าถึงกับอึกอัก
“ไม่ได้คิด... เหม่ก็เพื่อนกันนั้นหละ เอาถ้าอ๊อดไม่เป็นฝ่ายกลัวเอง  เมืองก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่”
 
อ๊อดเป็นคนขี้เซาอยู่แล้ว  ตอนแรกก็แปลกๆ แต่พอคุ้นเคยก็หลับไป  คงเพราะความเหนื่อยจากการทำความสะอาดห้อง
กระนั้นเพราะไม่ได้นอนร่วมห้องกับใครมานานมาก นับตั้งแต่ไอ้ไก่ลาออกไป  อ๊อดก็เลยรู้สึกตัวขึ้นกลางดึก
เขาหันไป เห็นเมืองฟ้าก็หลับสนิท  คงเหนื่อยเหมือนกัน
จะว่าไปเมืองฟ้าก็มีโอกาสลักหลับเขาได้ง่ายๆ
แต่สำรวจแล้วกางกุงกางเกงก็ยังปกติ ไม่ร่องรอยล่วงละเมิด  อวัยวะสำคัญก็ปกติดีไม่ได้โดนทำอะไรแน่นอน
เขาก็เลยล้มตัวลงนอนต่อ
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:20:19
ตอนที่ 25 : ต้นเหตุแห่งความชิดใกล้
กลับถึงห้องเมืองฟ้าก็เอากับข้าวที่ซื้อมาไปใส่จาน  อ็อดวางกระเป๋าแล้วมองเมืองฟ้าทำอะไรของเขาไปเรื่อย
ถ้าจะลำดับความของความสัมพันธ์ของเขากับเมืองฟ้า 

ความสัมพันธ์ที่เวียนมาครบรอบปีเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา  ทั้งหมดเริ่มจากวันนั้น
วันหนึ่งกลางเดือนเมษายน  หลังสงกรานต์  ในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นม.หก
วันนั้นอ็อดกำลังเซ๊งสุดขีดกับการประกวดดนตรีที่พึ่งจบลงด้วยชัยชนะของจุ๊ยอย่างงดงามในประเภทเครื่องเป่า  แต่เขากลับพลาดในประเภทเครื่องสาย  เพราะความตื่นเต้นในรอบชิงชนะเลิศ
ก็ไม่ใช่ว่าจะอิจฉาจุ๊ยหรอก เพราะเขารู้ดีว่าจุ๊ยกับเขาต่างกันมากๆ  ต่อให้เขาจะนับเป็นมือหนึ่งเรื่องเครื่องสายของโรงเรียน  แต่ถ้าเทียบกับความสามารถที่อ๊อดอยากบอกว่าเหนือคนของจุ๊ยแล้ว  เขาก็เทียบไม่ได้จริงๆ  เพราะแม้แต่เครื่องสายที่ไม่ใช่เครื่องดนตรีถนัด  จุ๊ยก็ขาดแค่ทักษะการเล่นบางอย่างเท่านั้น  แต่ก็เกือบเทียบได้กับเขาเลยทีเดียว
แต่ที่ทำให้เขาต้องมานั่งเหงาอยู่นี่เพราะเซ็งความตื่นเต้นของตัวเอง
ตอนนั้นนึกๆ ก็เลยเอาไวโอลินมาสีแก้เบื่อ
เขาเล่นเพลง Sad Romance ให้กับเขากับอารมณ์ของตัวเอง
เขาเล่นไปตามอารมณ์  ในส่วนหย่อมเล็กๆข้างหอพักที่แทบจะร้างเพราะผู้เข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียน ซึ่งก็กลับบ้านหมด เพราะเป็นช่วงปิดเทอม  แต่อ๊อดไม่มีบ้านให้กลับ... อย่างน้อยที่สุดนั้นก็ไม่ใช่บ้านเขา
อ๊อดปล่อยอารมณ์ไปกับบทเพลง  หลับตาลง 
กระทั้งเพลงจบ  กลับมีเสียงปรบมือดังขึ้น
พอเขาหันมาก็เห็นร่างกะทัดรัดของเด็กหนุ่มยืนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตดำกางเกงขาสั้นแดง  ยิ้มให้เขาและปรบมืออย่างตั้งใจ  ในแสงอาทิตย์ยามเย็น  เขารู้สึกราวได้เห็นเทวดาตัวน้อย
 
“เราพึ่งย้ายมาน่ะ” เมืองฟ้ากล่าวขณะนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกันในร้านอาหารตามสั่ง
“พอดีหอที่เราอยู่ก่อนหน้ามันแพงเกิน  เราก็เลยย้ายมานี่  เพราะเขาว่าถูกมาก  โรงเรียนก็ชอบมาเช่าให้เด็กทุนอยู่”
“ตอนนี้ย้ายไปหมดแล้วหล่ะ  เพราะอ๊อดเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วที่โรงเรียนจะมาเช่าที่นี่  เพราะ เขามีหอใหม่ใกล้ๆโรงเรียน แล้วอาจารย์คนหนึ่งก็เป็นเจ้าของหอด้วย ก็เลยได้ราคาดีกว่า ส่วนอ๊อดนไม่ได้ไป เพราะห้องที่นั้นมันเต็ม” อ๊อดตอบ
เมืองฟ้าเงียบอยู่นิดหนึ่งเหมือนช่างใจก่อนจะถาม
“ทำไมอ๊อดเศร้าจังเลย คือเมืองอาจเล่นดนตรีสากลไม่เป็นนะ แต่ชอบฟังมากๆ  โดยเฉพาะไวโอลิน  แต่เสียงไวโอลินของอ๊อด เมืองว่ามันเศร้าจัง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
อ๊อดมองจานกระเพราะหมูที่กินอยู่
“วันนี้อ๊อดไปแข่งดนตรีรอบชิงมา  แล้วแพ้น่ะ” เขาตอบ แล้วตักข้าวขึ้นกิน  เคี้ยวจนหมดคำ
“อ๊อดตื่นน่ะ เล่นผิดหลายครั้งเลย  ก็เลยโดนตัดคะแนน  เลยแพ้”
เมืองฟ้าได้ฟังก็ถอนหายใจ
“น่าเสียดายเนอะ  อุตส่าห์มาถึงรอบชิงแท้ๆ”
“อืม... อ๊อดหวังไว้เยอะเลยหล่ะ  กะว่าถ้าชนะเลิศจะเอาเงินรางวัลไปซื้อไวโอลินใหม่  แต่นี่ก็อดไป”
แล้วก็หันมองกล่องไวโอลินข้างตัว
“อันนี้มันเก่ามากแล้ว แต่มันไม่ใช่ของดีอะไร  ก็เลยจะพังอยู่แล้ว  วันนี้ก็เอามันไปเหมือนกันนะ  แต่ครูอติบอกให้ใช้ตัวที่ครูเขาเอามาแทน”
เมืองฟ้าพยักหน้า
“เพราะไม่ถนัดหรือเปล่า แบบว่าใช้ไวโอลินที่ไม่ถนัดมืออะไรอย่างนี้ไง”
อ๊อดหัวเราะดังหึ
“แต่ไวโอลินตัวนั้นเป็นไวโอลินที่อ๊อดซ้อมประจำเลยนะตอนอยู่โรงเรียน”
“อ้าว” เมืองฟ้านิ่งทำหน้าเจื่อน
“ไปไม่เป็นเลยแฮะเรา  กะจะปลอบใจอ๊อดซะหน่อย”
อ๊อดยิ้มกับเสียงหัวเราะแหะๆของเมืองฟ้า
“ไม่ต้องแล้วหล่ะ  อ๊อดสบายใจแล้ว”
เขากล่าวแล้วก็ก้มหน้ากินต่อไป
“ก็ยังดีได้ที่สอง”
เมืองฟ้าสะดุด
“อ้าว... ได้ทีสอง... เมืองก็คิดว่าไม่ได้อะไรเลย”
“โอโห้ ได้ที่สองก็แย่แล้ว”
“อ้าวก็นึกว่าตกรอบ”
“จะตกได้ยังไง ก็บอกว่าเข้าชิง”
“เข้าขิงกันกี่คน”
“ก็สิบคน  แต่ถ้ารวมของรอบแรกก็ราวๆ ร้อยกว่าคนได้”
“โอ๊ยแล้วจะเสียใจทำไมเนี่ย... ได้ที่สองจากคนเป็นร้อยก็เก่งจะแย่แล้ว”
“แต่ไอ้จุ๊ยได้ที่หนึ่ง”
“นั้นมันจุ๊ย...เขาเป็น Exceptional person ครูอติก็บอกอย่างนั้นนี่”
“ก็รู้  แต่ที่พูดไม่ได้อิจฉานะ  แต่ว่าแค่รู้สึกแย่เพราะเล่นพลาด  อยากจะเป็นเหมือนมันบ้าง เล่นไม่พลาดเลย”
“ก็ไม่เหมือนกัน  เราคือคนธรรมดา  แต่นั้นมันยอดมนุษย์  ได้ข่าวว่าเขาหูดีมากเลยนี่  แถมฟังเพลงที่เดียวก็เขียนโน้ตได้แล้ว เรามันคนธรรมดา  แค่นี่ก็เก่งมากแล้วอ๊อด...”
เมืองฟ้ากับอ๊อดเคยเห็นหน้ากันบ่อยๆอยุ่แล้ว เพราะเมืองฟ้าอยู่ชมรมดนตรีไทย  มักซ้อมถึงตอนเย็นๆเหมือนกัน  อย่างนี้กระมังทั้งสองจึงรู้คุยกันได้ถูกคออย่างรวดเร็ว
เมืองฟ้าแม้จะอยู่กลุ่มพวกอิมและเจ๊เหมียว  แต่บุคลิกของเมืองฟ้าไม่ได้ออกสาวเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ  เขาแค่ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย  ไม่แต่งหน้าแต่งตา  แถมเวลาคุยกันนานๆจะพบว่าเมืองฟ้าเป็นคนพูดตลกได้ดีไม่แพ้ใคร  เพียงแต่ไม่ค่อยคุยกับใครก่อนก็เลยเหมือนเป็นคนไม่ค่อยพูด
 
เมืองฟ้าแกะห่ออาหารแล้วก็ยกมาวางที่โต๊ะญี่ปุ่นที่อ๊อดลากออกมากาง
ระหว่างกินกันไปเงียบๆ  เมืองฟ้าก็ตักไก่ชิ้นใหญ่ให้
“อ้าว... เมืองชอบไก่นี่” อ๊อดท้วง
“ไม่เป็นไร  นี่อ๊อดกินเยอะๆ เถอะ จะได้อ้วนๆ”
“อ้าว...ถ้าอ๊อดอ้วนเมืองก็เบืออ๊อดดิ”
เมืองฟ้ายิ้มละไม
“ไม่หรอก... ไม่แน่นอน”
อ๊อดยิ้มตอบ
“ไม่ทิ้งกันใช่ไหม”
“เปล่า... ไม่อยู่แน่นอน” เมืองฟ้าตอบแล้วหัวเราะเสียงใส
“งั้นนี่... มาแบ่งกันจะได้อ้วนคู่กันไปเลย” แล้วอ๊อดก็แบ่งไก่ออกเป็นสองส่วนตักใส่จานของเมืองฟ้า
“เป็นหมูเหมือนๆกันไง  หมูสองตัว”
แล้วก็ประสานหัวเราะกัน
 
แล้วพวกเขากลายจากเพื่อนเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร  ก็คงต้องย้อนไปถึงฝนหลงฤดูที่ตกมาหลายวัน และตกหนักมากๆวันนั้น
อ๊อดผิวปากสบายอารมณ์แข่งกับเสียงฟ้าร้องสนั่น  แม้จะเปียกไปครึ่งตัวแต่ก็ยังดีที่ท่อนบนไม่เปียกด้วยร่มที่แย่งมาจากไอ้จุ๊ย
ป่านนี้จุ๊ยคงเปียกฝนเป็นลูกหมา  นึกแล้วสะใจได้แก้แค้นที่มันแกล้งเอาร่มของเขาไปซ่อนแถมทำหายจริงๆอีกต่างหาก
แต่พอเปิดประตูห้องเท่านั้น  เข่าอ่อนแทบทรุด
“เหี้ย... ทำไมกรรมมันตามทันแต่กู...  กูลืมปิดประตูระเบียงงงง”
 ตอนนี่เมืองฟ้าขึ้นมาเห็นอ๊อดก็คือเห็นอ๊อดนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวทำความสะอาดห้องที่เปียกและกระจุยกระจายไปหมดด้วยเดชพายุฝน
“เกิดอะไรขึ้น... มีใครร่ายเวทย์พายุในห้องนี้เหรอ”
เมืองฟ้าไม่เปียกมากนัก  คงเพราะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยเดินเข้าซอยมา
“เวทย์อะไรเล่า... ลืมปิดประตูระเบียง” อ๊อดบอกก็ใช้ผ้าซับน้ำบิดลงถัง
“ฝั่งอ๊อดฝนสาดเต็มๆ  ถ้าลืมปิดประตูก็เรียบร้อย  ทั้งลมทั้งฝน”
เมืองฟ้าเดินเข้ามาดู
“หมดเลยเนอะ ทั้งเสื้อผ้าทั้งที่นอน” เขากล่าวอย่างไม่ทันคิด
พอหันมาเห็นอ๊อดทำตาขวางก็ยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษ”
แล้วเมืองฟ้าก็มาช่วยอ๊อดเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายจนเสร็จ  แต่กระนั้นที่นอนก็ยังเปียก
“แล้วจะนอนยังไง” อ๊อดเกาหัวแกรก
เมืองฟ้ามองหน้าอ๊อดก่อนจะกล่าว
“ไปนอนห้องเมืองไหมหล่ะ”
แล้วทั้งสองก็สบตากันใน  แม้เสียงฟ้าที่ร้องสนั่นอยู่ข้างนอกก็เรียกให้ทั้งคู่หันเหไม่ได้
 
“เรานอนบนพื้นก็ได้นะ” อ๊อดบอก
“จะนอนยังไง  พื้นเย็นจะตาย”  เมืองฟ้าตอบพลางใช้ผ้าเช็ดผมแรงๆ
“ก็... เอาอะไรมาปูนอนเอา”
“เอาอะไรหล่ะ  ห้องนี้มีผ้าห่มผืนเดียว  คือเมืองยังไม่ได้ซื้อเพิ่มนะ ตอนย้ายเห็นมันหนักเลยไม่เอามาด้วย”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบอีก
“นอนเบียดกันก็ได้มั้ง อุ่นดี” อ๊อดว่าแล้วนั่งลงข้างๆตัว
เมืองฟ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองหน้าแดงจนเป็นลูกตำลึง
“เอางี้สิ” เมืองฟ้าเสนอ
“เมืองจะเอาผ้าปูเตียงห่มตัว  ส่วนอ๊อดก็เอาผ้าห่มนี่ลงไปปูนอน”
“ไม่ต้องหรอก” อ๊อดตอบ
“ก็นอนด้วยกันนี่ล่ะ  ทีเวลานอนในค่ายรด.ยังนอนกันได้  หรือเมืองคิดอะไรกับอ๊อด”
เมืองฟ้าถึงกับอึกอัก
“ไม่ได้คิด... เหม่ก็เพื่อนกันนั้นหละ เอาถ้าอ๊อดไม่เป็นฝ่ายกลัวเอง  เมืองก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่”
 
อ๊อดเป็นคนขี้เซาอยู่แล้ว  ตอนแรกก็แปลกๆ แต่พอคุ้นเคยก็หลับไป  คงเพราะความเหนื่อยจากการทำความสะอาดห้อง
กระนั้นเพราะไม่ได้นอนร่วมห้องกับใครมานานมาก นับตั้งแต่ไอ้ไก่ลาออกไป  อ๊อดก็เลยรู้สึกตัวขึ้นกลางดึก
เขาหันไป เห็นเมืองฟ้าก็หลับสนิท  คงเหนื่อยเหมือนกัน
จะว่าไปเมืองฟ้าก็มีโอกาสลักหลับเขาได้ง่ายๆ
แต่สำรวจแล้วกางกุงกางเกงก็ยังปกติ ไม่ร่องรอยล่วงละเมิด  อวัยวะสำคัญก็ปกติดีไม่ได้โดนทำอะไรแน่นอน
เขาก็เลยล้มตัวลงนอนต่อ
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:21:24
ตอนที่ 27 : ดนตรีคืออะไร คำตอบของสายน้ำ
อาจารย์ปกรณ์คือหนึ่งในบุคลากรทางดนตรีชั้นยอดของมหาวิทยาลัยและประเทศ  เขาผลิดลูกศิษย์ไปแล้วเป็นหมื่น เวียนว่ายในวงการดนตรีบ้าง  หลุดวงโครจรไปบ้าง  บางคนประสบความสำเร็จในระดับประเทศก็มี
แต่เด็กคนที่นั้งมองหน้าเขาอยู่นี้แตกต่างออกไป  เขาเหมือนจะโดดเด่นออกมาจากหมู่เพื่อนที่นั่งอยู่ในห้อง  ไม่สิ  โดดเด่นมาจากคนอื่นๆโดยทั่วไป
เมื่อปีที่แล้วเขาได้รับเชิญให้ไปเป็นกรรมการตัดสินการประกวดดนตรี  ซึ่งแน่นอนเขาต้องเป็นตัววางหลักในการตัดสินประเภทเครื่องเป่า
เด็กหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวในชุดนักเรียนมัธยม  กับแซกโซโฟนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแพงระยับแน่นอน
แต่ให้ใช้แซกโซโฟนเทพเจ้า  แต่ถ้าเล่นไปไม่ได้สติก็ไร้ค่า
“นายนทีธาร แซ่จาง  กับบทเพลง My One and Only Love”
นทีธารโค้งแล้วยืนนิ่ง  เขาสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกอย่างช้าๆยาวๆ
การหายใจแบบนี้คล้ายใครคนหนึ่งที่เขารู้จัก 
รุ่นพี่ของเขา ถนอม
“หรือจะเป็นลูกศิษย์ของพี่ถนอม”
แล้ว เขาก็เริ่มต้นเป่า  เสียงที่เปล่งออกมาจากฮอนสีเงินรมดำเป็นเสียงต่ำในช่วงแรกจะที่สร้างกระแส อากาศที่สั่นไหว  จากนั้นก็ค่อยๆสูงไปตามโน๊ตของบทเพลง  ปลายเสียงสูงแผ่ซ่านและมีการไหวระรัวอย่างอ่อนโยน
ตอนนั้นไม่มีใครสักคนที่ขยับ  หลายคนคงเหมือนกับปกรณ์ที่รู้สึกว่าเสียงนั้นโอบล้อมเอาไว้เหมือนความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ 
และเสียงนั้นก็เลื่อนไหลไปตามตัวโน๊ตอย่างกลมกลึง...
จน แม้เพลงจบแล้วไปชั่วขณะ  ก็ยังไม่มีเสียงปรบมือ  กระทั้งต้นเสียงคือปกรณ์เอง  เขาลุกขึ้นยืนและปรบมือโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดีกว่านั้น
จากนั้นก็เป็นเสียงปรบมือจนกึกก้องสถานที่ประกวด
 
“นายนทีธาร  ดนตรีคืออะไรสำหรับคุณ” ปกรณ์ถาม
นทีธารหันไปมองหน้าสหายสนิทที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“ไม่รู้เหมือนกันครับ” เขาลุกขึ้นตอบ 
เพื่อนๆหัวเราะกันคิกคักเบาๆ  เพราะเกรงใจอาจารย์
“แล้วทำไมเธอถึงเล่นดนตรี” ปกรณ์กอดอกอย่างใจเย็น
“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” เขาตอบด้วยเสียงอ่อยๆ  แต่ประโยคต่อมานั้น
“ผม ก็แค่อยากจะเล่น  คือผมก็ไม่รู้ว่าทำไม  เพราะเวลาเล่นแล้วมันจะมีความสุข  ผมว่าทุกคนที่มาเรียนที่นี่ก็คงไม่รู้ว่าทำไม  แต่เรามาเรียนเพราะเรามีความสุขในการเรียน ในการฝึก”
ปกรณ์หันมองหน้าลูกศิษย์คนอื่น ที่เปลี่ยนท่าทีไปจากความขบขัน
“แล้วถ้าวันหนึ่งเธอไม่มีความสุขกับมัน  เธอจะเลิกเล่นดนตรีไหม” ปกรณ์ถามต่อ
เด็กหนุ่มยิ้ม
“ก็เล่นครับ  เพราะถ้าผมไม่มีความสุขดนตรีก็จะทำให้ผมมีความสุขอยู่ดีนี่ครับ”
ปกรณ์เงียบไป
เพื่อนๆก็เหมือนกัน
“โอเค... ถ้าอย่างนั้นก็จำคำพูดนี้เอาไว้  ผมจะคอยดูคุณว่าคุณจะเล่นสนุกไปจนถึงระดับไหน”
 
ใน โรงอาหารที่ใกล้กับตึกเรียนของคณะที่สุด  จุ๊ยกำลังจะหยอดพริกลงไปในชามก๋วยเตี๋ยวของฮ้อย  เขาต้องคอยมองเพราะตอนนี้ฮ้อยอยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่ 
“ไอ้จุ๊ย”
จุ๊ยสะดุ้งพริกที่อยู่ในช้อนเลยสาดไปทั่ว
“ไอ้เหี้ยอัส” จุ๊ยลุกขึ้นปัดพริกออกจากตัว
“มึงสิเหี้ยไอ้จุ๊ย  นี่มึงจะแกล้งคนเอาโล่หรือไงวะ” อัศวะนั่งลง
จุ๊ยนั่งลงทำท่าจุ๊ปาก
“กูจะเอาพริกให้มันแดก” ว่าแล้วก็หันไปตักพริกที่อุตส่าห์ตักใส่ชามเล็กมาอีกช้อน
แต่ฮ้อยมายืนอยู่ข้างหลังแล้วจึงแย่งเอาช้อน แล้วเทใส่จานจุ๊ย  ท่ามกลางเสียร้องของจุ๊ย
“ไอ้เพื่อนสารเลว” ฮ้อยด่าใส่หน้าในระยะใกล้
จุ๊ยหันไปทำหน้าค้อนอัศวะที่ทำให้เสียแผน แล้วก็ค้อนฮ้อยที่เทพริกใส่จานเขา
ฮ้อยนั่งลง
“มึงหายหัวไปไหนมาตั้งเกือบเดือนกว่าๆ  กูไปหามึงอยู่ไม่เคยเจอ   ไอ้เดฟเรียนคณะเดียวกับมึงกูยังเจอบ่อยกว่า”
อัศวะยิ้ม
“พอดีกูไปเรียนร้องเพลงทุกวัน”
“ร้องเพลง” จุ๊ยทำเสียงสูง แต่ไม่ได้พูดต่อเพราะกำลังตักพริกออกจากข้าวมันไก่ของตัวเอง
“เรียนทำไม  จะออกเทปเหรอวะ” ฮ้อยถาม
อัศวะเลิกคิ้วก่อนจะตอบว่า
“เออ”
สองสหายมองหน้ากัน 
ถึงแม้อัศวะจะเล่นดนตรีไม่เก่งกาจอย่างเขาทั้งสอง  แต่เสียงของอัศวะก็นับได้ว่าเข้าขั้นดีพอตัว
“โถๆๆ โถ่อนิจจา” จุ๊ยทำส่ายหัว หน้าเพลีย ถอนหายใจ
“วงการเพลงเมืองไทยตกต่ำกันถึงขนาดเอาลิงมาร้องเพลงแล้วเหรอวะเนี่ย”
ดังป๊าบ
อัศวะตบหัวจุ๊ยไปทีจนเกือบหน้าทิ่มใส่ข้าวมันไก่
“แดรกไก่ของมึงไปไอ้ตัวกินไก่” อัศวะว่าแล้วกดหัวจุ๊ยซ้ำอีกสักที
“มิ น่า” ฮ้อยพิจารณาจากความเปลี่ยนแปลง  ตอนนี้อัศวะดูดีขึ้นมากกว่าตอนเรียนมัธยม  นอกจาผมที่ยาวขึ้นตัดเป็นทรงเซริฟคัททำสีนิดหน่อยแล้ว ก็มีผิวหน้าที่ดูจะเนียนใสขึ้น
“แม่งหล่อขึ้น”
“จริงไหมจุ๊ย”
จุ๊ยหันมามองหน้าอัศวะมองไปมองมา
แล้วขยับหน้าไปใกล้ๆ
“ลิง” เขาตอกใส่หน้าเต็มๆ
อัศวะเลยจับจุ๊ยล๊อกคอแล้วลากลงมาตีหัว
“มึงสิไอ้ลิง  ปากนี่มีหมาอยู่กี่ตัววะ  ขอกูตบตามจำนวนหมาหน่อยสิ”
พอจุ๊ยดิ้นหลุดออกไปได้
อัศวะก็ถาม
“ไอ้อ๊อดมันไปทำอะไรหน้าคณะวิทย์  กูเห็นมันยืนอยู่  แต่เรียกไปไม่ทัน มันเดินเข้าไปก่อน” 
ฮ้อยมองหน้าจุ๊ย ก่อนจะถามกลับ
“แล้วทำไม่ตามเข้าไป”
อัศวะแปลกใจ
“กู น่ะชักแปลกๆใจกับมัน  เดี่ยวนี้มันแปลกๆ  วันก่อนอยู่ซ้อมร้องเพลงเชียวร์กลับดึก วันนั้นกูเอารถมา กูกะจะไปส่งที่หอก็ไม่เอา นั่งแท็กซี่กลับเอง” ฮ้อยว่า
“กูสงสัยว่ามันจะแอบสุ่มคบใครอยู่”
จุ๊ยเผยอปากข้างหนึ่ง
“มึงอะคิดมาก” จุ๊ยแย้ง
“มันอาจปวดขี้  ก็เลยไปขี้ตึกนั้นก็ได้”
“เหม่แล้วตึกเราไม่มีส้วมรีไง” ฮ้อยย้อน
“อ้าวก็อาจขี้ที่นั้นสบายตูดกว่า  แบบเห็นหน้ามึงแล้วขี้ไม่ออกอะไรอย่างนี้” จุ๊ยตอบ
อัศวะถอนหายใจ  ตัดบท
“พอเหอะคนรอบตัวเขามองกันหมดแล้ว  แม่งคุยกันเรื่องขี้ในโรงอาหาร”
“เออ  จุ๊ยมึงเห็นแฟนไอ้โยชิรึยัง”
จุ๊ยทำหน้าสงสัย
“เห็นว่าชื่อนามิจัง  เป็นญี่ปุ่น  ตอนนี้เขามาเรียนที่นี่ตามโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นน่ะ”
“ไม่รู้สิ” จุ๊ยตอบ
“กูก็ไม่ได้เจอมันมาเป็นเดือนแล้วเหมือนกัน คุยกันในเฟสในไลน์มันก็ไม่เห็นบอก”
“สวยนะมึง  น่ารักมากเลย” อัศวะว่า
“วันก่อนกูเห็นมันนั่งกระหนุงกระหนิงกันหน้าตึก  โอ้ยอย่างกับพระเอกนางเอกจากซีรี่ญี่ปุ่น”
“ซีรี่หรือ เอวี” จุ๊ยเชิดหน้ามองหมิ่น
“ซีรี่” อัศวะย้ำ
“หน้าอย่างมึงดูซีรี่... กูว่าดูเอวีมากกว่ามั้ง  ดูหน้าแฟนอาราอิแล้วก็เอาไปชักว่าว... เดี่ยวกูจะฟ้องมัน” จุ๊ยทำท่าชี้นิ้ว
“ไอ้ลามก” อัศวะไสหัวมันสักที
แต่ฮ้อยแปลกหู
“มึงเรียกโยชิว่าอะไรนะ”
“อาราอิ” จุ๊ยตอบ
“ทำไม” อัศวะงง
“ก็มันบอกให้กูเรียก  มันบอกมันชื่อ โยชิฮิสะ อาราอิ  โยชิฮิสะ เป็นนามสกุล  อาราอิเป็นชื่อ  มันเลยให้กูเรียกอาราอิ”
“อ้าว...” อัศวะเกาหัว
“นี่กูก็เห็นพวกรุ่นพี่เรียกมันว่า โยชิๆ กันหมดคณะ  ไม่เห็นใครเรียกว่าอาราอิสักคน”


ฝน ที่โปรยมาตั้งแต่บ่ายเริ่มจางไป  กระนั้นมันก็ยังจับเกล็ดอยุ่บนบานกระจก เมื่ออาราอิมองออกไป ในภาพของกรุงเทพยามหัวค่ำ  จึงเป็นภาพที่บิดเบี้ยวละพร่ามัว
เสียงสัญญาณเตือนจากโทรศัพท์มือถือเรียกเขาให้หันไปโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้มือมากดดู
เป็นจุ๊ยนั้นเองส่งรูปหน้าบึ่งงอนมา
“พาแฟนมาทำไมไม่พาให้เพื่อนดูหน้า อาราอิ”
“กลัวเพื่อนจะแย่งแฟนเหรอวะ”
อาราอินิ่งไป  แล้วเขาก็หันไปมองหญิงสาวที่นอนหลับใหล  ซุกร่างเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่ม
เขากดลมหายใจตัวเองแล้วจึงหันกลับมากดตอบ
“ก็ยังไม่ว่าง เอาไว้จะนัดออกมาเจอกันเอง”
รอสักครู่จุ๊ยก็ส่งข้อความมา
“อยู่ด้วยกันรึเปล่า  ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ”
“ถ้าไม่ถ่ายแปลว่า กำลัง XXX กันอยู่”
อาราอิยิ้มออกมา
“ไอ้ลามก” เขาพิมพ์ตอบไป
“แสดงว่าใช่ เฮ้ยๆเฮ้ย เสียวเว้ย” จุ๊ยตอบกลับมา  แล้วเหมือนหน้าทะเล้นทะเล้นก็เหมือนจะปรากฏในคำพูดนั้น
“ไอ้ลามก มากๆๆๆๆ” เขาพิมพ์ตอบกลับไป
“อาราอิ” มือกอดจากด้านหลัง  สัมผัสถึงร่างกายนุ่มนิ่มบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขา
“ใครน่ะ”
อาราอินิ่งก่อนจะตอบ
“เพื่อนคนนี้หล่ะ ที่เคยเล่าให้ฟัง”
“ที่บอกว่าเล่นแซคโซโฟนได้อย่างกับมืออาชีพน่ะเหรอ” นามิจังเอื้อมมาเลื่อนหน้าจอแล้วขยายภาพของจุ๊ยออกมา
“หน้าตาตลกจัง ไม่เห็นเหมือนกับจะเป็นนักดนตรีที่เก่งกาจอย่างที่อาราอิบอกเลย”
“แต่นี่ก็คือคนที่อาราอิฝึกภาษาไทย เพื่อจะทิ้งญี่ปุ่นมาไม่ใช่เหรอ... นามิจังอยากจะเจอกับเขาซักครั้ง”
อาราอิไม่ตอบแต่หันมองออกไปอย่างไร้ทิศทาง
“ฉันมีงานโชว์ตัวตอนสองทุ่ม  ไปอาบน้ำก่อนนะ”
แล้วอาราอิก็กดปุ่มเพื่อปิดหน้าจอ  เอาโทรศัพท์วางไว้กับโต๊ะข้างตัวเดินไป
นามิจังมองโทรศัพท์นั้นแล้ว เธอหยิบมาแล้วกดจากนั้นก็ใส่รหัสปลดล๊อก
ถ่ายภาพตัวเอง แล้วก็ส่งไปยังห้องสนทนานั้น
เธอรออยู่ครู่หนึ่ง นานพอจะให้ภาพนั้นส่งไปที่โทรศัพท์ของคู่สนทนา  แล้วเธอก็ลบภาพนั้นเสีย
 
อีกด้านของการสนทนา 
จุ๊ยได้รับภาพนั้นมา.. เขานั่งนิ่ง  แล้วเริ่มต้นใช้ความคิด
 
“เฮ้ย..มึงอยู่ไหน” ฐากรอกเสียงใส่โทรศัพท์ดังพอสมควร
ฝ่ายโน้นตอบมา
ฐาแม้จะโกรธ ฐาก็ต้องใจเย็นลง
“เออๆนอนไปเหอะ กินยาด้วยเดี่ยวตาย  กูขี้เกียจไปงานศพ”
ปอนกับโย่งที่จับตามองเพื่อนตั้งแต่เมื่อสักครู่ รีบถาม
“เป็นไง ไอ้พีชมันถึงไหนแล้ว”
“แม่งขี้แตก” ฐาตอบ
“อ้าว แล้วเอาไง.. นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะมึง  งานนี้ยังไงก็เป็นงานใหญ่ เขาเชิญแขกระดับวีไอพีมาทั้งนั้น  แล้วมึงจะให้กูไปบอกพี่สรรค์ยังไงว่านักดนตรีขาดไปคนหนึ่ง” ปอนเสยผมแรงๆ
“แม่งซ้อมแทบตาย  กูอุตส่าห์  ซ้อมมาเนี่ยอาทิตย์เต็มๆ” โย่งส่ายหัว
ฐาคิด  คนที่ไม่ต้องซ้อม คนที่เห็นฟังครั้งเดียวก็เล่นได้... ก็มีแต่..
“รอเดี่ยวนะกูจะถามดู”
“เฮ้ยเดี่ยว  ใคร  มึงจะโทรหาใคร” ปอนรั้งไว้ก่อน
“อย่าบอกนะวะไอ้น้องจุ๊ย  ไม่ไหวนะเว้ย... กูเล่นกับมันไม่ได้หรอก  ไม่เคยซ้อมกับมันเลย  แถมแม่งเก่งกว่ากูอีกต่างหาก”
“เออไม่ไหวนะเว้ย  วันก่อนมันเล่น กูเห็นมันเป่า Glazunov Saxophone Concerto แม่ง... มืออาชีพชัดๆ  ไม่ไหวไม่ไหว  กูเล่นตามมันไม่ได้จริงๆ”
“พวก มึงยังไม่รู้จักมันดี  มันเด็กวงโยนะเฟ้ย  มันถูกฝึกให้เล่นกับวง  มันอาจจะเก่งแต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะประเภทโชว์ออฟตลอด เวลามันต้องเล่นประคอง หรือเล่นหนุนคนอื่น  มันก็รู้จักยั้ง... กูเคยเล่นกับมันมาก่อน  กูรู้ดี” ฐาชี้แจง
“อีกอย่างนี่พวกมึงอะไรกันมากมาย  มันจะมาแทนไอ้พีช ดังนั้นมันจะเล่นแทนไอ้พีช  ก็คือฟลุ๊ท  แล้วก็ไม่ได้เล่น concerto สักเพลง  เล่นเพลง cover pop ธรรมดานี่  มึงยังกลัวมันก็ไม่รู้จะพูดไงแล้ว”
ฐาพูดไปก็กดโทรศัพท์
“กู รู้ว่าพวกมึงน่ะมองมันแปลกๆ  เพราะมันเก่งมาก  แต่จริงๆแล้วพวกมึงต้องลองได้รู้จักมันจริงๆ  มึงจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้เป็นหัวหน้าวงโดยเอกฉันท์  ไม่ใช่เพราะมันเก่ง  แต่เพราะมันประคองวงได้ สนับสนุนคนอื่นเป็น”
 
อาราอิหันมามองนามิจังที่รบเร้าจะตามเขามาด้วย
“งั้นนามิจังก็ไปรอฉันในงานก่อน  ถ้าใครถามก็บอกว่ามากับโยชิ อย่าบอกว่าอาราอินะ  คนที่นี่เขาไม่รู้จักอาราอิ”
นามิจังพยักหน้า
อาราอิจึงพลักประตูเข้าไป
ตรงทางเดินเข้าไปหลังเวทีนั้นเอง  มีวงดนตรีซ้อมอยู่  แล้วคนที่ถือฟรุ๊ตฟังชายอีกสามคนพูดอย่างตั้งใจคือจุ๊ย
นาทีนั้น  อาราอิรู้สึกลังเลกับก้าวต่อไปของตัวเอง  อยากหันกลับเดินหนีเสียให้ได้
“อ้าวอาราอิ” จุ๊ยหันมาเห็น
อาราอิจึงเดินเข้าไป
จริงๆเขาอยากจะปั้นหน้าเสแสร้งกับจุ๊ย  แต่เพราะอะไรไม่รู้ เขาไม่สามารถเล่นละครกับจุ๊ยได้สักที
“มาด้วยเหรอ” อาราอิถาม แล้วมองหน้านักดนตรีอีกสามคน
“พี่ฐาเขารับงานนี้มา แต่วงขาดไปคนหนึ่งก็เลยเรียกเรามาเสียบ” พูดแล้วยกฟรุ๊ตให้ดู
“เห็นไหมเสียบแรงด้วย ยาวด้วย”
อาราอิยิ้มออกมาจนได้
“เออ ที่บอกอยากเจอนามิจัง  วันนี้เขามาด้วย”
จุ๊ยที่หันไปดูกระดาษชาร์ตโน้ตแล้วก็หันกลับมา
“อ้อเห็นแล้วล่ะ” แล้วเขาก็วางมือบนบ่า อาราอี  แล้วขยับเข้ามากระซิบ
“แต่วันหลังถ่ายมาตอนใส่เสื้อผ้าครบก็ดีนะ  เห็นแล้วเสียวหัวใจ”
อาราอิขมวดคิ้ว กำลังจะถามกลับ  แต่ผุ้จัดการก้องก็ออกมาเสียก่อน
“โยชิครับ เร็วๆสายแล้ว”
 
แม้ จะไม่ค่อยได้เล่น  แต่จุ๊ยก็เคยเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้มาจนคล่อง  ดังนั้นแค่การเล่นเพลงป๊อบง่ายๆ เขาจึงเล่นมันได้อย่างไม่เค้อเขิน
แต่ ระหว่างเล่นๆ ไปจุ๊ยก็ได้ยินเสียงเคาะเปียโนที่ผิดปกติ  เหลือบไปก็เห็นว่าโย่งมีปัญหาอยู่กับการปลิวของกระดาษชาร์ต  เขาเหลือบตามองฐาเล่นไวโอลีนที่ก็คงรู้เหมือนกัน เพราะส่งสัญญาณสายตาให้จุ๊ยช่วยแก้ไข

จุ๊ยก็เลยเริ่มต้นใช้เทคนิคแพรวพราวของเขาเพื่อดึงความสนใจและกลบเกลื่อนความผิดพลาด  เพื่อให้โย่งจัดการกับกระดาษโน๊ตได้สำเร็จ
เสียงเปียโนกลับมาเข้าแนวทางเขาก็ค่อยๆผ่อนให้กลับมาอยู่โหมดเล่นวง  เหลือบไปมองปานซึ่งกำลังเป่าทรัมเปต ปานก็ผงกหัวให้เชิงว่าขอบใจ
 
จุ๊ยแยกส่วนฟรุ๊ตทำความสะอาดแล้วเก็บลงกล่อง
โย่งที่ไปห้องน้ำกลับมาก็ตบบ่า
“ขอบใจมากน้องจุ๊ย  ไม่งั้นล่มแน่ๆ”
ปานตบหัวเพื่อนไปที
“นี่แนะ ไหนว่าซ้อมดี”
“ก็ชีทมันปลิว  ไอ้ห่าใครแม่งเอาเปียโนไปไว้ใต้ช่องแอร์” โย่งแก้ตัว
แต่ปานก็หันมาจุ๊ย
“มึงอยากเล่นกับพวกพี่ไหมวะ พี่มีงานเรื่อยๆ  เพราะพี่เป็นเพื่อนกับบริษัทออร์แกนไนส์”
ฐาเข้ามาได้ยินพอดี
“เออ ดี  มึงจะได้มีรายได้เสริมด้วย”
“แล้วก็เขี่ยไอ้พีทพ้นไป เย้” โย่งเข้ามาหนุน 
“โหๆได้โอกาส ไอ้พีชมันหล่อละสิ  มึงอิจฉาที่มันได้พริตตี้บ่อยๆ”  ปานว่าด้วยรู้เท่าทันใจเพื่อน
ฐาหัวเราะหึๆ แล้วก็หันมาหาจุ๊ย
“แล้วว่าไง อยากเล่นไหม”
“ก็อยากนะพี่  แต่พี่พีทจะไม่ว่าเอาเหรอ”
“โอ้ยมันเบี้ยวโคตรบ่อย  กูสามคนต้องนั่งลุ้นว่ามันจะมาไหมแทบทุกงาน” ปานตอบแล้วส่ายหัว
จุ๊ยมองหน้าฐาก่อนจะพยักหน้า
“โอเคได้พี่  แต่ผมไม่แบ่งพริตตี้ให้นะพี่ ถ้าผมได้”
“เอา... ไอ้จุ๊ยนี่มึงยังไม่ทันไรก็งกกับพี่ แล้วเหรอวะ” โย่งชี้หน้า
“อ้าวพี่หล่อใครหล่อมัน... ได้ก็ได้ของผม  พี่จะแบ่ง  ไม่กลายเป็นหมู่เหรอพี่  ไม่ไหวนะ หมู่เนี่ยผมไม่ถนัด”
“ชะช่า  ไอ้นี่ต่อปากต่อคำ  มานี่เลย..มาลงนามสัญญาก่อน  ได้พริตตี้ถ้าได้สองแบ่ง  ถ้าได้หนึ่งเป่ายิงฉุบ”
“เฮ้ย โกงนี่หว่าเล่นทำสัญญากันล่วงหน้า  แบ่งกันสองคน ไม่เผื่อกูบ้าง”
ฐาส่ายหัวดุกดิก
แล้วในตอนนั้น ทำไมหนอเขานึกถึงไตรเพื่อนรักขึ้นมาทันที
ที่จริงทุกครั้งที่เห็นจุ๊ยนั้นหล่ะ  เขาเหมือนจะเห็นเงาของไตรซ้อนมาทุกครั้งไป
เขายังไม่สามารถลบเงาไตรจากจุ๊ยได้  แล้วใจของจุ๊ยเองหล่ะ  จะสามารถปล่อยไตรอยู่แต่ในอดีตได้จริงๆหรือไม่
 
นามิจังรู้สึกอึดอัดกับการที่อาราอิไม่พูดกับเธอมาตั้งแต่ขับรถออกมาจากสถานที่จัดงาน
“อาราอิ เป็นอะไรอีกหล่ะ  โกธรใครมาอีกหล่ะ”
อาราอิไม่ตอบในครั้งแรก แต่รอจนติดไฟแดงจึงได้กล่าว
“เธอส่งภาพอะไรให้จุ๊ย”
นามิจังอึ้ง ก่อนจะตอบด้วยคำถาม
“นี่เขาบอกเธอแล้วเหรอ  ไปเจอกันตอนไหน”
“ก็ในงาน  จุ๊ยเขามาเล่นดนตรี  วันนี้เขาเล่นฟรุ๊ท”
นามิจังร้องอ๋อ
“คนนั้นน่ะเหรอ  ก็ดูน่ารักดี เรียบๆแต่ตาสวยดี”
“นามิจังตอบไม่ตรงคำถาม” อาราอิชักหงุดหงิด
นามิจังทำหน้าอ้อนๆ
“ก็แค่ล้อเล่น นามิจังก็ถ่ายรูปตอนที่อาราอิไปห้องน้ำแล้วส่งไป”
อาราอิเอามือกระแทกพวงมาลัย
“นามิทำอย่างนี้ได้ยังไง  ที่นี่เมืองไทย  เขาถือสากับเรื่องพวกนี้  ต่อให้เป็นญี่ปุ่นเราก็ไม่ทำกันไม่ใช่เหรอ... นามิต้องการอะไร”
แต่พอเห็นนามิจังทำหน้าหงอ  อาราอิก็ถอนหายใจ
“อย่าเล่นโทรศัพท์ฉันอีกนะ  แล้วก็อย่าไปรบกวนจุ๊ยด้วย”
 
จุ๊ย มักจะออกมาวิ่งในสวนสาธารณะใกล้บ้านบ่อยๆ  ระหว่างวิ่งก็จะฝึกการหายใจที่อาจารย์ถนอมของเขาสอน  ร่างกายของจุ๊ยไม่ได้มีกล้ามเนื้อใหญ่โต  แต่ทว่ากลับแข็งแรงคงเพราะการที่เขาต้องยกเครื่องเหล็กในร้านมาตั้งแต่ เด็กๆ  และยังต้องทำการบริหารร่างกายตามคำแนะนำของอาจารย์ถนอมด้วย 
วิ่ง ไปได้ห้ารอบ  จุ๊ยก็ชะลอความเร็วแล้วก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการหยุดวิ่ง  เขากางแขนแล้วดึงเข้าเพื่อให้ปอดขยาย  แล้วค่อยๆหยุดเท้า ยืนก้มแตะปลายเท้าสลับอีกนิดหน่อยแล้วจึงนั่งลงมองไปในแนวต้นไม้ที่ตกแต่ง อย่างสวยงาม
แล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนการลั่นไกชัตเตอร์
พอหันไปเห็นใครคนหนึ่งถ่ายภาพของเขา  ลดกล้องลงก็จึงได้เห็นหน้า
“อ้าวไอ้สิณ จุ๊ยทัก”
กสิณเดินมานั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ
เขา เป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมของจุ๊ย  และยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน  แต่เขาอยู่คณะศิลปกรรม กสิณมีนิสัยพูดน้อย  และมักจะโลว์โฟร์ไฟล์เสียจนแทบไม่มีใครสังเกตุการมีตัวตนของกสิณ
“มาวิ่งเหรอ”
“อืม... เรียกพลังปอด” จุ๊ยตอบ  แล้วเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า
กสิณส่งน้ำดื่มที่ตัวเองพกไว้ในกระเป๋าให้
“ขอบใจ  มึงมาทำอะไร”
“ถ่ายรูป ทำPortfolio “ กสิณโชว์กล้อง
“แล้วรูปกูจะไปอยู่ในพอร์ตด้วยไหม” จุ๊ยถามแล้วหัวเราะ  แสงที่ตกลงพอดิบพอดีทำให้ดวงหน้าสว่างอย่างน่ามอง
“เมื่อกี้ตกใจเลย  พักนี้ยิ่งมีสโตรกเกอร์ตามอยู่ด้วย  นึกว่าใช่แล้ว”
“สโตรกเกอร์” กสิณทวนคำ
“อืม... มีเพจหนึ่งชื่อแซกเสียงหวาน เอารูปกูไปลง  มีคนไลก์ประมาณสองหมื่นแล้วมั๊งตอนที่เข้าไปดูล่าสุด”
“แล้วไม่ดีหรอ” กสิณถาม
“มึงเป็นคนน่ารัก สาวๆก็อยากจะติดตาม”
จุ๊ยก็หัวเราะอีก
“หึๆ  ไม่รู้ติดตามไปทำอะไร... ถ้าอยากเจอ ก็มาหาเลยดีกว่า   กูก็อยู่ของกู  แถมไม่รู้มีใครเอารูปกูไปจินตนาการทำร้ายตัวเองไหม  แค่ไอ้เดฟคนเดียวก็จะบ้าตายแล้ว”
กสิณยิ้มจางๆ
“ไม่หรอกมั้ง  คนบางคนเขาก็แค่ชมชอบความงดงาม  แต่ไม่ได้อยากครอบครอง หรือไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างว่า”
“ขอให้จริงเหอะ” จุ๊ยลุกขึ้น
“ไปหาอะไรกินกันไหม”
ทั้งสองไปนั่งกินเต้าฮวยที่ร้านข้างทาง ซึ่งเป็นรถเข็น แต่มีเก้าอี้ประมาณสิบกว่าตัวให้ลูกค้านั่ง
“แล้วเป็นไง เรียน” จุ๊ยถามก่อน เพราะถ้าไม่พูดอะไรออกมา มีหวังได้จมความเงียบตาย  เพราะกสิณพูดน้อยมาก
“ก็ดีนะ  แล้วมึงหละ” เขาตอบ  สมกับฉายาที่เพื่อนเรียกว่า ดอกพิกุลอินวิสเบิ้ล
“ก็ดีเหมือนกัน  แต่ตอนนี้เรียนวิชาทั่วไปอยู่  เรียนเกี่ยวกับดนตรีจริงๆมีนิดเดียวเอง” จุ๊ยตอบ 
“กูเลยว่าเทอมนี้กูตายแน่  สงสัยต้องฝึกกำลังปากเอาไว้ดีๆ เอาไว้คาบเส้น ”
กสิณ ยิ้มอีก  จะว่าไปเวลากสิณยิ้มหน้าตาเฉยๆของเขาก็ชวนมอง  ดวงหน้าที่ประกอบไปด้วยดวงตาที่แวววาว  จมูกโด่งสัน  นั้นก็เรียกว่าหล่อตามสไตล์เด็กจากภาคเดียวกับตั้ม คือภาคใต้แต่คนละจังหวัด
“ไม่เป็นไรนี่  ก็เอาหมาในปากมาช่วยกันคาบสิ  จุ๊ยเลี้ยงไว้เยอะนี่”
จุ๊ยแหล่มองเขม้น
“เหม่ไอ้ห่า... พูดน้อยต่อยหนักนะมึง ปะเดี่ยวก็ได้กินเต้าฮวยทางหูแทนปากหรอก” ว่าแล้วก็ยกชามเต้าฮวยมาเสมอหูของกสิณ
กสิณหัวเราะน้อยๆ เอี่ยวตัวหลบ
พอ กินเสร็จ ก็จะแยกกัน  กสิณนึกอะไรได้เอากล้องมาแล้วกดเลื่อนภาพไปภาพหนึ่งที่บันทึกไว้หลายวันแล้ว จากนั้นก็ส่งให้จุ๊ยดูภาพจากจอหลังกล้อง
“นี่มันเมืองฟ้ารึเปล่า” กสิณถาม
“เด็กห้องวิทย์ ที่ตัวเคยอยู่ชมรมดนตรีไทย ที่เล่นขลุ่ย”
“เออ... ใช่เลย..” จุ๊ยตอบ  แต่กสิณกดภาพต่อมาให้ดู
“กูเจอมันอยู่ด้วยกันหลายครั้งแล้ว  แต่ครั้งนี้มีกล้องไปด้วยเลยถ่ายมา” เขากล่าว
จุ๊ยขมวดคิ้ว  แต่ก็ตอบออกไป“เฮ้ยคงไม่มีอะไรมั้ง” 
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:22:07
ตอนที่ 28 : บอกความจริง
อ๊อดวางกล่องไวโอลินลงบนโต๊ะกลางที่กลุ่มเพื่อนนั่งอยู่
“เอามาทำไม” ฮ้อยถาม มือก็พลิกนิตยสารที่ยืมเพื่อนร่วมคณะมาอ่านเล่น
“ไม่มีวิชาเรียนดนตรีไม่ใช่เหรอ”
จุ๊ยมองหน้าเพื่อน
“กูไปรับงานเขาไว้  เขาแอตFace มาแล้วก็เสนองานให้ไปเล่น” อ๊ฮดตอบแล้วนั่งลงข้างจุ๊ย
แล้วก็ทิ้งตัวนอนลงบนตักจุ๊ย
“ง่วงวะ  นอนแป่บนะ ปลุกด้วย”
จุ๊ยมองลงมาเห็นอ๊อดหลับตาจริงๆอย่างปาก
แล้วเขาก็นึกถึงวันหนึ่งที่เมื่อปีที่แล้ว  ที่อ๊อดนอนลงแบบนี้  แล้วเขาก็สังเกตเห็นเสื้อที่ปักมีอักษรที่อ่านได้ว่า
เมืองฟ้า  ยอดสิริตรา
“อ๊อด” จุ๊ยดันอ๊อดให้ลุกขึ้น  แล้วก็ดึงแขน
“มากับกูหน่อยสิ”
 
ห่างออกมาพอสมควร  จุ๊ยจ้องตาอ๊อดอย่างจริงจัง
“มึงเป็นเพื่อนกูที่สนิทมาก  ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานแบบไอ้ฮ้อย  แต่กูก็สนิทกับมึงมาก” จุ๊ยกล่าวแล้วหยิบโทรศัพท์มือถืออกมา
“จงอธิบายภาพนี้อย่างเหมาะสม 10คะแนน”
อ๊อดอึ้งไปเมื่อได้เห็น
เป็นภาพของเขาเอง  เดินกอดคอเมืองฟ้า
“มึงสองคนสนิทกันมากขนาดจับเนื้อต้องตัวกันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
อ๊อดถอนหายใจ
“ก็ปีกว่าๆแล้ว ที่กูกับเมืองคบกัน”
แล้วอ็อดก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ก็อย่างนี้ล่ะ กูก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับพวกมึงยังไง” อ๊อดมองลงไปในสระน้ำของมหาวิทยาลัย  เห็นเต่าสองตัวโผล่ผิวน้ำมามองหาอาหาร
จุ๊ยยังไม่ได้พูดอะไร
อ๊อดจึงพูดต่อ 
“มึงรังเกียจไหมวะจุ๊ย... รังเกียจเพื่อนที่เป็นเกย์ไหมวะจุ๊ย”
ความเงียบทำให้อ๊อดอึดอัด  แต่เขาก็ยังไม่กล้าหันมามองหน้าจุ๊ย
“ไอ้สัตว์” แล้วตบป๊าบที่ไหล่อย่างแรง จนอ๊อดถลาจะลงสระ
“เฮ้ยๆ” จุ๊ยดึงไว้แขนมันไว้แถมรวบเอว
“ไอ้จุ๊ยนี่มึงเล่นเหี้ยอะไร” อ๊อดท้วง เขาใจหายวาบ
“กูว่ายน้ำไม่เป็นมึงก็รู้”
จุ๊ยหัวเราะ
“ก็มึงน่ะดูถูกกู”
อ็อดสะดุดหู
จุ๊ยจึงเอามือกอดคอไว้
“มึง จำไว้นะเฟ้ยกูไม่มีทางรังเกียจเพื่อนกู  กูรักเพื่อนกู  ไม่ว่าเพื่อนกูจะชอบแบบไหน อย่างไรมันก็คือเพื่อนกู  มึงอย่าหมิ่นน้ำใจกูอีก  ไม่งั้นกูจะให้มึงลงไปนอนในบ่อ  ให้เต่าตอดหำด้วนไปเลย” แล้วก็ทำท่าจะดันอ๊อดให้ตกสระ
“เฮ้ยๆ” อ๊อดกอดเอวจุ๊ยแน่น
“ลงไป” จุ๊ยเอาเอวกระแทกอีกที
“ไอ้เหี้ย”
“ลงไปซ้อมไว้ก่อน  เวลากูถีบจริงจะได้ไม่เขิน”
“พ่อมึงเหอะ ไอ้จุ๊ยกูกลัวจริงๆนะมึง”
“ลงไป..”
“ไอ้เหี้ยจุ๊ยกูว่ายน้ำไม่เป็น”
ตอนนั้นอ๊อดกอดจุ๊ยจนแน่น... แล้วเจ้ากรรม รถโดยสารของมหาวิทยาลัยก็วิ่งผ่านมา  คนในรถก็มองคอหัน
จุ๊ยก็คงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะผละออกจากอ๊อด
“ไอ้สัตว์คนเข้าใจกูผิดหมด” จุ๊ยกล่าวพร้อมจัดเสื้อตัวเองให้เรียบร้อย
“มึงล่ะ สัตว์ มึงจะผลักกูตกน้ำ กูก็ต้องกอดมึงสิวะ” อ๊อดโต้
แล้วสองสหายก็กอดคอกันไปพร้อมหัวเราะแซวหยอกกันคิกคัก

“ผมให้ป๊าครับ” จุ๊ยวางซองเงินที่ได้รับมาจากการแสดงดนตรีไว้บนโต๊ะ
“เอามาให้ทำไม” ป๊าตอบ  โดยไม่มองมัน
“เอ็งมีใช้แล้วเหรอ”
“มี แล้วครับ  ผมเก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนนี้เอาไว้ให้ป๊าจ่ายค่าน้ำค่าไฟ” จุ๊ยตอบแล้วนั่งลงที่ต๊ะบัญชีเอาใบวางบิลและสมุดบัญชีและเอกสารอื่นๆมาวาง ไว้
บิดาเหลือบมามองเขา
“มัวแต่ไปตะลอนๆเล่นดนตรี  ประเดี่ยวก็เรียนตามเพื่อนไม่ทัน”
จุ๊ยเปิดสมุดบัญชี  ตีเส้นหน้า
“ไม่หรอกครับ  เพราะผมเรียนดนตรี  การเล่นคือการเรียน  ดังนั้นผมไปเล่นก็เหมือนกับไปเรียน แถมได้เงิน”
แล้วเขาก็หันไปเรียงเอกสารวางบิล
“เฮียมันมีแฟนแล้วใช่ไหม”
จุ๊ยเงยหน้ามองบิดา
“ป๊ารู้มาจากไหนครับ”
“หมวยออย  ลูกเจ๊กเอิน ที่อยู่ตลาดสดบอก  เคาบอกว่าเฮียของลื้อมีแฟนแล้วเป็นนักเรียนหมอเหมือนกัน”
จุ๊ยคิด
ออ ย... อ้อเพื่อนของหลิวที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน  แต่ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับจุ๊ย  และอยู่คณะที่ตึกเรียนใกล้กับตึกเรียนคณะของเฮียตี้  ไม่แปลกหรอกที่จะเคยเห็น  แต่เขาเองเรียนมาจนเข้าเทอมสองแล้วก็ยังไม่เคยเห็น เพราะตึกเรียนของเขาอยู่ห่างจากตึกเรียนของเฮียมาก  เจอกันเองยังนับครั้งได้
“ผมไม่ค่อยได้เจอเฮียที่ม.ครับ  เราเรียนคนละตึก  เอาไว้ผมถามให้นะครับ”
ป๊าไม่ได้ตอบในทันที เงียบไปแล้วกล่าวขึ้น
“เดี่ยวนี้มันทำอะไรไม่ค่อยเห็นหัวป๊าหรอก  บอกมันด้วย  ไม่ต้องแอบๆซ่อนๆ  พามาให้รู้จักกันก็ได้”
จุ๊ยนึกถึงคำพูดของเฮียตอนที่เขาถามเรืองนี้
“ครับแล้วผมจะบอกเฮียเอง”
ซัวกลับมาจากข้างนอกด้วยท่าทางอิดโรย
“ไปทำอะไรมา” จุ๊ยถาม
“เปล่า ก็ไปเรียน” ซัวตอบ
 จุ๊ยหันมองนาฬิกา แสดงเวลาสองทุ่มแล้ว
“เรียนจนถึงป่านนี้เลยเหรอ”
“ก็บอกว่าไปเรียนไง ฟังไม่รู้เรื่องเหรอเฮีย” ซัวตอบเสียงดัง หันมามองหน้าตาเขม็ง 
แต่เห็นตาจุ๊ยที่สบด้วยแล้วก็อ่อนลง  ก่อนเดินไปเงียบๆ
จุ๊ยก้มหน้าลงทำงานต่อไป เพื่อไม่ต้องถูกตั้งคำถามโดยป๊า  แต่ในใจยังสงสัยเรื่องแววตาคู่นั้นอยู่
 
กว่าจุ๊ยจะเคลียร์บัญชีเสร็จ ก็เกือบเที่ยงคืน  แต่จุ๊ยก็ยังอยากจะลองดูว่าน้องชายหลับหรือยัง
จึงเดินขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสี่  แต่พอดีกับซัวเดินสวนลงมา
ทั้งคู่เลยหยุดมองหน้ากันที่กลางบันได
“เฮียมีอะไรรึเปล่า”
จุ๊ยมองหน้าน้องชาย
“แล้วมึงละมีอะไรจะคุยกับเฮียไหม”
ซัวหันหนีแววตาของจุ๊ย
แต่จุ๊ยกลับดึงเขามาใกล้ๆ
“ไหน ดูสิว่าเป็นหนุ่มขึ้นไหม... ไอ้ห่า... สิวขึ้นนี่ สิวเครียดหรือสิวเงี่ยน  อย่างมึงนี่ไม่น่าจะมีสิวเงี่ยนเลยนี่หว่า  มีสาวมากดบัตรคิวรอ”
ซัวเผลอยิ้มออกมา
“อาบน้ำแล้วไปนอนไป  อย่าลืมเอาแป้งโรยไข่ด้วย  จะได้นอนสบาย” จุ๊ยขยี้หัว  แล้วกำลังจะเดินลงมา
แต่ซัวกลับดึงร่างเขามากอดจากข้างหลัง
“ผมขอโทษครับเฮีย ผมเสียงดังกับเฮีย”
จุ๊ยก็เอนหัวไปให้หัวตัวเองโดนหัวของซัว
“กู ก็ผิดที่พักนี้ไม่ค่อยได้ดุยกับมึง  ถ้ามึงอยากจะคุยกับเฮีย  ก็มาที่ห้อง  หรือไม่เดี่ยวกูไปเล่นดนตรีมา แล้วจะซื้อโทรศัพท์มาให้มึงจะได้โทรหาได้”
ซัวถอนหายใจแล้วตอบ
“ผมมีแล้วเฮีย  ผมไปทำงานพิเศษได้เงินมา  ก็เลยเอาไปซื้อโทรศัพท์  รุ่นถูกๆน่ะเฮียทัชก็ไม่ค่อยไป”
จุ๊ยขานว่าอืม
“แล้วเป็นไงบ้างตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” จุ๊ยถาม
ซัวไม่ตอบในทันที แต่แค่การกอดทีแน่นขึ้นก็ทำให้จุ๊ยรับรู้ได้
“ถ้า ผมไม่ไหว  ผมจะบอกเฮียเองเมื่อผมไม่ไหว  แต่ขอผมจัดการเองก่อนนะเฮีย  ผมอยากเก่งเหมือนเฮียที่จัดการได้ทุกเรือง  ผมอยากพึ่งตัวเองได้บ้าง”
จุ๊ยเอาหัวโขกมันสองทีเบาๆ
“หัว ขี้เลื่อยโง่ๆอย่างมึงจะทำอะไรได้  แต่ก็เอาวะ  โตแล้ว  เอาเป็นว่ากูไว้ใจมึง  ถ้ามึงอยากจะขอความช่วยเหลือ ก็อย่าลืมว่ากูยินดีจะช่วยมึงเสมอ”
“ครับเฮีย”
“ไปอาบน้ำเหอะ” จุ๊ยปลดมือแล้วหันมาขยี้หัวมันเบาๆ
“ไปทำงานร้านเซเว่นมาแหง่เลยใช่ไหม  กลิ่นนมกลิ่นไส้กรอกติดตัวมึงเต็มไปหมด เดี่ยวกูก็เผลอแดกเข้าไปหรอก ยิ่งหิวๆอยู่”
“เอาแขนไปกินก่อนไหมเฮีย...วันนี้ล้างท่อดักไขมันพอดีเลย”
“อี๊แล้วมึงมากอดกูเนี่ยนะ”
“อ้าวก็นึกว่าเฮียชอบ”
 
ซัวอาบน้ำเสร็จแล้ว  เขาก็เดินมานั่งขยี้หัวตัวเองบนเตียง
มองไปก็เห็นรูปถ่ายของเขากับเฮียจุ๊ยตอนที่เป็นเด็กที่ไปเที่ยวลาวกันแล้วยืนแฮ๊กท่ายอดมนุษย์กันหน้าประตูชัย
กี่ปีแล้วหนอ..
ตอนนั้นอาม๊ายังอยู่เลย 
พออาม๊าตายไป  ก็มีเฮียจุ๊ยนี่ล่ะเอาใจใส่ดูแลเขา  เฮียจุ๊ยเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชาย  เป็นคนที่ซัวรักมากที่สุดในชีวิตนี้
“ผมจะพยายามครับเฮีย” เชากล่าวกับใบหน้าทะเล้นๆของพี่ชาย
 
 จุ๊ยถอนหายใจยาวกับเรื่องที่อาจารย์บรรยายอยู่หน้าห้อง
“ไม่ยักรู้ว่าทฤษฏีมันจะยากเย็นขนาดนี้” จุ๊ยส่ายหัว
“ก็แม่งเล่นมาตั้งแต่ห้าขวบ ไม่ยักเคยรู้ว่า...ไอ้บรรพบุรุษของเปียโนเป็นอะไร  แล้วกูก็ไม่อยากรู้ด้วย  กูก็แค่เล่นมัน  มันก็ส่งเสียงไปตามที่กูเล่น  มาเรียนแบบนี้กูก็เลยรู้เลย  วันหลังเจอเปียโนกูต้องกราบสักการะบรรพชนมันด้วยริปล่าวะ”
“เอาน่าเรียนๆไป” อ๊อดกล่าวแต่ตาก็จะหลับแล้ว
“เรียนแล้วเอามาเล่าให้กูฟังด้วย กูไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนนะ  มีนัดเล่น Four season ให้ท่านฟัง”
ฮ้อ ยที่กำลังจดยิกๆหันมา  มันเป็นเอกลักษณ์ของฮ้อย  เพราะเขาไม่ได้มีพรสวรรค์เลิศเลออย่างจุ๊ย และไม่ได้เป็นศิลปินตัวจริงเหมือนอ๊อด  ดังนั้นการเรียนรู้ของฮ้อยจึงใช้ความขยันขันแข็งและใฝ่รู้
“แต่อาจารย์ก็บรรยายน่าเบื่อเกิน” ฮ้อยว่า
จุ๊ยถอนหายใจแล้วหันไปมองนอกห้องบรรยาย
“นายนทีธาร”
จุ๊ยสะดุ้ง
“ครับผม” เขาขานเสียงหวาน
“นอกหน้าต่างมันไม่มีสิ่งที่ออกข้อสอบหรอก  หันมามองหน้าฉันนี่  ตรงนี้มีข้อสอบ” อาจารย์สาววัยกลางคนกล่าว
“คร๊าบ... มิน่า.. อย่างกับพิณโบราณเลย” จุ๊ยตอบออกไปตามภาษาปากไว
เพื่อนหัวเราะกันครื้น
“นี่เธอว่าฉันแก่เหรอ” อาจารย์เสียงเขียว
“อ้อเปล่าครับ  ผมหมายถึงเสียงอาจารย์เหมือนฮาร์ฟไม่มีผิด  ไพเราะจับใจ”  จุ๊ยแก้คำพูด  แล้วยิ้มหวานอีก
เพื่อนโห่ฮากัน
“แล้วนั้นใคร  อธิการ ใช่ไหม”
จุ๊ยเอาศอกถองอ๊อด
“ตื่น เฮ้ยตื่น..”
แต่อ๊อดลองได้หลับ ก็คอพับไม่รู้เรื่อง
“อ้อ  มันไปเฝ้าพระอินทร์ เล่น Four season Vivaldi ให้ฟัง  อาจารย์รอหน่อยนะครับ  เดี่ยวจบมันก็ลงมาเอง” จุ๊ยกล่าวแล้วถองซอกซ้ำ
อาจารย์ส่ายหัว ก่อนจะกวักมือเรียก
“มานี่เลยทั้งคู่ มายืนตรงนี้จะได้ไม่เบื่อ  มาฟังเสียงฮาร์ฟใกล้ๆตรงนี้เลย”
“ครับ” จุ๊ยลุกขึ้นแต่ อ๊อดก็ยังไม่ตื่น
เขาเลยดันมันจนตกเก้าอี้
เพื่อนหัวเราะกันลั่นห้อง
 
“เรื่องหัวหินอาทิตย์นี้ว่าไง”
พอโดนถามจุ๊ยเลยเงยหน้า จากนิตยสารที่กำลังอ่าน

“อ้อ เออ... กูบอกพ่อกูไว้แล้วหละ  ก็คงไปน่ะ”
“ดีๆ ขาดมึงไป ก็ไม่มีตัวโจ๊กสิวะ” เจ้าของฝ่ามือที่ตบลงมาคือหน่อง เพื่อนร่วมคณะ
“กูไม่ว่างนะ” อ๊อดตอบ
“กูมีงานทั้งสองวัน”
หน่องทำหน้าเซ็ง
“ได้ไงวะ  ขาดคู่หูคู่ฮา  งานก็กร่อยไปครึ่งสิวะ”
“โอ้ย...” ฮ้อยร้อง
“แค่ไอ้จุ๊ยปล่อยหมาในปากออกมา  พวกมึงก็ฮากันท้องแข็งแล้ว”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:22:53
ตอนที่ 29 : พายุกระหน่ำ ความสัมพันธ์ในหนึ่งคืน
ที่จริง แม้ปากจะบอกว่าไปเที่ยวกัน แต่ก็เหมือนไปตั้งวงกินเหล้านอกสถานที่มากกว่า เพราะมาถึงก็เข้าที่พักและเตรียมตั้งวงกินเหล้า  ตอนแรกจุ๊ยคิดว่ามีแต่เพื่อนที่เรียนคณะเดียวกัน  แต่กลับมีเพื่อนๆของเขาจากคณะอื่นมาร่วมด้วยหลายคน  หนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารู้จักดี
“ไม่เจอกันนานเลยนะจุ๊ย” การทักทายจากหญิงสาวใบหน้าสวยทำให้จุ๊ยต้องงง
“ออยเหรอ.. โหสวยจนจุ๊ยจำเกือบไม่ได้” จุ๊ยร้องออกมาหลังนึกอยู่ครู่
ที่จริงเขาก็ดูออกว่าเธอเหมือนจะไปทำศัลยกรรมจมูกมานิดหน่อย
“ใครๆก็ว่าจุ๊ยปากปีจอ  แต่รู้สึกจอตัวนี้จะปากหวานนะเนี่ย” ออยกล่าว แล้ววางมือบนต้นแขนของจุ๊ย
จุ๊ยมองมือของเธอ
“จุ๊ยมาช่วยกูยกถังนี่หน่อยวะ” เสียงตะโกนคืออ้นที่ยืนอยู่กับเต้ สองเพื่อนในคณะ
แล้วจุ๊ยก็ยกมือบอกออยในลักษณะขอตัว
ออยมองจุ๊ย เดินไปช่วยเพื่อนยกถังน้ำแข็งใบใหญ่ขึ้นไปบนระเบียงของบังกะโล
ออยยิ้ม เธอเป็นลูกสาวของญาติห่างๆของจุ๊ย  จุ๊ยเรียกบิดาเธอว่าเจ๊กเอิน  สมัยเด็กๆเธอจุ๊ยและหลิวเคยวิ่งเล่นด้วยกัน  แต่ตอนหลังพ่อของเธอย้ายไปบ้านไปเปิดของชำที่ฝั่งตลาดสด  ก็เลยห่างๆกันไป  แต่กระนั้นเธอก็ยังสนิทกับหลิวเพราะเรียนโรงเรียนเดียวกัน
เธอ ยอมรับว่าอิจฉาหลิวมากๆ ที่ยังใกล้ชิดกับจุ๊ย  เพราะเธอนั้นชอบจุ๊ยตั้งแต่เด็กๆ  แล้วยิ่งชอบขึ้นอีกเมื่อจุ๊ยไปเล่นดนตรีที่โรงเรียน  ภาพจุ๊ยกับแซกโซโฟนพิมพ์ใจเธอมานานมาก
เธอแอบเก็บรูปทุกรูปของจุ๊ยที่เพจแซกเสียงหวานเอามาโพสต์ และถึงขนาดเคยใช้เป็นวอลเปเปอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน
แล้วออยก็ยิ้มออกมา
“ในเมื่อเธอไม่อยู่เฝ้าของเธอเอง  ฉันขอแล้วกันนะหลิว”
 
บรรยากาศ ริมทะเล  ออยนั่งมองจุ๊ยเล่นมุกเลียนเสียงอาจารย์ผู้สอนให้เพื่อนดู  แล้วทุกคนก็หัวเราะกันสนุกสนาน  จุ๊ยเป็นเหมือนเมือสมัยก่อนไม่ผิด  ยังคงเป็นคนอารมณ์ดีทีสร้างความสุขให้คนอื่นได้
สักพักจุ๊ยก็ขอตัวไปห้องน้ำ  ออยจึงหันไปหยิบเอาแก้วมาผสมเครื่องดื่ม 
ตอน ไปเข้าห้องน้ำ มีโทรศัพท์เรียกเข้า เป็นสายจากเดฟ  นั้นทำให้จุ๊ยแปลกใจที่เดฟก็ถูกชวนมาด้วย  เดาว่าฮ้อยคงยุ  เพราะอยากจะให้เดฟมาแกล้งเขา 
แต่ด้วยความที่ว่า บรรดาเพื่อนๆเริ่มองค์ลง  เอาเครื่องดนตรีมาเล่นกันเสียงดังพอสมควร  ทำให้เขาต้องมายืนตอบสายเดฟในระยะห่างพอสมควร
 “เออ แล้วเจอกัน” จุ๊ยตอบแล้วกดโทรศัพท์วางสาย 
หันมาออยยืนอยู่ข้างหลัง  ยืนแก้วเหล้าผสมให้
“แอบหยดกระทิงกับน้ำแดงลงไปรึเปล่า” เขารับแก้วมาไกวดู
“จุ๊ยแพ้นะ  ลองได้กินสองอย่างนี้พร้อมเหล้า  เมาหลับทุกที”
“เปล่าหรอก แต่หยดยาเซ๊กซ์ลงไปสองหยดเอง” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ
จุ๊ยทำเสียงหึๆ
“ไม่ต้องพึ่งยาหรอก  เจอสวยๆอย่างออย จุ๊ยก็หื่นแน่นอน”
ออยยิ้มและหยอดหางตาให้
“เออ แล้วหลิวเขาจะกลับมาเมือไหร่” เธอถามแล้วเอาเอวพิงกับขอบระเบียง
“เห็นว่าปีนี้ไม่กลับนะ  เพราะกำลังปรับตัว  กลับปีหน้า” จุ๊ยตอบแล้วพิงระเบียงในอาการเดียวกัน
ออยนิ่งไปสักพัก
“ตกลงจุ๊ยกับหลิวก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆใช่ไหม”
จุ๊ยหันมามองหน้าเธอ  เขาบอกตามตรงว่าเริ่มประติดประต่อภาพของออยกับเด็กหญิงกะโปโลสมัยเด็กไม่ได้แล้ว
“ก็ยัง  จุ๊ยว่ามันเร็วไป” จุ๊ยตอบแล้วจิบเครื่องดื่มอีก
“เราเป็นเพื่อนกันแบบเดิมก่อน  แล้วค่อยคิดว่าจะเป็นอะไรต่อหลังจากเธอกลับมา”
ออยยิ้ม
“หลิวนี่โง่นะ”
จุ๊ยหันมามองหน้าเธอ
“ถ้าเป็นออย เจอคนอย่างจุ๊ยจะรีบคว้าไว้เลย  ยิ่งเนื้อหอมๆอยู่ด้วย ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายรุมกันขนาดนี้”
จุ๊ยหัวเราะ
“ผู้หญิงยังพอว่า  แต่ไอ้ผู้ชายนี่สิ...” แล้วเขาก็นึกถึงหน้าเดฟขึ้นมา
“ปวดหัว” เขากล่าวแต่ก็อมยิ้ม
 
จุ๊ยรู้สึกหัวมึนๆขึ้นมากระทัน  จนต้องสั่นหน้าบ่อยๆ 
“เป็นอะไรวะจุ๊ย  เมาเหรอ”
ฮ้อยถามเพราะตอนนี้หน้าของจุ๊ยเหมือนมึนงง
“ไม่รู้วะมันงงๆ มึนหัว”
แล้วเขาก็ลุกขึ้น  แล้วเซไปนิดหนึ่ง
“เฮ้ยๆ” หน่องร้องตอนหันมาเห็น
“อะไรวะไอ้จุ๊ยเมาแล้ว”
“พวกมึงต้องมีใครแอบหยดกระทิงกับน้ำแดงให้กูแดกชัวร์  กูไปนอนแป๊บเดียวออกมา”  แล้วเขาก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน
ออยนั่งสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมด  แต่เธอก็ยังหันไปคุยกับเพื่อนกลุ่มของเธอต่อไป
 
จุ๊ย รู้สึกหัวหมุนแปลกๆ  แม้จะล้มตัวลงนอนแล้วก็ยังรู้สึก  เขาเริ่มแปลกใจกับอาการตัวเอง เพราะมันทำให้เขาทั้งงงงวยและพลุ่งพล่านแปลกๆ
สักครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเหมือนคนเข้ามาภายในห้อง
“เป็นยังไงบ้างจุ๊ย” แล้วก็ประคบลงมาด้วยผ้าอุ่นๆที่ข้างแก้มจุ๊ย
จุ๊ยลืมตามอง 
“ไม่เป็นไรเดี่ยวจุ๊ย..” จุ๊ยชะงักไปแค่นั้น  เพราะริมฝีปากอุ่นของเธอประกบลงมา
ตอน นี้จุ๊ยรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น  มือของเธอลูบไล้บนอกของจุ๊ย แล้วเลื่อนลงไปเรื่อยจนกระทั้งถึงขอบกางเกง  แล้วก็ต่ำลงช้าไปเหนือซิบ
ความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ผลักด้นจากภายใน
ออยพรมรอยจูบบนคอของจุ๊ย
“ออยชอบจุ๊ยมากเลยนะ” เธอกระซิบ
จุ๊ยไม่อยู่ในอาการจะควบคุมสติ  เขาจึงตอบสนองไปตามความรุ้สึก
อารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้เตลิดไปไกลลิบ  ร่างกายสัมผัสร่างกาย  แนบชิดและเบียดไปมา  ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของธรรมชาติ
จุ๊ยขยับกายไปตามแรงพลักดันนั้นอย่างไม่สามารถยับยั้ง 
ทว่าเมื่อความรู้สึกไปใกล้ถึงจุดสูงสุด
“พี่รักจุ๊ยนะ” เสียงกระชิบกระเส่าแผ่วเบาที่ข้างหู  แต่คือเสียงจากอดีตกาล
“พี่รักจุ๊ยนะ”
“พี่ไตร” เขาพึมพำออกมา ก่อนทิ้งตัวลงบนกายของหญิงสาว 
 
จุ๊ยพล่อยหลับไปแต่สักครู่ก็รู้สึกตัวตื่น 
พอหันไปมองข้างตัว ก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน
ออยหลับสนิท
จุ๊ยรู้สึกว่ามันอลม่านไปหมด  เขาสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เขาหันไปเห็นเสื้อผ้าตัวเอง จึงสวมใส่
พอ ใส่เสื้อผ้าแล้ว ก็ลูกขึ้นจะเดินออกจากห้อง  แต่ก่อนออกก็หันไปมองออยที่หลับซุกอยู่ในผ้าห่ม เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่กับเรื่องที่เกิดขึ้น... 
“นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย  นี่กูทำอะไรลงไปวะ”
 
พอออกมาเพื่อนก็เป่าปากกันเกรียวกราว  สังเกตว่าตอนนี้มีแต่เพื่อนผู้ชายเท่านั้น ส่วนสาวๆคงกลับไปที่บังกะโลของตัวเองกันหมดแล้ว
“เว้ย.. เฮ้ยไอ้จุ๊ย  เป็นไงวะ  กูนึกว่าจะไม่ออกมาจนกว่าสว่างเสียแล้ว” อ้นแซว  แล้วรินเหล้าส่งให้
“เด็ดเปล่าวะ เซ๊กซี่ขนาดนั้น”
จุ๊ยไม่ตอบแต่รับแก้ว นั่งลงข้างฮ้อยที่มองหน้าเขา
พอนั่งลงฮ้อยก็กระซิบ
“มึง... ไอ้เดฟมาแล้วนะ มันนี่หล่ะเป็นคนเข้าไปเจอ ไอ้หน่องมันเห็นมันยืนอยู่หน้าประตู  แล้วก็เดินออกไป  แล้วพวกมันถึงได้เริ่มนับคน  ถึงได้รู้ว่ามึงกับออยอยู่ด้วยกันข้างใน”
จุ๊ยนิ่งไป  แล้วโดยที่ฮ้อยไม่ตั้งตัว  จุ๊ยก็กระแทกแก้วแล้วลุกขึ้น
“เดฟอยู่ไหน” จุ๊ยถาม
“กูเห็นมันไปทางโน้น” ฮ้อยตอบ  แต่ยังงงๆกันท่าทีของจุ๊ย
แล้วจุ๊ยก็เดินฉับๆไป
เพื่อนมองหน้ากัน
“เฮ้ยเป็นเรื่องเว้ย ศึกชายสองหญิงหนึ่งเว้ยเฮ้ย”
“ไม่ใช่ๆ  ชาย หนึ่ง  หญิง หนึ่ง เกย์หนึ่ง”
เพื่อนตีมือกันกราว
แต่ฮอยไม่ขำด้วย
 
รถของเดฟจอดอยุ่ที่ลานซึ่งมองออกไปเห็นทะเล  เขาจึงเปิดประตูแล้วนั่งอยู่ข้างในมองออกไปในความมืดของท้องทะเล
เสียงฝีเท้าเดินฉับมาๆ  เขามองเห็นจุ๊ยเดินมาจากกระจกมองข้างของรถ
จุ๊ยเดินมาถึงก็ยืนนิ่ง
“กู..” เขาลากเสียง แต่นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ
“ผมเข้าใจ “เดฟตอบ
“จุ๊ยเป็นผู้ชายนี่เนอะ  เจอสาวๆก็ต้องเป็นแบบนี้หล่ะ”
แล้วก็เงียบไปทั้งคู่
“ผมก็แค่ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนที่ต้องเจ็บปวดที่สุดคนหนึ่ง ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้คนแรกด้วยตัวเองทุกครั้งไป  มันก็แค่สงสัยน่ะจุ๊ย”
จุ๊ยขยับมาตรงหน้าเดฟ
เดฟเงยหน้ามอง
“ผมโอเคจุ๊ย  ผมเตรียมใจมาตั้งแต่เริ่มชอบจุ๊ยแล้ว  ผมโอเค”
แต่น้ำตาก็ร่วงลงมา
เขากำลังจะปาดน้ำตา ทว่าจู่ๆจุ๊ยก็ขยับเข้ามาใกล้ย่อตัวลงสบตา 
แล้วอย่างรวดเร็ว  จุ๊ยก็ประกบปากจุมพิตเดฟ
แม้จะตกใจและตื่นเต้นต่อสัมผัสของจุ๊ยเพียงไร  แต่กลายเป็นเดฟที่หันหน้าหนี
“อย่าจุ๊ย อย่าเลย... อย่าทำแบบนี้  ผมบอกจุ๊ยแล้วว่าผมจะเป็นคนเดิมให้จุ๊ย  เราพอแค่ตรงนี้  แล้วผมกับจุ๊ยจะได้เป็นเหมือนเดิม”
จุ๊ยที่อยุ่ในอาการย่อตัว  ทิ้งกายลงกับพื้น
“กูขอโทษเดฟ”
แล้วทั้งสองก็นั่งกันอยู่ในท่านั้นอยู่นาน
“แล้วจุ๊ยจะทำยังไง  ตอนนี้เพื่อนๆรู้กันหมดเลยนะจุ๊ย”
จุ๊ยส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน...”
เดฟก็ลุกมานั่งข้างๆ
เงยหน้ามองฟ้า
“ไม่ว่ายังไง  ผมจะเป็นกำลังใจให้จุ๊ยเอง”
จุ๊ยเงียบมองกรวดทรายบนพื้น
“กอดกูหน่อยได้ไหม”
เดฟหันมองหน้าจุ๊ย  เห็นคล้ายจะเป็นเกล็ดน้ำบางๆจับที่ขอบตา
แล้วเขาก็โอบจุ๊ยไว้  จุ๊ยก็ซบหัวลงบนไหล่ของเดฟ
“กูขอโทษที่ทำให้มึงเจ็บปวดเสมอ... แล้วก็ขอบใจที่มึงไม่เคยทิ้งกูไว้ลำพังเลย” จุ๊ยกล่าว
 

เพื่อนที่ตามออกมาดูเห็นได้ไม่ถนัดนักเพราะอย่างแรกคือตรงนั้นมืดมาก  แถมตัวรถของเดฟยังกีดขวางสายตา
“อะไรของมันวะ  มันทำอะไรกัน” อ้นถามกับหน่อง
“กูจะไปรู้มันไหม”  หน่องตอบ
ฮ้อยที่ตามมาด้วย กอดอกมองไป
เขา คือคนที่รู้เห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มากที่สุด  ปัญหาของไอ้จุ๊ยคือปัญหาจากตัวมันเอง  ไม่ใช่คนที่เข้ามา  ปัญหาคือไอ้จุ๊ยมันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองดี ต่างหาก  หวังว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้มันรู้  และทำให้มันเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้จริงๆ
“ไม่ว่ามึงจะตัดสินใจยังไง จุ๊ย... มึงรู้อะไรไว้อย่างหนึ่ง  กูก็จะเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิม” แล้วเขาก็หันหลังกลับ
“พวกมึงก็แอบกันอยู่ได้  อยากจะรู้ก็เข้าไปดูใกล้ๆเลย” ฮ้อยว่าแล้วเดินไป
“เฮ้ยแล้วปล่อยมันไว้อย่างนี้เลยเหรอ” หน่องถาม
“จะดีเหรอ”
“ดี” ฮ้อยหันมาตอบ
“มันไม่มีอะไรมากกว่านี้หรอก มึงเชื่อกูสิ”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:23:27
ตอนที่ 30 : รอยยิ้มที่หายไป
ฮ้อยกับอ๊อดนั่งมองจุ๊ยนั่งอ่านนิตยสารดนตรี  และขานตอบต่อออยที่มักจะขัดด้วยการเอาภาพบนอินสตราแกรมให้ดู
ตอน นี้ก็ผ่านไปได้สองเดือนแล้วที่สองคนนี้เริ่มคบหากันจริงๆจังๆ  จากที่สังเกตผิวเผินแล้วทั้งคู่ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนคู่แฟนคู่อื่นๆ  เพียงแต่ในสายตาคนที่รู้จักจุ๊ยมาก่อน  ต่างก็รู้สึกผิดปกติ 
ความผิดปกติอยู่ที่การแสดงออกและอารมณ์ของจุ๊ย
แต่จนป่านนี้อ๊อดก็ยังไม่กล้าถามกับจุ๊ยว่าตกลงรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“มึงว่ามันโอเคไหมวะ” อ๊อดถามกับฮ้อยเสียงเบาๆ
“ก็ คงโอเคมั๊ง เมื่อเช้ากูก็เห็นมันออกมาจากคอนโดของออยนะ  ออยเขามีคอนโดอยู่ใกล้ๆนี่ด้วย เห็นไอ้จุ๊ยมันบอกว่าออยเขาขอพ่อให้ซื้อเพราะอ้างว่าเดินทางไกล กลัวกลับบ้านดึก”
“เฮ้ยขนาดซื้อคอนโดเพื่ออยู่กับไอ้จุ๊ยเนี่ยนะ” อ๊อดทำตาโต
“เอ๊ยไม่ใช่  มีมาก่อนแล้ว  แค่ไอ้จุ๊ยมันต้องไปส่งทุกเย็น” ฮ้อยแก้
“แปลว่ามันคงโอเคใช่ไหม” อ๊อดทำหน้าคิด
“ก็ดูสนิทสนมกันดีนี่น่า”
“ไม่รู้สิ”  ฮ้อยถอนหายใจ  กลายเป็นเขาที่แย้ง
“มึงว่าสองเดือนมานี่ อะไรที่หายไปจากไอ้จุ๊ย”
อ๊อด มองหน้าเพื่อน แล้วก็หันกลับไป  ตอนนี้จุ๊ยกำลังเอาโทรศัพท์มาดู แล้วก็พิมพ์ๆ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์  แล้วอ่านนิตยสารต่อ  ส่วนออยกํยังเพียรเอาภาพจากอินสตราแกรมมาให้จุ๊ยดู จุ๊ยดูแล้วก็ทำหน้าเฉยๆ เหมือนจะเบื่อด้วยซ้ำไป
“มันไม่ค่อยยิ้มเลยรึเปล่าวะ สองเดือนมานี่มันไม่เล่นไม่กวนตีนเหมือนเมื่อก่อนเลย” 
“เออ... แล้วมึงคิดว่ามันใช่ไอ้จุ๊ยที่เรารู้จักไหมล่ะ” ฮ้อยตอบแล้วหยิบถั่วอบที่แกะห่อวางแล้ว วางไว้บนโต๊ะมากิน
“กูว่าจะถาม แต่แม่ง ออยก็ประกบมันแจ  จะคุยๆ ออยก็โผล่มาทุกที”
“เดี่ยวกูถามเอง” อ๊อดยักคิ้ว
“วันนี้ไอ้จุ๊ยมันมีงานตอนค่ำกับกู เดี่ยวกูจะหาโอกาสคุย  แล้วถ้าออยไม่ไปก็ยิงสวยเลย”
 
“มึงไม่สบายรีเปล่าวะจุ๊ย” ฐาถามหลังจากจบการแสดงแล้ว 
จุ๊ยกำลังเก็บแซกโซโฟนใส่กล่องขานว่าหือ
ก่อนจะส่ายหน้า
“ทำไมอะพี่ หน้าผมเหมือนป่วยเหรอ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น  ที่จริงเอ็งมีแฟนแล้ว พึ่งคบกันใหม่ๆ น่าจะโลกเป็นสีชมพูสิวะ”
จุ๊ยเผยอปากส่งเสียงฮึ
“ก็ชมพูอยู่... แต่ว่าพี่รู้แล้วเหรอเนี่ย”
“รู้หมดมหาลัยแล้วมั้ง” โย่งกล่าวออกมา
“ก็ทั้งฝั่งคณะเรา คณะแฟนมึงคุยกันแซด  ว่าแฟนมึงเข้าหามึงก่อน เขายังบอกว่า...”
“ไอ้โย่ง” ปานปราม
แล้วเขาก็เดินมาตบบ่าจุ๊ย
“เฮ้ยอย่าคิดมาก  แค่มึงสองคนรักกันก็ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน”
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  หยิบนั่นหยิบนี่
จนปานกับโย่งเดินออกไป
“ตกลงเอ็งก็เลือกแบบนี้ใช่ไหม” ฐาถาม
จุ๊ยหันมามองหน้า
ฐาเป็นหนึ่งคนที่รู้เรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
“ผมมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอพี่” เขาตอบ  “ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วผมก็ควรรับผิดชอบใช่ไหมครับ”
 
จุ๊ยยืนรออ๊อดอยุ่ตรงประตูทางออกห้างสรรพสินค้าที่เป็นสถานที่ทำงานในวันนี้
สักพักอ๊อดก็วิ่งมาพร้อมกับกล่องไวโอลิน
“เฮ้ยขอโทษ  พอดีมัวแต่คุยเรื่องงานหน้า”
แม้จะเล่นงานเดียวกัน  แต่อ๊อดกับจุ๊ยก็เป็นคนละวง  จึงเล่นไม่พร้อมกัน
“ไปหาอะไรกินกัน  กูหิว” จุ๊ยเป็นออกปากก่อน
อ๊อดก็กำลังจะออกปากพอดีเลยไม่ต้องตอบแต่กอดคอจุ๊ยไป
 
ระหว่างนั่งกินก๊วยเตี่ยวเจ้าอร่อย  อ๊อดคอยเหลือบมองจุ๊ย เป็นระยะเพื่อสังเกตุอาการ
“มึงโอเคปล่าววะ” อ๊อดถาม
“มึงรู้ตัวไหมว่ามึงเหมือนคนวิญญาณหลุดจากร่าง หรือไม่ก็อกหักมากกว่ามีความรักนะเว้ย”
“กูก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายนี่หว่า” จุ๊ยตอบ แล้วยิ้มออกมา  แต่นั่นดูฝืนมากๆสำหรับอ๊อด
“มึงคิดมากหรือเปล่า”
อ๊อดถอนหายใจ  พักตะเกียบ
“มึงมองตัวเองไม่เห็นจุ๊ย  ตอนนี้มึงไม่เล่นไม่แกล้งกู ไม่หยอกอาจารย์มาเป็นเดือนๆแล้วนะจุ๊ย”
จุ๊ยถอนหายใจ
“เฮ้ยเดียวสิวะ  กูกำลังปรับตัว  กูแค่ไม่ชินกับการมี.. แฟน”
การวรรคของจุ๊ยมันทำให้รู้สึกเหมือนจุ๊ยจะพูดคำนั้นออกมาได้ยาก
“จุ๊ย  กูไม่เข้าใจนะเว้ย  ที่จริงมึงจะไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้ก็ได้  มันแค่เซ็กซ์คืนหนึ่งรีเปล่าวะ  อย่าหาว่ากูเลวเลยนะ  ในเมื่อเขาเข้าหามึงเอง  มึงจะปฏิเสธเลยก็ได้ในวันรุ่งขึ้น”
จุ๊ยเงียบไป
“กูทำไมได้หรอก  เขาเป็นผุ้หญิงนะเว้ย  ถ้าขืนกูทำห่างเหิน คนอื่นเขาจะมองออยว่ายังไง” จุ๊ยตอบ
“กูไม่ได้เลวขนาดได้แล้วทิ้งหรอกนะ”
อ๊อดถอนหายใจ
“พูด ซะหล่อไอ้จุ๊ยเอ้ย... แต่ที่มึงเป็นแบบนี้มึงรู้ไหมว่าเพื่อนเป็นห่วงกัน  ขนาดไอ้หน่องกับไอ้อ้นยังถามกูเลยว่ามึงโอเคไหม  มันยังบอกว่าไม่น่าชวนมึงไปด้วยเลย”
จุ๊ยเงียบไปอีก แต่ก็ตอบออกมาในเวลาไม่นาน
“เฮ้ยพวกมึงอะไรมากไปรีเปล่าวะ  นี่กูมีแฟน นะเว้ย  ไม่ใช่โดนเอาไปขังคุก”
“ก็เหมือนละวะ  แม่งแฟนมึงตามมึงแจขนาดนั้น  นี่ยังสงสัยว่าออยเขาไม่เรียนหรือไงวะ วันๆมาติดหนึบแต่กับมึง” อ๊อดส่ายหัว
จุ๊ยยิ้มจางๆ  คีบลูกชิ้นกิน
“แต่ ทั้งหมดมันแปลว่าเขารักกูรึเปล่าวะ  มึงคิดดูดีๆ  เค้าเป็นผู้หญิง  แต่กลับกล้าทำอะไรแบบนี้  ก็แสดงว่าเขารักกูจริงๆ  แล้วมึงจะทำยังไงกับคนที่รักมึง  มึงจะใจร้ายกับเขาได้หรือวะ”
อ๊อดไม่อยากจะโต้ตอบ  เพราะที่จริงก็ถูกต้อง 
เสียงบีบแตรรถขัดจังหวะการสนทนา
มองไป เห็นรถสปอร์ตคันหรูของอาราอิเทียบเข้ามาข้างถนน
“อ้าวมาได้ยังไงหล่ะนี่ พ่อดาราใหญ่” อ๊อดกล่าว เพราะคาดไม่ถึง
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:24:17
ตอนที่ 31 : ที่พักใจ จุ๊ยขอหลบฝนชั่วคราวนะ อาราอิ
พอส่งอ๊อดแล้ว  อาราอิจึงกล่าวกับจุ๊ย ในระหว่างขับรถมุ่งหน้าไปบ้านจุ๊ย
“เห็นเดฟบอกว่าจุ๊ยมีแฟน”
จุ๊ยไม่ได้หันมา แต่มองไปตามข้างทาง  มองสูงมองต่ำเหมือนค้นหาอะไร
“เขาว่าชื่อออย” อาราอิกล่าวต่อ  พอดีรถติดไฟแดงเพราะมีการซ่อมถนนข้างหน้า หันมาก็ยังเห็นจุ๊ยมองขึ้นมองลงเหมือนเคย
“มองอะไรน่ะจุ๊ย” อาราอิชักสงสัย
“ก็หาไง  ว่ามีใครเขาขึ้นคัทเอาร์ทประกาศหรือไงว่าฉันมีแฟน  ทำไมใครต่อใครก็รู้ไปหมด” จุ๊ยตอบ
อาราอิหัวเราะ
“นี่หาว่าฉันสอดรีเปล่าเนี่ย”
จุ๊ยยิ้ม
“เปล่า แค่... ขอโทษนะ” แล้วขยับหน้ามาใกล้ๆ
“เสือก”
อาราอิสะดุ้งเพราะน้ำลายของจุ๊ย
“โอ้โห แค่ด่าอย่างเดียวก็ได้ไม่ต้องพรมน้ำมนต์”
จุ๊ยหัวเราะออกมาบ้าง  นี่เหมือนจะเป็นเสียงหัวเราะอย่างจริงจังแรกในรอบหลายๆวันของจุ๊ยเลยก็ได้
พอหัวเราะแล้วจุ๊ย สีหน้าของจุ๊ยก็ดีขึ้น
แต่แค่เดี่ยวเดียวเท่านั้น
โทรศัพท์ดังขึ้น  จุ๊ยเอาออกมารับ
“ครับออย” จุ๊ยกล่าวทัก
ออยพูดอะไรบางอย่างที่โยชิไม่ได้ยิน
“ไม่ได้หรอกออย  จุ๊ยนะไปที่นั้นบ่อยๆตอนกลางคืนได้ยังไง มันไม่เหมาะ”
พูดแล้วเหลือบตามองอาราอิ
แม้จะฟังอยู่แต่อาราอิก็แกล้งทำเป็นมองโน่นมองนี่
“ก็ไม่ใช่ อย่างนั้น  ออยอย่าทำอย่างนี้สิ  เมื่อวานจุ๊ยก็ไปแล้วไง  จุ๊ยก็ต้องกลับบ้านมาช่วยป๊าทำงานบ้างสิ”
ออยพูดบางอย่าง
จุ๊ยถอนหายใจ แล้วตอบไปว่า
“ได้ครับ... ได้”
แล้วเขาก็วางสาย
จุ๊ยเงียบไปนานเลยที่เดียวจนกระทั้งรถเคลื่อนตัวได้  อาราอิก็ทำท่าจะออกรถ
“ไปกินเหล้ากันไหม” จุ๊ยกล่าวออกมา
อาราอิหันมามองหน้า
“อะไรนะ”
“กินเหล้าไง  สาเกก็ได้  อะไรก็ได้” จุ๊ยตอบแต่ไม่มองหน้าอาราอิ
 
อาราอิเลยตัดสินใจพาจุ๊ย ร้านเหล้าญี่ปุ่นที่เขาไปนั่งดื่มประจำ  พอสั่งสาเกมา จุ๊ยก็ดื่มเอาดื่มเอาแม้นอาราอิจะเตือนว่าอาจเมาได้
แล้วก็จริงๆ  ปรากฏว่าขาออกจากร้าน อาราอิต้องโอบประคองจุ๊ยออกมาจากร้าน
“ไปนอนบ้านฉันแล้วกันนะ  ถ้ากลับบ้านจุ๊ยตอนนี้มีหวังพ่อจุ๊ยว่าแน่ๆ  ผมจะพลอยซวยไปด้วย  พาลูกชายเขาไปเมาขนาดนี้” อาราอิกล่าว
แต่จุ๊ยตอบได้แค่อือ...
อาราอิถอนหายใจเฮีอกโตหลังจากทำการปล้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของจุ๊ยและเช็ดตัวแล้ว  ดูเหมือนจุ๊ยจะเมามากจนไม่ได้สติอะไรแล้ว  เคราะห์ดียังไม่อ๊วกออกมา  แต่กระนั้น อาราอิก็เตรียมพร้อม เรียกให้แม่บ้านเอาทั้งถุงขยะและสารพัดอุปกรณ์มาไว้ในห้องนอน
และเพราะจุ๊ยยึดเตียงไปแล้วอาราอิก็เลยต้องต้องมานอนที่เก้าอี้นวมใช้นอนเอกเขนกแทน 
มองไปจุ๊ยก็นอนอุตุ แถมกรนออกมาด้วย
เขาอมยิ้มแล้วนึกถึงวันแรกที่เจอกัน
 
ตอนนั้นเป็นตอนที่พ่อของอาราอิประสบอุบัติเหตุหนักมาก  จนหมอบอกให้เขาทำใจแล้ว  แต่อาราอินึกอยากให้แม่เขามาดูอาการพ่อจึงเดินทางมาประเทศไทยเพียงคนเดียว  เพื่อหวังจะตามหาแม่ ทั้งที่เขามีเพียงหมายเลยโทรศัพท์ของแม่เท่านั้น 
และจากบทสนทนาสั้นๆ  ทำให้เขารุ้ว่าแม่ไม่ได้อยู่กรุงเทพแต่ไปพัทยา  แต่เขามีเวลาไม่มากนักจึงตัดสินใจตีตัวรถโดยสารเดินทางไป แต่ตอนนั้นเขานั้งรถผิดก็เลยเลยไปถึงระยอง  แล้วก็ได้เจอกับจุ๊ย
ตอนแรกก็ไม่ได้สะดุดใจอะไรกับเด็กผุ้ชายที่น่าจะอายุน้อยกว่าเขา  แต่พอเขาคุยไลน์กับนามิจังถึงอาการของบิดา  เขาก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างลืมตัว
“เฮ้ๆ ยูน่ะ” เสียงพร้อมสะกิดเรียกจากข้างตัว
หันไปก็เห็นดวงหน้าจีนๆ ที่จริงก็คล้ายๆคนญี่ปุ่นอยู่  มีสิ่งโดดเด่นคือดวงตาที่แจ่มใสมองเขาแต่ฉายแววอาทร
“วอท์ไปแคนเฮลไหม  ยูหลง..เอ้ย...” แล้วเกาหัว...
“เหี้ยอะไรวะ... ลูสหรือลอส... สัตว์เอ้ย  ลอสก็ได้วะ”
“ยูน่ะลอสเหรอ.. ไอ เอลยูไหม” 
ตอนนั้นที่ทำให้เข้าไม่เข้าใจคือภาษาอังกฤษของเด็กชาย แต่ภาษาไทยน่ะชัดเจนทุกคำ
 
“นาย น่ะน่ารักตอนยิ้มตอนหัวเราะ  ถ้านายไม่ยิ้มไม่หัวเราะ  โลกจะสดใสได้ยังไง”  อาราอิกล่าวแล้วหลับตาลง นึกถึงตอนที่     เดฟมาบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังและร้องขอ
 
“โยชิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”  เดฟบอกกับเขาตอนที่เดินเจอกันระหว่างไปเข้าเรียน
“เอาสิ”
แล้วเขากับเดฟก็ออกมาคุยกันที่สวนข้างตึก
“พักนี้ได้คุยกับจุ๊ยบ้างไหม” เดฟถาม
“ก็คุยนะ ทางไลน์บ้าง เฟสบ้าง โทรคุยบ้าง  แต่พักนี้จุ๊ยเขาเหมือนไม่ค่อยว่างคุย” อาราอิตอบ
เดฟพยักหน้าช้าๆ
“แล้วรู้รีเปล่าว่าจุ๊ยมีแฟนแล้ว”
อาราอินิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบ
“เหรอ  มิน่าไม่ค่อยว่างคุยกันเลย สงสัยมัวแต่คุยกับแฟน”
“ไม่หรอก  ตอนนี้เขาเหมือนไม่อยากคุยกับใครมากกว่า  ตอนนี้  เขาแทบไม่ยิ้มเลยด้วยซ้ำ” เดฟกล่าว
ก่อนจะเล่าให้ฟังทั้งหมด
“นาย สนิทกับจุ๊ยพอสมควรเลย  ฉันก็เลยคิดว่านายน่าจะช่วยได้  คือตอนนี้เพื่อนสนิทๆก็ลองคุยกับเขาไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมพูดว่าทำไมเขาเปลี่ยนไป คือตอนนี้เดฟเป็นห่วงเขานะ  เพราะจริงๆแล้วเขาควรจะมีความสุขใช่ไหม  แต่ทำไมรอยยิ้มของเขาหายไป” เดฟพูดออกมาเหมือนรำพึง  มองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าอาราอิ
จากนั้นก็นิ่งไปสักครู่  แล้วก็กล่าวออกมาโดยหันมามองหน้าอาราอิด้วยแววตาร้องขอ
“ตอน นี้ก็คงมีแต่นายมั๊งที่ยังไม่ได้ลอง  เพราะดูเหมือนจุ๊ยจะไว้ใจนายมากพอสมควรเลยหล่ะ  ถ้านายลองคุยกับเขาดู  เขาอาจเล่าก็ได้ว่าทำไม”
 
“นายจะไม่ถามฉันเหรอว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้” จู่ๆเสียงของจุ๊ยก็ดังขึ้น
อาราอิลืมตา
จุ๊ยที่เขาคิดว่ากำลังนอนสบาย ตอนนี้อยู่นั่งอยู่บนเตียง
“อ้าวนี่ไม่ได้เมาหลับหรอกเหรอ” อาราอิแปลกใจ
“ก็ อยากจะเมาเหมือนกัน  แต่ฉันมันเป็นประเภทประสาทแข็งน่ะ ไอ้สาเกของนายมันไม่ได้ทำให้เราเมาขนาดไม่ได้สติหรอก  แต่ก็เมาอยู่นะตอนที่นายลากตัวเราออกมาเนี่ย” เขายิ้มจางๆ
“แต่นายนี่แรงเยอะเป็นบ้า ปล้ำจนถอนเสื้อผ้าฉันหมดได้  นี่ขนาดใส่กางเกงยืนต์ฟิตๆแล้วนะ ชัดขืนก็แล้ว  ก็ไม่รอด  นึกว่าจะโดนข่มขืนเสียแล้ว”
อาราอิหัวเราะ
“นายนี่มันสุดยอดจริง” อาราอิส่ายหัว
“มิน่า ทำไมมันถึงได้แรงเยอะนัก  เกือบใช้คาราเต้จัดการให้หลับไปจริงๆแล้วรู้ไหม”
“แบบ ที่นายถีบประตูเหรอ... ก็กลัวเหมือนกันนะ  ตัวล็อกตั้งสองตัวนายถีบทีเดียวหักเลย  ถ้าเป็นยอดอกเรา  มีหวังตาย” แล้วจุ๊ยก็ลูบอกเบาๆเหมือนเสียวจะโดนถีบอย่างปากว่า
แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไป ก่อนจุ๊ยจะกล่าวออกมา  โดยก้มหน้ามองผ้าปูที่นอน
“เรา ไม่คิดเลยนะ ว่าการมีแฟนครั้งแรกจะกลายเป็นแบบนี้  โดนแฟนเข้าหาก่อน  แถมยังต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่อยากทำตั้งหลายอย่าง” จุ๊ยกล่าวเสียงปนความเศร้าแม้จะมีรอยยิ้ม
“เดฟมันเล่าให้ฟังถึงขนาดไหน” จุ๊ยถามเพื่อตรวจสอบดู
“ก็เยอะ” อาราอิตอบ  แล้วเดินมานั่งบนเตียง
“ก็ ตั้งแต่ต้น  ว่านายรู้จักแฟนคนนี้มาก่อน เพราะเป็นเพื่อนของหลิว  แล้วก็เกิดอะไรขึ้นที่หัวหิน  แล้วตอนนี้นายเป็นยังไง  อาการผิดปกติอะไรบ้าง”
จุ๊ยนิ่งไป
นานพอสมควรก่อนเขาจะถอนหายใจ
“เราเหมือนโดนแบล็กเมล์ยังไงก็ไม่รู้น่ะอาราอิ”
อาราอิมองหน้าเขา
จุ๊ยมองลงต่ำ แต่ไร้จุดหมาย
“ที่จริงฉันก็ไม่ควรเล่านะ  แต่ไม่รู้สิมันอึดอัดนะ  อาราอิ”
อาราอิยังไม่พูดอะไร  จนจุ๊ยเล่าต่อไป
“คือจริงแล้ว  มันก็เข้าใจหรอกนะว่าออยชอบฉันจริงๆ  แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน  ควรจะทำยังไง หรือรู้สึกยังไง ดีใจไหม  เพราะออยจู่โจมฉันอย่างกับสายฟ้าฟาดขนาดนั้น  มันยังมึนไปหมดเหมือนโดนหมัดแมนนี ปาเกียวเข้าปลายคางเลย  ฉันก็พยายามจะคุยกับเขาแล้วนะ  ว่าขอให้มันหยุดแค่ตรงนั้น  แต่เธอบอกว่า..” จุ๊ยสูดลมหายใจยาว
“ถ้าฉันไม่คบกับเธอ  เธอจะเล่าเรื่องนี้ให้หลิวฟัง”
 
แล้วเขาก็เงียบไป นึกถึงตอนที่เขาพูดกับออยอย่างจริงจังในวันที่กลับมาจากหัวหินและไปส่งเธอที่คอนโดมิเนียมที่พัก
“เธอยืนยันท่าเดียวว่าจะคบกับฉันให้ได้  และไม่ยอมแน่ถ้าหากฉันจะทิ้งเธอไป  ถ้าฉันทำแบบนั้นเธอจะโทรไปบอกกับหลิวเรื่องของเธอกับฉัน”
จุ๊ยเงียบไปนิดหนึ่งก่อนเล่าต่อ
“ฉัน หลิวแล้วก็ออยเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่อนุบาล  สำหรับฉันออยก็เห็นเพื่อนที่ดีในวัยเด็ก  ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมออยถึงมาชอบฉัน  แถมทำอะไรขนาดนี้   แล้วเธอกับหลิวก็เป็นเพื่อนสนิทกัน  ถ้าออยบอกเรื่องนี้  มันจะกลายเป็นแตกหักความสัมพันธ์ระหว่างเราจนหมดเลย  แถมฉันก็คงรู้สึกแย่ไปอีกถ้าหากหลิวจะต้องมารับรู้เรื่องนี้แบบกะทันหัน  หลิวคงต้องเสียใจมากๆ  ฉันก็เลยไม่รู้จะทำยังไงดี”
ตาของจุ๊ยเคยแจ่มใสเป็นนิตย์ แต่ตอนนี้หม่นหมองและสับสน
อาราอิขมวดคิ้ว  กดลมหายใจลึกๆแล้วกล่าว
“แต่ จริงๆแล้วก็ไมเกี่ยวกันนี่  นายกับหลิวก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย  แล้วอีกอย่าง  ต่อให้ปิดตอนนี้  จะปิดตลอดไปได้ไหม  ตอนนี้เรื่องของจุ๊ยเป็นเรื่องซุบซิบในหมู่เพื่อน  ถ้าไม่รู้จากเพื่อนคนอื่น  หลิวเขาก็อาจรู้จากคนใกล้ตัวนายอย่างพี่ชายของนายที่เรียนที่เดียวกัน  คือยังไงไม่ช้าก็เร็ว  เธอก็ต้องรู้อยู่ดีใช่ไหม”
จุ๊ยเงียบไป  แล้วนอนลง
“อาจเป็นฉันเองก็ได้นะที่ไม่พร้อม... ฉันอาจไม่พร้อมจะเห็นคนเสียใจเพราะฉันมากไปกว่านี้แล้วก็ได้  ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วหละ  นายรู้ไหมตอนที่ฉันเห็นเดฟร้องไห้เพราะฉัน  ฉันอยากจะร้องตามไปด้วยเลย  นายรุ้รึเปล่าว่าฉันรู้ว่าเดฟรักฉันมากแค่ไหน  เดฟทำหลายอย่างมากมายเพื่อฉัน  แต่ฉันก็ทำให้เดฟเจ็บปวดซ้ำไปซ้ำมาด้วยตัวฉันเอง  คือฉันรู้สึกว่าเป็นคนที่ทำร้ายเขาตลอด ทั้งที่ก็รู้ว่าเขารักฉัน”
อาราอิมองหน้าจุ๊ย  ก่อนนอนลงข้างๆ
“ถ้าฉันต้องทนเห็นหลิวที่รักฉันมากเหมือนกันอีกคนหนึ่ง  ต้องมาร้องไห้เพราะฉันอีก  มันไม่ไหวนะ  หลิวเป็นเพื่อนฉันมาแต่เด็กๆ  เลย สนิทกันมาก.. การทำให้เธอต้องร้องไห้  มันเป็นเรื่องเลวร้ายมาเลยสำหรับฉัน”
แล้วเขาก็หลับตาลง  แต่กล่าวต่อไป
“ส่วนจะให้เราปฏิเสธหรือหนีออย  มันก็ไม่ใช่วิสัยลูกผุ้ชายรีเปล่า  ในเมื่อฉันกับเขามีอะไรกันขั้นนี้ไปแล้ว  ฉันจะบอกเลิก หรือเมินเธอมันก็ไม่ควรใช่ไหมหล่ะ  แล้วแน่นอนเธอก็ต้องเสียใจมากด้วย แล้วเธอเป็นผุ้หญิงจะแบกหน้าทนคนนินทาได้หรือ  ฉันก็เลยต้องทำแบบนี่เพื่อรักษาหน้าเธอไว้ด้วยเหมือนกัน”
อาราอิถอนหายใจยาว  เขาชั่งใจที่จะพูดออกไป  แต่ก็ตัดสินใจพูด
“ปัญหาของนาย จุ๊ย.. คือตัวนายเอง  นายคือคนที่เป็นปัญหา  นายใจอ่อนและรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง  ห่วงคนอื่นและไวต่อความรู้สึกของคนอื่น  นายคิดแต่จะถนอมน้ำใจคนอื่นจนไม่คิดถึงหัวใจตัวเอง  นั้นยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง... ถ้านายใจแข็งกับเธอ  เธอก็เสียใจก็จริง  ซึ่งจริงๆแล้วเธอก็ควรจะทำใจให้ได้แต่แรกเพราะเธอคือคนที่เข้าหานายก่อน  ถ้านายปฏิเสธไป มันก็จบไง  ถึงหลิวจะรู้  ก็คงต้องให้อภัยนาย เพราะจะว่าไปนายก็ไม่ได้ผิดอะไร  นายเป็นผู้ชาย  ถ้าโดนผู้หญิงเข้าหาเวลาเมา  แล้วเผลอใจไปบ้าง  นั้นก็เพราะมันคือสัญชาติฌาณของผุ้ชาย คิดว่าหลิวน่าจะพอเข้าใจและอภัยให้นายได้”
 “แต่ ถ้านายเลือกออย  เพราะนายถือว่าเธอเป็นคนของนายแล้ว  นายก็ควรจะปล่อยหลิวไปให้เร็วที่สุด  ไม่ใช่รั้งไว้อย่างนี้  ยิ่งเวลาผ่านไปแล้วปรากฏว่าหลิวไปรู้จากคนอื่น... มันจะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เหรอ  สู้นายเป็นบอกเธอเอง  แบบนั้นเราว่าน่าจะดีกว่า  เพราะไม่ว่านายเลือกแบบไหน  ที่สุดนายก็ต้องบอกเธออยู่ดี  แล้วไม่ว่าเลือกแบบไหน  ที่สุดก็ต้องมีคนเสียใจอยู่ดี”
“แต่ตอนนี้กลายเป็นนายก็ต้องมาทนแบกโลกเอาไว้คนเดียว  แล้วเรื่องก็ไม่ได้จบ  คาราคาซังไปเรื่อยๆ  ครั้งนี้นายคิดผิดมากๆ”
 จุ๊ยไม่ได้ตอบ  แต่ถอนหายใจออกมา
“ส่วนเดฟ  ถ้านายไม่ใจอ่อน เกินไป ตั้งแต่แรกๆ  ถ้าไม่ได้ชอบก็บอกไป  เดฟก็จะไม่ถลำหัวใจรักนายจนเป็นอย่างนี้  ฉันว่า ถ้าตอนนั้นถ้านายปฏิเสธจริงๆจังๆ  เขาอาจจะเจ็บ แต่ก็คงจะตัดใจได้เร็วกว่านี้  และเจ็บน้อยกว่านี้  แต่เพราะนายไม่ได้ทำ  เขาเลยมีความหวังไปเรื่อยๆ  แล้วทำโน่นทำนี่ให้นายจนนายเองก็คงลำบากใจมากขึ้น  และเริ่มได้เห็นว่าเดฟรักนายแค่ไหนอย่างจริงจัง”
“มา ตอนนี้กลายเป็นว่านาย ก็กลัวหลิวเสียใจ กลัวออยเสียใจ กลัวเดฟเสียใจ  แล้วที่สุดถ้านายพบว่าตัวเองไม่รักออยจริงๆ  นายเองก็เสียใจด้วย” อาราอิขมวดปมตอนท้าย
จุ๊ยฟังแล้วก็เงียบไปนานมากพอๆกับที่อาราอิพูดกับเขา  จนอาราอิเองชักอึดอัดขึ้นมา  เขาก็เลยกำลังจะถาม แต่จุ๊ยก็พูดออกมาเสียก่อน
“ขอบใจนะที่พูดตรงๆ  ฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆนั้นหล่ะ  นายพูดเหมือนใครคนหนึ่งเลยนะอาราอิ”
อาราอิหันมา เจอกับสายตาจุ๊ยที่หันมาก่อนแล้ว
แล้วจุ๊ยก้บอาราอิก็จ้องตากันอยู่อย่างนั้น
แล้วโดยที่อาราอิไม่ทันได้ตั้งตัว  จุ๊ยก็พลิกตัวมากอดเขาไว้  แล้วซบกับไหล่ของอาราอิ
“ขอที่ให้ฉันพักสักนิดอาราอิ  ฉันเหนื่อยเหลือเกิน”
อาราอิหลับตาลงแล้วพลิกตัวกอดจุ๊ยไว้บ้างเอาแก้มแนบกับผมของเขา
“ฉันยินดีเสมอจุ๊ย  ขอให้นายสบายใจก็พอ”
ทั้งสองกอดกันอย่างนั้น  จนจุ๊ยที่สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากอาราอิ นั้นทำให้เขาอบอุ่นหัวใจ  จนค่อยๆพล่อยหลับไป
ส่วนอาราอิเมื่อรู้สึกว่าจุ๊ยหลับไปแล้วเขาก็ไม่อาจห้ามใจให้รั้งรวบร่างจุ๊ยแนบชิดแล้วก็ซุกหน้ากับผมของจุ๊ยจนตัวเองหลับไปบ้าง
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:24:57
ตอนที่ 32 : รอยยิ้มที่คืนมา
ความไม่คุ้นเคยทำให้จุ๊ยตื่น  แต่พอตื่นมาก็พบว่าหน้าของอาราอิอยู่นั้นอยู่เกือบชิดกัน  ริมฝีปากก็เกือบจะสัมผัสกัน  เขาเลยค่อยๆผลักออกไปเพราะกลัวอาราอิจะตื่น
พอปลดวงกอดแล้วเขาก็ลุกขึ้นจากเตียง  หันไปมอง อาราอิที่ยังหลับอยู่พลิกตัวนอนหงาย   แล้วก็เขาก็เดินเข้าห้องน้ำไป
 
จุ๊ยยืนอยู่หน้ากระจกนาน พอสมควรแล้ว แต่ทั้งหมดที่ทำคือมองหน้าตัวเอง
 “ปัญหาของนายจุ๊ยคือตัวนายเอง  นายคือคนที่เป็นปัญหา  นายใจอ่อนและรักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง “
คำพูดของอาราอิช่างคล้ายคลึงกับคำพูดของใครบางคนในอดีต
เขาถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“หรือไม่จริงๆแล้ว เรามันแค่คนเห็นแก่ตัวอาราอิ  เราก็อาจแค่กลัวจะเสียความรักของพวกเขาไปก็ได้”
แล้วจุ๊ยก็ก้มลงวักน้ำล้างหน้า
แต่พอเงยหน้ามาก็ต้องสะดุ้ง  เพราะเห็นอาราอิยืนอยู่ข้างหลัง
“ขวัญอ่อนจริงๆ” อาราอิว่า แล้วเอาผ้าขนหนูส่งให้  จากนั้นก็แปรงสีฟัน
จุ๊ยก็เลยหันไปหยิบยาสีฟันที่เสียบไว้ในกระบอกข้างกระจก
“ขอบใจนะ  รบกวนนายมากเลย”
อาราอิยิ้ม
“ก็วันหลังฉันจะไปค้างบ้านของนายบ้าง  นายก็ดูแลฉันบ้างก็แล้วกัน”
จุ๊ยเริ่มต้นสีฟันไปแล้ว จึงขานว่าอือ
“อาบน้ำก่อนนะ  เดี่ยวไปส่งที่บ้าน”
ว่าแล้วอาราอิก็ถอดเสื้อ
“อือออ” จุ๊ยส่งเสียงท้วง
อาราอิมองหน้า แต่ก็ยังถอดกางเกงอีก
จุ๊ยบ้วนยาสีฟันทิ้ง
“ทำอะไร”
อาราอิเอามือเกาะที่ขอบกางเกงในบีกีนี่
“ก็อาบน้ำ  จะให้อาบทั้งใส่เสื้อผ้าได้ไง”
“เฮ้ยบ้าเหรอ  แต่เรายังยืนอยู่นี่  นายจะมาแก้ผ้าอะไรตรงนี้” จุ๊ยท้วง
“อ้าว..” อาราอิไม่ได้หยุดแต่ถอดกางเกงในออกอีกต่างหาก
“จะเป็นอะไรไป เราเคยชินแล้วจุ๊ย  ที่ญี่ปุ่นผู้ชายเขาก็แก้ผ้าอานน้ำด้วยกันเป็นปกตินั้นหล่ะ”
จุ๊ยหันขวับหนี
“ไอ้บ้า แต่นี่เมืองไทย”
พอเห็นจุ๊ยหน้าแดง  อาราอิเลยนึกสนุก แกล้งเดินมาแนบชิดแล้วกระซิบ
“ก็ฝึกไว้สิ  เอาไว้จะพาไปเที่ยวญี่ปุ่น  ไปออนเซนกันสองคน”
จุ๊ยก็เลยถองศอกเข้าให้
“ไปเลยไป  อาบให้เสร็จมายืนโทงเทงอยู่ได้”
อาราอิหัวเราะแต่กุมท้องตรงที่โดนศอก
“อาบด้วยกันเลยไหม”
“ไม่..”
“เอาน่า.. เดี่ยวถูหลังให้”
“ไปเลยไป”
“ถูอย่างอื่นให้ด้วยก็ได้นะ”
“ไปไกลๆเลย  นี่นายมันหื่นพอกับไอ้เดฟเลยนะเนี่ย”
 
ซัวเดินลงมาโดยมีเสื้อชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อพาดบ่าไว้
เดือนเลี้ยวเข้าครัว  ไม่เห็นมีอาหารเตรียมไว้  แสดงว่าจุ๊ยไม่ได้กลับบ้าน
ก็เลยยักไหล่แล้วเดินออกมา 
ตอนนั้นบิดากำลังจะยกกล่องใบใหญ่  แต่ก็ชะงักแล้วลูบที่หลังทำหน้าเจ็บปวด  แต่กระนั้นก็ทำท่าจะยกอีก
“ป๊าผมช่วย” ซัวออกปากแล้วรีบเข้าไป
บิดามองลูกชายยกกล่องบรรจุอุปกรณ์การก่อสร้างออกไปวางหน้าร้าน
“วันหลังถ้าเฮียไม่อยู่ ป๊าก็เรียกผมก็ได้นะ” ซัวกล่าว  แล้วก็หันไปยกลังไม้อีกใบ
“อันนี้ไว้ตรงไหน”
“ก็ถัดไปนั้นหล่ะ” อาป๊าตอบ
ซัวก็ยกไปวาง  แล้วหันไปคว้าไม้สอยมาเอาพวงสินค้าออกไปแขวน
“ลื้อกินอะไรรึยัง”
“ยังเลยป๊า” เขาตอบ
“ป๊ากินอะไรไหม เดี่ยวผมไปซื้อให้” ซัวตอบแล้วเหลือบมองบิดา
บิดาก็หันหลัง
“ไปซื้อปาท่องโก้มาสักยี่สิบ แล้วก็ซื้อน้ำเต้าหู้ของอาแปะก็พอแล้ว  ลื้อจัดร้านไปเถอะ เดี่ยวอั๊วเดินไปซื้อมาให้”
ซัวมองตามหลังบิดา  เขาเห็นบิดาลูบหลังขณะเดินไปที่โต๊ะบัญชีเพื่อหยิบเงิน
 
จุ๊ยมองไปเบาะตอนหลังเห็นกล่องแซกโซโฟนยังอยู่ที่เดิม
อาราอิเปิดประตูรถแล้วนั่งลง
“ไปบ้านก่อนหรือจะไปเรียนเลย”
จุ๊ยจะตอบว่าบ้าน  เพราะตอนนี้แม้เขาจะสวมเสื้อสีขาว  แต่เป็นเสื้อของอาราอิ”
แต่โทรศัพท์ดังขัดจังหวะก่อน
“มอร์นิ้งงง ดาร์ลิงก์” จุ๊ยกรอกเสียงหวาน
แต่อาราอิก็รู้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งคนใด
“มึงทำไมยังไม่มาอีก” อีกฝ่ายสวนมาเสียงดังจนอาราอิได้ยิน
จุ๊ยก็เลยนึกได้ว่าวันนี้มีเทสทักษะดนตรี
“ตายห่าละ  โทษๆ จะรีบไปเลย  พวกมึงก็ซ้อมของพวกมึงไปก่อนนะเว้ย”
 
อ๊อด กำลังตรวจสอบสายไวโอลินอีกรอบเพื่อให้แน่นใจว่ามันตั้งไว้อย่างถูกต้อง  มองเห็นจุ๊ยมือจัดวางกระดาษชาร์ตโน้ตกับ สแตนด์ที่วาง  แต่ปากก็หยอกอาจารย์สาวที่เคยเป็นนักร้องและนักดนตรีชื่อดังในทำนองว่า วันนี้สวยเป็นพิเศษ
เขาหันไปสบตากับฮ้อยที่กำลังจัดสแนร์ของชุดกลองให้เข้าที่
แล้วเขาก็หันไปมองอาราอิที่ยืนกอดอกพิงบานประตูห้องอยู่ด้านหลังถัดไปจากกลุ่มเพื่อนๆที่นั่งรอชมและรอสอบเป็นกลุ่มถัดไป
“เอ้าเริ่มได้ แจ้งชื่อเพลง แนะนำตัวด้วย”อาจารย์สาวกล่าว
ฮ้อยเป็นคนบอก
“ผมบารมี  ครับเล่นกลองครับ “
“อธิการ ไวโอลินครับ”
“หล่อที่สุด ผมนทีธาร  แซกโซโฟนครับ” พูดแล้วเก็กเสียงหล่อ เพื่อนเลยโห่กันใหญ่
“พอๆ” อาจารย์ปราม
“เพลง”
สามคนมองหน้ากันก่อน
“Noting gonna change my love for you” ทั้งสามกล่าวออกมาพร้อมๆกัน
แล้วทั้งห้องก็เงียบ
อ๊อด เริ่มก่อน เสียงไวโอลินของเขาเปล่งออกมาอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล  ทำให้อาจารย์พยักหน้าช้าๆ  จนกระทั้งถึงท่อนประสานกลองของฮ้อยเริ่มเล่นสร้างจังหวะ  และแซกโซโฟนของจุ๊ยก็ปลดปล่อยพลังออกมา  ทว่าเขาควบคุมให้เข้ากับไวโอลินของอ๊อดอย่างลงตัว 
ตรงนี้สร้างความประหลาดใจไม่น้อย  เพราะคิดว่ากลุ่มนี้จะมาโดยเอาจุ๊ยเป็นตัวชูโรง  แต่กลายเป็นอ๊อดที่เด่นในบทนำแทน
อาราอิกอดอกแล้วอมยิ้มฟังเพลงอย่างเพลิดเพลิน
 
“เอาหล่ะ” อาจารย์เงยขึ้นจากการจดอะไรยิกๆ
“ผ่านนะ” เธอกล่าว
“วันนี้ อธิการเล่นไวโอลีนได้เสียงหวานมาก  แล้วก็แม่นโน้ตมาก  ตรงนี้น่าชมเชย  แต่ยังต้องฝึกพลังอีกนิดเพราะเธอเล่นนำ ฟังแล้วเลยยังอ่อนไปนิดๆ  แต่ก็ใช้ได้ดีเลยหล่ะ”
หันมาฮ้อย
“กลองตรงจังหวะ แล้วก็แน่นมาก  แต่ลงเสียงสแนร์ยังแปร่งไปนิด  แก้หน่อยหนึ่งนะ  แต่ก็เรียกได้ว่าช่วยส่งเครื่องดนตรีอื่นได้ดี”
แล้วก็หันมาหาจุ๊ย  อาจารย์สาวมองหน้าเขาที่ยิ้มทะเล้นๆอยู่ ก่อนจะกล่าว
“ฉัน เคยได้ยินชื่อเธอมาจากหลายๆที่  นึกว่าเธอจะเป็นประเภทโซโลอย่างเดียว... แต่วันนี้ได้มาฟังเธอในแบบวง คงต้องบอกว่าฉันมองเธอผิดไปจริงๆ  จากที่เคยแอบฟังเธอเล่น concerto ในคาบอาจารย์จินไตย ต้องบอกว่าเธอควบคุมพลังเสียงของตัวเองได้อย่างดีเลยในวันนี้ เพราะถ้าเธอปล่อยหมดอย่างวันที่เล่น Concerto เพื่อนเธอคงเอาไม่อยู่ ต่อให้พวกเธอเล่นกันมานานขนาดไหนก็เถอะ”
แล้วอาจารย์ก็ก้มหน้านิดหนึ่ง
“นที ธาร  เธอควรคิดใหม่เรื่องการเรียน... ที่นี่ไม่ใช่ที่จะทำให้เธอเติบโตไปได้อีกแล้ว  เพราะหลักสูตรและบุคลากรที่เชียวชาญมีจำกัด  เธอควรจะไปเรียนรู้จากที่อื่นๆ ที่เขามีความเชียวชาญ กว่า” เธอสบตาจุ๊ยโดยตรง
“ฉัน ก็ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร หรือมีปัญหาอะไร... แต่ฉันแค่ไม่อยากให้คนอื่นๆในโลกพลาดโอกาสจะได้ยินเสียงแซกโซโฟนของเธอ  นั่นมันเห็นแก่ตัวนะ  สำหรับคนที่มีจิตวิญญาณดนตรีดีอย่างเธอ”
“บอกตามตรงฉันดีใจมากที่ได้สอนเธอ  แต่ฉันอยากจะให้เธอไปมากกว่า  เพราะนั่นคืออนาคตของเธอเอง คิดดูให้ดีๆแล้วกัน”
จุ๊ยเงียบไปนิดหนึ่ง  ซึ่งอาราอิเองก็อยากรู้ว่าเขาจะตอบว่าอะไร
แต่สิ่งที่จุ๊ยตอบออกมามีเพียงคำว่า
“ครับ”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:25:30
ตอนที่ 33 : สายฟ้าฟาด เรื่องราวที่ไม่คาดฝันจากออย
“ที่อาจารย์พูดมันถูกนะเว้ยจุ๊ย” ฮ้อยกล่าวขณะร่วมโต๊ะกินข้าว
“หือ” จุ๊ยขานปากยังเคี้ยวข้าวมันไก่หยับๆ
“ก็เรื่องที่อาจารย์สาพูดในห้องไง”อ็อดต่อให้เพราะรู้ดีว่าฮ้อยหมายถึงอะไร
“มันต้องยอมรับว่าทักษะของมึงมันไกลกว่าพวกกูไปเยอะแล้ว  มึงควรไปเรียนกับมืออาชีพเฉพาะทางมากกว่าจะมาจมกับพวกเรา นะเฟ้ย”
จุ๊ยยังไม่ตอบ  ยกน้ำขึ้นจิบกินก่อน
แล้วหันมาทำเป็นเกาะแขนฮ้อยแกล้งร้องไห้กระซิก
“พี่ฮ้อยขา พี่ฮ้อยเบื่อน้องจุ๊ยแล้วใข่ไหมค่ะ  ถึงได้ผลักไสไล่ส่ง กระซิก กระซิก”
“ประเดี่ยวก็จิ้มด้วยตะเกียบ” ฮ้อยกำตะเกียบชูประกอบ
แม้อ๊อดจะหัวเราะขบขัน แต่ก็กำลังสังเกตุอาการที่ผิดไปจากเมื่อวานเป็นคนละคนชองจุ๊ย
 
“ไม่ใช่ไม่ใช่” จุ๊ยโบกนิ้วช้าๆ
“ไม่ได้เลยนะฮ๊า  คุณน้อง คุณน้องต้องผ่อนลมช้ากว่านี้  เอาใหม่สิฮ้า”
“โอยจุ๊ยเราเป่าจนลมจะหมดตายแล้ว “ แหวนเพื่อนในคณะท้วง
“ก็มันยังไม่ได้  จะสอบไหม “ จุ๊ยกล่าวเสียงเข้ม  แต่ก็ดัดเสียงเหมือนเดิมในตอนหลัง
“เอาใหม่นะฮ้า  หายใจออกช้าๆ แต่ต้องให้มีกำลังพอจะเป่า  มันก็ต้องยากหล่ะฮ้า ก็คุณน้องเล่นเลือกเพลงระดับบรมครู  ก็ต้องทนนะฮ้า”
ฮ้อยเอียงคอมองจุ๊ย
“เมื่อวานไอ้โยชิมันเอาอะไรให้ไอ้จุ๊ยกินวะ  ทำไมมันหายบ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมเร็วจัง”
“เออ” อ๊อดประสานความเห็น
“กู ก็งง  แม่งพวกเราคุยกับมันก็แล้ว ปลอบก็แล้ว  แม่งก็เป็นบ้ามาสองเดือนเต็มๆ  ไปกับไอ้โยชิคืนเดียว  กลับมาหายเฉย  นี่ถ้ามันสองคนไม่มีแฟนทั้งคู่  กูต้องคิดว่าไอ้โยชิมันจับไอ้จุ๊ยกดไปรอบสองรอบ ก็เลยหายบ้า เลยนะเนี่ย”
ฮ้อยหัวเราะเบาๆ
“ก็อาจจะก็ได้นะเว้ย”
อ๊อดทำหน้าแปลกๆ
“ไม่มั้ง...”
ตอนนี้จุ๊ยเอามือแตะที่หลังของแหวน กำกับคำพูดว่าช้าๆ
แต่แล้วอ๊อดก็เหลือบไปเห็น
“เฮ้ยๆ” อ๊อดตื่นตัว
“แม่มันมา” เขาจะลุกไปเตือนจุ๊ย ทว่าไม่ทัน
“จุ๊ย” ออยลงเสียงกระแทกพร้อมกับเท้าที่ย่ำลงไปอย่างแรง
“ทำอะไรน่ะ”
แล้วเธอก็ดึงจุ๊ยออกมา
“อะไร.. ก็จุ๊ยสอนแหวนเขาหายใจ”
แหวนลดฟรุ๊ตทื่ถือไว้ ลงหันมามองหน้าออย
ออยเห็นทุกคนหันมามองกันหมด ก็เลยดึงจุ๊ยออกไปจากตรงนั้น
“ตายมึงตาย” ฮ้อยว่าแล้วถอนหายใจยาวๆแล้วมองตามไป
“อะไรวะ  แค่นี้ก็หึงละ” แหวนกล่าวกับอ้น เพราะไม่สบอารมณ์อย่างแรง
“ไม่ล่ามคอไอ้จุ๊ยไว้เลยวะ จะได้ไม่มีใครมายุ่ง”
 
ออยไม่ได้พูดเรื่องเมื่อสักครู่  แต่กลายเป็นว่าต่างคนต่างนั่งหันไปคนละทาง
“เมื่อคืนจุ๊ยไปไหนมา  ออยโทรไปที่บ้านเจอเฮียตี้ บอกว่าจุ๊ยไม่ได้กลับ”
จุ๊ยถอนหายใจ
“นี่ออยโทรไปทำไม  มือถือจุ๊ยก็มีแล้วทำไมไม่โทรมาถามจุ๊ย”
“ก็ถ้าถามจุ๊ยจะตอบเหรอ  จุ๊ยก็ต้องโกหกออยอยุ่แล้วหล่ะ” ออยตอบเสียงเข้ม
จุ๊ยเงียบแล้วหันไปทางอื่น
“ก็ไปนอนบ้านเพื่อนคนอื่น  จุ๊ยมีเพื่อนหลายคน ออยอยากรู้จักหมดเลยหรือไง”
ออยอารมณ์ขึ้น แต่พยายามจะควบคุม เพราะมีเรื่องสำคัญกว่า
“ช่างเถอะ  แต่อย่าบ่อยแล้วกัน” เธอกล่าว  แต่จุ๊ยไม่หันมามองหน้าเธอ
เธอก็เลยลุกไปยืนตรงหน้า
“ออยอยากให้จุ๊ยบอกเรื่องของเรากับหลิวซะที”
จุ๊ยเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธฮ
“เราคุยกันรู้เรื่องไปแล้วนี่” จุ๊ยทวง
“ไหนออยบอกว่าจะไม่บังคับจุ๊ยเรื่องนี้”
ออยถอนหายใจหันไปทางอื่น
“ออยประจำเดือนไม่มาสองเดือนแล้ว”
จุ๊ยงงในตอนแรก  แต่คิดไปคิดมา
“ออยนี่ออยจะบอกว่า ออยท้องเหรอ” จุ๊ยถามออกมา ใจก็ภวานาให้เขาเข้าใจผิด
“ใช่ จุ๊ย  ออยท้อง  ถึงเราจะมาป้องกันตอนหลัง  แต่อย่าลืมว่าตอนที่เรามีอะไรกันครั้งแรกจุ๊ยไม่ได้ป้องกันเลย  แล้วออยก็ซื้อชุดตรวจครรภ์มาตรวจแล้วด้วย  ที่เมื่อวานออยโทรตามจุ๊ยก็เพื่อจะคุยเรื่องนี้หล่ะ”  ออยนั่งลงที่เดิม
“ออ ยก็ไม่เรียกร้องอะไรมาก  เรายังไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้  แต่จุ๊ยก็ต้องดูแลออยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่  แล้วก็ต้องดูแลเด็กที่จะเกิดมาด้วย  แล้วอย่าคิดว่าออยจะทำแท้ง  เพราะนั้นมันคือการฆ่าลูกของเรา...”
ออยพูดไปมากมาย  แต่จุ๊ยได้ยินแค่ประโยคยืนยันของเธอเท่านั้น
 
 หญิงสาวตักมะม่วงจากถ้วยตัวเองใส่จานของตี้
“ขอบใจนะ” เขายิ้มแป้น
“ก็ตี้ชอบ” เธอตอบ
ตี้จะตอบ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน
“เดี่ยวนะ” เขาว่าแล้วมองหน้าจอ
“น้องชายตี้”
 
จุ๊ยนั่งเขี่ยกาแฟปั่นแทนจะดื่มจนมันละลายไปหมด
“อะไรของเอ็งเนี่ยจุ๊ย  สั่งมาก็ไม่กิน  มันแพงนะเอ็ง” ตี้ถาม
“นั้นแฟนเฮียเหรอ” จุ๊ยถามแล้วเหลือบมองหญิงสาวที่แยกไปนั่งรอที่โต๊ะห่างไปพอสมควร
“สวยเนอะ  ทำไมไม่พาไปให้ป๊าดูหน้าสักทีหล่ะ”
ตี้หันไปแล้วหันกลับมา
“ก็คงจะอีกนิดหล่ะตอนนี้ยังก่อน”
“งั้นผมคงต้องขอแซงก่อนนะ” จุ๊ยกล่าว
ตี้หันมากำลังจะบอกว่านึกไว้แล้วว่าจุ๊ยมีแฟนแล้ว เพราะจุ๊ยดูแปลกๆไป
แต่สีหน้าจุ๊ยไม่ค่อยดี
“มีอะไรวะ ไปทำผู้หญิงท้องหรือไง” ตี้ตั้งใจจะหยอก
แต่จุ๊ยกลับพยักหน้า
ตี้นิ่ง  ประเมินน้องชาย
ปกติจุ๊ยเป็นคนขี้เล่นมาก  แต่ขณะเดียวกันก็จริงจังในหลายๆเรื่อง
“จริงหรือเปล่าจุ๊ย”
จุ๊ยก็พยักหน้าซ้ำ
“ท้องกับเอ็งนี่เหรอ” ตี้ย้ำ ก่อนถามต่อ
“คบกันมากี่เดือนแล้ว”
“ก็สองเดือนนิดๆได้น่ะเฮีย”
ตี้ขมวดคิ้วยุ่ง
“จริงเหรอ” เขาถามย้ำ
จุ๊ยก็พยักหน้าอีก
“เฮียช่วยหาวิธีบอกป๊าหน่อยสิ  จุ๊ยนึกไม่ออกเลย”
แต่ตี้ยกมือปราม
“แกแน่ใจเหรอ”
จุ๊ยถอนหายใจ
“ก็อยากไม่แน่ใจนะเฮีย  แต่จุ๊ยพึ่งจะซื้อชุดตรวจให้เธอตรวจก่อนมานี่หล่ะ  ไม่ผิดหรอกเฮีย”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:26:08
ตอนที่ 34 : ความจริงที่เก็บไว้ของออย และความรู้สึกของอัศวะ
ออยนั่งใจลอยเพราะเธอกำลังก้ำกึ่งระหว่างความดีใจที่จุ๊ยรับปากจะคุยกับครอบครัว  แต่ใจหนึ่งก็กังวลอย่างบอกไม่ถูก
แต่แล้วเธอก็ประจักษ์ว่าความกังวลของเธอมาจากอะไร
เพราะเห็นมาจากระยะไกล  เธอจึงคิดจะลุกหนี  แต่เขาวิ่งตามทันก่อน
“ออยเราคุยกันก่อน” ชายหนุ่มผิวสองสีดึงเธอไว้
“เราคุยกันไม่รู้เรื่องนะออย  ทำไมออยไม่รับโทรศัพท์ฮาร์ท”
ออยปลดแขนเขาออก
“เราคุยกันแล้วฮาร์ท  ออยมีแฟนใหม่แล้วด้วย  ระหว่างเราเป็นอันจบแค่นั้น  เพราะฮาร์ทเองต่างหากที่ผิดกับออยก่อน”
“ไอ้ จุ๊ยเด็กดนตรีน่ะเหรอ... ออยก็รู้ว่ามันน่ะแปลกๆ  ใครก็รู้ว่ามันมีดาราเดฟคอยตามประกบ  มันเป็นเกย์รีเปล่ายังไม่รู้เลย” ฮาร์ทพูดเสียงดัง
ออยมองไปรอบๆ เพราะตอนนี้มีนักศึกษาและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยหลายคนหยุดดู
“พอได้แล้วนะ  สถาบันนี้เป็นสถาบันทรงเกียรติ  อย่ามาพูดอะไรแบบนี้” ออยเสียงแข็งใส่
“ทรงเกียรติ... “ ฮาร์ททวนคำ
“ตอน นั้นไปนอนกับฮาร์ทไม่ทรงเกียรติบ้างหละ  เออฮาร์ทมันโลว์  มันไม่ได้เรื่อง สอบไม่ติดอย่างออย แล้วก็ไม่ได้เก่งกาจเหมือนไอ้จุ๊ย  แต่อย่างน้อยผุ้หญิงทรงเกียรติอย่างออยก็เป็นเมียฮาร์ทแล้วไง...”
“ฮาร์ท” ออยเสียงดังออกมาจนแหลมสูง
“ทำไม รับไม่ได้  ก็ให้มันรู้กันไป  รู้ไปเลยว่านิสิตทรงเกียรติที่นี่มีคนอย่างออย  ผุ้หญิงที่เข้าหาผู้ชายก่อน ออยมันก็แค่...”  พูดได้แค่นั้นแล้วเซไป
ชายหนุ่มร่างสูงทว่าผอมบางพุ่งเข้าผลักเขาอย่างแรง
ฮาร์ทตั้งหลักได้ก็พุ่งเข้ามาคว้าคอ
“ไอ้เนมึงเสือกอะไร”
“ก็มึงหน้าตัวเมียรังแกผู้หญิง” เนติตอบ  เขากับฮาร์ทเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกันมาก่อน คือโรงเรียนสหศึกษาใกล้ๆกับโรงเรียนของออย
“ไอ้สัตว์” ฮาร์ทคำรามแล้วโยนหมัดใส่หน้าเนติจนล้มคว่ำ
ฮาร์ทจะเข้าไปซ้ำแต่โดนนักศึกษาชายสองคนที่หยุดดูเหตุการณ์ขวางไว้ก่อน  นั้นก็คือเดฟกับอัศวะ
เดฟกับอัศวะซึ่งเดินผ่านมาเพื่อไปตึกเรียน ถูกดึงดูดด้วยชื่อจุ๊ย และชื่อของเขาเองก็เลยแอบฟัง
เดฟเหวี่ยงฮาร์ทไปอย่างง่ายดาย ด้วยรูปร่างสูงใหญ่  ฮาร์ททำท่าจะฮึดฮัดแต่อัศวะก้าวเข้ามาขวางทางเขาเลยจำเป็นต้องถอย
ชี้หน้าแล้ววิ่งไป
อัศวะเก็บแว่นของเนติที่กระเด็นไป แล้วเดินกลับมาจุดที่เดฟย่อตัวลงประคองเนติให้ลุกขึ้น
“โอเคไหม  ไปห้องพยาบาลดีกว่าไหม” เดฟกล่าวแล้วส่งผ้าเช็ดหน้าตัวเองให้เนติ
เนติส่ายหัว ก่อนจะหันไปมองออยที่ยืนห่างออกไปด้วยอาการตกใจ
พอโดนมองหน้าออยก็ได้สติ  จะเดินเข้ามาหา  แต่เนติกลับกล่าวกับเดฟ
“ขอบคุณนะ ผมโอเค” แล้วก็เดินจากไป
ส่วนเดฟก็หันมามองหน้าออย ก่อนจะเดินไปโดยมีอัศวะเดินตามไป
 
“เราควรบอกไอ้จุ๊ยไหม” อัศวะถามตอนที่ทั้งคู่นั่งเงียบอยู่ที่ทางเดินของอาคารเรียนที่มีม้านั่งตั้งให้นิสิตรอเข้าเรียน
“ไม่ดีกว่า  จุ๊ยคงจะเสียใจมาก” เดฟกล่าว
อัศวะถอนหายใจแล้วบอก
“ก็ตามนั้น”
จากนั้นก็นั่งเงีบบไปทั้งคู่
“นายนี่รักจุ๊ยมากเลยจริงๆนะ  แคร์ความรู้สึกมันมากเลย” อัศวะกล่าวออกมา
เดฟยกแขนขึ้นโยกเบาๆ  เขารู้สึกเคล็ดเพราะออกแรงฉับพลัน
“ก็ทำไงได้  ผมมันโง่  ถึงขนาดนี้ยังตัดใจไม่ได้สักที”
“แต่ ก็ยังดีที่เดฟกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่เหมือนใครหลายคนที่ไม่กล้า  เพราะมัวแต่กลัว” อัศวะกล่าวแล้วมองบนผนังตึกที่มีโปสเตอร์งานเปิดโลกวิชาการที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้
“บางทีการที่เราเปิดเผย  บางทีมันอาจดีกว่าปิด  แม้จะผิดหวัง  ที่สุดก็ยังได้เปิดเผยตัวเอง  แต่คนบางคนขี้ขลาด  กลัวว่าตัวเองจะผิดหวัง  แต่เดฟไม่เป็นอย่างนั้น  รู้อยู่ว่าจะผิดหวัง  แต่เดฟก็ยังคงซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง”
เดฟมองหน้าอัศวะ
ตอนนี้อัศวะเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย  คงเพราะการบำรุงอย่างต่อเนื่องตามโปรแกรมเตรียมนักร้องใหม่ของค่ายเพลง ทำให้ผิวสองสีของเขาดูผ่องสะอาด  แต่จริงๆแล้วอัศวะก็นับเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งอยู่แล้ว  ซึ่งจริงในแง่ความหล่อ ดูดีมากกว่าจุ๊ยอยู่เยอะ  จมูกก็โด่ง ดวงตาก็คม คิ้วเข้มแบบคนมีเชื้อสายมอญ
“นายพูดอย่างกับนายแอบชอบใคร  ให้ฉันไปบอกให้ไหม” เดฟกล้าแซวอัศวะมากขึ้นกว่าแต่ก่อน 
ทั้ง ที่สมัยเรียนมัธยมไม่ค่อยได้คุยกัน  แต่มาตอนนี้เนื่องจากอัศวะออกมาช่วยพ่อทำงานของบริษัทเกี่ยวข้องกับแสงเสียง ของงานอีเวนท์มากขึ้น  ทำให้มีโอกาสได้เจอกับเดฟเวลาไปออกงาน  ก็เลยได้คุยกันมากกว่าเดิม  แถมยังเรียนด้วยกันอีก  ตอนนี้เขาและอัศวะจึงไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ และสนิทสนมมาก
และพอได้รู้จักกันมากขึ้นเดฟจึงรู้สึกว่าอัศวะก็เป็นคนน่าคบหา  ออกจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เขาคิดด้วยซ้ำ
อัศวะถอนหายใจ แล้วก็เงียบไป
“อย่า เลย... นอกจากเขาคนนั้นจะเปลี่ยนใจ กับตัดใจก่อน  ถ้าเขาไม่เปลี่ยนใจ  หรือตัดใจต่อให้ฉันที่แอบชอบเขามาตั้งนานแล้วก็ไม่สามารถไปบอกเขาได้หรอก  เพราะเขามีตาไว้มองคนคนเดียว  มีใจไว้รักคนแค่คนเดียว”
คำพูดนั้นมันทำให้เดฟรู้สึกแปลกใจ  และใจหวิวอย่างประหลาด
ทั้งที่นั่นหมายถึงใครก็ได้ทั้งนั้น  และน่าจะหมายถึงผู้หญิงมากกว่า เพราะอัศวะไม่เคยมีท่าทีว่าชอบเพศ.. เดียวกัน
แต่กระนั้น  เดฟอดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่าอัศวะหมายถึง..
เดฟนิ่งไปเพราะคิด  เขาหาคำพูดที่จะตอบ  ทั้งนี้เพื่อสองเหตุผล
“แล้วถ้าแค่เปิดใจหล่ะพอไหม  ขอเปิดใจลองให้คนอื่นเข้ามาแทน”  เดฟกล่าวออกไปเพื่อนำทาง
และเหตุผลที่สอง คือให้รู้ว่ากันไปว่า หมายถึงใครกันแน่
“จะให้ลืมบางทีมันยากนะ  แต่ถ้าค่อยๆเปิดใจ  ก็อาจทำได้  เพียงแต่นายจะทนได้ไหม  เพราะความฝังใจมันไม่ได้ลบได้ง่ายๆ”
อัศวะเงียบไป หันไปมองทางอื่น 
เดฟเริ่มตีความว่าอัศวะคงไม่ได้หมายถึงตัวเขาเอง
พลันความรู้สึกสองอย่างเกิดขึ้น  คือ โล่งใจที่อย่างน้อยก็ยังวางตัวได้ถูก  แต่ก็รู้สึกคล้ายจะเจ็บจี๊ดๆ
“ฉัน ขอแค่นั้นล่ะ  ขอแค่นั้นจริงๆ  ขอที่ให้ฉันยืนในหัวใจที่มีไอ้จุ๊ยอยู่เกือบเต็ม  ขอให้ได้ยืนตรงนั้นบ้าง  อย่างน้อยถ้าวันหนึ่ง  นายไม่สามารถให้ฉันยืนได้จริงๆ  ฉันก็จะเดินออกไปอย่างไม่ค่อยเจ็บปวดมาก เพราะทำใจไว้แล้ว  แล้วก็ยังดีกว่าเจ็บโดยไม่มีโอกาสเลย”
อัศวะกล่าวออกมาไม่ได้หันมาเต็มๆเพราะหวั่นใจ  แค่เพียงชำเรืองมองมา
เดฟรู้สึกว่าถึงความแปรผันไปอย่างฉับพลัน  ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าตกลงตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่กับสิ่งที่เกิด
 นี่อัศวะกำลังสารภาพรักเขาอย่างนั้นหรือ
“ขอแค่นั้นจริงๆ” อัศวะกล่าวย้ำแล้ววางมือตัวเองบนมือของเดฟอย่างแผ่วเบา
แม้จะเหมือนเยือกเย็น  แต่ใจของเขากำลังเต้นระรัว  กลัวว่าเดฟจะดึงมือออกไป
อัศวะไม่สามารถระบุได้ว่าเขาชอบเดฟตอนไหน  แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าทำไม 
อัศวะรู้ตัวอยู่แล้วว่าตัวเองชอบผู้ชายด้วยกัน  แต่เพราะเขากลัวว่าคนอื่นจะมองเขาไม่ดี ก็เลยปิดบังความรู้สึกเรื่อยมา 
จริงๆแล้วจะว่าไปคนแรกที่เขาชอบคือจุ๊ยด้วยซ้ำไป เพราะตอนม.สองที่เขามีปัญหากับพ่อจนหนีออกจากบ้าน  เขาก็ไม่รู้จะไปไหน  เลยมานั่งที่โรงเรียน   
แต่ปรากฏว่าวันนั้นจุ๊ยอยู่ซ้อมดนตรีจนดึกเกือบสองทุ่มก็เลยมาเจอกับเขา จุ๊ยทำให้เขาสบายใจ  แล้วยังไปส่งเขาที่บ้าน  เขาประทับใจในตัวจุ๊ยมาก 
แต่กับเดฟมันเริ่มจากการที่เขารู้สึกทึ่งที่เดฟกล้าเปิดเผยตัวเองกับคนอื่น  และกล้าบอกรักจุ๊ย  ต่อมายิ่งได้รู้ว่าความรักของเดฟบริสุทธิ์แค่ไหน  เขาก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวเดฟมากขึ้น  เรื่อยๆ  จนกระทั้งเมื่อยิ่งเจอบ่อยๆ เขาก็ยิ่งอยากเจอเดฟ  กว่าจะรู้ตัวเขาก็เริ่มรู้สึกหึงขึ้นมา  ไม่ใช่หึงตัวจุ๊ยแต่หึงตัวเดฟ  เขาเริ่มไม่พอใจที่เดฟไปใกล้ชิดกับจุ๊ย...
การ รอคำตอบจากใครแม้เป็นช่วงเวลาไม่นานเท่าไหร่แต่ช่างทรมานใจอัศวะ  แต่เขาก็ทำใจไว้แล้ว  เพราะเขาสัญญากับตัวเองว่าสักวันจะต้องบอกเดฟให้ได้ว่าเขาชอบเดฟ  ไม่ว่าเดฟจะรู้สึกอย่างไรกับเขา
กระนั้นมันนานจนอัศวะเกือบยอมแพ้แล้ว เขาคิดจะพูดออกไปเองว่าไม่เป็นไร  แต่ทว่า.. เป็นเดฟที่เอ่ยออกมา
“อืมได้...แต่ ตอนนี้ก็ให้ได้แค่นี้หล่ะ  ตกลงแค่นี้ก่อน  แล้วสักพักฉันคงจะหาที่ให้นายยืนได้เต็มตัว”  เดฟกล่าวโดยหันไปมองทางอื่น
สองคนมองไปคนละทาง  แต่มือของทั้งสองตอนนี้กุมกันไว้แล้วแน่น
ใน แสงแดดที่ส่องลอดใบไม้ละผ่านช่องระเบียงเข้ามา  รอยยิ้มของสองหนุ่มที่หันไปคนละทางช่างเหมือนกันเหลือเกิน  คืออิ่มไปด้วยความรู้สึก...
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:26:44
ตอนที่ 35 : เหตุผลของออย
ออยตัดสินใจไม่เข้าเรียนในวันนี้  เธอจึงกลับมาที่พัก
เธอนั้งลงเตียงนอนที่ว่างเปล่า  แต่เมื่อคืนก่อนนั้นยังมีจุ๊ยนอนอยู่และเธอก็กอดเขาไว้จากด้านหลังร่าง สัมผัสแนบชิดโดยไร้อาภรณ์ภายใต้ผ้าห่ม...
จะว่าไปแม้จุ๊ยต้องทำตามใจเธอเพื่อแลกเปลี่ยนสัญญาว่าเธอจะไม่บอกเรื่องนี้กับ หลิว  แต่จุ๊ยก็ดีกับเธอไม่น้อยเหมือนกัน  เวลาอยู่ด้วยกันแม้จุ๊ยจะไม่ค่อยสนใจว่าเธอทำอะไรอยู่แต่ก็ตอบรับทุกครั้ง ที่เธอเรียก ถ้ามาค้างเขาก็จะปรุงอาหารเข้าให้เธอไว้ก่อนไปทุกครั้ง แล้วยังเก็บเอาเสื้อผ้าของเธอลงไปใส่เครื่องชักผ้าหยอดเหรียญแล้วเอามาตาก ให้ด้วย
เธอนึกถึงคำพูดของแม่ที่เล่าว่าพ่อของเธอก็ไม่ได้รักใคร่อะไรกันกับแม่มาก่อน  ต่างคนต่างมารู้จักกันเพราะผู้ใหญ่แนะนำ  แต่พอผ่านเวลาไปก็จะรักกันไปเอง  เธอก็จะใช่สิ่งเดียวกันกับจุ๊ย
เธอจับจุดของจุ๊ยได้จากคำพูดของหลิวที่เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับตัวจุ๊ย
จุ๊ยมีจุดอ่อนตรงเป็นคนที่ขี้สงสาร  และอีกอย่างที่เป็นจุดอ่อนคือเขาไม่ค่อยปฏิเสธคนอื่นแม้จะไม่เต็มใจ
ดังนั้นในวันที่กลับจากหัวหินเธอจึงต้องสวมบทบาทน่าสงสาร  เอาภาพที่สะสมไว้ของจุ๊ยให้เขาดู  แล้วก็บรรยายความรู้สึกของเธอต่อเขา  ปรากฏว่าได้ผลชะงัด  จุ๊ยท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด 
แล้วโจมตีต่อมาด้วยการให้สัญญาว่าถ้าจุ๊ยคบกับเธอต่อไป  ไม่บอกเรื่องนี้กับหลิว  เพราะเธอรู้ว่านี่คือความกังวลใหญ่ของจุ๊ย  เธอก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วจุ๊ยคิดกับหลิวอย่างที่หลิวคิดกับจุ๊ยหรือไม่  แต่แน่ๆคือถ้าอะไรทำให้หลิวเดือดร้อนเจ็บปวด จุ๊ยจะไม่ยอมแน่นอน เพราะอย่างน้อยที่สุดคือเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาแต่เด็กๆ
แต่จะว่าไปแล้ว  ถึงจุ๊ยจะอยู่กับเธอ  เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถจะชนะใจเขาได้โดยง่าย
เพราะสองเดือนนิดๆที่ผ่านมา  ความสัมพันธ์ที่มีเกิดจากการเริ่มก่อนของเธอที่รุกเข้าหาจนจุ๊ยทานไม่ได้ แล้วตอบสนองเธอออกมา  ไม่มีสักครั้งที่จุ๊ยจะเข้าหาเธอก่อน... มันแสดงว่าใจของจุ๊ยยังไม่ได้อยู่กับเธอ  ที่เธอมีคือตัวของเขาเท่านั้น  ซึ่งเธอก็ต้องอดทนต่อไป
แต่ตอนนี้อาวุธของเธอคือสิ่งที่เธอไม่คาดคิด  เธอสังเกตว่าประจำเดือนไม่มาได้ระยะหนึ่งแล้ว  จึงไปทดลองซื้อชุดตรวจครรภ์  แล้วก็ได้พบว่าเธอตั้งครรภ์แน่นอน 
แต่ถ้าถามว่าแน่ใจหรือไม่ว่าเป็นลูกของจุ๊ย  เธอไม่แน่ใจนักหรอก ...
แต่ตราบใดที่จุ๊ยเป็นสุภาพบุรุษพอ ไม่ได้เจ้าชู้ประตูดินอย่างไอ้ฮาร์ท เขาก็คงไม่ทำอะไรที่เกินเลยไปกว่าสอบถาม  ดังนั้นวันนี้เธอจึงตัดสินใจบอกไปตรงๆว่าเธอท้อง  แม้จะไม่มั่นใจในปฏิกิริยาของจุ๊ย   แล้วมันก็ได้ผล  จุ๊ยตอบรับโดยดีด้วยการสัญญาว่าจะไปบอกกับครอบครัว  โดยไม่บ่ายเบี่ยงสักคำ
เธอคิดถูกแล้วที่เลือกจุ๊ยไม่ใช่ไอ้ฮาร์ท  เพราะขนาดจับได้คาหนังคาเขาขนาดนั้น  มันก็ยังไม่ยอมกับเลิกกับเธอโดยดี  แล้วยิ่งมารู้เรื่องจุ๊ยก็ถึงขนาดมาอาละวาดที่มหาวิทยาลัย
พอคิดถึงตรงนี้ออยก็รู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อเห็นเนติ ผู้ชายที่เธอทอดกายให้โดยไม่ตั้งใจตอนเสียใจกับเรื่องของฮาร์ท ออกมาปกป้องเธอทั้งที่เขานั้นปกติหัวอ่อนไม่สู้คน  แถมเคยเป็นเพื่อนสนิทกับฮาร์ทด้วย
เธอไม่คิดว่าเซ๊กซ์แค่ไม่กี่ครั้ง และเป็นความสัมพันธ์แค่ช่วงราวๆเดือน จะทำให้เขากล้าต่อกรกับฮาร์ทที่เคยเป็นเพื่อนและทั้งที่รู้ก็รู้ว่าแข็ง แรงกว่าเขา
พอคิดมาต่อตรงนี้ ความกังวลก็เกิดอีก
เดฟดันมาเห็นเหตุการณ์นั้น  เดฟอันตรายมากที่สุดคนหนึ่ง  แม้เรื่องเล่าของเดฟที่เธอได้ฟังจากหลิวจะเป็นเหมือนเรื่องขำขัน  แต่ก็ลืมไม่ได้ว่าเดฟคือเพื่อนที่คบกันมายาวนานที่สุดคนหนึ่งของจุ๊ย   แล้วก็อย่างที่ฮาร์ทพูดคือ จุ๊ยแปลกๆกับกรณีเดฟ  ยิ่งที่จุ๊ยออกไปหาเดฟคืนนั้น แม้เธอไม่เห็นว่าทำอะไรกันบ้าง เพราะอยู่ไกลมาก  จะไปใกล้กว่านี้ก็ไม่กล้า  แต่อย่างหนึ่งที่รู้คือ คือเขาอยู่กับเดฟจนกระทั้งเช้า
ตอนนี้เดฟรู้เรื่องฮาร์ทแค่บางส่วน  แต่เธอก็เกรงเดฟจะสืบต่อ เพราะด้วยอำนาจเงินกับชื่อเสียงที่เดฟมี คงไม่ยากที่จะรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไร
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดความคิดของเธอ
เธอหยิบมาดูเป็น  หมายเลขของจุ๊ย
 
จุ๊ยเทข้าวต้มที่มีหมูสับตับและปลาลงในชามแล้วยกมาให้ที่ชุดรับแขก
“เฮียฝากมาบอกว่าดีต่อคนท้องใหม่ๆ  เพราะช่วยเรื่องอาการแพ้ท้องได้” จุ๊ยกล่าว
ออยยิ้มจนหน้าบาน
ความกังวลใจของเธอหายไปจนสิ้น
“กินสิ  กินเยอะๆ  แม่แข็งแรงเด็กก็จะแข็งแรงนะ”  จุ๊ยบอกแล้วก็เอนหลังกับโซฟาแล้วหยิบสวิทต์มาเปิดโทรทัศน์
ออยตักขึ้นมาดมๆ ชิมคำหนึ่งก็พอใจในรสชาติใช้ได้ ก็เลยกินต่อ
“จุ๊ยได้เจอเดฟหรือเปล่า”
จุ๊ยหันมามองหน้าเธอ
“ทำไมเหรอ  ออยเจอมันเหรอ แล้วมันทำอะไรออยหรือเปล่า” จุ๊ยถามแบบต่อเนื่อง
“อ้อ เปล่าไม่มีอะไร แค่ถามเฉยๆ พอดีเมื่อกี้ก่อนออกมาเห็นเขาเดินไปกับผู้ชายคนหนึ่ง  ไม่รู้ใครหน้าเข้มๆ หล่อไม่เบาเลยหล่ะ” เธอตอบแล้วกินต่อ  แต่ลอบสังเกตอาการของจุ๊ย
จุ๊ยก็ไม่ได้ว่าอะไรดูทีวีต่อไป
จนสักครู่เธอกินเสร็จ  จุ๊ยก็เอาชามไปล้างที่ส่วนครัวให้
“ออยพรุ่งนี้เฮียให้ไปหาหน่อย  เฮียอยากจะคุยก่อนที่จะไปพบป๊า พอดีพรุ่งนี้เฮียเขาจะไปติวกับรุ่นพี่เขาที่คลินิกของรุ่นพี่เขา แล้วเขาจะค้างที่นั้นเลย  ก็เลยอยากให้เราไปหาจะได้คุยกันก่อน” จุ๊ยบอกตามที่ตี้บอกเล่ามา
“ทำไมที่ต้องคลินิก” ออยรู้สึกแปลกๆ
“ก็เฮียเขาเป็นหมอนี่ จะติววิชากันก็ต้องที่คลินิก” จุ๊ยตอบ
ก่อนออกไปจุ๊ยยังตามเก็บข้าวของที่ออยหยิบออกมาแล้วยังไม่ได้เก็บเข้าที่ 
“ถ้าแพ้ท้องมากไม่ไหวจริงๆ ก็โทรตามจุ๊ยนะ  วันนี้จุ๊ยต้องกลับบ้านแล้วหล่ะ เพราะไม่ได้ทำความสะอาดบ้านหลายวันป่านนี้รกเป็นรังหนูไปแล้วมั้ง”  แล้วเขาก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มที่ทำให้หน้าของผู้ชายธรรมดาอย่างจุ๊ยดูสว่างและสดใส 
แล้วเขาก็เปิดประตูออกไป
ออยมองรอบตัว  ห้องที่ไม่มีจุ๊ยเหมือนจะเงียบเหงาลงทันที 
ทำไมจุ๊ยแสนดีนัก  และทำไมที่ใดก็ตามที่จุ๊ยไปอยู่จะมีความสุขติดตามไป..
ใจหนึ่งก็อยากจะครอบครองเขาไว้เพียงคนเดียว  แต่อีกใจก็บอกตัวเองว่าเธอกำลังผิดต่อจุ๊ยหลายต่อหลายอย่าง
 
จุ๊ยกลับถึงบ้านตอนเย็นก็เริ่มต้นทำความสะอาดบ้านไปที่ละส่วน  ไล่ลงมาจากชั้นบนสุดจนลงมาถึงข้างล่าง
ระหว่างกำลังจัดการกับขี้หนูที่อยู่ใต้ตู้โชว์สินค้า  ก็สังเกตเห็นว่าป๊ากำลังทาน้ำมันที่หลัง
“ปวดหลังเหรอครับ” จุ๊ยถามเมื่อโกยขี้หนูออกมาใส่ถุงเรียบร้อย
“เอ้อ.. ตอนยกของตอนเช้า คงก้มผิดท่าไปหน่อย” ป๊าตอบ
“ให้เฮียดูรึยังครับ” จุ๊ยถามแล้วถอดหน้ากากอนามัย
“ไม่ต้องหรอก แค่ปวดนิดหน่อยๆ ก็ทาน้ำมันเอาได้” ป๊าตอบแล้วก็นั่งดูทีวีต่อ
จุ๊ยมองไปรอบๆ
“ถ้าบ้านเรามีผู้หญิงสักคนก็ดีนะครับ อย่างน้อยเวลาผมต้องไปเล่นดนตรี  จะได้มีคนดูแลป๊า”
บิดาส่งเสียหึ
“ไอ้ คิดมันก็ดี  แต่ลื้อจะหวังให้ผู้หญิงเดี่ยวนี้มาทำงานบ้าน  ก็ผิดไปแล้วหล่ะ  ดูอย่างลูกสะใภ้ร้านข้าวมันไก่สิ  วันๆอั๊วเห็นอีเอาแต่แต่งตัว  สับไก่ยังไม่ขาด  จะทำงานบ้านให้  แปะมุ๊ยบ่นจะตายแล้วลื้อไม่ถามดู”
จุ๊ยไม่ตอบ  เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไร  แล้วก็เดินเอาขี้หนูไปทิ้งหน้าบ้าน
เขาอยากจะบอกเรื่องของออย  เพราะยังไงก็ต้องบอก  แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าปริปากออกไป...
แต่เขาก็ยังพอเบาใจได้ เพราะยังไงพี่ชายของเขาก็คงหาวิธีบอกแทนเขาได้แน่ๆ
 
หมวกแก็ปที่สวมไว้บนกล่องโซบราโนแซกโซโฟนยังคงอยู่ที่เดิมอย่างเดิม  เขาหยิบมันมาสวมแล้วก็เปิดกล่องเอาแซกโซโฟนตัวนั้นออกมา
วันนี้จุ๊ยนึกอยากเล่นเพลงนั้น     
เพลงสุดท้ายเจ้าของแซกโซโฟนตัวนี้ใช้มันเล่น
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:27:24
ตอนที่ 36 : เหตุการณ์พลิกผัน
“จริงเหรอวะ” อ๊อดถามออกมา ทำหน้าเหมือนโลกจะแตกวันนี้
“เอ็งแน่ใจเหรอจุ๊ย” ฮ้อยก็ถามย้ำ
จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ
“ก็ตามนั้น  ต่อไปพวกมึงก็คงต้องรำคราญออยมากขึ้นอีกนิด  เพราะเธอคงจะมาหากูบ่อยๆ” 
อ๊อดส่ายหัวดุกดิก
“ไอ้จุ๊ยเอ้ย... มีเพจเป็นของตัวเอง มีคนไลก์เป็นหมื่นๆ มีทั้งผู้หญิงผู้ชายมาชอบ เสือกมาตกม้าตายเพราะผู้หญิงคนนี้”
จุ๊ยตบหัวอ๊อดเบาๆ
“มึงอย่าพูดแบบนั้น  พูดอย่างนั้นเขาเสียหาย”
ฮ้อยถอนหายใจกอดคอจุ๊ย
“เอาวะ  ถ้าลูกมึงออกมา กูจะช่วยเลี้ยงเอง”
 
คลินิก ของพี่หมอวัฒน์คือสถานที่ซึ่งพี่ชายนัดจุ๊ยให้พาออยไป  หมอวัฒน์รุ่นพี่ของทั้งตี้และจุ๊ยเนื่องจากเขาก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน  แม้จุ๊ยจะไม่เข้าเรียนไม่ทันพี่วัฒน์จบการศึกษา  แต่ก็รู้จักกันดีเพราะพี่วัฒน์เคยอาศัยอยู่ในย่านเดียวกับครอบครัวจุ๊ยมา ก่อน
พอเข้าไปตอนนั้น  คลินิกปิดแล้วแต่หมอวัฒน์กับเฮียตี้นั้งคุยกันอยู่ในห้องตรวจ พอเห็นจุ๊ยกับออยเดินเข้าไป
วัฒน์ก็ทักทายตามปกติ  แล้วก็ขอตัวออกไปบอกว่าจะไปเตรียมอุปกรณ์   
“อุปกรณ์อะไรค่ะ” ออยถาม
“อ้าวนี่ยังไม่ได้บอกเหรอว่า พี่จะทำอัลต้าซาวน์ให้ จะได้กำหนดอายุครรภ์ได้  แล้วจะทำเรื่องฝากครรภ์” พี่วัฒน์ตอยออย  แล้วตบบ่าจุ๊ย
“คุณพ่อนี่ไม่ไหวเลยนะ  บอกกล่าวคุณแม่หน่อยสิครับ”
พูดจบก็เดินออกไป
จุ๊ยสังเกตสายตาของออยที่แปรไปอย่างชัดเจน
“นั่งก่อนสิ” ตี้กล่าว แล้วชี้ที่เก้าอี้
ออยหันมามองหน้าจุ๊ยก่อนจะนั่งลง
เฮียตี้เหมือนกำลังแสดงละครในบทหมอ  ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็เป็นนักเรียนหมอนั้นละ 
แต่ กริยาที่นิ่งสงบ  เขียนอะไรอยู่สักครู่ จุ๊ยรู้สึกว่ามันผิดไปจากปกติ  เขาเริ่มสงสัยว่าพี่ชายมีจุดประสงค์อื่นนอกจากจะตรวจครรภ์เพื่อความปลอดภัย
“ก็ต้องถามเบื้องต้นนะ”  เขาถามแต่ตาไม่ได้มองหญิงสาว
“ออยรู้ตัวว่าประจำเดือนไม่มาเมื่อไหร่”
“ก็เมื่อวานนี้” เธอตอบ
“ไม่ใช่สิ... เมื่อเดือนก่อนไม่สังเกตเหรอว่าตัวเองประจำเดือนไม่มา” ตี้เงยมองหน้าเธอ
ปกติ แววตาของพี่ชายจะค่อนข้างดุอยู่แล้ว  ยิ่งเวลาเงยขึ้นมองจากอาการอ่านหรือเขียนหนังสือ  ทำให้จุ๊ยเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าออยน่าจะตกใจ
“ก็... ออยมีปัญหานี้มาก่อน  ออยก็คิดว่าไม่มาเพราะสาเหตุอื่น ก็เลยไม่สนใจ” ออยตอบ
แรงกดดันเริ่มมากขึ้นจนเธอเผลอบีบมือที่ประสานบนตักแน่น
“ไอ้ การที่ประจำเดือนไม่มานี่  มันหลายสาเหตุนะ  อย่างหนึ่งคือเครียด  ซึ่งก็อาจเป็นไปได้เพราะเรียนหนังสือหนัก  อีกอย่างในอีกหลายสาเหตุคือ  การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ”  คำพูดของตี้เรียบๆ ตกท้ายเหมือนเน้นย้ำ
ออยไม่ตอบโต้อะไร  ตี้จึงสรุป
“ถ้าออยบอกอย่างนี้แปลว่าออยค่อนข้างมั่นใจว่า  น่าจะท้องประมาณสองเดือน”
ออยมองหน้าจุ๊ย  ตอนนี้จุ๊ยกำลังจ้องหน้าพี่ชายตัวเองอยู่
“เหม่เอ็งนี่เชื้อแรงดีนะ  เปิดปุ๊บติดปั๊บ”  ตี้หันมากล่าวกับจุ๊ยด้วยรอยยิ้ม
“เอ้าเรียบร้อย” พี่วัฒน์เดินลงมาจากชั้นสอง
“อุปกรณ์พร้อม เชิญคุณแม่ได้แล้วครับ”
ออยไม่ขยับนั่งเม้มปาก
“ไม่ตรวจไม่ได้เหรอ  ออยรู้สึกไม่ค่อยสบายนะจุ๊ย  มันรู้สึกเหมือนจะแพ้ท้อง”
จุ๊ยหันมามองหน้าเธอ กำลังจะตอบ
“ตรวจสิ  สำคัญมากนะ  การกำหนดอายุครรภ์นี่  ยิ่งเธอต้องเรียนหนังสือ  จะได้รู้ว่าช่วงไหนที่เธอต้องลายาวๆเพื่อคลอด” ตี้กล่าวขัด
“แล้วมันจะเห็นอะไรหล่ะพี่ อายุท้องสองเดือนนี่” จุ๊ยถามกับหมอวัฒน์
“ก็ นี่ไงพี่เลยจะเตรียมทำอุลตร้าซาวน์ที่ช่องคลอดแทน  แต่อาจลำบากหน่อย เพราะต้องขึ้นขาหยั่ง  แต่เดียวพี่จะถ่ายรูปมาให้ดู จุ๊ยจะได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก หรือจะรอเข้าไปดูตอนมาตรวจครั้งหน้าก็ได้นะ เพราะจะเปลี่ยนเป็นทำที่หน้าท้องแทน” เขาตอบ
“ส่วนอาการแพ้  ไม่ต้องห่วง  เดี่ยวพี่จัดยาให้” พูดตรงนี้นักเรียนหมอกับนายแพทย์ก็มองหน้ากัน
ออยรู้สึกผิดปกติอย่างมาก
เธอจึงตัดสินใจถามออกไป
“พวกพี่ไม่เชื่อใช่ไหมว่าออยท้องกับจุ๊ย”
จุ๊ยจับแขนออยเพราะตอนนี้เธอกำมือแน่นจนแขนสั่น
“ก็ไม่ใช่นะ  ที่เราทำเพื่อความปลอดภัยของเธอเองนะ ออย  อย่างน้อยเธอก็มีสามีเป็นน้องของว่าที่นายแพทย์” ตี้กล่าวอย่างใจเย็น
“ก็อย่างที่บอก  ตรวจซะ พี่วัฒน์จะได้กำหนดอายุครรภ์แล้วกำหนดวันคลอดได้คร่าวๆ  สะดวกต่อเธอจะได้ทำเรื่องลาเรียน”
จุ๊ยก็เลยจับมือเธออย่างอ่อนโยน เพราะตอนนี้เธอกำลังร้องไห้
“เอา น่าออย  เฮียเขาหวังดี  อย่าคิดแบบนี้สิ  ตรวจก็ตรวจสิ ไม่เห็นเป็นไรไม่ใช่เหรอ ดีเสียอีกมีรูปไปให้ป๊าดู ป๊าอาจใจอ่อนไม่เอ็ดเราตอนไปบอกท่านก็ได้นะออย”
พี่วัฒน์กอดอก
“ก็ตามใจแล้วกัน” พี่วัฒน์กล่าว  แล้วมองหน้าตี้ในเชิงให้จัดการเอง
พี่วัฒน์เดินออกไปแล้ว 
ตี้จึงกล่าว
“เธอไม่ตรวจแต่ไอ้จุ๊ยต้อง”  แล้วตี้ก็หยิบขวดใบเล็กและหนังสือปลุกใจออกมาวางบนโต๊ะ
จุ๊ยมองหน้าพี่ชาย
“เฮ้ยอะไรน่ะเฮีย”
“วันนี้ยังไม่ได้มีอะไรกันใข่ไหม” ตี้ถามโดยไม่ได้สนใจหน้าตาของจุ๊ยเลยว่ากำลังพิศวงขนาดไหน
“เฮียให้เวลาเอ็งสิบนาที  เก็บอสุจิมา เฮียจะตรวจ”
จุ๊ยปล่อยมือจากออย ลุกขึ้นยืน
“นี่เฮียจะทำอะไรกันแน่  ถ้าจะเล่น มันก็แรงไปแล้วนะ”
เขาเหลือบตามองออยที่ปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร
“จุ๊ย” พี่ชายลุกขึ้นเผชิญหน้า
“ตอนเฮียเรียนเรื่องระบบสืบพันธุ์เคยขอของนาย กับของซัวใช่ไหม จำได้หรือเปล่า”
จุ๊ยจำได้  เพราะตอนนั้นเขาขำก๊ากในตอนแรก แต่พอเฮียทำท่าจริงจังมากก็เลยยอมทำให้
“อสุจิของไอ้ซัวน่ะ  พ่อพันธุ์อย่างดีเลย เฮียเลยขอไปแค่ครั้งเดียว  แต่ของเอ็ง ตอนหลังเฮียมาขออีกรอบใช่ไหม” ตี้กล่าวแล้วถามอีก
จุ๊ยก็พยักหน้า
“เฮียก็ไม่ได้บอกเอ็งสินะ  ขอโทษที.. “ ตี้ถอนหายใจ
“ตอน นั้นผลตรวจออกมา บอกว่าเอ็งเป็นหมัน  แต่เฮียไม่ได้บอกเอ็งเพราะกลัวเอ็งจะรู้แล้วไปเที่ยวซุกซนเพราะคิดว่ายังไง ก็คงไม่ทำให้สาวท้องได้”
จุ๊ยอึ้ง  รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรง
“แต่ ของอย่างนี้มันอาจคลาดเคลื่อนกันได้ เฮียอาจจะเก็บรักษาอสุจิของเอ็งไม่ดีพอ  ดังนั้นวันนี้เฮียเลยต้องการเชื้อสดๆ และคำยืนยันจากนายแพทย์วิชาชีพสูตินารี” ตี้กล่าวอย่างเยือกเย็นลงอีกครั้ง
จุ๊ยหันไปมองหน้าออย  เธอมองหน้าจุ๊ยกลับมาด้วยแววตาที่เหมือนจะมองส่งเขาไปออกรบหรืออะไรก็ตามที่แสนเศร้า
“โอเค..” เขากล่าวออกมาอย่างลำบากในลำคอ เพราะเหมือนมีก้อนอะไรไปอุดตันในนั้น  เอื้อมหยิบกระปุกเล็ก และหนังสือ
“รอเดี่ยวนะเฮีย”
แต่พอจุ๊ยจะออกไป
“ไม่ต้องหรอกจุ๊ย..”ออยลุกขึ้น  ปาดน้ำตา แต่มันก็ไหลออกมาอีก
“เราไม่ได้ท้องกับจุ๊ย”

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:29:12
ตอนที่ 37 : ความรักของเนติ
แม้ออยจะผลักไสแต่จุ๊ยก็ยืนยันว่าจะไปส่งเธอที่ห้องพัก
ระหว่างทางนั่งรถแท็กซี่มาด้วยกัน  ทั้งสองนั่งเงียบกันมาตลอดทางจนกระทั้งถึงอาคารชุดที่พักของออย
จุ๊ย จะขึ้นไปส่งถึงห้อง  แต่ออยปฏิเสธบอกว่าอยากอยู่คนเดียว  จุ๊ยเองก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะง้อหรือจะตามไป เขาก็เลยบอกลาแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น
ที่จริงเขามีคำถามมากมาย  แต่กลับไม่สามารถเอ่ยออกมาได้สักคำ  เพราะความรู้สึกที่สับสนไปหมด
เขา อยากจะโทรหาใครสักคน  แต่ฮ้อยก็ไม่รับสาย  มันคงจะลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องแล้วลงไปซื้อข้าวกิน  เพราะมันชอบเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายของมัน  โทรหาอ๊อดก็กลายเป็นเมืองฟ้ามารับแล้วบอกว่าอ๊อดอาบน้ำอยู่ ก็เลยหมดอารมณ์จะคุยต่อ โทรหาเดฟ ก็กลายเป็นอัศวะรับ บอกว่าเดฟอยู่บนเวที  ตัวอัศวะเองก็ไม่ว่างจะคุย  เขาก็เลยเดินไปเรื่อยๆแล้วก็เหนื่อยจนนั่งพักอยู่ที่ป้ายรถเมล์
แล้ว โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นหมายเลขที่จุ๊ยคิดจะโทรเป็นหมายเลขแรกเลยด้วยซ้ำแต่เขากลับเปลี่ยนใจ เพราะไม่รู้ว่าควรจะคุยกับเจ้าของเลขหมายว่าอะไร และเพราะอะไร
“อาราอิ... มารับฉันหน่อยสิ” จุ๊ยไม่ได้กล่าวคำทักทายเลยด้วยซ้ำ
 
จุ๊ย รู้ดีว่าตัวเองไม่ควรเล่าเรื่องนี้ เพราะมันหมายถึงการประจานออย  แต่ตอนนื้เขาอยากให้มีใครสักคนรับรู้ความรู้สึกของเขา  จุ๊ยจึงพรั่งพรูออกมาเสียตั้งแต่เจอหน้ากัน
พอเล่าจบ ทั้งคู่ก็ยังอยู่บนถนนเพราะรถติดมากเพราะเป็นเวลาย่ำเย็น คนกำลังเลิกงานกลับบ้าน

อา ราอิมีสีหน้าพิศวงมาก กับเรื่องทั้งหมด  แต่พอจุ๊ยเล่าจบ  เขากลับไม่ถามอะไรสักคำ  ขับรถอย่างเงียบๆไปตามจังหวะการเคลื่อนตัวของการจราจร
จุ๊ยก็เงียบไปเหมือนกัน  เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป  แต่สักครู่
จุ๊ยเองก็กล่าวออกมาเอง
“ถ้าเป็นนาย เป็นนามิจัง  นายจะทำยังไง”
อาราอิหันมามอง  ยกคันเบรกมือขึ้น
“ฉันถึงได้เข้าใจนายไง  เพราะฉันรู้ดีว่าเป็นฉันก็คงสับสนมาก”
คำตอบนั้นฟังได้หลายแง่  เหมือนให้กำลังใจ เข้าใจจริงๆ หรือแม้แต่ตัดบท
แต่จุ๊ยกลับรู้สึกอบอุ่นใจกับคำพูดนั้น  และยิ่งเมื่ออาราอิเอามือมาจับที่หัวไหล่จุ๊ย
“ตอน นี้เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า  ลืมเรื่องนี้ไปก่อน  เพราะนายก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว  จากนั้นนายอิ่มนายสบายใจขึ้นแล้วเราค่อยมาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงกับ สถานการณ์นี้”
 
อาราอิจิบน้ำชาเขียวร้อนช้าๆ เหลือบมองจุ๊ยที่กินเอากินเอา
“นี่นายระบายออกด้วยการกินเหรอ”
จุ๊ยชะงักมือมองหน้าก่อนจะโยนปลาทอดครึ่งชิ้นเข้าปากเคี้ยวๆแล้วกลืนก่อนจะตอบ
“ไม่ใช่  แต่ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่สายๆ  เพราะมัวแต่ทำโน่นทำนี่  แล้วยังมาเจอเรื่องแบบนี้อีก มันเลยหิวเป็นพิเศษ”
สีหน้าจุ๊ยดีขึ้นมาเยอะแล้ว  คงเพราะได้ระบาย
 
พอกินอิ่มก็พากันเดินมาตามถนนสุขุมวิทยามค่ำเพื่อจะกลับไปยังอาคารที่อาราอิจอดรถเอาไว้
“ตกลงนายคิดตกหรือยังว่าจะจัดการกับเรื่องนั้นยังไง” อาราอิถามเพราะเห็นจุ๊ยเริ่มคุยและหัวเราะได้แล้ว
“ก็..”เขาลากเสียงแล้วก็หยุดเท้ามองไปรอบๆตัว
“ก็ คงต้องให้วันพรุ่งนี้ตัดสินไง  แม่ของเราบอกว่า  ถ้าอะไรที่มันทำอะไรไม่ได้  บางทีเราก็ต้องทำใจแล้วปล่อยมันไปตามครรลอง  ตอนนี้เราก็ทำดีที่สุดแล้วนี่”
แล้วทั้งคู่ก็เดินคู่กันไป
“พูดไปมันก็เศร้านะ  จริงๆฉันก็เข้าใจหรอกว่าเพราะอะไร  แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องเป็นฉัน  ฉันมีอะไรที่ทำให้ออยถึงขนาดต้องทุ่มทั้งตัวขนาดนั้น  แล้วก็เกือบจะสำเร็จด้วย  ถ้าไม่ปรากฏว่าฉันเป็นหมันเสีย” จุ๊ยกล่าวขึ้นตอนเดินมาถึงรถพอดี
อาราอิมองหน้าจุ๊ย  เขาหยิบกุญแจรถออกมากปุ่มเพื่อเปิดประตู  ตอนนี้ลานจอดรถว่างเปล่าแล้วเพราะเป็นลานจอดรถของตึกสำนักงาน  แถมวันนี้ก็เป็นวันศุกร์
“ก็เพราะนายคือนายไงล่ะจุ๊ย  ไม่เห็นต้องสงสัย  แต่ละคนก็มีความดีในตัวเองไม่เหมือนกัน  นายดีในแบบของนาย  แล้วก็ไปโดนใจคนอย่างออย อย่างหลิว อย่างเดฟเข้า   มันก็แค่นั้น”
“แล้วโดนใจนายรีเปล่า” จุ๊ยถามออกไป 
ในวินาทีนั้นเขาไม่รู้ตัว  แต่ถามไปเพราะอยู่ดีๆใจมันคิดจะถาม มันเลยถามไปโดยไม่ได้ยั้งคิด
อาราอินิ่งเงียบไป 
จุ๊ยรู้ตัวตอนนั้นเองที่เห็นสีหน้าของอาราอิ
“เอ่อ” จุ๊ยคิดจะแก้คำพูดเป็นว่า จะถามว่าอาราอิคิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร
“ก็โดนใจฉันเหมือนกันยังไงล่ะ  นายคงไม่รู้สินะตั้งแต่ฉันเจอกันครั้งแรก  ฉันก็ไม่เคยลืมรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของนายได้เลย  ฉันถึงได้มาจากญี่ปุ่น  เพื่อตามหานาย”
ตอนนี้ลานจอดรถมีเสียงเล็กน้อยๆ ดังอยู่เรื่อยๆ  แต่สำหรับจุ๊ยและอาราอิความเงียบครอบครองอยู่ระหว่างคนทั้งคู่
โดยไม่อาจถอนสายตาทั้งสองสบตาอยู่อย่างนั้น  แม้อาราอิจะขยับเข้ามาใกล้จนชิด
ความสูงทำให้จุ๊ยต้องเงยหน้าตามดวงตาคู่นั้นขึ้นไปเรื่อยๆตามระยะที่กระชับเข้ามาใกล้
“แต่พอมาเจอกันอีกครั้ง  นายมีมิติที่มากมายจนทำให้ฉันยิ่งสับสน  แต่ยิ่งสับสนฉันก็ยิ่งอยากใกล้ชิดนาย”
อาราอิเอามือมาจับที่แก้มของจุ๊ยข้างหนึ่ง อีกข้างก็รวบเอวเขาไว้
จุ๊ยเหมือนโดนเสกด้วยมนตรา  ขยับไม่ได้  แม้แต่หายใจยังไม่กล้า 
อาราอิค่อยก้มหน้าลงมาอย่างช้าๆ  เหมือนกลัวร่างของจุ๊ยจะหายไปกับตา
แต่ จุ๊ยไม่อาจหนี ไม่อาจขยับ  หัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  ยิ่งหน้าของอาราอิใกล้เข้ามา  เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเสียให้ได้
แค่นิดเดียวปากของอาราอิก็จะประกบกับจุ๊ยแล้ว  จุ๊ยจึงทำได้เพียงหลับตาลง
แต่พลัน
เสียงเรียกเข้าทำให้จุ๊ยสะดุ้ง  อาราอิเองก็เช่นกัน
“ขอโทษ” เขากล่าวแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมามือไม้สั่น 
อาราอิก็ไม่แพ้กัน  เขาต้องซุกมือลงในกระเป๋าแล้วหันหนีไปทางอื่น
“เออว่าไง...” จุ๊ยตอบสาย
แล้วเขาก็เงียบไปจนผิดสังเกต
อาราอิจึงหันมาด้วยความแปลกใจ
“โอเค ฉันจะรีบไปเดี่ยวนี้” จุ๊ยตอบแล้วกดตัดสัญญาณโทรศัพท์
 
ออยนั่งอยู่ตรงขอบกั่นของดาดฟ้าตึกมานานแล้วแต่เหมือนพึ่งจะมีคนรู้แค่ไม่ถึง สามสิบนาที  ข้างล่างมีคนมามุงกันโกลาหล  ตำรวจกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็พึ่งมา 
เดี่ยวจุ๊ยก็คงมา ออยแน่ใจ  ในคอนโดมินเนี่ยมนี้มีเพื่อนร่วมคณะของจุ๊ยอยู่ด้วยสองคน  ป่านนี้จุ๊ยคงจะรู้แล้วและเดินทางมา
แต่จะมาเพื่ออะไร  ในเมื่อออยละอายแก่ใจจนเกินจะพบหน้าเขาได้
เธอจะโทษใครได้อีก  เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอเลือกทำเองทั้งหมด
ตอน แรกก็ฮาร์ท  ที่เธอเจอเขาตอนไปค่ายเตรียมสอบ  และเป็นเธอเองที่หยอดน้ำตาลล่อมดให้ตามจีบเธอและก็เธอเองที่ยอมพลีกายให้ ฮาร์ทเพราะความหล่อเหลาและความเข้มแข็งของนักกีฬาโรงเรียน
แต่ ฮาร์ทก็นอกใจเธอ  ฮาร์ทมีผู้หญิงอีกคนทีเป็นเคยเพื่อนร่วมโรงเรียน  กระนั้นฮาร์ทก็ดูอาลัยอาวรณ์กับออยมาก  เพราะเขาไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี  เป็นเธอเองต่างหากที่คอยวิ่งหนีเขา
ส่วน จุ๊ยเป็นรักแรกที่เธอฝังใจมาโดยตลอด  และเธอก็สบโอกาสเมื่อได้พบกันอีกครั้งโดยไม่มีหลิวมาขวางตรงกลาง  เธอเกือบจะได้เขามาครอบครองแล้ว  แต่อุปสรรคกลับกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากตัวเธอเองอีก  คือเด็กในท้องที่ตอนแรกเธอคิดโง่ๆว่าจะใช้เขาเป็นเครื่องมือผูกมัดจุ๊ยไว้  แต่กลับเป็นพี่ชายของจุ๊ยที่แทรกเข้ามาเปิดโปง  ทำให้เธอต้องกลับมาเผชิญความจริง
ความ จริงแล้วในวันที่เธอกำลังเหงาเพราะพึ่งเลิกรากับฮาร์ทได้แค่ไม่กี่วัน  เธอได้เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง เข้ามาหาเธอถึงห้อง  เนติ...
เด็ก หนุ่มขี้อาย  ที่แค่เธอยิ้มก็ทำให้เขาเขินได้  เวลาเขินก็ดูน่ารักไม่น้อย  เธอจึงให้โอกาสเขามาดามพ์หัวใจให้ชั่วคราว  และแม้เธอจะพบว่าเธอกับเขาคงไปด้วยกันไม่ได้  เพราะเธอลืมสัมผัสอันร้อนแรงของฮาร์ทไม่ได้  และความรู้สึกที่เธอมีต่อจุ๊ยก็ยิ่งทวีขึ้นเมื่อเขาและเธอได้มีสัมพันธ์กัน  จึงบอกกับเขาถึงการเลิกรา
เนติก็เดินออกไปเงียบๆ ไม่ทักไม่ท้วงดังกับที่เขาสัญญาเอาไว้แต่แรกว่าหากออยไม่ต้องการเขาแล้วก็ให้บอก แล้วเขาจะไปโดยดี
เสียงประตูดาดฟ้าเปิดออก
เธอไม่คาดหวังว่าจะเป็นจุ๊ย  แต่คิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยหรือตำรวจ
แต่ปรากฏว่าคนที่นั่งลงข้างเธอกลับเป็นเนติ
“ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนนะ” เนติกล่าว
แล้วเขามองลงไป
“สูงเนอะ ตกลงไปเจ็บมากแน่ๆเลย”
ออยมองลงไปบ้าง  ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะนี่มันชั้นยี่สิบ
“นายจะมากล่อมฉันเหรอ  คงไม่สำเร็จหรอกนะ  เพราะฉันตัดสินใจแล้ว  แต่แค่รอเห็นหน้าจุ๊ยอีกครั้งเท่านั้น  พอเขามาฉันจะกระโดดลงไป”
“ใครว่า  ผมจะมากระโดดพร้อมออยต่างหากหล่ะ”
คำตอบทำให้ออยหันมามองหน้าเนติ
เนติขยับแว่นตา
“ผม มันอ่อนแอออย  ผมรักออยแต่กลับปกป้องออยไม่ได้  และผมก็ไม่มีปัญญาดูแลออยได้เหมือนจุ๊ย  แต่ผมก็รักออยมาก  ถ้าหากออยตายไป ผมก็ไม่รู้ว่าโลกของผมจะเหลืออะไรอีก”
แล้วเขาก็หันมามองหน้าออย
“พอออยกระโดด ผมก็จะกระโดดตามลงไปด้วย  ออยไม่ต้องกลัวนะ  ถ้าเราตายเป็นวิญญาณเฝ้าตึกนี้  ผมก็จะเฝ้าเป็นเพื่อนออย”
“ทำไมนายทำอย่างนี้” ออยถาม น้ำตาเริ่มไหลอีกครั้ง  ทั้งที่คิดว่าเธอร้องไห้จนน้ำตาแห้งไปแล้ว
“นายทำเพื่ออะไร  นายรู้ไหมตอนนี้ออยท้อง... ออยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าออยท้องกับใครกันแน่  ออยเป็นผู้หญิงเลวนะเน”
เนติหันไปมองภาพทิวทัศน์ยามราตรี
“แต่ ผมเป็นผู้ชายโง่ออย  ผมมันโง่เกินกว่าจะเลิกรักออยได้  ผมไม่อยากรู้หรอกว่าออยผ่านผุ้ชายกี่คน  ผมรู้แต่ว่าคืนนั้นที่ผมกอดออยไว้คือคืนที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก”
แล้วเขาก็ยิ้มออกมา  ดวงตาของเขาผ่านแว่นมันวาวด้วยความสุขอย่างที่ว่าจริงๆ
“ถ้า เด็กไม่ใช่ลูกฮาร์ท ไม่ใช่ลูกจุ๊ย  ผมก็อาจเป็นพ่อก็ได้ใช่ไหมหล่ะ  ผมว่าดีออก ถ้าเราสามคนตายไปพร้อมๆกัน  เราสามคนจะได้อยู่ด้วยกัน  ออยก็จะหนีผมไปไหนไม่ได้  ผมจะดูแลออย และดูแลลูกของเราด้วย  ผมสัญญา”
เนติไม่ได้มองหน้าออยในตอนนั้น  กระทั้งออยซบลงมาบนไหล่ของเขา
“ฉันขอโทษนะเน”
ออยปล่อยน้ำตาเปียกไหล่ของเขา  เนติก็โอบเธอไว้อย่างอ่อนโยน
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:29:44
ตอนที่ 38 : ฟ้ากระจ่าง ความรักของวาทิต
เจ้าหน้าที่กู้ภัยพึ่งจะเสร็จจากการขอกำลังเสริม  แต่พอหันกลับมากลายเป็นว่าสองคนนั้นหายไปแล้ว  และตนที่มุงอยู่ข้างล่างปรบมือกันเกรียวกราว  เขาจึงได้เข้าใจหันกลับไปบอกทางวิทยุ
“ว.หนึ่งเรียกศูนย์ครับ  ไม่ต้องส่งกำลังมาแล้วนะครับ  เหตุการณ์คลี่คลายแล้วครับ”
จุ๊ยมาถึงตึกด้วยการวิ่งเพราะรถของอาราอิที่ติดอยู่ในระยะไกลเพราะเจ้าหน้าที่ ปิดการจราจร  แต่สิ่งที่จุ๊ยได้เห็นทำให้ความร้อนใจของเขามลายไป
แม้ว่าจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด  แต่ก็โล่งใจที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี
อาราอิเดินเข้ามายืนเคียงข้างเขาทั้งสองมองหน้ากัน  แล้วจุ๊ยก็ยิ้มออกมากล่าวว่า
“กลับกันเหอะ  สงสัยเขาคงไม่ต้องการจุ๊ยแล้วหล่ะ”

จุ๊ยเปิดตู้หยิบเอาเทรนเนอร์แซคออกมา  เขาสุ่มเพลงจากแฟ้มชาร์ต  ได้เป็นเพลง What a Wonderful World - Louis Armstrong
จุ๊ยสูดลมหายใจ  แล้วจรดริมผีปาก  แตรของแซกโซโฟนเทนเนอร์ก็ส่งเสียงต่ำที่สร้างแรงสะเทือนสัมผัสใจ  ครั้งถึงเสียงสูงก็นุ่มนวลอย่างยิ่ง 
จุ๊ยนึกไปถึงนาทีสั้นๆที่เขารู้สึกว่ามันนานเนิ่น  กลิ่นกายและสัมผัสยังคงค้างอยู่ในห้วงคำนึง...
ในลานจอดรถที่ร้างผู้คนนั้น  ที่เขากับอาราอิเกือบจะจุมพิตกัน
 
ตี้ที่จะมาถามความเป็นไปจากจุ๊ย  ก็หยุดหน้าประตูเมื่อเขาได้ยินเสียงเพลงแว่วออกมา  เขาเอาหูแนบประตู  จึงได้ยินอย่างชัดเจน
เขาคิดไปเองหรือเปล่า เสียงแซกโซโฟนของน้องชายนั้น  หวานหูมากกว่าทุกวัน...
พอเพลงจบ ตี้จะเคาะประตู  เพลงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง..
จำไม่ผิดนี้คือ What a wonderful world
คนที่พึ่งจะพ้นเหตุการณ์วุ่นวายมาอย่างจุ๊ย  เล่นเพลงนี้...  แถมเล่นอย่างไพเราะกว่าปกติเสียอีก
ตี้ยักไหล่แล้วก็เดินกลับไป เหมือนจุ๊ยจะไม่ได้อยากได้คำปลอบใจจากเขาแล้ว
 
 
อาราอิยืนจิบเบียร์กระป๋องอยู่ที่ระเบียงห้องของตัวเอง  เขาทอดสายตาไปในสวนของบ้านตระกูลฉัตรอัครที่เงียบสงบในเงาของราตรี
เขาอมยิ้มให้ภาพในห้วงความทรงจำ  ใบหน้าของจุ๊ย  ดวงตาที่หลับพริ้มลงอย่างไม่ขัดขืน  อาการเกรงตัวจนแม้เขาก็ยังสัมผัสได้ชัดเจน..
แล้วหูของเขาคล้ายจะได้ยินเพลงจากที่ไหนสักแห่ง...
What a wonderful world...
 
จุ๊ย ไม่เจอออยอีกเลยนับจากวันนั้น  ได้ยินมาว่าเธอลาออกไปแล้ว  แต่เมื่อได้พบเนติโดยบังเอิญระหว่างเขากำลังเดินอยู่ก็เลยอดจะถามไม่ได้
“ตกลงก็คือนายคือพ่อของเด็ก” จุ๊ยถามย้ำ
เนติพยักหน้า  แต่ก็ตอบว่า
“แค่เป็นไปได้  แต่ก็คงแค่ผมกับฮาร์ทสองคนนี่หละ”
จุ๊ยงง
“ฮาร์ ทคือแฟนของออย ก่อนจะเลิกรากันไปเพราะฮาร์ทไปแอบมีกิ๊ก ประมาณเดือนหนึ่งก่อนมาคบกับจุ๊ย  ส่วนผมก็แทรกระหว่างช่วงของจุ๊ยกับฮาร์ท” เนติเล่าโดยดี
“ตอน นี้พ่อแม่ผมกำลังไปสู่ขอออยตามประเพณี  ดูเหมือนทางผู้ใหญ่จะไม่มีใครรู้เรื่องของจุ๊ยกับออยนะ เพราะเหมือนออยจะไม่ได้บอกกับที่บ้านเรื่องของจุ๊ย”
“ก็ อาจจะนะ  เพราะจริงๆผมกับออยเป็นญาติกัน  ถ้ารู้แล้วผมคงโดนพ่อเรียกไปด่านานแล้วหล่ะ  แต่นี่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร” จุ๊ยพยักหน้าเห็นด้วย
เขามองหน้าเนตินิดหนึ่งก่อนจะกล่าว
“ผมขอโทษนะ  ที่ทำให้คุณต้องเป็นทุกข์อยู่ตั้งสองเดือน”
เนติถอนหายใจ
“ช่างเถอะครับ  เอาเป็นว่าเราสองคนก็เป็นเพื่อนนะครับ” แล้วเนติก็ยื่นมือออกมา
จุ๊ยสัมผัสด้วยตบบ่าไปสักที
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกเลยนะ  ผมยินดี” จุ๊ยยิ้ม
เนติเดินไปแล้วแต่จุ๊ยยังมองตามไป  เขารู้สึกมั่นใจอย่างไรบอกไม่ถูกว่าเนติจะต้องดูแลออยได้ดีกว่าเขาแน่นอน
“อันนี้กูเรียก Happy Endingได้ไหมวะ”  ฮ้อยที่ถอยออกไปก่อนหน้านี้ เดินมากลับกอดคอจุ๊ย
“ก็ได้  อย่างน้อยเขาก็มีความสุข”  จุ๊ยตอบ
“แล้วเอ็งหล่ะ” อ๊อดที่เดินเข้ามายืนอีกข้างของจุ๊ยถาม
“ไม่เศร้าหน่อยเหรอ”
จุ๊ยมองหน้าเพื่อนสองคน
กระโดดกอดคอทั้งคู่
“จะเศร้าทำไมก็กูมีเมียอยู่ตรงนี้ตั้งสองคน”
“มั่วละ... ใครเมียมึง” ฮ้อยแย้งแต่ก็เดินไปตามทางในลักษณะนั้น
“กูเป็นผัวได้ไหมวะจุ๊ย” อ๊อดว่า
“เฮ้ยอันนี้มันต้องแล้วแต่ใครพลิกได้ก่อน”
“โอ้ย.. อย่างงั้นกูสบายประสบการณ์พลิกกูคล่องมาก”
“ประสบการณ์  มึงไปพลิกไปกดใครมาวะถึงได้ชำนาญ”
“อ้อ เปล่า... ก็แค่พูดเฉยๆ”
“เฮ้ยแต่หมู่นี่มันพลิกยากเอาการนะเว้ยเพื่อนฮ้อย เพื่อนอ๊อด...”

เพราะติดสอบพวกพี่ฐาก็เลยงดรับงานไป  กลับมารับอีกทีก็ในหลังสอบเสร็จแล้ว  วันนี้จึงเป็นวันแรกหลังจากพักไปหนึ่งเดือน  แถมเป็นงานใหญ่อีกต่างหาก  มีดารานักร้องมามากมาย 
จุ๊ยกำลังตรวจสอบแซกโซโฟนอยู่ในบริเวณที่จัดไว้สำหรับผุ้ที่จะเข้ามาทำการแสดงบนเวทีใช้เป็นจุดพัก 
อาราอิที่อยู่ในชุดหล่อหันมาเห็นระหว่างเดินออกมาจากห้องแต่งตัวก็เลยเดินมาทัก
กลายเป็นว่าทั้งสองคุยกันน้อยยิ่งกว่าเดิมจนฐาสงสัย เพราะเคยเห็นจุ๊ยคุยกับอาราอิอย่างสนิท
“มีอะไรวะ  ทำไมพูดกันแค่คำสองคำ”  ฐาพูดแล้วก็เอาทรัมเปตมากอดไว้ นั่งลงข้างจุ๊ย
“อ้อเปล่า ก็ไม่เห็นเหรอเขาแต่งตัวซะหล่อขนาดนั้น  คงกำลังรีบไปขึ้นเวทีนะพี่  เขามันดาราหญ๊าย”
“แล้วอย่างอื่นล่ะหญ๊ายด้วยไหม” โย่งที่นั่งฟังอยู่ถามตามภาษาปากไว
“อืมมม อันนี้พี่ต้องไปลองดูนะ  แต่ดูท่าจะ... อืมมม ได้จุกเลยหล่ะ ถ้าโดนไปที” จุ๊ยตอบแล้วทำตาโตๆปะหลับปะเหลือก
โย่งหัวเราะ
แต่สายตาปานอยู่กับอีกด้านหนึ่ง 
“เอ็งดูเมียเอ็งสิ  ทำไมเดี่ยวนี้สนิทกับลูกชายเจ้าของบริษัทเครื่องเสียงจังวะ”
จุ๊ยหันตามไป  เดฟในชุดที่หล่อไม่แพ้อาราอิกำลังยืนหันหลังให้อัศวะจัดสาบเสื้อด้านหลังให้
เออ... จะว่าไปพักนี้เดฟก็ไม่ค่อยมากวนเขาเท่าไหร่ นอกจากผ่านมานานๆครั้งก็จะตอดนิดตอดหน่อยไปตามภาษา  แถมทุกครั้งที่มาก็จะมีอัศวะเดินมาด้วย  และดูจะสนิทกันมากอย่างที่ปานตั้งข้อสังเกต
“น้องๆครับเตรียมตัวครับผมคิวต่อไป” เจ้าหน้าที่เวทีเดินมาเรียก
 
บนเวทีวง Quartet Love ของพวกรุ่นพี่คณะดุริยางค์ กำลังบรรเลงเพลงSing Sing Sing อยู่
 อัศวะที่พึ่งตอบวิทยุจากหลังเวทีไปก็มายืนดู
เพื่อนจุ๊ยเด็กปีหนึ่งต่อปีสองกลับกลมกลืนไปกับพวกรุ่นพี่ได้อย่างแนบเนียน 
หันไปอีกทางก็เห็นเดฟที่อยู่ข้างเวทีก็ยืนดูอยู่ด้วยกัน
เป็นการยากที่จะอ่านความรู้สึกของเดฟจากตรงนี้  แต่ตอนนี้อัศวะไม่สนใจแล้วเดฟจะรู้สึกอย่างไร  เขาสนแต่ว่าตอนนี้พัฒนาการของความรู้สึกของเขากับเดฟพัฒนาไปมากแล้ว  เขาก็เลยหันหลังแล้วเดินออกไปด้านนอกเพราะมีวิทยุเรียกจากช่างไฟที่มีปัญหาอยู่
 
พอจัดการธุระของช่างไฟเรียบร้อยอัศวะก็เดินผ่านมาตรงที่มีกลุ่มเด็กหัวเกรียนในชุดวงโยธวาทิตนั่งอยู่  สังเกตให้ดีจึงได้รู้ว่าคือวงจากโรงเรียนเก่าของเขานั้นเอง  แต่พอจะเดินเข้าไปใกล้  ก็ประสบเหตุพอดี
เด็กหนุ่มกำลังกระชากคอเสื้อกันไปมาอย่างรุนแรงไม่ใช่การเล่นแน่นอน
“เฮ้ยๆอะไรกัน” อัศวะร้อง และแทรกเข้าตรงกลาง
“อะไรกันวะเรียนโรงเรียนเดียวกันกัดกันเป็นหมา”
สองคนออกจะงงกับการเข้ามาห้ามของอัศวะ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อัศวะถามแล้วมองหน้าทีละคน
คนหนึ่งหลบตา อีกคนกลับถามกลับ
“พี่ยุ่งอะไร”
อัศวะเชิดหน้าขึ้นก่อนจะกล่าว
“อ้อกูไม่ยุ่งก็ได้  แต่กูจะให้พ่อมึงจัดการ” 
 
จุ๊ยพึ่งเดินลงจากเวทีเข้ามาในส่วนพักของนักดนตรี ฐาก็เดินเข้าบอกว่ามีรีเควสพิเศษเพราะเขาเป็นคนที่เดินไปคุยกับผู้จัดการเวที
“เขาขอให้เราเล่นอีกไปอีกสองเพลง  พอดีนักร้องที่มีคิว รถติดอยู่”
จุ๊ยพยักหน้าเงิ่ดๆ
“จุ๊ย” เสียงเรียกพร้อมกับการเข้ามาของอัศวะ
“ลูกหลานลิงมึงก่อเรื่อง”
 
จุ๊ยกับฐานั่งเผชิญหน้ากับเด็กสองคนหายซ่าเป็นปลิดทิ้งเพราะทั้งสองเป็นเด็กวงโยธวาทิตรุ่นมัธยมต้นตอนที่จุ๊ยเป็นหัวหน้าวง
“มึงกัดกันเป็นหมาอย่างนี้แล้วจะเล่นร่วมวงกันได้ไง” จุ๊ยกล่าวแล้วเหลือบไปมองหน้าสมาชิกวงคนอื่นที่พากันมานั้งล้อมอยู่ในบริเวณ
“วง คือวง  คือความสามัคคี  พวกมึงกัดกันแบบนี้เค้าเรียกสามัคคีหรือวะ  ดนตรีขัดเกลาให้เราเป็นคนอ่อนโยน  แต่มึงสองคนนี่เป็นเหี้ยอะไรมากัดกันเอง แล้วนี่อายเขาไหม  ชื่อสถาบันก็อยู่บนสายสะพายไอ้ดรัมที่นั่งหัวโด่อยู่นั้น  มึงทำอะไรไม่นึกถึงวงก็นึกถึงโรงเรียนบ้างวะ  เดี่ยวเขาจะหาว่าโรงเรียนเรานักเลง”
สองคนมองหน้ากัน แล้วก็กล่าวออกมาพร้อมก้มหน้า
“ผมขอโทษครับ”
“ตามกฎ  เดี่ยวพวกมึงกลับโรงเรียน ไปแบกกลองใหญ่วิ่งรอบสนามสามรอบ อาจารย์ถามว่าใครสั่งก็บอกไปว่ากูสั่ง เข้าใจไหม”
ฐารู้สึกทึ่งกับความเด็ดขาดของจุ๊ย  ก็สมแล้วที่เป็นอดีตหัวหน้าวงที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะเป็นนักดนตรีตัวหลักตั้งแต่ชนะเลิศครั้งแรก  และยังเป็นคนนำชัยชนะมาให้กับวงอีกครั้งในสมัยตัวเองหัวหน้าวง
“แล้วนี่หัวหน้าวงไปไหน” ฐาถามขึ้นมา
เงียบไม่มีใครตอบ
“ใครเป็นหัวหน้าวง” จุ๊ยถามเสียงเข้ม เพราะตั้งแต่เข้าปีสองเขามัวแต่วุ่นวายด้วยเรื่องต่างๆก็เลยไม่ติดตามเรื่องของวงโยธวาทิต
“แล้วมันไปไหนวะ ปล่อยให้พวกมึงกัดกันเป็นหมาอย่างนี้  ไปตามมันมาเดี่ยวกูจะจัดการให้เข็ด”
หนึ่งในเด็กที่นั่งล้อมวงก็ยกมือตอบว่า
“พี่วาครับ  พี่เขาบอกว่าจะไปกับคุยกับผู้ประสานงาน”
อัศวะที่ยืนดูอยู่ตรงนั้นด้วย  ได้ฟังป้องปากหัวเราะ
“เอาสิวะพี่จุ๊ย  จัดการเลยน้องวาของมึงเอง  โน่นมาโน่นแล้ว”
จุ๊ยมองตามไปอาการพยักเพยิบของอัศวะ
เด็กหนุ่มผัวขาวจัดเดินกึ่งวิ่งมา คงมีใครบอกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“เอาเลยพี่จุ๊ยใจร้าย  แดกหัวน้องวาของมึงเลย”  อัศวะยั่วอีก จุ๊ยเลยเขกหัวมันไปทีหนึ่ง
วาทิตวิ่งมาถึงก็ยกมือไหว้
“วา” จุ๊ยเสียงเข้มด้วยแล้วลุกขึ้น
“มานี่”
สองคนเดินตามกันออกไป
ฐาทำหน้างง
“ใครวะ”
“อ้อ” อัศวะตอบปนรอยยิ้มสะใจ
“เด็กมันพี่ เด็กมัน”
 
วาทิตอธิบายเหตุผลโดยมีจุ๊ยนั่งกอดอกมองหน้าเขาอยู่
“ผมขอโทษครับเฮีย  ผมไม่คิดว่าน้องๆจะทะเลาะกัน”
เอาเข้าจริง  แค่เห็นหน้าขาวๆของวาทิตยิ่งซีดลงไปอีก  เขาก็ใจอ่อนแล้ว 
“นี่เราโตขึ้นนะ  ไม่ได้เจอกันนาน” จุ๊ยถามแล้ววางมือบนหัววาทิต
วาทิตเปลี่ยนสีหน้าจากที่เหมือนจะร้องไห้  ยิ้มออกมา
“ไอ้การเป็นหัวหน้าวงน่ะ  เราต้องมีทั้งปราบและปลอบ  วาเป็นคนอ่อนโยน  พวกน้องเลยอาจได้ใจ  นานๆที่ก็ต้องทำให้เขาเห็นว่าเราจริงจังบ้าง  เข้าใจไหม”
วาทิตพยักหน้า  แววตาของจุ๊ยยังอบอุ่นเหมือนเคยไม่มีผิด
“พี่จุ๊ย” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นขัด
อู๊ดเดินฉับๆมา
“ทำอะไรแฟนผม  เด็กมันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเขาไปคุยกับผู้ประสานงานอยู่  แล้วพี่จะมาอะไรกับวามากไปเปล่าวะพี่”
อู๊ดเดินมาเผชิญหน้ากับจุ๊ย 
“เอ้ย พี่อู๊ด” วาทิตเอามือจับแขนอู๊ด
“ไม่ต้องเลยวา  พี่ไม่ยอมหรอก” อู๊ดปลดแขนวาออก
“ถ้าพี่ลงโทษวา  ไม่ยอมหรอก  ผมก็อดีตหัวหน้าวงเหมือนกัน  เราศักดิศรีเท่ากัน  ผมไม่ยอมแน่ๆ”
จุ๊ยหันมองหน้าอัศวะที่เดินตาม  เขายักไหล่แล้วหันไปอีกทางเหมือนบอกว่าไม่รู้ไม่ชิ
“อะไรของมึง  นี่มึงกล้ากับกูแล้วเหรอไอ้อู๊ด  นี่กูเป็นคนสอนมึงเล่น สอนมึงทุกอย่าง  มึงขึ้นเสียงกับกูเหรอวะ” จุ๊ยทวงบุญคุณ
“เรื่องอื่นผมไม่ว่า  แต่พี่มารังแกแฟนผมไม่ได้” อู๊ดประกาศ
จุ๊ยชักสงสัย
“นี่มึงพูดว่าแฟนสองรอบละ” เขาขมวดคิ้ว
“ก็วาเป็นแฟนผม” อู๊ดยืนยัน
จุ๊ยอึ้งกับท่าที่หนักแน่น
“วา ไปเป็นแฟนไอ้หมาอู๊ดตั้งแต่เมื่อไหร่”
วาทิตยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบออกมา
“ก็นานแล้วครับเฮีย”
“อุ๊บบะ... มาแรง” อัศวะร้องออกมา
“เฮ้ย..” จุ๊ยถึงกับลุกขึ้น
“นี่สองคน  เป็นแฟนกัน... อะไรวะกูงง ล้อเล่นรีเปล่าเนี่ย”
“ไม่ได้ล้อเล่นครับ” อู๊ดว่าแล้วดึงตัววาทิตลุกขึ้นมาโอบเอวไว้
“พี่ห้ามรังแกวา  แล้วก็ห้ามหลีวาด้วย”
จุ๊ยทำหน้าเหยเก
“กูนี่นะ หลีน้องวา”  จุ๊ยชี้อกตัวเอง
“เออ... พี่เลิกทำเป็นเอ็นดูวาได้แล้ว  อย่างนี้แฟนผมหวั่นไหว  พี่ก็มีพี่เดฟอยู่..”

“เฮ้ย” อัศวะขัดคออู๊ด
“อย่าลามปาม  เดฟน่ะของกู”
จุ๊ยหันขวับไปมองหน้า
“อะไร มึงจัดการเรื่องของมึงไป อย่ามายุ่งเรื่องกูกับเดฟ” อัศวะดันจุ๊ยให้หันกลับ
จุ๊ยมองหน้าทั้งคู่
“นี่ซีเรียส” จุ๊ยถาม
สองคนมองหน้ากัน  ก่อนอู๊ดจะพยักหน้ายืนยัน
“เฮ้ยจุ๊ย” ฐาเดินกึ่งวิ่งมา
“เร็วไปเร็วจะถึงคิวแล้ว”
จุ๊ยก็เลยต้องเดินไป
“กูต้องการคำอธิบายไอ้อู๊ด มึงรอกูเดียว  อย่าพึ่งกลับ ส่วนน้องวา  กลับไปได้  ต้องพาน้องกลับบ้านใช่ไหม” เขาหันมาสั่งก่อนจะเดินไป
อู๊ดหันมามองหน้าวาทิต  แล้วทั้งสองก็กุมมือกัน 
อัศวะตบบ่าอู๊ดก่อนจะเดินไปทางเดียวกับจุ๊ย
“สู้ๆ อย่าไปกลัวมัน”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:30:17
ตอนที่ 39 : ใช้กำลัง
แต่วาทิตก็ไม่ได้กลับ  ยังคงชมการแสดงของ The Quartet love ที่เล่นเพลง Killing Me Softly ต่อด้วย Unchained Melody ซึ่งเป็นการโชว์ของจุ๊ยเพราะเน้นที่เสียงแซกโซโฟน
วาทิต ยิ่งได้ฟังยิ่งทึ่ง  ว่าไปแล้วเขาก็ไม่ฟังจุ๊ยเล่นจริงๆจังๆและสดๆมานานมากแล้ว  ฟังอีกที่เขาว่าจุ๊ยก้าวมากกว่าที่เขาจำได้ไปอีกขั้นแล้ว
“ไอ้พี่จุ๊ยมัน..” อู๊ดกล่าวออกมาทั้งที่กำลังหลับตา
“จะเก่งไปไหนวะเนี่ย เล่นขนาดนี้กูก็ตามพี่ไม่ทันสักทีสิวะ”
อา ราอิที่แอบมองจุ๊ยมาจากหลังเวที  บนเวทีนั้นมันเหมือนโดนครอบครองไปแล้วด้วยจุ๊ย  แม้นี่จะเป็นงานอีเว้นท์ ที่ด้านล่างก็มีกิจกรรมต่างๆมากมาย  แต่เหมือนคนหันมาสนใจกับการแสดงบนเวที  ตอนนี้คนเริ่มมุงเข้ามาหน้าเวทีมากขึ้นเรื่อยๆ 
“โยชิ” ผู้ประสานงานมาเรียก
“ครับ” อาราอิขานแล้วเดินมาหา
ในระหว่างนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นหญิงชายคู่หนึ่งเดินเข้ามา  ทั้งคู่หยอกล้อต่อกระซิกกัน
แต่เพราะอาราอิกำลังฟังผู้ประสานงานชี้แจ้งการเปลี่ยนแลงรายการเพราะมีศิลปินบางคนมีปัญหาเรื่องการเดินทาง  ดังนั้นเขาจึงได้แค่มองไป
 
“ตกลงสองคนคบกันจริงๆ ว่างั้น” จุ๊ยมองหน้าทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“แล้วไปทำกันท่าไหน ถึงได้ตกลงเป็นแฟนกัน”
“ก็...” อู๊ดลากเสียง
“ก็หลายท่านะพี่”
โครมเดียวตกเก้าอี้  แต่อู๊ดก็ยังลุกมายิ้มแหะๆ
จุ๊ยลดขาลง  ยังดีที่กางเกงที่เขาใส่เป็นกางเกงทรงย้อนยุคทำให้มันคับแน่น  ไม่อย่างนั้นจะกระทืบซ้ำเสียอีกสองที
“เออ... กูรู้ท่าเดียวก็เมื่อยแย่สิวะ” จุ๊ยตอบ
แล้วก็มองรุ่นน้องทั้งสอง  เพราะอู๊ดเองก็ถือเป็นศิษย์เอกของจุ๊ยที่เคยเคี่ยวมากับมือตั้งแต่มัธยมต้น 
“เอาวะ  มันเรื่องของพวกมึง  แล้วยังไงดีวะกูต้องอวยพรรีเปล่าวะ”
วาทิตยิ้มอายๆ
“เรายังไม่ได้แต่งงานกันนะเฮีย” 
“เออว่ะ” จุ๊ยเกาหัวแกรกๆ
“จุ๊ย  เพิ่มอีกสองเพลงมึง” ปานเดินเข้ามาบอก
“เออๆ พี่เดียวไป” จุ๊ยตอบ
อู๊ดเลยมองหน้ากันกับวาทิตแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมๆกัน
“งั้นเรากลับก่อนนะเฮีย” อู๊ดลากเสียงพูด
จุ๊ยขยี้หัวอู๊ดแรงๆ
“แหม่กระแดะ  มึงน่ะเชื้ออะไรมาเรียกกูเฮีย”
อู๊ดหัวเราะแล้วก็ขยับเข้ากระซิบ
“พี่.. บางทีการได้เปิดเผยในสิ่งที่เราอยากจะเปิดเผยมันก็ทำให้เราเหมือนปลดปล่อยเนอะพี่เนอะ”
จุ๊ยมองหน้าอู๊ด คำพูดนั้นช่างสะกิดใจ

จุ๊ยหันกลับไปหาวา

“หัวหน้า   ดูแลน้องดีๆ  มีอะไรก็ไม่ต้องปรึกษาเฮียแล้วนะ  ไอ้เหี้ยนี่มันช่วยเราได้  ถึงมันจะบวมๆ บ้าๆ ก็พอใช้ได้อยู่”
วาทิตมองหน้ากับอู๊ด แล้วก็พยักหน้า
สองคนเดินคู่กันไป  แม้ไม่ได้จับมือแต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างโยงทั้งคู่เอาไว้ 
บาง ทีโลกก็จะเล่นตลกกับเรา  บางทีเราก็อาจไม่เข้าใจเหตุผลบางอย่าง... และบางทีก็อาจต้องปล่อยให้หัวใจชักพาแทนจะเป็นเหตุผล...  นั้นคือคำพูดของมารดาของเขานั้นเอง
 
อาราอิหมดคิวไปแล้วเพราะนักแสดงหนุ่มคนที่ต้องรับช่วงต่อจากเขามาถึงด้วยอาการกระหืดกระหอบ
เขาก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งให้ช่างแต่งหน้าจัดการลบเครื่องสำอางออกให้ 
แต่ระหว่างนั้น  เขาก็เห็นใครคนหนึ่งจากกระจก
ผู้ชายวัยห่างจากเขาแค่ไม่ถึงหกปีดี  ก็เหมือนจะมองเห็นว่าอาราอิมองอยู่ก็เลยทัก
“ว่าไปไงอาราอิ ไม่เจอกันตั้งนาน” เชาวางนิตยสารที่อ่านอยู่ลุกมายืนกอดอกด้านหลัง
“โตขึ้นจากที่เจอกันครั้งที่แล้วเยอะนี่”
อาราอิไม่ตอบ  เขาพยายามควบคุมอารมณ์
นาย คนนี้ชื่อเทียน  เคยเป็นวีเจวัยรุ่นชื่อดัง แต่เพราะมีข่าวฉาวนับไม่ถ้วน  เริ่มจากที่มีความสัมพันธ์กับสไบทองมารดาของเขา แล้วยังมีข่าวมั่วยา และไปมีความพัวพันกับการตั้งครรภ์ของดาราสาวอีกคน  ซึ่งมารดาเขาเองนั้นล่ะจัดการจนหมด  แล้วจับส่งไปเรียนที่อังกฤษเพื่อชุบตัว
“ที่ จริงเราควรจะดีๆกันไว้นะ  ก็เห็นอยู่ว่าเราคงหนีกันไม่พ้น  เพราะแม่ของนายกับฉันก็รักกัน  สักวันนึงฉันก็อาจต้องเรียกนายว่าลูกชายก็ได้”เทียนกล่าวต่อไป
อาราอิลุกขึ้น  แม้ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองที่รู้เรื่องดีจะพยายามรั้งก็ตาม
“ขอโทษ ผมมีพ่อคนเดียว  ไม่คิดจะมีพ่อที่อายุใกล้เคียงกัน”
“อ้าว...” เทียนยักคิ้ว
“ถ้า ฉันกับแม่นายแต่งงานกัน  เราก็เรียกว่าเป็นพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงกัน  นายน่าจะเข้าใจ  ไม่อย่างนั้น  แม่ของนายคงไม่หย่ากับพ่อของนายเพื่อฉันหรอกจริงไหม”
อาราอิยักหน้าช้าๆ  สูดลมหายใจทีเดียวลึกๆ
แล้วโดยไม่คาดฝันเขาก็ชกเปรี้ยงไป 

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:30:50
ตอนที่ 40 : ไตร เงาของอดีต จูบแรกของจุ๊ย
ไม่ใช่สองเพลงแต่เป็นสี่  ดังนั้นพอลงจากเวทีก็รู้สึกว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เพราะต้องเล่นติดต่อกันนานมาก  มองไปอีกทีก็เห็นรุ่นพี่ทุกคนอยู่ในอาการที่เหนื่อยกว่าเขาเสียอีก
แต่เสียงวุ่นวายจากส่วนที่เต้นผ้าฝาทึบขนาดใหญ่ใช้สำหรับเป็นห้องแต่งตัวของดารา  ก็เรียกความสนใจจากพวกเขาทั้งหมด
 
อาราอิแม้จะร้างราจากคาราเต้มาแรมปี  แต่เขาก็ยังมีทักษะ ดังนั้นแม้มีร่างกายกำยำแค่ไหน เทียนก็โดนเล่นงานจนลงไปนอน  อาราอิก้าวเข้าไปจะซ้ำให้หน่ำใจ  แม้นมารดาจะวิ่งเข้ามาร้องห้าม เขาก็ไม่สนใจ
อาราอิกระชากคอเสื้อแล้วกระแทกหมัดลงไป  และกำลังจะกระแทกซ้ำ
“พอแล้ว อาราอิ อย่า” เสียงที่คุ้นหูและสัมผัสที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นจากด้านหลัง
แม้จะใช้แรงไม่มาก  จุ๊ยก็สามารถลากตัวอาราอิที่กำลังชะงักไปเฉยๆออกมาได้
“นายทำบ้าอะไร  บ้าไปแล้วหรือไงจะฆ่ากันเลยเหรอ” จุ๊ยตำหนิ
“มันจะมากไปแล้วนะอาราอิ  ป่าเถือนเกินไปแล้วนะ” สไบทองเอ็ดตะโรตอนที่เข้าประคองให้เทียนลุกขึ้น
อาราอิหันมามองก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
จุ๊ยมองหน้าสไบทองทีหนึ่งก่อนจะวิ่งตามออกไป
 
เพราะความโมโหทำให้อาราอิออกมาโดยไม่ได้เอากุญแจรถออกมาด้วย  มีแค่กระเป๋าสตางค์  พอจุ๊ยจะเข้าไปเอาให้  เขาก็ห้ามไว้  แล้วก็โบกแท็กซี่ที่วนเข้ามาส่งผู้โดยสาร ในสนามกีฬาที่เป็นพื้นที่จัดงาน
“ไปไหนครับ” คนขับถามตอนที่ทั้งอาราอิกับจุ๊ยเข้าไปภายในรถแล้ว
“แถวบ้านของนาย เรียกว่าอะไร” อาราอิหันมาถามจุ๊ย
“หือ...” จุ๊ยแปลกใจ
 
อาราอินั่งนิ่งๆอยู่ที่เก้าอี้หนุนของชุดโต๊ะเขียนหนังสือในห้องของจุ๊ย ให้จุ๊ยเอากล่องยาสามัญมาทำแผลที่โดนหมัดสวนของเทียนที่หางคิ้ว
จุ๊ยไม่ต้องถามเรื่องราวทั้งหมดเลย  เขาคาดเดาได้เพราะรู้เรื่องดี
เมื่อ สี่ปีก่อนตอนเจอกันครั้งแรก แม้จะสื่อสารกันค่อยไม่รู้เรื่อง แต่จุ๊ยก็เข้าใจได้ว่า อาราอิขอให้เขาพาไปที่โรงแรมห้าดาวในพัทยา ที่อาราอิบอกว่ามารดาของอาราอิพักอยู่ในตอนนี้
ทั้งคู่ก็เลยลงรถที่พัทยา

ตอน นั้นพอไปถึงจุ๊ยก็สอบถามกับพนักงาน แต่พนักงานปฏิเสธจะให้ข้อมูล แม้อาราอิจะแสดงพาสปอร์ตให้ดู ก็เหมือนจะไร้ผล เพราะเขาใช้นามสกุลพ่อ ดูยังไงก็หาความเกี่ยวข้องกับดาราสาวใหญ่อย่างสไบทองไม่เจอ

ครั้งพอจะกลับออกมา กลับได้พบกับสไบทองกับเทียน เดินตัวติดกันกลับเข้ามาโรงแรม 
ตอนนั้นอาราอิปรี่เข้าไปสนทนากับสไบทองด้วยภาษาญี่ปุ่น  ซึ่งจุ๊ยจับความไม่ได้  แต่ก็เดาได้ว่าเป็นการโต้เถียงอย่างรุนแรง  แล้วเขาก็วิ่งออกมาจากโรงแรม 
จุ๊ยก็ตามมาไปจนเจอเขานั่งอยู่ริมทะเล แล้วร้องไห้
จุ๊ยตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง  ก็เลยตัดสินใจเล่นแซกโซโฟนให้ฟัง  อาราอิได้ฟังก็หยุดร้องไห้และนั่งมองเขาเล่นเพลงต่อเพลงจนกระทั้งอาราอิยิ้ม ออกมา
 
พอทำแผลให้เสร็จ  เขาก็เอากล่องแซกโซโฟนที่พี่ฐาเอาขึ้นแท็กซี่มาส่งให้มาตรวจสอบแล้วจะเก็บใส่ตู้
อาราอิก็รู้ว่าจุ๊ยรู้เรื่องราวดี  จึงไม่ได้พยายามเล่าอะไร  มองตามจุ๊ยจนกระทั้งเขาเดินไปเปิดตู้ออก
เขาก็มองเห็นหมวกแก็ปใบหนึ่ง
“โตเกียว โยมิอูริ ไจแอ้นท์” เขากล่าวแล้วเดินมา
“นายเป็นแฟนทีมไจแอ้นท์ด้วยเหรฮ”
จุ๊ยหันมามองหน้าอาราอิ  เห็นสีหน้าของเขาดีขึ้นมากแล้ว  เขามองหมวกก่อนจะหยิบมันออกมา
“เปล่า หรอก  เป็นของรุ่นพี่ของเราเอง  เขาชอบทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่น  เคยฝันว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่น  แต่ก็ไม่เคยได้ไปสักที” จุ๊ยกล่าวแล้วส่งหมวกให้อาราอิ
อาราอิรับหมวกมาพลิกดู 
“แล้วนี่ได้มาจากไหน”
“ก็ได้จากญาติของพี่เขาที่ไปเรียนอยู่ที่นั้น  กลับมาแล้วซื้อมาเป็นของฝาก”  เขาว่าแล้วก็หยิบแซกโซโฟนโซบราโน่ออกมาด้วย
“สองอย่างนี้เป็นของพี่ไตร”
 
อาราอิมองหน้าของจุ๊ยที่หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“เขาเสียชีวิตแล้วใช่ไหม”
จุ๊ยนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้าช้า  ถือแซกโซโฟนเดินมานั้งลงบนเตียง
“เขาเป็นเพื่อน เป็นพี่  และเป็นคนที่รู้จักฉันดีที่สุดในโลกคนหนึ่งถ้าไม่นับแม่"

เพราะเตียงของจุ๊ยตั้งชิดผนัง  ดังนั้นเขาและอาราอิจึงขึ้นมานั่งพิงพนังเคียงกัน
“ก็เหมือนที่เล่าให้ฟัง  แม่อยากให้เราฉันเล่นดนตรีท่านก็เลยพาฉันไปฝึกกับอาจารย์ถนอมตั้งแต่ห้าขวบ  ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ถนอมมีลูกศิษย์อยู่แล้วสองคน  คนหนึ่งคือพี่ไตร”
จุ๊ยนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกัน  พี่ไตรเป็นเด็กชายอายุมากกว่าเขาสองปี  ผิวสองสีค่อนข้างเข้มและค่อนข้างเงียบขรึม  เกือบไม่พูดกับจุ๊ยเลยทั้งวัน  จนกระทั้งตอนเย็นเพราะทนความช่างพูดของจุ๊ยไม่ได้เลยหัวเราะออกมาตอนที่จุ๊ย ถามอะไรตลกๆกับอาจารย์ถนอม
“แล้วอีกคนหล่ะ” อาราอิถาม
“พี่ปลา เธอกับพี่ไตรบ้านใกล้กัน  และชอบคนตรีเหมือนกัน ก็เลยมาเรียนกับอาจารย์ถนอมด้วยกัน  ฉันต้องเจอพี่ไตรกับพี่ปลาทุกอาทิตย์ เราก็เลยเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่ตอนหลังพี่ปลา พบตัวเองว่าไม่ได้มีพรสวรรค์ดนตรีเธอก็เลยเลิกเรียนไป"

"แต่ก็ยังมาหาพวกเราที่ร้านบ่อยๆตอนเราเลิกเรียน  พี่ไตรกับพี่ปลา อายุมากกว่าฉันสองปี  พอพวกพี่เริ่มเข้าวัยรุ่น  ฉันก็เริ่มสังเกตุว่าพี่เขาเริ่มมองกันแปลกๆ  แต่ก็ยังให้เราไปไหนมาไหนด้วยตามปกติ ฉันมันก็เด็กเนอะประถมหกได้เองมั๊ง  แอบเห็นพี่เขาจูบกัน จับมือกัน ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร” จุ๊ยเล่า
“เขาเป็นแฟนกัน  แถมไม่ได้เป็นแฟนกันเฉยๆด้วยนะ  คือพี่ปลาเป็นเด็กกำพร้าที่ฝรั่งชาวเยอรมันเอามาเลี้ยง  พอสามีภรรยาชาวเยอรมันจะกลับประเทศ  เขาสองคนก็นัดไปเจอกันที่บ้านของพี่ไตรที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ เพราะแม่กับพ่อของพี่ไตรทำงานสายการบินทั้งคู่  ฉันตอนนั้นสิบสองขวบยังไม่ประสีประสาอะไร  ก็ยังต้องหน้าที่ดูต้นทางให้เขา ตอนที่...” จุ๊ยหน้าแดงขึ้นมา
“มีอะไรกัน” อาราอิกล่าวเอง
“อืม...” จุ๊ยพยักหน้า 
“แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ ก็ยังเด็กนี่น่า”
เขาหัวเราะ
“ก็ซื่อเนอะ... นึกแล้วขำวะ”
อาราอิพลอยยิ้มไปกับรอยยิ้มของจุ๊ยด้วย
“พอสองคนจะจากกันเขายังให้ฉันเป็นพยาน สาบานรักเลยนะ” 
แล้วจุ๊ยก็หยิบหมวกมาพลิกดูอีกรอบ
“ต่อมาฉันก็เข้าเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่ไตร ก็คือโรงเรียนที่พวกเราเจอกันนั้นล่ะ   แถมฉันยังอยู่วงโยธวาทิตเหมือนกันด้วย  เราสองคนเลยยิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่  เรียกว่าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด”
จุ๊ยเล่า
“พี่ไตรชอบแซกเหมือนๆกับฉัน  พวกเราเล่นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกัน ซ้อมด้วยกัน  แล้วตอนนั้นพอดีมีวันหนึ่งเครื่องเสียงเสีย  ครูอติก็เลยให้เราสองคนไปเป่าแซกโซโฟนบรรเลงเพลงชาติ  แล้วก็กลายเป็นธรรมเนียมไปเลยว่าจะต้องเล่นเพลงขาติสดๆ”
“ฉันกับพี่ไตรตัวติดกัน แม้จะเรียนห่างกันสองชั้นปี  ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะฉันคิดว่าพี่ไตรก็มีแฟนอยู่แล้วคือพี่ปลา เพราะสองคนถึงอยู่กันคนละประเทศก็ยังโทรคุยกันตลอด  ส่งอีเมล ติดต่อกันไม่ได้ขาด  ฉันก็มองพี่ไตรเป็นพี่ชายอีกคนหนึ่ง  เพราะพี่ไตรอายุน้อยว่าเฮียตี้” จุ๊ยยิ้มกับช่วงเวลาที่น่าจดจำ
“จนฉันโตขึ้นเรื่อยๆ  พี่ไตรก็เหมือนกัน  แล้วฉันก็เริ่มสังเกตอย่างหนึ่ง  คือสายตาของพี่ไตรมองฉันลึกซึ้งมากขึ้นทุกที  จนแทบจะเหมือนกับเวลาพี่เขามองพี่ปลา จนกระทั้งราวๆปลายม.สอง  มีใครคนหนึ่งมาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป  นั้นคือไอ้เดฟ”
จุ๊ยก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อพูดชื่อนี่  และยังก็นึกถึงหน้าอัศวะตอนที่แสดงความเป็นเจ้าของเดฟ
“อยู่ดีๆมันก็ยอมรับว่าเป็นเกย์  แล้วไม่นานหลังจากนั้นมันก็บอกรักฉันต่อหน้าเพื่อนวงโย  ตอนแรกก็นึกว่ามันพูดเล่น  แต่มันกลับบอกว่าจริงจัง  แล้วพอขึ้นม.สาม มันก็ยิ่งรุกเข้าหาฉัน  ตอนนั้นพี่ไตรเริ่มมองมันอย่างไม่เป็นมิตร  แต่ไอ้เดฟมันเป็นประเภทไม่กลัวใครแต่ไหนแต่ไร  ก็ชนกับพี่ไตรตลอด ขนาดเกือบจะต่อยกันในโรงอาหาร ไอ้เดฟน่ะ สมัยก่อนมันเป็นทั้งนักบาสของโรงเรียน แล้วก็เป็นดรัมเมเยอร์ของวงด้วย  ก็เลยตัวโตพอๆกับพี่ไตร เกือบจะต่อยกันหลายครั้งในโรงอาหาร" 
"แต่ฉันก็นึกว่าพี่ไตรแค่อยากจะปกป้องฉัน เพราะไอ้เดฟเวลามันเข้าหาฉันทีไรก็กลายเป็นลวนลามทุกครั้งไป”
จุ๊ยถอนหายใจ  แล้วอยู่เขาลุกขึ้นนั่งตรง
“พอเถอะอาราอิ  ถ้าเราเล่าต่อนายอาจ...” แล้วเขาก็ทำท่าจะลุกไปจากเตียง
ทว่าอาราอิกลับรั้งเขาไว้
“เล่าสิฉันอยากฟังต่อ”
จุ๊ยหันไปมองหน้า  แว่บหนึ่งเขาคล้ายจะเห็นเงาของพี่ไตรซ้อนเข้ามา
“ตอน นั้นฉันสองคนเป็นตัวหลักในการแสดงประกวดของวง  ฉันกับพี่ไตรเลยต้องซัอมหนักว่าใคร  จนมีอยู่วันหนึ่ง  ก็ซ้อมกันจนค่ำ  เลยเหลือแค่เราสองคน  แล้วระหว่างพักพี่ไตรก็พูดเรื่องเดฟขึ้นมา”
 
“พี่ไม่ชอบให้จุ๊ย ยุ่งกับเดฟเลย”  พี่ไตรกล่าวแล้วก็ยกขวดน้ำดื่มจากปากขวด
“เดฟมันไม่ได้ล้อเล่นนะจุ๊ย มันเอาจริง จุ๊ยก็ยังไปอยู่เป็นเพื่อนมันซ้อมโยนคฑากับมันทุกวันเสาร์อาทิตย์  ถ้าพี่ไม่ติดต้องกลับบ้านเร็ววันอาทิตย์  พี่จะอยู่ด้วย  เกิดมันปล้ำจุ๊ยขึ้นมาทำไง”
จุ๊ยหัวเราะเสียงใส
“ก็ลองดู  ผมก็เอาคฑายัดตูดมันแม่งเลย อยากเงี่ยนดีนัก” จุ๊ยตอบพลางขยับหมุนเมาท์พีชให้เข้าที่
“พี่ไตรไม่ต้องกลัว ถึงมันจะตัวใหญ่กว่า  ผมก็สู้มันไหวน่า  รับรองผมปกป้องตูดตัวเองได้แน่นอน”
ไตรส่ายหัวกับอาการตบตูดประกอบของจุ๊ย
แล้วทั้งสองคนก็เงียบกันอยู่พักหนึ่ง
“จุ๊ย”
“หือ” จุ๊ยขานแล้วหันหน้ามา
ตกใจนิดหน่อยที่หน้าของพี่ไตรเข้ามาใกล้จนชิด
“ขอพี่จูบจุ๊ยได้ไหม”  ไตรถาม
แต่ไม่ได้รอคำตอบ  เขาประกบปากกับจุ๊ย
 
“ตอนนั้นฉันทั้งงง ทั้งตกใจ ที่อยู่ดีๆพี่เขาก็จูบฉันแบบนั้น” จุ๊ยที่เอาแซกโซบราโน่มาถือไว้ เขาลูบเบาตรงเม้าท์พิช
“แล้วจุ๊ยทำยังไงหล่ะ” อาราอิถาม
“ลองทายดูสิ  ว่าคนอย่างฉันทำยังไง” จุ๊ยยิ้มท้าทาย
“ก็...  จากบุคลิก  ฉันว่าจุ๊ยต้องต่อยสวนไปแน่นอน  หรือไม่ก็ผลักล้มไปเลย” อาราอิตอบ
จุ๊ยหัวเราะ
“พี่ไตรตัวสูงกว่าฉันตั้งเยอะ  ฉันจะเอาแรงที่ไหนมาต่อยพี่เขา”

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:31:19
ตอนที่ 41 : ไตร เงาของอดีต ความทรงจำสุดท้ายก่อนจากลา
“ฉัน..” จุ๊ยลากเสียง
นั่นทำให้เกิดช่วงเวลาที่นานในความรู้สึกของอาราอิ
“ฉันจูบตอบเขาไปเฉยเลย”จุ๊ยเฉลยออกมา
แล้วก็เงียบไปทั้งคู่  ก่อนจุ๊ยจะขยับตัวก่อน

เขาหันมองหน้าอาราอิ  หาร่องรอยความแปลกใจ หลากใจ และแม้แต่ความรังเกียจ  แต่กลับไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย
“อืมเหรอ” อาราอิกล่าวออกมาหลังความเงียบ แล้วถาม
“ทำไมล่ะ”
จุ๊ยนิ่งไปกับคำถาม เขามองเพดานก่อนจะตอบ
“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม  แต่ฉันก็จูบตอบพี่ไตรไป ไม่รู้เพราะอะไร" เขาตอบ แล้วหันมองหน้าอาราอิ
ตอนนี้อาราอิมองหน้าเขาอย่างจริงจัง จุ๊ยจึงเล่าต่อ

"จนมีเสียงเหมือนคนอยู่นอกห้องซ้อม  ก็เลยผละออกจากกัน  แต่พอเก็บของจะกลับบ้าน  จู่ๆพี่ไตรก็ชวน”
 
“จุ๊ยไปค้างบ้านพี่ไหม” ไตรกล่าวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
จุ๊ยหันมา  ตอนนี้เรือนร่างที่สูงกว่าเขาเกือบสองฝ่ามือยืนต่อหน้าเขา
“เฮ้ยพี่  เดี่ยวจุ๊ยต้องกลับบ้าน  มีการบ้านด้วย”
“ก็ให้พี่สอนไง” ไตรบอกแล้วขยับมาจับมือจุ๊ย
“ไปค้างบ้านพี่นะ เดี๋ยวพี่ทำการบ้านให้แทนเลยก็ยังได้”
“แล้วแม่พี่ไตรไม่ว่าเหรอ อยู่ดีๆจุ๊ยก็ไปค้าง” จุ๊ยมองตารุ่นพี่  ตอนนี้แววตาของไตรมองอย่างลึกซึ้ง

“ไม่หรอก  แม่พี่รักจุ๊ยมากกว่าพี่ด้วยซ้ำ  ท่านเคยบอกบ่อยว่าให้พาจุ๊ยมานอนที่บ้านจะได้เป็นเพื่อนฉันด้วย”
จุ๊ยมองหน้าไตรอยู่ครู่ก่อนจะถอนหายใจ
“เอาเถอะไหนๆพรุ่งนี้ก็จะไปซื้อReed ใหม่กับพี่อยู่แล้วนี่  จะได้ออกจากบ้านพร้อมๆกัน  แต่พี่ไตรต้องขี่รถไปส่งจุ๊ยที่บ้านด้วยนะ”
ไตรยิ้มอย่างยินดี  กอดคอจุ๊ยพาเดินไปปิดไฟและลงกลอนประตูห้องดนตรี
 
จุ๊ยเคยมานอนที่บ้านพี่ไตรหลายครั้งแล้ว  โดยเฉพาะเวลาที่ต้องไปแข่งวงโยธวาทิตที่ต่างจังหวัด เพราะแม่พี่ไตรมีรถ ท่านสามารถขับพาไตรกับจุ๊ยไปส่งที่โรงเรียนได้ในตอนเช้ามืด ซึ่งเป็นเวลานัดหมายขึ้นรถ
ดังนั้นเมื่อจุ๊ยอาบน้ำเสร็จแล้ว  เขาก็มาหาหนังสือการ์ตูนอ่านจากตู้เก็บของพี่ไตรที่ใหญ่กว่าตู้เสื้อผ้าของจุ๊ยเสียอีก
แต่ระหว่างเลือกการ์ตูนอยุ่นั้น  เขาสังเกตเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในของชั้นหนังสือ  พอดึงออกมาดู  จังได้รู้ว่าเป็นดีวีดี ที่เขียนว่า
Coat West Japan บ้าง  Ko Eros บ้างเขาสงสัยก็เลยดึงออกมาดู  แต่พอได้ยินเสียงเหมือนคนขึ้นบันไดมาก็เลยยัดมันกลับไปที่เดิม  แล้วเอาหนังสือการ์ตูนออกมาอ่านแทน
“จุ๊ยนี่ผ้าห่มของหนูนะ” น้าเก๋แม่ของพี่ไตรกล่าวเมื่อเปิดประตูเข้ามา จุ๊ยก็รีบวิ่งไปรับเอาผ้าห่มมาโดยไม่ลืมจะไหว้ขอบคุณ
“แล้วก็อย่านอนกันดึกนะ วันนี้น้ามีตารางทำงานตอนดึก น้าทัดก็ไปอังกฤษ  อยู่กันสองคนอย่าซนนะ ถ้าออกไปซื้อขนมก็อย่าให้ดึกมาก ล๊อกบ้านให้ดีด้วย ”
น้าเก๋สั่งเหมือนกับจุ๊ยเป็นลูกอีกคน
”ครับ” แล้วเขาก็ยกมือไหว้อีกที
พอน้าเก๋ไปแล้วจุ๊ยก็มาอ่านหนังสือการ์ตูนต่อไป  จนกระทั้งพี่ไตรอาบน้ำเสร็จกลับมา พร้อมกลิ่นสบู่หอมฉุย
“แม่ไปแล้วเหรอจุ๊ย”
“อืมไปแล้วล่ะ” จุ๊ยตอบ
แล้วก็พลิกหน้าอ่านต่อไป
พี่ไตรทำอะไรอยู่หน้ากระจกสักครู่  แล้วก็เดินมานั่งข้างจุ๊ย
จุ๊ยเหลือบมองเห็นเขาไม่ได้สวมเสื้อใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว
“อ่านอะไรอยู่” ไตรถาม
“ก็เรื่อง” แล้วจุ๊ยก็ตอบชื่อการ์ตูนออกไป
แล้วไตรก็ขยับมากอดจุ๊ยหลวมๆจากด้านหลัง  เขาดมที่ข้างๆกกหูจุ๊ย
“จุ๊ยนี่กลิ่นหอมจัง”
จุ๊ยหัวเราะ
“พี่พูดเหมือนไอ้เดฟเลย”
แล้วก่อนจุ๊ยจะตั้งตัวไตรก็รวบร่างของจุ๊ยแน่น  แล้วซุกไซร้ลงบนคอของจุ๊ย  ร่างของจุ๊ยก็ระทวยลงในอ้อมกอดของเขา
ไตรกระซิบของหูจุ๊ย
“พี่รักจุ๊ยนะ  รักมากเลย  พี่ไม่เคยรู้สึกกับใครมากอย่างนี้มาก่อนเลยจุ๊ย”
มือที่กอดเขาไว้ค่อยเลือนมาเป้ากางเกง  แล้วก็สอดมือเข้าไปในกางเกง
จุ๊ยต้องหลับตาลงเพราะความรู้สึกที่ทวีขึ้นฉับพลันเพราะการสัมผัสนั้น
“พี่รักจุ๊ย”  เขากระซิบอีกครั้งแล้วก็พลิกจุ๊ยให้หันนอนหงายลง  จูบที่ริมผีปากก่อนจะไล้โลมต่ำลงเรื่อยๆ
จุ๊ยสะท้านไปหมดด้วยสัมผัสนั้น  เสียงหายใจของจุ๊ยหอบถี่แต่ประสานเข้ากับเสียงหายใจของไตรอย่างลงตัว
บท เพลงคราสซิค อันคุ้นเคยดังในหู  จุ๊ยปลดปล่อยอารมณ์ที่ค้างคามาตั้งแต่ตอนจูบกันในโรงเรียนไปในการบรรเลงบท เพลงอันนุ่มนวลทว่าเต็มไปด้วยความต้องการของไตร
“พี่ไตร...” เขาเรียกชื่อนั้นออกมา

“แปลว่านายกับเขาก็ไม่ใช่แค่พี่น้อง” อาราอิถามตรงๆ
จุ๊ยก็พยักหน้าช้าๆ
“เราคบกันอย่างนั้น  ประมาณเกือบครึ่งปี  เรื่องของเราเริ่มมีคนรู้  แล้วในวงก็เริ่มระแคะระคาย ฉันก็เริ่มกดดันเพราะถูกคนรอบตัวตั้งคำถาม  แถมมียังพี่ไตรยังมาบอกอีกว่าพี่ปลากำลังจะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยในช่วงฤดู ร้อนของที่นั้น  ตอนที่พี่เขาบอกฉัน ตอนนั้นเราไปแข่งวงโยที่บุรีรัมภ์ ฉันก็เลยตัดสินใจ บอกเลิกกับพี่ไตร"

 
ไตรนั่งอยู่ปลายเตียงมองหน้าจุ๊ยที่ยืนอยุ่ตรงหน้า  แวดตาบอกได้ว่าทั้งตกใจและเจ็บปวด

“หมายความว่ายังไง พอแล้ว...” ไตรถาม
“จุ๊ยกำลังจะบอกเลิกกับพี่ใช่ไหม”
จุ๊ยที่แม้จะตั้งใจมาแน่วแน่แล้ว  แต่กลับใจอ่อนลงเพราะอาการของพี่ไตร
“พี่ไตร  ผมรู้สึกดีกับเรื่องของเรา  ผมมีความสุขกับมัน  แต่ปัญหาคือ... พี่ไตร  เราต่างคนต่างเป็นผู้ชาย  มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคบหากันไปตลอดแบบนี้  พี่ปลาก็กำลังจะกลับมา  ผมไม่อยากให้พี่ไตรมีปัญหากับพี่ปลา”
“มันเป็นปัญหาของพี่ จุ๊ย  ไม่ใช่ปัญหาของจุ๊ย  พี่จะเคลียร์กับพี่ปลาเอง  จุ๊ยไม่ต้องห่วง” ไตรจับแขนจุ๊ย
“จุ๊ยไม่เข้าใจหรือไง  ว่าพี่รักจุ๊ย  พี่รักจุ๊ยมาก  ก่อนหน้านี้ความรู้สึกของพี่กับปลาเป็นเพราะพี่ยังไม่รู้ใจตัวเอง  แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วพี่รักจุ๊ย”
จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ
“พี่ครับ  เราเป็นผู้ชาย  พี่กับพี่ปลาคบกันมาตั้งนาน  แล้วอยู่ดีๆพี่จะไปบอกพี่ปลาว่าเลิกเพราะคบกับจุ๊ย  พี่ว่ามันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอครับ  ที่ผู้ชายสองคนรังแกผู้หญิงคนเดียว”
“ตอนนี้เรื่องของเราไม่ได้เป็นความลับ  ทุกคนเริ่มสงสัย  หลิวเองก็ถามผม  พี่ครับผมไม่รู้จะอธิบายยังไงกับพวกเขา  พี่จะให้ผมทำยังไง  แล้วยังพี่ปลาอีก  อย่างน้อยผมกับพี่ปลาก็รู้จัก  สนิทกัน  มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ถ้าเราสองคนทำอย่างนี้  แล้วยังมีพ่อแม่ของพี่อีก  พี่จะบอกท่านยังไง  ท่านคาดหวังกับพี่ไว้มากนะครับพี่”
“พอจุ๊ย” พี่ไตรลุกขึ้น
“ก็บอกมาเลยว่าจุ๊ยอายที่ต้องบอกคนอื่นว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย  ชอบผู้ชายด้วยกัน”
จุ๊ยอึ้ง...
“มันไม่ใช่แค่นั้นนะครับพี่  ชีวิตของเรายังมีคนอื่นด้วย  เรามีครอบครัว  ผมมีป๊ามีเฮีย มีซัว มีฮัว... ส่วนพี่ก็มีพ่อมีแม่  แล้วยังมีพี่ปลา เราอาจบอกว่าไม่แคร์พวกเขาก็ได้  แต่ถ้าทำแบบนั้นมันเห็นแก่ตัว  ต่อให้ผมเดินจูงมือพี่ไปบอกทุกคนว่าเรารักกันแล้วยังไง  พวกเขาจะดีใจ หรือพวกเขาจะเสียใจ  พี่เองก็รู้ว่าคำตอบคืออย่างหลัง”
ไตรจ้องตาจุ๊ยสายตาของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน
“ปัญหาของจุ๊ยคือตัวจุ๊ยเอง  จุ๊ยคิดถึงแต่คนอื่น  จุ๊ยกลัวคนอื่นจะเสียใจ”
แล้วน้ำตาพี่ไตรก็ร่วงลงมา
“พี่ไม่สนใจพวกเขา  พี่รู้แต่พี่รักจุ๊ย  ถ้าจุ๊ยรักพี่  เราไปด้วยกัน  พี่จะบอกเลิกกับปลา  แล้วออกจากบ้าน  เราไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่เราจะใช้ชีวิตร่วมกันได้  จุ๊ยจะทำอย่างนั้นได้ไหมหล่ะ”
จุ๊ยไม่สามารถสู้สายตาของไตรได้
“ผมพูดได้แค่นี้  ผมอยากจะให้พี่ทบทวน  เรายังพอที่จะถอยกลับไปได้  เรากลับไปในที่เราเคยอยู่ได้นะครับพี่  ผมสามารถกลับไปเป็นน้องของพี่ได้เหมือนเดิม  พี่ไม่ได้สูญเสียจุ๊ยไป  จุ๊ยจะอยู่ตรงนี้ให้พี่เหมือนเดิม” เขากล่าว แล้วเดินออกจะออกจากห้องไป
“ผมรักพี่ผมบอกได้  แต่ผมไม่สามารถให้ใครมาเจ็บปวดเพราะผมได้ โดยเฉพาะคนที่รักผม”
“แล้วพี่หล่ะจุ๊ย  พี่ก็คือคนที่รักจุ๊ย  จุ๊ยไม่แคร์ไม่ห่วงบ้างหรือว่าพี่จะเป็นยังไง  นี่คือความรักในแบบของจุ๊ยอย่างนั้นเหรอ  จุ๊ยยินดีจะเสียสละตนเอง บูชายัญคนที่รักจุ๊ยเพื่อคนอื่น  ถ้าจุ๊ยถามว่าที่พี่ทำมันเห็นแก่ตัวไหม  นี่ต่างหากที่เห็นแก่ตัว  เพราะจุ๊ยกำลังจะฆ่าพี่ด้วยมือของจุ๊ยเอง” ไตรกล่าวออกมา
จุ๊ยหันมามอง  แต่เขาก็หักใจให้แข็งแล้วเดินออกมา
“ไปเถอะครับสายแล้ว เอาไว้เราค่อยคุยกัน”
 
พอลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรม ก็เห็นเพื่อนกินกันล่วงหน้าไปแล้ว  จุ๊ยก็ตักอาหารสำหรับตัวเองและเผื่อสำหรับพี่ไตรด้วย  แต่พอยกไปวางที่โต๊ะซึ่งมีเพื่อนอยู่สี่ห้าคนนั่งอยู่
“มองเหี้ยอะไร” จุ๊ยถาม 
“แน่ะ แน่ะ  ทำเป็นหงุดหงิดเมื่อคืนพี่ไตรไม่ปล้ำหรือไง ถึงได้หงุดหงิด” ไก่ตอบโต้
เพื่อนก็หัวเราะกันครื้น
จุ๊ยส่ายหัว
แล้วหยิบเอาซอสมาราดลงบนไส้กรอก
“เฮ้ยเอาน่า แจ่มใสหน่อย  หรือว่าหนักไป  โถๆ  มาๆกูไปทำไข่ลวกให้” ไก่ลุกไปแล้วกลับมาพร้อมไข่ลวกจริงๆ
“เอ้านี่จุ๊ยกูปรุงให้พิเศษสำหรับมึงเลย”
จุ๊ยมองหน้าไอ้ไก่  เขารู้ดีว่าเพื่อนเป็นคนกวนตีน  แต่ปกติเขาจะโต้ได้สนุก  แต่วันนี้เขาไม่อยู่ในอารมณ์นั้น
“ไปเลย กูจะกิน” แล้วจุ๊ยก็สะบัดแขนที่เกาะกุมโดยไก่ออก
“โถๆ  เดี่ยวพี่ไตรลงมาน้องจุ๊ยก็คงอารมณ์ดีสินะ” ไก่ตบบ่า
แล้วกำลังจะเดินกลับไปนั่ง  ทันใดเขาเซล้มลงไปด้วยแรงหมัด
“มึงพูดเหี้ยอะไรไอ้ไก่” แล้วก็จะเดินเข้าใส่อีก
ทว่าจุ๊ยถลันเข้าขวาง  จ้องตาไตร
“อะไรวะพี่ ก็พูดเล่นกัน  ทำไมต้องรุนแรง”
“แต่มันว่าจุ๊ย” ไตรว่าแล้วจะเข้าไปอีก  แต่ฐากับเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกสองคนเข้ามารั้ง
“นี่มันอะไรกัน” ครูอติคงได้ยินเสียงเอะอะ เลยรีบเข้ามาภายในห้องอาหาร
“ชกต่อยกันในสถานที่ของคนอื่น แบบนี้ได้ยังไง”
 
“พี่ไตรเลยโดนสั่งให้ไปนั่งกับรถขนเครื่องดนตรี  ภาพสุดท้ายทีจุ๊ยเห็นพี่ไตร ตอนยังปกติคือ เขาเอาแซกตัวนี้มายืนเป่าอยู่ข้างรถ..เพลง Summertime Sadness” จุ๊ยน้ำตาเริ่มเกาะที่ขอบตา
 
จุ๊ยไปนั่งอยู่บนรถแล้ว  เขาหมดอารมณ์จะหยอกกับใคร  มองไปด้านหนึ่งไก่ที่นั่งปากเจ่ออยู่ ก็หันมามองหน้าเขาแล้วหันกลับไป 
ฮ้อยนั่งลงข้างๆ
“โอเคไหมวะ” ฮ้อยถาม
จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ
“จุ๊ย” เสียงเรียกจากข้างรถ พอเขาหันมองลงไป 
พี่ไตรยืนถือโซบราโน่ของเขา เขาหมุนปีกหมวกแก็ปไปข้างหลัง
“พี่ให้เพลงนี้กับจุ๊ย”  แล้วไตรก็จรดปาก
Summertime Sadness …
เสียงแซกโซโฟนของพี่ไตร  แม้จะโดนวิจารณ์ว่าเป็นรองจุ๊ยอยู่  แต่เป็นเสียงแซกโซโฟนเดียวที่จุ๊ยอยากฟัง...
ภาพพี่ไตรสบตาเขาตอนที่เป่าแซกโฟโฟนตัวโปรดในแสงอ่อนๆยามสายนั้น  สร้างความรู้สึกระคนกันในใจของจุ๊ย 
เสียงแซกโซโฟนนั้นคร่ำครวญ  มันบอกเล่าความรู้สึกของการเว้าวอน..

 และเมื่อเพลงจบ  เขาก็เดินเข้ามา ถอดหมวกแก็ปแล้วส่งมา
“พี่ให้”
จุ๊ยรู้ดีว่าพี่ไตรชอบหมวกใบนี้มาก
เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจุ๊ยถึงรับมันมา
รถออกเดินทางตามกำหนด  จุ๊ยไม่มองกลับไปอีก  แต่เอาหมวกใบนั้นแนบอกไว้
 
“แต่รถขนเครื่องดนตรีชนกับรถบรรทุก  พี่ไตรบาดเจ็บสาหัส  เขาทนจนฉันไปถึงโรงพยาบาล เพื่อจะพูดกับฉันแค่คำเดียวว่า”
อาราอิมองหน้าจุ๊ยที่เหมือนดำดิ่งในห้วงแห่งอดีต
 
ใบหน้าที่พันไว้ด้วยผ้าพันแผลไปครึ่งหน้า  เหลือแค่ดวงตาข้างเดียวมองมา  ริมผีปากขาวซีด
จุ๊ยจับมือเขาไว้  เห็นริมผีปากนั้นขยับ  เขาจึงเข้าไปใกล้ๆเพื่อให้ได้ยิน
“พี่รักจุ๊ยนะ”
นั้นคือเสียงสุดท้ายที่จุ๊ยได้ยินจากผู้ชายที่เขารัก... พี่ไตร
 
"ตอนนั้นเพราะรถบัสมันเต็ม  ฉันก็เลยต้องเอาแซกของฉันใส่ไปกับรถขนเครื่องดนตรี  เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเล่าว่าตอนที่หน่วยกู้ภัยไปช่วยพี่ไตรออกจากรถ  พี่ไตรกอดกล่องแซกโซโฟนของฉันไว้แน่นไม่ปล่อย แม้จะสลบ  จนพวกเขาต้องแกะมันออกมาอย่างลำบาก  พี่เขาพยายามปกป้องสิ่งที่ฉันรักไว้จนถึงที่สุด"

แล้วจุ๊ยก็กลั่นไม่อยู่  น้ำตาหยดลงบนแซกโซโฟนโซบราโน่ 
อาราอิจึงกอดจุ๊ยไว้เอาหน้าจุ๊ยซบกับไหล่
“เขารักฉันมาก  แต่ฉันกลับคิดจะทิ้งเขาไว้เพียงเพราะกลัวคนอื่นจะรู้ความสัมพันธ์ของเรา.. ฉันมันเลวใช่ไหม”
อาราอิลูบหัวจุ๊ยเบาๆ  แต่ก็หาคำใดมาปลอบใจไม่ได้เลย...
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 19-12-2015 14:31:55
ตอนที่ 42 : Come Again, sweet love doth now invite เริ่มบทใหม่แห่งความรัก
อาราอิใส่เสื้อของจุ๊ยได้  แต่กางเกงแม้จะเป็นตัวใหญ่ที่สุดก็ยังดูสั้นเตอะ อวดขาขาวๆ
ตอนที่จุ๊ยหันมาเห็นอาราอิซึ่งกำลังยืนเฝ้ากระทะทอดปลา จึงแกล้งด้วยการตีที่น่องดังเปียะด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อะไรเล่า..” อาราอิว่า
“ประเดี่ยวก็จิ้มด้วยตะหลิว”
 
“ตกลง เราชื่ออาราอิหรือโยชิ  เพราะเห็นจุ๊ยเรียกเราว่าอาราอิ” ป๊าถามขึ้นมาในขณะร่วมโต๊ะอาหารค่ำที่มีกันแค่สามคน เพราะวันนี้เฮียค้างที่มหาวิทยาลัย ส่วนซัวก็บอกว่าทำงานกะบ่ายจะกลับดึก
“ผมชื่ออาราอิ  แต่นามสกุลโยชิฮิสะ ครับ  แต่ตอนแนะนำตัวชอบติดแนะนำแบบญี่ปุ่น  เป็นโยชิฮิสะ  อาราอิ  ใครๆในประเทศนี้ก็เลยเรียกผมว่าโยชิ” อาราอิตอบ  แล้วคีบกุนเชียงส่งให้บิดาของจุ๊ย
บิดาก็รับมาแต่โดยดี แถมกินด้วย
“งั้นอั๊วก็เรียกลื้อว่า อาราอิแล้วกัน”
 
พอเก็บล้างทำความสะอาดเสร็จ  ทั้งสองก็ขึ้นมาที่ห้องของจุ๊ย
ตอนที่จุ๊ยกำลังหยิบแซกโซโฟนออกมา  อาราอิก็เริ่มกวาดตามองรอบๆห้อง
แล้วก็ลุกไปที่ตู้ที่เต็มไปด้วยถ้วยรางวัลและโล่ประกาศเกียรติคุณ 

"นี่นายชนะมาแล้วกี่เวที"

"ก็เยอะน่ะ จำไม่ได้หรอก  เพราะโรงเรียนก็ส่งฉันไปประกวดอยู่เรื่อยๆ ตามแต่อาจารย์อติท่านจะหาเวทีให้ฉันได้  ประกวดไปเรื่อยๆ เอาประสบการณ์"

"นายไม่คิดจะเรียนต่อต่างประเทศบ้างเหรอจุ๊ย  คือฉันว่าประเทศนี้ดนตรีแบบนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่  ถ้านายไปต่างประเทศนายน่าจะไปได้ไกลกว่านี้" อาราอิถาม
จุ๊ยหยุดมือที่กำลังทำความสะอาดชิ้นส่วนแซกโซโฟนอัลโต้แสนรัก

"ถ้าฉันไป  ป๊าจะทำยังไงล่ะ  นายก็เห็นครวบครัวเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร  เฮียก็ไปเรียนทุกวันแถมเรียนหนักด้วย  ส่วนไอ้ซัวมันก็ไม่ค่อยลงรอยกับป๊า  บ้านช่องไม่ค่อยอยู่ ถ้าฉ้นไป ป๊าจะทำยังไง  จะให้ท่านมาทำงานหนักๆเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้แล้วนะ"

อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย

จุ๊ยกลับมายิ้มแล้วเริ่มต้นประกอบแซกโซโฟน

พอประกอบเสร็จก็หันมาถาม

“อยากฟังเพลงอะไรหล่ะครับน้อง” จุ๊ยดัดเสียงหล่อถาม
อาราอิมองจุ๊ยประกอบแซกโซโฟนอย่างคล่องแคล่ว
“อะไรก็ได้ครับคุณพี่”
จุ๊ยแย้มริมผีปากส่งเสียงหึๆ
“ประเดี่ยวเล่น Concerto ให้ฟังเสียเลยนี่”
“โอ้ยไม่ไหวอะ  ไอ้เพลงที่มันเก่าๆใช่ไหม ไม่ไหวไม่ไหว”
“งั้นนี่” จุ๊ยว่าแล้วหันไปหยิบแฟ้มชีทเพลงจากบนโต๊ะส่งให้
“ให้โอกาสนายเลือก”
“เพลงอะไรก็ได้เหรอ” อาราอิถาม เพราะเป็นแฟ้มขนาดใหญ่
“ก็ฉันจำได้เกินครึ่ง  ทีเหลือต้องดูชีท ไม่งั้นจำไม่ได้”
"เกินครึ่ง" อาราอิทำตาโตเท่า

"นี่มันกี่เพลงนี่  เท่าที่ดูเกินร้อยแล้วมั๊งนี่ จำเข้าไปได้ยังไง"

จุ๊ยทำหน้าคิด

"ที่จริงฉันก็สงสัยนะ  คือตอนเด็กๆฉันก็งงเหมือนกัน  เพราะเวลาฉันฟังเพลงอะไร  จำโน้ต จำทำนองมันได้เลย  พอเขียนชาร์ทเป็นก็เริ่มบันทึกโน้ตที่จำได้จากเพลง  อาจารย์ถนอมเห็นก็เลยเอาไปอ่าน  ท่านก็เลยถามว่าฉันทำได้ยังไง ฉันก็บอกไม่รู้  ฟังแล้วก็แยกโน้ตได้  แยกได้ก็จำได้  จำได้ก็เขียนได้ ตอนแรกฉันก็นึกว่าทุกคนต้องทำได้เหมือนฉันนะ  แต่อาจารย์หัวเราะ แล้วบอกว่า ไม่ใช่นะ ลองถามไตรดูสิว่าทำได้ไหม”
”พอฉันไปถามพี่ไตร พี่ไตรก็งง  ท่านก็เลยบอกว่าฉันมีระบบประสาทหูดีกว่าคนอื่นที่เรียกว่า Absolute Pitch แล้วก็มีระบบจำทำนองเพลงที่ดีกว่าคนอื่น อันนี้เขาเรียก Relative Pitch แถมหูก็ได้ยินเสียงมากกว่าคนอื่นด้วย พอได้ยินมันจำได้ พอจำได้ มันก็เขียนได้ พอเขียนได้ก็เล่นได้"

อาราอิยังคงมองหน้าจุ๊ย

"ถ้าฉันจำอะไรได้อย่างโน้ตก็ดีนะ  เพราะเรื่องเรียนนี่ไม่ไหวเอาเลย  อ่านหนังสือทีไรก็ได้เฝ้าพระอิศวรทุกที  จำอะไรไม่ได้สักกะอย่าง"

"เอ้าตกลงจะเอาเพลงอะไร  เลือกเอาเลย" จุ๊ยถามอีกรอบ

"หลับตาสุ่มเอาเลยก็ได้"

อาราอิก็เลยหลับตา แล้วพลักเปิดแฟ้มไปแบบสุ่มๆ แต่พอมองลงไป เห็นชื่อเพลงเขาก็ชะงัก 
อีกด้านแม้จะอยู่ห่างออกมา แต่จุ๊ยก็เห็นมองเห็นชื่อเพลง
“ไม่ต้องเล่นก็ได้นะ” อาราอิบอก
แต่จุ๊ยยิ้มออกมา
แล้วก็จรดปาก
Summertime Sadness ดัง อีกวาระ  จากอัลโต แซกโซโฟนไม่ใช่โซบราโน่  เสียงของมันทั้งเลื่อนไหล และต่อเนื่อง  หางเสียงฟุ้งอบอวลในอากาศ ยิ่งในห้องที่แคบขนาดนี้ มันยิ่งทำให้รู้สึกถูกล้อมเอาไว้ด้วยเสียงเพลง

อาราอินั่งมองจุ๊ย  หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเฉกเดียวกับที่เคยเป็นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของแซกโซโฟนของจุ๊ย 

แล้วเขาก็ไม่อาจจะยั้งใจตัวเอง  เขาลุกขึ้นมายืนตรงหน้าจุ๊ย

จุ๊ยมองตามอาราอิที่ก้าวมายืนตรงหน้า ระยะห่างของคนทั้งคู่ตอนนี้แค่แซกโซโฟนกั่น

ทว่าเขาเป่าต่อไปจนโน้ตสุดท้าย  ลดแซกโซโฟนลงข้างตัว
อาราอิขยับเข้ามาจนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงครึ่งฝามือ ห้องของจุ๊ยเก็บเสียง ในทางกลับกันมันก็กันเสียงจากภายนอก
ใน ความเงียบ ทั้งสองได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน  จุ๊ยกลายเป็นฝ่ายที่ขยับเข้าหา  แล้วเขาโอบเอวไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง อีกข้างเกาะที่หัวไหล่
อาราอิก็รวบเขาไว้ด้วยสองแขน  ก้มหน้าลงมาประสานริมผีปาก  ครั้งแรกแตะกัน  ครั้งที่สองบดลงมาแรงขึ้น  และครั้งที่สามก็บดแรงขึ้นและดูดดื่ม
จุ๊ยดันอาราอิให้ถอยไปจนถึงเตียง  เขาก็นั่งลงโดยริมฝีปากยังไม่แยกจากกัน
แล้วจุ๊ยก็ถอนการจูบ สบดวงตากับดวงตาที่มองมา  ลมหายใจทั้งคู่รดกันในอาการหอบถี่
จุ๊ยจูบที่ข้างหูแล้วซุกไซร้ไปบนคอยาวได้รูป อาราอิก็ปล่อยอารมณ์ตอบสนองต่อการสัมผัสอันนุ่มนวลทว่าเปี่ยมไปด้วยความปรารถาของจุ๊ย
ไม่ชอบดนตรีคลาสซิค  แต่อาราอิกลับได้ยินบทเพลงอันอ่อนหวานของบทโอเปร่าก้องในความรู้สึก "Come Again, sweet love doth now invite” ประพันธ์โดย John Dowland

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-12-2015 15:03:38
อ่านจบไปแล้วเมื่อวาน (อยากอ่านมาก...เลยไปตามหาที่อีกเว็ปหนึ่ง) แล้วก็คอมเม้นท์ให้แล้วนะคะ
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ปล. ลงกฏของเล้าด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 19:59:58
ตอนที่ 43 : ไปญี่ปุ่นกันไหม
อาราอิโดนพักงานสองเดือนหนึ่งเต็มๆเพราะเรื่องชกต่อย  แต่เขาก็ไม่แคร์  เพราะตอนนี้สถานที่ซึ่งเขาอยากไปคือทุกที่ซึ่งจุ๊ยอยู่
จุ๊ยเองก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้น  ถ้าวันไหนที่อาราอิไม่โทรหา  เขาจะเป็นฝ่ายโทรหาอาราอิ  และมักจะชวนออกไปโน่นมานี่ด้วยกัน
อย่างวันนี้จุ๊ยก็เป็นคนชวนเขาให้มาเดินเล่นจตุจักร
จุ๊ยยืนพลิกดูเนื้อหาของหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับดนตรีเล่มใหญ่ เขาอ่านไปเรื่อยๆเพื่อตรวจสอบว่าตรงกับสิ่งที่ต้องการหรือไม่
“ไม่ยักรู้ว่านายเก่งภาษาแล้ว” อาราอิกล่าว
“แน่นอน” เขายักคิ้ว
“สมองที่ดีย่อมมีการพัฒนา  สมองไร้ค่าก็ไม่ปัญญาเรียนรู้เพิ่ม”
อาราอิสะอึก เพราะรู้สึกเหมือนโดนด่า
“นี่นายด่าฉันหรือ” อาราอิดึงหนังสือมาซ่อนข้างหลัง
“เฮ้ยด่าอะไร แค่พูดคำคม” จุ๊ยว่า แล้วก็กอดอกลอยหน้าลอยตา
“แต่นายร้อนตัวรับไปเอง  ก็ดี  ไม่ต้องด่าตรงๆ”
“กวนตีน” อาราอิเอาหนังสือเคาะหัวจุ๊ย  แล้วส่งคืนให้
“หิวแล้วอะ กินอะไรดี”
จุ๊ยมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ตัวก็ไม่อ้วน แดกล้างแดกพลาญนะเนี่ย พึ่งกินลูกชิ้นไปสองไม้ไม่ใช่เหรอ”
“ก็มันหิวนี่หว่า...” อาราอิลูบท้องประกอบ
จุ๊ยส่งเสียหึ
แล้วหันไปเห็นหนังสือที่มีภาพอาหาร หยิบแล้วส่งให้
“เอ้าอ่านซะ  จะได้หายหิว” จุ๊ยว่า
“ถ้าไม่อิ่มก็ฉีกแดกไปสักหน้าสองหน้า  แล้วก็อย่าลืมจ่ายตังค์เค้าด้วยหล่ะ”
“โอยก็ยิ่งหิวสิว๊า... ไปเหอะจุ๊ย  ฉันหิวจะแย่”
“ก็บอกว่ายังไม่เสร็จ  ขี้เกียจเดินกลับมาตรงนี้อีกรอบ”
“เอ้านี่ วิธีทำซูซิ แดกซะจะได้อิ่มๆ”
“โอยไม่เอา  จุ๊ยก็เลือกเร็วๆสิ”
“เร็วได้ไงเล่า  ก็หาหนังสืออยู่”
ตรงมุมที่ทั้งคู่มองไม่เห็น  อ๊อดกับเมืองฟ้าแอบดูอยู่  ทั้งสองมองหน้ากัน
“มันจะสนิทกันเกินไปรีเปล่าวะ” อ๊อดว่า
เมืองฟ้าก็พยักหน้าช้าๆ
“เล่นเอาเมืองไม่กล้าออกไปทักเลยนะเนี่ย  กลัวไปเป็นก้างของพวกเขา”
 
จุ๊ยสั่งข้าวผัด  ส่วนของอาราอิเป็นมักโรนีผัด
“เอามากินบ้าง” จุ๊ยว่าแล้วตักมักโรนีเข้าปาก
“เฮ้ยเอาของนายมาบ้างสิ” อาราอิทวง
“ก็ตักเอา” จุ๊ยเลือนจานออกมา
แต่พออาราอิจะตัก เขากลับดึงจานหลบ
“เฮ้ย...” อาราอิร้อง
จุ๊ยหัวเราะ
แล้วตักใส่ช้อนมาคำหนึ่ง
“เอ้าอ้าม...”
อาราอิก็อ้าปากรอ
แต่จุ๊ยกลับเอามือซ้ายหยิบต้นหอมใส่ปากอาราอิแทน
“ไอ้จุ๊ย” อาราอิร้องเมื่อเอาต้นหอมออกจากปาก
จุ๊ยหัวเราะร่วน
 
ระหว่างเดินๆดูของไปเรื่อยๆ  จุ๊ยก็ชวนคุยนั้นคุยนี่ไปตามเรื่อง  แต่อยู่ๆเขาก็เงียบ  แล้วดึงอาราอิให้หยุด
“ไปทางอื่นดีกว่า” เขาว่าแล้วจะดึงตัวอาราอิหันกลับ
แต่อาราอิขืนตัวไว้
เขารู้จากที่เดฟเคยเล่าให้ฟัง
เขากอดคอจุ๊ยไว้ในลักษณะล๊อก  แล้วลากตัวเดิน
“กระต่ายเต็มเลย... น่ารักจะตายเนอะ”
“ไม่เอา” จุ๊ยจะดิ้นหนี ก็ไม่ได้เพราะอาราอิใช้การล๊อกแบบคาราเต้
“ทำไมหล่ะจุ๊ย ก็ฉันอยากดูกระต่าย” อาราอิแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินหน้าเข้าหาแผงค้าที่มีกรงกระต่ายอยู่ทั้งสองข้างทาง
“ไม่เอา  ไม่เอา” จุ๊ยดิ้นขลุกขลัก  แต่ดิ้นไม่ออก
“ไอ้ญี่ปุ่นขี้แกล้งงงงง”
“ตัวเองนั้นหล่ะ ขี้แกล้ง... มาเลยมาเล่นกับน้องต่ายแสนน่ารัก”
“ไม่อ๊าววว”


“อันนี้เก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้  อันนี้ก่อนนะครับลุง”  แล้วเขาก็แกะห่อขนมที่ซื้อมาให้บิดาของจุ๊ย
“ขอบใจ” ไฮ้จุ้งกล่าว
“เรียกอั๊วว่า ป๊าก็ได้  เรียกลุงๆ ฟังดูแปลกๆ”
อาราอิยิ้ม
“ครับป๊า”
“เฮ้ยอาราอิ ขึ้นมาช่วยฉันยกโต๊ะหน่อยสิ  ฉันจะถูใต้โต๊ะ” เสียงจุ๊ยดังจากชั้นลอย
ไฮ้จุ้งรู้สึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมา เพราะเวลามาทุกครั้งนอกจากมีของฝากมาด้วยแล้ว  เขาก็ยังช่วยทำงานในร้านโดยไม่รังเกียจว่าจะเปื้อน  คราวก่อนก็ช่วยตักจารบีแบ่งขายจนเสื้อเลอะ แต่ก็ไม่บ่นสักคำ
จะว่าเพราะต้องการเอาใจก็ไม่ใช่  ไฮ้จุ้งดูออกถึงความแตกต่างของการเอาอกเอาใจ กับความเอื้ออาทรตามนิสัยแท้จริง
การเห็นอาราอิมันทำให้เขานึกไปถึงคนหนึ่ง  เด็กหนุ่มชื่อไตรคนนั้น   ไฮ้จุ้งยังจำได้ดี... รวมทั้งจำได้แม่นถึงความเสียอกเสียใจของลูกชายตอนที่ไตรจากไป..
“เหือมไอ้จุ๊ย  แกล้งอีกแล้วนะ ดูดิเนี่ย  มันเลอะ” เสียงอาราอิดังจากข้างบน
 
เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยดังสะท้อนในบรรยากาศยามค่ำ  บทเพลง Mack the Knife สร้างบรรยากาศอันแจ่มใส
ลมเย็นที่เกิดจากฝนตกในที่หนึ่งที่ใด  ตีเรือนผมของจุ๊ย  เขาขยับไปตามจังหวะ  แล้วส่งสายตาขี้เล่นมาเป็นระยะ
แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
อาราอิมองหมายเลข  เขาเกิดความลังเลที่จะรับ  จุ๊ยกำลังจะเล่นโน้ตสุดท้ายอยู่แล้ว สังเกตเห็น
ดังนั้นเมื่อถอนปากจากเม้าท์พิช
“รับเถอะ  นามิจังใข่ไหมล่ะ”
อาราอิมองหน้าจุ๊ย ก่อนจะกดรับแล้วทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วเดินไปในระยะห่างพอสมควร
จุ๊ยถอนหายใจเบาๆ  แล้วนั่งลง  เขาถอดแซกโซโฟนออกเป็นชิ้นเพื่อจะเก็บ
มองไปอีกที่เหมือนอาราอิจะมีอาการนิ่งอึ้งต่อข่าวสารทางโทรศัพท์  ต่อมาเขาจึงกล่าวขอบคุณแล้วก็วางโทรศัพท์
แล้วยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
จุ๊ยเห็นผิดปกติ  จึงเดินเข้าไป
“มีอะไรเหรอ  หน้าตาไม่ดีเลย”
อาราอิถอนหายใจแล้วเก็บโทรศัพท์
“จุ๊ย” เขากล่าวแล้วจับมือจุ๊ย
“ไปญี่ปุ่นกันไหม”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:00:36

ตอนที่ 44 : Next Station Kansai Airport เจอกับความจริงอันน่าตกใจ
จุ๊ยไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน  ไม่คิดว่าการเดินทางครั้งแรกในชีวิตจะกลายเป็นการเดินทางไปต่างประเทศ แถมเป็นประเทศที่เคยหวังว่าจะได้ไปสักครั้งในชีวิต
อาราอิเห็นจุ๊ยมีปัญหากับSeat Belt ก็เลยช่วย  แต่ก็แกล้งวนไปวนมาอยู่บนเป้าจุ๊ย
“เฮ้ยๆ พอละ  คาดเข็มขัด  จะยุ่งอะไรกับน้องชายฉัน” จุ๊ยว่าแล้วดันหัวอาราอิออกไป
“ลามกจะนายเนี่ย”
อาราอิหัวเราะ  แล้วก็หยิบหมากฝรั่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ 
“เอาเคี้ยวจะได้หูไม่อื้อ”
จุ๊ยก็รับมามอง
“แล้วถ้ายังอื้ออีกทำไง” จุ๊ยถามอีก
อาราอิหันมายิ้ม
“ก็จูบกับฉันไง  จะได้หายอื้อ”
จุ๊ยก็เลยยิ้มบ้าง
“มานี่สิเข้ามาใกล้ๆ”
อาราอิก็เอียงหน้ามา
จุ๊ยก็เลยเอาหัวโขกหัวเขาตังป๊อก  อาราอิร้องโอย
“รุนแรงอะ..”
“ก็อยากลามกทำไมหล่ะครับ”
“ไม่ได้ลามกฉันพูดจริงๆ “
“ไอ้ลามก...”
 
ตอนที่เครื่องบินมาวิ่งแท็กซี่มาหยุดเพื่อเตรียมตัวออก  อาราอิก็กุมมือจุ๊ยไว้เพราะเห็นจุ๊ยดูหวาดๆ
เสียงกัปตันบอกกับลูกเรือผ่านลำโพง
“จะไปแล้ว” อาราอิให้สัญญาณ แล้วกุมมือจุ๊ยแน่นขึ้น

เครื่องบินขับกำลังมหาศาลผ่านเครื่องเจ็ท  แล้วมันก็พุ่งไปตามทางวิ่ง  จากนั้นก็ค่อยๆลอยขึ้นไปในอากาศ  มุ่งไปสู่ท้องฟ้ายามรุ่งสาง
 
จุ๊ยออกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองมา  ก็หันซ้ายแลขวา  อาราอิที่ต้องแยกออกไปบอกให้เขารอตรงจุดที่ออกมาเดี่ยวเขาจะมารับ
แต่นานพอสมควรเขาก็ยังไม่เห็น
เล่นอะไรวะ  จุ๊ยบ่นกับตัวเอง  คิดจะเข็นรถออกไปตามหา  ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน
ใจชักแป๋ว... นี่โดนไอ้อาราอิหลอกมาทิ้งไว้ญี่ปุ่นรึเปล่าวะเนีย
แต่สักครู่ก็มีมือมาสะกิด
หันไปก็เจอกับดอกไม้ดอกหนึ่ง กับรอยยิ้มของอาราอิ
“สุขสันต์วันเกิดครับ”
จุ๊ยแปลกใจแต่ก็รับดอกไม้มา
“รู้ได้ยังไง”  จุ๊ยรับดอกไม้มาแล้วก็เอาเสียบไว้กับรถเข็น
“ก็มันอยู่ในพาสปอร์ต”
จุ๊ยหัวเราะหึกับ รอยยิ้มหวานๆ
“ไร้สาระ” จุ๊ยกล่าวแล้วเข็นรถเดินไป
“มาเหอะ  ฉันหิวอยากกินข้าวเช้าแล้ว”
อาราอิมองตาม
“แค่นี้เหรอ... เราอุตส่าห์เซอร์ไพร์ส”
“ไร้สาระ” จุ๊ยตอบหน้าตาย
อาราอิทำหน้าจ๋อยๆ แต่ก็มาช่วยจุ๊ยเข็นรถที่มีกระเป๋าเดินทางตั้งอยู่
“ก็จะให้ฉันจูบนายตรงนี้ได้ยังไงเล่าคนเยอะแยะ  อยากจะจูบจะแย่อยุ่แล้วเนี่ย” จุ๊ยเอ่ยปากออกมาโดยไม่มองหน้า
อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย  แล้วเขาก็ยิ้มออกมา
แกล้งเอามือวางบนมือจุ๊ย  จุ๊ยก็ไม่ได้ว่าอะไร
 
จุ๊ยลากกระเป๋าเดินตามอาราอิที่สะพายกระเป๋าแค่ใบเดียว
เขามัวตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างรอบตัว  จนเกือบจะพลัดหลงไปหลายครั้ง  อาราอิต้องเดินกลับมาตาม
“นี่นาย  เดี่ยวก็หลงหรอก  เดี่ยวได้นอนสถานีรถไฟ  กินข้าวลิง”
จุ๊ยทำหน้าเย้ยแล้วตบกระเป๋าตัวเอง
“เรามีเงิน  แล้วก็ไม่ได้โง่นี่  โรงแรมเยอะแยะก็นอนโรงแรมเอาก็ได้”
“เอาเหอะ  คุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อนเถอะจุ๊ย” อาราอิว่าแล้วเดินมาช่วยลากกระเป๋า
 
บ้านของอาราอิอยู่ในโอซาก้า แถวย่านเทนโนจิ มองจากภายนอกก็เหมือนบ้านคนญี่ปุ่นทั่วๆไป หลังไม่ใหญ่โตอะไร

กดกริ่งที่ประตู สักครู่ก็มีผุ้ชายวัยราวๆสี่สิบปลายไอเบาๆตอนเปิดประตูตัวบ้านที่เป็นบานเลื่อนเพื่อดูว่าแขกที่มาเป็นใคร
“อาราอิ” เขากล่าวเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้ว
อาราอิตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า
“พ่อครับ  ผมกลับมาแล้ว”
จุ๊ยก็เลยยกมือไหว้บ้าง
 
เข้ามาภายในบ้านที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่ตกแต่งแบบญี่ปุ่นน่ารักพอสมควร มีภาพเขียนติดผนังหลายรูปและมีหนังสืออยู่แทบทุกมุมห้องรับแขก
พ่อของอาราอิยกน้ำชาออกมาพร้อมกับขนมในจานเล็ก
“อาราอิบอกเพื่อนให้ ชิมดูสิ” บิดาของอาราอิกล่าว  จุ๊ยสังเกตว่าบิดาของอาราอิมีท่าเดินที่แปลกๆ คงจะเพราะอุบัติเหตุที่อาราอิเคยเล่า
“แล้วก็น้่งขัดสมาธิก็ได้  นั่งแบบญี่ปุ่นคงเมื่อยแย่แล้ว”
อาราอิบอกกับจุ๊ยตามนั้น
“พ่อครับ จุ๊ยเขาพูดภาษาอังกฤษได้” อาราอิกลับมาบอก
“โอเค” พ่อของอาราอิรับคำ
แล้วเริ่มต้นพูดกับจุ๊ยเป็นภาษาอังกฤษที่มีสำเนียงดีพอสมควร
“ทำตัวตามสบาย  ไม่ต้องเกร็งหรอกนะ  ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอจากอาราอิ  เขาบอกว่าเธอเล่นดนตรีเก่งมาก”
จุ๊ยมองหน้าอาราอิก่อนจะตอบ
“ไม่ได้เก่งหรอกครับ”จุ๊ยตอบ
“ไม่เก่งก็เป็น แชมป์เปี้ยนไม่ใช่เหรอ  เอาไว้เล่นให้ฉันฟังบ้างสิ”
จุ๊ยยิ้มตอบ  แต่ก็สังเกตเห็นพ่อของอาราอิมีสีหน้าไม่สู้แจ่มใสนัก  แม้จะยิ้ม
“ขนมอร่อยนะ กินสิ แล้วเดี่ยวไปอาบน้ำก่อน  จะพักพ่อนก็ได้  แล้วค่อยออกไปเที่ยวกันภาษาหนุ่ม”
 

อาราอิบอกว่าจะไปเอาเครื่องนอนมาให้  แล้วก็ทิ้งจุ๊ยเอาไว้ในห้องนอนของเขา 
ในห้องไม่มีเตียง มีแต่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็ตู้เสื้อผ้าอีกหนึ่งใบ ที่หลังตู้ก็มีถ้วยรางวัลของอยู่สองใบ 
มองไปอีกฝั่ง  จุ๊ยเห็นเป็นรูปถ่าย  พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นเป็นภาพอาราอิกับผุ้หญิงที่จุ๊ยจำได้ว่าเป็นนามิจัง
แต่ชุดที่สวม.. อาราอิสวมกิโมโนดำตัดด้วยขาวที่ขอบแขน และคาดผูกด้วยเชื่อกสีขาว  ส่วนฝ่ายหญิงเป็นกิโมโนสีขาวล้วนคลุมผมด้วยผ้าสีขาว
ชุดแต่งงาน...
พอดีอาราอิเปิดประตูเข้ามา เขาชะงักที่เห็นจุ๊ยยืนมองภาพนั้นอยู่
“นายต้องการคำบรรยายภาพ และเรื่องราวประกอบไหม” อาราอิถามแล้วก็วางที่นอนแบบญี่ปุ่นไว้
จุ๊ยหันมามองหน้าเขาโดยไม่ได้พูดออกไป เพราะเขากำลังงงงวยและสับสน
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:01:06
 ตอนที่ 45 : ความจริงของอาราอิ
“ฉันกับนามิจังแต่งงานกันแล้วเมื่อห้าปีก่อน” อาราอิเล่า
จุ๊ยก็มองหน้าเขา ตอนนี้ทั้งคู่นั่งลงกับพื้นห้อง

“มันเป็นเรื่องซับซ้อนนะจุ๊ย  นายอย่าพึ่งโกรธฉัน  ฉันไม่ได้อยากปิดบัง  แต่ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง”
จุ๊ยถอนหายใจ แล้วยกขาขึ้นชันเข่าข้างหนึ่ง
“ก็คือปิดบังนั้นหล่ะ  อาราอิ  ทำไมนายไม่บอกฉันว่านายสองคนแต่งงานกันแล้ว แล้วนี่นายยังเด็กทั้งคู่แล้วทำไมใจร้อนแต่งงานกัน”
“แต่ฉันอายุมากกว่านายสองปีนะจุ๊ย” อาราอิแย้ง
จุ๊ยอึ้ง  ก่อนจะเฉไฉ
“ก็น้อยนั้นหล่ะ  ดูในรูปสิยังเด็กเลย  ญี่ปุนเขาแต่งงานกันได้ด้วยเหรออายุแค่นี้”
“ได้สิ ถ้าพ่อแม่รับรอง อย่าลืมว่าประเทศนี้มีปัญหาการหดตัวของประชากร” อาราอิตอบ
“แต่มันเป็นความจำเป็นนะจุ๊ย  เราไม่ได้อยากแต่งงานกัน”
 
“ฉัน กับนามิจังเป็นเพื่อนสนิทกันก็จริง  เราสนิทกันมากก็จริง  แต่เรื่องทั้งหมดมันเริ่มจากการเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง  คือ อิโต้ซัง” อาราอิเล่า
“อิโต้ซังเป็นกัปตันชมราคาราเต้  ส่วนฉันเป็นคนหนึ่งที่อิโต้ซังให้การดูแลเป็นพิเศษ  และก็เหมือนนายกับพี่ไตร ก็คือเราสนิทกันมาก  แต่ต่างตรงที่ฉันกับอิโต้ซังไม่ได้รักกัน  ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอารมณ์พาไปล้วนๆ วันหนึ่งฉันนอนค้างที่ชมรมกับเขาสองคน  แต่เพราะอารมณ์เด็กวัยรุ่น  ฉันกับเขาก็เลย มีอะไรกัน”
“มัน ก็เป็นเซ๊กซ์ที่ดีใช่ได้  แต่ที่นี่ญี่ปุ่น  สังคมของเราไม่เปิดเผยและกับพี่อิโต้ต่างคนต่างได้รับการอบรมให้เป็นลูก ผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษผ่านการเรียนคาราเต้  ตอนนั้นฉันสับสนมาก ไม่รู้จะทำยังไง  ก็เลยตัดสินใจปรึกษากับนามิจัง  แต่ปรากฏว่านามิจังกลับไม่ได้ตกใจหรือรังเกียจ  เขาบอกว่ารักฉันมานานมากแล้ว  และเพราะความสับสน ฉันก็เลย...”
“จับปล้ำทำเมียเสียเลย” จุ๊ยสรุปแทน
แล้วเขาก็ส่ายหัวดุกดิก
“นี่ นายพาฉันมาญี่ปุ่นเพื่ออะไรกันแน่  จะบอกเลิกก็บอกที่เมืองไทยก็ได้  ไม่ต้องพามาเลิกกันยันประเทศตัวเอง  แล้วยังไง... นายจะเอาฉันมาฆ่าไกลถึงญี่ปุ่นเพื่อ...”
น้ำเสียงจุ๊ยตอนนี้  ยากที่จะเดาได้ว่าเขารู้สึกยังไง  เพราะจุ๊ยเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เอ้าๆ เล่าต่อ ไหนๆก็ไหนแล้ว” จุ๊ยโบกมือเมิ่อเห็นอาราอิหน้าเจื่อนลง
“ตอนแรกฉันก็สับสน..” อาราอิกล่าวต่อ
“ก็แน่หล่ะ... เมื่อวานได้ผู้ชาย วันนี้ได้ผู้หญิง เลือกไม่ถูกหล่ะสิว่าจะเอาไง  หน้าดี หรือหลังดี” จุ๊ยอดปากไวไม่ได้
“ก็ประมาณนั้น” อาราอิรับคำออกมาอีกต่างหาก
“เอ้าเวร... ไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้... “ จุ๊ยจับหน้าผากส่ายหัว
“แต่เราก็ไม่ได้ถึงขนาดจะแต่งงานกัน ถ้าไม่ปรากฏว่ามีคนแอบถ่ายคลิปที่เรามีอะไรกันไปโพสต์ในทวีตเตอร์” อาราอิถอนหายใจ
“เอ้าดังเลยสิ... เป็นดาราเอวีทวีตเตอร์” จุ๊ยกล่าวแล้วโคลงหัว 
“แล้วไงต่อ”
อาราอิมองที่รูป
“พ่อ แม่ของนามิจังเป็นคนหัวเก่า  และก็ยังเป็นหัวหน้าของพ่อฉันด้วย  เขาก็เลยไม่ยอม  เขาต้องการให้ฉันแต่งงานกับนามิจังเพื่อรักษาชื่อเสียงของเธอ  พ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องจับเราแต่งงานกัน”
จุ๊ยมองหน้าอาราอิซึ่งไปที่มองภาพแต่งงาน
“นาย จะบอกว่าอะไร... นี่เหรอความจำเป็นของนาย  ตอนนี้นายก็ยังรักกันนี่  ก็ดีแล้ว  ฉันรับทราบ” จุ๊ยกล่าวแล้วถอนหายใจยาวมองไปที่รูปบ้าง
“เอาเป็นว่า  ฉันรู้แล้วหล่ะ รับทราบแจ่มแจ้ง”
แต่พอหันกลับก็เห็นอาราอิจ้องมาที่เขา
“นายพูดอย่างนั้นได้ยังไง  นายยังฟังไม่จบ” เขาเข้ามารวบแขนจุ๊ยไว้ทั้งสองข้าง
“เบาๆก็ได้  พ่อนักคาราเต้... “ จุ๊ยทำหน้าจ่อยๆ เพราะตอนนี้แววตาของอาราอิแข็งกร้าว
“ทุกอย่าง จะเป็นไปด้วยดี  ถ้านายไม่เข้ามาจุ๊ย  การเจอกันระหว่างฉันกับนาย มันเปลี่ยนฉันไปทุกอย่าง  ฉันทนทำใจให้เป็นเหมือนเดิมกับนามิจังไม่ได้อีก  ฉันหลงรักนายตั้งแต่ตอนนั้น” อาราอิพูดไปก็เขย่าจุ๊ยจนหัวคลอน
“เบาๆสิ  เจ็บ..” จุ๊ยอุทธรณ์
อาราอิจึงปล่อยจุ๊ย
จุ๊ยต้องลูบแขนตัวเองเบาๆทั้งสองข้าง
“อาราอิฉันพูดตามตรงนะ  นามิจังเขาก็รักนายดี  นายทำไมทำอย่างนี้”  แล้วจุ๊ยก็หลังตาลง  เลือนตัวเองไปพิงพนัง
“นายทำให้ฉันอยู่ในฐานะเดียวกับที่ฉันเป็นกับพี่ไตร”
อาราอิมองเห็นเหมือนเกล็ดน้ำตาจากตาจุ๊ย
“ไม่หรอก... เพราะฉันต่างตรงที่ฉันบอกกับนามิจังตามตรงตั้งแต่วันที่กลับจากญี่ปุ่น ฉันบอกเธอว่าฉันเจอคนที่ประทับใจมากที่สุดแล้ว”
จุ๊ยอึ้ง 
“นายใจร้ายมาก” จุ๊ยร้องออกไป
เขาส่ายหัว  แล้วมองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่าง
“นายทำร้ายคนที่รักนายอย่างนี้ได้ยังไง”
“เขาต่างหากที่ทำก่อน” อาราอิกล่าวออกมา

“นา มิจังกับฉัน  หลังจากต้องแต่งงานกัน  ความสัมพันธ์ของเราก็เป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อย  เราถึงได้รู้ว่าจริงๆเราไม่ใช่คนที่ใช่ของกันและกัน  แล้ววันหนึ่งฉันก็รู้ว่าเธอแอบมีความสัมพันธ์กับรุ่นที่คนหนึ่งที่เรียนสูง กว่าเราหนึ่งปี  แต่ฉันก็ไม่กล้าจะพูดออกไป”
“เพราะ ยังไงเราสองคนจะเลิกกันก็ไม่ได้  พ่อของนามิจังเป็นคนทีอิทธิพลมาก  แถมพ่อของฉันที่สุขภาพไม่ดี ต้องอาศัยพึ่งพาพ่อของนามิจัง  เธอเองก็รู้ตรงจุดนี้  แล้วเธอก็กลัวว่าคิมูระซังที่เธอรัก จะได้รับอันตรายจากพ่อของเธอด้วย"

"เรา ก็เลยต้องทนอยู่กันไป  ระหว่างนี้เองพ่อก็ประสบอุบัติเหตุหนักมาก  ฉันอยากให้พ่อได้เจอแม่ ฉันเลยไปเมืองไทย แล้วได้เจอกับนาย  พอกลับมาฉันก็เลยกล้าบอกความจริง  ตอนนี้เราสองคนอยู่ด้วยกันก็แค่ร่างกาย  แต่ใจเราสองคนมีใครคนอื่น”
“ฉัน เริ่มเรียนภาษาไทย เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อจะได้สามารถกลับไปเมืองไทยได้ ทั้งหมดก็เพื่อจะได้กลับไปหานาย" อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย ก่อนจะหันกลับไปหน้าตรง

"แล้ว ฉันก็บอกกับพ่อว่าจะไปเมืองไทย พอดีตอนนั้น แม่ติดต่อมา เพื่อขอหย่ากับพ่อ แต่พ่อก็แกล้งดึงเรื่องเอาไว้  ก็เพราะพ่อห่วงความรู้สึกของฉัน  ฉันก็เลยอ้างกับพ่อว่าจะกลับไปเปลี่ยนใจแม่ ซึ่งจริงๆก็มีส่วนครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งแล้วคือฉันต้องการไปเจอนายอีกครั้ง  ส่วนนามิจังก็เข้าแผนของเธอ เธอตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยในโตเกียว เพื่อจะได้เรียนที่เดียวกับคิมูระซัง”
จุ๊ยมองหน้าอาราอิเพื่อหาร่องรอยการโกหก  แต่เขาก็ไม่พบ
“จุ๊ย  ฉันพานายมาที่นี่ไม่ใช่มาเลิก  หรือต้องการให้เจ็บปวด  แต่มาบอกให้นายมั่นใจว่าฉันรักนาย  ถ้านายไม่เชื่อฉันจะพานายไปเจอกับนามิจัง  แล้วให้นายได้ฟังจากปากเธอเอง”
อาราอิหันหลังจะลุกขึ้น
เขาเหลือบมามองหน้าจุ๊ย
“ฉัน จะลงไปคุยกับพ่อ  ส่วนนาย  อาบน้ำเสร็จแล้วจะนอนก็ปูที่นอนเอาเองนะ  อยู่ที่นี่ฉันเป็นแค่คนธรรมดา  ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่หลานมหาเศรษฐี  บ้านก็เป็นอย่างนี้หล่ะโทรมๆ  ขอโทษด้วยแล้วกัน”
 
จุ๊ย อาบน้ำแล้วก็หลับไปงีบหนึ่งด้วยความอ่อนล้า  พอตื่นขึ้นมาก็พบอาราอิปูที่นอนอยู่ข้างๆ  เขารู้สึกตัวตอนจุ๊ยขยับเพราะไม่ได้หลับสนิท
สองคนมองหน้ากันเงียบๆ
“อาราอิ พาเพื่อนลงมากินข้าวได้แล้ว”
 
จุ๊ยมองกับข้าวบนโต๊ะแล้วรู้สึกเกรงใจ  เพราะจัดเป็นชุดๆ  ในชุดจะมีปลาหนึ่งตัว น้ำแกงถ้วยหนึ่ง  ผักสลัดอีกจาน
“เป็น รูปแบบ อาหารญี่ปุ่นน่ะ  เรากินกันแบบนี้  ไม่ค่อยจะทำออกมาเป็นจานๆแล้วตักกินกันเหมือนไทยหรอก” นายโยชิฮิสะบอกกับจุ๊ยเหมือนรู้ใจ
จุ๊ยยิ้มแทนคำตอบ มองอาราอิที่กำลังปรุงรสปลาด้วยโชยุโดยไม่ได้หันมามอง
“เดี่ยวนายพาก็ไปเที่ยวแถวมินามิสิ” นายโยชิฮิสะหันไปหาลูกชาย โดยใช้ภาษาอังกฤษสนทนา
“ครับ” อาราอิขานคำเดียวว่า ไฮ้
จุ๊ยช่วยทำความสะอาดด้วยการล้างจาน  ตอนนั้นเองที่เขาอยู่กับบิดาของอาราอิเพียงลำพังเพราะเขาขอตัวไปห้องน้ำ
“ทะเลาะกันอย่างนั้นเหรอ” นายโยชิฮะสะถาม อย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย
“เพราะเรื่องการแต่งงานใช่ไหม”
จุ๊ยแปลกใจมาก

จุ๊ยหันมามองเขาแต่ไม่ได้ตอบ
“อาราอิกับนามิจัง แรกๆก็เหมือนจะไปด้วยกันได้ เพราะเคยเป็นเพื่อนกันก่อน  แต่ตอนหลังๆ เขาก็เริ่มมีปัญหากัน  อาจเพราะยังเด็กด้วยกันทั้งคู่  ฉันเองก็เข้าใจนะ  เพราะก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานเท่าไหร่  แต่ทำยังไงได้ ก็เป็นไปตามนั้น”
แล้วบิดาของอาราอิก็วางมือบนไหล่จุ๊ย
“ฉันเก็บข้าวของที่อาราอิทิ้งไว้ในตู้เก็บที่นอน  ลองไปดูนะ  เพราะเธอควรจะได้เห็น”
 
อาราอิออกไปซื้อของตามที่พ่อบอก จึงเป็นโอกาสให้จุ๊ยขึ้นไปตามที่ได้รับการบอกเล่า
ของที่ว่าเป็นกล่องใบหนึ่ง  พอเปิดออกดูก็เห็นว่ามีอะไรหลายอย่าง  เช่นชุดคาราเต้  ถุงมือเบสบอล  หมวก  สมุดบันทึก..
พอ จุ๊ยเปิดดู แรกๆก็เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบหวัดๆ  เปิดต่อมาก็พบว่ามันมีหน้าหนึ่งที่ภาพที่น่าจะปริ๊นด้วยปริ๊นเตอร์สี  เป็นรูปของจุ๊ยเอง.. น่าจะเป็นตอนที่อาราอิถ่ายเขาไว้ด้วยกล้องมือถือในตอนเจอกันครั้งแรก  จากนั้นก็มีรูปเหน็บอีกหลายหน้า แต่เป็นภาพจากเว็ปไซด์ของโรงเรียน  บางภาพยังมีภาพของพี่ไตรอยู่ด้วย
วาง สมุดบันทึกแล้วมองลงไปในกล่อง ก็เห็นม้วนกระดาษ  พอคลี่ดูก็เป็นภาพของเขาเอง  มีร่องรอยว่าเคยติดอยู่บนอะไรสักอย่าง มีบทกวีภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า
“In My darkest day, You show me the way of light
 During my darkest sky, your smile shines like a sun”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:01:40
ตอนที่ 46 : สัญญาที่ริมน้ำ
ในรถไฟใต้ดินไปสู่นัมบะย่านช๊อบบิ้งใจกลางนครโอซาก้า  เมืองใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น  อาราอิสวมหมวกแก็บกับแว่นตาเพื่ออำพราง  เนื่องจากพ่อของอาราอิบอกว่าเดี่ยวนี้คนไทยมาเที่ยวกันมาก  จึงเป็นการดีที่เขาจะอำพรางไม่ให้คนสังเกตเห็นได้ง่ายๆ 
จุ๊ยนั่งเงียบๆมองไปนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ  ทั้งสองยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยตั้งแต่ออกมาจากบ้าน
“ขออภัยท่านผู้โดยสาร สถานีต่อไป นัมบะ  นัมบะ  กรุณาเตรียมตัวลงจากรถและตรวจสอบสิ่งของของท่านด้วยครับ  นัมบะ”
 
สองคนเดินไปตามทางใต้ดิน นัมบะวอร์ก  จุ๊ยก็มัวแต่ตื่นตาตื่นใจ จนไม่ได้สังเกตว่าอาราอิมองเขาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข  แต่กระนั้นสองคนก็ยังไม่ได้สนทนากัน  นอกจากอาราอิจะบอกกับจุ๊ยเป็นช่วงๆว่านี่คืออะไร 
จาก นั้นสองคนก็เดินออกจากทางเดินขึ้นไปที่ย่านโดทนบุริ อาราอิก็พาจุ๊ยไปถ่ายภาพกับป้ายโฆษณาชื่อดังตามหน้าร้านต่างๆ อันเป็นจุดเด่นของย่านนี้  จากนั้นก็พาเดินเรื่อยๆ จนมาถึงสะพานข้ามคลอง  อาราอิก็เลยออกปากชวนลงไปนั่งที่ริมน้ำ
จุ๊ยจิ้มทาโกะยากิกินอย่างอร่อย  ตาก็มองไปที่ชิงช้าสวรรค์ทรงยาวที่มีรูปชายแก่ยิ้มอย่างใจดีเป็นส่วนประดับ
“นี่รูปอะไร” จุ๊ยถาม
“ฟุกุโรกุยู เทพแห่งโชคลาภ  ตึกนี้เป็นร้านปาจิงโกะ” อาราอิตอบ
จุ๊ยก็พยักหน้า
“นายเคยเล่นไหม”
อาราอิส่ายหน้า
“เขาไม่ให้เข้าหรอก  ตอนฉันไปจากไป ฉันอายุสิบแปดเองนะ”
“อ้าว  แต่นายเป็นคนมีครอบครัวแล้วนี่” จุ๊ยตอบ
“ทำหน้าแก่ๆเดินเข้าไป หัวเราะโฮ่ๆ  เฮ้ยวันนี้จะหาเงินไปซื้อนมเลี้ยงลูกสักหน่อย อะไรอย่างนี้” จุ๊ยพูดทั้งดัดเสียง
อาราอิหัวเราะ
“หน้าเด็กๆอย่างฉันเนี่ยนะ  เขาคงเชื่อหรอก ขอดูบัตรขึ้นมา  เขาก็โยนฉันออกจากร้านเลย” อาราอิตอบ
“เหม่ๆ  ชมตัวเองเชียว... หน้าเด็ก... ถุ้ย” จุ๊ยทำท่าประกอบ
“ถ้านายหน้าเด็ก ฉันก็ทารกแล้วหละ”
อาราอิหัวเราะอีก
แล้วจุ๊ยก็มองไปที่ตึก
“เอา อย่างนี้ไหม  นายไปหาชุดทำงาน  แล้วฉันก็จะไปหาขุดนักเรียนม.ปลาย  พอไปถึงหน้าร้าน ฉันก็เรียกนายว่าพ่อ แล้วก็จะทำท่าจะดึงไม่ให้นายเข้า  แต่นายหันมาเอ็ด” จุ๊ยเล่าแผน ตามด้วยดัดเสียงและแสดงท่า
”โฮ่ย.. นี่ฉันกำลังจะเข้าไปหาค่าเทอมให้แกนะ  ไปกลับบ้านไปช่วยแม่ทำงานได้แล้ว”
อาราอิหัวเราะคิกคัก เพราะนึกภาพตามไปด้วย

“ตอนนั้นนายน่าจะอยู่ที่นี่นะ  เวิร์คนี่  ถ้านายเล่นละคร รับรองได้เข้าไป”
จุ๊ยเลิกคิ้วสูงยิ้มท้าทาย
“ลองดูไหมเล่า”
อาราอิส่ายหน้า
“ปีนี้ฉันยี่สิบเอ็ดแล้ว  เดินเข้าไปเฉยๆเขาก็ให้เข้า”
จุ๊ยสะอึก ก่อนจะยิ้มแหย่ๆพลางเกาหัว
“เอ่อ ลืมไป”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบกันไปนานพอสมควร
“จุ๊ย” อาราอิกล่าวขึ้นก่อน  จุ๊ยจึงหันมา แต่ตอนนั้นอาราอิยังไม่ได้หันมา
“ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอกความจริง  ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับนายเรื่องนี้  ฉันกลัวนายจะโกรธ” อาราอิหันมาเผชิญหน้ากับจุ๊ย
“นายอาจไม่เข้าใจ นายอาจโกรธฉันอยู่  แต่อย่าพูดว่าเราจะเลิกกัน  ฉันรับคำนั้นไม่ได้จริงๆ”
จุ๊ยมองตาที่เต็มไปด้วยความหมายของการเว้าวอน
เขาหรี่ตาลง  แล้วหันไปมองในลำคลองที่สะท้องแสงไฟเป็นประกายราวกับดาวบนฟ้า
“อาราอิ  ในทางพระพุทธศาสนามีอยู่คำหนึ่งที่เที่ยงแท้ คือ ทุกสิ่งมันไม่แน่นอน  มีตั้งอยู่ มีดับไป... วันนี้นายรักฉันเพราะเราพึ่งจะคบกัน  แต่วันข้างหน้า นายอาจพบว่านายรักคนอื่น หรืออาจจะรักนามิจังมากกว่าฉันก็ได้  นี่คือความจริงแท้อาราอิ”
แล้วจุ๊ยก็เงียบไป  เป็นช่วงเวลาที่อาราอิผู้รอคอยคำพูด ทุกข์ใจต่อสิ่งที่จุ๊ยจะพูดออกมา
“แต่กว่าจะถึงวันนั้น  ฉันจะอยู่กับนาย ไปจนกว่านายจะบอกฉันว่า  ให้ฉันไปจากนาย”
ตอนนั้นจุ๊ยไม่ได้หันมามองหน้าอาราอิ  แต่ใบหน้าที่พูดแดงระเรื่อ
อาราอิเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์  เขาจะกอดจุ๊ย
แต่จุ๊ยหลบ
“ใจเย็นๆ คนเยอะขนาดนี้  ฉันขี้เกียจเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ตอนกลับเมืองไทย”
“ว้า..” อาราอิทำหน้าผิดหวัง
จุ๊ยลุกขึ้น แล้วยื่นมืออกมาให้อาราอิ
“เราไปเดินเล่นกันต่อเถอะ  ฉันอยากจะไปร้านขายเครื่องไฟฟ้า ร้านขื่ออะไรนะบิ๊กคาเมร่า  นายรู้จักไหม”
อาราอิมองมือข้างนั้นแล้วก็จับแล้วลุกขึ้นกอดคอจุ๊ย
“ไปสิ.. ฉันจะซื้อมือถือใหม่ให้  ของเก่ามันตกรุ่นไปแล้ว”
“บ้ามันยังใช้ได้เลย”
“เอาเถอะน่า... เอายี่ห้ออะไร ผลไม้ไหม”
“ไม่เอาหล่ะ ผลไม้ใช้ยาก  ขออย่างเดิมแต่รุ่นใหม่ก็พอแล้ว”
“เสื้อผ้าด้วย  เสื้อผ้านายมันมีแต่เชยๆ  เดี่ยวฉันเลือกให้ใหม่  คนเขาจะได้ไม่ว่า ว่าฉันไปพาขอทานที่ไหนมาเดินด้วย”
“ขอทานเลยเหรอ..”
“เออ..”
“แล้วรักไหมหล่ะ”
“อืมม..โคตรอะรักเลยล่ะ”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:02:22
ตอนที่ 47 : เสียงแซกยามบ่าย Osaka Jo Koen
ออกมาจากบริเวณถ่ายทำ  เดฟก็นั่งพักรอคิวต่อไป  ระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดเฟสบุ๊คดู  แล้วเขาก็เลื่อนลงเรื่อยๆเพื่ออ่านข่าว
แต่พอถึงภาพหนึ่ง เขาก็หยุดเลื่อนหน้าจอ

จุ๊ย ถ่ายเซลฟี่ โดยมาฉากหลังเป็นรูปวัดโทไดจิ แห่งนารา ที่ญี่ปุ่น  แล้วพอเลื่อนไปอีกก็มีอีกภาพที่ภาพที่มีผุ้ชายคนหนึ่งอยู่ในภาพ  ชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นกำลังล้างมือที่ตรงบ่อน้ำก่อนเข้าวัด
“โยชินี่” เสียงดังจากข้างหลัง ผู้จัดสาวกล่าว
พอหันไปก็เห็นทิพย์ยืนกอดแฟ้มอยู่
“นี่กลับญี่ปุ่นไปเหรอ”
เดฟรีบกดปิดหน้าจอ
“เขาไปกับใคร... กับเพื่อนของเดฟที่ชื่อ อะไรน๊า  จุ๊ยใช่ไหม รีเปล่า  พักนี้สองคนนี้เขาสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”เดฟตอบปัดไป แต่ก็กลัวจะโดนซักไซ้เหมือนกัน แต่มีระฆังช่วยดังก่อน

“เดฟมาซ้อมบทหน่อย  พี่เขามาแล้ว” ผู้กำกับเรียก
เดฟก็เลยรีบเดินไป
 
อัศวะรู้ว่าเดฟมาถ่ายละครอยู่แถวนี้  พอดีเขามาธุระก็เลยมารับ เพราะว่ารถของเดฟพึ่งโดนชนและเข้าอู่ไปทำสี
แต่พอเดฟขึ้นรถมาก็นั่งเงียบเหมือนอยู่ในห้วงความคิด
“คิดเรื่องไอ้จุ๊ยใช่ไหม”
เดฟหันมามองหน้า
“เขาไปญี่ปุ่นกับโยชิ  อัศโทรไปเช็คกับที่บ้านจุ๊ยมา  เห็นว่าจะไปสิบห้าวันนะ”
เดฟพยักหน้าช้าๆ
“ก็ดีนี่  จุ๊ยเขาอยากไปญี่ปุ่น  ผมยังเคยคิดว่าจะพาไปเลยนะ”
อัศวะเคาะพวงมาลัยช้าๆ
“หึงสินะ”
เดฟนิ่งไป  มองออกไปที่หน้าต่าง
“ก็ต้องมีบ้างล่ะ”
อัศวะปลดเบรกมือแล้วเข้าเกียร์
“ตอบมานี่คิดบ้างรึเปล่าว่า อัศจะรู้สึกเหมือนกัน”
เดฟหันมามองหน้าอัศวะ ที่มองไปตรงไปข้างหน้า
แล้วก็ถอนหายใจ
“อัส... ฉันเข้าใจ แต่ฉัน...” เดฟก็ไม่รู้จะพูดยังไง
อัศวะยังคงขับรถต่อไปเงียบๆ ไม่ตอบโต้

แล้วเดฟก็เงียบไป  หันออกนอกรถสักพักไปสักพัก แล้วหันกลับมา
“เราไปกันบ้างไหม”
“ญี่ปุ่นเหรฮ” อัศวะถาม
“เปล่า... ไปได้ยังไงหล่ะ ฉันมีคิวติดกันหลายวัน “ เดฟปฏิเสธ
“อ้าวแล้วจะพูดทำไม” อัศวะส่ายหัว
“แต่ถ้าเป็นแค่ภูเก็ตสักสามวันก็พอจะไปได้นะ  อัศอยากไปไหมหล่ะ” เดฟกล่าวแล้วจับบนไหล่ของอัศวะ
อัศวะเหลือบมอง 
“ได้.. แต่ขอเปิดห้องเดียวนะ”
“เฮ้ย... ฉันไม่เคยนอนกับใคร” เดฟท้วง
อัศวะยักไหล่
“ก็หัดไว้สิ... เดี่ยวก็คุ้นไปเอง”
 
ปราสาทงดงามตระหง่านอยู่บนฐานหินที่เรียงตั้งกันเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ คือจุดสนใจกลางนครโอซาก้า ปราสาทโอซาก้าอันเลื่องลือ 

และ เพราะเป็นวันอาทิตย์ จึงมีคนมามากเป็นพิเศษ  แต่อาราอิก็จงใจมาวันนี้ เพราะจะมีศิลปินเปิดหมวกมาแสดงการแสดงหลากหลายในบริเวณสวนของปราสาท
จุ๊ย ดูกิจกรรมต่างๆอย่างสนใจ  แต่ที่สุดก็มาตรงที่มีวงสามคนกำลังแสดงดนตรีแจ๊ส  คนหนึ่งเล่น แซ็กโซโฟน  คนหนึ่งเล่น ไวโอลีน อีกคนคนเล่นคีย์บอร์ด
จุ๊ยยืนฟังจะจบ แถมบริจาคเงินไปให้เขาอีกต่างหาก
“เขาเก่งจังเลยนะ ถ้าจุ๊ยเอาแซกมาจะขอเขาเล่นด้วยแล้ว  ไม่บอกไม่งั้นจุ๊ยจะเอามาด้วยแล้วนะเนี่ย” จุ๊ยกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

อาราอิอ่านจากป้ายก็เห็นว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย หาทุนเรียนหนังสือ
“จุ๊ยอยากเล่นไหมล่ะ”
แต่ไม่รอให้จุ๊ยตอบ  อาราอิก็เดินเข้าไปสนทนากับนักดนตรีทั้งสาม  สักพักพวกเขาก็หันมามองจุ๊ยทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะสนทนากันต่อไป
สักพักอาราอิกวักมือเรียกจุ๊ยมา
“ฉันบอกเขาว่านายเป็นแชมป์ประเทศไทย เขาก็เลยให้เล่นด้วย”
จุ๊ยทำหน้าจืด  ซึ่งปกติก็จืดอยู่แล้ว  แต่ก็รับแซกโซโฟนจากคนที่เป็นเจ้าของแซกโซโฟนเทนเนอร์
“ไปบอกเขาทำไม  เกิดเล่นไม่ดี อายเขาตายเลย อับอายไปถึงประเทศไทยเลยนะนั่น”
 
“ทุกๆ ท่านครับวันนี้เรามีเพื่อนมาจากประเทศไทย  เขาเป็นนักดนตรีเหมือนกัน วันนี้เขาก็เลยอยากจะแสดงร่วมกับพวกเรา หนุ่มมือไวโอลีนกล่าวแนะนำเพื่อเรียกคนดู
“ซึ่งเขาคนนี้มีดีกรีเป็นถึงแชมเปี้ยนในระดับประเทศของไทย”
พอได้ยินอย่างนั้นก็เลยมีหลายคนสนใจมามุงดูด้วย
อาราอิมองไปก็อมยิ้ม แล้วหันไปทำท่ากำหมัดกับจุ๊ย
“ไฟท์” เขาว่า
“Moonlight in Vermont ครับ เชิญรับฟัง”
จุ๊ยหันไปมองคนเล่นคีย์บอร์ดที่เริ่มต้นเพลง  จากนั้นเมื่อถึงจังหวะ  เขาก็สูดลมหายใจแล้วจรดเป่า..
เทนเนอร์กระจายสำเนียงเสียงต่ำอันนุ่มละมุ่น  บทเพลงของจากปี40 ถ่าย ทอดออกมาจากการเป่าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีอย่างละเมียดละไม  บรรยากาศรอบตัวจากที่เคยอึกทึก  กลับค่อยๆซาลง  ไม่ช้าคนจำนวนมากก็มามุงดู  บางคนต้องจับที่หัวใจเมื่อเด็กหนุ่มทิ้งหางเสียงกังวาลในอากาศยามบ่าย
“สุโค่ย...” นั้นคือปากคำของเจ้าของแซกโซโฟนเทนเนอร์ในมือจุ๊ย...
หันมาถามจากอาราอิ
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่มืออาชีพ นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยนะ”
“เขาก็เป็นนักศึกษาดนตรีเหมือนคุณนั้นล่ะ” อาราอิตอบ
เสียงปรบมือดังกึกก้องตอนที่จุ๊ยลากหางเสียงสุดท้ายกังวาน
จุ๊ยเดินไปจับมือกับนักคีย์บอร์ด แล้วก็ยกมือไหว้ตอบการโค้งของเขา
“คนไทยเหรอ” เสียงดังจากกลุ่มคน  อาราอิได้ยินก็กระชับแว่นตาดำก่อนจะหันไป
เห็นเป็นหนุ่มสาวชาวไทยสามสี่คน น่าจะวัยราวๆเดียวกับจุ๊ย

“อ๋อ... นี่ไงนักดนตรีที่เป็นตัวนำของวงโยที่ชนะสามสมัยซ้อน  อาจารย์ดนตรีโรงเรียนเก่าของฉันยังบอกเลยว่าจะเป็นสุดยอดนักดนตรีคนต่อไป  ชื่ออะไรน๊า..รู้สึกจะชื่อนทีธาร ฉันอ่านบทสัมภาษณ์ของเขาในนิตยสารดนตรี”
จุ๊ยกำลังยืนคุยกับเจ้าของแซกเป็นภาษาอังกฤษ  และยังถ่ายเซลฟี่เป็นที่ระลึกด้วย
อาราอิเดินเข้ามา
“ไปเถอะ เหมือนจะมีคนจำนายได้นะ”
จุ๊ยก็เลยเดินหันไปบอกลากับนักดนตรีทั้งสามคนแล้ว  อาราอิก็พาเขาเดินไป
สามนักคนตรีมองหน้ากัน
“เก็บไว้นะรูปที่ถ่ายกั[เขาไว้นะ  อีกหน่อยเขาต้องกลายเป็นคนมีชื่อเสียงแน่นอน  ถ้าเล่นได้ขนาดนี้” คนเล่นคีย์บอร์ดบอก
 
“อ๊อด” เมืองฟ้าเรียก
อ๊อดที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกก็หันมา
“นี่จุ๊ยหรือเปล่า”
“มี คนพึ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเขาโพสต์กระทู้ในพันทิป  บอกว่าตอนแรกตั้งใจจะถ่ายการแสดงเปิดหมวกที่โอซาก้า  แต่กลับได้เจอนักดนตรีระดับเทพ  แถมเป็นคนไทย” เมืองฟ้ากล่าว
แล้วเขาก็เล่นคลิป
อ๊อดจำเสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยได้ดี  ต่อให้เสียงที่อัดมาจะไม่ดีนัก 
“เออ..” อ๊อดหันมาดูจอคอมพิวเตอร์ของเมืองฟ้า
“ใช่จริงๆ  มันไม่เห็นบอกนี่ว่าไปญี่ปุ่น”
เมืองฟ้าปล่อยคลิปเล่นไปเรื่อยๆ  จนกระทั้งถึงตอนที่จุ๊ยไหว้ตอบคนเล่นคีย์บอร์ดที่โค้งให้เขา
“วันนี้รับงานอีกแล้วเหรอ” เมืองฟ้าถาม
“อืม พี่สรรค์จะมารับ  คงจะดึกมากน่ะ ไม่ต้องรอนะ”
“เดี่ยวนี้อ๊อดกับพี่เขาสนิทกันมากเลยนะ” เมืองฟ้ากล่าวพลางพิจารณาตัวอ๊อด
“เสื้อตัวนี้เขาก็ซื้อให้ไม่ใช่เหรอ  แล้วยังซื้อให้ตั้งหลายตัว สีที่อ๊อดชอบทั้งนั้นเลยด้วย”
อ๊อดนิ่งไปนิดหนึ่ง  ก่อนจะเดินเข้ามา ก้มลงจูบที่เรือนผมของอ๊อด
“อ๊อดไปทำงานเฉยๆ  อย่าพูดเหมือนหึงสิเมือง  อ๊อดไม่สบายใจ ถ้าเมืองไม่ชอบอ๊อดก็ไม่ไปก็ได้นะ”
เมืองฟ้าส่ายหน้า
“ไปเถอะเมืองก็แค่ล้อเล่น”
อ๊อดก็จูบอีกที แล้วก็ออกไปจากห้อง
จู่ๆเมืองฟ้าก็มีแววตาหม่นลง และกล่าวออกมา
“เมืองรักอ๊อดมากเลยนะ”
 
อาราอิเปิดลิ้นชักหนึ่งที่เป็นโต๊ะส่วนตัวของบิดา  ภายในมีเอกสารใบหนึ่ง  พอเปิดดูก็เห็นหัวโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์โอซาก้า
เขาถอนหายใจ
“พ่อ สามีน่ะท่าทางจะไม่ยอมรักษา ขนาดพ่อของฉันมาพูดเองท่านก็ยังปฏิเสธ  ท่านบอกว่าท่านก็ไม่มีอะไรห่วงแล้ว  เพราะตอนนี้อาราอิเองก็มีรายได้จากการเป็นดาราที่เมืองไทย  ดูแลตัวเองได้แล้ว  แถมใกล้จะเรียนจบ  ดังนั้นท่านก็เลยไม่ยอมไปหาหมออีกโดยปริยาย”  นามิจังเล่า
“นามิจังว่าอาราอิควรมาด้วยตัวเอง  เพราะโรคแบบนี้ยิ่งรักษาเร็วยิ่งมีโอกาสหาย  ถ้าช้าไปอาจแย่นะอาราอิ”
เขามองอ อกไปที่สวน  จุ๊ยกำลังช่วยพ่อของเขาจัดการลงต้นไม้ใหม่  โดยอาสาขุดดินให้  ดูไปแล้วก็เหมือนพ่อลูกกันจริงๆมาเสียยิ่งกว่าเขาอีก
 
เรือเฟอรี่วิ่งออกจากฝั่งไปสู่เส้นทางประจำของมัน
อาราอิมองเหม่อในสายน้ำ ในขณะที่จุ๊ยกำลังบันทึกภาพด้วยมือถือเครื่องใหม่ โดยถ่ายกลับไปยังตัวเมืองฮิโรชิม่า
“มีอะไรรึเปล่า  เหมือนนายจะไม่สบายใจใช่ไหม
อาราอิหันมองจุ๊ยที่นั่งลงข้างๆ
“จุ๊ยที่ฉันพานายมาญี่ปุ่นนี่ นอกจากจะเรื่องของเราแล้ว  ยังมีอีกเรื่องนะ” อาราอิกล่าว
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:03:20
ตอนที่ 48 : กำลังใจ
พอฟังจบจุ๊ยก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
แล้วตบบ่าอาราอิ
“ทำไมไม่ชวนเขากลับไปรักษาที่เมืองไทยล่ะ  หมอของเราก็เก่งเหมือนกันนะ  แถมถูกกว่าแน่นอน”
“พ่อเคยปธิฌานไว้แล้วว่าจะไม่กลับเมืองไทย” อาราอิตอบ
“อืม.. ก็แปลว่านายต้องพยายามหาทางให้เขาไปรักษาตัว  จริงๆนายตอนนี้ก็พอจะช่วยได้ไม่ใช่เหรอ  เพราะงานของนายก็กำลังรุ่งเลย” จุ๊ยชี้แนะทั้งที่ก็คิดว่าอาราอิอาจคิดไว้แล้ว
“แต่ ค่ารักษามันแพงมากเลยนะ  ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะอยู่ในวงการไปได้อีกเท่าไหร่  ประเดี๋ยวกระแสซามันก็ถึงขาลง  ตอนนั้นฉันจะเอาเงินที่ไหนรักษาพ่อต่อไป” อาราอิกล่าว
จุ๊ยก็เห็นด้วย  ก็เลยไม่รุ้จะแนะนำยังไงต่อ
แต่จุ๊ยคิดอะไรได้อย่างหนึ่งแต่ไม่กล้าพูดออกไป
“นี่อาราอิ” จุ๊ยกล่าว
“ป๊าบอกฉันว่ายังไงรู้ไหม...”
อาราอิหันมามอง
จุ๊ยมองออกไปในทะเล  แล้วยิ้มในคำพูด
“ป๊าบอกว่า.. ถ้าเรามองแต่ปัญหา ทุกอย่างก็เป็นปัญหา  แต่ถ้าเราไม่มองปัญหา  แล้วมองทางอื่นบ้าง บางทีก็อาจพบคำตอบ”
 
แม้ อาราอิจะมีความในใจ  แต่ทั้งหมดก็เริ่มเลือนหายไปเพราะความร่าเริงของจุ๊ย  ตั้งแต่ให้อาหารกวางแล้วปรากฏว่ากวางฝูงใหญ่มารุมจนเขาต้องเผ่นหนี  เดือดร้อนคนดูแลต้องมาไล่ให้  ถ่ายรูปทำท่าเหมือนพิงเสาโทริกลางน้ำ  แล้วก็หงายล้มไปจริงๆ
เล่า โจ๊กล้อเลียนคนที่ผ่านไปผ่านมาตอนระหว่างที่เขาสองคนนั้งกินหอยนางรมกันอยุ่ ที่ร้านข้างทาง  แล้วยังกรรมตามทันโดนน้ำจากในตัวหอยกระเด็นใส่ตาตอนพยายามงัดเนื้อกิน  กินซาลาเปาใส้หมูร้อนๆแล้วร้องโอดโอย
แม้ตอนนี้เขาจะมืดแปดด้านกับปัญหาของพ่อ  แต่ตราบเท่าที่ยังมีจุ๊ยอยู่ใกล้ๆ  เขาจะต้องผ่านปัญหาไปได้ในที่สุดเขามั่นใจอย่างนั้น
ดัง นั้นในแสงยามบ่ายตอนออกจากเกาะมิยาจิม่า  อาราอิจึงมองรอยยิ้มของจุ๊ยที่มองกลับไปยังเสาโทริด้วยความสุขใจ...  ความกังวลมันละลายไปหมดกับรอยยิ้มของจุ๊ยนั้นเอง
 
จุ๊ยจัดการทำความสะอาดบ้านจนสะอาดแม้จะพึ่งกลับมาจากไปเที่ยว  นายโยชิฮิสะกลับมาเห็นจุ๊ยกำลังเช็ดโคมไฟเพดานอยุ่ก็มายืนมอง
“ตอนที่เธออยู่บ้านนี่คงทำบ้านด้วยใช่ไหม  เพราะเธอทำคล่องแคล่วมาก”
เขากล่าวแล้ววางกระเป๋าลง 
“ครับ แต่บ้านของผมไม่ได้สะอาดอย่างนี้หรอก  มันรกมากเพราะเป็นร้านขายของ” จุ๊ยตอบแล้วลงจากเก้าอี้
“คุณโยชิฮิสะจะกินอาหารเย็นไหมครับ  เราซื้อของมาหลายอย่าง เดี่ยวผมจัดการอุ่นให้”
“ไม่ต้องหรอก” โยชิฮิสะบอก
“ไปอาบน้ำเถอะ  นี่ดึกแล้ว”
จุ๊ยมองนาฬิกาบนผนังก็ราวๆสามทุ่มแล้วจริงๆ
“แล้วนี่อาราอิไปไหน”
จุ๊ยซักผ้ากับน้ำในถัง
“อยู่ข้างบนน่ะครับ  เห็นบอกว่ามีคนส่งข้อความทางไลน์มาเรื่องงาน  ก็เลยพึ่งขึ้นไปคุยเมื่อสักครู่นี่เอง”
เขาพยักหน้า  จุ๊ยเห็นแววเหนื่อยอ่อนตอนเขานั่งลง
“อา ราอิ  เป็นเด็กเข้มแข็งแค่เปลือกนอก จริงแล้วเขาอ่อนแอมากนะ  ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่ได้มีโอกาสได้รับความรักจากพ่อและแม่เหมือนกับคน อื่นๆ  ฉันเองก็งานยุ่งตลอดตอนเป็นหนุ่ม ก็ไม่ได้มีโอกาสดูแลเขาใกล้ชิด” แล้วโยชิฮิสะก็ถอนหายใจ
“เธอ น่ะ เป็นคนที่ใกล้ชิดกับอาราอิมากที่สุดแล้ว  แม้แต่กับนามิจังเองเขาก็ยังไม่เคยเป็นแบบนี้  แล้วเธอเองก็ดูเป็นคนพึ่งพาได้  ฉันจังอยากจะฝากให้ดูแลเขาด้วยนะ”
จุ๊ยก็เลยวางถังน้ำที่ถือไว้ลงเสียก่อน
“ที่จริงผมว่าคุณโยชิ..”
“เรียกว่าพ่อเถอะ  เรียกอย่างงั้นมันเยิ่นเย้อ”
จุ๊ยก็เลยกล่าวขอบคุณ  ก่อนจะกล่าวต่อไป
“หากว่าคุณพ่อจะดูแลอาราอิไปนานๆ  เขาอาจรู้สึกดีกว่าก็ให้คนอื่นดูแลก็ได้นะครับ”
โยชิฮิสะเงียบไป
“เขาโตแล้ว  เขาต้องมีชีวิตของตัวเอง  ชีวิตที่ไม่มีฉัน  ฉันก็ทำให้เขาได้แค่นี้ จริงๆ ส่งเขาได้แค่นี้”
“แต่ คนเรา พอประสบความสำเร็จ เราก็อยากจะให้มีใครสักคนร่วมฉลองนะครับ  ไม่ใช่แค่คนรัก  แต่รวมถึงคนที่รักเรามาตั่งแต่เด็กด้วย” จุ๊ยแย้ง 
“ไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่อยากเห็นลูกมีความสุข  แต่ลูกเองก็อยากเห็นพ่อแม่มีความสุขด้วยเช่นเดียวกัน  อันนี้ผมพูดจากมุมมองของลูกนะครับ”
โยชิฮิสะนิ่งไปอีก  ก่อนเขาจะถอนหายใจ
“ในโลกนี้มีเรื่องที่เราทำได้และทำไม่ได้อีกเยอะนะ  ดังนั้นเราก็ควรทำใจในสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้”
จุ๊ยเม้มปากอยู่ครู่
“ครับ ผมเข้าใจ  แต่เรายังไม่ทดลองทุกวิธีไม่ใช่เหรอครับ  ถ้าเราทดลองทั้งหมดแล้ว แล้วเรายังทำไม่ได้  แต่ความหวังยังมี  เราก็ทดลองทำต่อไป  อันนี้เป็นสิ่งที่แม่ผมสอนเอาไว้”
“การไม่ถอดใจ  คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการต่อสู้นะครับ  ถ้าเราถอดใจ  เราก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้ ไม่ใช่เหรอครับคุณพ่อ”
โยชิฮิสะมองหน้าเพื่อนของลูกชาย
“เธอเป็นเด็กที่มีความคิดแง่บวกมาก  ฉันอยากให้เธอรักษาความคิดนี้ไว้..” แล้วเขาก็ลุกขึ้น
“เอาหล่ะ เป็นอันว่าฉันจะไม่ถอดใจ  แต่ฉันก็ต้องทำใจเผื่อไว้บ้าง  เธอก็เหมือนกัน  แล้วถ้าหากคนนั้นเขาถอดใจ ฉันก็หวังว่าเธอจะอยู่ข้างๆเขา”
แล้วโยชิฮิสะก็วางมือบนไหล่ของจุ๊ย
“ขอบใจมากนะ”
อาราอิที่จริงกำลังจะลงไปข้างล่างอยู่แล้ว  แต่เขาก็หยุดแค่ตรงประตู  จากประตูที่เปิดไว้  ทำให้เขาได้ยินการสนทนาทั้งหมด
 
จุ๊ยปูที่นอนเรียบร้อย  ก็หันไปมองอาราอิที่ยังนั่งมองเขาอยู่
“เฮ้ยนอนได้แล้ว  ปูเสร็จแล้วเนี่ย  จะนั่งมองหน้าทำไม  ประเดี่ยวก็จืดหมดพอดี”
อาราอิยิ้ม
“นายมันจืดอยู่แล้วจุ๊ย  จืดกว่านี้ก็คงไม่ทำให้ฉันชอบมองหน้านายน้อยลงหรอก”
“บ้านนายสิ” จุ๊ยชว้างหมอนใส่
อาราอิก็รับไว้ได้
“คำก็จืดสองคำก็จืด.. ก็เกิดมาหน้าตาไม่ได้เป็นพระเอกซีรี่เหมือนนายนี่หว่า...”
แล้วเขาก็ตีหมอนสองที่ให้มันพองขึ้น
“มานอน.. พรุ่งนี้จะไปเกียวโตไม่ใช่เหรอ”
ว่าแล้วจุ๊ยก็ทิ้งตัวลงนอน
อาราอิก็คลานเข่ามาบนเสื่อตามาตะ แล้วมุดเข้าไปในผ้าห่มของจุ๊ย
“โอ๊ยทำอะไร” จุ๊ยโวยวาย
“อย่าเสียงดังสิ  เดี่ยวพ่อก็ได้ยินหรอก” อาราอิบอกแล้วก็แทรกเข้ามานอนข้างจุ๊ยได้สำเร็จ
จุ๊ยก็พลิกตัวหันหนี
อาราอิก็เลยกอดเขาไว้จากด้านหลัง แล้วเบียดอย่างแนบชิด
“ไปปิดไฟก่อนสิ” จุ๊ยว่า  อาราอิเลยเอื้อมออกไปที่โคมไฟตรงหัวนอน
พอแสงไฟดับลง  เขาก็กลับลงมากอดร่างจุ๊ยไว้จนแน่น
“ชอบใจนะ  นายนี่ไม่เคยนิ่งดูดายกับความทุกข์ของคนอื่นได้เลยจริงๆนะ”
จุ๊ยยิ้มแล้วหันมา
“ฉันพูดมากไปรึเปล่า”
อาราอิมองตาจุ๊ยในแสงสลัว
“มากไปเยอะมาก  แต่ก็ขอบใจ”  แล้วเขาก็จุมพิตที่หน้าผากจุ๊ย
จุ๊ยก็ซุกลงบนอกของอาราอิ
“ตัวนายอุ่นจัง”
“นายก็เหมือนกันกอดแล้วไม่ต้องห่มผ้าอีกเลยยังได้”  แล้วอาราอิก็ยิ่งกอดจุ๊ยแน่นขึ้น
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:04:03
ตอนที่ 49 : เปิดเทอมใหม่
แดดอ่อนๆยามสายส่องลงมาบนเรือนผม ใต้เงาไม้จุ๊ยนั้งอ่านนิตยสารดนตรีต่างประเทศอยู่อย่างสนอกสนใจ  ไม่รู้เพราะช่วงแสงหรืออะไรตอนที่อ๊อดเห็นจุ๊ยจึงรู้สึกว่าจุ๊ยตอนนี้ก็ดูดี อยู่ใม่น้อย
“กูเริ่มเข้าใจละว่าทำไมไอ้เดฟถึงได้ขอบมึง ดูๆไปมึงก็หล่อนะเนี่ย”
จุ๊ยเลิกคิ้วมองหน้า
“ทำไม  มึงจะเอาอะไรรึเปล่า มาชมกูเนี่ย  ของฝากจากญี่ปุ่นก็ให้แล้วนะเว้ย”
“ไม่ใช่ จังหวะแสงเมื่อกี้  มึงแม่งโครตหล่อ  เหมือนพระเอกซีรี่เกาหลียังไงอย่างนั้น”  อ๊อดว่าแล้วนั่งลง
“ความรักมักทำให้คนดูดีรึเปล่าว๊า”
จุ๊ยไม่ได้ตอบแต่โคลงหัวเบา ๆ
“เฮ้ยพวกมึง  มาช่วยกันหน่อยดิว๊า”  ฮ้อยเดินมาพร้อมกับอุปกรณ์เข้าจังหวะ
“ช่วยอะไร มึงจะไปเข้าค่ายลูกเสือหรือไง แบกกลองทอมมาเนี่ย”
จุ๊ยเงยหน้ามอง
“ก็วันนี้เปิดเทอมวันแรกไง  พวกไอ้หน่องมันเลยให้กูมาตามมึงกับอ๊อดไปดูหน้าน้อง”
“ดูทำไม  ไหนว่าไม่รับน้อง” จุ๊ยย้อนแล้วอ่านต่อ  อ๊อดก็ถอดร้องเท้าถุงเท้ามานั้งแคะเล็บเท้า
“เออ  มันก็ต้องมีการต้อนรับกันบ้างตามธรรมเนียม” ฮ้อยว่า
“แล้วมีคนหนึ่งมึงต้องอยากเจอแน่นอน”
จุ๊ยเลยชักสนใจ
 
เด็กหนุ่มผิวสองสีดวงหน้าคมเข้ม  เขากำลังมองหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า 
“น้องชื่ออะไรคะ” เธอยิ้มหวาน
เด็กหนุ่มทำตาเชื่อม
“อิทธิครับผม”
หญิงสาวก็ไล่ไปตามรายชื่อ กระทั้งเจอ
“ชื่อเล่นล่ะคะ”
เด็กหนุ่มก็ยิ้มหยาดเยิ้มเหมือนเคย
“ออสซี่ครับ”
“ออสซี่พ่อสิมึง” เสียงมาจากข้างหลังไม่ดังนัก 

พ่อหนุ่มออสซี่ทำท่าสะดุ้ง แต่ไม่ได้หันไปดูหน้า เพราะแค่เสียงก็พอแล้ว

“เอาป้ายชื่อไปนะค่ะ” หญิงสาวยื่นให้
ออสซี่รับแล้วรีบเดินไป
“จะไปไหน” มือของเจ้าของเสียงที่พึ่งปรากฏตัว คว้าคอเสื้อเอาไว้
“มานี่เลย”
“จุ๊ยอยากแกล้งน้องสิ  นี่เป็นกิจกรรมแนะนำตัวเฉย  ไม่ใช่ว๊าก”หญิงสาวติง
“โอ้ยไม่ได้ล่ะ พลอย.. ไอ้นี่ผมขอ”  จุ๊ยบอกแล้วกอดคอเอาไว้
“ทำไมล่ะ รู้จักกันเหรอ น้องออสซี่”
เด็กหนุ่มทำหน้าเจื่อนๆ
จุ๊ยทำหน้าเหมือนผะอืดผะอมแล้ว ขยี้หัว
“ออสซี่ไม่รู้จัก  แต่ไอ้เด็กที่ชื่อไอ้เหี้ยอู๊ดนี่รู้จัก  ใช่ไหมครับน้องออสซี่”
อู๊ดทำหน้าจ๋อยๆก่อนจะยกมือไหว้
“หวัดดีครับพ่อ”
 
เสียงกลองอึกทึกและยิ่งสนุกไปกันใหญ่เมื่อจุ๊ยจงใจเต้นให้อุบาทถ์ที่สุดเพื่อแกล้งอู๊ดที่ต้องเต้นตาม
“โหยพี่  นี่ฆ่าผมเลยดีกว่า ให้เต้นตามพี่น่ะ” อู๊ดอุทธรณ์
เพื่อนก็หัวเราะกันกับเสียงอุทธรณ์นั้น
“นี่เหรอวะพี่นทีธาร จุ๊ย  ที่เขาว่าเป็นอัจฉริยะดนตรี  นี่มันต๊องนะเนี่ย”  เด็กสองคนด้านหลังคุยกัน
“แต่ฉันเคยดูพี่เขาเล่นนะ... เสียงแซกของพี่เขานี้มืออาชีพยังอาย  บาดใจโคตรๆ” อีกคนตอบ
“อ้าวออสซี่น้องรัก... ทำไมใจมดอย่างงี้ล่ะว๊า” จุ๊ยว่า
“ไม่ได้ใจมดแต่พี่เต้นอุบาทถ์” หนุ่มออสซี่เถียง

“โถๆๆ งั้นเอาใหม่  เดื่ยวพี่ให้ท่าใหม่นะ”
“พอๆ พอเลย  ผมรู้จักพี่ดี  เดี่ยวจะยิ่งอุบาทถ์กว่าเดิม”
“อ้าว ทำไมรู้จักกันแล้วหล่ะน้องออสซี่  พี่ไม่เคยมีน้องชื่อออสซี่เลยนะ  เอาอย่างนี้นะครับน้องออสซี่  พี่จะเต้นใหม่ให้ถึงใจน้องออสซี่เลย”
ฮ้อยส่ายหัวอ่อนใจแล้วมองหน้ากันกับเพื่อนๆ
“นี่ใครวะ โดนไอ้จุ๊ยเล่นงานอย่างนี้จะรอดไหม  ไม่ใช่พรุ่งนี้มันลาออกเป็นเรื่องนะเฟ้ย” หน่องถามกับอ๊อด
“มิวซิค” จุ๊ยหันมาสั่ง
อ๊อดก็ลงจังหวะกลอง
“ไอ้อู๊ด ลูกศิษย์ไอ้จุ๊ยมัน  เคี่ยวมาตั้งแต่ยังไม่เป็นอะไรเลย  ไม่ต้องห่วงมันหรอก  สองคนนี้มันกัดกันอย่างนี้มานานแล้ว”
 
ในโรงอาหาร จุ๊ยกำลังหยอกกับเพื่อนๆส่งเสียงเฮฮากันดังพอสมควร  แต่พออาราอิเดินเข้ามาทั้งกลุ่มจุ๊ยกลับเงียบไปเฉย ๆเพราะจุ๊ยหยุดเล่นมุก
อาราอิเลยทำหน้าเก้อๆ เพราะโดนจ้องหน้า
“อะไรกันครับ  ผมมาหาจุ๊ยเฉยๆ”
จุ๊ยเลยขยับให้นั่งข้าง
เพื่อนก็มองกันไปมา
“อะไรเล่า... พวกมึงเนี่ย  ก็เพื่อนกันปล่าววะ” จุ๊ยว่า
“ใช่” มีต้นเสียงสนับสนุน
“เพื่อนหล่ออย่างนี้แหวนยินดีต้อนรับ” ว่าแล้วแหวนก็เข้มาแทรกข้างๆอาราอิ
“แหม่แหวน  ไม่ได้เชียวนะกับผู้ชายเนี่ย  ระวังไอ้จุ๊ยมันหึงนะมึง” เพื่อนอีกคนว่า
จุ๊ยหัวเราะหึๆ แล้วก็เริ่มต้นเล่าต่อจากเมื่อกี้ เป็นเรื่องที่เขาเข้าไปขัดขวางไอ้โรคจิตที่ปีนอาคารหอพักขโมยกางเกงใน
อ๊อดกับฮ้อยมองหน้ากัน แล้วยิ้มอย่างรู้กัน
 
จุ๊ยเลื่อนเปลี่ยนคลื่นสถานีวิทยุไปเรื่อยๆ จนกระทั้งเจอเสียงที่คุ้นหู  ก็เลยหยุดฟัง
“เสียงนี้มันคุ้นๆไหม” อ๊อดที่นั้งอยุ่เบาะตอนหลังโผล่หน้ามาระหว่างจุ๊ยกับอาราอิ
“เสียงไอ้อัสไง” จุ๊ยแยกแยะได้ทันที
“กูจำหางเสียงมันได้  มันจะตวัดๆหน่อย น่าฟังดี”
อาราอิไม่แปลกใจเพราะเมื่อเช้าเขาพึ่งเจออัศวะ ก็เลยถามในฐานะเพื่อนและรุ่นน้อง
“กูได้ยินมาว่าตอนนี้มันคบกับไอ้เดฟจริงรึเปล่าวะ” อ็อดเอนกลับไปพิงเบาะ
“สอง คนนี้แม่งก็ใจกล้ามาก  คนหนึ่งจะออกเทป อีกคนก็มีละครติดกันสามเรื่อง แถมดัง  แต่แม่งออกตัวกันสุดๆ ไม่กลัวสังคมเล่นงานหรือไงวะ”
จุ๊ยกับอาราอิสบตากัน  ก่อนอาราอิจะกล่าว
“เดฟเขาลอยตัวแล้ว  เพราะแต่แรกเข้าวงการเขาก็เปิดเผยตัวเอง  แถมเขาก็ดูแมนดี  สาววายเลยกรี๊ดกันสนั่น  แถมเรื่องไหนเล่นกับคู่ผู้หญิง  ก็เล่นได้เนียน  เพราะผู้หญิงเขาไม่เกร็ง”
“แต่อัศนี่สิจะแย่” จุ๊ยกล่าวแล้วขมวดคิ้ว
“พ่อของอัศมันประเภทเกลียดตุ๊ดเสียด้วย”

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:04:55
ตอนที่ 50 : เผชิญหน้า สไบทอง
พ่อของจุ๊ยไปต่างจังหวัดเพื่อร่วมงานศพของญาติผู้ใหญ่ หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ วันนี้จุ๊ยก็เลยมาค้างบ้านของอาราอิได้อย่างสะดวกใจมากขึ้น  และไม่ต้องให้อาราอิรีบไปส่งตอนเช้ามืดเหมือนทุกครั้ง
ตอนที่จุ๊ยออกมาจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จก็เห็นอาราอิยืนคุยโทรศัพท์ภาษา ญี่ปุ่นอยู่ที่หน้าบานประตูกระจกของระเบียงที่ปิดไว้  เขาเดาว่าน่าจะไม่ใช่นามิจัง  เพราะช่วงหลังๆนามิจังเริ่มรับรู้ตัวตนของจุ๊ยมากขึ้นเวลาโทรศัพท์มาก็จะไม่ คุยนาน  แถมกิริยาการพูดของอาราอิก็เป็นการลงท้ายด้วยไฮ้ๆ ตลอดแสดงว่าเป็นการสนทนากับพ่อ
เขารู้ดีว่าเดี่ยวอาราอิคุยเสร็จจะต้องออกอาการหงุดหงิดหรือไม่ก็เศร้า  ก็เลยหันไปหันมาเพื่อหาตัวช่วย มองไปเห็นขวดสีขาวตั้งเรียงกันสามขวดเหนือตู้เย็นใบเล็กในห้อง

อาราอิคุยโทรศัพท์จบลงก็ถอนหายใจยาวเหยียดมองออกไปนอกบานประตูสักครู่  แต่พอหันมา
“เชิญ คุณชายรับประทาน สาเกอุ่นเจ้าค่ะ” จุ๊ยทำท่าหมอบกับพื้นเหมือนในหนังญี่ปุ่น  โดยมีสาเกขวดสีขาวอุ่นอยู่ในหม้ออุ่นไฟฟ้าตั้งตรงหน้า
อาราอิอดหัวเราะไม่ได้
 
“พ่อบอกว่าไปหาหมอมาแล้ว หมอบอกผลตรวจไม่ดี  เพราะเนื้อร้ายมันขยายตัว  อาจต้องรักษาอย่างเร็วสุด” อาราอิเล่ามือก็ถือจอกรอให้จุ๊ยรินให้
พอจุ๊ยรินเสร็จก็เอนหลังพิงกับขอบเตียงคู่กันกับอาราอิ
“พ่อเลยกำลังคิดว่าจะไม่รักษา เพราะหมอเองก็ไม่ได้ยืนยันว่ารักษาแล้วจะหายขาด” อาราอิจิบสาเก
“รักษามีโอกาสหาย  แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะหาย หรือหายขาด  แต่ถ้าไม่รักษาก็คือตายแน่นอน”
จุ๊ยถอนหายใจก่อนจะโอบเอวอาราอิไว้  เขาก็สบลงมาหัวชนกับจุ๊ย
“พ่อ บอกว่ายังพอมีเงินก้อนหนึ่ง  แต่ท่านก็ยังลังเล  เพราะถ้าเอาออกมาใช้ก็คือหมดแน่นอน  แล้วยังไม่ได้ครอบคลุมรายจ่ายด้วย  ส่วนตอนนี้ฉันก็ต้องรอให้ถ่ายหนังเสร็จ  กว่าจะได้เงินอีกก้อน  รวมกันแล้วก็ยังไม่พออยู่ดี” อาราอิกล่าว
“ตลก เนอะ ระดับพระเอกอย่างฉัน อยู่บ้านหลังเป็นสิบๆล้าน มีรถคันละสิบล้านขับ  แต่เอาเช้าจริงก็ไม่ได้มีอะไร  แม้แต่จะช่วยพ่อตัวเองยังไม่ได้”
 
อาราอิแปลกใจที่ไม่เห็นจุ๊ยอยู่ข้างกายเมื่อตื่นขึ้น  แต่พอลุกขึ้นแล้วมองไปก็ยังกระเป๋าสะพายของจุ๊ยวางอยู่
เขาเลยลุกไปอาบน้ำเพราะมีคิวถ่ายละครตอนสายๆ
ครั้ง พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ยังไม่เห็นจุ๊ย  หากพอเดินลงมาด้านล่าง  แล้วเดินเลี้ยวเข้าครัว  ก็เห็นจุ๊ยสวมผ้ากันเปื้อนยืนจัดเรียงอาหารใส่กล่องเบนโตะอยู่
“อาหารเช้าอยู่โน่น” เขาบอกทั้งพยักเผยิบไปทางโต๊ะอาหาร
อาราอิเดินเข้ามากอดเอวจุ๊ยมองหน้าตาอาหารกล่อง
“น่ารักนะเนี่ย เหมือนข้าวกล่องรถไฟเลย”
“ก็จำมาจากที่กินนั้นหล่ะ  เห็นมันน่ารักดี” จุ๊ยตอบ
“แล้วทำไมจุ๊ยลุกมาทำเองหล่ะ”
“อ้าว” จุ๊ยหันมามองหน้า
“ก็ นายจะได้เอาไปกินที่กองถ่าย  ถ้าไม่ห่อไปเดี่ยวนายก็ไปซื้อกิน  แล้วแต่ละอย่างที่นายซื้อก็แพงๆทั้งนั้น  กินธรรมดาเหมือนชาวบ้านเขาที่ไหน  นี่นายต้องเก็บเงินไว้รักษาพ่อไม่ใช่เหรอ  ถ้าไม่ประหยัดจะเอาเงินที่ไหน  ต่อไปนี้เราต้องประหยัด  ข้าวเที่ยงกินในโรงอาหาร ข้าวเย็นถ้าไม่กินบ้านฉันก็กินบ้านนาย  รถนายก็เหมือนกัน  เห็นบอกรถคันนี้เป็นของลุงใช่ไหม  ลุงนายรวยจะตาย น่าจะมีรถคันอื่นอีก  เอารถญี่ปุ่นหรือเก๋งซีดานมาสักคันดีกว่าประหยัดน้ำมัน  รถสปอร์ตมันเปลือง เติมน้ำมันที่ฉันอยากจะเป็นลม”
อาราอิ ถอยออกมามองจุ๊ยให้ถนัด
“โหนี่วิญญาณศรีภรรยาสิงหรือเปล่าเนี่ย" แล้วก็กลับมาโอบเอวจุ๊ย
"ไปเราไปจดทะเบียนกันพรุ่งนี้เลย  แล้วมาอยู่ด้วยกัน ฉันจะได้ให้นายบริหารชิวิตให้เต็มที่เลย”

จุ๊ยส่ายหัว เหลียวมองหน้า

“ก็ จดซ้อนสิ  นายจดทะเบียนกับนามิจังไปแล้วนี่  อีกอย่างเมืองไทยไม่มีนะเว้ยจดทะเบียนสมรสผู้ชายด้วยกัน” จุ๊ยกล่าวพลางห่อกล่องข้าวด้วยผ้า
“ไปกินข้าวได้แล้ว จะได้ไปทำงาน”
อาราอิยืนตรง ก่อนจะโค้ง
พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น
จุ๊ยงง
“อะไรวะ”
“ครับผม ภรรยาที่เคารพ” อาราอิตอบแล้วรีบเผ่นให้พ้นรัศมีการตอบโต้
โดยที่สองคนไม่รู้  สไบทองที่พึ่งจะกลับมาบ้านได้ยินการสนทนานั้นโดยตลอด
 
สไบทองอาบน้ำเสร็จก็เดินลงจากชั้นสองมาในชุดลำลอง  เมื่อลงมาชั้นล่างก็เห็นจุ๊ยกำลังทำความสะอาดห้องรับแขกด้วยเครื่องดูดฝุ่น
“ไม่ต้องทำหรอก  เดี่ยวจะมีเด็กมาทำเองหล่ะ  คนรับใช้ที่นี่จะมาส่วนกลาง ทำความสะอาดทุกบ้าน  เธอถึงไม่ค่อยได้เห็นแม่บ้านเท่าไหร่”
จุ๊ยหยุดแล้วยกมือไหว้สไบทอง
“คุณน้ากลับมาเมื่อไหร่ครับ ผมไม่ได้ยินเสียงเลย”
“ก็เธอมัวแต่เล่นกันอาราอิอยู่  จะไปได้ยินเสียงฉันได้ยังไง” เธอตอบ แล้วนั่งลง
“ไปล้างมือล้างไม้แล้วมานั่งคุยกันดีกว่า  ฉันอยากจะคุยกับเธอ”
จุ๊ยรู้สึกใจแป่ว  หรือว่าสไบทองจะได้ยินที่เขากับอาราอิหยอกเอินกัน
“คุณน้าจะรับอาหารเข้าไหมครับ  ผมทำเอาไว้ยังพอมีอยู่บ้าง”
“เอาสิ แต่เอาของไม่ค่อยมันนะ” เธอตอบ
 
สไบทองกินสลัดผักที่จุ๊ยยกออกมาพร้อมน้ำส้มคั้นสด
“เธอนี่น่ารักจังเลยนะ  พ่อแม่คงสอนมาดีมากเลย  ใครมีลูกอย่างนี้รักตายเลย” สไบทองกล่าว แล้วชิมสลัด
“อร่อยนะ  น้ำสลัดนี่ใสแต่อร่อยมาก  จดสูตรไว้ให้กันบ้างสิ  เดี่ยวฉันจะให้แม่บ้านทำให้กิน”
แต่พอกินไปได้หลายคำ เธอก็กอดอกมองหน้าจุ๊ย
“ถามจริงๆ เธอกับอาราอิเป็นแฟนกันใช่ไหม”
จุ๊ยสะอึก 
“คือว่า” เด็กหนุ่มลากเสียง
“ไม่ต้องคือว่า... ฉันไม่ได้ห้ามหรอก  ที่จริงครอบครัวของเรา  ฉันหมายถึงฉัตรอัครเปิดเรื่องนี้มานานมาก  ก็ตั้งแต่ลูกลุงเนมของอาราอิ  ที่ชื่อภูธนะ รักกับเพื่อนสมัยเด็กของเขาชื่อนราชล จนทิ้งงานร้องเพลงทั้งที่กำลังดังเปรี้ยงไปอยู่ด้วยกันที่เมืองนอก  บ้านของเราก็เลยเปิดเผยเรื่องนี้กัน  ไม่มีใครว่าอะไรใครเรื่องนี้หรอก” สไบทองยิ้ม เพราะคาดเดาความรู้สึกของจุ๊ยได้
“เพียงแต่ว่าเธอต้องรู้ว่าอาราอิน่ะกำลังเป็นที่สนใจมาก  ถ้ามีเรื่องแบบนี้กับเธอจะกระทบกับงานเขาไม่มากก็น้อย  เพราะภาพพจน์ของอาราอิคือพระเอกแมน หล่อ ขวัญใจสาวๆ  ไม่ใช่อย่างนายเดฟที่เปิดเผยตัวเองแต่แรกอย่างนั้น ก็เลยอยากให้ระวังตัวหน่อย”
จุ๊ยก้มหน้าลง
“ผมทราบครับ”
“แต่ฉันก็ไม่ใช่ประเภทแม่แฟนใจร้ายกีดกันหรอกนะ  เธอจะเข้าจะออกบ้านนี้ตามสบาย  เดี่ยวจะให้เด็กทำกุญแจไว้ชุดหนึ่งด้วย  ดีซะอีกจะได้ช่วยฉันทำหน้าที่ที่ฉันไม่มีโอกาสได้ทำ” สไบทองพูดต่อ
”ยังดีที่เธอน่ะเป็นแบบแมนๆ ไม่ใช่ตุ๊ดแต๋ว  ก็เลยดูไม่ออก ถ้าทำเนียนๆไป คนก็อาจคิดไปว่าแค่เพื่อนสนิท  ก็ขอให้ทำอย่างนี้ต่อไป เอาไว้สักวันอาราอิกระแสลาลง  หรือถ้าเขาจะออกจากวงการ แล้วจะแต่งงานกันฉันก็ไม่ว่าหรอก  จะจัดงานให้ด้วย”
จุ๊ยรู้สึกใจชื้นขึ้น  ทว่าท่าทางขยับนั่งตรงของเธอเป็นสัญญาณว่ายังมีเรื่องอื่น
“แต่ทีอยากคุยด้วย คือเรื่องที่เธอบอกให้อาราอิประหยัด  ส่งเงินช่วยรักษาพ่อ  นี่มันอะไร  ไหนเล่าให้ฟังสิ”

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:05:47

ตอนที่ 51 : ความช่วยเหลือที่ไม่ได้ต้องการ
ใจ แล้วจุ๊ยไม่อยากจะเล่า เพราะหนึ่งคือรู้ดีว่าอาราอิไม่อยากให้สไบทองเข้ามาเกี่ยวข้อง  แต่นี่คือทางเดียวที่จุ๊ยคิดเอาไว้  ถ้าหากสไบทองไม่มาพูดเองในวันนี้  เขาก็คิดอยู่ว่าจะหาวิธีให้สไบทองทราบอยู่ดี
สไบทองฟังเรื่องจบ ก็นั่งนิ่งอยุ่นานพอสมควร
“ฉัน กับอากิระ  พ่อของอาราอิ  แล้วก็ตัวอาราอิเองน่ะ  มีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันมากโขเลยหล่ะ   ก็เริ่มจากตัวฉันเองนี่หละ  ที่ไม่ใช่ศรีภรรยาตามคอนเซ็ปของญี่ปุ่น  เราก็เลยทะเลากันบ่อยๆ  แถมช่วงนั้นฉันก็มัวแต่เพลินกับงานในวงการ  ก็เลยไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี  จนที่สุดความสัมพันธ์มันก็พังไม่เป็นท่า” เธอกล่าว
“แต่ ไม่ว่าอาราอิจะคิดว่าฉันไม่รักเขา หรือไม่รักพ่อเขายังไง  แต่ฉันจะบอกว่าไม่ใช่เลย  ฉันกับพ่อของเขาไม่ได้คบหากันด้วยความบังเอิญ  ไม่ได้จับฉลากได้จากงานสอยดาว  แต่เราคบหาและเข้าใจกันมาก่อน  ดังนั้นอาราอิจึงไม่ผลพวงของความผิดพลาด  แต่เป็นความรักของฉันกับเขา” สไบทองยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ
“ฉัน เป็นนักแสดงโดยอาชีพ  ถึงแสดงออกว่ารักยังไง  อาราอิก็อาจไม่เชื่อหรอก  เพราะเขาได้เห็นภาพการทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมาหลายครั้งก่อน เราจะตัดสินใจแยกกันอยู่”
แล้วสไบทองก็ถอนหายใจ
“อา ราอิก็คงไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากฉัน และไม่มีทางที่พ่อของอาราอิจะยอมรับความช่วยเหลือจากฉันด้วย  เรื่องนี้มันยากมากกับการที่จะเข้าไปทำอะไร”
จุ๊ยก็ทราบข้อนี้ดี 
“แต่ เราก็ต้องทำนะครับ  ผมก็คิดอยู่หลายครั้งเรื่องนี้  และคิดเหมือนคุณน้า   และคุณพ่อ.. ผมหมายถึงคุณโยชิฮิสะ  ก็ดูเป็นคนดื้อดึงไม่แพ้กัน  คงจะเป็นอย่างที่คุณน้าพูดแน่นอน”
“แม่ก็ได้นะ  ฉันไม่รังเกียจ  เพราะถ้าอากิระยังยอมให้เธอเรียกเขาได้ว่าพ่อ ก็แปลว่าเขายอมรับเธอแล้ว  ฉันก็เหมือนกัน” สไบทองออกปาก
จุ๊ยแม้จะรู้สึกเขิน  แต่เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าจะต้องคุยความรู้สึกจึงหายไปอย่างรวดเร็ว
“แล้วจะ ทำยังไงได้ ขนาดตอนหย่า สินสมรสเขายังโอนให้ฉันเกือบหมด  อากิระน่ะประเภทลูกผู้ชายบูชิโด เขาไม่ยอมแน่ๆ” สไบทองตักสลัดคำสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวช้าๆ
“แล้วไม่มีใครเลยเหรอครับที่คุณพ่อวางใจ หรือเกรงใจ” จุ๊ยถาม
“มันก็มีนะ” สไบทองตอบ
“ถ้าเธอบอกว่า พ่อของนามิจัง  ก็พูดไปแล้ว  ก็คงเป็นคนนี้แล้วหล่ะ  ที่พูดได้”
“ใครหรือครับ” จุ๊ยมองหน้าสไบทอง
แล้วสไบทองก็ถอนหายใจ
“เอา เป็นว่า  เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง  แต่ตัวเถอะ เตรียมรับพายุจากอาราอิได้เลย  ฉันเดาว่าก่อนเขาจะฟังเหตุผล  เขาต้องฟาดงวงฟาดงากับเธอก่อน  เด็กคนนี้นิสัยไม่ดีตรงนี้หล่ะ”
“ครับ” จุ๊ยก็ตระหนัก  แต่เขาเตรียมใจอาไว้แล้ว
แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น 
“จ๊าเทียน” สไบทองตอบสาย
“เออม  ได้แต่ขอเป็นบ่ายๆได้ไหม  พี่พึ่งกลับจากฮ่องกงเมื่อเช้ายังเหนื่อยอยู่เลย”
แล้วเธอก็วางสาย
แล้วมองหน้าจุ๊ย
“ส่วนนี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะวาน  ฉันไม่อยากให้ อาราอิตีกับเทียนอีก  เธอเข้าใจใช่ไหม  มันลำบากใจนะ” สไบทองกล่าวกับจุ๊ย
“ครับ” จุ๊ยรับคำ
“ผมจะพยายาม”
แล้วจุ๊ยก็ขอตัว
แต่ก่อนจะออกไป สไบทองก็กล่าวขึ้น
“เรื่องอาหารกล่องน่ะ  ไม่ต้องทำหรอกนะ” เธอยิ้มเมื่อจุ๊ยหันมามอง
“เพราะกองถ่ายปกติเขาจะมีอาหารเลี้ยงอยู่แล้วนะ  ไม่ต้องห่วง  เขาไม่ปล่อยให้พระเอกอดตายหรอก”
จุ๊ยเลยเกาหัวเบาๆ
ขานตอบว่าครับ
 
พอกลับมาอาบน้ำอาบท่า  อาราอิก็มานั่งท่องสคลิปต์อยู่ในห้องนอนตอนจุ๊ยยกเอาขนมมาให้
“ขอบคุณนะภรรยาที่รัก”
แต่พอจุ๊ยไม่ตอบ  อาราอิก็เลยหยุดมือที่จะหยิบขนม
“เป็นอะไรน่ะ”
จุ๊ยมองไปมองมาก่อนจะกล่าว
“วันนี้ฉันคุยกับแม่ของนายเรื่อง..” จุ๊ยกล่าว  แล้วก็ต้องอึกไปเพราะอาราอิเปลี่ยนสีหน้า
“เรื่องพ่อของนาย”
อาราอิฟังได้แค่นั้น เขาฟาดสคลิปต์ลงบนตัก
“จุ๊ยทำอะไรน่ะ”
“เฮ้ย.. ก็จุ๊ยอยากจะช่วย” จุ๊ยท้วง
“ช่วยอะไร.. จุ๊ยก็รู้ว่า ฉันไม่อยากจะให้เขามายุ่ง”
“แต่แม่ของนายยินดีจะช่วยนะ” จุ๊ยแย้งอีก
“แต่ฉันไม่ต้องการ” อาราอิเอ็ดใส่หน้าจุ๊ย
จุ๊ยเลยเงียบ
“ผู้หญิงคนนั้น ก็เลิกกับพ่อไปแล้ว  ยังมีอะไรต้องมาข้องเกี่ยวกับเราอีกหล่ะ” อาราอิคุมอารมณ์ไม่ได้
“จุ๊ย ทำอย่างนี้นึกว่าฉันจะดีใจเหรอ  ทางที่ดีนายอย่ามายุ่งเลยดีกว่า  จุ๊ยไปยุ่งเรื่องครอบครัวของจุ๊ย แล้วจัดการมันให้ดีก่อนดีกว่าไหม  เรื่องฉัน  ฉันจะจัดการเอง”
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  ไม่ได้พูดอะไร  เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
อาราอิมองตามไป  แต่เขากำลังพลุ่งพล่าน  จึงไม่มีอารมณ์ลุกตามไป
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:06:18
ตอนที่ 52 : เมื่อนายสายน้ำงอน
เพราะเห็นอาราอิไม่ได้มาหลายวันแล้ว  อ๊อดก็เลยชักสงสัย  ตอนที่จุ๊ยนั่งคุยกับฮ้อยเรื่องเพลงที่จะเล่นในการทดสอบอาทิตย์หน้า
เขาก็เลยถาม
“เฮ้ยอาราอิมันหายไปไหนวะ”
จุ๊ยเหลือบมามองแล้วตอบแบบเฉยๆ
“ไม่รู้กูไม่ได้หำติดกัน”
“อ้าวไอ้นี่ ถามดีๆ” อ๊อดดันหัวมันออกไป
“งอนอะไรกันวะ” ฮ้อยถามบ้าง
“ไม่ได้งอน  กูก็แค่ทำตามคำร้องขอของมัน  มันไม่อยากให้กูยุ่งกูก็ไม่ยุ่ง  เรื่องของแม่ง ก็ปล่อยมันจัดการเอาเอง” จุ๊ยตอบแบบไม่สบอารมณ์นัก 
อ๊อดกำลังจะพูด  แต่เสียงปู๊นดังมาจากด้านหนึง
จุ๊ยหันไปเห็นอู๊ดกำลังสอนเพื่อนสองคนให้เป่าแซกโซโฟนตามวิธีที่จุ๊ยสอน
“เว้ย อ่อนว่ะ” แล้วจุ๊ยก็ลุกไป
“ไอ้เหี้ยอู๊ด  ใครบอกมึงให้ทำอย่างนี้  เดี่ยวเขาก็หาว่าวิชากูห่วยกันพอดี”
“โอ้ยอะไรอะพี่  ที่พี่ทำได้ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้หรอกนะ”อู๊ดท้วง
“ขืนมาทำตามพี่  มีหวังไม่ต้องเป่ากัน ใครมันจะเก่งอย่างพี่ทุกคน”
“มึงห่วยเองต่างหากไอ้อู๊ดมากูสอนเอง ไม่ต้องมาทำเท่ห์”
 
อาราอิเปิดประตูรถเข้ามานั่ง  แล้วก็โยนปึกบทละครไปไว้เบาะตอนหลัง  ได้ยินเสียงดังป๊อกก็เลยหันไปดู  เห็นกล่องข้าวที่จุ๊ยเตรียมให้เขานั้นวันนั้น
เขาถอนหายใจหยิบโทรศัพกดเรียกเลขหมาย
แต่ก็เหมือนเดิมไม่มีการตอบรับ
อาราอิเอาหัวกระแทกกับขอบพวงมาลัยหนัง
“ขี้งอนชิบหาย” เขาบอกตัวเอง
ไม่ใช่ไม่อยากง้อ  แต่เพราะเขาพึ่งจะเสร็จจากการถ่ายละครที่ลำปางวันนี้เอง  แล้วก็พึ่งจะบินกลับมากรุงเทพแล้วก็มาเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่สนามบิน  แต่เขาโทรหาจุ๊ยตลอด  แต่จุ๊ยก็ไม่รับสาย  จุ๊ยคงไม่รู้ว่ามันทำให้อาราอิร้อนอกร้อนใจแค่ไหน

จุ๊ยเดินออกมาตามทางไปสู่ถนนใหญ่โดยสนทนามากับอ๊อดและฮ้อย 
“กูว่ามันไม่น่าจะเวริ์ค ถ้ากูเปลี่ยนไปเล่นฟรุ๊ตอาจจะดีกว่า” จุ๊ยว่า  แล้วก้มมองกล่องแซกโซโฟนในมือ
“เฮ้ย  เดี่ยวก็ยิ่งเละ ถ้าปรับไปอีกมีหวังพัง” ฮ้อยไม่เห็นด้วย
“แต่ทุกคนคาดหวังว่าจะได้ยินไอ้จุ๊ยเป่าแซก  มันก็น่าสนุกดีออก ถ้าไอ้จุ๊ยไม่เป่าแซก เป่าอย่างอื่นแทน” อ๊อดกล่าวอีกแง่
“เออ... กูก็ว่า  กูก็กะจะเป่าไอ้นี่มึงอยู่พอดี...” ว่าแล้วก็ตบลงไปบนเป้าอ๊อดดังป๊าบจนอ๊อดตัวงอ
“ไอ้สัตว์จุ๊ย” อ๊ฮดกัดฟันด่าด้วยความจุก
“เอาน่า... กูก็ทดลองดูก่อนว่ามึงตายด้านไหม ก็ไม่ด้านนี่หว่า  ใช้ได้”  เขาหัวเระคิกคัก
“พวกมึงก็เล่นกันอยุ่ได้... “ ฮ้อยติง
“นี่จะสอบอีกสองวันแล้ว นะเฟ..” ฮ้อยหยุดไปแค่นั้น  เพราะอาราอิเดินฉับๆมาถึง
 
ที่เบาะตอนหลังสุดบนรถเมล์ปรับอากาศ อาราอิยิ่งนั่งก็ยิ่งเบียดจุ๊ย
“เฮ้ยที่นั่งก็กว้างนายจะเบียดทำไม” จุ๊ยเอ็ดออกมาอย่างเหลืออด
“ไม่จนกว่าจุ๊ยจะอภัยให้” อาราอิยืนยัน
“อภัยอะไร  พูดบ้าๆ” จุ๊ยหันไปมองนอกหน้าต่าง
“ก็อภัยที่ฉันพูดไม่ดีกับจุ๊ยไง  ฉันขอโทษ  ตอนนั้นมันโมโห  ขอโทษน๊า” อาราอิทำเสียงอ้อน  แล้วทำท่าจะซบไหล่
จุ๊ยดันหัวออกไป
“ไปเลยไป  คนเยอะแยะ  ประเดี่ยวก็ได้ลงหน้าหนึ่ง”
แล้วจุ๊ยก็ถอนหายใจ
“ก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพราะนายก็พูดถูกนั้นหล่ะฉันมันยุ่งไม่เข้าเรื่อง  เรื่องของตัวเองก็ไม่รู้จักดูแลมัวแต่ไปยุ่งเรื่องคนอื่น”
“ฉันขอโทษ  ฉันโมโหน่ะ  นายก็รู้ว่าฉันมันสันดานเสีย โมโหร้าย” อาราอิเว้าวอน
“อย่าโกรธเลยนะนะ”
จุ๊ยก็เงียบหันไปทางอื่น
“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ”
อาราอิถอนหายใจ
“ฉัน คิดมาตลอดหลายวันเลยนะจุ๊ย  ว่าไปแล้วก็ไม่มีทางอื่นนอกจากทางนี้แล้วหล่ะ  แต่จะให้ฉันทำใจง่ายๆ มันไม่ได้หรอก  แม่ทำร้ายจิตใจพ่อหลายครั้งมากเลย  ฉันเองก็เหมือนกัน”
จุ๊ยหันมามอง
“จุ๊ยนายเข้าใจรึเปล่า  ว่าการที่โดนทำร้ายบ่อยๆ มันก็ฝังใจนะ  จะให้ทำใจมันยากเลยหล่ะ”
จุ๊ยถอนหายใจมองไปรอบๆก่อนจนแน่ใจว่าไม่ได้มีใครสนใจ จึงจับมืออาราอิ
“ฉันเข้าใจนาย  แต่นายก็ต้องเข้าใจคนอื่นด้วย  บางทีคนเราอาจมีเหตุผลกันไปคนละอย่าง  แต่ถ้าหากเราไม่รับฟังกันและกัน  มันก็จะกลายเป็นเราต้องหันหน้าหนีกันไปตลอด  ถึงยังไง นี่ก็คือครอบครัวของนาย  แถมแม่นายก็เป็นคนออกปากให้ความช่วยเหลือเองด้วยซ้ำ  ไม่มากก็น้อย แม่ของนายก็ยังคงรักพ่อของนายอยู่  ถ้านายบอกว่าแม่ทำร้ายพวกนาย  นายก็ควรจะให้โอกาสเขาได้ชดเชยบ้างไม่ใช่เหรอ”
อาราอิมองมือของจุ๊ยที่กุมมือตัวเอง
“ฉันก็เข้าใจแล้วไง... ฉันสัญญาจะพยายามทำดีกับเขาให้มากอีกนิด”
จากมุมที่ไม่ใครมองเห็น อารากุมมือจุ๊ยไว้แน่น  ทั้งสองเพียงสบตากันแต่ก็เปี่ยมความหมายเสียยิ่งกว่าการกอดอย่างแนบแน่นเสียอีก
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:06:49
ตอนที่ 53 : พายุลูกใหญ่ก่อตัวที่ปลายฟ้า
เด็กหนุ่มร่างเล็กผิวขาวจัดใน ชุดนักเรียนของโรงเรียนรัฐชื่อดัง นั่งอ่านนิตยสารเงียบๆอยู่หน้าตึกเรียนของคณะดุริยางค์   ตอนนั้นพวกเอกดนตรีสากลพึ่งจะจบจากการเรียนลงเดินลงมาเป็นกลุ่ม
“เฮ้ยเด็กหลงที่ไหนน่ะ น่ารักจัง”แหวนว่าแล้วชึ้ไปที่เด็กหนุ่ม
อ๊อดได้ยินก็หันไปมองตามมือแหวน
“ไอ้จุ๊ย  เมียน้อยมึงมา”
จุ๊ยทื่กำลังวิจารณ์เพลงใหม่ของศิลปินต่างประเทศให้อ้นฟังก็หันไปมอง
 
“วา” เสียงทำให้วาทิตตื่นตัว
พอเห็นเป็นจุ๊ย วาทิตก็รีบลุกขึ้นไหว้
“มาทำไมเนี่ย มาธุระเหรอ”
“โรงเรียนพามาดูละครน่ะครับ”  เขาตอบ
“ผมก็เลยมาที่นี่”
แล้ววาทิตก็มองไปบนตึก
“ปีหนึ่งยังไม่เลิกหรอก  วิชาของอาจารย์ปกรณ์  พี่เห็นตอนเดินผ่านมา  อาจารย์คนนี้สอนจนนาทีสุดท้าย” จุ๊ยกล่าวอย่างรู้เท่าทัน
“ไปหาอะไรกินกัน  พวกพี่นั่งกันอยู่ทางโน้น เดี่ยวพี่แนะนำให้รู้จักเพื่อนๆ  พี่ฮ้อยพี่อ็อดก็อยู่ไม่ต้องกลัว”
 
“วาเล่นแซก... ตัวแค่เนี่ยแบกแซกไหวด้วยเหรอ  พี่นึกว่าเล่นฟรุ๊ต  หรือไม่ไวโอลิน” แหวนส่งเสียงแหลม
“อ้าวแน่นอน นี่ศิษย์เอกผม” จุ๊ยอวด แล้วขยี้หัววาทิต
“เป็นไงหล่ะอย่าดูถูกนะ ตัวเล็กนี่หล่ะพลังลมเหลือกิน “
แหวนเลยเอามือมาจับมือน้อง
“จริงเหรอ  ดีจังพี่มีปัญหาเรื่องลมตลอดเลย  ไอ้จุ๊ยก็สอนไม่รู้เรื่อง  วาสอนหน่อยสิ”
วาทิตโดนจับมือและอ้อน อายจนหน้าขาวๆแดงเป็นลูกตำลึง
“เฮ้ยๆ” จุ๊ยปัดมือแหวนออกไป  แล้วดึงวาไปมาใกล้ตัว
“อย่าเลย  ไม่ต้อง  น้องคนนี้หวงเฟ้ย”
“พี่จุ๊ย” เสียงมาจากข้างหลัง  แล้วก็เดินฉับๆมาคว้าวาทิตมาจากจุ๊ย
“มันมากไปแล้วนะ  ผมบอกแล้วไงอย่ามายุ่งกับแฟนผม” 
อู๊ดก็โอบไหล่วาทิต แล้วพาเดินไป  วาทิตหันมาโบกมือบายบาย  ก็โดนอู๊ดเอ็ดอีก
“ไม่ต้องเลย”
 ทุกคนงงกัน  ไม่เว้นแม้แต่อ๊อดกับฮ้อย
“นี่มันอะไรวะจุ๊ย  ไหนว่าเมียน้อยมึง” หน่องถาม
“เมียน้อยกู แต่แฟนไอ้อู๊ด”จุ๊ยตอบยิ้มๆ
ฮ้อยทำหน้างง
“ไอ้อู๊ด... เฮ้ยอะไรวะ  ไอ้กวนๆ ดิบๆ เถื่อนอย่างมันเนี่ยนะ  เป็นแฟนน้องวา ไอ้สัตว์..อย่างกับบิวตี้แอนเดอะบีส”
“โอ้ยเจ็บปวด”แหวนหันไปกอดคอกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน
“ชะนีไทยไร้ที่ยืน”
“มายืนกลางใจผมก็ได้นะ” อ้นทำเสียงหล่อ  “รับรองผมไม่มีได้หลังลืมหน้าแน่นอน”
จุ๊ยหันมาเหล่...
“โถไอ้เวร หน้าอย่างมึงให้เกย์ยังเมิน  ใครเขาจะให้มึงได้หลังแล้วลืมหน้า”
“อ้าวจุ๊ย อย่าว่านะครับ ผมระดับเดือนโรงเรียนนะคร๊าบ” อ้นทำท่าเก็กหล่อต่อ
จุ๊ยหัวเราะแบบขืนๆ
“สงสัยโรงเรียนมึงนี่จะเป็นผู้หญิงหมดรึเปล่าวะ แล้วมีมึงเป็นผุ้ชายคนเดียวไอ้อ้น  ถุ๊ย”
เพื่อนหัวเราะกันสนุก
ระหว่างนั้นอย่างเนียนและเงียบๆ อาราอิก็มานั่งอยู่ด้วย 
อ้นหันไปเห็น
“อ้าว.. นั้นเมียน้อย  ไอ้เดฟเมียหลวง แล้วไอ้นี่ใคร”
จุ๊ยนิ่งอึ้งไป เพื่อนได้ทีจะล้อ
“ก็ผัวชาวบ้านไง  เมียกูที่ไหน” จุ๊ยไม่ยอมเสียทีสวนออกไปทัน
อาราอิยิ้มกับการแก้ตัวของจุ๊ย 
 
ฮ้อยนั่งกดโทรศัพท์ตลอด  แต่ก็เงยขึ้นมาฟังการสนทนากันระหว่างอาราอิกับจุ๊ย
“น้าทิพย์เป็นคนไปคุยกับพ่อเอง  ทีสุดท่านก็ยอมเข้ารักษา  แม่ก็เลยพึ่งจะโอนเงินก่อนใหญ่ไปให้  แต่ฉันก็ยังไม่ได้เจอท่านเหมือนกัน เพราะท่านไปต่างประเทศกับไ.. เทียน” อาราอิเกือบจะหลุดกล่าวคำนำหน้าเทียนออกมา
“แล้วน้าทิพย์ นี่หมายถึงผู้จัดละครใช่ไหม”  จุ๊ยถามแล้วก็หันไปยกขวดซอสชูเชิงถามกับฮ้อย อ๊อยโบกมือ  แล้วก็วางโทรศัพท์แล้วตั้งต้นกินสปาร์เก็ตตี้
“ท่านเป็นเพื่อนสนิทของแม่  แต่ในขณะเดียวกันก็สนิทกับพ่อ  เพราะท่านไปเรียนด้านการละครที่ญี่ปุ่น แล้วเจอกับเราที่นั้น  จริงๆ ฉันว่าพ่อกับน้าทิพย์อาจชอบกันนะ  แต่ท่านสองคนก็ไม่เคยเกินเลยจากความเป็นเพื่อน   แม่ก็รู้ดีก็เลยให้น้าทิพย์ไปลองคุยดู  ปรากฏว่าพ่อยอมรับความช่วยเหลือนั้น  แต่ก็พูดอยู่สองวันกว่าจะใจอ่อน”
พอดีหัวหอมทอดมาเสริพ อาราอิเลยตักให้ฮ้อยก่อน 
“แล้วไปหาหมอมาบ้างหรือยัง” จุ๊ยถาม
ขนมปังกระเทียมก็มาเสริพ  จุ๊ยก็เลยตักใส่จานฮ้อยไปอีกอัน
“ก็ไปล่าสุดนี่หล่ะ  ก็บอกว่าไม่มีอะไรคืบหน้า  เนื้อร้ายยังอยู่ในปริมาณเดิม”
แล้วลาซานย่าก็มา  ทั้งจุ๊ยและอาราอิก็พร้อมใจกันตักลาซานญ่าใส่จานฮ้อย
“แต่ก็นัดเข้าทำการรักษาครั้งแรกเดือนหน้า  ฉันก็อยากจะไปดูท่านนะ  แต่คิวมันเต็มเอี๊ยดเลย”
อาหารจานสุดท้าย ก็ยกมาคือซีซาร์สลัด  จุ๊ยทำท่าจะเอื้อมไปตัก
“เฮ้ยๆ” ฮ้อยร้องห้าม
“มึงดูจานกูบ้าง  นี่กูแดรกสปาร์เก็ตตี้อยู่ มึงสองคนตักใส่เอาใส่เอา  ดูสินี่ มึงดูสิว่ากูจะกินยังไง”
ทั้งคู่หันมาดูจานฮ้อยที่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด
“อ้าวก็ฉันกลัวนายเกรงใจ” อาราอิกล่าว
“กูก็กลัวเพื่อนจะอด” จุ๊ยว่าบ้าง
ฮ้อยส่ายหัวแต่ก็เลือกกินทีละอย่าง
 
พอออกมาจากร้าน ฮ้อยถึงกับต้องลูบท้องด้วยความอิ่ม
“มากับพวกมึงบ่อยๆรับรองกูกลายเป็นหมู”
“อย่างมึงจะกลัวอะไร  ขนาดหุ่นดีสเลนเดอร์..” จุ๊ยกล่าวลากเสียง
“อะแน่นอน” ฮ้อยทำท่าเบ่งกล้าม
“สาวแม่งยังเมิน  อ้วนไปก็ไม่ได้ต่างหรอกวะ” จุ๊ยต่อ เล่นเอาฮ้อยเหี่ยวไปทันตา
อาราอิกำลังถ่ายรูปกับแฟนละครใจกล้าที่เดินเข้ามาทักก่อนออกจากร้าน
“มึงจะคบกันแบบนี้ไปเรื่อยๆเหรอวะ” ฮ้อยกล่าว
จุ๊ยถอนหายใจ
“ก็ต้องทนเอานะ  บางทีเราก็ต้องทำใจใช่ไหมหล่ะ  ในเมื่อก็หลวมตัวไปแล้วนี่หว่า”
รอยยิ้มของจุ๊ยเมื่อมองอาราอิช่างมีความหมาย  เป็นรอยยิ้มเดียวกับที่ฮ้อยเคยเห็นมาก่อน  เป็นรอยยิ้มที่จุ๊ยไม่เคยให้ใครนอกจากพี่ไตร
 
อาราอิต้องเอาแว่นดำมาสวมอีก แล้วก็ใส่หมวกก่อนจะเดินไปจับจุ๊ยเพียงสองคนเพราะฮ้อยขอตัวกลับไปก่อนแล้ว
ระหว่างอาราอิกำลังยืนดูโมเดลเรือรบอยู่นั้นเอง จุ๊ยก็หันไปหันมาจนกระทั้งไปเจอหน้าคนคุ้นเคย
“นั้นแฟนเฮียตี้นี่หว่า” จุ๊ยกล่าว
“หือ” อาราอิส่งเสียงแล้วหันมา
“อ้อเจอคนรู้จักน่ะ แฟนพี่ชายจุ๊ย เดี่ยวมานะ”
อาราอิพยักหน้าแล้วก็กลับมาดูโมเดลเรือต่อ 
“จะซื้อดีไหมน๊า กลัวไม่มีเวลาต่อ” อาราอิพึมพำ
จุ๊ยเดินไปเกือบถึงตัวหญิงสาวที่ยืนอยู่คนเดียว  ทว่าเขาก็หยุดเสียก่อน  เมื่อมีผุ้ชายวัยกลางคนเดินมาสนทนาด้วยอย่างสนิทสนม
จุ๊ยจำได้แม่นยำว่าเขาคนนั้นคือใคร  จุ๊ยไม่มีทางลืมแน่นอน แม้จะไม่ได้เจอกันเกือบสิบปีแล้ว
เขาหยุดตรงนั้นเหมือนโดนแช่แข็ง
อาราอิที่ตัดใจจากเรือรบได้แล้วก็เลยเดินมาหา
พอเห็นจุ๊ยอาการแปลกๆก็เลยถาม
“เป็นอะไรน่ะจุ๊ย” อาราอิถาม
จุ๊ยสะดุ้ง  แล้วหันมาปฏิเสธก่อนจะดึงอาราอิให้เดินออกจากตรงนั้น

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:07:33

ตอนที่ 54 : Disband The Quartet Lover
จุ๊ยอยู่ในห้วงความคิดของเขากระทั้งถึงบ้าน  อาราอิจอดรถลงตรงลานจอดสาธารณะ กดล๊อกรีโมทล๊อกประตู
“เห็นไหม  เอารถอย่างนี้มาขับประหยัดกว่าตั้งเยอะ  แถมเวลาไปไหนมาไหน คนก็ไม่มอง  คนก็จำไม่ได้ด้วยว่าเป็นรถของนาย” จุ๊ยว่าแล้วมองรถคันใหม่ของอาราอิที่เป็นเก่งซีดานสี่ประตูสีดำสนิท
“แล้วไปเอามาจากไหน”
“ก็พอเอารถไปคืน  ป้าเพลงก็ให้คันนี้มาใช้แทน” อาราอิตอบ
จุ๊ยพยักหน้าแล้วเดินไปด้วยกัน
 
อาราอิสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์ที่เขาเจอจุ๊ยยืนมองหญิงสาวและชายวัยกลางคนนั้น ต้องไม่ใช่ธรรมดา  เพราะตอนที่จุ๊ยกลับถึงบ้าน เขาก็เหมือนมีอะไรจะพูดกับป๊า แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
“อาราอิ นี่ลื้อไม่ต้องซื้อมาทุกครั้งก็ได้นะ  ไม่มีของมาฝากอั๊วก็ให้เข้าบ้าน” ป๊ากล่าวตอนที่นั่งลงที่โต๊ะอาหารมองกับข้าวสารพัดอย่าง
“ก็เห็นว่ามันน่ากิน  ผมก็เลยซื้อ  ถ้ากินไม่หมดก็เอาเข้าตู้เย็นไว้ก็ได้นะครับ กินได้หลายมื้อ” อาราอิตอบ  แล้วก็ตักขาหมูให้ไฮ้จุ๊ง
“อันนี้เป็นสาขาของร้านดัง  เขาพึ่งมาเปิดในห้าง ป๊าลองชิมดูครับว่าอร่อยไหม”
ไฮ้จุ๊งก็ตักชิม
“อร่อยนะ  แต่ไม่เหมือนที่เคยไปกินที่ร้านตรงบางรัก”
อาราอิยิ้ม
หันมาจุ๊ยพึ่งตักข้าวให้ตัวเองเสร็จ  นั่งลง
“พรุ่งนี้มีเรียนไหม” ไฮ้จุ๊งถามลูกชาย
“ไม่มีครับ  แต่ต้องไปงานตอนบ่าย แต่เย็นๆก็น่าเสร็จแล้ว”
“แล้วลื้อหละอาราอิ”
อาราอิต้องเอาโทรศัพท์มาเปิดตารางงานดู
“ไม่มีครับ ไม่มีงานด้วยครับ ป๊าจะให้ผมทำอะไรเหรอครับ”
“ก็วันครบรอบวันตายแม่ไอ้จุ๊ยยังไง  คงไม่ได้ลืมใช่ไหม” ไฮ๊จุ๊งหันมามองหน้าจุ๊ย
“ครับไม่ได้ลืม  ผมก็คิดจะเอาไว้ว่าจะซื้อของไหว้ตอนเช้าอยุ่แล้ว” จุ๊ยตอบแล้วก็กินข้าวไปเงียบๆ
 
พอจัดเรียงอาหารที่ซื้อมาจากตลาดบนโต๊ะแล้ว จุ๊ยก็หยิบธูปมาจุด  อาราอิก็เลยหยิบบ้าง
“อ้าวจะไหว้เหรอ” จุ๊ยถาม
“อ้าวทำไมหล่ะ  ก็ไหว้แม่จุ๊ยนี่” อาราอิทำหน้างง
จุ๊ยมองหน้าอาราอิ
“แล้วนายจะบอกแม่ฉันว่ายังไง ไหว้ฐานะอะไร”
อาราอิลากเสียงว่าก้ออ
“แฟนจุ๊ยไง” เขากระซิบข้างหู
จุ๊ยส่ายหัวอ่อนใจ
พอนั่งลงไหว้เสร็จแล้ว  อาราอิลุกก็ปักธูป  หันมาจุ๊ยยังคงพนมมือถือธูปไว้อย่างนั้น  ดวงตาหม่นหมองมองหน้ารูปถ่ายของแม่
อา ราอิไม่กล้าจะถาม  แม้จะรู้ว่าจุ๊ยผิดปกติ  แถมเมื่อคืนจุ๊ยยังเล่นแซกโซโฟนส่งเสียงเศร้าสร้อยออกมาในหางเสียงอย่างขัด เจน นอนก็นอนไม่ค่อยหลับ  ลุกไปนั่งที่โต๊ะหนังสืออยู่นาน กว่าจะกลับมานอนอีกครั้ง
จุ๊ยยังอยู่ในท่านั้นจนกระทั้งซัวเดินลงจากมาขั้นบน
“อ้าววันนี้ไหว้เหรอ” ซัวถามเอาจากอาราอิ เพราะจุ๊ยกำลังอยู่ในอาการอธิษฐาน
“อืม” อาราอิก็หันไปหยิบธูปมาจุดแล้วส่งให้
“ขอบใจนะเฮีย” ซัวกล่าว  ตอนนี้ซัวเรียกอาราอิว่าเฮียไปอีกคนหนึ่งแล้ว
พอซัวคุกเข่าลงจุ๊ยก็หันมามอง  ก่อนจะลุกไปปักธูป
จุ๊ยจุดธูปอีกชุดส่งให้

“ไหว้แทนเฮียด้วย  เฮียติดเคสกลับมาไม่ได้”
 
วันนี้แม้จะมีเรื่องให้คิดตลอดแต่เสียงแซ็กโซโฟนของจุ๊ยก็ยังคงคุณภาพ  เรียกเสียงปรบมือดังสนั่นเหมือนเคย
เมื่อลงจากเวที  เขากลับสังเกตได้ว่ารุ่นพี่ดูผิดปกติไป
“เฮ้ยเป็นอะไรพี่ๆ  ทะเลาะกัน  แย่งพริ๊ตตี้กันหรือไง” จุ๊ยถามขณะเก็บแซกโซโฟนลงกล่อง
ฐามองหน้าเพื่อนๆ
“จุ๊ย” ฐาเดินมานั่งข้าง
“ปีหนึ่งผ่านมาเนี่ย  พวกกูก็ยอมรับนะว่าวงของเรามีรายได้มาก  มันเพราะมึงนั่นล่ะดูดงานเข้ามา”
จุ๊ยมองหน้ารุ่นพี่ที่ละคน
“นี่พี่จะไล่ผมออกเหรอ” จุ๊ยถามตามใจคิด
“เปล่า”  ปานเดินมากอดคอ   โย่งก็นั่งข้างๆ
“พวกเราจะเลิกแล้วว่ะจุ๊ย” ฐาอธิบาย
“คือปีนี้พวกเราเรียนหนัก แล้วก็มีโปรเจคคอนเสริ์ตด้วย  พวกเราก็คงไม่มีเวลามาเล่นแล้ว  งานนี้ก็งานสุดท้ายแล้วนะ”
จุ๊ยพยักหน้าเข้าใจ
“แต่ไม่ได้ห่วงนะเฟ้ย  พวกเราก็ไม่ได้ทิ้งมึง  พวกเราหางานใหม่ให้แล้ว  พวกเราไปปรึกษากับพี่สรรค์ พี่แกก็กว้างขวางในวงการอยู่แล้ว  แกก็เลยแนะนำว่ามึงกับไอ้อ๊อด แล้วก็ฮ้อยน่าจะรวมวงกัน  เพราะพวกมึงเล่นด้วยกันมานานมาก  น่าจะเข้าขากันดี” ฐากล่าวต่อไป
“เดี่ยวพี่เขาก็คงโทรติดต่อมา  ส่วนอ๊อดมันก็คุยกับไอ้ฮ้อยเรื่องนี้อยู่ ส่วนมึงก็รอเฉยๆ  เพราะมึงน่ะลอยตัวอยู่แล้วใครๆก็อยากได้มึง”
“ขอบคุณมึงมากนะเว้ย  มึงทำให้พวกเรามีงานเยอะขนาดนี้  แล้วก็ช่วยพวกกูพัฒนาด้วย  เล่นกับมึงนี่มันสุดๆ  กว่าพวกกูจะเอาอยู่นี้พวกกูรู้สึกเก่งขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ” โย่งกล่าว
“ขอบใจนะเฟ้ย”
จุ๊ยยิ้ม มองพี่ๆทั้งสามที่ละคน

“ผมก็เหมือนกันพี่  ผมก็เรียนรู้เพิ่มขึ้นมากเหมือนกันครับ”
 
“อืม ก็สลายวงไปสินะ” อาราอิสรุปความ
“อืม... น่าเสียดายเนอะเราเล่นกันเข้าขาดีแล้วแท้ๆ” จุ๊ยถอนหายใจ
“แต่เขาก็ฟอร์มวงใหม่ มีอ็อด มีฮ้อย  พวกนี้ไม่เข้าขากับจุ๊ยดีกว่าเหรอ” อาราอิถาม
“มันก็เข้ากันได้ดีอยู่แล้วแล้วหล่ะ ปัญหาคือไอ้ฮ้อยจะเอาด้วยไหมเท่านั้น  ฮ้อยบ้านมันมีฐานะ  ไม่ต้องดิ้นรนเหมือนพวกเรา” จุ๊ยตอบ แต่ไม่วายจะยิงมุก
“ไอ้ฉันมันก็มีฐานะ... แต่ฐานะยากจนนะ  เลยต้องดิ้นรน”
อาราอิยิ้ม
“เฮ้ย ใจเย็นๆ  บางทีฮ้อยเองก็อาจอยากลองก็ได้นะ  แต่เพราะจุ๊ยไปกับพวกฐา ส่วนอ๊อดก็ไปเล่นกับวงอื่น  ตอนนี้จะเอามารวมตัวกัน  เขาอาจจะสนใจก็ได้”
จุ๊ยหันมามองหน้าอาราอิ
“แต่ถ้าไม่เล่น จุ๊ยก็ขาดรายได้เลยนะ  เดี่ยวเงินไม่พอใช้ต้องยืนขายตัวแถววังสราญรมภ์เลยนะ”
อาราอิหัวเราะสั้นๆดังหึๆ
“งั้นฉันจะไปเหมาทุกคืนเลย”
“อ้าวแล้วถ้านายไม่มาทำไง  เจอเกย์กล้ามเป็นมัดๆจุ๊ยไม่แย่เหรอ”
“เอาน่า จะได้คล่องๆ”
“ขี้คล่องล่ะไม่ว่า..”
“อ้าวไม่ชอบเหรอ”
“ก็ชอบนะ  แต่กลัวประเภทขอให้หมู่อะไรอย่างนี้  เคยดูหนังโป๊ไหมสองอันหนึ่งรู... ตายๆๆ ไม่อยากจะคิด”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:08:34
ตอนที่ 55 : สายน้ำปั่นป่วน
อาราอิกำลังเล่าให้จุ๊ยฟังเรื่องแคสงานละคร ตอนที่ทั้งคู่กำลังเดินมาถึงหน้าบ้านของจุ๊ย
จุ๊ยล้วงจะหยิบกุญแจ แต่ทว่า
“คำถามอั๊วยากไปหรือไง ตี้  อั๊วถามว่านี่แฟนลื้อใช่ไหม”
จุ๊ยชะงัก  อาราอิก็หยุดไปด้วย
ตี้มองภาพถ่ายที่บิดาเอามาวางบนโต๊ะ  เธอคือแหวนแฟนสาวของเขาอย่างแน่นอนที่สุด
“เราสองคนรักกันป๊า  ไม่ว่ายังไงเราก็รักกันจริงๆ”
ไฮ้จุ๊งปกติจะมีบุคลิกเงียบขรึม แต่วันนี้กลับเกรี้ยวกราด
“รักกัน...” ไฮ้จุ๊งเข่นเสียงประชด
“ลื๊อไปรักกับลูกไอ้พ๊งได้ไง  นั้นมันไอ้พ๊ง  ไอ้สารเลวที่ทำเรื่องเลวๆกับอั๊ว กับอาม๊าของลื้อ”
อาราอิหันมามองหน้าจุ๊ย  เสียงของไฮ้จุ๊งไม่ได้ดังจนได้ยินกันชัดเจนสำหรับเขาแต่ก็จับใจความได้
แต่เขาคิดว่าหูของจุ๊ยต้องชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ป๊านี่มันลูก นั้นมันพ่อ  อีกอย่างเจ๊กพ๊งเขาก็ขอโทษกับเราแล้วด้วย  ตอนนี้เขารู้แล้วด้วยว่าตี้คบกับแหวน  เขาไม่ได้ว่าอะไรสักคำ  แถมยังดีกับตี้อีกต่างหาก” ตี้แย้ง
“ก็มันจะเยาะเย้ยอั๊วอีกไง.. มันจะได้หัวเราะเยาะอั๊วได้เต็มที่  ที่ได้ทั้งเมีย แถมได้ลูกชายคนโตอย่างลื้อไปอีกคน” ไฮ้จุ๊งสวนกลับทันที
อาราอิเห็นจุ๊ยตัวสั่น  น้ำตากำลังอาบลงมาที่แก้ม
“ป๊าจะหมกหมุ่นกับตรงนี้นานแค่ไหน  ทั้งหมดมันคือความผิดของป๊าด้วย  ถ้าป๊าไม่ติดนักร้อง จนม๊าต้องออกไปตามหา  เรื่องมันจะเกิดรึเปล่า  เจ็กพ๊งจะมีโอกาสข่มขีนม๊าไหมเล่า” ตี้ตอบโต้ออกไปอย่างรุนแรง
“ไอ้ตี้” บิดาลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว
 “ไอ้ตี้ ไอ้เก๊าเจ๊ง” แล้วไฮ้จุ๊งก็บันดาลโทสะ ตบหน้าตี้ไปหนึ่งครั้ง
ตี้สะบัดหน้ากลับ
“เอา เลย ป๊าจะตีตี้ให้ตายก็ได้  แต่ตี้จะไม่เลิกคบกับแหวน  เจ๊กพ๊งกับแหวนเป็นคนละคน  ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความผิดของเจ๊กเลยแม้แต่นิดเดียว” เขาคำราม
“ป๊า น่ะเห็นแก่ตัว  จริงตอนนั้นเจ็กพ๊งก็ออกมารับผิดชอบแล้ว  เขาก็บอกว่าจะรับผิดชอบจุ๊ย  จะเอาจุ๊ยไปเลี้ยง  แต่ป๊าก็ไม่ยอม  แล้วป๊าต้องการอะไร  ป๊าก็ได้ลูกของเขาไว้แล้วไง  ป๊าก็ใช้มันงกๆตั้งแต่เด็ก มันก็ทำตัวดี เป็นเด็กดีกับป๊า  ป๊ายังไม่พอใจอีกเหรอ  ป๊าต้องการอะไรอีก  จะให้เจ๊กพ๊งมาฆ่าตัวตายต่อหน้า  ป๊าถึงพอใจหรือไง”
“รับผิดชอบ ไอ้คนไร้มนุษยธรรมอย่างมันหรือจะรับผิดชอบ  มันมีเมียอยู่แล้วยังมายุ่งกับเมียชาวบ้าน  นี่หรือคนมีความรับผิดชอบของลื้อ” ไฮ้จุ๊งย้อนถาม
“แล้วมันต่างอะไรกับป๊า  ป๊าก็ไปติดนักร้อง  ป๊าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นม๊าเสียใจแค่ไหน  ถึงอั๊วจะแค่สามขวบแต่อั๊วก็จำได้  เจ๊กพ๊งอาจจะผิด แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับป๊าหรอก” ตี้ตอกกลับน้ำตาเริ่มเอ่อออกมา
“ป๊าน่ะห่วงแต่ตัวเอง  ถ้าป๊ารู้จักมองความผิดของตัวเองบ้าง  ป๊าก็คงไม่รั๊งไอ้จุ๊ยไว้  เพราะป๊าก็รู้ดีว่าเจ็กพ๊งอยากได้ตัวจุ๊ย ยี่อี้เล่าให้ผมฟังหมดแล้วว่า เจ็กพ๊งน่ะอยากได้ตัวจุ๊ยมาก เพราะเขารักม๊าแล้วก็เลยรักไอ้จุ๊ยด้วย  ถึงขนาดมากราบเท้าป๊าขอตัวมันไป  แต่ป๊าไม่ให้  ป๊าคิดอะไร  ป๊าต้องการแก้แค้นเขาด้วยไอ้จุ๊ยอย่างนั้นใช่ไหม”
“ไอ้ตี้  หยุดพูดได้แล้ว  เดี่ยวไอ้จุ๊ยก็กลับมาแล้ว  เรื่องของลื้อเอาไว้คุยกันที่หลัง” ไฮ้จุ๊งได้สติขึ้นมา  เพราะเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสามทุ่ม
ตี้ยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ป๊าคิดว่าจุ๊ยมันไม่รู้อย่างนั้นสิ”
อาราอิเอาขยับเข้าไปใกล้จุ๊ย เอามือจับที่บ่าของจุ๊ยที่กำลังสั่นเหมือนหนาวเหน็บ
“มันรู้เรื่องทุกอย่าง  มันเป็นคนถามเรื่องนี้จากม๊าเอง ม๊าก็เลยเล่าให้มันฟังเพราะไม่รู้จะทำยังไง.. ทุกวันนี้ป๊านึกว่ามันอยู่บ้านนี้เพราะรักป๊าหรือไง  มันอยู่เพราะม๊าบอกให้มันอยู่  บอกให้มันชดเชยทุกอย่างแทนพ่อจริงๆของมัน  มันถึงได้อยู่  มันถึงได้ทำงานทุกอย่าง รับผิดชอบทุกอย่าง ดูแลผมกับน้องๆ ถึงขนาดไม่ยอมไปต่างประเทศ  ก็เพราะมันต้องการชดเชยป๊าแทนพ่อของมันไง”
อีกด้านหนึ่ง โดยการแอบลงมาฟัง  ซัวก็ห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เขาต้องปาดน้ำตาซ้ำๆ
ไฮ้จุ๊งทรุดลงนั่งเหมือนเดิม
แล้วก็ไม่มีคำพูด
“ผมจะแต่งงานกับแหวน  ผมจะไม่ยอมเลิกเพราะความคิดเห็นแก่ต้วของป๊า  ถ้าป๊าไม่ชอบ ป๊าก็ต้องเลือกเอา  ว่าจะให้ผมไปจากที่นี่ ไม่กลับมาอีก หรือจะเลิกทิฐิบ้าๆของป๊าสักที” ตี้ยื่นคำขาด ตามสิ่งที่เขาเตรียมตัวมาเพื่อเผชิญหน้ากับบิดา  แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้
“อย่านะเฮีย” จุ๊ยออกเสียงไป  แล้วเขาก็ไขประตูบ้านเปิดเข้าไป
“อย่านะเฮีย  เฮียคือความหวังของป๊า  อย่าทำอย่างนี้เลย  เฮียไม่รู้หรอกว่าที่ป๊าทำไปก็เพื่อเฮียทั้งนั้น”
ทั้งบิดาและพี่ชายหันมา
ตอนนี้จุ๊ยน้ำตาอาบแก้มจนชุ่ม
แล้วจุ๊ยก็เดินมาคุกเข่าลงต่อหน้าบิดา
“ป๊า ผมขอร้อง ป๊าอย่าบังคับเฮียอีกเลย  ถ้าป๊ายังโกรธ  ป๊าตีผมเถอะตีให้ตายเลยก็ได้  แต่ป๊าอย่าทำอย่างนี้  อย่าทำร้ายตัวเอง  อย่าทำร้ายเฮียเพราะเรื่องนี้อีกเลยนะครับป๊า.. ผมขอร้อง”
ไฮ้จุ๊งไม่ตอบ  หันไปทางอื่น
“พอแล้วจุ๊ย” ตี้จับบ่าจุ๊ย
“เฮียก็ทนไม่ได้แล้วเหมือนกัน  ตลอดเวลาเฮียต้องทำโน่นทำนี่ตามใจเขามาโดยตลอด  ขนาดอยากจะเรียนยังต้องเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ  แกด่าเฮียว่าอกตัญญูก็ได้ แต่นี่มันเกินไปแล้ว  เฮียจะไม่ทน  พอสักที” แล้วตี้ก็หันไปหยิบกองเอกสารของตัวเอง
“ดูตัวเองนะจุ๊ย  แล้วก็อย่าไปทำตามใจเขามาก  เขาไม่ได้รักใครหรอกนอกจากตัวเขาเอง”
“เฮีย” จุ๊ยคว้ามือตี้เอาไว้
ตี้ชะงักแต่ก็สะบัดแล้วก็วิ่งออกไป
“เฮีย เฮียอย่าไป เฮีย”จุ๊ยลุกตามตอนนี้เขาร้องไห้ราวกับเด็กๆ  วิ่งตามออกมา ทว่าด้วยความรีบร้อนจึงสะดุดกับรางประตูเหล็กแล้วล้มลง
อาราอิรีบเข้าไปประคองไว้
ตี้หันมามองเห็นจุ๊ยในอ้อมกอดอาราอิ
“ฉันฝากน้องด้วยอาราอิ  ดูแลเขาแทนฉันด้วย” แล้วตี้ก็เดินจากไป
จุ๊ยจะลุกวิ่งตาม แต่ข้อเท้าของเขาแพลงเสียแล้วจึงล้มลงเหมือนเดิม แต่ก็ทำท่าจะลุกขึ้นอีก  อาราอิก็เลยเข้ามารั้งจุ๊ยไว้
“จุ๊ยอย่า ไม่ได้นะจุ๊ย”
จุ๊ยจึงกอดอาราอิไว้แน่น  แล้วปล่อยโฮออกมา
 
อาราอิเป็นนักคาราเต้  การปฐมพยาบาลตัวเองเขาต้องทำอยู่บ่อยๆ  ดังนั้นข้อเท้าของจุ๊ยที่อาราอิพันไว้ด้วยผ้าอีลาสติกจึงดูเรียบร้อยดี  เขาเอาหมอนข้างรองขาข้างนั้นด้วยให้เท้ายกขึ้นสูง
จุ๊ยนั่งมองอาราอิปฐมพยาบาลตัวเองจนเสร็จ
แล้วเขาก็มานั่งข้างจุ๊ยบนเตียง
“นายนี่น่ารักจังเลยน๊า  มินานามิจัง ขนาดมีคนใหม่แล้วก็ยังอดรักนายไม่ได้”
อาราอิหัวเราะหึๆ
“เรื่องของฉันกับนามิจังน่ะมันยังมีอะไรอีกมาก  นามิจังเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อยอย่างหน้าตา  เป็นสาวไฟแรงสูง แล้วก็ประเภทอยากได้ก็ต้องได้”
“เอ้ยพูดอย่างนี้ไม่ได้  มันน่าเกลียดยังไงเขาก็เป็นผู้หญิง” จุ๊ยปราม
อาราอิหันมามองหน้า
“นายก็สุภาพบุรษจังเลยน๊า  มินาทั้งออยทั้งหลิวถึงได้รักนัก รักหนา”
จุ๊ยหัวเราะหึๆบ้าง
แต่ก็เงียบไปทั้งคู่
“ขอบใจนะ  เราสองคนเริ่มจากการที่เจอกัน  ฉันปลอบใจนาย  นายก็บอกว่านายประทับใจฉันจากตรงนั้น  แต่เจอกันอีกทีฉันกลับต้องให้นายดูแล นายอยู่ด้วยทุกทีเวลามีปัญหาหนักๆ เรื่องวันนี้ ถ้าไม่มีนายอยู่ด้วยฉันอาจรับไม่ไหวก็ได้นะ” จุ๊ยกล่าวแล้วพลุบตาลงต่ำ
อาราอิเอามือจุ๊ยมากุมไว้

“ไม่หรอกนายเป็นคนเข้มแข็งออก  ถ้าเป็นฉัน  ฉันคงทำอะไรได้เลย  แต่นายนี่รู้ก็รู้มานานหลายปี  ก็ยังทนได้  แถมแสดงออกอย่างน่ายกย่องอีกต่างหาก  นายทำให้ฉันรู้สึกเลยว่าปัญหาของฉันมันช่างเล็กน้อย  ถ้าเทียบกับสิ่งที่นายต้องเผชิญตลอดมา”
จุ๊ยยิ้ม
“จริงๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น  เพราะแม้ป๊าจะไม่ใช่พ่อ แต่ป๊าก็ดูแลฉันดีนะ  ตอนฉันหกขวบเคยป่วยหนักมาก  อาม๊าก็ไม่อยู่เพราะไปเฝ้าไข้อากงที่ระยอง  ป๊ายังอุ้มพาฉันวิ่งไปโรงพยาบาลที่อยู่ไกลเป็นกิโลๆ  ตอนนั้นฉันเห็นเลยว่าป๊ารักฉันมาก  ฉันก็เลยไม่เคยเอ๊ะใจสักนิดว่าป๊าไม่ใช่พ่อของฉัน”  แล้วจุ๊ยก็ถอนหายใจ
“แต่เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งอาม๊าไปได้รางวัลจากงานนิทรรศการ เป็นตรวจสุขภาพฟรีทั้งครอบครัว  เราก็ได้รู้กันหมดบ้านว่าใครกรุ๊ปเลือดอะไร  ซึ่งเป็นคราวเดียวกับรู้ว่าม๊าเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดด้วย พอรู้อย่างนี้ฉันกับเฮียก็เลยค้นเรื่องเลือดกันใหญ่  แต่ดันไปเจอเรื่องของเกี่ยวกับกรุ๊ปเลือด”
“ป๊า เลือดกรุ๊ปโอ  ส่วนม๊ากรุ๊ปเอ  เฮียกรุ๊ปโอ  ไอ้ซัวกรุ๊ปเอ  ส่วนฮัวกรุ๊ปโอ  แต่ฉันดันเลือดกรุ๊ปเอบีอยู่คนเดียว  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ถ้าพ่อแม่เลือดกรุ๊ป โอ กับ เอ”
อาราอิต้องพยายามทำความเข้าใจ เพราะเขาก็ห่างชีววิทยามานานมาก
“ฉันก็เลยถามอาม๊าตรงๆ”
จุ๊ยยังจำได้ดี  เรื่องในวันนั้น..
 
เขาลังเลอยู่นานมากกว่าจะเข้าไปหาอาม๊าที่นอนอยู่ในห้องนอน  อาม๊าตอนนี้ดูอ่อนแอลงไปมาก  ต้องนอนแทบจะทั้งวัน 
“มีอะไรรึเปล่าจุ๊ย  จุ๊ยเหมือนอยากจะพูดอะไรใช่ไหม” ม๊าถามขึ้น  เพราะอย่างไรเขาก็เป็นลูก  ความผิดปกติเล็กๆน้อยๆของจุ๊ยย่อมปิดบังสายตาของเธอไม่ได้
จุ๊ยนั่งลงข้างๆเตียง เอามือจับมือมารดา  ตอนนี้มารดาผิวกร้านและผอมจนแทบจะเหลือหนังหุ้มกระดูก
“อาม๊า วันนี้จุ๊ยไปถามอาจารย์ที่โรงเรียนมา  คือจุ๊ยสงสัยว่าทำไมจุ๊ยเลือดกรุ๊ป AB อยู่คนเดียว”
มารดามีแววตาหม่นลงอย่างชัดเจน จนจุ๊ยเริ่มลังเลจะพูดต่อ
“เล่าต่อสิจุ๊ย” มารดากล่าว
จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ
“อาจารย์ ไม่รู้หรอกว่าเป็นจุ๊ย เพราะจุ๊ยบอกว่าแค่ถามเฉยๆ แต่ท่านบอกว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ กับ โอ จะแทบไม่มีทางมีลูกที่เลือดกรุ๊ป เอบีได้เลย”
ทั้งสองคนนิ่งไปนาน  จนจุ๊ยตัดสินใจถอดใจยิ้มกลบเกลือน
“แต่มันก็แค่แทบจะ  ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไม่ได้เลยนี่  อาจารย์เคยบอกว่าจุ๊ยหูดีกว่าคนอื่น  เป็นคนหนึ่งในหมื่น เลือดของจุ๊ยเลยอาจเป็นแบบนั้นก็ได้ แบบว่าแปลกว่าคนอื่น” 
“จุ๊ยรักป๊าไหม” อาม๊าถาม
จุ๊ยพยักหน้า
“ถ้าจุ๊ยไม่ใช่ลูกอาป๊าล่ะ  จุ๊ยจะยังรักอาป๊าอีกไหม”
จุ๊ยอึ้ง... เด็กวัยแค่สิบสามปีกำลังจะได้รับฟังความจริงที่น่าตกใจ

มารดา เล่าว่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง  ตั้งแต่ต้นเหตุคืออาป๊าไปติดนักร้องแล้วก็ไม่กลับบ้านหลายวัน  อาม๊าร้อนใจจนต้องขอร้องให้เจ๊กพ๊งพาไปตามหา  แต่ว่าไม่คิดว่าเจ๊กพ๊งจะคิดไม่ซื่อและข่มขืนเธอ  ต่อมาพอป๊ารู้เรื่องก็ได้สติ  แล้วกลับมา  แต่ไม่นานหลังเหตุการณ์ อาม๋าก็ท้องจุ๊ย  ทั้งป๊าและม๊าต่างรู้แก่ใจว่าจุ๊ยไม่ใช่ลูกของป๊าแน่นอน
จุ๊ยได้ฟังก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหมุนเหวี่ยงกลับตาลปัตร 
“จุ๊ยอย่าเกลียดป๊านะ  เพราะคนที่ผิดคือม๊าเอง ถ้าม๊า..” มารดาเอามือจับแขนจุ๊ย
“ไม่หรอกครับ ม๊าไม่ผิด” จุ๊ยตอบออกมา
แล้วหนุ่มน้อยก็ลุกขึ้น
“ม๊าครับ  ผมจะทำตัวเป็นคนเดิม  ผมจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เพราะยังไง คนที่เลี้ยงจุ๊ยมาก็คือป๊า  ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นเสียหน่อย”
 
“ตอนนั้นฉันอยู่ม.หนึ่งเองนะ  สับสนเลยหล่ะ  แต่ก็เลี้ยงฉันมาไม่ใช่เหรอ  ฉันก็เลยคิดได้ว่าเออ นะ ป๊าก็รักเรานี่น่า ขนาดฉันไม่ใช่ลูกเขา  ฉันก็เลยได้สติ  ต่อมาพอม๊าจะตายก็สั่งเสียให้ฉันดูแลครอบครัวแทนท่าน  ฉันก็เลยทำตามนั้น  เพราะต้องการตอบแทนที่ป๊าเลี้ยงดูฉันมา เฮียตี้ที่ไม่เคยรังเกียจฉันด้วย แถมฮัวกับซัวก็รักฉันมาก”
จุ๊ยถอนหายใจอีกรอบ
“ส่วนเรื่องพ่อ ตัวจริงของฉัน  ฉันก็รู้จากคนอื่นอีกทีว่าเขาเป็นเพื่อนรักของป๊า  แล้วแอบชอบแม่ของฉัน  แต่แม่ของฉันเลือกป๊า  เขาก็เลยแต่งงานไปกับผู้หญิงคนอื่น  ฉันคิดว่าเขาเป็นคนไม่รับผิดชอบคนหนึ่ง.."
"แต่ที่ไม่เคยรู้ก็คือเขาเคยมาขอฉันกลับคืนไป “
จุ๊ยแล้วก็ซบลงบนบ่าอาราอิ
“ตอนนี้  ฉ้นควรทำยังไงดีอาราอิ  ฉันจะทำยังไงเพื่อทำให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้  ฉันสงสารป๊าก็จริงแต่ก็สงสารเฮียด้วย  จะทำยังไง ให้เรื่องมันจบลงด้วยดี”
อาราอิก็เลยกอดจุ๊ยไว้แนบอก
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:09:04
ตอนที่ 56 : เกินทนได้
หยุดไปวันเดียว จุ๊ยก็ต้องมาเรียนโดยอาราอิต้องวนรถมาจอดที่หน้าตึกคณะ
“อ้าวเฮ้ย... ไปทำอะไรมาวะ  ขาเดี้ยง  เล่นท่ากันผิดจังหวะหรือไง” อ๊อดทักแต่ก็รีบลุกมาหมายจะมาช่วยจุ๊ย
แต่พอมาในรัศมี จุ๊ยยกไม้เท้าแทงเข้ากลางเป้า
“พ่อมึง”
ฮ้อยมองอ๊อดล้มลงตัวงอ แล้วก็หัวเราะหึๆเย้ย ก่อนจะเข้าไปช่วยเพื่อนต่อจากอาราอิ
“ตอนเลิกกี่โมง ฉันจะได้มารับ” อาราอิถาม
“บ่ายสอง  แต่ไม่ต้องก็ได้  ไอ้สองคนนี้อยู่เดี่ยวก็ช่วยจุ๊ยได้” จุ๊ยตอบ
“ใคร.. อยากช่วยมึง.. ไอ้เหี้ยจุ๊ย  แซวหน่อยเดี่ยวพ่อมึงเล่นกล่องดวงใจกู” อ๊อดลุกมาทำหน้าบอกชัดว่ายังจุก  แถมกุมเป้าไว้ด้วย
“ไอ้สัตว์ก็มึงปากหมาก่อน” จุ๊ยตอบโต้
“ไปแล้วนะ มีเทส” อาราอิกล่าวแล้วก็เดินกลับไปที่รถ  มองกลับมาก็เห็นจุ๊ยคุยกับเพื่อน  เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ  เขาถอนหายใจแล้วก็ออกรถ
 
จุ๊ยใช้ไม้ค้ำยันกระย่องกระแย่งเดินลงบันได เพราะเป็นชั่วโมงที่ควิส แต่อ๊อดกับฮ้อยยังทำไม่เสร็จ 
แต่พอลงมาถึงก็มีคนหนึ่งมารอรับ
“เป็นไงบ้างนี่  มาสิเฮียดูให้” ตี้กล่าวหลังจากพอจุ๊ยมานั่ง  เขาย่อตัวลงไป
“ใครทำให้เนี่ย  ใช้ได้เลยนะ”  แล้วเขาก็ลุกไปเปิดกระเป๋าอุปกรณ์แพทย์ที่สะพายมาด้วย  แล้วจัดการทำการเปลี่ยนผ้าให้
จุ๊ยมองพี่ชายจัดการกับข้อเท้าของเขาอย่างมืออาชีพ
“เฮียครับ  จุ๊ยอยากให้เฮียกลับไปคุยกับป๊า  ผมไม่อยากให้ครอบครัวเราเป็นแบบนี้เลย”
ตี้หยุดมือนิดหนึ่งก่อนจะพันผ้าต่อ
“จุ๊ย  ปัญหามันไม่ได้มาจากเฮีย  เฮียว่าเฮียไม่ได้ทำผิด  เราสองคนรักกัน  แต่ป๊าเองต่างหากที่ทิฐิมาก  ถ้าป๊าเลิกทิฐิเมื่อไหร่เราค่อยกลับไปคุยกันดีๆ”
จุ๊ยถอนหายใจ
“แต่เฮีย...” จุ๊ยจะแย้ง
“อย่าเลยจุ๊ย พอแล้ว เฮียไม่อยากจะพูดถึงอีก  ให้จุ๊ยพูดยังไง เฮียก็ยืนยัน” ตี้ตัดบท
 
ขาของจุ๊ยดีขึ้นสองอาทิตย์จนเดินได้เกือบปกติแล้ว  แต่ก็พันข้อเท้าเอาไว้ตามคำสั่งของเฮียตี้  กระนั้นเขาก็เริ่มต้นทำงานบ้านไปตามปกติ   หลายวันมานี่ บ้านบรรยากาศอึ้มครึมมาก  ความสบายใจช่วงเดียวคือตอนที่อยู่กับอาราอิสองคนในห้อง  แต่สองวันมานี่ อาราอิก็มีงานที่ต่างจังหวัดก็เลยไม่ได้มา
ตอน นี้ป๊าถามคำตอบคำ  ส่วนซัวก็ออกจากบ้านทันที่ที่จัดร้านเสร็จ  แล้วจะกลับเข้ามาก็ตอนเก็บร้าน แล้วก็คุยกันไม่กี่คำก็ขอตัวไปนอนโดยอ้างว่างานที่ร้านสะดวกซื้อหนักมากขึ้น เพราะมีพนักงานโดนพักงานไปสองคน
จุ๊ยลากเก้าอี้มานั่งหน้าบ้านเหมือนทุกวันที่เขาอยู่เฝ้าร้าน  โดยกำลังสนทนากับหลิวผ่านไลน์
เธอเล่าให้ฟังว่าเรียนหนักมาก  และคงไม่ได้กลับมาในปีนี้  แต่จะกลับมาในช่วงคริสต์มาสปีหน้าเลยทีเดียว
จุ๊ยก็บอกให้รักษาสุขภาพให้ดี
แล้วระหว่างที่พิมพ์โต้ตอบกัน  เขารู้สึกว่ามีคนมายืนหน้าเขา
จุ๊ยนึกว่าลูกค้าเลยเก็บโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นทักทาย
แต่กลายเป็นว่าเขาต้องนิ่งไป  รอยยิ้มที่เตรียมไว้สำหรับลูกค้าหดหาย
“จุ๊ย” ผู้ยืนตรงหน้าเรียก
 
จุ๊ย นึกอยากให้อาราอิกลับมาจากต่างจังหวัดเสียตอนนั้น  แต่ก็เป็นไปไม่ได้  จึงได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองไป  เขารินน้ำออกมาให้แขกผู้มาเยือนซึ่งนั่งเผชิญหน้ากับป๊าโดยมีแค่โต๊ะบัญชี กั่นตรงกลาง
จุ๊ยเอาน้ำให้แล้วก็เดินออกไปนั่งที่เดิมโดยพยายามไม่หันไปมอง
“ลื้อมาทำไม” ไฮ้จุ๊งถามเสียงเย็น
พ๊งหัวมองหน้าเพื่อนสนิทที่ต้องแตกแยกกันไปก่อนจะตอบ
“อั๊วจะมาคุยกับลื้อให้รู้เรื่อง  เรื่องของเราเป็นเรื่องของเรา  ไม่เกี่ยวกับเด็ก เด็กสองคนจะรักกันมันก็เรื่องหนึ่ง ความขัดแย้งของเรามันก็อีกเรื่อง” น้ำเสียงของพ๊งหัวเข้มและจริงจัง 
“ที่ ลื้อพูดนั่นมันลูกชายอั๊ว  แต่ไหนแต่ไร  มันไม่เคยกระด้างกระเดื่องแต่ตอนนี้มันทำอะไร กล้ามาชี้หน้าต่อว่าอั๊ว ถ้าไม่มีคนเสี้ยมสอนมันจะกล้าเหรอ” ไฮ้จุ๊งตอบโต้แต่เสียงยังนิ่งอยู่
พ๊งหัวถอนหายใจ
“ลื้อนี่มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่น จนโตก็ไม่เคยเปลี่ยน  ลื้อมันหัวรั้น  แล้วก็คิดแต่ตัวเองเป็นหลัก”
“ตี้ มันลูกหรือเป็นอะไร ลื้อถึงได้เอาแต่ใจบังคับมันให้ทำโน่นทำนี้  ตามใจลื้อ  จะบอกว่าหวังดี  มันก็ใช่ แต่ลื้อต้องลองนึกถึงใจมันบ้าง  มันอยากจะมีอิสระ  แต่จะทำอะไรลื้อก็ค้าน ลื้อก็ไม่ได้  อย่างที่มันอยากเป็นวิศวกร ลื้อก็บอกว่าไม่ดีให้เรียนหมอ  ตอนนี้มันรักกับแหวนลื้อก็เอาเรื่องเก่าของเรามาอ้างไม่ให้มันคบ  ลื้อนี่มันเผด็จการจริงๆ”
“แต่มันเป็นลูกอั๊ว  ลูกอาเหม่ย... ลื้อคิดว่ามันควรจะญาติดีกับคนที่ทำร้ายจิตใจแม่มันเองหรือเปล่า” ไฮ้จุ๊งตอบโต้ทันควัน
พ๊งหัวนิ่งไป ก่อนจะตอบออกมา
“พูด อย่างกับลื๊อไม่ได้บังคับจิตใจอาเหม่ย  เราสองคนมันก็เลวพอๆกัน  ที่จริงเรารู้ดีแก่ใจว่า อาเหม่ยชอบถนอม  แต่ลื้อก็ยังกล้าไปข่มเหงน้ำใจอี แล้วก็มัดมือชกไปเอาผู้ใหญ่ที่ครอบครัวของเหม่ยนับถือไปบีบให้ยกเหม่ยให้  เหม่ยก็ต้องยอม เพราะเป็นของลื้อไปแล้ว”
จุ๊ยเกือบทำโทรศัพท์ที่กำลังพิมพ์คุยไลน์กับอาราอิหลุดมือตกลงไป  แม้จะตกใจ แต่เขายังมีสติบ้างขืนตัวไม่ให้หันไป
“ลื้อหุบปากเดี่ยวนี้” ไฮ้จุ๊งเสียงดังขึ้น  แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์
“ทำไม... กลัวจุ๊ยมันจะรู้เหรอ.. ก็ให้มันรู้ไปเลยว่าคนที่มันเรียกป๊ามันน่ะเป็นคนยังไง  ลื้อจะโกรธอั๊วที่ทำร้ายเหม่ย อั๊วก็ยอมรับผิด แต่ลื้อหล่ะ  ยอมรับไหมว่าก็ทำเหมือนกัน  เพราะถ้าไม่ทำ  ป่านนี้เหม่ยคงไปอยู่กับถนอมแล้ว  และอาจดีกว่ากว่าอยู่กับลื้อ  เป็นแม่บ้านทำงานงกๆ “
“ไอ้พ๊ง” ไฮ๊จุ๊งลุกขึ้นยืน
“ทำไม หรือพูดไม่จริง  ไม่อย่างนั้นอาเหม่ยจะอยากให้จุ๊ยเรียนดนตรีทำไม  มันแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าอาเหม่ยไม่เคยตัดใจจากถนอมได้เลย  แต่เพราะเหม่ยเป็นผู้หญิงดี  ถึงได้ทนอยู่กับลื้อ  แถมยังสอนให้ไอ้จุ๊ยให้ปรนนิบัติลื้ออย่างดี” พ๊งหัวลุกขึ้นเผชิญหน้า
“พอแล้วครับ  สองคนเลิกทะเลาะกันสักที” เสียงจุ๊ยดังขึ้น
ทั้งสองหันมา
จุ๊ยยืนกำหมัดแน่น จนสั่น
“พอ แล้ว  ให้เกียรติอาม๊าด้วย  สองคนจะทะเลาะอะไรกันก็เรื่องของพวกป๊า  อย่าเอาม๊าเข้าไปเกี่ยว  และอย่าเอาพวกเราเข้าไปเกี่ยว  พอสักที”
แล้วจุ๊ยก็หันหลังวิ่งออกจากร้านไป
“จุ๊ย” พ๊งหัวขยับจะตามไป  แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางจะทัน
ไฮ้จุ๊งก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้
 
อาราอิกำลังจะบ้า เพราะหลังจากข้อความสุดท้ายที่คุยกันแล้ว  เขาก็ไม่ได้ข่าวจากจุ๊ยอีกเลย  เขาขอลางานจากผู้กำกับ  แล้วรีบเดินทางกลับกรุงเทพเพื่อมาหาจุ๊ย  แต่นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วที่จุ๊ยหายไป 
ไม่ใช่แค่เขา  แต่ครอบครัวของจุ๊ย เพื่อนๆของจุ๊ย รวมทั้งพ๊งหัวเองก็หัวหมุนกับการตรวจสอบและออกตามหา 
แต่แม้จะหากันแทบพลิกกรุงเทพแล้ว  แต่ก็ไม่วี่แวว  ประกาศออกโซเชียลมิเดียกก็แล้วก็ไร้ผล  โทรศัพท์จุ๊ยก็ปิดทิ้ง หรือไม่ก็แบตตารี่หมดไปแล้วตั้งแต่วันแรก
“เฮียเขามีเงินติดตัวไปด้วยนะ  เพราะผมไม่เจอกระเป๋าสตางค์ของเฮียในห้อง” ซัวกล่าวแล้วถอนหายใจยาว
“เขาอาจจะไปต่างจังหวัด  แต่ปัญหาคือจังหวัดในประเทศมี77จังหวัด  จะไปหาที่ไหนก่อนดี”
อ๊อดกอดอก พยายามคิด แต่ก็คิดไม่ออก
ตอนนี้พวกเขาที่เป็นรุ่นเด็กมาประชุมกันอยุ่ในร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู๊ตแห่ง หนึ่งที่ใช้เป็นจุดนัดพบหลังจากแยกกันออกไปตามหาจุ๊ยมาทั้งวัน
“เรา ก็ไปกันหมดทุกที่แล้วนะ  ตรวจสอบสายการบินก็แล้ว  แต่ก็ไม่มี  ผมพยายามใช้เส้นสายของพ่อก็แล้ว  แต่ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้มาก  เหมือนกับจุ๊ยหาย.. ไปเฉยๆ” เดฟจะพูดคำสุดท้าย  ก็เหลือบมองหน้าอาราอิก่อน เพราะตอนนี้อาราอินั่งหน้าเครียดอยู่
ฮ้อยถอนหายใจยาวเหยียด 
“มันจะไปอยู่ไหนได้อีกนะ  นี่ฉันก็โทรถามทุกคนแล้วนะเนี่ย”
อัศวะก็ถอนหายใจตามมาติดๆ
“พยายามคิดว่าไอ้จุ๊ยมันเคยบอกว่าที่ไหนมันประทับใจ  แต่ก็นึกไม่ออก”
ตี้มองหน้าทุกๆคน  แล้วหันมาสบตากับแหวน
“เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมแท้ๆ” ตี้ทิ้งกายกับที่นั่งอย่างอ่อนแรง
แหวนก็จับมือเขาไว้
ซัวมองภาพนั้นก่อนจะกล่าว
“มันไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนั้น  สำคัญเราต้องหาตัวเฮียจุ๊ยให้เจอ”
อาราอิยังไม่ได้พูดอะไร  แต่เขาเอาโทรศัพท์มาดูเนื่องจากได้รับข้อความจากทางกองถ่ายเรื่องนัดคิวใหม่
ก็เลยเปิดดูเฟสบุ๊คดูต่อ แต่เป็นการเลื่อนลงไปอย่างไม่มีจุดหมาย
แต่แล้วก็มีข้อความส่งเข้ามาทางเฟสบุ๊ค
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:09:36
ตอนที่ 57 : พักหัวใจ
พออาราอิอ่านจบก็รีบลุกขึ้น
“ขอตัวนะ  มีธุระ” 
ทั้งหมดมองหน้ากัน
 
เครื่องบินพาอาราอิมาถึงภูเก็ตในเวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ  พอมาถึงเขาก็เช่ารถขับไปสถานที่หนึ่ง
ในแสงแดดยามเย็น  อาราอิเดินขึ้นไปตามเสียงที่ได้ยิน  แซกโซโฟนเทนเนอร์เสียงกังวาน เป็นเพลง Autumn Leaves
เขานั่งลงใกล้ๆกับคนเป่ามองที่หันหน้าออกไปยังพระอาทิตย์ยามใกล้อัสดง
มีนักท่องเที่ยวหลายคนหยุดถ่ายภาพ บางคนถ่ายคลิป จนกระทั้งเพลงจบ เสียงปรบมือก็เกรียวกราว
“ไปเอาแซกมาจากไหน” อาราอิถาม
เขาปลดมันจากการสะพาย  นั่งลงข้างๆ
“พอดีเจอกับฝรั่งคนหนึ่งมันต้องการค่าเครื่องบินกลับบ้าน เลยเอามาเร่ขายแถวหน้าสถานีบขส. ฉันก็เลยซื้อเอาไว้”
“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม” อาราอิถาม
เขาพยักหน้า
“แซกตัวนี้หล่ะ  ฉันถึงได้รู้สึกดีขึ้น”
“ยังไงนายก็ตัดขาดดนตรีไม่ได้สินะ” อาราอิถอนหายใจ
“ขนาดฉันนายยังไม่อยากเจอ  ก็คงมีแต่ดนตรีนั้นหล่ะที่เข้าถึงนาย ใช่ไหมจุ๊ย”
เงียบไปสักพัก  แล้วก็เอามือมาจับที่แขน
“ไม่ นะ  แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดี  เพราะถ้านายรู้คนอื่นก็ต้องรู้  ฉันไม่อยากเจอหน้าใครเลยตอนนั้น  นอกจากนาย  แต่ก็กลัวคนอื่นจะรู้เรื่อง”
อาราอิเห็นผมจุ๊ยมีเหมือนดอกไม้เล็กๆติดอยู่ก็เลยเอาออกให้
“แล้วอยากเจอผู้เจอคนหรือยังล่ะตอนนี้” อาราอิถาม
จุ๊ยก้มหน้า
“อีกสองวันได้ไหม”  จุ๊ยบอก แล้วก็มองไปที่ทะเล
“นายพาฉันไปเที่ยวหน่อยสิ  ฉันอยากไปเที่ยว  เงินหมดแล้วหล่ะ ซื้อแซกไปหมดเลย”
อาราอิหัวเราะหึ
“เห็นฉันเป็นกระเป๋าเงินรึไง”
จุ๊ยหันมามองหน้ากำลังจะพูดแก้ตัว  แต่อาราอิเอามือจับแก้มเขาไว้
“แต่แค่นั้นก็ยังดี  อยากไปไหนล่ะ จะพาไป”
 
เดฟนั่งเงียบไปตลอดทางจนกระทั้งอัศวะจอดรถลงหน้าบ้าน
“พรุ่งนี้เอาไงหล่ะ  จะไปตามที่ไหนกันต่อ” อัศวะถาม
“ไม่ต้องแล้วหละ  ฉันว่านะ” เดฟกล่าวออกมา
“อัสคิดว่าที่อาราอิอยู่ดีๆก็ลุกออกไปเพราะอะไรหล่ะ  มีเหตุผลเดียวเท่านั้นล่ะ คือจุ๊ยติดต่อมา”
อัศวะเอานิ้วเคาะพวกมาลัยเบาๆ เขาเองก็สงสัยเช่นนั้น
“ยังรู้สึกใช่ไหมหล่ะ  ที่เห็นจุ๊ยให้ความสำคัญกับอาราอิมากขนาดนี้”
เดฟเงียบไป  ก่อนเอามือของอัศวะมากุม
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะหนักกว่านี้  แต่ตอนนี้  ผมพอรับได้นะ  แต่จะให้เฉยๆไปเลยคงยังไม่ไหว”
อัศวะถอนหายใจ  แล้วก็ดึงเดฟมากอด
“ฉันจะรอ  แต่แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วหล่ะ  อย่างน้อยนายก็อยู่กับฉัน”
 
อ๊อดกำลังทำขึ้นสายไวโอลีนใหม่อยุ่ตอนที่เมืองฟ้ากำลังนั่งตรวจสอบข่าวจากโซเชียลมิเดีย
“อ้าวนี่ไงเฟสจุ๊ยอัพแล้ว” เมืองฟ้าร้องอย่างยินดี
อ๊อดไม่แปลกใจเดินมายืนข้างเมืองฟ้า
ที่อัพเดตเป็นรูปอาราอิกำลังยืนอยู่ข้างรถใต้แสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน
 
ตี้ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้เห็นว่าเฟสบุ๊คของน้องชายมีการอัพเดท  และมีการเช็คอินตามมาอีกที่เซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต
เขาเริ่มรู้สึกผิดกับการกระทำของตนเอง  ถ้าไม่ใช่เพราะความรักของเขากับแก้ว  เรื่องราวในอดีตนี้จะไม่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ทุกคนจะลืมไปหมดแล้วว่าจุ๊ยไม่ใช่ลูกของป๊า  เพราะตลอดเวลานับจากม๊าเสียไปจุ๊ยคือหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของบ้าน เขาเองต่างหากที่เสวยสุขแทบไม่เคยแตะต้องงานอะไรในบ้าน เพราะป๊าอยากให้เขาเรียนให้เต็มที่ 
แต่กระนั้นจุ๊ยก็ทำหน้าที่ได้ดี  แม้ตัวเองจะต้องซ้อมดนตรี  และไปแข่งขันที่นั้นที่นี่ก็ตาม
ตี้เริ่มลังเลต่อจุดยืนตัวเอง 
หรือเขาควรตัดใจและสละความรักครั้งนี้เพื่อจุ๊ย  น้องชายต่างบิดา ที่เขารัก...
 
ตอนที่อาราอิออกจากห้องน้ำ  จุ๊ยกำลังนั่งดูละครที่อาราอิเป็นพระเอก แถมเป็นฉากที่พระเอกกับตัวอิจฉาขึ้นเตียงเสียด้วย
เขาเลยอยากรู้ว่าจุ๊ยจะทำหน้าอย่างไรก็เลยแกล้งไปทำโน่นทำนี่อยู่แต่เหลือบมา
แต่จุ๊ยก็นั่งดูไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร  จนพักเบรกโฆษณา
“น้อยใจจัง” อาราอิกล่าวขึ้น
“ทำไมนายไม่แสดงออกอะไรบ้าง”
จุ๊ยหันมามองหน้า
“แสดงออกอะไร”
“อ้าว... ก็นายนั่งดูฉันจูบกับคนอื่น  กอดกับคนอื่นนี่นายไม่มีปฏิกิริยาอะไรบ้างเหรอ” อาราอิตอบ มองหน้าจุ๊ยจากกระจก
นิ่งไปครู่ก่อนจุ๊ยก็หัวเราะออกมา
“อ้าวนี่นึกว่านายแสดงเฉยๆ  ตกลงฉากนี้นายคิดอะไรกับดาราคนนี้จริงๆเหรอ” จุ๊ยถามกลับ หันมาส่งสายตาระแวง

“เฮ้ย เปล่านะ” อาราอิหันมาทำหน้าเหวอ
“ฉันไม่ได้บอกอย่างนั้นเสียหน่อย”
จุ๊ยก็โยนหมอนที่กอดไว้ไปข้างๆ
“แล้วจะให้ทำยังไง” จุ๊ยถามกลับ
“แบบ... อาราอิเธอนอกใจฉัน  แล้วก็เดินไปทุบหัวไหล่ โป๊กๆน่ะเหรอ”
จุ๊ยไม่ได้พูดเฉยๆ แต่ทำท่าประกอบด้วย
อาราอิขำ
“ทำไม่เป็นวะ” จุ๊ยส่ายหัว  แล้วก็กดรีโมทเปลี่ยนช่อง
“แต่ละครเรื่องนี้มันน้ำเน่าเป็นบ้าเลยนะ  นายก็รับเล่นไปได้”
อาราอิเดินมานั่งกอดจุ๊ยจากด้านหลัง
“ก็เขาติดต่อมา  ละครรีเมคมันก็อย่างนี้หล่ะบางเรื่องก็น้ำเน่า”
แล้วเขาก็หอมบนหลังคอจุ๊ย
“สามวันมานี่แอบนอกใจฉันบ้างรึเปล่า แอบไปควงสาว ควงหนุ่มที่ไหนบ้างไหมเนี่ย”
“โอ้โห... สามวันเนี่ยนะ  ทั้งเกาะยังรู้จักคนไม่ถึงสิบคน จะเอาที่ไหนไปควง” จุ๊ยท้วงก่อนจะเปลี่ยนช่องอีก เป็นรายการถ่ายทอดฟุตบอลต่างประเทศ ก็เลยหยุดดู
“รู้สึกแย่ขนาดนั้น  ไปยืนเล่นแซกแก้เซ็งตั้งแต่เช้าจรดเย็น ดูนี่ ดำเลยเห็นไหม” ว่าแล้วก็ถลกแขนเสื้อให้ดู
จุ๊ยเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะถาม
“ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง”
อาราอิเอาหอมผมจุ๊ยก่อนจะตอบ
“เขา ก็ตามหาคุณชายกันแทบพลิกแผ่นดินน่ะสิ  อ๊อด ฮ้อย เดฟ อัศ พี่กับน้องของนาย แล้วก็เพื่อนๆนายที่คณะกระจายตัวไปตามที่นั่นที่นี่  ไปถามตามโรงพยาบาล  ไปยันมูลนิธิกู้ภัย  แต่ก็ไม่มีวี่แววของนาย นี่ก็แจ้งความไปแล้วด้วย”
จุ๊ยหัวเราะหึๆ
“เห็นไหมใครๆก็รักฉัน  ก็อย่างนี้ล่ะนะ  คนมันน่ารักนี่หน่า”
อาราอิยิ้มจางๆ
“แต่อย่าทำบ่อยๆนะ  ฉันจะตายเอา... ใจมันร้อนเป็นไฟ  นอนก็นอนไม่ได้  เป็นห่วง กังวล คิดไปสารพัดเลย”
จุ๊ยเม้มปากนิ่ง ก่อนจะตอบ
“ไม่แล้วหล่ะ  หลังจากเหตุการณ์นี้ ฉันคงจะเข้มแข็งมากขึ้นเลยล่ะ”
แล้วทั้งคู่ก็นิ่งกันไป
“ว่าแต่นายเหอะ... ถ้าฉันไม่อยู่ก็ว่าวบ้างเหอะ... นี่อยากมากเลยเหรอ เอามาดุนหลังฉันอยู่ได้”
อาราอิหน้าแดง  เอาศอกฟันหัวไปทีหนึ่ง
“นายนี่... ไม่โรแมนติกเลยวะ กะจะกอดบิวอารมณ์สักหน่อย”
“โอ้โห... ดุนซะขนาดนั้น... ไม่ต้องบิวแล้วมั้ง” แล้วจุ๊ยก็ดิ้นจะหนี
แต่อาราอิกลับดังจุ๊ยกลับมา  แถมรวบตัวลงไปนอนก่อนจะพลิกมาอยู่เหนือร่างนั้น
“ฉันห่วงนายมากเลยนะจุ๊ย  กลัวนายเป็นอะไรไป นายห้ามทำอะไรอย่างนี้อีกนะ”
ดวงตาอาราอิบอกความหมายตามคำพูด
จุ๊ยยิ้มยีวน
“ก็จะพยายาม”
แล้วสองสายตาก็ประสานกันนิ่ง 
อาราอิจุมพิตลงบนริมผีปากของจุ๊ยอย่างอ่อนโยน
ในโทรทัศน์คู่แข่งขันฟุตบอลกำลังขับเคี่ยวกันเข้มข้น  แฟนบอลก็ส่งเสียงกันสนั่น 
ทว่าในห้วงแห่งอารมณ์ของอาราอิและจุ๊ยบทเพลง  Nocturne no. 6 F Major ของ John Field กำลังบรรเลงท่วงทำนองเปียโนอันแว่วหวาน สอดคล้องการเคลื่อนไหวตอบสนองต่อกันของคนทั้งคู่
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:10:08
ตอนที่ 58 : โรงแรมนี้ชื่อรักสายน้ำ
โรงแรมนี้เป็นบูติกโฮเตลขนาดเล็ก  ดังนั้น อาราอิกับจุ๊ยต้องยืนรออยู่นานพอสมควรเมื่อมาเช็คเอาท์  ระหว่างนั้นจุ๊ยก็เหลือบเห็นเปียโนแนวตั้งอยู่หลังหนึ่ง เขาก็เลยนั่งลงหันมองซ้ายมองขวา
“เฮ้ยเดี่ยวเขาก็ว่าหรอก” อาราอิเดินมา
“นิดเดียวน่า ไม่ได้เล่นนานละ” จุ๊ยว่าแล้วเปิดฝาครอบคีย์
แล้วก็บรรเลงเพลง Piano Sonata No 2 in B flat minor ของ โชแปง
สักครู่ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาตามเสียงนั้น  แล้วได้เห็นจุ๊ยนั่งเล่นเปียโนอยู่
เธอรอกระทั้งเพลงจบ  แล้วจึงกล่าวทัก
“จุ๊ยใช่ไหม”
จุ๊ยหันไป
“ครับน้าเก๋”
ภายในห้องทำงาน น้าเก๋รอให้เด็กเอาเครื่องดื่มมาเสริพแล้วถอยออกไป
“นี่ไม่รู้นะว่าจุ๊ยมาพัก  ไม่อย่างนั้นจะให้พักห้องใหญ่สุดเลย"
“ผมก็ไม่ทราบหรอกครับว่าที่นี่เป็นของน้าเก๋” จุ๊ยตอบแล้วมองหน้าอาราอิ
“พอดีผมกับเพื่อนขับรถผ่านเห็นโรงแรมสวยเลยเข้ามาเลย”
“ไม่ เจอกันนานมากเลยนะ  ตั้งแต่งานศพของไตร” เธอยิ้มแล้วก็มองไปบนผนัง  รูปของเด็กหนุ่มผิวสองสีสวมหมวกเบสบอลกลับหลัง ยืนกอดประคองแซกโซโฟนอยู่โดยมีรอยยิ้มละไม
จุ๊ยก็หันมองภาพนั้น  เขาก็ยิ้มออกมา
“มิน่าผมถึงได้รู้สึกเหมือนคุ้นเคยแปลกๆ”
“ก็ น่าจะเป็นอย่างนั้นหล่ะจ๊ะ  เพราะที่นี่สร้างขึ้นตามความฝันของไตรเลยนะ  เขาเคยบอกว่าอยากจะสร้างโรงแรมสักแห่ง  แล้วเขาจะได้มาใช้ชีวิตที่ภูเก็ต” น้าเก๋กล่าวในรอยยิ้มเมื่อนึกถึงอดีต
“ยังเล่นดนตรีอยู่ใช่ไหม” น้าเก๋ถาม
“ครับ  ยังเล่นอยู่” จุ๊ยตอบ
“ก็ดีแล้วหล่ะ  เพราะไตรเขาก็อยากให้จุ๊ยเดินทางนี้ไปตลอด เขาบอกว่าจุ๊ยมีพรสวรรค์ จะต้องไปได้ไกลกว่าใครแน่นอน” น้าเก๋กล่าว
 
พูดคุยสักครู่ส่วนใหญ่คือถามไถ่ถึงเพื่อนเก่าๆของไตรเช่นฐา  ส่วนจุ๊ยก็ถามถึงสุขภาพและการงานของครอบครัวของไตรที่เขารู้จัก  แล้วก็ต้องลากัน
น้าเก๋เดินมาส่งจุ๊ยกับอาราอิที่รถ
“ถ้าไตรรู้ว่าจุ๊ยมาที่นี่คงจะดีใจมาก  หรือไม่แน่จะเขาอาจดลใจให้จุ๊ยผ่านมาก็ได้”
“ผมจะไปบอกเพื่อนพี่ไตรคนอื่นๆ  เรื่องโรงแรม  พวกเขาจะได้มาเยี่ยมคุณน้าบ้าง” จุ๊ยบอก
น้าเก๋ยิ้ม
“ดีแล้วหละ  นึกว่าจุ๊ยจะลืมพี่ไตรไปแล้วซะอีกนะ”
จุ๊ยยิ้ม
“ไม่ลืมหรอกครับ  เพราะผมเก็บพี่ไตรไว้ในอดีตที่แสนดีเสมอ  แต่เพราะชีวิตของเราต้องก้าวไปข้างหน้าตลอด ตอนนี้และอนาคต  ผมก็มีคนที่จะสร้างความทรงจำใหม่ๆต่อไปครับ แต่พี่ไตรจะอยู่ในอดีตของผมตลอดไป”
ประโยคนี้จุ๊ยพูดแล้วหันไปสบตากับอาราอิ 
น้าเก๋เห็นแววตาของสองคนแล้วก็ยิ้มออกมา
 
พอกลับรถเรียบร้อย  น้าเก๋ก็ยังยืนอยู่แถมทำท่าเหมือนจะบอกอะไร  อาราอิเลยเปิดกระจกลง
“เดี่ยวเลี้ยงขวาออกไปจะง่ายกว่า  มันจะมีถนนตัดไปเจอกับถนนเส้นหลักเลย  แล้วถ้าหิวจะมีร้านขนมจีนอร่อยๆอยู่ข้างทาง  แวะทานกันก็ได้นะ  บอกเจ้าของร้านว่าเป็นหลานของน้า เราเป็นญาติกัน  เขาจะให้จุ๊ยเป็นพิเศษ จะได้อิ่มๆ” น้าเก๋บอก
จากนั้นก็บอกกับอาราอิ
“เป็นดารา  ต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์  เรื่องที่เรามาพักที่นี่น้าจะไม่บอกใครก็แล้วกันนะ  น้าจะกำชับไม่ให้เด็กเอาไปพูดต่อ แล้ววันหลังอยากมาพักภูเก็ตสองคนแบบไม่มีใครรบกวนก็บอกนะ”
อาราอิกล่าวขอบคุณ
จุ๊ยยกมือไหว้อีกครั้ง
 
รถเลี้ยวออกไปแล้ว  เก๋สูดลมหายใจลึกๆ
“จุ๊ยเป็นคนน่ารักเนอะ ไตร  อยู่กับใครก็อดรักเขาไม่ได้หรอกจริงไหม  แต่ถ้าวันนั้นไตรบอกแม่สักคำว่าคนที่ไตรรักคือจุ๊ย  ไม่แน่นะตอนนี้คนที่ขับรถอยู่อาจเป็นไตรก็ได้”
แล้วเธอก็มองป้ายชื่อโรงแรมที่ลูกชายเป็นคนตั้งตอนที่เล่าความตั้งใจให้ฟัง
รักสายน้ำ..
“เอหรือไตรบอกแม่แล้วแต่แม่ไม่สังเกตเองก็ไม่รู้”
 
 
กลับกรุงเทพมาได้หลายวันแล้ว จุ๊ยก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ  เขายังคงทำความทำงานตามหน้าที่ไปอย่างเดิม  แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็มีให้เห็น นั่นมาจากท่าที่ของป๊าต่อเขา  เหมือนป๊าจะอยากพูดอะไรกับเขา
แต่จุ๊ยก็รู้ว่าป๊าปากหนักเกินกว่าจะเอ่ยปากเอง  แล้วจุ๊ยเองก็ไม่อยากจะพูดถึงด้วย
ระหว่างที่จุ๊ยกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่นั้นเอง  อ็อดก็โทรเข้ามา
“ว่างไหม” อ๊อดถาม
“อืม ก็ว่างนะ  แต่ตอนนี้กำลังทำกับข้าว”
“เดี่ยวออกมาเจอกันหน่อยสิ  พี่สรรค์จะคุยเรื่องวงดนตรีใหม่  ไอ้ฮ้อยมันตกลงแล้ว”
จุ๊ยพยักหน้าพลางฟังพลาง มือก็ผัดผักบุ้งไปด้วย
 
พี่สรรค์เป็นออแกนไนเซอร์ที่เชียวชาญเรื่องดนตรี  ในอดีตเคยเป็นนักร้องสมัยเป็นวัยรุ่น  ตอนนี้เรียนจบแล้วก็ผันตัวมาเป็นคนจัดหาวงดนตรีให้กับงานอีเว้นท์ต่างๆ
พี่สรรค์มีบุคลิกแสดงออกชัดว่าเป็นคนชอบเพศเดียวกัน  แม้จะไม่ได้สาวแต่ก็มักจะเผลอปรายหางตาเวลาคุย
“เล่นเป็น Trio ก็ดีเหมือนกัน  พี่ชอบมากเลย” พี่สรรค์กล่าวสรุปในตอนท้าย
“รับงานเลยก็ได้มั๊ง พี่มีงานอาทิตย์หน้าพอดี เป็นงานของพี่เองหล่ะ  “
จุ๊ยกับฮ้อยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว พอโดนถามก็เลยตอบตกลงไป
 
พี่สรรค์อาสามาส่งพวกจุ๊ย  แต่น่าแปลกว่าเขากับไปส่งจุ๊ยก่อนทั้งจากจุดนัดพบ  จะต้องถึงที่พักของอ๊อดก่อนจุ๊ย  แต่อ๊อดก็ไม่ได้สอบถามอะไร  เพราะจริงๆแล้วเขารู้ดีแก่ใจ
พอถึงหน้าอาคาร  สรรค์ก็วางมือบนตักของอ๊อด
“แน่ใจนะว่าไม่อยากไปต่อกับพี่  เดี่ยวมาส่งก็ได้”
อ๊อดมองมือของสรรค์ ที่ว่างลงมาตำแหน่งจุดอ่อนทางอารมณ์ของเขาพอดีคือตรงขาด้านใน
“เอ่อไม่ดีกว่าครับ มีแต่เพื่อนพี่ ผมไม่รู้จัก”  อ๊อดตอบ แล้วทำท่าจะปลดเข็มขัดออก
“แต่วันเกิดเดือนหน้าพี่ อ๊อดต้องสัญญานะว่าจะอยู่กับพี่จนงานเลิก  ไม่ใช่หนีกลับก่อน” สรรค์กล่าวแล้วเอามือออก
“ครับ” อ๊อดตอบรับ
พออ๊อดลงจากรถเขาถึงกับต้องสูดลมหายใจแรงๆ  แปลกเหลือเกินที่พี่สรรค์แตะต้องเขาที่ไร  ก็ต้องสร้างความรู้สึกให้ได้ทุกครั้ง  มันเหมือนกับเขารู้จุดอ่อนในตัวของอ๊อดหมด
แถมเหมือนพี่สรรค์จะล่วงรู้ความชอบของเขาเกือบทั้งหมด  ไม่ว่าซื้อของอะไรให้ ก็จะต้องตรงกับความชอบของอ๊อดทุกครั้ง
เขาไม่ใช่ไม่หวั่นไหว  แต่เขาต้องเข้มแข็ง  เพราะยังไรเสีย  เขาก็มีเมืองฟ้าอยู่ทั้งคน
อ๊อดขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่เขาพักอยู่ พอเดินเลี้ยวก็เห็นสิ่งหนึ่ง  ที่หน้าห้องของเขากับเมืองฟ้า  มีหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งยืนอยู่ในลักษณะเห็นได้ชัดว่าพึ่งออกมา
“ขอบคุณมากเลยนะครับพี่” หนุ่มรุ่นน้องกล่าวแค่เมืองฟ้า  เขาชื่อสิทธิ เป็นน้องรหัสของเมืองฟ้า  ผิวสองสีหน้าตาคมคายใช้ได้
“อืมไม่เป็นไรหรอก  ไม่เข้าใจก็ถามพี่อีกได้นะ” เมืองฟ้าตอบ
สิทธิกำลังจะตอบ  แต่อ๊อดก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน
“ดึกแล้ว” อ๊อดมาถึงก็ดันเมืองฟ้าเข้าห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าสิทธิ
 
อ๊อดไม่ได้พูดอะไรแต่กิริยาวางของบอกเลยว่าไม่พอใจ
เมืองฟ้าก็ยังไม่พูดอะไร  เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์
พออ๊อดได้น้ำเย็นๆไปสักแก้วก็เริ่มแน่ใจว่าตนเองใจเย็นลง
“มันมาทำไม” อ๊อดถาม
“ก็มาติวไง  อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแล้วนี่” เมืองฟ้าตอบแต่ไม่หันหน้ามา
อ๊อดนิ่งเงียบ
“อย่านึกว่าอ๊อดไม่รู้นะเมืองไอ้หมอนั้นมันชอบเมืองใช่ไหมหล่ะ  คนเขาพูดกันให้หึ่งว่ามันคอยประกบเมืองอยู่ตลอด”
เมืองฟ้าก็ยังไม่หันมา
“อ๊อดคิดมากไปรึเปล่า  เขาเป็นน้องรหัสเมือง  ก็ต้องสนิทกันเป็นธรรมดา”
อ๊อดถอนหายใจดัง  แต่เขาเองก็ต้องยอมรับว่าตัวเองแสดงอาการไม่เหมาะสมออกไปตั้งแต่มาถึง
เขาก็เลยเข้าไปง้อด้วยการกอดเมืองฟ้าจากข้างหลัง
“วันนี้เราฟอร์มวงเสร็จแล้วนะ วงของเราชื่อ The Trio Tenders”
เมืองฟ้าก็เหงนหน้าขึ้นมามองหน้าอ๊อด
“เหรอ..ดีจัง  อ๊อดจะได้เล่นกับจุ๊ยกับฮ้อยด้วย” 
อ๊อดเห็นรอยยิ้มของเมืองฟ้าก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก  เขาก็เลยจับเก้าอี้เมืองฟ้าหมุมมา
“เอาไว้อ๊อดจะเล่นให้เมืองฟังเป็นคนแรกเลย  ถ้าเราซ้อมกันลงตัวแล้ว”
เมืองฟ้าก็พยักหน้า
อ๊อดจึงขยับเข้าไปจูบที่หน้าผาก
“ไปอาบน้ำแล้วเรามาหาอะไรทำกันฉลองวงใหม่ดีกว่า”
แล้วอ๊อดก็ลุกขึ้นเต้นยั่วยวน
“บ้าแล้ว” เมืองฟ้าหยิบปลอกปากกาปาใส่
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:10:42
ตอนที่ 59 : ปัญหาซ้อนปัญหา
รู้จากเพื่อนๆว่านายนทีธารอยู่ในห้องซ้อมดนตรี  ปกรณ์จึงเดินไป  ตอนที่เขาเข้าไปเห็นจุ๊ยกำลังตีกลองเป็นจังหวะแต่เหมือนจะแค่เล่นๆเฉยๆ มากกว่าซ้อมจริงจัง
แต่เพราะการเข้ามาของปกรณ์ทำให้เด็กๆหยุดเล่นกันหมด
“นทีธาร  ผมอยากจะคุยด้วยหน่อยหนึ่ง”
จุ๊ยหันไปมองหน้าฮ้อยที่เมื่อสักครู่ยืนให้คำแนะนำจุ๊ยอยู่  เขาส่งไม้กลองให้แล้วเดินตามอาจารย์ออกไป
 
“ผมรู้ว่าคุณปฏิเสธมาหลายที่  แต่ที่นี่ผมอยากให้คุณไปเข้าทดสอบดู” ปกรณ์ส่งเอกสารให้จุ๊ย
“รู้จักอยู่แล้วสินะ  เป็นวงที่ได้รับการอุปถัมภ์จากสมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษด้วย  เขาต้องการมาเลือกนักดนตรีไปเข้า    อเคเดมี่ แถมมีทุนให้ด้วย  ถ้าเรียนจบเขาก็จะให้เป็นนักดนตรีของเขาเลย”
จุ๊ยอ่านเอกสารคราวๆ  เห็นกำหนดการเป็นปีหน้า
“คุณมีเวลาคิดอีกหนึ่งปีเศษๆเลยนะ  โอกาสอย่างนี้อย่าให้หลุดลอยไป  ผมบอกตามตรง  ถ้าคุณมาดักดานอยู่ในประเทศนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร  คุณควรไปเปิดหูเปิดตากับโลกกว้าง ได้เจอนักดนตรีที่มีความสามารถใกล้เคียงกับคุณมากกว่า  แบบนั้นคุณถึงจะพัฒนาตัวเองได้” ปกรณ์มองหน้าหนุ่มน้อย ก่อนจะตบบ่า
“คุณรักดนตรี  ผมก็รักเหมือนกัน  ผมถึงอยากให้คุณไปช่วยทำให้วงการดนตรีมีสีสันมากขึ้นอีก  โลกของดนตรีต้องการคนอย่างคุณนะ นทีธาร อย่าให้สิ่งที่คุณตัดใจไม่ลงรั้งคุณไว้อย่างนี้  เพราะนี่คืออนาคตของคุณเอง”
 
หลังจากทุ่มเทให้การถ่ายละครหลายวัน  ที่สุดอาราอิก็หมดคิวเพราะละครปิดกล้องไปแล้ว  อาราอิก็ใช้เหตุผลว่าจะสอบแล้วเป็นข้ออ้างให้ตัวเองได้พักรับงานกับผู้ จัดการก้อง
“เอ้อ โยชิพี่ว่าจะพูดหลายทีแล้ว” ก้องกล่าวน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง
“เรื่องเธอกับเด็กชื่อจุ๊ยน่ะ  พี่ว่าเราทำอะไรก็ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะ  ตอนนี้เรากำลังมาแรง  เดี่ยวจะมีคนเอาไปตีข่าว จะกลายเป็นผลเสียกับตัวเราเอง  แล้วก็น้องเขาด้วย”
อาราอิพยักหน้าช้าๆรับคำ
 
ตลอดทางมานี่จุ๊ยทำท่าเหมือนกำลังตีกลองอยู่ตลอดอาราอิก็เลยถามตอนรถติด
“นี่จะเล่นกลองเหรอ” อาราอิถาม
จุ๊ยหยุดมือ
“ก็ อยากจะได้วิชาเพิ่มนี่น่า  จุ๊ยเคยตีสมัยเด็กๆ ตอนนี้ลืมเกือบหมดแล้ว  ตีได้แต่กลองวงโย  แต่กลองชุดนี่ลงกรุไปหมดแล้ว  ก็เลยให้ฮ้อยมันสอน”
“จุ๊ยเล่นกีตาร์เป็นไหม” อาราอิถาม
“ก็พอจับได้หลายคอร์ด  เล่นได้แต่เพลงง่ายๆ” จุ๊ยตอบ
“แล้วมีอะไรที่จุ๊ยเล่นไม่ได้บ้าง” อาราอิถามต่อ
“หลายอย่าง... ฉันก็ไม่เป็นเทวดานี่หว่า  จะได้เล่นได้ทุกอย่าง  ไม่ได้เทพขนาดนั้น” จุ๊ยตอบแล้วทำท่าเคาะต่อไป
“วันนี้ฉันเห็นเฮียตี้ด้วยนะ  พอดีขับรถผ่าน แถวๆโรงพยาบาล เห็นเขาออกมากับแฟนเขา” อาราอิบอกเล่า
จุ๊ยก็หยุดมืออีก  แต่แค่เดี่ยวเดียว
“แล้วนี่เขาได้เข้าบ้านบ้างไหมเนี่ย” อาราอิถามต่อ
“ไม่เลย” จุ๊ยส่ายหน้า แต่มือยังทำท่าเคาะต่อไป
“ไม่ มีการคุย ไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ ขนาดฉันกับป๊าอยุ่บ้านเดียวกันก็ไม่ได้พูดกันเท่าไหร่  ยังดีมีไอ้ซัวอยู่ด้วยไม่งั้นเป็นบ้ากันพอดี”
“งั้นฉันขอไปค้างที่บ้านนะ  นายจะได้มีเพื่อนคุย” อาราอิว่าแล้วหันไปไปมองกระเป๋าเป้ที่เบาะตอนหลัง
จุ๊ยหันไปมอง
“โอ้โหขนมาเยอะขนาดนี้ จะหนีตามฉันหรือไง  กะจะสิงอยู่บ้านฉันเลยว่างั้น” จุ๊ยหันไปมองแล้วก็ร้องออกมา
 
วันนี้ วันอาทิตย์  ดังนั้นจึงไม่ได้เปิดร้าน  จุ๊ยทำความสะอาดที่นั่นที่นี่ไปตามที่เคยทำตามปกติ โดยมีอาราอิเป็นลูกมือ  แต่บางครั้งก็ต้องใช้ส่วนสูง 189 ของอาราอิให้เป็นประโยชน์
“เฮ้ยๆ” จุ๊ยร้องตอนที่อาราอิกำลังปีนเช็ดหลังตู้
อาราอิตกใจรีบเกาะขอบตู้เพราะคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่จุ๊ยกลับหัวเราะร่วน
“ไอ้จุ๊ย” อาราอิทำเสียงเขียว
“ขวัญอ่อนว่ะ” จุ๊ยยิ้มเย้ย
อาราอิก็เลยหมั่นไส้ปัดผงให้ลงไปบนหัวจุ๊ย
“ไอ้ญี่ปุ่นชั่ว” จุ๊ยร้องขณะปัดฝุ่นออกจากหัว
“ดูสิหัวพึ่งสระ เลอะหมดเลย”
อาราอิหัวเราะกิ๊กกั๊ก
ซัวลงมาจากชั้นบนในตอนเกือบเที่ยง  ได้กลิ่นปลาทอดหอมกรุ่นก็เดินเลี้ยวเข้าครัว
เห็น อาราอิใช้ฝาหม้อต่างโล่ในการป้องกันน้ำมันกระเด็น  ในขณะที่จุ๊ยก็แกล้งด้วยการปลาไปโยนในลักษณะตั้งใจให้กระเด็น แล้ววิ่งหนีออกมาหัวเราะเยาะ
“เอ้า จะไหม้แล้วกลับสิกลับ”
ตอนนั้นน้ำมันในกระทะกำลังพลุ่งพล่านเหมือนกระทะทองแดง
ซัวก็หันไปหยิบร้องเท้าหนังสีดำมาสวม มองพี่ชายหยอกกับอาราอิ
“ไม่กินข้าวก่อนเหรอ”จุ๊ยถาม
“ไม่ทันแล้วมั๊งเฮีย เดียวผมไปกินแถวร้านก็ได้” ซัวตอบ
อาราอิพลิกปลาเสร็จแล้ว  เขามองตามเด็กหนุ่มร่างเล็กไป
 
เมื่อทอดปลาเสร็จ จุ๊ยก็หันไปต้มน้ำแกง  อาราอิที่ยืนมองจุ๊ยอยู่ก็กล่าวในสิ่งที่เขาเก็บไว้ในใจ
“จุ๊ย... จุ๊ยไม่ได้เห็นซัวแต่งชุดนักเรียนนานเท่าไหร่แล้ว”
จุ๊ยปิดไฟในเตา
“ก็นานแล้ว  แต่ซัวมันเรียนอาชีวะ  บางทีมันก็ต้องซ่อนเสื้อช๊อป  เพราะกลัวเด็กโรงเรียนตีเอา”
“แต่อย่างน้อยก็ต้องแต่ตัวเหมือนจะไปเรียนบ้างใช่ไหมหล่ะ” อาราอิตั้งข้อสังเกต
“เท่าที่ฉันจำได้  ฉันว่าหลายเดือนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นซัวแต่งตัวแบบนั้น  แต่แต่งตัวเหมือนจะไปทำงานมากกว่า”
จุ๊ยเลยนิ่งไป 
จริง อย่างอาราอิว่า  ซัวไม่ได้แต่งตัวเหมือนจะไปเรียนมานานแล้ว  ทุกวันที่จุ๊ยเห็นคือเขาแต่งตัวเหมือนจะไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อที่ซัว บอกว่าทำงานพิเศษอยู่มากกว่า
“อย่าพึ่งบอกอะไรป๊านะ” จุ๊ยกล่าวกับอาราอิ
“เราต้องเช็คดูก่อน”

วันนี้เป็นวันจันทร์แต่จุ๊ยไม่มีเรียน อาราอิก็เหมือนกัน  ดังนั้นสถานศึกษาที่จุ๊ยกับอาราอิไปไม่ใช่มหาวิทยาลัยแต่เป็นโรงเรียนของซัว
“นายปุลินะ ลาออกไปแล้วนี่ครับ  เขาเอาเอกสารลาออกมายื่นตั้งแต่ต้นเทอม  ก็เห็นเขาบอกว่าพ่อไม่ให้เรียน”  ครูประจำห้องทะเบียนกล่าว 
*ปุลินะ แปลว่าทราย*
จุ๊ยยืนนิ่งไป  จนอาราอิต้องเรียกสติด้วยการตีเบาๆที่มือ
“ครับ... ขอบคุณครับ” จุ๊ยกล่าวแล้วยกมือไหว้
 
ออกจากโรงเรียนมาจุ๊ยก็นั่งเงียบมองออกไปนอกตัวรถ
“เราไปที่ร้านที่ซัวทำงานกัน” จุ๊ยกล่าวแต่ไม่ได้หันมา
“ไม่ไป  ฉันอยากไปบ้านมากกว่า”
“เฮ้ย อาราอิ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ  ฉันจะไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง” จุ๊ยหันกลับมาโวย
“ไม่ไป” อาราอิยืนยันคำเดิม
“นายทำบ้าอะไรวะ  ถ้าไม่ไปก็จอด  ฉันไปเองได้” จุ๊ยขยับตัวอย่างหงุดหงิด
“ฉันจะไม่ไป  เพราะถ้านายไปตอนนี้  ทุกอย่างมันจะยิ่งแย่” อาราอิกล่าวต่อไป  เลี้ยวรถแล้วขับไปสู่ด่านทางด่วน
“นี่นายจะไปไหน” จุ๊ยถาม
“ไปไหนก็ได้ จนกว่าจุ๊ยจะอารมณ์ดีขึ้น” อาราอิตอบ ก่อนจะหันไปชำระค่าทางด่วน
“ตอน นี้ถ้าจุ๊ยไป  ไม่ใช่แก้ปัญหา  แต่จะไปสร้างปัญหา  อารมณ์จุ๊ยตอนนี้เหมือนไฟ  ส่วนซัวก็เหมือนน้ำมัน  เจอกันก็พินาศอย่างเดียว ไม่มีทางแก้ปัญหาอะไรได้”
จุ๊ยได้ฟังก็เริ่มควบคุมตัวเองได้ ถอนหายใจยาวเหยียด

“ฉัน ไม่เข้าใจอาราอิ  มันลาออกทำไม  ในเมื่อมันเป็นคนอยากจะเรียนที่นี่เอง  จุ๊ยก็อุตส่าห์ไปขอป๊าจนมันได้เรียน  แล้วนี่มันกลับลาออก  มันบ้าหรือเปล่า”
อาราอิมองหน้าจุ๊ยจากกระจกมองหลัง
“แต่เขาก็ยังไม่ได้นอกลู่นอกทางใช่ไหมล่ะ  เขาก็ไปทำงานร้านสะดวกซื้อ  มีรายได้  ไม่ใช่ไปเหลวไหลที่ไหน”
จุ๊ยเอาหัวกระแทกกับพนักรองหัว
“โอ๊ยๆ  นี่มันอะไรนักหนา... แล้วจุ๊ยจะทำยังไงดี  เรื่องเฮีย เรื่องซัว...โอ้ยจะบ้าแล้วเนี่ย”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 20-12-2015 20:11:28
ตอนที่ 60 : ทิฐิสลาย
จุ๊ยทำตามที่อาราอิบอกคือพยายามทำใจให้เย็นก่อน  ดังนั้นเขาจึงยังไม่คุยกับซัวในเรื่องลาออกจากโรงเรียน
ประกอบกับมีการสอบ  จุ๊ยหันเหสมาธิมาสนใจการสอบ  เมื่อผ่านไปหลายวันก็เลยยังไม่ได้คุยกัน
จนกระทั้งการสอบผ่านไปแล้ว     
                                                                 
อาราอิกำลังขายอุปกรณ์การก่อสร้างให้กับลูกค้าชายอย่างคล่องแคล่ว 
“ตะปูสี่หุน  แล้วก็สีสองกระป๋อง” อาราอิกดเครื่องคิดเลขแล้วก็บอกราคาไป
พอรับเงินเรียบร้อยก็เดินไปให้ป๊าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะบัญชี
“เดี่ยวนี้ขายเก่งนะเรา” ป๊ากล่าว
อาราอิยิ้มตอบ
จุ๊ยมองกิริยาของป๊าต่ออาราอิ  ยังดูสนิทกว่าเขากับป๊าตอนนี้เสียอีก  เพราะตั้งแต่เหตุการณ์นั้นป๊าก็พูดกับจุ๊ยน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
“แต่อย่าไปนั่งหน้าร้านบ่อยๆ เดี่ยวคนก็จำได้แห่กันมา อั๊วไม่ต้องค้าขายกัน”
อาราอิก็ตอบว่าครับ  แล้วก็ขยับแว่นกับหมวกที่สวมให้กระชับ
 
อาราอิกำลังให้จุ๊ยดูภาพจากTwitter แล้วก็วิจารณ์สิ่งที่กำลังดูกันอยู่  แต่เพราะเสียงคนเดินเข้าร้านมา  ทำให้สองคนเงยหน้า
จุ๊ยลุกขึ้นแต่ไม่พูดสักคำ  ก่อนจะเดินเข้าไปข้างหลังบ้าน
อาราอิสบตากับตี้แล้วก็เดินตามเข้าไป
แม้ จะไม่ได้อยากมามีส่วนกับการเผชิญหน้านี้มากนัก  แต่จุ๊ยก็ต้องทำหน้าที่ของต้วเอง  เขาเอาน้ำมาเสริพให้พ๊งหัว ตี้ และแหวน รวมั้งป๊าด้วย  ตอนนี้ทั้งหมดนั่งเผชิญหน้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหารในครัว  โดยตี้นั่งฝั่งเดี่ยวกับป๊า ส่วนแหวนก็นั่งฝั่งเดียวกับบิดาของเธอ
เสริฟเสร็จ จุ๊ยก็เดินเงียบๆจะออกไป
“จุ๊ยไปเก็บร้านแล้วปิดประตู” ป๊ากล่าว  แต่ตาจับอยุ่ที่พ๊งหัว
จุ๊ยรับคำว่าครับ  แล้วก็เดินออกไป
"เดี่ยวลื้อก็เข้ามาฟังอยู่นี่ด้วย  ไม่ต้องไปไหน" ป็าสั่งอีกคำ

เพราะได้สองแรง  ก็เลยใช้เวลาไม่มากในการเก็บและปิดประตูหน้า
พอเดินเข้ามาเหมือนทุกอย่างจะไม่ได้คืบหน้าไปไหน  ทั้งหมดยังนั่งเผชิญหน้ากัน เหมือนอยากจะให้จุ๊ยเข้ามารับรู้
อาราอิที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไป ก็ถูกจุ๊ยดึงเอาไว้  แล้วพาเดินมายืนฟังอยู่ด้วยกันภายในครัว
 
“เอาหล่ะ  ว่าไป  จะเอายังไง” ไฮ้จุ๊งเห็นคนเริ่มก่อน
พ๊งหัวส่งเสียหึในลำคอ
“ฉันควรจะพูดอย่างนั้นมากกว่า  เพราะลูกชายลื้อมาติดพันลูกสาวอั๊ว ไม่ใช่เหรอ”
ตี้กับแหวนมองหน้ากันอย่างอึดอัด
แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนพ๊งหัวจะเป็นเริ่มพูด
“เอาล่ะ  เอาเป็นว่าถ้าลื้อต้องการให้ขอโทษลื้อ อั๊วก็ยินดีจะทำ  แต่ถ้าต้องการให้เด็กมันเลิกกัน  ลื้อก็เอามีดมาแทงอั๊วให้ตายไปซะจะดีกว่า  เด็กสองคนนี้รักกันจริงๆ  อั๊วไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นอุปสรรค์ความรักของเด็ก”
จุ๊ยมองหน้าผู้ชายที่ตัวเองควรเรียกว่าพ่อ 
“อั๊วขอรับผิดเอาไว้ด้วยตัวเอง  แต่ขอร้องลื้ออย่าทำแบบนี้  ลื้อต้องการจะให้ลูกของลื้อช้ำใจจนตายหรือยังไง” พ๊งหัวกล่าวต่อไป
“ลื้อจะเอายังไง  เงื่อนไขอะไร อั๊วจะทำตามทุกอย่าง  ขออย่างเดียวอย่ากีดกัน”
ไฮ้จุ๊งมองหน้าเพื่อนเก่า  แล้วก็มองหน้าลูกชายตัวเอง และแหวน
“ความผิดของลื้อ อั๊วจะไม่ลืม”
ตี้ถึงกับหน้าสลดลง  ต้องเบือนหน้าหนีไป
จุ๊ยก็ต้องสบตากับอาราอิเพื่อขอกำลังใจ อาราอิเลยเอามือวางบนไว้ไหล่ของเขา
“เราสองคนจะไม่มีวันมาญาติดีได้เหมือนเดิม  เพราะอั๊วคงทำเสแสร้งแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอก” ไฮ้จุ๊งกล่าวต่อไป
“แล้วลื้อจะเอายังไง” พ๊งหัวถามแล้วก็ถอนหายใจ
ความเงียบสร้างความอึดอัดแม้กระทั้งอาราอิที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใคร  แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันภายในบรรยายกาศ
ไฮ้จุ๊งนิ่งเงียบมองต่ำลง ก่อนจะกล่าวในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนอย่างไฮ้จุ๊งจะพูดออกมา

“อั๊ว เสียอาฮัวไปแล้วหนึ่งคน  ตอนนี้นับไปนับมาถ้าไม่นับจุ๊ย อั๊วก็เหลือลูกแค่สองคน  ทั้งที่อั๊วรับปากเหม่ยว่าจะดูแลให้ทุกคนเติบโตเป็นผุ้ใหญ่ที่ดี  แต่อั๊วก็ทำไม่ได้”
ตี้หันกลับมามองหน้าบิดา
“อั๊วไม่ต้องการผิดคำพูดกับเหม่ยอีก  เพราะที่ผ่านมาอั๊วก็ทำผิดกับอีไว้มาก” ไฮ้จุ๊งถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมา
“ตกลง  อั๊วจะไม่ขัดขวาง  ถ้าสองคนรักกันจริงๆ  อั๊วจะไม่ขัดขวาง”
ตี้ยังรู้สึกมึนงง  แต่พอหันไปเห็นหน้าแหวนที่ยิ้มแป้นออกมาทั้งมีน้ำตาซึมๆก็ตื่นตัว
“ป๊าครับ” เขาเรียกออกมา แล้วเอามือจับที่แขนบิดา

ไฮ้จุ๊งเอามือวางมือบนไหล่ลูกชาย
“ลื้อ สองคนยังเด็ก  แม้จะใกล้เรียนจบแล้ว  อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้อยู่ด้วยกันสองต่อสองบ่อยๆ  ลื้อต้องกลับบ้าน  แล้วเวลาไปเที่ยวกันก็ต้องมาขอมาบอกด้วย  แล้วถ้าไม่ไปไหนก็มาที่บ้านมาช่วยงานอั๊วบ้าง  ไม่อายรึ ที่อาราอิเขาต้องมาทำงานแทนลื้อ  ลื้อต้องให้แหวนเขามาหัดทำงานในร้านบ้าง”
“ป๊าครับ” ตี้รับคำ
แล้วเขาก็ลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้นครัว  ก่อนจะกราบลงไปที่เท้าของไฮ้จุ๊ง
“ป๊าครับผมขอโทษ ผมอกตัญญูกับป๊า ผมขอโทษครับ”
ไฮ้จุ๊งก็ดึงลูกชายคนโตขึ้น
“อั๊วก็ต้องขอโทษลื้อเหมือนกันนะ  แล้วก็ขอบใจที่ลื้อเป็นหมออย่างที่อั๊วอยากให้ลื้อเป็น  มันคงลำบากมาเลยใช่ไหม”
ตี้ส่ายหน้ายิ้มออกมาทั้งน้ำตาอาบแก้ม
“ไม่เอาไม่ร้อง  ลื้อไม่อายแฟนหรือไง เป็นผู้ชายอะไรร้องไห้  เดี่ยวคนอื่นจะว่าป๊าลื้อสอนลูกชายให้เข้มแข็งไม่ได้” ไฮ้จุ๊งลูบหัวลูกชายเหมือนที่เคยทำตอนที่ตี้อายุน้อยกว่านี้
ตี้หันมองหน้าแหวนที่มีน้ำตาปิติอาบแก้ม
“ทำเป็นพูด  อั๊วก็ไม่ยอมให้ลูกลื้อเอาเปรียบลูกอั๊วได้เหมือนกัน  มันต้องมาสู่ขอตามประเพณี  ไม่งั้นลื้ออย่าหวังว่าอั๊วจะยอม”
พ๊งหัวกล่าวโดยหันเลี่ยงไปทางอื่น
“ก็ว่ามาเลย อั๊วจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ  ลื้อหาฤกษ์มาเลยก็ได้  แล้วอยากจะได้อะไรก็ว่ามา” ไฮ้จุ๊งตอบแต่มองไปอีกทาง
พ๊งหัวหัวเราะทำท่าแสดงความรวยด้วยการยกนิ้วอวดแหวนเพชร
“อาจุ๊ง... ตอนนี้อั๊วไม่ใช่ไอ้พ๊งคนเดิมแล้ว  อั๊วไม่ใช่กระจอกกระจอก  คิดว่าอยากได้สินสอดจากลื้อมากนักหรือไง... ทองหยองจัดมาตามประเพณีก็ว่ากันไป นิดหน่อยก็พอ อั๊วมีเยอะแยะแล้ว  แต่ยังไม่ใช่ว่าหมั้นแล้วแต่งเลยนะ  ต้องให้เรียนจบทั้งคู่ก่อน”
จุ๊ยกับอาราอิหันมองตากัน  อาราอิเห็นจุ๊ยก็มีน้ำตาเลยขยี้หัวจุ๊ยเบาๆ
 
จุ๊ยพาพ๊งหัวขึ้นมาชั้นสองตามคำร้องขอ  เขาจุดธูปแล้วส่งให้พ๊งหัว
พ๊งหัวก็ประนมไหว้แต่ไม่ได้คุกเข่า  จากนั้นก็ส่งธูปให้จุ๊ยเพื่อไปปัก
“ลื้อโตขึ้นมาเลยนะ  ถ้าไปเจอกันข้างนอกอั๊วคงจำไม่ได้” พ๊งหัวกล่าว
จุ๊ยปักธูปเสร็จแล้ว ก็หันมา
พ๊งหัวมองหน้าจุ๊ย
“แต่ลื้อนี่เหมือนอาเหม่ยไม่ผิด  ทั้งตาและโครงหน้า”
จุ๊ยหันไปมองรูปถ่ายของแม่ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าพ๊งหัว
“อั๊ว รู้ว่าอั๊วไม่มีคุณสมบัติ  แต่หัวใจคนเป็นพ่อน่ะ  ก็อยากให้ลูกเรียกสักคำว่าพ่อ  แต่ถ้าลื้อไม่เรียก อั๊วก็ไม่ว่า  เป็นเจ๊กพ๊งอย่างเดิมก็ดี  คนอื่นจะได้ไม่สงสัย”  แล้วเขาก็ถอนหายใจอีก 
“ถ้ามีอะไรขาดเหลือ  ก็ไปบอกอั๊วได้นะ  อั๊วอยากจะชดเชยให้ลื้อบ้าง  อย่ารังเกียจเลยนะ”
แล้วเขาก็หันหลังกลับ
“ครับป๊า”
เสียงของจุ๊ยทำให้พ๊งหัวเหมือนโดนไฟฟ้ากระตุกร่าง  เขาหันมา
จุ๊ยยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“วัน นี้ป๊าแสดงให้เห็นแล้วว่าจริงๆแล้วป๊าเป็นคนมีจิตใจยังไง  ผมอาจยังทำใจไม่ได้เต็มที่  แต่ผมก็ยินดีจะเรียกป๊า ว่าป๊าเหมือนกันครับ”
พ๊งหัวน้ำตาไหล เดินเข้ามาหาลูกชายที่ตัวเองไม่เคยมีโอกาสได้ดูแล
แล้วก็กอดเด็กหนุ่มไว้
“ขอบใจมาก  ขอบใจลื้อมาก”

อาราอินั่งท้าวคางมองจุ๊ยเอาแซกโซโฟนจรดริมผีปาก
เมื่อเขาเป่า  เสียงเพลง Autumn Leaves ถ่ายทอดออกมาด้วยท่วงทำนองที่เหมือนจะแว่วหวานกว่าที่เคยได้ยิน 
เสียง ของมันแทรกไปในอณูอากาศ  และคงจะผ่านไปในสายลม  แล้วสายลมก็คงจะหอบมันไปบอกกล่าวแต่ผู้อยู่แดนไกลเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิด ขึ้นในวันนี้ ที่เธอไม่มีโอกาสได้เห็น...
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:30:10
ตอนที่ 61 : เราเลิกกัน การติดสินใจของเดฟ
อัศวะเดินลงจากห้องนอน  แล้วเดินเลี้ยวไปหยิบกุณแจในห้องรับแขกแล้วกำลังจะออกจากบ้าน
“อัศ มานี่ก่อน” เสียงพ่อดังขึ้น
อัศวะจึงจำต้องถอยหลังกลับเข้ามาในห้องรับแขก
“แกจะไปไหน” บิดาของอัศวะ สินธุพับหนังสือพิมพ์แล้วมองหน้าลูกชาย
“ไปหาเพื่อนครับ” อัศวะตอบ
“เพื่อนที่ว่านี่ใคร” สินธุถามลึก
“ใช่ไอ้ดาราเกย์นั้นหรือเปล่า”
สินธุถอนหายใจยาวเหยียด

“ตอน แรกฉันก็นึกว่าเป็นเพื่อนกันเฉยๆ  แต่ดูแกตอนนี้สิ  มันเหมือนเพื่อนกันหรือเปล่า... ถ้าแกไม่เห็นแก่หน้าฉันก็เห็นแก่วงตระกูลเราด้วย อย่างน้อยเราก็เป็นเชื้อเป็นสายตระกูลใหญ่ ตระกูลขุนนางเก่า  ตระกูลเราไม่มีใครเป็นเกย์ ไม่มีใครเป็นตุ๊ด" สินธุกล่าว "แล้วยังจะงานของแกอีก  แกคิดบ้างไหมว่ามันจะเป็นยังไงถ้านักข่าวรู้แล้วมันเอาไปตีข่าวกันสนุกสนาน  มันไม่สนหรอกว่าจะเป็นยังไง  มันสนใจแต่ข่าว”
อัศวะนิ่งเงียบ  มองหน้าบิดา  นั้นยิ่งทำให้สินธุโกรธ
“ตกลงแกจะไม่เลิกใช่ไหม ไอ้นิสัยตุ๊ดของแกนั่นน่ะ” บิดาพูดไม่พูดเปล่าเอาหนังสือพิมพ์ปาใส่ด้วย
ไม่โดนอัศวะหรอก  แต่มันทำร้ายจิตใจของเขาโดยตรง
“ฉันไม่คิดจริงๆว่าจะมีลูกผิดเพศแบบนี้” สินธุลุกขึ้นยืน
“แกต้องเลิกติดต่อกับมัน  ถ้าไม่เลิกเราต้องเห็นดีกัน”
อัศวะไม่ได้ตอบโต้ไม่แม้แต่มองตามหลังพ่อที่เดินออกไปจากห้อง
เขาสูดลมหายใจลึกๆ  แล้วเดินลงฉับๆออกจากบ้านไป
 
เดฟสังเกตเห็นความผิดปกติของอัศวะ  เพราะตั้งแต่เข้ามาภายในร้านอัศวะก็นั่งเงียบ
ร้านนี้เป็นของเพื่อนรุ่นพี่ของเดฟ  เดฟมักจะใช้เป็นที่นัดพบกับอัศวะ เพราะที่นี่ปลอดภัยจากสายตาการสอดส่องของพวกนักข่าวบันเทิงที่จ้องจะเอา เรื่องของดาราไปตีแผ่  แถมตอนนี้อัศวะกำลังมีงานเพลง  และกำลังเริ่มเป็นที่นิยม เริ่มมีคนจำได้
“มีอะไรรึเปล่า” เดฟถามแล้วเลื่อนแก้วเครื่องดื่มไปให้
“หงุดหงิดนิดหน่อย” อัศวะตอบ  แล้วก็จิบเครื่องดื่ม  แต่เป็นการจับพรวดเดียวครึ่งแก้ว
 
“ร้านนี้เหรอ” จุ๊ยมองร้านอาหารกึ่งผับที่ซุกซ่อนตัวเองในย่านถนนสุขุมวิท
“เห็นเดฟบอกว่ามาบ่อยๆเพราะเจ้าของสนิทกัน  ที่นี่เขารักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้า  ขนาดมีป้ายบอกว่าห้ามถ่ายรูปดาราหรือเซเลปที่มานั่งที่นี่” อาราอิตอบ  แล้วก็เดินนำเข้าไปก่อน
จุ๊ยจึงเดินตามหลังเข้าไป
 
เข้ามาภายในร้าน บรรยากาศค่อนข้างมืด แต่ก็ไม่ทึบอับแต่อย่างไร  แต่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามและแต่ละที่นั่งจะมีเฟอร์นิเจอร์เช่นชั้นวางของหรือ ม่านบังตากั่นทำให้ดูเป็นสัดเป็นส่วน
“หน้าตาเหมือน.. บาร์โฮสที่ญี่ปุ่น” อาราอิกล่าวตอนนั่งลง
สักครู่บริกรก็เดินมาพร้อมเมนู
“ข้าวมันไก่ไม่มีนะจุ๊ย ไม่ต้องสั่ง” อาราอิดักคอเสียก่อน
“เฮ้ยฉันรู้” จุ๊ยตอบ  แล้วเปิดเมนูดู
“พี่ครับมีข้าวขาหมูไหมครับ”
บริกรทำหน้าเหมือนจะอึ้ง
อาราอิหัวเราะ
“มันพูดเล่น  ที่นี่อะไรอร่อย”
บริกรก็สาธยาย เป็นอาหารต่างชาติเสียส่วนมาก
จุ๊ยทำหน้าเหมือนตั้งใจฟังมาก
“ครับ” จุ๊ยกล่าวรับคำตอนบริกรเล่าจบ
“มีข้าวขาหมูด้วยใช่ไหมครับ”
บริกรเริ่มรู้ว่าจุ๊ยหยอกเลยหัวเราะเบาๆ
อาราอิโคลงหัว
“เดี่ยวก็ได้กินข้าวตีนบ๋อยแทนหรอก” เขากล่าวก่อนจะสั่งอาหารโดยเลือกจากเมนูที่ได้รับการแนะนำเมื่อสักครู่
 
อัศวะเล่าเรื่องพ่อให้เดฟฟังจนจบ  เดฟก็เงียบไปอยู่นาน
จนกระทั้งสักครู่หนึ่ง  เขาก็กล่าวขึ้น
“อัส... เราเลิกกันเถอะ” เดฟกล่าวเสียงเหมือนระเบิดโพล่งออกจากความอัดอั้น
อัศวะได้ยินเต็มสองหู แต่เขากลับไม่เข้าใจความหมาย
“นี่เดฟหมายความว่าไง”
เดฟต้องเอามือที่ซุกอยู่ใต้โต๊ะกำหมัดแน่นเพื่อเรียกกำลังใจ
“เรา ไปด้วยกันไม่ได้หรอกอัส  ฉันไม่อยากเป็นคนทำลายอนาคตของนาย  ในเมื่อพ่อของอัศรับไม่ได้  และอัสเองก็กำลังมีงานเพลง  เริ่มต้นใหม่ๆ มันยากนะอัส  นายอย่าเอาอนาคตตัวเองมาจมกับฉันเลยอัส”
อัศวะมองหน้าเดฟนิ่งๆ  แต่แววตากร้าวขึ้นเรื่อยๆ
“นี่มันแค่ข้ออ้างใช่ไหม  จริงๆแล้วเดฟยังลืมจุ๊ยไม่ได้ใช่ไหม”
เดฟแปลกใจที่อยู่ดีๆ อัศวะก็แปลความหมายไปพาดพิงถึงจุ๊ย
“นี่มันไม่เกี่ยวกับจุ๊ยเลยนะอัส  มันเป็นเรื่องของเราสองคน”
อัศวะหลับตาลงแล้วหันไปด้านข้าง
“เดฟ  ถ้าไม่ใช่เพราะอะไรหล่ะ  ทำไมนายถึงยอมแพ้ง่ายๆ  ทำไมนายไม่พยายามสู้เหมือนกับตอนที่ตามตื้อจุ๊ย  ที่จริงเรื่องของเรา ปัญหามันยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ  แต่นายก็ถอดใจแล้ว  แล้วจะให้คิดยังไง  ก็คงคิดแต่ว่าเพราะนายไม่สามารถรักฉันได้เหมือนจุ๊ย นายก็เลยพูดออกมาแบบนั้น”
เดฟถอนหายใจออกมาในที่สุด หลังจากเงียบไปนาน
“ถ้านายคิดอย่างนั้นก็ตามใจนายเถอะ  เอาเป็นว่าเป็นไปตามนั้น  แต่เราก็เลิกกันเถอะ  อย่าเจอกันอีกเลย”
แล้วเดฟก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเดินออกไป
อัศวะหลับตาลง ก่อนจะทิ้งกายกับพนักที่นั่งอย่างไร้เรียวแรง
 
เดฟเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย  นั่งเงียบอยู่อย่างนั้น 
“ฉันทำไปเพราะรักนายนะอัส... นายจะเข้าใจยังไงก็เรื่องของนาย  แต่นี่หล่ะความรักของฉัน” แล้วเขาก็บิดกุญแจสตาร์ทรถ
 
เพราะอยู่ในร้านเดียวกัน  จุ๊ยกับอาราอิก็เลยได้รับฟังการสนทนาทั้งหมด 
จุ๊ยจะลุกไปหาอัศวะ  อาราอิจับมือเขาไว้
“ทำไมล่ะ ฉันจะไปอธิบายให้ไอ้อัสมันเช้าใจ”
อาราอิมองตาจุ๊ย
“ทำไมล่ะหรือว่า นายก็หึง”
“เปล่า” อาราอิส่ายหน้า
“นายไม่เข้าใจเดฟหรือไง  สิ่งที่เดฟทำก็คือการ... เสียสละไงหล่ะ”
จุ๊ยนั่งลงเหมือนเดิม เขาเริ่มเข้าใจ
“เพราะรักมากไงหล่ะ  รักจนสามารถเชือดตัวเองให้เจ็บได้เพื่อคนที่ตัวเองรัก  นี่ไม่ใช่นิสัยของเดฟอย่างนั้นเหรอจุ๊ย” อาราอิถาม
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:30:45
ตอนที่ 62 : อัศวะ หรือเราต้องเลิกกันจริงๆ
จุ๊ยกำลังล้างจานตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิด
เขาเดาว่าคงเป็นซัว
จะว่าไปเขากับซัวก็ยังไม่ได้คุยกันเรื่องที่ซัวไปลาออกจากโรงเรียนโดยพละการ
“กินข้าวรึยัง  มีเป็ดย่างนะจะกินไหม” จุ๊ยถาม
แต่ซัวไม่ตอบเดินขึ้นบันไดไป  จุ๊ยเลยสงสัย พอดีเขาล้างจานเสร็จ ก็เลยตามขึ้นไป  และก็ไปทันตรงชั้นลอย ตรงหน้าห้องนอนของป๊า

“เป็นอะไรอีกหล่ะ หรือว่าเหนื่อย”
ซัวส่ายหัวแต่ไม่ตอบ  แต่จุ๊ยสังเกตเห็นว่าเสื้อของซัวมีรอยเปื้อนก็เลยเดินเข้าใกล้ๆ  พอมองดีๆมันเป็นรอยเลือด
“นี่มันเลือดอะไรซัว” จุ๊ยถาม
“ไม่มีอะไร” ซัวตอบ แล้วรีบเดิน
แต่จุ๊ยคว้าตัวไว้ และใช้ความสูงใหญ่กว่าดึงตัวน้องชายให้หันกลับ
“เฮ้ยหน้าเอ็งไปโดนอะไรมา” จุ๊ยถามเพราะซัวมีรอยฟกช้ำที่ตาและมุมปากอย่างชัดเจน
“ไปต่อยกับใครมาไอ้ซัว”
ซัวทำผลุบตาลงต่ำ 
“บอกเฮียมาซัว” จุ๊ยคาดคั่น
“ไม่มีอะไรเฮียผมหกล้ม” ซัวหันหลังกลับ
“มึงจะปิดบังกูอีกเท่าไหร่ซัว” จุ๊ยโพล่งออกไป
ซัวหยุดเท้า
“มึง ไปลาออกจากโรงเรียนแล้วใช่ไหม  ทำไมมึงไม่บอกกู... แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นมึงก็ยังไม่บอกกูอีก  มึงยังเห็นกูเป็นพี่มึงอีกเปล่าซัว ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้ซัว”
แต่ซัวไม่ตอบแล้วเดินขึ้นบันไดไป
จุ๊ยใจร้อนจะตามไป  แต่ก็หยุดไว้เพราะนึกถึงคำพูดอาราอิ
ตอนนี้เขาร้อนเป็นไฟ  ถ้าไปคุยกับซัวตอนนี้ก็มีแต่จะทะเลาะกัน
 
อาราอิวางมือบนมือของจุ๊ย  อย่างแผ่วเบาตอนที่ฟังจุ๊ยเล่าจบ
“ก็ดีแล้วหล่ะ อย่างน้อยนายพยายามไม่ทำให้ทะเลาะกัน”
จุ๊ยถอนหายใจมองออกไปนอกรถ 
“แต่ ฉันก็อยากจะรู้อยู่ดีว่ามันไปต่อยกับใครมา  แต่ไหนแต่ไรไอ้ซัวมันใจปลาซิวจะตาย  นิดหน่อยก็หนี นิดหน่อยก็ถอยไม่เคยสู้ใครสักที  ตอนมันเข้าเรียนอาขีวะฉันยังห่วงมันจะโดนรังแก”
“วันนี้ซัวทำงานรึเปล่า” อาราอิถาม
“ไม่รู้สิ.. ลองโทรถามป๊าดู” จุ๊ยตอบ แต่มานึกได้ ก็สงสัย
“นายถามทำไม”
“ก็ถ้านายอยากรู้ก็ไปถามที่ร้านดูสิ  พนักงานในร้านน่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
 
“หนู ก็ลาไปเป็นอาทิตย์ ส่วนเพื่อนอีกคนก็เข้ากะเช้าก็เลยกลับไปก่อนจะเกิดเรื่อง ที่เหลือก็พนักงานฝึกงานไม่รู้อะไรอยู่แล้ว” พนักงานสาวอธิบายหลังจากคิดเงินให้ลูกค้ารายหนึ่งเสร็จแล้ว
“แต่เดี่ยวผู้จัดการก็มาแล้ว  จะรอไหมหล่ะค่ะ”
จุ๊ยเอาโทรศัพท์มามองนาฬิกา
“ก็ได้ครับ” แล้วเขาก็หันไปสบตากับอาราอิที่พรางตัวด้วยแว่นตาดำและหมวก
 
ซัวเดินมาอย่างหมดอะไรตายอยาก  เขารู้สึกแย่มากๆ ที่หันหลังให้พี่ชายไปอย่างนั้นเมื่อคืน
ไม่ใช่ไม่อยากจะเล่า  แต่เฮียจะเข้าใจเขาง่ายๆอย่างนั้นเหรอ  แล้วเฮียจะเชื่อเหตุผลของเขาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ซัวเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านสะดวกซื้อ...
“ไอ้ซัว” เสียงเรียกจากข้างหลัง
ทว่าซัวไม่ได้ทันได้หันไป ก็โดนไม้หวดลงไปกลางหลังจนล้มไป
ซัวตั้งหลักโดยสัญชาตฌานเอาตัวรอด รีบพลิกตัวกลับไปมอง
“ไอ้น้อย” เขาร้องออกมา
“มึงทำชีวิตกูพัง” น้อยคำรามโยนไม้ทิ้งแล้วก็ชักปืนออกมา
 
จุ๊ยมายืนอ่านนิตยสารอยู่ตรงใกล้กับประตูร้าน  แล้วเสียงวุ่นวายด้านนอกก็เรียกเขาให้หันไป

“ซัว” เสียงจุ๊ยร้องเสียงดัง แล้วถลันออกไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
“เปรี้ยง” เสียงปืนแผดสนั่น
“เฮีย” ซัวร้องเสียงหลง  เพราะจุ๊ยเข้ากอดร่างเขาไว้เสียก่อนเสียงปืนจะดัง

จุ๊ยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในครั้งแรก  กำลังจะถามน้องชายว่าเป็นอะไรไหม  แต่พอจะอ้าปากพูด เลือดมันก็ทะลักออกมาจนเต็มปาก

แล้วความรู้สึกเจ็บแน่นก็โถมเข้ามา

"เฮีย" ซัวร้องผวากอดร่างพี่ชายไว้แน่น

 
น้อยเห็นท่าไม่ดีแต่ก็ยังจะยิงซ้ำ เขาจ่อปืนไปเลือกที่หัวของซัว
ฉับ พลัน กลับมีร่างสูงใหญ่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วกระแทกปืนในมือจนหลุดกระเด็น ด้วยการเตะ  จากนั้นก็จับล็อกแขนแล้วกระแทกหมัดใส่หน้าไปหลายครั้งจนน้อยสงบไปคามือ
“จุ๊ย”อา ราอิปล่อยร่างที่สิ้นฤทธิไปแล้ว  เข้าไปหาจุ๊ยที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของซัว  เขาถอดเสื้อตัวเองออก กดลงไปบนบาดแผลที่อยู่กลางหลัง
“รถพยาบาล เรียกรถพยาบาลที” เขาตะโกน กอดร่างของจุ๊ยไว้มือกดไว้ที่บาดแผล

"อาราอิ.." จุ๊ยเรียก

"มืดจังเลย..ฉันมองไม่เห็นแล้ว"

ใน อ้อมกอดของอาราอิแม้จุ๊ยจะรู้สึกอบอุ่น  แต่เขาก็รู้สึกง่วงเกินกว่าจะลืมตา  จากนั้นก็เขาก็ดิ่งสู่ห้วงดำมืด โดยมีเสียงอาราอิเรียกเขาซ้ำๆติดตามมาด้วย

"จุ๊ย จุ๊ยเข้มแข็งไว้นะ  หมอมาแล้ว  จุ๊ย จุ๊ย"

หน้าห้องพยาบาลอาราอิยืนพิงกับพนังที่ข้างประตูที่ทีมแพทย์พึงจะเข็นร่างของจุ๊ยเข้าไป
เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ทำให้เขาขยับล้วงมันออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน  เข้าไปนานแล้ว” เขาตอบคำถามของฮ้อยที่น่ากำลังเร่งเดินทางมาโรงพยาบาล

“หมอกำลังช่วยกันเต็มที่”
ซัวที่นั่งอยู่กับตี้กับแหวนที่พึ่งมาถึงไม่นานก็ร้องไห้ออกมาอีก
จนตี้ต้องเอาตัวน้องมากอด
“ไม่เป็นไรหรอก เฮียของมึงดวงแข็ง  หมอกำลังช่วยเต็มที่แล้ว”
อาราอิกดโทรศัพท์ทิ้ง พิงตัวลงอย่างเดิมเงยหน้าขึ้นมองเพดานก่อนจะหลับตาลง
“เข้มแข็งนะจุ๊ย  เข้มแข็งเข้าไว้ อย่าทิ้งฉันไป”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:34:02
จุ๊ยนั้งเช็ดแซกโซโฟนแล้วกำลังจะเก็บ  อ๊อดก็ตรวจสอบสายไวโอลีนอยู่เหมือนกัน

“เป็นยังไงบ้าง” สรรค์เดินเข้ามาทั้งวางมือบนไหล่ของอ๊อด

“ก็ดีครับ” อ๊อดเงยหน้าขึ้นไปมอง

สรรค์นั่งลงข้างๆอ๊อด

“เดือนหน้าหลังสงกรานต์ พี่มีปาร์ตี้วันเกิด อยากจะให้เธอสามคนไปเล่นให้พี่หน่อยจะได้ไหม”

ฮ้อยกลับจากเข้าห้องน้ำก็เดินมายืนข้างจุ๊ย

“ก็ได้ครับ  เล่นให้ฟรียังได้” อ๊อดเสนอตัว

สรรค์วางมือบนไล่อ๊อด นิ้วแตะเบาๆตรงต้นคอ

“ขอบ ใจนะ  แต่พี่ไม่ให้เราเล่นฟรีๆหรอก  ค่าจ้างมีแน่นอน  โดยเฉพาะจุ๊ย  มีเพื่อนเป็นคอแจ๊ส เขาอยากฟังเพลงระดับตำนานจากจุ๊ย  พี่เอาไปโม้ไว้เยอะเลย อย่าให้พี่เสียหน้านะ”

ตอนนั้นนิ้วของสรรค์ไล่ไปบนหลังคอของอ๊อด  สร้างความรู้สึกกับระบบประสาทของอ๊อดอย่างจัง

ฮ้อยที่ช่างสังเกตถึงกับขมวดคิ้วกับกิริยาเพียงเล็กน้อยของคนทั้งคู่

 

ส่งอ๊ฮดเรียบร้อยก็ขับต่อมาส่งจุ๊ย  ก่อนจุ๊ยจะลงจากรถ ฮ้อยก็กล่าวขึ้น

“มึงว่าพี่สรรค์แม่งจะกินไอ้อ๊อดรึเปล่าวะ”

จุ๊ยหันมา

“ทำไมมึงคิดอย่างนั้น” จุ๊ยถาม

“ก็.. เมื่อกี้..” ฮ้อยจะอธิบาย  แต่ก็รู้สึกว่าเขาอาจคิดไปเอง

“เออ.. ช่างเหอะ กูอาจคิดมากไปเอง”

จุ๊ยนิ่งไปนิดหนึ่ง  แต่ก็ตอบออกมาเป็นเรื่องสนุก

“ห่ามึงก็อย่าคิดมาก เห็นอะไรนิดๆหน่อยก็จินตนาการไปไกล  หาแฟนซะนะมึง  จะได้ไม่มีเวลาจินตนาการ จะได้เงี่ยนน้อยๆหน่อย”

ฮ้อยเลยเขกกระบาลจุ๊ยไปสักทีก่อนจะไล่

“ไปเลยมึง ป่านนี้แฟนมึงเตรียมลับอีไต้ไว้ตอนมึงแล้วมั๊ง”

“กูไม่กลัว...” จุ๊ยทำท่ายั่วโมโห

“เพราะมันไม่อยู่ไปถ่ายละคร  มันทำอะไรกูไม่ได้”

 

เดฟนั่งอยู่คนเดียวท่ามบนสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ของโรงแรมที่พัก  เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ประดับด้วยดวงดาว

เขา ดวงดาวแต่ละดวงเขารู้จักดี  ความชอบดูดาวของเขาทำให้เขาเคยคิดว่าสักวันจะเป็นนักดาราศาสตร์  แต่จังหวะชีวิตก็พัดพาเขาออกจากเส้นทางของนักดาราศาสตร์ คงเหลือแต่ความชมชอบในแสงสว่างระยิบระยับพรายที่แต่งแต้มท้องฟ้ายามราตรี

แม้จะมีดวงดาวอยู่ต่อหน้าตอนนี้  แต่เขาก็ไม่อาจสลัดดวงหน้าคมคายของอัศวะในตอนที่สนทนากันครั้งสุดท้ายได้เลย

เขานั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้  กระทั้งมีใครคนหนึ่งนั่งลงข้างๆ

หันไปก็เห็นอาราอิ

“ดูดาวเหรอ” อาราอิถาม

“อืม” เดฟตอบ

“นายกับอัส  ตกลงจะให้มันจบไปอย่างนี้จริงๆรึ” อาราอิถามต่อ

เดฟเงียบไป  แล้วก็กวาดตามจนทั่วท้องฟ้า

“ฉันยังมีทางอื่นอีกเหรอ โยชิ” เดฟกล่าว

“เรื่อง ของฉันกับอัส ยังไงก็ต้องเป็นแบบนี้  ตอนนี้เขาพึ่งจะเข้าวงการ  นายก็รู้วงการนี้มันโหดร้าย  ถ้าเขามีปัญหาเพราะเรื่องของฉัน  ก็อาจดับเอาง่ายๆ  แล้วยิ่งมีปัญหากับพ่อของเขา ก็ยิ่งไม่ควรไม่ใช่เหรอ”

อาราอิเงยมองดูดาวบ้าง

“นาย นี่ท่าทางจะซาดิสต์ ชอบความเจ็บปวด  เมื่อก่อนก็รักไอ้จุ๊ยจนยอมเจ็บซ้ำซากๆ  ตอนนี้ก็มาเจอคนที่รักตัวเอง  แต่ก็ดันยอมเชือดเนื้อตัวเองเพื่อคนที่รักอีก”

เดฟยิ้มเหมือนเย้ยตัวเอง

“ก็ คงจะจริง  แต่มันก็จำเป็นไม่ใช่เหรอ  จริงๆแล้วตั้งแต่ฉันเลือกจะเปิดตัวเอง  ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าสักวันคงจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น  แต่จะให้ทำยังไงได้  ในเมื่อเส้นทางของเรามันไม่เหมือนชาวบ้าน  จะให้ทุกคนยอมรับหมดก็คงไม่ได้ใช่ไหมหล่ะ”

“ไอ้เรื่องงานก็เรื่องหนึ่งนะ  แต่ไอ้เรื่องครอบครัวนี่เรื่องใหญ่เลยหล่ะ  ฉันไม่อยากให้ใครมาแตกแยกกับครอบครัวเพราะฉันหรอกนะโยชิ”

อาราอิพยักหน้าช้าๆ แล้วก็ตบบ่าเดฟสองที

“บาง ที่เราก็ต้องทำใจในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้  แล้วก็ปล่อยให้เรื่องของพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้  โดยหวังว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้”

เดฟนิ่งไป  มองลงต่ำแล้วหัวเราะหึๆในลำคอ

“นายนี่ท่าจะอยู่กับจุ๊ยมากไปนะ  พูดอะไรเหมือนเขาไม่มีผิด”

 

วันนี้ จุ๊ยออกจากบ้านพร้อมกับเฮี้ยตี้  ทำให้เขาเข้ามามหาวิทยาลัยด้วยประตูอีกด้านที่ต้องผ่านตึกเรียนของคณะที่เด ฟและ  อัศวะเรียนอยู่

จุ๊ย รู้สึกสองจิตสองใจ ที่จะเข้าไป ใจหนึ่งก็อยากจะเจอกับอัศ   แต่อีกใจก็กลัวอัศวะจะยังไม่เลิกคิดว่า  เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้   เดฟบอกเลิกกับอัศวะ

“เอาวะ” จุ๊ยตัดสินใจแน่วแน่แล้วจะเดินเข้าไป

“จุ๊ย” เสียงเรียกจากด้านหลัง

จุ๊ยหยุดหันมา

อัศวะยืนอยู่ในชุดนักศึกษา

“มาทำอะไร”

ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้ว  แต่จุ๊ยกลับโดนความคาดไม่ถึงที่เจออัศวะแบบกระทันหันเล่นงานจนใจฟ่อไป

“เอออ  กูปวดขึ้  มาเข้าห้องน้ำ” จุ๊ยตอบออกไป กลบเกลือนแบบไม่ค่อยเนียน จนเขารู้ตัวเอง

อัศวะเดินมายืนตรงหน้า

“ตึกคณะมึงไม่มีส้วมงั้นสิ  ถึงต้องมาขี้ถึงคณะกู”

“ก็กูเข้าประตูนี้มา  ปวดพอดีก็ต้องมาขี้ตึกนี้สิวะ เพราะมันใกล้ที่สุด” แล้วจุ๊ยก็ทำท่ากุมท้อง

“ไปก่อนนะเดี่ยวราด”

อัศวะดึงจุ๊ยเอาไว้

“เดี่ยวอย่ามาฟอร์ม  กูรู้ทันมึงไอ้จุ๊ย”

“รู้ทันเหี้ยอะไร” จุ๊ยย้อน ดิ้นรนให้พ้นการจับไว้ของอัศวะ

“อย่าดึงประเดี่ยวกูก็ราดตรงนี้”

“ก็ให้มันราด” อัศวะว่าแล้วล็อกคอจุ๊ย  ก่อนจะลากจุ๊ยไปเดินไป

“เฮ้ยไอ้อัส  นี่กูปวดจริงๆนะมึง”

“ตัวก็เย็น ขนก็ไม่ลุก  ปวดขี้เหี้ยอะไรของมึง  ไม่ต้องมาอ้าง  มาเลยมากับกู”

“ไอ้อัส  ก็บอกว่ากูปวดขี้”

“ไม่ต้องเลย กูหิวข้าว ไปกินข้าวกับกูก่อน”

“ไอ้เหี้ยกูปวดขึ้ เสือกจะไปแดกข้าว...ไอ้อัสมึง”

“เออ ไม่ต้องพูดมา มานี่มา”

 

“แปลว่ามึงได้ยินหมดแล้ว” อัศวะกล่าวแล้วก็ใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ แล้วก็วางกลับลงไป

“เออ  ก็ได้ยินสิ... กูก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นพวกมึง  แต่ฟังไปฟังอ้าวมีชื่อกูด้วย เลยแอบฟัง” จุ๊ยตอบแล้วก็ตักข้าวมันไก่กิน

อัศวะถอนหายใจ

“กู พูดไม่ได้คิดน่ะจุ๊ย กูขอโทษ  กูกำลังเสียใจ  ตกใจด้วย คิดอะไรไม่ออกเลยโทษมึงไปก่อน  ก็มึงอะ เป็นที่รักของเดฟซะขนาดนั้น  กูก็คิดได้เป็นอย่างแรกเลยสิวะ”

จุ๊ยมองหน้าอัศวะ  ก่อนจะเอาช้อนตักเกี้ยวปลามาจากชามอัศวะ

“เฮ้ยนั่น” อัศวะท้วง

“ทำไม ก็มึงขอโทษ  แต่กูก็ต้องเรียกค่าปรับค่าเสียหายด้วยสิวะ” แล้วจุ๊ยก็เอาเกี้ยวปลาใส่ปากเคี้ยว

“ตอน นี้กูเข้าใจแล้วว่าเดฟมันต้องการอะไร  แต่เดฟมันก็ไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดหลายวันกว่าจะกลับ  กูเลยไม่รู้ทำยังไง  โทรไปมันก็ไม่รับ” อัศวะถอนหายใจอีก

“นี่มันจะจบตรงนี้จริงๆเหรอวะ”

จุ๊ยก็ถอนหายใจบ้าง

“ก็ ไม่รู้สิ... แต่กูว่าตอนนี้พวกมึงก็อาจต้องเป็นอย่างนี้กันไปก่อน  อย่างน้อยก็จนกว่ามึงจะหาวิธีคุยกับพ่อ  แล้วก็เคลียร์เรื่องงาน  ไม่อย่างนั้น... มึงก็รู้จักไอ้เดฟไม่น้อยกว่ากู  มันอมความทุกข์ได้มากอย่างเหลือเชื่อ  มันไม่มีทางยอมกลับมาคบกับมึงแน่ๆ แม้มันจะเจ็บปวดก็ตามเหอะ..”

มองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมๆกันอีกรอบ

“เป็นเกย์นี่แม่งยากชิบหาย” อัศวะส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเอาตะเกียบแทงๆแทงลงในชาม

“เอากันก็ว่ายากแล้วนะ  จะอยู่ด้วยกันยิ่งยากยิ่งกว่าอีก  โอ้ย... ชิบหาย... ทำมันยากเย็นแบบนี้วะ”

“ไอ้อัศ” จุ๊ยกล่าวเสียงเย็นเหี้ยม

“ความยากของมึงน่ะ  เต็มหน้ากูเลย”

อัศวะยิ้มแหย่ๆ มองหน้าจุ๊ยที่มีน้ำแกงเปื้อนเป็นหย่อมๆ

“ขอโทษมันอิน”

“อินพ่อมึง... ดูดิ แม่งเผ็ดก็เผ็ด”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:35:04
ตอนที่ 63 : วิกฤติ จุ๊ยอย่าตายนะ
จุ๊ยกำลังล้างจานตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิด
เขาเดาว่าคงเป็นซัว
จะว่าไปเขากับซัวก็ยังไม่ได้คุยกันเรื่องที่ซัวไปลาออกจากโรงเรียนโดยพละการ
“กินข้าวรึยัง  มีเป็ดย่างนะจะกินไหม” จุ๊ยถาม
แต่ซัวไม่ตอบเดินขึ้นบันไดไป  จุ๊ยเลยสงสัย พอดีเขาล้างจานเสร็จ ก็เลยตามขึ้นไป  และก็ไปทันตรงชั้นลอย ตรงหน้าห้องนอนของป๊า

“เป็นอะไรอีกหล่ะ หรือว่าเหนื่อย”
ซัวส่ายหัวแต่ไม่ตอบ  แต่จุ๊ยสังเกตเห็นว่าเสื้อของซัวมีรอยเปื้อนก็เลยเดินเข้าใกล้ๆ  พอมองดีๆมันเป็นรอยเลือด
“นี่มันเลือดอะไรซัว” จุ๊ยถาม
“ไม่มีอะไร” ซัวตอบ แล้วรีบเดิน
แต่จุ๊ยคว้าตัวไว้ และใช้ความสูงใหญ่กว่าดึงตัวน้องชายให้หันกลับ
“เฮ้ยหน้าเอ็งไปโดนอะไรมา” จุ๊ยถามเพราะซัวมีรอยฟกช้ำที่ตาและมุมปากอย่างชัดเจน
“ไปต่อยกับใครมาไอ้ซัว”
ซัวทำผลุบตาลงต่ำ 
“บอกเฮียมาซัว” จุ๊ยคาดคั่น
“ไม่มีอะไรเฮียผมหกล้ม” ซัวหันหลังกลับ
“มึงจะปิดบังกูอีกเท่าไหร่ซัว” จุ๊ยโพล่งออกไป
ซัวหยุดเท้า
“มึง ไปลาออกจากโรงเรียนแล้วใช่ไหม  ทำไมมึงไม่บอกกู... แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นมึงก็ยังไม่บอกกูอีก  มึงยังเห็นกูเป็นพี่มึงอีกเปล่าซัว ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้ซัว”
แต่ซัวไม่ตอบแล้วเดินขึ้นบันไดไป
จุ๊ยใจร้อนจะตามไป  แต่ก็หยุดไว้เพราะนึกถึงคำพูดอาราอิ
ตอนนี้เขาร้อนเป็นไฟ  ถ้าไปคุยกับซัวตอนนี้ก็มีแต่จะทะเลาะกัน
 
อาราอิวางมือบนมือของจุ๊ย  อย่างแผ่วเบาตอนที่ฟังจุ๊ยเล่าจบ
“ก็ดีแล้วหล่ะ อย่างน้อยนายพยายามไม่ทำให้ทะเลาะกัน”
จุ๊ยถอนหายใจมองออกไปนอกรถ 
“แต่ ฉันก็อยากจะรู้อยู่ดีว่ามันไปต่อยกับใครมา  แต่ไหนแต่ไรไอ้ซัวมันใจปลาซิวจะตาย  นิดหน่อยก็หนี นิดหน่อยก็ถอยไม่เคยสู้ใครสักที  ตอนมันเข้าเรียนอาขีวะฉันยังห่วงมันจะโดนรังแก”
“วันนี้ซัวทำงานรึเปล่า” อาราอิถาม
“ไม่รู้สิ.. ลองโทรถามป๊าดู” จุ๊ยตอบ แต่มานึกได้ ก็สงสัย
“นายถามทำไม”
“ก็ถ้านายอยากรู้ก็ไปถามที่ร้านดูสิ  พนักงานในร้านน่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
 
“หนู ก็ลาไปเป็นอาทิตย์ ส่วนเพื่อนอีกคนก็เข้ากะเช้าก็เลยกลับไปก่อนจะเกิดเรื่อง ที่เหลือก็พนักงานฝึกงานไม่รู้อะไรอยู่แล้ว” พนักงานสาวอธิบายหลังจากคิดเงินให้ลูกค้ารายหนึ่งเสร็จแล้ว
“แต่เดี่ยวผู้จัดการก็มาแล้ว  จะรอไหมหล่ะค่ะ”
จุ๊ยเอาโทรศัพท์มามองนาฬิกา
“ก็ได้ครับ” แล้วเขาก็หันไปสบตากับอาราอิที่พรางตัวด้วยแว่นตาดำและหมวก
 
ซัวเดินมาอย่างหมดอะไรตายอยาก  เขารู้สึกแย่มากๆ ที่หันหลังให้พี่ชายไปอย่างนั้นเมื่อคืน
ไม่ใช่ไม่อยากจะเล่า  แต่เฮียจะเข้าใจเขาง่ายๆอย่างนั้นเหรอ  แล้วเฮียจะเชื่อเหตุผลของเขาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ซัวเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านสะดวกซื้อ...
“ไอ้ซัว” เสียงเรียกจากข้างหลัง
ทว่าซัวไม่ได้ทันได้หันไป ก็โดนไม้หวดลงไปกลางหลังจนล้มไป
ซัวตั้งหลักโดยสัญชาตฌานเอาตัวรอด รีบพลิกตัวกลับไปมอง
“ไอ้น้อย” เขาร้องออกมา
“มึงทำชีวิตกูพัง” น้อยคำรามโยนไม้ทิ้งแล้วก็ชักปืนออกมา
 
จุ๊ยมายืนอ่านนิตยสารอยู่ตรงใกล้กับประตูร้าน  แล้วเสียงวุ่นวายด้านนอกก็เรียกเขาให้หันไป

“ซัว” เสียงจุ๊ยร้องเสียงดัง แล้วถลันออกไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
“เปรี้ยง” เสียงปืนแผดสนั่น
“เฮีย” ซัวร้องเสียงหลง  เพราะจุ๊ยเข้ากอดร่างเขาไว้เสียก่อนเสียงปืนจะดัง

จุ๊ยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในครั้งแรก  กำลังจะถามน้องชายว่าเป็นอะไรไหม  แต่พอจะอ้าปากพูด เลือดมันก็ทะลักออกมาจนเต็มปาก

แล้วความรู้สึกเจ็บแน่นก็โถมเข้ามา

"เฮีย" ซัวร้องผวากอดร่างพี่ชายไว้แน่น

 
น้อยเห็นท่าไม่ดีแต่ก็ยังจะยิงซ้ำ เขาจ่อปืนไปเลือกที่หัวของซัว
ฉับ พลัน กลับมีร่างสูงใหญ่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วกระแทกปืนในมือจนหลุดกระเด็น ด้วยการเตะ  จากนั้นก็จับล็อกแขนแล้วกระแทกหมัดใส่หน้าไปหลายครั้งจนน้อยสงบไปคามือ
“จุ๊ย”อา ราอิปล่อยร่างที่สิ้นฤทธิไปแล้ว  เข้าไปหาจุ๊ยที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของซัว  เขาถอดเสื้อตัวเองออก กดลงไปบนบาดแผลที่อยู่กลางหลัง
“รถพยาบาล เรียกรถพยาบาลที” เขาตะโกน กอดร่างของจุ๊ยไว้มือกดไว้ที่บาดแผล

"อาราอิ.." จุ๊ยเรียก

"มืดจังเลย..ฉันมองไม่เห็นแล้ว"

ใน อ้อมกอดของอาราอิแม้จุ๊ยจะรู้สึกอบอุ่น  แต่เขาก็รู้สึกง่วงเกินกว่าจะลืมตา  จากนั้นก็เขาก็ดิ่งสู่ห้วงดำมืด โดยมีเสียงอาราอิเรียกเขาซ้ำๆติดตามมาด้วย

"จุ๊ย จุ๊ยเข้มแข็งไว้นะ  หมอมาแล้ว  จุ๊ย จุ๊ย"

 
หน้าห้องพยาบาลอาราอิยืนพิงกับพนังที่ข้างประตูที่ทีมแพทย์พึงจะเข็นร่างของจุ๊ยเข้าไป
เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ทำให้เขาขยับล้วงมันออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน  เข้าไปนานแล้ว” เขาตอบคำถามของฮ้อยที่น่ากำลังเร่งเดินทางมาโรงพยาบาล

“หมอกำลังช่วยกันเต็มที่”
ซัวที่นั่งอยู่กับตี้กับแหวนที่พึ่งมาถึงไม่นานก็ร้องไห้ออกมาอีก
จนตี้ต้องเอาตัวน้องมากอด
“ไม่เป็นไรหรอก เฮียของมึงดวงแข็ง  หมอกำลังช่วยเต็มที่แล้ว”
อาราอิกดโทรศัพท์ทิ้ง พิงตัวลงอย่างเดิมเงยหน้าขึ้นมองเพดานก่อนจะหลับตาลง
“เข้มแข็งนะจุ๊ย  เข้มแข็งเข้าไว้ อย่าทิ้งฉันไป”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:35:32
ตอนที่ 64 : จุ๊ยรอดตาย อ็อดกับความปรารถนาที่หยุดยังไม่ได้
ตี้สนทนากับแพทย์เจ้าของไข้เรียบร้อยก็เดินกลับเข้ามาภายในห้อง
อาราอินั้งอยู่ชิดเตียงโดยกุมมือจุ๊ยเอาไว้ด้วยตาก็มองที่ใบหน้าที่กำลังอยู่ในอาการสลบอยู่
“หมอบอกว่าผ่ากระสุนออกเรียบร้อย  กระสุนไม่แตก  ไม่โดนอวัยวะสำคัญ ถือว่าดีมาก” ตี้ตบบ่าอาราอิเบาๆ
 
ในความืดมิดนั้น  จุ๊ยรู้สึกเหมือนตัวเองยังเดินไปเรื่อยๆ  แล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู

"พี่ไตร"..

 
จุ๊ยรู้สึกคอมันแห้งจนเป็นผง  เขาจึงพยายามลืมตา  แล้วออกเสียงเรียก
“อาราอิ... ฉันหิวน้ำจัง”  เขาออกเสียงอย่าอยากลำบาก  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเรียกชื่อนั้นออกไป
เสียงเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน  แล้วก็วิ่งมา  ดวงหน้าอาราอิมาอยู่ต่อหน้าจุ๊ย
“น้ำเหรอจุ๊ย รอเดี่ยวนะ” อาราอิรีบหันไปรินน้ำใส่แก้ว  แล้วก็หยิบหลอดที่เตรียมเอาดึงน้ำมาครึ่งหลอด
“ค่อยๆนะ” อาราอิกล่าวมือหนึ่งช้อนหัวจุ๊ยขึ้น แล้วค่อยๆหยดน้ำใส่ปากจุ๊ยที่ละหยดจนหมด  แล้วก็หันไปทำซ้ำอีกครั้ง
“เป็นไงดีขึ้นไหม” เขาถาม
จุ๊ยมองไปรอบๆ
“โรงพยาบาลเหรอ.. “ จุ๊ยถาม
“ใช่สิ  นายสลบไปวันกับคืนเลยนะ” อาราอิตอบ
จุ๊ยค่อยๆลำดับเหตุการณ์
“แล้วซัวหละ” จุ๊ยถาม
“ไม่เป็นไร พึ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง  เดี่ยวฉันโทรตามให้นะ” อาราอิกล่าว
แต่จุ๊ยกลับจับมือเขาไว้
“ไม่ต้องหรอก เดี่ยวค่อยคุยกันก็ได้”
แล้วจุ๊ยก็เงียบไป เขามองเพดานนิ่ง
“อาราอิ  ฉันฝันเห็นพี่ไตรด้วยหล่ะ”
อาราอิวางโทรศัพท์ที่หยิบออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“พี่ไตรถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง  คิดถึงพี่เขาบ้างไหม” จุ๊ยไอออกมา อาราอิเลยเอาน้ำให้ดื่ม
“แล้วนายตอบว่ายังไง” อาราอิถาม
“ก็บอกว่าสบายดี  แล้วพี่เขาก็บอกว่า ให้ฉันกลับไปได้แล้ว  นายกำลังรอฉันอยู่” แล้วจุ๊ยก็หันมา
“พี่เขาบอกว่านายเป็นห่วงฉันมากเลย  ให้ฉันรีบกลับ นายจะรอนาน”
อาราอิจึงลุกไปยืนชิดเตียง
“ฉันก็ห่วงนายจริงๆนี่น่า... ฉันกลัวมากเลยนะตอนที่นายโดนยิง  นายชอบทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย” อาราอิเอามือจับแก้มจุ๊ย
จุ๊ยยิ้มจางๆ  แล้วเขาก็จับมืออาราอิไว้
“ฉันก็กลัวอาราอิ... กลัวว่าจะตาย  แล้วฉันจะไม่ได้เห็นายอีกเลย”
 
เรื่อง ของซัวก็คือซัวตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนอาชีวะเพราะไม่ต้องการเรียนหนังสือ อีกแล้ว  เขาคิดว่าหัวอย่างเขาเรียนไปก็เปล่าประโยชน์  เขาก็เลยตัดสินใจออกมาทำงาน เพื่อจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จะได้หาลู่ทางทำการค้าเอง ทดแทนธุรกิจของป๊าที่เริ่มมาถึงทางตัน
 ส่วน เรื่องของน้อย  ก็คือน้อยเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาก่อน  และมาทำงานด้วยกัน  แต่น้อยแอบขโมยสินค้าในร้านออกไปบ่อยๆ แถมยังเป็นสายให้โจรเข้าปล้นร้านเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งซัวไม่ได้ไปทำงานพอดี  ซัวรู้เรื่องก็เลยไปแจ้งกับผู้จัดการ  ทำให้ผู้จัดการไล่น้อยออก แถมจะเรียกตำรวจมาจับ  น้อยจะหลบหนีซัวก็พยายามขัดขวางแต่ก็ไม่สำเร็จ
แล้วน้อยก็ย้อนกลับมาพร้อมอาวุธเพิ่อจะล้างแค้นซัว  ก็เลยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
“ผมขอโทษเฮีย เพราะผมแท้ๆ เฮียถึงได้เจ็บตัว” ซัวก้มหน้าลง
จุ๊ยถอนหายใจ ตอนนี้เขากำลังนอนกึ่งนั่ง  จึงสามารถจับหัวของน้องชายได้ถนัด
“มึงไม่เป็นไรกูก็ดีใจมากแล้ว”
ซัวก็เลยโผเข้ากอดจุ๊ย  แต่จุ๊ยร้อง
“เจ็บๆ อย่าพึ่งกอด”
ซัวตกใจรีบถอยออกมา
เฮียตี้เดินมาข้างๆซัวเอามือวางบนไหล่ของเขา
“เอาหล่ะ  ในเมื่อมันไม่ได้ร้ายแรงอะไรแล้ว ก็ถือว่าโอเค”
อาราอิหันไปมองไฮ้จุ๊งที่นั้งไขว้ห้างมองลูกชาย  ปกติไฮ้จุ๊งจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์  แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายิ้มออกมา
แต่จู่ประตูก็เปิดพรวดออกมา
“จุ๊ยเป็นยังไงบ้าง” พ๊งหัวเดินฉับๆมาจับแขนจุ๊ย แล้วก็พิจารณาตัวจุ๊ย
“ป๊าพึ่งกลับจากประขุม รู้ก็รีบมาเลย”
จุ๊ยมองหน้าไฮ้จุ๊งก่อนจะตอบ
“ไม่เป็นไรแล้วครับ”
พ๊งหัวพยักหน้าอย่างคลายใจ แต่ไม่วายหันไปเล่นงานไฮ้จุ๊ง
“ลื้อดูแลลูกยังไงให้มันไปโดนยิง เป็นพ่อภาษาอะไร”
ไฮ้จุ๊งหัวเราะหึๆ
“อั๊วก็เลี้ยงให้มันได้พจญภัยบ้าง  เป็นผู้ชายก็ต้องโลดโผนบ้างเป็นธรรมดา”
“เฮ้ยลื้อพูดไม่ถูก  นี่มันเสี่ยงตายแล้วไม่ใช่โลดโผน  เกิดลูกของอั๊วตาย  อั๊วจะเอาเรื่องลื้อ”
“อ้าว ก็ลื้อไม่มาดูแลมันเอง  อั๊วก็ดูแลไปตามกำลังอั๊ว ลื้อจะมาบ่นอะไร”
จุ๊ยทำหน้าแหย่ๆตอนมองสองบิดาเถียงกันไปเถียงกันมา
ส่วนตี้กับซัวก็ถอยออกมานั่งที่โซฟากับอาราอิ
“ป๊า กับ ป๊าเลิกทะเลาะได้แล้วครับ นี่มันโรงพยาบาล” จุ๊ยกล่าวออกมาในที่สุด
 
เพราะจุ๊ยบาดเจ็บกะทันหันทำให้งานที่รับไว้แล้วต้องยกเลิกไป  หนึ่งในงานนั้นก็คืองานวันเกิดของสรรค์
แต่อ้อดก็ยังได้รับเชิญให้ไปงาน  ฮ้อยก็ไม่ว่างเขาเลยต้องไปคนเดียว
แม้ กระนั้น เพื่อนของสรรค์ที่เป็นสาวประเภทสองบ้าง และเกย์บ้าง ชายแท้หญิงแท้บ้างก็ดูเป็นมิตรดี  ดังนั้นเขาจึงเพลิดเพลินไปกับงานพอสมควร
จนกระทั้งงานเลิก  อ๊อดก็รู้ว่าหัวมึนตึงๆ  แต่ไม่ถึงขนาดเมา 
สรรค์ อาสามาส่งที่บ้าน  แต่พอไปถึงครึ่งทาง  ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ล่วงหน้ามาในเส้นทางเดียวกันว่ามีด่านตรวจแอลกอ ลฮอลล์ อยู่ข้างหน้า
สรรค์ก็เลยต้องจอดรถ
“ไม่เป็นไรผมกลับแท็กซี่ก็ได้” อ๊อดบอก
สรรค์หันมามองหน้า ก่อนจะยิ้มจางๆ  บีบไปบนไหล่ของอ๊อด
“หรือว่าอ๊อดจะไปที่อื่นก่อนไหม รอให้เลิกด่านหรือไม่รอพี่แอลกอลฮอลล์ลดก่อน”
สัมผัสของสรรค์สร้างความตื่นตัวให้อ๊อด  เขาจะขยับเบี่ยงแต่มือของสรรค์ปล่อยก่อน  ทว่ากลับมาบนตักของอ๊อด
“พี่ชอบอ๊อดมากเลยนะ  ตั้งแต่ได้เห็นรูปในเฟสบุ๊ค”
อ๊อดหันมาสบตาด้วย  แววตาของสรรค์จ้องลึกในตาของอ๊อด
มือของสรรค์สัมผัสอย่างแผ่วๆ  แต่สร้างความเสียวซ่าน แล้วกืเลื่อนไปบนเป้ากางเกง  สัมผัสนั้นยิ่งสร้างความตื่นเต้นให้อ๊อด เขาถึงก้บสะท้านกาย

“ไปต่อที่ห้องพี่ไหม” สรรค์กล่าวแล้วขยับมาจูบข้างหู อ้อยอิงที่ติ่งหูของอ๊อดหลับตาลงครางฮืมออกมา
 
บ้านของสรรค์เป็นห้องชุดสุดหรูบนคอมโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา  พอเข้าไปในห้อง  สรรค์ไม่ได้เปิดไฟด้วยซ้ำไป  แต่ดึงตัวอ๊อดมาแล้วระดมจูบไล่บนซอกคออย่างเร้าร้อน
เขาดันให้อ๊อดพิงกับประตูห้อง
มือข้างหนึ่งจับล้วงเข้าไปในเสื้อแล้วไล่นิ้วบนยอดอกของอ๊อด  อีกมือลูบบนเป้ากางเกงที่คับแน่นเต็มที่
จุบต่ำลงเรื่อยๆ  มือสองข้างก็ช่วยกันปลดกางเกงยีนต์ของอ๊ฮดเพื่อปลดปล่อย
อ๊อดเกร็งตัวอย่างเต็มที่เมื่อถูกสัมผัสที่จุดสำคัญ
เขาครางออกมาทั้งมือบีบหัวไหล่ของพี่สรรค์  เขาส่งเสียงครางสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของพี่สรรค์
เหมือนบทเพลงชื่อดัง Need You Tonight ของ  INXS จังหวะสม่ำเสมอ  และราบรื่น  ทว่าเร้าใจด้วยจังหวะด้วยกลอง และเบสสะเทือนกระตุ้นอารมณ์
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:36:00
ตอนที่ 65 : ความแตก
อ๊อดนั่งแท็กซี่กลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ในตอนเช้า เพราะพี่สรรค์มีงานด่วนต้องรีบไป ซึ่งที่จริงพี่เขาก็อาสามาส่งแต่อ๊อดเห็นว่างานที่ว่าเป็นงานเร่งด่วนจึง ปฏิเสธ
พี่สรรค์ใจดีกับเขามาโดยตลอด  และเหมือนรู้ใจไปซะทุกอย่างเหมือนกับคนที่รู้จักเขามานาน  แล้วยังเหตุการณ์เมื่อคืน  ที่อ๊อดไม่สามารถต้านท้านการโจมตีของสรรค์ได้โดยสิ้นเชิง  แล้วมันก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากเสียด้วย 
แต่พอเขามองขึ้นไปบนตึกที่พักตอนที่ลงจากแท็กซี่  ใจที่กำลังพองโตกลับห่อเหี่ยวลงกะทันหัน
พอเปิดประตูเข้าไป  เมืองฟ้าไม่อยู่  อ๊อดมองนาฬิกาเห็นเป็นเวลาแค่หกโมง  เมืองฟ้าคงจะไปเรียนแล้ว
ก็ยังดี เพราะเขาก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง  ที่หายทั้งคืนโดยไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า
ถอนหายใจโล่งอกไปเปลาะหนึ่งแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น
แต่เมื่อเปิดตู้เย็นแล้ว  เขาก็ยืนค้างอยู่อย่างนั้น
ในตู้เย็นมีเค็กช๊อกโกแล็ตก้อนใหญ่วางไว้  มันไม่สวยงามมากนัก เพราะเป็นเค้กทำมือ  มีกระดาษแผ่นหนึ่งพับเหน็บอยู่ใต้นั้น
 
อ๊อดเอาเค้กมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่น ที่กางทิ้งไว้แล้ว  เขาเริ่มต้นกินเค้ก
“วันนี้ วันครบรอบของเราจำได้ไหม... เมืองรออ๊อดจนดึกเลย  ถ้ากลับมาแล้วเมืองหลับอยู่ ก็กินเค้กให้หมดเลยนะ  เมืองตั้งใจทำไว้ให้เพื่อฉลองเล็กๆ  ในวันที่เราได้คุยกันเป็นครั้งแรกไง  กินให้อร่อยนะอ๊อด  รักอ๊อดจัง... เมือง”
ตอนนั้นอ๊อดต้องกินๆไปปาดน้ำตาไป.. ความรู้สึกผิดกำลังท่วมท้นจิตใจ

 
จุ๊ยบาดแผลของจุ๊ยสมานดีไม่มีอุปสรรค์ใดๆ ที่สุดเขาก็สามารถมาเรียนได้ตามปกติ
“หายดีแล้วเรอะ” หน่องถามตอนจุ๊ยยกจานข้าวมันไก่มาวางแล้วนั่งลง
“ก็ยังไม่ตาย กูก็ต้องหาย  ผิดหวังละซี  แผนกำจัดคนหล่อๆอย่างกูไม่สำเร็จ” จุ๊ยตอบแบบไม่วายกวนตีน
หน่องทำหน้าเซ๊ง
“เหี้ยทำไมแม่งไม่ยิงกรอกปากไปเลยวะ  จะได้ตายๆห่าไปซะ”
“เป่าแซกได้แล้วรึยัง” ฮ้อยถาม
“ก็ได้นะ  แต่เพลงเบาๆ  ไม่แรงมาก  ถ้าแรงมันยังรู้สึกปวดนิดๆ” จุ๊ยตอบ ตามองไปที่จานของฮ้อย
“อย่าๆไม่ต้องเลย อันนี้กูเก็บไว้กินที่หลัง” ฮ้อยรู้จุดประสงค์
เพราะเขาเหลือหมูติดมันไว้สามชิ้นในขณะที่กินอย่างอื่นไปเกือบหมดแล้ว
“งกเหรอวะ... นี่เพื่อนมึงป่วยเกือบตาย  มึงยังงกกับเพื่อน “ จุ๊ยทำเสียงเหมือนโลกจะสลาย  ก็แสร้งทำหน้าผิดหวังอย่างโอเวอร์แอ๊คติ้ง
“กู เสียใจได้ หน่องมึงดูเพื่อนกูสิ  เรานะ  เราคบกันมาตั้งแต่ ม.หนึ่ง... แล้วดูมันทำกับกู กูเสียจายย” แล้วก็สบกับไหล่หน่อง หน่องก็รับมุกโอบประคอง
“ไอ้ฮ้อยกูไม่คิดเลยนะว่ามึงเป็นคนแบบนี้  มึงทำร้ายจิตใจเพื่อนมึงได้ยังงายย”
ฮ้อยถอนหายใจดังเฮือก  ว่าแล้วก็ตักหมูสามชิ้นใส่ปากเคี้ยวในคราวเดียว
“แดกแม่งซะ จะได้เลิกดราม่า”
“โหดร้าย” จุ๊ยผละออกมาทำท่าสะดีดสะดิ้ง
“ใช่..ที่สุดอะ” หน่องก็ทำท่าเดียวกันหันมามองหน้ากัน
จุ๊ยทำตาซึ้ง จับมือหน่อง
“โอปป้า” จุ๊ยส่งเสียงหวาน
“ทงแซง” หน่องก็เรียกกลับ
“โอปป้า”
“ทงแซง”
“ซาราเฮโย”
แล้วก็ทำท่าจะเข้าจูบกัน ทำปากเผยอ ขมุบขมิบจุ๊บๆ
ฮ้อยทำท่าเวียนหัว
“นี่มันคนพึ่งหายเจ็บแน่เหรอวะ”
 
ตอน ที่อ๊อดมาถึงหน้ามันง่วงมากๆ  จุ๊ยก็ไม่ได้แปลกใจเพราะไอ้อ๊อดไม่เคยมาด้วยอาการแจ่มใสอยุ่แล้ว  เพียงแต่วันนี้เพื่อนดูเพื่อนออกจะหงุดหงิด
“เป็นไรวะ  หนักหรือไง.. เมืองสะกิดตลอดคืนเลยดิ” จุ๊ยกระซิบถามตอนที่อ๊อดนั้งลงโต๊ะยาวใต้ตึกคณะ
“สะกิดพ่อมึง กูไม่ได้เจอหน้าเขาเป็นอาทิตย์แล้ว “
“อ้าว” จุ๊ยแปลกใจ
“ก็มึงอยู่ด้วยกัน  ไม่เจอกันได้ไง”
“เขา กลับบ้านไป  บอกว่ามีเรื่องด่วน แซตมาทางไลน์  โทรไปก็ไม่คุยด้วย  บอกว่าไม่ค่อยสะดวกคุย นี่ก็จะสอบแล้วด้วย  ก็ยังไม่กลับมาสักที” อ๊อดตอบหน้าตาบอกว่าไม่สบอารมณ์
"แล้วนี่ไม่รู้ลงไปยังไง  ตัวเองก็มีโรคประจำตัว เดินทางไกลคนเดียวก็ไม่ค่อยปลอดภัย  ยังทำซ่าอีก"

 
 
สรรค์เดินเข้ามาด้านหลังทำให้อ๊อดสะดุ้ง  เขากำลังกดโทรศัพท์หาเมืองฟ้าอยู่  แต่ไม่มีการตอบรับ
“โทรหาใครดูหงุดหงิดเชียว” สรรค์ถามแล้วกอดเบียดร่างเกือบเปลือยของอ๊อด  เขาหอมที่ต้นคอ
“อ้อเพื่อนครับ  ผมเห็นเขาไม่มาเรียนหลายวันเลยจะโทรศัพท์ถามว่าเป็นยังไงบ้างเพราะอีกสองวันก็สอบแล้วด้วย”
สรรค์ปล่อยจากการกอด หันไปรินน้ำจากเหยีอกข้างเตียงมาดื่ม
“พูด ถึงเพื่อน พี่ก็ไม่ได้ไปเยี่ยมญาติพี่คนหนึ่งเลย  เขาป่วยอยู่โรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว  เขาเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เกิด  นี่อาการกำเริบ  ให้ผ่าตัดก็ไม่ยอมผ่า  ดื้อมากเลย” สรรค์กล่าว
“เขา เป็นเด็กนิสัยดีมากเลยนะ  จริงๆอ๊อดก็รู้จัก  เพราะเขาเป็นเพื่อนที่โรงเรียน  จะว่าไปเขานี่หล่ะเอาProfile มาให้พี่ดูตอนพี่หานักดนตรี  เราถึงได้รู้จักกันยังไง"
"ใครครับ” อ๊อดขมวดคิ้ว
“ก็..” สรรค์กำลังจะตอบ  แต่โทรศัพท์ของเขาดังขัดเสียก่อน ก็เลยรีบไปรับ
“ครับ... ใช่”
แล้วก็นิ่งรับฟัง
“อ้อได้ครับ...”
“งั้นส่งรายละเอียดมาเลย  ผมจะดูจากเมลล์”
แล้วสรรค์ก็เดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์
อ๊อดก็หันมาส่งไลน์ไปหาเมืองฟ้า
 
อาราอิบอกว่าต้องเขาของที่พ่อส่งมาให้ทางบริษัทขนส่งมาให้น้าทิพย์  เขาก็เลยพาจุ๊ยมาที่พักของน้าทิพย์ที่อยู่ในคอนโดมิเนียมหรู
จุ๊ยมองภาพทิวทัศน์ที่เห็นไปได้ไกลอย่างตื่นตา
“สวยไหม” น้าทิพย์ออกมาจากส่วนที่เป็นครัวพร้อมขนม
“ก็ให้อาราอิซื้อสักห้องสิ  เดี่ยวน้าถามให้เผื่อจะมีคนอยากขาย”
จุ๊ยได้ยินประโยคนี้ก็หันมาทำตาโต ด้วยความแปลก แล้วมองหน้าอาราอิ
“ไม่ ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก  น้าดูออก สองคนไปไหนด้วยกันตลอดขนาดนี้  ยังจะบอกไม่มีอะไรกันน้าคงไม่เชื่อหรอก” น้าทิพย์กล่าวแล้วรินน้ำหวานใส่แก้วแล้วเดินมาให้จุ๊ย
จุ๊ยกล่าวขอบคุณแต่ยังมองหน้าเธอแปลกๆ
“สมัยนี้มันเป็นยุคใหม่แล้วละ  พ่อของอาราอิก็รู้เรื่องนานแล้ว  ท่านยังบอกว่าจุ๊ยน่ารักดี”
“แต่ อย่างหนึ่ง ก็คือ อาราอิเขาเป็นคนดัง  จะมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ผลกระทบมันจะรุนแรงมาก  ไม่ใช่ตัวเขา แต่จะเป็นตัวจุ๊ยเองด้วย  เพราะอย่างที่บอกแฟนคลับน่ะ  ด้านบวกก็ดีหรอก แต่ถ้าเป็นด้านลบนี่น่ากลัวสุดๆ ยังไงก็ระวังตัวกันบ้าง  น้าก็จะพยายามบล็อกพวกสื่อให้อยุ่  แต่ก็ไม่รู้จะทำได้แค่ไหนนะ”
“ขอบคุณครับน้าทิพย์” อาราอิกล่าวแทน เพราะตอนนี้จุ๊ยไม่รู้จะพูดอะไร  แล้วเขาก็เดินมากอดคอจุ๊ย
“ถ้า เกิดอะไรขึ้นเอาไอ้จุ๊ยไปเล่นตลกให้แฟนคลับดู  ขี้คร้านจะติดใจมันกัน  น้าไม่รู้อะไร  มันป๊อบมากๆ  มีแฟนเพจของตัวเองด้วย  มีคนไลก์จะห้าหมื่นแล้วนะครับ  กว่าผมจะได้มันมานี่ ต้องรบกับเดฟ รบกับน้องวา รบกับแก็งค์เกย์สาวอีกทั้งแก๊งค์เลยนะครับ”
“เวอร์ละ” จุ๊ยกระทุ้งศอกไปที
“เล่นตลก.. จุ๊ยเล่นตลกเป็นด้วยเหรอ” น้าทิพย์ถาม
จุ๊ยจะตอบ
“โอ้ ยน้า... มันน่ะเห็นอะไรเป็นเรื่องเล่นหมดนั้นล่ะ  นี่มันเกรงใจ ลองเป็นเด็กรุ่นเดียวกันสิครับ  ไม่หัวเราะมันท้องแข็งผมให้เตะ  มันกวนตีนจะตาย”  ว่าแล้วก็ดึงหน้าผากจุ๊ยจนหน้าเหงน
“โอ้ยอะไรเล่า..” จุ๊ยสะบัด หัวหนี
“สนใจ เล่นละครไหม... ตอนนั้นก็เล่นได้ดีนี่  ผู้กำกับเขายังบอกเลยว่าเล่นเป็นธรรมชาติ  โดยเฉพาะตอนโดนต่อย” น้าทิพย์กล่าวกลั๊วหัวเราะ
“อันนั้นมันไม่ใช่การแสดงครับ” จุ๊ยตอบ
“แต่มันต่อยจุ๊ยจริงๆ  ไม่ต้องแกล้งเลย  เปรี้ยงเดียว  หงายเงิบ ปากแตก  แอนตาซินแจกสองพันทันที” พูดจบก็ชูสองนิ้วประกอบด้วย
น้าทิพย์เลยหัวเราะร่วน
 
ทิพย์เดินลงมาส่งทั้งสองคนข้างล่างเพื่อไม่ให้ใครมาเห็นแล้วจะจินตนาการไปว่าอาราอิกับจุ๊ยมาทำอะไรกันที่คอนโดมิเนียมนี้
“ขอบ ใจนะอาราอิ อุตส่าห์มาให้  แล้วบทเรื่องใหม่ที่เอาให้ไปถ้าสนใจก็บอกน้านะ  น้าจะได้เรียกมาแคสให้ผู้กำกับดู” น้าทิพย์ยิ้มอย่างสดใส
จุ๊ย เริ่มเข้าใจว่าทำไมอากิระ บิดาของอาราอิถึงได้ชมชอบผู้หญิงคนนี้  เธอสวยนิสัยดี  และบุคลิกต่างจากมารดาของอาราอิในเรื่องของความมีน้ำใสใจจริง
แต่ระหว่างที่ทั้งสองจะออกไป  พอดีมีชายหนุ่มสองคนเดินออกมาจากทางลิฟต์
“อ้าวสรรค์” น้าทิพย์เรียก
สรรค์หันมา  แต่เขามีท่าทีตกใจนิดหน่อยที่ได้เห็นจุ๊ยกับอาราอิ  แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
“แหม่มีหนุ่มๆมาควงตลอดเลยนะ” น้าทิพย์แซวสรรค์  แล้วหันมองมองหน้าเด็กหนุ่มผิวขาวทีเ่ดินมาด้วยกันกับสรรค์ 
แต่เธอก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มผิวขาวกำลังสบตากับจุ๊ยอยุ่ด้วยแววตาแปลกประหลาด ประหลาดใจระคนตกใจระคนด้วยความรู้สึกกระดากอาย
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:36:27
ตอนที่ 66 : สับสน
วันนี้เป็นวันสอบแต่อ๊อดก็ยังมาสายจนเกือบไม่ได้เข้าสอบ
พอสอบเสร็จเขาก็เดินเอื้อยๆลงมาจากตึกแล้วตรวจดูข้อความทางไลน์
เมืองฟ้าหายไปไหนกันแน่
เขาชักรู้สึกใจคอไม่ดี
 
“ไอ้อ๊อด” จุ๊ยปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้เขาตกใจ
“มานี่ก่อนสิ”
 
จุ๊ยลากอ๊อดออกมาไกลจากกลุ่มเพื่อน  อ็อดก็รู้อยู่แล้วจุ๊ยจะถามอะไร  ก็คงไม่พ้นเรื่องของเขากับพี่สรรค์
“เออกูยอมรับ กูนอกใจเมือง” อ๊อดสรุปตอนท้ายที่เล่าจบ
“แต่มึงต้องเข้าใจกูบ้าง พี่เขาแสนดีกับกู  รู้ใจกูหมดทุกอย่าง  กูก็เลยหวั่นไหว  เลยเผลอใจไปบ้าง..มึงเข้าใจกูหน่อย”
จุ๊ยถอนหายใจ  มองลงไปในสระน้ำ
“ก็เข้าใจ  แต่มึงไม่คิดบ้าง ว่าเมืองจะเสียใจ ถ้ารู้”
“ก็ถ้ามึงไม่พูด  เขาจะรู้ไหม” อ๊อดแย้ง
“มึงก็เงียบไว้  เขาก็ไม่รู้จักกัน จะรู้ได้ยังไง”
จุ๊ยล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเอาขนมห่อเล็กที่ได้รับแจกมา แกะห่อ แล้วโยนให้เต่าสองตัวที่โผล่มามอง
“มึงแน่ใจได้ยังไง” จุ๊ยถาม
“กูไม่แน่ใจหรอก” อ๊อดมองเต่างับขนมกรอบแล้วก็ถอนหายใจ
“แต่กูไม่รู้จะทำยังไง...กูสับสน”
จุ๊ยก็เลยกอดคออ๊อด
“เอาวะ  ก็ทำไงได้ เกิดขึ้นแล้ว  ก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงไปแล้วกันนะ”
 
อ๊อดกลับมาถึงห้องพัก เปิดประตูออกมาก็เห็นเมืองฟ้านั่งหันหลังให้ เพรากำลังใช้คอมพิวเตอร์
“เมือง” อ๊อดรีบเดินเข้ามาโดยไม่ได้ถอดรองเท้า
“โอยอ๊อด... ทำไมย่ำเข้ามาอย่างนี้หล่ะ ห้องพึ่งจะถูเสร็จ” เมืองฟ้าตำหนิ
อ๊อดเลยก้าวถอยหลังไปถอดรองเท้า
“เมืองไปไหนมา” อ๊อดถาม  ถอดรองเท้าเสร็จก็เดินมาหมุนเก้าอี้หันมา เขาจับมือเมืองฟ้าแล้วย่อตัวลง
“กลับบ้าน พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ” เมืองฟ้าตอบ
“กลับมาเมื่อเช้าก็รีบไปสอบแล้วกลับมานี่หล่ะ”
อ๊อดถอนหายใจดังเฮือกอย่างโล่งอก
“อย่าหายไปอย่างนี้นะ  อ๊อดเป็นห่วง  บอกมาแค่ว่าจะไปธุระสี่ห้าวัน  แต่นั้นมันไม่พอนะ เมือง  อ๊อดโทรไปก็ไม่รับ”
“ก็โทรศัพท์เมืองมันเป็นอะไรไม่รู้รับสายไม่ได้โทรออกก็ไม่ได้” เมืองฟ้าตอบ

อ๊อดพิจารณาใบหน้าเมืองฟ้า
“ทำไมเมืองดูซีดๆไปนะ  ดูเหมือนจะผอมลงไปด้วย”
“เมืองก็ซีดอยู่แล้วนี่น่า  อ๊อดอย่าลืมสิว่าเมืองมีโรคประจำตัว” เมืองฟ้าดูที่แขนของตัวเอง
“กินข้าวแล้วรึยัง  เมืองซื้อมาเผื่อ  เดี่ยวอุ่นให้กินนะ”
แล้วเมืองฟ้าก็ลุกไป
อ๊อดมองตาม  เขารู้สึกระคนกันระหว่างความโล่งใจที่ได้เห็นเมืองฟ้า กับความรู้สึกผิดต่อเมืองฟ้า 
เมืองฟ้าเอาแกงเทใส่ชามแก้วแล้วใส่เขาไมโครเวฟ
เขายืนมองชามหมุนไปเรื่อยๆภายใจเตา
“เมืองโกรธอ๊อดรึเปล่าที่ไม่ได้อยู่ในวันนั้น” อ๊อดกอดเมืองฟ้าไว้
“เปล่านี่... เมืองก็ไม่ได้บอกอ๊อดด้วยหล่ะ  แล้วได้กินเค้กแล้วใช่ไหม” เมืองฟ้าถาม
“อร่อยมากเลย  อร่อยที่สุดในโลกเลย” แล้วอ๊อดก็หอมที่เรือนผมของเมืองฟ้า
“อย่าหายไปอย่างนี้อีกนะ อ๊อดเป็นห่วง”
เมืองฟ้านิ่งไป
“อ๊อดถ้าวันหนึ่งเมืองหายไปจริงๆ  อ๊อดสัญญาได้ไหมว่าจะไม่เสียใจมาก”
อ๊อดแปลกหูกับคำพูดนั้น
แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม เตาไมโครเวฟก็ร้องดังปี๊บยาวๆ แล้วเมืองฟ้าก็หันไปคุยเรื่องแกงแทน
 
เมืองฟ้าหลับไปแล้วด้วยการซุกอกอ๊อดที่นอนตะแคงข้าง  แต่อ๊อดยังคงตาแข็งมองหน้าของเมืองฟ้า
เมืองฟ้าเหมือนดอกไม้บอบบางในอ้อมอกของเขา  กลีบใบช่างบางเบาและสวยงาม  น่าทะนุถนอม  การได้อยู่กับเมืองฟ้ามันคนละความรู้สึกกับที่อยู่กับพี่สรรค์โดยสิ้นเชิง 
อ๊อดค่อยสอดหมอนให้เมืองฟ้าหนุนแทนแขนของเขา  แล้วก็ลุกอย่างช้าๆ ไปหยิบโทรศัพท์แล้วออกมายืนที่ระเบียง
ตรวจดูข้อความจากอ็อดตรวจเปลี่ยนแอคเคาร์ทเฟสบุ๊ค จึงได้เห็นว่ามีข้อความมาจากพี่สรรค์หลายข้อความในเชิงให้กำลังใจกับการสอบ
อยู่กับพี่สรรค์เมืองฟ้าก็รู้สึกอบอุ่น เพราะพี่สรรค์เป็นผู้ใหญ่กว่า  เหมือนเป็นการเติมเต็มในส่วนที่เมืองฟ้าขาดคือการดูแลจากพ่อและแม่ 
แสงฟ้าแลบที่ปลายฟ้า  อ๊อดหวังว่าพรุ่งนี้จะมีคำตอบหรือไม่ก็ทางออกสำหรับเรื่องของเขา..
 
จุ๊ยกดคีย์หนึ่งบนแซกโซโฟนซ้ำๆ  เพราะรู้สึกเหมือนกับมันจะกดไม่ค่อยลง  เขาก็พยายามตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบอีก
“มันเป็นอะไรเหรอครับจุ๊ย “ เดฟนั่งลงข้างๆ
“อ้าว นี่ก็มาเหมือนกันเหรอ” จุ๊ยถาม
“ไฟต์บังคับ  เพราะผมกำลังจะมีงานละครเรื่องใหม่ แล้วดาราที่เล่นคู่กับผมในเรื่องนี้เขามาเป็นพิธีกร ผมก็เลยต้องมางานนี้ด้วย” เดฟตอบ
จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ แล้วก็กลับมาตรวจสอบคีย์ของแซกโซโฟนตัวโปรด
“คีย์มันกดไม่ค่อยลง น่ะ แต่ยังเป่าได้  สงสัยได้เวลาต้องพาไปหาหมอ”
“ก็หาหมอตี้สิครับ” เดฟกล่าวหน้าตาเฉย
จุ๊ยชะงักหันมายิ้มเย็นๆ
“เหรอ...”
“อ้าวก็จุ๊ยพูดเอง  ก็จุ๊ยบอกเองว่าต้องพาไปหมอ ไปหาหมอตี้ก็ไม่ต้องเสียตังค์ไง”
จุ๊ยเลยเขกหัวเดฟด้วยแซกโซโฟนไปทีหนึ่ง
พอเอาเคาะปรากฏว่าคีย์กลับไปเป็นปกติ
“เออเฮ้ย  หายเฉยเลย  รู้งี้ฟาดหนักๆไปเลยดีกว่า”
เดฟเอามือคลำหัวป่อยๆ 
“ว่าแต่...”เดฟกล่าวแล้วเอามือลง
“ผมสงสัยน่ะ  ผมเห็นอ๊อดสนิทกับพี่สรรค์มาเลย... มันมีอะไรแปลกๆรึเปล่าครับ เพราะผมเห็นเขาแอบหอมแก้มกันด้วย”
จุ๊ยนิ่งไป มองหน้าเดฟ
เดฟเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง แถมก็ยังกว้างขวาง  จะมีประโยชน์อะไรจะปิดบัง
“แปลกยังไง  กูกับมึงยังเป็นเกย์ได้  ไอ้อัศก็เป็น  แล้วไอ้อ๊อดเป็นบ้างจะไม่ได้หรือ”
“แล้วเมืองฟ้าล่ะครับ” เดฟย้อนถาม
จุ๊ยถึงกับสะอึก
“นี่มึงรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
เดฟพยักหน้า
“เขา อาจปิดบังเพื่อนๆ  แต่กับคนอื่นเขาก็ไม่ได้ปิดนี่  ผมเห็นเขาไปหาเมืองบ่อยๆ  เคยแอบเห็นเดินจูงมือกันด้วยซ้ำ  แล้วผมว่าตอนนี้เมืองกับอ๊ฮดอยู่ด้วยกันด้วย”
จุ๊ยมองหน้าเดฟนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“มึง ก็อย่าไปยุ่งเรื่องของมันเลยว่ะเดฟ.. ปัญหาของมันก็ต้องปล่อยให้มันจัดการกันเอง  เอาไว้มันจัดการไม่ไหว พวกเราค่อยเข้าไปช่วยดีกว่านะเดฟ”
เดฟพยักหน้าช้า
“ผมก็ยังไม่เคยคุยกับใคร  อย่างนี้ผมต้องช่วยมันปิดบังใช่ไหมครับ”
จุ๊ยเอามือลูบหัวเดฟ
“เออ...ดีๆ  ฉลาดๆ  แสนรู้มากเลยนะเดฟฟี่”
“อันนี้พูดกับผมเหรอ” เดฟเอี้ยวหัวหนีมองหน้าจุ๊ย
“ใช่สิเดฟฟี่” จุ๊ยตอบ
“อ้อ..” แล้วเดฟก็ลุกขึ้น
“นึกว่าคุยกับหมาในปากจุ๊ยเสียอีก”
“ไอ้เดฟ” จ๊ยลุกพรวด  แต่ไม่ทันเดฟผละหนีไปซะก่อน
จุ๊ย มองตามร่างสูงๆ เท่ห์ๆไป มันหันกลับมาทำมือไอเลิฟยู  นึกถึงวันคืนเก่าๆ  มันก็น่าใจหายไม่น้อยที่เวลาเหล่านั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
“จุ๊ย” เสียงเรียกที่ Absolute Pitch บอกเขาว่าเป็นใคร จุ๊ยทำหน้าเหย่เก... ไอ้อัส...
“อัส.. กูไม่ได้” จุ๊ยจะหันมาแก้ตัว
“ไม่ได้อะไร” อัศวะทำหน้างง
“กูจะมาตามมึงแทนพี่เขา  คิวหน้าคิวมึง  ไอ้อ๊อดไอ้ฮ้อยก็ไปรอกันอยู่ข้างเวทีอยู่แล้ว”
จุ๊ยอ้าปากหวอ เพราะเมื่อสักครู่กำลังจะพูดแก้ตัวแต่โดนอัศวะขัดเสียก่อน
“อ้อเหรอ..” จุ๊ยทำหน้าเก้อๆ
“จะรีบไป  ขอบใจ”
จุ๊ยเดินไปแล้ว
แต่อัศวะยืนมองไปทางที่เดฟไป  แววตาหม่นลงแล้วก็หันหลังเดินตามจุ๊ยไป
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:37:37
ตอนที่ 67 : อ๊อดกับเมืองฟ้า เลิกลา
นิ้วที่ชำนาญของฮ้อยกรีดไปบนคีย์เปียโน  เสียงเพลงIntro ของเพลง Unforgetable ที่เขียนโดยIrving Gordon  ต่อมาจุ๊ยก็จรดเป่าแซกโซโฟนส่งเสียงหวานหู ทั้งปลายเสียงก็เล่นไหวพลิ้วราวกับลูกคอของ Nat King Cole ผุ้ขับร้องเพลงนี้ในเวอร์ชั่นที่โด่งดังที่สุด  และยิ่งแทรกเป็นช่วงด้วยไวโอลีนของอ๊อด  บทเพลงนั้นก็สะกดใจคนดูหน้าเวทีทั้งสิ้น
“ที่จริงไม่ต้องมาก็ได้ พี่ก็แค่มาเดินซื้อของ  ไม่ต้องกลัวหรอก คงไม่มาขาดใจตายที่นี่หรอก” หนุ่มผิวขาวกล่าวแก่หนุ่มผิวสองสีหน้าเข้ม
“แต่อาการของพึ่พึ่งดีขึ้นได้ไม่เท่าไหร่  ผมก็เป็นห่วง  เดี่ยวกำเริบแบบวันนั้น  ไม่มีคนช่วย  ก็แย่พอดี” ชายหนุ่มผิวสองสีแย้ง
แล้วเขาก็เงียบไป
“ตกลงพี่จะไม่บอกพี่เขาจริงๆเหรอ”
หนุ่มผิวขาวจัดเงียบไปก่อนจะถอนหายใจ
“มันต้องเป็นแบบนี้หล่ะ  พี่ตัดสินใจไปแล้ว”
แต่เขาหยุดเท้าลง  เพราะได้ยินเสียงเพลง
“นี่มันเสียงแซกของจุ๊ยนี่หน่า”
แล้วทั้งคู่ก็เดินตรงไปยังจุดที่มีคนยืนมุงกันจำนวนมาก
 
อ๊อดเก็บไวโอลีนเรียบร้อยกำลังจะเตรียมตัวจะออกเดินทาง  แต่รู้สึกปวดฉี่ก็เลยบอกฝากไวโอลีนกับจุ๊ยแล้วไปทำธุระ เรียบร้อยก็เดินกลับมา  แต่เจอกับสรรค์ก่อน
“พักนี้ไม่ว่างเหรอ เราไม่ได้ไปเที่ยวกันหลายวันแล้วนะ” สรรค์ว่าแล้วก็เข้ามาโอบเอว
อ๊อดยิ้มจางๆ
“คือผมพึ่งสอบเสร็จ  ยังรู้สึกเหนื่อยๆน่ะครับ”
“งั่นคืนนี้ว่างไหม  พี่จะพาไปปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อน  แล้วอ๊อดก็ไปค้างที่คอนโดพี่” สรรค์กล่าวบนรอยยิ้มที่กรุมกริม
อ๊อดมองแล้วก็พยักหน้าช้าๆ
“ก็ได้ครับ”
“ดีมาก” สรรค์หยิกแก้มแล้วเดินไป
อ๊อดยังยิ้มค้าง แล้วจะเดินต่อไปทว่าเจอกับจุ๊ยที่ยืนถือกล่องไวโอลีนข้างหนึ่ง กับแซกโซโฟนข้างหนึ่ง
อ๊อดคิดจะกล่าวแก้  แต่จุ๊ยเม้มปากส่ายหน้า แล้วก็ส่งสัญญาณให้มองกลับหลัง
อ๊อดจึงหันหลังมา 
เขารู้สึกราวโลกกำลังทะลายลงตรงหน้า
ไม่ห่างไปเท่าไหร่  และอยู่ในระยะที่จะได้ยินการสนทนาของเขากับสรรค์
หนุ่มผิวขาวจัดยืนอยู่  แววตาที่ปวดร้าวจับมาที่เขา 
“เมือง” อ๊อดเดินเข้าไป  จะจับมือ
“เรากลับไปคุยกันที่ห้องอ๊อด... ตรงนี้คนเยอะ” เมืองฟ้ากล่าวออกมา เสียงระคนความเจ็บปวดไว้ขัดเจน
อ๊อดหยี่ตาลงก่อนจะตอบ
“แต่อ๊อดมีงานต่ออีกที่นะ  เมืองใจเย็นๆ อ๊อดจะอธิบายให้ฟัง” เขาจับที่แขนของเมืองฟ้า
แต่เมืองฟ้าปลดแขนเขาออก
“ก็ไปสิ  แล้วกลับไปห้องเราค่อยคุยกันก็ได้  เมืองรอได้”
แล้วเมืองฟ้าก็เดินไป  อีอดคิดจะตามทว่ามีหนุ่มผิวสองสีมายืนขวางไว้
“พี่ไปดีกว่า  อย่าทำให้มันเป็นเรื่องที่นี่”
อ๊อดอารมณ์ขึ้น แต่จุ๊ยตามมาดึงเขาไว้
“ไปอ๊อด  เดี่ยวค่อยว่ากัน”
 
คน อื่นฟังไม่รู้แต่หูของจุ๊ยบอกได้ว่าอ๊อดเล่นพลาดไปหลายโน้ตมากเพราะเรื่อง ที่รบกวนจิตใจ  ฮ้อยเองแม้จะไม่ได้หูดีอย่างจุ๊ยแต่ก็รู้ว่าเสียงไวโอลีนของอ๊ฮดผิดปกติไป
“กูกลับแล้วนะ” อ๊ฮดกล่าวแล้วรีบออกไป
“มันเป็นอะไรวะ” ฮ้อยถาม
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  แต่เก็บเม้าท์พิชเข้าที่
อย่าให้มันรุนแรงไปนะอ๊อด เมืองฟ้า ก็ใจเย็นๆ   เขาได้แต่บอกไปอย่างนั้นในใจ
ตอน ที่อ็ฮดกลับถึงอพาร์ทเม้นท์ เขาพบว่าเมืองฟ้านั่งรอเขาอยู่ในห้อง  สภาพห้องเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากข้าวของส่วนตัวของเมืองฟ้าหายไป หมด  ตัวเมืองฟ้าเองก็อยู่ในชุดที่เหมือนจะเตียมออกไปข้างนอก
“นี่มันอะไรกัน” อ๊อดถาม
เมืองฟ้าหยิบกุญแจของตัวเองมาส่งให้
“เมืองจะย้ายออกไป  แต่อ๊ฮดไม่ต้องกลัวนะ  เมืองจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าสำหรับเดือนนี้ให้แล้ว”
อ๊อดมองกุญแจ  แล้วขบกรามจนเป็นสันนูนนัยต์ตากร้าว ปัดกุญแจออกจากเมื่อเมืองฟ้า
“มันบ้าอะไรเมือง.. นี่อ๊อดผิดมากจนเมืองรังเกียจจนไม่อยากอยู่ด้วยเลยเหรอ”
เมืองฟ้าสูดลมหายใจลึกๆ สั่นน้อยๆ
“ใช่  อ๊อด  อ๊อดทรยศความไว้วางใจของเมือง  ตลอดมาเมืองทุ่มเทให้อ๊อดทุกอย่าง  อ๊อดไม่มีเงินเมืองถึงได้มาอยู่ด้วย เพื่อจะได้ช่วยเหลือ  แม้แต่ค่าเทอมอ๊อดเมืองก็ออกให้ก่อน  แต่เมืองทำอย่างนี้กับเมือง” เมืองฟ้าตอบเสียงดัง
“ใช่สินะ ตอนนี้มีที่พึ่งใหม่แล้วนี่  รวยอยู่คอนโดหรู เมืองก็แค่ลูกพ่อค้าบ้านนอกจะไปพอเลี้ยงดูไลฟ์สไตร์หรูหราของอ๊อดได้เหรอ”
“เมือง” อ๊อดตวาด
“หรือไม่จริง...”เมืองฟ้าเสียงดังสู้
“ตอน นี้อ๊อดมีพี่สรรค์แล้วเมืองก็หมดความหมาย  แล้วเมืองจะอยู่ไปทำไม  ไอ้ห้องโทรมๆนี่  อ๊อดจะอยู่ก็อยู่ไป แต่เมืองไม่อยู่ เมืองไม่อยากเห็นหน้าอ๊อดอีก” แล้วเมืองฟ้าก็เดินไปที่ประตู
อ็อดคว้าแขนเมืองฟ้าไว้
“เดี่ยวสิเมืองเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง” อ๊อดรั้ง  เขาสูดลมหายใจเพื่อสงบอารมณ์  ดึงเมืองฟ้ามากอด
“อ๊อด ขอโทษ  เมืองอย่าไปเลยนะ  อ๊อดรักเมืองฟ้ามากเลยนะ  อ๊อดสัญญา อ๊อดจะเลิกกับพี่สรรค์  อ๊อดจะไม่นอกใจเมืองอีก แต่เมืองอย่าไปเลยนะ  เพราะอ๊อดรักเมืองจริงๆ”
เมืองฟ้าถอนหายใจยาว
“อย่า สัญญาในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้อ๊อด  อ๊อดจะเลิกกับเขายังไง ในเมื่ออ๊อดต้องพึ่งพาเขา  ถ้าไม่มีรายได้จากดนตรี  เมืองเองก็ไม่ปัญญาสนับสนุนอ๊อดเรื่องเงินเหมือนกัน “
อ๊อดตะบะแตก  กระชากตัวเมืองฟ้าหันมาแล้วเขย่า
“หยุดดูถูกอ๊อดได้แล้วนะเมือง อ๊อดไม่ใช่คนหิวเงิน”
เมืองฟ้าสะบัดตัวออกไป
“ไม่ได้หิวเงิน แล้วผู้ชายอย่างอ๊อดจะมายุ่งกับเมืองทำไม  ถ้าใช่เพราะเมืองสนับสนุนอ๊อดได้  ไม่เอาน่าอ๊อดอย่าโกหกตัวเอง  อ๊อดก็แค่ต้องการให้เมืองช่วยเหลือจนเรียนจบ พอเรียนจบอ๊อดก็คง..”
“เมือง” อ๊อดตวาดลั่น  แล้วเขาก็ระเบิดอารมณ์กระชากคอเสื้อเมืองฟ้ามา กำหนัดแน่น  ทว่าจะพอต่อยเขาก็กลับไม่หยุดไป
“เอาสิอ๊อด ต่อยเมืองเลย  อยากจะทำอะไรก็ทำ  แต่จะให้เมืองรักอ๊อดเหมือนเดิมมันไม่มีวัน  ความรักของเมืองมันจบไปแล้ว” เมืองฟ้าท้าทาย
คำพูดนั้นทำให้ใจของอ๊อดสะท้าน  เขาปล่อยมือจากเมืองฟ้า
แววตาแสนเจ็บปวดที่มองเมืองฟ้า  เขาต้องมองผ่านม่านน้ำตา  แต่เมืองฟ้ากลับมองเขาอย่างสิ้นเยื้อใย
“แค่นี่นะอ๊อด  เราอย่าเจอกันอีกเลย”  แล้วเมืองฟ้าก็เดินออกไป
อ๊อดยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น  สักครู่จึงวิ่งออกไป
 
ตอนที่อ๊อดตามมาทันเมืองฟ้า เขายิ่งต้องเจ็บปวด  เพราะเมืองฟ้านั่งอยู่ในรถของสิทธิที่มาจอดรออยุ่หน้าตึก
สิทธิกำลังจะออกรถ ทว่าต้องเบรกสุดแรงจนลั่นเอียด เพราะอ๊อดพุ่งพรวดมาขวางทาง
“ทำอะไรน่ะ” เมืองฟ้าเลือนกระจกออกมาตำหนิ
“อ๊อดจะบ้าหรือไง”
อ๊อดเดินฉับๆมา แต่เมืองฟ้ารีบปิดกระจก  แต่อ๊อดเขามือขัดเอาไว้ เขาก็เลยหยุดกระจกไว้
“นี่ใช่ไหม... เหตุผลที่แท้จริง... ไอ้เหี้ยนี่ใช่ไหมเมือง”
“ใช่” เมืองฟ้าตอบกลับ
“นึกว่าเมืองพึ่งรู้เรื่องพี่สรรค์หรือไง  เมืองรู้กระทั้งว่าวันแรกที่อ๊อดมีอะไรกับเขาคือวันครบรอบการเจอกันของเรา ตอนที่อ๊อดไปที่คอนโด เมืองก็รู้แล้วจากเพื่อนของเมืองที่อยู่ที่นั้น  แล้วเมืองผิดอะไรจะคบกับสิทธิ”
“เมือง..” อ๊อดไร้คำพูดจะตอบโต้
“เมืองพอแล้วอ๊อด  เมืองทุ่มเทให้อ๊อดเท่าไหร่  แล้วนี่คือการตอบแทนของอ๊อด... เมืองเจ็บพอแล้วอ๊อด” เมืองฟ้ากล่าวแล้วดันมืออ๊อดออกไป ก่อนจะปิดกระจกจนสนิท
แล้วสิทธิก็ออกรถไป
อ๊อดทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น  ต่อมาก็ทรุดลงกับพื้นอย่างสิ้นแรง ทว่ากลับมีคนเข้ามาช่วยประคองเขา
จุ๊ยกับฮ้อย
เขาเลยโผเข้ากอดทั้งสองแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:38:11
ตอนที่ 68 : ความสัมพันธ์ทีสลับซับซ้อน
อาราอิกลับมาจากถ่ายสารคดีชุดยาวที่ญี่ปุ่น ซึ่งต้องใช้เวลาในการถ่ายทำหนึ่งเดือนเต็มๆ  กลับมาไม่ทันได้พักก็รีบมาหาจุ๊ย 
จุ๊ยกำลังยืนขายของให้ชาวพม่าคนหนึ่งที่พูดแล้วก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
“ตะปู..” จุ๊ยบอก
“ใจ่ๆ ลาบุ” หนุ่มน้อยชาวต่างชาติบอก
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ตะปู” จุ๊ยก็แย้งอีก
“ตาปุ” เด็กหนุ่มก็หัวเราะ
“เออค่อยยังชั่ว” จุ๊ยยิ้ม ห่อตะปูที่ชั่งน้ำหนักแล้วก็เอาใส่ถุง
“แล้วเอาอะไรอีกไหม” เขาถาม เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“ยี่สิบ”
“ยี่สิ” เขาทวนคำ แล้วก็หยิบเงินส่งให้
จุ๊ยมองหน้า
“หล่อนะเราน่ะ” จุ๊ยชมเพราะหนุ่มพม่ามีหน้าตาคมคาย
เด็กหนุ่มเขิน
“พี่ก็น่าล่อ” เด็กหนุ่มตอบ
ป๊าที่อยู่ใกล้หันมามองหน้า
ซัวที่กำลังจัดเรียงของอยู่ไม่ห่างก็หัวเราะก๊ากออกมา
“ไอ้ซัว” จุ๊ยหันไปปราม
“เสียมารยาท”
เด็กหนุ่มทำหน้างง แถมเขินเพราะคงรู้ว่าเขาพูดไม่ชัด และคงพูดอะไรผิดไปอย่างแรง
“หล่อ... ไม่ใช่ล่อ” จุ๊ยตอบแล้วก็ตบบ่าแน่นๆแบบผู้ใช้แรงงานไปสองที  ปรากฏว่าเด็กหนุ่มหน้าแดง
เขาหันหลังไป เจออาราอิที่ยืนถือถุงใบใหญ่  มองแล้วก็มองอีก
“ดารา” เด็กหนุ่มหันมาชี้ให้จุ๊ยดู
จุ๊ยหัวเราะ
“เออดารา  น่าล่อไหมล่ะ” จุ๊ยถาม
เด็กหนุ่มก็พยักหน้า
อาราอิไม่รู้จะทำหน้ายังไง  ก็เลยยิ้มออกมา  เด็กหนุ่มก็ยิ้มตอบอย่างใสซื่อ
“ดารา..ค้านเด่(หล่อ)” เขาว่า
อาราอิเลยวางของบนตู้กระจก  ยื่นมือไปจับด้วย
เด็กหนุ่มก็จับสองมือแถมเขย่าด้วย
สักครู่ก็เดินออกไปจากร้าน
“ไอ้นี่มันท่าจะชอบเฮีย  เวลามันมาถ้าไม่เจอมันก็จะถามหาด้วยนะ  พี่ใจดีไปไหน” ซัวกล่าวแล้วลุกขึ้น
อาราอิมองหน้าจุ๊ย
“มองอะไร” จุ๊ยถามแล้วเดินมาเปิดถุงดู
“เอาอะไรมา  นี่ขนมาหมดญี่ปุ่นรึเปล่าเนี่ย”
“ก็เกือบหมด”  แล้วเขาก็หันไปยกมือไหว้ป๊าก่อนจะเปิดถุงแยกไว้อย่างดี
“อันนี้เป็นขนมไว้กินกับน้ำชานะครับ  แล้วก็มีชาญี่ปุ่น  อันเป็นอย่างดี  ต้องชงพิเศษ เดี่ยวผมจะบอกวิธีกับจุ๊ยเอาไว้”
“โอ้โหเอาใจน่าดู” ซัวเข้ามาแซวใกล้ๆจุ๊ยเพื่อให้พอได้ยินสองคน
“ไหนดูสิมีอะไรบ้าง” ซัวทำท่าจะเปิดถุง
แต่จุ๊ยตีมือเสียก่อน
“มึงนี่ไม่มีมารยาท  รอเจ้าของเขาแบ่งก่อนสิวะ”
 
อาราอิลงจากเครื่องบินแล้วยังไม่ได้พัก  พอมาถึงห้องจุ๊ยก็หลับไปคาตักจุ๊ย ทั้งที่บอกว่าขอพักสายตา แต่พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นจุ๊ยแล้ว ที่หนุนเป็นหมอน
พอลงมาข้างล่างก็ได้กลิ่นหอมๆของน้ำแกง
เลี้ยวเข้าครัวก็เห็นจุ๊ยกำลังลวกเส้นราเม็งที่เขาเอามา
“ทำเป็นด้วย” อาราอิกล่าวแล้วมายืนข้างๆ
“ก็มันมีวิธีทำอยู่ข้างกล่อง” จุ๊ยตอบ
“แค่อุ่นน้ำลวกเส้น ใครๆก็ทำได้” จุ๊ยตอบ
“นี่เป็นร้านดัง ฉันซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์ราเม็งที่ โยโกฮาม่า” อาราอิบอกแล้วก็หันไปเปิดตู้เพื่อหยิบขามมาเตรียมให้ตามจำนวนคนในบ้าน
“สี่ใบพอ เฮียไปประจำโรงพยาบาลที่สระแก้วแล้ว พึ่งไปได้สองอาทิตย์”
อาราอิก็เก็บชามเข้าไปหนึ่งใบ
“ป๊าครับ ไอ้ซัว กินราเม็งครับผม” จุ๊ยตะโกน
 
“แปลว่าอ๊อดกับเมืองฟ้าก็เลิกกันไปในที่สุดสินะ” อาราอิสรุปที่จุ๊ยเล่าตอนเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า
“น่าเสียดายนะ คบมาหลายปีเลยนี่”
จุ๊ยพยักหน้า  แล้วก็กด Reed ให้เข้าที่
“จุ๊ย ก็แปลกใจนะ กับท่าทีเมืองฟ้าที่อ๊อดเล่า.. ไม่รู้สิ ฉันว่าเมืองฟ้าเขาออกจะนุ่มนวล  ไม่น่าจะพูดออกมารุนแรงขนาดนั้น แถมพาแฟนใหม่มาเย้ยด้วย”
อาราอิยู่ปากเชิดจมูก พยักหน้า
“แล้ววันนี้จะฟังเพลงอะไรหล่ะ” จุ๊ยถาม
 “ขอหลายๆเพลงได้ไหม  คิดถึงเสียงแซกของจุ๊ยที่สุดเลย” อาราอิทำเสียงออดอ้อน
“ตามใจ  ก็เลือกมาสิ จะเล่นให้” จุ๊ยชี้แฟ้มที่อาราอิเป็นคนถือขึ้นมา
“แล้วขอหลายๆยกได้ไหม คิดถึงตัวจุ๊ยมากเลย  อยากมาก” อาราอิทำท่าเดิม
จุ๊ยยิ้มแล้วเขกหัวไปด้วยแซกโซโฟน
“ไอ้ลามก”
“อะไรอะ  แค่พม่ามาจีบจุ๊ยก็เปลี่ยนใจแล้วเหรอ..”
“เกี่ยวอะไรกับพม่า”
“อ้าวก็เห็นจุ๊ยชมว่าน่ารัก”
“จะบ้าแล้ว.. ยังเด็กอยู่เลยนะนั่น อายุน้อยกว่าจุ๊ยสองสามปีได้ น้อยกว่าซัวด้วยซ้ำ”
“แต่เขาบอกจุ๊ยน่าล่อนะ”
“ครับดารา... คานเด่  จะฟังไหมเพลงน่ะ เดี่ยวก็ไม่เล่นเสียเลย”
 
นี่ก็ราวๆเดือนกว่าๆแล้วอ๊อดกับเมืองฟ้าเลิกกัน  ในสายตาของฮ้อยที่อ๊อดขอไปพักอยู่ด้วยที่คอนโดมิเนียม เห็นอ๊อดดีขึ้นมากแล้ว จากอาทิตย์แรกที่ซึมกระทือ  ตอนนี้อ๊อดออกไปข้างนอกกับสรรค์ และกลับมาด้วยท่าทางอารมณ์ดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วอ๊อดก็มาบอกกับฮ้อยว่าจะย้ายไปอยู่กับสรรค์
“แปลว่ามึงตกลงใจกับพี่เขาแล้ว” ฮ้อยถาม
อ๊อดนิ่งไป  แว่บหนึ่งนัยย์ตาลอย แล้วก็กลับมาเป็นปกติก่อนจะตอบ
“พี่เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรนี่หว่า  แล้วพี่สรรค์ก็รักกูด้วย  อีกอย่างอยู่กับมึงนานๆกูก็เกรงใจ”
ฮ้อยพยักหน้า  แต่ใจอยากจะถามว่า  พี่สรรค์รักมึง แล้วมึงล่ะ รักใคร...  แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป
 
จุ๊ย ต้องมามหาวิทยาลัยเพื่อลงทะเบียนเรียน ส่วนอาราอิก็ยังเหลือวิชาที่ดอร์ปไปสองตัวเพราะติดงาน ก็เลยต้องมาลงทะเบียนเรียนอีกเทอมหนึ่ง
พอลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็หาข้าวเที่ยงกินกันในโรงอาหารใกล้กับตึกทะเบียน
“เพื่อนจุ๊ย” เสียงเดฟดังมาแต่ไกล 
แต่พอมาถึงก็มากอดจุ๊ยจากด้านหลัง  แถมเอามือล้วงเข้าไปในเสื้ออีกต่างหาก
“เอามือออก” จุ๊ยเสียงเหี้ยม  แต่ยังไม่ตอบโต้เพราะมือข้างหนึ่งถือจานข้าวมันไก่ อีกข้างถือน้ำจิ้ม
“ไม่” เดฟปฏิเสธ แถมหันไปยิ้มท้าทายอาราอิด้วย
“อย่านะ  อย่าทำหึง  เดี่ยวคนเขาก็รู้หมดหรอก” แล้วก็ยิ่งลูบไล้จุ๊ย
อาราอิก็ส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
จุ๊ยกรอกตาขึ้นบน ก่อนจะกระทืบลงไปเท้าของเดฟอย่างแรง
“โอ้ย” เดฟร้องลั่น ก่อนจะถอยออกไป
“โอ้โหอาวุธรอบตัวเลยนะ  สมแล้วที่เป็นเมียนักคาราเต้” เดฟว่าแล้วก็ยกเท้าที่โดนเหยียบมาลูบๆ
อาราอิทำหน้าเย้ย แล้วกล่าว
“ทักษะการต่อสู้บางทีมันก็ถ่ายทอดทางเพศสัมพันธ์นะ”
จุ๊ยเหล่มอง
“อยากโดนด้วยไหมอาราอิ”
 
“ก็เลยเป็นอันว่าตอนนี้อ๊อดก็คบกับพี่สรรค์ไป  ส่วนเมืองฟ้าก็ไปอยู่กับสิทธิ” เดฟสรุปความจากเรื่องที่จุ๊ยเล่าให้ฟัง
“ความเอย ความรัก  ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ใจขื่นขมระทมชั่วกาล”
จุ๊ยมองหน้าเดฟแล้วทำหน้าผะอืดผะอม
“ถุ๊ย” เขาทำท่าถมน้ำลาย
เดฟยักคิ้ว
“แต่... รู้รึเปล่าว่าจริงๆ แล้วสิทธิกับพี่สรรค์เป็นพี่น้องกัน” เดฟกล่าวให้ข้อมูลที่ทำให้จุ๊ยกับอาราอิมองหน้ากัน
“เฮ้ยจริงสิ” จุ๊ยกล่าวออกมา
“ครับ ผม... เป็นพี่น้องกัน  ท้องเดียวกัน  ผมยังแปลกใจว่าทำไมพี่สรรค์ถึงไม่รู้เรื่องอ๊อดกับเมืองฟ้า” เดฟกล่าว แล้วก็ตักกินน้ำแข็งใสคำหนึ่ง
“แล้วอีกอย่าง สิทธิกับเมืองฟ้าก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันตอนเรียนมัธยมต้น  เพราะสองคนเรียนที่เดียวกันมาก่อน  ตอนอยู่โรงเรียนเก่าสองคนนี้เขาสนิทกัน เหมือนจะกิ๊กกั๊กกัน  อันนี้ผมรู้มาจากเพื่อนคนหนึ่งของผมที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับเมืองฟ้ามาก่อน แต่พอขึ้นม.สี่เขาก็ย้ายมาที่โรงเรียนเรา"
"เพื่อนของผมตอนนี้อยู่คณะเดียวกับเมืองฟ้านั้นหล่ะ  เขาเล่าให้ฟังตอนผมผ่านไปที่ตึกวิทย์แล้วเจอเขา  แล้วบังเอิญเมืองฟ้ากับสิทธิกำลังติวกันอยู่สองคน  เขาก็เลยเล่าให้ฟัง”
“มันแปลกๆไหมเรื่องนี้” เดฟถาม
จุ๊ยขมวดคิ้วคิด 
“แปลก...มากเลยหล่ะ  กูจำได้ว่าอ๊อดเคยพูดถึงเรื่องที่พี่สรรค์บอกว่ามีเพื่อนคนหนึ่งของพวกเรา เรียนโรงเรียนเดียวกัน เป็นคนแนะนำอ๊อดให้พี่สรรค์รู้จักผ่านเฟสบุ๊ค" 
"แต่ ตอนหลังอ๊อดมันบอกว่าถามดู พี่เขาก็ไม่บอก บอกว่าเพื่อนคนนี้เขาไม่อยากจะให้อ๊อดรู้ เพราะเขาแอบชอบอ๊อดมาก่อน  เขาอายอะไรประมาณนี้”
อาราอิคีบเกี้ยวปลาจากชามตัวเองไปใส่จานจุ๊ย  ก่อนจะเขาจะแสดงความเห็น
“ถ้าจะโยงตัวละคร  ก็คืออ๊อดเป็นแฟนเมืองฟ้า  ต่อมานายXXX ก็ มาแนะนำอ๊อดให้รู้จักพี่สรรค์ ที่เป็นพี่ชายของสิทธิ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นของเมืองฟ้า  คือถ้าคิดตามแบบนี้ คนที่มีความสัมพันธ์กับตัวละครที่ทุกตัวคือ  เมืองฟ้า เพราะเมืองฟ้าคือคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสิทธิกับอ๊อด  แล้วพี่สรรค์เป็นพี่ชายของสิทธิก็อาจรู้จักเมืองฟ้าด้วย”
จุ๊ยกินเกี๊ยวปลา  แต่เดี่ยวอาราอิก็คีบลูกชิ้นปลามาให้อีกสองลูก
“เป็นไปได้ไหม ว่านายXXX คือเมืองฟ้า” จุ๊ยบอกข้อสันนิษฐาน
เดฟยักหน้าเห็นด้วย
“เป็นไปได้มากเลย...”
“แต่เขาจะทำไปเพื่ออะไร” อาราอิทำหน้างง  มือก็คีบเลือดกับปลาหมึกให้จุ๊ย
“ก็ไม่รู้หรอก” จุ๊ยกล่าวก่อนจะ หันมองหน้าอาราอิ
“นี่นาย ถ้าไม่กินเครื่อง ที่หลังก็สั่งเย็นตาโฟไม่ใส่เครื่องนะ ฉันไม่ใช่ถังขยะ  ตักใส่ ตักใส่อยู่ได้”
อาราอิยิ้มแหย่ๆ
“จริงแล้วฉันไม่ชอบเย็นตาโฟ  แต่อยากลองกินดู  เอาไปเลยทั้งชามเลยแล้วกัน เดี่ยวจะได้ไปซื้อใหม่”
 
จุ๊ยกับอาราอิเดินออกจากโรงอาหารมาก่อน  แล้วก็เห็นอัศวะเดินมาแต่ไกล  ทั้งคู่เลยหยุดทักกับอัศวะตรงกลางบันไดของทางต่างประดับที่ลงจากมาจากโรงอาหาร
“เฮ้ยเป็นไง  เดี่ยวนี้ดังแล้วนี่  งานรุ่งเลยไม่ใช่เหรอ” จุ๊ยถาม เพราะได้ยินว่าอัศวะกำลังจะออกอัลบัมสองเร็วๆนี้
“ก็พอไปได้  มีแฟนกลุ่มใหญ่อยู่แต่ไม่มากเท่าของโยชิหรอก” อัศวะกล่าว
อาราอิเลิกคิ้วแต่ไม่ได้ตอบ
ระหว่างนั้นเดฟเดินมาที่หลังเพราะแวะซื้อขนม  เขาหยุดชะงักตอนที่เห็นหน้าอัศวะ 
เดฟสูดลมหายใจแล้วเบือนหน้าไปทางหนึ่ง ก่อนจะก้าวลงบันได  อัศวะก็หันไปทางอื่นเหมือนกัน
ในความหมางเมินนั้น  กลับมีสัมผัสที่อาลัยอาวรณ์อยู่ 
เดฟก้าวลงบันไดมา และกำลังจะผ่านตัวอัศวะ  ในระยะประชิด  อัศวะอยากจะจับแขนนั้นไว้เพื่อหยุด  แต่..
โครม
“โอ้ย” เดฟเหยียบพลาดขั้นบันได เลยร่วงตกไปอยู่ขั้นสุดท้าย
“เดฟ” อัศวะรีบลงไปดูอาการ และประคองให้เดฟลุกขึ้นนั่ง
“เป็นไงบ้าง  เจ็บไหม”
สายตาทั้งคู่ประสานกันนิ่งนาน
“ห่าเอ้ยอย่างกับหนังเกาหลี” จุ๊ยกล่าวแล้วเดินลงมาช่วยดู
“เป็นไรไหมอย่าพึ่งรีบลุก  เผื่อขาแพลง”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:38:40
ตอนที่ 69 : คำขอร้องสุดท้ายของเมืองฟ้า ความจริงที่เก็บเอาไว้
ปรากฏว่าเดฟปวดข้อเท้าอย่างหนักมาก  อาราอิก็เลยตัดสินใจดามขาชั่วคราว แล้วก็พาไปโรงพยาบาล
ระหว่างที่นั่งรอเดฟอยู่หน้าห้อง  จุ๊ยก็ถามอัศวะตามตรง
“ตกลงมึงจะเอายังไงกับเดฟ”
อัศวะถอนหายใจยาว
“ไม่รู้สิ  กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
จุ๊ยสบตากับอาราอิ
“แล้วมึงรักเดฟจริงๆรีเปล่าหละ”
อัศวะเงยหน้ามองแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล 
“กู หาทางออกกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆวะ ด้านหนึ่งก็พ่อกู อีกด้านหนึ่งก็คนที่กูรัก  มึงจะให้กูทำยังไง  ในเมื่อกูเป็นลูกก็ต้องรักพ่อ  เหมือนกันใช่ไหม”
ทั้งจุ๊ยกับอาราอิก็เงียบไปด้วยกันทั้งคู่
แต่ระหว่างนั้นจุ๊ยก็สังเกตเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในโรงพยาบาล
นั้นคือสิทธิ  แต่พอเขาพ้นประตูโรงพยาบาลเข้ามา  ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางกระวนกระวาย
“เมืองเป็นไงบ้างสิทธิ”
นั้นเป็นระยะไกลพอสมควร  แต่จุ๊ยได้ยินเบาๆและจับชื่อเมืองฟ้าได้จึงหันพูดกับอาราอิ
 
“เมื่อวานก็อยู่กินข้าวกันอยู่พี่เขาก็บอกแน่นหน้าอก  แล้วก็ล้มไปเลย  ผมก็รีบพามาโรงพยาบาล” สิทธิเล่า
หญิงวัยกลางคนถอนหายใจแล้วจับบนมือลูกชาย  ตอนนี้ลูกชายผอมลงไปกว่าเดิม และซูบซีดกว่าเดิมมาก
“หมอบอกว่า  พี่เมืองอาจไม่ไหวแล้ว  จะผ่าตัดตอนนี้ก็คงไม่มีผลอะไร  เพราะร่างกายภายในของพี่เมืองแย่มากๆ”
มารดาทำใจมาตั้งแต่ที่เมืองฟ้าล้มเจ็บไปเมื่อราวเกือบสามเดือนก่อนแล้ว  เพราะจริงๆแล้วเมืองฟ้าก็เป็นคนอ่อนแอมาแต่เกิด  ที่ผ่านมาแม้จะใช้ทุกวิธีแล้ว  แต่เมืองฟ้าก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก  เพียงแต่ช่วงสองสามปีมานี้ดูเมืองฟ้ามีความสุขมาก  แต่กลับมาทรุดลงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
“แล้ว อ๊อดไปไหนหล่ะ  เขารู้รึยังว่าเพื่อนสนิทไม่สบาย” เธอถาม เพราะเธอทราบว่าเมืองฟ้าพักอยู่กับอ๊อด และแม้เธอจะรู้สึกแปลกกับความสัมพันธ์นี้  แต่ทว่าเมื่อได้เห็นความสุขของเมืองฟ้าแล้วเธอก็ต้องยอมให้สองคนสนิทสนมกัน ต่อไป
“พี่ อ๊อดเขามีแฟนแล้ว  ตอนนี้ก็ย้ายออกไปอยู่กับแฟน ผมยังไม่ได้บอก  เพราะติดต่อพี่เขาไม่ได้ แล้วพี่เมืองก็บอกว่าอย่าบอกพี่อ๊อด  เพราะกลัวพี่อ๊อดจะเป็นห่วง” สิทธิตอบ  แต่ใครจะรู้ว่านั้นเป็นคำโกหกเกินกว่าครึ่ง
ประตูเปิดออก
“คุณแม่ของน้องเมืองฟ้าใช่ไหมคะ คุณหมอเรียนเชิญที่ห้องค่ะ” พยาบาลสาวกล่าว
 
แต่พอออกมามารดาของเมืองฟ้าก็เห็นชายหนุ่มสองคนยืนอยู่  คนหนึ่งเธอจำได้เพราะดาราดัง โยชิ  แต่อีกคนก็รู้สึกคุ้นๆแต่นักไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
ทั้งคู่สวัสดีเธอ
“ผมเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกับเมืองครับ  ผมขอเข้าไปเยี่ยมเมืองหน่อยได้ไหมครับ” หนุ่มน้อยหน้าตาจีนๆกล่าว
 
สิทธิตกใจกับการมาเข้ามาของจุ๊ยกับอาราอิ  เพราะแม้จะไม่รู้จักกันเป็นส่วนตัว  แต่ก็รู้ว่าจุ๊ยเป็นเพื่อนสนิทขของอ๊อด  ส่วนดาราโยชิ.. อันนี้ไม่รู้ว่ามาด้วยกันเพราะอะไร

“พี่เขาเป็นโรคหัวใจโดยกำเนิด  พี่อ๊อดก็รู้ แต่ไม่รู้ว่าพี่เมืองอาการแย่ลงมาก ร่างกายก็ไม่ไหวแล้ว  เพราะพี่เมืองปิดบังอาการกับพี่อ๊อดมาโดยตลอด  ตอนที่อาการกำเริบเมื่อปีที่แล้วพี่เมืองเขาก็เริ่มวางแผนจะให้พี่อ๊อดไปคบ กับพี่สรรค์  เพื่อที่จะได้หาคนดูแลพี่อ๊อดต่อไป  พูดง่ายๆคือจริงๆ ที่พี่อ๊อดรู้จักกับพี่สรรค์ และพี่สรรค์สามารถเข้าถึงพี่อ๊อดได้ง่ายๆเพราะพี่เมืองนั้นหละครับ” สิทธิเล่าเสียงสลด
“แล้ว เธอเกี่ยวข้องอะไรกันแน่กับเมืองฟ้า” จุ๊ยถามตามตรง หันมาหน้าอาราอิที่นั่งประสานมืออยู่  ทั้งหมดสนทนาอยู่ที่ชุดพักผ่อนขนาดเล็กภายในห้องพักผู้ป่วย
“ผมเป็นญาติห่างๆของพี่เมืองครับ  เรารู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ  ผมเห็นพี่เมืองเป็นพี่ เพราะพี่เมืองเรียนเก่งและมักจะช่วยติวให้ผมเสมอๆ”
“แปลว่าเธอกับเมืองก็ไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่อ๊อดมันเข้าใจ” จุ๊ยถาม
“ถ้าเรื่องร่างกายใช่ครับ” สิทธิตอบออกไปจากความจริง
“แต่ผมยอมรับว่าแอบชอบพี่เมืองมานานมาก  แต่ผมก็รู้ว่าพี่เมืองเห็นผมเป็นแค่น้อง”  สิทธิมองไปทางเมืองฟ้าที่นอนอยู่ด้วยแววตาเปี่ยมความอาทร
“พี่เมืองบอกให้ผมทำตัวให้พี่อ๊อดรู้สึกว่าผมจะมาชอบพี่เมือง  ผมก็ทำตามเพราะมันก็ไม่ได้ยากอะไรนี่ครับ  แค่ทำตามใจเรารู้สึก”
จุ๊ยต้องลอบถอนหายใจเบาๆอย่างสงสาร 
“พี่คิดว่าเราควรบอกความจริงกับอ๊อดนะ” จุ๊ยกล่าวออกมาในที่สุด
สิทธิหันมามอง
“ผมก็คิดอย่างนั้น  แต่พี่เมืองคงไม่ยอม”
“อย่านะจุ๊ย”
เสียงที่แหบแห้งกล่าวออกมา
 
“ฉันขอร้องจุ๊ย  อย่า.. เมืองอยากให้เมืองไปก่อนแล้วค่อยบอก  เมืองถ้าอ๊อดมาตอนนี้เมืองจะไม่สามารถทำใจกับความตายได้  มันเจ็บปวดเกินไป  เมืองตายไม่สงบแน่นอน  เมืองขอร้อง” เมืองฟ้าเอื้อมมาสัมผัสแขนของจุ๊ยที่มายืนอยู่ข้างเตียง
จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ แล้วถอนอย่างยากลำบาก
“เมืองทำแบบนี้แล้วมันดีกับเมืองและอ๊อดแน่เหรอ  เมืองคิดบ้างรึเปล่าว่าอ๊อดอาจต้องการอยู่เคียงข้างเมืองในตอนนี้”
เมืองฟ้าหันมามองเพดานตรงๆ
“เมืองรู้  แต่ถ้าต้องทนเห็นอ๊อดเสียใจตอนเมืองตาย  เมืองคงแย่มากแน่ๆ  เมืองอยากให้เมืองไปก่อนแล้วค่อยบอกอ๊อด” เขากล่าว
“ที่ เมืองทำมันผิดเมืองรู้  แต่นี่เป็นทางเดียว  เมืองเป็นห่วงอ๊อด และรักอ๊อด แล้วก็แน่ใจว่าอ๊อดก็เหมือนกัน  แล้วถ้าเมืองตายโดยที่อ๊อดไม่มีใครดูแล แล้วยิ่งเห็นอ๊อตต้องมาร้องไห้เสียใจอยู่ข้างเตียง เมืองคงตายตาไม่หลับแน่นอน”
แล้วเมืองฟ้าก็มองหน้าจุ๊ย
“พี่ สรรค์อาจดูเหมือนเป็นคนเจ้าชู้ แต่จริงๆพี่สรรค์เขาเป็นคนจริงใจ  แล้วกรณีอ๊อด พี่สรรค์เขาชอบอ๊อดมากจริงๆ  เมืองแน่ใจว่าเมืองฝากอ๊อดไว้กับคนไม่ผิด “ แล้วเขาก็บีบแขนจุ๊ยด้วยกำลังที่อ่อนล้ามาก
"เมือง ขอร้องจุ๊ย  อย่าบอกอ๊อด อย่าเลย  ขอให้ความปรารถนาสุดท้ายของคนใกล้ตายเป็นจริงสักครั้งได้ไหมจุ๊ย  เมืองขอร้อง  รับปากเมืองได้ไหม”
จุ๊ย รู้สึกลำบากใจอย่างแสนสาหัส เพราะไม่เห็นด้วย  แต่แววตาของเมืองฟ้าที่หมองหม่นและเต็มไปด้วยน้ำตาก็เกินกว่าเขาจะทาน  จุ๊ยต้องหันมองหน้าอาราอิเพื่อขอกำลังใจ
อาราอิเข้าใจความหมายของจุ๊ย  จีงวางมือบนไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยน
จุ๊ยถอนหายใจ
“ตกลง จุ๊ยจะไม่บอก”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:39:10
ตอนที่ 70 : อะไรที่ถูก อะไรที่ผิด ความแตกต่างที่ไม่อาจแยกในสถานการณ์นี้
“หิวไหม” อัศวะถามตอนที่กลับมาจากห้องน้ำ  เดินไปที่เตียงซึ่งเดฟนอนอยู่โดยมีเผือกอ่อนห่อข้าข้างหนึ่งไว้

 เดฟไม่ได้ตอบ  แกล้งทำเป็นหลับ
เขาก็เลยแกล้งทำเป็นเงียบไปบ้าง

 เมื่ออัศวะเงียบไป เดฟเลยชักสงสัย  แต่พอลืมตาขึ้นมาหน้าอัศวะก็อยู่ห่างหน้าเขาแค่ฝ่ามือ
 “ทำอะไร” เดฟถาม
 “ก็จะจูบไง  ก็นายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ก็ต้องจูบให้ตื่นก่อน” อัศวะตอบ แล้วจะก้มลงมา
 “ฉันตื่นแล้วไม่ต้อง” เดฟเอามือมาปิดปากไว้
 อัศวะยิ้มแล้วก็เปลี่ยนเป็นจูบที่หน้าผาก
 หน้าคมได้สัดส่วนของเดฟแดงจนเขารู้สึกว่ามันร้อนฉ่า
 อัศวะถอยมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง
 “พรุ่งนี้ฉันจะมารับ  หมอบอกว่านอนแค่คืนเดียวก็พอ”
 เดฟทำปากเจ่อๆ ลุกขึ้นนั่งมองเท้าตัวเอง
 “จะนอนทำไม ฉันแค่กระดูกร้าวไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
 “ก็ เขาคิดเงินไปแล้ว  นายคิดว่าจะรอดเหรอ โรงพยาบาลเอกชนระดับนี้  พอรู้ว่าเป็นนายเดวิด วูลดิ้งเบิร์ก เขาก็จับเปิดห้องเปิดเตียงทันที  ดาราชื่อดังแถมลูกเจ้าพ่ออสังหา  เหยื่อชั้นดีชัดๆ” อัศวะตอบ
 “เฮ้ย ก็ฉันไม่อยากนอนนี่  กลับดีกว่า  ไหนๆก็ไหนๆ นายช่วยบอกพยาบาลเอาไม้เท้าหรือไม้ค้ำยัน หรืออะไรก็ได้ให้หน่อย  ฉันจะได้กลับบ้าน” เดฟบอกแล้วทำท่าจะลงจากเตียง
 “เฮ้ยๆ “ อัศวะลุกขึ้นมาจับตัวไว้
 “ทำไมวะ  ก็แค่นอน  นอนเหอะ  แผลอย่างนี้ตอนกลางคืนมันจะอักเสบนะเว้ย  อยู่ใกล้ๆหมอเขาจะได้ช่วยได้” อัศวะกล่าว ก่อนจะจ้องตา
 “ทำไม หรือว่า กลัวผี”
 เดฟเปลี่ยนสีหน้าทันที
 “เปล่า.. โลกนี้มีผีที่ไหน"
 อัศวะยิ้มกระหยิ่ม
 “ก็ดี...” อัศวะตอบ แล้วก็หันไปคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเอง
 “งั้น ฉันกลับหละ  นายก็นอนพักนะ  ในโลกนี้ไม่มีผีหรอก  ฉันก็เคยนอนตั้งหลายคืนตอนเป็นไข้เลือดออก  มีแค่คุณน้าใจดีเข้ามานั่งปลายเตียงทุกคืน  แล้วก็คุณลุงแก่ๆ มาเดินไปเดินมาไอโคล่กๆ แล้วก็เด็กที่นั่งทำตาโตๆอยู่บนเพดานแค่นั้นหล่ะ”
 เดฟหน้าจืดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
 “ไปนะ  ถ้าเขามาก็บอกว่าเดี่ยวจะไปทำบุญให้  เดี่ยวเขาก็ไปกันเอง” แล้วก็เดินจะออกไป
 “เฮ้ยๆนี่นายใจร้ายไปรึเปล่าวะ  แล้วใครจะมาพาฉันเข้าห้องน้ำ” เดฟร้องห้าม
 “ก็พยาบาลไง  ไม่ต้องกลัวฉันจะกำชับให้หาบุรุษพยาบาลหล่อๆมาประจำการ” อัศวะตอบ
 เดฟทำหน้าบูดไปนิดหนึ่ง แต่ก็กลับยิ้มออกมาใหม่
 “ก็ได้ งั้นฉันจะจ้างพิเศษเลย  บุรุษพยาบาลหล่อๆ กล้ามใหญ่ๆ นายเน้นตรงนี้ด้วยนะ  เผื่อถูกใจจะรับเลี้ยงเลย”
 อัศวะหันมามองรอยยิ้มเย้ยๆของเดฟแล้วก็หมั่นเขี้ยว
 “งั้นจ้างฉันดีกว่า” เขาตอบแล้วเดินกลับมาในระยะประชิด
 “ใครจะรู้ใจนายเท่าฉัน  จริงไหม” 
 ทั้งคู่สบตากกันนิ่งนาน  จนกระทั้งเดฟอดใจไม่ไหว ดึงอัศวะเข้ามาแล้วโน้มคอลงแล้วจูบอย่างดูดดื่ม
 “ฉันคิดถึงนายมาเลยอัส” เดฟกล่าวหลังจากถอนจูบมาแล้ว
 
อัศวะนั้งลงข้างๆเดฟแล้วสวมกอด
 “ฉันยิ่งกว่านายอีก  เวลาร้องเพลงรักๆยิ่งเห็นหน้านาย  ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งคิดถึงนาย”
 ที่หน้าประตูห้อง จุ๊ยที่ห้ามอาราอิไว้ก็หันมายักคิ้ว  อาราอิถอนหูจากที่แนบประตูไว้ แล้วหันมาถาม
 “จะเข้าไปไหม” เขาถามเสียงเบาๆ
 จุ๊ยส่ายหน้า
 “กลับเหอะ... ฉันอยากไปหาไอ้ฮ้อย”
 
“นี่มันบ้า” ฮ้อยร้องออกมาหลังจากฟังเรื่องจบ  แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
 “บ้าชัดๆ ทำไมไม่คิดบ้างว่าอ๊อดมันจะรู้สึกยังไง”
 จุ๊ยมองไปรอบๆห้องที่เรียบร้อยดีของฮ้อยเพราะมีการจ้างคนทำความสะอาด
 “แล้วมันไปไหนแล้ว” จุ๊ยถาม
 “ย้ายไปอยู่กับพี่สรรค์” ฮ้อยตอบ
 จุ๊ยกับอาราอิมองหน้ากัน  แล้วก็เป็นอาราอิที่กล่าวออกมา
 “บาง ทีก็อาจไม่คิดอะไรก็ได้นะ  เมืองฟ้าเขาอาจคิดถูกต้องแล้วก็ได้  ถ้าอ๊อดมันไปอยู่กับพี่สรรค์  แสดงว่ามันก็อาจพร้อมเริ่มต้นใหม่กับพี่สรรค์”
 ฮ้อยถอนหายใจดังเฮือก
 “ก็หวังว่าเป็นอย่างนั้น  แต่ยังไง  ถ้ามันรู้  ไม่มีทางที่มันจะไม่เสียใจ”  แล้วเขาก็หันไปหาจุ๊ย
 “ตกลงมึงจะไม่บอกจริงๆใช่ไหม”
 จุ๊ยตอบด้วยการพยักหน้า
 “แต่กูก็ไม่ได้ห้ามมึงบอกนะเว้ย  มึงก็คิดดูเอาเองแล้วกัน”
 ฮ้อยทำท่าเหล่มองหน้าจุ๊ย
 “มึงมาโยนขี้ไว้ที่กูเลยเหรอ... ถ้ามึงไม่บอก กูก็ไม่บอกเหมือนกัน” ฮ้อยตอบ
 
 Killing Me Softly ที่บรรเลงหวานหูนั้นตรึงใจคนในงานอย่างมาก พอจบเพลงพิธีกรก็ประกาศ
 “ขอเสียงปรบมือให้ The Trio Tenders  ครับ”
 ทั้งสามหนุ่มก็โค้งแล้วลงจากเวที  สรรค์ที่ยืนอยู่ข้างเวทีก็เดินเข้าไปหลังเวที
 จุ๊ยนั่งลงแล้วเริ่มต้นถอดแซกโซโฟนออกเป็นชิ้นๆ
 ในขณะที่ฮ้อยก็เก็บชีทโน้ตใส่แฟ้มให้เรียบร้อย
 สรรค์เดินเข้ามาแล้วก็นั่งลงข้างสามหนุ่ม
 “พี่ มีงานใหญ่  วงร๊อกต่างประเทศเขาจะมาแสดงเมืองไทย เขาต้องการวงไปเล่นเปิดการแสดง  ตอนแรกพี่เขาก็เสนอไปหลายวง แต่เขารีเควสมาเองเลย  เขาบอกว่าอยากได้จุ๊ย เพราะอยากฟังจุ๊ยเล่นแซก  นักร้องเขาเคยมามาเมืองไทยเป็นการส่วนตัวแล้ว เขาบอกว่าเคยเห็นจุ๊ยเล่นในงานอีเวนท์สมัย เป็น The Quartet พี่เลยเอาเทปพวกเราให้เขาดู เขาเลยโอเคทันที”
 สามหนุ่มหันมองหน้ากัน
 “จริงเหรอพี่” ฮ้อยเสียงสูงทันใด
 “วงอะไรครับ” อ๊อดถาม
 พอบอกชื่อวงสามหนุ่มก็ร้องโอ้โห
 “งานหนักเลยนะนั่น” จุ๊ยบอกออกมา เพราะวงนี้เป็นวงดนตรีระดับตำนานวงหนึ่ง
 แต่ดูเหมือนสองเพื่อนกำลังดีใจจนเนื้อเต้น
 “ขอบคุณครับพี่” อ๊อดดีใจจนเผลอกอดเอวพี่สรรค์  สรรค์ก็โอบตอบ
 ฮ้อยหุบยิ้มเกือบทันที หันไปมองหน้าจุ๊ย  แต่จุ๊ยไม่ได้ว่าอะไรค่อยๆเก็บแซกโซโฟนของเขา พยายามจะไม่ใส่ใจกับภาพที่ได้เห็น

จุ๊ย กับอาราอิต้องวนรถหลายรอบกว่าจะหาที่จอดได้  เพราะเปิดเรียนวันแรก  มีนักศึกษาใหม่ที่พ่อแม่ยังเห่อมาส่งอยู่  ดังนั้นเขาจึงต้องเดินเข้ามหาวิทยาลัยฝั่ง  ใกล้กับคณะที่อาราอิเรียน
“หล่วส่งไลน์มาบอกว่าจะกลับมาช่วงคริสมาสต์” จุ๊ยบอกกับอาราอิตามตรง
อาราอิตอบแค่คำว่าอืมแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร  จุ๊ยก็เลยไม่กล้าถามต่อ  แต่พอถึงหน้าตึก  อาราอิกลับพูดออกมาเอง
 “ทุกอย่างอยู่ ที่จุ๊ยตัดสินใจ  ถ้าหากจุ๊ยเลือกยังไง  ฉันก็ทำตามจุ๊ยบอก  สำหรับฉันเราสองคนเหมือนยังไม่มีทางออกจากปัญหาของเราทั้งคู่  ของฉันอาจเหมือนจะชัดเจนกว่าที่เราแต่งงานกัน  แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ชัดเจนเช่นกัน  แต่จุ๊ยต่างหาก  ความสัมพันธ์กับเธอไม่ชัดเจน  ตรงนี้จุ๊ยต้องจัดการเอง  และเลือกเอง” อาราอิกล่าวมองสบตากับจุ๊ย
 “ถึง ยังไง ฉันก็ต้องฟังนาย เพราะนายเท่านั้นที่ตัดสินได้  ถ้าคำตอบคือใช่ ฉันก็จะดีใจ  แต่ถ้าไม่  ฉันก็อยากจะบอกว่า ฉันจะเสียใจมาเช่นกัน  แต่ฉันก็ไปแต่โดยดี  เพราะนี่คือการติดสินจากนาย  แต่ขออย่างเดียวอย่าให้มันยืดเยื้อ  เพราะมันจะทำร้ายฉันและนาย แล้วก็เธอด้วย”
 “อย่าฆ่าฉันด้วยความไม่ชัดเจน  ฉันยอมโดนฆ่าเพราะจุ๊ยชัดเจนกับเธอมากกว่า” อาราอิปิดประโยคสุดท้ายที่หนักแน่น

สิ่งที่จุ๊ยอยากทำตอนนี้คือสิ่งที่เขาทำไม่ได้ต่อหน้าคนอื่น  ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้อาราอิเดินขึ้นตึกไป
 จุ๊ยอยากจะกอดอาราอิเหลือเกินในตอนนี้
 เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วระบายออกก่อนจะหันเดินไปตึกเรียนของตัวเอง 
หากเดินไปไม่เท่าไหร่  ก็เห็นรถที่คุ้นตามาจอด
 “เอ้าค่อยๆ” อัศวะบอกตอนที่ลงจากฝั่งตัวเองแล้วมาเปิดประตูให้เดฟ
 “รู้แล้วคร๊าบพ่อ แหม่ทำอย่างเดฟเป็นเด็กเลยนะ” เดฟว่า  แล้วก็เกาะไหล่อัศวะเพื่อยืนขึ้น
แล้วอัศวะก็เดินกำกับเดฟที่ใช้ไม้คำยันมาจนถึงฟุตบาท แต่พอเห็นจุ๊ยมารับช่วงต่อเขาก็บอก
 “งั้นกูเอารถไปจอดก่อน  มึงช่วยพาเมียมึงไปหาที่นั่งก่อน เดี่ยวกูมา”แล้วก็เดินกลับไปที่รถ
 จุ๊ยทำหน้าผงะกับคำว่าเมีย
 “ไอ้สัตว์เมียมึงนั่นหละไอ้อัส  มายัดให้กู  กินตับกันป๊าบๆสองคน  แข้งขาหักก็ไม่ได้เว้น เสือกมายัดกูเป็นผัว” จุ๊ยบ่นไล่หลังไป

 “ไม่ใช่นะครับจุ๊ยผมเป็นผัวอัสต่างหาก” เดฟแย้ง
 แล้วก็กอดคอจุ๊ย ยิ้มอย่างเจ้าชู้

“แต่ถ้าเป็นจุ๊ยผมยอมเป็นเมียก็ได้นะครับ”
 “โหไอ้หอก” จุ๊ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้ 
 “ประเดี่ยวก็ปล่อยแม่งไว้ตรงนี้เลยนี่”
“ตกลงมึงสองคนก็กลับมาคบกัน” จุ๊ยกล่าวเมื่อเดฟนั่งลงที่ม้านั้งยาวในสวนหย่อมของตึกเรียน
เดฟเอาไม้เท้าพิงไว้
 “ก็คงต้องตามนั้น  ผมทำใจไม่ได้จริงน่ะจุ๊ย  ยังไงผมก็หลงไปรักเพื่อนของจุ๊ยเสียแล้ว”
 จุ๊ยพยักหน้าเงิ่ดๆ
 “แล้วมันจะเอายังไงเรื่องงานเพลง  เรื่องพ่อมันอีกล่ะ  พวกมึงได้คิดกันหรือยัง”
 เดฟส่ายหน้า  แววตาเศร้าลงนิดหน่อย
 “ก็คงต้องให้วันพรุ่งนี้ตัดสินครับ” เดฟยืมคำพูดของจุ๊ยตอบ
 “เราก็แค่รอให้มันมาถึง  แล้วเราค่อยคิดว่าเราจะทำยังไง  เพราะตอนนี้ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”
 จุ๊ยมองหน้าเดฟก่อนจะตบบ่า
 “เอาเหอะวะ สู้ๆกูจะคอยเอาใจช่วย”
 แล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างแจ่มใส  รอยยิ้มที่อย่างไรก็ตามยังทำให้เดฟใจเต้นแรงได้เสมอ
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:39:49
ตอนที่ 71 : แซกโซโฟนตัวไหม่ ของขวัญจากอาจารย์ถนอม
จุ๊ย เดิมถึงตึกคณะ ก็เห็นสาวๆทั้งหญิงสาวและเกย์สาวกลุ่มใหญ่ทั้งปีสองและปีสามกำลังนั่งรุม เด็กหนุ่มผิวขาวจัดอยู่คนเดียว  ซึ่งพอคงจะโดนแซวหนักก็เลยเขินจนหน้าแดงระเรื่อเห็นแต่ไกล
จุ๊ยส่ายหัวแต่ก็อมยิ้ม  แล้วเดินเข้าทำท่าโบกไล่ทั้งสองมือ
“หุยๆหุย”
“อะไรไอ้จุ๊ย  ฉันไม่ใช่ควาย” เกย์สาว ร่วมคณะเรียนเอกดนตรีไทย ชื่อหนูหมิวลุกขึ้นท้าวสะเอว
จุ๊ยแทรกตัวลงมานั่งข้างวาทิต
“อ้าวก็ยังไม่ได้บอกสักคำ  แค่ร้อยหุยๆหุย”
“อีนี่” หนูหมิวชี้หน้า
“ทำเป็นหวงอีกละ  ตัวเองไม่ใช่น้องอู๊ดสักหน่อย  จะหวงอะไร” แหวนว่า
“ฉันก็เห็นว่าน้องเขาน่ารักดี  เลยมาแซวเล่นๆ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเข้ามาหยิกแก้วนวลของวาทิต
จุ๊ยเอาหนังสือปัด
“เฮ้ย  เดี่ยวช้ำหมด... อยากได้เอาสินสอดทองหมั้นมาขอ  ไม่อย่างนั้นไม่ก็อย่ามาแตะ”
วาทิตมองหน้าจุ๊ย   เพราะตอนนี้จุ๊ยโอบไหล่เขาไว้อย่างกับแม่ไก่ปกป้องลูกเจี๊ยบ
“ฉันว่าแกไปขอจากไอ้ลูกศิษย์แกดีกว่า  นั่นมาโน่นแล้ว” หนูหมิวชี้

จุ๊ยหันไป เห็นอุ๊ดเดินฉับๆมาแต่ไกล หน้าตาบ่งบอกว่าไม่พอใจ
จุ๊ยก็เลยแกล้งโอบกระชับขึ้น  แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิรอรับการมาถึง  ในขณะที่สาวๆเริ่มทยอยถอยออกไป
“วามานี่” อู๊ดมาถึงก็จะดึงวาทิตลุกขึ้น  แต่จุ๊ยกอดแน่นรั้งเอาไว้
“เฮ้ยๆอะไร  มึงมาช้าเอง กูมาถึงก่อนก็ต้องได้ก่อนสิวะ”
อู๊ดยังจับมือวาทิตอยู่
“เฮ้ยพี่จุ๊ยอะไรว๊า  ไหนรับปากว่าจะเลิกหลีวา”
“กูก็ไม่ได้หลี  แต่กูกอด  น้องกู กูก็กอดได้” แล้วก็กอดสองมือเลย
“จะหอมยังได้” แล้วก็หอมจริงๆด้วย
สาวที่ยังลอบดูอยู่สงเสียงกรี๊ดกร๊าด
“ไอ้พี่จุ๊ย” อู๊ดเสียงเขียว
แต่จุ๊ยยังคงกอดไม่ปล่อย  ตอนนี้วาทิตหน้าแดงแจ๋ยิ่งกว่าตอนแรกอีก
“นายนทีธาร” เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง  จุ๊ยจำได้ว่าเป็นอาจารย์จินไตรที่สอนวิชาดนตรีคลาสซิคจึงรีบปล่อยตัววาทิตแล้วลุกขึ้น
“ทำอะไรอยู่  มานี่กับอาจารย์หน่อยสิ” อาจารย์รับไหว้ของเหล่านักศึกษาก่อนจะพูด
แต่พอพูดจบก็หันหลังเดินไป
จุ๊ยหันมามองหน้าอู๊ดที่ลงไปนั่งกอดวาทิตแทนแล้วทำแล่บลิ้นหลอก  ส่วนวาทิตยังหน้าแดงอยู่มองจุ๊ยอย่างเขินๆ
“ฝากไว้ก่อนเหอะมึงอย่างเผลอนะ  กูจะดูดปากโชว์เลยคอยดู” จุ๊ยว่าแล้วก็รีบเดินตามอาจารย์ไป
อู๊ดทำลอยหน้าลอยตา  แต่พอจุ๊ยเดินพ้นไป ก็หันมาดุวาทิต
“นี่ไงพี่ก็บอกแล้วว่าให้รอพี่มาก่อน  แล้วเป็นไง  โดนสาวๆแกล้ง เราน่ะ น่าตาน่ารัก ใครเห็นก็อยากจะแกล้งทั้งนั้น”
“เฮ้ยๆน้องออสซี่  หวงก็บอกไปเลยว่าหวง” แหวนเดินเข้าแซวก่อนจะเดินไปกับพวกปีสาม
“ออสซี่นี่ใครครับ” วาทิตถาม
“อ้อเปล่า  ไม่มีอะไร” อู๊ดปัดพันละวัน  ก่อนจะเฉไฉเข้าเรื่องตัวเอง
“สาวๆไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้พี่จุ๊ยนี่ไม่ได้เด็ดขาด  นี่หล่ะตัวอันตราย  ต่อไปพี่จะไปรับวาทุกวัน  แล้วเราก็มาพร้อมกันเข้าใจไหม”
“แต่ถ้าวันไหนพี่อู๊ดไม่มีเรียน  ผมก็ห้ามมาเรียนด้วยไหมครับ” วาทิตถามกลับ
อู๊ดนิ่ง.. ก่อนจะตีหัวเบาๆสั่งสอน
“นี่แนะ ยอกย้อนแล้วนะ”
อ๊อดเดินมาทันเห็นสองคนหยอกกันพอดี
“เอ้าๆหวานกันเข้าไป นี่มหาลัยไม่ใช่โรงแรมม่านรูด”
อู๊ดหันไปมองหน้า วาทิตก็ยกมือไหว้
“ไม่ต้องไหว้วา” อ๊อดกล่าวแล้วก็เอื้อมมือมากะจะตบไหล่วาทิต  แต่เห็นสายตาหวงก้างของอู๊ตก็ชักกลับ
“ไอ้จุ๊ยล่ะมายัง” อ๊อดถาม
“ไปกับอาจารย์...” วาทิตยกล่าวแล้วมองหน้าอู๊ด
“อาจารย์จินไตรพี่  เห็นบอกว่ามีธุระคุยด้วย” อู๊ดตอบแทน
 
“เมื่อ วานท่านอธิการบอกว่ามีโทรศัพท์จากราชเลขาบอกว่าเจ้าฟ้าท่านมีพระประสงค์ให้ จุ๊ยไปเล่นตอนพักเบรกงานสังสรรค์สมาคมในพระอุปถัมภ์ ให้คณะทูตจากต่างประเทศฟัง” อาจารย์จินไตรกล่าว
“อัน นี้เห็นราชเลขาว่า  ทรงได้จำเธอได้จากการประกวดดนตรี  แล้วมีรับสั่งถามถึงอีก เพราะมีคนไปเล่าถวายว่าเธอเล่นดีกว่าก่อนมาก ก็เลยทรงมีพระประสงค์จะให้เธอเข้าถวายงานรับใช้  ทรงให้คนสนิทไปบันทึกเทปตอนที่เธอไปเล่นในงานอีเว้นท์แล้วด้วย ทรงพอพระทัยมาก”
จุ๊ยรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาเพราะดูจะเป็นงานใหญ่เกินตัว
“ทรง ให้เธอฝึกซ้อมเพลงพระราชนิพนต์สองเพลง แล้วเพลงสากลหนึ่งเพลง  เธอต้องส่งรายชื่อมาก่อน  แล้วอาจารย์จะส่งรายชื่อเพลงไปทางสำนักอธิการเพื่อทูลเกล้าถวาย”
อาจารย์จินไตรกล่าวปิด แล้วก็สังเกตหน้าตาลูกศิษย์
“เอาน่า อาจารย์ว่าเธอทำได้  ซ้อมเยอะๆแล้วกัน ทางในวังจะมีนักดนตรีมืออาชีพมาร่วมเล่นกับเธอแล้ว  ถึงเวลาก็ไปซ้อมกับเขาด้วย”
“ครับผม” จุ๊ยตอบเพราะไม่รู้จะตอบอะไรมากกว่านั้น
 
“ได้เล่นถวายตัว” อ๊อดทำเสียงสูง
“ถวายงาน” ฮ้อยแก้ให้
“เออนั้นหล่ะ” อ๊อดว่า
“กูไม่ค่อยมั่นใจเลยวะ งานใหญ่นะนี่  พลาดขึ้นมาทีอับอายไปทั่วโลก” จุ๊ยกล่าวแล้วนั่งชันเข่า
“มึงพูดอย่างนี้ทุกที  แต่มึงก็ทำได้กูเชื่อ” ฮ้อยกล่าวแล้วก็ตบบ่าจุ๊ย
“สู้ๆเว้ย”
 
อาร์ทขมวดคิ้วกับแซกโซโฟนของจุ๊ย
“คือ มันเก่ามากแล้วน่ะ  อันนี้จริงแล้วพ่อไปจับได้โดยบังเอิญ  ประมูลมาแพงมาก  แต่มันก็เก่ามากแล้วด้วยเหมือนกัน  คงซ่อมลำบากแล้วหล่ะ”
“แล้วทำยังไงดีหล่ะครับ  ผมต้องใช้เล่นต่อหน้าพระพักต์อีกสองอาทิตย์นี่แล้ว” จุ๊ยร้อนใจ
“จริงๆแล้วจุ๊ย” อาร์ทมองหน้าจุ๊ย
อาราอิก็มองหน้าจุ๊ย
“จุ๊ยจริงๆก็ถึงเวลานานแล้วล่ะ แต่พี่เห็นจุ๊ยยังมีความสุขดีกับแซกของอาเหม่ย... พี่ก็เลยไม่ได้เอามาให้ดู  รอเดี่ยวนะ”
 
จุ๊ยนั่งลงที่เปียโน  แล้วก็กรีดนิ้วบรรเลงเพลง Barcarolle Op. 60ของ Chopin เสียงของมันแว่วหวานและชวนอาราอิให้รู้สึกราวนั่งอยู่กลางสวนดอกไม้ที่มี ผีเสื้อบนวนเวียน และกลิ่นหอมยวนใจของฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นก็เหมือนจะไปสู่ความรื่นเริงของงานเทศกาลฤดูร้อนในญี่ปุ่น
แต่ ใจของจุ๊ยนึกไปถึง คำพูดของพ่อของเขาอีกคน  แม่เคยรักกับอาจารย์ถนอม... แล้วเขาก็นึกไปถึงใบหน้าของแม่ยามที่ได้ฟังอาจารย์ถนอมเล่นดนตรีให้ฟังเพื่อ เป็นตัวอย่างสำหรับเขาและพี่ไตร 
คงต้องใช่อย่างนั้นจริงๆ  เพราะแม่ดูมีความสุขทั้งจากเสียงดนตรี  และความสุขจากการได้เห็นอาจารย์ถนอมบรรเลงเพลง
อาร์ทเดินลงมานานแล้ว  พร้อมกับกล่องแซกโซโฟนสองตัว  แต่เขายังยืนรอจุ๊ยให้บรรเลงจนจบ
“ไม่ตกเลยนะ  ฝีมือเนี่ย”
จุ๊ยหันมาโค้งอย่างร่าเริง
“แน่นอนครับ”
 
“แซก สองตัวนี้  พ่อได้มาจากครอบครัวของเพื่อนของท่าน ที่เสียชีวิตลงกะทันหัน ด้วยอาการโรคมาลาเลียหลังจากเดินทางไปแสดงดนตรีที่แอฟริกา  สองตัวนี้ใช้น้อยมาก เพราะซื้อมาก่อนจะเสียไม่นาน  ก็เลยยังใหม่มาก  พ่อกำชับให้พี่ดูแลให้ดี” แล้วก็เปิดกล่องแซกตัวหนึ่ง ในขณะจุ๊ยเปิดอีกตัว
“Selmer Referance 54” จุ๊ยร้องออกมาเสียงหลง เพราะเป็นหนึ่งในสุดยอดแซกโซโฟนในฝันของนักแซกโซโฟนทั่วโลก
“ใช่... เทนเนอร์กับอัลโต้อย่างละตัว” อาร์ทกล่าวทั้งยกคิ้วสูง
จุ๊ยลูบคลำอย่างชื่นชม
“ผมลองดูได้ไหม” จุ๊ยถาม
“ได้สิ” อาร์ทว่า แล้วก็มองรูปของพ่อ
“งั้นพี่ขอเพลง A Whiter Shade of Pale”
 
 
อาร์ทลงกลอนประตูร้านแล้วก็ลากประตูเหล็กลงมาครึ่งหนึ่ง  จากนั้นก็เดินตามสองหนุ่นขึ้นไปบนชั้นสองที่มีห้องซ้อมดนตรี
ห้องนี้เป็นห้องที่จุ๊ยได้รับการถ่ายทอดวิชาดนตรีมาจากอาจารย์ถนอม

จุ๊ยเอาอัลโต้แซกโซโฟนประกอบ  เขาลูบมันอย่างร่าเริงเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่
แต่พอยืนนิ่งเพื่อเริ่มต้นเพลงเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูสงบนิ่งและตั้งใจ  จรดปากแล้วเป่า...
เสียงเสนาะจากแซกโซโฟนราคาเรือนแสน โลดเล่นเป็นบทเพลงยอดนิยมในอดีต ที่เคยถ่ายทอดโดยวง Procol Harum จุ๊ย เล่นด้วยแซกโซโฟนด้วยการเป่าที่พริ้วไหว เทียบได้กับคิง เคอร์ตีส ศิลปินชื่อดังเล่นไว้ที่เล่นอย่างสวยงาม  แล้วพอถึงช่วงสร้อยที่เป็นเสียงสูง แซกโซโฟนนั้นก็ราวจะส่งเสียงออกมาเหมือนกับการเปล่งเสียงจากนักร้องชื่อดัง
“จุ๊ย มีเอกลักษณ์ที่หางเสียงกับความต่อเนื่องในการเป่า  เขามีหางเสียงที่เพราะมากมันจะไหวได้แล้วบาดลึกในอารมณ์  แล้วก็การเป่าที่ไม่มีแทบเหมือนไม่ได้หายใจเลย  ซึ่งตรงนี้ยากมากถ้าเทียบกับอายุของเขา” อาร์ทอธิบาย
“แต่ ตอนนี้เขามีเทคนิคมามากกว่าตอนพี่ฟังเขาครั้งสุดท้ายเยอะมาก...  ตอนนี้พี่กล้าบอกว่าเขาไปไกลกว่าพ่อของพี่ที่เป็นอาจารย์ของเขาเสียอีก”
 “เด็ก คนนี้นับวันก็ยิ่งห่างจากคนอื่นๆไปทุกที  แต่เขาคงไม่รู้ตัวหรอก  เพราะเขาน่ะแค่อยากจะเล่น แล้วก็เล่นไปตามใจอยาก  เขาไม่เคยมีเป้าหมายว่าจะเป็นอะไรยังไง  ขอให้เขาได้เล่นดนตรีก็พอ”
อาราอิหันมองหน้าอาร์ทที่มองจุ๊ยด้วยความยินดี  เหมือนผู้ใหญ่ที่ได้เห็นเด็กที่ตัวเองรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีเติบโตไปอย่างงดงาม
 
“พี่ให้” อาร์ทบอกซ้ำครั้งที่สอง เพราะจุ๊ยทำหน้าไม่เชื่อ
“พี่ให้จริงๆ”
“ล้อเล่นน่าพี่ ผมไม่กล้ารับหรอก  สองตัวนี่ซื้อรถได้คันนึงเลยนะพี่” จุ๊ยสั่นหัวแล้ว  เอามือออกจากลูบคลำ
“นี่ คือคำสั่งเสียของอาจารย์ของจุ๊ย  เขาบอกว่าถ้าพี่จะเก็บไว้ ให้พี่เอาเล่นเก่งพอจะแข่งกับจุ๊ยให้ได้ก่อน  แต่พี่ไม่มีปัญญาอยู่แล้ว  ยังไงพี่ก็ต้องให้จุ๊ย” อาร์ทว่า
“จริงๆแล้วเขาจะให้จุ๊ยกับไตรคนละตัว  แต่บังเอิญไตรตายไปแล้ว ก็เหลือจุ๊ยเป็นคนรับมรดกคนเดียว”
“พ่อ น่ะ บอกว่าวันไหนถ้าจุ๊ยคู่ควรแล้วค่อยให้  แต่พี่เห็นว่าจุ๊ยน่ะคู่ควรมานานแล้ว  แต่พี่ก็ยังอยากดูจุ๊ยไปอีกระยะ  ตอนนี้พี่คงไม่มีข้ออ้างจะเก็บไว้แล้วล่ะนะ” แล้วพี่อาร์ทก็วางมือบนไหล่ของจุ๊ย
“จุ๊ย เป็นศิษย์เอกของพ่อ  ตอนที่จุ๊ยบอกชอบคุณพ่อออกทีวีตอนรับรางวัลชนะเลิศประเทศไทย  นั้นก็ครั้งหนึ่งแล้ว  แต่พี่อยากให้จุ๊ยเอาแซกสองตัวนี้ไป ทำให้ชื่อของพ่อกลับไปอยู่ในเวทีระดับโลกอีกครั้ง  อันนี้พี่แน่ใจว่าจ๊ยต้องทำได้แน่นอน”
จุ๊ยมองหน้าอาร์ทที่มองเขาอย่างมาดมั่น
“ครับผม  ผมจะทำให้ได้ครับ”
 
ปกรณ์กับจินไตรนั่งฟังจุ๊ยบรรเลงเพลงพระราชนิพนต์อย่างต่อเนื่องสองเพลงโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยด้วยเทนเนอร์แซกโซโฟน
“นี่มัน  Selmer Reference 54 ใช่ไหม” อาจารย์ปกรณ์สังเกตแซกโซโฟนของจุ๊ย
“ครับ  ผมเห็นตั้งแต่ตอนเอามาประกอบ  เขาบอกว่าอาจารย์ของเขา คุณถนอมเก็บไว้ให้เขา แล้วลูกชายพึ่งเอามาให้”   อาจารย์จินไตรตอบ
“อ้อนายอาร์ทน่ะเหรอ” ปกรณ์กล่าว
“รู้จักกันเป็นการส่วนตัวด้วยเหรอครับ” จินไตรถามตามข้อสังเกต
“ครับ  เขาเป็นรุ่นพี่ผม  เขาเก่งมากเลย  ผมน่ะยอมแพ้เลย   แล้วยิ่งมาเจอนายจุ๊ย  ยิ่งรู้สึกเลยว่าตัวเองยังห่างไกลจากพี่ถนอมมาก” ปกรณ์ยอมรับความจริง
“แต่มันก็เกี่ยวกับตัวเด็กด้วยหล่ะครับ  เด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ  ผมว่าเราเอาเขาไว้ไม่อยู่แล้วนะครับ  เขาไปไกลมาก”
จินไตรกล่าว
ปกรณ์ถอนหายใจ
“ก็ ได้แต่ภาวนาว่าเขาจะเข้าทดสอบปลายปีนี้เท่านั้นล่ะครับ  เพราะถ้าไม่เข้าอีก  ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง  เสียดายมาก  ความสามารถระดับนี้  ผมเสียดายจริงๆถ้าเขาไม่ได้ไปยืนในระดับโลก”
 
วาทิต ได้ยินจากพวกเพื่อนๆว่าเฮียจุ๊ยกำลังซ้อมแซกโซโฟนกับพวกอาจารย์จึงรีบเข้าไป ชมในห้องซ้อมดนตรี  พอเปิดเข้าไปส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่นั่งอยู่ เพราะส่วนใหญ่ได้ยินชื่อของเฮียจุ๊ยมาจากที่ต่างๆ ก็เลยมาขอร้องให้ได้เข้าไปชม
“วาๆ” อ๊อดเรียก 
วาทิตเลยเดินก้มๆผ่านเพื่อนๆไปนั่งกับอ๊อดและฮ้อย
“มันกำลังจะเล่น  Adagio et Rondo” อ๊อดบอก
“ดูไว้นะ  แล้วพยายามจำเทคนิค  เพราะวาเป็นศิษย์เอกของจุ๊ย  น่าจะพอทำตามมันได้บ้างหละ”
“ศิษย์เอกคือพี่อู๊ดต่างหาก  เห็นอย่างนี้พี่เขาชอบเอาวีดีโอของเฮียมาดูแล้วลองเป่า” วาทิตตอบเสียงเบาๆ
จินไตรเก่งด้านเปียโน เขาจึงนั่งแท่นเป็นผู้บรรเลงคู่กับจุ๊ยในบทเพลงคลาสสิกระดับโลก Adagio et Rondo, Opus 63ที่ประพันธ์โดย Jean-Baptiste Singelée
จุ๊ยพอเห็นวาทิตเข้ามาก็หันมายิ้ม  แล้วยกแซกโซโฟนเชิงบอกให้ดูให้ดี
พอ อาจารย์จินไตรเริ่มบรรเลง  จุ๊ยก็รอ จนได้จังหวะแล้วก็เริ่มต้นเป่าออกไป  ที่จริงก็ไม่ใช่เพลงยากอะไร  แต่พอเป็นจุ๊ยเป่าแล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป  เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยทำให้เด็กปีหนึ่งถึงกับอ้าปากค้างไปหลายคน  มันลื่นไหลอย่างไม่น่าเชื่อ  แถมยังมีปลายเสียงที่กินใจอย่างประหลาด  ความต่อเนื่องความแม่นยำในตัวโน้ต  มันคือความลงตัวที่ทำให้คนฟังถูกสะกดไปอย่างช่วยไม่ได้ 
“พอจับเทคนิคไหวไหมวา” อ๊อดกระซิบ
วาทิตไม่ตอบในทีแรกเพราะกำลังตะลึง
ก่อนจะตอบออกมาเบาๆ
“ไม่ไหวหรอกพี่  มันไม่รู้จะจับอะไรดี  มันดีเกินไปน่ะพี่ ตามไม่ทันจริงๆ”
 
อาราอิมารออยู่ใต้ตึกเพราะเขารู้สึกว่าไม่เหมาะจะขึ้นไปหาจุ๊ยด้วยตัวเอง
พอจุ๊ยถือกล่องแซกโซโฟนตัวใหม่เดินลงมา ก็ลุกขึ้นไปช่วยถือ
ฮ้อยก็แซว
“แหม่รีบมาเลยนะ กลัวเมียเหนื่อยหรือไง”
จุ๊ยจึงตบหัวผลั๊กไปทีหนึ่ง
อ๊อดเดินตามลงมาที่หลัง โดยคุยโทรศัพท์กับคนที่น่าจะเป็นสรรค์
เขาโบกมือให้ก่อนจะเดินไป
อาราอิมองตามไปแล้วก็หันหาจุ๊ยที่ก็มองตามไปเหมือนกัน
“ตกลงก็ไม่ได้บอกใช่ไหม”
จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ
“พูดไม่ออกว่ะ” ฮ้อยกล่าว
“เห็นมันก็มีความสุขดีนี่ เผลอๆลืมแล้วมั๊งว่าเคยรู้สึกยังไงกับเมือง”
จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น  กูไม่อยากเห็นมันเสียใจ  เมืองเองคงไม่อยาก”
โทรศัพท์ที่จุ๊ยเปลี่ยนระบบสั่นไว้ก็เริ่มเคลื่อนไหวจากช่องเก็บของด้านหน้าของกล่องแซกโซโฟน
อาราอิจึงยกสูงขึ้นให้จุ๊ยล้วงออกมารับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:40:19
ตอนที่ 72 : ไวโอลีนร้องไห้..
ในร้านอาหารราคาแพงในห้างกลางเมือง  อ๊อดมองอาหารนิ่งๆ จนสรรค์ต้องถามว่า
“ไม่หิวเหรอ” สรรค์กล่าว
“ของชอบทั้งนั้นเลยนี่”
อ๊อดจึงตื่นตัวแล้วก็ยิ้มออกมา เมื่อสักครู่ตอนได้เห็นอาหารเขาคิดไปถึงอาหารถุงง่ายๆที่เคยจัดเรียงบนโต๊ะในห้องอพาร์ทเม้นท์..

“อ้อไม่ใช่ครับ”  แล้วเขาก็ลงมือกิน
“เอ่อเดี่ยวกันเสร็จพี่ว่าจะไปเยี่ยมญาติของพี่หน่อย  เห็นว่าอาการหนักมาก  เดี่ยวอ๊อดก็ไปด้วยกันนะ”
อ๊อด จำได้ว่าคนที่ว่าคือคนที่สรรค์บอกว่าแนะนำอ๊อดให้กับสรรค์ได้รู้จัก  แต่จนป่านนี้ด้วยข้ออ้างที่ว่าเคยไม่ถูกกันอย่างรุนแรงทำให้สรรค์ยังไม่ยอม บอกว่าเป็นใคร
“พอเจอกันก็อโหสิต่อกันนะ  อย่าให้เรื่องเก่าๆมันค้างคาใจ” สรรค์กล่าว
 
พอไปถึงโรงพยาบาลสรรค์ก็ถามจากพยาบาลแต่ข้อมูลทำให้ตกใจ
“คนไข้เสียชีวิตแล้วค่ะ  ตอนนี้อยู่ที่ห้องดับจิตแล้ว”
ทั้ง คู่เลยมาที่ห้องดับจิต  อ๊อดรู้สึกแปลกๆในหัวใจ  เขากลัวอย่างไรพิกล  ไม่ใช่เพราะกลัวการไปห้องดับจิต  แต่ทุกก้าวที่ย่างไปเหมือนกับหัวใจมันกำลังจะบอกอะไรเขา  มันเต้นแรงอย่างผิดปกติ
ที่หน้าห้องมีจุ๊ย อ็อย และอาราอิ
“อ้าวทำไมมากันหมดเลย  แสดงว่าสนิทกันอย่างนั้นใช่ไหม” สรรค์หันมาถามกับอ๊อด
อ๊อดไม่ตอบ  เขาเดินไปยืนตรงหน้าจุ๊ย
“อ๊อดมึงควรจะเข้าไปดูหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย  แต่ถ้ามึงจะไม่เข้าไปกูก็ไม่ว่าหรอก” จุ๊ยกล่าวแต่ก็หลบสายตาอ๊อด
 
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงซูบซีด  ผิวที่ขาวอยู่แล้วจึงซีดเป็นกระดาษ  ใบหน้าซูบซีดนั้นสงบนิ่ง
อ๊อดยืนคู่กับสรรค์
“กล่าวอโหสิกรรมกันสิ  แล้วถ้าโกรธอะไรกันก็เลิกแล้วต่อกันนะ”
อ๊อดไม่พูดสักคำ  เขาหันหลังออกมาจากห้องนั้น
“ผมกลับก่อนนะพี่  ผมง่วงนอน”
 
งาน ศพเมืองฟ้าผ่านไปแล้วสามวัน  จุ๊ยเองแม้จะไปทุกวันแต่ก็ไม่ได้กล้าเอ่ยปากอะไรกับอ๊อดที่ไม่ได้ไปเลย  เขาเหมือนเป็นปกติและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มันอะไรของมัน” ฮ้อยถามออกมาตอนมองอ๊อดกำลังสนทนากับพวกหน่องอย่างร่าเริง
“มันไม่เสียใจอะไรเลยหรือไงวะ”
“มึงเอาเทปที่เมืองเขาขอโทษ มัมไปหรือยัง”
“เปิดให้มันฟังเลย  บังคับด้วย  แต่มันไม่ได้พูดอะไร” จุ๊ยถอนหายใจชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง
“แต่ กูว่านะ  มันแปลกๆ  มันน่าจะพูดอะไรบ้าง มันน่าจะแสดงอาการอะไรบ้าง  นี่มันผ่านมาไม่เท่าไหร่เองนะ  แล้วมันจะไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆเหรอ  แต่ที่มันทำมันเย็นชาเกินไป  จะว่าโกรธก็ไม่ใช่  อะไรของมันกูก็งง”
แต่สักครู่ สิทธิก็เดินมาถึง  แต่เดินผ่านไปยังตรงที่อ๊อดนั่งอยู่
“พี่อ๊อดผมขอคุยด้วยหน่อยสิ”
 จุ๊ยกับฮ้อยมองหน้ากัน
 
“ผมขอร้อง  ผมแค่อยากให้พี่ไปเล่นไวโอลีนหน้าศพพี่เมืองเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง” สิทธิแทบจะคุกเข่าอยู่แล้วตอนที่พูดประโยคนั้น
“ก็ให้จุ๊ยมันเล่นสิ  ไวโอลีนของจุ๊ยมันก็ไม่ต่างกับฉันหรอก  มันเก่งนะ” อ๊อดตอบ แล้วหันไปมองทางอื่น
“พี่ใจร้ายมาก” สิทธิกล่าวออกมามองอ๊อดอย่างเจ็บปวดใจ
“พี่เมืองทำเพื่อพี่ทั้งนั้น  พี่จะคิดว่าพี่เขาโกหกพี่ หลอกพี่ หรืออะไรก็ตาม  แต่ผมอยากจะบอกว่าเพราะพี่เขารักพี่มากพี่เขาถึงได้ทำอย่างนั้น”
อ๊อดเงียบไปนาน
แล้วหันมา
“เขารักนายมากกว่า..” อ๊อดกล่าวเสียงที่ระคนด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“ถ้า เขารักฉัน ทำไมในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาไม่ให้ฉันดูแล  ทำไมเขาไม่บอกลาฉันด้วยตัวเอง  ทำไมเขาถึงทิ้งฉันไปอย่างนั้น  ทำไมเขาต้องทำอย่างนี้  ทำไมล่ะนายช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อย”
“ในเมื่อเขาต้องการแบบนี้  แปลว่าเขาก็อาจไม่ได้ต้องการให้ฉันไปเล่นจริงๆ  แล้วมีประโยชน์อะไรที่ฉันไป  ให้ไอ้จุ๊ยไปก็แล้วกัน”
แล้ว เขาก็เดินผ่านหน้าสิทธิที่ยืนนิ่งไร้คำตอบหรือเสียงท้วงติง  และผ่านจุ๊ยกับฮ้อยที่ตามมาดูเหตุการณ์  โดยเพื่อนทั้งสองก็ไม่กล้าจะหยุดยั้งเขาไว้
 
ในงานศพของเมืองฟ้า  มีญาติและเพื่อนของเมืองฟ้ามาหลายคนโดยเฉพาะแก๊งค์เกย์สาวที่เคยสนิทกันมา กันเกือบครบ เดฟก็ยังมาทั้งที่ขายังพันผ้าโดยมีอัศวะตามมาด้วย 
ฮ้อยจัดการจูนเสียงคีย์บอร์ด  แล้วก็หันไปมองจุ๊ยที่ไม่ได้ถือไวโอลีนแต่เป็นฟรุ๊ต
“ถ้ามันไม่มาล่ะจุ๊ย” ฮ้อยถาม
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  แต่หันไปมองอาราอิที่ยืนอยู่ตรงแถวด้านนอกพื้นที่ฌาปนสถาน เขาส่ายหน้าแสดงว่ายังไม่มีวี่แวว
“มันต้องมากูเชื่อ  มันไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้น”
สิทธิมองรูปเมืองฟ้า  แล้วหันไปหาสรรค์พี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ  สรรค์ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น 
มัคนายกเดินเขามาสอบถามกับมารดาและบิดาของเมืองฟ้า  เหมือนเธอจะตอบว่าพร้อมแล้ว
ตอนนั้นจุ๊ยชักใจแป๋ว เพราะแปลว่าเขากำลังต้องเล่น
แต่แล้วอาราอิก็แสดงอาการตื่นตัว  โบกมือบอกจุ๊ย
อ๊อดในชุดสีขาวล้วนเดินมาพร้อมกับไวโอลีนของเขา  เขาไม่ได้พูดกับอาราอิตอนเดินผ่านมายืนข้างๆจุ๊ย
เขาหันไปมองฮ้อย  ก่อนจะหันไปสบตาจุ๊ยแล้วก็ตั้งท่าพร้อม หนีบไวโอลีนตัวเอกเอาไว้ด้วยคาง หันไปหารูปของเมืองฟ้า
แล้วเขาก็เริ่มต้นสีเพลงที่ทำให้เขาได้พูดคุยกับเมืองฟ้าเป็นครั้งแรก
Sad Romance ของ Ji Pyeongkeyon..
เสียงไวโอลีนนั้นยิ่งทำให้บทเพลงที่ประพันธ์อย่างเศร้าสร้อยอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้ มันเศร้าไปมากกว่าเดิม  เสียงของมันพริ้วไหวและคล้ายกับการครวญสะอื้นของสายลมที่อยู่รอบตัว
“เราพึ่งย้ายมาน่ะ”
“ทำไม อ๊อดเศร้าจังเลย คือเมืองอาจเล่นดนตรีสากลไม่เป็นนะ แต่ชอบฟังมากๆ  โดยเฉพาะไวโอลิน  แต่เสียงไวโอลินของอ๊อด เมืองว่ามันเศร้าจัง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“โอ๊ยแล้วจะเสียใจทำไมเนี่ย... ได้ที่สองจากคนเป็นร้อยก็เก่งจะแย่แล้ว”
“อ๊อด บางอย่างมันไม่ต้องมีเหตุผลหรอก  เราก็แค่ทำตามหัวใจของเรา  เราอยากเป็นอะไร หรือไม่อยากเป็นอะไร  มันอยุ่ที่ตัวเราตัดสินใจไม่ใช่เหรอ... ในโลกของเมืองไม่มีพระเจ้ากำหนด  แม่บอกว่าเราเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด”
“สำหรับเมือง... เมืองไม่อยากรู้ว่ามันผิดหรือถูกแต่ เมืองแค่อยากจะอยู่ใกล้คนที่เรารักเท่านั้นเอง”
แล้วน้ำตาก็อาบลงมาอย่างห้ามไม่ได้  ในม่านน้ำตา อ๊อดคล้ายจะเห็นเทวดาตัวน้อยของเขา  เทวดาที่ยืนเคียงข้างเขาในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่อัดอั้นตันใจ  เทวดาดูแลเขาด้วยความรักตลอดมา และเทวดาที่โอบกอดเขาอย่างอ่อนโยนในคืนที่เหน็บหนาว
สรรค์เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาได้จากในระยะไกล  น้ำตานั้นมาจากความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งแน่นอนที่สุด
“สิทธิ  เมืองไม่ใช่แค่เพื่อนของอ๊อดใช่ไหม...” เขาหันมาถามกับน้องชาย
เสียงไวโอลีนท่อนสุดท้ายหวีดขึ้นกรีดความรู้สึก  แล้วอ๊อดก็ทิ้งกายลงกับพื้นอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง
จุ๊ยส่งฟรุ๊ตให้อาราอิ  แล้วก็นั่งลงพอเขาวางมือบนบ่า  อ๊อดก็กอดเขาไว้แน่น
“ทำไม จุ๊ย ทำไมเมืองทำแบบนี้กับกู  กูรักเขามากเลยมึงรู้ไหม  ทำไมเขาไม่ให้กูดูแลเขานาทีสุดท้าย  ทำไมเขาไม่ให้กูได้บอกลาเขา  ทำไมล่ะจุ๊ย  ทำไมเขาต้องทำกับกูแบบนี้  กูไม่ใช่สิ่งของจุ๊ย  กูเป็นคน คนที่รักเขา.. ทำไมเขาทำกับกูแบบนี้”
จุ๊ยมองหน้าฮ้อยที่ย่อเข่าลงมาข้างๆ ก่อนเขาจะตอบออกไป
“แล้ว ถ้ามึงได้อยู่จริงๆ  มึงทำได้ไหมล่ะที่จะส่งเขาด้วยรอยยิ้ม มึงทำได้ไหมที่จะปล่อยเขาโดยดีโดยไม่พยายามรั้งเขาไว้ทั้งที่รั้งไม่ได้  มึงทำได้หรือเปล่า” จุ๊ยกล่าว
“เมือง รักมึงมากอ๊อด  สิ่งที่เมืองทำอาจแปลกๆ  แต่เขารักมึงมากจนไม่รู้จะทำยังไง  แล้วเขาก็เป็นห่วงมึงมาก  ด้วยหัวใจที่อ่อนแอของเขา  แต่เขากลับกลั่นใจทำในสิ่งทีเขาเจ็บปวดที่สุด" 
"มึงคิดว่าเขาทำได้เพราะอะไรหล่ะ  นี่มันไม่ใช่ความใจร้ายนะอ๊อด  แต่เขาทำเพราะเขาเป็นห่วงมึง  และเขาทำเพราะเขาทนเห็นมึงเสียใจไม่ได้  เขาทนที่จะจากมึงไปทั้งที่มึงกำลังร้องไห้ครำครวญไม่ได้”
“ทั้งหมด มันคือะไร มันคือความรักที่เสียสละไม่ใช่เหรอ... ความรักของคนที่อยากให้มึงมีความสุขที่สุดในชีวิตของเขาไม่ใช่เหรออ๊อด”
อาราอิต้องเบือนหนีไปจากภาพนั้น  เขามองขึ้นฟ้าเพื่อไม่ให้น้ำตาตัวเองไหลออกมา
ความเสียสละอย่างนั้นหรือ  นี่คือรูปแบบหนึ่งของความรักที่เสียสละใช่หรือไม่...
เพราะ รู้ว่าไม่อาจเคียงข้าง  จึงทนเห็นเขาไปกับคนอื่น  เพราะรู้ว่าไม่อาจจากไปโดยต้องเห็นคนรักต้องเสียใจ  ก็เลยยอมทนจากไปอย่างเดียวดาย ตายไปในความเงียบงันที่เจ็บปวด...
อย่างนี้เรียกว่าอะไร...  ใช่ความรัก หรือไม่
ความรักมีคำจำกัดความหลากหลาย  หลากหลายเกินไปจริงๆ
 
หลังจากเหตุการณ์ในวันเผาศพเมืองฟ้า  อ๊อดก็ซึมเศร้าไปหลายวัน นานเกือบเป็นเดือน   
จากที่อ๊อดเล่า สรรค์เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด  แต่ก็ยังยืนยันว่าความรักของเขาไม่ได้เกิดอย่างฉาบฉวย  เขาก็รักอ๊อดจริงๆตั้งแต่แรกเห็น  แต่ก็เข้าใจอ๊อด  และยินดีจะปล่อยถอยออกมาให้อ๊อดได้ใช้เวลากับตัวเอง 
ฮ้อยก็เลยให้อ๊อดย้ายมาอยู่กับเขาเป็นการชั่วคราว  ซึ่งจะอยู่ไปเลยก็ได้  เพราะยังไงเขาก็อยู่คนเดียว  แต่ทั้งนี้ก็มอบให้เป็นการตัดสินจากอ๊อด ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต
และแม้สรรค์จะทิ้งระยะห่างกับอ๊อด  เขาก็ไม่ได้ทอดทิ้ง The Trio Tenders แต่ยังส่งงานดีๆให้มากกว่าเดิม  จนจุ๊ยแอบได้ยินวงอื่นที่อยู่ในการดูแลของสรรค์เหมือนกันบ่นว่าน้อยใจ
ดังนั้นในความรู้สึกของจุ๊ย  บางทีเมืองฟ้าอาจไม่ได้คิดผิด  เขาเป็นญาติกับพี่สรรค์เขาคงเลือกแล้วว่าใครกันแน่ที่จะดูแลอ๊อดที่เขารัก ต่อไปได้
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:40:53
ตอนที่ 73 : เพื่อนบ้านใหม่ชื่อปาล์ม
ฮ้อยพึ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัย และพึ่งจะจอดรถในช่องจอดประจำ  วันนี้เป็นวันที่เขากับสองสหายสนิทไม่ได้เรียนด้วยกัน เนื่องจากฮ้อยมุ่งจะไปสายจะเป็นนักแต่งเพลงมากกว่านักดนตรีของจุ๊ยกับฮ้อย ก็เลยเลือกวิชาเรียนที่แตกต่างกันไป
แต่ระหว่านั้น  เขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งลากกระเป๋าล้อเลื่อนมาด้วยมือข้างหนึ่งอีกข้าง ถือของพะรุงพะรัง  แล้วของชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงมา  เธอใส่กระโปรงแคบก็เลยลำบากกับการจะหยิบ แถมข้าวของก็มากพออยู่แล้ว  ฮ้อยก็เลยเดินเข้าไปหยิบให้
แม้แว่บแรกจะเห็นเป็นผู้หญิงแต่ถ้าพิจารณาดีๆ  เธอเป็นผู้หญิงข้ามเพศแน่นอนที่สุด
“ขอบคุณค่ะน้อง” เธอกล่าวแล้วก็ย่อตัวลงนิดหนึ่งให้ฮ้อยเอาของวางไว้บนสุด
หากเดินไปได้นิดหน่อยมันก็หล่นลงมาอีก
“ผมช่วยพี่ดีกว่า พี่อยู่ชั้นไหนครับ” ฮ้อยอาสา  ตอนที่มาหยิบของให้อีกครั้ง
 
ดวงหน้าของเธอเคยเป็นผู้ชายมาก่อน  จึงพอสังเกตได้นิดๆว่ามีเค้าผู้ชาย  แต่ร่างกายที่ผ่านการแปลงมาแล้วก็ดูเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงแต่ฮ้อยมีประสบการณ์พบเจอกระเทยมาพอสมควรที่บ้านต่างจังหวัดเพราะ เพื่อนของเขาคนหนึ่งก็แปลงจนเป็นผู้หญิงเต็มตัวเหมือนกับเธอคนนี้
พอไปถึงห้อง เธอก็เปิดประตูแล้วเอาของไปวางไว้โต๊ะที่ใกล้ที่สุดก่อนจะออกมารับ
“ขอบคุณนะคะ น้องนี่หล่อแล้วยังใจดีอีกนะเนี่ย” เธอกล่าวชมเชย ด้วยน้ำใจใจจริงมากกว่าเป็นการจีบแซว
“ไม่เป็นไรครับ” ฮ้อยตอบ
“พี่พึ่งย้ายมาหรือครับ เพราะห้องนี้ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว”
เธอแปลกใจ
“คะ แต่น้องทราบได้ยังไงว่าเคยเป็นห้องว่าง”
ฮ้อยหัวเราน้อยๆ แล้วชี้ประตูห้องฝั่งตรงข้าม
“ผมอยู่ห้องนี้ครับ”
เธอร้องอ้อแล้วก็กล่าวขอตัวไปจัดข้าวของ
ฮ้อยก็หันไปเปิดประตูเข้าห้องไป
 
ฮ้อยกำลังดูทีวีอยู่ตอนที่อ๊อดกลับมาพร้อมอาหารเย็น
“กินข้าวยัง มากินกันกูซื้อพะแนง กับผัดฝักทองมาด้วย”
ฮ้อยหันมองหน้าเพื่อน
“มึงรู้ได้ไงว่ากูชอบกินผัดฝักทอง”
“ไอ้จุ๊ยมันบอก” อ๊อดว่า แล้วก็วางของไว้ที่เคาร์เตอร์ที่กั่นส่วนครัวแล้วก็เข้าห้องน้ำไป
ฮัอยหันมองบนกับข้าว แล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบจานมาเทกับข้าวใส่
อ๊อดออกมาแล้วก็เดินมาช่วยด้วยการเทข้าวใส่จาน
แต่เสียงกริ่งประตูดังขึ้น
อ๊อดก็เดินไปเปิด ปรากฏว่าเป็นหญิงสาวใบหน้าสวยงามในชุดลำลอง
“น้องฮ้อยอยู่ไหมค่ะ”
ฮัอยได้ยินชื่อตัวเองเลยเดินมา
“อ้อ พี่นั้นเอง”
“ตอบแทนที่ช่วยพี่นะคะ” แล้วเธอก็ยื่นส่งถุงใบหนึ่งมาให้
“ช๊อกโกแล็ต  สองคนไปแบ่งกันนะคะ”
ฮ้อยเดินมารับ ส่วนอ๊อดถอยไปยืนข้างๆ
“ขอบคุณครับพี่ ไม่ต้องก็ได้เราเพื่อนบ้านกัน”
เธอยิ้มละไม
“ก็ถือเป็นการทักทายเพื่อนบ้านด้วยไงค่ะ”
แล้วเธอก็กล่าวขอตัว  แต่ฮ้อยก็นึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อ
“เดี่ยวครับพี่ พี่ชื่ออะไร”
“ปาล์มค่ะ” เธอตอบแล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องตัวเอง
“ใครวะ” อ๊อดถาม
ตอนที่ฮ้อยเอาถุงขนมมาวางไว้บนโต๊ะชุดรับแขก แล้วเดินไปที่เคาร์เตอร์ชุดครัวลากเก้าอี้มานั่ง
“ดีเหมือนกันมีเพื่อนบ้านสาวๆสวยๆ” อ๊อดนั่งลงข้าง
ฮ้อยมองหน้า
“มึงดูไม่ออกหล่ะสิ”
อ๊อดตักพะแนงมาราดข้าว
“ออกอะไร”
“ก็พี่เขาเป็นผู้ชาย  คือกูหมายถึงเขาเป็นผู้หญิงข้ามเพศ” ฮ้อยเฉลย
“หา.. ผุ้ชาย” อ๊อดตาโต
“จริงอ่ะ สวยมากเลยนะนั่น”
“อืม กูดูออก มึงเห็นแว่บเดียวเลยไม่ได้สังเกตใช่ไหม” ฮ้อยกล่าว
อ๊อดทำหน้าทึ่งอยู่ครู่
“เออ...แล้วำทำไมมึงถึงถามชื่อเขา ก็รู้จักกันไม่ใช่เหรอ ก็เห็นเขาเรียกชื่อมึง”
พออ๊อดพูดอย่างนี้ ฮ้อยเลยฉุกคิด
“เออวะ เมื่อกี้พี่เขาเรียกชื่อกูด้วยนี่หว่า  แต่กูยังไม่ได้บอกชื่อพี่เขาเลยนี่หว่ากูจำได้”
“เออ... แล้วเมื่อกี้ยังบอกว่าแบ่งซ๊อกโกแล็ตมาให้สองคน  แล้วเขารู้ได้ไงว่ามึงอยู่กับกู” อ๊อดตั้งข้อสังเกตอีกประการ
 
อ๊อดไม่มีเรียนวันนี้  แต่ฮ้อยต้องไปเพราะกลุ่มเรียนของเขามีTestนอกรอบ เขาก็เลยต้องไป
ตอนกำลังจะเปิดประตู ได้ยินเสียงที่ด้านนอกเหมือนมีคนคุยกัน  แต่พอเปิดออกมา เจอเพื่อนบ้านใหม่กำลังหอมแก้มหนุ่มน้อยคนหนึ่งอยู่  ฮ้อยรีบปิดประตูคืนเพราะไม่อยากเป็นก้าง  แต่กลายเป็นหนุ่มคนนั้นที่เรียก
“ฮ้อย  เฮ้ยจะไปไหน”  อัศวะทัก แล้วเดินมาเอามือดึงประตูไว้
“อ้าว ไอ้อัส” ฮ้อยตอบ
หันไปมองหน้าเพื่อนบ้าน เห็นเธอยิ้มกริ่ม  เขาก็เลยดึงอัศวะเข้ามาในห้อง
“เฮ้ยนี่มึงนอกใจไอ้เดฟเหรอวะ” ฮ้อยถามเสียงเบา
“นอกใจอะไรนั่นพี่กู” อัศวะตอบ
“มึงจำพี่กูไม่ได้เหรอวะ”
ฮ้อยงง แต่พอลำดับเหตุการณ์ได้
“เดี่ยวนะ... มึงอย่าบอกนะว่านี่คือพี่ปัติ”
“เออ.. ทำไมงงล่ะสิ  นี่หละพี่ปัติ  ตอนนี้แกเปลี่ยนเป็นปาล์มแล้ว  เมื่อวานแกยังโทรมาถาม ว่าเพื่อนกูที่อยู่วงโยชื่ออะไร ก็คิดว่าน่าจะเป็นมึง เลยบอกพี่เขาไป”
 
“พอพี่ปัติไปเรียนมหาวิทยาลัย แกก็เริ่มเปลี่ยนไป  ตอนหลังพ่อจับพิรุธได้ก็คาดคั้น  เลยทะเลาะกันใหญ่โต  แล้วพี่เขาก็ออกจากบ้านไป ลาออกจากมหาวิทยาลัย ต่อมาแกก็ไปทำงานที่พัทยา กลายเป็นผู้หญิงเต็มตัว  แล้วก็ไปเจอแฟนของแกที่เป็นคนฝรั่งเศส ก็เลยย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ แต่แฟนแกพึ่งเสียไปได้สองเดือนกว่าๆ แกก็เลยกลับมาเมืองไทย”  อัศวะเล่าตอนที่ขับรถ
“เรื่องของพี่ปัติน่ะ  ไอ้จุ๊ยก็รู้ดี  เพราะตอนที่พี่ปัติกับพ่อทะเลาะกัน  ฉันก็เล่าให้จุ๊ยฟัง  มันก็เลยรู้เรื่องหมดแล้ว  แล้วก็เล่าให้มันฟังเป็นระยะ”
“ไม่เห็นมึงเล่าให้กูฟัง” ฮ้อยท้วง 
“อ้าวก็มันน่าเล่าไหมเล่า  มึงจะให้กูไปเที่ยวโพทะนาเรื่องครอบครัวให้คนอื่นฟังได้ยังไง  แค่นี่กูก็กลุ่มใจจะแย่แล้ว” อัศวะกล่าว
พอดีในช่วงนั้น  เพลงของอัศวะเองก็ดังจากวิทยุที่เปิดค้างไว้
“เสียงมึงก็ใช้ได้นะ  แล้วเป็นไงบ้าง แฟนเพลงมึงเยอะขนาดไหน” ฮ้อยถาม
“ก็มีพอสมควร  ก็มีแฟนคลับตามไปกรี๊ดทุกที่ ที่หลายร้อยเหมือนกัน” อัศวะตอบ 
“เหรอ” ฮ้อยกล่าว  อันนี้ต้องยอมรับตามตรงว่าเขาไม่ได้ติดตามงานเพลงของเพื่อน เพราะไม่ใช่กลุ่มงานเพลงที่เขาสนใจ
“แต่กูว่าจะไม่ต่อสัญญากับบริษัท” อัศวะพูดออกมา
“อ้าว” ฮ้อยหันมามองหน้า
“ทำไมหล่ะ”
“กูจะเลิกแล้ว  กูเบื่อจะต้องหลบซ่อนๆไปเวลาไปไหนกับเดฟ” อัศวะถอนหายใจ พอดีรถติดก็เลยหันมามองหน้าฮ้อย
ตอนนั้นแสงที่สะท้อนมาจากตึกที่เป็นอาคารกระจกตกลงบนหน้าของเขา  จริงแล้วฮ้อยเป็นหนุ่มหน้าหล่อคนหนึ่ง  เพียงแต่เพราะเขาไม่ได้มีความโดดเด่นด้านบุคลิกภาพ ทำให้อาจไม่ค่อยมีคนสนใจเขามากนัก  แต่เขาก็มีคิ้วเช้ม จมูกโด่งสัน  ริมผีปากบางและแดงจัดแบบคนไม่สูบบุหรี่ 
“ดูๆไปมึงก็หล่อนะ  ปากก็น่าจูบ ขอจูบที่ได้เปล่า”
“ไอ้เหี้ย...” ฮ้อยด่าแบบลากเสียง
“ไม่เอาอะ เดี่ยวเกิดมีคนเอาไปฟ้องได้เดฟ  แม่งตัวโตกว่ากูแถมล่ำด้วย  กูสู้มันไม่ไหวนะเว้ย”
“เฮ้ย ไอ้เดฟน่ะตัวดีเลย” อัศวะกล่าว
“มันบอกว่าบางทีมองไปก็อยากจะจูบมึงนะ  เคยคิดจะแอบจูบปากมึงตั้งหลายครั้ง  มันบอกว่าปากมึงน่าดูด”
“เออ.. ยังดีนะที่มันชอบไอ้จุ๊ย  ถ้าเป็นกู กูสู้แรงมันไม่ไหวนะเนี่ย  ไม่งั้นเสร็จ กูเป็นเมียมันไปแล้ว กูไม่ได้แข็งแรงอย่างไอ้จุ๊ย  ไอ้นั้นมันวิ่งวันละสามกิโล กูวิ่งไปครึ่งโลก็หอบละ” ฮ้อยส่ายหัว
“มี แฟนเพลงรุ่นเก่า ขอเพลงนี้  จริงเพลงนี้ก็ไม่ได้ล้าสมัยอะไร  เพราะจริงๆก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกขอช่วงวาเลนไทน์มาอย่างต่อเนื่อง  แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ  เป็นวันที่ศิลปินชื่อดังในอดีตคุณภูธนะ ที่เคยฝากผลงานเพลงสไตร์ร๊อกระดับตำนานไว้หลายเพลง ขับร้องเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายบนเวทีคอนเสริ์ตครั้งสุดท้ายของเขา  บทเพลงนี้เพื่อคนที่เขารักมากที่สุด คุณนราชล”  ดีเจวรรค
“เพลงแสงสว่างในหัวใจ”
ทั้งสองเงียบไปเพื่อฟัง
“เสียงโคตรดี” อัศวะกล่าวออกมา
“กูนี่ยอมแพ้เลย  พี่เขามีพลังเสียงที่น่าอัศจรรย์จริงๆ  กูเคยพยายามร้องเพลงแกนะ  ตาย แป๊กสนิท ไม่ไหว”
ฮ้อยหันมามองหน้าอัศวะ
“มึงชอบพี่เขา  มึงเลยคิดจะออกจากวงการเหมือนพี่เขาใช่ไหมล่ะ”                 
อัศวะพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดอีกรอบ
“มีส่วน.. แต่กูไม่โชคดีเหมือนพี่เขา ที่พี่เขามีครอบครัวสนับสนุน  ที่จริงก็มีสักกี่คนที่จะโชคดีแบบนั้น  กูก็เห็นแต่ครอบครัวไอ้จุ๊ย นี่ล่ะที่รับโยชิเป็นเป็นส่วนหนึ่งหน้าตาเฉย  ถ้ากูพาเดฟเข้าบ้านอย่างนั้นมีหวังพ่อกูเอาปืนไล่ยิงแหง่”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:41:23
ตอนที่ 74 : เริ่มต้นการต่อสู้เพื่อความรัก
จุ๊ยกำลังกวาดพื้นหน้าร้านอยุ่ตอนค่ำหลังจากปิดร้านแล้ว  พอดีเหลือบไปเห็นหญิงวัยกลางคนที่คุ้นเคยเดินมา
เขายกมือไหว้
“พึ่งกลับเหรอครับซ้อ” จุ๊ยถาม
เธอคือมารดาของหลิว  เธอเป็นเภสัชกร
“อ้าว จุ๊ยไม่ค่อยได้เจอกันเลย  ตั้งแต่ปิดร้านไปก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลยไม่ค่อยได้เห็นหน้าจุ๊ยเท่าไหร่” เธอกล่าวเพราะหลังจากหลิวไปเมืองนอกไม่นาน เธอกับสามีก็ตัดสินใจปิดร้านขายยา แล้วไปเช่าที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าแทน
เธอชื่นชมความเติบโตของจุ๊ยที่เธอเห็นมาตั้งแต่เล็กอยู่ครู่
“เดือนธันวานี้หลิวจะกลับมาแล้วนะ คงปลายเดือนช่วงก่อนคริสมาสต์”
“ครับ”จุ๊ยรับคำ
“ผมทราบแล้ว หลิวบอกผมไว้เหมือนกัน”
เธอพยักหน้าช้าๆ
แล้วก็เงียบไป  ก่อนจะมองไปภายในบ้าน
ก่อนจะพูด
“เรื่องของเธอสองคนน่ะ” ซ้อกล่าว
“จริงๆซ้อก็ไม่อยากจะไปยุ่ง  แต่เพราะหลิวเป็นลูกสาว ซ้อก็อดไม่ได้”
จุ๊ยมองหน้าเธอ เพราะเธอวรรคไปนานพอสมควร
“ซ้ออยากจะให้จุ๊ยตัดสินใจให้เด็ดขาด  พูดกันไปเลยว่าจะยังไง  เพราะหลิวจะได้ไม่ต้องรอจุ๊ยต่อไปอีก  แล้วจุ๊ยก็จะได้คบกับ นายโยชิได้อย่างสะดวกใจมากขึ้นด้วย  ไม่ค้างๆคาๆกันอยู่อย่างนี้” เธอกล่าวออกมาในที่สุด
“คือ ซ้อก็เสียดายนะ ที่จุ๊ยไม่ได้คบกับหลิว  แต่ซ้อก็ไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องลำบากใจชองเธอเหมือนกัน  อีกอย่างเธอก็ไม่แน่ใจอีกแล้วใช่ไหมล่ะ  ที่ว่าเธอจะรักผู้หญิงได้หรือเปล่า”
“ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆแบบนี้นะ  คือซ้อเองก็ไม่ได้รังเกียจจุ๊ย  ความเอ็นดูของซ้อต่อจุ๊ยยังเหมือนเดิม  แต่ซ้อก็อยากให้จุ๊ยตัดสินใจให้ดี  จริงอยู่เธอสองคนโตมาด้วยกัน  แต่เมื่อวันหนึ่งเรารู้แล้วว่าเราเป็นอะไร  การพูดไปตรงๆบางที่ก็รักษาความเป็นเพื่อนของเธอสองคนไว้ได้นะ  อย่าลังเล   พูดไปให้เด็ดขาด  เพราะถ้าไม่เด็ดขาด  มันก็จะคาราคาซังแล้วกลายเป็นเจ็บกันไปหมดทุกคน”
 
เดฟนั่งโบกพัดด้วยปึกบทภาพยนตร์ มองฟ้ามันก็มีเมฆนะ  แต่เพราะฝนคงกำลังจะตก  มันก็เลยรู้สึกอบอ้าวดีเหลือเกิน
อาราอินั่งลงข้าง หันไปทางเดียวกันคือมองกองถ่ายกำลังถ่ายทำดาราคนอื่นอยู่
“เป็นไงบ้าง นายกับอัส  ตกลงจะเอายังไงกันดี  แอบคบกันไปแบบนี้เหมือนเดิมหรือยังไง”
เดฟหันมามองหน้าอาราอิ
“ก็คงต้องเหมือนนาย” เดฟตอบ
“นายกับจุ๊ยต้องคบกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ  ของฉันก็คงจนกว่าพ่อของอัสเขาจะรู้แล้วก็อาละวาดอีกรอบ แล้วค่อยว่ากันอีกที”
“มันไม่มีทางออกทางอื่นเลยเหรอ  อย่างเช่นคุยกันดีๆอะไรอย่างนั้น” อาราอิถาม
“ไม่ มีทาง  พ่อของอัสเขาเกลียดอะไรที่ต่างไปจากที่เขาคิด  อัสบอกว่าพ่อต่อต้านทุกอย่างที่ไม่ได้เป็นไปในสิ่งที่เขาเห็นด้วย  ประมาณว่าเผด็จการน่ะ” เดฟเล่าตามปากคำของอัศวะ
“แล้วแม่ล่ะ ไม่ลองเข้าใช้แม่เป็นสื่อ” อาราอิเสนออีกทาง
“ก็ยากอีก  แม่ของอัสเป็นแนวช้างเท้าหลังสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นจะอยู่กับพ่อของอัสได้เหรอ เพราะรายนี้ไม่ชอบให้เถียง ไม่ชอบให้โต้แย้ง” เดฟว่า
“แปลว่ายาก” อาราอิกล่าวสรุป  แล้วก็ตบบ่าเดฟ
“มันต้องมีหนทางสิวะอย่างพึ่งท้อ”
เดฟถอนหายใจ
“ไม่ได้ท้อ  แต่ทำใจแล้วล่ะ ฉันทำใจมาตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน  มันก็ต้องมีวิถีที่ผิดจากชาวบ้าน  แล้วก็ต้องมีชาวบ้านบางคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน... ฉันชินแล้วล่ะ”
 
วันนี้อ๊อดก็ทำเหมือนเดิมคือวันไหนตรงกับวันพุธที่เป็นวันเกิดของเมืองฟ้า เขาก็จะต้องลงมาใส่บาตรตอนเช้า
แต่วันนี้อยู่ดีๆฮ้อยก็บอกว่าจะลงไปใส่ด้วย
จริงๆแล้วเป็นเพราะฮ้อยมักจะเห็นเพื่อนบ้านใหม่ของเขาใส่บาตรวันละสามรูปทุกวัน เขาก็เลยนึกอยากจะทำบุญบ้าง
พอลงมาก็ได้เจอกันจริงๆ
“อ้าวสองหนุ่ม  ตื่นแต่เช้าเลยนะ”
อ๊อดยิ้มแทนคำตอบ  แล้วเดินไปซื้ออาหารใส่บาตรที่ร้านข้างแกงที่ตั้งอยุ่ริมถนนตรงหน้าคอนโดมิเนียมนั่นเอง
“สองชุดนะ” ฮ้อยหันไปบอก
แล้วเดินใกล้กับเธอ
“พี่ปัติ เอ้ยพี่ปาล์มใส่บาตรทุกเช้าเลยนะครับ”
ปติมายิ้ม 
“เรียก ปัติอย่างเดิมน่ะดีแล้ว.. พี่ก็กระแดะไปอย่างนั้นล่ะ  แต่พี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนชื่อหรอกนะ  ชื่อในบัตรก็ยังเป็น” แล้วก็ดัดเสียงให้แมน
“นายปติมา”
ฮ้อยหัวเราะเบาๆ
พอดีพระเดินข้ามา เธอก็ออกมาปากนิมนต์
“มาช่วยกันใส่หน่อยสิ” ปติมาออกปาก
ฮ้อ ยก็เลยถอดรองเท้าแล้วก็ยืนบนพื้น  เขารอให้ปติมาเอาข้าวใส่ลงไปก่อนตามด้วยอาหาร พอพระท่านปิดบาตร ยกยามขึ้น เขาก็เอาขนมกับน้ำใส่ลงในย่ามแล้วย่อตัวลงยกมือไหว้
พระให้พรแล้วก็กล่าว
“ขอให้อายุมั่นขวัญยืนรักกันยืนยาวนะโยม”
ปติมาอมยิ้มแต่ยังไม่พูดอะไร
พอพระเดินไปสักระยะ ก็หันไปมองหน้ากับฮ้อยก่อนจะหัวเราะออกมาทั้งคู่
“ท่านคงคิดว่าเราเป็นแฟนกัน” เธอกล่าว
ฮ้อยมีสีแดงๆแต้มที่แก้มขาวๆ  เกาหัวแกรกๆ
“พี่ไปก่อนนะ  เดี่ยวพี่จะไปธุระ”
แล้วเธอก็เดินไป
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแตะจมูกคล้ายจะทิ้งร่องรอยให้อาวรณ์
“แหม่ๆ  หวานแหว่ว ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน” อ็อดส่งเสียงแซว
“พูดมาก” ฮ้อยรีบมาล็อกคอเพื่อไม่ให้เพื่อนพูดมาไปกว่านี้ เพราะปติมายังพ้นไปไม่นาน ได้ยินก็หันมามอง
ฮ้อยเขินจนต้องลากเพื่อนให้หันกลับ
“ไอ้สัตว์พี่เขาได้ยินเลยเห็นไหม”
อ๊ฮดที่โดนล๊อกอยุ่พยายามมองหน้าเพื่อน เพราะตอนนี้ฮ้อยหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ไม่เคยเป็นมาก่อน  ฮ้อยไม่เคยเขินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย  อย่างน้อยเท่าที่อ็อดจำได้
 
ที่ซึ่งปติมาบอกฮ้อยว่าจะไปคือบ้านของเธอเอง  พอรถแท็กซี่จอด ปติมาก็ชำระเงินแล้วลงจากรถ
เธอ กวาดตามดูบ้านหลังใหญ่ที่เป็นสมบัติตกทอดมาจากบรรพบุรุษ  โดยยังคงส่วนที่เป็นเรือนไทยไว้บางส่วน แต่ก็มีการบูรณะต่อเดิมด้วยโครงสร้างสมัยใหม่
คนรับใช้เก่าแก่ที่บังเอิญกลับมาจากจ่ายตลาดก็เห็นเธอก็เริ่มพินิจ
“คุณ ปัติใช่ไหม  คุณปัติขา คุณปัติ” เธอเข้ามาเกาะแขนปติมา  เธอจำได้แม้ปติมาจะเปลี่ยนเป็นผุ้หญิงไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิม นั้นเพราะเธอเคยเห็นรูปของปติมาจากที่อัศวะเปิดให้ดูจากโทรศัพท์มือถือ
“คุณแม่อยุ่ไหม” ปติมาถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“อยู่ค่ะ  เร็วๆเข้ามา  คุณนายต้องดีใจมากแน่เลยค่ะ”
 
บัวแก้วดีใจจนร้องไห้  เมือได้เห็นลูกชายคนโต แม้ตอนนี้จะไม่เหลือเค้าของปติมาคนเดิม เด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักกีฬาแบตมินตันของโรงเรียนคนนั้น  แต่เธอก็ยังกอดหอมลูกชายในร่างของลูกสาวอย่างรักใคร่
“อย่าร้องไห้สิค่ะแม่ เห็นแล้วปัติใจคอไม่ดีเลย” ปติมาแล้วหันไปหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าเช็ดรอบดวงตาให้มารดา
“ก็แม่คิดถึงปัติ  ปัติกลับมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่มาอยู่บ้าน” แม่กล่าวอย่างยิ้ม
ปติมานิ่งไปนิดหนึ่ง
“อย่าเลยคะ แม่  ปัติอยู่ข้างนอกดีกว่า”
บัวแก้วถอนหายใจ
“แม่เข้าใจ  แต่ก็อยากให้ปัติเข้าใจพ่อด้วย  พ่อเขาหวังกับเราสองคนมาก  พ่อเขาเป็นพวกหัวเก่า  ปัติก็รู้”
“ค่ะ ปัติก็พยายามเข้าใจ  แต่พ่อต่างหากไม่พยายามเข้าใจคนอื่น นี่ก็มีปัญหากับน้องด้วย” ปติมาเผลอกล่าวออกไป พอรู้ตัวก็ตกใจ  แต่พอเห็นหน้าบัวแก้วไม่แปลกใจก็คลายใจลงนิดหน่อย
“เรื่องตาอัสน่ะ มันร้ายแรงสำหรับพ่อ  หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ไม่ยอมแน่นอน  ตอนลูกชายคนงานนั้นก็ทีหนึ่งแล้ว  ตอนนี้หนักกว่าเก่าเสียอีก  แต่พ่อเขาทำอะไรไม่ได้  เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของคุณทัพ นักธุรกิจใหญ่  นี่ขนาดไปคุยกับคุณทัพ ก็หน้าแตกกลับมาเพราะคุณทัพเขาทำใจได้กับเรื่องลูกชายแล้ว  ก็เลยบอกมานิ่มๆว่าให้มาห้ามคนของเราดีกว่ากว่า เพราะเขาไม่มีธุระอะไรจะห้ามเดฟ  เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว” บัวแก้วเล่า
“นี่พ่อไปคุยกับพ่อของเดฟเลยเหรอคะ” ปติมาร้องเสียงสูง
มารดาพยักหน้า
“แล้วพ่อรู้แล้วหรือยังว่าสองคนกลับมาคบกันกันอีกแล้ว” ปติมาถาม
“รู้แล้ว  แต่ยังยุ่งๆอยู่เพราะหมู่นี่มีปัญหาในบริษัท เครื่องเสียงชุดใหญ่เสียหายตอนขนส่ง  ตอนนี้ก็หัวหมุนอยุ่แต่ไม่นานหรอก คงจะกลับมาเล่นงานนายอัสแน่นอน”
ปติมาถอนหายใจแล้วก็มองไปรอบบ้าน
“แล้วไปไหนคะนี่ เจ้าต้วแสบน่ะ”
“ไปเรียน  ออกไปตั้งแต่เข้าแล้วหล่ะ” มารดาบอก แล้วก็จับแขนลูกของเธอ
“เดี่ยวปัติอยู่กินข้าวเที่ยงกับแม่ก่อนนะ วันนี้พ่อไปต่างจังหวัดอีกสองสามวันถึงจะกลับ”
 
เดฟจุมพิตลงบนแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของอัศวะที่นอนหลับตาอยู่
“โดดเรียนทั้งคู่  จะจบไหมเนี่ย” อัศวะกล่าวออกมา
เดฟทิ้งกายลงเหนือร่างนั้นซุกไซร้ซอกคอก่อนจะกระซิบ
“ฉันก็บอกแล้วว่าอย่างยั่ว อย่ายั่ว... เป็นไงละ Absent ทั้งคู่  วิชานี้นับชั่วโมงเรียนเสียด้วยนะ”
“เดฟรู้จักพี่ปัติใช่ไหม” อัศวะถามแล้วพลิกตัว  ทำให้เดฟต้องขยับไปนอนตะแคงอยู่ข้างๆ
“อ๋อพี่ชายของอัสรีเปล่า ที่เป็นนักแบตของโรงเรียน” อัศวะตอตอนนี้หันตะแคงมองหน้าเดฟที่เอาแขนท้าวหนุนหัวให้สูงขึ้น
“ใช่... นี้พี่ปัติกลับมาแล้วนะ” อัศวะกล่าว
“แต่เอ.. เห็นอัสบอกว่าพี่เขาแปลงเพศแล้วนี่หน่า ถ้าพ่ออัสเห็นไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่เหรอ” เดฟจำได้จากที่อัศวะเล่า
อัศวะถอนหายใจ
“ก็นี่ล่ะทำให้กลุ่มใจกำลังสองเลย.. ถ้าพี่ปัติเจอกับพ่อ พ่อต้องพาลมาถึงอัส  แล้ว...” อัศวะพูดได้แค่นั้น
เพราะเดฟจุบริมผีปากเข้า
“พรุ่งนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้...”เขากระซิบข้างหูแล้วก็ซุกไซ้ไปบนซอกคอ
อัศวะโดนดันเบาๆก็พลิกตัวหงาย
เดฟคล่อมร่างเขาไว้สบตาอย่างลึกซึ้ง
“พรุ่งนี้อาจดีกว่าวันนี้ก็ได้จริงไหมล่ะ”
ทั้งคู่ก็ดึงดูดเข้าหากันด้วยแรงปรารถนา  จุมพิตที่ดูดดื่มตรึงกันเอาไว้ ในขณะที่มือเดฟก็ลูบไล้ลงไปต่ำผ่านสะดือลงไป
อัศวะเกรงตัวต่อสัมผัสนั้นมือเดฟปล่อยการจูบแล้วโลมไล่ลงไปเรื่อยๆ เขาก็ครางฮือออกมา
บทเพลงที่เปิดดังแช่มช้าในท่วงทำนองอันนุ่มนวล เป็นไปในทิศทางเดียวกับการสัมผัสของเดฟ ทว่าเสียงเบสและกลองเป็นจังหวะกระตุ้นราวกับจังหวะจะโคนที่ช่ำชองของเดฟต่อ ร่างกายของอัศวะ เขาครางออกมาผสมกับเสียงเพลงอย่างคล้องจอง
Wicked games ของ The Morning
ในช่วงเวลานั้นโทรศัพท์ที่เปิดไว้เพียงระบบสั่นก็เคลื่อนไหวอยู่อย่างเดียวดาย บนโต๊ะที่อยุ่ห่างออกไป หมายเลขที่แสดงคือหมายเลขของสินธุ
 
สินธุหงุดหงิดจนเกือบปาโทรศัพท์ทิ้ง
“นี่มันบ้าอะไรของมัน พอจะใช้งานก็หายหัวไม่รับโทรศัพท์” สินธุบ่น  ใจก็อดคิดไม่ได้หรอกว่าคงอยู่กับไอ้ดาราหน้าหล่อแต่เป็นตุ๊ดคนนั้น
“กลับไปจะเล่นงานให้”
“นายครับ แล้วจะเอายังไงเรื่องเด็กที่ทำเครื่องเสียงเสียหาย” เลขาคนสนิทกล่าว
“ก็ไล่ออกให้หมดสิ” สินธุตอบอย่างหงุดหงิด
“แต่มันเป็นอุบัติเหตุนะครับ  จะโทษเด็กทั้งหมดก็ไม่ได้” เลขาแย้งด้วยความเห็นใจ มองไปยังบรรดาช่างหนุ่มสามคนที่ยืนอยู่
“ก็ไม่รู้จักระวัง ข้าวของเสียหายหมด  ไล่ออกให้หมด  แล้วหักเงินเดือน เดือนนี้ของมันไว้ด้วยเอามาชดเชย” สินธุตอบ
“แต่มีคนหนึ่งเมียท้องแก่ใกล้คลอด นายไล่มันออกแล้วมันจะไปหางานจากไหน  ตอนนี้งานหายากนะครับ” เลขาแย้งด้วยใจเมตตา
“แล้วเขาก็อยู่กับพวกเรามานานแล้วด้วย”
“เรื่องของมัน  ไล่ออกไปให้หมด” สินธุตอบแล้วก็เดินฉับๆไป

หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:41:56
ตอนที่ 75 : สนามหลวงสอง ฮ้อยปลูกต้นรัก
ฮ้อยนึกเฮี้ยนขึ้นมาก็เลยอยากจะไปวิ่งตอนเช้ากับเขาบ้าง  แต่แค่วิ่งไปรอบๆอาคารที่พักอาศัยหอบแล้ว  เลยเลิกล้มความตั้งใจแล้วเดินมานั่งพักหน้าตึกซึ่งมีสวนขนาดเล็ก
มองไปเห็นปติมาเดินออกมาในชุดสวย   จะว่าไปปติมาแม้จะเป็นสาวข้ามเพศ  แต่เพราะจริตจะก้านที่พอดีไม่มากเกินไป  ทำให้เขาดูเหมือนผู้หญิงจริงๆ  เหลือแต่ก็ส่วนสูงที่สูงกว่าผุ้หญิงธรรมดาก็เลยอาจจะขัดตานิดๆ
“พี่ปัติครับ” หนุ่มน้อยลุกขึ้นแล้วเดินไปหา
“อ้าวฮ้อย  วิ่งออกกำลังเหรอ” เธอยิ้มละไม
“ครับ  แต่ไม่ไหววิ่งรอบตึกก็เหนื่อยแล้วพี่ ไม่เหมือนไอ้จุ๊ย  รายนั้นวิ่งได้เป็นกิโลๆ กะจะวิ่งแบบมันเผื่อจะได้เล่นแซกเก่งแบบมัน” ฮ้อยกล่าวตามตรง
“จุ๊ยเขาฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ  ม.หนึ่ง พี่ก็เห็นเขาวิ่งรอบสนามทุกวันก่อนไปซ้อมดนตรีอยู่แล้ว  เราน่ะต้องใช้เวลา” เธอกล่าวบนรอยยิ้ม
“พี่จะไปไหนครับ” ฮ้อยถาม
“ไปซื้อของที่สนามหลวงสองมาแต่งบ้านน่ะ” เธอตอบ
“แล้วจะไปยังไงครับ” ฮ้อยถามต่อ
“ก็คงแท็กซี่ “ เธอยิ้ม
ฮ้อยหันมองนาฬิกาภายใoตัวอาคาร
“รีบไหมครับ  เดี่ยวผมขับรถไป  เผื่อพี่ซื้อของเยอะจะได้ไม่ต้องลำบากมาก ผมจะได้ช่วยพี่ถือด้วย” ฮ้อยเสนอตัว
 
จุ๊ยกำลังก้มๆเงยๆอยู่กับชั้นวางของไม้สัก  แต่พอเห็นราคาก็ถอยออกมา
“ทำไม” อาราอิถาม
“แพงเหรอ”
จุ๊ยทำปาแบะ ยักคิ้ว
“กะจะซื้อไปแทนตัวที่ป๊าใช้ในห้องมันหักลงมาแล้ว”
อาราอิก็เดินไปดูราคา
“อยากได้ไหมล่ะ เดี่ยวฉันซื้อให้ก็ได้นะ” อาราอิกล่าว
“เฮ้ย ไม่เอา  ไปดูที่เป็นไม้ยางก็ได้  ถูกกว่า” จุ๊ยตอบแล้วทำท่าจะเดินไป
“พี่ครับมีของใหม่ไหมครับ” อาราอิถามเข้าไปในร้าน
“เฮ้ยอาราอิ” จุ๊ยร้อง
“มีคะ” คนขายตอบ
“ส่งให้ด้วยไหม  ตัวใหญ่อย่างนี้ผมขนไปไม่ได้” อาราอิถามต่อไปโดยไม่ได้สนใจการทักท้วงของจุ๊ย
 
“น่ารักดีจัง” ปติมาย่อตัวลงมองปลาหมอสีครอสบริสตัวประมาณสองนิ้วว่ายไปว่ายมา  เธอหยอกมันด้วยการเอานิ้วลากมันก็ว่ายตามอย่างเชื่อง
ฮ้อยเห็นกิริยาที่เหมือนเด็กของปาติมาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้  เขาขยับเข้าใกล้ๆ
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแตะจมูก  มองไปก็เห็นใบหน้าจากด้านข้าง  โครงหน้าของปติมาเป็นโครงหน้าที่สวยงามเหมือนกับอัศวะ ทว่าอ่อนโยนกว่า ทำให้เมื่อกลายเป็นใบหน้าผู้หญิงแล้วเธอก็ดูชวนมอง  ยิ่งตอนนี้แสงแดดผ่านลงมาอ่อนๆ  ยิ่งขับใบหน้าของเธอให้แจ่มใส 
“น่ารักเนอะ” เธอหันมากล่าว
“ผมซื้อให้เอาไหมครับ” ฮ้อยถาม
เธอยิ้มแล้วยืดตัว
“พี่เลี้ยงปลาไม่เป็นหรอก” เธอบอก
“เอาไปก็ตาย”
“ปลาเลี้ยงไม่ยากหรอกครับ  พี่เลือกเอาเลยอยากได้ตัวไหน  ผมช่วยเลี้ยง” ฮ้อยบอก
 
เดินไปเสียงหนึ่งที่ทำให้จุ๊ยหยุด  นั้นคือสิ่งที่อาราอิคาดหมายได้ไม่ยากเลย  เขาเดินตรงไปอย่างที่อาราอิคิดไม่ผิด
เขาเลยไปยืนข้างๆ
เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนคนหนึ่ง ยืนเป่าแซกโซโฟนอย่างขมันขมี  เสียงดนตรีของเขาก็เรียกว่าพอใช้ได้  อย่างน้อยก็ทำให้จุ๊ยยิ้มจางๆ
พอจบเพลงเขาก็ปรบมือ  แล้วก็ล้วงเงินไปใส่กล่องบริจาค
“เล่นผิดไปหลายโน้ตเลยนะ” เขาบอกกับนักดนตรี
“พี่เล่นให้ฟังไหม  เพลงนี้มันมีวิธีเป่าอีกแบบ ไม่ต้องใช้ลมเยอะ”
เด็กหนุ่มมองหน้าจุ๊ยแบบพินิจ  เขาอาจเคยเห็นจุ๊ย หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เขาก็ส่งแซกโซโฟนให้
จุ๊ยถอดเม้าท์พีชออกมาเช็ดความสะอาด ก่อนจะประกอบกลับอย่างรวดเร็วรวดเร็ว
“ดูนะ แล้วจำไว้  หากินได้หลายหลายเพลงเลยล่ะ ถ้าเล่นCover Pop”
แล้วจุ๊ยก็บรรเลงเพลงเดียวกับเด็กหนุ่ม Careless Whisper แต่ แตกต่างกับเสียงของเพลงของเด็กหนุ่ม  มันหวานแว่วและกังวานกระจ่างในบรรยากาศยามสายของตลาดสนามหลวงสอง  ยิ่งตอนเสียงสูงยิ่งสะท้านไปทั่วร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนฟังอยู่ 
เขากำลังเผชิญหน้ากับเสียงของแซกโซโฟนตัวเดียวกันกับที่เขาเป่า  ทว่ามันราวกับดังมาจากแซกโซโฟนคนละตัว  พลังที่แตกต่างนั้นแปลสภาพแซกโซโฟนแบรนด์จีนของเขาให้กลายเป็นของวิเศษไป เสียแล้ว
ไม่ห่างกันมีชายชาวต่างชาติคนหนึ่ง กับชายชาวไทยคนหนึ่งยืนฟังอยุ่ตั้งแต่ต้นเพลง 
“What?” ขายชาวไทยถามเพื่อนต่างชาติ เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว
“Disappointed? Or what?”(ไม่ถูกใจหรืออะไร)
“Not at all but, curious that how he make that sound... The Vibration... It is so impressive, I have never seen something like this” ชายชาวต่างประเทศกล่าว
(ไม่เลย แต่แค่สงสัย เสียงนั้น การสะเทือนไหว นั้นมันน่าประทับใจมาก ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มากก่อน)

“You come ahead your team for searching, Rigth.. I think he migth be the one you looking for” หนุ่มไทยกล่าว
ชายชาวต่างประเทศยังทำหน้าขมวดคิ้ว
(คุณมาล่วงหน้าเพื่อค้นหาใช่ไหม  ผมว่านี่ล่ะ คนที่คุณค้นหา)

“No… If I am correct, he is the one who the academy come for, we never travel this far, but after one of our team had seen his performance in Japan and made a footage, the committee decided to come to Thailand”
(ถ้า ผมจำไม่ผิดนะ  นี่หละคนที่ทำให้อเคเดมีมา เราไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้ แต่หลังจากคนหนึ่งในทีมได้เห็นเขาแสดงในญี่ปุ่น แล้วถ่ายวิดีโอมา คณะกรรมการก็มาประเทศไทย)

แล้วเขาก็ยกโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ถ่ายรูป
“I will send to the team for confirmation”
(ผมจะส่งให้พวกเขาเพื่อยืนยัน)

จุ๊ยจบเพลงด้วยเสียงไพเราะแล้วก็ ส่งแซกโซโฟนคืนให้
เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองหน้าเขาอย่างตื่นตาตื่นใจ
“พี่ชื่อนทีธารรึเปล่าครับ” เขาถาม
จุ๊ยพยักหน้า
“รู้จักกันด้วยเหรอ” จุ๊ยถามงงๆ
“จริงๆด้วย ผมว่าแล้ว” เด็กหนุ่มแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า
“พี่เป็นแรงบันดาลใจของผมเลยนะครับ”
 
“ตายๆ “ ฮ้อยที่โดนเสียงแซกโซโฟนดึงดูดมากล่าว
“ถ้าเล่นอย่างนี้ผมเอามันไม่อยู่แน่ๆ ยังดีเวลาเล่นเป็นวงมันจะไม่ปล่อยออกมาขนาดนี้“
เสียงฮ้อยเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจ
“อย่าคิดมากน่า” ปติมาจับน้ำเสียงนั้นได้  เขาวางมือบนไหล่ของรุ่นน้องอย่างแผ่วเบาแล้วยิ้มจางๆเป็นกำลังใจ
“จุ๊ย เขาเก่งแต่ไหนแต่ไร  ตอนที่เข้าม.หนึ่ง ได้ยินเขาเล่นครั้งแรก พี่เคยคิดว่าไตรเล่นได้ดีมากแล้ว  จุ๊ยยังเล่นดีกว่าอีก ทั้งที่อายุน้อยกว่า”
ฮ้อยถอนหายใจ
“พ่อถึงว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญวาสนานี่แข่งไม่ได้ แข่งพรสวรรค์ก็คงไม่ได้เหมือนกัน”
 
จุ๊ยให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มอีกสองสามอย่างเรื่องการกดคีย์  และการระบายลม  จากนั้นก็บอกลาก่อนจะเดินมาหาอาราอิ 
ปรากฏว่าเห็นอาราอิยืนคุยกับฮ้อยอยู่  แล้วก็มีหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆยืนอยู่ข้างๆเขา
“แฟนไอ้ฮ้อยเหรอ... เอ.. หรือว่าไม่ใช่... นั้นมันพี่ปัตินี่หน่า”
“อ้าวจุ๊ย” ปติมาหันมาเพราะจุ๊ยบอกสวัสดี  เธอรับไหว้
“โอ้โห โตเป็นหนุ่มแล้วหล่อเหมือนกันนะเรา ตัวสูงกว่าเดิมตั้งเยอะ”
“พี่ไม่ได้เห็นผมตั้งกี่ปีแล้วครับ  ผมก็ต้องโตขึ้นเป็นธรรมดา  ไม่ได้เด็กดองในห้องวิทย์นี่พี่จะได้ตัวเท่าเดิม” จุ๊ยตอบบนรอยยิ้มทะเล้น
“ปากนะ ปาก... เหมือนเดิมเปี๊ยบ” ปติมาหัวเราะ
“แล้วนี่สองคนมาด้วยกันได้ไง” จุ๊ยถามแล้วมองหน้าฮ้อย
ฮ้อยทำหน้าเหรอหรา
“ทำไมกูกับพี่เขาอยู่คอนโดเดียวกัน  ทำไมจะมาด้วยกันไม่ได้”
จุ๊ยหัวเราะหึๆ
“ไอ้อ๊อดนอนห้องเดียวกับมึงพาทำไมไม่มาด้วย  แล้วคนทั้งคอนโดมีเป็นพัน มึงไม่ชวนเขามาด้วยเล่า  พาพี่เขามาเดทก็บอกมาเหอะ”
“ไอ้เลว” ฮ้อยหน้าแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด ชกไหล่จุ๊ยดังอึก แล้วหันหน้าหนีซ่อนความอาย

ปติมาก็เขินจนหันไปทางอื่นเหมือนกัน
อาราอิหันมาสบตาจุ๊ยอย่างรู้ใจกัน
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:42:25
ตอนที่ 76 : แลกชีวิต
ไม่ห่างไปโดยสินธุไม่รู้ตัวมีสายตาหนึ่งลอบมองมาอย่างไม่เป็นมิตร  ตั้งแต่เห็นสินธุตอนที่เดินออกมาจากลานจอดรถเข้ามาภายในห้าง
เขาเป็นอดีตช่างเครื่องเสียงที่ถูกสินธุไล่ออก  เขาพึ่งจะเผชิญความทุกข์อย่างแสนสาหัจ  สามวันก่อนภรรยาที่ท้องแก่  ต้องเสียชีวิตไปเพราะการคลอดอย่างตามีตามเกิดในคลีนิกหมอเถื่อน  เขาเสียทั้งลูกและเมียไปพร้อมๆกัน
วันนี้แม้จะยังโศกเศร้าแต่เขาก็ต้องออกมาทำงานใหม่ที่เป็นพนักงานส่งเอกสาร และก็พอดีต้องมาที่ห้างนี้เพื่อส่งเอกสารให้ลูกค้า
เขารู้จักอัศวะดี  อัศวะเป็นคนหนึ่งที่มีน้ำใจแก่เขา และมักจะถามถึงอาการของภรรยาของเขาที่เคยเป็นพนักงานทำความสะอาดในบริษัทของ สินธุ 
พอเห็นสินธุดุด่าอัศวะ ความโกรธก็ทบทวี
“อายเขานักก็อย่าอยู่เลยโลกนี้  ตายไปเถอะจะได้หายอาย”
 
อีกด้านปติมาโกรธจนมือสั่น
แต่ก่อนเธอจะได้โต้ตอบ
“ไอ้ธุมึงดูถูกลูกกูเหรอวะ” เสียงพร้อมกับตัวที่เดินเข้ามา
ก้อนทองยืนกอดอกข้างลูกชาย
“ไอ้เด็กนี่มันลูกชายกู  มันไม่ได้เป็นเด็กบาร์ไหน  มันเป็นเพื่อนลูกชายเอ็งด้วยซ้ำไป  หัดมองโลกในแง่ดีบ้างนะมึง”
สินธุประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเพื่อนเก่า  แต่เขายังไม่อยู่ในอารมณ์จะดีด้วย  ความที่เป็นคนที่ไม่ชอบถูกขัดใจจึงตอบโต้ไปด้วยโทสะ
“อ้อลูกมึง... มึงต่างหากเลี้ยงลูกยังไง  ปล่อยให้มันมาติดกระเทย  เสียชาติเกิดแท้ๆ “
ปติมาจะตอบแต่ฮ้อยดึงมือไว้
“ไอ้ธุ  นี่กูนึกว่าตอนที่ไอ้มิตร  อีตุ๊ดที่มึงเคยดูถูกมึงเอาไว้ เอาชีวิตตัวเองไปแลกให้มึงในวันนั้น  มึงจะมีโลกกว้างขึ้น  แต่มึงเนี่ยยังเหมือนเดิมไม่ผิด  ไม่อายใจหรือไงวะ  เกลียดตุ๊ด แต่ชีวิตมึงเนี่ย  ตุ๊ดอย่างมิตรช่วยเอาไว้” ก้อนทองโต้ออกไปด้วยการขุดความหลัง
สินธุสะอึก
“หรือว่ามึงอัลไซเมอร์ มากูจะลำดับความให้  มึงไปเที่ยวเขื่อนกับพวกกู  แล้วมึงตกแพ  มิตร อีตุ๊ดที่ชอบมึง ทั้งที่มึงด่ามึงเตะมันตลอด แต่มันกระโดดลงไปช่วยมึงก่อนใคร  คว้าตัวมึงได้ก่อนจมหายไป  พวกกูถึงได้ตามไปเอาตัวมึงมาได้  แต่มิตร...อีตุ๊ดที่มึงเกลียดหมดแรง เป็นตะคริวจมหายไปแทน  มึงบอกกูสิว่ามึงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว” ก้อนทองเค้นเสียงถาม
สินธุกัดฟันจนเป็นสันนูน
“ไอ้ก้อนมึงอย่ามาเสือก เรื่องมิตรก็เรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ก็อีกเรื่อง"
“อีกเรื่องอะไร เรื่องเดียวกัน  ลูกมึงสองคนเป็นเกย์ไป  ก็อาจเพราะบาปที่มึงไม่เคยสำนึกบุญคุณคนที่ช่วยชีวิตมึงก็ได้นะ  กูแนะนำอะไรให้อย่างไอ้ธุมึงวางทิฐิซะบ้าง  แล้วโลกจะมีความสุข  ไอ้ห่านี่มึงจะมองโลกในมุมมึงอย่างเดียวแล้วก็เกลียดตุ๊ด เกลียดคนไปทั่ว  มึงนี่ไม่บ้าก็เพี้ยนแล้ววะกูว่า” ก้อนทองกอดอก
สินธุมือสั่นตอนที่ชี้หน้าก้อนทอง
“ฝากไว้ก่อนนะไอ้ก้อน  อัสกลับบ้าน  ไปคุยกันที่บ้าน”
อัศวะมองหน้าเดฟ  แล้วกำลังจะเดินไปตามบิตาไป
แต่ตอนนั้นนั่นเองเขาก็เห็นคนหน้าตาคุ้นเดินปรี่เข้ามา  มือถือมีดเล่มหนึ่งอย่างเปิดเผย
“ไอ้ชั่ว” หนุ่มร่างสูงแต่ผอมตะโกนแล้ววิ่งเข้ามา
สินธุตกใจผงะถอย  แต่ไม่อาจหลบหนีได้ทัน
คมมีดชำแรกเนื้อผ่านเข้าไปในช่องท้อง  แต่ไม่ใช่ของสินธุ   ร่างของอัศวะทรุดลง 
เดฟตกใจทว่าก็ถลันเขารับร่างนั้นไว้ได้
เขารีบถอดเสื้อตัวเองออกแล้วหุ้มรอบบาดแผลไว้โดยไม่ได้ดีงมีดออก
“อัส อัส” เขาเรียกไปด้วยตอนที่พยายามห้ามเลือด
ก้อนทองได้สติก่อนใคร รีบเข้ามาสมทบ
“เรียกรถพยาบาลสิ  ยืนงงอะไรอยู่ไอ้ฮ้อย”
 
บัวแก้วร้องห่มร้องไห้มาตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลพอเห็นหน้าลูกคนโตก็ผวาเขากอด
“เป็นยังไงบ้าง อัสเป็นยังไงบ้าง”
ปติมากอดปลอบโยนมารดา
“หมอกำลังช่วยอยู่ค่ะ แม่ใจเย็นนะคะ”
แล้วเขาก็หันไปหาสินธุที่ก่อนหน้านั่งก้มหน้าอยู่ เงยมามองภรรยา
บัวแก้วเหมือนจะรู้จึง ผละจากลูกคนโต
“ถ้า ลูกฉันเป็นอะไร ฉันจะเล่นงานคุณ  คุณมันใจร้าย  เห็นไหมลูกมันรักคุณแค่ไหน  คุณน่ะคิดแต่ตัวเอง  ไม่เคยคิดถึงลูก  พอกันทีฉันจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายลูกอีกแล้ว คอยดู  ถ้าลูกเป็นอะไร ฉันจะหย่ากับคุณ”
ฮ้อยหันมองหน้ากันกับพ่อ 
ก้อนทองเลยออกหน้า
“ใจเย็นน่าคุณนาย  อย่าพึ่งใจร้อน  หมอกำลังพยายามช่วยอยู่”
บัวแก้วสงบลงนิดหนึ่ง  เพราะจำก้อนทองได้
เห็นมีเลือดอยู่ที่เสื้อผ้าของก้อนทองด้วยก็เดาได้ว่าก้อนทองคงเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยปฐมพยาบาลลูก
เดฟนี่นั่งทรุดพิงเสาอยู่กับพื้นโดยสวมเสื้อของคอกลมสีขาวที่นางพยาบาลเอามาให้มองไปแล้วก็ก้มหน้ากลับมองพื้นหน้าสลดเหมือนเดิม
แต่ประเดี่ยวห้องก็เปิดออก เดฟอยู่ใกล้ที่สุดจึงถึงตัวหมอก่อน
“หมอครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
ตอนนี้ทุกคนกรูกันเข้ามามุง 
หมอมองไปรอบๆ
“ตอนนี้หมอช่วยไว้ได้ แต่ต้องดูด้วยว่าจะติดเชื้อไหม เพราะโดนอวัยวะสำคัญ”
 
จุ๊ยพึ่งจะเสร็จจากงานใหญ่เดินออกมาจากอาคารที่จัดงานมาก็เห็นอาราอิยืนรอเขาอยู่
“เป็นไงบ้าง” อาราอิถาม
“ก็ดีมั๊ง คนดูก็ปรบมือกันนี่” จุ๊ยตอบ  พอส่งกล่องแซกโซโฟนให้อาราอิแล้วก็เอามือเย็นๆจับที่แขนเขา
“ดูสิมือยังเย็นอยู่เลย  ตอนทอดพระเนตรมา หัวใจไปอยู่ตาตุ่มเลยหล่ะ”
ปกรณ์ทีเดินตามออกมาได้ยิน
“แต่ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของเธอนั้นล่ะ  ทรงมีรับสั่งชมเชยด้วยไม่ใช่เหรอ นี่ก็ทรงให้เลยเอาเงินพิเศษมาฝากให้ด้วยนะ”
แล้วก็ส่งซองสีขาวให้
จุ๊ยหันไปยกมือไหว้เข้าไปในงานที่ยังดำเนินต่อไป
 
พออาราอิขับรถออกมา  และฟังเรื่องของจุ๊ยจบแล้ว
เขาจึงเริ่มต้นเรื่องสำคัญ
“เดี่ยวเราไปโรงพยาบาลกัน  อัสเขาถูกแทง”
จุ๊ยตกใจ
“เฮ้ย ทำไมหล่ะ  โดนแทงได้ไง แล้วเป็นไงบ้าง”
อาราอิไม่ได้หันมา แต่ตอบ
“ก็ เท่าที่ฟังจากฮ้อยเห็นว่าคนแทงเขาจะแทงพ่อของอัส  แต่อัสเข้าไปรับมีดแทน  ก็เลยเจ็บ  ตอนนี้ยังโคม่าอยู่เลย เห็นว่าเสียเลือดมากแล้วก็โดนจุดสำคัญ”
 
อัศวะที่มีสายระโยงรยางค์นอนสลบในภาวะวิกฤติ  จุ๊ยอดไม่ได้ที่จะใจหายตอนที่ได้เห็นหน้าเพื่อน
“หมอบอกว่า โดนตับ กับกระเพาะอาหาร เลือดตกใน” ปติมาอธิบายอาการของน้องชาย
“รถ มันติดกว่าจะถึงโรงพยาบาลก็เสียเลือดไปมาก  แต่ยังดีที่มาทัน  ก็เลยกู้อาการได้ทัน ตอนนี้ก็ต้องดูอาการก่อน ถ้าผ่านคืนนี้ได้ก็ปลอดภัย”
จุ๊ยถอนหายใจเฮือก
หันไปมองเดฟที่นั่งเงียบแต่ตามมองที่หน้าของอัศวะตลอด
“นี่ก็ไม่ยอมกินอะไรเลย  แต่ยังดียอมกินน้ำบ้าง แล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ” ปติมาบอก
อาราอิจึงเดินไปที่ส่วนของชุดพักพ่อน  แล้วนั่งลงข้างๆ  เอามือจับที่บ่าของเดฟเพื่อปลอบโยน
“เมื่อกี้ก็มีนักข่าวมา  เพราะนายอัสก็ดังพอสมควร พรุ่งนี้คงขึ้นหน้าหนึ่งแน่ๆ” ปติมาถอนหายใจบ้าง
 
เพราะโดนจุ๊ยกล่อมแกมบังคับ  เดฟก็ยอมตามออกมาที่ห้องอาหารเพื่อกินข้าวเย็น
ตอนที่เดฟกินเขากินอย่างซังกะตาย  จนอาราอิกับจุ๊ยต้องมองหน้ากัน
“เฮ้ยมึงอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิวะ  หมอก็บอกแล้วไงว่ามีโอกาสสูงมากๆ” จุ๊ยกล่าวแล้วจับที่แขนของเดฟ
เดฟมองหน้าจุ๊ยแล้วถอนหายใจออกมา
“ผมยอมแพ้จริงๆแล้ว  พูดไปผมก็มีส่วนรึเปล่า ที่ทำให้ครอบครัวเขาทะเลาะกัน”
อาราอิก็เอามือจับหัวไล่ของเดฟ
“แต่คราวนี้ไม่เกี่ยวกับนายนี่  คนแทงเขาตั้งใจจะแทงพ่อของอัส  แต่อัสมันมารับแทนพ่อ  มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย”
 
เดฟเดินกลับมาที่ส่วนไอซียู พยาบาลก็บอกว่ามีคนเอากระเป๋ามาฝากไว้ คงเป็นคนรับใช้ที่บ้านซึ่งเดฟโทรศัพท์ไปบอกให้เอาเสื้อผ้ากับของใช้มาส่งให้
แต่พอเข้าไปภายในห้อง ปรากฏว่าพบกับสินธุที่นั่งคุยอยู่กับปติมา
“นายเดฟ  ฉันขอคุยด้วยสักหน่อย” สินธุกล่าวแล้วลุกขึ้น

 
เดฟตามสินธุออกมาที่ส่วนพักพ่อนของโรงพยาบาล
“ขอบใจมากที่ช่วยปฐมพยาบาล  เพราะถ้าไม่มีใครมีสติตอนนั้น คงแย่” สินธุกล่าว
“แต่ยังไง ฉันก็ต้องบอกตามตรงว่าฉันยังทำใจเรื่องของเธอกับอัสไม่ได้”
เดฟถอนหายใจเบาก่อนจะตอบ
“ไม่ต้องห่วงครับ  ผมจะไปจากเขามันทีที่เขาพ้นขีดอันตราย  แล้วคุณลุงจะไม่ได้เห็นผมอีก”
สินธุเงียบไป
“แล้วอัสจะยอมเหรอ  ถ้าเธอทำอย่างนั้น เกิดนายอัสไม่ยอมขึ้นมา ทำอะไรโง่ๆ ฉันไม่ต้องเสียลูกไปตลอดกาลเหรอ” สินธุกล่าวออกมา
“ฉันยังไม่ได้ยอมรับพวกเธอ  แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้มีชีวิตอยู่ก็เพราะเพศเดียวกับพวกเธอกระโดดน้ำลงไปช่วยเอาไว้  จนเขาตายไปเสียเอง  แล้ววันนี้นายอัสก็ยังมาช่วยฉันไว้ทั้งที่ฉันขัดขวางเธอกับเขาซะขนาดนั้น  ฉันคงไม่สามารถอ้างความชอบธรรมอะไรมาบังคับลูกไปตามใจตัวเองได้อีก”
เขาสูดลมหายใจก่อนจะกล่าวต่อไปโดยมีความงุนงงจากแววตาของเดฟจับอยู่

“เธอ กับอัสจะคบกันหรือเลิกกัน  ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งอีก  แต่อย่าหวังว่าฉันจะยอมจนถึงขั้นแต่งการแต่งงาน เอกเริก  ฉันยอมไม่ได้หรอกนะแบบนั้น  ถ้าพวกเธอจะทำอย่างนั้น ฉันจะค้านจนตายกันไปข้างเลย  คอยดูสิ”
แล้วก็เงียบไปนาน  ก่อนเขามองหน้าเดฟอีกครั้งแล้วกล่าวออกมา
“ไปสิ.. จะนอนเฝ้าไข้ไม่ใช่เหรอ  ฉันมีเรื่องจะคุยกับปัติอีกเยอะ  ไปเปลี่ยนกับเขา เขาจะได้กลับบ้าน”
เดฟยังงง เขาก็เลยยกมือไหว้สินธุก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น โดยยังไม่สามารถประติดประต่ออะไรได้  แต่ก็รู้ว่าสินธุจะไม่ขัดขวางเขากับอัศวะอีก...  แต่ตอนนี้เดฟสับสนจนไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่

สินธุถอนหายใจยาวแล้วก็เดินออกไปบ้าง
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:42:58
ตอนที่ 77 : หลิว การกลับมาเช็คระยะครึ่งทาง/ อาราอิ เราแยกกันสักพักนะจุ๊ย /จุ๊ย...สับสน
ก้อนทองกับสินธุมองหน้ากันนานแล้ว จนกระทั้งก้อนทองพูดออกมาก่อน
“กูขอโทษ  กูพูดแรงไป  ไม่น่าจะรื้อฟื้นเรืองนั้นต่อหน้าลูกๆมึง”
สินธุถอนหายใจ แล้วยกกาแฟมาจิบก่อนตอบ
“กูก็เป็นอย่างมึงพูดจริงๆนี่หว่าไอ้ก้อน  แต่มึงจะหวังให้กูเปลี่ยนทันทีหลังจากเหตุการณ์นี้คงไม่ได้  ไม้แก่มันดัดยากเข้าใจใช่ไหม”
ก้อนทองถอนหายใจบ้าง
“ก็ไม่คิดหรอกว่ามึงจะเปลี่ยนทันที  อย่างน้อยก็คือเรื่องลูกๆ  อย่างน้อยบัวแก้วเขาก็พูดถูก  มึงไม่ควรจะทำแบบนั้นอีก  ไม่อย่างนั้นชีวิตครอบครัวของมึงคงพัง”
สินธุพยักหน้าช้าๆ
“แต่ มันทำใจยากนะ  มึงจะให้กูทำใจต้องเห็นลูกสองคนกลายเป็นแบบนี้ คนหนึ่งเคยเป็นนักกีฬาแต่โตมาเป็นกระเทย  อีกคนก็ดันรักกับดาราเกย์...” เขาส่ายหัว
“สงสัยจะเป็นกรรมของกูจริงๆนั้นล่ะวะ”
ก้อนทองมองหน้าเพื่อน
“เอาวะ  นี่กูก็เดือดร้อนไม่แพ้มึง  ลูกกูกับลูกมึงก็ทำท่าจะขอบกัน  แล้วนี่ถ้ามันเกิดคิดจะอยู่ด้วยกันจริงๆ มิต้องกลายกูเป็นญาติกับมึงไปอีกเหรอวะ”
“เป็นญาติกับกูแล้วไม่ดียังไง  ตระกูลกูเป็นตระกูลขุนนาง  มึงได้ดองด้วยก็บุญหัวแล้ว” สินธุกล่าวอย่างมีอารมณ์
“โถๆ ตระกูลกูก็นายฮ้อยเก่าเว้ย  มีเงินมีทองมากโขมาแต่บรรพบุรุษ  ถ้าวัดกันเฉพาะภาคอีสาน ขุนนางตกยุคมีหวังตกระป๋อง” ก้อนทองเถียง
หลังจากนั้นสองสหายเก่าก็เถียงกันไปอีกหลายคำก่อนจะประสานหัวเราะออกมา
 
อัศวะพื้นขึ้นหลังจากสลบยาวเป็นเวลาเกือบห้าวัน  แต่หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็อีกหลายวันต่อมาก็ออกจากโรงพยาบาลได้ 
อัศวะตัดสินใจลาออกจากบริษัทค่ายเพลง แล้วก็ตอบคำถามของนักข่าวอย่างชัดเจนว่าเรื่องข่าวลือของเขากับเดฟว่า
“ผมกับเดฟคบหากันอยู่ จริงๆ  ผมกับเขารักกัน  ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก”
จุ๊ยที่นั่งดูการสัมภาษณ์นั้นผ่านโทรทัศน์ภายในห้องนอนของอาราอิ เขายิ้มออกมา
อาราอิพึ่งออกจากห้องน้ำทันการสัมภาษณ์ก็เดินมานั่งข้างจุ๊ย
“ถ้าเป็นฉัน  นายว่าฉันควรจะตอบว่ายังไง”
จุ๊ยหันมองหน้าอาราอิ ตอนนี้เขายังไม่ได้มองหน้าจุ๊ย แต่มองโทรทัศน์

“ฉันก็จะบอกกับสื่ออย่างนั้น  และฉันก็ยอมออกจากวงการบันเทิงเหมือนกัน” อาราอิกล่าวแล้วหันมาสบตาจุ๊ย
“แต่ก่อนที่ฉันจะทำอย่างนั้น  ฉันต้องการให้นายค้นหาใจตัวเองให้เจอ  เพราะวันนี้คือวันที่ 22 ธันวาคม พรุ่งนี้หลิวก็จะมาแล้ว  ระหว่างนั้นฉันจะไม่ติดต่อกับนาย  ให้นายใช้เวลากับเธอให้เต็มที่ แล้วหาคำตอบให้ตัวเอง”
อาราอิกำลังจะลุกขึ้น 
แต่จุ๊ยดึงเขาไว้ ก่อนจะกอดแน่น
"ขอฉันกอดหน่อย" จุ๊ยกล่าว
อาราอิจุมพิตที่หน้าผากของจุ๊ย  หัวใจมันปรารถนาจะครอบครอง ทว่าเขาก็จำใจต้องปล่อยจุ๊ยไป  คืนนี้จะเป็นการกอดครั้งสุดท้ายหรือไม่  ก็ไม่แน่ 
ดังนั้นเขาจึงยิ่งกอดจุ๊ยแน่น เพื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นจากกายที่เขารักที่สุดอย่างเต็มที่

 
ที่สนามบินจุ๊ยมองตารางขาเข้าของไฟท์ที่หลิวจะเดินทางมาซึ่งเป็นแสดงเป็นคำว่า Landed สีแดงมานานเกือบสามสิบนาที
“เดี่ยวก็คงมาแล้ว” ซ้อกล่าว แล้วหันไปมองหน้าสามี
แล้วเจ๊กฮั้วบิดาของหลิวทำหน้าตื่นเต้น
“นั่นไง”
จุ๊ย หันไป เห็นหญิงสาวในชุดขาวทั้งชุด เสื้อเชิ้ตมีระบายสีขาว กับกางเกงขายาวรัดรูปสีขาวล้วน  รองเท้าส้นสูงคู่งาม เธอเดินมากอดมารดาอย่างดีใจ แล้วก็หันไปกอดบิดา
“คิดถึงป๊าจังเลย”
“สวยขี้นเยอะเลยนะ” มารดากล่าวชมเชย
“ก็สวยเหมือนม๊าไงคะ” เธอกล่าวแล้วก็กอดอีกที
พอคลายการกอด เธอก็หันมาหาจุ๊ยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“จุ๊ยหล่อขึ้นเยอะเลยนะ  ดูแปลกไปจากนักเรียนหัวเกรียนตั้งเยอะ” แล้วเธอก็ยิ้มส่งใบหน้าให้สว่างสดใส  ใบหน้าแต้มสีสัน ทำให้ดูแปลกตาไป  เรือนผมที่เคยผูกไว้แบบเด็กนักเรียนก็ปล่อยสยายดัดเป็นรอนคลื่น
จุ๊ยยิ้มออกมา
“หลิวก็เหมือนกัน สวยมากเลย”
แล้วโดยที่ไม่คาดคิด หลิวก็เข้าควงแขนจุ๊ย
“ยังรักษาสัญญาของเรารึเปล่าจุ๊ย  หลิวกลับมานี่ก็จะมาเช็คระยะครึ่งทางนะ”
จุ๊ยไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
สองสามีภรรยาก็มองหน้ากัน โดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีกับสิ่งที่ลูกสาวแสดงออก
 
 
อาราอิพึ่งจะเสร็จจากงานถ่ายแบบ มีเวลาอีกมากกว่าจะไปงานต่อไปซึ่งเป็นช่วงค่ำ

เขาก็เลยขี้เกียจจะกลับบ้านแต่ไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟในศูนย์การค้าแทน
นี่ก็ห้าวันแล้วนับจากหลิวกลับมา  และเป็นห้าวันแล้วทีเขากับจุ๊ยไม่ได้พูดจากัน
เขาถอนหายใจ  แล้วก็บอกตัวเองให้เข้มแข็ง เพราะไม่แน่ว่า คืนทีเขานอนกอดจุ๊ยไว้นั้นอาจเป็นสัมผัสสุดท้ายที่เขาได้รับจากจุ๊ยก็ได้
“กาแฟไหมจุ๊ย” เสียงหญิงสาวกล่าวอย่างสดใส  เดินผ่านประตูเข้ามาภายในร้าน
เธอควงแขนชายหนุ่มหน้าจีนเอาไว้
“ไม่เอาหรอก  จุ๊ยกินแค่วันละแก้ว ขืนกินตอนนี้นอนไม่หลับพอดี”  เขาปฏิเสธ
“ทำไมหลิวเปลี่ยนไปเยอะจัง  นี่ก็กินกาแฟเก่งขึ้นนะเนี่ย”
“ยัง มีอะไรเปลี่ยนอีกเยอะ  แต่หัวใจหลิวไม่ได้เปลี่ยนด้วยนะจุ๊ย  หลิวยังรักจุ๊ยเหมือนเดิม” เธอกล่าวแล้วก็ควงจุ๊ยเดินไปที่เคาร์เตอร์
ในมุมที่ใกล้ประตูนั้น  อาราอิที่นั่งหันหลังอยู่ถึงกับต้องหลับตาลง
 
ได้เครื่องดื่มมาคนละแก้ว หลิวกับจุ๊ยก็มาเลือกที่นั่ง ทั้งสองเลือกนั่งที่โซฟาใกล้กับประตูตรงที่มีแนวต้นไม้เทียมประดับ
“ตกลง คืออ๊อดก็คบกับพี่สรรค์ ส่วนฮ้อยก็กำลังไปได้สวยกับพี่ปัติ  ส่วนเดฟกับอัศวะก็เปิดตัวคบกัน” หลิวกล่าวซึ่งเป็นเรื่องต่อจากที่จุ๊ยเล่าให้ฟังก่อนจะเข้าร้านกาแฟ
“น่าอิจฉาจังเลยเนอะ”
จุ๊ยยิ้มมุมปาก
ตอนนั้นหลิวตักครีมกิน  แล้วมีครีมเปื้อนที่ปาก  จุ๊ยก็หัวเราะน้อยๆ แล้วก็เอากระดาษทิชชู่ไปเช็ดให้
“โตแล้วนะ กินเป็นเด็กไปได้ ระวังหน่อยสิ” จุ๊ยกล่าวแบบเอ็ดๆ
หลิวทำจมูกเชิด
“ก็มีจุ๊ยคอยเช็ดให้นี่น่า”
จุ๊ยมองหน้าเธอแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
แม้หลิวจะเปลี่ยนไปมาก แต่รอยยิ้มของเธอก็ยังงดงาม
“แล้วโยชิ เอ่อมมม จุ๊ยเรียกว่าอาราอิสินะ  เป็นยังไงบ้าง” หลิวถามออกมาหลังจากกินครีมจนหมดแล้ว
ตอนนั้นจุ๊ยได้ยินเสียงคล้ายการขยับตัวอย่างเร็วแต่ก็แค่นิดเดียวจากด้านหลังของพุ่มไม้เทียม
“ก็เป็นดาราของเขาไป  ยังแสดงหนังกับละครหลายเรื่อง ถึงกระแสเริ่มซาลงแล้วแต่ก็ยังเรียกว่าดังอยู่” จุ๊ยตอบไปเรื่องงานแทน
“ไม่สิ” หลิวปฏิเสธออกมา
“หลิวหมายถึงเรื่องแฟน  เป็นยังไงบ้าง เขามีแฟนไหม”
จุ๊ยต้องเงียบไป เขากำลังหาคำตอบให้หลิว
แต่แล้วก็มีเสียงจากด้านหลังเหมือนมีคนหลายคนกำลังมุ่งมาโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆซึ่งคั่นไว้ด้วยพุ่มไม้เทียม  เขาเลยหันไปมอง
“พี่โยชิใช่ไหมค่ะ” เด็กสาวกล่าว
“ครับ” เสียงตอบออกมา  แล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน
“หนูขอเซลพี่กับพี่หน่อยนะค่ะ”
อาราอิพยักหน้า แล้วก็ปล่อยให้เด็กสาวหลายคนมายืนล้อมตัวเขาไว้  แล้วใช้กล้องจากมือถือบันทึกภาพอยู่หลายภาพ
“ขอบคุณนะคะ” แล้วเด็กสาวทั้งกลุ่มก็พากันออกไป
อาราอิมองตามไปแล้วก็หันมา  แต่ตอนนั้นเขาพบว่าสายตาของจุ๊ยจับอยู่กับเขา
“โยชิ” หลิวเป็นฝ่ายเรียกออกไปก่อน
อาราอิจึงเลี่ยงไม่ได้เดินอ้อมพุ่มไม้มาทักทาย
“สวัสดี  นี่หลิวใช่ไหม  จุ๊ยเล่าเรื่องหลิวให้ผมฟังเยอะมากเลย ตัวจริงสวยมาก สวยกว่ารูปที่จุ๊ยเอามาอวดอีกนะนี่”
หลิวยิ้มแก้มปริ
อาราอิชำเลืองมองจุ๊ย ตอนนี้แววตาของจุ๊ยพลุ่บลงมองแก้วเครื่องดื่มร้อนของเขา
“ไงจุ๊ยพาแฟนมาเดท  หน้าตาแจ่มใสหน่อยสิว้า” เขาตบบ่า
จุ๊ยเงยหน้ามอง  แล้วกลายเป็นว่าทั้งคู่เงียบไป
แต่อาราอิก็เป็นฝ่ายทำท่ามองนาฬิกาก่อน
“โอยแย่ล่ะ  ผมมีงาน  ผมไปก่อนนะ” อาราอิหันมาบอกแก่หลิว
แล้วเขาก็เดินออกไป  แต่ถอยกลับมา  หยิบกระดาษเคลือบมันออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตสีเข้มที่เขาสวม
“ผมมีตั๋วหนังอยู่สองใบ  ไปเลือกเรื่องทั่อยากดูหน้าโรงได้เลย  ถ้าไม่มีอะไรทำก็ไปดูหนังกันก็ได้นะ”
หลิวรับตั๋วมาแล้วยิ้ม
“ขอบคุณมากเลย  โยชินี่ใจดีจัง”
อาราอิทิ้งรอยยิ้มแบบที่เรียกว่ายิ้มโปรยเสน่ห์แล้วก็เดินออกมา
พ้นมาได้สักระยะ ก็มองกลับไป  เห็นหลิวกำลังจับแสดงตั๋วหนังให้จุ๊ยดูอย่างร่าเริง จุ๊ยก็ยิ้มตอบแล้วคงจะถามว่าหลิวอยากดูเรื่องอะไร
ในใจของอาราอิช่างปวดร้าว  เขาเดินออกจากตรงนั้นไปเพื่อให้พ้นเสียจากภาพบาดตา
หลิวเอาตั๋วหนังเก็บใส่กระเป๋าสะพาย 
เป็นจังหวะให้จุ๊ยหันไป  เขาได้เห็นเพียงหลังของอาราอิที่เดินหลายลับไปในหมู่คน 
อยากจะกอดร่างนั้นเหลือเกิน.. แต่ได้แค่นิ่งเฉย  อยากพูดคุยกลับไม่ได้เอ่ยปากออกไป.. อยากจะจุมพิตแต่ทำได้แค่เม้นปากเอาไว้.. หัวใจของอาราอิจะเป็นเช่นนั้นเหมือนเขาบ้างไหม จุ๊ยอยากรู้
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:43:26
ตอนที่ 78 : บททดสอบสู่โลกแห่งดนตรี
จุ๊ยอ่านเอกสารที่อาจารย์ปกรณ์ให้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว  ซึ่งเขาก็สองจิตสองใจมาโดยตลอด 
แต่ หันไปมองบ้านซึ่งที่เขาห่วงใยในวันนี้  ตอนนี้เจ้าซัวกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้านแทนเขาไปแล้ว  ซัวกับป๊าดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  คงเพราะต้องอยู่ด้วยกันทั้งวัน  แล้วเจ้าซัวก็เหมือนจะไปได้ดีกับการค้าขาย  เพราะมันก็เป็นคนพูดเก่งและช่างประจบประแจงอยู่แล้ว  ก็เลยสนิทกับลูกค้าประจำได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เหมือนกับว่าป๊าจะมีคนช่วยอย่างเต็มตัวแล้ว
ตอนนี้ข้ออ้างต่างๆของเขาหายไปเกือบหมดแล้ว..
“ยัง ไงพรุ่งนี้คุณก็ต้องไปให้ได้นะ  เพราะผมพึ่งได้รับโทรศัพท์จากทางสถาบันว่าถึงคุณจะไม่ได้ส่งใบตอบรับกับคืน มา พวกเขาก็ยินดีจะให้คุณเข้าทดสอบอย่างเต็มใจ” อาจารย์ปกรณ์บอกแก่เขาทางโทรศัพท์เมื่อตอนเย็นนี่เอง
จุ๊ยจึงเปิดตู้แล้วก็เอาแซกโซโฟนออกมา
จากนั้นก็เอาโทรศัพท์มากดหมายเลขที่กดมากที่สุด
 
อาราอิกำลังอาบน้ำ  พอเสียงโทรศัพท์ดังเขาก็รู้ว่าเป็นจุ๊ยโทรมาแน่นอน เพราะเสียงเรียกเข้าเป็นเสียงเพลงจำเพาะของจุ๊ย
จิตใจก่ำกึ่งระหว่างจะรับหรือไม่รับ
จุ๊ยเริ่มต้องถอนหายใจเพราะ เสียงสัญญาณนั้นดังต่อเนื่องมานานมาก 
อา ราอิคงไม่อยากคุยกับเขาเป็นแน่  ถ้าเป็นเขาก็คงเหมือนกัน  ถ้าเขาต้องเจอกับเรื่องเมื่อกลางวันเหมือนอาราอิ  เขาอาจไม่สามารถทำหน้าระรื่นให้หลิวได้เหมือนกับที่อาราอิทำแน่นอน
เขาถอดใจและกำลังจะวางสาย
“จุ๊ย” เสียงนั้นเรียกผ่านสายมา
อาราอิคงไม่รู้ว่านั้นทำให้จุ๊ยถึงหัวใจพองโต
“มีอะไรรีเปล่าโทรมาซะดึกเลย” อาราอิถามไป
จุ๊ยเงียบไปก่อนจะตอบ
“พรุ่งนี้ฉันจะไปทดสอบกับสถาบันต่างประเทศ  เขามาคัดเลือกคนไปเรียนต่อ  ฉันอยากให้นายไปดู..การทดสอบจะเริ่มตอนบ่ายโมงนะ”
อาราอิเงียบไป แล้วตอบ
“ไม่รู้สิว่าจะไปทันไหม  ฉันมีงานเยอะมากเลยวันพรุ่งนี้”
จุ๊ยเงียบแล้วถอนหายใจ
“นายโกรธฉันรึเปล่าวันนี้”
อาราอิเงียบไปนานจนจุ๊ยหวั่นใจ
“ไม่หรอก  ฉันทำใจไว้แล้วล่ะ  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจุ๊ย  อย่าห่วงฉัน  แต่ให้นายตัดสินใจให้เด็ดขาด  เพราะฉันต้องการความเด็ดขาดจุ๊ย”
 
อาร์ทเปิดห่อพัสดุจากDHL เพื่อตรวจสอบ  ภายในมีกล่องแซกโซโฟนโซบราโนใหม่เอี่ยม ราคาแพงระยับ
เขาเอามันตรวจสอบก่อนจะเพื่อจะส่งมอบให้ลูกค้าคนหนึ่งที่สั่งมันมาเพื่อให้คนสำคัญของเขา 
Selmer Paris Series III Model 53 Jubilee Edition โซปราโนแซกโซโฟนราคาแพงนี้  ดูจากตัวของมันก็เห็นถึงความหรูหรา ลำตัวสีรมดำ คีย์และส่วนประกอบอื่นเป็นสีทอง ทำให้น่ามองอย่างยิ่ง  แต่ที่ทำให้อาร์ทอดยิ้มไม่ได้  คือหากแม้ว่ามันไปอยู่กับเขาคนนั้น  พลังเสียงของมันจะน่าตื่นตะลึงขนาดไหนหนอ
 
จุ๊ย นั่งฟังการอธิบายของเหล่าเจ้าหน้าที่ภายในห้องเล็กข้างหอประชุม ของมหาวิทยาลัย  หันมองไปก็เห็นผุ้เข้าทดสอบมากหน้าหลายตา  และหลากหลายชนิดเครื่องดนตรี  แต่จุ๊ยถูกจัดให้นั่งในหมู่ของผู้เข้าทดสอบประเภทWoodwind ซึ่ง เท่าที่เห็นก็มีมีราวยี่สิบคน  เท่าที่จุ๊ยรู้  คนที่มารวมตัวกันนี้ทั้งหมดเป็นคนที่ทางสถาบันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงออเคสต ร้าที่มีชื่อเสียงที่สุดวงหนึ่งของโลกที่อยู่ในอังกฤษ ได้ออกจดหมายเชิญให้มาทำการทดสอบทั้งสิ้น ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะคนไทย แต่มีคนหลากหลายจากประเทศเอเชีย
“ครับ สำหรับขั้นตอนในการทดสอบก็จะเป็นอย่างที่อธิบายไป  ผมหวังว่าทุกๆคนจะใช้ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อจะผ่านการทดสอบ  โดยจะมีเพียงห้าคนจากพวกคุณหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้” เจ้าหน้าที่ซึ่งแนะนำตัวก่อนหน้าว่าเป็นหัวหน้าคณะกรรการสรรหาบุคลากรกล่าว
“แต่อย่างไรก็ดี  ผมต้องขอบอกว่าพวกคุณทุกคนเป็นคนเก่งมาก  แม้พวกคุณจะไม่ได้ไปกับเรา  แต่ขอให้อย่า ท้อถอย  เพราะยังมีโอกาสสำหรับพวกคุณเสมอในวงการดนตรีที่กว้างใหญ่นี้  สำหรับผม การตัดสินใจเดินทางมานี้  ผมก็หวังจะได้พบกับเพรชเม็ดงามที่ทางเราได้เล็งเห็นมาเฉิดฉายบนเวทีระดับ โลก  แม้เพชรเม็ดงามนั้น จะเคยปฏิเสธเรา  แต่เราก็ตื้อให้เขามาให้ได้  แล้วก็ดีใจที่เขามาร่วมอยู่กับพวกเราด้วย  ดังนั้นวันนี้พวกคุณนอกจากจะได้ทำการแข่งขันแล้ว พวกคุณก็ได้เปิดหูเปิดตากับความสามารถของคนอื่นด้วย  ผมขอให้คุณใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่  ขอบคุณครับ”
ประโยคนี้ทำให้จุ๊ยรู้สึกแปลกๆ  เหมือนกำลังถูกพูดถึงอย่างไรชอบกล
แม้จะมีหลายคนเลือกทำการซ้อม  แต่จุ๊ยแค่วอร์มแล้วก็ออกมายืนฟังการแสดงของผุ้เข้าทดสอบคนอื่นๆ จากด้านหลังเวทีของประชุม
เขา มีสีหน้าบันเทิง แล้วก็แอบตบมือกับทุกคนที่เข้าแข่งขัน  มันเป็นการแสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่  เขาตื่นเต้นมากกับโอกาสนี้  โลกนี้ยังมีนักดนตรีมากมายที่มากความสามารถ  มันทำให้จุ๊ยรู้สึกว่ายิ่งอยากจะเดินไปบนเส้นทางสายนี้อย่างที่สุด
“ทำไมไม่เข้าไปซ้อมล่ะ  รอบหน้าจะเป็น Woodwind แล้วนะ” ชายคนหนึ่งถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ
“ประเดี่ยวพลาดจะเสียดายเอานะ”
จุ๊ยหันมายิ้ม  เขาจำได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากสถาบัน
“ผม ซ้อมมาแล้วครับ  ที่จริงก็อยากซ้อม แต่ผมอยากดูมากกว่า  มันน่าตื่นเต้นมากเลยที่ได้เห็น  ผมยอมไม่ผ่านดีกว่ายอมพลาดโอกาสที่จะได้ฟัง  มันยอดเยื่ยมมากเลย”
ชายหนุ่มวัยราวสี่สิบมองหน้าหนุ่มน้อย
“เธอชอบดนตรีมากเลยสินะ”
“ครับ... ผมชอบ  มันสนุกมากเลย  ผมชอบมาก” ชายหนุ่มตอบแล้วเขาก็เงียบเพราะเสียงเปียโนที่กังวานหูดังขึ้น
“โอ...เยื่ยม” เขาทำท่าปรบมือ 
ชายหนุ่มมองหนุ่มน้อยคนนี้ด้วยรอยยิ้ม
“เขา ไม่ได้มีแค่ความสามารถ  เขาคือคนที่หลงใหลในเสียงดนตรี  สำหรับนทีธาร  ดนตรีคือสิ่งที่ทำให้เขาบันเทิง  เขารักดนตรี มากกว่าอยากจะเป็นนักดนตรี  สำหรับผม  เวลาเขาเล่น  เขาไม่ได้สนใจว่าทำมันออกมาดีแค่ไหน  เขาแค่เล่นดนตรีที่เขารักก็แค่นั้น” สหายชาวไทยเคยบอกเอาไว้
มี นักดนตรีมากมายในโลกนี้  หลายคนตั้งเป้าหมายจะโด่งดัง หลายคนตั้งเป้าหมายจะสร้างผลงานชิ้นเอก  แต่มีกี่คนที่แค่รักดนตรีแล้วก็แค่อยากเดินทางสายดนตรีโดยไม่ใส่ใจว่าตัวเอง จะยืนอยุ่ตรงไหน
ขอ ให้คุณได้เดินบนเส้นทางนี้อย่างสนุกแล้วกันนะ  ผมอยากร่วมงานกับคุณมากจริงๆ เขากล่าวในใจ แล้วเดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป กระนั้นก็ยังไม่วายจะหันมามองใบหน้าที่กำลังเพลินกับเสียงเพลง
 
รอบ ของWoodwindก็เริ่มต้นขึ้น  จุ๊ยรออยู่ด้านหลังเวที  แต่เขาก็ไม่ได้เบื่อเลย เพราะชื่นชมกับเสียงเพลงของผู้เข้าทดสอบคนอื่นจนลืมไปเลยว่าตัวเองก็คือผู้ เข้าทดสอบ
พอ ถึงตาตัวเอง จุ๊ยก็ถือแซกโซโฟนอัลโต้ออกมายืนหลังม่าน  เขาพยายามมองออกไปในหมู่คนที่เข้าฟังซึ่งมีทั้งนักเรียนดนตรี ญาติผู้เข้าทดสอบ  และคนภายนอกที่รู้ข่าวเดินทางมากันจนเต็มหอประชุม  เขาเห็นอ๊อด ฮ้อย อู๊ด วาทิต และเพื่อนร่วมคณะหลายคน  มองต่อไปอีก ก็มีป๊ากับซัวที่นั้งอยู่ใกล้กับหลิงในชุดสวยมองมาบนเวทีอย่างตื่นเต้น  แต่ไม่มีเขาคนนั้น...
“นายจะไม่มาจริงๆเหรอ..  นายเคยบอกว่ารักเสียงแซกของฉัน  แต่ทำไมนายไม่มา”
 
“The next  Musician Mr. Natheethan  Jang” พิธีกรประกาศ
อ๊อดเป็นต้นเสียงปรบมือแล้วร้องเชียร์  ไม่ใส่ใจว่าใครจะมองมาอย่างไร 
วาทิตหันมองหน้าพี่ๆที่กำลังส่งเสียงกันลั่นหอประชุม
จุ๊ยก้าวออกมายืนกลางเวที กวาดตามองไปรอบ  เขายกแซกโซโฟนให้สัญญากับเพื่อนๆ
“นี่ใช่ไหม นทีธาร..” คนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ที่เขาว่ากันว่าเก่งมาก”
 
จุ๊ยยังคงมองหาต่อไป ใจก็ภาวนาว่าให้มาทีเถอะ
แล้ว ก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ จะตอบคำอธิฐานนั้น  ร่างสูงปรากฏตัวจากตรงประตูที่เปิดออก  ดวงหน้าที่คุ้นเคยแย้มรอยยิ้ม  เขาเข้ามาพร้อมกับกล่องแซกโซโฟนอันเล็ก
จุ๊ยยิ้มตอบรอยยิ้มที่เห็นได้ไกลๆ  แค่นี้เขาก็มีกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
หลิวเห็นสายตาของจุ๊ย  เธอจึงหันไปตามแนวสายตานั้น  ร่างสูงโปร่งนั่งลงแล้วเธอจึงได้เห็นแค่ชั่วขณะเดียว
“Aria for alto Saxophone”  พิธีกรประกาศชื่อเพลง
จุ๊ยเอาเมาท์พิชเข้าไปปากไปหนึ่งครั้งเพื่อเตรียม Reedให้ ชุ่มพอดี  จากนั้นก็สงบนิ่งเพื่อฟังเสียงเปียโน  พอถึงโน้ตของเขา  จุ๊ยก็เริ่มต้นเป่าโดยขยับออกจากแสตนท์โน๊ต  เพราะมันจะเกะกะสำหรับการเคลื่อนไหว
เสียง เพลงที่ดังในท้วงทำนองแช่มช้า  แซกโซโฟนของจุ๊ยเปล่งเสียงพลิ้วไหวและต่อเนื่องไปอย่างกับสายน้ำดังชื่อเขา  ทั้งความแม่นยำ ความไพเราะ และพลังที่ถ่ายทอดแม้จะเป็นเพลงช้า  ครั้งถึงเสียงสูงน้ำเสียงนั้นเปล่งออกมาได้อย่างพอดิบพอดีกับอารมณ์เพลง 
นี่คือบทเพลงของสายน้ำ  สายน้ำแห่งดนตรี..
คน กรรมการที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด  ไม่มีใครเริ่มต้นจด หรือทำอะไรกับกระดาษในมือ ทั้งหมดกำลังหลับตาลงปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงร่ายมนต์แห่งสายน้ำ ในบทเพลงคลาสสิกที่ประพันธ์โดย Eugène Bozza
“คุณเกินไปจากระดับที่เราจะเก็บเอาไว้แล้วนทีธาร  คุณจำเป็นต้องโบยบินไปสู่โลกที่กว้างใหญ่” ปกรณ์กล่าวออกมา
บทเพลงจบ  Standing operating กระทำเริ่มโดยคณะกรรมการท่านหนึ่ง  แล้วก็กลายเป็นทั้งหอประชุม  แม้แต่นักเปียโนที่บรรเลงร่วม 
จุ๊ยโค้งให้กับคนดู  แล้วหันไปหานักเปีนโนวัยหนุ่ม ยื่นมือออกไป
“I am looking forward to play with you again, See you soon” นักเปียโนหนุ่มกล่าวออกมา  เขาคือนักเปียโน Solo ตัวนำของวง
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:44:06
ตอนที่ 79 : ไปสู่ท้องนภาอันกว้างไกล จุ๊ยกับอาราอิ ต่างคนต่างไป..
บรรดาครอบครัวและเพื่อนของจุ๊ยรออยุ่ด้านนอก  เพื่อรอให้จุ๊ยออกมาจากหอประชุม
พอจุ๊ยเดินออกมาเขาก็ยิ้ม  แสดงว่าผลการทดสอบออกมาดี
“ได้ใช่ไหม” ฮ้อยถามด้วยความตื่นเต้น
“อืม.. มันแน่อยู่แล้วก็กูเก่ง” จุ๊ยแกล้งคุยอวด
เพื่อนก็เฮกันลั่นด้วยความดีใจ 
คนที่ยิ้มไม่หุบอีกคนตั้งแต่ในตอนที่มีคนลุกขึ้นปรบมือให้จุ๊ยคือป๊า
“ดีแล้วดีแล้ว” ป๊าพูดซ้ำๆตอนที่จุ๊ยมาบอกใกล้ๆ
“อาม๊าลื้อต้องดีใจมากแน่นอนเลย”
“หลิวรู้อยู่แล้วว่าต้องได้” หลิวกล่าว
จุ๊ยก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
ระหว่างเดินๆไปที่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย จุ๊ยก็หันไปหันมาตลอด  ซัวสังเกตเห็น
จึงเดินเข้ามาประกบ
“หาเฮียอาราอิใช่ไหม แกกลับไปแล้ว มาทักทายป๊าแล้วก็กลับไปเลย”
จุ๊ยหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าแทบทันที
แต่เดี่ยววาทิตก็เดินเข้ามาใกล้
“เฮียครับ  พี่โยชิฝากนี่ไว้ให้เฮียครับ  เขาบอกว่าเป็นรางวัลที่ได้รับทุน  แล้วก็ยินดีด้วย” เขาบอก
“ผมก็กลัวพี่สาวคนนั้นจะเห็นก็เลยไม่กล้าให้”
สิ่งวาทิตส่งให้เขาคือกระเป๋าใส่แซกโซโฟนโซบราโน่ไม่ผิดแน่
 
ค่ำคืนนี้ช่างเงียบงันแม้ดาวบนฟ้าก็ยังไม่สดใส  อาราอิถอนหายใจแล้วเดินกลับเข้ามาภายในห้อง ปิดประตูแล้วหันไปเปิดเครื่องปรับอากาศ
เขาเอาโทรศัพท์มากดดูภาพที่ถ่ายไว้กับจุ๊ย
ไม่มีสักรูปที่จุ๊ยจะไม่ทำท่าทางทะลึ่ง ทะเล้น  ทำไมหนอผู้ชายหน้าตาธรรมดา ตลก คะนองคนนี้ทำให้เขายิ้มได้แม้แต่แค่ภาพถ่าย
แต่ระหว่างนั้น โทรศัพท์ก็เปลี่ยนหน้าจอ เป็นหน้าสายเรียกเข้า
“ไฮท์นามิจัง” อาราอิกรอกเสียงพยายามให้สดใสที่สุด
แต่ทว่าเสียงที่ตอบมานั้นช่างเศร้าสร้อย  นามิจังเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่ทำให้อาราอิต้องนั่งฟังเงียบๆโดยไม่ได้ตอบโต้ใดๆ
 
เนื่องจากใกล้จะปีใหม่ เธอจึงชวนจุ๊ยไปไหว้พระ และทำบุญ  จากนั้นก็พากันมานั่งพักในสวนแห่งหนึ่งกลางกรุง
หลิว นั่งมองเด็กหลายๆคนวิ่งเล่นกันในสนามเด็กเล่น  หลิวยิ้มออกมาตอนที่เห็นเด็กสามคน  หนึ่งชายสองหญิงกำลังเล่นกัน เดี่ยวหนึ่งเด็กหญิงคนหนึ่งก็ล้มแล้วร้องไห้จ้า เด็กชายก็รีบเข้ามาปลอบโยน  เด็กหญิงอีกคนก็ช่วยกันปลอบ  แต่ก็ดันร้องไห้ออกมาบ้าง เด็กชายเลยต้องปลอบทั้งสองคน
“เห็น แล้วนึกถึงตอนเราเป็นเด็ก  แต่ก่อนเราสามคน หลิว จุ๊ย แล้วก็ออยเคยเล่นกันแบบนี้เหมือนกัน” หลิวกล่าว เธอยิ้มให้กับเงาสะท้อนของอดีตกาล
จุ๊ยสะดุ้งนิดหน่อยกับชื่อของออย
หลิวยังไม่ได้หันมา เธอยังมองเด็กทั้งสามที่สองเด็กหญิงหยุดร้องไห้แล้ว เด็กชายจึงพาเดินออกไปจากสนามเด็กเล่น
“หลิวรู้แล้วหละจุ๊ย เรื่องของออยน่ะ”
จุ๊ยตกใจ  แต่ยังรักษาอาการมองหน้าเธอเงียบๆ
“หลิวรู้จากเพื่อนที่เรียนที่เดียวกับจุ๊ย และออยนั้นล่ะ  แต่ไม่นานออยก็โทรมาเคลียร์กับหลิวเอง  สารภาพตามตรงกับหลิว  แล้วเขาก็บอกว่าตอนนี้เขาเลิกกับจุ๊ยไปแล้ว” เธอกล่าวต่อไป
“ตอน นั้นหลิวบอกตามตรง ว่าโมโหจุ๊ยมากเลย  แต่พอออยอธิบายเรื่องทั้งหมด  กลับรู้สึกว่าจุ๊ยเป็นคนจิตใจดีมาก  ขนาดออยยังบอกว่าเธอเสียดายที่ลูกในท้องของเธอไม่ใช่ลูกของจุ๊ย  เพราะจุ๊ยดีกับเธอเหลือเกิน  แต่เธอก็รักคนที่เธออยู่ด้วยปัจจุบันนะ”
แล้วหลิวก็หยิบโทรศัพท์มาเข้าโปรแกรมไลน์ ซึ่งแสดงรูปของออย อุ้มเด็กน้อยวัยราวๆขวบเอาไว้ โดยมิเนติกอดประคองอยู่ข้าง
จะว่าไป  จุ๊ยก็ไม่เจอออยเลยตั้งแต่วันทีแยกกันหน้าคอนโดมิเนียมของเธอ 
“ออยยังบอกว่าที่จุ๊ยยอมคบกับเธอตอนแรกเพราะออยเอาหลิวมาขู่  ซึ่งตรงนี้หลิวดีใจมากเลยนะ “ หลิวหันมายิ้ม
จุ๊ยมองรอยยิ้มของเธอแล้วรู้สึกดี ทว่าเธอกลับหันไป เงียบไปนานก่อนจะกล่าว
“จุ๊ยจะไม่เล่าเรื่องของโยชิให้หลิวฟังจริงๆเหรอ”
จุ๊ยนึกอยู่แล้วว่าเธอต้องรู้ เพราะถ้าเธอรู้เรื่องของออยได้  ทำไมจะรู้เรื่องของอาราอิไม่ได้
“แล้วที่หลิวได้ยินมา มันเป็นยังไงล่ะ”
หลิวถอนหายใจแล้วมองไปไกลๆ
“จุ๊ยควรจะบอกหลิวด้วยตัวเองมากกว่า  เพราะหลิวอยากได้ยินจากปากจุ๊ย”
จุ๊ยถอนหายใจ
“ก่อนจะฟังเรื่องอาราอิ  หลิวควรจะรู้เรื่องของพี่ไตรก่อน  เพราะจริงเรื่องของพี่ไตรนั้นล่ะที่ทำให้จุ๊ยรู้ว่าจุ๊ยไม่ได้เหมือนผู้ชาย คนอื่นๆ  จุ๊ยชอบผู้ชายด้วยกัน”
หลิวหันมามองหน้าจุ๊ย  เธอยิ้มแต่มันขมขื่นอย่างไรชอบกล
“ก็รู้นั้นล่ะ  จุ๊ย.. หลิวไม่ได้โง่หรอกจะ  แต่หลิวพยายามคิดในแง่บวกเหมือนที่จุ๊ยเคยสอนหลิวเสมอ  แต่มันก็อดคิดไม่ไหวหรอก  เพราะตอนนั้นจุ๊ยกับพี่ไตรสนิทกันเกินเพือนจริงๆ  สายตาตอนที่จุ๊ยมองพี่ไตร มันลึกซึ้งมาก” หลิวบอกตามตรง
“แต่หลิวตอนนั้นก็ชอบจุ๊ยมาเสียจนไม่กล้าพูดอะไร  แล้วพอพี่ไตรตายจุ๊ยก็กลับมาเป็นปกติ หลิวก็เลยคิดว่าจุ๊ยน่าจะหาย”
จุ๊ยหัวเราะเบาๆกับคำว่าหาย
“จุ๊ยไม่เป็นโรคนะหลิว  จุ๊ยเป็นเกย์  มันหายกันไม่ได้หรอก มันมีแต่เก็บเอาไว้ได้  แต่ก็ไม่ได้ตลอด.. เพราะที่สุดจุ๊ยก็มีอาราอิอีก  เพราะอย่างนี้จุ๊ยถึงไม่กล้ารับเป็นแฟนกับหลิวไงหล่ะ”
หลิวถอนหายใจ
“แล้วถ้าไม่มีพี่ไตร ไม่มีอาราอิ  จุ๊ยจะรักหลิวไหม”
จุ๊ยหันมองหน้าเธอ แล้วก็หันไปมองเด็กๆวิ่งเล่น
“หลิว.. บอกตามตรง  ถ้าจุ๊ยไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกัน จุ๊ยก็จะชอบหลิวนะ  เพราะหลิวเป็นคนน่ารักมาก  รอยยิ้มของหลิวทำให้โลกสวยงามมากจริงๆ  แต่ปัญหาคือจุ๊ยเป็นเกย์  ต่อให้จุ๊ยเก็บกดไว้แล้วคบกับหลิวไป  สุดท้ายก็อาจมีสักวันที่จุ๊ยทำให้หลิวเสียใจ  ซึ่งจุ๊ยทำไมได้จริงๆ” เขาเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไป
“สำหรับ จุ๊ย  หลิวคือคนที่จุ๊ยห่วงใย  หลิวมีความสำคัญกับจุ๊ย  จนจุ๊ยไม่อยากทำให้หลิวเสียใจ  ดังนั้นในเมื่อเลือกไม่ได้  จุ๊ยก็ต้องขอเป็นแค่เพื่อนกับหลิวเท่านั้น”
หลิวเงียบไปชั่วระยะ แล้วก็พยักหน้าช้า
“ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยจุ๊ยก็ยังชอบหลิว  แล้วก็แคร์ความรู้สึกของหลิว แค่นี้ก็พอแล้วล่ะจุ๊ย  แค่นี้เองที่หลิวต้องการ”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป
“โยชินี่เขาเป็นคนน่ารักเนอะ  นี่เขาจะเป็นยังไงบ้างหนอ  ที่หลิวเอาแฟนเขามาควงอยู่ตั้งหลายวัน” หลิวกล่าวออกมา
“มิน่าหละจุ๊ยถึงรักเขา  เพราะเขาเป็นคนน่ารักแบบนี้นี่เอง”
จุ๊ยไม่ได้ตอบ แต่หลิวก็รู้ดีว่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้จุ๊ยเสียใจ
เธอจึงกล่าวต่อไป
“ในเมื่อจุ๊ยสารภาพแล้ว ตาหลิวสารภาพบ้างนะ” แล้วเธอก็เอาโทรศัพท์ รูปหนุ่มหน้ามนใส่แว่นตาให้ดู
“พี่วิน  เขามาจีบหลิวตอนที่อยู่ที่โน่น  พี่เขาเป็นคนน่ารักแล้วก็เรียนเก่งมาก  ช่วยเหลือหลิวทุกอย่างและดูแลหลิวตลอดเลย”
จุ๊ยมองเห็นแววตาที่หลิวกล่าวถึงพี่วินที่ว่า แล้วก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเธอถึงได้ทำใจกับเรื่องนี้ได้ง่ายนัก
“สรุปว่าเราหายกันนะ  หลิวนอกใจจุ๊ย  จุ๊ยนอกใจหลิว  สรุปเราก็เป็นเพื่อนกันต่อไป  เป็นเพื่อนกันตลอดกาล” หลิวยิ้มออกมา

แล้วเธอลุกขึ้นแล้วก็บิดตัวไปซ้ายไปขวา
“สบายใจจังได้คุยกับจุ๊ยแบบเปิดอกแล้ว เรากับบ้านกันเถอะเพื่อน”
“โอเคเพื่อน” จุ๊ยตอบแล้วลุกขึ้น ก่อนจะเดินคู่กันไปกับหลิวในแสงแดดยามเย็น..
 
จุ๊ยกดโทรศัพท์หาอาราอิมาหลายครั้งจนเหนื่อยใจ  เขาอยากจะบอกเรื่องราวที่ได้คุยกับหลิวในวันนี้  แต่ทำไมอาราอิไม่ยอมรับสาย
เขาก็เลยส่งข้อความไปแต่ระหว่างการพิมพ์ข้อความนั้นอาราอิก็โทรกลับมา
“ทำอะไรอยู่น่ะ ฉันโทรทั้งนาน”
“คุยกับนามิจังอยู่” อาราอิตอบ เสียงนั้นมีอารมณ์แปลกๆแฝงมาด้วย
จุ๊ยนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะกล่าว
“ฉันคุยกับหลิวเรียบร้อยแล้วนะวันนี้ ตอนนี้..”
“จุ๊ย..ฉันขอโทษ  แต่นายช่วยฟังเรื่องของฉันก่อนจะได้ไหม” อาราอิย้อนตอบกลับมา
“ฉันขอโทษ  แต่ฉันกับนามิจัง..”
จุ๊ยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับตอนที่ฟังเรื่องราวของอาราอิ  เขาวางสายโดยไม่ได้ไปโดยไม่ได้เล่าอะไรให้อาราอิฟัง  เขาหันไปมองโซปราโนแซกโซโฟนที่ยังไม่ประกอบทดสอบเลยด้วยซ้ำ..
มันควรจะเป็นอย่างนี้จริงเหรอ อาราอิ  จุ๊ยอยากจะถามอย่างนั้น
 
บนเครื่องบินที่กำลังจะออกเดินทางไปสู่สนามบินคันไซ ประเทศญี่ปุ่น  อาราอิหันไปมองข้างตัว  ไม่ใช่จุ๊ยที่นั่งข้างๆแต่เป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น
อาราอิถอนหายใจเบาๆออกมาแล้วก้มมองกล่องแซกโซโฟนที่เขาได้รับคืนมา  หัวใจของเขากำลังร่ำร้องอย่างรุนแรงจนเขาต้องปลอบมันด้วยการหลับตาลง
“มัน จำเป็นนะจุ๊ย  แต่ฉันก็อยากจะบอกนายว่า ฉันรักนายที่สุด รักมากจริงๆ ถึงนายจะคิดยังไงก็ตาม  ฉันรักนาย..” อาราอิยังจำคำพูดตัวเองได้ดี.. นั้นคือคำพูดที่เขาพูดกับจุ๊ยเมื่อคืน

 
ผ่านมาหนึ่งเดือนจุ๊ยมัวแต่หัวหมุนกับการทำโน่นทำนี่  ทั้งเรื่องเอกสาร เรื่องวีซ่า และยังต้องเตรียมจัดหาเสื้อผ้าอีก 
เพื่อนๆก็แห่กันเอาข้าวของมาให้  โดยเฉพาะเดฟขนซื้อเสื้อหนาวมาหลายตัวล้วนแล้วแต่ราคาแพง  ส่วนคนอื่นก็หุนกันซื้อข้าวของเครื่องใช้จนสัมภาระของจุ๊ยแพ็คออกมาแล้วกลาย เป็นว่าเกินน้ำหนักจนต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม แล้วยังจะแซกโซโฟนสองตัวอีกต่าง
พอเช็คอินเรียบร้อย  จุ๊ยก็ออกมาหาครอบครัวและเพื่อนๆ ซึ่งก็รวมพ๊งหัวและพี่สาวต่างมารดาของเขาด้วย
“รักษาสุขภาพให้ดี  อย่าหักโหมจนเสียสุขภาพรู้ไหม” ไฮ้จุ๊งกล่าวแก่ลูกชาย
“เฮ้ย ไอ้จุ๊ง อั๊วกำลังจะพูดพอดี” พ๊งหัวขัดขึ้น  แล้วขยับเข้ามา
“ไปแล้วก็อย่าลืมเขียนจดหมายมาบ้างนะ  ไม่ใช่หายไปเลย”
“ป๊า ค่ะ เดี่ยวนี้ไม่ต้องเขียนจดหมายแล้วค่ะ โทรศัพท์ก็มี  โทรมาก็ได้  โซเชียลก็มี เดี่ยวหนูเปิดแอ็คเคาร์ทให้ป๊าคุยกับจุ๊ย” แหวนท้วง
“เออใช่ ลื้อนี่มันโง่จริงๆ” ไฮจุ๊งได้ทีซ้ำเติม
พ๊งหัวหันมองหน้าเพื่อนด้วยความหมั่นไส้
จุ๊ยส่ายหัวก่อนจะหันไปหาน้องชาย
“ดูแลป๊าให้ดีนะเว้ย  อย่าทำตัวเหลวไหล  มีอะไรก็ปรึกษากันก่อนอย่าทำอะไรโดยพละการอีก” จุ๊ยลูบหัวซัว 
ซัวยิ้ม
“ผมไม่กล้าแล้วเฮีย “ เขาตอบแล้วก็กอดพี่ชาย
“ผมต้องคิดถึงเฮียมากๆแน่เลย”
“กูก็เหมือนกัน” จุ๊ยกอดตอบ 
ตี้เห็นดังนั้นเลยเข้ามาโอบน้องทั้งสองเอาไว้
นั้น ทำให้บิดาทั้งสองของจุ๊ยมองด้วยความปิติ  แม้จะไม่ใช่พี่น้องกันร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ความรักของสามพี่น้องนั้นร้อยเปอร์เซนต์อย่างแน่นอนที่สุด
พออำลาครอบครัว จุ๊ยก็หันมาหาเหล่าเพื่อน
เขากับพวกเพื่อนไปเลี้ยงส่งกันมาแล้วคำพูดก็เลยไม่มากมาย  นอกจากกอดกันที่ละคน  แต่เดฟกอดนานสุดจนอัศวะต้องดึงแขน
“อะไรเล่า” เดฟทำหน้าไม่พอใจ ตอนปล่อยจุ๊ย
“อย่านาน อย่านาน ฉันหึง” อัศวะบอกแล้วควงแขนเดฟแนบแน่น
จุ๊ยหันไปส่งสัญญาญอย่างรู้กันกับฮ้อยและอ๊อด
ก่อนจุ๊ยจะหันไปหาวาทิต
เอามือวางบนไหล่วาทิต
“ตั้งใจฝึกนะ  วาก็เป็นคนมีความสามารถ  เฮียเชื่อว่าวาต้องมีโอกาสดีๆเหมือนเฮีย”
วาทิตยิ้มตอบ
“แล้วผมละ” อู๊ดท้วง
จุ๊ยก็เลยหันมากอดอกมองหน้ามัน
มันก็ทำหน้ายียวนกลับ
แต่จุ๊ยดึงมันเข้ามากอด
“มึง เป็นศิษย์เอกกูไอ้อู๊ด  แต่มึงอย่าลำพองเวลาเล่น  มึงต้องรู้จักผ่อนไปตามเพลง  ไม่อยากนั้นมึงจะทำเพลงเสียเพราะเพลงบางเพลงมันจะต้องใช้ความอ่อนโยน เข้าใจไหม”
อู๊ดน้ำตาซึม
“ครับ อาจารย์  ผมจะทำตามที่พี่สอน และจะทำให้ทุกคนเห็นว่าผมก็เก่งไม่แพ้ใคร เพราะผมเป็นศิษย์ของพี่จุ๊ย”
จุ๊ยปล่อยตัวอู๊ดแล้วเอามือเช็ดน้ำตาออกให้
“เฮ้ยขี้แยว่ะ  มึงนี่”
จุ๊ยหันมองนาฬิกาก็เห็นว่าได้เวลาแล้ว ก็หันไปยกมือไหว้พ่อทั้งสองคน แล้วก็โบกมือลาเพื่อนๆ
แล้วเขาก็เข็นสัมภาระเดินไปสู่ประตูผู้โดยสารขาออก
“เฮ้ยจุ๊ย” ฮ้อยวิ่งตามมาก่อนจุ๊ยจะพ้นประตูไป
ฮ้อยมองหน้าจุ๊ย
“นี่มึงกับอาราอิจะจบกันอย่างนี้จริงๆเหรอ”
จุ๊ยถอนหายใจ
“มันดีแล้วหละ  เขากับฉันก็จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ส่วนอนาคตก็ปล่อยเป็นเรื่องของอนาคต”
“มันดีแล้วจริงเหรอจุ๊ย” ฮ้อยถามเพื่อย้ำ
จุ๊ยพยักหน้า
“นี่หละดีแล้ว ดีสำหรับกู ดีสำหรับอาราอิ แล้วก็ดีสำหรับทุกคน”
 
 อากาศยานทะยานออกไปตามทางวิ่ง
จุ๊ยอยากจะได้มือของอาราอิมากุมมือเขาไว้ในตอนนี้  แต่ก็ทำได้แค่บีบมือตัวเองไว้  เมื่อเครื่องบินเริ่มยกตัวขึ้น
แอร์บัส A380 ทะยานสู่ฝากฟ้าเหมือนกับที่มันทำในทุกเที่ยวบิน  ทว่ามันจะรู้หรือว่ามันกำลังเป็นพาหนะที่นำพาหนุ่มที่จะกลายเป็นตำนานบทต่อไปของโลกแห่งดนตรีไปสู่ท้องนภาอันกว้างไกล
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:44:45
ตอนที่ 80 : Mr. Jerome Jang The Soul Waver Saxophone
The Concertgebouw โรงมหรสพอันยิ่งใหญ่ระดับโลกสำแดงความโอ่อ่าแก่ผู้ชมที่เดินทางมากันแน่นขนัด
ทั้งนี้เพราะพวกเขาทราบว่าจะมีรายการพิเศษที่น่าสนใจอย่างยิ่ง การแสดงพิเศษที่จะมีการเชิญนักดนตรีมีชื่อเสียงมาร่วมแสดง

ตอนนี้วงออเคสตร้าที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก The Royal Concertgebouw Orchestra อยู่ในภาวะพรั่งพร้อม เพื่อเตรียมตัวบรรเลงบทเพลงพิเศษของวัน
พิธีกรมองไปรอบๆตัว
คนดูต่างอยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้นเนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าบุคคลที่จะเป็นตัวเอกของการแสดงชุดต่อไปนี้คือ เจ้าของราวัล Grammy สาขาดนตรีคลาสสิคประเภทเล่นเดียวและได้รับรางวัลสาขาศิลปินดนตรีคลาสซิกหน้าใหม่ในปีเดียวกัน
แล้วยังได้รับอีกหลากหลายรางวัลไปทั่วยุโรปทั้งที่พึ่งจะอายุเพียงสามสิบต้นๆ และอยู่ในแวดวงดนตรีระดับโลกมาแค่เพียงสิบปีเท่านั้น
แต่ในขณะเดียวกันหากเป็นแฟนเพลงแจ๊ส  เขาก็คือเจ้าของทั้งรางวัลดนตรีแจ๊สประเภทโซโล และอัลบัมแจ๊สประเภท Instrumental ยอดเยี่ยมของปี ทั้งของ Grammy และ MTV ยุโรป
รางวัลมากมายนี้สะท้อนออกมาในชื่อที่นิตยสารดนตรีเรียกขานกันว่า The Soul Waver หรือผู้โบกไหวจิตวิญญาณ
“ค่ำคืนที่พิเศษนี้ เราได้เกียรติจาก Mr. Jerome Jang หนึ่งในยอดแห่งนักแซกโซโฟนแห่งยุค มาบรรเลงเพลง Tableaux de Provence ร่วมกับ The Royal Concertgebouw Orchestra เชิญรับฟังครับ”
ชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมกับแซกโซโฟนอัลโต้ตัวเก่ง แล้วโค้งแก่ผู้ชม คอนดักเตอร์ และวงดนตรี 
เมื่อคอนดักเตอร์หันมาถามเขาก็ตอบเป็นภาษาดัชต์ที่เตรียมตัวมาว่าพร้อมแล้ว 
แล้วเสียงเพลงจากวงออเครสต้าก็เริ่มสร้างอารมณ์ราวกำลังเดินทางไปสู่มณฑล Provence อัน งดงามในฝรั่งเศส  ครั้งเมื่อแซกโซโฟนเริ่มต้นบรรเลง  เสียงของมันกำจายคลื่นอันแปลกประหลาดวิ่งไปสู่ใจผุ้ชม  หลายคนถึงกับต้องหลับตาลงเพื่อตัดตัวเองจากโลก และเพลิดเพลินอยู่ในโลกแห่งดนตรีที่งดงามที่สร้างโดยวงดนตรีระดับโลก และนักแซกโซโฟนผู้ลือนาม The Soul Waver Mr. Jerome Jang
เสียง แซกโซโฟนที่ต่อเนื่องไม่ขาดตอน หางเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ และพลังที่สอดแทรกอย่างพอเหมาะพอดี  ดวงใจของผู้ชมจึงสั่นสะเทือนเคลื่อนไปอย่างห้ามไม่ได้
กระทั้งเพลงจบ เหล่าคนดูก็ยังคงเงียบงัน  แต่สักครู่เดียวก็ค่อยๆลุกขึ้นแล้วสำแดงการปรบมือแบบ Standing Ovation ให้แก่บทเพลงที่ได้บรรเลงไปอย่างพร้อมเพรียงและกึกก้อง
ชาย หนุ่มก็โค้งให้แก่ผุ้ชม โค้งให้แก่นักดนตรี และเข้าจับมือกับคอนดักเตอร์ระดับโลกและสนทนากันอีกสองสามคำก่อนจะเดินออกไป โดยที่ผู้ชมปรบมือส่งเขาออกไปจนลับสายตา
 
ท่าอากาศยานสคิปโฮล อัมสเตอร์ดัม ชายหนุ่มเดินเรื่อยๆมาเช็คอินที่เคาร์เตอร์ 
พนักงานชายมองหน้าเขา แล้วก็นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะอ่านชื่อในพาสปอร์ต 
แม้ จะไม่ตรงกับที่เขาคิด แต่เมื่อในเมื่อชายหนุ่มมีกล่องแซกโซโฟนราคาแพงติดตัวมา แถมจ่ายชื้อที่นั่งให้มันด้วยอย่างดี รวมทั้งการการอัปเกรตให้เป็นพิเศษจากสายการบินที่แสดงจากหน้าจอก็เป็น เครื่องยืนยันว่า บุคคลนี้คือบุคคลที่เขาคาดไว้อย่างแน่นอน

“Mr. Jang ผม ขออนุญาต  ขอลายเซ็นคุณจะได้ไหมครับ  ผมต้องการเอาไปให้ลูกชาย เขาต้องการเป็นนักแซกโซโฟน  เขาคงดีใจมาก” เจ้าหน้าที่กล่าว ทว่าก่อนจะส่งบอร์ดดิ้งพาสให้ เขาก็ส่งกระดาษกับปากกาให้เสียก่อน
Mr. Jang ยิ้มอย่างแจ่มใส รอยยิ้มที่ทำให้ผู้พบเห็นรุ้สึกเป็นกันเองและสดใสไปด้วย
“ลูกชายคุณชื่ออะไร” เขาถาม
“มาคัสครับ” เขาตอบ
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วก็บรรจงเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า 
“เพื่อมาคัส  ผมอยากให้คุณตั้งใจฝึกฝน เพราะดนตรีไม่มีทางลัด  มีแต่ทางตรงคือการฝึกฝนเท่านั้น  Jerome Jang”
ชายหนุ่มรับบอร์ดดิ้งพาสไปแล้ว  แล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกเคาร์เตอร์ไป
“เขาน่ารักมากเลย” พนักงานสาวอีกคนที่ลอบมองอยู่กล่าว 
“ไม่หยิ่งเลยสักนิด  มิน่าใครต่อใครก็ชื่นชม”
 
Mr. Jerome Jang มองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นอาคารสนามบินค่อยห่างออกไป
เมื่อเครื่องบินโดยสารตั้งลำ  เขาก็นึกไปถึงครั้งที่เขาเดินทางออกจากประเทศบ้านเกิด นกยักษ์ลำมหึมานั่นพาเขาออกมาพจญภัย 
ตอนนี้การผจญภัยได้สิ้นสุดลงช่วงหนึ่งแล้ว เขาได้พิสูจน์ตนเองและทำให้โลกมีความสุขด้วยเสียงเพลงของเขา 
วันนี้นกยักษ์อีกลำจะพาเขากลับไป  เพื่อไปมอบความสุขให้กับคนที่บ้านเกิด  ครอบครัวของเขาที่ไม่เจอกันนานและเพื่อนฝูงที่ห่างหายไป...
พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ..
กัปตันออกเสียงผ่านลำโพงให้แอร์โฮสเตสเตรียมตัว
ชาย หนุ่มก็เตรียมตัวเช่นกัน  กี่ครั้งที่เขาเดินทางด้วยเครื่องบินไปทั้วโลก แต่มือที่เคยจับกุมมือของเขาเมื่อครั้งแรกที่เขาได้เดินทางทางอากาศ ก็คงยังส่งสัมผัสนั้นมาให้อุ่นทุกครั้งไป
เครื่อง ยนต์เจ็ตครางสั่น ส่งกำลังขับดันไปด้านหลัง เจ้านกยักษ์ทะยานไปข้างหน้า แล้วเหินบินมุ่งสู่ฟากฟ้าเพื่อนำพาเสียงดนตรีที่เคยกล่อมโลกไปกลับกล่อม ประเทศที่เขาจากมาแสนนาน
ประเทศไทย...
 
หน้าโรงมหรสพที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศไทย  ชายหนุ่มวัยสามสิบต้องหันซ้ายแลขวาตลอดเพราะเขารอคอยคนที่นัดหมายไว้ 

สักครู่เขาก็มองเห็น

“เฮีย มาแล้ว” เขาหันไปหาหญิงสาวหน้าตาไม่ได้งดงามมากนัก ทว่าน่ารักน่าเอ็นดูในชุดสวยเต็มยศเพื่อมาชมคอนเสริ์ตระดับโลกของวงดนตรี ชั้นนำจากประเทศอังกฤษ
“ไอ้ซัว” ผู้ที่เข้าแต่งกายภูมิฐานสมกับอาชีพนายแพทย์ มีหญิงสาวใบหน้าสวยงามในชุดหรูไม่แพ้กัน
“โอ้โหหมวยเล็กสวยเชียวน๊า รัศมีเถ้าแก่เนี๊ยวใหญ่จับระยิบระยับเลยน๊า”
ซัวหันไปมองหน้าภริยา
“สวัสดีค่ะแปะตี้ สวัสดีค่ะซ้อแหวน” หมวยเล็กยกมือไหว้
“ป๊าไม่ยอมมาจริงๆใช่ไหม” นายแพทย์หนุ่มถาม
“อืม.. บอกว่าอีฟังไม่รู้เรื่อง  บอกว่ารอออกวีดีโอจะดูเฉพาะตอน ทีเฮียเขาเล่นอย่างเดียว” ซัวตอบ
“เหมือนป๊าของซ้อเลย” แหวนกล่าวบ้าง
“ก็บอกว่าให้รอมีเทป  จะดูเฉพาะตอนเล่นเดี่ยว  ไม่ยอมมาดูบอกว่าหูไม่ถึง”
“ผม เอาบัตรไปให้ที่โรงเรียน อาจารย์อติก็บอกว่าที่นี่ก็ได้  เขาส่งมาให้ตามจำนวนเด็กในวงโยเลย เห็นว่าเฮียออกค่าใช้จ่ายให้เองด้วย แกบอกว่าเฮียเขาอยากให้รุ่นน้องดูเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ”
พี่ใหญ่พยักหน้างึกๆ
แล้วก็มีเสียงประกาศเรียกให้ผู้เข้าชมเข้าสู่ห้องการแสดง
ทั้งสี่จึงชวนกันเดินเข้าไป
หนุ่มวัยสามสิบอีกคนผิวขาว จัดยืนละล้าละลัง 
เขาอยากจะเดินตามผู้ชมคนอื่นเข้าไป  แต่ก็เกรงจะคลาดกับคนที่รอคอย
สักครู่หนึ่ง ซึ่งหนุ่มผิวขาวกำลังจะตัดใจแล้วเดินเข้าไป
“วา” เสียงเรียกพร้อมวิ่งเข้ามา
“รอพี่นานไหม ขอโทษนะพี่ติดสอนเด็ก” ชายหนุ่มผิวขาวกล่าวปนหอบ  ก่อนจะควงแขนหนุ่มรุ่นน้อง
“ไปเข้าไปกัน”
วาทิตส่ายหัว
“พี่อ๊อดก็อย่างนี้ทุกทีเลยนะ”
อ๊อดมองหน้าขาวๆของหนุ่มตัวเล็กกว่า
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ.. เดี่ยวพี่ก็จูบซะตรงนี้เสียเลย” ว่าแล้วควงแขน

“อย่าบ้าน่า” วาทิตตอบแล้วก็เดินไปตามแรงดึงของอ๊อด
ทั้งคู่คบหากันมาได้ราวห้าปีแล้ว  หลังจากได้พบกันในงานแสดงคอนเสริ์ตที่ฮ่องกง 
“แฟนเก่าเราล่ะวา” อ๊อดถาม
“พี่อู๊ดแกติดงานคอนเสริ์ตที่อเมริกา แต่แกบอกว่าได้ฟังแล้ว ยิ่งฟังยิ่งท้อ  พี่เขาห่างจากเราไปทุกที ไล่ตามยังไงก็ไม่ทัน”
“ก็ ไม่ต้องไล่  พี่เลิกคิดจะไล่ตามมันแล้ว  เราก็ทำของเราให้ดีที่สุด  ไอ้หมอนั้นมันเกินมนุษย์ไป ก็ต้องให้มันไปอยู่ระดับของมัน  เราคนธรรมดาก็ต้องอยุ่ในระดับมนุษย์ของเราต่อไป” อ๊อดกล่าวเมื่อมายืนเข้าคิว
คนข้างหน้าได้ยินเสียงก็หันมา
“เฮ้ยอ็อด” หนุ่มคนที่ควงมากับหญิงสาวที่มองดีๆก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนคุ้นหน้า
“อ้าวไอ้ฮ้อย พี่ปัติ โอ้โหมาด้วยกัน ไหนว่าเลิกกันแล้วไง” อ๊อดแซว
ฮ้อยกับปติมาก็หันมองหน้ากัน
“ลิ้นกับฟันกระทบกันบ้าง ก็ไม่แปลกนี่  นายไม่เคยทะเลาะกับวาเลยหรือไง” ปติมาตอบ
 
การแสดงเริ่มไปแล้วนิดหนึ่ง  ตอนที่สองหนุ่มมาถึง เขาต้องขออภัยกับคนที่นั่งอยู่ต้นแถวเพื่อขอทางเข้า
“มาสายเชียวนะมึงไอ้อัส” อ๊อดหันมากระซิบ
“ก็ไอ้เดฟสิ  มันติดงาน  กว่าจะเลร็จก็เกือบจะหกโมง  นี่ก็รีบบึ่งมาเลยนะเนี่ย” อัศวะตอบ แล้วเหล่มองหน้าคู่ชีวิตของเขา
เดฟหันมายิ้มแห้งๆ
“แหม่มันก็นิดหน่อยเอง”
 
การแสดงดำเนินไปตามรายการในสูจิบัตร  จนกระทั้งถึงการแสดงที่คนในโรงมหรสพต่างรอคอย
“ลำตับต่อเป็นการแสดงของ Mr.Jerome Jang กับบทเพลง Concerto for Alto Saxophone and Orchestra, Op. 26ประพันธ์โดย Mr. Paul Creston “
คน ดูก็เริ่มปรบมือ  วงออเครสต้าที่สแตนบายรออยู่ก็ลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง  แล้วหนุ่มผิวขาวก็เดินมาบนเวทีพร้อมกับอัลโต้แซกโซโฟน  เขาตอบรับการโค้งของนักดนตรีทั้งหมด  เนื่องจากนี่คือการแสดงสุดท้ายของเขาแก่วงดนตรีที่เขาผูกพันมากว่าสิบปี  การแสดงนี้คือ การแสดงTestimonial ของเขา  นักดนตรีที่คัดมาเล่นในการแสดงแดงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เล่นร่วมกันมายาวนาน
เขาโค้งให้แก่คนดู แล้วก็หันไปโค้งให้คอนดักเตอร์
ปกรณ์มองไปที่ชายหนุ่ม  ใจระทึกว่าเขาจะได้ยินเพลงจาก The Soul Waver   อยาก จะรู้จริงว่าวันนี้แซกโซโฟนของหนุ่มคนนี้จะทำให้เขาใจสั่นได้ขนาดไหม  และมันจะพัฒนาไปอย่างไรจากที่ฟังครั้งสุดท้ายเมือสิบปีก่อน
อติหันมองหน้าภรรยาทีเป็นอาจารย์ร่วมโรงเรียน วรรณา ทั้งคู่จับมือกัน
เขาหันไปมองหน้าบรรดาลูกศิษย์ที่มาจากวงโยธวาทิตทั้งหลายที่เริ่มมีการตื่นเด้น  เขาส่งสัญญาณให้เงียบ
หันกลับมา  จับตาที่หนุ่มที่ยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่เปลี่ยนไปเลย  อากัปกริยานั้นคือการเตรียมพร้อม...
นี่คือท่าทางเดียวกับที่เขาได้พบกันครั้งแรก 
แล้วงออเครสต้าก็เริ่มต้นบรรเลง  ชายหนุ่มหลับตาลงรอกระทั้งถึงโน้ตของตัวเอง 
เมื่อมาถึงแซกโซโฟน Selmer Reference 54 ส่งมนตราที่สะกดโลกมาแล้วออกมา 
มวลเสียงทีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานและการทิ้งหางเสียงไหวระริกทำให้มวลอากาศรอบๆราวจะปั่นป่วนไป 
อ๊อด รู้สึกตัวลอยขึ้น  เขาหลับตาลงเพื่อดื่มด่ำกับเสียงดนตรีที่เหมือนโอบเขาไว้อย่างทรงพลัง  มันพาเขาไปสู่แดนแห่งจินตนาการดังผุ้ประพันธ์คาดหมายว่าจะนำผู้ชมไป 
และโดยมวลเสียงอันทรงพลังนั้นแม้คนที่ไม่รู้จักดนตรีแนวนี้ก็คงจะไปสู่ดินแดนแห่งดนตรีนี้ได้อย่างง่ายดาย
จินไตรเคยบินไปชมการแสดงของเขาคนนี้มาแล้ว  แต่ครั้งนี้เหมือนเขาจะตั้งใจเป็นพิเศษ 
สิ่งที่ได้รับฟังจึงยิ่งกว่าคำว่ายอดเยี่ยม  กระแสดนตรีนั้นเกินกว่าที่จินไตรคาดหวังไว้  ทั้งที่เขาคาดหวังไว้สูงมากแล้ว
จากเด็กหนุ่มที่เล่น Concerto ในห้องเรียนคนนั้น  กลายเป็นนักดนตรีระดับโลกไม่ใช่สิ่งที่เกินความหมาย 
แต่ที่เกินไปกว่าคาดหมายคือ เขาจะกลายเป็นตำนานบทใหม่แห่งวงการดนตรีอย่างแน่นอนที่สุด
ซัวน้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้  เขาอยากจะให้มารดามานั่งตรงนี้  มาเห็นเฮียคนรองของเขากำลังแสดงมนตราสะกดคนดู 
“อาม๊าเห็นไหม.. เฮียเขามาไกลมาก เฮียเขาเก่งมากเลยใช่ไหม ม๊า”
 ยี่สิบนาทีกว่าๆ  ผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของผู้ชม  แล้วเมื่อมันจบลง ทั้งโรงมหรสพก็สนั่นไปอีกครั้งด้วยปรบมือ Standing Ovation เพื่อสำแดงความขอบคุณแก่บทเพลงอันยอดเยี่ยมนั้น  ยาวนาน ยาวนานมาก...
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:45:32
ตอนที่ 81 : กลับบ้าน
เตียงนอนเก่าแต่แทนที่ด้วยที่นอนใหม่ทำให้มันนุ่มและสบายกว่าเดิม  ห้องยังอยู่ในสภาพเดิมคล้ายกับตอนที่จากไป  ลุกขึ้นจากเตียงมองไปรอบกาย 
เหมือนกับน้องชายจะพยายามรักษาทุกอย่างเอาไว้ให้เหมือนเดิม
ชายหนุ่มเปิดตู้แล้วหยิบเอาแซกโซโฟนอัลโต้ตัวเก่าออกมาดู  แต่เพียงมองมันในกล่องไม่ได้ประกอบ  เนื่องจากคีย์ที่เสียแล้วนั้นไม่สามารถซ่อมแซมได้เหมือนเดิมอีก 
เขาปิดกล่อง  แล้วเดินกลับมองหมวกที่สวมไว้บนกล่องแซกโซโฟนโซปราโน่
“ผมกลับมาแล้วนะพี่  ตอนนี้ใครๆก็เรียกผมว่า The Soul Waver  ผมก็งงนะ  มันเหมือนเป็นผีหรืออะไรสักอย่างที่เขย่าประสาท สั่นวิญญาณคน.. ก็ตลกดีเนอะ... นี่ตกลงเขาชอบเพลงของผมหรือกลัวผมกันแน่”
 
ตอนนี้บ้านของเขาเปลี่ยนแปลงไป น้องชายคนเล็กซื้อตึกแถวห้องข้างๆอีกสองห้องแล้วตีทะลุชั้นล่างเปิดเป็นร้าน สะดวกซื้อ โดยซื้อเฟรนไชด์ร้านที่เขาเคยทำงานอยู่ ดังนั้นชั้นสองที่คุ้นเคยก็ไม่ใช่ห้องนอนพี่ชายของเขาอีกต่อไป  แต่กลายเป็นโกดังสินค้า  ชั้นลอยไม่มีห้องนอนบิดาของเขาแต่กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนของพนักงาน
ดังนั้นตอนที่ชายหนุ่มเปิดประตูออกมาก็พบกับหนุ่มรุ่นคนหนึ่งกำลังกินบะหมี่ กึ่งสำเร็จรูป แถมเส้นยังคาปาก  ทั้งสองประสานสายตากันด้วยความแปลกใจ
“เฮียใช่ไหมครับ  ผมจาลูกเจ๊กน้อยไงครับ เฮียจำผมไม่ได้แน่เลย”
ชายหนุ่มเริ่มนึกออก  แต่ไม่สามารถประติดประต่อเด็กตัวอ้วนจ่ำม่ำกับภาพหนุ่มวัยสิบแปดที่เรือน ร่างสูงโปร่ง หน้าตาจีนทว่าคมคายคนนี้ได้เลย
“จาเหรอเนี่ย.. โอ้โหตัวโตกว่าเฮียแล้วนะเนี่ย” เขากล่าวบนรอยยิ้ม
 
จาสอนให้ชายหนุ่มใช้เครื่องแคชเชียร์  แต่เขาก็ยังเก้ๆกังๆอยู่ 

ดังนั้นตอนที่เด็กหนุ่มมัธยมที่กอดกล่องไคลิเนตไว้เดินมาชำระเงิน

เขาคงรำคาญ ซึ่งตอนแรกก็หันไปมองนอกร้าน  แต่พอเริ่มต้องรอนานก็มองหน้าชายหนุ่มอย่างขัดใจ
“ขอโทษด้วยนะ... อะได้ละ  สิบห้าบาทครับ” ชายหนุ่มบอก
“ต้องบอกว่ารับขนมปังด้วยไหม ลดราคาอยู่” จาเตือน
ชายหนุ่มก็กำลังจะกล่าว
“Mr.Jangใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มร้องอย่างตื่นเต้น
“ผมเป็นแฟนเพลงของพี่เลยนะครับ ดีใจจังเลยครับ”
 
Mr. Jerome Jang ยืนอยู่บนเวทีในขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกำลังเล่าเรื่องราวระหว่างที่เขาศึกษาที่นี่ให้เด็กนักเรียนที่ยืนเข้าแถวฟัง
“ผมจึงอยากให้พวกคุณถือเป็นแบบอย่าง  และในโอกาสนี้รุ่นพี่ของพวกคุณคนนี้จะมาแสดงดนตรีที่สร้างชื่อเสียงในระดับโลกให้ฟัง”
นักเรียนก็ปรบมือกันเสียงดัง
ผู้อำนวยการหันมากล่าวและจับมือก่อนจะลงจากเวทีไป
Mr. Jang ก้าวมายืนแทนที แล้วรอให้นักเรียนที่ดูแลเครื่องเสียงจัดการเปลี่ยนชุดไมโครโฟนที่ดีกว่ามาแทนชุดที่ผุ้อำนวยการใช้
“เทสๆ” Mr.Jang กล่าว
“แหม่เดียวนี้ใช้ไมค์อย่างดี  สมัยพี่เล่นเพลงชาติทุกเช้า ไมค์นี่อย่างกับเสียงเป็ดเจ็บท้อง”
นักเรียนหัวเราะกัน
“เออมม ตอนแรกพี่ก็ว่าจะเล่นเพลงอย่าง Concerto แต่ อาจารย์บอกว่าหูพวกเธอคงไม่ถึง  พี่ก็กลัวว่าเธอจะลำบากเดี่ยวจะต้องปีนเสาธงฟังกัน  หรือไม่ก็ต้องวิ่งขึ้นไปฟังบนดาดฟ้า  ก็เลยเลือกเอาเพลงจากอัลบัมแจ๊สมาเล่นแทน” เขากล่าวต่อไปยังคงเรียกเสียงหัวเราะได้
“ถ้าฟังแล้วไม่ชอบใจ รองเท้าก็ไม่ต้องปาขึ้นมานะ  บ้านพี่มีแล้วหลายคู่  แต่ถ้าชอบใจ  ก็ขอแค่เสียงปรบมือก็พอ”
กลายเป็นว่านักเรียนปรบมือกันเกรียว
เขาส่ายหัว...
“ยังไม่ได้เล่นเลยปรบหาอะไรไม่ทราบ ปรบประชดเหรอครับน้องๆ”  พูดแล้วก็ทำตาเหลือกมอง
นักเรียนหัวเราะกันครื้นเคร้ง
หนึ่งในครูที่ยืนอยู่ นอกอตีและวรรณา ก็ยังมีฐาด้วย
“ไม่ฮาไม่ใช่มันจริงๆนะ”
“เอาหล่ะ ทนๆฟังกันไปนะ  ถ้าไม่เพราะก็คิดซะว่าใครเชือดควายให้ฟัง  ก็ฟังไปแก้เซ็งแล้วกัน”
ยังมีเสียงหัวเราะ  แต่ Mr. Jerome Jang ถอยออกจากไมค์มายืน เขาสูดลมหายใจลึกๆหนึ่งครั้ง จรดปากกับเมาท์พีช
ในบรรยากาศยามเช้า  เสียงจากโรงเรียนได้ยินไปไกลพอสมควร  ชาวบ้านแถวนั้นต่างหยุดเพื่อฟัง..  บทเพลงที่เปล่งออกจากแซกโซโฟน เทนเนอร์กำจายพลังของมันสร้างบรรยากาศอันรื่นรมย์ของบทเพลง Killing Me Softly
 
“ครูอติ ไม่ได้คุมวงแล้ว  ตอนนี้พี่ดูแทน" ฐากล่าวตอนที่เดินนำชายหนุ่มไปยังห้องซ้อมดนตรี
แต่พอทั้งสองเข้าไป  สมาชิกวงโยธวาทิตที่รออยู่ก็เริ่มต้นเล่น

บทเพลงที่บรรเลงนั้นคือบทเพลงเดียวกันกับที่ส่งให้วงภายใต้การดูแลชายหนุ่ม เป็นแชมป์ประเทศไทยสมัยที่สาม
ชายหนุ่มถูกดึงเข้าไปสู่บรรยากาศเก่าๆ 

เขายังจำได้ว่าตอนนั้นวาทิตยังเล่นไคลิเนต  แต่ตอนนี้วาทิตคือนักแซกโซโฟนระดับเอเชียที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการดนตรี 
อู๊ดเป่าฮอน แต่ตอนนี้อู๊ดกลายเป็นส่วนหนึ่งในวงดนตรีของเมืองบอสตันในอเมริกา และกำลังทำผลงานได้ดี 
อ๊อดกับฮ้อยตอนนั้นช่วยเขาดูแลวงโยธวาทิตร  ทั้งสองคนหนึ่งกลายเป็นนักไวโอลีนมีชื่อเสียง 
อีกคนกลายเป็นนักแต่งเพลงชื่อดัง ที่แต่งเพลงฮิตให้ศิลปินยุคใหม่ไว้หลากหลายแนวเพลง 
นายเดฟ ดรัมเมเยอร์ตกงานในตอนนั้น  ตอนนี้ก็ยังโลดแล่นในวงการบันเทิง ในฐานะพิธีกร และดาราสมทบมากฝีมือ 
อัศวะตอนนั้นเป็นแค่คนดูแลเครื่องเสียงของโรงเรียนในงานปัจฉิมนิเทศ ก็กลายเป็นผู้สืบทอดกิจการต่อจากบิดา และยังรับร้องเพลงเป็นครั้งคราว 
ตั้มหนุ่มใต้ร่างบึก กลายเป็นอาจารย์พละโรงเรียนดัง ในฐานะอดีกกองหลังทีมชาติ 
ส่วนปอไปได้ไกลว่า  เขาไปค้าแข้งในต่างแดน ก่อนจะกลับมาเป็นตัวหลักของทีมชาติไทยปัจจุบัน และสโมสรชื่อดังในไทยพรีเมียร์ลีก 
แต่น่าเสียดายที่ก้องภพหนึ่งในสหายสนิทในตอนนั้น ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
เขามองหน้ารุ่นน้อง  มองคนเป่าไคลิเนต ที่ทักทายเขาเมื่อหลายวันก่อน 
ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้อาจคนที่สร้างสีสันให้วงการดนตรีอีกคนหนึ่ง 
แม้น ว่าเด็กเหล่านี้เมื่อเติบโต อาจจะไม่ได้เดินทางในเส้นสายดนตรี  แต่อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่า... ความทรงจำในวงโยธวาทิตนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นไปเป็น ผู้ใหญ่ที่ดีได้ในอนาคต
เขาเชื่อในพลังของเสียงดนตรี.. และหวังว่ามันจะนำทางพวกน้องๆเหล่านี้ไปพบเจออนาคตที่ดี...
อย่างที่เขาเคยประสบมาแล้วเช่นกัน...
 
“อะไรนี่มึงจะไปไหนอีกเนี่ย” อ๊อดถามเมื่อจุ๊ยบอกว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทาง
“ญี่ปุ่น” จุ๊ยตอบแล้วคนกาแฟโบราณที่สั่งมาดื่มภายในร้านที่ตกแต่งแบบย้อนยุค ร้านนี้เป็นของอ๊อดเอง  เขาเอาเงินที่สะสมได้จากการแสดงไวโอลีนไปทั่วเอเซียมาเปิดร้าน
“ใช่เฮีย แทนที่จะอยู่นานๆ  ผมกะจะเชิญเฮียไปแจมในคอนเสริ์ตอาทิตย์หน้าเสียหน่อย” วาทิตกล่าวบ้าง
“เฮียไม่อยากฟังผมเล่นบ้างเหรอ”
“เฮียฟังจากเทปหลายครั้งแล้ว  ถึงเฮียจะไม่อยู่แต่วาก็ยังอยู่ในสายตาเฮียอยู่เสมอนะ”  ว่าแล้วก็เอามือจับหัวเหมือนเคย 
รอยยิ้มของเขาก็ยังคงอบอุ่นสำหรับวาทิตเสมอ
“เฮ้ยๆ” อ๊อดท้วง ดึงมือจุ๊ยออก
“นี่แฟนกู เกรงใจกันบ้าง... มิน่าไอ้อู๊ดถึงได้ระแวงมึงนัก”
“มึงจะไปทำไมญี่ปุ่น” อ๊อดถาม
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา
“มันเป็นสัญญา  ต่อให้เกิดอะไรขึ้น กูก็ต้องกลับไปหาเขาให้ได้สักครั้ง”
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 06:46:30
ตอนที่ 82 : ฉันคือจุ๊ยคนเดิมของนายเสมอ อาราอิ... บทอวสาน ดวงใจของสายน้ำ The Water's Pure Heart
 ชาย หนุ่มวัยสามสิบกลางๆยืนกอดอกฟังเสียงเพลงจากวงดนตรีนักศึกษาที่กำลังบรรเลง เพลงแจ็สชื่อดัง พวกเขามีกันสามคน  คนหนึ่งเล่นแซกโซโฟน อีกคนไวโอลีน และอีกคนเล่นคีย์บอร์ด 
นั่นชวนให้ชายหนุ่มนึกถึง The Trio Tenders ตอนนี้วงนั้นกลายเป็นอดีต สมาชิกทุกคนแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง 
โดยเฉพาะคนหนึ่งกลายเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากมายทั้งที่อายุยังน้อย
แล้วก็ยังนึกไปถึงวงดนตรีสามคนที่เด็กหนุ่มผู้มีรอยยิ้มสดใสเป็นนิตย์ชมดูอย่างสนใจ จนเขาอดไม่ได้จะเข้าไปขอร้องให้เขาได้ร่วมแสดง..
“โอโตซัง” เสียงเรียกของเด็กชาย พร้อมร่างเด็กชายวัยราวสิบปีวิ่งมาหาในชุดนักกีฬาเบสบอล
“โชจังอย่าวิ่ง” หญิงสาวเดินตามมา
“จะวิ่งทำไมเดี่ยวก็ล้มไปอีก  นี่ดูสิได้แผลใหญ่เลยเห็นไหม” ว่าแล้วก็ดึงแขนให้ชายหนุ่มดู
“เอาน่านามิจัง  เด็กผู้ชายก็ต้องซนอย่างนี้ล่ะ มีแผลนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า” ชายหนุ่มกล่าวแล้วย่อตัวลงมาเด็กชาย
“ล้างแผลแล้วรึยัง” เขาถาม
“เรียบร้อยครับ  ผมทำตามที่โอโตซังสอนทุกอย่างเลย” โชจังตอบ
“อาราอินายก็เข้าข้างกันเข้าไปนะ  ซนขนาดนี้ไม่ไหวหรอกนะ” นามิจังตอบแล้วส่ายหัว
“กลับกันเถอะ เดี่ยวต้องเปิดร้านอีก” อาราอิกล่าวแล้วก็เดินไปคู่กับโชจัง
นามิจังยิ้มแล้วมองชายหนุ่มก่อนจะเดินไปเคียงข้าง
“เออนี่... วันนี้มีนักดนตรีคนใหม่มานะ  เขาโทรศัพท์มาสมัครงาน  เขาบอกว่าอยากได้งานทำในญี่ปุ่น  ฉันก็เลยให้เข้าทำงานเลย”
“อะไรกัน  ยังไม่ได้มาด้วยตัวเอง ทำไมนามิจังถึงรับเข้ามาเลยล่ะ หน้าตาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้”
“เอาน่า... คนนี้นามิรับรองว่าอาราอิต้องชอบแน่นอน”
“ขนาดนั้นเชียว แสดงว่าต้องมีชื่อเสียง”
“เอาไว้เจอก็รู้เองน่าอาราอิ”
 
The Water’s Pure Heart คือ ชื่อของผับที่อยู่บนชั้นสองของโรงแรมที่อยุ่ในย่านนัมบะ ผับนี้เป็นผับแจ๊สที่มีชื่อเสียงเรื่องการแสดงสด ทั้งนี้เพราะนักแซกโซโฟนชื่อดังของญี่ปุ่นทำงานอยู่ที่นี่ 
แต่อาราอิผู้เป็นเจ้าของร่วมกับนามิจัง กำลังปวดหัวกับการที่อยู่ๆ ซาดากะ โทชิ นักแซกโซโฟนตัวหลักของผับมาลาออกไปเพื่อไปร่วมวงดนตรีแจ๊สชื่อดังของญี่ปุ่น ที่โตเกียว
อาราอิประกาศหานักดนตรีมาเกือบเดือน  ซึ่งนามิจังก็แนะนำว่าควรจะจ้างนักดนตรีมีชื่อเสียงมาแสดงทดแทนไปก่อน  แต่ต่อมาอาราอิก็เริ่มหนักใจเพราะต้นทุนมันสูงมาก หากพวกเขาไม่ได้นักดนตรีใหม่มาเร็ววัน  มีหวังต้องปิดกิจการเพราะขาดทุน
ดังนั้นพอนามิจังบอกว่ามีนักดนตรีใหม่แล้ว  แม้ยังอุบไม่ยอมบอกชื่อเขาก็ยังรู้สึกดี  เพราะตอนนี้นามิจังมีความรู้เรื่องดนตรีมากขึ้นแล้ว คงจะสามารถแยกได้ว่าอะไรคือของดี  และอะไรก็แค่ธรรมดา  เธอคงแน่ใจแล้วว่านักดนตรีคนนี้คือคนที่ใช่
ทว่าตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดมาก.. เพราะทุกวันเขาจะต้องมองยืนมองกล่องแซกโซโฟนโซปราโน่ที่ก็เก็บเอาในตู้กระจก ข้างโต๊ะทำงาน ก่อนออกไปทำงานในร้าน

แต่วันนี้ตู้นั้นว่างเปล่าไม่มีกล่องแซกโซโฟน
“นามิจัง” อาราอิกดโทรศัพท์ออกไปด้านนอก
“ใครเอาแซกโซโฟนตัวนั้นไป”
เขารอสักครู่  ประตูห้องก็เปิดเข้ามา
แต่ไม่ใช่นามิจัง แต่เป็นหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงพอๆกับเขา คิมูระซัง
“อ้อ.. ฉันเอาไปให้นักดนตรีใหม่” เขาบอก
กับคิมูระ อาราอิยังเกรงใจตามภาษาคนที่เด็กกว่า แต่เขาก็ยังไม่พอใจ
“แล้วรุ่นพี่ให้เขาไปได้ยังไง” อาราอิถาม
“ก็เขาบอกว่าเขาต้องใช้โซปราโน่  แต่เขาไม่มีโซปราโน่  มีแต่อัลโต้กับเทนเนอร์  ฉันก็เลยต้องเอาให้เขาไป” คิมูระซังกล่าว
“นายออกมาดูเองดีกว่า เขากำลังจะเล่นแล้ว”
อาราอิรู้สึกหงุดหงิดแต่เพราะคิมูระซังคือสามีของนามิจัง  และเป็นรุ่นพี่ อายุมากกว่าก็เลยต้องเกรงใจ ไม่ได้ตอบโต้ออกไป
จะว่าไปสองคนนี้ที่ได้สมรักสมรสกันก็เพราะอาราอิมากราบขอร้องกับบิดาของนามิจังด้วยตัวเอง 
เขาสารภาพเรื่องราวนอกใจแบบผิดเพศของเขาให้ท่านฟังด้วย ท่านจึงได้ยอมให้อาราอิหย่าขาดจากนามิจัง และยอมให้แต่งงานใหม่กับคิมูระซัง   ซี่งทั้งนี้เพราะนามิจังท้องได้สี่เดือนแล้ว
กระนั้นเขากับนามิจังก็ยังรักษามิตรภาพที่ดี  คิมูระซังกลายเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของเขา และโชจังก็เรียกเขาว่าเป็นพ่ออีกคนหนึ่ง

อาราอิส่ายหัวไปมาก่อนจะลุกขึ้น
อยากเห็นนักว่านักแซคโซโฟนหน้าใหม่คนนี้จะเก่งแค่ไหน  ทำไมทั้งนามิจังและคิมูระซังถึงได้ความสำคัญกันขนาดกล้าเอาของรักของหวงของ เขาไปให้ใช้
ผับนี้ตกแต่งด้วยสไตร์โมเดิร์นด้วยสีสันที่เรียบง่ายแต่งดงาม 
มีพื้นที่ให้เวทียกพื้นที่ใช้ในการแสดงสด  ซึ่งจะมีแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ตั้งอยู่ด้วย 
อาราอิออกมายังไม่ได้เห็นเวทีพื้นยก แต่ได้ยินเสียงปรบมือคนคนดู 
ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงของโซปราโนแซกโซโฟนที่เขาหวงแหนกำลังเปล่งเสียงอันไพเราะ ของมันออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มันถูกเก็บเอาไว้ในกล่อง..
เสียงของมันอัศจรรย์  มันงดงามและทำให้เพลง Petite Fleur ของ Sidney Bechet สว่างสดใสในบรรยากาศของผับแจ๊สที่มีเพียงแสงสลัว
นี่มัน.. ไม่ผิดแน่แล้ว  สักกี่คนในโลกที่จะเล่นได้ระดับนี้ คนที่ลากหางเสียงได้ไพเราะไม่แพ้กับต้นฉบับ  แม้จะไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นหางเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ หางเสียงที่เขย่าจิตวิญญาณ แม้แตกต่างเล็กน้อยกับการบรรเลงของ Sidney Bechet แต่ก็ทำให้เกิดความงดงามอีกรูปแบบหนึ่งของบทเพลง
บทเพลงตรึงคนฟังให้อยู่กับที่ และเผลอจับที่หัวใจ เพราะนี่คือเสียงของ The Soul Waver ที่สั่นหัวใจคนมาแล้วทั่วโลก

มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้...
ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าเวที  บนนั้นมีชายหนุ่มในชุดสีดำสนิท  กำลังถ่ายทอดบทเพลงนั้นอย่างเต็มความสามารถ 
เจ้าของที่แท้จริงของโซปราโน่แซกโซโฟนตัวนี้
Selmer Paris Series III Model 53 Jubilee Edition มันเคยรอเจ้าของตัวจริงเป็นเพื่อนอาราอิหลายปี   แต่บัดนี้มันกำลังเปล่งเสียงออกมาอย่างทรงพลัง...
ราวกับมันกำลังร้องบอกอาราอิว่า นี่อย่างไรคนที่เราเฝ้ารอมานับสิบปี...
อาราอินึกไปถึงตอนที่เขาได้รับมันคืนมา
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ 
หนุ่มน้อยส่งยื่นกล่องแซกโซโฟนคืนมา

"ในเมื่อนายจะกลับไปจัดการเรื่องของนามิจัง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหนได้ หรือสำเร็จหรือเปล่า.. ฉันก็จะยังไม่รับมันเอาไว้  นายเอามันกลับไปก่อน แล้ววันหนึ่งเมื่อฉ้นกลับมาอีกครั้งฉันจะมาขอมันคืนไป"หนุ่มดวงหน้าจีนกล่าว แล้วจ้องลึกในดวงตาของเขา
"และถ้านายยังเหมือนเดิม และฉันยังเหมือนเดิม ฉันจะไม่จากนายไปไหนอีกเลย"

 เดินมาเรื่อยๆ เพียงสองคน ชายหนุ่มสองคนยังไม่ได้พูดจา  จนกระทั้งเดินมาถึงริมน้ำที่มองไปเห็นชิงช้าสวรรค์ของเทพฟุกุโรกุยูริมคลอง ย่านโดทนโบริ
ทั้งสองยังคงนั่งเงียบต่อไป  มองสายน้ำเต้นระริกล้อแสงไฟ ทำให้เกิดประกายระยิบระยับ
“นายได้เข้าปาจิงโกะบ้างหรือยัง” ชายหนุ่มถาม
อาราอิยิ้มจางๆ
“เข้าแล้ว  ก็คิดถึงนายไงก็เลยเข้าไป  แต่ไม่ได้เล่นละคร หรือหัวเราะโฮ่ๆตอนเข้าไปหรอกนะ”
“แล้วเป็นไง  หมดตูดเลยใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มถาม
“ก็หมดกระเป๋าเลยล่ะ เพราะฉันเล่นเป็นที่ไหนล่ะ” อาราอิหัวเราะใสๆ
แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป
“นายเป็นยังไงบ้าง” อาราอิถาม
“ก็.. ลำบากน่ะ  เหนื่อยจะแย่  วันๆหนึ่งซ้อมเป่าแซกจนแก้มป่องแล้วเห็นไหมเนี่ย” เขาเอามือจิ้มแก้มให้ดู
“ไม่ใช่มันป่องเพราะอ้วนหรอกเหรอ” อาราอิตอบบนรอยยิ้ม
“ไม่นะเว้ย... ดูๆนี่หน้าท้องแบนราบ” เขาถลกเสื้อให้ดู
อาราอิหัวเราะ
“นายนี่เหมือนเดิมเปี๊ยบ  เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น”
เขามองหน้าอาราอิที่สว่างขึ้น
“แล้วนายเป็นยังไงบ้าง”
“ก็วันๆก็ทำงานอยู่ที่ผับ พาลูกนามิจังไปเที่ยวบ้าง แล้วก็ทำงาน ชีวิตวนๆเวียนอยู่อย่างนี้”อาราอิตอบ
แล้วก็เงียบไปสักครู่ จนกระทั้งอาราอิเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“เราทั้งคู่ยังเหมือนเดิมรีเปล่า” อาราอิถามแล้วหันมองหน้า  แม้จะมีวัยมากขึ้น แต่ดวงหน้านั้นก็คือดวงหน้าเดิมที่เขาปรารถนาจะได้เห็น
“ก็นายคิดว่าเปลี่ยนไหมล่ะ”  ถามกลับ สบตานิ่ง
“ก็เปลี่ยนนะ  ตอนนี้นายคือ Mr. Jerome Jang  The Soul waver นักคนตรีระดับโลก ส่วนฉันเป็นแค่เจ้าของผับแจ๊สธรรมดาคนหนึ่ง” อาราอิตอบ
“แล้วทำไมนายไม่เรียกฉันว่า จุ๊ยล่ะ.. ในเมื่อสำหรับนายฉันคือไอ้จุ๊ย...” จุ๊ยกล่าวออกไป  แล้วก็กอดร่างนั้นไว้
“ฉันคิดถึงนายทุกวัน  สิบปีมานี่ไม่มีสักวันที่ฉันเป็นคนอื่น  ใครจะเรียกฉันว่ายังไง  แต่ฉันก็คือไอ้จุ๊ย  ไอ้จุ๊ยที่รักนายเสมออาราอิ”
อาราอิดันจุ๊ยออกไปนิดหนึ่ง  เขายิ้มแล้วมองจุ๊ยให้เต็มตา
“ฉันก็เหมือนกัน.. ฉันคิดถึงนาย ทุกวัน... ยิ่งได้ยินเสียงเพลงของนายฉันก็ยิ่งคิดถึง  ฉันรอนานมากให้นายกลับมา”
แม้บรรยากาศรอบตัวในย่านโดทนโบริจะวุ่นวายสักเพียงไร
แต่สำหรับคนสองคนที่รอคอยกันอย่างยาวนาน.. โลกรอบข้างพลันเงียบไป
อาราอิจุมพิตลงที่ริมผีปากแดงๆ  แล้วก็กอดร่างนั้นเอาไว้แนบแน่น..
“ฉันจะไม่ปล่อยนายไปไหนอีกแล้วจุ๊ย”
 เทพฟุกุโรกุยูเหมือนจะมองมา ตอนที่สองคนลุกขึ้นแล้วก็โอบเอวประคองกันเดินไป.. รอยยิ้มของท่านหมายความว่าอย่างไร..
แต่สำหรับคนทั้งคู่รอยยิ้มที่อยู่บนสองใบหน้า  สื่อสารออกมาตรงกันคือความสุขใจ...

สายน้ำที่ทอดยาวเต้นระริกล้อแสงแพรวพราว เหมือนกับมันเริงระบำแสดงความยินดีกับคนที่มีชื่อเป็นสายน้ำ...
จุ๊ย นทีธาร The Water's Pure Heart ที่ทั้งหัวใจมีเพียง โยชิฮิสะ อาราอิ เพียงคนเดียวเท่านั้น

จบบริบูรณ์
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 22-12-2015 13:39:21
ตามอ่านมาได้23ตอนแล้ว สนุกมากๆเลย

เหมือนเราได้ติดตามชีวิตของจุ้ย ครอบครัว และเพื่อนๆ

จริงๆแอบเชียร์เดฟนะ แต่ชะรอยจะไม่ได้เป็นพระเอกใช่ป่ะ? :ruready

สงสารฮัว ไม่น่าคิดสั่นเลย  :hao5:

ป.ล.อย่าลืมแปะกฎนะ เดียวกระทู้ปลิว
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: posh ที่ 22-12-2015 14:15:29
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: nadty27 ที่ 22-12-2015 14:36:37
ชอบมากเลย
ร้องไห้ตามตั้งหลายตอน
น่าจะมีตอนพิเศษเนอะ แฮร่ๆ
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 22-02-2016 17:27:18
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 31-05-2016 04:55:34
เขียนได้ดีค่ะ รายละเอียดพร้อมแต่ไม่ยืดเยื้อเวิ่นเว้อเกินเหตุ อ่านแล้วนึกถึงเรื่อง"น้ำใสใจจริง" นึกถึงเพื่อนที่เคยผูกพันกันในช่วงหนึ่งของชีวิต (โอเคค่ะ เรน่าแก่แล้ว 555)

ในเรื่องอึดอัดตอนของออยมากที่สุด ถ้าเรื่องดำเนินไปถึงแต่งงาน เรน่าคงไม่อ่านต่อเพราะมันน้ำเน่าเกินไป 555 ยังดีได้เฮียมาช่วยชี้ทาง

ชอบเดฟมากที่สุดในเรื่อง หล่อ รวย นิสัยดี ถ้ามีผู้ชายแบบนี้จริง เจ๊จะจีบ (ผลั่กกกก โดนพี่อัศวะยันออกมา)

จริงๆตอนจบอยากให้สามหนุ่ม trio ได้เล่นโชว์ด้วยกันอีกสักครั้ง เอาเพลงสนุกสนานสมัยวัยรุ่น คงจะน่ารักดี

แอบสงสัยนิดหน่อย ทำไมตอนจบไม่เล่าเรื่องอ๊อดเลิกกับพี่สรรค์เหรอคะ? อู๊ดกับน้องวาเลิกกันยังไม่แปลกใจมาก แต่อ๊อดกับน้องวาคบกันนี่แปลกใจจริงๆ

Edit: กลับมาเขียนเพิ่ม

เรื่องนี้มีจุดอ่อนอย่างนึงคือตัวละครเยอะมากกกก ขนาดอ่านรวดเดียวจบยังงงเป็นระยะๆเลย (เช่น ฐาที่โผล่มาแป๊ป แล้วหายไป แล้วโผล่มาใหม่ ต้องระลึกชาติอยู่หลายนาที)

เรน่าว่าเรื่องนี้มันย๊าวยาว อยู่หมวดนิยายอาจจะเหมาะกว่าเรื่องสั้นไหมคะ?
หัวข้อ: Re: (เรื่องไม่สั้น) The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 02-08-2016 10:02:56
จุ้ยกำลังจะกลับมาใหม่ในรูปแบบใหม่ครับ มันมีปัญหาคือส่วนใหญ่ส่งสำนักพิมพ์แล้วเจอคำตอบว่ามันยาวเกิน แต่ผมตัดใจตัดเนื้อเรื่องให้สั้นลงไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่ได้ก็ขยายมันซะเลย ทำให้ดวงใจของสายน้ำจะกลายเป็นเรื่องชุดยาว ดวงใจของสายน้ำแทน โดยแต่ละตอนจะจบในตอนแบบอ่านรู้เรื่องและเริ่มเรื่องใหม่ตามช่วงอายุของจุ๊ย 

ตอนแรกจะตัดอ็อดกับเมืองฟ้าออก แต่เอาเข้าจริงก็ตัดในไม่ได้ ดังนั้นดวงใจของสายน้ำจึงจะกลับมาในรูปแบบของสามภาคจบ
ภาคแรกคือ ดวงใจของสายน้ำ: ตามฝันด้วยดนตรีจะเริ่มในอีกไม่ช้าครับ
หัวข้อ: Re: The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)
เริ่มหัวข้อโดย: GRID ที่ 24-08-2017 05:04:48
คิดถึงจุ๊ย เพราะกลับมาอ่าน โป้ง&โกล อีกครั้ง
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวจะกลับมาหา...นทีธาร
หัวข้อ: Re: The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 24-08-2017 09:18:32
รออ่านจ้า.. o13
หัวข้อ: Re: The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 26-08-2017 11:24:23
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ขอบอกว่า....
"มันยอดเยี่ยมมาก" ทั้งโครงเรื่อง เนื้อหาสาระ การดำเนินเรื่องที่กระชับไม่เยิ่นเย้อ
 ผู้เขียนถ่ายทอดความรักในรูปแบบต่างๆออกมาได้พอเหมาะดี ในรสชาติที่พอเหมาะพอดีกลมกล่อม ทำให้คนอ่านคนนี้อินไปกับทุกบททุกตอน ไม่ว่าจะความรักระหว่างเพื่อน ระหว่างครอบครัว ระหว่างคนรัก แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็ความรักในเสียงดนตรีอันเป็นจุดสำคัญของเรื่องนี้ ที่ทำให้ตัวละครแต่ละตัวได้มามีความสัมพันธ์ความผูกพันกันและกัน  เราว่าผู้เขียนทำได้ดีมากเลยทีเดียว ขอบคุณคนเขียนมากเหลือเกิน
ที่ทำให้คนอ่านมีความสุขไปกับงานเขียนดีๆเช่นนี้