พิมพ์หน้านี้ - ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ryusaki_yp ที่ 16-10-2015 12:30:18

หัวข้อ: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 16-10-2015 12:30:18
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (ftp://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


♧♣หทัยเทพสวรรค์♣♧
By RyuKi




บทนำ ก้อนหิน


"ตัวตนของท่านมีครบทุกอย่าง หากแต่ขาดอยู่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงมีแต่ท่านไม่มี"
ชายที่คุกเข่าอย่างไร้ซึ่งอิสรภาพกล่าวโพล่งขึ้น
แม้แววตาจะอ่อนแสงหากแต่ลึกลงไปกลับฉายให้เห็นถึงแววดื้อดึง


“ข้ามีทุกอย่างที่มนุษย์พึงมี มีทุกอย่างเฉกเช่นเดียวกับเจ้า จะมีสิ่งใดในโลกหล้าที่ข้าไม่มี"

“ท่านกล่าวถูกทุกอย่าง ท่านมีทุกอย่างเหมือนกับข้า เหมือนกับผู้อื่น
แต่ที่ท่านขาดคือ หัวใจ
ท่านไม่เคยรักใคร ไม่เคยโศกเศร้า หรืออาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งใดในโลกหล้าอย่างสุดซึ้ง
ท่านเปรียบเสมือน...ก้อนหิน"

คำตัดพ้อดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ยังผลให้ลมหายใจเขาสะดุดลง

"ข้าเพียงปรารถนาให้ท่านมีหัวใจ เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป...เพียงแค่นั้น"

คนผู้นี้กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ดวงตาที่จ้องลึกเข้ามา
คล้ายกับต้องการบางสิ่ง...ความหวังกระนั้นหรือ
“ข้า...เป็นเพียงก้อนหิน ก้อนหินจะมีหัวใจเฉกเช่นมนุษย์ได้เยี่ยงไร"

คำตอบถูกเอ่ยออกมาด้วยเหตุผลสั้นๆ ทำให้ดวงตาที่โชนแสงมอดไหม้ลงไปในพริบตาแทนที่ด้วยความผิดหวังระคนหมองเศร้า
 
“พาเขาไปเถอะ”

สิ้นเสียงร่างที่ถูกโซ่ตรวนลุกขึ้นขัดขืนอย่างสุดกำลัง แต่กระนั้นก็ยังถูกลากออกไป จวบจนวินาทีสุดท้ายก็ยังคงจับจ้องร่างสีขาวไม่วางตา

คนไปแล้วแต่กลับทิ้งสายตาดุจดั่งคมมีดที่คอยทิ่มแทงให้เจ็บปวด
แผ่นหลังเอนพิงต้นไม้อย่างอ่อนล้า
“ใช่แล้ว ไม่เคยมีก้อนหินก้อนใดที่มีหัวใจ แล้วข้าล่ะ
ข้าไม่มีหัวใจจริงๆน่ะหรือ”

ในอกพลันปวดร้าวแปลกๆ คล้ายมีบางสิ่งที่ถูกกรีดลึก
เช่นนี้หรือเปล่าคือ ความรู้สึก...หัวใจ
“มันใช่หรือเปล่า ใช่รึเปล่า”
เสียงนุ่มทุ้มพึมพำไปมาก่อนจะแผ่วเบาเรื่อยๆ ดวงตาที่เคยเปล่งประกายพลันอ่อนแสงลง กระทั่งเปลือกตาบางปิดลงในที่สุด

“ก้อนหินอย่างข้าจะมีหัวใจได้บ้างรึเปล่า”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทนำ 16/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 16-10-2015 13:05:26
บทที่ 1 สระบัวที่หลับใหล


                กลางดึกสงัดในคืนที่ไร้ดวงดาว ลมหนาวพัดผ่านภายในเมืองลู่หยาง ต้นไม้ใบหญ้าไม่เพียงไม่เขียวชอุ่ม แม้แต่ดอกไม้ก็ยังแห้งเหี่ยวขาดซึ่งความงาม เช่นเดียวกับสระบัวกว้างที่ถูกจำกัดไว้ในคฤหาสน์ตระกูลเซียว สระบัวที่มิเคยเบ่งบานมาก่อนราวกับว่าพวกมันกำลังรอคอยบุคคลผู้หนึ่งมานานแสนนาน

                "คุณชาย คุณชาย" เด็กรับใช้ร้องเรียกก่อนจะวิ่งตาลีตาเหลือกถือเสื้อคลุมตัวใหญ่เข้ามาในสภาพทุลักทุเล

                "เพ้ย ดึกขนาดนี้แล้วยังอุตส่าห์ตามมาอีกรึ" เสียงน่าเกรงขามปนรำคาญดังขึ้น

                อวี่จงฟังแล้วก็ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาพลางยื่นเสื้อคลุมให้คุณชายเซียวถิงฟงหรือบุตรชายโทนของตระกูลเซียว ผู้มีดวงตาสีดำสนิท จมูกโด่ง ริมฝีปากน่าหลงใหล รูปร่างสูงใหญ่กำยำ กล่าวได้ว่าเพียบพร้อมไปทุกด้าน ผิดแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือยิ้มยาก พร้อมจะโมโหได้ทุกเพลา ดังนั้นไม่ว่าสาวๆในเมืองจะคอยส่งยิ้มหยาดเยิ้มมาเพียงใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น

                ตระกูลเซียวแห่งเมืองลู่หยางถือเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ที่คนทุกรุ่นต่างมีอำนาจในราชสำนัก ซึ่งเมื่อถึงรุ่นของเซียวถิงหลี่บิดาของเซียวถิงฟงก็ได้ดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทำหน้าเป็นดั่งที่ปรึกษาให้กับซวนหยวนฮ่องเต้ ทว่าผู้เป็นบุตรเองก็มิใช่ย่อย เพราะนอกจากจะเก่งด้วยวิชาบุ๋นแล้ว ก็ยังเป็นถึงจอหงวนบู้ที่มีอายุเพียงแค่ยี่สิบสาม รอเพียงได้รับการพระราชทานตำแหน่งอย่างเป็นทางการเท่านั้น

                “หากข้าไม่ตามมาเร็วปานนี้ คุณชายคงได้เผาสระบัวเป็นจุณไปแล้ว" อวี่จงตอบด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เนื่องด้วยรู้ดีว่าผู้เป็นนายคาดหวังที่จะขจัดสระบัวแห่งนี้เพียงเพื่อเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสนามลูกหนังขนาดใหญ่เมื่อมีโอกาส

                “เหอะ ช่างรู้ทันเสียจริง เอาเถอะ เจ้าไปเอาเรือออก ข้าจะได้สำรวจสระบัวว่ามันจะกว้างสักเท่าใด" เซียวถิงฟงพูดขึ้นพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ในใจก็วาดฝันถึงสนามลูกหนังอันกว้างใหญ่ในอนาคตอันใกล้

                ทว่าเด็กรับใช้กลับพูดแย้งอย่างไม่เข้าใจ “แต่คุณชาย นี่มันก็ดึกมากแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่ออกสำรวจในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้แทนล่ะ"

                “ซื่อบื้อ หากทำเช่นนั้นบิดาข้าก็รู้สิว่าข้ายังไม่ล้มเลิกความคิด” เขาตวาดใส่เสียจนอวี่จงหน้าตาตื่น รีบจ้ำอ้าวไปปลดเชือกที่คล้องไว้กับท่าเรือ ครั้นเมื่อเหลือบมองสระบัวอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอีกสักประโยค “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าจะเก็บสระบัวเน่าๆนี้ไปทำไมกัน"

                ย้อนกลับไปในความทรงจำวัยเด็ก ในช่วงย่างเข้าฤดูหนาวของทุกปี บิดามักทึกทักอยู่เสมอว่าปีนี้ดอกบัวในสระต้องเบ่งบานงดงาม ฟังแล้วเขาก็ได้แต่อดตาหลับขับตานอนเฝ้ารออยู่ทุกคืน แต่ดูว่ามันไม่เคยไยดีต่อความคาดหวังของผู้ใด กลีบสีขาวยังคงหุบไม่แยแส จนวันหนึ่งข้ารับใช้เก่าแก่ก็เผลอหลุดปากเข้า บอกว่าสระบัวแห่งนี้มิเคยเบ่งบานตั้งแต่สมัยปู่หรือทวด ความจริงข้อนี้ทำให้เขาต้องตัวสั่นไปด้วยความโกรธ เป็นบิดาที่หลอกให้เขาตากน้ำค้างจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ

                ครั้นแปดขวบ เขาก็ถูกส่งตัวไปศึกษาในเมืองหลวง ทั้งยังถูกวางตัวให้เป็นพระสหายขององค์รัชทายาทที่อยู่ในวัยเดียวกัน นับตั้งแต่นั้นเขาก็ลืมเลือนสระบัวแห่งนี้ไป กระทั่งเมื่อได้กลับมายังบ้านเกิดก็พานพบเข้ากับสระบัวร้างอีก เพียงแค่ชำเลืองมองก็เกิดความคิดปรับปรุงพื้นที่ แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยการทะเลาะกับบิดาถึงสามคืนเต็มๆ

                “สระบัวนี้เปรียบเสมือนฮวงจุ้ยของบ้านเรา มันจะนำพาแต่สิ่งดีๆ มาให้...เพราะฉะนั้นห้ามแตะ นี่เป็นคำสั่ง" เซียวถิงหลี่ร่ายประโยคแรกราวกับท่องจำมา แต่ทว่าท้ายประโยคกลับใช้น้ำเสียงกร้าว

                นึกถึงตรงนี้เซียวถิงฟงก็ต้องทำสีหน้าเอือมระอา ดูยังไงภาพตรงหน้าก็เป็นแค่สระบัวเน่าๆ ย้ำสระบัวเน่าๆเท่านั้น หึ หากคิดว่าข้าจะยอมล่ะก็คิดผิดถนัด ท่านพ่อยังไม่รู้จักข้าดีพอ ขอเพียงสักคืน...สักคืนเท่านั้น ข้าจะเผามันให้วอดวาย เดี๋ยวเดียวก็จบ หึ หึ หึ~

                “คุณชาย พายมาแค่นี้ไกลพอแล้วนะขอรับ” อวี่จงกล่าวขัดจังหวะขึ้น ทำให้ร่างสูงที่นั่งยิ้มกริ่มเพียงลำพังตื่นขึ้นจากภวังค์

                “ไกลกว่านี้อีกซิ นี่ยังใกล้ฝั่งอยู่เลย” เขาออกคำสั่ง อวี่จงที่ยืนพายเรืออยู่ที่ด้านหลังจึงได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจเงียบๆ ก่อนจะขยับฝีพายให้เรือออกไปไกลจากฝั่งมากกว่าเดิม

                “ดอกบัวเน่าๆพวกนี้ช่างรกหูรกตาข้าเสียจริง ฮวงจุ้ยดีๆอย่างนั้นรึ ไม่เบ่งบานเช่นนี้จะเรียกให้ถูก ต้องเป็นสระบัวต้องคำสาปเสียมากกว่า ฮ่าๆ” น้ำเสียงหัวเราะสะใจยังคงกล่าวพล่ามต่อไม่หยุดปาก “น่ากลัวว่าจะมีวิญญาณแค้นโผล่ขึ้นมาแทน หึ ดอกบัวที่ไม่มีวันเบ่งบานก็เปรียบเสมือนกับใบไม้แห้งที่มีแต่ต้องเอาไปฟืนไฟ จึงจะมีประโยชน์จริงไหม อวี่จง"

                เด็กรับใช้ฟังแล้วได้แต่กรอกตาไปมา ช่วยอย่าเหมาเอาข้าไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำลายสระบัวของท่านด้วยสิ มันอยู่ของมันดีๆ ไม่ได้มีขาเดินไปเตะเข้าตาท่านสักหน่อย นี่เรียกว่าบังคับขู่เข็ญเผด็จการชัดๆ นายท่านเซียวบุตรชายท่านบังคับข้านะ ข้าไม่เกี่ยวจริงๆ เอ...แต่ถ้าเกิดมันมีอะไรโผล่ขึ้นมาจริงๆล่ะ ไม่ๆ เผาดีกว่า เอ๊ะ ยังไงกันนี่ โอ๊ย น่าปวดหัวจริง

 
**********************************************

 
                เรือลำเล็กถูกพายออกไปถึงกลางสระ ด้วยความมืดจึงทำให้สังเกตเห็นความตื้นลึกได้ไม่มากนัก ดอกบัวตูมที่ลอยอยู่ให้ความรู้สึกถึงคำว่ามืดมนไร้ซึ่งชีวิตชีวา มิได้ใกล้เคียงกับคำว่าสวยงามเลยสักนิด

                “คุณชาย ข้าว่าเรากลับกันเถอะ นี่มันก็ดึกแล้วแถมยัง น่ะ...หนาวยะเยือก” ใช่แล้วทัศนียภาพแบบนี้ ทั้งมืดทั้งหนาวเช่นนี้ ช่างทำให้หัวใจเต้นระรัวจริงๆ คุณชายเซียวไม่น่าพูดถึงภูตผีปีศาจอะไรนั่นเลย อวี่จงร้องครางในใจพลางปรารถนาให้ผู้เป็นนายสั่งหันหัวเรือกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้

                "ไม่ บรรยากาศออกจะดี” เซียวถิงฟงยิ้มกว้าง

                เช่นนี้เรียกว่าดี? คุณชาย ท่านยังประสาทดีรึเปล่า ความรู้สึกออกจะทื่อด้านไปหน่อยกระมัง อวี่จงถลึงตาใส่คนที่ดูอารมณ์ดีอย่างไม่เชื่อ

                “ทำไม บรรยากาศไม่ดีหรืออย่างไร ที่นี่เงียบสงบ อากาศก็เย็นสบาย เจ้าเริ่มกลัวแล้วสิท่า คงคิดว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาจริงๆใช่รึไม่ เฮอะ ผีเผอน่ะมีจริงซะที่ไหน เรื่องแบบนี้เหลวไหลทั้ง...”

                เฟี้ยว ยังมิทันกล่าวจบก็ปรากฏวัตถุหนึ่งพุ่งเฉียดเข้าที่ขมับซ้ายคนกล่าวด้วยความเร็วสูง

                เหตุการณ์แม้เกิดขึ้นกะทันหัน แต่เพียงชั่วพริบตาชายหนุ่มกลับเบี่ยงศีรษะหลบออกไปได้ทันท่วงที วัตถุแปลกประหลาดจึงพุ่งตกลงไปในสระบัว เกิดเป็นเสียงดังตูมใหญ่ ตามมาด้วยน้ำในสระที่ทะยานตัวขึ้นโปรยปรายดั่งเช่นสายฝน กระแสน้ำถูกก่อกวนกลายเป็นคลื่นปั่นป่วน คนบนเรือต่างพยุงตัวกันจ้าละหวั่น เสื้อผ้าหน้าผมต่างเปียกปอนจนหมดสิ้น

                รอจนน้ำในสระสงบนิ่งอวี่จงที่หน้าซีดหลับตาปี๋ก้มตัวหมอบก็ร้องโอดครวญน้ำเสียงสั่น “ไหนคุณชายบอกว่าจะไม่มีอะไรโผล่ออกจริงๆไง โฮ” มาคิดดูแล้วคุณชายเซียวพูดขัดแย้งไปมาตั้งแต่ต้น เดี๋ยวก็บอกว่า ผีบ้างล่ะ คำสาปบ้างล่ะ แล้วจู่ๆก็บอกว่าเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ เป็นไงล่ะเฉียดไปทักทายกับท่านยมบาลเลยเห็นไหม

                “เมื่อครู่นี้มันอะไรกัน อะไรพุ่งลงไปในสระบัวนรก” คล้ายเห็นบางสิ่งที่พุ่งตกลงไปใกล้ๆ ว่าแล้วเซียวถิงฟงก็รีบก้มตัวชะโงกหน้ามองจนใบหน้าแทบจะจุ่มลงในสระ

                แน่ะ ยังจะเรียกสระบัวนรกอีก นอกจากคุณชายจะโรคจิต เจ้าเล่ห์ ขี้โมโห ปากก็มิวายเสียอีกด้วย เห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ใส่ใจในสวัสดิภาพของตน อวี่จงก็ก่นด่าในใจ

                “ฮึ่ย มองไม่เห็นอะไรเลย” ไม่ได้ดั่งใจจริงๆ เป็นเพราะน้ำในสระมืดเกินไปทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ทว่าสวรรค์เองก็ดูเหมือนรับฟังเสียงบ่นเพราะกล่าวจบได้ไม่นานก็บังเกิดเป็นแสงสว่างสีทองอ่อนขึ้นภายใต้สระ ดูว่าแสงนั้นค่อยๆแผ่ขยายลามไปทั่วจนทั้งสองต้องนิ่งตะลึงกันไปพักใหญ่

                นี่มันแสงอะไรกัน เขาครุ่นคิดสงสัย ขณะเดียวกันอวี่จงก็ตะลึงลานผงะหงายหลัง นิ้วมือชี้ตรงไปที่ทิศหนึ่งพลางกล่าวน้ำเสียงติดอ่าง “อ้ะ ดะ ดะ ดอกบัว”

                ดวงตาสีดำมองไปตามทิศทางนั้น และแล้วความประหลาดใจก็พาดผ่านในแววตาแทบในทันที ราวกับว่ากำลังฝันไป ดอกบัวที่ไม่เคยเบ่งบานมานานหลายทศวรรษมาครานี้กลับค่อยๆอวดโฉมแล้ว กลีบสีขาวละเอียดอ่อนคลี่ออกอย่างงดงาม ยังไม่นับแสงสีทองภายใต้สระที่ขับดันให้ดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์เหล่านี้เปล่งประกายสวยงามจนมิอาจเปรียบเปรยได้ เซียวถิงฟงตะลึงมองภาพที่สวยงามนี้อยู่สักพักจึงเริ่มกวาดสายตาไปรอบๆ กระทั่งเห็นความผิดปกติที่ใต้ท้องเรือ

                “คุณชาย ท่านมองหาอะไรอยู่” ยังมิทันได้คำตอบ หัวใจน้อยๆของอวี่จงก็แทบจะวายไปอีกรอบเมื่อเห็นคุณชายกระโดดลงน้ำไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                มาตรว่าน้ำในสระไม่ลึก แต่ก็ต้องเผชิญกับความหนาวที่เสียดแทงกระดูก เซียวถิงฟงรีบกวาดตาหาที่มาของแสงประหลาด ก่อนจะสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งที่ใสจนแทบจะกลมกลืนไปกับผิวน้ำ
 
                คล้ายดั่งมีมนตร์สะกดดึงดูดให้เข้าไปใกล้ กว่าจะรู้ตัวมือก็ยื่นออกไปแล้ว พริบตาที่ปลายนิ้วสัมผัสพลังไร้ที่มาขุมหนึ่งก็แล่นปราดไปทั่วตัว ร่างกายที่หนาวแทบตายพลันเปลี่ยนเป็นอุ่นร้อน สีหน้าคมเข้มถึงกับขมวดคิ้วฉงน ก่อนจะตัดสินใจยัดมันไว้ในอกเสื้อแล้วทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว

                “คุณชาย ท่านบ้าไปแล้ว กระโดดลงไปในน้ำช่วงอากาศแบบนี้ ท่านมีสิทธิ์แข็งตายได้นะ ไม่ได้การแล้วต้องรีบกลับไปที่ตำหนักโดยเร็ว” อวี่จงยื่นมือไปดึงคนเปียกปอนขึ้นมาบนเรือ แต่แล้วก็เกิดงงงันวูบ...ทำไมตัวถึงได้อุ่นนักล่ะ

                “ยังจะมองหาอันใด รีบไปพายเรือสิ” เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องเซียวถิงฟงก็ทำเสียงดุ

                อ่า จริงสิคุณชายของเราเป็นพวกหนังหนา ความรู้สึกด้านช้า มิแปลกที่จะรู้สึกหนาวช้ากว่าชาวบ้านปกติ อวี่จงได้แต่ประชดประชัดในใจ ก่อนจะหันกลับไปพายเรือต่อ

                จวบจนเรือถูกพายเข้าถึงฝั่ง ทั้งสองก็จ้ำอ้าวกลับเข้าตำหนักไปกันอย่างรีบร้อน โดยไม่มีใครคิดจะเหลียวแลสระบัวที่ตอนนี้ทยอยกันหุบกลีบดั่งเช่นที่เคยเป็นมา แสงที่เคยสว่างไสวก็พลันดับลงราวกับว่าสถานที่นี้ไม่เคยเกิดเหตุพิสดารอะไรขึ้นมาก่อน
 

**********************************************


                ชายหนุ่มรีบเร่งกลับตำหนักที่พักโดยมีอวี่จงคอยถือโคมไฟนำอยู่ตลอดทาง ในใจก็เริ่มฉุกคิดสงสัย ร่างที่เปียกโชกจนอาภรณ์ที่สวมใส่แนบสนิทจนเห็นรูปกาย อีกทั้งยังมีลมที่พัดมาเป็นระลอกๆ เหตุไฉนตนจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวสักนิด

                ครั้นเมื่อถึงเรือนนอนอวี่จงก็ขอตัวไปเตรียมน้ำอุ่น ร่างสูงพยักหน้าโดยไม่กล่าววาจา รอจนเสียงฝีเท้าเงียบหายไปก็รีบเดินไปจุดเชิงเทียน แล้วหยิบของที่เก็บซ่อนไว้ออกมา วัตถุกลมคล้ายลูกแก้วขนาดเท่าอุ้งมือถูกนำออกมาจากสาบเสื้อ ความโดดเด่นของมันอยู่ที่ความใสบริสุทธิ์ที่ทอประกายงดงามจนยากที่จะละสายตา พาลให้เขายืนชมดูอย่างเลื่อนลอย      

                “คุณชาย โชคดีมากที่น้ำร้อนมีเพียงพอ มิต้องเสียเวลาต้มอีก รีบเข้าไปแช่เถอะขอรับ”

                การมาอย่างกะทันหันยังผลให้เซียวถิงฟงสะดุ้งตกใจ ดีที่ปฏิกิริยาว่องไวจึงซ่อนลูกแก้วไว้ที่ด้านหลังได้อย่างทันท่วงที เขาเก็บงำสีหน้าไว้ก่อนใช้น้ำเสียงเข้มกล่าว “หมดหน้าที่ของเจ้ากลับไปได้แล้ว”

                “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว” อวี่จงยิ้มกว้างทว่ากลับลอบคิด ฮึ่ม ใช้ข้าไปทำเรื่องแปลก จนเจอเรื่องประหลาดๆ เสร็จแล้วก็ไล่ข้าเลยนะ แล้วคืนนี้ข้าจะนอนหลับสนิทได้อย่างไร น่าขนลุกจริงๆพรุ่งนี้ทุกคนต้องตกใจกับสภาพสระบัวเป็นแน่ เด็กหนุ่มคิดพร้อมกับค่อยๆแง้มปิดประตูลง

                “เดี๋ยว เรื่องในวันนี้ปิดปากเจ้าให้สนิท นี่เป็นคำสั่ง”

                ประตูยังมิทันปิดสนิทเสียงคำสั่งก็ลอยทะลุผ่านช่องว่างที่เหลือเพียงแค่ไม่กี่หุน อวี่จงเห็นสีหน้ายักษ์ผ่านทางช่องประตูเล็กๆแล้วมีหรือที่จะไม่ตอบออกไป “ขอรับ”

                ต่อเมื่อได้อยู่ลำพัง ร่างสูงก็ตรงไปยังห้องอาบน้ำโดยมิวายพกวัตถุประหลาดไป ผลักมู่ลี่ออกตามความเคยชินจนเผยให้เห็นอ่างแร่หินตรงกลางห้อง สองมือก็เริ่มปลดเสื้อผ้าทั้งหมดลงจนร่างกำยำสมส่วนเปลือยเปล่าสัมผัสกับอากาศ ลูกแก้วถูกวางไว้บนเสื้อถูกถอดกอง ก่อนจะกระโจนลงอ่างด้วยนึกอบอุ่นผ่อนคลาย ทว่า...สองตาลืมพรึบ

                “อ๊าก นี่มันน้ำเย็นนี่” เขาดีดตัวทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากอ่างแทบในทันทีที่ผิวกายสัมผัสกับน้ำ ควันน้ำในอ่างปรากฏลอยอบอวลไปทั่วห้อง แม้จะดูเหมือนไอร้อน หากแต่ว่ามันเป็นไอเย็น

                “หนอย อวี่จง เจ้าคิดจะให้ข้าอบอุ่นร่างกายหรือจะแช่แข็งข้ากันแน่ รอถึงพรุ่งนี้ก่อนเถิด ข้าจะให้เจ้าลองแช่ดู ดูสิว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ” ได้แต่ตัดสินใจกลับห้องไปอย่างหัวเสีย หันไปคว้าหยิบเสื้อก็ต้องอุทานขึ้น เมื่อสิ่งที่ควรอยู่กลับไม่อยู่แล้ว เขารีบกวาดตามองหากระทั่งสะดุดตาที่ก้นอ่าง

                “บ้าจริง นี่ข้าต้องลงไปในอ่างอีกแล้วรึ”

                ยืนทำใจครู่หนึ่งก็กลั้นใจหย่อนตัวกลับลงไปในน้ำเย็นอีกครั้ง มือก็รีบควานคว้าลูกแก้วตัวดีแล้วจับให้มั่น ทว่าเมื่อโผล่ศีรษะพ้นเหนือน้ำ สีหน้าก็พลันแดงระเรื่อ ร่างกายก็เต็มไปความอบอุ่น ควันที่เคยกลายเป็นไอเย็นกลับกลายเป็นไอร้อนลอยโขมงอยู่เหนือศีรษะ

                เซียวถิงฟงถึงกับงงงันวูบ “รึจะเป็นเพราะลูกแก้ว” จำได้ว่าครั้งที่อยู่ในสระที่เยียบเย็นเพียงแค่แตะมันก็อบอุ่นขึ้น เขาเลิกตาโตทั้งยังรีบยกลูกแก้วขึ้นมองอย่างละเอียด แต่แล้วก็มิได้ข้อสรุปอะไรเพิ่มเติม รอจนผ่านไปครึ่งชั่วยามก็ตัดสินใจกลับห้องแล้วล้มตัวนอนแผ่อยู่บนเตียง จากนั้นจึงเข้าสู่นิมิตราตรีโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าลูกแก้วยังคงอยู่ในมือ

 
**********************************************

 
                ค่ำคืนนี้เซียวถิงฟงฝันแปลกประหลาด ในฝันนั้นเขานั่งอยู่บนเรือที่ลอยเคว้งคว้างกลางสระบัวในสภาพอากาศที่มีแต่หมอกควัน กระทั่งมีเสียงนุ่มทุ้มไพเราะที่แยกแยะมิออกว่าเป็นน้ำเสียงของบุรุษหรือของสตรีภายใต้สระน้ำที่ส่องประกายสีทอง

                “พาข้ากลับไปที่เดิม” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวซ้ำไปซ้ำมาออกแกมคำสั่ง

                เดิมทีด้วยไม่ชอบให้ใครมาสั่งกอปรว่าในใจลึกๆก็ไม่คิดกระทำตาม เขาพลันตะโกนตอบลูกแก้วประหลาดไป “ไม่มีทาง ข้าอุตส่าห์ลำบากลำบนดำลงไปเก็บเจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องเป็นของข้า” เซียวถิงฟงชี้นิ้วสั่ง

                แต่กระนั้นเสียงดังกล่าวกลับดูไม่มีทีท่าเข้าใจ ทั้งยังคงพึมพำประโยคเดิมๆด้วยเสียงดังกังวานหนวกหู “พาข้ากลับไปที่เดิม

                “ไม่มีทาง เจ้ายอมแพ้ซะเถอะ” เขายกขึ้นสองมือป้องหูพลางตะโกนกลับไปสุดเสียง

                สิ้นสุดเสียงดังกล่าวสองตาก็ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพมึนงง ทว่าเรื่องราวในฝันนั้นกลับยังคงตราตรึงแจ่มชัด แต่ขี้คร้านใครจะไปใส่ใจกับเพียงแค่ความฝัน ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงพลางหาวหวอดบิดขี้เกียจสองสามครั้ง จากนั้นจึงล้างหน้าพลางเปลี่ยนเป็นชุดใหม่

                อีกด้านหนึ่งกลับมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆเดินนวยนาดเข้ามา เป็นแมวสาวที่มีขนสีดำเงางาม ที่รอบจมูกปากหน้าท้องรวมถึงอุ้งเท้าล้วนเป็นสีขาวสะอาด มันเดินยืดคอมองชายหนุ่มก่อนจะสบเข้าที่ลูกแก้วใสบนเตียง จากนั้นจึงแสยะยิ้มกระโดดขึ้นไปบนเตียง

                “ถิงถิง อย่าเล่นนะ เดี๋ยวเป็นรอย” เห็นเจ้าแมวตัวโปรดใช้ขากลิ้งลูกแก้วหลุนๆ เขาก็พูดขัดจังหวะจนมันร้องประท้วง
 
               "เอาเป็นว่าข้าจะซื้อของกินมาฝากเจ้าแทนนะ” พูดพลางเอื้อมมือไปยื้อดึงลูกแก้วออกจากตัวมันก่อนจะมุ่งหน้าไปที่แห่งหนึ่ง

                ครั้นออกจากจวนจนถึงใจกลางเมืองลู่หยาง เซียวถิงฟงก็เข้าไปในร้านขายวัตถุโบราณที่เก่าแก่ ที่ด้านในร้านวางไว้ด้วยแจกันเก่าที่มีฝุ่นจับหนาเป็นชั้นบางๆ บนฝาผนังแขวนไว้ด้วยภาพวาดของนักเขียนชื่อดังที่ดูมิออกว่าเป็นของจริงหรือปลอม กระทั่งเดินสำรวจร้านอย่างเบื่อหน่ายสักพัก เจ้าของร้านก็รีบแจ้นตรงเข้ามาประจบทักทาย

                “โอ้ ช่างเป็นเกียรติแก่ร้านเราที่คุณชายเซียวมาเยี่ยมเยือน หากคุณชายสนใจสินค้าชิ้นไหน ข้าน้อยจะคิดให้ในราคาพิเศษเลย” เถ้าแก่ร้านขายของเก่าอายุประมาณสี่สิบเศษ รูปร่างอ้วนท้วมพูดพลางขยิบตาเมื่อถึงประโยคสุดท้าย
 
                แต่แล้วเสียงกระแอมไอที่ดังตอบกลับก็ทำให้สีหน้าเถ้าแก่พลันเปลี่ยนเป็นแดงก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนบุคลิกให้ดูน่าเชื่อถือแทน ทว่าในสายตาของเซียวถิงฟงกลับรู้สึกขบขันกับท่าทีเปลี่ยนไวของเถ้าแก่ร้านไม่น้อย

                “ข้ามีสิ่งหนึ่งต้องการให้เจ้าช่วยวิเคราะห์สักหน่อยว่ามันทำจากวัสดุอะไร” กล่าวจบเขาก็ถูกพาไปยังห้องรับแขกด้านใน จากนั้นตนก็วางถุงผ้าลายฉลุลงบนโต๊ะพลางยื่นส่งไปให้อีกฝ่าย

                สองมืออวบรับถุงผ้าเสร็จก็หยิบเอาของในถุงออกมา จากนั้นล้วงเครื่องมือชิ้นหนึ่งขึ้นส่องไปยังลูกแก้วใส เพ่งมองอยู่ครู่ใหญ่กระทั่งเหงื่อเริ่มออกก็ลอบมองคุณชายเซียวที่นั่งนิ่งรอฟังอย่างสงบ เเต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังกดดันมหาศาล

                “คุณชายเซียว มิทราบว่าท่านได้สิ่งนี้มาจากที่ใด” เถ้าแก่เจ้าของร้านตัดสินใจทำลายความเงียบงันในที่สุด

                “เรื่องบางเรื่องจงรู้ให้น้อยเสียดีกว่า มิเช่นนั้น หึ หึ ข้าคงไม่ต้องกล่าวต่อแล้ว” คำตอบของเขาทำให้เถ้าแก่ร้านหน้าซีดเป็นไก่ต้มได้แต่พยักหน้าหงึกหงักก่อนก้มลงตรวจลูกแก้วอีกครั้ง

                “คุณชาย ท่านจะอนุญาตไหม หากท่านจะทิ้งสิ่งนี้ไว้ที่นี้สักสองสามวัน เอ่อ...คือข้าน้อยต้องการตรวจให้ละเอียดถี่ถ้วน” เถ้าแก่ร้านถามอย่างกล้าๆกลัว แต่ในแววตากลับปรากฏแววละโมบ

                “เฮอะ หากไม่สามารถตอบข้าได้ ข้าจะไปร้านอื่น” เขาแค่นเสียงกล่าวพลางเอื้อมมือไปหยิบของกลับ แต่แล้วเถ้าแก่ร้านกลับชักมือหนี

                “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ลูกแก้วนี้เป็นลูกแก้วหิน แต่ก็มิใช่หินทั่วไป มันทำขึ้นจากหินอุกกาบาตที่มีอายุนานหลายพันปีหรืออาจจะมากกว่านั้น” พูดพลางเช็ดเหงื่อทั้งมองลูกแก้วในมืออย่างชื่นชม “แต่ข้าน้อยไม่สามารถรู้ได้ว่ามันถูกเจียระไนให้อยู่ในรูปลักษณ์กึ่งใสนี้ได้อย่างไร คลับคล้ายว่าเป็นลูกแก้วแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ช่างที่ทำคงมีฝีมือเข้าขั้นชั้นเซียนเลยทีเดียว สมบูรณ์ไร้ที่ติแท้ๆ” เขาพูดจ้อไม่หยุดจนแทบจะมิได้หายใจด้วยซ้ำ “คุณชาย ท่านสามารถขายให้ข้าได้หรือไม่ เรื่องราคาข้าน้อยไม่เกี่ยงแน่นอนแน่ขอรับ” เถ้าแก่อ้อนวอนด้วยความหวังอันล้นปรี่ กระนั้นเซียวถิงฟงก็ยังคงตอบด้วยเสียงเน้นหนักอย่างไร้เยื่อใย

                “ไม่ มี ทาง”

                มือคว้าลูกแก้วจากมืออวบอ้วน จัดการยัดมันลงไปในห่อผ้าท่ามกลางสายตาเป็นมันของเถ้าแก่ร้าน ทว่าก่อนจากไปก็มิลืมที่จะโยนเงินจำนวนสองตำลึงทองลงบนโต๊ะ เเม้ว่าเถ้าแก่ร้านจะพลาดสิ่งที่ปรารถนา แต่ก็มิวายตะครุบก้อนเงินนั้นทันที เซียวถิงฟงเดินออกจากร้านด้วยสีหน้าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในใจก็อดปิติมิได้ที่ได้ครอบครองลูกแก้ววิเศษที่มิอาจประเมินค่าได้

                “หึ หึ ของดีเช่นนี้ตกอยู่ในมือข้า ช่างโชคดียิ่ง”



**********************************************


พึ่งอัพครั้งเเรกค่ะ ผิดพลาดประการใด หรือหากมีข้อคำเเนะนำ ต้องขออภัยเเละขอบคุณล่วงหน้าด้วยจ้า
หากเจอเรื่องนี้ที่อื่นคือยังrewriteไม่เสร็จนะคะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 1 สระบัวที่หลับใหล 16/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-10-2015 15:20:23
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 1 สระบัวที่หลับใหล 16/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 17-10-2015 21:54:34
บทที่ 2 ฝันที่เป็นจริง


               ระหว่างทางกลับคฤหาสน์เซียวถิงฟงก็แวะเดินดูนู่นดูนี่อย่างสบายอารมณ์ ซึ่งกว่าจะถึงหน้าจวนก็เป็นอันครบหนึ่งชั่วยามพอดิบพอดี แต่ดูว่าขายังมิทันจะก้าวพ้นประตูอวี่จงก็โผล่พรวดมาขวางทางไว้ด้วยสีหน้าซีดเผือด สายตายังดูเบิกค้างราวกับพึ่งพบภูตผีก็ไม่ปาน

               “คุณชาย ท่านไปไหนมา ข้าน้อยยืนรอท่านตั้งนาน” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
               “เจ้านั่นแหละ แอบไปอู้ที่ไหนมาแต่เช้า ข้าเรียกใช้กลับไม่พบแม้แต่เงาหัว ทีนี้มาทำรอข้า หรือคิดจะติดตามข้าไปทุกหนทุกแห่งอีก” เพียงแค่คิดก็ต้องนึกรำคาญใจขึ้นมาแล้ว

               “คุณชายเกิดเรื่องแล้วที่สระ อื้อ” กล่าวมิทันจบประโยคมือใหญ่ก็อุดเข้าที่ปาก ร่างถูกฉุดกระชากออกไปจากประตูใหญ่ ทิ้งให้ข้ารับใช้ที่ยืนเฝ้ายามอยู่พากันมองทั้งสองอย่างอยากรู้อยากเห็น

               เซียวถิงฟงฉุดร่างเล็กๆ เข้าไปยังมุมลับตาด้วยสภาพทุลักทุเล เมื่อวางใจว่าไม่มีคนผ่านมาจึงค่อยปล่อยมือออก ทำเอาอวี่จงทรุดฮวบลงกับพื้นหอบหายใจตัวโยนอยู่ข้างๆกาย

               “ข้ามิได้บอกรึว่าห้ามพูดถึงเรื่องสระบัวนั่นอีก ไม่กลัวคนอื่นจะรู้รึไง ว่าข้าบุกรุกสระบัวเมื่อคืนนี้” เขากดเสียงพูดจนเบาแต่ยังคงเน้นหนักทุกพยางค์

               ที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลเซียว หากเขาหลุดความลับใดออกมามีรึเรื่องจะไม่รั่วไหล ในเมื่อคนที่นี่ล้วนเป็นคนของบิดาทั้งสิ้น จะมีก็แต่ข้ารับใช้หน้าตาซื่อบื้อดูไม่มีพิษมีภัย ที่ขอเพียงส่งสายตาขู่เข้าหน่อยก็เปิดปากพูดเช่นอวี่จงถูกส่งมาเป็นผู้ติดตามเขา

               “ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยเพียงแค่ตกใจมากไปก็เลย...” เมื่อถูกคาดคั้นเอาผิด อวี่จงก็ตอบกลับด้วยตาคลอเบ้า
เซียวถิงฟงเห็นแล้วเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์เอาเรื่อง “ช่างเถิด หากความจะแตก ท่านพ่อจะรู้ก็ต้องรู้เข้าสักวัน”

               คุณชายเซียวกล่าวน้ำเสียงอ่อนลง เด็กหนุ่มถึงกับไม่เชื่อหู ตนมิได้เข้าใจผิดใช่ไหมว่าคุณชายกำลังปลอบใจตน ดูว่าครั้งหน้าต้องงัดน้ำตาขึ้นมาใช้บ่อยๆเสียแล้ว

               “แต่กว่าท่านพ่อจะรู้ก็คงต้องหลังจากที่ข้าเผาสระบัวนั่นเสียก่อนนะ หึ หึ”

               ยิ้มที่กำลังเผยอถึงกับหุบลงอย่างสิ้นหวัง นี่คุณชายกำลังปลอบใจแน่หรือ รึข้าเข้าใจผิดไปตั้งแต่ต้น ไฉนน้ำเสียงของคุณชายช่างเต็มไปด้วยความมั่นใจเหลือเกิน ใช่ ข้าเองก็มั่นใจ หากนายท่านทราบเรื่องว่าสระบัวในจวนถูกท่านทำมิดีมิร้ายเมื่อใด รับรองได้ว่าทั้งท่านกับข้าถึงคราวหายนะแน่

               “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับสระบัว รึว่าถูกใครคนอื่นนอกจากข้าเผาไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เซียวถิงฟงพูดติดตลกวันนี้เขาอารมณ์ดีจริงๆนั่นแหละ

               พอเห็นคุณชายหัวเราะไม่หยุด ข้ารับใช้หนุ่มก็ส่งยิ้มแหยคิดในใจ รอจนท่านเห็นสระบัวเสียก่อนเถอะ หึ หึ “เช่นนั้นคุณชายโปรดตามข้ามา” อวี่จงตัดสินใจพาอีกฝ่ายไปยังสระบัวเพื่อให้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นแทน

               ......................
               ............
               ....

               “เป็นไปไม่ได้”

               ครั้นเมื่อมาถึงสระบัวเซียวถิงฟงก็ถึงกับอุทานขึ้นมาเป็นอย่างแรก ทั้งที่เมื่อคืนดอกบัวทั้งหลายต่างพากันเบ่งบานอวดโฉม ไฉนตอนนี้กลับกลายเป็นดอกบัวตูมที่เอาแต่หุบกลีบเสียแล้วล่ะ

               “คุณชาย ข้าว่าสระบัวนี่คงมีปัญหาอย่างที่ท่านพูดแน่ๆ เมื่อคืนมันบานชัดๆแต่ตอนนี้กลับ...” 

               ร่างสูงได้แต่มองสระบัวที่เต็มไปด้วยความลึกลับ รึจะเกี่ยวข้องกับลูกแก้วประหลาด ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ารำคาญใจแต่แล้วก็จะฉุกคิดขึ้นได้อีก หากดอกบัวในสระบาน เขาย่อมจัดการลำบาก ท่านพ่อก็จะยิ่งปกป้องทะนุถนอมมันมากขึ้น ถึงครานั้นเห็นทีคงยากที่จะแตะต้อง

               “หึ หึ ไม่บานสิดี สวรรค์เข้าข้างข้า สระบัวนี้เกิดมาเพื่อเป็นสนามลูกหนังโดยแท้”

               หากแสร้งมองข้ามเหตุการณ์ประหลาดเมื่อคืนไปได้ก็เท่ากับว่าตนได้ทั้งลูกแก้วประหลาดอีกทั้งสนามลูกหนัง เรียกได้ว่าได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง ยังจะมีอะไรที่ต้องกังวลกันอีกเล่า

               “แต่คุณชาย มันอาจเป็นคำสาปของภูติผีปีศาจอย่างที่ท่านว่าไว้ก็เป็นได้ หากปล่อยไว้อย่างนี้ เกรงว่าภายภาคหน้าอาจเกิดเหตุเภทภัย” อวี่จงคัดค้านด้วยรู้สึกไม่ดี แต่แล้วผู้เป็นนายกลับตวาดทำเอาตัวสะดุ้ง

               “ใครมันพูดเรื่องภูติผีปีศาจกัน เหลวไหลทั้งเพ”

               “แต่ว่า” ไม่ทันได้แย้งอีกสักประโยค ฝ่ามือใหญ่ก็ยกขึ้นปราม

               “หยุดพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียที แล้วห้ามกล่าวให้ท่านพ่อข้าได้ยินเชียว ไม่อย่างนั้นข้าจะโยนเจ้าลงสระบัว ไม่แน่นะเจ้าอาจจะได้พบความจริงเกี่ยวกับคำสาปที่เจ้าเพ้ออยู่ก็เป็นได้” กล่าวจบเขาก็เดินดุ่มจากไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งไว้ให้เด็กรับใช้ยืนเหงื่อตกกลืนน้ำลายอยู่ที่สระบัวเพียงลำพัง

               สามวันผ่านไป เซียวถิงฟงลืมเลือนเรื่องราวของสระบัวไปจนหมดสิ้น อีกทั้งระยะนี้เขามักทำตัวผิดแผกด้วยสวมด้วยชุดผ้าเบาบางผิดฤดูกาล ทำเอาข้ารับใช้ในจวนต่างงงงัน โดยหาได้รู้ไม่ว่าเป็นเพราะเขาพกลูกแก้ววิเศษติดตัวอยู่เสมอจึงพลอยทำให้ร่างกายอบอุ่นไปโดยปริยาย
 
               พอคล้อยตกค่ำเขาก็จะเก็บลูกแก้วไว้ข้างเตียง จมดิ่งไปในฝันที่มีมันรอคอยอยู่ ทว่าในวันนี้กลับเริ่มมีบางสิ่งที่แปลกไปซึ่งแม้แต่ตนเองก็มิได้สังเกต ยกเว้นเพียงถิงถิง

               หลังจากที่กินอาหารเสร็จ ถิงถิงก็กระโดดขึ้นไปบนเตียงตรงดิ่งไปหยอกล้อลูกแก้วอย่างทุกที แต่แล้วจู่ๆลูกแก้วก็ร้อนลวกอีกทั้งบังเกิดสีแดงวูบวาบสะท้อนออกมา มันสะดุ้งตกใจรีบเขี่ยลูกแก้วไปให้ห่างทันที
“เมี้ยว เมี้ยว”

               “เป็นอะไรไป ถิงถิง” เห็นมันส่งเสียงร้องดังก็ถามขึ้น แต่แล้วมันกลับขู่ใส่ลูกแก้วไม่หยุด ครั้นมองอยู่นานก็ไม่เข้าใจ สองมือจึงอุ้มแมวสาวลงไปที่พื้น “ข้าจะนอนแล้ว เจ้าก็ไปนอนเสียเถอะ” กล่าวจบก็หันกลับไปดับเทียนล้มตัวลงนอนหลับสนิท

               ด้านถิงถิงก็ได้แต่ร้องเรียกจนเสียงอ่อน กระทั่งคนหลับลึกไปแล้วมันก็กระโดดขึ้นไปบนตะกร้านอนที่ริมหน้าต่าง จากนั้นดวงตาสีเหลืองก็ทอประกายในความมืดจับจ้องมองลูกแก้วที่อยู่ใกล้ๆตัวเจ้านายตลอดคืน


*******************************************************


               “เอาเจ้าแมวออกไป”

               โชคยังดีที่ลูกแก้วเริ่มก้าวหน้าพูดประโยคอื่นขึ้นบ้าง มิเช่นนั้นฝันในคืนนี้คงจะน่าเบื่อมิใช่น้อย เซียวถิงฟงคิดพลางนั่งเท้าคางฟังเสียงนุ่มทุ้มอย่างไม่ยี่หระ ปลายเท้าเคาะเข้ากับท้องเรือเป็นจังหวะ รอจนมันพูดจนเหนื่อยแล้วหยุดไป เขาก็ยิ้มเปลี่ยนเป็นนั่งยองๆก้มมองลูกแก้วที่ก้นสระแทน

               “พูดจบแล้ว? เช่นนั้นถึงตาข้าบ้าง” พลันสูดหายใจลึก “ข้าถูกใจของวิเศษเช่นเจ้า คิดให้ข้าคืน ฝันไปเถอะ” หึ หึ ของวิเศษเช่นนี้ หากผู้ใดคืนก็โง่เต็มทีแล้ว

               “........” จู่ๆก็เกิดระลอกคลื่นในสระส่งผลให้เรือโคลงขึ้น ปฏิกิริยาดังกล่าวคล้ายบ่งบอกถึงความโกรธแค้นของลูกแก้ว แต่เซียวถิงฟงกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ทั้งยังทึกทักถือเอาว่าเป็นการตกลง

               “อืม คงเข้าใจแล้วสินะว่าข้าเป็นเจ้าของข้า ดังนั้นเจ้าต้องฟังคำสั่งข้า” เขาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้ แต่ครานี้ลูกแก้วกลับเปล่งประกายสีแดงเข้มเป็นคำตอบพลอยทำให้ต้องผงะตัวรู้สึกผิดสังเกต ทั้งยังสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรบอกไม่ถูก

               “อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน” เสียงนุ่มทุ้มที่ชินหูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธๆ

               สิ้นสุดคำกล่าว ลูกแก้วก็พลันเปล่งประกายเจิดจ้าจนทำให้ต้องเบนสายตาหลบ ตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บจุกที่อกซ้ายคล้ายมีบางอย่างพุ่งชนเข้าอย่างจัง ร่างกายร้อนลวกราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา เขากุมอกซ้ายก่อนทรุดลงบิดกายด้วยความทรมานจนหมดสติไป

               ต่อเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าตนยังคงอยู่บนเรือกลางสระบัว ว่าแล้วร่างสูงก็มองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ครั้นไม่เห็นเงาของลูกแก้วก็ถอนหายใจล้มตัวนอนแผ่บนตัวเรือ ทว่าสักพักกลับรู้สึกคันยุบยิบที่อกซ้าย...

               เซียวถิงฟงผุดลุกขึ้นนั่ง หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือทั้งสองจับเข้าที่ปกเสื้อก่อนตัดสินใจกระชากออกอย่างแรง สายตาก็ค่อยๆก้มไล่มองไป กระทั่งปะทะเข้ากับบางสิ่งที่ทำเอาดวงตาเขาแทบถลน ก็มิอาจห้ามเสียงแผดร้องของตัวเองได้อีกต่อไป
               “ว๊ากกก”

               “ก็เจ้าชอบข้าเองนี่นา” เสียงนุ่มทุ้มกล่าวออกมาเบาๆก่อนที่ความฝันจะจบลง

               แสงรำไรที่ลอดผ่านหน้าต่างทำเอาดวงตาของเซียวถิงฟงลุกพรึบ ความฝันก่อนหน้านี้ช่างติดตรึงชวนให้คิดว่าเกิดขึ้นจริง
               
               “ไม่หรอกก็แค่ความฝัน” เขายิ้มแหยแล้วโบกมือขึ้นปัดความคิดไร้สาระ แต่แล้วความอึดอัดระคายยุบยิบที่หน้าอกกลับบังเกิดขึ้นจริง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดโพลน

               ...รึว่ามันคือเรื่องจริง

               ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างหวาดๆ ทั้งยังค่อยๆขยับไล่ลงมองอย่างกล้าๆกลัวๆ กระทั่งเห็นถิงถิงนั่งทับที่หน้าอกก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

               นี่อาจเป็นสาเหตุของฝันร้ายกระมัง ชายหนุ่มคิดพลางขบขันตนเองที่คิดเป็นตุเป็นตะ แต่แล้วสายตากลับเหลือบไปเห็นถิงถิงที่เผยกรงเล็บขึ้น ชั่วขณะหนึ่งพลันรู้สึกราวกับว่ามันกำลังแสยะยิ้ม รอจังหวะหนึ่งเล็บคมก็ไม่รอช้าเลื่อนตะปบลงทันที
 
               ร่างสูงถึงกับกระเด้งตัวลุกพรวดขึ้นนั่งอย่างว่องไว ยังผลให้ถิงถิงลื่นตกลงมายังหน้าตักของเขาแทน “จะทำอะไร ถิงถิง” ตวาดถามมันเสียงดัง หากช้ากว่านี้อีกนิดมีหวังเลือดตกยางออก
 
               “เมี้ยว เมี้ยว” มันร้องประท้วงอย่างโกรธๆ จากนั้นก็ทะยานตัวออกไปทางหน้าต่างอย่างงอนๆ

               เซียวถิงฟงได้แต่มองตามเจ้าแมวสาวอย่างไม่งุนงง ในใจก็เข็ดขยาดมิคิดนอนต่ออีกจึงตัดสินใจผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปฝึกวิทยายุทธ์ แต่พอเดินไปถึงหีบผ้าเท่านั้นตัวก็ต้องหยุดชะงักกึก

               “ขนถิงถิงนี่ช่างระคายผิวยิ่ง คราหน้าต้องสั่งให้สาวใช้จับมันไปอาบน้ำบ้างเสียแล้ว” กล่าวไปมือก็ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อแล้วเกาผิว แต่แล้วเล็บมือกลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ทำเอาเหงื่อกาฬหลั่งไหลเย็นยะเยียบ สองเท้าปรี่มาที่หน้ากระจกทองเหลืองแล้วทำการกระชากเสื้ออย่างคลุ้มคลั่ง

               ...เป็นไปไม่ได้ ดวงตาสีดำแทบถลนออกจากเบ้า ภาพในกระจกย้ำเตือนเขาจนตะลึงงัน เป็นเพราะมันกำลังสะท้อนภาพลูกแก้วที่ฝังจมลึกบนผิวที่หน้าอก ดูแล้วก็อยากจะเป็นลมพับไปเสียอย่างนั้น ทว่าก่อนหน้านั้นก็ยังมิวายลืมแผดเสียงร้องโหยหวน

               “อ๊ากกก”

               “โอ๊ย แสบแก้วหู”

               จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มทุ้มระคนรำคาญดังขึ้น ปากของเซียวถิงฟงพลันอ้าค้างอย่างตกใจ เขามั่นใจมากทีเดียวว่าหูมิได้ฝาดไป เรี่ยวแรงเริ่มหดหายจนต้องทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น สองมือกุมขมับพึมพำว่า “ไม่จริง”

 
**********************************************


               ฝีเท้าอึกทึกของข้ารับใช้ราวห้าถึงหกคนต่างพร้อมใจวิ่งตรงมายังตำหนักพิรุณ หนึ่งในนั้นมีเด็กรับใช้ประจำตัวคุณชายเซียวที่รีบร้อนผลักประตูห้องออกโดยไม่แม้จะกล่าวขานบอกเจ้าของห้อง

               “คุณชายเกิดอะไรขึ้น” เด็กหนุ่มร้องถามก่อนจะผงะตัวเมื่อสบเข้ากับร่างที่กำลังนั่งกอดเข่าหันหลังให้อยู่บนพื้น เส้นผมก็ปล่อยยาวยุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่า

               “ออก ออกไป” เสียงนั้นแหบแห้งจนน่าใจหาย

               “คุณชายท่านเป็นอะไร” อวี่จงก้าวเข้าไปใกล้คนที่เอาแต่นั่งไม่กระดุกกระดิก ข้ารับใช้คนอื่นๆ ต่างก็ยืนออกันที่หน้าประตูด้วยท่าทีสงสัย

               “ยะ อย่าเข้ามา” น้ำเสียงของคุณชายเซียวยังคงสั่นเครือ ทว่าอวี่จงยังคงเดินเข้าไปใกล้

               “ข้าบอกว่าอย่าเข้ามาไง ออกไป”

               จู่ๆ น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด อวี่จงชะงักฝีเท้าตกใจไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก ส่วนข้ารับใช้ที่ด้านหลังต่างหน้าเสียกันเป็นแถบ สักพักจึงเห็นมือขาวซีดกระตุกดึงผ้านวมลงมาจากเตียง ก่อนจะนำมาห่อคลุมร่างไว้อย่างมิดชิด รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาภายใต้เส้นผมที่ปรกใบหน้า อวี่จงเห็นท่าไม่ดีก็รีบถอยเท้าออกจากห้องโดยไว

               “ไสหัวไปให้หมด ไม่เข้าใจหรืออย่างไร” ครานี้เซียวถิงฟงตวาดลั่นห้องแล้ว ทั้งยังยื่นมือที่โผล่พ้นจากผ้านวมทำการปิดประตูใส่หน้าคนทั้งหมด ทำเอาคนที่ด้านนอกห้องสะดุ้งตัวโหยงพากันแผ่นแนบไป

               ร่างสูงหันมาทรุดนั่งที่พื้นกุมขมับเคร่งเครียดอีกครั้ง ดูว่ามันคงมิใช่ลูกแก้ววิเศษอย่างที่คิด หากแต่เป็นลูกแก้วปีศาจต่างหาก “ข้าจะทำอย่างไรดี” เขาได้แต่พึมพำอย่างวิตกทั้งยิ่งไม่กล้าบอกใครกับสิ่งที่เกิดขึ้น
 
               ...หากว่ากำจัดมันออกไปไม่ได้ แล้วเขาจะเป็นอย่างไรกันเล่า

               สุดท้ายได้เซียวถิงฟงก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องทั้งวันไม่ไปไหนทั้งไม่คิดแตะต้องอาหารใดๆ แม้แต่ถิงถิงเองก็ยังไม่สามารถเข้าห้องได้

               กระทั่งพ้นเข้าวันที่สอง อวี่จงที่เห็นสำรับที่มิได้รับการแตะต้องก็ทอดถอนใจอย่างเป็นห่วง “คุณชายสำรับเย็นข้าไว้วางที่หน้าประตูนะขอรับ” กล่าวจบก็เก็บสำรับกลางวันกลับไป ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวเสียงคุณชายที่แทบจะไม่ได้ยินก็ดังออกมาจากภายในห้อง

               “อวี่จง ที่ลู่หยางนี่มีหมอผีคนไหนเก่งๆ เชื่อถือได้รึเปล่า” เสียงดังกล่าวบอกชัดถึงความสับสน

               “เอ ถ้าพูดถึงหมอผีคงต้องหมอผีซื่อที่อยู่ตรงท้ายซอยแยกที่สามกระมัง” อวี่จงพูดอย่างไม่แน่ใจแล้วจึงค่อยๆเกิดความฉงนสงสัย “คุณชาย หากท่านมีธุระกับท่านหมอผีซื่อ ข้าสามารถจัดแจงเป็นธุระแทนท่านได้นะขอรับ”

               เด็กหนุ่มรีบเสนอตัวเผื่อจะได้ทราบระแคะระคายถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของผู้เป็นนาย ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบกลับมา รอสักพักก็จำต้องเดินคอตกกลับไป

               รอจนเสียงฝีเท้าลับไปแล้ว เซียวถิงฟงก็ค่อยๆแง้มประตูออกมาหยิบสำรับอาหารเข้ามาทานในห้องอย่างมูมมาม ทันทีที่ท้องอิ่มสติก็ล้มตัวนอนบนเตียง ดูว่ายามนี้ตัวเขาช่างดูหมดสภาพสิ้นดี ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อที่ใส่ก็เปิดกว้างจนเห็นสิ่งผิดปกติที่นูนออกมา

               ตลอดสองวันมานี้เขาได้แต่ขบคิดหาวิธีนำลูกแก้วออกจากกาย แต่ไม่ว่างัดหรือแงะ แม้แต่กระทั่งข่มตาหลับนอน หวังเข้าไปเจรจากับเจ้าลูกแก้วในฝันก็นับเป็นความพยายามอันสูญเปล่า วันทั้งวันจึงเสียเวลาไปการครุ่นคิด แถมในแต่ละวันร่างกายกลับค่อยๆอ่อนล้าตัวร้อนดั่งคนเป็นไข้

               ยิ่งไปกว่านั้นลูกแก้วเองก็เริ่มมีลักษณะผิดแผกไป จากที่เคยกึ่งใสกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงสดคล้ายโลหิต หากเป็นเช่นนั้นจริง นี่มิใช่ว่าลูกแก้วปีศาจกำลังสูบเลือดสูบเนื้อของเขาอยู่หรือ ดูว่าหากปล่อยไว้เนิ่นนานเกรงว่าตัวเขาคงไม่รอดจริงๆ เห็นทีต้องจ้างพวกมืออาชีพเสียแล้ว
 

**********************************************


               เช้าวันต่อมาเซียวถิงฟงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยเน้นเลือกเสื้อผ้าสีทึบตามด้วยเสื้อคลุมหนาเพื่อปกปิดสีแดงเลือดที่สะท้อนจากลูกแก้วกลม เขาผลุนผลันไปยังคอกม้า ฝืนขี่ม้าออกไปแม้ว่าร่างกายจะร้อนดั่งไฟ ครั้นถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นเดินเท้าต่อ ซึ่งกว่าจะถึงบ้านหมอผีซื่อก็ปาไปครึ่งค่อนวัน

               ร่างสูงมองไปยังเบื้องหน้าอย่างวิตก...นี่ถือเป็นความหวังสุดท้ายคิดจบสองเท้าก็ก้าวเข้าไปยังบ้านที่มีขนาดเล็กดูซอมซ่อ ดูไปที่นี่ทั้งเงียบสงบเสียจนวังเวงราวกับเป็นบ้านร้าง ทว่าขณะที่กำลังจะเปิดประตูกลับมีเสียงทักขึ้น

               “พ่อหนุ่มมาที่นี่เพราะมีเรื่องทุกข์ใจบอกใครไม่ได้สินะ” เสียงของชายวัยกลางคนดังออกมาจากภายในบ้าน

               “เกรงว่าคนที่เหยียบย่างมาที่นี่ก็คงมีแต่เรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้กระมัง” แม้สมองจะมึนงงแต่เซียวถิงฟงยังคงใช้ไหวพริบพูดหยั่งเชิง แต่แล้วคนในบ้านกลับหัวเราะเสียงดัง

               “พ่อหนุ่มคงเป็นคุณชายสูงศักดิ์สิท่า อีกทั้งตอนนี้ท่านมีเรื่องกลุ้มใจมากๆอีกด้วย” เสียงมั่นใจดังลอดมาจากด้านหลังประตูที่ปิดสนิท

               คนผู้นี้มิเคยพบเขามาก่อน ไฉนจึงรู้ได้ว่าเขามีฐานะสูงศักดิ์ “เช่นนั้นท่านช่วยบอกว่าข้ากลุ้มใจเรื่องอะไรกันแน่” เขายังคงมิเชื่อใจง่ายๆ

               “คุณชายคงมีปัญหา...” หมอผีซื่อกล่าวอย่างแช่มช้าก่อนจะหยุดลงเล็กน้อย “ทางด้านร่างกายสินะ”
ประโยคดังกล่าวทำเอาเซียวถิงฟงตาลุกวาว พยายามเก็บเสียงแปลกใจไว้

               “ร่างกายท่านร้อนรุ่มตลอดเวลา ร้อนจนกระทั่งทนไม่ไหว ต้องการจะปลดปล่อยสินะ หรือบางครั้งท่านก็เหนื่อยอ่อนด้วย” 

               ใช่แล้ว เขาเป็นเช่นนั้นจริง หรือนี่จะเป็นมืออาชีพจริงๆ เซียวถิงฟงมองเห็นความหวังอยู่ข้างหลังประตูนี่เอง เขาพลันตื่นเต้นดีใจจนแทบอยากจะกระโดดโลดเต้นอยู่รอมร่อ

               “ข้าต้องทำอย่างไร ท่านหมอผีซื่อ โปรดแนะนำ” ไม่ว่าเงินเท่าใดตนก็ยอมจ่าย ขอเพียงกำจัดเจ้าลูกแก้วปีศาจออกไปให้พ้นได้เป็นพอ

               “คุณชายอย่าใจร้อน การที่ท่านร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา อยากที่จะปลดปล่อยนั่นเป็นเพราะ” น้ำเสียงของหมอผีซื่อคล้ายหนักใจก่อนที่จะเงียบเสียงลงไป ด้านชายหนุ่มก็ยิ่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ “คุณชายท่านอย่าตกใจไป ที่ท่านเป็นเช่นนี้เพราะท่านกำลังโดนนางปีศาจจิ้งจอกครอบงำจนร่างกายของท่านร้อนรุ่ม จนต้องการปลดปล่อยอยู่ตลอดเวลา” หมอผีซื่อพูดด้วยน้ำเสียงน่าเชื่อถือ

               “........” คล้ายมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำใส่เสียจนความหวังตรงหน้าแหลกสลายกลายเป็นผุยผง

               “คุณชาย ท่านกำลังโดนสูบพลังชีวิตหลังจากการเสพสังวาส มิทราบว่าท่านได้รับสตรีใดเข้ามาในบ้านเมื่อไม่นานมานี้รึไม่” หมอผีซื่อยังคงพูดต่อโดยไม่ทราบว่าคนอีกฝั่งกำลังหน้าดำหน้าแดงแล้ว

               น่าตายนัก ถึงกับหลงเชื่อคำพูดไร้สาระของพวกนักต้มตุ๋ม เสียทีที่เป็นถึงจอหงวนที่เก่งทั้งบุ๋นและบู้ วันนี้แหละข้าต้องจัดการเก็บศพเจ้านักต้มตุ๋นผู้นี้ให้ได้ ว่าแล้วเขาก็ตะโกนออกไป “เหลวไหลสิ้นดี”

               ประจวบเหมาะกับที่มีเสียงกลุ่มคนก้าวย่างเข้ามาในบ้าน ร่างสูงหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เป็นเพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือทหารของเมืองลู่หยาง และย่อมต้องรู้จักเขาแน่ ทว่าคิดจะหลบก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

               “ทหารจับกุมคนที่อยู่ข้างในเดี๋ยวนี้” สิ้นเสียงคำสั่งทหารหลายนายต่างก็ทยอยกรูกันเข้าไปจับตัวคนในบ้านออกมา
ชายที่โดนจับกุมนั้นแต่งกายด้วยชุดนักพรตสีเหลือง ในมือข้างหนึ่งถือกระบี่ไม้ที่ทำจากไม้ไผ่ หน้าตาดูเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกรูปร่างผอมสูง เอาแต่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายไม่หยุด เซียวถิงฟงได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงงงันจนกระทั่งทหารคุมนักต้มตุ๋นลับสายตาไป

               “ท่านนี้คือท่านจอหงวนเซียวรึเปล่าขอรับ”

               นายทหารผู้มีเคราเขียวครึ้ม รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ท่าทางเป็นหัวหน้ากล่าวทักทายเขาอย่างสุภาพ

               “ข้าน้อยชื่อ หลิวซีฝู เคยพบท่านตอนการประลองฝีมือเชิงบู้ในการสอบในพระราชวังจึงทำให้เลื่อมใสในฝีมือของท่านมาก ข้าน้อยปรารถนาว่าสักวันจะได้มีโอกาสให้ท่านชี้แนะ” หลิวซีฝูพูดจ้อไม่หยุด ผิดกับเขาที่ได้แต่นิ่งเงียบ

               “ว่าแต่ท่านมาทำอะไรที่นี่ ช่างบังเอิญจริงวันนี้ข้าน้อยพาทหารมาจับกุมนักต้มตุ๋นที่นี่พอดี ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านร้องเรียนมาว่ามีคนผู้หนึ่งชอบกล่าวอ้างถึงภูติผีปีศาจ ทั้งทำนายทายทักหลอกลวงโดยการปิดประตูไม่พบใคร แต่ยังคงทำนายได้ถูกต้องเหลือเชื่อ หากแต่ที่มันรู้เพราะมันนำด้ายขาวบางๆ กั้นที่หน้าประตูทางเข้า หากใครก้าวเข้ามาจะมีเสียงกระดิ่งเตือน เพื่อที่มันจะได้สังเกตคนที่เข้ามาโดยไม่ให้รู้ตัวแล้วพยายามจดจำสังเกตรูปร่างหน้าตา หากหลงกลมันคงต้องเสียเงินก้อนใหญ่ เอ๊ะ หรือท่าน” หลิวซีฝูพูดพล่ามไม่หยุด

               เรื่องที่อยากรู้เขาก็คงไม่ต้องถามอีกต่อไป แต่ทำไมสุดท้ายถึงต้องสงสัยเขาด้วย ทำไมไม่รู้จักมองข้ามเสียบ้างเล่า “ข้าไม่ได้มาทำนายอะไรทั้งนั้นแหละ ข้า...ข้าเองก็ได้รับการแจ้งจึงมาเพื่อตรวจสอบก็เท่านั้น” เขาร้อนตัวพยายามพูดเถียงข้างๆคู

               แต่แล้วหลิวซีฝูกลับเชื่ออย่างสนิทใจทั้งยังชื่นชม “อ่า ท่านช่างสมเป็นบุตรท่านอัครเสนาดีเซียวจริงๆ”

               “ข้ารู้สึกไม่สบายตัว ขอลา”

               “อ้ะ จริงสิท่านจอหงวนเซียวท่านดูไม่สบายมาก ข้าเห็นท่านหน้าแดงตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ท่านไม่สบายหนักหรือ ข้าว่าให้ข้าไปส่งท่านถึงที่จวนดีกว่า”

               หลิวซีฝูมองด้วยสายตาเป็นห่วง แต่เซียวถิงฟงกลับรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่ง “มะ ไม่เป็นไร”

               เขารีบสาวเท้าจากไป แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลง ในหัวก็เริ่มหมุน ไม่นานก็ได้ยินเสียงวิ่งมาจากทางด้านหลังก่อนที่ร่างก็ถูกรวบตัวลอยสูงจากพื้นโดยที่มิทันได้ตั้งตัว

               “ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยจะไปส่งท่านถึงที่พำนักเอง” หลิวซีฝู กล่าวอย่างมีน้ำใจ ทำเอาเซียวถิงฟงอึ้งจนจุกพูดไม่ออก

               ไม่อยากจะเชื่อเขากำลังโดนผู้ชายอุ้ม ไม่ใช่อุ้มแบบพาดบ่านะ แต่อุ้มแบบสตรี หากใครพบเห็นเข้า ข้าจะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนหา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นถึงจอหงวนบู้นะ ให้ข้าขี่หลังสิ มารดามันเถอะ ทำไมรอบตัวข้าถึงมีแต่คนซื่อบื้อนะ ว่าแล้วเขาก็ไม่มีแรงที่จะเถียงอีกจึงจำต้องปล่อยเลยตามเลยในที่สุด ไม่นานนักเขาก็สลบไป

               กว่าที่ชายหนุ่มจะลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบว่าอยู่ในจวนแล้ว อีกทั้งอวี่จงกำลังจะถอดเสื้อนอกเพื่อเช็ดตัวให้พอดี เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็สะดุ้งตกใจพลางออกปากไล่เด็กหนุ่มออกจากห้องไป แลหลังจากที่ได้อยู่เพียงลำพัง เขาก็ฝืนเดินไปที่อ่างอาบน้ำก่อนตัดสินใจกระโจนตัวลงสู่น้ำเย็น ทว่ารู้สึกดีได้ไม่นานน้ำในอ่างก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำร้อนควันลอยโขมง

               “ใช่แล้ว เป็นเพราะเจ้า ข้าถึงมีสภาพเช่นนี้” เซียวถิงฟงได้แต่โทษลูกแก้วปีศาจ “ข้าต้องทำเช่นไรกัน ข้าต้องทำเช่นไรหา”

               เมื่อหมดความอดทนหมัดหนักก็ทุบลงบนผิวน้ำด้วยความโกรธเกรี้ยว ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะมีเสียงดังขึ้นจากลูกแก้วอีกครั้ง

               “พาข้าไป...พาข้าไปที่สระบัวที”


 
**********************************************

อ่านเเล้วติดขัดเเนะนำกันได้น้าาา

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 2 ฝันที่เป็นจริง 17/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 17-10-2015 22:45:39
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 2 ฝันที่เป็นจริง 17/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 17-10-2015 23:10:29
สนุกดีค่ะ ติดตามต่อไป ใครเป็นพระเอกน้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 2 ฝันที่เป็นจริง 17/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 18-10-2015 03:21:23
ที่สระบัวนั้นมีอะไรกันแน่หนอ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 2 ฝันที่เป็นจริง 17/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 18-10-2015 06:23:49
ลูกแก้วนี่หน้ากลัวแฮะ   สนุกดีค่ะ  รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 2 ฝันที่เป็นจริง 17/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 18-10-2015 06:49:35
นั่นไง...ลูกแก้วแผลงฤทธ์
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 3 แดนสวรรค์สู่พิภพ 18/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-10-2015 20:37:17
บทที่ 3.1 แดนสวรรค์สู่พิภพ


               “พาข้าไป...สระบัว”

               เหงื่อเย็นยะเยียบหลั่งชโลมแนบหน้าผาก เรือนกายเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเหล็กร้อน ร่างสูงลากสังขารออกจากห้อง มือหนึ่งเกาะกุมที่อก อีกข้างใช้ยันกำแพงนำพาตนเองไปสู่สระบัว

               แม้จะพยายามรีบเร่งฝีเท้า แต่ทุกย่างก้าวกลับไร้เรี่ยวแรงจนน่าใจหาย ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติขึ้นเนืองๆ คล้ายมีบางสิ่งก่อตัวขึ้น สิ่งนั้นกำลังเต้นตุบๆ ซ้ำยังเต้นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับจะประกาศให้รู้ว่ามันกำลังถือกำเนิดขึ้น มาตรว่าลูกแก้วจะฝังอยู่ตัวตรงตำแหน่งหัวใจ กระนั้นชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่กำลังเต้นอยู่นี้ มิใช่หัวใจตนเองอย่างแน่นอน

               เซียวถิงฟงฝืนกายจนถึงริมสระ ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ยังคงไร้แสงดาว เขาไม่รอช้ารีบก้าวลงเรือเล็กแล้วพายออกไปด้วยพละกำลังที่มีอยู่ แม้ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาที่นี่ อีกทั้งไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ตนก็ไม่มีทางเลือกได้แต่ทำตามสิ่งที่ลูกแก้วบอก ถือเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้าย 

               เรือพายออกมาจนถึงกลางสระก็รู้สึกได้ว่าร่างกายจวนเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อ ครั้นชะโงกมองผืนน้ำมืดมน สิ่งที่สะท้อนให้เห็นก็มีแต่เพียงใบหน้าของตนเองเท่านั้น

               “ข้า พาเจ้ามาที่เดิมแล้วนี่ไง ออกไปจากตัวข้าเสียที” เซียวถิงฟงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ใจก็ภาวนาขอให้เรื่องพิลึกพิลั่นจบลงเสียที กระนั้นบรรยากาศโดยรอบยังคงความเงียบสงบอย่างน่าใจหาย ริมฝีปากจึงเริ่มกระตุกไปด้วยความโกรธ

               “เจ้าปีศาจจะเอายังไงกันแน่หา ออกไปเดี๋ยวนี้นะ แค่กๆ” เขาใช้แรงเฮือกใหญ่ตะโกนออกมาจนสำลักไอไม่หยุด ความเจ็บแสบตีวนในช่องอกพร้อมๆกับภาพตรงหน้าที่เริ่มเลือนราง และแล้วร่างก็โอนเอนร่วงลงสู่สระบัวในที่สุด

               ทันทีที่สัมผัสถึงสายน้ำเย็นสติก็พลันแจ่มชัดขึ้น ชายหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายตัวไปที่เรือเล็ก แต่ด้วยสภาพที่ไร้เรี่ยวแรงจึงไม่ว่าจะทะยานตัวมากแค่ไหน ร่างก็มีแต่จมลึกลงไปใต้ก้นสระบัวเท่านั้น

               ขณะที่อากาศกำลังจะหมดไป จู่ๆความทรงจำครั้งวัยเยาว์ก็ผุดขึ้นมา ภาพของเด็กน้อยผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนตักนุ่มๆ ของมารดาผู้มีใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

               แม้ว่าตอนนี้เซียวหลิงหลันจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสักแค่ไหน แต่ในสายตาของบุตรชายกลับรู้สึกชมชอบยิ่ง นี่เป็นผลจากการที่เขาแสร้งตกจากต้นไม้ในสวนจนเกิดเป็นแผลที่หัวเข่า ครั้นถูกพาไปทำแผลเสร็จตนก็ถูกมารดาว่าเสียยกใหญ่ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังคงนั่งฟังเสียงบ่นด้วยแก้มที่ปริบาน ท้ายที่สุดก็ไม่พ้นหลุดหัวเราะคิกคัก

               “เจ้าลูกตัวดี แกล้งปั่นหัวแม่ใช่ไหม” เซียวหลิงหลันค้อนขวับแต่ไม่นานก็ต้องปลงตก “แม่ก็ว่าอยู่ว่ามีเด็กคนไหนตกต้นไม้หกล้มจนหัวเข่าแตกขนาดนี้ยังยิ้มร่าได้อยู่อีก เฮ้อ~ พ่อลูกนี้เจ้าเล่ห์เหมือนกันจริงๆ”

               ถิงฟงน้อยรับฟังแล้วก็ถึงกับทำหน้าหงิก “ข้าไม่ได้เจ้าเล่ห์อย่างท่านพ่อสักหน่อย อย่างน้อยข้าก็ทำได้แนบเนียนกว่าท่านพ่อล่ะกัน” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ มือเล็กข้างหนึ่งก็ทุบอกที่ยืดขึ้นมาเล็กน้อย
 
               เซียวหลิงหลันถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา ลืมความโกรธไปจนหมดสิ้น “พ่อลูกพูดเหมือนกันเปี๊ยบ” เสียงไพเราะดังกังวานไปทั่วสวน ทว่าบุตรชายกลับยิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “อีกหน่อยคงจะเหมือนกันอย่างกับแกะ” นางยิ้มพลางลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

               “ไม่เหมือนซะหน่อย ข้าหน้าเหมือนท่านแม่จะตาย” เด็กน้อยเบ้ปากไม่พอใจ แต่ลึกๆก็รู้ดีว่าใบหน้าของตนแทบถอดแบบจากบิดาทุกกระเบียดนิ้ว เว้นเพียงดวงตาสีดำสนิทเฉกเช่นเดียวกับมารดา

               ภาพสมัยเด็กที่น่าจดจำหยุดลงเพียงเท่านี้ก่อนฉายความทรงจำครั้งต่อมา เซียวหลิงหลันในหนึ่งปีต่อมากลับซีดเซียวผ่ายผอมได้แต่นอนซมอยู่แต่บนเตียงมิได้ไปไหน ดวงตาสีดำที่เคยเปล่งประกายก็หลงเหลือเพียงความอ่อนล้าจากอาการป่วยเรื้อรังเท่านั้น

               “ท่านแม่วันนี้ข้าจะอ่านกวีของชีหยวนให้ท่านฟังดีรึไม่”

               เห็นบุตรชายที่มานั่งเฝ้าไม่ห่างชวนคุยจ้อไม่หยุด เซียวหลิงหลันก็ยิ้ม นับตั้งแต่ตนป่วยเด็กคนนี้ก็ไม่เคยมีน้ำตาให้เห็นเลยสักหน แต่นางรู้ดีว่าเด็กน้อยกำลังฝืนด้วยไม่อยากให้ตนต้องรู้สึกหดหู่ นางจึงนั่งฟังบุตรชายโคลงหัวท่องกวีอย่างมิได้กล่าวอะไร

               จนกระทั่งเซียวถิงหลี่ประคองถ้วยยาที่เคี่ยวมากับมือเข้ามาในห้อง เซียวถิงฟงจึงหยุดท่องกวีแล้วหันไปให้ความสนใจกับใบหน้าที่เปราะไปด้วยเขม่าควันของบิดา

               “หลิงหลัน เจ้าดื่มยาเสียหน่อยเถิด”

               “ท่านนี่จริงๆเลย ยาข้าให้คนอื่นต้มก็ได้ ดูสิมือพองเลยเห็นไหม” เซียวหลิงหลันดุใส่จนเซียวถิงหลี่หัวเราะยกใหญ่ นางมองค้อนสามีทีหนึ่งก็รับถ้วยยาขึ้นดื่ม ทว่าดื่มเพียงคำหนึ่งนางก็ต้องกุมปาก ก่อนอาเจียนออกมาเป็นเลือด

               เซียวถิงหลี่หุบยิ้มโดยพลัน สีหน้านั้นมิอาจปกปิดความโศกเศร้าในใจได้ เมื่อเห็นดังนั้นเซียวถิงฟงก็ได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็งทั้งห้ามร้องไห้เด็ดขาด

               ต่อเมื่อวันหนึ่งที่เซียวหลิงหลันพยายามไล่สามีที่ทำหน้าเศร้าให้เข้าประชุมเช้าในวังได้สำเร็จ นางก็ไอออกมาไม่หยุด เหล่าข้ารับใช้พากันวิ่งวุ่นวายไปตามหมอ บ้างก็รีบไปต้มยา เหลือเพียงเด็กน้อยที่ลนลานไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงได้แต่กอดตัวมารดาไว้แน่น

               “ถิงฟงสัญญากับแม่นะ หากแม่ไม่อยู่เจ้าต้องเชื่อฟังท่านพ่อให้มากอย่าได้ดื้อรั้น ยามเจ้าโตขึ้นต้องคอยดูแลท่านพ่อแทนแม่ด้วยนะ” นางกอดเด็กน้อยแนบแน่นราวกับเป็นอ้อมกอดครั้งสุดท้าย

               “ท่านแม่พูดอะไร ข้าไม่เคยดื้อรั้นกับท่านพ่อสักหน่อย อีกอย่างข้าเป็นลูกกตัญญูต้องคอยดูแลท่านพ่อกับท่านแม่อยู่แล้ว ท่านแม่ต่างหากที่ต้องสัญญาว่าจะไม่ทิ้งพวกเราไปไหน”

               “อืม แม่จะอยู่กับเรากับท่านพ่อไปตลอดนะ” หางเสียงกลับแผ่วลงจนน่าใจหาย ครานี้หัวใจดวงน้อยพลันตกวูบ เซียวถิงฟงตระหนักได้ถึงความสูญเสียเป็นครั้งแรกแล้ว

               พอดีกับที่เซียวถิงหลี่ย้อนกลับมาอีกครั้ง บิดาก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีโซเซ ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาสั่นระริกราวกับมิยอมรับ สองขาทรุดลงนั่งที่ข้างเตียง สองมือที่สั่นเทิ้มค่อยๆกอบกุมมืออันเยียบเย็นมาแนบไว้ที่ข้างแก้ม สายตาโศกเศร้าหยุดลงมองเซียวหลิงหลันที่พึ่งจากไปแต่เพียงผู้เดียว คล้ายว่าเวลาของท่านพ่อก็หยุดลงแล้วเช่นกัน

               หลังจากงานศพผ่านไป เซียวถิงหลี่ยังคงโศกเศร้ามิจางหาย เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมแตะต้องข้าวปลาอาหาร เหล่าข้ารับใช้เองก็เริ่มซุบซิบนินทา เห็นทีว่าบิดาเขาอาจจะตรอมใจจากไปในไม่ช้า ฟังแล้วเขาก็ตื่นตกใจรีบกระวีกระวาดยกสำรับอาหารออกจากห้องครัวไปอย่างรวดเร็ว

               “ท่านพ่อ ข้านำสำรับอาหารมาให้” ถิงฟงน้อยตะโกนเรียกที่หน้าห้อง หากแต่ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาจึงเรียกอีกครั้ง
 
               “ท่านพ่อ กินข้าวได้แล้ว”

               “......”

               “ข้าอยากกินข้าวกับท่านพ่อ” เขายังไม่ละความพยายามทว่าน้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นสั่นกลัวแล้ว

               “.....”

                “อย่า...อย่าทิ้งข้าไป โฮ” ในที่สุดเมื่อถึงขีดจำกัดเขาก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้โฮออกมา ตอนนี้มารดาไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว กระทั่งบิดาเองก็คิดจากเขาไป

               ประตูค่อยๆเปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของบิดา สภาพของเจ้าตัวยังคงใส่ชุดผ้าเดิมในงานศพ เส้นผมถูกปล่อยสยาย หนวดเคราขึ้นเต็มไปหมด สีหน้าดูหมองคล้ำ

               “ถิงฟง อย่าร้องนะ อย่าร้อง พ่อมาแล้วนะ พ่อไม่มีทางทิ้งเจ้าไปไหนหรอก” เซียวถิงหลี่ปลอบลูกน้อยพลางตบหลังเขาอย่างอ่อนโยน

               “ขะ ข้าว ฮือ ฮือ” เขายังคงร้องไห้ไม่หยุดราวกับจะชดเชยส่วนที่เคยอยากร้องมาตลอด

               “เห็นไหมพ่อกำลังกินข้าวอยู่ ถิงฟง อย่าร้องนะ” เซียวถิงหลี่นั่งกินข้าวอยู่หน้าห้องทั้งที่ยังมีบุตรชายกอดไม่ปล่อย สักพักจึงกล่าวกระซิบที่ข้างหูน้อย “ถิงฟง เจ้าก็ห้ามจากข้าไปก่อนนะ”

               น้ำตาหยดหนึ่งพลันร่วงหล่นกระทบข้างแก้ม ดูว่าครานี้เขาคงต้องปลอบโยนท่านพ่อบ้างแล้ว ว่าแล้วมือน้อยของถิงฟงก็ลูบหลังบิดาเบาๆ

               ถึงตอนนี้ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างไม่ยอมแพ้ คำสัญญาดังกล่าวผลักดันให้เขาฮึดสู้อีกครั้ง...ข้ายังตายไม่ได้ ข้ายังจากท่านพ่อไปตอนนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มเริ่มตื่นตัวอีกครั้งทั้งยังฝืนตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ

               มือใกล้เอื้อมแตะขอบเรือ แต่กำลังในกายกลับถูกใช้ออกจนหมดสิ้น ทำให้ร่างค่อยๆจมลงอีกครั้ง เปลือกตาหนักอึ้งทว่าก่อนที่มันจะปิดลงชั่วนิรันดร์ก็บังเกิดเป็นแสงสว่างสีทองส่องประกายอยู่ใต้น้ำ หากแต่เขาไม่รู้เลยว่าแสงที่ถูกส่องสะท้อนอยู่นั้นเป็นแสงสว่างที่ออกมาจากตัวเขาเอง

               เวลาเพียงชั่วเสี้ยว เขาคล้ายเห็นดอกบัวเริ่มแย้มกลีบภายใต้สระ ยังมีกลุ่มทรายสีทองจำนวนหนึ่งพากันลอยละล่องอยู่ตรงหน้า จากนั้นก่อตัวขึ้นจนมีลักษณะรูปร่างเหมือนคน ผิวของเขางดงามเช่นดอกบัวบริสุทธิ์ รูปเค้าใบหน้าก็ดูคมคายแฝงไว้ซึ่งความอ่อนโยน เส้นผมยาวสีน้ำตาลสละสลวย

               คนผู้นี้เข้าขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หลังจากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่ติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก สายตาเลื่อนลอยได้ปิดลงแล้ว ภายในอกเกิดเป็นขุมพลังเย็น มันแล่นปราดไปทั่วทั้งสรรพางค์กายบรรเทาความร้อนรุ่มเจ็บปวดที่มีมาทั้งหมดให้มลายหายไปจนหมดสิ้น
 

*****************************************************


               เรือเล็กลำหนึ่งลอยเหนือผิวน้ำท่ามกลางดอกบัวสีขาวที่เบ่งบาน ใต้น้ำยังมีประกายแสงสีทองสาดส่องไปทั่วขับดันให้เกิดความงดงามที่มิอาจบรรยายได้ แต่แล้วจู่ๆมือสีขาวนวลข้างหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นจากสระ ทำลายบรรยากาศที่เคยเงียบลงในอึดใจ มือนั้นชูค้างสักพักก็ควานจับไปที่ขอบเรือ สายน้ำกระเพื่อมไหว แลไม่นานนักใบหน้าและลำตัวก็ปรากฏขึ้น อีกมือหนึ่งยังฉุดรั้งคนที่นอนไม่ได้สติขึ้นมาด้วย

               “นะ...หนัก” เจ้าของมือนั้นดุนดันร่างใหญ่ให้เข้าไปในตัวเรือก่อนนำพำตัวเองเข้าไปด้วยอย่างทุลักทุเล เหนื่อยหอบสักพักก็คิดหยัดยืนขึ้น แต่ด้วยผมยาวที่พัวพันระเกะระกะเป็นเหตุให้สะดุดล้ม พริบตาหนึ่งยังเตะไปโดนสีข้างชายที่นอนไม่ได้สติโดยแรง

               แฮะ แฮะ...ยังดีที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวสักนิด
 
               ล้มลุกคลุกคลานอยู่สักพักก็เผยให้เห็นใบหน้าขาวอมชมพูเช่นดอกบัว ดวงตากลมโตทอประกายแสงสีทองก่อนจะอ่อนแสงลงกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ริมฝีปากเรียวงามเอ่ยขึ้น “ร่างข้าสั่นไม่หยุดเลย รึว่านี่คือความหนาว” พูดพลางกอดตนเองที่เริ่มสั่น ดูไปแล้วตนไม่มีเสื้อผ้าติดอยู่เลยสักชิ้น นอกจากต่างหูมุกเม็ดเล็กที่ริมใบหู

               “เจ้าพวกบ้า ส่งข้ามาแล้วทำไมไม่เสกเสื้อผ้าให้ข้ามาด้วยเล่า” เขาแหงนคอขึ้นว่ากล่าวไปบนฟ้า เมื่อไม่มีเสียงตอบรับก็จำต้องหันไปสนใจชายหนุ่มแทน ขาเปลือยเปล่าหยุดลงก่อนจะโน้มตัวลงก้มมองคนที่นอนหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร 

              “หวังว่าคงยังไม่ตายนะ”

               ทั้งๆที่ก็ถ่ายทอดพลังเซียนไปแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงยังไม่ฟื้นเล่า “รึ เป็นเพราะข้าถ่ายพลังไม่เพียงพอ” ว่าแล้วก็ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีก

               เสมือนมีเส้นไหมลากผ่านตัวไปมาจนรู้สึกคันยุบยิบ เปลือกตาที่หลับอยู่จึงค่อยๆเลิกขึ้นก่อนจะสบเข้าที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนในระยะประชิด

               “ว๊ากกก”

               “โอ๊ย”

               ร่างสูงลุกพรวดขึ้นนั่งโดยไม่บอกกล่าวทำเอาศีรษะโขกเข้ากับอีกร่างหนึ่งอย่างจัง ด้านเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลก็ล้มผงะหงายไปที่ด้านหลัง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็พากันถอยห่างไปอยู่คนละฝั่งมุมเรือ

               “เจ้าเป็นคะ...” เซียวถิงฟงตั้งหลักได้ก็ตะโกนถามแต่เสียงก็มีอันหายไป ดวงตาสีดำเบิกกว้างยิ่งกว่าไข่ห่าน เรือนร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าช่างขาวนวลเนียนเสียจริง ยังมีเส้นผมยาวที่ปกปิดกายในส่วนเย้ายวน

               บังเกิดเป็นเสียงคำรามร้องในใจ หัวใจพลันเต้นระรัวเร็ว ใบหน้าร้อนฉ่าอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกร้อนผ่าวแล่นมาถึงในโพรงจมูก ในไม่ช้าของเหลวสีแดงก็พุ่งกระฉูดออกมาอย่างแรง

               “อ๊ากกก” ร่างขาวนวลผงะร้องตกใจ ทั้งเขยิบถอยหลังหนีมาให้ห่างจากตัวชายหนุ่ม

               “ทำไมเจ้าถึง...” ไม่ใส่อะไรเลย เขาอยากจะพูดให้จบแต่เป็นเพราะเสียเลือดกะทันหันทำให้รู้สึกวิงเวียนหน้ามืด เป็นอันต้องล้มลงไปกองกับพื้นเรืออีกรอบ

               เมื่อคนแน่นิ่งไปอีกครั้ง ร่างน้อยก็ขยับเข้าไปสำรวจอย่างกล้าๆกลัวๆ “เอ รึว่าข้าถ่ายทอดพลังผิดไป แต่ข้าก็ถ่ายทอดพลังไอเย็นไปแล้วนี่ เหตุใดโลหิตจึงโคจรไหลย้อนกลับกันเล่า”
 
               ความจริงเขาเพียงแค่หยิบยืมพลังธาตุของคนตรงหน้ามาใช้ฟื้นคืนรูปกายเพียงนิดหน่อย จากนั้นก็ถ่ายทอดพลังเซียนส่วนหนึ่งให้เพื่อใช้รักษาชีวิตของเจ้าตัวไว้ เช่นนี้แล้วยังผิดพลาดประการใดกัน?

               “รึเป็นเพราะพลังที่ข้าสังเคราะห์จากร่างมนุษย์นั้นไม่บริสุทธิ์ จึงใช้ไม่ได้ผลเช่นพลังธรรมชาติ พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร” ร่างขาวนวลถามขึ้นลอยๆ ทั้งๆที่รอบข้างมีแต่คนสิ้นสติเท่านั้น

               “ท่านมหาเทพ เหตุใดท่านต้องช่วยชายผู้นี้ เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องสูญเสียพลังอันน้อยนิดไป อีกทั้งเวลาฟื้นฟูพลังจำต้องยืดเยื้อออกไปอีก ทั้งๆที่ตอนนี้สามโลกกำลังวิกฤตแท้ๆ” เสียงของชายมีอายุคนหนึ่งกล่าวขึ้น

               “นั่นสิ แทนที่ท่านจะได้ฟื้นฟูพลังธาตุจากธรรมชาติได้อย่างบริสุทธิ์เต็มเปี่ยม แต่นี่กลับ...เฮ้อ” ชายสูงอายุคนที่สองกล่าวอย่างหนักใจ

               “มิใช่เป็นเพราะพลังของท่านไม่ประสบผล มิใช่โลหิตไหลย้อนกลับแต่เป็นเลือดกำเดาต่างหาก สรุปได้ว่าเจ้าหมอนี่คิดอกุศลต่างหาก ท่านมหาเทพ”

               “ถูกต้อง” สิ้นเสียงมั่นใจของชายสูงอายุคนที่สาม น้ำเสียงเห็นพ้องต้องกันที่แฝงไว้ด้วยความเดือดดาลก็ประสานกันอย่างพร้อมเพรียง

               “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ารู้เพียงแต่ต้องช่วยเขา” เขาตอบคนทั้งสามผ่านทางต่างหูมุก “แล้วข้าควรทำเช่นไรกับเขาดี” มหาเทพอย่างเขาก็ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่อง อีกอย่างเขาเพิ่งตื่นจากการหลับใหลไปตั้งพันกว่าปี

               “ท่านมหาเทพโปรดรอสักครู่ สักประเดี๋ยวเจ้าโรคจิตก็คงฟื้นขึ้นเอง” หนึ่งในผู้อาวุโสแนะนำกลับมา

               “เช่นนั้นข้าจะรอ อย่างไรตอนนี้พลังข้าก็ไม่เสถียรต้องรอคอยเช่นกัน”

               เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายทั้งสามก็พากันถอนใจกันเงียบๆ อย่างน้อยก็ผ่านขั้นแรกมาแล้ว แม้จะมีผิดพลาดไปบ้างก็เถอะ บางทีพวกเขาอาจตัดสินใจผิดที่ยอมส่งท่านมหาเทพลงมาบนโลกมนุษย์ ในเมื่อท่านเองก็ได้หลับใหลมานานกว่าพันปี ครั้นตื่นขึ้นก็ต้องลงมาสู่แดนพิภพเสียแล้ว

               โลกมนุษย์เปลี่ยนไปมากจริงๆนะท่านมหาเทพ กลัวแต่ท่านจะโดนมนุษย์หลอกเข้าให้ ดูอย่างเจ้าหนุ่มที่สลบเหมือดไปแล้วนี่สิ ฮึ่ม!

               “ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าถึงลืมเสกเสื้อผ้าให้ข้ากันเล่า” จู่ๆเสียงของคนน่าเป็นห่วงก็ดังขึ้นเล่นเอาเทพเซียนทั้งสามต่างมองตากันเลิกลั่ก

               “เอ่อ ท่านมหาเทพทุกสรรพสิ่งล้วนเริ่มต้นจากความว่างเปล่า หากจะย้อนสู่ต้นกำเนิดย่อมต้องเริ่มจากความว่างเปล่า”
 
               “งั้นรึ ข้าลืมนึกถึงข้อไปนี้เสียสนิท เช่นนั้นก็ช่างเถิด ข้าจะลองฟื้นพลังดูก่อน” กล่าวจบเขาก็นั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ


*******************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 3 แดนสวรรค์สู่พิภพ 18/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-10-2015 20:39:11
บทที่ 3.2 แดนสวรรค์สู่พิภพ


               ทางด้านพิภพสวรรค์ เทพอาวุโสคนหนึ่งรูปร่างผอมสูง คิ้วและเส้นผมต่างมีสีเทา นามว่าเทียนสีกล่าวขึ้นอย่างสงสัย “ท่านหวางจื้อถ้อยคำที่ท่านกล่าวกับท่านมหาเทพเป็นจริงรึ”

               “มันเป็นความจริง แต่ในความเป็นจริงอีกข้อ เราก็สามารถเสกเสื้อผ้าส่งไปพร้อมกันได้แต่...ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนเสก” อาวุโสเทพหวางจื้อตอบ เขาเป็นเทพผู้มีเส้นผมขาวสนิท ไว้หนวดเครายาวถึงอก ดีที่เขาหาข้ออ้างเฉไฉได้ทันท่วงที แม้แต่เหงื่อตอนนี้ก็ยังแห้งไม่สนิทเลยดูสิ

               “อ้าว ข้าก็นึกว่าท่านเทพเจิ้งผิงเป็นคนเสกเสียอีก” อาวุโสเทพเทียนสีหันไปบุ้ยใบ้ให้อีกคน ทั้งสองจึงต่างมองไปทางอาวุโสเทพเจิ้งผิง

               “แต่ข้าก็คิดว่าท่านเทพหวางจื้อเป็นคนจัดการนี่นา” เทพอาวุโสเจิ้งผิง ผู้มีรูปร่างอ้วนท้วมพอเหมาะ เส้นผมสีดำประปรายขาวกล่าวแย้ง

               ครานี้บังเกิดเป็นความเงียบขึ้น เทพทั้งสามได้แต่มองหน้ากันอย่างนกรู้ จากนั้นเสียงหัวเราะประสานกันเบาๆก็ดังขึ้น “ฮี่ ฮี่ ฮี่”

               “ความจริงพวกท่านตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นแต่แรกต่างหาก” นางฟ้ารูปงามอ่อนช้อยตนหนึ่งกล่าวขัดจังหวะทำเอาเสียงหัวเราะจบลงสั้นๆ นางรู้ดีว่าเทพทั้งสามหากมีโอกาสย่อมหาทางแกล้งท่านมหาเทพเป็นแน่ ก็ในเมื่อท่านมหาเทพซื่อบื้อขนานแท้แล้วยังเที่ยวยิ้มโปรยเสน่ห์ไปเกลื่อนโดยไม่รู้ตัวสักนิด

               “นางฟ้าชิงเซียงอย่าเข้าใจผิดไป พวกเราต่างก็เข้าใจผิดกันไปเองทั้งนั้น” ไม่รู้ว่านางฟ้าประจำตัวท่านมหาเทพมาตั้งแต่เมื่อใด ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจเช่นนั้น อาวุโสเทพเจิ้งผิงก็รีบแก้ตัวขึ้นเสียก่อน ยังมีเทพอาวุโสหวางจื้อและเทียนสีต่างพยักหน้าดูน่าสงสารอยู่ข้างๆด้วย

               ทว่านางฟ้าชิงเซียงกลับใช้สายตาระอาใจมองพวกเขา “อ่อ แต่ข้าเองก็อยากจะกล่าวอะไรกับพวกท่านสักสองสามประโยค เพลานี้แดนสวรรค์ถูกปิดกั้นตัดขาด แม้พวกท่านอยากจะส่องมดสักตัวบนพิภพมนุษย์มากสักแค่ไหน การกระทำของพวกท่านก็ล้วนแต่เปล่าประโยชน์” พูดจบนางก็จากไป เล่นเอาดวงตาสามคู่ตื่นตะลึงวูบทั้งยังยืนอ้าปากเหวอใส่กัน

               ใช่แล้ว พวกเขาลืมไปเสียสนิท แดนสวรรค์ถูกปิดกั้นทำให้มิอาจเห็นความเป็นไปของโลกมนุษย์

               ทั้งที่ความจริงก็แค่อยากจะเห็นท่านมหาเทพในแบบเย้ายวนบ้างก็เท่านั้น แล้วนี่ เพ้ย!หมดกัน เจ้าหนุ่มผู้นั้นมันเป็นใคร รับรองว่าพวกข้าจะส่งเคราะห์ดีๆ ไปทักทายสักหนสองหนเป็นแน่

 
*******************************************************
           

               ย้อนกลับไปครั้งยุคเริ่มต้น มีบุคคลซึ่งถูกกล่าวขานกันว่ามหาเทพ ได้ทำการบุกเบิกแบ่งแยกพิภพออกเป็นสามส่วน

               โดยส่วนแรก พิภพสวรรค์ อยู่บนส่วนสูงสุดของโลก ทั้งยังเป็นที่พำนักของเทพเซียน บ้างก่อเกิดจากธรรมชาติ บ้างได้รับประทานพลังวิเศษจากมหาเทพ ทำหน้าที่คอยช่วยเหลือชี้นำมนุษย์ ดูแลผืนพิภพ ตลอดจนออกกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความสงบสุข

               ส่วนที่สอง พิภพมนุษย์ เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ทั่วไป โดยใช้ชีวิตหมุนเวียนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตามวัฏจักรสงสาร

               ส่วนที่สาม พิภพยมโลก เป็นดินแดนเซียนอีกรูปแบบหนึ่งที่ปกครองวิญญาณของมนุษย์ มีอำนาจตัดสินความถูกผิด ตลอดจนการลงโทษรวมถึงรับภาระในการส่งวิญญาณสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง

               ซึ่งพิภพทั้งสามต่างสัมพันธ์กัน หากพิภพหนึ่งใดถูกทำลายลงย่อมส่งผลต่อพิภพอื่นด้วย ดังนั้นเมื่อเจ็ดแปดวันก่อนที่สวรรค์จะถูกปิดกั้น มหาเทพอย่างเขาจึงตื่นขึ้นจากการหลับใหลที่นานนับพันปี
 
               เมื่อสัมผัสได้ถึงลางร้ายที่เกี่ยวพันถึงความเป็นไปของทั้งสามโลกถึงขั้นดับสูญ ฝีเท้าจึงรีบมุ่งหน้าตรงไปยังที่ประชุมของเหล่าเทพเซียน ครั้นเปิดประตูเข้าไปก็พบเข้ากับกองทหารเทพในชุดเกราะเงินพร้อมอาวุธยืนเป็นแถวซ้ายขวาดูไกลสุดลูกหูลูกตา

               ร่างในชุดสีขาวปักด้วยดิ้นทองรูปดอกบัวบานมองดูสักครู่ก็ตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสเทพผู้นำขบวนทั้งสามอย่างองอาจ สีหน้าราบเรียบแฝงไว้ด้วยความสงบเยือกเย็น สองมือไขว้ที่กลางหลัง เส้นผมถูกปล่อยสยายยาวระพื้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกายสีทองเป็นระยะๆ เหล่าทหารเซียนต่างก็พากันย่อกายคำนับลงเป็นแถวๆ

               “อรุณสวัสดิ์ ท่านทั้งหลาย” เขายิ้มนุ่มนวล ชิงตัดหน้ากล่าวคำทักทายไม่รอให้เทพเซียนที่ทำหน้าตาแปลกใจเอ่ยคำขึ้นก่อน

               “ท่านมหาเทพ มิทราบว่ามีสิ่งใดรบกวนการพักผ่อนของท่าน กาลนี้ยังมิถึงเวลาอันสมควรสำหรับการตื่น หากแต่เหลือเวลาอีกยาวนาน” หวางจื้อหนึ่งในสามเทพนักปราชญ์อาวุโสกล่าวด้วยความเป็นห่วง

               “ข้าก็แค่เบื่อการนอนเสียแล้ว” เขากล่าวตอบสั้นๆ

               “หากท่านมหาเทพมีเหตุจำเป็นต่อการตื่นก่อนเวลาอันควร รบกวนชี้แนะพวกเราด้วย” ท่านอาวุโสเทพเทียนสีค้อมตัวอย่างนอบน้อม

               “พวกท่านกำลังจัดขบวนทัพไปไยกัน” เขาบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำทั้งยังเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามเสียแทน

               ท่านอาวุโสเทพเจิ้งผิงจึงกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “เอ่อ เป็นความผิดของพวกเราที่มิอาจปกปักษ์รักษาความสงบสุขของแดนสวรรค์ได้ ณ ตอนนี้เหล่าแดนปีศาจได้ยื่นสาสน์ท้ารบถึงพวกเราเรียบร้อยแล้ว”

                “เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ปลุกข้า” เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม

               “ศึกครั้งนี้พวกเราเหล่าเซียนล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าควรรับผิดชอบกันเอง มิบังอาจรบกวนการพักผ่อนของท่านมหาเทพ” เทพอาวุโสหวางจื้อกล่าว

               “นอกจากนี้ในศึกครั้งก่อนท่านมหาเทพได้สูญเสียพลังส่วนมากเพื่อปิดผนึกช่องว่างมิติจากผลของสงครามครั้งกระนั้น พวกเราจึงหวังมิให้เรื่องเหล่านี้รบกวนท่าน อีกทั้งกำลังพลของเราเตรียมพร้อมสมบูรณ์กว่าศึกครั้งกาลก่อน” เทพอาวุโสเทียนสีก็ช่วยกล่าวเสริม

               “แต่เกรงว่าเรื่องออกจะยุ่งยาก และไม่เป็นไปอย่างที่พวกท่านคิด”กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของเทพอาวุโสทั้งสามต่างบ่งบอกถึงความฉงน

               “ท่านมหาเทพ ท่านหมายความว่าเช่นไร”

               “ศึกครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชะตาของพิภพสวรรค์ และอาจจะส่งผลกระทบไปสู่พิภพอื่น แม้ข้ายังมิอาจสัมผัสเห็นได้ถึงนิมิตอันแน่นอน แต่นับเป็นลางหายนะแน่แท้” แม้จะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแต่ใบหน้าเขาก็ยังคงเปื้อนรอยยิ้ม ด้านเทพทั้งสามตอนนี้ต่างพากันทำหน้าเครียดไม่มีใครกล้ากล่าววาจาอันใด เขาจึงต้องเอ่ยปากทำลายความสงบ “ท่านอาวุโสทั้งสาม ผู้นำแดนปีศาจที่ส่งสาสน์ท้ารบในครั้งนี้เป็นใคร”

               สิ้นคำถามทุกคนต่างมีท่าทีอึกอัก เขาพลันสาดสายตาวูบหนึ่งเข้าใส่ ท่านเทพอาวุโสหวางจื้อจึงเป็นฝ่ายตอบกลับมา
“เป็นจอมมารเฟยหลง อดีตเทพนักรบเกราะทอง ท่านมหาเทพ”

               ครานี้รอยยิ้มที่ไม่เคยห่างหายพลันหุบลงแล้ว สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาจากที่อ่อนโยนกลับกลายเป็นว่างเปล่า

               “ท่านมหาเทพ ศึกเมื่อพันปีก่อนเราได้กุมตัวจอมมารเฟยหลงไปคุมขังไว้ที่ใต้ธรณีน้ำแข็งนานนับหลายร้อยปี แต่เมื่อร้อยกว่าปีมานี้กลับมีชนเผ่าปีศาจที่คอยให้ความช่วยเหลือจอมมารจนสามารถหลบหนีได้สำเร็จ และในตอนนี้สาสน์ท้ารบถูกส่งมาแล้ว ฉะนั้นได้โปรดบัญชาให้พวกเราสู้ศึกครั้งนี้ด้วยเถิด” เทพอาวุโสเจิ้งผิง แม้จะเป็นเทพนักปราชญ์ แต่ก็ยังเป็นเทพนักรบที่มีฝีมือด้วย ครั้นเมื่อกล่าวจบก็คุกเข่าลงเป็นเหตุให้เทพเซียนอื่นๆ พากันคุกเข่าไปตามๆกันลง

               ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองเหล่าเทพเซียนที่เบื้องหน้า สักพักจึงหมุนตัวหันหลังให้ด้วยมิต้องการให้ใครได้สังเกตเห็นสีหน้าวิตก “ศึกครั้งนี้ข้าจะจบลงด้วยตัวเอง เพียงคนเดียว เท่านั้น” เขาย้ำอย่างชัดเจน

               “แต่พลังของท่านมหาเทพยังไม่ฟื้นตัวดี” นางฟ้าชิงเซียงที่นิ่งฟังอยู่ด้านข้างมานานก็แย้งขึ้น

               “นางฟ้าชิงเซียงกล่าวได้ถูกต้อง ท่านมหาเทพจำต้องฟื้นฟูพลังอย่างเร่งด่วน มิอาจต่อสู้ในขณะนี้” เทพอาวุโสเทียนสีกล่าวเสริม

               “พวกเจ้ามิต้องห่วงไป เรื่องนี้แท้จริงแล้วเกิดเนื่องจากตัวข้า ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง” เขากล่าวน้ำเสียงอ่อน

               “แต่...” นางฟ้าชิงเซียงคิดออกเสียงค้าน แต่เขากลับยกมือทัดทานพลางส่งยิ้มอ่อนโยนให้ จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับเทพอาวุโสทั้งสาม

               “พวกเจ้าฟังข้าให้ดี นับจากนี้ไปข้าจะใช้พลังที่เหลือทำการปิดกั้นสวรรค์ ไม่ว่าใครก็มิอาจเข้าออกได้ ถือเป็นการตัดขาดอย่างแท้จริง ส่วนข้าก็จะลงสู่โลกมนุษย์ทำการฟื้นฟูพลังจากต้นกำเนิด หากเป็นที่นั่นข้าสามารถฟื้นฟูพลังได้เร็วกว่าที่นี่ อีกประการหากศึกครั้งนี้เกิดที่แดนสวรรค์ ข้าเกรงว่าสมดุลจะถูกทำลาย เป็นเหตุให้ช่องว่างมิติที่ผนึกไว้ปั่นป่วนอีกครั้ง ในศึกครั้งก่อนช่องว่างมิติดูดกลืนแดนสวรรค์และแดนมนุษย์เสียหายไปไม่น้อย ดังนั้นข้าจะปิดกั้นสวรรค์มิให้สมดุลที่นี่มีผลกระทบต่อพิภพอื่นๆ แต่วิธีนี้ทำได้เพียงชั่วคราว และข้าก็จะพยายามจัดการอย่างไม่ให้เกิดการทำลายล้างขึ้นแน่นอน” ประโยคสุดท้ายพูดก็ไปยิ้มกริ่มไปโดยไม่รู้ตัว

               เทพเซียนทั้งหลายต่างสะดุ้งเฮือกในใจ ศึกครั้งก่อนมิใช่เพราะท่านมหาเทพโมโหรึ ทั้งแดนสวรรค์และพิภพต่างๆกว่าค่อนถูกทำลายล้างเรียบ ทำเอาแดนยมโลกทำงานกันตัวเป็นเกลียว น้ำแกงยายเมิ่งขาดตลาดเนื่องจากผลิตใช้ไม่ทัน แม้แต่ต้นไม้ยังไม่เหลือแม้แต่ตอ ท่านมหาเทพช่างเป็นผู้สร้างและทำลายอย่างแท้จริง

               “ส่วนท่านเทพอาวุโสทั้งสาม ข้าจำต้องขอความร่วมมือจากพวกท่าน หากข้าใช้พลังปิดกั้นสวรรค์แล้ว ข้ามิอาจมีพลังเหลือพอที่จะหวนคืนสู่ร่างต้นกำเนิดและกลับไปยังสถานที่แห่งนั้น พวกท่านจำต้องร่ายมนตร์ส่งข้าไปก่อนที่มนตร์ปิดกั้นสวรรค์จะสำเร็จ”

               “ท่านมหาเทพ ขอพวกเราตรึกตรองสักสองสามวันก่อนได้หรือไม่ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล่นๆ พวกเรามิอาจปล่อยให้ท่านสู้ศึกเพียงลำพัง อีกอย่างโลกมนุษย์ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมากจนท่านคาดไม่ถึง ข้าเกรงว่า”

               “ท่านเทพอาวุโสหวางจื้อ ตอนนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ทางฝั่งแดนปีศาจคงมิคาดถึงว่าพวกเราจะดำเนินการปิดกั้นสวรรค์อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้อาจจะต้องโดนดูถูกไปบ้างก็เถอะ แต่ถึงคราที่เราจำต้องสงบก่อนเคลื่อนไหวแล้ว” เขาพูดตัดบท เทพอาวุโสทั้งสามจึงได้แต่ถอนใจมองหน้ากันด้วยความวิตกกังวล

               “ก่อนท่านจะไปได้โปรดติดสิ่งนี้ไว้แม้พวกเราไม่อาจเห็นท่านมหาเทพ แต่ยังคงใช้ติดต่อกันได้” เทพอาวุโสเทียนสียื่นต่างหูมุกสีขาวให้ เขาจึงรับมันมาสวมใส่ก่อนที่จะอำลาทุกคน

               “แล้วเจอกัน” เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเคย

               มนตร์ถูกเอ่ยขึ้น ฉับพลันนั้นก็เกิดเป็นแสงสีทองโอบรอบดินแดนสวรรค์ เกราะกำบังที่หนาทนทานยิ่งกว่าหินใต้พิภพค่อยๆก่อตัวขึ้น ทว่าก่อนที่มันจะปิดกั้นอย่างเต็มที่นั้น ร่างของเขาก็สลายกลายเป็นทรายทองก่อนจับตัวเป็นกลุ่มก้อนดั่งลูกแก้วสีใส จากนั้นก็ถูกส่งลงมายังพื้นพิภพ ไปยังสถานที่ต้นกำเนิด

 
*******************************************************
           
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 3 แดนสวรรค์สู่พิภพ 18/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 18-10-2015 23:15:45
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 4.1 มหาเทพยาจก 19/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 19-10-2015 20:45:05
บทที่ 4.1 มหาเทพยาจก


 
            เรือลำน้อยยังคงลอยอย่างสงบนิ่งอยู่บนผิวน้ำ ลมหนาวยังคงพัดผ่านมาเป็นระลอก เขาที่ลองนั่งรวบรวมฟื้นฟูพลังได้ไม่นานก็ต้องถูกความหนาวช่วงชิงสมาธิ

            “นะ หนาว กึก กึก” หนาว หนาวจนฟันสั่นกระทบกันไม่หยุด ทำไมถึงหนาวได้ปานนี้ ปกติแล้วเทพเซียนต่างสามารถสร้างสมดุลทางกายได้อยู่เสมอ แต่ไฉนตอนนี้จึงได้มีความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์เล่า เขานึกใคร่ครวญอยู่นานก็ได้ข้อสรุป “พลังข้าอ่อนตัวลงมากจนทำให้สมดุลในร่างปั่นป่วนสินะ”

            ว่าแล้วสายตาก็พลันสะดุดลงบนเสื้อที่ประปรายไปด้วยเลือดเป็นจุดดวงๆ “ถ้ายังไงขอยืมเสื้อเจ้ามนุษย์ผู้นี้เอาก่อนล่ะกัน” ร่างน้อยยิ้มทั้งพูดเองเออเอง จากนั้นก็เขยิบตัวเข้าใกล้ชายหนุ่ม แต่แล้วมือกลับชะงักค้าง

            เอ ว่าเเต่ถอดยังไงล่ะ มหาเทพอย่างข้าเคยใส่เสื้อเองที่ไหนกันเล่า ที่แล้วมาเพียงเสกเสื้ออุ่นๆก็สวมทับบนตัวเรียบร้อยแล้ว สีหน้าพลันอยากจะร้องไห้สุดท้ายจึงได้แต่ลองดึงๆเสื้อ แต่มันก็ดูมิได้ต่างกับการเขย่าตัวคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแม้แต่น้อย
           
            ดึงอยู่นานจนเหนื่อยก็เริ่มตัดใจ จนกระทั่งหันไปสังเกตเห็นกางเกงตัวใหญ่ เขายิ้มกริ่ม “กางเกงต้องอุ่น ต้องถอดง่ายกว่าเสื้อแน่ๆ” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความหวังดวงตาก็ทอเป็นประกาย มือไม่รอช้าพุ่งเข้าที่กางเกงของชายหนุ่มทันที แต่ทว่าก็ต้องรู้สึกผิดหวังเพราะว่ามันกลับดึงไม่ออก
 
            “รึเพราะอากาศหนาวจัด มือจึงยังแข็งแกะไม่สะดวก” เขานึกฉงนหากแต่ยังไม่ละความพยายามพลางรวบรวมสมาธิเพ่งไปที่กางเกงเจ้าปัญหา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ากางเกงรอข้าก่อนนะ วันนี้เจ้าต้องเป็นของข้าแน่ๆ”

            ทางด้านเซียวถิงฟงหลังจากที่เสียเลือดกะทันหัน ไม่นานใบหูก็แว่วเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก จวบจนสายตาเลิกขึ้นอีกครั้งก็แลเห็นเด็กหนุ่มผมยาวสีน้ำตาลกำลังนั่งยองๆที่ข้างลำตัว ทั้งเนื้อตัวกลับไม่มีเสื้อผ้าอยู่เลยสักชิ้น สายตาก็มุ่งมั่นจ้องเขม็งที่ช่วงล่างเขาไม่หยุด ยังไม่พอสองมือยังพยายามยื้อยุดกระชากปมกางเกงออกราวกับคิดจะทำมิดีมิร้าย จู่ๆสมองก็พลันวูบวาบนึกถึงคำที่แว่วได้ยินมา

            วันนี้เจ้าต้องเป็นของข้าแน่ๆ...วันนี้เจ้าต้องเป็นของข้าแน่ๆ

            “ว๊ากกก” เซียวถิงฟงร้องลั่นเป็นคำรบที่สอง ทั้งยังผุดลุกขึ้นนั่งพรวดพราดขึ้นผลักเด็กหนุ่มให้กระเด็นถอยห่างออกไป

            “โอ๊ย”

            “เจ้าคิดจะทำอะไรกัน” เขาถามด้วยน้ำเสียงตกใจ สองมือก็กุมปกป้องปมกางเกงไว้ ด้านเด็กหนุ่มเมื่อล้มนั่งไปกับพื้นก็เงยหน้าขึ้นมอง แต่กลับไม่ได้มองที่ตัวเขา สายตานั้นยังคงจับจ้องมองที่ช่วงล่างเขาอย่างไม่วางตา ทำเอาเสียวสันหลังวาบ
“กางเกง...หนาว” ในที่สุดน้ำเสียงนุ่มก็เอ่ยออกมา

            มองคนตรงหน้านั่งกอดเข่าสั่นกึกกึกอย่างน่าสงสาร เซียวถิงฟงก็เริ่มเข้าใจในความหมาย แต่ถึงเป็นเช่นนั้นทำไมเขาถึงต้องสละกางเกงให้กับคนน่าสงสัยด้วยล่ะ ครั้นมองเห็นร่างที่สั่นเทิ้มหนักสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นยุ่งยากใจ

            หึ ช่วยไม่ได้ เขาตัดสินใจถอดเสื้อออกแล้วโยนไปเบื้องหน้าของร่างเล็กแต่สายตายังคงระแวดระวัง

            เสื้อที่ประปรายเลือดเป็นวงตกลงอยู่ตรงหน้า มหาเทพอย่าเขามองมันด้วยสายตาไร้เดียงสาอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปกล่าวกับร่างสูง รอยยิ้มผุดออกมานิดหน่อย “ข้า ขอกางเกงแทนได้ไหม”

            ช่างเป็นคำต่อรองที่ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมา “ถ้าเจ้าไม่อยากได้ ก็ไม่ต้องเอา” เซียวถิงฟงก้มตัวเอื้อมมือไปจับชายเสื้อพร้อมที่จะดึงกลับ แต่แล้วมือเรียวบางกลับฉวยดึงมันไปก่อนจัดแจงคลุมร่างของตนเองอย่างรวดเร็ว

            พอดีกับที่มีลมหนาวพัดมาระลอกใหญ่ เซียวถิงฟงจำต้องกอดตัวเองไว้ถึงค่อยรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ ดวงตาเขาเลิกขึ้นประหลาดใจพลันก้มมองที่อกซ้าย พริบตานั้นความปลื้มปิติแทบจะปรี่ล้นออกมาจากอก “วิเศษ วิเศษยิ่ง” เขากู่ร้องออกมาอย่างดีใจ ลูกแก้วปีศาจ มันหายไปแล้ว

            “เจ้าดีใจเพราะสิ่งนี้รึ” ร่างที่นั่งจ้องการกระทำของเซียวถิงฟงอยู่ตลอดกล่าวถามขึ้นพร้อมโยนของบางสิ่งในมือเล่น
เซียวถิงฟงถึงกับหลุดออกจากภวังค์ นึกขึ้นได้ว่าตนมิได้อยู่ตามลำพัง ตอนนี้เด็กหนุ่มส่งยิ้มกริ่มน่าชมดูให้ ทว่าในมือยังถือบางสิ่งบางอย่างที่คุ้นตาจนทำให้เขาต้องผงะ

            บางสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บเจียนตาย บางสิ่งที่ทำให้เขาพบเจอแต่เหตุการณ์ประหลาด มันดูคล้ายกับลูกแก้วที่ตอนนี้เป็นสีใสเฉกเช่นเดียวกับคราแรกที่เห็น

            “มันไปอยู่ที่เจ้าได้อย่างไร” สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงอันตราย สองขาจึงก้าวถอยออกไปก้าวหนึ่ง

            “เป็นข้าที่ออกมาจากเจ้าเอง”

            “หืม” ร่างสูงได้แต่นิ่งงันก่อนกล่าวทบทวนประโยคที่ได้ยินสักครู่ “หมายถึงลูกแก้วออกมาจากตัวข้า แล้วเจ้าก็ออกมาจากลูกแก้ว”

            “ใช่ๆ เป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมด เป็นข้าที่คือลูกแก้ว และเป็นข้าที่ออกมาจากตัวเจ้าเอง” ใบหน้าที่กล่าวยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ดีที่อีกฝ่ายเข้าใจอะไรๆ ได้ง่ายยิ่ง

            ราวกับมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำมาที่ตัวเซียวถิงฟง เขาที่เป็นคนระแวดระวังตัวอยู่เสมอ ไม่เคยเผยช่องโหว่ใดๆ ให้กับศัตรู ยกเว้นก็แต่เจ้าแมวรักถิงถิง ชายหนุ่มไม่รอช้าสำรวจรอบตัวอย่างรวดเร็ว เห็นฝีพายอยู่ที่ด้านหลังก็รีบฉวยยกขึ้นชี้ปลายด้ามไปที่ร่างน้อย

            “เจ้าคือลูกแก้วปีศาจ เจ้าปีศาจกลับสู่นรกภูมิซะเถอะ” เขาตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แต่ทว่าเด็กหนุ่มเพียงยิ้มแล้วยื่นมือเรียวยาวข้างหนึ่งออกมาอย่างแช่มช้า

            เซียวถิงฟงผงะไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ชักฝีพายกลับไป สายตาจับจ้องการกระทำของเด็กหนุ่มร่างบาง แต่ทว่ามือข้างที่นวลเนียนกลับยื่นออกมาแล้วพลันใช้นิ้วเขี่ยปลายฝีพายเล่น ยิ่งทำให้เขาเดือดดาลขึ้นกว่าเดิม
 
            ...รึจะใช้ฝีพายเขี่ยตกเรือไปเลยดี

            “ข้ามิใช่ปีศาจ เจ้าเห็นส่วนไหนของข้าเป็นปีศาจกัน” มหาเทพอย่างเขาเอียงคอถามอย่างฉงน

            “โกหก หลายวันมานี้ปีศาจอย่างเจ้าสูบเลือดข้าไปเจียนตายเลยใช่ไหมล่ะ”

            “แต่นั้นเป็นเพราะเจ้าไม่ฟังคำเตือนข้าเองนี่ และแม้เจ้าจะพูดถูกส่วนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงข้ามิได้สูบเลือดของเจ้า ข้าก็แค่ดึงพลังธาตุไอเย็นของเจ้ามาใช้นิดหน่อยต่างหาก”

            ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็หวนนึกถึงเสียงที่คอยพูดกับเขาตลอดในความฝัน เอ จะว่าไปแล้วรอยยิ้มของคนตรงหน้าในตอนนี้มันช่างกวนโมโหสิ้นดี แค่ดึงไปใช้นิดหน่อยรึ เจ้าบ้า แล้วตรงไหนที่เหมือนปีศาจน่ะหรือ ก็ตรงรอยยิ้มนี่ไง พูดเรื่องเป็นตายด้วยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ นี่มันปีศาจชัดๆ เขาก่นด่าในใจก่อนโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

            “อีกทั้งวันนี้ เจ้ายังทำให้ข้าเฉียดไปยมโลกอีก”

            “แต่หากข้าไม่ได้ใช้พลังเซียนส่วนหนึ่งถ่ายทอดให้เจ้า ไม่แน่ว่าตอนนี้เจ้าอาจตายไปแล้วก็ได้”

            “หา พลังเซียนช่วยข้า” เซียวถิงฟงร้องเสียงสูง งงงันในสิ่งที่ได้ยินดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าตนไม่เข้าใจจึงลุกขึ้นเดินมาตรงเบื้องหน้าเขา
           
            “ข้าถ่ายทอดพลังเซียนส่วนหนึ่งของข้าให้แก่เจ้าแบบนี้” กล่าวจบร่างน้อยก็เขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตทันที

            ร่างสูงถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความนุ่มนวลติดตรึงที่ริมฝีปาก มันทั้งอบอวลและหอมหวาน เสียงหัวใจพลันดังขึ้นอย่างชัดเจน สมองผุดถึงความทรงจำตอนที่ตกลงในสระบัว ในตอนนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความหอมหวานแบบนี้เช่นกัน

            “เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”

            เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น เซียวถิงฟงไม่รู้เลยว่าความหอมหวานนั้นจบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ จะมีก็แต่เขาที่ยืนหลับตาอยู่อย่างโง่งัน ใบหน้าเขาพลันแดงฉ่า ขาเริ่มทรุดลงนั่งกับพื้นเรือ นี่เขาจูบกับผู้ชายหรือ แถมยังใจเต้นอีก

            ว๊ากก เซียวถิงฟงกู่ร้องในใจ ในหัวสับสนวุ่นวายไปหมด

            ครั้นแลเห็นเซียวถิงฟงทำหน้ายุ่งยากจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆ ร่างขาวนวลย่อตัวนั่งลงข้างๆ “เจ้ายังไม่เข้าใจรึ หรือเจ้าจะลองอีกที” พูดจบก็ยื่นใบหน้ามาใกล้ชายหนุ่มด้วยแววตาจริงจัง

            กลายเป็นว่าเซียวถิงฟงยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ เขาผลักตัวเด็กหนุ่มออกเบาๆ “ข้าไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจด้วย ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ยังกล้า...กับผู้ชาย วิปริตแท้” 

            “หือ หมายความว่าถ้าเป็นผู้หญิงเจ้าถึงจะเข้าใจรึ” กล่าวจบร่างของเด็กผู้หญิงก็ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา หน้าอกนูนออกมาจากเสื้อ ดีนะที่ตนยังเหลือพลังนิดหน่อย

            เซียวถิงฟงถึงกับอ้าปากค้างตะลึงลานอีกรอบ จู่ๆที่หน้าอกของเด็กหนุ่มรูปงามก็ปูดโปนออกมาจนเผยให้เห็นเนินอกขาวๆ แม้รูปหน้าจะเหมือนดังเดิมแต่เค้าโครงใบหน้ากลับดูอ่อนหวานยิ่งขึ้น และในขณะนี้นางกำลังเขยิบมาใกล้ๆ สายตาหยาดเยิ้มจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของเขา เขาเองก็จ้องริมฝีปากเรียวงามที่เพิ่งได้ลิ้มรสความนุ่มนวลหวานหอมเช่นกัน

            ฝืนกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกแล้ว “ว๊ากกก เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ เมื่อกี้ยังเป็นบุรุษอยู่เลย” เขารีบเขยิบถอยหลังหนี

            “เห็นอย่างนี้ข้าไม่เหมือนเช่นมนุษย์หรอกนะ ข้าเป็นบุรุษก็จริงแต่ข้าก็ยังสามารถแปลงเป็นสตรีได้เช่นกัน แต่เอาจริงๆข้าชมชอบร่างชายที่เป็นต้นกำเนิดข้ามากกว่า ร่างหญิงออกจะยุ่งยากไปสักหน่อยเวลาจะเหาะเหิน นางฟ้าชิงเซียงยังเคยกล่าวว่าร่างหญิงของข้ากระโดกกระเดกยิ่ง แต่เมื่อกี้เจ้าก็บอกข้าว่าเป็นหญิงเจ้าจึงจะเข้าใจ” นางมองคนที่ทำหน้าตะลึงด้วยท่าทีไร้เดียงสา

            หมายความอย่างนั้นจริงรึ เป็นได้ทั้งบุรุษและสตรี บ้าไปใหญ่แล้ว เซียวถิงฟงได้แต่จ้องหน้านางอย่างทำตัวไม่ถูก กระทั่งสายตาเผลอมองที่หน้าอกเลื่อนลงไล่ไปถึงขาเปลือยเปล่าที่เรียวงาม ครานี้ก็ทำให้เขาก้มหน้างุดไม่กล้าเงยขึ้นมาอีกเลย ถึงอย่างไรข้างในก็เป็นบุรุษ

            “จะ เจ้าใส่เสื้อให้มันดีๆ หน่อยสิ” เขาพูดตะกุกตะกักใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ

            “ใส่ยังไงล่ะ เจ้าใส่ให้ข้าหน่อยสิ”    

            นางเดินเข้ามาใกล้ยื่นส่วนหน้าอกมาให้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นร่างสูงก็เผลอเงยหน้าขึ้นมา วินาทีนั้นเซียวถิงฟงก็แทบจะลมใส่ เขาละลักละล่ำบอก “จะ เจ้าควรจะเปลี่ยนกลับเป็นบุรุษก่อนสิ”

            “เอ๋ แต่เจ้าเข้าใจแล้ว?” นางกล่าวพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ทำเอาชายหนุ่มร้องลั่น

            “เข้าใจ ข้าเข้าใจแล้ว ถอยออกไปก่อนนน”

            สุดท้ายแม้จะงงงันแต่นางก็ยอมเปลี่ยนกลับเป็นบุรุษดังเดิม หน้าอกแบนราบเรียบเหมือนแต่ก่อน เซียวถิงฟงยื่นมือออกไปผูกปมเสื้ออย่างเงอะงะ ในใจก็ภาวนาว่าอย่าให้เจ้าตัวประหลาดแปลงกลับเป็นสตรีอีกเลย มิเช่นนั้นเขาคงลมจับไปอีกรอบแน่ๆ
           
            ร่างสูงจัดแจงสวมเสื้อให้ร่างน้อยอย่างใกล้ชิด ยังผลให้สามารถสังเกตเห็นอีกฝ่ายได้ละเอียดยิ่งขึ้น เขาปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่าร่างที่กลับเป็นบุรุษนั้นก็มีเสน่ห์เย้ายวนไม่แพ้กับร่างสตรี หรืออาจจะมีมากกว่า แต่แล้วเซียวถิงฟงก็สะดุ้งตัว

            นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาสะบัดหน้าโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้วเลือกที่จะถามถึงในสิ่งที่ตนสงสัย “สรุป เจ้าบอกข้าว่าเจ้ามิใช่ปีศาจ เจ้าใช้พลังเซียนช่วยข้า และเจ้าก็เป็นบุรุษที่แปลงเป็นสตรีได้ สรุปว่าตัวเจ้าเป็นอะไรกันแน่”

            ครานี้ใบหน้านวลก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นเผยรอยยิ้มสดใส “ข้าคือมหาเทพ ผู้นำสูงสุดของแดนสวรรค์”

            “......” ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นี่มันบ้าไปแล้ว จะมีมหาเทพที่ไหนดูงี่เง่าทึ่มแบบนี้กันเล่า มหาเทพน่ะรึ เซียวถิงฟงจับจ้องประเมินมองคนตรงหน้าอย่างละเอียด ดูยังไงก็ปลายแถว แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่มีใส่สักชิ้น ทั้งยังต้องบากหน้ามายืมมนุษย์เดินดินใส่ มหาเทพผู้นำสูงสุดของแดนสวรรค์น่ะรึ เพ้อเจ้อชัดๆ มหาเทพยาจกล่ะสิไม่ว่า
           
            สีหน้าของชายหนุ่มดูไม่เชื่อสุดฤทธิ์ ร่างน้อยรับรู้ได้ก็รีบกล่าวเสริม “จริงๆนะ ที่เห็นข้าเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะข้าใช้พลังช่วยเจ้าไปเกือบหมดต่างหาก”

            “งั้นมหาเทพอย่างเจ้าไยจึงลงมาที่โลกมนุษย์กันเล่า” เขาถามต่อให้คนตรงหน้าจนมุม

            “เรื่องนั้น...ข้ายังบอกไม่ได้” เด็กหนุ่มหลุบตามองพื้น

            พิรุธชัดๆ เซียวถิงฟงคิด ไม่แน่อาจจะไม่ใช่แม้แต่เทพเซียนอะไรนั่น แต่อาจเป็นปีศาจก็เป็นได้ แต่ก่อนอื่น “เจ้ามีนามว่ากระไร” ถามจบคนตรงหน้าก็มองเขาตาแป๋ว

            “ข้าไม่มีชื่อ ไม่เคยมีใครกล่าวนามข้า เทพเซียนทั้งหลายต่างเรียกข้าว่า มหาเทพ”

            หึ หึ บังเกิดเสียงแค่นหัวเราะขึ้นดังในสมอง “เอ งั้นเจ้าจะให้ข้าเรียกเจ้าว่ากระไรดี เจ้าลูกแก้วดีไหม หรือเรียกว่าต้าเซียนดีไหมล่ะ” เขากล่าวน้ำเสียงประชดประชัด

            ‘ต้า’ ในที่นี้หมายถึงยิ่งใหญ่ ส่วน ‘เซียน’ หมายถึงผู้เป็นอมตะหรือก็คือเทพนั่นเอง เมื่อรวมกันแล้วจึงเหมือนกับเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความนัยเหมือนกับคำว่า มหาเทพ

            “เจ้าตั้งชื่อให้ข้างั้นรึ”

            ทว่าคนถูกประชดกลับมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มที่ชอบยกมุมปากนิดๆ มาตอนนี้กลับยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด ทำเอาเซียวถิงฟงชมดูอย่างเพลินตาโดยไม่รู้ตัว

            เห็นชายหนุ่มมิได้ทัดทานอะไร เขาก็ร่ำร้องด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ “ตั้งแต่นี้ไปข้าจะมีนามว่า ต้าเซียน” เขาเงยหน้าบนท้องฟ้า ปากพร่ำกล่าวตะโกนอย่างดีใจ “พวกเจ้าได้ยินไหมข้ามีนามว่า ต้าเซียน”

            ร่างน้อยตะโกนชื่อขึ้นฟ้าจนน้ำเสียงแหบแห้งก็หยุดลง เซียวถิงฟงเองก็รู้สึกตัวว่าควรจะกลับไปที่ตำหนักเสียก่อนที่จะมีคนรู้ว่าเรือหายไป แต่ปัญหาคือ คนตรงหน้านี่สิ บางทีพอขึ้นฝั่งก็คงลาขาดไปเลยกระมังเขาคิดแต่ก็มิวายที่จะหยั่งเชิง “หลังจากนี้เจ้า...จะไปไหนต่อ”

            “ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่ไง” ต้าเซียนตอบพร้อมรอยยิ้ม มิอาจรู้ได้เลยว่าคำตอบดังกล่าวกลับทำให้เซียวถิงฟงต้องร้องหาในใจดังๆ “บ่อเกิดพลังข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่สิ” เขากล่าวเสริม

            เซียวถิงฟงรับฟังโดยไม่เถียง ทว่าในใจกลับคิดแผนการรับมืออย่างรวดเร็ว คนบ้าผู้นี้ดูไม่ค่อยมีพิษสงอะไร น่าจะวางใจได้ หึ หึ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้าจะหานักพรตเก่งๆ มาหลอกเจ้าไปขังในเจดีย์บนยอดเขาซูซาน หรือไม่ก็เจดีย์ในวัดเส้าหลินล่ะกัน เขาคิดอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ก็ต้องนึกขึ้นได้ว่าถ้าหากเด็กหนุ่มนี่กลับเข้ามาฝังบนหน้าอกเขาอีกล่ะ

            “เอ่อ แล้วเจ้าน่ะ จะต้องสูบพลังข้าอีกไหม” เขาพูดอย่างหวาดระแวงสองมือยกกอดปิดหน้าอกแน่น

            “ไม่หรอก ข้าไม่สามารถกลับเข้าสู่ตัวเจ้าได้อีก เนื่องจากพลังข้าไม่เพียงพอ อีกอย่างตอนนี้บ่อเกิดพลังข้าอยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังธาตุจากเจ้าอีกแล้ว”

            ได้ฟังเช่นนั้นเซียวถิงฟงก็โล่งใจ หมายความว่าบ่อเกิดพลังของเจ้าปีศาจลูกแก้วอยู่ที่สระบัว หากสระบัวถูกทำลายก็หมายความว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าเผยช่องโหว่เองนะ เจ้าทึ่มต้าเซียน

            “ฉะนั้นข้ารบกวนเจ้าด้วยล่ะ”

            “หือ อะไร” เซียวถิงฟงถึงกับงงงันวูบ

            “ข้าจำต้องพักกับเจ้าชั่วคราวน่ะสิ” ต้าเซียนอธิบายเพิ่มเติม

            “ให้ตายสิไหนเจ้าบอกว่าบ่อเกิดพลังอยู่ที่สระบัว เจ้าก็อยู่ไปสิ จะมาอยู่กับข้าทำไม” เซียวถิงฟงพูดอย่างหัวเสีย แต่ต้าเซียนกลับส่ายหน้าอย่างเดียว ทำให้เขารู้สึกไม่มีทางเลือก “หวังว่าเจ้าคงกลายร่างกลับเป็นลูกแก้วอีกได้สินะ” เขาลองถาม แค่คิดว่าเขาต้องพาเด็กหนุ่มแปลกหน้าไม่มีที่มาเข้าบ้าน หูเขาคงจะต้องชาไปนานนับปีเพราะคำพร่ำบ่นของบิดา

            “ตอนนี้พลังไม่ข้าไม่เพียงพอที่จะกลับไปอยู่ในลูกแก้ว หากข้าฟื้นฟูพลังได้หลายส่วนเมื่อนั้นข้าก็สามารถกลับไปอยู่ในลูกแก้วได้ แต่ถึงตอนนั้นข้าคงไม่คิดจะเข้าไปอยู่ในลูกแก้วอีกหรอกนะ”

            ความหวังของเซียวถิงฟงสลายไปในพริบตา เขาตัดสินใจนำเรือกลับเข้าท่า หากเป็นเรื่องหลังจากนี้ค่อยๆ ว่ากันใหม่ รึจะแอบเก็บเจ้านี่ไว้ในห้องดี ขังไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่ถ้าเกิดมีคนรู้ล่ะ คงไม่ดีแน่เขาอาจกลายเป็นจอหงวนบู้คนแรกที่มีรสนิยมเพี้ยนๆ ชอบเลี้ยงเด็กหนุ่มรูปงามไว้ในห้องส่วนตัวก็เป็นได้ แค่คิดก็แทบคลั่งแล้ว ตอนนี้ได้แต่รีบพายเรือกลับไม่สนใจเรื่องอื่นอีกต่อไป
           
            “แล้วเจ้ามีนามกระไร” ระหว่างทางต้าเซียนก็พลันเอ่ยปากทำลายความสงบ
           
            “ข้าเซียวถิงฟง หรือจะเรียกข้าว่าถิงฟงก็ได้” เซียวถิงฟงที่หันหลังพายเรือพลางตอบโดยไม่หันมากลับมามอง แวบหนึ่งก็นึกฉงนว่าทำไมจึงให้เจ้าคนแปลกหน้าเรียกชื่อตนเองได้อย่างสนิทสนมด้วยนะ ปกติไม่ค่อยมีใครกล้าเรียกเขาตรงๆเท่าใดนัก ยกเว้นคนสนิทหรือคนที่เชื่อใจเท่านั้น


******************************************************


หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 4.2 มหาเทพยาจก 19/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 19-10-2015 20:47:32
บทที่ 4.2 มหาเทพยาจก


 
           
            เมื่อพายเรือจวนจะถึงท่าแล้วทั้งสองก็เห็นคบไฟที่ส่องสว่างอยู่ตรงข้ามอีกฝั่งหนึ่ง เซียวถิงฟงรับรู้ได้ถึงความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้น หวังเพียงว่าอีกฟากของสระบัวจะมีเพียงแต่ข้ารับใช้เท่านั้นนะ เขาได้แต่ภาวนาในใจ ครั้นเมื่อเรือจอดเทียบท่าอวี่จงก็วิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

            “คุณชาย ทำไมถึงพายเรือออกไปกลางดึกเช่นนี้เล่า แล้วนี่ท่านยังไม่สบายอยู่นะ มาเปลือยท่อนบนอย่างนี้ได้ที่ไหนกัน” อวี่จงบ่นอุบอิบอย่างเป็นห่วง แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเสมือนมีใครอีกคนยืนหลบที่ด้านหลัง สายตาจึงพลันมองอย่างสอดรู้สอดเห็น แล้วจึงเห็นเป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่มีรูปร่างส่วนสูงพอๆกับตนเอง และดูว่าอีกฝ่ายก็มองเขาด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้เช่นกัน
           
            “อ้ะ” อวี่จงอุทาน คล้ายมองข้ามบางสิ่งที่สำคัญไป เขาไล่มองอีกครั้งก่อนจะสะดุดเข้าที่เสื้อที่เด็กหนุ่มใส่ ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นเสื้อของคุณชายนี่นา ครานี้ได้แต่มองหน้าผู้เป็นนายสลับกับหน้าของเด็กหนุ่มไปมาด้วยความรู้สึกยากที่จะกล่าว

            ด้านต้าเซียนเห็นคนตาโตจ้องมองตนมิวางตาก็ส่งยิ้มหวานไปให้ ทำเอาอีกฝ่ายหน้าแดงฉ่า

            “พะ พวกท่าน ทำอะไรกัน” อวี่จงตะกุกตะกักถาม

            “ก็ไม่มีอะไรนี่ ข้าจะกลับเรือน รีบไปเตรียมชุดหนาๆให้เขาด้วย” เซียวถิงฟงขี้คร้านจะอธิบายรีบตัดบทกลับที่พัก

            “ตะ แต่นายท่านอยู่”

            “ถิงฟง”

            ไม่ทันที่อวี่จงจะกล่าวเตือน น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของผู้นำตระกูลเซียวก็ดังขึ้น ชายรูปร่างสูงใหญ่อายุราวสี่สิบก้าวเข้ามาในชุดขุนนางเต็มยศ ใบหน้ามีรอยแห่งกาลเวลาประดับใกล้ดวงตา อีกทั้งรูปหน้ายังคล้ายคลึงกับเซียวถิงฟงหลายส่วน ที่ด้านหลังยังตามมาด้วยพ่อบ้านประจำตระกูลผู้มีรูปร่างผอมสูง
           
            “ท่านพ่อ”

            “เจ้าคิดจะทำอะไรมิทราบ ข้าสั่งมิให้เจ้าเฉียดกายเข้าใกล้สระบัวแล้วมิใช่รึ” เซียวถิงหลี่ว่ากล่าวด้วยความโมโห มิได้ทันสังเกตเห็นคนที่อยู่ด้านหลังบุตรชายแม้แต่น้อย กระทั่งพ่อบ้านที่ยืนเยื้องออกไปทำการสะกิดดึงที่ไหล่เป็นการใหญ่จึงได้หยุดเสียงลง

            เมื่อสายตาสบเข้ากับเด็กหนุ่มก็ถึงกับผงะขยี้ตาอยู่หลายครั้ง สภาพของตรงหน้าแทบทำให้เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ร่างนวลขาวงดงามถูกห่อหุ้มไปด้วยเสื้อเพียงตัวเดียวซ้ำยังมีรอยเลือดเปราะเปื้อนเป็นจุดๆ ขาเรียวเปลือยเปล่าเปิดโล่งสู่สายตา อีกทั้งสายตาที่ดูไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราวคู่นั้น เขาหันกลับไปมองบุตรชายตัวดีที่ตอนนี้ยืนเปลือยอกอยู่ทนโท่ มิหนำซ้ำกางเกงที่สวมยังเข้าชุดเดียวกับที่อีกฝ่ายใส่

            ครั้นมองหน้าบุตรชายสลับไปมากับหน้าเด็กหนุ่มรูปงาม ในใจบังเกิดความรู้สึกยากที่จะบรรยาย จนในที่สุดก็หน้ามืดผงะถอยหลังไป ทำเอาพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามาช่วยพยุงเป็นการใหญ่

            “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรรึเปล่า”

            “จะไม่เป็นอะไรได้ไงเล่า ไอ้ตัวเลวร้าย คิดเล่นอุตริอะไรอยู่หา” เซียวถิงหลี่ตะคอกเสียงสูง ด้านเซียวถิงฟงก็สวนทันควัน

            “เล่นอุตริอะไรที่ไหน ไม่มีสักหน่อย”
           
            “เห็นอยู่ทนโท่ เจ้ากล้าบ่ายเบี่ยงรึ รึเจ้าจะบอกว่าเจ้ากับเด็กหนุ่มคนนี้ แค่ออกไปพายเรือชมสระบัวที่เพิ่งเบ่งบานของข้ามาด้วยสภาพ...อ่ะ แฮ่ม วาบหวิว” ประโยคสุดท้ายเซียวถิงหลี่กระแอมกระไออย่างกระดากปาก

            “เป็นเช่นนั้น เช่นที่ท่านกล่าว” ได้แต่ตอบว่าใช่ เรื่องที่เกิดขึ้นอธิบายไปใครจะเชื่อ มีแต่คนจะว่าเขาบ้าเท่านั้น

            “เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี เหตุผลแบบนี้ใครที่ไหนจะไปเชื่อลง” เซียวถิงหลี่พูดพลางส่ายหน้า

            “อ้าว ก็ท่านเป็นคนพูดเองนี่นา ตาแก่ขี้ลืมเอ้ย”

            “จบกันตระกูลข้า ข้าเพียงแค่อยากจะออกมาชมความงามของสระบัว แต่นี่กลับต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ ข้ามิเคยสักครั้งที่จะสั่งสอนให้เจ้าล่อลวงใคร อีกทั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม” เซียวถิงหลี่พูดพร้อมกับทอดถอนใจจนพ่อบ้านและอวี่จงได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าสลดๆ

            “ตาแก่ ท่านฟังให้ดี ข้ามิเคยแม้แต่จะล่อลวงใคร ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายหน้าไหนทั้งนั้น” เซียวถิงฟงพูดอย่างเน้นชัดๆ

            “ดูสิหลิงหลัน ดูลูกของเราตอนนี้สิ เหลวไหลสิ้นดี ข้าขอโทษที่ไม่ได้สั่งสอนเขาให้ดี เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะหลิงหลัน” บิดาเขาพูดน้ำเสียงสลดขอบตามีน้ำตาปริ่ม แต่เซียวถิงฟงรู้ทัน
           
            “ตาแก่ อย่ามาทำเป็นฟ้องนะ ท่านแม่รู้ดีว่าข้ามิได้ล่อลวงใครมาทั้งสิ้น” 

            “งั้น เด็กหนุ่มรูปงามที่มากับเจ้าคนนี้เป็นใครกัน เจ้าแค่เชิญเขามาเป็นแขกบ้านเรากระนั้นรึ” 

            ด้านต้าเซียนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะพยายามฟังสิ่งที่ทั้งสองพูด แต่ก็มิอาจเข้าใจได้แม้แต่น้อย ล่อลวงอะไร ดูๆแล้วพวกเขาช่างเหมือนกันมากทีเดียว แม้แต่ท่าทางตอนโมโห สงสัยจริงเชียวว่าสองพ่อลูกคู่นี้ไปกินรังแตนที่ไหนมา ทำไมขี้โมโหกันจัง

            “เจ้าไม่ต้องกลัวกล่าวมาเถอะว่าบุตรชายข้าล่อลวงเจ้ามา”

            สายตาจริงจังของเซียวถิงหลี่รวมถึงสายตาของทุกคนต่างเพ่งกดดันมาที่เขา ต้าเซียนกวาดสายตาอย่างงงๆแล้วตอบออกไป “ล่อลวง” บอกให้กล่าวตนก็กล่าวตามนั้น ทั้งยังมิลืมส่งยิ้มเป็นการจบประโยค

            ทว่าคำตอบดังกล่าวทำเอาเซียวถิงฟงถึงกับอ้าปากค้างจ้องมองคนที่ยืนยิ้มบื้อตาไม่กะพริบ บิดาเองก็หันมาถลึงตาใส่เขา จากนั้นจึงหันไปสั่งอวี่จงให้จัดห้องให้แขก ก่อนจากไปยังมิวายทำเสียงฮึดฮัด โดยมีพ่อบ้านเดินตามไปติดๆ

            “สวรรค์ ข้าไปล่อลวงเจ้าตอนไหนกันหา” เมื่อคนเริ่มแยกย้ายเขาก็หันมาระบายอารมณ์อย่างเดือดดาล

            “อ้าว ล่อลวงไม่ดีหรือ ข้าควรตอบเช่นไรกัน” ต้าเซียนถามอย่างไร้เดียงสา ทำเอาเซียวถิงฟงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงได้แต่นั่งกุมขมับ

            “เจ้า ไม่รู้จักคำว่าล่อลวงรึ” เขาถามอย่างเหนื่อยล้า

            “ไม่รู้” ต้าเซียนฉีกยิ้มตอบ
           
            “ไม่รู้แล้วจะตอบทำบ้าอะไร”

            “แล้วมันหมายความว่าอะไรกันรึ ถิงฟง”

            คิดจะว่ากล่าวอีกสักประโยคทว่านามที่ถูกเรียกกลับมา ทำให้ความดุเดือดในใจอ่อนยวบลงไปกะทันหัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังทำให้เขารู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า แล้วเขาจะอธิบายยังไงดีล่ะ

            “เอ่อ ก็คล้ายกับหนีตามกันไป พ่อข้าเข้าใจว่าข้าหลอกเจ้ามา อีกทั้งสภาพเราทั้งสองคนเป็นเช่นนี้ทำให้พวกเขาปักใจเชื่อเช่นนั้น”

            ต้าเซียนเงียบฟังคำอธิบายไปสักพักก็ต้องร้องอ้อออกมา จากนั้นจึงใช้แววตาฉายความจริงจังกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว เห็นไหมถ้าเจ้ายอมให้กางเกงข้าแต่แรก เรื่องคงไม่เป็นเช่นนี้หรอก”
           
            จากอารมณ์ที่เริ่มสงบพลันแปรเปลี่ยนดังเช่นคลื่นระลอกใหญ่ในมหาสมุทร ดวงตาของเขาเกิดเป็นเส้นเลือดแตกฝอยมากมาย ความจริงเจ้าเข้าใจอะไรกันแน่ ตั้งแต่ต้นจนจบมีแต่เจ้าที่ล่อลวงข้าต่างหาก เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ยังถูกคนเข้าใจผิดเสียอีก หากกลับกันอย่างที่เจ้าพูด เจ้าใส่กางกาง ส่วนข้าใส่แต่เสื้อ มิกลายเป็นว่าข้าเสียเชิงชายรึ ส่วนคนอื่นๆคงจะว่าเข้าใจว่าข้าถูกเจ้า...

            นี่มันมหาเทพอะไรกัน จะมีมหาเทพที่ไหนที่ทั้งทึ่มทั้งยังเป็นยาจกเช่นเจ้า หากมีโลกคงถึงกาลวิบัติเสียแล้ว

            “เจ้าเป็นตัวโง่งมที่สุด”

            เซียวถิงฟงมองค้อนต้าเซียนทีหนึ่งก่อนลุกขึ้นเดินจากไปปล่อยให้ต้าเซียนยืนงงไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่พอเห็นชายหนุ่มเดินห่างไกลออกไป ร่างน้อยก็รีบเดินตามไปติดๆ

            จะว่าไปหากตอนที่ท่านพ่อเห็นตอนที่เป็นเด็กสาวไม่ใช่เด็กหนุ่มล่ะจะเป็นเช่นไร เซียวถิงฟงอดคิดไม่ได้ แต่จะอย่างไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นถ้าเป็นเช่นนั้น เพราะบิดาเขาคงได้จัดงานแต่งทันทีแน่นอน จะอย่างไรเขาก็ไม่อยากแต่งงานกับตัวประหลาดหรือปีศาจแบบนี้แน่นอน
 

******************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ (นิยายจีน) บทที่ 4 มหาเทพยาจก 19/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 19-10-2015 21:09:01
จิ้ม
ติดตามนะค้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 5.1 ทำลายล้าง 20/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 20-10-2015 20:05:25
บทที่ 5.1 ทำลายล้าง


           ต้าเซียนตามเซียวถิงฟงไปไม่นานก็มาถึงหน้าตำหนักพิรุณ เห็นชายหนุ่มเดินดุ่มเข้าไปก็รีบสาวเท้าตามไปบ้าง แต่แล้วอวี่จงกลับก้าวเข้ามาขวางทางไว้พลางผายมือไปยังอีกทางหนึ่ง

           “อ่ะ แฮ่ม ท่านตามข้ามาทางนี้” อวี่จงกระแอมไอกล่าวน้ำเสียงขึงขัง แต่คนตรงหน้ากลับยืนลังเลมองร่างสูงไม่ไหวติง จึงได้แต่ดึงชายเสื้อบางแล้วพาไปยังตำหนักหลังเล็กที่อยู่ข้างๆแทน ครั้นพอถึงตัวเรือนก็จัดการดันร่างแขกเข้าไปในห้องแล้วหันไปกล่าวกับสาวใช้ผู้ดูแลเรือนเล็ก

           ต้าเซียนพอถูกทิ้งไว้ก็ยืนอย่างงุนงง รอนานเข้าก็ถือโอกาสสำรวจมองรอบๆห้อง ด้านในของตำหนักหลังนี้ต่างเป็นห้องเรียบไม่หวือหวา ดูสงบเงียบเหมาะแก่การฟื้นฟูพลังชั่วคราว

           “นี่ชุดของท่าน รีบเปลี่ยนเถิด หากท่านอยากชำระล้างกาย ฮัวหลงเตรียมน้ำอุ่นไว้ที่ห้องข้างๆแล้ว และหากยังต้องการอะไรเพิ่มเติมให้แจ้งแก่นางได้เลย” เด็กรับใช้กล่าวพลางยัดเสื้อผ้าเนื้อนุ่มสีชมพูอ่อนใส่ในมือแขก ปุบปับก็จากไปทิ้งต้าเซียนให้ยืนงุนงงเป็นรอบที่สอง

           รอจนเช้าตรู่ของวันต่อมาอวี่จงก็กลับมาตำหนักเล็กอีก ใจก็นึกว่าเพลานี้แขกของคุณชายเซียวน่าจะกำลังหลับอยู่บนเตียงนุ่ม เขาจึงเปิดปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ แต่แล้วเมื่อหันหลังกลับไปหัวใจก็แทบกระดอนออกจากอก

           “ว๊ากก พ่อแก้วแม่แก้ว ข้ามิเคยทำชั่ว เหตุใดจึงต้องพานพบภูติผีเช่นนี้ด้วย” อวี่จงสะดุ้งตัวโหยงพลางกระโดดถอยหลังจนแนบชิดติดประตู

           ที่เบื้องหน้าเขากลับปรากฏเป็นเงาดำตะคุ่มๆ รูปร่างของมันคล้ายกับคน ทว่าผิวขาวราวกระดาษ ผมยาวรกรุงรังปิดบังใบหน้าจนหมดสิ้น เหลือเพียงดวงตาที่ส่องสะท้อนท่ามกลางห้องมืดสลัว

           “ไหน ภูตผีอยู่ตรงไหน” เห็นอวี่จงตกใจจนร้องเสียงหลง ต้าเซียนก็ตื่นตัวสอดส่องมองหาภูติผีบ้าง

           เสียงที่ตอบกลับมาทำให้อวี่จงหรี่ตาขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ พอพบว่าเงาร่างที่เห็นเป็นเพียงแขกของคุณชายเซียวมิใช่ภูตผีอันใดก็อดที่จะเก้อเขินมิได้ “ทะ ท่าน ยืนตรงนี้ตลอดเลยรึ” เขาจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ เห็นใบหน้าน้อยพยักให้ก็รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แล้วทำไมท่านจึงไม่ยังเปลี่ยนชุด หากห้องนี้ไม่มีเตาผิงท่านมิจับไข้หรอกรึ”

           ต้าเซียนทำหน้านิ่งไปพักหนึ่งก็ตอบเสียงเบา “ข้า...ใส่ไม่เป็น”

           อวี่จงรับฟังจนอ้าปากค้าง คนตรงหน้าอายุก็มิใช่น้อยแต่เหตุไฉนเสื้อผ้ายังใส่เองไม่เป็น ต่อให้เป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ มีข้าหลวงนางกำนัลคอยสวมใส่ฉลองพระองค์ให้ แต่ก็ใช่ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าเองไม่เป็นเลย

           “เจ้าสอนข้าหน่อยละกัน” ต้าเซียนยิ้มกล่าว รอยยิ้มนั้นทำเอาอวี่จงหน้าแดงระเรื่อก่อนจะพยักหน้าตกลง
ในระหว่างการสอนเพื่อมิให้กระอักกระอ่วนจนเกินไปอวี่จงจึงพยายามชวนอีกฝ่ายคุยไปเรื่อยเปื่อย โดยเริ่มจากคำถามง่ายๆก่อน
           
           “ท่านมีนามว่าอะไรหรือ”

           “ถิงฟงตั้งชื่อข้าว่า ต้าเซียน ดังนั้นข้าจึงมีนามว่า ต้าเซียน” เขากล่าวอย่างร่าเริง น้ำเสียงยังบ่งบอกถึงความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

           อวี่จงถึงกับงงงันวูบ กระทั่งนามก็เป็นคุณชายเซียวตั้งให้? เขายกมือขึ้นเกาศีรษะเป็นการใหญ่ก่อนกล่าวทั้งที่ยังมึนงง “ข้าน้อยนาม อวี่จง เป็นข้ารับใช้ประจำตัวของคุณชายเซียว ส่วนนายท่านใหญ่ ท่านติดงานราชการอีกสามวันถึงจะกลับจากวังหลวง นายท่านจึงฝากข้อความแก่ท่านว่าให้ทำตัวตามสบายมิต้องเกรงใจ”

           ต้าเซียนฟังแล้วก็ยิ้มรับ ผ่านไปสักระยะบทเรียนก็เป็นอันจบลง ดูว่าผมยาวนุ่มสลวยที่ระพื้นของเขาค่อนข้างจะเป็นอุปสรรคต่อการแต่งตัวไม่น้อย เพราะเล่นเอาคนสอนถึงกับปาดเหงื่อเป็นพักๆ

           หลังจากนั้นเขาก็ถูกทิ้งไว้ให้กับสาวใช้นางหนึ่ง นางเชิญเขาไปที่ห้องอาหาร เมื่อไปถึงที่นั่นก็มีสำรับอาหารจัดวางไว้อยู่แล้ว ข้างๆยังมีสาวใช้อีกคนยืนยิ้มให้

           “นายท่าน เชิญรับประทานตอนร้อนๆเถิด” เหม่ยอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

           ต้าเซียนมองสำรับอาหารที่มีควันฉุยอยู่นานก็ต้องเงยหน้าที่นิ่งสนิทขึ้น “แต่มหาเทพอย่างข้ามิเคยกินอาหารเช่นมนุษย์มาก่อน”

           ประโยคดังกล่าวทำเอาสาวใช้ทั้งสองต่างมองหน้ากันงงเป็นไก่ตาแตก จนในที่สุดฮัวหลงก็ถือวิสาสะยื่นตะเกียบยัดใส่มือคนงาม

           เขาถือตะเกียบไม้อย่างงงงัน กระทั่งเผลอสูดกลิ่นหอมอบอวลก็ต้องรู้สึกปั่นป่วนขึ้น คล้ายว่าท้องของเขามันกำลังโหยหวนสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นเขาก็ได้ลิ้มลองอาหารของมนุษย์เป็นครั้งแรก อืม ไม่เลวทีเดียว ร่างน้อยคิดพลางเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ

           ผ่านไปสามวัน ต้าเซียนก็พอจะใช้เวลากลางคืนฟื้นฟูพลังได้บ้าง ทว่าเวลากลางวันกลับต้องคอยหลบฮัวหลงกับเหม่ยอิงที่ชมชอบการละเล่นจับเขาสวมชุดนู่นชุดนี้อยู่ตลอด ซึ่งแม้จะคอยหลบได้สำเร็จ แต่เมื่อตกเย็นเขาก็ไม่เคยรอดพ้นจากการถูกพาไปสระผมเลยสักครั้ง มีคราหนึ่งพวกนางถึงกับเอ่ยปากจะตัดผมเขา เล่นเอามหาเทพอย่างเขาวิ่งแตกตื่นออกมาทั้งๆที่ผมยังสระไม่เสร็จเลยทีเดียว


******************************************************


           ในช่วงเพลาตะวันคล้อย ต้าเซียนที่เอาแต่นั่งๆนอนๆในเรือนก็เกิดอาการเบื่อหน่ายจึงตัดสินใจออกไปเดินเลียบกำแพงเตี้ยของจวนที่พักไปเรื่อยๆ กระทั่งบังเอิญได้ยินเสียงร้องหนึ่ง ใบหน้าเขาก็พลันแสยะยิ้มพลางเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ จวบจนเข้าใกล้เป้าหมายก็ซุ่มซ่อนตัวอยู่ห่างๆ

           แมวขนสีดำเงางามตัวหนึ่งกำลังนั่งฝนเล็บเข้ากับต้นไม้ต้นประจำอยู่บนกำแพง ต้าเซียนเห็นว่ามันมิได้ระวังก็ย่องเบาจากทางด้านหลัง มือก็ยื่นกะขนาดของมันอย่างเงียบเชียบ ในใจนึกถึงช่วงเวลาอันน่าอดสู มันกลิ้งเขาที่เป็นลูกแก้วอยู่ทุกวันจนสมองมึนงงไปหมด

           วันนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าเสียให้เข็ด ต้าเซียนเผยรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วจังหวะหนึ่งกลับเหยียบเข้าที่ใบไม้แห้งกองใหญ่ เขาลอบร่ำร้องว่าผิดท่าในใจ แต่กระนั้นก็มิอาจห้ามเสียงดังกรอบแกรบที่ใต้ฝ่าเท้าได้ ถิงถิงจึงชะงักตัวหันกลับมาสบตาที่มาดร้ายพอดิบพอดี มันรีบโก่งตัวขึ้นสูงพลางขู่ใส่

           “เจ้าไม่รอดแน่” กล่าวจบต้าเซียนก็ถลาเข้าไปคิดรวบตัวมันไว้ ส่วนถิงถิงที่ปราดเปรียวก็รีบกระโดดลงไปยังอีกฟากหนึ่งของกำแพงเสียก่อน ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็เหยียบเข้าที่ก้อนหินใหญ่ข้างต้นไม้ ก่อนจะยกขาขึ้นปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพงติดตามไปทันที

           เมื่อลงสู่พื้นดินสำเร็จ แมวสาวก็หันไปชำเลืองมองคนที่กำลังปีนป่ายกำแพงอย่างทุลักทุเล รออยู่นานสักพักก็หาวหวอดขี้เกียจใส่ยังผลให้ร่างน้อยรู้สึกโมโหขึ้น

           “ข้าเป็นถึงมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ คิดเหยียดหยามข้า เจ้าต้องอยู่ไม่สุขแน่” เขาลั่นวาจาพร้อมทั้งหยัดยืนทรงตัวอย่างมาดมั่นบนกำแพง “คอยดูเถอะข้าจะไปปรากฏตัวข้างกายเจ้า โดยที่เจ้ายังไม่มีเวลาแม้แต่จะกะพริบตาเลยเชียว” ว่าแล้วก็ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าทันที ทว่าเมื่อลงน้ำหนักที่ปลายเท้ากลับสัมผัสได้แต่ความวูบโหวง

           เอ ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้ว ตอนนี้พลังในกายยังคงไม่สมบูรณ์ อย่าว่าแต่จะเหาะเหินเลย แม้แต่พลังจะเสกมดยังยากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็มเสียอีก

           มาตรว่าคิดได้แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ร่างพลันเอนล้มไปด้านหน้า แต่โชคยังนับว่าเข้าข้างเมื่อสองมือยื่นคว้าจับกิ่งไม้ที่ด้านบนได้อย่างทันท่วงที ร่างน้อยถึงกับถอนใจโล่งอก ทว่าลมหายใจยังพรูออกมาไม่หมด กิ่งไม้กลับเอนลงจนเกิดเป็นเสียงแตกหัก

           เปรี๊ยะ

           “อ๊าก” เขาร้องลั่นอย่างหมดมาดมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ใบหน้าคะมำไปกับพื้นดิน เสื้อผ้าคลุกฝุ่น เศษใบไม้ร่วงปลิวว่อนติดตามเสื้อผ้า ล้มนอนนิ่งบนพื้นครู่หนึ่งก็แหงนหน้าขึ้นมอง

           ถิงถิงยังคงนั่งอยู่ไม่ไกลทั้งจับจ้องมองคนจับกบตาไม่กะพริบ แววตาของมันเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน จึงบังเกิดเป็นไฟลุกโชนขึ้นในใจต้าเซียนพลันถลาพุ่งตัวตะปบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

           “เมี้ยว” เสียงแมวร้องลั่น แม้มันจะกระโดดหลบ ทว่าหางของมันกลับหลบไม่พ้น ต้าเซียนกระหยิ่มยิ้มย่องก่อนจัดการลากหางเจ้าแมวตัวดีเข้ามาใกล้ๆ ถิงถิงที่ถูกดึงมาก็ตื่นตระหนกรีบขืนตัวกางเล็บจิกลึกลงบนพื้นดิน

           ร่างน้อยออกแรงดึงยิ่งขึ้น แต่มิไยว่าจะดึงเท่าไหร่มันก็ยังคงมิตกอยู่ในกำมือสักที มหาเทพกับแมวตะลุมบอนกันได้ไม่นาน ผ้าคาดเอวของเขาก็ถูกจับหมับ ก่อนที่ร่างจะถูกยกขึ้นสูงจนตัวลอยคว้างท่ามกลางอากาศ

           “เจ้าทำอะไรกับแมวของคนอื่นมิทราบ”

           เสียงทรงพลังกล่าวขึ้นที่เหนือศีรษะ แหงนหน้ามองก็พบคนที่มิได้เห็นหน้าคาดตานับสามวันเต็ม และดูว่าสีหน้าของชายหนุ่มตอนนี้ช่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่กระตุกบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ

           “จะจับไปถึงเมื่อไหร่มิทราบ เจ้ามหาเทพยาจก” เซียวถิงฟงกล่าวประชดประชัน สายตาก็มองดูมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่คลุกฝุ่นจนเปราะเปื้อนสกปรกอย่างเวทนา
           “......” ต้าเซียนไม่ตอบยังคงมุ่งมั่นหันกลับไปดึงหางแมวต่อ

           ร่างสูงเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจก็รู้สึกขัดเคือง มือจึงรั้งร่างที่เคว้งคว้าง ขึ้นสูงอีก ยังผลหางของถิงถิงลื่นหลุดจากมือเรียวไปในที่สุด ถิงถิงเป็นอิสระได้ก็แสยะยิ้มให้ก่อนวิ่งจากไป ต้าเซียนยิ่งคับแค้นใจจึงดิ้นรนอย่างหนัก ทว่าก็ทำได้เพียงแค่เตะใส่อากาศไปมาอย่างไร้ประโยชน์

           “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” รอจนเจ้าตัวค่อยๆหมดแรงลงก็จัดการพลิกตัวต้าเซียนขึ้นประจันหน้า สองมือสอดอยู่ใต้วงแขนเรียวทั้งสอง

           “ปล่อยข้า” ต้าเซียนที่ถูกจับห้อยต่องแต่งราวกับตุ๊กตาก็ต้องร้องอย่างไม่พอใจ

           “ไม่ปล่อย หากอยากเป็นอิสระนักก็ใช้พลังเซียนของเจ้าเสียสิ” เขาเหยียดยิ้มกล่าวยั่ว สามวันที่ผ่านมานี้เขาสืบความเป็นไปของอีกฝ่ายอยู่ห่างๆมาตลอด และก็ไม่เห็นว่าคนตรงหน้าจะไม่มีอิทธิฤทธิ์ตรงไหน ยิ่งคงไม่ใช่มหาเทพตามที่เจ้าตัวกล่าวอ้างอย่างแน่นอน

           ต้าเซียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกถูกสบประมาท เขาเป็นถึงมหาเทพ ไยเล่าต้องทนต่อการดูหมิ่น ร่างน้อยคิดพลางดิ้นรนอีกครั้ง ทว่าร่างสูงกลับมิสะทกสะท้านทั้งยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “เจ้ากล้าลบหลู่ข้ารึ”

           “มิใช่ว่าเจ้าเป็นฝ่ายริเริ่มก่อนรึ มิใช่ว่าเจ้าทารุณสัตว์เลี้ยงข้าก่อนรึ” เซียวถิงฟงย้อนถาม

           “หากเจ้ายังไม่หยุดอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ” เขาถลึงตาขู่

           ดวงตาสีดำเปี่ยมด้วยความขบขำ อยากจะหัวร่อนัก “มหาเทพไร้ฤทธิ์อย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้ บอกซิ” กล่าวจบได้ไม่นานใบหน้าของเซียวถิงฟงก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวใครจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ายกเท้าถีบใส่ที่หน้าแท้งเขา...น่าตายนัก ว่าแล้วมือก็พลันปละปล่อยร่างในมือ จากนั้นหันไปกระโดดเหยงๆ เป็นกระต่ายขาเดียว

           ร่างน้อยหล่นตุบลงบนพื้นอีกครั้ง แต่ก็มิวายกวาดสายตาไปอีกทางหนึ่ง เฮอะ เขาแค่นเสียงในใจ มันมิได้จากไปไกลอย่างที่คิด ถิงถิงยังคงซ่อนตัวอยู่ที่พุ่มไม้ต้นหนึ่ง รอดูเขารับโทษจากเซียวถิงฟง ว่าแล้วร่างคลุกฝุ่นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้น

           เซียวถิงฟงแลเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจความคิดอีกฝ่าย จึงถลาตัวล้มทับใส่ทันที ทว่าต้าเซียนกลับไม่ยอมแพ้ใช้มือคืบคลานไปข้างหน้าอย่างยากเย็น ด้านถิงถิงก็ได้แต่มองคนทั้งคู่อย่างสนุกตา เมื่อยื้อยุดไม่ประสบผล อยู่นานร่างสูงก็ตัดสินใจกอดเอวบางไว้แล้วพากลิ้งตัวออกไปให้ห่าง

           “อ้าาา...” ต้าเซียนร้องเมื่อถูกพลิกตัวหงายบนกายชายหนุ่ม ทว่ายังมิทันจะหายตกใจดี ร่างก็ถูกพลิกกลับมาอยู่ด้านล่างอีกครั้ง

           ทั้งสองต่างกลิ้งไปมาหลายตลบโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงได้ง่ายๆ จนกระทั่งเสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น เส้นผมหลุดสยายไม่เป็นทรง ร่างของทั้งสองก็ชนเข้ากับบางสิ่งแล้วพลันหยุดนิ่งลง

           ต้าเซียนที่ถูกนอนขนาบกับพื้นเอียงหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วใบหน้าของเจ้าตัวกลับอยู่ใกล้กว่าที่คิด ทำเอาปลายจมูกชนกันอย่างมิตั้งใจ พวกเขาต่างชะงักงันจ้องตากันไม่กะพริบ

           นับเป็นครั้งแรกที่กายของเซียวถิงฟงแนบชิดกับใครได้มากถึงเพียงนี้ เขาเผลอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน รู้สึกยิ่งจ้องก็ยิ่งตกอยู่ในวังวนของความมีเสน่ห์นั้น จนมิอาจผละออกจากสายตาคู่อ่อนโยนนั้นได้

           “ไอ้ตัวเลวร้าย กล้าทำบัดสีบัดเถลิงกลางวันแสกๆ เชียวรึ”

           น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น ทำเอาเซียวถิงฟงสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์บังเกิดเป็นความยุ่งยากจนน่าปวดหัว เป็นเขาเองที่ชนเข้ากับขาของบิดา ว่าแล้วก็รีบผละตัวออกจากร่างน้อย

           “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะใจกล้าถึงเพียงนี้” เซียวถิงหลี่มองหน้าบุตรชายอย่างไม่เชื่อสายตา มือกุมอกคล้ายหัวใจจะวายอยู่รอมร่อ

           “ขะ ข้า ทำอะไรกัน”

           “เจ้ายังจะกล้าถามอีกรึ เห็นอยู่ชัดๆว่าเจ้ากำลัง...จับกดเขา” ประโยคสุดท้ายเซียวถิงหลี่ชี้หน้ากัดฟันพูดอย่างยากเย็น

           “ข้าไม่ได้จับกดเขาเสียหน่อย เป็นเพราะเขารังแกถิงถิงของข้าต่างหาก” เซียวถิงฟงพยายามอธิบายทั้งชี้นิ้วไปที่ถิงถิงซึ่งหลบอยู่ตรงพุ่มไม้ ทุกสายตากลับพุ่งตรงไปที่แมวตัวดำ ทว่าในตอนนี้มันกลับทำท่าเกาหูอย่างรำคาญใจ ดูไม่มีทีท่าว่าถูกรังแกแม้แต่น้อย

           “ยังมีหน้ามาโกหกพกลม งดอาหารเย็น คัดคำว่าศีลธรรมมาหนึ่งร้อยแผ่น” พูดตัดบทไม่ใส่ใจบุตรชายอีก เซียวถิงหลี่หันไปพยุงตัวร่างน้อยก่อนจะพาออกไป ทิ้งไว้ให้เซียวถิงฟงยืนอ้าปากค้างอย่างอับจนปัญญา

 
******************************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 5.2 ทำลายล้าง 20/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 20-10-2015 20:08:30
บทที่ 5.2 ทำลายล้าง



           ต้าเซียนถูกพาตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นก็เข้าร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าบ้าน เซียวถิงหลี่สนทนาถึงที่มาของเขาสักพัก แม้มิได้คำตอบที่แน่ชัดก็ยังปล่อยตัวเขาออกมาทั้งพุงป่องๆ

           ระหว่างที่กลับเรือนที่พำนัก เขาก็แลเห็นแสงริบหรี่มาจากด้านในตำหนักพิรุณ มิรู้ว่าเจ้าของตำหนักจะเป็นอย่างไรบ้าง ว่าแล้วต้าเซียนก็แอบแลซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็ลอบเข้าไปในตำหนักดังกล่าว

           ตำหนักพิรุณถือว่ากว้างกว่าตำหนักที่เขาพักอยู่มาก ห้องหับทั้งหลายต่างจัดตกแต่งดูดีอย่างมีเอกลักษณ์ เขาชมดูสักพักก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของชายหนุ่มที่ห้องตรงข้าม คิดจะก้าวเข้าไปทว่าบังเกิดลังเลขึ้น

           ...บุกรุกเช่นนี้ไม่ดีกระมัง ครั้นคิดจะเดินกลับแต่ก็มิอาจห้ามความอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าเซียวถิงฟงกำลังทำอะไรอยู่ แม้รู้ว่าพลังยังไม่เพียงพอ แต่หากไม่ลองจะรู้หรือ สองตาน้อยหลับลงสักพักก็ลืมขึ้น บังเกิดเป็นประกายตาสีทองสาด

           ที่ด้านหลังประตูปรากฏร่างสูงที่นั่งกอดอกหลับตานิ่งอยู่บนโต๊ะหนังสือ สองขาไขว้กันวางพาดอยู่บนโต๊ะที่มีกระดาษวางเกลื่อนกลาดเขียนคำว่าศีลธรรม อีกทั้งยังมีกองกระดาษถูกขยำทิ้งอยู่บนพื้นมากมาย

           “พลังข้าฟื้นฟูขึ้นมาแล้วรึ” ต้าเซียนพึมพำอย่างดีใจจึงคิดรีบกลับไปฟื้นฟูพลังที่ห้อง ทว่ากลับมีเสียงของชายหนุ่มทักขึ้นเสียก่อน

           “เมื่อมาแล้ว เหตุใดไม่เข้ามาก่อน ทำตัวลับๆ ล่อๆไร้ซุ้มไร้เสียง ราวกับแมวขโมย” แม้ว่าตนจะหลับตามาตลอด แต่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้ห้องหนังสือตั้งแต่ต้น ฟังดูแล้วมันนุ่มนวลราวกับเหาะเหิน ไม่หนักอึกทึกอย่างอวี่จงหรือข้ารับใช้คนอื่น คาดเดาดูแล้วไม่น่าจะใช่ใครอื่นอีก

           น้ำเสียงนั้นฟังดูอวดดี ต้าเซียนลอบยิ้ม ในเมื่อกล้าเชิญ ข้าก็จะเข้าไป รับรองเพียงแค่เจ้าได้เห็นประกายพลังที่ทอออกจากกายมหาเทพอย่างข้า เจ้าจะต้องคุกเข่าศิโรราบแทบมิทัน หึ หึ ดวงหน้าเชิดขึ้น สองมือประสานเก็บไว้ที่ด้านหลัง ก้าวฝีเท้าเดินตรงไปข้างหน้าอย่างองอาจ

           ตึง

           “โอ๊ย”

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงขบขันแทบในทันที เซียวถิงฟงหัวเราะอย่างสะใจ เจ้ามหาเทพยาจกนั่น เจ้าต้าเซียนนั่น เดินชนประตูโครมใหญ่ ทั้งยังชนจังๆ เสียด้วย จะมีใครทึ่มได้เท่านี้อีก

           เป็นเพราะลืมไปว่าตอนนี้ตนกำลังใช้เนตรทิพย์ แม้เบื้องหน้ามีประตู แต่ก็มิอาจเห็นประตูได้ ยังผลให้เขาเดินชนประตูเข้าอย่างจัง สุดท้ายต้องหงายหลังก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้น ร่างน้อยได้แต่กุมหน้าผากน้ำตาคลอเบ้า เสียงหัวเราะเยาะหยันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลง ปากก็เบ้ด้วยความเจ็บใจ

           “เปิด” ครานี้ต้าเซียนถลึงตามองประตูอย่างดุดันทั้งใช้น้ำเสียงกราดเกรี้ยว บังเกิดเป็นพลังที่มองไม่เห็นเข้ากดดันที่ประตูห้องหนังสือ มันกระแทกเปิดอย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงดังตูม

           เศษไม้ผุพังต่างร่วงลงไปกองกับพื้น มันเร็วเสียจนกะพริบตามิทันอันที่จริงนี่ไม่เรียกว่าเปิดประตู เรียกให้ถูกคือทลายลงเลยมากกว่า เซียวถิงฟงในตอนนี้หัวเราะไม่ออกอีกต่อไปแล้ว เขาเริ่มหยัดตัวยืนมองคนร่างเล็กที่นั่งกองกับพื้น

           “พูดกันดีๆ ก็ได้ ไยต้องทำลายข้าวของ” กล่าวไปเหงื่อเย็นก็ไหลซึมแนบแก้มไป

           “เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าเข้ามาเองนี่นา” ต้าเซียนเถียงกลับ

           “แต่ข้าไม่ได้บอกให้พังประตูเข้ามาเสียหน่อย”

           “เจ้าไม่เห็นรึว่าข้านั่งอยู่ตรงนี้ แล้วข้าจะไปทำลายประตูห้องของเจ้าได้อย่างไร”

           “แต่เจ้าเป็นคนใช้อิทธิฤทธิ์พังมันมิใช่รึไง” เซียวถิงฟงย้อนถาม

           “เช่นนั้นเจ้ายอมรับว่าข้าเป็นมหาเทพจริงอย่างที่ข้ากล่าวแล้วใช่รึไม่” มุมปากของประดับต้าเซียนด้วยรอยยิ้ม

           เฮอะ ถือว่าข้าหลงกลเจ้า เซียวถิงฟงลอบแค่นเสียงกล่าวกับตนเองในใจ ดูว่าหากไม่ยอมรับตอนนี้มิใช่ว่าเขารนหาเรื่องหรือ อิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายกลับมาแล้ว ฉะนั้นได้แต่เออออไปก่อน น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง รอแต่ให้น้ำสงบก่อนเถอะ หึ หึ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางลุกขึ้นเดินไปทางร่างน้อยก่อนจะแสร้งทำมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มแล้วยื่นมือไปให้

           ต้าเซียนมองอยู่ครู่หนึ่งก็ยื่นมือออกไปจับ ดูว่าเซียวถิงฟงใช้แรงไม่มากก็สามารถรั้งตัวเขาไว้ในอ้อมอก แต่แล้วชายหนุ่มก็ผละตัวออกแทบในทันที “เจ้าไม่สบายรึ ทำไมจึงหน้าแดง” เขาถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อกี้ยังเห็นดีดีอยู่เลยนี่

           “มิเป็นไร” เซียวถิงฟงหันหลังให้พลางก้าวเดินไปยังที่โต๊ะเขียนหนังสือ เขาปัดฝุ่นซากประตูที่กระเด็นมาบางส่วนเพื่อกลบเกลื่อนอาการเก้อเขิน “เจ้าจะอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไหร่”

           “ก็จนกว่าพลังของข้าจะฟื้นฟูได้สามในสี่ส่วน”

           “เช่นนั้นเจ้าจะทำร้ายคนในบ้านข้ารึไม่” เซียวถิงฟงหันกลับไปถามด้วยสายตาเฉียบคม

           ต้าเซียนจ้องตาลึกเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้น “ข้าให้สัญญากับเจ้า ข้าจะไม่มีวันทำร้ายคนในบ้านเจ้าเด็ดขาด อีกทั้งข้าไม่เคยทำร้ายมนุษย์” สายตาพลันเปล่งประกายอบอุ่น แม้เซียวถิงฟงปากจะร้ายเพียงใดแต่ก็ยังคงกตัญญูรักใคร่ครอบครัวยิ่งนัก

           “บอกได้รึไม่ว่า เจ้ายังต้องใช้เวลาฟื้นฟูพลังอีกนานแค่ไหน”

           “อืม เวลานี้ข้ายังมิอาจบอกได้ มีหลายเรื่องที่ข้าที่ยังไม่เข้าใจดีนัก จำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดกระจ่างจึงจะฟื้นฟูได้ครบ”
เซียวถิงฟงมิได้กล่าวอันใดอีก บังเกิดเป็นความเงียบงันระหว่างทั้งสอง พอเห็นต้าเซียนเขยิบเข้ามาช่วยเขาปัดฝุ่นบนโต๊ะหนังสือด้วยท่าทางเงอะงะ เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายเงียบ “หลังจากที่เจ้าฟื้นฟูพลังแล้ว เจ้าจะทำอะไรต่อ”

           “ข้าจะออกตามหาบุคคลผู้หนึ่ง”

           “ถ้าหากหาไม่เจอล่ะ” เซียวถิงฟงสงสัย

           ต้าเซียนเองก็ถึงกับชะงักมือที่ปัดฝุ่น เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เงียบไปนานก็ตอบกลับเสียงเบา “ข้าไม่รู้”
เมื่อสังเกตเห็นถึงดวงตาว่างเปล่าระคนเศร้า เซียวถิงฟงก็เจ็บหนึบในอกขึ้นมาแปลกๆ จะอย่างไรคนตรงหน้าก็ดูอ่อนต่อโลก เซ่อซ่า ไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ดูอ่อนแอบอบบางไร้ซึ่งพิษสง อิทธิฤทธิ์ก็คงกระจ้อยร้อย หากต้องอยู่ตามลำพังแล้ว...

           “หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะมาอยู่กับข้าก็ได้” เซียวถิงฟงหลุดปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาคมหลุบตามองโต๊ะ ทว่ากล่าวจบก็ลอบก่นด่าตัวเองในใจไม่หยุด ทำไมถึงหลุดคำพูดน่าอายพวกนี้ออกมานะ ทว่าผ่านไปนานก็มิได้ยินเสียงตอบรับใด เซียวถิงฟงเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัยแล้วถึงกับต้องสบถออกมา “น่าตายนัก”

           ต้าเซียนในตอนนี้คล้ายกับนกอินทรีที่กำลังออกล่าเหยื่อ ดูท่าว่าเจ้ามหาเทพยาจกนี่คงไม่ได้ฟังเขาพูดสักกะผีกสินะ ปล่อยให้เขาพล่ามเป็นคนบ้าอยู่ได้ เซียวถิงฟงพยายามหายสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังจะเดือดพล่าน

           โดยในระหว่างที่สนทนากันนั้น ต้าเซียนพลันเห็นแมวตัวหนึ่งที่กระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่าง มันจะเดินนวยนาดเข้ามาโดยมิได้สังเกตเห็นคนในห้อง เขาจึงรีบซ่อนกลิ่นอายเอาไว้ ทั้งยังรวบรวมพลังไว้ที่ปลายนิ้ว

           ด้านถิงถิงเมื่อก้าวเข้าห้องได้สักพักก็เหลือบไปเห็นคู่อริ มันสะดุ้งตัวเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ทว่าเมื่อประเมินมองแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายช่างอ่อนแอ มันก็นั่งสะบัดหางยั่วเย้าเป็นการใหญ่ มิได้สังเกตเห็นสภาพห้องที่เต็มไปด้วยเศษไม้ผุพัง

           ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นปลายนิ้วทั้งสองเล็งไปที่แมวสาว คิ้วขมวดเพ่งสมาธิ ฉับพลันนั้นประกายตาแปรเปลี่ยนเป็นสีทองก่อนบังเกิดเป็นเสียง

           เปรี้ยง

           โชคดีที่พลังสีทองขุมหนึ่งพุ่งเฉียดผ่านลำตัวถิงถิงไป หากแต่พลังนั้นกลับกระทบผ่านจิ้งจกโชคร้ายตัวหนึ่งที่เกาะอยู่ริมของกระถางต้นไม้ แลไม่นานมันก็ขยายตัวขึ้น สองมือแปรเปลี่ยนเป็นปีก สองขากลับกลายเป็นกรงเล็บ เมื่อไม่มีแรงยึดเกาะมันก็พลันร่วงหล่นลงพื้นกลายเป็นอีกาขนดำตัวหนึ่ง ทว่าตัวมันเองคล้ายยังไม่รู้เรื่องราว มันหยัดยืนขึ้นพลางตวัดจงอยปากกินแมลงวันที่บินโฉบผ่านหน้าไปอย่างเอร็ดอร่อย ยังผลให้ทั้งแมวทั้งคนต่างยืนอ้าปากค้างตกตะลึงเหงื่อไหลโชก
         
           “หึ เล็งพลาดไปนิด แต่ไม่เป็นไรครั้งหน้าไม่พลาดแน่” พูดจบสายตาสีทองก็แผ่รังสีพิฆาตไปยังเจ้าแมวน้อย

           ครั้นเมื่อถิงถิงสบสายตาเข้ากับต้าเซียนก็พลันเห็นชะตากรรมอันเลวร้ายในไม่ช้า ไม่รอให้ชี้นิ้วมา มันก็กระโจนมาไปเกาะที่หน้าอกของร่างสูง “เมี้ยว” มันร้องด้วยความหวาดกลัวระคนขอความช่วยเหลือ แต่ไม่นานนักเสียงร้องของเจ้านายก็ดังตามขึ้นมา

           “ว๊าก” นายบ่าวต่างร้องเสียงหลง เซียวถิงฟงปราดมองจิ้งจกที่แปรสภาพกลายเป็นอีกาดำ ปราดมองประตูที่ตอนนี้หลงเหลือเพียงแค่เศษไม้ เพียงแค่นี้สมองก็สั่งการให้ดึงถิงถิงออกจากตัว แต่ใครจะคิดว่ายิ่งดึงกงเล็บกลับยิ่งขยุ้มลึก

           ด้านต้าเซียนได้แต่มองหนึ่งคนหนึ่งแมวด้วยความหงุดหงิดใจ “ถิงฟง เจ้าจับมันดีๆหน่อยสิ เดี๋ยวข้าก็เล็งพลาดอีกหรอก”

           พลาดแน่ พลาดแน่ๆ เซียวถิงฟงมั่นใจอย่างที่ไม่เคยมั่นใจได้เท่านี้มาก่อนในชีวิต ราวกับชีวิตแขวนบนเส้นด้าย หากโดนพลังนั่นสักครั้ง อย่างเบาคงกลายเป็นแบบเจ้าอีกานั่น หากอย่างหนักคงเป็นแบบซากประตู

           ว่าแล้วก็ตัดสินใจรวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือก่อนฉุดดึงตัวถิงถิงออกจากอก จนบังเกิดเป็นเสียงดังแควก เสื้อผ้าปรากฏเป็นรอยข่วนยาว มือก็โยนถิงถิงไปอีกทางทันที

           เปรี้ยง พลังพุ่งเฉียดผ่านตัวพวกเขาไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด ครานี้กลายเป็นหนังสือบนหิ้งฉีกขาดกระจุย เศษกระดาษเป็นรอยไหม้ปลิวว่อนไปทั่วห้อง

           แลในตอนนี้ถิงถิงถึงกับวิ่งพล่านไปทั่วโดยมีพลังสีทองที่ไล่อยู่ตามหลัง มีบางคราที่มันกระโดดข้ามหัวเขา ส่วนตัวเขาลอดผ่านตัวมันไปยังอีกฝากฝั่ง ทั้งคนทั้งแมวต่างกระโดดไปมาทั่วห้อง ชุลมุนหาที่หลบกันไม่หยุดหย่อน จะหนีออกจากห้องก็ไม่ได้ เนื่องเพราะต้าเซียนยืนปิดกั้นทางออกไม่ขยับไปไหน  ภายในห้องจึงเกิดเป็นแสงสีทองวูบวาบพร้อมกับเสียงดังสนั่นไม่หยุดหย่อน

           ตูม เสียงเก้าอี้ระเบิดเป็นจุณ

           เพล้ง แจกันสุดที่รักของข้า

           บรึ้ม ตำราพิชัยยุทธ์สุดหายากของข้า

           “เมี้ยว”

           “ว๊าก แมวรักของข้า” เซียวถิงฟงร้องลั่น หลบชุลมุนไปมาคราวนี้เจ้าถิงถิงไม่รอดแล้ว มันโดนพลังสีทองในขณะที่กำลังกระโจนหนีออกทางหน้าต่างก่อนจะตกลงมานอนปิดตานิ่งสนิท ทั้งเซียวถิงฟงและต้าเซียนต่างใจเต้นระทึกยืนมองถิงถิงตาไม่กะพริบ

           ร่างของถิงถิงเริ่มขยายใหญ่ก่อนแปรเปลี่ยนรูปร่างดั่งเช่นมนุษย์ ผมสีดำเงางามมัดเป็นมวยอยู่สองข้าง ขนของมันแปรสภาพเป็นเสื้อผ้าสีดำ จากนั้นมันก็ลืมตาสีเขียวมรกตขึ้นมองต้าเซียนอย่างหวาดกลัว

           “พลาดรึเนี่ย” ต้าเซียนกล่าวจบก็ยกปลายนิ้วขึ้นชี้ไปที่ถิงถิงอีกครั้ง ดวงตาทอประกายเป็นแสงสีทอง

           เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งถลาเข้าไปกดตัวร่างน้อยลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ ทำให้เจ้าตัวตกใจเผลอปล่อยพลังขึ้นศีรษะ แต่ว่าครานี้กลับไม่มีเสียงดังสนั่นขึ้นอีก

           “พลังหมดรึ” ต้าเซียนพึมพำด้วยความเสียดาย เซียวถิงฟงถึงกับถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็เอนกายพิงทับร่างข้างใต้อย่างเหน็ดเหนื่อย

           “คุณชายเซียวท่านทำอะไรอยู่ เสียงดังไปถึงด้านนอก เฮือก” เนื่องเพราะได้ยินเสียงดังแปลกๆ อวี่จงจึงคิดมาดู ทว่าเมื่อก้าวเข้าห้องก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ

           สภาพห้องหนังสือตอนนี้ต่างเต็มไปฝุ่นละออง เศษกระดาษที่ปลิวว่อนต่างมีรอยไหม้ ประตูหลงเหลือเพียงเศษไม้ผุๆ เก้าอี้หักไม่สมประกอบ แจกันที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตู้หนังสือที่ควรมีก็ไม่อยู่แล้ว อีกาสีดำสนิทที่ยืนเกาะตอต้นไม้ในกระถางดูแปลกๆ อีกทั้งคุณชายเซียวที่เสื้อขาดเป็นรอยข่วนกำลังจับกดเด็กหนุ่มนามต้าเซียนลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ อ๊ากกก...

           “ขะ ข้าน้อยไม่รบกวนคุณชายแล้ว” อวี่จงหน้าแดงพูดตะกุกตะกัก “เอ่อ อีกอย่าง ข้าว่าอย่าให้หนักมือไปก็คงจะดี” พูดจบก็หันกายวิ่งออกไปโดยมิได้ฟังเสียงคุณชายที่ตะโกนไล่หลังมาเลยสักนิด

           “หนักมืออะไร เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” เซียวถิงฟงตะโกนบอก แต่อวี่จงแผ่นแนบไปเสียแล้ว ครั้นหันกลับมามองสภาพห้องก็พบว่าถิงถิงหายตัวไปแล้ว อีกฝั่งของห้องยังมีต้าเซียนที่ยืนทำท่าทางสงบนิ่งพลางส่งยิ้มแห้งๆมาให้ ทำเอาเส้นเลือดที่หน้าผากเขาก็ถึงกับปูดโปนขึ้นมา

           “ไสหัวเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ” เขาตะโกนดังลั่นจนต้าเซียนต้องวิ่งเผ่นแนบตามอวี่จงไปอีกคน ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะสงสารคนแบบนั้นถึงขนาดออกปากชวนให้มาอยู่ด้วยได้
           
           “ห้องข้า ห้องของข้า” สุดท้ายเขาก็ได้แต่แผดเสียงร้องโอดครวญอีกครั้ง โดยมีเสียงอีการ้องทัก จุ๊ จุ๊ จุ๊ เป็นเชิงปลอบใจอยู่ข้างๆ


******************************************************


คอมเม้นท์ให้คำเเนะนำหรือติชมกันได้นะจ้ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 5 ทำลายล้าง 20/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 20-10-2015 23:13:11
มาให้กำลังใจจ้า

เป็นแนวที่ชอบ

สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 6.1 สายสัมพันธ์ 22/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 22-10-2015 21:46:52
บทที่ 6.1 สายสัมพันธ์


           หลังผ่านค่ำคืนแห่งความชุลมุน เช้าวันต่อมาเซียวถิงฟงก็ดูหงุดหงิดงุ่นง่านไม่น้อย ต้าเซียนที่แอบลอบมองอยู่ห่างๆจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนักได้แต่คิดอยู่ในใจ

           อันที่จริงนับตั้งแต่เขาลงมายังบนโลกมนุษย์ จนถึงตอนนี้ก็สามารถฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้นิดหน่อย ทว่ามันน่าแปลกที่บางครั้งเขากลับรับรู้ถึงความรู้สึกแรงกล้าของชายหนุ่มได้ คล้ายว่าระหว่างพวกเขามีสายสัมพันธ์ร่วมกันบางอย่างโดยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

           จวบจนเห็นร่างสูงเข้าไปในโรงม้า ต้าเซียนก็ค่อยๆย่องตามไปหลบอยู่ข้างหลังต้นไม้พลางจับจ้องอิริยาบถของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา

           ผ่านไปไม่นานเซียวถิงฟงก็จูงม้าดีตัวหนึ่งออกมา เขาจัดแจงขยับอานม้าวางให้เรียบร้อย ม้าที่เลือกเป็นม้าพันธุ์ดีสีขาวดูสง่างามสมกับผู้เป็นเจ้าของ แต่แล้วเขากลับทอดถอนใจก่อนตะเบ็งเสียง “ออกมาจะจ้องไปถึงเมื่อไหร่” ปากกล่าวทว่าสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ม้า

           “เจ้ารู้ได้อย่างไร” ต้าเซียนเกาหัวแกรกๆ

           “ข้ารู้ว่าเจ้าตามข้ามาตลอด” ครานี้เขาหันถลึงตาใส่

           “เจ้ายังโกรธข้าหรือ”

           “เรื่องนั้นแน่นอน ใครใช้ให้เจ้าทำร้ายแมวของข้า”

           “ข้ามิได้ทำร้ายมัน ข้าเพียงแค่จะสั่งสอนมัน” ต้าเซียนรีบอธิบาย

           “สั่งสอนงั้นรึ แต่ที่ข้าเห็นไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แถมเมื่อคืนข้าเกือบตาย” เซียวถิงฟงสวนตอบ

           ต้าเซียนเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็เปลี่ยนเรื่องพูด“แล้วเจ้าจะไปไหนหรือ” เขาถามพลางยิ้มหวาน เผื่อคนตรงหน้าจะหายโกรธ

           “เฮอะ ข้าจะไปไหนทำไมต้องรายงานเจ้าด้วย” ชายหนุ่มแค่นเสียงพลางจูงม้าผ่านไปไม่สนใจอีก
 
           “ข้าก็แค่อยากออกไปข้างนอกบ้าง...ก็เท่านั้น” ต้าเซียนโพล่งออกมาทั้งยังทำตาปริบๆ ตั้งแต่ลงมายังโลกมนุษย์ตนก็มิเคยได้ออกไปไหนเพียงอยู่แต่คฤหาสน์ตระกูลเซียว ทำให้เพลานี้เขาเบื่อแทบตายแล้ว

           เซียวถิงฟงหยุดม้านิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก็ลอบชำเลืองไปทางต้าเซียน เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าของเจ้าตัว ชั่วขณะหนึ่งก็พลันรู้สึกใจอ่อน แต่พอภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวนเวียนในสมอง ความรู้สึกขุ่นเคืองก็ยังคงไม่จางหาย
 
           เมื่อเห็นว่าไม่มีหวังต้าเซียนก็ได้แต่ยืนคอตกอย่างหงอยเหงา ดูราวกับโลกไม่ยุติธรรม เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็ต้องสบถในใจ...บ้าจริง

           “หากเจ้าสามารถขี่มันได้อย่างปลอดภัย ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้” เขาให้โอกาส หากแต่เป็นโอกาสอันน้อยนิดเพราะม้าหนุ่มสีขาวพันธุ์ดีตัวนี้มักจะพยศกับคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของ

           “พูดแล้วห้ามกลับคำนะ” ร่างน้อยกล่าวอย่างร่าเริงแล้วรีบปราดไปที่ด้านหน้าของม้าหนุ่ม เขาไม่รอช้าวางมือหนึ่งไว้ที่บริเวณสันจมูก จากนั้นจึงลูบมันอย่างอ่อนโยน ตอนแรกมันมีท่าทีฮึดฮัดต่อต้าน จวบจนมันแลเห็นประกายตาสีทองในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เจ้าม้าหนุ่มก็หยุดพยศกลางคันพลางยื่นหัวลงให้ลูบไล้อย่างเชื่องๆแทน

           “เจ้าทำอะไรกับม้าของข้า” เซียวถิงฟงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติทันที ทว่าอีกฝ่ายเพียงส่งรอยยิ้มให้แล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างนุ่มนวล

           “เจ้าสัญญาแล้วนะ” ต้าเซียนกล่าวอย่างอารมณ์ดี เซียวถิงฟงจึงได้แต่ส่ายหน้าพลางปีนขึ้นไปนั่งทางด้านหลังก่อนจะควบม้าออกไปช้าๆ

           ทั้งสองขี่ม้าไปตามถนน ระหว่างทางก็ผ่านตลาดร้านรวงมากมาย ชาวบ้านทั้งหลายต่างเดินจับจ่ายซื้อของอย่างพลุกพล่านให้ความรู้สึกครึกครื้น ต้าเซียนมองเหลียวซ้ายแลขวาเป็นการใหญ่ ในใจรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

           “ที่นี่คือที่ใด ไฉนคนจึงพลุกพล่านยิ่งนักทั้งยังมีแผงวางของมากมาย”

           “ที่นี่คือตลาด เป็นที่ซึ่งชาวบ้านมาหาซื้อของจับจ่ายใช้สอย”

           “แล้วนั้นคืออะไร” เห็นเด็กๆพากันรุมไปที่ชายผู้หนึ่งที่ถือไม้เสียบลูกกลมๆสีแดงแล้วอดสงสัยขึ้นมามิได้

           “พุทราเชื่อม”

           “แล้วอร่อยไหม” เอี้ยวตัวถามชายหนุ่ม ปลายนิ้วจับไปที่ริมฝีปากของตน ราวกับว่าจะมีน้ำลายจะไหลออกมา

           เซียวถิงฟงมองดูแล้วก็รู้สึกขบขัน จึงขี่ม้าเข้าไปใกล้คนขาย จ่ายเงินซื้อพุทราเชื่อมสักสองสามไม้แล้วยื่นส่งไปให้ต้าเซียน ร่างน้อยเองก็รับพุทราเชื่อมด้วยรอยยิ้มร่า ทำให้เขารู้สึกเอ็นดูกับความไร้เดียงสาของเจ้าตัว

           “ถิงฟง เจ้าก็กินบ้างสิ”

           จู่ๆต้าเซียนก็หันพยักพเยิดพุทราเชื่อมมาให้ เขาเองก็ไม่คิดปฏิเสธจึงใช้ปากกัดเอาพุทราเชื่อมไปหนึ่งคำ เพลานั้นราวกับมีสายตานับสิบยี่สิบคู่พุ่งมาที่เขาทันที เป็นบรรดาชาวบ้านทั้งหญิงชายต่างพากันจับจ้องมองพวกเขา ด้านแม่นางน้อยทั้งหลายก็ถึงกับตาค้างก่อนพากันปิดหน้าพลางสะอึกสะอื้น ความปั่นป่วนเริ่มบังเกิดขึ้น เซียวถิงฟงเห็นท่าไม่ดีก็รีบควบม้าจากไปเป็นการด่วน

           “เอ๋ เจ้าจะรีบไปไหนข้ายังชมดูไม่ครบถ้วนเลย” ต้าเซียนรู้สึกขัดใจ ปากยังคงเคี้ยวพุทราเชื่อมไม่หยุด

           “ไว้วันหลัง”

           ระหว่างควบม้ามายังแถบชานเมืองร่างน้อยก็พูดเจื้อยแจ้วถามนู่นถามนี้ไม่หยุด น่าแปลกที่เขาไม่นึกรำคาญทั้งยังตอบคำถามอยู่ตลอด ตรงไหนที่เจ้าตัวไม่เข้าใจก็ค่อยๆอธิบายให้ฟังอีกครั้ง

           ครั้นผ่านมาถึงร้านบะหมี่ เขาก็หยุดม้าแวะสั่งอาหาร รอไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำชามบะหมี่ที่ส่งกลิ่นเย้ายวนมาให้ ต้าเซียนมองแล้วตาก็เป็นประกาย ไม่รอช้าก็รีบขยับตะเกียบคีบเส้นขึ้นทันที แต่ใครจะคิดว่าเส้นบะหมี่กลับลื่นหลุดตกลงในชามยังผลน้ำซุปกระเด็นไปทั่วใบหน้า

           เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวยังคงใช้ตะเกียบได้ไม่ถนัดมือ เซียวถิงฟงลอบชมดูยิ้มๆ ซึ่งสุดท้ายร่างน้อยที่คีบอยู่นานก็มิได้กินสักคำก็เกิดอารมณ์เสีย หันไปใช้ปากงับเข้าที่เส้นบะหมี่กินก่อนที่มันจะตกไปในชาม ท่าทางราวกับลูกหมาตัวน้อยก็แทบทำเอาเขาหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
 
           “ข้าขอโทษ ข้าไม่หัวเราะเจ้าแล้ว อย่าร้องนะ” พอเหลือบไปเห็นดวงตาสีน้ำตาลเรื่อแดงขึ้น เขาก็กล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

           ต้าเซียนถึงกับงุนงงวูบ เขาหมายถึงข้าจะร้องไห้หรือ ก้อนหินอย่างข้าจะมีน้ำตาเฉกเช่นมนุษย์ได้อย่างไร
คนตรงหน้านิ่งเงียบไปถนัดตา อีกทั้งสายตายังทอแววเศร้าสร้อย เซียวถิงฟงจึงเปลี่ยนเรื่อง “รีบไปตามหาถิงถิงเถอะ ตกดึกพวกเราจะได้ไปเดินเที่ยวตลาดอีกรอบ”
 
           “อืม” ได้ยินว่าจะได้เดินตลาดต้าเซียนพลันยิ้มสดใสขึ้นอีกครั้ง


********************************************************


           ม้าหนุ่มถูกฝากไว้ที่ร้านบะหมี่ จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินเข้าป่าในเขตชานเมือง ตอนแรกเซียวถิงฟงไม่เห็นด้วยที่ต้าเซียนคิดติดตามไปด้วยเนื่องเพราะภายในป่ามีโพรงล่าสัตว์มากมาย มิอาจเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปง่ายๆ หากแต่ต้าเซียนยังคงเซ้าซี้บอกว่าตนสามารถรับสัมผัสของสัตว์ได้ดี ย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา เขาจึงลังเลใจยินยอมอนุญาตในที่สุด

           “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเจ้าแมวนั่นถึงมาอยู่ในป่านี้ล่ะ”

           “เจ้าแมวนั่นที่เจ้าเรียกนั้นชื่อ ถิงถิง เรียกใหม่ซะด้วย” เซียวถิงฟงกล่าวอย่างขัดเคือง

           “ก็ได้ เอาใหม่ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเจ้าแมว เอ่อ ถิงถิงถึงอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยโพรงล่าสัตว์ล่ะ” ต้าเซียนกล่าวใหม่

           “ถิงถิงเป็นแมวฉลาด ในยามอันตรายย่อมมาที่ๆไม่คาดฝัน อีกทั้งที่นี้ไม่ค่อยมีคนเข้ามาเท่าไรนัก” จะว่าไปเขาควรหาแมวดี รึดรุณีดี คิดแล้วจึงเปลี่ยนจากสอดส่องร้องเรียกเสริมด้วยดีกว่า “ถิงถิง พ่อมาแล้วลูก”

           พรืด ต้าเซียนถึงกับหลุดหัวเราะ เซียวถิงฟงจึงตวัดสายตาเขียวใส่ ทำเอาเขาต้องรีบกลืนเสียงหัวเราะลงท้องไป
ผ่านไปไม่นานต้าเซียนก็พอจะจับกลิ่นอายของสัตว์ได้ ทว่าเมื่อไปถึงกลับพบซากกระต่ายป่าที่ติดกับดับอันแหลมคมของนายพรายจนถึงแก่ชีวิต เห็นแบบนี้แล้วก็พลอยฉุกคิดถึงสัตว์เลี้ยงของตนที่เคยช่วยชีวิตไว้ จะว่าไปเขาก็ไม่ได้เห็นหน้ามันหลังจากตื่นขึ้นนี่นา

           “คิดอะไรอยู่ไปได้แล้ว” เซียวถิงฟงกล่าวขัดจังหวะความคิด ต้าเซียนจึงหลุดออกจากภวังค์แล้วก็รีบเดินตามร่างสูงไปทันที

           หลังจากที่ตามหากันอยู่หลายชั่วยามก็พบร่องรอยชายเสื้อสีดำแบบเดียวกับถิงถิงในร่างมนุษย์ เซียวถิงฟงคาดเดาถูก มันมาที่นี่จริงๆ แต่แทนที่จะหาต่อชายหนุ่มกลับหยุดที่จะตามหาและเอ่ยปากกลับแทน
 
           “นี่ก็ตะวันจะตกดินแล้ว ยามเข้าฤดูหนาวฟ้าจะมืดเร็วกว่าปกติ หากยังรั้งหาอยู่ถึงยามดึกดื่นอาจเกิดอันตรายได้” เซียวถิงฟงกล่าวพลางรีบนำทางลัดเลาะไปตามแมกไม้ 

           ร่างน้อยเดินตามอยู่สักพัก หูก็พลันแว่วสะอื้นไห้อย่างเงียบเหงา เขาหยุดชะงักตัวลงก่อนจะมุ่งตรงไปที่แมกไม้หนึ่ง แหวกต้นหญ้าออกก็พบเป็นกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวหนึ่งที่ถูกกับดักอันแหลมคมทิ่มแทงจนเลือดออก กระทั่งมันเห็นผู้มาใหม่มันก็ต้องตกใจ ตะเกียกกายหนีอย่างหวาดกลัว

           ต้าเซียนเห็นแล้วก็ก้มนั่งยองๆพลางมองมันด้วยประกายตาสีทอง กระต่ายป่าเห็นปุ๊บก็หยุดดิ้น แล้วปล่อยให้เขาปลดปล่อยมันจากกับดักอย่างว่าง่าย รอจนรักษามันจนหายดีก็เข้ามาออดอ้อน เขายิ้มลูบขนกระต่ายป่าอย่างนุ่มนวล แต่แล้วสักพักดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจึงเบิกกว้างอย่างตกใจ หมุนตัวไปรอบก็มีแต่ความว่างเปล่า ให้ตายเถอะ ไฉนจึงลืมเซียวถิงฟงไปได้

           “ถิงฟง” ร้องเรียกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีวี่แววชายหนุ่ม ต้าเซียนร้อนรนย้อนกลับไปทางที่เพิ่งผ่านมา ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวดินก็อ่อนยวบยังผลให้เขาผลัดตกลงไปในโพรงลึกสูง

           ดีที่พื้นดินข้างล่างไม่แข็งมากนักจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ผิดกับในใจที่ว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก “ถิงฟง เจ้าจะย้อนกลับมาหาเขารึเปล่า” ต้าเซียนพึมพำอย่างเซื่องซึม สัมผัสไม่ได้ถึงความห่วงใยจากชายหนุ่มแม้แต่น้อย เป็นไปได้ว่าเขาอาจถูกทิ้ง

           ร่างน้อยทรุดนั่งกอดเข่าตนเองอย่างเงียบงัน กระทั่งหิมะเริ่มโปรยปราย ก็เห็นกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวนั้นยืนอยู่ที่เหนือโพรง มันทำท่าสูดดมอยู่ครู่หนึ่งก็จากไป แต่เขาเข้าใจมัน มันพยายามจะหาทางช่วยเขา จะว่าไปแล้วหากแม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆยังมีความหวัง แล้วเขาล่ะ

           “ถิงฟงต้องมาช่วยอย่างแน่นอน” ต้าเซียนพูดอย่างมั่นใจ มาตรว่าอีกฝ่ายเป็นพวกปากร้าย ทว่าในใจกลับอ่อนโยนยิ่งนัก คิดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา แต่จะว่าไปหากหิมะต้องหนักกว่านี้เขาคงจะแย่แน่

           ทางด้านเซียวถิงฟงเมื่อเดินทะลุผ่านแมกไม้ได้สำเร็จก็เห็นถนนที่ตัดเข้าสู่ตัวเมืองลู่หยาง ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ด้านหน้าเป็นร้านบะหมี่ที่พึ่งนั่งรับประทานเมื่อยามตะวันคล้อย เขาเดินตรงออกไป แต่แล้วกลับรู้สึกผิดปกติ คล้ายไม่มีเสียงฝีเท้าเบาๆคู่นั้น เขาถึงกับหันขวับแล้วจึงพบเห็นเงาร่างของคนซื่อบื้อนั้นหายไปแล้ว

           คลาดกันงั้นรึ ให้ตายสิ เซียวถิงฟงสบถอย่างหัวเสียก่อนจะก้าวกลับเข้าป่าอีกครั้งแต่แล้วก็ต้องชะงักตัว จะว่าไปหากไม่มีต้าเซียนตัวเขาคงไม่ผิดใจกลับบิดา ไม่ถูกคนทั้งคฤหาสน์เข้าใจผิด ห้องหนังสือ แจกัน ตำราพิชัยยุทธ์สุดโปรด รวมถึงถิงถิงก็คงไม่เป็นเช่นนี้

           นี่อาจถือเป็นโอกาสดีที่จะได้สลัดปัญหาทิ้งก็ได้ เฮอะ เขายิ้มพลางเดินไปที่คอกม้าเตรียมปลดเชือกที่คล้อง แต่น่าแปลกนักทั้งที่จู่ๆใบหน้ายิ้มแย้มของต้าเซียนก็ผุดขึ้นมาในใจ

           “หิมะตกแล้ว” พอดีกับเสียงคนที่มานั่งกินบะหมี่พูดขึ้น เขาพลันเงยหน้าขึ้นฟ้ามองหิมะที่โปรยปรายลงมา
ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ทั่วทั้งเมืองลู่หยางอาจเต็มไปด้วยหิมะ แล้วต้าเซียนล่ะจะทนอยู่ในป่าที่มีหิมะตกได้รึเปล่า สายตาหันกลับไปยังป่าลึกอีกครั้ง เจ้านั่นยิ่งเซ่อซ่าอยู่หากติดกับดักเข้าล่ะ ในอกบังเกิดเป็นความว้าวุ่นสับสน ซึ่งกว่าจะรู้ตัวตนก็ใช้กำลังภายในเร่งฝีเท้าเข้าไปในป่าแล้ว
 
           “เขาเป็นห่วงข้า ข้ารู้สึกได้” ต้าเซียนร้องตะโกนอย่างดีใจก่อนจะกลับมานั่งตัวสั่นงันงกท่ามกลางกองหิมะ สักพักดวงตาก็เริ่มคล้อยปิดลง เขาพยายามใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่หยิบเอาลูกแก้วออกจากอกเสื้อ ลำแสงสีทองอ่อนค่อยๆกระจายตัวอยู่โดยรอบมิให้ตัวเขาต้องจมอยู่ในความมืดมิด

 
*******************************************************

 
            “ต้าเซียน เจ้าอยู่ที่ไหน”

           หิมะเริ่มตกหนักจนพาลรู้สึกใจคอไม่ดี แม้เซียวถิงฟงจะพยายามโก่งคอตะโกนสักแค่ไหนก็ยังคงได้ยินแต่เสียงร้องระงมของจักจั่น “เจ้าอยู่ที่ไหน ตอบข้าสิ ต้าเซียน”

           บังเกิดเป็นเสียงแหวกหญ้าใกล้ๆ “ต้าเซียน” เขารีบหันหลังกลับไปทันที ทว่าเบื้องหน้ากลับเป็นเพียงกระต่ายป่าฝูงหนึ่งเท่านั้น เขาถอนใจอย่างผิดหวัง แต่แล้วกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวหนึ่งกลับกระโดดเข้ามาใช้ปากงับเข้าที่ชายเสื้อ ทั้งออกแรงดึงบุ้ยใบ้ให้ไปอีกทาง

           “รึว่า ต้าเซียน” เซียวถิงฟงเข้าใจได้ในทันที กระต่ายป่ามักไม่เข้าใกล้ผู้คน แต่หากเป็นต้าเซียนล่ะก็ มันก็ไม่แน่นัก เพราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ม้าขาวจอมพยศเชื่องให้ต้าเซียนขึ้นขี่ง่ายๆ ผิดกับเขาที่ต้องยังใช้เวลาหลายชั่วยามกว่ามันจะยอมจำนนก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้น

           ร่างสูงตัดสินใจเดินตามกระต่ายป่า แลไม่นานนักก็พลันเห็นแสงสีทองอ่อนสลัวๆอยู่ภายใต้โพรงดิน ในนั้นปรากฏคนที่หลับตาพริ้ม ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่างทั้งร่างนอนจมอยู่ใต้กองหิมะไปครึ่งตัว ในมือยังถือลูกแก้วที่ส่องสว่างสลัวๆ หากแต่ดูริบหรี่ราวกับเป็นแสงแห่งชีวิต หัวใจเขาคล้ายตกลงไปที่ตาตุ่ม

           “ต้าเซียน” เขากระโดดลงไปในโพลงดินพลางเร่งขุดตัวต้าเซียนขึ้นจากกองหิมะ

           “เป็นครั้งแรกที่เจ้าเรียกชื่อข้า ถิงฟง” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น

           เซียวถิงฟงเงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยรู้สึกเจ็บใจ เจ็บใจตัวเอง“ข้าขอโทษ หากข้ามาเร็วกว่านี้ หากมาเร็วกว่านี้”

           “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา” ต้าเซียนพึมพำอย่างดีใจ

           “เจ้าบ้าหากข้าไม่มาเล่า แล้วเจ้าเป็นมหาเทพประสาอะไรกัน ทำไมร่างกายถึงเปราะบางเช่นนี้” เซียวถิงฟงตะโกนใส่คนตรงหน้า

           “ฮ่า ฮ่า ข้าง่วงแล้วขอนอนเลยนะ” ต้าเซียนฝืนหัวเราะใส่ เมื่อกล่าวราตรีสวัสดิ์เสร็จก็ปิดเปลือกตาลง แสงสีทองสลัวในมือพลันดับวูบทั่วทั้งโพรงดินตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจันทร์ที่ให้แสงรางเลือน

           เซียวถิงฟงรู้สึกใจหาย มือจึงเขย่าตัวปลุกต้าเซียน “อย่าหลับ ห้ามหลับนะ ได้ยินที่ข้าพูดไหม” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเขาก็จับชีพจรที่ข้อมือเรียว

           ดูว่าตอนนี้มันเต้นบางเบาผะแผ่ว เขารีบขุดตัวต้าเซียนขึ้น มิสนว่าหิมะจะกัดมือรึไม่ จากนั้นจึงอุ้มร่างน้อยกระโดดตัวขึ้นสูง เกร็งกำลังที่ปลายเท้าพุ่งตัวทะยานออกจากป่าอย่างรวดเร็ว

           เมื่อถึงคฤหาสน์ตระกูลเซียว เขาก็รีบอุ้มตัวต้าเซียนตรงรี่เข้าประตูบ้านอย่างไม่รอช้า อวี่จงที่รอคอยอยู่ก็วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น

           “เกิดอะไรขึ้นคุณชายเซียว ตอนเช้ายังดีๆอยู่เลย”

           “ไปเตรียมน้ำอุ่นมา เร็ว”

           อวี่จงฟังแล้วก็สับสน เซียวถิงฟงจึงตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนอีกครั้ง “ข้าบอกให้ไปเตรียมน้ำร้อนไงเล่า”

           “น้ำอุ่น น้ำอุ่นเตรียมพร้อมรออยู่แล้วขอรับ” อวี่จงรีบบอกพร้อมทั้งยังวิ่งเร็วจี๋ไปเปิดประตูห้องอาบน้ำให้คนทั้งสอง

           พอมาถึงที่อ่างอาบน้ำ เซียวถิงฟงก็ไม่รอช้าหย่อนตัวเองพร้อมกับร่างในอ้อมกอดลงในน้ำอุ่น แขนโอบศีรษะเล็กแนบเข้าที่หน้าอก สองมือก็คอยจับถูไถมือเรียวให้เกิดความอบอุ่น แต่กระนั้นร่างของต้าเซียนกลับยังคงเย็นยะเยียบอย่างน่าตกใจ

           “เติมน้ำร้อนกว่านี้”

           “แต่ว่าถ้าร้อนกว่านี้ จะลวกผิวแล้วนะขอรับ อีกเดี๋ยวท่านหมอจะมาแล้วด้วย” อวี่จงเตือนด้วยความเป็นห่วง
           
           “ข้าไม่สน เร็วเข้า” เซียวถิงฟงตวาด จนอวี่จงสะดุ้งโหยงรีบออกไปนำน้ำร้อนที่เพิ่งต้มมาเติมในอ่างหนึ่งถัง

           “ไม่พอ ไปเอามาอีกสองถัง”

           “หา” อวี่จงตกใจแต่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ทำตามคำสั่ง จำใจเติมน้ำร้อนไปอีกสองถัง

           “ต้าเซียน ห้ามจากข้าไปแบบนี้นะ” เขาก้มหน้าหลับตาพึมพำ เสมือนว่ามีน้ำอุ่นๆ ไหลรินออกมาจากตาข้างหนึ่ง เขาไม่อยากให้ใครจากเขาไปต่อหน้าต่อตาเช่นมารดาของตนอีกแล้ว ไม่มีทาง เขาดึงตัวต้าเซียนเข้ามากอดไว้แน่น

           พอดีกับที่ต้าเซียนสะลึมสะลือลืมตาที่พร่ามัวขึ้นมองชายหนุ่ม ร่างเขาถูกกอดจนขยับมิได้ แต่น่าแปลกนักที่รู้สึกราวกับถูกเติมเต็มจนอบอุ่น ในอกคล้ายมีบางสิ่งเต้นระรัวเร็วไม่หยุด

           “อะ แฮ่ม ท่านหมอมาแล้วขอรับ คุณชาย” เสียงกระดากอายของอวี่จงดังขึ้น

           เซียวถิงฟงพลันได้สติตอบกลับไป “เข้าใจแล้ว” สองมืออุ้มร่างน้อยอย่างเบามือแล้วตรงไปยังห้องที่มีหมอรออยู่

           กว่าที่ต้าเซียนจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนนอนอยู่ข้างกายเซียวถิงฟงที่ตัวแดงอย่างกับพุทราเชื่อมแล้ว ครั้นพอมองหน้าเจ้าตัวอยู่เนิ่นนานก็ต้องผุดรอยยิ้มสดใสขึ้น หน้าอกพลันมีบางสิ่งเต้นระรัวอีกครั้ง ต้าเซียนงุนงงอยู่บ้าง หากแต่เพราะความเหนื่อยเกินไปจึงทำให้ผล็อยหลับลงไปอีกครั้ง


********************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 6.2 สายสัมพันธ์ 22/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 22-10-2015 21:49:22
บทที่ 6.2 สายสัมพันธ์


           
            “ต้าเซียน เจ้าอยู่ที่ไหน”

           หิมะเริ่มตกหนักจนพาลรู้สึกใจคอไม่ดี แม้เซียวถิงฟงจะพยายามโก่งคอตะโกนสักแค่ไหนก็ยังคงได้ยินแต่เสียงร้องระงมของจักจั่น “เจ้าอยู่ที่ไหน ตอบข้าสิ ต้าเซียน”

           บังเกิดเป็นเสียงแหวกหญ้าใกล้ๆ “ต้าเซียน” เขารีบหันหลังกลับไปทันที ทว่าเบื้องหน้ากลับเป็นเพียงกระต่ายป่าฝูงหนึ่งเท่านั้น เขาถอนใจอย่างผิดหวัง แต่แล้วกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวหนึ่งกลับกระโดดเข้ามาใช้ปากงับเข้าที่ชายเสื้อ ทั้งออกแรงดึงบุ้ยใบ้ให้ไปอีกทาง

           “รึว่า ต้าเซียน” เซียวถิงฟงเข้าใจได้ในทันที กระต่ายป่ามักไม่เข้าใกล้ผู้คน แต่หากเป็นต้าเซียนล่ะก็ มันก็ไม่แน่นัก เพราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ม้าขาวจอมพยศเชื่องให้ต้าเซียนขึ้นขี่ง่ายๆ ผิดกับเขาที่ต้องยังใช้เวลาหลายชั่วยามกว่ามันจะยอมจำนนก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้น

           ร่างสูงตัดสินใจเดินตามกระต่ายป่า แลไม่นานนักก็พลันเห็นแสงสีทองอ่อนสลัวๆอยู่ภายใต้โพรงดิน ในนั้นปรากฏคนที่หลับตาพริ้ม ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่างทั้งร่างนอนจมอยู่ใต้กองหิมะไปครึ่งตัว ในมือยังถือลูกแก้วที่ส่องสว่างสลัวๆ หากแต่ดูริบหรี่ราวกับเป็นแสงแห่งชีวิต หัวใจเขาคล้ายตกลงไปที่ตาตุ่ม

           “ต้าเซียน” เขากระโดดลงไปในโพลงดินพลางเร่งขุดตัวต้าเซียนขึ้นจากกองหิมะ

           “เป็นครั้งแรกที่เจ้าเรียกชื่อข้า ถิงฟง” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น

           เซียวถิงฟงเงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยรู้สึกเจ็บใจ เจ็บใจตัวเอง“ข้าขอโทษ หากข้ามาเร็วกว่านี้ หากมาเร็วกว่านี้”

           “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมา” ต้าเซียนพึมพำอย่างดีใจ

           “เจ้าบ้าหากข้าไม่มาเล่า แล้วเจ้าเป็นมหาเทพประสาอะไรกัน ทำไมร่างกายถึงเปราะบางเช่นนี้” เซียวถิงฟงตะโกนใส่คนตรงหน้า

           “ฮ่า ฮ่า ข้าง่วงแล้วขอนอนเลยนะ” ต้าเซียนฝืนหัวเราะใส่ เมื่อกล่าวราตรีสวัสดิ์เสร็จก็ปิดเปลือกตาลง แสงสีทองสลัวในมือพลันดับวูบทั่วทั้งโพรงดินตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจันทร์ที่ให้แสงรางเลือน

           เซียวถิงฟงรู้สึกใจหาย มือจึงเขย่าตัวปลุกต้าเซียน “อย่าหลับ ห้ามหลับนะ ได้ยินที่ข้าพูดไหม” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเขาก็จับชีพจรที่ข้อมือเรียว

           ดูว่าตอนนี้มันเต้นบางเบาผะแผ่ว เขารีบขุดตัวต้าเซียนขึ้น มิสนว่าหิมะจะกัดมือรึไม่ จากนั้นจึงอุ้มร่างน้อยกระโดดตัวขึ้นสูง เกร็งกำลังที่ปลายเท้าพุ่งตัวทะยานออกจากป่าอย่างรวดเร็ว

           เมื่อถึงคฤหาสน์ตระกูลเซียว เขาก็รีบอุ้มตัวต้าเซียนตรงรี่เข้าประตูบ้านอย่างไม่รอช้า อวี่จงที่รอคอยอยู่ก็วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น

           “เกิดอะไรขึ้นคุณชายเซียว ตอนเช้ายังดีๆอยู่เลย”

           “ไปเตรียมน้ำอุ่นมา เร็ว”

           อวี่จงฟังแล้วก็สับสน เซียวถิงฟงจึงตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนอีกครั้ง “ข้าบอกให้ไปเตรียมน้ำร้อนไงเล่า”

           “น้ำอุ่น น้ำอุ่นเตรียมพร้อมรออยู่แล้วขอรับ” อวี่จงรีบบอกพร้อมทั้งยังวิ่งเร็วจี๋ไปเปิดประตูห้องอาบน้ำให้คนทั้งสอง

           พอมาถึงที่อ่างอาบน้ำ เซียวถิงฟงก็ไม่รอช้าหย่อนตัวเองพร้อมกับร่างในอ้อมกอดลงในน้ำอุ่น แขนโอบศีรษะเล็กแนบเข้าที่หน้าอก สองมือก็คอยจับถูไถมือเรียวให้เกิดความอบอุ่น แต่กระนั้นร่างของต้าเซียนกลับยังคงเย็นยะเยียบอย่างน่าตกใจ

           “เติมน้ำร้อนกว่านี้”

           “แต่ว่าถ้าร้อนกว่านี้ จะลวกผิวแล้วนะขอรับ อีกเดี๋ยวท่านหมอจะมาแล้วด้วย” อวี่จงเตือนด้วยความเป็นห่วง
           
           “ข้าไม่สน เร็วเข้า” เซียวถิงฟงตวาด จนอวี่จงสะดุ้งโหยงรีบออกไปนำน้ำร้อนที่เพิ่งต้มมาเติมในอ่างหนึ่งถัง

           “ไม่พอ ไปเอามาอีกสองถัง”

           “หา” อวี่จงตกใจแต่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ทำตามคำสั่ง จำใจเติมน้ำร้อนไปอีกสองถัง

           “ต้าเซียน ห้ามจากข้าไปแบบนี้นะ” เขาก้มหน้าหลับตาพึมพำ เสมือนว่ามีน้ำอุ่นๆ ไหลรินออกมาจากตาข้างหนึ่ง เขาไม่อยากให้ใครจากเขาไปต่อหน้าต่อตาเช่นมารดาของตนอีกแล้ว ไม่มีทาง เขาดึงตัวต้าเซียนเข้ามากอดไว้แน่น

           พอดีกับที่ต้าเซียนสะลึมสะลือลืมตาที่พร่ามัวขึ้นมองชายหนุ่ม ร่างเขาถูกกอดจนขยับมิได้ แต่น่าแปลกนักที่รู้สึกราวกับถูกเติมเต็มจนอบอุ่น ในอกคล้ายมีบางสิ่งเต้นระรัวเร็วไม่หยุด

           “อะ แฮ่ม ท่านหมอมาแล้วขอรับ คุณชาย” เสียงกระดากอายของอวี่จงดังขึ้น

           เซียวถิงฟงพลันได้สติตอบกลับไป “เข้าใจแล้ว” สองมืออุ้มร่างน้อยอย่างเบามือแล้วตรงไปยังห้องที่มีหมอรออยู่

           กว่าที่ต้าเซียนจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนนอนอยู่ข้างกายเซียวถิงฟงที่ตัวแดงอย่างกับพุทราเชื่อมแล้ว ครั้นพอมองหน้าเจ้าตัวอยู่เนิ่นนานก็ต้องผุดรอยยิ้มสดใสขึ้น หน้าอกพลันมีบางสิ่งเต้นระรัวอีกครั้ง ต้าเซียนงุนงงอยู่บ้าง หากแต่เพราะความเหนื่อยเกินไปจึงทำให้ผล็อยหลับลงไปอีกครั้ง


********************************************************


           ยามสายของเช้าวันต่อมา ต้าเซียนพลันขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจเมื่อมีเสียงร้องราวกับถูกเชือดดังขึ้นที่ข้างหู

           “จ๊าก” เซียวถิงฟงร้องลั่นก่อนจะไถลตัวตกเตียงนอนไป

           “เกิดอะไรขึ้น” ต้าเซียนงัวเงียพลางขยี้ตาถาม

           “จะ เจ้าทำไมกลายเป็นผู้หญิง”

           ต้าเซียนก้มลงมองตัวเอง ที่หน้าอกปรากฏเนื้อนูนขึ้นจากใต้เสื้อผ้าเล็กน้อย เขายกมือขึ้นจับหน้าอกของตนพลางตอบเซียวถิงฟงด้วยสีหน้าที่ใสซื่อว่า “อ่อ สงสัยพลังข้าแปรปรวนอีกแล้ว”

           “ปะ เปลี่ยนกลับเป็นผู้ชายสิ” เซียวถิงฟงหน้าแดงก่ำ เมื่อคืนเขานอนร่วมห้องกลับสตรีรึเนี่ย แค่คิดก็ต้องอายแล้ว

           “อ่า เปลี่ยนยังไม่ได้พลังไม่สมดุล”

           “แล้วจะทำยังไง” ในใจของเซียวถิงฟงพลันปรากฏเสียงร้องโหยหวนขึ้น

           “เอ เจ้าไม่ชอบที่ข้าเป็นผู้หญิงรึหรือเจ้าชอบผู้ชาย” ต้าเซียนถามอย่างสงสัย ทำไมเขากลายเป็นผู้หญิงแล้ว เซียวถิงฟงต้องทำอย่างกับเขาเป็นตัวประหลาดด้วยล่ะ หน้าก็เหมือนเดิมแท้ๆ

           “เจ้าบ้า ข้ามิใช่คนวิปริต อีกอย่างหากคนในบ้านข้าเห็นเจ้าที่เป็นผู้ชายมาตลอด แล้วกลายเป็นผู้หญิงเพียงข้ามคืน พวกเขาจะไม่คิดว่าเจ้าเป็นปีศาจหรือไง” เซียวถิงฟงรีบแก้ตัว

           คล้ายเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ ที่ด้านนอกประตูกลับมีสาวใช้เตรียมยกอ่างล้างหน้ารออยู่เรียบร้อยแล้ว

           “ไม่ทันการแล้ว” เซียวถิงฟงรีบถลาไปหยิบเสื้อโยนไปให้ทางต้าเซียน เมื่อเห็นต้าเซียนยืนถือเสื้อมองตนแน่นิ่งก็ออกคำสั่ง “รีบใส่ซะ” กล่าวไปเขาก็สวมเสื้ออย่างรีบร้อนไปพลาง ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็รีบร้อนใส่บ้าง

           “มะ มันอึดอัดหน้าอก” สวมสักพักต้าเซียนก็ร้องออกมา

           “บ้าจริง” เซียวถิงฟงกรอกตาไปมารอบหนึ่งก็ถลาไปยังหีบเสื้อ ค้นเอาเสื้อคลุมขนสัตว์จิ้งจอกตัวหนึ่งออกมาโยนให้
ต้าเซียนรับมาคลุมตัวจ้าละหวั่น ยังดีที่เสื้อคลุมหนาพอที่จะปกปิดส่วนหน้าอกได้ ทว่าพอสวมลงไปเท่านั้นก็เกิดเป็นเสียงดัง พรึ่บ ทำเอาเซียวถิงฟงมองจนเส้นเลือดเต้นกระตุบที่หน้าผาก

           “ข้าบอกแล้วว่าพลังข้าไม่สมดุล” ต้าเซียนกล่าวอย่างอับจนปัญญา บทจะเปลี่ยนกลับก็เปลี่ยนกลับเสียง่ายๆ

           “เจ้าปั่นหัวข้า” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำคล้ายกำลังจะระเบิดอารมณ์

           “แต่ข้าก็ทำอย่างที่เจ้าต้องการแล้วไง” ต้าเซียนบอกพร้อมทำหน้าเหรอหรา ก็เขาเปลี่ยนเป็นผู้ชายตามที่ชายหนุ่มต้องการแล้วนี่

           “ถอดเสื้อออกมาเดี๋ยวนี้” พูดจบเซียวถิงฟงก็เข้าไปดึงเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอันแสนแพงของตนให้หลุดออกจากร่างของต้าเซียน แต่ร่างน้อยกลับดิ้นแล้วยื้อเสื้อที่เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง

           “อะไร เมื่อกี้เจ้าให้ข้าใส่เองนะ เจ้าจะให้ข้าถอดอีกทำไมกัน” ต้าเซียนเถียงพร้อมออกแรงยื้อเสื้อที่ยังคงอยู่บนตัวเพียงครึ่งหนึ่งให้กลับมา

           “หนอย ถอดออกมาเดี๋ยวนี้นะ” เซียวถิงฟงสบถอย่างขัดใจทั้งออกแรงยื้อให้มากกว่าเดิม

           ต่างคนต่างยื้อกันไปยื้อกันมาจนกระทั่งเหงื่อตก จากที่ยืนยื้อเปลี่ยนเป็นนั่งยื้อ สายตาต่างจ้องกันไม่กะพริบราวกับคอยคุมเชิงอีกฝ่าย จวบจนกระทั่งเรี่ยวแรงของต้าเซียนหมดลง เซียวถิงฟงก็แสยะยิ้มพลางดึงเสื้อมาที่ฝั่งตน ต้าเซียนเบะปากไม่พอใจหันมาใช้ท่าเด็ด ยกเท้าขึ้นยันที่หน้าท้องของชายหนุ่มไว้ เซียวถิงฟงถึงกับปากกระตุกด้วยความโกรธเกรี้ยว จนคราวนี้พวกเขาต้องเปลี่ยนมานอนยื้อเสื้อบนพื้นห้องแทน

           “เจ้ากล้าต่อต้านข้างั้นเรอะ เจ้าได้เห็นดีแน่” พูดจบเซียวถิงฟงก็ใช้พละกำลังเกือบทั้งหมดกระชากเอาเสื้อคืนมา ต้าเซียนสู้แรงไม่ได้ตัวจึงหมุนติ้วไปกับพื้น เสื้อคลุมขนจิ้งจอกหลุดออกจากตัว

           “อ๊ากก” เสียงร้องที่ไม่ใช่เสียงของต้าเซียนดังขึ้น ทำเอาทั้งเซียวถิงฟงและต้าเซียนต่างมองไปที่ผู้มาใหม่อย่างตกใจ

           “คะ คุณชาย คือ ข้าว่าตอนนี้ยังเช้าไป อีกอย่างนายท่านกำลังรอพวกท่านที่ห้องอาหารด้วย เรื่องแบบนี้ไว้ทำตอนกลางคืนจะดีกว่า” อวี่พูดเสียงตะกุกตะกัก

           ไม่นึกเลยว่าเลยว่าเขาจะดวงซวยเจอฉากแบบนี้ตลอด ครั้งนี้คุณชายเซียวร้อนแรงถึงกับกระชากเสื้อของเด็กหนุ่มออกเพื่อกระทำ...ชำเรา อวี่จงคิดแล้วเหงื่อตกรีบเผ่นแนบออกไปทันที

           “อะไร ทำไมต้องทำตอนกลางคืน ทำตอนนี้ไม่ได้รึไง” เขาตะโกนไล่หลังอวี่จงอย่างสงสัย ก็แค่จะเอาเสื้อคืน เซียวถิงฟงพึมพำในใจ

           ด้านสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ หัวใจแทบจะกระดอนตกลงมาแทบเท้า ความจริงพวกนางหน้าได้ยินบทสนทนาที่คุณชายบังคับถอดเสื้อเด็กหนุ่มอีกคนในห้องมาตั้งแต่ต้นแล้ว

           ท้ายที่สุดพวกเขาต่างก็ออกจากห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง เซียวถิงฟงต้องยอมสละยกเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้กับต้าเซียนไป เนื่องด้วยกลัวว่าพวกสาวใช้จะมองว่าเขารังแกอีกฝ่าย และถ้าหากบิดารู้เรื่องนี้ เขาไม่พ้นต้องกุมขมับอีกเป็นแน่ ต่อเมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ อารมณ์ของต้าเซียนก็เปลี่ยนมาดีขึ้นทั้งยังรบเร้าให้เขาพาไปยังตลาดอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ตอบรับปากแม้ไม่คิดอยากไป ก็เล่นรบเร้าต่อหน้าบิดาเขา เขามีรึจะกล้าปฏิเสธ

           ต้าเซียนได้ออกมาชมดูตลาดอีกครั้งก็ดีใจ ร่างเล็กเดินกระโดดไปมาราวกับเด็กน้อยที่กำลังซุกซน ระหว่างทางที่เดินตลาดก็มีแต่คนจ้องมองพวกเขา แต่สำหรับต้าเซียนถือว่าค่อนข้างจะชินแล้ว มหาเทพอย่างเขาไปไหนต่างก็มีแต่สายตาจับจ้อง ผิดกับเซียวถิงฟงที่กลับหยิบพัดขึ้นมาคลี่ยกขึ้นปิดบังสีหน้ายุ่งยากของตนไปมา

           เซียวถิงฟงเดินตามต้าเซียนมาตลอด สักพักก็รู้สึกได้ถึงฝีเท้าที่เฝ้าติดตาม เขาจึงตัดสินใจให้ต้าเซียนนั่งกินขนมรออยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ทั้งยังกำชับอีกครั้งว่าให้รอเขากลับมา

           เมื่อออกมาจากโรงเตี๊ยมเพียงลำพัง ตนก็รีบเร่งฝีเท้าไปยังซอยเล็กแคบที่ด้านข้าง ไม่ช้าก็ปรากฏร่างบุรุษสวมหมวกคลุมใบหน้าสีดำ สะพายกระบี่ที่ด้านหลัง ตัวสูงใหญ่ ฝีเท้าหนักแน่นดูท่าทางมีวรยุทธ์ไม่เบา รอจนในซอยเปลี่ยวร้างเขาก็หยุดฝีเท้าหันไปประจันหน้ากับชายชุดดำ

           “ตามพอแล้วกระมังหลิวซีฝู” เซียวถิงฟงรวบพัดไว้ในมืออีกข้าง ใบหน้าคลี่ยิ้มเยือกเย็น ชายที่คลุมหน้าสะดุ้งเฮือกทีหนึ่งจึงกล่าวตอบ   “ท่านจอหงวนบู้ช่างสมกับคำร่ำลือ ทั้งที่ข้าปิดบังโฉมไว้แท้ๆ” หลิวซีฝูพูดพลางปลดหมวกที่ติดผ้าบางดำออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

           “ต้องโทษที่เจ้าตัวสูงใหญ่ ฝีเท้าหนักแน่นกว่าผู้อื่น” เขากล่าวแล้วหัวเราะน้อยๆ

           “ท่านเพียงแค่พบข้าครั้งเดียวกลับจดจำถึงเพียงนี้ ข้าน้อยนับถือๆ” หลิวซีฝูค้อมตัวคำนับเล็กน้อย

           “ไม่ต้องกล่าวมากความ เจ้าต้องการอะไร หากไม่บอก ข้าลงมือ” เซียวถิงฟงกล่าวจบก็พุ่งฝ่ามือเข้าหาหลิวซีฝูทันที ทว่าหลิวซีฝูเบี่ยงกายหลบได้ทันอย่างฉิวเฉียด

           ตูม พลังฝ่ามือขวาของเซียวถิงฟงพลาดทะลุเข้าที่กำแพง

           หลิวซีฝูหันมาชักดาบพุ่งเข้าใส่ เซียวถิงฟงใช้พัดในมือซ้ายปัดวิถีกระบี่ออกพลางดึงมือออกจากกำแพง จากนั้นหมุนตัวกลับพร้อมพุ่งกรงเล็บมุ่งไปที่ลำคอของอีกฝ่าย

           ด้านหลิวซีฝูก็วาดกระบี่กลับมาอย่ารวดเร็ว กระนั้นเซียวถิงฟงกลับเร็วกว่า เขาคลี่พัดในมือซ้ายออกตรงหน้า เบี่ยงศีรษะออกเล็กน้อย รอจนดาบเสียบทะลุร่องพัดก็จัดการรวบพัดเก็บลงไปทั้งอย่างนั้น เกร็งกำลังหักข้อมือก่อนจะสะบัดพัดขึ้นอย่างแรง กระบี่หลุดลอยออกจากมือของอีกฝ่าย หลิวซีฝูยังไม่ทันรับกระบี่กลับก็ถูกกรงเล็บจ่ออยู่ที่หัวใจ

           “นับถือ นับถือ ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว” หลิวซีฝูชมเชย เขาแพ้หมดรูป อีกทั้งไม่กี่กระบวนท่า

           “พูด” เซียวถิงฟงเค้นกล่าวด้วยวาจาที่เปี่ยมไปด้วยความกดดัน

           “สาสน์จากองค์รัชทายาท ขอรับ” กล่าวจบหลิวซีฝูก็ล้วงเอาสาสน์ออกจากอกเสื้อแล้วส่งให้ เซียวถิงฟงรับมาโดยที่มือขวายังจ่อที่หัวใจอีกฝ่าย จากนั้นสะบัดสาสน์เล็กๆออกอ่านข้อความในใจ
 
พบกันอีกสามวัน มีเรื่องบอกกล่าว สิ่งที่หาอยู่ที่นี่ จักนำหญิงสาวบังหน้ามานางหนึ่ง

                                                                                                                                               ซวนหยวนหมิงไท่                   
 
           เมื่อเห็นลายพระหัตถ์ที่คุ้นเคยเขาก็ลดมือที่จ่อหัวใจหลิวซีฝูลงพลางครุ่นคิด สิ่งที่หางั้นหรือ คงเป็นถิงถิง แต่หญิงสาวนี่สิ...
           
            “ข้าน้อยขอลา” เมื่อหมดหน้าที่หลิวซีฝูก็กล่าวสั้นๆ จากนั้นจึงจากไปอย่างเงียบๆ
           
           ทางด้านต้าเซียนเมื่อรอเซียวถิงฟงอยู่นานก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย สายตาก็สอดส่องมองหาชายหนุ่มที่หน้าร้านเป็นพักๆ กระทั่งเห็นคนจำนวนมากส่งเสียงจอแจมุงกันอยู่ที่ตรงป้ายประกาศทางการตรงข้ามร้าน ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
           
           “สระบัวถูกเผาอีกแล้ว”
         
           “คราวนี้เป็นสระบัวในวังน่ะสิเรื่องใหญ่เลย” ท่านลุงอีกคนตอบกลับ
           
           “เฮ้อ เดี๋ยวนี้เกิดเหตุเภทภัยอะไรขึ้นกันแน่ สระบัวในเมืองก็ถูกเผาวอดวายไปหมด นี่ยังในวังอีกเหรอเนี่ย” ท่านยายคนหนึ่งกล่าว
           
           “ท่านยายยังไม่รู้อะไร เมืองอื่นก็เป็นเช่นเมืองเราทั้งนั้นแหละ”
           
           “ทางการถึงขนาดติดป้ายประกาศหาคนร้าย แสดงว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ”
ต้าเซียนฟังอย่างสงบ ใบหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดๆ สายตาจับจ้องไปทางประกาศอย่างเย็นชา สระบัวถูกเผาจนหมด หากแต่ยังเหลือเพียงที่เดียว ที่เดียวเท่านั้น

           “เริ่มเคลื่อนไหวแล้วงั้นรึ เฟยหลง” น้ำเสียงเยียบเย็นดังออกมา


*******************************************************

เมื่อวานเหนื่อยมากค่ะเลยไม่ได้อัพ ขออภัยค่ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 6 สายสัมพันธ์ 22/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 23-10-2015 00:12:47
สนุกมากเลยค่ะ ชอบมาก ตามหาแนวนี้มานาน ฮามากกกกก 555555 มาเป็นกำลังใจให้นะคะ :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 7.1 เรือนไม้พฤกษา 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 23-10-2015 15:40:36
บทที่ 7.1 เรือนไม้พฤกษา


           ภายใต้ท้องฟ้าสีแดงฉาน ฝูงเหยี่ยวแร้งต่างพากันร้องดังพลางบินวนเวียนเหนือหุบเหวแห่งหนึ่ง ที่ด้านล่างนั้นปรากฏเป็นซากศพปีศาจที่มีรูปร่างไม่สมประกอบ บ้างมีเพียงศีรษะ บ้างเหลือเพียงแค่แขนขา ชิ้นส่วนเหล่านี้พากันทยอยเน่าเปื่อยกองทับถมจนส่งกลิ่นคาวเลือดน่าขยะแขยง

           ซากเหล่านี้ต่างถูกเหยี่ยวแร้งจิกกินจนแยกไม่ออกว่าส่วนใดเป็นส่วนใด เลือดสีเขียวเนืองนองไปทั่วก่อนจะซึมลึกลงสู่พื้นดิน ต้นไม้ใบหญ้าต่างก็ดูดซึมซากสารอาหารเหล่านี้ไว้จนกลายเป็นเหี่ยวเฉา ทว่ายังคงมีบางต้นที่เติบโตได้ดีจนเปลี่ยนเป็นกล้าแข็ง สามารถต้านลมฝนพายุร้อนหนาวอย่างมิหวาดหวั่น อีกทั้งยังมีทีท่ายินดีที่ได้เติบโตอยู่ในสภาวะเช่นนี้

           ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงเนินบันไดหินที่ทอดยาว ที่ด้านหลังวางไว้ด้วยบัลลังก์สีทองใหญ่ตั้งตระหง่าน แสงจากคบไฟส่องประกายโชติช่วงทอดสะท้อนให้เห็นสีหน้าที่เรียบเฉย สายตาดุจพญาอินทรีจับจ้องดอกไม้ที่ชูช่อสีแดงท่ามกลางเลือดสีเขียวตาไม่กะพริบ รอยยิ้มเหยียดค่อยๆผุดขึ้นเป็นเหตุให้บรรยากาศที่หดหู่พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบน่าขนลุก 

           ปีศาจชั้นปลายแถวตนหนึ่งยืนตัวสั่นระริก มองชายในชุดเกราะสีทองอร่ามนั่งกุมดาบใหญ่ในมืออย่างหวาดหวั่น แม้หน้ากากสีทองจะปกปิดใบหน้าครึ่งเสี้ยวไว้ แต่มันกลับยิ่งขับดันให้ดูทรงพลังน่าเกรงขาม ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่หยักขึ้น ดูผิวเผินคล้ายสบายอารมณ์แต่กลับกดดันจนมันมิอาจกล่าววาจาใด รอจนรวบรวมความกล้าได้จึงเอ่ยขึ้น

           “ท่านจอมมารเฟยหลง เราส่งคนไปเผาทำลายสระบัวทั่วพิภพมนุษย์แล้ว หากแต่ยังไม่พบลูกแก้วเช่นที่ท่านจอมมารตามหา” ปีศาจชั้นปลายแถวรายงาน สายตาลอบจับจ้องไปยังความเคลื่อนไหว ทว่าอีกฝ่ายแทบมิขยับไหวติง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

           “มั่นใจแล้ว? ว่าทำลายทั่วพิภพมนุษย์” เสียงเข้มกังวานที่เต็มไปด้วยพลังทำให้ปีศาจชั้นปลายแถวสะดุ้ง

           “มะ มั่นใจขอรับ”

           “เช่นนั้นทำไมจึงยังไม่พบ” น้ำเสียงที่ดังเริ่มแฝงไว้ซึ่งความไม่พอใจ

           “ล่ะ ล่าสุด มีปีศาจหมาป่าหายตัวไปขณะที่พวกเรากำลังเผาสระบัวในวังหลวง จิ้งจอกเหม่ยซินกำลังตามหาเบาะแสอยู่ ท่านจอมมาร” มันกล่าวถึงเบาะแสล่าสุดออกไป ครานี้ชายในชุดเกราะทองกลับนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงเปลี่ยนอิริยาบถเดินมายังเบื้องหน้ามัน

           “แจ้งแก่จิ้งจอกเหม่ยซิน อีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะไปที่นั่นด้วยตนเอง” กล่าวจบก็ทอดสายตาไปยังที่เดิมอีกครั้ง ปีศาจชั้นปลายแถวรีบรับคำสั่งก่อนจะผลุนผลันออกไปโดยไม่คิดอยู่ต่ออีกแม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม

           ครั้นเมื่อเงียบสงบลง ร่างสีทองก็เขย่งฝีเท้าพาตัวเองลอยอยู่บนอากาศ เหาะเหินผ่านซากศพใต้หุบเหวไปโดยที่มิได้สัมผัสถึงสิ่งสกปรกนั้น ครั้นถึงจุดหนึ่งก็ก้มตัวลงเด็ดดอกไม้สีแดงดั่งเลือดขึ้นมา มองความสวยงามบิดเบี้ยวตรงหน้าพลางกล่าวพึมพำ

           “ท่านอยู่ที่ใดกันแน่ ท่านมหาเทพ” กลีบดอกไม้พลันเกิดเป็นประกายไฟสีน้ำเงิน มันค่อยๆลุกลามไปทั่ว หลงเหลือเพียงแค่ผุยผงที่โปรยปรายลงบนซากศพ

 
****************************************

 
           หลังจากที่หลิวซีฝูแยกตัวออกไป เซียวถิงฟงยืนอ่านสาสน์จากองค์รัชทายาทครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าต้าเซียนยังคงรออยู่ เขารีบเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยม ทว่าเมื่อมาถึงคนกลับไม่อยู่แล้ว
           
           เขารีบกวาดตามองหาไปรอบบริเวณอย่างร้อนรน ในที่สุดก็พบร่างที่นั่งกอดเข่าใกล้กับป้ายประกาศ บริเวณใกล้ๆยังเต็มไปด้วยชาวบ้านที่มุงดูประกาศแล้วจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องหนึ่ง

           “มันมิใช่เรื่องธรรมดา นายพรานแถวบ้านข้าเล่าให้ฟังว่าคืนก่อน สระบัวแถวชานเมืองถูกเผาต่อหน้าต่อตาเลย” ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้น

           “แล้วเจ้านั่นเห็นรึเปล่าว่าใครเป็นคนเผา”

           “ไม่มี ไม่มีคนเผา เขาบอกข้าว่าคืนนั้นเงียบสงัดไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลยสักคน แต่จู่ๆไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย” ชายคนนั้นเล่าอย่างออกรส พอเห็นชาวบ้านหน้าถอดสีเหงื่อตกก็รีบกล่าวต่อ “แต่ที่สำคัญก็คือ ไฟที่ลุกกลับเป็นประกายไฟสีน้ำเงิน มันมอดไม้ดอกบัวจนไม่เหลือและก็ดับลงไปเอง”

           “ปีศาจ ปีศาจแน่ๆ” เริ่มมีคนตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ชาวบ้านทั้งหลายจึงพากันโต้คารมเสียงดังอื้ออึง เซียวถิงฟงเดินมาถึงตัวคนที่นั่งก้มหน้า ยังมิได้เอ่ยปากขึ้นต้าเซียนก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

           “กลับกันเถิด”

           แม้สายตาจะจับจ้องอยู่ที่พื้นแต่ทว่ากลับดูเหมือนอยู่ในที่ๆแสนไกล เซียวถิงฟงไม่กล้าขัดจึงพยักหน้ารับ มิกล้าถามอันใด อาจเพราะคนตรงหน้าเงียบงันเกินไป กระทั่งใบหน้าที่เคยสดใสกลับแฝงแววเย็นชาส่วนหนึ่ง

           เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลเซียว ต้าเซียนก็แยกตัวกลับไปที่พำนักอย่างเงียบๆ รอจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ในเรือน น้ำเสียงอันเย็นเยียบก็เอ่ยขึ้น “อีกฝ่ายเคลื่อนไหวแล้ว ท่านอาวุโสเทพ”

           “อีกฝ่ายรู้เบาะแสของท่านมหาเทพแล้วหรือไม่” เสียงอาวุโสเทพหวางจื้อดังขึ้นจากต่างหูมุกข้างขวา

           “ไม่ พวกเขายังมิได้รู้ว่าต้นกำเนิดพลังของข้าอยู่ที่ใด แต่อีกหน่อยก็ไม่แน่นัก” 

           “ท่านมหาเทพหรือเราจะเปลี่ยนแผน ทำลายมนตร์ปิดกั้นสวรรค์ ส่งกองทัพเทพไปโจมตีศัตรูเพื่อถ่วงเวลาไว้ก่อน ส่วนท่านฟื้นฟูพลังโดยเร็ว” อาวุโสเทพเจิ้งผิงกล่าวน้ำเสียงวิตก

           “ท่านอาวุโสเทพเจิ้งผิง หากทำเช่นท่านกล่าวกลับทำให้เทพทั้งหลายอ่อนกำลังลง สูญเสียพลังทำลายมนตร์ปิดกั้นสวรรค์เป็นเหตุให้เพลี่ยงพล้ำเปิดทางชนะให้ศัตรู” ต้าเซียนกล่าว

           “ท่านมหาเทพ ท่านพอจะคาดเดาได้ไหมว่า อีกฝ่ายจะดำเนินการเช่นไรต่อไป” อาวุโสเทพเทียนสีถาม

           “ข้ายังมิอาจคาดเดาได้ หากข้าได้เห็นสถานที่เกิดเหตุ อาจพบเบาะแสกำลังของเฟยหลงก็เป็นได้”

           “เสี่ยงเกินไปมิควรทำเช่นนั้น” อาวุโสเทพเทียนสีรีบกล่าวปราม

           “ข้าเห็นด้วยกับท่านเทพเทียนสี ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านมหาเทพจะเผชิญหน้ากับจอมมารเฟยหลง” เทพอาวุโสหวางจื้อกล่าวเสริม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

           “พวกท่านวางใจเถิด ทำเช่นนี้ยังมีผลดีกว่าผลเสียๆอีก ข้ามิต้องเปลืองแรงหา แต่อีกฝ่ายกลับเสนอหน้ามาก่อน แม้ข้าต้องปะทะกับเฟยหลงตอนนี้ ข้าย่อมมีวิธีถ่วงเวลามิให้เขาลงมือก่อน” ต้าเซียนกล่าว แม้ในใจไม่อยากให้เป็นอย่างที่คาดคิด

           “เช่นนั้นพวกเราไม่รบกวนท่านมหาเทพ โปรดรักษาตัว” เมื่อรู้ว่ามิอาจห้ามปรามได้ เทพอาวุโสทั้งสามจึงกล่าวอำลาอย่างรู้ความ ในห้องพักจึงกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง ไม่นานนักก็มีเสียงพึมพำเบาๆ

           “เฟยหลง เจ้าจะคิดจะทำอย่างไรต่อไปกันแน่” ว่าแล้วสองตาก็หลับลงเพื่อเร่งฟื้นฟูพลังต่อ

           เวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งวัน แต่เซียวถิงฟงก็ยังไม่สามารถเฟ้นหาสตรีมาร่วมเดินทางได้เลย ในใจก็ไม่นึกอยากจะใช้ตัวเลือกสุดท้ายเท่าไร ทว่านั่งปวดหัวอยู่นานก็พลันตะโกนขึ้น “บุรุษเช่นข้ากล้าได้กล้าเสีย”

           หวังว่าทางเลือกนี้จะไม่ก่อปัญหาให้เขา ซึ่งมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ เซียวถิงฟงคิดก่อนจะให้อวี่จงไปแจ้งต้าเซียนว่าให้เตรียมตัวเดินทางไปยังวังหลวง ครั้นอวี่จงรับคำสั่งเสร็จก็ทำสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ทั้งยังรีรอไม่จากไปเสียที เขาจึงพูดต่อ “อ้อ เจ้าอย่าลืมเตรียมรถม้าสำหรับพรุ่งนี้ให้เรียบร้อยเสียด้วยล่ะ” 

           “ขอรับ คุณชายเซียว” อวี่จงยิ้มค้างตอบกลับเสียงอ่อย ความหวังที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองหลวงจบลงอย่างสั้นๆ

           หลังจากที่อวี่จงแจ้งข่าว ต้าเซียนก็ถึงกับเงียบไป นึกไม่ถึงว่าโอกาสจะมาถึงเร็วเพียงนี้ หากติดตามเซียวถิงฟงไป ไม่แน่ว่าอาจได้พบสระบัวที่ถูกเผารวมถึงเบาะแสของเฟยหลงก็เป็นได้

           “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก” ต้าเซียนตอบรับยิ้มๆ อวี่จงรับฟังจบก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาอิจฉาไปให้ก่อนจะปิดประตูห้องลง


****************************************


           ครั้นก่อนถึงเพลาออกเดินทาง เซียวถิงฟงกลับยื่นขอเสนอว่าหากต้องการเปิดหูเปิดตาที่วังหลวง จำต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อย โดยเขาจะต้องปลอมตัวเป็นสตรีในระหว่างที่อยู่ในฉางอัน ต้าเซียนฟังแล้วก็ไม่มีปัญหาจึงตอบรับออกไป ดังนั้นก่อนที่จะถึงเวลาเดินทางชายหนุ่มจึงพาเขาออกไปหาซื้อชุดสตรี

           “เจ้าให้ข้าปลอมเป็นสตรี แต่ทำไมไม่ให้ข้าใช้กายเช่นสตรีไปเลยเล่า” ต้าเซียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยจะทำให้ยุ่งยากไปทำไม

           ทว่าเซียวถิงฟงก็ตอบตัวเองมิได้ รู้เพียงแต่ว่าชอบต้าเซียนที่เป็นเช่นนี้ แม้ดวงหน้าชายหญิงจะไม่แตกต่าง แต่อย่างไรร่างชายก็มิได้ให้ความรู้สึกชดช้อยเช่นร่างหญิง ดังนั้นย่อมต้องไม่มีคนมาติดพัน ถือเสียว่าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม

           “ข้าบอกให้ทำอะไรก็ทำไปซี่ นู้นไปเลือกชุดในร้านนู้นไปเลย ข้าจะรออยู่นี่” เขาขึ้นเสียงสูงพร้อมยัดกระดาษเงินปึกหนึ่งให้กับเจ้าของร้านขายเสื้อ ด้านต้าเซียนก็ได้แต่มองชายหนุ่มอย่างงงๆก่อนจะเดินเข้าไปเลือกชุดตามคำแนะนำของเจ้าของร้าน

           หลังจากบังคับให้ร่างน้อยเข้าร้านขายเสื้อไปได้สำเร็จ เขาก็เข้าไปสั่งอาหารกินที่โรงเตี๊ยมข้างๆอย่างอิ่มหนำ ผ่านไปสักพักเขาก็ยกชาขึ้นดื่มพลางชมดูบรรยากาศรอบๆ แลไม่นานนักสายตากลับเหลือบไปเห็นร่างที่กำลังเดินเข้ามา

           พรวด น้ำชาที่พึ่งดื่มเข้าไปสำลักออกมาจากปากพร้อมกับสองตาที่เบิกกว้างอย่างตกตะลึง

           “อ๊ากก” โชคดีที่ต้าเซียนเบี่ยงกายหลบตัวได้ทันก่อนที่จะถูกลอบทำร้ายได้สำเร็จ เขามองค้อนเจ้าตัวจนอีกฝ่ายต้องกระแอมไอกลบเกลื่อนแล้วลุกขึ้นพาเขาไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่โดยไม่พูดอะไรเลย

           หลังจากออกเดินทางไปหลายชั่วยาม ต้าเซียนก็สังเกตเห็นได้ว่าอีกฝ่ายเอาแต่หลบหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็มิได้ใส่ใจกับคนนิสัยประหลาดอย่างเซียวถิงฟงมากนัก เพราะตอนนี้ทิวทัศน์ด้านนอกมันน่าตื่นตาตื่นใจกว่ากันเยอะ

           “เมื่อไหร่เจ้าจะอยู่นิ่งๆ เสียที” เซียวถิงฟงที่นั่งหลับตาตีสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น

           “งั้นเจ้าก็ลืมตาขึ้นมาสิ” ต้าเซียนต่อรอง จ้องหน้าคนที่เอาแต่นั่งกอดอกในรถม้ามาหลายชั่วยาม

           “ไม่” เซียวถิงฟงตอบทันควัน มือเริ่มกุมขมับบีบนวด

           “เฮอะ ประหลาดคน” ต้าเซียนบ่นเสร็จก็ยื่นศีรษะจนโผล่พ้นนอกหน้าต่างรถม้า จากนั้นก็วิ่งไปทำแบบเดียวกันกับหน้าต่างของอีกฝั่ง แม้รถม้าจะโขยกเขยกเพียงใดก็มิได้เป็นอุปสรรคกับเขาเลยสักนิด        
               
           “ข้าบอกให้เจ้าหยุดนิ่งอยู่กับที่เสียที แล้วก็เลิกโผล่ศีรษะออกไปนอกรถม้าด้วย” ความอึกทึกในรถม้ายังผลให้เซียวถิงฟงที่กุมขมับพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง
               
           “ข้าก็บอกให้เจ้าลืมตาขึ้นมาเสียที ไม่เข้าใจรึ” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงยานคาง ดวงตาจับจ้องไปยังโคมแดงที่แขวนตามร้านค้าในเมืองฉางอัน มองดูบัณฑิตที่กำลังโต้กลอนขับกวีกันอย่างออกรส มองคนที่กำลังเลือกซื้อของก็ยิ่งทำให้เพลิดเพลินใจยิ่งนัก

           ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมทำตาม เซียวถิงฟงจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปฉุดต้นแขนนุ่มเข้ามา ประจวบเหมาะกับที่ต้าเซียนไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้คางชนเข้ากับที่ขอบหน้าต่างก่อนจะล้มตัวเข้าไปในรถ ร่างน้อยร้องเสียงหลงพลางลูบคางตัวเองป้อยๆ สายตาตวัดมองอย่างเอาเรื่อง
               
           “ข้าบอกให้เจ้านั่งดีๆ ก็ไม่เชื่อ” เซียวถิงฟงยังคงนั่งหลับตา คิ้วทั้งสองขมวดมุ่นเล็กน้อยแต่มุมปากปรากฏรอยยิ้ม
               
           “เจ้าเป็นอะไรของเจ้า จะแลข้าสักนิดก็ไม่มี”

           ครานี้เซียวถิงฟงลืมตาขึ้นมาแล้ว แต่ก็มิได้ลืมอย่างเต็มที่ เขาหยีตามองขึ้นลง “เจ้ามิน่ามองจริงๆ ดูสิ เสื้อผ้าอะไรกัน ดูไม่เข้ากับเจ้าสักนิด แล้วยังใบหน้านี่อีกซีดอย่างกับไข่ต้ม เจ้ายังคิดที่จะให้ข้าทนมองอีกรึ” พูดจบก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะพลางส่ายหน้าอย่างทนดูมิได้ ความจริงแล้วต้าเซียนในตอนนี้ดูเปล่งประกายมีเสน่ห์เสียจนเขาอดที่จะใจเต้นระทึกมิได้ต่างหาก

           “ข้าไม่น่าดูอย่างนั้นเชียวรึ” ต้าเซียนก้มมองดูเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ชุดที่สวมใส่เป็นแบบทะมัดทะแมงที่ดูมิคล้ายชายมิคล้ายหญิง

           “หึ แล้วผมเจ้านี่สระบ้างรึเปล่า” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นดึงผมของอีกฝ่ายมากำไว้ จ่อใกล้จมูกทำท่าสูดดมพลางเบ้ปาก กลิ่นที่ลอยมาเป็นกลิ่นหอมของดอกบัวอ่อนๆ ทำให้อดที่จะปล่อยเส้นผมเหล่านี้ให้หลุดมือไปมิได้ ซ้ำยังแอบสูดดมเข้าลึกๆอยู่หลายครั้ง

           ต้าเซียนเองก็ดึงเส้นผมตนเองมากระจุกหนึ่งเช่นกันก่อนก้มหน้าสูดดมพลางย่นจมูกเบ้ปากบ้าง “ข้าว่าแล้วเชียว ฮัวหลงกับเหม่ยอิงไม่ได้สระผมให้ข้ามาเกือบสองวัน มันจึงเริ่มส่งกลิ่นเสียแล้ว เฮ้อ”

           ได้ยินเช่นนั้นปากของเซียวถิงฟงก็ถึงกับปากกระตุก รีบปล่อยมือจากเส้นผมนุ่มพลางนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือทันที

           “ส่วนเรื่องชุดเจ้าเป็นคนบอกให้ข้าเลือกเองนี่” ต้าเซียนค้อนใส่ ข้าไม่ผิดเสียหน่อย เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าเลือกซื้อตามสบายเองนี่นา ส่วนตัวเองก็กลับไปนั่งกินข้าวเพลิดเพลินอยู่คนเดียว

           “ก็ ก็ชุดที่เจ้าเลือกมันเชยไปนี่” ปากเถียงแต่ใจกลับคิดอีกอย่าง เป็นเพราะต้าเซียนดูดีเกินไปต่างหาก นึกแล้วหัวใจก็เต้นระรัวอย่างหยุดไม่อยู่ เซียวถิงฟงจึงได้แต่พยายามหลับตาสงบจิตสงบใจ

           รถม้าเดินทางเป็นเวลาวันกว่าๆ ก็หยุดลง ไม่รู้ว่าตนผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เซียวถิงฟงที่ลืมตาขึ้นช้าๆ พลันรู้สึกเมื่อยล้ายิ่ง โดยเฉพาะที่ไหล่ซ้าย ครั้นเบนสายตาลงมองก็ถึงกับตะลึง

           ตอนนี้ที่ไหล่ซ้ายเขากลับถูกศีรษะน้อยยึดครองไป กลิ่นหอมอ่อนๆของเส้นผมชวนให้สูดดม เซียวถิงฟงลอบมองใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้ม หากดูผิวเผินคนตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาสักนิด ดูไร้เดียงสา ดื้อดึง ดีแต่ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน แถมยังซื่อบื้อโง่งมอีกด้วย ต่างกันเพียงแค่มีอิทธิฤทธิ์วิเศษ จะเป็นเซียนหรือปีศาจเขาก็ยังตีความได้ไม่แน่ชัด ส่วนอีกเรื่อง...

           เซียวถิงฟงถึงกับสะดุ้ง เขาลืมนึกไปอย่างไรว่าคนที่นอนซบไหล่เขาผู้นี้เป็นผู้ชาย เซียวถิงฟงเหงื่อตก...รึ รึว่าข้าวิปริตไปแล้ว ใบหน้าพลันแดงก่ำ ไม่กล้าขยับไหล่ได้แต่นั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น พอคิดจะยื่นมือไปปลุก ฝ่ามือก็กลับหยุดชะงักก่อนจะหักใจเปลี่ยนเป็นลูบศีรษะเล็กนั้นแทน

           “หัวใจเจ้าเต้นแรงมาก เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงที่คาดคิดว่าหลับกลับดังขึ้น เซียวถิงฟงถึงกับตกใจร้อนตัวจนใช้ฝ่ามือผลักศีรษะเล็กออกในทันที เป็นเหตุให้ต้าเซียนที่นั่งอยู่เสียหลักกลิ้งตกจากเก้าอี้

           “ว๊าก” ต้าเซียนร้องลั่น พอดีกับที่ม่านหน้ารถม้าเปิดขึ้น ข้ารับใช้ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นคนตัวเล็กล้มกลิ้งไปยังพื้นรถม้า
           
           “เอ่อ คุณชายถึงที่หมายแล้วขอรับ” ข้ารับใช้แจ้งคนในรถอย่างกระอักกระอ่วน ทั้งแสร้งทำเป็นไม่เห็นเหตุการณ์บนรถม้า เซียวถิงฟงเองก็แสร้งเป็นบึ้งตึงเดินข้ามตัวคนที่เสียหลักนั่งจมอยู่กับพื้นรถโดยไม่เหลียวแล ปล่อยให้ต้าเซียนมองตามออกไปด้วยสายตาคาดโทษ
           
           “ทำไมอยู่กับเจ้า มหาเทพเช่นข้าถึงได้เจ็บตัวอยู่เรื่อยเลย” ต้าเซียนบ่นอุบอิบ จากนั้นจึงยันตัวลุกขึ้นย่ำเท้าลงจากรถม้าตามไป

           รถม้าจอดลงที่หน้ากำแพงสูงที่ตั้งตระหง่าน ประตูทางเข้าที่ควรจะมีเพียงหนึ่งเดียวกลับมีถึงห้าประตู เหนือประตูทั้งห้ายังมีตำหนักสีแดงที่เปรียบเสมือนเป็นป้อมปราการ ต้าเซียนเดินตามชายหนุ่มจนหยุดที่หน้าประตูใหญ่ นายทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาหา จากนั้นไม่นานเซียวถิงฟงก็ยื่นป้ายประจำตระกูลขึ้นมาอีกทั้งยังชี้นิ้วมายังเขา ทหารยามมองเพียงแวบเดียวก็คำนับโบกมือให้ผ่านเข้าไปได้

           หลังจากที่ผ่านเข้าสู่ประตูวังเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ ห่างไปไกลยังมีตำหนักหรูหราขนาดใหญ่ที่มีบันไดทอดยาวตระการตา

           “ที่นั่นเป็นท้องพระโรงที่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ซวนหยวนใช้ออกว่าราชการกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่” เซียวถิงฟงกล่าวอธิบายเมื่อเห็นต้าเซียนจ้องตาไม่กะพริบ

           “ข้ามิยักรู้ว่ามนุษย์จะสามารถปลูกสร้างสถานที่ที่ยิ่งใหญ่มิแพ้แดนสวรรค์ ข้าหลับไปนานมากจริง” ต้าเซียนพูดลอยๆขึ้น เมื่อได้เห็นสถานที่ที่คลับคล้ายกับแดนสวรรค์ก็อดจะวางท่ามาดมั่นมิได้ เขาเดินตรงไปข้างหน้า ก้าวเท้าอย่างหนักแน่นเฉกเช่นมหาเทพผู้สูงศักดิ์

           “เจ้าบ้า ไม่ใช่ทางนี้”

           เดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องถูกจับหมับที่ปกคอเสื้อแล้วพลิกตัวกลับมา ต้าเซียนได้แต่ลอบคิดอย่างเศร้าใจ หมดกันความน่าเกรงขามของข้า

           เซียวถิงฟงเดินนำไปยังด้านหลังล่วงผ่านไปทางอุทยานหลวงขนาดใหญ่ ระหว่างทางมีสตรีที่แต่งกายสวยงามคล้ายๆกันพากันคารวะให้ชายหนุ่มไม่หยุดหย่อน ทว่าเจ้าตัวกลับมิสนใจจะทักทาย บางคราก็เห็นสตรีจับกลุ่มพากันซุบซิบป้องปากหัวเราะคิกคัก

           “นั่นคือ ท่านจอหงวนบู้คนใหม่ใช่รึไม่ ช่างสง่างามยิ่งนัก” ท่านหญิงทั้งหลายพากันกระซิบกระซาบ บ้างก็ส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มมาให้ ทำเอาต้าเซียนเดินชมดูอย่างละลานตา ผิดกับเซียวถิงฟงพึมพำขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ
               
           “น่าตายนัก” ดูว่าทหารที่เดินสวนมาต่างพากันจับจ้องต้าเซียนตาไม่กะพริบ บางคนถึงกับอ้าปากค้างลูกตาแทบถลน ยังมีบุตรชายขุนนางบางคนที่พยายามเล่นหูเล่นตาส่งมาให้ เห็นแล้วมันน่านัก
           
           “พวกเจ้าจะมองอะไรกันนักหนา” เมื่อหมดความอดทนเซียวถิงฟงก็ตวาดก้องไปทั่วบริเวณ ทำเอาต้าเซียนถึงกับสะดุ้งตัวน้อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ท่านหญิงที่ตกใจจนหน้าซีด ทหารบางคนรีบสะกิดพรรคพวกให้เดินจากไป คุณชายที่ยืนเล่นหูเล่นตาก็แสร้งทำเป็นชมนกชมไม้ต่อ แต่ก็ยังมิวายหลิ่วตาให้ต้าเซียนอยู่ดี เขาจึงคว้าที่ข้อมือของร่างน้อยแล้วพาเดินเคียงคู่จากไป

           ร่างน้อยถูกพาลัดเลาะเข้าลึกสู่ดงไผ่ด้านหลังอุทยาน ยิ่งเข้ามาลึกเพียงใดหนทางก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งเมื่อพ้นดงไผ่ก็เผยให้เห็นเรือนไม้พฤกษาหลังหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่นัก ในเรือนหลังนี้จะมีเพียงมหาดเล็กกองพฤกษาที่จะคอยเฝ้าดูแลทุกๆวัน หากแต่บางวันที่นี่จะถูกปิดตายห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกเช่นเดียวกับวันนี้

           เมื่อองครักษ์นายหนึ่งค้อมศีรษะให้ เซียวถิงฟงก็พาต้าเซียนเข้าไปด้วยความที่เขาไม่กล้าปล่อยให้ร่างน้อยห่างไกลจากสายตา แต่ก็มิกล้าปล่อยให้เข้าไปในตัวเรือนพฤกษาต้องห้ามนี้เช่นกัน สุดท้ายจึงได้แต่จำใจปล่อยให้ร่างน้อยนั่งรออยู่ที่ศาลาริมน้ำเล็กๆใกล้ตัวเรือนแทน
           
           ต้าเซียนนั่งรอที่ศาลาริมน้ำเพียงลำพัง ในใจก็นึกถึงแต่สระบัวที่มอดไหม้ ทว่าวังหลวงแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่จนเกินไป อีกทั้งพลังเขายังมิอาจเล็ดรอดไปที่นั่นได้โดยที่ไม่มีใครพบ ขบคิดอยู่ไม่นานฉับพลันนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังมหาศาล มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เขาจำมันได้เป็นอย่างดีพลังที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดเช่นนี้ แม้จะทรงพลังหากแต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าพลังที่ถ่ายทอดนี้แฝงไปด้วยความเจ็บปวดสักแค่ไหน

           ต้องไป ต้องไปพบ ต้าเซียนคิด ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นประกายสีทองคมกล้า สองขาเดินตรงไปยังเบื้องหน้าองครักษ์ที่ยืนเฝ้าปากทางอยู่ ในขณะที่องครักษ์นายนั้นมองเขาด้วยสายตาฉงน
 

************************************************

 
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 7.2 เรือนไม้พฤกษา 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 23-10-2015 15:44:09
บทที่ 7.2 เรือนไม้พฤกษา


 
           “มาแล้วรึ” น้ำเสียงนุ่มแฝงไปด้วยบารมี ริมฝีปากแย้มยิ้มเล็กน้อย

           บุรุษผู้นี้ยืนหันข้างให้กับเขาใกล้กับกระถางดอกไม้ใหญ่ที่มีช่อดอกเบญจมาศเล็กๆเติบโตอยู่ ในมือยังถือกระบวยเล็กยกขึ้นรดน้ำ “ท่านกล่าวทักทายสหายเพียงแค่นี้เองหรือ” เซียวถิงฟงถามกลับพลางมองไปรอบๆ เรือนพฤกษา

           “จากไปเพียงสองเดือน โบตั๋นต้นนี้กลับเติบโตงดงามเพียงนี้เชียวหรือ” เซียวถิงฟงพูดพลางจับกลีบดอกโบตั๋นที่มีอยู่น้อยนิดในอีกฟากฝั่งอย่างเบามือ

           ชายในชุดสีขาวปักดิ้นทองถึงกับชะงักมือแล้ววางกระบวยน้ำลงในถังข้างกาย ใบหน้าที่ดูสว่างไสว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่แฝงไปด้วยความหลักแหลมหันมาประจันหน้ากับผู้มาเป็นแขกอย่างประเมินมอง

           “มิคาดว่าเจ้าจะชอบดอกโบตั๋นเพียงนี้ ทั้งยังมิคาดว่าเจ้าจะสามารถทำข้อความสุดท้ายให้เป็นจริงได้”

           “ข้ามิได้ชื่นชอบดอกโบตั๋นเป็นพิเศษ อีกทั้งคำสั่งขององค์รัชทายาท ข้าย่อมกระทำตาม” เซียวถิงฟงค้อมคำนับชายเบื้องหน้า

           “วิเศษ ข้าเกลียดดอกโบตั๋นเป็นที่สุด ทั้งยังเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวอย่างปิติยินดี

           “แต่ข้ายังคงมิเข้าใจว่าทำไมท่านจึงต้องออกคำสั่งเช่นนี้” เซียวถิงฟงถามอย่างสงสัย เหตุผลที่ไม่อาจหาคำตอบได้ ย่อมเฉลยในไม่ช้านี้

           “นางและตระกูลเซิงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หากชักช้ากว่านี้อีกเห็นท่าไม่ดีแน่ นอกจากตำแหน่งจอหงวนบู้แล้ว เจ้าอาจจะได้ตำแหน่งราชบุตรเขยมาครองด้วยก็เป็นได้ ข้าจำต้องลงมือก่อน ป่านนี้คงได้ข่าวแล้วล่ะ ว่าเจ้าพาสตรีนางหนึ่งตามติดสอยห้อยตามมาด้วย” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบอย่างสบายอารมณ์

           เซียวถิงฟงได้แต่มองดอกโบตั๋นเงียบๆ นางผู้นั้นเป็นหญิงสูงศักดิ์ซึ่งชื่นชอบดอกโบตั๋นเป็นที่สุด องค์หญิงหย่าเหลียน ซวนหยวนหย่าเหลียน

           “ข้าอาจทำผิดต่อเจ้า แต่เจ้าก็รู้ดีถึงสถานะของข้า การที่ข้าต้องทำเช่นนี้เนื่องจากข้าคือ องค์รัชทายาท ตัวข้าเป็นโอรสของฮองเฮาองค์ก่อน ส่วนนางเป็นธิดาคนสุดท้องของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ซ้ำพี่ชายนางยังอายุเท่ากับข้า เส้นสายอำนาจที่คอยสนับสนุนก็มีอยู่มากเช่นกัน การจะล้มคนเหล่านั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งพวกเขายังคอยจ้องหาโอกาสลดทอนกำลังคนของข้า โดยเฉพาะเจ้าเซียวถิงฟง เจ้าเป็นที่หมายตาของนาง แม้ข้าจะเป็นถึงองค์รัชทายาทที่ถูกแต่งตั้งจากองค์ฮ่องเต้ แต่ก็มิได้หมายความว่า เสด็จพ่อจะทรงสนับสนุนฐานอำนาจของข้า ฐานอำนาจของข้าย่อมต้องสร้างด้วยกำลังของตนเอง หากข้ายอมให้เจ้าเป็นราชบุตรเขย ข้ามิใช่ต้องเสียมือขวาไปรึ” องค์รัชทายาทกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น นึกถึงความทรงจำที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด

           “ข้ามิได้โทษท่านแต่อย่างใด แม้ข้าจะสนิทสนมกับองค์หญิงหย่าเหลียนเป็นพิเศษ แต่มิได้คิดกับนางเช่นนั้นและข้ายินดีที่จะเป็นมือขวาของท่านเช่นกัน” พูดจบก็ส่งยิ้มให้องค์รัชทายาท เขารู้สึกสงสารคนตรงหน้าที่ต้องขวนขวายดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในนรกแห่งนี้ นรกที่เรียกว่าวังหลวง แต่ถึงอย่างไรเขาก็อดที่จะสงสัยมิได้ สำหรับองค์รัชทายาทแม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังดอกโบตั๋น แต่ในเรือนพฤกษาแห่งนี้ก็ยังมีดอกโบตั๋นวางอยู่ในมุมเล็กๆที่ไม่สะดุดตาเช่นดอกไม้อื่นๆ

           “นี่แหละ สหายรักของข้า” ซวนหยวนหมิงไท่มองเซียวถิงฟงอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้พลางกอดคออย่างสนิทสนม
 
           “ว่าแต่ถิงถิงของข้าล่ะ” เซียวถิงฟงกล่าวโดยมิได้ใช้คำนอบน้อมเท่าไร

           “เจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงก่อนกล่าวประชดเล็กๆ “มิเป็นห่วงข้าเลยหรือ มามิทันไรก็กล่าวถึงถิงถิง เจ้ารู้ตัวบ้างไหมว่าเจ้าค่อนข้างจะติดมันเกินไปแล้ว”

           “ข้าเพียงแต่รู้สึกผิดต่อมัน เนื่องจาก” กล่าวถึงตรงนี้เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

           “เนื่องจากว่า มันโดนปีศาจลูกแก้วทำร้าย อีกทั้งยังถูกสาปให้กลายเป็นมนุษย์ใช่รึไม่”

           “ท่านรู้ได้อย่างไร” เซียวถิงฟงเลิกตาโตถามด้วยความตกใจ

           “ถิงถิงเป็นคนบอกข้าเอง ทั้งยังบอกว่าเจ้าโดนปีศาจทำร้าย ซ้ำในตอนหลังเจ้ายังคงเข้าข้างเจ้าปีศาจตนนั้นอีกด้วย แต่เจ้ามิต้องห่วง นางอยู่แถวๆนี้แหละ นางมิยินยอมออกมา เป็นเพราะนางยังเคืองเจ้าอยู่” ซวนหยวนหมิงไท่พูดจบก็ส่ายหน้าน้อยๆ

           “ท่านก็เชื่อเรื่องแบบนี้ลงด้วยรึ”

           “หากข้าเล่าเรื่องหนึ่งที่แปลกประหลาดมากเจ้าจะเชื่อข้าไหมล่ะ” องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ทำหน้าสีหน้าจริงจัง

           “เกิดอะไรขึ้นกับท่านรึ” เซียวถิงฟงถาม

           “เจ้าได้ยินข่าวที่สระบัวในวังหลวงถูกเผาอย่างไม่มีที่มาแล้วใช่รึไม่” เซียวถิงฟงพยักหน้าเล็กน้อย ซวนหยวนหมิงไท่จึงเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้น

           ในช่วงเวลาประมาณยามสามคืนเดียวกับที่สระบัวถูกเผา คืนนั้น ซวนหยวนหมิงไท่ที่ได้เข้าบรรทมไปเรียบร้อยแล้วกลับรู้สึกอึกอัดจนต้องลืมตาตื่นขึ้น แล้วจึงพบเงาดำที่มีรูปร่างเช่นหมาป่าตัวใหญ่กำลังลอยอยู่เหนือตัวเขา

           กลิ่นอายของมันเหม็นสาบจนน่าคลื่นไส้ มันจ้องหน้าเขาอย่างกระหายเหือดหิว ตัวเขาตอนนั้นตกใจมากจึงพยายามส่งเสียงร้อง แต่กลับมิมีเสียงใดเล็ดลอดออกไป เขาหันไปมองมีดสั้นเล่มหนึ่งที่วางไว้ด้านข้างเตียง คิดจะนำมาฟาดฟันปีศาจข้างหน้า แต่ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงทำได้แต่กัดฟัดส่งเสียงเจ็บใจ ปีศาจหมาป่าตัวนั้นก็เห่าหอนก่อนจะแสยะยิ้มกล่าว

           “ปราณมังกรในร่างของเจ้าช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจบารมี รับรองตบะของข้าต้องก้าวหน้าอย่างมากแน่นอน” มันพูดจบก็แยกเขี้ยวหมายจะขย้ำที่ลำคอ รอยฟันของมันแยกจนเห็นเขี้ยวแหลมเปื้อนเลือด เขาหลับตาลงทันที แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกสิ่งที่เย็นยะเยียบตรงข้อมือข้างขวา

           จำได้ว่าที่ข้อมือข้างขวานั้นสวมใส่ไว้ด้วยกำไลหินรูปงู และเสมือนว่างูนั้นกำลังมีชีวิต มันเลื้อยรัดแขนของเขาไม่นานก็เลื้อยขึ้นมาบนหน้าอก เขาเบิกตาขึ้นอย่างตะลึงงันเมื่อแลเห็นงูเผือกตัวหนึ่งอย่างเต็มตา มันอ้าปากกว้างส่งเสียงขู่ฟ่อๆใส่ปีศาจหมาป่า ส่วนปีศาจหมาป่าก็หอนดังขึ้นจนแสบแก้วหู ฉับพลันนั้นงูเผือกกลับพุ่งฉกเข้าใส่ ปีศาจหมาป่าตนนั้นถึงกับร้องโหยหวนก่อนจะถูกงูเผือกตัวจ้อยเขมือบเข้าทางปาก จวบจนร่างของมันจมหายไปในปากของงูเผือกแล้ว เสียงโหยหวนจึงหมดไป

           “ไร้รสชาติสิ้นดี”

           รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ดูเหมือนว่าดังมาจากงูเผือก กระทั่งมันเลื้อยมาบนหน้าอกเขาพลางขู่ฟ่อๆใส่ เขาก็จ้องมองงูเผือกอย่างไม่ลดละ มันเองก็ร้องขู่เขาสักสองสามทีก็ไม่สนใจนอนแนบกับหน้าอกของเขาหลับไปด้วยท้องอันป่อง จากนั้นเขาเองก็รู้สึกง่วงงุนจึงผล็อยหลับไป

           ครั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นมามันก็กลับกลายเป็นกำไลหินรูปงูดุจเดิมแล้ว หากแต่ยังมีข้อสงสัยอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือส่วนท้องของมันกลับมีลักษณะป่องนูนขึ้น อันเป็นสิ่งยืนยันว่าเขามิได้ฝันไป อีกทั้งในกรณีเรื่องราวของสระบัวที่ถูกเผาโดยไร้ที่มาที่ไปนั้นกลับสร้างความค้างคาใจว่ามันอาจเกี่ยวข้องกันก็เป็นได้ จนกระทั่งได้พบหญิงสาวที่หลบซ่อนในเรือนพฤกษาแห่งนี้

           “ถิงถิง” เซียวถิงฟงพูดขึ้น นอกจากองค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ เขาและแมวสาวถิงถิงเท่านั้นที่เข้ามาที่แห่งนี้ได้

           “ถูกต้อง” ซวนหยวนหมิงไท่พูดเสริม พลางเปิดแขนเสื้อสีขาวออก เผยให้เห็นกำไลหินรูปงูสีเงิน ที่ตาของมันประดับด้วยพลอยสีเขียวน้ำทะเล ลักษณะกำไลเป็นวงคล้ายเลื้อยรัดอยู่ที่ข้อมือ
           
           “กำไลนี้เป็นของที่เสด็จแม่มอบให้ข้ากับมือเอง ทั้งยังตรัสว่าสิ่งนี้เป็นของตกทอดของราชวงศ์ซวนหยวนที่สืบทอดมากว่าห้าร้อยปี แต่เสด็จเเม่กลับมิเคยมีใครกล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ของกำไลนี้เลย”
           
           “ฟังจากที่ท่านเล่ามันคือ กำไลกำจัดปีศาจใช่หรือไม่”

           “อาจเป็นเช่นนั้น ว่าแต่ปีศาจลูกแก้วตอนนี้ยังคงอยู่กับเจ้าหรือไม่ หากใช้กำไลนี่ เจ้าอาจจะกำจัดมันได้”

           “เอ่อ” เซียวถิงฟงลังเลที่จะบอกต่อ จะให้บอกว่าต้าเซียนเป็นปีศาจ เขาก็รู้สึกว่ามิใช่ หรือจะให้บอกว่าเป็นเทพเซียนหรือเป็นมหาเทพ เขาก็ยังเชื่อไม่หมดใจอยู่ดี

           “เมี้ยว”

           “ใคร”


****************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 7 เรือนไม้พฤกษา 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 23-10-2015 16:19:17
จิ้ม
ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 8.1 พานพบมิคาดฝัน 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 24-10-2015 20:58:07
บทที่ 8.1 พานพบมิคาดฝัน


           “ใคร”

           คนในห้องต่างอุทานขึ้นพร้อมกัน ด้านนอกมีทั้งเสียงของถิงถิง รวมถึงเสียงฝีเท้าที่เบาราวกับเหาะเหิน สำหรับเซียวถิงฟงแล้วเดาได้ไม่ยากเลยว่านั่นเป็นเสียงฝีเท้าของใคร

           พวกเขาต่างพุ่งตัวไปยังประตูเรือนพฤกษา ครั้นประตูเปิดออกก็พบร่างที่นอนไม่ได้สติของเหล่าองครักษ์ ที่เบื้องหน้ายังปรากฏแผ่นหลังที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี

           “องค์รัชทายาท ปีศาจตนนั้นอยู่ที่นี่” สตรีในชุดดำผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มระคนหยิ่งผยองโก่งคอร้องบอก สองขาเกาะเกี่ยวบนต้นไผ่ เล็บคมยาวก็ชี้ไปที่ยังคนที่กำลังกุมปกคอเสื้อขององครักษ์นายหนึ่ง

           “เจ้าจะทำอะไร ต้าเซียน” เขาไม่รอช้ารีบถลาเข้าไปจับเรียวไว้ ยังผลให้องครักษ์ที่อยู่ในมือเรียวร่วงลงไปนอนกองกับพื้นอีกราย

           “ปล่อยข้า ข้าต้องไปที่นั่น” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงกร้าวพร้อมทั้งจับจ้องไปยังทิศหนึ่งด้วยสายตาสับสน

           “เจ้าจะไปที่ใดกัน” เห็นแววตาเช่นนั้นในอกของเขาก็ร้อนรนขึ้น

           “ข้ารู้สึกได้ เขา เขาอยู่ที่นั่น ที่สระบัว”

           “อะไร ใคร” ไม่เข้าใจ เหตุใดต้องเป็นสระบัว แล้วคนผู้นั้นเป็นใคร สมองเซียวถิงฟงถึงกับงุนงง จังหวะนั้นต้าเซียนก็เริ่มสะบัดมือเขาทิ้งทำให้เขาต้องเกาะกุมแน่นขึ้น

           ...กลิ่นอายพลังที่คุ้นเคยเริ่มห่างหายออกไป จะช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้าเซียนคิดพลางสาดสายตาสีทองเข้าใส่จนร่างสูงตะลึงงันไปชั่วขณะ

           องค์รัชทายาทรู้สึกถึงบรรยากาศฟาดฟันก็รีบแทรกตัวเข้าไปประจันหน้า วาดฝ่ามือเข้าใส่เด็กหนุ่มอย่างไม่ลังเล ทว่าฝ่ามือยังมิทันประสบผล เซียวถิงฟงที่กลัวว่าต้าเซียนจะบาดเจ็บก็ตัดสินใจผลักเจ้าตัวให้ถอยห่างออกไป แต่คนที่เซออกกลับตั้งหลักเพียงชั่วลัดนิ้วมือก่อนจะทะยานตัวเข้ารุกไล่ผู้ลงมือก่อนอย่างรวดเร็ว

           กระบวนท่าที่ใช้ออกรวดเร็วเฉกเช่นสายลม ทั้งสูงส่งแปลกตาจนซวนหยวนหมิงไท่มิอาจตั้งรับได้ทัน เมื่อเห็นท่าไม่ดีเซียวถิงฟงก็กระโดดเข้ามาใช้กรงเล็บตะครุบเข้าที่ไหล่บาง กระนั้นร่างน้อยเพียงบิดไหล่ทีหนึ่งก็หลุดออกพร้อมทั้งพลิกตัวหลบ หากแต่ซวนหยวนหมิงไท่กลับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว

           ฝ่ามือหนึ่งซัดเข้ามาในระยะประชิด ต้าเซียนได้แต่ต้านรับอย่างฉุกละหุก ฝ่าเท้าถึงไถลไปกับพื้น แลฉับพลันที่ช่องว่างปรากฏขึ้นเซียวถิงฟงก็เร่งฝีเท้าเข้ารวบตัวเขาจากทางด้านหลัง ด้านองค์รัชทายาทก็ปราดเข้ามาหมายจะสกัดจุดที่ด้านหน้า
           
           “ปล่อย หากมิปล่อยอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” เขากล่าวน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะถองศอกเข้าใส่อย่างแรง ทำเอาเซียวถิงฟงต้องผงะถอยหลังออก

           ครานี้ประกายตาสีทองพลันเปล่งประกายแสงแล้ว ยังมิทันถึงตัวซวนหยวนหมิงไท่ที่ถลาเข้ามาก็กระแทกเข้ากับกำแพงอากาศเข้าอย่างจัง ร่างพลันเสียหลักกระเด็นไปไกลราวสิบก้าว ดีที่ถิงถิงปราดเปรียววิ่งเข้ามารับตัวได้ทันก่อนที่จะล้มไปกับพื้น
         
           “องค์รัชทายาท” เซียวถิงฟงร้องตกใจพร้อมวิ่งเข้าหา
           
           “ข้ามิเป็นไร” แม้จะชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น แต่ซวนหยวนหมิงไท่ก็มิได้บาดเจ็บที่ใด เพียงแค่รู้สึกว่าเหมือนโดนผลักออกมาก็เท่านั้น

           แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่เซียวถิงฟงก็เดือดดาลแล้ว เขาก้าวย่างเข้าไปหาคนที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล อาจเป็นเพราะกลิ่นอายพลังดังกล่าวสลายหายไปแล้ว ชั่วขณะนั้นต้าเซียนจึงเกิดอาการเลื่อนลอย ได้แต่ยืนทอดมองไปยังทิศทางดังกล่าวนิ่งงันไป
               
           “เจ้าทำร้ายสหายของข้าทำไม” เซียวถิงฟงตวาดก่อนจะรั้งตัวต้าเซียนไว้โดยแรง “ทั้งๆ ที่เจ้าเคยให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายใคร”

           ดวงตาสีดำคล้ายบ่งบอกถึงความผิดหวัง ลมหายของต้าเซียนพลันสะดุดลง...ทำไมกัน ทำไมต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ ราวกับในอกถูกคว้านเอาบางสิ่งออกไป นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาถูกมองเช่นนี้ ก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไปก็ทิ้งสายตาที่คอยทิ่มแทงไว้อยู่ตลอด ความโดดเดี่ยวพลันกอบกุมในใจ จนหยาดน้ำใสหลั่งรินออกมาดวงสีน้ำตาลโดยไม่รู้ตัว

           ร่างสูงพลันสงบสติได้ก็ต่อเมื่อสังเกตเห็นหยาดน้ำใสบนใบหน้าอ่อนโยน ริมฝีปากน้อยนั้นพยายามยกขึ้นเหยียดยิ้ม ดูกล้ำกลืนเสียจนเขาเจ็บแปลบในอก สองมือที่สั่นระริกยกขึ้นโอบรอบคอเขาไว้อย่างช้าๆ

           “อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนี้ ได้โปรด” น้ำเสียงแหบแห้งกระซิบริมใบข้างหู นิ้วเรียวขยุ้มที่หลังเสื้อราวกับฝืนทนอะไรอยู่ “อย่าทิ้งข้าไป อย่าทิ้งข้าไปนะ”

           ลมหายใจพรั่งพรูออกอย่างช้าๆ มือเอื้อมโอบรับร่างที่กำลังสั่นระริกไว้ เซียวถิงฟงเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี ความรู้สึกที่โดดเดี่ยว ทั้งยังโหยหาใครบางคนอย่างปวดร้าว เหมือนตัวเขาสมัยเด็ก เหมือนตอนที่เขากอดมารดาไว้แน่นในช่วงเวลาสุดท้าย เหมือนตอนที่เขาคิดว่าบิดากำลังจะทอดทิ้งเขาไป

           “เจ้าบ้า เจ้ากอดข้าเสียแน่นขนาดนี้แล้วข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร อย่าร้องไห้สิ เด็กโง่” เซียวถิงฟงกล่าวปลอบเด็กน้อย ทั้งยังคอยปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกให้อย่างอ่อนโยน “จำไว้หากไม่อยากยิ้ม ก็จงอย่าฝืน ซื่อบื้อเอ้ย” พูดจบก็ส่งยิ้มแย้มให้คนที่เอาแต่ยืนทำตากลม
           
           “เจ้า คำหนึ่งก็บ้า สองคำก็โง่ นี่ยังมีคำที่สามซื่อบื้ออีก นี่เจ้าเห็นมหาเทพอย่างข้าเป็นตัวกระไรกัน” ต้าเซียนบ่นน้ำเสียงอู้อี้พลางเบ้ปากใส่ทำเอาเซียวถิงฟงหัวเราะชอบใจ

           ดูว่าพวกเจ้าคงลืมไปแล้วว่ามีพวกข้าอยู่ด้วย ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ชมมองบรรยากาศหวานชื่น โดยมีถิงถิงนั่งยองๆมองด้วยสายตาเอือมระอาอยู่เป็นเพื่อน จวบจนเซียวถิงฟงรู้สึกตัวก็แสร้งทำเป็นกระแอมไอแก้อาการเขิน เขาถึงกับลอบยิ้มในใจ
           
           “องค์รัชทายาท หม่อมฉันต้องขอพระราชทานอภัยโทษแทนเขาด้วย” เซียวถิงฟงพูดพลางคุกเข่าลง

           ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงเงียบงันพลางลุกขึ้นปัดฝุ่นที่ชายเสื้ออย่างแช่มช้า “มิเป็นไร นานๆครั้งได้เห็นเจ้าทำท่ากระดากอายบ้างก็สนุกดีไม่หยอก” พูดจบเสียงกลั้วหัวเราะก็ดังขึ้น
               
           “ขอบ...พระทัย...พะย่ะค่ะ”

           เซียวถิงฟงกัดฟันพูด ทั้งยังลุกขึ้นยืนโดยไม่รอให้องค์รัชทายาทออกคำสั่ง แต่เขาไม่ถือสาจึงหันไปสนใจเด็กหนุ่มอีกคนแทน “นี่คือ ปีศาจลูกแก้วที่ถิงถิงกล่าวใช่หรือไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามผู้เป็นสหาย
               
           “ข้ามิใช่ปีศาจ ข้าคือต้าเซียน มหาเทพผู้ปกครองแดนสวรรค์”

           ไม่รอให้เซียวถิงฟงตอบ ต้าเซียนก็แสดงตัวขึ้นพลางเชิดหน้าใส่ ทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ต้องกลั้นหัวร่อมองคนที่วางท่าแข็งขันเช่นบุรุษในชุดของสตรีจนปวดท้อง ครั้นเหลือบไปเห็นสีหน้าที่แฝงแวววิตกของสหายก็ต้องลอบยิ้ม “หากเจ้ายืนยันว่าเจ้ามิใช่ปีศาจ เช่นนั้นเจ้ากล้าที่จะประจันหน้ากับสิ่งนี้หรือไม่” ปากกล่าวท้าทายเด็กหนุ่มทว่าสายตากลับมองไปที่เซียวถิงฟง มือหนึ่งก็ถลกแขนเสื้อสีขาวออก เผยให้เป็นกำไลงูหินที่เลื้อยพันอยู่ที่ข้อแขน ดวงตาของงูเด่นสะดุดตาด้วยพลอยสีฟ้าอมเขียว

           “เดี๋ยวก่อนองค์รัชทายาท”  เซียวถิงฟงเริ่มรู้สึกแปลกๆจึงร้องทักท้วง
           
           “ได้” ทว่าต้าเซียนกลับชิงกล่าวพร้อมทั้งเดินเข้าไปหาผู้ท้าทายอย่างมิเกรงกลัว น่าแปลกที่เมื่อชำเลืองไปที่กำไลดังกล่าวก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นชินอย่างประหลาด ยิ่งช่วงท้องที่นูนป่อง รวมถึงเรียวตาที่ดูยั่วยวนคู่นั้น

           ด้านเซียวถิงฟงก็ได้แต่เป็นห่วง หากกำไลนี่มีอิทธิฤทธิ์จริง ต้าเซียนจะมิเป็นอันตรายหรือ ขณะที่ชายหนุ่มจมอยู่ในห้วงคิด ดวงตาของต้าเซียนก็พลันเปล่งประกายตาสีทองอีกครั้ง ไม่นานนักซวนหยวนหมิงไท่ก็รู้สึกถึงความเย็นเฉียบของสัตว์เลือดเย็น

           กำไลงูหินเริ่มมีชีวิต เกร็ดสีขาวเงางามที่เคยแข็งกลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบลื่น งูเผือกค่อยๆชูคอมองต้าเซียนเขม็งก่อนจะขู่ฟ่อดุร้ายใส่ไม่หยุด ทุกคนต่างจ้องมองไปทางงูเผือกตาไม่กะพริบ กลิ่นอายอันตรายเริ่มปรากฏขึ้น สักพักมันก็ไม่ขยับนิ่งเสมือนรอจังหวะ แลในช่วงที่ทุกคนไม่สามารถเดาความเคลื่อนไหวของมันได้ มันก็พลันดีดเข้าหาต้าเซียนทันที ปากของมันอ้ากว้างจนเห็นแฉกลิ้นสีแดง เขี้ยวคมสีขาวโดดเด่น ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเช่นน้ำทะเลเบิกกว้างราวกับยินดีที่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า
เซียวถิงฟงเห็นอันตรายที่จะบังเกิดขึ้นก็ไม่รอช้ารีบสาวเท้ายืนกำบังต้าเซียนเอาไว้ สองมือเตรียมรวบจับที่ลำคอของงู

           “อั่ก”

           ทว่าเสียงร้องแปลกๆดังขึ้น เซียวถิงฟงงงงันวูบเมื่อสองมือคว้าได้แต่อากาศ ส่วนงูเผือกตัวจ้อยนั้นกลับห้อยต่องแต่งอยู่ในมือขององค์รัชทายาทแล้ว

           กล่าวโดยสรุปอีกครั้งเมื่องูเผือกจะกระโจนตัวออกไป ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตัดสินใจคว้าหางของมันไว้มิให้หลุดมือ ยังผลให้ตอนนี้หัวของงูเผือกชี้ลงดินส่วนหางกลับลอยชี้ฟ้า สภาพกวัดแกว่งไปตามแรงที่มันกระโจนตัวแต่กระนั้นมันก็ยังขู่ไม่หยุดทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับยิ้มแหย

           “ฟ่อ เจ้าคนเนรคุณ ข้าช่วยเจ้าแต่กลับตอบแทนข้าเช่นนี้รึ”

           จากเสียงขู่ฟ่อของงูกลับกลายเป็นเสียงทุ้มเล็กๆของชายหนุ่ม ยังผลให้เขาตกใจเผลอคลายมือออก งูเผือกจึงหล่นตุบนอนขดตัวอยู่บนพื้น สักพักมันก็โผล่หัวชูคอแล้วเลื้อยเข้าไปใกล้เซียวถิงฟงกับต้าเซียนแทน

           แลยิ่งเข้าไปใกล้ร่างของงูเผือกก็เริ่มแปรสภาพกลายเป็นเด็กหนุ่ม เส้นผมของเขาเป็นสีดำเทาตัดกับผิวขาวบาง ดวงตาเรียวยาวสีฟ้าอมเขียวนั้นก็จับจ้องไปที่ต้าเซียนเขม็ง แต่แล้วปากก็ค่อยๆเบะออกอย่างสะเทือนใจ

           “ท่านมหาเทพ ในที่สุดท่านก็มารับข้าสักที ข้ารอท่านมาตั้งหลายร้อยปีแน่ะ โฮ” เด็กหนุ่มชุดเขียวพูดจบก็ผลักตัวเซียวถิงฟงที่ขวางอยู่จนกระเด็นออกไป จากนั้นถลาเข้าไปกอดขาต้าเซียนไว้พร้อมปล่อยโฮดังลั่น ดูแล้วพลันหมดสภาพความดุร้ายดังเช่นก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น
           
           “ไป๋เซ่อ ไป๋เซ่อใช่ไหม มิใช่ว่าเจ้าอยู่บนแดนสวรรค์หรอกรึ” ต้าเซียนขึ้นน้ำเสียงสูงด้วยความดีใจ แต่แล้วก็ต้องกลับมางงงันอีกครั้ง
           
           “ข้า หลังจากที่ท่านมหาเทพเข้าสู่นิมิตแล้ว อีกสองร้อยปีต่อมา ข้า ฮึก ก็แค่กินลูกท้อสวรรค์ไปแค่ไม่กี่ต้น เจ้าแก่เทพเซียนทั้งสามก็มาด่าทอข้าเสียยกใหญ่ แถมยังโหดร้ายถีบข้าลงมายังโลกมนุษย์ บอกว่าให้รอท่านมหาเทพกลับไปรับเอง ตัวข้าก็เฝ้ารอท่านมาตั้งหลายร้อยปี แต่ว่าตอนนี้ข้าจะได้กลับแดนสวรรค์แล้ว” ไป๋เซ่อทั้งสะอึกสะอื้นทั้งตะโกนร้องอย่างดีใจ พลางนึกถึงช่วงเวลาที่แสนสาหัสครั้งตกลงมายังโลกมนุษย์
         
           หลายร้อยปีก่อน เขาได้ตกลงมายังท้องพระคลังหลวงที่มีกองสมบัติขนาดใหญ่ มองไปทางไหนก็ไม่มีเพื่อนให้พูดคุย ครั้นรออยู่หลายร้อยปีเข้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงแปลงเป็นกำไลหินหลับรอท่านมหาเทพอยู่หลายร้อยปี ส่วนมหาดเล็กที่ดูแลพระคลังหลวง แม้ไม่รู้ว่ากำไลนี้มาจากที่ใดก็มิได้ใส่ใจมากนัก จึงจัดส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการถวายแก่เจ้านายในวัง

           ระหว่างนี้ไป๋เซ่อที่อยู่ในคราบกำไลจึงได้ถูกส่งมอบต่อๆกันไป ทว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นโลกภายนอกมากนัก เพราะมันมักถูกเก็บไว้ในกล่องที่มืดสนิท จวบจนกำไลนี้ตกอยู่ในความครอบครองขององค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ที่หยิบขึ้นมาใส่เพื่อระลึกถึงมารดา

           ต้าเซียนฟังไป๋เซ่อคร่ำครวญแล้วก็ต้องนึกสงสารสวนท้อบนแดนสวรรค์ เพียงแค่ไม่กี่ต้นของเจ้างูตะกละ ย่อมตีความหมายได้ว่าทั้งสวน สมควรแล้วที่ท่านอาวุโสเทพทั้งสามจะโกรธ แต่เมื่อฟังประโยคสุดท้ายของไป่เซ่อก็ต้องชะงักไป “เอ่อ ยังกลับมิได้หรอก คือตอนนี้แดนสวรรค์ถูกปิดกั้นเสียแล้ว ไม่ว่าใครก็เข้าออกมิได้”
           
           “กลับมิได้ เข้าออกมิได้ ฮึก ฮึก โฮ” งูเผือกไป๋เซ่อทวนคำ เมื่อทำความเข้าใจได้แล้วก็ยิ่งปล่อยโฮหนักขึ้นกว่าเดิม เป็นที่ระคายหูแก่เซียวถิงฟงและซวนหยวนหมิงไท่ถึงขนาดยกมือขึ้นปิดหู กว่าที่ไป๋เซ่อจะสงบสติอารมณ์ได้ก็เล่นเอาปลายกระโปรงของต้าเซียนชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
           
           “ว่าแต่ท่านมหาเทพ ทำไมแดนสวรรค์จึงถูกปิดกั้น” เมื่อร้องจนสาแก่ใจ ไป๋เซ่อจึงถามด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
           
           “เอ่อ จะว่าไปแล้วเรื่องมันยาวยิ่งนัก” เมื่อไม่รู้จะอธิบายถึงที่มาที่ไปอย่างไร ต้าเซียนจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆ ทั้งที่สักครู่ก่อนเขาพึ่งทำเบาะแสหลุดมือไป แต่จู่ๆก็ได้พบกับไป๋เซ่อ สัตว์เลี้ยงบนแดนสวรรค์แทนเป็นเหตุให้มึนงงอยู่บ้าง

           “กลิ่นอายของท่านมหาเทพเปลี่ยนไป” ยังไม่ทันจะได้อธิบาย ไป่เซ่อเปลี่ยนมาทำท่าสูดดม
               
           “หา” ต้าเซียนร้องเสียงหลง ยกแขนตัวเองขึ้นมาดมบ้าง แต่แล้วไป๋เซ่อเสมือนพึ่งนึกอะไรออก จากนั้นก็หันกลับไปชี้หน้าซวนหยวนหมิงไท่พลางทำตาเขียวใส่   
               
           “เจ้า เมื่อกี้เจ้าบังอาจทำให้ข้าดูน่าสมเพชต่อหน้าท่านมหาเทพ ข้าจะกัดเจ้า เจ้าคนเนรคุณ” พูดจบร่างก็พลันเปลี่ยนเป็นงูเผือก กระโดดตัวเข้าไปหมายจะกัดซวนหยวนหมิงไท่ให้จมสักเขี้ยวหนึ่ง
ต้าเซียนที่ดมกลิ่นตัวเองก็มิทันได้ห้าม เป็นเซียวถิงฟงที่ไหวตัวทันรีบตะครุบจับที่ส่วนหัวของไป๋เซ่อไว้ได้ ก่อนจะกดนิ้วลงที่ส่วนศีรษะเพื่อให้มันสิ้นฤทธิ์
               
           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เมื่อไป๋เซ่อที่ตกอยู่ในมือของเซียวถิงฟงก็มิอาจขัดขืนได้ จึงได้แต่ร้องขู่ฟ่อๆปลายหางสะบัดไปมาแสดงความไม่พอใจ
               
           “หากเจ้าอยากเป็นอิสระ จงจำไว้ว่าอย่าหันมาแว้งกัดข้าเด็ดขาด” ซวนหยวนหมิงไท่เดินเข้าไปใกล้พร้อมพูดขู่ใส่ ไป๋เซ่อรู้สึกราวกับถูกสบประมาทก็ยิ่งร้องขู่ไม่หยุด หางสะบัดไปมาอย่างแรง เซียวถิงฟงจึงต้องบีบที่ศีรษะมันแรงขึ้นอีก น้ำเสียงมันจึงเบาลงแต่ยังคงไม่ยอมแพ้
               
           “ไป๋เซ่อ” ครานี้ต้าเซียนเป็นฝ่ายร้องเรียก ไป๋เซ่อจึงจำยอมหยุดดิ้นไป “ท่านมิใช่มีเจตนาทำร้ายมันมิใช่รึ”
               
           ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม ในคราแรกนั้นเขาคิดใช้ต้าเซียนเป็นเหยื่อล่อให้งูเผือกแสดงตัวออกมา คราที่สอง เป็นการพิสูจน์ว่าต้าเซียนมิใช่ปีศาจอย่างที่กล่าวจริงหรือไม่ คราที่สามนั้น เขาเพียงแค่ต้องการรับรู้ถึงความรู้สึก และท่าทีของเซียวถิงฟงที่มีต่อต้าเซียน ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด สองคนนี้มีสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงต่อกัน ว่าแล้วเขาก็โบกมือส่งสัญญาณ

           เซียวถิงฟงจึงปล่อยเจ้างูเผือกไป ด้านไป๋เซ่อที่เป็นอิสระก็รีบเลื้อยไปหาต้าเซียนก่อนจะแปลงเป็นมนุษย์ยืนหลบอยู่ที่ด้านหลัง


*************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 8.2 พานพบมิคาดฝัน 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 24-10-2015 20:59:25
บทที่ 8.2 พานพบมิคาดฝัน


           
           “ก่อนอื่นข้าว่า เราควรทำความรู้จักกันเสียใหม่ดีไหม” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสนอ จากนั้นจึงผายมือเชิญไปที่ศาลาริมน้ำใกล้ๆ

           “เจ้าเป็นใคร” ต้าเซียนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน ตามองไปยังบุคคลที่รักษาไว้ซึ่งความสงบเยือกเย็นอยู่เสมอ
               
           “ข้าคือ รัชทายาทของราชวงศ์ซวนหยวน นามว่าหมิงไท่” น้ำเสียงทรงพลังกล่าวขึ้น ทว่าต้าเซียนกลับทำหน้าเหลอหลาหันไปขอความช่วยเหลือเซียวถิงฟงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

           “รัชทายาทคือกระไร” 

           “โง่งม” ถิงถิงที่ยืนพิงเสาอยู่เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งมองด้วยสายตาหยิ่ง

           “เจ้า เจ้ากล้าดูหมิ่นท่านมหาเทพเชียวรึ” ไป๋เซ่อขึ้นเสียงตวาด ทว่าเมื่อสบตากับอีกฝ่าย ใบหน้าก็พลันแดงก่ำพลางบิดม้วนตัวด้วยความอาย แต่แล้วถิงถิงกลับเชิดหน้าซ้ำส่งเสียงขึ้นจมูก ไป๋เซ่อเห็นแล้วก็อดใจแป้วมิได้จึงหันเข้าไปกอดต้าเซียน คล้ายกับจะเลื้อยรัดเป็นการปลอบใจตนเอง

           ด้านเซียวถิงฟงก็มองไป๋เซ่อที่เกาะแกะร่างน้อยก็บังเกิดความรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ “องค์รัชทายาทก็คือ พระโอรสขององค์ฮ่องเต้ ซึ่งถูกเลือกมาดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดพระราชสมบัติ ปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขร่มเย็นต่อไป” เขากล่าวอธิบายอย่างรวบรัดให้เข้าใจได้ง่ายๆ

           “แล้วฮ่องเต้ คืออะไร” เมื่ออีกคำถามถูกเปล่งออกมา ครานี้ทั่วบริเวณก็เงียบในชั่วอึดใจ มีเพียงต้าเซียนที่ถูกไป๋เซ่อกอดนั่งทำตากลมไร้เดียงสา

           “ฮ่องเต้ก็คือ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในการปกครองแผ่นดินนี้ หรือเรียกอีกอย่างก็คือโอรสสวรรค์” เซียวถิงฟงที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นผู้ตอบคำถามอีกครั้ง ในใจก็ลอบคิด...แสดงว่าที่ข้าพูดแนะนำสถานที่ในพระราชวังมาตั้งนาน เจ้ามหาเทพยาจกนี่มิได้จดจำเลยใช่ไหม

           “เช่นนั้นเขาก็คือบุตรของโอรสสวรรค์หรือ” ต้าเซียนถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ พอเห็นซวนหยวนหมิงไท่พยักหน้าให้ ดวงตาสีน้ำตาลจึงเริ่มเบิกกว้าง “เช่นนั้นเจ้าก็คือหลานของข้าน่ะสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าจะมีหลานโตถึงเพียงนี้” เ ขามองซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นลงอย่างชื่นชม หาได้รู้ไม่ว่าคนทั้งหมดต่างรู้สึกราวกับถูกฟ้าฟาดที่กลางกบาลศีรษะ สีหน้าของแต่ละคนตกตะลึงกันไปตามๆกัน

           “เจ้าจะล่วงเกินเบื้องสูงไปแล้วนะ” เซียวถิงฟงกล่าวปราม

           “อ้าว ก็เจ้าบอกเองว่าเขาเป็นบุตรของโอรสสวรรค์ เช่นนั้นก็เป็นหลานของสวรรค์ เท่ากับเป็นหลานของมหาเทพอย่างข้าน่ะสิ” ต้าเซียนเถียง ก่อนจะหันไปจ้องซวนหยวนหมิงไท่ที่ยังคงทำสีหน้าเรียบสนิท ปากเม้มเป็นเส้นตรง ตัวสั่นเล็กน้อย

           “ข้าบอกให้หยุดพูดไง” เซียวถิงฟงหันไปดุต้าเซียน

           “เจ้า กล้าดียังไงมาสั่งสอนท่านมหาเทพ” ทีนี้ไป๋เซ่อก็เข้าผสมโรง เซียวถิงฟงจึงหันไปฟาดฟันด้วยสายตาที่ราวกับมีประกายไฟประทุดุเดือด ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะที่คล้ายอัดอั้นเต็มที่ระเบิดออกมา ซวนหยวนหมิงไท่นั่งหัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ดพลางกล่าว

           “ฮ่า ฮ่า คุยกับเจ้ามิน่าเบื่อจริงๆ ใช่ข้าเป็นหลานเจ้า มา ข้าขอคารวะ” มือหนึ่งก็หยิบกาบนโต๊ะรินชาใส่ถ้วยพลางยื่นให้ร่างน้อย

           ต้าเซียนเองก็เอื้อมมือไปรับ แต่ก่อนดื่มก็มิวายหันมาพูดกับร่างสูงอีกสักประโยค “เห็นไหมข้าพูดถูก ข้ามิได้โง่งมอย่างที่เจ้าว่าเสียหน่อย” กล่าวจบก็หันไปดื่มชาด้วยท่าทางดีใจ

           ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็ต้องแค่นเสียงได้ในใจ เฮอะ เจ้าได้ครบทั้งสามคำจริงๆ ทั้งบ้า โง่งม และซื่อบื้อเอ้ย
หลังจากองค์รัชทายาทรินน้ำชาให้ต้าเซียนแล้วก็เป็นฝ่ายเริ่มถามบ้าง “เจ้า เป็นมหาเทพจริงๆ น่ะหรือ” สีหน้าดูเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง

           “ใช่ ข้านี่แหละ องค์มหาเทพที่ปกครองดูแลแดนสวรรค์” ต้าเซียนยืนยันอย่างหนักแน่น

           “และนั่นคือ...” ซวนหยวนหมิงไท่มองไปที่ไป๋เซ่อ

           “ไป๋เซ่อเป็นงูเผือกของแดนสวรรค์ แต่ถูกท่านอาวุโสเทพทั้งสามลงโทษมายังโลกมนุษย์ ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยดูแล”

           “มิกล้า มิกล้า เขาได้ช่วยข้าเอาไว้” ซวนหยวนหมิงไท่ส่งยิ้มไปให้ไป๋เซ่อแต่กลับถูกเมินใส่เสียสนิท

           “เช่นนั้น สระบัวที่ถูกเผาเกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่” เขาเริ่มถามตรงประเด็นทำให้เซียวถิงฟงเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่หนักอึ้ง

           “ใช่” ต้าเซียนตอบรับเต็มปากเต็มคำ

           “เช่นนั้น คนที่ท่านตามหา ใช่คนที่ทำลายสระบัวหรือไม่”

           “อาจใช่และมิใช่ ข้าต้องเห็นเองกับตาถึงจะบอกได้”

           “เขาเป็นใคร” ครานี้มิใช่องค์รัชทายาทถาม แต่เป็นเซียวถิงฟงที่ใจร้อนถามขึ้นมาแทน

           ต้าเซียนเงียบไปคล้ายครุ่นอย่างหนัก สักพักก็ตัดสินใจตอบตามตรง “จอมมารเฟยหลง อดีตนักรบเทพเกราะทองจากแดนสวรรค์”

           “เฟยหลง มิใช่ว่าเขาถูกจองจำอยู่รึ” ไป๋เซ่อตกใจจนตาเบิกโพลง

           ต้าเซียนได้แต่พยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “เกรงว่าทั้งสามพิภพตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว”

           เพียงแค่ฟัง ทั้งเซียวถิงฟงและซวนหยวนหมิงไท่ต่างก็สามารถต่างปะติดปะต่อเรื่องราวได้โดยเร็ว

           “เช่นนั้นเป้าหมายของจอมมารอะไรนั่นอยู่ที่ตัวเจ้าหรือ” เซียวถิงฟงถอนใจ นี่ต้าเซียนกำลังแบกรับภาระที่หนักอึ้งอยู่กระนั้นหรือ

           “ใช่” ต้าเซียนตอบพร้อมรอยยิ้ม

           “เช่นนั้น คนของเจ้า พวกเทพเซียนตนอื่นจะมาช่วยเจ้าด้วยใช่รึไม่” ครานี้เห็นต้าเซียนที่ยิ้มพยักหน้า เขาก็พลันโล่งใจ
ผิดกับไป๋เซ่อที่ติดตามท่านมหาเทพมานาน ซ้ำยังรู้สภาพการณ์ของแดนสวรรค์เป็นอย่างดี จึงเข้าใจแน่แท้ว่า หากปิดกั้นแดนสวรรค์แล้ว ย่อมหมายความว่าท่านมหาเทพต้องการจัดการเรื่องนี้เพียงลำพัง ว่าแล้วก็เข้าไปกอดท่านมหาเทพให้กระชับมากขึ้น

           “เช่นนั้น ท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า” แววตาของซวนหยวนหมิงไท่ดูขบคิดอย่างละเอียด

           “ข้าต้องการเพียงแค่สืบหาเบาะแสจากสระบัว มิรบกวนท่านมาก จะได้หรือไม่” เขามิได้ต้องการให้เซียวถิงฟงและซวนหยวนหมิงไท่ต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ เพียงต้องการสืบหาเบาะแสจากสระบัวเท่านั้น

           “ข้ารับปาก แต่ท่านคงต้องตอบแทนข้าเล็กน้อยเช่นกัน” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม ในใจใคร่คิดถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เสร็จสรรพ

           “ได้” ต้าเซียนตอบอย่างไม่ลังเล

           “จะไม่ถามก่อนรึว่าข้าต้องการให้ท่านช่วยเรื่องอะไร” ไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าจะตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้

           “หากข้าช่วยได้ แม้จะเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย ข้าก็เต็มใจที่จะช่วย อีกทั้งเจ้าเป็นถึงหลานข้าทั้งที”

           ได้ยินคำตอบเช่นนี้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็แทบจะสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มออกมาทันที เขาหัวเราะสดใส เหมือนครั้งที่อยู่ในวัยเด็กซุกซน ทำให้เซียวถิงฟงยิ้มพลางคิดว่านานแล้วที่ไม่ได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเช่นนี้

           เมื่อตะวันคล้อยเข้าสู่ยามเย็น องค์รัชทายาทก็ออกปากว่าจะไปส่งคนทั้งสองถึงประตูวัง เซียวถิงฟงจึงรีบปฏิเสธ “กระหม่อมมิกล้า องค์รัชทายาทโปรดอย่าทรงลำบากไปเลย”

           “ทีอย่างนี้ทำมาเป็นนอบน้อม แต่ข้าจำเป็นต้องไปส่งพวกเจ้าจริงๆ” องค์รัชทายาทประชดเล็กๆ จากนั้นจึงกล่าวหน้าจริงจัง

           สุดท้ายเซียวถิงฟงทัดทานไม่สำเร็จจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น แต่ใช่ว่าปัญหาจะมีแค่นั้น ไป๋เซ่อ งูเผือกโรคจิตยังคงเกาะติดหนึบกับต้าเซียนมิปละปล่อย ดูน่าหมั่นไส้ยิ่ง “กับเจ้า ข้าไม่อนุญาต”

           ไป๋เซ่อถึงกับชะงักเล็กน้อยก่อนหันไปประจบเจ้านายด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านมหาเทพ”

           “ข้าเห็นด้วยกับถิงฟง  ไป๋เซ่อเจ้าควรอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าที่นี่อาจมีปีศาจหลงเหลืออยู่ เจ้าควรอยู่ปกป้องหลานข้า อีกทั้งสืบหาเบาะแสอื่นๆ” ต้าเซียนสั่ง รอยยิ้มของไป๋เซ่อจึงพลันแข็งค้างรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย

           “ฝากไว้ก่อนเถิด” ไป๋เซ่อชี้หน้าทำตาเขียวใส่เซียวถิงฟง ก่อนกลายร่างเป็นงูเลื้อยไปหาซวนหยวนหมิงไท่ แล้วกลับกลายเป็นกำไลงูหินเช่นเดิม มีบางคราที่ตาสีฟ้าอมเขียวกะพริบน้อยๆ

           ระหว่างที่องค์รัชทายาทมาส่งเซียวถิงฟงและต้าเซียนถึงประตูวัง นางกำนัลผู้หนึ่งก็เข้ามาขวางขบวนเสด็จ เซียวถิงฟงพลันเข้าใจสาเหตุที่องค์รัชทายาทจำต้องมาส่งพวกเขาด้วยตนเอง นางกำนัลผู้มีอายุราวสี่สิบผู้นี้กำลังน้อมตัวถวายความเคารพ หากแต่องค์รัชทายาทกลับตีสีหน้าเคร่งขรึม มิได้เหลือบแลไปทางนางผู้นี้แม้แต่น้อย

           “ขอพระราชทานอภัยเพคะองค์รัชทายาท องค์หญิงหย่าเหลียนมีรับสั่งให้ข้าน้อยนำตัวท่านจอมหงวนบู้เซียวไปพบองค์หญิงที่ตำหนักลุ่ยหวาเพค่ะ” นางกำนัลคนนั้นกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม

           “จงนำความข้าไปบอกแก่องค์หญิงหย่าเหลียน ท่านจอมหงวนบู้เซียวจำเป็นต้องไปทำธุระให้ข้าอย่างเร่งด่วน มิอาจไปพบตามนัดหมายได้”

           กล่าวจบซวนหยวนหมิงไท่ก็เดินผ่านนางไปอย่างไม่ใส่ใจ นางเองก็ทำอะไรมิได้ ครั้นพอเห็นต้าเซียนเดินผ่านก็ส่งสายตารังเกียจเดียดฉันท์ใส่ ทว่าต้าเซียนกลับมิได้เก็บมาใส่ใจ

           ที่หน้าประตูวังหลวง รถม้าของตระกูลเซียวได้เคลื่อนมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว ต้าเซียนมองรถม้าอย่างอึดอัดใจเล็กน้อยเนื่องเพราะเหตุการณ์เจ็บตัวเมื่อเช้า ครั้นทำใจได้ซวนหยวนหมิงไท่ก็กล่าวขึ้นก่อน

           “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนรับท่านมาที่นี่” ต้าเซียนพยักหน้ารับก่อนหายเข้าไปในรถม้า

           “ทรงวางแผนกระไรกันแน่” เซียวถิงฟงกระซิบถาม เหตุใดต้องรับสั่งให้ต้าเซียนเข้าวังพรุ่งนี้อีก ทว่าซวนหยวนกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงก่อกวน

           “อา ข้าละชอบจริงๆ เวลาที่เจ้าเดาใจข้าไม่ออก”

           ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็ต้องเค้นเสียงเฮอะคำหนึ่งก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าไป แต่แล้วไม่นานก็ต้องชะงักกายขึ้น
           
           “เซียวถิงฟง พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะพระราชทานตำแหน่งแก่เจ้า จากนี้ไปจงหลีกเลี่ยงการพบปะกับหย่าเหลียนตามลำพังให้ได้มากที่สุด” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเพียงแค่นั้นก็หยุดเสียงลงคล้ายยังครุ่นคิดอะไรอยู่ รอสักพักจึงกล่าว “รับปากข้าอยู่เคียงข้างข้า” เสียงนั้นค่อนข้างแผ่วเบาทั้งแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า

           “อืม” เซียวถิงฟงตอบ จากนั้นจึงสั่งให้คนม้าออกรถ

           คนจากไปแล้วแต่ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงยืนอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม บัดนี้รอยยิ้มปรากฏอยู่ที่มุมปาก มันมิใช่รอยยิ้มเสแสร้งที่มีให้แก่ขุนนางใหญ่หรือเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย หากแต่เป็นรอยยิ้มแสดงความตื้นตันใจ

           ก่อนหน้านี้ตนลำบากใจไม่น้อยที่จะต้องพูดเชิงออกคำสั่งเช่นนี้ มันเปรียบเสมือนการไล่ต้อนให้สหายสนิทต้องจนมุมยอมเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเขา ทั้งๆที่รู้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่อีกมากที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่เซียวถิงฟงยังคงรับปาก แม้จะไม่ได้หันมามองเขา แม้จะเป็นเพียงตอบคำสั้นๆ แต่ก็เป็นคำกล่าวกับสหาย มิใช่คำตอบรับเช่นนายกับบ่าว



*************************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 9.1 หว่านเมล็ด 25/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 25-10-2015 21:11:43
บทที่ 9 หว่านเมล็ด


           เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ตระกูลเซียวก็มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น ขันทีประจำองค์ฮ่องเต้ได้มาถ่ายทอดพระราชโองการถึงที่หน้าจวนจนเหล่าข้ารับใช้ในจวนต่างก็คึกคัก ด้านเซียวถิงหลี่เองก็ยืนมองบุตรชายในชุดพระราชทานตำแหน่งรองแม่ทัพค่ายกองธงพยัคฆ์ ซึ่งกำลังติดตามขบวนขันทีประจำพระองค์ไปเข้าเฝ้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้อย่างมีความในใจ
           
           เดิมทีตระกูลเซียวทั้งหมดสามรุ่นล้วนเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนด้วยกันทั้งสิ้น แต่ครานี้ทายาทรุ่นที่สี่กลับเลือกที่จะแตกแขนงไปสู่ฝ่ายทหาร ทำให้เซิงอู่เจิง อัครเสนาบดีฝ่ายขวาที่รั้งตำแหน่งพระสัสสุระขององค์ฮองเฮาในรัชกาลปัจจุบันมีท่าทีวิตกไม่น้อย

           แม้ตระกูลเซิงจะเป็นฐานอำนาจหลักที่ให้การสนับสนุนแก่องค์ชายซวนหยวนหย่าเซิง ขุมอำนาจในพระราชสำนักก็มีมิใช่น้อย แต่การที่เซียวถิงฟงซึ่งเป็นพระสหายขององค์รัชทายาทคิดขยายอำนาจไปยังฝ่ายทหาร เพาะสร้างขุมกำลังที่แข็งแกร่งให้กับพระองค์ รอจนเมื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมทัพมีกำลังพลนับหลายหมื่น เพลานั้นตระกูลเซิงมิยากจะรับมือหรอกหรือ

           ดังนั้นพวกเขาได้แต่คิดทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ประจวบเหมาะกับที่เซียวถิงฟงยังไร้คู่ครอง การเกี่ยวดองทางสายเลือดถือเป็นวิธีที่ชาญฉลาด ตระกูลเซิงย่อมต้องฉวยโอกาสตีเหล็กที่กำลังร้อน แต่น่าเสียดายที่ตีช้าไปกว่าเขา หึ หึ

           “พ่อบ้านดำเนินการ” เซียวถิงหลี่ยกมือส่งสัญญาณให้กับพ่อบ้านในขณะที่ร่างของบุตรชายหายลับไปจากจวนรับรอง มุมปากก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “บุตรโง่เขลา ครานี้เจ้าหนี้ข้าครั้งใหญ่ทีเดียว ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วห้อง เล่นเอาเซียวถิงฟงที่กำลังขึ้นหลังม้ารู้สึกขนลุกขนพองอย่างไม่ทราบสาเหตุ

           อีกด้านหนึ่งต้าเซียนกำลังนั่งอยู่ในสวนของจวนด้วยชุดสีฟ้าอ่อนดูสบายตา แต่ในมือกลับโบกพัดให้ตัวเองอย่างถี่ยิบ “ร้อน ร้อนจริงๆ” บ่นพึมพำได้เพียงไม่กี่คำ พ่อบ้านตระกูลเซียวพร้อมกับสาวใช้สองคนก็โผล่ออกยิ้มแฉ่งให้
 
           “เอ่อ มีธุระกับข้ารึ” เขามองอย่างงงงัน

           “ขออภัยคุณชายด้วย” พ่อบ้านกล่าวตอบสั้นๆ รอยยิ้มมิได้จางหายไปจากสีหน้า มือหนึ่งโบกขึ้นรวดเร็ว จากนั้นสาวใช้ทั้งสองก็ตรงดิ่งตะครุบตัวคนทำหน้าเหลอหลาก่อนจะพาลากออกจากสวนไป

           “เอ๊ะ เดี๋ยวๆสิ ข้ามิได้ตั้งใจทำแจกันในห้องแตกเลยนะ มันเป็นอุบัติเหตุ ข้าซ่อมมันได้นะแต่ขอเพลาข้าฟื้นฟูพลังก่อนนน” ต้าเซียนแตกตื่นโพล่งกล่าวออกมาเป็นชุด เดิมทีเมื่อคืนแค่คิดฝึกฝีมือแต่ดันพลาดท่าทำมันแตก ดูๆแล้วราคาของแจกันค่อนจะข้างแพง เขาเลยแอบซ่อนไว้ก่อน มิคิดว่าจะถูกจับได้เร็วเช่นนี้

           ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ต้าเซียนก็ต้องยิ้มแหยผ่านกระจกทองเหลือง สาวใช้ที่หิ้วปีกมาคล้ายทรมาทรกรรมเขา จับเขาแต่งตัวราวตุ๊กตามิพอ นี่ยังถึงกับผัดแป้ง ทาชาดที่ริมฝีปาก จัดทรงผมประดับปิ่นมุก ตามที่สตรีนิยม ดูท่าฝีมือยังเหนือกว่าเหม่ยอิงกับฮัวหลงมากนัก

           “คุณชาย รีบไปที่หน้าจวนเถิด เพลานี้รถม้ารอท่านอยู่แล้ว” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวขึ้น

           ต้าเซียนรับฟังด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้...สภาพเช่นนี้ยังคิดให้ข้าไปพบผู้ใด ทว่าความผิดที่ทำข้าวของเสียหายคล้ายเป็นชะงักติดหลัง ฝีเท้าจึงก้าวออกไปแต่โดยดี ครั้นมาถึงหน้าจวน รถม้าก็จอดรออยู่จริงๆ อีกทั้งที่ด้านข้างยังมีคนอีกผู้หนึ่งรออยู่ด้วย

           “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม” เซียวถิงหลี่กล่าวชื่นชมไม่หยุดปาก สายตาก็ไล่มองต้าเซียนในชุดสีม่วงอ่อนอย่างเอ็นดู ก่อนจะกล่าวเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ขึ้นม้าเถอะ”

           ต้าเซียนมองดูก็ต้องเกาหัวน้อยๆ จากนั้นจึงยินยอมขึ้นรถม้าไป ไม่นานนักเซียวถิงหลี่ก็ตามขึ้นมาก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากจวนระหว่างทางพลันสังเกตเห็นได้ว่าอีกฝ่ายส่งยิ้มให้อยู่บ่อยครั้ง

           ...เอ รึว่าแจกันใบนั้น จะมิมีปัญหาจริงๆ

           “ต้าเซียน มิต้องกังวลไป ในเมื่อถิงฟงล่วงเกินเจ้า นับจากนี้ไปเขามิอาจไม่รับผิดชอบเจ้าได้” จู่ๆ เซียวถิงหลี่ก็กล่าวขึ้น
ร่างน้อยถึงกับงงงันวูบ มิใช่เรื่องแจกันหรอกรึ แต่เป็นเช่นนั้นก็ดี ว่าแล้วก็รีบยิ้มกว้างพยักหน้าขึ้นลงอย่างแรง
เห็นดวงหน้าเล็กมิได้มีสีหน้าขุ่นข้อง เซียวถิงหลี่ก็ลอบยิ้มดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์...เซียวถิงฟงในที่สุดเจ้าก็หนีมือข้าไม่พ้น ฮ่า ฮ่า

           กระทั่งมาถึงยังพระราชวัง เซียวถิงหลี่เพียงก้าวเข้าไปไม่กี่ก้าวก็มีขุนนางใหญ่น้อยเข้ามาคำนับชวนสนทนาไม่หยุดหย่อน แต่วันนี้กลับผิดแผกไปเล็กน้อยเมื่อเขาก็เจรจาพาทีร่วมด้วยอย่างที่นานๆครั้งจะได้พบ
           
           “มิทราบสตรีที่อยู่ทางด้านหลังใต้เท้า คือ” รอจนขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งสังเกตเห็น เซียวถิงหลี่ก็หัวร่อเบาๆพลางกล่าวตอบ

           “นางน่ะรึ หลานห่างๆของข้าเอง อีกทั้งยังเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตของข้าด้วย ฮ่า ฮ่า” กล่าวจบก็ดึงร่างที่ยืนหลบออกมาท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็น

           ต้าเซียนถูกล้อมรอบด้วยขุนนางทั้งหลาย แต่ละคนก็มองอย่างไม่วางตา สถานการณ์แบบนี้ดูๆแล้วไม่มีใครรับมือได้ดีเท่ามหาเทพอย่างเขา ว่าแล้วก็งัดไม้เด็ดออกมาส่งรอยยิ้มแฉ่งระบายไปทั่วหน้า ยังผลให้กลุ่มขุนนางน้อยใหญ่น้อยต่างมองกันตาเลื่อนลอย

           “สมกับบุตรชายท่านยิ่งนัก งดงามมิมีที่ติ” ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวด้วยดวงตาชวนฝัน

           “นี่ก็สายแล้ว ข้าต้องนำนางไปแนะนำกับองค์รัชทายาทอีก เช่นนั้นขอตัว” เซียวถิงหลี่ได้ทีก็ถือโอกาสกล่าวอำลา จังหวะนั้นที่หางตาก็ชำเลืองเห็นขุนนางผู้หนึ่งรีบร้อนผละออกไป มุมปากก็พลันยกยิ้มขึ้น


****************************************************



           ที่ตำหนักเหวินหัวหรือที่พำนักขององค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ ขันทีน้อยประจำพระองค์เสี่ยวลู่ก็ได้นำพาคนทั้งสองไปยังห้องทรงพระอักษร เมื่อถึงที่หมายก็ขานกล่าวที่หน้าประตู

           “องค์รัชทายาท ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเซียวขอเข้าเฝ้าพระย่ะค่ะ”

           “เชิญเข้ามา” เมื่อเสียงทุ้มข้างในห้องดังขึ้น เสี่ยวลู่ก็จัดแจงเปิดประตูให้คนทั้งสองเข้าไป

           ภายในห้องปรากฏเป็นซวนหยวนหมิงไท่ในชุดสีขาวปักลายดอกพุดตานกำลังนั่งจิบชาด้วยท่วงท่าสง่างาม ที่บนโต๊ะยังมีงูเผือกตัวหนึ่งกำลังสะบัดฟัดเหวี่ยงขนมในจานไปมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ไกลนักยังมีสตรีที่ดูหยิ่งผยองกำลังใช้เล็บแหลมคมดึงทึ้งไหมพรมบนตักอย่างไม่สนใจใคร ดูไปแล้วองค์ประกอบในห้องนับว่าแปลกตายิ่ง ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับมิได้สะทกสะท้านต่อสายตาเซียวถิงหลี่และต้าเซียนสักเท่าไหร่ ผิดกับพวกขันทีและองครักษ์ที่ประสาทบางกว่า มองเห็นภาพในห้องแล้วอดประหลาดตาพิกลมิได้

           “ใต้เท้าเซียว ไม่นึกว่าท่านจะมาเร็วถึงเพียงนี้ ข้านึกว่าต้องรอให้ถึงยามบ่ายเสียอีก”

           “หึ หึ พระองค์มิต้องรอนานถึงเพียงนั้น เครือข่ายคนตระกูลเซิงมีไม่น้อย กระหม่อมจึงไม่ต้องเปลืองเวลามากนัก อีกอย่างเกรงว่าเรื่องนี้คงจะถึงหูคนตระกูลเซิงเรียบร้อยแล้วเช่นกัน” เซียวถิงหลี่หัวเราะขึ้นเมื่อนึกถึงเซิงอู่เจิงไม้เบื่อไม้เมาที่ตอนนี้น่าจะโมโหจนลมออกหู

           “ต้องขอบคุณท่านมาก ใต้เท้าเซียว”

           “มิบังอาจ เป็นกระหม่อมต่างหากที่ต้องขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงช่วยดูแลเจ้าลูกชายไม่เอาไหนของกระหม่อม”

           “ดูท่านอารมณ์ดีมากทีเดียว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มให้กับท่าทีอารมณ์ดีเป็นพิเศษของอีกฝ่าย

           “ได้เอาคืนเจ้าลูกคนนี้สักที กระหม่อมสะใจมากทีเดียว ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะที่ดังทั่วห้อง ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วก็ต้องนึกขบขำ นิสัยของสองพ่อลูกคู่นี้ ไม่มีใครยอมใคร แม้ดูภายนอกจะขัดแย้งกันบ่อยครั้ง แต่ก็ผูกพันกันมากกว่าที่ตาเห็น

           “ถ้าอย่างไรกระหม่อมขอตัวไปสะสางราชการต่อแล้ว”

           “ท่านไปเถิด ไม่รบกวนท่านแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ไม่คิดรั้งตัวไว้ต่อ เซียวถิงหลี่จึงทิ้งให้ต้าเซียนอยู่ภายในตำหนักของเขาเพียงลำพัง

           “วันนี้ท่านดูงามมาก”

           เมื่อคนจากไปเขาก็หันไปกล่าวหยอกล้อกับคนตรงหน้า ทว่าต้าเซียนไม่ถือสา ทั้งยังยื่นมือไปหยุดยั้งการกระทำที่ดูบ้าคลั่งของไป๋เซ่อแทน ท้ายที่สุดงูเผือกก็ยอมคายขนมในปากทิ้งพลางเลื้อยพันที่แขนเรียวแน่น

           “ทำไมไป๋เซ่อถึงไม่คืนรูปแล้วล่ะ”

           “ไม่ทราบเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อวานมันก็ไม่ยอมแปลงกลับเป็นมนุษย์อีก” เขายักไหล่พูดด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะสังเกตเห็นดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวที่จับจ้องถิงถิงที่กำลังตะกรุยไหมพรมไม่เป็นชิ้นดี ก็พลันเข้าใจในที่สุด เขายิ้มพลางกล่าวกระเซ้าเย้าแหย่ “ดูท่างูเผือกจากแดนสรรค์ก็เขินอายเป็นเหมือนกันด้วยรึ”

           “เจ้าปากพล่อย เจ้าว่าใครเขินอาย” ไป๋เซ่อหันขวับขู่ฟ่อใส่ซวนหยวนหมิงไท่อย่างดุร้าย แต่ครั้นเหลือบไปเห็นสายตานิ่งๆขององค์มหาเทพก็จำต้องหยุดการกระทำลง

           “เรื่องที่เจ้าขอให้ข้าช่วยคือเรื่องนี้หรอกหรือ” ต้าเซียนกล่าวถามเข้าประเด็น

           “ใช่ ข้าต้องการให้ท่านเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเซียว”

           “ได้” เพียงชั่วลัดนิ้วมือต้าเซียนก็ตอบสั้นๆ ดวงตาฉายแววมาดมั่น ทว่าเอาเข้าจริงลูกสะใภ้คืออะไร ตนก็ยังไม่รู้ แต่ทว่าไป๋เซ่อที่เลื้อยรัดอยู่ที่แขนกลับเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี มันถึงกับชะงักงันไป

           “เจ้า บังอาจล่อลวงท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่อคืนรูปสู่ร่างมนุษย์พลางขึ้นเสียงกราดเกรี้ยวใส่ชายที่พูดจาเอาเปรียบ
ครานี้ถิงถิงหยุดตะกรุยไหมพรมแล้ว ทั้งยังก้าวเข้ามาผสมโรงโต้เถียง “เขาต่างหากที่ล่อลวงเจ้านายข้า”

           “ไม่จริงหรอก หน้าตาเจ้าคนแซ่เซียวนั่นดูเจ้าเล่ห์จะตาย” ไป๋เซ่อโก่งคอตะโกนไปหน้าแดงไป ครั้นถิงถิงจะโต้กลับ มือหนึ่งก็ยกขึ้นปราม

           “ข้าได้ยินมาจากใต้เท้าเซียวว่า เซียวถิงฟงล่อลวงท่านจริงรึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามน้ำเสียงจริงจัง
ต้าเซียนหยุดทวนความทรงจำเล็กน้อย อืม คำว่าล่อลวง หมายความหนีตามกันไป จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ในช่วงระหว่างหนี แต่เรื่องที่เขาติดตามเซียวถิงฟงไปนั้นก็เป็นความจริง เช่นนั้นก็คล้ายกับล่อลวงกระมัง “ใช่” เขาตอบตาแป๋ว

           ไป๋เซ่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้น ดูว่าตนคิดไม่ผิด เจ้ามนุษย์ผู้นั้นล่อลวงท่านมหาเทพจริงๆ

           “แล้วข้ายังได้ยินมาอีกว่า เซียวถิงฟงทำบัดสีบัดเถลิงกับท่านใช่รึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ต้าเซียนหยุดคิดอีกครั้ง นึกถึงวันที่เซียวถิงฟงจับตัวเขากลิ้งไปมากับพื้น กระทั่งเซียวถิงหลี่มาพบเข้าแล้วบอกว่านี่เป็นการกระทำที่บัดสีบัดเถลิง “ใช่ๆ เป็นเช่นนั้น” เขาพยักหน้าถี่ยิบ

           ครานี้ไป๋เซ่อเริ่มยิ้มไม่ออกแล้ว อีกทั้งสีหน้ายังฉายแววสะเทือนใจ ส่วนถิงถิงที่คิดจะอ้าปากอธิบายก็กลับถูกองค์รัชทายาทห้ามไว้อีกครั้ง นางจึงได้แต่ทำแง่งอนเดินไปตะกรุยไหมพรมเช่นเดิม

           “หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านสมควรเป็นสะใภ้ตระกูลเซียว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกว้างกล่าวสรุป เห็นร่างน้อยพยักหน้ารับก็กล่าวสืบต่อ “แล้วท่านรู้รึไม่ สะใภ้ของตระกูลเซียวต้องปฏิบัติตนเช่นไร” ดีที่คนตรงหน้าไม่ประสีประสาอะไร อีกทั้งยังน่าจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าลูกสะใภ้ดี แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายให้ฟัง

           “เอ ยุ่งยากมากรึไม่” ต้าเซียนกล่าวอย่างไม่มั่นใจนัก แต่ก็มีท่าทีใจจดใจจ่อรอฟัง

           เขาถึงกับลอบยิ้ม “มิต้องกังวลไป นี่มิใช่เรื่องยุ่งยาก เอาเป็นว่าระหว่างทางไปสระบัว ข้าจะค่อยๆอธิบายให้ท่านฟังอย่างละเอียดเอง”
           

*********************************************

           
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 9.2 หว่านเมล็ด 25/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 25-10-2015 21:16:55
บทที่ 9.2 หว่านเมล็ด


           ท้องฟ้าสว่างไสว แดดบางเบาให้ความอบอุ่น ขณะนี้ต้าเซียนยืนมองสระบัวที่มีขนาดไม่กว้างนัก ดูว่าครั้งหนึ่งที่แห่งนี้เคยเปี่ยมไปด้วยดอกบัวที่บานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมกรุ่นนำพาให้เหล่าผีเสื้อโบยบินดูงามตา แต่บัดนี้กลับเหลือเพียงความร้างลา บรรยากาศทะมึนหม่นหมอง ธารน้ำใสขุ่นมัวด้วยเถ้าถ่าน ไม่มีแต่เศษเสี้ยวของสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เคยแหวกว่าย

           ร่างพลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบ เบื้องหน้าคล้ายบ่งบอกความห่างเหิน อีกนัยหนึ่งคือ การประกาศตัวเป็นศัตรู ต้าเซียนได้แต่ทอดถอนใจพลางย่อตัวลงที่ข้างสระ เขาเลิกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นหย่อนมืออันขาวนวลลงสู่ผิวน้ำ เพียงปลายนิ้วเรียวสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงพลังร้อนแรงที่ราวกับเปลวไฟเผาผลาญ ทว่าเขากลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงหย่อนมือลึกลงไปแล้วกำเอาเศษเถ้าธุลีที่จมอยู่ใต้น้ำขึ้นมาเพ่งพินิจอย่างสงบเงียบ

           “ท่านมหาเทพ ใช่ฝีมือเขาหรือไม่” ไป๋เซ่อกล่าวถาม ด้านซวนหยวนหมิงไท่เองก็กล่าวถามอย่างสงสัยด้วยเช่นกัน

           “ใช่ จอมมารเฟยหลง บุคคลที่ท่านกล่าวถึงเมื่อวานหรือไม่”

           “เกรงกว่าอาจจะใช่” ต้าเซียนมองธุลีในมือนิ่ง จากนั้นจึงยกจ่อใกล้ริมฝีปาก พ่นลมหายใจที่รวยรดด้วยลมปราณแห่งเทพ ไม่นานนักฝุ่นละอองสีดำในมือกลับเปลี่ยนเป็นเม็ดทรายสีน้ำเงินต้องประกายแดด “ข้าคิดว่าเป็นพลังของเขาที่ทำลายสระบัวแห่งนี้ แต่ผู้ที่ลงมืออาจเป็นเหล่าปีศาจ สมุนของจอมมารเฟยหลง” พูดจบก็กำเม็ดทรายนั้นไว้อย่างหนักใจ

           “เช่นนั้น ท่านต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรอีกหรือไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถาม

           “ท่านห้ามมิผู้ใดเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้อีกได้รึไม่ ข้าเกรงว่าเหล่าปีศาจจะหวนกลับมาที่นี้อีกครา”

           “เดิมทีหลังจากเกิดเหตุประหลาด สระบัวแห่งนี้ก็ถูกปิดตายมาโดยตลอด ที่เราสามารถเข้ามาที่นี่ได้เป็นเพราะข้าได้ขอร้องท่านเจ้ากรมตุลาการให้เข้ามาตรวจสอบที่นี่เพียงชั่วคราว ท่านมิต้องกัง...”

           “ถิงฟง” ต้าเซียนพลันเอ่ยแทรกขึ้น ด้วยจู่ๆก็จับกระแสความโกรธเกรี้ยวของเซียวถิงฟงไว้ได้ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังตรงรี่มาที่นี่

           “หือ เซียวถิงฟง มีอะไรรึ”

           “กำลังมา...โกรธเกรี้ยว” เขาหลับตาแล้วจึงสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ ด้านองค์รัชทายาทก็เลิกดวงตาอย่างสงสัย

           “ท่านรู้ได้อย่างไร”

           กล่าวจบที่ด้านหนึ่งก็ปรากฏคนที่มีสีหน้าบึ้งตึงยิ่ง เซียวถิงฟงในชุดเต็มยศได้เดินดุ่มๆ ตรงเข้ามาหาซวนหยวนหมิงไท่ด้วยสีหน้าถมึงทึง แลแวบหนึ่งก็ผินหน้ามองต้าเซียนที่นั่งยองๆกับพื้น จากนั้นก็หันไปจับหมับที่บ่าสหายก่อนพาออกไปคุยอีกด้านหนึ่งแทน

           “เจ้าไม่คิดจะคำนับข้าก่อนรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวติดตลก

           “ที่นี่ไม่มีใครอื่น” เซียวถิงฟงตอบสั้นๆ ไม่สนใจพิธีรีตองทั้งหลาย

           “เช่นนั้นเจ้ามีเรื่องอะไร เหตุใดต้องพาข้ามาสนทนาถึงตรงนี้ด้วย” ยังคงกล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว ริมฝีปากผุดรอยยิ้มคล้ายยั่วอารมณ์คนตรงหน้า

           “ทะ ท่านกับ ท่านพ่อข้า” เซียวถิงฟงถึงกับกัดฟันพูด

           “ข้าทำไมกัน” ทว่าองค์รัชทายาทยังคงแกล้งตีสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว

           “ท่านกับพ่อข้าร่วมมือกันจับข้าแต่งกับเจ้าคนซื่อบื้อตรงนั้น” เขาขึ้นเสียงกล่าวอย่างเน้นย้ำ นิ้วก็ชี้ไปที่ร่างน้อย

           ดูว่าหลังจากที่เซียวถิงฟงออกจากท้องพระโรง ต่างก็มีขุนนางผู้ใหญ่ไม่น้อยที่เข้ามาแสดงความยินดี คราแรกเขาก็มิได้แปลกใจมากนัก ด้วยเข้าใจว่าคนเหล่านี้แสดงความยินดีด้วยเรื่องตำแหน่ง จวบจนมีขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวหยอกล้อขึ้น
“ว่าที่ภรรยาท่านงามมาก ได้ฤกษ์แต่งหรือยัง ท่านรองแม่ทัพ” ประโยคดังกล่าวเล่นเอาใบหน้าเขาแข็งทื่อหุบยิ้มไม่ลง ครั้นมาถึงตำหนักเหวินหัวจึงได้ทราบเรื่องจากถิงถิงว่า เป็นบิดาที่ก่อเรื่องโพทะนาไปทั่วถึงเรื่องว่าที่สะใภ้ อีกทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลับเป็นสหายของตนเอง ทำเอาเขาแทบจะกำฮูป่านที่ทำจากงาช้างแหลกจนเป็นผุยผง
           
           “อืม มิผิด สามวันก่อนที่เจ้าจะมายังฉางอัน ข้าบังเอิญได้พบกับใต้เท้าเซียวที่หน้าตำหนักจื่อเฉิน จึงได้หยุดคุยกันสักหลายประโยค ใต้เท้าเซียวได้เล่าว่าตัวเจ้าประพฤติตนเลวร้าย ล่อลวงบุตรชายของผู้อื่นไม่พอ หนำซ้ำยังทำบัดสีบัดเถลิงต่อหน้าธารกำนัล ดังนั้นบิดาเจ้าจึงขอร้องให้ข้าช่วยเกลี้ยกล่อมเจ้าให้รับผิดชอบคนผู้นี้ ตอนแรกข้าก็ยังมิเชื่อ ด้วยนิสัยของเจ้าคงไม่มีวันไปล่อลวงผู้ใดมา แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าได้ให้คนส่งสาสน์ไปหาเจ้า ใจความว่าให้เจ้านำสตรีนางหนึ่งมาที่วังหลวง เพื่อให้หย่าเหลียนเข้าใจว่าเจ้ามีคนรักอยู่แล้ว จำได้รึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวทวนความจำ รอจนเซียวถิงฟงพยักหน้าจึงกล่าวต่อ

           “ภายหลังข้าถึงได้ทราบว่าเด็กหนุ่มที่ใต้เท้าเซียวกล่าวถึงก็คือ ต้าเซียน เด็กหนุ่มที่ปลอมเป็นสตรีที่เจ้าพาติดตามมายังวังหลวงด้วย ดังนั้นข้าจึงได้เจรจากับบิดาเจ้าเรื่องที่ตระกูลเซิงต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลเซียว สุดท้ายพวกเราก็ตกลงให้ต้าเซียนทำหน้าที่เป็นว่าที่ภรรยาของเจ้า” รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่กล่าวอธิบายหน้าตาย
           
           “เจ้าแก่เลอะเลือน” เซียวถิงฟงถึงกับสบถออกมาอย่างโมโห ทั้งๆที่รู้ว่าต้าเซียนเป็นบุรุษ แต่กระนั้นก็ยังคิดยัดเยียดตำแหน่งภรรยานี้ให้ คิดจะให้ข้าแต่งกับบุรุษหรืออย่างไรกัน แต่...เดี๋ยวสิเรื่องนี้มิใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงมิได้ เขายิ้มมุมปาก “หากฝ่าบาททรงทราบความจริง นี่มิใช่เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือ จะอย่างไรต้าเซียนก็เป็นบุรุษอยู่วันยังค่ำ”

           “หึ หึ มิต้องห่วงไปหรอก บิดาที่รักของเจ้าได้กล่าวเปรยไปถึงพระกรรณของฝ่าบาทแล้วว่าเจ้าเป็นพวกดาบคู่ เจ้าลองคิดดูดีๆสิ ความจริงอัครเสนาบดีเซียวนั้นเดิมทีก็เป็นขุนนางของฝ่าบาทอย่างเต็มตัว การที่เขามาขอให้ข้าช่วยเรื่องนี้ นัยหนึ่งเพื่อลดทอนอำนาจของตระกูลเซิง มิให้แทรกแซงอำนาจของตระกูลเซียวฐานอำนาจของฝ่าบาท และเพื่อเป็นการถ่วงดุลในราชสำนัก ท่านจึงยอมสละเจ้าให้มาเป็นคนของข้ามากกว่าให้เจ้าเป็นคนของตระกูลเซิงครึ่งหนึ่ง ซึ่งฝ่าบาทเองก็ย่อมทราบถึงข้อนี้ดีจึงมิได้ทรงตรัสอะไร ฉะนั้นเจ้าก็จงทำหน้าที่นี้ให้ดีล่ะ” กล่าวจบองค์รัชทายาทก็ตบเข้าที่ไหล่ของสหายเป็นการปลอบ จากนั้นก็เดินไปยังอีกด้านหนึ่ง ทิ้งให้เซียวถิงฟงยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ร้องมิออก

           ครั้นเห็นทีท่าที่สงบลงของเซียวถิงฟงแล้ว ต้าเซียนก็หันมาให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ในกำมืออีกครั้ง เขาตัดสินใจโปรยปรายมันขึ้นสู่ฟ้า แลพริบตาเดียว เม็ดทรายสีน้ำเงินเหล่านี้ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองก่อนจะตกลงสู่สระน้ำที่ขุ่นมัว

           “เจ้ากำลังทำอะไร” เซียวถิงฟงที่เผอิญสังเกตเห็นเม็ดทรายที่เปลี่ยนสีก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย

           “หว่านเมล็ด” เขาตอบสั้นๆ เนื่องด้วยมิคิดอธิบายมากกว่านี้จึงรีบก้าวฝีเท้าติดตามซวนหยวนหมิงไท่ไป ปล่อยให้ร่างสูงยืนมองสระบัวอย่างติดใจสงสัย


**************************************************


           ในระหว่างทางกลับไปยังตำหนักเหวินหัว ไป๋เซ่อก็เอาแต่จ้องหน้าแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เซียวถิงฟงอยู่ตลอด ในใจก็คิดร้าย คนผู้นี้ล่อลวงซ้ำยังล่วงเกินท่านมหาเทพ หากมีโอกาสคงต้องจมเขี้ยวใส่สักแผลสองแผล

           ด้านเซียวถิงฟงมิใช่ไม่รู้ตัว หากแต่ยังส่งสายตายั่วยุด้วย เอาเลยสิ ได้ตีเจ้าสักหลายหมัดอารมณ์ข้าคงจะดีไม่น้อย

           “ท่านมหาเทพ เจ้าคนแซ่เซียวผู้นี้เป็นคนทำให้ท่านฟื้นฟูพลังได้ไม่เต็มที่ใช่หรือไม่” ไป๋เซ่อกล่าวถามเสียงเจื้อยแจ้วจบก็เป็นส่งเสียงด่าทอ ไม่เว้นโอกาสให้อีกฝ่ายแก้ตัว “เป็นเพราะเจ้าทำให้ท่านมหาเทพของข้าต้องรับเอาพลังชีวิตในร่างที่ไม่บริสุทธิ์ของเจ้า”

           “เพ้ย เจ้างูปากพล่อย เจ้าว่าใครไม่บริสุทธิ์ ข้ามิเคยกระทำเรื่องเสื่อมเสียที่ทำให้ร่างกายข้าไม่บริสุทธิ์สักหน่อย” เซียวถิงฟงสวนกลับแทบในทันที แต่แล้วคำกล่าวนั้นกลับทำให้องค์รัชทายาทชะงักตัวมองเขาด้วยสายตาพิกล
           
           “เจ้ายังบริสุทธิ์อยู่รึ” น้ำเสียงของซวนหยวนหมิงไท่เปี่ยมด้วยความสงสัยระคนมิอยากจะเชื่อหู

           “ขะ ข้า”

           “ใช่ๆ เขาบริสุทธิ์ ข้ารู้ บริสุทธิ์มากด้วย” เห็นร่างสูงตกที่นั่งลำบาก ต้าเซียนก็ใจดีช่วยกล่าวยืนกรานให้

           “อา” ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับอุทานดังอา มุมปากค่อยๆคลี่ยิ้มทีละน้อย ดวงตาฉายแววขบขัน

           “เดี๋ยวๆ ท่านกำลังเข้าใจข้าผิด” เหงื่อเริ่มผุดผาดบนใบหน้าที่ปรากฏสีแดงซ่าน อีกยังมิอาจห้ามน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักของตนได้

           “เซียวถิงฟง เจ้ามิต้องพูดอีก ข้า เข้าใจแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับหัวร่อเสียงดัง เซียวถิงฟงพลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกะทันหัน

           นี่ท่านเข้าใจแน่รึ ท่านเข้าใจว่ากระไรกันแน่ อยากจะร้องก็ร้องมิออก เซียวถิงฟงได้แต่สงบกลั้นอารมณ์ไว้ในอก

           “เป็นอะไรไปรึ ถิงฟง” เห็นเจ้าตัวยืนตัวสั่นสะท้าน ต้าเซียนก็ถามอย่างเป็นห่วง

           “เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ พูดให้น้อยหน่อยก็ไม่มีใครว่าเจ้าหรอก คนซื่อบื้อ” เซียวถิงฟงตวาดลั่น ทำเอาต้าเซียนเบะปากน้ำตาคลอ ด้วยมิเข้าใจว่าตนทำอะไรผิดอีกกันแน่ ด้านไป๋เซ่อก็แยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่มอย่างเป็นเดือดเป็นร้อนแทน

           ทั้งหมดต่างเบิกบานใจกันได้ชั่วครู่ แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้น ซวนหยวนหมิงไท่ลอบยิ้มเยาะในใจ ร้อนใจสินะ ถึงขนาดมาถึงเขตตำหนักเหวินหัว

           “หม่อมฉันหย่าเหลียนถวายบังคมองค์รัชทายาทเพค่ะ” น้ำเสียงแว่วหวานดังขึ้นพร้อมท่าทีคำนับที่อ่อนช้อย

           “เจ้ามีเรื่องอันใดถึงได้มาอยู่แถวเขตตำหนักเหวินหัวได้” ซวนหยวนหมิงไท่เงยหน้าแสร้งชมนกชมไม้ก่อนกล่าวน้ำเสียงเรียบ

           “น้องเพียงออกมาเดินเล่นที่อุทยานหลวงเพค่ะ พอรู้ตัวอีกทีก็เดินเพลินอยู่แถวนี้แล้ว น้องจึงถือโอกาสมาถวายพระพรพระองค์ที่ตำหนักเพค่ะ”

           “เป็นเช่นนั้นเอง แต่ข้าสบายดี มิจำเป็นต้องมาถวายพระพรข้าให้ลำบาก” เขากล่าวตัดบทอีกทั้งยังลอบแค่นหัวเราะในใจ ปากกล่าวว่ามาเยี่ยมเยียนข้า แต่สายตากลับจ้องชายหนุ่มที่ด้านหลังเขามิวางตา

           “หามิได้เพค่ะ แม้พระองค์จะทรงเป็นถึงองค์รัชทายาท แต่ก็ทรงเป็นเสด็จพี่ของน้องด้วย การไปถวายพระพรเสด็จพี่ มิได้ทำให้น้องลำบากแต่อย่างใดเพค่ะ” นางตอบพลางส่งยิ้มหวาน

           “อืม” ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วก็ต้องยกยิ้มอ่อนโยนตอบ ทว่าเบื้องหลังรอยยิ้มเหล่านี้ ต่างไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนทั้งสองอีกแล้วว่ามันเปี่ยมไปด้วยความเสแสร้งรังเกียจแค่ไหน

           “มิคาดว่าจะได้พบกับท่านรองแม่ทัพเซียวที่นี่ หย่าเหลียนขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ของท่านด้วย” องค์หญิงหย่าเหลียนกล่าวแทนตัวเองอย่างสนิทสนม

           “ขอบพระทัยองค์หญิงพะย่ะค่ะ”

           “ถ้าองค์รัชทายาทมิขัดข้อง น้องขอตัวท่านรองแม่ทัพเซียวสักครู่ได้ไหมเพค่ะ”

           “......” ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็มิตอบอะไร เพียงยกมือเป็นเชิงตามสบาย จากนั้นจึงเดินกลับตำหนักไปโดยไม่มีท่าทีรอเซียวถิงฟงอีก

           “ขอบพระทัยเพค่ะ” องค์หญิงหย่าเหลียน กล่าวไล่หลังไปพร้อมคำนับด้วยท่าทีอ่อนช้อย

           “เชิญท่านรองแม่ทัพเซียวตามข้าน้อยมาทางนี้” นางกำนัลขององค์หญิงกล่าวขึ้น เซียวถิงฟงจึงปรายตาบอกให้ต้าเซียนติดตามองค์รัชทายาทไปก่อน จากนั้นจึงออกเดินตามนางกำนัลคนดังกล่าวไป

           “นางเป็นใครกัน” ต้าเซียนได้แต่พกความสงสัยมาถามซวนหยวนหมิงไท่ที่เดินดุ่มๆกลับตำหนักอย่างรวดเร็ว

           “องค์หญิงหย่าเหลียน น้องสาวต่างมารดาของข้า”

           “เอ ดูตอนนี้ท่านก็อารมณ์มิค่อยดีสักเท่าไรนัก” เห็นท่าทีเฉยเมยเย็นชานั้น ต้าเซียนก็พลันเอ่ยขึ้น

           ซวนหยวนหมิงไท่ชะงักตัวหยุดกึก คล้ายพึ่งรับรู้ถึงอารมณ์พลุ่งพล่านที่แสดงมา ครั้นเผลอสบลึกในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ต้องรีบเบนสายตาหลบ รออยู่ชั่วครู่จึงกล่าว “ท่านจำที่ข้าบอกกล่าวท่านได้ทั้งหมดรึไม่” เขาหันกลับไปสบตาต้าเซียนอีกครั้งด้วยท่าทียิ้มๆ

           “ข้าจำได้ทั้งหมด” เขาพยักหน้าตอบอย่างแรง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มกว้าง เรื่องง่ายๆเช่นนี้มีรึที่มหาเทพอย่างข้าจะจำมิได้

           “เรื่องของเซียวถิงฟงคงต้องฝากท่านแล้ว”

           “เจ้าวางใจข้าได้เลย” ต้าเซียนทุบอกเบาๆ ดวงตาฉายแววมาดมั่น ผิดกับไป๋เซ่อที่ทำสีหน้าสลด ก่อนจะเปลี่ยนรูปเป็นงูเผือกเข้าซ่อนตัวใต้แขนเสื้ออย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่เหล่าองครักษ์มิได้สังเกตเห็น ครั้นร่างน้อยจัดแจงซ่อนไป๋เซ่อเสร็จก็ออกวิ่งไปยังทิศทางที่พึ่งจากมา

           “องค์รัชทายาท ท่านคิดทำอะไรกันแน่” ถิงถิงในชุดองครักษ์ชายโผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของพุ่มไม้

           “ถิงถิง หากเจ้าอยากเห็นเรื่องสนุกก็ตามพวกเขาไปสิ” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกล่าวสืบต่อ “อ่อ แล้วอย่าลืมกลับมารายงานข้าด้วยล่ะ”

           “เมี้ยว” แค่ได้ยินว่าเป็นเรื่องสนุก ถิงถิงก็แสยะยิ้มขึ้น ดวงตาสีดำทอประกายซุกซน นางออกวิ่งตามต้าเซียนไปอย่างรวดเร็ว


________________________________

ฮูป่าน(笏板)แผ่นป้ายเตือนความจำของเหล่าขุนนางจีนสมัยโบราณ เทียบได้กับสมุดจดบันทึกที่ต้องถือพกติดตัวทุกครั้งที่มีการเรียกเข้าประชุม ถวายรายงานเหตุการณ์บ้านเมืองต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ในท้องพระโรง สมัยราชวงศ์ถังขุนนางตั้งแต่ระดับห้าขึ้นไปจะใช้ ฮูป่านที่ทำจากงาช้าง ส่วนระดับหกลงไปจะใช้เป็นฮูป่านที่ทำจากไม้ไผ่

ดาบคู่ คำเปรียบเทียบของชายที่รักชอบในเพศเดียวกัน


*********************************************


อัพทุกวันนะคะ วันไหนไม่อัพเเสดงว่าไม่ว่างจ้า หวังว่าผู้อ่านยังคงไม่เบื่อไปกันก่อนน้า  :hao5:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 9 หว่านเมล็ด 25/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 25-10-2015 23:52:12
เค้ารักเรื่องนี้ สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ฮามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก รักท่านพ่อมากกกกกกกกกกกกกกกกก 555555555555555 มาบ่อยๆน๊าาาาาาาาาาาาา  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน)บทที่ 10.1 ชะตาไม่ยุติธรรม 26/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 26-10-2015 22:15:51
บทที่ 10.1 ชะตาไม่ยุติธรรม


           ต้าเซียนวิ่งมาถึงกลางอุทยานหลวง ก็พบคนที่กำลังนั่งคุยกันอย่างสนิทสนม ณ ศาลายังฝั่งตรงข้าม เขารีบก้าวข้ามสะพานเล็กๆไป แต่แล้วจังหวะหนึ่งกลับมีนางกำนัลราวเจ็ดแปดคนโผล่พรวดเข้าขวางทางไว้

           “พวกเจ้าดูสิ นางคือสตรีที่มากับใต้เท้าเซียวเมื่อวานไง” นางกำนัลแซ่เหลียนกล่าวพลางก้มมองสตรีชุดสีม่วงอ่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า
           
           “ข้าจำได้แล้ว หญิงบ้านนอกที่ทำตัวติดกับใต้เท้าเซียว”

           “เฮ้อ หงส์อย่างไรก็คือหงส์ คางคกอย่างไรก็คือคางคกล่ะนะ”

           เป็นนางกำนัลอีกผู้หนึ่งเดินวนรอบตัวเขาพลางกล่าวเสียดสี ต้าเซียนชมมองเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วก็พลันทำตัวมิถูก แต่ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจงัดไม้เด็ดที่ใช้ในทุกสถานการณ์

           รอยยิ้มไม่สะทกสะท้านระบายบนดวงหน้างาม ผิดกับสีหน้าของเหล่านางกำนัลที่ค่อยไม่สู้ดีนัก ทว่าพวกนางต่างมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก็ผุดรอยยิ้มร้ายกาจขึ้นมา

           “คิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้ามาทำหยิ่งยโสเช่นนี้ เจ้าเป็นบุตรขุนนางขั้นไหนกันเชียว เจ้าก็แค่หลานห่างๆของท่านอัครเสนาบดีแท้ๆ”

           “ข้าเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของตระกูลเซียว” ต้าเซียนตอบฉะฉาน นึกถึงข้อปฏิบัติที่ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวไว้ โดยข้อหนึ่ง หากมีใครถามว่าตัวเขาเป็นใครก็ให้ตอบไปว่า เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของตระกูลเซียว แต่มาตรว่าเขามิได้กล่าวคำใดตกหล่น กระนั้นพวกนางกลับพากันส่งเสียงหัวเราะจนเป็นที่แสบแก้วหู

           “อย่างเจ้าน่ะรึ สะใภ้ตระกูลเซียว น่าหัวร่อยิ่ง ข้าจะบอกเจ้าให้เอาบุญ แม้วันนี้เจ้าจะได้เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ตระกูลเซียว แต่อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะเป็นได้แค่สตรีบ้านนอกๆเท่านั้นแหละ” นางกำนัลแซ่เจียงกล่าวเยาะหยัน ทั้งยังกระชากแขนเรียว ทำเอาต้าเซียนที่ตัวเซถึงกับงงงันวูบ

           “โถ เจ้ารีบกลับบ้านนอกของเจ้าเสียดีกว่า หากว่าเจ้ายังรั้งรออยู่อีก เกรงว่าเจ้าต้องโกนผมบวชชีกลับบ้านเสียแล้ว” ผู้กล่าวๆด้วยท่าทางสงสาร ทว่าใบหน้ากลับมิได้เศร้าใจแม้แต่น้อย

           โอ ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยถูกสตรีรุมทึ้งขนาดนี้มาก่อนเลย ต้าเซียนได้แต่ร้องโอดครวญในใจ แม้จะไม่ชอบใจกับท่าทีของพวกนาง แต่ตัวเขาที่เป็นถึงองค์มหาเทพจะให้ลงมือกับพวกนางก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม

           “ทำไมแขนเจ้าถึงแปลกๆเย็นยะเยียบผิดวิสัย” จู่ๆนางกำนัลเจียงที่ยึดแขนเรียวเอาไว้ก็เอ่ยปากทัก ครั้นคิดจะยกขึ้นกลับถูกเจ้าของมือรั้งไว้
           
           “ข้าว่าเจ้าอย่าดูดีกว่านะ” ต้าเซียนกล่าวเตือน แต่ยิ่งห้ามก็เสมือนยิ่งยุ นางกำนัลเจียงกลับยิ้มท้าทาย จากนั้นจึงถลกแขนเสื้อสีม่วงขึ้นโดยมิสนใจคำทัดทาน

           “กรี๊ด”

           ไม่ทันไรเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวก็ดังระงมไปทั่ว ไป๋เซ่อที่เลื้อยรัดแขนเรียวได้ชูคอร้องขู่ฟ่ออย่างน่ากลัวแล้ว ปากของมันอ้าขึ้นจนเผยให้เห็นเขี้ยวแหลม ดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็จับจ้องนางกำนัลผู้ลองดีในระยะประชิด

           ร่างนางกำนัลเจียงพลันแข็งทื่อไปแล้ว น้ำตาก็เริ่มเอ่อคลอในดวงตา แต่มีรึที่งูเผือกตรงหน้าจะเห็นใจ พริบตานั้นมันก็คลายวงรัดจากแขน กระโจนเข้าเลื้อยรัดเต็มใบหน้าของนางทันที สติของนางถึงกับแตกกระเจิงร้องผวาวิ่งเข้าหาเพื่อนนางกำนัลคนอื่นๆ จนเกิดเสียงหวีดร้องโกลาหล รอไม่นานนักไป๋เซ่อก็ดีดตัวเข้าพัวพันนางกำนัลคนแล้วคนเล่าราวกับบ้าคลั่ง

           ต้าเซียนได้แต่ชมดูอยู่ห่างๆ แม้คิดอยากช่วยแต่ก็กลัวเหล่านางกำนัลที่วิ่งวุ่นวายเหยียบย่ำเข้าให้ สุดท้ายได้แต่ยืนมองพวกนางพร้อมฟังเสียงขู่ฟ่อๆอย่างดุร้าย

           “คิดล่วงเกินท่านมหาเทพ จงจับไข้หัวโกร๋นไปซะ” ขู่จบไป๋เซ่อก็พลันดีดตัวลอยขึ้นสู่กลางอากาศ สายตาบ่งบอกความสะใจ มันเก็บงำพลังฝีมือมาหลายร้อยปี เพลานี้ต้องใช้ออกให้คุ้มค่า

           แต่แล้วเงาร่างหนึ่งก็กระโดดเข้ามาที่กลางวงก่อนจับหมับเหวี่ยงมันไปอีกทางจนปะทะเข้ากับร่างท่านมหาเทพ ไป๋เซ่อรีบหมุนตัวกลับพลางเลื้อยขึ้นกอดลำคอระหงขู่ฟ่อใส่ไม่หยุด

           “เจ้าดูแลมันให้ดีๆหน่อยสิ อย่าให้มันมาก่อเรื่องแถวนี้” เซียวถิงฟงขึ้นเสียง ขณะที่กำลังสนทนากับองค์หญิงหย่าเหลียน ก็พลันได้ยินเสียงหวีดร้องของพวกนางกำนัล ครั้นหันไปสังเกตเห็นไป๋เซ่อที่กระโจนตัวกลางอากาศอยู่หลายครั้งก็แทบทำให้เขาลุกพรวดออกจากวงสนทนาทันที

           “ข้าเตือนนางแล้วว่าอย่าดู นางก็มิเชื่อ” ต้าเซียนหยักไหล่อธิบาย

           “เกิดอะไรขึ้น ใครกันที่บังอาจมาก่อเรื่องแถวนี้” นางกำนัลเว่ยหรือแม่นมขององค์หญิงเดินแหวกกลุ่มนางกำนัลที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเซียวถิงฟงขึ้นมา ตามมาด้วยองค์หญิงผู้มีใบหน้าอ่อนหวาน นางก้าวเข้ามาแล้วเกาะแขนชายหนุ่มไว้

           เห็นดังนั้นต้าเซียนก็พลันขยับเข้าใกล้ร่างสูงโดยที่ไม่รู้ตัว หากแต่แล้วองค์หญิงหย่าเหลียนกลับสะดุ้งตัวโผเข้ากอดร่างสูงไว้ ใบหน้าหวานซบลงบนอกแกร่งแนบแน่น

           “ว้าย อย่าเข้ามา ออกไป”

           จู่ๆก็รู้สึกตัวชาวาบเมื่อเห็นเซียวถิงฟงกอดปลอบสตรีนางหนึ่งไว้อย่างนุ่มนวล แม้ริมใบหูจะได้ยินไป๋เซ่อร้องเรียก หากแต่ฝีเท้ากลับมิอาจหยุดยั้ง รู้เพียงว่าอยากเข้าไปใกล้ให้มากกว่านี้

           เพียะ กระทั่งแก้มรู้สึกร้อนผ่าวปนไว้ด้วยความเจ็บแปลบ ฝีเท้าของต้าเซียนพลันหยุดลงแล้ว

           “เจ้าคิดปองร้ายองค์หญิงรึ ทหารจับกุมตัวนางผู้นี้โดยเร็ว” นางกำนัลเว่ยส่งเสียงดังลั่น ไม่นานก็ทหารสองสามนายวิ่งเข้ามา
ตาของไป๋เซ่อแทบลุกเป็นไฟ มันเริ่มอดรนทนไม่ไหว ยายแก่ผู้นี้ถึงกับกล้าทำร้ายท่านมหาเทพต่อหน้าต่อตามัน เรื่องนี้เท่านั้นที่ยอมมิได้
           
           “ไป๋เซ่อ หยุด” ขณะที่งูเผือกคิดดีดตัวออก ต้าเซียนก็ส่งเสียงกร้าวทรงพลังขึ้น ไป๋เซ่อหยุดชะงักแม้อยากจะกัดคนตรงหน้ามากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งจึงได้แต่ใช้ลำตัวที่เย็นเฉียบ ลูบไล้แก้มที่บวมแดงบนใบหน้าของท่านมหาเทพ หวังให้ทุเลาลงบ้างสักนิด

           เสียงตวาดที่ทรงพลังพร้อมประกายตาสีทองนั้นแทบทำให้ทุกคนตะลึงงัน นางกำนัลเว่ยถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น แต่กระนั้นก็รีบหยัดยืนขึ้นด้วยกลัวเสียหน้า นางรีบแสร้งกล่าววางอำนาจใส่ทั้งใช้สายตาดุดันเข้าสู้ “บังอาจนัก กล้านำอสรพิษเข้ามาในเขตพระราชวัง รู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด ทหารรีบจับอสรพิษนั้นไปฆ่าเสีย”

           “ช้าก่อน งูเผือกตัวนี้ เป็นงูที่องค์รัชทายาททรงเลี้ยงไว้ หากพวกท่านคิดจะเอาชีวิตมัน เกรงว่าต้องไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบเสียก่อน” ถิงถิงซุ่มตัวดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็รีบปรากฏตัวเข้าขวาง

           “แต่มันทำให้องค์หญิงตกพระทัย” นางกำนัลเว่ยคิดว่ากล่าวอีกสักประโยค น้ำเสียงอ่อนหวานก็ดังขัดขึ้น

           “แม่นมเว่ยช่างเถิด อย่าเอาความอีกเลย นางคงมิได้ตั้งใจหรอก จริงไหม” นางกล่าวถามสตรีในชุดสีม่วงอ่อนด้วยน้ำเสียงนุ่ม

           “.......” ทว่าต้าเซียนกลับไม่ตอบ คล้ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องพวกนี้ เพียงมองไปที่เบื้องหน้าด้วยดวงตาอันว่างเปล่า

           เซียวถิงฟงเองก็มองคนที่นิ่งงันไป ก่อนจะสังเกตเห็นผืนน้ำที่สงบนิ่งไม่ไหวติงในดวงตาคู่นั้น บังเกิดเป็นความรู้สึกเหมือนกลืนก้อนสะอึก ทั้งยังรู้สึกอัดอั้น จากนั้นต้าเซียนที่นิ่งเงียบไปนานก็พลันเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

           “ข้าเพียงต้องการแจ้งท่านพี่ว่าวันนี้ข้าจะรอกลับบ้านพร้อมท่านก็เท่านั้น” ตามกฎข้อที่สอง หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่นให้เรียกเซียวถิงฟงว่าท่านพี่และในเมื่อตนกระทำตามแล้วก็ถึงเพลาที่สมควรกลับ

           “เดี๋ยว ต้าเซียน” เห็นต้าเซียนเดินฉับๆจากไปเสียดื้อๆ ตนก็รีบร้องเรียก แต่กระนั้นก็มีเพียงไป๋เซ่อที่มองกลับมาอย่างโกรธแค้น กระทั่งถิงถิงก็ยังส่งสายตาขวางมาให้ก่อนติดตามร่างน้อยไป

           “พี่ถิงฟง นางคือลูกพี่ลูกน้องหญิงของท่านใช่รึไหม” เมื่อคนจากไป องค์หญิงหย่าเหลียนก็หันมากล่าวถามชายหนุ่มที่ข้างกาย แต่ครานี้เซียวถิงฟงกลับเป็นฝ่ายนิ่งงันบ้างแล้ว

           รอยยิ้มของต้าเซียนคล้ายสร้างความเจ็บแปลบในอกเขาอยู่ลึกๆ นั่นเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา ยังมีสายตาที่ว่างเปล่า เสมือนมิใช่ต้าเซียนที่เขารู้จัก ใจรู้สึกสับสน บางทีหากเจ้าแสดงออกว่าโกรธ ตวาดว่าข้าหรือต่อปากต่อคำข้าสักนิด ข้าคงจะรู้สึกดีกว่านี้

           “พี่ถิงฟง” นางร้องเรียกร่างสูงอีกครั้งจนเจ้าผงะตัวเล็กน้อย

           “หม่อมฉันจำเป็นต้องกลับไปประจำการแล้ว หม่อมฉันทูลลาพะยะค่ะ” เขาแกะมืออันอ่อนนุ่มบนแขนออก จากนั้นก็พุ่งตัวตามต้าเซียนไปโดยไม่ใส่ใจเสียงเรียกจากทางด้านหลัง แต่ก็นับว่าสายไปเพราะเมื่อไปถึงหน้าทางเข้าสู่ตำหนักเหวินหัว ก็มิได้พบร่างน้อยแต่อย่างใด

           “อ้าว ท่านรองแม่ทัพเซียว ประชุมกองทัพจะเริ่มในอีกไม่ช้า ท่านยังมิรีบไปอีกรึ” เสียงรองแม่ทัพหน่วยที่สี่ที่ผ่านทางมาร้องทัก

           “ขะ ข้า...กำลังไปเดี๋ยวนี้” เซียวถิงฟงถึงกับหัวเสีย แต่ก็ต้องจำใจกลับไปร่วมประชุมกองทัพด้วยใจที่รู้สึกอัดอั้น


**********************************************


           เพล้ง

           “เอ่อ ท่านมหาเทพอย่าได้อารมณ์เสียไป”
           
           “ไป๋เซ่อ เจ้าเห็นว่าข้าอารมณ์เสียตรงไหน ถ้วยชานี่ก็แค่เปราะบางจนเกินไปก็เท่านั้น”

           “........” ดวงตาสีฟ้าอมเขียวถึงเลิกขึ้นโต นี่นับเป็นใบที่สามแล้ว เช่นนี้ยังมิเรียกว่าอารมณ์เสียอีกรึ คิดจะอ้าปากอีกสักคำก็พลันสบเข้าที่สายตาคาดคั้นเข้าเสียก่อน ไป๋เซ่อได้แต่ก้มหน้างุดๆ พลางพึมพำเสียงเบา “แต่ท่านกำลังโกรธจริงๆ”

           “ต้าเซียน ท่านควรประคบผ้าผืนนี้ไว้” ซวนหยวนหมิงไท่เป็นฝ่ายกล่าวทำลายบรรยากาศทะมึน เขารับเอาผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นจากเสี่ยวลู่ขันทีคนสนิทมาประคบแก้มบวมตุ่ยของคนเจ็บอย่างเบามือ 

           “ข้าคงทำให้ท่านผิดหวัง” ต้าเซียนกล่าวเสียงอ่อย

           “เปล่าเลย ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะราบรื่นตั้งแต่ต้น อีกทั้งท่านก็ออกจะไร้เดียงสาไปเสียหน่อย” กล่าวจบก็พลันเห็นต้าเซียนทำตาโตใส่ “เอ่อ ข้าหมายถึงท่านไม่เคยเจอมนุษย์ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ย่อมต้องเสียทีบ้างเป็นธรรมดา”

           “เรื่องที่เกิดขึ้นข้าก็มิได้นึกเคืองแต่อย่างใด เดิมทีข้าก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว จริงไหมไป๋เซ่อ” ต้าเซียนหันไปถามไป๋เซ่อเพื่อเป็นการยืนยัน

           “เอ่อ จะว่าอย่างไรดีท่านมหาเทพก่อนหน้านี้...” ไป๋เซ่อตอบอย่างอึกๆอักๆ

           ต้าเซียนก็พลันรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ “ไป๋เซ่อ เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่”

           “ท่านมหาเทพ ท่านในตอนนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกับท่านครั้งยังอยู่บนพิภพสวรรค์ เมื่อก่อนท่านมิเคยอ่อนไหวกับสิ่งใด ท่านมักเฉียบขาดกับทุกเรื่อง หากแต่ตอนนี้ท่านดูเปลี่ยนไป” ไป๋เซ่อกล่าวโพล่งออกมาจนหมด รอจนถึงประโยคสุดท้ายเสียงก็ค่อยๆแผ่วลง

           “เจ้ากำลังหมายความว่าต้าเซียนที่เจ้ารู้จัก มิใช่ต้าเซียนครั้งยังอยู่บนพิภพสวรรค์รึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวสรุปความจากที่ได้ยิน

           “ข้าน่ะรึเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปอย่างไรรีบกล่าวมา”

           “ทะ ท่านดูอ่อนไหวราวกับมนุษย์” สีหน้าของไป๋เซ่อพลันเปลี่ยนฉงน สายตาก็เลิกขึ้นคล้ายนึกหาคำอธิบาย “มิใช่ว่าท่านเปลี่ยนไปซะหมดแต่เหมือนมีบางส่วนที่เปลี่ยนไป เช่นกลิ่นอายของท่านมหาเทพ กลิ่นอายของท่านเริ่มคล้ายมนุษย์มากขึ้น ตอนแรกข้าคิดว่าอาจเป็นเพราะท่านคลุกคลีกับพวกมนุษย์มากเกินไป จึงทำให้กลิ่นอายของท่านถูกลบเลือนไปชั่วขณะ หากแต่วันนี้ท่านดูไม่เหมือนทุกที อารมณ์ท่านแปรปรวนและกลิ่นอายของท่านกลับเหมือนมนุษย์ไปเสียทั้งหมด”

           ต้าเซียนรับฟังแล้วก็ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก นี่เป็นไปได้หรือที่กลิ่นอายเขาจะถูกลบเลือนไป ซ้ำยังถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายมนุษย์ ดูว่านับตั้งแต่หยิบยืมพลังชีวิตของเซียวถิงฟงมา ก็บังเกิดเรื่องราวผิดปกติขึ้นหลายอย่าง ทั้งพลังที่ไม่สมดุลในบางครั้ง รวมไปถึงความรู้สึกถึงบางสิ่งที่เต้นระรัวในอก หรือแม้แต่ความรู้สึกดั่งเช่นมนุษย์

           ทว่าก้อนหินเช่นเขาจะมีความรู้สึกลึกซึ้งเช่นมนุษย์ได้อย่างไรกัน?

           หากแต่เพลานี้กลับเป็นไปแล้ว นี่อาจเป็นไปได้ว่าพลังธาตุที่หยิบยืมจากเซียวถิงฟงนั้นยังคงตกค้างอยู่ในร่างเขา พลังนั้นคล้ายหมุนเวียนอยู่ในตัว มิได้สลายหายไป แต่กลับคงอยู่เพื่อสร้างสิ่งใหม่...สิ่งที่เขาเอื้อมมือไขว่คว้ามาตลอด ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นจริง

           “ไม่จริงใช่ไหม” ต้าเซียนพึมพำขึ้นก่อนยกมือขึ้นทาบที่อกซ้าย ภายในนั้นคล้ายมีบางสิ่งที่กำลังเต้นเป็นจังหวะ ยังผลให้ความรู้สึกปิติเอ่อล้นไปทั่วทั้งกาย ทั้งยังตื้นตันใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นน้อยๆ

           อีกด้านหนึ่งในห้องประชุมของกองทัพ ขณะที่แม่ทัพนายกองกำลังโต้เถียงเรื่องปฏิรูปทางการทหาร เซียวถิงฟงที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งกลับเอาแต่เงียบขรึมไม่พูดไม่จา แม้โดยรอบจะมีเสียงดังเอ็ดตะโรมากแค่ไหนก็มิอาจทำให้เขาสลัดหลุดไปจากห้วงคำนึงถึงใครบางคนไปได้ กระทั่งยามค่ำที่คนเหล่านี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนในที่สุดก็ออกปากเลิกประชุม ทว่าสมองเขาก็ยังคงมีแต่ความฟุ้งซ่าน ที่เอาแต่ถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า

           ตอนนั้นเจ้ารู้สึกเช่นไรกัน? จะโกรธข้าบ้างรึเปล่า ต้าเซียน

           “อ้า น่าปวดหัวจริง ทำไมข้าต้องห่วงความรู้สึกเจ้าคนซื่อบื้อนั่นด้วย” บ่นพึมพำเบาๆพลางใช้มือขยี้ศีรษะอย่างสับสน ช่างเถิดเอาไว้เจอก่อนค่อยว่ากัน

           ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปยังตำหนักเหวินหัว กระทั่งผ่านยังอุทยานหลวงก็บังเกิดสายลมแรงคล้ายเป็นพายุขนาดย่อม ลมนั้นหมุนเป็นวงพลางพัดเอากลิ่นหอมหวานชนิดหนึ่งลอยมา มันเป็นกลิ่นพิเศษ เป็นกลิ่นอ่อนๆที่เขาคุ้นเคยยิ่ง กลิ่นที่บอกถึงความอ่อนโยนและอบอุ่น...กลิ่นของดอกบัว

           ว่าแล้วฝีเท้าก็เปลี่ยนไปตามทิศทางของกลิ่นอย่างไม่รู้ตัว จวบจนหยุดลงตรงที่แห่งหนึ่งก็ไม่พบวี่แววของทหารยาม เบื้องหน้ามีเพียงเส้นเชือกที่ขวางกั้น เขาลอดเส้นเชือกนั้นไปก่อนจะก้าวเข้าไปยังด้านใน

           “นี่มันอะไรกัน เหตุใดที่นี่ถึงกลายเป็นเช่นนี้” ดวงตาเขาพลันเบิกกว้างอย่างตกตะลึง

           ดูว่าในสระที่เคยมืดมนด้วยเปลวเพลิงมอดไหม้กลับมีดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์กำลังชูช่อต้านลมหนาว แปลกประหลาดเกินไปแล้ว ทั้งๆที่ไม่กี่ชั่วยามก่อน ที่นี่ยังคงเป็นเพียงแค่สระร้าง ดวงตาสีดำไล่มองไปยังสระแล้วจึงสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง ที่ใต้สระบัวปรากฏเป็นเม็ดทรายละเอียดสีทองที่ทอประกายขึ้นสู่ผิวน้ำ

           “ต้าเซียน? หว่านเมล็ด?” เขายังคงจำได้ถนัดตา ในขณะที่ร่างน้อยโปรยฝุ่นละอองสีดำนั้น ชั่วพริบตามันก็เปลี่ยนเป็นสีทองก่อนตกลงสู่ก้นสระ คิ้วขมวดมุ่นสงสัย จังหวะเดียวกันนั้นที่ผิวน้ำกลับปรากฏเงารูปร่างสูงใหญ่ที่ทอดลงมา ดวงตาเขาพลันเบิกกว้าง

           เป็นไปไม่ได้ เข้าใกล้ถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่รู้ตัวสักนิด 

           บรรยากาศเริ่มเปี่ยมไปด้วยความกดดัน เซียวถิงฟงตั้งสติได้ก็หมุนตัวเข้าเผชิญหน้าโดยตรง ทว่ายังมิทันแลเห็นเค้าใบหน้าอีกฝ่าย ฝ่ามือหนึ่งก็ตรงปะทะเข้าที่บ่าอย่างรุนแรง ร่างพลันกระเด็นออกไปราวสิบก้าว

           “กรอด” เซียวถิงฟงรีบกัดฟันพยุงตัวขึ้นตั้งกระบวนท่ารับ คราบโลหิตเปื้อนที่มุมปาก เขากวาดสายตาไปที่เจ้าของฝ่ามือปริศนา แต่บัดนี้ริมสระบัวกลับว่างเปล่าแล้ว หลงเหลือเพียงแต่รังสีกดดันไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

           นับว่ายังดีที่ฝ่ามือเมื่อครู่เขาสามารถโคจรพลังต้านรับได้ทัน มิเช่นนั้นซี่โครงคงได้หักไปหลายส่วน แต่กระนั้นเซียวถิงฟงก็ยังมิวายบาดเจ็บภายในอยู่ดี ฝ่ามือดังกล่าวเปี่ยมพลังรุนแรงก็จริง แต่ยังมิถึงขั้นเอาชีวิต ทั้งยังคาดว่าเป็นฝีมือบุรุษ สมองวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ศัตรูอยู่ในที่มืดส่วนเขาอยู่ในที่แจ้ง ยังคงดูเป็นฝ่ายตั้งรับไว้จะดีที่สุด

           “เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงมีกลิ่นอายของท่านผู้นั้น”

           น้ำเสียงทรงพลังของบุรุษหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูซ้าย เซียวถิงฟงจึงวาดแขนพุ่งเข้าใส่ทันที หากแต่สิ่งที่ปะทะกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า ดวงตาสีดำจึงมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง สติทั้งหมดใช้ออกอย่างเต็มที่ หน้าผากเริ่มผุดไปด้วยเหงื่อเย็น สัญชาตญาณบ่งบอกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา

           “เฮอะ ตั้งแต่วันแรกเลยรึ” เขาสบถ รับราชการวันแรกก็ประเข้ากับคู่มือยุ่งยากเสียแล้ว ครานี้เขาเริ่มหลับตาจับความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย น่าเสียดายที่ไม่ได้พกอาวุธประจำตัวมาด้วย จึงได้แต่โคจรพลังไปไว้ที่ฝ่ามือทั้งสองแทน ไม่นานนักก็สัมผัสได้ถึงพลังกดดันที่แผ่กระจายมาใกล้ๆตัว

            “ด้านหน้า” เซียวถิงฟงตวาดลั่น ดวงตาทอแววเด็ดเดี่ยว เขาเกร็งข้อมือปัดฝ่ามือที่กำลังซัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ครั้นประมือครบสามกระบวนท่าก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายรุก พุ่งกรงเล็บเข้าปะทะฝ่ามือปริศนาอย่างแรง

           ทว่าเรื่องราวกลับเหนือความคาดหมาย กรงเล็บพยัคฆ์กลับลอยค้างอยู่กลางอากาศ คล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นฝ่ามือบุรุษผู้นี้อยู่ราวสามหุน ไยมิว่าจะผลักดันสักแค่ไหนก็มิอาจเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ เขาถึงกับงุนงงวูบ

           แปลก แปลกมากเสมือนมิใช่ม่านพลัง หากเป็นม่านพลังจริง แม้ปะทะกันโดยวัดจากพลังภายใน ก็ย่อมต้องรู้สึกถึงพลังหมุนเวียนของอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่นี่กลับไม่รู้สึกถึงสักนิด แลหากยื้อไว้อีก เกรงว่าตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

           “บอกมาเหตุใดเจ้าถึงมีกลิ่นอายของท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นอยู่ที่ใด” เฟยหลงตวาดถาม ทั้งยังจ้องบุรุษหนุ่มตรงหน้าอย่างเคลือบแคลง

           “เป็นข้าต่างหากที่ต้องถามว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบุกรุกอุทยานหลวงในยามวิกาลเช่นนี้” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคู่มือได้ชัดถนัดตา

           “.......”

           “หากเจ้าไม่ตอบข้าจำลงมือ” เซียวถิงฟงไม่รีรออีกดึงกำลังภายในสองส่วนเข้าผลักดันกำแพงอากาศ หากแต่พลังที่ส่งกลับไปนั้นมิสามารถทำลายมันได้อยู่ดี กระทั่งเห็นรอยยิ้มที่หยักขึ้นก็บังเกิดเป็นความหงุดหงิด เพิ่มกำลังที่กรงเล็บอีกหนึ่งส่วน

           เปรี๊ยะ ดูว่าพลังภายในห้าส่วนเริ่มเห็นผลแล้ว รอยร้าวเล็กๆ เกิดขึ้นพร้อมเสียงปริแตก ถึงทีเซียวถิงฟงยกยิ้มขึ้น ด้านเฟยหลงถึงกับมองกำแพงที่เริ่มร้าวอย่างไม่เชื่อสายตา

           “ท่านผู้นั้นอยู่ที่ใด บอกมา” เฟยหลงตวาดก้อง

           “เจ้าต่างหากที่ต้องตอบคำถามข้า”

           บุรุษตรงหน้ายังคงต่อปากต่อคำ เฟยหลงจึงได้แต่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง อีกด้านหนึ่งก็ขบคิดอย่างไม่เข้าใจ วังหลวงแห่งนี้น่าแปลกเกินไปแล้ว ระหว่างภารกิจทำลายสระบัวปีศาจหมาป่าชั้นต่ำพลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ครั้นหาเบาะแสก็กลับคว้าได้แต่น้ำเหลว คราแรกตนคิดจากไป หากมิใช่เป็นเพราะเกิดสังหรณ์ใจก็คงมิได้พบร่องรอยเฉกเช่นค่ำคืนนี้

           กลิ่นของดอกบัว กลิ่นของท่านผู้นั้น สระบัวที่ถูกทำลายด้วยพลังของเขากลับมีดอกบัวสีขาวเบ่งบานงดงามภายใต้เม็ดทรายสีทองแล้ว นี่คล้ายเป็นการบ่งบอก เป็นท่านที่ลงมือ
ท่านเองก็รอข้าอยู่ใช่ไหม...ท่านมหาเทพ

           ร่างสีขาวบริสุทธิ์ฉายในความทรงจำ บุคคลที่เขาพยายามเอื้อมมือขึ้นไขว่คว้า ไม่ว่าจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ท่านผู้นั้นก็ไม่เคยแม้แต่ชำเลืองมองมา

           “ยังมิรีบตอบ เจ้าเป็นใคร ไฉนจึงบุกรุกวังหลวง”

           เสียงเร่งรัดดังกล่าวทำให้เฟยหลงตื่นขึ้นจากภวังค์ พอดีกับที่ลมระลอกหนึ่งกระทบเข้าที่ตัว ดวงตาดั่งพญาอินทรีก็เลิกขึ้นตื่นตระหนก กลิ่นอายของชายผู้นี้ เป็นไปได้อย่างไร

           “เจ้าเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับท่านผู้นั้น” เฟยหลงคำรามเสียงเดือดดาล สายตาแดงก่ำดั่งเลือด นี่เป็นกลิ่นอายของท่านมหาเทพ เหตุใดจึงอยู่ในตัวของมนุษย์ได้ สุดท้ายก็มิอาจห้ามความชิงชังในใจ พลังขุมหนึ่งถูกใช้ออกแล้ว

           ในตอนนี้กำแพงอากาศปริแตกขยายขนาดเป็นวงกว้าง เซียวถิงฟงคิดแลกฝ่ามือจึงเกร็งกำลังซัดกรงเล็บเข้าใส่อีกครั้ง จนกระทั่งเกิดเป็นเสียงคล้ายกระจกแตก ม่านพลังสลายหายไปดั่งหมอกควัน หากแต่กรงเล็บยังคงพุ่งตรงต่อไป

           “สมควรตายยิ่งนัก” เห็นม่านพลังถูกทำลาย เฟยหลงก็ยิ่งเกรี้ยวกราด เขาปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันอันโหดเหี้ยม ดึงฝ่ามือกลับก็พุ่งออกไปใหม่ พลังส่วนใหญ่ได้รวมอยู่ในฝ่ามือเป็นตายนี้

           เซียวถิงฟงเห็นท่าทีอาฆาตอีกฝ่ายก็เริ่มหวั่นใจ สัญชาตญาณบอกให้หลบฝ่ามือนี้ก็พลันเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างทันที

           ตูม เสียงระเบิดดังขึ้น กำแพงอุทยานด้านหนึ่งพังทลายลงมาจน หลงเหลือเพียงเศษธุลี  แขนซ้ายเฉียดโดนพลังฝ่ามือนั้นยังผลให้เลือดไหลเป็นทาง ดูไปแล้วหากรับฝ่ามือนั้นโดยตรงนั้น เกรงว่าเขาคงมิได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เซียวถิงฟงคิดพลางใช้มือกดปิดปากแผล

           ไม่มีทาง ข้าไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้ท่านได้ แม้กระทั่งเส้นผมทุกสิ่งทุกอย่างของท่านก็ต้องเป็นของข้าเท่านั้น ของข้าเท่านั้น เฟยหลงย้ำบอกตัวเองในใจพลางหันไปเล่นงานบุรุษตรงหน้าอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น


**********************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน)บทที่ 10.2 ชะตาไม่ยุติธรรม 26/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 26-10-2015 22:18:31
บทที่ 10.2 ชะตาไม่ยุติธรรม



           “ให้ตายเถอะ” เซียวถิงฟงรับมือไม่ครึ่งชั่วยามเหงื่อก็ชโลมใบหน้า มาตรว่าเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน หากแต่สมองกลับเห็นแต่ภาพของร่างน้อย มุมปากเผยอยิ้มขึ้น กระทั่งใจที่กำลังร้อนรนก็พลันสงบเสียดื้อๆ สายตาเริ่มมองความเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ออก

           เฟยหลงสู้กับเซียวถิงฟงอยู่หลายกระบวนท่า ในฐานะของมนุษย์ผู้หนึ่งก็ถือได้ว่ามีฝีมือสูงส่ง ซ้ำยังเฉียบคมประเมินมองได้ว่าควรรับฝ่ามือไหน ควรจะหลบฝ่ามือไหน

           ตูม ซ่า น้ำในสระบัวเกิดระเบิดขึ้น ดอกบัวสีขาวต่างทะยานลอยขึ้นกลางอากาศ กลีบดอกหลุดออกกระจุยกระจายก่อนมอดไหม้ด้วยประกายไฟสีน้ำเงิน ทว่าเมื่อละอองธุลีตกลงสู่ผิวน้ำก็บังเกิดเป็นดวงบัว บานขึ้นอีกหน

           เฟยหลงซัดฝ่ามือพลาดอีกครั้งก็ตัดสินใจเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งรับ เขาหลบปลายเท้าอีกฝ่าย หันตัวกลับมาอีกครั้ง แต่ครานี้เซียวถิงฟงได้พลิกแพลงท่าร่างหมุนตัวพุ่งกระโจนเข้าโจมตีเขาแล้ว ยังมีกรงเล็บแข็งกร้าวมุ่งตรงมาที่หัวใจ ทั้งยังอยู่ในระยะประชิดจนยากจะที่หลบพ้นอีกต่อไป

           เปรี๊ยะ เสียงกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า แต่กระนั้นเซียวถิงฟงก็มิได้ออมกำลังเช่นคราแรกอีกต่อไป กำแพงค่อยๆร้าวแตกลงในพริบตา กรงเล็บทะลวงผ่านม่านพลังแล้ว ทว่า...

           เปรี๊ยะ บังเกิดเสียงร้าวขึ้นอีกครั้ง หากแต่เสียงร้าวในครานี้ทำให้เซียวถิงฟงต้องเบิกตากว้างประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีเกราะถึงสองชั้น

           เห็นกรงเล็บหยุดชะงัก เฟยหลงที่รอคอยโอกาสนี้ก็ปลดปล่อยพลังขุมหนึ่งเข้าใส่ แต่แล้วฝ่ามือยังมิทันกระทบถูกตัว ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเป็นแสงสีทองขึ้นขวางกั้นร่างของเซียวถิงฟงไว้

           พลังสองสายต้านทานกันอย่างดุเดือด แลไม่นานก็เกิดเป็นแสงวาบขึ้น เฟยหลงรีบผละตัวให้พ้นวิถีแรงระเบิด ด้านเซียวถิงฟงกลับรับเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้ร่างกระเด็นชนเข้ากับกำแพงอุทยานจนพังทลายลง

           แรงปะทะนี้สร้างความสาหัสจนต้องกระอักเลือด สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเหลือบไปเห็นทหารยามที่นอนไม่ได้สติด้านหลังกำแพงที่ทลายลง คล้ายกับพวกเขาหมดลมหายใจไปแล้ว พอดีกับที่เสียงฝีเท้าเคลื่อนเข้าใกล้ เซียวถิงฟงก็กัดฟันฝืนหยัดตัวขึ้นนั่งด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด

           ชายผู้นี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งๆที่ควรจะถูกแยกส่วนออกเป็นชิ้นๆไปแล้ว หากมิใช่เป็นเพราะเกราะคุ้มกันสีทองนั่น เกราะคุ้มกันของท่านมหาเทพ ดวงตาถึงกับวาวโรจน์ขึ้น ร่างคนเจ็บพลันถูกกระชากขึ้น “ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย บอกข้ามาท่านมหาเทพอยู่ที่ใด”

           เสียงตวาดดังก้องไปทั่วบริเวณ เซียวถิงฟงอดที่จะเบิกตาขึ้นกว้างมิได้ ชายผู้นี้กำลังตามหา “ต้าเซียน”
ท่าทีดังกล่าวมิอาจหลุดพ้นดวงตาเช่นพญาอินทรีได้ “เจ้ากำลังหมายถึงผู้ใด” สองมือกำชับที่คอเสื้อแน่นขึ้น

           “.......” แม้สภาพร่างกายจะถึงขีดสุดแล้ว กระทั่งลมหายใจก็ยังติดขัด ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่เพลานี้เซียวถิงฟงก็อดที่จะอยากตบปากตัวเองให้กระอักเลือดอีกสักคำมิได้

           “บอกมา เจ้าหมายถึงผู้ใด”

           “.........” เซียวถิงฟงแสร้งยิ้มตีสีหน้าเรียบเฉย 

           “เจ้าอย่าได้ลำพองใจไป หึ แม้เจ้ามิคิดพูด ข้าก็ให้เจ้าคายออกมา” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมกล่าวจบ มือข้างขวาก็ปรากฏไอเย็นสีขาว ก่อนกระแทกเข้าใส่กลางศีรษะคนตรงหน้าอย่างไม่ปราณี

           “อ๊าก” เซียวถิงฟงร้องลั่นอย่างเจ็บปวด สมองราวกับถูกต้มอยู่ในน้ำที่เดือดพล่าน บางครั้งคล้ายอยู่ในน้ำเย็นจัด เส้นประสาทค่อยๆถูกทำลายลง ภาพในความทรงจำต่างทยอยกันฉายในสมอง ไม่ว่าจะเป็นภาพเขากับอวี่จงอยู่บนเรือท่ามกลางสระบัวขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ภาพที่เขาเก็บเอาลูกแก้ววิเศษขึ้นมาก็เช่นกัน

           “ไม่” เซียวถิงฟงคำราม เขาจะให้คนผู้นี้เห็นต้าเซียนไม่ได้เป็นอันเด็ดขาด ได้แต่ฝืนข่มกลั้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนสักแค่ไหนกลับไม่เป็นผล สุดท้ายภาพของร่างน้อยก็ปรากฏขึ้น

           “ท่านมหาเทพ” เฟยหลงถึงกับชะงักมือ ร่างของเซียวถิงฟงพลันทรุดลงกับพื้น ลมหายใจของเฟยหลงพลันถี่ขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาที่แดงก่ำไม่กะพริบแม้แต่น้อย “ท่านมอบพลังให้เขางั้นรึ”

           นี่คือบุคคลที่เขาเฝ้าเพียรหา หากแต่ภาพความทรงจำดังกล่าวกลับสร้างบาดแผลที่ลึกลงในใจ มิรู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ ท่านผู้นั้นเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในแบบที่ตนวาดฝันมาตลอด ท่านมหาเทพสามารถหัวเราะหรือแม้แต่มีน้ำตา ทว่าบุคคลที่ทำให้ท่านเป็นเช่นนั้นกลับมิใช่เขา...มิใช่ข้า ในอกเสมือนถูกคมมีดนับพันแทงกระหน่ำเข้าใส่

           “มันไม่ยุติธรรม” เฟยหลงตวาดก้องใส่ท้องฟ้า ดวงตาปรากฏรอยเคียดแค้น “ทำไมกัน ทั้งๆที่ข้าเฝ้ารอความหวังนี้มานานนับพันปี แต่ทำไมชะตาถึงเล่นตลกกับข้า ข้าไม่ยอม ข้าไม่มีวันยอมรับ แม้เพียงเส้นผมของท่านข้าก็ไม่มีวันยกให้ผู้อื่น” พลันจ้องเซียวถิงฟงที่นอนคุดคู้กอบกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงกระชากให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาเผชิญหน้า

           “บุคคลที่จะได้ครอบครองทั้งพลังและตัวของท่านมหาเทพ ต้องเป็นข้าเท่านั้น ข้าเพียงคนเดียว” รังสีอาฆาตคุกกรุ่นอยู่ในแววตานั้น

           เซียวถิงฟงหรี่ตาขึ้นแล้วเอื้อมมือไปจับคนที่กุมเสื้อเขาไว้ ทั้งยังพยายามดึงเอาพลังที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดออกมาใช้

           ด้านเฟยหลงก็สะบัดมือนั้นออกโดยง่ายดาย ทำให้ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงทรุดลงอีกครั้ง เขาจิกรั้งศีรษะอีกฝ่ายให้แหงนขึ้น
“เจ้าอย่าได้คิดว่ามีพลังของท่านมหาเทพคุ้มกายอยู่ก็จะสามารถเอาชนะข้าได้ จงรู้ไว้พลังที่เขามอบให้เจ้าเป็นเพียงส่วนน้อยนิดหากเทียบกับข้า และที่สำคัญเจ้าควรตระหนักไว้ เจ้ามิคู่ควรกับพลังนี้ แม้คราแรกเจ้าอาจรอดพ้นจากเงื้อมมือข้าได้ แต่จะไม่มีครั้งที่สอง” กล่าวจบก็ซัดฝ่าไปที่ศีรษะอีกฝ่าย

           เซียวถิงฟงพลันหลับตานึกถึงบิดา ผู้บุตรอกตัญญูจำต้องจากท่านไปก่อน ซวนหยวนหมิงไท่ ข้าขอโทษ หากข้ากลายเป็นผีก็จะช่วยหลอกหลอนศัตรูของท่านให้สิ้นซาก ต้าเซียน ข้ายังไม่มีโอกาสได้ขอโทษเจ้า ดังนั้นได้โปรดอย่าร้องไห้ อย่าได้ยิ้มแม้ในใจจะเป็นทุกข์ ข้าเพียงหวังให้เจ้ามีความสุขอย่างแท้จริง ชั่วขณะที่เปลือกตาปิดลงก็คล้ายกับเห็นรอยยิ้มอบอุ่นเช่นดวงตะวัน มุมปากเขาหยักยิ้มขึ้น

           ต้าเซียน หลังจากนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้พบหน้าเจ้าและได้บอกกับเจ้าว่า

           ข้า...

           ชอบเจ้า...


***************************************************

วันนี้มาดึกไปหน่อยขออภัยนะด้วยจ้า  :katai5:

โว้ววว ในที่สุดก็ขึ้นหน้าสองเเล้ว
 
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 10 ชะตาไม่ยุติธรรม 26/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 26-10-2015 22:36:23
อย่าเป็นอะไรน้า  :m15: :monkeysad: :sad11:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 10 ชะตาไม่ยุติธรรม 26/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 27-10-2015 00:23:36
 :a5: :sad4: :hao5: :katai1: ม่ายยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 10 ชะตาไม่ยุติธรรม 26/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 27-10-2015 01:57:46
ถิงฟงอย่าเป็นอะไรไปนะ ต้าเซียนมาช่วยเร็วเข้าาา
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 11.1 ประมือ 27/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 27-10-2015 20:50:55
บทที่ 11.1 ประมือ

 
           ยามพลบค่ำ ซวนหยวนหมิงไท่ที่กำลังวาดรูปกิ่งไผ่อยู่อย่างเงียบๆภายในห้องทรงพระอักษรกลับต้องหยุดมือลง วางพู่กันบนจานหมึก มองคนที่นั่งชะเง้อคอจ้องไปที่ประตูโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
               
           “นี่ก็ถึงเวลาที่ถิงฟงควรจะกลับแล้วไม่ใช่รึ” ต้าเซียนหันไปกล่าวถามซวนหยวนหมิงไท่ คล้ายมีบางสิ่งที่ทำให้ใจมิอาจสงบลง
    
           “เสี่ยวลู่ ท่านรองแม่ทัพเซียวออกมาจากที่ทำการรึยัง”

           “กราบเรียนองค์รัชทายาท กระหม่อมได้รับแจ้งมาว่าท่านรองแม่ทัพเซียวได้ออกจากจวนที่ว่าการมาสักครึ่งชั่วยามแล้วพะยะค่ะ” เสี่ยวลู่ ขันทีประจำพระองค์กล่าวตอบอย่างนอบน้อม

           “หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ควรมาถึงที่นี่แล้ว” องค์รัชทายาทครุ่นคิดก่อนกล่าวสืบต่อ “รึเขาแวะไปที่อื่นอีก เสี่ยวลู่เจ้าส่งคนไปตามอีกที”

           “พะยะค่ะ”

           ต้าเซียนฟังแล้วรู้สึกติดใจอย่างไรบอกไม่ถูก เซียวถิงฟงคงมิได้แวะไปที่นั่นใช่ไหม ไม่ เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไปที่นั่น

           “ท่านเป็นอะไรรึเปล่า ไฉนจึงดูกังวลใจยิ่ง” ดูจากท่าทีกระสับกระส่ายก็ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องถามขึ้นมา

           “ข้ารึ มิได้เป็นไร ไม่สิ...” ต้าเซียนกล่าวเสียงสูงก่อนจะเงียบเสียงไป ใบหน้าเริ่มฉายแววสับสน ความหงุดหงิด ร้อนรน เลือดในกายฉีดพล่านประหนึ่งพบคู่มืออันยอดเยี่ยม นี่คงมิใช่ความรู้สึกของเซียวถิงฟงใช่ไหม? เหงื่อเย็นเริ่มไหลแนบสู่แก้มอันนวลผ่อง

           “หรือว่าท่านไม่สบาย” เมื่อผิดสังเกตนานเข้าซวนหยวนหมิงไท่ก็ลุกจากเก้าอี้ ย่อตัวมองร่างน้อยที่ใบหน้าขาวโพลนด้วยความเป็นห่วง ครั้นคิดว่าจะตามหมอหลวง ที่หน้าต่างก็เกิดเสียงเคาะขึ้นถี่

           ถิงถิงกระโดดไปเปิดหน้าต่างด้วยอยากรู้อยากเห็น พริบตานั้นอีกาตัวสีดำก็บินเข้ามาด้วยท่าทีโซเซ คล้ายพึ่งออกบินเป็นครั้งเเรก ท้ายที่สุดมันถลาร่อนลงบนโต๊ะเขียนหนังสือยังผลให้ข้าวของบนโต๊ะกระจัดกระจาย กระทั่งกลิ้งตัวไปสามตลบมันถึงพึ่งลุกขึ้นส่งเสียงร้องได้

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊” เสียงร้องโหวกเหวกอันน่าประหลาดใจสร้างความพิศวงให้กับคนในห้อง เว้นเพียงต้าเซียนที่อุทานตกใจ

           “ไม่จริง”

           “เกิดอะไร” ซวนหยวนหมิงไท่งงงันวูบ แต่ครั้นจบคำก็เกิดเป็นแสงสว่างจ้า เขาจำต้องเบี่ยงหลบสายตา รอจนแสงนั้นหายไปจึงค่อยๆลดแขนเสื้อลง ก่อนจะเห็นต้าเซียนที่ดูแปลกตาไปโดยสิ้นเชิง

           ดวงตาสีน้ำตาลทองบ่งบอกความน่าเกรงขาม เส้นผมสีน้ำตาลยาวสยายยาวระพื้น อาภรณ์ที่สวมใส่แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ขับดันให้ดูสง่างามสูงศักดิ์ยิ่ง

           “ถิงฟงกำลังตกอยู่ในอันตราย” ต้าเซียนโพล่งออกมา

           “ท่านมหาเทพ” ไป่เซ่อเองก็ร้องเรียกคราหนึ่งก็คืนร่างเช่นกำไลคล้องอยู่ที่ข้อมือข้างขวาของผู้เป็นนาย

           ตึง กระแสลมแรงพุ่งกระแทกประตูจนกระเด็นหลุดออกไป เหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกถึงกับสะดุ้งตกใจ แล้วพากันมองไปทางเข้าห้องพระอักษรอย่างเงียบงัน ครั้นหัวหน้าองครักษ์ส่งสัญญาณจู่โจม ก็ปรากฏเด็กหนุ่มรูปงามในชุดขาวถลาตัวออกมาจากห้องด้วยท่วงท่าสง่างาม ฝีเท้าสัมผัสพื้นดินเพียงผิวเผินก็สามารถทะยานตัวออกไปได้ไกล ทำเอาเหล่าองครักษ์ต่างมองกันตาค้าง

           “องค์รัชทายาททรงปลอดภัยดีรึไม่” องครักษ์นายหนึ่งได้สติก็รีบร้องถามอย่างแตกตื่น

           ที่ด้านในห้องซวนหยวนหมิงไท่ยังคงคุกเข่าข้างหนึ่งตกตะลึงอยู่ในท่าเดิม จวบจนได้สติก็รีบออกคำสั่ง “เหตุการณ์คืนนี้ ห้ามมิให้หลุดรอดไปถึงหูผู้ใดทั้งสิ้น มิเช่นนั้นรับโทษสถานหนัก อ่อ พวกเจ้ามิต้องตามข้ามาด้วย” กล่าวจบก็รีบตามต้าเซียนออกไป

           เหล่าองครักษ์จึงได้แต่มองส่งองค์รัชทายาทอ้าปากค้างอย่างมิงุนงง แลไม่นานหญิงสาวในชุดองครักษ์ก็โผทะยานออกไปต่อหน้าต่อตา


**********************************************


           ร่างสีขาวมุ่งหน้ามาถึงอุทยานหลวง กระแสจิตที่สัมผัสได้ล้วนบ่งบอกว่าชายหนุ่มอยู่ในภาวะวิกฤต ครานี้เขาใช้ออกด้วยเนตรทิพย์พร้อมทั้งทะยานตัวไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเหลือบไปเห็นร่างที่นอนคว่ำไม่ได้สติระหว่างทางก็ตรงรี่เข้าหาอย่างตื่นตกใจ

           ต้าเซียนก้าวไปข้างหน้าด้วยกายที่สั่นเทิ้มยังผลให้ต้องสะดุดล้มลงในที่สุด มือพลันสัมผัสได้ถึงเลือดอุ่นบนพื้นก็ถึงกับสะดุ้งตัวตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ตนรู้สึกกลัว มือเรียวค่อยๆแนบลงที่แผ่นหลังกว้างอย่างกล้าๆกลัว
           
           “ไม่จริง” สัมผัสนั้นมีแต่เพียงความเยียบเย็น เป็นเขาทิ้งร่องรอยไว้ให้กับจอมมารเฟยหลง และเป็นเขาที่ไม่คิดล้มเลิกแผนการ ทั้งๆที่รู้ว่าชายหนุ่มติดใจสงสัย ดังนั้นเซียวถิงฟงจึงได้... คล้ายมีคมมีดทิ่มแทงอยู่ในอก ต้าเซียนตะโกนอย่างรวดร้าว
           
           “เจ้านั่นเหละที่ซื่อบื้อ ถิงฟง” 

           “ต้าเซียน เกิดอะไรขึ้น” ฉับพลันนั้นปรากฏเป็นเสียงเหนื่อยหอบที่ด้านหลัง เป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่วิ่งตามมา

           “เขา เขาตายแล้ว” ในลำคอคล้ายมีก้อนสะอึก “เป็นข้าทำร้ายเขา”

           “หือ ชายผู้นี้น่ะหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มมองร่างอันไร้วิญญาณอย่างนิ่งงัน

           “เป็นข้าทำร้ายเขา” ต้าเซียนหลับตาลงได้แต่โทษตัวเอง
   
           ซวนหยวนหมิงไท่มองดูสีหน้าโศกเศร้าของเจ้าตัวก็พลันเข้าใจ เขาพลิกร่างชายที่เสียชีวิตบนพื้นขึ้น “ชายผู้นี้บาดเจ็บภายในสาหัสจนถึงแก่ความตาย กระดูกทั่วร่างถูกทำลายเสียหมด”

           ถิงฟง เจ้าคงเจ็บมากสินะ เอาเถิด หากเรื่องจบลงเมื่อไหร่ ข้าให้สัญญาว่าจะลงไปกำชับท่านยมบาล ให้เจ้าลงไปเกิดในชาติภพที่ดี เอาเป็นว่าเกิดไกลจากสระบัวเสียหน่อย จะได้ไม่ต้องโชคร้ายเพราะข้าอีก

           “ว่าแต่เซียวถิงฟงล่ะ” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็ถามขึ้น ทำให้ต้าเซียนอุทานพลางลืมตาขึ้น

           “เอ๋” เผลอไล่มองร่างไร้ลมหายใจแล้วก็เป็นอันต้องผงะหงายหลัง ร่างตรงหน้าเป็นเพียงชายแปลกหน้าที่มีรูปร่างสูงใหญ่ทัดเทียมกับเซียวถิงฟง หนำซ้ำยังแต่งตัวต่างกันไปมากโข ดูท่าว่าเขาจะเลอะเลือนไปจริงๆ

           บ้าจริง ร่างน้อยสบถในใจ แต่ก็มิวายโล่งใจไปปลอดหนึ่ง “ไม่ ยังวางใจมิได้” ตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่ควรวางใจ ตราบใดที่ยังไม่พบเซียวถิงฟง ต้าเซียนนึกจากนั้นจึงมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของอุทยาน

           “เดี๋ยวก่อน” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องเรียกทว่าร่างสีขาวกลับหายวับไปเสียแล้ว นี่ข้ายังต้องวิ่งตามอีกหรือ เขาคิดอย่างโอดครวญก่อนจะวิ่งตามไปอีกครั้ง

           เมื่อมาถึงสระบัวในเขตอุทยานหลวง ก็ปรากฏร่องรอยการต่อสู้ประปรายไปทั่วบริเวณ กลิ่นอายสังหารยังคงมิจางหาย อีกทั้งยังอยู่มิไกลจากที่นี่นัก ต้าเซียนคิดพลางใช้เนตรทิพย์มองไปโดยรอบๆ ก่อนจะพบเงาร่างที่คุ้นตาที่กำลังกระชากคนผู้หนึ่งขึ้น
           
           “ถิงฟง” เขาพลันตวาดก้อง เพียงช่วงเวลานิ้วดีดก็ปลดปล่อยพลังสีทองขนาดใหญ่เข้าใส่ชายผู้ที่กำลังเงื้อมือฟาดโดยไม่ลังเล

           พลังขุมหนึ่งถาโถมเข้าใส่ ทำให้เฟยหลงจำใจผละมือออกแล้วต้านรับอย่างเต็มกำลัง ด้านต้าเซียนก็ใช้จังหวะนี้พุ่งตัวเข้ารับร่างเซียวถิงฟงไว้ ก่อนกระโดดถอยห่างไปไกลแล้วส่งตัวชายหนุ่มให้กับซวนหยวนหมิงไท่ที่วิ่งตามเข้ามา

           “ถิงฟง ถิงฟง” องค์รัชทายาทรับร่างของเซียวถิงฟงไว้แล้วก็จับชีพจรเป็นการใหญ่ ถิงถิงที่พึ่งตามมาถึงก็เฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง

           ครั้นพลังถูกต้านรับจนสลายหายไป ดวงตาเฉกเช่นพญาอินทรีก็เงาร่างสีขาวที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว หัวใจก็พลันเต้นระรัวอย่างปิติยินดี ความคิดถึงนานนับพันกว่าปีพวยพุ่งอยู่ในอก เฟยหลงจับจ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงหา “ท่านมหาเทพ” กาลเวลานับพันปีที่ไม่ได้พบหน้าแทบทำให้เขาต้องเสียสติ ฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นท่านจริงๆใช่ไหม ท่านมหาเทพ

           ต้าเซียนจับจ้องมองบุรุษที่สวมใส่ชุดสีเลือดหมูเข้มดั่งคนแปลกหน้า นี่มิใช่เฟยหลงที่ตนรู้จัก กระทั่งเผลอสบเข้ากับดวงตาอ่อนโยนที่แฝงไว้ความแน่วแน่ ฉับพลันนั้นก็ทั่วร่างคล้ายกับถูกแช่แข็ง

           แน่ใจหรือว่ามิเคยรู้จัก สายตาเช่นนั้น มิใช่ว่าตนแสร้งทำเป็นละเลยหรอกหรือ พอดีกับที่มือหนึ่งเอื้อมขึ้นสัมผัสที่แก้มอย่างเบามือ ต้าเซียนพลันสะดุ้งตัวเล็กน้อย หากแต่ก็มิได้ปัดฝ่ามือนั้นออก

           สัมผัสอบอุ่นส่งผ่านมายังมือของตน เฟยหลงแทบอยากให้เวลาหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ขอมีเพียงแค่เขาและท่านมหาเทพตลอดไป แต่แล้วเปลือกตาบางกลับหลุบลง ก่อนที่ฝ่ามือเขาจะค่อยๆหลุดออกอย่างมิจำใจ

           “ปล่อยข้า” น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยอำนาจดังขึ้น เป็นเพราะเฟยหลงยังคงดื้อดึงมิยอมปละปล่อยมือออก

           เฟยหลงเหยียดยิ้มหยันรับรู้ได้ถึงการปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือแม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังคงถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไป มือจึงค่อยๆลดลงจากแก้มนวลช้าๆ

           สีหน้าที่บ่งบอกถึงความปวดรวดร้าวนั้นแทบทำให้ต้าเซียนหายใจไม่ออก คำพูดต่างๆนานาถูกกลืนเข้าสู่ลำคอ แต่แล้งจังหวะนั้นเองดวงตาของเฟยหลงกลับแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว จู่ๆแขนแกร่งก็โอบรั้งร่างเขาไว้อย่างมิทันตั้งตัว ทว่าผลลัพธ์มิเป็นดั่งฝัน สองขาของท่านมหาเทพคล้ายหยั่งรากลึกลงสู่พื้นดิน ไม่มีไหวติงแม้แต่น้อย สุดท้ายเฟยหลงจำต้องหยุดการกระทำอันโง่เขลา สองมือเลื่อนขึ้นมาจับที่บ่าน้อยก้มหน้ามองลงพื้นดินนิ่งเงียบไป

           “เฟยหลง” ต้าเซียนกระซิบเรียกเบาๆ ด้วยรู้สึกสงสาร หากแต่ไม่ทันไรเสียงหัวเราะเจ็บปวดก็ดังขึ้นแทน

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เฟยหลงเงยหน้าขึ้นใช้ดวงตาที่แดงก่ำระคนคลุ้มคลั่ง จ้องไปยังคนหมดสติที่ด้านหนึ่ง

           “เฟยหลง” เสมือนว่ารู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไร แต่เพลานี้เฟยหลงได้ผละตัวออกแล้ว ต้าเซียนรีบก้าวเข้าไปขวางไว้ทั้งยังตะโกนออกไป “เจ้ามิอาจก้าวเข้าไปได้อีก”

           น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยขึ้น เฟยหลงที่ตีสีหน้าเรียบสนิทก็จ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลประกายทอง แล้วกล่าวถาม “เหตุใดข้าจึงก้าวเข้าไปมิได้”

           “........” ร่างน้อยถึงกับนิ่งเงียบไป คำถามนี้เขาเลือกที่จะไม่ตอบ
           
           เฟยหลงมิได้คำตอบก็เลือกที่จะก้าวต่อไป แต่ท่านมหาเทพยังคงเข้ามาขวางทางไว้ ตนจึงตัดสินใจพุ่งตัวเข้าใส่คนที่นอนสลบไม่ได้สติด้วยความเร็วดุจสายลม
 

**********************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 11.2 ประมือ 27/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 27-10-2015 20:54:10
บทที่ 11.2 ประมือ

 
           แลเห็นเป้าหมายถูกเปลี่ยน ซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่มีเวลาคิดให้มากความจึงรีบเอาตัวเข้าบังสหายไว้ บุรุษผู้นี้ร้ายกาจถึงขั้นทำให้เซียวถิงฟงบาดเจ็บสาหัสได้เช่นนี้ นับว่าไม่ธรรมดา

           ทว่าเมื่อคนพุ่งเข้ามาถึง ถิงถิงก็กลับเป็นฝ่ายเอาตัวเข้าบังคนทั้งสองไว้แทน ฝ่ามือของเฟยหลงจึงกำเข้าที่ลำคอเล็กแล้วยกร่างขึ้นสูง ทำให้นางร้องทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด

           “ถิงถิง” ซวนหยวนหมิงไท่พยายามวิ่งเข้าไปช่วยถิงถิง แต่แล้วกลับโดนม่านพลังกระแทกใส่หงายหลังออกไป

           “ปล่อยนาง”

           เฟยหลงจำต้องปล่อยมือลงแล้ว เขาหันไปปะทะฝีมือกับท่านมหาเทพยังผลให้ร่างของถิงถิงทรุดลงกับพื้น ก่อนสำลักไออย่างรุนแรงจนซวนหยวนหมิงไท่ต้องตรงเข้าลูบหลังนาง

           “เรื่องของเจ้ากับข้า อย่าได้เอาผู้ใดมาเกี่ยว” ต้าเซียนกล่าวเสียงดังกังวานที่เปี่ยมไปด้วยพลังน่าเกรงขาม “เดิมทีข้าตั้งใจจะเจรจากับเจ้า หากเจ้ายอมกลับมายังเส้นทางที่ถูกที่ควร ข้าก็จะลืมเรื่องที่ผ่านมาทั้งอภัยให้เจ้าทั้งหมด”

           สงครามระหว่างเทพและปีศาจครั้งก่อนยังคงสร้างผลกระทบใหญ่หลวง ช่องว่างมิติบิดเบี้ยวพร้อมที่จะดูดกลืนทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลา หากเขาสามารถเกลี้ยกล่อมเฟยหลงได้ ทั้งสามพิภพย่อมคืนความสงบ...กลับมาสิ เขาเรียกร้องภายในใจ ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าถลำลึกมากไปกว่านี้อีกแล้ว

           “ลืม” น่าหัวร่อยิ่งนัก หัวใจเฟยหลงพลันเจ็บหนึบ “ลืมเรื่องที่ผ่านมาหรือ” หมายความว่าอย่างไร ท่านคิดจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมความรักที่ข้ามีต่อท่าน แล้วให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตที่มิอาจครอบครองท่านได้กระนั้นหรือถ้อยคำหลากหลายพรั่งพรูในอก เขายกยิ้มขึ้นหากแต่มันเป็นรอยยิ้มขมขื่น “ท่านจะให้ข้าลืมความรู้สึกที่มีต่อท่านได้อย่างไร เป็นไปมิได้”

           สีหน้าของต้าเซียนเต็มไปด้วยความลำบากใจ ขบคิดอยู่ชั่วครู่จึงตัดสินใจกล่าว “เช่นนั้น หากข้ามิวิธีที่ทำให้เจ้าสามารถลืมได้ล่ะ” ถ้าการที่เขาเป็นฝ่ายลืมกลับเป็นการทำร้ายเฟยหลงแล้ว จะดีกว่ารึไม่ หากเฟยหลงเป็นฝ่ายลืมเสียเอง

           ทว่าคำกล่าวที่เอ่ยออกมานั้นกลับยิ่งเป็นการตอกย้ำรอยแผลของเขาโดยที่เจ้าตัวมิได้รู้ตัว ฝีเท้าของเฟยหลงถึงกับซวนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนยิ้มประชดกล่าว “ขอถามท่านจะทำเช่นไรกัน”

           “น้ำแกงยายเมิ่ง” ต้าเซียนตอบ จากนั้นจึงอธิบายต่อ “เจ้าอาจไม่เคยรู้มาก่อน น้ำแกงยายเมิ่งที่ดินแดนใต้พิภพ แม้จะมีไว้สำหรับวิญญาณมนุษย์ที่กำลังจะไปเกิดใหม่ดื่มเพื่อลืมเลือนเรื่องราวชีวิตในภพก่อน หากแต่สำหรับเทพเซียนนั้นก็ย่อมให้ผลเช่นเดียวกัน”

           เฟยหลงฟังแล้วถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นี่ท่านกำลังพูดอะไรอยู่ เหตุใดต้องให้เขาลืมด้วยเล่า รอจนเสียงหัวเราะหยุดลง รอยยิ้มเย็นชาผุดขึ้น “ท่านมหาเทพได้โปรดจำคำข้าไว้ให้ดี ท่านมิอาจลืมเลือนข้าได้ หากวันใดที่ท่านลืม ข้าจะทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ไม่ว่ามือข้าต้องแปดเปื้อนสักเพียงไหน ข้าก็จะทำให้ท่านจดจำข้าตราบชั่วนิรันดร์”

           เขาลั่นวาจาอย่างแน่วแน่ก่อนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงขมขื่น “กลับกันหากข้าต้องลืมเลือนท่าน ข้ายอมเลือกเดินเข้าสู่เส้นทางที่แปดเปื้อนนี้หรือยอมสูญสลายไปเสียเลยดีกว่า” กล่าวจบก็พลันขยับเท้าขึ้น ไม่ว่าเขาจะทำให้ท่านมหาเทพหวั่นไหวได้รึไม่ เขาก็มิอาจปล่อยชายผู้ที่ได้รับพลังเช่นเดียวกับเขา

           เห็นเฟยหลงเริ่มเคลื่อนไหว อีกทั้งดวงตายังเปี่ยมไปด้วยรังสีอาฆาต ต้าเซียนก็รีบกล่าว “เจ้าอย่าได้หวังจะทำร้ายพวกเขาเป็นอันขาด” แม้จะรู้สึกเสียใจกับคำตัดพ้อดังกล่าว แต่หากเฟยหลงก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว เขาคงจำต้องลงมือ ทว่าร่างเบื้องหน้ากลับหายไปแล้ว

           เฟยหลงใช้ท่าร่างเคลื่อนย้ายในพริบตา ก่อนปรากฏตัวที่ข้างกายเซียวถิงฟง เขาลากตัวคนไม่ได้สติขึ้นจากพื้น ด้านซวนหยวนหมิงไท่ที่คอยดูอาการถิงถิงอยู่ก็รีบเอื้อมมือไปคว้าแขนสหายไว้แน่น

           หากแต่เจ้าของดวงตาดุจพญาอินทรีก็ปรายสายตาเย็นชาเข้าใส่แล้วจึงซัดพลังส่วนหนึ่งเข้าทำร้าย ต้าเซียนเองก็รีบเคลื่อนย้ายร่างตรงเข้ารับฝ่ามือนั้นไว้อย่างทันท่วงที

           พลังของทั้งสองต่างตรงเข้าผลักดันกันทันที แต่แล้วในช่วงเวลาเพียงช่วงสั้นๆ ต้าเซียนก็พลันรู้สึกถึงกระอักกระอ่วนภายใน จึงเค้นเอาพลังส่วนหนึ่งสะท้อนพลังออกไปจนบังเกิดเป็นแสงสว่างวาบที่ฝ่ามือ

           ฝ่ามือของทั้งสองต่างผละออกจากกัน ต่างคนต่างถอยกันไปคนละก้าว ต้าเซียนมองเซียวถิงฟงที่ยังคงอยู่ในกำมือเฟยหลงแล้วจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายบุกทันที

           ร่างน้อยถลาเข้าหาก็เอื้อมมือหมายคว้าร่างของชายหนุ่มไว้ หากแต่อีกฝ่ายกลับสะบัดมือลากเอาชายที่สลบไสลหลบไปทางด้านหลังแทน ดังนั้นสิ่งที่คว้าจับจึงมีแต่เพียงแค่อากาศธาตุ

           ทั้งสองต่างหนึ่งรุกหนึ่งรับกันอยู่หลายกระบวนท่า ต้าเซียนก็เปลี่ยนท่าร่างส่งพลังสีทองผ่านทางปลายนิ้ว ด้านเฟยหลงก็เบี่ยงกายให้พ้นวิถีจากนั้นจึงตรงเข้าประชิด มือขวาเหยียดตรงหมายสกัดจุด ทว่าต้าเซียนกลับรอคอยจังหวะนี้อยู่แล้ว ไหล่ซ้ายเบี่ยงไปทางด้านหลัง คว้าแขนอีกฝ่ายไว้หมุนตัวเข้าหาจนแผ่นหลังประชิดเข้ากับอกแกร่ง

           ครานี้แม้รู้ตัวว่าหลงกลแต่เฟยหลงก็ยอมที่จะโอนอ่อนผ่อนตาม มือปละปล่อยออกจากตัวเซียวถิงฟง แล้วสวมกอดร่างสีขาวที่ตกอยู่ในอ้อมอกแอทน ใบหน้าคมเคลื่อนเข้าใกล้เรือนผมนุ่มสลวย สูดดมเอากลิ่นหอมละมุนอ่อนเช่นดอกบัว จากนั้นจึงใช้ริมฝีปากไล้บริเวณใบหูนุ่ม

           “เพียงเพื่อช่วยมนุษย์ต่ำต้อยผู้หนึ่ง ไฉนท่านจึงยอมใช้ยุทธวิธีนำตัวเข้าแลกเช่นนี้” เฟยหลงเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่กลับแฝงด้วยความโกรธ

           “........”             

           “เป็นเพราะท่านถ่ายเทพลังส่วนหนึ่งให้แก่เขา ทำให้ท่านสูญเสียพลังไปมาก มิกลัวว่าท่านจะตกอยู่ในกำมือข้าเลยรึ” กระซิบกล่าวพลางกอดร่างนวลไว้แน่นขึ้น

           “ตกอยู่ในกำมือเจ้า นั่นยังไม่แน่นัก” ต้าเซียนยิ้มพลางสวนตอบ บัดนี้ที่ข้อมือขวาปรากฏเสียงฟ่อเบาๆขึ้น แลด้วยผิวอันเย็นเยียบของมันก็ทำให้เฟยหลงถึงกับขมวดคิ้ว งูเผือกที่มีเกร็ดสีขาวละเอียดตัวหนึ่งกำลังเลื้อยตัวขึ้นพัวพันคนทั้งสองมาถึงบริเวณไหล่ จนถึงจังหวะหนึ่งมันก็หยุดจ้องมองเฟยหลงในระยะประชิด

           “ไป๋เซ่อ” เฟยหลงแค่นเสียงในลำคอก่อนผละตัวออกจากท่านมหาเทพอย่างจำใจ ด้านไป๋เซ่อก็พลันเหวี่ยงตัวรัดร่างของคนตรงหน้าเป็นพัลวัน

           ต้าเซียนได้โอกาสก็ก้มตัวลงคว้าตัวชายหนุ่มไว้ จากนั้นก็รีบถลาตัวออกไป ซวนหยวนหมิงที่รอดูสถานการณ์อยู่ก็รีบตามเข้าไปรับร่างสหาย ต้าเซียนสบตามองชั่วครู่หนึ่งก็กลับไปเผชิญหน้าต่อ

           ในตอนนี้ไป๋เซ่อในร่างงูเลื้อยรัดเฟยหลงไปทั่วร่าง บัดเดี๋ยวเลื้อยไปทางซ้าย บัดเดี๋ยวเลื้อยไปทางขวา ด้วยเกร็ดที่เรียบลื่นเป็นพิเศษ แม้จับต้องตัวมันได้ มันก็ต้องดิ้นหลุดได้ทุกครั้ง กระทั่งหางตาไป๋เซ่อเห็นเงารางๆพลันเหวี่ยงตัวกระโจนกลับไปหาท่านมหาเทพดังเดิม

           ขณะที่ร่างปราดเปรียวพุ่งตัวออกจากร่างจอมมาร พริบตานั้นก็มันก็เปลี่ยนรูปเป็นเช่นกระบี่สีขาว ด้ามดาบประดับตกแต่งไว้ด้วยพลอยสีฟ้าอมเขียว ต้าเซียนรับกระบี่เสร็จก็ตรงเข้าจู่โจม

           เฟยหลงชะงักตัวลอยตัวไปทางด้านหลัง กระบี่พุ่งเข้าใส่ด้านหน้าหากแต่ยังคงไม่ถึงตัว แต่ใครจะคิดว่าฉับพลันนั้นกระบี่จะแปรเปลี่ยนกลับเป็นงูเผือก ตรงเข้าฉกกะทันหัน เขาจึงจำต้องยกฝ่ามือขึ้นปล่อยพลังทันที

           คลื่นพลังขนาดใหญ่โถมกลับเข้ามา ต้าเซียนปลดเปล่อยเกราะคุ้มกันสีทองปกป้องร่างตนเองและไป๋เซ่อไว้ แต่ทว่าไม่นานเกราะดังก็เริ่มปริแตกออก รอจนจังหวะหนึ่งเขาก็เหวี่ยงตัวไป๋เซ่อไปทางด้านข้าง พอดีกับที่เกราะคุ้มกันสีทองแตกออกอย่างรวดเร็ว

           ต้าเซียนรีบหมุนฝ่ามือพยายามต้านรับพลังเป็นครั้งที่สอง ด้วยคิดผ่อนหนักเป็นเบา กระทั่งฝ่าเท้าจมลึก ร่างกายก็เกิดปั่นป่วนจนยากจะควบคุม ทนได้ไม่นานนักก็ถูกพลังนั้นกระแทกลอยจนตกลงไปในสระบัว
ตูม

           “ท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่อที่ถูกผลักดันออกมาร้องขึ้นอย่างตกใจ กระทั่งแลเห็นผืนน้ำสงบเงียบไร้วี่แววของคนที่พึ่งตกลงไป อีกทั้งเฟยหลงที่ลอยตัวขึ้นเหนือสระก็ต้องร้อนรนวิ่งไปทางสระบัว ทว่าคนผู้หนึ่งกลับหยุดเขาไว้ก่อน

           “หากเจ้ากับข้าช่วยกัน มีทางที่จะชนะคนผู้นั้นรึไม่”

           ไป๋เซ่อมองกลับไปยังซวนหยวนหมิงไท่ ด้วยน้ำเสียงที่อีกฝ่ายเอ่ยมานั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง อีกทั้งดวงตาเป็นประกายกล้า จึงตอบกลับไป “เพียงสองในสิบส่วน” ขนาดพลังของท่านมหาเทพตอนนี้ยังมีโอกาสชนะเพียงสี่ในสิบส่วนเลย

           “วิเศษ วิเศษแท้” คล้ายว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาบ้าไปแล้ว ไป๋เซ่อพยักหน้ารับ จากนั้นจึงกลายร่างเป็นกระบี่สีขาว ลอยตัวอยู่ด้านหน้าอีกฝ่าย ซวนหยวนหมิงไท่ไม่รอช้าคว้ากระบี่ลงลุยสระบัวเข้าไป

           ร่างน้อยจมลงสู่สระบัวก็ต้องเผชิญกับพลังที่ตีกันยุ่งเหยิง รู้สึกราวกับร่างจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชั่วครู่หนึ่งก็เกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าก่อนจะดับลงไป

           ครั้นเห็นชุดกระโปรงสีม่วงลอยอยู่บนเหนือผิวน้ำเฟยหลงที่ตามมาก็หย่อนตัวลงรับร่างนั้นขึ้นมาในอ้อมแขน ดูว่าเด็กหนุ่มนอนมิได้สติ เขาจึงถือโอกาสปัดเส้นผมยาวที่ปรกอยู่บนใบหน้านั้น แล้วโอบกอดไว้อย่างแนบแน่น

           คล้ายตอนนี้ร่างแกร่งลุ่มหลงไปกับร่างเล็กๆนี้ไปโดยไม่รู้สึกตัว ถึงขนาดหลงได้ยินเสียงหัวใจที่ดังเป็นจังหวะ ดวงตาเฉกเช่นพญาอินทรีจึงถึงกับเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ

           “ไม่จริง” เขาอุทานก่อนก้มตัวลงฟังอีกครั้ง ความหวังผุดขึ้นในใจ นี่เป็นเสียงหัวใจกำลังเต้น เป็นหัวใจจริงๆ ราวกับมองเห็นแสงสว่าง ในที่สุดความหวังของเขาก็เป็นจริง ท่านมหาเทพกำลังมีหัวใจ ท่านกำลังจะรักเป็น ท่านกำลังจะมีความรู้สึกดั่งเช่นมนุษย์

           “ปล่อยเขา” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดเสียงดัง กระบี่ในมือถูกวาดออก เฟยหลงสะอึกกายใช้มือปัดป้อง แต่กระนั้นกระบี่กลับกลายเป็นงูเผือกในพริบตา

           “ไม่” เฟยหลงร้องลั่น แต่ไป๋เซ่อก็กระโจนตัวเข้ามารัดร่างท่านมหาเทพแล้วพาออกไปจากอ้อมแขนเขาต่อหน้าต่อตา พอดีกับที่ต้าเซียนได้สติก็รับรู้ได้ว่าตนเองแทบไม่หลงเหลือพลังอีกแล้ว

           “เป็นอะไรมากรึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่ที่ตามมาสมทบตรงเข้าถาม

           “ข้ามิเป็นไร ไป๋เซ่อ วางข้าลงเถอะ” ต้าเซียนตอบเสียงแผ่ว ไป๋เซ่อได้ยินดังก็ค่อยๆวางตนลง ทว่าเฟยหลงยังคงมิวางมือ ทั้งยังตรงเข้าหาอย่างรวดเร็ว เขารีบเอาตัวเข้าบังคนทั้งสองทันที

           “ปล่อยเป็นหน้าที่พวกเราเถิด” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อก็พลันกู่ก้องเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็ทะยานตัวเข้าประจันหน้ากับเฟยหลง คนหนึ่งบุกซ้ายคนหนึ่งบุกขวา จนอีกฝ่ายตั้งรับอย่างพัลวัน จวบจนเห็นช่องว่าง ซวนหยวนหมิงไท่ก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่อย่างเต็มกำลัง ไป๋เซ่อเองก็ปล่อยพลังโจมตีบ้าง แม้ดูไปทั้งสองคล้ายเป็นฝ่ายได้เปรียบ หากแต่เฟยหลงกลับทะลวงพลังผ่านฝ่ามือนั้นโดยง่าย มือพุ่งกำรอบคอคนทั้งสองไว้แน่น

           “ไม่ เฟยหลง ปล่อยพวกเขาไป” ต้าเซียนร้องขัดขึ้น

           “นี่เป็นเพราะท่านคิดผิด มอบพลังให้แก่มนุษย์ผู้ต่ำต้อยผู้นั้น จึงมิอาจขัดขวางข้าได้”

           ต้าเซียนได้แต่มองคนทั้งสองอย่างร้อนรน ก่อนจะฉุกคิดได้ “ครั้งศึกเมื่อพันปีก่อน เจ้าเคยเอ่ยปากสาบานไว้ เจ้าจะชนะข้าอย่างยุติธรรม จำได้รึไม่” เห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาจึงกล่าวสืบต่อไป “ตอนนี้เจ้าเองก็ทราบดี ว่าพลังในตัวข้าเหลือเพียงไม่กี่ส่วน เช่นนี้เรียกว่าชนะได้อย่างยุติธรรมแล้วหรือ” เขางัดเอาคำสาบานเมื่อศึกครั้งก่อนมาใช้

           “เป็นอย่างที่ท่านกล่าว แต่มิได้หมายความว่าข้าต้องไว้ชีวิตพวกเขา” เฟยหลงเอ่ยขึ้น ทำให้ต้าเซียนต้องกล่าวอย่างอับจนปัญญา
 
           “งั้นถือว่าข้าขอร้อง”

           “เช่นนั้นข้าจะไว้ชีวิตพวกเขา แต่ชายผู้นั้นต้องกำจัด” เฟยหลงพูดพร้อมบุ้ยใบ้ไปทางเซียวถิงฟงที่สลบไสลอยู่ไกล ถิงถิงที่อยู่ข้างๆถึงกับมองพวกเขาอย่างวิตก

           “ไม่ได้ ทำเช่นนั้นไม่ได้” ต้าเซียนปฏิเสธ

           เฟยหลงมองหน้าท่านมหาเทพอย่างครุ่นคิด...นี่อาจยังมิถึงเวลา ขอเพียงรอหัวใจในร่างนั้นเติบโต เขายกยิ้มขึ้น จากนั้นจึงคลายมือลง ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อต่างล้มลงไอกันตัวโยน ทว่าเขาก็มิได้สนใจพลางเจรจาต่อ

           “เราท่านมาพนันกัน หากถึงวันที่ความมืดเข้าบดบังดวงตะวันจนมืดมิดในยามเที่ยงของวันแล้ว หากท่านยังมิอาจชนะข้าได้ ข้าจะกำจัดเขาและท่านจะต้องเป็นของข้า” เฟยหลงกล่าว ในใจคิดแผนการไว้เรียบร้อย

           “ได้ ตกลง” ร่างน้อยมองไม่เห็นทางใดแล้วจึงจำต้องตกลงเดิมพัน

           เฟยหลงได้ยินคำตอบแล้วจึงพาร่างลอยเหนือสระบัว ถอยหลังออกไปเล็กน้อยแล้วจึงกล่าว “ตอนนี้ท่านมิต้องเป็นห่วง แม้ข้าต้องจากไปตอนนี้ แต่เร็ววันนี้ข้าจะมาพบท่านอีกแน่”

           “เจ้ามิจำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านมหาเทพอีก”

           ขณะที่ตัวกำลังหมุนตัวกลับ เสียงนุ่มทุ้มก็พลันเอ่ยขึ้น ร่างแกร่งถึงกับชะงักตัวก่อนหันกลับมามองคนในชุดสีม่วงอ่อน “เพราะเหตุใด”

           “นั่นเพราะ เจ้าเลือกที่จะเป็นศัตรูกับข้าแล้ว” ต้าเซียนหลุบตากล่าวน้ำเสียงเรียบ

           ราวกับถูกทุบเข้าที่กลางอก ลมหายใจพลันสะดุดห้วง แต่เขาเดินมาไกลแล้ว มิอาจล้มเลิกได้อีก เฟยหลงยกยิ้มขื่น “เช่นนั้นข้าจะเรียกท่าน ต้าเซียน”

           ดวงตาสีน้ำตาลชะงักวูบ ครั้งหนึ่งคนผู้นี้เคยอยู่เคียงข้างเขามาตลอด ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงบุคคลที่เดินหันหลังให้ แม้ภายในใจจะเจ็บปวดแค่ไหน แต่ต้าเซียนก็ยังคงต้องนิ่งเงียบไว้

           ด้านเฟยหลงเองก็ค่อยๆเลือนหายไปในอากาศ ร่างนั้นค่อยๆโปร่งแสง เหลือเพียงแต่ดวงตาคมกริบเช่นพญาอินทรีที่ยังคงจับจ้องเขาจนกระทั่งลับสายตาไป


******************************************************


อ่านเเล้วติดขัดอย่างไร เเนะนำกันได้น้าาาา  :-[
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 11 ประมือ 27/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yaoisamasang ที่ 27-10-2015 22:33:30
กำลังสนุกเลยครับ ต่อไวๆน้าาา
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 11 ประมือ 27/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 28-10-2015 01:27:20
พ่อพระเอกเป็นเยี่ยงไรบ้าง สงสารนาง
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 12.1 ภาพมายา 28/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 28-10-2015 20:39:35
บทที่ 12.1 ภาพมายา


 
           กลางดึก ณ ตำหนักลุ่ยหวา สตรีนางหนึ่งสวมอาภรณ์สีชมพูอ่อนกำลังนั่งอยู่ด้านในสุดของห้องโถงโอ่อ่า แสงเทียนไขเล็กถูกจุดสว่างขับแสงนวลกระทบลงใบหน้าหวานให้เปล่งประกายยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตมองไปที่ประตูทางเข้าอย่างเนิ่นนาน แม้บรรยากาศจะเงียบเพียงใด แต่ตัวนางกลับรู้สึกได้ถึงเสียงเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กที่ครั้งหนึ่งนางเคยเป็น

           “องค์หญิง องค์หญิงหย่าเหลียน”

           เสียงแม่นมเว่ยร้องเรียกอย่างร้อนใจ ที่ด้านหลังยังมีนางกำนัลอีกสามสี่คนวิ่งตาม ส่วนตัวนางนั้นซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ใหญ่ เสื้อผ้าสีชมพูเปราะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินดูสกปรกมอมแมม อาจเป็นเพราะเมื่อสักครู่นางพึ่งแอบไปกับพี่ชายต่างมารดาคนหนึ่ง เขาที่เจิดจ้าราวกับแสงตะวัน อันแตกต่างจากตัวตนที่มืดมนของนางโดยสิ้นเชิง
           
           เขาผู้ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาท...องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่

           องค์หญิงหย่าเหลียนในวัยเจ็ดแปดขวบค่อยๆคืบคลานออกมาจากพุ่มไม้ ครั้นเหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่านางกำนัลจากไปแล้วก็วิ่งตรงไปที่ตำหนัก ด้วยต้องรีบกลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมิให้ใครสงสัย จวบจนถึงหน้าบริเวณห้องนางที่เหนื่อยหอบก็ต้องหยุดลง รอจนลมหายใจสงบมือน้อยก็เอื้อมออกไปที่ประตู

           “หย่าเหลียน”

           เสียงหนึ่งดังออกมาจากภายในห้อง ประตูถูกเปิดออกทั้งที่มือน้อยยังไม่ได้แตะ นางถึงกับสะดุ้งตกใจพร้อมๆกับคุกเข่าลงกับพื้นทันที

           ที่เบื้องหน้ามีใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเย้ายวนของพระสนมเซิงหย่าหรง หรือมารดาของนาง มีอยู่หลายครั้งที่แม่นมเว่ยมักกล่าวว่าใบหน้าตนถอดแบบความงดงามมาจากพระมารดา ทว่านางกลับไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น นางรู้สึกอยู่เสมอว่าใบหน้าของนางไม่เหมือนทั้งเสด็จพ่อ เสด็จแม่ หรือแม้กระทั่งพี่ชายแท้ๆของนางเอง ทว่าในตอนนี้มารดาก็กำลังใช้สีหน้าเย็นชามองมาที่นางอย่างทุกที

           ในที่สุดพระสนมเซิงก็ลากตัวเด็กน้อยเข้ามาในห้อง ก่อนจะผลักนางลงบนพื้นอย่างแรงท่ามกลางสายตาของนางกำนัลส่วนพระองค์

           “โอ๊ย เสด็จแม่ลูกขอโทษ”

           “ข้าเคยสั่งเจ้าไว้เยี่ยงไร”

           “เสด็จแม่สั่งห้ามมิให้ลูกเข้าใกล้องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่” หย่าเหลียนตอบเสียงอ่อย

           “เช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงไปเล่นกับมันอีก เจ้ารู้ไหมเพราะมัน วันนี้เสด็จพี่ของเจ้าต้องไปคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ในตำหนักถึงครึ่งค่อนวัน” พระสนมเซิงถลึงตาตวาด

           “เป็นเพราะเสด็จพี่หย่าเซิงไม่ดีเองต่างหาก” หย่าเหลียนเถียงกลับใบหน้ารื้นด้วยน้ำตา นางเติบโตมากับเหล่านางกำนัลมาตั้งแต่เด็ก พระสนมเซิงมิได้ไยดีนางสักเท่าไหร่ เพียงมอบความรักให้พี่ชายตนเท่านั้น นางจึงไร้ซึ่งคนห่วงใย ทว่ามีแต่เสด็จพี่หมิงไท่เท่านั้นที่คอยเอ็นดูนาง

           เพียะ ฝ่ามือหนึ่งกระทบผิวบาง ที่แก้มรู้สึกได้ถึงความแสบร้อน หย่าเหลียนยกมือกุมที่แก้ม น้ำตาไหลพรากเป็นสาย หัวใจคล้ายแตกออกเป็นส่วนๆ ทำไมมีแต่นางที่ไม่เคยได้รับความรัก ที่จริงแล้วนางทำผิดที่ใดกันแน่

           “เจ้ากำลังหมายความว่าพี่ชายของเจ้าเป็นคนเลว รวมถึงแม่คนนี้ด้วยใช่ไหม” พระสนมเซิงกล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำ
หย่าเหลียนได้ยินแล้วก็ถึงกับตกใจรีบเข้ากอดขามารดาไว้ “มิใช่ ลูกมิได้หมายความเช่นนั้นเสด็จแม่”

           “เจ้ารู้บ้างไหม ในภายภาคหน้าหากเขาได้ขึ้นครองราชย์ พวกเราตระกูลเซิง ทั้งแม่ พี่ชายเจ้า ท่านปู่อาจต้องตายด้วยน้ำมือของเขา ตระกูลเซิงของเราจะต้องล่มสลาย”

           “เสด็จแม่กำลังกล่าวอะไร เสด็จพี่หมิงไท่ไม่มีทางทำเช่นนั้น เสด็จพี่เป็นคนดีอีกทั้งยังเขาเอ็นดูหม่อมฉัน” หย่าเหลียนกล่าวเสียงเบาๆ ในใจคิด สิ่งที่มารดากล่าวมานั้นไม่เหมือนกับเสด็จพี่หมิงไท่ที่นางรู้จัก

           “เจ้าจะรู้กระไร เบื้องหน้าเจ้าเขาเพียงแค่สวมใส่หน้ากากตบตา ในใจลึกๆเขามิเคยมองว่าเจ้าเป็นน้องสาว เขาเพียงมองว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลเซิง ตระกูลที่จะต้องโค่นอำนาจเขา ฉะนั้นเขาไม่มีวันที่จะเอ็นดูเจ้า ไม่มีทางห่วงใยเจ้าอย่างแท้จริง สักวันหนึ่งเขาจะผลักไสเจ้าอย่างไม่ไยดี รอจนเจ้าโตขึ้นเขาก็จะใช้ประโยชน์จากตัวเจ้า ส่งเจ้าไปแต่งงานกับคนเถื่อนที่อาณาจักรใกล้เคียงเพื่อแลกกับอำนาจ”

           “ไม่เอา” หย่าเหลียนส่ายหน้า หากต้องไปอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก ซ้ำยังห่างไกล นางจะทำเช่นไรกันเล่า

           “เช่นนั้นเจ้าต้องเชื่อฟังข้า” พระสนมเซิงรวบองค์หญิงหย่าเหลียนขึ้นกอดพลางกระซิบข้างหู “จำไว้คนที่เจ้าไว้ใจได้นอกจากพวกเราตระกูลเซิงแล้วไม่มีใครอื่นอีก หากจะมีก็มีบุคคลเพียงแบบเดียวเท่านั้นที่เจ้าเชื่อถือได้ บุคคลที่แม้ถูกเจ้าทำร้ายก็ยังพร้อมที่จะอภัยให้เจ้า คนเช่นนี้เท่านั้นที่เจ้าสมควรเลือกอยู่ข้างกาย เพราะเขาจะไม่มีวันทำร้ายเจ้าได้”

           หย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นฟังอย่างใจจดใจจ่อ เห็นดวงตาของเสด็จแม่ทอประกายกร้าวก่อนส่งยิ้มให้นาง

           “แต่หากเจ้าอยากพิสูจน์ ว่าเสด็จพี่หมิงไท่ของเจ้าเป็นคนดีจริงรึไม่ เจ้าลองนำขนมกล่องนี้ไปมอบให้แก่เขาเสีย” กล่าวจบพระสนมเซิงก็ยัดขนมกล่องหนึ่งใส่ในมือนาง หย่าเหลียนเปิดออกดูแล้วจึงพบว่าข้างในเป็นขนมโก๋แกะสลักลายดอกไม้หลากชนิดวางเรียงรายหลายชิ้นดูน่ากิน

           “เพียงแต่มีข้อแม้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องยืนยันว่าเป็นคนทำขนมนี้ให้แก่เขา หากหลังจากนี้เขายอมอภัยให้เจ้า นั่นย่อมหมายความว่าเขาเป็นคนดีจริงใจอย่างที่เจ้าพูด แต่หากมิใช่เช่นนั้น ย่อมหมายความว่าแท้จริงแล้วเขามองเจ้าเป็นศัตรู เป็นคนของตระกูลเซิง เข้าใจไหม”

           หย่าเหลียนพยักหน้ากอดกล่องขนมนั้นอย่างเงียบๆ หลังจากที่พระสนมเซิงจากไปนางก็นอนไม่หลับทั้งคืน นางพอจะรู้ว่าขนมในกล่องนั้นต้องมีปัญหาอยู่บ้าง จวบจนฟ้าใกล้สางนางที่เอาแต่ครุ่นคิดลังเลก็ผล็อยหลับไป


****************************************************


           เช้าวันต่อมาหย่าเหลียนยังคงมุดผ่านพุ่มไม้เล็กๆ เพื่อลอบเข้าไปยังอุทยานของตำหนักเหวินหัว กระทั่งเห็นเด็กหนุ่มนั่งอ่านตำราอยู่ในศาลาเพียงลำพังก็ร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้าไปหาอย่างร่าเริง

           “เสด็จพี่หมิงไท่”

           ซวนหยวนหมิงไท่หันมาตามเสียงใส รอยยิ้มอบอุ่นระบายบนใบหน้า นางชมชอบรอยยิ้มนี้และปรารถนาที่จะได้เห็นมันตลอดไป เขารวบตัวนางขึ้นนั่งบนตักอย่างนุ่มนวล ส่วนนางก็ชมมองรอยยิ้มนั้นอย่างเซื่องซึม

           “หย่าเหลียนเจ้าถืออะไรมา” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามพลางมองน้องสาวตัวน้อยอย่างเอ็นดู

           หย่าเหลียนชะงักตัวกึกไปเล็กน้อย เพราะคำพูดของมารดาลอยวนเวียนอยู่ในสมอง เงียบไปนานสุดท้ายจึงกล่าว “ขนมโก๋กล่องนี้ข้าทำเองกับมือ ข้าคิดให้เสด็จพี่หมิงไท่ลองชิมดู” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

           “หึ หึ ฝีมือเจ้าจะกินได้จริงๆรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวหยอกล้อ แต่ครั้นเห็นคนบนตักค้อนใส่เขาก็รีบรับกล่องขนมมา จากนั้นจึงลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน “เอาเถอะ ข้าจะค่อยๆกินในช่วงยามพักล่ะกัน แต่ตอนนี้ข้าต้องอ่านหนังสือ เจ้านั่งเล่นไปก่อนได้รึไม่”
 
           “อื้อ” นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ตลอดเวลานางก็เฝ้ามองพี่ชายต่างมารดานั่งอ่านหนังสือด้วยท่าทีจริงจัง มีบางคราที่เขาหันมาส่งยิ้มให้เป็นพักๆ พอพ้นไปครึ่งชั่วยามนางก็มุดพุ่มไม้กลับไปที่ตำหนักของตนเอง

           ทว่าหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ นางก็มิได้พบเจอเขาอีก นางได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ความจริงอาจเป็นเพราะไม่มีใครใส่ใจนางเสียมากกว่า เพราะในเพลานี้ภายนอกตำหนักต่างเต็มไปด้วยความโกลาหล เหล่านางกำนัล ขันที ต่างพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่องค์ฮองเฮา หรือพระมารดาขององค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์ชีพเนื่องด้วยยาพิษ ยังมีขันทีและนางกำนัลต้นเครื่องสามคนถูกประหารชีวิตด้วยความผิดฐานลอบปลงพระชนม์ไปอย่างเงียบๆ แต่พวกเขาล้วนเป็นแพะรับบาปนางรู้ดี

           เป็นพระสนมเซิงตั้งใจใช้ให้นางถวายขนมกล่องนี้แก่องค์รัชทายาท แต่แล้วเรื่องราวกลับพลิกผัน องค์รัชทายาทมิได้ทรงเสวยขนมกล่องนั้น เขากลับถวายมันให้กับพระมารดาของตนแทน ซึ่งแม้แผนการจะคลาดเคลื่อนแต่พระสนมเซิงกลับได้กำจัดคู่แข่งคนสำคัญของตนอย่างไร้เงื่อนงำ แลเมื่อเสร็จจากงานพระศพ ขุนนางที่ฝักฝ่ายตระกูลเซิงก็รวมตัวกันทูลขอราชโองการแต่งตั้งนางขึ้นเป็นองค์ฮองเฮาในทันที

           แม้จะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย แต่นางตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้นางต้องค้นหาคำตอบ นางลอบเข้าไปในอุทยานตำหนักเหวินหัว ครั้นเมื่อมุดผ่านพุ่มไม้ไปก็พบคนแต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์กำลังนั่งอยู่ในศาลา บรรยากาศรอบตัวเขาดูเปล่าเปลี่ยวอย่างเห็นได้ชัด 

           “เสด็จพี่หมิงไท่” นางร้องเรียกแต่คล้ายว่าเขามิได้ยิน นางจึงเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวดูอมทุกข์ มือน้อยเอื้อมไปกุมมือที่เยียบเย็นไว้ แต่แล้วเขากลับสะบัดมือออก ความเย็นชานั้นส่งผลให้นางรู้สึกเจ็บแปลบในอก นางลองยื่นมือไปกุมเขาอีกครั้งอย่างกล้าๆกลัว ทว่าครั้งนี้เขามิเพียงชักมือออกแต่กลับยังจ้องนางด้วยสายตาเคียดแค้น

           “เสด็จพี่หมิงไท่ น้องมิได้รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่อง...”

           “เช่นนั้นทำไมจึงมีพิษ”

           ยังมิได้ทันพูดจบเขาก็พลันกล่าวตัดบทอย่างเย็นชา ดูว่าสายตาดุจดั่งแสงตะวันที่อบอุ่นคู่นั้นไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงสายตาคาดโทษที่จ้องมองอย่างรังเกียจเท่านั้น

           หย่าเหลียนก้มหน้าน้ำตานอง ทั้งที่เพียงแค่ต้องการพิสูจน์ว่าเขามิได้เป็นอย่างที่เสด็จแม่พูด เขามิได้เสแสร้งทั้งยังเอ็นดูนาง เขาดีกับนางมิใช่เป็นเพราะเห็นนางเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์อันใด

           “ตั้งแต่นี้ไปเจ้าอย่าได้ย่างกรายเข้ามาที่แห่งนี้อีกเป็นอันขาด ออกไป”

           คล้ายเป็นดั่งคำประกาศิต บัดนี้นางได้คำตอบแล้ว เสด็จพี่หมิงไท่ที่อ่อนโยนคนนั้นไม่มีอีกแล้ว เขาออกปากไล่นางอย่างไร้เยื่อใย ไม่เหลือแม้แต่ความอาวรณ์ และต่อจากนี้ไปนางจะเป็นเพียงแค่คนอื่น เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา ไร้ซึ่งความผูกพันอีก

           ทว่าส่วนลึกในใจ มันกลับไม่ยินยอม นางไม่อยากเป็นคนอื่น หยาดน้ำตาอุ่นไหลออกจากดวงตาใส ไม่มีแม้แต่เสียงสะอึกสะอื้นอีก นางตัดสินใจแล้ว “ใช่ เป็นข้าเอง เป็นข้าเองที่ตั้งใจ ข้ารู้ว่าขนมนั่นมียาพิษ”  นางยกยิ้มกล่าวทั้งที่น้ำตาไหลพราก “เป็นเพราะหม่อมฉันมิต้องการเป็นตัวหมากของพระองค์ ดังนั้นจึงตั้งใจจะสังหารพระองค์เสีย ฉะนั้นโปรดทรงอย่าลืมเรื่องนี้ไปตลอดจนชั่วชีวิตของพระองค์”

           ชั่วขณะนางคล้ายแลเห็นสีหน้าตกตะลึงของคนตรงหน้า ทว่านางยังคงกล่าวต่อ “โปรดทรงเกลียดหม่อมฉันเพราะหม่อมฉันเองก็จะเกลียดพระองค์เช่นกัน” กล่าวจบก็ออกวิ่งไปให้พ้นจากเขตตำหนักเหวินหัวโดยมิคิดจะหันกลับไปอีก

           เพราะสถานที่นี้ไม่มีที่สำหรับนางอีกแล้ว เช่นเดียวกับใจเขาที่จะไม่มีนางอีกต่อไป

           “เจ้าเชื่อแม่รึยัง หากเขาดีกับเจ้าจริง เขาคงจะเชื่อว่าเจ้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง นี่เป็นเพราะเขามองว่าเจ้าเป็นคนตระกูลเซิงจึงได้กล่าวโทษเจ้า และสักวันหนึ่งเขาก็คงคิดจะทำร้ายเจ้า ดังนั้นมิสู้ชิงลงมือเสียก่อนดีกว่ารึ” พระสนมเซิงกล่าวกับหย่าเหลียน

           เรื่องนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของนาง เพราะตั้งแต่นั้นมานางก็มิเชื่อใจใครอีก เพียงเชื่อบุคคลประเภทเดียว บุคคลที่พร้อมจะอภัยให้นาง แม้ว่าจะถูกนางทำร้าย และตั้งแต่นั้นมานางก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาแทบมิได้ออกจากตำหนักอีกเลย
 

**********************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 12.2 ภาพมายา 28/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 28-10-2015 20:40:51
บทที่ 12.2 ภาพมายา


 
           แต่ใครจะคาดคิดเพียงผ่านไปสองปีโชคชะตาก็เริ่มเดินอีกครั้ง วันหนึ่งเด็กชายคนหนึ่งก็กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนอย่างซุกซน ครั้นหย่าเหลียนที่นอนอยู่เหลือบเห็นก็ต้องตกใจรีบร้องเรียกนางกำนัล
   
           “เดี๋ยวอย่าร้องๆ” เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปปิดปากนางไว้เสียยกใหญ่
หย่าเหลียนที่ถูกอุดปากไว้จึงยิ่งหวาดผวา ตัดสินใจดึงเอาปิ่นปักผมแทงเข้าที่ไหล่ผู้บุกรุกอย่างแรง ด้านอีกฝ่ายก็รีบผละตัวออก
           
           แต่คาดไม่ถึงว่าเขากลับมิได้ร้องออกมาสักแอะ มีเพียงแค่เหงื่อที่ไหลซึมแนบแก้ม
ดูว่าเด็กหนุ่มอายุมากกว่านางไม่มาก ใบหน้าดูคมคาย ผมสีดำขับประกายโดดเด่น ที่เอวห้อยด้วยตราประจำตระกูลสีเงินเขียนคำว่าเซียว ท่าทางจะเป็นลูกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และตอนนี้เขากำลังจ้องนางมิวางตา

           “เด็กน้อย แรงดีมิใช่ย่อย วันหลังไปเล่นกับข้าไหม”

           จู่ๆเด็กผู้นั้นก็โพล่งขึ้น หย่าเหลียนถึงกับงงงันวูบ ทั้งๆที่นางพึ่งทำร้ายเขา แต่เขากลับชวนนางไปเล่น หนำซ้ำพอเขาเห็นนางยืนอ้าปากค้าง เขาก็ฉกเอาผ้าเช็ดหน้าในมือนางเข้ามัดปิดปากแผลไว้แทน

           “ทำไมเจ้าไม่โกรธ” นางตะลึงไปเล็กน้อยก่อนกล่าวถามอย่างสงสัย แต่เขาเพียงแค่หัวเราะแห้งแล้วกล่าว

           “เจ้าไม่อยากไปเล่นกับข้าหรือ ข้าพึ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน เห็นตำหนักนี้เงียบนักจึงแอบเข้ามาเล่น แต่ดันมีคนเห็นจึงได้หลบเข้ามายังห้องนี้โดยบังเอิญ”

           “.........”

           ยังคงเห็นนางยืนนิ่ง เขาได้แต่เกาแก้ม “ข้าแซ่เซียว มีนามว่าถิงฟง บุตรของตาแก่เซียวถิงหลี่”

           “พรืด” ครานี้หย่าเหลียนหลุดหัวเราะออกมาแล้ว ด้านชายหนุ่มแซ่เซียวเองก็ส่งยิ้มทะเล้นให้นางเช่นกัน

           จากนั้นมาเขาก็แวะมาหานางบ่อยครั้ง ทั้งสอนหนังสือ ชวนนางเล่น ภายหลังนางจึงรู้ว่าเขาถูกส่งมาเป็นสหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาท ซึ่งสำหรับนางแล้ว เสด็จพี่หมิงไท่ไม่มีอยู่อีกต่อไป มีเพียงแต่องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ เช่นเดียวกับที่พระองค์เห็นนางเป็นคนของตระกูลเซิงเท่านั้น แต่เรื่องราวเหล่านี้นางมิได้ใส่ใจอีก เนื่องเพราะนางเจอคนสำคัญแล้ว

           เป็นเซียวถิงฟงที่จริงใจกับนางมากที่สุด นางต้องได้เขามา และนางจะไม่มีวันปล่อยให้เขาต้องทนอยู่กับคนเสแสร้ง ดั่งเช่นองค์รัชทายาท ผู้ที่เห็นผู้อื่นเป็นเพียงตัวหมาก ซ้ำยังบงการชีวิตผูกมัดชายหนุ่มไว้กับสตรีต่ำต้อย ดังนั้นนางจะปกป้องเขาไว้ และตอนนี้นางมั่นใจ เนื่องเพราะนางมิใช่เด็กน้อยที่ไร้ซึ่งอำนาจ มิใช่ตัวหมากของใคร และนางพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ

           ทว่าขณะที่ได้พบหน้าสตรีผู้มีนามต้าเซียนเป็นครั้งแรก จู่ๆหัวใจนางกลับไม่มั่นใจนัก ทั้งยังไม่ต้องอารมณ์ตั้งแต่คราแรกที่ได้พบ อาจเพราะนางมิเคยเห็นหญิงใดที่งดงาม แปลกตา มีเสน่ห์ลึกลับเช่นนี้มาก่อน เช่นนี้แล้วชายใดเล่าที่จะไม่รู้สึกหวั่นไหว

           องค์หญิงหย่าเหลียนนับเป็นคนแปลกผู้หนึ่ง นางชมชอบการประเมินผู้คน เพียงพบพานเพียงครั้งก็สามารถทำนายลักษณะของผู้คนได้ แต่ทว่าเมื่อได้หยั่งเชิงต้าเซียน ใจนางถึงกับรู้สึกรังเกียจ สตรีผู้นี้มิใช่เพียงแค่ศัตรูหัวใจแต่ยังมีบางสิ่งที่ทำให้นางเกลียด นางเกลียดคนเช่นนี้ คนที่มีลักษณะดั่งเช่นดวงตะวันแรงกล้า บางคราดูสงบเยือกเย็นเช่นจันทรา เฉกเช่นเดียวกับคนผู้นั้น...องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่

           "ท่านพี่" เสียงของต้าเซียนยังคงดังอยู่ในโสตประสาท นางกล้าดีอย่างไรถึงเรียกพี่ถิงฟงเช่นนี้ สองมือบนตักกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว แววตาที่เคยอ่อนหวานกร้าวขึ้นเห็นได้ชัด

           “ข้าสามารถทำให้เจ้าสมปรารถนาได้”

           “ใคร” องค์หญิงหย่าเหลียนอุทานขึ้น นางได้ยินเสียงทุ้มที่ค่อนข้างแหบแห้งของสตรีผู้หนึ่ง ครั้นเงี่ยหูฟังอีกครั้งก็มิได้ยินเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก นางระบายลมหายใจออกช้าๆ อาจเป็นเพราะวันนี้นางคิดมากจนเกินไปจึงเกิดอาการประสาทหลอนก็เป็นได้

           “เจ้าไม่มีทางชนะนางได้”

           เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้หย่าเหลียนถึงกับผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง “ใคร ใครกำลังพูดกับข้า”

           “และเขาก็ไม่มีวันรักเจ้าด้วย เนื่องเพราะในใจเขา...ไม่มีเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงทุ้มแหบนั้นหัวเราะเยาะพลางลอบมองสตรีที่กำลังว้าวุ่นสับสน

           “เจ้าผิดไปแล้ว เจ้าผิดไปแล้ว” นางพยายามหยัดยิ้มอย่างมั่นใจ

           “เฮอะ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขารักเจ้า” เสียงปริศนานั้นแค่นหัวเราะคล้ายไม่สบอารมณ์

           “เนื่องเพราะในโลกนี้ไม่มีหญิงใดที่จะพิเศษกับเขาไปมากกว่าข้าอีกแล้ว” นางสวนตอบทันควัน ไม่เคยมีหญิงใดที่ครองใจเซียวถิงฟงได้ เนื่องเพราะยิ่งพวกนางเข้าใกล้ชายหนุ่มมากเท่าใด เขาก็จะยิ่งตีตัวออกให้ห่างมากเท่านั้น ยกเว้นเพียงแต่นาง

           “หากแต่ตอนนี้เกรงว่าคนที่เขาเห็นว่าพิเศษ อาจมิใช่เจ้าเพียงคนเดียวแล้วกระมัง ในใจเจ้ากลัว กลัวว่าจะสู้นางมิได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงปริศนานั้นหัวเราะเยาะความมั่นใจที่ไร้ซึ่งน้ำหนัก

           “ไม่จริง ไม่จริง” หย่าเหลียนข่มตาพลางยกมือป้องหู นางมิต้องการฟังเสียงหัวเราะที่บาดใจนั้น เสียงที่ราวกับล่วงรู้ความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ กระทั่งเสียงหัวเราะหายไป มือจึงคลายออกจากริมหู ดวงตาลืมขึ้นอย่างช้าๆ แต่แล้วก็ถึงกับผงะตกใจ ที่เบื้องหน้ากลับมีร่างๆหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้านางแล้ว

           เป็นสตรีนางหนึ่งที่กำลังจ้องนางด้วยรูปหน้าสะสวย ริมฝีปากสีแดงสดขับรอยยิ้มที่ดูเย้ายวนระคนอำมหิต เสื้อสีแดงสดแลดูคล้ายสีของโลหิต หย่าเหลียนได้แต่ยืนนิ่งตะลึงดั่งเช่นโดนมนต์สะกด จากนั้นสตรีชุดแดงนั้นก็สวมกอดนางไว้อย่างแช่มช้า เสียงแหบเอื้อนเอ่ยอย่างมีเสน่ห์

           “ข้าช่วยเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ายอมแลกเปลี่ยนบางอย่าง เจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ทุกๆอย่าง แม้แต่ชายที่เจ้ารัก”

           เกิดเป็นภาพมายาฉายอยู่ตรงเบื้องหน้า ในมายานั้นมีต้นไม้เขียวชอุ่ม ลมพัดไหวน้อยๆยังผลให้ใบไหม้ร่วงหล่นอย่างช้าๆ ใต้ร่มเงานั้นนางกำลังหัวเราะอยู่ข้างกายเซียวถิงฟงที่กำลังนางมองด้วยแววรักใคร่ ไม่ไกลนักมีเด็กสองสามคนที่วิ่งเล่นอยู่รอบๆ แลดูคล้ายกับนางกับเขายิ่ง

           มายานั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่แล้วจังหวะหนึ่งนางกลับเห็นเงาร่างของสตรีในชุดสีแดง ภาพมายาจึงเริ่มบิดเบี้ยวสับสน ก่อนหลงเหลือเพียงแค่ภาพนางในสมัยเด็กที่ร้องไห้คร่ำครวญอย่างเดียวดาย

           น่าสมเพช เสียงของนางก้องดังในหัว “ไม่...ข้าไม่เชื่อ ข้ามิเชื่อใครทั้งนั้น ข้าเชื่อแต่ตัวเอง” นางปัดป่ายภาพตรงหน้าลงอย่างยากเย็น ครั้นลืมตาขึ้นอีกครั้งสตรีในชุดแดงก็หายไปแล้ว “ออกมานะ เจ้าเป็นใคร กล้ามาเล่นตลกอะไรกับข้า”

           “ฟังให้ดี สิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้นเปล่าประโยชน์ มันไม่มีทางสำเร็จ เขาไม่มีทางเลือกเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กล่าวจบเสียงหัวเราะเยอะก็ก้องไปทั่วห้อง

           หย่าเหลียนได้แต่เอามือปิดหูด้วยความทรมาน นางก้มตัวกอดตัวเองไว้แน่นราวกับว่าต้องการหลบออกจากความเป็นจริง
“องค์หญิง องค์หญิงเพคะ”

           เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้น องค์หญิงหย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นแล้วจึงเห็นเป็นแม่นมเว่ย ครั้นมองไปรอบห้องก็พบว่าตอนนี้ตนอยู่เพียงลำพัง

           “องค์หญิงทรงประชวรรึเปล่าเพค่ะ” นางกำนัลเว่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นองค์หญิงหย่าเหลียนหน้าซีดขาว

           “ข้ามิเป็นไร เรื่องนั้นล่ะ” นางฝืนกล่าวทั้งที่ใจรู้สึกไม่ดี

           “องค์ฮองเฮาตรัสว่าฝ่าบาททรงรับปากให้มีกำหนดการขึ้นในอีกสามวันเพค่ะ”

           “ดี เช่นนั้นแม่นมไปพักผ่อนเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว”

           เห็นสีหน้าที่ฉายแววเหนื่อยล้า นางกำนัลเว่ยก็ตัดสินใจพาองค์หญิงเข้าสู่ห้องบรรทม รอจนพระนางบรรทมลึกแล้วก็ออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ โดยมิรู้ว่ายังมีคนอีกผู้หนึ่งยังคงอยู่ในห้องนั้นด้วย

           “ดวงจิตยังแข็งไป รอก่อนเถิดอีกในไม่ช้าดวงจิตของเจ้าต้องเป็นของข้าแน่นอน ฮ่า ฮ่า” ท่ามกลางเสียงลมหายใจสม่ำเสมอกลับมีเสียงหัวเราะดังขึ้น เสียงนั้นบ่งบอกถึงความสนุกที่จะได้เห็นเหยื่อรายนี้ทุรนทุรายไปด้วยความทุกข์ทรมาน
 

**********************************************


           เสียงนกร้องประสานขับขานไปทั่ว กลิ่นอายต้นไม้ดอกไม้อบอวลอยู่รอบตัว แสงแดดรำไรส่องสว่างกระทบลงยังนัยน์ตาที่ปิดสนิท เซียวถิงฟงที่รู้สึกแยงตาจึงพลิกตัวหลบแสง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตาขึ้นกว้างแล้วพลันพบว่าตนอยู่ในเรือนพฤกษา

           “ฟื้นแล้วรึ”

           เขายันตัวลุกขึ้นนั่งยังผลให้อาการปวดเมื่อยก็แล่นริ้วไปตามตัว เขาโอดครวญในลำคอทีหนึ่งก่อนหันไปมองยังเจ้าของเสียงที่นั่งอยู่บนโต๊ะใกล้กับกระถางดอกเบญจมาศสีเหลืองสดใส “เกิดอะไรขึ้น”

           ซวนหยวนหมิงไท่ที่สวมชุดเพียงตัวในตอบรับโดยการหาวหวอดๆใส่ คล้ายคนไม่ได้หลับนอนมาทั้งคืน “เมื่อคืนเจ้าบาดเจ็บสาหัส”

           “แล้วต้าเซียนล่ะ”

           “มิต้องเป็นห่วง เขาอยู่ทางด้านโน้น ยังดีที่ที่นี่อบอุ่นมิฉะนั้นพวกเจ้าได้เป็นหวัดกันถ้วนหน้าแน่”

           เขามองตามสายตาของสหาย โต๊ะไม้ทางด้านฝั่งตรงข้ามที่เคยมีกระถางต้นไม้วางเรียงราย บัดนี้กลับมีเด็กหนุ่มในชุดสตรีสีม่วงอ่อนพาดทับด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ขององค์รัชทายาทอยู่แทน

           “ต้าเซียนเป็นอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทั้งพยายามลุกตัวขึ้นดู แต่อาการปวดเมื่อยล้ากลับทำให้ต้องล้มตัวนั่งอีกครั้ง

           “เจ้าอย่าได้ฝืนไป เขามิได้เป็นอะไรมาก แค่กำลังพักฟื้นพลังเท่านั้น อย่าได้ไปรบกวน ให้เขาพักผ่อนเถิด” กล่าวจบก็กระโดดลงจากโต๊ะ เดินเข้ามาบังคับกดตัวสหายให้นั่งลง แล้วจับชีพจรของอีกฝ่าย ทว่าทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงบนข้อมือก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังที่แข็งแกร่งไหลเวียนอยู่ในร่าง ซวนหยวนหมิงไท่เงยหน้าขึ้นมองเซียวถิงฟงด้วยสีหน้าประหลาดใจ

           เดิมทีเจ้าตัวบาดเจ็บภายในสาหัส แม้ตนใช้กำลังภายในช่วยประคับประคองมิให้ชีพจรโคจรสับสน จะอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องพักฟื้นราวสามเดือน ทว่าตอนนี้มิเพียงชีพจรโคจรดุจสายน้ำ ร่างกายยังกลับหลงเหลือเพียงแค่อาการปวดเมื่อย “พักเพียงสามวันก็จะหายดี หากถนอมพลังภายในไว้ เพียงวันเดียวอาการปวดเมื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง”

           “แล้วชายผู้นั้นเป็นใคร ใช่จอมมารเฟยหลงที่ต้าเซียนเคยกล่าวหรือไม่ แล้วพวกเรากลับมาที่นี่ได้อย่างไร”

           “คนที่ทำร้ายเจ้าคือจอมมารเฟยหลง เป็นต้าเซียนที่ช่วยเหลือพวกเราไว้ ทั้งยังให้สัญญากับจอมมารไว้ หากยามสุริยะคลาสมาเยือนเมื่อไหร่ หากเขาไม่สามารถเอาชนะได้ พวกเราทั้งหมดจักลงโลงกันถ้วนหน้า” ซวนหยวนหมิงไท่ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อน
           
           “อย่างนั้นรึ” เซียวถิงฟงเองก็มิได้รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวเช่นกัน มีแต่จะห่วงร่างน้อยที่นอนหลับใหลเสียมากกว่า “แล้วถิงถิงกับไป๋เซ่อเล่า” เสมือนพึ่งนึกออก หากที่ไหนมีต้าเซียน ไป๋เซ่อและถิงถิงที่ใด ที่นั่นมักจะครึกครื้นจนกระทั่งถึงคำว่าวุ่นวายเลยทีเดียว

           สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่พลันเปลี่ยนเป็นสลดก่อนทอดหายใจหนัก “เฮ้อ เจ้าอย่าได้เสียใจไป”

           “หือ” หมายความว่าอย่างไร เสียใจอะไร เซียวถิงฟงงงงันวูบ ทั้งเริ่มรู้สึกใจหาย อย่าบอกนะว่ามีใครล่วงไปรอที่โลกหน้าแล้ว

           ปึง ตูม

           ประจวบเหมาะกับที่ประตูเรือนพฤกษาถูกบุคคลภายนอกใช้เท้าถีบกระแทกอย่างแรง ประตูถูกเปิดผางจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นขึ้น คนทั้งสองต่างมองกันเป็นตาเดียว กระทั่งต้าเซียนยังสะดุ้งตื่นขึ้นมาแสดงสีหน้างัวเงียอย่างเห็นได้ชัด

           พริบตาต่อมาเซียวถิงฟงก็รู้สึกราวกับถูกผีหลอก บุคคลที่บุกรุกเข้ามานั้นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยชุดคลับคล้ายคลับครารองแม่ทัพ อีกทั้งยังมีใบหน้าละม้ายคล้ายตนอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าเขาเป็นบุตรโทนคนเดียวของตระกูล มิมีพี่น้องคนใดอีก แล้วคนตรงหน้าเป็นใครกันเล่า

           ยังมิทันกระจ่างใจ ชายผู้นั้นกลับตรงรี่เข้าหาร่างน้อยที่พึ่งกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ท่าทีนั้นเนิบนาบ ทั้งยังมีบางคราที่บิดเอวรวดเร็วคล้ายเลี้อยไปมา พอถึงจังหวะหนึ่งก็โผเข้ากอดคนที่นั่งบื้อเข้าอย่างแรง

           “ท่านมหาเทพ ท่านหายดีแล้วใช่ไหม ฮือ ฮือ โฮ” น้ำเสียงทุ้มแหลมของชายร่างใหญ่กล่าวจบก็บังเกิดเสียงสะอึกสะอื้นลูกใหญ่

           เซียวถิงฟงพลันมิอาจบรรยายถึงรสชาติได้ หน้าจึงเริ่มแดงซ่านไปจนถึงหู ความจริงแล้วผู้ที่สวมกอดต้าเซียนนั้นมีรูปร่างเหมือนตนทุกกระเบียดนิ้ว จึงคล้ายเป็นตนที่สวมกอดเสียเอง แต่จะอย่างไรคนเบื้องหน้าก็มิใช่ตน หากแต่เป็นไป๋เซ่อ ยิ่งเห็นเจ้างูปากพล่อยใกล้ชิดกับร่างน้อยเกินเหตุ อีกทั้งยังร่ำไห้สะอึกสะอื้นด้วยใบหน้าเช่นเดียวกับตนแล้ว เขาก็แทบอยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินให้รู้แล้วรู้รอด

           แต่แล้วฉับพลันนั้นที่หน้าตักของชายหนุ่มกลับถูกสิ่งมีชีวิตรูปร่างเล็กเข้ายึดครอง เขาละสายตาจากภาพที่ดูน่าละอายแล้วเบนสายตามายังร่างที่สวมชุดสีฟ้าอ่อน ครานี้เขาถึงกับเกิดอาการเลิกลัก สมองตะลึงงัน ต้าเซียนอีกคนกำลังหนุนศีรษะอยู่บนตักเขา ใจแทบกระดอนออกจากอก แต่แล้วต้าเซียนคนนี้กลับเอื้อมมือไปลูบไล้ป้ายประจำตระกูลที่เอวเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดึงรั้งในที่สุด พฤติการณ์ดังกล่าวดูคล้ายกับแมวยิ่ง

           อารมณ์หลากหลายพลุ่งพล่านจุกอยู่ในอก เพลานั้นก็เหลือบไปเห็นซวนหยวนหมิงไท่ที่กำลังกลั้นหัวเราะจนร่างสั่นเทิ้ม จู่ๆประโยคหนึ่งก็ลอยวนเวียนในสมอง...อย่าได้เสียใจไป

           “อ๊ากกก” เซียวถิงฟงแผดเสียงดังลั่นห้อง หากไม่ร้องสักทีเขาคงจะเสียสติก็เป็นไปได้

           เมื่อร้องจบก็หันไปนั่งกอดเข่าพลางครุ่นคิด นี่คงเป็นความคิดขององค์รัชทายาท ต้าเซียนมิอาจพำนักในวังหลวงได้จึงต้องให้ถิงถิงปลอมเจ้าตัวออกนอกวังไปพร้อมกับไป๋เซ่อที่ปลอมแปลงเป็นตน เพื่อไม่ให้ดูสะดุดตาและก็เพื่อให้ดูสะดุดตาเช่นกัน
แต่ปัญหาใหญ่คือคนอื่นจะผิดสังเกตกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขาบ้างรึเปล่า เขาพยายามคิดในแง่ดีไว้ บางทีอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ท้ายที่สุดจึงได้ทอดถอนใจยาว ปล่อยให้สมองว่างเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรจิตใต้สำนึกก็พลันบอกตัวเอง เจ้างูเลอะเลือนสติพิกลอย่างไป๋เซ่อนั้นย่อมมิวางตัวเฉกเช่นมนุษย์ปกติได้

           “เจ้าก็เลิกคิดในแง่ร้ายเสียที ตอนนี้ต้าเซียนที่เจ้าเป็นห่วงนักเป็นห่วงหนาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาบ้างเลยรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเหมือนล่วงรู้ความคิด ต้าเซียนหันขวับมองไปที่เซียวถิงฟงทันที สายตาเป็นประกายบ่งบอกความอยากรู้อยากเห็น

           เซียวถิงฟงเห็นสายตาสีน้ำตาลเป็นประกายแล้วก็อดที่จะอึกอักไม่ได้ ในสมองแวบคำสามคำขึ้นมา เป็นสามคำที่ติดอยู่ในใจ ใบหน้าพลันร้อนผะผ่าว “ขะ ข้า ชะ" เขาพูดติดๆขัดๆ ทว่าสายตากลับเหลือบแลเห็นสหายที่ทำท่าลุ้นฟังจนตัวโก่งอีกครั้ง “คะ ใครใช้ให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่กัน” เขาตะโกนลั่น

           ต้าเซียนฟังแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นหลายส่วน เขาล้มตัวลงนอนข้างๆไป๋เซ่อที่ร้องไห้จนผล็อยหลับลงไป เห็นดังนั้นเซียวถิงฟงก็พลันรู้สึกตัวลีบเล็กลง ผิดกับซวนหยวนหมิงไท่มองทั้งคู่แล้วอมยิ้ม ทั้งยังส่ายศีรษะเบาๆเหมือนเห็นใจ

           ขณะที่กำลังข่มตาหลับให้สนิทนั้น ต้าเซียนกลับสัมผัสได้ถึงวัตถุแข็งๆที่วางอยู่ใกล้ตัวไป๋เซ่อ เขาควานหาก่อนหยิบยกมันขึ้นมอง มันมีลักษณะเป็นกระดาษแข็งที่พับเป็นทบๆ ดูไปแล้วคงเป็นเทียบเชิญ ว่าแล้วก็เปิดออก

           “ชวีเจียง” ร่างน้อยพึมพำในขณะที่นอนอ่าน แต่แล้วทั้งเซียวถิงฟงและซวนหยวนหมิงไท่ต่างหันมามองกันตาเดียว เพียงเห็นสิ่งของในมือต้าเซียนก็รู้ได้ทันทีว่าคืออะไร

           “อุทยานชวีเจียง” ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน

           “เทียบเชิญนั่น พวกเราได้เมื่อตอนฟ้าสาง ขันทีในวังเป็นคนนำมาให้” ถิงถิงนึกขึ้นได้จึงบอกกล่าว

           เซียวถิงฟงไม่รอช้า เดินเข้าไปฉวยเอาเทียบที่อยู่ในมือต้าเซียนในขณะที่เจ้าตัวยังอ่านมิทันจบ เขาเปิดออกอ่านอย่างละเอียด

           “เป็นอย่างไรบ้าง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถาม

           “งานเลี้ยงพระราชทานที่วนอุทยานชวีเจียง” เซียวถิงฟงกล่าวตอบ พลางเปิดเทียบออกอีกหนึ่งทบเพื่ออ่านต่อ เมื่ออ่านถึงเนื้อหาด้านหลังก็ต้องเงียบไป

           ซวนหยวนหมิงไท่จึงตัดสินใจหยิบออกอ่านเสียเอง แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งตีสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะแค่นหัวเราะอย่างไม่พอใจ “เจ้าความคิดยิ่งนัก แม้แต่งานเช่นนี้ก็ยัง...มิคาดฝันจริงๆ เฮอะ”

           “เกิดอะไรขึ้นกัน” ต้าเซียนพึมพำพลางมองคนทั้งสองอย่างงงงัน ดูว่าเซียวถิงฟงก็เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ซวนหยวนหมิงไท่เองก็ดูอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด แลจากที่ปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมา ก็ได้ความว่าอาจจะมีเรื่องเกิดขึ้นที่วนอุทยานชวีเจียงสินะ เขาคิด

           ดูว่าปัญหาทุกอย่างตอนนี้คล้ายเฉกเช่นดอกไม้ไฟหลายลูก ที่เมื่อถูกจุดแล้วจะเกิดระเบิดไล่เรียงกันมิหยุดหย่อน ทั้งรวดเร็วทั้งยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างที่มิอาจได้ตั้งตัว ต้าเซียนถอนใจแล้วจึงพยายามข่มตาหลับต่อ ในใจนึกถึงเหล่าเทพที่อยู่บนดินแดนสวรรค์ นึกถึงจอมมารเฟยหลง และนึกถึงอนาคตในวันข้างหน้าของสามพิภพ

*************************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 12 ภาพมายา 28/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 28-10-2015 23:00:18
เรื่องชักจะวุ่นวาย มีตัวร้ายคนใหม่เพิ่มมาอีก
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 13.1 งานเลี้ยง 29/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 29-10-2015 20:14:54
บทที่ 13.1 งานเลี้ยงเสาะหาบุปผา


           หอคณิกาชื่อดังแห่งหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้แต่งกายด้วยชุดหรูหรา กลิ่นกายคละคลุ้งไปด้วยสุรานารีกำลังเดินออกมาด้วยท่าทีกระหยิ่มใจ ชายในชุดลำลองอีกราวห้าคนเห็นแล้วก็รีบเข้าไปยืนโอบล้อมคนผู้นี้ ก่อนนำทางไปยังที่หนึ่ง แลไม่นานคนก็หายลับเข้าไปในจวนว่าการอำเภอของเมืองหังโจว

           จวบจนมาถึงเรือนรับรองกว้าง คนเมามายก็ตรงดิ่งทิ้งตัวลงบนเตียง ระหว่างเข้าสู่ห้วงฝัน ลมวูบหนึ่งก็พัดกระทบที่ลำตัว รอจนกลับคืนสู่ปกติ ของสิ่งหนึ่งก็พลันถูกโยนลงมาบนเตียง ตายังมิทันได้ลืมปลายนิ้วก็สัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นเหนียว มือหนึ่งควานจับอย่างหงุดหงิด กระทั่งคลำได้สองที ลมหายใจก็แทบจะหยุดลงเสียดื้อๆ สติบัดสร่างขึ้นเดี๋ยวนั้น

           ศีรษะของสตรีนางหนึ่งสะท้อนเข้าสู่ดวงตา เขาจำได้ ทั้งยังจำได้ดี ไม่กี่ชั่วยามก่อน คณิกานางนี้ยังคงนอนแอบอิงแนบชิดกาย แม้แต่ไออุ่นก็ยังมิจางหาย ดวงหน้าเย้ายวนยังคงติดตรึงในใจ ทว่านางในตอนนี้หาความงามใดมิได้อีกแล้ว เนื่องเพราะดวงตาของนางแทบถลนออกจากเบ้า สีหน้าเขียวคล้ำ ริมฝีปากอ้าค้างบิดเบี้ยวเหยเก

           “อ๊ากกก” เขาแทบสิ้นสติร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว ครั้นสังเกตเห็นคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็ต้องผุดลุกขึ้นตะเกียกตะกายไปยังหน้าประตู ชายหญิงคู่หนึ่งยังคงย่างสามขุมเข้าหา เพียงมองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าพวกเขามีบางสิ่งที่ผิดแผกไปจากมนุษย์ กลิ่นอายอำมหิตชั่วร้ายกดดันแทบทำให้ต้องอาเจียนน้ำย่อยออกมา “ทหารองครักษ์ช่วยข้าด้วย” เสียงแผดร้องเรียกดัง หากแต่ภายนอกกลับไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหว

           “เข้ามาช่วยข้าเดี๋ยวนี้ หากมิเข้ามาข้าจะตัดหัวพวกเจ้าสามชั่วโครต” แม้กล่าวเช่นนั้นองครักษ์ที่ด้านนอกห้องก็ยังคงยืนนิ่ง คล้ายมิได้ยินเสียงแลสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติจากภายใน จวบจนในที่สุดเขาก็ตะเบ็งร้องสุดเสียงก่อนจะล้มลงสิ้นสติไป

           นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่ศีรษะมนุษย์นางหนึ่งกลับทำให้อีกฝ่ายต้องกระโดดผึงลงจากเตียง ร้องเอะอะโวยวายอย่างน่าสมเพช ร่างทรงพลังมองคนที่หมดสติไปอย่างเหยียดหยาม ฝ่ามือหนึ่งขยับยกขึ้น บังเกิดเป็นกระแสลมแรง ดึงดูดร่างตรงหน้าให้มลายหายไป เหลือเพียงดวงจิตสีเทาเล็กอยู่ในอุ้งมือ มองสายด้วยตารังเกียจเพียงแวบหนึ่งก็ยกดวงจิตนั้นขึ้นกลืนกิน

           “เหตุใดไม่ฆ่ามันเสีย ท่านจอมมาร” จิ้งจอกเหม่ยซินถามด้วยความสงสัย นึกถึงดวงจิตเมื่อครู่แล้วก็ทำให้รู้สึกหิวกระหายยิ่ง

           “ยังไม่ถึงเวลา”

           “เช่นนั้นหากดวงจิตดวงนั้นหมดประโยชน์กับท่านจอมมารแล้ว ได้โปรดยกให้เหม่ยซินได้รึไม่” นางกล่าวพลางส่งสายตาเย้ายวนน่าหลงใหล

           เฟยหลงทั้งไม่สนใจทั้งไม่ตอบรับยังเปลี่ยนมาถามแทน “เรื่องนั้นเรียบร้อยแล้วรึไม่”

           “ท่านจอมมารโปรดวางใจ จิตของนางเข้มแข็งได้ไม่อีกนาน ในไม่ช้านางต้องตกอยู่ในกำมือข้าแน่” นางตอบด้วยความมั่นใจ

           “เช่นนั้นก็กลับไปได้ ที่นี่ไม่มีธุระกงการเจ้าอีก” เขากล่าวเสียงเรียบ

           “เช่นนั้นเหม่ยซินขอลา” ปีศาจจิ้งจอกน้อมตัวคำนับก่อนหมุนตัวไปหยิบศีรษะนางคณิกาที่ถูกโยนลงบนเตียง นางหวีดหัวเราะเสียงแหลม มือแกว่งไกวศีรษะนั้นเล่นราวกับตุ๊กตา ไม่นานร่างก็ค่อยๆหายลับไป

           ห้องกลับคืนสู่ความเงียบสงบ หากแต่ที่เตียงกลับเพิ่มด้วยกองเลือดสดกองหนึ่ง เฟยหลงก้มลงมองร่างตนเองที่เปลี่ยนไปสวมอาภรณ์หรูหราก่อนก้าวไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วกล่าวน้ำเสียงทรงอำนาจ

           “เข้ามา”

           องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามารับคำสั่งในห้อง ชั่วขณะหนึ่งก็สังเกตเห็นโลหิตที่ชุ่มเตียงนอนอย่างไม่ตั้งใจ ครั้นหันกลับไปจ้องผู้เป็นนายด้วยแววสงสัย ดวงตาก็พลันเปลี่ยนเป็นเลิกกว้างตกใจ แลไม่นานประกายตากลับค่อยๆเซื่องซึมลง จากนั้นจึงเปลี่ยนกลับเป็นสุขุมเช่นเดิม

           “ข้า จะกลับฉางอันคืนนี้”

           “กระหม่อมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ” กล่าวจบองครักษ์ก็หมุนตัวออกไป

           เฟยหลงหันมานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ ดวงตาทอดมองออกไปไกล สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนล้า มาตรว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็มิเคยหลับพักสักตื่น แต่นี่มิใช่ครั้งแรกที่เป็นเช่นนี้ เพราะตั้งแต่เขาเลือกเส้นทางนี้ ตัวเขาก็มิอาจหลับลงได้อย่างสนิทใจอีก
 

**************************************


           ต้าเซียนค่อยๆลืมตาขึ้นสู้แสงแดดแรงกล้า ขณะนี้เขาอยู่ในป่าเขียวชอุ่มใกล้เขตวัดฉือเอิน ห่างจากนี้ไปไม่ไกลนักจะเป็นวนอุทยานชวีเจียง สถานที่จัดงานเลี้ยงเสาะหาบุปผา

           “ข้าขอโทษ แต่ขอลองอีกครั้งเถิดนะ”

           ร่างน้อยเบนสายตากลับไปมองรัชทายาทหนุ่ม ผู้มีท่าทีกล่าวขอโทษกึ่งอ้อนวอนยกใหญ่ ทว่าไป๋เซ่อในร่างงูก็ยังคงนอนขดตัวอย่างเสียอารมณ์

           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

           “เจ้าคิดว่าเจ้าพูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้วกันหา” เขาแปลให้ชายหนุ่มที่นั่งสบายอารมณ์อยู่ด้านข้างฟัง

           “ครั้งนี้สำเร็จแน่แท้ วางใจได้” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวด้วยท่าทีมั่นใจก่อนยื่นขนมถั่วแดงเข้าหลอกล่อ
แต่ครานี้ไป๋เซ่อก็ตอบด้วยความมั่นใจเช่นกัน “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”

           “สำเร็จกับผีน่ะสิ จะ...เอ่อ เจ้าบ้า” ต้าเซียนยังคงแปลต่อ แม้ตอนท้ายจะสะดุดกับคำก่นด่าไปบ้าง แต่แล้วเจ้าตัวที่พึ่งปฏิเสธคำโตกลับอ้าปากรับขนมถั่วแดงเป็นครั้งที่สี่ ทำเอาเขาส่ายหน้าทอดถอนใจให้กับนิสัยตะกละของมันมิได้

           “งูเจ้านี่ท่าทางจะซื่อบื้อนะ”

           ในที่สุดเซียวถิงฟงก็เปรยขึ้น ต้าเซียนที่แม้ไม่ได้หันไปมองหน้าชายหนุ่มก็พอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งยิ้มปากแทบฉีกอยู่

           เมื่อติดสินบนได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย ซวนหยวนหมิงไท่ก็ยิ้มกริ่มยื่นมือลงต่อหน้าของไป๋เซ่อ พริบตาหนึ่งกระบี่สีขาวก็หวนเข้าสู่มืออีกครั้ง จากนั้นร่างในชุดมังกรก็ออกร่ายรำทันที ท่าร่างที่ใช้ออกล้วนอ่อนช้อย หากแต่ภายในกลับแฝงไว้ด้วยพลังลึกล้ำ

           “เจ้าว่าครั้งนี้หมิงไท่จะทำสำเร็จรึไม่”

           “ตอนนี้ไม่แต่ภายภาคหน้าต้องสำเร็จแน่” ต้าเซียนยิ้มกล่าว ดูว่าซวนหยวนหมิงไท่มีพลังที่คล้ายคลึงกับตน เน้นใช้ความอ่อนช้อย แต่บางครารวดเร็วพิชิตชัย เหมาะที่จะฝึกกับไป๋เซ่ออย่างยิ่ง

           ครั้นเพลงกระบี่ดำเนินมาจนถึงเพลงที่สิบหก ท่าร่างก็เริ่มแปรเปลี่ยนรวดเร็ว กระบี่ในมือพลันเปลี่ยนเป็นงูตัวหนึ่ง มันดีดพุ่งตัวจนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ รอจังหวะหนึ่งมันก็เหวี่ยงตัวกลับหมายพุ่งเข้าที่มือของผู้ใช้

           ทว่าคนเล่าหายไปไหน? ดวงตาสีฟ้าอมเขียวถึงกับคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำ ก่อนที่จะ “แอ่ก”
 
           “อ้าว มิได้มาทางซ้ายหรอกรึ” องค์รัชทายาทที่หันไปด้านขวาเอี้ยวตัวมองมองงูเผือกที่หน้าทิ่มลงดินอย่างสงสัย ก่อนจมลึกเข้าสู่ภวังค์สองมือวาดไปมาบนอากาศ ลืมเจ้าตัวที่นอนคลุกดินไปโดยสิ้นเชิง

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เซียวถิงฟงชมมองจนถึงขั้นระเบิดหัวเราะ น้ำตาแทบหลั่งไหลออกจากเบ้า ไป๋เซ่อฟังแล้วก็ร้องอย่างเจ็บแค้นพลางแดดิ้นสะบัดหางตีไปมาอย่างไม่พอใจ

           ด้านต้าเซียนกลับมองแล้วยิ้มน้อยๆ ด้วยสังเกตเห็นข้อผิดพลาดสองประการ หนึ่งคือซวนหยวนหมิงไท่ แม้มีไหวพริบแต่ก็ยังพลิกแพลงท่าร่างรวดเร็วไม่พอ สองคือไป๋เซ่อเคลื่อนไหวตามใจตนเองมากเกินไป ทำให้มิอาจสื่อประสานใจกับผู้ใช้กระบี่ได้

           “ข้าลองบ้าง” ครานี้เซียวถิงฟงลุกขึ้นแล้ว เขากระโดดลงไปตะครุบไป๋เซ่อไว้ในมือเดียว มันขดตัวดิ้นไปดิ้นมาหลายครั้งจึงยอมเปลี่ยนเป็นกระบี่งามอีกหน

           ไม่นานนักเสียงร้องกู่ก้องก็ดังขึ้นยังผลให้คนที่ยังตกอยู่ในภวังค์ตื่นขึ้น เห็นสหายวาดกระบี่กลางอากาศ กระบวนท่าที่ใช้ออกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลานุภาพก็ให้ความสนใจยิ่ง แต่แล้วกระบี่ร่ายรำออกเพียงเพลงที่เก้า ไป๋เซ่อในร่างงูก็ทะยานตัวหนีออกจากมือของผู้ใช้อย่างทุลักทุเล ยังให้เซียวถิงฟงต้องทำหน้าฉงน มองงูเผือกที่เลื้อยหนีอย่างขัดใจ

           “เจ้าไม่ได้เรื่องกว่าข้าเสียอีก” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวติดตลกทั้งยังลอบขบขันในใจ กระทั่งตนยังรู้สึกได้ว่าไป๋เซ่อที่เป็นกระบี่นั้นอึดอัดแทบตาย จวนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

           “ถิงฟง คนที่สามารถใช้กระบี่พิสุทธิ์นี้ได้จะต้องเป็นบุคคลที่ใช้พลังสายเต๋า กระบี่ต้องพริ้วไหว มิใช่ใช้พลังดุดันหนักแน่นอย่างเจ้า อีกทั้งตอนนี้กายของเจ้ายังมีพลังเซียนไหลเวียน ยังคงควบคุมมิได้ทั้งหมด ไป๋เซ่อจึงทนรับพลังกดดันมิได้” ต้าเซียนกล่าวอธิบาย

           “อ่อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” ใช่แล้วตอนนี้เขามีพลังเซียนไหลเวียนอยู่ในร่าง เป็นต้าเซียนถ่ายทอดให้หลังจากที่ช่วยเขาจากใต้สระบัว และเป็นเพราะต่อสู้กับจอมมารเฟยหลงที่ทำให้รับรู้ถึงพลังนี้ขึ้นมาได้อย่างไม่ตั้งใจ

           “พวกท่านกำลังทำกระไรกัน” ถิงถิงที่กลับจากการสำรวจป่าก้าวเข้ามาหาคนทั้งสาม ก่อนชำเลืองมองงูเผือกที่มีน้ำตาเม็ดใหญ่คลอเบ้า ลำตัวมีรอยแดงประปราย ซ้ำยังส่งสายตาขอความเห็นใจ “พวกท่านรังแกเขาหรือ” นางกล่าวคาดโทษคนทั้งสาม

           ไป๋เซ่อตกตะลึงวูบ นางกำลังปกป้องเขา ความตื้นตันพวยพุ่งในอก มันได้ทีแปลงเป็นมนุษย์แสร้งทำเป็นเจ็บหนัก ถิงถิงเห็นแล้วก็เดินเข้าไปลูบหน้าผากที่บวมเป็นลูกๆ ก่อนแสยะรอยยิ้มที่เขามิมีวันเห็น ที่ทำเช่นนี้เป็นเพราะนางมิชอบให้ใครมารังแกของเล่นของนางต่างหาก

           “ข้าจะไม่แปลงร่างเป็นงูอีก” ไป๋เซ่อลั่นวาจา แต่แล้วกลับไม่มีใครสนใจฟังแม้แต่คนเดียว จึงย่ำเท้าระบายอารมณ์อยู่หลายที

           หลังจากที่เสียเหงื่อไปไม่น้อยพวกเขาก็ขึ้นไปนั่งพักที่เก๋งหกเหลี่ยม จากนั้นจึงหารือถึงเรื่องงานเลี้ยงเสาะหาบุปผานครั้งนี้ ต้าเซียนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็มิได้มีส่วนร่วมมากนัก จึงได้แต่นั่งซึมกระทือกะพริบตาปริบๆ ผิดกลับบุรุษทั้งสองที่ยิ่งคุยก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด สุดท้ายจึงทนไม่ไหวอ้าปากหาวหวอดเป็นระยะๆ ร่างสูงที่แอบเหล่มองอยู่ตลอดจึงโพล่งขึ้นมา

           “ต้าเซียน เจ้าหาได้มีความเป็นกุลสตรีไม่ ปากนั่นหัดหุบๆลงเสียหน่อย มิเช่นนั้นหากเจ้าหาวนานกว่านี้ คงได้ลิ้มรสแมลงวันเป็นแน่”

           เขาถึงกับมองค้อนคนว่า “ข้าจะเป็นกุลสตรีรึไม่ เกี่ยวอันใดกับเจ้า จะปรึกษาก็ปรึกษากันไปสิ จะสนไปไยว่าข้าจะได้ลิ้มรสแมลงสักตัวรึไม่” หากเป็นยามปกติเขาก็คงจะกรอกตารับฟังอย่างสงบเสงี่ยมอยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้เขาง่วงแทบตายนี่

           “เฮอะ เฮอะ” รับฟังแล้วถึงกับแค่นหัวเราะ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเถียงกลับ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ “แม่นางอย่าลืมสิว่า ตอนนี้แม่นางเป็นถึงว่าที่สะใภ้ตระกูลเซียว” เซียวถิงฟงประชด ตอนท้ายยังมิลืมลากเสียงยานคางกระตุ้นอารมณ์อีกฝ่าย

           “ขอโทษทีที่ข้าหามีความเป็นกุลสตรีไม่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะสละให้ไป๋เซ่อทำหน้าที่นี้แทนล่ะกัน” ต้าเซียนกล่าวเสียงเรียบยังผลให้เจ้าของชื่อถึงกับสำลักน้ำลายรีบคุกเข่าอ้อนวอนแทบมิทัน

           “ท่านมหาเทพ ข้าไม่อยากแต่งให้เจ้าคนงี่เง่าแซ่เซียวผู้นี้”

           หน้าผากถึงกับปรากฏเส้นเลือดปูดโปน คิดว่าข้าอยากแต่งกับเจ้านักหรือ เจ้างูซื่อบื้อ เฮอะ ซื่อบื้อทั้งนายทั้งบ่าว เซียวถิงฟงก่นด่าในใจ

           “ถ้าเช่นนั้น....” ร่างน้อยพลันมองหาตัวเลือกต่อไป จนในที่สุดก็หยุดลงที่ถิงถิง ทว่ามองนางชั่วประเดี๋ยวก็ต้องส่ายหน้า

           “เหตุใดท่านต้องส่ายหน้าด้วย” แม้ไม่คิดจะแต่งกับนายของตน แต่ถิงถิงก็อดสงสัยไม่ได้

           “เพราะเขามองเจ้าเป็นลูก เขามิอาจเป็นพ่อที่ผิดศีลธรรม” ต้าเซียนตอบด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แต่สีหน้าของเซียวถิงฟงบัดก็เปลี่ยนเป็นดำบัดก็เปลี่ยนเป็นแดงแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่เองก็มิได้ไว้หน้าสหายถึงกับส่งเสียงหัวร่อดัง

           “แล้วเจ้าคิดว่ามีใครอยากแต่งกับเจ้านักรึไง” เซียวถิงฟงสวนกลับ ทว่าต้าเซียนเพียงแค่หันไปมองซวนหยวนหมิงไท่แล้วกล่าว

           “ซวนหยวนหมิงไท่ หากข้ามิใช่ปู่เจ้า เจ้าจะแต่งกับข้ารึไม่”

           คำถามนี้เล่นทำเอาใครหลายๆคนสะดุ้งตัวโหยง นี่ถือได้ว่าเป็นคำขอแต่งงานเลยทีเดียว ทุกสายตาพลันจับจ้องที่องค์รัชทายาทกันเป็นทิวแถว

           ด้านซวนหยวนหมิงไท่เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ่งเห็นสายตาร้อนแรงแทบเผาผลาญเป็นจุณของเซียวถิงฟงแล้ว ก็ให้รู้สึกร้อนๆหนาวๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจตอบ “แต่ง”

           “เห็นไหมอย่างน้อยเขาก็จะแต่งให้แก่ข้า” ต้าเซียนตบโต๊ะดังฉาดพลางยิ้มแก้มบาน

           “นี่ก็จะถึงเวลาแล้ว พวกเราไปกันเถิด” ซวนหยวนหมิงไท่รีบหันเหเปลี่ยนสถานการณ์ ต้าเซียน ไป๋เซ่อและถิงถิงจึงลุกออกจากที่นั่ง มุ่งหน้าสู่งานเลี้ยงที่จัดในเวลาเย็น ส่วนเขาก็เดินตามหลังอย่างอ้อยอิ่ง

           “เรื่องเมื่อครู่ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่” เซียวถิงฟงที่ได้ฟังคำตอบก็แทบรู้สึกเหมือนกลืนก้อนหินเข้าไปทั้งก้อน

           “ดังที่เจ้าได้ยิน เจ้าก็รู้ว่าข้ามิใช่หลานของเขาอย่างแท้จริง ฉะนั้นเจ้าคงเข้าใจในความหมายที่ข้ากล่าวนะ”

           “.......” หากนี่เป็นเรื่องล้อเล่นเขาคงจะดีใจมากกว่านี้ แต่ทุกถ้อยคำที่องค์รัชทายาทกล่าวนั้นล้วนจริงจังทุกพยางค์ เซียวถิงฟงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ชวนอึดอัด ไม่เว้นแม้แต่ซวนหยวนหมิงไท่ที่ตระหนักได้ว่าคนตรงหน้าเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ฉะนั้นเขายิ่งต้องใส่เชื้อไฟเข้าไปอีก

           “เจ้าจะยกนางให้แก่ข้าได้รึไม่” คำที่ไม่ควรเอ่ย แต่เขากลับเอ่ยมันออกมาแล้ว

           เซียวถิงฟงฟังปุ๊บก็รู้สึกไฟที่ลุกโชนขึ้นในใจ สองมือกำมือหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ครั้นเห็นรอยยิ้มที่ยกหยันก็บังเกิดเป็นความเดือดดาล มือคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อของว่าที่จักรพรรดิ “ท่าน”

           “เจ้าควรรู้ไว้ หากยังชักช้ากว่านี้ ข้าอาจจะทำให้เขาเป็นของข้า...อย่างแท้จริง” องค์รัชทายาทกล่าวจริงจัง ไม่แน่ว่าอาจโดนชกเข้าสักหมัดก็เป็นได้

           “นี่ พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”

           เสียงของต้าเซียนพลันลอยแว่วขัดจังหวะ ใบหน้านวลเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ยังผลให้บรรยากาศเดือดพล่านจำต้องลดลงในที่สุด

           “ท่านกำลังยั่วยุข้าใช่ไหม” น้ำเสียงของเซียวถิงฟงเริ่มอ่อนลง มือคลายออกจากปกเสื้อ องค์รัชทายาทรู้ดีว่าเขาคิดกับต้าเซียนเช่นใดจึงแสร้งทำเป็นกล่าวกระตุ้นโทสะเขา

           “เช่นนั้นเจ้าจะแต่งกับเขารึไม่” ครานี้ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามพร้อมรอยยิ้ม

           “แต่ง” เขาตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งยังประสานมือกับอีกฝ่ายอย่างแรง จากนั้นจึงก้าวไปพร้อมกันด้วยสีหน้าเบิกบานใจ

           ต้าเซียนมองดูคนทั้งสองอย่างงงงัน มิตรภาพบางทีก็เป็นเรื่องที่น่าฉงน แม้บางครั้งมีบาดหมางแต่บางคราความบาดหมางนั้นกลับสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจได้ในชั่วพริบตา


******************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 13.2 งานเลี้ยง 29/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 29-10-2015 20:16:27
บทที่ 13.2 งานเลี้ยงเสาะหาบุปผา


           ในเขตวนอุทยานชวีเจียงประกอบไปด้วยสระน้ำที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก รอบบริเวณโอบไว้ด้วยมวลดอกไม้นานาชนิด และขณะนี้ที่ลานกว้างถูกจัดวางไว้ด้วยโต๊ะที่นั่งสองฝั่งอย่างเป็นระเบียบ ฝั่งหนึ่งสำหรับบัณฑิตจิ้นซื่อ* อีกฝั่งเป็นของคุณหนูตระกูลใหญ่ ตรงกลางปูคั่นไว้ด้วยพรมแดง ลึกเข้าไปเป็นศาลาหลังใหญ่ รวมถึงศาลาหลังเล็กสี่หลังที่จัดไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่

           การมาขององค์รัชทายาทและเซียวถิงฟงทำให้บรรยากาศรอบข้างปรับเปลี่ยนเป็นคึกคัก เหล่าคุณหนูต่างชะเง้อมองพลางแว่วเสียงหัวเราะสดใส ผิดกับทางเหล่าบัณฑิตที่เงียบงัน ทว่าดวงตากลับทอแววเคลิบเคลิ้มชวนฝัน แลหนึ่งในนั้นยังมีบุรุษที่เคยหลิ่วตาให้ต้าเซียนครั้งเมื่อเดินผ่านอุทยานหลวงอีกด้วย

           “เจ้าเจ็บตาเหรอ” ต้าเซียนที่สงสัยมานานก็พลันหยุดลงถามไถ่ คนที่ขยิบตาถี่ๆ ทำให้เซียวถิงฟงกับองค์รัชทายาทต้องชะงักกายหยุดลง

           ด้านชายผู้ถูกถามก็มีสีหน้าตะลึงงันไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไร้เดียงสาถึงขนาดนี้ เขายิ้มกว้าง “แค่แม่นางเป็นห่วง ข้าซุนจื่อหานก็หายดีแล้ว” กล่าวจบก็ไม่ลืมที่จะโปรยยิ้ม

           “นึกไม่ถึงว่าคุณชายตระกูลซุนจะมีโรคประหลาดเช่นนี้ด้วย”

           เสียงประชดแกมเย้ยหยันลอยมา ยังผลให้คุณชายซุนเริ่มหน้าแดง คนทั่วทั้งงานเริ่มให้ความสนใจ เซียวถิงฟงจึงเดินกลับไปหยุดลงตรงซุนจื่อหานพลางปรายตามองคนชอบเล่นหูเล่นตาอย่างเย็นชา จากนั้นคว้าไปที่มือน้อยพาเดินออกไปทันที ซึ่งการกระทำที่โจ่งแจ้งนี้ส่งผลให้เกิดเป็นเสียงฮือฮาขนานใหญ่ ต้าเซียนในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนกลับกลายเป็นที่จับจ้องไปโดยปริยาย

           ครั้นนางกำนัลกล่าวเชิญองค์รัชทายาทไปประทับยังศาลาหลัวใหญ่ สตรีผู้ขึ้นชื่อว่างดงามราวดอกโบตั๋นก็ก้าวเข้ามาในงาน ทุกสายตาจึงพลันเบนมองด้วยความสนใจ

           องค์หญิงหย่าเหลียนสวมด้วยชุดผ้าแพรสีฟ้าสดใส ใบหน้าหวานเปล่งประกาย นำพาให้บัณฑิตจิ้นซื่อตกตะลึงไปตามๆกัน นางและเหล่านางกำนัลเดินตรงไปที่ศาลาใหญ่ หยุดลงถวายคำนับให้กับองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ จากนั้นจึงเสด็จไปประทับในศาลาหลังถัดไป

           งานเลี้ยงเริ่มขึ้นทันทีที่เจ้าของงานปรากฏกาย เหล่านางรำทยอยกันออกมาร่ายรำในจังหวะเพลงสนุกสนาน อาหารนานาชนิดถูกนำออกมาวางเรียงรายไว้บนโต๊ะ

           ทว่าจังหวะที่ผู้คนต่างก้มหน้าทานอาหาร ต้าเซียนกลับสังเกตเห็นชายหนุ่มถือตะเกียบนิ่ง ดวงตาพยัคฆ์หยุดลงที่ศาลาด้านข้าง ปากก็ขยับไร้ซุ้มไร้เสียง ไม่ไกลนักมีสตรีที่ส่งยิ้มละมุน ดูว่าคงพูดคุยภาษาปาก

           ร่างน้อยเผลอจ้องทั้งที่ปากยังคงดูดตะเกียบ ในอกมีอาการเจ็บแปลบแบบที่ไม่เคยรู้จัก กระทั่งองค์หญิงหย่าเหลียนสังเกตเห็นสายตาเขา รอยยิ้มก็พลันถูกส่งมาให้ ต้าเซียนมองสักพักก็เบนหน้ากลับแล้วนั่งเซื่องซึม

           “ยังมิรีบกินอีก เดี๋ยวก็ตักไม่ทันคนอื่นเขา ดูอย่างไป๋เซ่อจอมตะกละนั่น เขาเติมข้าวเป็นถ้วยที่สามแล้ว”

           เป็นเซียวถิงฟงที่ร้องทักก่อนคีบผักคำใหญ่ลงในชามข้าวเขา อีกทั้งยังส่งจานปอเปี๊ยะทอดมาให้ “อื้อ” ต้าเซียนส่งเสียงตอบด้วยแก้มที่ยิ้มแทบปริ อารมณ์ที่เคยเหี่ยวเฉาพลันเปลี่ยนเป็นร่าเริงอย่างน่าประหลาด

           เดิมทีงานเลี้ยงชวีเจียงถือเป็นงานเลี้ยงที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่บัณฑิตใหม่ในตำแหน่งจิ้นซื่อ โดยส่วนสำคัญของงานจะแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือ การลอยจอกสุราในสระชวีเจียง ซึ่งหากจอกเหล้าลอยไปหยุดที่ใคร คนผู้นั้นจะต้องหยิบจอกขึ้นดื่มแล้วแต่งกลอนขึ้น สองคือ การเสาะหาบุปผา เป็นการคัดเลือกจิ้นซื่อที่มีความสง่างามและเยาว์วัยที่สุดสองคนไปเด็ดดอกไม้ล้ำค่าในวนอุทยาน จากนั้นนำมาแบ่งประดับให้จิ้นซื่อทุกคน โดยจิ้นซื่อที่ถูกเลือกนี้จะได้รับการขนานนามว่าทูตเสาะหาบุปผา

           มาตรว่าเป็นเช่นนั้น แต่งานเลี้ยงในปีนี้ฮองเฮาเซิงกลับต้องการให้องค์หญิงหย่าเหลียนรับหน้าที่ในการจัดงาน โดยจะมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของงานเล็กน้อย ซึ่งองค์ฮ่องเต้ก็มิได้ดำรัสคัดค้านแต่อย่างใด
           
           และเป็นที่บังเอิญที่เซียวถิงฟงผู้ซึ่งเลื่อนขั้นจากบัณฑิตจิ้นซื่อมาเป็นรองแม่ทัพก็ได้รับเทียบเชิญงานนี้ด้วย หากมองลึกลงไปจะเห็นได้ว่าการที่ตระกูลเซิงเป็นแม่งานจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะต้องการใช้เป็นฉากบังหน้าเพื่อสร้างโอกาสเกี่ยวดองกับตระกูลเซียว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากใช้ไม้อ่อนมิได้ ตระกูลเซิงก็พร้อมที่จะใช้แข็ง

           เมื่อถึงเวลาสำคัญอย่างการลอยจอกสุรา ขันทีผู้หนึ่งก็ประกาศรายละเอียดของงานที่ถูกปรับเปลี่ยน โดยให้ผู้เข้าร่วมงานลอยจอกสุราพร้อมๆกัน หากจอกสุราผู้ใดลอยชนกันจะต้องร่วมขับกลอนโต้กวีกัน ซึ่งหลังจากโคมไฟสว่างไสวถูกแขวนเรียงรายริมสระ เหล่าจิ้นซื่อและบรรดาคุณหนูต่างก็พากันออกไปลอยจอกสุราที่ริมน้ำ ไม่ไกลนักมีเหล่าที่คอยเฝ้าจดรายชื่อจอกสุราที่ชนกันอยู่

           “ต้าเซียน เจ้าไม่คิดจะลอยจอกสุราบ้างรึ” เซียวถิงฟงเอ่ยถาม ดวงตาจับจ้องจอกสุราตนเองที่กำลังลอยโดดเดี่ยวออกนอกกลุ่ม

           “ข้าไม่เคยอ่านกวีของพวกมนุษย์”

           “เช่นนั้นก็ดี จะได้ไม่มีปัญหา”

           “ทำไมรึ” ต้าเซียนสงสัย พอดีกับที่จอกสุราที่เคยลอยโดดเดี่ยวกลับเพิ่มด้วยจอกสีหวานที่มีลวดลายโบตั๋นยังฝั่งตรงข้าม สีหน้าของเซียวถิงฟงพลันเปลี่ยนเป็นยุ่งยากใจ

           “จอกใบนั้นต้องมีปัญหาแน่” ซวนหยวนหมิงไท่กระซิบเบาๆ ครั้นเห็นต้าเซียนที่ยังมีสีหน้าไม่เข้าใจก็กล่าวอธิบาย “ชายหญิงร่วมโต้กลอนมิพ้นเรื่องความรัก หากเซียวถิงฟงโต้กลอนตัดรอนจะกลายเป็นว่าเขาไม่ไว้หน้าหย่าเหลียน แต่หากร่วมโต้กลอนคล้อยแต่โดยดีก็จะเกิดเป็นคำครหา ที่นี่มีขุนนางผู้ใหญ่หลายคนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนของตระกูลเซิง หากคำติฉินเหล่านี้ล่วงรู้ถึงพระกรรณฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะต้องพระราชทานมงคลสมรสเพื่อรักษาเกียรติขององค์หญิงไว้ ถึงตอนนั้นเซียวถิงฟงอยากปฏิเสธก็มิอาจทำได้เพราะผู้คนมากมายที่นี่ล้วนเป็นพยาน เท่ากับว่าพวกเราเดินเข้ามาติดกับของตระกูลเซิงโดยแท้”

           “อ่อ” หากเรื่องเป็นแบบนี้ทำไมถึงไม่ปรึกษากับเขาโดยตรงเล่า เรื่องแบบนี้เหล่าเซียนบนพิภพสวรรค์ล้วนชำนาญกันทั้งสิ้น “หึ หึ พวกเจ้ามิต้องกังวลให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ต้าเซียนหัวเราะอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึงขยับนิ้วขึ้นชี้ไปทางจอกสุราเจ้าปัญหา

           “เดี๋ยว” เซียวถิงฟงร้องทักท้วงอย่างตกใจพลางดึงมือของร่างน้อยลง “เจ้าจะทำอะไร อย่าลืมว่าที่นี่มีคนคอยจับตามองพวกเราอยู่ หากใช้อิทธิฤทธิ์จะเป็นที่ผิดสังเกตได้”

           “อืม ที่กล่าวมาก็มีเหตุผล” ซวนหยวนหมิงไท่พยักหน้าน้อยๆ

           “เช่นนั้นก็ได้ แต่ข้าขอกล่าวอีกสักหลายประโยค เรื่องราวทั้งหลายล้วนเป็นไป ดีร้ายผันผวนแปรเปลี่ยน กล่าวถึงเรื่องพรหมลิขิต ฟ้าล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้พวกเราเทพเซียนมิเคยก้าวก่าย แต่มิได้หมายความว่ามิอาจผลักดัน ฉะนั้นแม้ว่าข้าจะไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ แต่ก็จะไม่นิ่งดูดายเช่นกัน”

           บังเกิดเป็นทำนองเพลงชวนน่าฟังออกจากริมฝีปากบาง อีกาสีดำตัวหนึ่งบินถลาร่อนลงมาจากผืนฟ้าที่เริ่มมืดสลัว มันบินวนรอบสระน้ำยังผลให้คนทั้งหลายชี้นิ้วไปที่มัน จวบจนสายตาของมันสะดุดลงที่หนึ่ง มันก็พุ่งตัวโฉบเฉี่ยวพลางใช้จะงอยปากที่แหลมคมคว้าจอกสุราที่สลักคำว่าเซียวขึ้นฟ้าไป สุราพลันถูกเทลงบนน้ำก่อนที่ตัวมันจะบินลับกลืนหายไปกับราตรีสีมืด เบ็ดเสร็จใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ*

           “ทีนี้เจ้าก็ไม่ต้องโต้กลอนให้ลำบากใจแล้ว” พูดจบต้าเซียนก็หมุนตัวกลับไปยังศาลาที่ไป๋เซ่อและถิงถิงนั่งกินกันอย่างไม่มีหยุดพัก ทิ้งไว้ให้คนหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันอย่างตะลึง

           อีกด้านหนึ่งกลับมีนางกำนัลวิ่งหน้าตาแตกตื่นไปยังศาลาอีกหลัง หย่าเหลียนที่กำลังดื่มชาฟังข่าวแล้วก็ถึงกับชะงักมือ ก่อนเผลอสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องนางเป็นครั้งที่สอง ทว่าครั้งนี้นางมิได้ยิ้มอีกแล้ว

           ต้าเซียนส่งยิ้มบางให้นางเสร็จก็หันมาสู้รบกับของหวานบนโต๊ะต่อ ฉับพลันนั้นถิงถิงที่ดูไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับใครนักก็เอ่ยปากขึ้น

           “ข้าเกลียดนาง”

           “ข้าก็ไม่ชอบนาง” ไป๋เซ่อที่เคี้ยวขนมแก้มตุ่ยเองก็กล่าวเสริม

           ต้าเซียนรับฟังอย่างฉงนสงสัย “เป็นเพราะเหตุใดกัน”

           “ดวงตาของนางมีแต่ความชิงชัง แม้ในยามยิ้ม” กล่าวจบถิงถิงก็กำขนมเต็มสองมือก่อนวิ่งไปยื่นให้กับชายหนุ่มทั้งสองที่ยังคงยืนอยู่ริมสระ ทำให้ไป๋เซ่อต้องชะเง้อคอมองตามอย่างซึมเซา

           “ดวงตาที่ชิงชังอย่างนั้นหรือ” ต้าเซียนพึมพำ นึกถึงยามที่องค์หญิงหย่าเหลียนส่งยิ้มให้

           หลังจากนั้นการโต้กลอนก็ผ่านพ้นไปอย่างสนุกสนานระคนหวานชื่น บัณฑิตทั้งหลายต่างโต้กลอนเกี้ยวพาราสีหยอกเอินธิดาขุนนางใหญ่ ทว่าเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง เมื่อคู่ที่ถูกจับตามองกลับไม่มีแม้แต่การพูดจาปราศรัย องค์หญิงหย่าเหลียนเองเมื่อไม่ได้คู่ตามที่ต้องการก็ให้คนแจ้งว่านางเจ็บพระศอไม่สะดวกแก่การขับกลอนนัก
 

******************************************


           กระทั่งงานดำเนินไปจนถึงช่วงสุดท้าย เหล่านางกำนัลก็ทำการจับไม้สั้นไม้ยาวพร้อมแจ้งรายชื่อดอกไม้แก่ผู้ร่วมงาน จากนั้นก็มีขันทีออกมาอธิบายรายละเอียด โดยคนในงานต้องออกตามหาดอกไม้ที่ได้แจ้งไว้ ซึ่งหลังจากนั้นฝ่ายชายสามารถนำไปประดับที่ศีรษะสตรีที่หมายตา ส่วนฝ่ายหญิงก็สามารถปฏิเสธหรือมอบดอกไม้ของตนเป็นการตอบแทน

           นี่ดูก็รู้แล้วว่างานนี้จัดขึ้นเพื่อหาคู่ ดวงตาหลายคู่พลันเปล่งประกายวูบวาบ ครั้นมีเสียงฆ้องลั่นขึ้นก็บังเกิดเป็นความชุลมุนผู้คนต่างพร้อมใจแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ผิดกับเซียวถิงฟงที่กลับฉวยโอกาสคว้าข้อมือเล็กแล้วเบี่ยงกายเข้าใกล้ร่างน้อยอย่างกะทันหัน

           “ต้าเซียน หากพบดอกไม้ของเจ้าแล้วให้รอข้าที่ศาลาริมน้ำทางฝั่งตะวันออก อย่าได้รับดอกไม้จากใคร” เขากระซิบบอกอย่างรวดเร็ว

           น้ำเสียงที่ทรงพลังดังกังวานอยู่ที่ริมหู ต้าเซียนเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นสู่ใบหน้า จู่ๆก็รู้สึกวางตัวไม่ถูกขึ้นมา
เห็นร่างน้อยเงียบเชียบไปซ้ำยังหลุบตาหนีหน้า เซียวถิงฟงก็กล่าวขึ้น “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายรึ”

           “ข้า...” จู่ๆต้าเซียนก็ยกมือขึ้นปิดใบหน้า “ข้า ข้าคงไม่สบายจริงๆ เหตุใดใบหน้าข้าร้อนผ่าว”

           “ไหนขอดูซิ” มือใหญ่พยายามรั้งมือน้อยออก แต่ต้าเซียนกลับขืนมือไว้ซ้ำยังบ่ายเบี่ยง แต่แรงแค่นี้ไหนเลยจะสู้แรงเขาได้

           ในที่สุดดวงตาดำขลับก็สามารถจับจ้องใบหน้าน้อยได้อย่างเต็มตา แก้มนวลปรากฏสีแดงซ่านดั่งสีกุหลาบ ดวงตาไร้เดียงสากะพริบน้อยๆ เซียวถิงฟงเริ่มเอะใจกับอากัปกิริยานี้ รอยยิ้มกว้างผุดขึ้น ใบหน้าค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้อย่างประชิด

           ด้านต้าเซียนกลับรู้สึกเหมือนเวลาหยุดหมุน เสียงในอกดังขึ้นเป็นจังหวะๆ ดังจนสมองไม่รับรู้อันใด สองตาได้แต่หลับลงปี๋ ฉับพลันก็รู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่แนบลงหน้าผาก เป็นเหตุให้ต้องงงงันเลื่อนลอยไปขณะหนึ่ง

           “ข้าไปก่อนนะ” ร่างสูงพูดจบก็ลูบศีรษะคนตะลึงงันอย่างอ่อนโยน ทั้งยังมิลืมส่งรอยยิ้มทะเล้นให้
           
           ต้าเซียนได้แต่ยืนกุมหน้าผาก มองคนที่ยิ้มร่าจากไป รอยยิ้มของชายหนุ่มคล้ายทำให้ในอกของเขาอบอุ่นอย่างน่าประหลาด “เจ้าทำกระไรกับข้ากันแน่” เขาไม่เข้าใจเซียวถิงฟง แต่ที่ยิ่งกว่าคือ ไม่เข้าใจตนเอง

           หลังจากที่เดินหาอยู่สักพัก ร่างน้อยก็พบสวนดอกกล้วยไม้ที่ตนตามหา เขายื่นมือไปสัมผัสมันอย่างเบามือ “ข้าไม่เด็ดเจ้าหรอก” กล่าวจบก็แบมือออก แววตาสีทองปรากฏเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่นานนักบนฝ่ามือก็ปรากฏดอกกล้วยไม้หนึ่งดอก ต้าเซียนยิ้มหมุนดอกไม้ในมือเล่น แต่แล้วขณะที่ฝีเท้ากำลังมุ่งไปทางฝั่งตะวันออก ภาพๆหนึ่งเผยขึ้นในสมองคล้ายเป็นดั่งนิมิต

           ผ้าแพรสีแดงเข้มพริ้วไหวไปตามกระแสลม บุรุษผู้หนึ่งยืนหันหลังไว้ ฉับพลันนั้นกลับมีเล็บยาวสีแดงดั่งโลหิตพุ่งตรงไปยังชายผู้นั้น ชายที่เขาคุ้นตายิ่ง

           “ถิงฟง” เขาสะดุ้งตัวตกใจ ทั้งไม่รอช้าทะยานตัวลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่ ออกตัวไปได้ไม่ไกลก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นสาบที่เหม็นคละคลุ้ง ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลรบกวนในจิตใจ แม้จะหยั่งสัมผัสของเซียวถิงฟงแค่ไหนก็มิได้มีอะไรผิดแผกแปลกไปแม้แต่น้อย แต่กระนั้นต้าเซียนกลับยังคงติดตามหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

           “ท่านมหาเทพ” เสียงทุ้มแหลมดังขึ้นจากทางด้านหลัง

           เขาหยุดกายหันไปมอง “ไป๋เซ่อ เจ้าก็รู้สึกถึงใช่รึไม่”

           “นี่เป็นกลิ่นสาบของจิ้งจอกไม่ผิดแน่ แต่ข้าคิดว่าคงมีฤทธิ์เดชเพียงน้อยนิด”

           “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” ต้าเซียนกล่าวแล้วลอยตัวต่อไป

           แต่ไป๋เซ่อฟังแล้วถึงกับวิตก หากแม้กระทั่งท่านมหาเทพรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เรื่องนี้ก็คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว เพราะไม่ว่าจะนิมิต หรือญาณของท่านมหาเทพนั้นกล่าวได้ว่า แม่นยำเสมอมา


******************************************

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 13 งานเลี้ยงเสาะหาบุปผา 29/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 30-10-2015 00:07:22
ลุ้นๆ ถิงฟงเป็นพระเอกที่ซวยจริง อะไรจริง แลดูจะโดนทำร้าย
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 14.1 ความในใจ 30/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 30-10-2015 22:22:18
บทที่ 14.1 ความในใจที่ซ่อนเร้น


           สายลมเอื่อยพัดพาให้ต้นเหมยสั่นไหว มือแกร่งเอื้อมปลิดกิ่งไม้เล็ก ดอกเหมยที่ติดมานั้นเบ่งบานสะพรั่ง ดูเปล่งปลั่งราวกับพวงแก้มใส แต่จะอย่างไรก็เห็นทีจะมีแต่ดอกบัว ที่เหมาะสมกับเจ้าตัวมากที่สุด...ดอกบัวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา

           เซียวถิงฟงยิ้มกว้างมองดอกเหมยในมือ หากมิใช่เพราะรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องขณะนั้น เขาคงครอบครองริมฝีปากบางนั้นไปแล้ว นึกถึงเพลานั้นแล้วใบหน้าก็ร้อนวูบวาบ กระทั่งเสียงของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น

           “ท่านรองแม่ทัพ ท่านจะมอบมันให้ข้าได้หรือไม่”

           เขาได้สติหันขวับไปที่ด้านหลังทันที ที่เบื้องหน้าเป็นสตรีชุดแดงสด ดวงตาเย้ายวนน่าหลงใหล ริมฝีปากแดงราวกับลูกพลัม ขับดันเสน่ห์ที่ชวนดูลึกลับ ดูว่านางเห็นเขาไม่ตอบก็ส่งยิ้มพลางชี้นิ้วที่อกของตน

           เซียวถิงฟงงงงันไปวูบหนึ่งก่อนฉุกคิดถึงดอกเหมยในมือ “อา ต้องขออภัย ข้ามิอาจมอบมันให้แก่แม่นางได้”

           “ท่านมีคนที่ตั้งใจจะมอบให้?”

           “เป็นเช่นนั้น” เขาระบายยิ้ม “แม้ข้ามิอาจมอบให้ได้ ก็เกรงว่าบุรุษในงานต่างกำลังเข้าคิวรอมอบดอกไม้ให้สตรีงดงามเช่นแม่นางกระมัง”

           สตรีในชุดแดงฟังแล้วก็ยกมือขึ้นป้องริมฝีปาก เปล่งเสียงหัวเราะขึ้น “ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งท่านจะมอบมันให้ข้า”

           “หือ” เซียวถิงฟงอุทานอย่างสงสัย แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงดังขัดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ครั้นเหลียวมองกลับไปก็พบคนที่จ้ำอ้าวเข้ามาด้วยทีแตกตื่น

           “พี่ถิงฟง นางเป็นใคร” สีหน้าขององค์หญิงหย่าเหลียนขาวซีด แววตาตกตะลึง นางคล้ายเคยเห็นสตรีในชุดแดงเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่มิมั่นใจว่าสตรีดังกล่าวมีตัวตนเพียงแค่ในฝันหรือมีอยู่ในโลกแห่งความจริงกันแน่

           “หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบ” หันกลับไปอีกทีสตรีในชุดแดงก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เซียวถิงฟงขมวดคิ้ว ทั้งที่นางนับว่าโดดเด่นสะดุดตา แต่กระนั้นตนกลับมิได้สังเกตเห็นนางในงานแม้แต่น้อย “ว่าแต่องค์หญิง ท่านไม่สบายมิใช่รึ เหตุใดจึงได้ออกมาเพ่นพ่านตากลมเช่นนี้” เขาถอดเสื้อคลุมสีเขียวเข้มบนตัวออกคลุมให้แก่นาง

           หย่าเหลียนสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วมองหน้าชายหนุ่มอย่างลึกซึ้ง ความปลอดโปร่งวางใจแล่นเข้าอยู่ในอก ใบหน้าที่ขาวซีดพลันมีเลือดฝาดอีกครั้ง “ขอบคุณพี่ถิงฟง”
   
           “แล้วทรงเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร”

           “เอ่อ ข้าเดินลัดเลาะมาจากทางด้านโน้น” นางแสร้งกล่าวเสียงเรียบ ความจริงแล้วเป็นขันทีที่ตระกูลเซิงวางตัวไว้ตระเตรียมทุกอย่างไว้แต่แรกแล้ว เพียงรอให้นางเดินหน้ามอบดอกโบตั๋นในมือนี้ให้ชายหนุ่มเท่านั้น

           มาตรว่าแผนลอยจอกสุราจะเกิดผิดพลาด แต่การเสาะหาบุปผาในครั้งนี้จะต้องสำเร็จ นี่นับเป็นโอกาสสุดท้าย นางมิอาจผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง “พี่ถิงฟง เหตุใดท่านจึงไม่เรียกข้าว่าหย่าเหลียนเล่า”

           “.......”

           เห็นร่างสูงนิ่งเงียบสีหน้าลำบากใจ นางก็กุมมือเขาไว้พลางอ้อนวอน “เมื่อก่อนท่านชอบเรียกข้าเช่นนี้มิใช่หรือ”

           “แต่ตอนนี้ไม่เหมือนก่อน”

           “ไม่เหมือนก่อน ท่านหมายความว่าอย่างไร” นางหลุบตาลงอย่างน้อยใจ เหตุใดเขาถึงได้มีท่าทีห่างเหินกับนางเช่นนี้
   
           นิ่งเงียบอยู่นาน เซียวถิงฟงที่ทนเห็นม่านน้ำตาของคนตรงหน้ามิได้ ก็ตัดสินใจเอ่ยเบาๆ “ก็ได้ๆ หย่าเหลียน”
   
           “พี่ถิงฟง” นางร้องเรียกอย่างดีใจ น้ำตาหยดหนึ่งพลันหลั่งไหล

           เซียวถิงฟงยิ้มน้อยๆกล่าว “เด็กน้อยจะร้องไห้ทำไมกัน”

           สิ้นเสียงอบอุ่นหย่าเหลียนก็โผกอดร่างสูงไว้ นางตื้นตันใจจนมิอาจบรรยายออกมาได้ ในใจของเขานั้นมีนางอยู่ “พี่ถิงฟง ข้ายินดีกระทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ ได้โปรดมอบดอกไม้ให้ข้าเถอะ”

           กิ่งดอกเหมยในมือพลันร่วงตกลงพื้น เซียวถิงฟงฟังแล้วก็ต้องกระอักกระอ่วน มิรู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ครั้งหนึ่งนางเป็นสตรีที่เขาเคยคิดทุ่มเทความรักให้ แต่ด้วยเรื่องราวซับซ้อนทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
   
           ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน ตระกูลเซิงและตระกูลเมิ่งต่างชิงดีชิงเด่นกันในราชสำนักกันอย่างเปิดเผย ด้านตระกูลเซียวกลับมิเข้าข้างฝ่ายใด ด้วยถือเป็นคนของฝ่าบาทโดยตรง จึงคอยทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจมาตลอด แต่แล้วสงครามระหว่างทั้งสองตระกูลกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ตระกูลเซิงและตระกูลเมิ่งต่างส่งบุตรีเข้าถวายตัวรับใช้องค์ฮ่องเต้ ซึ่งในภายหลังพระสนมเมิ่งกลับได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมารดาของแผ่นดิน นอกจากนี้นางยังให้กำเนิดพระโอรสที่เฉลียวฉลาด บุตรของนางจึงกลายเป็นรัชทายาทตั้งแต่วัยเยาว์ อำนาจของตระกูลเมิ่งจึงยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง

           ทว่าเรื่องราวกับพลิกผัน องค์ฮองเฮาเมิ่งถูกลอบปลงพระชนม์ พระสนมเซิงขึ้นนั่งตำแหน่งแทนที่ ตระกูลเซิงกลับมาผงาดอีกครั้ง ทั้งยังทำทุกวิถีทางเพื่อขุดรากถอนโคลนตระกูลเมิ่ง อันเปรียบเสมือนขุมอำนาจขององค์รัชทายาทให้หมดไป คนในตำแหน่งสำคัญไม่ถูกลดขั้นก็ถูกโยกย้าย ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้แม้ตระกูลเซียวจะมิได้ก้าวก่าย แต่กับเซียวถิงฟงกลับเป็นข้อยกเว้น
   
           เซียวถิงฟงเติบโตมากับองค์รัชทายาท ได้รับรู้เข้าใจแลเห็นอะไรหลายอย่าง องค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่ในวัยเด็กมักทำอะไรเกินตัว ซ้ำยังวางพระองค์อยู่ในกรอบเสมอ แต่จะมีเพียงเวลาที่อยู่กับตนเท่านั้นที่ยอมผ่อนคลายพระองค์ ซึ่งทำให้เขาทั้งชื่นชมและเข้าใจในตัวซวนหยวนหมิงไท่มากกว่าใคร ใจเขาจึงเอนเอียงช่วยเหลือพระองค์อย่างเต็มที่

           ด้านองค์หญิงหย่าเหลียน เขาเองก็รู้ดีว่านางเติบโตขึ้นมาเช่นใด ตระกูลเซิงมิได้ให้ความสำคัญกับนาง นอกเหนือไปจากการหมากสำคัญตัวหนึ่งของคนในตระกูล นางเป็นได้เพียงนกน้อยที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในกรงขังที่เรียกว่าวังหลวง

           มาตรว่าคนทั้งสองต่างเป็นคนความสำคัญ หากแต่สิ่งที่เขาสามารถทำให้กับองค์รัชทายาทได้ คือเป็นดั่งมือซ้ายขวาที่คอยช่วงชิงอำนาจให้แก่พระองค์ แต่สำหรับองค์หญิงหย่าเหลียน เขาทำได้เพียงดูแลนางอย่างห่างๆ มิสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ซึ่งข้อเปรียบเทียบเหล่านี้ทำให้เขาประจักษ์ เขามิได้รักหย่าเหลียนอย่างแท้จริง เขามองนางดั่งน้องสาว มิได้มองนางเช่นบุรุษมองสตรี  และยิ่งเมื่อเขาได้พบต้าเซียน ก็ยิ่งทำให้เขาตระหนักถึงความจริงข้อนี้ เขาได้หลงรักคนซื่อบื้อเข้าเสียแล้ว

           ฝ่ามือค่อยๆขยับ คิดจะดึงมือที่โอบเอวไว้ออก แต่แล้วเซียวถิงฟงชะงัก เขามิอาจตอบรับ แต่ก็มิอาจทอดทิ้งนางอย่างเย็นชาได้เช่นกัน เกิดเป็นความละล้าละหลังขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าสมควรจะแกะมือนางออกดีรึไม่

           พอดีกับที่เสียงกิ่งไม้ไหว ฝีเท้าบางเบาเสมือนล่องลอยเป็นเอกลักษณ์เคลื่อนเข้าใกล้ เซียวถิงฟงพร่ำบอกในใจ ขอให้ครั้งนี้ตนหูฝาดไป ขอเพียงครั้งนี้เท่านั้น ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เผอิญสบเข้าที่ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อน ซึ่งกำลังทอดมองลงมาจากต้นไม้ใหญ่
   
           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงอุทานขึ้นอย่างตกใจ ยังผลให้องค์หญิงหย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นมองตาม จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มให้แก่ผู้มาใหม่

           ต้าเซียนเห็นคนทั้งสองกอดกันแนบแน่นก็พลันรู้สึกไม่พอใจอย่างไรบอกไม่ถูก จึงคิดรีบไปเสียให้พ้นๆ ถึงอย่างไรคนก็มิได้เป็นอันตรายอย่างที่คิด

           “ทางทิศตะวันออก ท่านมหาเทพ อ้ะ เจ้าคนแซ่เซียวทำไมถึง”

           “ไป” ต้าเซียนตวาดห้วนพร้อมทะยานตัวออกไป ไป๋เซ่อที่ตามมางงงันอยู่บ้าง ครั้นได้สติก็รีบติดตามท่านมหาเทพไป แต่ก็มิวายหันกลับไปมองคนทั้งสอง

           “เดี๋ยว” ทั้งที่เมื่อครู่แววตายังเปี่ยมไปด้วยความรัก หากแต่ตอนนี้กลับเย็นชา มิทันได้อธิบายร่างในชุดสีเหลืองนวลก็ทะยานตัวหายลับไป ดูไปร่างน้อยคล้ายดวงจันทร์บนฟากฟ้า ทำได้เพียงมอแต่มิอาจจับต้องได้ เสมือนอยู่ใกล้แต่ความจริงห่างไกล...แต่เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือ

           ไม่ สำหรับข้าแล้วต้องเป็นเจ้า ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ต้าเซียน

           หัวใจพลันร่ำร้องบอก ครานี้เซียวถิงฟงลดแขนที่เกาะกุมลงพร้อมกล่าวอย่างไม่ลังเลแล้ว “หย่าเหลียน สำหรับข้าแล้วเจ้าเปรียบเสมือนน้องสาวข้ามาตลอด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

           “ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” องค์หญิงหย่าเหลียนทวนคำ สองมือนางว่างเปล่า ฝีเท้าถึงกับซวนเซถอยไปก้าวหนึ่ง “ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหม” ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาทอกว้างอย่างไม่รับความจริง

           “........” เซียวถิงฟงไม่กล่าววาจาเพียงหลุบตาลงแล้วผละตัวจากไปเป็นคำตอบ

           กระทั่งเสียงฝีเท้าหายลับไปก็หลงเหลือเพียงหญิงสาวที่นั่งกอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ไว้แน่น น้ำตาหลั่งไหลออกมาเงียบๆ ไออุ่นจากเจ้าของเสื้อหายไปแล้ว คนก็เช่นกัน สุดท้ายนางก็ทำได้แค่จ้องมองกิ่งดอกเหมยสีแดงที่ตกอยู่ข้างกายอย่างเนิ่นนาน


************************************************


           “ต้าเซียน”

           คล้ายได้ยินเสียงเพรียกรุ่มร้อนร้องหา ต้าเซียนพลันหยุดกายลงที่ยอดไม้สูง ความรู้สึกกระวนกระวายอัดแน่นเต็มอยู่ในอก มันมิใช่ความรู้สึกของเขา เขารู้ดี แต่บุรุษกอดสตรีเช่นนี้ยังจะมีเรื่องทุกข์ใจอันใด คิดแล้วคิ้วขมวดเป็นปมอย่างไม่รู้ตัว

           “ท่านมหาเทพ กลิ่นสาปจิ้งจอกถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง”

           “ข้าจะไปทางนี้” ต้าเซียนกล่าว

           หลังจากที่แยกกับไป๋เซ่อแล้ว ร่างน้อยก็ตัดสินใจลอยตัวลงสู่พื้นดิน ทว่าเดินวนเวียนหาร่องรอยของปีศาจอยู่นานก็ได้ข้อสรุป ทางนี้เป็นกลลวง ขณะที่ชักเท้าเตรียมรุดกลับไปยังอีกด้านหนึ่ง ต้าเซียนก็ต้องผงะตัวเมื่อคนผู้หนึ่งปรากฏกายเบื้องหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ

           “แม่นาง พวกเราพบกันอีกแล้ว ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นพรหมลิขิต” ซุนจื่อหานฉีกยิ้มกว้าง
   
           “พรหมลิขิต” ต้าเซียนฟังแล้วก็ยกยิ้มแหยแฝงแววประชดน้อยๆ ก้อนหินอย่างข้าจะมีพรหมลิขิตเฉกเช่นมนุษย์ได้กระไรกัน

           ซุนจื่อหานเห็นอีกฝ่ายยิ้มแล้วจึงรุกต่อ “ถ้าอย่างไร ข้าขอเรียนถามนามอันสูงส่งของแม่นาง”

           “ต้าเซียน” ต้าเซียนตอบห้วนแต่ดูว่าอีกฝ่ายมีแววฉงน

           “นามของแม่นางฟังดูแปลกยิ่ง แต่คนโดดเด่นนามย่อมต้องโดดเด่นด้วยเช่นกัน” ซุนจื่อหานมิวายหยอดคำหวาน เห็นต้าเซียนกะพริบตาปริบๆก็พล่ามต่อ “นี่เป็นเชียนรื่อหง*ที่ข้าหาเสาะหามาได้ ดูไปช่างเหมาะกับแม่นางยิ่งนัก โปรดรับไว้ด้วย” กล่าวจบก็ถือโอกาสจัดแจงปักดอกไม้ที่ผมสลวย

           ก้านดอกไม้ถูกปักไปเสียครึ่งหนึ่ง แต่ต้าเซียนยังคงงงงันตามมิทัน ครั้นรู้ตัวว่าพลาดท่า ฉับพลันนั้นร่างก็ถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ก่อนถูกยกถอยออกไปอย่างสบายๆ เชียนรื่อหงที่กำลังถูกประดับจึงมีอันร่วงหล่นตกพื้นในที่สุด

           ซุนจื่อหานมองดอกไม้ที่ตกพื้นด้วยแววตามิอยากเชื่อ เห็นๆกันอยู่ว่าชิ้นเนื้อกำลังจะเข้าปาก แต่แล้วกลับหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา จึงพลันเปล่งน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “บังอาจ กล้าแย่งกับบิดาหรือ”

           ผู้มาใหม่ถึงกับถลึงตาใส่อย่างโหดเหี้ยม ซุนจื่อหานไล่มองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่สวมอาภรณ์หรูหรา จนสบเข้าที่ป้ายหยกที่สลักไว้ด้วยคำว่าเซิง สองขาก็ถึงกับอ่อนยวบก้มลงโขกหัวคำนับกับพื้นทันที

           “หม่อมฉันล่วงเกินองค์ชาย ได้โปรดทรงอภัยให้กระหม่อมด้วย” ซุนจื่อหานเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งลุกลี้ลุกลนก้มคำนับสุดตัว

           “รีบไปให้พ้นจากสายตาข้าเดี๋ยวนี้” เขาเค้นเสียงกล่าวช้าๆ
ต้าเซียนที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ด้านซุนจื่อหานก็เผ่นแนบไปทันทีโดยมิคิดจะหันกลับไปมอง

           “องค์ชาย องค์ชายอะไรกัน เฟยหลง” ร่างน้อยถามพลางดิ้นตัวในอ้อมแขนแกร่ง
   
           เฟยหลงไม่ตอบคำทั้งยังไม่ปละปล่อยร่างเล็ก เขาก้มหน้าซุกไซ้เรือนผมนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ยิ่งเสียงหัวใจที่เต้นเบาๆนั้น ก็ทำให้เขามิอยากปล่อยมือไปอีกตลอดกาล
“ต้าเซียน”

           นามถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ต้าเซียนถึงกับหยุดดิ้น รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว นิ่งเงียบสักพักก็ตัดสินใจเอ่ยตอบ “เฟยหลง”
 
           “อืม” เฟยหลงไม่เสียใจที่ได้เลือกเข้าสู่ทางมาร เพราะหากตนยังเป็นแม่ทัพเกราะทองแห่งพิภพสวรรค์ ก็จะไม่มีวันได้แตะต้องท่านมหาเทพแม้แต่เพียงเส้นผม แต่หากเป็นจอมมารผู้นำเหล่ามวลปีศาจ เขากลับมีสิทธิ์ครอบครองอีกฝ่ายไว้ แม้ต้องถูกเหล่าเทพเซียนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ เขาก็หาใส่ใจไม่

           “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”

           “ข้าบอกท่านแล้ว ข้าจะคอยอยู่ใกล้ๆท่าน” เฟยหลงตอบโดยไม่คลายอ้อมกอดลงทุกชั่วขณะ

           “แล้วมนุษย์ที่เจ้าสวมรอยเล่าอยู่ที่ใด”

           “ท่านฟื้นพลังได้บ้างรึไม่”
   
           “เขาเป็นอย่างไร” ต้าเซียนถามขึ้นเสียงจริงจัง

           “ตัวท่านในชุดสตรีนี่ ออกจะตัวเล็กกว่าเดิมนะ” เฟยหลงหัวเราะน้อยๆ ด้วยมิได้เห็นท่านมหาเทพในชุดแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหน ท่านมหาเทพก็คือท่านมหาเทพที่ตนรักอยู่ดี

           “เฟยหลง” ต้าเซียนถลึงตาใส่ ด้วยรู้สึกราวกับโดนปั่นหัว 

           “มิต้องเป็นห่วง ดวงจิตเขายังอยู่ดี” ครานี้เขายอมตอบแต่โดยดี ทว่าท่านมหาเทพกลับบังคับดึงมือเขาออก จากนั้นประจันหน้าถามอย่างไม่เข้าใจเจตนา

           “ทำไมจึงทำเช่นนี้ เขามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แม้แต่น้อย”
   
           เห็นคิ้วที่ขมวดน้อย เฟยหลงก็อมยิ้ม “ข้าบอกท่านแล้ว ข้าจะคอยอยู่ใกล้ๆท่าน”

           ท่าทีดังกล่าวกับทำให้ต้าเซียนบังเกิดความสับสน ทั้งยังเกิดคำถามขึ้นในใจ เฟยหลงเริ่มมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มือน้อยเผลอยกขึ้นสัมผัสที่เปลือกตาคนตรงหน้าอย่างเบามือ

           ดวงตาดั่งพญาอินทรีหลับลงรับสัมผัสอย่างว่าง่าย แต่ในจังหวะที่มือเรียวลดลงกลับฉวยกุมไว้มาแนบที่แก้มตน จากนั้นจึงประทับริมฝีปากลงบนมือนั้น

           สัมผัสอุ่นร้อนทำให้ต้าเซียนชักมือออกอย่างตกใจ ชั่วขณะนั้นกลับทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เสมองดอกเชียนรื่อหงที่ตกอยู่ไม่ไกล มิกล้าสบตาอีกฝ่ายอีก

           เฟยหลงเห็นท่าทีดังกล่าวก็ต้องลอบยิ้ม “ท่านอย่ามัวชื่นชมแต่เชียนรื่อหง ดอกไม้นี้ก็งามไม่แพ้เช่นกัน” กล่าวจบดอกบัวบานสีขาวอมชมพูดอกหนึ่งก็ยื่นส่งให้

           ต้าเซียนละล้าละลังที่จะรับ แต่พอนึกถึงภาพคนสองคนที่กอดกันแล้วก็รับมาในที่สุด ทว่าเสมือนฟ้าเล่นตลกจึงได้ส่งชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งให้เข้ามาปรากฏตัวระหว่างนี้เข้า
   
           เซียวถิงฟงติดตามมาถึงสวนดอกเชียนรื่อหงก็เห็นชุดสีเหลืองนวลอยู่ไกลๆ เขารีบจ้ำอ้าวอย่างไม่หยุดหย่อน แต่แล้วก็ต้องชะงักหยุดนิ่งเพราะในมือน้อยถือไว้ด้วยดอกไม้แล้ว

           หากสายตาเขาแผดเผาได้ คงเผาดอกบัวที่อยู่ในมือต้าเซียนให้เป็นจุณไปนานแล้ว ดวงตาพยัคฆ์ตวัดขึ้นมองแวบหนึ่งก็เห็นต้าเซียนหลุบตาลง ครั้นคิดจะไล่เบี้ยกับคนอีกผู้หนึ่งก็ถึงกับต้องตกใจ

           “จอมมารเฟยหลง” เสียงกัดฟันเล็ดลอดจากริมฝีปาก สองมือกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าเจ้าของนามกลับแค่นหัวเราะขึ้น ส่งผลให้เขายิ่งรู้สึกเดือดดาลในใจ

           “ข้าต้องไปแล้ว ต้าเซียน” เฟยหลงตั้งใจก้มลงกระซิบใกล้ๆริมใบหูร่างเล็ก แต่สายตายังคงจ้องเซียวถิงฟงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ซ้ำตอนท้ายยังจงใจใช้น้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำเรียกชื่อด้วยความสนิทสนม

           “เจ้าไม่มีวันได้เขาไปอย่างแน่นอน” เกิดเป็นเสียงกระซิบดังขึ้นในสมอง เซียวถิงฟงถึงกับเบิกตาโพลงเสียการควบคุมในทันที

           “เจ้า” เขากู่ร้องถลาตัวเข้าหาจอมมารเฟยหลง ทว่าเมื่อถึงตัวอีกฝ่าย ร่างของจอมมารเฟยก็กลับสลายเฉกเช่นหมอกควัน เขากัดฟันยืนมองอย่างเจ็บแค้น

           “ถิงฟง”

           เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง เซียวถิงฟงเหลียวมองแล้วจึงพบว่าต้าเซียนกำลังจับชายเสื้อเขาไว้แน่น ในกำมือข้างหนึ่งยังคงถือดอกบัวไว้อย่างทะนุถนอม

           เมื่อเห็นว่าร่างสูงจ้องดอกบัวในมือ ต้าเซียนก็พลันปล่อยมือออกจากชายเสื้อยาว ฟังเสียงอดกลั้นสูดลมหายใจของชายหนุ่มที่ดังขึ้นช้าๆ

           “ทำไมถึงรับดอกไม้” ทั้งๆที่ข้าตัดสินใจจะบอกความรู้สึกแก่เจ้า

           ต้าเซียนฟังแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตา “เป็นเพราะเจ้ามอบดอกไม้ให้คนอื่น ข้าก็เลย...” พูดถึงตรงนี้ก็ต้องก้มหน้าหลุบตาลง ทำไมจึงเจ็บที่หน้าอก เป็นเพราะอะไรกัน

           “.......” เลยรับดอกไม้มาอย่างนั้นรึ เซียวถิงฟงถอนใจช้าๆพลันกล่าว “ไม่ได้ให้”

           “หือ” ต้าเซียนเผลอเงยหน้าขึ้นอย่างงงัน

           “ข้าไม่ได้ให้ใครทั้งนั้น”

           ครานี้คล้ายอาการเจ็บในอกบรรเทาลงอย่างน่าประหลาด ต้าเซียนกุมหน้าอกตนเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
   
           “เรากลับไปที่งานกันเถอะ” เซียวถิงฟงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักใจ อาจเป็นเพราะสายตาคู่นั้น สายตาที่จอมมารเฟยหลงใช้มองต้าเซียน มันแฝงไว้ด้วยความรักลึกซึ้งจนทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ
   
           “.......” เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ต้าเซียนก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก ระหว่างพวกเขาทั้งสองคล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ ตลอดทางจึงมีแต่ความเงียบงันไร้ซึ่งคำพูดจาใดๆ


******************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 14 ความในใจ 30/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 30-10-2015 22:24:23
บทที่ 14.2 ความในใจที่ซ่อนเร้น


           ครั้นกลับถึงลานกว้าง คนในงานต่างก็มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าแล้ว คุณหนูส่วนใหญ่ต่างประดับดอกไม้ไว้บนศีรษะ ทว่าบัณฑิตจิ้นซื่อบางคนกลับยืนคอตกมองดอกไม้ที่ถูกปฏิเสธ พอคนทั้งสองเดินผ่านบรรยากาศที่เคยจอแจก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบลงในชั่วอึดใจ
   
           “ท่านรองแม่ทัพเซียว พวกเรามีเรื่องต้องถามท่าน” เป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้ทำหน้าที่ดูแลท้องพระคลังกล่าว

           “ใต้เท้าเซิงเส้าอู่ เชิญถาม” เซียวถิงฟงตอบรับ   

           “ท่านได้มอบกิ่งเหมยให้แก่องค์หญิงหย่าเหลียนใช่รึไม่” ใต้เท้าเซิงเส้าอู่กล่าวคาดคั้น
   
           เซียวถิงฟงฟังแล้วก็ต้องนิ่งอึ้งก่อนตวัดสายตาไปยังศาลาด้านหน้า สตรีที่นั่งอยู่ด้านในกลับมีเรือนผมที่ประดับไว้ด้วยดอกเหมยสีแดงโดดเด่น “ข้า...”
   
           “ท่านจะว่าอย่างไร นี่เกี่ยวพันถึงพระเกียรติขององค์หญิง มิใช่เรื่องล้อเล่นนะท่าน”
ครานี้สายตาของเซียวถิงฟงกลับย้ายไปที่คนอีกผู้หนึ่งที่ถูกขุนนางผู้ใหญ่นั่งประกบอยู่กลางศาลา องค์รัชทายาทเพียงสบตาเขาชั่วครู่ก็กะพริบตาช้าๆด้วยสีหน้านิ่งเรียบให้คราหนึ่ง
   
           “ท่านรองแม่ทัพได้โปรดให้ความกระจ่างด้วย”

           ใต้เท้าเซิงเส้าอู่เร่งเร้า เซียวถิงฟงจึงหันไปมององค์หญิงหย่าเหลียนที่หลุบตาลงต่ำอย่างรู้สึกผิดอีกครั้ง “ข้าไม่มีอะไรจะกล่าว” คิดกล่าวแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว รังแต่จะทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม

           ทว่าคำตอบดังกล่าวกลับทำให้ใครอีกคนต้องตกตะลึงในใจ...ไหนเจ้าบอกว่ามิได้มอบให้ใคร ต้าเซียนมองคนข้างกายนิ่ง จากนั้นจึงย้ายสายตาไปที่องค์หญิงหย่าเหลียน ความจริงเซียวถิงฟงตั้งใจจะมอบมันให้ตนมิใช่หรือ รึว่าตนเข้าใจผิดไป ร่างน้อยได้แต่จ้องดอกเหมยอย่างเหม่อลอย

           “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะถือว่าท่านยอมรับ” ใต้เท้าเซิงเส้าอู่ยิ้มกล่าวจบเรื่องในที่สุด ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเสียงติฉินนินทากระจายไปทั่ว

           ต้าเซียนรับฟังแล้วพลันรู้สึกปวดหัว มองไปทางใดก็เห็นแต่ผู้คนกระซิบกระซาบ ดวงตาฉายแววประสงค์ร้าย ดูว่าโลกมนุษย์ที่ตนมิได้รู้จักมาพันกว่าปีกลับทำให้มหาเทพอย่างเขารู้สึกกลัวขึ้นมาในที่สุด นึกอยากออกจากความวุ่นวายนี้ สองเท้าจึงค่อยๆถอยออกจากศาลาไปเงียบๆ แต่แล้วเสียงหนึ่งกลับขวางความตั้งใจไว้
   
           “ต้าเซียน จะรีบกลับไปไย”

           เสียงทรงพลังที่ดังขึ้นนั้น ทำให้คนในงานต้องเงียบกริบแล้วพากันจับจ้องที่เจ้าของเสียง ชายผู้มีดวงหน้าคมคาย แลดวงตาดั่งพญาอินทรีได้ก้าวมาที่กลางลานกว้างแล้ว

           เซียวถิงฟงถึงกับนิ่งอึ้งเป็นครั้งที่สอง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องเจอจอมมารผู้นี้อีก ด้านองค์รัชทายาทเองก็ถึงกับชะงักค้างในระหว่างบทสนทนาอันเคร่งเครียดกับเหล่าขุนนาง

           “องค์ชาย องค์ชายหย่าเซิง ทรงเสด็จมาอยู่ที่นี่น่ะเอง กระหม่อมตามหาแทบแย่” ขันทีน้อยตนหนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาพลางกล่าวรัวเร็วแทบมิได้หายใจ

           “ข้าเห็นงานนี้น่าสนุกจึงคิดเข้าร่วมด้วย” เฟยหลงตอบแต่มิได้มองหน้าขันที เพราะคนที่เขาอยากมองมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

           “กระหม่อมต้องขออภัยที่ทำหน้าที่บกพร่อง มิได้ต้อนรับองค์ชายเป็นอย่างดี แต่ที่ทรงตรัสมาคือพระองค์ต้องการร่วมเป็นทูตเสาะหาดอกไม้กระนั้นหรือ” ไต้เท้าเซิงเส้าอู่กล่าวถามอย่างสงสัย นี่อยู่นอกเหนือแผนการไปไกลแล้ว

           “ข้าได้มอบดอกบัวแก่สตรีนางหนึ่ง” เฟยหลงตอบ

           บังเกิดเป็นเสียงฮือฮาของเหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อและเหล่าคุณหนูทั้งหลาย ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ดอกบัวในมือของสตรีในชุดสีเหลืองนวล ไม่นานนักเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขึ้น

           ต้าเซียนเหลียวมองไปรอบๆบรรยากาศน่าอัดอัด ก่อนสบสายตาสุดท้ายที่ดวงตาพยัคฆ์ พลันรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองจึงตัดสินใจทะยานตัวขึ้นฟ้าไป

           ด้านบัณฑิตจิ้นซื่อเห็นคนลอยตัวเหนือฟากฟ้าราวกับนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ก็ส่งเสียงโห่ร้องชื่นชมเป็นการใหญ่ เฟยหลงยิ้มกล่าวอำลาเบาๆ “ต้าเซียน แล้วพบกัน”

           “เจ้าใช่องค์ชายซวนหยวนหย่าเซิงจริงรึ”

           เฟยหลงยิ้มอย่างอารมณ์ดี “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน” 

           “จอมมารเฟยหลง ข้ารู้ว่าเป็นเจ้าแน่นอน” เซียวถิงฟงกระซิบตอบก่อนจะทะยานตัวออกจากลานกว้างไปท่ามกลางสายตานับร้อยคู่


*****************************************************


           เซียวถิงฟงติดตามมาจนถึงเจดีย์ต้าเอี้ยนก็พบร่างน้อยที่ยืนทอดเงาตัวเองลงบนศิลาแผ่นหนึ่ง เขาทะยานตัวลงมาหยุดที่ด้านหลัง ดูว่าต้าเซียนเองก็รับรู้การมาของตน แต่กระนั้นริมฝีปากน้อยก็มิได้เอ่ยอะไร สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจทำลายความเงียบ

           “เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าไหม”

           “.......” คนทั้งไม่ตอบทั้งไม่ขยับเขยื้อนราวกับก้อนหินก้อนหนึ่ง

           “เจ้าโกรธข้า ต้าเซียน”

           “.......”

           “เจ้าจะต่อว่าข้าก็ได้ แต่ช่วยพูดอะไรบ้างเถอะ ข้าขอร้อง”

           “......” คราครั้งนี้ต้าเซียนก็ยังคงมิได้พูดอะไร แม้เซียวถิงฟงจะขอร้องก็ตามที

           ในใจเจ้าไม่เคยมีข้าบ้างเลยหรือ หัวใจพลันเจ็บปวด

           “ข้าเป็นอะไรสำหรับเจ้ากันแน่” ทว่าในที่สุดเซียวถิงฟงก็ตวาดลั่น สูญเสียการควบคุมตัวเองโดยสิ้นเชิง เขาทนรับมิได้หากต้าเซียนไม่ไยดีเขา

           “.....” ต้าเซียนไม่ตอบ ดวงตาเฉยเมยเอาแต่เสมองศิลาใต้เจดีย์

           เซียวถิงฟงบีบกระชับแขนเรียว ปรารถนาให้ร่างน้อยรู้ว่าใจเขาเจ็บปวด อีกทั้งยังภาวนาเป็นร้อยๆครั้ง ขอเพียงต้าเซียนมองมา...สักครั้ง แต่กระนั้นใบหน้าน้อยๆนั้นก็ไม่แยแส ราวกับมีมีดกรีดลงบนหัวใจ

           สำหรับเจ้าแล้วข้าไม่มีค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ กระแสพลังเซียนถูกปละปล่อยออกจากฝ่ามือโดยมิรู้ตัว

           ต้าเซียนพลันรู้สึกเจ็บที่แขนแต่ก็ยังคงแสร้งทำสีหน้าเฉยเมย หากแต่ชั่ววูบหนึ่งเซียวถิงฟงกลับสังเกตเห็นความเจ็บปวดที่พาดผ่านนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน บังเกิดเป็นความละอายใจ ยอมปละปล่อยมือออกจากแขนเรียวในที่สุด

           “ข้าขอโทษ...กับทุกๆเรื่อง” เขากล่าวน้ำเสียงเจ็บปวด มิกล้ามองหน้าร่างน้อยอีก ทั้งเริ่มถอยออกมาช้าๆอย่างผิดหวัง

           “ข้า” จู่ๆน้ำเสียงสั่นของร่างน้อยพลันเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้ทำไมต้องมาที่นี่ ข้าแค่เห็นมันแล้วก็มิอาจไปได้”

           สิ้นเสียงเซียวถิงฟงก็หยุดฝีเท้าลงทันที เขาเหลือบมองศิลาอย่างสงสัย เห็นแท่นศิลาสลักรายชื่อของบัณฑิตจิ้นซื่อมากมาย จากนั้นจึงสะดุดที่รายชื่อคนผู้หนึ่งซึ่งถูกแกะสลักด้วยความคึกคะนอง

           บุตรของตาแก่เซียวถิงหลี่ เซียวถิงฟง...

           ข้อความนี้เป็นตัวเขาที่แกะสลักไว้ครั้งพึ่งได้ตำแหน่งบัณฑิตจิ้นซื่อ เขาจำได้ดี หัวใจพลันพองโตอย่างมีความหวัง เขากระชากร่างน้อยเข้ากอดพลางบดเบียดริมฝีปากเร่าร้อน

           ไร้ซึ่งเสียงของสายลม หลงเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ต้าเซียนตกตะลึงวูบ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปยังขั้วหัวใจ เปลือกตาน้อยพลันหลับลง ร่างกายค่อยๆอ่อนระทวยลง

           เซียวถิงฟงพยุงกอดต้าเซียนไว้อย่างแนบแน่น เขาตักตวงชิมรสริมฝีปากหวานอย่างเต็มที่ แต่แล้วร่างในอ้อมกอดกลับค่อยๆเครียดขึง จนเขาต้องจำใจถอนจุมพิตออกมาในที่สุด

           เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ ต้าเซียนที่หน้าตาตื่นก็หอบหายใจยกใหญ่

           “เจ้าบื้อ ใครใช้ให้เจ้ากลั้นหายใจกันเล่า” เซียวถิงฟงตำหนิน้อยๆแต่มุมปากกลับยิ้ม

           ร่างน้อยถึงกับค้อนสายตาขวับ “นี่เป็นความผิดเจ้า ไยมาโทษข้า เห็นๆกันอยู่ว่าเจ้าทรมานข้าชัดๆ”

           เซียวถิงฟงยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนแสร้งประนีประนอม “ก็ได้ๆ ความผิดข้า เอาอย่างนี้ล่ะกันคราวหน้าข้าจะเตือนเจ้าก่อนดีไหม”

           ฟังแล้วต้าเซียนก็หน้าแตกตื่น “ยังมีคราวหน้า? ถึงเวลานั้นข้าจะลงไปนอนแดดิ้นราวกับปลาขาดน้ำรึไม่ หากใช่ข้าว่าลืมๆมันไปเถอะ”

           “.......” เซียวถิงฟงถึงกับเบิกตาโตก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะขึ้นดัง ฟังดูแล้วพาให้ขนลุกขนชันอย่างไรบอกไม่ถูก ต้าเซียนคิด

_____________________________________

* เชียนรื่อหง ดอกบานมิรู้โรย

* จิ้นซื่อ เป็นตำแหน่งของบัณฑิตที่ผ่านการสอบเตี่ยนซื่อหรือการสอบในพระราชวัง


**********************************************

เมื่อวานเเอบมีลืมเเจ้งความหมายของจิ้นซื่อด้วย เเฮะ เเฮะ ขอบคุณที่ติดตามจ้า TBC.  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 15.1 คำว่ารัก 01/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 01-11-2015 17:31:00
บทที่ 15.1 คำว่ารัก


           จอกสุราใบหนึ่งถูกยื่นออกมาตรงหน้า องค์รัชทายาทหนุ่มจ้องมองอย่างคุ้นตาก่อนยื่นมือรับมันมาจากถิงถิง เห็นอักษรคำว่า ‘เซียว’ ถูกสลักไว้บนตัวจอกอย่างพิถีพิถันแต่ก็มิได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด กระทั่งพลิกจอกสุราหมุนขึ้นคราหนึ่งก็พลันพบเห็นแล้ว

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ซวนหยวนหมิงไท่วางจอกสุราในมือพลางแค่นเสียงหัวเราะใหญ่

           “องค์รัชทายาท ท่านหัวเราะกระไร” ถิงถิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวถามอย่างสงสัย

           “ข้าอยากจะปรบมือให้กับความพยายามของนางจริงๆ หากมิใช่เพราะข้าเคยอ่านตำราของนอกด่าน ข้าคงมิรู้ว่ามันคือผงเหล็กที่ถูกใช้แทนน้ำหมึก เดาว่าที่ถ้วยของนางก็คงจะมีสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน” ปากกล่าวชื่นชมทว่าน้ำเสียงกลับเปี่ยมไปด้วยความประชด หากสังเกตดูดีๆจะเห็นได้ว่าที่ใต้จอกสุรานั้นถูกแต่งแต้มด้วยหมึกสีดำ เเม้จะเป็นเพียงลวดลายต้นไผ่ธรรมดาดาษดื่น แต่กระนั้นมันกลับทำให้จอกสุรานี้ผิดแผกแปลกแยกออกไป

           ถิงถิงถึงกับเลิกตาโต กล่าวอย่างดีใจ “ถ้าเช่นนั้นเราก็มีหลักฐานยืนยันแก่ขุนนางทั้งหลายแล้วว่าองค์หญิงทรงคิดไม่ซื่อ ทีนี้นายน้อยเซียวก็จะรอดแล้ว" ทว่าเมื่อกล่าวจบองค์รัชทายาทกลับส่ายหน้า

           “ผิดแล้ว แม้ข้าจะกราบทูลข้อเท็จจริงให้เสด็จพ่อทรงทราบ ก็มิได้หมายความว่าเซียวถิงฟงจะรอดตัว เพราะถึงอย่างไรกิ่งเหมยนั่นก็เป็นตัวผูกมัดเขาไว้ไม่ให้ดิ้นหลุด” สายตาของซวนหยวนหมิงไท่หม่นแสงไปวูบหนึ่ง

           ถิงถิงเองก็เซื่องซึมลง กล่าวถึงต้าเซียนด้วยน้ำเสียงอ่อย “ถึงข้าจะโกรธที่เขาเคยทำร้ายข้า แต่ข้าก็รู้ว่านายน้อยชอบเขา ข้าไม่อยากให้คนทั้งสองต้องเสียใจ”

           ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร ยังมีข้าอยู่ ข้าจะช่วยพวกเขาอย่างเต็มที่เอง” แม้จะรู้ว่าเรื่องยุ่งยากแค่ไหน แต่หากตอนนี้เขายอมอ่อนข้อให้องค์หญิงหย่าเหลียน ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดคงต้องสูญเปล่าในพริบตา ฉับพลันนั้นเขาตะโกน “เตรียมพู่กันกับแท่นหมึกให้ข้า”

           “พะย่ะค่ะ” ขันทีที่ยืนไกลออกไปได้ยินแล้วก็รีบกระวีกระวาด นำมาถวาย ทั้งยังฝนน้ำหมึกให้โดยเร็ว

           รัชทายาทหนุ่มล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากอกเสื้อ หยิบพู่กันขึ้นจุ่มน้ำหมึกเล็กน้อย จากนั้นบรรจงเขียนข้อความลงไปบนผ้า แล้วนำมาห่อจอกสุราไว้ยื่นให้ขันทีถวายงาน

           “จงนำไปมอบให้องค์หญิงหย่าเหลียน แจ้งแก่นางว่าข้าพระราชทานให้” เขากล่าวน้ำเสียงเรียบก่อนลุกออกจากศาลาไป
ระหว่างนั้นก็เดินสวนผ่านบุคคลผู้หนึ่ง สายตาของทั้งสองต่างมองเพียงแวบหนึ่งก็เลยผ่านไป คล้ายไม่มีอันใดต่อกันเป็นพิเศษ ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับลอบประเมินมอง

           เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคลางแคลงสงสัยว่าบุรุษผู้นี้มิใช่องค์ชายซวนหยวนหย่าเซิงตัวจริง ดูท่าจะมีเพียงพวกเขาที่ทราบความจริงข้อนี้ คิดถึงตรงนี้ จู่ๆก็มีมือคู่หนึ่งยื่นกำที่ชายเสื้อเขาไว้แน่น ครั้นหันไปมองก็เห็นเป็นถิงถิงที่ตัวสั่นเทิ้ม จึงกระชับกุมมือนางเป็นการปลอบ

           เขาพาถิงถิงกลับไปที่รถม้า ทว่ากำลังลัดเลาะไปถึงกลางทางชายป่า ก็พลันได้ยินเสียงต้นไม้ไหวน้อยๆ พวกเขาต่างหยุดนิ่งเหลียวมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ทันใดนั้นก็ปรากฏเงาดำถลาเข้าจู่โจมเข้าใส่ ถิงถิงที่หูตาปราดเปรียวพลางกระโดดเข้าประจันหน้า เผยกรงเล็บยาวสีขาวสะอาดตาแล้วข่วนใส่คนร้ายอย่างไม่ปราณี

           “อ๊ากกก โอ๊ย โอ๊ย”

           เสียงทุ้มแหลมร้องโอดโอยอย่างคุ้นหู ซวนหยวนหมิงไท่ฉุกคิดขึ้นได้ก็รีบเข้าขวางถิงถิงไว้ ทว่ากว่านางจะหยุดมือ เงาร่างนั้นก็แทบน่วม เขาจึงได้แต่มองชายในชุดเขียวคู้กายกอดตัวเอง เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ยด้วยรอยเล็บข่วนเป็นทางยาว ร่างยังสั่นเทิ้มดูน่าสงสาร

           “ไป๋เซ่อ” เขาร้องเรียกอย่างมิรู้จะเห็นใจดีหรือขำดี ถิงถิงรู้ตัวปั๊บก็รีบกระโดดถอยปราดไปไกล แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาจึงก้มลงพลิกร่างที่นอนขดตัวกลมขึ้น จังหวะนั้นไป๋เซ่อก็โผกอดเขาตรงหน้าแน่น

           “โฮ โฮ” ไป๋เซ่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอดภัยก็ปล่อยโฮดังลั่น

           “ไฉนจึงโผล่มา มิให้ซุ่มให้เสียงกันเล่า” ซวนหยวนหมิงไท่ตบหลังเบาๆ เป็นการปลอบ

           ไป๋เซ่อที่ส่งเสียงสะอึกสะอื้นไม่หยุดก็ตอบ “ก็ ก็ข้าเเค่คิดจะแกล้งเจ้าเท่านั้นเอง ฮึกๆ เจ็บจังเลย โฮ”

           นี่ล่ะนะให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว องค์รัชทายาทหนุ่มพลันยิ้มขึ้นขบขัน สุดท้ายตัวเขาก็ต้องกอดปลอบไป๋เซ่ออยู่นานจนอาภรณ์แทบจะชุ่มไปด้วยน้ำตา จึงจะสามารถกลับไปยังบริเวณหน้าวัดฉือเอินได้สำเร็จ และที่นั่นก็มีรถม้าพร้อมด้วยเหล่าองครักษ์ห้าหกนายรอคอยอยู่นานแล้ว

           “เอ่อ เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์รึพะย่ะค่ะ” เห็นสภาพไม่สู้ดีของผู้เป็นนาย หัวหน้าองครักษ์เสิ่นก็เรียบๆเคียงๆถาม

           “ไม่มี ไม่มีอันใด” ซวนหยวนหมิงไท่เค้นเสียงตอบพลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผากอย่างยากลำบาก นี่เป็นเพราะไป๋เซ่อกับถิงถิงเกาะหนึบที่แขนเสื้อเขาคนล่ะฝั่งซ้ายขวา ตลอดทางจึงทำให้เขาต้องเดินในสภาพทุลักทุเล หมดสภาพรัชทายาทผู้สง่างามในที่สุด ระหว่างนี้ก็ลอบก่นด่าสงสัย มิเข้าใจว่าถูกเลี้ยงดูกันมาอย่างไร นิสัยจึงได้มิธรรมดาเช่นนี้ ว่าแล้วเขาก็ถามองครักษ์เสิ่นอย่างแปลกใจ “ว่าแต่สองคนนั้นล่ะ”

           “ยังไม่มาเลยพะย่ะค่ะ”

           กล่าวถึงยังมิทันไรก็มีเงาร่างค่อยๆโผล่พ้นออกมาจากชายป่าทางด้านหนึ่ง บุรุษสองคนเดินจูงมือยิ้มแย้มกันอย่างสบายใจ ดูเป็นที่น่าหมั่นไส้ "พวกเจ้าเห็นข้าเป็นพี่เลี้ยงเด็กรึกระไร" องค์รัชทายาทกล่าวค่อนขอด ทั้งยังจ้องสหายสนิทตาเขม็ง
“ก็เหมาะกับพระองค์ดีอยู่” เซียวถิงฟงทำหน้าเหรอหรา เกาศีรษะแก้เก้อ มือหนึ่งยังคงจับไว้ที่มือเรียวเล็กคล้ายลืมเลือนว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย

           ซวนหยวนหมิงไท่เห็นแล้วก็รู้สึกเบาใจ ดูก่อนหน้านี้ทั้งคู่ยังเข้าหน้ามิติด แต่จบท้ายแบบนี้ก็นับว่าดีเเล้ว


**************************************************


           รถม้าขับเคลื่อนออกจากวัดฉือเอินเข้าสู่ถนนหลักของเมืองหลวงฉางอันอีกครั้ง ถิงถิงและไป๋เซ่อนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้า เหลือเพียงคนทั้งสามที่นั่งอยู่ด้านใน

           ไม่รู้ว่าคืนนี้เกิดอาเพศอะไร อากาศภายนอกที่ค่อนข้างจะเย็นสบายกลับมิได้เผื่อแผ่มาถึงภายในรถม้า ซวนหยวนหมิงไท่ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เมื่อคนหนึ่งเอาแต่เพ่งมองเขาตาไม่กะพริบ ส่วนด้านคนหนึ่งกลับมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาหวานชื่นสลับกับมองเขาอย่างขวางหูขวางตา

           บังเกิดเป็นความกระอักกระอ่วนจึงตัดสินใจกล่าวถาม “ต้าเซียน ท่านมีเรื่องจะพูดกับข้าใช่รึไม่”

            ต้าเซียนเงียบไปชั่วครู่ก็ทำหน้าจริงจัง “ซวนหยวนหมิงไท่ ตอบข้าที เวลาเจ้าจุมพิตใครสักคน เจ้าใช่หายใจหรือไม่”

           “........” ไม่อยากจะเชื่อ นี่เป็นคำถามที่ออกมาจากปากมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ เขาแทบอยากจะถลนตาออกมานอกเบ้า พลางหันไปจ้องเซียวถิงฟงที่นั่งเอียงอายอยู่แทน “เห็นทีว่า ท่านควรถามเขามากกว่า”

           “ไม่เอา เขาจะแกล้งข้า ข้ารู้” ต้าเซียนตอบปฏิเสธพลางดึงดันจะเอาคำตอบ

           เขาจึงได้แต่กระแอมไอกล่าวเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ ข้าว่าเปลี่ยนเรื่องดีกว่า ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าซวนหยวนหย่าเซิงตัวจริงอยู่ที่ไหนกันแน่”

           ต้าเซียนเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้น “อยู่ในร่างของเฟยหลง เขากลืนกินดวงวิญญาณของคนผู้นั้นแล้วสวมรอยเป็นเจ้าของร่าง แต่วางใจได้เขายังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงแค่เฟยหลงคืนร่างให้ เขาก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง"

           “เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า” ซวนหยวนหมิงไท่ตั้งประเด็นกล่าว แต่กลับไม่มีใครตอบ เขาจึงเงียบไป แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้วก็ทราบคำตอบโดยไม่ต้องขบคิดวุ่นวาย เพราะคำตอบนั้นอยู่ข้างๆตัวเขาแล้ว...ต้าเซียน

           “ว่าแต่วันนี้ข้าพบร่องรอยปีศาจด้วย พวกท่านควรระวังตัวไว้” ต้าเซียนเสมือนพึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากขึ้น พอดีกับที่ไป๋เซ่อโผล่หน้าเข้ามาบอกว่าตนเองคลาดกับกลิ่นอายจิ้งจอกไปอย่างฉิวเฉียด

           ไม่นานนักรถม้าก็จอดลงตรงหน้าจวนของตระกูลเซียว ซวนหยวนหมิงไท่โบกมืออำลาคราหนึ่งก็จากไป รอจนรถม้าลับหายไป ต้าเซียนก็หมุนตัวเตรียมเข้าจวน แต่แล้วสองมืออบอุ่นกลับฉวยเข้ากอดตนไว้
 
           “เดี๋ยวสิ ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าคิดอย่างไรกับข้ากันเเน่” เซียวถิงฟงกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ หวังจะได้ยินคำหวานๆออกจากริมฝีปากร่างน้อยอันเป็นที่รัก ทว่า...

           “ข้าก็ไม่เข้าใจเจ้าเช่นกัน” ต้าเซียนตอบหน้าตาย

           เซียวถิงฟงฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้าเข้าจังๆ ริมฝีปากที่ยิ้มกระตุกไม่หยุด

           ครั้นเห็นชายหนุ่มยังคงยิ้มค้างก็กล่าวเสริมอย่างฉะฉาน “เจ้าจะกอดข้าอีกนานไหม ข้าเองก็ยืนได้นี่”

           หากเป็นไปได้เขาแทบอยากจะดีดหน้าผากน้อยๆของคนตรงหน้าสักทีสองที “ต้าเซียน เจ้าฟังข้าให้ดีนะ”

           “อื้อ” ต้าเซียนตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง เซียวถิงฟงมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ก่อนเอ่ยถ้อยคำอ่อนโยน

           “ข้ารักเจ้า” 

           จู่ๆหัวใจก็พลันเต้นแรงเร็วไม่หยุด ต้าเซียนถึงกับนิ่งอึ้งไป ในดวงตาสะท้อนภาพชายหนุ่มที่จ้องมองตนเองอย่างลึกล้ำ ราวกับว่าหัวใจกำลังถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น

           เมื่อเห็นร่างน้อยไม่ยอมพูดอะไร เซียวถิงฟงก็ได้แต่ถามต่อด้วยสายตาที่อ้อนวอน “ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน ว่าเจ้ารู้สึกกับข้าเช่นไร”     

           ตัวเขาอย่างนั้นหรือ ต้าเซียนครุ่นคิด คำสามคำที่ร่างสูงกล่าวนั้น มิใช่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรต่างหาก อีกทั้งตัวเขาเป็นเพียงแค่ก้อนหิน ไม่มีทางมีความรู้สึกรักชอบแบบพวกมนุษย์หรอก

           “ถิงฟง ความจริงแล้วข้าเป็นเพียงก้อนหิน มิมีทางรู้หรอกว่ารักใครเป็นเช่นไร” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงเบา

           เซียวถิงฟงรับฟังเเล้วถึงกับงงงันวูบ ก้อนหินอะไรกัน “เจ้ามิใช่ก้อนหินเสียหน่อย ข้ารู้” เขาเถียง

           “แต่ข้าพูดความจริงนะ”

           “หากเจ้าเป็นก้อนหินจริง เจ้าคงไม่รู้สึกเช่นนี้หรอก”

           “รู้สึกเเบบไหนกัน” ต้าเซียนถาม ก่อนแลเห็นเเววตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย

           “คราวนี้เจ้าก็อย่าลืมหายใจอีกล่ะ” เซียวถิงฟงยกยิ้มกล่าวเตือนไม่รอช้าเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ทันที

           เป็นอีกครั้งที่ต้าเซียนต้องตื่นตะลึง ริมฝีปากถูกช่วงชิม จุมพิตครานี้มิได้เร่าร้อนรุนแรงอย่างคราก่อน หากแต่มันเป็นจุมพิตที่อ่อนโยน เปลือกตาบางค่อยๆปิดลง ครั้นเมื่อลองหายใจอย่างที่ชายหนุ่มได้บอก ไม่นานนักสมองก็พลันเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า

           เซียวถิงฟงโน้มร่างอีกฝ่ายให้ซบลงที่อกกว้าง จุมพิตอยู่เนิ่นนานก็ค่อยๆถอนริมฝีปากออกกระซิบ “เจ้ามิใช่ก้อนหิน ต้าเซียน” เขาระบายยิ้มแล้วเกลี่ยปอยผมที่ตกลงคลอเคลียใบหน้านวลอย่างเบามือ “เจ้ามีความรู้สึก หากยังคงสงสัยก็ลองถามตัวเจ้าดู เจ้าใช่รู้สึกถึงหัวใจที่ถูกเติมเต็มรึไม่ รู้สึกอบอุ่นในยามที่ถูกกอด รู้สึกอยากพบหน้าในยามที่มิได้พบ รู้สึกห่วงใยแต่เพียงคนผู้นั้นแล้ว เช่นนี้คือคำว่ารัก ต้าเซียน...เจ้ารักข้ารึเปล่า”
 
           “......”

           ความเงียบปกคลุมจนทำให้ใจของเซียวถิงฟงเย็นเฉียบลง เขามองใบหน้าน้อยที่ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกอะไร ก็รู้สึกราวกับกลืนก้อนสะอึกลงคอ เขายิ้มน้อยๆอย่างขมขื่นก่อนจะลดมือที่ใบหน้าน้อยลง

           “รัก” วินาทีที่กล่าวคำนี้ออกมา ต้าเซียนรู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อย ความยินดีจุกล้นปรี่ในอก เซียวถิงฟงเป็นคนบอกเขา เขามิใช่ก้อนหิน มิใช่ก้อนหินอีกต่อไป เพราะเขารักเป็น

           “จะ เจ้าบอกว่ารักข้า” ร่างสูงตะกุกตะกักพลางคิดว่าตนมิได้หูฝาดไปใช่ไหม รอยยิ้มที่ขื่นขมพลันแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มร่า เขาสวมกอดต้าเซียนไว้แนบแน่น คล้ายว่าหากปล่อยให้หลุดมือไป จันทราดวงนี้จะไม่มีวันกลับมาหาเขาอีก “ข้ารักเจ้า ต้าเซียน” พูดจบก็โน้มใบหน้าเข้าหาร่างน้อยอีกครั้ง

           ใบหน้าต้าเซียนถึงกับร้อนผ่าว รู้สึกราวกับหัวใจในร่างกำลังเต้นผสานเป็นจังหวะเดียวกันกับชายหนุ่ม หากแต่...

           “ว๊ากกก” เสียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกลับดังขึ้นขัดจังหวะ

           เซียวถิงฟงชะงักตัวขมวดคิ้วมุ่น เฮอะ คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเเท้ๆ ไม่ทันไรร่างในอ้อมกอดก็ผลักตัวเขาออก แล้ววิ่งเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว เขาทันเห็นเพียงเส้นผมที่ปลิวสยาย รวมถึงใบหูที่แดงก่ำเท่านั้น

           “อวี่จงมาได้ไม่ทันไรก็ร้องเอะอะเชียว” เขาแสร้งว่ากล่าวกลบเกลื่อนก่อนเข้าจวนไปด้วยท่าทีสงบราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

           ครั้นคนจากไปเด็กรับใช้หนุ่มก็โพล่งกล่าวขึ้นมาบ้าง “ใครจะไปคิดว่าไม่ทันไร ข้าก็ต้องมาเห็นภาพบัดสีบัดเถลิงเข้าอีกแล้ว สวรรค์ นี่มันหน้าประตูจวนชัดๆ”

           ดูว่าคงจะมีเเต่จันทราในคืนนี้ที่รับฟังอวี่จงเท่านั้นกระมัง


**************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 15.2 คำว่ารัก 01/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 01-11-2015 17:39:35
บทที่ 15.2 คำว่ารัก


           บนโต๊ะกลมสีแดงตัวหนึ่งวางไว้ด้วยผ้าแพรสีขาวที่ห่อหุ้มด้วยของชิ้นเล็ก สองมือบอบบางค่อยๆคลายขมวดปมของผ้าออก กระทั่งเห็นสิ่งที่อยู่ภายในเจ้าของดวงตาหวานก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ นางหยิบจอกสุราที่มีลวดลายต้นไผ่ ทั้งยังสลักไว้ด้วยคำว่า ‘เซียว’ ขึ้นดู

           ไม่ผิดแน่ นี่เป็นจอกสุราที่ถูกจัดทำขึ้นพิเศษเพื่อใช้ในงานเลี้ยงที่อุทยานชวีเจียง แต่มิใช่ว่าอีกาคาบไปแล้วหรือ ไฉนมันจึงตกอยู่ในมือเขา

           คิดหาเหตุผลอยู่สักพักสายตาของนางก็สะดุดกับบางสิ่ง ที่มุมหนึ่งของผืนผ้าซึ่งปักลายดอกเบญจมาศกลับมีรอยน้ำหมึกสีดำปรากฏอยู่จางๆ นางหยิบถ้วยออกแล้วอ่านข้อความบนผืนผ้า

           พึงเติมสุราแต่มิอาจลิ้มรส เฉกเช่นพึงได้ตัวหาได้ใจไม่

           “กรี๊ด” นางถึงกับกรีดร้องอย่างคับแค้น ไยต้องเหยียบย่ำจิตใจนางด้วย สองมือดึงทึ้งผ้าแพรนั้นอย่างรุนแรงดั่งคนเสียสติ
           
           จวบจนผ้าแพรเกิดรอยรุ่ยแล้วถูกแยกออกเป็นสองส่วน นางจึงหยุดการกระทำนั้นลง เสียงหอบหายใจสะท้อนขึ้นลงอย่างยากที่จะระงับโทสะ สายตาก็ยังคงจับจ้องมองที่ผ้าแพรนั้นอย่างพยาบาท จนกระทั่งสังเกตเห็นรองเท้าของคนผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้อง

           “เสด็จพี่หย่าเซิง” หย่าเหลียนเรียกชื่อพี่ชายแท้ๆ ด้วยน้ำเสียงเว้าวอน นางคลานเข้าไปกอดขาพี่ชายไว้ ก่อนมองเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

           “ข้ามิใช่พี่เจ้า” น้ำเสียงทรงพลังกล่าวขึ้น

           “เสด็จพี่พูดกระไรกัน” หย่าเหลียนกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

           “ข้ามีส่วนใดที่เหมือนพี่ชายเจ้ากัน” เฟยหลงตอบพลางมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชากึ่งสมเพช

           หย่าเหลียนจ้องมองพี่ชายอยู่ครู่หนึ่งก็พลันรู้สึกถึงบรรยากาศกดดันที่ปกคลุมทั่วห้องอย่างรวดเร็ว บางสิ่งบางอย่างเริ่มผิดแผกแปลกไป ไม่...นางมิเคยเห็นคนผู้นี้ นางผงะถอยหลังพร้อมผละตัวออกจากผู้ที่ตนคิดว่าเป็นพี่ชาย

           “เจ้าเป็นใคร เข้ามาได้อย่างไร แม่นม นางกำนัล คนร้าย” นางตะโกนร้องเรียกเหล่านางกำนัลทั้งหลาย ทว่ากลับไร้วี่แววเสียงจากคนภายนอกโดยสิ้นเชิง

           เฟยหลงเห็นท่าทีดังกล่าวก็ต้องนึกรำคาญใจ เขาเดินผ่านตัวนางไปโดยไม่ใคร่สนใจว่านางจะร่ำร้องแค่ไหน เป็นเหตุให้ทุกอย่างเปิดโล่งสู่สายตาของนาง

           ประตูทางเข้าถูกเปิดออก ลมพัดผ่านเข้ามาเป็นระลอก ที่พื้นหน้าตำหนักปรากฏร่างของนางกำนัลทั้งหลายนอนไม่ได้สติ องค์หญิงหย่าเหลียนถึงกับหน้าซีดเผือด

           “เจ้า...ต้องการอะไร” นางกล่าวถามน้ำเสียงสั่น

           “ข้าหาได้มีธุระกับเจ้า เป็นนางต่างหาก” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยตอบ

           สิ้นคำดังกล่าวก็ปรากฏสตรีในชุดแดงสีเลือด ก้าวออกมาจากในห้องพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกวูบโหวง สายตานางแหลมคม ริมฝีปากสีแดงสดดั่งลูกพลัม นางถึงตาเบิกค้างเมื่อพบเห็นสตรีเช่นเดียวกับในฝัน

           “เจอกันอีกแล้ว เด็กน้อย” สตรีในชุดแดงยิ้มกล่าวพลางก้มตัวลงสัมผัสที่ใบหน้าของหญิงสาวที่ตัวสั่น

           “จะ...เจ้าจะทำอะไรข้า” นางจ้องสตรีตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว

           “ไม่ต้องกลัวไป ข้ามิได้มาทำร้าย แต่มาเพื่อช่วยเจ้าต่างหาก”จิ้งจอกเหม่ยซินจ้องมองไปที่ดวงตาหวาน จวบจนกระทั่งดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลง

           “ช่วยอย่างนั้นหรือ” นางกล่าวถามด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ด้านปีศาจสาวจึงถือโอกาสกระซิบกล่าวอย่างเย้ายวน

           “ใช่ ข้ามาเพื่อช่วยเจ้าให้สมหวังกับรองแม่ทัพเซียวถิงฟงอย่างไรกันเล่า” เมื่อเห็นคนตรงหน้ามีท่าทีเหม่อลอยยิ้มกว้างวาดฝันอนาคต จิ้งจอกเหม่ยซินก็ยิ้มกระย่องหันไปมองที่จอมมารเฟยหลงอย่างภาคภูมิใจ ทว่าสายตาของเฟยหลงมิได้บ่งบอกถึงความวางใจแม้แต่น้อย

           “ไม่ ข้าไม่เชื่อ เจ้าหลอกข้า”

           จู่ๆเสียงของหย่าเหลียนก็ร้องขัดขึ้น จิ้งจอกเหม่ยซินถึงกับเดาะลิ้นอย่างขัดใจ นางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ปรากฎแสงแรงกล้า “เจ้าไม่มีทางสู้เขาได้ หากไม่มีข้า”

           ครานี้องค์หญิงหย่าเหลียนหลุดออกจากมนตร์สะกดแล้ว นางลุกขึ้นชี้หน้าสตรีเสื้อแดง กล่าวด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“ข้ามีอะไรสู้นางมิได้กัน นางเป็นเพียงสตรีชั้นต่ำ” 

           ยังไม่ทันได้กล่าวจบ บรรยากาศแห่งความตายก็พุ่งเข้าปกคลุมร่างของนางอย่างรวดเร็ว จู่ๆลำคอของนางก็ถูกกดบีบ ร่างถูกยกขึ้นสูง ดวงตาเบิกกว้าง ทั่วทั้งร่างรู้สึกร้อนราวกลับถูกไฟลวก นางมิอาจรู้ได้เลยว่าชายผู้นี้ไฉนจึงสามารถเข้ามาทำร้ายนางได้ในชั่วพริบตา

           “ท่านจอมมารเฟยหลง” จิ้งจอกเหม่ยซินตกใจรีบกล่าวปรามไว้

           “อย่าได้บังอาจกล่าววาจาล่วงเกินท่านมหาเทพต่อหน้าข้าเป็นอันขาด” เฟยหลงคำรามเสียงดัง ดวงตาวาวโรจน์ เขาผู้ซึ่งยืนมองเหตุการณ์มาอย่างเงียบๆ ถึงกับเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้ยินคำสบประมาทถึงคนที่ตนรัก ร่างเขาสืบเข้าหาสตรีน่าตายผู้นี้อย่างรวดเร็ว หากจิ้งจอกเหม่ยซินไม่ร้องปรามตนไว้ อีกเพียงแค่นิดเดียวลำคอระหงในมือนี้ก็จะหักลงในทันที

           “ท่ามจอมมาร หากท่านทำเช่นนี้เรื่องก็จะยุ่งยากขึ้น ท่านมหาเทพก็จะไม่ตกหลุมพรางท่าน” ปีศาจสาวพยายามกล่าวอ้อนวอนให้ปละปล่อยเหยื่อ

           จอมมารเฟยหลงขมวดคิ้วแน่นจ้องมองจิ้งจอกเหม่ยซินอย่างใช้ความคิด ไม่นานนักมือที่กำรอบคอมนุษย์นางนั้นไว้จึงหละหลวมขึ้น ร่างปวกเปียกค่อยๆเลื่อนหลุดล้มตัวลง

           “หึ จงรีบจัดการ หากข้ายังได้ยินนางใช้วาจาล่วงเกินท่านมหาเทพอีก เจ้าคงรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร” เฟยหลงกล่าวจบก็สะบัดตัวออกจากห้องไป จิ้งจอกเหม่ยซินมองตามออกไปอย่างเงียบๆ เหงื่อชโลมใบหน้า

           “ทำไมเจ้าต้องช่วยข้า” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น

           “ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า เจ้ามิอาจสู้ท่านผู้นั้นได้ เพราะท่านผู้นั้นสูงส่งยิ่ง สูงส่งเกินกว่าที่เจ้าจะคาดถึง”

           “นะ นางเป็นใคร”

           “คนที่เจ้าเห็นมิใช่สตรี หากแต่เป็นบุรุษ อีกทั้งที่มายังสูงส่งยิ่ง เป็นบุคคลที่อยู่เหนือบุคคลทั้งปวง อยู่เหนือดินแดนทั้งสามพิภพ เป็นประมุขแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้า มหาเทพแห่งพิภพสวรรค์” จิ้งจอกเหม่ยซินตอบด้วยน้ำเสียงที่หดเล็กลง

           “บุรุษ มหาเทพ...มะ ไม่จริง” องค์หญิงหย่าเหลียนอุทาน รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าทั่วทั้งร่าง สิ่งที่นางรับฟังแทบทำให้สติแตกตื่น ทว่าความรู้สึกเกลียดชังกลับยิ่งทวีขึ้นในอกด้วยเช่นกัน เพราะคนที่กุมหัวใจชายที่ตนรักนั้นเป็นบุรุษ และยังเป็นเทพเซียนที่ทั้งสูงส่ง ทั้งบริสุทธิ์...กว่านาง

           จิ้งจอกเหม่ยซินยกยิ้มในใจ นางอ่านใจองค์หญิงผู้นี้ออก และความเกลียดชังนั้นจะทำให้นางลงมือได้ง่ายขึ้น “ที่ข้ากล่าวมาล้วนเป็นความสัตย์ทั้งสิ้น เจ้ามิมีหนทางใดที่จะเอาชนะท่านผู้ซึ่งอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งได้ หากแต่มีเพียงนายข้าและข้าเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้เท่านั้น”

           หย่าเหลียนนิ่งไปคล้ายคิดทบทวน แต่ทว่าไม่นานก็ส่ายศีรษะ น้ำตาหลั่งริน “ไม่ ข้าไม่อยากเป็นเครื่องมือของใคร”
จิ้งจอกเหม่ยซินเริ่มหมดความอดทน “หึ เจ้าคิดว่าตนเองมีทางเลือกด้วยหรือ นั่นผิดแล้ว เจ้าหาทำสิ่งใดได้แม้แต่น้อย จงเลือกเอา จะปล่อยคนที่รักไปโดยที่มิคิดจะทำอันใด หรือจะยอมถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ครอบครองบุรุษที่ตนรัก”

           องค์หญิงหย่าเหลียนได้ฟังแล้วก็กัดทึ้งริมฝีปากของตนเองจนรู้สึกถึงรสปร่าของเลือด “แล้วพวกเจ้าจะได้ประโยขน์อันใด” นางกล่าวอย่างคลางแคลงสงสัย ทำไมพวกเขาต้องช่วยนางด้วย

           “เราเพียงแค่ต้องการตัวท่านมหาเทพเท่านั้น เราจึงต้องหาทางทำลายความสัมพันธ์ระหว่างท่านมหาเทพและเซียวถิงฟง”

           “ขะ ข้า แล้วข้าต้องทำเช่นไร”

           “มิต้องห่วงไป เจ้าเพียงทำจิตให้ว่างซะ จากนั้นข้าจะเป็นคนจัดการเอง”

           ท้ายที่สุดองค์หญิงหย่าเหลียนครุ่นคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยอมหลับตาลง นางปล่อยใจให้ว่างเปล่า โดยหารู้ไม่ว่าคนตรงหน้านางกำลังแสยะยิ้ม ไม่นานทั่วทั้งร่างก็รู้สึกถึงความร้อนเข้าปะทะเข้าที่หน้าอก นางอึดอัดหายใจไม่ออกได้แต่กุมหน้าอกด้วยความเจ็ดปวด ร่างกายเริ่มทรุดตัวนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น จนกระทั่งสติหลุดลอยไป ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบนางหาได้รู้แม้แต่น้อยว่า นางได้ติดกับดักเรียบร้อยแล้ว...กับดักที่มีชื่อว่า ความตาย
 
           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะแหลมดังขึ้น มันเป็นเสียงหัวเราะของจิ้งจอกเหม่ยซิน แต่ตอนนี้นางมิได้อยู่ในร่างของปีศาจจิ้งจอกอีกต่อไป นางเดินไปที่กระจกทองเหลือง มองใบหน้าตนเองอย่างพึงพอใจ ดวงตาที่แหลมคมบัดนี้กลายเป็นดวงตาหวาน ริมฝีปากจิ้มลิ้ม


*********************************************
           

           เช้าแล้วแต่คนยังคงนอนอยู่บนเตียงอุ่นนุ่มสบาย ต้าเซียนที่ยังหลับตาพริ้มก็ขยับเขยื้อนกายภายใต้ผ้านวมหนานุ่มอย่างสุขใจ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกถึงสายตาที่พุ่งดิ่งมาแทนที่จะเป็นแสงอาทิตย์ในยามเช้า เปลือกตาบางค่อยๆขึ้นอย่างแช่มช้าแล้วพลันสบสายตาเข้ากับดวงตาสีดำที่แฝงไปด้วยความขี้เล่น มันใกล้มากจนเห็นได้อย่างชัดเจน ดวงเบิกตาค้างไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่สมองจะเริ่มจับความได้

           “ว๊าก” เขาร้องลั่นก่อนจะผุดลุกกระเถิบถอยหนีไปทางด้านหลัง

           เซียวถิงฟงหัวเราะน้อยๆพลางมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู “เจ้านอนหลับสบายจนตื่นสายนะ”  ครั้นเห็นต้าเซียนที่มองตนขึ้นลงอย่างงุนงงก็กล่าวอย่างอารมณ์ดี “รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด สำรับจะจัดเตรียมเสร็จแล้ว”

           ต้าเซียนฟังแล้วก็ต้องจำใจลงจากเตียง ก้าวเท้าไปยังหีบใส่เสื้อผ้าพลางหยิบขึ้นมาชุดหนึ่งโดยมิได้เลือกดู อาภรณ์ที่ถูกหยิบมาเป็นชุดสีส้มคล้ายแสงแดดยามเย็น เขามองอย่างมิได้สนใจอะไรมาก เมื่อคว้ามาได้ก็รีบใส่อย่างรวดเร็ว เส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกปล่อยยาวสยายจนระพื้น
 
           “ข้าจะทำผมให้เจ้าเอง” จู่ๆเซียวถิงฟงก็ขันอาสา ต้าเซียนเพียงพยักหน้าเมื่อเห็นแววตาเปี่ยมสุขของเขา

           ร่างสูงจัดการถักเปียหลวมๆเข้ากับผมที่ยาวอย่างคล่องแคล่ว ครั้นจัดทรงเสร็จก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นออกจากอกเสื้อ ดอกกุหลาบสีขาวถูกบรรจงปักบนเรือนผมของร่างน้อยอย่างเบามือ

           “เดิมทีข้าตั้งใจจะให้ดอกบัว แต่น่าเสียดายนักที่แถวนี้ดอกบัวถูกทำลายไปหมด หากเป็นบ้านเราที่ลู่หยางคงมีให้เลือกเยอะแยะ” เซียวถิงฟงตอบยิ้มๆ ทำสีหน้าเชิงวาดหวัง

           “ข้า ข้าชอบมาก” ต้าเซียนทำสีหน้าไม่ถูก แต่พอเซียวถิงฟงยิ้มอบอุ่นก็พลันรู้สึกเสมือนใจหลอมละลาย

           “ไปกินข้าวกันเถอะ”

           เซียวถิงฟงยื่นมือให้ ต้าเซียนมองแล้วจึงจับมือใหญ่นั้น ในใจคิดหากเป็นไปได้เขาอยากให้เป็นเช่นนี้ไปตลอด หากวันหนึ่งเขาต้องเปลี่ยนไป แล้วเซียวถิงฟงล่ะจะเป็นเช่นไรเล่า

           ........................

           ..............
           
           ...

           “ท่านมหาเทพ ข้าเห็นว่าท่านควรรีบคืนหัวใจแก่เจ้าของนั้นเสีย” เทพอาวุโสหวางจื้อกล่าว น้ำเสียงมิปกปิดความเป็นห่วงได้แม้แต่น้อย

           “ข้าเห็นด้วยกับท่านหวางจื้อ หากท่านมหาเทพยังคงใช้หัวใจของมนุษย์ ตัวท่านจะหวั่นไหวมิเป็นผลดี หากจอมมารเฟยหลงล่วงรู้ เขาต้องใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างแน่นอน” ท่านอาวุโสเทพเทียนสีกล่าวเสริม

           “แต่...”

           “ดังนั้นท่านควรฟื้นฟูพลังโดยเร็วแล้วคืนหัวใจนั้นซะ ท่านมหาเทพควรที่จะเด็ดเดี่ยวไว้ ทั้งสามพิภพต้องพึ่งท่านแล้ว” เทพอาวุโสเจิ้งผิงรีบกล่าวเตือนไม่เปิดโอกาสให้ท่านมหาเทพกล่าวแย้งอีก แม้รู้ว่าเป็นการใจร้ายไปบ้าง แต่ตอนนี้ความเป็นไปของทั้งสามโลกขึ้นอยู่กับท่านมหาเทพเพียงคนเดียว

           “ข้าจะทำตามที่พวกท่านกล่าว” ต้าเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ

           “ท่านมหาเทพได้โปรดเข้าใจพวกเราด้วย พวกเราต่างเป็นห่วงท่าน ยิ่งท่านใช้หัวใจของมนุษย์มากเท่าใด ตัวท่านจะตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น ได้โปรดฟังคำเตือนของพวกเราทั้งสามเถิด” เสียงเทพอาวุโสหวางจื้อกล่าว

           “ข้า...ข้าจะจำไว้” ต้าเซียนรับคำแต่ภายในใจกลับว้าวุ่นสับสน นี่เป็นบทสนทนาระหว่างเขากับเหล่าเทพอาวุโสทั้งสามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา แม้เขาจะดีใจที่สามารถมีหัวใจ แม้จะเป็นเพียงแค่ครึ่งดวงก็ตามที แต่กระนั้นเหล่าอาวุโสเทพกลับรู้สึกต่างออกไป ซึ่งใช่ว่าเหตุผลของทั้งสามจะไม่มีเหตุผล แต่เป็นเพราะมีเหตุผลเขาจึงต้องรับปาก ทั้งสามพิภพล้วนต้องพึ่งพาเขา เขาท่องในใจอย่างซึมกะทือ ถึงจะเข้าใจแต่ก็เสียใจอยู่ลึกๆเช่นกัน

           “ต้าเซียนเจ้าเหม่ออะไร” 

           ต้าเซียนรู้สึกตัวแล้วจึงหันมามองคนถาม เห็นชายหนุ่มกำลังคีบผักในจานหนึ่งส่งให้เขา “เปล่า ไม่มีกระไร”
 
           “ถ้าเช่นนั้นก็จงกินเยอะๆ ทำไมเจ้าถึงกินได้แต่ผักเท่านั้นนะ” เซียวถิงฟงบ่นน้อยๆ

           เขาได้แต่ยิ้มบางพลางจดจำความรู้สึกรักนี้ไว้ หากถึงเวลาที่เขาต้องคืนหัวใจครึ่งดวงนี้ให้แก่เซียวถิงฟงแล้ว เขายังจะจดจำความรู้สึกนี้ รวมไปถึงความรู้สึกว่ารักชายหนุ่มได้อีกรึเปล่า หากคืนมันไปแล้ว เขาจะเป็นเช่นไร จะกลับไปเป็นเช่นเดิมดั่งคนไร้ความรู้สึกอีกรึไม่ มหาเทพแห่งแดนสวรรค์อย่างเขาก็มิอาจรู้คำตอบ

           หลังจากผ่านช่วงเช้าไป เซียวถิงฟงก็พาเขามายังวังหลวงอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินจับมือของเขาแน่นจนรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็น เพียงแค่ก้าวเข้าสู่วังหลวงทั้งสองก็ตกเป็นเป้าสายตา เสียงกระซิบกระซาบต่างลอยมาตามสายลม แต่ทว่าท่าทีของเซียวถิงฟงกลับมิได้สะทกสะท้าน ซ้ำยังทำเสมือนได้ยินเสียงแมลงหวี่บินอยู่ข้างหู รึอาจเพราะชายหนุ่มหูตึงก็เป็นได้ ต้าเซียนลอบคิดอย่างขบขำ

           จวบจนคนทั้งสองเดินมาถึงหน้าขั้นบันไดของท้องพระโรงฮั่นหยวน ขันทีน้อยเสี่ยวลู่ หรือขันทีประจำพระองค์ขององค์รัชทายาทก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีสำรวมแต่แฝงไปด้วยความรีบร้อน

           “ท่านรองแม่ทัพเซียว องค์รัชทายาทมีรับสั่ง จากวันนี้เป็นต้นไปห้ามท่านเข้าสู่วังหลวงเป็นเวลาสามวัน ข้าน้อยได้ส่งสาสน์ไปยังจวนใต้เท้าเซียวแล้วแต่คิดว่าคงคลาดกัน บัดนี้ฝ่าบาทก็ตรัสพักงานท่าน องค์รัชทายาทจึงเกรงว่าเรื่องจะยุ่งยากเลยสั่งให้ข้าน้อยรีบนำความมากล่าวแก่ท่าน ท่านรองแม่ทัพเซียวรีบกลับจวนเถิด”

           “เสี่ยวลู่เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เลยหรือ ถึงขนาดมีรับสั่งห้ามข้าเข้าวังหลวง”

           “ข้าน้อยยังให้คำตอบแก่ท่านรองแม่ทัพไม่ได้ แต่...” ขันทีน้อยเสี่ยวลู่พูดจบก็มองไปทางต้าเซียน เซียวถิงฟงพอจะคาดเดาได้ว่าเรื่องคงจะมีส่วนพัวพันเข้ากับต้าเซียนไม่มากก็น้อย

           “ข้าเข้าใจแล้ว” เซียวถิงฟงกล่าวกับเสี่ยวลู่ จากนั้นจึงรีบพาต้าเซียนกลับออกจากวังหลวง

           โชคดีที่คนขับรถม้าของตระกูลเซียวยังมิจากไปจึงไม่ต้องรออีก ต้าเซียนคิดในใจ แต่แล้วชายหนุ่มกลับให้คนขับรถม้าหาม้าดีมาหนึ่งตัว “เจ้าจะไปไหน” เขากล่าวถามอย่างงุนงง แต่เซียวถิงฟงกลับยิ้มกริ่มตอบมาเท่านั้น
 

**************************************

คอมเม้นท์น้อย  :hao5: เเต่ไม่เป็นไรค่ะ ช่วงนี้เนื้อเรื่องอาจจะเนือยๆหน่อย เเต่ก็มาถึงครึ่งเรื่องเเล้ว เหลืออีก 15 บท ซึ่งชักจะรีไรท์ไม่ทัน เเบบว่าบางก็รีไรท์ยากจังเฟ้ย เเฮะ แฮะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 15 คำว่ารัก 01/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 01-11-2015 20:46:02
แวะมารอครับ ฮิๆ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 15 คำว่ารัก 01/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 02-11-2015 20:12:15
เป็นนิยายที่ดีงามมาก โคตรสนุกอะ สู้ๆนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 16.1 หลุมพราง 02/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 02-11-2015 21:34:39
บทที่ 16.1 หลุมพราง


           ม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลยืนวางท่าสง่างาม มันเหล่ตาส่งยิ้มให้คราหนึ่ง ต้าเซียนก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นม้าหนุ่มขี้เล่น มือเรียวคว้าจับตรงอานม้าเตรียมที่จะส่งตัวขึ้นไป แต่แล้วเซียวถิงฟงกลับชิงปราดตัวขึ้นนั่ง ครั้นเสร็จสรรพก็ตีสีหน้าเรียบเฉย มือหนึ่งตบเข้ากับที่สะโพกม้าเบาๆ

           “ข้าอยากนั่งข้างหน้า ตัวเจ้าโตขนาดนี้แล้วข้าจะเห็นทางข้างหน้าได้อย่างไร” เขาร่ำร้องไม่ยินยอม แต่ร่างสูงก็ตอบอย่างไม่แยแส

           “เอาไว้ขากลับก็แล้วกัน”

           สุดท้ายต้าเซียนก็ต้องเบ้ปากก้าวขึ้นไปนั่งที่ด้านหลังแต่โดยดี สองมือก็ควานเกาะเอวแกร่งอย่างเงอะงะ “สรุปว่าเจ้าจะไปไหน” เขาถามอีกครั้ง ครานี้ชายหนุ่มกลับดึงบังเหียนม้าเป็นคำตอบ

           ม้าหนุ่มสีน้ำตาลเมื่อถูกกระตุ้นก็ยกสองเท้าหน้าขึ้นด้วยความคึกคะนอง ต้าเซียนมิทันได้ตั้งตัวจึงเผลอสวมกอดคนข้างหน้าไว้แน่น

           “เหมือนว่าเจ้ากำลังกอดข้าอยู่เลยนะ”

           เมื่อเซียวถิงฟงเอี้ยวตัวส่งยิ้มกวนมาให้ ร่างเขาก็มีอันสั่นเทิ้ม อดมิได้ที่จะตะโกนเสียงตะกุกตะกัก ‘คนบ้า’ ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับหัวเราะร่วน

           ม้าหนุ่มเหยาะย่างถึงชานเมืองก็ขึ้นไปยังเชิงเขา ลัดเลาะผ่านป่าไผ่ไปเล็กน้อยก็หยุดลง ที่ฝากฝั่งตรงข้ามเป็นน้ำตกสูงใหญ่ เซียวถิงฟงไม่รีรอลงจากหลังม้า จัดการถอดรองเท้า ถลกชายขากางเกงแล้วเดินย่ำลงในลำธารที่ตื้นเขินแล้วตรงไปยังแท่นหินใหญ่ จากนั้นทิ้งตัวหงายหลังนอนอย่างขี้เกียจ

           ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็จัดการถลกขากางเกงขึ้นบ้าง ก้าวเท้าขาวเนียนสัมผัสลงบนสายน้ำเย็นฉ่ำ เขาเลือกล้มตัวลงบนโขดหินที่ไม่ไกลจากตัวชายหนุ่ม สักพักก็สูดหายใจรับกลิ่นไอธรรมชาติ “สบายจัง”

           “ได้หยุดเที่ยวเล่นสักสองสามวันข้าดีใจยิ่ง” เซียวถิงฟงเพียงยิ้มขื่น เกรงว่าเขาอาจเป็นรองแม่ทัพคนแรกที่รับตำแหน่งไม่ถึงสามวันก็ต้องโดนพักงานเสียแล้ว

           “แต่ข้าว่าเจ้าเป็นห่วงซวนหยวนหมิงไท่มากกว่า” 

           เซียวถิงฟงนิ่งเงียบไปสักพักก็ทอดถอนใจกล่าว “เฮ้อ ข้ารู้สึกผิดต่อเขา หากข้าระวังมากกว่านี้ เรื่องคงไม่บานปลาย แต่ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจหักหน้าองค์หญิงหย่าเหลียนได้เช่นกัน พวกเขาต่างเป็นพี่น้องของข้า” นึกถึงคนที่ต้องนั่งปวดหัวอยู่แต่ในวังหลวงแล้ว ก็พานให้รู้สึกผิด

           เขาเองก็ได้แต่มองคนข้างกายนิ่งก่อนตัดสินใจกล่าว “เจ้าอยากฟังข้าเล่านิทานไหม”

           “อยากสิ” ร่างสูงพลิกตัวมองมาอย่างตั้งอกตั้งใจ ต้าเซียนยิ้มน้อยๆให้แล้วจึงเริ่มเล่า

           “นานมาแล้วนับตั้งแต่สามพิภพยังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วันหนึ่งหินอุกกาบาตกลับตกลงมายังพื้นพิภพจนเกิดเป็นระเบิดขึ้นยาวนานถึงสามพันปี รอจนพิภพสงบลงดินน้ำลมไฟก็ค่อยๆถือกำเนิดขึ้น ทว่ายังมีชิ้นส่วนหินอีกก้อนที่รอดพ้นจากการระเบิด มันกลับกลายเป็นก้อนหินธรรมดาอาศัยอยู่ใต้พื้นพิภพเรื่อยมา

           จนวันหนึ่งสายน้ำก็พากันโอบอุ้มมันไว้ นานวันเข้ามันจึงได้แปรสภาพเป็นเช่นดอกบัว ในวันแรกที่มันเบ่งบาน มันก็ได้มีโอกาสสัมผัสถึงสายลมแสงแดดที่อ่อนโยน มันจึงมีความสุขยิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานมันก็ตระหนักได้ถึงความอ้างว้าง อาจเป็นเพราะมีเพียงมันเพียงดอกเดียวที่อยู่ที่นี่ จวบจนสายน้ำเริ่มเหือดแห้งไปตามกาลเวลา มันจึงสลายกลายเป็นเม็ดทรายลอยละล่องไปกับสายลมแทน”

           “เช่นนั้นมันคงได้พบกับอิสระและสามารถออกตามหาพวกของมันใช่รึไม่” เซียวถิงฟงกล่าวถามอย่างสนใจ

           “เป็นเช่นนั้น แต่ทรายน้อยมิได้พบเจอสิ่งที่เป็นเช่นเดียวกับมัน ต่อเมื่อมันเผชิญกับการแผดเผาจากแสงแดดอันร้อนระอุนับพันปี มันจึงได้ก่อเกิดรูปร่างใหม่ จากนั้นออกเดินทางไปตามทะเลทรายอย่างไม่มีจุดหมาย จนในที่สุดก็ได้พบสิ่งที่มีรูปร่างเช่นมัน สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ เพลานั้นทรายน้อยดีใจมาก มันมิต้องอยู่อย่างอ้างว้างอีก มันจึงตัดสินใจลอบปะปนใช้ชีวิตกับมนุษย์เหล่านั้น

           แต่แล้ววันหนึ่งมันกลับสังเกตเห็นถึงความแตกต่าง ทรายน้อยกลับมีพลังที่มนุษย์ไม่มี มันสามารถบันดาลทุกสิ่ง ประกอบกับที่มนุษย์เหล่านี้สร้างสังคมแต่ยังคงขาดความเป็นระเบียบ ทำให้ทรายน้อยคิดอยากช่วยเหลือ จึงตัดสินใจมอบพลังส่วนหนึ่งให้กับบุคคลที่เขาไว้ใจขึ้น จากนั้นทำการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นสามส่วน สร้างกฎเกณฑ์เพื่อดูแลความเป็นไป รวมถึงให้การปกป้องอย่างเป็นความลับ ซึ่งเรื่องราวก็ผ่านพ้นไปได้ดี

           หากแต่วันหนึ่งกลับเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันเหล่ามนุษย์กลับล่วงรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญ ทำให้พวกเขาต่างไม่พอใจ จึงพากันเรียกร้องขออำนาจวิเศษ ก่อเกิดเป็นความละโมบโทสัน จิตมารแพร่กระจายจนเหล่าปีศาจถือกำเนิดขึ้น พวกมันต่างคอยยุยงเหล่ามนุษย์ให้ลุกขึ้นต่อต้าน แม้กระทั่งก่อสงครามในดินแดนที่สมบูรณ์แห่งนี้ ทรายน้อยทั้งโกรธและผิดหวังในตัวมนุษย์จึงได้ปราบปรามเหล่าปีศาจและเหล่ามนุษย์ที่หลงผิด จนในที่สุดดินแดนแห่งนี้ก็กลับมาสงบสุขอีกครา”

           “ทีนี้ทรายน้อยก็คงได้สงบสุขเสียทีกระมัง” เซียวถิงฟงเอ่ยถาม

           “มิใช่เสียทีเดียว แม้ดินแดนแห่งนี้จะสงบสุข แต่ทรายน้อยกลับมิได้รู้สึกสงบใจแม้แต่น้อย ทั้งนี้เพราะมันตระหนักถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่ต่างจากมนุษย์ มาตรว่าอยากจะเข้าใจมนุษย์มากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง นั่นเพราะความจริงแล้วทรายน้อยนั้นเป็นเพียงก้อนหินเท่านั้น ก้อนหินจะมีหัวใจเยี่ยงมนุษย์ได้เช่นไรจริงไหม” ต้าเซียนเล่ามาถึงตรงนี้สายตาก็หม่นแสงลง ก่อนจะเงียบเสียงไป

           “จบแค่นี้รึ” เซียวถิงฟงทำสีหน้างุนงง ต้าเซียนหันไปยิ้มน้อยๆให้แล้วจึงกล่าวต่อ

           “แต่ความหวังยังมี วันหนึ่งก้อนหินน้อยได้รับหัวใจครึ่งหนึ่งของมนุษย์ผู้หนึ่งโดยบังเอิญ และในความบังเอิญนั้นกลับสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ในที่สุดมันก็สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกของมนุษย์ แต่ทว่ากลับมีคนคัดค้านที่จะนำหัวใจนั้นมาใช้ ทั้งยังเรียกร้องให้คืนหัวใจนั้นเสีย ซึ่งลึกๆแล้วก้อนหินน้อยไม่อยากทำเช่นนั้น”

           “ข้าเดาว่ามันคงจะหลงรักมนุษย์ผู้นั้นเข้าเสียแล้ว”

           ต้าเซียนถึงกับชะงักเงียบเสียงลง สักพักจึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้า “เจ้าคิดว่าหากก้อนหินน้อยยินยอมคืนหัวใจให้แก่มนุษย์ผู้นั้นไป หลังจากนี้มันจะยังคงจดจำความรู้สึกรักได้อีกรึไม่” 

           “ข้าคิดว่าก้อนหินน้อยต้องจดจำได้” เซียวถิงฟงตอบอย่างมั่นใจ ทำให้ต้าเซียนนึกฉงน

           “เพราะเหตุใดกัน”

           “เพราะความรู้สึกรักมิใช่ความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือน แม้นร่างกายจะทรุดโทรมตามกาลเวลา แต่ความรักนั้นหาได้ทรุดโทรมตามไม่ มันจะคงอยู่ตราบจนจิตวิญญาณสูญสลายหายไป” เขากุมมือเรียวแนบที่หัวใจตน “เช่นเดียวกับหัวใจข้าที่มิอาจลืมเลือนเจ้าได้อีกชั่วนิรันดร์”

           คล้ายมีบางสิ่งที่หนักหน่วงถูกยกออก ต้าเซียนฟังแล้วก็บังเกิดเป็นความรู้สึกปลอดโปล่ง พอดีกับที่ร่างสูงโน้มตัวลงมา จนหน้าผากเริ่มแนบชิด จมูกโด่งคลอเคลีย แลไม่นานก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ริมฝีปาก

           เพียงเป็นการสัมผัสที่ผิวเผินแต่นานเข้ากลับเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง ลิ้นอุ่นเข้าพัวพัน สมองเริ่มหมุนคว้าง เขาปล่อยตัวให้เป็นไปตามการชักนำของชายหนุ่ม

           เมื่อลิ้มรสจุมพิตหวานล้ำจนพอใจ เซียวถิงฟงก็เริ่มซุกไซ้ที่ริมใบหู ระดมจูบที่ลำคอระหง กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวโชยออกกายร่างน้อยยิ่งทำให้น่าหลงใหล กระทั่งสาบเสื้อเริ่มเผยอเปิดออก ไหล่ขาวนวลเปิดโล่งสู่สายตา ผิวกายที่อุ่นนุ่มคล้ายยิ่งทำให้สติกระเจิดกระเจิง เขาไล้ริมฝีปากมายังไหล่มน ก่อนจะห้ามใจมิให้ขยุ้มกัดลงไปเบาๆมิได้ ร่างข้างใต้ถึงกับสะดุ้ง หากแต่เขามิคิดหยุด

           “ถิงฟง” ต้าเซียนมองตรงไปยังดวงตาสีดำน่าดึงดูด ฟังเสียงหัวใจแล้วดูว่าเต้นระทึกไม่แพ้ตนสักเท่าไหร่นัก ครั้นเริ่มรู้สึกถึงมือที่ลูบไล้ยังแผ่นหลัง ร่างก็พลันแอ่นโค้งขึ้น เขาเริ่มขมวดคิ้ว

           “โอ๊ย” จู่ๆก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่บ่า เซียวถิงฟงถึงกับกระเด้งตัวผละออกจากร่างน้อย ประจวบเหมาะที่เท้าเหยียบลงบนตะไคร้น้ำ พลอยทำให้หลังเอนหงายล้มก้นจ้ำเบ้าเข้าอย่างจัง น้ำในลำธารพากันกระจัดกระจาย “เจ้า เจ้ากัดข้าทำไม” เขาร้องลั่นถามด้วยสีหน้าที่งงงัน ทั้งที่กำลังเคลิบเคลิ้มแท้ๆ

           “ก็เจ้านั่นแหละที่กัดข้าก่อน” ต้าเซียนค้อนขวับพร้อมทั้งขยับไหล่ขาวนวลที่มีรอยฟันแดงออกเป็นหลักฐาน

           เขาเลิกตาโต “ข้า...ข้าแค่กัดเจ้าเบาๆเอง”

           “ข้าก็กัดเจ้าเบาๆเช่นกัน มิได้ลงแรงแม้แต่น้อย” หากคิดจะแกล้งข้า ฝันไปก่อนเถอะ ต้าเซียนเชิดหน้าใส่
เซียวถิงฟงถึงกับอับจนคำพูดไปชั่วขณะ ได้แต่หันไปลอบขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ต้าเซียนไร้เดียงสาจนเกินไป ลองเป็นคราวหน้าข้าจะกัดเจ้าไม่ปล่อยเลยทีเดียว ฮึ่ม!

           หลังตะวันเริ่มคล้อยคนทั้งสองก็ตัดสินใจกลับไปที่จวน ครานี้ต้าเซียนรีบฉวยจังหวะขึ้นม้าเสียก่อน ด้านเซียวถิงฟงเห็นแล้วก็ทำทีส่ายหน้าระอาใจ แต่ครั้นตัวเองกระโดดขึ้นไปนั่งข้างหลังได้สำเร็จ ดวงตาเจ้าเล่ห์ที่ซุกซ่อนไว้ก็เผยปรากฏขึ้น

           “ย่ะ” ต้าเซียนออกควบม้าหนุ่มขี้เล่น ทว่าม้าขยับไปไม่ถึงสามก้าวก็ปรากฏมือใหญ่เลื้อยกอดเขาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าม้าจะสะบัดเจ้าตัวให้ตกลงข้างทาง “โอ๊ย เจ้าไม่ต้องเกาะแรงถึงเพียงนี้ก็ได้” เขาร้องอย่างอึดอัด

           “อะไรกันข้าเพียงเกาะเจ้าเบาๆเท่านั้นเอง ทีตอนเจ้าเกาะข้ายังแรงกว่านี้อีก” เซียวถิงฟงแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แอบกระชับกอดร่างบางอย่างได้ใจ ทั้งยังมิวายซุกหน้าพิงที่หลังน้อย

           ต้าเซียนอยากจะร้องก็ร้องมิออก หากเป็นไปได้เขาคงจะถีบคนผู้นี้ให้หน้าทิ่มลงจากหลังม้าไปแล้ว แต่ก็จนใจที่ตัวถูกกอดจนแทบขยับมิได้ต่อเมื่อม้าหนุ่มเหยาะย่างแช่มช้าจนถึงจวน คนที่นั่งซ้อนอยู่ที่ด้านหลังก็เป็นอันหลับสนิทเสียแล้ว เขาปล่อยมือจากบังเหียนหันมาแกะมือใหญ่ แต่มิไยจะพยายามแกะสักเท่าใด มือนั้นกลับยิ่งกอดรัดมากขึ้น

           แกะอยู่นานจนเหงื่อแทบตกก็ต้องเบ้ปากพ่นลมที่จมูก รออยู่สักพักก็บังเกิดความคิดดีๆขึ้น เขายิ้มกริ่มเหลียวซ้ายแลขวาที ดูว่ายังไม่มีใครออกมาจากจวน ทั้งยังไม่มีคนเดินผ่านถนนเส้นนี้ก็ถือเป็นโอกาสท่องมนตร์พึมพำทันที

           พรึ่บ จู่ๆคนก็ปรากฏยืนที่หน้าประตูจวน ส่วนผ้านวมหนาผืนหนึ่งกลับถูกแทนที่บนหลังม้า บนอานปรากฏชายหนุ่มร่างใหญ่นอนกอดผ้านวมหนาอย่างสบายใจ ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดี

           ม้าหนุ่มสีน้ำตาลเองก็ดูจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่ง มันหยุดยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับกลัวคนบนหลังมันจะตื่น ชาวบ้านที่เริ่มเดินผ่านไปผ่านมาต่างพากันหยุดทั้งมุงทั้งมอง

           ต้าเซียนเห็นแล้วยิ้มกว้างพลางกล่าว “ถือว่าข้าเอาคืนเจ้า เชิญกอดให้สมใจเถิด หึ หึ หึ” พูดจบก็หันไปเปิดประตูเข้าจวนไปอย่างสบายใจ

           ต่อเมื่อเดินมาจนถึงหน้าเรือนพัก ก็พลันมีลูกธนูพุ่งตรงเข้าใส่กะทันหัน เขารีบเบี่ยงกายหลบก่อนใช้นิ้วคีบธนูดอกนั้นไว้ รอจนไม่มีเหตุการณ์เคลื่อนไหวใดอีก ก็สังเกตเห็นกระดาษที่ถูกมัดติดอยู่กับปลายลูกธนู

           บนแดนพิภพจะมีบุคคลใดที่จำต้องส่งสาสน์ให้เขากัน คิดแล้วก็ดึงมันออก คลี่อ่านอย่างสงสัย ดูว่าข้อความบนกระดาษมิได้มีข้อความใดสลักสำคัญ หากแต่ปรากฏนามของคนผู้หนึ่งที่ทำให้ลมหายใจเขาสะดุดลง

           ...เหตุใดจึงต้องการพบเขา ทั้งยังเป็นการส่วนตัว

           ต้าเซียนยืนถือลูกธนูนิ่งใช้ความคิด จากนั้นจึงตัดสินใจทะยานตัวลอยข้ามกำแพงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพียงลำพัง มิได้สังเกตเห็นเซียวถิงฟงที่มีท่าทีปั้นปึ่ง ในมือกำไว้ด้วยผ้านวมหนานุ่มกำลังเดินตรงมายังเรือนพักของตนเอง


*************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 16.2 หลุมพราง 02/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 02-11-2015 21:36:04
บทที่ 16.2 หลุมพราง


           ต้าเซียนมิเคยเข้าไปยังตำหนักในมาก่อน จึงคอยติดตามนางกำนัลที่พบระหว่างทางไปอุทยานหลวง ซึ่งแม้ระหว่างทางจะมีพบเจอผู้คนมากมาย หากแต่กลับมิได้มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น

           รอจนมาถึงทางแยก สัญชาตญาณก็บอกว่ามาถึงที่หมาย เขาเดินผ่านแมกไม้เล็กๆเข้าไปก็พบกับบุคคลที่รอตนอยู่ องค์หญิงหย่าเหลียนในชุดสีแดงสดนั่งอยู่ภายใต้ศาลาเล็กสีขาว นางคล้ายกำลังดื่มด่ำชารสดีจอกแล้วจอกเล่า ที่กลางโต๊ะยังจัดตั้งด้วยกระถางกำยานใบเล็กที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวาน

           “เชิญเข้ามา” นางกำนัลเว่ยผู้มีศักดิ์เป็นแม่นมขององค์หญิงกล่าวขึ้น จากนั้นก็อีกฝ่ายขึ้นลงด้วยสายตารังเกียจ
ทว่าต้าเซียนเพียงเชิดหน้าขึ้น ประสานมือไว้ที่ด้านหลัง ก้าวเข้าไปหาสตรีที่กำลังดื่มน้ำชาด้วยท่าทีนิ่งสงบ แต่แล้วนางกำนัลเว่ยก็ตวาดเสียงดุ
 
           “บังอาจ เห็นองค์หญิงแล้วยังไม่รีบคุกเข่าถวายพระพรอีก” 

           ต้าเซียนพลันหยุดฝีเท้า ด้านองค์หญิงหย่าเหลียนก็เริ่มแหงนหน้าขึ้นมอง คล้ายพึ่งรับรู้ถึงการมาของตน นางมิได้กล่าววาจาใดๆเพียงรอคอยเขาที่นิ่งงัน สักพักเขาจึงตอบเสียงเรียบ “ข้ามิจำเป็นต้องคุกเข่าให้ใคร”

           เขาเป็นถึงมหาเทพ เป็นผู้ที่อยู่เหนือสามพิภพ ไม่มีวันคุกเข่าให้ใครเป็นอันขาด

           “เจ้าคนไร้มารยาท” นางกำนัลเว่ยเงื้อฝ่ามือขึ้น ทว่าเสียงหวานกลับเอ่ยปรามไว้เสียก่อน

           “แม่นมพอเถอะ เชิญท่านกลับไปก่อนดีกว่า ข้าต้องการอยู่กับนางเพียงลำพัง” หย่าเหลียนกล่าวจบก็หันมาส่งรอยยิ้มให้แขก “เชิญเจ้านั่ง”

           เห็นดังนั้นนางกำนัลเว่ยจำต้องออกไปอย่างไม่วางใจ แต่มิวายใช้สายตาจับจ้องเขาตลอดจนลับสายตา

           “เจ้ามีธุระอะไรกับข้า” ต้าเซียนเลือกนั่งเก้าอี้ยังฝั่งตรงข้ามกับนาง

           “ข้าเพียงอยากสนทนากับเจ้านิดหน่อยก็เท่านั้น”   

           ต้าเซียนอมยิ้ม นางเพียงต้องการสนทนา ไยจึงต้องส่งสาสน์ด้วยลูกธนู ทั้งหมดนี้ดูมิใช่เรื่องปกติ “กล่าวมาเถิดมิต้องเกรงใจ” กล่าวจบเขาก็แสดงท่าทีผ่อนคลาย องค์หญิงหย่าเหลียนจึงเริ่มเอ่ยปาก

           “เจ้ามาจากที่ใด รู้จักกับพี่ถิงฟงได้เช่นไร” นางกล่าวถามพลางหยิบถ้วยเล็กรินชาอุ่นๆแล้วยื่นให้แขกตรงหน้า

           “ที่มาของข้าสำคัญนักหรือ” กล่าวพลางรับชาที่มีควันลอยฉุยขึ้นดื่ม ครั้นปลายลิ้นสัมผัสได้แต่รสเฝื่อนแต่กระนั้นก็ยังกลั้นใจดื่มมันจนหมด

           “หรือเจ้ามีสาเหตุที่บอกคนอื่นมิได้?” นางรุกถามแทบทันทีคล้ายพยายามบีบบังคับให้คายความลับออกมา

           “.......” เขามิคิดตอบ พอดีกับที่รู้สึกคอแห้งผาก จึงดื่มชาลงไปอีกสองถึงสามจอก

           “ดูเหมือนเจ้าจะชอบชานี้เป็นพิเศษ” นางกล่าวพลางเป็นฝ่ายรินชาใส่ถ้วยแล้วถ้วยเล่า

           “หากเจ้ามีเรื่องเพียงแค่นี้ ข้าสมควรกลับแล้ว” คล้ายรู้สึกถึงความมิชอบมาพากล ต้าเซียนจึงหยัดกายขึ้น

           “เดี๋ยวสิ เจ้าจะรีบกลับไปไยกัน”

           จู่ๆนางก็ร้องห้ามเสียงดัง พลางวางมือลงบนฝ่ามือของเขา นิ้วเรียวปรากฏเล็บยาวสีแดงน่ากลัว ต้าเซียนงงงันวูบ แต่ชั่วขณะนั้นกลับไม่สามารถอธิบายอะไรได้จึงได้แต่นั่งลงอีกครา

           “ข้าจะมิกล่าวอ้อมค้อมอีก ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่สาวคนหนึ่ง หากพี่สาวจะให้เกียรติน้องอย่างข้ารับฟังความหวังดีสักหน่อย” นางเว้นเสียงไประยะหนึ่งแล้วจึงกล่าวสืบต่อ “กวางน้อยตัวหนึ่งแต่เล็กจนโตอาศัยอยู่กับพี่น้อง หากแต่วันหนึ่งกลับคึกคะนองออกจากฝูง ชะตาไม่แคล้วเป็นเหยื่อปีศาจร้าย” ถึงตรงนี้น้ำเสียงของนางก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต

           “.......” จากท่าทีที่เคยผ่อนคลายจำต้องขึงขังขึ้นมาอีกครั้ง ต้าเซียนขมวดคิ้วมุ่น...หากกวางน้อยหมายถึงตน แล้วปีศาจเล่าคือผู้ใด

           “ตัวท่านเองมีศักดิ์สูงส่งยิ่ง ไยจึงยอมคลุกคลีกับมนุษย์”

           ครานี้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนต้องเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ พร้อมๆกับไอร้อนที่ก่อตัวที่ทรวงอก ลำคอร้อนผ่าวทั้งยังแห้งผาก “เจ้าเป็นใคร” ต้าเซียนรีบเค้นเสียงถาม ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับมีแต่ความแหบแห้ง เขาจ้องคนตรงหน้าเขม็ง แต่นางเพียงยกชาขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระ จนในที่สุดเขาก็ฉุกคิดขึ้นยกมือปัดสิ่งของที่กึ่งกลางโต๊ะในทันที

           กระถางกำยานถูกปัดตกลงบนพื้น เศษซากดำๆของอสรพิษแมงมุมที่ไหม้เกรียมไม่เต็มที่โผล่พ้นจากกระถาง

           “ท่านชอบกลิ่นหอมชนิดนี้ไหม ท่านมหาเทพ”

           “เจ้า” ต้าเซียนอุทาน ภาพของปีศาจจิ้งจอกในชุดแดงซ้อนทับกับองค์หญิงหย่าเหลียนปรากฏแก่สายตา เขาพยายามหยัดกายลุกขึ้น แต่ความแสบร้อนที่เผาผลาญในทรวงอกแทบทำให้ลำตัวต้องโค้งงอ มือหนึ่งกุมหน้าอกไว้ด้วยความทรมาน
ปีศาจจิ้งจอกในชุดแดงก้าวย่างสามขุมเข้าหาอย่างมิเกรงกลัว เมื่อเห็นท่าไม่ดีต้าเซียนก็ซัดฝ่ามือหนึ่งออกไป ทว่าพลังยังมิทันได้ถูกปล่อย ความร้อนในอกก็กำเริบขึ้น ร่างพลันเซถอยหลังทรุดลงนั่งใกล้ริมรั้วของศาลา ประโยคหนึ่งผุดขึ้นในใจ...ชะตาไม่แคล้วเป็นเหยื่อปีศาจร้าย จากนั้นเขาก็หลับตาแน่นิ่งไป

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะย่ามใจดังขึ้นภายใต้ริมฝีปากของสตรีที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง

           ไม่คิดเลยว่าแม้กระทั่งบุคคลซึ่งอยู่เหนือทั้งสามพิภพกลับต้องมาพลาดท่าให้กับปีศาจต้อยต่ำอย่างตน นางยกยิ้มมองกำยานอสรพิษแมงมุมสีรุ้งที่มีฤทธิ์ทำลายโสตประสาทอย่างช้าๆ หากสูดดมเข้าไปจะไม่สามารถสดับรับรสแลได้ยินหรือมองเห็นอีก ซ้ำให้รสสัมผัสเจ็บปวดหลายเท่า ยังมีชาผสมพิษเขี้ยวงูดำ ซึ่งมีพิษร้ายทำลายหัวใจ เพียงดื่มเล็กน้อยลำคอก็จะแห้งผาก ทรวงอกจะแสบร้อน ในไม่ช้าหัวใจจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง นับเป็นพิษที่ร้ายกาจยิ่ง

           องค์หญิงหย่าเหลียนในคราบจิ้งจอกเหม่ยซินย่อกายลงมองใบหน้ากระจ่าง กลิ่นหอมเบาบางเช่นดอกบัวโชยออกจากร่างที่สิ้นสติ มือเลื่อนไล้จรดลงที่หน้าอกราบ รอยยิ้มเหี้ยมพลันก็ปรากฏขึ้น

           กลิ่นหอมยิ่งนัก หัวใจมนุษย์ในร่างของท่านมหาเทพ หากข้าได้ลิ้มลอง หากข้าได้กลืนกิน ตบะของข้าจะแกร่งกล้ายิ่งกว่าเทพเซียนองค์ไหนๆ

           ถึงแม้พิษจะซึมซาบเข้าสู่หัวใจไปแล้ว แต่หากเป็นตอนนี้นางอาจได้ลิ้มรสถึงสามในสี่ส่วน ขอเพียงแค่ควักมันออกมากินเสีย นางก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ ว่าแล้วสายตาสะท้อนให้เห็นถึงความกระหื่นหายเต็มที่ เล็บคมแหลมสีแดงก็พุ่งเข้าใส่ร่างตรงหน้าอย่างไม่ปราณี

           ฉับพลันนั้นแสงสีทองกลับส่องสว่างวาบ พลังขุมหนึ่งแล่นปะทะเข้ากับคนที่หน้าตาแตกตื่น คิดจะกลับตัวหากแต่ตอนนี้มิทันการณ์แล้ว จิ้งจอกเหม่ยซินกระเด็นไปชนกับศาลาที่ด้านหลังเข้าอย่างจัง รั้วไม้หักพังทลายลงในทันที
 
           มาตรว่าพิษร้ายกล้ำกราย กระนั้นดวงตาสีทองก็ยังคงส่องประกายสูงส่งระคนเย็นชา เด็กหนุ่มยืนขึ้นด้วยท่าทีที่ไร้อาการบาดเจ็บ อาภรณ์ที่สวมใส่จากสีส้มกลับกลายเป็นสีขาวสะอาดดูงามสง่าเต็มเปี่ยมไปด้วยบารมี เส้นผมสีน้ำตาลยาวปลิวสะบัดพัดไปตามกระแสแรงลม

           จิ้งจอกเหม่ยซินรีบพยุงตัวลุกขึ้น เกิดเป็นอาการแปลบปลาบที่หัวไหล่ เลือดอุ่นๆหยาดหยดลงสู่พื้น นางรีบกุมไหล่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ครั้นร่างสีขาวเดินเข้ามา ทั้งมีท่าทียกฝ่ามือปลดปล่อยพลังออกเป็นระลอกที่สอง นางก็รีบฉวยโอกาสเตะกระถางกำยานบนพื้น ยังผลให้เศษซากอสรพิษ รวมถึงเถ้าถ่านกระเด็นลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศ

           ต้าเซียนจำต้องเบี่ยงตัวหลบให้พ้น พร้อมกันนั้นบังเกิดเป็นเสียงดังคล้ายระเบิด ควันสีขาวพวยพุ่งจากพื้นบดบังทัศนียภาพรอบตัวอย่างรวดเร็ว เขารับรู้ได้ทันทีว่าปีศาจจิ้งจอกหนีไปแล้ว ทว่าเขาไม่มีเหตุผลที่จะตามอีก เพราะตอนนี้มิใช่เวลาที่ควรกระทำ

           ต่อเมื่อหมอกควันเริ่มจางลง ในศาลาเล็กๆแห่งนี้ก็ไม่หลงเหลือเงาร่างของสตรีอีก นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกระถางกำยานแลชุดน้ำชาที่หายไปด้วย นับว่านางรอบคอบ นางกำจัดหลักฐานไปได้อย่างไร้ร่องรอย ร่างน้อยคิดพลางหยุดยืนนิ่งหลับตาอีกครั้ง ในอกรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งผลักดันให้ถาโถมออกมา เขารีบยกมือปิดปาก รู้สึกคล้ายจะอาเจียน จนสุดท้ายก็มิอาจฝืนก็สำลักมันออกมาในที่สุด

           “อ่อก” ของเหลวถูกขับออกมาผ่านทางริมฝีปาก ต้าเซียนตระหนักได้ทันทีว่ามันคือ โลหิต ทั้งยังมีสีดำข้น แต่นี่มิใช่เวลามาใส่ใจ เพราะสิ่งที่เขาควรทำเป็นอย่างแรกคือ ไป...ที่นี่อยู่นานมิได้ ว่าแล้วก็กัดฟันรีบพาตนเองออกไปจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็ว

           แสงแดดยามเย็นกระทบดวงหน้า แต่ในสายตาของต้าเซียนกลับมีแต่ความมืดครึ้ม เสียงรอบข้างพลันดับสนิท ในทรวงอกยังคงร้อนระอุ เขาอำพรางร่างก่อนพาตัวเองออกมาอย่างยากเย็น แม้แต่แรงเดินเริ่มถดถอยลง ดูท่าว่ายิ่งใช้พลังมากเท่าไหร่ ร่างก็ยิ่งทรุดหนักลงเท่านั้น

           เดิมทีเขาควรทรุดลงตั้งแต่ตอนที่ปีศาจจิ้งจอกเปิดเผยตัว ทว่าตอนนั้นเขาแสร้งหมดสติรวบรวมพลังโจมตี และยังดีที่นางเกรงกลัวพลังของเขาจึงได้หลบหนีไปเสียก่อน มิเช่นนั้นเป็นเช่นไรเขาก็ไม่อยากนึก

           “ข้าต้องกลับไปหาเจ้า ถิงฟง” ต้าเซียนพึมพำ นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขายืนหยัดขึ้นเหนือความเจ็บปวดครั้งนี้ได้ เซียวถิงฟงยังรอเขาอยู่ คิดแล้วทำให้เขานึกถึงภาพที่พึ่งผ่านมาไม่นาน

           ภาพของเซียวถิงฟงที่นอนกอดผ้านวมอยู่บนหลังม้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข


*************************************************


           เด็กหนุ่มเดินเลียบกำแพงไปด้วยท่าทีย่ำแย่ ชุดสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีดำ เส้นผมยาวสยายยุ่งเหยิง เหงื่อกาฬผุดผาดบนใบหน้าอันขาวซีด ดวงตานิ่งจ้องตรงไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย มิอาจสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าได้

           เฟยหลงรอคนผู้หนึ่งอยู่แถวนี้มาได้สักพักแล้ว จนกระทั่งคนที่รอปรากฏกายอยู่ตรงหน้า พริบตานั้นก็ต้องรู้สึกเจ็บแปลบในอก ความรู้สึกผิดเข้าจู่โจมกรีดย้ำที่หัวใจ

           เขาไม่อยากทำร้าย ไม่อยากทำร้ายร่างน้อยแม้แต่เส้นผม แต่เขาจำเป็นต้องทำ...เพื่อให้ได้มา

           ต้าเซียนเดินโซเซเข้าใกล้บุคคลผู้หนึ่งโดยที่ไม่รู้สึกตัว กระทั่งชนเข้าที่แผงอกใหญ่ก็ต้องสะดุ้งตัวด้วยไม่คิดว่ามนตร์อำพรางจะเสื่อมลง  เขารีบผละตัวออก หากแต่มือใหญ่คู่หนึ่งก็กลับฉวยกุมมือเขาไว้

           “ท่านมหาเทพ” เฟยหลงเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงปวดร้าว

           เขาสัมผัสได้ถึงมือที่กอบกุมอย่างอ่อนโยน หากแต่มิอาจได้ยินน้ำเสียงที่เจ็บปวดออกมา “คะ ใคร...ถิงฟงหรือ”

           เฟยหลงรู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดที่หัวใจเป็นครั้งที่สอง แม้แต่ตอนนี้ท่านมหาเทพก็ยังคิดถึงแต่มนุษย์ผู้นั้น ร่างพลันเกร็งขึงขึ้น มือที่จับกุมไว้ก็กำแน่นกว่าเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว

           ตอนนี้ต้าเซียนเปรียบเสมือนคนตาบอดที่มิอาจมองเห็น แต่ก็รู้ได้ว่าคนตรงหน้ามิใช่เซียวถิงฟงแน่นอน ครั้นเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบก็ต้องรู้สึกใจไม่ดีพยายามชักมือหนี “ปล่อยข้า” แต่ฉับพลันนั้นร่างกลับถูกดึงรั้ง ท้ายทอยถูกช้อนขึ้นโดยมือใหญ่ จากนั้นริมฝีปากก็ถูกบดเบียดดุดัน

           การกระทำดังกล่าวยังผลให้ต้าเซียนขัดขืน ไม่นานกรามก็ถูกบีบบังคับให้เปิดออก ปลายลิ้นอุ่นเข้ารุกรานโพลงปากก่อนกระหวัดไล่ต้อนเป็นพัลวัน น้ำตาใสปริ่มออกจากหางตา ทรวงอกแสบร้อนจนลมหายใจขาดห้วง เมื่อทนทานไม่ไหวสองมือก็ดุนดันร่างใหญ่สลับกับทุบตีอกหนา ทว่าอีกฝ่ายกลับมิสะทกสะท้านสองมือจึงค่อยๆอ่อนล้าตกลงที่ข้างตัวในที่สุด

           เฟยหลงสัมผัสริมฝีปากนุ่มนวลอย่างรุนแรง ด้วยรู้สึกโกรธระคนรวดร้าว นี่เป็นเพราะนามของชายอื่นเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางนั้น ทำให้เขาอยากลงโทษให้สาสม ให้ร่างน้อยทรมานเจ็บปวดเช่นที่เขาเป็น
 
           ต่อเมื่อสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำใส เขาจึงยอมถอนจุมพิตออกมาในที่สุด แม้จะเป็นจูบที่ไร้ซึ่งความอ่อนโยน แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าตนรู้สึกดีไม่น้อย แม้ในคราแรกจะได้รับรสขมที่เต็มไปด้วยพิษในริมฝีปาก แต่กระนั้นความขมนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นหอมหวานนุ่มนวลจนน่าหลงใหลในที่สุด ส่งผลให้เขาต้องตกอยู่ภายในความลุ่มหลงจนมิอาจถอนตัว

           “เฟยหลง”

           น้ำตาที่เปรียบเสมือนอัญมณีเม็ดงามหลั่งรินออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ในที่สุดนามของตนถูกกล่าวออกมา หัวใจเสมือนได้รับการเยียวยาอีกครั้ง เขาจูบซับหยาดน้ำตานั้นด้วยความอ่อนโยนราวกับเป็นการขอโทษ

           “ชะ ช่วยหัวใจข้าด้วย” น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งออกมาด้วยความยากเย็นทั้งแฝงไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งเสียใจอ้อนวอนและความหวัง

           เสียงดังกล่าวนี้ทำให้ลมหายใจเฟยหลงหยุดชะงัก ความสับสนและความหวั่นไหวถูกเข้ามาแทนที่ กระทั่งร่างน้อยเอนซบเข้าที่อกแกร่งแน่นิ่งไปก็พลันมีสติ จากนั้นจึงกระวีกระวาดอุ้มร่างนั้นโผทะยานขึ้นเหนือฟ้าก่อนเลือนลับไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านอย่างแรง

           ปัง ประตูห้องถูกลมผลักให้เปิดออก เฟยหลงอุ้มร่างปวกเปียกเข้ามาในห้องด้วยท่าทีที่ร้อนใจ แต่ถึงแม้จะร้อนใจสักแค่ไหนก็ยังมิลืมที่จะวางร่างนั้นลงบนเตียงกว้างอย่างเบามือ มองดูคนที่ขมวดคิ้วมุ่น หายใจติดๆขัดๆก็ยิ่งทำให้เขารู้ว่าท่านมหาเทพเจ็บปวดมากแค่ไหน

           “ข้าขอโทษ” เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงเศร้าสร้อย

           ควรรู้แต่เเรกแล้วว่าท่านมหาเทพมิเคยเจ็บปวดดั่งเช่นมนุษย์ หากแต่ตอนนี้ร่างๆนี้มิได้แตกต่างไปจากมนุษย์อีก ทั้งยังมีหัวใจ ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่าตัว

           “วางใจเถิดข้าจะรีบกลับมา” เขาจบกุมมือน้อยเอาไว้ อีกข้างก็ดึงเอาผ้าแพรในอกเสื้อขึ้นซับเหงื่อที่ประปรายบนหน้าผาก ก่อนตัดใจสาวเท้าออกไปคิดบัญชีกับบุคคลผู้หนึ่ง

**********************************************

วันนี้มาดึกหน่อย เเต่ก็ขอให้อ่านกันสนุกๆนะจ้ะ  :z2:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 17.1 แผนร้าย 03/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 03-11-2015 20:38:54
บทที่ 17.1 แผนร้าย


           เพลานี้เป็นยามฟ้าสิ้นแสงแล้ว เสียงที่เคยคึกคักของนางกำนัลก็สงบลง บัดนี้ในตำหนักลุ่ยหวาเหลือเพียงหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น

           องค์หญิงหย่าเหลียนมองดูหยาดหยดโลหิตสีแดงฉานที่ไหลนองเป็นทางยาว เสื้อคลุมสีแดงสดถูกโยนกองทิ้ง กลิ่นคาวของเลือดอบอวลจนน่าคลื่นเหียน ยังมีรอยไหม้ฉกรรจ์บนหัวไหล่ที่ทำให้ต้องงุนงงวูบ

           นางได้รับบาดแผลนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทว่าเมื่อนึกตรึกตรองอยู่ ฉับพลันนั้นจิตของนางก็ถูกรุกรานด้วยความคิดหนึ่ง
เจ็บใจนัก ทั้งๆที่โดนพิษเล่นงานถึงขนาดนั้น ไยจึงสามารถโต้ตอบข้า ทำกับข้าได้สาหัสถึงเพียงนี้ หึ รอก่อนเถิด หากข้าได้ครอบครองหัวใจดวงนั้นเมื่อไหร่ พลังของข้าจะต้องยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้แน่
           
           ปึง ประตูถูกกระแทกเปิดอย่างแรงพร้อมชายหนุ่มผู้มีท่าทีเกรี้ยวกราด นางถึงกับสะดุ้งตัวตกใจ ยิ่งเมื่อแลเห็นสายตาดุดันดุจพญาอินทรีที่จ้องอย่างกินเลือดกินเนื้อแล้วก็ให้รู้สึกพรั่นพรึงในใจยิ่ง

           ราวกับรับรู้ถึงอันตราย จิตใต้สำนึกจึงสั่งการให้ถอยห่างออกไป แต่แล้วร่างกายกลับกระทำในสิ่งที่กลับตาลปัตร สองขามิเชื่อฟังคำสั่งผู้เป็นนาย ทั้งยังชักนำไปหาบุรุษผู้นี้ ลึกลงไปในจิตใจยังสัมผัสได้อีกว่า นอกจากความหวาดกลัวแล้วยังคงมีความยินดีซุกซ่อนไว้อยู่ประการหนึ่ง

           ร่างอ่อนหวานเดินตรงไปข้างหน้า แล้วจึงย่อตัวลงคารวะอย่างนอบน้อม “ท่านจอมมารเฟยหลง”

           เสียงที่กล่าวแฝงไว้ด้วยความออดอ้อนดังขึ้น ดวงตาของหย่าเหลียนเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง มาตรว่าเสียงที่พึ่งเอ่ยออกมาจะเป็นของนาง แต่แท้จริงแล้วนางหาได้กล่าวความใดไม่

           “เหม่ยซิน” น้ำเสียงกัดฟันเล็ดรอดจากริมฝีปากของเฟยหลง

           ใคร เขาเรียกใครกัน ที่นี่มีเพียงแต่นาง แล้วเขาเรียกใครกันเล่า? หย่าเหลียนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วจู่ๆใจก็พลันหดลีบเล็กลง ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มอย่างที่มิอาจหยุดได้

           “ท่านจอมมาร” เสียงเว้าวอนขอความเมตตาเปล่งออกมาจากปากของนางพร้อมกับร่างที่ทรุดลงเบื้องหน้าจอมมาร
เฟยหลงหลุบตาลงมองสตรีที่คุกเข่าอย่างเย็นชา มือแกร่งซัดออกไปจับที่หัวไหล่ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต พร้อมกันนั้นยังเกร็งฝ่ามือจนสตรีที่เบื้องหน้าร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด

           “โอ๊ย ได้โปรดท่านจอมมาร ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย”

           “ข้าบอกให้เจ้าทำถึงเพียงนี้เชียวรึ ไหนเจ้าบอกว่าพิษชนิดนี้ทำลายเพียงแค่หัวใจในร่างของท่านมหาเทพเท่านั้น แล้วเหตุใดท่านจึงมิอาจมองเห็นแลได้ยินเช่นนี้” ตวาดคนตรงหน้าอย่างโมโห นึกถึงท่านมหาเทพที่กำลังบาดเจ็บภายในจนร่างกายบอบช้ำแล้วก็บังเกิดความเจ็บปวดรวดร้าวในอก

           ครานี้องค์หญิงหย่าเหลียนมั่นใจแล้ว ชายที่ถูกเรียกว่าจอมมารนั้นกำลังพูดกับนาง แต่นางหาเข้าใจไม่ว่าเขาพูดเรื่องอันใดและเหตุใดจึงต้องทำร้ายนาง

           “ตะ แต่หากไม่ใช้พิษ เหม่ยซินก็มิอาจต้านทานพลังของท่านมหาเทพได้...เหม่ยซินย่อมมิใช่คู่ต่อกร” เสียงหวานปนสั่นเครือกล่าวอย่างขอความเห็นใจ นางนิ่วหน้าเจ็บปวดเมื่อบาดแผลถูกบีบแน่นขึ้นอีก

           เหม่ยซิน นามนี้ทำให้องค์หญิงหย่าเหลียนรู้สึกราวกับถูกตบฉาดเข้าที่ใบหน้า นางมิได้หูฝาด เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่แล่นริ้วจากช่วงหัวไหล่ทำ ทำให้นางมีสติรับรู้ทุกประการ นางเรียกตัวเองว่าเหม่ยซิน

           เฟยหลงสะบัดมือออกจากหัวไหล่มน หันกายปิดบังสีหน้าของตนไว้ ที่จิ้งจอกเหม่ยซินกล่าวมานั้นมิใช่ว่าไม่มีเหตุผล บางทีคนที่ควรชังมากที่สุดอาจเป็นตนเอง เพราะแท้จริงแล้วคนที่ทำร้ายท่านมหาเทพก็คือ เขา
           
           เป็นข้าเอง ร่างแกร่งตอกย้ำในใจ สองมือกำแน่นด้วยฝืนกล้ำกลืนความขมขื่นไว้ รอชั่วครู่จึงกล่าวน้ำเสียงหนัก

           “จงนำยาถอนพิษให้ข้า”

           จิ้งจอกเหม่ยซินถึงกับอ้าปากค้างแทบไม่อยากจะเชื่อหู นางรีบกล่าวเตือนสติจอมมาร “ท่านจอมมาร ท่านต้องการทำลายหัวใจมนุษย์ในร่างของท่านมหาเทพมิใช่หรือ เหตุใดจึงล้มเลิกกลางคันเช่นนี้”

           “มอบยามา” น้ำเสียงห้วนเอ่ยขึ้นอีกครา

           นางปีศาจขมวดคิ้วมุ่น ทั้งไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย หากไม่กระทำให้สำเร็จ มิเท่ากับนางเจ็บตัวเปล่าหรอกหรือ ดังนั้นนางจึงใช้น้ำเสียงกร้าว “หรือเป็นเพราะท่านจอมมารเกิดใจอ่อน มิกลัวว่ามนุษย์ผู้นั้นจะขโมยท่านมหาเทพไปจากท่านจริงๆรึ” 
หากแต่เมื่อค่อนขอดจบ บรรยากาศในห้องก็เริ่มจับตัวเย็นยะเยียบ กลิ่นอายความตายอบอวลไปทั่วห้อง ยังผลให้นางต้องหุบปากเงียบสนิททันที

           จอมมารเฟยหลงยกยิ้มขึ้น จากนั้นกล่าวอย่างแช่มช้าทว่าน้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความอำมหิต “อย่าให้มันมากไปเหม่ยซิน หากเจ้ามิอยากกลับไปอยู่กับพี่น้องปีศาจที่หุบเหวแดนลับแลก็ควรหุบปากของเจ้าเสีย”

           ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นด้วยรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมา จิ้งจอกเหม่ยซินรีบระล่ำระลักกล่าว “ขะ ข้าน้อยขออภัยเป็นอย่างยิ่ง” 
หากกล่าวถึงหุบเหวแห่งแดนลับแล หุบเหวที่เต็มไปด้วยซากศพของเหล่าปีศาจ ศพทุกศพล้วนไม่เป็นชิ้นเป็นอัน บ้างกระจัดกระจาย บ้างแหลกเละไม่เป็นชิ้นดี สถานที่ที่แม้กระทั่งปีศาจก็ยังไม่คิดที่จะเยื้องกรายเข้าใกล้ อีกทั้งยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีเหล่าปีศาจมากน้อยเพียงใดที่ต้องสังเวยให้กับหุบเหวแห่งนี้...ในน้ำมือของจอมมารเฟยหลง

           “มอบยามา” เฟยหลงกล่าวย้ำเป็นครั้งสุดท้าย

           ครานี้แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่จิ้งจอกเหม่ยซินก็ไม่กล้าขัดคำสั่งแล้ว กระนั้นนางก็ยังคงอิดออด เฟยหลงที่รออยู่นานก็ไม่ได้ยาสักทีจึงหันขวับถลึงตาดุดันเข้าใส่ นางจึงต้องส่งมอบยาให้แต่โดยดี

           หลังจากได้รับยาถอนพิษเฟยหลงก็ก้าวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวข้ามประตู ฝีเท้าก็พลันหยุดชะงัก

           “เหม่ยซิน หากเจ้าคิดกระทำการใดที่เป็นการทำร้ายต่อท่านมหาเทพลับหลังข้า เจ้าอย่าได้คิดหมายว่าจะมีชีวิตอีก เพราะแม้ตายข้าก็จักต้องทำลายดวงจิตของเจ้า ข้าทำได้อย่างที่พูดรึไม่ เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจ”

           “ข้าน้อยมิกล้า” เหม่ยซินรีบกล่าวปฎิเสธ ใบหน้าเริ่มผิดสี จอมมารเฟยหลงล่วงรู้ความคิดของนาง

           เมื่อสิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอันใดต้องรั้งอยู่อีก ร่างแกร่งจึงพลันหายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

           ห้องกลับมาเงียบอีกครั้งเสมือนไม่เคยต้อนรับใครมาก่อน จิ้งจอกเหม่ยซินทรุดลงนั่งที่เตียงด้วยอารมณ์มิสู้ดีนัก แม้อยากจะกลืนกินหัวใจมนุษย์ดวงนั้น หัวใจมนุษย์ในร่างท่านมหาเทพ หากแต่นางมิกล้าเป็นปกปักษ์กับท่านจอมมารเฟยหลง

           นางรู้แก่ใจดี เหล่าปีศาจที่เยื้องกายเข้าไปในหุบเหวลับแลแล้ว หลังจากนี้มีสภาพน่าเวทนาอย่างไร พวกเขาไม่มีวันกลับมา แต่ถึงอย่างไรนางก็อดเจ็บใจมิได้ หากตอนนั้นนางมิหลงกลท่านมหาเทพ หากนางย้อนกลับไปสังเกตท่าทีเพื่อให้มั่นใจอีกครั้ง บางทีหัวใจดวงนั้นคงตกอยู่ในท้องของนางไปแล้ว

           “เกิดอะไรขึ้นกับข้า”

           เสียงหนึ่งดังขึ้นในสมอง นางกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ไฉนจึงต้องมาโวยวายให้นางรำคาญใจตอนนี้ด้วย “เจ้ามิต้องโวยวายให้มากความ ตอนนี้ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า” จิ้งจอกเหม่ยซินโพล่งตอบอย่างรำคาญใจ

           “เจ้าเป็นใคร ทำไมร่างกายข้าถึงเป็นเช่นนี้” หย่าเหลียนถามอย่างหวาดกลัว ร่างกายที่เคยเป็นของนางบัดนี้เสมือนมิใช่ของนางอีกต่อไป

           แต่แล้วนางปีศาจก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย อย่างที่มิอาจพบได้ในสีหน้าขององค์หญิงหย่าเหลียน จู่ๆนางก็นึกคิดอะไรบางอย่างออก นางคิดถึงตัวเลือกที่มิน่าจะลืมไปได้

           หากว่านางไม่มีหวังจากหัวใจมนุษย์ในร่างของท่านมหาเทพแล้ว เช่นนั้นหัวใจในร่างของมนุษย์ที่ได้รับพลังเทพล่ะจะเป็นเช่นไร?

           ปีศาจจิ้งจอกคิดแล้วก็ต้องเหยียดยิ้ม ส่งเสียงหวาน “เด็กน้อยจำข้ามิได้หรือ อย่าได้วิตกไป เป็นแบบนี้มิดีหรือ ถึงแม้ครานี้ต้องบาดเจ็บไปบ้างแต่เจ้าจำมิได้จริงๆรึว่าก่อนหน้านี้เจ้าได้ทำร้ายใครกัน”

           หย่าเหลียนนิ่งคิดถึงกลิ่นหอมหวานจากกระถางกำยาน ชุดน้ำชาเล็กๆถูกจัดวางอยู่กึ่งกลางโต๊ะ ภาพของต้าเซียนที่กำลังดื่มชาจอกแล้วจอกเล่า แต่มิทันไรสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด เพียงชั่วลัดนิ้วเขาก็สลบไปกองกับพื้น นางเดินเข้าไปใกล้หากแต่ถึงตอนนี้สติของนางก็ขาดหายไป รู้สึกตัวอีกทีตนก็อยู่ในห้องนอนพร้อมกับรอยแผลไหม้บนหัวไหล่แล้ว

           “เจ้าคิดรึว่า เด็กน้อยอย่างเจ้ามีความสามารถทำร้ายท่านมหาเทพได้อย่างนั้นรึ ลองคิดดูให้ดี หากเป็นข้าที่อยู่ในร่างเจ้า เจ้ายังคงสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ของข้าได้บางส่วน คิดอยากจะกระทำเรื่องใดก็ทำได้ตามที่เจ้าปรารถนา แม้กระทั่งเเย่งเซียวถิงฟงผู้นั้นมาเป็นของเจ้า”

           “ข้า ข้าทำได้จริงๆรึ” หย่าเหลียนกล่าวถามอย่างไม่มั่นใจ

           “หากเป็นข้ากับเจ้าย่อมทำได้แน่” มุมปากของจิ้งจอกเหม่ยซิน ประดับด้วยรอยยิ้มอำมหิต เซียวถิงฟงมิใช่เหยื่อชั้นเลว เขาจัดได้ว่าเป็นเหยื่อชั้นยอดเลยทีเดียว ยิ่งครั้งที่ได้พบเจอคราแรก กลิ่นอายเทพอ่อนๆที่แผ่กำจายออกมา รวมถึงรูปร่างสมส่วน หน้าตาหล่อเหลากระตุ้นให้นางกระหายลิ้มรสยิ่งนัก

           “ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าจะเป็นพลังให้กับเจ้าเอง”

           ได้ฟังเช่นนั้นองค์หญิงหย่าเหลียนก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นางมีกำลังเป็นของตนแล้ว และตอนนี้นางมิสนใจว่านางจะเป็นเครื่องมือของใคร เพียงแค่ได้เซียวถิงฟงมา นางก็มิต้องการอะไรอีก

           “องค์หญิงเพค่ะ องค์รัชทายาททรงขอเข้าพบเพค่ะ” เสียงนางกำนัลผู้หนึ่งดังอยู่ที่หน้าประตูห้อง

           “ถึงคราวหน้าที่ของเจ้าแล้ว” ตอนนี้นางจะยอมอดทนเพื่อรอคอยโอกาสในครั้งต่อไป

           มาถึงตอนนี้ร่างขององค์หญิงหย่าเหลียนคล้ายกลับมาเป็นของเจ้าของเดิมอีก จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ลอยอยู่เหนือลม

           “จำไว้เจ้าคือข้าและข้าคือเจ้า พลังของข้าคือพลังของเจ้าเช่นกัน”
 

***************************************************
           

           เฟยหลงกลับมายังห้องพร้อมกับขวดยาสำหรับถอนพิษ เขาก้าวเข้าไปนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วเอื้อมมือไปเช็ดหยาดเหงื่อที่ไหลกลิ้งบนใบหน้าซีดขาว น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ตัวเขาเร่งรีบแทบตาย หากแต่ตอนนี้กลับบังเกิดความลังเลขึ้นมา

           จำได้ว่าเมื่อคราครั้งที่ตนได้ล่วงรู้ว่ามีหัวใจของมนุษย์ที่กำลังเติบโตอยู่ในกายของท่านมหาเทพนั้น ก็บังเกิดความรู้สึกดีใจอย่างที่สุด คล้ายว่าความหวังที่เคยมืดมิดกลับกลายเป็นสว่างไสว

           แต่มันจะเป็นไปได้หรือ สิ่งที่ไม่เคยมีแล้วจะมีได้อย่างไร

           หากแต่ว่ามันกลับเป็นไปแล้ว ซึ่งหลังจากที่ได้เห็นความทรงจำของเซียวถิงฟง เขาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าใจได้บางส่วน เป็นเพราะท่านมหาเทพหยิบยืมพลังไอเย็นจากมนุษย์เพื่อฟื้นฟูพลังเพื่อกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ หากแต่การกระทำดังกล่าวกลับให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง

           หัวใจครึ่งดวงของมนุษย์ผู้นี้กลับผูกติดไปกับร่างของท่านด้วย

           คล้ายเป็นความโชคดีประการหนึ่ง เขาเคยคิดเช่นนั้น เพียงรอให้หัวใจนั้นเติบโต ท่านมหาเทพก็จะเข้าใจถึงความรู้สึกของมนุษย์ เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกที่เขามีให้ แต่แล้วเขากลับต้องคิดทบทวนเสียใหม่

           ณ อุทยานชวีเจียง เขาที่เฝ้ามองท่านมหาเทพอยู่ห่างๆ กลับสังเกตเห็นถึงสีหน้าที่แม้แต่ตนเองก็มิเคยเห็น ท่านมหาเทพกำลังหวั่นไหว เขาถึงกับตกตะลึงวูบ ใจเสมือนจมดิ่งลงสู่ก้นเหว อีกทั้งสายตาคู่นั้นยังสื่ออารมณ์หลากหลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะคนผู้หนึ่ง

           ทว่าคนผู้นั้นกลับมิใช่เขา บังเกิดเป็นความอิจฉาริษยาพวยพุ่งในอก สังหรณ์ใจว่าสิ่งที่เคยคิดไว้อาจเป็นผลร้ายแก่เขา หัวใจในร่างของท่านมหาเทพนั้นมิได้แปรเปลี่ยนไปตามนายใหม่ หากแต่มันยังคงเป็นหัวใจดวงเดิม หัวใจที่คงอยู่เพื่อเซียวถิงฟง 
ซึ่งเขามิต้องการ มิต้องการให้เป็นเช่นนั้น หัวใจที่ไม่มีเขา เขาไม่มีวันยอม สู้เสียตัดไฟแต่ต้นลมเสียดีกว่า ในเมื่อหัวใจของท่านมหาเทพมิอาจมีเขาได้ คนอื่นก็ไม่อาจมีได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตกลงใจ มิอาจปล่อยให้หัวใจมนุษย์นี้อยู่สืบในร่างของท่านมหาเทพได้อีกต่อไป

           ช่วยหัวใจข้าด้วย...คำขอร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนสะท้อนก้องอยู่ในสมองของเฟยหลงอีกครั้ง เขาควรทำเช่นไรดี ทั้งๆที่เป็นเขาที่ให้จิ้งจอกเหม่ยซินหาหนทางทำลายหัวใจนี้เสีย แต่มาบัดนี้เขากลับเป็นฝ่ายที่จะทำลายแผนการนี้เสียเอง เฟยหลงนั่งครุ่นคิดอย่างหนักใจ ยิ่งเวลาผ่านไปนานแค่ไหนทางรอดของหัวใจดวงนี้ก็ยิ่งน้อยลง แต่แล้วชั่ววูบหนึ่งสายตาก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมแล้ว

           ทำไมเขาถึงไม่เคยนึกถึงวิธีนี้กัน? ริมฝีปากพลันยกยิ้ม เพลานี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นความคิดที่ฉุกละหุก แต่เขาก็ตัดสินใจกระทำมันโดยปราศจากความลังเล สองมือรวบร่างเล็กขึ้นตระกองกอด ทั้งยังกระชับวงแขนไว้อย่างแนบแน่น
“ต่อไปนี้ท่านจะไม่มีวันจากข้าไปไหนได้ ท่านจะเป็นของข้า เช่นเดียวกับที่ข้าก็เป็นของท่านเช่นกัน” เขายิ้มอย่างมีความสุขพลางลงมือกระทำบางสิ่ง

           .......................

           ...........

           ....

           ทิวทัศน์มืดครึ้มที่ไร้แสงจันทร์ ต้าเซียนเดินวนเวียนอยู่ในที่แห่งนี้มานานพอสมควร ครั้นเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นเพียงความมืด จวบจนชินสายตาก็แลเห็นดวงตาพยัคฆ์ที่จ้องมองมาด้วยสายตาแรงกล้า

           รอยยิ้มหยักขึ้นอย่างดีใจ เขารีบก้าวเข้าไป ทว่าจู่ๆร่างสูงกลับถอยห่างออกไป เห็นดังนั้นเขาก็รีบเดินเข้าใกล้ หากแต่ครานี้ชายหนุ่มกลับหันหลังให้ ทั้งยังเดินออกไปยังเส้นทางที่มีแสงสว่างเจิดจ้า

           “ถิงฟง” ต้าเซียนร้องเรียกทั้งยังวิ่งตาม กระนั้นฝีเท้าของร่างสูงก็มิได้หยุดลง จวบจนปลายทางเจ้าตัวก็หันกลับมามองอีกครั้ง หากแต่เขามิได้เข้าใจความหมายของสายตาคู่นั้น รู้เพียงว่าแค่เห็นก็เจ็บหนึบในอก

           มือน้อยเอื้อมหาใบหน้าคมคาย ปลายนิ้วยังมิทันได้สัมผัส ก็บังเกิดเป็นหมอกสีดำขึ้นบดบังร่างตรงหน้าไว้จนหมดสิ้น เขาปัดป่ายหมอกควันอย่างยากลำบาก แต่กลายเป็นว่าร่างของเซียวถิงฟงกลับบิดเบี้ยวกระจายตัวไปพร้อมกับหมอกควันนั้น เขาถึงกับตื่นตกใจรีบกอบกำหมอกดังกล่าวให้กลับมารวมตัวกันใหม่ หากแต่ความพยายามกลับมิเป็นผล

           ถิงฟงไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่อีกต่อไป หัวใจพลันว่างเปล่า บัดนี้ร่างของเซียวถิงฟงหายไปแล้ว ต้าเซียนจึงได้แต่ร้องเรียกชายหนุ่มอย่างมิหยุดหย่อน แม้ไม่มีเสียงใดตอบรับ เขาก็ยังโก่งคอร้องเรียกต่อไป จวบจนกระทั่งหยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาคู่งาม

           เป๋ง เป๋ง เป๋ง

           เสียงเคาะระฆังของเหล่ามหาดเล็กในวังหลวงดังกังวานขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าเข้ายามสามแล้ว เฟยหลงค่อยๆตื่นขึ้นจากการหลับใหลในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้รู้ว่าตนได้สูญเสียพลังไปมากเพียงใด แต่พอเห็นคนบนเตียงเริ่มขยับ เขาก็รีบคว้ากุมมือนั้นไว้ ใบหน้าน้อยที่เคยขาวซีดตอนนี้เริ่มกลับมามีสีเลือดขึ้นบ้างแล้ว แลไม่นานนักดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เลิกขึ้นทอประกายความเหนื่อยอ่อน

           “เป็นอย่างไรบ้าง” เฟยหลงกล่าวถาม

           เมื่อแสงเทียนส่องสว่างกระทบที่วงหน้า ต้าเซียนจึงขยับกายเล็กน้อย ยังผลให้อาการเจ็บแปลบแล่นริ้วขึ้นในอก รอจนทุเลาลงก็พบว่าลำคอแห้งผากจนมิอาจเปล่งเสียงได้ ดวงตาสีน้ำตาลกรอกไปมาอยู่รอบหนึ่งก็พบเพียงความมืด หากแต่สัมผัสบนมือได้บ่งบอกให้รู้ว่าตนมิได้อยู่ในความฝันอีกต่อไป นิ่งงันอยู่สักพักก็ฝืนเอี้ยวตัวคลายมือที่จับกุมให้แบออก

           เฟยหลงมองดูปลายนิ้วเรียวที่เขียนเป็นตัวอักษรอย่างตั้งใจ รอจนครบจบประโยค หัวใจก็ต้องสั่นสะท้าน รู้สึกราวกับกลืนก้อนสะอึก กระทั่งฝืนกล้ำกลืนมันจนหมด ก็พลิกฝ่ามือนั้นแล้วไล่เรียงอักษรลงไปทีละตัว

           “ข้ามิได้มีส่วนรู้เห็นกับปีศาจจิ้งจอก” เขาตอบคำถามที่เสียดแทงใจ ดวงตาคมกริบประสานเข้ากันกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน หากแต่ร่างน้อยมิอาจมองเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของเขาได้ “ท่านไม่เชื่อข้ารึ” เขาถามย้ำด้วยปลายนิ้วที่วาดเป็นตัวหนังสือบนฝ่ามือ

           ด้วยสัมผัสที่เย็นเฉียบรวมถึงกำลังที่แผ่วลงจากปลายนิ้ว ดูคล้ายเฟยหลงสูญเสียพลังไปหลายส่วน ต่อเมื่อรีบร้อนแนบกุมมือบริเวณอก ต้าเซียนก็ค่อยๆรู้สึกโล่งใจ ท้ายที่สุดหัวใจในร่างเขาถือเป็นสิ่งยืนยันว่าคนตรงหน้าได้ช่วยเขาเอาไว้จริง และหากคิดว่าปีศาจทุกตนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเฟยหลงทั้งหมดนั้น เขาก็ยืนยันได้ไม่เต็มปาก

           แดนปีศาจถือเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ซึ่งพิภพสวรรค์เองก็ทราบเรื่องนี้ แม้ตนจะรู้สึกระแวงแต่หากเมื่อคิดดูดีๆแล้วก็ออกจะเป็นการปรักปรำเฟยหลงจนเกินไป หากปีศาจจิ้งจอกเป็นสมุนของอีกฝ่ายจริง แล้วเหตุใดเฟยหลงจึงต้องช่วยเขาด้วยเล่า

           เฟยหลงหลุบตาลงต่ำ ด้วยเข้าใจว่าเรื่องนี้มิอาจทำให้ท่านมหาเทพเชื่อได้ง่ายๆ เนื่องเพราะตนคือจอมมารแห่งแดนปีศาจ เขาทอดถอนหายใจช้าๆแล้วค่อยๆปละปล่อยมือที่กุมไว้ แต่แล้วพริบตานั้นปลายนิ้วของร่างน้อยกลับสัมผัสที่มือเขา ยังผลให้ดวงตาทอประกายวูบ

           “ท่านนอนพักเถิด อีกไม่กี่ชั่วยามท่านก็จะดีขึ้น” เขากล่าวน้ำเสียงดีใจ ทั้งยังรีบเหน็บผ้านวมให้อย่างกระตือรือร้น จากนั้นก้มตัวลงจุมพิตที่เปลือกตาบาง ยังผลให้ดวงตาของต้าเซียนปิดหลงอีกครั้งด้วยมนตร์นิทรา

           “ข้าสัญญา ครั้งนี้จะเป็นครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะทำร้ายท่านเช่นนี้ นับจากนี้ไปข้าจะไม่มีวันทำร้ายท่านอีก ท่านมหาเทพ” เฟยหลงลั่นคำสัตย์สาบาน เขาจะดูแลปกป้องและไม่มีวันพรากจากร่างน้อยอีกเป็นหนที่สอง
           

*****************************************
           
 
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 17.2 แผนร้าย 03/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 03-11-2015 20:40:12
บทที่ 17.2 แผนร้าย


          ในเวลาฟ้าสางเซียวถิงฟงพึ่งตื่นจากการอาการนั่งสัปหงกบนเตียง ผ้านวมที่ได้มาจากการถูกกลั่นแกล้งยังคงถูกกอดก่ายภายใต้ร่าง เขาสะบัดหน้าไล่อาการง่วงงันออกไปคราหนึ่งก็พบว่าภายในห้องอันเงียบเชียบยังคงหามีวี่แววของเจ้าของห้องไม่...เหตุใดต้าเซียนจึงยังไม่กลับมา

           ว่าแล้วร่างสูงผุดลุกขึ้นอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อวานต้าเซียนโผทะยานออกจากจวนไปโดยมิได้บอกกล่าว ตอนนั้นเขาแทบจะถลันตามไปแล้ว หากแต่สายตากลับสะดุดเข้ากับลูกธนูที่ถูกโยนทิ้งไว้พร้อมกับจดหมาย ที่ซึ่งระบุถึงนามของคนผู้หนึ่ง...องค์หญิงหย่าเหลียน

           ชายหนุ่มมิทราบว่าเหตุใดนางต้องการพบร่างน้อย และมาตรว่าจะสงสัยมากเท่าใดก็มิอาจไปสอบถามนางได้ด้วยตนเอง เพราะแม้กระทั่งวังหลวงตอนนี้เขาก็มิอาจเข้าไปได้

           “ข้ารอไม่ไหวแล้ว” เซิยวถิงฟงตะโกนก้องแล้วพรวดพราดควบม้าขาวพันธุ์ดีมุ่งหน้าไปยังวังหลวง

           เมื่อวานหลังจากที่ต้าเซียนออกไป เขาก็มุ่งหน้าไปที่หน้าประตูวังหลวง ติดสินบนทหารนายหนึ่งเพื่อนำสาสน์ไปมอบให้แก่องค์รัชทายาท รอจนหนึ่งชั่วยามต่อมา ขันทีน้อยเสี่ยวลู่ก็ออกมาแจ้งว่า พระองค์ได้เสด็จไปที่จวนขององค์หญิงแล้ว หากแต่นางกลับปฏิเสธว่าคนมิได้มาหานาง ครั้นพระองค์ตรวจสอบทหารที่เฝ้าประตูวังหลวงก็ไม่พบร่องรอยใดๆของต้าเซียน ท้ายที่สุดพระองค์จึงได้แต่กำชับให้เขากลับไปรอที่จวน และเพื่อมิให้เรื่องราวบานปลายเขาจึงจำใจต้องทำตามจนกระทั่งเพลานี้

           เมื่อควบม้ามาจนถึงหน้าประตูทางเข้าของวังหลวง ขันทีน้อยเสี่ยวลู่ที่มายืนรอตนอยู่ก่อนแล้ว เขารีบลงจากหลังม้าพลางกล่าวถามด้วยท่าทีร้อนใจ “เจอต้าเซียนแล้วรึยัง”

           ด้านเสี่ยวลู่ก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่านรองแม่ทัพถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว จึงพลันอึกอักเล็กน้อยก่อนตอบคำ “ยังมิเจอขอรับท่านรองแม่ทัพเซียว องค์รัชทายาททราบว่าท่านรองแม่ทัพเซียวร้อนใจ จึงให้ข้าน้อยมารอท่าน ตอนนี้พระองค์รออยู่ด้านในแล้ว” เสี่ยวลู่กล่าวพลางนำทางให้

           ที่เก๋งหกเหลี่ยมในวนอุทยานหลวงซวนหยวนหมิงไท่ในชุดเต็มยศสีขาวปักดิ้นทอง ศีรษะประดับด้วยหมวกที่มีแผงลูกปัดกล่าวน้ำเสียงเข้มเมื่อเห็นสหายก้าวเข้ามาด้วยท่าทีร้อนใจ “ฟังข้าให้ดีเซียวถิงฟง นับแต่นี้อย่าได้กระทำการใดหุนหันพลันแล่น ตอนนี้ทั้งไป๋เซ่อ ถิงถิงกำลังออกตามหาต้าเซียนอยู่”

           ประโยคดังกล่าวคล้ายบอกแก่เขาว่าเพลานี้ต้าเซียนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ ทำเอาเขาถึงกับทรุดนั่งเก้าอี้พลางกุมขมับ

           “เจ้าอย่าพึ่งคิดมากไป จะอย่างไรไป๋เซ่อก็เคยติดตามต้าเซียนมาก่อน ไม่ช้าหรือเร็วต้องได้ข่าวคราวแน่” องค์รัชทายาทกล่าวปลอบสหาย

           “ข้าควรทำเช่นไรดี” เซียวถิงฟงถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

           เมื่อเห็นว่าคำปลอบมิได้ช่วยเยียวยาอีกฝ่ายได้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ทอดถอนใจก่อนกล่าวเสริม “เจ้าไปหาหย่าเหลียนซะ มิแน่ว่านางคงยอมบอกความจริงเจ้าบางส่วน”

           “ท่านหมายความว่าอย่างไร” เขาเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย

           “เมื่อวานท่าทีของนางบ่ายเบี่ยงมิยอมคำถามข้านัก” นึกถึงท่าทีของหย่าเหลียนครั้นเมื่อไต่ถามถึงต้าเซียน องค์รัชทายาทก็ทรงขมวดคิ้ว

           “ข้าสามารถสอบถามด้วยตัวเองได้รึ” เซียวถิงฟงถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ด้วยรู้ว่าหากทำแบบนี้เรื่องราวอาจจะยิ่งบานปลาย ตระกูลเซิงก็จะยิ่งตีปีกยกใหญ่

           “เจ้าไปเถิด หากเกิดเรื่องกับต้าเซียนจริง ช่วยคนย่อมสำคัญกว่า” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มตอบ

           “ข้า…ขอโทษ” ด้วยรู้ว่าองค์รัชทายาทลำบากใจ เซียวถิงฟงก็อดที่จะละอายมิได้

           “ช่างเถิด ถือว่าเจ้าติดค้างข้าคราหนึ่งละกัน” รัชทายาทหนุ่มกล่าวติดตลก ทั้งยังตบที่หลังสหายสนิทเบาๆ “ข้าต้องไปประชุมกับเหล่าขุนนางแล้ว และหากไป๋เซ่อกับถิงถิงทราบข่าวคราว ทั้งสองจะตรงไปยังเรือนพฤกษา” กล่าวจบซวนหยวนหมิงไท่ก็จากไปพร้อมกับกลุ่มขันทีและเหล่าองครักษ์ ส่วนเซียวถิงฟงก็มุ่งหน้าเพื่อตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

           จวบจนมาถึงยังตำหนักลุ่ยหวา นางกำนัลเว่ยก็ออกมาต้อนรับพร้อมนำทางตนเข้าสู่ภายในตำหนัก ระหว่างทางก็สังเกตเห็นดอกโบตั๋นที่หย่าเหลียนปลูกไว้สมัยยังเด็ก แลข้าวของต่างๆยังคงเก็บวางไว้ที่เดิม ดูไปตลอดสามปีที่ตนมิได้ย่างกรายมาที่นี้ คล้ายว่าสถานที่แห่งนี้มิเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก กระทั่งในที่สุดก็ถูกพามาถึงโถงรับแขก ด้านในมีองค์หญิงหย่าเหลียนในชุดขาวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

           “พี่ถิงฟง” นางร้องเรียกอย่างดีใจ

           “สบายดีรึไม่” เซียวถิงฟงยิ้มตอบน้อยๆ องค์หญิงหย่าเหลียนเองก็พยักหน้าตอบอย่างจริงจัง ทว่าใบหน้าสดใสกลับระคนไปด้วยขาวซีด

           “ดี ดีอย่างยิ่ง” นางกล่าวตอบพลางกระตือรือร้นรินชาใส่ถ้วยพลางยื่นให้ชายหนุ่ม

           เซียวถิงฟงรับมาแต่มิได้ดื่ม ทั้งยังเอาแต่นั่งมองชาในถ้วยอย่างเงียบงันก่อนถามขึ้น “หย่าเหลียน เมื่อวานนี้เพลาใกล้พระอาทิตย์ตก ต้าเซียนได้มาหาเจ้ารึไม่” เขากลั้นใจถาม ใจหนึ่งรู้สึกเหมือนเข้าหน้านางไม่ติด

           รอยยิ้มพลันชะงักค้าง นางกล่าวน้ำเสียงดุ “ท่านมาด้วยเหตุผลนี้เองรึ หากเป็นนางล่ะก็ ข้ามิได้พบเห็น เมื่อวานข้าก็ได้แจ้งแก่องค์รัชทายาทไปแล้ว ท่านเองก็คงจะทราบจากเสด็จพี่แล้วกระมัง” เป็นเพราะต้าเซียนกระนั้นหรือเขาจึงได้คิดเหยียบย่างเข้ามาที่นี่

           “เช่นนั้นเจ้าให้คนส่งจดหมายหาเขาทำไม” เซียวถิงฟงกล่าวถามอย่างสงสัย ดวงตาคมเค้นหาคำตอบ

           หย่าเหลียนที่เผลอสบสายตาดั่งเช่นพยัคฆ์ร้ายก็บังเกิดอาการคุกรุ่นในใจ “ข้าเพียงอยากรู้จักกับนาง ถึงแม้ข้าจะให้คนส่งจดหมายจริงๆ แต่นางก็มิได้มาที่นี่”

           “ไม่ได้มาแน่รึ” เขาถามซ้ำทั้งใช้สายตาจ้องนางอย่างจริงจัง ชั่วครู่หย่าเหลียนที่สบตาเขากลับหลุบตาลง มือทั้งสองประสานกันแน่น “ข้ารู้ เวลาเจ้าโกหกมักหลบตาข้า ทั้งยังกุมมือตัวเองแน่น”

           ฟังแล้วหย่าเหลียนก็ต้องรีบคลายมือออก กระนั้นก็ยังมิกล้าสู้สายตาชายหนุ่มได้ ทั้งยังไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ “โอ๊ย” จู่ๆอาการบีบเกร็งที่หัวไหล่ก็ปรากฏขึ้น นางกุมที่หัวไหล่พลางร้องลั่นไปด้วยความเจ็บปวด

           เซียวถิงฟงถึงกับตกใจรีบปราดเข้าไปดูอาการ แล้วจึงแลเห็นรอยเลือดที่ย้อมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ให้เป็นสีแดงฉานที่บริเวณหัวไหล่มน “ต้องเรียกหมอหลวง” 

           ขณะที่ร่างสูงผละตัวออก หย่าเหลียนก็รีบรั้งมือเขาไว้ สมองพลันขบคิดแผนการหนึ่งขึ้นได้อย่างฉุกละหุก “ไม่ได้” นางกล่าวปราม

           “เหตุใดจึงมิได้”

           “.......”

           นางมิได้ตอบแต่กลับขยับริมฝีปากแทน เป็นคำสองคำที่นางเอ่ยออกมาจนทำให้เขาต้องตกตะลึงวูบ “ต้าเซียน” ดวงตาสีดำถึงกลับเบิกกว้างอย่างมิอยากจะเชื่อ “เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าแผลนี้...เป็นเขา” เซียวถิงฟงแทบกล่าวออกมาไม่เป็นประโยค ทว่าองค์หญิงหย่าเหลียนกลับพยักหน้าย้ำเป็นเชิงตอบรับ

           “ขอข้าดูบาดแผลเจ้าหน่อย” เขาไม่เชื่อนอกจากจะได้เห็นกับตา

           หย่าเหลียนได้ยินแล้วต้องตกใจ นางพยายามเอี้ยวตัวหนี แต่เซียวถิงฟงกลับจับข้อมือนางไว้แน่น รอจนนางรู้ว่ามิอาจทัดทานได้ ก็ยินยอมเปิดสาบเสื้อที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงฉานออกอย่างเบามือ

           คล้ายร่างต้องอสนีบาต ที่หัวไหล่มนกลับปรากฏรอยไหม้บนผิวหนังบอบบาง มาตรว่ารอยแผลไม่กินบริเวณกว้าง แต่ก็ดูสาหัสสากรรจ์ยิ่ง หนำซ้ำมันยังเป็นรอยไหม้เฉกเช่นเดียวกับตำราพิชัยยุทธ์ของเขา ต้าเซียนเคยใช้อิทธิฤทธิ์นี้ เขาจำได้ดี
ความสับสนคับคั่งอยู่ในอก เขาก้มหน้าลงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นแล้วต้าเซียนไปไหน”

           “ข้าเองก็ไม่รู้ นางเข้ามาในตำหนัก ไม่กล่าววาจากระไรก็ลงมือ หลังจากนั้นข้าก็หมดสติไป พอตื่นขึ้นมานางก็ไม่อยู่เสียแล้ว” หย่าเหลียนกล่าวโป้ปด ดีที่เซียวถิงฟงมิได้มองนางอยู่

           เซียวถิงฟงถึงกับเงียบงันไปชั่วขณะ เรื่องราวดูเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้

           “พี่ถิงฟง”

           “ข้าจะทำแผลให้เจ้า” เมื่อคืนสติอีกครั้งเขาก็กล่าวเสียงเรียบก่อนลงมือจัดการรักษาบาดแผลอย่างถูกวิธี ด้านองค์หญิงหย่าเหลียนก็เพียงนั่งมองชายหนุ่มที่กำลังรักษาตนเองนิ่ง

           ครั้นจัดการกับบาดแผลจนแล้วเสร็จ เซียวถิงฟงก็หยิบขวดยาจากอกเสื้อ นำมาวางไว้ในมือของหย่าเหลียน “บัวหิมะพันปีขวดนี้จะช่วยรอยแผลของเจ้าดีขึ้นในเร็ววัน จำไว้อย่าให้แผลโดนน้ำ และให้ทามันติดต่อจนครบสิบวัน หากมีไข้จงให้หมอหลวงต้มยาลดไข้ซะ”

           หย่าเหลียนรับฟังจนรู้สึกตื้นตัน รู้สึกได้จริงๆว่าเขาเป็นห่วงนางจากใจจริง ฉับพลันนั้นนางก็โถมกายเข้ากอดชายหนุ่มผู้อบอุ่นไว้แน่น ร่างสูงถึงกับชะงักตัวนิ่งไป สักพักจึงดึงตัวนางออกอย่างเบามือ

           “ข้าต้องไปแล้ว แล้วข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่” เซียวถิงฟงตอบพลางหมุนกายจากไป เขามีเรื่องที่ต้องหาคำตอบ หากมิได้คำตอบเขาคงต้องเป็นบ้าแน่

           แม้อยากจะร้องห้าม แต่นางก็ข่มใจไม่ร้องออกไป เพราะนางยุแยงสำเร็จแล้ว เซียวถิงฟงกำลังฟุ้งซ่านและอีกไม่นานก็คงจะเข้าใจต้าเซียนผิดไปเอง นางมองชายหนุ่มที่ค่อยๆหายลับไปจากตำหนัก ไม่นานนักเสียงทุ้มแหลมก็ดังออกมา

           “ทำได้ดีนี่”

           เป็นจิ้งจอกเหม่ยซินที่กล่าวอย่างชื่นชม องค์หญิงหย่าเหลียนจึงยกยิ้มที่มุมปาก ต่อจากนี้ไปหัวใจของเซียวถิงฟงจะไม่มีวันมีต้าเซียนอีกเป็นอันขาด เพราะนางจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองลงซะ


*******************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 17 แผนร้าย 03/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 03-11-2015 21:45:19
กลัวดราม่าจัดหนักจัง
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 18.1 เข้าใจผิด 04/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 04-11-2015 20:39:51
บทที่ 18.1 เข้าใจผิด


           ท้องฟ้าในวันนี้ดูไม่สดใสนัก เฉกเช่นเดียวกับใจของไป๋เซ่อเองเช่นกัน ขณะนี้มันกำลังเลื้อยวนไปเวียนมาอยู่ที่ด้านหน้าตำหนักสูงใหญ่ แลไม่นานนักผู้มาใหม่ในร่างแมวก็กระโดดลงมาจากต้นไม้

           “เป็นที่นี่รึ” ถิงถิงถาม ทั้งนางและไป๋เซ่อออกตามหาต้าเซียนไปจนทั่วแล้วแต่ก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ หลงเหลือเพียงตำหนักเตี้ยนชิงแห่งนี้ที่ยังคงมิได้ตรวจสอบ

           ไป๋เซ่อมองดูอย่างหนักใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตำหนักเบื้องหน้านี้เป็นของผู้ใด เนื่องเพราะคลื่นพลังสีน้ำเงินที่แผ่ปกคลุมไปทั่วตำหนักเช่นนี้ เห็นจะมีแต่จอมมารเฟยหลงเท่านั้นที่ทำได้

           ครั้นเห็นสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดอยู่ส่วนหนึ่งของไป๋เซ่อ ถิงถิงก็ไม่รอคำตอบ มุดเข้าไปในพุ่มไม้ของตำหนัก แลไม่นานนักไป๋เซ่อก็ขู่ฟ่อพลางเลื้อยตัวนำหน้านางไปอย่างรวดเร็ว

           กลิ่นดอกบัวอ่อนๆลอยตามกระแสลม ไป๋เซ่อตระหนักแล้วว่าตนมาไม่ผิดที่ แต่กระนั้นทำไมท่านมหาเทพจึงมาอยู่ที่นี่? ทำไมร่องรอยของท่านจึงหายไป?

           “เหตุใดที่นี่จึงเงียบนัก แล้วยังท่าทีขององครักษ์ที่ดูเซื่องซึมพวกนี้อีก” มองดูทีท่าแปลกๆของเหล่าองครักษ์ ถิงถิงก็อดสงสัยมิได้ พวกเขาเหล่านี้คล้ายคนไม่มีสติ ทั้งยังดูซึมเซาชอบกล

           “เป็นมนตร์สะกดใจ คนที่โดนมนตร์นี้จะไม่มีสติและจะกระทำตามคำสั่งของผู้ร่ายมนตร์โดยที่มิอาจจดจำเรื่องราวใดได้” กล่าวอธิบายพลางเลื้อยตัวมาจนถึงห้องๆหนึ่งก็หยุดตัวลง กลิ่นอายเทพบริสุทธิ์ส่งกลิ่นมาจากภายใน ไป๋เซ่อจึงเริ่มเปิดผนึกเนตรทิพย์สำรวจมองห้องๆนั้น

           ภายในห้องถูกประดับตกแต่งด้วยของล้ำค่า ไม่ว่าจะภาพเขียนมีฝีมือ แจกันล้ำค่า แม้กระทั่งตั่งตู้เตียงก็ยังทำมาจากไม้แกะสลักชั้นดี ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกวาดมองไปทั่วห้องจวบจนสะดุดเข้ากับร่างที่ไม่ได้สติก

           “ท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่ออุทานอย่างตกใจ เนื่องเพราะใบหน้าของท่านมหาเทพนั้นขาวซีด ทั้งยังดูอ่อนกำลังคล้ายได้รับอาการบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด

           มิได้การแล้ว จะปล่อยให้ท่านมหาเทพอยู่ที่นี่แม้แต่เพลาเดียวมิได้

           “เกิดอะไรขึ้น เขาอยู่ในนี้หรือ” ถิงถิงพลอยร้อนรนถามขึ้น แต่ไป๋เซ่อเสกมนตร์ให้ประตูเปิดออกแล้ว โชคดีที่จอมมารเฟยหลงมิได้อยู่ตอนนี้ พวกมันจึงเข้าไปได้โดยสะดวก

           “ท่านมหาเทพ ท่านเป็นอะไรมากรึไม่” มันร้องเรียกอย่างเป็นห่วง ทว่าคนบนเตียงกลับยังนอนนิ่งมิได้รู้ตัว ไป๋เซ่อเห็นท่าไม่ดีก็รีบเลื้อยตัวเข้าไปใกล้ขอบเตียง แต่พริบตานั้นแสงๆหนึ่งก็พุ่งตรงเข้าขัดขวาง

           “เมี้ยว” ถิงถิงที่ตามหลังมาติดๆถึงกับร้องตกใจ

           ด้านไป๋เซ่อก็มิมีเวลาให้พะวงมากนัก จึงหมุนตัวเข้ากำบังถิงถิงไว้ ฉับพลันนั้นร่างก็แปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีเขียว แสงดังกล่าวเองก็เริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างก่อนจะกระแทกพวกเขาเข้าอย่างจัง

           ร่างพลันถูกเหวี่ยงออกไปจากนอกห้องพร้อมๆกับสองมือที่กอดเเมวตัวน้อยเอาไว้ ด้านเหล่าทหารที่เคยนั่งเซื่องซึมมาบัดนี้ได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว พวกเขาต่างก็พากันยืนล้อมผู้บุกรุกอย่างแข็งขัน ในมือพร้อมด้วยทวนอาวุธคนละอัน

           “เมี้ยว” เห็นสถานการณ์คับขันอีกทั้งไป๋เซ่อที่ทรุดเข่าย่อกายไถลไปกับพื้นแล้วยังคงแล้วไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ถิงถิงก็รีบร้องเรียก

           ไม่นานนักดวงหน้าเล็กก็เงยขึ้น เผยให้เห็นดวงตาเรียวที่มีประกายไฟ ไป๋เซ่อหยัดกายลุกขึ้นอย่างแช่มช้า นิ้วชี้ไปทางร่างแกร่งที่ยืนขวางทางไว้  เอ่ยน้ำเสียงกัดฟัน “เฟยหลง เจ้ากล้าทำร้ายท่านมหาเทพเชียวรึ”

           ผู้ถูกเอ่ยนามถึงกับขมวดคิ้ว ดวงตาดุจดั่งพญาอินทรีถลึงมองไป๋เซ่ออย่างดุดัน “ข้ารึ ทำร้ายท่านมหาเทพ ไป๋เซ่อเจ้ารู้ดี ข้าไม่มีวันทำร้ายท่านได้ ถ้าหากเจ้ายังคงส่งเสียงโวยวายอยู่เช่นนี้ข้าคงต้องลงมือ” สิ้นน้ำเสียงดังกังวานก็หมุนกายกลับเข้าห้องอย่างมิใส่ใจ

           “หึ” ไป๋เซ่อแค่นเสียงในลำคอ เห็นคนที่กลับเข้าห้องไปโดยง่ายก็บังเกิดเป็นความไม่พอใจ แต่จะอย่างไรท่านมหาเทพก็ตกอยู่ในกำมือของเฟยหลง เรื่องนี้เขาไม่ควรผลีผลามควรหาหนทางช่วยก่อน

           ทว่าเพลานี้ทหารองครักษ์ต่างยืนโอบล้อมรอบตัวพวกเขาไว้ บางคนยังส่งสายตาเย้ยหยันเขาที่ตอนนี้อุ้มไว้ด้วยแมวสาวตัวสีดำ แลขณะที่ชำเลืองมองไปรอบๆ องครักษ์นายหนึ่งก็พุ่งเอาทวนเข้าใส่แล้ว

           ไป๋เซ่อเพียงใช้มือหนึ่งจับยึดด้ามทวนนั้นไว้พลางวาดปลายเท้าเข้าใส่ลำคอองครักษ์ที่กำลังมีสีหน้าฉงน พริบตานั้นทวนก็ตกอยู่ในมือเขา ส่วนองครักษ์ผู้นั้นกลับล้มไม่ได้สติ

           องครักษ์คนอื่นๆเห็นดังนั้นก็มองหน้ากันคราหนึ่งก่อนที่จะพากันกลุ้มรุมเข้าใส่ผู้บุกรุกพร้อมกัน ถิงถิงในร่างแมวถึงกับหลับตาปี๋ ด้านไป๋เซ่อก็หมุนตัวสะบัดทวนเข้าใส่ลำตัวขององครักษ์ทีละนายๆอย่างไม่เปิดช่องว่าง ไม่นานนักคนเหล่านี้ก็ต้องยืนนิ่งไม่ไหวติง

           “จะสู้กับข้า ไปตายแล้วเกิดใหม่ก่อนเถิด” ผู้บุกรุกในชุดเขียวตะโกนก้องไปทั่วตำหนักอย่างมีโทสะ จากนั้นทั้งคนทั้งแมวต่างก็กระโดดข้ามผ่านกำแพงตำหนักหายลับไป ทิ้งไว้ให้เหล่าองครักษ์ยืนแน่นิ่งดั่งหุ่นฟาง หากมิใช่เพราะเหงื่อชโลมกาย พวกเขาคงเหมือนหุ่นฟางจริงๆก็เป็นได้

           ไป๋เซ่อลอยตัวไปยังเรือนพฤกษา สถานที่ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไผ่แน่นขนัด ที่นั่นมีบุรุษผู้หนึ่งเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ครั้นเมื่อเห็นพวกเขา สายตาของชายผู้นี้ก็เกิดทอประกายวูบอย่างมีความหวัง

           “ไป๋เซ่อ” เซียวถิงฟงตะโกนลั่นเมื่อเห็นเงาร่างสีเขียวมาแต่ไกล

           “........” ทว่าไป๋เซ่อมิได้ตอบ มีเพียงสีหน้าที่แฝงแววเครียดเขม็ง เขาลอยตัวลงสู่พื้น จากนั้นก้มลงปล่อยแมวในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อปลายเท้าของถิงถิงสัมผัสพื้นอีกครั้ง นางก็คืนร่างกลับเป็นมนุษย์ สีหน้าดูเคร่งเครียดไม่แพ้ไป๋เซ่อเช่นกัน
เซียวถิงฟงสังเกตได้ก็รีบซักไซ้ ด้วยสังหรณ์ใจว่าคงเกิดเรื่องไม่ดี“เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวคราวของต้าเซียนรึไม่”

           “เขาอยู่ที่ตำหนักของเตี้ยนชิง ตำหนักขององค์ชายหย่าเซิง” เป็นถิงถิงที่กล่าวตอบแทนไป๋เซ่อที่มีท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก

           “ทำไมจึงอยู่ที่นั่น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับต้าเซียนรึไม่ เหตุใดเขาถึงไม่มาด้วยเล่า” เซียวถิงฟงโวยวายเป็นชุด

           “นายน้อย ดูเหมือนว่าต้าเซียนจะมิได้สติ หากไม่เป็นเพราะจอมมารเฟยหลงเข้ามาขัดขวางเสียก่อน พวกเราคงนำตัวเขากลับมาที่นี่แล้ว” ถิงถิงพูดเสียงอ่อย แต่แล้วใบหน้าของผู้เป็นนายก็พลันเปลี่ยนเป็นอึมครึม ทั้งยังสาวเท้าเดินออกจากเรือนพฤกษาไปอย่างรีบร้อน พลอยทำให้นางลนลานไปด้วย “เดี๋ยว นายน้อยจะไปไหน” 

           “ตำหนักเตี้ยนชิง” เซียวถิงฟงกล่าวสั้นๆ มิคิดหยุดฝีเท้าแม้แต่น้อย

           ได้ยินเช่นนั้นนางก็รีบปราดตัวมาดักที่ด้านหน้าไว้ “นายน้อย ท่านจะบ้าหรือ ท่านควรรอองค์รัชทายาทกลับมาแล้วค่อยปรึกษากันก่อน”

           “ต้าเซียนไม่ได้สติ หากยังรออยู่เกรงว่าไม่ทันการ” เขาไม่แยแสคนปราม องค์รัชทายาททรงติดประชุมอยู่กับเหล่าขุนนาง กว่าจะแล้วเสร็จก็กินเพลาราวหนึ่งชั่วยามได้ ซึ่งเขาทนรอขนาดนั้นมิได้

           เมื่อทัดทานมิสำเร็จ ถิงถิงก็ลุกลี้ลุกลนหันไปหาตัวช่วย “เจ้าก็พูดอะไรบ้างสิ ไป๋เซ่อ” นางเขย่าแขนของไป๋เซ่อที่ยังคงเงียบงันอย่างเต็มแรง

           การกระทำดังกล่าวทำให้ไป๋เซ่อกลับคืนสติอีกครั้ง เขาร้องทักคนที่ใจร้อน “ช้าก่อน” ครานี้เซียวถิงฟงชะงักฝีเท้าลงแล้ว ถิงถิงเองก็มองไป๋เซ่ออย่างมีความหวัง แต่ทว่าไป๋เซ่อกลับกล่าวตอบ “ข้าไปด้วย” 

           ถิงถิงถึงกลับปละปล่อยแขนของไป๋เซ่อโดยแรง นางให้กล่าวห้ามมิใช่ให้ยุยงเสียหน่อย ท้ายที่สุดจึงได้แต่มองคนทั้งสองตะบึงฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักเตี้ยนชิงอย่างกังวลใจ นางมิอาจตามไปได้ เพราะถ้าหากนางไป ก็จะไม่มีคนคอยส่งข่าวให้กับองค์รัชทายาทอีก ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่ภาวนาขอให้พวกเขาปลอดภัยและขอให้องค์รัชทายาทกลับมาโดยเร็ว


************************************************


           เฟยหลงหยิบผ้าสะอาดซึ่งถูกซับด้วยน้ำค้างบริสุทธิ์ ก่อนบรรจงเช็ดใบหน้าที่ยังคงหลับใหลอย่างละมุนละไม สีหน้าระหว่างนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข จวบจนออกจากห้องสีหน้าก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นรำคาญใจ

           เป็นเพราะเหล่าองครักษ์ถูกสกัดจุดไว้จนยืนนิ่งดั่งตอไม้ นี่นับว่าเป็นนิสัยของไป๋เซ่อโดยแท้ แม้ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ก็ยังอุตส่าห์สร้างภาระให้เขาต้องตามเก็บกวาดภายหลัง ดีที่ตนกลับมาทัน มิเช่นนั้นหากช้าไปกว่านี้ร่างที่หลับใหลนี้คงต้องถูกพาตัวไปเป็นแน่

           เมื่อการคลายจุดสิ้นสุดลง เหล่าองครักษ์ก็กลับมาเซื่องซึมอีกครั้ง พวกเขาต่างเดินช้าๆนำพาตัวเองไปยืนตามจุดต่างๆเช่นดังเดิม แต่ในขณะที่กำลังเตรียมกลับเข้าห้อง ร่างก็พลันชะงักหยุด รู้สึกถึงรังสีอาฆาตที่ใกล้เข้ามาจากคนผู้หนึ่ง

           “รนหาที่ตายโดยเเท้” เฟยหลงเหยียดยิ้มพลางคิด ก็ดีมิต้องเปลืองแรงไปหา เจ้ากลับเดินมาหาที่ตายเสียเอง

           “ข้าจะตายรึไม่ มิใช่เรื่องที่เจ้าตัดสิน” เซียวถิงฟงตะโกนก้อง ทั้งยังก้าวเข้าด้านในของตำหนักเตี้ยนชิงอย่างไม่เกรงกลัว

           “หึ เช่นนั้นแล้วผู้ใดตัดสิน”

           “เป็นข้าตัดสินเอง”

           ครานี้เฟยหลงแหงนหน้าขึ้นหัวเราะ ด้วยมิใช่น้ำเสียงเย้ยหยัน ทั้งยิ่งมิใช่น้ำเสียงเบิกบาน หากแต่เป็นน้ำเสียงประชด เมื่อสิ้นเสียงลงทั่วทั้งบริเวณก็พลันเงียบกริบ รังสีฟาดฟันเริ่มเด่นชัด ประกายแสงทอวาบในแววตา ผู้หนึ่งเด็ดเดี่ยวเฉกเช่นพยัคฆ์ร้าย อีกผู้หนึ่งคมกล้าดั่งพญาอินทรี ทั้งสองต่างจ้องมองกันด้วยหมายให้ตกตายกันไปข้างหนึ่ง

           ในอีกด้านหนึ่งไป๋เซ่อที่ซุ่มมองอยู่ไกลก็รีบเลื้อยตัวเข้าไปในพุ่มไม้อย่างเงียบเชียบ ดูว่าจอมมารเฟยหลงหันเหความสนใจไปกับการต่อปากต่อคำกับเซียวถิงฟงจนลืมท่านมหาเทพไปชั่วขณะ ดังนั้นตนต้องลอบเข้าไปช่วยท่านมหาเทพให้เร็วที่สุด

           “ส่งตัวต้าเซียนมาให้ข้า” เซียวถิงฟงตวาด

           “ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถรึไม่” เฟยหลงสวนตอบ บัดนี้ในมือหนึ่งปรากฏด้วยดาบสีทองอันมีเอกลักษณ์ ปลายด้ามห้อยไว้ด้วยพู่สีแดง

           รอจนดาบถูกยกขึ้นต้องประกายแสง อารมณ์ที่เคยร้อนรนดั่งไฟของก็พลันสงบลงอย่างน่าประหลาด เซียวถิงฟงตั้งกระบวนท่ารับ

           “เจ้ามีคำสั่งเสียสุดท้ายรึไม่” มุมปากของเฟยหลงประดับด้วยรอยยิ้ม หากแต่เซียวถิงฟงก็ยิ้มแล้วโต้กลับ

           “แล้วเจ้าล่ะ มีคำสั่งเสียสุดท้ายรึไม่”

           “เฮอะ” เฟยหลงสบถในลำคอ มนุษย์ผู้นี้ช่างไม่เจียมตัวสักนิด

           จู่ๆร่างของคู่มือก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา กระนั้นเซียวถิงฟงก็มิได้ตื่นตระหนก ทั้งยังมีสมาธิจดจ่อ แลทุกโสตประสาทก็ใช้ออกจนหมดสิ้น

           แคร้ง ดาบพาดอยู่ใกล้ลำคอ เพียงอีกสองหุนคมดาบสีทองนี้ก็จะเชือดเฉือนที่ลำคอของเขาแล้ว หากแต่ยังคงมีพัดเหล็กสีดำ เข้าสกัดกั้นคมกระบี่ไว้ได้อย่างทันท่วงที

           เป็นเซียวถิงฟงที่จับแรงผันผวนของอากาศ มือตวัดพัดเหล็กที่เหน็บไว้กับผ้าคาดเอวที่ด้านหลัง จวบจนพัดตีวงโค้งขึ้นก็คว้าหมับขึ้นสกัดคมดาบไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้เพลานี้ทั้งสองต่างประจันหน้ากันอย่างดุเดือด รอไม่นานนักทั้งคู่ก็ผลักดันอาวุธเข้าใส่ เกิดเป็นแรงผลักให้ต่างฝ่ายต่างถอยหลังออกมาคนละสองก้าว

           “เจ้าคงลำพองใจกับพลังใหม่สินะ หากมิใช่เพราะท่านมหาเทพแบ่งปันพลังเซียนให้ แม้แต่กระบวนท่าเดียวเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้”

           “เฮอะ นั่นหมายความว่าเจ้ายอมรับข้าเป็นคู่ต่อสู้แล้วใช่รึไม่” เซียวถิงฟงเหยียดยิ้ม ยังผลให้เฟยหลงบึ้งตึงถึงขีดสุด ก่อนที่ร่างทั้งสองจะถลันเข้าประมือกันอีกครั้งอย่างดุเดือด กระทั่งพื้นดินยังสั่นไหวน้อยๆ

           เสียงดาบที่คำรามก้องทำให้ไป๋เซ่อต้องหันกลับมามองอย่างตกใจ ด้วยนึกไม่ถึงว่าเฟยหลงถึงกับใช้ออกด้วยอาวุธคู่กายอย่างดาบฟ้ามังกรคำรน เกรงว่าคงถ่วงเวลาได้อีกไม่นานแล้ว

           เซียวถิงฟงต้านรับดาบฟ้ามังกรคำรนอย่างสุดกำลัง ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากอานุภาพของดาบ แต่ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะทนรับมิไหว ต่อเมื่อเฟยหลงพุ่งดาบเข้าใส่จึงใช้ออกด้วยท่าจันทร์กลางน้ำ

           เเขนทรงพลังถูกวาดออกเป็นวงกว้าง พัดเหล็กคลี่ออกแล้วตวัดในเสี้ยววินาทีพร้อมกับพลังที่ถาโถม เฟยหลงที่ถลาเข้ามาตรงๆจำต้องผงะถอยหลังกลับไป แต่มาตรว่าตัวจะหลบพ้น หากแต่ปอยผมส่วนหนึ่งกลับปลิวไปตามกระแสลมอ้อยอิ่ง กระนั้นเซียวถิงฟงก็ไม่คอยท่าวกมือกลับรวบพัดแล้วจู่โจมที่หน้าอกของอีกฝ่าย

           พัดเหล็กนี้หาใช่พัดธรรมดาอย่างที่เห็นไม่ นอกจากจะทำด้วยเหล็กกล้าแล้ว กระทั่งโครงสร้างของพัดยังสามารถเปลี่ยนให้เป็นมีดสั้นได้ในพริบตา ยังมีคมมีดที่มีพิษสงร้ายกาจเพียงแค่แตะโดนก็สามารถแยกออกเป็นสองส่วนแล้ว แต่กระนั้นก็ใช่ว่าดาบฟ้ามังกรคำรนจะไร้ซึ่งอานุภาพ

           กำลังภายในส่วนหนึ่งหมุนเวียนเข้าสู่ดาบสีทอง เกิดเป็นม่านพลังสีน้ำเงินเข้าผลักให้ร่างของเซียวถิงฟงต้องกระเด็นถอยออกไป พร้อมกันนั้นก็ตวัดดาบขึ้น โลหิตสีแดงพลันกระจายตัวโปรยปรายดั่งเช่นฝนเลือด

           ไหล่ซ้ายบังเกิดเป็นรอยแผลยาว เป็นเฟยหลงที่เปลี่ยนกระแสลมให้เป็นดั่งคมมีด ยังไม่ทันได้รู้สึกแปลบปลาบก็ต้องฝืนยกพัดเหล็กขึ้นต้านรับไว้ จวบจนไหล่ซ้ายเริ่มต้านรับพลังไม่ไหว เพียงชั่วลัดนิ้วมือเซียวถิงฟงก็ตัดสินใจแอ่นหลังถีบเท้าส่งตัวไปด้านหลัง แต่แล้วเฟยหลงกลับตามเข้าพัวพัน ปลายดาบตวัดปลดปล่อยขุมพลังรุนแรงเข้าใส่ เขาได้แต่ตั้งรับไว้กะทันหัน ทว่าพัดเหล็กต้านไว้ได้ไม่นาน ร่างก็ต้องเข้ากับพลังนี้เข้าอย่างจัง

           เฟยหลงย่อกายก้มมองคนเบื้องล่าง คมดาบวางพาดเฉียงห่างจากลำคอเซียวถิงฟงราวหุนหนึ่ง เพียงหักข้อมือลงก็จะสามารถตัดศีรษะของมนุษย์ผู้นี้ได้ มาตรว่าเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ยังคงแน่นิ่งอยู่ในท่าเดิม เนื่องเพราะใกล้ลำคอเขาราวหุนหนึ่ง ก็ปรากฏด้วยพัดเหล็กสีดำพาดอยู่ด้วยเช่นกัน

           ในช่วงวิกฤตเซียวถิงฟงที่นอนขนาบ พลันปละเปลี่ยนพัดจากมือขวาไปยังมือซ้าย ขอเพียงคลี่พัดออกก็จะปลิดปลงศีรษะของเฟยหลงได้เช่นกัน กระทั่งแลเห็นประกายความแปลกใจพาดผ่านในดวงตาของอีกฝ่าย แม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขันเขาก็เผยรอยยิ้มแล้ว     

           “เจ้าแน่ใจรึ ว่าสามารถฆ่าข้าได้” เฟยหลงเอ่ยขึ้น

           “งั้นก็ปลิดชีวิตข้าซะ ข้ายินดีเสี่ยง” กล่าวจบก็หัวร่อออกมาดังๆ ยังผลให้เฟยหลงเตรียมหักข้อมือลง แต่แล้วเสียงแง้มประตูห้องก็ดังขึ้น

           “ท่านมหาเทพ” เฟยหลงอุทานขึ้นทันทีด้วยรู้ตัวว่าหลงกล จังหวะนั้นเองเซียวถิงฟงก็ได้โอกาสซัดฝ่ามือเข้าใส่ เขาแม้ตั้งรับแต่ก็ไม่ทันการจึงถูกฝ่ามือในระยะประชิด ร่างพลันถอยร่นชนเข้ากับกำแพงทางด้านหลัง

           เซียวถิงฟงออกวิ่งไปยังห้องที่ถูกเปิดไว้ หากแต่ภายในห้องกลับมีแต่ความว่างเปล่า ด้านไป๋เซ่อก็หันมาสบตาผู้เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้าที่แฝงความงงงัน ร่างสูงกวาดมองรอบห้องคราหนึ่งก็เดินไปยังเตียงเปล่า ครั้นวางมือลงก็พบว่าร่องรอยไออุ่นยังคงมีอยู่เบาบาง...เกรงว่าต้าเซียนได้ออกจากห้องไปครู่หนึ่งแล้ว

           “หึ หึ หึ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้คนในห้องต้องเหลียวหน้ากลับไป เป็นเฟยหลงที่ยืนพิงประตู มือท้าวดาบไว้กับพื้นอย่างสบายๆ ทั้งยังหัวเราะด้วยมุมปากที่ปรากฏรอยเลือดซึม

           “เจ้าเอาท่านมหาเทพไปซ่อนยังที่ใด” ไป๋เซ่อชี้หน้าตวาด

           “ท่านคิดจะไปที่ใด ผู้ใดห้ามได้” เฟยหลงแค่นเสียงตอบ ทำเอาไป๋เซ่อหน้าดำหน้าแดงเตรียมถลาเข้าจู่โจม หากแต่เซียวถิงฟงกลับปรามไว้

           “ตอนนี้ตามหาต้าเซียนสำคัญกว่า” เขากระซิบบอกเสียงต่ำ ไป๋เซ่อจึงจำต้องสงบอารมณ์ลงอย่างไม่ค่อยพอใจนักก่อนก้าวตามเขาไป

           “คราหน้าข้าหวังว่าเราคงได้ตัดสินกัน” เฟยหลงกล่าวขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินผ่านไป เซียวถิงฟงเองฟังแล้วก็หยุดยืนนิ่ง สีหน้าฉายแววจริงจัง ก่อนกล่าว

           “ข้าจะรอวันนั้น”


***********************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 18.2 เข้าใจผิด 04/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 04-11-2015 20:41:39
บทที่ 18.2 เข้าใจผิด


           ร่างสีขาวยืนตระหง่านทอดสายตาลงอย่างใจเย็น มาตรว่าแสงอาทิตย์จะสาดแสงแรงกล้าเพียงใด ก็มิอาจแผดเผาร่างองอาจนี้ได้แม้แต่น้อย รอจนกลุ่มนางกำนัลในชุดสีชมพูก้าวออกมาจากในตำหนัก ร่างอรชรในชุดสีแดงก็ค่อยๆปรากฏกายขึ้น ดูว่าสตรีนางนั้นก็รู้สึกถึงสายตาคมกล้า นางเดินไปหลายก้าวก็พลันหยุดลงอย่างไม่มีสาเหตุ ทำให้เหล่านางกำนัลต้องหยุดตัวลงด้วยเช่นกัน แลไม่นานใบหน้าหวานก็แหงนขึ้นมองแล้ว

           คนผู้หนึ่งยืนอยู่บนหลังคาตำหนักลุ่ยหวาอย่างมิเกรงกลัวผู้ใด อาภรณ์พลิ้วไหวสะบัดไปมาตามกระแสลม ร่างบดบังแสงอาทิตย์จนเงาดำทาบทอลงมาที่พื้น องค์หญิงหย่าเหลียนจ้องมองดวงหน้าคนผู้นี้อย่างคุ้นตา บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์ขาวสะอาดปักลายดอกบัว เส้นผมยาวสีน้ำตาลต้องประกายแดดดูสว่างไสว ดวงตาสีทองเปี่ยมไปด้วยความเฉียบคม อีกทั้งแค่ถีบเท้าเบาๆก็สามารถลอยเหนืออากาศดุจดั่งก้อนเมฆ

           ต้าเซียนนำพาร่างของตนลงมาจากหลังคาตำหนักด้วยท่วงท่าสง่างาม ส่งผลให้เหล่านางกำนัลต่างชมดูกันอย่างเซื่องซึม ไม่เว้นแม้แต่องค์หญิงหย่าเหลียน “จำข้ามิได้รึ” เสียงทุ้มนุ่มชวนให้ใจหวั่นไหวดังขึ้น

           เห็นดวงตาสีทองที่จับจ้องมองอย่างเย็นชา สีหน้าของนางก็เริ่มผิดสี บังเกิดเป็นเสียงแหลมคำรามก้องออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม “ท่านมหาเทพ”

           สติพลันถูกฉุดกระชากออก ร่างกายถูกควบคุมอีกครั้ง หางสีน้ำตาลขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน จิ้งจอกเหม่ยซินไม่รอท่าถลันตัวเข้าใส่ ด้วยคิดใช้หางจิ้งจอกฟาดโบยคนตรงหน้า ยังผลให้เหล่านางกำนัลหวีดร้องอื้ออึงดังไปทั่วตำหนัก ทั้งยังพากันวิ่งวุ่นหนีกันอย่างอลหม่าน

           “หึ เผยร่างที่แท้จริงแล้วรึ” เขาหลบหลีกหางจิ้งจอกได้อย่างนุ่มนวล กระทั่งฝ่าเท้าก็ยังคงหยัดยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่เเม้แต่จะไหวติง

           เห็นดังนั้นปีศาจสาวก็ประหวั่นลนลาน ปลดปล่อยหางจิ้งจอกออกมาอีกสองหาง เข้าสะบัดโบยขู่กับพื้นตำหนักจนเกิดเป็นรอยร้าว เศษหินหลุดแตกออกก่อนจะพุ่งโจมตีอีกฝ่าย

           “ต่อให้เจ้าเพิ่มหางออกมาจนครบเก้าหางก็มิอาจทำอะไรข้าได้” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงเย็นชา

           “ข้าไม่เชื่อ” นางเองก็ตวาดก้องพลางใช้หางจิ้งจอกรัดเข้าที่ข้อมือของท่านมหาเทพไว้

           ต้าเซียนพลันหมุนข้อมือดึงกระชับจับพวงหางนั้นไว้ แต่แล้วหางจิ้งจอกพวงที่สองกลับพุ่งเข้าใส่อีกระลอกหนึ่ง เขาแสร้งตวัดขาล่อหลอกก่อนจะเหยียบหางนั้นไว้ใต้ฝ่าเท้า พอดีกับที่หางที่สามพุ่งตรงรัดเอวเขาไว้อย่างรวดเร็ว

           ครานี้หางจิ้งจอกทั้งเก้าหางเผยปรากฏออกมาแล้ว ส่งผลให้นางกำนัลกรีดร้องขึ้นมาเป็นคำรบที่สอง พวกนางมิอาจออกไปจากตำหนักได้ เนื่องด้วยประตูคล้ายถูกขวางกั้นไว้ด้วยกำแพงอากาศ แม้จะทุบตีเพียงใดก็กลับเป็นเพียงการกระทำที่สูญเปล่า

           เมื่อเห็นเค้าความวุ่นวายบังเกิดขึ้น ต้าเซียนก็พลันคิดปิดฉากลงทันที ดังนั้นเมื่อหางจิ้งจอกทั้งเก้าพุ่งตรงมาก็มิได้คิดหลบหลีกอีก ร่างจึงถูกพันธนาการไว้ท่ามกลางอากาศ หางจิ้งจอกพวงหนึ่งเริ่มบีบกระชับที่รอบคอ

           ด้านจิ้งจอกเหม่ยซินเห็นอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์ก็เริ่มแสยะยิ้ม นางรั้งร่างของท่านมหาเทพเข้ามาใกล้ๆ พลางสูดดมกลิ่นอายเทพเซียนอย่างย่ามใจ มือลูบไล้ใบหน้าสวย “บริสุทธิ์เหลือเกิน หากข้าได้ลิ้มรสหัวใจของท่านแล้ว ข้าก็จะยังคงเก็บร่างของท่านไว้เชยชม มิต้องห่วง”

           ต้าเซียนถึงกับเบิกตาโพลง ประกายตาสีทองยังคงไว้ซึ่งเย็นชา จิ้งจอกสาวจึงค่อยๆไล้มือจากใบหน้าไปยังลำคอก่อนจรดลงที่หัวใจ นางขยุ้มอาภรณ์สีขาว ทันใดนั้นเสียงขององค์หญิงหย่าเหลียนก็ดังขึ้นในสมอง

           “ฆ่าเขาซะ ฆ่าต้าเซียนเดี๋ยวนี้”

           “หย่าเหลียน จงอย่าได้ถูกมารร้ายควบคุม ข้ารู้เจ้ายังมีแรงต่อต้าน ตอนนี้ยังไม่สาย จงออกมาเดี๋ยวนี้” เขามองลึกเข้าไปในดวงตาหวาน แม้ร่างนี้จะถูกจิ้งจอกเหม่นซินควบคุม หากแต่ภายในยังคงมีจิตวิญญาณของนางหลงเหลืออยู่

           “กรี๊ด” เสียงร้องดังขึ้นอย่างเจ็บปวด ในจังหวะหนึ่งที่เล็บสีแดงจิกเข้าไปถึงผิวเนื้อ ต้าเซียนก็หมุนฝ่ามือที่ถูกพันธนาการไว้แล้วฟันลงทันที

           หางจิ้งจอกถูกตัดขาดพร้อมกันกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด จิ้งจอกเหม่ยซินพลันปละปล่อยร่างของท่านมหาเทพ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ท่านกล้าตัดหางข้า” 

           ต้าเซียนที่หวนคืนสู่พื้นดินอีกครั้งก็ถือไว้ด้วยหางจิ้งจอกที่ถูกตัด แลไม่นานก็บังเกิดประกายไฟสีทองส่องสว่างลุกไหม้เผาผลาญหางจิ้งจอกในมือไปอย่างรวดเร็ว “เอาคืนไป” กล่าวจบก็มือเรียวก็แบออก

           ผงธุลีสีขาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหางจิ้งจอกซึ่งสถิตไว้ด้วยพลังทั้งมวลต่างลอยละล่องไปตามกระแสลม จิ้งจอกเหม่ยซินชมดูจนน้ำตาหลั่งไหล สองขาทรุดลงกับพื้น จวบจนรู้สึกถึงฝีเท้าที่เข้าใกล้ ปลายหางก็พลันเปลี่ยนเป็นคมหอก นางเคียดแค้นจนเข้ากระหน่ำโจมตีอย่างไม่คิดชีวิต

           ต้าเซียนเบี่ยงกายหลบกะทันหัน หากแต่นางกำนัลผู้หนึ่งกลับโดนลูกหลงจากคมหางจิ้งจอกนี้จนเสียชีวิต โลหิตของนางสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น บังเกิดเป็นความรู้สึกหดหู่ระคนโทสะ เป็นเพราะเขาใจร้อนหุนหันเกินไป ดังนั้นเขาจึงคว้าหางจิ้งจอกอีกสองพวงก่อนดึงทึ้งอย่างไม่ปราณี ทั้งใช้ไฟสวรรค์เผาผลาญตบะของจิ้งจอกจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน

           ปีศาจจิ้งจอกส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน ครานี้นางหดหางจิ้งจอกกลับเข้าไปภายในร่างแล้ว นางฝืนยืนหยัดกายขึ้นอย่างยากเย็นก่อนเชยตาขึ้นมองท่านมหาเทพแล้วแสยะยิ้ม ฉับพลันนั้นก็โผทะยานเข้าหากลุ่มนางกำนัลที่อยู่ด้านหลังแทน

           “อย่า” ต้าเซียนเห็นแล้วก็ตกใจพลางเร่งฝีเท้าเข้าขวาง หากแต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง

           นางกำนัลสองคนยังมิทันได้ร้องก็ถูกปีศาจจิ้งจอกคว้าร่างขึ้นสูบพลังชีวิต ร่างกายที่เคยเต่งตึงเยาว์วัยกลับค่อยๆแห้งเหี่ยวคล้ายซากไม้ที่ขาดน้ำ จวบจนพวกนางมิอาจหายใจได้อีก ร่างของพวกนางก็ถูกโยนทิ้งดั่งตุ๊กตา ดูเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
โทสะของเขาเริ่มพุ่งขึ้นถึงขีดสุด “เจ้าปีศาจชั่วช้า” ต้าเซียนตะโกนก้อง ปลดปล่อยพลังออกจากฝ่ามือแล้ว
           
           จิ้งจอกเหม่ยซินเพียงเห็นแค่แสงสว่างจ้าก่อนที่ทั่วร่างจะรู้สึกปวดร้าว ท้ายที่สุดก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง จากนั้นนอนแผ่กาย

           แน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างกลับกลายเป็นองค์หญิงหย่าเหลียนอย่างช้าๆ จวบจนเห็นเค้าใบหน้าของคนที่นางเกลียดชังก็ขมวดคิ้วแน่น

           ต้าเซียนเพียงมองแววตาก็รู้ได้ว่าร่างตรงหน้าเปลี่ยนกลับเป็นองค์หญิงหย่าเหลียนแล้ว เขาย่อกายลงพยุงตัวนางขึ้นนั่งพิงกับต้นไม้ใหญ่

           “ข้าขยะแขยงเจ้านัก ข้าเกลียดเจ้า” หย่าเหลียนพูดอย่างอ่อนแรง น้ำตาแวววาวร่วงหล่นแนบแก้ม

           เขารับฟังแล้วก็ทำได้แค่เพียงถอนใจ “จงฟังข้าเถิดอย่าได้มอบจิตใจให้ปีศาจ มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันกลับคืนสู่แสงสว่างได้อีก”

           “แสงสว่างที่มีเจ้าอยู่ ข้าไม่ต้องการ สู้ให้ข้าตายเสียดีกว่า” นางปฏิเสธเสียงแข็ง

           ต้าเซียนได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ หากนางไม่ต้องการเช่นนั้นเขาจะบังคับนางให้ออกมาจากความมืดนั้นเอง “เช่นนั้นคงต้องขออภัย” พูดจบก็หลับตาลงตั้งท่า

           องค์หญิงหย่าเหลียนถึงกับเลิกตากว้าง ด้วยคาดคิดได้ว่าคนตรงหน้าจะทำอะไร “อย่ามาแตะต้องข้า ไปให้พ้น ไสหัวไป” นางตวาดลั่น ทว่าดวงตาสีทองกลับลืมขึ้นมาอย่างแน่วแน่ จากนั้นฝ่ามือก็ถูกส่งเข้าประกบที่กลางอกของนาง

           ร่างคล้ายถูกดึงรั้งอย่างรุนแรง หน้าอกคล้ายกับโดนฉีกแขวะออก สิ่งๆหนึ่งกำลังดิ้นทุรนทุรายภายในร่าง ยังผลให้เจ็บปวดทรมานราวกับจะตาย ความรุ่มร้อนเผาผลาญที่หัวใจ นางบิดกายด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน ทั้งเหงื่อและน้ำตาต่างไหลไม่ขาดสาย

           “ฆ่าข้าซะ ฆ่าข้า” นางทนไม่ไหว ทนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ต้องกรีดร้องอย่างน่าเวทนา

           ร่างสีขาวมองดูนางอย่างเป็นกังวล ดูว่าปีศาจจิ้งจอกกัดกินจิตวิญญาณของนางไปมาก หากปล่อยทิ้งไว้ อีกไม่นานนางจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของปีศาจจิ้งจอกจริงๆ

           ว่าแล้วก็พยายามตามหาจิตของปีศาจจิ้งจอกที่ฝังตัวอยู่หัวใจ ครั้นเข้ามาลึกพอสมควรก็พลันพบความทรงจำที่หลบซ่อนอยู่ เขาเห็นเซียวถิงฟงที่อยู่ในนั้น หากแต่เมื่อฝืนลึกเข้าไปยิ่งขึ้น เรื่องราวความทรงจำในอดีตที่เกี่ยวกับซวนหยวนหมิงไท่ก็ปรากฏขึ้น แลจิตสีดำก็หลบซ่อนอยู่ในนั้น เขาจับจิตนั้นให้มั่นก่อนจะดึงมันออกจากร่างของนางอย่างระมัดระวัง

           “ต้าเซียน”

           บังเกิดเป็นเสียงตะโกนก้องอย่างตกใจที่ด้านหลัง หากแต่ต้าเซียนมิได้หันกลับไป เนื่องเพราะอีกนิดเดียวก็จะสามารถดึงจิตปีศาจออกมาได้แล้ว แต่มิคาดว่าพริบตานั้นเซียวถิงฟงกลับใช้วิชาตัวเบา คว้าร่างขององค์หญิงอย่าเหลียนไปอย่างเร่งร้อน ยังผลให้พลังสะท้อนกลับเข้าร่างเขาทันที

           “ท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่อเข้าประคองคนที่ซวนเซไว้อย่างเป็นห่วง ด้านต้าเซียนเมื่อตั้งหลักได้ก็มองเห็นเซียวถิงฟงที่โอบกอดร่างที่ไร้สติ ทั้งยังร้องเรียกองค์หญิงหย่าเหลียนไม่หยุด

           “หย่าเหลียน หย่าเหลียน” 

           หัวใจพลันรู้สึกเจ็บแปลบปลาบ สายตาคู่นั้นมิได้มองมาที่ตนแม้แต่น้อย ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างไม่รู้ตัว ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเอ่ยสองคำนี้ออกมา “ถิงฟง”

            “เจ้า...ทำอะไรกับนาง” เซียวถิงฟงกล่าวถามอย่างยากเย็น

           ต้าเซียนเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาคู่นั้นแล้ว ใจก็คล้ายกับหนักอึ้ง ได้แต่จ้องงันไปที่ก้อนหินที่แตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยอย่างช้าๆ “ข้าเพียงแต่จะช่วยนาง”         

           “ช่วยงั้นรึ เหตุใดนางถึงร้องราวกับคนถูกทำร้ายกัน”

           “ข้ากำลังดึงจิตปีศาจออกจากหัวใจของนาง แต่ปีศาจจิ้งจอกแฝงตัวอยู่ลึก จึงยากที่จะเลี่ยงอาการเจ็บปวด” ต้าเซียนอธิบาย

           ปีศาจ ปีศาจอะไรกัน เซียวถิงฟงสับสน “นางน่ะรึเป็นปีศาจ นางเหมือนปีศาจที่ใดกัน”

           ฟังแล้วต้าเซียนก็รู้สึกเหมือนในอกจะระเบิด เขาสะกดกลั้นอารมณ์มาเพียงพอแล้ว “รึว่าเจ้าเห็นข้าเป็นปีศาจ”

           ต่อเมื่อคำกล่าวจบ เซียวถิงฟงก็เผลอมองไปรอบๆตำหนัก กระเบื้องหินแตกระนาว เลือดสีแดงไหลนองอยู่บนพื้นหลายจุด ร่างไร้วิญญาณของนางกำนัลหลายคนต่างอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถ

           ต้าเซียนที่เห็นสายตาที่กวาดมองก็แค่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคงคิดว่าข้าทำสินะ”

           “........” ด้วยสภาพของตำหนักลุ่ยหวาคล้ายทำให้เซียวถิงฟงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ครั้นเมื่อคิดถึงบาดแผลที่ไหล่ขององค์หญิงหย่าเหลียนก็ต้องยิ่งสับสนหนัก

           “เจ้าไม่ตอบแสดงว่าเจ้าคิด” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพลันหลุบลงพื้น หัวใจราวกับถูกกรีดแทง ไป๋เซ่อที่ยืนฟังอยู่ตลอดก็ทำทีจะกล่าว หากแต่เขากลับยกมือปราม

           ประจวบเหมาะพอดีกับร่างในอ้อมกอดเริ่มฟื้นคืนสติ เซียวถิงฟงจึงหันมากล่าวถามอย่างเป็นห่วง “หย่าเหลียน เจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”

           หย่าเหลียนน้ำตาไหลพราก โผเข้ากอดชายหนุ่มไว้แน่น กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้ากลัวพี่ถิงฟง ข้ากลัวว่าข้าจะไม่ได้เห็นหน้าท่านอีก”

           “ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยู่ที่นี่ เจ้ามิต้องกลัวอีก ไหนเล่าสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขากล่าวปลอบ องค์หญิงหย่าเหลียนจึงค่อยๆเบือนหน้ามองไปรอบๆ หากแต่เมื่อเหลือบเห็นต้าเซียน นางก็ถึงกับตัวสั่นงันงก

           “นางทำร้ายข้า นางจะทำให้ข้าเป็นแบบนั้น” กล่าวจบก็ชี้ไปทางร่างซูบเซียวเหี่ยวแห่งดั่งต้นไม้ที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยง

           เซียวถิงฟงมองดูอย่างตกใจ เพราะว่าเมื่อมองดูดีๆแล้วจะพบว่าร่างนั้นเป็นของนางกำนัลที่ครั้งหนึ่งเคยมีผิวพรรณเต่งตึงกรปรไปด้วยความเยาว์วัย ด้านต้าเซียนกลับคล้ายถูกตีแสกหน้า ไม่นึกไม่ฝันว่าจะโดนป้ายสีเช่นนี้

           “เจ้าเกลียดข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ” คิ้วขมวดมุ่น ร่างทั้งร่างเริ่มเลือนหายไปท่ามกลางแสงแดด เห็นแล้วเซียวถิงฟงรู้สึกใจไม่ดี เพราะท่าร่างแบบนี้คล้ายเป็นท่าร่างเคลื่อนย้ายในพริบตา

           ซึ่งร่างสูงก็คาดเดาไม่ผิด เพราะกว่าจะรู้สึกตัวก็พลันสบเข้ากับดวงตาสีทองในระยะประชิด แขนเล็กๆของต้าเซียนฉวยเอาร่างของหย่าเหลียนขึ้น ชั่วขณะหนึ่งเขาก็รีบคว้าร่างของนางไว้ หากแต่ร่างน้อยกลับมิเปิดโอกาส หมุนร่างของนางให้ออกห่างจากเขาไปสำเร็จ

           “ข้ามิอาจปละปล่อยปีศาจร้ายเช่นเจ้าได้อีก” ต้าเซียนกล่าวพลางมองไปที่องค์หญิงหย่าเหลียนเขม็ง แม้จะถูกเข้าใจผิด ก็มิอาจปล่อยให้ปีศาจอยู่ใกล้เซียวถิงฟงได้

           ครานี้พัดเหล็กตวัดขึ้นแล้ว เส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนปลิวลอยไปกับสายลม ผ่านดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เลิกกว้างอย่างมิเชื่อสายตา

           “หากเจ้าไม่ปล่อยนาง ข้าจำเป็นต้องลงมือ” เซียวถิงฟงขึ้นเสียง เป็นเพราะเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวอันไร้ความปราณีจึงทำให้ต้องตัดสินใจเช่นนี้

           “เจ้าต้องทำถึงขนาดนี้เชียวรึ” ต้าเซียนนิ่งอึ้ง ก่อนสังเกตเห็นได้ว่าสายตาคู่นั้นแฝงแววไม่ไว้ใจ จึงกล่าวน้ำเสียงกร้าวขึ้น
           
           “เช่นนั้นข้าคงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องอยู่กับเจ้าอีกแล้วสินะ ในเมื่อข้าทำร้ายคนของเจ้า” สองมือพลันปละปล่อยวางร่างที่ไร้เรี่ยวแรงนอนลงบนพื้นแล้ว

           ครั้นแลเห็นดวงตาแดงก่ำในนัยน์ตาคู่สวยนั้น เซียวถิงฟงก็จุกในอก ความจริงตลอดเวลาที่ผ่านมาต้าเซียนเป็นคนอ่อนโยนมิใช่หรือ ทั้งที่เขาควรรู้ดีแก่ใจ หากแต่เรื่องราวดำเนินไปอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนเกินไป ทำให้เขาสับสนมิอาจคิดใคร่ครวญได้ทัน จนกระทำการวู่วามเช่นนี้

           ต้าเซียนหยั่งลึกลงในจิตใจของร่างสูง หากรู้สึกได้เพียงแต่ความว่างเปล่า เซียวถิงฟงไม่แม้แต่จะหวั่นไหว มิได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย จู่ๆก็พลันเข้าใจถึงคำว่าเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง

           “ดี ดียิ่งนัก” เขากล่าวน้ำเสียงหยันก่อนตัดสินใจโผทะยานไปให้ไกลจากสถานที่เย็นชาแห่งนี้


***************************************

บทนี้รีไรท์ยากมาก ตัดเนื้อหาบางส่วนที่เยิ่นเย้อไปเยอะ เเต่ก็เเอบกังวลว่าอารมณ์บางส่วนจะถูกตัดไปด้วย อ่านเเล้วรู้สึกอย่างไร เม้นท์เเนะนำได้นะคะ  :o12:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 19.1 ความสับสน 05/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 05-11-2015 22:07:35
บทที่ 19.1 ความสับสน


           “นี่เจ้าฟังที่ข้าพูดอยู่รึเปล่า”

           “หืม” น้ำเสียงขององค์รัชทายาทช่วยปลุกให้เซียวถิงฟงหลุดออกจากภวังค์แล้วหันใบหน้าที่ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวาขึ้นมองคนทักที่อยู่ในชุดสีฟ้าที่ขับผิวขาวให้ผ่องขึ้นอย่างเต็มตา

           พอเห็นใบหน้าที่ซึมเซาของสหาย ซวนหยวนหมิงไท่ก็อดที่จะสัพยอกขึ้นมามิได้ “ข้าเดาว่าใจเจ้าคงคิดถึงคนผู้หนึ่ง กลางคืนนอนไม่หลับ แม้ยามกลางวันสติก็ยังคงเลื่อนลอย”

           เขาเสหลบสายตาที่มองอย่างรู้ทันก่อนแสร้งทำขึงขัง “ท่านกล่าวเกินเลยไป”

           “แต่ช่วงนี้ข้าได้รับฟังข่าวหนึ่งที่น่าสนใจมิใช่น้อย ดูว่าระยะนี้รองแม่ทัพเซียวสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เกรงว่าตำแหน่งราชบุตรเขยคงทำให้ถึงกับเนื้อเต้น” ซวนหยวนหมิงไท่ร่ายยาว

           ปึง เซียวถิงฟงถึงกับทุบโต๊ะกล่าวเสียงดัง “ใครมันกล้ากล่าววาจาไร้สาระเยี่ยงนี้”
องค์รัชทายาทตอบห้วนๆ “ซุนจื่อหาน”

           “เพ้ย เจ้าบัณฑิตหน้าจืด ช่างรนหาที่ตายนัก” เซียวถิงฟงสบถ นึกถึงใบหน้ากระลิ้มกระเหลี่ยของซุนจื่อหานแล้วก็ยิ่งมีโทสะ
           
           ด้านรัชทายาทหนุ่มกลับลอบยิ้มที่มุมปาก จากนั้นกล่าวใส่ไฟยิ่งขึ้น “ข้ายังได้ยินมาอีกว่า เมื่อใดที่เจ้าเข้าพิธีรับตำแหน่งราชบุตรเขยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตระกูลซุนจะส่งแม่สื่อไปสู่ขอต้าเซียนจากใต้เท้าเซียวถิงหลี่ให้กับซุนจื่อหาน”

           “ไม่มีทาง ข้าไม่มีทางปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแน่” เสมือนเลือดขึ้นหน้า เซียวถิงฟงถึงกับผุดลุกขึ้นขึงขัง ใครจะปล่อยต้าเซียนให้ไปกับคนกะล่อนพรรค์นั้น

           “อา จะว่าไปแล้วพอพูดถึงต้าเซียน ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเขาหายไปราวสิบวันแล้วสินะ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเปรยๆ พลางยกชาขึ้นดื่มเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ

           “ไม่ถูก สิบหกวันแล้วต่างหาก” เซียวถิงฟงโต้ตอบกลับแทบในทันที แต่ครั้นพูดจบใบหน้าก็กลับมาเซื่องซึมอีกครั้ง

           ต่อเมื่อสหายสนิททรุดนั่งลงบนเก้าอี้กลมอีกครั้ง ก็พลอยให้นึกสงสาร “ถิงฟง การที่เจ้ามาหาข้าทุกยามเช้า กลางวัน เย็น หรือแม้กระทั่งหลังเลิกงาน เจ้าก็ยังคงอยู่กับข้าจนดึกดื่นค่อนคืน ไม่กลับบ้านกลับช่อง ใช่เพราะเจ้ารอต้าเซียนรึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเข้าประเด็น วันนี้เขาต้องเค้นคำตอบจากปากของเซียวถิงฟงให้ได้ เพราะสำหรับเขาที่ต้องชมดูเจ้าตัวคอตกกลับบ้านไปทุกวี่ทุกวัน ก็พานให้รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเหมือนกันมิได้ห

           “ขะ ข้า”

           “เจ้ามิได้คิดตามหาเขาจากที่อื่นบ้างหรือ”

           “มิใช่ข้าไม่ตามหา แต่ข้าตามหารอบเมืองฉางอันแล้ว อีกทั้งในทุกยามที่สบโอกาส แต่กระทั่งป่านนี้ข้าก็ยังมิอาจพบร่องรอยของเขาเลยสักนิดเดียว” เซียวถิงฟงกล่าวน้ำเสียงสลด นึกถึงคำพูดตัดพ้อของต้าเซียนในวันนั้นก็ต้องรู้สึกผิดยิ่งนัก

           “แล้วเจ้าคิดว่าเขาจะแวะมาหาข้าอย่างนั้นหรือ”

           “ข้าก็ไม่มั่นใจนัก” เขาตอบเสียงอ่อย

           ซวนหยวนหมิงไท่มองคนตรงหน้าเขม็ง ท่าทีไม่จริงจังเช่นเมื่อครู่ก่อนมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง “ข้าขอถามเจ้าตามตรง เจ้าจะตามหาต้าเซียนไปไยกัน ทั้งๆที่เขาทำร้ายหย่าเหลียน ทุกวันนี้นางเองก็กินมิได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบเซียวไปถนัดตา แม้แต่เรี่ยวแรงก็ไม่มีแม้แต่น้อย เป็นเสมือนดอกไม้ที่รอวันร่วงโรยเหี่ยวเฉา” เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็อดที่จะนึกถึงวันเกิดเหตุที่ได้พบกับร่างแห้งกรอบราวกับซากต้นไม้ของนางกำนัล ซึ่งถูกหามออกมาจากตำหนักลุ่ยหวาต่อหน้าต่อตามิได้

           จากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ทำให้ทางราชสำนักประกาศเพียงว่าคนร้ายเป็นยอดฝีมือจากต่างแคว้นที่ลอบเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้แก่แคว้นซวนหยวน ดังนั้นฮองเฮาเซิงจึงถือโอกาสนำเรื่องขึ้นกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ขอพระองค์พระราชทานตำแหน่งราชบุตรเขยแก่รองแม่ทัพเซียวถิงฟงที่ได้เข้าไปช่วยองค์หญิงหย่าเหลียนในขณะนั้น

           “ข้าไม่ควรเข้าใจผิด ทั้งที่ข้ารู้ว่าต้าเซียนมิใช่คนโหดเหี้ยม เขามิใช่คนที่จะทำร้ายผู้อื่นได้ แต่ในเวลานั้นข้ารู้สับสน” ยิ่งกล่าวก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจ

           “ดูท่าอาการของหย่าเหลียนคงไม่เกินคำกล่าวอ้างของต้าเซียน ไม่ดีแน่หากยังมีปีศาจป้วนเปี้ยนอยู่ในวังหลวง ข้าหวังว่าคงมิต้องเห็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นนี้อีก อีกอย่างหากจะรักษาหย่าเหลียนพวกเราคงต้องพึ่งต้าเซียนแล้ว”

           “แต่ปัญหาคือ ต้าเซียนอยู่ที่ใด” พูดจบเซียวถิงฟงก็ถอนใจเป็นคำรบที่สอง สองมือยกขึ้นกุมขมับ หากแต่ซวนหยวนหมิงไท่กลับหลิ่วตาถาม

           “หึ หึ เจ้าลองคิดซิว่าใครใกล้ชิดเขามากที่สุด”
เขาได้แต่มองอย่างสงสัย แลไม่นานนักดวงตาสีดำก็เกิดประกายวาบ เขาโพล่งตอบออกมา “ไป๋เซ่อ”

           “ใช่แล้ว หมู่นี้ข้ายังได้ยินข่าวมาว่า อาหารคาวหวานจากทางฝ่ายต้นเครื่องมักเกิดขโมยขึ้นบ่อยครั้ง จนกระทั่งป่านนี้ยังจับคนร้ายมิได้ และน่าแปลกที่ทุกคราที่ของกินหายไปมักจะมีร่องรอยแปลกๆขึ้น” รัชทายาทหนุ่มเว้นกล่าวก่อนอมยิ้มขึ้น จากนั้นจึงกล่าวถึงหัวขโมยตัวแสบ

           “ที่พื้นห้องมักเกิดร่องรอยเลี้ยวลด ทำเอาพวกองครักษ์ได้แต่งงกันเป็นทิวแถว ประจวบเหมาะกับท่าทีแปลกๆของไป๋เซ่อในระยะนี้ เขามักแบกห่อผ้ากองโตไว้กลางหลัง จากนั้นก็หายตัวไปเสียนาน พอข้าซักถามก็มักจะโดนเขาตวาดฉุนเฉียวอยู่ร่ำไป”

           “น่าแปลก ถ้าจะมาขโมยของกิน ก็มิเห็นต้องเสียเวลานำออกไปกินนอกวังหลวง ยกเว้นว่าจะนำไปให้...” ยังมิทันกล่าวจบประโยครอยยิ้มก็พลันปรากฏบนใบหน้าของเซียวถิงฟง

           “วันนี้เราคงต้องจับขโมยกันเสียหน่อยแล้ว” องค์รัชทายาทยิ้มเจ้าเล่ห์ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อก็ปรากฏเสียงหัวเราะเหี้ยมในลำคอที่ดังมาจากคนหนุ่มทั้งสอง

           “หึ หึ หึ”


*******************************************************


           ไป๋เซ่อในร่างของงูเผือกถึงกับสะดุ้งตัวโหยงอย่างไร้สาเหตุแล้วพลันขบคิด เหตุใดจึงรู้สึกขนลุกขนชันถึงเพียงนี้ ว่าแล้วมันก็ต้องหัวเราะเยาะตนเอง

           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” ข้าเป็นงูเผือกที่สง่างาม มีเกล็ดเรียบลื่นแวววาวจะไปมีเส้นขนเช่นมนุษย์ได้เยี่ยงไรกันเล่า มันกล่าวอย่างหลงตัวเองก่อนจะเลื้อยเข้าสู่ห้องครัวใหญ่ของฝ่ายต้นเครื่องที่ไม่มีผู้คนอยู่

           ทันทีที่ได้สัมผัสกับพื้นห้อง ก็แลเห็นขนมกุ้ยฮัวที่อยู่บนโต๊ะมุมหนึ่ง ดูท่าจะเป็นของว่างของเหล่าบรรดานางสนม ไป๋เซ่อฉีกยิ้ม พริบตาเดียวก็มีห่อผ้าขนาดใหญ่ลอยวนอยู่เหนือศีรษะ ขนมกุ้ยฮัวเองก็ดูเหมือนจะล่องลอยได้ มันลอยอยู่เหนือผืนผ้าก่อนจะตกลงไปในห่ออย่างไม่มีทางเลือก จะว่าไปลูกท้อบนโต๊ะนั่นก็ดูไม่เลว มันคิดแล้วรีบเลื้อยตัวไปใกล้

           กระทั่งห่อผ้าเริ่มปริแน่นไปด้วยของหวานนานาชนิด ไป๋เซ่อก็เริ่มที่จะวางมือ มันนำพาร่างของตัวเองเลื้อยออกจากห้องด้วยท่าทีเบิกบานใจ แต่ไม่ทันไรสายตาก็ปะทะเข้ากับสิ่งๆหนึ่งบนพื้น ทำให้ดวงตาถึงกับลุกวาว

           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เหตุไฉนขนมถั่วแดงจึงมาอยู่บนพื้นได้ ไป๋เซ่อเลื้อยเข้าไปหาขนมอย่างไม่รอช้า จนกระทั่งมันฉีกยิ้มแล้วอ้าปากกว้างเตรียมเขมือบขนมนั้น จู่ๆก็พลันชะงักกึก

           “ฟ่อ ฟ่อ” แต่ท่านมหาเทพห้ามกินของตกพื้นนี่นา ไป๋เซ่อคิด แววตาสีฟ้าอมเขียวทอประกายเสียดายอย่างสุดแสน มันจ้องขนมถั่วแดงอยู่นาน หางก็สะบัดไปมาเหมือนกำลังต่อสู้กับปีศาจร้ายในใจ แต่แล้วสักพักก็แสยะยิ้มขึ้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดจึงทำให้มันรู้สึกถึงแรงยั่วยุ ให้กัดขนมถั่วแดงเสียสักคำสองคำ อีกทั้งยังได้ยินเสียงที่ไร้ที่มากล่าวกับมันว่า

           กินซะสิ กินเลย ว่าแล้วไป๋เซ่อก็ไม่ลังเลอีก มันใช้ปากตะครุบจนขนมถั่วแดงถูกกลืนหายเข้าไปในปาก รอจนท้องนูนป่องก็เลื้อยตัวออกจากห้องพร้อมห่อผ้าอย่างร่าเริง ทว่าออกเลื้อยตัวได้ไม่นานก็เกิดสะอึกขึ้นไม่หยุด ร่างกายเริ่มร้อนผ่าว กระทั่งพื้นยังเริ่มเอนเอียง หมู่แมกไม้ต่างกลับหัวกลับหาง จันทราเองก็คล้ายเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง

           ไป๋เซ่อเผยอยิ้มมอง รู้สึกอยากโบยบินดั่งนก ร่างจึงเปลี่ยนกลับเป็นเด็กหนุ่มในชุดเขียว ฝีเท้าเหาะเหินเหนือพื้นดิน แต่ฉับพลันกลับปรากฏมือปริศนาสองคู่ฉุดข้อเท้าลงมา ยังผลให้หน้าผากกระแทกเข้ากับพื้นโดยไม่มีโอกาศได้ร้องสักแอะ เล่นเอาสติถึงกับหลุดลอยแทบออกจากร่าง ทว่าก่อนที่จะสิ้นสติก็พอจะพบเห็นเงาร่างที่คุ้นตาอยู่บ้าง

           .................

           .........

           ...

           ในห้องเล็กแคบที่ถูกจุดไว้ด้วยแสงเทียนสลัว ผนังรอบด้านแขวนไว้ด้วยอาวุธลงทัณฑ์น้อยใหญ่ ส่งผลให้บรรยากาศในห้องดูอึมครึมน่ากลัว แต่แล้วภายในห้องก็ปรากฏเสียงทุ้มของคนผู้หนึ่งที่กล่าวอย่างสงสัยใคร่รู้

           “ข้าอยากจะรู้นัก สายข่าวของท่านเป็นใครกัน ดูจากฝีมือแล้วเห็นทีจะนำหน้าตระกูลเซิงไปก้าวหนึ่ง”

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะร่วนของคนอีกผู้หนึ่ง “ต้องขอบคุณบุตรสาวของเจ้าอย่างยิ่ง ตอนนี้นางสะสมตบะจนสามารถกลับกลายร่างได้ตามใจชอบ ไม่ว่าที่ใดนางล้วนเข้าไปได้ทั้งสิ้น”

           “มิน่า ข้าถึงมิได้เห็นหน้านางมาเสียหลายวัน หากท่านเห็นชอบท่านก็อุปการะนางเสียหน่อยสิ”

           “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าไป๋เซ่อเชียว ข้าไม่อยากฟังเขาโวยวาย ว่าแต่เขาฟื้นรึยัง”

           พอดีกับทีไป๋เซ่อเริ่มสะลึมสะลือ คิ้วขมวดมุ่นด้วยอาการเจ็บแปลบที่หน้าผากอันปูดโปน ดวงตารางเลือนอยู่ครู่หนึ่งก็แลเห็นคนทั้งสองอย่างเต็มตา

           เซียวถิงฟงไม่รอช้าจับหมับที่หัวไหล่ของคนพึ่งฟื้นสติ แล้วกล่าวถามอย่างร้อนใจ “ไป๋เซ่อ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าต้าเซียนอยู่ที่ใด”

           จวบจนขยับกายทีหนึ่งก็พบว่าตนถูกมัดติดกับเก้าอี้ในห้องเล็ก ซ้ำยังมีอาวุธแปลกตาแขวนอยู่รอบห้อง ที่ด้านหลังเซียวถิงฟงยังมีซวนหยวนหมิงไท่ที่นั่งด้วยท่าทีสบายๆ สมองเริ่มเข้าใจที่มาที่ไป สีหน้าของไป๋เซ่อจึงแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขาตวาด
           
           “พวกเจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน”

           “ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าได้โกรธไป ก็แค่ขนมถั่วแดงผสมเหล้านารีแดงไม่กี่หยดเอง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวไปยิ้มไป ทำให้ตลอดทั่วทั้งร่างของไป๋เซ่อต้องสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ ก่อนตะเบ็งเสียงลั่น

           “เจ้า...พวกคนหน้าไม่อาย ถึงกับกล้าหลอกข้าที่เป็นถึงมือขวาของท่านมหาเทพเชียวรึ อย่าหวังว่าข้าจะบอกอะไรเลย หึ”

           ฟังแล้วเซียวถิงฟงก็ยิ้มกริ่ม ดูว่าพวกเขาคาดการณ์มิผิด ไป๋เซ่อรู้ว่าต้าเซียนอยู่ที่ใด

           ยิ่งเห็นทั้งสองยิ้มเจ้าเล่ห์ ไป๋เซ่อก็ยิ่งเกรี้ยวกราด “หากข้าหลุดพ้นจากเงื้อมมือพวกเจ้าเมื่อไหร่ ข้าจะ...ข้าจะ” จู่ๆก็เกิดนึกคำพูดไม่ออกจึงได้แต่อึกๆอักๆ เอ...ข้าจะทำอะไรดี

           “เจ้าจะทำอะไร” เซียวถิงฟงกล่าวถาม

           “ข้าจะหนีออกจากวังหลวงให้ดู” ไป๋เซ่อลั่นวาจาก้อง ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับอ้าปากเปล่งเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุด ถึงขนาดน้ำตาเริ่มปริ่ม

           ไป๋เซ่อได้ยินเสียงหัวเราะลั่นก็บัดเดี๋ยวหน้าดำบัดเดี๋ยวหน้าแดง  จึงพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แต่ก็มิเป็นผล ฝ่ายเซียวถิงฟงเริ่มเห็นหนทางก็รีบตะล่อมถาม

           “อย่างเจ้าจะไปไหนได้ เจ้ามีที่ไปรึ”

           “ขะ ข้ามีสิ” ไป๋เซ่อกล่าวตะกุกตะกัก ดวงตาเสมองไปทางด้านบนคล้ายกับใช้ความคิด

           ทว่าเซียวถิงฟงไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายคิดมากนัก เขาแค่นเสียงเค้นถามต่อ “เฮอะ อย่างเจ้าจะมีที่ไปรึ”

           “ข้ามี มีแน่นอน” ครานี้ไป๋เซ่อเริ่มฮึดฮัด ไม่ยอมเสียหน้า

           “เช่นนั้นเจ้าจะไปที่ใดกันเล่า”

           “หึ หึ หึ ข้าจะไปสระบัว ที่นั่นท่านมหาเทพรอข้าอยู่ ข้าไม่ได้อยากอยู่กับพวกเจ้านักหรอกนะ” หากที่นี่ไม่มีของกิน ไป๋เซ่อกล่าวตอบได้ไม่เต็มปากเต็มคำ แต่แล้วก็แทบอยากกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นรอยยิ้มแสยะของคนทั้งสอง “ไม่ไป ข้าไม่ไปสระบัวแล้ว ข้าไม่หนีออกจากวังหลวงแล้ว ข้าจะ...ข้าจะตามล้างแค้นพวกเจ้า” เขาเลิกตาตื่น ทั้งยังกลับคำกลบเกลื่อนอย่างมีพิรุธ

           “สระบัวรึ แต่สระบัวถูกเผาไปจนหมดแล้วนี่” องค์รัชทายาทเอะใจ นึกถึงคดีเผาสระบัวในเมืองต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ในวังหลวง เหตุการณ์นี้ยังทำให้ราษฎรจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียยกใหญ่

           “ไม่ ยังมีอีกที่หนึ่ง” เซียวถิงฟงตอบอย่างมั่นใจ เขารู้ว่าสระบัวนั้นอยู่ที่ใด สระบัวเพียงแห่งเดียวที่รอดพ้นจากการถูกไฟปริศนาเผาผลาญ
 

*******************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 19.2 ความสับสน 05/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 05-11-2015 22:09:42
บทที่ 19.2 ความสับสน


           สายลมเย็นปะทะเข้ากับกายเป็นระลอกๆจนตัวเริ่มเย็นชืด มวลหมอกหนาจับกลุ่มขมุกขมัวไปรอบๆสระบัว ดูราวกับว่ามันกำลังปกปิดซุกซ่อนอะไรบางอย่างไว้อยู่

           เซียวถิงฟงที่พึ่งรุดฝีเท้าจากฉางอันมาสู่เมืองลู่หยางเพียงไม่กี่ชั่วยาม ก็เริ่มปลดเชือกออกจากท่าแล้วกระโดดลงเรือลำเล็กโดยไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อย สองมือจับฝีพายแล้วล่องเรือออกไปในทันที

           ดูไปแล้วดอกบัวที่นี่ยังคงออกดอกเบ่งบานดูสวยงาม แต่กระนั้นเขายังสัมผัสได้ถึงความเหงารางๆ จวบจนมาถึงกึ่งกลางของสระบัวที่มีหมอกหนาทึบ ในใจส่วนลึกก็รู้สึกได้ทันที ร่างน้อยอยู่ที่นี่จริงๆ

           “ต้าเซียน” เขาตัดสินใจร้องเรียก แม้ใจหนึ่งมิกล้าสู้หน้า หากแต่อีกใจหนึ่งกลับอยากจะเห็นใจจะขาด แต่กระนั้นก็ไม่มีเสียงใดตอบรับ เขาจึงได้แต่ร้องเรียกต้าเซียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังดังขึ้นเรื่อยๆ จวบจนนน้ำเสียงกลายเป็นตะเบ็งลั่น น้ำในสระกระเพื่อมไหวน้อยๆ

           จนถึงตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกท้อทั้งเหนื่อยล้าในใจ อาจเพราะบางทีต้าเซียนมิอยากพบหน้า จึงไม่ยอมปรากฏตัวให้เขาเห็น อดที่จะเริ่มเซื่องซึมมิได้ ฝีพายก็หยุดลงดื้อๆ พลันปล่อยเรือให้ลอยไปกลับกระแสน้ำแทน

           “ต้าเซียน” เขาพึมพำนามที่เขาเป็นคนตั้งให้อย่างเบาๆพร้อมกับใจที่สิ้นหวัง บรรยากาศโดยรอบเองก็เงียบสนิทพานให้หัวใจว่างเปล่า แต่แล้วในชั่วอึดใจต่อมากลับบังเกิดเป็นเสียงดังขึ้นจนทำให้เขาต้องสะดุ้งโหยง
           
           โครม เสียงเรือชนอะไรบางอย่างทำให้ร่างถึงกับผงะหงายไปกับท้องเรือ นี่เป็นเพราะเรือถูกกระแสน้ำชักนำให้ปะทะเข้ากับโขดหินอย่างรุนแรง ฉับพลันนั้นเสียงนุ่มทุ้มระคนรำคาญก็ดังออกมา

           “โอ๊ย หนวกหูเสียจริง”

           เสียงนั้นแทบทำให้เซียวถิงฟงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างเบิกบานใจ แลเมื่อเห็นร่างน้อยที่นอนเอกเขนกบนโขดหินก้อนใหญ่ก็ต้องโพล่งออกมาเสียงดัง “ต้าเซียน”

           “จะเรียกไปถึงเมื่อไหร่กัน” ต้าเซียนส่งเสียงดุใส่คนที่ซูบเซียวลงไปถนัดตา ครั้นเห็นร่างสูงมองตนไม่วางตา ทั้งยังส่งรอยยิ้มจริงใจให้ ก็ต้องหลุบตาลงในทันที

           รอยยิ้มนี้มอบให้ข้าจริงๆหรือ เกิดเป็นความรู้สึกสับสน ตั้งแต่ที่เซียวถิงฟงมาถึงสระบัว ตนก็ได้กลิ่นอายของชายหนุ่มตั้งแต่แรกแล้ว จึงรีบเสกหมอกควันหนาขึ้นบดบังทิวทัศน์รอบข้าง ด้วยไม่คิดพบเจ้าตัว ต่อเมื่อได้ยินเสียงสั่นสะท้านที่ร้องเรียกตนอย่างสุดกำลัง ก็ทำให้ใจพลันหวั่นไหว

           แลขณะที่กำลังชั่งใจว่าควรแสดงตัวดีไหม เสียงของเซียวถิงฟงก็กลับเงียบหายไป เขาจึงแอบหยั่งความรู้สึกของร่างสูง แต่แล้วก็พบว่ามันราบเรียบสนิท ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใดๆ ใจดวงน้อยก็ถึงกับดิ่งวูบ

           ไม่รู้สึกอะไร แล้วจะตามหาข้าไปไยกัน ได้แต่ตัดพ้อว่ากล่าวในใจ กระนั้นหูก็ยังคงเงี่ยฟัง ในใจยังคงแอบบอก หากเรียกอีกเพียงครั้ง ข้าก็จะยอมพบหน้าเจ้าอีกก็ได้

           “ต้าเซียน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เซียวถิงฟงถามอย่างประหลาดใจ เรือนำพาเขาถอยหลัง แสดงว่าเขาต้องผ่านมาตรงนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

           ต้าเซียนเบือนหน้ามองคนถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เดิมทีที่ตรงนี้ก็เป็นที่ของข้าตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่บ้านเจ้ามาปลูกล้อมรอบที่นี่ไว้ต่างหาก หากเจ้ามิพอใจข้าจะใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปที่อื่นเสียเดี๋ยวนี้” พูดจบก็หยัดกายลุกขึ้นอย่างว่องไว

           “ไม่ได้” แต่แล้วเซียวถิงฟงกลับตวาดก้อง ทั้งกระโจนเข้าใส่ร่างน้อยในทันที จากนั้นทาบทับร่างเล็กไว้มิให้จากไปไหน

           ต้าเซียนถูกผลักจนหงายหลังไปกับโขดหิน ก่อนจะต้องตกใจไปกับสีหน้าว้าวุ่นของผู้ที่กำลังคร่อมตัวเขาอยู่...เหตุใดต้องทำสีหน้าเช่นนี้ด้วย เขามองดูอย่างสับสน จู่ๆเบ้าตาก็เริ่มรื้นไปด้วยน้ำตาใส แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันเห็นน้ำตาหยดนี้ เขาก็โถมกอดร่างของชายหนุ่มเอาไว้พลางซุกศีรษะเข้าไปยังไหล่กว้าง

           เซียวถิงฟงตกใจเล็กน้อยกับท่าทีดังกล่าว หากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งยังกอดรับร่างเล็กไว้อย่างเบามือ แม้รู้ว่าน้ำตาของร่างน้อยเริ่มไหลออกเป็นสาย แต่เขาไม่มีวันได้เห็นชัดถนัดตา และคงมีแต่เพียงหยาดน้ำตาใสที่หลงเหลืออยู่บนเสื้อของเขาเท่านั้นที่เป็นหลักฐาน แลไม่นานเสียงสะอึกสะอื้นก็เล็ดลอดออกมาจากลำคออย่างน่าสงสาร เขาเอื้อมมือไปลูบหลังปลอบโยนร่างที่เริ่มสั่น

           “ข้าขอโทษ” แทบอยากจะตบหน้าตนเองสักหลายหน เป็นเขาที่ทำร้ายต้าเซียนเอง รอจนร่างในอ้อมกอดหยุดสั่นเทา เสียงสะอึกสะอื้นจางหาย เขาก็เอ่ยขึ้น “กลับไปกับข้าเถอะ ต้าเซียน”

           “อื้อ” ต้าเซียนตอบด้วยเสียงงึมงำในลำคอ

           ทว่าเพียงเท่านี้เซียวถิงฟงก็ยิ้มได้แล้ว เขากอดรัดร่างเล็กให้แน่นกว่าเดิม ดวงตาก็หลับลงสัมผัสถึงไออุ่น ในไม่ช้าทั้งกายและใจก็คล้ายได้รับการปลดปล่อยจากห้วงเวลาที่ขมขื่น
 

***********************************************


           “ไม่ ข้าไม่ยอม” นางกล่าวปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งผินหน้าหลบสายตาของคนในห้องทั้งหมด ทำให้เซียวถิงฟงต้องมองดูอย่างลำบากใจ “เหตุใดพวกท่านจึงใจร้ายนัก ทั้งๆที่พวกท่านก็รู้ว่าต้าเซียนทำร้ายข้า กระนั้นแล้วยังจะให้ข้าไปพบเขาอีกทำไมกัน”

           “ต้าเซียนทำร้ายเจ้าจริงรึไม่ ก็ยังไม่กระจ่างนัก แต่หากเจ้าพบหน้าเขาอีกครั้ง พวกเราอาจได้คำตอบ” องค์รัชทายาทกล่าวเสียงแข็ง ทำเอาองค์หญิงหย่าเหลียนหันมาชักสีหน้าใส่

           “หรือองค์รัชทายาทกำลังกล่าวว่าหม่อมฉันเป็นปีศาจ”

           “ใช่รึไม่เจ้าย่อมรู้ดี ดูสภาพของเจ้าตอนนี้สิคล้ายกับคนรึไม่” องค์รัชทายาทโต้กลับพร้อมจ้องหญิงสาวตาเขม็ง

           “ท่าน” ดวงตาของนางถึงกับลุกโชนไปด้วยความโกรธ

           “หย่าเหลียนอย่าได้กล่าวเช่นนี้ พวกเราแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น” เซียวถิงฟงกล่าวแทรกตัดบทระหว่างคนทั้งสอง

           “พรุ่งนี้ต้าเซียนจะมาพบเจ้าที่ตำหนักลุ่ยหวา จงเตรียมตัวให้พร้อม นี่เป็นคำสั่ง” องค์รัชทายาทขึ้นเสียงพร้อมทั้งสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ จากนั้นก็เดินพรวดพราดออกไปด้วยท่าทีที่โกรธไม่แพ้กัน

           “ท่านก็เห็นข้าเป็นปีศาจมิใช่รึ” นางหันไปเอาความกับคนที่เหลือด้วยน้ำตา

           ได้ยินดังนั้นเซียวถิงฟงก็ทอดถอนใจ ทั้งที่มือคู่นี้เคยเป็นมือที่นุ่มนวลจนเป็นที่น่าหลงใหลของบุรุษหลายๆคน หากแต่ตอนนี้มันกลับเป็นมือที่ห่อหุ้มกระดูกบางเอาไว้เท่านั้น กระทั่งสีหน้าที่เคยเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมาบัดนี้ก็กลายเป็นซูบตอบอย่างน่าใจหาย

           “ข้าน่าเกลียดมากใช่ไหม” นางกล่าวถามผ่านผ้าคลุมหน้าบาง แม้จะไม่มีใครกล้าวิจารณ์สภาพของนาง แต่นางก็รู้ดี ตัวนางในตอนนี้แทบจะไม่หลงเหลือเค้าความงดงามอีก ดวงตาโหลลึกถึงเบ้า ผิวหนังก็เหี่ยวแห้งดั่งเช่นหญิงสูงอายุ

           “ใครบอก เจ้ายังคงงดงามอยู่เลย” เขากล่าวยิ้มๆแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสที่ศีรษะของนาง “วันนี้เจ้าก็พักเสียเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องพบกับต้าเซียนอีก ข้าเชื่อว่าเขาต้องช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน” พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวนางก่อนเดินออกจากห้องไป ทว่าก่อนที่จะพ้นประตู เสียงขององค์หญิงหย่าเหลียนก็ดังขึ้น
               
           “เหตุใดท่านจึงเชื่อใจนางยิ่งนัก”

           เซียวถิงฟงชะงักหยุดยืนนิ่งที่หน้าประตู แต่แล้วก็ตัดสินใจก้าวเท้าออกจากห้องไปโดยไม่คิดที่จะตอบคำถามแต่อย่างใด
หย่าเหลียนมองคนที่จากไปโดยไม่คิดให้คำตอบ สองตาก็แดงก่ำไปด้วยความน้อยใจ “ถึงท่านจะเชื่อเขา แต่ท่านก็มิอาจกลับไปหาเขาได้อีก เนื่องเพราะท่านกำลังจะเป็นสามีข้า” กล่าวจบก็เหยียดยิ้มขึ้นทั้งน้ำตา

           ร่างสูงเดินออกมาจากตำหนักลุ่ยหวาด้วยสีหน้าเครียดเขม็ง คำถามที่หย่าเหลียนกล่าวถามนั้น มิใช่ว่าตนตอบมิได้ หากแต่ตนมีคำตอบในใจเรียบร้อยแล้ว ทว่าคำตอบนั้นเขามิอาจกล่าวต่อหน้านางได้ในเพลานี้

           เพราะข้ารักเขา คิดถึงได้ไม่ทันไรทางเดินด้านหน้าก็พลันมีร่างๆหนึ่งกระโดดพรวดออกจากพุ่มไม้ เซียวถิงฟงไม่มีทีท่าประหลาดใจซ้ำยังออกอาการแย้มยิ้ม เขามองร่างเล็กที่กำลังปัดฝุ่นไปตามชุดสีเหลืองสดใส

           “ข้าเห็นซวนหยวนหมิงไท่เดินดุ่มออกไปด้วยท่าทีแปลกๆ”

           “พระองค์ทรงมีธุระที่ตำหนักจึงรีบกลับน่ะ” เซียวถิงฟงยิ้มบอก

           เห็นสีหน้าที่แฝงแววกังวล ต้าเซียนก็จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนเอียงคอเล็กน้อยกล่าว “เจ้ายังไม่หายเหนื่อยอีกรึ”

           อากัปกิริยาน่ารักเหล่านี้แทบทำให้ความกังวลในใจหายไปจนหมดสิ้น เซียวถิงฟงถึงกับยกยิ้มแฉ่งอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นจึงแสร้งทำตัวอ่อนระโหยทิ้งตัวสวมกอด จนต้าเซียนต้องพยุงร่างเขาไว้อย่างทุลักทุเล

           “โอ๊ย หนักจริงๆ เจ้ายังนอนไม่พออีกรึ รู้ไหมว่าเมื่อวานข้าแบกเจ้าที่หลับเป็นตายกลับมาฉางอันด้วยสภาพเยี่ยงไร” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงดุ ในใจลอบคิด ไฉนจึงโดนเอารัดเอาเปรียบอีกแล้ว

           เซียวถิงฟงที่โดนดุ จำใจต้องกลับมายืนในสภาพปกติ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ลืมทิ้งลายไว้ “หึ หึ เช่นนั้นข้าแบกเจ้าบ้างดีไหม” ว่าแล้วก็เข้าไปรวบตัว ทว่าต้าเซียนกลับกระโดดหนีราวกับเป็นกระต่าย ท้ายที่สุดพวกเขาก็พากันวิ่งวุ่นไล่จับ คนหนึ่งหนีคนหนึ่งตาม โดยมิรู้เลยว่ามีคนผู้หนึ่งเฝ้ามองพวกเขาด้วยสายตาคับแค้นระคนหมองเศร้า

           อีกด้านหนึ่งเมื่อซวนหยวนหมิงไท่กลับถึงตำหนักเหวินหัว เขาก็เดินตรงไปที่ศาลาหลังเล็กพลางนั่งเหม่อลอยหวนรำลึกถึงอดีตครั้นยังเยาว์อยู่ แต่ครั้นได้ยินเสียงที่ใกล้เข้ามา สายตาที่เคยหม่นหมองก็เปลี่ยนกลับเป็นเฉียบคมขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว
           
           “เสี่ยวลู่ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

           “ช่วงนี้ตระกูลซุนเข้าหาทั้งตระกูลเซิงกับตระกูลเซียวไม่เว้นแต่ละวัน ใจความว่า” ขันทีน้อยเสี่ยวลู่จึงกราบทูลรายงาน แต่จู่ๆองค์รัชทายาทก็ทรงยกมือขึ้นทัดทาน เป็นเหตุให้ต้องหยุดน้ำเสียงลง

           “เรื่องอื่น” เขากล่าวสั้นๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นสหายสนิทและคนรักของเจ้าตัวที่ก้าวเข้ามาในศาลาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขามองหน้าเซียวถิงฟงอย่างเป็นกังวลใจ

           เซียวถิงฟงเองก็พอจะได้ยินคำกราบทูลเมื่อครู่ ก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นเรื่องอะไร ตระกูลซุนต้องการสนับสนุนให้ตระกูลเซิงกราบทูลฝ่าบาท ให้พระราชทานตำแหน่งราชบุตรเขยให้แก่ตนโดยเร็ว คาดว่าอีกไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็จะได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในท้องพระโรง นอกจากนี้ตระกูลซุนยังติดต่อตระกูลเซียว ด้วยเรื่องสู่ขอต้าเซียน ซึ่งเจ้าตัวเองก็คงยังมิได้รับรู้เรื่องพวกนี้ ว่าแล้วเขาก็ลอบมองร่างน้อยที่กำลังดื่มชาด้วยท่าทีผ่อนคลาย

           หากเจ้ารับรู้เรื่องนี้ จะคิดเช่นไร จะไปจากข้าหรือเปล่า

           “ตระกูลเจี่ยเริ่มติดต่อตระกูลเซิงอย่างลับๆ เสบียงอาหารในกองทัพหายไปเป็นจำนวนหนึ่งพันหาบ” เมื่อขันทีน้อยเสี่ยวลู่กราบทูลต่อ เซียวถิงฟงจึงได้กลับมามีสติอีกครั้ง เขาหยิบรายงานการฉ้อโกงของตระกูลเจี่ยขึ้นอ่านรายละเอียด

           “ให้หลิวซีฝูติดตามเรื่องนี้” องค์รัชทายาทออกคำสั่ง องครักษ์ผู้หนึ่งก็ค้อมตัวถวายคำนับก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว

           “อีกเรื่องพะย่ะค่ะ องค์รักษ์เติ้งแจ้งว่า องค์ชายหย่าเซิงไม่มีความเคลื่อนไหว พระองค์มิได้ออกจากตำหนักเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว” เสี่ยวลู่กล่าวแต่แล้วก็หยุดชะงักลง เมื่อถ้วยน้ำชาลื่นหลุดออกจากมือของคนผู้หนึ่งแล้วกระทบเข้ากับโต๊ะหินอ่อนจนเกิดเป็นเสียงดัง

           “เรื่องอื่น” รัชทายาทหนุ่มกล่าวสั้นๆทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั้น เซียวถิงฟงก็เช่นกัน เสี่ยวลู่จึงกราบทูลรายงานต่อไป แต่ทว่าเมื่อกำลังจะอ้าปาก ต้าเซียนก็ผุดลุกขึ้นพรวดพราด

           บ้าจริง ไฉนเขาจึงลืมเรื่องนี้ไปได้

           “ท่านจะไปไหนรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามขึ้น

           ต้าเซียนชะงักก่อนหันกายกลับมา ก่อนแลเห็นเซียวถิงฟงมองตนด้วยสายตาสับสน สร้างความอึดอัดใจแล่นเข้าสู่ทรวงอก กระนั้นเขาก็เลือกที่จะเบนสายตาออก “ข้าไม่รบกวนพวกท่าน ข้าจะออกไปเดินเล่น” กล่าวจบก็เดินออกจากศาลาไปอย่างรวดเร็ว

           “เจ้าจะไม่ห้ามหน่อยหรือ” องค์รัชทายาทหันมาถามเซียวถิงฟง

           เซียวถิงฟงได้แต่ทอดถอนใจ “ข้าไม่มีสิทธิ์จะห้ามเขา” พูดจบก็ก้มหน้างุดอ่านรายงานฉ้อฉลของตระกูลเจี่ยต่อไป หากแต่ในอกกลับว้าวุ่นจนยากจะสงบลง
 

***********************************************


           “ท่านมาแล้ว” เฟยหลงกล่าวด้วยท่าทีเบิกบานใจ เมื่อเห็นร่างเล็กที่ดูสดใสก้าวเข้ามาในห้อง

           ต้าเซียนเดินไปนั่งที่โต๊ะกลมแล้วจึงถาม “อาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เห็นดังนั้นเฟยหลงก็เลือกนั่งลงที่ด้านข้างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านหายไปไหนมาเสียนาน รู้ไหมว่าข้า...คิดถึงท่านมาก”

           มองดูรอยยิ้มนั้นก็ต้องเงียบงันลง ต้าเซียนหลุบตาลงมองโต๊ะ รู้สึกอึดอัด “พลังข้าเริ่มฟื้นฟูขึ้นบ้างแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะอาการเป็นเช่นไร”

           “ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอเพียงท่านมา”

           รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงมิจางหายไปจากใบหน้าคมคาย ต้าเซียนบังเกิดความไม่เข้าใจ รู้สึกสับสนในใจอย่างยิ่งยวด “ทำไมเจ้าต้องช่วยข้าด้วย ทั้งๆที่เราต้องตัดสินกันในเวลาอันใกล้นี้”

           “ท่านกล่าวถามเพราะไม่รู้ รึว่าท่านรู้ แต่...ไม่มั่นใจ” เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงทุ้มเสน่ห์ สองตาสบมองดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยอย่างแน่วแน่

           “........” เมื่อถูกจ้องสายตาอย่างลึกล้ำ ต้าเซียนก็จำต้องหลุบตาลงอีกครั้งด้วยไม่กล้ามองตอบ
           
           เห็นคนตรงหน้าคล้ายครุ่นคิดสับสน เฟยหลงก็นึกอยากแกล้ง จึงไม่รอช้าลุกขึ้นรวบร่างเล็กขึ้นมาในอ้อมอก

           ต้าเซียนถึงกับตื่นตกใจพยายามดิ้นตัวร้องขึ้น “จะทำอะไร ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้” หากแต่ร่างแกร่งกลับยิ้มแล้ววางเขาไว้บนเตียงนุ่ม ครั้นจะยันตัวลุกขึ้นก็อีกฝ่ายใช้มือกดลงให้นอนราบ พริบตาต่อมากายก็ถูกทาบทับไว้ การกระทำดังกล่าวทำให้เขาต้องส่งเสียง...บังอาจ

           หากแต่เฟยหลงกลับใช้นิ้วป้องที่ริมฝีปากบางไว้ พอแลเห็นสายตาดุ เขาก็หัวเราะขึ้นน้อยๆ แล้วเคลื่อนใบหน้าคมคายเข้าไปใกล้ จวบจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นถี่เบาๆ ก็ยิ้มกว้างฟังเสียงนั้น...เสียงหัวใจที่เต้นอย่างอบอุ่น

           “ท่านรู้ดีว่าข้ารักท่าน”

           ร่างน้อยยังไม่ทันหายจากอาการตกตะลึง เฟยหลงก็ประกบจูบอย่างเร่าร้อน และเป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากนี้ทำให้เขาลุ่มหลง ปลายลิ้นที่ตามพัวพันสัมผัสได้ถึงความละมุน เขาดื่มด่ำความสุขนี้อยู่สักพักก็ปละปล่อยร่างน้อยให้เป็นอิสระ ครั้นเห็นใบหน้าแดงก่ำที่ดูสับสนก็กระซิบบอกที่ริมใบหู “ท่านมิต้องอายไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับพวกเรา”

           ต้าเซียนถึงกับสะดุ้งตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่ริมใบหู สองมือรีบผลักคนที่ทาบทับออก เป็นเพราะก่อนหน้านี้มิทันระวังตัวจึงจำต้องยอมรับจุมพิตนั้น บังเกิดเป็นความสับสน ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะได้แต่เบือนหน้าหนี

           ด้านเฟยหลงก็มิได้โกรธอะไรกลับพึงพอใจเสียมากกว่า เนื่องจากท่านมหาเทพอ่อนไหวเพราะเขาแล้ว เขามองใบหน้าที่งดงามอย่างไม่วางตาก่อนตัดสินใจล้มตัวลงนอนลง พาดศีรษะไว้ที่บนตักน้อย แม้อีกฝ่ายจะตกใจแต่ก็มิกล้าผลักไส เขาจึงหลับตาลง นอนหลับบนตักนุ่มของท่านมหาเทพอย่างที่เคยวาดฝันไว้

           เฟยหลงหลับลึกลงไปแล้ว หากแต่ต้าเซียนไม่กล้าขยับ เนื่องด้วยกลัวอีกฝ่ายจะตื่น ณ ตอนนี้เขามิกล้าสู้สายตาคู่นั้น สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ จึงได้แต่รู้สึกผิดในใจ มาตรว่ารู้ว่าอีกฝ่ายรักตนมากแค่ไหน แต่กระนั้นในใจเขากลับถูกคนผู้หนึ่งยึดครองไปแล้ว

           คนเพียงผู้เดียวเท่านั้น

           เซียวถิงฟง


**********************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 19 ความสับสน 05/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 05-11-2015 23:31:19
ผิดหวังกับถิงฟงมากกกก
เรื่องนังองค์หญิงนั้นก็ไม่ทำอะไรเลยนอกจากพาต้าเซียนมาแสดงตัว จบ
รู้สึกอินจนอยากทะลุไปตบตีแย่งต้าเซียนมาดูแลเอง  :fire:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่20.1 อดีตที่มิอาจลืม 07/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 07-11-2015 20:01:36
บทที่ 20.1 อดีตที่มิอาจลืม


           กลิ่นดินอับชื้นอบอวลอยู่ในบรรยากาศ ฝีเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นที่ส่งผ่านจากพื้นดิน แสงจันทร์สลัวส่องลงมายังปล่องถ้ำสูงลิบ กระทบเข้ากับเด็กหนุ่มรูปร่างผอมซูบ เนื้อตัวเปราะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน เสียงเหนื่อยหอบดังขึ้นเป็นระยะๆ มาตรว่าถ้ำสูงเพียงใด เขาก็ยังคงปีนป่าย อย่างมิเกรงกลัวว่าจะพลาดพลั้งตกลงมา

           บางทีอาจเป็นเพราะการอยู่ที่นี่ ก็มิได้ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว

           เสียงจั๊กๆบ่งบอกว่าฝนกำลังตก เฟยหลงในวัยสิบหกปีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดสลัว ละอองฝนโปรยปรายผ่านปล่องถ้ำ ความผิดหวังทอดทอผ่านดวงตา แม้ด้านนอกจะมืดสักเท่าไหร่ ก็มิอาจเทียบได้กับความมืดมิดในถ้ำแห่งนี้ เฉกเช่นเดียวกับความมืดที่กลืนกินหัวใจของเขา
               
           สุดท้ายได้แต่ปีนลงมาทรุดนั่งอย่างอ่อนแรง ใคร่ครวญว่าสภาพอากาศแบบนี้ไม่เหมาะแก่การปีนถ้ำเท่าไรนัก แต่นี่ก็นับเป็นเวลาสามปีแล้วที่เขามิอาจเห็นแสงตะวัน เขาลืมแม้แต่สีของต้นไม้ใบหญ้า สีของธารา รวมถึงลืมแม้กระทั่งความสุขที่เคยมี
               
           เสียงฝีเท้าของคนสองสามคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ เขาแสร้งหลับตาลง จวบจนประตูกรงขังเหล็กถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งที่เบาราวปุยนุ่นก็ถูกผลักเข้ามาในห้อง

           “อย่าได้คิดหนีเชียว” เสียงดุห้าวของผู้คุมตะโกนบอก ประตูกรงเหล็กถูกปิดลงกลอนอย่างหนาแน่นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าผู้คุมเหมืองจากไปโดยทิ้งบุคคลผู้หนึ่งไว้ในห้องขังเดียวกันกับเขา

           ที่เหมืองแร่แห่งนี้ เต็มไปด้วยทาสที่ถูกทางการส่งตัวมาเพื่อใช้แรงงานอย่างหนัก กายคลุกฝุ่นดินอยู่ตลอดเวลา มีเพียงยามดึกที่จะได้พักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องใช้ชีวิตเนิ่นนานอยู่ที่นี่ ย่อมส่งผลให้ลืมเลือนวันเวลาไปอย่างแท้จริง ไม่มีใครรู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานสักเท่าใด...เว้นเพียงเขา

           เฟยหลงลืมตาขึ้น แล้วจ้องมองพื้นดินที่ขีดเป็นเส้นบอกวันเดือนปีอย่างสลดใจ คุกที่มืดสนิท แม้จะมีแสงลอดผ่านเข้ามาบ้าง แต่กระนั้นก็ยังให้ความรู้สึกมืดมนอยู่ดี เขาจ้องมองแสงนั้นอย่างเงียบงัน จวบจนกระทั่งรู้สึกถึงสายตาของคนผู้หนึ่งจึงเผลอสบตาเข้า

           เบื้องหน้าเป็นเด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ในฝั่งตรงข้าม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องมองเขาอยู่ น่าแปลกที่แม้ในถ้ำจะมืดสลัว หากแต่เขายังคงสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ชัดถนัดตา ดวงหน้าเล็กรูปไข่ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง เส้นผมยาวสีน้ำตาลปล่อยยาวสยายขับเน้นให้ใบหน้าดูเด่นชัด อาภรณ์สีขาวเรียบง่ายปักลายดอกบัว ทุกองค์ประกอบกลับทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้ดูเจิดจ้าจนยากที่จะสายตา

           เฟยหลงชมดูอย่างตะลึงลาน ก่อนจะรู้สึกเก้อเขินจึงก้มหน้างุดลงกับพื้น เหตุใดคนที่สว่างไสวเช่นเขาจึงมาอยู่ที่นี่ได้ คิดเซื่องซึมอยู่นานก็ข่มตาหลับลงอีกครั้ง แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจสายตาอ่อนโยนคู่นั้นอีก   

           วันต่อมาเขาก็ถูกคุมตัวไปขุดเหมืองยังส่วนลึกของถ้ำ ซึ่งกว่าจะได้กลับมายังที่พัก ตัวเขาก็แทบหมดเรี่ยวแรง กายคลุกฝุ่นสีแดงดูสกปรก สองมือเต็มไปด้วยรอยแผลเก่าและใหม่ เสื้อผ้าเก่าจนชายขาดลุ่ย

           ร่างถูกผลักเข้ามายังห้องขังเช่นทุกที หากแต่วันนี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งอยู่ที่นี่ด้วย เขาลอบมองอีกฝ่ายก่อนเบิกตากว้างขึ้นสงสัย เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้ยังคงสว่างไสว ดวงตายังทอประกายดูมีชีวิตชีวา ทั้งที่หากเป็นผู้อื่นถูกจับขังในสถานที่มืดมิดไม่บ่งบอกวันเวลาเช่นนี้ ย่อมต้องมีหม่นหมองลงบ้าง

           เขาได้แต่ยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น จวบจนกระทั่งผู้คุมนำอาหารมาแจก อาหารถูกลอดส่งผ่านเข้ามาในกรงขัง อันมีเพียงข้าวปั้นเปล่าๆที่ทั้งแข็งทั้งเย็นชืด ไม่เพียงพอให้รู้สึกอิ่มท้อง

           “เจ้าคนชุดขาวในเมื่อเข้ามาที่นี่แล้วก็อย่าหวังจะได้ออกไปอีก ช่างโง่นัก มาหาของรึ เจ้ามาผิดที่เสียแล้ว” ผู้คุมตะโกนบอกก่อนเดินจากไป คงเหลือเพียงเขา เด็กหนุ่มและบรรยากาศที่เงียบงันอีกครั้ง

           จริงอย่างที่ผู้คุมว่า เด็กหนุ่มช่างโง่เขลานัก เฟยหลงคิดพลางลอบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา แต่แล้วกลับพบว่าเด็กหนุ่มมิได้มีทีท่าวิตก สีหน้าเรียบเฉย สักพักเขาก็ไม่ใส่ใจอีกจึงเดินไปหยิบก้อนข้าว ฝืนกลืนลงลำคอแล้วนอนรอเพลาที่เงียบสนิทกว่านี้

           ค่ำคืนนี้ยังเปี่ยมไปด้วยความพยายาม เฟยหลงปีนถ้ำไปจนถึงครึ่งทางก็ต้องตัดใจลงมา เนื่องเพราะหาทางปีนต่อไม่ได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก บางทีคืนพรุ่งนี้เขาอาจหาทางออกไปได้ หรือไม่ก็คืนต่อไป เขาปีนลงมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ หยาดเหยื่อหลั่งรินชโลมกาย แต่แล้วจู่ๆก็ต้องหันขวับ

           ร่างสีขาวยังคงนั่งกอดเข่าจ้องมองเขาอย่างเงียบงัน ที่ด้านข้างยังมีก้อนข้าวที่แตะต้องเพียงเล็กน้อยวางทิ้งไว้ เฟยหลงเห็นแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หากพรุ่งนี้เขาไม่แรงขุดเหมืองจะต้องโดนผู้คุมรุมซ้อมอีก

           แลดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเข้าใจจึงได้เลื่อนก้อนข้าวนั้นมาให้ตนแทน “เจ้าไม่กินรึ” เฟยหลงถาม ทว่าอีกฝ่ายเพียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้ ทำเอาเขาชมมองรอยยิ้มนั้นอย่างเพลินตา ก่อนจะหยิบก้อนข้าวขึ้นกินอย่างหิวกระหาย

           หลายวันต่อมาเขายังคงอยู่กับเด็กหนุ่มปริศนา โชคดีที่อีกฝ่ายมิได้ถูกส่งตัวไปใช้แรงงานเช่นคนอื่นๆ เพียงถูกขังไว้อย่างเงียบๆ แต่กระนั้นเด็กหนุ่มยังคงแตะต้องก้อนข้าวเพียงเล็กน้อย ก่อนหยิบยื่นให้เขาหลังจากการปีนถ้ำสิ้นสุดลงดั่งเช่นวันอื่นๆ

           ผิดแต่ในค่ำคืนนี้ เฟยหลงที่ปีนถ้ำไปได้เพียงน้อยนิดก็เป็นอันต้องล้มเลิกไป เนื่องด้วยสองมือเต็มไปด้วยบาดแผล ยากที่จะฝืนปีนต่อไป จวบจนกระทั่งฝีเท้าสัมผัสถึงพื้นก็พลันพบว่าไม่มีสายตาที่คอยจับจ้อง ครั้นลอบมองอีกฝ่าย ก็แลเห็นอากับกิริยาแปลกๆ คล้ายว่าเด็กหนุ่มกำลังบีบนวดอะไรสักอย่างด้วยท่าทีจริงจัง จริงจังเสียจนไม่รู้ว่าเขาปีนกลับลงมาแล้ว เมื่อพยายามจ้องมองไป ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังบีบนวดเป็นงูเผือกสีขาวตัวหนึ่ง

           งูเผือกสีขาวที่ดูใกล้ตายเต็มทน กึ่งกลางลำตัวของมันมีรอยคล้ำสีเขียวอมม่วงวงใหญ่ ลิ้นแฉกสีแดงห้อยตกออกจากปาก ดวงตาสีฟ้าอมเขียวทอดมองพื้นอย่างหมดอาลัย เด็กหนุ่มนวดเสร็จก็บิก้อนข้าวเล็กๆก่อนส่งเข้าปากมัน งูเผือกเองก็งับนิ้วมือเรียวอย่างเบาๆ

           เฟยหลงมองภาพตรงหน้าอย่างยากจะอธิบาย หากสี่วันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มมิได้กินอะไรเลย แล้วเขาอยู่ได้อย่างไรกัน “งูเผือกตัวนี้ใกล้ตายแล้ว ไฉนจึงยังต้องแบ่งอาหารที่มีเพียงน้อยนิดให้แก่มันอีก เจ้าไม่กลัวตายอย่างนั้นหรือ” เขาถามอย่างสงสัย ก่อนสังเกตเห็นความสว่างไสวที่มิได้ลดทอนลงไปในตัวเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย

           “ต้องโทษที่ข้าเผลอทำของสิ่งหนึ่งตกลงไปจนกระทบเข้ากับก้อนหินใหญ่ แล้วก้อนหินใหญ่ก็ตกใส่มันจนอาการปางตายเยี่ยงนี้ กว่าข้าจะยกหินออกจากตัวมันได้ มันก็กัดข้าแทบตาย” ยิ้มพลางเผยข้อมือที่เป็นรอยเขี้ยวเล็กๆสองรูออกจากชายเสื้อ “แต่มันปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ มันจึงพยายามกิน เช่นเจ้าที่พยายามทำในสิ่งที่ยากยิ่ง เพื่อที่จะมีชีวิตสืบต่อไป”
           
           เสียงทุ้มนุ่มออกมาจากริมฝีปากบาง เสียงนั้นอ่อนโยนจนทำให้เขานึกถึงชีวิตก่อนหน้าที่จะถูกส่งตัวมาที่นี่ เขาฝืนยิ้มกล่าว “เจ้าเก็บข้าวไว้เถอะ หากเจ้าไม่กินเจ้าจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้” เมื่อพูดจบก็เดินไปฝั่งตรงข้ามก่อนล้มตัวลงนอน
 

***********************************************


           ผ่านไปสิบห้าวัน ในแต่ละวันพวกเขาจะพูดคุยกันเพียงคำสองคำ แต่กระนั้นเฟยหลงกลับรู้สึกอบอุ่น รู้สึกว่าตนมีชีวิต รู้สึกถึงแสงสว่างที่ถูกลบเลือนในจิตใจ เสมือนว่าเด็กหนุ่มเป็นแสงสว่างในชีวิตเขา และกว่าจะรู้ตัว เขาก็ได้แต่เฝ้ารอที่จะได้พูดคุยกับอีกฝ่ายอยู่ร่ำไป

           ค่ำคืนนี้มีงานเลี้ยงของเหล่าขุนนางใหญ่ เบื้องบนถ้ำมีเสียงดนตรีขับกล่อมอย่างครึกครื้น ผิดกับสถานที่เงียบงันดั่งเช่นใต้พื้นดินราวฟ้ากับเหว วันนี้เขากลับจากการขุดเหมือนด้วยสภาพอ่อนแรง บาดแผลที่มือยังคงไม่หายดีจนเผยให้เห็นเส้นเลือดปูดโปน

           “เจ้าเจ็บมือหรือ”

           จู่ๆเด็กหนุ่มก็ก้าวเข้ามารวบสองมือไว้ เฟยหลงถึงกับสะดุ้งตกใจ ใบหน้าแดงซ่านอย่างไม่รู้ตัว “มันสกปรก เดี๋ยวชุดของเจ้าจะเลอะเปล่าๆ” พูดพลางชักมือออก ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ปล่อยมือเขาไป ทั้งยังส่งยิ้มมาให้ ทำให้เขามองดูรอยยิ้มนั้นอย่างโง่งม รอชั่วครู่อาการปวดบวมกลับทุเลาลงอย่างน่าประหลาด จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆที่กำจายมาจากตัวของอีกฝ่าย เขาขยับไปใกล้มากขึ้นพลางคิดในใจ...กลิ่นอะไรกันนะ

           “ดอกบัวน่ะ”

           คล้ายรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เฟยหลงรีบก้มหน้างุดอย่างเก้อเขิน แต่แล้วเสียงดังฟ่อ ฟ่อ ของงูก็ดังขึ้น ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกตะลึงวูบ งูเผือกสีขาวที่เคยมีท่าทีใกล้ตายมาบัดนี้กลับดูมีชีวิตขึ้น ทั้งกำลังเลื้อยพันแขนเรียวพลางจ้องมองเขาด้วยสายตาสีฟ้าอมเขียว ดูไม่เป็นมิตรนัก

           ปึง ประตูกรงขังถูกเปิดผาง เฟยหลงสะดุ้งตัวชักมือออก ด้านงูเผือกก็รีบเลื้อยซ่อนในแขนเสื้อสีขาว ผู้คุมเหมืองสามนายเดินเข้ามาให้ห้องขังด้วยท่าทีกักขฬะ หนึ่งในนั้นฉุดรั้งข้อมือของเด็กหนุ่มขึ้นโดยแรง

           “หน้าตางดงามทีเดียว แม้เป็นบุรุษก็ดูไม่เสียเปล่า น่าจะสนุกอยู่”

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผู้คุมต่างพากันหัวร่อขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

           “เจ้าคงไม่รู้ว่าที่พวกเราปล่อยเจ้าจนถึงวันนี้ นั่นเพราะพวกเราทนรอวันนี้ วันที่จะได้เชยชมคนงาม” ผู้คุมอีกคนกล่าวจบก็ลูบไล้ที่สะโพกบาง

           เฟยหลงมองดูการกระทำนั้นอย่างคับแค้น โทสะค่อยๆพุ่งสูงขึ้น“เจ้า” ในที่สุดก็ตะเบ็งเสียงถลาเข้าใส่ ผู้คุมทั้งหมดต่างไม่มีทีท่าตกใจซ้ำยังถีบยอดอกเขาจนล้มกระแทกกับผนังถ้ำอย่างแรง

           “องค์ชายแคว้นซู ทรงไม่พอใจอะไรพวกกระหม่อมรึ” ชายอีกคนตรงเข้ากระทืบตัวเขาอย่างสะใจ เสียงหัวเราะเยาะดังสะท้อนก้อง แลไม่นานนักเสียงก็เงียบลง หลงเหลือเพียงคนที่นอนตัวงอในห้องขังตามลำพัง

           ถูกนำตัวไปแล้ว แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของเขา เฟยหลงปาดรอยเลือดที่มุมปากอย่างขื่นขม ใช่แล้วครั้งหนึ่งเขาเป็นถึงองค์ชายของแคว้นซู หากมิใช่เพราะขุนนางฉ้อฉล ชักนำข้าศึกเข้าเมือง เขาก็มิต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สภาพที่เหมือนไร้ชีวิต เดิมทีเขาควรจะต้องถูกประหาร หากแต่กลับถูกส่งตัวมาที่นี่เพื่อทนรับการเหยียดหยาม

           ทั้งๆที่ได้พบกับแสงสว่างแล้ว เหตุใดเล่าสวรรค์จึงพรากแสงสว่างนี้ไปจากเขาอีก

           “อ๊ากกก” เฟยหลงคำรามลั่น มือทุบพื้นอย่างคับแค้นใจ หลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งหมดแรงลง เขาก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง น้ำตาพลันหยดลงบนหลังมือ ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกขึ้น

           ดูว่าฝ่ามือที่เคยเต็มไปด้วยรอยแผล มาบัดนี้กลับไม่หลงเหลือแม้แต่รอยขีดข่วน นำพาความประหลาดใจจนต้องนึกถึงร่างสีขาวที่กอบกุมมือเขาไว้ รอยยิ้มผุดขึ้นในใจ เขาจ้องมองไปที่ปล่องถ้ำอย่างแน่วแน่แล้ว

           เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยามเศษที่เฟยหลงนำพาตัวเองมาถึงที่ปล่องถ้ำ ครั้นเมื่อฝีเท้าได้เหยียบย่ำผืนหญ้า ได้สัมผัสถึงอากาศภายนอก แลถึงสายลมที่ปะทะตามตัวก็แทบทำให้เขาคลั่ง ทว่าตอนนี้เขาต้องรีบตามหาบุคคลผู้หนึ่ง

           เพลานี้เสียงดนตรีขับขานเริ่มขาดหายลง เหล่าผู้คุมต่างเมามายนอนหลับสะเปะสะปะไปกับพื้น เฟยหลงลอบขโมยเสื้อผ้าพวกเขามาผลัดเปลี่ยน ทั้งยังนำดาบเล่มยาวติดตัวมา แลเมื่อเข้าใกล้ห้องหนึ่งก็ได้ยินเสียงประจบประแจงที่แทบทำให้ควบคุมตัวเองมิได้

           “ใต้เท้า ของดีหายากแบบนี้ พวกเราตั้งใจนำมามอบให้กับใต้เท้ากับมือเชียว ใช่ไหม” เสียงผู้คุมคนหนึ่งบุ้ยใบ้ไปยังคนที่อยู่ข้างกาย

           “ใช่ๆ” ผู้คุมสองคนโพล่งตอบ เฟยหลงแอบมองลอดเข้าไปในห้องพลันเห็นขุนนางอ้วนท้วมน่าตาน่ารังเกียจผู้หนึ่ง

           “ตบรางวัล” น้ำเสียงยโสดังขึ้น พร้อมถุงเงินที่ตกลงไปกับพื้น ผู้คุมทั้งสามต่างกระวีกระวาดรับไว้ อีกทั้งยังเปล่งเสียงขอบคุณไม่หยุดปาก ขุนนางอ้วนท้วมผู้นี้มิได้ใส่ใจพวกเขาอีก จึงหันไปแสยะยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่ต้องปรนนิบัติเขาในคืนนี้ “ผิวช่างเรียบลื่นยิ่งนัก” น้ำเสียงเปี่ยมราคะกล่าวพลางเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้านวล

           เฟยหลงกัดฟันข่มกลั้น กระทั่งทนไม่ไหวก็ถีบประตูเข้าไป คนในห้องต่างสะดุ้งตกใจ ครั้นกวาดตามองไปรอบๆก็พบร่างสีขาวที่ถูกมัดไว้บนเตียง ถัดลงไปบนพื้นกลับมีงูเผือกสีขาวที่นอนหงายท้องนิ่งสนิท มุมปากมีคราบเลือดเป็นจุดๆ แลเมื่อสบเข้าที่ข้อมือของผู้คุมคนหนึ่งก็พบผ้าพันแผลเปื้อนเลือด สองตาเขาแดงก่ำพลางตะเบ็งเสียงคำรามลั่นก่อนลงดาบแล้ว

           ไม่นานร่างที่เคยคลุกฝุ่นดินสีแดงก็ย้อมไปด้วยโลหิต ศพคนสี่คนนอนอยู่กับพื้น เด็กหนุ่มเพียงมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ เขาเดินโซเซเข้าไปใกล้ก่อนใช้ดาบตัดเชือกที่พันธนาการข้อมือนั้นไว้ แต่แล้วดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกตากว้างคล้ายประหลาดใจ

           “อึ่ก” ไม่ทันเอะใจก็รู้สึกได้ถึงปลายดาบแหลมคมที่เสียดแทงทะลุอก เลือดสีแดงฉานทะลักเปราะเปื้อนอาภรณ์สีขาวสะอาด ผู้คุมที่ยังคงมีเรี่ยวแรงใช้ดาบแทงเขาก่อนที่จะล้มลงแน่นิ่งไป บางทีอีกไม่นานตัวเขาก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน ร่างพลันเซลงแล้ว หากแต่เด็กหนุ่มกลับรับร่างเขาไว้

           “เสื้อของท่านเลอะเสียแล้ว” เฟยหลงกล่าวอย่างยากเย็น แม้เลือดจะทะลักออกจากริมฝีปาก แต่ปลายจมูกก็ยังคงได้กลิ่นหอมของดอกบัว เป็นกลิ่นที่ทำให้สงบใจยิ่งนัก “เจ้าเจอของของเจ้าแล้วรึยัง”

           “เจอแล้ว” เด็กหนุ่มตอบ สิ่งที่กำลังตามหานั้นบังเอิญถูกใต้เท้าผู้คุมเหมืองเก็บไปนั่นเอง

           “ดี ดีแล้ว” เฟยหลงกล่าว ลำคอสัมผัสได้แต่รสเลือด

           “เจ้าอยากติดตามข้าไปรึไม่ ข้าไม่บังคับเจ้า” จู่ๆเสียงนุ่มทุ้มก็กล่าวจริงจังขึ้น สติของเฟยหลงก็เริ่มที่จะเลอะเลือน พานนึกถึงช่วงเวลาที่ตนได้พ้นจากเหมืองนรก

           “ที่นั่นข้าจะได้อยู่กับแสงสว่างไหม แล้วต้นไม้ล่ะ ลำธารอีกด้วย ข้าจะได้เห็น ได้สัมผัสรึเปล่า” พูดจบก็ต้องสำลักเลือดในลำคออย่างทรมาน

           “ทุกอย่างที่เจ้ากล่าวมาล้วนแล้วแต่ได้ทั้งสิ้น เจ้าจะได้ยืนในจุดที่สูงที่สุด ได้มองทุกสรรพสิ่งทั่วหล้า ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี จะมีแต่แสงสว่างล้อมรอบตัวเจ้า ข้าสัญญา” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างหนักแน่น

           เฟยหลงมองเพดานห้องคล้ายฝันถึงชีวิตในรูปแบบที่กล่าวมา “ข้า...อยากมีชีวิตเช่นนั้น ข้าอยากติดตามเจ้าไป” กล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลแนบแก้ม เขาอยากมีชีวิตอยู่กับแสงสว่างเช่นเด็กหนุ่มตลอดไป...ตลอดไป

           “ดี เจ้ามีนามว่ากระไร”

           “เฟยหลง” เสียงอันเบาเอ่ยขึ้น ดูว่าเขาไม่มีแรงหลงเหลืออีก แต่กระนั้นตนก็ยังไม่ทราบนามของอีกฝ่ายเลย และคงจะดีไม่น้อยหากอีกฝ่ายยอมเรียกชื่อตนสักครั้ง “ท่านสัญญาได้ไหม หากข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านจะเรียกนามของข้า” เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายกล่าวอย่างยากเย็น จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ เปลือกตาที่หนักอึ้งจึงปิดลง

           ทว่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะขาดห้วง ก็บังเกิดแสงสว่างสีทองวาววับใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท มันสว่างจนไม่รู้สึกถึงความมืด กระแสคลื่นพลังร้อนที่มีลักษณะกลมเล็กคล้ายลูกแก้วถูกถ่ายเทเข้ามาในร่างอย่างล้นปรี่ ร้อนแรงจนทำให้ใจรู้สึกอบอุ่น เขาเหมือนได้พักผ่อนอย่างสงบอีกครั้ง

           ...................

           ...........

           ...

           “เขาฟื้นแล้วท่านมหาเทพ” เสียงทุ้มแหลมไม่คุ้นหูของคนผู้หนึ่งดังขึ้น สายตาเลือนรางเริ่มเห็นดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่ดูคุ้นตาเหมือนเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน เด็กหนุ่มร่าเริงในชุดสีเขียวอ่อนร้องเรียกคนผู้หนึ่ง

           จมูกเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของดอกบัวอีกครั้ง แลไม่นานนักร่างในชุดสีขาวสะอาดปักลายดอกบัวก็เดินเข้ามาหา ดวงหน้าที่คุ้นเคยนั้นเริ่มเด่นชัด จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าว

           “เฟยหลง”

           เฟยหลงพลันลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย เป็นท่านมหาเทพที่เรียกชื่อเขา ซ้ำกำลังก้มมองเขาอยู่ สายตาอ่อนโยนเช่นวันนั้น

           “ข้าต้องกลับแล้ว”

           เขาจับจ้องดวงตาคู่นั้นอย่างเนิ่นนาน ก่อนลุกศีรษะขึ้นจากตักน้อยอย่างจำใจ ต้าเซียนเองก็ลุกขึ้นยืนจากเตียง เดินตรงไปยังที่ประตูห้อง เขาเห็นดังนั้นก็พูดขึ้น “ข้าฝันถึงวันที่เราพบกัน”

           ต้าเซียนถึงกับชะงักฝีเท้า รู้สึกปวดแปลบในอกคล้ายถูกบีบรัดไว้

           “ข้าหลงรักท่านตั้งแต่ตอนนั้น” แสงสว่างของข้า

           ร่างน้อยนิ่งอึ้งก่อนควบคุมตัวเองให้เปิดประตูออกโดยเร็ว ทว่าเพียงเปิดออกได้ครึ่งหนึ่ง เฟยหลงก็กล่าวสืบต่อ

           “เซียวถิงฟงกำลังจะเป็นราชบุตรเขยในอีกไม่ช้านี้ หากท่านยังอยู่กับเขา ท่านจะเสียใจ”

           บังเกิดเป็นความว้าวุ่นใจ ต่อเมื่อประตูเปิดออก ต้าเซียนก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว คล้ายต้องการสลัดเอาความสับสนนี้ให้หายไปราวกับสายลม รอจนพ้นจากตัวตำหนักเตี้ยนชิงฝีเท้าก็ค่อยๆหยุดลง ก้มหน้าลงคิดอย่างสับสน กระทั่งแลเห็นรองเท้าสีดำคู่หนึ่ง

           “กลับบ้านกันเถอะ” เซียวถิงฟงกล่าวน้ำเสียงอ่อน สีหน้าสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดรางๆ เขาเอื้อมมือไปจูงมือน้อยแล้วพาเดินไป

           ระหว่างทางร่างสูงมิได้ปริปากถามถึงสาเหตุที่ตนมาพบเฟยหลง ต้าเซียนจึงมองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มพลางเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นแทน “เจ้ามีอะไรจะบอกข้ารึไม่”
           
           “ไม่มี ไม่มีอะไร” เซียวถิงฟงหยุดชะงัก นิ่งไประยะหนึ่งก่อนพึมพำตอบด้วยน้ำเสียงขมขื่น
 

***********************************************

   
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน)บทที่ 20.2 อดีตที่มิอาจลืม 07/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 07-11-2015 20:03:16
บทที่ 20.2 อดีตที่มิอาจลืม


           หลังจากผ่านพ้นแต่ละวันไปอย่างยากลำบาก เช้าวันต่อมาตำหนักลุ่ยหวาก็ต้องเผชิญกับบุคคลที่ไม่เป็นที่ต้อนรับตามรับสั่งขององค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่

           “เชิญแม่นางทางนี้” นางกำนัลเว่ยกล่าวเชื้อเชิญอย่างเต็มใจ ก่อนหลีกทางให้คนทั้งสองก้าวเข้าไปในห้องที่ผ้าม่านถูกปลดลงปิดบังแสงจากภายนอก ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพร ที่ด้านในสุดมีสตรีที่คลุมหน้าด้วยผ้าแพรบาง กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

           “พี่ถิงฟง รบกวนท่านออกไปข้างนอกก่อนเถิด ข้าอยากคุยกับนางตามลำพัง” องค์หญิงหย่าเหลียนกล่าวน้ำเสียงแหบเครือ คำขอร้องนี้ทำให้เซียวถิงฟงต้องจำใจออกจากห้อง แต่มิวายมองต้าเซียนอย่างเป็นห่วง รอจนเสียงฝีเท้าลับไป นางก็ขึ้นเสียง “เจ้ามาดูว่าข้าใกล้ตายรึยังใช่รึไม่”

           “.......” ต้าเซียนไม่ตอบคำ ทั้งยังนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ใกล้เตียงนอน เขายื่นมือออกไปเพื่อสำรวจดูชีพจรของนาง แต่ยังไม่ทันจะได้แตะที่ข้อมือ นางก็สะบัดแขนเขาออกโดยแรง

           “มิต้องตรวจ ข้ารู้ดีว่าตัวข้าเป็นเช่นไร” กล่าวจบก็เลิกผ้าแพรคลุมหน้าออก เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่มีน้ำมีนวล ดวงตาสุกใส ริมฝีปากแดงเป็นธรรมชาติ หาได้มีร่องรอยของคนที่ใกล้ตายไม่

           ต้าเซียนถึงกับหายใจลึกอย่างหนักใจ “เจ้ารู้รึไม่ ทำเช่นนี้เจ้าถือว่าขายชีวิตให้แก่ปีศาจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเจ้ามิใช่มนุษย์อีกต่อไป” เขากล่าวเสียงเข้ม หากแต่องค์หญิงหย่าเหลียนกลับหัวร่อขึ้น

           “ดังนั้นเจ้าจึงมิต้องตรวจอะไรข้าอีก” นางกล่าวแล้วเหยียดยิ้ม

           “เจ้าตัดสินใจดีแล้วรึ”

           “หึ หากไม่มีตัววิปริตอย่างเจ้า ข้ากับพี่ถิงฟงคงได้แต่งงานกันไปแล้ว เป็นเพราะเจ้า เป็นบุรุษแท้ๆกลับยั่วยวนให้เขาไขว้เขวไปจากข้า แต่ไม่เป็นไร หลังจากนี้เขาจะไม่มีวันคิดถึงใครได้อีก นอกจากข้าเพียงผู้เดียว”

           “เจ้าหมายความว่ากระไร” จู่ๆก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล

           “เจ้าไม่เชื่อก็รอดูให้ดีเถอะ” รอยยิ้มมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม ก่อนบิดเบี้ยวเหี่ยวเฉาซูบเซียวดั่งซากต้นไม้อีกครั้ง ฉับพลันนั้นนางก็ส่งเสียงกรีดร้องราวกับคนเสียสติ ทั้งใช้เล็บข่วนเข้าที่แขนตัวเอง

           ประตูห้องถูกเปิดผาง เซียวถิงฟงตรงรี่เข้าขืนตัวหย่าเหลียนที่เสียสติไว้อย่างทุเลทุลัก นางกำนัลเว่ยก็เอาแต่ร่ำไห้อยู่ข้างเตียง ต้าเซียนถึงกับทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่ถอยกรูดไปยืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง

           “ต้าเซียนเกิดอะไรขึ้น” เซียวถิงฟงกล่าวถาม ด้านหย่าเหลียนยังคงบิดเร่าอย่างเจ็บปวด ผ้าแพรร่นขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่เหี่ยวเฉา นางกำนัลเว่ยถึงกับน้ำตาหลั่งไหล หันไปดึงคอเสื้อของต้าเซียนอย่างคับแค้น เขาเห็นร่างน้อยผงะตกใจก็ถลันตัวจะเข้าไปช่วยเหลือ หากแต่องค์หญิงหย่าเหลียนกลับกอดเขาไว้แน่น
               
           “นางบอกว่า ข้ากำลังจะตายในอีกไม่ช้า นางมิอาจช่วยข้าได้”

           คำกล่าวจบคนในห้องต่างก็ตกตะลึงวูบ ไม่เว้นแม้แต่ต้าเซียนเองเช่นกัน นางกำนัลเว่ยเริ่มคลายมือออกจากคอเสื้อ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นร่ำร้องว่าไม่จริง ไม่จริงอยู่หลายครา

           ด้านเซียวถิงฟงก็ต้องเบิกตาค้างมิอยากจะเชื่อ เขาค่อยๆดึงมือของหย่าเหลียนออก ตรงเข้าไปหาต้าเซียนอย่างแช่มช้าพลางจับกระชับเข้าที่ไหล่ของร่างเล็ก “เจ้าช่วยนางไม่ได้จริงๆรึ” 

           “ข้าขอโทษ ข้ามิอาจช่วยนางได้จริงๆ” ต้าเซียนกล่าวตามสัตย์จริง ตอนนี้องค์หญิงหย่าเหลียนได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับปีศาจจิ้งจอกแล้ว เขามิอาจช่วยนางได้อีกต่อไป

           เซียวถิงฟงได้ยินดังนั้น ดวงตาเลื่อนลอยมองไปที่ไกลแสนไกล ต้าเซียนเห็นแล้วบังเกิดเป็นความเจ็บปวดดั่งเช่นเข็มนับพันทิ่มแทง

           “เขาเป็นของข้า” เสียงหนึ่งดังขึ้นในกระแสจิต ต้าเซียนเบือนสายตาไปยังองค์หญิงหย่าเหลียน เห็นนางกำลังยิ้มเยียบเย็นแฝงไปด้วยความอำมหิต “เจ้าจะทำอย่างไรดีล่ะ จะฆ่าข้ากระนั้นหรือ”

           เสียงนั้นฟังดูย่ามใจ เกรงว่านางกำลังถือไพ่เหนือกว่า ต้าเซียนรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ตนมิอาจทำกระไรได้  หากเขาฆ่านาง เท่ากับว่าความสัมพันธ์ของเขาและเซียวถิงฟงจะสิ้นสุดลง

           “ความเจ็บปวดที่ข้าได้รับมิได้มีเพียงเท่านี้หรอกนะ” เสียงนั้นกล่าวอย่างเคียดแค้น หย่าเหลียนจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสายตาเป็นโศกเศร้า “พี่ถิงฟง พี่ถิงฟง”

           นางร่ำร้องเรียกดั่งคนเสียสติ ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ เซียวถิงฟงบีบมือของต้าเซียนคราหนึ่งก่อนลุกขึ้นเดินไปอย่างรวดเร็ว หวังมิให้อีกฝ่ายได้เห็นสีหน้าเขาตอนนี้

           “อย่า...อย่าทิ้งข้าไปได้โปรด” เสียงแหบแห้งน่าเวทนาดังขึ้น ร่างบอบบางซุกลงที่อกแกร่ง

           “ข้าก็อยู่นี่แล้วไง หย่าเหลียน”

           “ข้ายังไม่อยากตาย พี่ถิงฟง ข้า...” องค์หญิงหย่าเหลียนไม่อาจพูดต่อไปได้อีก นางสะอึกสะอื้นจนกระทั่งหมดแรง 

           “เจ้าจะมีต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจะต้องหาทางอื่นได้แน่นอน” เขาลูบหลังปลอบนางอยู่หลายครั้ง สายตากวาดไปมาเค้นหาวิธีต่างๆนานา

           “จากนี้ไปไม่ว่าเมื่อไร เขาก็จะเลือกที่จะอยู่เคียงข้ามิใช่เจ้า ต้าเซียน” เสียงในกระแสจิตกล่าวกับต้าเซียนเป็นครั้งสุดท้าย

           “ไม่ หากแม้นท่านรักษาข้าได้ ท่านก็ยังคงจากข้าไป สู้ข้าตายเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า”

           “หย่าเหลียน เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่รู้ตัวบ้างไหม” เขาตวาดใส่

           “ข้ารู้ดีว่ากำลังพูดอะไรอยู่ หากแต่ความฝันของข้าคือการได้เป็นภรรยาท่าน หากมิได้เป็นดั่งที่หวัง ข้าก็มิรู้จะอยู่ไปเพื่อกระไร” ครานี้นางผละตัวออกจากชายหนุ่ม หันไปซุกหน้าร่ำไห้ลงบนหมอน “ท่านไปเถอะ ข้าเข้าใจท่าน ข้าจะไม่โกรธเคืองท่านแม้แต่น้อย”

           “แต่”

           “ออกไป ข้าบอกให้ออกไป” นางร้องลั่นพลางปาหมอนใส่เซียวถิงฟง “ปล่อยให้ข้าตายไปอย่างเงียบๆเถอะ ไปซะ”           

           เซียวถิงฟงมองคนที่เป็นดั่งน้องสาวนิ่งงันไปในทันที ก่อนไพล่ครุ่นคิดเรื่องหนึ่งจนสีหน้าไม่สู้ดี คล้ายตัดสินใจบางอย่างได้ยากยิ่ง ในอกเผชิญกับรสขม แต่ในที่สุดก็กล้ำกลืนฝืนกล่าว “ได้ ข้าจะแต่งกับเจ้า ข้าจะทำตามความปรารถนาของเจ้า ขอเพียงเจ้ายอมมีชีวิตอยู่” หากนี้เป็นเหตุผลเดียวที่นางยอมมีชีวิตอยู่ เขาก็ยินยอม

           ข้าอยู่ที่นี่ไปเพื่อกระไรกัน จู่ๆคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ ต้าเซียนทนรับชมภาพเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ จวบจนต้องรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนิ่งค้างไม่แม้แต่กะพริบ ตอนนี้เขาคล้ายเป็นส่วนเกินของคนทั้งสอง เป็นส่วนเกินของเซียวถิงฟง

           ราวกับเวลาหยุดเดิน จนมิอาจสัมผัสได้ถึงสิ่งรอบข้าง แม้กระทั่งเสียงหัวใจที่อยู่ภายในอก เสมือนถูกลากกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เป็นเช่นตัวเขาในอดีต เขาที่ไม่เคยมีหัวใจมนุษย์

           ถิงฟง หัวใจของเจ้ามิได้มีแม้แต่ความเสียใจให้กับข้าเลยหรือ ต้าเซียนพร่ำบอกในขณะที่นำพาตนเองออกจากห้องอย่างอ่อนล้า แต่แล้วก็ต้องสะดุดถึงเงาร่างที่พาดทอลงบนพื้น เงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่ตนรู้จัก

           ดูว่าคนผู้นี้ยืนตัวแข็งดั่งหินผาหลบอยู่นอกประตูห้องบรรทม ครั้นรู้สึกตัวก็เผลอสบเข้ากับสายตาเขา วินาทีนั้นต้าเซียนพลันรู้ได้ทันทีว่า สายตาเศร้าโศกคู่นั้นมิได้ต่างจากตนเท่าใดนัก ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่คิดถามอะไร ต่างเลือกที่จะจมอยู่ในห้วงทุกข์ของตัวเองอยู่เช่นนั้น
 

***********************************************


           หลังจากที่ออกมาจากตำหนักลุ่ยหวา สองเท้าก็พาออกเดินไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่มีทั้งจุดหมาย เพียงเดินไปตามใจ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกคิดผิด

           “นั่น แม่นางต้าเซียนไม่ใช่รึ” เสียงหนึ่งดังขึ้นในระยะใกล้ๆ ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่จ้ำอ้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ต้าเซียนพลันรู้สึกขัดใจ ทำไมคนผู้นี้จึงต้องโผล่มาตอนนี้ด้วยเล่า 

           “ข้าเอง ซุนจื่อหาน” เสียงที่ไม่ปกปิดความดีใจแม้แต่น้อยกล่าวขึ้น แต่ครั้นแลเห็นว่าสาวงามทำท่าไม่สนใจ ทั้งมีท่าทีเดินหนีไปอีกทาง ซุนจื่อหานก็ฉวยจับเรียวแขนบางไว้

           “ปล่อยข้า” ต้าเซียนหลบหน้ากล่าวอย่างเย็นชา

           “แม่นางอย่าได้กล่าวเช่นนี้ จะอย่างไรเราสองก็จะเป็นสามีภรรยากันอยู่วันยังค่ำ อย่าได้ทำหมางเมินไป”

           “เจ้าว่ากระไร” ร่างน้อยถึงกับผงะหันไปกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

           “ที่แม่นางได้ยินฟังไม่ผิดหรอก ตระกูลเซียวได้ยินยอมมอบแม่นางให้เป็นภรรยาข้าแล้ว” ซุนจื่อหานแสร้งกล่าวพกลม ด้วยรู้ว่าเซียวถิงฟงมีใจให้กับนางในดวงใจของเขา แต่จะอย่างไรอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นราชบุตรเขยในอีกไม่ช้า ดังนั้นเขาต้องรีบฉวยโอกาสนี้ไว้ครอบครองใจหญิงงาม

           ต้าเซียนคล้ายถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่ร่างอย่างจัง ดวงตาเขาเบิกค้างตกตะลึง...เจ้ามิเพียงไม่เลือกข้า ซ้ำยังคิดจะผลักไสข้าอีกด้วยหรือ เช่นนั้นแล้วความอ่อนโยนที่เจ้ามอบให้คืออะไรกันแน่ พลันเจ็บแปลบในอก ภาพชายหนุ่มสะท้อนในแววตาสีน้ำตาลอ่อน
             
           “แม่นาง แม่นางเป็นอะไรมากรึเปล่า” ซุนจื่อหานเรียกโฉมงามตรงหน้า ครั้นเห็นอีกฝ่ายสับสน ก็ต้องลอบยิ้มในใจพลางคิดว่าอีกไม่นานสาวงามตรงหน้าต้องติดเบ็ดเขาแน่ ทว่า...
             
           “ออกไปให้ห่างข้า” จู่ๆร่างน้อยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ซุนจื่อหานตกตะลึงวูบ มิคาดว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม ทั้งยังมิทันตั้งตัว ฉับพลันนั้นร่างในชุดสีฟ้าอ่อนก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป

           ความจริงในสายตาของซุนจื่อหานมิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนไปนัก หากแต่มีบางสิ่งที่ทำให้เขาต้องรู้สึกเช่นนั้น คนตรงหน้าคล้ายมีรัศมีสีทองปกคลุมร่างกายอย่างเบาบาง ใบหน้าและท่าทีจากที่เคยอ่อนหวาน กลับแทนที่ด้วยความสง่างามน่าเกรงขาม ดูน่าหลงใหล

           บัณฑิตหนุ่มรับชมอย่างตะลึงลาน ก่อนเขยิบก้าวเข้าไปใกล้ตัวนางให้มากยิ่งขึ้น รออีกเพียงก้าวเดียวก็จะสัมผัสถึงตัว แต่แล้วพายุประหลาดก็พลันผุดขึ้น ยังผลให้ร่างถูกลมหมุนผลักกระเด็นถอยออกไป

           บังเกิดความงุนงง ขยี้ตาคราหนึ่งแล้วจึงพบว่ามิใช่พายุอย่างที่นึก หากแต่เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่แทรกกายขวางกั้นพวกเขาเอาไว้ สายตาดุจดั่งพญาอินทรีคู่นั้นคล้ายฟาดฟันเขาให้ตายในพริบตาเดียว ซุนจื่นหานถึงกับหน้าซีดปากสั่น พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายพาร่างงดงามนี้ไปต่อหน้าต่อตา

           บริเวณต้นน้ำของสระใหญ่ในอุทยานหลวง ที่มุมหนึ่งถูกจัดไว้ด้วยก้อนหินใหญ่ที่ตั้งชันสูงตระหง่าน สายน้ำหลั่งรินไหล หากแต่ในซอกหลืบเล็กๆกลับมีพื้นที่มืดสลัวที่ไม่เป็นที่สังเกตแก่ผู้คน
             
           “เหตุใดจึงต้องลากข้ามาที่นี่”
             
           “หรือท่านต้องการให้ผู้อื่นเห็นน้ำตาของท่าน” เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงเจือไปด้วยโทสะ ต้าเซียนพลันใช้มือสัมผัสที่ดวงตาแล้วจึงพบว่ามีหยาดน้ำใสที่ร้อนระอุคลออยู่ “ข้าบอกท่านแล้ว หากท่านยังคงอยู่กับเขา ท่านไม่พ้นคำว่าเสียใจเป็นแน่”

           เห็นท่านมหาเทพยังคงเงียบสนิท อารมณ์ของเฟยหลงก็ยิ่งคุกรุ่น “ทำไมท่านถึงใจร้ายเช่นนี้ ทำไมถึงไม่เคยมองมาที่ข้าบ้างเล่า” เขาพูดตัดพ้ออย่างเจ็บปวด ด้วยรู้ว่าท่านมหาเทพกำลังเจ็บปวดเพราะคนผู้หนึ่ง ซึ่งมิใช่เขา

           ต้าเซียนเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สิ่งที่เจ้าต้องการ ข้ามิอาจให้เจ้าได้” แม้รู้ดีว่าเฟยหลงไม่เพียงเป็นห่วงตน แต่อีกฝ่ายยังรักตนอย่างหมดหัวใจอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิอาจตอบรับความรู้สึกนี้ได้

           “เพราะเหตุใดกัน” เฟยหลงกล่าวถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ

           “เพราะข้าคือมหาเทพ ข้ามิอาจมอบความรักให้ใครคนเดียวได้ ข้ายังต้องดูแลสามโลก ดูแลเหล่าเทพ และดูแลเหล่ามนุษย์บนพื้นพิภพ”

           “เช่นนั้นทำไมมนุษย์ผู้นั้นจึงสามารถ ชายผู้นั้น เซียวถิงฟง เขาเองก็เป็นเช่นข้า แต่ท่านลำเอียงให้โอกาสเพียงแต่เขา ส่วนตัวข้าท่านได้แต่ผลักไส ไม่แม้แต่คิดถึงใจข้าแม้แต่น้อย” เฟยหลงขึ้นเสียงตะโกนออกมาอย่างขมขื่น ดวงตาแดงก่ำ เป็นเพราะสามโลกจริงๆน่ะหรือท่านจึงมิอาจรักข้าได้

           ดวงตาของต้าเซียนพลันรื้นขึ้นด้วยน้ำตา “เพราะเขาทำให้ข้าหวั่นไหว ทำให้ตัวข้าอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับเขา เขาสอนให้ข้ารู้จักคำว่ารัก” เขาหยุดเสียงลงด้วยความอัดอั้นก่อนฝืนกล่าวสืบต่อ “และทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่าเสียใจ” เขาเม้มริมฝีปากบางแน่น พยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา แต่แล้วจู่ๆเฟยหลงก็รั้งร่างเขาไปใกล้ๆ

           หากไม่มีเจ้ามนุษย์นั่น เรื่องมันคงง่ายกว่านี้ เขาคับแค้นใจ แต่ก็ยังต้องอดทนไว้ บางทีนี่อาจยังไม่ถึงเวลา “ท่านแน่ใจได้อย่างไร ว่าใจของท่านเป็นของเขา”

           “เฟยหลง” ต้าเซียนขึ้นเสียง ดูเหมือนว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องเสียแล้ว

           “ท่านรักเขาจริงหรือ ท่านแน่ใจได้อย่างไร หัวใจในร่างของท่านดวงนี้อาจมิได้คงอยู่ไว้เพื่อเขา แต่อาจมีไว้เพื่อข้าก็เป็นได้ ท่านมิใช่เคยหวั่นไหวเพราะข้ากระนั้นหรือ หากท่านให้เวลาให้ข้าพิสูจน์ ข้าเชื่อมั่นว่าไม่นาน ใจท่านจะกระจ่าง”

           ต้าเซียนฟังแล้วก็ต้องนิ่งอึ้ง เขาเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ดีที่ที่นี่มืดสลัว เฟยหลงจึงมิอาจมองเห็นสีหน้าเขาได้ชัด เขาตัดสินใจแล้ว เพื่อที่เรื่องราวจะได้จบลงแต่โดยดี จบลงที่ตัวเขาเพียงผู้เดียว

           “ได้ นับจากนี้หนึ่งเดือน หากเจ้าสามารถพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่า ใจข้ามิได้เป็นของเซียวถิงฟง หัวใจดวงนี้เป็นหัวใจที่คงอยู่เพื่อเจ้าแล้ว ข้าจะยอมไปกับเจ้าทุกหนทุกแห่ง ทั้งสละตำแหน่งมหาเทพ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสามพิภพอีกต่อไป หากแต่เจ้าเองก็จะต้องไม่ข้องเกี่ยวกับแดนปีศาจอีกด้วย” ต้าเซียนกล่าวหนักแน่น

           “ข้าตกลง” เฟยหลงยิ้มรับข้อเสนอทันที

********************************************

ช่วงนี้ยุ่งๆ ต้องดูเเลหลานอายุ 5 วัน เเล้วก็เเอบเครียดมั่กมาก เพราะมีญาติที่พึ่งรู้จักมาอยู่บ้าน  :katai1: ความเป็นส่วนตัวมันหายไป บางทีจะรีไรท์ล่ะ คิดไม่ออก เเต่ก็จะพยายามอัพทุกวัน หรือวันเว้นวันนะคะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 20 อดีตที่มิอาจลืม 07/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 08-11-2015 07:29:04
รออ่านตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 20 อดีตที่มิอาจลืม 07/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 08-11-2015 13:19:40
อ่านแล้วหงุดหงิดๆๆๆๆๆ
ต้าเซียนต้องเสียใจอีกกี่ครั้งละเนี่ย :m31:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 21.1 พลังชีวิต 08/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 08-11-2015 20:44:05
บทที่ 21.1 พลังชีวิต


           แอ๊ด ประตูถูกผลักเข้า ตามมาด้วยฝีเท้าที่เบาราวกับปุยนุ่น ทุกย่างก้าวแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยอ่อน อีกาสีดำตัวหนึ่งซึ่งเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างพลันร้องทักขึ้นเมื่อเห็นคนผู้นี้

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊”

           เสียงร้องของมันแตกต่างจากอีกาอื่นทั่วไป ทำให้คนที่ยืนใจลอยต้องหลุดออกจากภวังค์ แล้วพบว่าตนกลับมาถึงเรือนนอนเรียบร้อยแล้ว ต้าเซียนยกแขนขึ้นเล็กน้อย แลไม่นานอีกาตัวสีดำก็รีบบินเข้ามาหา มันทิ้งตัวเกาะอยู่บนข้อมือเรียว จากนั้นก้มตัวลงใช้จงอยปากจิกเบาๆอย่างรักใคร่

           “ฉุนซุ่ย จากนี้ไปติดตามเซียวถิงฟงให้ดี หากเขาเกิดอันตรายให้รีบกลับมาแจ้งข้า” กล่าวจบอีกาตัวน้อยก็ผงกหัวให้ก่อนจะโผบินออกไปครานี้ต้าเซียนหันมากล่าวขึงขังผ่านต่างหูมุก “ท่านเทพอาวุโสทั้งสาม โปรดฟังข้าให้ดี นี่เป็นคำสั่งสุดท้ายของมหาเทพ ผู้นำสูงสุดแห่งพิภพสวรรค์”

           “น้อมรับคำสั่ง ท่านมหาเทพ”   

           “นับแต่นี้ไป ให้พวกท่านเสาะหาบุคคลที่เหมาะสมแก่ตำแหน่งผู้นำพิภพสวรรค์ แลรับฟังคำสั่งจากบุคคลผู้นั้นสืบต่อไป”

           เกิดเป็นความเงียบขึ้น ไม่มีผู้ใดปริปากออกเสียง แม้มิได้พบหน้าค่าตา กระนั้นต้าเซียนก็รู้ดีว่าเหล่าอาวุโสเทพกำลังแตกตื่นมากเพียงใด

           “ท่านมหาเทพเกิดอะไรขึ้นหรือ อีกไม่กี่วันจะเป็นวันที่ความมืดบดบังแสงอาทิตย์ หรือก็คือวันชี้ชะตาของสามพิภพแล้ว เหตุไฉนท่านจึงให้พวกเราค้นหาผู้นำแห่งพิภพสวรรค์อีก แล้วตัวท่านเล่า” เทพอาวุโสหวางจื้อตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นถาม

           “อย่าได้ถามมากความ”

           น้ำเสียงห้วนกึ่งตวาดถูกส่งกลับมา เทพอาวุโสหวางจื้อเงียบกริบลงอีกครั้ง หากท่านมหาเทพมิต้องการให้ไต่ถาม เขามีรึจะกล้าขัด ดังนั้นจึงได้กระทุ้งศอกไปยังคนข้างกาย

           เทพอาวุโสเจิ้งผิงถึงกับอึกอัก รอสักพักก็กล่าวทวนอย่างทำความเข้าใจ “อ่อ รึท่านมหาเทพต้องการให้พวกเราเลือกผู้นำพิภพสวรรค์อีกผู้หนึ่ง เข้าทำการบัญชาเหล่าทหารเทพ เมื่อถึงคราศึกชี้ชะตา มนตร์ปิดกั้นสวรรค์สิ้นพลานุภาพก็ให้พวกเรารับคำสั่งคนผู้นี้ จัดการกับเหล่าปีศาจให้สิ้นซาก”

           “มิใช่ มิใช่”

           “ถ้าเช่นนั้น...” เทพอาวุโสเจิ้งผิงเกริ่น

           “จะไม่มีศึกในวันนั้นอีกแล้ว” ต้าเซียนตอบเสียงเรียบ หากแต่เหล่าเทพอาวุโสต่างขึ้นเสียงกันอย่างงุนงงวูบ

           “ท่านมหาเทพหมายความว่าอย่างไร”

           “ตอนนี้พวกท่านยังมิต้องใส่ใจ หากเพลานั้นมาถึง พวกท่านจักกระจ่างเอง”

           ฟังแล้วเทพอาวุโสเทียนสีก็ขมวดคิ้ว “ข้าไม่เข้าใจ ทำไมท่านมหาเทพจึงตัดสินใจเยี่ยงนี้ หรือเป็นเพราะหัวใจมนุษย์ในร่างของท่าน ท่านจึงไม่”

           “ข้าจึงไม่ตรึกตรองให้ถี่ถ้วนใช่รึไม่” ต้าเซียนขึ้นเสียงดุ “หรือพวกท่านกำลังคิดว่าข้าใช้อารมณ์ของมนุษย์มาตัดสินการใหญ่”

           “มิใช่เช่นนั้นท่านมหาเทพ พวกข้าเพียงเป็นห่วงท่านจริงๆ” เทพอาวุโสเทียนสีรีบกล่าวปฏิเสธ
   
           ได้ยินเช่นนั้นต้าเซียนก็สงบสติลง ทอดหายใจยาว “เอาเถอะ พวกท่านมิต้องเป็นห่วงไป อีกไม่นานข้าจะคืนหัวใจให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ ส่วนเรื่องที่ข้าตัดสินใจไปแล้วนั้น ข้าอยากให้พวกท่านเข้าใจ นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ไม่เกิดการนองเลือด และข้ามิอยากให้ใครหน้าไหนมารับเคราะห์มากไปกว่านี้อีก” เขากล่าวน้ำเสียงสลด รอจนมิมีผู้ใดกล่าววาจาใดอีก เขาจึงตัดบท “เช่นนั้นจงไปจัดการตามนี้”

           “ท่านมหา~”

           ต้าเซียนตัดการติดต่อลงโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน เปลี่ยนสายตาที่เศร้าสลดให้กลับมาคมกล้าอีกครั้ง เขาเดินออกไปเปิดประตูห้องให้กับร่างสูงที่ยืนซึมกะทืออยู่ด้านนอก

           “เจ้ากำลังคุยกับผู้ใดอยู่” คล้ายมีเสียงของคนกลุ่มหนึ่งกำลังสนทนากันอย่างเคร่งเครียดภายใน

           “ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้น”

           ต้าเซียนกล่าวเสียงเข้ม เซียวถิงฟงจึงเลือกเก็บความสงสัยไว้ ก่อนหลุบตาลง “ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”

           “เรื่องใดกันล่ะ เรื่องที่เจ้าจะแต่งให้กับองค์หญิงหย่าเหลียน หรือเรื่องที่เจ้าจะยกข้าให้กับซุนจื่อหาน”

           ฟังแล้วก็ถึงกับงงงันวูบ ครั้นเงยหน้าขึ้นก็ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทอแววขุ่นเคือง “มิใช่อย่างที่เจ้าคิด” เขารีบกล่าวอธิบาย ทว่าต้าเซียนกลับหันกายเข้าห้อง เขาจึงรีบเดินตามไปติดๆ ท้ายที่สุดร่างน้อยก็หยุดลงนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีห่างเหิน

           “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ยินอะไรมา แต่ข้าสาบานได้ ข้ามิเคยปรารถนายกเจ้าให้แก่ผู้ใดทั้งสิ้น” เซียวถิงฟงลั่นวาจา ดวงตาเป็นประกายแน่วแน่

           “ข้ามิได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เรื่องราวจะเป็นเช่นไร ข้าจะต้องการหรือไม่ ข้า...มหาเทพแห่งแดนสวรรค์ก็มิมีวันอยู่ร่วมกับมนุษย์อยู่แล้ว” ต้าเซียนเน้นหนักประโยคสุดท้าย

           เซียวถิงฟงเลิกตากว้าง หัวคิ้วชนเข้าหากัน คล้ายต้าเซียนต้องการบอก ไม่ว่าตัวเขาก็ดี หรือซุนจื่อหานเองก็ช่าง ต้าเซียนไม่มีวันที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างพวกเขา เนื่องเพราะต้าเซียนคือมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ระหว่างพวกเขานั้นแตกต่างกันเกินไป ยังผลให้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ยืนกำหมัดอยู่อย่างนั้น

           ดูว่าชายหนุ่มจะเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการบอกแล้ว ต้าเซียนฝืนเก็บความอึดอัดไว้ในใจ ขอเพียงผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ ทุกอย่างก็จะลงตัว ชายหนุ่มจะกลับมามีชีวิตที่ปกติอีกครั้ง โดยปราศจากตน “ข้ายินดีกับการแต่งงานของเจ้า หากเวลามีมากพอข้าย่อมต้องเข้าร่วมงานแน่”

           ถ้อยคำดังกล่าว ราวกับคมมีดที่กรีดลงบนหัวใจ เซียวถิงฟงนิ่งอึ้งไปทันที ลมหายใจขาดห้วง เสมือนมีพายุโหมกระหน่ำในอก คล้ายมิต้องการรับรู้อะไรอีก แต่ท้ายที่สุดก็ฝืนเค้นเสียง “ดี ข้าเข้าใจแล้ว”

           กระนั้นแล้วต้าเซียนก็ยังคงทำใจแข็งกล่าวอย่างไร้เยื่อใย “หากไม่มีอะไรแล้ว เจ้าก็กลับไปเถิด ข้าอยากพักผ่อน” กล่าวจบก็เบนสายตาหนี

           เซียวถิงฟงมองดูแล้วร่างน้อยอย่างเลื่อนลอย “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่อาจอยู่กับข้าได้กระนั้นหรือ”

           เสียงเข้มปนเศร้าหมองดังออกมา ต้าเซียนยังคงไม่มองหน้าเจ้าของเสียงนี้ ริมฝีปากที่เม้มสนิทเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ใช่ ไม่มีวันเป็นเช่นนั้น สักวันข้าต้องกลับไปทำหน้าที่ของข้า”

           “.......” ราวกับได้ยินเสียงอสนีบาต เซียวถิงฟงนิ่งงันไปสักพักก็ยิ้มเยาะให้กับตนเอง “ข้า เข้าใจแล้ว” ฝืนลากฝีเท้าไม่มั่นคงไร้เรี่ยวแรงให้ถอยห่างไป ต่อเมื่อถึงหน้าประตูน้ำเสียงนุ่มทุ้มกลับดังออกมา

           “สิ่งที่ข้าเคยมอบให้เจ้าไป ได้โปรดอย่าได้แบ่งปันให้ใคร ถือว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของข้า”

           ครานี้เรี่ยวแรงของเซียวถิงฟงคล้ายกลับมาแล้ว มือที่เคยกำแน่นก็ทุบเข้ากับประตูไม้อย่างรวดร้าว ประตูพังครืนลงในทันที เฉกเช่นเดียวกับหัวใจเขา

           เหตุใดยังต้องเป็นห่วงเป็นใยข้าอีก หากใจข้าสามารถละทิ้งไว้ ณ ที่แห่งนี้ได้ ดั่งเศษซากประตูบานนี้ ก็คงจะดีไม่น้อย แต่กระนั้น...ข้ากลับทำมิได้ ข้าไม่สามารถละทิ้งหัวใจที่มีเพียงเจ้าไปได้...ต้าเซียน

           เสียงกู่ร้องคำรามอย่างรวดร้าวดังขึ้น ต้าเซียนฟังแล้วก็เย็นวาบไปทั้งตัว ใจเสมือนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เห็นเซียวถิงฟงวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง ร่างก็พลันผุดลุกขึ้น แต่แล้วฝีเท้ากลับชะงักหยุดลงได้ทันท่วงที

           ไปไม่ได้ ต้าเซียนพร่ำบอกตัวเองในใจ แม้เสียงคำรามก้องจะรวดร้าวแค่ไหน เขาก็มิอาจตามออกไปได้ ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงพึมพำอย่างขมขื่น “ถิงฟง”

           ใช่แล้วเซียวถิงฟงจะไม่กลับมาอีก ไม่กลับมาอีกแล้ว ร่างน้อยนั่งกอดเข่าอยู่บนเก้าอี้เล็กอย่างเซื่องซึม ใบหน้านิ่งเรียบฟุบลงกับหัวเข่า แลไม่นานนักก็มีเสียงสะอื้นแว่วเบาอย่างอ้างว้าง และเป็นเช่นนี้อยู่ทั้งคืน


***********************************************


           ในเช้าวันที่แดดร่ม ณ จวนตระกูลกลับวุ่นวายไปกับการเร่งเตรียมงานพิธีหมั้น ด้านพ่อบ้านตระกูลเซียวก็ง่วนอยู่กับการคุมข้ารับใช้จัดระเบียบข้าวของอย่างแข็งขัน มือหนึ่งก็ใช้พู่กันจดรายการสิ่งของที่ถูกส่งมาอวยพรให้กับว่าที่ราชบุตรเขยเซียวถิงฟงมือเป็นระวิง ส่วนปากก็ตะโกนบอกข้ารับใช้ “ระวังๆขนมาทางนี้”

           ต้าเซียนที่พึ่งตื่นแล้วเดินออกมายังกลางจวน เห็นกองของขวัญตั้งมหึมาก็หยุดฝีเท้าให้ความสนใจ ดูไปแล้วของแต่ละอย่างหาได้ยากยิ่ง แม้แต่ต้นไม้เงินต้นไม้ทองก็มีอยู่ในจำนวนนี้ เขาลอบเหลียวซ้ายแลขวา เห็นคนยุ่งวุ่นวาย มิน่ามีใครสังเกตเห็นก็แอบเอื้อมมือออกไปอย่างซุกซน

           แต่กระนั้นต้นไม้เงินทองกลับไม่นำพาแก่คนที่สูงน้อย ต้าเซียนจึงต้องเขย่งปลายเท้ากระโดดขึ้นลงราวกับกระต่าย ผ่านไปครึ่งเค่อต้องหยุดลงปาดเหงื่อ เท้าเอวมองอย่างขัดใจ นึกอยากจะเสกมันให้เตี้ยลงอยู่รอมร่อ แต่แล้วดวงตาคู่สวยก็พบบางสิ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้ว รอยยิ้มกริ่มผุดขึ้น

           บันไดไม้ถูกพาดวาง เขาปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ต้นไม้ทองนี้ยากจะได้พบเห็นนัก ฉะนั้นต้องลูบคลำมันสักหลายๆทีเสียหน่อย ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปสัมผัส มิได้สังเกตเห็นความวุ่นวายของในจวนขณะนี้

           ประจวบเหมาะกับที่ข้ารับใช้ผู้หนึ่งเกิดสะดุดเท้าลื่น เป็นเหตุให้ชนเข้ากับบันไดที่พาดสูง ร่างน้อยอยากจะร้องก็ร้องมิออก นึกในใจว่าต้องเจ็บตัวอีกแล้ว ขณะเดียวกันร่างก็ค่อยเอนเอียงไปพร้อมกับบันไดเพื่อนยาก จะคว้าจับเกาะกุมสิ่งใดก็ดูจะไม่ทันการแล้ว

           “อ๊ากกก” เสียงแผดร้องดังขึ้น กระนั้นยังโชคดีที่มีคนผู้หนึ่งรับเขาไว้ มิปล่อยให้เขาต้องลงไปจับกบต่อหน้าผู้คน “เฮ้อ ขอบคุณท่านมาก” ต้าเซียนโล่งอกกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ทว่าคนผู้นี้กลับไม่พูดไม่จา ทั้งยังมิยอมปละปล่อย จู่ๆหัวใจก็พลันเย็นเฉียบกะทันหัน

           เป็นเซียวถิงฟงที่เข้ารับร่างน้อยได้ทันท่วงที เนื่องเพราะลอบมองอีกฝ่ายจากที่ไกลๆมาเนิ่นนานแล้ว

           “วางข้าลง” ต้าเซียนรีบร้องบอก

           เซียวถิงฟงตัวชาวูบด้วยฟังออกถึงน้ำเสียงเย็นชา แม้ใจมิอยากปละปล่อย แต่ตนก็ไม่มีปัญญารั้งไว้ จำใจต้องวางอีกฝ่ายลงอย่างช้าๆ แลเมื่อฝีเท้าสัมผัสถึงพื้น ร่างน้อยก็ผละตัวออก พริบตานั้นในอกเขาก็วูบโหวง

           “โอ๊ย” จู่ๆก็เจ็บจนน้ำตาแทบหลั่งไหล เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าเส้นผลติดพันที่กิ่งไม้ ต้าเซียนขมวดคิ้วรีบเขย่งปลายเท้าหมายจะแกะมันออก แต่แล้วไม่นานเงาร่างใหญ่ก็พลันทาบทับ ทำให้ตนได้เห็นเค้าหน้าชายหนุ่มได้ชัดถนัดตาแล้ว รอยคล้ำใต้ตาบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้ม หากแต่สีหน้ายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย พานให้ปวดแปลบในใจ

           เส้นผมเกี่ยวติดกับกิ่งไม้ทองอย่างยุ่งเหยิง เซียวถิงฟงพยายามแกะออกอย่างเบามือ แต่มิไยจะแกะสักเท่าใดก็ยังคงแกะไม่ออก จึงเอาแต่จดจ้องอยู่กับการคลายปมผมสลวย มิทันสังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนมองด้วยสีหน้าถมึงทึงที่ด้านหลังแล้ว

           “ออกไป ข้าจัดการเองได้” เสียงคมเข้มฉายแววไม่พอใจดังออกมา เซียวถิงฟงชะงักมือ กระนั้นก็มิได้วางมือลง
   
           “เฟยหลง” ต้าเซียนร้องเรียก

           เห็นใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มที่มีให้คนอื่น เซียวถิงฟงก็ซึมกะทือไป

           “ข้ามาแล้ว” เฟยหลงตอบรับพร้อมรอยยิ้มกว้าง แสร้งทำเมินตัวตนของเซียวถิงฟงไปโดยสิ้นเชิง เขาก้าวเข้าไปกล่าวเป็นนัย “ต้าเซียน สิ่งใดที่เกะกะท่านนักก็จงตัดมันทิ้งไป หากปล่อยทิ้งไว้ รังแต่จะเป็นที่น่ารำคาญใจเสียเปล่า” พูดจบก็หักกิ่งไม้ที่ยังคาอยู่ในมือของคนที่มัวแต่ยืนทื่อ

           เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนพลันเลื่อนหลุดออก กิ่งไม้ทองถูกโยนลงพื้นราวกับสิ่งของไร้ค่า พ่อบ้านตระกูลเซียวถึงกับอ้าปากตาค้างตื่นตะลึงสุดขีด มิเว้นข้ารับใช้ที่ต่างพากันตะลึงงันจนบรรลุถึงขั้นไร้วาจาแล้ว

           “จบเรื่องแล้ว ไปกันเถิด” เฟยหลงสอดผสานมือน้อยแล้วพาเดินออกไปจากจวนตระกูลเซียวท่ามกลางสายตานับสิบกว่าคู่

           เซียวถิงฟงรู้สึกตัวแล้วก็รีบคว้าไปที่ข้อมือน้อย หากแต่ปลายนิ้วมิทันได้สัมผัส ก็ชะงักหยุดลงมือลงเสียดื้อๆ ถ้อยคำที่ต้าเซียนกล่าวทิ้งไว้คล้ายกลับมาเคี่ยวกรำเขาอีกครั้ง

           “ไม่มีวันเป็นเช่นนั้น เพราะข้าคือมหาเทพแห่งแดนสวรรค์” 

           “ต้าเซียน” เขาพร่ำเรียกอย่างขมขื่น ในขณะที่พ่อบ้านตระกูลเซียวเดินไปเก็บกิ่งไม้ทองหายากแล้วร้องคร่ำครวญเป็นการใหญ่ ครั้นเขาจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือพ่อบ้าน ความนัยของเฟยหลงก็ดังขึ้นในสมอง

           “ข้าเป็นตัวเกะกะสำหรับเจ้ากระนั้นหรือ”

            “เอ๋ คุณชายท่านกล่าวอะไร” พ่อบ้านตระกูลเซียวถามอย่างแปลกใจ ครั้นเห็นคุณชายเอาแต่ยืนนิ่งตาแดงก่ำ ก็ต้องเกาแก้มอธิบาย “เอ่อ มิได้เป็นเช่น อ้ะ” มิคาดว่าฉับพลันนั้นกิ่งไม้หายากฉวยไปจากมือ พ่อบ้านเซียวถึงกับหน้าแตกตื่น “เดี๋ยว คุณชายเซียว อย่า”

           สิ้นเสียงพ่อบ้าน เซียวถิงฟงก็บดขยี้มันอย่างนึกน้อยใจ กิ่งไม้ทองพลันสลายกลายเป็นผุยผง ก่อนจะลอยละลิ่วไปต่อหน้าต่อตาของคนทั้งลานกว้าง เขาโปรยมันขึ้นฟ้า จากนั้นเดินดุ่มไปที่โรงม้า ทิ้งไว้ให้พ่อบ้านตระกูลเซียวกับเหล่าข้ารับใช้ยืนอ้าปากตาค้างหลั่งน้ำตาเงียบๆกันอีกรอบ

           ม้าขาวตะบึงไปยังป่าแถบชานเมือง ต่อเมื่อได้ยินเสียงน้ำตกสะท้อนก้องกังวาน เขาก็กระโจนลงจากหลังม้า สืบเท้ารวดเร็วไปยังกลางลำธาร มือชักพัดเหล็กตวัดปัดป่ายลงบนโขดหิน บังเกิดเป็นแสงวิบวับ สายน้ำกระจัดกระจายทุกครั้งที่ตวัดแขนลง

           จวบจนพอใจแล้วก็ทิ้งร่างหงายหลังลงสู่ผืนน้ำ ดวงตาปิดสนิทไว้ มิคิดอยากจะลืมขึ้นมาชั่วขณะ ครั้งหนึ่งต้าเซียนเคยนั่งเคียงข้างเขาที่โขดหินแห่งนี้ ทว่าตอนนี้กลับมีเพียงความว่างเปล่า...เหนื่อยเหลือเกิน เซียวถิงฟงคิดแล้วพลันปล่อยให้กระแสน้ำนำพาร่างเขาไปอย่างไม่สนใจอีก

           ..................

           .........

           ...

           รู้ตัวอีกทีดวงตาคู่สีน้ำตาลก็ทอดมองอย่างเศร้าโศก เซียวถิงฟงรู้สึกราวกับฝันไป มิอาจห้ามใจเอื้อมมือขึ้นสัมผัสใบหน้านั้น จังหวะนั้นน้ำตาเม็ดงามก็หลั่นรินไหลบนฝ่ามือเขา

           “ต้าเซียนอย่าร้องไห้ เป็นข้าไม่ดีเอง แต่ข้าไม่มีทางเลือก” เขาพยายามบอก แต่กระนั้นดวงตาคู่สวยกลับยังคงฉายแววเศร้า อีกทั้งร่างตรงหน้าก็ค่อยๆเลือนรางหายไป

           “ไม่ อย่าไป” เขาคำรามก้อง พยายามไขว่คว้าร่างนั้นไว้ หากแต่ต้าเซียนกลับกลายเป็นกลุ่มทรายสีทอง ค่อยๆกระจัดกระจายล่องลอยไปสายลมแรง เขาถึงกับตื่นตะลึงกับภาพดังกล่าว มิอาจห้ามน้ำตาที่ทะลักออกมาจากเบ้าตาได้

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊”

           เสียงแปลกๆทำให้ตัวเขาต้องสะดุ้งตื่น แล้วพบว่ามือข้างหนึ่งยังคงกำแน่น ทั้งชูยกขึ้นสูงคล้ายไขว่คว้าอะไรบางอย่าง กระทั่งลองคลายมือออก ก็เผยให้เห็นถึงความว่างเปล่าในกำมือ

           กระทั่งในฝัน ข้าก็ยังมิอาจมีเจ้าได้เลยหรือ

           “ข้าจำเจ้าได้” เซียวถิงฟงกล่าวกับอีกาสีดำที่ยังคงจิกตีที่หน้าอกตนเองไม่หยุดหย่อน คล้ายมันต้องการติเตียนว่าตน ม้าขาวเองก็เดินอ้อยอิ่งเข้ามาใกล้ หย่อนหัวซุกไซ้ใบหน้าของเขาราวกับปลอบใจ เขาลูบสันจมูกมันทีหนึ่งก็พยุงตัวเองขึ้นหลังม้า เหยาะย่างม้าออกไปอย่างอ่อนแรง ด้านฉุนซุ่ยเห็นดังนั้นก็รีบโผบินติดตามไป
   
           ที่ด้านหลังกลับปรากฏเงาร่างสองสาย ผู้หนึ่งจับจ้องชายที่ควบม้าจากไปอย่างอาลัย อีกผู้หนึ่งกลับมีท่าทีไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

           หลังจากที่คนและม้าจากไป ต้าเซียนก็ทะยานตัวขึ้นเหนือน้ำ หยุดตัวยืนลงบนโขดหินใหญ่

           “สลักลึกกลางใจ มิเสื่อมคลาย รำลึกถึงกาลก่อน ยากแท้ใจมิอาจลืมเลือน”

           เฟยหลงกัดฟันเปล่งเสียงอ่านข้อความนั้นอย่างประชดประชัน พลางสังเกตปฏิกิริยาของท่านมหาเทพอย่างใกล้ชิด
ด้านต้าเซียนเองก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง จึงสบเข้ากับสายตาดุจพญาอินทรีเข้าตรงๆ ก่อนจะพบความอิจฉาที่มิได้ปิดบังแม้แต่น้อย เขานิ่งเงียบครุ่นคิด มาตรว่าใจต้องเจ็บปวดใจ แต่เขาจำต้องถอนรากแห่งปัญหานี้ 

           แขนเรียวสะบัดวูบหนึ่ง ไม่นานนักโขดหินก็เกิดเป็นรอยร้าว ตามมาด้วยเสียงพังทลายดังสนั่นขึ้น พริบตาเดียวก็หลงเหลือเพียงหินก้อนเล็กก้อนน้อย ต้าเซียนสะบัดแขนเก็บเข้าแขนเสื้อเสมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น กล่าวเสียงเรียบ “เรื่องนี้เป็นเพียงความเพ้อฝัน ต่อเมื่อมันจบลงก็หลงเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า มีแต่ความเป็นจริงเท่านั้นที่ดำรงอยู่ เจ้ามิต้องกังวลไปข้าตื่นขึ้นมาอยู่กับความเป็นจริงแล้ว” 

           ได้ยินดังนั้นเฟยหลงก็ยิ้มออก เขาเดินเข้ามากอดแผ่นหลังบางไว้โน้มตัวกระซิบคำหวานที่ข้างหู “ข้าเป็นคนที่อยู่ในความเป็นจริงของท่าน”

           อีกด้านหนึ่งที่ไม่ไกลนักกลับมีเสียงบดขยี้กิ่งไม้ นัยน์ตาปะทุไปด้วยความโกรธ แม้เรื่องสักครู่จะเป็นเพียงความฝัน แต่เซียวถิงฟงยังคงหวังให้เป็นเรื่องจริง จู่ๆเขาก็นึกติดใจควบม้าขาวย้อนกลับมาอีกครั้ง ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจเขาแตกสลายลงอย่างสิ้นเชิง 

           โขดหินถูกต้าเซียนพังทลาย ไม่หลงเหลือถ้อยคำที่สลักไว้ ยังมีภาพคนทั้งสองที่ตระกองกอดกันแนบแน่น ทำให้เซียวถิงฟงต้องรวดร้าวราวกับโดนมีดกรีด เขาฝืนกลั้นเสียงคำรามไว้ในอก สองมือกำสายบังเหียนม้า จากนั้นตัดสินใจชักบังเหียนกลับ ตะบึงม้าขาวไปยังทิศทางที่ตรงกันข้าม


************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 21.2 พลังชีวิต 08/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 08-11-2015 20:46:14
บทที่ 21.2 พลังชีวิต


           
           “ถึงเวลาแล้ว กำจัดเซียวถิงฟงซะ” น้ำเสียงดุดันทรงพลังกล่าวขึ้น

           ปีศาจจิ้งจอกนึกแล้วก็เผยรอยยิ้มยินดี ดูว่าท่านจอมมารใกล้จะทำสำเร็จแล้ว มาตรว่านางเองจะพลาดกับเหยื่อชิ้นใหญ่ หากแต่อีกไม่นานนางก็จะได้เหยื่ออีกชิ้นที่ดูหอมหวนไม่แพ้กัน

           แต่จะอย่างไรนางต้องหลอกองค์หญิงหย่าเหลียนให้สำเร็จเสียก่อน แม้ว่าจิตของอีกฝ่ายถูกกลืนกินไปหลายส่วน จนมิอาจขัดขืนนางได้อีกต่อไป แต่กระนั้นบางทีนางก็ยังคงปล่อยให้จิตของเหยื่อดำเนินเรื่องราวให้เป็นไปจนกว่าจะถึงวันที่เหมาะสม

           “หย่าเหลียน ถึงเวลาอันควรแล้ว จงทำให้เซียวถิงฟงยินยอมมอบพลังชีวิตให้แก่เจ้าอย่างเต็มใจซะ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะกลายเป็นของเจ้าตลอดกาล” จิ้งจอกเหม่ยซินใช้น้ำเสียงหวานกระซิบบอก จนอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับอย่างเซื่องซึม ทั้งยังกล่าวอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ

           “ข้าต้องทำได้แน่”

           “องค์หญิงหย่าเหลียน ท่านรองแม่ทัพเซียวขอเข้าเฝ้าเพค่ะ” นางกำนัลเว่ยขานบอกจากหน้าห้อง องค์หญิงหย่าเหลียนยิ้มกว้างรีบตอบรับทันที จากนั้นประตูก็ถูกเปิดพร้อมๆกับร่างของชายในชุดลำลอง

           “หย่าเหลียนเป็นอย่างไรบ้าง” เซียวถิงฟงถามอย่างเป็นห่วง

           “ท่านพี่ต่างหากเป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดจึงดูซูบเซียวลงไปกว่าเดิม”

           “ข้ามิเป็นไร เพียงแค่ช่วงนี้ฝึกทหารหนักไปหน่อยจึงไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนเท่านั้นเอง” เขาฝืนยิ้มตอบ

           “ไม่ได้นะ ท่านพี่ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้มากกว่านี้ อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นของพวกเราแล้ว” นางยิ้มกล่าวภายใต้ผ้าแพรคลุมหน้า

           “......” เขาฟังแล้วก็ได้แต่เงียบงันไป

           หย่าเหลียนเห็นดังนั้นจึงกล่าว “ท่านพี่ ถ้าอย่างไรท่านพาข้าไปเดินเล่นในสวนได้รึไม่ ข้าเบื่อที่จะอยู่แต่ในห้องแล้ว” นางอ้อนวอนเสียงเศร้า แม้ร่างสูงจะมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยังช่วยพยุงตัวนางขึ้นจากเตียง มุ่งหน้าไปยังสวนภายในตำหนักลุ่ยหวา

           เพียงก้าวที่ไปยังสวนในตำหนัก เสียงร้องแปลกประหลาดก็แผดลั่นไปทั่ว จู่ๆอีกาสีดำสนิทตัวหนึ่งก็พุ่งตัวเข้าหาคนทั้งสอง หย่าเหลียนเพียงเห็นก็ต้องลอบยิ้มในใจ ก่อนแสร้งซบลงที่อกแกร่งด้วยท่าทีหวาดกลัว

           เป็นฉุนซุ่ยบินวนเหนือฟากฟ้า กระทั่งเห็นร่างที่แฝงด้วยกลิ่นอายปีศาจจิ้งจอก มันก็ร้องลั่นถลาบินเข้าไปอย่างมิเกรงกลัว แต่ก่อนที่มันจะได้เข้าจิกตีปีศาจร้ายก็ปรากฏพัดเหล็กขึ้นตัดหน้ามันอย่างกะทันหัน ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลัน มันจำต้องล่าถอยบินกลับไปตั้งหลัก หากแต่มือใหญ่คู่หนึ่งกลับรวบตัวมันไว้จากทางด้านหลัง ฉุนซุ่ยพยายามร้องทั้งดิ้นไปมา แต่ก็มิอาจหลุดพ้นไปจากพันธนาการ

           "เจ้าจะทำอะไร" เซียวถิงฟงกล่าวถาม ฉุนซุ่ยจึงจิกเข้าที่มือชายหนุ่มอย่างแรง

           "ท่านพี่ช่างเถิด ข้าว่าให้นางกำนัลนำกรงมาขังไว้ดีกว่า มันจะได้ทำร้ายใครไม่ได้อีก"

           "แล้วแต่เจ้าเถิด" เซียวถิงฟงได้ฟังที่นางกล่าวก็เออออตาม

           กรงไม้ขนาดไม่ใหญ่นักถูกนำออกมา จากนั้นฉุนซุ่ยก็ถูกยัดเข้าไปในกรงอย่างไม่ยินดี ชั่วขณะหนึ่งมันพลันเห็นรอยยิ้มเยาะของปีศาจจิ้งจอก จึงส่งเสียงร้องลั่นไม่พอใจ สักพักนางกำนัลที่เหลือก็มิอาจทนเสียงโหวกเหวกได้อีก จัดการนำผ้าสีดำมาคลุมที่กรงไว้ นับแต่นั้นฉุนซุ่ยจึงมิอาจแลเห็นเรื่องราวภายนอกได้อีก
   
           เมื่อจบเรื่องเซียวถิงฟงก็พาองค์หญิงมานั่งพักที่ศาลาริมน้ำ จัดแจงพยุงนางนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนอย่างนุ่มนวล ทว่าในขณะที่กำลังผละตัวออก สาบเสื้อก็พลันถูกจับไว้แน่น
   
           “ท่านพี่อีกสองวันจะถึงงานหมั้นของเราแล้ว ท่านรังเกียจใบหน้าของข้ารึไม่” น้ำเสียงของนางเริ่มสั่น แม้แต่มือก็เริ่มเกร็งเขม็ง

           เซียวถิงฟงรู้สึกถึงอาการดังกล่าวก็ย่อกายลงนั่งข้างๆ ใช้สองมือกุมมือเล็กของนางให้หยุดเกร็ง “เจ้ากำลังกังวลเรื่องใดอยู่กันแน่”

           “ท่านเองก็เห็น แม้แต่อีกาเองก็ยังรังเกียจข้า แล้วข้าจะคู่ควรแต่งกับท่านอีกหรือ” องค์หญิงหย่าเหลียนกล่าวตัดพ้อ

           เซียวถิงฟงจึงกล่าวเสียงอ่อน “หย่าเหลียนอีกไม่นานเจ้าจะหายเอง รออีกนิดเถิด ข้ากับองค์รัชทายาทกำลังหาทางช่วยเจ้าอยู่” 

           “หึ ข้ายังจะเชื่อใจองค์รัชทายาทได้อยู่อีกรึ พระองค์เพียงแต่ส่งหมอหลวงมาดูอาการ ทุกวันข้าต้องทนดื่มยารสฝื่นขม แต่ก็ยังมิได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย แบบนี้น่ะหรือคือช่วยข้า ไม่ช้าข้าคงตายด้วยน้ำมือของพระองค์เข้าสักวัน” ใช่แล้ว การที่องค์รัชทายาทประทานยาให้นางก็เสมือนกับทรงประทานยาพิษให้ จะดื่มหรือไม่ นางล้วนต้องตายอยู่ดี

           “หย่าเหลียนทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ พระองค์ทรงเป็นพระเชษฐาของเจ้านะ” เขาเริ่มขึ้นเสียง

           หย่าเหลียนบ่ายหน้าหนี เรื่องระหว่างนางกับพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงไม่บอกเล่าให้เซียวถิงฟงฟังอีก ทั้งๆที่เหตุผลนั้นสามารถใช้ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างนางกับเซียวถิงฟงได้ เช่นนี้แล้วองค์รัชทายาททรงรออะไรอยู่

           “แต่ว่าข้ารอต่อไปมิไหวแล้ว ข้ามิอยากร่วมงานหมั้นในสภาพคนใกล้ตายเช่นนี้ ข้ามิกล้าสู้หน้าใคร อีกอย่างหากข้ายังคงรอต่อไป ไม่ช้าก็เร็วข้าคงต้องตายอยู่ดี”

           “หย่าเหลียน เจ้าอย่าได้ใจร้อนไป” เซียวถิงฟงทอดถอนใจเบาๆพลางทำท่าจะลุกขึ้น ทว่านางกลับดึงมือของเขาไว้ ก่อนปลดผ้าแพรที่คลุมหน้าออก ใบหน้าที่ดูล่วงผ่านกาลเวลามานับหลายปีเผยสู่สายตาเขา พานให้รู้สึกสะท้อนใจ

           “หากตอนนี้ข้ามีวิธีที่จะสามารถทำให้ข้ามีชีวิตสืบต่อไป ท่านจะยินยอมช่วยข้าหรือไม่” นางกล่าวด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้น ทั้งยังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาพยัคฆ์ด้วยแฝงไปด้วยความวาดหวัง

           “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

           “หากท่านยินยอมมอบพลังชีวิตส่วนหนึ่งให้แก่ข้า ชีวิตของข้าจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง ใบหน้าของข้าจะกลับเป็นดั่งกาลก่อน ไม่เหี่ยวเฉาราวกับหญิงอายุแปดสิบเช่นนี้” นางหลุบตาลงแสร้งกล่าวอย่างละอายใจ

           สองคิ้วของเซียวถิงฟงเริ่มขมวดเป็นปม “เจ้ารู้ได้อย่างไร ใครเป็นผู้บอกวิธีนี้แก่เจ้า”

           “ข้า... ”

           หย่าเหลียนหันกายหนี แต่เซียวถิงฟงกลับยึดกายนางให้เผชิญหน้าไว้ เขามิใช่คนโง่งมถึงขนาดไม่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เขาเค้นเสียงถาม “บอกข้ามาหย่าเหลียน”

           สายตาแรงกล้าบีบคั้นให้นางจำต้องตอบแต่โดยดี “ต้าเซียน นางเป็นคนกล่าวกับข้า วันนั้นนางบอกว่า หากมีผู้เสียสละแบ่งปันพลังชีวิตส่วนหนึ่งให้แก่ข้า ข้าก็จะมีชีวิตสืบต่อไป”

           เซียวถิงฟงฟังแล้วรู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืน “เวลาก็ผ่านพ้นมาเนิ่นนานแล้ว เหตุใดเจ้าถึงพึ่งมาบอกตอนนี้กัน” หากรู้เช่นนี้เขาคงมิเลือกเส้นทางสายนี้

           “ข้าไม่คิดไม่ฝันว่าท่านจะยอมแต่งกับข้า และเป็นเพราะข้ารู้ว่านางคงไม่ยอมบอกท่าน นางกลัวว่าท่านจะเป็นผู้เสียสละนี้ นางมิอยากให้ท่านไปจากนาง ข้าก็เช่นกัน ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นอันตรายเพราะข้า” นางก้มหน้ากล่าวเสียงเบา

           ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวดในอก แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะทำกระไรได้ “ไม่ ตอนนี้เขา...ไปจากข้าแล้ว” เซียวถิงฟงกำหมัดแน่น

           กล่าวน้ำเสียงรวดร้าว ต้าเซียนมิอยากให้เขาเป็นผู้เสียสละ แต่มาตอนนี้เจ้าตัวกลับต้องการไปจากเขาเสียเอง จู่ๆคำขอร้องร่างน้อยแว่วดังอยู่หู

           “สิ่งที่ข้าเคยมอบให้เจ้า ได้โปรดอย่าได้แบ่งปันให้ใคร ถือว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของข้า”

           พอดีกับที่ภาพโขดหินพังทลายด้วยน้ำมือของร่างน้อย แลถึงภาพที่เฟยหลงกอดอีกฝ่ายด้วยท่าทีลึกซึ้งก็ฉายออกมาเป็นฉาก บังเกิดเป็นความเจ็บช้ำในอก เซียวถิงฟงกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าเข้าใจแล้วหย่าเหลียน ข้าจะเป็นผู้มอบพลังชีวิตให้แก่เจ้าเอง” ในเมื่อเป็นต้าเซียนตัดสินใจไปจากเขาแล้ว จะยังคงห่วงใยเขาไปเพื่ออะไรกัน
 
           “ท่านยินยอมปลดปล่อยความเจ็บปวดนี้ของข้ากระนั้นหรือ จากนี้ข้าจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วใช่ไหม” นางกล่าวถามย้ำด้วยน้ำเสียงยินดีพร้อมๆกับเสียงหัวเราะอำมหิตที่ดังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

           “ใช่ ข้าจะยินยอมที่จะให้พลังชีวิตแก่เจ้า”

           “พี่ถิงฟง ขอบคุณท่านมาก เพียงพลังชีวิตส่วนหนึ่งของท่าน ข้าก็จะได้กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง กลับมาเป็นหย่าเหลียนที่ท่านรักอีกครั้ง”

           ท่านจะกลายเป็นของข้า หัวใจของท่านก็เช่นกัน เสียงหัวเราะดังขึ้นในใจของหย่าเหลียน หากแต่ที่ดังกว่าคือเสียงหัวเราะอำมหิตของจิ้งจอกเหม่ยซิน ซึ่งเหยื่ออย่างนางกลับมิได้รับรู้ แลได้ยินสักนิดเดียว

           ระหว่างที่เซียวถิงฟงกำลังจมอยู่ในห้วงภวังค์ลึก นางก็ค่อยๆขยับเขยื้อนดวงหน้าเข้าไปใกล้คนที่ย่อกายอยู่ ดวงตาโศกเศร้าของเขาสะท้อนในแววตาของปีศาจจิ้งจอก หากแต่ทั้งเขาและนางต่างไม่มีใครรู้ตัว

           หย่าเหลียนแนบริมฝีปากนุ่มนวลลงบนริมฝีปากของชายหนุ่ม กระแสความร้อนความอบอุ่นค่อยๆหลั่งไหลเข้ามาสู่กาย นางรู้สึกราวกับกำลังโบยบิน ทั้งรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและความมีชีวิตชีวา ต่อเมื่อกระแสพลังจำนวนหนึ่งถูกถ่ายเทเข้าสู่ร่างแล้ว นางก็ถอนริมฝีปากออก แม้ในใจจะยังคงรู้สึกกระหายอยู่ก็ตามที

           กระทั่งการกระทำเสร็จสิ้นลง ฉับพลันนั้นร่างก็อ่อนแรงลง จนเขาต้องเซนั่งลงกับพื้น แม้ไม่ถึงกับหน้ามืด แต่ก็รับรู้ได้ว่าพลังมลายหายไปส่วนหนึ่ง

           “ท่านพี่ ท่านพี่ถิงฟง” เห็นร่างสูงเซถอยหลัง ทั้งยังมีสีหน้าซีดเผือด องค์หญิงหย่าเหลียนก็ถึงกับตกใจ

           “ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร” เขารีบโบกไม้โบกมือบอก เมื่อได้หายใจหายคออย่างสะดวกก็ยันกายลุกขึ้น สายลมที่โชยพัดผ่านทำให้สมองเริ่มปลอดโปร่งอีกครั้ง ครั้นเมื่อสบมองหย่าเหลียนอีกครั้ง เขาก็ต้องตกตะลึงวูบ

           “ท่านพี่เป็นอะไรมากไหม ข้าไม่น่าเลย” นางรีบนำผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ประปรายบนหน้าผากของชายหนุ่มอย่างเบามือ

           เซียวถิงฟงยกมือขึ้นจับมือนางให้หยุดลง ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของนางดูกระปรี้กระเปล่าขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้แต่รอยแห่งกาลก็เวลาก็จางลงไปหลายส่วน

           “ใบหน้าของเจ้า”

           องค์หญิงหย่าเหลียนชะงักตัวขึ้นบ้างแล้ว ก่อนที่จะรีบยกมือขึ้นคลำใบหน้าของตนเองไปทั่ว จากนั้นจึงร่ำร้องอย่างดีใจ “ใบหน้าของข้ากำลังจะหายแล้ว”


*****************************************************

เอ บอกกันไปรึยัง เรื่องนี้ 30 บทจบนะจ้ะ ติดตามกันต่อด้วยน้าาาา   :z2:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 21 พลังชีวิต 08/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 09-11-2015 03:37:08
ต้าเซียนคิดดีๆแล้วจริงๆหรอ กลับมาเถอะนะ ถิงฟงแย่แล้วววว
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 21 พลังชีวิต 08/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 09-11-2015 16:09:48
สมน้ำหน้า
ต้าเซียนจ๋าอย่าร้องไห้เลย :hao5:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 21 พลังชีวิต 08/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 09-11-2015 19:17:59
สงสารต้าเซียน
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 22.1 ความโดดเดี่ยว 09/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 09-11-2015 22:44:38
บทที่ 22.1 ความโดดเดี่ยว


           เสียงพลุอันบ่งบอกถึงความเป็นมงคลดังขึ้นเหนือจวนตระกูลเซียว ทั่วทุกมุมห้องประดับประดาไปด้วยโคมสีแดงสว่างไสว ที่หน้าประตูจวน สองพ่อลูกต่างยืนต้อนรับขับสู้ขุนนางผู้ใหญ่ที่ให้เกียรติมาเยือนพิธีหมั้น หน้าที่ที่เหลือจึงปล่อยให้พ่อบ้านตระกูลเซียวจัดการไป

           ไม่ว่าจะมองทางไหนก็พบเห็นแต่แขกเหรื่อที่นั่งสนทนาพูดคุยกันอย่างอ่อนรส บ้างดื่มสุราบ้างรับประทานอาหารกันอย่างเต็มที่ ดูไปแล้วผู้มาล้วนเบิกบานใจกันทั้งสิ้น เว้นเพียงเจ้าของงานอย่างเซียวถิงฟงที่ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า

           ครั้นเหลียวมองรอบๆงานอีกครั้ง ก็พลันพบบุคคลผู้ที่รู้จักมักคุ้น ซึ่งกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ในศาลาด้วยชุดสีขาวงามสง่า ที่ศีรษะประดับกวานทองหรูหราบ่งบอกฐานะสูงส่ง ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับดูอึมครึม บันดาลให้ผู้คนมิกล้าเข้าใกล้ โดยเฉพาะเหล่าคุณหนูที่แสร้งยืนอยู่ห่างๆ หวังเพียงให้มังกรหนุ่มแลเห็นดวงหน้าอันสวยงามของพวกนางสักครั้ง

           “ท่านกำลังเสียใจอยู่รึ” ต้าเซียนตัดสินใจเดินเข้าไปร่วมโต๊ะ มิสะทกสะท้านไปกับสายตาริษยาของเหล่าคุณหนู

           “แล้วท่านเล่ามิเสียใจรึ” ซวนหยวนหมิงไท่สวนตอบ พร้อมทั้งยกเหล้าขึ้นดื่มหมดจอก

           ต้าเซียนเงียบลงพลางครุ่นคิด พวกเขาทั้งสองแม้ผู้หนึ่งเป็นเซียน อีกผู้หนึ่งเป็นมนุษย์ ทว่ากลับมีส่วนคล้ายกันอย่างน่าประหลาด ซวนหยวนหมิงไท่มีความลับที่เก็บเงียบในใจมาเนิ่นนาน ทั้งยังไม่สามารถบอกใครได้ แม้แต่กับสหายของเขา เซียวถิงฟง

           “ถ้าท่านรักนาง ทำไมถึงไม่รั้งนางไว้” ใช่แล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ผู้นี้เป็นคนเดียวกันกับที่แอบยืนอยู่นอกประตูห้องในวันนั้น ต้าเซียนยังคงไม่ลืมสีหน้าเช่นนั้น สีหน้าที่บ่งบอกถึงความตกใจไปพร้อมๆกับความเจ็บปวด

           “แล้วตัวท่านเล่า ท่านรักเซียวถิงฟง แต่ท่านกลับทิ้งเขาไป”

           “นั่นเป็นเพราะข้ากับเซียวถิงฟงต่างกันเกินไป อีกทั้งข้ายังมีหน้าที่ที่ต้องกระทำ หากข้าไม่ไปจากเขา เกรงว่าสุดท้ายเขาก็ต้องเดือดร้อนเพราะข้าอยู่ดี” ต้าเซียนตอบเสียงเรียบ

           รัชทายาทหนุ่มชะงักจอกเหล้าในมือ ดวงตาหม่นแสงไปวูบหนึ่ง “ข้าก็เช่นกัน ข้ากับนางต่างกันเกินไป นางเองก็มิเคยได้รู้ความจริง และหากข้ามิวางตัวนิ่งเฉย ไม่แสดงท่าทีเย็นชาต่อนาง เกรงว่านางจะต้องโทษตัวเอง สุดท้ายก็มิอาจฝืนทนอยู่ได้อีก”

           “ช่างเถิดเรื่องราวย้อนกลับมามิได้ หลานข้าได้แต่ต้องทำใจ” เขากล่าวพร้อมกับรินเหล้าในจอกที่พร่องลง ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นน้อยๆ ทำเอาเหล่าคุณหนูที่ยืนอยู่ใกล้ๆต่างมองรอยยิ้มหวานนั้นกันอย่างเซื่องซึม
 
           “อย่าว่าแต่ข้ามีเรื่องทุกข์ใจ ไป๋เซ่อเองก็เช่นกัน เขาเอาแต่ร่ำไห้เรื่องที่หลายวันก่อนท่านสั่งห้ามมิให้เขาติดตามท่านอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้เขาบ่นเสียจนขี้หูข้าเต้นระบำ ซ้ำยังตะเบ็งเสียงลั่นไปทั่วตำหนักข้าว่า เขามิยินยอมติดตามข้าเป็นแน่” องค์รัชทายาทกล่าวติดตลก ท่าทีเศร้าโศกคลายลงบ้างแล้ว
 
           “อีกไม่นานเขาจะยอมรับท่านเอง ท่านกับไป๋เซ่อมีวาสนาต่อกัน หากไป๋เซ่อติดตามท่านไปจะเป็นผลดีต่อตัวเขาเสียมากกว่า”

           “วาสนา วาสนาแบบไหนกัน ข้าฟังแล้วขนลุกชอบกล” ซวนหยวนหมิงไท่ทำสีหน้าฉงนแล้วแสร้งทำท่าทีหนาวสั่น สองมือยกกอดตัวเอง

           ต้าเซียนยิ้มกล่าว “ภายภาคหน้าท่านคงได้พึ่งเขา และเขาก็ต้องพึ่งท่านอย่างแน่นอน ข้ากล่าวได้เพียงเท่านี้”

           ประจวบเหมาะกับเสียงของขบวนแห่คู่หมั้นดังขึ้นที่หน้าประตูจวน ทำให้การสนทนาของทั้งคู่ต้องยุติลง ขบวนเกี้ยวสีแดงสดมาถึงที่หมาย แต่ที่น่าสะดุดตากลับเป็นผู้นำขบวนที่เป็นชายในชุดสีน้ำเงินเข้มดูภูมิฐาน คนผู้นี้มาถึงก็พลิกกายลงจากหลังม้า ครั้นแม่สื่อพยุงองค์หญิงในอาภรณ์สีแดงเข้ามาใกล้ เขาก็แสดงท่าทีปั้นปึ่งเดินเข้าไปยังในจวนตระกูลเซียวอย่างมิใคร่ใส่ใจ จนคนในงานต้องหลีกทางให้อย่างงงๆ

           ผิดกับเซียวถิงฟงสบสายตาของเฟยหลง หรือที่ใครๆพากันเข้าใจว่าเป็นองค์ชายซวนหยวนหย่าเซิง แลอีกฝ่ายเองก็มองกลับอย่างฟาดฟัน ต่างคนต่างไม่ลดละ จวบจนกระทั่งร่างของทั้งคู่ล่วงเลยผ่านไป

           เจ้าของดวงตาดุจพญาอินทรีกวาดมองคราหนึ่งก็พบร่างบางในอาภรณ์สีม่วงอ่อน ผู้ซึ่งเปล่งประกายงดงามสว่างไหวกว่าใครในสามพิภพนี้

           เห็นประกายตาดุดันที่มองมาของอีกฝ่าย ซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบกล่าว “ข้าควรไปตามหาไป๋เซ่อแล้ว มิฉะนั้นเขาอาจก่อปัญหาในพิธีหมั้นได้ ข้าขอตัว”

           “อืม” เขาตอบรับสั้นๆ

           “ต้าเซียน” เฟยหลงร้องเรียกอย่างเบิกบานใจ ผิดกับท่าทีที่แสดงต่อผู้อื่นราวกับหลังมือ

           ต้าเซียนยิ้มแห้งๆ พอดีกับที่เจ้าของงานหมั้นก้าวเข้ามาถึงด้านใน สตรีย่างก้าวเข้ามาด้วยชุดหมั้นหรูหรา บางครายังเผยรอยยิ้มภายใต้คลุมสีแดง ผิดกับฝ่ายชายที่จ้องตรงมาด้วยสายตาที่ร้อนระอุ ทำให้สบมองแล้วเกิดเป็นคำถามขึ้นในใจ

           เจ้ามองข้าด้วยความรู้สึกแบบไหนกัน โกรธกระนั้นหรือ?

           มาตรว่าเซียวถิงฟงจะอยู่ข้างกายหย่าเหลียน หากแต่หัวใจกลับมิอาจแปรเปลี่ยนไปจากคนผู้หนึ่ง ทำได้เพียงเฝ้ามองร่างน้อยอย่างหึงหวง...ทำไมถึงไม่ใช่ตัวข้าที่ยืนอยู่เคียงข้างเจ้า

           ด้านเฟยหลงเองก็สังเกตเห็นสายตาที่มองผ่านเลยตนไป ทั้งยังบ่งบอกถึงความสับสน ความไม่พอใจพวยพุ่งในอก มิอาจห้ามความรู้สึกที่ราวกับไฟแผดเผาในใจได้อีก เขาเลื่อนมือขึ้นปิดที่ดวงตาคู่งามเอาไว้

           ดวงตาที่ฉายให้เห็นร่างสูงถูกปิดสนิท แปรเปลี่ยนเป็นความมืด พร้อมๆกับความรู้สึกรวดร้าวที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเขา

           ไม่ มองข้า อยู่เคียงข้างข้า อย่าจากข้าไป

           “ข้าอยู่ที่นี่” ต้าเซียนกล่าวทั้งๆที่ยังถูกปิดตาอยู่

           ได้ยินดังนั้นเฟยหลงก็ยอมเลื่อนมือลงจากดวงตาคู่งาม “ท่านมหาเทพ อย่าได้มองใครอื่น ได้โปรดมองข้าเพียงผู้เดียว หากมิเป็นเช่นนั้น ข้าก็มิอาจควบคุมตัวเองได้อีก” เขากล่าวเสียงเข้ม ดวงตาแดงก่ำก้มทอดมองลงพื้น

           “อืม ข้ากำลังมองเจ้าอยู่”

           สิ้นเสียงดังกล่าว เฟยหลงก็เงยหน้าขึ้นพร้อมประกายตาที่สุกใส เขากอบกุมสองมือนุ่มนวล แล้วกล่าวน้ำเสียงอ่อน “อยู่เคียงข้างข้า อย่าจากข้าไป”

           คล้ายกับมีบางสิ่งกระตุ้นให้รู้สึกแปลกประหลาด ดวงตาเขาเลิกขึ้นน้อยๆฉายแววสงสัย มีสิ่งใดที่แปลกไป ต้าเซียนครุ่นคิด ทว่ายิ่งคิดกลับยิ่งไร้คำตอบ

           “เราไปกันเถอะ ที่นี่วุ่นวายนัก เราไปหาที่สงบๆกันเถิด”

           เฟยหลงกล่าวขึ้นทำให้เขารู้สึกตัวอีกครั้ง จากนั้นมือก็ถูกกอบกุมไว้ก่อนชักนำให้ออกห่างไปจากผู้คน ต่อเมื่อเบื้องหน้าปรากฏเสียงร้องโวยวาย ฝีเท้าเบาบางก็มีอันหยุดชะงักก่อนเปลี่ยนเป็นตรงรี่ไปยังต้นเสียง ยังผลให้มือที่จับกุมต้องเลื่อนหลุดออก เฟยหลงจำใจหยุดลงอย่างมิเต็มใจสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังติดตามอีกฝ่ายไปอยู่ดี

           “ไม่ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมท่านมหาเทพต้องทิ้งข้าไปด้วย” เสียงร่ำไห้อย่างหดหู่ของไป๋เซ่อดังไปทั่วบริเวณ ดีที่ในงานมีเสียงอึกทึกจึงพอกลบเสียงเหล่านี้ลงไปได้บ้าง

           “ไป๋เซ่อ เจ้าหยุดร้องเถิด ก็คิดเสียว่าต้าเซียนฝากเจ้าไว้กับข้าชั่วคราวก็แล้วกัน” ซวนหยวนหมิงไท่พยายามปลอบ หากแต่ยังมีหญิงสาวอีกคนที่ยืนกอดอกพูดอย่างรำคาญใจ

           “หากเจ้ายังไม่หยุดร้อง ข้าจะไปแล้วนะ”

           “ถิงถิง แม้แต่เจ้าก็คิดที่จะทิ้งข้าไป โฮ” ไป๋เซ่อเบะปากร่ำไห้หนักกว่าเดิม องค์รัชทายาทถึงกับเหงื่อตกนั่งปลอบไป๋เซ่อพัลวัน คงไม่มีใครคาดคิดว่าบุคคลระดับรัชทายาทต้องมีวันมาตกอยู่ในสภาพพี่เลี้ยงแน่ๆ

           ครั้นเมื่อเข้าไปหาก็พบไป๋เซ่อในร่างมนุษย์กำลังนั่งกอดไหเล็กๆไว้กับอก ใบหน้ายังแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์สุรา ต้าเซียนเห็นแล้วก็อดส่ายหน้ามิได้ เขากับไป๋เซ่อผูกพันกันมาหลายพันปี มีหรือที่จะทิ้งไป๋เซ่อได้ลงคอ หากแต่เพื่ออนาคตของไป๋เซ่อ เขาจึงจำต้องทำเช่นนี้

           “เหตุใดจึงได้เหลวไหลเช่นนี้” เสียงตวาดอันทรงพลังดังขึ้น ไป๋เซ่อถึงกับสะดุ้งสุดตัว ยังผลให้ปล่อยป้านสุราลงจนตกแตกกับพื้น ด้านซวนหยวนหมิงไท่และถิงถิงต่างเหลียวหลังกลับมามองทางต้นเสียง

           “ท่านมหาเทพ ข้าผิดไปแล้ว อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว” ไป๋เซ่อร้องพลางคลานเข่าเข้ามากอดขาข้างหนึ่งของท่านมหาเทพไว้

           “เจ้ารู้โทษของเจ้ารึไม่” ต้าเซียนกล่าวเสียงดุ ทำให้ไป๋เซ่อนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะขึ้นเสียงเถียงอย่างไม่เข้าใจ

           “ไม่ ข้าทำผิดอะไร เหตุใดท่านมหาเทพจึงต้องสั่งให้ข้าติดตามมนุษย์พวกนี้ด้วย”

           ต้าเซียนฟังแล้วก็แสร้งใจดำ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดโทษกล่าวน้ำเสียงราบเรียบที่เปรียบเสมือนดั่งประกาศิต “หนึ่ง ไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า ผู้นำสูงสุดของพิภพสวรรค์ สอง ประพฤติตนเหลวไหล มีสถานะเป็นถึงเซียนกลับดื่มสุราจนขาดสติ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ทั้งยังเป็นเหตุสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เหตุผลสามประการนี้เจ้ายังมิยอมรับอีกรึ”

           ครานี้สีหน้าที่แดงก่ำด้วยพิษของสุรากลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวดั่งกระดาษ ไป๋เซ่อได้แต่นิ่งเงียบนั่งคุกเข่า ดวงหน้ามีแววตกตะลึงสุดขีดเนื่องด้วยชะงักติดหลัง ต้าเซียนมองดูก็รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าสำนึกในความผิดแล้ว แม้ในใจจะรู้สึกสงสาร แต่หากเมื่อตนไม่อยู่ เขาก็มิอาจทนให้ไป๋เซ่อต้องไร้ที่พึ่งได้อีก ดังนั้นจึงกล่าวสืบต่อ “หากเจ้ารู้สำนึกแล้ว ก็จงทำตามคำสั่ง นับแต่นี้ให้เจ้าติดตามองค์รัชทายาทซวนหยวนหมิงไท่โดยไม่มีข้อแม้” เขาลั่นวาจาหนักแน่น ส่งผลให้คนรอบข้างต้องรู้สึกเกร็ง เจ้าของนามทั้งสองก็ออกอาการเงียบขรึมไป

           “ไม่ ข้าไม่ยอมรับ ข้าอยากไปกับท่าน เดิมทีเป็นท่านที่เก็บข้ามา ไยตอนนี้ท่านจึงต้องทิ้งขว้างข้าด้วย ข้าไม่ยอม” ไป๋เซ่อก้มหน้าลงจนหน้าผากจรดกับพื้น สองมือกำแน่นอย่างเจ็บปวดใจ พื้นดินเริ่มเปียกชื้นเนื่องด้วยน้ำตาที่หลั่งชโลม
ต้าเซียนตกตะลึงวูบ ด้วยไม่คาดคิดว่าจะทำให้ไป๋เซ่อเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เขามองเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวอ่อนที่คุกเข่ากับพื้นอย่างสงสาร หากแต่เขาทำได้เพียงพร่ำกล่าวขอโทษในใจ

           ข้าขอโทษ ไป๋เซ่อ หากเป็นไปได้ ข้าก็มิอยากทำเช่นนี้ แต่เพื่อเจ้าแล้วข้าต้องทำ ข้าจำเป็นต้องตัดขาดกับคนที่เกี่ยวข้องกับข้าทั้งหมด

           “เขาเป็นของข้าเพียงผู้เดียว”

           จู่ๆความรู้สึกรุนแรงของคนผู้หนึ่งก็หลั่งไหลเข้ามาในใจอีกครั้น ต้าเซียนพลันจับกระแสความรู้สึกนี้ไว้ทัน มันเป็นความรู้สึกรุนแรงที่มีต่อตัวเขา และเป็นเพลาเพียงชั่วลัดนิ้วที่เขาสัมผัสได้

           “รึเป็นเพราะเจ้า เฟยหลง เจ้าอย่าแกล้งทำเป็นไขสือ ตั้งแต่วันที่ท่านมหาเทพอยู่ในจวนของเจ้า กลิ่นอายของท่านก็เปลี่ยนไป จากที่เคยมีกลิ่นอายของมนุษย์ แต่จู่ๆก็มีกลิ่นอายของเจ้าแทน เจ้าทำอะไรกับท่านมหาเทพกันแน่” ไป๋เซ่อที่สะกดกลั้นมานานก็โพล่งกล่าวถึงสิ่งที่สงสัยออกมาจนหมด กระทั่งเรื่องนี้ตนก็มิเคยกล่าวถามท่านมหาเทพเลยสักครั้ง

           ต้าเซียนถึงกับเบิกตากว้าง ดูเหมือนว่ามีอะไรอีกหลายอย่างที่เขามองข้ามไป นับตั้งแต่ที่เฟยหลงได้ช่วยถ่ายเทพลังเพื่อรักษาหัวใจในร่างนี้ไว้ มาตอนนี้กลิ่นอายพลังของอีกฝ่ายสมควรจะสลายไปได้แล้วนี่

           ด้านเฟยหลงเมื่อถูกพาดพิงก็เดินเข้าไปหาไป๋เซ่อ ก่อนผุดรอยยิ้มออกมา “แน่นอน ท่านมหาเทพเปลี่ยนไป เพราะท่านรักข้า”

           ไป๋เซ่อตะลึงงันอย่างไม่เชื่อหู ได้แต่หันไปมองใบหน้าของท่านมหาเทพอย่างต้องการคำอธิบาย หากแต่ตอนนี้ต้าเซียนก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน สมองของเขาคล้ายผุดคำถามมากมายที่ยากที่จะเข้าใจได้

           ความรู้สึกรัก ความรู้สึกต้องการครอบครอง ความรู้สึกรุนแรงนี้ใช่เป็นของเซียวถิงฟงแน่หรือ ทั้งๆที่ตอนนี้เขากำลังอยู่ในงานหมั้น กระนั้นแล้วเขายังคงเกิดความรู้สึกเยี่ยงนี้ได้อีกหรือ ต้าเซียนคิด

           “ไป๋เซ่อ ใจของท่านมหาเทพนั้นเป็นของข้า เจ้าได้แต่ยอมรับ”

           เฟยหลงกล่าวอย่างเต็มปาก ส่งผลให้ต้าเซียนต้องหันไปมองด้วยความสะกิดใจ แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว สีหน้าของเขาก็กลับมาราบเรียบอีกครั้ง ซึ่งอาจมีคนเพียงผู้เดียวที่มองเห็นความเป็นไปเมื่อสักครู่นี้ ต้าเซียนมองซวนหยวนหมิงไท่อย่างมีความในใจ แลอีกฝ่ายก็มองตอบด้วยเช่นกัน 

           “ไป๋เซ่อพอได้แล้ว ในเมื่อเจ้าเองมิสำนึก ข้าจักต้องลงโทษเจ้า จากนี้ไปหากเจ้ายังมิอาจเปิดใจให้กับซวนหยวนหมิงไท่ได้ เจ้าก็มิอาจกลับคืนร่างเดิมได้อีก” ต้าเซียนขึ้นเสียง ไม่เปิดโอกาสให้ไป๋เซ่อได้คัดค้านอีกต่อไป เขาสะบัดปลายนิ้วเรียว จนเกิดเป็นลำแสงสีทองพุ่งตรงไปยังอีกฝ่าย

           ด้านไป๋เซ่อที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกลำแสงนี้ นำพาให้ร่างลอยวนเหนือพื้นดิน ก่อนแปรเปลี่ยนกลับไปอยู่ในร่างของงูเผือกอย่างช้าๆ แลไม่นานมันก็ค่อยๆหดตัวเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับกำไลข้อมืออันหนึ่ง

           ต้าเซียนใช้มือหนึ่งรับเอากำไลหิน จากนั้นมุ่งตรงไปยังซวนหยวนหมิงไท่ แต่มิคาดว่าถิงถิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆกลับก้าวเข้ามาตวาดเสียงใส่

           “เจ้าร้ายกาจยิ่ง เจ้าทิ้งนายน้อยที่รักเจ้าไม่พอ ตอนนี้ยังจะทอดทิ้งบุคคลที่ติดตามเจ้าทั้งยังภักดีต่อเจ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา” น้ำเสียงของถิงถิงคล้ายกับจะร้องไห้ นางเกลียดการถูกทอดทิ้ง จึงกล่าวโทษต้าเซียนด้วยสายตาแดงก่ำ ทั้งที่นายน้อยไม่ได้คิดอยากจะแต่งงานกับองค์หญิงแท้ๆ

           ต้าเซียนฟังแล้วก็รู้สึกเจ็บหนึบที่หน้าอก ถูกแล้ว นางกล่าวได้ถูกต้อง เป็นเขาที่ผิดเอง พลันสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงก้าวผ่านนางไปอย่างมิใส่ใจ “แต่นี้ไปข้าขอฝากไป๋เซ่อด้วย” กล่าวพลางยื่นกำไลหินให้แก่ผู้เป็นนายใหม่

           ซวนหยวนหมิงไท่รับมาโดยมิได้กล่าววาจาอันใด เพียงมองของในมือเงียบๆ กำไลหินนี้ยังคงรูปรางดุจคราแรกที่ได้เห็น เว้นแต่เพียงพลอยเล็กๆสีขาวใสที่ประดับอยู่ตรงหางตาสีฟ้าอมเขียว ดูคล้ายกับรอยน้ำตา

           “ข้ารับปากว่าจะดูแลเขาอย่างดี แต่จะอย่างไรข้าเพียงรับฝากเขาไว้ชั่วคราวเท่านั้น” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าว
ได้ยินเช่นนั้นต้าเซียนก็วางใจแล้ว


***************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 22.2 ความโดดเดี่ยว 09/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 09-11-2015 22:48:18
บทที่ 22.2 ความโดดเดี่ยว


           งานเลี้ยงมีเริ่มก็ย่อมต้องมีสิ้นสุด แขกเหรื่อขุนนางต่างเริ่มทยอยกลับออกจากงาน ใต้เท้าเซียวถิงหลี่และพ่อบ้านตระกูลเซียวจึงคอยรอส่งแขกเหรื่อกลับบ้านโดยปราศจากเงาร่างของเซียวถิงฟง

           ภายในจวนกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง ถ้วยชามรวมถึงขวดสุราต่างวางกระจัดกระจายอยู่ตามโต๊ะ หญิงรับใช้พากันเก็บทำความสะอาดกันอย่างขะมักเขม้น ด้านข้ารับใช้ชายก็พากันดึงเอาผ้าสีแดงที่ประดับรอบๆจวนออก

           ต้าเซียนมองดูความวุ่นวายนี้แล้วจึงตัดสินใจกลับไปที่เรือน เนื่องด้วยมีเรื่องที่ต้องทบทวนให้เข้าใจ และหากตัวเขายังคงอยู่ที่นี่ ก็คงเป็นได้แค่ตัวเกะกะเสียเปล่า ด้านเฟยหลงเองก็ต้องนำพาองค์หญิงหย่าเหลียนกลับไปยังวังหลวง มาตรว่าจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็จำต้องกระทำอันเป็นเพราะรูปลักษณ์ขององค์ชายซวนหยวนหย่าเซิง ทว่าเขากลับรู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ

           ยิ่งเดินห่างออกจากใจกลางจวนมากเท่าไหร่ ความเงียบก็ยิ่งคืบคลานเข้าใกล้ ความรู้สึกโดดเดี่ยวเริ่มถาโถมตัวเขาอีกครั้ง เขาพลันยิ้มขบขันตัวเอง เขาที่ตัดขาดจากเหล่าเทพเซียนบนพิภพสวรรค์ ขับไล่กระทั่งไป๋เซ่อ แม้แต่เซียวถิงฟงเองก็เช่นกัน ความจริงเขาควรจะชินชากับความรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้ได้แล้ว แต่ไฉนใจยังคงรู้สึกเศร้า

          หากไม่อยากยิ้ม ก็จงอย่าฝืน เหมือนว่าเคยมีใครบางคนกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ไว้ ต้าเซียนเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มอยู่ “เจ้าจะรู้บ้างไหม หากข้าไม่ฝืนยิ้มเช่นนี้แล้ว เกรงว่าบางสิ่งในตัวข้าอาจจะพังทลายลงได้” เขากล่าวพึมพำ แม้ไม่อยากนึกถึงแต่กลับมิอาจห้ามใจได้ เขาพลันเข้าใจความรู้สึกของเฟยหลง การที่รักใครสักคนแล้วกลับต้องทุกข์ทรมาน ด้วยความรู้สึกที่มิอาจเป็นจริงได้นั้นเป็นเช่นไร

           เมื่อกลับถึงเรือนพัก ต้าเซียนกลับพานพบคนผู้หนึ่งโดยไม่คาดคิด ชายในชุดสีแดงเข้มยืนพิงเสาหน้าห้องด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ ร่างสูงคล้ายยืนรออยู่เนิ่นนานแล้ว รอจนกระทั่งสายตาดุจพยัคฆ์ดุร้ายสบเข้าที่ตน เขาก็ชะงักฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว ทั้งยังไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำสีหน้าแบบใดอยู่

           “เจ้าไปยังที่ใดมา เหตุใดจึงพึ่งกลับ”

           เสียงนั้นกล่าวตวาดทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ เขามิได้เห็นเซียวถิงฟงที่อารมณ์รุนแรงแบบนี้มานานแล้ว จึงไม่ตอบทั้งยังบังคับให้ฝีเท้าก้าวไปยังตรงหน้า กระทั่งเดินผ่านร่างของเซียวถิงฟงไป

           “เหตุใดจึงไม่ตอบ ทั้งๆที่บอกจะยินดีกับข้า แต่กระทั่งงานหมั้น เจ้าก็กลับมิยอมอยู่ร่วม” เซียวถิงฟงกล่าวประชด หากแต่ในใจนึกตัดพ้อ...ความจริงแล้วเจ้าไม่เคยรู้สึกรักข้าบ้างเลยใช่รึไม่

           “เป็นเพราะเจ้าต้องต้อนรับแขกมากมาย จึงมิอาจเห็นข้าเอง” ต้าเซียนกล่าวสั้นๆพร้อมกับผลักบานประตูให้เปิดออก ทว่าประตูเปิดออกเพียงไม่กี่หุน เซียวถิงฟงก็กระชากเสียงดังขึ้นมาอีก

           “เฮอะ มิใช่ว่าเจ้ากำลังพลอดรักอยู่กับชายอื่นรึ”

           ต้าเซียนรู้สึกราวกับพื้นกำลังถล่ม แต่กระนั้นก็ยังคงพยายามควบคุมโทสะในใจ เขากล่าวเนิบนาบ “เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็คงเหนื่อย ฉะนั้นกลับไปเสียเถิด”

           กล่าวตัดบทพร้อมก้าวเข้าห้องไปอย่างไม่ไยดี แต่แล้วในจังหวะหนึ่งเซียวถิงฟงก็ฉุดรั้งกายเขาให้กลับมาเผชิญหน้า ต้าเซียนเตรียมจะแผดเสียงใส่ แต่แล้วก็ทำได้เพียงเบิกตากว้างอย่างตกใจ

           เซียวถิงฟงประกบริมฝีปากเข้าอย่างรุนแรง สองมือกอดรัดร่างน้อยไว้ คล้ายต้องการบอกให้รู้ว่าเขาเจ็บปวด กระทั่งต้าเซียนมิอาจขัดขืนได้อีก สัมผัสจุมพิตจึงค่อยๆเบาบางลงจนกลายเป็นอ่อนโยน สองแขนกำยำของเขาผ่อนแรงลง ส่งผลให้ปราการคุมขังหละหลวมขึ้น

           ต้าเซียนฉวยโอกาสผลักร่างชายหนุ่มออกไปโดยแรง ก่อนชี้หน้าตวาดเสียงดัง “เจ้าบังอาจล่วงเกินข้า” ความอดทนของเขาย่อมมีจำกัด แม้ตนจะชอบอีกฝ่าย แต่ก็มิได้ต้องยอมถูกบังคับกระทำการล่วงเกินแบบนี้ได้

           “ทำไม รึมีแต่จอมมารเฟยหลงที่ทำแบบนี้ได้” เซียวถิงฟงสวนกลับ

           ความโกรธจึงพุ่งขึ้นถึงขีดสุด “ใช่ เพียงเจ้าที่มิอาจทำได้ แล้วจะทำไม” ครานี้ต้าเซียนละทิ้งซึ่งหน้ากากเดิมของมหาเทพแล้ว กลับกลายเป็นตัวตนจริงๆ หรือบุคคลธรรมดาที่มิเก็บงำความโกรธและความเสียใจอีก

           “อย่าได้บังอาจกล่าวคำเช่นนั้น ต่อหน้าข้าอีกเป็นอันขาด” เซียวถิงฟงกัดฟันกรอด แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพูดกลับเสมือนยิ่งยุ

           “ใช่ มีเจ้าเพียงคนเดียว ที่มิอาจล่วงเกินข้าได้ ได้ยินชัดไหม” ต้าเซียนกล่าวย้ำ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตารุนแรงเฉกเช่นพยัคฆ์ดุร้ายที่พร้อมจะตรงเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าได้ทุกเมื่อ 

           เซียวถิงฟงเองก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน ในเมื่อต้าเซียนไม่ยอมเชื่อฟัง เขาก็จะทำให้เจ้าตัวรู้สึกเอง หากเขาเป็นบุคคลเพียงผู้เดียวที่มิอาจสัมผัสร่างน้อยได้ เขาก็จะทำให้เห็นว่าเขาสามารถ

           ร่างสูงก้าวย่างสามขุมเข้ามาอย่างเย็นชา ดวงตาที่วาวโรจน์คู่นั้นทำให้ต้าเซียนพรั่นใจก้าวถอยหลังไปโดยมิรู้ตัว แลในพริบตานั้นชายหนุ่มก็โถมตัวเข้าหา พันธนาการข้อมือเขาไว้ราวกับโซ่ตรวน แผ่นหลังถูกดันจนประชิดเข้ากับโต๊ะกลม

           จากนั้นการลงทัณฑ์ก็เริ่มต้นอย่างสาสม เซียวถิงฟงก้มระดมจูบต้าเซียนอย่างบ้าคลั่ง ไม่ใส่ใจแม้ร่างน้อยจะกัดริมฝีปากเขาจนรู้สึกถึงรสเลือด รอจนตักตวงความสุขสมได้สำเร็จก็หันมาซุกไซร้ที่ซอกคอหวาน ต่อเมื่อจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นดอกบัวอ่อนๆ ก็ยิ่งมิอาจควบคุมสติมิให้กลืนกินร่างน้อยตรงหน้าได้ เขาอ้าปากกัดเข้าที่ลำคอระหง

           “หยุด ถิงฟงหยุด” มาตรว่าจะร้องดังแค่ไหน เซียวถิงฟงก็มิยอมปละปล่อย อาภรณ์สีม่วงถูกกระชากออกจนเผยให้เห็นถึงวงไหล่ขาวเนียน ชายหนุ่มพรมจูบไปมาไม่หยุด ต้าเซียนยิ่งเสียขวัญ

           ไม่ ถิงฟงมิเคยเป็นเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ถิงฟงที่เขารู้จัก บังเกิดเป็นความรู้สึกหวาดกลัว “คะ ใคร ใครก็ได้ ช่วยยด้วย” เขาร่ำร้องจนดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำ หวังให้ใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ จวบจนนึกถึงคนผู้หนึ่งซึ่งคอยติดตามเขาอยู่ตลอด

           “ไป๋เซ่อ ไป๋เซ่อ” ทว่าร้องเรียกเพียงสองคำ สมองก็พลันตกอยู่ในห้วงลึก ความโดดเดี่ยวกลืนกินจิตใจลึกขึ้นเรื่อยๆ เป็นเขาที่ทำให้ไป๋เซ่อต้องกลายรูปเป็นกำไลหินมิใช่หรือ เป็นเขาที่ทอดทิ้งเหล่าเทพเซียนอย่างไร้ความรับผิดชอบ และยังเป็นเขาที่บีบคั้นเฟยหลงต้อนให้อีกฝ่ายจนมุมกระทั่งต้องเลือกเดินทางสายมาร แม้แต่เซียวถิงฟงเอง เขาก็เป็นผู้ทำลายความรักที่ชายหนุ่มมีให้อย่างสิ้นเชิง ...สาสมแล้ว

           สองมือที่ดิ้นรนไม่หยุด มาบัดนี้กลับดูอ่อนแรงทั้งยังวางเฉย เซียวถิงฟงชะงักหยุดลงด้วยความแปลกใจ ก่อนจะแลเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่ดูเคว้งคว้างว่างเปล่า ร่องรอยของสายน้ำตายังคงพาดเป็นสาย เขาถึงกับตกใจ ใช้สองมือพยุงใบหน้านวลขึ้นไว้อย่างอ่อนโยน

           “ต้าเซียน ต้าเซียน เจ้าเป็นอะไรไป ต้าเซียน” เขย่าตัวร่างน้อยเบาๆเพื่อเรียกสติ หากแต่เจ้าตัวกลับไม่แม้แต่จะกะพริบสักนิด

           นี่ข้า...ข้าทำอะไรลงไป ความรู้สึกผิดเข้าถาโถมจิตใจ

           “ข้าขอโทษต้าเซียน ได้โปรดอย่าเป็นแบบนี้ ข้ากลัวนะ” เซียวถิงฟงกล่าวน้ำเสียงสั่น ทั้งโอบอุ้มต้าเซียนไว้แล้วพร่ำเรียกเพียงแต่ชื่อของอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนาน

           น้ำเสียงอบอุ่นคุ้นเคยแว่วดังอยู่ข้างหู ทั้งยังพร่ำเรียกอย่างห่วงหา ต้าเซียนรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่า เซียวถิงฟงยังคงนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงไว้แน่น แม้ดวงตาจะปิดสนิทลง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเหน็ดเหนื่อย

           มือน้อยเอื้อมสัมผัสใบหน้าคมเข้มอย่างแผ่วเบา ขอแค่เพลานี้เท่านั้น ที่ข้าจะได้ทำตามหัวใจตัวเอง ต้าเซียนคิดพลางซบลงที่อกแกร่ง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ ไม่นานเปลือกตาก็หลับลงอีกครั้ง

           หากถึงพรุ่งนี้เช้าเมื่อไหร่ ข้าจะต้องไปจากเจ้า...เซียวถิงฟง


******************************************************


           แสงอัสดงลอดผ่านเข้ามายังทางหน้าต่าง เซียวถิงฟงค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า แต่แล้วก็ต้องรู้สึกเย็นเยียบไปทั่วกาย เมื่อเรือนแห่งนี้ปราศจากเงาของร่างน้อยไปแล้ว ความเจ็บปวดเริ่มแผ่เข้ามาในหัวใจเสมือนถูกกรีดอย่างช้าๆ สองตาแดงก่ำฝืนปิดมันแน่นเพื่อทนรับความร้าวรานข้างในอก ตอนนี้เขารู้ตัวแล้ว เขามิอาจฝืนรั้งร่างน้อยได้อีกต่อไป

           “นายน้อย”

           เสียงเรียกของถิงถิงดังขึ้นอยู่ใกล้ๆ หากแต่ไม่รู้ว่านางเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด ทว่าเขาก็ยังคงเงียบงัน จนกระทั่งพักหนึ่งก็ลืมตาขึ้น

           “นายน้อย” หยาดน้ำตาอุ่นร้อนของถิงถิงเอ่อขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่เรียบเฉย หากแต่ในดวงตาพยัคฆ์กลับทุกข์หม่นเศร้า

           “มีอะไรรึ ถิงถิง” น้ำเสียงอ่อนแรงถูกเอ่ยออกจากปากบุคคลที่ไม่เคยยอมแพ้กับสิ่งใดง่ายๆ ถิงถิงฟังแล้วเหมือนจุกอยู่ในอก

           “ท่านจะไม่บอกเขาจริงๆรึ” นางกล่าวถามทั้งน้ำตาที่คลอเบ้า หลายวันก่อนนางในร่างแมวได้เข้าไปในห้องของชายหนุ่ม แล้วบังเอิญพบฎีกาฉบับหนึ่งที่ถูกพับเก็บซุกซ่อนไว้

           “บอกรึไม่ มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” เซียวถิงฟงหัวเราะน้อยๆด้วยสมเพชตัวเอง เดิมทีตนรับปากแต่งงานกับหย่าเหลียนไว้ก็เพียงเพื่อให้นางมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน เขาก็จะพยายามหาวิธีรักษานางให้ได้

           ซึ่งหากวันใดวันหนึ่งเขาทำสำเร็จ ก็จะถือโอกาสทูลขอราชโองการจากฝ่าบาท ไปเฝ้าประจำรักษาชายแดนฝั่งตะวันตกเพื่อหลบเลี่ยงพระราชทานสมรส จากนั้นเอ่ยปากชวนร่างน้อย แลไม่ย้อนกลับมายังวังหลวงอีก ด้านซวนหยวนหมิงไท่เองก็จะไม่ต้องกังวลกับเรื่องขุมกำลังของตระกูลเซิงอีกต่อไป แต่มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

           สิ่งที่เขาคิดมันเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน อีกทั้งยังโง่งม

           “แต่เขาอาจเข้าใจท่าน เขาต้องเข้าใจท่านแน่ๆ นายน้อย” ถิงถิงยังคงไม่ยอมแพ้ แต่เซียวถิงฟงกลับส่ายหน้า

           “เขาบอกกับข้าเอง เขามิมีวันอยู่ร่วมกับข้าได้ ดังนั้นไม่ว่าข้าจะแต่งงานกับหย่าเหลียนรึไม่ มันก็มิอาจเปลี่ยนความจริงที่ว่า เขาต้องไปจากข้าอยู่ดี” รู้สึกเหมือนหายใจได้อย่างยากเย็น บางทีสิ่งที่ทำให้เขาร้าวรานมากที่สุด อาจเป็นต้าเซียนเลือกที่จะจากเขาไป แล้วไปหาเฟยหลง “ข้า...ยังคงต้องจัดการเรื่องสุดท้าย” กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากเรือนนอน เรือนที่คงจะไม่มีเงาร่างน้อยอีกต่อไป

           ถิงถิงได้แต่มองชายหนุ่มที่ค่อยๆเดินออกไป แม้อยากจะกล่าวปลอบสักเพียงใด แต่ตัวนางเองก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน แต่จะอย่างไรนางก็รู้ดีว่าเซียวถิงฟงเป็นคนเช่นไร บางทีหากย้อนเวลากลับไปได้ นางมิอยากให้เขาได้เอ่ยคำสัญญานั้น สัญญาที่ทำลายชีวิตตนเองในวันนี้

           .....................

           ............

           ....
 
           “ถิงถิง” นามใหม่ของตนดังขึ้น ทำให้นางที่หลับใหลต้องตื่นขึ้น มองเด็กหนุ่มหน้าตาคมคาย วัยสิบเจ็ดสิบแปดปีกำลังนั่งยองๆถือปลาย่างตัวหนึ่งส่งมาให้ ยังผลให้ท้องที่ว่างเปล่าร้องครวญครางในทันที ร่างเล็กกระจ้อยร้อยค่อยๆลุกขึ้น ใช้ศีรษะน้อยๆถูไถที่มือของเด็กหนุ่ม แล้วรับเอาปลาย่างในมือไป

           “วันหลังเจ้าไปนอนในห้องข้าดีกว่านะ หากยังนอนอยู่ตรงนี้ เกรงว่าคงโดนพวกเหล่าขันทีจับลงหม้อเข้าสักวัน” เซียวถิงฟงกล่าวขึ้นขณะนั่งยองๆใกล้พุ่มไม้รกสูงในมุมหนึ่งของอุทยานหลวง จากนั้นจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะลูกแมวน้อยอย่างอ่อนโยน

           นางเป็นแค่ลูกแมวที่ถูกนำไปถวายให้แก่องค์หญิงน้อยองค์หนึ่งเพื่อเลี้ยงดูไว้คลายเหงา ทว่าเพียงไม่กี่วันตัวนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานอีก ทำให้นางกำนัลต้องนำนางมาปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ โชคดีที่เด็กหนุ่มผู้นี้พบนางเข้าโดยบังเอิญในขณะที่นางส่งเสียงร้องด้วยความหิว จากนั้นมานางก็มิต้องเผชิญกับความหิวโหยอีก

           “โอ้ย เสด็จพี่หย่าเซิง หย่าเหลียนเจ็บนะ” เสียงร้องของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้เซียวถิงฟงที่ยังคงก้มตัวนั่งอยู่ต้องเอี้ยวตัวไปมองผ่านพุ่มไม้อย่างสนอกสนใจ

           “จะทำไม เจ้ามันก็แค่เด็กที่เสด็จแม่เก็บมาเลี้ยง” ซวนหยวนหย่าเซิงผลักตัวเด็กสาวให้ออกห่างจากตัวเอง จากนั้นนึกในใจอย่างโกรธๆ ใครใช้ให้นางกล้าทำให้เขาดูโง่เง่าต่อหน้าเสด็จพ่อกันเล่า

           “เสด็จพี่พูดกระไร หม่อมฉันไม่เข้าใจ” องค์หญิงหย่าเหลียนเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ก่อนหน้านี้ทั้งนางและเสด็จพี่หย่าเซิงต่างไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพร้อมกัน ต่อเมื่อเสด็จพ่อทดสอบเชาว์ปัญญา เสด็จพี่กลับได้แต่นั่งนิ่งเหงื่อตก ครั้นเห็นเสด็จพ่อมีสีพระพักตร์ไม่สู้ดี นางจึงตัดสินใจตอบคำถามแทนจนกระทั่งได้รับคำชมมา

           “ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ เจ้ามันก็แค่ลูกเลี้ยงกล้าดีอย่างไรมาหักหน้าข้าเช่นนี้” พูดจบซวนหยวนหย่าเซิงก็เงื้อเท้าขึ้นใส่เด็กสาวที่พึ่งอายุสิบสองสิบสามปี เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็รีบผละออกจากถิงถิง ตรงรี่ไปยังองค์ชายที่อายุอ่อนกว่าตนสองปี

           “โอ๊ย” เสียงร้องขององค์ชายซวนหยวนหย่าเซิงดังขึ้นแทน เมื่อร่างถูกคนคนหนึ่งกระแทกเข้าอย่างจังจนล้มลงกับพื้น

           “พี่ถิงฟง” หย่าเหลียนร้องขึ้นเมื่อเห็นเซียวถิงฟงเข้ามายืนบังร่างของนางไว้ ด้านเซียวถิงฟงก็ยิ้มกล่าวพลางเอื้อมมือไปฉุดร่างบอบบางขึ้น

           “มาลุกขึ้นเถอะ”

           “เจ้า...เจ้าเป็นใครกัน บังอาจทำร้ายข้าที่เป็นถึงองค์ชาย มีโทษสมควรตาย” องค์ชายหย่าเซิงขึ้นเสียงใส่เด็กหนุ่มเบื้องหน้า แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะกลัวตนสักนิด ใจจึงเริ่มฝ่อลง แต่แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นในสมองทำให้เขากระหยิ่มยิ้มย่องขึ้น

           “เกิดอะไรขึ้น” ฮองเฮาเซิงที่อยู่ในระหว่างเดินเล่นในอุทยานกล่าวถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของเด็กทั้งสามที่เสมือนกำลังมีเรื่องกันอยู่ ทางด้านเซียวถิงฟงพอแลเห็นขบวนของฮองเฮาเซิงและเหล่านางกำนัลที่เดินเข้ามาใกล้ก็คุกเข่าถวายพระพรทันที

           “เสด็จแม่ เจ้าคนโอหังผู้นี้บังอาจทำร้ายลูก เสด็จแม่ต้องสั่งโบยมันนะพะย่ะค่ะ” ซวนหยวนหย่าเซิงรีบกล่าวฟ้องทันที ทว่าหย่าเหลียนเองก็รีบกล่าวช่วยเซียวถิงฟงเช่นกัน

           “ไม่ใช่อย่างนั้นเสด็จแม่ พี่ถิงฟงเพียงแค่เข้ามาช่วยหม่อมฉันไว้เท่านั้นเอง”

           ฮองเฮาเซิงมองเด็กหนุ่มที่ยังคงคุกเข่านิ่งเงียบก่อนจะหันไปถามองค์หญิงหย่าเหลียน “เจ้าสนิทกับเด็กหนุ่มคนนี้รึ”

           หย่าเหลียนสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่ามารดาจะถามคำถามนี้ นางรีบกล่าวตอบตามตรง “เพค่ะเสด็จแม่ พี่ถิงฟงมักมาเล่นเป็นเพื่อนลูกบ่อยๆ”

           “เจ้าเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีเซียวใช่รึไม่”

           “ใช่พะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นบุตรชายโทนของอัครเสนาบดีเซียวถิงหลี่”

           ฮองเฮาเซิงรับฟังเสร็จก็ยิ้มที่มุมปาก จ้องมองเซียวถิงฟงด้วยสายตายากที่จะคาดเดา “เช่นนั้นก็แล้วกันไปเถิด” กล่าวจบนางและเหล่านางกำนัลก็เดินกลับไปท่ามกลางเสียงร้องโวยวายขององค์ชายหย่าเซิง

           รอจนคนทั้งหมดจากไป หย่าเหลียนก็หันมากล่าวน้ำเสียงสั่น “พี่ถิงฟง ข้าขอโทษ ข้าเกือบทำให้ท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย”

           “เด็กโง่ เจ้าก็เปรียบเสมือนน้องสาวของข้า เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก” เซียวถิงฟงหัวเราะแล้วลุกขึ้นอย่างสบายๆ แต่กระนั้นก็ยังคงเห็นดวงตาแดงก่ำที่คลอไปด้วยน้ำตา เขาถอนหายใจน้อยๆ “เจ้ายังคงคิดมากเรื่องที่เจ้าเด็กปากเสียนั่นพูดว่าเจ้าเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยง”

           “ฮิ ฮิ” ในที่สุดนางก็หลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินสรรพนามที่กล่าวถึงพี่ชายของตน แต่หัวเราะได้ไม่นานนัก ใบหน้าของนางก็สลดลงอีกครั้ง เป็นอย่างที่เซียวถิงฟงพูด นางคิดมากเรื่องดังกล่าวจริงๆ “พี่ถิงฟง ข้ากลัว กลัวว่าข้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพียงลำพังที่นี่” นางกล่าวน้ำเสียงสั่นคลอน เป็นเพราะความเพิกเฉย ทั้งไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว ทำให้นางทุกข์ทรมานใจมาตลอด

           “เจ้าจะกลัวอะไร มีข้าอยู่ด้วยทั้งคน หากมีใครกล้าทำร้ายเจ้า จงรีบบอกข้า ข้าจะไปสั่งสอนมันผู้นั้นให้เอง” เขากล่าวอย่างมีอารมณ์ แต่พอพูดจบก็เอื้อมมือไปสัมผัสที่ศีรษะน้อยของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการปลอบ

           ได้ยินเช่นนั้น น้ำตาของนางก็ไหลพราก “พี่ถิงฟง รับปากข้า ไม่ว่าอย่างไรก็ได้โปรดอย่าทอดทิ้งข้าไป” กล่าวจบนางก็กอดเซียวถิงฟงไว้แน่น นางกอดบุคคลเพียงคนเดียวที่ยอมรับตัวตนของนางในวังหลวงแห่งนี้ไว้

           “ได้ ข้ารับปาก” คำสัญญาถูกเอ่ยออกจากปาก ถิงถิงมองไปที่เซียวถิงฟงตาเป็นประกายรู้สึกได้ถึงความมีน้ำใจไมตรีของเด็กหนุ่มผู้นี้

           วันต่อมาถิงถิงยังคงได้ยินเสียงเรียกของเด็กหนุ่ม เซียวถิงฟงยังคงก้มตัวลงมองนางที่ซุกตัวในพุ่มไม้รกๆพลางกล่าว

           “มาถิงถิง ข้ามารับเจ้าไปอยู่ด้วยกัน” เซียวถิงฟงกล่าวแล้วส่งยิ้มให้ นางมองไปทางเด็กหนุ่มแล้วแสร้งทำเมินหน้าหนี เมื่อไม่เห็นปลาย่างที่ติดมือมาอย่างทุกที แต่กระนั้นนางก็ปล่อยยังให้เขาอุ้มนางออกไปแต่โดยดี

           ทว่าไม่นานนักทั้งคนทั้งแมวก็ต้องชะงักตัว เสียงของฮองเฮาเซิงดังขึ้นจากอีกฝั่งของพุ่มไม้หนึ่ง ดีที่พุ่มรกนี้ค่อนข้างจะสูงจึงทำให้ปกปิดร่างของพวกเขาไว้จนมิด

           “หึ หึ ในที่สุดเด็กนั่นก็ทำตัวเป็นประโยชน์กับข้าซะที ไม่เสียแรงที่ข้ารับมาเลี้ยงไว้” 

           “ต้องขอบคุณตระกูลถงที่ทิ้งนางไว้ให้พวกเราไว้ใช้เป็นหมากในภายภาคหน้าแท้ๆ” ชายหนุ่มสูงอายุคนหนึ่งพูดแล้วหัวเราะขึ้น เซียวถิงฟงจดจำเสียงนั้นได้ดีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของอัครเสนาบดีเซิงคู่ปรับหนึ่งเดียวของบิดาเขานั่นเอง

           “จริงอย่างที่ท่านพ่อกล่าว หากมิใช่เพราะแม่ทัพถงพลีชีพในสนามรบ ฮูหยินถงตรอมใจตายจนทิ้งหย่าเหลียนไว้เพียงลำพัง ฝ่าบาทคงไม่เห็นพระทัย รับนางมาเลี้ยงดูเฉกเช่นองค์หญิงองค์อื่นๆหรอก”

           “นับว่าเจ้ามองการณ์ไกลจริงๆที่ตอนนั้นชิงทูลขอฝ่าบาทรับเลี้ยงนางไว้แทนฮองเฮาองค์ก่อน ฮ่า ฮ่า”

           “ท่านพ่อก็อย่าได้นำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่ผู้ใด เรื่องนี้นับว่ามีคนรู้น้อยมาก ฝ่าบาททรงมิประสงค์ให้หย่าเหลียนรับรู้ความจริงว่านางเป็นเพียงลูกเลี้ยง” เมื่อฮองเฮาเซิงกล่าวจบ ทั้งคู่ก็เดินจากไป เหลือเพียงแค่หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวที่ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน

           เซียวถิงฟงจ้องมองถิงถิงที่ยังคงถูกอุ้มอยู่ในมือนิ่งๆ สายตาของเขาฉายแววตกตะลึง ทั้งยังสงสารผสมปนเปกันไป ไม่นานนักเด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “หากเป็นเจ้าที่ต้องอยู่ในวังหลวงเพียงลำพัง ไม่มีแม้แต่ผู้คนจริงใจ หรือคิดที่จะใส่ใจเจ้า เจ้าจะอยู่ได้รึเปล่า”

           “.........” ถิงถิงเงียบงัน

           เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ไฉนบุคคลที่นี่ ล้วนแล้วแต่มีปัญหาใจ ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทที่เป็นเหมือนดั่งสหาย หรือแม้แต่องค์หญิงหย่าเหลียนที่เป็นดั่งน้องสาว “หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดกำลังความสามารถ” กล่าวจบก็อุ้มตัวเจ้าแมวน้อยจากไป

           ถิงถิงยังคงจำวันนั้นได้ดี ความจริงแล้วนางก็ไม่ต่างกับองค์หญิงหย่าเหลียน พวกนางต่างถูกเก็บมาเลี้ยง จากนั้นก็ถูกทิ้งขว้างไปอย่างไม่มีใครไยดี กระนั้นแล้วนางกลับโชคดีกว่ามากนัก เพราะเซียวถิงฟงสามารถช่วยนางไว้ได้อย่างเต็มที่ ผิดกลับอีกฝ่ายที่ยังคงถูกผู้อื่นใช้ประโยชน์

           “นายน้อย หากนายน้อยใจดำกับองค์หญิงหย่าเหลียนมากกว่านี้ ท่านอาจมิต้องเสียใจเช่นนี้ก็เป็นได้” นางกล่าวอย่างเศร้าใจเมื่อเห็นแผ่นหลังที่ดูอ้างว้างก้าวจากไปอย่างช้าๆ


**********************************************

วันนี้ลงดึกไปหน่อย อินเตอร์เน็ทเสัยต้อง Hotspot เอา  ติดตามกันต่อด้วยน้า  :hao7:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 22 ความโดดเดี่ยว 09/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: darksmile ที่ 10-11-2015 16:23:25
เศร้าจัง  :mew4: :mew4: ต้าเซียนคิดจะทำอะไรกันแน่
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 22 ความโดดเดี่ยว 09/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 10-11-2015 20:47:56
อยากจิ้มคนเขียน เมื่อไรต้าเซียนจะมีความสุข :serius2:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 22 ความโดดเดี่ยว 09/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Umiko ที่ 11-11-2015 18:50:17
เศร้าจัง...อยากให้มีความสุขซักที
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 23.1 ปราณมังกร 11/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 11-11-2015 20:37:56
บทที่ 23.1 ปราณมังกร


           “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาที่นี่”

           เสียงพูดแกมเย้ยหยัน รวมถึงรอยยิ้มดูแคลน ทำให้เซียวถิงฟงต้องเบ้ปากด้วยความไม่ถูกชะตา นี่ถือเป็นครั้งที่สองที่ตนเหยียบย่างมาถึงตำหนักเตี้ยนชิง

           “ข้ามิได้กระทำความผิด เหตุใดจึงไม่กล้ามา” เขากล่าวขึ้น ก่อนสังเกตเห็นถ้วยชาคู่หนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ดูว่ายังคงมีควันลอยขึ้นฉุยคล้ายพึ่งถูกรินเพียงไม่นาน

           “เจ้าต้องการอะไร ข้าไม่มีเวลาว่างนัก” เฟยหลงเร่งเร้าอย่างรำคาญใจ จากนั้นหันหลังเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกลางห้อง

           ด้านเซียวถิงฟงก็ลอบกวาดตามอง ก่อนจะตามเข้ามานั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับอีกฝ่าย “ข้ามาเพื่อต้องการแน่ใจ”

           เฟยหลงแค่นเสียงไม่พอใจ มือหนึ่งกำจอกชาไว้แน่น “เฮอะ แน่ใจ แน่ใจกระไรกัน”

           “อีกสามวันที่จะถึงนี้ จะเป็นวันที่ตะวันสิ้นแสง ข้าต้องการแน่ใจว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายต้าเซียน”

           ครานี้จอกชาถูกวางลงแล้ว เฟยหลงมองคนที่กล่าวคำพูดเมื่อสักครู่ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ หากแต่ในใจกลับเดือดดาล ชายผู้นี้ถือดีอย่างไร ถึงกล้ากล่าวประโยคนี้กับตน ทั้งที่ชีวิตตัวเองก็ยังแทบจะเอาไม่รอดเสียด้วยซ้ำ ช่างโง่งมนัก “หึ หึ หึ”

           “เจ้าหัวเราะกระไร”

           “นับแต่ที่เจ้าช่วงชิงพลังเซียนมา เจ้าก็ได้ทำร้ายท่านมหาเทพแล้ว หากไม่เป็นเพราะเจ้า วันนี้ท่านมหาเทพก็คงไม่ต้องรู้สึก...” เฟยหลงหยุดประโยคลงแค่นี้ ด้วยมิอยากที่จะกล่าวต่อ หากมิใช่เพราะเซียวถิงฟงช่วงชิงพลังของท่านมหาเทพไป วันนี้ท่านมหาเทพก็คงไม่มีความรู้สึกใดๆกับคนตรงหน้าเป็นพิเศษ

           เซียวถิงฟงฟังแล้วถึงกับชาวาบ เนื่องเพราะที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด เป็นเพราะความโลภของเขา เป็นเพราะเขาต้องการเก็บลูกแก้ววิเศษไว้ โดยมิรู้ว่าจะเป็นเหตุให้ช่วงชิงพลังของต้าเซียนมา ยังมีความเห็นแก่ตัวของเขาที่พยายามรั้งร่างน้อยไว้ โดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะรู้สึกเจ็บปวดและลำบากใจสักแค่ไหน

           “ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้าไม่มีวันละเลยท่านมหาเทพ แล้วจงรู้ไว้ หากถึงวันที่ตะวันสิ้นแสงเมื่อไหร่ ข้าจะพาท่านไปจากที่นี่ทันที” เฟยหลงเน้นประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่น

           เหมือนชะตาจะมิเคยปราณี เมื่อคิดว่าต้าเซียนต้องหายไปจากชีวิตเขาโดยสิ้นเชิงแล้ว เซียวถิงฟงก็เจ็บลึกในอก แต่แล้วอย่างไรล่ะ ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว จอมมารเฟยหลงจะไม่ทำร้ายต้าเซียน เขาควรดีใจมิใช่รึ เขาพลันยกยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ข้าจะยอมเชื่อเจ้าสักครั้ง แต่หากวันใดที่เจ้าทำร้ายต้าเซียนแม้แต่เพียงปลายเล็บ ข้าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า” เซียวถิงฟงลั่นวาจาสาบาน หากมีวันนั้น เขาจะต้องปลิดชีวิตคนตรงหน้าให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยินดี

           เฟยหลงยิ้มเย็น “หมดธุระแล้วก็เชิญกลับได้ หากเป็นไปได้ข้ามิอยากเห็นหน้าเจ้าอีก”

           เมื่อเจ้าตัวออกปากไล่แล้วไยต้องอยู่อีก เซียวถิงฟงมองจอกชาอีกถ้วยที่อยู่บนโต๊ะอีกครั้ง “ต้าเซียน ข้าขอให้เจ้ามีความสุขมากๆ” มือข้างหนึ่งยื่นสัมผัสถ้วยชาที่ถูกวางทิ้งไว้อย่างอาลัย จากนั้นตัดสินใจเดินจากมาเพียงลำพัง

           ...ต้าเซียนข้าปรารถนาให้เจ้ามีชีวิตที่มีความสุข มิต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป

           แผ่นหลังที่กว้างใหญ่ ลำแขนที่ชอบโอบกอดเขาไว้อย่างอบอุ่นอยู่เสมอ กำลังห่างออกไปทีละนิด ต้าเซียนทอดมองตามด้วยสายตาเศร้า นึกไม่ถึงว่าเซียวถิงฟงจะมาที่นี่ มาหาเฟยหลง

           เขาที่ซึ่งกำลังดื่มชาได้แต่หลบหน้าชายหนุ่มที่หลังฉากกั้นไม้ลวดลายภูเขาหิมะขนาดใหญ่ ด้วยรู้สึกมิกล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แลที่ด้านหลังนี้แม้เพียงเห็นเงาคนรางๆ แต่ก็ยังคงรับรู้ได้ว่าเงาร่างของเซียวถิงฟงได้นั่งลงพูดคุยกับเฟยหลงชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก็จากไป

           มาตรว่าคนจากไปแต่ความห่วงใยยังคงตราตรึง ต้าเซียนได้ยินคำสาบานที่เอ่ยออกมาจากปากของเซียวถิงฟง ก็อดที่จะรู้สึกสะท้านใจมิได้ เขาก้าวออกมายังโต๊ะรับรองอีกครั้ง มองถ้วยชาที่มิได้มีควันร้อนฉุยอยู่อีก จากนั้นยื่นมือไปสัมผัสถ้วยชา พริบตานั้นก็ต้องชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะลอบเก็บอารมณ์ไว้ภายในใจ

           แม้ชาในจอกจะเย็นลง หากแต่ความร้อนที่ติดอยู่บนถ้วย กลับเป็นความอบอุ่นที่ตัวเขาคุ้นเคยดี ความอบอุ่นของเซียวถิงฟง

           เฟยหลงลอบมองความเป็นไปของคนตรงหน้า ครั้นเห็นสีหน้าที่มิได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ เขาก็ยิ้มอย่างดีใจ แต่กระนั้นเขาก็มิอาจทิ้งรากแห้งปัญหาไว้ที่นี่ได้

           หากเมื่อขุดรากลึกลงไปแล้ว ก็จำต้องถอนโคนทิ้งให้สิ้นซาก


********************************************


           สายตาสีเขียวสะท้อนแวววับท่ามกลางความมืด มันจ้องติดตามทหารหนุ่มผู้มีท่าทีแปลกๆ ซึ่งพบโดยบังเอิญ แต่มิคาดว่าสะกดรอยจนถึงมุมอับแสงแล้ว ร่างของคนผู้นี้ก็อันตรธานหายลับไป

           แมวขนสีดำตัวหนึ่งวิ่งติดตามไปยังเงามืด แต่ที่ที่คนผู้นี้เคยยืนอยู่กลับว่างเปล่าไร้ผู้คน มันได้แต่เดินเวียนวนอย่างไม่เข้าใจ ทว่าพริบตานั้นก็บังเกิดเสียงหล่นดังตุบอยู่ไม่ไกล มันถึงกับสะดุ้งตัวโหยง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ ในตอนนี้มันพบแล้ว หากแต่เป็นร่างไร้วิญญาณของทหารหนุ่มที่หายตัวไปกะทันหัน เขานอนแผ่อยู่บนพื้นด้วยสภาพน่าอเนจอนาถ ส่งผลให้มันมิกล้าเข้าไปสำรวจอีก ได้แต่ตัดสินใจผละตัวออกไป

           “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น

           รัชทายาทหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านรายงานของเหล่าขุนนางภายในห้องหนังสือจำต้องหันไปยังที่มาของเสียง

           เป็นแมวสาวขนสีดำที่กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ต่อเมื่อปลายเท้าสัมผัสทถึงพื้น ร่างของแมวสาวก็กลับกลายเป็นหญิงสาวในชุดสีดำสนิทอย่างน่าอัศจรรย์

           “มีอะไรหรือถิงถิง”

           “องค์...รัชทายาท มีคนตาย ข้าเห็นเขาทำท่าลับๆล่อ พอข้าสะกดรอยตามเขาไป ไม่นานร่างของเขาก็หายไปต่อหน้าข้า แล้วจู่ๆเขาก็ตาย” ถิงถิงโพล่งออกมาด้วยสีหน้าที่ทอแววตื่นตระหนก

           “เหตุเกิดที่ใด ถิงถิง” ฟังแล้วเขาก็เลิกคิ้วขึ้นถามเสียงเข้ม แต่ก็มิได้ดูตกใจสักเท่าใด ราวกับนี่มิใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

           “ใกล้ตำหนักลุ่ยหวา” ถิงถิงกล่าว

           ...อีกแล้ว องค์รัชทายาทฟังแล้วสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม หันไปตะโกนเสียงจริงจัง “เสี่ยวลู่ เรียกเหล่าองค์รักษ์เงา บอกเขาว่าต้องเก็บกวาดอย่างเงียบเชียบ ห้ามมิให้ผู้ใดพบเห็นเป็นอันขาด”

           “พะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยเสี่ยวลู่เข้ามารับคำสั่งเสร็จก็รีบออกจากห้องไปด้วยท่าทีเร่งร้อน

           “ถิงถิง เจ้ากลับไปพักก่อนเถิด วันนี้เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว” องค์รัชทายาทหันมากล่าวกับถิงถิง ชั่วอึดใจหนึ่งร่างของหญิงสาวก็หายไปจากห้อง เหลือเพียงแมวสาวที่กระโจนออกจากทางหน้าต่างแทน

           ห้องกลับคืนสู่ความเงียบสงบ ซวนหยวนหมิงไท่ทอดถอนหายใจพลางนั่งกุมขมับ นี่มิใช่ศพแรกที่คนของเขาพบเห็น แต่นับเป็นศพที่สามแล้วต่างหาก แลหากเรื่องราวรั่วไหลออกไป ทั่วทั้งวังหลวงจะต้องเผชิญกับความวุ่นวายครั้งใหญ่ ดังนั้นการสืบสวนเรื่องนี้จำต้องเก็บเป็นความลับ แต่กระนั้นแล้วจนถึงวันนี้เขาก็ยังคงไม่พบเบาะแสใดที่ชี้ชัดมาก เว้นเพียง

           ...ตำหนักลุ่ยหวา

           “องค์รัชทายาท” เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้นภายในห้องหนังสือ เป็นเหล่าองค์รักษ์เงาที่อยู่ภายใต้อาภรณ์สีดำ ทั้งอำพรางใบหน้าจนมิอาจเห็นชัด แลคนกลุ่มนี้จะปรากฏกายต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายเท่านั้น

           องค์รักษ์เงาจำนวนหนึ่งย่อกายถวายบังคมให้ หากแต่รัชทายาทหนุ่มกลับเฉยเมย หันไปจดจ้องของที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาแทน

           “มีใครเห็นรึไม่” เขาขึ้นเสียงถาม สายตาเพ่งมองไปที่ถุงกระสอบใบใหญ่ที่ถูกมัดไว้อย่างหนาแน่น

           “ไม่มีใครพบเห็นพะย่ะค่ะ” หนึ่งในองค์รักษ์เงาตอบ

           “แล้วสภาพศพเป็นเช่นใด”

           “นายทหารผู้นี้ไร้ซึ่งบาดแผล มีเพียงผิวกายที่แห้งเหี่ยวซูบเซียวอย่างน่าประหลาด ลงความเห็นได้ว่าสภาพศพเหมือนกับสองศพแรกที่เราพบในอุทยานหลวงใกล้ตำหนักลุ่ยหวาพะยะค่ะ” องค์รักษ์อีกนายกล่าว

           “เปิดถุงออก” ซวนหยวนหมิงไท่ออกคำสั่งพลางขยับกายเข้าไปใกล้ ด้านเหล่าองค์รักษ์เงาก็จัดแจงเปิดปากถุงตามคำสั่ง

           หลังจากถุงผ้าถูกเปิดออก ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาที่ฉายแววตกตะลึงปนฉงนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วมุ่น ดูแล้วสภาพศพใกล้เคียงกับนางกำนัลที่ประสบเคราะห์ในตำหนักลุ่ยหวา ทั้งยังเป็นเช่นเดียวกับศพอื่นๆที่ถูกพบเมื่อสามสี่วันก่อนจริงๆ เขาทอดถอนใจเฮือกใหญ่ “ทำลายศพเขาซะ แล้วส่งเงินจำนวนหนึ่งไปทางบ้านเขา”

           “พะย่ะค่ะ” องค์รักษ์เงารับคำสั่ง จากนั้นจึงแบกถุงกระสอบออกไป

           เหลือเพียงเค้าความกังวลใจที่ให้เห็นชัดบนใบหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ เขามิอาจรอให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก ยิ่งเรื่องนี้มีส่วนพัวพันกับตำหนักลุ่ยหวาด้วยแล้ว ก็เกรงว่ามิอาจวางใจได้


********************************************


           เช้าวันต่อมาองค์รัชทายาทก็ตัดสินใจไปเยือนยังตำหนักลุ่ยหวา แม้ในใจจะไม่อยากเหยียบย่าง แต่ก็ไม่อาจมามิได้ ซึ่งดูท่าว่าทางตำหนักลุ่ยหวาแห่งนี้ก็คาดไม่ถึงกับการมาของตนเช่นกัน

           “ถวายบังคมเพค่ะ องค์รัชทายาท เหตุใดวันนี้จึงทรงเสด็จมายังตำหนักลุ่ยหวาได้” นางกำนัลเว่ยหรือแม้นมขององค์หญิงหย่าเหลียนกล่าวถามด้วยท่าทีแปลกใจ

           “ข้ามีธุระหรือไม่ จำเป็นต้องบอกเจ้า? หรือตำหนักแห่งนี้มิต้อนรับข้า” รัชทายาทหนุ่มกล่าวประชดประชัน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

           นางกำนัลเว่ยฟังแล้วก็แตกตื่นในใจ เหงื่อกาฬหลั่งแนบที่ริมหน้าผาก “มิได้เพค่ะ หม่อมฉันจะไปกราบทูลองค์หญิงหย่าเหลียนเดี๋ยวนี้เพค่ะ โปรดทรงรอสักครู่”

           “ไม่ต้อง ข้าจะไปพบนางเอง” ซวนหยวนหมิงไท่ยกมือขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธ จากนั้นเดินตรงเข้าไปยังใจกลางของตำหนัก ทว่ายังไม่ทันถึงที่หมาย ก็พลันพบกับคนที่ตามหาแล้ว

           ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นในสวนของตำหนักลุ่ยหวา มังกรหนุ่มยืนมองร่างอรชรจากที่ไกลๆ ก่อนเหยียดยิ้มให้กับภาพตรงหน้า องค์หญิงหย่าเหลียนในชุดสีฟ้ากำลังหัวเราะร่าอยู่กับเหล่านางกำนัล พวกนางกำลังแช่เท้าที่ริมสระน้ำกันอย่างสบายใจ เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นเป็นระยะ เขาหันไปสั่งให้เหล่าขันทีและองค์รักษ์ล่าถอยออกไป ก่อนเดินเข้าไปทางด้านหลัง

           “องค์รัชทายาท” นางกำนัลคนหนึ่งร้องอย่างตกใจเมื่อสังเกตเห็นผู้มาใหม่ จากนั้นจึงลุกลี้ลุกลนขึ้นจากขอบสระ หันมาถวายบังคมอย่างนอบน้อม นางกำนัลคนอื่นก็เช่นกัน หากแต่ยังมีเพียงแค่สตรีอีกผู้หนึ่งที่ยังคงเงียบงัน ทั้งไม่หันมาและยังคงเตะน้ำในสระเล่นอย่างไม่ไยดี

           “ดูท่าเจ้าคงจะดีขึ้นไม่น้อย จึงได้ออกมานั่งตากแดดตากลมเช่นนี้” เขากล่าวประชดประชัน

           “ต้องขอบพระทัยเสด็จพี่ ที่ทรงพระราชทานยาหลายขนานให้แก่หม่อมฉัน” หย่าเหลียนกล่าวพร้อมทั้งหันหน้ามาส่งรอยยิ้มหวานให้ องค์รัชทายาทเห็นใบหน้าของนางอย่างชัดถนัดตาก็ถึงกับตกตะลึง

           “ตอนนี้ข้าว่าเจ้าคงหายดีแล้วจริงๆ” น้ำเสียงเขาเจือไปด้วยความแปลกใจ เป็นเพราะใบหน้าที่ดุจดั่งหญิงชรา มาตอนนี้กลับดูเป็นสาวแรกรุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งไม่มีท่าทีราวกับคนใกล้ตายแม้แต่น้อย

           เมื่อเห็นเค้าใบหน้าที่ตะลึงไป องค์หญิงหย่าเหลียนก็ยกยิ้มพอใจ นางหยัดกายลุกขึ้นจากขอบสระ หันกายเข้าหาองค์รัชทายาทอย่างเต็มตัว จากนั้นก้าวขาอันขาวนวลขึ้นสู่พื้นอย่างมาดมั่น แต่แล้วจังหวะหนึ่งกลับมีท่าทีโงนเงนกะทันหัน

           “หย่าเหลียน” องค์รัชทายาทเข้ารับร่างที่คล้ายจะเป็นลมของนางอย่างตกใจ ยังผลให้ศีรษะของนางเซซบลงที่หน้าอก

           “รบกวนพระองค์พาข้าไปยังที่ห้องที”

           น้ำเสียงนั้นดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ซวนหยวนหมิงไท่เห็นใบหน้าที่ซีดขาวของนางแล้วก็รีบรวบตัวขึ้นอุ้ม พากลับไปยังห้องบรรทมท่ามกลางความตะลึงลานของเหล่าข้าทาสบริวารทั้งหลาย

           “เจ้ายังไม่หายดี ออกไปตากแดดตากลมเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน” เขากล่าวน้ำเสียงดุ สองมือวางร่างบางในชุดสีฟ้าลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

           จู่ๆเสียงหัวร่อก็ดังขึ้น ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องชะงักหยุด มองเจ้าของเสียงอย่างไม่พอใจ “เจ้าปั่นหัวข้า”

           “.......” องค์หญิงหย่าเหลียนไม่ตอบกระไร เพียงส่งรอยยิ้มหยาดเยิ้มให้แก่องค์รัชทายาท ประกายตามีร่องรอยของความสนุก

           “เจ้าไม่ใช่หย่าเหลียน” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็ขึ้นเสียงด้วยความมั่นใจ

           “ตรงไหนที่ข้าไม่ใช่” เสียงตอบนั้นยั่วเย้าอย่างเห็นได้ชัด

           “หากเป็นหย่าเหลียนจริง นางไม่มีวันส่งรอยยิ้มยั่วยวนเช่นนี้ให้แก่ข้าหรอก” เขาหลุบตากล่าว ด้วยรู้ตัวดีว่ามีเพียงสายตาเคียดแค้นเท่านั้นที่นางจะมีให้เขา

           ครานี้ร่างอรชรหยุดยิ้มลงแล้ว แต่ไม่นานก็ยกยิ้มหยาดเยิ้มขึ้นใหม่ ทั้งขยับกายเข้าหา สองมือยกขึ้นโอบกอดคอของบุรุษตรงหน้าอย่างแนบแน่น “ท่านหลักแหลมยิ่งนัก ข้าเหม่ยซินนับถือๆ” เสียงทุ้มแหลมเอื้อนเอ่ยมาจากริมฝีปากขององค์หญิงหย่าเหลียน

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 23.2 ปราณมังกร 11/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 11-11-2015 20:44:09
บทที่ 23.2 ปราณมังกร



           “เจ้าปีศาจ” ซวนหยวนหมิงไท่โพล่งออกมาทันที พลางกระชากสองมือที่โอบรอบคอตนออกอย่างแรง ร่างบอบบางจึงมีอันต้องล้มลงนอนราบกับเตียง

           “ท่านมิได้ชมชอบนางหรอกหรือ” ประกายตาสีแดงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างรู้ดี ชายหนุ่มสง่างามผู้นี้ชื่นชอบเจ้าของร่างที่นางอาศัยอยู่ แม้จะแสดงออกด้วยท่าทีเย็นชาก็ตาม

           “อย่าได้บังอาจพูดพล่อยๆเจ้าปีศาจ”

           “ข้าพูดผิดรึไม่นั้น ตัวท่านเองย่อมรู้แก่ใจดี” จิ้งจอกเหม่ยซินตอบ ทั้งใช้นิ้วจิ้มหยอกระหว่างกลางอกรัชทายาทหนุ่ม
เขารีบปัดมือเรียวทิ้ง ทั้งยังผละตัวใช้หญิงสาวตรงหน้าหยุดการกระทำลง “เจ้าเอาหย่าเหลียนไปไว้ที่ใดกัน”

           “นางก็อยู่ตรงหน้าท่านแล้วอย่างไร” ปีศาจจิ้งจอกเล่นลิ้นโดยใช้น้ำเสียงหวานขององค์หญิงหย่าเหลียน ครานี้นางโผเข้าหาอีกฝ่ายอีกครั้ง

           “เจ้าไม่ใช่” ซวนหยวนหมิงไท่ยังคงยืนกราน หากแต่มิได้ผลักไสสตรีในอ้อมอกอีก คล้ายมีพลังบางอย่างบังคับมิให้เป็นตัวของตัวเอง

           “เช่นนั้นท่านคงอยากช่วยนาง ใช่รึไม่” จิ้งจอกเหม่ยซินยิ้มหวานกล่าว ครั้นเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มีท่าทีชั่งใจ ก็ได้ทีลูบไล้ใบหน้างามสง่า กระซิบยั่ว “มอบปราณมังกรให้ข้า ข้ารับรองข้าจะคืนนางให้แก่ท่านเอง”

           ได้ยินเช่นนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็คืนสติ “คิดว่าข้าจะตกหลุมพรางเจ้ารึ เจ้าประเมินข้าต่ำไปแล้ว”  ไม่ผิดไปจากที่เขากังวล เหล่าทหารหนุ่มที่เสียชีวิตลงอย่างน่าประหลาด ล้วนมีส่วนพัวพันกับปีศาจที่เคยปรากฏในตำหนักลุ่ยหวาแห่งนี้

           “เช่นนั้นท่านจะปล่อยให้สหายของท่านค่อยๆตายไปกระนั้นหรือ”

           “เจ้าหมายความเช่นไร” องค์รัชทายาทถึงกับงงงันวูบ
 
           “หึ ข้าจะบอกให้ เขายินยอมมอบพลังชีวิตให้แก่ข้า เพียงเพราะต้องการช่วยชีวิตนาง และหากตัวท่านไม่ยอม ไม่นานนางที่ท่านรักและสหายของท่านจะต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของข้า” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวขู่

           “เจ้า...” เขาถึงกับพูดไม่ออก ยังผลให้จิ้งจอกเหม่ยซินหัวร่อออกมา นางเดินเข้ามากระซิบอย่างยั่วยวนอีกครั้ง

           “ท่านยินยอมแล้วใช่รึไม่”

           “........”

           ความเงียบของชายผู้นี้คล้ายเป็นการตอบรับ นางปีศาจยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ ผลักร่างที่หนุ่มแน่นให้นอนราบลงกับเตียง มือหนึ่งสัมผัสที่กลางอก จากนั้นลากปลายนิ้ววนไปมากระตุ้นอารมณ์ สายตาก็จับจ้องสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก ด้านซวนหยวนหมิงไท่ก็ได้แต่นอนนิ่ง ทั้งเบนสายตามองไปที่แสงเทียน

           “มิต้องเป็นห่วงไป ข้าจะค่อยๆลิ้มลองปราณมังกรของท่านอย่างช้าๆ”

           “จะทำก็รีบทำ ไยชักช้างุ่นง่านยิ่งนัก” กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ นางปีศาจตนนี้เห็นเขาเป็นเพียงของเล่น จึงเอาแต่สัพยอกเขาไม่หยุด

           “ท่านอย่าได้ใจร้อนไป เป็นเพราะข้าถูกใจท่านหรอกนะ” เหม่ยซินประทับริมฝีปากลงบนไหล่กว้าง

           องค์รัชทายาทถึงกับถลึงตาอย่างรังเกียจ สตรีตรงหน้าแม้จะหย่าเหลียน หากแต่ภายในกลับมิใช่นาง วิธีนี้จะช่วยนางได้จริงรึ เขาคิดอย่างสับสน

           “เจ้าจะทำอะไรน่ะ เจ้ารัชทายาทงี่เง่า” จู่ๆเสียงที่มักร้องโหวกเหวกของไป๋เซ่อก็ดังขึ้นในสมองของเขา

           ด้านปีศาจจิ้งจอกก็มองร่างที่นอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกอย่างย่ามใจ พลางสอดมือเข้าไปสาบเสื้อสีขาวแล้วลูบไล้อย่างช้าๆ

           “เจ้ารัชทายาทงี่เง่า เจ้าบ้าไปแล้วรึ อยากตายรึไงหา”

           ครานี้มิใช่เสียงของไป๋เซ่อที่ร้องโวยวายเท่านั้น แม้แต่กำไลหินรูปงูก็ยังสั่นสะท้านขึ้นน้อยๆ ซวนหยวนหมิงไท่จำต้องซ่อนปลายแขนประชิดลำตัว เพื่อมิให้เป็นที่ผิดสังเกตใดๆ

           อกที่ผายไหล่กว้างสมส่วน ผิวพรรณเปล่งประกายสมแล้วที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ จิ้งจอกเหม่ยซินสำรวจเรือนร่างนี้อย่างพึงพอใจ แม้องค์รัชทายาทจะมิกำยำเท่ากับเซียวถิงฟง อีกทั้งใบหน้าค่อนไปทางสวย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามหายาก แลสิ่งที่น่าดึงดูดที่ไม่ด้อยไปกว่าพลังเซียนนั่นก็คือ ปราณมังกร

           ซวนหยวนหมิงไท่ถือกำเนิดในฐานะโอรสสวรรค์ ใบหน้าบ่งบอกวาสนาบุญบารมีดั่งคนเป็นใหญ่ ภายภาคหน้าอยู่เหนือคนทั้งปวง คุกเข่าให้เพียงสิ่งเดียวคือฟ้า ซึ่งหากได้ปราณของเขามา ตบะของนางก็จะแกร่งกล้าหาใครเทียมไม่ และวิธีที่จะได้ปราณมังกรมาทั้งหมดก็คือ การดื่มเลือดเนื้อผู้เป็นเจ้าของ

           “เจ้าอย่าได้มอบพลังให้แก่ปีศาจเชียว ฟังที่ข้าพูดอยู่รึเปล่า” ไป๋เซ่อตะโกนสุดเสียง แทบทำให้แก้วหูแตก

           “หุบปาก” ซวนหยวนหมิงไท่ก็โต้กลับในใจ

           “หนอย เจ้ากล้าด่าข้ารึ ถ้าเจ้าตายไป คิดว่าข้าจะกลับไปหาท่านมหาเทพยังไงกันเล่า เปิดใจให้ข้าเดี๋ยวนี้” 

           “ไม่ ตอนนี้ยังไม่ใช่”

           “ไม่ใช่รึ ต้องรอให้เจ้าตายก่อนรึไงหา ข้าไม่รอหรอกนะ ข้าบอกให้เปิดใจไงเล่า เจ้าองค์รัชทายาทงี่เง่าไม่ได้เรื่อง”
รอจนขี้เกียจต่อปากต่อคำ ซวนหยวนหมิงไท่ก็เลือกที่จะเงียบไว้ ปล่อยให้ไป๋เซ่อตวาดร้องไปตามแต่ใจ แลที่หน้าอกก็สัมผัสได้ถึงมือที่เยียบเย็น ก่อนบังเกิดเป็นความเจ็บแปลบปลาบ ก่อนที่จะทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ

           หลังจากที่ลูบไล้อย่างพอใจ จิ้งจอกเหม่ยซินก็เปลี่ยนมาทรมาทรกรรมคนตรงหน้าอย่างช้าๆ นางส่งยิ้มเหี้ยมให้ใบหน้างาม “ผิวขาวของท่านช่างเหมาะกับสีของโลหิตยิ่งนัก” พูดจบเล็บยาวแหลมคมก็กดลงบนผิวเนื้อ ลึกลงพอที่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

           ต่อเมื่อเห็นแววตาที่สะท้อนถึงความเจ็บอยู่เสี้ยวหนึ่ง เหม่ยซินก็รู้สึกสนุก ยิ่งชายผู้นี้อดทนมากเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้นางพึงพอใจได้มากเท่านั้น จวบจนปลายเล็บสัมผัสได้ถึงของเหลวซึม นางก็จัดการลากปลายเล็บที่ยังคงฝังเนื้อเนียนละเอียดอย่างช้าๆ

           “อึก” องค์รัชทายาทได้แต่กัดฟันรับความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย สองมือขยุ้มผ้าห่มที่วางอยู่บนเตียงแน่น สองตาข่มปิดแน่น หวังให้ผ่านช่วงเวลาแห่งการทรมานไปโดยเร็ว

           กระทั่งเสื้อสีขาวซึมไปด้วยโลหิต เหงื่อชโลมหลั่งไหล ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด การทรมานจึงได้จบลง เขาลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนพบเงาร่างบางของหย่าเหลียนกำลังลิ้มรสโลหิตที่ติดอยู่ตามปลายนิ้วอย่างหิวกระหาย ครั้นนางรู้สึกตัวก็แสยะยิ้มให้ เอื้อนเสียงแหลมที่มิใช่เสียงของนางออกมา

           “เลิศรสยิ่งนัก ข้ารับรองว่าจะถนอมท่านไว้เป็นอย่างดี” นางจิ้งจอกยิ้มอย่างถูกอกถูกใจ ไม่ว่าพลังชีวิตของเซียวถิงฟงก็ดี ปราณมังกรขององค์รัชทายาทก็ช่าง ล้วนแล้วแต่สร้างความพึงพอใจให้นางทั้งสิ้น ว่าแล้วก็นางก็ขึ้นคร่อมตัวองค์รัชทายาทไว้ จากนั้นก้มริมฝีปากลงใกล้

           ซวนหยวนหมิงไท่เบือนหน้าหนี หากแต่สัมผัสกลับประทับลงบนลำคอ พริบตานั้นเขี้ยวแหลมก็กัดขยุ้มลงมาอย่างมิทันตั้งตัว “อื้อ” เสียงในลำคอแทบหลุดออกมาจากริมฝีปาก การทรมานครั้งนี้เทียบไม่ได้กับครั้งก่อน มันทั้งยาวนานและเจ็บปวด พลอยให้สมองมึนตื้อ ภาพตรงหน้าเลือนรางเช่นเดียวกับสติ แสงเทียนที่ส่องสว่างอยู่บนโต๊ะคล้ายค่อยๆดับวูบลง

           “เจ้าคนงี่เง่าซวนหยวนหมิงไท่ตื่นเดี๋ยวนี้”

           เสียงๆหนึ่งปลุกเรียกเขาด้วยวาจาที่หยาบคาย จะมีใครสักกี่คนที่กล้าเรียกเขาแบบนี้กันเชียว บังอาจนัก องค์รัชทายาทคิดแล้วเริ่มก็รู้สึกไม่สบอารมณ์

           “หากเจ้าตายไป ถึงเวลานั้นข้าจะเอาวิญญาณเจ้ามาปรนนิบัติรับใช้ข้าให้ได้ คอยดู”

           เสียงนั้นฟังดูมั่นใจหนักหนา ยังผลให้เขารู้สึกฉุนเฉียวจนอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมามิได้ ข้อมือข้างหนึ่งก็ค่อยๆรู้สึกร้อนวาบ ทำให้เขาพยายามสะบัดมือด้วยนึกรำคาญใจ แต่กลับกลายเป็นว่ามันร้อนราวกับเผาไหม้ เขาทนมิไหวจึงสะบัดแขนขึ้นโดยแรง หวังให้ที่มาของความร้อนหายไปจนหมด กระทั่งแขนกระแทกกับร่างๆหนึ่ง เขาก็พลันลืมตาตื่นขึ้น

           จิ้งจอกเหม่ยซินที่กำลังดื่มเลือดเนื้อถูกผลักให้ถอยห่าง สีหน้าของนางดูมึนงงไปชั่วขณะ แต่ไม่นานนักนางก็กลับมายิ้ม เป็นเพราะเหยื่อรายนี้ยังคงมีแรงดิ้นหลุดจากกำมือของนาง ทำให้นางพอใจยิ่งนัก

           “อีกสามวันหากท่านไม่กลับมาที่นี่ ข้อตกลงของเราถือว่าจบลงเพียงแค่นี้” นางกล่าวพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดมุมปากที่มีคราบเลือดติดอยู่

           “ยังไม่รีบไปอีก เจ้าคนงี่เง่า”

           จวบจนได้ยินเสียงตวาดของไป๋เซ่อ องค์รัชทายาทก็ต้องสะดุ้งตื่นอย่างมีสติอีกครั้ง เขารีบนำพาร่างที่บาดเจ็บไปจากตำหนักลุ่ยหวา ทว่าครั้นก้าวออกมานอกห้อง ก็ต้องพบบรรยากาศที่ดูบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด คล้ายไม่มีใครมองเห็นโลหิตที่เปรอะเปื้อนไปทั่วร่าง ยังมีนางกำนัลที่เดินถือกรงนกที่คลุมผ้าดำผ่านตัวเขาไปอย่างหน้าตาเฉย

           “มนตร์อำพรางตา ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ตบะแกร่งกล้านัก เป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่มอบพลังให้นาง เฮอะ”

           ไป๋เซ่อแค่นเสียงใส่ แต่ตอนนี้เขามิสนใจอะไรแล้ว ไม่ว่าจะมนตร์อะไรก็ตามที เขาจำต้องหาสถานที่ปลอดภัยทั้งมิดชิดเพื่อรักษาบาดแผลนี้อย่างเป็นความลับ
 

*************************************************


           เหนือขึ้นไปจากอุทยานหลวงใกล้สระน้ำไท่เย่ ต้าเซียนกำลังเหาะเหินไปรอบๆพระราชวังหลวง ก่อนหน้านี้เขาผละตัวออกมาในระหว่างที่องค์ฮองเฮาเซิงเสด็จมาที่ตำหนักเตี้ยนชิง เป็นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้เฟยหลงในคราบของซวนหยวนหย่าเซิงมิอาจปฏิเสธได้ 

           เขาจึงใช้โอกาสนี้ออกมาสูดอากาศ อีกทั้งออกมาดูท่าทีของปีศาจจิ้งจอกไปพร้อมๆกัน แต่กระนั้นความรู้สึกขุ่นข้องในอกก็กระตุ้นให้เกิดความวิตกอยู่เรื่อยๆ แม้มิอาจเข้าใจได้ทั้งยังขบคิดมิตก ก็ได้แต่ละทิ้งความกังวลพลันนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นแทน

           จนป่านนี้ฉุนซุ่ยยังคงไม่ปรากฏกายขึ้น นั่นทำให้เขาวางใจได้เปลาะหนึ่ง มาตรว่าเซียวถิงฟงยังคงไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่ถึงอย่างไรหากยังไม่สามารถกำจัดปีศาจจิ้งจอกลงได้ เขาก็มิอาจจากไปอย่างสงบ

           ปีศาจตนนี้เปี่ยมไปด้วยมารยาเล่ห์เหลี่ยม นางแฝงตัวอยู่ในร่างขององค์หญิงหย่าเหลียน เพื่อมิให้เขากำจัดนางได้อย่างสะดวก แม้ต้าเซียนรู้ดีว่าควรทำเช่นไร แต่กระนั้นก็กลัวว่าเซียวถิงฟงจะต้องผิดหวังในตัวเขา เนื่องเพราะตนเคยให้คำสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายคนรอบกายชายหนุ่ม จึงเป็นเหตุให้เขามิกล้าลงมือจนถึงบัดนี้

           ครั้นเหาะเหินใกล้สวนรกทึบ เสียงไม้ไผ่ไหวก็กระทบเข้าสู่โสตประสาท ต้าเซียนก้มลงมองอย่างติดใจ ก่อนจะสะดุดสายตาที่ชายเสื้อขาวปักลายดอกเบญจมาศ เขารีบเหาะเหินเข้าไปใกล้ แล้วพลันได้พบกับร่างที่เปราะเปื้อนไปด้วยโลหิต

           เสียงหายใจติดขัดกลบทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย ซวนหยวนหมิงไท่เดินโซซัดโซเซมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งด้วยสติที่ใกล้จะรางเลือน หากแต่ความเจ็บปวดที่รุมเร้าก็คอยกระชากสติให้ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว

           จนกระทั่งมาถึงเรือนพฤกษา เขาก็ใช้พละกำลังที่เหลืออยู่โถมตัวเข้าเปิดประตู ยังผลให้ร่างล้มลงกระแทกกับพื้น ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย ฉับพลันนั้นเงาร่างของคนผู้หนึ่งทอดลงผ่านพื้น ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ สีหน้าที่อ่อนล้าแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวังอีกครั้ง เนื่องเพราะเรือนพฤกษาในตอนนี้ควรจะมีเพียงแค่เขาเพียงผู้เดียว

           เส้นผมสีน้ำตาลปรกใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตาสว่างสุกใสจ้องมองลงฉายแววตำหนิ ก่อนที่จะก้มตัวพยุงตัวคนเจ็บจากทางด้านหลัง จัดการลากร่างอันแสนจะหนักอึ้งให้นั่งพิงกับผนังไม้ในมุมที่มีแสงแดดพาดผ่าน

           “เกิดอะไรขึ้น” เสียงเยียบเย็นของต้าเซียนเอ่ยขึ้น

           “.......”ซวนหยวนหมิงไท่เบนสายตาหนีแล้วจึงกัดริมฝีปากแน่น แต่แล้วร่างสีขาวก็ย่อกายลงนั่งเบื้องหน้า มือเรียวเอื้อมจับมือของเขาที่กุมบาดแผลบริเวณลำคอไว้ หากแต่เขายังคงเกร็งข้อมือไว้ไม่ปล่อย

           “หากเจ้ายังดื้อดึงเช่นนี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้ข้าอาจจะบุกไปกำจัดนางปีศาจที่ตำหนักลุ่ยหวาเลยก็เป็นได้” ต้าเซียนเอ่ยปากขู่ ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ยอมลดมือลงจนเผยให้เห็นบาดแผลที่ช้ำจนเป็นสีม่วง “ดีที่เจ้ายังไม่สูญเสียปราณไปทั้งหมด มิเช่นนั้นเจ้าคงมิอาจเดินมาจนถึงที่นี่”

           “แล้วท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงอ่อน

           “ข้าแค่บังเอิญผ่านมา แล้วจึงเจอท่านที่กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่พอดิบพอดี” ต้าเซียนกล่าวพลางปลดปล่อยขุมพลังไอเย็นออกมาเหนือบาดแผล ทำให้ลำคอที่มีสีม่วงช้ำค่อยๆเลือนหายไป สีหน้าขององค์รัชทายาทจึงกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง

           “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตำหนักลุ่ยหวาแต่อย่างใด"

           “เจ้าปิดบังข้าไม่ได้หรอก กลิ่นอายปีศาจจิ้งจอกยังอบอวลตัวเจ้าอยู่เลย ทั้งยังเป็นปีศาจตนเดียวกันกับที่ข้าพบในร่างขององค์หญิงหย่าเหลียน เจ้าปฏิเสธไม่พ้น”

           “แต่ปีศาจตนนั้นไม่ใช่หย่าเหลียน” ซวนหยวนหมิงไท่รีบค้าน

           “มิผิด ปีศาจตนนั้นมิใช่นาง ทว่าร่างและจิตใจของนางในตอนนี้ถูกปีศาจกลืนกินจนเป็นหนึ่งเดียวแล้ว” ต้าเซียนกล่าวความจริงโดยไม่อ้อมค้อม ทำให้ร่างที่อ่อนแรงต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกตะลึง

           “แต่ หากข้า...มอบปราณบางส่วนให้ นางก็จะกลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิม” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวตะกุกตะกัก แต่ต้าเซียนกลับทอดถอนใจ ก่อนหันมารักษาบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าอกเขาแทน

           “ที่ท่านถอนใจ เป็นเพราะนางไม่สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิมได้แล้วใช่รึไม่” รวบรวมความกล้าขึ้นไต่ถาม ขอเพียงแค่นางกลับมา นางจะโกรธเกลียดเขาแค่ไหน เขาก็จะไม่ปริปากบ่น

           ต้าเซียนที่กำลังแหวกสาบเสื้อที่ชุ่มเลือดออกถึงกับหยุดมือ เขาเลื่อนสายตาสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมองใบหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ กล่าวตอบสั้นๆ “อืม”

**********************************************

สงสัยคนเขียนจะต้องโดนจิ้มอีกหลายจึกเเน่ๆ 5555+  :z13:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 23 ปราณมังกร 11/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Umiko ที่ 11-11-2015 22:56:23
 :z13: ค้างคาใจมาก...สนุกมาก
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 24.1 ลงมือ 12/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 12-11-2015 20:57:51
บทที่ 24.1 ลงมือ



           “ท่านไปไหนมา ข้ากำลังจะออกไปตามหาท่านพอดี”

           สีหน้าที่ร้อนใจพลันเปลี่ยนเป็นสงบ เมื่อเขาก้าวเข้ามายังตำหนักเตี้ยนชิง ต้าเซียนหยุดตัวลงตรงหน้าเฟยหลง สองมือไขว้ประสานที่กลางหลัง สองตาจับจ้องมองความเป็นไปของอีกฝ่าย “มีอะไรกระนั้นรึ”

           “ท่านมาแล้ว เช่นนั้นจึงไม่มี” เฟยหลงตอบ ดวงตาดุจดั่งพญาอินทรีเปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม ช่วงนี้เขาสัมผัสได้ถึงความสุข อาจเป็นเพราะมีท่านมหาเทพอยู่เคียงข้างกาย มาตรว่ามีสิ่งใดสามารถหยุดเวลาแห่งความสุขนี้ได้ เขาก็ยินดีแลกกับทุกสิ่ง ร่างแกร่งไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก คว้ากุมข้อมือเรียว จูงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอย่างเบิกบานใจ

           “เฟยหลง จะพาข้าไปไหน”

           “อุทยานหลวง” ร่างแกร่งตอบสั้นๆ สองมือกำชับมือน้อยแนบแน่น

           ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็นที่แปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม เฟยหลงพาต้าเซียนตรงเข้ามายังเก๋งหกเหลี่ยมทางฝั่งตะวันตกของอุทยานหลวง อันเป็นสถานที่ซึ่งมีผู้คนเดินตัดผ่านไปยังตำหนักอื่นเป็นบางครั้งคราว

           “จำได้แต่ก่อนท่านเคยเป่าขลุ่ยให้ไป๋เซ่อฟัง ท่านเล่นให้ข้าฟังสักเพลงบ้างได้รึไม่” เฟยหลงตรงไปนั่งเอนหลังพิงเสา ท่าทีผ่อนคลายอย่างยากที่จะเห็นได้นัก

           “อืม” เห็นแล้วต้าเซียนก็ไม่กล้าปฏิเสธ มือหนึ่งสอดเข้าไปในแขนเสื้อด้านซ้าย ก่อนดึงบางสิ่งออกมา

           ปรากฏเป็นท่อนไม้เรียวยาวที่มีบางส่วนบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย เถาวัลย์สีเขียวอ่อนประดับด้วยดอกไม้สีขาวเล็กๆพันเกี่ยวอยู่โดยรอบ ดูไปไม่คล้ายเป็นขลุ่ย แต่ต้าเซียนก็ยกมันขึ้นจรดริมฝีปาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนปิดลงทั้งสองข้าง แลไม่นานเสียงแว่วดั่งฝันก็ดังออกมา

           ท่วงทำนองถูกบรรเลงผ่านปลายนิ้ว เนื่องเพราะเป็นบทเพลงที่ไม่มีอยู่บนพิภพมนุษย์ เสียงที่ดังออกมาจึงนุ่มนวลต่างจากบทเพลงทั่วไป ทั้งยังชโลมจิตใจคนฟังให้สงบท่ามกลางสายลมที่บางเบา

           แสงตะวันที่กำลังจะลับฟ้าสาดส่องใบหน้าครึ่งซีกของเฟยหลง ดูสง่างามและทรงพลังอย่างน่าประหลาด กลุ่มนางกำนัลราวห้าหกคนที่ผ่านทางมา ต่างก็หยุดตะลึงลานลงที่เก๋งหกเหลี่ยมแห่งนี้ แม้กระทั่งเหล่าทหารเองก็หยุดมองบุคคลที่กำลังเป่าขลุ่ย ด้วยรู้สึกเสมือนดั่งเทพเซียนบนฟากฟ้า

           “ท่านมหาเทพ จากนี้อีกสามวันพวกเราขึ้นเหนือกันดีรึไม่ จำได้ว่าท่านชื่นชมธรรมชาติแถบนั้นมาก”

           เสียงขลุ่ยหยุดลงแล้ว ปลายนิ้วของต้าเซียนชะงักหยุดลงกะทันหัน ใบไม้สีเหลืองปลิดปลิวร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่ แสงอาทิตย์พานย้อมผืนฟ้าให้กลายเป็นสีแดงเข้มโดยพลัน แต่ดูว่าอีกไม่เกินสามวันท้องฟ้าในยามสว่างไสวจะต้องถูกย้อมไปด้วยความมืดมิด

           ใบหน้านวลต้องแสงตะวันจนดูแดงระเรื่อ เฟยหลงเอื้อมจับมือของร่างเล็กให้มั่น จากนี้ไปเขาจะไม่มีวันปล่อยสองมือนี้ไปเด็ดขาด เขาจะพาท่านมหาเทพเดินทางไปให้ไกลสุดหล้า มิให้มีใครพบเห็นอีก เท่านี้ท่านมหาเทพก็จะมองเขาแต่เพียงผู้เดียว

           “ข้า...ยังไปไม่ได้”

           ดวงตาดุจพญาอินทรีถึงกับวาวโรจน์เมื่อได้ยินคำปฏิเสธ มือที่กุมไว้ก็บีบกระชับแน่น ทว่าสีหน้าของร่างเล็กกลับไม่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด เขาข่มกลั้นความโกรธเกรี้ยวไว้ในใจแล้วเค้นเสียงกล่าว “ทำไม”

           “เพราะข้ายังต้องกำจัดปีศาจจิ้งจอก จึงจำต้องใช้เวลาอีกสักระยะ แต่หากจบเรื่องแล้วข้าจะไปกับเจ้า ไปทุกๆที่เจ้าอยากไปดีรึไม่” ต้าเซียนตอบเสียงอ่อน หวังว่าคำพูดเหล่านี้จะช่วยดับไฟโกรธลงได้บ้าง

           “สักระยะที่ท่านว่าอีกนานแค่ไหนกัน” เฟยหลงตวาดเสียงดัง

           ต้าเซียนรู้สึกชาวาบกับความเย็นชานี้ เขารีบบีบย้ำมือของร่างแกร่ง เตือนให้รู้ว่าที่นอกเก๋งหกเหลี่ยมยังคงมีคนจับจ้องพวกเขาอยู่

           “พวกเจ้ามองอะไร หากยังอยากมีชีวิตอยู่ก็ไสหัวไปให้ไกล” เฟยหลงตวาดใส่กลุ่มคนที่มัวแต่จับจ้องมองพวกเขาโดยไม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่ร้อนระอุ ทำให้เหล่านางกำนัลและเหล่าทหารถึงกับตัวสั่นงันงก ก่อนพากันก้มหน้าก้มตาถอยห่างออกไปอย่างเร็วรี่

           “เฟยหลง” ต้าเซียนขึ้นเสียงตำหนิ

           “ท่านกล่าวมา สักระยะของท่านนานแค่ไหนกัน” เฟยหลงเค้นถามคำตอบ ทว่าต้าเซียนกลับหลุบตาลงกล่าวเสียงเรียบ

           “ข้าจำเป็นต้องใช้เวลา ปีศาจจิ้งจอกแฝงตัวอยู่ในร่างมนุษย์ ข้ามิอาจบุ่มบ่ามเฉกเช่นครั้งก่อนได้อีก มิเช่นนั้นอาจต้องมีผู้บริสุทธิ์รับเคราะห์”

           เฟยหลงหัวเราะแล้ว หัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่น เนื่องเพราะเขารู้เหตุผลที่แท้จริง “ไม่ เป็นเพราะท่านกลัวว่าเซียวถิงฟงจะว่ากล่าวท่าน ข้ารู้ หากร่างที่ปีศาจจิ้งจอกแฝงอยู่นั้นมิใช่องค์หญิงหย่าเหลียน มิใช่คนสำคัญของเขา ท่านคงกำจัดปีศาจตนนั้นให้สิ้นซากไปนานแล้ว ไม่รอให้เรื่องบานปลายจนถึงทุกวันนี้หรอก”

           ถ้อยคำดังกล่าวทิ่มแทงใจดำต้าเซียนได้อย่างถนัดถนี่ เป็นความจริงที่เขากลัวว่าจะโดนเซียวถิงฟงโกรธและเกลียด เนื่องเพราะองค์หญิงหย่าเหลียนเป็นคนพิเศษสำหรับชายหนุ่ม หากมิใช่เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าตัวจึงต้องเลือกที่จะแต่งงานกับองค์หญิงหย่าเหลียนด้วยเล่า

           เฟยหลงสังเกตเห็นความหม่นแสงในประกายตาคู่นั้น แม้จะไม่ชอบด้วยวิธีการนี้ แต่เขาก็จำเป็นต้องทำให้ท่านมหาเทพรู้สึกผิด เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้มองเห็นแต่เขา “หึ ในครั้งสงครามระหว่างพิภพสวรรค์กับแดนปีศาจ ท่านไม่เคยปราณีให้แก่ปีศาจหน้าไหน ท่านกำจัดพวกมันได้อย่างไม่ลังเล ทั้งยังสั่งกักขังข้า ให้ทนทุกข์อยู่ใต้ธารน้ำแข็งเป็นเวลานานนับพันปี ท่านไม่เคยปราณีแม้กระทั่งข้า” ประชดประชันจบก็เบนตัวหนี เดินออกไปยังฝั่งตรงกันข้าม

           “ฟะ เฟยหลง” ต้าเซียนฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออก ทุกคำพูดของเฟยหลงล้วนบดขยี้ใจเขาทั้งสิ้น เขาแลเห็นความสิ้นหวังในแววตานั้น เกรงว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องเลือกแล้ว เลือกที่จะต้องทำร้ายใครสักคนหนึ่ง
ระหว่างเซียวถิงฟงและเฟยหลง

           ร่างน้อยสับสนอยู่ครู่ใหญ่ ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาแผ่นหลังที่สูงตระหง่าน “ข้าตัดสินใจแล้ว สามวันให้หลัง เราจะไปจากที่นี่ เราจะขึ้นเหนือกัน ข้าอยากชมทิวทัศน์แถบนั้น เจ้าว่าดีไหม”

           ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเฟยหลงก็ทอประกายขึ้นอีกครั้ง เป็นเพราะท่านมหาเทพเลือกที่จะอยู่ข้างกายเขา เขาจึงไม่มีคำพูดใดๆอีก เขาหันไปรั้งกระชับกอดร่างเล็กไว้ รับฟังเสียงหัวใจที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ เฟยหลงยกยิ้ม รับรู้ได้ว่าอีกไม่นานหัวใจของท่านมหาเทพจะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์


*****************************************************

               
           “ท่านจะลงมือวันนี้เลยรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวย้ำเพื่อความแน่ใจ ดวงตาเลิกกว้างอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

           “ข้าจำเป็นต้องจบเรื่องในเพลานี้”

           “แม้ว่าจะต้องหมางใจกับเซียวถิงฟง?” นี่เร็วเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้

           “อืม” ต้าเซียนยังคงยืนกรานอย่างหนักแน่น หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากทิ้งรอยแผล แลฝังความเกลียดชังเอาไว้ แต่กระนั้นหากเซียวถิงฟงมีอันต้องเป็นไปเพราะปีศาจจิ้งจอก เขาก็ยินยอมมิได้เช่นกัน

           “แล้วหลังจากนั้นท่านจะไปกับจอมมารเฟยหลงจริงๆรึ” องค์รัชทายาทถามย้ำ ในใจวาดหวังให้คนตรงหน้าพิจารณาดูใหม่

           “ข้า...ทำร้ายเขามาตลอด โดยที่มิเคยรู้ตัวแม้แต่น้อย ดังนั้นข้ามิอาจปล่อยปละเขาได้อีก อีกอย่างพิภพทั้งสามจะปลอดภัยหากข้าไปกับเขา” ต้าเซียนหลุบตาลงกล่าว

           “ท่านรักเขา?”

           “.......” คำถามนี้ต้าเซียนไม่ตอบทั้งยังก้มหน้านิ่งเงียบไป

           “ท่านรักเซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวจบก็พลันเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พานให้นึกถึงสีหน้าเจ็บปวดของคนอีกผู้หนึ่ง

           ทั้งที่ทั้งคู่ต่างมีความรู้สึกรักต่อกัน ทว่าแต่ละคนกลับต้องถูกผูกมัดไว้ด้วยคำว่าหน้าที่และคำว่าคุณธรรมน้ำมิตร จนมิอาจคำนึงถึงความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง

           ฉะนั้นจะดีกว่าไหม หากคนที่จะต้องเสียใจ จะมีเพียงเขาผู้เดียว

           ถึงอย่างไรคนที่ควรจะรับผิดชอบต่อหย่าเหลียนมากที่สุด ก็ควรจะเป็นเขา มิใช่เซียวถิงฟง ซวนหยวนหมิงไท่คิดใคร่ครวญแล้วจึงกล่าวขึ้น “จอมมารเฟยหลงเชื่อว่าใจของท่านจะมีเพียงเขา หากท่านยอมติดตามเขาไป เช่นนั้นมิเท่ากับว่าท่านหลอกลวงเขาหรือ”

           ต้าเซียนถึงกับชะงัก เงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่เข้าใจเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งหลังจากพบกับซวนหยวนหมิงไท่ที่ได้บาดเจ็บในเรือนพฤกษา ตนก็ได้บอกเล่าสัญญาระหว่างเฟยหลงให้อีกฝ่ายฟังจนหมดสิ้น

           ต่อเมื่อถึงวันที่รัศมีดวงตะวันถูกกลืนกินด้วยความมืดแล้ว หากตอนนั้นใจของเขามิได้เป็นของเฟยหลง เรื่องของสามพิภพคงยากที่จะจบลง เฟยหลงมาไกลเกินกว่าที่ยอมลงได้ เขารู้ดี ดังนั้นเขาจำต้องเลือกเฟยหลง ต้าเซียนยิ้มตอบ “ข้าเชื่อว่าสักวันข้าอาจจะรักเขาได้”

           องค์รัชทายาทชมมองรอยยิ้มฝืนๆแล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางคิดในใจ เซียวถิงฟง ข้าพยายามที่จะรั้งเขาไว้แล้วนะ

           “สัญญากับข้า ท่านจะดูแลเขา” ต้าเซียนกล่าวคำขอร้อง

           “ท่านวางใจ เขาเป็นดั่งพี่น้องของข้า ข้าย่อมต้องดูแลเขา”

           “เช่นนั้นข้าก็วางใจ ข้าให้สัญญา นางจะเจ็บปวดน้อยที่สุด นางจะจากไปทั้งใจและกายที่ยังคงความเป็นมนุษย์ทุกประการ” ต้าเซียนลั่นวาจา ฉับพลันนั้นบรรยากาศรอบตัวก็เริ่มมีกลิ่นอายสูงส่ง ก่อนที่ร่างจะแปรเปลี่ยนดุจดั่งเม็ดทรายสีทอง ค่อยๆลอยละล่องไปตามกระแสลม

           รัชทายาทหนุ่มมองทรายทองที่เลือนลับไป มุมปากก็พลันยิ้มฝืดฝืน ความจริงแล้วต้าเซียนเองก็เฉกเช่นเดียวกับนาง...จับต้องมิได้ แม้อยากจะจับต้องมากเท่าใด กลับยิ่งเลือนหายไปมากเท่านั้น “ข้าขอโทษ หากเพื่อให้เจ้าได้กลับมาเป็นมนุษย์ในยามสุดท้ายของชีวิตแล้ว ข้าก็ยอมที่จะถูกเจ้าเกลียดไปตลอดชีวิต ยอมที่จะไม่สามารถแตะต้องเจ้าได้อีก” เขาพึมพำน้ำเสียงเศร้า ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นขึงขัง

           “เสี่ยวลู่ ข้าจะไปตำหนักลุ่ยหวาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงทรงพลังกล่าวจบ เสี่ยวลู่ก็เข้ามาในห้องพร้อมน้อมกายตอบรับคำสั่ง

           ...............

           ........

           ...

           ยามเช้าของวันนี้มีท่าทีฝนจะตก ตกลงท่ามกลางอากาศที่ร้อนชื้นอบอ้าว ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ทั้งยังสายลมแรงที่พัดผ่านพาให้ฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปทั่วระหว่างทางไปตำหนักลุ่ยหวา เหล่าขันทีและองค์รักษ์ต่างยกมือปัดป้องฝุ่นที่ลอยคลุ้ง ต่างกับตัวเขาที่ทั้งไม่ปัดป้อง แต่ยังเดินนำฝ่าลมพายุไปอย่างไม่สะทกสะท้าน แลไม่นานก็แว่วเสียงสายลมที่ดังคล้ายกับเสียงของต้าเซียน

            “ซวนหยวนหมิงไท่ จำไว้ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกกลืนกินพลังปราณของเจ้าไปส่วนหนึ่งแล้ว จงหลีกเลี่ยงที่จะพบกับนางตามลำพัง แล้วนำพาถิงฟงออกมาโดยเร็วที่สุด อย่าได้ต่อปากต่อคำกับนางต่อ ข้าจะรอให้พวกท่านพ้นออกจากที่นี่แล้วจึงเข้าไปจัดการกับนางปีศาจจิ้งจอกตามลำพัง”

           “ท่านจะไม่เข้าไปพร้อมกับข้าหรอกรึ” ซวนหยวนหมิงไท่กระซิบถาม

           “ไม่ ตอนนี้ตบะของปีศาจจิ้งจอกกล้าแข็งขึ้นแล้ว หากข้าเข้าไปด้วย เกรงว่านางจะรู้ตัวและยิ่งทำให้พวกท่านตกอยู่ในอันตราย แต่มิต้องเป็นห่วงไป หากท่านพบถิงฟงแล้ว ข้ามั่นใจว่านางจะมิกล้าลงมือ เพราะนางยังคงมิกล้าเปิดเผยตัวจริงต่อหน้าเขา แต่หากมิเป็นเช่นนั้น ท่านจงเปิดใจให้ไป๋เซ่อเสีย เขาจะช่วยท่านได้มาก”
           
           “องค์รัชทายาท ดูว่าพายุกำลังมาอีกไม่นาน กระหม่อมว่าวันนี้พระองค์ทรงเสด็จกลับตำหนักก่อนดีไหมพะย่ะค่ะ”

           เสียงทักของเสี่ยวลู่แทรกผ่านตามกระแสลมแรง กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็มิได้ใส่ใจ ทั้งยังคงมุ่งมั่นฝ่าประแสพายุตรงไปยังตำหนักเบื้องหน้า ผู้ติดตามทั้งหลายจึงต้องก้มหน้าจ้ำอ้าวตามเข้าไปอย่างเร็วรี่

           เพียงก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่ตำหนักลุ่ยหวา ก็ต้องรู้สึกถึงสิ่งที่ผิดแผกแตกต่าง ซวนหยวนหมิงไท่หันกลับไปมองยังที่ทางเข้าอีกครั้ง ฉับพลันนั้นเสียงอุทานของเหล่าองค์รักษ์ดังขึ้นแทบในทันที

           “เอ๊ะ ทำไม”

           ดูว่าเขามิได้คิดไปเองคนเดียว ที่ด้านนอกปรากฏเป็นท้องฟ้ามืดครึ้ม ทั้งยังมีแสงวูบวาบของสายฟ้าเป็นระยะๆ หากแต่ที่ด้านในท้องฟ้ากลับแจ่มใส แสงแดดแรงกล้า ทว่าชวนให้กายอ่อนล้า เขามองความไม่ธรรมดานี้ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ทั้งๆที่อยู่ภายใต้ผืนฟ้าเดียวกัน แต่สภาพอากาศช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว

           อีกทางด้านหนึ่งภายในห้องบรรทมขององค์หญิงหย่าเหลียน เพลานี้ม่านพลังสีทองได้ปกคลุมไปทั่วร่างคนทั้งสอง กระแสพลังสีทองค่อยๆหลั่งไหลจากร่างของเซียวถิงฟงไปสู่ร่างของหย่าเหลียน

           เป็นอีกครั้งที่ร่างกายคล้ายถูกยื้อยุดหนักหน่วง ราวกับมีบางส่วนที่พร้อมจะแตกสลาย สมองถูกบีบรัดจนทำให้คิ้วขมวดมุ่น จวบจนริมฝีปากนุ่มผละออก ความทรมานเหล่านี้จึงค่อยๆคลายลง แต่กระนั้นภาพตรงหน้ากลับดูเชื่องช้าอย่างเห็นได้ชัด หย่าเหลียนคล้ายพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าเขามิอาจรับทราบได้ สายตาเลื่อนลอยนั้นมองตรงไปยังเพดานห้อง

           “ท่านพี่ พี่ถิงฟง”

           เป็นเวลานานกว่าที่จะรู้สึกตัว เปลือกตาขยับอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียง ด้วยร่างกายอันอ่อนเปลี้ยจนขยับมิได้ดั่งใจนัก มันเป็นเช่นนี้นับแต่เขาถ่ายเทพลังชีวิตส่วนหนึ่งให้อีกฝ่าย และมันก็หนักหนาขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตอนนี้

           “ท่านควรนอนพักสักครู่ ท่านสูญเสียพลังไปมาก” หย่าเหลียนรีบใช้มือดันร่างสูงที่พยายามจะลุกขึ้นให้นอนลงกับเตียง ยังผลเซียวถิงฟงต้องนอนแน่นิ่งไปอีกครั้ง จากนั้นนางก็ก้มลงกอดเขาไว้ กล่าวน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านพี่ ท่านอดทนอีกนิดเถิด อีกเพียงครั้งเดียว ข้าก็จะหายดีแล้ว” พอดีกับที่มีเสียงเอะอะดังขึ้นขัดที่หน้าห้อง ทำให้นางต้องรู้สึกขุ่นเคือง

           “ไม่ได้เพค่ะ โปรดทรงรอสักครู่เพค่ะ”

           “ถอยไป”

           เป็นเสียงปรามของนางกำนัลเว่ย และตามมาด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ เซียวถิงฟงถึงกับได้สติ เรี่ยวแรงกลับมาโดยฉับพลัน เขาฝืนใช้เรี่ยวแรงที่มียันตัวขึ้นนั่ง ทั้งพยายามตีสีหน้าปกปิดความอ่อนล้าไว้

           ประตูถูกเปิดผาง ใบหน้าเคร่งขรึมองค์รัชทายาทกวาดไปรอบห้อง คราหนึ่งก็สบเข้าที่ดวงตาพยัคฆ์ ฝ่ายนางกำนัลเว่ยที่พยายามกระเสือกกระสนเข้าห้ามก็ถูกเหล่าองครักษ์ขวางกั้นไว้ชั้นหนึ่ง

           “ท่าน เหตุใดจึงต้องทำรุนแรงขนาดนี้ด้วย” องค์หญิงหย่าเหลียนโพล่งกล่าวอย่างไม่พอใจ

           “หย่าเหลียนงั้นรึ” ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็หลุดเอ่ยอย่างแปลกใจ ก่อนจะรีบหลุบตาที่เบิกกว้างลง

           “หากมิใช่ข้าแล้วท่านเห็นเป็นผู้ใด” นางกล่าวยอกย้อน ทว่ารัชทายาทหนุ่มกลับเบนหน้าหนี หันไปออกคำสั่งกับบุคคลในห้อง

           “รองแม่ทัพเซียวถิงฟง จากนี้ไปเจ้าโดนกักบริเวณ ห้ามเข้ามาที่ตำหนักลุ่ยหวาไม่มีกำหนด”

           “เดี๋ยว ท่านมีเหตุผลอะไร” หย่าเหลียนปรี่เข้าถามองค์รัชทายาท กระนั้นอีกฝ่ายยังคงเฉยเมย ไม่มองหน้านางสักนิด

           “ยังมิรีบไปอีก” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดสั้นๆให้กับเซียวถิงฟงที่ยังคงนั่งบื้อใบ้มองคนโต้เถียงกัน

           “ไม่ได้ ท่านพี่ไม่สบาย ยังไปไม่ได้”

           “อ่อ รองแม่ทัพเซียวไม่สบาย องครักษ์เสิ่น องครักษ์เมิ่ง แบกรองแม่ทัพออกไปจากตำหนักลุ่ยหวาเดี๋ยวนี้” เขาเลิกเสียงสูงสั่งให้องค์รักษ์ติดตามพาตัวคนออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ

           เซียวถิงฟงที่รู้สึกถึงอะไรบางอย่างก็รีบลุกขึ้น กล่าวในขณะที่องครักษ์ทั้งสองเดินเข้ามาประชิด “ข้าเดินเองได้”

           ด้านองค์หญิงหย่าเหลียนยังคงยืนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองดูองครักษ์ทั้งสองนำตัวเซียวถิงฟงออกไปจากห้องของตน จวบจนคนทั้งหมดลับไป นางก็หันมาตวาดใส่ชายผู้ซึ่งบ้าอำนาจ “ท่านทำเกินไปแล้วนะ” กล่าวจบก็เงื้อมือตีคนตรงหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว

           องค์รัชทายาทยั้งมือนางไว้ “ใครกันแน่ที่ทำเกินไป จริงสิ เจ้าหายป่วยแล้ว แต่น่าแปลกที่เซียวถิงฟงกลับต้องมาล้มป่วยเสียแทน”

           ดวงตาหวานถึงกับเบิกตากว้าง คิดไม่ถึงว่าความลับของนางกำลังถูกสงสัย เป็นเพราะนางใช้ประโยชน์จากความใจดีของเซียวถิงฟงเพื่อรั้งตัวเขาเอาไว้ แม้จะต้องเดิมพันด้วยชีวิตตนก็ตามที

           “ส่วนเรื่องที่เซียวถิงฟงป่วยเป็นอะไรเจ้าคงรู้แก่ใจดี” ซวนหยวนหมิงไท่ผละมือของนางทิ้งลง จากนั้นก้าวออกไปอย่างเย็นชา

           หย่าเหลียนขบเม้มริมฝีปากจนรู้สึกถึงรสปร่าของเลือด สองมือกำแน่นทั้งสั่นเทาไปด้วยความโกรธ นางเกลียดคนผู้นี้ เกลียดที่สุด แต่นางกลับทำอะไรเขามิได้ ได้แต่จิกเล็บลงบนฝ่ามืออย่างแรง ทว่าเสียงหัวเราะหนึ่งกลับดังขึ้นในสมอง นางพลันยิ้มกว้างขึ้นแล้ว

           “ท่านกำลังเล่นตลกกระไรกัน ข้าหวังว่าคงจะได้ฟังคำอธิบายจากท่านในอีกสองวันข้างหน้านะ มิเช่นนั้นนางไม่รอดแน่”
ในที่สุดเสียงแหลมอำมหิตก็ทักขึ้น ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับเสียวสันหลังวาบ สติสั่งตนเองมิให้หันกลับไปมอง จากบาดแผลเมื่อวันก่อนหากมิได้ต้าเซียนรักษาแล้ว เขาก็มิควรจะฟื้นตัวเร็วเช่นนี้ จะให้ดีที่สุดคือ เขาต้องรีบไปจากที่นี่โดยเร็ว ก่อนที่นางปีศาจจะรู้สึกผิดสังเกต

           “เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เซียวถิงฟงถามขึ้นเมื่อเห็นองค์รัชทายาทก้าวออกมาจากห้องบรรทมอย่างรีบร้อน

           “รีบไปเดี๋ยวนี้” องค์รัชทายาทเพียงสั่งให้คนของตนรีบไป ไม่สนใจตอบคำสหาย ดังนั้นเซียวถิงฟงจึงถูกองครักษ์ประกบตัวเดินไป โดยไม่ได้รับแม้แต่คำอธิบาย ด้านนางกำนัลเว่ยที่มีสีหน้าไม่พอใจก็ได้แต่นำเหล่านางกำนัลติดตามส่งเสด็จองค์รัชทายาทถึงหน้าตำหนักลุ่ยหวา

           ต่อเมื่อฝีเท้าของคนทั้งหมดลับไป ประตูห้องบรรทมที่ถูกเปิดทิ้งไว้ก็คล้ายถูกกระแสลมปิดลงโดยแรง กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าในชั่วพริบตาดังกล่าว กลับมีคนผู้หนึ่งก้าวเข้าไปในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
           

**********************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 24.2 ลงมือ 12/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 12-11-2015 21:03:14
บทที่ 24.2 ลงมือ



           “พระองค์จะทรงบอกได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น” เซียวถิงฟงที่ซึ่งสะบัดหลุดจากการประกบตัวขององครักษ์โพล่งกล่าวออกมาเมื่อรั้งไหล่ของพระองค์ได้สำเร็จ

           “ท่านรองแม่ทัพเซียว โปรดสำรวมกิริยาของท่านด้วย” เสี่ยวลู่ ขันทีประจำพระองค์รีบกล่าวตำหนิ เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระทำการมิบังควร

           “ช่างเถิด เสี่ยวลู่” องค์รัชทายาทกล่าวปรามคนรอบข้าง ก่อนหันไปประจันหน้ากับเจ้าของมือ

           “พระองค์ทรงมิใช่คนที่จะบุกเข้าไปยังตำหนักผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุ” เซียวถิงฟงคาดคั้น หากแต่ซวนหยวนหมิงไท่กลับปัดมือเขาทิ้ง ก่อนมองไปทางเหล่านางกำนัลขององค์หญิงหย่าเหลียนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
               
           “ออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

           เซียวถิงฟงรับฟังแล้วจึงเข้าใจ จากนั้นจึงได้ติดตามไปอย่างเงียบๆครั้นพ้นเขตตำหนักลุ่ยหวาก็ถึงทีซักถามข้อข้องใจ แต่ทว่ายังมิทันจะเอ่ยถาม ก็บังเกิดกระแสลมแรงพัดผ่าน ฝุ่นละอองคละคลุ้ง ยังผลให้ต้องเบนหน้าหลบ ดวงตาพยัคฆ์หยีลงแล้วจึงเผอิญสังเกตเห็นบางสิ่ง

           บางสิ่งที่ลอยผ่านไปกับกระแสลม ทั้งระยิบระยับส่องประกาย มันลอยละล่องผ่านเข้าไปยังตำหนักลุ่ยหวา คล้ายว่าเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ความรู้สึกผิดแปลกพาให้สังหรณ์ใจขึ้น “พระองค์ทรงกล่าวได้แล้วกระมังว่าเหตุใดท่านจึงทรงทำเช่นนี้”

           “จนกว่าจะมีคำสั่งจากข้า ห้ามเจ้ามาที่ตำหนักลุ่ยหวาอีกเป็นอันขาด” องค์รัชทายาทกล่าวเสียงเข้ม มิสนใจท่าทีกำหมัดแน่นของอีกฝ่าย

           “ซวนหยวนหมิงไท่ ท่านกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่” ครานี้เซียวถิงฟงเลิกพูดจาแบ่งยศแบ่งขั้นแล้ว

           “.........”

           “ท่านหลอกข้าไม่ได้หรอก ต้าเซียนกำลังจะทำสิ่งใดบอกมา”

           “ไปตำหนักเหวินหัว”

           อีกฝ่ายแสร้งเฉไฉ ทั้งยังเดินหนีเพื่อหลบเลี่ยงคำถาม ทว่าเซียวถิงฟงก็มิหยุดซักไซ้ “ต้าเซียน เขาเข้าไปยังตำหนักลุ่ยหวาใช่รึไม่ พวกท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”

           ในที่สุดซวนหยวนหมิงไท่ก็หยุดฝีเท้าลง เขารู้จักนิสัยของเซียวถิงฟงดี หากมิได้คำตอบเจ้าตัวจะมิยอมเลิกราง่ายๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “สตรีนางนั้น มิใช่หย่าเหลียนที่เจ้ารู้จักอีกต่อไป นางเป็นปีศาจจิ้งจอกต่างหาก” กล่าวจบก็ก้าวฝีเท้าต่อ
           
           เซียวถิงฟงเบิกตากว้าง คำกล่าวที่ไม่รู้สึกรู้สานั่น ยังมีแผ่นหลังที่เดินออกไปอย่างเย็นชา จุดประกายให้เกิดเป็นความโมโหขึ้นมา เขาเดินปรี่เข้าไปกระชากสาบเสื้อทั้งสองข้างขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์

           เหล่าองครักษ์เห็นดังนั้นก็ตะโกนก้องแล้วพากันชักดาบออกมา“บังอาจ”

           “มิต้องเข้ามา” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดบอกองครักษ์ ก่อนจ้องมองเซียวถิงฟงที่กัดฟันไปพร้อมๆกับดวงตาที่วาวโรจน์

           “ท่านพูดอะไร ท่านก็เห็นอยู่มิใช่รึว่านางคือ หย่าเหลียน”

           จริงดังที่เซียวถิงฟงกล่าว สตรีที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้นเป็นหย่าเหลียน หากแต่ในร่างของนางนั้นก็มีปีศาจจิ้งจอกแฝงอยู่เช่นกัน

           “แล้วท่านยังจะปล่อยต้าเซียนเข้าไปทำอะไร”

           “กำจัดปีศาจ”

           คำตอบดังกล่าวทำให้เซียวถิงฟงเลือดขึ้นหน้า เงื้อหมัดระรัวเข้าใส่ใบหน้าอีกฝ่าย ด้านซวนหยวนหมิงไท่ถูกหมัดชุดหนึ่งก็ริมฝีปากแตก บังเกิดเป็นโทสะคุกรุ่น ยกฝ่าเท้าเข้าถีบกลับที่หน้าท้องคนตรงหน้าอย่างแรง

           เซียวถิงฟงถึงกับล้มไปทางด้านหลัง แต่ในชั่วอึดใจก็ลุกขึ้นถลันเข้าโจมตีอีกครั้ง ส่งผลให้คนทั้งสองนอนกลิ้งเกลือกตะลุมบอนอยู่กับพื้น โดยมีเหล่าองครักษ์และขันทีน้อยเสี่ยวลู่ยืนมองกันเหงื่อตก

           “ท่านกำลังจะฆ่านาง นางยังมีหนทางรักษา”

           “รักษา รักษาโดยการสละพลังชีวิตของเจ้ารึ เจ้าคิดบ้างไหมว่ามนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างนาง เหตุใดจึงต้องช่วงชิงพลังชีวิตจากเจ้าด้วย นี่มันวิถีปีศาจชัดๆ” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดใส่คนที่นั่งคร่อมตนอยู่

           “แต่ข้าเชื่อใจนาง” เซียวถิงฟงสวนกลับ แม้จะรู้สึกได้ว่าเรื่องราวนั้นมีปัญหา แต่เขาก็อยากจะเชื่อใจหย่าเหลียน เชื่อว่านางจะต้องคิดได้และกลับมาเป็นดังเดิม

           “เจ้าต้องรอให้ใครตายก่อนรึ ถึงจะเข้าใจ”

           “นางไม่เคยทำร้ายใคร”

           “เจ้าอาจยังไม่รู้ นับตั้งแต่นางหมั้นกับเจ้าจนถึงวันนี้ เราพบศพทหารหนุ่มสามคนที่โดนปีศาจทำร้าย”

           “หลักฐานล่ะ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นนาง”

           องค์รัชทายาทหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยอารมณ์ที่ถึงขีดสุด เขาตวาดโพล่งอย่างเจ็บปวด “เพราะปีศาจก็คือนาง และนางก็เป็นปีศาจ นางไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว ข้าเห็นกับตา”

           ครานี้เซียวถิงฟงถึงกับชาวาบไปทั้งตัว ดวงตานิ่งค้างไปชั่วขณะ เห็นท่าทีดังกล่าวแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็พอจะรู้ว่าเซียวถิงฟงต้องระแคะระคายอยู่บางส่วน “ข้าเชื่อว่าในใจเจ้าส่วนหนึ่งต้องรู้ว่านางเกี่ยวข้องกับปีศาจ” เขากล่าวน้ำเสียงอ่อน คิดว่าคงจบเรื่องเสียที

           “แต่ท่านไม่ควรทอดทิ้งนาง”

           ทว่าเสียงเบาๆที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเซียวถิงฟง ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องรู้สึกราวกับโดนมีดกรีด

           “มิใช่เพราะท่านต้องการแบบนี้หรือ ท่านต้องการให้ใครสักคนอยู่เคียงข้างนาง ดังนั้นเมื่อตอนเรายังเด็ก ท่านจึงชอบชวนข้าไปเล่นแถวตำหนักลุ่ยหวา ท่านหลอกข้าว่าที่นั่นเป็นตำหนักร้าง ทั้งยังให้ข้าลอบเข้าไปจนพบกับนาง จากนั้นมาท่านเองกลับไม่เคยเฉียดกายเข้าไปใกล้ตำหนักลุ่ยหวาเลยสักครั้ง ท่านยังแสร้งให้ผู้อื่นมาบอกเล่าเรื่องราวของนางให้ข้าฟัง เพื่อให้ข้ากลับไปเยี่ยมเยือนตำหนักนั้นบ่อยๆ มิใช่เป็นเพราะท่านไม่ต้องการให้ข้าทอดทิ้งนางรึ” เซียวถิงฟงคำรามก้อง

           เหตุใดกัน เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ มันผิดพลาดที่ตรงไหนกัน

           ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วถึงกับนิ่งอึ้ง ความลับที่ตนเพียรซ่อนไว้กลับถูกคนตรงหน้าล่วงรู้มาตลอด เริ่มแรกเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขารู้จักนิสัยของเซียวถิงฟงดี แม้ภายนอกจะฉุนเฉียวดูเจ้าอารมณ์ไปบ้าง ทว่าเนื้อแท้กลับคนอ่อนโยน ฉะนั้นเขาจึงเชื่อมั่นว่าคนอย่างเซียวถิงฟงจะไม่มีทางปล่อยให้หย่าเหลียนต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในตำหนักที่ไม่มีใครเหลียวแล

           ดังนั้นเขาจึงแสร้งหลอกให้อีกฝ่ายลอบเข้าไปยังตำหนักลุ่ยหวา กระทั่งใช้ให้เหล่าข้ารับใช้แสร้งทำเป็นพูดคุยกันถึงสภาพอันน่าหดหู่ของหย่าเหลียนให้เซียวถิงฟงรับฟัง จนอีกฝ่ายบังเกิดเป็นความรู้สึกสงสารและกลับไปคอยดูแลนางบ้างเป็นครั้งคราว

           ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อหย่าเหลียน เพียงเพื่อให้นางมีคนคอยอยู่เคียงข้างกาย ดวงพลันอับแสงลง “ข้า...เป็นเพราะข้าไม่สามารถทอดทิ้งนางได้ ข้าจึงต้องทำ ข้าไม่สามารถยอมให้นางกลายเป็นปีศาจได้ หากแม้นว่ามีวิธีเดียวที่จะทำให้นางกลับมาเป็นมนุษย์ด้วยการต้องแลกกลับชีวิตของนางนั้นข้าก็ยอม”

           นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาสามารถทำให้นางได้ ต้องโทษที่เขาละเลยนางมาตลอด หากเขาเข้าใจนางมากกว่านี้ เข้าใจว่านางเจ็บปวดถึงเพียงใด เข้าใจว่านางมิได้เข้มแข็งอย่างที่คิด เขาคงจะไม่ยอมหันหลังให้กับนาง และนางเองก็คงไม่ยินยอมพึ่งพิงพลังของปีศาจเช่นกัน

           ดังนั้นเมื่อปรึกษากับต้าเซียนอย่างจริงจัง แลได้รับรู้วิธีสุดท้ายที่จะช่วยหย่าเหลียน แม้วิธีนั้นจะไม่สามารถรักษาชีวิตของนางได้ แต่อย่างน้อยนางก็จะยังคงเป็นมนุษย์ และวิญญาณของนางก็จะไม่ตกลงสู่ความมืดมิดตลอดกาล เขาจึงยินยอมตกลง
มาตรว่าจะเป็นวิธีที่โหดร้าย และสุดท้ายนี้นางอาจจะไม่อภัยให้เขา กระนั้นเขาก็จะยอมเป็นผู้แบกรับความเกลียดชังของนางไว้เอง

           “ท่านกล่าวอะไรออกมา ท่านยอมให้ต้าเซียนฆ่านาง ทั้งๆที่ท่านรักนาง” เซียวถิงฟงกล่าวอย่างไม่เชื่อหู

           “ถิงฟง เจ้าต้องเข้าใจข้า ข้าซึ่งเป็นองค์รัชทายาทมีหน้าที่ต้องดูแลคนในวังหลวง ทั้งยังต้องดูแลพสกนิกรทั่วหล้า ข้ามิอาจปล่อยให้ปีศาจทำร้ายผู้คนของข้า แม้ว่าปีศาจผู้นั้นจะเป็นคนที่ข้ารักก็ตามที” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงสั่น ทว่าดวงตาทอประกายแน่วแน่

           เซียวถิงฟงมองดวงตาคู่นั้นแล้วต้องเบนหลบ “ข้าเข้าใจท่าน” เขาหยุดน้ำเสียงไปชั่วครู่ก็เค้นเสียงกล่าวต่อ “แต่ข้าทำใจยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวข้าเคยสัญญากับนางไว้ว่าจะไม่ทอดทิ้งนาง และข้ามิอาจเห็นคนรอบกายข้าต้องจากไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน” กล่าวจบก็หยัดยืนขึ้น หันกายกลับไปยังตำหนักลุ่ยหวาอีกครั้ง

           ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่เลิกกว้าง โพล่งเสียงกล่าว “จับเขาไว้ อย่าให้เขาเข้าไปได้”

           สิ้นเสียงคำสั่ง เหล่าองครักษ์สี่ถึงห้านายต่างก็ดาหน้าเข้าไปจับตัวรองแม่ทัพ กระนั้นเซียวถิงฟงกลับใช้ออกด้วยวิชาเร้นกาย หลบหลีกการจับกุมไปได้อย่างไม่ยากลำบาก จวบจนซวนหยวนหมิงไท่ปราดเข้าขวาง ทั้งยังวาดปลายแขนหมายฟาดมาที่ลำคอ เขาก็ต้องถลาหลบโดยพลัน

           “ข้าไม่อยากสู้กับท่าน ปล่อยให้ข้าเข้าไปเถอะ”

           “ไม่ หากเจ้าต้องทำเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เห็นว่าเจ้าเป็นเพื่อนข้าอีก” รัชทายาทหนุ่มกล่าวจริงจังแล้วบุกเข้าจู่โจมทันที เขาใช้กระบวนท่าที่ฝึกกับไป๋เซ่อ ส่งผลให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่คุ้นเคยกับกระบวนท่าที่แปลกไป

           เซียวถิงฟงจำต้องถอยร่นไปไกลจากตัวตำหนักลุ่ยหวา มาตรว่าเคยเห็นอีกฝ่ายฝึกซ้อมกระบี่กับไป๋เซ่ออยู่บ้าง แต่กระนั้นก็มิเคยได้ประชันฝีมือกันจริงๆ ซึ่งท่วงท่าที่ซวนหยวนหมิงไท่ใช้ออกนั้น บ้างเชื่องช้า ทว่าเมื่อจู่โจมกลับกับแปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็ว ยังผลให้เขาสับสน แม้ตอนนี้จะไม่มีไป๋เซ่อที่เป็นกระบี่พิสุทธิ์ แต่ท่วงท่าที่แสดงออก ก็ทำให้เขารับมือยากยิ่ง

           แต่เกรงว่าหากชักช้ากว่านี้คงไม่ทันการณ์ “ข้าขอโทษ” เขาพึมพำแล้วบุกเข้าหาโดยตรง ต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายรอรับกระบวนท่าอยู่แล้ว ก็เกร็งกำลังภายในที่ฝ่ามือ ซัดไปยังด้านข้าง

           ด้วยรู้ว่าสู้พละกำลังภายในของสหายไม่ได้ ซวนหยวนหมิงไท่จึงตัดสินใจปัดฝ่ามือนั้นออก มิคาดว่าเซียวถิงฟงกลับได้จังหวะเคลื่อนย้ายพลังที่ฝ่ามือมายังท่อนแขน จวบจนปะทะมือกันก็บังเกิดเป็นพลังสะท้อนขึ้น ยังผลให้ร่างของเขากระเด็นถอยหลังไปราวเจ็ดแปดก้าว

           “องค์รัชทายาท” เสี่ยวลู่ถึงกับร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นองค์รัชทายาทกระเด็นถอยหลังไปไกล ยิ่งไปกว่านั้นต้นไม้ใหญ่ที่ด้านหลังกลับถูกหักโค่นลง ด้านองค์รักษ์ก็วิ่งมาล้อมผู้เป็นรัชทายาทอย่างเป็นห่วง

           ดีที่ตนควบคุมพลังเซียนในร่างไว้ได้ มิเช่นนั้นคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดกาล เซียวถิงฟงมองหน้าสหายที่อยู่ไกลออกไปด้วยรู้สึกผิด ด้านองค์รัชทายาทก็มองสบสายตาตอบอยู่เช่นกัน

           “เซียวถิงฟง เป็นเพราะต้าเซียนรักเจ้า เขายอมมิได้หากเจ้าต้องถูกปีศาจทำร้าย เข้าใจไหม” ซวนหยวนหมิงไท่ตะโกนบอก

           เซียวถิงฟงรับฟังแต่ก็หันหลังให้ เขากำหมัดแน่นก่อนทำใจกล่าว “ข้าก็เช่นกัน เป็นเพราะข้ารักเขา ข้าจึงยอมไม่ได้เช่นกัน” กล่าวจบก็ออกวิ่งไปยังตำหนักลุ่ยหวาอย่างสุดฝีเท้า เสียงขององค์รัชทายาทที่แฝงความห่วงใยยังคงดังไล่หลังตามมา แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเลือกที่จะไปต่อ

           ม่านหมอกสีขาวขุ่นปกคลุมอยู่เบื้องหน้า ดูว่ามันเกิดขึ้นในขณะที่พวกเขาออกมาจากตำหนักลุ่ยหวาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกลับไม่มีใครสังเกตเห็น หรือเกรงว่าอาจมีเพียงเขาที่สังเกตเห็นมันก็เป็นได้ เซียวถิงฟงปรายตามองหมอกหนาที่โอบรอบบริเวณตำหนัก เพียงชั่วครู่ก็พบเจอช่องว่างที่มีขนาดไม่ใหญ่อยู่มุมหนึ่ง ซึ่งช่องดังกล่าวยังคงมีท่าทีหดเล็กลงเรื่อยๆ เขาพลันเร่งฝีเท้า กระโจนตัวเข้าไปอย่างไม่ลังเล

           บรรยากาศที่น่าอึดอัด ชวนให้คลื่นไส้ถาโถมเข้าใส่ ครั้นร่างผ่านรอยต่อของม่านพลัง เข่าข้างหนึ่งก็ถึงกับทรุดลงไปกับพื้น เขานิ่งพักปรับสายตาจนเมื่อเป็นปกติแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ครั้งหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่แสร้งบอกว่าตำหนักลุ่ยหวาเป็นตำหนักร้าง แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ทว่าความเงียบสงัดที่ตนได้สัมผัสในขณะนี้ กลับคล้ายว่ามันเป็นตำหนักร้างอย่างแท้จริง

           ตอนนี้เขารู้เพียงว่าต้องหยุดต้าเซียนไว้ สำหรับเขาแล้วหย่าเหลียนก็เปรียบเสมือนน้องสาว แม้มิได้มีสายเลือดเกี่ยวข้อง แต่เขาก็คอยดูแลนางมาตั้งแต่เด็ก ทั้งเข้าใจบาดแผลในใจของนางดี จึงมิอาจหักใจทนเห็นใครทำร้ายนางได้ และยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นจะต้องมิใช่ต้าเซียน เพราะเขามิยินยอมให้เรื่องของพวกเขาต้องจบลงด้วยการเข้าหน้าไม่ติด


*****************************************************


           ย้อนกลับไปหลังจากที่คนกลุ่มหนึ่งทยอยออกมาจากตำหนักลุ่ยหวา ต้าเซียนที่รอคอยอยู่ด้านนอกมานานก็สบโอกาส ร่างเฉกเช่นเม็ดทรายสีทองก็หลั่งไหลผ่านร่างขององค์รัชทายาทและเซียวถิงฟงไปยังตำหนักด้านใน พร้อมกันนั้นก็ร่ายมนตร์ปิดกั้นอย่างไม่รอช้า ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกที่นี่ได้อีก ต่อเมื่อเสร็จสิ้นจึงค่อยๆก่อตัวขึ้นเป็นร่างของมนุษย์

           “เจ้าเป็นใคร” นางกำนัลผู้หนึ่งร้องทัก ต่อเมื่อเห็นแผ่นหลังคนผู้หนึ่งปรากฏกลางตำหนัก คนผู้นี้มีรูปร่างสูงเพรียว สวมอาภรณ์ขาวสะอาด เส้นผมสีน้ำตาลที่ต้องประกายแดดจนเกิดกลายเป็นสีทองนั้นรวบขึ้นและปักด้วยปิ่นไม้ เส้นผมที่เหลือปล่อยยาวจนถึงช่วงกลางหลัง

           แม้จะมิได้เห็นรูปหน้าแต่ก็สัมผัสได้ถึงบารมีรอบตัว นางเอื้อมมือออกไปหาร่างสีขาว แต่ก็ต้องชะงักมือค้างเมื่อเจ้าของร่างหันกลับมาพอดี แลชั่วขณะที่ได้เห็นอีกฝ่าย นางก็ตื่นตะลึงวูบ จวบจนดวงหน้างดงามนั้นก็ขยับเข้าใกล้ เปล่งน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ราวกับหลอมละลาย สองขาของนางก็ต้องอ่อนยวบลง เปลือกตาพลันหนักอึ้ง

           กระทั่งร่างอรชรล้มนอนอยู่กลางอุทยาน เฉกเช่นเดียวกับผู้คนในตำหนักลุ่ยหวา ต้าเซียนที่เหลียวมองไปรอบๆก็เริ่มวางใจ จากนี้ไปจะไม่มีใครสามารถขัดขวางเขาในระหว่างที่กำจัดปีศาจจิ้งจอกได้อีก ว่าแล้วก็รุดฝีเท้าไปข้างหน้า ก่อนหยุดตัวลงในตำหนักรับรองที่เงียบสงัด

           ครั้นกวาดตามองรอบหนึ่งก็เดินเข้าไปยังตำหนักชั้นใน ระหว่างนั้นก็พยายามซ่อนเร้นกลิ่นอายของตนให้ได้มากที่สุด จวบจนมาถึงหน้าเรือนบรรทม ก็คล้ายกับมีเสียงกระซิบกระซาบจากภายใน ซึ่งเสียงกระซิบนี้ย่อมต้องเป็นเสียงขององค์หญิงหย่าเหลียน แต่ทว่าผู้คนในตำหนักต่างตกอยู่ในห้วงนิทรา

           เช่นนั้นนางกำลังพูดคุยอยู่กับใครกันเล่า?

           ต้าเซียนขมวดคิ้วอิงหลังแนบติดอยู่กับผนัง จากนั้นจึงเคลื่อนตัวไปทางด้านประตูอย่างเงียบเชียบ แลไม่นานดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ถึงกับเบิกกว้าง กายพลันเบี่ยงหลบ พร้อมกันนั้นพลังขุมหนึ่งก็เข้าปะทะที่หน้าประตูจนเกิดเป็นเสียงดังระเบิด

           ตูม


*********************************************

อัพบทนี้ล่ะรีบเผ่น  :katai5:  55555+ ติดตามต่อพุ่งนี้จ้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 24 ลงมือ 12/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 13-11-2015 13:12:03
ยิ่งอ่านยิ่งกลียดถิงฟงอะ ปากบอกทำเพื่อต้าเซียนตอนอ่านนี่เบ้ปากแรงมาก

แต่สงสารเฟยหลงอะ เราปลอบใจให้ได้นะ :impress2:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 24 ลงมือ 12/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 13-11-2015 20:03:38
รอนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 25.1 ตัดขาด 13/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 13-11-2015 20:49:53
บทที่ 25.1 ตัดขาดความสัมพันธ์



           เห็นองค์รัชทายาทที่รีบร้อนออกจากห้องไปด้วยใบหน้าซีดขาวจิ้งจอกเหม่ยซินก็ยกยิ้มมุมปาก เพลานี้ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของเซียวถิงฟงหรือองค์รัชทายาทก็ล้วนตกอยู่ในกำมือของนาง อดมิได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะขึ้น ทว่ายังมิทันทั่วท้อง นางก็ต้องรีบกลืนเสียงลงในลำคออย่างรวดเร็ว

           เป็นเพราะพลังกดดันหนักหน่วงที่แผ่กำจายเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องนึกพรั่นพรึงอยู่ในใจ แลไม่นานประตูที่เปิดทิ้งไว้ก็ถูกลมพัดจนปิดสนิท พร้อมกันนั้นเสียงของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมา

           “เจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่ เหม่ยซิน” เสียงดุดันเนิบนาบนั้นแฝงแววตำหนิ เพียงแค่นี้ก็ทำให้จิ้งจอกเหม่ยซินต้องตัวสั่นเทิ้มอย่างห้ามมิอยู่

           “เหม่ยซิน คารวะท่านจอมมาร” นางเยื้องกายหันมาคำนับอย่างนอบน้อม ทั้งพยายามกลบเกลื่อนน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด สายตาก็ลอบชำเลืองขึ้นมองอีกฝ่าย ขณะนี้ผู้เป็นจอมมารกำลังเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงเสาใกล้เตียงนอนด้วยท่าทีเงียบขรึม สายตาคมกริบดั่งพญาอินทรีก็จดจ้องมองนิ้วมือของตนเองอย่างไม่ยี่หระ

           เห็นดังนั้นจิ้งจอกเหม่ยซินก็ยิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นใช้โอกาสนี้เดินเข้าไปหาบุรุษตรงหน้า บดเบียดร่างกายที่สะพรั่งพร้อมเข้าใส่ ”ท่านจอมมาร เหม่ยซินคิดถึงท่านมากทีเดียว ดีที่ท่านมาเสียก่อน มิเช่นนั้นข้าคงต้องบุกไปพบท่านที่ตำหนักเตี้ยนชิงเป็นแน่” นางกล่าวอย่างออดอ้อน

           “หึ หึ ข้าจำต้องมาหาเจ้าก่อนอยู่แล้ว” สายตาคมเลื่อนจากปลายนิ้วไปยังเจ้าของใบหน้าเย้ายั่วที่คืนสู่ร่างที่แท้จริง มุมปากก็พลันหยักยิ้ม

           ปีศาจจิ้งจอกบังเกิดความย่ามใจ หมุนกายโอบรอบลำคอแกร่งไว้ ใช้สายตาหยาดเยิ้มจ้องมองพลางขยับริมฝีปากเข้าไปใกล้ ดูว่าแม้แต่ท่านจอมมารก็มิได้บ่ายเบี่ยง จวบจนริมฝีปากใกล้จะสัมผัส เฟยหลงก็กล่าวน้ำเสียงเหี้ยมขึ้น

           “คราก่อนข้าสั่งให้เจ้าทำกระไร”

           ดวงตาของเหม่ยซินกระตุกลุกวาว ริมฝีปากสั่นระริก นางรีบลดมือลงจากรอบคอจอมมาร นำพาตนเองถอยหลังคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว ”ทะ ท่านจอมมารสั่งให้ข้าน้อยสังหารเซียวถิงฟงเสีย” นางกล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ

           “แล้วเจ้าทำสำเร็จแล้วหรือไม่”

           “ขะ ข้าน้อย”

           “ดูว่าเจ้าคงได้ของเล่นชิ้นใหม่ เลือดเนื้อปราณมังกรของทายาทโอรสสวรรค์ คงทำให้เจ้ากระหายมากเสียจนลืมคำสั่งของข้าใช่รึไม่” ดวงตาของเฟยหลงฉายแววเกรี้ยวกราด

           จิ้งจอกเหม่ยซินสบเข้าแล้วก็ต้องเสียวสันหลังวาบ เหงื่อเย็นเยียบไหลซึมแนบหน้าแก้ม นางรีบปฏิเสธพัลวัน ”มิใช่เช่นนั้น ข้าน้อยเพียงแต่”

           “เจ้ากำลังทำให้แผนของข้าล้มเหลว รู้ความผิดของเจ้ารึไม่”

           น้ำเสียงทรงพลังดังก้องขึ้นแล้ว ยังมีดวงตาแววโรจน์ที่ทำให้นางต้องทรุดเข่าก้มลงโขกศีรษะไม่หยุดหย่อน “ดะ ได้โปรดละเว้นโทษตายให้ข้าน้อยด้วย เหม่ยซินสำนึกผิดแล้ว” เพลานี้นางยังมิอยากตาย

           เฟยหลงมองสภาพหวาดกลัวของนางจิ้งจอกแล้วก็แค่นสียงหัวเราะในลำคอ “หึ หึ ก็ได้ ข้าคงไม่ลงโทษตายเจ้า แต่เจ้าคงต้องพิสูจน์ฝีมือของตัวเองเสียหน่อย”

           “ท่านจอมมารหมายความว่ากระไร” นางเงยหน้าถามอย่างงงงัน

           ด้านเฟยหลงก็เคลื่อนกายเข้าหา ก้มลงกระซิบใกล้ริมหูของนาง “อีกไม่นาน ท่านมหาเทพจะรุดมาที่นี่ มาเพื่อกำจัดเจ้าพร้อมทั้งร่างที่เจ้ากำลังใช้ประโยชน์อยู่นี้ หากเจ้ายังอยากมีชีวิตสืบต่อไป ก็จงทำให้เซียวถิงฟงเชื่อมั่นว่านางผู้นั้นยังคงมีทางรอดอยู่ แต่หากทำไม่สำเร็จ เจ้า...” ใบหน้าเขาฉายแววยิ้ม “คงต้องจบชีวิตในเงื้อมมือของท่านมหาเทพ”

           สิ้นคำดังกล่าวจิ้งจอกเหม่ยซินก็ตะลึงวูบ นางรีบไขว่คว้าขาของร่างแกร่งพลางกอดไว้แน่น ”ได้โปรดท่านจอมมารช่วยข้าน้อยด้วยเถิด ข้าน้อยผิดไปแล้ว” นางอ้อนวอนซ้ำไปซ้ำมาด้วยใบหน้าที่ขาวซีด

           ด้านเฟยหลงกลับยิ้มเหี้ยมอย่างมิได้เห็นใจ เขาหยัดกายขึ้นตรง มองออกไปยังประตูที่ปิดสนิท ...ท่านมหาเทพมาแล้ว

           “ข้าจะเปิดทางให้เจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงเบาบาง ด้านนางจิ้งจอกก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ เขาไม่รอช้า สะบัดฝ่ามือไปที่ทางเข้า พลังสายหนึ่งพุ่งกระแทกไปที่ประตู จนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังตูม พร้อมกันนั้นร่างก็ค่อยๆเลือนรางหายไป ทว่าในช่วงเวลาประหนึ่งลัดนิ้ว สายตาดุจพญาอินทรีก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งตรงมุมห้อง เขามองมันอย่างคลางแคลงใจก่อนจะอันตรธานหายลับไป

           รอจนควันสีขาวคละคลุ้งคลายตัวลง ต้าเซียนก็ก้าวเข้าในที่ว่างเปล่า เป็นไปได้ว่าปีศาจจิ้งจอกไหวตัวทัน จึงหนีเอาตัวรอดไปเสียก่อน กระนั้นยังมีสิ่งหนึ่งที่ตนมั่นใจ นางปีศาจมิได้รู้ตัวมาก่อน...หากแต่เป็นเพราะบุคคลที่อยู่ที่นี่ ว่าแล้วก็รีบออกไล่ล่าตามกลิ่นอายของปีศาจต่อ

           จิ้งจอกตัวสีน้ำตาลกัดฟันวิ่งลอดไปตามพุ่มไม้อย่างสุดฝีเท้า นี่เป็นเพราะนางคาดการณ์ไว้ผิด ด้วยคิดว่าตราบใดที่เซียวถิงฟงยังคงเชื่อว่าองค์หญิงหย่าเหลียนมิใช่ปีศาจ และยังคงให้การปกป้องนางนั้น ท่านมหาเทพก็จะมิมีวันแตะต้องนางได้อีก แต่มาตอนนี้ท่านมหาเทพกลับกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ด้วยคิดกำจัดนาง โดยมิสนใจว่าจะต้องแตกหักกับเซียวถิงฟง

           ไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ ลำแสงสีทองก็พุ่งวาบจากทางด้านหลัง จิ้งจอกเหม่ยซินแหงนหน้ากลับไปด้วยความตื่นตะลึง เพลานี้ร่างสูงส่งได้ปรากฏกายแล้ว ยังมีลำแสงที่ตามเข้ามาปะทะเข้ากับนางอย่างจัง

           ต้าเซียนไล่ตามจิ้งจอกไปอย่างกระชั้นชิด ครั้นได้จังหวะก็สะบัดปลายนิ้วส่งพลังเข้าหยุดความเคลื่อนไหว ยังผลให้ปีศาจจิ้งจอกต้องล้มลงโลหิตหลั่งไหล ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด ครั้นเดินเข้าไปใกล้ มันก็ส่งเสียงขู่ใส่ จากนั้นสะบัดตัวหายเข้าไปในพุ่มไม้ที่ด้านหลัง เขาได้แต่ส่ายหัวน้อยๆกับการละเล่นวิ่งไล่จับ กระนั้นก็ยังไม่ประมาท ประเมินทางหนีทีไล่แล้วจึงวกอ้อมไปอีกทางด้านหนึ่ง

           นางปีศาจวิ่งหนีตาย อาศัยมุดลอดพุ่มไม้หนาที่อันยากแก่การเสาะหา จวบจนเห็นว่าท่านมหาเทพมิได้ติดตามมาอีกก็ตัดสินใจหยุดลง ใช้ลิ้นเลียบาดแผลที่ขาซึ่งปรากฏโลหิตไหลเป็นทางยาว ในใจก็แทบอยากจะฉีกทึ้งใครสักคนเพื่อสงบอารมณ์ขุ่นแค้น แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นใกล้ๆ นางถึงกับแสยะยิ้ม “โอกาสที่ท่านจอมมารเฟยหลงมอบให้ ข้าย่อมต้องสำเร็จ ฮึ ฮึ”

           ตั้งแต่เห็นซากประตูห้องบรรทมที่ทลายด้วยแรงระเบิด ภายในห้องไร้วี่แววผู้คน เซียวถิงฟงก็เริ่มกระวนกระวายวิ่งพล่านไปทั่วอุทยาน เขากวาดตามองไปรอบๆอย่างสับสน มาตรว่ามุ่งหมายจะหยุดยั้งการกระทำของต้าเซียน แต่ ณ ตอนนี้เขาควรตามหาใครก่อน?

           “หย่าเหลียน” สุดท้ายก็ร้องเรียกบุคคลที่น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้ แม้ที่เรือนบรรทมจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น กระนั้นกลับไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ซึ่งบางทีหย่าเหลียนอาจจะหลบหนีไปแล้วก็เป็นได้

           “ท่านพี่”

           ฉับพลันที่ได้ยินเสียงร้องโอดโอย เซียวถิงฟงก็รีบตรงไปที่ทิศทางหนึ่ง ใช้มือแหวกเอาพุ่มไม้สูงใหญ่ตรงหน้าออก แล้วจึงพบเป็นสตรีนางหนึ่ง ”หย่าเหลียน” เขาร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นโลหิตที่เปราะเปื้อนไปทั่วเรียวขาซ้ายของนาง

           จิ้งจอกเหม่ยซินโผเข้ากอดชายหนุ่มทันที ทั้งไม่ลืมดึงเอาจิตที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกดออกมาใช้ ส่งผลให้หย่าเหลียนค่อยๆลืมตาขึ้นตื่น ก่อนจะพบว่านางกำลังอยู่ในอ้อมกอดชายที่ตนรัก ทว่าความเจ็บปวดที่แล่นริ้ว ทำให้นางต้องกะพริบตา มองบาดแผลฉกรรจ์ของตนเองอย่างงุนงง

           นางได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ครั้งสุดท้ายนางจำความได้ ว่าตนกำลังพูดคุยอยู่กับองค์รัชทายาท ดูไปแล้วหลังจากที่นางรับเอาพลังชีวิตจากเซียวถิงฟง บางครานางก็เหมือนกับไม่มีสติ

           นี่ ข้าเป็นอะไรกันแน่ จู่ๆก็พลันเหน็บหนาว ความหวาดกลัวแล่นกอบกุมจิตใจอย่างไร้สาเหตุ

           “หย่าเหลียน ข้าจะพาเจ้าออกไป” เซียวถิงฟงมองเห็นความไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขององค์หญิงหย่าเหลียนแล้วก็ยิ่งเป็นห่วง

           “ข้า”

           “ตอนนี้เจ้าอย่าได้ว่ากล่าวกระไรเลย เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่ต้าเซียนจะมาพบ” เซียวถิงฟงตัดบทจัดการโอบอุ้มนางออกไป เพื่อมิให้ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้

           “ต้าเซียนทำร้ายข้ารึ” นางถามน้ำเสียงสูงระคนตกใจ ความทรงจำส่วนลึกนางเองก็คลับคล้ายคลับคราว่าเห็นต้าเซียนอยู่ที่นี่ แต่ทว่าร่างสูงกลับนิ่งเงียบไม่ตอบคำ

           เซียวถิงฟงโอบอุ้มร่างอรชรออกไปทางด้านหลังของตำหนักลุ่ยหวา ที่นั้นมีทางออกเล็กๆ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยพุ่มไม้แน่นขนัด แต่มันกลับถูกปิดตายครั้งตั้งแต่เจ้าของตำหนักคนก่อน มาบัดนี้ผู้คนก็ลืมเลือนมันไป หากมิใช่สมัยเด็กเขาแอบปีนมาทางด้านนี้ก็คงมิมีทางรู้เช่นกัน

           ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นสูงถึงเข่า เนื่องเพราะไม่มีใครสนใจจะแผ้วผาง ทำให้เซียวถิงฟงต้องเดินลุยเข้าไปอย่างระมัดระวัง ด้านหย่าเหลียนก็คอยเช็ดเหงื่อให้เขาเป็นพักๆ กระทั่งเลี้ยวไปทางขวา เดินไปอีกสิบก้าวก็พบเข้ากับประตูไม้เล็กๆ หากแต่ครานี้ย่างก้าวไปไม่ถึงสามก้าว ฝีเท้าก็มีอันต้องหยุดลง เนื่องเพราะเพลานี้ที่ประตูทางออกปรากฏเงาร่างสีขาวแล้ว

           “ต้าเซียน” หย่าเหลียนอุทาน อีกฝ่ายในตอนนี้ไม่หลงเหลือเค้าความอ่อนโยน มีแต่ความสง่างามที่ล้อมกรอบไปด้วยความเย็นชา

           “พวกเจ้าออกไปไม่ได้หรอก” ต้าเซียนกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลทองจ้องมองคนทั้งสองแล้วก็พลันหลุบลงกับพื้น
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเงียบ หากแต่กลับแฝงไปด้วยความน่าอึดอัด ต้าเซียนขยับกายเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลายอาการตึงเครียดนี้ จากนั้นตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าอย่างมาดมั่น

           “อย่าเข้ามา” แม้ร่างน้อยจะยังมิได้ลงมือ แต่กลิ่นอายเทพเซียนที่แผ่กำจายกดดันนี้ก็ทำให้เซียวถิงฟงต้องกล่าวขึ้น
ได้ยินน้ำเสียงหวาดระแวง ฝีเท้าก็มีอันชะงักหยุด ต้าเซียนเลื่อนสายตามองก้อนหินบนพื้นพลางนึกถึงบางสิ่ง

           ก้อนหินไม่เคยมีหัวใจ แต่หากเมื่อใดที่มันมีหัวใจแล้ว ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวด ฉะนั้นก้อนหินก้อนนี้ไม่ควรมีความรู้สึกตั้งแต่แรกแล้ว

           ต้าเซียนยิ้มขมขื่น เขาจะไม่ลังเลใดๆอีก ดังนั้นจึงกล่าว “ครานั้น เจ้าก็พูดกับข้าเช่นนี้ อย่าเข้าไปใกล้เจ้า”

           นึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในครั้งก่อน เซียวถิงฟงฟังแล้วก็รู้สึกเจ็บหนึบในอก ครั้งนั้นเป็นเขาที่สร้างบาดแผลในใจของต้าเซียน แลครั้งนี้ล่ะ เจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใดกัน

           ครั้นเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าด้วยรู้สึกผิด ต้าเซียนก็กล่าวสืบต่อไป “ข้าจำได้ ครั้งนั้นเจ้าคิดว่าข้าทำร้ายนาง หากแต่เป็นนางเองที่ทำร้ายตนเอง ทว่าคราวนี้...”

           น้ำเสียงหยุดลงทำให้คนที่ก้มหน้าต้องเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่แล้วก็ถึงกับต้องผงะ คนที่อยู่ไกลราวสิบก้าว มาตอนนี้กลับปรากฏกายเบื้องหน้าเขาแล้ว เซียวถิงฟงจ้องมองต้าเซียนตาไม่กะพริบตา ริมฝีปากบางนั้นก็เอ่ยขึ้น

           “เป็นข้าเองที่ทำร้ายนาง”

           ต้าเซียนเอียงคอเล็กน้อย พร้อมส่งรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นให้ ดวงตาพยัคฆ์เบิกกว้างขึ้นด้วยรับรู้สึกถึงบรรยากาศที่คุกรุ่น องค์หญิงหย่าเหลียนก็เช่นกัน นางเห็นดวงตาสีทองคู่นั้นแล้วร่างก็พลันสั่นเทิ้ม สุดท้ายต้องหันไปกอดร่างเซียวถิงฟงเพื่อให้สงบลง

           “ข้ามหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ไม่เคยเอาเปรียบผู้ใด ฉะนั้นข้าให้โอกาสเจ้า เซียวถิงฟง ปล่อยนางลงซะ หากการกำจัดปีศาจในร่างของนางจำเป็นต้องทำให้ข้าลงมือกับเจ้าแล้ว ข้าก็จะทำ” ต้าเซียนกล่าวเสียงเข้ม เสียจนเซียวถิงฟงต้องนิ่งอึ้งไปขณะหนึ่ง

           “จำเป็นต้องทำเช่นนี้จริงๆรึ”

           “ใช่”

           เมื่อต้าเซียนยืนกรานเช่นนั้น เซียวถิงก็ได้แต่หลับตาข่มกลั้นความเจ็บปวดที่พลุ่งพล่านในอก ตัดสินใจอุ้มร่างอรชรไปวางใกล้ร่มไม้ใหญ่ หากแต่หย่าเหลียนกลับมิยอมปละปล่อยมือ นางกอดเขาไว้แน่นทั้งๆที่ร่างของนางเองก็กำลังสั่นสะท้าน

           “ข้าจะมิเป็นไร เจ้าไม่ต้องห่วง” เขากระซิบบอกคนที่ซุกตัวอยู่ที่อก จากนั้นแกะสองมือที่เกาะกุมออก หันกลับไปเผชิญหน้ากับร่างสีขาวที่ยืนรออยู่เบื้องหลัง
 

***********************************************


           ห่างออกไปจากประตูทางออกด้านหลังของตำหนักลุ่ยหวาไม่ไกลนัก เรือนบรรทมที่ซึ่งเงียบงันไม่ปรากฏวี่แววของผู้คน กลับมีกรงนกที่คลุมปิดไว้ด้วยผืนผ้าสีดำกำลังสั่นระริกคล้ายกับพสุธาสั่นไหว

           ก่อนหน้านี้มันตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมในมุมอับของห้องมาเนิ่นนานแล้ว กระทั่งเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง มันก็เริ่มมีอาการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง บางสิ่งบางอย่างพยายามดิ้นรนออกมาสู่ภายนอก จวบจนขยับเขยื้อนมาจนถึงขอบโต๊ะ กรงนกก็ร่วงตกลงสู่พื้นในที่สุด

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊” เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตที่ถูกจำกัดอิสรภาพดังขึ้น ในขณะที่กรงตกกระแทกพื้นแล้วกลิ้งหลุนๆไปตามพื้นอย่างแรง ผืนผ้าสีดำปลิดปลิวออก เผยให้เห็นอีกาสีดำที่กำลังบินเร่าๆอยู่ภายในกรงได้อย่างชัดเจน

           เป็นเพราะเมื่อสักครู่มันสัมผัสได้ถึงพลังของท่านมหาเทพ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังคงอยู่ไม่ไกลนัก และเกรงว่ามันต้องแจ้งเรื่องสำคัญบางอย่างแก่ท่านผู้นั้นโดยเร็ว

           จู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่น อีกทั้งสัมผัสพลังที่หนักหน่วง คล้ายว่ามีคนย้อนกลับมาที่นี่ ฉุนซุ่ยถึงกับตกใจ แม้อยากจะซ่อนตัว แต่ก็มิอาจหยุดตัวกรงที่กลิ้งหลุนๆได้ จวบจนตัวกรงหยุดลง ก็แลเห็นเป็นฝีเท้าของคนผู้หนึ่ง มันรีบบินไปเกาะที่ขอนไม้ แสร้งทำตัวปกติดั่งอีกาทั่วไป 

           “เจ้ามิใช่อีกาธรรมดา คงจะเป็นอีกาของท่านมหาเทพสินะ” เฟยหลงหยิบยกกรงนกขึ้นสูงในระดับเดียวกันกับสายตา เมื่อเห็นมันไม่ตอบทั้งยังจ้องมองด้วยสายตาโกรธขึง เขาก็ยิ้มเย็น “เจ้าคงได้ยินเรื่องเมื่อสักครู่...ทั้งหมดด้วยกระมัง”

           “จุ๊ จุ๊ จุ๊” ฉุนซุ่ยไม่ทนอีกต่อไป มันร้องลั่น ชายผู้นี้ต้องการสังหารเซียวถิงฟง ซ้ำยังหลอกลวงท่านมหาเทพ

           “ถึงตอนนั้นเจ้าคงจะมิได้ส่งเสียงอีก จงรู้ไว้แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวพลังของท่านมหาเทพ กระนั้นข้าก็ยังรู้สึกได้” เฟยหลงกล่าวจบก็บังเกิดเป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดขึ้น

           นับแต่ฉุนซุ่ยถูกขังอยู่ในกรง มันก็เก็บตัวเงียบมาตลอด ปีศาจจิ้งจอกมิได้กำจัดมันอย่างที่คิด เพราะเหตุอันใดมันก็มิทราบได้ จวบจนมันได้เห็นเซียวถิงฟงโดนนางสูบพลังชีวิต อีกทั้งภาพที่นางดื่มเลือดเนื้อของทายาทโอรสสวรรค์ มันก็พลันเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย

           นางต้องการให้มันได้เห็นชีวิตที่ถูกทำลาย ซึ่งต่อให้มันเจ็บแค้นแค่ไหนก็ต้องทนข่มกลั้นเอาไว้ เพราะถ้าหากยิ่งโวยวาย ปีศาจจิ้งจอกก็จะยิ่งได้ใจทั้งจะยิ่งโหดเหี้ยมขึ้น ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรียกได้ว่ามันรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้ แม้กระทั่งความจริงอีกประการหนึ่งเช่นกัน

           “ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องทั้งหมด ข้าก็คงปล่อยเจ้าไปมิได้ ต้องโทษที่เจ้าอยู่ผิดที่เอง” เฟยหลงกล่าวจบก็พลางคว้ากรงนกขึ้นเหาะเหิน รอจนพ้นตำหนักลุ่ยหวา เขาก็โยนมันลงไปอย่างไม่ลังเล

           กรงนกค่อยๆตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง ฉุนซุ่ยพอจะคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ แต่จะอย่างไรมันก็มิเอ่ยปากร้อง เพียงข่มตาลงแน่นก่อนที่ตัวกรงจะกระทบลงสู่ด้านล่าง

           ตูม เสียงกระทบดังสะท้อนก้องในโสตประสาท สติของฉุนซุ่ยพลันพร่ามัวในทันที สายน้ำปะทะตีเข้ากับร่าง ก่อนที่กรงนกอันหนักอึ้งจะค่อยๆจมลึกสู่ใต้สระ เช่นเดียวกับความสิ้นหวังในใจมัน

           ทว่าฉับพลันนั้นกลับมีอุ้งมือหนึ่งยื่นเข้ามาไขว่คว้า จะอย่างไรอุ้งมือดังกล่าวก็เล็กเกินกว่าที่จะฉุดรั้ง ฉุนซุ่ยเผลอลืมตาขึ้นมอง ดูว่าอีกฝ่ายก็กำลังแสดงสีหน้าหงุดหงิดมิใช่น้อย จนในที่สุดก็บังเกิดเป็นแสงสว่างจ้า อุ้งมือเล็กๆกลับกลายเป็นมือของหญิงสาว มือเรียวนั้นเกาะกุมกรงไว้มั่น พร้อมกันนั้นก็ฉุดรั้งมันขึ้นเหนือน้ำอีกครั้ง
 

****************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 25.2 ตัดขาด 13/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 13-11-2015 20:53:35
บทที่ 25.2 ตัดขาดความสัมพันธ์



           “ข้าไม่อยากสู้กับเจ้า” เซียวถิงฟงกล่าวย้ำ ทว่าต้าเซียนกลับยักคิ้วขึ้นแล้วทำหน้าฉงน

           “ข้าทำร้ายนาง ทำร้ายคนที่เจ้ารัก อีกทั้งยังคิดจะเอาชีวิตนาง เช่นนี้แล้ว เจ้ายังมีเหตุผลใดที่ต้องปฏิเสธอีก” ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าเขาในตอนนี้ได้กลับไปเป็นมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ผู้ซึ่งเย็นชา ไร้น้ำตาและหัวใจอีกครั้ง

           เซียวถิงฟงรับฟังแล้วรู้สึกเสมือนกลืนก้อนขม ทั้งๆที่รักคนตรงหน้า เพียงต้าเซียนเท่านั้น แต่ตอนนี้คล้ายยืนอยู่คนละเส้นทาง

           มองร่างสูงที่เงียบงันไป ต้าเซียนก็เริ่มตีสีหน้าเคร่งพลันตวาด “หากเจ้ายังมิลงมือ ข้าจักลงมือก่อน” กล่าวจบก็ใช้ออกด้วยท่าร่างเคลื่อนย้ายในพริบตา

           เสียงดังกล่าวทำให้เซียวถิงต้องคืนสติ ร่างเบื้องหน้าหายไปอีกครั้ง ประสาทสัมผัสทั้งหมดถึงกับทำงานทันที
 
           ผัวะ

           “ท่านพี่” หย่าเหลียนร้องเสียงหลงพร้อมกับเสียงที่กระทบกระทั่ง
 
           ขลุ่ยไม้เลาเล็กลำหนึ่ง ซึ่งพันเกี่ยวไปด้วยเถาวัลย์กระแทกลงบนแขนขวา เซียวถิงฟงรับมันได้ทันก่อนที่ต้าเซียนจะใช้มันฟาดเข้าที่สะบักไหล่ แต่มาตรว่ารับกระบวนท่าได้ กระนั้นก็ต้องก็รู้สึกร้าวไปทั่วทั้งท่อนแขน

           “อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือกับเจ้า เซียวถิงฟง” ต้าเซียนประกาศกร้าว สีหน้าจริงจังปราศจากแววลังเลใจ ยังผลให้ร่างสูงตกตะลึงมิได้ ทว่าเขาไม่เปิดโอกาสให้มีเพลามากไปกว่านั้น มือเรียวรั้งขลุ่ยกลับมา พร้อมกันนั้นก็พลิกตัวยกฝ่าเท้ามุ่งไปที่ลำคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

           เซียวถิงฟงรู้สึกตัวอีกครั้งก็ใช้ท่อนแขนซ้ายป้องกันไว้ได้ หากแต่ฝีเท้าของร่างน้อยก็แรงพอที่จะทำให้เขากระเด็นไถลออกไปไกล แลยังมิทันจะเงยหน้า เงาร่างเพรียวก็ตามลุกไล่อย่างรวดเร็ว ขลุ่ยไม้พุ่งตามเข้าแทงที่ลำตัว เขาก็พลิกตัวคลุกฝุ่นดินไปหลายตลบ แต่ร่างสีขาวก็ยังคงไม่เลิกรา ทั้งยังใช้ขลุ่ยไม้นั้นไล่กวดเขาต่อไป จนกระทั่งจนมุมที่ต้นไม้ใหญ่

           ต้าเซียนซัดอาวุธตรงไปที่อีกฝ่ายอีกครั้ง หากแต่เซียวถิงฟงกลับอาศัยจังหวะนี้หมุนตัวกลิ้งขึ้นไปตามต้นไม้ใหญ่ จนเมื่อพ้นวิถีก็ทะยานตัวขึ้นหมุนตัวกลับ ปลายเท้าเกาะเข้าที่กิ่งไม้ ส่งผลให้ขลุ่ยต้องแทงทะลุเข้าไปที่ลำต้นไม้แทน

           “ต้าเซียนพอเถอะ เจ้าละเว้นหย่าเหลียนสักคนมิได้หรือ” เขาร้องห้ามอย่างลำบากใจ ทั้งมองคนที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาอ้อนวอน

           “บอกให้ข้าหยุด นั่นหมายความว่านางต้องตาย” ต้าเซียนตวาด

           เซียวถิงฟงเบิกตากว้าง หันไปมองสตรีที่มีสีหน้าตื่นตระหนกที่มุมตรงกันข้าม ใบหน้านั้นเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งยังจับจ้องมองเขาอย่างห่วงใย ความรู้สึกอัดอั้นคล้ายกับจะระเบิดออกมา เขากัดฟันกล่าวด้วยสายตาแดงก่ำ “เหตุใดต้องบีบบังคับข้าด้วย”

           ฝีเท้าที่เบาราวกับปุยนุ่นได้ทะยานตัวขึ้น แล้ววิ่งไต่ไปตามลำต้นไม้อย่างรวดเร็ว ต่อเมื่อประชิดตัวต้าเซียนก็ชักขลุ่ยไม้ชี้ไปที่หน้าชายหนุ่ม กล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น “นั่นเป็นเพราะเจ้าเลือกเองต่างหาก” จากนั้นก็ถาโถมกายพลางสะบัดฟาดขลุ่ยในมือลง

           ร่างสูงมิอาจต้านทานได้ด้วยมือเปล่า จำต้องหยิบพัดเหล็กขึ้นสกัดกั้น ม้วนตัวข้ามร่างของอีกฝ่ายไป แต่จังหวะนั้นต้าเซียนกลับหงายหลังแอ่นตัววาดแขนเข้าใส่ แลวิถีพลังก็แผ่กว้างเกินกว่าที่เขาจะหลบได้ ส่งให้ร่างต้องลอยละลิ่วไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่อีกทางหนึ่งแทน

           ต้าเซียนม้วนตัวลงสู่พื้นด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาคนที่แน่นิ่งไป ไม่นานเซียวถิงฟงก็ยันตัวลุกขึ้น มือปาดโลหิตที่มุมปาก ใช้แววตาเศร้าสร้อยมองมา กระนั้นเขาก็ยังคงไม่ปราณี แม้ในอกจะเจ็บราวกับคว้านดวงใจออกมาทั้งดวงก็ตามที “มันยังไม่จบ ลุกขึ้นมา”

           คนตรงหน้าไม่มีแล้วเยื่อใย ทั้งมิใช่ต้าเซียนที่เขารู้จักอีก เซียวถิงฟงมองแววตาแข็งกร้าวที่ส่งมาให้อย่างรวดร้าว เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้น ขลุ่ยไม้ยังคงถูกชี้มาที่หน้าเขา รอจนมันเงื้อขึ้นสูงหมายจะฟาดใส่ เขาก็พลันหลับตาลง หากแต่เสียงๆหนึ่งกลับหยุดมือของต้าเซียนไว้

           “หยุดนะ หากข้าตายก็จบใช่ไหม” หย่าเหลียนโพล่งออกมาจนทำให้ทุกสิ่งต้องหยุดชะงัก นางกล่าวจบก็ดึงเอาปิ่นปักผมมาจ่อไว้ที่หัวใจตนเอง ทำให้เซียวถิงฟงต้องตื่นตระหนก

           ครานี้ต้าเซียนลดขลุ่ยไม้ลงแล้ว แต่ยังคงไม่หันกลับไป สีหน้ายังคงความเรียบเฉย ทั้งยังจ้องลึกในดวงตาพยัคฆ์ กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ใช่”

           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงตวาดลั่น ทั้งยังรั้งไหล่บางของคนตรงหน้าไว้ จับจ้องลึกในดวงตาที่เคยอ่อนโยน แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวังเมื่อยังคงเห็นแต่ความแข็งกร้าวในดวงตาคู่นั้น ราวกับหัวใจโดนมีดกรีด

           “เจ้าคาดหวังอะไรอยู่ เซียวถิงฟง” ต้าเซียนเอ่ยขึ้น ต่อเมื่อแลเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของอีกฝ่าย

           “ข้า...หวังเพียงให้เจ้ามีหัวใจสักนิดเท่านั้น” เซียวถิงฟงก้มหน้ากล่าวเสียงเบา มือที่กุมไหล่บางก็สั่นสะท้านอย่างข่มกลั้นความทรมานไว้ เขามิอาจทนรับเรื่องเช่นนี้ได้ ต้าเซียนที่เขารู้จักมิใช่คนเลือดเย็นเพียงนี้ มิใช่คนที่มิรู้สึกรู้สากับความตายของคนผู้หนึ่งแม้แต่น้อย

           เพียงประโยคเดียวกลับคล้ายมีคนตีแสกหน้า ดวงตาของต้าเซียนเลิกกว้าง ลมหายใจขาดห้วง คำกล่าวของเซียวถิงฟงเสมือนคมมีดที่สะกิดเข้าที่รอยแผลเดิม ร่างกายพลันอ้างว่างเหน็บหนาว เขาค่อยๆลดสองมือใหญ่บนไหล่ออก ก่อนจะผละตัวเซียวถิงฟงออกอย่างแรง

           “ข้าเป็นแค่ก้อนหิน ก้อนหินจะมีหัวใจเฉกเช่นมนุษย์ได้เยี่ยงไรกัน” ต้าเซียนส่งยิ้มเย้ยหยัน หากแต่เป็นรอยยิ้มที่มอบให้กับตนเอง

           ความจริงล้วนมิเคยแปรเปลี่ยน ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร เวลาจะผ่านไปสักแค่ไหน ความจริงล้วนคงอยู่ มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น

           กล่าวจบก็สะบัดตัวหลบ เก็บซ่อนความอ่อนแอมิให้ชายหนุ่มได้เห็น จากนั้นตรงไปยังองค์หญิงหย่าเหลียน นางมองเขาด้วยสายตาที่พรั่งพรูไปด้วยหยาดน้ำตา สองมือยังคงถือปิ่นปักผมจ่อที่บริเวณหัวใจ “เจ้าเสียใจรึไม่” ต้าเซียนหลุบตากล่าวถาม

           “ข้าไม่เสียใจ อย่างน้อยข้าก็ได้รู้ว่าในใจของท่านพี่เห็นข้าสำคัญยิ่ง” กล่าวจบนางก็ส่งยิ้มน้อยๆ คล้ายเป็นการอำลาให้กับบุคคลที่นางรัก
 
           “......” ต้าเซียนฟังแล้วก็เบี่ยงกายไปยังอีกด้าน สองมือประสานไว้ที่หลัง ด้วยรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเซียวถิงฟงกำลังจะจบลงในไม่ช้า

           ด้านเซียวถิงฟงมองดูแล้วก็ต้องกระวนกระวายใจ มันไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆหรือ แต่ทว่าหย่าเหลียนยังคงยิ้ม แลสายตาก็ยังคงไม่ละจากไปเขา ชั่วขณะหนึ่งริมฝีปากก็เอ่ยขึ้นโดยไร้สุ้มเสียง กล่าวจบเปลือกตาก็ปิดลง มือเงื้อปิ่นขึ้นสูง ก่อนจะจ้วงแทงไปที่หัวใจของตน

           “เดี๋ยว” เขาร้องลั่นพร้อมทั้งทะยานตัวเข้าไป ลาก่อน สองคำที่นางเอ่ย ผลักดันให้เขาตัดสินใจแล้ว สองมือยื้อปิ่นเอาไว้ ดวงตาพยัคฆ์ทอประกายไปด้วยความโกรธ เหงื่อผุดประปรายเต็มหน้าผาก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงดุ “ใครให้เจ้าตายกัน”

           “ท่านพี่” ได้ฟังแล้วหย่าเหลียนก็สะอื้นไห้ นางปล่อยปละปิ่นปักผมจนตกลงพื้น จากนั้นสวมกอดเซียวถิงฟงไว้
ผิดกับต้าเซียนที่ยืนตัวแข็ง แม้อยากจะร้องก็ร้องมิออก น้ำตาเสมือนว่าเหือดแห้งไปจากกายจนสิ้น แต่กระนั้นยังคงเหลือไว้ซึ่งความทรมานทางใจ เขากำขลุ่ยไม้ในมือแน่นก่อนจะถลันตัวเข้าหาคนทั้งคู่


***********************************************


           พัดเหล็กถูกคลี่ออก ทั้งสะบัดตีเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ต้าเซียนที่พุ่งตรงเข้าไปต้องสะอึกกายถอยหลบออกจากวิถีนั้น ดูว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมแล้ว แลดวงตาพยัคฆ์ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

           ครานี้ร่างสูงปัดป้องไว้อย่างดี ทำให้ต้าเซียนมิอาจเข้าถึงตัวองค์หญิงหย่าเหลียนได้ง่ายๆ รอจนขลุ่ยไม้กระทบเข้าที่ปลายพัด เซียวถิงฟงก็พลิกแพลงท่าร่างใช้พัดหมุนควงอาวุธในมือ กระทั่งขลุ่ยไม้กระเด็นหลุดมือเรียวไปในที่สุด เขาก็อาศัยจังหวะนี้ปราดเข้าประชิดตัวร่างน้อย มือหนึ่งคว้าจับที่หัวไหล่ แต่มิคาดว่าต้าเซียนจะฉุดรั้งแขนเขาเอาไว้ ทั้งกระชากตัวเขาออกก่อนโผทะยานไปถึงตัวของหย่าเหลียนอย่างรวดเร็ว

           ร่างใกล้จะถึงตัวเป้าหมาย แต่ฉับพลันนั้นก็สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้น ดวงตาหวานคล้ายมีประกายสีแดงปรากฏอยู่ ต้าเซียนสังหรณ์ใจไม่ดี แลในชั่วพริบตานั้นอาวุธลับขนาดเล็กก็ถูกซัดตรงมาที่หัวใจ เขารีบตัดสินใจเบี่ยงกายหลบ แต่แล้วกลับฉุกคิดถึงความจริงอีกข้อหนึ่ง

           เกรงว่าเซียวถิงฟงที่อยู่ด้านหลังจะต้องอาวุธนี้เข้าแทน คิดได้ดังนั้นก็มิยอมหลบอีก ทำได้แต่ผ่อนหนักเป็นเบา เบี่ยงกายหันหลังกลับเพื่อมิให้โดนจุดที่สำคัญ ท้ายที่สุดอาวุธลับก็พุ่งทะลุเข้าที่สะบักหลังด้านขวา ร่างถูกแรงผลักดันให้มุ่งตรงไปยังข้างหน้า

           เมื่อรู้ว่าเสียท่าเซียวถิงฟงก็รีบพลิกตัวกลับ หวังใช้ท่ากรงเล็บพยัคฆ์จับแขนของต้าเซียนไว้ มิให้หลุดมือออกไปเป็นครั้งที่สอง ต่อเมื่อหันกลับมาพร้อมกับวาดกรงเล็บพยัคฆ์ไปทางด้านหน้า เขาก็แทบจะสิ้นสติ

           ร่างสีขาวอยู่เบื้องหน้าตนแล้ว เซียวถิงฟงรีบรั้งมือกะทันหัน ทว่ามันกลับสายไป ต้าเซียนเบิกตาจ้องมองตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ ของเหลวอุ่นไหลนองกับมือ บัดนี้กรงเล็บได้ทะลุเข้าไปยังอกซ้ายแล้ว เขาตื่นตะลึงสุดขีดได้แต่จ้องมองไปยังเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอยู่เช่นนั้น

           ...ข้า ข้าทำร้ายเจ้า สมองคล้ายดับวูบลงไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะใดๆ แต่แล้วมือหนึ่งของร่างน้อยก็ปลุกสติเขาขึ้นมา

           ต้าเซียนรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่หน้าอกแล้วจึงกลั้นใจดึงเอากรงเล็บพยัคฆ์ออกอย่างช้าๆ โลหิตไหลทะลักเปราะเปื้อนชุดขาว ดีที่บาดแผลนั้นไม่ลึกซ้ำยังไม่ถึงหัวใจ แต่กระนั้นก็ทำให้ร่างของเขาต้องทรุดลงกับพื้น

           มาตรว่าบาดแผลทางกายมิได้ทำให้เขาอ่อนแรงลง หากแต่เป็นบาดแผลทางใจที่ทำให้เขามิอาจฝืนตัวได้อีก

           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงคำรามลั่น ทั้งรีบร้อนทรุดตัวลงตามไป รั้งร่างน้อยเข้ามากอดไว้ พลางพูดน้ำเสียงตื่นตระหนก
           
           “ต้าเซียน ข้าไม่ได้ตั้งใจ” สองมือพยายามกดปิดที่ปากแผล ปากพร่ำขอโทษไม่หยุดราวกับคนเสียสติ ขอบตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ”
           
           “ซะ เซียวถิงฟง ดะ ได้โปรด กำจัดนางซะ น่ะ นางเป็นปีศาจ หากปล่อยไว้นางจะเป็นภัยต่อเจ้า เข้าใจไหม” ต้าเซียนกระซิบบอกน้ำเสียงติดๆขัดๆ

           เซียวถิงฟงฟังแล้วก็หยุดชะงักนิ่งไป รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องเลือกอีกครั้ง “ข้า...”

           เมื่อรับรู้ว่าชายหนุ่มยังคงลังเลใจ ครานี้ต้าเซียนคล้ายโกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุด สองมือผลักร่างที่กำลังกดปิดบาดแผลของตนออก พลางตวาดขึ้นอย่างน้อยใจ “ประเสริฐ เจ้ายอมให้นางทำร้ายเจ้าได้ ทำร้ายข้าได้ แต่กลับยอมให้ข้าทำร้ายนางเพื่อเจ้าไม่ได้”

           เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน ต้าเซียนรู้สึกเช่นนั้น ริมฝีปากบางขบเม้มแน่นจนรู้สึกถึงรสปร่า กายฝืนหยัดลุกขึ้น แต่แล้วก็มีอันต้องเซลง

           หลังจากที่ถูกผลักออกไปเซียวถิงฟงก็นิ่งอึ้งชาวาบไปทั้งตัว ครั้นเห็นร่างที่ซวนเซก็รีบเข้าไปประคอง แต่ดูว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีรับ ทั้งยังผลักเขาให้ออกห่างอย่างเย็นชา แลไม่นานต้าเซียนก็กลับมาหยัดกายยืนตรงอีกครั้ง

           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงร้องเรียกอย่างเจ็บปวด แต่กระนั้นเจ้าตัวกลับหันหลังให้ เสมือนปิดกั้นไม่ยอมรับตนอีก รอจนร่างน้อยยินยอมหันกลับมาอีกครั้ง เขาก็พบแต่ดวงตาแข็งกร้าวที่ทำให้ต้องรู้สึกใจหาย

           “ข้าขอประกาศในนามของมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ทั่วทั้งสามพิภพจงเป็นพยาน บัดนี้ข้าขอละทิ้งนาม ‘ต้าเซียน’ ไว้ ณ ที่แห่งนี้ จะไม่มีต้าเซียนที่เจ้ารู้จักอีก เซียวถิงฟง จะมีเพียงแต่ข้า มหาเทพแห่งแดนสวรรค์เท่านั้น”

           คำประกาศก้องดังกังวานไปทั่วบริเวณ กระทั่งฟากฟ้ายังบังเกิดเป็นเสียงดังครืน ฝนพร้อมใจกันเทตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว เซียวถิงฟงได้แต่ยืนมองต้าเซียนที่กล่าววาจาศักดิ์สิทธิ์ด้วยดวงตาเลื่อนลอย

           นามนี้ตนเป็นคนมอบให้กับต้าเซียน แม้จะเป็นนามที่ตั้งขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ แม้จะเป็นนามที่ตั้งเพียงเพื่อประชดประชัน แต่เมื่อนานวันเข้า นามนี้กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับร่างน้อยมากที่สุด เสมือนกับมีด้ายบางๆพันเกี่ยวให้เขากับต้าเซียนต้องมีชีวิตเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน

           อีกทั้งเขายังจำได้ดี ใบหน้าของต้าเซียนในยามที่ได้รับนามจากตนนั้นดีใจมากแค่ไหน แต่มาวันนี้ร่างน้อยกลับละทิ้งนามที่ตนมอบให้ ทั้งยังตัดสัมพันธ์กับเขา รวมทั้งทำลายเส้นด้ายบางๆทิ้งอย่างไร้เยื่อใย

           รู้สึกราวกับสายฟ้าที่ฟาดเหนือฟากฟ้านั้นกำลังฟาดตัวตนเขาเอง สายน้ำอุ่นร้อนหลั่งรินจากดวงตา กระนั้นมันกลับถูกชะล้างด้วยสายฝน ดังนั้นไม่ว่าน้ำตาของเขาจะหลั่งไหลเพียงใด ต้าเซียนก็มิอาจเห็นความเสียใจนี้ได้

           “นางปีศาจจิ้งจอก ถึงคราหน้าก็จะไม่มีใครปกป้องเจ้าได้อีก จงเตรียมใจไว้” ต้าเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ดวงตาส่องประกายสีทองเจิดจ้า ก่อนกวาดเหลียวมองคนที่ยืนนิ่งดุจคนมิเคยรู้จัก

           เซียวถิงฟงมองสบสายตาที่เปรียบเสมือนคมมีด มือเอื้อมออกไปไขว่คว้าหา ทว่าร่างสีขาวก็ทะยานขึ้นเหนือฟ้าไป สิ่งที่เขาจับต้องได้กลับมีแต่เพียงความว่างเปล่าอีกครั้ง

           ...............

           ........

           ...

           เม็ดฝนขนาดใหญ่ตกต้องไปทั่วกาย เสื้อสีขาวที่เปราะเปื้อนไปด้วยโลหิต ยังมิทันจะแห้งสนิทก็ต้องเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน เขาถลาตัวลงสู่พื้นที่หน้าตำหนักลุ่ยหวา ที่นั่นยังมีกลุ่มคนที่รอคอยอยู่มิได้ไปไหน

           ซวนหยวนหมิงไท่ถือร่มสีแดงหม่น ใบหน้าไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ มีเพียงความมุ่งมั่นที่ฉายออกผ่านแววตา ดูว่าแม้ฟ้าฝนจะตกหนักสักเท่าใด เขาก็จะยังคงยืนอยู่เช่นนี้ ตราบจนกว่าจะได้รับทราบข่าวสำคัญ

           “ท่านมีอะไรจะกล่าวถามรึไม่”

           องค์รัชทายาทได้ฟังแล้วจึงค่อยๆเลื่อนสายตามองไปตามชุดอมเลือดของคนตรงหน้า แม้เขาจะข่มกลั้นความรู้สึกมากเท่าใด แต่มือข้างที่ถือร่มก็ยังคงสั่นอยู่น้อยๆ สองตาที่มักเฉียบแหลมบัดนี้ดูทื่อลง รอจนรวบรวมความกล้าได้แล้วจึงกล่าวขึ้น “โลหิตที่ชุดของท่าน...”

           “มิใช่ของนาง ท่านโปรดวางใจ นางยังคงมีชีวิตอยู่” 

           รัชทายาทหนุ่มได้ยินแล้วก็พลันโล่งใจ แต่ถึงอย่างไรก็รู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่การยื้อเวลาไว้ชั่วคราว เขาจึงมิอาจหายใจได้ทั่วท้อง แต่แล้วก็นึกถึงบางสิ่งที่มองข้ามไป หน้าตาเขาตื่นตะลึงเล็กน้อย

           “เช่นนั้นแล้ว โลหิตบนเสื้อของท่านเป็นของผู้ใด คงมิใช่เป็นเพราะเขา” ซวนหยวนหมิงไท่ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ เนื่องเพราะบาดแผลเช่นนั้นเขารู้จักดียิ่ง มีเพียงกระบวนท่านั้นเท่านั้นจึงทำให้เกิดรอยแผลเช่นนี้ได้

           “.......” ต้าเซียนไม่คิดตอบ เนื่องเพราะต้องการเลี่ยงคำถามนี้ จึงแสร้งทำมิได้ยินแล้วขยับกายเดินจากไป พอดีกับที่ด้านหลังปรากฏเป็นเสียงฝีเท้ารีบร้อนของคนผู้หนึ่ง พอคนผู้นี้เห็นเขาแล้วก็ตะโกนลั่น

           “ต้าเซียน ต้าเซียน” เซียวถิงฟงร้องเรียกชื่ออย่างสุดกำลัง ทั้งยังรวดร้าวเป็นที่สุด บันดาลให้ผู้คนที่รับฟังต้องพากันสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ

           ต้าเซียนสะอึกกายหยุดฝีเท้าลง รู้สึกว่าทุกฝีก้าวที่ผ่านมาล้วนหนักแน่นมาเสมอ แต่วันนี้มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น คล้ายมีบางสิ่งในตัวพังทลายไป รอจนเสียงฝีเท้าของเซียวถิงฟงเข้ามาใกล้ ก็กล่าวด้วยเสียงที่พอที่จะทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ได้ยิน
           
           “พาข้าไป เดี๋ยวนี้”

           รัชทายาทหนุ่มรับฟังแล้วก็ชำเลืองมองเซียวถิงฟงวูบหนึ่งอย่างสับสน แต่ไม่นานก็ตอบรับคำของอีกฝ่าย

           “เดี๋ยวก่อน ยะ อย่าพึ่งพาเขาไปหมิงไท่” เซียวถิงฟงขอร้องอ้อนวอน หากแต่ซวนหยวนหมิงไท่กลับออกคำสั่งกับเหล่าองค์รักษ์ ก่อนจะรวบตัวต้าเซียนขึ้นอุ้ม

           “ขวางเขาไว้”

           “รับบัญชาพะย่ะค่ะ” เหล่าองค์รักษ์รับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นต่างก็กรูกันเข้าไปใช้กำลังสกัดกั้นขวางรองแม่ทัพเซียวไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย

           ร่างสูงพยายามบุกฝ่าวงล้อมของเหล่าองครักษ์อย่างสุดกำลัง แต่ดูว่าพลังใจและพลังกายของเขาใช้ออกจนแทบหมดสิ้นแล้ว ท้ายที่สุดจึงถูกรวบตัวกดร่างลงกับพื้น หากแต่ก็ยังคงตะเกียกตะกายเข้าหา ไม่สนแม้สภาพที่คลุกฝุ่นเปราะน้ำโคลนไปทั่วทั้งกาย

           “ต้าเซียนนน”

           เสียงร่ำร้องเรียกอย่างปวดใจ ทว่าเปลือกตาบางก็เลือกที่จะปิดลง แต่ทว่าเสียงคำรามก้องที่เรียกนามตนยังคงแจ่มชัด และอาจติดตรึงอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจไปตลอดกาล แต่มาตรว่าเป็นเช่นนั้น ต้าเซียนก็มิอาจรู้ได้เลย ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย...

           …ที่จะได้ยินเสียงนั้นอีก


***************************************************

จะดราม่า เราต้องดราม่าให้ถึงที่สุด  o18  เหลืออีก 5 บทเเล้วจ้ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 25 ตัดขาดความสัมพันธ์ 13/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 13-11-2015 22:10:33
เหมือนคนเขียนเอาหัวใจเราไปขยี้สะแหลกเลย กล้าทำร้ายต้าเซียนนะเอ๊ง :fire:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 25 ตัดขาดความสัมพันธ์ 13/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 13-11-2015 23:56:17
  :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 26.1 ความปรารถนา 14/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 14-11-2015 19:53:45
บทที่ 26.1 ความปรารถนา


           เห็นคนบนเตียงกอดเข่าสั่นด้วยความหนาวเหน็บไม่หยุด องค์รัชทายาทก็กล่าวอย่างร้อนรน “เสี่ยวลู่ หมอหลวงมารึยัง”

           “ใกล้แล้วพะยะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะออกไปรอรับท่านหมอหลวงเป่ยที่หน้าตำหนักเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”

           “ท่านอย่าได้เรียกหมอมา ข้ารักษาตัวเองได้”

           เสียงทัดทานดังกล่าวทำให้คนทั้งสองต้องชะงักงัน ซวนหยวนหมิงไท่มองต้าเซียนที่นอนแผ่อยู่บนเตียง สักพักคิ้วที่เรียงสวยก็ขมวดขึ้น เขาลอบถอนใจหันกลับไปกล่าวกับเสี่ยวลู่ “เจ้าไม่ต้องตามหมอหลวงแล้ว เพียงนำเสื้อผ้าชุดหนึ่งกับชุดยาของข้ามา”

           “พะย่ะค่ะ” เสี่ยวลู่รับคำสั่งแล้วก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

           “ท่านทนรอสักนิด ข้าจะทำแผลให้” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าว แลไม่นานเสี่ยวลู่ก็กลับเข้ามาใหม่พร้อมกับอาภรณ์สีขาวชุดหนึ่ง รวมถึงกล่องยาขนาดไม่ใหญ่มากนัก “ท่านลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนเสื้อเถิด ข้าจะใส่ยาให้”

           ต้าเซียนรับฟังแล้วลุกขึ้นอย่างช้าๆ รับเอาเสื้อผ้าชุดใหม่จากเสี่ยวลู่ไป จากนั้นหันกายเพื่อผลัดเปลี่ยน

           รัชทายาทหนุ่มเบนสายตาหลบ แม้ว่าต้าเซียนจะเป็นบุรุษก็ตามที ขณะนั้นก็กล่าวไปเรื่อย “ข้าขอโทษที่ไม่สามารถรั้งตัวเขาไว้ได้ เขาดื้อรั้นมาก ข้ามิอาจขวางเขาได้ทัน” กล่าวจบก็เผอิญเบนสายตากลับไปโดยมิตั้งใจ

           เสื้อสีขาวปนชมพูชุดเก่าถูกปลดกองกับพื้น เผยให้เห็นถึงแผ่นหลังสีขาวซีดเปลือยเปล่ากระจ่างตา ต้าเซียนดึงเอาเสื้อที่ได้รับมาสวมใส่ แต่ก่อนที่จะสวมให้เข้าที่ น้ำเสียงตกใจก็พลันดังออกมา

           “ต้าเซียน แผลนี้ท่านได้แต่ใดมา” องค์รัชทายาทขยับเข้าไปใกล้ แผ่นหลังที่ต้องทนตากฝนพรำๆนั้นซีดขาวจนรอยแผลที่สะบักไหล่ดูเด่นชัด ยังมีขอบแผลที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ

           “ท่านอย่าได้สัมผัส มันเป็นพิษจากกรงเล็บจิ้งจอก” ต้าเซียนกล่าวอธิบาย อาวุธลับดังกล่าวนั้น เมื่อต้องที่ผิวกาย กรงเล็บนั้นจะมลายหายไปอย่างรวดเร็ว หลงเหลือเพียงพิษที่ซึมลึกกัดผิวเนื้อ

           “เหตุใดท่านจึงดื้อรั้นยิ่งนัก ท่านควรพบหมอหลวง”

           “ท่านอย่าได้ลืมไป ข้าคือมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ แผลแค่นี้ มิอาจทำอะไรข้าได้ ท่านเพียงใส่ยาก็พอ”

           “แต่”

           “และโปรดอย่าเรียกข้าว่าต้าเซียนอีก”

           ถึงตรงนี้ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใดอีก ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่ตนต้องการทราบนั้น ถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตอนนี้ รอจนใส่ยาที่หลังเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทักขึ้นอีก “ท่านควรใส่ยารักษาแผลที่ด้านหน้าด้วย”

           “อย่า ปล่อยมันไว้เถิด” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงเบา เขาอยากเก็บรอยแผลนี้ไว้เพื่อเตือนตัวเอง ว่าระหว่างเขาและเซียวถิงฟง ไม่ได้มีอะไรติดค้างกันอีก หากพบกันคราหน้าหัวใจของชายหนุ่มในร่างนี้ เขาจะต้องคืนให้ อย่างแน่นอน

           “เอาเถอะ ท่านอย่าได้คิดมากอีก อย่างน้อยท่านก็ควรพักบ้าง” มองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีความในใจ ซวนหยวนหมิงไท่พยุงต้าเซียนให้นอนลง เหน็บผ้าห่มให้คนบนเตียงรู้สึกอุ่นกาย ครั้นเปลือกตาบางหลับลงก็เตรียมถอยร่น เพื่ออีกฝ่ายได้นอนพักอย่างสงบ ทว่าในชั่วอึดใจนั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลับเบิกโพลงแฝงแววสงสัย

           “ไม่ถูก นั่นไม่ถูกอย่างยิ่ง” ต้าเซียนพึมพำไปมา ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็พลอยสงสัยไปด้วย

           “ท่านกำลังกล่าวถึงเรื่องใด”

           “เหตุใดเซียวถิงฟงถึงเข้าไปในตำหนักลุ่ยหวาได้ ทั้งๆที่ข้าใช้มนตร์ปิดกั้นแล้วแท้ๆ” ต้าเซียนผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้มมองฝ่ามือทั้งสองของตนเอง “รึว่าเวทย์ของข้าเสื่อมถอยลง” เขาครุ่นคิดอย่างหนัก

           “นั่นเป็นไปไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าที่ตามเซียวถิงฟงไปติดๆ เหตุใดจึงมิอาจเข้าไปภายในตำหนักได้” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวพลางนึก

           หลังจากที่หลุดพ้นจากการจับกุมของเหล่าองครักษ์แล้ว เซียวถิงฟงก็ตรงดิ่งไปยังตำหนักลุ่ยหวาทันที ตัวเขาเองก็ตามไปติดๆ หากแต่เมื่อผ่านเข้าไปยังตำหนักด้านในแล้ว ร่างของเขาก็พลันปรากฏที่ด้านนอกตำหนัก ผิดกับเซียวถิงฟงที่ได้หายตัวไปแล้ว เขาพยายามทดลองเข้าไปอีกหลายครา ทว่าผลก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ดังนั้นเขาจึงได้แต่เฝ้ารอ

           “เป็นไปได้รึไม่ ว่ามีคนตั้งใจปล่อยให้เซียวถิงฟงผ่านเข้าไปในตำหนักลุ่ยหวาเพียงลำพัง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถึงความเป็นไปได้ ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเกิดเป็นประกายวาบ

           “นั่น ก็ไม่แน่นัก” ต้าเซียนกล่าวเสียงอ่อน หลุบตาลงขมวดคิ้ว หากเป็นไปตามที่ซวนหยวนหมิงไท่คาดการณ์ บุคคลที่สามารถทำเช่นนั้นได้ในตอนนี้กลับมีอยู่หนึ่ง แต่กระนั้นเขามิอยากจะเชื่อ

           บังเกิดเป็นเสียงเงียบขึ้นในห้อง แม้ซวนหยวนหมิงไท่จะไม่คิดกล่าววาจาถามต่อ แต่ต้าเซียนก็รู้ว่าเขากำลังสงสัยผู้ใด ในสามพิภพตอนนี้บุคคลที่สามารถต่อกรกับเขาได้มีเพียงแค่ผู้เดียว และคนผู้นั้นก็บังเอิญอยู่ในวังหลวงแห่งนี้เช่นกัน

           พอดีกับที่ภายนอกมีเสียงวิ่งอึกทึก ส่งผลให้ทั้งสองต้องเหลียวไปมองที่ประตู ประตูถูกผลักเปิดอย่างมิใคร่สนใจในเรื่องมารยาท พร้อมกันนั้นก็ปรากฏน้ำเสียงสดใสดังออกมา

           “องค์รัชทายาททายสิว่ากระหม่อมเก็บอะไรมา” ถิงถิงพรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยสภาพเปียกปอน มือหนึ่งก็ชูกรงนกขนาดใหญ่ขึ้นสูง ทำให้สายตาสองคู่ต้องให้ความสนใจ

           ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดอยู่ภายในกรง แต่แล้วกลับมีบางสิ่งค่อยๆผงกหัวขึ้น เผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ขนสีดำเรียบลู่ไปตามผิว อีกาผอมโซตัวหนึ่งกำลังพยายามลุกขึ้นยืน

           “ฉุนซุ่ย” ต้าเซียนร้องเรียกอย่างตกใจ

           “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ถิงถิงก็ร้องอย่างตกใจไม่แพ้กัน

           “นำมันมาให้ข้าเร็ว” เขารีบออกคำสั่ง ถิงถิงที่งงงันจึงส่งกรงนกให้แต่โดยดี หลังจากนั้นเขาก็วางกรงนกไว้ที่บนตักพลางมองฉุนซุ่ยที่อ่อนแรงด้วยความสงสาร

           “เจ้าได้มันมาจากที่ใดกัน” รัชทายาทหนุ่มหันไปกล่าวถามถิงถิง

           “กระหม่อมผ่านไปแถวสระน้ำไท่เย่ แล้วเผอิญได้ยินเสียงบางอย่างตกลงมาในสระ ดูเหมือนมีคนตั้งใจโยนมันลงมา กระหม่อมเห็นว่ามิชอบกลจึงกระโดดลงไปเก็บ ก่อนจะเห็นเป็นมัน กระหม่อมจดจำได้ อีกาที่ถูกเวทย์” นางกล่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว ด้วยธรรมชาติของแมวนั้นไม่ถูกกับน้ำ แต่ผิดกับแมวอย่างถิงถิง ความอยากรู้อยากเห็นย่อมมาก่อนเรื่องหยุมหยิม

           ต้าเซียนพยักหน้าให้น้อยๆแล้วจึงเปิดกรงออก โอบอุ้มอีกาตัวน้อยที่นอนหายใจแผ่วอย่างอ่อนโยน ฉุนซุ่ยเองก็ลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยล้า จากนั้นพยายามจิกที่มือของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ “หลายวันที่ผ่านมานี้คงลำบากเจ้าไม่น้อย” กล่าวจบประกายแสงสีทองก็วาบขึ้นในมือ

           ความอบอุ่นแผ่กำจายไปทั่วร่าง ขนสีดำสนิทไม่เรียบลู่อีกต่อไป ฉุนซุ่ยร้องขอบคุณด้วยเสียงอันดัง ต้าเซียนยกร่างน้อยที่อยู่ในอุ้งมือขึ้นแนบริมหู มันส่งเสียงเบาๆอยู่ครู่หนึ่ง ก็เกิดประกายตาเฉียบคมในดวงตาคู่สีน้ำตาลทอง

           เขาวางร่างของฉุนซุ่ยลงที่เตียง “พักเสียเถิด หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของข้า เจ้ามิต้องกังวล” กล่าวจบก็สะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกขึ้นยืน

           “ท่านจะไปที่ใดกัน” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไปทั้งที่ยังคงบาดเจ็บ

           “ข้าจำต้องพบคนผู้หนึ่ง เดี๋ยวนี้” ต้าเซียนกล่าวเสียงเข้ม

           “เดี๋ยวก่อน” ยังมิทันที่จะปรามจบ ร่างของต้าเซียนก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่กลับมานั่งที่ข้างเตียงพลางปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเอาเอง

           ทันใดนั้นฉุนซุ่ยก็ร้องขึ้น รัชทายาทกวาดตามองมันนิ่งครู่หนึ่งก็ผุดลุกขึ้น “เสี่ยวลู่ ตอนนี้เซียวถิงฟงอยู่ที่ใด” 

           “เมื่อพระองค์เสด็จกลับถึงตำหนักเหวินหัว เหล่าองค์รักษ์เห็นว่าบรรลุแก้หน้าที่แล้วจึงปล่อยท่านรองแม่ทัพเซียวไปเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ”

           เมื่อได้ยินเสี่ยวลู่กล่าวตอบ เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ความไม่สบายเกาะกุมจนมิอาจพรั่งพรูลมหายใจได้เต็มที่ อาจเป็นเพราะเรื่องราวมีพิรุธอยู่บ้าง เขาเบนศีรษะไปนอกตำหนัก

           บัดนี้ฝนได้หยุดลงแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกสว่างไสว แต่ใจเขากลับมิอาจสงบลงได้ ดูว่าเขาจำต้องกลับไปยังตำหนักลุ่ยหวาอีกครั้ง “ครานี้ข้าต้องพาเจ้ากลับมาได้ เซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวพึมพำ


******************************************************


           บนเก๋งหกเหลี่ยมหลังซึ่งตั้งอยู่ใจกลางในอุทยานของตำหนักเตี้ยนชิง เฟยหลงนั่งเหยียดขาข้างหนึ่ง อีกข้างยันขึ้นวางพาดไว้ด้วยลำแขน ดวงตาก็ทอดมองหาเงาร่างของคนผู้หนึ่งแต่ไกล เส้นผมสีดำที่มัดรวบขึ้นสูงยาวสยายไปตามสายลมแผ่ว

           ...เขามักเป็นฝ่ายรออยู่เสมอ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงทนรออยู่

           ในที่สุดคนที่รอก็มา เสื้อสีขาวบริสุทธิ์ เส้นผมสีน้ำตาลดูอ่อนนุ่ม ดวงหน้าเล็กอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความคมคาย ท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความสง่างามหาผู้ใดเปรียบไม่

           เฟยหลงยิ้มแล้ว ร่างสีขาวเหาะเหินเข้ามา ต่อเมื่อปลายเท้าสัมผัสลงที่หลังคาก็พลันหยุดลง เขาจับจ้องทุกท่วงท่าอิริยาบถด้วยสายตาชื่นชม จนมิอาจละไปจากคนผู้นี้ได้
   
           “เฟยหลง”

           ดวงตาคู่งามอันน่าหลงใหลมองสบ น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยขึ้น เขาชอบให้คนผู้นี้เรียกนามของตน เขาลุกขึ้นแล้วกอบกุมมือเรียวเล็กไว้

           “เหตุใดตัวของท่านจึงเย็นยิ่งนัก” เฟยหลงกล่าวด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้ม แต่กระนั้นใบหน้าของท่านมหาเทพกลับทาบทับไปด้วยความเย็นชาเสียหลายส่วน

           ต้าเซียนดึงมือออกจากการเกาะกุม กล่าวน้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า เฟยหลง”

           ฉับพลันนั้นก็รู้สึกถึงบางสิ่ง แต่เฟยหลงก็ยังคงใช้น้ำเสียงปกติ “ข้าพาท่านกลับห้องก่อน แล้วเราค่อยกล่าวถามดีรึไม่”

           “ไม่ ข้าอยากรู้ตอนนี้ ข้าจำเป็นต้องรู้ตอนนี้” ต้าเซียนกล่าวซ้ำไปซ้ำมาอย่างสับสน ใบหน้าของเฟยหลงเองก็แฝงแววเคร่งเครียดประการหนึ่ง เขาพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนถามเสียงแข็ง “เป็นเจ้าที่ปล่อยให้เซียวถิงฟงเข้าไปยังตำหนักลุ่ยหวาใช่รึไม่”

           ทันทีที่เอ่ยปาก ดวงตาดุจพญาอินทรีก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนแปรเปลี่ยนกลับเป็นปกติ เฟยหลงไม่ตอบคำเพียงเดินเข้ามากอดร่างของเขาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไประหว่างบทสนทนานี้

           “เจ้าตั้งใจจะให้เซียวถิงฟงช่วยเหลือนางปีศาจจิ้งจอก ขัดขวางข้าไว้เพื่อที่จะให้นางฆ่าเขาในภายหลังใช่หรือไม่” ต้าเซียนพยายามถามซักไซ้ จากคำบอกเล่าของฉุนซุ่ย มันได้กล่าวถึงแผนการของจอมมารเฟยหลงและนางปีศาจ

           ดวงหน้าเล็กถูกจับซบอยู่ระหว่างอกแกร่ง เสียงหัวใจของร่างเล็กดังชัดจนสามารถจับความเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี เสียงนั้นกำลังเต้นไปพร้อมกับจังหวะหัวใจที่อยู่ในกายเขา เฟยหลงเลื่อนมือหนึ่งโอบศีรษะคนตรงหน้า มืออีกข้างยังกอดร่างบางเอาไว้ เขาเคลื่อนใบหน้าลงกระซิบตอบที่ข้างหู “ใช่ ข้าต้องการให้เขาตาย”

           เสียงตอบนั้นเบาบาง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอาฆาตรุนแรง แรงเสียกระทั่งทำให้ต้าเซียนต้องชาวาบไปทั้งตัว ทว่าเฟยหลงยังคงกล่าวต่อ

           “ข้ารู้ว่ามันเสี่ยงมากที่ทำเช่นนี้ ท่านอาจรู้ความจริง แต่ข้ายังคงต้องเสี่ยง ข้าต้องรีบตัดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับท่าน ข้ามิอาจละเว้นชีวิตของเขาได้” เจ้าของดวงตาดุจพญาอินทรีกล่าวแล้วเหยียดยิ้ม

           เขาเป็นฝ่ายรอมาเนิ่นนานแล้ว และจะไม่ยอมอยู่สูญเสียท่านมหาเทพไปอีก ดังนั้นเขาจำต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อน เฟยหลงยังคงลูบที่ศีรษะของต้าเซียนอย่างไม่รู้สึกผิด

           “เจ้ารู้จักกับนางปีศาจจิ้งจอกตนนั้น แต่เจ้าแสร้งบอกข้าว่าเจ้าหาได้รู้จักนางไม่ ทำไม”

           “ข้าไม่ไว้ใจชายผู้นั้น เขาทำให้ท่านหวั่นไหว ข้ามิอาจให้เขาคงอยู่ในใจท่านได้ ใจของท่านเป็นของข้า กายของท่านก็เช่นกัน และเป็นเพราะข้ามิอาจลงมือฆ่าเขาเองได้ ดังนั้นมีแต่นางที่ทำตามที่ข้าปรารถนาได้” พูดจบเฟยหลงก็ขยับใบหน้าเข้าจุมพิตที่หน้าผากของร่างเล็กอย่างแผ่วเบา

           ทว่าต้าเซียนกลับเบนศีรษะหนีพลางซักถามต่อ “ดังนั้นเจ้าจึงสั่งให้ปีศาจจิ้งจอกทำร้ายกระทั่งข้าด้วยอย่างนั้นรึ” นึกถึงคราที่ต้องอสรพิษแมงมุม วันนั้นแทบทำให้เขาเกือบต้องสูญเสียหัวใจของเซียวถิงฟงไป

           “ข้าบอกท่านแล้ว ข้ามิอาจยอมให้ใจท่านมีเขาได้” เฟยหลงตอบสั้นๆ สายตาทอดมองต้าเซียนอย่างโหยหา

           “เช่นนั้นทำไมวันนั้นเจ้าต้องช่วยข้าไว้”

           “........”

           เฟยหลงไม่ตอบ หากแต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่บริเวณหนึ่ง ต้าเซียนมองตามสายตานั้น ก่อนหยุดลงที่หน้าอกข้างซ้ายของตน จู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว คล้ายสิ่งที่ติดขัดอยู่ในใจกำลังคลี่คลายออกทั้งหมด

           สีหน้าซีดขาวลงอย่างฉับพลัน ฝ่ามือหนึ่งยกขึ้นทาบที่หน้าอกตนเอง อีกข้างหนึ่งก็เอื้อมสัมผัสบริเวณหน้าอกของเฟยหลงอย่างสั่นไหว ใจคาดหวังมิให้สิ่งที่ตนกลัวบังเกิดขึ้นจริง แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง

           หัวใจของเฟยหลงเต้นเร็วแรงเป็นจังหวะ คล้ายกับหัวใจในร่างตนที่เต้นอย่างตื่นตระหนก...เสมือนมีบางสิ่งบีบรัดอยู่ในอก ต้าเซียนพยายามเค้นเสียงถามอย่างเจ็บปวด “หัวใจครึ่งดวงของเซียวถิงฟงอยู่ที่ใด”

           “ข้ารักท่าน ท่านมหาเทพ ท่านรู้ไหมว่าข้ารอท่านมานานเท่าใด เฝ้ามองท่านมาเนิ่นนานแค่ไหน” เฟยหลงกล่าวจบก็รวบตัวต้าเซียนเข้ากอดไว้แน่น

           เฟยหลงตอบไม่ตรงคำถาม ต้าเซียนขมวดคิ้วแน่น เริ่มสูญเสียการควบคุมตนเอง เขาผลักดันร่างของเฟยหลงออก ก่อนตะเบ็งเสียงตวาด “บอกข้ามาหัวใจของเขาอยู่ที่ไหน”

           สายตาดั่งพญาอินทรีเริ่มทอประกายเหี้ยม แต่แล้วก็เปลี่ยนกลับเป็นสงบลงอย่างรวดเร็ว “พรุ่งนี้เราจะไปจากที่นี่ เราจะขึ้นเหนือไปด้วยกัน มิว่าเป็นเพราะเรื่องใด หรือผู้ใดก็มิอาจพรากเราสองคนไปได้อีก” เฟยหลงกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างสุขใจ ท่ามกลางการยื้อยุดของร่างเล็กในอ้อมกอด

           ชั่วพริบตาต่อมาร่างสีขาวก็หลุดรอดออกจากวงแขนแกร่ง พร้อมกันนั้นก็วาดฝ่ามือไปยังคนตรงหน้าจนบังเกิดเป็นเสียงดัง

           เพียะ ต้าเซียนหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของเฟยหลงหันเหไปด้านข้าง เส้นผมดำปรกจนเห็นเพียงโครงหน้าที่ได้รูป ร่างแกร่งค่อยๆหันหน้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้านั้นก้มต่ำลง จนทำให้เขามิอาจเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ในยามนี้

           ในที่สุดเฟยหลงก็เงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ คำตอบที่ไม่เบี่ยงเบนประเด็นถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงคำรามลั่น ทั้งยังแฝงไปด้วยความอำมหิต “ข้าทำลายไปแล้ว”

           ภายในอกเสมือนถูกฉีกกระชากออก ต้าเซียนจ้องมองสายตาอันแดงก่ำคู่นั้นแล้วต้องใช้มือหนึ่งกุมที่หน้าอก หัวใจภายในร่างถูกบีบคั้นอย่างแสนสาหัส หัวใจครึ่งดวงนี้กำลังเจ็บปวดเขารู้ดี

           แต่กระนั้นหัวใจของเซียวถิงฟงกลับไม่อยู่อีกแล้ว เขาปกป้องมันไว้ไม่ได้ ตลอดเวลาที่เขาไม่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกของเซียวถิงฟงได้ มิใช่ว่าชายหนุ่มมิได้รู้สึกรู้สา หากแต่ว่าหัวใจของเซียวถิงฟงนั้นไม่มีอยู่ในร่างเขาอีกต่อไป เขาจึงมิอาจสัมผัสมันได้อีก

           “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย” ต้าเซียนตวาดถามอย่างไม่เข้าใจ ทั้งเรื่องพนันนั่นก็เช่นกัน เฟยหลงรู้ดีอยู่แก่ใจ หัวใจในร่างเขามิอาจเป็นของเซียวถิงฟงได้ เนื่องเพราะหัวใจครึ่งดวงนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว ด้วยน้ำมือของเฟยหลงเอง ดังนั้นเขามิอาจเป็นฝ่ายชนะได้อีก กระนั้นแล้วก็ยังคงหลอกล่อให้เขารับพนันในครั้งนั้น

           “เพราะข้ารักท่าน ข้ายอมที่จะต้องถูกเนรเทศออกจากแดนสวรรค์ ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ เป็นจอมปีศาจที่ไร้ซึ่งความเมตตา เพียงเพื่อมีท่าน แต่แล้วข้ากลับต้องพบกับความสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก ข้าสูญเสียท่านไปเนื่องเพราะท่านคือมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ท่านมิมีหัวใจ ท่านไม่เคยมีความรักเฉกเช่นมนุษย์ แต่ท่านรู้ไหม ในวันที่ข้ารู้ว่าท่านมีหัวใจ โชคชะตากลับเล่นตลกกับข้า

           แม้ท่านจะมีหัวใจแต่ทว่าภายในใจของท่านกลับไม่มีข้า มันเป็นเพราะชายผู้นั้น ทั้งที่เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา แต่เขากลับยึดครองพื้นที่ภายในใจของท่าน...ท่านมหาเทพ ข้ามิอาจทนรับการสูญเสียท่านได้เช่นพันปีก่อน ดังนั้นข้าต้องยอมให้ผู้อื่นทำร้ายท่าน ทั้งต้องยอมเป็นคนที่หลอกลวงท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ได้ท่านมา”

           เฟยหลงระบายความในใจทั้งหมดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขามิอาจขาดท่านมหาเทพไปได้ ดังนั้นเขาทำได้ทุกๆอย่างเพียงเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะถูกหรือผิด หรือแม้จะต้องอำมหิตเลือดเย็นสักแค่ไหน ทำร้ายใครมากสักเท่าใด เขาก็ไม่สนใจ

           “เฟยหลง นั่นมันผิดไปแล้ว เจ้าผิดไปแล้ว” ต้าเซียนก้มหน้าลงส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิด มิใช่ว่าเขาไม่รู้สึกถึงความรักของเฟยหลง แต่เป็นเพราะว่าความรักของเฟยหลงนั้นเปี่ยมไปด้วยความต้องการ ไม่สนแม้แต่สรรพสิ่งใดๆ อีกทั้งความต้องการนั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยการเข่นฆ่าทำลาย

           “ไม่ ข้าไม่ผิด” สองตาเฟยหลงเบิกค้าง แววตาส่วนลึกนั้นว่างเปล่า เขาปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ทั้งใช้สองมือจับเข้าที่ไหล่ของท่านมหาเทพไว้แน่น “เพียงแค่ชายผู้นั้นตาย ในใจของท่านก็จะไม่มีเขาอีก ท่านมิต้องเป็นห่วง อีกไม่นานท่านก็จะลืมเขาไปเอง”

           เฟยหลงกล่าวเหมือนคนเสียสติ ต้าเซียนมองดูความบ้าคลั่งนั้นอย่างเจ็บปวดใจ แล้วพยายามตวาดเรียกเพื่อให้อีกฝ่ายคืนสติ แต่ทว่ามันกลับไม่สะทกสะท้านถึงสติของอีกฝ่าย ร่างแกร่งยังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเขารั้งสาบคอเสื้อเจ้าตัวเข้ามากล่าวด้วยน้ำเสียงอันดัง “เจ้าพอได้แล้ว ทำเช่นนี้หาได้มีประโยชน์อันใดไม่”

           ครานี้เสียงหัวเราะของเฟยหลงหยุดชะงักแล้ว หากแต่กลับแทนที่ด้วยน้ำเสียงอำมหิต “ไม่มีประโยชน์รึ หากข้าไม่มีท่าน เขาก็อย่าได้หวังว่าจะมีท่านได้เช่นกัน”

           “ข้าบอกว่าพอได้แล้ว ถึงเขาจะตายรึไม่ ข้าก็ยอมติดตามเจ้าไปอยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าจะฆ่าเขาอีกทำไมกัน” ต้าเซียนกล่าวด้วยความสัตย์จริง

           ไม่ว่าหัวใจของเขาจะเป็นของเซียวถิงฟงหรือไม่นั้น เขาก็ตัดสินใจที่จะตามเฟยหลงไปแต่แรกอยู่แล้ว อันเพื่อความสงบของสามพิภพและเพื่อให้เขาได้ชดใช้บาดแผลในใจของอีกฝ่าย เขายอมติดตามเฟยหลงไปทุกหนแห่ง ดังนั้นไม่ว่าจะแพ้หรือชนะพนันนั้นก็ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาได้

           “ท่านคิดจะไปกับข้าจริงๆรึ” น้ำเสียงของเฟยหลงนั้นเริ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

           ต่อเมื่อเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ต้าเซียนก็รีบกล่าวตกลง “ข้าให้สัญญา จบเรื่องนี้ข้าจะไปกับเจ้า ฉะนั้นเจ้าอย่าได้คิดฆ่าเซียวถิงฟงอีก” ดูว่าดวงตาของเฟยหลงอ่อนแสงลงได้ไม่นาน ก็กลับต้องฉายแววฟาดฟันอีกครั้ง

           “ถึงที่สุดแล้วท่านก็ยังเป็นห่วงชายผู้นั้นอยู่ดี ท่านยังไม่เข้าใจอีกรึ สิ่งที่ข้าต้องการมิใช่เพียงแต่ตัวท่าน ข้ายังต้องการหัวใจของท่านด้วย หึ ข้ารับรอง ไม่เกินคืนนี้ เขาต้องตายด้วยน้ำมือของปีศาจจิ้งจอก” เฟยหลงกล่าวหนักแน่นทั้งยังหัวเราะขึ้นอีกครา

           ใจของต้าเซียนวูบโหวงไปในทันที เขาไม่น่าปล่อยปละปีศาจจิ้งจอกเป็นครั้งที่สอง ทั้งที่รู้ว่าปีศาจตนนั้นจะเป็นภัยแก่เซียวถิงฟง กระนั้นเขากลับใจอ่อน ห่วงแต่ความรู้สึกของอีกฝ่าย ด้วยกลัวว่าจะโดนเกลียด ทว่าสิ่งที่เขากลัวกลับกลายเป็นความเห็นแก่ตัวของเขาเองทั้งสิ้น และสิ่งนั้นจะทำลายชีวิตของเซียวถิงฟง

           ต้าเซียนผละกายออกจากเฟยหลง ทว่าสองมือใหญ่กลับเอื้อมมาพันธนาการมือเขาไว้ ตอนนี้เขารู้แล้ว เขามิอาจหยุดยั้งทั้งความคิดและการกระทำของเฟยหลงได้ เนื่องเพราะมันไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อันใด

           สองเท้าก้าวถอยหลังห่างออกไป จนกระทั่งสองมือที่กอบกุมนั้นเลื่อนหลุดออก เฟยหลงพยายามไขว่คว้าสองมือนั้นไว้ ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงและสายตาอ้อนวอน “อย่าไป”

           “แล้วข้าจะกลับมา” ต้าเซียนกล่าวสั้นๆ จากนั้นกระโดดลงจากหลังคาเก๋งหกเหลี่ยม โผทะยานเหาะเหินมุ่งหน้าไปทางทิศหนึ่ง ทิ้งไว้ให้เฟยหลงคำรามก้องอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างอย่างมืดมน


*************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 26.2 ความปรารถนา 14/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 14-11-2015 19:57:36
บทที่ 26.2 ความปรารถนา


           
           สายตาทอดมองความเวิ้งว้างว่างเปล่า สองขาที่เคยมั่นคงมาตอนนี้คล้ายพังทลายลงสิ้นเชิง เซียวถิงฟงค่อยๆยกสองมือขึ้นดูอย่างช้าๆ ดูว่ามือข้างหนึ่งยังคงเปราะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของบุคคลอันเป็นที่รัก แลไม่นานสองตาก็เริ่มแดงฉาน เมื่อจับจ้องมือข้างนั้น

           น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง เป็นเพราะมันที่ทำให้เขาต้องทำสิ่งที่เสียใจไปตลอดกาล บังเกิดความรู้สึกรังเกียจตนเองพวยพุ่งอยู่ในอก ทันใดนั้นประกายตาเฉกเช่นพยัคฆ์ก็สว่างวาบด้วยความเคียดแค้น มือหนึ่งจับหมับแขนข้างที่เปราะเปื้อนด้วยเลือดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงบิดหมุนไปในด้านที่ตรงกันข้ามอย่างไม่ลังเล

           กร๊อบ

           “อึ่ก” เซียวถิงฟงกัดริมฝีปากแน่นจนโลหิตไหลออกที่มุมปาก สองตายังคงแดงก่ำทั้งยังคงไม่กะพริบ แขนถูกหมุนไปในทิศทางตนกันข้ามรอบหนึ่งเสร็จก็คลายออก ก่อนที่มันจะร่วงหล่นดั่งไม่มีเรี่ยวมีแรง ทั้งยังห้อยต่องแต่งอย่างน่ากลัว

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาเห็นแล้วพลันอดหัวเราะหยันตัวเอง จากนั้นน้ำเสียงเข้มก็เอ่ยออกมา “ความเจ็บปวดนี้มันไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเจ้าเลยสักนิด ต้าเซียน” เซียวถิงฟงคำรามก้องอย่างเจ็บปวด หากเป็นไปได้เขาอยากที่จะตัดแขนข้างนี้ซะ แขนที่มันไม่รักดี...แขนที่ทำร้ายต้าเซียน

           เสียงคำรามดังก้องลอยเข้าสู่ประโสตประสาท ปลุกสติที่ยังคงดับๆหายๆให้รู้สึกตัวขึ้น ใต้จมูกรู้สึกถึงกลิ่นคาวคลุ้งที่ลอยอบอวล ดวงตาประเดี๋ยวชัดประเดี๋ยวพร่าเลือน รอจนครู่หนึ่งนางก็แลเห็นเงาร่างที่นั่งอยู่หน้าตำหนักลุ่ยหวา เฉกเช่นคนไร้จิตวิญญาณ

           ฉับพลันที่ต้าเซียนจากไป เซียวถิงฟงก็วิ่งไล่ตามอีกฝ่ายไปจนลืมกระทั่งนางที่ได้รับบาดเจ็บ นางได้แต่ตื่นตะลึงมองอยู่เช่นนั้น อาจเป็นเพราะแลเห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของชายหนุ่ม...สีหน้าที่ไม่เคยมีให้นาง

           องค์หญิงหย่าเหลียนเริ่มตระหนักได้อย่างถ่องแท้ จะอย่างไรในส่วนลึกของหัวใจของเซียวถิงฟงก็คงมีแต่ต้าเซียน แลไม่ว่าจะเป็นความรักหรือการปกป้องที่เขามีให้กับนาง มันก็เป็นเพียงแค่ความสงสารเท่านั้น

           นางพยุงร่างที่บาดเจ็บเข้าหาบุรุษที่ยังคงนั่งหันหลังให้ แม้จะทรุดลงนั่งที่ข้างกาย เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงตัวตนของนาง ครั้นเห็นแขนข้างที่หักลงนางก็มิอาจเอ่ยวาจาใดได้อีก ได้แต่มองใบหน้านิ่งเรียบที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ ดวงตาพยัคฆ์ที่มักเปล่งประกายอยู่เสมอกลับหม่นแสงลงอย่างน่าใจหาย อีกทั้งสายตาที่เหม่อมองไปไกล ไกลจนสุดที่จะประมาณ

           นี่คือสิ่งที่ข้าอยากเห็นกระนั้นหรือ สิ่งที่ข้าทำมันถูกต้องจริงๆรึ

           ในความทรงจำของนางมักเปี่ยมไปด้วยภาพของเซียวถิงฟงที่มีชีวิตชีวา แต่ทว่าตอนนี้มันกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง นางก้มหน้าลงอย่างสับสบ แต่แล้วก็พลันสะดุดสายตาไปที่อาภรณ์สีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มที่เปราะเปื้อนไปด้วยโลหิตเป็นหย่อมๆ

           เหมือนมีบางสิ่งที่ถาโถมขึ้นสู่ภายในทรวงอก บางสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกอัดอั้น นางกุมมือที่หน้าอกพลางหายใจให้สงบ ทั้งพยายามข่มกลั้นความทรมานนี้ไว้ จู่ๆลำคอก็แห้งผาก ทำให้ต้องฝืนกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังคงมิอาจดับความหิวกระหาย

           นางกำลังหิวกระหาย ต่อเมื่อตระหนักได้เช่นนั้น นางก็ต้องสะดุ้งกาย ถามตนเอง...ข้ากำลังหิวกระหายอย่างนั้นหรือ

           “ปล่อยกายปล่อยใจซะของเจ้าซะ แล้วเจ้าจะรู้สึกดีขึ้นเอง”

           เสียงแหลมเล็กกล่าวดังในสมอง เสียงนั้นกล่าวสบายๆแต่แฝงไปด้วยการบีบบังคับ นางส่ายศีรษะ ด้วยรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

           “เจ้ากล้าต่อต้านข้ารึ”

           เสียงดังกล่าวเริ่มกราดเกรี้ยวใส่ ทำให้นางต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ หวังสลัดเสียงเหล่านี้ให้ออกจากสมอง ทว่ายิ่งพยายามเท่าใดกลับดูเหมือนยิ่งทรมานตัวเองมากเท่านั้น “ไม่” นางพึมพำ

           “อย่างเจ้าน่ะรึ กล้าต่อกรกับข้า จิ้งจอกเก้าหางเหม่ยซิน ดูสิว่าเจ้าจะทนไปได้สักกี่น้ำ” กล่าวจบเสียงหัวเราะหวีดแหลมก็ดังขึ้น

           กระหม่อมเสมือนถูกบีบรัด นางกุมศีรษะจนแทบจะจิกทึ้งเส้นผมของตนเอง นางฝืนกล่าวได้อย่างยากเย็น “เจ้าทำอะไรกับร่างกายของข้า”

           “ร่างกายของเจ้าน่ะหรือ เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่จากนี้ไปร่างนี้จะกลายจะเป็นของข้าโดยสมบูรณ์”

           “จะ เจ้าหลอกข้างั้นรึ” 

           “ข้าไม่เพียงแต่หลอกเจ้า ข้ายังจะแย่งเขาไปจากเจ้าอีกด้วย”

           “มะ หมายความว่ากระไร” นางตื่นตะลึงวูบ กายสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งตัว ชีวิตของนางอยู่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอยู่เสมอ ตอนนี้ก็เช่นกัน

           “เจ้ายังต้องถามอีกรึ ทั้งๆที่เจ้าได้บั่นทอนพลังชีวิตของเขาเสียหลายครั้ง” จิ้งจอกเหม่ยซินกล่าวแทงใจดำ

           “ขะ ข้า ไม่จริง” เขาจะตายอย่างนั้นรึ นางแตกตื่นจนแทบสิ้นสติ นางมิอาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้ นางมิเคยต้องการแบบนี้ นางสาบานได้ แต่ดูว่าตอนนี้มันกลับสายไปแล้ว นางประจักษ์ได้ เนื่องเพราะมือของนางได้เอื้อมออกไปยังเบื้องหน้าที่มีเขาอยู่ โดยที่นางมิได้ต้องการทำเช่นนั้น

           ร่างกายถูกควบคุมโดยอย่างสิ้นเชิง นางได้แต่มองบุรุษที่นางรักยืนอยู่ตรงหน้า...ย่ะ หยุด ข้าไม่ได้ต้องการเช่นนี้ หยุด ได้โปรด นางกล่าวซ้ำไปซ้ำมา จนสุดท้ายต้องกรีดร้องขึ้นอย่างสุดเสียง หวังให้ชายหนุ่มหนีออกไปให้ไกลจากตัวนาง ยิ่งมากเท่าใดยิ่งดี แต่ดูเหมือนว่าเสียงของนาง มิอาจสะท้อนไปถึงเขาได้สักนิด

           “หย่าเหลียน”

           เสียงของเซียวถิงฟงเหมือนคืนสติให้แก่นางอีกครั้ง มือของนางสัมผัสตรงที่อกข้างซ้ายของเขา แลข้างในอกก็มีสิ่งหนึ่งที่เต้นเป็นจังหวะ จิ้งจอกเหม่ยซินยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

           “ท่านเป็นอะไรมากรึไม่” น้ำเสียงหยาดเยิ้มกล่าวขึ้น ดวงตาเป็นประกายจ้องมองใบหน้าคนที่ดูเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก

           เซียวถิงฟงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเบาบาง “ข้า...ข้ามิเป็นอะไร” จากนั้นจึงฉุกคิดขึ้นได้ว่านางเปียกไปด้วยน้ำฝน ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ “ข้าจะพาเจ้ากลับตำหนักเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงหม่นหมองเอ่ยขึ้นพลางลุกตัวเข้าพยุง หากแต่นางกลับยกมือเป็นเชิงห้าม
   
           “ท่านจะมอบหัวใจของท่านให้ข้าได้รึไม่” นางเอ่ยขอน้ำเสียงจริงจัง ไม่เว้นแม้แต่สายตา ทำให้เซียวถิงฟงต้องนิ่งอึ้งไป
   
           “นางไปจากท่านแล้ว นางมิได้รักท่าน เช่นนั้นแล้วท่านควรมอบหัวใจของท่านให้ข้าซะ” จิ้งจอกเหม่ยซินกระซิบคำกล่าวที่เป็นเสมือนดั่งมนตร์ ไม่ว่าชายใดที่ต้องมนตร์นี้มักลุ่มหลงให้กับนางด้วยกันทั้งสิ้น นางรอคอยโอกาสนี้มานานแล้ว รอคอยให้จิตใจของชายหนุ่มตรงหน้าอ่อนแอลงจนมิอาจต้านทานมนตร์ของนางได้อีก
   
           วาจาเชือดเฉือนของนางเปรียบเสมือนคมมีดที่กรีดทับบาดแผลให้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง เซียวถิงฟงรู้สึกคล้ายถูกดึงเข้าไปยังบ่อทรายที่ลึกยิ่ง แลยิ่งตะเกียกตะกายมากเท่าใด กลับยิ่งจมลงไปมากเท่านั้น ยากที่จะกลับขึ้นมาได้อีก
   
           ในที่สุดบุรุษเบื้องหน้าของจิ้งจอกเหม่นซินก็ดั่งเช่นคนเป็น หากแต่กลับเป็นคนเป็นที่หัวใจตายไปแล้ว สายตาของนางเกิดเป็นประกายสีแดง นางยิ้มหยันอย่างดีอกดีใจ ก่อนโผกอดเขาไว้แน่น กล่าวปลอบโยนเขาอย่างดี “กล่าวสิว่าท่านจะมอบหัวใจให้ข้า”
   
           เซียวถิงฟงรู้สึกถึงหัวใจที่ด้านชา ทั้งที่เจ็บปวดแทบตายแต่กลับมิอาจตายได้ เสมือนมีเสียงกระซิบหนึ่งร้องบอก จะสนไปไยว่าชีวิตที่เหลือจะดีหรือร้าย ในเมื่อหัวใจแตกสลายไปหมดแล้ว ซึ่งแม้จะมีอีกเสียงกระซิบหนึ่งพยายามทัดทานความคิดนี้ แต่ทว่ามันก็มิอาจสู้เสียงกระซิบแรกได้

           ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายตกอยู่ในมนตร์สะกด เขาตอบออกไปอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงตายด้านไร้ซึ่งชีวิตชีวา “ข้าจะมอบหัวใจให้เจ้า”
   
           ครั้นได้คำตอบที่รอคอย จิ้งจอกเหม่ยซินก็แค่นหัวเราะภายในใจ ความสามารถด้านการสะกดจิตใจของนาง มิเคยทำให้นางต้องผิดหวัง และบัดนี้เพียงประโยคเดียวของเขาได้ทำให้นางได้สิ่งที่ต้องการแล้ว นางเหยียดยิ้มเมื่อกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

           “ขอบคุณท่านมาก ที่ท่านยอมมอบสิ่งที่ข้าต้องการมาตลอด” สายตานางแหลมคมยิ่งขึ้น หากแต่เซียวถิงฟงกลับมิได้รู้สึกตัว แลชั่วพริบตานางก็พุ่งมือเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

           เซียวถิงฟงเบิกตากว้าง หยดน้ำสีแดงสาดกระเซ็นจนเปราะเปื้อนที่ใบหน้าตนเอง ที่หน้าอกรู้สึกถึงสายลมพัดผ่าน ยังผลให้รู้สึกโหวงเหวง เพียงชั่ววูบก็รู้สึกอึดอัด เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าของหย่าเหลียนอย่างช้าๆ

           ดูหมือนว่าใบหน้าของนางก็ต้องด้วยหยดน้ำสีแดงเช่นกัน นางส่งรอยยิ้มกว้างให้ ทั้งจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีแดงโลหิต จากนั้นนางก็ค่อยๆผละตัวออกจากเขาอย่างแช่มช้า บางสิ่งบางอย่างคล้ายเสียดสีที่หน้าอก

           “อึก” ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วทั้งกาย เซียวถิงฟงข่มกัดฟันไว้แน่น ดวงตาแข็งกร้าว

           ในที่สุดหย่าเหลียนก็เดินถอยหลังออกห่างไปอย่างช้าๆ สีหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ชุดสีขาวที่เปียกปอนด้วยน้ำฝนกลับถูกหยดน้ำสีแดงสาดทับลงไปอีกที แขนขวาของนางชุ่มไปด้วยสีแดงเสมือนถูกย้อมด้วยสี รอจนนางถอยห่างออกไปหนึ่งช่วงตัว เซียวถิงฟงก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่ในมือของนางอย่างเต็มตา

           สิ่งนั้นกำลังเต้นตุบๆในมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด...หัวใจของเขา
   
           “แค่ก แค่ก” โลหิตที่อยู่ภายในพากันถาโถมออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่หยุดยั้ง เขากระอักเลือดออกมา ไม่นานนักร่างกายที่เคยอบอุ่นก็พลันรู้สึกหนาวสะท้าน ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
   
           “ขอบคุณรองแม่ทัพเซียวอย่างยิ่ง” เสียงแหลมเล็กกล่าวขึ้นพร้อมทั้งชะโงกหน้ามองร่างของเซียวถิงฟง
   
           เซียวถิงฟงมองร่างอรชรอย่างไม่กะพริบตา บัดนี้สตรีที่อยู่เบื้องหน้ามิใช่หย่าเหลียนอีกต่อไป หยดเลือดสีแดงของเขาพร่างพรมอาภรณ์สีขาวของสตรีนางนี้จนกลายเป็นชุดสีแดงสด ฉับพลันนั้นความทรงจำหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง

           รอยยิ้มที่หยาดเยิ้มยั่วยวน ดวงตาที่มีประกายสีแดง อาภรณ์สีแดงสดดั่งโลหิต นางคือสตรีลึกลับที่เขาได้พบเจอโดยบังเอิญครั้นงานเลี้ยงในวนอุทยานชวีเจียง “จะ เจ้า” เซียวถิงฟงเค้นเสียงพูดอย่างอย่างลำบาก

           “ท่านจำข้าได้แล้วหรือ แล้วท่านยังจำได้รึไม่ ว่าข้าเคยกล่าวอะไรไว้กับท่าน ข้าเคยกล่าวไว้ว่าสุดท้ายแล้วท่านจะเป็นฝ่ายมอบหัวใจของท่านให้ข้าอย่างแน่นอน” กล่าวจบจิ้งจอกเหม่ยซินก็หัวเราะขึ้นอย่างสะใจ

           “ยะ หย่าเหลียน น่ะ นาง” เซียวถิงฟงหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ทำให้เสียงที่บังเกิดกลายเป็นน้ำเสียงขาดๆหายๆ

           “มิต้องห่วง ข้าจะดูแลร่างกายของนางให้ดีทีเดียว ว่าแต่หัวใจของท่านช่างเปี่ยมไปด้วยพลังของเซียน น่าลิ้มลองยิ่งนัก” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวจบ ก็ยกหัวใจที่ยังคงเต้นตุบๆขึ้นกัดกินต่อหน้าชายหนุ่มอย่างตะกรุมตะกราม ในระหว่างนั้นนางยังคงใช้มือหนึ่งลูบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า แม้หัวใจดวงนี้จะมีเพียงแค่ครึ่งดวง แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเซียนที่จะช่วยให้ตบะของนางรุดหน้าไปไกล

           เซียวถิงฟงสะบัดหน้าหนีอย่างรังเกียจ แต่ความจริงแล้วเขาไม่หลงเหลือพลังในกายที่จะหลบหลีกอีกต่อไป ในไม่ช้าดวงตาก็รู้สึกหนักราวกับแบกหินไว้พันชั่ง เขามิอาจฝืนสู้ได้อีก ดวงตาจึงปิดลงอย่างเหน็ดเหนื่อยจนมองเห็นเพียงแต่ความมืดมิด

           แต่กระนั้นในความมืดนั้นยังคงมีแสงส่องสว่าง แสงที่ส่องเป็นประกายสีเหลืองท่ามกลางความมืดมิด ที่ใจกลางนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดขาวหมดจด ใบหน้าเรียวเล็ก เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูอ่อนละมุนน่าสัมผัส เฉกเช่นดวงตาที่งดงาม ริมฝีปากบางนั้นแย้มยิ้มอย่างมีความสุข

           ต้าเซียนกำลังยิ้มให้เขา ความอบอุ่นล้นปรี่ขึ้นในใจอีกครั้ง ทว่าไม่นานภาพของเขาที่ทำร้ายต้าเซียนกับมือของตัวเอง อีกทั้งนามต้าเซียนที่ถูกร่างน้อยทิ้งไว้ ณ ที่แห่งนี้ก็แล่นวาบเข้าสู่สมอง ความสะเทือนใจกอบกุมจิตใจเขาอีกครั้ง

           ความเจ็บปวดนี้สาสมแล้ว สาสมแล้ว เซียวถิงฟงแค่นหัวเราะสมเพชตนเองในใจ

           ต้าเซียน...ตัวข้าที่ไม่เคยอยู่เคียงข้างเจ้า ตัวข้าที่ทำร้ายเจ้ามาตลอด แม้ข้าจะกระทำผิดมามากมาย และคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะแก้ตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้ารับรู้มาตลอด

           ...ข้าปรารถนาเป็นดั่งเช่นเจ้า เป็นดั่งเช่นเม็ดทรายที่สามารถลอยละล่องไปทั่วทุกที่ เพื่อที่ข้าจะได้ติดตามเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง แม้ข้าไม่อาจสัมผัสจับต้องเจ้าได้ ก็มิเป็นไร ขอเพียงข้าได้มองเจ้าอยู่ห่างๆ เห็นเจ้ายิ้มอย่างมีความสุข แม้คนที่เจ้ายิ้มและคนที่เจ้ารักจะไม่ใช่ตัวข้า และหากวันใดที่เจ้ารู้สึกโดดเดี่ยว ข้าจะคอยอยู่ข้างกายเจ้า ปลอบโยนเจ้า แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่รู้สึกถึงตัวตนของข้าเลยก็ตามที

           เพียงแค่นี้ก็ เพีย งพอสำหรั บคนอย่าง ข้าแล้ ว

           ต้าเซี ยน...รั ก


****************************************************

เเบ่งเบามาม่ากันไปคนละชามนะจ้ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 26 ความปรารถนา 14/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 14-11-2015 21:49:06
มาม่าชามใหญ่
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 26 ความปรารถนา 14/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Umiko ที่ 15-11-2015 00:16:48
เศร้าเกินไปแล้ว.... :hao5:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 26 ความปรารถนา 14/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 15-11-2015 01:56:32
มาเต็ม ไม่นะถิงฟงอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปปป
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 27.1 ฝืนลิขิต 15/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 15-11-2015 20:38:54
บทที่ 27.1 ฝืนลิขิต



           เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาปรารถนาเป็นคนพิการตาบอด เพียงเพื่อจะได้มิต้องรับรู้เรื่องราวตรงหน้า กายพลันสั่นสะท้านรุนแรง ต่อเมื่อสองตาสบพบกับชายที่ซึ่งนอนหลับตาแน่นิ่งกับพื้น

           หากเป็นตามปกติเขาคงจะเดินดุ่มเข้าไปเตะสีข้างของคนผู้นี้สักทีสองที หากแต่ตอนนี้เขามิกล้าทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เนื่องเพราะเจ้าตัวมิได้นอนแน่นิ่งเกียจคร้านเช่นในวัยเด็ก ผู้ซึ่งมักหาเวลาส่วนใหญ่ล้มตัวนอนเล่นบนพื้นหญ้าโดยที่มิได้ใส่ใจถึงกิริยามารยาทอันใด
           
           ทั้งตอนนี้เจ้าตัวมิได้เพียงแค่งีบหลับ แต่ที่ด้านหลังยังปรากฏไว้ด้วยโลหิตกองหนึ่ง ที่หน้าอกยังมีร่องรอยทะลุทะลวงบริเวณหัวใจ คล้ายถูกมือเรียวเล็กคว้านออกไปอย่างอำมหิต สมองของเขาอื้ออึงในบัดดล เสียงร้องของถิงถิงดังขึ้นสุดเสียง นางแล่นเข้าไปหาคนผู้นี้ทันทีที่มองเห็นสภาพของเขา พร้อมกับร่ำไห้สะอึกสะอื้นราวจะขาดใจ

           “องค์รัชทายาท” เสี่ยวลู่กล่าวเรียกตนด้วยน้ำเสียงสั่นอันแฝงแววหวาดกลัวอย่างปกปิดไม่มิด

           ซวนหยวนหมิงไท่พยายามอ้าปากขึ้นเอื้อนเอ่ย แต่ก็หาได้มีคำใดเล็ดลอดออกมาไม่ เพียงแค่รู้สึกถึงคำหนึ่ง...เร็ว เร็วเกินไป

           ไม่กี่ชั่วยามก่อนเขายังคงได้ประมือกับชายผู้นี้ ชายที่เป็นดั่งสหายเพียงหนึ่งเดียวของเขา แต่มาตอนนี้อีกฝ่ายกำลังนอนไร้ชีวิตชีวา โดยมีถิงถิงร้องไห้ฟูมฟายพยายามเขย่าตัวไม่หยุดหย่อน กระทั่งเหล่าองค์รักษ์ต้องเข้าไปรั้งตัวนางไว้

           เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันนี้...

           สมองเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า รู้สึกเสมือนถูกใครตีเข้าที่ศีรษะอย่างจัง ฉับพลันนั้นบังเกิดเสียงหัวเราะดังก้องเหนือฟากฟ้า ทำให้คนทั้งหลายต้องยกมือขึ้นป้องหู แล้วเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง

           เพียงชั่วครู่ก็เกิดเป็นลมแรง พัดพาเอากิ่งไม้รอบๆต่างสะบัดไสว ราวกับตอบสนองความชั่วร้ายประกายหนึ่ง สายลมกระหน่ำเฉกเช่นคลื่นพายุ ส่งผลให้เหล่าองค์รักษ์ต้องโซเซกาย ความอลหม่านเกิดขึ้นโดยรอบ

           ไม่นานนักลมพายุก็สงบ ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่ต้องฉายแววประหลาดใจอีกครั้ง เพราะผู้คนที่เหลืออยู่กลับมีเพียงเขาและถิงถิงที่มีสีหน้างงงันเคล้าน้ำตา ครั้นหันไปมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง ก็พลันพบร่างของเหล่าองครักษ์และเสี่ยวลู่ที่นอนไม่ได้สติกับพื้น มีเพียงหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงน้อยๆ บ่งบอกว่ายังคงมีชีวิตอยู่

           “นึกแล้วว่าท่านยังคงต้องย้อนกลับมา”

           เสียงหวานระคนยั่วยวนสะท้อนเข้าสู่โสตประสาท เขาค่อยๆขยับเขยื้อนกายทีละเล็กทีละน้อยเพื่อหันกลับไปยังด้านหลัง กระทั่งใบหน้ากระจ่างตาสะท้อนสู่แววตา หญิงสาวที่ตนรู้จักก็เหยียดยิ้มกว้างให้ ดูไร้ซึ่งความเดียงสาเช่นกาลก่อน นางเองก็หยุดมองท่าทีนิ่งไม่ไหวติงของเขา จากนั้นก็ค่อยๆยกมือที่เปราะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตที่ยังคงไม่แห้งสนิทขึ้นป้องริมฝีปากแล้วหัวเราะขึ้น

           “คิก คิก” น้ำเสียงที่ราวกับระฆังถูกเปล่งออกมา “ดูท่านสิ กำลังหวาดกลัวใช่รึไม่ นี่ข้าเองหย่าเหลียนของท่านอย่างไรล่ะ”

           น้ำเสียงนั้นกล่าวเจือไปด้วยความขบขันเล็กน้อย รัชทายาทหนุ่มฟังแล้วก็ขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ “ข้ารึหวาดกลัว นางปีศาจ เจ้ากล่าววาจาเหลวไหล อีกทั้งเจ้าก็มิใช่หย่าเหลียน” กล่าวจบ ถิงถิงที่ยังคงมีสตินั่งอยู่ข้างกายเซียวถิงฟงก็กล่าวสนับสนุน

           “ใช่ เจ้าปีศาจ เจ้าพูดจาเหลวไหล เจ้าทำร้ายนายของข้า วันนี้เจ้าอย่าได้หมายมีชีวิตอีกต่อไป” เมื่อสิ้นเสียง ถิงถิงก็ทะยานร่างด้วยท่าสี่เท้าเข้าหานางปีศาจอย่างไม่รอช้า เล็บของนางงอกขึ้นยาวอย่างรวดเร็ว หมายที่จะฟาดกรีดไปที่ดวงหน้าของหญิงที่มีใบหน้าเฉกเช่นองค์หญิงหย่าเหลียน

           หากแต่ร่างของนางปีศาจกลับไม่หลบไม่หลีก นางเพียงยกยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นจึงยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นปลดปล่อยขุมพลังเข้าใส่ พริบตานั้นขุมพลังสีดำทะมึนก็ปรากฏที่เบื้องหน้าของถิงถิง ก่อนจะกระแทกเข้ากับร่างจนทำให้นางต้องลอยละลิ่วไถลกับพื้นแน่นิ่งไปในทันที

           “ถิงถิง” เขาถึงกับตื่นตะลึง

           “ทางที่ดีท่านอย่าได้ขยับเสียดีกว่า มิฉะนั้นนางตายแน่” เสียงอำมหิตถูกเอ่ยออกมาจากใบหน้าที่ยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ซวนหยวนหมิงไท่ที่เคลื่อนกายไปได้เพียงแค่ก้าวเดียวจำต้องหยุดชะงัก หันกลับมาจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง แต่จิ้งจอกเหม่ยซินหาได้แยแสไม่ นางกลับชมชอบเสียด้วยซ้ำ นางยกฝ่ามือไปทางถิงถิงเพื่อเป็นการขู่อีกที

           “เจ้าต้องการอะไร” ครานี้เขากัดฟันกล่าวถาม ในใจพยายามสงบกลั้นอารมณ์ให้เยือกเย็น   

           “ข้าเพียงต้องการสัญญาที่ท่านเคยตกลงกับข้าไว้” ปีศาจจิ้งจอกกล่าวขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทที่ยืนไม่กระดุกกระดิก

           “เจ้า...สังหารเซียวถิงฟงไปแล้ว ยังไม่พอใจอีกรึ” เขาฝืนกล่าวขึ้น อย่างทำใจยอมรับได้ยากกับสิ่งที่พึ่งพบเห็น หากแต่เซียวถิงฟงนั้นได้เสียชีวิตลงแล้วจริงๆ

           “เขาก็ส่วนเขา ท่านก็ส่วนท่าน” นางพูดสั้นๆพร้อมทั้งจงใจลูบไล้ใบหน้าสง่างามด้วยมือที่ยังคงเปื้อนไปด้วยโลหิต “แต่มิต้องห่วง กับท่านข้าจะมิปล่อยให้ท่านต้องจากไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่”

           “แสดงว่าเขาจากไปเร็วมาก”

           “เป็นเช่นที่ท่านกล่าว” เหม่ยซินเริ่มโอบกอดชายที่ยืนเซื่องซึม ก่อนจะแสยะยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงรสชาติเลือดเนื้อของโอรสมังกรอีกครั้ง นางซุกไซ้ลำคอเรียวอย่างพึงพอใจ มิได้สังเกตเห็นถึงท่าทีผิดปกติของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

            “เปิดรับข้า ผสานใจกับข้า” เสียงที่คอยโหวกเหวกข้างหูอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน เพลานี้กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า

           “ข้าต้องทำเช่นนั้นจริงๆรึ” คำถามผุดขึ้นในใจ...จะให้เขาช่วงชิงชีวิตของสตรีที่รักด้วยน้ำมือของตนเองจริงๆน่ะหรือ

           “ในเพลานี้นางจะเป็นอิสระจากความมืดได้รึไม่ ขึ้นอยู่ที่เจ้าตัดสินแล้ว” ไป๋เซ่อกล่าวตอบอย่างหนักแน่น

           ด้านซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วหลับตาลงเม้มริมฝีปากแน่น แม้ความเจ็บปวดจะต้องคงอยู่ไปตลอดกาล แต่เขาจะไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง


**************************************************


           แสงสว่างสะท้อนขึ้นภายใต้เปลือกตา พริบตานั้นความเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นที่แขน เขาก้มลงมองแขนขวาแล้วพลันเห็นงูเผือกสีขาวที่กำลังเลื้อยรัดที่ข้อมืออย่างเงียบเชียบ กระทั่งเลื้อยไปถึงที่ท่อนไหล่ที่แข็งแรง มันก็ใช้จังหวะนี้เลื้อยอ้อมไปหลบที่แผ่นหลัง รอจนได้จังหวะที่นางจิ้งจอกไม่ทันระวัง ก็โผล่ออกไปเผชิญหน้าอย่างที่มิให้นางตั้งตัวได้ติด

           “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เจ้าปีศาจจิ้งจอก วันนี้เป็นวันตายของเจ้า
   
           “กรี๊ด” จิ้งจอกเหม่ยซินกรีดร้องตกใจ ทันทีที่เห็นงูเผือกแยกเขี้ยวดุร้ายประชิดที่ใบหน้าตัวเอง นางรีบผละตัวออกจากซวนหยวนหมิงไท่ แต่ทว่าไป๋เซ่อกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น มันดีดตัวออกจากรัชทายาท พร้อมทั้งทะยานร่างเข้าหาปีศาจจิ้งจอกอย่างมิเกรงกลัว

           ครานี้นางจิ้งจอกถึงกับตะเบ็งเสียงร้องลั่น เนื่องเพราะงูเผือกโผเข้ารัดที่ลำคออย่างพัลวัน แม้นางจะพยายามดึงทึ้งมันออกสักแค่ไหน กลับกลายเป็นว่ามันยิ่งรัดคอจนนางหายใจมิออก ท้ายที่สุดต้องแสร้งอ่อนระทวยคล้ายสิ้นฤทธิ์ ยังผลให้งูเผือกคลายตัวลง พอสบโอกาสก็ดึงมันออกจากลำคอ แล้วขว้างออกไปให้ไกลสุดแสน

           ไป๋เซ่อที่หลงกลก็รู้สึกโมโหจัด แลจังหวะที่โดนเขวี้ยงตัวออกมา มันก็ดีดตัวกลับไปหาซวนหยวนหมิงไท่ที่ซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลัง พร้อมกันนั้นก็ผงกหัวขึ้นขู่ฟ่อๆไปทางนางปีศาจที่กำลังทำสีหน้าขยะแขยง

           “ท่านกล้าปฏิเสธข้า” จิ้งจอกเหม่ยซินกล่าวน้ำเสียงกร้าว

           “ใช่ ข้าขอปฏิเสธ นางปีศาจชั่วช้า” ซวนหยวนหมิงไท่ยืนกรานหนักแน่น ทำให้นางต้องถลึงตามองด้วยความโกรธ

           “ท่านอย่าได้ลืมไปว่าร่างนี้เป็นร่างของสตรีที่ท่านรักยิ่ง” นางมิยอมให้ใครมาหักหน้าได้ จึงงัดเอาจุดอ่อนของคนตรงหน้ามาใช้ขึ้นแทน

           แลคำพูดที่หยิบยกมาก็ทำใจของซวนหยวนหมิงไท่สับสน เพราะร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เป็นร่างขององค์หญิงหย่าเหลียนจริงๆ

           “เจ้าอย่าได้ลังเลใจอีก ตอนนี้มีเพียงเจ้าที่สามารถช่วยนางได้ หาทางเข้าใกล้นางแล้วใช้กระบี่พิสุทธิ์แทงที่หัวใจของนางเสีย เท่านี้นางก็จะสามารถกลับมาสู่ทางที่สว่างได้” เสียงขู่ฟ่อๆของไป๋เซ่อกล่าวเตือนสติเขา

           ใช่แล้ว ไป๋เซ่อกล่าวได้ถูกต้อง เขามิอาจลังเลใจได้อีก ตอนนี้มีเพียงเขาที่จะสามารถช่วยนางได้ คิดได้ดังนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ตัดสินใจในที่สุด แขนขวายกขึ้น ไป๋เซ่อที่เลื้อยรัดอยู่ก็ขู่ฟ่อตอบรับ จากนั้นร่างของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบ ก่อนจะกลับกลายเป็นเช่นกระบี่สีขาวบริสุทธิ์

           “กล้าเป็นปรปักษ์กับข้า ดูสิว่าจะร้ายกาจแค่ไหนกันเชียว” จิ้งจอกเหม่ยซินแค่นน้ำเสียงไม่พอใจ นางถลันตัวเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว กระบี่พิสุทธิ์ในมือของซวนหยวนหมิงไท่ก็ถูกวาดออกด้วยเช่นกัน

           ปลายแขนเพียงแค่ตวัด โลหิตสีแดงคล้ำก็สาดกระเซ็นท่ามกลางกระแสลม จิ้งจอกเหม่ยซินถึงกับงงงันวูบ เนื่องเพราะโลหิตนี้หาใช่ขององค์รัชทายาทไม่ หากแต่เป็นของนางเอง ครั้นมองดูบาดแผลที่ไม่ตื้นไม่ลึกที่แขนข้างซ้าย ก็ดูว่ากระบี่ในมือขององค์รัชทายาทนี้หาได้ธรรมดาไม่

           “กระบี่ท่านเป็นของดีมิใช่น้อย เกรงว่าเป็นของวิเศษจากแดนสวรรค์” หากเป็นกระบี่ธรรมดาย่อมมิสามารถทำอันตรายนางได้ ยิ่งในตอนนี้ นางมีพลังเซียนที่แย่งชิงมาจากเซียวถิงฟงด้วยแล้ว นั่นย่อมเป็นไปมิได้

           “กระบี่นี้เรียกว่ากระบี่พิสุทธิ์ เป็นกระบี่ประจำองค์มหาเทพแห่งแดนสวรรค์ มีฤทธานุภาพทำลายพลังมืดและพลังฟ้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะช่วงชิงพลังเซียนมาได้ แต่ก็มิอาจรอดพ้นไปจากกระบี่นี้ได้เช่นกัน” เสียงขู่ฟ่อของไป๋เซ่อดังขึ้นในสมอง แต่น่าแปลกที่เขากลับเป็นฝ่ายกล่าวออกมาเอง

           นางจิ้งจอกคิ้วขมวดเป็นปม “พวกเจ้าอย่าได้อวดอ้างเกินไป ข้าไม่มีวันเชื่อว่าพวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้” กล่าวจบก็ส่งเสียงหัวเราะก้องไปทั่วบริเวณ ทิ้งไว้ให้คนกับกระบี่นิ่งงันจับตาดูท่าทีของนางไม่ไหวติง รอจนนางข่มขวัญจบก็อาศัยจังหวะนี้ พุ่งตัวเข้าหาทั้งคนทั้งกระบี่

           เสียงกระบี่และกรงเล็บอันแหลมคมปะทะกันอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ก็ผละออกจากกัน กระนั้นจิ้งจอกเหม่ยซินก็หาได้เลิกราไม่ นางยังคงเข้ารุกไล่ด้วยพละกำลังอันเปี่ยมล้น อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

           สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่เองก็มิได้แปรเปลี่ยน กระบี่พิสุทธิ์นั้นรุกไล่ขึ้นสวนไปทางด้านบนอย่างกะทันหัน ทำเอาจิ้งจอกเหม่ยซินต้องสะบัดหน้าแหงนขึ้นแทบมิทัน แต่เพลงกระบี่พิสุทธิ์นั้นก็หาได้ธรรมดาอย่างที่นางคิด กระบี่พึ่งรุกไล่ขึ้นแต่แล้วกลับทิ่มแทงลงอย่างกะทันหัน

           จิ้งจอกเหม่ยซินผงะตกใจ เมื่อเห็นปลายกระบี่พุ่งสวนลงมาที่หน้าอก แลช่วงเวลาที่วิกฤตนี้สองมือของนางก็ประกบปลายกระบี่นี้ไว้อย่างทันท่วงที เหงื่อกาฬหลั่งไหลที่หน้าผาก นางใช้สายตาจ้องลึกลงไปยังสายตาของรัชทายาทหนุ่ม

           ลึกลงไปในดวงตาประกายแดง กลับปรากฏภาพหญิงสาวที่ตนคุ้นตาดียิ่ง นางจ้องมองเขาอย่างมีความในใจ  จากนั้นจึงกล่าวกับเขาประโยคหนึ่ง

           “ได้โปรดฆ่าข้าซะ”

           ซวนหยวนหมิงไท่บังเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ทำให้เผลอชะลอท่าทีลง จิ้งจอกเหม่ยซินสบช่องโหว่นี้แล้วก็รีบผละร่างให้ห่างจากคมกระบี่ จวบจนรู้สึกตัวอีกครั้งรัชทายาทหนุ่มก็ไล่ติดตามไปอย่างมิลดละ

           เพลงกระบี่บ้างมุ่งตรง บ้างวกวน จากช้าเปลี่ยนเป็นเร็ว จากเร็วเปลี่ยนเป็นช้า บางเพลงก็ลดเลี้ยวดุจเช่นงู ส่งผลให้นางจิ้งจอกรับมืออย่างงุนงง ในใจเริ่มประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ลึกๆ เนื่องเพราะกายเกิดเป็นรอยแผลริ้วจากคมกระบี่ แม้แผลไม่ลึกแต่กลับแสบร้อนยากต่อการทานทน ดูท่าว่านางจำเป็นต้องปลดปล่อยพลังที่ยังคงไม่เสถียรภาพออกมาแล้ว

           หลังจากที่จิ้งจอกเหม่ยซินกัดกินหัวใจของเซียวถิงฟง พลังเซียนที่เอ่อท้นไปด้วยพลังก็หมุนเวียนไปทั่วร่างกาย ประกอบกับปราณมังกรขององค์รัชทายาทจำนวนหนึ่ง ก็ทำให้นางถึงแก่บรรลุตบะหลายพันปี ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้คึกคะนองยิ่ง แม้ต้องรอคอยให้พลังในร่างเสถียร แต่บัดนี้นางได้เปล่งพลังแล้ว

           หางจิ้งจอกนับร้อยปรากฏขึ้นสู่สายตา ในแววตาขององค์รัชทายาทนั้นมีความตื่นตระหนกอยู่บ้าง นางหัวร่อเพื่อแสดงความน่าเกรงขามนี้ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดูสิว่าแบบนี้เจ้าจะทำอะไรข้าได้”

           ซวนหยวนหมิงไท่รับเอาการข่มขวัญของนางปีศาจแล้วจึงพยายามสร้างขวัญกำลังใจให้กับตน ทว่าน่าแปลกนักที่ในหัวสมองของเขาเองก็มีน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้น ทั้งยังท้าทายขึ้นเป็นระยะๆ

           “มาเลย ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก เจ้าหางไม้กวาด” เป็นเสียงของเจ้างูน้อยที่ฟังดูฮึกเหิม พลอยทำให้เขารู้สึกคล้อยตามไปด้วย และในไม่ช้าหางจิ้งจอกนับสิบก็พุ่งใส่เขาราวกับห่าฝน

           เขาใช้กระบี่พิสุทธิ์ปัดป้องหางจิ้งจอกที่มุ่งทำร้ายอยู่หลายครั้ง แต่คนเพียงคนเดียว กระบี่เพียงเล่มหนึ่ง หาได้รับเอาหางจิ้งจอกนับสิบที่พากันโจมตีได้หมดไม่ ในที่สุดมันก็พันธนาการร่างและกระบี่ในมือของเขาไว้อย่างหนาแน่น

           จิ้งจอกเหม่ยซินยิ้มเยาะขบขันเมื่อเห็นอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์ ก่อนจะเคลื่อนกายเข้าใกล้คนที่ยังมีประกายตาไม่ยอมแพ้ ในมือแม้ถือด้วยกระบี่แต่ก็มิอาจใช้ออกได้อีก ดังนั้นนางจึงเริ่มต้นการทรมานอย่างที่ตนชื่นชอบ

           หางจิ้งจอกพุ่งตรงรัดที่แขนขวา เกิดเป็นรอยเขียวคล้ำเนื่องเพราะโลหิตมิอาจไหลเวียน ทว่าองค์รัชทายาทกลับมิร้องออกมาสักครึ่งคำ มีเพียงเหงื่อเย็นชโลมบนใบหน้า ส่งผลให้นางพานกล่าวยั่วยุ

           “ดูสิว่าเจ้าจะมีปัญญาฆ่าข้าได้รึไม่” พูดจบก็ใช้หางจิ้งจอกบังคับแขนข้างที่ถูกทรมาน ซ้ำยังถือไว้ด้วยกระบี่พิสุทธิ์จ่อเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายของตน นางรู้ดีว่าตอนนี้คนผู้นี้ไม่ว่าจะบีบหรือคลาย ล้วนแล้วต้องตายทั้งสิ้น แต่นางยังคงเล่นสนุกกับเหยื่อก่อนที่จะฆ่าเสียให้ตาย

           ซวนหยวนหมิงไท่พยายามขยับแขนขวาอย่างสุดความสามารถ แต่กระนั้นมือกลับหาได้ฟังเจ้าของไม่ ขอเพียงแทงกระบี่เข้าใส่หัวใจของนางปีศาจที่น่าชังตนนี้ นางต้องถึงแก่ดับสูญ แต่บัดนี้เขากลับกระทำมิได้ แลทำได้เพียงส่งสายตาเคียดแค้นให้กับนางปีศาจจิ้งจอกเท่านั้น

           ทว่าก่อนที่เขาจะหมดแรงกายแรงใจ ในแววตาสีแดงที่น่ารังเกียจคู่นั้นกลับสะท้อนภาพองค์หญิงหย่าเหลียนอีกครั้ง ดูว่าดวงตาของนางเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา หากแต่สีหน้าที่ปรากฏกลับฉายถึงความมุ่งมั่น นางขยับริมฝีปากกล่าวเพียงประโยคสั้นๆ
“ท่านต้องทำได้”

           เพียงเท่านี้เรี่ยวแรงที่หดหายก็กลับมาในบัดดล เขามุ่งมั่นที่จะขยับแขนเพื่อที่จะเอาชีวิตปีศาจจิ้งจอกอีกครั้ง

           “เพลงกระบี่หาได้ใช้เพียงกำลังไม่ กระบี่ที่ทรงอานุภาพย่อมเกิดจากใจ และจะยิ่งทรงพลานุภาพได้ ต่อเมื่อส่งเสริมซึ่งกันและกัน”

           เสียงไป๋เซ่อแว่วดังในสมอง ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่จุดประกายความคิดขึ้นมาประการหนึ่ง ครานี้เขาตั้งสมาธิ แล้วจึงแบฝ่ามือออก ใช้พลังที่เหลืออยู่น้อยนิดซัดกระบี่พิสุทธิ์ออกไปที่เบื้องหน้า

           กระบี่สีขาวพุ่งตรงเข้ามาอย่างกระชั้นชิด แววตาของจิ้งจอกเหม่ยซินนั้นเหลือกจนแทบจะถลนออกจากเบ้า นางมิเชื่อ มิเชื่ออย่างเด็ดขาด หากแต่กระบี่ที่แทงทะลุหัวใจนางนั้นหาได้หลอกนางไม่

           รอจนหางจิ้งจอกทั้งหมดคลายออกจากร่างขององค์รัชทายาท นางก็ผงะซวนเซถอยหลังไป มือกุมอกที่ยังคงมีกระบี่ปักบริเวณหัวใจ “เพราะเหตุใดกัน ข้าผิดพลาดประการใดกัน” จิ้งจอกเหม่ยซินกล่าวอย่างค้างคาใจ ทั้งๆที่อีกฝ่ายอยู่ในกำมือของนางแล้วแท้ๆ

           “ผิดที่เจ้าประมาท มองว่ามนุษย์นั้นไร้ซึ่งอำนาจต่อกร” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวขึ้น ฝีเท้าก้าวเข้าใกล้นางปีศาจที่พยายามกระถดตัวถอยหนี กระทั่งแบฝ่ามือออก กระบี่พิสุทธิ์ก็หวนกลับคืนสู่มือของเขา กลับกลายร่างเป็นเช่นงูเผือกสีขาวบริสุทธิ์อีกครั้ง

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” จู่ๆจิ้งจอกเหม่ยซินก็หัวเราะด้วยเสียงอันแหบแห้ง ทั้งกล่าวน้ำเสียงขาดห้วง “แม้ว่าวันนี้เจ้าจะชนะ แต่หาได้ชนะข้าทั้งหมดไม่ อย่างน้อยข้าได้คร่าชีวิตสตรีที่เจ้ารัก ซ้ำยังสหายสนิทเพียงคนเดียวของเจ้า ชีวิตของเจ้าหาได้มีความสุขอีกต่อไป จากนี้ไปเจ้าต้องตายทั้งเป็น” กล่าวจบก็หัวเราะไม่หยุด ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังจบก็รู้สึกสลดใจทอดถอนใจอย่างยากลำบาก

           ทว่าจิ้งจอกเหม่ยซินที่ยังคงพยายามหัวเราะเป็นครั้งสุดท้าย กลับต้องหวีดเสียงร้องเมื่อร่างของนางลุกท่วมด้วยเปลวไฟสีทอง นางโหยหวนอย่างเจ็บปวด แลไม่นานนักร่างของนางก็แตกกระจายหายไป หลงเหลือเพียงร่างที่โชกเลือดของสตรีนางหนึ่ง

           ครานี้ซวนหยวนหมิงไท่ไม่มีทีท่าลังเลอีกแล้ว เขาตรงเข้าไปโอบกอดนางไว้ราวกับคนเสียสติ “หย่าเหลียน”

           “ทะ ท่านอย่าได้เสียใจเพราะข้าอีกเลย ทุกอย่างเป็นข้าผิดเอง” น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนนั้นกล่าวปลอบชายที่ครั้งหนึ่งนางเคยมอบหัวใจให้

           “ไม่ เป็นเพราะข้า ข้านิ่งดูดายเจ้ามาตลอด” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงสั่น หัวใจราวกับจะขาดรอนๆ

           “ไม่ เป็นเพราะข้า หากวันนั้นข้ามิได้มอบกล่องขนมให้ท่านไป หากข้าไม่คิดลองใจท่าน ความสัมพันธ์ระหว่างเราคงไม่เกิดรอยร้าว”

           “เป็นเพราะข้าคาดการณ์ผิดเอง ข้าไม่อยากให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างตระกูล ข้าจึงทำหมางเมินเจ้า ข้าบอกตัวเองว่าทำเพื่อเจ้า แต่หาได้ดูไม่ว่าเจ้ามิได้เข้มแข็งอย่างที่ข้าคิด ข้าหาได้คิดถึงความสุขของเจ้าไม่” เขาก้มหน้ากล่าวอย่างรู้สึกผิด

           “เช่นนั้นท่านอย่าได้โทษตัวเองอีก ถือว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของข้า ได้โปรด” หย่าเหลียนกล่าวอย่างเจ็บปวด น้ำตาหลั่งรินมิหยุด จากนั้นจึงมองออกไปที่บุรุษที่อยู่ไกลออกไป แล้วพลันเอื้อมมือไขว่คว้า แต่กระนั้นกลับไม่สามารถแม้แต่สัมผัสเขาได้ ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นจึงอุ้มนางขึ้น แล้ววางร่างของนางไว้ที่ข้างกายของเซียวถิงฟง

           “เป็นข้าทำร้ายท่าน บีบบังคับท่าน ให้ท่านต้องละทิ้งความสุขของตัวเอง” หย่าเหลียนกล่าวน้ำเสียงขมขื่น พลางลูบไล้ใบหน้าที่หลับสนิทของเซียวถิงฟง

           ซวนหยวนหมิงไท่มองดูภาพนั้นอย่างสะท้านใจ เขากุมมือข้างหนึ่งของหย่าเหลียนแน่นไว้ ดูว่านางรู้ว่าเขาต้องการถามอะไร นางมองหน้าเขา และพยายามกล่าวกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย

           “ท่านเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นแก่ข้า ท่านสว่างไสว สว่างไสวเกินไป สว่างไสวจนทำให้ข้ามิอาจทนต้องแสงนั้นได้” นางหยุดกล่าวเล็กน้อย แล้วจึงหันหน้าไปกล่าวกับเซียวถิงฟง “แต่พี่ถิงฟง เขาเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่ทำให้ข้ารู้สึกพึ่งพิง ทำให้ข้ารู้สึกสงบใจ” กล่าวถึงตรงนี้นางก็เริ่มไอไม่หยุด

           ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก “ข้ารู้แล้ว เจ้าอย่าได้กล่าวอีกเลย” ยังไม่มิทันปรามจบ นิ้วมือของนางก็ยกป้องที่ริมฝีปากเขา

           “ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ”

           นางยิ้มให้แก่เขา ยิ้มเหมือนครั้งยังเป็นเด็กที่เอาแต่วิ่งเล่นอยู่รอบๆตัวเขา จากนั้นเปลือกตาบางก็ปิดลง สุ้มเสียงของนางหยุดลงเพียงเท่านี้ ซวนหยวนหมิงไท่รับรู้โดยปริยายว่านางมิอาจกล่าววาจาได้อีก เขาทำได้เพียงแค่กอดร่างที่เริ่มเย็นของนางไว้อย่างเงียบงัน


*************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 27.2 ฝืนลิขิต 15/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 15-11-2015 20:46:31
บทที่ 27.2 ฝืนลิขิต


           ร่างสีขาวเดินเข้ามาใกล้คนทั้งสามอย่างเงียบเชียบ คนหนึ่งกอดร่างของอีกคนไว้แน่น อีกผู้หนึ่งนอนนิ่งราวกับไร้ซึ่งชีวิต ฝีเท้าหยุดลงเบื้องหน้าร่างที่นอนแน่นิ่งนั้น มองโลหิตสีแดงที่กำลังซึมลึกสู่ผืนดินอย่างช้าๆ

           ชีวิตของมนุษย์ช่างแสนเปราะบาง แม้จะผ่านกาลยุคสมัยมามากเท่าใด แลเห็นผู้คนเกิดแก่เจ็บตายจนถือเป็นปกติวิสัย เข้าใจถ่องแท้ลึกซึ้งกว่าผู้ใด แต่ตนในตอนนี้กลับดูเหมือนไม่เข้าใจความจริงอันใดแม้แต่น้อย

           เขาย่อกายลง เอื้อมมือหนึ่งไปลูบไล้ใบหน้าคมคายอย่างเบามือ ภาพรอยยิ้มอบอุ่น ใบหน้ายามโกรธ หรือแม้แต่ใบหน้ายามเศร้าหมอง บัดนี้กลับตราตรึงขึ้นในสมอง ยากนักที่จะลืมเลือนมันไปได้ จู่ๆก็พลันรู้สึกอยากหยุดหายใจไปเสียดื้อๆ

           “ต้าเซียน”

           เสียงเรียกใกล้ๆปลุกให้เขารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง เขาช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของเสียงอย่างเชื่องช้า

           “นางจากไปแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงเศร้าพลางกระชับร่างที่ไร้ชีวิตขององค์หญิงหย่าเหลียนในอ้อมอก
ด้านไป๋เช่อในร่างมนุษย์เองก็ก้าวเข้ามาใกล้ๆ พลางกล่าวถึงสถานการณ์ให้แก่เขาฟังอยู่ครู่หนึ่ง

           “วิญญาณของปีศาจจิ้งจอกได้สูญสลายไปแล้ว นางหลุดพ้นจากความมืดมิดแล้วเช่นกัน” ต้าเซียนตอบพลางมองร่างไร้วิญญาณขององค์หญิงหย่าเหลียนในอ้อมกอดของซวนหยวนหมิงไท่ จากนั้นหันกลับมามองร่างตรงหน้าอีกครั้ง ในใจผุดคำถามหนึ่งขึ้นมา องค์หญิงหย่าเหลียนจากไปแล้ว เซียวถิงฟงเล่าต้องจากไปเช่นนางจริงๆน่ะหรือ

           “ท่านมหาเทพ มันสายไปแล้ว” ไป๋เซ่อบอกท่านมหาเทพที่เงียบงันลง จากนั้นจับจ้องเซียวถิงฟงที่ครั้งหนึ่งเคยมองเป็นคู่แข่งอย่าสลดใจ

           “อะไรคือสายไปแล้ว” ฉับพลันนั้นเสียงหนักแน่นกึ่งตวาดก็ดังขึ้นพร้อมกับสายตากล้าแข็ง ไป๋เซ่อสบสายตาคู่นั้นก็พลันรู้สึกลางไม่ดี

           “ทะ ท่านมหาเทพ ชีวิตมนุษย์นั้นเกิดแก่เจ็บตายเป็นไปตามกฎแห่งฟ้าดิน” ไป๋เซ่อกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจ มองดูแววตาที่ดื้อดึงขององค์มหาเทพในตอนนี้แล้วก็ต้องรู้สึกใจคอไม่ดี

           “หากข้าต้องการละเมิดกฎแห่งฟ้าดินเล่า”

           สิ้นประโยคดังกล่าว ไป๋เซ่อก็ถึงกับต้องอ้าปากกว้าง ฝีเท้ารีบเข้าไปขวางกั้นกลางระหว่างองค์มหาเทพกับร่างของเซียวถิงฟงไว้

           “หลีกไปไป๋เซ่อ” ต้าเซียนตวาด หากแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าไม่ยอมกระดุกกระดิก

           “ท่านซึ่งเป็นองค์มหาเทพแห่งแดนสวรรค์กำลังจะทำผิดกฎ ข้าไม่ยอม” ไป๋เซ่อกล่าวหนักแน่นทั้งยังกางแขนห้าม ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล้าขัดคำสั่งของท่านมหาเทพ

           ต้าเซียนมองดูไป๋เซ่อแล้วจึงถอนใจครู่หนึ่ง ดวงตาคลายความดื้อดึงลง ไป๋เซ่อมองดูแล้วก็ค่อยๆโล่งใจพลางลดแขนทั้งสองลง แต่ในชั่วอึดใจนั้นเขากลับจู่โจมใส่ สองมือบิดแขนข้างหนึ่งของไป๋เซ่อให้หลุดจากข้อต่อ

           “ข้าขอโทษไป๋เซ่อ ข้าจำเป็นต้องทำ ข้าติดค้างหัวใจครึ่งดวงของเซียวถิงฟงไว้ ข้าต้องใช้คืน” ต้าเซียนกล่าวพร้อมปล่อยแขน ยังผลให้ไป๋เซ่อต้องลงไปนอนร้องลั่น ทั้งพยายามกัดฟันฝืนกล่าว

           “ไม่ หากท่านช่วยเขา ครานี้พลังของท่านก็จะหมดไป กระทั่งร่างก็มิอาจคงเหลือไว้”

           ซวนหยวนหมิงไท่มองดูเหตุการณ์ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วแล้วก็งงงันวูบ กระทั่งไป๋เซ่อกล่าวขึ้น ตนจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขาสบสายตาต้าเซียนแล้วก็ต้องหลุบลงอย่างรู้สึกผิด เขามิได้ขัดขวาง ทั้งมิได้กล่าวห้ามปรามอันใด แม้รู้ว่าเป็นการเห็นแก่ตัว แต่หญิงสาวอันเป็นที่รักได้ตายลงแล้ว หากแม้แต่สหายยังจากไปอีก เขาก็ได้แต่ตายทั้งเป็น

           “ท่านอย่าได้รู้สึกผิด ข้าเต็มใจ” ต้าเซียนกล่าวแล้วยิ้มอ่อนๆ ซวนหยวนหมิงไท่มองอีกฝ่ายแล้วจึงรู้สึกตื้นตันใจ เอ่ยตอบ
“ขอบคุณท่านมาก”

           ต้าเซียนไม่รอช้าอีก เขามองดวงหน้าที่ไร้สีเลือดของเซียวถิงฟงแล้วจึงผายมือออก ในมือเรียวนั้นปรากฏหัวใจครึ่งหนึ่งที่กำลังเต้นเป็นจังหวะไม่หยุด ทั้งแรงเร็วราวกับว่ามันมิยินยอมที่จะออกจากร่างของเขาไป

           เขาโอบอุ้มมันไว้ที่กลางฝ่ามือ อีกมือหนึ่งหยิบเอาลูกแก้ววิเศษ จากนั้นวางไว้ที่หน้าอกข้างซ้ายของชายหนุ่ม ประกบฝ่ามือไว้เหนือหัวใจ แสงสีทองค่อยๆส่องอำพันที่ฝ่ามือ ดวงตาสีน้ำตาลเริ่มส่องประกายสีทอง พลังในร่างเริ่มถ่ายเทออกจากร่างของตนไปสู่ร่างของเซียวถิงฟง

           ไป๋เซ่อมองดูภาพตรงหน้าแล้วจึงกัดฟัน เอื้อมมือไปดึงเสื้อสีขาวไว้ แต่ก็นับว่าสายไป พลังสีทองแผ่ขยายโอบร่างคนทั้งสองไว้ มือจึงถูกผลักออกมายังนอกขอบข่ายของพลัง แม้จะพยายามทุบตีเท่าไหร่ก็มิอาจทำลายเขตพลังนี้ได้

           เส้นผมสีน้ำตาลยาวสยายไปด้านหลัง ต้าเซียนมองดวงหน้าของเซียวถิงฟงอย่างไม่กะพริบตา เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังจะหมดไปทีละเล็กทีละน้อย ร่างเริ่มรางเลือนแปรเปลี่ยนดั่งเช่นเม็ดทราย บ่งบอกความจริงที่ว่าพลังของเขากำลังหมดไป
เป็นจริงอย่างที่ไป๋เซ่อกล่าว หากเขาต้องการช่วยชีวิตของเซียวถิงฟง เขาต้องฝืนกฎธรรมชาติ แม้จะรักษาชีวิตของอีกฝ่ายได้ เขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูง ต้องยอมสละพลังทั้งหมด ทั้งยังเสี่ยงต่อการดับสูญ แต่กระนั้นเขาก็ยินยอมพร้อมใจ

           ใบหน้าของเซียวถิงฟงเริ่มปรากฏสีเลือด ต้าเซียนยิ้มขึ้นอย่างดีใจ แผลที่เคยแหวกกว้างก็ประสานกันราวกับไม่เคยมีบาดแผลมาก่อน ไม่นานนักขอบข่ายพลังที่โอบล้อมก็เริ่มอ่อนแสงลงจวบจนจางหายไปในที่สุด

           รู้สึกถึงริมฝีปากนุ่มที่ประทับลงมาอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นทำลายความฝันที่มีแต่ความมืดมิดให้สิ้นสุดลง เขาพยายามเปิดเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งขึ้นอย่างยากเย็น แต่แล้วก็พบดวงหน้าสวยที่ตนมิอาจลืมเลือนได้ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้า

           หยดเหงื่อต้องประกายแสงราวกับเพชร ร่างน้อยยิ้มให้อย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองตนอย่างอ่อนโยน หัวใจเขาเต้นแรงเร็วราวกับตอกย้ำว่า มันต้องการคนผู้นี้ ทั้งยังเรียกร้องปานจะขาดใจ เขาเอื้อมมือสัมผัสแก้มอันอ่อนนุ่ม พร้อมกล่าวนามอันเป็นที่รักอย่างช้าๆ

           “ต้าเซียน”

           เสียงเรียกจบลง แต่ร่างของต้าเซียนกลับฟุบลงกับร่างเขา ดวงตาของเซียวถิงฟงเบิกกว้าง ร่างอันเย็นเฉียบของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกใจหาย เขาร้องเรียกต้าเซียน แต่ร่างน้อยกลับนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของอีกฝ่าย เขาถึงกับหน้าซีด

           สองมือเอื้อมไปสัมผัสที่ไหล่บาง จากนั้นพยายามเขย่าให้ร่างน้อยรู้สึกตัว ทว่าร่างของเขากลับอ่อนเปลี้ยไม่ฟังคำสั่งแม้แต่น้อย ฉับพลันนั้นสายตาก็พลันสะดุดแลเห็นเม็ดทรายสีทองที่ค่อยๆล่องลอยออกไป เพียงพริบตาเขาก็จดจำได้เป็นอย่างดี

           ...ต้าเซียน ดูว่าฟ้าไม่เป็นใจบังเกิดให้มีกระแสลมแรง นำพาเม็ดทรายสีทองให้กระจายตัวออกไป เขามองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงลาน

           “ได้โปรดตอบข้าหน่อย ต้าเซียน” เซียวถิงฟงหลับตาภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขากลัวแทบตาย...เป็นข้าที่จะต้องจากไป มิใช่เจ้า...เขาได้แต่ข่มหลับตากอดร่างของอีกฝ่ายไว้แนบแน่น

           “ทำไมต้องช่วยข้า...ต้าเซียน พอได้แล้ว หยุดทำเพื่อข้าสักที ทั้งๆที่ข้าไม่เคยทำอะไรให้เจ้าได้เลยสักอย่าง ข้ามีแต่ทำร้ายเจ้า” เซียวถิงฟงร่ำร้องบอกอย่างปวดร้าว น้ำตาหยดหนึ่งไหลกลิ้งแนบแก้ม ทว่าร่างน้อยก็มิอาจได้ยิน แลไม่นานนักร่างที่อยู่ในอ้อมกอดกลับถูกกระชากออกไป

           ดวงตาพยัคฆ์ลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ด้วยรู้สึกถึงความว่างเปล่าในอ้อมอก รอบๆด้านปรากฏหมอกควันดำคละคลุ้งจนไม่สามารถเห็นทัศนียภาพด้านนอกได้ จากนั้นจึงแลเห็นดวงตาคมเฉกเช่นพญาอินทรีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น แต่เขาไม่ใคร่ใส่ใจสายตาดังกล่าว

           เขากลับจดจ่อมองแต่ใบหน้าซีดเซียวของต้าเซียน อีกทั้งรูปร่างบางเบาคลับคล้ายจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ เขาเอื้อมมือออกไปหา แต่ก็รู้สึกต้องเจ็บใจเมื่อในเวลานี้ร่างกายของเขากลับไม่เอื้ออำนวย

           เฟยหลงจ้องมองเซียวถิงฟงด้วยความคับแค้น ก่อนเบนสายตามามองต้าเซียนอย่างเจ็บปวด “ข้าไม่ปล่อยให้ท่านจากไปเช่นนี้แน่” น้ำเสียงทรงพลังกล่าวตวาด จากนั้นจึงเกิดเป็นกระแสไฟสีน้ำเงินห้อมล้อมร่างของเขาและท่านมหาเทพไว้

           ร่างเล็กที่กำลังจะสลายกลับกลายเป็นค่อยๆมีรูปมีร่างขึ้น แต่กระนั้นต้าเซียนก็ยังคงไม่รู้สึกตัว เฟยหลงรับร่างที่ไม่ได้สติเข้ากอดแนบแน่น ความรู้สึกภายในใจถาโถมไปด้วยทั้งรักทั้งชัง สายตาของเขาเริ่มแดงก่ำ

           “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ” เซียวถิงฟงตวาดใส่ ด้วยรู้สึกถึงความรุนแรงถึงขั้นต้องการทำลายของอีกฝ่าย ดวงตาพยัคฆ์จับจ้องมองอย่างไม่ลดละ และด้วยดวงตานั้นเองที่กระตุ้นเพลิงโทสะของเฟยหลงให้คุกรุ่นยิ่งขึ้น

           “อาศัยอะไรให้ข้าปล่อยเขาไป” มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหยียด เฟยหลงใช้ขาเหยียบขยี้ขาข้างหนึ่งของคนที่นอนไร้เรี่ยวแรงไว้

           เซียวถิงฟงที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ จึงได้แต่กัดฟันทนรับ แต่กระนั้นก็ใช้ความเจ็บปวดผลักดันให้ลุกขึ้นนั่งจับขาของจอมมารไว้ มือหนึ่งก็เอื้อมไปจับที่ข้อมือน้อย เฟยหลงเห็นดังนั้นก็สะบัดตัวออก มือของต้าเซียนจึงเลื่อนหลุดออกจากมือของเขาไปอย่างมิยินยอม

           “ปล่อยต้าเซียน” เซียวถิงฟงที่ล้มลงเงยหน้าขึ้นตะโกน

           เฟยหลงชะงักเงียบไปก่อนจ้องมองสีหน้าของคนที่ไม่ยอมแพ้ จากนั้นจึงเปล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮะ ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าท่านมหาเทพเป็นของเจ้าอย่างนั้นรึ ดูสภาพของเจ้าตอนนี้สิ นับเป็นตัวกระไร” เขากล่าวตวาดใส่อย่างกราดเกรี้ยว จากนั้นถีบร่างตรงหน้าเพื่อเป็นการระบายโทสะ

           ด้านเซียวถิงฟงก็มิอาจหลบหลีกได้ ร่างจึงกระเด็นไปคลุกกับพื้นราวสามตลบ ทว่าเฟยหลงยังคงไม่พอใจ เดินตามเข้าไปแล้วเหยียบที่ยอดอกของอีกฝ่ายไว้

           “ข้าจะบอกเจ้าให้ ชีวิตของเจ้าในตอนนี้เป็นเพียงแค่เศษหญ้า เพียงข้าเหยียบขยี้ มันก็จะตายลงในทันที”

           “เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเลย แต่เจ้าต้องปล่อยต้าเซียนไป” เซียวถิงฟงกัดฟันกล่าว มุมปากปรากฏเป็นโลหิตหลั่งไหล

           เฟยหลงหลุบตามองคนตรงหน้าอย่างเหยียดๆ “มนุษย์อย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า หึ หึ แต่ข้ามิให้เจ้าตายง่ายๆสมใจแน่ ข้าจะฆ่าเจ้าต่อหน้าของท่านมหาเทพ ให้ท่านได้รู้ว่าเจ้ามันไร้ประโยชน์ ไม่คู่ควรกับท่าน”

           “จะ เจ้า”

           “ในวันที่อัสดงถูกกลืนกิน ที่หุบเขาลับแล เราจะตัดสินกัน หากเจ้าไม่ตายก็เป็นข้าตาย” เฟยหลงประกาศก้อง ก่อนจะสะบัดกายโอบอุ้มต้าเซียนหันหลังเดินจากไป ไม่ฟังเสียงร้องเรียกที่ไล่หลังแม้แต่น้อย

           ท้ายที่สุดเงาร่างของต้าเซียนและจอมมารก็หายไปท่ามกลางหมอกควันสีดำ เซียวถิงฟงร้องเรียกอย่างสุดกำลัง แต่ก็มิอาจขัดขวางเฟยหลงไปได้ เขาได้แต่ส่งเสียงกู่ร้องคำรามก้องอย่างเจ็บปวดก่อนสติจะพร่าเลือนไปอีกครั้ง


***********************************************

หลบหน่อยพระเอก (อีกคน) มาาาา~ อุ้ย บ่งบอกถึงอายุ มิดีๆ เเต่บทหน้ามาม่าลดลงล่ะ (มั้ง) เเฮะ เเฮะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 27 ฝืนลิขิต 15/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 15-11-2015 22:00:28
ต้าเซียนนนน  :sad4:
กินมาม่าจนตัวจะแตกแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 28.1 ปราสาทมารโลหิต 16/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 16-11-2015 20:14:00
บทที่ 28.1 ปราสาทมารโลหิต



           “นายน้อย”

           เสียงดังราวกับระฆัง ปลุกสติครึ่งหนึ่งของเซียวถิงฟงให้ลืมตาอันพร่ามัวขึ้นมองถิงถิง ก่อนจะต้องผงะสุดตัว เมื่อแลเห็นสายตาอีกนับสี่ห้าคู่ที่ยืนห้อมล้อมตนเองไว้ กระทั่งแสงตะวันก็มิอาจเล็ดลอดเข้ามาได้

           “เฮ้อ ฟื้นกำลังเพียงแค่หนึ่งในสี่ส่วน เช่นนี้พวกเราจะทำเช่นไรดี” เสียงทอดถอนใจของผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผู้มีเส้นผมและเคราสีขาวยาวระดับอกดังขึ้น พลอยทำให้ผู้เฒ่าอีกสองคนต้องกลุ้มไปตามๆกัน

           “เช่นนั้น หากเราส่งกองพลสวรรค์ฝีมือดีสักสองกองมาช่วยเขาอีกแรงเล่า ท่านเทพหวางจื้อ” ชายสูงวัยผู้มีเส้นผมสีเทา สวมชุดเกราะองอาจกล่าวขึ้นอย่างหนักใจ

           “ไม่ได้ท่านเทพเทียนสี เช่นนั้นศึกบนแดนสวรรค์ก็ยากที่จะปกป้องได้” ชายรูปร่างอ้วนท้วมเล็กน้อย เส้นผมประปรายด้วยสีดำและขาว ดูสูงวัยน้อยกว่าคนทั้งสองกลับรีบแย้งอย่างไม่เห็นด้วย

           “แต่ท่านมหาเทพ” เทพอาวุโสเทียนสียังมิเอ่ยจบ เทพอาวุโสหวางจื้อก็รีบยกมือปราม

           “ข้าเห็นด้วยกับท่านเทพเจิ้งผิง ท่านเทพเทียนสีก็ต้องรับศึกหนักบนสวรรค์มากพอแล้ว หากยังต้องแบ่งกำลังพลอีก ข้าเกรงว่าเราจะเป็นฝ่ายปราชัย”

           “มนตร์ปิดกั้นสวรรค์ของท่านมหาเทพถูกทำลายลงแล้ว กำลังพลของเราตอนนี้แค่ต่อต้านเหล่าปีศาจที่บุกแดนสวรรค์ก็หนักหนาสาหัสยิ่ง คาดว่าคงยื้อได้อีกไม่กี่วัน พวกเราจะทำเช่นไรดี” เทพอาวุโสเจิ้งผิงกุมขมับ ยังผลให้เหล่าเทพอาวุโสทั้งสองต่างก็เคร่งเครียดยิ่งขึ้น

           “ข้าเห็นว่า พวกเราควรเชื่อใจท่านมหาเทพ หากท่านได้มอบพลังทั้งหมดให้กับมนุษย์ผู้นี้ เขาย่อมต้องสร้างปาฏิหาริย์ได้แน่” เสียงหวานที่นางฟ้าชิงเซียงกล่าวขึ้น

           เทพอาวุโสทั้งสามรับฟังแล้วจึงหันมามองคนที่นอนอยู่บนเตียงกันอย่างพร้อมเพรียง แทบทำให้ขนแขนของเซียวถิงฟงต้องลุกเกรียว

           เมื่อฟื้นคืนสติเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงได้ทีกล่าวถามอย่างลนลาน“พวกท่านเป็นใคร”

           “พวกเราเทพอาวุโสทั้งสาม ข้านามหวางจื้อ ทางนี้คือท่านเทพเทียนสีและท่านเทพเจิ้งผิง ส่วนนางเป็นเทพธิดาประจำองค์มหาเทพองค์ก่อน” เทพอาวุโสหวางจื้อกล่าวแนะนำ

           เซียวถิงฟงรับฟังแล้วหน้าผิดสี สองเอื้อมมือไปกระชากเสื้อของเทพอาวุโสนามว่าหวางจื้ออย่างร้อนใจ “พวกท่านหมายความว่าอย่างไร มหาเทพองค์ก่อนอย่างนั้นรึ แล้วต้าเซียนเล่า”

           “ถิงฟง เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อน” องค์รัชทายาทที่นั่งไกลออกไปกล่าวขึ้น ที่ข้างๆกายของเขายังมีไป๋เซ่อที่นั่งกอดเข่าซึมกะทืออยู่ด้วย

           “หมิงไท่”

           ซวนหยวนหมิงไท่ลุกขึ้นเดินดึงมือที่ขยุ้มอยู่ที่เสื้อของเทพอาวุโสหวางจื้อออก จากนั้นกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าฟังข้า ตอนนี้เจ้าคือมหาเทพองค์ใหม่แห่งพิภพสวรรค์ของพวกเขา”

           “อะไรกัน เพราะอะไร” เซียวถิงฟงออกอาการสับสน

           มือขององค์รัชทายาทจึงกระชับที่บ่ากว้างของเซียวถิงฟง “เจ้าต้องรู้ไว้ ความจริงเจ้าได้ตายไปแล้ว เป็นต้าเซียนที่ช่วยเจ้า ดังนั้นเขาจึงสูญเสียพลังทั้งหมดให้แก่เจ้า” กล่าวจบเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆของไป๋เซ่อก็ดังลอยมา ถิงถิงที่ยืนอยู่ข้างกายจึงคอยลูบหลังปลอบใจ

           ด้านเซียวถิงฟงราวกับมีภาพลอยขึ้นมาเป็นฉากๆ เขายังคงจดจำความรู้สึกเมื่อครั้งหัวใจออกจากร่างตนเองได้ เขาได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

           แลเห็นอีกฝ่ายสงบสติลงบ้างแล้ว เทพอาวุโสหวางจื้อจึงถือโอกาสเล่าความเป็นมา “ท่านมหาเทพองค์ก่อนได้ทำผิดกฎสวรรค์ ช่วยเหลือท่าน ทั้งๆที่ชะตาของท่านได้สูญสิ้นแล้ว เดิมทีก่อนหน้านี้ท่านได้ออกคำสั่งให้พวกเราคัดเลือกผู้นำสวรรค์คนใหม่ พวกเราแม้ไม่อยากกระทำ แต่ด้วยเหตุการณ์หน้าอยู่ในช่วงสิ่วหน้าขวาน พวกเราจึงได้แต่จำต้องกระทำตาม

           ตอนแรกพวกเรายังมิอาจหาผู้นำแห่งพิภพสวรรค์ได้ กระทั่งเมื่อวานนี้มนตร์ปิดกั้นสวรรค์อ่อนกำลังลงมาก กำลังพลปีศาจจึงฉวยโอกาสเข้าโจมตี แม้พวกเราต้านทานสุดกำลัง แต่ก็มิอาจรักษาปราการด่านแรกไว้ได้ พวกเราจึงตัดสินใจลงมาตามหาท่านมหาเทพ แต่คนที่พวกเราพบกลับเป็นท่าน...ท่านรองแม่ทัพเซียวถิงฟง”

           “เหตุใดต้องเป็นข้า ไม่สิตอนนี้พวกท่านควรที่จะรีบไปช่วยต้าเซียน แล้วนี่พวกท่านรอกระไรอยู่ ต้าเซียนถูกจอมมารเฟยหลงจับตัวไปนะ” เซียวถิงฟงที่รับฟังอยู่เงียบๆเริ่มโวยวาย ทั้งๆที่ต้าเซียนกำลังตกอยู่ในกำมือของเฟยหลง แต่พวกเขากลับยังคงนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น

           เทพอาวุโสทั้งสามต่างทอดถอนใจพร้อมกัน ต่างคนต่างก้มหน้าด้วยความลำบากใจ มีเพียงนางฟ้าชิงเซียงที่เดินเข้ามาใกล้ แล้วใช้นิ้วเรียวงามชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของเซียวถิงฟง

           “เป็นท่านได้เพียงผู้เดียว ท่านมหาเทพได้เลือกท่านแล้ว ข้างในตัวท่านมีพลังของท่านมหาเทพซุกซ่อนอยู่ แม้ตอนนี้จะอ่อนกำลัง ทั้งยังมีเพียงน้อยนิด แต่พวกเราก็ยังสามารถจับสัมผัสและออกตามหาท่านจนเจอ ดังนั้นในเพลานี้มีแต่ท่านที่คู่ควรแก่ตำแหน่งผู้นำแห่งพิภพสวรรค์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น” น้ำเสียงของนางฟ้าชิงเซียงหนักแน่น ทั้งยังมองเซียวถิงฟงด้วยสายตาที่เชื่อมั่น

           “เซียวถิงฟง ข้าขอโทษ ในตอนนั้นพวกเราขัดขวางจอมมารเฟยหลง แต่ข้ากับไป๋เซ่อมิอาจต่อกรกับเขาได้ ต้าเซียนจึงถูกเขาพาตัวไปได้สำเร็จ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวจบ เสียงร้องสะอึกสะอื้นของไป๋เซ่อก็ดังขึ้นกว่าเดิม

           ครานี้เซียวถิงฟงเหลียวมองไปที่พวกพ้อง เห็นร่องรอยของผ้าสีขาวที่พันอยู่ภายใต้เสื้อของซวนหยวนหมิงไท่ อีกทั้งยังเห็นผ้าที่พันรอบศีรษะของไป๋เซ่อ แม้แต่ถิงถิงก็ยังเห็นรอยถลอกตามตัวอย่างเห็นได้ชัด ก็พลันรู้สึกละอายใจ ตัวเขามิอาจปกป้องได้แม้แต่คนที่เขารัก กระทั่งของคนรอบกายก็มิอาจปกป้องได้อีก เขาช่างไร้ประโยชน์อย่างที่จอมมารเฟยหลงว่ากล่าวจริงๆ “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

           “พวกท่านอย่าได้รู้สึกผิดต่อกันอีกเลย เราควรหาวิธีช่วยเหลือท่านมหาเทพและทั้งสามพิภพก่อนจริงรึไม่” นางฟ้าชิงเซียงกล่าวขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มเงียบงัน ทำให้เทพอาวุโสเจิ้งผิงกล่าวสนับสนุน

           “นั่นสิ พวกเราควรหาวิธีฟื้นฟูพลังที่มีอยู่ในตัวของเขาเสียก่อน”

           ได้ยินดังนั้นเทพอาวุโสเทียนสีจึงหันไปกล่าวกับเซียวถิงฟง “เอาอย่างนี้ภายในสามวันนี้ ท่านต้องเร่งฟื้นฟูพลังเซียนในกายส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นให้ท่านลอบเข้าไปในหุบเขาลับแล ช่วยเหลือท่านมหาเทพออกมาให้ได้ก่อนถึงเพลาตะวันถูกกลืนกิน แม้พลังที่ท่านมีอยู่จะยังมิอาจต่อกับจอมมารเฟยหลงได้ แต่พวกเราจำต้องเสี่ยงพันดู”
 
           สิ้นความเห็น ทุกคนที่เหลือต่างก็พยักหน้าให้กันอย่างเห็นพ้อง เทพอาวุโสหวางจื้อจึงกล่าวเสริม “อีกเรื่องหนึ่งลูกแก้วในร่างกายท่านแม้จะเปลี่ยนเจ้าของ แต่จะอย่างไรลูกแก้วนี้ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของท่านมหาเทพ ดังนั้นข้าเห็นท่านควรไปฟื้นฟูพลังในที่ที่หนึ่ง”

           “ข้าเข้าใจแล้ว” เซียวถิงฟงกล่าวตอบ ไม่จำเป็นต้องบอกสถานที่เขาก็รู้ว่ามันเป็นที่ใด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พร้อมที่จะเดิมพันชะตาในครั้งนี้เพื่อช่วยต้าเซียนออกมา


**************************************************


           ท้องฟ้าสีแดงสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เลื่อนลอย  มือใหญ่คู่หนึ่งเลื่อนขึ้นลูบไล้ผมเรียบลื่นสีน้ำตาลอย่างช้าๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นขยุ้มแล้วดึงดวงหน้าเล็กขึ้นประชิดใบหน้าของตน

           “หากเป็นไปได้ข้าอยากจะทำลายท่านซะ ข้าอยากทำลายท่าน” น้ำเสียงรวดร้าวของเฟยหลงกล่าวขึ้น พร้อมขยุ้มเส้นผมให้ที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น แต่กระนั้นร่างเล็กกลับมิแสดงออกถึงความรู้สึกใด ยังผลให้เขาต้องผละตัวออก หันไปทำลายข้าวของโดยรอบอย่างบ้าคลั่ง

           ทำไม ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้ ท่านกล้ามอบหัวใจครึ่งดวงนั้นให้กับชายผู้นั้น หัวใจ...หัวใจของข้า

           รอจนห้องไม่เหลือของให้ทำลายอีก เขาก็หันมาจ้องมองท่านมหาเทพด้วยดวงตาวาวโรจน์ “ท่านรังเกียจข้ามากรึ ท่านจึงกล้ามอบหัวใจของข้าให้ผู้อื่น ตอบข้ามาสิ”

           “เฟยหลง เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ”

           เสียงเล็กๆนั้นกล่าวขึ้นแล้วหลับตาลงอย่างอ่อนแรง เฟยหลงได้แต่ข่มกรามตัวเอง ความโกรธยิ่งทวีขึ้น “ท่าน...ท่านไม่มีอะไรจะกล่าวแล้วรึ ท่านรู้ว่าข้าไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นนี้”  เขาถลึงตาใส่ ก่อนจะตะเบ็งเสียงกร้าวใส่บุคคลที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด แลในที่สุดดวงตาที่พึ่งหลับไปก็เปิดออกขึ้นอีกครั้ง

           “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ในเมื่อเจ้าก็ได้ตัวข้าแล้ว เหตุใดจึงยังต้องโจมตีพิภพสรรค์อีก เจ้าต้องการอะไรกันแน่”

           เฟยหลงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นี่มิใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยิน ดวงตาของต้าเซียนพลันเปล่งประกายลึกล้ำ ราวกับกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างภายในจิตใจของเขา แต่แล้วเขาก็แค่นเสียงหัวเราะอันดัง

           “ใช่ ท่านเดาได้ถูกต้อง เหตุที่ข้ายังโจมตีสวรรค์ เป็นเพราะต้องการทำลายสมดุลแห่งโลก ทั่วทุกพิภพต้องแตกสลาย จากนั้นข้าจะสร้างขึ้นใหม่ สร้างพิภพที่มีเพียงข้าและท่าน” เฟยหลงฉีกยิ้มกล่าวอย่างเยือกเย็น นี่จึงจะเป็นวิธีที่เขาได้ครอบครองท่านมหาเทพอย่างแท้จริง

           “เจ้าคิดว่าทำเช่นนั้นแล้วจะได้ในสิ่งที่ต้องการหรือ” ต้าเซียนเริ่มตีสีหน้าเครียด เดิมทีก็รู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ร้ายแรงพออยู่แล้ว พิภพสวรรค์กำลังเสียเปรียบจากการสูญเสียผู้นำ แลหากกองทัพสวรรค์และกองทัพปีศาจเข้าต่อสู้พัวพันไม่เลิกรา ท้ายที่สุดสมดุลของโลกจะถูกทำลายลงดั่งสงครามในคราก่อน

           ดังนั้นทั้งสองทัพย่อมต้องจบสงครามก่อนที่สมดุลจะบิดเบี้ยว แต่จากคำตอบนั้นเขาคิดผิด เฟยหลงมิเพียงจะยืดเยื้อสงคราม หากแต่ยังต้องการให้สมดุลโลกปั่นป่วนดูดกลืนทุกพิภพ แล้วสร้างพิภพขึ้นใหม่

           “มาถึงขั้นนี้ไม่มีอะไรที่ข้าต้องเสียอีก อ่อ นอกจากนี้ท่านควรรู้ไว้ ก่อนที่แผนการจะเริ่มขึ้น ข้าได้เตรียมของสนุกให้ท่านชมดูเป็นการฆ่าเวลา”

           “เจ้าหมายถึงอะไร” ต้าเซียนขมวดคิ้วสงสัย รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

           “พรุ่งนี้ยามตะวันถูกกลืนกิน จะเป็นวันที่เซียวถิงฟงดับสูญ”

           กล่าวจบดวงตาดุจพญาอินทรีก็บังเกิดเป็นรังสีสังหาร มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มเย็นชา ต้าเซียนพลันรู้สึกหนาววูบไปทั้งกาย สีหน้าเริ่มแตกตื่นเมื่อแลเห็นเฟยหลงกำลังจะออกไปจากห้อง “แต่หัวใจในร่างของเขานับเป็นหัวใจดวงเดียวกับเจ้า ดังนั้น”

           “ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถทำลายมันได้รึ” เฟยหลงขัดคำแล้วเหยียดยิ้ม “ท่านประเมินข้าต่ำไป ท่านมหาเทพ อ้ะ ไม่สิ ตอนนี้ท่านมิใช่ท่านมหาเทพแล้ว แต่เป็นต้าเซียน ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ หัวใจที่ข้ามอบให้เจ้าอย่างยินดีนั้น ในเมื่อเจ้าสามารถมอบมันให้คนอื่นได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว หัวใจครึ่งดวงนั้น สำหรับข้ามันก็เป็นเพียงแค่ขยะชิ้นหนึ่ง”

           ครั้งหนึ่งท่านมหาเทพเคยอ้อนวอนขอให้ช่วยเหลือหัวใจครึ่งดวงของเซียวถิงฟง แต่กระนั้นเขากลับทำลายมันลง แล้วแสร้งสลับสับเปลี่ยนหัวใจเพื่อหลอกลวงอีกฝ่าย แต่ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลกอีกครั้ง ตอนนี้หัวใจของเขากลับไปอยู่ในร่างของคนที่เขารังเกียจที่สุด

           สิ้นเสียงแข็งกร้าว ร่างแกร่งก็จากไป ต้าเซียนได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ในตอนนี้ตัวเขาหาได้มีพลังเหมือนก่อนไม่ เป็นเพราะพลังที่มีอยู่ได้มอบให้กับเซียวถิงฟงไปจนหมดสิ้น ความจริงแม้แต่ร่างตนเองก็ยังมิอาจจะรักษา แต่เป็นเพราะเฟยหลงใช้พลังส่วนหนึ่งคงร่างเขาเอาไว้

           “เป็นเพราะข้า” รู้แต่แรกแล้วว่าหากตนมอบหัวใจครึ่งดวงของเฟยหลงให้แก่เซียวถิงฟง เฟยหลงย่อมต้องแตกหักกับตนเป็นแน่ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าตนทำไปด้วยความไร้เหตุผล

           เดิมทีเฟยหลงเป็นคนทำลายหัวใจครึ่งดวงของเซียวถิงฟง ดังนั้นเซียวถิงฟงจึงมีสิทธิ์รับหัวใจครึ่งดวงนี้ อีกประการหนึ่งเฟยหลงก็จะไม่คิดเอาชีวิตอีกฝ่ายอีก เพราะจะอย่างไรหัวใจในกายของเซียวถิงฟงก็เป็นของเฟยหลง เขาย่อมมิกล้าทำอะไร แต่มาวันนี้ทุกสิ่งที่คิดล้วนกลับตาลปัตร

           “หากรออยู่เช่นนี้คงไม่ดีแน่” ต้าเซียนพึมพำแล้วลุกขึ้นมองตนเองในสภาพที่มีพลังเพียงน้อยนิด เส้นผมยาวสีน้ำตาลที่ตกระพื้น เรือนร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาว เขาทอดถอนหายใจคราหนึ่งแล้วเดินไปหยิบชิ้นส่วนแจกันที่รอดพ้นจากการทำลายล้างของเฟยหลงขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

           “ตอนนี้เจ้าเป็นความหวังหนึ่งเดียวของข้าแล้วนะ” กล่าวจบ ก็คว้าเอาเศษแจกันที่แหลมคมพุ่งเข้าใส่ตัวเองอย่างไม่ลังเล
เฟยหลงทอดเดินไปยังลานกว้างของปราสาทมารโลหิต สถานที่ซึ่งเป็นที่พำนักของจอมมารทุกรุ่น ตัวปราสาทสร้างด้วยหินนับหมื่นปี บรรยากาศภายในมืดทึมทึบ แต่ยังคงสว่างไสวด้วยคบเพลิงที่จุดเรียงรายตลอดทาง ยังมีกลิ่นอายเลือดที่แม้จะผะแผ่ว แต่ก็ชวนให้ผู้มาใหม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน นับว่าสมชื่อปราสาทโลหิตอย่างแท้จริง

           ปราสาทที่ผ่านสงครามการแย่งชิงตำแหน่งจอมมารจนนับไม่สิ้น อาบไปด้วยโลหิตจอมมารแลเหล่าปีศาจมาแล้วไม่รู้กี่หน มาบัดนี้ตำแหน่งนี้กลับตกอยู่ในมือของเฟยหลง บุคคลผู้ซึ่งเคยเป็นดั่งมือขวาของท่านมหาเทพ แม่ทัพสูงสุดซึ่งเคยกุมกำลังพลทหารเทพนับหมื่นนับแสน

           แม้ในสงครามระหว่างปีศาจและเหล่าเทพเมื่อพันปีก่อน ฝ่ายจอมมารเฟยหลงจะเป็นผู้ปราชัย ซ้ำต้องถูกกักขังอยู่ใต้ธรณีเย็น ทนรับความหนาวเหน็บที่เสียดแทงกระดูกราวนับพันปี แต่กระนั้นฝ่ายปีศาจก็ลอบปลดปล่อยจอมมารได้สำเร็จ

           ตอนนี้ฝีเท้าก้าวออกไปด้วยความหนักแน่น สายตาดั่งพญาอินทรีพุ่งมองไปยังข้างหน้า ครั้นเหล่าไพร่พลปีศาจแลเห็นจอมมาร ผู้ซึ่งเคยมีสถานะเป็นถึงเทพเซียนต่างก็คุกเข่าคำนับกันอย่างหวาดหวั่น

           กระทั่งเฟยหลงสะบัดชายเสื้อขึ้นนั่งบัลลังก์กว้างด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ริมฝีปากก็เอื้อนเอ่ยน้ำเสียงทรงพลัง “สังหาร”
คำสั่งสั้นๆประการเดียวของเขาได้ปลุกให้เหล่าพลปีศาจนับแสนโห่ร้องฮึกเหิม พื้นพิภพทั้งสามต่างสั่นสะเทือน สายตาเยียบเย็นจับจ้องมองปีศาจเหล่านี้ ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม แม้แผนการสลับสับเปลี่ยนหัวใจจะมิได้ผล แต่ทว่าแผนการทำลายทุกพิภพย่อมต้องสำเร็จ

           ท่านจะต้องอยู่ในกำมือของข้า...ท่านมหาเทพ
 

*************************************************

หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 28.2 ปราสาทมารโลหิต 16/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 16-11-2015 20:25:15
บทที่ 28.2 ปราสาทมารโลหิต



           เสียงโห่ร้องของเหล่าปีศาจยังผลให้ผากร่อนลง หินชิ้นเล็กชิ้นน้อยทยอยตกลงมาสู่เบื้องล่าง แต่ ณ ขณะนั้นกลับมีเสียงหอบหายใจดังกระชั้น คนผู้หนึ่งกำลังปีนผาสูงชันอย่างเหน็ดเหนื่อย เหงื่อกาฬไหลซึมไปทั่วกาย โชคดีที่เขาเบี่ยงหลบก้อนหินที่พังทลายลงมาได้อย่างหวุดหวิด

           “เร็วๆเข้าสิ”

           พอดีกับที่เสียงขู่ฟ่อๆดังตำหนิจากเบื้องบน เซียวถิงฟงเงยหน้ามองงูเผือกที่ไต่หินผาไปอย่างคล่องแคล่ว แล้วตวาดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่เห็นรึอย่างไร หินมันพังทลายลงมา จะให้ข้าปีนผาโดยเอาหน้าแบกรับก้อนหินทั้งหมดงั้นรึ”

           “เฮอะ หาได้มีความสง่างามสักนิด” ไป๋เซ่อในร่างงูแค่นเสียงประชด จะอย่างไรตอนนี้เซียวถิงฟงก็ถือได้ว่าเป็นมหาเทพชั่วคราวแล้ว เขาในฐานะอาวุธประจำกายของท่านมหาเทพย่อมต้องติดตามใกล้ชิด “หากไม่เพราะเราต้องแฝงเร้นมายังลับๆ ปกปิดพลังเซียน ป่านนี้ข้าคงตามหาท่านมหาเทพพบแล้ว” มันส่งเสียงพึมพำอย่างซึมเซาไปตามกระแสลม

           เซียวถิงฟงรับฟังแล้วก็เงียบกริบไม่ต่อปากต่อคำอีก พลางใช้เรี่ยวแรงที่มีปีนหน้าผาสูงชันนี้ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ต่อเมื่อผ่านพ้นผาสูงชันก็ทอดสายตาลงไป ที่ด้านล่างเป็นพื้นที่แบบแอ่งกระทะ พื้นที่ส่วนตรงกลางมีปราสาทหินที่ดูทะมึน แลตอนนี้ก็มีกองทัพปีศาจจำนวนหนึ่งยืนจัดแถวอย่างเป็นระเบียบ ดูท่าทีแล้วคล้ายกับกำลังเคลื่อนทัพไปยังพิภพสวรรค์

           “ทางนี้ๆ” ไป๋เซ่อตะโกนบอก

           เซียวถิงฟงพยักหน้าให้แล้วจึงรีบเดินไป ปกติแล้วหากไป๋เซ่อมิได้อยู่ในรูปร่างเช่นมนุษย์เขาก็มิอาจฟังภาษาออก ทว่าตั้งแต่เขาได้รับพลังทั้งหมดจากต้าเซียน เขาก็ฟังไป๋เซ่อในร่างงูเผือกออกทุกการร้องขู่

           เมื่อมองไปยังจุดที่ไป๋เซ่อบุ้ยใบ้บอก เขาก็พลันเหงื่อตก ใต้เขาสูงชันนี้มีทางแคบๆที่สามารถไต่ลงไปได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง อีกทั้งเมื่อลงไปถึงก็ต้องเผชิญกับกองซากศพที่กองพะเนินสูงดั่งภูเขาลูกหย่อมๆ แต่แม้จะดูยากลำบากเพียงไหน น่ากระอักกระอ่วนสักเพียงใด เขาก็ยังตัดสินใจลงไป ลงไปเพื่อช่วยต้าเซียน

           “เร็วๆหน่อยสิ” ไป๋เซ่อร้องเร่งรัดไม่ขาดปาก

           ด้านเซียวถิงฟงกลับบังเกิดอาการเส้นเลือดกระตุกที่หน้าผาก เจ้างูเอาเปรียบนี่ พอเห็นเป็นซากศพกลับมิยินยอมลงเลื้อย หันมาเลื้อยกอดคอเขาไม่ปล่อย เช่นนี้ยังมีหน้ามาสั่งเร่งเขาอีก

           “เจ้ามิเห็นรึว่ามันเดินลำบาก” เขาที่ไต่ลงหน้าผาโดยใช้เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนมาปีนกองซากศพปีศาจ เลือดสีเขียวต่างเปราะเปื้อนไปทั่วกาย กลิ่นเน่าเหม็นแทบทำให้ประสาทสัมผัสทางจมูกตายด้าน

           ไป๋เซ่อที่โดนเซียวถิงฟงตวาดก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะปล่อยโฮชุดใหญ่ร้องคร่ำครวญไม่หยุดปาก “....ฮึก ฮึก โฮ ท่านมหาเทพของข้าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง จะโดนเจ้าคนทรยศเฟยหลงข่มเหงบ้างรึเปล่า ฮือ”

           คราแรกเซียวถิงฟงจะอ้าปากว่าเจ้างูขี้แยอีกสักประโยค แต่พอได้ยินประโยคหลังก็ยิ่งเร่งฝีเท้าขึ้น ริมฝีปากอ้าออกเปลี่ยนเป็นคำปลอบใจแทน “ไป๋เซ่อ อย่าได้ร้องไห้ให้เปลืองพละกำลัง ข้าจะรีบตามหาต้าเซียนให้เร็วที่สุด”

           “ฮึก งือ”

           เห็นไป๋เซ่อกดเสียงสะอื้นไห้จนเบาลงเรื่อยๆ เซียวถิงฟงก็เบาใจ สองมือยังปัดป่ายปีนกองซากศพ สายตามองตรงไปยังจุดหมายปลายทาง หากสามารถข้ามผาฝั่งตรงข้ามไป เขาก็จะสามารถเข้าสู่ปราสาทหินอันใหญ่โตนั่นได้ ว่าแล้วสมาธิของเขาก็หันมาจดจ่อเร่งพลังกาย

           เมื่อปีนผ่านผาสูงด่านสุดท้ายไป๋เซ่อก็แทบจะกระโดดโลดเต้นทั้งในร่างของงูเผือก ด้านหน้าปรากฏเป็นลานกว้างเรียบๆ มองตรงไปเป็นเนินบันไดหินที่ไม่สูงมาก บัลลังก์สีทองตัวใหญ่ถูกตั้งไว้อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางคบไฟสีแดงโชติช่วงจรัสแสง
           
           แลหากมองลึกเข้าไปอีกจะเป็นประตูขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับตัวปราสาท โชคดีที่เหล่าปีศาจทั้งหลายถูกเกณฑ์กำลังไปยังที่ด้านหน้าของตัวปราสาททั้งหมด ที่ด้านหลังจึงแทบไม่เห็นร่องรอยของปีศาจตนอื่นๆอีก

           “ถึงตาเจ้าแสดงฝีมือแล้ว ไป๋เซ่อ” เซียวถิงฟงกระซิบบอกงูเผือกที่ยังเลื้อยตัวอยู่ที่ต้นคอแกร่ง ไป๋เซ่อเองก็ยื่นศีรษะของมันจ้องตอบ ก่อนขู่ฟ่อตอบเขาเบาๆ

           “ทางซ้าย”

           เขาเดินไปตามทางที่ไป๋เซ่อบอก ทว่าภายในปราสาทแห่งนี้ดูกว้างขวาง กลิ่นอายของเลือดติดอยู่ตลอดทาง อีกทั้งบรรยากาศภายในยังให้ความรู้สึกกดดัน ยิ่งเข้าไปลึกทางก็ยิ่งลึกลับซับซ้อน ฉะนั้นครั้งนี้ต้องพึ่งประสาทสัมผัสของไป๋เซ่อเพียงผู้เดียว

           “เฮ้ย เจ้าน่ะ”

           บังเกิดเสียงเรียกเจื้อยแจ้วหนึ่ง ขณะที่พวกเขาเลี้ยวขวาเข้ามาตรงทางแยกหนึ่ง เซียวถิงฟงพลันเหงื่อตกตัวแข็งค้างทื่อ ไป๋เซ่อเองก็เฉกเช่นเดียวกัน มันแข็งค้างอยู่บนลำคอของเขา

           ปีศาจน้อยตนหนึ่งนาม เฉิงอี้ รูปร่างเล็ก หน้าตาเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ ผิดแต่มีหูที่แหลมและมีเขี้ยวเล็กๆที่โดดเด่น ยามเมื่อแย้มยิ้มกว้างใบหน้ากลับดูจิ้มลิ้มผิดกับปีศาจตนอื่น ซึ่งเมื่อแลเห็นปีศาจตนหนึ่งดูลับๆล่อ เดินผ่านเข้ามาใกล้บริเวณเขตหวงห้ามจึงส่งเสียงหยุดเอาไว้ แต่ทว่าคนถูกเรียกกลับไม่แม้แต่ขยับเข้าหา ตนจึงอดที่จะหงุดหงิดขึ้นมามิได้

           “เจ้านั้นแหละหันมา คิดรบกวนเวลาพักของข้า เจ้าต้องไม่ตายดีแน่” เฉิงอี้พูดขึ้นอย่างโอหัง เขาแม้จะอายุยังน้อยแต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากจอมมารเฟยหลงผู้สง่างาม ให้รับหน้าที่เฝ้าคุมบริเวณเขตหวงห้ามนี้ไว้

           เซียวถิงฟงรับฟังคำขู่แล้วค่อยๆชะงักกายหันกลับไป ในใจครุ่นคิดหาคำอธิบายอย่างรวดเร็ว แต่พอเห็นสายตากลมโตของปีศาจตรงหน้าที่เริ่มเบิกกว้าง ก็พลันร้องบอกในใจว่า พลาดแล้ว เขาถูกจับได้เสียแล้ว

           “จัดการเขา เซียวถิงฟง” ไป๋เซ่อกล่าวเข้ามายังในสมองของเขา เขาจึงรวบรวมพลังไว้ที่ฝ่าเท้า เพียงถูกใช้ออกก็จะเข้าปราดประชิดเข้าหักคอปีศาจตนนี้ได้ในทันที เซียวถิงฟงขยี้ปลายนิ้วเท้าเล็กน้อยเตรียมส่งพลังพุ่งเข้าหา แต่ทว่า

           “อี๋ เจ้าไปให้ห่างข้านะ เจ้าไปผุดออกจากสุสานที่ไหนมา น่าขยะแขยง” เบะปากร้องอย่างรังเกียจ ทั้งยกนิ้วขึ้นบีบจมูกอย่างเร็วรี่ มองปีศาจตรงหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดสีเขียว คงพึ่งกลับมาจากการสู้รบกับแดนสวรรค์กระมัง เฉิงอี้คาดเดาในใจก่อนจะเหลือบไปมองสิ่งหนึ่ง

           เป็นงูเผือกที่มีท่าทีประหลาดๆ มันหันไปดมกลิ่นตัวเอง แล้วทำท่าสำลักความเหม็นออกมาอย่างเต็มที่ เฉิงอี้พลันรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าเป็นปีศาจอะไร ทำไมมิเคยพบเห็นมาก่อน แล้วเจ้านั่นไม่เปลี่ยนรูปลักษณ์รึ”

           เซียวถิงฟงรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมายังไป๋เซ่อที่ยังคงทำท่าสำลักความเหม็นจนเกิดพิรุธ ก็ต้องแอบลอบด่าทอในใจ...หากเสร็จเรื่องเมื่อไหร่ ข้าจะจับเจ้ายัดลงไหเต้าหู้เหม็นแน่ ไป๋เซ่อ “ข้า เป็นปีศาจงู นี่เป็นน้องชายข้า เขายังตบะไม่กล้าแกร่ง ดังนั้นจึงยังไม่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้”

           “ฟ่อ ฟ่อ” ใคร ใครเป็นน้องเจ้า ข้าต่างหากที่ต้องเป็นพี่ชายเจ้า

           “เอ๋ เขาพูดอะไรน่ะ”

           ไป๋เซ่อ ขู่ฟ่ออาละอาดใส่เขาอย่างดุร้าย เซียวถิงฟงแทบอยากจะเขวี้ยงมันใส่หน้าปีศาจน้อยที่ยังคงกล่าวถามไม่หยุด “เอ่อ เขา...เขาบอกว่าชอบเจ้ามาก”

           “หึ หึ เห็นแบบนี้ ข้าเฉิงอี้ก็มีปีศาจตนอื่นมาติดพันมากอยู่นะ ถ้ายังไงบอกน้องท่านว่าให้ไปบำเพ็ญเพียรจนเปลี่ยนรูปให้ได้เสียก่อน แล้วข้าจะพิจารณาเขาใหม่” เฉิงอี้พูดแล้วยืดอกอย่างหลงตัวเอง

           ไป๋เซ่อรับฟังแล้วปากกระตุกแทบอยากจะกระโจนไปกัดคอปีศาจตรงหน้าเสียเดี๋ยวนี้ แต่ติดที่ว่าเขาต้องตามหาท่านมหาเทพ ยังคงเก็บอารมณ์กราดเกรี้ยวไว้ก่อน

           เซียวถิงฟงหัวเราะขึ้นมาพลางประเมินได้ว่า ปีศาจน้อยตรงหน้าไม่ได้มีผิดมีภัยสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังดูซื่อๆไร้เดียงสา และอาจเป็นเหตุผลนี้กระมังที่ปีศาจน้อยมิได้ออกไปร่วมในกองทัพด้วย เขายกยิ้มในใจพลางลองเสี่ยงดูสักตั้ง “ท่านปีศาจน้อย ข้าได้รับคำสั่งจากจอมมารเฟยหลงให้มารับตัวเด็กหนุ่มนามต้าเซียนออกไป”

           เฉิงอี้ได้ฟังจบใบหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไป สีหน้าดูไม่เป็นมิตรเหมือนแต่ก่อน ทั้งยังถามน้ำเสียงสูง “ท่านจอมมารให้ท่านมารับเขา”

           “ใช่ ท่านจอมมารกล่าวว่า เพลานี้ทัพปีศาจกำลังจะเคลื่อนพลไปที่แดนสวรรค์ ดังนั้นจำจะต้องนำตัวเขาออกไปเชือดไก่ให้ลิงดู” เซียวถิงฟงพูดจบ ในใจก็รู้สึกได้ถึงความไม่เชื่อใจ ทั้งยังระแวดระวังของอีกฝ่าย แต่กระนั้นไม่นานเฉิงอี้ก็แสดงสีหน้าแตกตื่นพลันโพล่งออกมา

           “แต่เขาน่าสงสารนะ ตัวเล็กนิดเดียวเอง ตอนมาถึงหน้าก็ซีดยังกับไก่ต้ม” เฉิงอี้กล่าวพลางแอบสงสารเด็กหนุ่มที่ตนแอบลอบมองอยู่บ่อยๆ เห็นเด็กหนุ่มน่าตาซื่อๆ ซ้ำอายุไม่น่าจะต่างจากตนเท่าไหร่ก็แอบสลดใจ

           ด้วยกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก เฉิงอี้ได้เข้ามาทำงานรับใช้ในปราสาทโลหิตก็แทบไม่มีเพื่อนที่อายุไล่เลี่ยกัน ครั้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มจึงแอบดีใจอยากเข้าไปทักทาย แต่ทว่าดูจากสภาพห้องที่จอมมารเฟยหลงเดินออกมาเมื่อไม่กี่ชั่วยามมานี่ ยังคงไม่ทักเด็กหนุ่มจะดีกว่า

           “ข้าพึ่งกลับมาจากสมรภูมิรบ ตอนนี้เป็นช่วงโอกาสอันดีที่จะได้ข่มขวัญเหล่าทหารเซียน จงรีบพาข้าไปนำตัวเขามา” เซียวถิงฟงเห็นแววตาที่สับสนของเฉิงอี้ก็ยิ่งกล่าวเร่งรัด
 
           ปีศาจน้อยเฉิงอี้เห็นท่าทีที่แฝงไว้ด้วยอำนาจของอีกฝ่ายก็เกิดลนลาน รีบนำทางเซียวถิงฟงและไป๋เซ่อเข้าไปในเขตหวงห้าม ผ่านประตูเหล็กบานใหญ่ จากนั้นเดินลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน เมื่อสุดปลายทางก็พบห้องโถงกว้างที่คล้ายเป็นถ้ำมรกต ด้านในสุดยังมีห้องเล็กๆเชื่อมติดอยู่ และภายในนั้นก็ปรากฏร่างๆหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง

           “ต้าเซียน/ฟ่อ ฟ่อ” ทั้งเซียวถิงฟงและไป๋เซ่อต่างร้องออกมาเป็นพร้อมเพรียงกัน สองเท้าออกถลาแล้วพุ่งตัวเข้าไปในห้องทันที

           เปรี๊ยะ แต่แล้วร่างของทั้งสองกลับถูกพลังที่มองไม่เห็นสะท้อนออกมาแทบในทันที คล้ายว่ามีม่านพลังหนึ่งกางกั้นเอาไว้ คนในจึงมิอาจออก คนนอกก็มิอาจเข้าไปได้

           “พวกเจ้าเป็นใคร กล้าหลอกข้างั้นรึ” เฉิงอี้ร้องถามเสียงแตกตื่น ใบหน้าเริ่มแสดงออกถึงความหวาดระแวง หากเป็นคำสั่งของจอมมารเฟยหลงจริง ไยพวกเขาจึงไม่สามารถผ่านประตูอาคมไปได้

           เซียวถิงฟงรู้ว่าพลาดท่าก็รีบยันตัวกลับมาในท่าเตรียมพร้อม ไป๋เซ่อที่กระเด็นไปก็ไม่ต่างกัน ร่างสีขาวพลิกตัวขึ้นแล้วเลื้อยตัวขู่ฟ่อไปทางเฉิงอี้หมายปิดปากรวดเร็ว

           “ว๊ากก อย่าๆ เข้ามา” ด้านปีศาจน้อยกลับเบิกตาโตร้องลั่น เมื่องูเผือกตัวสีขาวร้องขู่ใส่อย่างดุร้าย ทั้งยังรุดเข้าหาอย่างมิเกรงกลัว ทว่าเฉิงอี้นั้นเกรงกลัว

           ด้วยตนนั้นเป็นปีศาจค้างคาว ชีวิตจริงก็มิเคยออกสู้กับผู้ใด ยามนี้เจ้าถิ่นบนบกประกาศศักดาตรงหน้าแล้ว ในชั่วระยะเวลาสั้นๆจึงพลันทำอะไรไม่ถูก ลืมแม้แต่กางปีกกระจ้อยร้อยของตัวเอง สุดท้ายจึงได้แต่กระโดดตัวโหยงเหยงไปมารอบห้อง

           ไป๋เซ่อเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ใจ รีบเลื้อยเข้าหาเร็วรี่ ผิดกับด้านเซียวถิงฟงที่ถึงกับเงียบกริบ มองดูตนหนึ่งวิ่งจุกตูด อีกตนหนึ่งเลื้อยไล่ไม่ลดละ พลันให้รู้สึกชุลมุนอยู่บ้าง เขาไม่สนใจทั้งสองอีกต่อไป เดินตรงไปที่ประตูที่กั้นกลางไว้ด้วยม่านพลังที่มองไม่เห็น ร่างน้อยด้านในนั้นยังคงไม่รู้สึกตัว ความรู้สึกผิดที่แล่นกอบกุมในใจ มันเป็นความผิดของเขาทั้งหมด

           ...ถ้าในวันนั้นเขามิยอมปละปล่อยมือน้อยๆคู่นั้น ยอมกลายเป็นคนไร้คุณธรรมไร้น้ำใจ บางทีต้าเซียนอาจมิต้องกลายเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องราวล้วนเกิดขึ้นแล้ว ย้อนกลับมิได้ ได้แต่ยอมรับ เขารู้ดี

           เซียวถิงฟงสูดหายใจเข้าลึกๆ เกร็งกำลังสามส่วนภายไว้ที่ฝ่ามือ ฝ่ามือข้างที่เคยพลาดพลั้งทำร้ายร่างน้อย แลในตอนนี้มันกำลังกำแน่นทั้งยังปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด ก่อนจะเงื้อขึ้นสูง

           “เจ้า หยุดนะ” เฉิงอี้ที่วิ่งวนในห้องเป็นรอบที่สี่ มาตรว่าสติจะหลุดไปหลายส่วน แต่ก็ยังคงสังเกตเห็นคนแปลกหน้าที่กำลังคิดทำลายประตูอาคม กระนั้นแล้วตนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเขตหวงห้ามจากจอมมารเฟยหลง ย่อมมิยอมให้ใครบุกรุกเข้าไปได้แน่ เขาไม่รอช้าอีกต่อไป

           ควันสีขาวเริ่มคละคลุ้งไปทั่วร่าง ปีกสีเทาอ่อนแผ่ขยายออก หูเล็กแหลมตั้ง กายหดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากำมือหนึ่ง เขี้ยวแหลมเล็กอ้ากว้าง มันออกโบยบินแล้ว แม้ตนมิได้มีฤทธิ์เดชร้ายแรง ทั้งยังเป็นแค่ปีศาจที่พึ่งบำเพ็ญเพียรสำเร็จ แต่อย่างน้อยพิษจากเขี้ยวของมันก็ยังพอมีดีอยู่บ้าง ขอเพียงจมเขี้ยวพิษลึกลงสู่ผิวหนัง เหยื่อจะกลายเป็นอ่อนแรง หมดพละกำลังลงไปในที่สุด

           เฉิงอี้กางปีกถลาเข้าหาผู้บุกรุกอย่างกล้าหาญ เนื่องเพราะมันมิอาจทนเห็นจอมมารต้องผิดหวังเพราะตนเองได้ ดังนั้นแม้อีกฝ่ายจะเปราะเปื้อนด้วยคราบจากซากศพจนน่าขยะแขยง แต่มันก็จะทน

           ตึง หมัดกระแทกประตูอาคมจนเกิดเป็นเสียงดัง รอยร้าวเล็กๆเริ่มปรากฏขึ้น เซียวถิงฟงพลันยิ้มออกก่อนจะส่งหมัดลงไปอีกครั้ง ครานี้ร่างเขามิได้กระเด็นออกไปแล้ว เป็นเพราะเขาเกร็งกำลังส่วนหนึ่งไว้ที่ขาด้วย

           คนแปลกหน้าเริ่มทลายประตูอาคมจนบังเกิดเป็นรอยร้าว เฉิงอี้ยิ่งร้อนรน แต่ยังคงมีสติเล็งไปที่ต้นคออีกฝ่ายอย่างไม่คลาดเคลื่อน โชคยังดีที่อีกฝ่ายมิได้ระวัง ทำให้ตัวมันเข้าถึงตัวอีกฝ่ายเพียงไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ

           ด้านไป๋เซ่อก็ยังคงไล่ตามปีศาจน้อยอย่างไม่ลดละ กระทั่งเห็นร่างแปลงของปีศาจค้างคาวบินหนีไปไกล ทั้งยังมีทีท่าหมายทำร้ายเซียวถิงฟง มันก็ไม่มีท่าทีครั้นคร้าม เพียงหยุดเลื้อยตัวลง รอจนจังหวะหนึ่งร่างสีขาวปลอดก็ดีดตัวขึ้นสูงเหนืออากาศ ก่อนจะกระโจนเข้าโรมรันเลื้อยลัดอีกฝ่าย

           “อ้ะ” เขี้ยวเล็กเข้าใกล้ที่ลำคอของแกร่ง ความตั้งใจใกล้สำเร็จผล แต่แล้วมันก็ต้องตกตะลึง เป็นเพราะมันลืมไปหมดสิ้น ว่ายังมีงูเผือกสีขาวที่ยังตามไล่ล่ามันอย่างไม่ลดละ ดังนั้นเขี้ยวยังมิอาจจมเข้าสู่ผิวเนื้อ ร่างของมันก็ถูกพันธนาการไว้ “ปล่อยข้า ปล่อย” เฉิงอี้ร้องลั่น สายตายังคงจับจ้องมองไปยังผู้บุกรุกที่เริ่มทำลายประตูอาคมจนเกิดเป็นรอยร้าวไปทั่วบริเวณ

           ท้ายที่สุดประตูอาคมก็คล้ายเป็นดั่งกระจก มันปริแตกออกจนบังเกิดเป็นเสียงดังเพล้ง เซียวถิงฟงหยุดมือมองดูประตูที่ค่อยๆพังทลาย จวบจนหมดสิ้นสองเท้าก็โผเข้าไปในห้องโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก

           ภายในห้องเงียบสงัดจนน่ากลัว ข้าวของถูกทำลายวางระเกะระกะที่พื้น ฝุ่นเล็กๆกระจายอยู่โดยรอบ เซียวถิงฟงก้าวเท้าตรงไปยังเตียงที่มีร่างน้อยนอนอยู่ ใบหน้าซีดเซียวทั้งซูบผอมทำให้เขาปวดใจ เขานั่งลงข้างเตียง มือหนึ่งเอื้อมไปสัมผัสที่ใบหน้าเล็ก ทว่าผิวกายของร่างน้อยกลับเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง

           “ต้าเซียน” เขาร้องอย่างตกใจพลางลนลานจับชีพจรที่ข้อมือเล็ก

           แผ่วเบา แผ่วเบาจนน่ากลัว หัวใจเริ่มดำดิ่งสู่ห้วงมืด เขากัดฟันข่มความรู้สึกที่กำลังพังทลายลง รั้งร่างบอบบางเข้ากอดอย่างทะนุถนอม เขามิยินยอมให้ต้าเซียนจากไปเช่นนี้ เขาต้องรีบพาต้าเซียนไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด


**************************************************


           ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนลอบมองยังภายนอก เมื่อครู่เกิดเสียงดังคล้ายมีคนเข้ามายังที่นี่ ดังนั้นเขาจึงซุ่มซ่อนตัวที่ด้านหลังเตียงนี้ หากโชคดีเขาอาจจะหาจังหวะหลบออกไปได้ ทว่าเมื่อแลเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียง เขาก็มีอันตะลึงงันไป ความรู้สึกดีใจพวยพุ่งอยู่เต็มอก

           ...เป็นเซียวถิงฟง เขามาช่วยข้า

           ต้าเซียนมองชายหนุ่มที่มีสีหน้ารวดร้าว ทั้งมองร่างที่เหมือนกับตนเองทุกประการอย่างไม่วางตา ความอ่อนโยนที่ห่างหายไปนานทำให้น้ำตาเริ่มซึมออกมา เขามองอยู่นิ่งๆอยู่อย่างนั้น คล้ายไม่อยากพลาดแม้สักเสี้ยววินาที กระทั่งเห็นร่างสูงอุ้มร่างที่เปรียบเสมือนฝาแฝดขึ้นหลังแล้วก้าวออกไป เขาก็พลันได้สติ

           “ถิงฟง”

           เสียงเล็กๆผะแผ่วดังขึ้น เซียวถิงฟงที่อุ้มร่างของต้าเซียนไว้บนแผ่นหลังถึงกับหยุดชะงัก เสียงนั้นเขาจำได้ดี หัวใจพลันรู้สึกพองโตขึ้น...เจ้ารู้สึกตัวแล้วใช่ไหม ทว่าดีใจได้ไม่นาน หัวใจก็ต้องหดลีบลง ร่างที่บอบบางราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนแผ่นหลัง ไม่มีแม้แต่จะกระดุกกระดิกสักนิด เขาคงคิดไปเอง

           ครั้นเห็นร่างสูงหยุดชะงัก แต่ไม่นานคอก็ตก อุ้มร่างที่ไร้ชีวิตชีวาก้าวออกไปอีก เขาก็พลันเปล่งเสียงเรียกอีกครั้ง “ถิงฟง”

           เซียวถิงฟงหยุดชะงักอีกครั้ง รู้สึกได้ว่าครั้งนี้ตนมิได้เพ้อฝัน จิตใต้สำนึกสั่งการให้หันกลับไป ครานี้สองเท้าหมุนกลับไป และแล้วดวงตาที่หม่นแสงก็ถึงกับเบิกกว้าง ใบหน้าเล็กที่โผล่ออกมาที่หลังเตียงนั้นเขาจดจำได้ดี แต่แล้วเขาก็บังเกิดเป็นอาการโง่งม ที่แผ่นหลังยังแบกร่างของต้าเซียนที่นอนไม่ได้สติไว้ แต่ทว่าที่หลังเตียงนั้นก็ยังมีต้าเซียนอีกคน

           เซียวถิงฟงงงงันจนกระทั่งเห็นหยาดน้ำที่คลอเต็มเบ้าในดวงตาคู่งามตรงหน้า ก็กระวีกระวาดตรงเข้าหาอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมที่จะวางร่างที่อยู่บนหลังลงที่เตียงอย่างอ่อนโยน ก่อนร้องเรียกอย่างดีใจ “ต้าเซียน”

           “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ต้าเซียนถามอย่างสงสัย นึกถึงเฟยหลงที่ทิ้งวาจาเหี้ยมโหดไว้ก่อนไปก็ถึงกับเคร่งเครียด...นี่มันเสี่ยงเกินไป เฟยหลงอาจสังหารชายหนุ่มได้ทุกเมื่อ

           “ทำไมเจ้าถึงอยู่ตรงนั้น” เซียวถิงฟงไม่ตอบคล้ายกับสงสัยบางสิ่งจนไม่ได้ฟังคำถาม ต้าเซียนค่อยๆยันตัวลุกขึ้น ทำให้เขามองเห็นได้เต็มตัวก่อนจะอุทานออกมาแทบในทันที “ผมของเจ้า”

           “อยู่ที่นี่” ต้าเซียนชี้นิ้วไปที่ร่างที่ยังคงนอนนิ่ง ตอนนี้เส้นผมของเขามิได้ยาวจรดพื้นอีกต่อไป เหลือเพียงแค่เส้นผมที่ยาวประมาณอก “ข้าเสกร่างเหมือนไว้ หวังว่าจะตบตาเฟยหลงได้ชั่วคราว” กล่าวจบก็แลเห็นร่างสูงทำหน้าปวดใจอีกครั้ง

           “รีบไปเถอะ ท่านอาวุโสเทพทั้งสามกำลังรอเจ้าอยู่” เซียวถิงฟงกล่าวน้ำเสียงเบา ก่อนจะตรงเข้าไปอุ้มร่างอีกฝ่ายแล้วพาขึ้นหลังไป

           ด้านต้าเซียนก็มิได้กล่าววาจาอันใด รู้เพียงว่าระหว่างพวกเขามีหลายเรื่องที่เจ็บปวดมากจนเกินพอแล้ว กระทั่งเมื่อฝีเท้าหนักแน่นเข้าไปที่ประตู น้ำเสียงหนึ่งก็ลอยมาเบาๆ

           “ต้าเซียน ที่ผ่านมาข้าไม่หวังให้เจ้าอภัย เพียงได้โปรดอย่างเกลียดชังข้า แค่นั้นก็พอ”

           “......” เขามองเซียวถิงฟงด้วยความเงียบกริบ แม้จะไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกในใจของชายหนุ่มได้ แต่คล้ายตอนนี้เขารับรู้ถึงมันได้เอง
           
           แม้จะมิได้รับคำตอบ เซียวถิงฟงก็มิได้ซักไซ้ เพียงก้าวฝีเท้าออกไป กระทั่งเมื่อผ่านประตูเสียงคร่ำครวญโหยหวนก็ดังขึ้น

           “ฮึก โฮ ท่านจอมมารเฟยหลง ข้าทำให้ท่านต้องผิดหวัง”

           เสียงร้องร่ำไห้ของเฉิงอี้ดังไปทั่วบริเวณ ต้าเซียนพลันเห็นร่างงูเผือกที่รัดพัวพันไว้ด้วยค้างคาวน้อยตัวหนึ่งก็มองอย่างสนใจ ราวกับมีสิ่งหนึ่งรบกวนจิตใจ

           ครั้นฝีเท้าคู่หนึ่งก้าวออกมา ไป๋เซ่อก็พลันเงยหน้าขึ้น “ฟ่อ ฟ่อ” ท่านมหาเทพ มันร้องตื่นเต้นดีใจ แทบอยากจะกระโดดโลดเต้นสักหลายที ส่งผลให้เผลอรัดร่างปีศาจค้างคาวไว้แน่นอย่างลืมตัว

           “แอ่กๆ” เฉิงอี้ในร่างค้างคาวสีเทาถึงกับตาถลน สองขาดิ้นตะเกียกตะกายไม่หยุด

           “ไป๋เซ่อ ลำบากเจ้าแล้ว” เห็นดังนั้นต้าเซียนก็รีบส่งรอยยิ้มเบาบางไปให้ ไป๋เซ่อจึงพลันสงบลง ร่างที่เลื้อยรัดก็เริ่มคลายลง ทำให้ค้างคาวน้อยเองรีบสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอด

           “จะทำเช่นไรกับเขาดี” เซียวถิงฟงกล่าวขึ้น มองไปยังปีศาจค้างคาวที่อยู่ในกำมือของไป๋เซ่อ หากปล่อยไปเกรงว่าอีกไม่นานจอมมารเฟยหลงจะต้องรุดมาโดยไว

           ด้านเฉิงอี้ถึงกับชะงักตัวแข็งทื่อ รู้สึกราวกับว่าชีวิตกำลังอยู่บนเส้นด้ายบางๆ เพียงคำพูดไม่กี่คำ ชีวิตมันก็คงจะหาไม่ในไม่ช้า แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ร้องขอชีวิตแต่อย่างใด

           ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องมองค้างคาวตัวสีเทาที่กำลังสั่นไม่หยุด ที่หางตามีหยาดน้ำตาคลอ ฉับพลันนั้นบังเกิดเป็นความรู้สึกที่ยากยิ่งจะพรรณนา แสงสว่างทอประกายวาบมองปีศาจน้อยตาไม่กะพริบ จากนั้นพลันยิ้มออกมา ไม่แน่ว่าปีศาจน้อยตนนี้อาจเป็นบุคคลสำคัญยิ่งในภายภาคหน้า “พาเขาไปด้วย” ต้าเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ

           เฉิงอี้ถึงกับลืมตาอย่างตกตะลึง มิคาดคิดว่ามันจะยังเก็บชีวิตตนเองไว้ได้ สายตาสีเทาของมันเผลอสบเข้ากับเจ้าของเสียง จู่ๆก็บังเกิดเป็นความรู้สึกอบอุ่นชนิดหนึ่ง จนได้แต่นอนนิ่ง กระทั่งในที่สุดร่างของมันก็ถูกจับใส่ลงไปในย่ามใบเล็กๆของเซียวถิงฟง

           ก่อนจากไปเซียวถิงฟงยังคงหันไปมองร่างอีกร่างของต้าเซียน เขาสัญญากับตัวเองในใจ...ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก...ว่าแล้วเขาก็ลงอาคมที่ประตูอีกครั้งตามคำที่ต้าเซียนบอก

           หัวใจครึ่งหนึ่งของเขาเป็นของจอมมารเฟยหลง ดังนั้นขุมพลังนี้จึงมีกลิ่นอายเช่นเดียวกับเจ้าตัว ดังนั้นอาจสามารถยื้อเวลาให้จอมมารเฟยหลงไม่สามารถจับพิรุธได้สักพัก

           เขาแบกร่างน้อยย้อนกลับมายังหุบเหวที่มีแต่ซากศพ แต่ครั้งนี้เขามิได้เดินลุยลงไปอีกแล้ว เนื่องเพราะตอนนี้เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้นจึงใช้กำลังภายในรวมถึงพลังเซียนในกายโผทะยานลงไปอย่างไม่หวาดหวั่น แลไม่นานร่างของทั้งสามก็ค่อยๆหายลับไปจากปราสาทมารโลหิต


**********************************************

อยากบอกว่า 2 บทสุดท้ายอย่างยาวจ้ะ ใกล้จะจบแล้ว เเต่ยังไม่อยากให้จบเบย :mew4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 27 ฝืนลิขิต 15/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 16-11-2015 20:51:15
โหดร้ายมากเลย T_T
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 29.1 เพียงเข้าใจ 17/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 17-11-2015 21:19:23
บทที่ 29.1 เพียงเข้าใจ


           โลหิตหลั่งไหล เสียงร้องโหยหวนดังอื้ออึง การฆ่าฟันที่มิรู้จบสิ้นยังคงดำเนินต่อไปภายใต้สายตาดุดันเฉกเช่นพญาอินทรี หากมิใช่ฝั่งกองทัพปีศาจ ก็เป็นเหล่ากองทัพเทพสวรรค์ที่บาดเจ็บล้มตาย

           เพลานี้คล้อยผ่านไปนานนับหลายชั่วยาม เหล่าทหารเทพเองก็ยังคงมีทีท่ายืนหยัดปกป้องเขตแดนสวรรค์เอาไว้อย่างไม่ลดละ แม้ต้องหลั่งหยาดเหงื่อเลือดเนื้อสักเพียงใด ต่างก็ไม่มีใครยอมท้อถอย ดวงตาที่กล้าแข็งเหล่านั้นมิได้แสดงออกถึงความเหน็ดเหนื่อยเลยสักเสี้ยวหนึ่ง

           ความมุ่งมั่นเหล่านี้กลับทำให้เฟยหลงหวนนึกถึงอดีต ครั้งที่ตนดำรงตำแหน่งแม่ทัพเทพเกราะทอง ผู้ซึ่งนำทัพพาเหล่าทหารเทพปกป้องเขตแดนสวรรค์จากเหล่าจอมมารในอดีต ทั้งยังฟันฝ่าอันตรายนานัปการ แต่แล้วสายตาคู่นี้ก็หลับลงอีกครั้ง ก่อนจะเปิดขึ้นใหม่ ทั้งยังโชนแสงยิ่งกว่าเดิม เขามิอาจหันหลังกลับไปได้ อดีตเป็นเพียงอดีต มิอาจเป็นปัจจุบัน เฟยหลงรู้ดี

           เพราะตอนนี้เขาคือ...จอมมารเฟยหลง

           “ท่านจอมมาร ข้าน้อยขอบังอาจเสนอให้ส่งกำลังพลอีกห้าพันนายเข้าตะลุยศึก ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วเหล่าทหารเทพย่อมต้องหมดแรงในอีกไม่ช้า” ปีศาจหัววัว หนึ่งในแม่ทัพปีศาจกล่าวขึ้นอย่างฮึกเหิม

           กระนั้นเฟยหลงเพียงแค่เหลือบมองอีกฝ่ายแล้วกล่าวตอบสั้นๆ “ยังไม่ถึงเวลา”

           ทว่าปีศาจหัววัวรับฟังแล้วกลับรู้สึกไม่ถูกต้อง มันรีบกล่าวแย้งในทันที “แต่ตอนนี้ทหารเทพกำลังขาดผู้นำ พวกมันย่อมต้องเพลี่ยงพล้ำในไม่ช้า เหตุใดจึง...” สายตาเผลอสบเข้ากับนัยน์ตาคู่เย็นชา มันยังมิทันได้พูดจบก็ต้องหลั่งชโลมเหงื่อเยียบเย็น รังสีสังหารของจอมมารแทบทำให้มันไม่สามารถหลุดวาจาใดได้อีก
   
           “เพียงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร” จอมมารเฟยหลงใช้น้ำเสียงเหี้ยมขึ้นเอ่ย เห็นอีกฝ่ายรีบพยักหน้ารับก็มิใคร่ใส่ใจอีก สายตาทอดมองไปยังภาพการสู้รบที่เบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
   
           ถูกแล้ว ตอนนี้ยังมิถึงเวลา รอถึงคราที่อัสดงถูกกลืนกิน เมื่อถึงตอนนั้นก็ถึงคราวที่เขาจะลงมือทำลายทุกสิ่ง เฟยหลงนึกในใจ ไม่นานนักร่างของเขาก็กลับกลายเป็นกลุ่มควันชนิดหนึ่ง ก่อนจะหายไปยังที่ที่เพิ่งจากมา...ปราสาทมารโลหิต
   
           สองเท้าเดินไปตามทางที่ตนคุ้นเคย จนล่วงเข้าสู่เขตหวงห้ามก็พลันจับกระแสได้เพียงแต่ความเงียบงัน คนที่ควรอยู่กลับไม่อยู่แล้ว คิ้วขมวดลงเล็กน้อย กระทั่งลงบันไดผ่านเข้าไปยังโถงมรกต ก็ตรงเข้าไปในห้องที่มีร่างของคนผู้หนึ่งทอดนอนลงอย่างสงบ
   
           ภายในห้องยังคงเค้าความเสียหาย ไม่ต่างกับตอนที่จากไปด้วยความโกรธ ฝีเท้าเดินตรงไปเบื้องหน้าของร่างเล็ก ทอดมองตาไม่กะพริบอยู่นาน จนในที่สุดก็เอื้อมมือไปสัมผัสยังดวงหน้างดงามที่ขาวซีด สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเย็นเยียบอย่างน่าประหลาด ริมฝีปากเขาเริ่มเหยียดยิ้มขึ้น
   
           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ในที่สุดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “ท่านคิดว่าเพียงแค่นี้หลอกข้าได้” เฟยหลงกล่าวเสียงแข็งจ้องมองใบหน้าที่หลับตาพริ้มด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่ง “ข้าจะรอดู ถึงเพลานี้แล้วท่านจะทำอะไรได้อีก”

           ความเคียดแค้นเต็มเปี่ยมในดวงตา สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ทว่าเขาก็ไม่คิดตามร่างเล็กไปตอนนี้ เพราะเขามั่นใจ จะอย่างไรอีกฝ่ายต้องกลับมาแน่ เนื่องเพราะคำท้าสู้ระหว่างเขากับเซียวถิงฟง ยังมิได้เริ่มขึ้น และมันจะจบลงได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดับสูญไป

           “ท่านจะได้เห็นว่า ข้าไม่ผิด เป็นท่านต่างหากที่เลือกผิด ท่านมหาเทพ”

           .................

           ........

           ...

           คลื่นน้ำยังคงสงบนิ่งแตกต่างกับใจที่มีแต่ความสับสน ท้องฟ้าในยามนี้มืดลงแล้ว กระนั้นเขากลับได้ยินเสียงโห่ร้องสู้รบจากที่แสนไกล กลิ่นเลือดบางเบาถ่ายเทอยู่ในอากาศ สองมือน้อยกำแน่นจนสั่นระริก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแหงนมองท้องฟ้าเบื้องบนอย่างไม่วางตา เป็นอีกครั้งที่ต้องทนเห็นสิ่งเหล่านี้ ได้แต่มองสิ่งที่เพียรสร้างถูกทำลายลงช้าๆ ความโกรธปะทุขึ้น หากแต่ก็สลายลงกลับกลายเป็นเพียงความหมองเศร้า

           ใบหน้าเล็กหันมองไปรอบๆ ไม่แน่ว่าอีกไม่นานที่นี่อาจจะไม่มีอยู่อีก รอยยิ้มจะเปลี่ยนเป็นน้ำตา ความสงบสุขไม่คืนหวนคืนมา ทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไม่มีอยู่อีกต่อไป คิดถึงตรงนี้ต้าเซียนก็สั่นสะท้าน ความรู้สึกโดดเดี่ยวกลับมาเคี่ยวกรำเขาอีกครั้ง

           ความหนาวเหน็บเคลื่อนเกาะกุมยังส่วนลึกในจิตใจ แม้แต่ลมหายใจก็มิอาจพรั่งพรู ทั้งๆที่เขาเป็นถึงมหาเทพแห่งพิภพสวรรค์ แต่มาตอนนี้กลับทำอะไรมิได้สักอย่าง สองตาข่มแน่นกล้ำกลืนความขมขื่นไว้ แต่แล้วมือใหญ่คู่หนึ่งก็เอื้อมมากระชับสัมผัสที่มือ ไม่เพียงน้ำเสียงอบอุ่น ดวงตายังทอแววด้วยความห่วงใย

           “ต้าเซียน เจ้าคิดอะไรอยู่”

           “.......” ต้าเซียนกลับคืนสู่ภวังค์ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงนี้ มือที่กำอยู่กลับคลายลงอย่างน่าประหลาด แต่กระนั้นเขาก็มิได้ตอบอะไร

           เซียวถิงฟงจับตามองร่างน้อยที่นั่งอยู่บนเรือลำเล็กเงียบๆมาเนิ่นนาน ดังนั้นใบหน้าหมองเศร้าเคล้าความสับสนระคนความไม่มั่นใจจึงมิอาจเล็ดรอดไปจากสายตาเขาได้ บัดนี้นัยน์ตาคู่สวยทอดมองมายังเขาแล้ว “ต้าเซียน...”

           “ถึงแล้วใช่รึไม่” น้ำเสียงหวานของนางฟ้าชิงเซียงดังขึ้น ทำให้ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนต้องละสายตาออกไป สุ้มเสียงของเซียวถิงฟงจำต้องหยุดชะงัก สุดท้ายก็ได้แต่กล้ำกลืนซ่อนบางสิ่งไว้ในอก

           “ตรงนี้แหละ” ต้าเซียนหยัดกายลุกขึ้นยืนบนเรือ สองตาแลเห็นดอกบัวในสระที่ยังคงเบ่งบานอยู่อย่างงดงาม ขัดกับภาพนองเลือดบนพิภพสวรรค์ในตอนนี้โดยสิ้นเชิง

           “ถ้าเช่นนั้น ท่านมหาเทพอย่าได้รอช้าอีกเลย” นางฟ้าชิงเซียงกล่าว

           ต้าเซียนจึงหันกลับไปมองที่ร่างสูงอีกครั้ง ครานี้เซียวถิงฟงหยัดยืนขึ้นแล้ว มือหนึ่งล้วงเข้าไปในสาบเสื้อก่อนจะเผยออกให้เห็นถึงลูกแก้วขนาดเท่าอุ้งมือ จากนั้นชายหนุ่มก็ยื่นมันมาให้ตน เขามองอยู่ครู่หนึ่งก็รับมันคืนกลับมา

           หลังจากที่เขากลับมาถึงที่คฤหาสน์ตระกูลเซียวในเมืองลู่หยางก็เพียงพบนางฟ้าชิงเซียงที่รออยู่นานแล้ว ไม่ต้องอธิบายอะไรมากเขาก็พอรู้สถานการณ์ ดังนั้นนางฟ้าชิงเซียง เซียวถิงฟง และเขาจึงพากันมายังที่จุดต้นกำเนิดของพลัง
   
           ร่างน้อยหันหลังให้คนทั้งสอง ตั้งสมาธิอยู่เพียงชั่วครู่ ลูกแก้วก็เปล่งประกายสีทองสุกสว่าง สายลมเริ่มพัดโหม พัดพาให้ดอกบัวสั่นไหวราวกับมีชีวิต ร่างกายเริ่มแปรเปลี่ยนดั่งทรายทอง ทั้งยังหลั่งไหลเข้าไปยังลูกแก้วใส จวบจนกายเหลือเพียงแค่ไม่กี่ส่วน น้ำเสียงของเซียวถิงฟงก็สะท้อนก้องไปทั่วสระบัว
   
           “ต้าเซียน เจ้ามิได้โดดเดี่ยว มิได้แบกรับภาระไว้เพียงลำพัง ทุกคนอยู่ข้างเจ้า ทุกคนเชื่อใจเจ้า”...ข้าเองก็เช่นกัน เซียวถิงฟงตัดสินใจบอกสิ่งที่กล้ำกลืนไว้ น้ำเสียงนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ จวบจนร่างน้อยหายไป

           หัวใจพลันรู้สึกปลอดโปร่ง คล้ายมีบางสิ่งเติมเต็มในส่วนที่ขาดหาย เขามิได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป ต้าเซียนมองเซียวถิงฟงผ่านทางลูกแก้วใส มองนางฟ้าชิงเซียงที่ส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันมองไปยังท้องฟ้ายามราตรี ความเข้มแข็งกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง

           ขอเพียงมีคนเข้าใจ มันก็กลับกลายเป็นพลังให้มุ่งมั่นก้าวต่อไปข้างหน้าได้เช่นกัน

           แสงสว่างสีทองสว่างวาบแล้วจึงค่อยๆจมลงในสระบัว เซียวถิงฟงมองลูกแก้วใสที่นอนอยู่ก้นสระก็เริ่มสงบใจขึ้น

           “เจ้าเข้าใจท่านมหาเทพ” นางฟ้าชิงเซียงยิ้ม แม้นางจะเข้าใจถึงความโดดเดี่ยวที่ติดอยู่ในใจของท่านมหาเทพมานานปี แต่ตนก็มิอาจคลายปมนี้ออกจากใจของท่านได้ แต่ชายผู้นี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

           “ข้าฝากดูแลเขาด้วย” เซียวถิงฟงไม่กล่าวตอบกระไรเพียงยิ้มให้น้อยๆ แล้วกล่าวฝากฝังต้าเซียนไว้ จากนั้นจึงใช้กำลังภายในส่วนหนึ่งนำพาตนเองออกจากเรือลำน้อยไป

           ต้าเซียน เป็นเจ้าที่ปกป้องข้าเสมอมา แต่หลังจากนี้ข้าจะเป็นฝ่ายปกป้องเจ้าเอง

           นางฟ้าชิงเซียงมองเงาร่างที่ค่อยห่างออกไป มาตรว่ารู้แน่ชัดว่าต้องประสบพบเภทภัยแต่เขาก็ยังคงไป รอยยิ้มของนางปรากฏขึ้น แล้วจึงหันกลับมามองยังสระบัวที่ซึ่งสะท้อนแสงสว่างสีทอง

           “ท่านมหาเทพ ท่านไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป”


****************************************************


           เช้าวันใหม่ถือกำเนิดขึ้น ทว่ากลุ่มสีดำอึมครึมกลับเคลื่อนที่บดบังดวงอาทิตย์ เสียงฟ้าผ่าดังครืนเป็นระยะๆ ราวกับจะบอกว่าอีกไม่นานเหตุชั่วร้ายจำต้องบังเกิดขึ้น ชายผู้หนึ่งสวมเกราะสีทองสง่างามนั่งอยู่บนบัลลังก์กว้างพลางทอดมองไปยังจุดหนึ่ง ดูว่าเขารอมาเนิ่นนานแล้ว

           เซียวถิงฟงเดินทางกลับมายังหุบเขาลับแล สถานที่ตั้งปราสาทมารโลหิตอีกครั้ง หากแต่ว่าครั้งนี้เขากลับมาเพียงลำพัง แลเมื่อถึงปากทางเข้า ปีศาจหน้าตาอัปลักษณ์ตนหนึ่งก็ยืนรอตนอยู่แล้ว จากนั้นมันก็นำพาเขามายังลานหินอ่อน ที่ซึ่งครั้งหนึ่งกองทัพปีศาจได้รวมตัวกันโห่ร้องเสียงอึกทึก แต่ในขณะนี้หาได้มีวี่แววพวกมันไม่

           “จอมมารเฟยหลง”

           น้ำเสียงแน่วแน่เอ่ยขึ้น ทำให้เจ้าของชื่อต้องเหยียดยิ้มหยันคราหนึ่ง ก่อนจะถลึงตามองคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างอย่างชิงชัง มือหนึ่งยกขึ้นแล้วโบกมือคราหนึ่งเป็นสัญญาณให้ปีศาจที่นำพาชายผู้นี้ล่าถอยออกไป
   
           “นับว่าเจ้ายังมีสัจจะ” เฟยหลงยังคงนั่งนิ่งพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาจ้องมองบุรุษที่สวมชุดเกราะสีดำ ผมรวบขึ้นมวยท่าทางทะมัดทะแมงน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย ดูท่าอีกฝ่ายก็เตรียมใจพร้อมแล้วเช่นกัน

           สายตาที่แฝงไว้ซึ่งรังสีสังหารนั้นมิได้ปกปิดเลยสักนิด เซียวถิงฟงยกยิ้มขึ้น ในเมื่ออีกฝ่ายอยากเล่นสงครามทางจิต เขาก็จะเล่นด้วย “วันสำคัญเช่นนี้ ข้าจะมิมาได้อย่างไร”

           น้ำเสียงที่ฟังดูไม่สะทกสะท้าน ทั้งไม่ยี่หระ ยิ่งโหมกระพือความเดือดดาลในใจขึ้นมา แต่แล้วเฟยหลงก็แค่นเสียงกล่าว “หึ หึ ข้ามิแปลกใจสักนิด ในเมื่อเจ้ากล้าลอบเข้ามาชิงตัวท่านมหาเทพถึงที่นี่ เหตุใดจึงจะไม่กล้ามาประชันหน้ากับข้าอีก”
   
           “.......” เซียวถิงฟงมิได้กล่าวอะไรอีก เนื่องด้วยรู้ดีว่าร่างแปลงของต้าเซียนมิอาจตบตาจอมมารเฟยหลงได้นาน ซึ่งการที่เขาตัดสินใจมายังหุบเขาลับแลก่อนถึงเวลาที่อัสดงจะถูกกลืนกินนั้น ก็เป็นเพราะเขาต้องการถ่วงเวลาให้ต้าเซียนฟื้นฟูพลัง และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการทวงหนี้สัญญาระหว่างเขาและเฟยหลง
   
           ครั้งหนึ่งเขาเคยไปหาจอมมารเฟยหลง เพียงเพื่อไปรับฟังคำมั่นสัญญาว่าอีกฝ่ายจะมิมีวันทำร้ายต้าเซียน “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว หากเจ้าทำร้ายต้าเซียน ข้าจะมิมีวันปล่อยเจ้า”
   
           เฟยหลงถลึงตามองบุรุษตรงหน้าด้วยดวงตาวาวโรจน์ “ฮ่า ฮ่า ข้าน่ะหรือทำร้ายเขา เป็นข้าต่างหากที่ใช้พลังส่วนหนึ่งคงร่างท่านไว้ มิให้ท่านต้องสูญสลายไป แล้วเจ้าคิดว่าใครกันที่ทำให้ท่านต้องเผชิญกับสิ่งนี้”
   
           ใช่ สิ่งที่เฟยหลงกล่าวมานั้นมิผิดแม้แต่น้อย ต้าเซียนถึงกับเสี่ยงชีวิต ยอมฝืนกฎทั้งสามพิภพเพียงเพื่อช่วยชีวิตเขา เซียวถิงฟงกัดฟันรับเอาคำพูดเสียดแทงใจอย่างเต็มอก ไม่คิดปฏิเสธอันใด
   
           ริมฝีปากของเฟยหลงเหยียดยิ้มเยาะเมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของอีกฝ่าย “เจ้าคิดว่าความรักที่ข้ามีให้ท่านมหาเทพ เทียบได้กับความรักของเจ้าน่ะหรือ เฮอะ เจ้ามันก็แค่ชายหน้าโง่ที่หลงกลข้า”
   
           “ใช่ ข้าเทียบเจ้ามิได้ แต่ทว่าความรักของเจ้าคือการทำลายสิ่งที่ต้าเซียนรักเช่นนั้นรึ” เซียวถิงฟงกล่าวโต้ตอบ กระทั่งเริ่มเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของอีกฝ่ายจึงหยุดคำกล่าวไว้ชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวสืบต่อไป “เจ้าไม่เข้าใจเขาแม้แต่น้อย”
   
           เปรี้ยง เฟยหลงถึงกับผุดลุกขึ้น กำหมัดกระแทกบัลลังก์สีทองจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง ดวงตาแดงก่ำจนถึงขีดสุด รอยยิ้มหยันไม่มีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป เขาแค่นเสียงกล่าวตวาด “อย่างเจ้าจะเข้าใจอะไร เจ้ามันก็แค่ตัวบัดซบที่ทำร้ายจิตใจเขา”
   
           “ใช่ ข้ามันตัวบัดซบที่ทำร้ายจิตใจเขา แต่อย่างน้อยข้าก็มิมีวันทำลายสิ่งที่เขาเพียรสร้างขึ้นมาด้วยความรัก แล้วเจ้าเล่ากำลังทำอะไรอยู่” เซียงถิงฟงสวนตอบในทันที
   
           เฟยหลงเองก็ตวาดก้องไปทั่วบริเวณ “ข้าไม่เสวนากับตัวบัดซบเช่นเจ้า”

           “เช่นนั้นเจ้ารอกระไรอยู่” เซียวถิงฟงกล่าวคำ สายตาบ่งบอกถึงความพรักพร้อม ร่างของจอมมารเฟยหลงหายไปจากสายตาแล้ว ทว่าไม่นานเสียงเคร้งก็ดังขึ้นที่ข้างหู ดาบใหญ่จ่อเข้าประชิดที่ลำคอ หากแต่ยังมีพัดเหล็กขวางกั้นอยู่

           ทั้งสองต่างนิ่งจ้องสายตากันอย่างฟาดฟัน ขุมพลังชนิดหนึ่งเข้ากดดันปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ไม่นานพื้นที่ยืนก็บังเกิดเป็นรอยร้าว ฝ่าเท้าทั้งสี่เริ่มค่อยๆจมลึกลงสู่พื้น เศษหินอ่อนแตกร้าวลอยขึ้นหมุนเวียนรอบตัวคนทั้งสองราวกับเป็นดั่งพายุหมุน แต่กระนั้นเศษหินอ่อนเหล่านี้กลับมิได้กระทบถูกตัวพวกเขาแม้แต่ปลายก้อย

           พัดเหล็กคลี่ออกในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ก่อนวาดออกใส่เจ้าของคมดาบอย่างรวดเร็ว พลังดังกล่าวขับดันให้เฟยหลงต้องเบี่ยงใบหน้าให้พ้นวิถี ทว่ามือที่กำชับดาบไว้ก็ถูกใช้ออกเช่นกัน

           ปลายดาบยังไม่ถูกลำตัว เซียวถิงฟงก็กระแทกฝีเท้าลอยตัวถอยห่างไปทางด้านหลัง จังหวะเดียวกันนั้นเศษหินอ่อนก็ค่อยๆร่วงกราวลงสู่พื้นอย่างแรง

           “เฮอะ” เฟยหลงแค่นเสียงไม่พอใจ ปราดเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายด้วยท่าร่างเคลื่อนย้ายในพริบตา

           กว่าที่เซียวถิงฟงจะรู้สึกตัวเฟยหลงก็อ้อมมาที่ด้านหลัง ปลดปล่อยฝ่ามืออำมหิตหนึ่งเข้าใส่อย่างไม่ปราณี เขารีบวกตัวใช้พัดเหล็กต้านรับขุมพลังสีน้ำเงินอย่างจัง จากนั้นเบี่ยงตัวหลบหลีกพลังดังกล่าวไปได้อย่างฉิวเฉียด ปรากฏเป็นเสียงระเบิดดังตูมขนานใหญ่ที่ด้านหลัง ดูว่าหากต้านรับพลังขุมนี้ไม่ได้ ร่างของเขาคงต้องแยกออกเป็นส่วนๆ

           เฟยหลงมิได้คิดออมกำลังให้แม้แต่น้อย เพียงกำจัดชายผู้นี้ได้ ความขุ่นแค้นในใจเขาคงได้รับการบรรเทา “ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะหลบได้อีกสักกี่กระบวนท่า”

           “ครั้งนี้ข้าจะแพ้ไม่ได้” ด้านเซียวถิงฟงก็กล่าวกับตนเองเช่นกัน

           ร่างทั้งสองทะยานเข้าหากันอีกครั้ง เสียงอาวุธกระทบกระทั่งดังสนั่น เกิดเป็นประกายไฟแลบขึ้นทุกครั้งที่อาวุธต้องกัน ไม่รู้ว่าทั้งสองใช้ออกไปแล้วสักกี่ร้อยกระบวนท่า แต่ทว่าสีหน้าของพวกเขากลับมิได้แปรเปลี่ยน ความมุ่งมั่นฉายชัดบนใบหน้าของแต่ละฝ่าย ต่างมิมีใครยอมใครแม้สักชั่วประเดี๋ยว

           จากการต่อสู้บนพื้นบ้างเปลี่ยนเป็นบนอากาศ บางคราฝ่ายหนึ่งรุกไล่ อีกฝ่ายหนึ่งตั้งรับ สลับหมุนเวียนกันไป แทบไม่มีเวลาสังเกตเห็นสิ่งรอบกาย ต่างฝ่ายต่างใช้พละกำลัง รวมถึงสติกันอย่างเต็มที่ เนื่องเพราะหากพลั้งเผลอเพียงครั้ง ชีวิตอาจต้องดับสูญลง

           กระทั่งทั้งสองต่อสู้จนเข้าสู่เขตภูเขา ตามทางต่างๆจึงมีแต่ก้อนหินทั้งเล็กใหญ่ วางตั้งเรียงรายคล้ายเป็นทางเข้าสู่ถ้ำลึก จวบจนเข้าไปลึกขึ้นสองทางซ้ายขวากลับยิ่งเล็กแคบลง ดังนั้นไม่ว่าเฟยหลงจะวาดดาบดุดันเพียงใด หรือเซียวถิงฟงจะตวัดพัดเหล็กเข้าฟาดฟันสักแค่ไหน บุรุษทั้งสองต่างก็มิอาจหลบหลีกต่อกันได้พ้นอีก

           บังเกิดเป็นหยาดโลหิตสาดกระเซ็นออกจากกายของทั้งสองเป็นระยะๆ เลือดเริ่มหลั่งลงนองบนพื้น แต่ไม่นานก็ซึมลึกลงสู่พื้นดิน มาตรเป็นเช่นนั้นทั้งสองก็ไม่คิดจะหยุดมือ

           เห็นเฟยหลงถลันเข้ามา เซียวถิงฟงก็อาศัยจังหวะส่งปลายเท้าถีบเข้าที่ก้อนหินใหญ่ ร่างกระโดดขึ้นสูง ก่อนจะใช้พัดเหล็กสะบัดส่งพลังขุมหนึ่งเข้าหาผู้เป็นจอมมาร ทว่าเฟยหลงกลับตั้งรับอยู่แล้ว อีกทั้งยังวาดดาบปลดปล่อยพลังเข้าหา
   
           ร่างของเซียวถิงฟงยังมิทันลงพื้นดีก็ต้องต้านรับพลังจากดาบ แต่พื้นที่หลบหลีกกลับมินำพา ที่ไหล่ซ้ายจึงต้องคมดาบเข้าทันที เขากัดฟันทนรับความเจ็บปวด เฟยหลงไม่รอช้าถอนดาบเล่มใหญ่ออกโดยแรง สีหน้าทอแววสะใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายได้รับแผลฉกรรจ์ แต่กระนั้นเขาก็มิอาจหลบพ้นเช่นกัน เนื่องเพราะพัดเหล็กของเซียวถิงฟงได้ตวัดเข้าฟาดฟันใส่ตนแล้ว

           จวบจนเวลาผ่านไปชั่วครู่ชายทั้งสองก็ผละตัวออกห่างจากกันไปไกล เสียงหอบหายใจกระชั้นของทั้งสองดังขึ้นเล็กน้อย
เซียวถิงฟงกึ่งนั่งกึ่งยืนสำรวจมองตนเอง แผลที่ไหล่ซ้ายบาดลึกถึงกระดูก เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาไม่หยุด จนต้องใช้นิ้วสกัดจุดตนเองเป็นการห้ามเลือดชั่วคราว จากนั้นฉีกปลายเสื้อออกก่อนพันมันไว้ลวกๆบนบาดแผล ระหว่างนั้นก็จับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา

           ด้านเฟยหลงก็มิได้ต่างกันสักเท่าไหร่ แม้เซียวถิงฟงจะใช้เพียงอาวุธชิ้นเล็ก กระนั้นฤทธิ์เดชของมันก็มิได้เป็นอย่างที่เห็น พัดเหล็กกลับแปรเปลี่ยนสายลมให้บังเกิดเป็นคมมีด เมื่อวาดออกกลับแหลมคมคล้ายกระบี่เล่มหนึ่ง ร่างของเขาบังเกิดรอยกระบี่อยู่หลายรอย แม้แผลไม่ลึกถึงกระดูก แต่ก็สร้างความเจ็บแสบขึ้นเรื่อยๆ เลือดซึมออกมาไม่หยุด ดูแล้วมิได้ย่ำแย่ไปกว่ากันเท่าใดนัก

           ทั้งสองนิ่งพักอย่างเงียบงัน แต่แล้วรอยยิ้มเหี้ยมก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเฟยหลง เซียวถิงฟงรู้สึกผิดแปลกใจทั้งยังสังหรณ์ใจได้ถึงบางสิ่ง ฉับพลันนั้นอีกฝ่ายก็เคลื่อนถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นไล่ตามไปในทันที แต่ทว่าร่างในชุดเกราะสีทองกลับอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น

           จังหวะเดียวกันนั้นก็บังเกิดเสียงครืนดังขึ้นเหนือศีรษะ ก้อนหินใหญ่หลายก้อนเริ่มถล่มลงมา สัญชาตญาณผลักดันให้เซียวถิงฟงต้องหลบหลีกมิอาจตามพัวพันร่างตรงหน้าได้อีก สองเท้าได้แต่นำพาร่างตัวเองให้ถอยห่าง กระทั่งเบื้องหน้าสงบลง ก็ต้องพบว่าผิดท่า ตอนนี้เขาเข้ามาในค่ายกลชนิดหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

           สองตาแลมองซ้ายขวา สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ดูว่าสถานที่แห่งนี้ได้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก มีเพียงแค่พื้นที่แคบว่างเปล่าที่มีแต่หินใหญ่ล้อมรอบ บรรยากาศเต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย เขาจับสังเกตอย่างระแวดระวัง ก่อนจะสะดุดเห็นเงาสีดำที่ดูรางเลือนกลุ่มหนึ่ง

           เงาสีดำนั้นมีรูปร่างขนาดใหญ่ทั้งยังสวมใส่เสื้อเกราะโบราณ สิ่งที่พ้นจากคอเสื้อเป็นเพียงแค่กะโหลกมนุษย์ที่บิดเบี้ยว เบ้าตาโหลลึกว่างเปล่าปราศจากดวงตา พวกมันกำลังก้าวเข้ามาตรงหน้า ก่อนจะลงดาบในมือเข้าใส่เขาอย่างไม่เกรงกลัว

           เซียวถิงฟงต้านรับดาบใหญ่เอาไว้แล้วพลิกแพลงกระบวนท่า หมุนตัวหลบหลีก ส่วนมือก็ไม่ลืมตวัดพัดเหล็กตัดเอากะโหลกศีรษะที่บิดเบี้ยวนั้นลง แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง แม้เงาร่างสีดำนั้นสลายหายไปราวกับกลุ่มควัน หากแต่ก็ประกอบเป็นรูปร่างขึ้นใหม่ในชั่วพริบตา

           สมองประเมินมองกลุ่มเงาดำพวกนี้อย่างละเอียด มาตรว่าหากไม่สามารถหาทางออกไปจากค่ายกลนี้ได้โดยเร็ว ก็เป็นเขาที่จะหมดแรงจบสิ้นลงเสียก่อน กระนั้นเซียวถิงฟงก็หาได้แตกตื่นร้อนลนใจไม่ ทั้งยังคงคุมสติไว้ได้ดี สองเท้าออกเดินเข้าไปหาพวกมันอย่างช้าๆ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นวิ่ง รอจนจังหวะหนึ่งก็กระโดดตัวขึ้นถาโถมเข้าใส่เงาดำเหล่านี้อย่างดุดัน

           ผิดกลับสถานที่หนึ่ง ซึ่งเหนือขึ้นไปจากค่ายกลแห่งนี้ กลับมีเสียงหัวเราะของเฟยหลงดังก้องไปทั่วบริเวณ “หึ หึ จงรอความตายที่นี่เสียเถิด” กล่าวจบก็ทอดสายตามองบุรุษที่อยู่ตกอยู่ภายใต้ค่ายกลด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ท่านมหาเทพ ข้ารอท่านมาชมดูเรื่องสนุกอยู่”


******************************************************
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 29.2 เพียงเข้าใจ 17/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 17-11-2015 21:22:39
บทที่ 29.2 เพียงเข้าใจ



           ตะวันเริ่มถูกบดบัง ความมืดคืบคลานเกาะกินแสงสว่าง คาดว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามทั่วทุกพิภพจะต้องตกอยู่ภายใต้ความมืดมิด บัดนี้นางฟ้าชิงเซียงนั่งอยู่บนเรือท่ามกลางสระบัวเพียงลำพัง แต่แล้วใบหน้าหวานก็ฉายแววเคร่งเครียด ซ้ำยังผุดลุกขึ้นยืนในทันที

           มิคาดคิดว่าสมุนของจอมมารจะตามมาถึงที่นี่ ดวงตาสีอำพันจับจ้องควันดำกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเคลื่อนที่เข้าใกล้เรือลำเล็กอย่างรวดเร็ว แลไม่นานก็ปรากฏเป็นปีศาจสามตนที่ยืนบริเวณหัวเรือด้วยท่าทีดุร้าย

           “ท่านมหาเทพอยู่ที่ใด” ปีศาจที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดกล่าวถามขึ้นอย่างคุกคาม

           นางฟ้าชิงเซียงเพียงใช้หางตาชำเลืองมองปีศาจทั้งหมดอย่างเงียบงัน นางในตอนนี้ได้รับหน้าที่คุ้มกันท่านมหาเทพในขณะฟื้นฟูพลัง ย่อมมิให้ใครขัดขวางโดยง่าย “ข้าจำเป็นต้องบอกพวกเจ้า” นางใช้น้ำเสียงสูงขึ้นถาม แม้นางจะเป็นเพียงแค่นางฟ้า หาใช่เหล่าทหารเทพแกล้วกล้า แต่ก็ใช่ว่าจะดูแคลนนางได้ง่ายๆ

           “ปากดีนัก ในเมื่อเจ้าไม่ตอบก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่ปราณี” ปีศาจที่เป็นหัวหน้ากล่าวขึ้นเสียง พร้อมทั้งกระดิกนิ้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ยืนยิ้มกริ่มอย่างย่ามใจ

           ทว่าพวกมันก้าวไปข้างหน้าได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงระเบิดดังตูมหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง พวกมันต่างผงะตกใจ แม้แต่ฝีเท้าก็หยุดชะงักลง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงน้ำในสระที่สาดกระเซ็นไปทั่ว รอจนสงบลงจึงได้แลเห็นเงาร่างสีขาวที่ยืนขวางกั้นนางฟ้าตนนั้นเอาไว้อย่างรางเลือน

           “หนอย พวกเจ้าคิดเล่นตลกกระไร” ปีศาจตนหนึ่งแผดเสียงใส่

           “ก็หาข้ามิใช่รึ” ต้าเซียนเพียงโต้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

           ครั้นเหล่าปีศาจเห็นบุคคลตรงหน้าได้ชัดเต็มตา พวกมันก็ถึงกับตะลึงลาน ทั้งยังประหวั่นพรั่นใจไปกับท่าทีเยือกเย็นของอีกฝ่าย ประกายสีทองที่ทอประกายอยู่รอบตัวนั้น สว่างไสวเสียจนพวกมันมิกล้ามองตรงๆ อีกทั้งขุมพลังที่มองไม่เห็นนั้นก็แทบกดดันให้พวกมันรู้สึกถึงความกลัว แลกว่าที่จะรู้สึกตัว เข่าของพวกมันก็ทรุดลงให้กับบุคคลเบื้องหน้านี้เสียแล้ว
 
           “จะ จอมมารเฟยหลงเรียนเชิญท่านมหาเทพไปยังหุบเขาลับแล” ในที่สุดปีศาจที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็ขยับริมฝีปากกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเป็นที่สำเร็จ

           “ข้าต้องไปแน่” น้ำเสียงนุ่มทุ้มแต่ทรงพลังถูกเอื้อนเอ่ยออกมา นางฟ้าเซียงได้ฟังแล้วก็รีบร้องห้าม แต่ยังมิทันได้กล่าวร่างสีขาวก็ยกมือขึ้นทัดทานเสียก่อน

           “มิต้องเป็นห่วง พลังข้าในตอนนี้พอทัดเทียมกับเฟยหลง เจ้าเองก็ไปช่วยท่านผู้อาวุโสเทพทั้งสามอีกแรงเถิด” ต้าเซียนกล่าวแล้วส่งยิ้มให้นาง ตอนนี้พลังเขาฟื้นฟูได้ถึงแปดในสิบส่วน น่าแปลกที่ว่าตะวันยิ่งถูกกลืนกินมากเท่าใด ธาตุหยินหยางกลับพานมีมากกว่าปกติ เป็นเหตุให้เขาฟื้นฟูพลังได้เร็วกว่าที่ควร

           รอจนนางฟ้าชิงเซียงยอบกายให้ ต้าเซียนก็พลันหลับตาลง ร่างของเขาค่อยๆอันตรธานหายไปจากเรือลำเล็ก แลเมื่อเปลือกตาบางเปิดอีกครั้ง สภาพแวดล้อมตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สองเท้าที่เคยยืนบนเรือเล็กท่ามกลางสระบัวงดงาม ครานี้กลับยืนอยู่บนเนินหินใหญ่ ครั้นมองไปรอบๆก็พบหินที่แตกละเอียด บ้างไม่สมส่วนคล้ายกับถูกพลังปะทะเข้าอย่างรุนแรงจนเกิดการทลายลง

           “ท่านมาแล้ว” สุ้มเสียงทรงพลังดังขึ้นที่ด้านหลัง ต้าเซียนชะงักกายเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆหันกายไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

           เฟยหลงในชุดแม่ทัพเกราะทองกำลังนั่งอยู่บนเนินหินอีกด้านหนึ่งด้วยท่าทีสบายๆ แต่ทว่าสิ่งที่สะดุดสายตามากที่สุดกลับเป็นโลหิตที่เปราะเปื้อนบนใบหน้าเจ้าตัวส่วนหนึ่ง รวมถึงบาดแผลที่ประปรายตามลำตัว

           “ถิงฟงมาที่นี่” ต้าเซียนขมวดคิ้วกล่าวถามด้วยสีหน้าเย็นชา โลหิตบนใบหน้าดูมิใช่ของเฟยหลง อีกทั้งบาดแผลตามร่างก็ดูเป็นเอกลักษณ์
 
           “โลหิตที่ท่านเห็นย่อมมิใช่ของข้า” น้ำเสียงเฟยหลงพลันหยุดลงเท่านี้ จากนั้นจึงสำรวจมองร่างเล็กในชุดสีขาวครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มจะหยักขึ้น “ดูท่าพลังของท่านยังไม่ฟื้นเต็มที่นัก”

           “แต่ก็มีมากพอจะต่อกรกับเจ้า จอมมารเฟยหลง” ต้าเซียนโต้กลับ คำกล่าวของเฟยหลงก่อนหน้านี้ แม้จะดูไม่เหมือนมิใช่คำตอบ หากแต่เขาได้รับคำตอบแล้ว เซียวถิงฟงมาที่นี่จริงๆ กระนั้นชายหนุ่มกลับมิได้อยู่ที่นี่ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องคนตรงหน้าอย่างละเอียด เขายอมรับว่าตอนนี้ มิอาจคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดจะกระทำอะไรขึ้นอีก

           “ท่านจะไม่ลองคิดทบทวนอีกสักนิดรึ” เฟยหลงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนตรงหน้าครุ่นคิดจนเงียบไป

           “ทบทวนกระไร” ต้าเซียนกล่าวถามขึ้นอย่างงุนงง ก่อนจะแลเห็นสีหน้าที่ฉายแววจริงจังของอีกฝ่าย

           “เลือกข้า”

           “.....” เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วต้องทอดถอนใจเบาๆ กล่าว “หากเลือกเจ้าแล้ว เจ้าจะยอมถอนทัพปีศาจ ล้มเลิกความคิดจะทำลายสมดุลโลก ทั้งสร้างพิภพขึ้นใหม่เช่นนั้นรึ”

           “หึ มาถึงตอนนี้แล้ว ข้าจะไม่มีวันแบ่งปันท่านให้ใคร ความรักของท่านต้องเป็นของข้าผู้เดียว จะไม่มีใครหน้าไหนมันบังอาจช่วงชิงความรักจากท่านไปได้อีก” เฟยหลงสวนตอบแทบในทันที

           ใช่แล้ว...เขาชิงชังทุกคนที่ได้รับความรักจากท่านมหาเทพ แม้จะเป็นความรัก ความห่วงใยแม้เพียงน้อยนิด เขาก็รู้สึกชิงชัง ดังนั้นเขาต้องกำจัดความเป็นไปได้ทุกทาง มิให้มีสิ่งใดๆส่งอิทธิพลต่อท่านมหาเทพอีก

           “เช่นนั้นข้าขอปฏิเสธ”

           “ฮึ ฮึ เช่นนั้นท่านทนดูคนผู้นี้ตายอีกครั้งได้รึ” ร่างแกร่งดวงตาวาวโรจน์ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง

           ที่เบื้องล่างปรากฏเป็นภาพบุรุษผู้หนึ่ง หยาดเหงื่อแลโลหิตต่างหลั่งชโลมไปทั่วร่าง มือหนึ่งปัดป่ายพัดเหล็กเข้าใส่ฝูงปีศาจเงาอย่างไม่หยุดหย่อน เค้าความเหนื่อยล้าฉายได้ชัดจากท่วงท่าที่ใช้ออก แต่ก็มิใช่ว่าสองเท้าจะล้มลงโดยง่าย ต้าเซียนรู้สึกได้

           นัยน์ตาเฉกเช่นพญาอินทรีจับจ้องมองสีหน้าของร่างเล็กอย่างมิวางตา ในใจภาวนาขอให้อีกฝ่ายมิกล่าวปฏิเสธอีก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ท่านมหาเทพย่อมต้องตกอยู่ในกำมือเขา ยินยอมกระทำตามเขาทุกเรื่อง แม้ในใจจะต้องเจ็บปวดอีกครั้งที่ท่านเลือกสละตน ช่วยเหลือคนผู้นี้อีกครั้ง แต่ครานี้เขาจะไม่มีวันพลาดอีก

           “ข้า...ยังคงยืนกรานปฏิเสธ” ต้าเซียนเพียงมองร่างแกร่งด้วยท่าทีนิ่งเรียบก่อนกล่าวตอบอย่างหนักแน่น ยังผลให้เฟยหลงถึงกับเบิกตากว้าง เค้นเสียงแข็งกล่าววาจาประชดประชัน

           “เหตุใด เพราะเหตุใด ท่านมิใช่รักเขาจนถึงขนาดยินยอมยกหัวใจของข้าให้เขาอย่างนั้นหรือ” ในใจหวังให้ท่านมหาเทพเจ็บปวดเพราะตนสักนิด

           “ข้าเชื่อใจเขา” เขากล่าวตอบสั้นๆ ทว่าชั่วครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นอีก “เจ้า...เป็นฝ่ายทำลายหัวใจเซียวถิงฟง ฉะนั้นข้ายกหัวใจเจ้าให้เขา เช่นนั้นถือเป็นการใช้คืนเจ้าของ หากมิใช่เป็นเพราะเจ้าทำลายหัวใจเขา มีหรือข้าจะยกหัวใจเจ้าให้เขาไป เฟยหลง เจ้าดำรงอยู่พิภพสวรรค์มาเป็นเวลามิใช่น้อย ย่อมต้องรู้จักคำนี้ดี กรรมสนองกรรม”

           แต่แล้วคำกล่าวนี้กลับทำให้เฟยหลงต้องเบิกตาค้าง ร่างแข็งทื่อไป เสมือนใจถูกมีดกรีด เขารู้จักคำกล่าวนี้ดี...กรรมสนองกรรม คิดทำลายผู้อื่นสุดท้ายกลับย้อนสนองคืนตนเอง ดังนั้นหัวใจของเขาจึงอยู่ในร่างของบุคคลที่เขารังเกียจยิ่ง

           ...เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ ข้าทำผิดตรงไหน ใจของท่านจึงมิเคยมีข้า ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นแค้น จิตใจคล้ายวนเวียนอยู่ในสถานที่อันมืดมิด หยั่งไม่ถึงความตื้นลึกหนาบาง ทั้งเคว้งคว้างว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายจึงบังเกิดเป็นความบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง เขาแค่นเสียงกล่าวด้วยรอยยิ้มอำมหิต

           “เฮอะ ถ้าเช่นนั้นท่านก็จงดูเสียให้เต็มตา ชายที่ท่านรักมันก็แค่ตัวบัดซบที่ไม่เคยไยดีท่าน มิเคยเห็นท่านสำคัญ”


******************************************************


           ด้านเซียวถิงฟงก็ยังคงต่อสู้ทำลายปีศาจเงา ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักหายใจ ในสมองครุ่นคิดหาวิธีทำลายค่ายกล จนเลือดอาบกายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่ง จึงบังเกิดความรู้สึกแปลกใจ ท่ามกลางปีศาจเงานับร้อย กลับมีปีศาจเงาตนนี้ที่มีจุดเลือดสีแดงเล็กๆประดับอยู่บนที่หน้าผาก หากมองเพียงผิวเผิน กลับจะละเลยลืมเลือนมันไปได้ง่าย แต่ครานี้เซียวถิงฟงมิอาจมองข้ามจุดใดๆไปได้ เนื่องเพราะความเป็นไปได้มีอยู่เสมอ

           ร่างถลันเข้าใส่ปีศาจเงาตนนี้ทันที แลผลที่ได้รับก็เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เนื่องเพราะปีศาจเงาตนอื่นๆ ต่างมีท่าทีคล้ายปกป้องปีศาจเงาตนนี้ พร้อมทั้งพยายามสร้างความสับสนให้แก่เขา ว่าแล้วเซียวถิงฟงก็ขยี้ปลายเท้าบุกตะลุยเข้าใส่ฝูงปีศาจเงาตรงหน้ารวดเดียว

           กระทั่งสามารถเข้าถึงตัวเป้าหมาย ก็ตวัดพัดเหล็กเข้าใส่ในพริบตา ทว่าก่อนจะจู่โจมถึงตัวอีกฝ่าย มือก็กลับชะงักงันหยุดลง สองตาเบิกกว้างค้างไว้ราวกับได้พบเห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด

           “พี่ถิงฟง ช่วยข้าด้วย ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน” เสียงร้องร่ำไห้ดังขึ้น

           ซึ่งน้ำเสียงนั้นเป็นที่จดจำได้อย่างดี...น้ำเสียงขององค์หญิงหย่าเหลียน เซียวถิงฟงจ้องมองหญิงสาวที่มีใบหน้าเน่าเปื่อยไปครึ่งซีกอย่างเจ็บปวด นางเดินเข้ามาตรงหน้าเขาก่อนจะโถมเข้ากอดอย่างแรง

           “ได้โปรดอยู่กับข้า ข้ามิอาจทนอยู่ที่นี่เพียงลำพัง พี่ถิงฟง” เสียงร่ำร้องนั้นฟังดูน่าเวทนา เป็นที่ร้าวรานใจแก่ผู้ที่รับฟัง

           เซียวถิงฟงกอดร่างนั้นไว้แน่น ทั้งข่มหลับตาลง แม้ในใจจะสงสารมากแค่ใด แต่เขาก็ยังต้องกล่าวออกไป “หย่าเหลียน ครานี้ข้ามีคนที่จำต้องปกป้องอย่างสุดกำลัง แม้ต้องแลกด้วยชีวิตข้า ฉะนั้นข้ามิอาจเลือกเจ้าได้” กล่าวจบพัดเหล็กก็กลายเป็นคมมีดเล่มหนึ่ง ปักทะลุตรงหัวใจของนาง

           เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจนแสบแก้วหู ร่างที่เคยเป็นสตรีนางหนึ่งกลับกลายเป็นเงาร่างของปีศาจเงาที่ถือคมดาบจ่อที่ด้านหลังเขาไว้ แต่กระนั้นคมดาบกลับต้องสลายหายไป ก่อนที่มันจะได้จ้วงแทงเข้าใส่ ร่างของมันพลันเปลี่ยนเป็นผุยผง ปีศาจเงาตนอื่นก็เช่นกัน พวกมันเริ่มสลายไปก่อนจะถูกสายลมพัดผ่านไปจนหมดสิ้น

           “นี่คือสิ่งที่เจ้าอยากให้ข้าดู” ต้าเซียนกล่าวถามบุคคลที่ยืนมองดูเรื่องราวด้วยสีหน้าที่บัดเขียวบัดดำ

           สุ้มเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นที่เหนือศีรษะ เซียวถิงฟงถึงกับตื่นตกใจจนแทบเสียสติ เพลานี้ต้าเซียนควรที่จะยังคงฟื้นพลังที่สระบัวต้นกำเนิด เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ สองเท้าไวกว่าความคิด ทั้งยังนำพาร่างเขากระโดดไปตามก้อนหินใหญ่ กระทั่งหลุดพ้นจากหุบเขาแคบๆ เงาร่างสีขาวสะท้อนสู่สายตา “ต้าเซียน ต้าเซียนเจ้าเป็นอะไรรึไม่ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

           “ถิงฟง” เซียวถิงฟงวิ่งเข้าหาเขาอย่างเสียสติ ลืมแม้กระทั่งบาดแผลฉกรรจ์บนหัวไหล่ ความรู้สึกเป็นห่วงถ่ายทอดออกมาจากสีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มอย่างเต็มตา

           มือใหญ่เอื้อมเข้าหา ก่อนรั้งร่างน้อยเข้ากอดอย่างสุดแรง คล้ายกับไม่ต้องการให้ร่างน้อยนี้ต้องหายไปอีกครั้ง ต้าเซียนถึงกับอมยิ้ม “ถิงฟง ข้ามิได้เป็นอะไร” กล่าวจบสองมือก็กอดตอบร่างสูง ทั้งยังปลอบประโลมอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

           บังเกิดเป็นรสขมขึ้นในอก เฟยหลงมิได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่า เซียวถิงฟงจะสามารถออกมาจากค่ายกลได้ ซ้ำการที่ต้องมาเห็นภาพบาดตาเช่นนี้ก็แทบทำให้ใจของเขาระเบิดออกมา ดวงตาดั่งพญาอินทรีแดงก่ำจนคล้ายกับโลหิต มือหนึ่งยกขึ้นไปทางคนทั้งสองก่อนปลดปล่อยพลังรุนแรงไปขุมหนึ่ง

           หลังจากได้รับการปลอบประโลม เซียวถิงฟงก็ค่อยๆคืนสติ ความอึดอัดในใจนั้นเริ่มจางลง แต่แล้วตนกลับรู้สึกได้ถึงพลังที่ตรงเข้าประชิด จังหวะนั้นเองสายตาฉับไวพลันเห็นร่างน้อยพลิกตัวมายังด้านหน้า คล้ายกับต้องการแบกรับพลังนี้ไว้เพียงผู้เดียว แต่เขามิยอมให้เป็นเช่นนั้น

           ร่างอาบเลือดรีบพลิกกายขวางกั้นร่างน้อยเอาไว้ จากนั้นทำตัวเฉกเช่นกำแพงเหล็ก ด้านต้าเซียนได้แต่เบิกตาโตจ้องมองเจ้าของอ้อมอกตาไม่กะพริบ ก่อนจะแลเห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวในขณะที่พลังถาโถมเข้าใส่

           ร่างของทั้งสองกระเด็นไปไกล แต่ทว่าภายใต้ร่างสูงกลับมิได้มีแม้แต่รอยขีดข่วน มีเพียงรอยเลือดสีแดงจากร่างทางด้านบนที่หยดลงสู่อาภรณ์สีขาว เมื่อมองไปไม่ไกลก็เห็นพัดเหล็กอาวุธคู่กายของชายหนุ่ม รวมถึงย่ามใบหนึ่งกระเด็นออกจากสาบเสื้อไปไม่ไกล

           “ต้าเซียน เจ้าเป็นอะไรไหม” เสียงแหบเครือของเซียวถิงฟงเอ่ยถาม ก่อนจะต้องกระอักเอาเลือดคั่งออกมา ต้าเซียนพลันรู้สึกเจ็บปวดในอก มือเรียวเอื้อมสัมผัสใบหน้าคมคายอย่างห่วงใย

           “เพราะอะไร ท่านถึงไม่มอบใจให้ข้าเช่นเขา ข้าทำผิดตรงไหนกัน” จังหวะนั้นเสียงทรงพลังก็ดังก้องขึ้น เฟยหลงไม่ยอมให้ทั้งคู่มีเวลาต่อกันแม้เพียงสักนิด เขาใช้ท่าร่างในพริบตาก่อนจะส่งมือหมายบีบคอบุรุษที่เขาชิงชัง หวังให้ตายในมือนี้ซะ ทว่ามือเรียวกลับคว้าข้อมือเขาไว้ ก่อนซัดฝ่ามือหนึ่งเข้าหา ยังผลให้เขาจำต้องถอยร่นออกมา

           “เจ้าอยากรู้คำตอบ” น้ำเสียงอันดังกล่าวขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลทองสายจ้องมองเฟยหลงเขม็ง

           “ใช่ ข้าอยากรู้ ข้าสู้มนุษย์ผู้นี้ไม่ได้ตรงไหนกัน”

           ต้าเซียนเดินเข้าไปแล้วหยุดตรงเบื้องหน้าเฟยหลง กล่าวน้ำเสียงจริงจัง “เฟยหลง จำได้รึไม่ นับตั้งแต่พันปีก่อนเจ้าได้กระทำผิดพลาดสิ่งใดไว้ ตอนนั้นเจ้าไม่เคยคิดว่าข้าเองก็มีความรู้สึกดั่งเช่นมนุษย์ มีความรู้สึกโดดเดี่ยว มีความหวาดกลัว มีความเหนื่อยล้าในใจ” เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนกล่าวสืบต่อ

           “ทว่าในตอนที่ข้ารู้สึกเช่นนั้น เจ้ากลับเป็นฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับข้า และสิ่งที่เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมากที่สุดก็คือ เจ้าทำร้ายพี่น้องที่สู้รบเคียงข้างเจ้าได้อย่างเลือดเย็น มาถึงตอนนี้ครั้นที่ข้าลงมายังพิภพมนุษย์ เจ้าถือว่ายังมีโอกาส แต่เจ้าก็ยังคงเลือกที่จะทำเช่นเดิม ทั้งยังตั้งใจจะทำลายสิ่งที่ข้าหวงแหนสร้างมันขึ้นมากับมือ” ต้าเซียนกล่าวจบก็หยุดน้ำเสียงลงก่อนกล่าวอีกประโยคด้วยสุ้มเสียงอันเบา สีหน้าเจ็บปวด

           “เฟยหลง เจ้าไม่เคยเข้าใจข้าเลยแม้แต่น้อย”

           คล้ายราวกับอัสนีบาตรผ่าลงยังจิตใจของเขา ประโยคหนึ่งผุดขึ้นในใจ...ผิดพลาดเพียงก้าวเดียว เสียใจไปชั่วชีวิต...ดวงตาดุจพญาอินทรีเริ่มสั่นระริก สองเท้าเริ่มซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว ริมฝีปากเอ่ยพึมพำไม่หยุด “ไม่จริง ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ”

           “เฟยหลง พอเถอะ หยุดทุกอย่างลงเพียงแค่นี้” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงอ่อน มองคนที่คล้ายดั่งคนขาดสติ “ทุกคนเคยทำผิด ม้าทุกตัวเคยหกล้ม ตอนนี้มันยังไม่สายไป กลับมาเถอะ เฟยหลง” เขาภาวนาในใจ ขอให้เฟยหลงยุติทุกอย่างลง ก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายลงไปกว่านี้

           “หยุดเช่นนั้นรึ” น้ำเสียงของเฟยหลงเบาลง แต่ทว่าจิตใจที่มีแต่ความมืดมิดกลับมิยอมให้เป็นเช่นนั้น...หยุด แล้วชีวิตเขาจะเป็นเช่นไร เขายังสามารถหวนกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิมได้อีกหรือ เขายังจะสู้หน้าใครได้อีก

           คล้ายว่าสายตาแข็งกร้าวคู่นั้นอ่อนลง ต้าเซียนรู้สึกเบาใจขึ้นแต่แล้วก็ต้องผงะ เมื่อจู่ๆสายตาดังกล่าวกลับเปลี่ยนเป็นแดงฉาน จิตมารในใจเฟยหลงเผยออกมาอย่างเต็มที่แล้ว

           “ข้าจะทำลายมันทุกสิ่ง ทำลายทุกพิภพให้มันว่างเปล่า ไม่ให้เหลือแม้ทุกสิ่ง ฮะ ฮะ” เฟยหลงทั้งหัวเราะทั้งคำรามก้อง คลื่นพลังที่มองไม่เห็นผลักดันให้ต้าเซียนมิอาจเข้าใกล้ตนได้อีกต่อไป พลังสีน้ำเงินแผ่กระจายล้อมรอบกาย สองมือรวบรวมพลังที่มีมาทั้งหมด

           เห็นท่าทางเพียงแค่นี้ต้าเซียนก็ต้องตกใจ “อย่าเฟยหลง~” ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี เฟยหลงก็ปลดปล่อยพลังขุมใหญ่ไปยังฟากฟ้า อันนับเป็นช่วงเวลาที่อัสดงถูกกลืนกินด้วยความมืดมิดพอดิบพอดี

           พลังสีน้ำเงินพุ่งปรี่ขึ้นฟ้าไม่นานนักก็แตกกระจายขยายออกดั่งระลอกคลื่น บังเกิดเป็นแสงสว่างหนึ่งแลบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ทั่วทุกพิภพจะตกอยู่ภายใต้ความมืดอย่างแท้จริง

           เสียงเงียบสนิทแผ่ไปทั่วทุกบรรยากาศ ไม่นานนักเกิดเป็นเสียงสั่นคลอนของผืนพสุธา ทั้งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหนือฟากฟ้าเริ่มเกิดปรากฏการณ์น่ากลัว คล้ายมีหลุมดำขนาดใหญ่แผ่ขยายออก ลมพายุเริ่มโหมพัดกระหน่ำ ทั่วทุกหนแห่งกลายเป็นความอลหม่านในชั่วพริบตา

           ต้าเซียนมองเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างเงียบงัน หยาดเหงื่อไหลกลิ้งที่หน้าผาก สิ่งที่ตนหวาดกลัวบังเกิดขึ้นแล้ว สงครามครั้งก่อนเขายังมีปัญญาปิดกั้นหลุมดำที่เกิดจากสมดุลถูกทำลาย หากแต่ครั้งนี้เขาไม่มั่นใจนัก

           ทว่าจู่ๆมือใหญ่อบอุ่นข้างหนึ่งได้สวมจับกระชับมือที่กำแน่นไว้ ต้าเซียนสะดุ้งตัวคราหนึ่งก็พบว่าเซียวถิงฟงยืนอยู่ข้างกาย ทั้งยังส่งยิ้มให้คล้ายไม่เห็นเรื่องร้ายแรงตรงหน้า “เจ้ากลัวรึไม่” เขากล่าวถามอย่างสงสัย มองไม่เห็นความตื่นตกใจใดๆจากเจ้าตัว

           “เหตุใดต้องกลัว ขอแค่มีเจ้า ไยข้าต้องกลัว” เซียวถิงฟงกล่าวแล้วหัวเราะน้อยๆ ดูไม่เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าสักนิด แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ต้าเซียนยกยิ้มอุ่นใจขึ้น

           “งั้นเราไปกันเถอะ” เขากล่าวขึ้น เซียวถิงฟงเองก็ตอบรับในทันที ทั้งสองกระชับมือที่จับไว้จนแนบแน่น ก่อนที่เงาร่างจะค่อยๆจางหายไป


******************************************************


           ร่างสีขาวที่ตนใฝ่ฝันหาได้จากไปแล้ว เฟยหลงที่ใช้พลังในกายจนเกือบหมดสิ้น ได้แต่นั่งชมดูสิ่งที่บังเกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าดั่งคนไร้วิญญาณ จิตใจเหนื่อยล้าราวกับไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก เว้นแต่เพียงความเจ็บปวดในใจ เขานั่งเงียบงันอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง พลางคิดถึงอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ ล้วนมิอาจลืมมันไปได้

           “ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อันใด” เฟยหลงพึมพำ ไม่ว่าจะต้องการท่านมหาเทพมากเพียงใด ตนก็มิอาจครอบครองได้ ในใจผุดนึกถึงภาพของท่านมหาเทพกับเซียวถิงฟงก่อนจากไป สองมือที่เกาะเกี่ยวกันแน่น สีหน้าที่ไม่มีแม้แต่ความกังวลใจ อีกทั้งวาจาที่ทั้งสองต่างกล่าวต่อกัน ก็ทำให้เขาเข้าใจแล้ว

           เป็นเพราะเขามองข้ามสิ่งหนึ่งไป มองข้ามความต้องการของท่านมหาเทพ มองข้ามความเข้าใจในตัวอีกฝ่าย

           “ข้าพลาดไปแล้วจริงๆ” สองมือของเขาเริ่มกำแน่น ความอึดอัดในใจยังคงถาโถมออกมาให้ลิ้มรส ไม่มีสิ่งใดบรรเทามันได้แม้แต่น้อย เฟยหลงได้แต่ก้มหน้าฝืนทนความเจ็บปวดในใจ แต่แล้วถุงย่ามแปลกตาใบหนึ่งกลับขยับยุกยิกเคลื่อนที่เข้าใกล้ที่ฝ่าเท้าอย่างยากลำบาก

           เขาเหลือบมองมันอยู่นาน จนในที่สุดมือหนึ่งก็รับมันขึ้นมา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตด้านใน ในใจคิด...แม้แต่สิ่งมีชีวิตตัวจ้อยก็คงรับรู้สึกได้ถึงอันตราย พยายามกระเสือกกระสนหาทางหนีสินะ

           เสมือนรู้สึกสะท้อนใจเฟยหลงตัดสินใจแกะถุงย่ามออกมา ร่างกระจ้อยร่อยสีเทาโผบินออกจากย่ามแทบในทันทีที่เป็นอิสระ สองตาดั่งพญาอินทรีเบิกกว้างตกใจ เมื่อนึกไม่ถึงว่าจะเป็นมัน

           ครั้นเมื่อเฉิงอี้ออกจากถุงย่ามได้สำเร็จ ก็แปลงกลับกายไปรูปลักษณ์เฉกเช่นมนุษย์ ก่อนทอดมองจอมมารตรงหน้าอย่างเศร้าสร้อย เฟยหลงเองก็จับจ้องมองเฉิงอี้อย่างเงียบงัน ก่อนจะแลเห็นหมอกบางๆที่คลออยู่ในดวงตาสีเทา...สงสารกระนั้นหรือ

           “เจ้าไปเถอะ อีกไม่นานที่นี่จะถูกหลุมดำดูดกลืนกิน จงไปเสียเมื่อมีเวลา” เขากล่าวกับปีศาจน้อยตรงหน้า ทว่าเฉิงอี้กลับส่ายหน้าก่อนย่อตัวนั่งนิ่งอยู่ข้างกายเขา “เจ้าไฉนไม่ไป” เขากล่าวถามอย่างสงสัย
   
           เฉิงอี้ขยับปากน้อยๆกล่าว “แม้ไม่มีใครคิดอยู่เคียงข้างท่าน แต่เฉิงอี้จะอยู่ข้างกายท่านเอง” กล่าวจบหยาดน้ำตาก็หลั่งรินออกมา ก่อนหน้านี้เขาได้รับฟังจนหมดสิ้น ได้ฟังเสียงขมขื่นที่ตะโกนก้องอย่างเจ็บปวด แต่กลับกลายเป็นว่าตนก็รู้สึกเจ็บลึกในอกเฉกเช่นเดียวกัน

           ในสายตาของเฉิงอี้นั้นมีเพียงจอมมารเฟยหลงที่ยอมรับในตัวตน มีเพียงจอมมารเฟยหลงที่มิเคยดุด่าว่ากล่าว ทั้งยังเป็นคนเพียงผู้เดียวที่ยื่นมือออกมา ฉุดรั้งตนให้ออกมาจากถ้ำอันมืดมิดที่มีแต่เหล่าปีศาจรุมรังแก
   
           ได้ฟังเพียงแค่นี้เฟยหลงก็เงียบกริบลง คล้ายวาจาดังกล่าวเสียดแทงที่จิตใจ แต่ก็น่าแปลกที่มันก็เติมเต็มส่วนลึกในอกเช่นกัน...ทั้งๆที่ไม่มีใครอยากอยู่ข้างกายเขา แต่ทว่าปีศาจตัวน้อยตนนี้กลับเลือกที่จะอยู่ข้างตน สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่สัมผัสบนใบหน้า นิ้วมือจับต้องมันอยู่ชั่วครู่แล้วถึงได้รู้ว่ามันคือ...หยาดน้ำตา

           แลเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของจอมมารเฟยหลง ค้างคาวน้อยเฉิงอี้ก็ตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วความทรงจำที่จดจำได้ดีก็วูบเข้ามาในสมอง ครั้งหนึ่งตนเคยเห็นเด็กมนุษย์ผู้หนึ่งร้องไห้จ้าละหวั่น แต่แค่มารดานำอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมอก เด็กผู้นั้นก็หยุดร้องในทันที

           คล้ายรู้สึกได้ถึงความรัก ใจยังคงนึกอิจฉาดังนั้นจึงจดจำได้จนถึงตอนนี้ แต่ครานี้เฉิงอี้กลับอยากจะมอบความรู้สึกนี้ให้กับจอมมารตรงหน้า แม้เพียงแค่น้อยนิด แม้จะกล้าๆกลัวๆ แต่เฉิงอี้ก็โถมตัวเข้ากอดแล้ว

           เฟยหลงสะดุ้งตัวเล็กน้อย รับรู้ได้ว่าตนกำลังอยู่ในอ้อมกอดเล็กๆที่สั่นเทาไม่หยุด กระนั้นน่าแปลกที่ตนสัมผัสได้ถึงไออุ่น สองมือเอื้อมกอดอีกฝ่ายไว้ หลับตาลงแล้วปล่อยน้ำตาและความรู้สึกขมขื่นเหล่านี้ออกไป

           แสงสีทองสว่างวาบผ่านนัยน์ตาที่ยังคงหลับสนิท เฟยหลงรู้สึกได้ถึงมันก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาตัดสินใจแล้ว สองมือดึงตัวเฉิงอี้ออกเบาๆ จ้องมองใบหน้าที่ตนมิเคยได้มองสังเกตมองจริงจังอย่างละเอียด จากนั้นจึงก้าวออกไปสองสามก้าวก็หยุดลง ด้านเฉิงอี้ได้แต่มองตามแผ่นหลังสง่างามนั้นอย่างงุนงง

           “หากมีวาสนา พวกเราคงได้พบกันอีก เฉิงอี้” เฟยหลงยิ้มกล่าว ร่างค่อยๆจางหายไป

           เฉิงอี้พลันรู้สึกใจหาย สองขาออกวิ่งเข้าหา แขนเหยียดตรงไปข้างหน้าพยายามไขว่คว้าเอาไว้ แต่แล้วสิ่งที่จับต้องได้กลับเป็นเพียงอากาศ


*****************************************

สาวกเฟยหลงรอกระไรอยู่ กอดปลอบสิจ้ะ  : 222222:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 29 เพียงเข้าใจ 17/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 17-11-2015 22:19:16
จิ้มจึกๆ
โอ๋ๆ นะเฟยหลง โอ๋ๆ นะเฉิงอี้
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน)บทที่ 30.1 มือที่กอบกุมไว้ 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-11-2015 20:12:15
บทที่ 30.1 มือที่กอบกุมไว้



           เหตุการณ์ยังคงชุลมุนวุ่นวาย จะหันไปทางใดก็มีแต่การต่อสู้ไม่หยุดหย่อน แต่เดิมทีพิภพสวรรค์ถูกแบ่งเป็นสี่เขตแดน โดยในแต่ละเขตแดนจะมีผู้บัญชาการที่นำโดยเหล่าผู้อาวุโสเทพทั้งสาม ซึ่งผู้อาวุโสเทพหวางจื้อดูแลฝั่งทิศเหนือ ผู้อาวุโสเทพเทียนสีดูแลฝั่งทิศใต้ และผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงดูแลฝั่งทิศตะวันออก

           หากแต่ยังมีอีกเขตแดนหนึ่งที่ยังคงไร้ผู้รับผิดชอบนับตั้งแต่ขาดเฟยหลงเป็นต้นมา และอาจเป็นเพราะพิภพสวรรค์สงบสุขมานาน เหล่าอาวุโสเทพทั้งสามจึงเพียงผลัดเปลี่ยนดูแลเขตแดนทางด้านนี้อยู่เรื่อยมา ทว่าตอนนี้ดูจากคุณสมบัติ บุคลิกภาพ ความเฉลียวฉลาด ทั้งความเป็นผู้นำแล้ว ผู้อาวุโสเทพทั้งสามต่างลงความเห็นให้บุคคลผู้นี้ เป็นผู้บังคับบัญชาการเหล่าทหารเทพทางเขตแดนฝั่งทิศตะวันตกเป็นการชั่วคราว

           ชายหนุ่มชุดเกราะสีขาวเต็มยศยืนอยู่บนกำแพงเมืองในเขตแดนทางตะวันตกอย่างสงบ สมองประเมินมองสถานการณ์สู้รบตรงหน้าอย่างใจเย็น ผิดกับคนข้างกายราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

           “เจ้าซวนหยวนหมิงไท่ ทำไมไม่บุกตะลุยไปให้มันจบสิ้น โอ๊ย ไม่สะใจข้าสักนิด” ไป๋เซ่อในร่างมนุษย์ร่ำร้องอยากจะกระโจนเข้าไปร่วมสู้ด้วยปานใจจะขาด แต่ก็ทำได้แค่เพียงยืนคุ้มกันเจ้ามนุษย์ผู้นี้เท่านั้น

           “นี่เป็นการรบ เจ้าคิดว่าจะตีใครก็เข้าไปตีง่ายๆรึ เห็นรึไม่ ทัพหนุนปีศาจมารอแต่ไกลนู่นแล้ว หากเราหละหลวมไม่ตั้งรับดีๆ พวกมันได้บุกทะลวงมาแน่” ซวนหยวนหมิงไท่สวนตอบอย่างรวดเร็ว

           ไป๋เซ่อรับฟังแล้วก็เถียงไม่ออก ทำได้เพียงร้องลั่นกระทืบเท้าไม่พอใจ “อ๊ากกก ข้าจะลงแดง”

           “เอาเถิด คราวหน้าเจ้าอยากจะตีใคร ก็ตีเลย ข้าจะไม่ห้ามแม้แต่คำเดียว” เขากล่าวกับอีกฝ่ายอย่างไม่ใคร่ใส่ใจมากนัก
ทว่าไป๋เซ่อถึงกับหันขวับมองอีกฝ่ายแล้วแค่นยิ้มเหี้ยม สองตาเบิกค้างอย่างน่ากลัว ในใจขบคิด...ข้าจะตีเจ้าเป็นคนแรกเลยคอยดู

           “แต่ห้ามตีข้าเป็นพอ” จู่ๆซวนหยวนหมิงไท่ก็หันมากล่าวอีกประโยค ไป๋เซ่อจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูว่าสายตาเขาคงโจ่งแจ้งไปหน่อย ครั้งหน้าคงต้องระวังให้มากกว่านี้

           “เป็นอย่างไรบ้าง” นางฟ้าชิงเซียงเดินเข้ามาหาคนทั้งสองพลางมองดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเป็นกังวล

           “ยังไม่น่าวิตกเท่าใด ยังดีที่ท่านมาแจ้งข่าวเรื่องต้าเซียน พวกทหารเทพจึงมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า” ด้วยเป็นเพราะกำลังพลของทหารเทพเองก็มิได้สูญเสียไปมาก สามารถปะทะกับกองทัพปีศาจได้อย่างมิต้องวิตก แต่กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่คิดประมาท เฝ้ารักษาประตูเขตแดนเป็นสำคัญ “ทางด้านผู้อาวุโสเทพทั้งสามเล่าเป็นเช่นใดบ้าง”

           “พวกเขายังคงแบ่งรับแบ่งสู้กันอย่างแข็งขัน ดูไม่น่าเป็นกังวลเท่าใดนัก” นางฟ้าชิงเซียงกล่าวจบก็เผลอสะดุดตาเข้าที่พลังขุมหนึ่งซึ่งพุ่งทะยานทะลุฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ

           พริบตานั้นไป๋เซ่อตะโกนก้อง “ทุกคนหาที่กำบังเร็ว” พร้อมกันนั้นยังกระโจนเข้าใส่ซวนหยวนหมิงไท่และนางฟ้าชิงเซียงจนล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะพากันคลานมาหลบอยู่ที่หลังกำแพงด่าน

           เหล่าเทพที่อยู่ด้านล่างเองก็ชะงักงัน ครั้นได้สติก็พากันหาที่กำบังกายอย่างรวดเร็ว ผิดกับเหล่าปีศาจที่ต่างงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น แลกว่าที่พวกมันจะรู้สึกตัวก็สายเกินไป เสียงระเบิดดังครืนใหญ่ คลื่นพลังหนักหน่วงถาโถมรุนแรง ทั้งแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่น คนที่หาที่กำบังไม่ได้ต่างก็ปะทะเข้ากับกระแสพลังสีน้ำเงินอย่างน่าเวทนา

           ความมืดทาบทับดวงตะวันจนหมดสิ้น บังเกิดเป็นความเงียบสงัดจนน่ากลัว แม้กระทั่งเสียงลมหายใจก็มิอาจได้ยิน แสงสีน้ำเงินแลบขึ้นคราหนึ่งก็หายไป ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ ไป๋เซ่อ และนางฟ้าชิงเซียงที่หมอบอยู่กับพื้นต่างมองสบสายตากันชั่วครู่ จากนั้นจึงตัดสินใจลุกขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ทหารเทพตนอื่นๆที่เริ่มทยอยออกมาจากที่กำบังอย่างงุนงง

           แต่ในขณะนั้นเองพื้นที่ยืนกลับสั่นคลอนโดยแรง ทำเอาคนทั้งหลายซวนเซไปคนละทิศ เสียงร้องอลหม่านดังไปทั่ว จนกระทั่งทุกอย่างสงบลง ทุกคนก็เหงื่อตกทอดถอนใจ แต่ยังมิทันจะหายใจเข้าออกเต็มที่ วิบากกรรมก็มาต้อนรับพวกเขาอีกครา ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องด้วยใครจะคาดคิดว่าจะต้องประสบภัยกับพายุหมุนที่หนักหนาสาหัสลูกนี้

           เหล่าผู้อาวุโสเทพทั้งสามเองก็รีบเหาะเหินมายังเขตแดนฝั่งตะวันตก พอหยั่งฝีเท้าลงพื้นแล้วก็รีบร้องเตือน “สมดุลบิดเบี้ยวแล้ว ทุกคนรีบออกห่างจากที่นี่โดยเร็ว”

           เทพเซียนทั้งหลายได้ฟังแล้วสีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ยังมิทันได้กะพริบตาที่ด้านหลังก็ปรากฏเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ แรงดึงดูดมหาศาลก่อตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ ไม่เว้นแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ต่างพากันทยอยถูกดูดกลืนเข้าไปจนหมดสิ้น

           โชคร้ายของเหล่ากองทัพปีศาจที่อยู่ใกล้กับหลุมดำมากที่สุด จึงเป็นฝ่ายถูกดูดกลืนกินหายลับไปในหลุมกว้างนี้ไปก่อนใครเพื่อน ด้านแม่ทัพปีศาจที่เห็นว่าต้องสูญเสียไพร่พลไปมากมายเช่นนี้ ต่างก็ไม่สนการสู้รบอีก พวกมันพากันหลบหนีกันอย่างจ้าละหวั่น

           ทหารเทพที่เฝ้าประตูเองก็มิได้นิ่งดูดาย ต่างช่วยกันเปิดประตูด่านรับเอาเหล่าทหารเทพที่อยู่ด้านนอกเข้ามายังด้านในกันอย่างชุลมุน เช่นเดียวหลุมดำที่ไม่รอช้า มันขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเพิ่มแรงดึงดูดขึ้นหลายระดับ ทำให้กำแพงเขตแดนเริ่มมีท่าทีจะทลายลง

           “รีบหนีเร็ว” ท้ายที่สุดทหารเทพซึ่งยืนอยู่บนกำแพงด่านร้องขึ้นเมื่อกำแพงด้านหนึ่งทลายลง ทุกคนต่างพากันเหาะเหินหลบไปอย่างเร็วรี่ แต่ทว่าบรรดาสิ่งของที่ถูกลอยสวนกลับมา กลับกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นต่อการหลบหนี ซ้ำร้ายบางคนหนีจนไม่ทันระวังมอง ถูกสิ่งของกระแทกหน้า เป็นเหตุให้ผิดท่าถูกดึงดูดเข้าไปยังหลุมดำอย่างน่าสงสาร

           ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ซวนหยวนหมิงไท่พลันมองหาบุคคลที่พึ่งโต้วาจา นับตั้งแต่เกิดพสุธาสั่นคลอนต่างคนต่างก็พลัดกันไปคนละทิศละทาง แม้แต่นางฟ้าชิงเซียงก็หายไป กระทั่งเห็นไป๋เซ่อทะเล่อทะล่าวิ่งเข้ามาหา เขาก็วางใจขึ้น ทว่า...
จู่ๆขาของไป๋เซ่อก็สะดุดเข้ากับแจกันโบราณซึ่งเผอิญกลิ้งอยู่บนพื้น ดูเซ่อซ่าอย่างไม่น่าเชื่อ ยังผลให้ร่างเพรียวหน้าคะมำ ตัวเริ่มลอยละลิ่วออกไป เขารีบทะยานตัวเข้าหาตวาดร้องบอก “ไป๋เซ่อ เจ้านี่ช่างสะดุดได้เวลาดีจริงๆ”

           “เจ้ากล้าเย้ยหยันข้าเรอะ ข้าจะกัดเจ้า แฮ่” ไป๋เซ่อตวาดกลับ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ที่ส่งมาให้
ซวนหยวนหมิงไท่เบิกตากว้างอย่างแปลกใจ ดูท่าอีกฝ่ายคงลืมไปแล้วว่าอยู่ตกสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด แลไม่นานทั้งสองก็ทนแรงดึงดูดไม่ไหว ร่างเริ่มหมุนเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ แต่กระนั้นมือก็ยังคงจับกันไว้อย่างเหนียวแน่น

           ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกแรงพัดผ่านมา ดูแล้วน่าจะชนพวกเขาเข้าอย่างจัง ทั้งคู่ได้แต่จ้องมองกันตาปริบๆ ต่างคิดในใจ ดูท่าชะตากรรมไม่แคล้วเลวร้าย โชคดีที่มีเงาร่างสีขาวปราดเปรียวกระโดดตัวขึ้นสูง ก่อนจะปลดปล่อยฝ่ามือหนึ่งเข้าใส่ เสียงเปรี้ยงดังคราหนึ่งต้นไม้ก็แยกออกเป็นสองส่วน ทำให้ท่อนไม้ลอยผ่านตัวพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียด

           ที่ด้านหลังเสื้อถูกจับหมับอย่างแน่นหนา ก่อนจะรู้สึกว่าร่างถูกดึงไปยังทิศทางตรงข้ามกับแรงลมขนานใหญ่ เงาร่างสีดำนั้นทะยานตัวต้านทานแรงดึงดูดอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงพาคนทั้งสองไปยังพื้นที่ๆปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

           “เจ้ามาช้า เซียวถิงฟง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเหน็บแนมทันทีที่ฝีเท้าลงสู่พื้น

           “ฮ่า ฮ่า แต่ก็มาทันได้ฟังพวกเจ้าเถียงกันได้อย่างงี่เง่าพอดี” เซียวถิงฟงสวนกลับ ทำเอาไป๋เซ่อกระโดดเหยงๆชูหมัดเข้าใส่ แต่แล้วเสียงโห่ร้องอย่างดีใจก็ปรากฏขึ้น

           “ท่านมหาเทพมาแล้ว พวกเรา เฮ” ทหารเทพคนหนึ่งร้องตะโกนด้วยเสียงอันดัง ส่งผลให้ทหารเทพตนหยุดชะงัก เหลียวกลับมามองบุคคลที่พวกตนเคารพที่สุด ก่อนจะพากันโห่ร้องดีใจ ต้าเซียนรับฟังเสียงดังกล่าวก็บังเกิดเป็นความรู้สึกตื้นตัน ไม่นานนักผู้อาวุโสเทพทั้งสาม รวมถึงนางฟ้าชิงเซียงต่างก็เหาะเหินเข้ามาที่ข้างกาย

           “ท่านมหาเทพ พวกเราควร...อ๊าก นั่นมันบันทึกลับประวัติพิภพสวรรค์ของข้า” ผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงยังมิทันกล่าวจบก็ต้องแผดเสียงร้องดังลั่น อีกทั้งทะยานตัวเข้าไปรวบรวมเศษกระดาษที่ปลิดปลิวเข้ามาหลบซ่อนในสาบเสื้อของตนเองอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาต้าเซียนชมดูอย่างตกตะลึงก่อนจะยอบกายหลบกระถางดอกไม้ที่ลอยดิ่งตรงมายังศีรษะ

           “โอ๊ย ดูนั่นสิหลังคาตำหนักมาแต่ไกลแล้ว หลังซ่อมคงต้องหมดงบไปเยอะแน่ๆเลย โอย ข้า...ข้าจะเป็นลม” ผู้อาวุโสเทพหวางจื้อร้องโอดครวญพลันเหาะเหินอย่างซวนเซ จ้องมองดูหลังคาตำหนักที่ลอยผ่านไปต่อหน้าต่อตาด้วยใบหน้าเคล้าน้ำตา

           ผู้อาวุโสเทพเทียนสีได้ทีก็รีบกล่าวเสริม “ท่านหวางจื้อ ท่านดูทางนั้นเตาหลอมโอสถวิเศษของท่านมาแล้ว” กล่าวจบก็พุ่งตัวหลบไปอีกทาง เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวนของอีกฝ่ายไว้

           ทว่าก็มีน้ำเสียงของคนผู้หนึ่งกล่าวสืบต่อ “อาวุธที่ท่านชอบสะสมก็มาแล้วเช่นกัน” เห็นอาวุโสเทพเทียนสีทำตาเหลือก ผู้อาวุโสเทพเจิ้งผิงก็หัวเราะชอบใจ

           “สวนท้อของข้า กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ตั้งแต่ข้ากลับมายังไม่ได้ลิ้มรสเลย โฮ อย่าพึ่งปายย” เสียงร้องของไป๋เซ่อเองก็ดังตามกระแสลม ดีที่เซียวถิงฟงกับซวนหยวนหมิงไท่กระโจนจับอีกตัวเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะพุ่งปราดออกไป

           ต้าเซียนชมดูก็ถึงกับส่ายหน้า ดูแต่ละคนแล้วมิได้มีทีท่าว่ากังวลใจไปกับสมดุลบิดเบี้ยวที่อยู่ไม่ไกลเลยสักนิด คล้ายไม่รู้อยากจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

           “พวกท่านลืมไปแล้วรึไง หากมิรีบกันปิดหลุมดำ พวกท่านได้หมดตัวแน่” กลับกลายเป็นนางฟ้าชิงเซียงที่หมดความหมดทน นางตวาดก้องด้วยน้ำเสียงที่ดุราวกับแม่เสือ ทำเอาทุกคนต่างชะงักงันได้สติขึ้นมา

           ต้าเซียนไม่รอช้ารวบรวมพลังไว้ที่สองมือ พลังสีทองขุมหนึ่งค่อยๆขยับขยายขึ้น จากนั้นจึงซัดมันไปยังหลุมดำที่อ้ากว้าง พลังตรงดิ่งเข้าไปยังใจกลางก่อนจะเกิดเป็นระเบิด ตามมาด้วยแสงสีทองที่แล่นวาบขึ้นคราหนึ่ง ซึ่งพลังดังกล่าวส่งผลให้เกิดเป็นลมหมุนคว้างหลายลูกตีปะทะกันในหลุมดำ มันหดตัวเข้าเล็กน้อยแต่ก็มิใช่ว่าจะหายไปอย่างสิ้นเชิง

           “.......” ทุกคนต่างพาเงียบกริบทั้งยังชำเลืองมองหน้ากันเหงื่อตก...ครานี้หมดตัวแน่แท้

           กระนั้นต้าเซียนยังคงไม่สิ้นหวัง ตั้งท่ารวบรวมพลังเข้าใหม่ ผู้อาวุโสเทพทั้งสาม นางฟ้าชิงเซียง รวมถึงเหล่าเทพเซียนอื่นๆต่างก็เข้ามาประจันหน้ากับหลุมดำ รวบรวมพลังกันเข้าช่วยอีกแรง

           พลังจากหลายฝ่ายถูกซัดออกไปยังหลุมกว้าง เกิดเป็นเสียงระเบิดดังขึ้นจากภายในไม่หยุดหย่อน ความบิดเบี้ยวของหลุมสีดำฉายให้เห็นชัดถึงความผิดปกติ แต่แล้วแสงสีขาวหนึ่งก็พุ่งสะท้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เทพเซียนทั้งหลายต่างก็ตาเบิกค้าง จากนั้นจึงปะทะถูกคลื่นพลังนี้กระเด็นออกไปไกล

           แรงปะทะผลักดันให้ต้าเซียนลอยกระแทกเข้ากับผนังกำแพงด้านหนึ่งที่ยังไม่ถูกดูดกลืนไป เซียวถิงฟงเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบปราดเข้าหา พยุงร่างน้อยขึ้นมา แต่ยังมิทันได้กล่าวถามอาการ สุ้มเสียงนุ่มทุ้มก็พลันแทรกขึ้นมาก่อน

           “เกรงว่าต้องปิดจากด้านใน” ต้าเซียนกล่าวพร้อมทั้งจ้องไปยังหลุมดำตาไม่กะพริบ

           ผิดกับเขาที่สัมผัสได้ถึงความวูบโหวง เหงื่อเย็นเยียบไหลรินแนบแก้ม “หากเข้าไปในนั้นจะเป็นเช่นไร ใช่กลับออกได้รึไม่” เซียวถิงฟงเค้นเสียงถาม สองมือกระชับที่ไหล่บางไว้แน่น นับตั้งแต่ดูความเป็นไป เขาไม่เคยเห็นสิ่งใดที่กลับออกมาจากหลุมปริศนานั่นได้เลย

           “.......” ต้าเซียนไม่ตอบ เนื่องเพราะตนก็ไม่ทราบ สมดุลที่ถูกทำลายครั้งเมื่อพันปีก่อนนั้น ปิดลงได้เพราะพลังของเขา หากแต่ครานี้นับว่ารุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า อาจเป็นเพราะประจวบเหมาะกับอิทธิพลของอัสดงที่ถูกความมืดกลืนกิน
 
           “ไม่ได้ ข้าไม่ให้เจ้าไป” เซียวถิงฟงโพล่งออกมา ความกลัวแล่นกอบกุมในจิตใจ...หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า แล้วข้าจะทำเช่นไรกันเล่า

           “ถิงฟง ข้าจำเป็นต้องไป” ต้าเซียนกัดฟันฝืนกล่าวอย่างลำบากใจ นี่เป็นภาระที่เขาต้องรับผิดชอบ มิอาจละเลยไปได้

           “เช่นนั้นข้าจะเข้าไปด้วย หากเจ้าเข้าไปแล้วกลับออกมามิได้ ข้าก็จะขอไม่กลับออกมาเช่นกัน” เซียวถิงฟงลั่นวาจาด้วยสีหน้าปราศจากความลังเล เขาไม่มีวันปล่อยให้ต้าเซียนต้องเข้าไปเผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง

           ได้ฟังน้ำเสียงที่ดื้อดึง ต้าเซียนก็เหมือนกลืนก้อนสะอึก สองมือรั้งใบหน้าของชายหนุ่มไว้ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตอย่างลึกซึ้ง ซึมซับเอาความรักความอ่อนโยนไว้ในใจ เก็บซ่อนหยาดน้ำตาคลอนั้นไว้ จากนั้นจึงพูดขึ้นที่ริมหูของชายหนุ่ม

           “เพียงพอแล้วสำหรับข้า ได้รู้สึกถึงคำว่ารักเช่นนี้ นับว่าคุ้มค่าแล้ว”

           เสียงกระซิบนุ่มทุ้มถูกกล่าวที่ข้างหู แต่แล้วฝ่ามือหนึ่งกลับฟาดเข้าที่ด้านข้างลำคอ ทั่วทั้งร่างบังเกิดเป็นอาการชาเสียดื้อๆ สองมือคลายออกจากร่างน้อยอย่างมิจำใจ ไม่เว้นแม้แต่เข่าที่ทรุดฮวบลงกับพื้น

           “ไม่ อย่าไป ต้าเซียน” เซียวถิงฟงพยายามร้องห้าม แต่กระนั้นต้าเซียนกลับเหาะเหินไกลออกไป “ต้าเซียน เจ้าต้องกลับมา รับปากข้า”

           “.....” เสียงตะโกนนั้นพลันไล่หลัง ทว่าต้าเซียนก็มิได้ตอบรับ ทั้งหันกายจากไปอย่างแท้จริง
สองตาของเซียวถิงฟงแดงก่ำ กายของเริ่มสั่นสะท้าน ราวกับในอกถูกคว้านลึก กระทั่งแลเงาร่างสีขาวกระโจนหายไปยังหลุมกว้างต่อหน้าต่อตา เขาก็คำรามก้อง


**************************************************


           ต่อเมื่อเหาะเหินมายังหน้าหลุมดำ ต้าเซียนก็กระโจนเข้าไปอย่างไม่หวาดหวั่น แม้ด้านหลังจะมีเสียงร้องเรียกสักเท่าใดก็มิอาจห้ามเจตนารมณ์นี้ได้

           ครั้นมาถึงก็สังเกตเห็นแต่ความมืดมิด ไร้ซึ่งขอบเขตอันเป็นที่สิ้นสุด ทั้งดูว่างเปล่าเสียจนน่ากลัว บรรยากาศกดดันจนแทบหายใจไม่ออก ต้าเซียนรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งร่าง พริบตานั้นก็พลันได้ข้อสรุปถึงสองข้อ

           หนึ่ง หากยังรอช้า ร่างของเขาต้องสลายไป มิอาจปิดทางเข้านี่ได้ทัน สอง หากใช้พลังทั้งหมดปิดปากทางเข้าหลุมดำนี้แล้ว ดูว่ายังมิทันจะฝ่าออกไป ด้วยพลังในกายที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ย่อมมิอาจทนแรงกดดันได้ ไม่พ้นต้องสูญสลายในที่สุด

           ร่างน้อยคิดแล้วก็เหยียดยิ้มขึ้น ผุดนึกถึงใบหน้าของร่างสูง นิ้วมือเลื่อนสัมผัสที่ริมฝีปาก เกรงว่าข้าคงมิอาจกลับไป ข้าขอโทษ...ถิงฟง

           เปลือกตาบางค่อยๆปิดลง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นสม่ำเสมอ สองมือซ้ายขวารวบพลังไว้อย่างเต็มกำลัง หากว่าปล่อยไปแล้ว เขาก็จะไม่มีตัวตนอยู่อีก แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะเลิกล้ม สองมือเริ่มยกขึ้นหันไปทางปากทางเข้า ก่อนจะเลิกดวงตาสีน้ำตาลทองที่เปล่งประกายขึ้นอีกครา

           เพียงแต่ว่าฝ่ามือยังมิทันไม่ปลดปล่อยพลัง ก็พลันแลเห็นแผ่นหลังกว้างในชุดเกราะสีทองที่ยืนขวางกั้นอยู่ตรงหน้า สองมือถึงกับชะงักงัน เขาเปล่งเสียงร้องด้วยความงุนงง “เฟยหลง”

           เฟยหลงมิได้ตอบรับ ก่อนหน้านี้เห็นเงาร่างสีขาวกระโดดเข้าไปยังภายในหลุมดำก็บังเกิดความเข้าใจ ท่านมหาเทพต้องการปิดสมดุลจากทางด้านใน แต่หากทำเช่นนั้นมิใช่เป็นการเสียสละหรือ สิ่งที่เขาก่อจำเป็นต้องให้ร่างเล็กชดใช้แทนกระนั้นหรือ คิดได้ดังนั้นเขาก็มิยินยอม ฝีเท้ากระโจนตามท่านมหาเทพเข้าไปหลุมดำทันที

           พลังขุมสุดท้ายถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว ไม่นานเสียงระเบิดก็ดังขึ้นกึกก้อง ส่งผลให้เกิดเป็นกระแสลมแรงตีกันปั่นป่วน จนมิอาจควบคุมร่างกายได้อีกต่อไป ต้าเซียนได้แต่ปล่อยให้ตนเองลอยคว้างไปตามสายลม จนทระทั่งเหลือบไปเห็นแสงสว่างเล็กๆที่สาดส่องเข้ามายังปากทางเข้า พร้อมทั้งหลุมดำที่ขยับเล็กลงอย่างรวดเร็ว

           คล้ายว่าครั้งนี้ประสบผล สมดุลเริ่มคงที่แล้ว เห็นเช่นนี้ ต้าเซียนก็เบาใจลง ทว่าใจก็กลับมาฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง พลังเขายังมิทันปลดปล่อย เหตุไฉนสมดุลจึงเริ่มจะสงบลง เสียงระเบิดนั้นคงมิใช่พลังของ...

           ดวงตาสีน้ำตาลทองถึงกับเบิกกว้างก่อนจะมองหาชายในชุดเกราะทองอย่างร้อนใจ ครั้นพอเห็นร่างของคนผู้หนึ่งที่ลอยคว้างแน่นิ่งก็รีบถลาเข้าหา แต่ยิ่งเข้าใกล้ก็กลับยิ่งแลเห็นร่างที่เริ่มไม่คงรูปของเจ้าตัว ใจคิดอยากจะฉุดรั้งอีกฝ่ายออกไปด้วย ทว่ากระแสลมที่เป็นเสมือนพายุหมุนลูกใหญ่ กลับทำให้มิอาจเข้าถึงตัวเฟยหลงได้ ต้าเซียนยังคงพยายามฝ่าพายุเข้าไปหลายครั้ง จนในที่สุดก็คว้าเอามือหนึ่งของอีกฝ่ายไว้ได้ เขาร้องลั่น “จับมือข้า เฟยหลง”

           คล้ายมีเสียงเรียกที่คุ้นเคย ดวงตาดั่งพญาอินทรีจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะแลเห็นใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยความร้อนรน ความทรงจำต่างๆนับแต่พบหน้าหวนคืนในสมอง หากแต่ไม่ละเว้นความผิดที่ได้กระทำเช่นเดียวกัน เฟยหลงส่ายหน้าก่อนยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่ข้าก่อย่อมต้องชดใช้เอง”

           “จับมือข้า” ต้าเซียนตวาดลั่น ไม่ละความพยายาม

           “มันสายไปแล้ว” เขากล่าวเพียงสั้นๆ รู้สึกได้ว่าปลายขาเริ่มมลายหายไป เกรงว่าตอนนี้ร่างเขาคงเหลือเพียงแค่สามในสี่ส่วน

           “ไม่ เฟยหลงที่ข้ารู้จัก มิใช่คนที่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆเช่นนี้” ต้าเซียนกล่าวพร้อมทั้งจับมือข้างนั้นไว้แน่น เขาไม่ยินยอมให้คนผู้นี้ต้องหลงอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอีกเป็นอันขาด กระนั้นแล้วเขาก็มิอาจทานแรงพายุมหาศาลได้นาน ร่างเขาจึงเริ่มค่อยๆอ่อนกำลังลง

           เมื่อเห็นปลายเท้าของร่างเล็กเริ่มสลายดั่งเช่นเม็ดทราย เฟยหลงก็ตกใจรีบตวาดใส่ “รีบกลับไป ปากทางเข้าจะปิดสนิทแล้ว หากท่านยังยื้อยุดข้าอีก ร่างของท่านจะพลอยสูญสลายไปด้วย”
 
           “ไม่” ต้าเซียนสวนตอบแทบในทันที ทั้งยิ่งจับมือไว้แน่นมิยอมปละปล่อย

           ด้านเฟยหลงเองก็ได้แต่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่ออย่างเงียบงัน มิเคยคาดคิดว่าท่านมหาเทพจะมีความดื้อรั้นเช่นนี้อยู่ด้วย เกิดเป็นความรู้สึกเสียดาย...พันปีที่ผ่านมานี้ ข้าได้พลาดสิ่งสำคัญไปจริงๆ

           “บ้าเอ้ย”

           ครั้นเมื่อนิ้วมือเริ่มหลุดออกจากการจับกุม คำพูดที่ไม่น่าจะหลุดออกจากปากท่านมหาเทพก็หลุดออกมา เฟยหลงได้ยินก็ต้องหัวเราะออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเศร้า จวบจนนิ้วสุดท้ายพ้นจากมือน้อยๆ เขาก็หลับตาลง

           ...นับแต่นี้ไป ข้าเพียงหวังให้ท่านมีความสุข...

           “เฟยหลง” ต้าเซียนร้องเรียกอย่างหมดหวัง ได้แต่มองมือนั้นหลุดลอยออกไป
ทว่าฉับพลันนั้นก็บังเกิดสิ่งที่คาดไม่ถึง ฝ่ามือใหญ่ที่เปื้อนเลือดแห้งกรังได้เอื้อมเข้าจับหมับยังมือของเฟยหลง ต้าเซียนถึงกับตาโตร้องเรียกอย่างดีใจ “ถิงฟง”

           เซียวถิงฟงกระโดดลงมายังหลุมดำแล้ว ก่อนหน้านี้แลเห็นปากทางเข้าเริ่มหดเล็กลง หากแต่ร่างน้อยก็ยังไม่ออกมา ในใจก็ร้อนรนมิอาจทนเฉยได้อีก รอจนร่างทั้งร่างหายชาก็ร่ำร้องจะเข้าไป ดีที่นางฟ้าชิงเซียงไหวพริบดีจึงเสนอให้ผูกผ้าแพรวิเศษไว้ที่ลำตัวเขา แม้จะเป็นวิธีการที่ไม่รู้จะได้ผลรึไม่ แต่เขาก็ยินยอมพร้อมที่จะเสี่ยง
 
           “เจ้า ช่วยข้าไว้ทำไม” เฟยหลงกล่าวถามอย่างสงสัย ทั้งที่ผ่านมาเขาต้องการเอาชีวิตอีกฝ่ายแท้ๆ

           “เพราะต้าเซียนต้องการช่วยเจ้า” เซียวถิงฟงตอบทั้งยังกำชับมือให้แน่นกว่าเดิม อีกมือหนึ่งก็จับร่างเล็กให้มั่น “ต้าเซียนเจ้าเกาะข้าให้ดีๆ” เขาร้องบอก ต้าเซียนได้ยินแล้วก็กอดเอวตนไว้แน่น เมื่อทุกอย่างลงตัวเขาก็กระตุกผ้าแพรโดยแรง

           จากนั้นไม่นานเสียงแหลมทุ้มหนึ่งก็ดังขึ้นที่เบื้องบน “ช่วยกันดึงผ้าแพรเร็ว หลุมดำจะปิดแล้ว” ไป๋เซ่อตะโกนขึ้นอย่างร้อนใจตามมาด้วยเสียงวุ่นวายของบรรดาเหล่าเทพเซียน

           ที่ปากทางเข้าของหลุมดำเริ่มปิดลงอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องแข่งกับเวลา ยิ่งด้านนอกมีแสงตะวันส่องผ่านเข้ามามากเท่าไร หลุมดำก็ยิ่งปิดลงอย่างรวดเร็วเพียงนั้น เหล่าเทพเซียนทั้งหลายต่างช่วยกันสาวผ้าแพรกันมือเป็นระวิง ยิ่งเห็นปากทางเข้าแคบลงจนเหลือเพียงขนาดเท่าตัวคน ต่างก็ยิ่งตาเหลือกฉุดดึงผ้าแพรกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

           ในที่สุดเงาร่างทั้งสองก็หลุดพ้นออกมาจากหลุมดำ ปากทางเข้าได้ปิดลงอย่างสิ้นเชิง สมดุลพิภพกับคืนสู่สภาพปกติ แสงสว่างสดใสกลับมาอีกครั้ง ต้าเซียนที่นอนทับเซียวถิงฟงไว้ค่อยๆพลิกกายลงก่อนลุกขึ้นนั่งอย่างเหน็ดเหนื่อย อาจเป็นเพราะพลังในกายถูกดูดกลืนไปมาก

           ดวงตาที่แฝงแววห่วงใยทอดมองลงไปยังชายหนุ่มที่นอนสลบไสล ดูว่าพลังชีวิตของเซียวถิงฟงเองก็ถูกกลืนกินไปมิใช่น้อย ต้าเซียนพลันลูบไล้ใบหน้าคมคายอย่างเบามือ “ข้าเกือบเสียเจ้าไปอีกครั้งแล้ว ถิงฟง” กล่าวจบก็เลื่อนสายตาถัดไปจากกายของชายหนุ่ม

           แต่แล้วสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นความว่างเปล่า ปากน้อยๆอ้าค้างอย่างมิอยากจะเชื่อ ก่อนที่สองตาจะข่มปิดลงอย่างเจ็บปวด

           ...ไม่ทันกระนั้นรึ เฟยหลง...

           ทว่าความหวังยังคงมีเสมอ ซวนหยวนหมิงไท่ที่ก้าวเข้าไปใกล้สหายสนิทก็สะดุดเห็นสิ่งหนึ่ง “เขากำอะไรไว้แน่น”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยแทบทำให้ดวงตาของต้าเซียนเบิกกว้างเป็นประกาย รีบเร่งแกะเอามือซ้ายที่เซียวถิงฟงกำไว้อย่างแน่นออก ต่อเมื่อมือคลายลงก็เผยให้เห็นดวงวิญญาณสีน้ำเงินดวงหนึ่ง ต้าเซียนพลันรู้สึกดีใจ จ้องมองร่างสูงอย่างลึกซึ้ง
   
           “ท่านมหาเทพ จากนี้ไปจะทำเช่นไรดี” ท่านอาวุโสเทพหวางจื้อรออยู่นานก็กล่าวขัดจังหวะดีใจไว้
   
           จังหวะนั้นสายตาอ่อนล้าก็ปรี่ขึ้นเล็กน้อย เปลือกตายังคงหนักอึ้ง มองเห็นแต่ความพร่ามัว มาตรว่าเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังฝืนเพียงเพื่อต้องการเห็นว่าบุคคลผู้หนึ่งปลอดภัย จนเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่อยู่ใกล้ๆก็เริ่มรู้สึกวางใจขึ้น แต่ในเวลาต่อมาเขากลับได้ยินประโยคๆหนึ่งที่ทำให้รู้สึกราวกับถูกอสนีบาตฟาดใส่

           “ส่งเขากลับไปยังโลกมนุษย์” ต้าเซียนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบแล้วจึงผละตัวออก แต่ยังมิทันได้ก้าวออกไปก็ถูกมือใหญ่ฉุดรั้งไว้ ครั้นเหลียวกลับมาก็พบว่าเป็นมือของเซียวถิงฟง เขามองนิ่งชั่วครู่ก็ค่อยๆแกะมือนั้นออก
   
           ในที่สุดมือของเขาก็ตกลงดั่งคนไร้เรี่ยวแรง หัวใจพลันรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดกรีด

           ...ต้าเซียน เจ้าจะกลับมาหาข้ารึเปล่า ริมฝีปากพยายามอ้าขึ้นกล่าวถาม แต่ทว่าก็มิมีเสียงใดเล็ดรอดออกมา น้ำตาหยาดหนึ่งหลั่งรินออกมาจากใจ...ข้าจะได้พบเจ้าอีกใช่ไหม จวบจนกระทั่งเห็นเงาร่างของซวนหยวนหมิงไท่เป็นคนสุดท้าย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นอะไรอีก
   
           
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน)บทที่ 30.2 มือที่กอบกุมไว้ 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ryusaki_yp ที่ 18-11-2015 20:23:52
บทที่ 30.2 มือที่กอบกุมไว้


         
           สามเดือนผ่านไป
   
           “เจ้าจะไปจริงๆน่ะหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวถามสหายสนิทที่ยืนจับจ้องมองเหล่ากองทัพที่ยืนสู้แดดแรงกล้าบนป้อมสูง กองทัพที่รอเพียงคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาแล้วออกคำสั่งให้เดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล

           “ราชโองการเองก็ออกมาแล้ว ข้าไม่กระทำตามได้รึ” เซียวถิงฟงตอบสั้นๆ

           ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังแล้วก็เงียบลง รู้สึกได้ว่านับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเซียวถิงฟงก็เซื่องซึมลงไปถนัดตา เขากล่าวขึ้นอีกครั้ง “ถึงอย่างไรในตอนนี้ฐานกำลังตระกูลเซิงก็หายไปมากแล้ว ข้าจะไปทูลขอให้เสด็จพ่อส่งแม่ทัพคนอื่นไปแทน”

           หลังจากเรื่องราวบนพิภพสวรรค์จบลง เหล่าผู้อาวุโสเทพก็เป็นฝ่ายส่งพวกเขากลับมายังโลกมนุษย์ จากนั้นไม่นานก็ต้องประสบกับเรื่องราววุ่นวายภายในวังหลวง ทั้งเรื่ององค์หญิงหย่าเหลียนสิ้นพระชนม์ องค์ชายหย่าเซิงเองก็มีอาการเสียสติร่ำร้องถึงปีศาจไม่หยุดปาก

           ตระกูลเซิงที่เคยเรืองอำนาจกลับต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นจึงได้แต่หันเหเป้าหมายไปยังเซียวถิงฟง กระนั้นตระกูลเซิงยังมิทันได้วางแผน องค์ฮ่องเต้ก็เป็นฝ่ายช่วงชิงโอกาส แต่งตั้งเซียวถิงฟงให้เป็นแม่ทัพใหญ่เดินทางปกป้องชายแดนทางฝั่งตะวันตกเสียก่อน

           “จะอย่างไรข้าก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นขององค์หญิงหย่าเหลียน แม้จะยังมิได้ตกแต่ง แต่ตระกูลเซิงย่อมต้องหาวิธีใช้ประโยชน์จากข้าทางใดทางหนึ่งเป็นแน่” เซียวถิงฟงกล่าวเสียงเรียบ

           “เซียวถิงฟงเจ้าอย่าแสร้งเฉไฉ ข้ารู้ต่อให้เจ้าแต่งให้กับหย่าเหลียน เจ้าก็มิยินยอมกระทำตามตระกูลเซิงโดยง่ายหรอก มีแต่จะสร้างปัญหาให้พวกเขา”

           เซียวถิงฟงยิ้มแล้ว “ท่านยังคงรู้ใจข้า แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องไป” กล่าวจบเขาก็ยอบกายลงคุกเข่าข้างหนึ่งให้กับคนเบื้องหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง

           “องค์รัชทายาท ข้ารู้ดีว่าสิ่งที่ท่านต้องการคือขุมกำลังที่แข็งแกร่ง แต่หากท่านยังรั้งข้าไว้ข้างกาย สุดท้ายท่านจะได้เพียงดาบที่ยังตีไม่เสร็จ มิได้มีกำลังที่แท้จริง เช่นนั้นไยท่านมิสู้ปล่อยข้าไปสร้างขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ ภายหลังจากนี้อีกสองปี ท่านจะได้รับดาบที่คอยฟาดฟันศัตรูให้แก่ท่าน พร้อมขุมกำลังที่จะคอยสนับสนุนท่านอย่างแท้จริง”

           ซวนหยวนหมิงไท่เบิกตากว้างรับชมอย่างตื่นตะลึงในใจ ชายผู้นี้นับว่าเป็นสหายเขาอย่างแท้จริง เขาถอนหายใจแล้วยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นแม่ทัพใหญ่เซียว สองปีให้หลังข้าจะรอท่านที่วังหลวงแห่งนี้”

           “กระหม่อมทูลลา” เซียวถิงฟงตอบรับก่อนจะลุกขึ้นหันกายไป ก้าวเดินไปยังข้างหน้าอย่างองอาจ ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างนี้อย่างตื้นตันใจ เสียงเบาๆพึมพำออกมา

           “ถึงตอนนั้น เจ้าเองก็คงมิต้องรอคอยอีกแล้วกระมัง เซียวถิงฟง”


 
**************************************************


           แสงแดดร้อนแรงแผดเผาจนสายตาพร่าเลือน ลำคอแห้งผากจนแทบเป็นผุยผง มือหนึ่งก่ายขึ้นเช็ดเหงื่อที่เกลือกกลิ้งไปตามใบหน้า แม้ที่นี่จะมีสายลมพัดผ่านตลอดเวลา แต่เขาก็มิได้รู้สึกเย็นกายสบายใจนัก เนื่องเพราะมันเป็นลมร้อน

           เอ้อหู ผู้เป็นรองแม่ทัพทรุดลงนั่งกับพื้นทรายใกล้ๆม้าศึกอย่างเหน็ดเหนื่อย นับดูแล้วเป็นเวลาเกือบสองปีที่เขาได้มาประจำอยู่ที่นี่ เขาคิดในใจพลางทอดสายตามองไปยังแม่ทัพใหญ่ที่ดูไม่สะทกสะท้านกับสภาพอากาศอันทุรกันดารอย่างพิศวง

           “อา ผิวหนังท่านแม่ทัพใหญ่คงด้านแล้วสินะ” เขาบ่นพึมพำขึ้นมาอย่างสงสัย จ้องมองท่านแม่ทัพใหญ่เซียวที่ชอบนั่งยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวท่ามกลางทะเลทรายอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่รู้จะยิ้มกระไรนักหนา เอ้อหูนั่งสังเกตการณ์อีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งแลเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ทัพ
 
           “ท่านอา หากข้าโตเป็นสาวจะแต่งให้กับท่านดีไหม” เด็กสาววัยหกขวบเดินเข้าไปหยอกล้อผู้เป็นแม่ทัพใหญ่อย่างมิเกรงใจใคร นางเป็นลูกสาวของกองคาราวานพ่อค้าในชนเผ่าแถบนี้ เผอิญเมื่อสองคืนก่อนกองคาราวานของพวกนางถูกโจรทะเลทรายซุ่มโจมตี โชคดีที่กองกำลังของราชสำนักกำลังออกลาดตระเวนอยู่ จึงเข้าช่วยพวกนางไว้ได้อย่างปลอดภัย

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะอบอุ่นดังก้องทำให้นางต้องหน้าแดง เห็นท่าทางองอาจของท่านอาผู้นี้ ผิวกายที่คล้ำแดดขับดันให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายสมชายชาตรี บ่าที่กว้าง ท่อนแขนที่แข็งแกร่ง รวมถึงพละกำลังดุดันที่เข้าต่อสู้กับพวกโจรแล้ว นางแทบเก็บเอาไปเพ้อฝันเลยทีเดียว

           “อาจู เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน รีบกลับมาหาแม่เดี๋ยวนี้” ได้ยินบุตรสาวกล่าววาจามิรู้จักที่สูงที่ต่ำแล้ว มารดาของอาจูถึงกับหน้าซีด “ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่จะลดตัวมาแต่งกับเจ้าได้เยี่ยงไร” นางเอ่ยเสียงดุจนอาจูเริ่มทำหน้าเบ้

           “ไม่เอา อาจูจะแต่งให้กับท่านอา” อาจูยังคงรั้น จนผู้เป็นมารดาต้องก้าวเข้ามาหมายว่ากล่าวสักอีกหลายประโยค ทว่าท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิถือสาหาความ มือที่ทรงพลังนั้นยกขึ้นทัดทานพร้อมทั้งสีหน้ายิ้มแย้ม เขาย่อตัวลงกล่าวกับเด็กน้อย

           “ท่านอาแต่งกับอาจูมิได้หรอก” น้ำเสียงอบอุ่นกล่าวก่อนหยุดลงคล้ายกับครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ ไม่นานรอยยิ้มก็เหยียดกว้างขึ้น “ท่านอาจะแต่งกับคนเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

           “ใครหรือ สวยกว่าอาจูไหม” อาจูมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังคงซักต่อเมื่อแลเห็นใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้ๆ แต่แล้วท่านอาผู้นั้นกลับหยิบเม็ดทรายขึ้นมากำหนึ่ง มือใหญ่นั้นละเลียดจับเม็ดทรายน้อยๆอย่างอ่อนโยน คล้ายกับว่ากำลังจับมือคนรักอยู่ จากนั้นจึงกล่าวกับนาง

           “สวยสิเปล่งประกายเหมือนเม็ดทรายพวกนี้เลย”

           ...ต้าเซียนเจ้ารู้ไหม แม้ข้าจะมิได้พบหน้าเจ้า แต่เพียงข้าอยู่ท่ามกลางเม็ดทรายพวกนี้ ข้ากลับรู้สึกเหมือนกับว่า เจ้ามิได้อยู่ห่างไกลจากข้าเลยแม้แต่น้อย

           อาจูมองการกระทำนี้อย่างเงียบงัน มองใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆก็พลันรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อยที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวท่านอา ไม่นานนักเสียงของทหารนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา

           “ท่านแม่ทัพเซียวมีจดหมายด่วนถึงท่าน”

           เซียวถิงฟงรับฟังก็วางเม็ดทรายลง ก้าวตรงไปยังนายทหารที่มาส่งสาร เขาคลี่มันออกอ่าน ชั่วขณะหนึ่งสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ไม่นานก็เอ่ยเสียงดัง “เอ้อหู จากนี้เจ้าเป็นผู้นำคุ้มกันกองคาราวานนี้ไปส่งถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัย ข้าจะกลับไปยังเมืองลู่หยาง”

           “ขอรับ” เอ้อหูตอบรับคำสั่งอย่างแข็งขัน จากนั้นจึงแลเห็นผู้เป็นแม่ทัพกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วควบจากไปอย่างรีบร้อน

           เซียวถิงฟงใช้เวลาเกือบเดือนควบม้าเร็วมายังเมืองลู่หยาง โดยที่มิได้มีเวลาพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เพียงใช้เวลาหลับพักไม่กี่ชั่วยามระหว่างจุดเปลี่ยนม้า จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงหน้าคฤหาสน์ตระกูลเซียว

           เขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะหยุดชะงักลงเล็กน้อย ความทรงจำหนึ่งหวนขึ้นมาให้นึกคิด เขามองม้าเร็วที่ขี่มา มันเองก็มองหน้าเขาก่อนจะใช้ปลายจมูกชนที่มือเขาเบาๆ ดูแล้วมันเป็นม้าหนุ่มสีน้ำตาลที่ขี้เล่นในครั้งนั้น รอยยิ้มผุดขึ้นน้อยๆ ครั้งหนึ่งต้าเซียนเคยแกล้งให้เขานอนกอดผ้านวมบนหลังเจ้าม้าตัวนี้

           ...แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนั้นอีกไหมเขาทอดหายใจลงเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปยังด้านในคฤหาสน์ตระกูลเซียว ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยโวยวายขึ้น

           “ไอ้ลูกตัวดี ทำไมต้องสร้างเรื่องให้ข้าไม่หยุดหย่อน ข้าขายขี้หน้าชาวบ้านชาวเมืองเค้าจะแย่อยู่แล้ว เมื่อไหร่มันจะไสหัวกลับมาสักที”

           ที่โถงกลางของจวน เซียวถิงฟงเงี่ยหูฟังแล้วบังเกิดเป็นความรู้สึกลางไม่ดี มือหนึ่งค่อยๆแง้มเปิดประตูเข้าไป แล้วจึงแลเห็นตาแก่ที่หน้าตาคล้ายคลึงกับตนถึงแปดเก้าส่วน แต่ในตอนนี้ดวงตาที่ต่างกันเพียงแค่สีกำลังเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นหน้าเขา ที่ด้านหลังของบิดายังคงมีพ่อบ้านที่คอยถือพัดโบกปลอบอารมณ์ผู้เป็นนายมือเป็นระวิง

           “เฮอะ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา...มาให้ข้าหักคอซะดีๆมา” เซียวถิงหลี่ทิ้งมาดอัครเสนาดีใหญ่ประจำวังหลวง แย่งเอาพัดขนนกยูงในมือพ่อบ้านแล้วก้าวตรงมาแล้วฟาดใส่ลูกชายไม่ยั้ง

           “โอ๊ย ไหนว่าใกล้จะตายแล้วไง ทำไมแรงดีอย่างนี้” เซียวถิงฟงร้องบอกเมื่อถูกพัดกระหน่ำตีอย่างไร้เหตุผล

           “ถ้าข้าไม่ส่งข่าวเช่นนั้น เจ้ามีรึจะกล้ากลับมา ไอ้ลูกไม่รักดี ข้าจะตีเจ้าให้ตายกล้าก่อเรื่องถึงเพียงนี้เชียวรึ” เซียวถิงหลี่ตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยโทสะ ไม่สนใจพ่อบ้านที่เอาแต่ร่ำร้องว่า จะพังแล้วๆ พัดขนนกยูงสุดหายาก
   
           “เดี๋ยว ข้าไปทำอะไรให้ท่านกัน หยุดๆ” เซียวถิงฟงยกแขนต้านพัดขนนกยูงก่อนที่มันจะกระแทกใส่หน้าเขา

           เซียวถิงหลี่ยิ่งทำหน้าเขียวดุใส่ “จะ เจ้ายังกล้าถามอีกรึ เจ้าไปล่อลวงใครมา ทำเอาเขาต้องกระเตงลูกมาหา ไอ้ตัวโสโครก” พัดขนนกยูงถูกกระหน่ำตีอีกครั้งจนขนกระจุยกระจาย ทำเอาพ่อบ้านแทบร้องไห้มิออก

           “ตาแก่ ล้อเล่นกระไร ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง ล่อลวงอะไร พอๆ เลิกตีข้าสักที”

           เมื่อตีจนอาวุธในมือไม่เหลือ เซียวถิงหลี่ก็เหลียวซ้ายแลขวาหาอาวุธใหม่ที่เหมาะมือ กระทั่งเหลือบไปเห็นดาบที่ข้างเอวลูกชายก็ชักออกมาชี้หน้า ประกาศเสียงกร้าว “เจ้ารับปากข้ามา จะรับผิดชอบทั้งสองชีวิต เช่นนั้นอย่าหาว่าข้า...เซียวถิงหลี่ไม่เตือน”

           นับแต่เจ้าลูกชายไปเป็นแม่ทัพที่ชายแดนทางฝั่งตะวันตกก็มีหญิงสาวมากหน้าหลายตามาร้องห่มร้องไห้ กล่าววาจาว่าตนได้เสียกับบุตรชายของตน ดีที่ว่าพอซักไซ้ไปมาจึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลพกลม แต่ทว่าครานี้ถึงกับมีเด็กติดตามมาด้วย ซ้ำยังเฉลียวฉลาด นิสัยไม่กลัวใคร ทั้งโดดเด่นแข็งกร้าวคล้ายกับบุตรชายของตน แทบทำให้เขาหัวใจจะวาย

           “ไม่ ข้ามิเคยกระทำเรื่องเสื่อมเสียอันใด ทำไมต้องรับผิดชอบ ตาแก่เองก็คงอายุมากแล้ว ตาถึงได้ฝ้าฟาง หูจึงได้ตึงยิ่งนัก ถึงกับหลงเชื่อพวกนักต้มตุ๋นเป็นตุเป็นตะเข้าได้” กล่าวจบก็เห็นเซียวถิงหลี่ถลึงตาเข้าใส่จนแทบจะถลน ทั้งพยายามควบคุมอารมณ์โกรธกล่าวถามขึ้นอีกครั้ง

           “ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย บอกมาคำเดียวจะแต่งรึไม่แต่ง”

           “ไม่แต่ง” คำตอบห้วนๆถูกส่งกลับมาอย่างไม่ต้องคิด

           เซียวถิงหลี่รับฟังแล้วลมแทบจุกอก โวยวายขึ้นอีกครั้ง “หนอย ไอ้ลูกคนนี้ ปีกกล้าขาแข็ง ปล่อยข้า ข้าจะเอาเลือดหัวมันออก”

           เห็นมือเงื้อดาบขึ้นสูง ไยต้องรอช้า พาตัวเองเผ่นแนบออกมาทันที เสียงเจ็บใจของบิดาดังก้องไปทั่วจวน แต่ฝีเท้าเขาก็ไม่คิดจะหยุดลง ดีที่พ่อบ้านกระโดดโถมเข้าใส่ตาแก่เสียก่อนเขาจึงหลบได้พ้น

           ฝีเท้าว่องไววิ่งมาจนถึงสวนในคฤหาสน์ก็เปลี่ยนกลับเป็นปกติ เขาเดินทอดน่องไปตามลำพัง กายสัมผัสได้ถึงสายลมหนาวที่พัดผ่านเบาๆ บรรยากาศเงียบเหงา จนอดคิดถึงเรื่องหนึ่งไม่ได้ สองเท้าหยุดลงที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มือเอื้อมขึ้นลูบเบา ยังคงจดจำได้ดีว่า ครั้งหนึ่งร่างน้อยเคยตกลงมาได้อย่างไร

           ...ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ยังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่อีกรึเปล่า ข้า...ข้าคิดถึงเจ้า ต้าเซียน ในอกพลันรู้สึกปวดแปลบ จนเขาต้องยกมือทุบเข้าไปตรงอกตัวเองไปสองสามครั้ง ด้วยหวังให้ความเจ็บปวดทุเลาลง

           พอดีกับที่เสียงฝีเท้าเบาปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ตามมาด้วยสุ้มเสียงของเด็กชายชายอายุราวเจ็ดแปดขวบ “เจ้าเป็นใคร มาทำลับล่ออยู่ที่นี่ รึคิดมาขโมยอันใด”

           “เจ้าเห็นส่วนใดของข้าเป็นโจรกัน” เซียวถิงฟงหันกลับไปต่อปากต่อคำ จึงได้เห็นเด็กชายที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา
เด็กชายเพียงจับจ้องหน้าคนแปลกหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้ากล่าวเสียงดังลั่น “ก็ทั้งหมดแหละ”

           “......” เซียวถิงฟงรับฟังจนถึงกับริมฝีปากของกระตุก

           แลเห็นอีกฝ่ายเงียบไปเขาก็ยิ่งแสดงท่าทีมั่นใจ ดูยังไงชายฉกรรจ์ตรงหน้าก็เหมือนโจร สีผิวที่คล้ำแดด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา ดวงตาพยัคฆ์ที่ดูดุดัน จะดูยังไงก็เหมือนกับจอมโจมโฉดในตำราที่ข้ารับใช้อวี่จงเคยบรรยายให้ฟัง อีกทั้งตนอยู่ที่นี่มานานนับสามถึงสี่เดือนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นบุคคลผู้นี้ เช่นนั้นจะเป็นใครได้เสียอีก

           “แล้วเจ้าเล่าเด็กน้อย เจ้าเป็นใครกัน ถึงไม่รู้จักข้า” กล่าวจบเซียวถิงฟงก็กอดอกประเมินมองเด็กตรงหน้าอย่างละเอียด รูปร่างที่สมส่วน ใบหน้าที่ดูคมคาย คาดว่าภายภาคต้องดูสะดุดตา อีกทั้งดวงตาที่มีพลังเฉกเช่น...ประกายความแปลกใจแล่นวาบผ่านดวงตา

           “อย่ามาเรียกข้าว่าเด็กน้อย ข้ามิใช่เด็กแล้ว ข้าน่ะเป็นถึงคุณชายน้อยตระกูลเซียว เฮอะ” เห็นคนตรงหน้ากอดอก เขาก็กอดอกข่มอีกฝ่ายบ้าง

           ฝ่ายเซียวถิงฟงเห็นเด็กชายวางท่าไม่หยุดก็แค่นเสียงหัวเราะ “ฮึ ฮึ แต่เท่าที่ข้ารู้มา ตระกูลเซียวมีคุณชายเพียงคนเดียว และนั่นก็คือ ข้า”

           เด็กน้อยรับฟังก็ตะลึงมองอีกฝ่ายไม่กล่าววาจาใด คล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งฝีเท้าหนักใกล้เข้ามาก็ปรากฏเป็นข้ารับใช้ซื่อบื้อผู้หนึ่ง

           “คุณชายน้อย ท่านหายไปไหนมา ข้าตามหาซะแทบแย่ ข้าไปสืบข่าวมาแล้ว ได้ยินว่าบิดาท่านกลับถึงจวนแล้ว” อวี่จงวิ่งเข้ามาก็เอาแต่พร่ำพูดไม่หยุด มิได้แม้แต่จะสังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนกอดอก มองด้วยสีหน้าทะมึนตึง

           ...ดีนี่ อวี่จง เจ้าเปลี่ยนนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เซียวถิงฟงแค่นหัวเราะเหี้ยมในใจ ดวงตาวาวโรจน์ ฮึ ฮึ นับจากนี้ไปข้าจะสละเวลามาสั่งสอนเจ้าสักหลายกระบวนท่า

           คล้ายรับรู้ได้ถึงบรรยากาศกดดัน อวี่จงเหลียวหน้าไปดูก็ถึงกับ สะดุ้งตัวโหยง คล้ายกับพบภูติผีก็มิปาน ปากโพล่งออกมา “อ้าว คุณชายเซียว ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

           “เจ้าเด็กนี่ใคร” เซียวถิงถามเข้าประเด็น ด้านฝ่ายอวี่จงก็รู้สึกเหงื่อตก แลซ้ายแลขวาก็ดูไม่มีใครช่วยได้จึงกล่าวออกไป

           “โธ่ คุณชาย นี่ก็ลูกชายท่านไง เหมือนท่านเปี๊ยบ” อวี่จงกล่าวซื่อๆ ทว่าคุณชายน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายกลับขมวดคิ้วแฝงแววไม่พอใจ

           “ข้าไม่มีพ่อหน้าตาเหมือนจอมโจรโฉด” กล่าวจบเด็กน้อยก็วิ่งปรู๊ดออกไป ยังผลให้อวี่จงต้องทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะรู้สึกตัวแล้ววิ่งตามคุณชายน้อยไป ทิ้งไว้ให้เซียวถิงฟงควันออกหู ปากกระตุกค้างอีกรอบ

           มิเข้าใจจริงๆว่าทุกคนคิดกระไรอยู่ เด็กกำมะลอคนนี้อายุราวเจ็ดแปดขวบ เช่นนั้นมิใช่ว่าข้ามีลูกตั้งแต่ตอนอายุสิบเจ็ดรึ เฮอะๆ เลอะเลือนจริงๆ เลอะเลือนกันไปหมดแล้ว

           ย่ำเท้ามาถึงตำหนักพิรุณอันเป็นเรือนพักของตนก็เจอะเข้ากับเจ้าแมวสาวสุดรัก แต่ยังมิทันออกปากทักทาย ถิงถิงก็หยัดยืนขึ้น จากนั้นจึงเมินหน้าหนีกระโดดออกไปทางหน้าต่าง เขาถึงกับหน้าเขียว ดูว่าไม่มีใครต้อนรับเขาเลยสักคน ว่าแล้วก็ต้องสะบัดความเศร้าในใจทิ้งไป

           ฝีเท้าเดินตรงไปยังหีบผ้าใบหนึ่ง ค้นอยู่ครู่หนึ่งก็เจอเสื้อคลุมขนจิ้งจอก แม้มีร่องรอยขนหลุดล่วงไปบ้างเพราะการยื้อยุดของใครบางคน แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ สวมทาบทับบนกายก่อนจะตรงไปยังสถานที่ที่คิดถึง

           ดอกบัวยังคงบานอย่างเงียบเหงา คล้ายรอคอยการกลับมาของคนผู้หนึ่ง เซียวถิงฟงพายเรือลำเล็กไปด้วยจิตใจที่เซื่องซึม ใบหน้าฉายให้เห็นชัดถึงเค้าความเมื่อยล้า แลไม่นานนักดวงตาก็คล้อยปิดลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย

           ..................

           ..........

           ...

           ทว่าในตอนนั้นเอง กลับมีมือขาวซีดข้างหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือสระ ดูน่ากลัวท่ามกลางบรรยากาศที่วังเวง ร่างๆหนึ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาบนเรือลำเล็กอย่างทุลักทุเล สายตาจับจ้องมองสิ่งหนึ่งจนยากที่จะคาดเดา

           รู้สึกถึงหยดน้ำร่วงตกลงสู่ใบหน้า จนดวงตาที่ปิดอยู่ถึงกับสั่นระริก เสมือนได้ยินเสียงหนึ่ง แต่ทว่ามันกลับมิใช่น้ำเสียงของเขา

           “ชะตาเราต้องกัน วันนี้ยอมเป็นของข้าแต่โดยดีเถิด ฮ่า ฮ่า”

           คำพูดและเสียงหัวเราะย่ามใจดังขึ้นเหนือร่าง อีกทั้งยังรู้สึกถึงการถูกลูบไล้ตัวไปทั่ว ยังผลให้เขาต้องรู้สึกเสียวสันหลัง จู่ๆก็รู้สึกถึงเสื้อที่ถูกปลดออก เซียวถิงฟงกับได้สติกระเด้งตัวร้องขึ้นบัดดล
           
           “อ๊ากกก”

           “โอ๊ย หูของข้า” 

           “จะ เจ้าจะทำอะไร” เซียวถิงฟงละลักละล่ำถาม ก่อนที่สองตาจะแลเห็นได้เงาร่างที่เปียกปอนได้กระจ่างชัด

           “ข้าแค่จะเอาเสื้อ เหตุไฉนต้องร้องราวกับผู้อื่นจะข่มเหงเจ้าด้วย” ต้าเซียนที่เปียกปอนกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ สองมือยังคงปิดป้องที่ใบหูน้อย

           “ต้าเซียน” เซียวถิงฟงร้องเรียก ครั้นเห็นร่างน้อยทำหน้างุนงงก็กระโดดเข้ากอด ร่ำร้องด้วยความดีใจ “เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว เจ้ากลับมาหาข้าจริงๆ”

           “อะไรกัน ข้าแค่หายไปราวสองเดือนเท่านั้น ไยต้องตื่นตกใจถึงเพียงนี้” ต้าเซียนกล่าวอย่างงุนงงพร้อมทั้งเกาหัวแกรกๆอยู่หลายครา

           “ต้าเซียน เจ้า...เจ้าหายไปจากข้าตั้งสองปี เจ้าหายไปไหนมา” เซียวถิงฟงถึงกับน้ำตาคลอ การจากไปที่ไม่มีแม้แต่คำอำลาใดๆ ยังผลให้เขายังรู้สึกขมขื่นมาจนถึงทุกวันนี้

           “อา ตอนนั้นข้าต้องรีบไปฟื้นฟูดวงวิญญาณของเฟยหลงขึ้นก่อนที่จะดับสลายไป ข้าเลยกลับมาช้าก็เท่านั้นเอง ว่าแต่ข้ามาฟื้นฟูพลังที่นี่ตั้งนานแล้วแต่เจ้าไม่อยู่เอง เจ้าไม่ได้รอข้ากลับมาเลยสักนิด น่าโมโหนัก” ต้าเซียนแย้งชูมือขึ้นท้วงอย่างโมโห

           เซียวถิงฟงถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะบอกยังไงดี “เอ่อ ข้ามัวแต่ไปนั่งยิ้มคิดถึงเจ้ากลางทะเลทรายอยู่ตั้งนาน แฮะ แฮะ” กล่าวจบก็หัวเราะแห้งๆ

           ต้าเซียนรับฟังแล้วก็เบ้หน้าร้องบอก “ซื่อบื้อ” ทว่าร่างสูงกลับยิ้มกว้าง คล้ายไม่รู้สึกสากับคำว่ากล่าวแต่อย่างไร

           พูดคุยกับสักระยะ เซียวถิงฟงก็สังเกตเห็นอาการหนาวสั่นของร่างน้อย กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นหวัด จึงรีบหันเหหัวเรือกลับในทันที แต่เมื่อใกล้ถึงท่ากลับเห็นแต่โคมไฟที่จุดเรียงรายกันเต็มไปหมด ดูว่าอีกไม่นานคงต้องเกิดเรื่องใหญ่อีกแล้วกระมัง

           “ต้าเซียน จากนี้ไป ไม่ว่าเจ้าได้ยินได้ฟังอะไรจากใคร ได้โปรดเชื่อใจข้า” เขาหันไปกล่าวกับต้าเซียน พอเห็นร่างน้อยมองเขานิ่งก่อนจะพยักหน้าก็วางใจ

           ต่อเมื่อเรือเทียบท่าแล้วก็เป็นดั่งที่เขาคาดคิด บิดาเขาเซียวถิงหลี่เดินตรงดิ่งเข้ามาหาอย่างกระฟัดกระเฟียดก่อนจะก่นด่าชุดใหญ่

           “เจ้ามันชั่วช้า ไม่คิดรับผิดชอบสองแม่ลูก ยังคิดจะเอาเปรียบข่มเหงซ้ำเติมเขาอีกรึ เจ้ายังเป็นผู้เป็นคนกับเขาอยู่รึเปล่า”
เสียงตวาดดุดันของเซียวถิงหลี่แทบทำให้ใครหลายคนสะดุ้งสุดตัว ที่ไม่ไกลออกไปยังเห็นเด็กชายที่พึ่งพบกันไม่นานยืนจ้องตาเขาเขม็ง

           “ตาแก่ ข้าจะบอกท่านเป็นครั้งสุดท้าย ข้ามิได้ล่วงเกินอะไรพวกเขา ฉะนั้นข้าจะไม่แต่งงานเด็ดขาด” เซียวถิงฟงประกาศกร้าว ทำเอาสีหน้าของบิดาย่ำแย่กว่าครั้งไหนๆ ข้ารับใช้ทุกคนต่างพากันเงียบสนิท หยาดเหงื่อหลั่งไหลยิ่งกว่าสายน้ำ ดูว่าวันนี้บ้านคงต้องพังกันไปข้าง

           “หนอยๆ จะ เจ้า” เซียวถิงหลี่กัดฟันแน่น ลมจุกในอกจนพูดอะไรไม่ออก สองขาเริ่มซวนเซลง พ่อบ้านตระกูลเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคอง เซียวถิงฟงรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงคิดอ้าปากอธิบายอีกสักประโยค ทว่าน้ำเสียงนุ่มทุ้มก็พลันขัดขึ้น

           “เจ้ามิคิดแต่ง” เป็นเสียงของต้าเซียนนั่นเอง เสียงนั้นแฝงไปด้วยความโกรธเคือง ทำให้เซียวถิงฟงต้องหันไปมองหน้าร่างน้อยอย่างว้าวุ่นใจ

           “ข้าไม่แต่ง ข้าจะแต่งกับ...” เซียวถิงฟงพูดถึงตรงนี้ เด็กชายก็รีบปรี่เข้ามาประชิดต้าเซียนอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากน้อยๆนั้นชิงกล่าวขึ้น

           “เขามิคิดแต่งกับท่าน งั้นเรากลับกันเถอะ ข้าอยากไปเล่นกับพวกทหารเทพ” เด็กน้อยกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส ทั้งยังเบือนหน้ามองจอมโจรโฉดแล้วแสยะยิ้มหยัน

           ด้านเซียวถิงฟงรู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด เสียงดังวี้ๆลอยอยู่ที่ข้างหู ปากอ้าค้าง งงงันจนถึงขีดสุด รอจนต้าเซียนแค่นเสียงกล่าวเขาก็ยิ่งตะลึงลานเข้าไปอีกยกใหญ่

           “เฮอะ เจ้ามิคิดแต่งกับข้า งั้นไปกันเถอะ เฟยเทียน” กล่าวจบต้าเซียนก็จูงมือเด็กน้อยนามเฟยเทียนไว้ ก่อนจะพาเหาะเหินไปทั้งอย่างนั้น

           “ว๊ากกก เดี๋ยวก่อน ฟังข้าก่อน แต่งแล้ว ข้าจะแต่งแล้ว เอาเป็นว่าเข้าหอคืนนี้เลยเป็นไง อ๊ากก กลับมาก่อน ต้าเซียนนน” เซียวถิงฟงร้องเสียงหลง สองเท้าวิ่งไล่หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่อย่างบ้าคลั่ง ตั้งแต่เขากลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเซียว กลับยังไม่มีใครบอกเขาเลยว่าสักคนว่าสองแม่ลูกคือใคร แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว

           แต่จะว่าไปแล้วก็ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่ดูคลั่งไม่แพ้กัน “อ้ะ เดี๋ยว หลานข้า สะใภ้ข้า กลับมาก่อนนน” เซียวถิงหลี่เองก็ตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งตามหลังบุตรชายไปติดๆด้วยท่าทีสติแตกไม่แพ้กัน

           ทำเอาข้ารับใช้ต่างชมดูกันอย่างตกตะลึง บ้างก็ชมดูอย่างสนุกสนาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มิได้มีใครแปลกใจกันสักเท่าไร อาจเป็นเพราะพวกเขาคุ้นชินกับคฤหาสน์ตระกูลเซียวที่มักมีแต่เรื่องพิลึกพิลั่นไม่หยุดหย่อนมานานแล้ว

           “โธ่ ต้าเซียน เจ้าอยู่บนพิภพสวรรค์สองเดือน แต่สำหรับข้ามันตั้งสองปีเชียวนะ” เซียวถิงฟงแผดเสียงร้องลั่นแทบอยากจะร่ำไห้เสียอย่างนั้น ฝีเท้ายังคงวิ่งไล่ตามเสียงหัวเราะชอบใจของต้าเซียนไปอย่างสุดแรงเกิด

           “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

(จบบริบูรณ์)


**************************************************


จบเเล้วจ้า ติชมเม้นท์เเนะนำได้นะจ้ะ เรื่องนี้ยังมีสเปเชียลคู่หลักเเละคู่รอง(เฟยหลง)นะจ้ะ เเต่จะไม่ได้อัพออนไลน์ เพราะมีคุยเรื่องรวมเล่มกันทางสนพ.เอาไว้ ซึ่งมีเเพลนจองปีหน้า หากใครสนใจรูปเล่ม ติดตามข่าวคราวได้ที่เพจนะจ้ะ https://www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/?ref=bookmarks (https://www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/?ref=bookmarks)

จากนี้ยังมีเเพลนเขียนเรื่องราวของซวนหยวนหมิงไท่กับ.... รอติดตาม เเต่อาจช้าหน่อยน้า เพราะยังมิได้เขียน เเฮะ เเฮะ


ขอบคุณที่ติดตามจนจบนะคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 18-11-2015 22:03:25
จบได้น่ารักดีครับ ฮิๆ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 19-11-2015 21:09:18
ขรรมขุ่นพ่อมาก
ขอให้เขียนนิยายดีๆแบบนี้มาเรื่อยๆนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-11-2015 16:30:15
จบได้น่ารักมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 21-11-2015 00:00:56
ขอบคุณมากกกกกกก สนุกมากมาย  :katai4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 21-11-2015 00:42:49
 :pig4:  ขอบคุณคะ สนุกมากๆๆ เนื้อเรื่องและภาษาลื่นไหนมากๆ อ่านแล้วติดงอมแงม  :L1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 22-11-2015 11:17:25
สนุกมากๆค่ะ ภาษาก็ลื่นไหล

ว่าแต่เด็กคนนั้นมีที่มาที่ไปยังไงคะ

อยากอ่านตอนพิเศษกับ nc คู่นี้จัง
:mew2: :mew2: :mew2:

รอรวมเล่มค่ะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-11-2015 11:36:51
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 25-11-2015 13:38:55
อยากให้มีอีบุ๊คจังค่ะ อยากอ่านเรื่องของซวนหยวนหมิงไท่ด้วยค่ะ. จะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 27-11-2015 04:27:26
อดหลับอดนอนอ่านรวดเดียวจบ ชอบมากกกกก สงสารเฟยหลง รักมั่นคงอาจจะดูร้ายแต่เราชอบ^^ น่าจะจบแบบ3P อิอิอิ มาต่อตอนพิเศษหน่อยน๊า ขอบคุณคนเขียนมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 27-11-2015 18:33:49
อยากอ่านเรื่องของเฟยหลงกับค้างคาวน้อยต่อจัง
ติดตามอ่านมาซักพักและ
แต่เพิ่งจะมาตอบอ่ะ
ขอบคุณที่มาลงให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 29-11-2015 13:38:28
 :impress2: อ๊ากกกกกกกกก ชอบมากเรื่องนี้ สนุกมากกกก
น้ำตาไหลพรากๆ  :sad4: สุดท้ายก็ได้คริงคู่ซ้าที

ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายดีๆสนุกๆคร่า

รอตอนพิเศษ อย่าใจจดใจจ่ออออออออออออ อยากอ่านตอนทั้งคู่ได้สวีทกันซ้ากที อยากอ่าน อย่ากอ่าน อย่ากอ่าน ตอนพิเศษษษษ พลีสสสสสสสสส  :mew2:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: parkii ที่ 29-11-2015 16:27:43
ตามอ่านจนจบ สนุกมากๆ
ไว้มานำเสนอผลงานเรื่องต่อๆ ไปนะ
จะรอติดตาม...
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 22-12-2015 20:07:31
แล้วเจ้าหนูค้างคาวน้อยล่ะ แอบลุ้นให้เฟยเทียน(เฟยหลง)นะ หุหุ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammie_mn ที่ 27-12-2015 08:31:35
ตอนแรกๆสนุกมาก หลังๆไม่คิดว่าจะดราม่าหนักอะไรขนาดนี้เสียทิชชู่ไปหลายแผ่นเลย ต้าเซียนคือสุดยอดต่อให้ถิงฟงจะทำร้ายจิตใจสักแค่ไหนแต่ก็กลับมาช่วยทุกครั้ง คือแอบเกลียดถิงฟงมากๆอะไรจะหวงนังองค์หญิงขนาดนั้นจนคิดว่าคงชอบกันแล้วไม่รู้ตัวรึเปล่า เหอะๆ เซ็งบทองค์หญิงมากมีแต่คนหลงรักจนคิดว่าเป็นนางเอกของเรื่อง กว่านางจะตายคืออึดอัดมากอ่านไปปวดใจจิ๊ดๆ
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 20-08-2016 08:03:17
คลั่งรักกันทั้งเรื่อง เสิร์ฟมาม่ากันแบบไม่มีกั๊กเลย  :o12:

เห็นด้วยกับข้างบนจ้า ว่าหลายๆครั้งรู้สึกเหมือนองค์หญิงเป็นนางเอก เพราะทุกๆอย่างหมุนรอบตัวเธอ  :really2:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-08-2016 08:38:32
 o13 o13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 21-09-2016 00:21:14
อ่านละหงุดหงินพระเอกนะเรื่องนี้
บ้าบอไรกะไม่รู้แลดูพระเอกโง้โง่
สงสารต้าเซียนทั้งเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 26-09-2016 18:51:43
สนุกมากกก  แต่หมั่นไส้พระเอกมากกกกกเช่นกัน  คนดีเกินไปไหม  อยากอ่านคู่เฟยหลง กับคู่ไป๋เซ่อจังง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mass ที่ 22-10-2016 09:11:05
ขอบคุณนะคะินิยายสนุกมากเลย หลงรักต้าเซียน :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 22-10-2016 23:10:13
สนุกนะ แต่ความรู้สึกตอนอ่านมันหน่วงๆ ทั้งเรื่องเลย ขัดใจพระเอกจะโงไปไหน ไม่ชอบองค์หญิง ลุ้นมากกว่าถิงฟงกับต้าเซียนจะเข้าใจกัน มาตอนจบ รออ่านฉากโรแมนติก กลับจบ ฮา สะงั้น อิฉัน งง เลย จ้า
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 14-11-2016 23:45:06
โอ๊ยยยยย ต้องการตอนพิเศษด่วนเลยค่ะแงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เด็กน้อยคนนั้นคือเฟยหลงใช่ไหม เป็นใครใครก็งงวะ อยู่ๆ โผล่มาพร้อมลูกพร้อมใช้ ไม่เป็นไรนะนาย เราเข้าใจ
แต่ดีจังที่จบแฮปปี้ หน่วงมาตั้งนาน บทจะหน่วงก็หน่วง บทจะฮาก็บับขำ แต่ความสุขนั้นช่างสั้น ก็นะ เราเกลียดจอมมารมากเลย ปากบอกว่ารักต้าเซียน แต่ความจริงนั้นไซร้รักตัวเองที่สุดอยู่ดี ยี้ หวังว่าเกิดใหม่แล้วนี่ก็เลิกนิสัยแบบนี้ทีนะ T_T
เราชอบถิงฟงอะ โง่ได้โง่ดี โง่ในโง่ กราบ ไม่มี nc แต่ดีงามค่ะ ชิงเหลี่ยมกันแบบ อาห์ ตัวร้ายมันเก่งชิบหายหรือฝั่งตัวเอกมันไม่ทันเขาเองวะ ไม่มีใครอธิบายให้ใครฟังเลย คิดกันไปเองทั้งน้านน ยกเป็นสุดยอดนิยายปวดหัว นิยายขัดใจคนอ่าน5555555555555555555555

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 30-03-2017 00:18:57
บอกเลยมาม่าชามใหญ่มากเรื่องนี้ แต่ก็สนุกดี
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 12-04-2017 22:09:40
คิดถึงงูเผือกแล้ว ขอตอนพิเศษได้ม้ายย
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบอ่าน ที่ 06-01-2019 17:02:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♣♧ หทัยเทพสวรรค์ ♧♣ by RyuKi (นิยายจีน) บทที่ 30 มือที่กอบกุมไว้ (จบ) 18/11/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fir ที่ 10-05-2019 01:15:48
เป็นนิยายที่ทรมานที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา เกินครึ่งเรื่องเลยนะที่ทนอ่านอย่างทรมาานเพราะอยากรู้ตอนจบ ตอนแรกก็สนุกน่ารักดีอยู่หรอก หลังๆมาไม่มีตัวละครตัวไหนฉลาดเลย แข่งกันโง่จนสะเทือนใจ จนจบเรื่องก็ไม่มีใครฉลาด แม้กระทั่งรัชทายาทและต้าเซียนที่ดูเหมือนจะฉลาดก็โง่ได้โล่ห์จนเหนื่อย นี่เชียร์เฟยหลงเบาๆฐานที่นางโง่น้อยสุดในการวางแผน ยังไงก็ขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานนี้ขึ้นมาค่ะ ถ้าคอมเมนท์นี้ทำให้โกรธเคืองประการใดก็ขอโทษไว้ ณ ที่นี้ก้วย จากใจจริงค่ะ