พิมพ์หน้านี้ - Halloween Series 2015 : ไฮเดรนเยีย
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: KOKURO ที่ 31-10-2015 19:52:43
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
-
สวัสดีครับ ฮัลโลวีนอีกแล้วนะครับ
มีเรื่องสั้นมาฝากกันอีกแล้วครับ
ถ้าชอบก็ดีใจครับ
HAKURO
++++++++++++++++++++++++++++++
HALLOWEEN FICTION 2015
Hydrangea
“โลกมนุษย์” เป็นชื่อที่มนุษย์ทึกทักตั้งเอาเอง ทั้งที่ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลากหลายอาศัยอยู่ในโลกนี้ หลายครั้งที่มนุษย์พยายามกำจัดสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อให้โลกเป็น “โลกมนุษย์” จริง ๆ เมื่อกาลเวลาผันผ่านไป มนุษย์ก็ได้หลงลืมสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น...และไม่เคยรู้เลยว่า เรายังคงมีชีวิตอยู่ใน “โลกมนุษย์” จนทุกวันนี้
ทาร์ค คือแวมไพร์ที่เหลือรอดมาจากการล่าผีดูดเลือดเมื่อหลายศตวรรษก่อน ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยแวมไพร์ที่ครอบครัวและเพื่อนบ้านช่วยกันซ่อนให้พ้นจากมนุษย์ผู้กระหายเลือด เขาเคยสงสัยว่าเหตุใดมนุษย์ที่เคยอยู่ร่วมกับพวกเขาได้อย่างสงบสุขเกิดจะไม่ยอมรับในตัวพวกเขาขึ้นมาและตามล่าตามล้างจนเกือบสูญสิ้นเผ่าพันธุ์...แต่ไม่ใช่แค่แวมไพร์อย่างพวกเขาหรอก แม้แต่พวกภูตป่าหรือแม่มดก็ถูกมนุษย์กำจัดทิ้งเช่นกัน
กระนั้น ทาร์คก็รักมนุษย์ เขาเคยมีเพื่อนมนุษย์มากมาย เคยถูกแวดล้อมด้วยความรักจากพวกมนุษย์ผู้ใหญ่ เขายังจำได้ดีถึงคืนวันอันสงบสุขเหล่านั้น
แน่นอนว่าเขายังคงจำการล่าแวมไพร์ได้แจ่มชัดเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ จากใต้ดินของปราสาทใหญ่ที่ครอบครัวได้ซ่อนเขาไว้ให้พ้นจากพวกมนุษย์ ทาร์คระหกระเหเร่ร่อนไปในโลกกว้าง แม้สัมผัสพิเศษจะบอกกับตัวเองว่ายังคงมีแวมไพร์ตนอื่นหลงเหลืออยู่บนโลก แต่พวกเขายังไม่เคยหากันพบ
ความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา...คือชะตากรรมของแวมไพร์ที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้
ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ร่างกายของทาร์คได้เติบโตขึ้นจากเด็กน้อยเป็นแวมไพร์หนุ่มวัยฉกรรจ์ มีชีวิตอยู่ด้วยเลือดเล็กน้อยของมนุษย์ที่เขาลอบเข้าไปในห้องนอนในแต่ละคืน...และในตอนนี้เขาก็แอบอาศัยอยู่ในบ้านร้างอายุร่วมร้อยปีที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ในห้องใต้ดินที่พักอาศัยไม่มีโลงศพให้นอนต่างเตียง จะมีก็แต่เตียงจริง ๆ เท่านั้น สภาพมันก็ดีอยู่หรอก ด้วยแวมไพร์หนุ่มแอบไปขนฟูกนอนมาจากที่ทิ้งขยะในตอนกลางคืนแล้วเอากลับมาทำความสะอาดเสียสวยหรู ในห้องก็ได้รับการทำความสะอาดอย่างดี มีของประดับตกแต่งเหมือนห้องคนธรรมดาทุกอย่าง ถ้าบ้านยังไม่พัง ทาร์คก็คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดนั่นแหละ
ทุกคืนที่ตื่นขึ้นหลังพระอาทิตย์ตกดิน แวมไพร์หนุ่มจะออกไปเดินเอ้อระเหยในเมือง ซึ่งเขาบอกกับตัวเองว่าแสงตะวันเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้นมันชักจะเจิดจ้าเกินไปแล้ว แม้มันจะไม่แสบร้อนแต่บางทีเดินในเมืองมาก ๆ ก็ตาพร่าได้เหมือนกัน
ทาร์คเลี่ยงแสงสีและผู้คนไปหลบในสวนสาธารณะมืด ๆ ที่มักจะไปนั่งเล่นเป็นประจำ แต่ในช่วงที่ฝนตกบ่อยแบบนี้ ม้านั่งที่เคยนั่งก็เปียกจนนั่งไม่ได้...แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะช่วงฤดูฝนนี่แหละ เป็นช่วงที่ดอกไฮเดรนเยียกำลังเบ่งบาน โชคดีที่ตรงเหนือแปลงดอกไม้มีโคมไฟอยู่พอดี ทำให้เขาพอจะชื่นชมความงามของดอกไม้ได้
ไฮเดรนเยีย เป็นดอกไม้สวยแปลก แรกเริ่มจะเป็นดอกเล็ก ๆ สีเขียวก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีเป็นสีม่วง ฟ้า ชมพู ตามแต่สภาพดิน...และทาร์คก็กำลังลุ้นว่าไฮเดรนเยียในแปลงดอกไม้จะมีสีอะไร
แวมไพร์หนุ่มเดินกางร่มเรื่อยเปื่อยไปตามทางเดิน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าใต้แสงโคมไฟมีใครบางคนนั่งอยู่
ทาร์คขมวดคิ้ว ใครคนนั้นนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นโดยไม่มีร่ม แม้ฝนจะตกไม่หนักนักแต่ก็ไม่น่าจะมาตากฝนในสภาพแบบนี้...เขาเดินเข้าไปกางร่มให้
“ตากฝนแบบนี้จะไม่สบายเอานะครับ”
ร่างนั้นยังคงนิ่งเงียบ ทาร์คเริ่มไม่แน่ใจว่าคนคนนี้เป็นมนุษย์หรือพวกภูตกันแน่...แต่ก็ไม่มีกลิ่นอายอะไรแปลกปลอมนี่นะ
“...คุณครับ...เดี๋ยวเป็นหวัดนะ” ทาร์คย้ำอีกครั้ง...หากใครคนนั้นยังคงนิ่งเงียบ
แวมไพร์หนุ่มตัดสินใจนั่งลงข้าง ๆ ไม่ว่าคนคนนี้จะเป็นมนุษย์หรือภูตพรายอื่นก็ตาม ก็ไม่มีใครทำร้ายแวมไพร์อย่างเขาได้หรอก แต่เขาก็รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่าคนคนนี้ไม่ใช่สิ่งอันตรายอะไรแบบนั้น
ร่างนั้นคือชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลอ่อนเปียกปอนลู่ลงมาระใบหน้าหวานสวยจนดูคล้ายผู้หญิง ดวงตาสีเข้มดูเลื่อนลอยเหม่อซึม เขานั่งกอดเข่าอยู่ท่านั้นไม่กระดุกกระดิกอีกเป็นครู่จนทาร์คชักเป็นห่วง
พลันเขาก็หันมามองหน้าทาร์ค แววตาไร้ความรู้สึกใสแจ๋วเหมือนลูกแก้วทำเอาแวมไพร์หนุ่มลืมหายใจ
“...” เขาเอ่ยอะไรบางอย่างแผ่วเบา
“อะไรนะครับ?” ทาร์คเงี่ยหูฟัง
“...ไฮเดรนเยีย...” ในที่สุดก็จับใจความได้อย่างนั้น “...ช่อนี้สีมันแปลกจังเลย...”
ทาร์คมองไปยังช่อไฮเดรนเยียที่คนตัวเล็กกว่าพยักเพยิดไป...แปลกจริง ๆ นั่นแหละ แทนที่จะเป็นสีม่วงหรือสีชมพู แต่ไฮเดรนเยียช่อนั้นกลับออกเป็นสีแดงราวกับกุหลาบ
“...แปลกเนอะ...”
“นั่นสินะครับ”
ทั้งสองเงียบกันไปครู่ใหญ่ กระทั่งทาร์คทำลายความเงียบขึ้นมาว่า
“ทำไมถึงมานั่งตากฝนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ?”
กว่าคำตอบจะมา ดูช่างเนิ่นนาน
“...ไม่รู้สิ ก็เดินมาเรื่อย ๆ...”
เดินมาเรื่อย ๆ...? เป็นคำตอบที่ประหลาดเกินไป ทาร์คสังเกตร่างของชายหนุ่มอย่างละเอียด...เสื้อเชิ้ตเนื้อบางกับกางเกงยีนส์ และเท้าเปล่า...สองเท้าเปื้อนโคลนนั้นทำให้ทาร์คแปลกใจ ใครมันจะบ้ามาเดินตากฝนทั้งเท้าเปล่าแบบนั้น แถมยังดึกขนาดนี้...
“...หรือว่า...ละเมอ?” เขาหลุดปากออกมา
“หือ...?” ปฏิกิริยาตอบสนองดูจะไวขึ้นนิดหน่อย ชายหนุ่มเลิกคิ้วเชิงถาม
“เดินเท้าเปล่าแบบนั้นไม่เจ็บเหรอ?”
ได้ยินคำถามแล้วเขาก็ก้มลงมองเท้าตัวเอง
“...อ๊ะ...”
อุทานแล้วก็เงียบไปแค่นั้น ทาร์คส่ายหน้าน้อย ๆ กึ่งระอากึ่งเอ็นดู
“นี่...กลับบ้านไปนอนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะครับ”
“...แต่มันสนุกนี่นา...”
“สนุกเหรอ?”
“อื้ม...สนุกกว่าตอนกลางวันเยอะเลย...” เขาตอบแล้วลุกขึ้นยืน ทำให้ทาร์คต้องลุกขึ้นด้วย “...แต่...ถ้าบอกว่าจะเป็นหวัด ก็จะกลับ...”
“งั้นเอาร่มไปด้วยนะครับ” แวมไพร์หนุ่มเอาร่มใส่มือชายแปลกหน้าคนนั้น
คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองทาร์ค ดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนลอยเหมือนตุ๊กตาจับจ้องใบหน้าของทาร์คเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง และทาร์คก็รอให้เขาพูด
“...อาเดีย...”
“หือ?”
“...ชื่อผม...แล้วคุณล่ะ?”
แวมไพร์หนุ่มยกมุมปากขึ้นยิ้ม ไม่มีใครถามชื่อเขามานานจนตัวเองก็แทบจะลืมไปแล้ว
“ทาร์ค ผมชื่อทาร์ค”
อาเดียพยักหน้ารับ
“...แล้วเจอกันนะ...”
เขาเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไปตามทางเดินของสวนสาธารณะพร้อมกับร่มในมือ
ทาร์คมองส่งเขาไปจนลับตา ก่อนจะหันกลับไปทอดสายตามองช่อไฮเดรนเยียสีแดง...ดอกไม้ที่แปลกประหลาด...ชายหนุ่มที่แปลกประหลาด...การพบเจอที่แปลกประหลาด
แวมไพร์หนุ่มยิ้มกับตัวเอง ...แล้วเจอกัน...งั้นหรือ จะเอาอะไรกับคนนอนละเมอ... เขาคิดแบบนั้นแล้วก็กลายร่างเป็นค้างคาว ออกบินไปหาใครสักคนที่พอจะมอบเลือดให้เขาได้ในคืนนี้
...
ทาร์คไม่ได้ตั้งใจจะไปเจออาเดียเท่าไรนัก เพียงแต่เขาอยากไปดูไฮเดรนเยียช่อนั้นอีกครั้งจึงไปที่สวนสาธารณะแห่งเดิม แต่แล้วเขาก็เห็นร่างเพรียวยืนกางร่มอยู่ใต้แสงของโคมไฟ ทาร์คจำอาเดียได้ทันที เขาเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ ร่มในมือของอาเดียก็คือร่มคันที่เขาให้ไปนั่นเอง
แม้จะมีร่ม แต่อาเดียก็ยังมาที่นั่นด้วยเท้าเปล่า ดวงตาเหม่อลอยทอดมองช่อดอกไม้สีกุหลาบไม่บ่งบอกความรู้สึกอันใด ดูราวกับจะกลืนหายไปกับเสียงฝนและความมืดสลัวรอบด้าน
“สวัสดีกลางดึกครับ อาเดีย” ทาร์คเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“...สวยเนอะ...” น้ำเสียงแผ่ว ๆ พูดกลับมาเป็นคนละเรื่อง หากทาร์คก็เข้าใจ
“ไฮเดรนเยียสีแดงนี่สินะครับ”
อาเดียพยักหน้า “...อยากเอากลับไปจัง...”
“ก็เด็ดกลับไปสิครับ” ทาร์คพูดพลางนั่งลงแล้วเอื้อมมือไปที่ดอกไม้ช่อนั้น
“อ๊ะ...อย่าเด็ดนะ” อาเดียรีบนั่งลงพร้อมกับคว้ามือทาร์คไว้
แวมไพร์หนุ่มมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ก็บอกว่าอยากเอากลับบ้านไม่ใช่เหรอครับ?”
ดวงตากลมโตจ้องกลับมา แม้มันจะเลื่อนลอยและใสเหมือนลูกแก้ว แต่กลับมีประกายประหลาดบางอย่างที่ทำให้ทาร์คแทบลืมหายใจ
“...ไม่...ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ได้จะเด็ดไป...ผมจะวาดรูปมันกลับไป”
“วาดรูป?”
“อื้ม...แต่วันนี้ฝนตก วาดไม่ได้...วันไหนฝนไม่ตก ผมจะมาวาดรูปมัน”
ทาร์คประหลาดใจ มนุษย์...เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวและต้องการครอบครองทุกอย่างไม่ใช่หรือ...แค่ดอกไม้ช่อเดียว จะต้องเด็ดไปได้โดยไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว เมื่อมันแห้งเหี่ยวอยู่ในแจกัน ก็เพียงแค่เอาไปทิ้ง เพราะอย่างไรเสียดอกไม้ก็ยังคงเบ่งบานใหม่ได้เสมอ...แล้วทำไมอาเดียถึงไม่เอามันกลับไปทั้งช่อ
“...ผมชอบวาดรูปน่ะ...” อาเดียบอกพลางคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก “ไว้จะวาดรูปคุณด้วย...คุณเหมาะกับกลางคืนดีนะ...”
ต้องเหมาะแน่อยู่แล้ว...ทาร์คคิด ในเมื่อเขาเป็นแวมไพร์ที่ใช้ชีวิตได้แต่ตอนกลางคืนเท่านั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดจะเหมาะกับกลางคืนเท่าพวกเขาอีกแล้ว เพียงแต่ความคิดและคำพูดของอาเดียช่างแปลกประหลาด ทั้งที่เพิ่งเคยเจอเขาแค่สองครั้งก็ถึงกับออกปากจะวาดรูปเขาเสียแล้ว
ทาร์คไม่ค่อยชอบอะไรที่แปลกเกินไปนัก แต่ถ้าความแปลกนั้นจะช่วยลบล้างความโดดเดี่ยวในชีวิตอันไม่มีวันสิ้นสุดนี้ไปได้บ้าง...เขาก็ยินดีรับมันไว้
“งั้น...ผมจะรอให้ฝนหยุดตกนะ”
...
การเข้านอนในตอนเช้ากลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับทาร์ค ที่ตื่นเต้นก็เพราะเขาคอยลุ้นว่าในคืนนี้จะได้พบกับอาเดียอีกหรือเปล่า แล้วอาเดียจะพูดอะไรแปลก ๆ ให้เขารู้สึกสนุกได้หรือเปล่า
พระจันทร์ขึ้นสูงแล้ว ทาร์คถ่วงเวลาให้ดึกหน่อยถึงออกจากบ้าน เขารู้ดีว่าคนนอนละเมอคงไม่ออกมาเดินตั้งแต่หัวค่ำแน่ คืนนี้ฟ้ากระจ่างและแสงจันทร์ก็เป็นใจ ในสวนสาธารณะมืด ๆ แสงจันทร์เป็นประกายนวลอยู่บนพุ่มไม้ใบหญ้าดูสว่างเรื่อเรืองเหมือนภาพฝัน เขาเดินลึกเข้าไปถึงแปลงดอกไม้...นั่นไง...ใครบางคนกำลังนั่งทำอะไรง่วนอยู่หน้าพุ่มไฮเดรนเยีย
ดินสอดำลากไปบนกระดาษอย่างคล่องแคล่ว เพียงเขียนเส้นไม่กี่เส้นก็กลายเป็นภาพช่อดอกไฮเดรนเยียทับซ้อนกันไปมาได้...ไม่ว่าจะด้วยพรสวรรค์หรือการฝึกฝน แต่สำหรับทาร์คแล้ว พวกศิลปินคือสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถน่าอัศจรรย์ยากจะเลียนแบบ
หลังจากร่างเส้นเป็นภาพช่อไฮเดรนเยียเรียบร้อยแล้ว อาเดียก็หยิบจานสีน้ำแบบพกพาออกมา บรรจงป้ายพู่กันลงไปเพียงไม่กี่ครั้ง ก็เกิดเป็นภาพดอกไม้สีกุหลาบท่ามกลางช่อดอกสีม่วงและฟ้า...แล้วเขาก็วางกระดานวาดภาพลงกับพื้น
“ยังไม่เสร็จเลยนี่ครับ?” ทาร์คทักขึ้นในตอนนั้น เขาได้แต่ยืนดูอยู่เงียบ ๆ มานานแล้ว
อาเดียหันมาช้า ๆ ดวงตาสีน้ำตาลยังเหม่อซึมเหมือนเคย ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ เหมือนเคย “นึกว่าจะไม่มาแล้ว...”
“ต้องมาสิครับ ก็สัญญาเอาไว้แล้วนี่” ทาร์คยิ้มให้ “ว่าแต่...ยังไม่เสร็จเลย เลิกวาดแล้วเหรอครับ?”
“รอให้สีแห้งน่ะ...” พูดแล้วก็ดึงกระดาษที่สียังไม่แห้งออกจากกระดานวาดภาพแล้วจัดกระดาษแผ่นใหม่ให้เข้าที่ “...มาก็ดีเลย นั่งสิ เดี๋ยวผมจะวาดรูปคุณ...”
ทาร์คไม่พูดอะไรให้มากความ เขานั่งลงกับพื้นง่าย ๆ ที่ใต้แสงไฟนั้น ดวงตาสีน้ำตาลใสจับจ้องที่ใบหน้าของทาร์คอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลงมือลากดินสอขีดเขียนไปบนกระดาษ อาเดียละสายตาจากกระดาษมามองหน้าร่างสูงเป็นระยะ มือก็ตวัดดินสอไปอย่างคล่องแคล่ว...เหมือนบรรยากาศและเวลาได้หยุดลง ณ ตรงนั้น รอบกายเงียบสงัด มีเพียงเสียงดินสอลากไปบนกระดาษเท่านั้น ทาร์คมองท่าทีจริงจังนั้นอย่างเอ็นดูแล้วเผลอยกมุมปากขึ้นยิ้ม
อาเดียชะงักไปนิดหนึ่ง
“มีอะไรเหรอครับ?” ทาร์คเลิกคิ้วนิด ๆ เป็นเชิงถาม
คนตัวเล็กกว่าเพียงแต่ยิ้มบาง ๆ ตอบ “...คุณยิ้มได้ดีจัง...”
“ผมน่ะเหรอ?”
“อื้ม...ยิ้มอีกสิ...”
มาบอกให้ยิ้มแบบนี้ ใครจะไปยิ้มได้...ทาร์คคิด แต่คิดแล้วก็นึกขำถึงได้ยิ้มออกมาอีก อาเดียทำหน้าพอใจแล้วรีบวาดภาพต่อไป
ไม่นานนัก ภาพลายเส้นของทาร์คก็เสร็จ เจ้าตัวรับไปดูแล้วก็ทำหน้าฉงนนิด ๆ
“นี่...ผมทำหน้าแบบนี้เหรอ?”
“ถึงได้บอกว่ายิ้มได้ดีไง...” อาเดียยิ้มแล้วหันกลับไปหยิบภาพวาดสีน้ำของตัวเองขึ้นมาเสียบกับกระดานอีกครั้ง
พออาเดียกลับไปหมกมุ่นกับการวาดดอกไฮเดรนเยียช่อนั้นต่อ ทาร์คก็แค่นั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไร
...
ผ่านไปหลายวัน ทาร์คได้พบกับอาเดียทุกคืน ชายหนุ่มที่เป็นโรคนอนละเมอคนนี้ออกเดินไปในเมืองยามค่ำคืนมาจนถึงสวนสาธารณะแห่งนี้ทั้งเท้าเปล่าเสมอ ตั้งแต่ได้ร่มจากทาร์คไปอาเดียก็ไม่เคยตากฝนอีก และในวันที่ฝนไม่ตกก็จะมาที่สวนสาธารณะพร้อมกับกระดานวาดภาพทุกครั้ง อาเดียวาดภาพดอกไฮเดรนเยียมากมายและวาดภาพทาร์คเอาไว้มากพอ ๆ กัน
ไฮเดรนเยียเป็นดอกไม้ที่บานอยู่ได้นาน แต่สุดท้ายก็ต้องมีวันเหี่ยวเฉา ช่อดอกไม้สีกุหลาบค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไปพร้อมกับช่ออื่น ๆ ที่บานในช่วงเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นอาเดียก็วาดภาพมันตอนที่เริ่มเหี่ยวแล้วเอาไว้
“...ไม่รู้ช่อใหม่...จะแดงแบบนี้หรือเปล่านะ...” ชายหนุ่มพึมพำออกมาหลังจากปาดพู่กันเป็นครั้งสุดท้าย
“นั่นสิครับ ถ้าได้แบบนี้อีกก็คงดีหรอก ลองเอาปูนขาวมาใส่ให้มันดีไหม?”
“...ทำไมต้องปูนขาว...?” ดวงตาใสเหมือนลูกแก้วมีแววสงสัย
“ผมเคยได้ยินมาว่าถ้าใส่ปูนขาวลงไปจะได้ไฮเดรนเยียสีชมพูน่ะครับ ถ้าใส่เกลือหรืออะไรลงไปในดินจะได้สีฟ้า ถ้าจะให้แดงขนาดนี้อาจจะต้องใช้ปูนขาวเยอะหน่อยละมั้ง” ทาร์คอธิบายตามความรู้ที่มี
อาเดียนิ่งเงียบไป เขาหันกลับไปจ้องดูดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา สีหน้าไร้ความรู้สึกดูมีแววกังวลบางอย่างฉาบอยู่บาง ๆ
“...อย่าไปบังคับมันเลย...” เสียงนั้นแทบไม่ดังกว่ากระซิบ
“ครับ?”
“...มันจะเป็นสีฟ้าหรือแดงก็ให้มันเลือกเองเถอะ อย่าบังคับมันเลย...”
มีกระแสบางอย่างในน้ำเสียงนั้นที่สะดุดใจทาร์ค สีหน้าของอาเดียดูเศร้าหมองลงนิดหน่อย
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ผมแค่เสนอความคิดเท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่ชอบผมก็ไม่ทำหรอก” ทาร์คพยายามปลอบ
คำตอบมาช้ากว่าที่เคย แต่ในที่สุดอาเดียก็หันมายิ้มบาง ๆ ให้
“...อื้ม ขอบคุณนะ...”
ทาร์คไม่รู้หรอกว่าอาเดียคิดอะไร แต่บางอย่างในสีหน้าและน้ำเสียงนั้นทำให้เขาอยากรู้ อาเดียในตอนกลางวันเป็นอย่างไร อาเดียที่ไม่ได้นอนละเมอเป็นอย่างไร ตัวตนจริง ๆ ของอาเดียเป็นคนอย่างไร...ความรู้สึกเช่นนี้ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในใจของทาร์คทีละน้อย
-
ฝนต้นฤดูร้อนเดินทางจากไป พร้อม ๆ กับสีสันของดอกไม้ ไม่ทันไรไฮเดรนเยียก็เหลือแต่ใบสีเขียวแผ่รับแสงจันทร์กระจ่างใส อากาศร้อนชวนอึดอัดทำให้ทนอยู่ในบ้านได้ยากแต่ถึงกระนั้นทาร์คก็ต้องทน แสงแดดหน้าร้อนสาดแสงแรงกล้าแผ่ความร้อนลงมาจนถึงห้องใต้ดินที่อากาศเย็นกว่าข้างบนมาก
ร้อน...แต่ออกไปไม่ได้...แค่แดดฤดูหนาวในวันหิมะตกยังทำให้ผิวพุพอง อย่าให้ถึงมือแดดฤดูร้อนเลย
“แต่อาจจะเป็นการตายเฉียบพลันที่ไม่ทันรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยก็ได้นะ” ทาร์ครำพึงกับตัวเองบนที่นอน มันร้อนเสียจนเขานอนไม่หลับ ขนาดตอนกลางคืนก็ยังร้อนอบอ้าว
แวมไพร์หนุ่มคิดไปถึงอาเดียที่ได้พบในตอนกลางคืน แม้จะยังพูดคุยและยิ้มบาง ๆ ได้เหมือนเคยแต่ชายหนุ่มดูซีดเซียวไปมาก
“ก็มันร้อนขนาดนี้นี่นะ...มนุษย์ทนอยู่กลางแดดกันได้ยังไง” ทาร์คบ่นแล้วลุกจากเตียงในที่สุด
เขาอยากรู้ว่าอาเดียในตอนนี้ทำอะไรอยู่แต่ก็ออกไปดูไม่ได้ เขาทบทวนศาสตร์เก่า ๆ ที่เคยได้เรียนรู้มาอยู่ครู่หนึ่งจึงได้หากระดาษมาพับเป็นนก ร่ายมนตราด้วยภาษาโบราณแล้วเป่าลมหายใจลงไป นกกระดาษกลายร่างเป็นนกสีน้ำตาลตัวเล็ก ๆ ที่ไม่สะดุดตา
“บินไปหาอาเดียนะ”
พอได้รับคำสั่งเจ้านกน้อยก็โผบินออกช่องหน้าต่างแตก ๆ ไป ทาร์คกลับไปนั่งลงบนเตียงแล้วหลับตา ด้วยเวทมนตร์นี้เขาสามารถมองเห็นโลกภายนอกผ่านสายตานกกระดาษได้
ด้วยสายตาของนกเวทมนตร์ ทาร์คสามารถมองเห็นโลกใต้แสงตะวันได้ มันสว่างเจิดจ้าและเต็มไปด้วยสีสันมากมายจนแทบจะพร่าพราย ต้นไม้สีเขียว ผิวน้ำสีฟ้าสะท้อนแดดเป็นประกายสีทอง ดอกไม้แข่งกันอวดสีสันท้าทายสายตา...โลกดูราวกับถาดอัญมณี ผิดกับโลกตอนกลางคืนที่ทาร์ครู้จักอย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่ว่าโลกยามราตรีไม่สวย ทาร์ครักโลกสีน้ำเงินที่แผ่กว้างอยู่ใต้แสงจันทร์สีเงินงามมาก เขาเพิ่งรู้จักสีสันแท้จริงของโลกเมื่อตอนที่มนุษย์มีไฟนีออนใช้นี่เอง
นกเวทมนตร์บินตัดผ่านเมืองไปค้นหาคลื่นวิญญาณของอาเดียจนพบ มันร่อนลงจับกิ่งไม้ที่ทอดอยู่ใกล้ ๆ หน้าต่างของอาคารทรงโบราณแห่งหนึ่ง
อาเดียนั่งอยู่ข้างหน้าต่างบานนั้น ตรงหน้ามีเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ชายหนุ่มป้ายพู่กันลงบนแผ่นผ้านั้นอย่างเชื่องช้า
...เป็นศิลปินจริง ๆ ด้วยสินะ...ทาร์คคิด
แต่ท่าทางของอาเดียผิดไปกว่าเคย สีหน้าดูหม่นหมอง ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยใสเหมือนลูกแก้วดูขุ่นมัว มือที่จับพู่กันดูไร้เรี่ยวแรง...อาเดียดูไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าเวลาเดินละเมอเสียอีก
...ทำไมกันล่ะ มีอะไรทุกข์ใจงั้นหรือ...
นกเวทมนตร์โผจากกิ่งไม้ไปเกาะบนบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ มองดูอาเดียและภาพที่กำลังวาดในระยะใกล้
นั่นดูไม่เหมือนภาพของอาเดียเลยสักนิด ทาร์คเห็นอาเดียวาดภาพมาไม่มากนัก แต่ภาพวังวนอึมครึมที่เต็มไปด้วยคลื่นแห่งอารมณ์อันเกรี้ยวกราดมันเป็นคนละเรื่องกับภาพดอกไม้สีกุหลาบที่เขาเคยเห็นจนราวกับเป็นคนละคนวาด
ผู้ชายมืดมนคนนี้ไม่ใข่อาเดียที่ทาร์ครู้จัก
ก่อนที่ทาร์คจะทันได้คิดว่าควรจะทำอย่างไร ชายค่อนข้างสูงวัยคนหนึ่งก็เข้ามาในห้อง
“เป็นอย่างไรบ้าง อาเดีย?” เขาเอ่ยทักขึ้น
“อาจารย์...” อาเดียหันไปมองผู้มาเยือนแล้วมีสีหน้ามืดมนกว่าเดิม
“โอ้ จวนจะเสร็จแล้วนี่ เธอนี่ทำงานได้เร็วจริง ๆ เลยนะ แบบนี้ต้องทันงานประกวดแน่” คนเป็นอาจารย์เอ่ยปากชมภาพที่ยังวาดค้างไว้
“...ครับ” อาเดียรับคำด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
“แต่ตรงนี้สีอ่อนไปหน่อยนะ น่าจะให้ทะมึนดำกว่านี้จะดูทรงพลังมากกว่า”
“ครับ...”
อาจารย์ยังคงแนะนำอะไรอีกยืดยาว ซึ่งอาเดียก็แค่รับคำอย่างแกน ๆ พักใหญ่ผู้เป็นอาจารย์จึงออกจากห้องไป
แล้วอาเดียก็ถอนใจพลางวางพู่กันลง ขนตายาวเป็นแพหรุบลงไม่ยองมองภาพตรงหน้า นั่งนิ่งอยู่เป็นนานเหมือนไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว แต่ก่อนที่ทาร์คจะสั่งให้นกเวทมนตร์ลงไปเกาะไหล่อาเดีย ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นหนุ่มร่างสูง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาเดีย ผมสั้นสีดำดูยิ่งเหยิงและสวมผ้ากันเปื้อนเลอะดิน
“อาเดีย ไปกินข้าวกัน...เอ้า นั่งหงอยอะไรอีกล่ะ?”
“...วาเรส?”
“เออสิ” คนถูกเรียกว่าวาเรสเดินอาด ๆ เข้ามาในห้อง “ทำไม? โดน ’จารย์ว่าอะไรอีกหรือไง?”
“...เปล่า...”
“ฉันไม่ค่อยเชื่อคำว่าเปล่าของนายเลย เรื่องรูปที่จะส่งประกวดนี่ละสิ...นี่นายจะเป็นศิลปินผีให้ ’จารย์ไปถึงเมื่อไร หา?” วาเรสมองภาพที่อาเดียวาดค้างไว้แล้วทำหน้ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
“มันก็...”
“นายมีฝีมือนะ อาเดีย ถึงจะมีรายได้จากการเป็นศิลปินผีให้ ’จารย์แกก็เถอะ แต่ได้สักแค่ไหนเชียว ’จารย์แกแบ่งรายได้จากการประกวดกับการขายงานให้นายแค่ขี้เล็บเท่านั้นแหละ นายยังต้องทำงานพิเศษหาค่าเช่าหออยู่เลยไม่ใช่เรอะ?”
“ก็ใช่...แต่อาจารย์คอยจัดการเรื่องทุนกับค่าอุปกรณ์วาดรูปให้ฉันมาตลอดเลยนี่นา มันก็...” อาเดียอ้อมแอ้มเถียง
“แล้วไง? นายก็เลยทิ้งอนาคตตัวเองเป็นการตอบแทนบุญคุณงั้นสิ?”
คราวนี้อาเดียไม่ตอบอะไร เขาเอาแต่ก้มหน้านิ่งแล้วถอนใจอย่างอึดอัด วาเรสเห็นท่าทางของเพื่อนแล้วก็ยักไหล่
“เอ้า ช่างเถอะ ตอนนี้ไปหาข้าวกินกันก่อนดีกว่า เย็นนี้มีงานนี่นะ มาอดข้าวไม่ได้หรอกนะ” พูดแล้ววาเรสก็คว้าแขนอาเดียดึงให้ลุกขึ้นก่อนจะฉวยกระเป๋าของอาเดียที่วางอยู่ใกล้ตัวแล้วลากออกจากห้องไป
...ศิลปินผี?...เพราะอย่างนั้นภาพนี้จึงไม่เหมือนภาพของอาเดียที่เขารู้จักสินะ...ทาร์คพิจารณาภาพนั้นผ่านสายตาของนะ ว่ากันว่าจิตใจของศิลปินจะถ่ายทอดออกมาทางผลงาน อาเดียที่วาดภาพนี้คงกำลังทุกข์ทรมานมากสินะ ทาร์ครู้สึกได้ถึงการตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่ในภาพนั้น ต่างจากภาพดอกไฮเดรนเยียที่เริ่มเหี่ยวแห้งที่เพิ่งวาดไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในภาพนั้นแม้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉาแต่ยังมีบรรยากาศที่สงบและอบอุ่น
...อย่าไปบังคับมันเลย...คำพูดของอาเดียผุดขึ้นมาในหัว เพราะถูกบังคับอยู่ตลอดอาเดียจึงไม่อยากบังคับใครหรืออะไรสินะ และเพราะอึดอัดทรมานกับการถูกบังคับจึงได้ออกเดินไปในยามค่ำคืนเพื่อสัมผัสกับอิสระที่ไร้การผูกมัดสินะ
ทาร์คติดตามดูอาเดียตลอดวัน ตกบ่ายแก่ ๆ อาเดียกับวาเรสก็ออกจากวิทยาลัยไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารกลางแจ้งแห่งหนึ่ง แม้อากาศจะร้อนและแดดจะจ้า แต่ผู้คนก็นิยมนั่งตามโต๊ะใต้ร่มไม้ใกล้ ๆ น้ำพุ เป็นร้านที่ขายดีมากร้านหนึ่ง อาเดียกับวาเรสและพนักงานอื่น ๆ เดินบริการอาหารและเครื่องดื่มกันแทบไม่ได้หยุดได้หย่อน
ล่วงเข้าตอนเย็นแล้วแต่อากาศยังร้อนอบอ้าว ไม่เพียงแต่ทาร์คที่สังเกตเห็นว่าอาเดียที่ทำงานมาหลายชั่วโมงหน้าซีดเผือด วาเรสก็เห็นเช่นกัน
“อาเดีย เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“หือ? เปล่านี่” ปากพูดแบบนั้นแต่งใบหน้าของอาเดียขาวซีดเหมือนกระดาษ เหงื่อเย็น ๆ ไกลอาบหน้าจนต้องเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ด
“ไม่เป็นไรได้ไง หน้าซีดเชียว นายไปพักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวฉันบอกผู้จัดการให้” วาเรสบอกเมื่อเห็นอาการของอาเดียดูไม่ดีเอามาก ๆ
“เอางั้นเหรอ” แม้จะรู้สึกเกรงใจแต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากปฏิเสธ เขาก็รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก
“เอางั้นแหละ เอ้า เอาแซนด์วิชนี่ไปด้วย ฉันเลี้ยง” วาเรสหยิบแซนด์วิชที่กำลังจะเอาไปเสิร์ฟลูกค้าซึ่งอยู่ในถาดยัดใส่มืออาเดียโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของพ่อครัว
“เอ้อ...ขอบใจนะ...”
“เออ รีบไปเหอะ อย่าพักนานนักล่ะ สักสองชั่วโมงก็กลับมาได้แล้ว” วาเรสบอกพลางโบกมือไล่
อาเดียยิ้มพลางพยักหน้าให้ก่อนจะเดินไปด้านหลังร้าน ตรงนี้มีบันไดปูน 8 ขั้นทอดลงไปถึงทางเดินด้านล่างและมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา เป็นที่ที่อาเดียมักจะมานั่งกินมื้อเย็นระหว่างพักเสมอ
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวลงบันได โลกก็เอียงวูบ...อาเดียหน้ามืดพลัดหล่นจากบันได!
ไวเท่าความคิด ทาร์คร่ายคาถาด้วยความเร็วที่ตนก็ไม่คิดว่าจะทำได้มาก่อน นกเวทมนตร์พุ่งลงจากกิ่งไม้ กลายร่างเป็นกระดาษหนาแผ่นใหญ่รับร่างของอาเดียไว้ได้ก่อนตกกระแทกพื้นพอดี
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของผู้หญิงที่เดินผ่านมาคือเสียงสุดท้ายที่ทาร์คได้ยิน แล้วมนตร์ที่ใช้กับนกกระดาษก็คลายลง ภาพจากโลกภายนอกดับวูบลงทันที
“อาเดีย...” ทาร์คยกมือขึ้นปิดหน้า บางอย่างในความรู้สึกบอกเขาว่านี่เป็นความผิดของเขาส่วนหนึ่ง
คนที่นอนละเมอคือคนที่หลับไม่สนิทแบบเดียวกับคนฝัน ต่างกันที่คนฝันไม่ต้องใช้พลังงานและร่างกายเพียงแค่นอนอยู่เฉย ๆ เท่านั้น แต่คนละเมอต้องใช้พลังงานและร่างกายด้วย
อาเดียออกเดินจากบ้านทุกคืน ซ้ำยังต้องเผชิญความเครียดและการทำงานในตอนกลางวันทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ สภาพร่างกายแย่ลงอย่างรวดเร็ว
ถ้าอย่างนั้น ทาร์คคิดว่าเขาควรทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยอาเดีย
...
ไฮเดรนเยียเหี่ยวหมดแล้วก็จริง แต่ทาร์คยังคงไปที่แปลงดอกไม้ใต้เสาไฟ หากวันนี้อาเดียไม่มา เขารู้ว่าทำไม...คงไม่มีใครปล่อยให้คนที่เพิ่งตกบันไดออกจากบ้านแน่ เขารู้ว่าเขาช่วยอาเดียได้ทันและอาเดียก็ปลอดภัยแน่ แต่เขาไม่รู้ว่าบ้านของอาเดียอยู่ที่ไหนเพราะนกเวทมนตร์ของเขาคลายมนตร์เสียก่อน หากที่แปลงดอกไม้นี่มีความรู้สึกนึกคิดของอาเดียหลงเหลืออยู่มาก และทาร์คสามารถตามความรู้สึกนั้นไปได้
ไกลออกไปหลายช่วงตึก ทาร์คมาถึงอพาร์ตเมนต์โทรม ๆ แห่งหนึ่ง เขารับรู้ได้ว่าอาเดียอยู่ในห้องที่ยังเปิดไฟที่ชั้นบนนั่น...และยังไม่นอน
ความจริงจะใช้เวทมนตร์แอบดูในห้องของอาเดียจากตรงนี้ก็ได้ แต่ถ้ามีคนเห็นว่ามายืนอยู่ตรงนี้นาน ๆ จะต้องถูกสงสัยแน่ ทาร์คจึงแปลงร่างเป็นค้างคาวแล้วแฝงตัวกับความมืดเกาะอยู่นอกหน้าต่างห้องอาเดีย
วาเรสกับอาเดียอยู่ในห้องและกำลังทุ่มเถียงอะไรบางอย่างกันอยู่
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้วไง” อาเดียที่นั่งอยู่บนเตียงโวยวาย
“ไม่เป็นไรได้ไง วูบตกบันไดไปแบบนั้นน่ะ” วาเรสยืนกอดอกอยู่ข้างเตียงเถียง
“แต่ไม่ได้บาดเจ็บนี่ หมอก็บอกว่าไม่เป็นไรด้วย” อาเดียยังคงดื้อดึง
“แต่หมอก็บอกว่านายโลหิตจางเพราะนอนไม่พอ เพราะงั้นนอนซะ”
“แต่นอนมาตั้งแต่เย็นแล้วนี่” คนป่วยเถียง
“แค่ครึ่งคืนมันจะเต็มอิ่มได้ไง นอนต่อซะ” วาเรสออกคำสั่ง
“แต่...มันไม่หลับนี่”
“แล้วจะลุกมาทำอะไรไม่ทราบ?”
“ก็...วาดรูป...” อาเดียอ้อมแอ้มตอบ”
“จะวาดอะไรตอนนี้” วาเรสทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
“ก็ตอนกลางวันไม่ได้วาดนี่...”
หลังน้ำเสียงอ่อย ๆ ของอาเดียคือความเงียบ ครู่หนึ่งวาเรสจึงได้ถอนใจหนัก ๆ
“เอาละ เอางั้นก็ได้...วาดรูปสินะ” ศึกครั้งนี้วาเรสแพ้เสียแล้ว
“ได้ใช่ไหม?” อาเดียรีบตะกายลงจากเตียงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขาเดินตรงไปยังกองเฟรมผ้าใบที่ตั้งพิงผนังห้องแคบ ๆ รก ๆ ของตนทันที แล้วรื้อกองกระดาษที่สุมอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา “ดีจัง ไม่ได้วาดรูปมาตั้งนานแล้ว...เอ๊ะ...?”
“อะไรเหรอ?” วาเรสถามเมื่อเห็นอาเดียหยิบกระดานวาดภาพขึ้นมาแล้วชะงักไป
อาเดียไม่ตอบแต่เปิดภาพที่หนีบเอาไว้กับกระดานดูทีละแผ่น วาเรสจึงเข้ามาดูด้วย...ในนั้นมีทั้งภาพลายเส้นและภาพสีน้ำ
“โฮ่ ฝีมือนายพัฒนาขึ้นเยอะเลยนี่ เป็นศิลปินผีก็ไม่เลวเหมือนกันนะ แต่ให้สีสวยดีนี่” วาเรสออกปากชม แต่อาเดียกลับมีสีหน้ายุ่งยากใจ “ทำไม? มีอะไรเหรอ?”
“ฉัน...ไม่เห็นจำได้เลยว่าวาดรูปพวกนี้...”
“อ้าว ถ้านายไม่ได้วาดแล้วใครจะวาด นี่เทคนิคของนายชัด ๆ”
“จริง ๆ นะ...จำไม่ได้เลย...”
“ตลกละ ละเมอลุกขึ้นมาวาดหรือเปล่า?” วาเรสแกล้งแหย่
“ไม่...ไม่รู้สิ ดอกอะไรเนี่ย...ไฮเดรนเยีย...?”
“ไฮเดรนเยียอะไรสีแดงขนาดนั้น?” วาเรสดึงภาพในมืออาเดียไปดู “แต่ก็ไฮเดรนเยียจริง ๆ ด้วยแฮะ”
อาเดียเปิดไปจนถึงกระดาษแผ่นท้าย ๆ แล้วก็หยุด
“อะไร?” วาเรสชะโงกหน้ามาดู
ภาพชุดสุดท้ายเป็นภาพวาดลายเส้นของชายหนุ่มที่วาเรสไม่รู้จัก
“ใครน่ะ?”
อาเดียส่ายหน้า คิ้วเรียวขมวดมุ่น เขาก็ไม่รู้จักผู้ชายคนนี้...แต่ส่วนลึกในหัวใจอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด...แต่...ใครกันล่ะ...
ด้วยความสับสนบางอย่าง อาเดียรวบภาพทั้งหมดมาหนีบด้วยคลิปสีดำอันใหญ่
“ฉัน...ฉันจะนอนแล้ว”
“เออ นอนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันก็ควรจะนอนได้แล้ว” วาเรสรีบสนับสนุน เขาติดใจกับท่าทีแปลก ๆ ของอาเดียอยู่บ้าง แต่ตอนนี้อาเดียควรจะพักผ่อนให้มากไว้ก่อน
พอห่มผ้าให้อาเดียที่นอนขดอยู่บนเตียงแล้ว วาเรสก็ปิดไฟแล้วลงนอนข้าง ๆ เตียงโดยใช้หนังสือต่างหมอน ห้องทั้งห้องกลับสู่ความเงียบสงัด มีเพียงเสียงกระพือปีกเบา ๆ ที่นอกหน้าต่างเท่านั้น
ทาร์คบินกลับมาที่สวนสาธารณะแล้วคืนร่างมนุษย์ เขาเดินไปนั่งที่ม้านั่งพลางครุ่นคิด ร่างกายของอาเดียทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนจนทนรับสภาพไม่ไหว แม้การเดินละเมอตอนกลางคืนจะเกิดขึ้นเพื่อเยียวยาจิตใจที่อ่อนล้าก็ตาม แต่ความเหน็ดเหนื่อยสะสมก็เริ่มก่อผลร้ายแล้ว เขาควรหาทางช่วยเหลือ...อย่างน้อยก็ให้อาเดียได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ยังดี
...
เสียงเท้าเปล่าเดินย่ำกรวดมาตามทางเดินคือเสียงที่ทาร์คจำได้ดีในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ร่างบางในชุดนอนเดินตรงมาที่แปลงดอกไฮเดรนเยีย ในมือมีกระดานวาดภาพและจานสีน้ำแบบพกพาเหมือนเคย พอเห็นทาร์คใบหน้าเรียบเฉยก็ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ
“...ไม่มีดอกไม้แล้ว...” เป็นประโยคที่เอ่ยขึ้นเหมือนแทนคำทักทาย
“นั่นสิครับ แล้วทีนี้จะวาดอะไรดีล่ะ?” ทาร์คถามอย่างอ่อนโยน
อาเดียนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ดวงตาใสเหมือนลูกแก้วจ้องทาร์คไม่วางตา
“...วาดคุณ...”
ทาร์คเบิกตาขึ้นนิดหนึ่งอย่างประหลาดใจ
“ทำไมล่ะ?”
“คุณยิ้มได้ดี ผมอยากวาดไว้อีก...” อาเดียตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “มา...นั่งเลย...”
คราวนี้ทาร์คหัวเราะ “วาดแค่ผมก็แห้งแล้งแย่สิครับ”
“อยากวาดนี่...อะไรก็ได้ อยากวาดเยอะ ๆ เลย...”
แวมไพร์หนุ่มยิ้มกับท่าทางกางแขนกว้างเหมือนเด็ก ๆ นั่น อาเดียคงอยากวาดภาพมาตลอดจริง ๆ
“งั้นผมพาไปที่ดี ๆ ดีกว่า ที่ที่มีดอกไม้ด้วยเป็นไงครับ?”
“...ดี”
“งั้นจับมือผมไว้นะครับ” ทาร์คยื่นมือไปให้
อาเดียมองมือข้างนั้นเหมือนจะลังเลนิดหน่อย แต่แล้วก็จับเอาไว้มั่น
“ไม่ว่ายังไงก็อย่าปล่อยนะครับ”
พูดจบ ปีกสีดำก็สยายออกมาจากแผ่นหลังของแวมไพร์หนุ่ม ทาร์คพาอาเดียบินขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว อาเดียเบิกตากว้างแล้วก็รีบหลับตาปี๋ด้วยความตกใจระคนหวาดเสียว ก่อนจะรู้สึกถึงอ้อมแขนที่รั้งร่างของเขาไปกอดไว้แน่น
“ลืมตาสิครับ วิวสวยออก”
เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู อาเดียค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“...ว้าว...”
ทิวทัศน์ของเมืองใหญ่แผ่กว้างอยู่เบื้องล่าง แสงไฟสว่างไสวเป็นประกายระยับเหมือนหมู่ดาว...ไม่สิ ดูราวกับทางช้างเผือกต่างหาก อาเดียตื่นตะลึงกับความสวยงามจนแทบลืมหายใจ สายลมเย็นปะทะเข้าที่ใบหน้า เมฆหมอกบาง ๆ พัดผ่านเข้ามาในสายตา ภาพเมืองที่ประดับประดาด้วยดวงไฟใหญ่น้อยสวยงามเหมือนภาพฝัน
“...ฝัน...”
“ครับ?”
“...นี่เป็นความฝันสินะ”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ครับ” ทาร์คหัวเราะเบา ๆ สำหรับอาเดียที่นอนละเมอแล้วความเป็นจริงนี้ย่อมเท่ากับความฝันแน่
แสงของเมืองเริ่มห่างออกไป คราวนี้ดวงดาวแท้จริงบนฟ้าจึงเปล่งประกายแสงดึงดูดให้แหงนมองขึ้นไป ดูใกล้เสียจนแทบจะเอื้อมมือคว้าได้ อาเดียยกมือขึ้นไปหาดวงดาวแล้วหัวเราะเสียงใส
เป็นเสียงหัวเราะที่อาเดียในตอนกลางวันคงไม่ได้เปล่งออกมานานแล้ว
“ดีจัง...วิเศษไปเลย”
“แล้วจะดีกว่านี้อีกครับ”
แวมไพร์หนุ่มบอกพลางร่อนลงตรงที่ราบแห่งหนึ่ง เขาปล่อยอาเดียลงพื้นอย่างนุ่มนวล
“โห...ดอกอะไรเนี่ย?”
อาเดียทำตาโตกับทุ่งดอกไม้สีขาวที่สะท้อนแสงจันทร์จนดูราวกับจะเรืองแสงได้ ดอกไม้เล็ก ๆ ทอดยาวออกไปตามเส้นทางในป่าเหมือนลำธารที่เต็มไปด้วยน้ำนม
“ดอกแสงจันทร์ครับ จะบานเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น” ทาร์คอธิบาย
“...เหรอ...ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย...” อาเดียนั่งลงพิจารณาดอกไม้อย่างสนอกสนใจ
“เพราะมันบานตอนกลางคืน มนุษย์เลยไม่สนใจจะเอาไปปลูกไงครับ”
“...คุณ...พูดเหมือนตัวเองไม่ใช่มนุษย์...”
“ยังไงดีนะ” ทาร์คเพียงแต่ยิ้ม
ดวงตากระจ่างใสจ้องมองทาร์คเหมือนจะคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“...เมื่อกี้บินได้นี่...ไม่ใช่มนุษย์หรอก” อาเดียสรุปกับตัวเองแล้วหยิบกระดานวาดภาพขึ้นมา
บทสนทนาจบลงแค่นั้น ทาร์คเพียงแต่เฝ้ามองอาเดียวาดรูปอยู่ใกล้ ๆ เวลาเคลื่อนผ่านไปโดยไม่มีคำพูดจา อาเดียหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพภาพแล้วภาพเล่า รอบตัวชายหนุ่มมีภาพสีน้ำวางเกลื่อนไปหมด สีหน้าของคนนอนละเมอยังนิ่งเฉยเหมือนตุ๊กตา มีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่มีรอยยิ้มแตะแต้มอยู่บาง ๆ
ทาร์คมองรอยยิ้มนั้นแล้วหลับตาลงเบา ๆ
แล้วดาวประกายพรึกก็จับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ทาร์คพาอาเดียบินกลับมาในเมืองและร่อนลงตรงหน้าอพาร์ตเมนต์ของอาเดีย ตะวันยังไม่จับขอบฟ้า อากาศยามย่ำรุ่งยังเต็มไปด้วยละอองชื้นของน้ำค้าง ยังไม่มีคนตื่นจากนิทราแม้แต่คนเดียว
“...ทำไมถึงรู้ว่าที่นี่...?”
“ก็ผมไม่ใช่มนุษย์นี่นา”
อาเดียยิ้มกับคำตอบนั้น
“...นั่นสินะ...นี่ ไว้พรุ่งนี้ พาผมไปที่นั่นอีกนะ...”
ทาร์คส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มบาง ๆ
“...ทำไมล่ะ...?” อาเดียไม่เข้าใจความหมายในรอยยิ้มนั้น
“ดอกไม้กลางคืนก็ควรบานกลางคืน ส่วนดอกไม้ที่บานกลางวันก็ควรอวดความงามของมันใต้แสงอาทิตย์”
“...คุณพูดเหมือนกวี...”
“ผมไม่ใช่กวีหรอก ไม่มีความสามารถอะไรแบบคุณ...แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำให้คุณได้”
ทาร์ครั้งร่างของอาเดียมากอดไว้แนบอก จรดริมฝีปากลงกับลำคอขาวแล้วกระซิบแผ่วเบา
“ลืมเรื่องราวของผมซะ ไม่ต้องเดินออกมาหาผมอีก จงหลับให้สบาย นอนให้มีความสุข...และจงเบ่งบานใต้แสงตะวันเถอะ อาเดีย คุณที่วาดดอกไฮเดรนเยียแห้ง ๆ ได้มีชีวิตชีวาขนาดนั้น ต้องเบ่งบานอย่างงดงามได้แน่”
เขี้ยวขาวกดลงไปในผิวเนื้ออย่างนุ่มนวล อาเดียผวาเยือก ปล่อยกระดานวาดภาพหล่นลงพื้น รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างหลุดลอยจากร่างไปพร้อมกับสติที่เลือนรางลงทุกที
แล้วริมฝีปากเย็นเหมือนน้ำแข็งก็ผละออกจากลำคอ
“ที่ผ่านมาผมสนุกมากเลยนะ แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ จงกลับไปใต้แสงตะวันแล้วเป็นตัวคุณอย่างที่คุณอยากเป็นเถอะ”
“...ทาร์...ค...”
ทาร์คยิ้มแล้วจูบลงหน้าผากของอาเดีย
“ผมจะรอดูภาพวาดใต้แสงตะวันของคุณนะ อาเดีย”
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่อาเดียได้ยิน ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
-
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่างานของนายจะชนะการประกวดน่ะ” วาเรสพูดพลางโยนหนังสือลงลังกระดาษ
“ฉันยังไม่อยากเชื่ออยู่เลยเนี่ย” อาเดียจัดการเอาเทปปิดลังให้เรียบร้อย
“แต่ที่ฉันไม่อยากเชื่อมากกว่านั้นคือนายเอารูปของตัวเองส่งประกวดงานเดียวกับ ’จารย์ นายทำได้ไงน่ะ?”
“ก็วาดรูปของอาจารย์เสร็จแล้วมันยังพอมีเวลานี่นา”
“สามวันก่อนประกวดเนี่ยนะ...อัจฉริยะไปป่ะ?” วาเรสทำเสียงประชด
อาเดียเพียงแต่หัวเราะ “ไม่รู้สิ มันเหมือนกับว่าตื่นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วก็อยากจะวาดรูปขึ้นมาน่ะ อธิบายไม่ถูก...เหมือนได้หลับเต็มอิ่มเลยมีแรงจะวาดขึ้นมาน่ะ”
“หลับเต็มอิ่ม? ก่อนหน้านี้ยังเลือดจางเพราะนอนไม่พอแท้ ๆ”
“ก็นั่นสิ แต่ตื่นมาเช้านั้นแล้วหายเป็นปลิดทิ้งเลยนะ”
“คงไม่เกี่ยวกับไอ้รอยที่คอนั่นใช่ไหม?”
“ไม่เกี่ยวน่า...”
วาเรสกับอาเดียมองหน้ากันแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ต่างก็เก็บของกันไปเงียบ ๆ พลางครุ่นคิดอยู่ในใจ
มันเป็นเรื่องแปลกที่เช้าวันหนึ่งอาเดียก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อาเดียที่ดูซึมเซาอยู่เสมอกลับตื่นก่อนที่วาเรสจะมารับไปวิทยาลัยด้วยกัน ไม่แค่ตื่นเฉย ๆ ยังเอาเฟรมผ้าใบอันเก่ามาทาสีทับเตรียมวาดภาพอีกด้วย พอไปถึงวิทยาลัยก็จัดการกับภาพวาดที่จะส่งประกวดของอาจารย์เสร็จอย่างรวดเร็ว ส่งงานให้อาจารย์แล้วก็ขาดเรียนขาดงานหายตัวไปหมกอยู่ในห้องสามวัน ก่อนจะกระหืดกระหอบเอางานไปส่งประกวดในวันสุดท้ายก่อนปิดรับผลงานพอดี แต่ทั้งที่โหมงานตลอดสามวันสามคืนก็ยังดูสดชื่นอยู่ได้
แล้ววาเรสก็สังเกตเห็นรอยประหลาดที่ลำคอของอาเดีย เป็นรอยแดงช้ำเหมือนแผลที่กำลังจะหายเรียงกันอยู่สองรอย จะว่าแมลงกัดหรือใครมาทิ้งร่องรอยแห่งรักเอาไว้ก็ไม่น่าจะใช่ แถมเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมาตอนไหนเสียด้วย
ถ้านึกให้เป็นเรื่องลึกลับก็คงต้องบอกว่าเป็นฝีมือแวมไพร์ แต่คนโดนผีดูดเลือดกัดมันก็ไม่ควรจะมีชีวิตชีวาขนาดนี้ไม่ใช่หรือ
หนึ่งเดือนหลังจากนั้นก็มีการประกาศผลการประกวดวาดภาพ และอาเดียก็ได้รางวัลชนะเลิศ ไม่เพียงแต่เงินรางวัลเท่านั้น ยังมีกรรมการที่ถูกใจในผลงานของอาเดียรับเป็นผู้อุปถัมภ์ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เขาอีกด้วย
อาเดียจึงเลิกเป็นศิลปินผีให้กับอาจารย์และใช้เงินที่ได้รับมาขยับขยายที่ทางย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ที่สภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ วาเรสจึงมาช่วยเก็บของอยู่ในตอนนี้
“นิทรรศการจะจัดแสดงถึงเมื่อไรนะ?” วาเรสทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด
“ปลายเดือนนี้” อาเดียตอบ “เดี๋ยวจะเปลี่ยนเป็นงานสำหรับฤดูใบไม้ร่วงแล้ว”
“แล้วนายมีงานไปแสดงหรือยัง?”
“กำลังรอคอสมอสบานอยู่ จะได้ไปวาดรูป”
“นายนี่วาดแต่ดอกไม้นะ ที่ส่งประกวดก็ไฮเดรนเยียไม่ใช่เรอะ...ว่าแต่ไฮเดรนเยียอะไร สีกุหลาบ”
“ไม่รู้สิ รู้สึกว่าเคยเห็นน่ะ...อ้อ รูปนั่นไง รูปวาดสีน้ำนั่น”
นึกขึ้นได้แล้วอาเดียก็ลุกไปรื้อกองภาพวาดที่วางสุมไว้เตรียมเก็บลงลัง ดึงเอากระดานวาดภาพออกมาแล้วเปิดดูภาพที่ใช้คลิปหนีบรวม ๆ กันไว้
“นี่ไง รูปนี้ไง”
“อ้อ ใช่...ก็ว่าเคยเห็นที่ไหน ว่าแต่นายไปเห็นต้นแบบมาจากไหนล่ะ?” วาเรสถาม
คราวนี้อาเดียขมวดคิ้ว “...จำไม่ได้ ฉันไม่เคยจำได้ว่าวาดรูปพวกนี้เลยด้วยซ้ำ”
มือเรียวไล่เปิดภาพไปเรื่อย ๆ มีภาพดอกไม้แปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นดอกไม้สีขาวที่ต้องแสงจันทร์เรืองรองอยู่บนฉากหลังสีน้ำเงินเข้มของยามราตรี...แล้วก็มีภาพ...
“อ๊ะ...”
ผู้ชายที่ไม่รู้จักคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
“หมอนี่อีกแล้ว ตกลงเขาเป็นใครกันน่ะ?” วาเรสยังไม่หายสงสัยมาจากครั้งที่แล้ว
“...ไม่รู้สิ” อาเดียตอบได้แค่นั้น
เพราะขยับกระดาษมากไปคลิปที่หนีบเอาไว้จึงดีดหลุด กระดาษกระจายจากกระดานวาดภาพร่วงลงพื้น
บนกระดาษเหล่านั้น...เต็มไปด้วยภาพของชายคนนั้นในอิริยาบถต่าง ๆ
“...อะไรกัน...”
“คงบอกว่าไม่รู้จักไม่ได้แล้วมั้ง อาเดีย”
“ฉะ...ฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ นะ” อาเดียทั้งสับสนและงุนงง
วาเรสหยิบภาพเหล่านั้นขึ้นมาพิจารณา มีทั้งภาพลายเส้นดินสอและภาพวาดสีน้ำ และทุกภาพมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน
ฉากหลังของชายคนนั้นเป็นตอนกลางคืนเสมอ
“บางที...รอยที่คอนายอาจเป็นฝีมือหมอนี่ก็ได้นะ” วาเรสรำพึงออกมา
“พูดบ้าอะไรน่ะ” อาเดียเสียงเขียว
“ก็แค่คิดขึ้นมาเฉย ๆ” วาเรสยักไหล่แล้วรวบรวมภาพทั้งหมดมาหนีบคืนกับกระดานตามเดิม “อย่าคิดมากเลย ถ้าเขายอมให้นายวาดรูปเอาไว้ขนาดนี้ สักวันต้องได้พบแน่ ต่อให้นายจำไม่ได้เลยก็เถอะ”
“...อื้ม...”
ทำได้เพียงแค่นั้นจริง ๆ กับผู้ชายปริศนาในภาพวาด อาเดียได้แค่เชื่อคำพูดของวาเรสเท่านั้นจริง ๆ
...
ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนแล้ว นิทรรศการประกวดภาพวาดกำลังถูกปลดลง คืนนี้ทีมงานของหอศิลป์จะต้องทำงานหนักเพื่อนำภาพวาดชุดใหม่ขึ้นจัดแสดง เป็นตอนค่ำแล้วที่อาเดียมาเตร่อยู่ในห้องแสดงงานเพื่อดูภาพดอกไฮเดรนเยียสีแดงเป็นครั้งสุดท้าย มีคนซื้อภาพนี้ไปในราคาสูงจนอาเดียตกใจ ไม่คิดว่าศิลปินหน้าใหม่อย่างเขาจะขายงานได้ราคาขนาดนั้น
แต่ไม่ใช่อาเดียคนเดียวที่มาดูภาพนั้น ร่างสูง ๆ ของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าภาพนั้นก่อนแล้ว
ร่างในชุดดำที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่เจ้าหน้าที่ของหอศิลป์ยืนทอดสายตามองภาพดอกไม้อยู่พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ทำให้อาเดียไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ เขาได้แต่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้อง
ครู่ใหญ่ ใครคนนั้นก็ทำลายความเงียบขึ้น
“ไฮเดรนเยีย...บานทั้งกลางวันกลางคืน...”
“...ครับ?”
“ไฮเดรนเยียใต้แสงจันทร์ก็สวยดี” เขาพูดต่อโดยไม่หันมามอง “แต่บางที...ถ้าได้ดูไฮเดรนเยียเล่นน้ำฝนใต้แสงตะวันบ้าง ก็คงดีนะครับ”
“เอ๊ะ...?”
คำพูดนั้นสะดุดหูอย่างประหลาด
“เพราะดอกไม้ที่บานกลางวันก็ควรจะอวดความงามใต้แสงอาทิตย์”
อาเดียเบิกตากว้าง...เขาเคยได้ยินคำพูดนี้ จากที่ไหนสักแห่ง
“คุณ...”
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะ อาเดีย ในที่สุดคุณก็ได้เบ่งบานใต้แสงอาทิตย์แล้ว”
พูดจบร่างสูงก็เดินจากไป อาเดียรีบตามไปทันที
“เดี๋ยวก่อน! คุณ...!”
ชายลึกลับคนนั้นไม่ได้หยุดรอ เขาเดินไปในความมืดของระเบียงทางเดิน ชุดสีดำเหมือนจะกลืนหายไปในเงา
“รอก่อนครับ! คุณ...คุณเป็นใครกันน่ะ?”
“อย่ารู้เลยครับ” ร่างนั้นตอบมาโดยไม่หยุดเดิน “ผมแค่ทำตามสัญญาเท่านั้นเอง”
“สัญญาอะไร?” อาเดียยังคงไล่ตามไป
ใครคนนั้นหันมา แสงไฟสลัวทาบลงกับใบหน้านั้นให้เห็นเพียงชั่วแวบก่อนจะถอยเข้าไปในเงามืด
“ผมบอกว่าจะมาดูภาพวาดใต้แสงตะวันของคุณไง”
เขายิ้ม แล้วก็หายไป...ก่อนที่ปลายนิ้วของอาเดียจะแตะต้องร่าง หายไป...ละลายหายไปเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด
หากรอยยิ้มนั้นยังตราตรึง เขาคนนั้น...ผู้ชายในภาพวาด
...
อาเดียไปหอศิลป์ตอนช่วงเย็นและอยู่จนปิดทำการทุกวัน เขาเฝ้ารอ...รอแล้วรอเล่า เผื่อว่าเขาคนนั้นจะมาอีก อาเดียเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้วาเรสฟัง วาเรสทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ไม่ได้บอกว่าเขาเพี้ยนหรืออะไร
“งั้นรอยนั่นก็เป็นฝีมือหมอนั่นจริง ๆ สินะ”
“หา?”
“คนที่นายได้พบแค่ตอนกลางคืน และนายจำไม่ได้...ก็คงเป็นอะไรที่เหนือมนุษย์แล้วละ” วาเรสพูดง่าย ๆ เหมือนเป็นเรื่องลมฟ้าอากาศ
“นายเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย วาเรส?”
“แล้วนายที่เห็นมากับตาคิดว่าตัวเองเพี้ยนไหมล่ะ?”
“ก็...” อาเดียเถียงไม่ออก
“ก็ไม่ใช่ว่าเชื่อจริงจังหรอกนะ แต่ก็ไม่รู้จะสรุปยังไง ถ้านายคิดว่าไม่ใช่ก็ลองหาวิธีพิสูจน์ดูก็แล้วกัน”
นั่นทำให้อาเดียมาเฝ้าอยู่ที่หอศิลป์ทุกวัน แต่ก็ไม่ได้เห็นใครคนนั้นแม้แต่เงา...ไม่สิ เขาคนนั้นเป็นเหมือนเงา บางทีอาจจะเฝ้าดูอาเดียอยู่ในความมืดก็ได้
...แต่ก็อยากพบ...อยากจะลองพบและพูดคุยกันอีกสักครั้ง
ถ้าบอกว่าจะมาดูภาพวาดใต้แสงตะวันของเขา เขาก็วาดมาให้ดูแล้วไง แล้วทำไมถึงไม่มา
ไม่รู้เมื่อไรที่ความรู้สึกอยากพบนั้นรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นความหมกมุ่น อาเดียรื้อภาพวาดปริศนาของตนออกมาแล้วลงมือวาดขยายลงบนเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ ผสมสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกและจินตนาการลงไปในภาพอย่างเต็มที่
ยิ่งวาดไปภาพแล้วภาพเล่า อาเดียก็ยิ่งแน่ใจว่าสิ่งที่เขากำลังวาดไม่ใช่แค่ความเพ้อฝัน ทั้งดอกไม้แปลกประหลาด ทั้งชายปริศนา...ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาเคยสัมผัส หัวใจของเขารู้สึกได้ถึงยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและอบอุ่น รู้สึกถึงสายลมเย็นและละอองฝนฉ่ำชื้น รู้สึกถึงสัมผัสของเท้าเปล่าที่เหยียบย่ำลงไปบนโคลน และริมฝีปากเย็นเยียบที่แตะลงบนหน้าผาก...เขาสัมผัสมันด้วยตัวเองทั้งสิ้น
คืนวันล่วงเลยไป ฤดูใบไม้ร่วงหวนกลับมาเยือนอีกครั้ง อาเดียกำลังเตรียมนิทรรศการเดี่ยวของตัวเอง เหลือเพียงภาพสุดท้ายนี่เท่านั้น
“เมื่อไรจะเลิกวาดหมอนี่เสียที วาดฉันบ้างก็ได้นะ” วาเรสบ่นเมื่อเข้ามาเห็นอาเดียยังคงวาดภาพผู้ชายคนเดิม ๆ
“ตอนเด็ก ๆ ก็วาดไปตั้งเยอะแล้วนี่”
“ก็วาดตอนนี้บ้างสิ”
“ไม่สเป็กนี้” อาเดียว่าพลางหัวเราะ “แล้วขนอะไรมาล่ะนั่น?”
“อ้อ ตะเกียงเซรามิกส์ที่เขาสั่งทำสำหรับฮัลโลวีนไง พรุ่งนี้จะเอาไปส่งลูกค้า” วาเรสเปิดกล่องให้ดูตะเกียงทรงฟักทองที่ปั้นเป็นลวดลายต่าง ๆ
“ถึงช่วงนั้นแล้วเหรอเนี่ย?” อาเดียละความสนใจจากภาพที่กำลังลงสี
“ก็นายมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับดอกไม้หน้าร้อนอยู่น่ะสิ ไม่รู้เลยหรือไงว่านิทรรศการของนายจะเปิดแสดงวันฮัลโลวีนพอดีน่ะ”
“จริงน่ะ!? ไม่รู้เลยนะเนี่ย รู้แค่ว่าหอศิลป์ว่างพอดี” อาเดียตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“เบ๊อะเอ๊ย” วาเรสตบหัวเพื่อนเบา ๆ
อาเดียหยิบตะเกียงดินเผาฝีมือวาเรสขึ้นมาดูแล้วก็นึกสงสัย
“นี่ ทำไมฮัลโลวีนต้องเป็นตะเกียงฟักทองด้วยล่ะ?”
“ตะเกียงไล่ผีมั้ง...ไม่สิ ตะเกียงของผีต่างหาก มีตำนานว่ามีเจ้าบ้าคนหนึ่งชื่อแจ็ค ไปโกงสัญญาซื้อขายวิญญาณกับปีศาจเข้า เลยโดนสาปให้ต้องร่อนเร่ถือตะเกียงนี่ไปตลอดกาล”
“ฟังดูไม่ดีเลย” อาเดียวางตะเกียงลง เขาไม่อยากเดินถือเจ้านี่แบบแจ็คคนที่ว่าหรอก
“แต่มีตำนานเก่าแก่กว่านั้นนะ บอกว่ามันมีไว้สำหรับนำทางคนตายกลับบ้าน”
“คนตาย...?”
“อื้ม เขาเชื่อว่าญาติพี่น้อยที่ตายไปจะกลับจากอีกโลกในวันฮัลโลวีนน่ะ คนที่ยังอยู่จะจุดตะเกียงนี่นำทาง” วาเรสอธิบาย
ได้ยินแล้วอาเดียก็เงียบไป เขาครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ
“...ถ้าไม่ใช่คนตาย จะใช้ได้ไหม?”
“หา?”
“ถ้าใช้นำทางคนที่ไม่ใช่มนุษย์...จะใช้ได้ไหม?”
...
พิธีเปิดนิทรรศการจบลงในช่วงบ่าย แขกผู้มีเกียรติและผู้ที่มาเข้าชมงานต่างแปลกใจกับฟักทองแกะสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ ที่ตั้งกระจายอยู่ทั่วห้องจัดแสดงงาน แต่เมื่อเจ้าของงานอธิบายว่าวันนี้เป็นวันฮัลโลวีน แขกเหรื่อก็พากันชอบใจ มีเพียงวาเรสเท่านั้นที่ส่ายหน้าและซ่อนมือที่มีรอยมีดบาดเอาไว้ เมื่อวานเขาเกณฑ์รุ่นน้องมาช่วยกันแกะสลักฟักทองเพื่อทำตามแผนการบ้า ๆ ของอาเดียในวันนี้ จะบ่นอะไรก็ไม่ได้เพราะเขาเองที่เป็นคนจุดไอเดียให้อาเดีย
ค่ำแล้ว หอศิลป์ปิดแล้ว ไฟทุกดวงถูกดับลงแล้วแทนที่ด้วยแสงมลังเมลืองของตะเกียงฟักทอง อาเดียยังคงอยู่ในห้องแสดงงานเพื่อรอผู้ชมคนสำคัญของเขา แม้จะไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลหรือไม่ แต่ก็ไม่มีอะไรจะเสียนี่นะ
เวลาเดินไป หากเทียนที่ใช้เป็นไส้ตะเกียงกลับยังคงลุกโพลงเหมือนเวลาได้หยุดนิ่งลง แล้วอาเดียก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาตามระเบียง
แล้วร่างในชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูเหมือนเดินออกมาจากเงามืด แสงจากตะเกียงหลายสิบดวงส่องประทบใบหน้าของเขา...ใบหน้าเดียวกับที่ปรากฏในภาพวาดที่ประดับอยู่ทั่วห้องแสดงงานนี้
แล้วเขาก็ยิ้ม...
“ความทรงจำของมนุษย์นี่มีพลังแรงกล้าจังนะครับ ทั้งที่คุณไม่ควรจะจำได้แท้ ๆ”
อาเดียไม่ตอบ ได้แต่ยืนจ้องคนตรงหน้า ความทรงจำบางอย่างค่อย ๆ หวนคืนกลับมาทีละน้อย
“คนละเมอ...ไม่ควรจำได้ว่าตนนอนละเมอ”
“แต่ถ้ามีหลักฐานขนาดนี้ ก็ต้องจำได้บ้างแหละ” อาเดียเถียง
“นั่นสินะครับ แต่ที่ผมปล่อยให้มีหลักฐานเหลืออยู่ในมือคุณ ก็คงเพราะ...” สีหน้าของร่างสูงหม่นหมองลงเล็กน้อย “...ผมไม่อยากให้คุณลืม”
“แล้วคุณคิดว่าผมอยากลืมนักเหรอ?”
“ก็คงไม่...”
“อย่ามาเที่ยวลบความทรงจำคนอื่นง่าย ๆ แบบนี้นะ”
“ถ้าไม่ทำ ร่างกายของคุณก็คงไม่ไหว”
“ไหวซี่” อาเดียทำเสียงดื้อดึง
“ขนาดเป็นลมพลัดตกบันไดนี่ไม่เรียกว่าไหวนะครับ” ชายลึกลับยิ้ม
“ทั้งที่ยิ้มได้ดีแบบนั้นแท้ ๆ แต่กวนโมโหจริง ๆ เลย”
“คุณที่ไม่ละเมอก็ดื้อไม่เบานะครับ”
อาเดียทำเป็นไม่ได้ยิน เบือนหน้าหลบสายตาไปมองตะเกียงฟักทอง
“รู้ไหมว่าผมอยากเจอคุณแค่ไหน...”
ร่างสูงไม่ตอบในทันทีแต่มองไปรอบ ๆ ห้อง...ภาพของเขาปรากฏอยู่บนผืนผ้าใบทุกผืนในห้องนั้น บอกห้วงคำนึงของคนวาดได้เป็นอย่างดี
“ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน...” ร่างสูงเอ่ยชื่อนิทรรศการออกมา
“ก็ผมเจอคุณในฤดูร้อน...ใช่ไหม...?” ความทรงจำที่เพิ่งไหลรินกลับมามีดอกไม้หน้าร้อนเบ่งบานเต็มไปหมด
“เป็นการพบกันที่สนุกมาก”
“เพราะมันสนุก ผมถึงได้อยากพบคุณอีก แต่คุณก็ไม่มา”
“ผมกลัวว่าถ้าผมมาพบคุณ แล้วคุณจะเดินละเมอออกไปหาผมอีก ผมไม่อยากให้คุณเป็นอะไรไปอีก”
“ผมอุตส่าห์วาดรูปดอกคอสมอสใต้ท้องฟ้าไว้รอ”
“ขอโทษนะครับ”
“แล้วทำไมคราวนี้ถึงมาล่ะ?”
“ก็คุณถึงขนาดใช้เวทมนตร์โบราณที่ใครต่อใครหลงลืมไปหมดแล้วเรียกผมมา แถมยังใช้มากมายขนาดนี้...” ร่างสูงหัวเราะเบา ๆ กับตะเกียงฟักทองที่ตั้งอยู่เต็มไปหมด “...ผมจะต้านทานได้ยังไง”
“ก็ไม่รู้นี่ คุณไม่ใช่คนตาย คุณเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะจุดตะเกียงเรียกมาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้...ผมเลยเอาปริมาณเข้าว่าไว้ก่อน” อาเดียทำหน้ามุ่ย แก้มแดงนิด ๆ ด้วยความเขินอาย
“เข้าใจคิดนี่ครับ” ร่างในชุดดำหมุนตัวกลับมาหาอาเดีย “เอาละ ผมมาอยู่ที่นี่แล้ว แต่ไม่เห็นมีรูปวาดใต้แสงตะวันเลย มีแต่รูปตอนกลางคืนทั้งนั้น”
“รูปนั้นผมขายไปแล้ว แล้วผมก็ลองวาดคุณดูแล้ว แต่คุณไม่เหมาะกับตอนกลางวันเลยนี่นา”
“ก็ผมเป็นสิ่งมีชีวิตกลางคืนนี่ครับ”
“ภูตของดอกแสงจันทร์เหรอ?”
“ไม่ใช่อะไรน่ารักแบบนั้นหรอกครับ”
“ดอกไม้กลางคืนต้องบานตอนกลางคืนสินะ...” อาเดียทวนคำพูดในความทรงจำ
“และดอกไม้กลางวันต้องบานใต้แสงอาทิตย์” มือใหญ่และเย็นเฉียบเอื้อมไปแตะแก้มของอาเดีย “ผมดีใจนะที่คุณอวดความงามของคุณใต้แสงตะวันได้แล้ว”
“ก็คุณบอกให้ผมเป็นอย่างที่ผมอยากเป็นนี่”
“และผมก็ดีใจที่คุณเชื่อผม”
ต่างก็เงียบกันไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วอาเดียก็พูดออกมาเบา ๆ
“...แล้วยังไงต่อ?”
“อะไรเหรอครับ?”
“คุณอยู่ตอนกลางคืน ผมอยู่ตอนกลางวัน...แล้วยังไงต่อ?” ดวงตาใสเหมือนลูกแก้วหม่นหมองลง
“ไฮเดรนเยียบานทั้งวันทั้งคืนนะครับ”
อาเดียเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าทันที
“แปลว่าผมจะได้เจอคุณอีก...?”
“แน่นอนครับ ก็ผมยังไม่ได้ดูรูปวาดใต้แสงตะวันของคุณเลย” ร่างสูงยิ้ม
“แล้วผมจะวาดให้คุณดูจนเบื่อเลย”
“สัญญาแล้วนะครับ”
“สัญญาสิ...ทาร์ค...”
อาเดียเขย่งปลายเท้าขึ้น แนบริมฝีปากอุ่นกับหน้าผากเย็นเหมือนน้ำแข็งของทาร์คแทนคำสัญญา ท่ามกลางแสงตะเกียงสลัวที่นำพวกเขาให้มาพบกันอีกครั้ง
จากวันนี้ ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน ชีวิตของทาร์คก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
END
25 ตุลมคม 2558
ใช้เค้าโครงเรื่องแวมไพร์กับคนนอนละเมอมาจากการ์ตูนไม่มีลิขสิทธิ์เล่มเดียวจบเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ชื่อคนเขียน ไม่รู้ที่มา รู้แต่ว่าใช้ชื่อไทยว่า “เดียวดายใต้แสงจันทร์” ถือเสียว่าลงเครดิตไว้ตรงนี้นะครับ
-
ขอบคุณครับ
-
ชอบจุงงง น้องเดียนอนละเมอได้น่ากลัวมากลูก ทาร์คก็ดี๊ดี รัก :mew1:
-
หวานมากกกก :กอด1: ดอกไฮเดรนเยียนี่สวยจริง แต่ได้ข่าวว่าดูแลยากสมความสวยของมัน
-
เป็นเรื่องที่ดีจังค่ะ ขอบคุณนะคะ
-
หวานมากค่ะ ชอบๆๆๆๆ :-[
-
o13 o13 o13 o13 o13 น่ารักอะ