++รีวิวหนัง เรื่อง Love Love You++
(http://i1233.photobucket.com/albums/ff393/Golem237/6_zps5nz26dgq.jpg)
Talk
เป็นครั้งแรกที่คิดรีวิวหนังครับ โดยปกติแล้วผมจะเป็นคนที่ดูหนังคนเดียว ไม่นิยมดูหลายคน อาจเพราะรสนิยมการดูหนังของเราค่อนข้างหลากหลาย และเมื่อดูไปจะมีการประมวลผลตลอดเวลา ทำให้ผมค่อนข้างต้องใช้สมาธิในการดึงอรรถรสของภาพยนตร์ และไม่เคยคิดจะรีวิวหนังลงเว็บเลย แต่ที่ลงกระทู้นี้ขึ้นมา สารภาพว่าอยากรีวิวและแนะนำครับ เนื่องจากพอผมเข้าไปดูแล้ว สำหรับรสนิยมผม มันมีดีกว่าที่คิดแฮะ
เกริ่นก่อน สำหรับหนังเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศของประเทศไทย ในช่วงสมัยก่อนจะถูกตีตราเป็นหนังตลกเสียส่วนมาก(เด่นที่สุดคงเป็นหอแต๋วแตก นอกนั้นก็สารพัดเรื่องครับ) และนำเสนอเพียงแค่เพศสาวประเภทสองเสียส่วนมาก ผมคิดว่ามันค่อนข้างเป็นการปลูกฝังค่านิยมที่ไม่ค่อยดีใส่เด็กพอสมควร อันนี้เราจะไม่ถกประเด็นนี้ในรีพลายนี้นะครับ แต่เมื่อยุคสมัยขยับเข้ามาสู่ยุคโลกาภิวัฒน์มากขึ้น เราเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกฏหมายและการยอมรับในความหลากหลายทางเพศที่มากขึ้น เราเห็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นบน CEO ซึ่งเป็นเพศทางเลือกมากขึ้น ภาพยนตร์ความหลากหลายทางเพศของประเทศไทยจึงมากมายขึ้นตามไปด้วย
ในปีนี้ (2558) จะมีเรื่องเด่นๆที่ลงโรงภาพยนตร์เป็นจำนวนที่ผมคิดว่าค่อนข้างมาก(ถ้าเทียบกับปีก่อนๆ) เช่น Red Wine in the Dark Night, Love Love You, Blue Hours
แต่ละเรื่องก็จะมีธีมที่แตกต่างกันไป แต่ที่สังเกตเห็นได้ชัดว่าทั้งสามเรื่องเป็นเรื่องที่ระบุถึงเพศชายรักชายอย่างเด่นชัด มีความชัดเจนของคาแรกเตอร์ ข้อดีคือมันทำให้ผู้ใหญ่เห็นความแตกต่างของ ‘สาวประเภทสอง’ และ ‘ชายรักชาย’ ได้ชัดเจน เคลียร์ ไม่มีทางเหมาว่าตุ๊ดคือเกย์ กระเทยคือผู้ชายที่ชอบผู้ชาย ผมว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีของภาพยนตร์ที่ชัดเจนด้านบุคลิกภาพ
ข้อดีอีกข้อ คือ ทั้งสามเรื่องที่เข้าโรง ไม่มีเรื่องใดเลยที่ปลูกฝังค่านิยมผิดๆ(Bias) หรือสร้างภาพพจน์ที่ผิดให้กับเยาวชนที่เข้าไปดู ทั้งสามเรื่องมีธีมที่ชัดเจน หนักแน่น และมีจุดยืนที่ดี นี่เป็นจุดแข็งครับ
Red Wine in the Dark Night – เน้นธีมที่เกี่ยวกับความหนักหน่วงของความรัก มีความเป็นแฟนตาซีเพื่อสะท้อนถึงความแปลกแยกของเพศ ความรักของชายและชายถูกมองเป็นความรักระหว่างมนุษย์และแวมไพร์แทนเพื่อสะท้อนถึงความลำบากของการใช้ชีวิตในโลกจริง เนื้อเรื่องจะเน้นหนักไปด้านการพยายามหาทางที่จะอยู่ร่วมกันให้ได้ มีการใช้โวหารภาพพจน์รวมถึงบุคลาธิฐาน อาจมีความอ่อนด้านพล็อตและตีไม่แรงถึงจิตใจจริงๆ แต่ถ้าสำหรับคนที่อยากดูหนังแล้วมีการตีความการกระทำ แปลความหมายและคิดต่อจากนัยยะการกระทำ เรื่องนี้เป็นหนังชายรักชายที่ดีครับ อาจไม่ดีเท่ารักแห่งสยาม แต่ถือว่าไม่น่าเกลียด
Love Love You – เน้นธีมเกี่ยวกับความรักวัยรุ่น เนื้อเรื่องจะค่อนข้างสบายๆ และเป็นภาคต่อของเรื่องเดิม Love’s Coming ซึ่งเคยฉายไปแล้ว (ผมไม่ได้เข้าไปดูในโรง แต่ได้ดูหลังจากนั้นครับ) เรื่องนี้มีจุดแข็งที่ดีที่สุดในสามเรื่อง คือ เรื่องนี้มีการสร้างภาพลักษณ์สังคมอุดมคติ ซึ่งเป็นมาตรฐานของสังคมที่ดีครับ มีความเข้าอกเข้าใจกันในระดับที่สูง มีโวหารอุปลักษณ์เล็กน้อยและใส่ใจในรายละเอียดที่ดีขึ้น ในเรื่องเดิม (Love’s Coming) คงเป็นเพราะต้นทุนที่ไม่สูงนัก ทำให้ภาพยนตร์ออกมาติดขัดพอสมควร ทั้งเรื่องปัญหาเกี่ยวกับเสียง ทั้งปัญหาด้านคอสตูมที่มีการใส่ซ้ำผิดๆ จึงทำให้เรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
Blue Hours – เป็นหนังผีครับ ผมยังไม่ได้ดู แต่ถ้ามีใครดูแล้วหรือพิจารณาตีความ สามารถตอบบอกกันได้นะครับด้านล่าง
มาถึงรีวิว
อย่างที่กล่าวไปแล้ว ว่าหนังเรื่องนี้เป็นภาคต่อครับ ซึ่งใช้ตัวแสดงเก่าเกือบทั้งหมด ยกเว้นตัวนาง (นายเอก) ซึ่งเปลี่ยนคนแสดง สิ่งแรกที่เห็นชัดเจนมากๆคือภาพยนตร์เรื่องนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากๆครับ ถ้าให้คะแนนรีวิว ผมให้ 9/10 ครับ
สำหรับหนุ่มวายสาววายที่กะดูเอาฟิน คุณจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้เซอร์วิสเนื้อหนังมังสา (แม้จะไม่เร้าใจเท่า Red Wine in the Dark Night แต่น่ารักกว่ามาก) พระเอกหล่อ สูง หุ่นดี นายเอกตัวเล็ก น่ารัก ชอบมโน เพื่อนพระเอกและเพื่อนตัวนางทุกคนหน้าตาดีหมด และสำหรับคนที่อยากให้ครอบครัวเห็นภาพที่ดีของสังคมชายรักชายที่ควรจะเป็น คุณควรดูเรื่องนี้ครับ
แนะนำ : รีวิวทั้งหมดนี้เขียนขึ้นจากความรู้สึกของผม[มี Spoil!!] ซึ่งพยายามจะตัด bias ทิ้งให้หมดแล้วมองตามสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ และอาจไม่ลึกซึ้งมากในมุมมองของศาสตร์ทำหนังครับ เนื่องจากยังไม่มีความรู้มากนัก ดังนั้น หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดหรือเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
+ ด้านแรก Performance
ในเรื่องเดิม นักแสดงแทบทั้งหมดแสดงได้ค่อนข้างแข็ง การกำกับมีมุมกล้องที่ชวนให้แปลกใจว่าทำไมถึงถ่ายออกมาแบบนั้น ยังไม่นับรวมปัญหาด้านเสียง แต่ในภาคต่อนี้ ข้อเสียแทบทั้งหมดถูกแก้ไข นักแสดงเก่าทั้งหมดแสดงได้เป็นธรรมชาติมาก แสดงนัยยะได้อย่างชัดเจน งอน ง้อ รู้สึกแปลกๆ กระอักกระอ่วน โมโหเงียบ อารมณ์ถูกแสดงออกมาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้บทพูด ทำให้คนดูรู้สึกเพลิดเพลินตามไปได้ราวกับเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน
นักแสดงใหม่สองสามคนอาจแสดงได้แข็งไปนิดหน่อย แต่ถ้ามองในโดยรวมก็ถือว่ามองข้ามข้อเสียเล็กๆนี้ได้ครับ อีกเรื่องที่น่าชมคือ เมื่อเปลี่ยนตัวแสดงที่เป็นตัวนาง ผมคาดไว้ว่าคนที่มาแทนอาจแสดงได้ไม่สนุกเท่าที่คิด แต่ตรงกันข้ามเลยครับ ด้วยภาพลักษณ์ การกระทำ นักแสดงที่มาแทนสามารถแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นตัวนางในอุดมคติของงานเขียนชายรักชาย คงคาแรกเตอร์น่ารักได้ไม่ต่างกับตัวแสดงก่อนครับ
+ ด้านที่สอง Plot & Story
เรื่องนี้มีความชัดเจนของพล็อตที่ดี ผมดูๆไปนี่นึกว่าลอก pattern นิยายของเล้าไปใช้เสียอีก เริ่มต้นด้วยความรัก จากนั้นห่างกันด้วยระยะทาง มีความดราม่า มีการง้อกันแบบน่ารักๆ และสุดท้ายจบกันด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน เป็นสูตรสำเร็จที่เราคงเห็นกันบ่อยในเล้า แต่ผมคิดว่ามีรายละเอียดหลายอย่างที่น่านำเสนอในเรื่องนี้ หลายๆฉากทำให้เราได้เห็นมุมมองของสังคมที่ควรจะเป็นจริงๆ เช่น ฉากที่ตัวนางคุยกับแม่เพื่อหาทางออกว่าจะทำยังไงกับชีวิตรักดี (มุมมองว่าแม่ควรจะเป็นที่พึ่งที่ดีให้กับลูกในเวลาที่เค้าอ่อนแอที่สุด) ฉากที่เพื่อนตัวนางยอมรับและขอโทษน้าที่เป็นสาวประเภทสอง (มุมมองว่าเราควรมองข้ามเพศ เพื่อมองให้เห็นถึงความรู้สึกแท้จริงของครอครัว)
ตัวภาพยนตร์ชัดเจนในการนำเสนอมากครับ มุมของตัวนาง เราจะเห็นความน่ารักของเขาเต็มเปี่ยม ทำให้อดไม่ได้ที่จะหลงรัก และจะเห็นความเปิ่นๆเป่อๆ ชอบมโน เห็นคาแรกเตอร์ของเขาได้ชัด(ซึ่งเป็นอุดมคติของฝ่ายรับ) ขณะที่มุมของตัวพระ เราจะเห็นภาพยนตร์นำเสนอความลังเลโลเล ความหงุดหงิดที่ระบายออกไม่ได้ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก และความพยายามที่จะจัดการกับปัญหา(ซึ่งเป็นอุดมคติของฝ่ายรุก) เรียกได้ว่า ในมุมของบท เรื่องนี้มีบทและคาแรกเตอร์ชายรักชายอุดมคติที่ถ่ายทอดออกมาได้ ‘ยอด’ เลยทีเดียว
กระนั้น ก็มียังข้อติครับ หนึ่งคะแนนที่ผมตัดออกไปคือเรื่องพล็อตเช่นกัน มีคำพูดย้อนแย้ง (เพื่อนพระเอกตอนแรกบอกเป็นเพื่อนม.ปลาย ฉากถัดมาบอกเป็นเพื่อนม.ต้น) ฉากง้อสุดท้ายดูกะทันหันไป (แต่ก็พอเข้าใจแหละว่าคงหามุขอื่นนอกจากนี้ไม่ได้จริงๆ เพราะผมเองก็นึกมุขง้ออื่นไม่ออกจริงๆครับ จากที่ๆอ่านนิยายมา)
+ ด้านที่สาม Stage & Costume & Sound & Camera
ปรับแก้ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีคอสตูมซ้ำกันสักฉาก ไม่มีเสียงพูดเบาดังสลับๆ ดนตรีปรับเข้ากับจังหวะได้ดีเยี่ยม Sound record ทำได้ดี ฉากทุกฉากทำได้ค่อนข้างมาตรฐาน แต่อาจมีบางอย่างที่เข้าไม่ถึงคอนเซปต์ เช่น คอนโดมิเนียมที่ควรจะหรูได้กว่านี้ หรือร้านกาแฟที่เพดานเตี้ยมากจนพระเอกแทบจะสูงจนหัวชนอยู่แล้ว มุมกล้องทำได้ดีครับ ไม่มีปัดไปมาให้งุนงง ที่น่าชมมากที่สุดคือ ฉากที่ไปเที่ยวในสวนน้ำ แม้จะใช้เทคนิคหมุนมุมกล้องรัว แต่กลับไม่ทำให้คนดูปวดหัวและงงครับ
+ ด้านสุดท้าย Special
เรื่องนี้มีการใส่เทคนิคหลายอย่างเข้าไป ทำให้คนดูเพลิดเพลินได้ดี ต้องขอชื่นชมครับ เทคนิคแรก คือ มีการพูดความคิดของตัวนางไปพร้อมๆกับการแสดง ทำให้เราเข้าถึงจิตใจของตัวนางมากขึ้น ทำให้คนดู ‘อิน’ กับความมโนและความคิดของตัวนางมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฉากความคิดของตัวนางตอนเจอเพื่อนร่วมคอนโดมิเนียม เทคนิคที่สองคือ บทพูดและการแสดงของนักแสดงทั้งหมดถูกสร้างมาทำให้คนดูรู้สึกสนุกไปด้วยครับ ทำให้เราราวกับเป็นเพื่อนของกลุ่มตัวละครจริงๆ เช่น ฉากการอัดวีดีโอตอนไปเที่ยวสวนน้ำ ฉากตอนไปดื่มเหล้ากันระหว่างเพื่อนๆ และฉากเล่นแหย่กันของเพื่อนตัวนางตอนจบ
เรื่องนี้มีกิมมิคเล็กๆน้อยๆให้คนดูได้จิกหมอน รู้สึกดี ลอกไปใช้ได้เหมือนกันครับ เช่น โหลแก้วใส่ของคุยกันทุกๆวันสำคัญ เสื้อที่ใส่หลังจากไปนอนค้าง บางอย่างก็ทำให้คนที่เคยดูภาคแรกได้สังเกตกัน เช่น เพลงที่เล่นตอนภาพยนตร์ใกล้จบ วงที่เล่นในงานเลี้ยง ตัวละครเก่าๆที่โผล่มาแจมตอนใกล้จบ
สรุปแล้ว : การตีนัยยะของเรื่องนี้อาจมีไม่มาก แต่เป็นภาพยนตร์ที่ผมคิดว่าเป็นหนัง feel good ที่สมควรดูกับแฟน (ถ้าคุณเป็นหนุ่มวายหรือสาววาย) และสามารถดูได้ในครอบครัวครับ ผมคิดว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว สำหรับตัวผมเอง เรื่องนี้ยกให้เป็นที่สองของภาพยนตร์ไทยแนวชายรักชาย ถัดจากรักแห่งสยามที่ถือว่าเป็นหนังดราม่าชีวิตในตำนานเลยทีเดียว