พิมพ์หน้านี้ - ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: shichina ที่ 18-05-2015 14:47:27

หัวข้อ: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 18-05-2015 14:47:27
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

 :L2:  ไดอารี่นี้มีรัก  :L2:

เรื่องราวจากคนที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร

ไดอารี่ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนส่งซ้ำกลับมาเหมือนจงใจ

และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร...ที่ไดอารี่เล่มนี้ทำให้ผม ‘ตกหลุมรัก’


-----------------------------------------------------


สำหรับเรื่องนี้คาดว่าจะแต่งเป็นเรื่องสั้น เพราะเรื่องยาวที่แต่งอยู่ก็ยังไม่จบ(ฮ่าๆ)
จะพยายามมาอัพเรื่อยๆ สลับกับเรื่องยาวอีกเรื่อง(ซึ่งอาจมีบางคนตามอ่านอยู่)
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: วันที่ 1 - 19/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 19-05-2015 20:38:59
วันที่ 1


บนหน้ากระดาษของไดอารี่ลูกโซ่ปรากฏข้อความสั้นๆต่างจากทุกครั้ง และมันทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเอง


คนเราจะตกหลุมรักใครสักคนผ่านตัวอักษรได้จริงๆหรอ…


ข้อความจากคนๆเดิม จะต่างกันก็แค่ครั้งนี้เธอหรือเขาไม่ได้เขียนบันทึก แต่เขียนข้อความที่ราวกับกำลังสารภาพรักกับใครก็ตามที่ได้เขียนไดอารี่โต้ตอบกันมากว่าสองอาทิตย์...คนที่เธอหรือเขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ


19 พ.ค.

วันแรกของการเข้าเรียนวิชามนุษยสัมพันธ์ พวกเราได้สมุดไดอารี่กันมาคนละเล่ม
ผมไม่รู้ว่าหน้าแรกของทุกคนจะเขียนอะไรลงไป แต่หน้าแรกของผมคงไม่พ้นเรื่องที่
ต้องมาเขียนไดอารี่แบบนี้อย่างแน่นอน
ผมไม่ใช่คนชอบเขียน แต่ถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมประจำวิชาก็คงเลี่ยงไม่ได้
หวังว่ามันจะไม่มีผลกับเรื่องคะแนนมากนะ



สมุดปกอ่อนเล่มบางหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบสามสิบเล่มเท่าจำนวนนักศึกษาในคลาสมนุษยสัมพันธ์ถูกส่งต่อๆกันไปหาอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้นเรียน


ผมตั้งชื่อให้มันว่า ไดอารี่ลูกโซ่


จากคำอธิบายของอาจารย์พวกเราจะต้องเขียนบันทึกมาส่งก่อนเริ่มคลาสและมาหยิบคืนหลังเลิกคลาสทุกวัน โดยที่เราจะไม่มีทางล่วงรู้เลยว่า สมุดที่เราหยิบกลับไปนั้นเป็นของใคร เพราะ เงื่อนไขสำคัญในการเขียนบันทึกเหล่านี้คือ ห้ามลงชื่อให้รู้ว่าใครเป็นคนเขียน


“มึงเขียนไปกี่บรรทัดวะกรีน” กาฟิวซึ่งเพื่อนสนิทผมหันมากระซิบถาม


“ห้าบรรทัด ไม่รวมวันที่”


“โห เขียนเยอะว่ะ กูเขียนไปแค่บรรทัดเดียวเอง”


“เขียนอะไรไปวะนั่น โคตรสั้น”


“กูเขียนไปว่า ’ไม่รู้จะเขียนอะไรครับ’ แล้วก็ลงวันที่ต่อท้ายเลย” กาฟิวพูดอย่างภูมิใจ


“ไม่กลัวโดนหักคะแนนรึไงวะ” ผมถาม


“สมุดบันทึกไม่มีผลกับคะแนน กูถามพวกรุ่นพี่มาแล้ว เขาบอกว่าวิชานี้เน้นคะแนนเข้าห้อง แค่มาครบทุกคาบก็ได้เอชัวร์ๆ”


ผมฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะคนที่ชวนลงวิชานี้ก็คือไอ้ฟิว ดังนั้นผมจึงเชื่อว่ามันคงจะหาข้อมูลมาดีกว่าผมอย่างแน่นอน


“เออ ว่าแต่เรื่องที่เค้าเม้าท์กันอยู่ในเฟสนี่จริงป่าววะ เรื่องที่มึงกับน้องส้มเลิกกัน”


“เป็นมึง มึงจะเลิกมั้ยล่ะ” ผมกรอกตาเซงๆ “แม่ง กูจีบมาเป็นแฟนนะเว้ย ไม่ได้จีบมาเพื่อฟังน้องเค้าบอกว่าอยากเห็นกูได้กับผู้ชาย”


“กูพอเข้าใจ” ไอ้ฟิวบีบบ่าผมเบาๆอย่างให้กำลังใจ “น้องสาวกูก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แม่งกรอกหูกูทุกวันจนกูอยากจะเป็นเกย์ขึ้นมาจริงๆแล้วเนี่ย”


ผมรีบปัดมือไอ้ฟิวออกโดยอัตโนมัติพลางทำหน้าแหยงใส่มัน


“เชี่ย กูประชด ทำไมต้องมองหน้าเหมือนกูเป็นขยะเปียกด้วยวะ โคตรน้อยใจ” กาฟิวกระเง้ากระงอด “ถ้ากูเป็นจริงมึงคงเลิกคบกับกูเลยเลยใช่มั้ย”


“โทษทีมึง น้องส้มทำกูหลอนนิดหน่อย”


“ยังไงวะ”


“ก็น้องเขาอยากให้กูกับมึงได้กัน”


“...”


ไอ้ฟิวถึงกับพูดไม่ออก แน่ล่ะ เป็นผมได้ยินแบบนี้ผมก็คงไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน


ทำไมผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าสาววายถึงได้ชอบให้ผู้ชายที่สนิทกันกินกันเอง ผมล่ะสงสัยจริงๆว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ผู้หญิงเริ่มมีความคิดแบบนี้ แล้วพวกเธอไม่คิดบ้างหรอว่าคนที่พวกเธอเอาไปจิ้นต่างๆนาๆอาจจะเป็นว่าที่สามีในอนาคตของพวกเธอ


แต่ถ้ามองอีกแง่...เธออาจจะไม่ได้ต้องการมีสามีก็ได้ใครจะรู้


แต่พูดก็พูดเถอะคุณ ผมล่ะออกจะหล่อลากกระชากใจสาว ผิวอาจไม่ขาวเหมือนฉีดกลูต้าแต่ก็สุขภาพดีจนสาวๆบางคนยังบ่นอิจฉา ร่างกายรึก็ฟิตเฟริมสมส่วน ไม่ได้ดูบอบบางตัวเล็กเหมือนกลุ่มเคะที่น้องส้มพยามยัดเยียดให้ผมเป็น


ยิ่งไอ้ฟิวยิ่งแล้วใหญ่ ถึงมันจะหน้าตาดีสู้ผมไม่ได้ แต่ก็เป็นที่หมายปองของสาวๆทั้งในและนอกคณะ มีดีกรีเฮดว้ากเป็นประกันความโฉด รับหนังหน้าสไตล์คมเข้มและผิวสีแทน


ผมเคยสงสัยว่าทำไมไอ้ฟิวไม่เคยจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนได้นานเกินสองอาทิตย์ ซึ่งผมก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีสาเหตุมาจากอะไรเมื่อไม่นานนี่เอง


“กรีน” ไอ้ฟิวเรียก


“ว่า?”


“รึมึงกับกูจะดูเหมือนคู่เกย์จริงๆวะ” ไอ้ฟิวทำหน้าเครียดเหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ


“อะไรของมึง”


“น้องกูพูดเหมือนแฟนเก่ามึงเลยอ่ะสิ ว่ากูกับมึงน่าจะได้เสียกัน”


“...”


ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหน้าไอ้ฟิวเงียบๆซึ่งไอ้ฟิวเองก็เหมือนกัน


ใช่...สาเหตุที่ไอ้ฟิวคบใครไม่ได้นานก็เพราะผมนี่แหล่ะ


เพราะเมื่อสาวๆเหล่านั้นคบกับไอ้ฟิวไปได้สักพัก เธอก็จะถูกคนรอบข้างเป่าหูว่าเธอกำลังยุ่งกับคู่ขาของคนอื่น


ผมเคยพูดเรื่องนี้กับไอ้ฟิวไปแล้วครั้งนึง มันดูไม่ยี่หระกับเรื่องนี้ซ้ำยังมองว่าเป็นเรื่องตลก


แต่ผมว่าตอนนี้มันคงเริ่มคิดอะไรขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ


“กูว่าฟังอาจารย์แลกเชอร์เหอะ” ผมพูดออกมาในที่สุด ไอ้ฟิวพยักหน้าเห็นด้วยแล้วหันไปฟังเสียงบรรยายของอาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องแบบผ่านๆ


ก่อนออกจากห้องพวกเราได้สมุดบันทึกที่ส่งไปตอนต้นคาบมาคนละเล่มเพ่อกลับไปเขียนบันทึกของวันนี้


สมุดที่หน้าตาเหมือนกัน ไม่มีการเขียนชื่อหรือทำตำหนิใดๆ ถูกยัดใส่กระเป๋าก่อนที่ผมจะไปเข้าเรียนวิชาอื่นต่อไป


ผมไม่ได้เปิดอ่านเนื้อความข้างในจนกระทั่งกลับไปถึงหอ


19/05

อยู่ๆ อ.ก็บอกให้เขียนบันทึก ลังเลอยู่ตั้งนานว่าจะเขียนอะไรดี
แต่ตอนนี้ท่าทางจะไม่มีเวลาให้คิดแล้วล่ะ เขียนเรื่องในคลาสตอนนี้แล้วกัน
ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
มองแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องสอบเลย 555+
ได้ยินแต่เสียงของปากกาที่กำลังขีดเขียนอยู่บนหน้ากระดาษ
สงสัยจังว่าทุกคนเขียนอะไร แล้วก็สงสัยด้วยว่าเราเขียนบันทึกนี้ไปทำไม
ทำไมถึงไม่ให้ลงชื่อว่าใครเป็นคนเขียน
แต่ลองมาคิดอีกแง่ มันก็ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะ



เนื้อหาในหน้าแรกมีเพียงเก้าบรรทัด เขียนด้วยลายมือค่อนข้างเป็นระเบียบและอ่านง่าย ผมคิดว่าคนเขียนอาจจะเป็นผู้หญิง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเท่าตอนนี้ผมจะเขียนบันทึกเรื่องอะไรไปส่งในวันพรุ่งนี้


19 พ.ค.

ได้สมุดของใครก็ไม่รู้มาเขียนต่อ แต่มันไม่สำคัญหรอก
เพราะพรุ่งนี้สมุดเล่มนี้ก็ต้องส่งต่อให้ใครสักคนในคลาสต่อไปอยู่ดี


เขียนได้แค่สองบรรทัดหน้าจอโทรศัพท์ก็แจ้งเตือนว่ามีข้อความจากไอ้ฟิวเข้ามา


‘เขียนบันทึกอยู่รึป่าววะ’


ผมพรมนิ้วลงบนหน้าจอตอบกลับไปไม่นานมันก็วีดีโอคอลมาหา


“มึงเขียนเรื่องอะไร” ไอ้ฟิวในชุดอยู่บ้านถาม


“ยังไม่รู้เหมือนกัน กูเพิ่งเริ่ม”


“เขียนเสร็จแล้วเอามาให้กูลอกบ้างนะ” กาฟิวพูดหน้าตาย


“ห่า บันทึกประจำวันยังต้องขอลอกกูอีกหรอ”


“เอ้า ก็กูไม่รู้จะเขียนอะไรนี่”


“เขียนๆไปเหอะ” ผมตอบแบบขอไปที แค่คิดเรื่องที่ตัวเองจะเขียนก็แย่พอแรงแล้ว


“พี่ฟิวคุยกับใครอ่ะ ใช่พี่กรีนรึป่าว” เสียงแหลมเล็กดังแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงเคาะประตู ไอ้ฟิวทำหน้าแหยงก่อนที่ภาพในจอจะแสดงให้เห็นร่างบางของน้องสาวไอ้ฟิวก้าวเข้ามาใกล้และคว้าโทรศัพท์ของมันไป “สวัสดีค่ะพี่กรีน คุยอะไรกับพี่อยู่หรอคะ”


“คุยเรื่องการบ้านครับน้องตูน” ผมตอบ


“นึกว่าปรึกษาปัญหาหัวใจกันอยู่ซะอีก” การ์ตูนหัวเราะคิกคักชอบใจ “งั้นไม่กวนแล้วนะคะ”


ภาพบนหน้าจอหมุนไปมาก่อนจะกลับมาเป็นหน้าแหยงๆของไอ้ฟิวอีกครั้ง


“เห็นมั้ยว่ากูลำบากขนาดไหน ขนาดกูล็อคห้องน้องกูยังใช้กุญแจผีไขเข้ามาได้”


“เมื่อกี้น้องมึงแม่งทำตาเป็นประกายใส่กูเหมือนน้องส้มเลยว่ะ” ผมพูดเสริม


“กูเขียนระบายเรื่องน้องสาวในสมุดนี่ได้มั้ยวะ” กาฟิวขยี้หัวตัวเอง


“เขียนเลยมึง เดี๋ยวกูเขียนเรื่องน้องส้ม ฮ่าๆ”


“โอเคจัดไป พรุ่งนี้ก่อนส่งขอกูอ่านด้วยนะ”


“เป็นผู้ชายอย่าขี้เสือกครับคุณฟิว”


“อย่าใช้คำว่าเสือกสิครับมิสเตอร์เอเวอร์กรีน ยังไงก็ต้องมีคนอ่านบันทึกมึงอยู่ดี แบ่งให้กูอ่านอีกคนจะเป็นอะไรไป”


“เออๆ งั้นแลกกัน”


“ตกลงตามนี้ งั้นก็ฝันดีนะครับ จู๊บบบบบ” ไอ้ฟิวทำปากจู๋ประกอบเสียงจูบอันน่าสะอิดสะเอียนของมัน


“พ่อง”


“ฮ่าๆ แม่งเอ้ย กูขนลุกว่ะกรีน” ไอ้ฟิวหัวเราะชอบใจก่อนจะตัดการเชื่อมต่อไป


ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและเริ่มเขียนบันทึกต่อจากที่เขียนค้างเอาไว้


19 พ.ค.

ได้สมุดของใครก็ไม่รู้มาเขียนต่อ แต่มันไม่สำคัญหรอก
เพราะพรุ่งนี้สมุดเล่มนี้ก็ต้องส่งต่อให้ใครสักคนในคลาสต่อไปอยู่ดี
มันอาจดูโง่ที่เล่าเรื่องแบบนี้ลงในสมุดที่ใครต่อใครสามารถเข้ามาอ่านได้
แต่เพราะตอนนี้ผมไม่รู้จะเขียนอะไร ดังนั้นผมเลยเลือกเรื่องชีวิตรักของผม
เป็นหัวข้อในการเขียนบันทึกวันนี้ ผมเพิ่งเลิกกับแฟนด้วยเหตุผล
ที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องตลก...แฟนสาวของผมอยากให้ผมเป็นเกย์
และเธออยากให้ผมได้เสียกับเพื่อนสนิทของผมเอง
ลองนึกภาพว่าผมต้องฟังคนที่ผมจีบมาเป็นแฟน พูดถึงผมและเพื่อนผม
ในลักษณะคู่รักตามที่เธอวาดฝันไปต่างๆนาๆ จนกระทั่งวันนึง
เธอก็บอกว่า ถ้าผมได้เสียกับเพื่อนคนนี้เธอจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง
นั่นทำให้ผมตัดสินใจบอกเลิกเธอ


ผมวางปากกาและมองข้อความที่ตัวเองเพิ่งเขียนไปอีกครั้ง นึกแปลกใจที่ตัวเองเขียนได้ยาวเกินสิบบรรทัด


พรุ่งนี้สมุดเล่มนี้จะถูกส่งไปหาใครผมไม่รู้ แต่ผมหวังว่าเขาจะมองเรื่องของผมกับน้องส้มเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องนึง


-------------------------------------------------------------

ใครที่เข้ามาอ่านก่อนหน้านี้แล้วเจอบทนำของโปเต้ ให้ลืมเรื่องของโปเต้ไปนะคะ
พอดีว่าเรื่องของโปเต้เป็นเรื่องที่เคยแต่งร่วมกันกับนักเขียนอีกคน
ทำให้เราไม่อยากเอาเนื้อเรื่องในส่วนนั้นมาดัดแปลงเป็นเนื้อเรื่องใหม่
และคิดว่าถ้าเป็นเนื้อเรื่องใหม่ไปเลยน่าจะดีกว่า จะได้ปู้ยี่ปู้ยำตัวละครได้เต็มที่ 555+
ยังไงก็ขอฝากมิสเตอร์เอเวอร์เกรียน เอ้ย เอเวอร์กรีนไว้ในใจของนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 1 - 19/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 19-05-2015 20:42:39
 :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 1 - 19/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-05-2015 20:57:04
โห แล้วจะรักกันยังไงล่ะเนี่ย สุ่มจากสมุดทั้งห้องเลยนะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
หัวข้อ: วันที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 20-05-2015 16:13:49
วันที่ 2


ผมว่าแลกเชอร์คลาสมนุษยสัมพันธ์เป็นอะไรที่ชวนง่วงที่สุดในบรรดาวิชาที่ผมได้ลงเรียนในเทอมนี้ ยิ่งคนข้างๆเป็นไอ้ฟิวที่นั่งหาววอดทุกสามนาที ผมยิ่งรู้สึกง่วงเข้าไปใหญ่


“ฟิว” ผมสะกิดเรียก


“อะไร” มันถามแล้วอ้าปากหาวกว้างอย่างไม่เกรงใจ


“กูไปห้องน้ำแปบ ฝากแลกเชอร์ด้วย”


“งั้นกูฝากมึงฉี่แทนด้วย” ไอ้ฟิวยิ้มทะเล้น ก่อนเอาสมุดของผมไปเขียนแทน


ผมว่าคุณสมบัติอีกอย่างที่ทำให้ใครหลายๆคนมองว่าผมกับไอ้ฟิวเป็นคู่ขากัน น่าจะเป็นเรื่องที่เราใช้สมุดแลกเชอร์ร่วมกันนี่แหล่ะ


ไอ้ฟิวให้เหตุผลว่าการใช้แลกเชอร์ร่วมกันจะช่วยประหยัดกระดาษและลดปัญหาโลกร้อน ซึ่งผมมองว่ามันก็แค่ขี้เกียจจะจดเองทั้งหมดมากกว่า


อาจจะเพราะน้ำเต้าหู้ที่กินเข้าไปเมื่อเช้าหรืออาจจะเป็นเพราะยำรสจัดที่กินเมื่อเที่ยงที่ทำให้ท้องไส้ผมปั่นป่วนไปหมด ในห้องน้ำเงียบสงัดไร้ผู้คนผมเลือกเดินไปเข้าห้องในสุด แต่ยังไม่ทันที่ผมจะถอดกางเกงเสร็จดีก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังเข้ามา


“ง่วงสัส กูฟังแม่สวดมนต์ทำวัตรเย็นทุกวันยังไม่ง่วงขนาดนี้”


“เอาน่า ถึงจะง่วงไปนิดแต่ก็ได้เอง่ายๆนะเว้ย”


“ง่ายจนกูอยากดรอปแล้วเนี่ย”


“ถ้าเทอมนี้มึงไม่มีเอดึงเกรดไว้สักตัวกูว่าเทอมหน้ามึงไม่รอดแน่ ทนๆเรียนให้ครบเทอมเหอะ”


มันช่วยไม่ได้ที่ผมจะบังเอิญได้รู้ปัญหาชีวิตของชาวบ้านชาวช่องขณะกำลังทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำแบบนี้ ซึ่งถ้าให้ผมเดา คนข้างนอกคงไม่รู้หรอกว่าในห้องน้ำตอนนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน


“ถ้าในคลาสมีคนน่ารักๆสักคนกูจะไม่บ่นเลย”


“ก็มีนี่”


“อย่าเอามาตรฐานมึงมาวัดดิไอ้มอลต์”


“มาตรฐานกูมันทำไม”


“ก็มึงชอบผู้ชาย ถ้าให้กูเดาคนที่มึงบอกว่าน่ารักก็คงเป็นผู้ชายขาวๆที่นั่งข้างเฮดว้ากเกษตรใช่มั้ย”


ผมขนลุกเกรียวเพราะบทสนทนาของสองคนข้างนอกกำลังเอ่ยพาดพิงถึงผมอย่างไม่ต้องสงสัย ผมแอบภาวนาให้คนชื่อมอลต์อะไรนั่นจะไม่ได้มองว่าผมน่ารักอย่างที่เพื่อนเขาพูด


“ก็เขาน่ารักจริงๆนี่”


เวรกรรมของไอ้กรีน...


“ระวังโดนเฮดว้ากต่อยเอาแล้วกัน”


“เกี่ยวอะไรด้วย”


“ได้ยินมาว่าหมอนั่นเป็นคู่ขาเฮดว้าก”


เต็มที่เลยครับ เอาที่สบายใจเลยครับ อยากจะนินทาอะไรกันก็เชิญเลยครับ


“งั้นหรอ...น่าเสียดายจัง” คนชื่อมอลต์ทำเสียงคล้ายจะเสียดาย “กลับคลาสเถอะ ใกล้จะหมดคาบแล้ว”


เสียงฝีเท้าของทั้งสองค่อยๆห่างออกไป ส่วนผมที่หมดอารมณ์จะปลดทุกข์ไปตั้งนานแล้วก็ได้เวลาออกมาจากห้องน้ำเสียที


“ไปเยี่ยวที่จีนรึไงวะ โคตรนาน” ไอ้ฟิวทักทันทีที่ผมกลับเข้ามา ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว


“กูท้องเสีย”


“เหตุผลเดียวกับที่กูบอกอาจารย์เป๊ะ” กาฟิวหยิบสมุดบันทึกลูกโซ่เล่มหนึ่งยื่นให้ผม “ของมึง”


“อาจารย์สั่งการบ้านอะไรเพิ่มรึเปล่า” ผมถามพลางเก็บสมุดลงกระเป๋า


“ไม่อ่ะ มีแค่บอกให้เตรียมจับกลุ่มทำกิจกรรมคาบหน้า”


“กูกลับหอก่อนนะ วันนี้อาการไม่ค่อยดีว่ะ” ผมพูดพลางจับท้องตัวเอง


“เออมึงกลับไปพักซะ” ไอ้ฟิวขยี้หัวผมเหมือนเด็ก “เดี๋ยวกลับบ้านแล้วกูคอลไป”


"อืม"


------


ผมตื่นขึ้นมาตอนทุ่มกว่าเพราะเสียงแจ้งเตือนวีดีโอคอลจากไอ้ฟิว


“โห สภาพ”


“ก็กูเพิ่งตื่น...”


“ไม่บอกกูก็รู้ ว่าแต่วันนี้มึงจะเขียนเรื่องอะไร”


ผมเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋ามาควานหาสมุดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบ “ยังไม่รู้”


“วันนี้กูว่าจะเขียนเรื่องซ้อมว้าก” ไอ้ฟิวทำหน้าคิดหนัก “มึงว่ากูเขียนเรื่องนี้ได้มั้ย”


“เอาที่สบายใจ”


ไอ้ฟิวหน้ามุ่ยทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะตัดการเชื่อมต่อ มันส่งข้อความแสดงความน้อยใจอย่างชัดเจนมาพร้อมกับสติกเกอร์รูปลิงร้องไห้


‘มึงแม่งเย็นชาว่ะ’


ผมได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มขำกับนิสัยเด็กๆของเฮดว้ากที่รุ่นน้องกลัวกันนักหนา


ผมเปิดสมุดที่ได้กลับมาวันนี้ขึ้นอ่านแล้วก็ต้องแปลกใจ หน้าแรกสุดแค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นลายมือชุ่ยๆของผมเอง


19 พ.ค.

วันแรกของการเข้าเรียนวิชามนุษยสัมพันธ์ พวกเราได้สมุดไดอารี่กันมาคนละเล่ม
ผมไม่รู้ว่าหน้าแรกของทุกคนจะเขียนอะไรลงไป แต่หน้าแรกของผมคงไม่พ้นเรื่องที่
ต้องมาเขียนไดอารี่แบบนี้อย่างแน่นอน
ผมไม่ใช่คนชอบเขียน แต่ถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมประจำวิชาก็คงเลี่ยงไม่ได้
หวังว่ามันจะไม่มีผลกับเรื่องคะแนนมากนะ



ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้กลับมาอ่านบันทึกที่ตัวเองเขียนเร็วขนาดนี้ ดังนั้นผมจึงเปิดอ่านหน้าถัดไปอย่างไม่รอช้า


19/05

สงสัยจังว่าสมุดเล่มนี้เป็นของใคร แต่ก็พอเดาได้ว่าเจ้าของสมุดคงเป็นผู้ชาย
เพราะคงไม่มีผู้หญิงปกติที่ไหนเรียกแทนตัวเองว่าผมหรอกจริงมั้ย? อิอิ
วันนี้ก่อนกลับหอแวะร้านกาแฟที่เพิ่งมาเปิดใหม่ เจ้าของร้านหล่อมมาก
มองแวบแรกคิดว่าเขาเป็นนายแบบนิตยสารหรืออะไรพวกนั้น
เห็นว่ากำลังรับสมัครพนักงาน Part-time อยู่ด้วย ลองสมัครดีมั้ยนะ
แต่ก่อนหน้านั้นขอสมัครเป็นลูกค้าประจำไปก่อนแล้วกัน อิอิ


อยู่ๆผมก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบคำว่า ‘อิอิ’ ขึ้นมาซะอย่างงั้น


ผมพยายามเลิกคิดถึงมันแล้วพลิกหน้ากระดาษ จรดปากกาเขียนเรื่องของตัวเองลงไปบ้าง


20 พ.ค.

ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้กลับมาเขียนสมุดของตัวเองเร็วขนาดนี้
เพิ่งส่งต่อไปหาคนอื่นแค่วันเดียวแท้ๆ วันนี้ผมไม่รู้จะเขียนอะไร
อาจเพราะชีวิตผมมันไม่มีอะไรที่น่าสนใจ ตื่นเช้าไปเรียน เลิกเรียนก็ตรงกลับหอ
ไม่ได้แวะข้างทางเหมือนอย่างเจ้าของไดอารี่หน้าที่สอง ทำให้ไม่เคยเจอเรื่อง
น่าสนใจพอจะเอามาเขียนบันทึก แต่ชีวิตผมก็ไม่ได้จืดชืดหรอกนะ
เมื่อสองวันก่อนผมเพิ่งเลิกกับแฟน แล้ววันนี้ผมบังเอิญได้รู้ว่าใครคนนึง
กำลังสนใจในตัวผม ชีวิตวัยรุ่นก็ประมาณนี้แหล่ะนะ


บันทึกของผมวันนี้อาจจะดูสั้นเมื่อเทียบกับเมื่อวาน แต่ผมก็อัดแน่นทั้งคำแดกดัน และถ้อยคำประชดชีวิตเข้าไปอย่างเต็มที่


ผมปิดสมุดและยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋าเพื่อให้มั่นใจว่าพรุ่งนี้ผมจะไม่ลืมเอาไปส่ง แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพรมนิ้วส่งข้อความหาไอ้ฟิว


‘นอกจากจะเย็นชาแล้วกูยังเป็นคนใจแคบอีกด้วย’


-------------------------------------------------------
แอบอู้งานนั่งพิมพ์เกือบทั้งวันแต่ได้แค่นี้เอง :katai5:
เป็นอีกตอนที่ผ่านไปโดยที่ทุกคนก็คงสงสัย แล้วจะรักกันได้ยังไง?
ถ้าอยากรู้คำตอบคงต้องติดตามอ่านในตอนต่อๆไป จะค่อยๆคลายปมให้ทีละนิดๆ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ  :bye2: 
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 2 (#4) - 20/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 20-05-2015 16:39:44
มาติดตามอ่านด้วยคนนะครับ ภาษาลื่นไหลเลยครับ
แต่เวลาอ่าน แอบนึกว่าอ่านที่ตัวเองเขียนไงไม่รู้ สงสัยจะใช้ภาษาคล้ายๆ กัน 555
ผมชอบเรื่องที่เรียบๆ ตัวละครไม่เยอะแบบนี้ครับ ขี้เกียจจำว่ามีใครบ้าง ผมว่าประมาณนี้กำลังดี

Gambarimasu!!!

 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 2 (#4) - 20/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-05-2015 18:12:57
คนที่ได้เขียนไดอารีเล่มนั้น คือ ผู้ชายที่ชื่อมอล์ตรึเปล่านะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: วันที่ 3 - 21/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 21-05-2015 23:00:18
วันที่ 3


“เป็นอะไรของมึงเนี่ย งอนกูหรอ ไม่เอาน้า อย่างอนฟิวนะคะที่รัก”


หลังส่งข้อความด้วยความพาลไปหาไอ้ฟิวไม่ถึงห้านาที หน้าเข้มๆขัดกับนิสัยของมันก็ปรากฏบนหน้าจอของผมอีกครั้ง


“งอนพ่อง กูว่าพักนี้มึงจะเล่นมุขคู่เกย์บ่อยเกินไปแล้วนะ”


“แล้วข้อความที่มึงส่งมามันหมายความว่าไง” ไอ้ฟิวเปลี่ยนมาถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อยหลังโดนผมเหวี่ยงใส่


“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจยาวก่อนจะสารภาพ “ขอโทษนะ พอดีกูหมันไส้คนเขียนไดอารี่หน้าที่สองแล้วไปพาลใส่มึง”


“เชี่ย ฟังแล้วโคตรซึ้งใจ แล้วนี่เขียนไดอารี่เสร็จรึยัง”


“เสร็จแล้ว” ผมตอบก่อนจะนึกถึงเรื่องบังเอิญเกี่ยวกับสมุดไดอารี่ขึ้นมาได้ “วันนี้กูได้สมุดตัวเองกลับมาเขียน มึงคิดว่าไง”


“พูดจริง?” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ “แค่เรื่องบังเอิญแหล่ะ โอกาสก็ไม่ใช่ศูนย์ซะหน่อย”


“มึงไม่ได้เปิดดูก่อนหรอว่าสมุดเล่มนี้เป็นของกู” ผมถามเพื่อความแน่ใจซึ่งไอ้ฟิวก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรจะต้องโกหกผมอยู่แล้ว


วันต่อมาหลังแลกกันอ่านสมุดบันทึก ไอ้ฟิวก็ระเบิดหัวเราะลั่น


“โอ้ย แม่ง กูเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อคืนมึงถึงได้เหวี่ยงขนาดนั้น ฮ่าๆ”


ผมกรอกตาพลางถอนหายใจ พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นรูปร่างคุ้นตาของใครบางคนเข้า


“ทำอะไรของมึงเนี่ยกรีน” ไอ้ฟิวหน้าเหวอเพราะอยู่ๆผมก็ใช้มันแทนที่กำบัง


“มึงยืนเฉยๆเหอะ” ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องพยามหลบแฟนเก่าอย่างน้องส้มด้วย ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้จำเป็นเลย “น้องเค้าไปยัง”


“น้องคนไหนหรอคะ” เสียงหวานถาม


“ก็น้องส้ม..เฮ้ย!!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อเห็นคนที่พยายามหลบกำลังเอียงคอมองผมด้วยตาเป็นประกายในระยะประชิด


“ส้มคิดไปเองรึป่าวคะว่าพี่สองคนสนิทกันมากขึ้น ตั้งแต่พี่กรีนเลิกกับส้ม”


“ก็ไม่นะ” ไอ้ฟิวตอบคล้ายจะตัดบท แต่ประโยคถัดมาของมันก็ทำให้รู้ว่าผมคิดผิด “เพราะพี่สองคนก็แนบสนิทกันแบบนี้อยู่ทุกวัน”


ไม่ใช่แค่คำพูดชวนเข้าใจแต่การกระทำของไอ้ฟิวก็ชวนให้เข้าใจผิดอย่างแรงด้วยเช่นกัน


“เชี่ยฟิวปล่อยเอวกู” ผมพยายามขืนตัวออกแต่ไอ้ฟิวก็มือกาวใช่ย่อย


“นี่ส้มเข้ามาขัดช่วงเวลาสวีทของพี่กรีนกับพี่ฟิวรึป่าวคะ” น้องส้มถามเหมือนเกรงใจ แต่ผมรู้ว่าเธอแค่แสร้งทำเท่านั้น


“ก็นิดหน่อยครับ ขอพี่อยู่กับกรีนตามลำพังได้มั้ยล่ะ” ไอ้ฟิวยังคงโกหกหน้าตายซ้ำยังกระชับวงแขนให้ผมเข้าไปใกล้มันมากขึ้น


“กรี้ดดด ได้เลยค่ะ!”


พอเห็นว่าน้องส้มยอมล่าถอยกลับไปแล้ว ไอ้ฟิวก็ปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ


“เชี่ยฟิว กูขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย เล่นอะไรของมึงวะ” ผมโวยวายใส่มันทันที


“มึงดูแขนกูนี่ กูก็ขนลุกไม่ต่างกับมึงหรอก” ไอ้ฟิวโชว์หลักฐานให้ดูก่อนจะลูบแขนตัวเอง “ทำไมสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าสาววายถึงได้เหมือนกันแบบนี้นะ”


“อย่าบอกนะว่ามึงใช้วิธีนี้รับมือน้องตูนด้วย”


“ก็เออดิ” ไอ้ฟิวพูดเสียงขุ่น “ยิ่งปฏิเสธยิ่งยืดเยื้อ กูเลยยอมรับแม่ง แล้วยัยการ์ตูนก็ไม่มายุ่งย่ามอะไรกับกูอีกเลย”


“แต่กูว่ากับน้องส้มคงไม่ได้ผลเหมือนกันหรอก”


“ทำไม?” ไอ้ฟิวขมวดคิ้ว


“กูว่าน้องส้มจะได้เอาไปพูดให้ทั่วน่ะสิ ว่ากูกับมึงได้กันแล้ว” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย


“เออว่ะ กูก็ลืมนึกไป”


นี่ชาติก่อนผมไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้ต้องมาเจอเรื่องชวนปวดหัวแบบนี้


อารมณ์หดหู่จากการได้เจอน้องส้มเมื่อตอนเที่ยงของผมถูกปัดออกไปอย่างง่ายดายเมื่อต้องมาเจอกิจกรรมของคลาสมนุษยสัมพันธ์ในช่วงบ่าย


ด้วยความหน้าม่อของไอ้ฟิวทำให้สมาชิกอีกสามคนในกลุ่มของเราเป็นผู้หญิงทั้งหมด ซ้ำยังผ่านการคัดกรองหน้าตามาแล้วเป็นอย่างดี


แรกๆผมก็รู้สึกเห็นดีเห็นงามไปกับมัน แต่พอรู้ว่าอาจารย์ให้จับกลุ่มเพื่อทำอะไรผมก็รู้สึกโหยหาผู้ชายขึ้นมาทันที


สาวน้อยนุ่งสั้นหน้าตาจิ้มลิ้ม รูปร่างบอบบางน่าถะนุถนอม คงไม่เหมาะจะให้มาถือจอบถือเสียมขุดดิน แบกกระสอบปุ๋ยอย่างแน่นอน ดังนั้นภาระหน้าที่ทุกอย่างจึงต้องกลายเป็นความรับผิดชอบของสุภาพบุรุษอย่างผมกับไอ้ฟิว


“ขอโทษนะ ที่เราช่วยอะไรไม่ค่อยได้” หนึ่งในพวกเธอพูดอย่างรู้สึกผิด


“พวกเธอไปเลือกต้นไม้ที่จะปลูกเถอะ เดี๋ยวเราเตรียมแปลงให้เอง” ผมพยามเก็กหล่อพูดออกไปซึ่งไอ้ฟิวก็ไม่ยอมน้อยหน้า


“ผู้ชายอย่างเราถนัดใช้แรงอยู่แล้ว ยิ่งถ้าได้ทำเพื่อคนน่ารักด้วยล่ะก็...ให้ขุดทั้งไร่ก็ยังไหว”


“ถ้างั้นเชิญขุดคนเดียวนะครับคุณฟิว”


“อ่าวเฮ้ย ได้ไงวะกรีน” ไอ้ฟิวหน้าเหวอเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะวางอุปกรณ์ในมือลงพื้น “ได้โปรดกรุณาช่วยผมขุดต่อเถอะครับ คุณกรีน”


สาวสาวหัวเราะคิกคักชอบใจ แล้วจึงพากันไปเลือกต้นไม้จากในกระบะที่อาจารย์เตรียมเอาไว้ให้


ไม่รู้ว่าการโชว์แมนของพวกผมสองคนวันนี้จะช่วยกลบข่าวลือได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็หวังว่ามันน่าจะช่วยอะไรได้บ้างล่ะนะ


หลังช่วยกันปลูกต้นไม้จนมอมแมมไปหมด พวกผู้ชายในคลาสก็ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ก่อนจะไปนั่งฟังสรุปกิจกรรมของวันนี้


เมื่ออาจารย์พูดจบก็บอกให้พวกเราเดินมาหยิบสมุดบันทึกกลับไปคนละหนึ่งเล่ม และผมก็จับมันยัดใส่กระเป๋าโดยที่ไม่คิดจะเปิดอ่านก่อนเช่นเดิม


วันนี้ผมไม่ได้ตรงกลับหอทันทีที่เลิกเรียนในคาบถัดมา แต่ผมเลือกจะเอ้อระเหยด้วยการไปดูไอ้ฟิวซ้อมว้าก


“เสียงพวกคุณมันมีแค่นี้รึไงครับ ผมคนเดียวยังพูดเสียงดังกว่าพวกคุณทั้งรุ่นซะอีก” ไอ้ฟิวในโหมดเฮดว้ากกำลังว้ากใส่กำแพงด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าคมเข้มที่ไม่มีรอยยิ้มประดับทำให้ผมรู้สึกใจสั่นขึ้นมานิดๆคล้ายกำลังถูกว้ากเสียเอง


“ก็ผมจำเนื้อเพลงคณะไม่ได้นี่ครับ” ว้ากคนหนึ่งดัดเสียงพูด


“มีกี่คนที่จำไม่ได้ ผมถามว่ากี่คน!” ไอ้ฟิวกระแทกเสียงราวกับว่ากำลังยืนอยู่ต่อหน้ารุ่นน้องนับร้อย


“นี่ไอ้ฟิวมันซ้อมอย่างนี้ทุกวันเลยหรอ” ผมหันไปกระซิบถามกลุ่มเพื่อนที่เป็นพี่ว้ากด้วยกันกับไอ้ฟิว


“ไม่หรอก บางวันมันก็มโนว่ามีน้องเครียดจนเป็นไฮเปอร์ ไม่ก็เป็นลมเพราะโดนทำโทษ”


“พวกคุณตรงนั้นซุบซิบอะไรกัน นึกหรอครับว่าผมไม่เห็น” ไอ้ฟิวในโหมดว้ากหันมาถาม


“ขอโทษครับ!!” เพื่อนข้างๆยกมือตอบรับมุข “พี่ครับเพื่อนผมเป็นไฮเปอร์”


“คนไหน!”


“คนนี้ครับ” พูดจบมันก็ชี้มาที่ผมซึ่งไม่คิดจะเป็นส่วนหนึ่งของการซ้อมว้ากของพวกมันสักนิด


“หน้าตาดีใช้ได้! พยาบาลไม่ต้อง เดี๋ยวผมผายปอดเอง”


“ผายปอดพ่อง!!”


“ไรว้า ไม่รับมุขพวกกูเลย” ไอ้ฟิวจอมกวนคนเดิมกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง จากนั้นมันหันไปพูดกับกลุ่มเพื่อนที่เป็นพี่ว้ากว่า “วันนี้เอาแค่นี้แล้วกัน กูเหนื่อยแล้ว”


ทุกคนดูจะแฮปปี้ที่วันนี้ได้เลิกซ้อมเร็วจึงชวนกันไปเที่ยวเล่นต่อตามประสาวัยรุ่น ผมเองก็คงได้เวลากลับหอไปพักแล้วเช่นกัน


หลังอาบน้ำชำระเหงื่อไคลจนตัวหอมฟุ้งผมก็หยิบไดอารี่ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความในสมุดก่อนลงมือเขียนเหมือนเดิม


19/05

อยู่ๆ อ.ก็บอกให้เขียนบันทึก ลังเลอยู่ตั้งนานว่าจะเขียนอะไรดี
แต่ตอนนี้ท่าทางจะไม่มีเวลาให้คิดแล้วล่ะ เขียนเรื่องในคลาสตอนนี้แล้วกัน
ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
มองแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องสอบเลย 555+
ได้ยินแต่เสียงของปากกาที่กำลังขีดเขียนอยู่บนหน้ากระดาษ
สงสัยจังว่าทุกคนเขียนอะไร แล้วก็สงสัยด้วยว่าเราเขียนบันทึกนี้ไปทำไม
ทำไมถึงไม่ให้ลงชื่อว่าใครเป็นคนเขียน
แต่ลองมาคิดอีกแง่ มันก็ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะ


บันทึกหน้าแรกทำให้ผมคิ้วกระตุก แต่เมื่อเปิดมาเห็นลายมือยุ่งๆของตัวเองในหน้าที่สองผมก็กดวีดีโอคอลหาไอ้ฟิวทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด


“เชี่ย กูได้สมุดเล่มเดิมกลับมาเขียนอีกแล้ว” ผมพูดทันทีที่ไอ้ฟิวกดรับ


“ห๊ะ?”


“สมุดบันทึก เล่มเดียวกันกับที่กูเขียนวันก่อนเป๊ะ” ผมพูดพลางสลับกล้องไปถ่ายลายมือของผมให้ไอ้ฟิวเห็น


“เฮ้ย เป็นไปได้ไง”


“กูก็อยากรู้” ผมสลับกลับมาเป็นกล้องหน้าอีกครั้ง “มันจะบังเอิญสองวันติดเลยหรอวะ”


“มึงจะบอกว่ามีใครจงใจทำให้มึงได้สมุดเล่มเดิมมาเขียนรึไง”


เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นอย่างนั้น...


ผมตอบได้ทันที เพราะทุกครั้งที่เราส่งสมุดบันทึกเราไม่ได้มีลำดับในการส่งเช่นเดียวกับตอนที่รับกลับ


“ถ้ามึงไม่สบายใจ จะเอามาแลกกับสมุดกูพรุ่งก็ได้นะ กูยังไม่ได้เขียน” ไอ้ฟิวเสนอ


“ไม่ต้องหรอก แบบนี้ก็ดีเหมือนกันกูจะได้ไม่ต้องนึกเรื่องที่จะเขียน”


“เอางั้นหรอ” ไอ้ฟิวถามย้ำ


“อืม...มันคงไม่มีอะไรหรอก กูคงคิดมากไป”


“พี่ฟิว~ แม่เรียกให้มากินข้าว~~” เสียงการ์ตูนดังแทรกเข้ามา


“กูไปกินข้าวก่อนนะ เสร็จแล้วเดี๋ยวคอลกลับไป”


ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ผมไม่กล้าที่จะเปิดหน้าถัดไปอ่าน แต่แล้วความอยากรู้อยากเห็นของผมมีมากกว่าความกลัว


ผมพลิกไปยังหน้าถัดไป บนหน้ากระดาษปรากฏข้อความอ่านง่ายที่เขียนอย่างเป็นระเบียบ มันดูคุ้นตาจนผมต้องพลิกกลับไปยังหน้าแรกของสมุดบันทึกอีกครั้ง


ทั้งสองหน้าถูกเขียนด้วยลายมือของคนๆเดียวกัน


ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่า ‘เรื่องบังเอิญ’ แบบนี้จะเกิดขึ้นได้


---------------------------------------------
อาจจะมาอัพดึกไปนิด พอดีป่วยดาบเพลินไปหน่อยค่ะ 55+
เท่าที่อ่านคอมเม้นมีคนเดาว่า มอลต์ (Malt) อาจจะเป็นคนเขียนไดอารี่
แต่จะใช่รึป่าว...ขอยังไม่เฉลยตอนนี้ค่ะ ปล่อยให้งงกันไปก่อน  :laugh:
สำหรับวันนี้คนเขียนก็ขอตัวไปป่วยดาบต่อแล้วค่ะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ  :กอด1:

ปล.ถ้าเจอคำที่พิมผิดคอมเม้นบอกได้ค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 3 (#7) - 21/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-05-2015 23:42:09
บางทีก็รู้สึกว่าระหว่างฟิวกับกรีนเนี่ย มีโมเม้นท์มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งมาเป็นระยะๆ ไม่แปลกใจเลยที่น้องส้มเอาไปจิ้นได้ ฮา
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 3 (#7) - 21/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-05-2015 00:11:40
แอบอยากให้ฟิวเปนพระเอกเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 3 (#7) - 21/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: ชอร์ปสติ๊ก ที่ 22-05-2015 02:03:18
ทำไมเราขำมากเลย โอยย เอเวอร์กรีนโหยหาผู้ชายกลางแปลงผักกับกาฟิวซ้อมว้ากจนผักร้องไห้แบบนาเมะโกะ (เราคิดไปได้ยังไง...  :เฮ้อ: )
ชอบประโยคนี้ค่ะ " ไปเยี่ยวที่จีนมาเหรอ " 555555555555555 รอติดตามๆ
ปล. แอบเห็นคำผิด มุก>>>มุข(ตลก)
หัวข้อ: วันที่ 4 - 29/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 29-05-2015 16:06:49
วันที่ 4


20/05

น่าตกใจจริงๆที่ได้สมุดเล่มเดิมกลับมาเขียนอีกครั้ง
แต่ที่น่าตกใจกว่าคือเรื่องที่ถูกเขียนเอาไว้ในหน้าที่สอง
เรื่องตลกร้าย สาเหตุที่ทำให้คนสองคนเลิกกัน...
ไม่รู้เหมือนกันว่าแฟนสาวคนนั้นคิดยังไง ถึงอยากให้เขาเป็นเกย์
แต่เราคิดว่า เธอเองก็คงเสียใจไม่น้อยที่ถูกเขาบอกเลิกแบบนี้
ไหนๆก็เริ่มเขียนเรื่องความรักมาขนาดนี้แล้ว ขอเขียนบ้างแล้วกัน
โดนเพื่อนรู้ซะแล้วว่าแอบชอบใครอยู่ ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยแล้ว
มันยังซ้ำเติมที่เราไปแอบรักคนมีเจ้าของ แต่ความรักเป็นเรื่องของ
ความรู้สึก เราก็ได้แต่หวังว่าเราคงจะตัดใจจากเขาได้ในเร็ววัน
ถือแม้อีกใจนึงเราจะแอบแช่งให้เขาสองคนเลิกกันก็ตาม...


บันทึกหน้าที่สามถูกเขียนด้วยลายมือที่ทำให้ผมต้องเปิดย้อนกลับไปที่หน้าแรกอีกครั้ง เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบันทึกของผมในหน้าที่สอง ก่อนจะเล่าเรื่องราวของตัวเอง


ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่การเขียนจดหมายโต้ตอบกัน แต่ผมรู้สึกอดไม่ได้ที่จะจรดปากกาเขียนข้อความที่คล้ายกับการโต้ตอบกลับลงไปในหน้าถัดมา


21 พ.ค.
ถ้าหากคิดว่าเรื่องที่แฟนเก่าผมอยากให้ผมเป็นเกย์เป็นเรื่องตลกร้าย
เรื่องที่ผมได้สมุดเล่มเดิมมาเขียนซ้ำๆคงเป็นเรื่องที่ร้ายยิ่งกว่า
หน้านี้เป็นหน้าที่สองของผมในสมุดเล่มนี้ ต่อจากใครอีกคนซึ่ง
เขียนไปแล้วสองหน้าเช่นเดียวกัน ผมคิดว่ามันไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะใครจงใจหรือไม่ก็ตาม พรุ่งนี้ผมจะเอาสมุดเล่มนี้
ไปให้อาจารย์ดู และทำอะไรสักอย่างกันมันอย่างแน่นอน
ปล. ผมเองก็เคยแอบชอบคนมีเจ้าของเหมือนกัน ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วผม
จะเป็นคนที่บอกเลิกกับเธอก็ตาม ดังนั้น อย่าเพิ่งยอมแพ้โชคชะตานะครับ


-----------


วันต่อมาผมกินข้าวกลางวันเร็วเป็นพิเศษเพราะอยากเอาเรื่องไดอารี่ไปปรึกษากับอาจารย์ประจำวิชา แน่นอนว่ามีไอ้ฟิวตามมาเสือกด้วยอย่างเคย


“มาดรอปหรอคะ” อาจารย์ถามด้วยน้ำเสียงคล้ายจะเหนื่อยหน่าย


“เปล่าครับ พอดีผมมีเรื่องจะมาปรึกษาอาจารย์น่ะครับ” ผมตอบอย่างสุภาพ


“แล้วคนข้างหลังนั่นล่ะ จะดรอปรึป่าว”


“ผมมาเป็นเพื่อนเค้าครับ” ไอ้ฟิวตอบ


“นึกว่าจะพากันดรอปหมดแล้วซะอีก” อาจารย์ถอนหายใจยาว “แล้วจะปรึกษาเรื่องอะไรคะ”


“เรื่องสมุดบันทึกที่อาจารย์ให้เขียนเป็นการบ้านน่ะครับ...คือผมได้สมุดเล่มเดิมที่เคยเขียนกลับมาเขียนติดกันสองวันแล้ว” ผมวางสมุดลงตรงหน้าอาจารย์ “แต่ที่แปลกคือ ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ได้เขียนสมุดเล่มเดิมซ้ำ”


“แล้วเธอรู้รึป่าวล่ะว่าใครเป็นเจ้าของสมุดเล่มนี้” อาจารย์ถามพลางไล่สายตาอ่านบันทึกทีละหน้า


“ไม่ครับ”


“อาจารย์คงยังสรุปอะไรไม่ได้หรอกนะคะ เพราะงั้นก็ให้คิดซะว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญก่อนแล้วกัน”


ผมรู้สึกเหมือนเสียเวลาเปล่าที่มาขอคำปรึกษาของอาจารย์แล้วได้คำตอบกลับมาแบบนี้ เพราะมันแทบไม่ได้ต่างอะไรเลยกับการที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ไอ้ฟิวฟังเมื่อวาน


“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนล่ะครับ”


“เจอกันในคลาสนะคะ”


ผมเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์ ไอ้ฟิวคงเดาได้ว่าผมคิดอะไรอยู่มันก็เลยพยายามให้กำลังใจ


“อย่าคิดมานะกรีน กูว่าเจ้าของสมุดอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรมึงก็ได้ เค้าคงอยากได้ส่วนบุญแต่ไม่กล้ามาขอมึงตรงๆ”


“เชี่ย มึงก็คิดไปได้เน๊อะ” ผมส่ายหน้าเบาๆพลางหัวเราะในลำคอกับความคิดสุดแฟนตาซีของไอ้ฟิว


“อย่างน้อยความคิดกูก็ทำให้มึงยิ้มได้ล่ะ” กาฟิวฉีกยิ้มกว้างก่อนจะใช้ฝ่ามือหนาขยี้หัวผมจนยุ่ง


“พอเลยมึง ผมกูเสียทรงหมด” ผมพยามปัดมืออกแต่ไอ้ฟิวก็ยังเล่นไม่เลิก สุดท้ายผมก็เลยปล่อยให้มันขยี้หัวผมเท่าที่มันจะพอใจ


ผมส่งสมุดไว้บนโต๊ะตามปกติก่อนที่อาจารย์จะเข้ามาเหมือนทุกวัน แต่วันนี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม


“ใครที่จะดรอปวิชานี้ ให้มาหยิบสมุดตัวเองไปนะคะ” เมื่ออาจารย์พูดจบก็มีเสียงฮือฮาจากนักศึกษาในคลาส “อาจารย์อยากให้เหลือเฉพาะสมุดของคนที่จะเรียนต่อ ดังนั้นใครที่ตัดสินใจดรอปแล้ว...มาหยิบสมุดไปพร้อมกับใบดรอปที่อาจารย์เซนต์แล้วได้เลยค่ะ”


มีคนลุกไปเยอะพอสมควร และเพราะไม่ใช่การถูกโหวดให้ออกจึงไม่มีใครเสียใจร้องไห้ฟูมฟาย


เหลือนักศึกในห้องราวยี่สิบคน เมื่อทุกคนพร้อมจะเริ่มเรียนคาบแลกเชอร์สุดง่วงก็เริ่มต้นขึ้นตามปกติ


“กรีน..กรีน...” ไอ้ฟิวเรียกพลางเอานิ้วจิ้มแก้มผม


“...เชี่ย แก้มกูไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มนะ” ผมงัวเงียขึ้นมาด่ามัน


“ถึงว่าสิ กดเท่าไรก็ไม่มีเงินออกมา” ไอ้ฟิวฉีกยิ้มกวน “ป่ะ หมดคาบแล้ว”


“วันนี้ซ้อมว้ากป่าว” ผมถามพลางลุกตามไอ้ฟิวไป ไม่ลืมที่จะแวะหยิบสมุดบันทึกบนโต๊ะไปเขียนต่อเหมือนทุกวัน


“ซ้อม”


“งั้นขอไปนั่งดูอีกได้มะ”


ไอ้ฟิวมองผมแปลกๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “...ได้ดิ”


เราทั้งคู่เดินออกจากห้องไปตามปกติ โดยที่ทั้งผมและไอ้ฟิวไม่ได้สังเกตเลยว่ากำลังถูกใครบางคนจับตามองอยู่


---------


“เก้าอี้ลม!!” ไอ้ฟิวสั่งด้วยดังกังก้อง กลุ่มพี่ว้ากทำตามที่ไอ้ฟิวสั่งโดยไม่มีใครขัด ทุกคนรู้จักท่านี้เป็นอย่างดีในฐานะท่าที่เอาไว้ทำโทษ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมคือ ทุกคนกำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน


“เลิกซ้อมแล้วไปชมแสงสีกันหน่อยมั้ยวะ กูอยากแดกเหล้าว่ะ”


“แสงสีรึแสงโสมวะครับ”


“โลคลาสสัส กูอยากจอน”


“เชี่ย กินไรก็เมาเหมือนกันป๊ะ”


“ห่านี่ก็แดกไม่เลือก จะกินทั้งทีเอาดีๆหน่อยดิวะ”


เหล่าว้ากเกอร์เถียงกันอย่างไม่ยอมแพ้ ในขณะที่เฮดวากกำลังฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ในท่าเก้าอี้ลม


“เชี่ยฟิว ในฐานะที่มึงเป็นเฮดมึงเลือกมา แสงโสม รึ จอน”


“เอ้า เกี่ยวอะไรกับกูเนี่ย มึงจะแดกกันยังต้องให้กูช่วยตัดสินใจอีก” ไอ้ฟิวพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะโยนภาระมาให้ผมแทน “เอาไงกรีน”


“กูอยากกินนมปั่นหน้ามอ”


คำตอบของผมทำให้เหล่าว้ากเกอร์ถึงกับเงียบกริบไปพักใหญ่ ก่อนที่ไอ้ฟิวจะระเบิดหัวเราะออกมา


“ขอเวลานอกๆ ฮ่าๆๆ โอ้ย แม่งฮาจริงจัง ฮ่าๆ” ไอ้ฟิวหัวเราะจนตัวงอ ตอนนี้มันเลิกทำท่าเก้าอี้ลมไปแล้วเรียบร้อย


“เชี่ยฟิวบวกเพิ่มสิบนาที”


“เออ กูรู้แล้ว ฮ่าๆ” มันยังหัวเราะไม่หยุดในขณะที่ตั้งท่าเตรียมนั่งเก้าอี้ลมอีกครั้ง ผมเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าถึงจะพูดคุยกันตามปกติแต่การนั่งเก้าอี้ลมของเหล่าว้ากเกอร์ก็มีกฏของมันอยู่


กฎที่เข้าใจได้ง่ายๆอย่าง “ใครขยับตัวก่อนหมดเวลา จะถูกเพิ่มเวลา”


ระหว่างที่นั่งว่างๆรอไอ้ฟิว ผมหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาพลิกผ่านๆ สมุดเล่มนี้ไม่มีลายมือของผมเขียนอยู่เลยสักหน้า มันทำให้ผมโล่งอกและคิดว่าที่ผ่านมาคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ


“เป็นไง วันนี้ได้เล่มเดิมอีกป่าว” ไอ้ฟิวถามพลางชะเง้อคอมอง


“ไม่อ่ะ สงสัยกูจะคิดมากไปจริงเอง”


“ดีแล้ว ถ้าได้เล่มเดิมอีกกูว่าพรุ่งนี้มึงคงหลอนจนไปขอดรอปแน่ๆ” ฟิวพูดกลั้วหัวเราะ


หลังประชุมพี่ว้ากเสร็จไอ้ฟิวก็พาผมไปนั่งกินนมปั่นหน้ามอจนอิ่มแปล้


“ฮัลโหลตูน...เอ้อ บอกแม่ให้พี่หน่อยนะว่าวันนี้พี่จะค้างหอเพื่อน” ไอ้ฟิวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยขณะที่รอพนักงานคิดเงิน “อืม หอไอ้กรีน...อ่าหะ...ได้ๆ”


“อะไร?” ผมขมวดคิ้วถามเมื่ออยู่ๆไอ้ฟิวก็ยื่นโทรศัพท์มาให้


“น้องกูอยากคุยด้วย”


(พี่กรีนนนนนนนน) เสียงแหลมสูงแทบจะกรีดร้องจนดังออกมานอกโทรศัพท์ (ฝากเทคแคร์พี่ฟิวด้วยนะคะ)


“อ่า...ครับ” ผมส่งยิ้มแห้งๆไปทางไอ้ฟิวที่พยักหน้าเหมือนเข้าใจว่าผมอยากจะพูดอะไร ก่อนจะรับโทรศัพท์กลับไปคุยกับน้องสาวอีกสองสามประโยค


“สรุปไปค้างหอกูด้วยเหตุผลอะไรครับไอ้คุณฟิว” ผมตั้งคำถามทันทีที่มันวางสายกับน้องการ์ตูน


“คืนนี้กูนัดตีฮอนกับพวกไอ้เทพไว้ ถ้าอยู่บ้านเดี๋ยวเล่นถึงเช้าไม่ได้” ไอ้ฟิวตอบพลางยักคิ้วกวน


“เจริญล่ะ ค่าไฟกู” ผมได้แต่ส่ายหัวกับเหตุผลของมัน “ใช้โน้ตบุคกูด้วยสินะ”


“แสนรู้มากครับมิสเตอร์เอเวอร์กรีน” มันพูดพลางใช้มือใหญ่ๆลูบหัวเหมือนผมเป็นหมา ซึ่งผมก็ตอบโต้ด้วยการด่ามันสั้นๆ


“พ่อง”


เพราะผมกับไอ้ฟิวสนิทกันมาก ผมเลยไม่เคยคิดมาก่อนว่า หากวันหนึ่งมีเรื่องที่ทำให้ผมต้องสูญเสียเพื่อนสนิทอย่างมันไป...ในวันนั้นตัวผมจะเป็นยังไงต่อไป


------------------------------------------------------------

มาอัพแล้วค่าาาาา ขออภัยที่หายหน้าหายตาไปร่วมอาทิตย์
สารภาพว่าเพราะติดเกมส่วนหนึ่ง อีกส่วนคืองานเข้า
และอีกส่วนคือช่วงนี้เรากำลังวาดรูปอยู่
เป็นรูปสนองนีทตัวเอง และนักเขียนอีกคน
ก็เลยไม่ค่อยได้แตะนิยายเท่าไร (ดองทั้งสองเรื่อง)
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากๆเลยนะคะ จะพยายามมาอัพเรื่อยๆค่ะ
แต่ถ้าหายไปนานๆจะไปตามในแฟนเพจก็ไม่ว่ากันค่า
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ  :กอด1:
 
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 4 (#11) - 29/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 29-05-2015 18:01:44
ถึงว่าล่ะหายไปนาน ผมก็รออ่านเรื่องนี้อยู่ ดูลึกลับจังเลยนะครับเรื่องสมุดบันทึก
ผมชอบกรีนกับฟิวนะ แต่ไม่รู้ว่าข้อความที่เหมือนโต้ตอบกันไปมานั้นใครเป็นคนเขียน
แต่อีกไม่นานก็คงเฉลย

 :กอด1: :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 4 (#11) - 29/05/15
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-05-2015 09:28:01
ตอนซ้อมว๊ากตลกดี
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: วันที่ 4 - 10/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 10-06-2015 16:49:18
วันที่ 5


เมื่อเข้ามาในห้องไอ้ฟิวก็ทำตัวตามสบายราวกับอยู่บ้านตัวเองทันที


“ขี้แปบ”


“ไม่ต้องรายงานกูทุกเรื่องก็ได้นะ กูไม่ใช่แม่มึงซะหน่อย” ผมพูดไล่หลังไอ้ฟิวที่ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ


“มึงนี่หยาบคาย มีใครเค้าพูดกับแม่ตัวเองด้วยคำว่าขี้มั่งวะ” มันตะโกนกลับออกมาจากอีกฝั่งของประตู


แล้วไอ้คนที่ใช้คำนี้พูดกับเพื่อนได้หน้าตาเฉยนี่มันเป็นคนสุภาพตรงไหนวะครับ


ผมได้แต่ค่อนขอดไอ้ฟิวอยู่ในใจ เพราะถ้าพูดไปคงได้คุยเรื่องขี้ๆกันอีกพักใหญ่ ก็ผมรู้อยู่ว่าไอ้ฟิวเป็นพวกชอบเถียงต่อปากต่อคำ ให้เถียงกับมันยันเช้าเรื่องก็ไม่จบหรอกถ้าผมไม่หยุด


ผมหยิบโต๊ะญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยได้ใช้ออกมาวางบนพื้นและวางโน้ตบุคไว้ให้ไอ้คนที่กำลังขี้อยู่ในห้องน้ำคนอื่นอย่างสบายใจ


บอกว่าร๊าก ร๊าก ร๊ากฉานโกโหกท้างน้าน~ ’ เสียงเรียกเข้าแสนคุ้นหูดังขึ้น แต่เพราะเจ้าของเครื่องยังติดภารกิจส่วนตัวในห้องน้ำทำให้ผมต้องส่งเสียงดังคุยผ่านประตูห้องน้ำอีกครั้ง


“เชี่ยฟิวโทรศัพท์มึงดัง”


“มึงดูให้หน่อยว่าใครโทรมา ถ้าเป็นชื่อแม่กูก็รับได้เลย”


ผมใช้มือควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเทของทุกอย่างออกมา เพราะกระเป๋าของไอ้ฟิวมันรกเกินกว่าที่ผมจะใช้มือควานหาอะไรเจอได้ในเวลาอันสั้น


“น้องตูนโทรมา ให้รับมั้ย”


“แล้วแต่~”


“งั้นกูไม่รับแล้วกัน” ผมพูดพลางเก็บของใส่กระเป๋าพร้อมกันนี้ผมยังใจดีช่วยแยกพวกใบเสร็จต่างๆที่ยับยู่ยี่อยู่ก้นกระเป๋ากับเปลือกลูกอมออกไปทิ้งให้มันอีกด้วย


“กระเป๋ามึงนี่ยังกับถุงขยะ” ผมพูดเบาๆก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับสมุดบันทึกลูกโซ่ของวิชามนุษยสัมพันธ์ที่ไอ้ฟิวได้มาเขียนต่อในวันนี้


ด้วยแรงดึงดูดบางอย่างผมตัดสินใจเปิดอ่านโดนไม่ได้ขออนุญาต ซึ่งก็คงไม่จำเป็นเพราะถ้าถามอะไรไอ้ฟิวตอนนี้มันก็คงตอบกลับมาว่า “แล้วแต่~” ด้วยเสียงยานคางเหมือนเดิม


19 พ.ค.

วันแรกของการเข้าเรียนวิชามนุษยสัมพันธ์ พวกเราได้สมุดไดอารี่กันมาคนละเล่ม
ผมไม่รู้ว่าหน้าแรกของทุกคนจะเขียนอะไรลงไป แต่หน้าแรกของผมคงไม่พ้นเรื่องที่
ต้องมาเขียนไดอารี่แบบนี้อย่างแน่นอน
ผมไม่ใช่คนชอบเขียน แต่ถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมประจำวิชาก็คงเลี่ยงไม่ได้
หวังว่ามันจะไม่มีผลกับเรื่องคะแนนมากนะ


ลายมือยุ่งๆกับข้อความที่อ่านจนเริ่มจำได้ขึ้นใจทำเอาผมเริ่มหลอนอีกครั้ง


“เชี่ยเอ้ย จะตามหลอกหลอนอะไรกันนักหนาวะ” ผมสบถพลางพลิกไปอ่านข้อความไว้ในหน้าล่าสุด เพราะอยู่ๆก็นึกเรื่องตลกร้ายอย่างคนที่ได้เขียนต่อจากผมอาจจะเป็นคนเดิมเหมือนกัน


21/05

เหมือนจะมีบางอย่างที่ดูผิดปกติมากๆเกิดขึ้นซะแล้ว
มันเป็นไปได้หรอที่จะได้สมุดกลับมาเขียนซ้ำๆแบบนี้
จะว่าไป...เจ้าของสมุดเองก็ได้เขียนซ้ำเหมือนกันสินะ
ถ้าบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งที่สองที่เราได้เขียนไดอารี่ซ้ำล่ะ?
เราเองก็ได้สมุดตัวเองกลับมาเขียนซ้ำเหมือนกัน
แถมเรายังรู้สึกว่าลายมือที่เขียนในไดอารี่ทั้งสองเล่ม
สลับกับเราเป็นลายมือของคนๆเดียวกันอีกด้วย
ถ้าใช่ล่ะก็ คนที่ได้สมุดเล่มนี้ไปเขียนต่อจากเราพรุ่งนี้
คงไม่ใช่เจ้าของสมุดเล่มนี้หรอกใช่มั้ย ?


ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองกับเรื่องนี้ยังไงแล้ว จะว่ากลัวก็ไม่เชิง จะว่าหลอนมันก็เริ่มไม่ใช่ ตอนนี้ผมเริ่มอยากรู้มากว่า หากเรื่องที่ผมกับเขาหรือเธอที่ได้เขียนสมุดบันทึกสลับกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่มีใครจงใจทำให้เกิดขึ้น คนๆนั้นจะทำไปเพื่ออะไร


ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในสมองและทำให้ผมขยับร่างกายไปอย่างไม่ได้ไตร่ตรองถึงผลที่อาจจะตามมา ผมสลับสมุดบันทึกที่ตัวเองได้รับมาวันนี้กับสมุดบันทึกจากในกระเป๋าของไอ้ฟิว


22 พ.ค.

อาจดูเหมือนเสียมารยาท แต่ผมเพิ่งสังเกตว่าลายมือของคุณ
เป็นลายมือเดียวกันกับที่เขียนในสมุดบันทึกอีกเล่ม
วันนี้มีคนดรอปไปหลายคน ตอนแรกผมแอบภาวนาให้
คุณเป็นหนึ่งในคนที่เลือกดรอปวิชานี้ไป แต่คุณก็ยังอยู่ (ฮ่ะๆ)
จริงๆผมว่าตอนนี้ก็เริ่มทำใจกับเรื่องเขียนไดอารี่ซ้ำๆได้แล้ว
ถ้าหากพรุ่งนี้เป็นคุณคนเดิมที่ได้ไปเขียน


“วันนี้มึงเขียนเรื่องอะไรวะ” เสียงไอ้ฟิวดังขึ้นจากข้างหลังทำเอาผมสะดุ้ง สองแขนรีบรวบสมุดมาไว้แนบอกอย่างส่อพิรุธจนไอ้ฟิวขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย “ตกใจอะไรของมึงเนี่ยกรีน แล้วทำไมต้องซ่อนไม่ให้กูเห็นด้วย”


“กู...กู..” ผมได้แต่อ้ำอึ้งไม่กล้าพูดความจริง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กติดยาแล้วโดนพ่อแม่จับได้


“อ้ำอึ้งอะไรวะ ไหนเอามาให้กูดูดิ๊” ไอ้ฟิวเอื้อมมือมาทำท่าจะคว้าสมุดไปจากอกผม


“กะ กูเขียนเรื่องมึงอยู่!!” ผมโพล่งออกไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องโกหกไอ้ฟิวด้วย


“อ่อ...หรอ” ไอ้ฟิวเสหน้ามองไปทางอื่น ผมรู้สึกเหมือนมันกำลังหน้าแดงหน่อยๆ “ถ้างั้นกูไม่อ่านดีกว่า”


ไอ้ฟิวนั่งลงหน้าโน้ตบุคที่ผมเตรียมเอาไว้ให้แล้วไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก ผมจึงเขียนบันทึกส่วนที่เหลือต่อให้จบและรีบยัดสมุดใส่กระเป๋าตัวเอง



22 พ.ค.

อาจดูเหมือนเสียมารยาท แต่ผมเพิ่งสังเกตว่าลายมือของคุณ
เป็นลายมือเดียวกันกับที่เขียนในสมุดบันทึกอีกเล่ม
วันนี้มีคนดรอปไปหลายคน ตอนแรกผมแอบภาวนาให้
คุณเป็นหนึ่งในคนที่เลือกดรอปวิชานี้ไป แต่คุณก็ยังอยู่ (ฮ่ะๆ)
จริงๆผมว่าตอนนี้ก็เริ่มทำใจกับเรื่องเขียนไดอารี่ซ้ำๆได้แล้ว
ถ้าหากพรุ่งนี้เป็นคุณคนเดิมที่ได้ไปเขียนอีก คราวหน้าผมจะ
เขียนเล่าเรื่องที่มันมหัศจรรย์กว่าเรื่องบันทึกของเราสองคน
ให้คุณอ่านดีมั้ย?



-------


“มึงจะอาบน้ำก่อนมั้ยฟิว” ผมถามหลังเห็นว่ามันเล่นจบเกมแล้วรอบหนึ่ง


ไอ้ฟิวเงยหน้าขึ้นมาจากจอแล้วฉีกยิ้มกว้างอย่างกวนตีน “จะชวนอาบด้วยกันหรอ”


“ป่าว” ผมตอบกลับอย่างเย็นชาเพราะคิดว่าไอ้ฟิวคงพยายามจะเล่นมุขเกย์อะไรอีกแน่นอน


“นึกว่าจะพูดว่า ‘พ่อง’ แบบทุกทีซะอีก” ไอ้ฟิวพูดคล้ายพึมพำกับตัวเอง “ไอ้เทพมันคีย์ห้องแล้ว เดี๋ยวกูเล่นกับมันก่อนแปบนึง”


“แปบของมึงนี่ก็ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงนะฟิว”


“มึงก็อาบน้ำเกือบครึ่งชั่วโมงเหมือนกันแหล่ะกรีน” ไอ้ฟิวยักคิ้วกวน


“ก็กูสะอาด”


“แหม๋ พูดซะกูสกปรกเลย”


“ก็นิดนึง”


“ตรงไหน!!”


“กระเป๋ามึงไง เก็บแต่เศษขยะไว้เต็มไปหมด แต่ไม่ต้องห่วงนะกูเก็บทิ้งไปหมดแล้ว”


ไอ้ฟิวอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่มันก็เลือกที่จะเงียบไปอีกครั้ง และมันก็นั่งเงียบอยู่แบบนั้นจนกระทั่งผมอาบน้ำเสร็จ


“กรีน”


“ว่า?”


“มาเล่นแทนหน่อยดิ กูจะไปอาบน้ำละ”


“มึงก็เล่นให้จบก่อนดิ ไม่เห็นต้องรีบ”


ไอ้ฟิวทำหน้าปั้นยาก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“ถอนหายใจอะไรของมึงอีกเนี่ย”


“ถ้ากูพูดมึงอย่าเกลียดกูนะ” อยู่ๆไอ้ฟิวก็ทำท่าเอียงอายเหมือนสาวน้อยในการ์ตูนตาหวาน


“คบกันมาขนาดนี้มึงพูดมาเถอะ กูรับได้หมดแหล่ะ” แต่ที่จะรับไม่ได้ก็คงเป็นท่าทางกระมิดกระเมี้ยนของมันตอนนี้นี่แหล่ะ


“คือกู...” มันอ้ำอึ้งหลุบตาลงต่ำก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่ว “กูอยากว่าวว่ะ”


“เชี่ยฟิว นี่มึงเล่นเกมรึดูเว็บโป๊วะถึงได้ของขึ้นแบบนี้” ถึงจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ผมก็อดด่ามันไม่ได้ “จะทำอะไรก็ทำ อย่าให้เหลือคราบในห้องน้ำกูก็พอ”


“มึงนี่น่ารักจริงๆ” ไอ้ฟิวพูดพลางเอามือที่ผมเห็นมันใช้กุมเป้าอยู่เมื่อสักครู่มาขยี้หัวผม


“เชี่ยยยยยยยยย”


ผมเข้าใจนะว่าผู้ชายทุกคนย่อมมีด้านชั่วๆหรือจัญไรกันบ้าง แต่ผมรับความจัญไรของไอ้ฟิวตอนนี้ไม่ได้จริงๆ ดีนะที่ผมเขียนบันทึกเสร็จแล้ว ไม่งั้นผมคงได้เอาเรื่องจัญไรๆของมันไปเขียนบันทึกวันนี้แน่ๆ


----------------------------------------
รู้สึกเหมือนด้าน Dark ของกาฟิวจะถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ
แต่สาเหตุที่ทำให้กาฟิวเป็นแบบนี้ก็เพราะนายเอเวอร์กรี-
อ๊ะ..เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้ก็ติดตามอ่านตอนต่อไปดีกว่าคะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และทุกกำลังใจ  :กอด1:
 :bye2: ไว้พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
ปล. ช่วงนี้อาจทิ้งช่วงนานนิดนึง เพราะกว่าจะเลิกงาน
กว่าจะกลับถึงบ้านก็หมดแรง สมองตื้อไปหมดแล้วค่ะ
o1 ขออภัยในความไม่สะดวก
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 5 (#14) - 10/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 10-06-2015 16:55:29
อืม...เหมือนความลับค่อยๆ เผยออกมาแล้ว แต่ผมก็ยังงงๆ อยู่ ปกติเป็นคนที่อ่านเรื่องที่สลับซับซ้อนไม่ค่อยได้
อ่านแล้วจะจับต้นชนปลายไม่ถูก เอาเป็นว่ารอลุ้นต่อไปละกันครับ

คราวนี้มาตอนเดียวเองเหรอครับ ปกติเห็นมา 2 ตอน

ขอบคุณนะครับ

 :กอด1: :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 5 (#14) - 10/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: Mikanchan ที่ 10-06-2015 20:51:45
มาเขินแว่บนึง แล้วจากไป... :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: วันที่ 6 - 16/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 16-06-2015 17:29:25
วันที่ 6


วันนี้ผมกับไอ้ฟิวซ้อมท้ายมามหาลัยด้วยกัน และมันคงเป็นเคราะห์กรรมของผมที่น้องส้มผ่านมาเห็นเข้าพอดี


“พี่กรีนขา” เธอส่งเสียงเรียกเสียงดังจนใครหลายคนหันมามอง


“ว่าไงจ๊ะ?” ผมพยายามจะยิ้มแต่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแยกเขี้ยวด้วยหน้าแหยงๆซะมากกว่า


“ส้มขอถามนิดเดียวนะคะ พอดีเห็นพี่ฟิวกับพี่กรีนมาด้วยกัน...” เธอเว้นจังหวะมองผมกับไอ้ฟิวสลับกันด้วยตาที่เป็นประกาย “คือส้มรู้สึกว่าเสื้อที่พี่ฟิวใส่วันนี้มันดูตัวเล็กๆฟิตๆ”


“อ้อ พี่ใส่เสื้อไอ้กรีนอยู่” ไอ้ฟิวช่วยตอบแทนแทบจะทันที “มันดูน่าเกลียดหรอครับน้องส้ม”


“ไม่ค่ะ!! ไม่น่าเกลียดเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” พูดจบเธอก็หมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว


“กู่ไม่กลับแล้วว่ะ” ไอ้ฟิวบีบบ่าผมเบาๆคล้ายจะให้กำลังใจ


“มึงว่าน้องส้มะคิดแบบที่กูคิดว่าน้องส้มจะคิดกับกูมั้ยวะ”


“ไม่มั่นใจ...แต่น่าจะใช่ร้อยเปอร์เซนต์”


“นี่คือมึงไม่มั่นใจแล้วใช่มั้ย” ผมถอนหายใจหนักๆพลางคิดว่าไม่เกินเย็นนี้คงได้มีข่าวลือของผมกับไอ้ฟิวไปถึงหูคนครึ่งค่อนมหาลัยอย่างแน่นอน


คงเพราะผมเผลอทำหน้าเซงโลกตลอดครึ่งเช้า ไอ้ฟิวเลยอาสาพาผมดั้นด้นไปกินมื้อกลางวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังที่ผมชื่นชอบ เมื่อเข้ามาในร้านก็จัดแจงสั่งเมนูประจำของผมให้โดยไม่ต้องถาม


“คนยังไม่เยอะมาก น่าจะกลับไปเข้าคลาสทันพอดี” มันพูดพร้อมกับเตรียมตะเกียบรอ


“มึงไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะฟิว กูไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ผมพูดจบไอ้ฟิวหุบยิ้มเหมือนผมตำหนิอะไรมัน


“ก็มึงทำหน้านอยด์ทั้งเช้า กูแค่อยากให้มึงยิ้ม”


“ไม่เหนื่อยหรอวะ มาคอยเอาใจกูเนี่ย” ไอ้ฟิวไม่ตอบ ผมรู้สึกเหมือนเห็นประกายบางอย่างในตาของมันวูบหนึ่ง


“มึงรำคาญที่กูเป็นแบบนี้รึเปล่า”


“กูไม่ได้รำคาญ แต่กูรู้สึกเหมือนกูทำตัวเป็นภาระมึง” ผมอยากจะอธิบายมากกว่านี้แต่พอเจ๊เจ้าของร้านยกก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟไอ้ฟิวก็ชิงพูดตัดบทซะก่อน


“กินเถอะกรีน”


ในคลาสมนุษยสัมพันธ์วันนี้อาจารย์ให้พวกเราแบ่งกลุ่มเพื่อแสดงบทบาทสมมติตามหัวข้อที่จับฉลากได้ แน่นอนว่าไอ้ฟิวที่หมายตาสามสาวชาลีแองเจิ้ลไว้ตั้งแต่คาบก่อนก็รีบไปทาบทามสาวๆมาร่วมกลุ่มทันทีที่อาจารย์อธิบายเสร็จ


“ได้หัวข้อไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไร แต่กาฟิวจะพยายามเต็มที่ครับ” ไอ้ฟิวทำท่าขึงขังเอาการเอางาน


“ได้เรื่องอะไรไหนเอามาดูดิ๊”


ผมรู้สึกเหมือนถูกไม้หน้าสามแสกเข้าเต็มหน้าเมื่อเห็นตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษ


‘การเลิกลา’


“เอาล่ะๆ จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ เดี๋ยวอาจารย์จะให้เวลาคิดสิบนาทีแล้วเริ่มแสดงตามลำดับนี้เลยนะคะ” อาจารย์พูดด้วยเสียงดังเล็กน้อยเพราะต้องแข่งกับเสียงอื้ออึงของกลุ่มนักศึกษาไปด้วย “เริ่มจากกลุ่มการพบเจอ กลุ่มการคบหา กลุ่มชีวิตคู่ แล้วก็ปิดท้ายด้วยกลุ่มการเลิกลานะคะ”


ยิ่งพอได้ยินลำดับในการนำเสนอนักศึกษาในห้องก็เริ่มวุ่นวายเหมือนผึ้งแตกรัง เช่นเดียวกับกลุ่มผมที่ถึงแม้จะได้แสดงเป็นกลุ่มสุดท้ายแต่ก็ไม่นิ่งนอนใจรีบสุมหัวปรึกษาหารือกันทันที


“พวกเราจะแสดงแนวไหนดีล่ะ”


“เรามาเลือกพระเอกนางเอกกันก่อนดีมั้ย อิ้งค์น่าจะเหมาะกับบทนางเอกนะ”


“แรงอ่ะแก้ว ก็รู้อยู่ว่าอิ้งค์มันเพิ่งเลิกกับแฟน”


“งั้นมิวเล่นมั้ยล่ะ”


“ไม่!!” คนที่ถูกเรียกว่ามิวตอบทันที


ผมแอบเห็นไอ้ฟิวกระดิกหางด้วยความยินดี มันมองมาทางผมด้วยตาที่เป็นประกายที่สื่อนัยบางอย่าง สมองผมคิดแผนอย่างรวดเร็วแล้วจึงพูดออกไป


“เธอเล่นเป็นตัวเอกคู่กับฟิวนะ” ผมมองไปที่คนที่ถูกเรียกว่าอิ้งค์ ถึงเธอจะใส่กระโปรงสั้นดูเป็นสาวมั่น แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนหวานจางๆจากเธอ


“เอ๊ะ เอ๋~ ด เดี๋ยวสิ” ผิวแก้มขาวเนียนเรื่อสีจางๆขณะพูดปฏิเสธ “ม ไม่ไหวหรอก”


“งั้นมิวเป็นมือที่สามนะ” คนชื่อแก้วสรุปบทต่อโดยไม่สนใจอิ้งค์ที่กำลังเขินไอ้ฟิวจนหน้าแดง


“ทำไมต้องเป็นฉันยะ” มิวทำหน้าบึ้ง


“ถ้ามิวไม่เล่นงั้นมิวเป็นคนกล่าวสรุปมั้ยล่ะ อาจารย์ก็บอกอยู่ว่าให้พูดสรุปความรู้ตอนท้ายด้วย”


“ให้นายคนนี้เล่นบทมือที่สามไม่ได้หรอ เดี๋ยวฉันเล่นบทเพื่อนสาวที่แสนดีที่คอยปลอบอิ้งค์” คุณเธอพูดเองเสร็จสรรพก่อนจะหันมาถลึงตาใส่ผม “นายจะเล่นบทนี้ใช่มั้ย”


“เอ่อ...ทำไมถึง...” ผมไม่รู้จะพูดยังไงเพราะอยู่ๆก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งกลุ่ม


“แบบนั้นก็น่าสนใจดีนะ ฉันคิดเรื่องได้แล้ว” แก้วพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นจากน้องส้ม จากนั้นเธอก็เริ่มพูดบทบาทของแต่ละคนออกมา “นายกับอิ้งค์คบกัน จากนั้นนายก็ขอเลิกกับอิ้งค์ อิ้งค์ไม่ยอมพยามถามเหตุผลจนได้รู้ว่านายกำลังคบกับนายคนนี้อยู่ด้วย อืม...เพอร์เฟค”


ผมฟังแล้วอยากจะกุมขมับ นี่สรุปว่าผมได้รับบทเมียน้อยไอ้ฟิวสินะ


แต่เมื่อผมพยามจะค้าน เสียงของอาจารย์ก็ขัดขึ้นมาซะก่อน


“เอาล่ะค่ะ กลุ่มแรกออกมาแสดงได้เลยค่ะ ที่เหลือนั่งเงียบๆดูเพื่อนด้วยนะคะ”


ผมกลืนคำพูดของตัวเองลงคอ เพราะตอนนี้คงจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ก็ขนาดเวลาซ้อมยังไม่มีเลยน่ะสิ!!


ทุกกลุ่มที่แสดงก่อนหน้ากลุ่มผมเรียกได้ว่าจัดเต็มทั้งแอคติ้งและฟิวลิ่ง ถึงบางกลุ่มจะไม่มีผู้หญิงเลยแต่พอเห็นผู้ชายตัวควายๆทำท่าสะดีดสะดิ้งก็ดูตลกไปอีกแบบ ผมก็เลยรู้สึกว่าบทของผมอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้


“เชิญกลุ่มสุดท้ายค่ะ” พูดจบทุกคนก็ปรมมือตามมารยาท จากนั้นคนชื่อแก้วก็เริ่มบรรยายความสัมพันธ์ของไอ้ฟิวกับอิ้งค์
มีเสียงโห่แซวจากกลุ่มผู้ชายที่แสดงก่อนหน้านี้เล็กน้อยพอให้บรรยากาศในคลาสครึกครื้นและสนุกสนานขึ้นอีก และเมื่ออารัมภบทความรักแสนหวานของไอ้ฟิวจบลงก็ได้เวลาเปิดตัวมือที่สามอย่างผม


“แต่แล้วอยู่มาวันนึง เธอก็ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับสามีที่เธอรักนักหนา!!”


ผมก้าวเข้าฉากไปด้วยอาการประหม่า ไม่รู้จะพูดว่าอะไรเพราะบทพูดทั้งหมดไม่ได้มีการเตี๊ยมกันมาก่อน


“ท่องไว้มึง เพื่อ-คะ-แนน” ไอ้ฟิวพูดอย่างไม่ออกเสียง


ผมสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะเปล่งเสียงออกมา


“ช่วยออกห่างจากเขาได้มั้ย”


“น นายเป็นใคร” อิ้งค์ถาม


“อย่าให้ผมพูดจะดีกว่า เชื่อเถอะคุณไม่อยากรู้หรอก” ผมทำท่าท้าทายเหมือนตัวอิจฉาในละครหลังข่าว


“ขอโทษนะอิ้งค์...” ไอ้ฟิวตีหน้าเศร้าก่อนจะแกะมือเล็กที่เกาะแขนอยู่ออกอย่างอ่อนโยน "ผมขอโทษจริงๆ"


“ย อย่าบอกนะคะว่าฟิว..” อิ้งค์ทำตาโต แสร้งทำเป็นตกใจ


“ขอโทษนะครับที่ผมรักเขามากกว่าคุณ”


พูดจบไอ้ฟิวก็รวบผมเข้าไปในอ้อมแขน ใช้นิ้วเรียวเชิดปลายคางผมขึ้นพลางโน้มหน้าลงมาและค้างไว้ก่อนที่ริมฝีปากผมกับมันจะได้แตะกันจริงๆ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆและความร้อนบนผิวแก้มของตัวเองได้เป็นอย่างดี


ฉากเลิฟซีนหักมุมที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็นในคลาสเรียกเสียงโห่ร้องและเสียงแซวสนุกปากจากนักศึกษาที่เหลือ แก้วที่ดูจะตกตะลึกอยู่ไม่น้อยรีบกล่าวสรุปหลังจากได้ยินเสียงของอาจารย์ที่ช่วยเตือนว่าใกล้จะหมดเวลาแล้ว


“ค่ะ ก็กลุ่มเราก็มาแสดงให้เห็นนะคะว่าสาเหตุของการเลิกรานั้น....”


ผมไม่ได้ฟังว่าเธอพูดสรุปว่ายังไง เพราะตอนนี้ในหัวผมมีแค่คำพูดของไอ้ฟิวที่แอบทิ้งท้ายไว้ก่อนปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระ


“ถึงกูจะรักมึง แต่มึงก็รู้ว่ากูเกลียดคนที่โกหกกูยิ่งกว่าอะไรใช่มั้ยกรีน”



-------------------------------------------------
ปมเก่าไม่คลาย ปมใหม่มาอีกแล้ว :a5:
สัญญาว่าตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปจะเริ่มคลายปมทีละปมจนหมดค่ะ
แต่ถ้าตกหล่นตรงไหนไปบ้างก็อย่าว่ากันนะคะ ช่วงนี้กำลังเบลอๆ 55+

ขอบคุณที่ยังเข้ามาอ่านกันอยู่นะคะ ทั้งนักอ่านที่แสดงตนและไม่แสดงตน
แค่เห็นยอดวิวเพิ่มขึ้นจากอาทิตย์ก่อนเราก็ดีใจมากแล้วค่ะ  :กอด1:
 :bye2: ไว้พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

แถม...
อาทิตย์ที่ผ่านมาใช้เวลาวาดแฟนอาร์ตเรื่อง Buddy Conflict! (ในเล้ามี)
แต่ขอไม่ลงรูปนะคะ ขอลงลิ้งค์คลิปแทนเผื่อจะมีใครหลงเข้าไปดู  :hao7:
https://youtu.be/gUWURX9j7rc (https://youtu.be/gUWURX9j7rc)
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 6 (#17) - 16/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 16-06-2015 17:46:57
นั่นแน่ ฟิวกับกรีน สองคนนี่แหละที่แอบเขียนอะไรให้กันบ่อยๆ (ใช่ไหม)
การแสดงฉากนี้บ่งบอกอะไรหลายๆ อย่าง แอบหวานนะครับ
หวังว่าต่อไปจะหวานกว่านี้ คริกๆ
ว่าแต่ใครโกหกอะไรเหรอครับ อ่านแล้วยังไม่เข้าใจตรงนี้

 :กอด1: :L1: :pig4: :L1: :L2:
หัวข้อ: วันที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 18-06-2015 20:10:33
วันที่ 7


“กูได้ตารางกิจกรรมรับน้องเทอมหน้ามาแล้ว คิวมึงพร้อมมั้ยที่จะสานต่อจากกู” กาฟิวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกับเฮดว้ากคนต่อไป


“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแหล่ะพี่ฟิว”


“ไม่ต้องห่วง ถ้ามึงรับมือไม่ไหวเดี๋ยวกูหาคิวเสือกเอง อย่าลืมคุยกับพวกสันฯกับสวัสดิการด้วยนะ”


ภาพของไอ้ฟิวเวลาที่คุยแบบเป็นการเป็นงานทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ตกตะกอนอยู่ในใจตั้งแต่คลาสมนุษยสัมพันธ์


“ถึงกูจะรักมึง แต่มึงก็รู้ว่ากูเกลียดคนที่โกหกกูยิ่งกว่าอะไรใช่มั้ยกรีน”


คำพูดของมันทำให้ผมคาใจ แต่เพราะไอ้ฟิวจงใจไม่เปิดโอกาสให้ผมถามเกี่ยวกับคำพูดของมัน ตอนนี้ผมเลยตัดใจที่จะถามเอาคำตอบกับมันแล้ว


ถ้าเรื่องไหนไอ้ฟิวไม่อยากพูดอย่าหวังว่าจะง้างปากมันได้ เพราะถ้ามันจะบอกผมจริงๆมันก็คงพูดออกมาเองแล้ว


ผมหยิบสมุดบันทึกลูกโซ่ออกมาจากกระเป๋า เผลอยิ้มออกมานิดหน่อยเมื่อเปิดไปอ่านหน้าล่าสุด


22/05

ตอนนี้เรามั่นใจ 100% แล้วล่ะว่านายคือคนที่เขียนบันทึกต่อจากเราทุกวัน
ขอบคุณมากๆสำหรับกำลังใจที่นายมอบให้เรา
เราจะลองรวบรวมความกล้าไปบอกให้อีกฝ่ายรู้นะว่าเราคิดยังไงกับเขา
แม้ว่าจะเห็นภาพของเขากับแฟนหยอกกันวันนี้ แม้ว่าเราจะรู้สึกเป็นผู้แพ้
ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำอะไรเลยก็ตาม เราก็จะลองพยายามดูสักตั้ง
เราอยากให้หน้าต่อไปที่ได้เขียนต่อจากเราเป็นนายนะ อิอิ


สมุดบันทึกที่ไม่ได้ทำตำหนิอะไรไว้เลย วันนี้มันก็ยังกลับมาหาผมอีกครั้งและผมก็คิดว่าสมุดอีกเล่มก็คงเช่นกัน


23 พ.ค.

จะดีใจดีมั้ยนะที่ได้กลับมาเขียนสมุดเล่มเดิมอีกครั้ง
นี่ถ้าเป็นในหนัง ตอนจบผมกับคุณคงได้ลงเอยกันแน่ๆเลย
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ดีแน่ เพราะคุณกำลังแอบชอบใครอยู่อีกคนนี่นะ
ผมว่าไม่มีใครเป็นผู้แพ้ตั้งแต่เริ่มหรอก มีแต่แพ้เพราะไม่เริ่มมากกว่า


“มึงๆๆๆ มึงต้องมาดูนี่ไอ้ฟิว” เสียงใครสักคนร้องขึ้นมาพร้อมกับข่าวใหญ่ในโลกโซเชียล ผมเก็บไดอารี่ลูกโซ่ลงกระเป๋าและรอฟังไอ้ฟิวสรุปข่าวล่ามาเร็วให้ฟัง


“เวร” ไอ้ฟิวรับโทรศัพท์ไปมองก่อนจะสบถเบาๆ มันหันมามองหน้าผมและยื่นมาให้ผมดู


“เชี่ยยยยยยย...อะไรเนี่ย” ผมสบถลั่นเมื่อเห็นรูปและข้อความที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ อารมณ์รื่นรมณ์ตอนเขียนบันทึกเมื่อครู่หายวับไปในทันใด


“แม่งยอดแชร์โคตรเยอะ พวกมึงไปด๊วบกันอะไรที่ไหนยังไงให้รูปหลุดลงโซเชียลได้แบบนี้วะ”


ด๊วบพ่อง!!” ผมสวนทันที รู้สึกปวดหัวหนึบจนต้องคลึงขมับตัวเองเบาๆ


“กูกับไอ้กรีนแค่แสดงละครในคลาสไอ้ห่า” ไอ้ฟิวทำหน้ายุ่งไม่แพ้กัน มันกดนิ้วบนหน้าจอพลางบ่นงึมงำ “แชร์มาจากไหนวะ”


‘บอกว่าร๊าก ร๊าก ร๊ากฉานโกโหกท้างน้าน~ ’ เสียงเรียกเข้าแสนคุ้นหูดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกงไอ้ฟิว มันมองชื่อบนหน้าจอก่อนจะทำหน้าเครียด


“เชี่ย แม่กูโทรมารับดีมั้ยวะ” มันมองหน้าทุกคนอย่างขอความเห็น


“เรื่องครอบครัวพวกเราจะไม่ยุ่งครับ” ว้ากเกอร์ตอบอย่างพร้อมเพรียงทำให้ไอ้ฟิวหันมาตั้งความหวังกับผมแทน


“รับดีมั้ยกรีน”


“แม่มึงอาจจะโทรมาเรื่องอื่นก็ได้นะ”


“กูเชื่อมึงนะ” ไอ้ฟิวกดรับแล้วค่อยๆเอาโทรศัพท์แนบหู “ว่าไงครับแม่...อ่าว ตูน? ว่าไง”


ฟิวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนมันจะเดินหลบฉากออกไปคุยเงียบๆ ซึ่งเป็นผลให้ผมถูกเหล่าว้ากเกอร์ที่เหลือรุมยิงคำถาม


“เชี่ยกรีน ตกลงมึงกับมันเป็นคู่ขากันจริงดิ”


“แสดงว่าสาเหตุที่พี่กรีนเลิกกับรองดาวอักษรที่เค้าลือๆกันนั่นก็...”


“ไอ้เบสมึงก็ไปพูดกับพี่เขาอย่างนั้นได้ไง”


“มึงตอบกูก่อน พวกมึงได้เสียกันแล้วรึยัง”


“ไอ้ฟิวเป็นรับรึป่าววะ กูขอเสือกแค่นี้”


“เดี๋ยวววววว หยุดก่อนพวกมึง เว้นวรรคให้กูตอบบ้าง” พอเห็นว่าทุกคนหยุดถามแล้วผมก็อ้าปากเริ่มอธิบายแต่ก็ถูกแทรกด้วยเสียงริงโทนและแรงสั่นที่กระเป๋ากางเกงซะก่อน “ขอกูรับสายแปบนึง”


“เชี่ย ลีลาว่ะ” พวกขี้เสือกบ่นอุบพลางชะเง้อมองว่าใครโทรมาหาผม


“...ว่าไง...ส้ม”


(พี่กรีนอยู่ไหนคะ)


“อยู่คณะ...มาซ้อมว้ากกับไอ้ฟิว” ผมคิดว่าน้องส้มน่าจะเห็นรูปที่แชร์กันสั่นนั่นเมืองของผมกับไอ้ฟิวแล้วแน่นอนแต่ดูเหมือนผมจะคิดผิด


(พี่กรีน...ฮึก...พี่กรีนช่วยส้มด้วย..) ปลายสายสะอึกสะอื้นจนผมเริ่มใจไม่ดี


“ส้มเป็นอะไร ตอนนี้อยู่ไหนเดี๋ยวพี่ไปหา” ว้ากเกอร์ที่รอเสือกอยู่ก่อนแล้วรีบหลีกทางให้เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของผม


(ส้ม...อยู่ในห้องน้ำ...ฮึก...ชั้นสองของตึก...อักษรค่ะ ฮึก..พี่กรีน)


“ใจเย็นนะ พี่กำลังไป”


(...ส้มกลัว) เสียงหวานที่เคยสดใสสั่นเครืออย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน


“ฝากบอกไอ้ฟิวด้วยว่าเดี๋ยวกูมา” ผมหันไปบอกก่อนจะวิ่งไปที่ตึกอักษรที่อยู่ไกลออกไปทั้งอย่างนั้น


ผมเคยมาหาน้องส้มที่ตึกอักษรบ่อยๆตอนที่เรายังคบกันแต่ไม่ใช่ในลักษณะนี้ ตัวผมที่วิ่งมาจนเหงื่อแตกพลั่กก้าวกระโดดขึ้นไปยังที่หมายอย่างไม่รอช้า


ผมผลักประตูเข้าไปในห้องน้ำหญิง พื้นที่ซึ่งผมไม่เคยจินตนาการว่าชาตินี้จะมีโอกาสเหยียบย่างเข้ามา ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆดังมาจากห้องน้ำด้านในสุด


“ส้มอยู่ข้างในใช่มั้ย” ผมเคาะประตูเบาๆ


เสียงปลดล็อคประตูทำให้ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย แต่ภาพของน้องส้มที่อยู่หลังประตูทำให้ใจผมตกวูบ


“พี่กรีน” เธอโผเข้ากอดผมแน่นอย่างต้องการที่พึ่ง ตัวสั่นเหมือนลูกนกตัวเปียกโชกที่ผ่านพายุร้ายมาเพียงลำพัง


“ใครทำ” ผมถามพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น “ใครมันทำกับส้มแบบนี้”


“เขา..ฮึก...เขาพยามมาจีบส้ม...แต่ส้ม...ฮึก...ส้มปฎิเสธ ” เสียงสะอึกสะอื้นพยายามบอกเล่าเหตุการณ์ “เขา...พยามจะใช้กำลังกับสั้ม”


“ไอ้ชั่วเอ้ย” ผมสบถอย่างเกรี้ยวกราด แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปไล่กระทืบไอ้เลวที่ทำให้น้องส้มมาอยู่ในสภาพนี้ ผมรู้ว่าผมควรให้ความสำคัญกับสถานการณ์ตรงหน้ามากกว่า


ผมผลักไหลน้องส้มให้ออกห่างเล็กน้อย แล้วถอดเสื้อนักศึกษาของตัวเองให้


“คลุมเอาไว้นะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอ”


น้องส้มเดินตามหลังผมออกมาจากห้องน้ำท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนที่เดินผ่านไปมา เธอกระชับมือที่จับเสื้อของผมให้แน่นขึ้นพลางก้มหน้าหลบสายตา


แน่ล่ะ ใครจะไม่สนใจนักศึกษาชายที่เดินถอดเสื้อเดินคู่กับนักศึกษาหญิงที่ดูเหมือนถูกรุมโทรมมาแบบนี้บ้าง


“ส้มไม่ต้องกลัวนะ” ผมหันไปส่งยิ้มให้ เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมแต่ไม่ได้พูดอะไร มือเล็กที่กำลังสั่นเทาเกาะกุมบีบเข้าหากันเบาๆแทนคำตอบ จากนั้นผมก็รวบตัวเธอขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิงและเดินออกจากตึกมาทั้งอย่างนั้น


ที่หน้าตึกไอ้ฟิววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาด้วยสีหน้าร้อนรน


“มีเรื่องอะไรวะกรีน เห็นคนอื่นบอกอยู่ๆมึงก็รีบร้อนออกมา”


“มึงเอารถมารึเปล่า” ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


“เอามา ตกลงนี่มันเรื่องอะไรวะ”


“เดี๋ยวกูอธิบายให้ฟังทีหลัง” ผมอุ้มน้องส้มไปจนถึงรถมอเตอร์ไซและพาน้องส้มไปส่งที่หอก่อนจะขับกลับมาที่คณะ


“เล่ามากรีน” ไอ้ฟิวนั่งรออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับเหล่าว้ากเกอร์คนอื่นๆ


“มีคนพยายามจะข่มขืนน้องส้ม” ผมตอบด้วยอารมณ์ครุกรุ่น


“ในมหาลัยเนี่ยนะ เชี่ยเอ้ย แม่งโคตรเลว” ไอ้ฟิวดูหัวเสียไม่แพ้กัน


“ไปกระทืบแม่งเลยมั้ย” ใครสักคนพูดขึ้นมาลอยๆจากนั้นหลายๆคนก็พูดเป็นเชิงเห็นด้วยกับความคิดนั้น


“พวกมึงหยุดเลย คนที่จะตัดสินใจคือไอ้กรีน” ไอ้ฟิวหันไปปรามก่อนจะหันกลับมาถามความเห็นผม “มึงเอาไงกรีน”


“ถ้าตอบแบบคนมีการศึกษา กูอยากให้เรื่องนี้จบเงียบๆ”


“แล้วถ้าตอบแบบตามใจมึงล่ะ”


“กูอยากกระทืบมัน และให้มันขอโทษ”


คำตอบที่สองทำให้ไอ้ฟิวคลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ


“งั้นไปกระทืบมันเลยมั้ย ไอ้คิวมันสืบมาจนรู้แล้วว่าไอ้เลวนั่นเป็นใคร”


ผมกำลังจะอ้าปากตอบตกลงแต่เสียงมือถือก็ดังขัดขึ้นซะก่อน บนหน้าจอปรากฏชื่อของแฟนเก่าอย่างชัดเจน


“ส้มมีอะไ-”


(รูปที่แชร์อยู่ในเฟสนี่รูปจริงรึป่าวคะ เห็นเค้าบอกว่าเป็นรูปที่ถ่ายในคลาสเรียนด้วย นี่พี่กับพี่ฟิวเรียนวิชาอะไรกันคะถึงได้จูบกับโจ่งครึ่มแบบนี้ แล้วๆๆ พี่ฟิวได้ใช้ลิ้นกับพี่รึป่าวรึป่าว พี่กรีนรู้สึกยังไงช่วยเล่าให้ส้มฟังหน่อยสิคะ) ปลายสายถามรัวราวกับปืน M16 ในโหมด Auto ที่กำลังสาดกระสุนใส่ศัตรูไม่ยั้ง


“คือตอนนี้พี่-”


(เดี๋ยวนะคะแปบนึง ขอส้มอัดเสียงไว้ก่อนนะคะ...อ่ะ โอเคค่ะ เล่ามาเลยค่ะส้มพร้อมแล้ว)


“...เดี๋ยวพี่โทรกลับนะ” ผมพูดตัดบทก่อนจะกดวางสายไม่ให้เธอได้โต้แย้งใดๆ


“ให้กูเดานะ...น้องส้มเห็นรูปนั้นแล้วใช่มั้ย” ไอ้ฟิวก้าวมายืนข้างๆด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นตามประสาคนขี้เสือก


“เออ”


“แล้วเอาไง หน้าแบบนี้ยังจะไปกระทืบคนอยู่ป่ะ”


“ไม่ล่ะ กูหมดอารมณ์แล้ว”


“แล้วพวกมึงเอาไง” ไอ้ฟิวหันไปถามว้ากเกอร์กองเสริม


“เมียมึงว่าไงพวกกูก็ว่างั้น ถ้าไม่กระทืบคนแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอ”


“โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” ไอ้ฟิวโบกมือลา “ป่ะกรีน เดี๋ยวกูพาไปกินนมปั่นหน้ามอนะ จะได้หายนอยด์”


“กูต้องทำยังไง คนอื่นถึงจะหยุดแชร์ไอ้รูปบ้าๆนั่นวะฟิว” ตอนนี้ผมรู้สึกสงสารตัวเองจับใจและอยากจะร้องไห้เป็นที่สุด


“สู้ต่อไปเอเวอร์กรีน ชีวิตแม่งก็บัดซบแบบนี้แหล่ะ”


---------------------------------------------------------
สำหรับใครที่กลัวว่านายเอเวอร์กรีนกับน้องส้มจะรีเทิร์นกัน
สบายใจได้เลยค่ะว่าถ่านไฟเก่าไม่คุขึ้นมาอีกแน่นอน  :hao7:
เพราะน้องส้มเป็นผู้สนับสนุนหลักให้ผู้ชายหันมากินกันเอง
อย่างเป็นทางการซะขนาดนี้ จะให้มาหวั่นไหวกับนายเอเวอร์กรีนคงไม่มี 555
ไม่ทันไรก็มาถึงตอนที่ 7 ซะแล้ว(ก็อัพตอนสั้นๆเองนี่นะ)
เราก็หวังว่านักอ่านทุกท่านจะติดตามอ่านจนจบนะคะ
 :กอด1: ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านและเป็นกำลังใจให้เสมอมาค่ะ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 7 (#19) - 18/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: Mikanchan ที่ 18-06-2015 20:47:02
ใช่ค่ะ เราสนับสนุนให้ชายไทยหันมากินกันเอง คอนเฟิร์ม  :-[
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 7 (#19) - 18/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 18-06-2015 21:51:25
แหม ใครนะช่างแชร์ไปได้ อยากเห็นภาพนั้นจังเลยว่าจะออกมาหน้าตาเป็นยังไง
อ่านแล้วได้บรรยากาศของชีวิตในรั้วมหาลัยมากเลยครับ
ว่าแต่ว่ามันเป็นรักสามเส้าใช่ไหมครับ เหมือนจะไม่ใช่มีแค่กรีนกับฟิว แล้วมีใครอีกคนหว่า

อ้อ แอบงงๆ กับตอนที่น้องส้มจะถูกข่มขืนนิดนึงครับ ตกลงอะไรยังไง

 :L2: :pig4: :L1: :3123:
หัวข้อ: วันที่ 8 - 20/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 20-06-2015 22:16:37
วันที่ 8


23 พ.ค.

จะดีใจดีมั้ยนะที่ได้กลับมาเขียนสมุดเล่มเดิมอีกครั้ง
นี่ถ้าเป็นในหนัง ตอนจบผมกับคุณคงได้ลงเอยกันแน่ๆเลย
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ดีแน่ เพราะคุณกำลังแอบชอบใครอยู่อีกคนนี่นะ
ผมว่าไม่มีใครเป็นผู้แพ้ตั้งแต่เริ่มหรอก มีแต่แพ้เพราะไม่เริ่มมากกว่า
บันทึกวันนี้ขอเขียนสั้นๆแล้ว ไว้พรุ่งนี้จะเขียนเรื่องสนุกๆกว่านี้


24 พ.ค.

คิดว่าพอได้หลับสักตื่นแล้วน่าจะทำให้ลืมเรื่องบางเรื่องไปบ้าง แต่ไม่เลย
เรียนวิชานี้มาได้แค่ 5 วัน แต่ในความรู้สึกผมมันช่างยาวนานเหลือเกิน
เอาเข้าจริงๆที่ต้องมาเขียนไดอารี่ทุกวันมันก็ไม่ได้แย่อะไรเท่าไรนะ
อยากรู้มั้ยล่ะว่าอะไรที่แย่สำหรับผม...ก็ชีวิตของผมไง!
ดังนั้นวันหยุดแรกของซัมเมอร์นี้ ผมจึงใช้เวลาเกลือกกลิ้งอยู่ห้องทั้งวัน
ปิดช่องทางสื่อสารทุกชนิด เรียกว่าใช้ชีวิตออฟไลน์แบบสุดๆ
แต่ถึงอย่างนั้น วันหยุดของผมก็ยังถูกรบกวนด้วยเสียงเคาะประตูอยู่ดี


25 พ.ค.

อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเข้าวันจันทร์ซะแล้ว เวลาในวันหยุดช่างผ่านไปไวเหลือเกิน
ผมว่าคงไม่ได้มีแต่มนุษย์เงินเดือนหรอกที่ไม่ชอบวันจันทร์ นักศึกษาอย่างเรา
ก็ไม่ชอบวันจันทร์เหมือนกัน แต่เอาเถอะวันนี้ผมได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าไปกับ
การออกไปดูหนังและเดินตากแอร์ตั้งแต่เช้าจรดเย็น หนังค่อนข้างสนุก
ถึงจะมีบางช่วงที่ทำให้ผมรู้สึกงงๆไปหน่อยก็เถอะ
ถ้าพรุ่งนี้คุณได้เอาไปเขียนต่อ ช่วยเล่าเรื่องสนุกๆให้ผมอ่านบ้างนะ
เพราะผมรู้สึกว่าชีวิตของคุณคงมีเรื่องน่าตื่นเต้นมากกว่าผมแน่นอน


------


วิชาแรกของเช้าวันจันทร์ทำผมอยากกลับหอไปนอนซะรู้แล้วรู้รอด แต่เพราะมันเป็นวิชาบังคับซึ่งว่ากันว่าเลือกเรียนตอนซัมเมอร์ข้อสอบจะง่ายกว่าเทอมอื่นราวฟ้ากับเหว แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้ล้วนมาจากไอ้คนที่กำลังนั่งหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆอย่าง...


“เชี่ยฟิว เลิกคลาสแล้ว ไปหาไรแดกกัน”


“งืมมม...เช้าแล้วหรอ ฮ้าววว...” ไอ้ฟิวเงยหน้าขึ้นมาหาววอดใหญ่ก่อนจะฟุปลงไปอีก “ขออีกห้านาที”


“จะเที่ยงแล้วมั้ยสัส ตื่นๆ”


“อีกแปบนึง” ไอ้ฟิวส่งเสียงอู้อี้


ผมล่ะสงสัยจริงๆว่าไอ้ฟิวไปเพลียมาจากไหน เมื่อวานตอนไปดูหนังด้วยกันมันก็นั่งหลับไปเกือบค่อนเรื่อง ลำบากผมต้องมาสรุปเรื่องให้มันฟังอีกรอบตอนมันวีดีโอคอลมาช่วงหัวค่ำ


“ถ้ามึงไม่ตื่น งั้นกูไปแดกคนเดียวก็ได้” ผมยื่นคำขาด


“อย่าเพิ่งไป” ไอ้ฟิวที่ยังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะคว้ามือผมเอาไว้ “กูตื่นแล้ว”


ไอ้ฟิวเดินหาวนำลงจากอาคารเรียนรวมด้วยความเร็วสม่ำเสมอก่อนจะหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน เป็นผลให้คนที่เดินใจลอยตามหลังมาอย่างผมชนเข้ากับแผ่นหลังของมันอย่างจัง


“เชี่ยหยุดทำแมวไรวะ”


“ไอ้เลวที่พยามข่มขืนน้องส้มเดินอยู่นั่น” ฟิวชี้ไปที่ผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่ง


“พูดจริง?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ


“จริงดิ ไอ้คิวเอารูปให้พวกกูดูตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ตอนที่มึงไม่อยู่”


“ไอ้แว่นนั่นอ่ะนะ หน้าตาแม่งไม่น่าหื่นเลยว่ะ”


เท่าที่ผมสังเกตเห็นได้จากจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผู้ชายคนนั้นสูงพอๆกับผมแต่ตัวเล็กกว่า นั่นคือจุดแรกที่ทำให้ผมคลางแคลงใจว่าเขาจะฉุดกระชากจนกระดุมเสื้อนักศึกษาหญิงขาดได้อย่างไร จุดที่สองคือหน้าตาเนิร์ดๆกับหนังสือเล่มใหญ่ที่ถือเต็มสองมือที่ดูแล้วเนื้อหาคงจะวิชาการจ๋าแบบสุดๆ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่จะพยายามข่มขืนใครได้เลยสักนิด


“แม่งอาจจะเป็นพวกโรคจิตเงียบก็ได้”


“คือมึงจะให้กูไปกระทืบมันให้ได้ใช่ป่ะ” ผมถอนหายใจหน่ายๆ


“เปล่าเล๊ย กูแค่ออกความเห็นเฉยๆ”


“มึงเสียงสูง...”


“เออก็ได้ กูอยากเสือกเรื่องน้องส้ม กูอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าไอ้นั่นมันเหี้ยจริงกูจะได้ออกแรงกระทืบคนให้หายง่วง กูตอบแบบนี้พอใจมึงยังเชี่ยกรีน”


“เป็นผู้ชายอย่าขี้เสือกครับคุณฟิว” ผมตอบเรียบๆ


“มึงอ๊า กูอยากรู้จริงๆนะ น๊ะ” ไอ้ฟิวพยายามออดอ้อน “นะครับเอเวอร์กรีน”


“ไม่” ผมตอบอย่างเย็นชา


“เออได้!! งั้นกูบวกเองก็ได้ ชิ” พูดจบไอ้ฟิวก็เดินอาดๆเข้าไปหาไอ้แว่นที่กำลังจะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซในลานจอดรถ “เฮ้ยมึงอ่ะ มาเคลียร์กับกูแปบนึงดิ๊”


ไอ้แว่นที่อยู่ๆก็โดนชายผิวแทนหน้าตาหน้ากลัวเดินเข้ามาหาเรื่องหน้าซีดเป็นไก่ต้ม หันมองซ้ายขวาเลิกลั่กก่อนจะตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเมื่อไอ้ฟิวหยุดยืนอยู่ตรงหน้า


“เมื่อวันศุกร์มึงไปทำเหี้ยอะไรไว้กับแฟนเก่าเพื่อนกู”


“ค ค ค ใครทำอะไร ผมไม่รู้” ไอ้แว่นตอบ ปากสั่นพะงาบๆเหมือนปลาใกล้ตาย


“กูจะถามอีกครั้ง มึงไปทำเรื่องเหี้ยอะไรไว้กับแฟนเก่าเพื่อนกูที่ตึกอักษรเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา”


“ผ ผ ผมไม่ได้ทำ”


ตอแหล!!” ไอ้ฟิวตวาดลั่น นี่ถ้าเป็นฉากในละครหลังข่าวอาจจะมีฉากตบจูบด้วยก็ได้


“ผ ผมไม่ได้ทำจริงๆ!!” ไอ้แว่นที่กลัวจนตัวสั่นตอบกลับมาด้วยเสียงดังจนคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหยุดมอง


“เชี่ยฟิวใจเย็น” ผมพยามเข้าไปห้ามแต่ก็ถูกไอ้ฟิวตวาดกลับ


“มึงเย็นได้ไง ไอ้นี่มันพยามข่มขืนส้มนะ”


“ผมไม่ได้ทำนะ ทั้งหมดเธอเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้น!! ผมแค่เข้าไปคุยเพราะอยากให้เธอลบรูปที่แอบถ่ายไปแค่นั้น ผมไม่ได้จะข่มขืนใครนะ!!!” ไอ้แว่นพูดออกมาทั้งน้ำตา “ได้โปรดอย่าทำอะไรผมเลย”


“เชี่ยละ เข้าฉากดราม่าซะงั้น” ไอ้ฟิวพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง ทำให้ผมรู้ว่าที่มันเสียงดังเมื่อครู่เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น


“เรื่องนี้มึงผิดเต็มๆเลยเชี่ยฟิว” ผมดุไอ้ฟิวด้วยหางตาแล้วพูดปลอบไอ้แว่นที่เริ่มร้องไห้จนตัวโยน “เราขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะที่มันทำตัวสถุลกับนาย”


“เธอคนนั้น..ฮึก ถ่ายรูปเรากับแฟนไป...เราแค่อยากให้เธอลบรูปนั้น”


ผมฟังแล้วรู้สึกตงิดๆ เพราะสิ่งที่ไอ้แว่นเล่ามามันดูผิดวิสัยแฟนเก่าผมไปหน่อย ผมได้แต่เก็บคำถามนั้นไว้ในใจเพราะหันไปเห็นลุงยามกำลังเดินมาพร้อมกับนักศึกษาที่คงจะเดินไปตาม


“มีเรื่องอะไรกันเด็กๆ”


“ไม่มีอะไรครับลุง พวกผมกำลังซ้อมละครกันอยู่ฮะ” ไอ้ฟิวรีบแถกลบเกลื่อน


“ซ้อมกันสมจริงไปรึป่าว” ลุงยามมองด้วยสายตาจับผิด “ลุงรู้สึกเหมือนไอ้หนุ่มนี่จะโดนเธอสองคนข่มขู่ซะมากกว่า”


“แหม๋ลุง เคยดูละครของคุณพิศาลป่ะเนี่ย” ผมว่าให้ไอ้ฟิวแถจนสีข้างเหวอะลุงแกก็คงไม่เชื่อหรอก แม่งคิดได้ไงว่าลุงยามจะเชื่อ หลอกเด็กอนุบาลก็ว่าไปอย่าง


“เออๆ ทีหลังก็ไปซ้อมกันให้เป็นที่เป็นทางหน่อยแล้วกัน คนอื่นเขาตกอกตกใจกันหมด”


ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเมื่ออยู่ๆลุงแกจะหลงเชื่อคำโกหกของไอ้ฟิวขึ้นมาซะอย่างนั้น


“เอ่อนาย...ช่วยเล่าเรื่องเมื่อวันศุกร์ให้เราฟังหน่อยได้มั้ย”


“คือวันนั้นเรากำลัง...”


พลั่ก!!


กำปั้นลุ้นๆซัดเข้าเต็มแก้มซ้าย ผมรู้สึกถึงรสเค็มของเลือดที่อยู่ภายในปากขณะที่เห็นพื้นเริ่มเอียง ยังดีที่ไอ้ฟิวเข้ามาประคองไว้ทันก่อนที่หัวผมจะได้สัมผัสกับพื้นคอนกรีด


“เต้อย่า!!” ไอ้แว่นร้องห้ามไอ้ยักษ์ตัวเขียวที่เข้ามาต่อยหน้าผมก่อนที่หมัดสองกำลังจะปะทะเข้ากับแก้มไอ้ฟิวที่พยามปกป้องผม
ผมมองภาพไอ้ยักษ์กับไอ้แว่นแล้วก็พอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที


“นี่แฟนนายหรอ” ผมถามไอ้แว่นรู้สึกชาไปแก้ม


“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” ไอ้ยักษ์ตอบแทน


แม่งเอ้ย ทีซื้อหวยไม่เคยถูก


“ไอ้ฟิวไปกันเถอะ” ผมยันตัวลุกขึ้นโดยมีไอ้ฟิวช่วยประคอง “ขอโทษนะ พวกเราเข้าใจผิดไปเอง”


“มึงจะหนีไปไหน มาเคลียร์กันให้รู้เรื่องก่อนดิวะ”


“เต้พอแล้ว” ไอ้แว่นพยามใช้แขนเล็กๆดึงเจ้ายักษ์ที่กำลังโกรธจัดเอาไว้อย่างสุดกำลัง "พวกนั้นแค่เข้าใจผิด"


-------


“กรีนมึงโอเคมั้ย เจ็บมากป่าว เชี่ย!! ปากมึงแตก กล่องพยาบาล..มึงต้องไปทำแผล เดี๋ยวกูพาไปโรงบาลนะ” ไอ้ฟิวกระวีกระวาดเหมือนคุณแม่ที่เห็นลูกหกล้มเป็นครั้งแรก


“มึงหยุดแตกตื่นก่อนได้มั้ย กูแค่โดนต่อย ไม่ได้โดนสิบล้อชน” พอเห็นไอ้ฟิวเริ่มสงบลงผมก็พูดต่อ “ยังอยากเสือกเรื่องน้องส้มอยู่มั้ย”


“ถ้าต้องให้มึงไปโดนต่อยอีกกูไม่อยากเสือกแล้วก็ได้”


“แสดงว่ายังอยากรู้”


“ก็นิดนึง...” ไอ้ฟิวยิ้มแห้งๆ


“ถ้างั้นกูจะสรุปให้ฟังเป็นบุญหูมึงแล้วกัน” ผมยกยิ้มน้อยๆและเล่าเรื่องราวตามแบบที่ผมเข้าใจให้ไอ้ฟิวฟัง “เรื่องมันเกิดจากน้องส้มไปถ่ายรูปสองคนนั่นและนายแว่นก็อยากให้ลบรูปที่ถ่ายไป”


“เดี๋ยวๆ ไม่เห็นมันจะเหมือนเรื่องเดียวกันตรงไหน” ไอ้ฟิวพูดขัด


“กูก็กำลังจะอธิบายอยู่นี่ไง” ผมกรอกตาเซงๆ “น้องส้มเข้าใจผิดว่าหมอนั่นจะเข้ามาจีบ ก็เลยปฏิเสทแล้วก็ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนยังไง แต่ไอ้แว่นคงพยายามจะแย่งมือถือส้มแล้วพลาด”


“พลาดไปดึงเสื้อน้องส้มว่างั้น...โอเค กูไม่ขัดก็ได้ เชิญเล่าต่อเลยครับ”


“กูก็เพิ่งคิดได้ว่า ส้มก็ไม่เคยพูดว่าจะมีใครมาข่มขืนเพราะตอนนั้นเธอใช้คำว่า ‘ใช้กำลัง’ ตรงนี้แหล่ะที่กูมโนเองแล้วไปเล่าให้พวกฟังมึงต่อแบบผิดๆ”


“โอ้โห สุดยอดไปเลยครับมิสเตอร์เอเวอร์กรีน” ไอ้ฟิวตบมือเปาะแปะอย่างชื่นชม


“หวังว่าไอ้แว่นจะอธิบายให้แฟนมันเข้าใจนะว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด...” และผมก็ฉุดคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยวสิ นี่ทำไมคนที่เข้าไปบวกแฟนชาวบ้านแบบไม่ดูตาม้าตาเรือถึงไม่โดนต่อย แต่ไอ้คนเข้าไปช่วยปลอบโดนเสยเต็มแก้มวะ แม่ง โคตรจะไม่แฟร์”


“งั้นกูให้มึงต่อย” ไอ้ฟิวหยุดเดิน และทำหน้าเหมือนจะให้ผมต่อยมันจริงๆ


“ไม่เอาอ่ะ”


“ทำไมอ่ะ นี่กูให้มึงต่อยจริงๆนะ ต่อยมาเลยไม่ต้องเกรงใจ”


“ต่อยมึงแล้วกูหายเจ็บหรอ” ผมพูดตัดรำคาญ


“เอ่อ...”


“ต่อยกูเถอะ กูไม่เจ็บหรอก” ไอ้ฟิวยังตื้อไม่เลิก


“คือว่า..พวกนายช่วย...”


“มึงจะบอกว่าหมัดกูเบา” ผมเริ่มยั๊วะ


นี่ไอ้ฟิวจะสื่อว่าหมัดผมมันเบาเหมือนหมัดผู้หญิงสินะ ไม่ด่ากูว่าตุ๊ดเลยล่ะ ฮึ้มมมม!!


“เอ่อ ขอโทษนะ ขอเรา...”


ไม่เห็นรึไงวะ ว่าคนเขากำลังคุยกันอยู่!!” ผมกับไอ้ฟิวหันไปตวาดใส่ใครอีกคนที่ส่งเสียงงุ้งงิ้งน่ารำคาญมาตั้งแต่เมื่อกี้อย่างพร้อมเพรียง


“เอ่อ เราขอโทษ...” คนโดนดุหน้าจ๋อยไปเล็กน้อย


“อ่ะ..โทษทีไม่ได้ตั้งใจ” ไอ้ฟิวรีบขอโทษ


ผมมองหน้าอีกฝ่ายแล้วรู้สึกคุ้นอย่างประหลาด เหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก


“ไม่เป็นไร...เราชื่อมอลต์ เรียนHRเซคเดียวกับพวกนาย”


“HR?” ไอ้ฟิวทวนคำก่อนจะร้องอ๋อออกมา “อ้อ Human Relationships...แล้วไง มีอะไรกับพวกเราหรอ”


“ค คือว่าเรา...” คนชื่อมอลต์อ้ำอึ้งในขณะที่ผมเริ่มคิดเรื่องเก่าๆขึ้นมาได้อีกเรื่อง


ฉิบหายล่ะกู...


คือว่าเราแอบชอบนายมานานแล้ว!!


-------------------------------------------------
บ๊ะแล้วค่า  :hao7: ไม่ทันไรก็โดนผู้ชายบวกซะแล้วค่า ฮ่าๆ
พิมพ์จบตอนแล้วเพิ่งได้สติ o22 เอเวอร์กรีนโดนต่อย!? #เก๊าขอโต้ด
หวังว่านักอ่านทุกท่านคงยังไม่ลืมมอลต์นะคะ
ก็คนที่โผล่มาแวบๆในห้องน้ำตอนนั้นไง
(ตอนที่เท่าไรคนแต่งก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน อิอิ)
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ สงสัยอะไรพิมพ์ถามได้เลย :bye2:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 8 (#22) - 20/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: Mikanchan ที่ 20-06-2015 23:13:09
ธ่อวววว เรื่องนี้มันน่าตบนายเอเวอร์กรีนจริง พูดซะมโนไปไกลเลย พูดไรไม่เคลียร์นะเรา (._. )
ปล.มอลต์มีบทกะเค้าสักที //ปรบมือ
หัวข้อ: วันที่ 9 - 25/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 25-06-2015 11:45:52
วันที่ 9


“คือว่าเราแอบชอบนายมานานแล้ว!!” คนชื่อมอลต์พูดออกมาด้วยเสียงค่อนข้างดัง แต่คนที่เขาพูดด้วยไม่ใช่ผม


ตอนนี้ผมนึกออกแล้วว่านายมอลต์อะไรนี่เป็นใคร เขาคือผู้ชายตัวควายๆที่ทำท่าสะดีดสะดิ้งในคลาสเมื่อคราวก่อน ไม่นึกเลยว่าหมอนี่จะชอบผู้ชาย


“เอ่อ...” ไอ้ฟิวยิ้มแห้งๆเหมือนไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่อย่างไรดี


“ไม่เป็นไร เราเข้าใจว่านายคงตอบรับความรู้สึกเราไม่ได้เพราะนายมีนายสปอตไลท์อยู่แล้ว เราแค่อยากบอกให้นายรู้เฉยๆ” มอลต์ยิ้มด้วยสีหน้าสบายๆ


เดี๋ยวก่อนนะ...สปอตไลท์นี่หมายถึงกูหรอ?


“ไม่ใช่แบบนั้น..คือฉันไม่ใช่เกย์” ไอ้ฟิวตั้งสติตอบ


“อ่าว ก็นายสองคน...” นายมอลต์มองหน้าไอ้ฟิวกับผมสลับกันแล้วฉีกยิ้มกว้าง “งั้นเราก็ยังมีหวังอยู่สินะ”


“เคลียร์กันเองนะ กูไปละ” ผมรีบชิ่งเดินเข้าห้องเรียนมาก่อนแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกและแน่นอกแปลกๆ


“นาย” ใครสักคนสะกิดเรียก


“มีอะไรหรอ” ผมถามกลับ


“ไอ้มอลต์มันได้ไปสารภาพรักกับนายป่ะ”


ผมถอนหายใจหนักพลางส่ายหัวแทนคำตอบ เดาได้ทันทีว่าหมอนี่คงเป็นใครอีกคนในห้องน้ำวันนั้น


“อ่าว เห็นมันบอกจะไปสารภาพรัก นึกว่ามันไปหานายซะอีก แล้วมันไปสารภาพรักกับใครวะเนี่ย” เพื่อนนายมอลต์เกาหัว


“เพื่อนนายกำลังคุยกับเพื่อนเราอยู่” ผมช่วยตอบแทน รู้สึกอึดอัดและเจ็บหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก


“เฮดว้ากหรอ?”


“...อืม”


“แม่งเข้าใจผิดแหง๋ๆ อาทิตย์ก่อนมันยังบอกว่าชอบนายอยู่เลย” เพื่อนนายมอลต์ทำหน้ายุ่ง


“อ่าวโก้รู้จักเพื่อนฟิวด้วยหรอ” นายมอลต์ส่งเสียงทัก


ผมรู้สึกเหมือนจะเห็นคำว่าความสุขลอยอบอวลอยู่รอบๆตัวหมอนี่ด้วย ดูแล้วรู้สึกขัดใจยังไงก็ไม่รู้สิ


“เฮ้ย ชื่อเข้ากันดีนะ มอลต์กับโกโก้” ไอ้ฟิวพูดแซว ดูไม่ทุกข์ร้อนกับการโดนผู้ชายสารภาพรักเท่าไรแล้ว


“ไม่หรอกๆ ชื่อเราไม่เข้ากันสักนิด” นายมอลต์รีบปฏิเสธ


“กูชื่อตะโก้ ไม่ใช่โกโก้” นายโก้รีบแก้ก่อนหันไปคุยกับเพื่อนตัวเอง “เชี่ยมอลต์ไหนมึงบอกชอบหมอนี่ไม่ใช่หรอ ทำไมไปสารภาพรักกับเฮดว้ากวะ”


“อ่าวนายสปอตไลท์ไม่ใช่เฮดว้ากหรอกหรอ ผ่านคณะเกษตรทีไรเห็นนายนี่นั่งคุมซ้อมว้ากทุกที”


อ่อ สรุปไอ้มอลต์อะไรนี่เข้าใจผิดว่าผมเป็นเฮดว้ากสินะ...แล้วนี่มึงจะเรียกกูว่าสปอตไลท์อีกนานมั้ย


“กูไม่ได้ชื่อสปอตไลท์”


“ไอ้กรีนไม่ได้ชื่อนั้น”


ผมกับไอ้ฟิวพูดออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ดูเหมือนไอ้ฟิวเองก็ไม่ชอบที่ผมถูกเรียกแบบนี้


“ขอเวลาแปบนึงนะ ถ้ากูจำไม่ผิด วันนั้นกูถามมึงว่า มึงชอบคนขาวๆที่นั่งข้างเฮดว้ากเกษตรใช่มั้ย” เพื่อนนายมอลต์ค่อยๆเรียบเรียงเรื่องช้าๆก่อนจะชี้มาที่ผม “กูหมายถึงไอ้หมอนี่นะ”


“อย่างนายนี่ไม่เรียกว่าขาว เขาเรียกซีด” นายมอลต์พูดด้วยเสียงจริงจังแล้วชี้ไปที่แขนไอ้ฟิวบ้าง “นี่สิขาว”


“โอ้ย กูไม่เข้าใจมาตรฐานมึงเลยจริงๆ” นายโก้ดูหัวเสีย


อย่าว่าแต่นายโก้เลยที่ไม่เข้าใจ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ ดูยังไงไอ้ฟิวก็ผิวแทนชัดๆมองยังไงว่าขาววะ


“กูก็ไม่ได้ขอให้มึงเข้าใจนี่”


“ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันนะ” ไอ้ฟิวช่วยห้ามทัพ


คือจะเข้าใจผิดยังไงก็ไม่รู้ล่ะ แต่ช่วยไปเถียงกันไกลๆได้มั้ยวะครับ ทำไมต้องมาคุยกันข้ามหัวกูด้วย


ผมไม่ได้พูดอะไรออกมา ทุกอย่างยังเป็นแค่กระบวนการทางความคิดเท่านั้น


“คาบนี้พวกเราย้ายมานั่งข้างพวกนายดีกว่า” นายมอลต์พูดขึ้นก่อนจะรีบไปเอากระเป๋ามาวางที่เก้าอี้ที่ยังว่างข้างๆไอ้ฟิว และจัดแจงวางกระเป๋านายโก้ลงข้างผม


ตลอดคาบที่แสนน่าเบื่อ นายมอลต์พยามชวนไอ้ฟิวคุยจนผมต้องทำหน้าที่แลคเชอร์อยู่คนเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมหงุดหงิดเท่าต้องทนฟังเสียงกรนของนายโก้ที่ฟุบหลับอยู่ข้างผมทั้งคาบ


“เอเวอร์กรีนคร้าบ ยิ้มหน่อยสิครับ” ไอ้ฟิวพูดกับผมด้วยเสียงเหมือนมันกำลังอ้อนแฟน “อย่าหน้าบึ้งใส่ฟิวนะครับ นะๆ”


“หยุดทำเสียงแบบนั้นซะที กูรำคาญ” ผมพูดเสียงห้วน


“ผัวเมียทะเลาะกันวุ้ย” ใครสักคนพูดแซวแต่ผมไม่สนใจ


“กูทำอะไรให้มึงโกรธอีกเนี่ย”


“กูไม่ได้โกรธอะไรมึงสักหน่อย”


“งั้นก็ยิ้มให้กูดูสิ” ไอ้ฟิวยืนกอดอกมองผมด้วยสายตาเหมือนตอนที่มันมองรุ่นน้องที่มันกำลังว้าก


“ถ้ากูไม่ยิ้ม มึงจะว้ากกูหรอ”


“ก็ไม่แน่”


“งั้นกูยิ้มก็ได้...พอใจยัง”


“แบบนี้เขาเรียกแยกเขี้ยวไอ่ห่า” ไอ้ฟิวทำหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันไปพูดกับว้ากเกอร์ที่มารอซ้อมตามปกติ “วันนี้พวกมึงกลับเลยแล้วกัน กูไม่มีอารมณ์”


เหล่าว้ากเกอร์ทำตามคำสั่งเฮดอย่างว่าง่ายแต่ไม่วายแซวส่งท้ายเฮดว้ากส่งท้าย


“อยากมีอารมณ์คงต้องไปคุยกันบนเตียงซะละมั้งพี่ฟิว”


“ฮิ้ววววววววว..”


“พอเลยพวกมึง เดี๋ยวได้โดนกูเตะเรียงตัว” ไอ้ฟิวขู่ซึ่งบอกเลยว่าไม่ได้ดูน่ากลัวสักนิด


เมื่อทุกคนกลับไปจนหมด ไอ้ฟิวก็ชวนผมไปกินนมปั่นหน้ามอ ระหว่างที่กินมันก็ไม่ได้พูดเซ้าซี้อะไรให้ผมรำคาญใจ ราวกับเรื่องที่เราเถียงกันเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น


“เดี๋ยวค่ำๆกูคอลหานะ” นี่คือประโยคแรกที่ไอ้ฟิวพูดกับผมในขณะที่ผมกำลังจะก้าวเข้าหอพัก


ผมหันไปพยักหน้าตอบและเดินขึ้นห้องไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งและโหยหาที่นอนอย่างหนัก ดังนั้นเมื่อเข้าห้องได้ผมจึงเดินไปทิ้งตัวลงที่เตียงทันที


ผมหลับลึกกว่าทุกครั้งทั้งยังไม่ได้เปิดเสียงแจ้งเตือนไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนช่วงบ่าย กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ใกล้เข้าวันใหม่ไปแล้ว โทรศัพท์ส่งเสียงสั่นครืดคราดอยู่ในกระเป๋าซึ่งกว่าผมจะควานหาเจอปลายสายก็วางไปเสียแล้ว


‘Garfield 74 miscall’

‘Fieldzila : รับสายกูที ได้โปรด’



บนหน้าจอแจ้งเตือนข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาหาและ miscall จำนวนมากจากไอ้ฟิวจนผมอดตกใจไม่ได้ ในขณะที่กำลังจะกดเปิดอ่านข้อความเสียงคุ้นหูก็ดังมาจากอีกฟากของประตู


“เชี่ยกรีนถ้ามึงอยู่ข้างในช่วยมาเปิดประตูที มึงเล่นแบบนี้กูไม่ขำนะ” ไอ้ฟิวทุบประตูเสียงดังซ้ำน้ำเสียงยังดูร้อนรนผิดปกกติ


ผมรีบลงจากเตียงไปเปิดประตูท่ามกลางความมืด และทันทีที่ประตูเปิดออกไอ้ฟิวก็รวบตัวผมเข้าไปกอด


“เชี่ย ปล่อยกู” ผมพยามดันตัวมันออก


“ทำไมไม่รับสายกู” ไอ้ฟิวถามทั้งที่ยังกอดผมไว้แน่น “กูติดต่อมึงไม่ได้ตั้งหลายชั่วโมง”


“ก็กูหลับ” ผมตอบหน่ายๆ “ปล่อยกูก่อนได้มั้ย เชี่ยเอ้ย อย่างน้อยก็ปิดประตูก่อนเถอะกูอายเขา”


ไอ้ฟิวคลายอ้อมแขนออกอย่างว่าง่ายทำให้ผมสามารถไปปิดประตูที่เปิดอ้ารับสายตาสอดรู้สอดเห็นของห้องใกล้เคียงได้ในที่สุด


เออดี เดี๋ยวคงได้ลือกันทั้งหอว่ากูเป็นเกย์


“มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย” ผมถามกึ่งตวาด


“ก็มึงไม่รับสายกู กูส่งข้อความมาเท่าไรมึงก็ไม่อ่านไม่ตอบ”


“...ก็กูหลับ แล้วโทรศัพท์ก็ไม่ได้เปิดเสียง” ผมพยามพูดอย่างใจเย็น


“จริงนะ มึงไม่ได้โกหกกูใช่มั้ย”


“เอ้า แล้วกูจะโกหกมึงทำไมเนี่ย”


“แล้วกูจะรู้หรอว่ามึงจะโกหกกูทำไม คราวก่อนมึงก็...” ไอ้ฟิวชะงักไปเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา


“คราวก่อนกูทำไม” ไอ้ฟิวเม้มปากแน่นบอกเป็นนัยว่ามันไม่อยากพูด ดังนั้นผมเลยต้องสวมบทโหดเพื่อเค้นความจริงจากปากมัน “ถ้ามึงไม่พูดก็ออกจากห้องกูไปเดี๋ยวนี้เลย”


“มึงโกหกกูเรื่องสมุดบันทึก” ไอ้ฟิวยอมพูดในที่สุด “กูรู้ว่าวันนั้นมึงได้สมุดเล่มเดิมมาเขียนแล้วมึงไม่ได้เขียนบันทึกเรื่องกู”


“มึงแอบอ่านสมุดบันทึกกู...” ผมพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว ในที่สุดผมก็เข้าใจความหมายของคำพูดมันเมื่อตอนนั้น


“ถึงกูจะรักมึง แต่มึงก็รู้ว่ากูเกลียดคนที่โกหกกูยิ่งกว่าอะไรใช่มั้ยกรีน”


“ก็กูอยากรู้ว่ามึงเขียนอะไรถึงกู แต่มึงแม่ง...มึงโกหก” ไอ้ฟิวพูดด้วยเสียงคล้ายจะผิดหวังแล้วยิ้มหยัน “แต่กูคงจะว่าอะไรมึงไม่ได้ เพราะคนที่โกหกมากที่สุดคือกูนี่แหล่ะ”


“มึงหมายถึงอะไร กูไม่เข้าใจ...”


“กูชอบมึงกรีน ชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทุกวันนี้กูก็ยังชอบมึงอยู่แต่กูไม่เคยพูดออกมาเพราะกูกลัวจะเสียเพื่อนดีๆแบบมึงไป” ไอ้ฟิวค่อยๆระบายความในใจที่พยามเก็บซ่อนไว้ออกมา “มึงจำขยะในกระเป๋ากูที่มึงเอาไปทิ้งได้มั้ย ใบเสร็จพวกนั้นคือช่วงเวลาที่กูเคยใช้ร่วมกับมึง...มึงคงไม่เข้าใจความรู้สึกที่อยู่ๆก็รู้ว่าตัวเองแอบชอบเพื่อนสนิท...กูไม่ได้อยากเป็นเกย์...เชี่ยเอ้ย รู้ตัวอีกทีกูก็เผลอชอบมึงไปแล้ว จะให้กูทำยังไงวะ”


เรื่องราวอีกด้านที่ผมไม่เคยรับรู้พรั่งพรูออกมาจากปากของมัน และถ้อยคำเหล่านั้นก็กำลังบีบรัดหัวใจของผมจนเจ็บแปลบ ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้สุขใจอย่างบอกไม่ถูก


“...อย่าเกลียดกูนะกรีน” ไอ้ฟิวคว้ามือผมไปกุมไว้หลวมๆ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่กำลังอ้อนวอนนั้นปราศจากการเสแสร้ง


“กู-”


‘บอกว่าร๊าก ร๊าก ร๊ากฉานโกโหกท้างน้าน~ ’ โทรศัพท์ไอ้กรีนแผดเสียงลั่น ผมถอนหายใจและกลืนคำที่กำลังจะพูดลงคอ


“มึงรับสายก่อนเถอะ”


“แต่...”


“กูไม่หนีไปไหนหรอก”


“ก็ได้...ฮัลโหลครับแม่...อ่อ พอดีนึกขึ้นได้ว่าต้องช่วยไอ้กรีนทำรายงาน...ครับ...” ไอ้ฟิวจับมือผมไว้ตลอดในขณะที่มันคุยกับแม่มัน


แม่งคิดได้ไงวะ เพิ่งนึกได้ว่าต้องช่วยเพื่อนทำรายงานตอนเกือบเที่ยงคืน...ผมแอบขำกับข้ออ้างโง่ๆของมัน


ทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่คนโกหกเก่งแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงไม่เคยรู้เลยนะว่าไอ้ฟิวมันแอบชอบผมอยู่


“ครับ...คืนนี้คงค้างหอไอ้กรีน...ครับ...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ...” ไอ้ฟิวหน้าจ๋อยท่าทางจะโดนหญิงแม่สวดชุดใหญ่


“โดนหม่อมแม่เทศไปกี่กัณฑ์ล่ะ” ผมสัพยอกทันทีที่ไอ้ฟิววางสาย


“แล้วเพราะใครล่ะกูถึงต้องโดนเทศแบบนี้” ไอ้ฟิวกระเง้ากระงอด


“กูหลับนี่มันผิดมากใช่มะ”


“เปล่า...กูไม่ได้จะว่างั้น...กูขอโทษ” ไอ้ฟิวหลุบตาลงต่ำและพูดนำเข้าประเด็นที่คุยค้างเอาไว้ “เมื่อกี้ก่อนโทรศัพท์ดัง มึงจะพูดอะไร”


“แล้วมึงพูดว่าอะไรนะ ก่อนโทรศัพท์จะดัง”


“มึงนี่แม่งโคตรความจำสั้น” ไอ้ฟิวทำหน้าน้อยใจก่อนจะพูดประโยคนั้นออกมาอีกรอบ “มึงอย่าเกลียดกูนะกรีน”


“กูขอคิดก่อนแล้วกัน”


“...” ไอ้ฟิวไม่พูดอะไรแต่มันกำลังมองผมด้วยสายตาที่อ่านได้ว่า ‘มึงนี่มันกวนตีน’


“ขอเวลากูคิดนิดนึง กูเพิ่งตื่นสมองกูยังไม่ทำงาน”


“คิดนานระวังกูโดนแย่งไปนะ” ไอ้ฟิวพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงแต่ไม่รู้ทำไมคำพูดของมันถึงทำให้ผมปี๊ด


“งั้นก็เอาไปเลย กูยกให้”


“...นี่มึงโกรธอะไรกูอีกแล้วเนี่ย” ไอ้ฟิวขมวดคิ้ว


“โกรธอะไร? กูแค่บอกว่ากูยกให้ไม่ต้องแย่งก็แค่นั้น”


“มึงจะยกกูให้ไอ้มอลต์จริงดิ”


“ก็ดูเข้ากันได้ดีไม่ใช่รึ...ไง” ผมรู้สึกปรับอารมณ์ไม่ทันเพราะอยู่ๆไอ้ฟิวก็หน้าแดงขึ้นมาซะอย่างนั้น “หน้าแดงอะไรของมึงเนี่ย”


“...ก็มึงหึงกู...แม่งเอ้ย ดีใจว่ะ”


“หึงพ่อง!!!” พูดไปแล้วก็รู้สึกเหมือนหน้าตัวเองกำลังเห่อร้อนอย่างผิดปกติ ซ้ำหัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนนางเอกในการ์ตูนตาหวานอีกด้วย


“มึงนี่มัน ฮ่าๆ” ไอ้ฟิวใช้มือขยี้หัวผมจนยุ่งแบบที่มันชอบทำเป็นประจำและหัวเราะเสียงดัง


“เชี่ยฟิวหยุดขยี้หัวกูซะที” ผมโวยวายพยามปัดมือมันออกแต่ไอ้ฟิวก็ยังหัวเราะไม่หยุด


“น่ารักจริงๆ My everygreen” พูดจบมันก็ขโมยหอมแก้มผมไปหนึ่งฟอด


ส่วนผมที่ยังอึ้งอยู่ก็ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหินเท่านั้น...



---------------------------------------------------
ยังค่ะ ยังไม่จบ แต่ตอนหน้าคงจบแน่ๆ  o13
จำไม่ได้ว่าค้างคลายปมตรงไหนอีก คิดว่าน่าจะ
เหลือแค่เรื่องใครเป็นคนเขียนบันทึกอีกเล่ม
ซึ่งนักอ่านทุกคนคงจะพอเดาได้อยู่แล้ว
เอาเป็นว่า...แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
:กอด1:   :bye2: บายยยยยย~
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 9 (#24) - 25/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 25-06-2015 11:57:03
ฮิ้วววววว ในที่สุดก็เผยตัวซะที อิๆ
บอกรักแล้วยังไงต่ออะครับ ฟิวจะค้างคืนกับกรีนใช่ไหม ตอนหน้าจะมีอะไรหรือเปล่า  :z1:
เข้าใจอารมณ์คนอ่านนิยายละ บางทีก็ลุ้นให้บอกรักกันซะที แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะบอก
ว่าแต่มอลต์เนี่ยมาไง อยู่ดีๆ ก็มาสารภาพรักเขาซะงั้น

ขอบคุณที่มาต่อนะครับ
 :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:

Sarawatta
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 9 (#24) - 25/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: ชอร์ปสติ๊ก ที่ 26-06-2015 15:50:44
ว้ายยยยยยยยยย
เงิบจริงอะไรจริง และอมยิ้มกับเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ น่ารักมากกกกกกกกกก(ก.ไก่ล้านตัว)
ตลกอ่ะ แต่ละคนเข้าใจผิดกันไปหมดเลย เรื่องน้องส้มนี่ก็ใช้ได้เลย..... ที่ฮาสุดคือมอลต์ คิดไปได้ 5555 เอเวอร์กรีนเป็นเฮดว๊าก ได้ข่าวว่าไม่ดื่มเหล้าแต่จะดื่มนมปั่นหน้ามอนะคะ แหมมมมมม  :ruready

รอตอนจบใจจดใจจ่อค่า ขอบคุณคนเขียนสำหรับเรื่องสนุกๆ อ่านแล้วอบอุ่น หวานๆ น่ารักๆ แบบนี้นะคะ  :L1: :pig4:

ปล. ถ้าคนเขียนว่างเราก็อยากอ่านตอนพิเศษนะคะ :-[ แต่ถ้าไม่ก็ไม่เป็นไรค่ะ อ่านซ้ำได้ ฟินเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 9 (#24) - 25/06/15
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 26-06-2015 22:35:35
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ น่ารักดีนะคะ ชอบมากๆๆๆๆ

รอมาต่อนะคะ
หัวข้อ: สอบถามความคิดเห็น
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 01-07-2015 14:20:28
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน เพื่อไม่ให้เสียเวลาขอเข้าเรื่องเลยนะคะ

จากตอนที่แล้ว(ตอนที่ 9) เราได้เกริ่นไว้นิดๆว่าตอนต่อไป(ตอนที่ 10) จะเป็นฉากจบของเรื่อง
ซึ่งในขณะที่กำลังพิมพ์ตอนที่ 10 ในสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ๆเราก็เกิดความรู้สึกว่า "อยากจะแต่งต่อ"
และความคิดเล็กๆที่แทรกเข้ามานี้ทำให้เนื้อเรื่องตอนที่ 10 ของเราเกิดทางแยก

ทางหนึ่งคือจบเรื่องแบบที่คิดไว้ในตอนที่ 9

อีกทางคือปูเนื้อเรื่องสู่ตอนที่ 11 12 13... และต่อๆไป

สุดท้ายคือเนื้อเรื่องยังคงจบที่ 10 ตอนเหมือนเดิม แต่ มีตอนพิเศษ


ดังนั้นเราจึงได้ทำโพลขึ้นมาถามนักอ่านค่ะว่า อยากให้เรื่องยาวกว่านนี้ ละเอียดกว่านี้รึเปล่า??

*** เพิ่มเติมนิดนึงสำหรับใครที่เลือกตอบว่า "ใช่" รบกวนเพื่อนๆเม้นบอกด้วยได้มั้ยคะว่าเลือกแบบไหน

A มีต่อ 11 12 13...

B จบ 10 ตอน แต่มีตอนพิเศษ


หมายเหตุ ตอนพิเศษจะเป็นเนื้อเรื่องในมุมของกาฟิว หรืออาจจะเป็นมอลต์ หรืออาจจะมีทั้ง 2 คน(คนละตอน)



ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านเป็นอย่างสูง
Hina
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ สอบถามความคิดเห็น - 01/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 01-07-2015 14:57:58
โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบอ่านตอนพิเศษเท่าไหร่น่ะครับ อยากให้เป็นเรื่องต่อเนื่องไปจนจบเลย 13 ตอนก็ได้ครับ

Sarawatta
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ สอบถามความคิดเห็น - 01/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 01-07-2015 17:19:35
B ค่ะ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ สอบถามความคิดเห็น - 01/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: ชอร์ปสติ๊ก ที่ 02-07-2015 01:15:02
เรชอบแบบตอนพิเศษมากกว่าค่ะ เรารู้สึกว่ากาฟิวกับเอเวอร์กรีนทำให้เราอิ่มแล้ว  :-[ มีตอนพิเศษพอกรุบกริบๆ เป็นของหวาน ถ้าเป็นตอน 11 12 13... อาจจะเยอะเกินไปสำหรับเราค่ะ แล้วเราก็จะทานไม่ไหว ถ้าให้เลือก อยากเลือกทานจานใหม่เลยมากกว่าค่ะ เช่น เรื่องของมอลต์ เป็นต้น ครุคริ  :ruready
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ สอบถามความคิดเห็น - 01/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 02-07-2015 02:14:51
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกดีนะครับ ลุ้นไปกับตัวละครมาก

ตอนแรกก็เดาว่าใครจะรักใคร
สุดท้ายเพื่อนก็แอบรักเพื่อนนี่เอง 5555+

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ สอบถามความคิดเห็น - 01/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 02-07-2015 02:25:03
อ่าาาา ส่วนตัวชอบอ่านเรื่องยาวค่ะ

เราว่าต่อไปอีกก็ได้แล้วค่อยมีตอนพิเศษ

ตามแต่ใจคนแต่งเลยค่ะ ออกมากี่ตอนเราก็ชอบก็อ่านหมด

รอมาต่อนะคะ สู้ๆๆๆๆๆๆ

หัวข้อ: วันที่ 10 - 06/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 06-07-2015 14:57:59
วันที่ 10


“เชี่ยกรีน อย่าทำเหมือนกูจะข่มขืนมึงได้มั้ย กูยังมีส่วนที่เป็นผู้ชายอยู่นะเว้ย”


“แสดงว่าที่หอมแก้มกูนี่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นผู้ชายของมึงสินะ” ผมสวนกลับพลางกระชับผ้าห่มในมือให้แน่นขึ้น


“กูเหนื่อยจะเถียงกับมึงแล้ว” ไอ้ฟิวทิ้งตัวลงบนที่นอนก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายอย่างไม่ยี่หระ “ตามใจมึงแล้วกัน กูขอตัวไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนละ ฮ้าววว...”


ขณะนี้เวลา 2 นาฬิกา หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ตีสอง’


ผมซึ่งเป็นเจ้าของห้องนั่งคุดคู้อยู่ในผ้าห่มมองเพื่อนสนิทที่เพิ่งสารภาพรักกับผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนอนแสนอบอุ่นของผม ดีนะที่ช่วงหัวค่ำผมได้หลับจนเต็มอิ่มไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงได้นั่งสัปหงกแบบในละครหลังข่าวแน่ๆ


ในระหว่างที่กำลังนั่งจ้องไอ้ฟิวอยู่ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมยังไม่ได้เขียนไดอารี่ซึ่งเป็นการบ้านของวิชามนุษยสัมพันธ์เลย


เมื่อเปิดสมุดออกก็เป็นตามคาด วันนี้ผมได้สมุดเล่มเดิมกลับมาเขียนอีกครั้ง


22 พ.ค.

อาจดูเหมือนเสียมารยาท แต่ผมเพิ่งสังเกตว่าลายมือของคุณ
เป็นลายมือเดียวกันกับที่เขียนในสมุดบันทึกอีกเล่ม
วันนี้มีคนดรอปไปหลายคน ตอนแรกผมแอบภาวนาให้
คุณเป็นหนึ่งในคนที่เลือกดรอปวิชานี้ไป แต่คุณก็ยังอยู่ (ฮ่ะๆ)
จริงๆผมว่าตอนนี้ก็เริ่มทำใจกับเรื่องเขียนไดอารี่ซ้ำๆได้แล้ว
ถ้าหากพรุ่งนี้เป็นคุณคนเดิมที่ได้ไปเขียนอีก คราวหน้าผมจะ
เขียนเล่าเรื่องที่มันมหัศจรรย์กว่าเรื่องบันทึกของเราสองคน
ให้คุณอ่านดีมั้ย?


23/05

เราแทบจะอดใจรออ่านเรื่องมหัศจรรย์ที่นายจะเล่าไม่ไหว
วันนี้ในคลาสครึกครื้นและสนุกกว่าทุกวันเลยนายคิดว่างั้นมั้ย
กลุ่มสุดท้ายทำเราช๊อกสุดๆไปเลย ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำ
อย่างนั้นในห้องเรียน ถึงมันจะเป็นแค่การแสดงก็เถอะ
สงสัยจังว่าพรุ่งนี้นายวางแผนจะทำอะไรบ้าง
ไว้เราจะรออ่านวันจันทร์นะ อิอิ (จะเป็นไปได้รึเปล่านะ)


24/05

เรื่องเมื่อวานกลายเป็นหัวข้อพูดคุยของทุกคนไปซะแล้ว
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นใครถ่ายรูปเอาไว้ (มุมดีซะด้วย)
แต่ที่เราสงสัยมากกว่าคืออีกรูปนึงที่แชร์มาในวันเดียวกัน
รูปที่นาย A (นามสมมติ) เดินถอดเสื้ออุ้มผู้หญิงคนนึง
ที่หน้าตึกอักษร รูปนี้ทำให้เราค่อนข้างมีความหวัง...


“นี่มึงได้สมุดเล่มเดิมกลับมาเขียนอีกแล้วหรอ” เสียงไอ้ฟิวที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาผมตกใจจนเกือบตกเก้าอี้


“เชี่ยฟิว โผล่มายังกับผีเดี๋ยวกูหัวใจวายทำไง”


“เดี๋ยวกูผายปอดให้ไม่ต้องห่วง” ไอ้ฟิวยิ้มทะเล้นแบบทุกครั้งแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเชื่อว่ามันจะทำอย่างที่มันพูดจริงๆ


“หัวใจวายใครเขาผายปอดวะ...” เสียงผมอู้อี้อยู่ในลำคอ รู้สึกไม่กล้ามองหน้าไอ้ฟิวตรงๆเพราะกลัวมันจะรู้ว่าผมกำลังหน้าแดง


“มึงอยากรู้ป่ะว่าใครเขียน” ไอ้ฟิวพูดลอยๆ


ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตามันตรงๆได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ถูกไอ้ฟิวสารภาพความในใจ และพยักหน้าแรงๆแทนคำตอบ


“ไอ้มอลต์”


“ห๊ะ!? พูดจริงดิ”


“กูคิดว่าเป็นมัน” ไอ้ฟิวไหวไหล่


“คำตอบมึงโคตรเลื่อนลอย”


แล้วทำไมถึงต้องคิดว่าไอ้มอลต์เป็นคนเขียนด้วยวะ คนในคลาสมีเยอะแยะ


“ทำหน้าเหมือนอยากถามว่าทำไมถึงคิดว่าไอ้มอลต์เป็นคนเขียนสินะ” ไอ้ฟิวพูดอย่างรู้ใจ “จำวันที่ไปหาอาจารย์ได้มั้ย”


“ลางๆ ” ผมตอบ


“วันนั้นไอ้มอลต์ไปคุยกับอาจารย์เหมือนกันแต่มันไปหลังพวกเรา ตอนเดินสวนกันที่ระเบียงกูเห็นมันถือบันทึกอยู่ด้วย กูเลยเดาว่าเป็นมัน”


“อ้อหรอ...” ทำไมผมรู้สึกว่าเหตุผลมันฟังไม่ค่อยขึ้นยังไงก็ไม่รู้


“ทำเสียงเหมือนกำลังหึงกูอีกแล้ว ขี้หึงนะมึงเนี่ย” ไอ้ฟิวพูดแหย่พลางเอานิ้วจิ้มแก้มผม


“อย่ามาขี้ตู่ ใครหึงมึง”


“ก็มึงไง” ไอ้ฟิวยักคิ้วกวน


“มึงไม่นอนรึไง” ผมรู้สึกเหมือนยิ่งเถียงยิ่งแพ้ ก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยซะดื้อๆ


“กูว่าจะไปเคาะห้องไอ้เทพ” มันยิ้มให้ด้วยสีหน้าสบายๆ “ขืนกูอยู่วันนี้มึงคงไม่ได้นอน”


ไอ้ฟิวเดินไปที่ประตูอย่างไม่รีบร้อน ทั้งที่เป็นภาพที่ผมเห็นจนชินตาแต่ร่างกายกับตอบสนองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


บานประตูที่กำลังจะเปิดออกถูกปิดลงอีกครั้ง ไอ้ฟิวหันมามองการกระทำของผมอึ้งๆ


“..นอนหอกูนี่แหล่ะ” ผมพูดตัดบท ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้พยายามรั้งไอ้ฟิวไว้แบบนี้


“ไม่กลัวกูปล้ำหรอ” ไอ้ฟิวถามเรียบๆ แต่ผมรู้ว่ามันแค่พูดเล่น


“มึงไม่ทำหรอก”


“รู้ได้ไง”


“กูเชื่อแบบนั้น” ผมตอบไปแบบกำปั้นทุบดิน


“แสนรู้” ไอ้ฟิวพูดแค่นั้นก่อนจะกดริมฝีปากได้รูปลงมา


---------------


ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งไอ้ฟิวก็ไม่อยู่แล้ว จะมีก็แต่โพสอิทสีบานเย็นบนกระจกในห้องน้ำเท่านั้นที่ช่วยยืนยันได้ว่าเมื่อคืนผมอยู่กับไอ้ฟิวจริงๆ


‘เจอกันคาบบ่าย My evergreen
อย่าลืมกินข้าวเที่ยงด้วย ไปธุระด่วน
                           จาก กูเอง’



ผมไม่รู้ว่าไอ้ฟิวหายไปไหนตั้งแต่เช้า แต่การที่มันเขียนโน้ตทิ้งไว้แบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจไปอีกแบบ


ผมยังสรุปความรู้สึกตัวเองออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ผมไม่ได้รังเกียจที่ไอ้ฟิวชอบผม


ปึงๆๆๆๆ


ใครสักคนทุบประตูห้องผมรัวๆราวกับกำลังหนีตายจากฝูงซอมบี้ และใครที่ว่านั่นก็คือ...


“น้องส้ม?”


“พี่กรีนมัวทำอะไรอยู่คะ ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่อีก” น้องส้มขึ้นเสียงใส่ผมอย่างไม่พอใจ “มากับส้มเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”


“เฮ้ย เดี๋ยวๆ จะพาพี่ไปไหน” ผมพยามขืนตัวแต่แรงน้องส้มก็เยอะใช่ย่อย


“ส้มจะพาพี่กรีนไปเคลียร์กับพี่ฟิว” เธอออกแรงดึงอย่างไม่ยอมแพ้


“เคลียร์อะไรอีกล่ะ”


“ก็พวกพี่ทะเลาะอะไรกันเมื่อวานล่ะคะ” น้องส้มออกแรงดึงจนผมกลัวเธอจะลื่นหงายหลังตกส้นสูงจนขาแพลงตามแบบฉบับละครหลังข่าวซะจริงๆ


“เมื่อวานพี่ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันนะ เมื่อคืนไอ้ฟิวก็ค้างที่นี่ด้วย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งน้องส้มก็แค่ทำตาโตมองผมด้วยความประหลาดใจ


“แน่นะคะ”


“จริงๆ”


“โอเคค่ะ เห็นแก่รอยคิสมาร์คบนคอพี่กรีน ส้มจะยอมเชื่อก็ได้” เธอผ่อนแรงลงในที่สุด


เดี๋ยวก่อนนะ...คิสมาร์คงั้นหรอ!?


ผมยกมือขึ้นปิดต้นคอโดยอัตโนมัติ และเพิ่งมาได้สติตอนเห็นดวงตาเป็นประกายของน้องส้มที่จ้องมาอย่างคาดหวังว่าตัวเองพลาดตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว


“เห๋~ ไม่เถียงหรอคะ”


“...จะให้ถียงเรื่องอะไรล่ะ”


“ก็คิสมาร์คอะไรนั่นไม่มีซะหน่อย” น้ำเสียงเธอดูสนุกสนานเหมือนทุกทีที่แกล้งผมได้ “ส้มแค่พูดเล่นเฉยๆ”


“ยอมแล้วครับ” ผมถอนหายใจยกมือยอมแพ้ก่อนจะเอะใจเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “ว่าแต่น้องส้มขึ้นหอพี่ได้ไง ป้าข้างล่างไม่ว่าหรอ”


หอพักที่ผมอยู่เป็นหอชายล้วนและมีกฎว่าห้ามพาผู้หญิงขึ้นก่อนได้รับอนุญาต เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องชู้สาวซึ่งอาจนำพาความยุ่งยากต่างๆมาหาเจ้าของหอพักแห่งนี้


“อ๋อ...ตอนแรกป้าเขาก็ไม่ยอมให้ส้มขึ้นมาหรอกค่ะ แต่พอส้มบอกว่าจะมาเคลียร์เรื่องเด็กในท้อง ป้าเขาก็ปล่อยส้มขึ้นมาเลย”


หมดกันชีวิตกู...


---------------


“ไง พ่อหนุ่มเพลย์บอย ได้ข่าวทำน้องส้มท้องหรอวะ” น้ำเสียงกวนๆของไอ้ฟิวทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ


“ท้องพ่อง”


“แล้วนี่ส่งสมุดยัง” ไอ้ฟิวเปลี่ยนเรื่อง


“ยังไม่ได้เขียนเลยด้วยซ้ำ” ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง รู้สึกเหนื่อยไปทั้งกายและใจ


“แสดงว่ายังไม่เห็นสินะ...” ไอ้ฟิวพูดเสียงเบา ก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนน่าหมันไส้ “เมื่อเช้ากูเขียนแทนให้แล้ว”


“ขี้เสือกอีกแล้วนะไอ้คุณฟิว”


“ด้วยความยินดีครับ My evergreen” ไอ้ฟิวยิ้มรับหน้าบาน


26 พ.ค.

ตอนนายเปิดอ่านแล้วเจอลายมือฉันจะทำหน้ายังไงนะ
จะทำหน้าเหมือนตอนที่ฉันสารภาพความในใจรึเปล่า
ก็ไม่ได้อยากจะทำให้นายรู้สึกอึดอัด แต่พอได้พูดแล้ว
มันก็รู้สึกโล่งใจดีเหมือนกัน ขอโทษนะที่ปิดปังมาตลอด
และก็ขอโทษด้วยถ้าฉันเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
แต่ฉันสัญญานะว่าถ้าได้เป็นแฟนกัน ฉันจะทำให้ดีที่สุด
ถ้าอ่านจบแล้วนายจะตกหลุมรักฉันบ้างมั้ยนะ


บนหน้ากระดาษของไดอารี่ลูกโซ่ปรากฏข้อความต่างจากทุกครั้ง มันทำให้ผมหัวใจเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและตั้งคำถามกับตัวเอง


คนเราจะตกหลุมรักใครสักคนผ่านตัวอักษรได้จริงๆหรอ…


ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะตอบคำถามนี้ว่ายังไง แต่สำหรับผม...รอยยิ้มกวนๆของชายผิวแทนที่อยู่ข้างผมต่างหากที่จะทำให้ผมตกหลุมรัก


--------------------------------------[END]-----------------------------------
  :pig4: ขอบคุณทุกความเห็นและทุกโหวดมากๆค่ะ
สรุปว่าสุดท้ายแล้วก็เลือกแบบ 10 ตอนจบ
บอกตามตรงว่าตอนแรกตั้งใจจะให้กรีนคู่กับมอลต์
แต่สุดท้ายก็ให้กาฟิวเป็นคนได้หัวใจของกรีนไป
ถ้าแต่งกรีนคู่มอลต์ 30 ตอนก็คงไม่จบ  :hao3:
สุดท้ายนี้ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านอีกครั้งที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้
ขอบคุณมากๆค่ะ o1 o1
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 10 END(#34) - 06/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 07-07-2015 21:58:51
 :ling1: :ling1:

ขออภัยอย่างยิ่งที่ทิ้งช่วงการติดตามไป กว่าจะมาเห็นอีกทีก็จบแล้ว

รู้สึกไปเองหรือเปล่าที่ว่าช่วงท้ายๆมันรีบไปนิดนึงอ่ะค่ะ  :mew2:

เรื่องนี้น่ารักดี ชอบเวลาการ์ฟิลด์เรียก "My Evergreen" ^^


 :กอด1:

ขอบคุณมากๆนะค้าาาาา (อยากอ่านมอลต์ด้วยนะ ;p)
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 10 END(#34) - 06/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 08-07-2015 23:05:44
เหมือนตอนจบมันเร่งๆ รีบๆ ไงไม่รู้จิ
อยากให้มันละเอียดกว่านี้อีกสักกะติ้ด ลิ้ตเติ้ลนิด ลิตเติ้ลมอ แฮร่ๆๆๆ
ปล. ขอจบเลยแต่ละเอียดอีกนิด + ตอนพิเศษแบบเพิ่มเส้นเพิ่มเนื้อค่ะ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 10 END(#34) - 06/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 09-07-2015 13:44:07
มารอต่อคิวขอตอนพิเศษได้ม๊ายยยยยยยยย

ขอบคุณที่แต่งนิยายน่ารักๆให้อ่านนะคะ  :pig4: :L1: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 10 END(#34) - 06/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: ชอร์ปสติ๊ก ที่ 11-07-2015 19:59:36
น่ารักมากกกกกกกกกกก(ก.ไก่ล้านตัวว) อิอิอิอิ โอ้โหหห ถ้าตอนแรกกรีนคู่มอลต์........................  o22 โอเคค่ะ เอาเป็นว่าเป็นกาฟิวโอเคแล้ว 55555555 น่ารักน่าหยิก ที่น่ารักมากๆ สุดๆ เลยคือคำที่เขียนว่า My Evergreen อ่านแล้วอมยิ้ม อบอุ่น เป็นกรีนเราคงเขินกาฟิวตาย พร้อมตีแขนแล้วพูดว่า " คนบร้า... " 555555 ไม่หรอกค่ะ... เอเวอร์กรีนตัวจริงคงไม่ทำแบบเรา  :laugh: คิดถึงคนเขียน รอคอยตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ วันที่ 10 END(#34) - 06/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 13-07-2015 14:40:17
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็นและถามถึงตอนพิเศษทุกท่านนะคะ

ตอนนี้ยังไม่คอนเฟิร์มค่ะว่าจะมาต่อให้ได้ตอนไหน แต่ว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาเราก็ได้ทวิตข้อความไปตามนี้...

(http://i.imgur.com/D95cERV.jpg)

เรียกว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับนักอ่านก็คงได้ล่ะมั้ง  :hao7:

 :-[ :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: บันทึกของโก้ (1) - 19/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 19-07-2015 09:31:49
หน้า 1


คลาสเรียนวิชามนุษยสัมพันธ์แสนน่าเบื่อที่ต้องเจอทุกวันของซัมเมอร์นี้ทำให้ผมใช้เวลากว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในการไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ ตรงข้ามกับไอ้มอลต์เพื่อนสนิทของผมที่ใช้เวลาเกือบร้อบเปอร์เซ็นต์ของคาบไปกับการนั่งมองเฮดว้ากของคณะเกษตรที่มันหลงนักหลงหนา


เมื่อก่อนผมมีความคิดว่ากลุ่มคนที่เรียกว่าเกย์จะต้องตัวเล็กและดูบอบบางไม่สมชายชาตรี ไอ้มอลต์เป็นอะไรที่ฉีกกฎทุกอย่างที่ผมเคยตั้งเอาไว้แบบไม่เหลือชิ้นดี เพราะไอ้มอลต์เป็นผู้ชายตัวโตหุ่นโคตรควาย ถ้าเทียบแล้วผมซะอีกที่ดูเหมาะจะเป็นเกย์มากกว่ามัน


“หมดคาบแล้ว” ไอ้มอลต์สะกิดเรียกแบบที่ทำทุกครั้ง


ผมลืมตาขึ้นช้าๆเห็นเพื่อนใหม่สองคนที่ไอ้มอลต์ไปผูกมิตรไว้เมื่อวันก่อนกำลังเก็บของใส่กระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน คนหนึ่งคือเฮดว้ากคณะเกษตรชื่อกาฟิว และอีกคนคือเพื่อนสนิทของเขาชื่อกรีน


สองคนนี้มีเรียนต่ออีกหนึ่งวิชาต่างจากพวกผมสองคนที่มีเรียนแค่วิชาเดียวทุกวัน แต่ถึงจะไม่มีเรียนแล้วผมก็ยังมีหน้าที่อย่างอื่นต้องหลังเลิกเรียนทุกวัน


“วันนี้ไปดูหนังกันนะ” ไอ้มอลต์ชวน


“กูมีประชุมสโม”


“พูดแต่เรื่องน่าเบื่อตลอดเลยมึงอ่ะ”


“ช่วยไม่ได้ ก็ประธานรุ่นเสือกเป็นพวกชอบโดดร่ม” ผมเหล่มองมันทางหางตา “กูเลยต้องซวยควบสองตำแหน่งแบบนี้ไง”


“จงใจพูดให้รู้สึกผิดป่ะเนี่ย”


“เปล๊า” ผมตอบเสียงสูงเห็นเฮดว้ากส่งสายตามองมาทางพวกผมเหมือนกำลังรอจังหวะแทรกบทสนทนาของเรา


“มอลต์” เฮดว้ากส่งเสียงเรียก


“อะไรหรอฟิว รึว่านายอยากไปดูหนังกับเรา” ไอ้มอลต์ยิ้มกว้าง มองเผินๆอาจจะคิดว่ามันเป็นพวกเข้าสังคมเก่งแต่เปล่าเลย เพราะความจริงแล้วไอ้มอลต์จะเข้าหาเฉพาะคนที่มันสนใจเท่านั้น


“เปล่าไม่ใช่แบบนั้น” นายกาฟิวลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ เขาชำเลืองมองไปที่ชายตัวขาวข้างหลังที่เหมือนจะกำลังอารมณ์บูดอยู่เป็นระยะ “แค่มีเรื่องอยากคุยด้วย”


“อื้ม ได้สิ ว่ามาเลย” ไอ้มอลต์ที่เหมือนจะอ่านบรรยากาศไม่ออกพูดไปด้วยท่าทีสบายๆ


“กูไปประชุมก่อนล่ะ” ผมพูดตัดบทเอาตัวรอด ไม่ค่อยอยากเข้าไปพัวพันกันเรื่องรักๆใคร่ๆของไอ้มอลต์เท่าไร


“เออๆ เจอกัน” มอลต์โบกมือลา


-------


หัวข้อประชุมวันนี้เกี่ยวกับการจัดสรรงบและการขอใช้ห้องประชุมในการทำกิจกรรมรับน้องของเทอมหน้าทำให้ใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะหาข้อสรุปที่ทุกฝ่ายพอใจ


“ผมขอจบการประชุมวันนี้แค่นี้ครับ” ผมกล่าวปิดประชุมอย่างสุภาพเพราะวันนี้นอกจากเฮดฝ่ายต่างๆแล้วยังมีอาจารย์เข้าร่วมประชุมด้วย


“โกสินทร์” อาจารย์กอบกิจเดินตรงเข้ามาหาทันทีที่คนเริ่มทยอยเดินออกจากห้องประชุม


“ครับอาจารย์?”


“เทอมนี้เธอลงวิชาอะไรเป็นวิชาเลือกเสรี”


“ลง HR ครับ”


“ไหวหรอ เกรดร่อแร่แบบเธอน่าจะลงวิชาที่ง่ายกว่านี้นะ” อาจารย์กอบกิจพูดอย่างเป็นกังวล


“ผมลง Human Relationships ของคณะมนุษย์ครับไม่ใช่ HR ของบริหาร” ผมรีบพูดแก้แต่ลึกๆก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ถูกอาจารย์พูดใส่ตรงๆ


“ถึงยังไงก็ตั้งใจล่ะ จริงๆก็อยากจะบอกให้เพลาๆเรื่องกิจกรรมลงบ้าง...แต่เธอคงแบ่งเวลาได้อยู่แล้วใช่มั้ย”


“อ่า...ครับ”


ไม่ผิดที่อาจารย์กอบกิจจะเป็นห่วงในความโง่ของผม แต่ก็อยากให้เข้าใจนะว่าไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับความจริงได้


“บางทีเธอน่าจะให้ชยากรช่วยติวให้ อาจารย์รู้มาว่าเทอมล่าสุดเขาได้บีแค่วิชาเดียว”


“ไว้ผมจะลองถามเขาดูนะครับ” ผมตอบด้วยความรู้สึกตายด้านก็ชื่อที่อาจารย์กอบกิจแนะนำมาเป็นชื่อคนที่ผมเกลียดที่สุด


“โก้~” ไอ้ตัวดีโบกมือหย๋อยๆเรียก


“ทำไมมาอยู่นี่” ผมถามพลางกรอกตา


“รอมึงไปดูหนังด้วย” ไอ้มอลต์ตอบ


ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนจะตอบ “ไม่น่าทัน”


“ทันดิ นี่เพิ่งหกโมงครึ่งเอง”


“กูต้องกลับไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นกับแม่”


“ทำวัตรเย็นครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ เอางี้วันนี้กูไปสวดด้วยอยากเจอแม่มึงอยู่พอดี”


“มอลต์”


“ว่าไง?”


“เฮดว้ากพูดอะไรกับมึง” ผมถามจี้ใจดำ “ไม่ต้องทำไขสือเพราะตอนนี้มึงทำตัวไม่ปกติสุดๆ”


“กูก็เป็นของกูอย่างนี้ มีอะไรผิดปกติ” ผู้ร้ายปากแข็งยังคงดื้อดึงไม่ยอมยอมรับสารภาพแต่โดยดี


“ถ้างั้นกูโทรถามเจ้าตัวเองก็ได้” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์เตรียมโทร


มือหนาคว้าเครื่องมือสื่อสารไปก่อนจะพูดอย่างยอมแพ้


“กูบอกก็ได้...อย่าโทรเลยนะ”


สิบห้านาทีต่อมาผมก็อยู่หน้าตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ ส่วนไอ้มอลต์กำลังไปซื้อเครื่องดื่มกับป๊อบคอร์น จริงๆเรื่องสวดมนต์ทำวัตรเย็นกับแม่มันเป็นแค่ข้ออ้างเวลาขี้เกียจตามใจไอ้มอลต์เท่านั้น


เมื่อไฟในโรงหนังค่อยๆมืดดับลงไอ้มอลต์ก็ทิ้งน้ำหนักส่วนหัวลงบนไหล่ผม


“เอ้าไอ้นี่...เป็นคนชวนมาดูแต่เสือกหลับตั้งแต่เริ่มเรื่อง”


“กูตื่นอยู่” ไอ้มอลต์พูดเบาๆ


“ตื่นอยู่แล้วจะมาซบกูทำไม เอาหัวมึงออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะถ้าคนอื่นเข้าใจว่ากูเป็นคู่ขามึงทำไง” ผมพยามดันหัวมันออกแต่ผลที่ได้คือมันดันใช้แขนตัวเองกอดแขนผมไว้แน่น “ปล่อย-แขน-กู”


“กูขอยืมแปบเดียว” ไอ้มอลต์พูดก่อนผมจะรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณต้นแขนที่แนบอยู่กับหน้าของมัน ผมรู้ได้ในทันทีแม้จะมองไม่เห็นว่าตอนนี้ผู้ชายที่นั่งข้างผมกำลังร้องไห้


“ห้ามสั่งขี้มูกใส่เสื้อกูก็พอ” ผมพูดพลางตบหัวมันเบาๆเพื่อปลอบ


เป็นอีกครั้งที่มอลต์ไม่ได้พูดอะไร แต่ผมก็เข้าใจว่าตอนนั้นเฮดว้ากเรียกไอ้มอลต์ไปคุยเรื่องอะไร


--------------------------------------------------------
คือถ้ารออัพทีเดียวท่าทางเดือนหน้าก็คงไม่ได้อัพ
ก็เลยว่าจะทยอยอัพเป็นช่วงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 1(#40) - 13/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-07-2015 10:12:28
 :ling2:

สงสารมอลต์เล็กๆ

แต่คนที่โก้ไม่ชอบนั่นใครรรร
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 1(#40) - 13/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-07-2015 13:48:25
side story เหรอ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 1(#40) - 13/07/15
เริ่มหัวข้อโดย: ชอร์ปสติ๊ก ที่ 19-07-2015 17:01:48
เอ๊ะ อะไร ยังไง บอกทีค่ะ  :impress2:
ทำไมเรารู้สึกว่าโก้น่าแกล้ง 5555555 ดุไปงั้น จริงๆ ใจดี  o18
รอติดตามตอนต่อไปนะคะคนเขียน  :3123:
หัวข้อ: หน้า 2 - 06/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 06-08-2015 00:59:49
หน้า 2


ผมกับไอ้มอลต์ออกจากโรงหนังตอนประมาณสามทุ่ม ถ้าถามผมว่าหนังสนุกรึเปล่าผมตอบได้ทันทีเลยว่าไม่รู้เพราะผมหลับตั้งแต่สิบนาทีแรก ในขณะที่ไอ้มอลต์สามารถเล่าได้ทุกฉากว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง


“เหมือนจะสนุก แต่ยังไม่สุดว่ะ” ไอ้มอลต์ยืดตัวบิดขี้เกียจ “ร้องเกะต่อมะ”


“ห้างจะปิดแล้ว”


“กะแล้วว่าต้องพูดแบบนี้” ไอ้มอลต์ยิ้มอย่างรู้ทัน “กูรู้ว่าร้านไหนยังเปิดอยู่”


“เธอรู้บ้างม๊ายต้องใช้เวลาเท่ารายจึงจะลืมเธออออออ...ฮึก...” ไอ้มอลต์แหกปากร้องเพลงรักอกหักด้วยใบหน้าแดงก่ำ


“ถึงจะบ้าแค่ไหนก็น่าจะมีขอบเขตบ้างสิ” ผมคลึงขมับตัวเองเบาๆ ไม่อยากจะมองภาพไอ้มอลต์ที่ตอนนี้กำลังเมาไม่ได้สติ


“อย่าตอกย้ำให้ช้ามมานลืกกกโลงปายกว่าเดิมได้ม้ายเธออ...” ไอ้มอลต์กุมไมค์ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างชี้หน้าผม “หากไม่ร้ากก็อย่าซ้ำ โปรดอย่าทำเป็นสนจายยย ฮึก...”


“แค่อกหัก ฟูมฟายเป็นพ่อตายไปได้”


“กูไม่ได้ฟูมฟาย ฮึก...เค้าเรียกอินเน้ออออออ” พูดเสร็จไอ้มอลต์ก็กระดกน้ำผึ้งมะนาวโซดาที่ยังเหลืออยู่จนหมดแล้วกลับไปแหกปากครวญเพลงที่ยังร้องค้างไว้ต่อ


เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกนี่แหล่ะคนที่แพ้น้ำผึ้งแล้วมีอาการคล้ายคนเมาแบบนี้


“เอ่อ ขอโทษนะครับ จะสั่งอะไรเพิ่มอีกรึป่าวครับ เราจะปิดครัวแล้ว” พนักงานของร้านที่ผมสองคนกำลังนั่งอยู่เดินเข้ามาถาม ผมยกข้อมือขึ้นดูเวลาก่อนจะบอกเช็คบิลโดยไม่ถามขอความเห็นชอบจากคนเมาน้ำผึ้งที่ตอนนี้แทบจะทรงตัวไม่อยู่


“คืนนี้ค้างบ้านกูแล้วกัน” ผมหันไปบอก


“กั๊บป้ม”


ผมกลับถึงบ้านตอนเกือบตีหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นที่หน้าประตูก็ยังปรากฏภาพหญิงวัยกลางคนยืนรอรับด้วยรอยยิ้ม


“แม่ว่า...แม่ไม่เคยอนุญาตให้โก้กินเหล้านะ”


“โก้ก็ไม่ได้กินซะหน่อย” ผมตอบพลางลากร่างไอ้มอลต์ลงจากรถแท็กซี่ “ไอ้มอลต์ก็ไม่ได้กิน”


“ไหนขอแม่พิสูจน์หน่อย” แม่ผมเข้ามาประชิดตัวเราทั้งคู่และพยายามดมกลิ่นจากพวกเรา “อืม...มีกลิ่นเหมือนป๊อบคอร์น ไปดูหนังกันมาหรอ”


“ตั๋วอยู่ในกระเป๋า แม่อยากดูมั้ยล่ะ”


“ไม่ล่ะ พาเพื่อนไปนอนเถอะ อ้อ ให้เพื่อนอาบน้ำหน่อยก็ดีนะ..กลิ่นคนอกหักหึ่งเชียว” แม่ผมพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงกลับห้องนอนของตัวเองไป


ผมลากไอ้มอลต์ขึ้นชั้นสองอย่างทุลักทุเล กว่าจะเข้าห้องตัวเองได้ผมก็เหงื่อท่วมไปทั้งตัว จากนั้นผมก็ทิ้งไอ้มอลต์ให้นอนแผ่หลาอยู่กลางเตียงแล้วจัดการชำระเหงื่อไคลที่สะสมมาทั้งวันจนตัวหอมฟุ้ง


“มอลต์...ไอ้มอลต์...ลุกไปอาบน้ำก่อน” ไอ้มอลต์ยังคงนอนนิ่งจนผมต้องเขย่าตัวมันให้แรงขึ้นอีก “เชี่ยมอลต์ ถ้ามึงไม่ลุกกูจะถีบให้ตกเตียงเลย”


ไอ้มอลต์ส่งเสียงงึมงำประท้วงในลำคอบอกเป็นนัยว่ามันจะไม่ยอมลุกไปไหนทั้งนั้น ผมเองก็เหนื่อยเต็มทีแต่จะให้ล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่สนใจกลิ่นเหม็นเปรี้ยวจางๆจากผู้ชายตัวขนาดน้องๆหมีกริซลี่ก็คงทำไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายผมจึงต้องจำใจออกแรงลากมันเข้าห้องน้ำอีกครั้ง


ห้องน้ำของผมตกแต่งสไตล์โมเดิร์นขนาดไม่ใหญ่มาก มีฝักบัวและอ่างอาบน้ำอยู่ด้านในสุดคล้ายห้องน้ำในโรงแรม


“...หืม?” ไอ้มอลต์สะลึมสะลืมรู้สึกตัวตื่นขึ้นขณะที่ผมกำลังปลดกระดุมเสื้อนักศึกษามันออก ตอนนี้มันถูกผมจับวางให้นั่งกึ่งนอนอยู่ในอ่าง


“กูจะดีใจมากถ้ามึงช่วยกูอาบน้ำด้วยตัวเอง” ผมพูดบ่นไปทั้งๆที่ไอ้มอลต์ดูจะยังไม่ค่อยมีสติเท่าไร


ไอ้มอลต์ขยับตัวและจัดการถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกด้วยตัวเอง ผมเห็นดังนั้นก็จัดการเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างและหยิบอุปกรณ์อาบน้ำมาตั้งไว้ข้างๆ


“อันนี้ยาสระผม อันนี้สบู่เหลว” ผมยกให้มันดูทีละขวดก่อนจะถามย้ำ “จำได้มั้ย?”


“..อืม ยาสระผมกับสบู่” ไอ้มอลต์พูดทวน


“ห้ามหลับคาอ่างนะ” ผมย้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะให้เวลาไอ้มอลต์ได้อาบน้ำด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกลไอ้มอลต์ก็คว้ามือผมไว้ “อะไร?”


“ไหนว่าจะอาบน้ำ” มันพูดด้วยหน้านิ่งๆ บอกตามตรงผมดูไม่ออกเลยว่าอาการเมาเพราะแพ้น้ำผึ้งของมันสร่างลงบ้างแล้วรึยัง


“กูอาบแล้ว เหลือแต่มึงอ่ะ” ผมแกะมือที่จับอยู่ออกและหันหลังให้มันอีกครั้ง


อยู่ๆมุมมองในสายตาผมก็หมุนคว้างอย่างฉับพลัน ผมเสียหลักหงายหลังไปตามแรงดึงและกว่าจะตั้งสติได้ผมก็ตัวเปียกไปทั้งตัว ดีที่ระดับน้ำในอ่างยังไม่สูงมากไม่งั้นผมอาจได้สำลักน้ำด้วยก็ได้


อีเหี้ยยยยยยยยยย” ผมหันไปร้องด่าสุดเสียงกับต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก่อนจะถูกจู่โจมอีกครั้งด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนที่บดเบียดลงมา “อื้อออ...”


ผมไม่รู้ว่าไอ้มอลต์แค่จะแกล้งให้ผมตกใจหรือมันโดนผีบ้าตัวไหนเข้าสิงไปแล้วจริงๆ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะถูกมันขืนใจถ้าผมไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง


มือข้างหนึ่งของผมถูกไอ้มอลต์ตรึงไว้เหนือหัวทำให้ผมไม่มีแรงพอจะผลักตัวไอ้มอลต์ที่ใหญ่กว่าออกไปจากตัวผมได้ ดังนั้นถ้าจะทำให้ผู้ชายตัวควายๆอย่างมันหมดแรงอ่อนระทวยผมจำเป็นจะต้องโจมตีจุดยุทธศาสตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้


ไอ้มอลต์คงจะเข้าใจการกระทำของผมผิดไปเล็กน้อย เพราะแทนที่มันจะอ่อนระทวยมันกลับเต่งตึงเต็มมือขึ้นมาซะอย่างนั้น


“...แฮ่ก...แฮ่ก...” ทันทีที่ริมฝีปากผมเป็นอิสระผมก็หอบหนัก


ด้านมอลต์ที่เหมือนจะเครื่องกำลังติดก็เดินเกมต่อด้วยการใช้ฝ่ามือรุกรานจุดยุทธศาสตร์ของผมบ้าง อาจจะเพราะตอนนี้มีเพียงบ๊อกเซอร์เนื้อบางที่กำลังเปียกเป็นเกราะป้องกันผมจึงรู้สึกไม่ต่างกับกำลังถูกฝ่ามือหนาสัมผัสโดยตรง


ผมกัดปากแน่นพยามสะกดความเสียวกระสันที่กำลังโหมกระพืออยู่ข้างใน และก็เป็นอีกครั้งที่สมองผมประมวลผลช้ากว่าการกระทำของไอ้มอลต์ ร่างของผมถูกยกขึ้นให้นั่งบนขอบอ่างซึ่งอยู่ในระดับสายตาของมอลต์พอดี


นิ้วเกร็งดึงขอบบ๊อกเซอร์ของผมร่นลงไปจนส่วนที่อยู่ใต้ร่มผ้าโผล่ออกมา ไอ้มอลต์ไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อยขณะโน้มหน้าเข้าหาส่วนที่กำลังชูชันหรือกระทั่งตอนที่ใช้ปากของตัวเองครอบครองส่วนปลายนั้นเอาไว้


นิ้วผมจิกเกร็งเมื่อลิ้นอุ่นตวัดหยอกเย้า รู้สึกเสียวสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมทุกครั้งที่ไอ้มอลต์ใช้ปากของมันปรนเปรอและมอบความสุขสมให้


ผมพยามคิดหาถ้อยคำที่จะพูดให้ไอ้มอลต์หยุดการกระทำของมันในตอนนี้แต่ก็เชื่อว่ามันคงจะไม่ฟัง แล้วสุดท้ายผมก็ต้องเสียเอกราชให้มันเพราะความใจอ่อนของผม


ครู่ต่อมาร่างกายของผมปลดปล่อยของเหลวปริมาณหนึ่งพร้อมกับการกระตุกเกร็งบริเวณท้องน้อย ตาผมพร่าลายและรู้สึกราวโลกกำลังหมุนคว้าง


ไอ้มอลต์ใช้หลังมือเช็ดปากและจูบผมอีกครั้งแบบไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พักหายใจ มือหนาลูบไล้แผ่นหลังแล้วเคลื่อนลงต่ำไปยังเป้าหมายต่อไปที่เจ้าตัวตั้งใจจะพิชิต


ตอนนี้เองที่ผมตัดสินใจได้ในที่สุดว่า...ถ้าไหนๆจะหยุดไม่ได้แล้วก็ขอเป็นฝ่ายกระทำซะยังจะดีกว่า


ผมรวบรวมแรงและสติที่เหลืออยู่ผลักจนไอ้มอลต์หงายหลังลงน้ำ ตอนนี้ผมสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองมาเป็นคนทำเกมรุกได้แล้วถึงแม้จะไม่มั่นใจกับวิธีการต่อจากนี้ก็ตาม


ให้ตายเถอะ...ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมาถึงขั้นนี้กับใครสักคนไม่ว่ากับผู้หญิงรึกับผู้ชาย


หรือพูดอีกนัยคือ ไอ้มอลต์จะเป็นผู้ชายคนแรกและอาจจะเป็นคนเดียวที่ผมตัดสินใจ ‘เสียบ’ ก็ว่าได้


ไอ้มอลต์ดูงงๆที่อยู่ๆโดนผลักหลังจากที่ผมยอมเสร็จในปากมันไปรอบนึง และมันก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่ออยู่ๆผมก็สอดนิ้วเข้าไปในประตูหลังของมัน


“อึก...มึงจะรุกหรอ” ไอ้มอลต์ถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ผมเดาว่ามันคงไม่เคยโดนใครรุกเล้าเข้าไปในส่วนนี้มาก่อน


“โทษทีนะที่กูไม่อยากอ้าขาให้มึงเสียบ” ผมตอบตรงจากใจ


“จะเสียบกูว่างั้น?” ไอ้มอลต์แสยะยิ้มกวนคล้ายจะท้าทาย “กูไม่ใช่ผู้หญิงนะ”


“ก็ไม่ได้มองว่ามึงเป็นซะหน่อย”


ช่องทางนั้นทั้งคับและแน่น ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไอ้มอลต์ยังคงต่อต้านที่ผมจะเป็นฝ่ายรุก ผมไม่รู้หรอกว่าในสถานการณ์อย่างนี้ผมควรหรือไม่ควรทำอะไรบ้าง แต่ถ้าจะให้ยอมแพ้ตอนนี้ผมคงเป็นฝ่ายถูกไอ้มอลต์เสียบจนพรุน คิดแล้วผมก็ขยับนิ้วไปมาคล้ายกำลังควานหาอะไรสักอย่าง


“เชี่ย...นี่มึงเอาจริงหรอ” ไอ้มอลต์ขยับสะโพกถอยหนีพลางซีดปาก “บ เบาๆ...อ่ะ”


พอเริ่มเห็นว่าประตูหลังของไอ้มอลต์เริ่มขยับนิ้วเข้าออกได้สะดวกขึ้นผมก็สอดนิ้วเข้าไปเพิ่มอีกหนึ่งนิ้ว


“ได้คืบ..เอาศอก” ไอ้มอลต์นิ่วหน้าปากก็เอาแต่บ่นว่าผม “เชี่ยโก้..เบา..อ๊ะ..อ่า..ย หยุดก่อน...อืม..กูเสียว”


“จะครางรึจะพูดก็เอาสักอย่างดิวะ”พูดเสร็จผมก็จับมันพลิกตัวแล้วยกสะโพกขึ้นเหนือน้ำ ไอ้มอลต์เกาะยึดขอบอ่างอาบน้ำไว้มั่นเพราะคงพอเดาได้ว่าผมจะทำอะไรต่อจากนี้ ผมเลยใจดีพูดเตือนให้มันได้มีเวลาเตรียมใจก่อนเล็กน้อย “จะเสียบแล้วนะ”


“เดี๋ย- อ๊ะ...อึก..” ไอ้มอลต์กลืนคำพูดตัวเองลงคอนิ้วจิกเกร็งลงที่ขอบอ่างจนมือสั่นระริก


“...อย่าเกร็งดิวะ กูเจ็บ” ผมยึดสะโพกไอ้มอลต์ไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหลักล้ม เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะขยับเข้าหรือออกผมก็ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น


“ฮึก...กูก็เจ็บ” ไอ้มอลต์น้ำตาเล็ดร้องสะอื้อโยเยเป็นเด็กๆ “พอเถอะมึง...กูยอมแล้ว”


ผมมองเด็กตัวโตเกาะขอบอ่างน้ำตาร่วงแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจกับความใจเสาะของมัน


“เข้าใจแล้ว” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวไอ้มอลต์เพื่อปลอบ


“ขอโทษนะที่พูดจาดูถูกมึง” ไอ้มอลต์พูดเสียงอ่อน


ในช่วงที่มอลต์ลดการป้องกันลงนี้เองที่เป็นโอกาสให้ผมสามารถดันสะโพกเข้าไปจนสุด ไอ้มอลต์หวีดร้องไม่เป็นภาษาน้ำตาไหลอาบสองแก้ม


“อ เอาออกไป กูไม่เอาแล้ว ฮื่อ...โก้กูเจ็บ..” ไอ้มอลต์โวยวายแต่เมื่อผมขยับสะโพกช้าๆถ้อยคำเหล่านั้นกลับกลายเป็นเสียงครางหวานหู “อ๊า...อ่ะ..”


“แน่นฉิบหาย...ซี๊ดดด...”


เมื่อผมเริ่มรู้สึกว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดจังหวะการขยับสะโพกก็เริ่มเร่งขึ้นไปอีกขั้น


ช่วงล่างเราทั้งสองกระแทกกันจนเกิดเสียง ทั้งยังดูโงนเงกโยกไปมาคล้ายจะเสียหลักล้มได้ทุดเมื่อ แต่ผมกลับไม่มีความคิดที่จะหยุดเคลื่อนไหวร่างกายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม...ผมอยากขยับสะโพกให้ถี่ขึ้น...เร็วขึ้น...และกดให้ลึกขึ้น


แรงปรารถนาของผมกำลังพุ่งขึ้นถึงขีดสุดจนสัญชาตญาณอยู่เหนือหลักการและเหตุผล


ตอนนี้เองที่ผมลืมคิดไปว่าความเป็นเพื่อนของผมและไอ้มอลต์จะเป็นอย่างไรต่อไป...



------------------------------------------------------------
มาถึงก็พลีชีพให้กับฉากในห้องน้ำก่อนเลย  :pighaun:
อาจจะบรรยายภาพและเสียงที่คิดเอาไว้ในหัวออกมาไม่ครบ 100%
แต่ก็หวังว่าจะบรรยายให้นักอ่านนึกภาพตามได้ทุกสเต็ปนะคะ :-[
ส่วนว่า...หลังจากนี้โก้และมอลต์จะเป็นอย่างไรต่อไป
คงต้องไว้มาติดตามอ่านต่อในตอนหน้าแล้วค่ะ  :pig4:
อย่าลืมบวกเป็ดหรือคอมเม้นให้กำลังใจเค้าด้วยนะ เลิฟๆ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 2(#44) - 06/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 06-08-2015 08:18:15
ผิดคาดลิบลับ

มอลต์โดนรุกเหรอเนี่ย 555555555+


งานนี้โก้ได้ศรีภรรยาแล้ว แต่ว่าจะมองหน้ากันติดไหมนั่น??
หัวข้อ: โก้ หน้า 3 - 08/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 08-08-2015 16:21:28
หน้า 3


ถ้าผมไม่ตื่นขึ้นมาเจอไอ้มอลต์นอนขดอยู่ข้างๆผมคงจะคิดว่าเรื่องในห้องน้ำเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน


มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ...


ผมไม่ได้รู้สึกรักหรือชอบไอ้มอลต์ในลักษณะที่จะสามารถร่วมรักกับมันได้ ในความรู้สึกของผมตอนนี้มันก็ยังเป็นแค่เพื่อนสนิท เป็นแค่ประธานรุ่นที่ชอบทำตัวเป็นภาระให้ผมต้องดูแล...ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปมากกว่านั้น


โชคดีที่ทั้งผมและมันมีเรียนแค่คาบเดียวตอนบ่าย เพราะถ้าให้บอกตามตรงตอนนี้ผมรู้สึกไม่พร้อมจะไปมหาลัยเท่าไร ร่างกายมันรู้สึกปวดๆล้าๆอย่างบอกไม่ถูก


ภายในห้องน้ำยังคงชื้นแฉะและมีน้ำนองอยู่เล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นบริเวณใกล้อ่างอาบน้ำที่ยังไม่แห้งดี ภาพความทรงจำและเสียงครางกระเส่าที่สะท้อนกับผนังยังคงชัดเจนอยู่ในหัวเหมือนหนังฉายซ้ำไปมา


แม้จะหอบหนักผมก็ยังไม่หยุดกระแทก...ส่วนที่ร้อนระอุราวกับจะหลอมละลายร่างกายผมให้เป็นหนึ่งเดียวกับไอ้มอลต์ตอดรัดอย่างเย้ายวนหลอกล่อให้ผมดำดิ่งในกามราคะอย่างถอนตัวไม่ขึ้น


“...นี่กูเป็นเกย์แล้วสินะ” ผมคิดและปลงกับตัวเอง


เมื่อเดินลงมาที่ห้องครัวด้านล่างผมก็เจอโน้ตข้อความของแม่แปะไว้ที่ตู้เย็นเหมือนทุกครั้ง แต่เนื้อหาภายในต่างออกไปเล็กน้อย


‘มีกับข้าวในตู้ เอามาเวฟอุ่นกินกันสองคนกับเพื่อนก่อนไปเรียนนะ’


ผมจัดการอุ่นแกงและผัดผักในตู้เย็น จากนั้นจึงกลับห้องไปปลุกไอ้มอลต์ให้ลงมากินข้าวด้วยกัน ไอ้มอลต์ยังนอนขดนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มเหมือนตอนก่อนที่ผมจะเดินออกไป


“มึง..ตื่นไปกินข้าว” ผมพูดโดยพยายามไม่สัมผัสตัวมัน เมื่อเห็นว่าไอ้มอลต์ยังนอนนิ่งผมก็ส่งเสียงดังขึ้นอีก “ไอ้มอลต์ตื่น”


มันนอนนิ่งไม่ตอบสนองกับเสียงเรียกของผมแม้แต่น้อยจนผมต้องเอื้อมมือไปจับตัวมันในที่สุด


“เชี่ยแล้ว...ตัวร้อนจี๋เลย” ผมร้องอุทานอย่างตกใจ ชักมือกลับแทบไม่ทันเมื่อสัมผัสกับความร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากตัวไอ้มอลต์ที่กำลังมีไข้ขึ้นสูง


ผมเดินวนไปมารอบห้องครัวเพื่อหากล่องยาที่จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยอยู่ในนั้น แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจโทรไปถามแม่แทน


“แม่เก็บกล่องยาไว้ไหนอ่ะ” ผมถามทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย “ไอ้มอลต์มันตัวร้อนจี๋เลยตอนนี้”


(อยู่ในตู้เก็บจานชั้นสองไง เป็นหนักมากรึป่าว...ให้แม่กลับไปช่วยดูมั้ย) ปลายสายถามอย่างเป็นห่วง


“เดี๋ยวโก้ดูเอง แม่ทำงานต่อเถอะไม่ต้องห่วง” พูดจบผมก็กดตัดสาย เป็นจังหวะเดียวกันที่ภาพกล่องยาสามัญประจำบ้านปรากฏแก่สายตา


ถ้าคิดว่าผมจะใช้ปากป้อนยาให้ไอ้มอลต์ที่นอนป่วยอยู่แบบในหนังหรือละครล่ะก็บอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือผมบดยาลดไข้จนเป็นผง ใช้กำลังบีบปากไอ้มอลต์ให้เผยอออกจากนั้นจัดการกรอกยาลงไปพร้อมเทน้ำตาม


ไอ้มอลต์ทำหน้าเหย๋ทันทีที่รู้สึกถึงรสขมในปาก มันพยามจะบ้วนยาที่ผมตั้งใจบดให้อย่างดีทิ้ง ผมใช้สองมือปิดปากและบีบจมูกไว้จนมันดิ้นพราดๆต้องจำใจกลืนยาขมลงคอ


“ถือซะว่าเอาคืนที่ทำกูขาดอากาศเมื่อคืน” ผมพูดพลางเหยียดยิ้มให้คนป่วยที่พยายามปรือตามองผมด้วยแววตาหยาดเยิ้มจากพิษไข้ ผมคิดถึงส่งที่จะทำต่อไปหลังจากให้คนป่วยกินยาแล้วและลงมือทำทันที


พรึ่บ!!


ผ้าห่มผืนนุ่มที่ไอ้มอลต์ใช้ซุกร่างกายอันเปลือยเปล่าให้อบอุ่นถูกผมกระชากออกไปกองกับพื้น ไอ้มอลต์ตัวสั่นเทิ้มเมื่อไร้เครื่องป้องกันไอหนาว ร่างกายมันอ่อนปวกเปียกเป็นผักต้มไม่อาจขัดขืน ผมปล่อยให้คนป่วยนอนแผ่หลาอยู่กลางเตียงระหว่างเตรียมผ้าหมาดมาเช็ดตัวให้มัน


มอลต์สะดุ้งเฮือกเมื่อผมแตะผ้าหมาดลงบนผิวกายที่กำลังระอุร้อน


“น หนาว...” ไอ้มอลต์ประท้วงเสียงแผ่ว


“ใครใช้ให้มึงไม่สบาย” ผมสวนกลับพลางเช็ดตัวต่อโดยไม่สนใจว่าคนป่วยจะพูดอะไร “แล้วยังเสือกตัวใหญ่จนไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่อีกนะ เป็นภาระกูไหมมึงอ่ะ”


ไอ้มอลต์เบือนหน้าหลบตาทำหน้าคล้ายจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นให้ได้ยิน


เมื่อเช็ดตัวเสร็จผมก็นำผ้าขนหนูไปซักน้ำน้ำสะอาดและผึ่งไว้ในห้องน้ำ จากนั้นก็เดินมาห่มผ้าให้คนป่วยขี้น้อยใจ


“อุ่นขึ้นมั้ย?” ผมถาม อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆแทนคำตอบ “นอนพักซะตื่นมาน่าจะดีขึ้น เดี๋ยวกูไปซักชุดมึงให้จะได้มีอะไรใส่”


“...ก โก้...แค่ก...ข...” ยิ่งพยามจะพูดไอ้มอลต์ก็ยิ่งไอหนักผมเลยต้องเป็นฝ่ายพูดตัดบทมันอีกครั้ง


“ไม่ต้องขอบใจกูหรอก แค่มึงรีบๆหายป่วยก็พอ” ไอ้มอลต์พยักหน้าก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ


มอลต์หลับยาวจนถึงช่วงบ่าย ระหว่างที่มันนอนหลับไม่รู้เรื่องผมก็แวะมาวัดไข้มันเป็นระยะ มาคิดๆดูต้นเหตุที่ทำให้มันต้องนอนซมแบบนี้ครึ่งนึงก็มาจากผม ก็คงต้องเฝ้าไข้จนกว่ามันจะหายล่ะนะ


ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมก็เหลือเห็นหน้าจอโทรศัพท์ไอ้มอลต์กำลังส่องสว่างพร้อมการแจ้งเตือนว่ามีสายโทรเข้าจาก


กาฟิว


“มีอะไร” ผมถามเสียงห้วนทันทีที่กดรับสาย


(อ่ะ...โก้หรอ ตอนนี้อยู่กับมอลต์สินะ) ปลายสายทำเสียงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อคนที่รับสายไม่ใช่เจ้าของเครื่อง (พอดีวันนี้มีภาคปฏิบัติ อาจารย์เลยให้โทรถามว่าพวกนายหายไปไหน จะมาเข้าคลาสรึป่าว)


“ไอ้มอลต์ไม่สบาย อาการไม่ค่อยดีตอนนี้กูเฝ้าไข้อยู่” ผมตอบห้วนๆหันไปเห็นคนบนเตียงกำลังสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพอดี


(อ่อ แบบนี้นี่เอง เดี๋ยวเราบอกอาจารย์ให้นะ)


“ขอบใจ” ตอนที่จะกดวางสายอีกฝ่ายก็ร้องเรียกเหมือนมีเรื่องสำคัญจะบอก “จะพูดอะไรว่ามา”


(มอลต์ไม่สบาย...เพราะเรารึป่าว)


“ไม่ใช่เพราะนายหรอก สบายใจได้” ผมตอบไปตามจริงก่อนจะเผลอพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป “อย่าสำคัญตัวผิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญนักเลย”


(...ง งั้นแค่นี้นะ) เฮ้ดว้ากเกษตรละล้ำละลักบอกลา


“..แค่ก...ค..ใครโทร...แค่ก..ใครโทรมาหรอ”


“กาฟิว” ตอบเสร็จผมก็โยนมือถือไปให้เจ้าตัวได้เช็คดูอีกครั้งด้วยตัวเอง “โทรมาบอกว่าอาจารย์ถามหา”


“แล้วทำไม...แค่ก..ถึงพูดแบบนั้น...แค่กๆ...” ไอ้มอลต์ไอหนักขึ้นจนผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด


“คนป่วยมีหน้าที่กินยาและนอนพัก อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องรู้หรอก...แล้วนั่นจะไปไหน” ผมถามกึ่งไม่พอใจเมื่อคนป่วยไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูดเมื่อครู่สักนิด ซ้ำยังพยายามตะเกียดตะกายลงจากที่นอนอย่างเอาเป็นเอาตาย


“..ไป.. ร เรียน” ไอ้มอลต์ตอบ


“ถ้าคิดว่ายืนไหวก็ไปสิ” ผมพูดท้ายืดกอดอกมองด้วยสายตาดูแคลน และไม่ทันได้ลุกยืนเต็มความสูงไอ้มอลต์ก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นตามคาด


ถ้าขนาดผมที่เป็นฝ่ายกระทำยังรู้สึกล้าไปทั้งตัว คนถูกกระทำเองก็คงจะมีสภาพไม่ต่างกันมากเท่าไร ที่จริงคือน่าจะหนักกว่าด้วยซ้ำ แล้วไหนจะยังอาการป่วยที่รุมเร้าอยู่นั่นอีกล่ะ


นี่มึงดูสภาพตัวเองบ้างรึป่าว...



ผมมองแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดกึ่งวอนขอให้ไอ้มอลต์ทำตัวเป็นเด็กดีให้ผมสักครั้ง


“กูขอล่ะมอลต์...ช่วยนอนพักให้ตัวเองหายดีก่อนได้มั้ย”


ไอ้มอลต์มองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะพูดเคล้าเสียงไอจับใจความได้ว่าให้ช่วยพยุงมันขึ้นเตียงหน่อย


“นอนที่พื้นนี่แหล่ะ ขืนพยุงมึงกูคงได้เสียหลักล้มแล้วตัดเข้าฉากเลิฟซีนอีกแน่ๆ” ผมพยายามพูดติดตลกเผื่อว่าไอ้มอลต์จะขำแบบทุกครั้ง แต่แทนที่มันจะขำมันดันทำหน้าแดงใส่ผมแทน


“พื้นเย็น...แค่กๆ...กูไม่สบาย...”


ผมกรอกตาหน่ายๆก่อนต้องช่วยจัดแจงเอาผ้าห่มมาพันรอบตัวมันไว้เหมือนห่อข้าวต้มมัดเตรียมนึ่ง


“แบบนี้โอเคมั้ย เอาหมอนรึป่าว อ่ะ อย่าเพิ่งหลับนะต้องกินยาก่อน” ผมร้องห้ามอย่างนึกขึ้นได้ก่อนจะวิ่งปรี่ลงมาที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรง่ายๆให้ไอ้มอลต์กินก่อนจะกินยา


มอลต์พยายามกินข้าวราดแกงที่ผมตักมาให้อยู่สองสามคำก่อนจะวางช้อน ผมจึงส่งยาและน้ำให้ ดูเหมือนมันคงไม่อยากให้ผมป้อนยามันอีกหลังจากที่เจอผมทำแบบนั้นไปเมื่อช่วงเช้า


ผมนั่งเฝ้ามันจนหลับไปอีกครั้ง ในมือกำโทรศัพท์มือถือตัวเองไว้แน่นอย่างชั่งใจ ผมอ่านข้อความเรียกประชุมสโมฯด่วนเย็นนี้ตั้งแต่ตอนที่ลงไปเอาข้าวขึ้นมาให้ไอ้มอลต์กินแต่ยังไม่ได้ตอบกลับ


ถ้าผมไปตอนนี้ใครจะดูไอ้มอลต์ที่นอนซมอยู่ แต่ถ้าไม่ไปก็จะเสียงานเสียการณ์กันไปหมด...


"กูจะรีบกลับมานะ" ผมเอื้อมมือไปลูบเส้นผมสีดำขลับของไอ้มอลต์ด้วยความหวังว่าเมื่อผมกลับมามันคงจะหายดีและกลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง


------------------------------------------------
ตอนที่แล้วแอบอัพซะดึกเลยไม่ค่อยมีคนอ่าน  :sad2:  เสียจุย
ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นเต้นเพราะงั้นอัพเวลาปกติละกัน
จากเนื้อเรื่องตอนนี้รู้สึกเหมือนโก้จะเผยด้านมืดออกมาเยอะเลย
มอลต์แลดูน่าสงสารมาก อกหัก อดรุก แล้วยังโดนโก้แกล้งอีก  :laugh:
ตอนต่อไปจะมาเปิดตัวคนที่โก้เกลียดเข้าไส้
แอบสปอยนิดนึง สาเหตุที่เกลียดส่วนนึงมาจากมอลต์  :z1:
 
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 3(#46) - 08/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-08-2015 20:59:58
 :hao5:


มอลต์น่าสงสารอีกแล้วววว

โก้เกลียดใคร ทำไมเกี่ยวกับมอลต์????????


หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 3(#46) - 08/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: Mikanchan ที่ 11-08-2015 23:35:57
ทำร้ายมอลต์ตะมายยยยยยยยยยย  :ling1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 3(#46) - 08/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 14-08-2015 17:48:16
น้ำผึ้งเป็นเหตุ 55555+
ปล. โก้หึงนะนั่นนนน
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 3(#46) - 08/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: ชอร์ปสติ๊ก ที่ 14-08-2015 21:27:09
โก้มึนๆ อึนๆ แต่เราชอบนะคะ 5555 จะรอดูว่าหลังจากนี้โก้จะทำยังไงกับมอลต์ต่อไป  o18
เป้นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
หัวข้อ: หน้า 4 - 18/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 18-08-2015 14:34:50
หน้าที่ 4


ผมใช้สองนิ้วนวดคลึงบริเวณขมับเบาๆขณะใช่ความคิดในการประชุมเรื่องกิจกรรมรับน้องเทอมหน้า มีคนหยิบยกเรื่องข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับน้องขึ้นมาพูดซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นพ้องว่าเป็นประเด็นที่จะมองข้ามไม่ได้


ขึ้นชื่อว่าเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ยังมีการระบบ SOTUS อยู่ก็ยิ่งเป็นที่จับตามองของพวกผู้ใหญ่เป็นธรรมดา


“แค่ใบยินยอมการเข้าร่วมกิจกรรมแบบปีก่อนก็คงไม่ช่วยอะไรมาก เดี๋ยวนี้แชร์ขึ้นโซเชียลแปบเดียวก็จบ”


“มนุษย์กล้องเดี๋ยวนี้แม่งก็ชอบแชร์ก่อนทำความเข้าใจด้วย”


“งั้นก็ยึดโทรศัพท์ก่อนเริ่มกิจกรรมเลยดีมะ”


“มึงก็คิดได้เน๊อะ เดี๋ยวก็ได้โดนร้องเรียนเพิ่มอีกเรื่อง”


ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นอย่างออกรสเนื่องจากการประชุมครั้งนี้ไม่มีคณะอาจารย์เข้าร่วมด้วย หนึ่งในกลุ่มนั้นคือตัวแทนพี่ว้ากอย่างมิกซ์และเปรม


“งั้นลองเปลี่ยนคำดูมั้ย แทนที่จะเรียกว่า ‘ว้ากน้อง’ เราก็ใช้คำว่า ‘พูดกับน้องด้วยเสียงดังอย่างมีเหตุผล’ อะไรงี้”


“มันต่างกันมั้ยเชี่ยมิกซ์ ยังไงก็ว้ากอยู่ดี”


“ก็ถ้าเปลี่ยนแล้วดีมันก็น่าลองใช่มั้ยล่ะ อ่อ แล้วก็ใช้คำว่า ‘ออกกำลังเพิ่มความสามัคคี’ แทนคำว่า ‘ทำโทษ’ ด้วยไง”


“กูว่าพวกมึงเริ่มจะหลงประเด็นกันแล้วนะ” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจขัดขึ้น ทุกคนหันมามองผมที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นตาเดียวและรอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ “คุยกันมาเป็นชั่วโมงยังวนอยู่ที่เดิม กูว่าพอเถอะ”


“นายกสโมว่างั้นว่ะ” ไอ้เปรมที่เป็นเฮดว้ากกวาดสายตาไปรอบๆ


“งั้นก็แยกย้ายๆ” ไอ้มิกซ์ช่วยสรุปปิดท้าย


ทุกคนทยอยเดินออกจากห้องประชุมในขณะที่ผมยังคงนั่งคลึงขมับอยู่ที่เดิม


“อาจารย์กอบกิจบอกว่ามึงอยากให้กูช่วยติว” เสียงไอ้มิกซ์ดังกระทบโสตประสาทอีกครั้งและเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบมันยืนห่างออกไปเล็กน้อย


“ไม่เคยพูดสักคำ”


“อ่อ อาจารย์บอกด้วยว่าเกรดมึงร่อแร่มาก”


“กูไหว” ผมเถียงสั้นๆนึกในใจว่าถ้าจะยอมให้คนตรงหน้ามาช่วยติวผมยอมไปกราบเท้าขอให้ไอ้มอลต์ช่วยยังจะดีกว่า


“นี่มึงยังโกรธกูอยู่อีกหรอ” มันพูดคล้ายจะรู้ว่าแม้เรื่องจะผ่านมาเป็นปีแล้วผมก็ยังไม่ยกโทษให้มัน


“เรื่องของกูอีกแหล่ะ”


“น้องมึงมาให้กูเอาเองแล้วจะโทษกูคนเดียวได้ไงวะ”


แม้คนที่ไอ้มิกซ์กำลังพูดถึงจะไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดกับผมจริงๆ แต่คำพูดของมันก็ทำให้ผมโกรธจัดได้ในพริบตา


ผมลุกพรวดกระชากคอเสื้อคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง ไอ้มิกซ์มองผมด้วยดวงตาว่างเปล่าแล้วยิ้มหยันที่มุมปาก


“กูพูดผิดหรอ”


“มึงนี่มันเหี้ยจริงๆ” ผมพูดเสียงต่ำรอดไรฟันแล้วคลายมือที่กำคอเสื้อมันออก


ผมไม่ชอบมีเรื่องชกต่อย ถ้าเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆผมจะยอมให้อภัย แต่ผมให้อภัยกับที่มันทำกับน้องรหัสผมไม่ได้จริงๆ


เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงรับน้องปีก่อน ตอนนั้นพวกเราเพิ่งขึ้นปีสองและได้รับหน้าที่ดูแลน้องปีหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมและไอ้มอลต์ได้ทำงานร่วมกับไอ้มิกซ์และกลุ่มเพื่อนๆของมัน


กลุ่มของไอ้มิกซ์ส่วนใหญ่จะเลือกเทคแคร์น้องผู้หญิงเป็นพิเศษ ซึ่งก็เป็นธรรมดาตามประสาผู้ชายหน้าม่อ แต่ไอ้มิกซ์และเปรมไม่ใช่แบบนั้น


มิกซ์เป็นผู้ชายเงียบๆที่เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางและดูจะไม่เลือกปฏิบัติกับน้องคนไหนเป็นพิเศษ ส่วนเปรมไม่ต้องพูดถึง หมอนี่ไม่นิยมฟีเจอริ่งกับผู้หญิงพูดง่ายๆก็คือเป็นเกย์นั่นแหล่ะ


สรุปสุดท้ายหลังหมดกิจกรรมรับน้องแก๊งเพื่อนมิกซ์ก็ไม่มีใครม่อรุ่นน้องมาเป็นแฟนได้สักคน มีก็แต่เปรมปริญที่สามารถพาเด็กคณะเศรษฐศาสตร์มาแนะนำกับเพื่อนๆได้


“โอเค มั่นใจละ” ไอ้มอลต์พูดออกมาวันหนึ่ง


“เรื่อง?” ผมย้อนถามสั้นๆ


“ไอ้มิกซ์ก็เป็นเกย์”


“ห๊ะ? ไอ้มิกซ์เนี่ยนะ” ผมย้อนถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู “ดูตรงไหน??”


“นี่” ไอ้มอลต์พูดแล้วชี้นิ้วตัวเองบริเวณอกซ้าย


“เสื้อผ้าเนี่ยนะ” ผมแกล้งบื้อ


“ฟาย หัวใจเว้ย หัวใจ” ไอ้มอลต์ทำหน้าขัดใจก่อนจะพูดต่อ “ความรู้สึกกูบอกว่าใช่”


“ความรู้สึกมึงคงเชื่อไม่ได้ เจอหน้ากูครั้งแรกมึงก็ทักว่ากูเป็นเกย์จำได้มั้ย” ผมพูดค้านพร้อมหยิบยกเรื่องในอดีตมาอ้าง


“โดยทฤษฎีผู้ชายทุกคนเป็นเกย์ แม่งแค่ยังไม่รู้ตัวเฉยๆ” ไอ้มอลต์เถียงข้างๆคูๆ


“จะจำไว้แล้วกัน” ผมตอบอย่างขอไปที


เย็นวันนั้นไอ้มิกซ์กับมอลต์ก็แตกหักกันถึงขึ้นมีเรื่องชกต่อย และเมื่อถามผู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดอย่างเปรมปริญก็ได้ความว่า ไอ้มอลต์อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่าไอ้มิกซ์เป็นเกย์ เหมือนจะเป็นแค่เรื่องขำๆประสาเพื่อนผู้ชายปากหมาแซวกันเล่นถ้าไม่ใช่ว่าไอ้มอลต์พูดล้ำเส้นมากไป


กลับมาที่ความเป็นจริงในปัจจุบัน ผมสาวท้าวก้าวออกจากห้องประชุมโดยไม่หันไปมองแต่ยังรู้สึกได้ว่าคนข้างหลังก็เดินตามมาไม่ห่าง


“ตามกูมาต้องการอะไร” ผมหันไปพูดอย่างหัวเสีย


“ใครตามมึง อย่ามโนได้ป่ะ”


“จะบอกว่ารถมึงบังเอิญจอดหลังตึกที่เดียวกับกูงั้นสิ”


“ถ้าใช่แล้วไง” ไอ้มิกซ์ยักคิ้วกวน


“ตอแหล”


“ด่าได้ตรง” ไอ้มิกซ์พูดเหมือนถูกใจ “กูแค่ตามมาเตือน”


“เรื่อง?”


“อยู่กับไอ้มอลต์มากๆระวังติดเชื้อเกย์ อ๊ะ...แต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าพวกมึงเป็นคู่ขากันอยู่แล้วนี่นะ”


ผมรู้ว่าไอ้มิกซ์พยามพูดกวนประสาทให้ผมโกรธ ซึ่งถ้าถามว่าผมโกรธมั้ย?...ก็นิดๆนะ


“อย่ามาเสือกรู้ดีเรื่องพวกกูหน่อยเลย”


“โห...ทำหน้าแบบนี้อย่าบอกนะว่ามึงโดนไอ้มอลต์เสยตูดไปแล้ว” มิกซ์เหยียดยิ้ม


ผมอยากจะสวนกลับไปว่าไอ้มอลต์ต่างหาที่โดนผมเสย แต่พอได้ฉุดคิดสักนิดผมก็ได้สติว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้


“มึงเหอะ..ยังตามตูดไอ้เปรมต้อยๆ หึ...” ผมจงใจพูดเว้นจังวะให้มันคิดเอาเองบ้างว่าผมจะพูดเรื่องอะไร


“คิดว่าแค่นี้ยั่วให้กูโมโหได้หรอ”


“มึงว่างมากรึไงถึงได้มาหาเรื่องกู” ผมถามหน่ายๆ เริ่มเบื่อจะต่อปากต่อคำกับไอ้มิกซ์เต็มที


“ก็ไม่ได้อยากมาต่อปากต่อคำกับมึงนักหรอก แค่จะบอกว่ากูยินดีช่วยติวให้มึงก็แค่นั้น”


“ถ้าเรื่องนั้นกูพูดไปแล้วว่าไม่จำเป็น ถ้าหมดเรื่องแล้วกูขอตัว” ผมพูดตัดบทเสียงห้วน


“ถ้าคิดว่ากูจำเป็นเมื่อไรก็โทรหากูแล้วกัน” ไอ้มิกซ์ยืนกอดอกพิงเสาพูดทิ้งท้ายขณะมองผมขึ้นควบรถจักรยานยนต์รุ่นเก่าสมัยคุณแม่ยังสาวขับออกไป


ผมกลับมาถึงบ้านพร้อมกับโจ๊กถุงหนึ่งที่แวะซื้อระหว่างทาง คิดในใจว่าหมีกริซลี่ที่นอนซมอยู่บนห้องคงกำลังหิวพอดี


“ไอ้มอลต์ลุกมากิน-” ผมกลืนคำพูดตัวเองลงคอเมื่อเห็นว่าในห้องนั้นว่างเปล่า จู่ๆก็รู้สึกว่าเลือดในกายเย็นวาบอย่างไม่มีสาเหตุ


ผมวิ่งลงไปดูเสื้อผ้าของไอ้มอลต์ที่ตากไว้...เป็นไปตามคาด บนราวว่างเปล่าเหลือเพียงไม้แขวนเสื้อ


“เชี่ยเอ้ย!” ผมสบถอย่างหัวเสียยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู ซึ่งผมไม่มีทางรู้เลยว่าเวลากว่าสี่ชั่วโมงที่ผมไม่อยู่ไอ้มอลต์ตัดสินใจที่จะหนีไปตอนไหน ผมไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนี้มันหนีผมไปไกลแค่ไหนแล้ว


ไม่มีประโยชน์ที่จะโทรหา เพราะผมเห็นตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วว่าบนตู้ข้างหัวเตียงมีโทรศัพท์มือถือของไอ้มอลต์ถูกวางทิ้งไว้


ตอนนี้ผมถูกทิ้งให้จมอยู่กับคำถาม...เพราะอะไรไอ้มอลต์ถึงหนีไป?



-------------------------------------------------------------
ถ้าบอกว่าจบแค่นี้คงได้โดนนักอ่านปารองเท้าใส่แน่ๆ
ยังไม่จบนะคะ ยังค่ะ แต่ขอพักเบรกไว้ก่อนนิดนึง
ตอนนี้กำลังซุ่มเตรียมโปรเจคที่อาจทำให้หายหน้าไป
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ทางแฟนเพจ Hina-Chang (https://www.facebook.com/tsunihina)
และทาง twitter Hina-Chang (https://twitter.com/hina_minmaru)(ที่ส่วนใหญ่เอาไว้เวิ่นเว้อบนโลก)
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นๆของเรา
เราอ่านทุกคอมเม้นและมันช่วยผลักดันเราได้มากทีเดียว
ยังไงก็อยากให้ติดตามอยู่ด้วยกันจนถึงตอนจบที่แท้จริงนะคะ
รักนักอ่านทุกท่านจากก้นบึ้งของหัวใจ Hina  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 4(#51) - 18/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-08-2015 14:42:28
 :a5:


มอล์ตไหงทำตัวเป็นนางเอกล่ะคะเนี่ย อยู่เคลียร์กันแมนๆก่อนสิ  :z3:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀โก้ หน้า 4(#51) - 18/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: ชอร์ปสติ๊ก ที่ 18-08-2015 14:49:29
มิกซ์นี่วอแวพี่โก้จัง ฮันแน่ แอบคิดอะไรรึเปล่าาาา  :ruready
หัวข้อ: แจ้งข่าว - 23/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 23-08-2015 09:23:56
แจ้งข่าวนักอ่าน ว่าด้วยเรื่องตอนจบของโก้มอลต์


ตอนต่อไปจะเป็นตอนจบของเนื้อเรื่องด้านโก้กับมอลต์แล้วค่ะ จริงๆตอนนี้ถ้าจะอัพมันก็อัพได้แหล่ะ
ถ้าไม่ติดว่าเนื้อเรื่องที่อัพได้ในตอนนี้เป็นตอนจบแบบ Bad Ending ที่เนื้อหาค่อนข้างหนัก
เราไม่รู้ว่านักอ่านจะทำใจรับได้แค่ไหน จึงอยากจะอัพตอนจบทั้งสองแบบพร้อมกันทีเดียว
ใช่ค่ะ ตอนจบของโก้มอลต์จะมี 2 แบบ คือ Happy Ending และ Bad Ending
จะเลือกอ่านแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะอ่านทั้งสองแบบก็ได้ค่ะ

เพิ่มเติม...กระทู้พูดคุยเรื่องทั่วไป ไว้ไปตามจิก หรือคอมเม้นนอกรอบได้ทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ หรือเรื่องอื่นที่เราเขียน
จิบชานั่งคุย มุมสบาย By Hina (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48426.0)

 :กอด1: ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด....Hina
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀แจ้งข่าว โปรดอ่าน(#54) - 18/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 23-08-2015 09:26:20
 :call:

ขอลง 2 แบบพร้อมกันค่ะ ลง Sad Ending อันเดียวรับไม่ไหว ตับฉีกซะก่อน  :hao5:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀แจ้งข่าว โปรดอ่าน(#54) - 18/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: ชอร์ปสติ๊ก ที่ 23-08-2015 10:00:17
bad end ค่ะ

คนเขียนก็ตั้งใจไว้แล้ว จะจบยังไงเราไม่เกี่ยงค่ะ  o18 เขียนตามที่คนเขียนตั้งใจเลยนะคะ เรารับได้ เป็นกำลังใจให้จ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀แจ้งข่าว โปรดอ่าน(#54) - 18/08/15
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 09-09-2015 07:25:52
Bad end มาเลยก็ได้ค่ะ ตามพล็อตที่วางมาเลยค่ะ อ่านได้หมดอยู่แล้ว~
หัวข้อ: BAD END - 19/09/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 19-09-2015 06:50:04
[โก้ - BAD ENDING]


บ่ายวันต่อมาหลังจบคาบเรียนวิชามนุษยสัมพันธ์อาจารย์เรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัวและถามคำถามซึ่งทำให้ผมรู้ว่าผู้ชายชื่อมอลต์หายไปจากชีวิตผมแล้วจริงๆ


“ตอนแรกก็อุส่าห์คาดหวังไว้ว่าเพื่อนเธอน่าจะทำให้การเขียนสมุดบันทึกคลาสนี้คึกคักขึ้น แต่ถ้ามันลงเอยแบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้แล้วล่ะนะ”


ผมเดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง ในหัวยังคิดย้ำๆว่าไอ้มอลต์ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร


หรือการที่ผมกับมอลต์มีอะไรกันทำให้มันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าการที่รู้ว่าตัวเองอกหักจากเฮดว้ากเกษตร ผมคิดหาคำตอบจนไม่ได้สังเกตุเลยว่าใครบางคนกำลังดักรอผมอยู่ที่หน้าตึกเรียน


“โก้!” ชายผิวแทนส่งเสียงเรียกเสียงดังเมื่อเห็นว่าผมมองไม่เห็นเขาจริงๆ


เฮ้ดวากเกษตรและเพื่อนชายฉายาสปอตไลท์มองมาที่ผมซึ่งกำลังใจลอย ผมมองหน้าชายผิวแทนเพียงครู่เดียวก่อนพบว่าผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป


ผัวะ!!


“ถ้าไม่เพราะมึงไอ้มอลต์คงไม่ทำแบบนี้!” ผมต่อยเฮ้ดว้ากเต็มแรงจนเขาเสียหลักล้ม เพื่อนตัวเล็กของเขาใช้แรงทั้งหมดผลักผมออกแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ชกใบหน้านั้นอีกครั้งอยู่ดี


“เลิกบ้าซะทีเถอะ!!” นายสปอตไลท์ร้องสุดเสียง “พวกกูแค่เอาข้อความของไอ้มอลต์มาส่งให้มึง”


ผมชะงักไปก่อนจะได้ต่อยเฮ้ดว้ากอีกเป็นครั้งที่สาม มองใบหน้าขาวที่กำลังขึ้นสีด้วยความโกรธ


“มึงก็รู้ใช่มั้ยเรื่องที่ไอ้มอลต์ได้สมุดเล่มเดิมไปเขียนซ้ำทุกวัน”


“...” ผมตอบคำถามของนายสปอตไลท์ไม่ได้เพราะผมไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย


“ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ” มือขาวขว้างสมุดบันทึกลงบนพื้นก่อนจะเข้าไปประคองเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น “ไปเหอะเชี่ยฟิว”


ผมนั่งนิ่งอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบห่างออกไปเป็นสมุดบันทึกของวิชามนุษยสัมพันธ์ที่แสนคุ้นตา ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าผมจะเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดอ่านข้อความทีละหน้า


ช่วงแรกของสมุดบันทึกเป็นเป็นการเล่าเรื่องทั่วๆไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นบันทึกที่คล้ายกับแฝงการโต้ตอบระหว่างคนสองคน
เมื่อผมพลิกมาถึงไดอารี่หน้าล่าสุดซึ่งถูกเขียนวันนี้ น้ำตามากมายก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจกลั้น


30/05

ครั้งสุดท้ายกับการเขียนไดอารี่ในวิชา HR
ขอฝากข้อความถึงใครบางคนที่เป็นเพื่อนคนสำคัญของเรา
ขอโทษนะที่ไม่กล้าพอจะอยู่สู้หน้านาย รู้ดีว่าเรามันขี้ขลาด
แต่ตอนนี้เราไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับนายจริงๆ ป๊อดง่ะ
นายคงอยากได้เหตุผลว่าที่เราทำไปทั้งหมดนี้มันเพราะอะไร
เราบอกนายได้แค่ว่า เราชอบนายเกินกว่าจะยอมให้
ความเป็นเพื่อนของเรามันพังลงแค่นี้ ยกโทษให้เราด้วย
แต่ที่เราทำไปทั้งหมดเพราะนายมีความสำคัญกับเรามากจริงๆ



“ถ้ากูสำคัญ...แล้วมึงทิ้งกูไปทำไม...”


เหตุทะเลาะวิวาทหน้าตึกคณะมนุษยศาสตร์ไปถึงหูอาจารย์ในที่สุด ผมแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกสโมสรนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์และมอบตำแหน่งรักษาการประธานรุ่นให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมซึ่งดูจะไม่เต็มใจรับมอบตำแหน่งนี้เท่าไร


“ถึงกูบอกว่าให้โทรหาตอนคิดว่ากูจำเป็น มึงก็ไม่น่าโทรมาบอกยกตำแหน่งให้กูแบบนี้นะ” ไอ้มิกซ์ถึงกับบ่นอุบก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง “แล้วเรื่องเรียนว่าไงวะ เกรดก็ร่อแร่แล้วยังเสือกโดนพักการเรียนอีกนะมึง”


“เรื่องพักการเรียนมีผลเทอมหน้า” ผมเว้นจังหวะถอนหายใจรู้สึกอ่อนล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ “เทอมนี้ก็เรียนให้จบๆไป”


“เออ เมื่อกี้กูได้ยินอาจารย์กอบกิจพูดว่าเมื่อเช้าไอ้มอลต์ก็มาทำเรื่องขอพักการเรียน คงไม่ใช่ว่ามึงไปหาเรื่องต่อยคนอื่นเพื่อหยุดเรียนเป็นเพื่อนไอ้มอลต์นะ” ไอ้มิกซ์พูดเจื้อแจ้วไปเรื่อย แต่พอเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรมันจึงได้หันกลับมามองสีหน้าผมชัดๆ “อะไร...อย่าบอกนะว่าพวกมึงมีเรื่องหลบหน้ากันอยู่”


“ไม่เกี่ยวกับมึง” ผมตอบห้วนๆด้วยเสียงติดเย็นชา


“โยนภาระมาให้กูแล้วยังบอกว่าไม่เกี่ยวกับกูอีกหรอ” ไอ้มิกซ์กอดอกจ้องผมอย่างเอาเรื่อง


“ถ้ามึงทำไม่ได้ก็โยนไปให้คนอื่นสิ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องแคร์อีกแล้ว


“ทำตัวขวางโลกเหมือนคนโดนทิ้งไปได้”


“...”


ประโยคลอยๆของไอ้มิกซ์ทำผมสะอึก คำพูดอวดดีอันตรธานหายไปในอากาศเสียดื้อๆ


“จี้ใจดำสินะ” ไอ้มิกซ์เหยียดยิ้มขำก่อนจะเข้ามากอดคอเหมือนเราสองคนสนิทกันมาก “เอางี้มั้ย พวกเรากลับมาป็นเหมือนเดิมแล้วลืมเรื่องในอดีตไปให้หมด”


“พูดเหมือนกูจะลืมความเลวที่มึงทำไว้กับน้องพลอย”


“มึงไม่ต้องลืมก็ได้” ไอ้มิกซ์พูดพลางไหวไหล่ “แต่กูรับรองว่ามึงจะลืมเรื่องไอ้มอลต์ไปเลยถ้าได้อยู่กับกู”


ผมไม่ได้เล่าให้แม่ฟังเรื่องที่ถูกพักการเรียน ทุกวันผมออกจากบ้านด้วยชุดนักศึกษาตามปกติ ใช้เวลาเตร็ดเตร่ตามศูนย์การค้าเพื่อฆ่าเวลา


แรกๆมันก็น่าเบื่อ แต่หลังจากไอ้มิกซ์แนะนำหลายๆคนให้รู้จักผมก็มีอะไรให้ทำมากขึ้น


การกระทำที่เคยเป็นสาเหตุให้ผมและไอ้มิกซ์แตกหักกันกลายเป็นสิ่งที่ผมกลับทำเสียเอง หัวใจผมเหมือนตายด้านลงไปทุกทีเมื่อต้องมีเซ็กส์กับผู้หญิงที่เข้าหาและพร้อมจะอ้าขาให้ถ้าผมบอกว่าต้องการ


“ไงมึง” ไอ้มิกซ์ที่เพิ่งเลิกเรียนกลับมาถามผมที่กำลังนั่งเหม่ออยู่บนเตียง “เมื่อกี้เดินสวนที่ทางเดิน น้องปิงหัวเสียน่าดูเลย”


“หัวเสียที่ทำให้กูอยากเอาไม่ได้เนี่ยนะ...เฮ๊อะ”


“เรื่องนั้นช่างมันก่อน กูมีเรื่องจะบอก” ไอ้มิกซ์ทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียงก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “วันนี้กูเจอไอ้มอลต์ที่คณะ”


มอลต์...คำสั้นๆที่สามารถทำให้หัวใจผมกลับมาเต้นโครมครามทั้งที่เคยตายด้านไปแล้วครั้งหนึ่ง


“มันมาทำไม”


“เห็นว่าทำเรื่องกลับมาเรียนเทอมหน้า ก็ไม่ค่อยรู้ละเอียดนักหรอก”


“งั้นหรอ...”


“ปฏิกิริยามึงนิ่งกว่าที่กูคิดนะ” ไอ้มิกซ์พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายผิดหวัง “แต่ก็ดีแล้วล่ะ แสดงว่ากูทำให้มึงลืมมันได้แล้วส่วนนึง”


ไอ้มิกซ์เข้าใจผิดถนัด...เพราะความจริงคือผมไม่ได้ลืมเรื่องของไอ้มอลต์เลยแม้แต่เรื่องเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตั้งแต่ที่ผมกับมันรู้จักกันใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งวินาทีที่มันทิ้งผมไป


ผมลงจากเตียงและหยิบเสื้อผ้าที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ก่อนจะหันไปบอกไอ้มิกซ์ซึ่งเป็นเจ้าของห้องว่า


“ตั้งแต่พรุ่งนี้กูจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”


“อ่าวเฮ้ย ใช้ห้องกูกกสาวมาตั้งนานคิดจะไปง่ายๆงี้หรอ” ไอ้มิกซ์โวย


“กูเบื่อแล้ว” ผมตอบไปตามตรง


“จะรีบกลับไปอ้อนผัวเก่ารึไง” ไอ้มิกซ์พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดๆที่ผมไม่ได้ยินมานาน และเพียงเสี้ยววินาทีนั้นผมก็คว้าคอเสื้อไอ้มิกซ์ขึ้นอย่างเอาเรื่อง


“ถ้าไม่ใช่เพราะสาวๆที่มึงแนะนำมันเริ่มไม่ได้เรื่องกูคงไม่เบื่อแบบนี้”


“หึ..ที่เบื่อเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงรึป่าว” ไอ้มิกซ์เหยียดยิ้ม “ถ้าอยากได้ผู้ชายก็ก็แนะนำให้ได้นะ อยากได้แบบไหนว่ามาเลย”


“ถ้ามึงยังพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก อย่าหวังว่ากูจะยอมคุยกับมึงอีกเป็นครั้งที่สอง” ผมพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินผละออกมาและไม่กลับไปเหยียบที่คอนโดของไอ้มิกซ์อีกเลย


กิจวัตรประจำวันของผมยังคงเป็นเหมือนเดิม จะแปลกไปก็ตรงที่ผมไม่ได้ใช้ห้องไอ้มิกซ์ไว้เป็นที่เผด็จศึกสาวๆก็เท่านั้น


“ห้องเค้าของเยอะหน่อยนะ พวกรองเท้ากับกระเป๋าอะไรงี้อ่ะ” น้ำเสียงหวานพูดเจื้อยแจ้วข้างหูขณะเดินแอบอิงไปตามทางเดินในตึก


“ไม่มีผู้ชายอยู่ในห้องก็ไม่เป็นปัญหาหรอก”


“แหม๋ เห็นเค้าอย่างนี้ก็ยอมให้โก้คนเดียวนะ”หญิงสาวพูดออดอ้อนก่อนจะหอมแก้มอย่างเอาใจ


“ถ้าโกหกล่ะจะจับตีก้นให้เข็ดเลย”


ผมกดปลายจมูกลงบนแก้มเนียนอย่างหมันเขี้ยว รู้สึกเห็นเงาคนเดินมาทางปลายหางตาจึงเอี้ยวตัวหลบให้ หากแต่เมื่อผมได้เห็นใบหน้าด้านข้างของคนที่เดินผ่านไปร่างกายผมก็เริ่มผิดเพี้ยนไปอีกครั้ง


หมับ!


“ไงมอลต์ ไม่เจอกันนานนะ” ผมเอ่ยทักก่อน


“ง...ไง”


“เพิ่งรู้ว่าอยู่หอนี้” ผมเว้นจังหวะและออกแรงบีบข้อมืออีกฝ่ายเล็กน้อย “บังเอิญจัง”


“อ่อ หอเก่าปัญหาเยอะเลยย้ายน่ะ” ไอ้มอลต์ตอบ “น..นี่แฟนโก้หรอ น่ารักดีนะ”


“ขอบใจ แต่ว่าไม่ใช่แฟนหรอก”ผมตอบอย่างไม่ไว้หน้าแม้ว่าคนที่ถูกพูดถึงจะกำลังยืนอยู่ข้างกายก็ตาม


“ทำไมโก้พูดไม่ไว้หน้าผิงแบบนี้ล่ะคะ” หญิงสาวขึ้นเสียงจนแทบจะเป็นเสียงกรี้ด


“ทุกครั้งที่เอาก็ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าเอาในฐานะไหน อย่ามาสะดิ้งได้มั้-”


ผัวะ!!


กำปั้นของไอ้มอลต์ต่อยเข้าเต็มแรงจนผมลอยไปกระแทกกับผนัง ไอ้มอลต์มองผมด้วยสายตาที่โกรธจัดก่อนจะพูดออกมาอย่างเดือดดาล


“ไอ้โก้ที่กูเคยรู้จักไม่ใช่คนที่จะเหี้ยกับผู้หญิงได้ขนาดนี้ ขอโทษเธอซะ!!”


“...คนที่ทิ้งกูไปอย่างมึง...มาเสือกอะไรด้วย!!”


ผมได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ ตอนนั้นสมองผมขาวโพลนจนนึกอะไรไม่ออก ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ข้างในกำลังทำให้ร่างกายนี้เคลื่อนไหว หมัดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกพุ่งปะทะใบหน้าที่ไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้ง แต่ในจังหวะที่ไม่ทันระวังกำปั้นของไอ้มอลต์ก็ซัดเข้ามาเต็มแรงอีกครั้งจนหงายหลังนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น


ความรู้สึกที่บิดเบี้ยวกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำใส ในอกเจ็บแปลบราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมได้ยินเสียงหายใจหอบของไอ้มอลต์อยู่ใกล้แค่เอื้อม


ผมใช้หลังมือเช็ดน้ำตาก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นอีกครั้ง มอลต์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมขณะที่ผมเดินจากมา ไม่มีถ้อยคำใดๆมาเอ่ยรั้งหรือขอให้เราทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิม


แล้วโลกของเราทั้งสองก็เหมือนถูกตัดขาดออกจากกัน


------------


เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ผมถูกพักการเรียนผมก็กลับมาเรียนตามปกติ ทุกเย็นผมต้องอยู่ติวกับไอ้มิกซ์ที่ถูกอาจารย์กอบกิจไหว้วานให้มาอีกทีอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก


เย็นวันหนึ่งไอ้มิกซ์ก็มีท่าทางแปลกไป มันเดินเข้ามาพร้อมกับความฉุนเฉียวเหมือนเพิ่งไปมีเรื่องขัดใจกับใครมา ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจแต่เหมือนไอ้มิกซ์จะอยากให้ผมมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่มันจะทำต่อจากนี้ด้วย


“กูอุส่าหวังดีไปเตือนว่าไอ้เปรมกำลังโดนไอ้เด็กนั่นหลอก แต่ไอ้เปรมกลับเชื่อมันมากกว่ากู” น้ำเสียงไอ้มิกซ์เต็มไปด้วยความเดือดดาลแต่มันกลับพูดด้วยใบหน้าที่ดูนิ่งสงบกว่าทุกครั้ง “ไอ้เปรมต้องเสียใจที่เลือกมัน มึงสนใจจะมาร่วมวงกับกูมั้ยโก้”


“ขอผ่านแล้วกัน กูไม่อยากยุ่ง”


“ก็คิดไว้แล้วล่ะนะว่ามึงคงจะปอดแหกตามเคย” ไอ้มิกซ์แสยะยิ้มชั่ว “กูแค่คิดว่าจะหาอะไรให้มึงทำคลายเครียดก็เท่านั้น”


“ขอโทษทีว่ะ กูไม่นิยมคลายเครียดแบบนี้”


“ก็แค่จะกระทืบสั่งสอนเด็กเหลือขอให้รู้สำนึก ไม่ได้จะยกพวกไปรุมโทรมมันซะหน่อย”


“มึงลืมไปรึป่าวว่ากูโดนพักกวารเรียนไปเพราะอะไร” ผมพูดให้มันคิดก่อนจะเก็บของกลับบ้าน


“จะกลับเลยหรอวะ” มันร้องถาม


“วันนี้มึงไปทำหัวให้เย็นก่อน แล้วค่อยมาติวชดเชยให้กูแล้วกัน” ผมตอบโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมอง


วันต่อมาโลกตัดสินใจเหวี่ยงไอ้มอลต์กลับเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง ด้วยความบังเอิญที่ผมต้องอยู่เรียนเสริมและกลับเย็นกว่าปกติ ผมเจอไอ้มอลต์กำลังเดินลงบันไดอย่างรีบร้อน


ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมเดินตามไปอย่างไม่รอช้า ก่อนจะชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นเงาคนสองคนยืนอยู่ที่หน้าตึก


ผมอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยินว่าทั้งสองคนกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่ แต่ท่าทางที่สนิทสนมและการหยอกล้อระหว่างมอลต์และชายตัวเล็กที่ผมจำได้แม่นว่าเป็นเด็กคณะเศรษฐศาสตร์ที่ไอ้เปรมเคยพามาเปิดตัวต่อหน้าเพื่อนๆ


คำพูดของไอ้มิกซ์เมื่อวานกลับเข้ามาในห้วงความคิดของผมอีกครั้งพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มครุกรุ่น ผมกำหมัดแน่นมองภาพรุ่นน้องคนนั้นเดินจูงมือไอ้มอลต์ไปต่อหน้าต่อตา


“ชดเซคก็บอกกันบ้างดิวะ กูก็นั่งรอติวให้มึงจนตูดบานหมดแล้วเนี่ย” เสียงไอ้มิกซ์บ่นกระปอดกระแปดดังมาจากทางด้านหลัง


“...กูทำเอง”


“ห๊ะ? พูดอะไรของมึงเนี่ย”


“เรื่องกระทืบเด็กไอ้เปรม...กูจะทำเอง”


“ผีเข้าหรอวะ...” ไอ้มิกซ์ที่เพิ่งเห็นสีหน้าของผมตอนนี้เงียบเสียงลงไปทันทีคล้ายจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างแล้วแม้ว่าผมจะยังไม่ได้อธิบายอะไรเลยก็ตาม “ฝากด้วยนะ”


ทุกอย่างง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อตอนที่ผมลากร่างเล็กๆไปในที่ลับตาคน เขาพยายามขัดขืนและต่อสู้ทำให้ถูกผมต่อจนเลือดกบปาก


ผมไม่สนใจเรื่องการแก้แค้นของไอ้มิกซ์แต่ผมอยากรู้เหลือเกินว่าเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับไอ้มอลต์


“รู้มั้ยว่าทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” ผมถามเสียงต่ำกดร่างเล็กติดพื้นและขึ้นคร่อมเพื่อกันอีกฝ่ายหนี แล้วก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเพราะตัวเองดันตาไวสังเกตเห็นรอยแดงเล็กๆสองสามรอยบริเวณต้นคอที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า


ฝีมือไอ้มอลต์?


“ม ไม่รู้...” ชายตัวเล็กตอบมาด้วยท่าทางหวาดกลัวน้ำตาคลอหน่วย ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ


“มึงมายุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง คนของกู!!” ผมตะคอกเสียงกร้าว


“ฮึก..ผม..ผมไม่รู้คุณพูดถึงเรื่องอะไร!”


ชายตัวเล็กร้องไห้หนักขึ้น นั่นยิ่งทำให้เขาดูบอบบางไร้ทางสู้จนน่าสงสาร แต่หากลองคิดในอีกแง่...ทั้งหมดอาจจะเป็นแค่การเสแสร้งเพื่อเอาตัวรอดก็ได้


“ไม่รู้งั้นหรอ...พูดง่ายดีนี่” ผมกัดฟันกรอดกระชากเสื้อคนตัวเล็กจนแทบขาดคามือ ผิวขาเนียนมีรอยที่ทำเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ “หลักฐานเต็มตัวขนาดนี้ยังบอกว่าไม่รู้อีกหรอ”


“นี่มัน ม ไม่ใช่นะ...”


“แก้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ”


ชายตัวเล็กหวีดร้องสุดเสียงด้วยความหวังว่าจะมีคนมาช่วยพาเขาออกไปจากฝันร้ายตรงหน้า แม้จะได้ยินเสียงเขาร้องอย่างเจ็บปวดแต่ผมก็ยังไม่หยุดสะโพกที่ขยับเข้าออกอย่างดุดัน


ไม่นานนักเสียงร้องขอความช่วยเหลือและอาการสะอื้นค่อยๆสงบลงอย่างผิดปกติ ชายตัวเล็กนอนนิ่งนัยน์ตาว่างเปล่า เขาพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยินจึงต้องโน้มตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น


“บอ..ล...” เขาเพ้อแผ่วเบาในขณะที่น้ำตายังไหลไม่หยุด


ผมผละออกจากร่างเล็กและจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาไอ้มิกซ์


“เรียบร้อยแล้ว” น้ำเสียงผมเรียบเฉยไร้อารมณ์ ไอ้มิกซ์ส่งเสียงประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะพูดบางอย่างที่ผมไม่ได้ตั้งใจฟัง


ผมได้ยินเสีงฝีเท้าหนึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้จากด้านหลังก่อนที่เสียงนั้นจะหยุดลงห่างออกไปไม่ไกล ผมหันกลับไปเผชิญหากับผู้มาใหม่แล้วเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว


“แค่นี้ก่อนนะ” ผมพูดกับไอ้มิกซ์ก่อนจะถามชายที่อยู่เบื้องหน้า “มาทำอะไรแถวนี้”


“...มึงตอบกูมาก่อน...แฮ่ก...มึงทำอะไรกับน้องบาส...” ไอ้มอลต์ถามทั้งที่ยังหายใจหอบ


ผมปรายตามองชายตัวเล็กเล็กน้อยก่อนหันมาตอบ “แล้วคิดว่ากูทำอะไรล่ะ”


“มึงตอบกูมาเดี๋ยวนี้ว่ามึงทำอะไรลงไป” ไอ้มอลต์ตะโกนอย่างเหลืออด


“กูข่มขืนมัน ตอบแบบนี้พอใจมึงรึยัง”


คำตอบของผมคงจะทำให้เส้นความอดทนเส้นสุดท้ายของไอ้มอลต์ขาดลง หน้าผมสะบัดไปตามแรงซึ่งก็สมควรโดนแล้ว


“กูผิดหวังในตัวมึงจริงๆ...”


ไอ้มอลต์มองผมด้วยสายตาเจ็บปวดแล้วเดินผ่านผมไปช้อนร่างเล็กขึ้นจากพื้น อกซ้ายผมเจ็บจนรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายซะให้ได้


“...แม้แต่มึงก็เลือกไอ้เด็กนั่น” เสี้ยววินาทีที่กำลังจะเดินจากไปคำพูดของผมก็ทำให้ไอ้มอลต์ชะงักงัน


“กลับบ้านซะโก้” ไอ้มอลต์พูดด้วยเสียงที่อ่อนลงแต่ยังเจอด้วยอารมณ์ครุกรุ่นอยู่บ้าง “กูจัดการทางนี้เสร็จแล้วจะตามไป”


เมื่อกลับมาถึงที่บ้านผมก็เห็นไอ้มอลต์นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่หน้าประตู


“มาจบเรื่องนี้กันเถอะ” ไอ้มอลต์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน “...กูขอโทษที่วันนั้นหนีไป”


เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากของไอ้มอลต์ ผมจึงไม่รู้ว่าจะตอบรับกับคำขอโทษนั้นอย่างไร


ไอ้มอลต์มองหน้าผมก่อนจะพูดต่อ “วันนั้นความคิดกูมันยุ่งเหยิงไปหมด กูไม่เข้าใจการกระทำของมึงทั้งๆที่เคยเข้าใจว่ารู้จักมึงดีกว่าใคร...มึงที่ใจดีหาข้าวหายามาให้กูกินแต่ก็บ่นว่ากูเป็นภาระอย่างเย็นชา”


“แต่กูไม่เคยคิดว่ามึงเป็นภาระ!” ผมเถียงแต่มันก็เป็นความจริงตามที่ไอ้มอลต์พูดว่าผมบอกว่ามันทำตัวเป็นภาระสำหรับผม


“งั้นหรอ...โล่งอกไปที” ไอ้มอลต์ยิ้มบางๆอย่างขมขื่น “เรื่องในวันนี้กูจะรับผิดชอบเอง”


“ม..หมายความว่ายังไง?”


“ถ้าสิ่งที่ทำให้มึงเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้มีสาเหตุมาจากกู...ก็เอาทุกอย่างมาลงทีกูเถอะ” ไอ้มอลต์พูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “อย่าลากคนอื่นเข้าเกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของพวกเราอีกเลย”


ผมกำหมัดแน่นและถามตัวเองว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของไอ้มอลต์จริงๆอย่างนั้นหรอ หรือแท้จริงแล้วจะเป็นความผิดของผู้ชายปากแข็งอย่างผมที่ไม่กล้าจะพูดคำว่ารักออกมากันแน่


“...ทำไมต้องยอมทำถึงขนาดนี้” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ


“เพราะมึงเป็นคนสำคัญสำหรับกูไง” ไอ้มอลต์ตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“สำคัญแบบไหนถึงได้ทิ้งกูไปล่ะมอลต์”


“แต่เพราะกูทิ้งมึงไป กูถึงได้รู้ว่ากูรักมึงนะโก้”


คำง่ายๆที่ผมไม่เคยพูด คำสั้นๆกำลังทำลายทิฐิในใจและสั่นคลอนความรู้สึกจนน้ำตาผมร่วงเผาะ ผมดึงไอ้มอลต์เข้ามากอดและร้องไห้เหมือนเด็กขี้แย


หลังจากได้ปรับความเข้าใจกับไอ้มอลต์ผมก็สัญญาว่าจะเลิกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเที่ยวเตร่หรือเรื่องผู้หญิง


ปัญหาอีกอย่างที่ผมต้องไปสะสางด้วยตัวเองคือเรื่องที่ผมเข้าใจผิดว่าเด็กคนนั้นเป็นคนที่ไอ้มิกซ์พูดถึงและได้ข่มขืนเด็กคนนั้น ผมถูกกระทืบจนอ่วมโดยแฟนหนุ่มของเด็กคนนั้นทำให้ต้องรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอ้มอลต์อีกหลายวันกว่าจะโผล่หน้ากลับเข้าบ้านได้


ทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้งจนผมเผลอนึกไปว่าผมจะมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ได้ตลอดไป


ผมล้มลงบนพื้นที่เย็นเฉียบนั่นทำให้ผู้คนรอบข้างเสียงร้องด้วยความตกใจ หลายคนที่อยู่ห่างไม่ไกลมองมาทางผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่มีใครคิดจะเดินเข้ามาใกล้


ง่วงชะมัด...


เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆปิดปรือจนโลกของผมมีแต่ความมืดกับเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์จากคนรอบข้าง


‘นี่ๆ ไปดูหนังกัน!’


ดูหนังอีกแล้วหรอ...


‘อย่าทำตัวน่าเบื่อสิ’


ก็อย่าเอาแต่ใจนักสิ...


“...โก้”


หืม..?


“ห้ามหลับนะ!”


ทำไมล่ะ...ทำไมมึงถึงทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ล่ะ..


“ถ้ามึงหลับกูจะไม่ยกโทษให้ตลอดชีวิต!!”


พูดจาเอาแต่ใจอีกแล้ว...ถ้าไม่ใช่กูใครจะทนความเอาแต่ใจของมึงได้..


“มึงอย่าทิ้งกูไปแบบนี้สิ กูขอโทษ...ฮึก...ได้โปรด...”


คนที่ต้องขอโทษมันน่าจะเป็นกูมากกว่า...


ขอโทษนะที่อยู่เคียงข้างมึงไม่ได้อีกแล้ว


-----[END]-----

ขออัพแค่แบบ Bad ก่อนนะคะ ตอนแรกก็ว่าจะรออัพพร้อมกัน
แต่แบบ Happy ยังไม่มีเวลาได้พิมพ์ต่อให้จบ และตอนนี้งานแน่นมาก
ต้องขออภัยจริงๆค่ะที่นอกจากจะหายหน้าไปนานแล้วยังมีตอนจบมาแค่แบบเดียว
ถ้าว่างจากภารกิจการงานเมื่อไรจะรีบพิมพ์แบบ Happy ให้จบค่ะ
ขออภัยในความล่าช้า และขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามอย่างสูง  o1
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 19-09-2015 08:29:05
งงตอนท้าย ทำไมโก้ถึงตายอ่ะคะ ตอนแรกโดนซ้อมแล้วก็รักษาตัวหายแล้วนี่นา??

หรืออริมาแทง?
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 19-09-2015 09:24:51
เพิ่งไปอ่าน I will มา ไม่น่าจะเป็นบริวัตรหรอกที่มาแก้แค้นเรื่องโก้ข่มขืนบาส  น่าจะมาจากผู้หญิงที่ชื่อผิงโก้ไปนอนด้วยแต่หักหน้า  ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุนะ  เพราะถ้าหากว่าใช่คนก็น่าจะเข้ามาช่วยแล้ว

คนที่เราติดใจที่สุดก็คือมิกซ์  รู้สึกว่ามิกซ์มีอะไรแปลกๆตลอด  เหมือนมิกซ์ชอบโก้หรือเปล่านะ

สงสารบาสเวอร์ชั่นนี้ อย่าบอกว่าบาสมาจัดการเองนะ  กลายเป็นบริวัตร - บาสแบดเอนด์ดิ้งไปเลย
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15
เริ่มหัวข้อโดย: shichina ที่ 21-09-2015 16:47:42
เพิ่งไปอ่าน I will มา ไม่น่าจะเป็นบริวัตรหรอกที่มาแก้แค้นเรื่องโก้ข่มขืนบาส  น่าจะมาจากผู้หญิงที่ชื่อผิงโก้ไปนอนด้วยแต่หักหน้า  ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุนะ  เพราะถ้าหากว่าใช่คนก็น่าจะเข้ามาช่วยแล้ว

คนที่เราติดใจที่สุดก็คือมิกซ์  รู้สึกว่ามิกซ์มีอะไรแปลกๆตลอด  เหมือนมิกซ์ชอบโก้หรือเปล่านะ

สงสารบาสเวอร์ชั่นนี้ อย่าบอกว่าบาสมาจัดการเองนะ  กลายเป็นบริวัตร - บาสแบดเอนด์ดิ้งไปเลย

ตกใจเลยเห็น edit เม้นใหม่ซะยาว แล้วยังโยงไปถึงบริวัตกับบาสใน I will ได้ด้วย  o13
จริงๆตอนแรกว่าจะไม่อธิบายกับฉากจบมาก เพราะมีความเป็นไปได้หลายอย่างว่าอะไรเป็นสาเหตุให้โก้ล้มลงไป
แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วขออธิบายสักหน่อยแล้วกัน

เริ่มจากประเด็นแรก

งงตอนท้าย ทำไมโก้ถึงตายอ่ะคะ ตอนแรกโดนซ้อมแล้วก็รักษาตัวหายแล้วนี่นา??

หรืออริมาแทง?

สาเหตุการตาย...ใช่ค่ะ โก้โดนแทง

ในส่วนนี้ เนื่องจากโก้ทำตัวเหลวแหลกอยู่พักใหญ่ๆ แน่นอนว่าก็ต้องมีคนไม่พอใจโก้อยู่ไม่น้อย ไม่ใช่แค่ผิงที่โดนโก้พูดหักหน้าตอนเจอมอลต์อีกครั้ง แต่อาจจะเป็นผู้หญิงคนอื่นที่โก้เคยนอนด้วยอีกนับไม่ถ้วน...(โถโก้ ดีนะที่ยังไม่เป็นเอดส์)

ประเด็นที่ 2

บริวัตมาแก้แค้นที่โก้ไปข่มขืนบาส.... ไม่ใช่ค่ะ
 
เรื่องของบริวัตกับโก้จบไปตั้งแต่ที่โก้ไปให้บริวัตซ้อมถึงที่แล้ว ซึ่งบริวัตก็ไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดว่าได้กระทืบคนจนอ่วมแล้วยังจะตามมาลอบแทงเขาซ้ำอีกครั้ง
สปอย I will นิดๆว่า บริวัตเองก็ไม่ได้อยากจะกระทืบโก้ เพราะหนึ่งคือบริวัตเป็นอาจารย์คนหนึ่ง และสองเพราะบริวัตรู้ดีว่าต่อให้กระทืบโก้ไปก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าบาสถูกข่มขืนไปแล้ว
แล้วทำไมถึงยังกระทืบโก้? อืม...อันนี้ต้องรออ่านใน I will ค่ะ เล่ามากกว่านี้จะสปอยเรื่องนั้นมากไป 55555555

ส่วนมิกซ์...จริงๆแล้วเรารู้สึกว่ามิกซ์เป็นตัวละครที่น่าสงสาร เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ไม่เหลือใครเลยก็คือมิกซ์ อารมณ์คล้ายๆ Spiderman ที่ถึงจะมีนางเอกเป็นตัวเป็นตนตั้งแต่ต้นเรื่องแต่สุดท้ายแล้วก็ Forever alone นางเอกตายอะไรแบบนั้น ซึ่งเรื่องของมิกซ์ส่วนใหญ่แน่นอนว่าจะอยู่ในเรื่อง I will มากกว่า

มีคำถามเพิ่มเติม...สามารถไปพูดคุยกันได้ที่ fanpage (https://www.facebook.com/tsunihina) หรือ จิบชานั่งคุย มุมสบาย By Hina (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48426.0) หรือ twitter (https://twitter.com/hina_minmaru) แล้วแต่สะดวกค่ะ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 11:08:24
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ▶▶The Diary : ไดอารี่นี้มีรัก◀◀ โก้ - Bad Ending (#58) - 19/09/15
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 10-11-2019 08:03:29
 :pig4:สนุกๆ