(http://img2.wikia.nocookie.net/__cb20140428044820/seaoffools/images/4/43/Kawaii-shy-anime-boy.jpg)
At First sight
สบตาครั้งแรก ก็จำได้แล้ว
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีดำสนิทยาวกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน หน้าไทย คมเข้ม รายล้อมไปด้วยเพื่อนกลุ่มใหญ่แต่กลับโดดเด่นขึ้นมาคนเดียว นั่งถัดจากผมไปอีกแถว คุยกันเสียงดังแต่เมื่อวีดีโอสอนพิเศษของโรงเรียนกวดวิชาที่แขวนอยู่บนหัวเริ่มบรรยายก็เงียบลง แม้จะดูไม่ตั้งใจเรียนเท่าไร แต่ก็ไม่รบกวนคนอื่นในคลาสเดียวกัน
เราบังเอิญสบตากัน เมื่อผมมองไปทางนั้น และเขาก็มองกลับมาพอดี
ขึ้นชั้นมอหกแล้ว เด็กวัยรุ่นส่วนมากถูกจับเข้าเรียนพิเศษเหมือนโรงงานผลิตเครื่องยนต์โง่ ๆ เตรียมประกอบทอดตลาดต่อไป มองหน้าเซื่องซึมของแต่ละคน ต่างปรากฏซึ่งความอ่อนล้าในแววตาไม่ต่างกัน
ผมหมุนปากกาในมือ ไม่ได้อยากเรียนเท่าไรแต่ถูกกดดันไว้เยอะ พ่อเปิดร้านขายของ แม่ก็เช่นกัน พี่ชายเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สิ่งที่เขาคาดหวังไว้กับผมคือแพทย์เท่านั้น ไม่มีตัวเลือกอื่น
ใครเป็นคนกำหนดให้ชีวิตคนเราเป็นแบบนั้นแบบนี้กันนะ
บางทีพ่อแม่อาจเป็นพระเจ้า...
“มาก่อนคนอื่นอีกแล้ว”
เสียงนั้นทัก เมื่อใครบางคนปิดประตูห้องสี่เหลี่ยมที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ผมลงเรียนกวดวิชารอบเช้าสุดของวันเสาร์อาทิตย์ ยาวไปจนถึงสองทุ่ม มีเพื่อนเรียนด้วยบ้างบางวิชา แต่สำหรับวิชาหนัก ๆ แบบเคมีเป็นคนเดียวที่ลงไว้เสียเช้าตรู่ขนาดนี้
“แว่น นั่งด้วยดิ”
ผมเหลือบมองเขา แน่ชัดว่าประโยคเมื่อครู่จงใจพูดกับผม ในห้องนี้ไม่มีใคร รู้ตัวดังนั้นก็เผลอดันแว่นสายตาที่ถูกเรียกแทนชื่อตัวเองขึ้นชิดจมูก โกยหนังสือกับกระเป๋าสัมภาระข้างตัวไว้บนตัก ทั้ง ๆ ที่ห้องเรียนออกจะกว้างแบบนี้กลับเลือกที่จะมานั่งด้วยกัน ผมเหลือบมองเขา แน่ใจว่าปกติไม่ได้เรียนคลาสนี้
“กูจำมึงได้ ที่เรียนฟิสิกส์คลาสเดียวกันตอนสิบโมง”
“อ่าฮะ”
ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเจอหมอนี่นั่นแหละ แปลกใจนิดหน่อยที่เขาจำผมได้เหมือนกัน เขาอยู่ในกลุ่มคนที่เสียงดังเสมอ ๆ ในนั้นกอรปด้วยหญิง-ชายหน้าตาดี ถึงแบบนั้นคู่สนทนาก็เป็นคนที่ดึงดูดสายตาที่สุด ไม่ใช่หล่อเหลาเสียจนควรมีแมวมองมาทาบทาม แต่บรรยากาศรอบ ๆ ตัวดูคล้ายจะสะกดทุกสายตาให้จับจ้องไปที่ตัวเอง อัธยาศัยดี ยิ้มง่าย ถึงหน้าตาคมคายแค่ไหนก็ไม่รู้สึกว่าเป็นคนดุแต่อย่างใด ดูจะทะเล้นเสียด้วยซ้ำ
“ปกติกูเรียนเย็นวันธรรมดา อาทิตย์ที่แล้วติดซ้อมกีฬาเลยไม่ได้เข้า มาชดเชยเอา ได้ยินมาว่าคลาสนี้คนน้อย”
“ก็น้อยแหละ”
“กูชื่ออรุณ” เขาแนะนำตัวเอง ยื่นกล่องหมากฝรั่งสอดไส้กลิ่นหอมมาให้ ถ้าจะเดาก็คงเป็นกลิ่นเดียวกับที่ลอยมาเมื่อเจ้าตัวชวนคุยเรื่องสรรพเพเหระ “แก้ง่วง”
“ขอบใจ แต่ไม่เอาดีกว่า”
ยิงฟันโชว์เหล็กดัดสีฟ้าอ่อนให้อีกฝ่ายดู แล้วเขาก็หัวเราะ เป็นรอยยิ้มเดียวกับเวลาที่อยู่กับเพื่อน ๆ พวกนั้น หัวเราะทั้งตาทั้งปาก ยิ้มจนตาโต ๆ ถูกแก้มดันขึ้นไปจนหยี มีความสุขเสียจนน่าอิจฉา
“เออ เพิ่งเห็นคนดัดฟันแล้วน่ารักก็วันนี้ ไม่คิดจะบอกชื่อหน่อยหรือไง”
“เปา”
“ซาลาเปา?”
“คล้าย ๆ”
“เออ คล้ายจริง” พูดพลางด้วยแววตาวิบวับ เสียงประตูเลื่อนดังอีกครั้งถึงได้ละสายตา “เรียนที่ไหน”
“โรงเรียนแถวนนท์นู่น”
“เหรอ มาไกลเลยสิ”
“ไม่ไกลเท่าไร บ้านอยู่แถวนี้”
“คนละเรื่องกับกูเลย”
อรุณไหวไหล่ เคี้ยวหมากฝรั่งหยุบหยับ เพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้ว่าหูซ้ายอีกฝ่ายมีรอยเจาะ กับช่องระหว่างนิ้วชี้กับกลางข้างขวามีรอยสักรูปดาวหกแฉกเล็ก ๆ ซ่อนไว้ ท่าทางเฮี้ยวไม่เบา
“เรียนแถวนี้ แต่บ้านอยู่สุดสายแอร์พอร์ตลิงค์เลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่ามาเรียนกวดวิชาเย็นวันธรรมดา”
“ไม่ได้หรอก ตอนเย็นมีซ้อมกีฬา มีแต่เคมีนี่แหละที่ไม่อยากตื่นเช้ามาเรียนจริง ๆ เลยลงไว้วันอังคาร-พฤหัส”
“จะแอดฯ อยู่อีกไม่กี่เดือนแล้วยังเล่นกีฬาอยู่อีกเหรอ”
สายตาผมจับจ้องไปที่นาฬิกาหนังสีดำของอีกฝ่าย ค่อนข้างมีราคา ที่จริงแล้วกลุ่มเพื่อน ๆ เขาก็เป็นลูกคุณหนูทุกคน “ที่จริงมีที่เรียนแล้ว”
“เหรอ” โชคดีชะมัด “แล้วยังต้องเรียนพิเศษอีกทำไม”
“ไม่ใช่คนหัวดี แต่ดันได้ทุนนักกีฬาน่ะ เลยต้องพยายามหน่อย ไม่ชอบสายวิทย์เสียด้วย แต่วิทย์กีฬาก็ไม่แย่อะไร มึงล่ะ อยากเป็นหมอล่ะสิ”
“เปล่า” ผมปฏิเสธ ความจริงคือสิ่งที่ไม่เคยพูดออกไป ไม่แน่ใจว่าใครอยากรับฟัง แต่ผลการเรียนที่ผ่านมาตั้งแต่ประถม จนถึงมัธยมเทอมล่าสุดก็ทำให้ทุกคนเห็นพ้องไปในทิศทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้ “อยากเรียนดุริยางคศิลป์”
“เอาเหล็กดัดฟัน กับถอดแว่นสายตาออกก็น่าจะเป็นบอยแบนด์ได้สบาย ๆ เดี๋ยวนี้เขาฮิตเกาหลี ๆ”
“เกาหลีห่ะอะไรล่ะ เจ๊กก็บอกเจ๊ก”
“มึงนี่กวนตีนเหมือนกันนะ” ก็เฉพาะกับบางคนเท่านั้นแหละ ที่โรงเรียนกับที่บ้านเรียบร้อยอย่าบอกใคร “ทำไมถึงอยากเรียนดุริยางค์ เล่นดนตรีเป็นหรือไง”
“พอเล่นกีตาร์ได้”
“อย่างนี้ต้องวัดมือหน่อยแล้ว เลิกเรียนแล้วไปดูกูซ้อมดนตรีสิ จะลองขอเพื่อนให้ลองเล่นดู”
“มีเรียนต่อ” ยาวจนถึงเที่ยงครึ่งนั่นแหละ ได้พักหายใจสามสิบนาทีแล้วก็เรียนอีกตัวจนมืดแล้วพี่ชายก็มารับ “เรียนตัวเดียวกันไม่ใช่หรือไง”
คู่สนทนาหัวเราะอย่างไม่รู้สึกผิด
“โดดตัวเดียว พ่อมึงไม่รู้หรอกน่า”
ผมไม่ตอบ แต่ในใจครุ่นคิด อาจารย์ในโทรทัศน์เริ่มสอนแล้ว แม้คนเข้าเรียนจะยังไม่ถึงครึ่งห้อง แต่ทีวีดิจิตอลคงไม่รู้สึกอะไรเมื่อพูดไปแล้วไม่มีใครฟัง
“คนนี้ชื่อธีร์ มือเบส โป้ มือกลอง ภัทร นักร้องนำ”
ผมไล่ชื่อทีละคนทวนอีกครั้ง เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าอรุณเป็นมือกีตาร์ ฟอร์มวงกันมาตั้งแต่ ม.2 เริ่มต้นจากเล่นในงานโรงเรียน จนพักหลัง ๆ ที่ขึ้นประกวดตามงานเทศกาลดนตรีต่าง ๆ ด้วย
“เล่นจริงจังกันเลยปะ” ผมถาม ลองจับกีตาร์คู่ในอรุณที่ฝากโป้แบกมาด้วยช้า ๆ ห้องซ้อมดนตรีที่เช่าไว้ไม่ห่างจากโรงเรียนกวดวิชามากนัก แต่โป้เป็นคนเดียวที่มีรถส่วนตัวมาส่ง คนอื่น ๆ เลยพากันฝากของไว้ที่รถมันด้วยความเต็มใจ
“หลัง ๆ ก็ไม่ ไอ้รุณมันติดซ้อมกีฬา” นักร้องนำเป็นคนตอบ ยิ้มกรุ้มกริ่มมาในที “แล้วนี่ชื่ออะไร เป็นอะไรกับไอ้รุณอะ”
“ชื่อเปา” อรุณตอบแทน ส่วนประโยคหลังผมเป็นคนพูด “เป็นเพื่อน”
“ไอ้รุณมันป๊อบนะแว่น” ฟังแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใจ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้ว หุ่นดี เป็นนักกีฬา แถมพ่วงด้วยเป็นนักดนตรีอีกต่างหาก “ที่โรงเรียนแฟนคลับมันให้รึ่ม”
“โรงเรียนชายล้วนไม่ใช่รึ” ผมเลิกคิ้วถาม เหลือบตามองคนพูดสลับกับผู้ถูกกล่าวถึง ทุกคนล้วนซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากก่อนระเบิดหัวเราะออกมาในเวลาติด ๆ กัน
“ปกติอรุณไม่เคยพาใครมาห้องซ้อมนอกจากคนที่มันเล็งไว้”
ผมเกากีตาร์ในมือ เข้าใจความหมายที่โป้พยายามบอก แต่ก็สนใจและไม่สนใจไปพร้อม ๆ กัน
ไม่สนใจในที่นี้หมายถึงผมไม่สนใจคำพูดของโป้
ขณะเดียวกัน ผมสนใจในตัวอรุณ
ลมหนาวพัดโชยมา หลายสัปดาห์แล้วที่ผมหาเวลาโดดเรียนไปขลุกอยู่ในห้องซ้อม ไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ผู้ชายคนนั้นด้วยต่างหากที่ชักจูงผมออกนอกกรอบที่ถูกขีดไว้แต่แรกได้อย่างง่ายดาย
“ลองเพลงนี้ดิ เพิ่งแกะคอร์ดมาเมื่อคืน”
สมุดไม่มีเส้นสภาพยับเยินถูกโยนมาก่อน ต่อจากนั้นคือเจ้าของเสียงปีนข้ามเก้าอี้เล็ก ๆ มาพร้อมกีตาร์โปร่ง ผมไม่มีของแบบนี้ อาศัยเล่นของเพื่อนที่โรงเรียนแล้วลักจำเป็นครั้งคราวแต่อรุณมีหมด ไม่ว่าจะรุ่นที่หายากขนาดไหน หรือราคาแพงเท่าไรก็ตาม
“พื้นฐานมึงดี ซ้อมสักวันสองวันก็เป็นแล้ว อ้อ อาทิตย์หน้ามีเปิดหมวกที่อนุสาวรีย์ หาเงินไปสร้างห้องสมุด ไปด้วยกันดิ”
“ทั้งวันเลยเหรอ”
“ตั้งแต่ 10 โมงจนถึง 6 โมงเย็น มึงกลับมานี่ก่อนสองทุ่มยังไงก็ทัน พี่ชายมารับตอนนั้นไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวมาส่ง”
ผมพยักหน้า ความรู้สึกตอนโดดเรียนครั้งแรกทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้น พอผ่านมาหลายครั้งทุกอย่างก็ดีขึ้น ปกติ ชินชา เปลี่ยนสถานที่จากห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยผู้คนวัยคะนองแต่ถูกจับมานั่งสงบเสงี่ยม ไร้ปฏิสัมพันธ์เป็นอยู่กองรวมกันกับกลุ่มเพื่อนใหม่ที่ระเบิดธรรมชาติของวัยรุ่นออกมาได้เต็มที่ เงยหน้ามองเพื่อนตัวดีที่พาใจแตกแล้วก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย รอยเจาะหูนั่นก็สวมตุ้มหูสีดำที่เจ้าตัวอ้างว่าวันนั้นตื่นเช้าเลยลืมสนิททั้ง ๆ ที่ปกติถอดแค่ในโรงเรียนแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น การที่อีกฝ่ายมาคลุกคลีด้วยบ่อย ๆ ต่างหากทำให้เห็นอะไรมากกว่าคนอารมณ์ดีทั่วไป อรุณอบอุ่น ใส่ใจคนรอบข้าง ใส่ใจมากเสียยิ่งกว่าคนในครอบครัวเดียวกันบางครอบครัวเสียด้วยซ้ำ
“หิวแล้วเหรอ”
คนถูกมองถาม พอเงยเป็นฝ่ายหน้าสบตาตรง ๆ บ้างจุกทรงน้ำพุที่มัดไว้ตรงกลางกระหม่อมเปลี่ยนทิศโงนเงนไปด้านหลัง เพราะเป็นนักเรียนโรงเรียนเอกชนเลยถือวิสาสะไว้ผมยาวกว่าคนอื่น คนในวงก็เหมือนกัน แต่ไม่มีใครยาวเฟื้อยดูศิลปินสมใจอยากเต็มตัว
“มองไม่เลิก ถามก็ไม่ตอบ จะเอาอะไร”
“ก็แค่อยากมอง”
“แค่อยากมองไม่ได้ ต้องมีอะไรมากกว่านี้”
“มหาวิทยาลัยที่นายได้โควตา มีคณะแพทย์ด้วยใช่ไหม”
“มี” เขาเงียบไปชั่วอึดใจ แก้มสีเข้มขึ้นสีเลือดฝาด ถ้าสังเกตดี ๆ จะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัด
“ถามทำไม อย่าถามให้ได้ใจนะเฟ่ย” พูดสลับกับหัวเราะแก้เก้อ “ถูกจีบอยู่รู้ตัวไหมเนี่ย”
“รู้...ก็แล้วให้ทำไง”
“คิดยังไงเล่า”
“อยู่ด้วยทุกวันยังต้องให้บอกอีกเหรอ”
“บอกดิ” ว่าพลางเกากีตาร์เป็นคอร์ดเพลงแค่บอกให้เธอรู้ แต่สายตาจับจ้องมาที่ผม สีดำสนิท รับกับขนตายาว สบตาตรง ๆ แล้วรู้สึกยุกยิกในใจบอกไม่ถูก ผมไม่ตอบ ซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก เรื่องแบบนี้ไม่เคยคิดมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ไม่คิด เข้าใจว่าไม่ถึงกับรัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี ดีมาก ๆ เสียด้วย
.
.
.
.
“ไว้หลังงานเปิดหมวกบอกอีกทีแล้วกัน”
ผมมีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อเฮียปิง อายุมากกว่าผมสี่ปี ดังนั้นผมที่อายุ 18 ปีบริบูรณ์ในตอนนี้จึงมีพี่ชายที่สามารถพึ่งพาได้พอสมควร เป็นผู้ชายขาว ตี๋ รูปร่างผอมบางไม่ต่างกัน ผมเส้นเล็กสีดำสนิทถูกตัดเป็นทรงตามสมัยนิยม บ้านเราไม่ใช่คนฐานะดี แต่เพราะเฮียปิงสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามที่ป๊ากับแม่ต้องการได้เลยได้นิสสันมาร์ชสีเขียวอ่อนเป็นรางวัลหนึ่งคัน โดยพ่วงภาระหนึ่งอย่างคือต้องคอยรับส่งผมเท่าที่จะสามารถทำได้ ความจริงก็ไม่ได้ลำบากอะไร ผมอึดอัดบ้าง แต่ก็ไม่เกินที่จะทน
....ถ้าเพียงแต่ วันนี้ที่นั่งข้างคนขับไม่มีอาแปะผมสีดอกเลานั่งหน้าถมึงทึงอยู่ด้วย
“ป๊าหวัดดี เฮียปิงหวัดดี ไปไหนกันมา”
“พาป๊ามาซื้อรองเท้าที่พารากอน วันก่อนที่เป็นรองช้ำไปหาหมอเขาแนะนำว่าให้เปลี่ยนรองเท้า”
“อ้อ” ผมครางรับในลำคอก่อนจะปล่อยให้บทสนทนาสิ้นสุดลง ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง เฮียปิงกับป๊าก็เช่นกัน แม่ดูเป็นคนเดียวที่ทำให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น ผมเป็นคนดื้อเงียบตั้งแต่เล็ก พูดให้ถูกคงคล้ายเด็กที่เก็บกดมากกว่า เฮียปิงเป็นคนเก่ง เป็นลูกชายคนโตที่เชิดหน้าชูตาบ้าน และแม้ว่าผมจะดีกว่าเฮียสักเท่าไรก็ไม่เคยพอในสายตาป๊า ‘ดูอย่างอาปิงซิ’ ผมฟังประโยคนี้ตั้งแต่เล็กจนโตทั้ง ๆ ที่เฮียไม่เห็นจะดีกว่าผมตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือความคิดความอ่าน เป็นอาปิงของป๊าที่ตามใจป๊าได้ทุกเรื่องก็เท่านั้น
รถเคลื่อนตัวผ่านความกดดันทั้งหมดทั้งมวลมาจนถึงรั้วบ้าน ผมเป็นคนลงไปเปิดและปิดประตู แล้วค่อยกลับเข้ามาหยิบกระเป๋าพาดบ่า เมื่อผมขึ้นมอปลาย ความห่างเหินเกิดขึ้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนบอกว่าเป็นไปตามช่วงวัย ผมกับป๊าคนละเจ็นฯ และเป็นรุ่นอายุที่เป็นปฏิปักษ์กันรุนแรงที่สุด และดูเป็นแบบนั้นชัดเจนขึ้นเมื่อผมเติบโตและเขาแก่ตัวลง
“อาเปา อั๊วมีเรื่องจะพูด”
ผมทำหน้าเหนื่อยหน่าย หยุดเท้าที่ก้าวเตรียมขึ้นห้องส่วนตัวแต่ไม่หันหลัง แม่ได้ยินเสียง เดินออกมาจากห้องครัวเตรียมห้ามทัพเหมือนทุกที
“โดดเรียนมานานแค่ไหนแล้ว”
“ป๊าพูดอะไร”
“อั๊วเห็นลื้ออยู่กับไอ้จับกังนั่น ตัวสูง ๆ เจาะหู สูบบุหรี่ด้วย ทำตัวเละเทะแบบนี้จะเอ็นฯ ติดไหม หมอน่ะ”
ตัวผมชาวาบ เหลือบตามองเฮียปิงที่ทำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ต่างกัน
“เลิกคบกับมันซะ แล้วเสาร์อาทิตย์ก็ให้อาปิงไปเฝ้าที่เรียนทุกวัน”
“ป๊าพูดอะไร”
“พูดเรื่องที่ลื้อต้องทำ เอาโทรศัพท์มานี่”
“อั๊วไม่ให้”
“อาเปา ลื้ออย่าดื้อ”
“มันจะมากเกินไปแล้ว ป๊าจะมาห้ามอั๊วไม่ให้คบเพื่อนไม่ได้นะ อั๊วไม่ใช่ตุ๊กตาที่ป๊าเลี้ยงนะ”
“ก็หัดคบเพื่อนดี ๆ บ้างสิวะ ไอ้กุ๊ยแบบนั้น คบไปก็มีแต่พากันฉิบหาย”
“รุณไม่ใช่กุ๊ย เขาแอดฯ ติดแล้วด้วยซ้ำ ป๊าไม่รู้หรอกว่าเขาเจ๋งแค่ไหน ป๊าอย่าตัดสินคนที่ภายนอกสิวะ อรุณเจ๋งกว่าอั๊ว เจ๋งกว่าเฮียปิงด้วยซ้ำ เจ๋งกว่าป๊าที่เอาแต่หัวโบราณไปวัน ๆ อีก”
ผัวะ!
“มันจะมากเกินไปแล้วนะไอ้เด็กนี่ เพราะคบเพื่อนแบบนี้ไงล่ะถึงติดนิสัยกุ๊ยแบบนี้มา”
ประโยคนั้นไม่เจ็บเท่าความรู้สึกเมื่อหมัดหนัก ๆ กระแทกเข้าที่สันกราม หน้าผมเอียงเล็กน้อย แน่นิ่ง รู้สึกหูอื้อไปหมด เจ็บเป็นพิเศษบริเวณที่แหวนทองของป๊ากระทบแก้ม เสียงกรีดร้องของแม่ดังขึ้น เมื่อเบือนหน้ากลับมาก็พบว่าเฮียปิงล็อกแขนป๊าเอาไว้ แม่ดึงไหล่ผมให้ห่างออกมา ไม่กี่นาทีจากนั้นป๊าก็กระโดดถีบทั้ง ๆ ที่ยังถูกมัดตัวเอาไว้แน่นหนา ได้กลิ่นคาวคลุ้งในโพรงปาก รสเค็มปร่าของเลือดติดอยู่ที่ปลายลิ้น
“เปา อย่าโกรธป๊านะลูก ป๊าแค่โมโห”
“อย่าไปปลอบมัน อาแก้ว เอามือถือมันมา อย่าให้ติดต่อกับไอ้เด็กนั่นได้อีก”
“ป๊าห้ามอั๊วไปก็เท่านั้น อั๊วเลิกคบกับรุณได้ ป๊าห้ามอั๊วได้แน่นอน จะผูกอั๊วไว้กับเตียง ขังไว้ในห้องไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ป๊าอยากทำอะไรกับร่างกายอั๊วก็ได้ แต่อั๊วบอกไว้ก่อน เรื่องหนึ่งที่ป๊าไม่มีวันห้ามอั๊วได้ อั๊วเป็นเกย์ อั๊วชอบรุณ และอรุณดูแลอั๊วได้ดีกว่าป๊าทำตั้งหลายเท่า”
ผมปากระเป๋าเป้ลงพื้น หนังสือจากโรงเรียนกวดวิชากระจายเรี่ยราด เสียงของป๊าและแม่เงียบไป ทุกคนไม่ขยับ จับจ้องสายตามาที่ผมราวกับขอคำอธิบายเพิ่มเติม
“วันหนึ่ง อั๊วก็กลับไปคบกับรุณอยู่ดี”
พูดแค่นั้นแล้วสาวเท้าก้าวไป ความรู้สึกที่อัดอั้นแน่นอยู่ในอกคล้ายปริแตก ระเบิดออกมาทุกอณู หัวผมโล่งไปหมด ขณะเดียวกันก็ทุกข์ใจ ก่อนที่เสียงเฮียปิงจะเรียกไว้ไม่ให้สองขาก้าวไปไหน
“เปา! เรียกรถพยาบาล ป๊าช็อก”
.
.
.
(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/originals/70/f0/5c/70f05c6734dcb7888040d685362144bb.jpg)
Another sight
เห็นครั้งแรก ก็อดมองหาเรื่อย ๆ ไม่ได้แล้ว
หมอนั่นเป็นเด็กเนิร์ด ๆ ผิวขาว หน้าตี๋ ปากแดง นั่งอยู่ในมุมเงียบ ๆ ของห้องเรียนเสมอ ๆ แว่นตาหนาเตอะ หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ เวลาเดินทีตัวแทบโย้ไปข้าง ไม่ได้ผอมบาง แต่นับว่าตัวเล็กถ้าเทียบกับผู้ชายวัยเดียวกัน
ผมมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ มันชอบชวนไปนั่งหลังห้อง แต่ถ้านั่งไกลขนาดนั้นระหว่างกลางคงมีคนอื่นมานั่งบังทัศนียภาพ ผมเห็นเขาตั้งแต่คาบเรียนฟิสิกส์วันแรก โดดเดี่ยว ไม่พูดกับใคร ดูเป็นคนไม่น่าสนใจแต่ยอมรับว่าตัวเองสนใจไม่น้อย
“ทำไมรุณชอบมานั่งตรงนี้ แอร์ตก เอื้อยหนาว”
เพื่อนผู้หญิงที่รู้จักกันเมื่อเทอมก่อนในช่วงฤดูกาลแข่งกีฬาบ่นกระปอดกระแปด กระนั้นก็ยอมนั่งข้างกันแต่โดยดี เพื่อนของผมมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย เป็นคนที่เจอกันระหว่างการแข่งขันอะไรสักอย่าง หรือแม้กระทั่งเดินมาคุยด้วยโต้ง ๆ ในร้านอาหาร รถไฟฟ้า ถึงขั้นเดินสวนกันแล้วฝากเพื่อนมาขอเบอร์ก็มี ผมเป็นคนอัธยาศัยดี แน่ล่ะ เป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่นักดนตรีทุกคนพึงจะมี เราอารมณ์ขัน ตลกโปกฮา ไหลลื่น คุยแล้วไม่น่าเบื่อ ดังนั้นเมื่อเผยตัวออกมาทีละนิดว่าเป็นโฮโมเซ็กชวลก็ไม่กระทบอะไรกับความสัมพันธ์
“มองตี๋นั่นอีกแล้วสินะ”
ใครบางคนกระซิบถาม ผมไม่ตอบในทันที แต่สายตาที่ทอดตรงไปก็ทำให้เกิดเสียงแซวกันอื้ออึง เขาหันมองกลับมา คาดว่าคงจับประเด็นไม่ได้ว่ากำลังถูกพูดถึง เมื่อเราสบตากันจึงหันหน้าหนีไปใหม่
ยิ้มให้ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่คิดจะสนใจกันเลยนะ
มีหัวใจบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
“มาก่อนคนอื่นอีกแล้ว”
ผมเอ่ยในคาบเรียนที่จงใจตื่นเช้ามาเรียนชดเชย หลังจากสบตาในตอนนั้นก็ยังมองเรื่อย ๆ เขาเหลือบมองกลับมาบ้าง แต่ไม่มีเหตุให้คุยกัน ไอ้พวกเพื่อนผมก็อยู่กันเป็นโขลงเบ้อเริ่มเสียขนาดนั้นจะปลีกตัวมาหาก็กลัวลูกแกะไหวตัวหนีทัน สุดท้ายเลยแอบถามพี่ที่ประชาสัมพันธ์ได้ความว่าตี๋แว่นมีเรียนเคมีเหมือนกัน แต่เป็นเช้าวันเสาร์
“แว่น นั่งด้วยดิ”
เมื่อเห็นว่าตัวเองยังไม่ได้รับความสนใจเลยทักอีกครั้ง คราวนี้ตาตี่ ๆ เหลือบมองกลับมา ดันแว่นหนาเตอะขึ้นชิดจมูก โกยหนังสือกับกระเป๋าเก็บไว้ไม่ให้เกะกะ ท่าทางนั้นไม่ได้เงอะแงะ แต่เยือกเย็น น่าค้นหา ผมชวนเขาคุยเรื่องสรรพเพเหระ รู้จักชื่อและโรงเรียนในที่สุด ท่าทางกวนประสาท หยิ่งยะโส ปลายจมูกรั้นโบราณว่าเป็นคนดื้อ แต่ดูท่าทางคงดื้อเงียบ มีบรรยากาศกดดันแผ่ออกมา สีดำทะมึนสลับแดงฉานคล้ายถ่านที่ยังไม่มอดสนิท นิสัยขวางโลก ไม่สามารถควบคุมได้โดยง่าย
“เลิกเรียนแล้วไปดูกูซ้อมดนตรีสิ จะลองขอเพื่อนให้ลองเล่นดู”
ผมหยั่งเชิง ไม่บังคับ เห็นแววลังเลอยู่ในดวงตา เมื่อชวนอีกครั้งสุดท้ายเขาก็ตกลง
“ไอ้เปาน่ารักว่ะ” ภัทรเอ่ยชมหลังจากผมกลับจากส่งเปาที่โรงเรียนกวดวิชา มันดีดกีตาร์ตัวโปรดของผม หลิ่วตาให้แล้วพูดต่อ “เป็นคนที่น่าสนใจฉิบหาย”
“ของกู กูเจอก่อน กูจองแล้ว”
“ไอ้เหี้ย แค่จ้องไม่ถือว่าจองโว้ย”
“เดี๋ยวเอากีตาร์ฟาดปาก”
“แหม ถ้ากีตาร์พังจะเอาอะไรไปล่อเขามาล่ะคร้าบ” เพื่อนสนิทกล่าวอย่างรู้ทัน เมื่อรถพ่อไอ้โป้มาถึงเราก็เงียบเสียง ขนเครื่องดนตรีฝากมือกลองกลับไปนอนบ้าน ส่วนอีกสามตกลงกันว่าจะไปสังสรรค์กันต่อ
“กูว่าหน้าคุ้น ๆ”
“คุ้นอะไร ไอ้ธีร์”
“เปาน่ะ เหมือนกูเคยเจอ อ้อ นึกออกแล้ว เพื่อนพี่ธัชชื่อปิง เคยพาน้องชายมา มึงถามเปาดิว่ามีพี่ชื่อปิงหรือเปล่า กูว่าใช่”
“รู้แต่ว่ามีพี่ชายว่ะ”
“เออ ถ้าใช่แม่งงานยากแล้ว” มือเบสกล่าวพลางคว้าบุหรี่ขึ้นมาจุด ส่งหนึ่งมวนที่เหลือให้ผม และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปฎิเสธ ผมรับมา ต่อบุหรี่จากมัน อัดควันเข้าปอดเฮือกใหญ่ “บ้านพี่ปิงโคตรเข้ม พ่อเขาน่ะ ดุอย่างกับหมา กูจำได้เพราะพี่ธัชเคยเล่าให้ฟัง เป็นตลกร้ายว่ะ ที่บ้านพี่ปิงโดนเข็นให้เรียนหมอตั้งแต่ม.ต้น แต่เรียนไม่ไหวจริงเลยได้วิศวะแทน ตอนนี้เวรกรรมเลยไปลงที่น้องชาย”
ผมครางรับ เป็นข้อมูลที่ตรงกับที่ได้ยินมา ตั้งใจว่าเจอกันเสาร์หน้าจะลองถามดู
“เออ แต่วันนี้ทำไมไม่ใส่ต่างหูวะ เพิ่งได้มาไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้ว่าเปาเป็นแบบไหนว่ะ” ผมสารภาพกับคนถามตามจริง “กลัวเถื่อนไปแล้วเขาจะกลัว”
“ไม่น่าเป็นคนปอดแหกนะ”
“ดูไกลๆ เหมือนเรียบร้อยไง” เด็กเรียนสุด ๆ ตอนที่รู้ว่าชอบเล่นกีตาร์หัวใจผมโลดแล่น กู่ร้องตะโกนว่ากูมีช่องจีบแล้วโว้ย
“กล้าโดดเรียนตามเพื่อนที่เจอกันครั้งแรกมาได้ ไม่เรียกป๊อดนะ ไม่เนิร์ดด้วย”
“เพราะกูหล่อ แถมคารมดีต่างหาก”
“ถ้าสบายใจที่คิดแบบนั้นก็เอาเถอะ”
ผมเฝ้ารอวันเสาร์ นับจากนั้น
เวลาเรียนพิเศษเย็นวันธรรมดาถูกเลื่อนเป็นเช้าตรู่ทั้งเสาร์และอาทิตย์ เข้าเรียนบ้าง โดดเรียนบ้าง เวลาที่เห็นเปากับกีตาร์แล้วก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขไปด้วย เขาไม่ได้ฉีกยิ้ม ซ่อนทุกอย่างไว้ที่มุมปาก จับคอร์ดได้แม่นยำ ตั้งใจจริง
ว่ากันว่าผู้ชาย พอแน่วแน่กับอะไรแล้วจะเท่อย่างประหลาด
ผมเท้าคางมองเปา อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาหวานเยิ้ม พวกไอ้ภัทรเลิกแซวไปแล้ว แต่ยังหลิ่วตาล้อเป็นระยะ แน่นอน คำพูดของพวกมันไม่ได้ทำให้เปาเขินอาย คนที่หัวเราะแก้เก้อตลอดกลายเป็นผม หมอนี่แน่นิ่ง ไม่เผยความรู้สึก เก่งเรื่องเก็บทุกอย่างไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบ แต่ผมสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจ
“โน้ตตรงนี้มันเพี้ยนหรือเปล่า”
“หืม?”
“ที่แกะมาเมื่อคืนน่ะ” ผมลุกขึ้นจากที่ที่ตัวเองนั่ง อ้อมหลังมาเพื่อชะโงกหน้าดูสมุดเยิน ๆ ของตัวเอง ตัวอักษรโย้ไปมา เพลงนี้แกะตอนเมา “ฟังแล้วมันเพี้ยน ๆ”
ตี๋แว่นดีดให้ฟังอีกรอบ ไม่มีอาการเคอะเขินเมื่อผมอยู่ใกล้ กระทั่งถูกกระชิบชิดหูว่าผมแกะผิดโน้ตจริงเสียงกีตาร์ก็บอดขึ้นมาดื้อ ๆ ไหล่เล็กสั่น แต่ยังคงสีหน้านิ่งสนิท
“ตัวนี้น่าจะเป็นจีชาร์ป”
“ไม่ต้องพูดใกล้ๆ หรอก”
“เขินเหรอ”
“ลองบ้างไหมล่ะ”
“ไม่เอา” ผมเถียง ยิ้มกรุ้มกริ่ม “กูได้เขินจนต้องเอากีตาร์ตีหัวตัวเองแน่”
“สงเคราะห์ให้ไหม” ไอ้ภัทร ไอ้ตัวเสือก ไอ้โป้ที่ไม่ค่อยพูดยังใช้จังหวะนี้ตีกลองรับ ผมชูนิ้วให้มันแทนคำตอบ และนั่นทำให้ได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของเปาอีกครั้ง
“ไอ้รุณ หูมึงแดง” แม้แต่ธีร์ผู้ซึ่งไม่ค่อยกวนประสาทผมเท่าไรยังตะโกนแซวมาด้วย ผมตะครุบหูตัวเอง เหลือบมองตัวการที่รอยยิ้มลามไปสู่การหัวเราะเสียงใสแล้วก็เผลอยิ้มตาม
“ปล่อยให้เราถูกจีบแบบโต้ง ๆ บ้างเถอะน่า” เปาทำตาวิบวับล้อเลียน ใครบอกว่ามันใส แสบใช่เล่นเลยต่างหาก “อีกนิดก็ไม่ได้จีบแล้ว”
“เฮ้ย อะไรวะ” ผมรีบโวยวาย ดูแลดีขนาดนี้ยังจะทิ้งกันลง คิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อย เป็นไอ้ตี๋แว่นที่โคตรน่าต่อย แต่ทำไม่ลง อยากจับมาจูบให้หายแค้นเสียมากกว่า
“เมื่อกี้ไม่ได้ขอคำตอบเหรอว่าคิดยังไง”
“เออ ก็ถามว่าคิดยังไง พูดเองว่าจะบอกหลังงานเปิดหมวกไม่ใช่เหรอ”
“ก็ถ้าเราพูดความรู้สึกออกไปจะจีบต่อหรือคบเลยล่ะ”
เชี่ยแว่นเล่นกูแล้ว แต่ผมไม่โกรธหรอก โอเค ตอนนี้หน้าผมร้อนมาก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะร้อนกว่า แก้มขาว ๆ ขึ้นสี มือดีดคอร์ดกีตาร์โน้ตเพี้ยน ๆ เสียงบอด ๆ ต่อไป ไม่ได้เรื่อง ห่วยแตกชะมัด อยากบอกว่าถ้าเขินแล้วเล่นดนตรีเพี้ยนขนาดนี้มึงไปเรียนหมอเหอะไอ้แว่น แต่นี่เป็นสิ่งที่เปารัก ถึงเพี้ยนแค่ไหนมันก็ทำให้เสียงนั้นน่าฟังกว่าปกติ
“วันนี้กลับค่ำหน่อยได้ไหม แต่ทันพี่มึงมาแน่”
“ทำไม”
“อยากจีบต่ออีกนิด”
ผมทำตาเจ้าชู้ใส่ ไม่ใช่เรื่องปกติ ยิ่งรู้จักมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกชอบมากกว่านั้น เปาที่ปอกเปลือกออกไป เปาที่เป็นแค่เด็กผู้ขายคนหนึ่ง
“เดี๋ยวเลี้ยงข้าวราดแกงลิโด้เลยเอ้า”
“ต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน”
“งั้นแวะกินบิงซูกันไหม”
“คิวอย่างยาว เดี๋ยวกลับไปที่กวดวิชาไม่ทันเฮียปิง”
กฎเกณฑ์เยอะไปหมด พอพูดถึงเรื่องพวกนี้สีหน้าของเปาจะเปลี่ยนเป็นอีกอย่าง ผมอยากให้มันมีความสุขมากกว่านี้ แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ แม้กระทั่งเปลี่ยนครอบครัวคนอื่น หรือเปลี่ยนให้เปากล้าแสดงจุดยืนยังไม่สามารถทำได้
ถ้ามันได้เรียนคณะที่ชอบก็คงดี
“งั้นเดี๋ยวเลี้ยงข้าวเซเว่น จะสอนเล่นเพลงเจ๋งๆ อีกเพลง”
มันโคลงหัว การตอบตกลงของเปาคือความเงียบ ผมชินแล้ว สั่งไอ้ภัทรไปซื้อข้าวกล่องขณะที่ตัวเองสอนเพลงใหม่ พอภัทรกลับมาก็ให้เปาเล่นพร้อมวงเป็นครั้งแรก
หัวไวชะมัด
ไวจนผมรู้สึกว่าการทำลายอนาคตหมอของมัน ช่างเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน
ความจริงแล้ว วันนั้น จบลงด้วยการที่ผมแอบแตะปลายนิ้วระหว่างเราเดินข้างกันเบา ๆ เริ่มต้นจากการอยากรู้จักแค่เพียงฉาบฉวย จู่ ๆ ก็ผันกลายเป็นเรื่องจริงจังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ผมมองเห็นหน้ามัน ไม่รู้ปัญหาของมัน แต่สัมผัสว่าสิ่งที่อีกฝ่ายแบกรับอยู่ใหญ่หลวง ใหญ่สำหรับเด็กวัยเดียวกันที่ผมรู้จัก กระนั้น ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันราวกับเปาโยนทุกอย่างออกจากบ่า
ผมนับวันที่จะได้เจอกันอีกครั้ง คำพูดมากมายเต็มไปหมด รู้ว่าตัวเองไม่อาจแก้ปัญหาของมันได้ ไม่อาจเป็นหนึ่งในทางออกของมัน สังคมเราต่างกัน ครอบครัวก็เช่นกัน แต่การได้อยู่ข้าง ๆ มันแล้วเติมความสุขให้ทีละนิดก็เป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจผมฟูฟ่องไปด้วย
อะไรจะมีความสุขไปมากกว่าการได้อยู่เคียงข้างคนที่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด แต่เข้าใจว่ามันคิดอะไร รู้สึกยังไงเท่านั้น
แต่ทว่า วันเสาร์ถัดมา มันก็หายไป
“ไม่มาจริงเหรอวะ”
ภัทรเป็นคนถาม หลังจากการรอคอยถึงขีดสุด ผมไม่พูด นั่งแท็กซี่ตามพวกมันมาอนุสาวรีย์หลังจากพบแน่ชัดแล้วว่าเปาไม่มาเรียน ส่วนโทรศัพท์ก็ไม่สามารถติดต่อได้
เปาไม่ชอบเล่นโทรศัพท์ ไม่ใช่คนติดมือถือ แต่อย่างน้อยทุกคืนผมส่งราตรีสวัสดิ์ไปก็จะมีใครบางคนกดอ่าน แม้ไม่เคยตอบกลับมา ผมรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเขาต้องยิ้ม ในความเครียดขมึง ท่ามกลางสงครามประสาทขนาดย่อม ผมจะเป็นโอเอซิสให้เขาเสมอ
แต่สองวันหลังจากที่เจอกันคราวนั้น แอคเคาน์ที่คุยกันก็ถูกลบไป
ผมโทรติดต่อเปาไม่ได้ ไม่มีคำอธิบายอะไร แม้กระทั่งวันนี้ที่ไปนั่งรอหน้ากวดวิชาจนหมดชั่วโมงแรก เปาก็ไม่โผล่มา
“ได้เรื่องไหมวะไอ้ธีร์”
เคยได้ยินว่าพี่ชายธีร์เป็นเพื่อนกับพี่ชายเปา นั่นเป็นแสงสว่างสุดท้ายที่เหลืออยู่ แค่อยากรู้ว่าเปาเป็นอะไร สบายดีหรือไม่ ผมไม่โกรธเลยที่เขาหายไป สิ่งที่อัดแน่นในหัวใจคือความเป็นห่วงต่างหาก
“กูว่ารอจบงานค่อยไปฟังเฮียธัชเล่าดีกว่า”
“กูไม่รอแล้ว กูเล่นไมได้แน่ถ้าไม่รู้ว่าเปาหายไปไหน”
“แล้วถ้ากูบอกให้มึงตัดใจ มึงจะเล่นได้ไหม”
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาสิวะ! มึงรู้! อย่าทำให้กูเป็นบ้าไปกว่านี้ได้ไหม! บอกกูว่าเปาเกลียดกู เปาไม่อยากเจอหน้ากูอีกก็ได้ แต่บอกหน่อยได้ไหมว่าเขาไปไหน เขาสบายดีหรือเปล่า!”
บ้าชะมัด ทำไมไอ้แว่นถึงทำให้ผมเครียดได้ขนาดนี้ ระเบิดอารมณ์ใส่มือเบสไปโครมใหญ่ก็เหลือเพียงความนิ่งเงียบ เราพร้อมกันอยู่ที่ฟุตปาธของอนุเสาวรีย์แล้ว อุปกรณ์เครื่องเสียงตั้งครบ มีเพียงกีตาร์ตัวที่เปาชอบเล่น กับตัวที่ผมใช้ออกงานวางสงบนิ่งอยู่ ใช่ ผมเอามาเผื่อเขา ถ้าเปาอยากเล่นด้วยกัน ครั้งแรกของเรา ผมจะให้เปาเล่นด้วย จะไม่แกล้งให้เขิน ให้อีกฝ่ายดีดกีตาร์ผิด จะให้มันเป็นหนึ่งในความภูมิใจของเปา
แต่ตอนนี้ทุกอย่างว่างเปล่า
“รุณ ใจเย็นดิวะ”
“บอกกูเถอะ”
“เปาทะเลาะกับพ่อเรื่องเพื่อน ให้กูเดาก็คงเป็นมึง” ธีร์คลายสิ่งที่กำไว้ออกมาในที่สุด มันไม่โกรธที่ผมขึ้นเสียงใส่ เราสนิทกันจนเข้าใจว่าในภาวะแบบนี้ผมซึ่งไม่เคยเครียดกำลังเครียดมากแค่ไหน “พ่อเปาเข้าโรง’บาล พี่ปิงเองก็ยุ่ง ๆ กูรู้อะไรไม่มากหรอก แต่ถ้าพ่อกับแฟน เป็นมึง มึงก็เลือกพ่อใช่ไหม”
ภัทรบีบหัวไหล่ผมเบา ๆ
“ตัดใจเถอะว่ะ ทุกบ้านไม่ได้ให้โอกาสลูกตัวเองเหมือนที่บ้านมึงเป็น”
“เล่นดนตรีวันนี้ ก็ถือว่าเล่นเผื่อเปาที่คงไม่ได้จับกีตาร์อีกก็แล้วกัน”
มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปีของผมเลยทีเดียว
แย่ยิ่งกว่าแพ้รักบี้ ยิ่งกว่าสายกีตาร์ขาด แย่กว่าโดนวงดนตรีก่อนหน้ากินเวลา ความจริงแล้วเพิ่งรู้ตัวเองว่าผมเป็นคนโชคดีขนาดไหนที่มีเรื่องเครียด ๆ เล็กน้อยเหลือเกิน
เปาหายไปจากชีวิตผม ไอ้ธีร์เองก็ไม่พูดถึงอีก ผมไม่รู้ว่ามันไม่ได้ยินข่าวของบ้านเปาจากพี่ชายมันแล้ว หรือแค่ไม่อยากเล่าให้ฟัง ทุกสิ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ผมเข้าใจได้ เป็นใครครอบครัวก็ต้องมาก่อน แม้ว่านั่นจะเป็นความสุขของเปาหรือเปล่าก็ตาม
แต่แน่นอน ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากทำร้ายลูกตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ผมเบาใจไปว่าเปาจะมีอนาคตที่ดี
“ลืมไฟแช็กไว้ที่โต๊ะกินข้าว” คนเปิดประตูห้องมาเป็นแม่ ผมนั่งครอบหูฟังไว้แต่ไม่ได้เปิดเพลง อาการอกหักของผมก็แค่นั่งนิ่ง ๆ ในห้องเงียบ ๆ ไม่เอะอะมะเทิ่ง ไม่ดื่มเหล้าจนจะเป็นจะตาย ส่วนบุหรี่ก็ไม่ได้สูบจัดเท่าไร
“กำลังหัดเลิกบุหรี่เหรอ”
“เปล่าครับ แค่ไม่อยากสูบ”
“เลิกได้ก็ดีนะ แม่ไม่ค่อยชอบใจเท่าไร”
“ติดไปแล้วน่ะสิ”
“ถึงได้บอกว่าเลิกได้ก็ดี ค่อย ๆ แล้วกัน ไม่ใช่แค่กับตัวเอง แต่กับคนรอบข้างด้วย ที่พูดเข้าใจไหม”
“จะพยายาม”
“งั้นไฟแช็กนี่แม่ยึดนะ”
“โธ่ แม่ นี่รุณก็ลดเหลือวันละมวนแล้วนะ ยึดแล้วให้จุดไฟกับอะไรล่ะ หินกระทบกันหรือไง”
“อย่างนั้นก็ดี จะได้เหนื่อยแล้วเลิกไปซะ เรานี่มันลูกพ่อไม่มีผิด”
“ตอนอยู่กับพ่อ พ่อก็บอกลูกแม่”
“ไม่ได้อยากจะได้มาเล้ย ไอ้ลูกคนนี้ แต่เอาเถอะ ตอนนี้วันละมวน เดือนหน้าขอเป็นสองวันมวนนะ แล้วจะพิจารณาเรื่องกีตาร์ตัวใหม่ให้”
ผมถอดหูฟังออก เดินมากอดมารดาที่ตัวเล็กนิดเดียวไว้ในอ้อมแขน หอมแก้มซ้ายขวาทีละข้างอย่างเอาใจ พานนึกไปถึงใครอีกคนว่าเคยมีช่วงเวลาแบบนี้หรือเปล่า
คนที่เข้าใจเรา แม้จะทำตัวไม่ดีแค่ไหนก็ตาม
ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว การปิดเทอมแสนยาวเหยียดเดินทางมาถึง ผมใช้เวลากับการซ้อมดนตรีเสียส่วนมาก พวกเพื่อน ๆ เข้ามหาวิทยาลัยแตกต่างกัน ไม่มีคนไหนได้เรียนด้วยกันอีก ดังนั้นหลังจากเปิดเทอมการรวมตัวกันอีกครั้งก็ยากที่จะทำ ส่วนการใช้ชีวิตผมเหมือนเดิม พบปะเพื่อนฝูง รู้จักคนใหม่ ๆ มีหลายคนเข้ามา และหลายคนผ่านออกไป ทว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่แสนยาวนานไม่อาจทำให้ผมลบภาพใครบางคนออกไปได้เลย
อยากเจออีกครั้ง อยากเห็นว่าเปามีความสุขดีมากกว่าตอนนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะรอ แต่ผมคิดว่าเราน่าจะมีโอกาสเจอกันอีก
บางที...อาจเพราะคำถามของเปาครั้งหนึ่งที่เคยกล่าวในทำนองว่าจะสอบตามกันมาก็ได้
“เฮ้ย ไอ้น้องเสื้อเขียวรด.คนนั้นน่ะ ลงชื่อประกวดเดือนคณะไหม”
พักเที่ยงของวันแรกพบคณะผมถูกรุ่นพี่ประกาศโทรโข่งเรียก เรื่องกิจกรรมไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ที่เหม่อถึงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อครู่ถูกเก็บลงลึกในใจ ผมรู้ว่าแพทย์ที่มหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้โด่งดัง ครอบครัวเปาอาจไม่ยอมให้ลูกชายที่มีความสามารถขนาดนั้นมาลงเรียนด้วย แต่ทว่า...ก็ยังหวังอยู่
ถ้าผมเป็นเดือนคณะ โอกาสที่ได้แสดงตัวให้เปาเห็นอีกครั้งจะมีหรือเปล่านะ
ถึงเวลานั้น...เราจะได้เจอกันอีกสักทีไหม
ความจริงแล้วงานประกวดก็ไม่ได้แย่อะไร ผมชินชากับเวที ผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ ทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก ขึ้นไปด้วยความหวัง แน่นอน ผมไมได้หวังจะได้ตำแหน่งใด ๆ คิดเรื่องเดียวคือเปา ไอ้แว่นที่ต้มผมว่าเนิร์ดเสียจนเปื่อย เด็กที่นั่งหน้าสุดในห้องเรียนกวดวิชา ห่อไหล่เข้าหากันด้วยความหนาว แต่ที่พกมาเป็นเพียงเสื้อคลุมตัวบาง ๆ เท่านั้น
ผมไม่รู้จักทั้งชื่อและนามสกุลของมัน ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน พ่อแม่เป็นใคร มองเห็นแต่ความสุข ความทุกข์ในแววตาคู่นั้น จำได้ตั้งแต่ยังไม่ได้สบตา มองอยู่ฝั่งเดียวจนจำหน้าได้ขึ้นใจ ดังนั้นเมื่อลงจากเวทีประกวดเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนก็ทำให้ใจเต้นรัว กิริยาท่าทาง ทรวดทรง กระทั่งจังหวะการขยับตัวที่ผมมองอยู่ฝ่ายเดียวบ่อย ๆ ชัดเจนขึ้น วันนี้ดูมันแปลก ไม่ใช่เหี้ยแว่นที่พกความมั่นใจมาเต็มหน่วย
“คิดไว้แล้วเชียวว่าเด็กกิจกรรมอย่างนายต้องขึ้นประกวด”
เป็นประโยคที่กวนตีนเป็นบ้า มันดูจิตตก กำมือแน่นเข้าหากัน เม็ดเหงื่อผุดพราย ท่าทางที่เห็นแล้วต้องซ่อนรอยยิ้มไว้ลึก ๆ ดีใจเป็นบ้าที่เจอกันอีกครั้ง
“แล้วยังไงต่อ” แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพื่อดูปฏิกิริยา ไอ้แว่นหน้าซีดมากกว่าเดิม เหงื่อแตกพลั่ก
“ขอโทษ พอดี...มีปัญหาที่บ้านนิดหน่อย”
“ไม่นิดหรอกมั้ง หายไปจนติดต่อไม่ได้ขนาดนี้ เกือบครึ่งปีเชียวนะ”
“อืม...ไม่มีอะไรจะแก้ตัวหรอก มีแฟนแล้วใช่ไหมล่ะ ป่านนี้แล้วนี่เนอะ” สีหน้ามันผิดหวัง อาจเป็นความผิดหวังไม่กี่อย่างในชีวิตที่มองเห็นแล้วหดหู่ใจไปด้วย ผมเลิกแกล้งมันตั้งแต่นั้น มันคือคนที่ผมรอตลอด มาเจอในวันนี้ ไม่รู้จะเป็นการกล่าวลาหรือไม่ด้วยซ้ำ
“ติดหมอแล้วล่ะสิ”
เปาพยักหน้า ขณะที่หัวใจผมสั่น เขาเดินตามเส้นที่ทางบ้านตีกรอบไว้ให้ ทั้ง ๆ ที่เข้าใจเหตุผล แต่กลัวคำบอกลาอย่างเป็นทางการอยู่ดี ผมเงียบไปอึดใจ ในหัวเฝ้าเพียรคิดว่าหากอีกห้านาทีมันจะหายไปอีกผมควรทำอะไรในเวลานี้
สองขาขยับก้าว ยื่นมือจับปลายคาง วันนี้น่ารักกว่าทุกที ไม่มีแว่นสายตาหนาเตอะมาช่วยบังตาตี่ ๆ อีกแล้ว “ทำไมไม่ใส่แว่นมา แล้วเมื่อกี้มีคนขอเบอร์หรือเปล่า”
“ไม่มี”
“รุ่นพี่มาจีบเยอะไหม”
“ไม่มี ถามอะไรของนายน่ะ”
“เฮ้อ” ถอนหายใจโล่งอก แค่ได้แสดงความหึงหวงชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี “ไม่อยากให้ใครเห็นหน้าแบบนี้จริง ๆ สิพับผ่า”
คลึงข้างแก้มขาว ก่อนมันจะขึ้นสี ถ้ามีกีตาร์อยู่ในมือตอนนี้เปาคงเล่นจนเสียงพังพินาศ เขาเบนสายตาหนี แต่ไม่ขืนตัวออก อย่างน้อยนาทีนี้ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง ติดก็แต่เรื่องที่บ้าน...
“เออ...ป๊าอนุญาตให้อยู่หอแล้วนะ”
เปาตอบคำถามในใจผมกลาย ๆ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่าประหลาด ลูกชายคนเล็กที่ทางบ้านหวงแหนนักหนาจะได้อิสระอย่างที่ไม่เคย ผมเลิกคิ้ว ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “เหรอ เข้มงวดน้อยลงแล้วสิ”
“ก็...ประมาณนั้น”
นั่นหมายความว่า “แล้วอนุญาตให้มึงหาลูกเขยมาให้หรือยัง”
ไม่ตอบคำถาม คือการตอบแบบหนึ่งของเปา ผมรับรู้เรื่องนี้มาตลอด เสียงหัวเราะนั่นทำให้หัวใจผมชุ่มชื้นขึ้นมา ทอดมองอีกฝ่ายด้วยความคิดถึงทั้งหมดที่มี เปาขยายความ คล้ายกับเป็นการสารภาพรักกลาย ๆ ในแบบที่คนหลงตัวเองอย่างผมจะคิดได้
“ที่จริงก็อนุญาตให้เป็นเกย์...แต่คบคนดี ๆ หน่อย ไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องนี้กันนักหรอก คงยังทำใจยอมรับอยู่”
“เหรอ อย่างกูนี่เรียกว่าดีหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
ไอ้แว่นแกล้งเฉไฉไปอย่างนั้น สารภาพตามตรง ผมไม่ควรรอเขา ใคร ๆ ก็บอกให้ตัดใจ ความเป็นไปได้ในเรื่องของเรามันริบหรี่ ผมรู้ว่ายาก แต่ในความยากก็มีเรื่องที่ไม่สามารถทำได้อยู่ อย่างเช่นลืมหัวใจตัวเองดวงนี้ไป ใครจะทำลง
เปาพูดแต่คำว่าไม่รู้ หลับหูหลับตา ไม่ยอมจ้องหน้า บางทีการบีบคั้นอาจทำให้เขาร้องไห้ มือที่จับแก้มอยู่รู้ว่าอีกฝ่ายสั่น ผมเองก็อยากดึงเขาเข้ามากอดแล้วร้องไห้ใส่สักทีให้สมกับที่เผชิญความทรมานในฤดูหนาวที่ผ่านมาสักครั้ง กระนั้นก็ไม่อาจทำได้ หลายคนมองเราอยู่ และผมไม่อยากให้เปาถูกมองมากกว่านี้
ชั่วจังหวะที่เราส่งความโหยหาให้แก่กัน เวลานั้นเปาน่ารักเกินไป และผมก็ไม่อาจอดใจได้อีก ไอ้แว่นไม่มีแว่นแล้ว ผมรู้ว่าข้อดีอย่างหนึ่งคือทำให้ผมขโมยจูบมันได้รวดเร็วและแนบแน่น
คนตัวเล็กกว่ายืนแน่นิ่ง ลิปสติกจากเครื่องสำอางก่อนขึ้นเวทีของผมติดอยู่ที่ปากมัน เปายังคงไม่ขยับตัว เผยอริมฝีปากนิด ๆ ทำอะไรไม่ถูก ผมขยิบตาให้อีกครั้ง ปล่อยให้มันเผชิญกับความรู้สึกที่ส่งไปให้เพียงลำพัง หัวใจผมพองโต ขึ้นไปฟังผลการประกวดเป็นเพียงหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ ผมได้รางวัลแล้ว เป็นรางวัลที่เฝ้ามองมานาน
“แฟนเหรอ” พี่สต๊าฟท์ถามขึ้น คงเห็นจังหวะที่ผมฉวยจูบพอดี “น่ารักดีนะ เรียนอะไร”
“แพทย์”
“เออ หน้าตาก็เหมาะจะเป็นหมอ”
“มันทำอย่างอื่นได้ดีกว่าหมออีก เล่นกีตาร์ก็เก่ง”
“พูดจริง พวกนั้นเขามีเวลามาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ด้วยเหรอวะ”
“ไม่ไร้สาระนะพี่” ในฐานะนักดนตรีขอเถียงคอเป็นเอ็น “ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก”
“เออ เข้าใจ แต่...”
“อย่าตัดสินมันที่ภายนอก มันทำอะไรได้มากกว่าเป็นหมอเยอะ แต่เป็นหมอก็ดี ทำให้ผมได้เจอกันอีกครั้ง” พูดตามจริง อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เรียนหมอทำให้มันได้ทำอะไรที่เหมาะสมมากกว่า”
“มีอะไรที่เหมาะกว่าเรียนหมออีกเหรอ”
“มีดิ” ผมยักคิ้ว สวมเสื้อที่ถอดทิ้งเมื่อครู่เข้าทางศีรษะ เมื่อหัวโผล่พ้น ยืดแขนสุดทั้งสองข้างก็เฉลย
“เป็นเมียผมไง เหมาะสุดแล้ว”
เสียงกรีดร้องดังอีกครั้งเมื่อสองขาก้าวขึ้นบนเวที ผมกวาดตามองหามันเหมือนอย่างเคย แน่นอน ปราดเดียวก็เจอหมอเปายืนกอดอกมองตรงมา สายตาผมไม่ขยับไปทางไหนอีก จากฝั่งนี้ สู่ปลายทางเดิม เป้าหมายเดิม
ไอ้เหี้ยแว่นที่หลอกผมว่าเป็นเด็กเนิร์ดเสียจนเปื่อย
END
ฉลองฟอลโลวเวอร์(@westnovel) ครบสี่ร้อย เย่
/ไม่เกี่ยว
จริง ๆ อีนี่บ้ายุค่ะ โดนยุมาว่าอยากอ่านพาร์ทของรุณบ้าง เลยลองเขียนดู เป็นอีกมุมที่เอาช่วงเวลาเดียวกันมาใส่ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์มากนะคะ มีอะไรแนะนำให้ปรับปรุงบอกได้เลยน้า