พิมพ์หน้านี้ - Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Take ที่ 14-05-2015 09:44:13

หัวข้อ: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 14-05-2015 09:44:13
 :jul1:ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: นาง(นาย)ร้าย ที่รัก Drama Intro 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 14-05-2015 09:46:44
นิยายเรื่องนี้...ดราม่า นางร้ายถูกรังแก

 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: นาง(นาย)ร้าย ที่รัก Drama Intro 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 14-05-2015 09:48:06

Intro

ผมถูกมองว่าเป็นแค่ตัวอิจฉา.....
ผมถูกมองว่าเป็นเหมือนนางร้ายในละคร.......
ไม่มีใครมาเข้าข้างผม......
ทุกคน.... 
ไม่รักผม.....

ผมเกิดมาทำไม?  แม้แต่ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่รู้....  ผมเป็นคนอารมณ์ร้อน  ขี้วีนและเอาแต่ใจ  ทุกอย่างที่ผมอยากได้ก็ต้องได้  จนคนรอบข้างต่างมองว่าผมเป็น  ‘ตัวร้าย’

‘เลิกทำนิสัยแบบนี้สักที!’

ผมผิดเหรอ? ที่เรียกร้องความสนใจ....

‘คนอย่างมึง  มันก็แค่คนขี้อิจฉาเท่านั้นแหละ’

ผมผิดเหรอ? ที่อยากให้ใครสักคนมาเข้าใจผม....

‘ถามจริงเหอะ  มึงสะใจใชไหมที่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน’

ผมผิดเหรอ? ที่อยากให้รักผมบ้าง....

‘คนอย่างมึงคงร้องไห้ไม่เป็น  ได้แต่ก่อความวุ่นวายไปวันๆ’

ผมผิดเหรอ? ที่ผมไม่มีน้ำตา....

ผมไม่ใช่ไม่ร้องไห้....  แต่ร้องจนน้ำตาแทบไม่เหลือให้ไหลต่างหาก  ผมไม่ใช่คนเข้มแข็งที่แสร้งทำเป็นไม่กลัวทั้งๆ ที่กลัวใจจะขาด   ไม่อยากให้ทุกคนมองว่าผมอ่อนแอ.....  แต่กลับถูกมองว่าเป็น ‘นางร้าย’

หัวข้อ: Re: นาง(นาย)ร้าย ที่รัก Drama Intro 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 14-05-2015 09:51:19
เจิมมมม เข้ามาเพราะคำว่า Drama เจอแต่นายเอกถูกรังแก ไม่เคยเจอนายร้ายถูกรังแก  :katai1: เป็นกำลังให้น้า
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน1 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 14-05-2015 16:57:03
 

 

The  villain
นาง (นาย) ร้าย  ที่รัก
 
ตอนที่  1
แฮปปี้........เบิร์ด...เดย์.....ทู......ยู............
แฮปปี้........เบิร์ด...เดย์.....ทู.......ยู..............
แฮปปี้เบิร์ด...เดย์..... ........แฮปปี้เบิร์ด...เดย์...............แฮปปี้เบิร์ด...เดย์................ทู........ยู............
แปะ แปะ แปะ
ฟู่........
สุขสันต์วันเกิด.....ตัวผมเอง.......
.
.
.
.
 
 “เย้.....สุขสันต์วันเกิด....นี่ของขวัญจากแม่กับพ่อ”

“มีความสุขมากๆ นะ....ลูกพ่อ”

“ขอบคุณครับคุณพ่อ คุณแม่”

มีความสุขกันมากนักใช่ไหม.....

“มีความสุขมากๆ นะไอ้แมวน้อย เอาของขวัญวันเกิด”

“โหย ฉันไม่ใช่แมวสักหน่อย....ขอบคุณนะ...ตะวัน”

สนุกกันมากหรือเปล่าละ.......

“ถ้าไงก็รบกวนทำนิสัยให้เหมือนกับอายุที่มากขึ้นด้วยละ ไอ้เด็กน้อย”

“ไค! ฉันไม่ใช่เด็กนะ ขอบคุณสำหรับของขวัญนะ”

เกลียด!!! มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของผมอย่างห้ามไม่อยู่ ผมค่อยๆ สาวเท้าเดินไปจนเข้าใกล้พวกเขาพร้อมกับสายตาของผมทอดมองไปยังเบื้องหน้าที่มีผู้คนกำลังลายล้อมอยู่กับคนๆ นึง คนที่แย่งทุกอย่างไปจากผมจนหมด ผมคว้าแก้วน้ำส้มที่อยู่ข้างโต๊ะอย่างเร็วก่อนที่จะลงมือเขวี้ยงมันลงพื้นอย่างแรง

เพล้ง!!!

 “เรย์!!!”

หึ คิดไว้ไม่ผิด....ทุกคนต้องหันมามองผมพร้อมกับเสียงที่ประกาศกร้าวเรียกชื่อผมจากคนที่ได้ชื่อว่า ‘พ่อ’ ผมได้แต่เค้นหัวเราะในลำคอและยกยิ้มอย่างเหยียดๆ มองคนทั้งหมดด้วยสายตาที่แสดงออกถึงคำว่า ‘สะใจ’ อย่างเห็นได้
ชัด

พวกเขามองผมแต่ก็ทำเหมือนผมเป็นแค่อากาศ มีแต่เพียงสีหน้าเรียบเฉยที่ถูกส่งมาให้อย่างเอือมระอากับพฤษติกรรมที่ผมแสดงออก ผมมองไปยังเจ้าของวันเกิดที่ทำหน้ายิ้มกว้างให้กับผมก่อนที่จะค่อยๆ เดินมาหาผมแล้วก็จับแขนขวาของผมอย่างสั่นๆ เล็กๆ ทั้งๆ ที่กลัวแต่ก็ทำใจกล้าเดินเข้าหาผมแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ

“เรย์มาแล้วเหรอ? มาฉลองวันเกิดกับหนึ่งนะ”

“อืม ขอบใจนะ......”ผมบอกพร้อมกับยิ้มให้นิดๆ เจ้าของวันเกิดยิ้มกว้างให้กับผมอย่างดีใจแต่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อผมพูดอีกประโยคต่อมา

“แต่.....ฉัน-ไม่-ต้อง-การ”

โครม!!!

“หนึ่ง!”

ผมไม่พูดเปล่าแต่กลับพลัก ‘หนึ่ง’ ผู้ที่ได้ชื่อว่า ‘ลูกคนละแม่’ ออกไปห่างๆ จนตัวเขาเซไปชนกับโต๊ะที่มีเค้กก้อนใหญ่วางเอาไว้อยู่ล้มระเนระนาดกองอยู่กับพื้นอย่างไม่เป็นท่า ผมยิ้มเยาะมองร่างกายของอีกคนที่มีแต่คนมาช่วยประคองผิดกับผมที่ยืนอยู่แค่คนเดียว สายตาที่มองมายังผมมองด้วยความผิดหวังโดยเฉพาะคนเป็น ‘พ่อ’ ที่จะเดินเข้ามาหาผมแต่กลับถูกแขนเล็กๆ ของลูกรักรั้งห้ามไว้...

แน่นอน....ไม่มีใครว่าผมเพราะในสายตาพวกเขาต่างมองว่าผมเป็น ‘ตัวร้าย’ อยู่แล้วไม่มีใครคิดว่าผมดีอยู่แล้ว แล้วผมจะแคร์ทำไม? ในเมื่อมองผมว่าร้ายผมก็จะร้ายให้ถึงที่สุด ผมไม่คิดเฉยๆ ซะด้วยสิแต่ลงมือทำด้วย ของทุกอย่างที่จัดงานวันเกิดผมกวาดซะเรียบให้ไปกองอยู่กับพื้นทั้งหมดทั้งน้ำและอาหาร สายตาของผมเหลือบมองไปทางเจ้าของงานวันเกิดที่มองผลงานที่ผมทำด้วยน้ำตาคลอเบ้า

เพี๊ยะ!

จากนั้นก็ตามด้วยฝ่ามือหยาบๆ ที่กระทบลงที่แก้มผมอย่างแรงจนทำให้ผมต้องหันหน้าไปอีกทางด้วยความรู้สึกเจ็บนิดๆ ที่มุมปาก

“แกมาป่วนงานทำไม!! มาทางไหนไปทางนั้นเลย!”

“ทำไมละ? ไม่สนุกเหรอที่มีผมมาร่วมงานด้วย”

“.....”

“ถ้าพวกมันยังอยู่ อย่าหวังว่าจะมีความสุขกัน”

“แต่นี่มันบ้านของฉัน!!! แกจะทำตามใจของแกไม่ได้”

“แต่มันก็เป็นบ้านแม่ผมเหมือนกัน! เพราะพวกมันแม่ถึงได้หนีไป...รวมทั้งคุณด้วยที่เป็นต้นเหตุ!!!”

“เรย์!!!”

“หรือว่ามันไม่จริง! ถ้าคุณไม่เอาเมียน้อยเข้ามาในบ้านแม่ก็คงไม่หนีไปแบบนี้หรอก”

“ออกไปเลยนะ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้า!”

“คุณไม่ต้องบอกผมหรอกผมไปแน่! ไอ้งานแบบนี้ผมไม่อยากมาเหยียบนักหรอก เชิญมีความสุขกันให้สบายไปเลย!!”

ผมพูดโดยที่มือซ้ายของผมยังคงจับแก้มด้านซ้ายที่โดนตบอย่างแรง พูดจบผมก็เดินออกมาทันที เป็นอย่างนี้ทุกครั้งหาเรื่องเอง เจ็บเองแล้วก็ต้องถอยกลับเอง ได้ยินแต่เสียงห่วงใยมาจากทางด้านหลังเท่านั้น เสียงที่มันไม่ได้ส่งมาถึงผม....

“หนึ่งไม่เป็นไรนะลูก...มาให้พ่อดูหน่อย”

โอ๋กันเข้าไป.....

ดูแลกันเข้าไป.....

รักมันเข้าไป.....

แล้วผมจะเกลียดมันเอง.....

ปัง!

ผมพาตัวเองเดินเข้าห้องกว้างแล้วล้มตัวลงกับที่นอนทันทีที่เดินมาถึงเตียงใหญ่ เตียงที่หนานุ่มมีความอบอุ่นมากระทบผิวหนังของผมจนรู้สึกได้ แต่ทำไม? ใจของผมมันกลับหนาว.....หนาวจนเกินที่จะรับไหวจนต้องปล่อยน้ำตาที่กลั้นไว้ให้ใหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่ผมหนีออกมาดื้อๆ เพราะไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาที่มันกำลังจะใหล ผมไม่อยากอ่อนแอให้ใครๆ สมเพช....

งานวันเกิดที่ถูกจัดขึ้นเฉพาะคนภายในครอบครัวและคนสนิดที่ไม่ใช่งานของผม แต่กลับเป็นของลูกอีกคนที่เกิดจากผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ผม ทั้งๆ ที่เกิดห่างกันแค่วันเดียวแต่เขากลับจำวันเกิดผมไม่ได้ ทั้งๆ ที่วันเกิดของผมคือเมื่อวานแต่เขากลับไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจจนทำให้จำวันเกิดลูกอีกคนอย่างผม จะบอกว่าให้จัดงานวันเดียวกันก็ไม่ต้องพูดถึงเพราะมันไม่มี ไม่มีแม้แต่ของขวัญหรือคำอวยพรจากคนที่ได้ชื่อว่าพ่อ เพราะอะไรนะเหรอ? ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าเขา ‘ลืม’

“ฮือ ฮึก ฮือ”

ผมส่งเสียงร้องอย่างไม่อายใคร ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครได้ยินเพราะมันไม่มีแน่นอน ไม่มีคนที่คิดจะสนใจผมอย่างจริงจังนานเท่าไร่แล้วที่ผมไม่ได้จัดงานวันเกิดของตัวเองผมก็จำไม่ได้ ครั้งล่าสุดที่จำได้คือเมื่อสิบปีก่อน ภาพของผมที่นั่งรอเป่าเทียนกับพ่อในห้องโถงในวันเกิดของตัวเอง รอแล้วรอเล่าแต่พ่อก็ไม่มาจนเวลาล่วงเลยไปจนถึงห้าทุ่ม ผมเลยตัดสินใจโทรไปหาเพื่อถามว่าเมื่อไร่จะกลับบ้าน ถามว่าติดไหม? บอกได้เลยว่าโทรติดแถมมีคนรับด้วยแต่สิ่งที่ได้ยินจากปลายสายคือเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของพ่อกับเด็กอีกคนที่ผมไม่รู้จัก

‘หนึ่งพรุ่งนี้วันเกิดลูก อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม’

‘ไม่ฮะ แค่พ่อมาหาหนึ่ง หนึ่งก็ดีใจแล้ว’

‘จะไม่มาได้ไงก็พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของหนึ่งนี่ หนึ่งสำคัญที่สุด’

หึ มันน่าหัวเราะไหมละ? ผมวางสายโดยที่ไม่พูดอะไรออกไปสักคำ วันนั้นผมนั่งเป่าเค้กวันเกิดของตัวเองด้วยน้ำตา ร้องเพลงเอง เป่าเค้กเอง อวยพรตัวเองแล้วผมก็ไม่เคยชอบกินเค้กอีกเลย ขอแค่วันนี้ที่ผมจะอ่อนแอแล้ววันพรุ่งนี้ผมจะไม่ร้องไห้ เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ผมจะร้ายให้มากกว่านี้อีก.....
.
.
 
เช้า

ผมพาตัวเองเดินลงมาจากห้องด้วยตาที่บวมช้ำ มันปวดจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแต่ผมก็ต้องทนฝืนเพื่อไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอของผมได้อีก ผมเดินลงบันไดด้วยสีหน้านิ่งๆ อย่าคนถือดีและหยิ่งยโส ไม่ทุกข์ไม่ร้อนและไม่รู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ทำ ผมเดินลงไปที่ห้องอาหารก็เจอกับพ่อนั่งรออยู่ก่อนกำลังหัวเราะอย่างมีความสุขกับครอบครัวของเขาก่อนจะเปลี่ยนเรียบเฉยเมื่อมองมายังผมแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

 “มาทานด้วยกันสิเรย์ มานี่สิ”คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงผม เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วถามผมอีกครั้งเมื่อเธอสังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติบนใบหน้าผม....

“ทำไมตาแดงๆ ละเรย์”

“พอดีเล่นไลน์ดึกไปหน่อย อีกอย่างผมจะบอกว่าผมไม่กินข้าว”

ไม่ใช่.....ผมร้องไห้ต่างหากแต่ผมก็ไม่พูดอะไรต่อเดินออกมาทั้งๆ อย่างนั้น ไม่อยากเห็นครอบครัวที่มีความสุข ไม่อยากเห็นว่าพวกเขากำลังมีความสุขในขณะที่ผมกำลังจะเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ไม่ใช่ผมไม่เคยนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขา ผมเคยที่จะคิดปรับตัวให้เข้ากับพวกเขาเลือกที่จะยอมรับในตัวครอบครัวใหม่แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ‘ส่วนเกิน’  ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นส่วนเกินสำหรับพวกเขาทั้งๆที่มีผมอยู่ใกล้ๆ แต่ดูเหมือนเป็นคนไร้ตัวตนจนผมต้องจำยอมถอยออกมาเพียงลำพัง ผมเลือกที่จะเดินไม่ขึ้นรถไม่อยากอายใครไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของผม

เจ็บจัง......

“อ่ะ!!! ขอโทษครับ”

ผมที่มัวแต่น้ำตานองหน้าทำให้ไม่ได้มองทางทำให้เดินชนใครอีกคนโดยไม่รู้ตัว สองมือของผมเช็ดน้ำตาลวกๆ ให้เร็วที่สุด อย่างน้อยผมก็ไม่ได้อยากให้ใครเห็นน้ำตาของผมสักเท่าไร่ แต่พอเงยหน้าแค่นั้นแหละผมถึงกับตกใจนิดๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีหน้าอวดดีเหมือนเดิม

ตะวัน.....

เพื่อนบ้านที่ไม่เคยเห็นหน้า ตะวันเพิ่งย้ายกลับมาจากต่างประเทศได้เมื่อปีที่แล้ว ตั้งแต่เล็กๆ เขาก็อยู่ที่อเมริกามาตลอดกับครอบครัวจนกระทั่งคิดยังไงก็ไม่รู้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทยเมื่อตอนขึ้น  ม.4

“หึ นึกว่าใคร รู้อย่างนี้ไม่น่าขอโทษเลย ถอย!!!!”

“เดี๋ยว”

“ปล่อย!”ผมบอกเสียงกร้าวเมื่ออีกฝ่ายจับแขนผมไม่ยอมปล่อยสักที ยังไงผมก็ไม่ชอบ ไม่อยากให้เขามาแตะต้องเพราะยังไงคนๆ นี้ก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา

“จะเอาอะไรอีก!!!”

“จะไปไหน?”

“ก็ไปโรงเรียนนะเซ่!! ถามอะไรโง่ๆ”ผมเชิดหน้าพูดต่อแม้จะเจ็บที่ท่อนแขนเมื่อตะวันไม่ได้แค่จับเปล่าแต่กลับบีบแขนผมจนแน่นทำให้รู้สึกเจ็บ ผมหรี่ตาเล็กๆ กัดฟันแน่นไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางที่จะร้องขอให้อีกฝ่ายเห็นใจเด็ดขาด
“เมื่อคืนทำอะไรไว้ ห่ะ!”

“ทำอะไร?”

“ยังมีหน้ามาถามอีก ไปพังงานวันเกิดของคนอื่นเขาแบบนั้นได้ยังไง”

“อ้อ นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็โกรธแทนกันนี่เอง”

“ถามจริงเถอะ สนุกมากนักเหรอที่ทำตัวร้ายๆ ให้คนอื่นเขาเดือนร้อนนะ ไม่มีใครเขาสั่งสอนหรือไง”

“มี.....แต่ไม่จำ! ฉันก็เป็นแบบนี้ใครจะทำไม!”ผมยังคงแข็งกร้าวไม่อ่อนข้อให้ง่ายๆ ทำไม? ต้องมีแต่คนนึกถึงต้องมีแต่คนที่รักหนึ่ง แล้วผมละ? ผมที่อยู่ตรงนี้มีใครรักผมบ้าง คำต่อว่าด่าทอสารพัดที่ถูกส่งมายังผม ไม่มีใครสักคนที่คิดจะปลอบโยนมีแต่คอยซ้ำเติมในสิ่งที่ทำ

“เรย์!”

“หึ ถอยไป!”

ผมเดินกระแทกไหล่ร่างสูงอย่างหยิ่งผยองพยายามสะกัดกลั้นน้ำตาที่จะไหลมาให้ได้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ จับข้อมือของผมให้หันกระชากกลับพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่นมาจากดวงตาของผมพอดี ผมเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ ด้วยข้อมือด้านซ้ายที่ว่างอยู่ ส่วนข้อมือขวาถูกจับไว้อยู่จากร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของตะวันดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะถูกถามอะไรไปมากกว่านี้ผมจึงต้องรีบตัดบทพูดซะก่อน....  ที่จะถูกดูถูก....

“ปล่อย!”

“ร้องไห้ทำไม? คนอย่างนายร้องไห้เป็นด้วยเหรอ?”

นั่นไงละ....ดูเหมือนคำขอของผมจะไม่เป็นความจริงแม้แต่พระเจ้าก็ไม่เข้าข้างผม ตะวันกำลังดูถูกผม  ต่อว่าผมทำเหมือนกับผมไม่มีความรู้สึกทั้งๆ ที่ผมเองก็เจ็บเจียนขาดใจ......

“อะไร? นี่เชื่อซะสนิทเลยเหรอ......โง่จริง”ผมยิ้มเยาะให้สบตากลับทำให้ดูว่าเขากลายเป็นคนไง่ที่ถูกผมต้มซะจนเปื่อย

“โธ่เว้ย!”

ตัวผมถูกเหวี่ยงไปอีกทางทันทีถึงจะแรงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ล้ม ความรู้สึกเสียหน้าผมรู้ดีว่ามันเป็นแบบไหนเขารู้สึกได้ไม่ถึงครึ่งของผมด้วยซ้ำ ก็ผมมันเป็นแค่นางร้ายในสายตาของคนอื่นไม่มีหรอกไม่มีใครที่จะรักผม.....ไม่มีจริงๆ
วันนั้นผมโดดเรียนไม่คิดอยากจะไปเรียนด้วยซ้ำ ถึงจะไปผมก็คงจะเรียนไม่รู้เรื่องสมองมันเบลอไปหมด แม้ว่าครอบครัวของผมจะไม่ได้เป็นอย่างที่ผมฝันแต่ผมก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหล ถึงผมจะไม่มีความสุขแต่คนที่ไม่มีความสุขยิ่งกว่าผมมันมีเยอะมากกว่า ผมโชคดีที่เกิดมามีเงินแต่สำหรับพวกเขาที่ด้อยกว่าผมไม่มีทั้งเงินและที่อยู่
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ผมมาเป็นประจำเวลาที่เหงา ผมมาที่นี่เป็นเพื่อนเล่นของเด็กๆ ที่ไม่มีพ่อมีแม่ ที่นี่มันทำให้ผมมีความสุขจนลืมความทุกข์ไปจนหมดสิ้น เงินส่วนหนึ่งที่อยู่ในบัญชีผมก็บริจากทุกเดือนเพื่อเป็นค่าอาหารและค่าเล่าเรียนรวมทั้งของจำเป็นที่ต้องใช้

“อ้าว เรย์วันนี้มาหาเด็กๆ เหรอ”

“ครับครูน้อย”

ครูน้อยเป็นคนดูแลของที่นี่เป็นคนเดียวที่ผมรักและเคราพ ผมรู้จักครูน้อยก็ตอนที่ครูน้อยเข้ามาช่วยผมตอนที่เป็นลมอยู่แล้วพามานอนพักที่นี่ ตั้งแต่วันนั้นผมก็มักจะคลุกอยู่ที่นี่เป็นประจำ

“วันนี้ไม่มีเรียนไง”

“เอ่อ มีครับแต่.....ผมไม่อยากไป”

“มีเรื่องอะไรทุกข์ใจหรือเปล่า”

“ไม่มีครับ”

มี.....แต่ผมพูดไม่ได้ ผมไม่อยากทำให้ครูน้อยต้องทุกข์เพราะผมเพราะแค่เรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ใกล้ร่อแร่เต็มทีแค่นี้ครูน้อยก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว

“เรย์มานี่สิ เด็กๆ เขาอยากเจอเรย์มากเลยนะ”

“อ่า ครับ”

ผมเดินตามครูน้อยไปที่ลานกว้างซึ่งมีเด็กเกือบสิบคนกำลังนั่งเล่นอยู่ ที่นี่เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไม่ใหญ่แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเด็กหลากหลายอายุอยู่รวมกันทั้งชายและหญิง พอพวกเขาเห็นหน้าผมแค่นั้นแหละต่างก็รีบวิ่งเข้าหาผมจนตั้งตัวไม่ทัน

“พี่เรย์นึกว่าจะไม่มีซะอีก”

“พี่เรย์ไปไหนมาเหรอ? คิดถึงจัง”

เสียงเจี้ยวจ้าวของเด็กๆ มันทำให้ผมอดที่จะฉีกยิ้มกว้างไม่ได้ ดีจริงๆ ที่ได้มาที่นี่ อย่างน้อยผมก็ยังมีพวกเขาที่คอยต้อนรับผม

“พี่เรย์ พวกเรามีของขวัญจะให้ นี่จ๊ะ.....หนูนาให้พี่เรย์ สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะพี่เรย์”

หนูนาเป็นหนึ่งในเด็กกำพร้าของที่นี่ เธอยื่นมือมาตรงหน้าพร้อมกับดอกไม้ช่อดอกไม้เล็กๆ  ผูกโบว์สีแดงอย่างสวยส่งมาให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มบริสุทธ์ ดอกไม้ที่ไม่มีการตกแต่งอย่างสวยหรูแต่มันทำให้ผมตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

“หนูนา”

“พวกเราขอโทษนะพี่เรย์ที่ไม่มีเงินซื้อของขวัญให้ แถมดอกไม้ก็ยังเหี่ยวอีกพี่เรย์อย่าโกรธพวกเรานะ”

“ไม่หรอกแค่นี้พี่ก็ดีใจแล้ว พี่ดีใจจริงๆ ดอกไม้มันสวยมากเลย”

ให้ตายสิ! ผมร้องไห้อีกแล้ว ทำไมใช้ไม่ได้เลยต้องยิ้มสิ พวกเด็กๆ พวกนี้เขาทำเพื่อผมขนาดไหนถ้าผมร้องไห้พวกเขาต้องใจไม่ดีแน่ๆ

“พวกเด็กๆ นะเขารอเรย์ตั้งแต่สองวันก่อนคิดว่าเรย์จะมา”ครูน้อยบอกผมด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ดีใจจริงๆ ดีใจที่ได้มาเจอกับครูน้อยและพวกเด็กๆ ที่นี่

“ขอโทษนะ ที่มาช้าพอดีพี่ติดธุระนิดหน่อย”

“ไม่เป็นไรคะ แค่พี่เรย์มาก็ดีแล้ว”หนูนาเอ่ยบอกผมด้วยรอยยิ้มกว้าง ทำให้ผมอดที่จะลูบหัวเพราะความเอ็นดูไม่ได้ เด็กอะไรน่ารักจริงๆ

“สบายใจแล้วใช่ไหม”

“ครับครู”

“ดีแล้ว.....คนที่นี่เขายินดีต้อนรับเรย์ทุกเวลานะ ถ้าเมื่อไร่ที่ต้องการที่พักมาที่นี่อีกนะ”

“ขอบคุณครับครูน้อย”

ใช่จริงๆ อย่างที่ครูน้อยบอกกับผม สถานที่ที่ผมจะพึ่งได้ก็มีแต่ที่นี่เท่านั้น ถ้าผมเลือกเกิดได้ผมยอมเกิดมาจนแต่มีครอบครัวที่อบอุ่น ดีกว่าเกิดมารวยแต่กลับไม่มีใครเหลียวแล

ตกเย็นผมก็กลับบ้านตามปกติด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานาน ในมือของผมยังคงถือช่อดอกไม้ที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดไว้แน่นแนบอก แม้ว่ามันจะเหี่ยวและดูไม่สวยสำหรับคนอื่นแต่มันก็มีค่ามากมายสำหรับผมอยู่ดี ผมเดินผ่านห้องโถงเพื่อที่จะขึ้นไปบนห้องแต่ก็ต้องสะดุดกับสายตาที่มองผมอย่างเกรี้ยวโกรธพร้อมที่จะฆ่าแกงได้ทุกเมื่อ ทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาพ่อก็ลุกขึ้นเดินมาใกล้ผมแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มที่แสดงอารมณ์อย่างไม่คิดที่จะปิดบัง

“แกไปไหนมา!”

“ไปเรียน”

เพี๊ยะ!

ใบหน้าซีกซ้ายหันไปตาแรงปะทะหลังจากที่พูดได้แค่สองคำ ผมหันมองหน้าพ่ออย่างอึ้งๆ ไม่เข้าใจว่าตบผมทำไม? ผมทำอะไรผิดงั้นเหรอ?

“แกยังทีหน้ามาพูดอีกว่าไปเรียน อาจารย์ที่โรงเรียนโทรมาบอกฉันว่าแกโดดเรียน มีอะไรจะแก้ตัวไหม ห่ะ!!!”

“ไม่มี”ผมตอบเสียงนิ่งๆ ไม่คิดจะแก้ตัวในเมื่อเขามองว่าผมเป็นคนผิดถึงจะแก้ตัวยังไงก็คงแก้ตัวไม่ขึ้นอยู่ดี

“หึ ฉันเลี้ยงแกมาอย่างสุขสบายแล้วแกไม่ชอบใช่ไหม! ทำไมถึงทำตัวแบบนี้หัดเป็นเด็กดีเหมือนหนึ่งเขาบ้างสิ เขาไม่เคยทำอะไรให้ฉันต้องปวดหัวสักครั้ง”

“เผอิญว่าผมไม่ใช่ลูกรักของคุณซะด้วย ผมคงทำไม่ได้”

“ก็เพราะว่าแกไม่รู้จักคิดไง สมองของแกนะมีไว้คิดไม่ได้มีเอาไว้ใช้คั่นหูแล้วใช้แต่เงินไปวันๆ”

เจ็บ.....บอกได้คำเดียวเลยว่าเจ็บมาก ผมไม่เคยมีค่าในสายตาของพ่ออยู่แล้ว ต่อให้ผมทำตัวเป็นเด็กดีพ่อก็ไม่สนใจผมสักนิดแล้วจะให้ผมเป็นไปทำไม

“แล้วไอ้ดอกไม้นี่อีก แกเอาไปทิ้งซะ! สกปรก!”

“นั้นของผมนะ!!!”

พ่อไม่ได้พูดเปล่าเขาแย่งดอกไม้ไปจากมือผมอย่างไม่ทันที่จะตั้งตัว ผมพยายามรั้งไว้อย่างสุดกำลัง ของขวัญวันเกิดเพียงสิ่งเดียวที่ผมได้ ของที่พวกเด็กๆ ตั้งใจทำให้ผมแต่มันกลับไม่มีค่าในสายตาของเขาเลยสักนิด ทำเหมือนเป็นขยะที่ต้องกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก
พรึ๊บ!

ด้วยแรงที่ยื้อแย่งกันไปมาทำให้ดอกไม้ที่เริ่มแห้งกลับขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย ใจของผมหล่นวูบไปตามกลีบดอกที่ร่วงโรยสู่พื้นเบื้องล่าง ไม่มีแล้วของขวัญของผม.....

“ฮือ ฮือ ฮึก”

ผมทรุดตัวนั่งลงแล้วค่อยๆ เก็บเศษซากใบและกลีบอย่างเบามือพร้อมกับน้ำตาที่ใหลอาบหน้าทันที มันพังแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย เขาใจร้ายมากจริงๆ ที่ทำกับผมได้ลงคอ การที่เขาจะตีผมหรือตบผมมันยังดีกว่านี้ซะอีกที่มาเห็นของขวัญวันเกิดของตัวเองพังทลายต่อหน้าโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย

“เรย์”น้ำเสียงของพ่อดูอ่อนลงเมื่อเห็นน้ำตาของผม ผมไม่เคยร้องไห้ให้เขาเห็นแต่ครั้งนี้มันห้ามไม่ได้จริงๆ

“สะใจคุณแล้วใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรจะพูดอีกผมขอตัว”

ผมพูดโดยที่ไม่ได้มองหน้าพ่อผมสักนิด ทั้งๆ ที่วันนี้ผมคิดว่าผมจะไม่อ่อนแอแต่ผมกลับทำมันไม่ได้ ผมร้องไห้อีกแล้ว.....
 
 
 
 
 
=================================
เอามาแถม......
ตอนที่ 1 เป็นไงบ้างอ่ะ แต่ทีรู้ๆ เทคเขียนไปร้องไห้ไป.......
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน1 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: kyungploy ที่ 14-05-2015 17:17:31
สงสารน้องเรย์นะ แต่น้องไม่น่าทำพฤติกรรมแบบนั้นเลยอะ ฮืออออ มันยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่เลย
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน1 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 14-05-2015 17:22:09
ชอบมากเลย เกือบร้องไห้ตามคนแต่ง :hao5: ยิ่งช่วงท้ายๆยิ่งหนักหน่วง นายเอกโผล่แล้ว พระเอกโผล่รึยังหว่า?  เป็นกำลังใจให้น้าตัวเอง :katai3:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน1 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 14-05-2015 17:47:09
อ่านจบละเป็นแบบนี้  :sad4:  :o12:  :hao5:  :katai1:

ถึงพ่อๆและญาติๆและบรรดาตัวละครอื่นๆในเรื่องนะคะ  :z6:  :beat:  :m31:  :angry2:

สงสารเรย์มากกก นี่คุณพ่อไม่สำนึกเลยใช่ไหมเนี่ยที่มีเมียน้อยเนี่ยยย ทำไมเห็นเหมือนเป็นเรื่องปกติ ? คือไม่เข้าใจงะสาเหตุที่ลูกเป็นแบบนี้มาจากความเห็นแก่ตัวของตัวเองแท้ๆยังไปโทษลูกอีก แล้วคนรอบข้างคุณเมียน้อย เด็กหนึ่ง กับคนอื่นๆนี่ไม่ได้สำเนียกเลยว่าตัวเองทำไรผิด ??? คือเหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติกันเลยอ่ะ โอ้ยปวดตับบบบบ  :z3:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน1 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 14-05-2015 17:51:21
รองับ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน1 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: osehun ที่ 14-05-2015 17:59:33
ดีจังที่พี่เทคเอามาลงที่นี่ รออ่านอยู่นะคะ :katai4: :mew1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน1 14/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 14-05-2015 18:01:06
 :monkeysad: มันเศร้ามากเลยอ่า  :hao5:
พ่อประสาไรวะ  :z6: แม่งงงงงงงงงเอ้ย
สงสารเรย์ อยากให้มีใครซักคนรักเรย์
พระเอกอยู่ไหน รึจะเป็นนายตะวัน  :hao4:

ติดตามค่า !!  :katai2-1: เป็นกำลังใจให้คนแต่งน้า
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 17-05-2015 20:21:17



“ฮือ ฮึก ฮือ ฮือ”

“โธ่คุณเรย์ อย่าร้องเลยนะคะ เงียบเถอะนะ เย็นเห็นแล้วเย็นใจไม่ดีเลย”

“เย็น ฮือ เขาใจร้ายมาเลย ฮือ”

คำปลอบโยนของแม่บ้านที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ว่ามันจะช่วยให้ความรู้สึกผมดีขึ้นแต่มันก็ไม่ได้บรรเทาความเจ็บปวดของผมลงเลยสักนิด ผมมองดอกไม้ในมือแล้วยิ่งทำให้คิดถึงเด็กๆ ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเขาจำวันเกิดผมได้แล้วพวกเขาก็ตั้งใจทำให้ผมแต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว

“เย็น.....ผมจะทำยังไงดี ฮือ มันพังหมดแล้ว ฮือ”

“ไม่เป็นไรคะ เดี๋ยวเอาหนังสือทับให้มันแห้งแล้วก็เก็บใส่ขวดโหลนะคะ เดี๋ยวเย็นจะช่วยนะ”

“ฮึก ฮือ ฮือ”

ผมทำไปร้องไห้ไป หยุดน้ำตาไว้ไม่ได้จริงๆ โชคดีที่ยังมีเย็นคอยอยู่เป็นเพื่อนไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้ว่าจะอยู่ที่บ้านนี้ไปทำไม บ้านที่ไม่มีใครต้องการผม

เมื่อคืนผมร้องไห้จนหลับไม่มีการมาร้องเรียกหรือคำปลอบโยน ไม่มีการเป็นห่วงของพ่อแม้สักนิด ดวงตาของผมแดงก่ำอย่างน่ากลัวเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก น่าแปลกนะปกติจะมีแต่คนมีความสุขหลังวันเกิดตัวเองแต่ทำไมผมถึงได้ทุกข์ขนาดนี้นะ
ผมเดินลงบันได้มาอย่างเชื่องช้าที่สุดไม่ได้อยากมาเลยสักนิดแต่จะทำยังไงได้ ความรักลูกไม่เท่ากันมันเจ็บปวดเจียนขาดใจแล้วคนที่พ่อรักก็ไม่ใช่ผม ผมมันเป็นลูกที่พ่อไม่ต้องการให้เกิดมันก็สมควรแล้วที่พ่อจะไม่ต้องการ

“คุณพ่อน่ารักที่สุดเลย ขอบคุณนะครับ”

เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นจากทางห้องโถงเบื้องหน้ามันทำให้ผมหยุดชะงักลง ภาพเบื้องหน้าของผมคือสิ่งที่ผมไฝ่หาแต่กลับไม่มีวันที่จะได้มัน ลูกรักของเขาโอบกอดรอบเอวคนเป็นพ่อด้วยรอยยิ้มร่า มือหนาที่ผมต้องการให้ปลอบประโลมผมเวลาผมร้องไห้ตอนนี้ได้ลูบหัวลูกอีกคนอย่างเบามือและถนุดถนอม รอยยิ้มที่แสดงถึงความสุขถูกส่งไปทางสายตามันทำให้ผมอิจฉาจนห้ามไม่อยู่

“เฮ้อ ลูกคนนี้นี่นะ”

“ฮ่าๆ ฮ่าๆ”

ผมไม่เข้าใจสักนิดว่าจะหยุดดูเพื่ออะไร? เพื่อดูว่าเขารักลูกรักเขามากขนาดไหนงั้นเหรอ? ทั้งๆ ที่มีผมอยู่ตรงนี้แต่กลับมองไม่เห็น พ่อใจร้าย.....ใจร้ายมากจริงๆ

“เรย์! มาตั้งแต่เมื่อไร่”น้ำเสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกผมขึ้นเมื่อเจ้าตัวกำลังเดินมาทางผมที่ผมยืนแอบอยู่ ผมไม่คิดที่จะตอบกลับได้แต่ปรายตามองเล็กน้อยเท่านั้น

ผมมาเรียนตามปกติโชคดีที่ไม่ได้โดนกักบริเวณเอาไว้ ผมเรียนห้องเดียวกันกับหนึ่งชั้นเดียวกัน ปีเดียวกัน เราเจอหน้ากันตลอดเกือบ 24 ชั่วโมง ยิ่งเห็นหน้ามันก็ยิ่งทำให้ผมนึกโมโหจนห้ามร่างกายไม่อยู่ทำให้ปากมันคิดก่อนที่จะพูดทุกที

“นี่! ไอ้ลูกเมียน้อย”

น้ำเสียงผมประกาศกร้าวอย่างหาเรื่อง หน้าตาของคนที่ถูกเรียกซีดเซียวมองมายังผมแล้วค่อยๆ เดินเข้าหาผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“มีอะไรเหรอเรย์”

“เปล่า.....ฉันก็แค่อยากเรียกจะทำไม!”

“ไม่มีอะไร”

“หึ ดี.....หลีกไป! ไอ้ลูกเมียน้อย”

ปึ๊ก!

ผมเดินชนกระทบไหล่ออกมาทันที ไม่อยากเสวนาให้มากความเพราะมันจะพาลทำให้ผมคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า ทุกครั้งที่ผมเห็นหน้าหนึ่งผมมักจะมีคำถามเสมอ ทำไม? คนที่พ่อรักไม่ใช่ผมเหมือนกับที่พ่อรักหนึ่ง คำถามซ้ำๆ ที่วนเวียนอยู่ในห้องความรู้สึกของความเหงา มันเหงามากจริงๆ ที่เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ

“หนึ่งทำไมไม่ตอบโต้เรย์เขาบ้างละ เขาทำให้นายขายหน้านะ”

“ช่างมันเถอะ เรย์เขาไม่ได้ตั้งใจ”

“เฮ้อ คนอะไรนิสัยเสียจริงๆ ถ้าเป็นฉันนะฉันจะสู้หยิบตาเลย”

“ไม่เอาน่ากัณฑ์ หยุดพูดได้แล้ว”

“เฮ้อ นายนี่นะ”

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าที่เดินจากไปมันทำให้ผมที่หลบอยู่เดินออกมา หนึ่งเขามักจะเป็นอย่างนี้เสมอแสนดีไปซะทุกอย่าง เพราะลูกรักของพ่อเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? พ่อและทุกคนถึงได้รักเขาแล้วลืมลูกอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“แกมาก็ดีแล้ว เย็นนี้มีงานเลี้ยงแกต้องไปกับฉันด้วย”

พ่อเอ่ยขึ้นเมื่อผมกลับมาถึงบ้านหลังจากเลิกเรียน มันไม่ใช่คำชวนแต่เป็นคำสั่งที่ต้องไปถึงผมจะไม่อยากไปแต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี

งานเลี้ยงที่จัดอย่างหรูมีทั้งคุณหญิงคุณนายและข้าราชการชั้นสูงมาร่วมสังสรรค์ ทั้งๆ ที่น่าจะสนุกแต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกสนุกสักนิดเพราะอะไรนะเหรอ? หึ คำตอบง่ายมากก็คนที่ยืนอยู่ข้างๆ พ่อไม่ใช่ผมแต่กลับเป็นลูกที่เขารักนะสิ แล้วเขาเอาผมมาทำไมถ้าเขาไม่คิดที่จะอยู่กับผมหรือเอาไว้เป็นแค่เพียงฉากบังหน้าเท่านั้น

“ลูกคุณพจน์นี่ท่าทางจะฉลาดนะครับ”

“ครับหนึ่งเขาเรียนเก่งแล้วเป็นเด็กดีด้วย ผมภูมิใจในตัวเขามาก”

เขาภูมิใจในตัวลูกอีกคนแต่เขาไม่เคยภูมิใจในตัวผม เกรดเฉลี่ยหรือผลสอบเขายังไม่คิดที่จะดูของผมเลยด้วยซ้ำ อ้อ ไม่สิ! เขาเคยดูอยู่ครั้งนึงเมื่อตอนเรียน ม.1 แต่ตอนนั้นผมประชดพ่อเลยตั้งใจทำข้อสอบแบบผิดๆ ทำให้เกรดเฉลี่ยที่ได้มันไม่ได้ดีอย่างที่คิด แล้วไม่รู้อะไรดลใจให้พ่อขอดูเกรดของผมแค่เห็นแค่นั้นแหละสิ่งที่ตามมาคือคำต่อว่า
ทำไมเกรดของแกถึงได้ตกต่ำขนาดนี้!!!.....

คุณพ่อ.....

แกทำให้ฉันผิดหวัง ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ.....

แย่แล้วสิ.....แค่คิดมันก็ทำให้ผมอยากร้องไห้ขึ้นมาซะดื้อๆ มันก็เลยทำให้ผมต้องถอยออกมาจากงานเลี้ยงอย่างช่วยไม่ได้ จะกลับก็กลับไม่ได้ไม่รู้จะให้อยู่ทำไม

ผมพาตัวเองมาที่สระน้ำด้านนอกที่อยู่อีกทาง ตรงนี้มันเงียบสงบจนทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายไปมากเลยทีเดียว ผมชอบบรรยากาศที่นี่มากกว่าด้านในอีกเพราะในนั้นมีแต่พวกเสแสร้งมันน่าอึดอัดสิ้นดี ผมนั่งกอดเข่าแล้วเอามือกวักน้ำเล่นจนได้ยินเสียงคลื่นน้ำกระทบกันดังจ๋อมมันก็เพลินไปอีกแบบ

“เรย์.....คุณพ่อให้มาตาม”

มาแล้วตัวขัดความสุขของผม ผมรู้ว่าหนึ่งไม่ผิดเด็กที่เกิดมาโดยที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่ผู้ใหญ่ทำมักจะบริสุทธิ์เสมอ ถึงผมจะรู้ข้อนั้นดีแต่มันก็ทำให้ผมอดที่จะอิจฉาไม่ได้ เขาแย่งทุกอย่างไปจากผมโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่อิจฉาเขา.....อิจฉาจริงๆ

“เรย์”

“เออ! รู้แล้ว”ผมพูดกระแทกเสียงแล้วลุกขึ้นยืนมองหน้าลูกรักของพ่ออย่างเอาเรื่อง หนึ่งเขาไม่กล้าสบตากับผมหลุบตาลงพื้นด้วยแววตาสั่นระริกก่อนที่จะพยายามฝืนพูดออกมาด้วยความยากลำบาก

“เรย์ เราทำเรื่องอะไรให้เรย์ไม่พอใจเหรอ?”

“หึ ยังมีหน้ามาถามอีกนะ หน้าด้านจริงๆ”

“เรย์”

“ถ้าแกกับแม่แกไม่มาอยู่บ้าน แม่ฉันก็ไม่ต้องหนี! พวกแกทำให้ครอบครัวฉันแตกแยก!!! ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าทำอะไรให้”
ผมพูดในสิ่งที่คิดแล้วเป็นยังไงนะเหรอ? ก็ทำให้อีกคนร้องไห้นะสิ เพียงผมพูดแค่นี้เขาก็อยากร้องไห้แล้วผมไม่เจ็บไปกว่าเขาหรือไง ผมเจ็บกว่าเป็นร้อยเท่าแต่ไม่มีใครอยู่กับผมมีแต่คนรักหนึ่งแต่ไม่มีใครรักผมเลย ผมน้อยใจพ่อก็ไม่คอยง้อ ผมร้องไห้พ่อก็ไม่เคยปลอบสักนิด

“ฉันเกลียดแก! ได้ยินไหม ฉันเกลียดแก.....หนึ่ง!!!”

ด้วยความที่อารมณ์กำลังเดือดพล่าน ผมแค่อยากหาคนผิดสักคนเพื่อเป็นที่ระบายทำให้ผมเผลอที่จะผลักหนึ่งอย่างแรงโดยที่ผมลืมไปว่าข้างหลังเป็นสระว่ายน้ำขนาดลึกสำหรับผู้ใหญ่ หนึ่งที่ถูกผลักเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตกน้ำทำให้เขาหาสิ่งที่ยึดเหนี่ยวตามอัตโนมัติของร่างกายของมนุษย์ที่ต้องการเอาชีวิตรอดทำให้หนึ่งตกน้ำอย่างจังโดยที่หนึ่งดึงผมตกลงไปด้วย

“เฮ้ย!”

ตูม!

เราตกน้ำมาด้วยกันทั้งคู่ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ น้ำในสระลึกมากจนทำให้เราสองคนยืนไม่ถึง ผมว่ายน้ำไม่แข็งทำให้ไม่สามารถลอยน้ำได้นานจนเริ่มที่จะจมลงไปแต่ผมยังไม่อยากตายจึงได้แต่ตะเกียดตะกายขึ้นมาเพื่อช่วยให้ตัวเองรอด

“หนึ่ง!!!”

ตูม!

เสียงที่ได้ยินมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะมองไปด้วยความหวังว่าจะมีใครสักคนมาช่วยผมแต่กลับไม่ใช่ ทั้งๆ พวกเขากลับเลือกที่จะช่วยหนึ่งมากกว่าผมทั้งๆ ที่ผมอยู่ไกลกว่า ผมลืมตามาด้วยความยากลำบากมองภาพตรงหน้าแทบทำเอาผมน้ำตาร่วงทันที

“หนึ่ง!!!”

พ่อวิ่งมาด้วยสีหน้ากระหืดกระหอบ ดึงลูกรักให้ขึ้นมาจากสระแล้วโผเข้ากอดทันที หนึ่งถูกช่วยขึ้นไปแล้วเหลือแต่ผมที่ยังลอยแอ้งแม้งอยู่ในสระ สีหน้าพ่อที่แสดงว่าเป็นห่วงหนึ่งขนาดไหนมันมาให้ผมได้เห็นอีกแล้ว ถ้าเขามองมาอีกสักนิดจะเห็นได้ทันทีว่าผมยังอยู่ที่เดิมแล้วทำไมเขาไม่หันมามองผมบ้าง ผมหมดแรงแล้วหมดแรงแล้วจริงๆ จนต้องปล่อยให้ตัวเองค่อยๆ จมลงใต้น้ำด้วยความอ่อนล้าแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครหันมามองผมเลยสักนิด

อา.....ใต้น้ำมันช่างอุ่นจริงๆ แรงดันของน้ำทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกโอบกอด ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนที่จะผมค่อยๆ หลับตาลงคือเสียงร้องโวยวายของคนรอบข้างก่อนที่จะมีใครสักคนกระโดดน้ำลงมา แต่มันสายไปแล้วละ มาช่วยผมตอนนี้มันก็ไม่มีทางที่จะทำให้ความรู้สึกของผมดีขึ้นเลยสักนิด ยังไงซะผมก็โดนทิ้งเหมือนเดิม
.
.
.

เฮือก!

ผมลืมตาโผลงขึ้นมาทันทีแล้วมองไปรอบห้องที่ไม่คุ้นชิน จากกลิ่นยาและน้ำยาฆ่าเชื้อที่มาปะทะจมูกก็คงไม่ต้องเดาให้มากว่าคือที่ไหนถ้าไม่ใช่โรงพยาบาล นี่ผมยังไม่ตายอีกเหรอ? ทำไมผมถึงยังรอดอีก ความทรงจำสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนที่จะสลบผมยังจำได้ดีจนไม่อยากจะจำ หลังจากที่ผมถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำพ่อได้แต่มองผมด้วยความคาดโทษ เขากำลังต่อว่าผมอยู่ในใจที่ผมทำให้ลูกรักของเขาต้องเจ็บตัว

แอ๊ดดด

“คุณเรย์! คุณเรย์ของเย็นฟื้นแล้ว”

เสียงประตูที่ถูกเปิดออกจากด้านนอกพร้อมกับสาวใช้คนสนิทที่เดินเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้นแล้วก็ดีใจที่ผมยังไม่ตาย เห็นทีว่าคงจะมีแค่คนนี้คนเดียวเท่านั้นที่ดีใจกับการกลับมาของผม

“เย็น”

“คะคุณเรย์”

“ผมหลับไปกี่วัน”

“สองวันคะ คุณเรย์ทำให้เย็นเป็นห่วงมากเลยรู้ไหม”

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรคะ แค่คุณเรย์ปลอดภัยก็ดีแล้ว”

“เย็น”

“คะคุณเรย์”

“เขาไปไหน”

“คุณท่าน.....ไปทำงานคะ”

พอเย็นพูดแค่นั้นผมก็รู้ทันที ไม่ต้องถามอะไรให้มากความไปมากกว่านี้ให้เจ็บช้ำเล่นๆ ถ้าเดาไม่ผิดพ่อคงไม่ได้มาเฝ้าผมถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่มาเยี่ยมมากกว่า

“คุณเรย์.....คุณท่านเป็นห่วงคุณเรย์นะคะ”

“ครับ.....ผมจะพยายามเชื่อ”

ไม่หรอก.....ถ้าเขาเป็นห่วงผม ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมาผมก็ควรเห็นหน้าเขาเป็นคนแรก ผมควรที่จะได้เห็นสีหน้าที่บอกว่าดีใจที่ผมตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไปสองวันเต็มๆ ไม่ใช่หายไปแบบนี้ แล้วถ้าเขารักผมเขาก็คงจะไม่ทิ้งผมตั้งแต่แรกไม่ปล่อยให้ผมเหงาหรอก

“โธ่.....คุณเรย์”

เย็นเขามองผมด้วยแววตาสั่นระริกเหมือนจะร้องไห้ไปตามผม ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้กับผมอย่างช้าๆ

“เย็น ผมไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ”

ผมเจ็บแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกแค่หลับตาแล้วกลั้นใจหลับอีกครั้ง เพราะยามเมื่อผมหลับผมจะไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกหดหู่แล้วพอตื่นมาเดี๋ยวมันก็หาย

หลังจากนั้นเพียงแค่สองวันผมก็ออกจากโรงพยาบาล สุขภาพผมแข็งแรงดีอย่างไม่น่าเป็นห่วงแต่ถ้าเป็นหัวใจผมไม่รู้ว่ามันรักษาหายหรือเปล่า พ่อไม่มาหาผมอย่างที่ผมคิดไว้ไม่เจอหน้าด้วยซ้ำนอกจากเย็นที่เป็นคนรับใช้คนสนิท เขาคอยอยู่กับผมตลอดเวลาจนกระทั่งถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาล

ทันทีที่ผมก้าวเท้ามาเหยียบสถานที่ที่ได้ชื่อว่าบ้านตัวเองแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ สามคนพ่อแม่ลูกกำลังหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน พ่อกำลังโอบกอดลูกที่เขารักด้วยความเอ็นดู เนี่ยเหรอ? คนที่บอกว่างานยุ่งจนไม่มีเวลาไปเยี่ยมผม หึ น่าหัวเราะชะมัด น่าสมเพชตัวเองจริงๆ พอผมเดินไปแค่นั้นแหละเสียงหัวเราะทั้งหมดก็หยุดลงทันที พวกเขามองมาทางผมแล้วแม่เลี้ยงของผมก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนเหมือนจะเป็นห่วง

“คุณเรย์เป็นยังไงบ้าง น้าขอโทษนะคะที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย”

“ยังไม่ตาย”

“เรย์! พูดกับเขาให้มันดีๆ หน่อย อย่างน้อยนันเขาก็เป็นเมียฉัน ถ้าแกไม่ไห้เกียรติเขาก็เห็นแก่หน้าฉันบ้าง”

“เหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมก็คงจะเป็นคนอื่นสำหรับคุณ”

“เรย์!!!”

“ทำไม! ผมพูดอะไรผิดเหรอครับ”

ผมมองหน้าพ่ออย่างไม่ลดละ จะให้ผมยอมรับเหรอ? ทำไมผมจะไม่เคยทำแต่สิ่งที่เขาตอบแทนผมคือส่วนเกินแล้วจะให้ผมทนได้ยังไง! ผมไม่พูดอะไรอีกแล้วเดินกลับขึ้นห้องด้วยหัวใจปวดร้าว ถ้าหากว่าผมยังอยู่ตรงนั้นผมกลัวว่าน้ำตาของผมจะไหลให้เขาเห็นอีก เพียงแค่ครั้งเดียวที่เขาเห็นผมร้องไห้ก็เกินพอแล้ว

ปัง!

“ฮึก ฮือ ฮือ”

บานประตูที่ถูกปิดลงพร้อมกับหัวใจของผมที่ถูกปิดเหมือนกัน พ่อไม่รักผม ทำไมเขาต้องว่าผมด้วย! การที่ผมเกิดมามันทำให้พ่อลำบากใจขนาดนั้นเลยเหรอ? ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อง ร้องไห้เพราะความอ่อนแอของตัวเอง

เวลาผ่านล่วงเลยมาเท่าไร่ไม่รู้ตั้งแต่ผมกลับมาถึงบ้านผมก็คลุกอยู่แต่ในห้อง ด้วยความที่ยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลทำให้ผมรู้สึกหิวเล็กๆ เลยว่าจะไปหาอะไรกินที่ห้องครัวซะหน่อยแต่ผมไม่รู้เลยว่าการที่ผมลงมาข้างล่างครั้งนี้มันทำให้ผมรู้ว่าคนรับใช้ในบ้านมองผมเป็นยังไง

“แก.....ฉันว่านะคุณเรย์ต้องเป็นคนทำคุณหนึ่งตกน้ำแน่ๆ”

“ใช่เลย แกคิดเหมือนฉันเลย ฉันเองก็ไม่เชื่อหรอกที่คุณหนึ่งบอกว่าเขาตกน้ำเอง”

“อืมๆ คุณหนึ่งไม่น่าปกป้องคุณเรย์เลยนะ คนอะไรร้ายซะไม่มี”

“คุณหนึ่งนี่ก็ดีเกินไปจริงๆ”

คำต่อว่ามองผมว่าเป็นนางร้ายได้ถูกพ่นออกมาอย่างสนุกสนานและคำพูดแสดงความเห็นใจกลับส่งไปให้อีกคน ผมทำอะไรผิด? ผมแค่อยากเรียกร้องผมผิดด้วยเหรอ ทำไมไม่มีใครเข้าใจผมสักคนว่าผมเองก็มีความรู้สึกเจ็บเหมือนกัน

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ยัยพวกปากพล่อย อย่ามาว่าคุณเรย์ของฉันนะ”

“โหย เย็น! ฉันก็ไม่อยากว่าคุณเรย์ของแกหรอกถ้าหากว่าเขาไม่ทำร้ายคนอื่นก่อน”

“กลับตัวกลับใจยังทันนะเย็น คุณหนึ่งกับคุณนันเขาก็ออกจะดีไม่เห็นเหมือนคุณเรย์สักนิด”

“พวกแกไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดดีกว่า”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากห้องครัวได้ยังไง จากที่หิวกลับไม่หิวเลยสักนิด ผมไม่อยากอยู่บ้านเพราะบ้านมันกว้างเกินไปสำหรับคนที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวอย่างผม สองขาของผมเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ช้าๆ แล้วไม่คิดหันกลับไปมองมันอีกเลย ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ผมทนไม่ไหวจริงๆ อ่อนแอเกินที่จะสู้แล้ว ในเมื่อเขาไม่คิดที่จะยอมรับผมก็ไม่อยากอยู่ให้เขาเห็นหน้า พอกันทีกับความช้ำที่ต้องทนซ้ำแล้วซ้ำอีก

“ฮือ ฮือ ฮึก ฮือ”

แม่ครับ.....

แม่อยู่ไหน.....

ผมอยากอยู่กับแม่.....

ผมร้องไห้นั่งกอดเข่าบนฟุตบาต ถนนที่มีรถแล่นผ่านอย่างไม่ขาดสายแม้ว่ามันจะดึกดื่นแค่ไหน แต่ใจของผมกลับหยุดนิ่งไม่คิดที่จะเดินต่อ ผมเหนื่อยเหลือเกิน

“มาทำอะไรที่นี่ เดี๋ยวก็ตายหรอก”

“อ่ะ!”

แขนของผมถูกกระชากจากใครอีกคนทำให้ผมต้องลุกขึ้นตามแรงจนทำให้ตัวของผมเซเล็กน้อย ผมมองใบหน้าของเขาด้วยน้ำตานองหน้าที่แทบจะมองไม่เห็นแต่ผมก็รู้ว่าเขาคือใคร

“ไค!”

ไคเพื่อนสนิทของตะวัน.....เป็นอีกคนที่ผมไม่อยากเจอหน้าและไม่อยากเสวนาด้วยเท่าไร่ เพราะสายตาของเขาที่มองผมมีแต่การต่อว่าด่าทอหรือไม่ก็ขยะแขยงเต็มทนเมื่อเวลาเจอผม

“ปล่อย!”ผมรั้นตัวออกพร้อมกับเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ ทำเป็นไม่สนใจเขาแล้วเดินหนีไปอีกทางแต่ก็ถูกแขนใหญ่ตามมาจับไว้แน่น

“จะไปไหน”

“มันเรื่องของฉัน”

“เหอะ ทำอย่างกับฉันอยากถามตายละ”

“ถ้าไม่อยากถามก็ปล่อยฉัน!”

“จะปล่อยได้ไง ห่ะ! ในเมื่อคนผิดยังลอยนวลอยู่”

“คนผิด? คนผิดอะไร”

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ นายใช่ไหมที่เป็นคนผลักหนึ่งตกน้ำ”

อีกแล้ว.....เรื่องนี้อีกแล้วเหรอ? แค่ผมไม่ได้ตั้งใจ ทำไมพวกเขาต้องมาซ้ำเติมด้วยนะ ถึงผมจะเป็นคนผลักหนึ่งจริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้อยากทำให้มันเกิดขึ้นสักนิด นี่พวกเขาคิดแต่จะโทษผมอย่างเดียวเหรอ? ไม่มีใครถามผมบ้างเหรอ? ว่าผมเป็นยังไง หายเจ็บหรือยัง ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร่ ทำไมไม่มีใครถามผมบ้าง!!! มีแต่จะคอยโทษว่าผมผิดอย่างโน้นอย่างนี้อยู่อย่างเดียว

“ใช่! ฉันเป็นคนผลักมันเองแล้วนายมาเกี่ยวอะไรด้วย!”

“หึ ในที่สุดก็ยอมรับว่าผิดแล้วงั้นสิ”

“เออ! รู้แล้วก็ปล่อย!!!”

“นายนี่มันใจร้ายจริงๆ ทำร้ายได้แม้กระทั้งพี่น้องตัวเอง”

“มันไม่ใช่น้องฉัน! มันเป็นแค่ลูกเมียน้อย ฉันไม่ยอมรับว่ามันเป็นน้องฉันหรอก!!!”

“เพราะนายมันแย่อย่างนี้ไง ถึงไม่มีใครต้องการ!”

ผมเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ.....ไคพูดถูกทุกอย่าง คำพูดของเขามันสะกิดใจของผมอย่างจังจนทำให้น้ำตาที่เริ่มแห้งกลับมาไหลอีกครั้ง ผมอาศัยช่วงที่ไคกำลังมองผมอย่างอึ้งๆ รั้นตัวเองออกมาให้หลุดพ้นจากมือของคนที่พูดจาทำร้ายผม ผมรู้สึกเหมือนเดจาวูเพราะเมื่อวันก่อนตะวันเขาก็ต่อว่าผมเหมือนกับไคที่กำลังว่าผมเหมือนกัน ทุกคนบอกว่าผมเป็นคนผิดเพื่อปกป้องคนเพียงคนเดียวแล้วคนๆ นั้นก็ไม่ใช่ผม

“เรย์!”

“ปล่อย! อย่ามายุ่งกับฉัน! ฮือ ฮือ ฮึก”

แค่ผมอยากได้ยินใครสักคนปลอบใจผมมันผิดมากนักเหรอ? หรือว่าความจริงแล้วผมผิดตั้งแต่เกิดกันแน่นะ มันคงจะใช่จริงๆ นั่นแหละ.....คนอย่างผมไม่น่าเกิดมาเลย
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 17-05-2015 20:47:40
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:เศร้าไปไหนอะ :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 17-05-2015 20:49:23
มีอีกไหม มีอีกไหม มีอีกตอนไหมเธอ... มันค้างงง อยากอ่านอีก จะเอาอีกๆๆๆๆ หน่วงมากชอบมาก พอจะเข้าใจหัวอกคนที่ถูกลดความสำคัญลง รอการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาของตัวละครอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้เสมอ มาอัพบ่อยๆได้ยิ่งดี อัพไม่ถี่แต่ยาวๆก็ได้  :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 17-05-2015 21:12:03
มาน้อยละยังทิ้งนาน งอนนน
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 17-05-2015 21:17:17
สงสัยว่าทำไมพ่อถึงใจร้ายจัง ลูกตัวเองแท้ๆ วันเกิดยังจำไม่ได้เลย
อยากรู้ว่าใครคือพระเอกจัง คิดว่าเรย์น่าจะเป็นนายเอกนะ
ให้กำลังใจคนเขียนครับ  :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 17-05-2015 21:21:30
 :monkeysad: :monkeysad:
น่าสงสารเรย์จัง
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 17-05-2015 21:33:15
 :ling1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 17-05-2015 21:33:44
ขออีกตอนได้ไหม
รอนายร้ายเป็นที่รักพระเอก
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 17-05-2015 22:28:01
อินมากกก อยากร้องตามน้องเรย์ ฉากดอกไม้คือจุกใจมาก
ขอพระเอกแสนดีให้เรย์ด้วยค่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 17-05-2015 22:53:31
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 17-05-2015 23:29:44
ทั้งสงสารทั้งโกรธอ่ะ แต่ก็เข้าใจ
งานนี้เราว่าผู้ใหญ่ผิดนะ
ทำมาขนาดนี้ ต่อให้สุดท้ายมาขอโทษ มันก็ไม่มีอะไรขึ้นเลยนะ
พ่อแม่ที่อคติกับลูกตัวเอง อืม.......
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: mynamejnkf ที่ 18-05-2015 02:02:42
สงสารน้องเรย์ :o12: :o12:

ขออีกค่ะคนเขียน อยากกินมาม่ามากกว่านี้
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 18-05-2015 03:06:23
พ่อของเรย์เป็นคนที่ผิดที่สุด  ความมักมากของตัวเองสร้างปัญหาขึ้นมาในครอบครัว เข้าใจอยู่ว่าลูกสองคนที่ดีไม่เท่ากันก็ทำให้พ่อแม่รักไม่เท่ากันอยู่แล้ว  ความเจ็บปวดในใจของเรย์นี่พ่อไม่ได้ช่วยเยียวยาหรือทำให้ดีขึ้นเลย ตรงกันข้าม   เรย์เองก็ได้แต่ทำตัวประชดชีวิตไปวันๆ   จริงๆแล้วถ้าหากว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้เรย์รู้สึกดี เติมเต็มความรู้สึกว่าได้รับความรักได้เรย์ก็น่าจะไปอยู่ที่นั่นบ่อยๆ ไม่ต้องไปใส่ใจใครอื่นหรือทำตัวประชดอะไร  นางร้ายที่น่าเห็นใจแต่ถ้าหากว่าทำตัวร้ายๆไปตลอดก็สุดที่คนอื่นจะเห็นใจได้นะ   ยิ่งโดยเฉพาะตัวเองได้ไปเจอเด็กที่ด้อยโอกาสกว่าก็น่าจะเข้าใจ  แรกๆก็เห็นใจน้ำตาซึมไปด้วย  แต่หลังๆก็ไม่ค่อยจะน่ารักแล้ว  โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งท่าทางเป็นคนดีจริงๆซึ่งเราก็ขอภาวนาให้เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเราเกลียดที่สุดคนที่แอ๊บดี เรื่องพ่อของเรย์นั้น  เรย์ได้แต่ประชดเรย์น่าจะบอกความรู้สึกของตัวเองไป  ไม่งั้นก็บอกไปเลยว่าขอออกไปอยุ่ข้างนอกจะได้ไม่ต้องเจอครอบครัวสุขสันต์  เพราะว่าเรย์เองก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนอะไรได้  ต่อให้ฆ่าตัวตายประชดพ่อๆก็ไม่เลิกรักหนึ่งลูกรักได้  พ่อก็ไม่ทิ้งเมียน้อยไปแน่   ตัวแม่เรย์เองก็ที่ผิดด้วยเพราะว่าทิ้งลูกไปเลย  เหลือเรย์คนเดียวที่ต้องรักตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทนดู บอกพ่อตรงๆว่าอยากไปอยุ่คนเดียวขี้คร้านจะรีบให้ออกไป   กลัวว่าต่อจากนี้ไปคนอื่นๆจะเข้ามาทำร้ายเรย์เพื่อแก้แค้นให้หนึ่ง
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-05-2015 05:12:55
เรย์จะทนได้แค่ไหนนะ. ออกไปอยู่คนเดียวเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องทนเห็นภาพบาดตา
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: keepout ที่ 18-05-2015 06:40:04
จะบอกว่า
อีกซักตอนได้ไหม
ฮืออออออออ สงสารเรย์อ่ะ คือ พ่อก็ทำตัวเห้ เกินไปนะ
คือมีลูกอยู่สองคนป่ะเป็นคนทำให้เขาเกิดมาป่ะ
คืออยากให้แม่มารับเรย์ไปอยู่ด้วยเลย หรือไม่ก็ไปอยู่ที่อื่นเถอะ
อยู่ที่บ้านไปก็มีแต่ทำร้ายตัวเองป่าวๆ
ปล.ใครเป็นพระเอก?
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวลิปสีส้ม ที่ 18-05-2015 08:10:15
เรื่องนี้กระชากน้ำตาเรามากจริงๆ  :z3:
อ่านอีกก็เจ็บอีก
คุณ Take เป็นคนที่แต่งดราม่าได้เข้าถึงอารมณ์มาก
เราซูฮกเลยจริงๆ คืออ่านละร้องไห้อ่ะ ทำเราหน่วงไปเลย
:hao5: :hao5:

คอยติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: saradino1 ที่ 18-05-2015 12:49:57
สุดๆๆเลยเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 18-05-2015 20:00:16
เศร้าจิต เอ้อ หนีออกมาจากสิ่งแวดล้อมเน่าๆเหอะเรย์  ถีบยอดหน้าแล้วบอกลาเป็นการถาวรซะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน2 17/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: maii ที่ 18-05-2015 22:16:17
ขอพระเอกมาปกป้องนางร้ายของเราด่วนๆเลยค่ะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 20-05-2015 19:20:52



“น่าโมโหจริงๆ ยัยพวกนั่นนี่! มาว่าคุณหนูของฉัน!”

คำสบถถูกพ่นออกมาจากปากของหญิงรับใช้อย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงการต่อปากต่อคำเมื่อสักครู่ บังอาจนักมามาคุณหนูผู้บริสุทธิ์ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องสักอย่าง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าคุณหนูของเธอเป็นเช่นไรเพราะเธอเลี้ยงของเธอมาตั้งแต่ยังเด็กๆ จากเด็กดีมีรอยยิ้มน่ารักแต่วันนึงก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แน่นอน! สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนที่ได้ชื่อว่า ‘พ่อ’

ก็อก ก็อก ก็อก

“คุณหนูคะ เย็นเอาข้าวมาให้คะ”

“.....”

“คุณเรย์”

ก็อก ก็อก ก็อก

“คุณเรย์”

ก็อก ก็อก ก็อก

เสียงเคาะประตูและเสียงเรียกยังคงดังต่อเนื่องแต่ไม่มีท่าทีจะตอบรับจากอีกฝ่ายจนทำให้เธอรู้สึกใจไม่ดีเพราะเมื่อตอนที่กลับออกมาจากโรงพยาบาลคุณหนูของเธอได้มีปากเสียงกับบิดาจนลั่นบ้าน ด้วยความเป็นห่วงในชีวิตเจ้านายทำให้เธอร้อนรน โชคดีที่ประตูไม่ได้ล็อกไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเสียเวลาลงไปเอากุญแจสำรองข้างล่างเป็นแน่

ปัง!

“คุณเรย์!”

สาวใช้วิ่งไปทั่วทุกมุมห้องแต่กลับไม่มีร่องรอยคนอยู่เลยสักคนยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างกลัวรับรู้ถึงอาการสั่นของมือตัวเองจนห้ามให้หยุดไม่ได้ ตอนนี้สมองของเธอคิดเพียงแค่อย่างเดียว กลัวว่าอีกคนจะคิดสั้น กลัวว่าคุณหนูอาจจากไปโดยที่ไม่มีวันกลับ

“คุณเรย์! คุณเรย์อยู่ไหนคะ”

ผู้เป็นดั่งดวงใจของเธอไปไหนเธอไม่อาจรู้ รู้แต่ว่าต้องออกตามหาให้เจอ น้ำสีใสถูกหลั่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างจนห้ามไม่ได้ เธอรู้สึกกลัว.....กลัวจริงๆ

ปรื้น ปรื้น

ท้องถนนแม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ก็เต็มไปด้วยรถและกลุ่มควันมลพิษ ดวงตาที่หวาดระแวงทั้งสองข้างสอดส่องไปทั่วหมุนซ้ายหมุนขวาแล้ววิ่งตามหาอย่างไม่ลดละ เพียงไม่นานก็คลี่ยิ้มกว้างบนใบหน้าก่อนที่จะวิ่งเข้าหาคนตัวเล็กที่กำลังร้องไห้เหมือนขาดใจ

“คุณเรย์!”
.
.
.
ผมร้องไห้อีกแล้ว.....ร้องไห้เหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต ผมวิ่งหนีไคออกมาไม่อยากให้เขารู้สึกสมเพชไปมากกว่านี้แต่ผมที่ไม่มีทั้งเงินและเสื้อผ้าทำให้ไปไหนไม่รอดต้องกลับมาบ้านที่ผมหนีออกมาอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่อยากกลับแต่ผมก็ไม่รู้จะไปไหน ทำให้ตัวเองต้องเดินกลับมาทางเดิม เสียงเรียกที่ดังเข้าโสตประสาททำให้ผมต้องเงยหน้ามองด้วยน้ำตา ถึงจะมองไม่เห็นแต่ผมก็รู้ว่าเป็นใคร?

“ยะ เย็น ฮือ ฮือ”

เย็นเข้ามากอดผมอย่างเต็มรัก ผมรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของเธอ ใบหน้าที่ผมเห็นมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์นองไปด้วยน้ำตามันทำให้ผมใจหลุนวูบ

“คุณเรย์ ฮือ ฮือ เย็นเป็นห่วง อย่าหายไปอีกนะคะ”

“ขอโทษนะ ฮึก”

“ไม่เป็นไรคะ”

บ้านที่ไม่มีใครต้องการอย่างน้อยผมก็มีเย็นที่คอยผมอยู่ ถ้าหากผมหนีไปคนเดียวก็เท่ากับทิ้งเย็นเอาไว้ผมคงทำไม่ได้เพราะเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมอยู่เคียงข้างผมในวันที่ผมไม่มีใคร

ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติ ผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสีหน้าเย่อหยิ่งฉายชัดบนใบหน้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยทอดมองไปยังสาวใช้ที่นินทาผมเมื่อวานอย่างหาเรื่องจนเจ้าตัวถึงกับสะดุ้งก้มหน้าต่ำมองพื้นไม่กล้าหันขึ้นมาสบตา สองมือที่ประสานกันสั่นระริกจนผมสังเกตุได้

“คราวหลังหัดหุบปากบ้างนะ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีงานทำแบบไม่รู้ตัว”

ผมขู่.....ได้แค่ขู่เท่านั้นไม่คิดจะทำจริงๆ สองคนนั่นก็ยังคงก้มหน้าอยู่ ผมมองเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเดินออกมา
มือของผมถือกระเป๋าสะพายแล้วกำมันจนแน่นก่อนที่จะหันไปมองบ้านหลังใหญ่ที่ผมอยู่มาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่จำความได้พ่อไม่เคยรักผมเลย ผมเคยสงสัยนะว่าผมเป็นลูกของพ่อหรือเปล่าเหมือนกับอย่างในละครที่พ่อไม่รักเพราะเป็นลูกของคนอื่น ทำให้ผมอยากพิสูตรเลยลองเอา DNA ไปตรวจแต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ผมเป็นลูกพ่อร้อยเปอร์เซ็น เป็นลูกแม่เต็มตัว แต่ทำไมพ่อไม่รักผมเลย.....
ทำไม? ไม่รักผมเหมือนกับที่รักหนึ่ง

“.....เรย์.....เรย์.....เรย์!”

“หะ ห๋า ว่าไง”

“อะไรของนายเนี่ย มัวแต่นั่งเหม่ออยู่ได้”

“เอ่อ โทษทีนะอัลฟา”

“โห่ ฉันชวนนายมาสนุกนะ ไม่ได้ชวนมานั่งเหม่อ ไปเต้นกันเถอะ”

“นายไปเถอะ ฉันอยากนั่งมากกว่า”

“ตามใจ”

อัลฟาเพื่อนร่วมชั้นเรียนเอ่ยขึ้นก่อนจะทิ้งผมให้นั่งอยู่คนเดียวแล้วออกไปเต้นกลางลานพร้อมกับเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันกับเขาสองสามคน เสียงดนตรีที่ดังเข้าหูแต่มันกลับไม่เข้าสมองผมเลยสักนิด กลิ่นหล้าแรงๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากที่จะแตะต้องเลยได้แต่ปล่อยแก้ววางอยู่แบบนั้นจนน้ำแข็งละลาย

ผมเบื่อไม่อยากกลับบ้านเลยมาตามคำชวนของอัลฟาที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง คิดว่าอย่างน้อยเสียงดนตรีก็คงทำให้ผมคลายความเศร้าลงได้บ้างแต่มันก็เท่านั้นเพราะไม่ว่ายังไงผมก็ยังคงนึกถึงแต่ผู้ชายคนนั้นอยู่ดี ไม่รู้ทำไมถึงชอบทำให้ตัวเองเจ็บ ในเมื่อเขาไม่รักแล้วจะคิดถึงทำไมก็ไม่รู้

“ขอโทษครับ ขอนั่งด้วยได้ไหม?”

ผมมองไปยังอีกคนที่เข้ามานั่งข้างผมอย่างถือวิสาสะ ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มมาให้ถ้าผมเป็นคนอื่นก็คงจะหลงรอยยิ้มนั้นง่ายๆ แต่ผมไม่โง่พอที่จะลดตัวลงไปทำแบบนั้น ขึ้นชื่อว่า ‘ผับ’ ก็ต้องย่อมมีคนหลายประเภทที่เข้ามาแต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่รักสนุกมากกว่า พอเมื่อเจอคนที่ถูกใจก็เข้ามาทักแล้วก็จบลงเพียงชั่วข้ามคืนบนเตียงในคอนโดหรูหรือไม่ก็คงเป็นโรงแรมม่านรูดสักแห่งแถวนี้

“ขอโทษครับ แต่ผมอยากนั่งคนเดียว”

“ผมชื่อดนัย แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ”

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดสักนิดยังพยายามที่จะสานสัมพันธ์ต่อทั้งๆ ที่ผมปฏิเสธไปอย่างโจ่งแจ้ง ผมยิ้มเล็กน้อยให้เขาก่อนที่จะตอบออกไปอย่างที่ใจคิดตั้งแต่แรก ให้มันรู้ไปสิว่าพูดขนาดนี้แล้วยังจะหน้าด้านอยู่อีกไหม!

“คงไม่จำเป็นต้องบอกหรอกนะครับ อีกเดี๋ยวคุณก็ไปแล้ว”

สีหน้าเขาเจื้อนลงเล็กน้อยแล้วเดินออกไปทันทีโดยที่ไม่พูดอะไรต่อ ผมเองก็เบื่อที่จะอยู่ในนี้เลยลุกออกไปข้างนอกเพื่อที่จะสูดอากาศที่บริสุทธิ์แต่ช่วงจังหวะที่ผมกำลังลุกด้วยความซุ่มซ่ามของตัวเองไปชนแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันเข้าทำให้มันหกรดกางเกงอย่างจัง

ตึง!

“ว้า ซุ่มซ่ามจังเลยเรา”

ด้วยกลิ่นและความเปียกชื้นของเนื้อผ้าทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีจนต้องเปลี่ยนใจกลับบ้าน มองดูนาฬิกาข้อมือก็เกือบเที่ยงคืนแล้วป่านนี้ก็คงเข้านอนกันจนหมด

แอ๊ดดดด

ผมเปิดประตูบ้านด้วยเสียงที่เบาทำตัวเหมือนกับแมวขโมยแต่ยังไม่ได้ไปไหนเพียงไม่นานบ้านที่น่าจะมืดกลับกลายเป็นสว่างในชั่วพริบตา

พรึ๊บ!

“แกไปไหนมา!”

เสียงประกาศกร้าวเอ่ยดังขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ดูก็รู้ว่ากำลังโกรธจัด นี่เขายังไม่นอนอีกเหรอ?

“ฉันถามว่าแกไปไหนมา!”

“ไปเที่ยว”

“ทำไมแกถึงทำให้ฉันปวดหัวอยู่เรื่อย ห่ะ! กลิ่นเหล้าก็เหม็นหึ่งเชียว แกกำลังอยู่ในวัยเรียนควรที่จะเรียนหนังสือ ไม่ใช่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นทำตัวไร้สาระ”

“ถ้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้ผมขอตัว”

พูดจบผมก็รีบเดินขึ้นห้องทันที ที่ผมไม่อยากกลับบ้านก็เพราะว่ามีเขาเป็นคนต้นเรื่อง นอกจากจ้องแต่จะหาเรื่องด่าผมไปวันๆ ก็ไม่เห็นจะมาสนใจผมสักนิดหรือต่อให้ผมไม่ได้ทำอะไรเขาก็มักจะมีเรื่องด่าผมอยู่แล้ว กับเรื่องที่เข้าใจผิดคิดว่าผมกินเหล้ามันก็แค่เรื่องจิ๊บๆ ผมพยายามไม่ใส่ใจล้มตัวนอนบนที่นอนอย่างเหนื่อยล้าแล้วข่มตาให้หลับลง

เฮ้อ.....เก็บแรงเอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า
.
.
เช้า

“เอาละคะนักเรียนทุกคน วันนี้อาจารย์มีข่าวดีมาบอก ห้องของเราได้รับเลือกให้หานักแสดงมาแสดงดนตรีในงานที่จะจัดขึ้น แล้วรู้ไหม? ว่าใครได้รับเลือกเล่นเป็นตัวเด่น”

เสียงอาจารย์ประจำชั้นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มร่าให้กับเด็กนักเรียนของตน แต่สิ่งนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจสักนิดเพราะสายตาของผมมักจะเหลือบมองไปยังอีกโต๊ะที่มีลูกคนละแม่ผมนั่งอยู่ ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนๆ ที่ดูสนิทสนม ผิดกับผมที่นั่งอยู่หลังห้องตัวคนเดียว

“เฮ้ย หนึ่ง! ฉันว่าต้องเป็นนายแน่เลย”

“ไม่หรอก จะเป็นฉันได้ยังไง? คนอื่นมีตั้งเยาะแยะ”

“เป็นเธอนั่นแหละหนึ่ง อาจารย์ดีใจด้วยนะ”

เสียงสนธนาสิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงปรบมือดังลั่นห้อง หนึ่งทำท่าเขิลอายอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ผมเบ้หน้าไปอีกทางอย่างนึกหมั่นไส้แล้วก็เป็นหนึ่งอีกจนได้ที่ได้ทุกอย่างไป ผมมันเป็นแค่คนขี้อิจฉา.....ผมอิจฉาหนึ่งที่ได้รับความรักจากทุกคนไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ อาจารย์หรือแม้แต่กระทั่งครอบครัวตัวเอง

ถ้าหากว่าผมเป็นเด็กดีจะมีคนรักผมเหมือนกับที่รักหนึ่งหรือเปล่านะ?....

ความคิดที่มันมักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในใจของผมแต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะทำมัน ผมกลัว.....กลัวว่าถ้าหากว่าผมทำมันลงไปจะไม่มีใครสนใจผมเหมือนกับวันนั้น

ครั้งที่ผมยังเป็นเด็กตอนอายุ 14 ผมได้รับเลือกให้ไปแสดงไวโอลิน ตอนนั้นผมยังจำได้ดีว่าผมดีใจมากที่ได้รับเลือก เป็นครั้งแรกที่มีคนไว้ใจผมจนทำให้ผมอดที่จะขยันซ้อมไม่ได้ ผมซ้อมไวโอลีนทุกวันเมื่อยามที่ผมว่างเพราะอยากทุ่มเทให้มันดีที่สุดแต่แล้วความหวังของผมก็พังไม่เป็นท่าเมื่อผมซุ่มซ่ามเพราะมัวแต่ดีใจที่ถึงวันที่ผมจะต้องแสดงจริงๆ ทำให้ผมไม่ระวังตัวเดินตกบันไดทำให้ข้อมือเคล็ดจนไม่สามารถที่จะเล่นไวโอลีนได้

‘ผมจะแสดง! ผมทนได้ครับอาจารย์’

‘อย่าเลยเรย์ อาจารย์รู้ว่ามือเธอเจ็บและคงแสดงไม่ไหว’

‘ผมทำได้.....ผมทำได้จริงๆ อาจารย์ให้ผมแสดงเถอะนะ’

‘เธอไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกเรย์ อาจารย์ให้หนึ่งเล่นเปียโนแสดงแทนแล้วละ’

ความหวังผมทลายลงในพริบตาพร้อมกับเสียงเปียโนที่ดังเข้ามาในโสตประสาทจากอีกทาง ไม่นานนักก็หยุดลงพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังสนั่น น้ำตาผมร่วงลงมาทันทีโดยที่ไร้เสียงสะอื้น ความพยายามที่ผมซ้อมมาตลอดมันไม่มีค่าเลยสักนิดเหมือนเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ที่หลอกให้ผมตายใจ ถ้าจะให้โทษใครก็คงโทษไม่ได้ต้องโทษที่ตัวผมที่ทำตัวเองทั้งนั้น แล้วตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ถูกเลือกให้แสดงอะไรอีกเลยเพราะหนึ่งได้รับเลือกแทนผมมาโดยตลอด
.
.
.


ปล่อยมือยอมหากเธอนั้นคิดจะไป เมื่อเธอยืนยันว่าในหัวใจ เธอต้องการอย่างนั้น.....
บอกกับเธอให้เธอรักเขานานๆ เมื่อเธอเจอคนที่เธอต้องการ ฉันพร้อมจะเข้าใจ.....
อยากจะยินดีที่มองดูเธอและเขา ได้รักสุขใจ แต่ไม่เคยจะทำได้สักที.....
ความรักจริงๆ มันคืออะไร ใครนิยาม ที่บอกว่ารักจะสุขใจแม้สุดท้ายเธอรักใคร.....
แต่แล้วความจริงมันคืออะไร ยอมให้เธอจากไปแล้วทำไมช้ำอย่างนี้.....


หลังของผมพิงพนักตึกสีขาวด้วยความอ่อนล้า เสียงเปียโนถูกเล่นขึ้นจากคนที่ถูกเลือก ผมที่หลบอยู่อีกมุมได้ยินมันชัดเจน ไม่เข้าใจว่าทำไม? ต้องมาแอบดูทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าจะทำให้ตัวเองเจ็บหรือว่าผมเป็นพวกชอบทรมานตัวเองกันนะ

แปะ แปะ แปะ

“เก่งจังเลยหนึ่ง”

“ขอบใจนะกัณฑ์ แต่เรายังไม่เก่งหรอก”ลูกคนละแม่ของผมพูดขึ้นแค่ฟังจากเสียงโดยที่ไม่ต้องเห็นหน้าก็พอรู้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังทำหน้าแบบไหน?

“ใครว่ายังไม่เก่ง แค่นี้หนึ่งก็เก่งแล้ว”

“ใช่.....แค่นี้หนึ่งก็เก่งแล้ว”

“ตะวัน! ไค! มาได้ไง”

“ได้ข่าวว่าได้รับเลือกให้แสดงเปียโนเลยกะว่าจะมาดูซ้อมสักหน่อย”

“ตะวันมันก็เลยลากฉัน มาหานายไงหนึ่ง”

เสียงสนธนายังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ น้ำเสียงที่หัวเราะต่อกระซิกมันทำให้ผมทรมาน ความอิจฉาที่มันเกิดขึ้นภายในใจอย่างลุกโชน ผมไม่ได้อยากคิดอย่างนั้นแต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ ผมหลับตาลงก่อนที่จะลุกเดินหนีออกมาจากที่ตรงนั้น.....มันไม่ใช่ที่ที่ผมควรไปอยู่สักนิดแม้กระทั่งที่บ้านเองก็เหมือนกัน

“ได้ข่าวว่าลูกชายพ่อได้ถูกรับเลือกให้แสดงเปียโน”

“ครับคุณพ่อ”

“เก่งจริงๆ เลยลูกพ่อ แล้วเมื่อไหร่ละพ่อจะได้ไปดู”

“อาทิตย์หน้าครับ”

ความอบอุ่นที่พ่อมีให้กับลูกถ้าผมเป็นคนอื่นก็คงมองว่ามันน่ารักช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ แต่สำหรับผมกลับมองภาพเหล่านั้นด้วยม่านน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาเรื่อยๆ

วันรุ่งขึ้นผมมาเรียนปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือผู้คนรอบข้างที่กำลังทำท่าหาของบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ผมเดินเข้าห้องด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่คิดจะถามออกไป ถึงผมจะนั่งหลังห้องแต่โชคดีที่ผมนั่งติดหน้าต่างมันก็เลยทำให้ผมสามารถมองวิวทิวทัศน์โดยรอบได้สบาย

“เรย์! นายใช่ไหมที่เป็นคนเอาโน๊ตซ้อมเพลงของหนึ่งไป”

ผมหันมองหน้ากัณฑ์เพื่อนสนิทของหนึ่งอย่างงุนงงไม่เข้าใจสักนิดว่าเขาต้องการอะไรจากผม โน๊ตอะไร? ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยสักนิด

“โน๊ตอะไร?”

“อย่ามาทำไขสือ เมื่อวานหนึ่งเขาลืมโน๊ตเพลงเอาไว้แล้วนายเป็นคนเอาไปใช่ไหม”

“อย่ามากล่าวหากันพล่อยๆ ถ้าไม่มีหลักฐาน”ผมเชิดหน้าตอบสบตาอย่างไม่ลดละ จนทำให้เจ้าตัวถึงกับเดือดพล่านเมื่อถูกปฏิเสธ

“หลักฐานฉันไม่มีหรอกแต่เมื่อวานฉันเห็นนายด้อมๆ มองๆ ตรงที่หนึ่งซ้อมเปียโน”คำกล่าวหาที่บอกว่าผมเป็นคนผิดถูกเอ่ยขึ้นมาทันที ผมเค้นยิ้มร้ายบนใบหน้าทั้งไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ

“กัณฑ์! ไม่เอาน่า เรย์ไม่ได้เอาไปหรอก อย่ามีเรื่องกันเลย”

“หยุดเลยหนึ่ง! นายจะไปปกป้องมันทำไม? ในเมื่อนายเองก็รู้ว่าเรย์เขาร้ายกาจขนาดไหน”

ผมเก็บความเจ็บช้ำไว้ในใจ ไม่มีใครมองว่าผมเป็นคนดีเลยสักนิด ไม่ได้ทำก็หาว่าทำแล้วถ้าหากผมแก้ตัวไปก็คงคิดว่าผมโกหก ความเจ็บปวดมันเกาะกินใจผมขึ้นเรื่อยๆ จนต้องหาทางปิดบังเอาหน้ากากมาสวมทับ หน้ากากของนางมารร้ายแล้วซ่อนน้ำตาไว้เบื้องหลัง

“หึ ป่านนี้มันคงไหม้เป็นจุนไปแล้วมั้ง ช่วยไม่ได้ใครอยากให้แกลืมเองละ”

“เห็นไหมหนึ่ง! มันเอาของนายไปจริงๆ ด้วย”กัณฑ์ชี้หน้าแล้วแผดเสียงใส่ผมด้วยความโมโหแทนเพื่อน ส่วนคนข้างตัวก็มีสีหน้าเศร้าสลดลงเห็นได้ชัด ผมเองก็ยังทำท่าทำทางแบบสะใจต่อไปแล้วเดินกระแทกไหล่ของกัณฑ์ออกมาโดยที่ไม่คิดจะหันไปขอโทษ
ผมไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วทำไมพวกเขาต้องมากล่าวหาผมด้วย ผมผิดเหรอ? ที่มีท่าทีแบบนี้เพียงแค่เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้อ่อนแอก็เท่านั้น ยังมีเวลากว่าอาจารย์จะเข้าห้องเรียนผมเลยเลือกที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อลดความฟุ้งซ่านที่มีอยู่ในหัวสมองพยายามไม่คิดอะไรมากในช่วงเช้าแต่มันก็อดที่จะคิดไม่ได้อยู่ดี

“ไง”

คำทักทายที่ดังขึ้นระหว่างทางไปเข้าห้องน้ำมันถึงกับทำให้เบ้หน้าอย่างนึกหัวเสีย ทำไมต้องมาเจอคนที่ไม่อยากเจออีกนะ ผมเชิดหน้าทำเป็นไม่ใส่ใจเดินหนีแต่กลับถูกดักทางเอาไว้หลายต่อหลายครั้งจนหมดความอดทน

“หลีกไป!”

“ฉันไม่หลีก”

“อย่ามากวนประสาทฉันนะไค!”

“เหอะ ทำอย่างกับฉันอยากเจอนายนักนี่”

“ถ้าไม่อยากเจอก็ถอยออกไป!”

“ฉันไม่ถอย”

ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกวนประสาท จะอะไรกันนักกันหนาตั้งแต่เช้าเนี่ย!

“นายใช่ไหมที่เป็นคนเอาโน๊ตของหนึ่งไป”

คำกล่าวหาถูกพ่นออกมาจากใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้งมันทำให้ผมถึงกับหันขวับมองสบตาอย่างไม่ลดละ เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่มีแต่คนมาโทษผม ทั้งๆ ผมไม่ได้เอาไปสักหน่อย

“ก็แล้วแต่จะคิด”

ผมหมดแรงแล้วที่ตอบโต้ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างนั้นก่อนที่จะเดินหนีไปอีกทางอย่างไม่คิดที่จะสนใจ ถ้าอยากจะคิดว่าผมผิดก็ปล่อยให้เขาคิดไปผมจะไม่ห้ามอะไรทั้งนั้น แล้ววันนั้นทั้งวันคนรอบข้างต่างก็มองว่าผมผิดแม้ว่าหนึ่งเขาจะหาโน๊ตอีกฉบับมาได้ก็ตาม

“โห นายนี่เจ๋งดีนะเรย์ กล้าที่จะแกล้งหนึ่งด้วย”

อัลฟาพูดขึ้นอย่างสนุกปากแล้วมองไปยังลูกคนละแม่ของผมที่อยู่อีกทาง ไม่มีใครเชื่อผมสักคนหรือแม้แต่กระทั่งถามความจริงสักคำก็ไม่มีว่าผมได้เอาไปหรือเปล่า

“เรย์! นั่นนายจะไปไหนนะ ใกล้เรียนช่วงบ่ายแล้วนะ”

“.....”ผมเงียบไม่คิดที่จะตอบ ที่ไม่อยากนั่งอยู่ตรงนั้นเพราะสายตาที่มองว่าผมผิดจากเพื่อนร่วมห้องบางคนส่วนใหญ่มักจะมาจากเพื่อนสนิทของหนึ่งทั้งนั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเองจึงทำเป็นไม่สนใจก็มีแต่ผมทนไม่ได้มากกว่า มันอึดอันเหมือนจะหายใจไม่ออกจนต้องเดินหนี

“อะไรของเขานะ ถามก็ไม่ตอบ”

อัลฟาพูดด้วยความงุนงงแต่ผมก็ไม่ได้หันไปสนใจ ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามทางเดินที่เชื่อมยาวไปข้างหน้า ผมไม่รู้จะไปที่ไหนพอรู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงห้องซ้อมดนตรีซะแล้ว แล้วก็ไม่รู้อะไรมาดลใจทำให้ผมเปิดเข้าไปในห้องนั้น ผมมองเปียโนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องเรียน มือของผมค่อยๆ สัมผัสมันอย่างแผ่วเบาแล้วก็ลงนั่งที่เก้าอี้สำหรับนั่งเล่นเปียโน ผมชอบดนตรีทุกประเภทแต่ดนตรีที่ผมชอบที่สุดก็คงจะเป็นเปียโนกับไวโอลินเพราะมันทำให้จิตใจของผมสงบนิ่งแต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นผมก็ไม่เคยแตะต้องเครื่องดนตรีชนิดไหนอีกเลย ความทุ่มเทที่ผมฝึกซ้อมด้วยความหวังมันกลับทลายพังไม่เป็นท่าจนหัวใจของผมปฏิเสธที่จะเล่น

โด.....เร.....มี.....ฟา.....ซอล.....ลา.....ซี.....โด้

นิ้วของผมกดไปตามคอร์ดเพลงตามขั้นพื้นฐานอย่างช้าๆ ค่อยๆ จิ้มทีละตัวอย่างไม่เร่งรีบ เสียงเปียโนที่ดังเข้าหูมันทำให้ใจของผมสั่นระรัวจนอยากที่จะลองเล่นมันอีกครั้ง แค่คิดมือของผมก็ไปเร็วกว่าสมองด้วยความคุ้นชินแล้วเริ่มกดนิ้วลงบนคอร์ดอย่างลืมตัว

โด.....เร.....มี.....ฟา.....ซอล.....ลา.....ซี.....โด้

สามปีที่ผมไม่เคยแตะต้องเปียโนแต่พอได้มาสัมผัสอีกครั้งมันเหมือนกับมีแรงจูงใจทำให้ผมเผลอที่จะเล่น ผมหลับตาลงอย่างช้าๆ คิดถึงเสียงเปียโนตอนเด็กๆ ที่แม่มักจะสอนให้ผมเล่นเป็นประจำ ตัวโน๊ตทุกตัวค่อยๆ ผ่านเข้ามาในหัวสมองพร้อมกับมือของผมที่เล่นไปตามจังหวะ

Moonlight Sonata ของ บีโทเฟ่น

ผมชอบเพลงนี้ถึงแม้ว่ามันจะเล่นยากแต่พอได้เล่นมันก็ทำให้จิตใจที่ขุ่นมัวของผมคลายลงแล้วเริ่มคล้อยตามไปกับบทเพลง นิ้วของผมยังคงกดตามดอร์ดไปเรื่อยๆ โดยที่ผมยังไม่ได้ลืมตาแต่อย่างใด ดนตรีคือความสุขเดียวที่ผมมีแต่ทำไมผมถึงลืมมันไปได้นะ ทั้งๆ ที่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่แม่เหลือทิ้งไว้ให้แล้วทำไม? ผมถึงทิ้งมันไปได้เพียงเพราะความอ่อนแอในใจของผมที่ไม่กล้ายอมรับความจริง

ขอโทษครับแม่ที่ผมมันอ่อนแอ.....


Take

ขอบคุณทุกเม้นมากครับ

จริงๆ เรื่องนี้เทคตั้งใจจะแต่งให้มีน้ำตาทุกตอน แต่ไปๆ มาๆ ไม่ได้จริงๆ พระเอก...เทคเตรียมไว้แล้ว หนึ่งในสองคนนั่นแหละ ไม่บอกหรอกว่าใคร ลองเดากันดู...ตอนแรกๆ พระเอกยังไม่ออกเท่าไหร่นะ จะออกจริงๆ จัง หลังจากที่.................

หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 20-05-2015 19:39:25
ตาไคนี่แปลกๆนะ ไม่ได้คิดว่าเป็นพระเอกหรอกแต่มาแต่ละทีมันบังเอิญไป เหมือนจะหาเรื่องแต่ก็ปล่อยไปง่ายๆ
แสดงว่าไคคงน่าจะรู้ตัวตนของเรย์จริงๆว่าเป็นคนยังไง ส่วนหนึ่งเราว่าเรามองคนไม่ผิดนะนายหนึ่ง  :interest:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 20-05-2015 20:01:39
สงสารเรย์จังเลย กลายเป็นเป้ารับผิดตลอด สงสัยอย่างแรงใครเอาโน๊ตไป คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ คนแต่ง ฮ่าๆๆๆๆๆ
ตอนต่อไปขอพระเอกชัดๆๆๆๆเตอะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-05-2015 20:07:43
ตะวัน รึเปล่า
น่าสงสารเรย์นะ แต่ถ้าไม่ลุกขึ้นสู้(ในทางที่ถูก)ก็จะไม่ชนะนะ อย่ามัวแต่โหยหาความรักจากคนอื่นเลย รักตัวเองให้มากๆจะดีกว่า
ถ้ารักตัวเอง ก็จะต้องพยายามทำตัวให้สมภาคภูมินะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 20-05-2015 20:18:07
น้องเรย์อย่าร้องลูก โอยสงสาร ตาไคนี่ยังไงมายุ่งตลอด อยากให้มีใครสักคนรักเรย์ห่วงเรย์ นอกจากเย็นนางไม่มีใครเลยฮือ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-05-2015 20:32:10
เจ็บดีค่ะชอบแล้วก็เห็นด้วยกับรีพลายที่ 23 ของคุณ frejaจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 20-05-2015 20:44:58
หลังจากที่... หลังจากที่อะไรล่ะค้าาาาา  :ling1:
ไม่จำเป็นต้องแต่งให้มีฉากเรียกน้ำตาทุกตอนก็ได้ค่ะ แค่เทคสามารถเขียนให้คนอ่านรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครที่ต้องการจะสื่อได้เนื้อเรื่องก็ดูมีสเน่ห์ขึ้นมาแล้วค่ะ หากมีฉากแบบนี้ให้ร้องไห้กันทุกตอน เรื่องจะดูจืดชืดไป เมื่อคิดว่าต้องมาเห็นนายเอกโดนทำร้ายจิตใจกันบ่อยๆแบบนี้ ก็จิตตกเอาการเหมือนกัน อยากให้มีตอนเบาๆให้คนอ่านได้ชื่นใจว่า นายเอกของเรายังคงมีความสุขเล็กๆน้อยๆกับเขาบ้าง เข้าใจว่าเป็นนิยายดราม่า แต่ถ้าพอถึงจุดพีคของเรื่องที่วางเอาไว้ มันจะดูซอฟต์ลงถนัดเลยค่ะ นี่เป็นคห.โดยส่วนตัวนะคะ เราพิมพ์ตามที่รู้สึก ตามที่คิด แต่เรื่องของคุณ เทค น่าสนใจมากจริงๆ ยังคงติดตามกันต่อไปเรื่อยๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ตัวโตๆ นะคะ

ปล.หากรีนี้ทำให้ใครไม่พอใจ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 20-05-2015 20:58:52
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:ยังรัดทดไม่พออีกหรือ :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 20-05-2015 21:11:36
พระเอกขอเดาว่าเป็น ตะวันค่ะ เพราะยังไม่ค่อยมีบทพูดเลย
บทตอนแรกตะวันออกมาก็ดีนะคะ เหมือนคอยเตือนนายเอกไม่ให้ทำตัวไม่ดี แต่นายเอกของเรากลับทำตัวเป็นนายร้ายนี่สิ
แต่ไคนี่ไม่น่าเป็นพระเอก ดูร้ายๆ หาเรื่อง น่ารำคาญ
เรื่องนี้นายเอกร้ายแล้ว ขอพระเอกแสนดีและเข้าใจนายเอกมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: mynamejnkf ที่ 20-05-2015 21:13:04
ทำไมถึงใจร้ายกับลูกเรย์ของเจ้อย่างงี้ เอาใจช่วยนะคะน้องเรย์ หนูต้องผ่านมันไปให้ได้นะคะ อย่าคิดสั้นนะ

หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: sarawatta ที่ 20-05-2015 21:28:53
แอบหวังให้ตะวันเป็นพระเอก อิๆ :z1: ส่วนคุณพ่อนี่ไม่ไหวเลย ไม่รู้สิ เป็นผมนะ ไม่อยู่ด้วยแล้ว
ไม่รู้ว่ารักลูกแบบไหน ต่อให้มีอะไรในอดีตก็เถอะ ลูกไม่ใช่เหยื่อของอดีตที่พ่อกับแม่สร้างไว้
เขาไม่รู้เรื่องอะไร เป็นพ่อคนแม่คนแล้ว โตแล้ว ต้องรู้จักแยกแยะ
555 ขอโทษทีที่แรงไป ผมมีปมฝังใจบางอย่างกับพ่อ

Gambarimasu!!!

 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 20-05-2015 21:48:36
อยากเป็นใครสักคนในนิยายเรื่องนี้จังเลย อยากจะเข้าไปกอดเรย์แน่นๆแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะเรย์ อยากร้องไห้ก็ร้องไป ร้องไห้พอแล้วก็เลิกร้องเพราะว่ามันเปลี่ยนอะไรไม่ได้  เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้แต่เราเปลี่ยนตัวเองได้  เรย์จะเป็นไงเราก็จะไม่ปล่อยเรย์ไว้คนเดียวแค่นี้มั๊งที่เรย์อยากฟัง    ตอนนี้เราว่าหนึ่งอาจจะแอ๊บเป็นคนดี โน๊ตหายไปก็อาจจะเป็นนางแหละ  หนึ่งก็น่าจะมีปมด้อยอยู่เหมือนกันตรงที่เป็นลูกเมียน้อย 

น่าจะมีใครสักคนมองเห็นตัวตนข้างในของเรย์นะ ใครสักคนที่สอนให้เรย์รักตัวเอง  เลิกประชด เรย์ประชดพ่อแต่เรย์ก็ไม่ได้มีความสุขพ่อก็ไม่ได้เดือดร้อนมากมายเพราะว่าพ่อโทษว่าเรย์เป็นตัวปัญหา ไม่ได้มองว่าต้นเหตุของปัญหาคืออะไร เรย์ควรตั้งใจเรียนเพื่อที่จะได้ออกไปจากบ้านหลังนี้ ไปเรียนที่ไกลๆ ชีวิตไม่ต้องเริ่ดอะไร ขอแต่ให้หลุดพ้นเท่านั้นเอง    ขอบคุณมากค่ะที่มาอัพ   แต่ขอร้องนะคะอย่ารังแกเรย์จนเกินไปค่ะ  คนอ่านใจจะสลายแล้ว
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน3 20/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 21-05-2015 20:31:02
รอคะชอบเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 25-05-2015 19:26:45


แปะ แปะ แปะ

เสียงปรบมือที่ดังขึ้นทันทีที่หลังจากที่เล่นเพลงจบ ผู้คนมากมายต่างชื่นชมในฝีมือของการบรรเลงรวมทั้งเขาคนนั้นที่กำลังยิ้มอย่างสุขใจ ใบหน้าเปื้อยรอยยิ้มกว้างจนทำเอาผมหลงใหลและอยากได้ แต่มันติดตรงที่ว่าเขาไม่ได้ยิ้มให้กับผม
ถ้าหากว่าผมได้ขึ้นแสดงเปียโนเขาจะชื่นชมเหมือนกับที่ชื่นชมลูกรักของเขาไหมนะ?

ผมไม่ได้อยากคิดน้อยใจแต่มันอดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ ยอมรับว่าผมเป็นเด็กขาดความอบอุ่นเลยแสดงออกมาให้ตัวเองเป็นคนที่ดูแข็งกร้าวทั้งๆ ที่ใจจริงแล้วผมแทบอยากจะกรีดร้องด้วยความทรมาน ผมเป็นคน เป็นลูกของพ่อเหมือนกันแล้วก็เจ็บเป็นเหมือนกันแต่พ่อทำไมถึงไม่รักผม

“หนึ่งเก่งจังเลย”

“สุดยอดเลยหนึ่ง”

“เก่งขนาดนี้เป็นนักดนตรีมืออาชีพได้เลยนะเนี่ย”

“ไม่หรอก หนึ่งไม่ได้เก่งขนาดนั้น”

“ใครว่า.....หนึ่งนะ เก่งออก”

“ใช่ๆ เก่งมากจริงๆ”

เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินอยู่หรือเปล่า คนอีกคนที่ได้รับความสนใจจากคนรอบข้างแต่กับอีกคนที่ยืนมองเพียงข้างหลังอยู่คนเดียว ต้องทำยังไงนะผมถึงจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเสียงหัวเราะนั้น ต้องทำตัวยังไงทุกคนถึงจะมองว่าผมไม่ได้ร้ายอย่างที่เขาคิด

“เหอะ น่าเบื่อจริงๆ พวกนี้นี่กะอีแค่เล่นเปียโนได้หน่อยทำเป็นชื่นชมไม่เห็นจะมีอะไรน่าปลื้มปิติสักนิด”อัลฟาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงหมั่นไส้ ดูท่าว่าเขาจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไร่ที่คนอื่นๆ ให้ความสนใจกับหนึ่งเป็นพิเศษ ด้วยความที่เริ่มรู้สึกเบื่อผมเดินเลี่ยงเดินออกมาจากมัลดีฟแล้วไปอีกทางแต่ผมกลับเจอคนที่ไม่อยากเจอเท่าไร่เดินมาทางผมพอดี หนึ่งที่กำลังทำหน้ายิ้มแป้นหุบลงแล้วก้มหน้าต่ำมองพื้นส่วนกัณฑ์ก็จ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละตามประสาเพื่อนที่แสนดีที่คอยปกป้องเพื่อนจากภัยอันตราย

“เป็นอะไร? ดูทำหน้าเข้าเหมือนกับคนที่กำลังผิดหวัง อ้อ ลืมไปนายคงผิดหวังซินะที่แผนตัวเองล่มไม่เป็นท่า”
เอาอีกแล้ว นี่ต้องการอะไรกับผมกันนักนะ ขนาดผมแค่เดินมาเฉยๆ ก็ยังถูกกัณฑ์พูดแขวะใส่ มันจะอะไรกันนักกันหนา!

“แผนอะไร พูดให้มันดีๆ นะกัณฑ์”

“แผนอะไร? อย่ามาทำซื่อหน่อยเลยต่อให้นายจะแกล้งหนึ่งอีกกี่ครั้ง ยังไงคนดีๆ ก็ต้องได้ดีอยู่วันยังค่ำ”กัณฑ์ยิ้มเยาะแล้วมองมาทางผม น้ำเสียงที่เอ่ยดังของเขาเจตนาทำให้ผมได้ยินแล้วสิ่งที่เขาพูดมันก็เป็นเรื่องเดิมๆ ผมถูกกล่าวหาโดยที่ไม่มีมูลความจริงเลยสักนิด

“ต้องการจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่า”ผมเชิดหน้าตอบด้วยท่าทีหยิ่งผยองอย่างไม่ยอมแพ้ ในเมื่อผมถูกใส่ร้ายก็ช่างมันเถอะ ถ้าใครอยากมองว่าผมผิดก็ไม่เป็นไร ทำไงได้ก็สำหรับพวกเขาผมเป็นนางร้ายนี่นา

“เหอะ ฉันแค่จะบอกว่าต่อให้นายขโมยโน๊ตของหนึ่งไปอีกสักกี่ครั้งมันก็ไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะหนึ่งเขาเก่งอยู่แล้วต่อให้ไม่มีโน๊ตเขาก็เล่นได้”

“หึ น่าเสียดายนะ ฉันน่าจะทำให้มันแรงกว่านี้ เอาแบบเล่นเปียโนไม่ได้เลย”ใจของผมสั่นระรัวแต่ก็พยายามปั้นหน้าร้ายเข้าใส่ จนกัณฑ์เริ่มที่จะหมดความอดทน แต่ก็ถูกมือสั่นๆ ของหนึ่งดึงไว้ซะก่อน

“พอได้แล้วกัณฑ์”

“หนึ่ง! มาห้ามฉันทำไม”

“อย่ามีเรื่องกันเลยนะ”

ลูกรักของพ่อร้องห้ามเพื่อนข้างตัว แววตาสั่นระริกทอดมองมายังผมก่อนที่จะหลุบต่ำลงพื้น เพราะท่าทีแบบนี้หรือเปล่านะที่ทำให้คนอื่นๆ อยากปกป้องถ้าผมทำตัวแบบหนึ่งทุกคนจะหันมามองผมไหม?

“อ้าว หนึ่งอยู่นี่เอง”

“ครูเมย์”

ในช่วงจังหวะที่ทุกคนต่างเงียบเสียงอาจารย์สอนดนตรีก็เอ่ยดังขึ้น ครูเมย์เป็นอาจารย์แนะแนวของพวกชมรมดนตรีแล้วก็เป็นที่ปรึกษาให้หนึ่งในการแสดงเปียโนครั้งนี้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าช่วงสามสี่วันครูเมย์จะเป็นหวัดเลยทำให้ไม่ได้มาโรงเรียน

“เมื่อกี้เห็นว่าคุยเรื่องโน๊ตกัน อ้าว นี่จ๊ะ”

ครูเมย์พูดจบก็ยื่นแผ่นโน๊ตให้กับหนึ่ง ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะเป็นโน๊ตที่หายไป กัณฑ์ทำหน้าตาเลิกลักคงจะตกใจนิดๆ ที่จู่ๆ โน๊ตที่คิดว่าผมเอาไปอยู่กับครูเมย์ได้

“เอ่อ มันอยู่กับอาจารย์เหรอครับ”กัณฑ์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แล้วเหลือบมองมาทางผมนิดหน่อย

“ใช่จ๊ะ พอดีวันนั้นครูเห็นที่มันวางเอาไว้ที่ห้องซ้อมเปียโน ว่าจะเอามาคืนในวันรุ่งขึ้นแต่ดันเป็นหวัดซะก่อนเลยไม่ได้คืนเลย ทำไมเหรอ?”

“เอ่อ ปะ ปล่าวครับ”ทั้งกัณฑ์และหนึ่งต่างก็มองหน้ากันนิดหน่อยแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

ผมได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตัวเองเบาๆ นี่พวกเขาลืมอะไรไปหรือเปล่านะ ผมถูกกล่าวหาในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำแต่พวกเขากลับลืมที่จะขอโทษผม คงไม่ใช่หรอกพวกเขาไม่ได้ลืมพูดแต่ไม่คิดที่จะพูดต่างหากเพราะสำหรับคนอย่างผมคำว่า ‘ขอโทษ’ มันเอ่ยยากกว่าคำด่าเสียอีก

หลังจากที่จัดงานโรงเรียนเสร็จทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีการแสดง ไม่มีการแนะแนวโรงเรียน ผมก็เรียนตามปกติ ความทรงจำของทุกคนถูกเอ่ยขึ้นอย่างสนุกสนานพร้อมกับรูปถ่ายที่ถูกถ่ายขึ้นแล้วเอามาแบ่งกันชม รูปที่หนึ่งเล่นเปียโนก็ถูกเอามาแปะที่บอร์ดของโรงเรียนเพื่อเป็นการชื่นชมที่การแสดงจบลงไปด้วยดี ผมเองก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมมุมหลังห้องริมหน้าต่าง ไม่คิดที่จะสนใจเข้าไปร่วมวงสนธนาเพราะทุกเรื่องที่พูดถึงมันไม่มีผมรวมอยู่ด้วย

กริ๊งงงงง

เสียงกริ่งที่บ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกเรียนทุกคนต่างก็ทยอยกันกลับบ้านแต่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแล้วก็ไม่คิดที่จะขยับ เสียงฝีเท้ากับเสียงคุยเจื้อยแจ้วดังมาให้ได้ยินแต่ผมก็ไม่คิดที่จะใส่ใจเลยสักนิดจนกระทั่งไม่นานทุกอย่างก็เงียบลง ภายในห้องเรียนกว้างเหลือแต่ผมเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่มันเงียบเหงาจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ผมทรุดนอนลงกับโต๊ะอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อนไม่รู้จะอยู่ทำไม? แต่ผมยังไม่อยากกลับบ้านเท่านั้น ผมนอนฟังเสียงหัวใจตัวเองไปเรื่อยๆ มันดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอจนในที่สุดผมก็นอนหลับไปจริงๆ

ฟี้ ฟี้ ฟี้.....

ตุบ ตุบ ตุบ

เสียงฝีเท้าที่ทอดเดินเข้ามาใกล้ร่างบางที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้องนิทรา ใบหน้าคมมองคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้น ท่านอนที่เหมือนกับคนอมทุกข์ ใบหน้าหวานที่มักจะยุ่งเหยิงตลอดเวลาแต่กลับมีแววตาที่เศร้าสร้อยจนเหมือนคนร้องไห้ ภายนอกที่ดูรุนแรงแต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมองจนอยากจะปกป้องด้วยสองมือตัวเอง จะผิดไหม? ถ้าหากว่าอยากเห็นรอยยิ้มที่มาจากใจไม่ใช่การเสแสร้ง จะผิดไหม? ที่อยากเห็นตอนหัวเราะมากกว่าน้ำตาซ่อนใน

“ฮึก”

เสียงครางถูกเปล่งออกมาจากลำคอกับน้ำสีใสที่ซึมออกมาจากหางตาเล็กๆ แค่ดูก็รู้ว่าคนที่หลับกำลังฝันร้าย ชายหนุ่มใจกระตุกวูบทันทีจากนั้นก็นำมือหนายื่นเข้าไปเกลี่ยน้ำตาหวังเช็ดให้แห้ง เขารู้สึกไม่เข้าใจตัวเองนักทำไมถึงต้องทำแบบนี้รู้แค่ว่าร่างกายมันไปเร็วกว่าสมองสั่ง

เรื่องแผ่นโน๊ตก็เหมือนกันเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างบางถึงไม่ปฏิเสธแต่กลับพูดและทำท่าทางเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนเอาไป ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่สักนิด

ใช่! ทำไมเขาจะไม่รู้เพราะเขามองอยู่ตลอดเวลาได้ยินและรู้ทุกอย่างที่คนรอบข้างเอ่ยขึ้น คำกล่าวโทษ คำว่าร้าย ถูกสาดส่งเข้ามาแต่เจ้าตัวก็ยังทนแบกรับความเจ็บปวดตกเป็นจำเลยรับความผิดทันที

ชายหนุ่มครุ่นคิดหนักมองร่างบางที่ตอนนี้หลับเหมือนเด็กน้อยอย่างไม่วางตา ยิ่งเช็ดน้ำตาของเจ้าตัวก็ยิ่งไหลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทำยังไงก็ไม่แห้งสักทีจนสุดปัญหาที่จะห้าม ร่างสูงขมวดคิ้วเป็นปมเชิงใช้ความคิดแล้วก็ไม่รู้อะไรมาดลใจจนต้องก้มลงไปสัมผัสที่หางตาเบาๆ ความหอมหวานจากร่างกายที่ได้กลิ่นทำให้ร่างสูงรู้สึกอยากที่จะทำมากกว่านี้แต่ก็ทำไม่ได้ มีแต่ต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้เตลิดก่อนที่จะผละตัวออกมาอย่างเร็วด้วยกลัวว่าจะทำให้คนหลับตื่น มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ส่งให้โดยที่อีกฝ่ายไม่เห็นพร้อมกับน้ำนิ้วมือหนาไปแตะที่แก้มนวลอีกครั้งเพื่อเช็ดน้ำตาครั้งสุดท้าย

อย่าร้องไห้เลยนะคนดี เงียบเถอะนะ ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของคุณ.....
.
.

เฮือก!

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจเล็กๆ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกำลังเต้นระรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกถึงริมฝีปากที่สัมผัสกับใบหน้าและความอ่อนโยนที่ได้รับ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่นะในขณะที่ผมกำลังหลับ เหมือนกับว่ามีใครสักคนเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ทำอะไรสักอย่างแต่มันอ่อนโยนจนทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ นานเท่าไร่แล้วนะที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้
ความฝัน.....ใช่! ทุกอย่างที่ผมรู้สึกอาจจะเป็นความฝันก็ได้คงไม่มีใครคิดที่จะมาอ่อนโยนกับผมหรอก ก็เพราะว่าผมนะ ร้ายจะตายไป

“เฮ้อ กลับบ้านดีกว่า”

ผมพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดออกแล้วเก็บกระเป๋าเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน ถึงแม้ว่าจะป็นช่วงเย็นของเวลาหลังเลิกเรียนแต่บางคนที่ยังไม่กลับก็มี ถึงจะมีนักเรียนอยู่แต่ก็ไม่มากเหมือนเหมือนตอนกลางวันแล้ววันนี้ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

ตุบ

“อ่ะ ขอโทษครับ”

ในช่วงจังหวะที่ผมก้มหน้าก้มตามเดินโดยที่ไม่ได้สนใจคนรอบข้างผมก็เดินชนเข้ากับคนๆ นึงอย่างจัง แต่พอรู้ว่าเป็นใครแค่นั้นแหละถึงกับทำเอาผมเบ้หน้าขึ้นมาทันที

“จะไปไหน?”

“ฉันจะไปมันก็เรื่องของฉัน มันไม่เกี่ยวกับนายนะไค”

“เย็นแล้วทำไมไม่กลับบ้าน”

“นั่นมันก็เรื่องของฉันอีกเหมือนกัน หลีกไป!”

ให้ตายสิ! ทำไมผู้ชายคนนี้ชอบยุ่งวุ่นวายกับผมจังนะ ไม่ได้อยากเจอหน้าเลย

“เฮ้ย! ปล่อยฉันนะ”ผมที่จะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่กลับถูกมือหนาของไคจับไว้ซะก่อน เขาจับแขนผมไว้แน่นก่อนที่จะพาผมไปอีกทาง ผมทั้งตกใจแล้วก็ดิ้นหนีแต่ไคไม่ยอมฟังผมสักนิด

“ไค! นายปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”

“ไม่”

ไคพาผมมาที่รถแล้วจับผมใส่เข้าไปด้านใน ด้วยแรงที่มากกว่าทำให้ผมต้องเจ็บตัวไม่น้อย ผมหันมองสบตาร่างสูงด้วยความเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ คนอะไรแรงเยอะชะมัด!

“นายจะทำอะไร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”ผมร้องโวยวายแล้วพยายามจะวิ่งออกมาจากตัวรถ แต่ไคก็ไม่ยอมปล่อยผมอีกตามเคย

“หยุด! นั่งไปเฉยๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”

“ไม่หยุด!”

“ไม่หยุดใช่ไหม ได้.....งั้นฉันจูบ”ไม่พูดเปล่า ร่างสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนทำเอาผมต้องเอนหลังหนีเพื่อให้หลุดพ้นจากใบหน้าหล่อเหลา จนแผ่นหลังบางของผมชิดกับเกียร์รถ

“เออๆ หยุดแล้ว”

“ก็แค่เนี่ย แล้วนั่งอยู่เฉยๆ นะ ถ้าคิดหนีเมื่อไร่ ฉันจับนายจูบกลางโรงเรียนแน่ๆ อ้อ แล้วอย่าคิดว่าฉันไม่กล้า ฉันพูดจริงทำจริง”

ไคยอมผละออกจากตัวผมง่ายๆ แต่ก็ยังคงพูดขู่ผมอยู่ ผมไม่ได้กลัวเขานะแต่ห่วงสวัสดิภาพของตัวเองมากกว่าจึงได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร่

“หึ”เสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากหนา ก่อนที่ประตูฝั่งด้านผมจะถูกปิดลงแล้วไคก็เดินอ้อมมาทางด้านฝั่งคนขับ

ผมไม่รู้ว่าไคทำแบบนี้เพื่ออะไร? ทำไมวันนี้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตผมจังทั้งๆ ที่ปกติไม่เห็นแม้แต่จะชายตาแลด้วยซ้ำ ตัวรถที่ถูกขับเคลื่อนออกจากรั้วโรงเรียนเอกชนตลอดระยะทางผมก็ไม่ได้พูดอะไรกับไคทั้งนั้น ความเงียบจึงเกิดขึ้นจนผมได้ยินถึงเสียงของแอร์รถที่ดังตลอดระยะทาง ดูจากเส้นทางที่วิ่งผมก็พอเดาออกว่าเขากำลังไปส่งผมที่บ้านมันทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ไม่อย่างนั้นไคไม่ไปส่งผมหรอก

“ทำไมนายไม่แก้ตัว”

น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยดังขึ้นแต่ผมก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ ไม่ถามกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด แค่ดูจากประโยคที่เอ่ยถามผมก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร

“นี่! ฉันถามไม่ได้ยินหรือยังไง”

“.....”

“เรย์!”

“ได้ยิน! แต่ไม่คิดที่จะตอบ”ผมสวนกลับทันทีแล้วหันไปมองร่างสูงที่กำลังขับรถอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังเดือดยังไงยังงั้นเพราะดูจากการที่ไคกำพวงมาลัยไว้แน่นจนแทบหัก

“เอาละ ฉันจะไม่พูดเรื่องอื่น แค่นายตอบคำถามฉันมา”

“เหอะ ทำไมฉันต้องเชื่อนาย”

“เรย์! อย่ามายอกย้อน นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนใจเย็น”ไคพูดกับผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็น จนทำเอาผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา นี่ถ้าหากว่าผมขัดใจเขามีหวังได้ถูกฆ่าหมกป่าแน่!!!

“มีอะไรก็พูดมา!”ผมกระชากเสียงอย่างรู้สึกไม่พอใจ เอะอะก็ขู่ เอะอะก็ใช้กำลัง นี่เขาเห็นผมเป็นกระสอบทรายหรือไงนะ

“ทำไมนายถึงไม่แก้ตัวเรื่องโน๊ต”

“ที่นายจะพูดก็มีแค่นี้ใช่ไหม?”

“ใช่ หนึ่งเขารู้สึกผิดที่เพื่อนของเขากล่าวหาว่านายเอาไป”

“ทำไม! สำนึกแล้วอยากจะขอโทษงั้นเหรอ? เลยให้นายมาพูดแทนเนี่ยนะ ขอบอกไว้เลยฉันไม่รับ!”

ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังนิดๆ หันมองไปยังคนขับที่ตอนนี้ก็กำลังเหลือบสายตามามองผมเหมือนกันก่อนที่จะหันไปขับรถต่อแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง จะให้ผมยกโทษให้เหรอ? มันก็ง่ายมากแต่สิ่งที่ทำให้ผมโกรธไม่ใช่เพราะเรื่องที่เข้าใจผิด แต่เป็นเรื่องที่เจ้าตัวไม่มาพูดกับผมโดยตรงต่างหาก

“หนึ่งเขาไม่ได้มาขอร้องฉันแต่ฉันมาเอง หนึ่งเขาเสียใจมากนะที่เข้าใจนายผิด”

“ก็แล้วยังไง? ก็บอกแล้วว่าฉันไม่รับคำขอโทษจากมัน!”

“เรย์! พูดให้มันดีๆ หน่อย แล้วตอนนั้นทำไมนายไม่แก้ตัวว่านายไม่ได้เอาไป”

นี่เขากำลังมองว่าผมผิดสินะ.....ต่อให้ผมไม่ผิด ไม่ได้เอาไปตั้งแต่ต้นแต่ก็ยังมีข้อกล่าวหามาให้ผมอีกจนได้ ผมทำอะไรก็คงผิดในสายตาพวกเขาตลอด ไม่มีใครจะมองว่าผมดีสักนิดแล้วที่มาพูดปาวๆ แบบนี้ก็เพื่อปกป้องหนึ่งไม่ใช่เพราะอยากจะมาพูดขอโทษผมสักหน่อย

“ถ้าเป็นนาย.....”

“.....”

“นายจะทำยังไงเหรอไค คนรอบตัวนายมองว่านายเป็นคนผิดโดยที่ไม่ได้ถามสักนิดว่าเอาไปหรือเปล่า แต่พอบอกว่าไม่ได้เอาไปก็หาว่าแก้ตัวแล้วโยนความผิดให้คนอื่น ทั้งๆ ที่คนที่กล่าวหาไม่ได้รู้อะไรเลย”

ผมหยุดนิ่งพยายามระงับเสียงไม่ให้มันสั่นออกมารวมทั้งน้ำตาที่มันกำลังจะไหล ผมเบนสายตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เห็น เขาจะรู้ไม่ได้ว่าผมกำลังอ่อนแอ

“แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะพูดแก้ตัวยังไงซะ คนไม่ผิดก็คือไม่ผิด”

“ใช่! สำหรับนายและคนอื่นๆ ก็พูดแบบนั้นได้นี่เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ผิดสักนิด แต่กับฉันละที่ถูกมองว่าผิดตั้งแต่ต้นเคยจะมีใครบ้างไหมที่จะถามออกมาว่าฉันเอาไปหรือเปล่า มีแต่จะคอยซ้ำเติมและต่อว่าแล้วจะให้ฉันพูดแก้ตัวไปเพื่ออะไร ยังไงซะคนผิดก็คือฉันอยู่ดี”

ผมพูดโดยที่ไม่มองหน้าไค ความอัดอั้นที่มีมันทำให้ผมถึงขีดสุดจนต้องปล่อยน้ำตาออกมา ผมเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างลวกๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ไคเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนกันจนกระทั่งมาส่งผมถึงหน้าบ้าน ไม่มีการร่ำราหรือการพูดจาหวานๆ ใส่กัน พอไคมาส่งผมถึงที่ผมก็รีบออกจากตัวรถทันทีแล้ววิ่งเข้าบ้านอย่างเร็ว

ให้ตายสิ! น่าอายชะมัดที่ดันมาร้องไห้ให้คนอื่นเห็น



“คุณเรย์กลับมาแล้วเหรอคะ”


ทันทีที่ผมเข้ามาในบ้าน เย็นก็ออกมาต้อนรับแล้วเอาน้ำมาให้ผมเพื่อคลายร้อน เย็นเขาดีกับผมมากคอยดูแลและเอาใจใส่ผมทุกอย่าง จนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากว่าวันนึงผมกับเย็นต้องจากกันผมจะเป็นยังไง? จะอยู่ได้หรือเปล่านะ

“เหนื่อยไหมคะ ให้เย็นนวดให้ไหม?”

“ไม่ต้องหรอกเย็น เย็นทำงานเหนื่อยแล้วไปพักผ่อนเถอะ”

“คะ”

“เอ่อ เดี๋ยวเย็น”

“ต้องการอะไรเพิ่งอีกเหรอคะ คุณเรย์”

เย็นที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องหยุดลงแล้วหันมาทางผมอีกครั้ง ผมลังเลเล็กน้อยไม่รู้ว่าสมควรที่จะถามไปดีไหม เพราะว่าตั้งแต่เข้าบ้านมาผมก็ยังไม่เห็นใครสักคนซึ่งปกติผมจะต้องเจอภาพบาดตาบาดใจซะก่อนที่จะเดินขึ้นห้อง แต่ด้วยความอยากรู้จนแล้วจนรอดผมก็ถามออกไปจนได้

“เขาไปไหน?”

“เอ่อ”

“พูดมาเถอะ”

“ไปทานข้าวกับ.....”

“กับลูกกับเมียเขาใช่ไหม”

เย็นพยักหน้าเบาๆ ให้กับผมเป็นคำตอบ แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าหมายถึงอะไร เนี่ยเหรอ? คนที่บอกว่าสำนึกผิดแทนเพื่อน แต่กลับระริกระรี้ออกไปทานข้าวอย่างหน้าตาเฉย เหอะ นี่ผมสมควรจะดีใจไหมนะ

“เย็นออกไปเถอะ ผมอยากพักผ่อน”

“คะ”

ปัง

เสียงประตูถูกปิดลงผมก็ล้มตัวลงนอนทันที บ้านหลังใหญ่ที่ผู้คนไฝ่ฝันอยากมาอยู่ เงินทองมากมายที่ใช้เท่าไร่ก็ไม่หมดแต่ทำไมผมถึงใช้เงินเหล่านั้นซื้อความสุขไม่ได้กันนะ จู่ๆ ภาพสามคนพ่อแม่ลูกกำลังนั่งทานข้าวด้วยรอยยิ้มผุดขึ้นมาในสมอง ผมจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าหากว่าคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นมันเป็นผมไม่ใช่หนึ่งลูกรักของพ่อ แต่มันก็เท่านั้นในเมื่อทุกอย่างมันก็ฟ้องมาตั้งแต่แรกว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันที่ผมมโนภาพขึ้นเอาเอง

ผมหลับตาลงช้าๆ คิดถึงสัมผัสที่อบอุ่น ภายในห้องเรียนกว้างที่มีผมนอนอยู่ ถ้าหากว่าผมไม่ได้ฝันไปก็คงจะดีไม่น้อย เหมือนกับผมได้รับความสำคัญเป็นที่รักของคนในความฝัน เขาดูอบอุ่นและอ่อนโยนจนผมอยากโอบกอดเอาไว้แน่นๆ

คุณจะมีตัวตนอยู่จริงๆ ไหมนะ ชายในฝันของผม.....
.
.
.

อีกด้านหนึ่ง

เสียงเจาะแจะจากผู้คนรอบข้างดังขึ้นด้วยความสุขสม ภาพครอบครัวที่อบอุ่นกำลังนั่งทานข้าวด้วยรอยยิ้มกว้าง มีทั้งคุณพ่อและคุณแม่ที่ใจดีกับลูกชายที่น่ารักกำลังคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ในสายตาของผู้คนรอบข้างก็คงคิดว่ามันดูอบอุ่นไม่น้อย แต่ไม่ใช่สำหรับเขาที่เริ่มมองเห็นช่องว่างระหว่างครอบครัว

คนหนึ่งคนที่ได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากพ่อแม่ดูมีความสุขดีอย่างน่าอิจฉาแต่กับอีกคนที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังไม่มีใครสักคนที่จะหันไปมอง สายตาที่เต็มไปด้วยน้ำตามองพวกเขาด้วยความเว้าวอนแกมขอร้อง

อย่าทิ้งผมเอาไว้คนเดียว.....

ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ จะร้องไห้หรือเปล่า? หรือว่ากำลังทุกข์อยู่ ชายหนุ่มได้แต่ค่อนคิดในใจด้วยความเป็นห่วง ทำไมเขาถึงมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้ ทำไมถึงมองข้าคนๆ นึงได้นานขนาดนี้ทั้งๆ ที่เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดมันดังอยู่ตลอดเวลาแต่กลับไม่มีใครได้ยินสักคน

หนึ่งคนที่กำลังทานข้าวด้วยความสุขแต่อีกคนกำลังนั่งทานข้าวคนเดียวด้วยน้ำตา.....

แค่คิดมันก็ทำให้ใจของเขาปวดร้าวจนอยากจะเข้าไปปลอบประโลมด้วยซ้ำ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดูมีความสุขมากเท่าไร่ เขาก็ยิ่งคิดถึงคนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังแต่สิ่งที่ทำได้คือแค่ทนและรอคอยทำให้มันจบๆ ไปเร็วๆ

“ไค! ตะวัน! เป็นอะไรเงียบเชียว”

“เอ่อ เปล่าไม่มีอะไร”ไคเอ่ยยิ้มๆ แล้วเริ่มลงมือทานอาหารที่อยู่ในจานอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุ ทำไมกันนะ? เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมต้องนึกถึงอีกคนด้วย

“ตะวันละ คิดอะไรอยู่”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย”ตะวันยิ้มบางให้กับคนตัวเล็กตรงหน้าก่อนที่จะทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะให้บอกได้ยังไงว่ากำลังคิดถึงใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้

“อะไรของพวกนายเนี่ย”

ร่างเล็กครุ่นคิดกับท่าทีที่ไม่ปกติของชายหนุ่มทั้งสองแต่ก็ไม่ใส่ใจแล้วเริ่มทานอาหารตรงหน้าต่อ ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากจะพูดก็ไม่คิดที่จะบังคับเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

เสียงหัวเราะเกิดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความสนุกสนานของคนในครอบครัวแต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายด้วยสักนิดเพราะตอนนี้ใจของเขากลับโบยบินไปหาร่างบางอีกคนที่คิดว่าตอนนี้คงกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่

อย่าร้องไห้เลยนะคนดี เงียบเถอะนะ ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของคุณ.....



Take

ใครกันนะพระเอก...ทนอ่านไปเกือบๆ สิบตอนน้าาา น้องเรย์จะทุกข์อีกประมาณ 10 ตอน ใจร่มๆ น้าาา อย่าเพิ่งเอารองเท้าปาเทคเน้อ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 25-05-2015 19:37:08
อ่านแล้วร้องไห้ทุกที  :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 25-05-2015 19:53:15
ยากละทั้งตะวันกับไคเริ่มเห็นใจเรย์แล้วสิ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 25-05-2015 20:29:09
ทีมตะวันดีไหมนะ?  :ling1: เป็นกำลังใจให้เสมอ อย่างอนเม้นของเราเมื่อตอนที่แล้วน้า มันอินเกินไป มันมาม่าเกินไป และสุดท้าย :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 25-05-2015 20:33:22
ตะวันกับไคเป็นคู่แข่งกันแน่ๆ
พอไคเริ่มเห็นใจเรย์ ก็รู้สึกอยากเชียร์ไคให้เป็นพระเอกด้วย555

แต่เชียร์ตะวันมากกว่า555 แต่ทำไมตะวันไม่เปิดเผย ไม่เข้าไปใกล้ชิดเรย์บ่อยๆ
ระวังสู้ไคไม่ได้นะ ยิ่งทั้งนางเอกนายเอกส่วนใหญ่ไม่ชอบผู้ชายที่ดีเกินไป แต่ชอบผู้ชายตบจูบแบบไคด้วย555

แล้วใครกันที่เป็นชายในฝันของเรย์ อยากรู้แล้วค่ะ เรย์รักใครก็ว่าจะเชียร์คนนั้น555
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-05-2015 21:22:31
ร้ายใส่เขามาเยอะเพิ่งจะเห็นเรอะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: keepout ที่ 25-05-2015 21:34:04
#ทีมตะวัน
ยิ่งอ่านยิ่งสงสาร ทำไมพ่อไม่คิดถึงเรย์บ้าง?
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 25-05-2015 21:44:05
 :hao5: :hao5:
น้ำตานองหน้าสงสารเรย์จัง
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 25-05-2015 21:54:20
สงสารเรย์มากกกกกกก อีก 10 ตอน เท่านั้น รอออออ พระเอก จะมากกกกก
เชียร์ใครดีเนี่ยยยย ศึกชิงนายเอก ที่รอ อิอิ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-05-2015 22:20:38
เชียรืใครดี อิอิ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: tararatart ที่ 25-05-2015 22:30:55
อ่านเรื่องนี้แล้วพรากกกกกเลย   แต่ชอบโรคจิตจัดมาหนักๆ  เรื่องนี้เกลียดอิพ่อสุดแล้ว ใครจะเป็นพระเอกก็ช่าง  แต่ #ทีมตะวัน
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 25-05-2015 22:39:29
ทีมตะวันดีไหมนะ?  :ling1: เป็นกำลังใจให้เสมอ อย่างอนเม้นของเราเมื่อตอนที่แล้วน้า มันอินเกินไป มันมาม่าเกินไป และสุดท้าย :pig4: :pig4:


ไม่งอนครับ ไม่งอน..ไม่โกรธเลย แต่ดีใจซะอีกที่อินมากขนาดนั้น เทคยิ้มได้เลยละ ขอบคุณมากๆ ครับที่ชอบ ><
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 25-05-2015 22:50:58
สงสารตะวันเข้าเส้น อ่านไป น้ำตาจะไหล  :hao5: :hao5:
 :katai2-1: :katai2-1:  :beat: :beat:ตอนนี้ แอบเชียร์ ให้ คนที่เป็นพ่อ หลุดมาเห็นตะวันในมุมที่ไม่ได้โหดร้ายแล้วชดเชยความผิดตัวเองบ้างคงดี
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: mimasopu ที่ 25-05-2015 22:54:23
น้ำตาจะไหล ชีวิตหนูเรย์นี่น่าสงสารจริงๆ
ถ้ามุดลงคอมไปได้จะไปตีหัวตัวพ่อ คนเป็นพ่อเขาทำกันแบบนี้หรอ
ส่วนพระเอกของเรื่องอยากเชียร์ไคนะ แต่ก็ยังให้คะแนนน้อยอยู่ทำกับเขาไว้เยอะเหมือนกันนิ
ชีวิตน้องเรย์จะทุกระทมเป็นดาวพระศุกร์อีก10ตอนหรอเนี่ย อ่านมา4ตอนปาก็หน่วงจิตแล้ว
จะมีหน่วงกว่านี้ไหม  จะรออ่านนะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 26-05-2015 01:29:53
จิตตกมากค่ะ อ่านแล้วมืดมนกับชีวิตของเรย์มากๆ
คือก็เข้าใจเรย์นะ เด็กน้อยใจ ขาดความรักจากคนที่สมควรจะให้มากที่สุดแบบนี้
แต่แอบสงสัย ทำไมเย็นถึงไม่ปลอบหรือแนะนำเรย์ในทางที่ถูกที่ควรกว่านี้
เช่นชวนทำนู่นทำนี่ให้หายหมกมุ่นฟุ้งซ่านอะไรประมาณนี้เพราะดูเรย์จะไว้ใจและเชื่อฟังได้เยอะอยู่

หนักใจเลย. เลือกพระเอกไม่ถูก ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: AuyAaiz ที่ 26-05-2015 12:32:28
ไม่รุว่าชอบใครนะเรื่องนี้
เเต่รู้ในจิตสำนึกกมลสันดานเลยล่ะว่าเกลียดใคร หึ!
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: mynamejnkf ที่ 26-05-2015 15:33:18
ไม่ว่าพระเอกจะเป็นใครก็ตาม ขอแค่ช่วยทำให้น้องเรย์มีความสุข ยิ่มออกมา หัวเราะออกมา ด้วยใจก็พอแล้ว

อินมากเลย อ่านแล้วน้ำตาไหล โอ้ย ..ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ความสุขก็ซื้อไม่ได้จริงๆ

หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 29-05-2015 14:12:15
 :hao5: :hao5:
สงสารเรย์มากๆ
และโกรธพ่อแทนน้องมากๆ เราไม่อยากใช้คำว่ารักลูกไม่เท่ากันนะ เพราะบางทีพ่ออาจจะไม่ได้คิดแบบเรา
แต่แบบ... ถ้าจะแสดงออกใส่น้องแบบนี้
เมินไปเลย อาจจะดีซะกว่า
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 29-05-2015 19:39:07
 :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 29-05-2015 21:07:30
ฮือออ อ่านไปร้องไป เรย์ :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 30-05-2015 10:20:55
ตอนต่อไปจะมายังน่ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 30-05-2015 11:42:46
สงสารน้องมาก หวังว่าซักวันนึงน้องจะมีรอยยิ้้มที่มีความสุข. ขอเชียร์ไคนะครับ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: boommerang ที่ 30-05-2015 14:03:56
เป็นนิยายในอุดมคติเลยทีเดียว รีบมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน4 25/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 30-05-2015 16:11:35
นี่ละใช่เลย  แบบนี้ละที่ชอบ  ลงวันต่อวันได้มั๊ยครับ  แนวนี้ชอบๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 30-05-2015 17:54:05

“พี่เรย์!”

“คิดถึงจังเลย”

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นหน้าผม พอได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่ฉีกยิ้มกว้างออกมาจากใจมันก็ทำให้ผมมีความสุขจนแทบจะลืมทุกอย่าง เด็กพวกนี้ช่างน่าสงสารไร้ญาติขาดมิตรไม่มีทั้งพ่อและแม่เกิดมาบางคนก็ถูกทิ้งข้างกองขยะหรือไม่ก็ถูกเอามาปล่อย ถ้าหากว่าไม่ได้ครูน้อยไปพบเข้าป่านนี้จะเป็นยังไงนะ

“หนูนาคิดถึงพี่เรย์จังคะ คิดถึงพี่เรย์มากๆ เลย”

“พี่เรย์ก็คิดถึงหนูนาครับ”

ผมอุ้มหนูนากระชับเข้ามาในอ้อมกอดแล้วจับไปที่แก้มนิ่มๆ ไปหนึ่งที หนูนาเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูแถมยังขี้อ้อนมากๆ ด้วย

“พี่เรย์จะอยู่นานไหมคะ”

“พวกเราอยากให้พี่เรย์อยู่นานๆ”

“อย่าเพิ่งรีบกลับนะฮะ”

“ครับ วันนี้เป็นวันหยุดพี่เรย์จะอยู่กับพวกเราทั้งวันเลยดีไหม?”

“เย้ พี่เรย์น่ารักที่สุดเลย”

“ไปๆ เดี๋ยวพี่จะอ่านหนังสือนิทานให้ฟังนะ”

ผมจูงมือเด็กๆ แล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านพัก ความสุขเล็กๆ แต่มันยิ่งใหญ่สำหรับผมเพราะมีเด็กพวกนี้อยู่จึงทำให้ผมไม่ออกนอกลู่นอกทาง ถ้าหากว่าผมไม่ได้เจอพวกเขาก่อนผมก็คงปล่อยตัวปล่อยใจแล้วทำตัวเหลวแหลก เพราะถ้าลำพังตัวผมคนเดียวป่านนี้จะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้

ผมอ่านหนังสือนิทานให้เด็กๆ ฟังพร้อมกับสอนหนังสือไปในตัวโดยมีครูน้อยคอยช่วยอยู่ข้างๆ ฐานันดรที่แตกต่างไม่ได้ทำให้พวกเราห่างเหิรกันสักนิด สำหรับผมเงินอาจมีความจำเป็นในการดำรงชีพแต่สำหรับในฐานะจิตใจมันไม่ได้มีความหมายกับผมแม้แต่นิดเดียว

“เย็นมากแล้วพี่ต้องกลับแล้วนะ”

“แล้ววันหลังพี่เรย์มาอีกนะคะ หนูนาจะรอพี่เรย์ทุกวันเลย”หนูนาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน จนทำเอาผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้จนต้องขยี้ผมแรงๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว เด็กอะไรน่ารักจริงๆ

“พี่เรย์ไปก่อนนะ แล้วพี่เรย์จะมาหาใหม่”

“สัญญานะคะ”

“อืม สัญญา”

คำสัญญาที่ผมให้ไว้พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงวัยเพียงแค่ 7 ขวบ เวลาเธอยิ้มมันดูบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ผมได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้โปรดปกป้องพวกเขาด้วย ขออย่าให้ใครมาพรากรอยยิ้มน้อยๆ นั่นไปเลยเพราะมันมีมีค่าที่สุดสำหรับผม

“เรย์! เป็นอะไร? ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว”อัลฟาเอ่ยถามผมขึ้นด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อยแล้วมองมายังผมที่ยังยิ้มไม่หยุด

“ไม่มีอะไรหรอก พอดีแค่นึกถึงใครบางคนนะ”

จะไม่ให้ผมมีความสุขได้ไง? ก็ในเมื่อเวลาที่ผมคิดถึงเด็กๆ ที่บ้านเด็กกำพร้าเมื่อไร่มันก็ทำให้ผมมีความสุขทุกที ป่านนี้เด็กๆ จะทำอะไรอยู่นะ? กำลังเรียนหนังสือหรือว่ากำลังนั่งเล่นกันอยู่ อาทิตย์หน้าคงต้องหาซื้อหนังสือนิทานไปเพื่มแล้วละมั้ง

“อะไรของนายเนี่ยเรย์?”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“อืม”

อัลฟาพยักหน้าเป็นการตอบรับแล้วก็หันไปเล่นโทรศัพท์ในมือต่อ ตอนนี้เป็นช่วงพักตอนกลางวันผมก็เลยมีเวลานั่งเล่นพอสมควรเลยเลือกที่จะมานั่งที่โต๊ะม้าหินใกล้กับอาคารเรียนกับอัลฟา แต่ห้องน้ำดันอยู่ใกล้โรงอาหารเลยทำให้ผมต้องเดินไปอีกทาง

“ระวัง!”

ในขณะที่ผมกำลังเดินผ่านสนามบาสก็มีเสียงๆ หนึ่งที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองอัตโนมัติแต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือลูกบาสที่กำลังลอยละลิ้วมาทางผมอย่างแรง ด้วยความตกใจมันทำให้ผมก้าวขาหลบไม่ออกได้แต่ยกมือขึ้นมาบังเพื่อรอรับการกระแทก
ต้องโดนแน่ๆ เลย!!!.....

ปึ๊ก!

ทุกอย่างเงียบลงหลังจากที่เสียงลูกบาสตกลงสู่พื้นเบื่องล่างแต่ผมไม่รู้สึกเจ็บสักนิด ทำไม? ผมไม่เจ็บเลยละมันเกิดอะไรขึ้น? พอคิดได้แค่นั้นผมก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองอย่างช้าๆ ชายหนุ่มร่างสูงคนที่คุ้นเคยกำลังมองผมอยู่ ใบหน้าของเขาอยู่ห่างผมเพียงนิด นี่เขาช่วยผมไว้เหรอ?

“เอ่อ”

“คราวหลังก็อย่ามัวแต่เหม่อ หันมองทางซะบ้าง”

คำขอบคุณที่กำลังจะถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของผมก็หยุดลงทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดที่ไม่เข้าหูสักเท่าไร่

“ฉันก็ไม่ได้ขอให้นายมาช่วยนี่ตะวัน ถอยออกไป!”

ผมเชิดหน้ามองคนร่างสูงกว่าผมอย่างถือดีไม่คิดจะยอมแพ้ก่อนที่จะเดินเลี่ยงไปอีกทาง มันน่าโมโหจริงๆ ถ้าจะพูดถากถางกันขนาดนี้แล้วละก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมาช่วยเลยสักนิด!!!

“จะไปไหน”

“จะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน”ผมไม่คิดจะตอบแล้วไม่คิดที่จะหันไปมอง เดินดุ่มๆ หนีไม่อยากเสวนาด้วยสักเท่าไร่

“เฮ้ย!”

ตุบ!

แต่ด้วยความรีบแล้วก็ไม่ได้มองทางทำให้ผมสะดุดกับขาตัวเองจนล้มห้วทิ้มลงไปกองอยู่กับพื้น ด้วยความที่ว่าพื้นมันเป็นปูนซีเมนซ์เลยทำให้ผมรู้สึกเจ็บไม่น้อย

“หึ”

ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากหนาของตะวันมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอับอายขึ้นเป็นทวีคูณ ทำไมกันนะผมต้องมาเสียฟอร์มต่อหน้าคนๆ นี้ตลอด

“หัวเราะอะไร!”

ทันทีที่ผมลุกขึ้นมาได้ผมก็รีบตั้งท่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วผมรู้สึกขายขี้หน้ามากแต่ต้องทำเป็นหน้าด้านเข้าไว้

“ก็เปล่านี่”

“ไม่จริง! นายหัวเราะฉัน”

“ก็แล้วแต่จะคิด”

พอเห็นรอยยิ้มของตะวันแล้วมันทำให้ผมรู้สึกอยากจะบ้าตาย เขาทำหน้าทะเล้นใส่ผมเหมือนกับว่าเราสนิทกันมาก แต่ทำไมผมกลับคิดว่ารอยยิ้มของเขามันขัดหูขัดตาผมจัง หรือว่าเขากำลังหัวเราะเยาะในความเปิ่นของผมเมื่อกี้นี้แน่เลย!!! ด้วยความอายสุดๆ เลยทำให้ผมเลือกที่จะเดินหนีมากกว่าต่อล้อต่อเถียงด้วย คนบ้าอะไร!!! กวนประสาทชะมัด!

“อ้าว จะไปไหนละ”

“ยุ่ง!”

“ระวังล้มอีกนะ”

“อะ ไอ้บ้าตะวัน!”

ให้ตายสิ! วันนี้มันวันซวยอะไรของผมกันนักนะ คนกำลังอารมณ์ดีแท้ๆ แต่กลับต้องมาทำเรื่องขายขี้หน้าต่อหน้าคนที่ไม่ค่อยชอบ ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยเรา!!!

Rrrrrrr

เสียงรอสายดังขึ้นทำให้ผมที่กำลังหงุดหงิดหยุดอารมณ์ชั่วครู่แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นเบอร์แปลกที่ผมไม่รู้จัก ด้วยความที่ไม่คิดอะไรมากผมก็เลยกดรับอย่างไม่ลังเลเพราะบางทีในใจผมอาจคิดว่าจะเป็นแม่ที่โทรเข้ามาก็ได้

“เรย์พูดครับ”

//เรย์! นี่ครูน้อยเองนะ//

“อ้อ ครับครูน้อย”

//.....//

ทันทีที่ผมได้ฟังครูน้อยพูดใจของผมก็หล่นไปแทบตาตุ่ม ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะล้มหมดแรงลงดื้อๆ มันเกิดอะไรขึ้น!!! ทั้งๆ ที่เมื่อวานผมยังยิ้มอยู่เลย ร่างกายสั่นๆ ของผมเริ่มทำอะไรไม่ถูกรู้แต่ว่าต้องรีบไปให้เร็วที่สุด ผมขอแค่นี้ไม่ได้เหรอ? ขอแค่ผมได้มีความสุขเล็กๆ เท่านั้นก็ไม่ต้องการอะไรอีก แล้วทำไมโชคชะตาร้องมาพรากความสุขของผมไปด้วย

เรย์! หนูนาถูกรถชน!!!.....

.
.
โรงพยาบาล

“ครูน้อย!”

“เรย์ ฮึก ฮือ ฮือ”

ทันทีที่ผมมาถึงโรงพยาบาลผมก็รีบมาหาครูน้อยทันที โชคดีที่โรงพยาบาลที่หนูนาอยู่อยู่ไม่ไกลกับโรงเรียนผมมากนักก็เลยทำให้ผมมาได้เร็ว ผมเห็นครูน้อยกำลังร้องไห้มันก็แทบทำให้ใจของผมแทบขาดแต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมันไม่ได้มีแค่นั้น ภาพตรงหน้าของผมมันคือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นอนจมกองเลือดกำลังหายใจรวยรินเหมือนจะไม่รอด สภาพยับเยินจนแทบไม่เห็นเค้าเดิม ถึงจะยังไม่รู้สึกตัวแต่เสียงครางแห่งความเจ็บปวดก็ถูกเปล่งออกมาจากปากเล็กๆ สีซีด มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง!!!

“ครูมันเกิดอะไรขึ้น”

“หนูนา ฮึก หนูนาวิ่งออกไป ฮึก เก็บลูกบอลที่กลิ้งไปกลางถนน แล้วรถมันก็แล่นมาที่หนูนาพอดี ฮือ ฮือ หนูนาก็เลย ฮือ ฮือ”ครูน้อยเล่าไปร้องไห้ไปด้วยความเสียใจ สิ่งที่ครูน้อยพูดมันทำให้ผมนึกภาพตามได้โดยที่ไม่ต้องคิดเลย หนูนาช่างน่าสงสารจริงๆ

“แล้วคนชน.....”

ครูน้อยส่ายศรีษะให้ผมเบาๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงอะไร ถ้าหากว่าไม่ใช่การชนแล้วหนี!!! ทำไมกันนะ? ถึงได้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นรอบตัวผมอยู่เรื่อย

“แล้วหมอละครับ หมอกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมไม่มารักษาหนูนา”

“เรย์ ฮือ ฮือ ทางโรงพยาบาลกำลังเตรียมการผ่าตัดอยู่ ครูกลัวเหลือเกิน.....กลัวว่าหนูนาจะเป็นอะไรไป ครูกลัวจริงๆ นะเรย์”

“หนูนา.....หนูนาของพี่เรย์ ฮึก”

ผมมองไปยังร่างที่อาบไปด้วยเลือดไม่กล้าที่จะแตะต้องหนูนาด้วยซ้ำ ผมกลัวน้องเขาจะเจ็บไปมากกว่านี้ได้แต่เอื้อมมือสั่นๆ ของตัวเองไปจับที่แก้มนิ่มทั้งสองข้าง ได้โปรดเถอะ! บอกผมทีว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพียงความฝัน

“หนูนาตอบพี่เรย์สิครับ ฮือ ฮือ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนเจ็บ ผมกลัว.....กลัวจริงๆ ว่าจะเสียหนูนาไป

“หนูนาพี่ซื้อหนังสือนิทานให้หนูนาด้วยนะ ไหนหนูนาสัญญากับพี่แล้วไงว่าจะรอพี่ไปหา ฮือ ฮือ”

“พะ พี่ พี่เรย์”

“ฮึก หนูนา”

รอยยิ้มน้อยๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าเล็กทำให้ผมเผยยิ้มกว้างขึ้นมาทันที หัวใจที่เหมือนหยุดเต้นของผมแต่ตอนนี้กลับเต้นอีกครั้งด้วยความปิติยินดี

“หนูนาเจ็บคะ พี่เรย์.....”

“หนูนาเจ็บตรงไหน บอกพี่นะเดี๋ยวพี่จะเป่าให้หายเจ็บ”ผมพยายามฝืนยิ้มกว้าง แม้ว่าดวงตาทั้งสองข้างของผมจะแทบมองไม่เห็นเพราะน้ำตาที่คลอเบ้าก็ตาม

“พี่เรย์ ขอโทษคะ ที่หนูนาไม่ อึก แค่ก แค่ก แค่ก”

“หนูนาไม่ต้องพูดแล้วนะ ฮือ ฮือ อดทนอีกนิดนะ หมอใกล้มาแล้ว หมอ!!! หมออยู่ไหน! ฮือ ฮือ”

ผมร้องเรียกเหมือนคนขาดใจ หนูนาจะตายไม่ได้เด็ดขาด!!! ขออย่าให้มีใครหรืออะไรมาพรากหนูนาไปจากผมเลย ไม่อย่างนั้นผมคงทนไม่ได้แน่ๆ

“หนูนา.....เป็นเด็กไม่ดี.....ไม่รักษาสัญญา”

“ฮือ ฮือ ไม่เลยหนูนาของพี่เรย์เป็นเด็กดีเสมอ”มือสั่นๆ ของผมยังประคองแก้มนวลไม่ปล่อยแล้วลูบไล้ไปที่ผมด้านหน้าด้วยความเอ็นดูแต่ใจของผมจะขาดอยู่แล้ว

“พี่เรย์.....อย่าร้องไห้”

หนูนากำลังยิ้มให้กับผม รอยยิ้มของเด็กเล็กๆ ที่ผมชอบ แต่ตอนนี้มันกลับหายไปด้วยสีหน้าที่สงบแต่มันทำให้ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวได้แต่อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก

ตุบ

“ฮือ ฮือ หนูนา!!! ไม่!!!”

ทำไมทุกคนถึงได้ทำร้ายผมขนาดนี้ ทำไมถึงได้พรากสิ่งที่รักของผมไปแค่นี้ยังทำร้ายกันไม่พออีกเหรอ ผมมีเงินทองมากมายแต่กลับใช้ซื้อชีวิตของเด็กเล็กๆ คนนึงไม่ได้ ผมเกิดมามีกินมีใช้แต่กลับไร้ความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่ แล้วยังจะให้ผมต้องสูญเสียอะไรอีก

พี่เรย์ไปก่อนนะ แล้วพี่เรย์จะมาหาใหม่.....

สัญญานะคะ.....

อืม สัญญา.....

.
.
.

เพี๊ยะ!

“ไอ้ลูกไม่รักดี! บอกมานะวันนี้แกหนีเรียนไปไหนมา!!!”

เจ็บ.....แต่ไม่เท่ากับที่ใจสักนิด ทันทีที่มาถึงบ้านก็เจอกับพ่อที่นั่งรออยู่ เนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเลือดของผมมันไม่ได้ทำให้เขาสังเกตุเลยสักนิด พอมาถึงมีแต่ต่อว่าและด่าทอ ผมไม่มีแรงที่จะโต้เถียงรู้สึกหมดแรงแล้วจริงๆ

“วันนี้ครูที่โรงเรียนโทรมาบอกฉันมาแกหนีเรียนตอนกลางวัน แกไปทำเรื่องชั่วๆ ที่ไหนมา ห่ะ!!!”

“คุณพ่อ! อย่าว่าเรย์เลยนะ เรย์อาจมีความจำเป็นจริงๆ ลองถามเรย์ก่อน”

“ใช่คะคุณ ถามเรย์ก่อนดีกว่า”

“จะให้ฉันถามอะไร!!! ในเมื่อพฤติกรรมมันก็ฟ้องอยู่ทนโท่แบบนี้ แกทำให้ฉันต้องขายหน้ารู้ถึงไหนอายถึงนั่นที่ลูกชายหนีเรียน ไอ้ลูกไม่รักดี! แกไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของฉันจริงๆ”

คำพูดที่เจ็บแปลบ คำพูดที่ไม่น่าถูกเอ่ยออกมาจากปากคนเป็นพ่อ ถ้าเขาไม่รักผมแล้วจะให้ผมเกิดมาทำไม?

“ครับ ผมรู้.....ว่าผมเป็นลูกที่คุณไม่ต้องการ”ผมจับแก้มตัวเองข้างที่ถูกตบด้วยมือสั่นๆ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ตอนเข้าบ้านแต่บัดนี้มันกลับไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นอีกครั้งแล้วซินะที่ผมร้องไห้ต่อหน้าเขา

“.....”

“มีเรื่องจะพูดกับผมแค่นี้ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว”

ผมทิ้งทุกอย่างแล้วเดินขึ้นห้อง หัวใจที่ปวดร้าวของผมมันชาจนแทบไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเองอีกแล้ว ทุกอย่างมันประดังเข้ามาภายในวันเดียวทำให้ผมทนแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหวจริงๆ ผมมองไปยังขวดโหลที่ใส่กลีบดอกไม้ที่แห้งสนิท ของขวัญวันเกิดที่ผมได้รับจากมือเล็กๆ ของหนูนา

พี่เรย์ สุขสันต์วันเกิดคะ.....

“ฮือ ฮือ ฮือ ฮึก”

เสียงร้องไห้ที่เจ็บปวดถูกเปล่งออกมาอย่างรู้สึกไม่อาย ผมกอดขวดโหลไว้แน่นคิดถึงเหลือเกิน....ผมคิดถึงรอยยิ้มของหนูนา หนูนาจากผมไปแล้ว

“คุณเรย์! คุณเรย์ของเย็นใครทำอะไรคะ แล้วทำไมเสื้อมันถึงได้เลอะเลือดขนาดนี้”

“เย็น”

ในชีวิตผมก็คงจะมีเย็นนี่แหละที่เป็นห่วงผมจริงๆ ไม่มีใครรักผม.....แม่ครับพ่อไม่ได้รักผมสักนิด เมื่อไร่ที่แม่จะมารับผมไปอยู่ด้วยสักที

“เย็น.....ช่วยผมด้วย ฮือ ฮือ ผมเจ็บจะตายอยู่แล้ว”

“เจ็บตรงไหนคะ เป็นแผลตรงไหนเดี๋ยวเย็นจะทำแผลให้นะคะ อย่าร้องเลยนะคะคุณเรย์”

“ฮือ ฮือ ผมเจ็บตรงนี้เย็น ผมเจ็บที่หัวใจ เจ็บจนใจจะขาดอยู่แล้ว ฮือ ฮือ”ผมรู้ตัวว่ากำลังร้องไห้เหมือนเด็กๆ แต่ผมเจ็บ.....เจ็บเหลือเกิน

“โธ่! คุณเรย์”

ผมมันเป็นตัวโชคร้าย เป็นตัวกาลกิณีที่น่ารังเกียจ เพราะผมเป็นแบบนั้นทุกคนถึงได้ทิ้งผม แม่ทิ้งผมให้อยู่กับพ่อแล้วสัญญาว่าจะมารับ หนูนาก็ยังมาต้องมาเจ็บตัวเพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับผม เหมือนเป็นคำต้องสาปสัญญาที่มีให้แต่ไม่มีวันเป็นจริง

อยู่กับพ่อนะเรย์ แม่สัญญาว่าแม่จะมารับ.....

สัญญานะคะพี่เรย์.....

ผมนอนไม่หลับทั้งคืน จิตใจที่ขุ่นมัวของผมมันไม่สามารถข่มตาให้หลับสนิทได้ เรี่ยวแรงของผมเริ่มหมดลงอย่างช้าๆ แม้กระทั่งหายใจผมก็ยังไม่มีแรงเลย ทั้งคืนผมได้แต่นอนกอดขวดโหลเอาไว้เฝ้าภาวนาขอให้หนูนาปลอดภัย แม้จะยังโชคดีที่หมอมาทันทำให้รักษาชีวิตหนูนาไว้ได้แต่เพราะอาการที่เสียเลือดมากไปยังทำให้หนูนาอยู่ในอาการโคม่า

“มันตื่นหรือยัง! ไปปลุกให้มันตื่นเดี๋ยวนี้!!! ถ้าวันนี้มันโดดเรียนอีกฉันจะเอาเลือดหัวมันออก”

ผมยิ้มเยาะให้กับความสมเพชของตัวเอง เสียงประกาศกร้าวที่เป็นเหมือนกับนาฬิกาปลุกอย่างดีมันแทบทำให้ผมดีใจจนน้ำตาร่วง

“คุณเรย์”

“ผมรู้แล้ว”

“หน้าคุณเรย์ซีดมาก ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

“ผมไม่เป็นไร ไม่ตายง่ายๆ หรอก”

ปวดหัว.....แต่ผมก็ต้องลุก ต่อให้ร่างกายและจิตใจต้องทรมานขนาดไหน ผมก็ต้องทำเพื่อที่จะได้อยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ เพื่อรักษาสัญญาที่ไว้กับแม่

ผมเดินลงบันได้ด้วยท่าทีหยิ่งผยองแสร้งทำว่าไม่ได้เป็นอะไร แม้ว่าดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยช้ำเพราะการร้องไห้อย่างหนัก มองเห็นพ่อยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาขนาดใหญ่พร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึงเพราะความโกรธยังคงไม่จางหาย คงจะโกรธผมากสินะที่ผมทำให้เขาเสียหน้าในเมื่อไม่คิดที่จะถามว่าผมเป็นอะไร? ผมก็ไม่คิดที่จะบอก ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปก็ดีแล้ว

ปรื้น!!!!!

“อยากตายหรือไง!”

แรงฉุดกระชากจากทางด้านหลังมันทำให้ร่างกายที่อ่อนแรงของผมปลิวไปตามแรงที่มากกว่า พร้อมกับรถที่แล่นผ่านด้วย
ความเร็ว นี่ผมเดินออกมาจากตัวบ้านตั้งแต่เมื่อไร่นะ? ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลย

“เรย์”

ใคร? กำลังเรียกผมอยู่แล้วทำไมภาพมันถึงพร่ามัวขนาดนี้ ทำไมผมมองไม่เห็นหน้าเขาเลยนะ

“เรย์”น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อผมอีกครั้งทำให้ผมเริ่มตั้งสติได้ แล้วผมก็เริ่มมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตาความพร่ามัวค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นทำให้ผมรู้ทันทีว่าเป็นใคร

ตะวัน!.....

“ปล่อย”เพียงแค่รู้เท่านั้นแหละ ผมก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาทันที ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากที่จะอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้จึงคิดที่จะเดินเลี่ยงแต่กลับถูกมือหนาจับที่ต้นแขนอย่างรู้ทันในความคิดของผม

“จะไปไหน”

“ยุ่งอะไรด้วย!”ผมพยายามรั้งแขนออกแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ แต่กลับจับแน่นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรแต่ถ้าหากว่าจะซ้ำเติมผมไม่อยากฟัง!

“เรย์!”

“นายจะไปไหน! แล้วเมื่อวานตอนกลางวันนายโดดเรียนทำไม”

คำพูดของเขาที่เหมือนกับพ่อมันทำให้ผมสะอึก ผมเม้มปากแน่นสนิทพยายามกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผล ผมน้อยใจ ผมเสียใจ ผมเป็นคนที่มีหัวใจแล้วผมก็ร้องไห้เป็นเจ็บเป็น

“ปล่อยฉัน! นายมายุ่งกับฉันทำไม!”

“.....”

“ถ้าคิดจะซ้ำเติมฉันละก็พูดออกมาเลย!!! พูดออกมาสิ ฉันรอฟังอยู่แล้วก็รีบๆ ไปซะ”

จะกล่าวโทษอะไรอีก จะพูดอะไรก็พูดมาเถอะแต่อย่ามามองผมด้วยแววตาที่น่าสมเพชและสงสาร ผมไม่ต้องการให้ใครมาสงสารหรือเห็นใจทั้งนั้น!

“จะไปโรงเรียนใช่ไหม? ฉันจะไปส่ง”

“ไม่ต้อง!”

“เรย์ อย่าดื้อ”

“ฉันไปของฉันเองได้”

“สภาพแบบนี้เนี่ยนะจะไป เดี๋ยวก็ถูกรถชนตายแบบเมื่อกี้อีกหรอก ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่ดึงเอาไว้นายก็ได้ตายไปแล้ว”

“.....”

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก”

เอาเถอะ.....อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากรั้งหรือพูดอะไรทั้งนั้น ผมหมดแรง ผมเหนื่อยแล้วจริงๆ


Take

ทำความเข้าใจนิสนุง เทคไม่โกรธน้าา ไม่งอนด้วย ดีใจมากด้วยซ้ำที่อ่านแล้วอินกัน บอกตง อ่านเม้นไปยิ้มไปอ่ะ แบบ เฮ้ย ดีใจมากเลยที่อินขนาดนี้ แม้ว่าเรื่องนี้นะจะ...เอ็นซีน้อย มีแต่ดราม่าเล็กๆ น้อยๆ พระเอกก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ไม่โผล่มาเต็มตัวซักที ฮ่าๆ แต่ขอบคุณครับที่ชอบกัน
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: PingPong_Hunlay ที่ 30-05-2015 18:25:04
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 30-05-2015 18:48:09
ไม่ใช่แค่นายเอกนะที่เสียน้ำตา เราก็ร้องไห้ทุกตอนเลย บอกเลยตอนนี้เกลียดคนรอบตัวเรย์มาก :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: mynamejnkf ที่ 30-05-2015 18:52:06
โอ้ยยยยยยย หงุดหงิด ฮืออออ

ทำไมทุกคนต้องรังแกหนุเรย์แบบนี้ โอ้ย รับไม่ได้ ทำไมเรื่องแย่ๆต้องเข้ามาในชีวิตพร้อมกันขนาดนี้

หนูเรย์เข้มแข็งไว้นะคะ เดี๋ยววันดีๆจะมาหาเราเอง
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 30-05-2015 19:01:56
 :angry2: เกลียดพ่อเรย์มาก พูดเลย !!
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-05-2015 19:19:38
โดนรถชนอารการหนักต้องอยู่ในห้องฉุกเฉินสิมีหมอมีพยาบาลแสตนบายอยู่แล้วน่ะตามความเป็นจริง คงไม่รอให้เรย์มานั่งจับมือและพรรณาถึงความเจ็บอยู่หรอก
อิคุณพ่อนี่ก็อะไรนักหนามีเวลามาคอยจับผิดลูกเนี่ยคนระดับนี้ไม่มีสมงสมองในการสืบเลยหรือว่าเกิดอะไรขึ้น มีแต่ถามว่าแกไปไหนมาไปทำเรื่องไม่ดีมาใช่ไหม!!!! แล้วก็ตบหน้าเพี้ยะทุกตอน ไอ้คุณลูกและเมียรักก็เอาแต่ห้าม อย่าค่ะคุณ อย่าฮะคุณพ่อแต่ไม่เคยชี้หรือบอกจุดอะไรที่ควรต้องทำเลย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: เหนื่อยกับการบ่น อยากอ่านอีกแล้วอยากด่าอิพ่อแล้วคนอื่นต่อด้วย มาเร็วๆน่ะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 30-05-2015 19:37:12
เรารอมาหลายวัน ในที่สุด....
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 30-05-2015 20:01:11
แดดิ้นนนน  :ling1: :ling1: ชีวิตรันทดเหลือเกิน แต่ความเป็นจริงของเรื่องหมอนี่ จะมีพยาบาลประจำแผนกค่ะ ถ้าอาการสาหัสมากๆถึงขั้นไอซียูก็จะเรียกหมอมา ในกรณีของน้อง พยาบาลก็จะเตรียมการหลายๆอย่าง และพยายามช่วยเหลือผู้ป่วยเท่าที่จะทำได้ในหน้าที่พยาบาล ส่วนขั้นตอนต่อไปก็ปล่อยให้หมอจัดการ ที่เวิ่นมาเยอะเสียขนาดนี้ไม่ใช่อะไรหรอกจ้า อยากให้นิยายเรื่องนี้สมจริงขึ้นมาหน่อย จะได้ไม่ต้องมานั่งตะขิดตะขวงใจ เพราะเป็นนิยายที่เราชอบมากเรื่องนึง จึงอยากให้มันออกมาดีอย่างที่หวังไว้ สุดท้าย เป็นกำลังใจให้ และ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-05-2015 20:15:05
เฮ้อออ. เพราะเรย์ไม่พูดไม่แก้ตัวอะนะ.
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 30-05-2015 20:19:57
ชีวิตเรย์นี่นอกจากแม่กับเย็นยังมีคนดีด้วยอยู่เหรอ ขอให้ทุกคนที่ทำกับเรย์ต้องเจ็บยิ่งกว่าเรย์ร้อยเท่า เอาแบบเรย์เจ้าชายนิทราไม่ต้องตื่นมาเจอพวกนี้ /เถื่อนไป รู้สึกได้ว่าหนึ่งโลกสวยและน่า.มาก พ่อนี่ก็เหลือเกิน ไม่น่าเป็นพ่อคนได้ น่าฆ่า
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 30-05-2015 20:28:29
โอ้โห พ่อนี่ตาบอดเหรอ ไม่เห็นรอยเลือดเลยดิ ยิ่งตอนเรย์ตกน้ำนะ เห้ยมันสระว่ายน้ำป่ะ น้ำมันก็ต้องใสม่ะ ไม่เห็นลูกเลยดิ
แล้วไอ้ที่บอกว่าไม่น่าเกิดมาเป็นลูกเลยนี่คือร่ะ อ่านละอินอ่านละขึ้น
สงสารเรย์
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 30-05-2015 20:29:06
ร้องไห้นำ้ตาไหลตามเรย์. เราสงสารเห็นใจเรย์มากๆค่ะ(แต่เรย์จะรับไหมอ่านในเรื่องบอกว่าไม่ต้องการ555)
ทำไมเรย์เหมือนไม่ชอบตะวันเลย   ถ้ามองดีๆตะวันไม่ได้ทำอะไรให้เรย์รู้สึกไม่ดีเลยนะ ออกจะเป็นห่วงคอยเตือนด้วยซ้ำ
ตะวันสู้ๆทำให้เรย์รับรู้ถึงความหวังดีให้ได้. ยังเชียร์ตะวันเป็นพระเอกอยู่นะคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ  :L2: อินจนร้องไห้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: lalitalx ที่ 30-05-2015 20:42:11
สงสารน้องเรย์จัง ลุ้นพระเอกว่าตะวันหรือไค หรือไม่ใช่เลย ? 5555555555555
ขอให้พระเอกปลอบใจน้องเรย์ก็พอจ้า อิอิ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 30-05-2015 21:18:35
จะรันทดไปไหนเนี่ยชีวิตเรย์ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: YaYboran ที่ 30-05-2015 21:33:00
ดราม่า มากมาย อ่านไปน้ำตาไหล เสียใจ อึดอัด อยากจะไปชวนเรย์มาอยู่ด้วย
 ที่นี่มีความรักให้  :sad4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: kyungploy ที่ 30-05-2015 21:42:51
สงสารน้องเรย์
เราว่าไม่ใช่พ่อรักลูกไม่เท่ากันนะ แต่พ่อไม่รักเรย์เลยมากกว่า แค่เห็นว่าเป็นเรย์อะไรๆก็ผิดไปหมดซะทุกอย่าง เหมือนมีคำว่า ผิด แปะไว้กลางหน้าผาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเรย์จะเป็นคนผิด สงสัยโลกแตกเรย์ก็ผิดมั้งเนี่ย ขัดใจจริงๆ
(หนึ่งไม่ใช่คนดีใช่ไหม เรารู้สึกว่าอย่างนั้น ต้องร้ายแน่ๆ ดูตอแหลแปลกๆ =_=)
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 30-05-2015 23:43:59
อ่านแล้วยิ่งอยากอ่านอีก  อยากอ่านไปเรื่อยๆเลย เรื่องน้องที่โรงพยา่บาลหลายคนเค้าบอกไปแล้ว  ไม่ติดใจละ ชีวิตวิ่งไปคิดเลขไปจริงๆเรย์
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 31-05-2015 02:05:05
สงสารเรย์
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: boommerang ที่ 31-05-2015 08:05:20
มันเหมือนเป็นการเสพติดนิยายเรื่องนี้อย่างมาก

รีบมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 31-05-2015 09:21:12
คนที่บ้านนิสัย ไม่ฟังหนูเรย์บ้างเลย อะไรๆๆๆก็โยกความผิดตลอด ขัดใจมากกกก
รอเวลาที่ดีของเรย์วิ่งมา รอพระเอกด้วย ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 31-05-2015 12:53:20
ตอบแบบละครน้ำเน่าพ่อไม่ได้รักแม่เรย์ แต่มีแม่หนึ่งเป็นคนรักอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน5 30/5/15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-06-2015 00:29:51
รวดเดียวจบ น้ำตามาเต็ม ^^!

ขอตามด้วยคนนะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 05-06-2015 11:48:17


“เย็นผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

ความอดทนของผมเริ่มหมดลง ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตามันทำให้ผมแทบมองไม่เห็น ความอ่อนล้ามันทำให้ผมรู้สึกหมดแรงแม้กระทั่งหายใจ การที่ต้องทนกับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้อยากแม้แต่จะมองหน้ามันรู้สึกทรมานเจียนขาดใจตายให้รู้แล้วรู้รอด

“คุณเรย์ อย่าร้องไห้นะคะ”

“เย็น ฮึก ฮึก”

เย็นมองผมด้วยแววตาเศร้าสร้อยเหมือนใจจะขาด เย็นเป็นพี่เลี้ยงที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่ยังแบเบาะแน่นอนว่าจะต้องรู้สึกผูกพันกับผมเป็นธรรมดา เย็นรักผมเหมือนลูกคนนึงส่วนผมเองก็รักเย็นเหมือนกับแม่คนนึง เย็นเป็นมากกว่าคนใช้แล้วเป็นมากกว่าคนในครอบครัวของผมซะอีก

“แล้วคุณเรย์จะอยู่ที่ไหนละคะ”

“ฮึก ผมไม่รู้แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

“แต่ถ้าคุณท่านรู้ คุณท่านคงไม่ยอมง่ายๆ หรอกคะ ที่จะให้คนในตระกูล ‘อธิพัฒน์เดชากร’ ตกเป็นข่าวว่าทิ้งลูก”

“ไม่หรอกเย็น ถึงผมจะหายไปเขาคงไม่ตามหาผมหรอก ผมจะไปจากที่นี่แล้วไม่เอาอะไรที่เป็นของๆ เขาไปสักอย่างนอกจากของๆ แม่”

“ไม่ได้หรอกคะคุณเรย์ เงินที่คุณหญิงท่านให้ไว้คุณเรย์จะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่ออายุ 20 แล้วถ้าคุณเรย์ออกไปจากบ้านโดยที่ไม่มีอะไรเลยคุณเรย์จะอยู่ยังไงคะ”

เย็นเอ่ยให้เหตุผลออกมาโดยที่ยังคงกำมือผมอยู่เพื่อคอยเป็นกำลังใจ สิ่งที่เย็นพูดมาก็ถูกเงินที่ผมมีแม้ว่าจะเป็นเงินของแม่แต่ก็ยังใช้ไม่ได้ จะทำอะไรทั้งทีก็ต้องรอให้ผู้ชายคนนั้นเป็นคนอนุมัติในฐานะผู้ปกครองแต่จะทำยังไงดี! ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วผมเป็นหนูนา ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างเพราะตั้งแต่มีเรื่องกันคราวนั้นผมก็เหมือนกับถูกกักบริเวณ ไม่ได้ไปไหนแม้กระทั่งไปเยี่ยมหนูนามันทรมานจริงๆ ที่ต้องอยู่เหมือนกับถูกขัง

“แต่ผมไม่อยากอยู่แล้วเย็น ฮึก ฮึก ฮือ ฮือ”

“คุณหญิงท่านฝากฝังคุณเรย์ไว้กับเย็น พร้อมกำชับนักหนาว่าต้องดูแลเป็นอย่างดีแล้วจะให้เย็นผิดคำพูดเหรอคะ คุณเรย์เป็นเหมือนดวงใจของเย็นถ้าต้องให้คุณหนูตกระกำลำบากออกไปเผชิญโลกภายนอก ไม่ได้เรียนโรงเรียนดีๆ ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากเย็นคงทนไม่ได้”

“ฮือ ฮือ เย็น แต่ผม”

“รออีกนิดนะคะคุณเรย์ อดทนอีกหน่อยอีกไม่นานคุณเรย์ก็จะจบ ม.6 แล้ว รอให้เย็นเตรียมเรื่องที่อยู่และอะไรๆ ให้เข้าที่เข้าทางซะก่อนนะคะ แล้วเราจะไปอยู่ที่อื่นกัน”

“เย็น”

ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองไม่คิดว่าเย็นจะยอมง่ายๆ ขนาดนี้จนเผลอยิ้มกว้างออกมา สายตาของเย็นที่มองผมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แววตาที่บ่งบอกว่ารักและเป็นห่วงผม

“ขอบคุณนะเย็น”

ไม่มีอีกแล้วจริงๆ ไม่มีใครดีกับผมเหมือนกับเย็นอีกแล้ว ต่อให้ต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกที่ผมไม่รู้จัก โลกที่กว้างใหญ่มีผู้คนมากมายผมก็ไม่กลัวขอแค่มีเย็นอยู่ผมก็จะสู้ให้สุดแล้วถ้าออกไปได้เมื่อไร่ ผมก็จะตามหาแม่ให้เจอ ผมไม่อยากนั่งรอด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ อีกแล้ว มันทรมานเกินไปที่ต้องรอโดยไร้จุดหมาย

วันนี้ผมอยู่บ้านคนเดียวพ่อกับแม่เลี้ยงไปงานเลี้ยงตามปกติ ส่วนหนึ่งเห็นเย็นบอกว่าไปงานวันเกิดเพื่อน บ้านหลังใหญ่แต่มันดูเหงาสำหรับผมถึงจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแต่มันก็เหมือนไร้ความหมายสำหรับผมอยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้นเย็นออกไปก่อนนะคะ คุณเรย์จะได้พักผ่อน”

“ครับ”

ผมเช็ดน้ำตาที่เริ่มแล้วค่อยๆ เอนตัวนอนบนที่นอนนุ่มๆ โดยที่เย็นคอยช่วยห่มผ้าแล้วปรับแอร์ให้ก่อนที่จะปิดไฟแล้วก็ออกไป ความสว่างในคราวแรกเปลี่ยนเป็นความมืดขึ้นมาทันที ผมนอนพลิกซ้ายพลิกขวาอย่างกระสับกระส่ายรู้สึกปวดหัวเล็กๆ คงเพราะความอ่อนเพลียมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกง่วงมากกว่าปกติเพียงไม่นานผมก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

ฟี้......ฟี้.....ฟี้.....

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แอ็ดดดดด

เสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่กี่ครั้งจากนั้นก็ถูกเปิดออกจากด้านนอกพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาแบบไม่ได้รับอนุญาติ ภายในห้องที่มืดสนิทมีแต่เพียงแสงไปท้องฟ้าด้านนอกเท่านั้นที่ส่องเข้ามาเลยทำให้ห้องที่มืดในคราวแรกเริ่มมีแสงสว่างเพียงนิดทำให้ชายหนุ่มเริ่มมองเห็นรางๆ จนชัดในที่สุด ถึงจะไม่สว่างโล่แต่เขาก็มองเห็นได้ดีว่าใครกำลังนอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม แต่จะเป็นอย่างนั้นชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกกลัวสักนิดว่าอีกคนจะตื่นขึ้นมาเห็นเพราะเขาจงใจที่จะเคาะประตูให้เสียงดังเพื่อรอดูว่าคนในห้องหลับหรือยัง แต่ไม่มีเสียงตอบรับหรือคำเอื้อนเอ่ยใดๆ ออกมาแค่นี้ก็รู้แล้วคงหลับสนิทเลยลองเสี่ยงเดินเข้ามาดู

ตุบ ตุบ ตุบ

เสียงฝีเท้าที่เดินเข้าไปใกล้แม้ว่าจะมืดแต่มันก็ทำให้เขามองเห็นรอยช้ำตามขอบตาแค่นี้มันก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคงร้องไห้จนเหนื่อยถึงได้หลับไปโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังมีผู้บุกรุก

ร้องไห้อีกแล้ว.....

เป็นอีกครั้งที่เขาคิดแบบนั้น จะทำต้องทำยังไงนะคราบน้ำตาและความเสียใจทั้งหมดถึงจะหายไปจากใบหน้านี้ได้ ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงจินตนาการภาพรอยยิ้มของคนที่กำลังหลับมันจะดีกว่านี้ถ้าหากว่าเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจเพราะทุกครั้งที่เจอหน้าร่างบางมักจะทำหน้าตาแข็งกร้าวอย่างดุดันเหมือนคนถือดี ทั้งเย่อหยิ่งและจองหองหรือไม่ก็มีแต่คราบน้ำตา

สายตาคมทอดมองไปยังร่างบางด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในอกทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้วทำไมเขาถึงมองข้ามไปได้ตั้งนานสองนานหรือเป็นเพราะไม่เคยคิดจะสนใจเลยทำเป็นมองไม่เห็น เพราะคนๆ นี้ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายคนรอบข้างจนดูกลายเป็นเหมือนว่าร้ายแต่ที่แท้จริงแล้วกลับเปราะบางจนน่าใจหาย

อย่าร้องไห้อีกเลยนะ น้ำตาไม่เหมาะกับนายสักนิด.....

ชายหนุ่มปัดไรผมที่หล่นมาปรกหน้าออกอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่าร่างบางจะตื่น หัวใจที่เต้นแรงมันทำให้เขาเหมือนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด ใบหน้าขาวนั่นช่างล่อตาล่อใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ทำให้ร่างสูงค่อยๆ ก้มหน้าต่ำแล้วเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนใบหน้าของพวกเขาห่างกันแค่ไม่ถึงคืบ รับรู้ถึงลมหายใจอ่อนๆ ที่ถูกพ่นออกมาอย่างแผ่วเบากับริมฝีปากบางที่น่าหลงใหลจนอยากที่จะกลืนกิน

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

จุ๊บ.....

ด้วยความนึกคิดที่ตีกันจนรวนชายหนุ่มชั่งใจเลือกที่จะจูบไปที่ขมับแทน แม้ว่าสิ่งที่อยากจูบที่สุดจะเป็นริมฝีปากที่อยู่อีกทางแต่ถ้าหากว่าเขาทำแบบนั้นไปก็กลัวใจตัวเองเหมือนกัน กลัวว่าจะไม่สามารถหยุดอยู่ได้แค่จูบเพราะเขาเองก็เป็นผู้ชายถ้าหากเกิดความต้องการขึ้นมาแล้วมันจะไม่สามารถหยุดได้ง่ายๆ แม้ว่าตอนนี้จะพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ตื่นขึ้นแต่มันก็ยากพอสมควร
คืนนี้ขอให้นอนหลับฝันดี ตื่นขึ้นมาอย่าร้องไห้อีกเลย.....

ปัง

“ไค”น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียกเพื่อนสนิทอีกคนจากทางด้านหลัง

“ไปส่งหนึ่งเข้าห้องนอนแล้วเหรอ”

“อืม เฮ้อ เหนื่อยชะมัด นึกว่าจะไม่ถึงห้องซะแล้ว”

“ก็เล่นถูกพวกกัณฑ์มอมเหล้าขนานนั้น ถ้าหากว่าไม่เมาก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”ตะวันเอ่ยขำๆ เมื่อคิดถึงตอนที่ร่างบางถูกหลอกให้ดื่มเหล้า แม้ว่าจะเป็นเหล้าอ่อนๆ แต่สำหรับคนที่กินไม่เป็นก็ถือว่าหนักพอดู

“ใช่ ถ้าไม่พากลับมาคุณลุงคงเล่นงานฉันกับนายแน่ที่พาลูกชายสุดรักสุดหวงของเขาไปแล้วไม่ดูแล.....ไปเถอะ ฉันง่วงแล้วคืนนี้ฉันนอนที่บ้านนายนะ ขี้เกียจกลับ”

“อืม”

ภายใต้ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ชายหนุ่มแหงนมองด้วยรอยยิ้มละไม เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกสุขใจจนแทบหุบยิ้มไม่อยู่ ใบหน้ายามหลับของร่างบางที่ราวกับเด็กน้อยยังคงตราตรึงคิดๆ แล้วก็นึกขำตัวเองชะมัดไม่คิดว่าจะกล้าทำถึงขนาดนี้ แอบเข้าห้องคนอื่นโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้อง มิหนำซ้ำยังแอบขโมยจูบไปอีก ทำเหมือนกับเป็นคนโรคจิตไปได้.....
ราตรีที่แสนยาวไกล คืนนี้ขอให้มอบฝันดีให้กับคนเจ้าน้ำตาด้วย.....


เช้า

“อืม ฮ้าว.....”

ผมงัวเงียลุกขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวันอาการปวดหัวก็ไม่มีแล้ว เมื่อคืนหลังจากที่ผมหลับไปเพียงเพราะความอ่อนเพลียแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝัน ฝันถึงวันเวลาเก่าๆ ที่ไม่ได้เห็นมานาน ฝันว่าได้อยู่กับแม่อีกครั้ง อ้อมกอดที่อบอุ่นมันทำให้ผมยิ้มได้เสมอแล้วบางทีวันนี้อาจจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับผมก็ได้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“คุณเรย์ ตื่นหรือยังคะ”

“ตื่นแล้วครับ เข้ามาได้เลย”น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ก่อนที่จะขานรับ เย็นเดินหน้ายิ้มแป้นเข้าหาผมเหมือนทุกเช้าที่มาปลุก

“เมื่อคืนฝันเหรอคะ”

“ครับ รู้ได้ยังไง?”

“ก็สีหน้าคุณหนูดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี่คะ ไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวเย็นเก็บที่นอนให้

“ครับผม.....ฟอด”

ผมกระโดดลงจากที่นอนเหมือนกับเด็กๆ ที่เพิ่งตื่นก่อนที่จะเข้าไปหอมแก้มเหี่ยวๆ ของเย็นหนึ่งทีที่แก้มด้านขวา เย็นมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วหันมามองผมอย่างอึ้งๆ ปนกับอาการเขินๆ

“เมื่อคืนผมฝันเห็นแม่ แต่เย็นก็เป็นเหมือนกับแม่คนที่สองของผม ขอบคุณนะครับที่ดูแลผมมาตลอด”

“คุณเรย์”

“เอ่อ สายแล้วผมอาบน้ำก่อนนะ”

ด้วยความที่ผมกำลังอายแบบสุดๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเย็นได้แต่รีบคว้าผ้าขนหนูแล้ววิ่งไปเข้าห้องน้ำทันที ผมไม่ได้อายที่ไปหอมแก้มเย็นแต่เพราะอายที่ไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นออกไป ให้ตายเถอะ! ทำไมผมถึงได้ทำตัวเป็นเด็กขนาดนี้นะ พอคิดถึงคำพูดที่ตัวเองพูดออกไปแล้วมันก็ยิ่งอายสุดๆ รู้สึกถึงเสียงของหัวใจที่เต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่

ดีใจจัง ที่ได้พูดออกไป.....

เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่ผมมาโรงเรียนด้วยรอยยิ้ม เพราะนับตั้งแต่หนูนาถูกรถชนผมก็ยิ้มออกมาไม่ได้เพราะความเป็นห่วงที่มันแน่นอกไปหมด พอคิดถึงหนูนาแล้วมันก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปเยี่ยมจะโทรติดต่อไปก็ไม่ได้เพราะว่าครูน้อยไม่มีโทรศัพท์ เบอร์ที่ครูน้อยใช้โทรมาในตอนนั้นก็เป็นเบอร์ตู้ซะด้วยส่วนเบอร์ที่บ้านเด็กกำพร้าผมก็ไม่รู้เพราะไม่เคยโทรเข้าไปส่วนใหญ่จะเข้าไปด้วยตัวเองมากกว่า

เอาวะ! ต่อให้ต้องถูกด่าอีกรอบยังไงซะผมก็ต้องไปเยี่ยมหนูนาให้ได้!.....

Rrrrrrr

ไม่ทันที่ผมจะคิดทำอะไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ผมมองไปยังหน้าจอรอสายก่อนที่จะกดรับอย่างเร่งรีบ พอเห็นเบอร์ตู้โทรมานั่นแหละก็ทำเอาผมรู้ทันทีคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากครูน้อย

“ครับ”

//เรย์นี่ครูน้อยเองนะ//

“ครับครู หนูนาเป็นยังไงบ้างครับ”ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดอะไรให้มากความผมก็ชิงตัดหน้าพูดออกไปซะก่อน ได้แต่รอฟังเสียงครูน้อยด้วยความร้อนรน

//หนูนาพ้นขีดอันตราย ปลอดภัยแล้วละ แล้วตอนนี้หนูนาก็ฟื้นแล้ว//

“จริงเหรอครับ! ดีใจจัง”

หนูนาฟื้นแล้ว.....ดีจัง แค่ได้ยินแค่นี้มันก็ทำให้ผมโล่งอกค่อยหายใจเข้าออกง่ายๆ หน่อย

“ขอโทษนะครับครู ที่ผมไม่ได้ไปเยี่ยมหนูนาเลย.....พอดีเกิดปัญหานิดหน่อย”

//ไม่เป็นไรหรอก พอหนูนาฟื้นครูก็โทรมาบอกเรย์ทันทีเลย//

“ขอบคุณครับครู ฝากบอกกับหนูนะด้วยนะครับว่าผมคิดถึง”

//จ๊ะ แล้วครูจะบอกให้นะ//

ผมคุยกับครูน้อยสักพักก่อนที่จะวางสายไปแล้วยิ้มกว้างออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข อย่างที่คนเขาพูดจริงๆ ว่า ‘ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ’ เหมือนกับความรู้สึกตอนนี้ของผมที่มันดีขึ้นหลังจากที่มีความทุกข์มาตลอดหนึ่งอาทิตย์ ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สดใส อาจเป็นเพราะช่วงบ่ายมันเลยทำให้แดดจัดจนแทบมองไม่ได้จนผมต้องเอามือมาบังแสงอาทิตย์แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีสุดๆ ตอนนี้ผมกำลังพักเที่ยงอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเลิกเรียนวันนี้หนูนาฟื้นผมจะต้องแอบไปหาซะหน่อย

“หืม?”

ช่วงเวลาความสุขของผมหมดลงทันทีเมื่อรับรู้การมาของร่างสูงอีกคนที่ผมไม่อยากเจอหน้าเป็นที่สุด ร่างสูงสมส่วนยืนค้ำตัวผมจนปิดบังการมองเห็นของผมทั้งหมด

“มีอะไร!”

“ก็เปล่า”

“ถ้าไม่มีนายก็ถอยไปเซ่! มายืนบังทัศนียภาพของฉันทำไม”

“ตรงนี้มันเป็นที่สาธารณะ ฉันจะยืนตรงไหนมันก็เรื่องของฉัน”

“แต่ฉันมาก่อน”

“แล้วไง”

“ไค!”

ผมรู้สึกขัดใจจริงๆ กับไอ้ท่าทีที่ไม่ทุกข์ร้อนของเขา มันทำให้ผมเริ่มหมดความอดทนเลยต้องเป็นฝ่ายลุกหนี ไม่ใช่ว่าผมยอมแพ้หรืออะไรหรอกนะเพียงแต่แค่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยเท่านั้นแหละ คนอุตส่าห์อารมณ์ดีทั้งทีเสียบรรยากาศหมด!!!

“อ้าว จะไปไหน”

“ยุ่ง!”ไม่อยู่แม่งแล้ว! ขึ้นห้องเรียนดีกว่า ผมเดินจนกลายเป็นแทบวิ่งขึ้นบันไดทีละขึ้นอย่างเร่งรีบ ไคไม่ได้ตามผมมาเขาแค่ต้องการกวนประสาทผมเท่านั้น พอคิดแล้วมันก็น่าโมโหจริงๆ แต่ด้วยความไม่ทันระวังทำให้ผมก้าวพลาดสะดุดขั้นบันไดแล้วด้วยความที่ผมอยู่ในช่วงตกใจทำให้คว้าราวบันไดไม่ทันจนต้องปล่อยตัวเองลงร่วงลงไปสู่พื้นเบื่องล่าง

ตุบ!

‘ไม่เจ็บ?’

ผมที่หลับตาปี๋อยู่อย่างกลัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อรู้สึกว่าอาจตกลงไปที่พื้นแล้ว แต่ทำไม? ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บสักนิด

“ไม่เป็นไรนะ”

น้ำเสียงเรียบที่เอ่ยขึ้นดังข้างหูมันทำให้ผมลืมตาโผลงแล้วมองไปยังร่างสูงที่รอรับผมอยู่ ใบหน้าของเราห่างกันไม่มากจนได้ยินเสียงลมหายใจที่เข้าออกที่แผ่วเบามันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เพราะไม่เคยใกล้ชิดใครขนาดนี้มาก่อน ตะวันเขามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันนะ? ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ผมยังเดินอยู่คนเดียวอยู่เลย

“อย่ามาจับ! โอ๊ย!!!”

ผมลุกขึ้นทันทีแต่ด้วยความเจ็บที่ข้อเท้ามันทำให้ผมถึงกับทรุดลงไปอีกรอบแต่ก็ได้มือหนาพยุงตัวเอาไว้

“เป็นไงละ ทำอวดเก่ง”

“อย่ามายุ่งกับฉันตะวัน”ผมพยายามรั้งตัวเองออก แม้จะเจ็บที่ข้อเท้าแต่ผมก็กัดฟันทนไม่ยอมให้ใครมาว่าผมอ่อนแอง่ายๆ หรอก สีหน้าเขามองผมนิ่งๆ ไม่พูดอะไรออกมาก่อนที่จะทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด

“เฮ้ย! นายทำอะไรของนายนะตะวัน”ตะวันช้อนผมไปด้านหลังนั่งยองลงทำท่าเหมือนกับว่าจะให้ผมขี่หลังซะอย่างนั้น นี่ผมไม่ใช่เด็กๆ นะที่พอเจ็บแล้วเดินไม่ไหวต้องให้ขี่หลัง อีกอย่างผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย

“เจ็บขาไม่ใช่เหรอ ขึ้นมาสิ”

“ไม่ต้อง! ฉันเดินเองได้”

“ฉันให้นายเลือกระหว่างให้ฉันอุ้มหรือว่าจะขี่หลังฉันดีๆ”

“อย่ามาทำแบบนี้นะ! ฉันไม่เลือกทางไหนทั้งนั้น”ผมถึงกับอ้าปากกว้างพะงาบๆ เหมือนกับว่าเสียงของตัวเองหายไปชั่วขณะกับหนทางที่ตะวันเลือกให้ ไม่ว่าทางไหนผมก็ไม่ต้องการสักนิด

“โอเค ถ้านายไม่เลือกฉันเลือกให้”

ตะวันพูดแล้วยืนขึ้นก่อนที่จะทำท่าอุ้มผมในท่าเจ้าหญิง แน่นอน! คิดว่าผมจะยอมง่ายๆ เหรอ ไม่มีทางซะหรอก!!! ผมรั้นตัวเองออกมาอยากโวยวายแต่มันก็รู้สึกอายเกินทนที่จะทำแบบนั้น ผมไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาในเรื่องแบบนี้หรอกนะ

“เออๆ หยุด! ขี่หลัง ฉันจะขี่หลัง”

“หึ ก็แค่เนี่ย”

ผมเบ้หน้าไปอีกทาง ให้ตายสิ! วันนี้มันวันอะไรของผมกันแน่ เดี๋ยวก็ไคที่กวนประสาทเดี๋ยวก็ตะวันอีกคน ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันดีของผมแท้ๆ แต่กลับรู้สึกคิดว่าตัวเองซวยชะมัด!!!

“เร็ว”

“เออ รู้แล้ว!”

จะเร่งทำไมนะ! รู้บ้างไหมว่ามันน่าอายขนาดไหนที่ต้องมาขี่หลังผู้ชายด้วยกัน ผมช้อนตัวเองขึ้นด้านหลังอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่ตะวันจะยกตัวขึ้นสูงจนทำให้แผ่นอกบางของผมชิดกับแผ่นหลังหนาของตะวัน ด้วยความที่ว่าผมกลัวตกก็เลยทำให้โอบรอคอตะวันเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว

“หึ”

น้ำเสียงที่หัวเราะในลำคอมันทำให้ผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ นี่เขาต้องแกล้งผมแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำแบบนี้หรอก ผมก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านเอาไว้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเพราะกลัวที่จะเจอสายตาที่มองมายังผมจากคนรอบด้านพวกเขาต้องมองว่าผมแปลกแน่ๆ

“ท่าทางอาจารย์จะไม่อยู่”

“เอ่อ อืม”

ผมเงยหน้าขึ้นมองทำให้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ห้องพยาบาลแล้ว ตะวันค่อยๆ วางผมลงกับเตียงพยาบาลด้านหลังก่อนที่จะเดินไปสำรวจรอบๆ

“สงสัยจะไปทานข้าว”

ตะวันพูดขึ้นอีกครั้งแต่เขาก็ยังไม่อยู่เฉยเปิดตู้พยาบาลออกแล้วนำสิ่งของที่สำหรับทำแผลออกมาทีละชิ้นจากนั้นก็มานั่งข้างหน้าผม

“จะทำอะไร! ไม่ต้อง!!! ฉันทำของฉันเองได้”

ผมรั้งตัวออกเมื่อรู้ว่าตะวันกำลังจะทำแผลให้ ผมไม่ชอบที่เขาจะทำแบบนี้เพราะมันทำให้ผมคิดว่าตัวเองอ่อนแอจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

ตึง!

“โอ๊ย! เจ็บ”ผมขยับตัวมากไปเลยทำให้ข้อเท้าซ้ายที่เจ็บชนกับเตียงจังๆ มันเจ็บมากพอที่จะทำให้ผมน้ำตาเล็ดเลยก็ว่าได้

“อยู่เฉยๆ ก็สิ้นเรื่อง ดื้อจริงๆ”

“ฉัน.....”

“หยุด! แล้วก็นั่งให้ฉันทำแผลให้เฉยๆ ซะ”

ผมที่กำลังจะอ้าปากพูดถึงกับหุบลงทันทีเมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังเหมือนกับผู้ใหญ่ที่กำลังดุเด็กเล็กๆ ของตะวัน แต่ถ้าเป็นแค่นั้นมันไม่สามารถทำให้ผมหยุดได้หรอกถ้าหากว่าตะวันไม่ยื่นใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ ผมที่หนีไปไหนไม่ได้ต้องเอนตัวหลบไปทางด้านหลังอย่างช่วยไม่ได้

“จะมาเบียดทำไมเล่า! จะทำก็รีบๆ ทำไปซิ!!!”

ร่างสูงยอมถอยออกไปโดยดี มือของเขาจับที่ข้อเท้าซ้ายของผมเบาๆ ก่อนที่จะถอดถุงเท้านักเรียนออกจนเผยให้เห็นข้อเท้าที่บวมช้ำจนผมหน้าเสียทันที ขาผมจะหักไหมนะ!

“คงไม่ถึงขั้นหักแค่อาจจะขาแพลงนิดหน่อย”

ตะวันพูดออกมาเบาๆ ทำเหมือนอ่านความคิดผมออกทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เงยหน้ามองผมด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาทำกับผมแม้จะเป็นแค่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ใช่! มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ บางทีตะวันเขาอาจแค่สมเพชผมเลยคิดทำดีกับผมก็ได้ นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่เขามาส่งผมที่โรงเรียน ถึงเราจะเรียนที่เดียวกันแต่ก็คนละห้อง ผมก็พยายามหลบหน้าหลบตาตลอดถึงจะเตรียมใจว่าสักวันต้องเจอหน้าแต่ยังไงซะผมก็ไม่อยากเจออยู่ดีแล้วยิ่งต้องมาเจอกันแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูก

“เรย์”

เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปตะวันก็เงยหน้ามองผมแล้วก็เพราะตำแหน่งที่นั่งทำให้สายตาของเราทั้งคู่ประสานกัน ทุกอย่างรอบตัวเงียบลง.....เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

“ตะวัน! เรย์!”

เฮือก!

ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อยแล้วพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด นี่ผมเป็นอะไรไปนะ? ผมเหลือบตามองตะวันนิดหน่อยเห็นเขาหันไปมองอีกทางทำให้ผมอดที่จะหันไปมองตามไม่ได้ ร่างสูงอีกคนยืนมองผมกับตะวันอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเชิงสงสัยที่ผมกับตะวันมาอยู่ด้วยกันได้

ไค!!!


Take

ขอคุณสำหรับคำติในตอนที่แล้วคร๊าบบ เทคมัวแต่คิดถึงละครน้ำเน่า เงาจันทร์ เอ้ย ฮ่าๆ มัวแต่คิดถึงจากแบบ จะตายแหล่ก็ไม่ตายแหล่พร่ำเพ้อพรรณนาอยู่นั่นแหละ ประมาณนี้อ่ะ เลยลืมนึกถึงความเป็นจริงไป ขอบคุณสำหรับคำเตือนครัช! ไว้เทคจะไปแก้เน้ออ

หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: AuyAaiz ที่ 05-06-2015 12:04:07
จ๊ะ o13
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 05-06-2015 13:08:57
ทำไมเรายังไม่รู้สึกเลยว่า 1 ใน 2 คนนั้นจะเป็นพระเอก
คนแต่งค้าาาา น้องน่าสงสารยังกะซินเดอเรลล่าขนาดนี้
ขอพระเอกแบบดีๆ เว่อๆ เหมือนเจ้าชายเลยน้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-06-2015 13:58:37
คนไหน
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: mek_it ที่ 05-06-2015 15:06:43
พระเอกมายังอ่า รอๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 05-06-2015 15:40:06
เอ้อเหอออออ ใครพระเอกเนี่ย ไคหรือตะวัน????
นี่รอเรย์หนีออกจากบ้านนะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 05-06-2015 17:08:59
โอ้วว ใครคือพระเอกของเรย์กันนะ  :katai2-1:

ขอเดาว่าเป็น....ตะวัน
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 05-06-2015 17:14:59
มาต่อแล้ว รึ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 05-06-2015 18:20:15
มาต่อไวๆน่ะ รออยุ่
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 05-06-2015 18:28:45
แหม  มาหมดเอาตอนสำคัญด้วย  อบบนี้ทำให้ค้างไปอีกหลายวันแน่ๆ :mew2:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 05-06-2015 19:05:53
หวังว่าเย็นคงจะไม่เป็นอะไรไปซะก่อนนะ เราอยากรู้ความคิดของด้านหนึ่งกับพ่อบ้างจัง คือแบบเพราะอะไรทำไมถึงทำแบบนั้นกัเรย์
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 05-06-2015 20:47:45
-.,- อุเหม่! นายตะวันรุกใหญ่ เจอคำตกหล่นจ้า อ่านแล้วสะดุด "ผมเป็นหนูนา" >>เป็นห่วงหนูนาเนอะ เป็นกำลังใจให้เทค  :katai3:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-06-2015 21:21:55
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 05-06-2015 22:24:50
อ่านไปก็ขัดใจไป แต่อีกใจก็ชอบดราม่าอยู่หน่อยๆ  :laugh:
มันจะแฮปปี้เอ็นดิ้ง อยู่ใช่ไหมคะคุณคนเขียน :impress2:
เราก็จะพยายามไม่ตบตีน้องเรย์เพราะความหมั่นเขี้ยวแล้วกัน อิอิ :z1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 05-06-2015 22:28:38
ป๊าดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
อ่านรวดเดียวจบแล้วโคตรรู้สึกแย่มากกกกกกก
น้ำตาแตกตั้งตอนแรก แม้ตอนที่6 จะไม่ร้องเท่าไร แต่ก้ยังยิ้มไม่ออก
เราปลื้มเรื่องนี้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! พูดเลยหลงเรื่องนี้สุดๆๆๆ Y^Y

รู้สึกไม่ชอบหนึ่งมากๆๆๆ รู้สึกเหมือนเป็นคนขี้อิจฉาเหมือนมีอะไรแอบแฝง
เหมือนทำดีต่อหน้าทุกคน แต่จิงๆแล้ว โห้! อินี่ เลวสุดอ่า ฮ่าาาา  #อิน
พ่อเรย์ก้เหมือนกันถามจิงเกียดเรย์อะไรขนาดนั้น เคยไปขี้รดหัวหรอ?
แล้วถ้าตอนหลังจะมาทำดี มาบอกรักเรย์ แล้วบอกที่ผ่านมาแสดงความรัก ความห่วงไม่ได้ จะถีบหน้าให้ #อิน

อยากจะบอกอ่านแล้วจี๊ดมาก ตรงที่กล่าวหาว่าเอาโน๊ตไปแล้วตอนหลังอาจานมาบอกว่าลืมไว้ที่เปียโน #โถ่นังหนึ่งอิขี้ลืม
ตอนนั้นโคตรรู้สึกแย่ แบบแย่มาก นึกถึงหน้ากันกับหนึ่งออกเลย แต่ไม่เข้าใจว่าพวกมันไม่รู้สึกผิดเลย?
ไม่คิดจะขอโทษไม่เท่าไร แต่นี่ไม่มีเดินมาหา พูดคุย แก้ตัว หรือทำอะไรเลย หายไปเฉยๆๆ โคตรรู้สึกแย่อ่ะพูด

เท่าที่อ่านมาตะวันกับไคที่เหมือนจะชอบเรย์ แล้วใครจะเจ้าของหัวใจเรย์อ่า เราเชียร์ไค ได้ป่าวววววววว #เอาไคเถอะเรย์


แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้นพูดเลยว่าอินและเพ้อเรื่องนี้มากกกกก
ฉะนั้นรีบๆๆมาต่อ อย่าให้เรารอนานนะ เราเสียน้ำตาเรื่องนี้ไปเยอะ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ค้างนาน
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 05-06-2015 23:56:23
เชียร์ไคสุดตัว  :z13: :z10: :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-06-2015 00:03:38
ตามต่อเอาอีกๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: jamelovelove ที่ 06-06-2015 02:45:50
แง๊ๆๆๆๆๆๆค้างงงงงงงงงงงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-06-2015 10:02:59
ศึกชิงนางจะบังเกิดแล้วใช่ไหม ฮ่าๆๆๆๆๆ
แต่ว่าพระเอกอ่ะคนไหนออกมายังอ่ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: เอแคร์ไวท์ครีม ที่ 06-06-2015 10:45:08
จะไคหรือตะวันก็เอาเถอะ พวกแกช่วยนายเอกของชั้นก่อน!  :m15:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 06-06-2015 13:07:31
สนุกอ่า ชอบนายเอกมืดมนแบบนี้ อ่านแล้วหน่วงดี

ขอทราบปมคุณพ่อ มีเหตุอะไรให้ไม่ชอบเรย์เหรอคะ จะว่าหมดรัก/ไม่เคยรักเมียเก่าก็คนล่ะประเด็นกับลูก เรย์ก็ส่วนนึงของอสุจิที่คุณหลั่งออกมาเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ลูกตัวเองลูกติดแม่ก็ว่าไปอย่าง

ตอนแรกก็ว่าทำไมไม่ออกไปอยู่ที่อื่นกับเย็นสองคน เงินก็มี จะได้ไม่ต้องทนเห็นภาพบาดตา อ่อติดปัญหาเรื่องอายุและพินัยกรรม เข้ามหา'ลัยแล้วก็แยกไปอยู่หออยู่คอนโดใกล้มหา'ลัย เอาเย็นไปด้วยจะดีกว่า แต่จะเขียนเดินเรื่องไปถึงตอนนั้นไหมคะ?

พระเอก ตอนแรกก็คิดว่าไค แต่พอคิดว่าจะใช่ไคกลายเป็นตะวันแย่งซีน เลยยังไม่ชัวร์อ่ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 06-06-2015 13:30:44
รู้สึกดีที่เริ่มจะมีใครมาสนใจเรย์มากขึ้น เรย์จะได้ไม่เหงา ไม่เศร้าเวลาที่คิดเรื่องพ่อ

ตอนนี้อยากรู้มาก ว่าใครเป็นพระเอก ไม่กล้าเชียร์แล้ว กลัวผิดหวังจัง555 :mew2:
แต่เราก็อยากเชียร์ตะวันเป็นพระเอกเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่ใช่ก็ขอมีนายเอกอีกคนได้ไหม555.
ตะวันผู้แสนดีของเราแบกเรย์หนักไหม

ขอบคุณมากๆนะคะ ตอนหน้าเฉลยพระเอกเถอะนะคะ. ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 08-06-2015 22:09:23
อ่านทันละ อ่านซ้ำสองรอบตั้งแต่หนึ่งถึงหกเลย คนแต่งเก่งจังดึงอารมณ์คนอ่านให้อินไปกับเรย์ได้สุดๆ จริงๆ ยิ่งผมที่มีปมเรื่องน้อยใจพ่อมาตลอด 20 ปี ยิ่งเข้าใจเรย์ ขอบคุณคนแต่ง ดราม่าดีชอบๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 5/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 14-06-2015 11:18:53
พ่อคิดอะไรอยู่ อยากรู้จัง  :hao4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 17-06-2015 10:18:09


หลังจากที่ไคมาเจอผมกับตะวันที่ห้องพยาบาลมันก็ไม่มีอะไรมากเพราะตะวันแค่มาทำแผลให้ผมแทนอาจารย์ห้องพยาบาลเพราะว่าอาจารย์ไม่อยู่ พอผมทำแผลเสร็จต่างคนก็ต่างแยกย้ายซึ่งมันก็น่าจะจบแค่นั้น ขาที่ระบบของผมก็เริ่มดีขึ้นไม่ค่อยเจ็บเหมือนตอนแรกๆ

“สวัสดีครับครูน้อย”

“อ้าว เรย์ มาแล้วเหรอ”

“ครับครู”

ผมมาเยี่ยมหนูนาที่โรงพยาบาลหลังเลิกเรียน มองดูเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่นอนหลับสนิทตรงเตียงคนไข้ที่ตอนนี้มีแต่สายน้ำเกลือระโยงระยางอยู่ข้างตัวกับเครื่องช่วยหายใจ แถมแผลก็ยังเต็มตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าสำหรับผมมันเป็นภาพที่หดหู่มากการมองเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังเจ็บหนักแต่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้นอกจากให้กำลังใจมันทรมานสิ้นดี!!! โชคดีที่หนูนาไม่ได้จากผมไปซะก่อน ดีจริงๆ ที่มีชีวิตรอด ถ้าหากว่าหนูนาเกิดเป็นอะไรไปตัวผมก็คงเหมือนกันตายทั้งเป็น

“อ้าว แล้วขาเป็นอะไร”

คงเป็นเพราะผ้าพันแผลที่พันรอบข้อเท้าอยู่ครูน้อยก็เลยถามขึ้นด้วยความสงสัย ผมไม่อยากให้ครูน้อยเป็นห่วงเพราะแค่นี้ครูน้อยก็ทุกข์มากพออยู่แล้ว

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับครูแค่ข้อเท้าแพลงนิดหน่อย”

“ให้หมอตรวจดูก่อนดีไหม”

“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวมันก็หายผมไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วนี่หนูนาหลับไปนานแล้วเหรอ”

“หนูนาเพิ่งหลับไปเมื่อกี้นี้เอง”

“ดีจังเลยที่หนูนาปลอดภัย แล้วหาตัวคนทำได้ไหมครับครู”

“ยังเลย คงตัวไม่เจอง่ายๆ หรอก ถือซะว่ามันเป็นเวรเป็นกรรม”

“ครู”

ใบหน้าของครูน้อยที่เอ่ยออกมาเศร้าสร้อย รอยยิ้มจางๆ ที่มอบให้มันทำให้ใจของผมกระตุกวูบ สีหน้าของครูน้อยดูหมองลงจนเห็นได้ชัด คงจะร้องไห้หนักมากกว่าผมหลายเท่าแล้วก็ไม่ค่อยได้พักผ่อน เพราะครูน้อยก็คงเป็นห่วงหนูนาไม่น้อยไปกว่าผม บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มวัยรุ่นคนนึงกับผู้หญิงวัยกลางคนเดินก้าวเข้ามาในห้องคนป่วย ผมอดที่จะแปลกใจไม่ได้เพราะไม่เคยเห็นคนๆ นี้มาก่อน สงสัยคงจะเป็นคนรู้จักของครูน้อย แต่ทำไมดูเขาทำท่าทางประหม่าจังเลยเหมือนกับว่ากำลังกลัวอะไรบางอย่าง

“สวัสดีคะ ฉันชื่อศรีเป็นแม่ของเด็กคนนี้คะ”

“เอ่อ สวัสดีคะ แล้ว......”ครูน้อยทำหน้างงๆ มองผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่เข้าใจความหมายว่าเขาจะมาแนะนำลูกชายให้รู้จักทำไม?

“ดิฉันพาลูกชายมารับผิดชอบในสิ่งที่แกเป็นคนทำคะ”

“คุณหมายความว่ายังไง?”

“คนที่ชนเด็กคนนั้นเป็นลูกชายของฉันเองคะ”

!!!

ความจริงที่เพิ่งปรากฏกับคนร้ายที่ชนแล้วหนี เด็กผู้ชายที่มีอายุเพียงแค่ 16 เป็นคนขับรถชนหนูนา บ้านของเขาอยู่แถวนั้นด้วยความคึกคะนองเลยแอบเอารถของพ่อกับแม่มาขับเล่นตอนที่พวกท่านไม่อยู่ ถึงแม้จะขับได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าขับคล่องจนกระทั่งขับมาถึงแถวๆ บ้านเด็กกำพร้าที่เป็นต้นเหตุ เพราะความไม่ชินบวกกับตกใจที่จู่ก็มีลูกบอลกลิ้งมากลางถนนทำให้เผลอเหยียบเบรกเป็นคันเร่งแล้วก็เป็นจังหวะที่หนูนาวิ่งมาเก็บลูกบอลทำให้ชนเข้าอย่างจัง เพราะกลัวความผิดจึงทำให้คิดหนีแต่สุดท้ายก็หนีไม่ไหวเลยต้องออกมาขอโทษกับความผิดที่ไม่ได้ตั้งใจ

“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“.....”

“ผมผิดไปแล้วจะลงโทษผมยังไงก็ได้ ผมสำนึกแล้วจริงๆ ฮึก ฮือ”

เด็กผู้ชายตรงหน้าผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอายกับคำขอโทษที่เอ่ยออกมาจากปากนับครั้งไม่ถ้วน เพราะตั้งแต่ขับรถชนหนูนาก็ทำให้นอนไม่หลับ หวาดระแวงและกลัวจนทนกับความรู้สึกผิดไม่ได้เลยเล่าทุกอย่างให้กับครอบครัวฟังก็เลยถูกพามาทีนี่

“ฉันขอโทษคะ เพราะฉันเลี้ยงลูกไม่ดีจึงทำให้แกไม่รู้จักรับผิดชอบ ขอโทษจริงๆ คะ”

ภาพตรงหน้าของผมคือคนที่ได้ชื่อว่าแม่ยอมรับผิดไปกับลูกตัวเองมันทำให้ผมคิดถึงแม่ ผมจำแม่ไม่ได้เลยนอกจากใบหน้าที่มักจะยิ้มให้กับผมเสมอจากในความฝัน ถึงผมจะอยู่กับพ่อแต่อ้อมกอดของพ่อก็ไม่เคยมอบมันให้กับผมมีแต่จะคอยพลักไสไล่ส่งให้ไปไกลๆ ถ้าหากว่าผมเป็นคนทำผิดพ่อคงไม่ออกมาปกป้องผมแบบนี้แน่

เรื่องทุกอย่างจบลงโดยที่ครูน้อยไม่เอาเรื่องเพราะเห็นว่าอย่างน้อยคนทำผิดก็ยังสำนึกอีกทั้งหนูนาเองก็ผิดที่วิ่งตัดหน้ารถแบบทะเล่อทะล่า ครูน้อยไม่อยากตัดอนาคตเด็กเพราะแค่อายุ 16 ยังมีอนาคตอีกไกล แถมเจ้าตัวก็ยังสัญญากับครูน้อยด้วยว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก แค่นั้นมันก็พอแล้วละ

ผมมองบ้านตัวเองด้วยใจห่อเหี่ยวตอนนี้ก็เกือบหกโมงเย็นแล้วไม่อยากเข้าไปเลยสักนิดแต่จะทำยังไงได้ในเมื่อผมยังอยู่ที่นี่ก็จำเป็นที่จะต้องกลับมาต่อให้ไม่อยากแค่ไหนก็ตาม

“เรย์ กลับมาแล้วเหรอ?”

ทันทีที่ผมเดินผ่านประตูรั้วเข้ามาแต่ยังไม่ได้เข้าไปเหยียบในบ้าน ร่างบางอีกคนก็ยิ้มร่ามาให้ผมมันเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ใครเห็นใครก็ต้องหลงรักแต่ทำไมผมถึงไม่ต้องการมันนะ

“ยังไม่กลับมั้ง ก็เห็นๆ ว่ากลับมาแล้วตาบอดหรือไง”

“เอ่อ นั่นซินะ ไม่น่าถามเลย”

รอยยิ้มเศร้าๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าก่อนที่จะพยายามปรับเป็นสีหน้าปกติทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงไม่วีนไม่เหวี่ยง ตอบกลับมาซิ!!! จะโกรธกันก็ได้แต่ทำไมไม่ทำ!!!

พลั๊ก!

“อ่ะ!”

พอเห็นหน้าของหนึ่งแล้วมันทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกระทันหันจนเผลอที่จะพลักให้พ้นทาง ทำให้หนึ่งที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปกับพื้นซีเมนซ์

“หนึ่ง!!!”

!!!

มันคงเป็นความโชคร้ายของผมเพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่ตะวันกับไคมาเห็นพอดี นี่พวกเขามาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย! ตะวันที่เห็นหนึ่งล้มก็รีบเข้ามาประคองอย่างเบามือเหมือนกับว่ากลัวอีกคนจะเจ็บ หนึ่งค่อยๆ พยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นช้าๆ แล้วมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง นัยตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าที่ฝ่ามือมีแผลถลอก ผมเองก็ตกใจเหมือนกันไม่คิดว่าแรงผลักของผมจะทำให้เธอบาดเจ็บถึงแม้ว่าเลือดจะไม่ออกก็เถอะ แต่เพียงแค่นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้ผู้ชายทั้งสองคนที่ยืนขนาบข้างมองดูด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรนะหนึ่ง เจ็บตรงไหนไหม”

“เอ่อ ขอบคุณนะตะวัน ฉันไม่เป็นอะไร”

“ทำแบบนี้ทำไมเรย์!”

“ไค! ฉันล้มเอง เรย์ไม่ได้ทำอะไรฉัน”

“แต่!.....”

“ไค”

เสียงสนธนาที่ดังขึ้นพร้อมกับคำสวยหรูที่พ่นออกมาจากปากของอีกคน หนึ่งพยายามพูดปกป้องผมเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลถึงพวกเขาจะไม่เชื่อแต่เมื่อเห็นสายตาที่หนึ่งใช้มองก็ยอมอ่อนข้อลงง่ายๆ ตะวันมองผมนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำยิ่งทำให้ผมอึดอัดจนแทบบ้า

ผมเม้มปากตัวเองแน่นแล้วทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะทนสายตาที่มองว่าผมเป็นคนผิดไม่ไหวก่อนที่จะวิ่งขึ้นห้องโดยที่ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ
ผมไม่ผิด!!! หนึ่งผิดเองที่มาอยู่ตรงนี้ หนึ่งผิดเองที่มายืนขวางทางผมมาให้เห็นหน้า! หนึ่งผิดที่แย่งความรักของทุกคนไปจากผมจนหมด!!!

ตึง!

“อ่ะ”

ด้วยความรีบร้อนจนลืมไปว่าตัวเองขาเจ็บทำให้ผมสะดุดบรรไดขั้นสุดท้ายอย่างจังแถมยังเป็นข้างที่ขาเคล็ดอีกซะด้วยมันก็ยิ่งทำให้ผมเจ็บขึ้นไปอีก แต่ผมก็ต้องทนแล้วหนีไปให้พ้นจากคนพวกนั้น

ปัง!

ประตูห้องถูกปิดลงอย่างแรงผมรีบล็อกกลอนทันทีแล้วพาร่างสั่นๆ ไปนั่งอยู่บนที่นอนนุ่มๆ กอดเข่าไว้แน่นเพื่อเป็นการให้กำลังใจตัวเอง สายตาของผมมองไปที่ขาที่ระบมมากกว่าเก่ามันไม่ได้มีเลือดออกแต่มันก็ทำให้เจ็บมากกว่าเดิม

“จะ เจ็บ.....เจ็บจัง”

เจ็บ.....ใช่! ผมเจ็บมาก แล้วเจ็บที่ตรงไหนละ? เจ็บที่ขาหรือว่าเจ็บที่หัวใจ.....

วันเวลาผ่านไปนานเท่าไร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมนอนหลับไปทั้งอย่างนั้นแผลก็ไม่ได้ทำตื่นมาอีกทีก็ตอนที่เย็นไปปลุกให้ไปอาบน้ำ พอเย็นเห็นขาที่บวมเป่งของผมแค่นั้นแหละถึงกับตกอกตกใจเหมือนกับว่าขาผมหักอย่างนั้นแหละ กว่าจะพูดให้เย็นสงบลงได้ก็แทบเหนื่อยทีเดียว

“อืม แฮ่ก แฮ่ก”

ปวด.....ปวดหัวจังเลย ทำไมผมรู้สึกทรมานแบบนี้นะ เช้าแล้วเหรอ? ต้องลุกไปโรงเรียน.....

“.....เรย์.....คุณเรย์”

เสียง? นั่นเสียงเย็นนี่นา แล้วทำไมผมถึงลืมตาไม่ขึ้น.....

“เย็น ผมปวด.....หัว”

“ลุกมาทานยาก่อนนะคะจะได้ไม่ปวด”

ผมเป็นอะไร? ทำไมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรง แม้แต่แรงหายใจแถบจะไม่มีเลย.....

“โธ่ คุณเรย์ ไม่เป็นไรแล้วคะ เดี๋ยวก็หายแล้วนะ”

อา.....เย็นจัง

ผมรู้สึกถึงความเย็นที่มาทาบตรงหน้าผาก ตามเนื้อตัวก็เริ่มเย็นขึ้นหลังจากที่เรย์เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดให้ ความร้อนที่อยู่ในกายเริ่มลดลง ผมค่อยๆ ปรือตามองไปยังคนที่อยู่ข้างกาย ถึงจะมองไม่ชัดเพราะม่านน้ำตาที่บดบังแต่ผมก็รู้ทันทีว่าใครที่กำลังเช็ดตัวให้ผมด้วยความเป็นห่วงจนผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

นี่ผมไม่สบายเหรอ?.....

สงสัยคงเป็นเพราะข้อเท้าที่อักเสบมันก็เลยทำให้ไข้ผมขึ้นซินะ แล้วก็คงเพราะฤทธิ์ยาอีกเหมือนกันทำให้ผมในตอนนี้รู้สึกง่วงจังเลย

“เย็น.....อยู่กับผมนะ”

“คะ เย็นอยู่นี่แล้วคะ”

ผมจับมือของเย็นไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถึงจะง่วงแต่ผมก็ยังไม่อยากหลับ ผมกลัวที่จะอยู่คนเดียว.....กลัวว่าเย็นจะทิ้งผมไปเหมือนกับแม่แล้วก็เหมือนกับคนอื่นๆ ผมมันเป็นเด็กไม่ดีไม่เหมือนกับหนึ่งผมกลัวว่าเย็นจะไม่รักผม

“อยู่กับผมนะเย็น”

“คะ”

“อยู่กับผม”

“คะ”

อา.....ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องเพ้อขนาดนี้นะ แต่มันหยุดไม่ได้จริงๆ อย่าเพิ่งรำคาญผมเลยนะ ผมเสียใจแล้วก็ขอโทษที่ทำตัวไม่ดีแต่อย่าทิ้งผมเอาไว้คนเดียว ผมเหงา.....เหงามากจริงๆ
.
.
.
วันต่อมา

“พี่เย็น เรย์ยังไม่ตื่นอีกเหรอ”เล็กเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นว่าอีกคนยังไม่ลงมาเหมือนปกติทุกวัน

“วันนี้คุณเรย์คงไม่ได้ไปโรงเรียนคะ”

“อ้าว ทำไมละ?”

“พอดีคุณเรย์ไม่สบายนะคะ”

“ตายจริง! แล้วเป็นอะไรมากไหม”

“ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วคะ ไม่เป็นอะไรแล้ว”

เย็นเอ่ยตอบด้วยเสียงนิ่งเรียบแต่ไม่ได้สบตามองกับผู้ถามแต่อย่างใด ถึงแม้เธอจะเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูแต่ก็รู้ตำแหน่งดีว่าอยู่ในตำแหน่งอะไรของบ้าน ไม่สามารถทำตัวตีเสมอผู้เป็นนายได้ถึงแม้ว่าภายในใจจะค่อยชอบคุณหนูอีกคนของบ้านเท่าไร่ก็ตาม ไม่ใช่เพราะคุณหนูหนึ่งเหรอ? ที่ทำให้คุณหนูของเธอต้องเจ็บตัวและร้องไห้ทุกครั้ง

“หนึ่ง ไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอลูกเดี๋ยวก็สายนะ”นายใหญ่ของบ้านที่เดินตามมาทีหลังเอ่ยถามลูกชายด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่ายังอยู่

“นั่นซิหนึ่ง ทำไมยังไม่ไปโรงเรียนอีก”นันเอ่ยถามลูกชายของเธอด้วยเช่นกัน

“คุณแม่ คุณพ่อ เรย์ไม่สบายคุณพ่อให้คนพาเรย์ไปหาหมอหน่อยนะ”

“อ้าว ตายจริง แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าเย็น”สีหน้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใยของคนที่ได้ชื่อว่าแม่เลี้ยงเกิดขึ้นทันทีที่รู้ข่าว

“ดีขึ้นแล้วคะ”เย็นก้มหน้าตอบกับคุณผู้หญิงของบ้าน คนที่มาแทนที่คุณผู้หญิงของเธอ

“เขาไม่เป็นอะไรหรอก เป็นไข้แค่นิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย ไปๆ ไปทำงานกันได้แล้ว”

“คุณ”

“แต่คุณพ่อ.....”

“โน่น ตะวันมารอนานแล้ว ไปได้แล้ว”

คำเอื้อนเอ่ยที่ออกมาจากผู้เป็นพ่อมันทำให้ความรู้สึกของเย็นเจ็บนัก ขนาดลูกชายอีกคนไม่สบายแท้ๆ แต่กลับไม่ดูดำดูดีพูดส่งๆ เหมือนต้องการผละภาระให้พ้นทาง ขนาดเธอที่เป็นคนอื่นยังเจ็บขนาดนี้แล้วคุณหนูที่นอนซมอยู่บนห้องถ้าหากได้ยินเข้าไม่เจ็บหรือไง นึกน้อยใจแทนนักถ้าหากเป็นไปได้อยากจะพาคุณหนูเรย์ไปอยู่ที่อื่นให้รู้แล้วรู้รอด!!! ไม่ต้องมาเจอะเจอกับพ่อใจร้ายอีกเลย

“เฮ้อ คุณเรย์ของเย็น”

หลังจากที่ทุกคนออกไปกันหมดแล้วเย็นก็มาที่ห้องอาหารเพื่อเตรียมข้าวต้มให้กับคุณหนูที่ยังนอนป่วยอยู่บนห้อง

“นี่เมื่อวานนะ คุณเรย์ผลักคุณหนึ่งล้มใช่ไหม”

“ใช่ๆ แล้วมีอะไรเหรอ”

“วันนี้ก็นอนซมเป็นหวัดนะซิ สงสัยกรรมตามสนอง”

เย็นชะงักทันทีเมื่อเดินมาถึงห้องครัว เสียงสนธนาของเหล่าสาวใช้ของบ้านเอ่ยดังขึ้นหลังจากที่ผู้เป็นนายไม่อยู่ออกไปทำงานกันจนหมด ถ้าหากว่าจะพูดเรื่องอื่นเย็นไม่ติดสักนิดแต่นี่กลับพูดถึงเรื่องคุณหนูตัวน้อยของเธอแถมยังนินทากันซะสนุกปาก เพราะตำแหน่งคนใช้เหมือนกันมีหรือที่เธอจะยอมให้ใครมาว่าร้ายคุณหนูของเธอง่ายๆ

ปัง!

“หุบปากไปเลยนะพวกแก นังน้อย นังนิด”

“โถ่เอ้ย นึกว่าใครแท้แท้ก็เย็นนี่เอง”น้อยมองเย็นนิดหน่อยแล้วทำเป็นไม่สนใจทำเป็นเด็ดผักในมือต่อ

“ทำไมเย็น จะแก้ตัวเจ้านายแกเหรอ”นิดพูดเสริมด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

เย็นกำมือแน่นนึกอยากจะตะบันหน้าพวกนี้นักนะ ถึงแม้ว่าคุณหนูของเธอจะร้ายแต่ก็แค่การแสดงออกที่ไม่อยากให้ใครมามองว่าตัวเองอ่อนแอเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วข้างในนั้นแสนจะเปราะบางเหมือนกับแก้วที่สามารถแตกละเอียดได้ทุกเวลา

“นี่เย็น พวกฉันถามหน่อยเถอะ แกไม่สงสารคุณหนึ่งบ้างหรือไงโดนคุณเรย์แกล้งตั้งแต่เด็กยันโต ระวังจะเสียคนเอานะ”นิดพูดพลางเด็ดผักในกะลามังไปพลาง

“ที่พวกฉันพูดเนี่ยก็เพราะว่าเป็นห่วงหรอกนะ”น้อยพูดขึ้นอีกครั้งแล้วมองไปที่เย็นที่ตอนนี้ทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน
เย็นพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจตั้งหน้าตั้งตาทำข้าวต้มต่อ นึกปวดใจเสียจริงๆ ที่คนรอบข้างมองคุณหนูของเธอเหมือนกับเป็นตัวร้ายในละคร

โถ่ คุณเรย์ของเย็น.....

.
.
.
หนึ่งวันเต็มๆ ที่ผมต้องนอนซมอยู่กับบ้าน หนึ่งคืนที่ผมได้แต่ละเมอพร่ำเพ้อออกมาเหมือนกับเด็กเล็กๆ ไม่รู้ว่าผมเพ้ออะไรให้เย็นฟังบ้างหรือเปล่า คิดแล้วมันก็น่าอายชะมัด! ถึงอาการไข้ของผมจะทุเลาลงก็เถอะแต่ก็ยังไม่หายขาด ผมไม่ได้ไปเรียนได้แต่นอนอยู่ในห้องทั้งวันเลยทำให้รู้สึกเบื่อๆ เลยออกมานั่งเล่นที่สวนหน้าบ้านแทน ขาที่บวมในตอนแรกก็ไม่เป็นอะไรแล้วแค่ช้ำนิดหน่อย ตอนแรกเย็นก็ห้ามแล้วพาผมไปหาหมอให้ได้แต่ด้วยความดื้อที่ไม่ยอมเลยทำให้เย็นยอมจนได้ ก็แหม มันเบื่อนี่นา อีกอย่างผมไม่ค่อยชอบไปโรงพยาบาล ถ้าหากว่าตัวเองไม่เป็นหนักจริงๆ จะไม่เข้าเด็ดขาดเพียงแค่ต้องไปนอนเพราะจมน้ำคราวนั้นมันก็เกินทนแล้ว
เอี๊ยด!

เสียงรถที่ขับเคลื่อนเข้ามาในตัวบ้านดังขึ้นพร้อมกับเสียงเบรกดังเข้าโสตประสาททำให้ผมที่กำลังหลับตาอยู่ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจเล็กๆ หนึ่งคงกลับมาแล้ว ก็นั่นนะซิ! นี่มันก็เลิกเรียนแล้วนี่นาถ้าหากว่าไม่กลับมันก็คงแปลกไม่น้อย

ผมทำเป็นไม่สนใจแล้วหลับตาลงอีกครั้ง สงสัยเพราะข้าวกับยาที่เพิ่งกินมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกง่วงอีกแล้ว อีกไม่นานพ่อก็จะกลับมาผมก็คงต้องย้ายขึ้นไปนอนพักต่อบนห้อง ผมที่นอนซมอยู่กับบ้านไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของพ่อเลย พ่อไม่ได้โทรมาหาผมแม้แต่คิดจะถามอาการของผมกับคนในบ้านก็ไม่มีสักนิด

เฮ้อ ช่างมันเถอะ คิดไปก็เท่านั้นมีแต่จะเสียใจเปล่าๆ.....

“ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ ไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ”

หืม? ใครนะ.....

ทำไม? ตาของผมมันลืมไม่ขึ้นเลยละ ได้ยินเสียงเบาๆ พร้อมกับร่างกายของผมที่รู้สึกว่ามันลอยขึ้นจากม้านั่งที่ผมนอนอยู่ ใครกำลังอุ้มผมอย่างนั้นเหรอ?

แรงสั่นสะเทือนจากการเดินมันไม่ได้ทำให้ลืมสามารถลืมตาขึ้นมาได้เลย สัมผัสที่อ่อนโยนมันทำให้ผมคิดว่าตัวเองฝันไป นี่ผมกำลังฝันไปแน่ๆ

“หายเร็วๆ นะ”

อา คำพูดของเขามันทำให้ผมมีความสุขจัง.....


หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: DLuciFer ที่ 17-06-2015 11:09:31
เกลียดอิพ่อมาก ผู้ใหญ่เห็นแก่ตัวแล้วมาโทษที่เด็ก ตัวเองสร้างปัญหาแท้ๆ เด็กต้องมารับกรรม -*-
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-06-2015 11:34:40
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียด เมืรอไรจะโตสักที มีแต่เจ็บไปวันๆ โตเร็วๆเถอะ จะได้ตัดสินใจอะไรง่ายขึ้น
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 17-06-2015 12:01:06
ทำไมอ่านกี่ตอนกี่ตอนก็ทำใจให้เชื่อว่าหนึ่งกับแม่เป็นคนดีไม่ได้นะ งงแรง
 หมันไส้คนใช้จริงๆเลยน่าตบปากนักเย็นน่าจัดไปสักดอก :beat:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: hibarihao ที่ 17-06-2015 12:12:52
เกลียดพ่อมากอ่ะ ยิ่งอ่านยิ่งเกลียด เมื่อไรเรย์จะโตสักที :ling1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 17-06-2015 12:14:32
เหมือนคอมเม้นท์บนๆ ค่ะ ยังปักใจเชื่อไม่ได้เหมือนกันว่าหนึ่งกับแม่เป็นคนดี
แต่ตอนนี้เรย์ก็มีส่วนผิดนะ ไปผลักหนึ่งเค้าทำไม
ยังไงก็ตาม คนอย่างพ่อเนี่ย รับไม่ได้สุดๆ เลยอ่ะ
ถ้าสมมุติว่าพลอตเป็นแบบสุดท้าย แม่หนึ่งกับหนึ่งวางยาพ่อ หวังฮุบสมบัติ
แล้วเรย์ต้องมาดูแลพ่อที่พิการนี่ .... ไม่อยากคิดอ่ะ
เราคิดเหมือนเย็นนะ เรย์ควรหนีออกไปไกลๆ คนพวกนี้ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: pare_140 ที่ 17-06-2015 13:44:31
เรื่องคุ้นๆนะ เคยลงมาก่อนป่าวเอ่ยย เหมือนต่อไปเย็นตาย เรย์ไปต่างประเทศ ใช่ม้ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 17-06-2015 19:49:07
เรื่องนี้อ่านทุกตอนต้องทำให้เราได้ร้องไห้เสมอ

เรย์น่าสงสาร  ที่ทำเป็นร้ายกาจเพื่อปกปิดความอ่อนแอแท้ๆ  เป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อใจร้ายจริงๆ

ตะวันคงจะเข้าใจเรย์มากขึ้น  แต่ก็มาเห็นว่าเรย์ผลักหนึ่งจริงๆ  ประมาณรักแต่ไม่สนับสนุนสิ่งที่ไม่ดี

เรย์ก็เหมือนจะมีตะวันอยู่ในสายตาแล้ว เย้   คงเพราะตอนนั้นที่ตะวันทำแผลที่ขาให้ คงประทับใจในความใจดี
เรย์คงเจ็บที่หัวใจด้วยแหละ เพราะตอนนี้ไม่มีตะวันมาอยู่เคียงข้างทำแผลที่ขาให้อีก
เรย์ทำตัวเองอีกแล้ว ไม่ขอโทษหนึ่งให้ตะวันเห็นอีก  อยากเป็นนางร้ายไปตลอดเลยเหรอ  น่าสงสาร

แต่หวังว่าตะวันจะเป็นพระเอกที่ทำให้นายร้ายเป็นนายเอกสักวันนะคะ
เมื่อไรพระเอกจะเปิดเผยตัวให้เรย์ตื่นจากความฝันสักที  ที่ผ่านมามีตัวตนไม่ใช่ชายในฝันซะหน่อย555

ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2: สนุกมากๆ  ติดตามตอนต่อไปค่ะ  ยังเชียร์ตะวันเป็นพระเอกค่ะ :-[


หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 17-06-2015 23:19:46
เรื่องคุ้นๆนะ เคยลงมาก่อนป่าวเอ่ยย เหมือนต่อไปเย็นตาย เรย์ไปต่างประเทศ ใช่ม้ะ

เรื่องนี้เคยลงที่ธัญวลัยและเด็กดีมาก่อน ตอนนั้นงานนิยายเยอะมากเลยดอง แล้วตอนนี้ก็กำลังเริ่มกลับมาแต่งใหม่แล้วก็เอามาลงที่ไทยบอยครับ^^
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 20-06-2015 10:38:43
ตอนนี้ก็ยังสงสารเรยอยู่ดี คนเป็นพ่อแย่มากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: fahsida ที่ 20-06-2015 11:02:11
อยากอ่านต่อแล้วซิ ยิ่งอ่านทำไมยิ่งรู้สึกเกลียดครอบครัวเรย์ก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน6 7/6/15
เริ่มหัวข้อโดย: ploysure ที่ 20-06-2015 12:11:23
น้ำตาไหล สงสารเรย์ :o12:
อยากให้เรย์มีความสุขนะ รักเรย์นะ

แอบเห็นว่ามีลงไว้ที่อื่นด้วย ขอไปแอบอ่านละกัน ทนไม่ไหวแล้ววว
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 02-07-2015 21:59:48

ตอนที่ 8

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ผมไม่ได้เรียกเขาว่า ‘พ่อ’ มันนานมากจนผมเองก็เกือบลืมไปเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากจำด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่พยายามหลอกตัวเองให้ลืมมาตลอดแต่ส่วนลึกในจิตใจกลับไม่เคยลืมเลือน ผมแอบร้องไห้คนเดียวไม่รู้กี่ครั้ง คอยแอบมองพวกเขามีความสุขห่างๆ อย่างนึกอิจฉา ถ้าเด็กคนนั้นที่พ่อกอดด้วยความรักเป็นผมมันก็คงดี

‘คุณพ่อ ดูนี่สิฮะ’

‘เรย์! ไม่เห็นหรือไงว่าพ่อกำลังทำงานอยู่!’

‘ตะ แต่.....’

‘ออกไปซะ อย่ามากวนตอนพ่อกำลังทำงาน’

‘ฮะ’

ครั้งนึงผมเคยจะเอารูปที่อาจารย์สั่งให้วาดรูปครอบครัวไปให้พ่อดู รูปที่มีผมกับพ่อเพียงสองคน แต่สิ่งที่ได้มีแต่ความเฉยชา ผมกำกระดาษในมือไว้แน่นพร้อมกับหยดน้ำตา ขอแค่เวลาเพียงนิดเดียวพ่อกลับสละมันให้ผมไม่ได้ ผมอยากเห็นรอยยิ้มของพ่อ อยากให้พ่อชมว่าวาดรูปสวยมากแล้วก็กอดผมด้วยความรัก แต่มันคงเป็นได้แค่ฝัน ฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง

คุณพ่อ.....

ผมลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า รับรู้ถึงน้ำสีใสที่ไหลลงจากหางตาโดยไร้เสียงสะอื้นในลำคอเบาๆ นี่ผมฝันอีกแล้วเหรอ? ความฝันที่ไม่ค่อยอยากจะนึกถึงเท่าไหร่เลย เลยทำให้พาลไปอยากไปโรงเรียนซะงั้นแต่คงทำไม่ได้เพราะผมเองก็ขาดเรียนหลายวันอยู่เหมือนกัน

เฮ้อ ต้องไปโรงเรียนแล้วสินะ.....

ผมอยากเรียนให้จบเร็วๆ จะได้ไปจากที่นี่เสียที ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่โรงเรียนความรู้สึกของผมมันก็เหมือนเดิม ทุกคนรอบข้างมองว่าผมร้าย ผมรังแกหนึ่ง แต่ไม่มีใครเคยถามความรู้สึกของผมเลยว่าที่แท้จริงแล้วมันเป็นยังไง

“อัลฟา ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“อืม รีบๆ มาละ ใกล้เข้าเรียนช่วงบ่ายแล้ว”

“ได้ๆ”

ผมที่เพิ่งทานข้าวเสร็จก็พูดขึ้นรู้สึกอยากปลดเบาขึ้นมาซะงั้น ในทุกๆ วันของผมมันผ่านไปอย่างเชื่องช้า กว่าจะหมดคาบเรียนก็เหมือนแทบขาดใจ สิ่งที่ค้ำจุนผมอยู่ได้คือความหวังและความฝันที่จะได้เป็นอิสระเร็วๆ อิสระที่จะพ้นจากคนๆ นั้น ที่จะพ้นจากความทรมาน ในเมื่อเค้าไม่ต้องการผม ผมเองก็ไม่รู้จะอยู่ทำไมเหมือนกัน ถ้าหากว่าผมหายไปสักคนเขาอาจจะดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องทนเห็นหน้าลูกที่ไม่ได้รัก

หนูนาเองตอนนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แม้ว่าหนูนาจะยังช็อกไม่หายจนมีผลข้างเคียงทำให้เซื่องซึมลงไปบ้างและตกใจอยู่บ่อยๆ เพราะยังเด็กก็เลยปรับสภาพจิตใจได้ยากแต่คุณหมอก็ยืนยันว่าอีกไม่นานก็หาย ทำให้ผมกับครูน้อยหายห่วงไปเยอะ

ตุบ

“อ่ะ! ขอโทษครับ”

ผมที่กำลังจะออกจากห้องน้ำก็ชนคนๆ นึงเข้าอย่างจังแต่ดีที่ชนไม่แรงทำให้ไม่ล้ม พอเงยหน้ามองเท่านั้นแหละทำให้ผมตกใจเล็กๆ จนเผลอที่จะเดินถอยหลังหนีอย่างไม่รู้ตัว

“ชนแล้วขอโทษคิดว่ามันจะหายเจ็บเหรอ”น้ำเสียงที่ถูกเปล่งออกมาดูอารมณ์เสียนิดๆ แววตาแข็งกร้าวมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างน่าขยะแขยง ให้ตายเถอะ! ชนใครไม่ชนดันชนกับคนพวกนี้ซะได้!!!

เอเดน.....ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวโจกของโรงเรียน ถึงจะอยู่ ม.6 เหมือนกันแต่เขาก็เป็นเหมือนอันธพาลที่ระรานชาวบ้านชาวช่องไปทั่ว ถึงเราจะอยู่กันคนละห้องแล้วผมก็ไม่เคยได้พบเขามาก่อนแต่เพราะข่าวลือของเอเดนมันดังมากพอดู และที่ยังอยู่ได้เพราะอำนาจบารมีของเงินล้วนๆ

“จะไปไหน!”

“โอ๊ย!”ผมที่จะเดินหนีแต่กลับถูกแขนแกร่งกระชากไว้แน่น แรงที่มีมากกว่าของเอเดนมันทำให้ผมเซจนเกือบชนกับอกแกร่ง

“ปล่อย!”ผมพยายามรั้งแขนตัวเองออกแต่ก็ไม่เป็นผลสักนิด คนอะไรแรงเยอะชะมัด!

“ชนแล้วคิดหนีเหรอ”

“จะเอาอะไรอีก ฉันก็ขอโทษไปแล้วนี่”

“คำขอโทษ ฉันไม่ต้องการ!”

เอเดนพูดเชิงเป็นนัย รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ดูสมส่วน เพื่อนๆ ของเอเดนอีกสองคนข้างหลังก็ทำท่าเหมือนกับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนในสิ่งที่เพื่อนกำลังทำ ผมรู้สึกถึงรางร้าง

“เฮ้ย พวกมึง เฝ้าต้นทางให้กูหน่อย”

“จะทำอะไร?”

“ก็.....ทำให้มีความสุขไง”

“ไม่นะ!!! ปล่อย!!!”

สิ้นคำเอเดนก็ลากผมเข้าไปในห้องน้ำที่ผมเพิ่งออกมาอย่างเร็ว โดยที่มีเพื่อนๆ ของเขาคอยมองส่ง ผมทั้งร้องทั้งดิ้นแต่กลับสู้แรงของเขาไม่ได้สักนิด ได้แต่มองดูประตูห้องน้ำที่ถูกปิดลงอย่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มเยาะที่ไม่ประสงค์ดี

ตุบ!

“อั๊ก!”

ร่างกายของผมถูกเหวี่ยงจนไปชนเค้าท์เตอร์อ่างล้างหน้าอย่างแรง ผมกุมที่ท้องตัวเองก่อนที่จะค่อยๆ ไถลลงนั่งกับพื้นเพราะความเจ็บ พยายามกระเถิบตัวหนีแต่ก็ไปไหนได้ไม่ไกลนักเมื่อเอเดนจับข้อเท้าด้านขวาของผมแล้วกระชากอย่างแรงจนเข้าไปใกล้ตัว

“ปล่อยนะ!!! ช่วยด้วย!!!”

“ร้องเข้าไปเถอะ ไม่มีใครช่วยมึงได้หรอก”

“ไม่!!!”

ผมทั้งดิ้นทั้งถีบหวังเพื่อจะเอาตัวหนีให้รอด การร้องขอความช่วยเหลือยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะตอนที่ผมเข้าห้องน้ำก็เป็นช่วงใกล้เข้าเรียนแถมห้องน้ำที่ผมเข้าก็อยู่ไกลพอสมควร อีกอย่างพวกของเอเดนอยู่ด้านนอกถึงจะมีคนได้ยินเสียงร้องก็เถอะแต่คงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แน่ๆ

ตุบ!

เอเดนที่เห็นผมดิ้นก็จัดการชกไปที่หน้าท้องจนทำให้ผมร้องไม่ออก จากที่เจ็บอยู่แล้วก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นไปอีก เอเดนก็ใช้จังหวะนี้ขึ้นคร่อมผมใช้สนองขาของเขาหนีบไม่ให้ผมได้ดิ้นหนีพร้อมกับจับแขนของผมรวบเข้าด้วยกันแล้วก็ใช้เข็มขัดที่ถูกดึงออกจากกางเกงมามัดแขนผมเอาไว้ ตัวของผมก็ถูกดันชิดกับพื้นเย็นๆ ของห้องน้ำ แล้วเอเดนก็ใช้ฝ่ามือหนาอุดปากไม่ได้ผมได้ร้องขอความช่วยเหลือได้อีก

“เรามามีความสุขกันดีกว่า”

“ฮึก ฮือ ฮือ ช่วยด้วย”

ใครก็ได้! ช่วยด้วย! ผมกลัว.....กลัวเอเดนจริงๆ ถึงจะทำเป็นเข้มแข็งแต่ด้วยแรงที่มีมันก็ต่างกันเกินไป ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม เป็นครั้งแรกที่ผมอยากนึกโทษตัวเองที่เกิดมาอ่อนแอ ทำไมผมไม่เกิดมาให้ตัวโตกว่านี้นะจะได้ปกป้องตัวเองได้ คนอย่างผมมันน่าสมเพช.....น่าสมเพชจริงๆ

ริมฝีปากหนาถูไถไปกับซอกคอขาวๆ ของผม สัมผัสที่ได้มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีสักนิดมีแต่รังเกียจและน่าขยะแขยง มือหนาอีกข้างที่ยังว่างเริ่มล้วงเข้าไปใต้เสื้อจับต้องหน้าอกเล็กๆ แล้วบีบอย่างมันมือ ผมได้แต่เปล่งเสียงอู้อี้ในลำคอจะหนีก็หนีไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครเข้ามาช่วยผม

ปัง ปัง ปัง

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เอเดนชะงักเล็กน้อย ดูเขาหัวเสียมากที่มีคนมาขัดอารมณ์ ในตอนแรกเขาเป็นไม่สนใจหันมากระทำชำเรากับผมต่อ แต่เสียงเคาะประตูก็ยังดังต่อเนื่องไม่หยุดพร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านนอก เอเดนถึงยอมแต่ก็ยังไม่ปล่อยผมอยู่ดี

ปัง ปัง ปัง

“เอเดน!”

“มีอะไร”

“อาจารย์มา!”

ตอนนี้ดูท่าเขาจะหัวเสียกว่าเก่าที่ยังไม่ได้ทันทำอะไรผมก็มีคนมาขัดขวางซะก่อน แต่ผมเหมือนกับพระเจ้ามาโปรดมากกว่า นึกขอบคุณจริงๆ ที่อาจารย์มาได้ทันเวลา ผมถูกแก้มัดอย่างลวกๆ รอยเข็มขัดทำให้เห็นเป็นรอยแดงพอสมควร

“ถ้ามึงปากโป้งคงรู้นะว่าจะเจออะไร กูจะเอาคนมารุมโทรมึงจนตายคาเตียงแน่ๆ”

คำขู่ของเอเดนกระซิบบอกผมเบาๆ แม้จะไม่ได้เป็นการขู่กรรโชกแต่มันก็ทำให้ผมกลัวจนสั่นเป็นเจ้าเข้า ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของผมถูกมือหนาเช็ดให้แห้งอย่างลวกๆ เพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน ยิ่งแววตาของเขาที่มองมายังผมมันก็ยิ่งทำให้กลัวหนักขึ้นไปอีก

ปัง!

พอเอเดนเดินไปเปิดประตู ไม่นานนักก็มีอาจารย์ฝ่ายปกครองเดินเข้ามาด้วยสีหน้าดุๆ พร้อมกับอัลฟาที่เดินมาตามหลัง

“พวกเธอทำอะไรกัน”

“ไม่มีอะไรนี่ครับ พวกผมแค่มาเข้าห้องน้ำ ไม่เชื่ออาจารย์ก็ถามเขาดูสิครับ”เอเดนตอบเสียงนิ่งเรียบแต่สายตาปรายมองผมเล็กๆ จนทำเอาผมสะดุ้ง

“ว่ายังไง จริงอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า”

“คะ ครับ”

ผมก้มหน้าตอบพยายามกลั้นเสียงสั่นๆ เพื่อไม่ให้มีพิรุษ ถ้าจะมองว่าผมขี้ขลาดผมยอมรับเพราะว่าผมกลัวมากจริงๆ มือทั้งสองข้างผมกำกันแน่นอย่างชื้นเหงื่อโดยที่มีอัลฟาอยู่ข้างๆ

“ถ้าไม่มีอะไรก็ไปเข้าเรียนได้แล้ว”

“ครับอาจารย์”

เอเดนพูดอย่างสบายๆ แต่ก็ยังมองผมก่อนที่จะกระซิบบางอย่างให้เห็นเพียงแค่สองคน คำพูดของเขาทำเอาผมขนลุกซู่จนต้องก้มหน้าหนี สำหรับผมเขาน่ากลัวเกินไปจริงๆ

หลังจากที่ทุกอย่างจบลง ผมนึกขอบคุณอัลฟาที่มาตามผมไปเข้าเรียนแต่ก็พบกับพวกของเอเดนวนเวียนอยู่หน้าห้องน้ำและคิดว่าผมคงยังอยู่ในนั้นก็เลยไปตามอาจารย์มาแล้วมันก็เป็นอย่างที่อัลฟาคิดจึงทำให้ผมรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่เพราะคำขู่ของเอเดนมันทำให้ผมไม่กล้าที่จะบอกใครๆ ว่าผมถูกทำร้าย ผมจึงได้แค่บอกกับอัลฟาว่าเอเดนแค่มาเข้าห้องน้ำเฉยๆ มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น ดูเหมือนว่าอัลฟาจะไม่เชื่อเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ผมไม่ได้อยากโกหกแต่ผมกลัว กลัวมากจริงๆ

“ฉันกลับก่อนนะเรย์”

“อืม”

อัลฟาพูดขึ้นก่อนที่จะเดินไปอีกทาง ผมเองก็เหมือนกันต้องกลับบ้านรู้สึกไม่ค่อยอยากจะทำอะไร มันหดหู่ไปหมดเหมือนกับว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ระหว่างทางผมก็มองซ้ายมองขวาอย่างนึกหวาดระแวงแม้ว่าจะมีคนอยู่มากแต่มันก็ทำให้ผมกลัวอยู่ดี

“เรย์!”

เฮือก!

ผมสะดุ้งตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ ความรู้สึกที่โดนกระทำเมื่อตอนกลางวันมันยังฝังใจจนทำเอาร่างกายของผมสั่นไม่หยุด ยกมือขึ้นมาป้องตัวอัตโนมัติ ขาทั้งสองข้างก็ถอยหลังหนีแล้วค่อยๆ ทรุดนั่งลงกับพื้นเหมือนกับคนกำลังจนตรอก

“อย่านะ!!! ไม่ๆ ไม่เอา อย่าเข้ามา”

“เรย์!”

“ไม่ๆ อย่านะ ฮือ ฮือ”

ผมรู้สึกถึงแรงสัมผัสที่จับหัวไหล่ทั้งสองข้างพร้อมกับเรียกชื่อผมเพื่อเตือนสติไม่ให้กระเจิงไปมากกว่านี้ ผมร้องไห้พยายามผลักให้ลำแขนแกร่งออกจากตัวแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ผลสักนิด พอยิ่งคิดถึงคำที่เอเดนบอกมันก็ทำให้ผมยิ่งดิ้นมากขึ้นไปอีก
ครั้งหน้าไม่รอดแน่!!!.....

“ฮือ ฮือ ไม่เอา ฮือ ฮึก”

“ไม่เป็นไรแล้วเรย์ ไม่เป็นไรแล้วนะ”

“ฮือ ฮือ อย่าทำผมนะ”

ลำแขนแกร่งโอบกอดผมเหมือนกับเป็นการปลอบประโลม ฝ่ามือที่อบอุ่นของเขาลูบผมเบาๆ เพื่อให้ผมคลายอาการเกร็งที่เป็นอยู่ ผมที่หนีในคราวแรกเริ่มหยุดลงแล้วเปลี่ยนเป็นโอบกอดที่เอวหนาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ผมต้องการที่พักพิงเหลือเกิน ผมร้องไห้แล้วก็ร้องไห้อีกแบบไม่กลัวจะเป็นที่นินทา พอตั้งสติได้ก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของอีกคนแล้วมองอย่างเต็มๆ ตา พอรู้ว่าเป็นใครแค่นั้นแหละผมก็ผละตัวออกแบบไม่ต้องคิดพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

“เป็นอะไร”

“ไม่ได้เป็นอะไร”ผมแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายๆ ไปซะเหลือเกิน ไม่น่าสติแตกต่อหน้าไคเลย เขาคงสมเพชผมน่าดู

“แล้วทำไม.....”

“หยุด! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ก็บอกว่าฉันไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร ไม่เข้าใจหรือยังไง!”

“เออ ไม่เป็นก็ไม่เป็น ฉันไม่น่า.....”ไคมองหน้าผมอย่างคนกำลังโมโห เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบเอาไว้ก่อนที่จะเดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

ผมก้มหน้ามองพื้นแล้วกอดกระเป๋าตัวเองไว้แน่น ต้องรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด ไม่กล้าอยู่ตรงนี้นานๆ มันโหวงๆ ในอกยามที่ต้องอยู่คนเดียว

ตุบ ตุบ ตุบ

แต่ยังที่ผมยังไม่ได้ก้าวไปไหนเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางด้านหน้าพร้อมกับอีกบุคคลก้าวเข้ามาแทนที่ตรงที่ไคเพิ่งเดินไป ผมไม่เข้าใจสองคนนี้จริงๆ ทำไมผมเจอพวกเขาแต่ละครั้งจะต้องเป็นคนละเที่ยว คนละรอบตลอด ทำไมไม่มาพร้อมๆ กันนะ

“จะทำอะไร ปล่อย! โอ๊ย!!!”

ตะวันจับข้อมือผมแน่นอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะแรงบาดของเข็มขัดที่ทำให้ผมเป็นแผลพอตะวันจับแม้มันจะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้แสบไม่น้อย ตะวันปรายตามองที่ผมกับที่ข้อมือสลับกันก่อนที่จะพูดขึ้นเบาๆ

“เป็นอะไร”

“ปล่อย! ฉันเจ็บ!!!”

“ทำไมถึงเป็นแผล”

“อย่ามายุ่งกับฉัน! ปล่อย!!!”

“เจ็บมากไหม”

ตะวันไม่ฟังผมสักนิด เขายังจับมือผมอยู่แม้ว่าผมจะพูดอะไรออกไปเขาก็ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมามันทำให้ผมใจกระตุกแปลกๆ จนทำให้ผมอยากร้องไห้

“ปล่อยฉัน”

“กลับบ้านได้แล้ว”

“ฉัน.....ไม่ไปกับนาย”

“กลัวไม่ใช่เหรอ”

ผมเม้มปากแน่นก้มหน้าต่ำไม่สบตา เมื่อกี้ตอนที่ผมสติแตกตะวันเองก็คงจะเห็นสินะ ผมไม่เข้าใจว่าตะวันเขาจะมาทำแบบนี้กับผมทำไม? ถ้าหากไม่ห่วงกันตั้งแต่แรกก็อย่ามาทำดีตบหัวแล้วลูบหลังกันอย่างนี้

“ไปได้แล้ว”

แรงฉุดกระชากของตะวันทำให้ผมเดินตามเขาต้อยๆ เหมือนกับเด็กที่เดินตามหลังผู้ใหญ่ ถึงตอนนี้ตะวันก็ยังไม่ปล่อยมือจากผม ผมที่กำลังก้มหน้าจึงไม่ทันเห็นว่าตะวันเหลือบมองมายังผมพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากก่อนที่จะหันกลับไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
.
.
.

เรื่องที่เกิดขึ้นผมไม่ได้บอกใครแม้แต่กับเย็นหรือแม้กระทั่งกับพ่อแต่ถึงจะบอกไปเขาก็คงไม่สนใจอยู่ดี ที่ผมไม่บอกเย็นเพราะไม่อยากจะทำให้เป็นห่วง อีกอย่างนับตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ถูกระรานอีกเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน? ช่วงอาทิตย์แรกผมก็มีหวาดกลัวอยู่บ้างแต่หลังๆ มานี้ก็เริ่มรู้สึกเฉยๆ คงเพราะไม่เห็นพวกเอเดนอีกมั้ง แต่ก็ดีแล้วละขออย่าได้เห็นอีกเลยเป็นพอ

“อารมณ์ดีจังนะคะคุณเรย์”

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมนอนยิ้มแล้วยิ้มอีกจนหน้าบานแฉ่ง เย็นที่เห็นก็เลยอดที่จะเอ่ยทักไม่ได้ ก็แหม คนมันอารมณ์ดีนี่นา จะไม่ได้ยิ้มได้ยังไง

“ก็ผมใกล้จะสอบแล้ว อีกแค่เดือนเดียวเองผมก็จะจบแล้วนะ”ผมลุกขึ้นนั่งแล้วกอดหมอนแน่น สบตามองกับเย็นอย่างสื่อความหมายก่อนที่จะเริ่มพูดอีกครั้ง

“เอ่อ ถ้าหากถึงวันจบการศึกษา ผมอยากให้เย็นไปเป็นผู้ปกครองให้”

“คุณเรย์”ดวงตาของเย็นมองผมอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ส่อประกายแวววาบพยายามกลั้นอาการดีใจอย่างเต็มที่

“เย็นเป็นแค่คนใช้ คิดว่า.....”

“ไม่ใช่! สำหรับผม เย็นไม่ใช่คนใช้”

“.....”

“แต่เย็นเป็นมากกว่านั้น”

สำหรับผม.....เย็นเป็นมากกว่าพ่อกับแม่ เป็นมากกว่าคนในครอบครัว และเป็นคนสำคัญสำหรับผม

“นะ”

“แล้วคุณท่าน”

“ช่างเขาเถอะ เขาคงไม่ไปหรอก อ้อ ไม่สิ ถึงจะไปแต่เขาก็คงไปแสดงความยินดีกับลูกรักของเขามากกว่า”

ผมพูดอย่างน้อยใจ ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่ สำหรับผมยังไงซะก็ไม่มีความหมายกับเขาตั้งแต่แรก ถ้าจะตั้งความหวังว่าเขาจะไปวันจบการศึกษาเพื่อผมมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ถึงจะเสียใจก็เถอะแต่ความจริงมันก็เป็นความจริงเปลี่ยนไม่ได้อยู่ดี

“ช่างเถอะ อย่าไปพูดเลยมีแต่เจ็บเปล่าๆ”

“คุณเรย์”เย็นเรียกชื่อผมเหมือนกับว่าเขากำลังรู้สึกเจ็บไปกับผมด้วย ถ้าผมอ่อนแอเย็นก็จะเป็นห่วง ผมไม่อยากให้เย็นเป็นห่วงจึงได้เปลี่ยนจากทำหน้าเศร้าเป็นยิ้มกว้างให้แล้วเร่งรัดคำตอบแบบมัดมือชก

“นะเย็น ผมอยากให้เย็นไป”

“คะ เย็นสัญญา”

เย็นยิ้มตอบผมพร้อมพยักหน้าเบาๆ ให้ จนทำเอาผมอดที่จะดีใจไม่ได้ ความสุขของผมคือการที่ได้มีเย็นอยู่ใกล้ๆ แต่ผมก็มักจะลืมไปเสมอว่าความสุขของผมมักจะอยู่ได้ไม่นาน

ตลอดเดือนผมตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบกว่าทุกครั้ง ผมไม่ใช่คนโง่ที่เรียนไม่เก่ง ผลการเรียนของผมออกมาดีเสมอแต่พ่อไม่เคยรู้ต่างหาก ถึงผมจะเคยประชดพ่อด้วยการทำข้อสอบแบบผิดๆ จนเกรดออกมาไม่ดีก็เถอะ แต่ผมก็เลิกทำไปตั้งนานแล้วเพราะว่ามีคนสำคัญที่มักจะมาแอบดูเกรดเฉลี่ยผมประจำเวลาที่ผมได้ใบเกรดออกมา จนเป็นความเคยชินที่ผมมักจะเอาเกรดที่ได้วางไว้บนโต๊ะเสมอแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ผมอยากให้เป็นวันที่พิเศษกว่าวันอื่นๆ ถึงได้อยากให้เย็นมาด้วย ผมอยากให้เย็นเห็นผมเรียนจบด้วยตาของตัวเอง อยากเห็นรอยยิ้มที่บอกว่าดีใจไม่ใช่แอบมองอยู่ห่างๆ

วันจบการศึกษา เป็นวันที่ผมจะบอกเย็นว่าผมอยากออกไปอยู่ข้างนอก อยากไปใช้ชีวิตอิสระตามที่ผมฝัน แม้ว่าผมจะได้ไปแต่ตัวแต่ก็ไม่เคยคิดกลัวสักนิดเพราะผมรู้เย็นต้องดูแลผมอย่างดีแน่ๆ แล้วผมก็อยากให้เย็นไปอยู่ด้วยตามที่สัญญากันเอาไว้

“เมื่อไหร่จะมานะ”

ผมยืนรอเย็นที่หน้าโรงเรียนในวันที่เรียนจบ วันนี้ผมจะได้อยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้าย ที่ผมต้องมารอเย็นเพราะว่าเย็นให้ผมมาก่อนเขาขอทำงานบ้านในส่วนของตัวเองให้เสร็จแล้วจะตามมาทีหลัง มันเลยทำให้ผมต้องมารอแบบนี้ แล้วเป็นอย่างที่ผมคิดไม่มีผิดพ่อมาที่โรงเรียนในวันที่ผมเรียนจบก็จริงแต่เขาก็มาเพื่อลูกรักของเขาไม่ได้มาเพื่อผม ภาพถ่ายครอบครัวที่สุขสันต์ของพวกเขาไม่ได้มีผมอยู่ด้วย ถึงจะเสียใจแต่มันก็ต้องทำใจ

ผมมองมงกุฎดอกไม้กับประกาศนียบัตรในมือที่ผมถือไว้อย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอคนสำคัญเพียงคนเดียว ตลอดเวลาที่ผมรอเย็นผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อย เย็นจะร้องไห้ไหมนะที่ผมเรียนจบ แล้วถ้าหากว่าร้องไห้จริงๆ ผมจะต้องหาคำไหนมาปลอบดีนะ คิดแล้วก็นึกภาพของเย็นตอนร้องไห้ออกเลยจนผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างที่ผมคิดแน่ๆ

“คุณเรย์! คุณเรย์คะ”

“เย็น”

เสียงเรียกของเย็นดังมาจากอีกฝากของถนนแล้วโบกมือปอยๆ มาให้พร้อมกับในมือที่ถือช่อดอกไม้ช่อโตเอาไว้แนบอก เย็นในวันนี้แต่งตัวสวยกว่าทุกวันเสื้อผ้าที่ใส่เป็นสีเหลืองทั้งชุดทำให้มองเห็นมาแต่ไกล ทรงผมก็มัดเรียบร้อยกว่าทุกวันแถมยังแต่งหน้าอีกต่างหาก เย็นมองมาทางผมแล้วยิ้มให้ก่อนที่จะมองซ้ายมองขวาเพื่อที่จะข้ามถนน ผมเห็นเย็นกำลังยิ้มให้กับผมพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจที่ผมเรียนจบ มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ

เย็นสัญญาคะคุณเรย์…..

เย็นมีความสุข ผมก็มีความสุขแต่ความสุขของผมมักจะอยู่ได้ไม่นานมันเหมือนกับเป็นคำสาป เป็นสัญญาที่ไม่มีวันเป็นจริง

เอี๊ยด!!!

โครม!!!

ภาพตรงหน้าของผมคือคนที่ผมกำลังรอคอยลอยละลิ่วร่วงลงสู่พื้นเบื่องล่างเมื่อถูกแรงชนที่มาปะทะจากอีกทาง รอยยิ้มของผมที่มีในคราวแรกหุบลพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผู้คนที่เสียงดังรอบด้านมันไม่ได้ทำให้ผมสนใจสักนิด ขาที่สั่นๆ ก็ค่อยๆ เริ่มเดินไปยังร่างที่นอนจมกองเลือด ไม่กล้าที่จะจับหรือแม้แต่แตะต้องได้แต่ก้มลงไปจับที่มือเย็นๆ ที่กำลังสั่นเพราะความเจ็บ เย็นกำลังแกล้งผมใช่ไหม? หรือไม่ก็คงเป็นความฝัน ทั้งที่เป็นความฝันแต่ทำไมผมถึงได้เจ็บแบบนี้นะ

“ยะ เย็น.....เย็น”

“คะ คุณ.....เรย์ ดะ ดีใจด้วย ฮึก นะ.....คะ”

“เย็น ฮือ ฮือ เย็น ไม่นะ เดี๋ยวผมจะพาไปหาหมอ ฮือ”

“คุณ.....เรย์”

“ฮือ ฮือ อดทนนะเย็น อดทนไว้ อย่าทิ้งผมไป”

น้ำตาที่ไหลออกมามันทำให้ผมมองเห็นหน้าของเย็นไม่ชัด สิ่งที่เห็นคือรอยยิ้มที่เย็นยิ้มมาให้ผมก็เท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะแน่นิ่งไปพร้อมกับลมหายใจของคนที่ผมรัก ผมกอดร่างเย็นไว้แล้วเขย่าตัวหวังจะให้ลืมตาอีกครั้ง ใบหน้าเล็กๆ ของผมซุกไปที่หน้าอกที่เปื้อนเลือดแล้วร้องเรียกชื่ออย่างไม่ขาดปาก ทั้งๆ ที่หูของผมก็อยู่ใกล้กับหัวใจของเย็นแต่ทำไมผมกลับไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเลยนะ

“ฮือ ไม่!!!!!!!!”



TAKE
อ่า ถ้าไม่สมจริงต้องขอโทษด้วย พอดีตอนนี้เป็นตอนที่แต่งเสร็จตั้งนานแล้วแต่ยังไม่ได้แก้ กลัวจะรอนานเลยรีบเอามาลง ขอโทษทีนะที่หายไปนาน ช่วงนี้งานเทคเยอะมากๆ เลย

แล้วก็ขอบคุณมากครับ^^
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-07-2015 22:31:06
มาอีกเถอะ อย่าให้รอด้วยความทรมารใจ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 02-07-2015 23:00:59
เสียใจ ทำไมคนที่ดีกับเรย์ต้องเป็นแบบนี้ด้วย กระซิก กระซิก
สู้ๆๆๆนะเรย์ ฟ้าหลังฝนต้องสดใส ฮึบๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 02-07-2015 23:13:19
เข้าใจว่างานเยอะและนิยายแค่งานอดิเรกที่อาจจะไม่ได้เงิน แต่นิยายแบบนี้ทิ้งไว้นานเกินมันจะไม่อินนะครับ
ปล.คิดไว้ในใจตั้งแต่เย็นจะมางานวันจบการศึกษาละ และเริ่มแน่ใจมากๆ เมื่อเย็นมองซ้าย มองขวา แล้วข้ามถนน และมันก็จริงอย่างที่คิด สลัดมาก
ปล.2 ไม่มีเย็นแล้วหวังว่าไรท์เตอจะให้เรย์เข้มแข็งอย่างไม่ก้าวร้าว
ปล.3 ขอบคุณ ไรท์เตอ นิยายคุณดีงามจริงๆ
ปล.4 มาต่อไวๆ นะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 02-07-2015 23:44:20
จะมีใครเหลืออยู่กับเรย์มั่งนะ  หน่วงสุดๆแต่ชอบ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-07-2015 23:54:07
เฮ้อออ. เรย์สูญเสียอีกแล้ว. สงสารเรย์อะ เมื่อไหร่จะมีความสุขซะที
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: jamelovelove ที่ 03-07-2015 00:21:46
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
สงสารน้องเรย์อ่า
สูญเสียอีกแล้ววววววว
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 03-07-2015 00:30:12
โอ้ยยยยยยยย ทำไมชีวิตเรย์ถึงดราม่าเเบบนีั
มีแต่เรื่องเสียๆๆๆ ไม่มีเรื่องดีดีกับเขาบ้างเลย
น่าสงสารอ่า จะไม่มีใครที่รักและจะอยู่กับเรย์บ้างเลยหรอ?!

แม้จะมาสั้นๆแต่ก้ทำให้เราน้ำตาคลอดได้ รีบๆๆมาต่อน้าาา
อย่าปล่อยนานเกินไปนะ!
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-07-2015 01:32:07
อะไรมันจะแย่ไปหมดขนาดนั้น แร้วจะหนีไปยังไง TT
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 03-07-2015 09:57:14
โอ๊ยยยจะดราม่าไปหนายยยยย
ชีวิตของเรย์เนี่ยชีวิตนางช่างโหดร้าย
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: non23 ที่ 03-07-2015 10:34:06
ชอบมากเลยติดตามตั้งแต่ครั้งแรกที่มาลง ยังตกใจอยู่เลยว่าหายไปไหน ที่แท้เอามาเขียนใหม่ ยังไงก็ขอให้อัปด้วยนะ ตอนนั้นอ่านถึงตอนที่ นางเอกออกไปอยู่ข้างนอกแล้วแม่นางเอกกลับมาบ้านมาตามหาลูกหรืออะไรนี้แหละ แล้วแม่นางเอกเอารูปที่เป็นครอบให้ไห้พ่อนางเอกดูว่าเลี้ยงแบบนีร้หรอที่เขาเรียกว่าลูกมีความสูข หรืออะไรประมาณนี้แหละคราบ สัญญานะต้องมาลงทุกวันหรือทุกอาทิตย์นะ อยากอ่านมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 03-07-2015 12:46:06
โอยยย น้ำตาท่วมเล้าเป็ด :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 03-07-2015 13:37:09
ร้องไห้หนักมากจริงๆ สงสารเรย์มาก เกลียดพ่อของเรย์ ไม่ว่าพ่อของเรย์ทำไปเพราะเหตุผลใดก็เกินกว่าการให้อภัย เราอยากให้เรย์ไปเริ่มชีวิตใหม่ที่ไกลจากคนพวกนี้แล้วรอวันที่เรย์เข้มแข็ง วันที่เรย์เก่ง แล้วค่อยกลับมา สงสารชีวิตของเรย์มากจริงๆ น้ำตาท่วมมากพูดเลย
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 03-07-2015 13:48:15
มาต่อแล้ว ขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน8 2/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 04-07-2015 10:00:50
เรย์ยังน่าสงสารเหมือนเดิมเลย เมื่อไรหนอจะคนมาดูแลเรย์สักที
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 06-07-2015 20:10:45

 
ตอนที่ 9

หัวใจของผมเหมือนตายด้านแทบจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำ เจ็บจนชินชาก็นับครั้งไม่ถ้วนแต่ทำไมครั้งนี้ผมกลับรู้สึกเจ็บจนแทบอยากจะตายให้ได้ ทั้งๆ ที่น่าจะร้องไห้แต่ทำไมน้ำตาผมกลับไม่มีสักหยด ทั้งๆ ที่ผมน่าจะแสดงออกมากกว่านี้แต่ทำไมผมกลับได้แต่นั่งอยู่ที่เดิมเป็นชั่วโมงๆ โดยที่ไม่ขยับ

“เรย์”

น้ำเสียงสั่นๆ กลั้นสะอื้นเรียกผมจากอีกทาง แค่ได้ยินเสียงผมก็รู้แล้วว่าใครเรียกถ้าไม่ใช่ลูกรักของพ่อ ผมน่าจะทำท่ารังเกียจสิ แต่ร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่งสักนิดเลย

“อย่าเงียบสิเรย์ หันมาคุยกับหนึ่งหน่อย จะดุ จะด่าหนึ่งก็ได้นะ”

หืม? นี่เขารู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมาแต่ถึงจะไม่พูดผมก็อยากทำอยู่หรอก แต่ทำไม่ได้ปากมันไม่ยอมขยับ

“ฮึก ไค ตะวัน เรย์เขา.....”

“อย่าเพิ่งเลยหนึ่ง”

“ไม่ได้หรอกไค เรย์เขานั่งอยู่แบบนี้ทั้งวันแล้วนะ ไม่ยอมกันอะไรอีก หนึ่งเป็นห่วงกลัวว่าเรย์จะป่วย”
ป่วยอะไร? ทำไมผมต้องป่วยด้วย ร่างกายผมก็แข็งแรงดีนี่นา หนึ่งนี่ท่าจะบ้า! แช่งให้ผมป่วยซะงั้น.....

“เรย์.....ได้โปรดเถอะนะ ถ้าไม่ลุกขึ้นก็ทานอะไรก็ยังดี”

“.....”

“เรย์ ฮึก ฮือ”

หนึ่งร้องไห้เหรอ? ร้องไห้ทำไม? วันนี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลยนะ.....

“เรย์”

ใครเรียก? แล้วใครกำลังจับมือผมกันนะ เสียงแบบนี้.....ตะวันเหรอ?.....

“ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ”

ร้องไห้ทำไม? ผมไม่ได้อยากร้องสักหน่อย.....

“ถ้าอยากระบายก็อย่าเก็บไว้เลยนะ”

“.....”

“เรย์”

ผมแทบไม่รับรู้ว่าตะวันพูดอะไรกับผมบ้าง มันไม่เข้าสมองผมเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ถึงจะพูดอะไรผมก็ไม่ตอบโต้ ไม่รู้สิ? มันรู้สึกเหนื่อยๆ ผมในตอนนี้เหมือนกับว่าตัวเองกำลังเป็นตุ๊กตาหรือหุ่นเชิดที่มีหน้าที่ทำตามคำพูดของคนอื่นๆ พอรู้ตัวอีกทีผมก็มายืนอยู่ที่หน้าเมรุ ในมือของผมก็ถือรูปภาพของเย็น ดวงตาทั้งสองข้างของผมจดจ้องไปที่เตาเผา

เย็น ทำไมไปอยู่ในนั้น.....

ข้างในมันร้อนนะ ไม่ร้อนเหรอ?.....

กลับมาเถอะ มาอยู่ข้างๆ ผมเหมือนเดิม.....

ได้โปรด! กลับมาหาผมเถอะนะ.....

“ฮือ ฮือ ฮือ”

ผมร้องไห้.....ร้องไห้อย่างไม่อาย ร่างการที่อ่อนล้าทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลทะลัก ภาพข้างหน้าพร่ามัวไปหมดผมมองอะไรไม่เห็นเลย ต่อให้อยากทำเป็นไม่สนใจเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้ ยังไงความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ

เย็นจากผมไปแล้ว.....

เขาทิ้งผมไปอย่างไม่มีวันกลับ ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้วคนที่อยู่เคียงข้างผม จะไม่มีอีกแล้วคนที่จะคอยปลอบผมเวลาผมร้องไห้ แล้วต่อจากนี้ไปผมจะอยู่ยังไง

“ฮือ ฮือ ฮือ ไม่!!!”

ทิ้งผมไปทำไม? เย็นไม่รักผมแล้วเหรอ ไหนบอกว่าเราจะอยู่ด้วยกัน ไหนบอกว่าจะมาแสดงความยินดีกับผมในวันที่ผมเรียนจบ สัญญากับผมแล้วไม่ใช่เหรอ

ทำไมถึงผิดสัญญา.....

 
โรงพยาบาล

ห้องสีขาว เตียงนุ่มๆ กับกลิ่นของยา.....

ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน? ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้กี่วันก็ยังจำไม่ได้ ในทุกๆ วันผมจะนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่เสมอ หัวสมองของผมมันว่างเปล่าคิดอะไรแทบไม่ออก ได้ยินแต่เสียงของคนสองคนคุยกันอยู่ข้างๆ นี่พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องของผมหรือเปล่านะ.....

“ดูเหมือนว่าคนไข้จะได้รับการกระทบกระทั่งจิตใจอย่างรุนแรงจนทำให้สมองปฏิเสธสิ่งรอบด้าน ร่างกายภายนอกไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงแต่ภายในผมคิดว่าน่าจะต้องใช้เวลา”

“แล้วลูกผมจะเป็นแบบนี้อีกนานไหมครับหมอ”

“มันก็แล้วแต่คนไข้นะครับ ถ้าคนในครอบครัวช่วยกันบางทีคนไข้อาจกลับมาเหมือนเดิมเร็วก็ได้ ช่วงนี้ผมอยากให้คุณพ่อดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะคนไข้ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน จนหมอต้องให้ยานอนหลับเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน”

“ครับคุณหมอ ขอบคุณมากนะครับ”

เสียงพูดคุยหยุดลงไม่นานนักความเงียบก็เข้ามาแทนที่ ผมก็ยังนั่งมองไปด้านนอกโดยที่ไม่ได้หันไปมองอีกทาง รู้สึกอยากจะโบยบินเหมือนนกจังเลย

“เรย์”

น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อผมขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่มาบดบังทรรศณียภาพเบื้องหน้า แต่ผมก็ยังมองอยู่โดยที่ไม่สนใจ ทำเหมือนกับว่าผมกำลังผ่านเขาไป

“หยุดได้แล้วเรย์ หยุดสร้างปัญหาให้ฉันปวดหัวสักที”

“.....”

“ถึงแกจะทำแบบนี้เย็นก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก”

“.....”

“อย่าทำแบบนี้เลย ถือว่าพ่อขอร้อง”

ผู้ชายคนนั้นจับที่หัวไหล่ของผมทั้งสองข้าง ทำให้ผมเงยหน้าสบตามองกับเขาด้วยแววตาว่างเปล่า คำพูดต่างๆ นาๆ พรั่งพรูออกมาจากปากสีซีด เสียงของเขาเองก็เหมือนจะสั่นเล็กๆ ผมเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่จะขยับปากอีกครั้งแล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา

“คุณ.....เป็นใครเหรอครับ”

“เรย์!!!”

เขามองผมเหมือนไม่น่าเชื่อ ผมพูดอะไรผิดไปเหรอ? ก็ไม่นี่.....

“ผมรู้จักคุณด้วยเหรอ?”

“.....”

“ทำไมผมถึงจำคุณไม่ได้สักนิด”

ผมยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแล้วจับมือหนาทั้งสองข้างของเขาให้ออกไปห่างๆ ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังงงๆ กับผมอยู่ก็เลยไม่ขัดขืน

“เพราะคนที่เลี้ยงดูผมมาไม่ใช่คุณ!”

“เรย์!”

ทันทีที่ผมน้ำเสียงของเขาก็แปรเปลี่ยนดูท่าจะโมโหนิดหน่อย นี่เขาโมโหอะไรกันนะ ผมก็แค่พูดความจริง ผมจำผู้ชายตรงหน้าไม่ได้เลยจริงๆ เพราะคนที่เลี้ยงดูผมไม่ใช่เขาสักหน่อย

“ตลอดเวลา.....คุณหายไปไหนมาเหรอ ฮึก”

น้ำตาผมเรื้อออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้าง ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้อยากร้องไห้แต่ทำไมน้ำตาของผมถึงได้ไหลออกมาก็ไม่รู้

“วันเกิดของผม คุณก็จำไม่ได้”

“.....”

“ตอนผมไม่สบายคุณไปอยู่ที่ไหน”

“.....”

“ตอนผมกำลังร้องไห้ ฮึก คุณไม่เคยปลอบ”

“.....”

“แม้กระทั่งตอนที่ผมจมน้ำ คุณเคยเป็นห่วงผมบ้างไหม ยังจำได้หรือเปล่าว่านอกจากหนึ่ง ฮึก ฮือ ก็มีผมอีกคนที่จมน้ำเหมือนกัน”
ผมระบายความอัดอั้นที่มีในใจจนหมดสิ้น ความในใจที่ผมไม่เคยคิดจะพูด แต่ครั้งนี้ผมทนไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยผมก็อยากให้เขาได้รู้ว่าผมเจ็บขนาดไหน

“ฮึก ตอนที่ผม ฮึก ไม่มีใคร คุณก็ทิ้งผม ฮือ ฮือ”

ผมเจ็บ.....เจ็บไปทั้งหัวใจ น้ำตาของผมมันจะลบล้างความเจ็บทั้งหมดได้ไหมนะ…..

“แล้วอย่างนี้ ฮือ ฮึก จะให้ผมจำคุณได้ยังไง ฮือ ฮือ”

“เรย์.....พ่อ.....”

“อย่ามาพูดเหมือนกับว่าเย็นเป็นคนอื่น ถึงเขาจะไม่สำคัญสำหรับคุณแต่สำหรับผม.....ฮึก”

“.....”

“เย็นเป็นมากกว่าพ่อ มากกว่าแม่ เขาเป็นคนสำคัญมากกว่าคุณ ฮึก”

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมพูดออกมา ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง เขาจะเจ็บกับคำพูดของผมหรือเปล่าแต่มันก็ไม่สำคัญสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว ไม่สำคัญแล้วจริงๆ สิ่งที่ผมจำได้คือเสียงของเย็นคนที่คอยอยู่ข้างๆ คนที่ยิ้มไปพร้อมกับผม คนที่ร้องไห้ไปกับผม คนที่พยายามทำเพื่อผมมาโดยตลอดและเป็นคนที่รักผมมากกว่าใคร

‘คุณเรย์.....’

‘โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะคุณเรย์ เด็กดีของเย็น.....’

‘ไม่เจ็บนะคะคุณเรย์ โอมเพี้ยง.....’

‘คุณเรย์ต้องเข้มแข็งนะคะ.....

 
“ฮือ ฮือ ฮือ”

ถ้าผมจะอ่อนแอเย็นจะดุผมหรือเปล่า ผมขอโทษที่บอกว่าเย็นไม่รักษาสัญญา ขอโทษที่เคยเป็นเด็กไม่ดี อย่าทิ้งผมไปเลยนะ.....
บ้านที่ไม่มีใครต้องการผม ในเมื่อไม่มีเย็นอยู่แล้วผมก็ไม่อยากจะอยู่ เงินทองที่มีมากมายแต่มันไม่สามารถซื้อชีวิตของเย็นกลับมาได้มันก็ไม่มีค่า สองขาเล็กและสั่นของผมค่อยๆ ก้าวลงไปจากเตียงอย่างช้าๆ แล้วเดินออกไปยังบานประตู
ผมกำลังจะไปไหนก็ไม่รู รู้แต่ว่าอยากไปให้ไกลที่สุดแล้วก็ไปให้ไกลจากที่นี่ พอแล้วสำหรับผม สิ่งที่เจอมันหนักหนาสาหัสเกินไปจริงๆ

ลาก่อน.....

 
อีกด้านหนึ่ง

‘เขาสำคัญมากกว่าคุณ.....’

คำพูดของคนที่ได้ชื่อว่าลูกชายยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพจน์ น้ำเสียงนิ่งๆ ที่ไม่มีความโกรธเจือปนหรือการโวยวายใส่มันเจ็บยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตนในสายตาอีกต่อไปแม้ว่าจะอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม

“เอ่อ คุณท่านคะ มีโทรศัพท์มาหาคุณเรย์คะ”สาวใช้เอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้แก่เจ้านายตน

“ใคร?”

“ไม่ทราบคะ เห็นบอกว่าโทรมาจากบ้านเด็กกำพร้า”

“อืม”

พจน์ขมวดคิ้วอย่างสงสัยหลังจากที่บอกว่ามาจากบ้านเด็กกำพร้า มือหนารับโทรศัพท์ไว้ข้างหูก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ ไม่นานนักก็วางสายแล้วตรงไปยังสถานที่ที่เจ้าตัวเพิ่งโทรเข้ามา
บ้านเด็กกำพร้า.....

“สวัสดีครับ ผมชื่อพจน์เป็นพ่อของเรย์”

“สวัสดีคะ ฉันชื่อน้อยคะ เป็นคนดูแลที่นี่”

ภาพตรงหน้าของพจน์คือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ถูกล้อมไปด้วยรั้วไม้เก่าๆ มีเด็กๆ กำลังวิ่งซนอย่างสนุกสนานอยู่กลางแจ้งโดยมีพี่เลี้ยงอีกคนคอยดูแล พจน์ไม่เข้าใจสักนิดว่าเรย์รู้จักที่นี่ได้ยังไง? เพราะที่นี่มีสภาพเก่ามากพอสมควร

“เรย์เขามาที่นี่บ่อยเหรอครับ”ด้วยความสงสัยพจน์จึงเอ่ยถามขึ้นแต่สายตายังคงมองไปรอบๆ ตัวบ้านเด็กกำพร้าอย่างไม่วางตา

“คะ เรย์มาที่นี่แทบจะทุกอาทิตย์ ส่วนมากก็มักจะมาเล่นกับเด็กๆ แล้วก็สอนหนังสือ”

“สอนหนังสือ?”

“คะ เรย์นะ เป็นเด็กดีมาก เด็กๆ ที่นี่ก็รักแกทุกคน ปกติเรย์จะเป็นคนมาหาเองแต่ว่าวันนี้หนูนาแกงอแงอยากเจอเรย์ฉันก็เลยโทรไป แต่โทรไม่ติดก็เลยโทรเข้าที่บ้านแทน ขอโทษด้วยนะคะ”ครูน้อยพูดด้วยแววตายิ้มแย้ม คำทุกคำที่ถูกเอ่ยออกมานั้นสามารถบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทุกอย่างที่พูดเป็นความจริง

“ครับ ไม่เป็นไร อ้อ แล้วหนูนา.....”

“อ๋อ หนูนาตอนนี้หลับไปแล้วคะ แกเจอรถชนเมื่อเดือนก่อน เรย์เองก็มานะคะตอนที่หนูนาผ่าตัด ตอนนั้นพวกเราคิดว่าหนูนาจะต้องจากไปซะแล้ว แต่ที่ไหนได้ปาฏิหารมีจริง”

คำบอกเล่าของครูน้อยทำให้พจน์นึกถึงวันที่เรย์กลับมาพร้อมกับคราบเลือด ไม่ใช่ว่าเขาไม่สังเกตุเห็นเพียงแต่ว่าไม่สนใจมากกว่าเพราะตอนนั้นความโกรธกำลังเข้าครอบงำที่รู้ว่าลูกชายโดดเรียนทำให้มองข้ามส่วนนั้นไปแล้วก็หลงลืมในที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้งจากคำบอกเล่าของผู้หญิงอีกคนที่พจน์ไม่รู้จัก

“อีกไม่นานที่นี่คงใกล้จะไปไม่รอด แต่ที่ยังอยู่ได้เพราะว่าได้เงินบริจาคทุกเดือนๆ จากคนๆ นึงอยู่เสมอ แม้จะไม่มากแต่มันก็ทำให้พวกเด็กๆ มีกิน ถ้าลำพังตัวฉันเองคงไปไม่รอด”

“.....”พจน์นิ่งเงียบรอฟังที่ครูน้อยจะพูดต่อ

“แต่น่าแปลกนะคะ ทั้งๆ ที่เป็นคนบริจาคแต่กลับปิดบังไม่ให้ใครรู้แต่ฉันก็ดันรู้จนได้”

“เขาเป็นใครเหรอครับ”

“จะเป็นใครไปได้อีกละคะ ถ้าไม่ใช่เรย์”

สิ่งที่ได้ยินทำให้พจน์ถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าลูกชายของเขาจะเป็นแบบนี้ เช็คเงินสดที่พจน์เซ็นในทุกๆ เดือนเพื่อเป็นการเบิกค่าใช้จ่ายให้กับเรย์ เขาคิดว่าจะเอาไปพลานเล่นซะอีก มันเป็นความเป็นจริงที่คาดคิดไม่ถึง

“เอ่อ ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม”

“อ้อ ได้ครับ”

“ไม่ทราบว่าเรย์มีปัญหาอะไรกับทางบ้านหรือเปล่า”

“เอ่อ ก็.....ไม่มีนี่ครับ”พจน์ตอบเสียงเบาเสตามองไปทางอื่นเล็กน้อย ถ้าจะบอกว่าไม่มีก็คงไม่ใช่

“เหรอคะ”

“ทำไมเหรอครับ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอกคะ เพราะบางครั้งแกจะโดดเรียนแล้วก็มักจะมาแอบร้องไห้ที่นี่เสมอ”

“.....”พจน์ได้แต่ยิ้มเจื้อนให้เขารู้สึกพูดอะไรไม่ออกจริงๆ

“เรย์นะ เขาเป็นเด็กดีมากนะคะ”

รอยยิ้มของครูน้อยที่เอ่ยถึงอีกบุคคลเต็มไปด้วยความรักใคร่และความเอ็นดูจนทำให้พจน์คิดถึงตัวเอง เขาแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เรย์ไม่ได้เรียกเขาว่า ‘พ่อ’ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาเคยใส่ใจลูกชายตัวเองตั้งแต่อายุเท่าไหร่ พอยิ่งนานวันก็ยิ่งห่างจนกลายเป็นความละเลย

แกร็ก

บานประตูถูกเปิดออกจากด้านนอกพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนอนของลูกชายอีกคน ทุกอย่างถูกทำความสะอาดและดูแลเป็นอย่างดีเพื่อรอให้เจ้าของห้องกลับมาอีกครั้ง พจน์มองดูรอบๆ ห้องก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะหนังสือซึ่งอยู่ตรงหัวเตียง สิ่งแรกที่สะดุดตาคือขวดแก้วใสที่ข้างในเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ที่แห้งกรัง ฝาขวดผูกโบว์ไว้อย่างอย่างสวยงามเหมือนกับเป็นสมบัติล้ำค่า พจน์จ้องมองภายในแก้มค่อยๆ อ่านข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือเด็กๆ

สุขสันต์วันเกิดคะพี่เรย์.....

ใจของพจน์กระตุกวูบอย่างบอกไม่ถูก เริ่มรู้สึกตัวว่าเขากำลังทำผิดพลาดอย่างมหันต์ สายตาคมหลับตานิ่งเพียงนิดก่อนที่เปิดลิ้นชักโต๊ะที่อยู่ข้างๆ ข้างในมีแฟ้มหนึ่งแฟ้ม ภายในแฟ้มไม่มีอะไรมากนอกจากเกรดเฉลี่ยของแต่ละเทอม พจน์มองแต่ละใบด้วยแววตาสั่นคลอนเพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกชายของเขาจะเรียนดีขนาดนี้ แผ่นกระดาษถูกเปิดขึ้นจนถึงด้านหลังสุดที่มีอยู่แผ่นเดียวเท่านั้นที่เกรดเฉลี่ยตกต่ำ แล้วนั่นมันก็ทำให้เขาคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น

ทำไมแกถึงเรียนแย่อย่างนี้!!!.....

แกทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ.....

“เรย์”

พจน์กำลังคิดว่าตัวเองทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย นี่เขาทอดทิ้งลูกชายอีกคนได้ยาวนานขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าเป็นเขาละที่เป็นฝ่ายที่ถูกทอดทิ้งจะรู้สึกยังไง จะทำตัวแบบไหน แม้แต่เขาเองแค่คิดก็ยังเจ็บแทนขนาดนี้แล้วกับเจ้าตัวละ? คงเจ็บแทบขาดใจ.....

“คุณคะ”

คุณผู้หญิงของบ้านเอ่ยเรียกสามีเธอด้วยความเป็นห่วงเพราะหลังจากที่กลับมาจากข้างนอกก็เข้ามาหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนใครๆ เข้าหน้าไม่ติด

“ฉันไม่เป็นไร”

พจน์พูดด้วยน้ำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน มือหนาจับไปที่มือภรรยาตนที่วางอยู่บนบ่าพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้ ตอนนี้ความรู้สึกของพจน์จะเรียกได้ว่ารู้สึกผิดมันก็คงจะใช้

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอคะ”

“.....”พจน์เงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มขยับริมฝีปากสีซีดเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมานั่งเครียดแบบนี้ให้ภรรยาฟัง

“ผมจะทำยังไงดี”

“ไปหาเรย์สิคะ ไปบอกกับเขาว่าคุณรู้สึกยังไง เรย์จะต้องเข้าใจแน่ๆ คะ”

“ขอบใจนะ”

“คะ”

พจน์ซบลงบนมือนุ่มเพื่อผ่อนคลายความตรึงเครียดที่เจอมาทั้งวัน พรุ่งนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไปหาลูกชายอีกคนที่ยังนอนอยู่โรงพยาบาล อยากจะพูดในสิ่งที่ควรพูดมาตลอด

พ่อขอโทษ.....
.
.
.
เพล้ง!

แก้วที่หล่นข้างตัวชายหนุ่มทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อย คำโบราณได้กล่าวเอาไว้ว่า ถ้าของหล่นมักจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเสมอ ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่คำโบราณแต่ทำไมใจของเขากลับสั่นแบบนี้นะ รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น

“อ่ะ!”

ชายหนุ่มก้มลงเก็บเศษแก้วที่แตกกระจาย เพราะความกังวลใจทำให้เขามองไม่เห็นว่ากำลังก้มลงหยิบเศษแก้วที่ปลายแหลมจนโดนบาด แม้จะไม่เจ็บมากแต่ก็ทำให้มีเลือดไหลนิดหน่อยตามปากแผลที่ถูกบาด

“ตะวัน! เป็นอะไรหรือเปล่า”

หนึ่งที่มาเห็นพอดีพูดด้วยน้ำเสียงตกใจกับสีหน้าที่ตื่นตะลึงเมื่อเห็นชายหนุ่มเพื่อนบ้านกำลังได้รับบาดเจ็บจากเศษแก้ว

“ไม่เป็นไร แค่แก้วบาดนิดหน่อย”

ถึงจะเป็นแค่แก้วบาดมันไม่ได้เจ็บอะไรมากนักแต่ภายในจิตใจกลับร้อนรุ่มดังไฟที่สุมแน่นออก ความหวาดระแวงทำให้เขาเริ่มใจไม่ดี
 
ขออย่าให้เกิดอะไรขึ้นเลย.....
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 06-07-2015 20:45:56
ใครจะมาช่วยเรย์ไว้ละเนี่ย :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: mimasopu ที่ 06-07-2015 20:59:29
น้ำตาไหลพรากกกกกสงสารเรย์(ร้องจริง)
จะมีใครๆไหมที่จะมาอยู่ข้างเรย์บ้างเย็นก็ไปทัวร์ซะละ
มารู้ตอนนี้จะทำอะไรได้ ลูกมี2คนแต่รักแค่คนเดียว
มาตอนนี้จะทำอะไรแค่รู้สึกผิด?
ขนาดหมอบอกว่าเรย์เป็นอะไรแต่ประโยคแรกทีพูดกับเรย์คือ“หยุดได้แล้วเรย์ หยุดสร้างปัญหาให้ฉันปวดหัวสักที”
ถามจริงๆเถอะว่าใครมันจะให้อภัยแล้วลั้นลากลับมาสร้างภาพครอบครัวที่สวยงาม
แต่ๆๆๆๆๆๆคอนนี้เรย์เดินไปไหนแล้ว เก๊าค้างงง
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 06-07-2015 21:03:41
น้ำตาเรานี้คลอเป้า :mew2:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: coupdetat ที่ 06-07-2015 21:15:14


เป็นอีกเรื่องที่ทำเอาน้ำตาไหลพรากๆ

เรยยยยยยยยย์  :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: monaligo ที่ 06-07-2015 21:50:46
อ่านแล้วไม่อินจริงๆนะ ไม่อินเล๊ยยยย น้ำตาหยดแหมะแล้วเนี่ยฮืออออออออ :mew4:
ชีวิตหนูเรย์ช่างรันทดนัก พ่อก็พร่ำไปเถอะ คิดได้เอาตอนสายไป
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 06-07-2015 21:54:04
 มันช้าไปไหม กับคำขอโทษ ความเจ็บปวดคืนสนอง (สะใจเล็กๆ) เรย์ต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง อย่าจมอยู่กับความเศร้า หาความสุขใส่ตัวบ้าง ตกลงตะวันพระเอกชิมิ อิอิ ว่าแต่ว่า อยากได้คู่แข่งตะวัน กับไค ลงสนามเพิ่มอีกคนนะ เอาให้กระอัก สะบักสะบอมไปเลย
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-07-2015 21:58:56
 คิดได้เมื่อสาย  :beat: เรย์หายไปเลยหายลับน่ะ ไปมีชีวิตใหม่ซะ ให้พวกนี้อยู่กับความเจ็บปวดต่อไปเถอะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 06-07-2015 22:32:42
อ่านเสร็จ น้ำตาจะเป็นลิตรแล้ว #ร้องให้หนักมากกก   :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-07-2015 23:01:59
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-07-2015 23:49:00
หวังว่าจะได้เจอคนดีๆนะเรย์
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 07-07-2015 02:00:36
คุณพ่อรู้สึกผิดเมื่อสายไปสินะ เพราะอคติคำเดียว คุณพ่อจะทำยังไงต่อไป เรย์จะหนีไปไหนหรือฆ่าตัวตาย อยากอ่านต่ออ่าาาาา
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 07-07-2015 10:44:54
อยากให้เรย์ไปอยู่ข้างนอก ถึงจะไม่มีเย็นแต่ก็ไม่อยากให้ล้มเลิกความตั้งใจ
พ่ออะ สำนึกได้ก็ดีแล้ว แต่เราไม่ยกโทษให้ง่ายๆหรอกนะ
ความผิดที่ทำ มันไม่ได้หายไปแค่คำขอโทษหรอกนะ
เพราะความรู้สึกมันเสียไปแล้วไง
เราร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลไปหมด อินจริงๆค่ะ555
รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: naoai ที่ 08-07-2015 13:04:59
แอบมาดัน อยากอ่านต่อ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 08-07-2015 23:29:32
น้ำตาตกเลย ตอนนี้ เรย์รีบกลับมาเป็นคนร่าเริ่งนะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly Duckling ที่ 09-07-2015 08:14:26
 :sad4: :sad4:อ่านไปน้ำตาไหล555 :mew1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: aaoo ที่ 09-07-2015 12:50:22
 :hao5: :hao5: :hao5: สงสาร อ่ะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: sirikanda28 ที่ 09-07-2015 20:16:27
แย่มากค่ะ เป็นพ่อ
ที่จะเรียกว่าเลวก็
ได้
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 22-07-2015 18:34:34
ฮือ เรย์ อ่านไปร้องไห้ไป  :hao5:

มาต่อเร็วๆนะ เค้ารอออ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 22-07-2015 18:59:24
นานไปแล้วนะ คิดถึงเรย์ :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: saotome ที่ 12-08-2015 11:17:08
รออยู่เน้อ คิดถึงเรย์
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
เริ่มหัวข้อโดย: dusitta ที่ 12-08-2015 15:14:06
ขอบคุณ คนแต่งกลับ ที่ถ่ายทอดเรืองราว ส่วนลึกได้ดีมาก
ในใจทุกคนมีปม ที่ไม่สามารถสะสางออกได้ หันมองใจตัวเอง แล้ค่อย ๆ สะส่งออกนะครับ ก่อนที่มันจะสายเกินไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นเรื่องที่ดีมาก ครับ ผมขอบชม (ผมได้พล๊อตไอเดีย อีกสองเรื่อง 5555)
เป็นกำลังใจให้นะครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปล.การเขียนนิยาย บางครั้งมันคือปมที่ค้างคาใจคนเชียนเอง ที่พยายามระบายออกมา ในรูปแบบหนึ่ง ยิ้มนะครับ ยิ้มให้กับตัวเรา ที่เราสามารถสู้มาได้ถึงเพียงนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้ อยู่ เป็น คือ 100% แต่มันคือสิ่งที่เราต้องก้าวต่อไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณครับ จะติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 20-11-2015 12:55:06


ตอนที่ 10

ค่ำคืนที่มืดมิดไม่เห็นแม้กระทั่งดวงดาว ในคืนเดือนมืดผมเดินอยู่ริมถนนคนเดียวอย่างเคว้งคว้าง ในโลกที่ไม่มีเย็นผมก็ไม่อยากจะอยู่ ผมเจ็บเหลือเกินเจ็บเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ พอไม่มีเย็นแล้วผมจะทำยังไงต่อยังไม่รู้เลยแค่ตอนนี้ผมอยากผมจะไปที่ไหนผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย

“ฮือ ฮือ”

ผมทรุดตัวนั่งร้องได้ด้วยความปวดร้าวไปทั้งใจ ทั้งไม่มีที่ไปและที่ให้กลับ นี่ผมเป็นคนไร้ค่าขนาดนี้เลยเหรอ?
ผมเงยหน้ามองรถบนถนนที่แล่นไปแล่นมาอย่างไม่มีวันหยุดก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มตัว ดวงตาทั้งสองข้างยังคงเหม่อลอยไปข้างหน้า ในเมื่อไม่มีใครต้องการผม ผมก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ถ้าไม่มีใครรักผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่

เย็น.....

รอผมก่อนนะ.....

สายตาของผมทอดยาวไปเบื้องหน้าอีกฝากของถนน ผมเห็นใครคนนึงที่คุ้นตากำลังยืนยิ้มมาที่ผมอยู่พร้อมกับกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาด้วยท่าทีที่อ่อนโยน พอรู้ว่าเป็นใครมันก็ทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นมาทันที สมองของผมในตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรนอกจากอยากจะเดินไปหาอีกคนที่อยู่อีกฝากของถนน

เย็นมารับผมใช่ไหม.....

ปรื้น!!!!!

เอี๊ยด!!!!!!

เฮือก!

ผมที่กำลังจะก้าวลงบนท้องถนนกว้างแต่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาฉุดผมจากทางด้านหลังทำให้ไม่สามารถก้าวลงไปได้ รถที่แล่นด้วยความเร็วสูงก็วิ่งฉิวเฉียดผ่านร่างไปทันที ใจของผมกระตุกวูบด้วยความนึกกลัวจนแข้งขาอ่อนไปหมดทำให้ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมกลับรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังห้ามผมอยู่ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะถูกรถชนตายไปแล้วก็ได้ ความอบอุ่นที่คุ้นเคยกำลังปลอบผมไม่ให้ตื่นกลัว ความอบอุ่นที่เหมือนกับอ้อมกอดของเย็น.....

“เฮ้ย! อยากตายนักหรือไงวะ! ถ้าจะตายไปตายที่อื่น อย่ามาตายกับรถกู”

คนขับรถคันนั้นเปิดกระจกออกมาแล้วตะโกนต่อว่าผมด้วยน้ำเสียงขุ่นอย่างคนโกรธๆ แววตาของเขาจับจ้องมาที่ผมด้วยสายตาแข็งกร้าว

“ขอ.....ขอโทษครับ”

“เออ คราวหลังก็อย่าทำอีกละกัน”ผู้ชายคนนั้นบอกผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง คงเห็นผมตกใจมากเลยคิดสงสารผมสินะ
ผมมองไปอีกฝากฝั่งของถนนที่ตอนนี้ไม่มีใครยืนอยู่แล้ว มีแต่เพียงความว่างเปล่ากับรถที่วิ่งสวนกันไปมาเท่านั้น มันทำให้ผมอดที่จะคิดไม่ได้ ถ้าเย็นอยู่กับผมตรงนี้แล้วคนที่ผมเห็นเป็นใคร? หรือว่าเย็นกำลังปกป้องผมอยู่ เย็นคงไม่อยากให้ผมตาย
ในเมื่อเย็นอยากให้มีชีวิตอยู่ผมก็จะอยู่ ผมหันหลังกลับให้กับความตายที่เพิ่งคิดจะทำแล้วก้าวเดินไปอีกทาง ชีวิตของผมและอนาคตของผมที่เย็นยังไม่ได้เห็นผมยังทำมันไม่สำเร็จเลย ผมจะทำให้เย็นภาคภูมิใจให้เย็นได้รู้ว่าถึงไม่มีเย็นอยู่แล้วผมก็ยังอยู่ได้ ผมจะต้องไม่ทำให้เย็นเป็นห่วง เย็นจะต้องได้ไปผุดไปเกิดโดยที่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

ขอบคุณนะเย็น.....

ผมจะไม่คิดสั้นอีกแล้ว.....

.....ค่ะ

.....คุณเรย์


ใบหน้าซีดเผือดจับจ้องผู้เป็นนายจากทางด้านหลังก่อนที่จะหันไปอีกฝากถนน วิญญาณสัมภเวสีที่รอตัวตายตัวแทนแล้วหลอกล่อให้ฆ่าตัวตายเพื่อที่จะได้ไปเกิดใหม่กำลังมองเธอด้วยแววตาโกรธแค้น หากแต่เธอกลับใส่ใจไม่ เธอคงยอมไม่ได้หรอกที่จะให้คุณหนูของเธอกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงคราวเคราะห์

.....มีชีวิตอยู่ต่อไปนะคะคุณเรย์

.....เย็นจะคอยมองคุณอยู่เสมอ

.....คุณหนูของเย็น


ฟิ้วววว

สายลมที่พัดผ่านตัวมันทำให้ผมหันไปมองด้านหลังอัตโนมัติ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเย็นกำลังมองผมอยู่แต่มันกลับไม่มีใคร
ผมตัดสินใจจะเข้าบ้านอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ได้กลับไปอยู่แต่แค่กลับไปเอาของเท่านั้น โชคดีจริงๆ ตอนที่ผมแอบออกจากโรงพยาบาลเอากระเป๋าเงินออกมาด้วยไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีเงินติดตัวสักบาทแล้วก็ไม่รู้จะมาที่บ้านยังไง ผมอาศัยนอนโรงแรมที่อยู่แถวๆ นั้นไปหนึ่งคืนแล้วตอนเช้าค่อยอาศัยตอนที่พวกเขาไม่อยู่บ้านเข้าไปเอาของก็แล้วกัน
.
.
.

เช้า

ผมแอบบ้านของผมจากอีกทางคอยซุ่มดูว่าพวกเขาจะออกไปข้างนอกกันหรือยัง มันน่าหัวเราะจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นบ้านตัวเองแท้ๆ
แต่ผมกลับทำลับๆ ล่อๆ เหมือนกับว่าจะมาเป็นขโมยซะงั้น
ไม่นานนักผมก็เห็นรถสีดำคันที่พ่อขับเป็นประจำขับออกจากบ้าน ผมเลยเลือกที่จะรออีกหน่อยแล้วดูต้นทางให้แน่ใจ ถ้าเดาไม่ผิดคนที่น่าจะอยู่ในบ้านตอนนี้ก็น่าจะเป็นหนึ่งและคนรับใช้ในบ้านสองสามคน ผมอาศัยจังหวะที่ประตูบ้านกำลังจะถูกปิดวิ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่สุดก่อนที่จะได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อผมไล่หลังดังออกมา

“คุณเรย์!”

ผมเก็บของจำเป็นใส่กระเป๋าเป้ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่จำเป็นแล้วก็เอกสารต่างๆ รวมทั้งเงินที่อยู่ในบัญชีส่วนตัวที่เอาไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น หลังจากที่เก็บทุกอย่างอย่างลวกๆ เรียบร้อยแล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกจากบ้านอีกครั้งโดยที่ไม่หันไปมองบ้านหลังนั้นอีกเลย

ผมยังไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ได้แต่สะพายกระเป๋าเดินไปตามท้องถนนเหมือนกับเมื่อคืน ผิดที่ว่าตอนนี้มันเป็นตอนกลางวันก็เท่านั้น ผมคิดถึงครูน้อยผมไม่กล้าไปหาเพราะผมรู้ว่าไม่ว่าจะยังไงครูน้อยต้องยอมให้ผมอยู่ด้วยแน่ๆ แต่ผมไม่อยากให้ครูน้อยลำบาก ถึงจะมีเงินเก็บอยู่ในบัญชีแต่ผมก็คงใช้เท่าที่จำเป็นเอาไว้เพื่อเวลาฉุกเฉินจะได้มีเงินไว้ใช้ คงจะหาที่พักแบบคอนโดหรูๆ ใจกลางเมืองไม่ได้เพราะมันเกินความจำเป็น

“คงต้องหาที่อยู่หลังจากนั้นค่อยหางานทำสินะ”

ผมแบกกระเป๋าเป้ใบไม่ใหญ่ไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อหาห้องเช้าที่ราคาถูกๆ ผมเดินไปหลายที่พอสมควรเจอทั้งดีบ้างและไม่ดีบ้างคละกันแต่เนื่องจากที่ผมอยู่ค่อนข้างจะอยู่ในตัวเมืองทำให้ราคาห้องเช่าสูงขึ้นไปด้วย

“ค่ามัดจำสองเดือนสี่พันบาท ค่าเช่าเดือนละสองพัน”

ผมมองห้องที่ถูกเปิดออกกว้างทำให้เห็นด้านใน มันเป็นห้องที่โล่งกว้างไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงนอนและที่นอนราคาถูกๆ เท่าที่หามาที่นี่ก็น่าจะดีที่สุดแล้ว ที่นี่เป็นตึกสี่ชั้นสีขาวมีระเบียงเล็กๆ ตรงด้านหลัง แล้วก็มีห้องน้ำในตัว ห้องที่ผมมาดูจะอยู่ชั้นสี่บนสุดแล้วก็ดูท่าว่าจะเหลือห้องสุดท้ายด้วย

“ตกลงเอาไง เหลือห้องสุดท้ายแล้วนะ”

“เอ่อ เอาครับเอา นี่ครับเงิน”

“นี่กุญแจห้อง ห้องน้ำแล้วก็ระเบียง ถ้าหากทำหายจะเสีย 100 เพื่อป้ำกุญแจใหม่นะ”

“ครับ”

เจ้าของห้องเช่าอธิบายนิดๆ หน่อยๆ ให้พอผมเข้าใจ ผมพยักหน้ารับแล้วรับกุญแจมาถืออยู่ในมือ ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เล็กกว่าห้องคนใช้ในบ้านที่ผมเคยอยู่ ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ลูกคุณหนูที่มีพร้อมทุกอย่างแต่กลับหนีออกจากบ้านกระทันหันเพื่อหนีทุกคนที่ใจร้าย แม้ว่าผมจะถูกมองว่าอ่อนแอแต่ผมก็ไม่สนเพราะผมเจ็บมามากพอแล้ว มากเกินที่จะต้องทนอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครต้องการ

จากนี้ไปผมต้องเริ่มใช้ชีวิตคนเดียว สิ่งที่ผมจะทำสิ่งแรกคือต้องซื้อข้าวของเท่าที่จำเป็นอย่างเช่นพัดลมเพราะตอนนี้อากาศในห้องมันร้อนมากพอสมควร ถ้าหากว่าผมต้องนอนที่นี่รับรองนอนไม่ได้แน่ๆ หลังจากนั้นค่อยหางานทำแล้วก็หาที่เรียน ผมยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มคิดอะไรจริงๆ จังๆ กับชีวิตขึ้นมา เมื่อก่อนตอนที่ผมยังอยู่ในบ้านหลังนั้นผมไม่เคยคิดอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ ถึงเคยคิดว่าอยากจะออกมาอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เพราะตอนนั้นมีเย็นอยู่ด้วยเลยทำให้ไม่ได้คิดอะไร แต่ผมกลับคิดผิดถนัดเพราะวันนี้ไม่มีเย็นอยู่ด้วย ไม่มีคนคอยทำอะไรๆ ให้ผมทุกอย่าง แล้วก็ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าการออกมาใช้ชีวิตภายนอกจะลำบากขนาดนี้

เย็น.....

เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะ.....

.
.
.
อีกด้านหนึ่ง

“เรย์!”

พจน์เหมือนรู้สึกถึงหัวใจที่แตกสลายหลังจากที่รู้ข่าวว่าลูกชายอีกคนได้หนีหายออกไปจากบ้าน เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเรย์จะกล้าทำถึงขนาดนี้ ลูกคุณหนูที่อยู่สุขสบายแต่กลับต้องออกไปใช้ชีวิตภายนอกคนเดียวมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้

“เรย์ พ่อขอโทษ”

“คุณคะ!”

ผู้เป็นภรรยาโอบประคองสามีด้วยความเป็นห่วงด้วยกลัวว่าสามีของเธอจะเกิดอาการช็อกจนต้องเข้าโรงพยาบาลอีกคน เพราะตั้งแต่งานศพของเย็นเสร็จสิ้นมันก็ดูเหมือนว่าจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เข้ามา

“นัน ฉันจะทำยังไงดี”

“คุณไม่ต้องห่วงนะคะ เรย์จะต้องปลอดภัย”นันยิ้มอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมผู้เป็นสามี

“คุณท่านคะ มีคนมาขอพบคะ”หญิงสาวรับใช้เอ่ยออกมาทันทีหลังจากที่เข้าหาผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน

“ไปบอกเขาว่าตอนนี้ฉันไม่ต้องการพบใคร”

“แต่.....”

“แม้แต่ฉันอย่างนั้นเหรอคะ คุณพจน์!”

ยังไม่ทันที่สาวใช้จะพูดจบก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นเพื่อขัดจังหวะ น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้พจน์ถึงกับหันไปมองทันที

“วาริน!”

“ยังจำฉันได้อีกเหรอคะ ฉันคิดว่าคุณลืมฉันไปแล้วซะอีก”

เหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอของพจน์ทันทีที่เห็นหน้าผู้ที่เคยเป็นภรรยาตน ผู้หญิงตรงหน้าดูแทบไม่เปลี่ยนเลยสักนิดแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาเกือบสิบปีแล้วก็ตามแต่พจน์ก็ยังยอมรับว่าเธอดูสวยสะพรั่ง

“เธอ.....”

“ตกใจมากเหรอคะที่เห็นฉัน”

วารินยกยิ้มหวานมองอดีตผู้เป็นสามีด้วยแววตาเย็นชา

“คุณมาที่นี่ได้ยังไงวาริน”

พจน์กล่าวเสียงสั่นๆ แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ความทรงจำเมื่อครั้งวันวานถูกย้อนเข้ามาในสมองเป็นฉากๆ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าทำให้พจน์แทบไม่เชื่อสายตา ผู้หญิงคนนี้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นอดีตภรรยา คนที่เคยทำให้เขากับนันเกือบจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการและเป็นคนที่ร้ายกาจ วารินหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อสิบปีก่อนไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง
.
.
.
ย้อนความ

ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ พจน์ในวัยหนุ่มจับจ้องไปที่รจนาผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้าด้วยความน้อยใจ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะถูกบังคับขนาดนี้ จะให้ต้องแต่งงานกับผุ้หญิงที่ไม่ได้รักอย่างนั้นหรือ...คงไม่มีทาง!!!

“ผมไม่แต่ง! ยังไงผมก็จะไม่แต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักเด็ดขาด!”

“แม่ไม่ยอม!”

รจนาเอ่ยอีกครั้งต่อหน้าลูกชายของเธอ

“ผมก็ไม่ยอม! ผมไม่ได้รักวาริน”

“แต่หนูวารินเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับลูกมากที่สุด”

“คุณแม่ มันก็แค่ยศฐาบรรดาศักดิ์”

พจน์กล่าวด้วยเหตุผล พยายามทำให้รจนาเข้าใจว่าความรักไม่จำเป็นที่จะต้องมองถึงความเหมาะสมอะไรทั้งนั้น

“แต่คนที่พจน์รักเขาเป็นคนที่คิดจะมาปลอกลอกพจน์ แม่เป็นผุ้หญิงทำไมแม่จะดูไม่ออกว่าใครรักพจน์จริง”

“นันไม่ทำแบบนั้นหรอกครับคุณแม่ ต่อให้ผมไม่มีอะไรนันเขาก็รักผมแล้วผมก็เชื่อด้วยว่าความรักของเราเป็นรักแท้”

“พจน์อยากให้แม่เสียใจใช่ไหม! อยากให้แม่ช้ำใจตายไปเลยใช่ไหม ฮึก ฮือ ถ้าอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นนักก็ไปเลย! อะ โอ๊ย!!!”

“คุณแม่!!!”

พจน์วิ่งเข้าไปประคองร่างของรจนาด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาล้มไปต่อหน้า ร่างสูงเอ่ยเรียกชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะพาไปโรงพยาบาล

ด้วยสภาพที่อ่อนแอของรจนาทำให้พจน์ไม่อาจคิดที่จะขัดขืนได้ จนในที่สุดเขาก็ยอมที่จะแต่งงานกับวารินผู้หญิงที่รจนาเลือกให้ แต่ด้วยนิสัยของพจน์ที่ไม่เคยรักวารินทำให้เขาไม่สามารถที่จะตัดใจจากนันได้จนทำให้พจน์ทำเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
พจน์มีเมียน้อย...

ผู้หญิงทุกคนที่ได้แต่งงานกับผู้ชายเรื่องเมียน้อยย่อมเป็นเรื่องต้องห้าม วารินไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง เธอร้องไห้อย่างเจ็บปวดทุกครั้งที่พจน์ไม่สนใจ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งความรักเธอก็ไม่เคยได้มันมาเลยสักครั้ง แม้ว่าพจน์จะทำหน้าที่สามีที่ดีต่อหน้าสังคมเธอยอมรับในส่วนนี้ แต่ว่าหน้าที่ของพ่อพจน์กลับไม่คิดที่จะทำมันเลย

“เรย์”

“ฮับ”

วารินลูบใบหน้าลูกชายตัวน้อยวัยเพียงห้าขวบด้วยความรัก ด้วยน้ำตาเรื้อ เด็กน้อยยกยิ้มกว้างบนใบหน้าด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์จนทำให้วารินอดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“รอแม่อยู่นี่นะเรย์”

“ฮับ”

เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“คุณแม่ไปทำงานก่อนนะครับ แล้วคุณแม่จะกลับมารับ”

วารินเอ่ยกับลูกน้อยอีกครั้งพร้อมโอบกอดร่างเล็กๆ รู้สึกใจหายเหมือนกันที่จะต้องจากลูกชายไปแบบนี้แต่มันเป็นเพราะเรื่องงานเลยทำให้เธอจำเป็นที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ยอมจากอกลูกน้อยไปแน่

“ฮับ คุณแม่กลับมาเร็วๆ นะ จะรอ...”

เรย์ในวัยเด็กยิ้มรับด้วยใบหน้าซื่อบริสุทธิ์ วารินเองก็เช่นกัน ตอนนี้เธอตัดสินใจแล้วว่าจะตัดขาดกับพจน์ แต่ขอเพียงเวลาอีกนิดหน่อยขอแค่เธอทำงานนี้เสร็จก็จะกลับมารับลูกแล้วไปใช้ชีวิตอยู่กันสองคนตามประสาแม่ลูก แต่วารินกลับไม่คิดเลยว่า
วันนั้นจะไม่มีวันเป็นจริงๆ...


หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 20-11-2015 12:59:07


ตอนที่ 11

“วาริน...คุณ?...”

“กรุณาเรียกใหม่ด้วยคะคุณพจน์ วารินคนเก่าได้ตายไปแล้ว ชื่อของฉันคือโรส...”

โรสเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่น สายตาเรียวจับจ้องไปที่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาใหม่ของพจน์ด้วยรอยยิ้มเยาะเล็กๆ ทำไมเธอจะจำไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นเมียน้อยของอดีตสามีเธอมาก่อน! มือบางกำซองเอกสารไว้แน่นจนแทบฉีกยิ่งเห็นแบบนี้แล้วมันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้นันไม่น้อยเลยทีเดียว

“สวัสดี นัน...เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

“เอ่อ”

นันรู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าสู้หน้า ทำไมเธอจะจำไม่ได้ว่าเคยถูกวาริน ไม่ใช่สิ...โรสทำอะไรไว้บ้าง

“แต่เอาเถอะ วันนี้ฉันไม่ได้มาหาเธอ สบายใจได้เพราะคนที่ฉันมีธุระด้วยมีแค่คนเดียวเท่านั้น ใช่ไหมค่ะ คุณพจน์!”

โรสพูดนิ่งๆ ท่าทีสง่างามดั่งนางพญาหงส์ของเธอทำให้รอบข้างถึงกับผวาเล็กๆ ทั้งพจน์ทั้งนั้นต่างก็คิดไม่ถึงว่าโรสจะกลับมาอีกทั้งๆ ที่ก็หายไปจากที่นี่ไปเป็นสิบปี

“เรย์อยู่ที่ไหนคะ ฉันต้องการพบลูกของฉัน”

“คุณยังมีหน้ามาถามหาลูกอีกเหรอ เป็นคุณเองไม่ใช่เหรอที่ทิ้งเรย์ไป”

พจน์พยายามทำใจให้สงบ ถึงจะแปลกใจที่ได้เจอโรสอีกครั้งแต่ด้วยความคิดที่ว่าเขาไม่ผิดยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม ยังไงซะคนที่ผิดก็คือโรสที่ทิ้งลูกตัวเองไปแล้วตอนนี้ยังมีหน้ากลับมาถามหาทั้งๆ ที่ไม่เคยสนใจใยดีแท้ๆ

“ฉันไม่ได้มาพบคุณเพื่อแก้ตัวว่าฉันหายไปไหนมา แต่ที่ฉันมาพบคุณวันนี้คือฉันต้องการพบลูกของฉัน!!!”

“.....”

ทุกอย่างรอบตัวนิ่งเงียบลงทันที

“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อคนที่เลี้ยงดูเรย์คือผม! ไม่ใช่คุณ!!!”
พจน์ตอบกลับด้วยแววตากร้าวไม่แพ้กัน...

“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
โรสถามเสียงนิ่ง…

“คุณทำอะไรคุณก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ”

“.....”

“คุณต่างหากที่หายไปจากชีวิตเรย์ แล้วทิ้งลูกไป!”

โรสหรี่ตามองผู้เป็นอดีตสามีเล็กๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาเพียงนิด ใบหน้าที่นิ่งเฉยมีหรือจะเหมือนกับหัวใจที่เต้นระรัวแทบกระเด้งออกมานอกอก ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะว่าคิดถึง แต่เป็นเพราะว่าเธอกำลังโกรธอยู่มากๆ จนสามารถทำอะไรๆ ก็ได้ หากแต่ว่าโรสก็ยังทำนิ่งเฉยเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้เคยเป็นสามี

“นี่คุณจะบอกว่าฉันเป็นคนผิดงั้นเหรอ”

“.....”
พจน์เงียบ ไม่ตอบคำถาม...
“คุณจะบอกว่าฉันเป็นแม่ที่แย่ ที่ทิ้งลูกตัวเองไปสินะ ใช่! ฉันยอมรับว่าฉันเป็นแม่ที่แย่”

“.....”

“แต่คุณรู้อะไรไหมคุณพจน์ คุณเองก็แย่ไม่ต่างจากฉันเหมือนกัน! ไม่สิ...คุณไม่ได้แย่ แต่เป็นคุณเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง!”
โรสกำซองเอกสารในมือแน่น ภายในใจเดือดพล่านหนักยิ่งกว่าเก่า นึกอยากทำมากกว่านี้แต่ก็ต้องพยายามทำใจเย็นเอาไว้

“ถ้าผมไม่ได้เรื่อง คุณก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน! ผมเป็นคนเลี้ยงดูแกมา ในระหว่างที่คุณไปอยู่กับชู้! ไปสำเริงสำราญอยู่เมืองนอก นี่เพิ่งคิดได้หรือไงว่าตัวเองมีลูกถึงได้กลับมานะ ห่ะ!”

พจน์ที่โดนว่ากลับรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาทันที ชายร่างสูงพยายามทำให้ตัวเองไม่กลายเป็นคนผิดไปมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเรื่องที่โรสพูดมามันก็เป็นความจริง แต่ด้วยหน้าตาในสังคมที่เป็นที่ยอมรับทำให้เป็นพ่อที่ดีของสายตาคนอื่นๆ ทำให้พจน์ไม่สามารถที่จะยอมรับความจริงข้อนี้ได้ว่าตัวเองเป็นคนผิด คนภายนอกรู้ว่าเขามีลูกชายสองคนและมีภรรยาที่รักที่ดูเหมือนจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น หากแต่มันไม่ใช่อย่างที่เห็นสักนิด พจน์ไม่ใช่คนอย่างที่สังคมเห็นเขาเป็นเพียงแค่พ่อที่รักลูกไม่เท่ากัน

“ฉันจะไปทำอะไรอยู่ที่ไหนมันก็เรื่อง ของ-ฉัน”

โรสพูดอย่างกลั้นใจ มือบางที่กำซองเอกสารสั่นระริกจนแทบห้ามไม่อยู่ หมดกันแล้วความอดทนอดกลั้นกลับผู้ชายคนนี้

“เมื่อกี้คุณบอกว่าอะไรนะ เลี้ยงดูอย่างนั้นเหรอ หึ อย่าพูดให้ฉันหัวเราะหน่อยเลย ฉันเองอยากรู้จริงๆ ว่าคุณเลี้ยงดูประสาอะไรถึงได้ทิ้งลูกแบบนี้!!!”

พรึบ!

ซองเอกสารที่อยู่ในมือถูกปาไปตรงหน้าพจน์ด้วยความโมโห โรสพยายามที่จะกลั้นอารมณ์ของตัวเองให้แน่นิ่ง ทั้งที่ตั้งใจจะมาเจรจาด้วยดีๆ แท้ๆ แต่กลับถูกพูดมาแบบนี้ทำให้ความอดทนของเธอหมดลงเช่นกัน โรสอยากจะตะโกนใส่หน้าของพจน์จริงๆ ว่าคนที่เลี้ยงดูเรย์เป็นเขาแน่เหรอ? ถ้าจำไม่ผิดข้อมูลที่หามาได้ดูท่าจะไม่ใช่เขานะ...

“ลองดูสิคะว่าฉันได้อะไรมา แล้วคุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าในนั้นคือใคร คนที่อยู่ในรูปเป็นคุณหรือเปล่า”

พจน์ค่อยๆ แกะซองเอกสารออกช้าๆ สิ่งที่อยู่ด้านในทำให้เขาถึงกับผงะตัวออกมาเช่นกัน ภายในซองสีน้ำตาลอ่อนเป็นข้อมูลต่างๆ ของลูกชายอีกคนแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ภาพไม่กี่ใบที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานแต่มันก็ฟ้องอยู่ทนโท่ ภาพถ่ายสองมุมที่มีวันที่และเวลาเดียวกันหนึ่งรูปกำลังหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุขของพ่อแม่ลูก แต่อีกมุมกลับกลายเป็นภาพถ่ายแห่งน้ำตาและความเสียใจ

“คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าสิ่งที่ฉันเห็นมันคืออะไร!”

“.....”

“ทั้งข้อมูลที่ฉันได้รับและรูปที่ฉันเห็น คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงไม่มีคุณ!!!”

“แต่คุณก็ทิ้งลูกเหมือนกัน! คุณหายไปเป็นสิบปีแต่เพิ่งมาโผล่ตอนนี้มันหมายความว่ายังไง”

“แล้วคุณคิดว่าฉันอยากทิ้งหรือไง ห่ะ!!!”
โรสจ้องหน้าอดีตผู้เป็นสามีตาไม่กระพริบ...

“ถ้าฉันรู้ว่าวันนั้นฉันจะไม่ได้กลับมาหาลูกอีกฉันคงไม่ไปหรือไม่ฉันก็คงเอาลูกไปด้วย ไม่ทิ้งแกให้อยู่กับพ่อแย่ๆ อย่างคุณหรอก!!!”
นัยน์ตาคู่สวยของโรสเรื้อไปด้วยน้ำตาเล็กๆ ตอนที่เธอเห็นข้อมูลของลูกชายตัวเองครั้งแรกมันก็ทำให้รู้สึกตกใจไม่น้อยเหมือนกัน ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้จะกลายเป็นพ่อคนได้ การรักลูกไม่เท่ากันมันก็เป็นแทบทุกครอบครัวแต่ว่าเธอไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะลำเอียงขนาดนี้!!!

“คุณพ่อ คุณแม่ เรย์หนีออกจากโรงพยายบาลจริงเหรอครับ!!!”

เสียงใสๆ ก้องกังวานเอ่ยมาด้วยความตกใจสอดแทรกผู้ใหญ่ทั้งสามที่กำลังยืนประจันหน้ากันอย่างไม่รู้ หนึ่งเดินเร็วกึ่งวิ่งด้วยความตื่นตระหนกเล็กๆ กับข่าวที่เพิ่งได้ยินมาก่อนที่จะหยุดชะงักกลางคันเมื่อเห็นว่ามีแขก

“เอ่อ ผม ผมขอโทษครับ ไม่คิดว่าจะมีแขก”

หนึ่งกล่าวอย่างสุภาพอย่างรู้สึกสำนึกผิด รู้สึกโกรธตัวเองนิดๆ ที่วิ่งทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือ ดวงตากลมโตทั้งสองข้างช้อนมองโรสนิดๆ นึกชื่นชมอยู่ในใจไม่น้อยเหมือนกัน ดูเธอช่างเป็นผู้หญิงที่สวยมากจริงๆ ทั้งดวงตาและใบหน้าแบบนี้มันช่างคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ช่างเหมือนกับใครบางคนที่รู้จักเสียจริงๆ

“ไม่เป็นไรจ๊ะ”

โรสตวัดสายตามองหนึ่งชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตรแต่อารมณ์ข้างในในตอนนี้ของเธอไม่ได้ยิ้มตามสักนิด ถ้าเป็นในตอนปกติเธอคงจะนึกชื่นชมไม่น้อย เด็กผู้ชายตัวเล็กผิวขาวดูท่าทางน่าทะนุดถนอม หากแต่คำที่ถูกเอ่ยออกมาแบบไม่ทันได้ตั้งใจของเจ้าตัวทำให้โรสถึงกับอดที่จะคิดตามไม่ได้

เรย์...

หายไป!!!...

“คุณพจน์ ทำไมลูกฉันถึงเข้าโรงพยาบาล”

โรสหันถามผู้เป็นสามีอีกครั้ง อยากรู้เสียจริงว่าทำไมลูกที่เธอออกตามหาตอนนี้ถึงได้ไปอยู่โรงพยาบาลได้ แต่สิ่งที่ได้รับยังคงมีแต่ความเงียบของเจ้าตัวและคนรอบข้าง

หนึ่งมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความนึกฉงน คำพูดของเธอที่เอ่ยออกมาเมื่อสักครู่มันทำให้รู้เลยว่าหมายถึงใคร แต่พอลองมองดีๆ แล้วมันก็มีส่วนคล้ายกันจริงๆ ทั้งใบหน้าที่สวยและดวงตาที่ดื้อรั้นมันเหมือนกับเรย์ไม่มีผิดเพี้ยน

“ว่าไงคะ คุณพจน์ ทำไมลูกของฉันถึงเข้าโรงพยาบาล เรย์ไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง!”

โรสถามอย่างเสียงดังอย่างนึกโมโหนัก! แค่อยากรู้ในคำตอบก็แค่นั้นแต่เธอไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมพจน์ถึงตอบไม่ได้

“เรย์ไม่สบายนิดหน่อย”

“.....”

มันเป็นคำตอบที่แทบไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด ถึงจะแค่เข้าโรงพบาบาลจริงๆ ก็เถอะแต่ว่าทำไมคนเป็นพ่อถึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้!

“เรย์ไม่สบายถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วคุณเป็นพ่อภาษาอะไรถึงได้ทิ้งลูกแบบนี้!!!”

“คุณว่าแต่ผมทิ้งลูก! แต่คุณเองก็ทิ้งลูกเหมือนกันไม่ใช่หรือไง!!!”

พจน์ตอบกลับทันทีที่โรสเอ่ยจบ สาวตาดุมองไปที่อดีตภรรยาด้วยท่าทางนิ่งเรียบ...

“คุณหนีไปกับคนอื่น! หนีไปกับชายชู้แล้วทิ้งลูกไว้กับผม ทำอย่างกับว่าคุณเป็นแม่ที่ดีมากนักงั้นแหละ!”

“ฉันบอกคุณแล้วไงว่าฉันไม่ได้คิดทิ้งลูก! แล้วคุณเคยคิดที่จะถามฉันบ้างหรือเปล่าว่าฉันไปไหน เกิดอะไรขึ้นฉันถึงได้หายไป คุณ
มีแต่จะโยนความผิดให้ฉันทั้งๆ ที่คุณเองก็รู้ดีที่สุดว่าคุณนั่นแหละเป็นคนผิดตั้งแต่แรก!”

“.....”

“คุณบอกว่าฉันหนีไปกับชู้ แล้วตัวคุณละดีแค่ไหน? คุณมีมันทั้งๆ คุณก็แต่งงานกับฉัน”
โรสปรายตามองนันเล็กน้อยอย่างรู้สึกโมโห...

“คุณก็รู้ว่าผมแต่งงานกับคุณโดยที่ไม่ได้รักคุณ!”

“เหรอคะ? ไม่ได้รักแต่คุณก็ยังเก็บฉันเอาไว้ จนกระทั่งเรามีลูกกัน คุณไม่รักฉันฉันไม่ว่า แต่กับลูกคุณกลับไม่รักแก แล้วคนอย่างคุณเนี่ยเหรอที่จะเรียกได้ว่าเป็นพ่อคน!!!”

“.....”

พจน์เงียบ สบตากับโรส...

“ลูกฉันอยู่ในโรงพยาบาลคุณที่เป็นพ่อทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ คุณเป็นพ่อทำไมถึงทิ้งให้แกอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่คุณเป็นพ่อแท้ๆ คุณบอกมาสิว่าทำไม!!!”

“.....”

“ถ้าลูกของฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันเอาเรื่องคุณแน่คุณพจน์!”

หญิงสาวจับจ้องผู้เคยเป็นสามีอย่างเอาเรื่อง ในเมื่อไม่มีคำตอบที่น่าพอใจมีหรือที่เธอจะต้องเสียเวลามายืนอยู่ตรงนี้ การสืบหาความจริงไม่ใช่เรื่องยากสักนิด แล้วก็อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่าลูกชายของเธอถูกทำอะไรอีกบ้างถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล!
พจน์มองตามร่างบางที่เดินกลับออกไปด้วยแววตาสั่นเล็กๆ ก่อนที่จะทรุดนั่งงบนโซฟาพร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ตั้งแต่เย็นเสียชีวิตไปเรื่องทุกอย่างก็ประดังเข้ามาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว พจน์ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าสิ่งที่โรสพูดไม่ใช่เรื่องจริง แล้วความผิดนั้นมันก็กำลังตอกย้ำอยู่ในจิตใจ

“คุณคะ”

นันที่เงียบมาตลอดเอ่ยเรียกสามีขึ้น พจน์ยกมือห้ามกุมหัวใจตัวเองเอาไว้เบาๆ แล้วพยักหน้ารับเชิงบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่ความจริงแล้วในตอนนี้เขาแทบคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรต่อไป ปัญหาทุกอย่างมันประดังเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว
เพราะเรย์เหมือนกับแม่มากเกินไปจนทำให้พจน์คิดถึงความร้ายกาจของผู้หญิงคนนั้นจนทำให้เป็นเขาเองที่พยายามอยู่ห่างจากเรย์ ความห่างเหินที่มากไปจนกลายเป็นความเคยชินทำให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติจนไม่ทันสังเกตุว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง ทำให้เขาทิ้งลูกคนนึงโดยที่ไม่ตั้งใจ

‘พ่อขอโทษ...’

.
.
.

‘คุณพ่อ’
ร่างเล็กๆ ในวัยแปดเผยรอยยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่รอคอยกลับมาสักที เพราะความเหงาที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวและไม่มีเพื่อนเล่นทำให้เรย์เฝ้าแต่รอคอยเวลาที่พ่อจะกลับ
‘คุณพ่อกลับมาแล้วเหรอฮะ’
เรย์โผเข้ากอดผู้เป็นพ่อด้วยความคิดถึง แต่สิ่งได้มากลับมีแต่เพียงความว่างเปล่าของอ้อมกอดที่ควรจะได้
สายตาคมมองไปยังลูกชายตัวน้อยๆ ที่อยู่ตรงหน้า แม้จะเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นแต่เรย์ก็รู้สึกถึงความเฉยชาที่ผ่านมาทางสายตาได้เป็นอย่างดี
“อย่าเพิ่งมากวน พ่อกลับมาเหนื่อยๆ”
“แต่คุณพ่อ ผมคิดถึงคุณพ่อ”
“จะคิดถึงอะไร เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน”
“เจอกันแค่แปปเดียวเอง คุณพ่อออกไปทำงานแต่เช้ากลับก็ดึก”
เรย์ยังคงคะยั้นคะยอโอบกอดผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้มใสซื่อ...
“ขึ้นไปเล่นบนห้องไป พ่อเหนื่อย”
“ฮะ แต่คุณพ่อ...”
“เรย์ พูดให้รู้เรื่อง!”
“ฮะ”
คำที่เอ่ยออกมาจากปากไม่มีแม้แต่คำว่าคิดถึงหรือห่วงหา คำพูดของผู้ใหญ่ที่ทำร้ายเด็กน้อยตาดำๆ เรย์ได้แต่นิ่งเงียบก้มหน้าต่ำมองพื้นพลางรับคำเบาๆ เท่านั้น
ใจของเด็กน้อยแทบแหลกสลายไม่มีชิ้นดี ร่างเล็กๆ เดินคอตกกลับขึ้นห้องด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว เสียงปิดประตูที่ดังเบาๆ ไม่ได้ทำให้คนกระทำรู้เลยสักนิดว่าลูกน้อยของตนกำลังเสียใจขนาดไหน
“คุณพ่อเหนื่อย ต้องเข้าใจ...ฮึก”
ถึงจะคิดแบบนั้นหากแต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลออกมาซะได้ เรย์กอดหมอนที่ตัวเองใช้หนุนประจำไว้แน่นแนบอกพลางซุกใบหน้าหวานเพื่อซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลออกมา
.
.
.

“เย็น”
เรย์ในวัยสิบขวบเผยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเรียกพี่เลี้ยงคนสนิทด้วยแววตาแพรวพราว ในมือถือกระดาษที่ม้วนเป็นกลมๆ ไว้แน่นราวกับว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่า
“คะ คุณเรย์”
“คุณพ่อละ กลับมาหรือยัง”
“คุณท่านยังไม่กลับเลยคะ คุณเรย์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
เย็นเอียงคอถามคุณหนูตัวน้อยด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
“ดูนี่สิ คิกๆ”
เรย์เผยยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจพลางยืนกระดาษแผ่นขาวไปให้พี่เลี้ยงคนสนิท...
“โห คุณหนูวาดเองเหรอคะ สวยจัง”
“ได้รางวัลด้วยละ มีคุณพ่อ คุณแม่ มีเรย์แล้วก็เย็นด้วยนะ”
“คุณเรย์”
เย็นเอ่ยยิ้มด้วยน้ำตาคลอเล็กๆ รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นภาพวาดที่อยู่ตรงหน้า
“ผมจะให้คุณพ่อดู คุณพ่อจะดีใจไหมนะ”
“ต้องดีใจสิคะ”
ปรี๊นๆ
สิ้นคำของเย็นเสียงแตรรถก็ดังขึ้น ทำให้ร่างเล็กรู้ทันทีเลยว่าคนที่รอคอยกำลังมาถึง เรย์ยิ้มหน้าระรื่นอย่างปิดไม่อยู่ ก่อนที่จะวิ่งออกไปยังหน้าประตูเพื่อไปต้อนรับ
“คุณ...พ่อ”
“ลงมานี่สิลูก นี่บ้านใหม่ของเรา”
เรย์พูดเสียงแผ่วลงเมื่อเห็นพจน์พาใครอีกคนที่ไม่รู้จักออกมาจากรถ ร่างเล็กๆ ตัวขาวๆ มองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นกลัวกอดผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่นจนทำให้พจน์อดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว นี่บ้านใหม่ของเรานะ”
ของเรา...
ใจเด็กน้อยแทบสลายลงเมื่อได้ยินคำเอ่ยที่ไม่พึงประสงค์ เรย์มองคนทั้งคู่สลับกันด้วยความสับสนก่อนที่จะไปหาคนเป็นพ่อด้วยความคิดถึง
“คุณพ่อ กลับมาแล้วเหรอฮะ ดูนี่สิ”
“เรย์ เอาไว้ก่อนนะ เห็นไหมว่าพ่อพาใครมาด้วย”
พจน์เอ่ยปฏิเสธเบาๆ
“แต่คุณพ่อ...”
“พูดให้รู้เรื่องหน่อยสิเรย์”
“ฮะ...”
เด็กชายตัวเล็กตอบเสียงเบา กำกระดาษที่อยู่ในมือแน่น เรย์ได้แต่ก้มหน้าต่ำมองพื้นพยายามสกัดกลั้นน้ำตาที่มันจะไหลออกมาให้ได้ ความรู้สึกของคนเด็กตัวเล็กที่ต้องการคำชมถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี สิ่งที่เรย์ทำได้ก็มีแต่เพียงคำว่าอดทนเท่านั้น
อดทนให้กับบาดแผลในใจ...
อดทนให้กับความเฉยชาของพ่อบังเกิดเกล้า...
อดทนให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตแทนคนเป็นแม่ของตัวเอง...
อดทนที่จะไม่ร้องไห้...
เพราะความอดทนที่หล่อเลี้ยงจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กชายตัวเล็กๆ กลับแทนที่จะร่าเริงสมวัยเยาว์แต่กลับกลายเป็นคนก้าวร้าวและเย่อหยิ่ง น้ำตาที่ตกข้างในสอนให้เป็นคนแข้งแข็ง ความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวที่ขาดความอบอุ่นทำให้เรย์นึกอิจฉาทุกครั้งที่ไม่ได้รับความรัก
คุณพ่อ...


พจน์หลับตานิ่งๆ อยากจะร้องไห้จนเกินทน พอนึกถึงสีหน้าของลูกชายอีกคนก็เจ็บในอกจนแทบทนไม่ไหว ความรู้สึกผิดบาปที่อยู่ภายในจิตใจเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

“คุณคะ”
นันเอ่ยเรียกสามีเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวทำท่าจะลุก...

“ไม่ต้องห่วงผม ผมต้องไปตามหาเรย์”

“แต่คุณไม่สบายอยู่นะคะ”
นันห้ามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นพจน์พยายามลุกขึ้นแต่ยังกุมหัวใจตัวเองไว้แน่น...

“ผมไม่เป็นไร”

พจน์ยกมือห้ามพลางพยักหน้าเบาๆ เชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร ถึงตอนนี้จะเป็นยังไงเขาก็ไม่คิดจะสนแล้ว สิ่งที่เขาสมควรทำในตอนนี้มากที่สุดในฐานะคนเป็นพ่อคือตามหาลูกที่หายไป...

‘เรย์ อย่าเป็นอะไรนะลูก’





หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 20-11-2015 13:01:52


ตอนที่ 12

“หึหึ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องด้วยพลังเสียงที่ทรงอำนาจหลังจากที่ได้ข่าวบางอย่างมา ลูกชายอีกคนของบริษัทฯ คู่แข่งได้หนีออกจากบ้าน แล้วคนเป็นพ่อก็ไม่คิดที่จะตามหาให้เสียชื่อเสียงของวงษ์ตระกูล แน่นอน! เขามั่นใจได้เลยว่าพจน์ไม่คิดที่จะป่าวประกาศตามหาแน่ๆ
“หึ ดูคุณพ่อท่าทางจะมีความสุขนะครับ”
ชายหนุ่มมองบิดาของตนด้วยรอยยิ้มจางๆ แค่ฟังจากเสียงหัวเราะเขาก็รู้ได้ทันทีว่าพ่อของเขาตอนนี้อารมณ์ดีขนาดไหน
“จะไม่ให้ดีได้ยังไงไอ้ลูกชาย ลูกของไอ้พจน์มันหนีออกมาจากบ้านแล้ว ฮ่าๆ”
บดินทร์พูดพลางมองสบตากับ ‘เอเดน’ ลูกชายสุดที่รักของเขา...ลูกชายที่เป็นความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียว “พ่อละซะใจ!”
“แต่ผมว่า...แค่นี้ยังไม่ซะใจหรอกครับ” เอเดนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“หมายความว่ายังไง?”
“คิดดูซิครับ ถ้าเรา...เอาเรย์เข้ามาเป็นพวกได้ แล้วจัดการกับคู่แข่งของคุณพ่อ มันไม่สะใจกว่าเหรอ” ชายหนุ่มเสนอความคิดเห็น แล้วนั้นมันก็ทำให้บดินทร์ถึงกับคลี่ยิ้มกว้างออกมาอีกครั้งด้วยความชอบใจ เขาเห็นด้วยกับแผนของลูกชายคนนี้เหลือเกิน
“แล้วจะทำยังไง?” บดินทร์ถามอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง ผมให้คนไปสืบเรื่องของเรย์มาเรียบร้อยแล้ว”
“มันจะยอมเราหรือเปล่า”
“หึ ไม่ยอมก็ต้องยอมละครับคุณพ่อ เรื่องเรย์ไม่ต้องห่วง...ผมจะจัดการเอง”
รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ การจะปราบกวางพยศสักตัวมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย...อย่างเรย์มันก็เป็นของง่ายๆ ที่เขาจะทำให้ยอมมาสิโรราบแทบเท้าเขา แล้วเราจะได้เจอกัน!
.
.

“ฮัตชิ้ว!”
ผมจามออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนที่จะเอานิ้วมาถูๆ ไถๆ ตรงจมูก เห็นเขาบอกว่าอาการจามเกิดจากควันและฝุ่นละอองหรือไม่ก็เป็นหวัด แต่อาการอย่างผมน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้จะจามบ่อยเหลือเกิน
“เรย์! ไปจดออร์เดอร์โต๊ะ 4 ที”
“คะ ครับ”
คำสั่งที่ตะโกนมาจากหน้าเค้าเตอร์ทำให้ผมรีบกุลีกุจอเข้าไปจดรายการอาหารที่แขกกำลังสั่ง ตอนนี้ผมได้งานทำเป็นเด็กเสริฟร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่แถวๆ สุขุมวิท ด้วยความโชคดีของผมที่หางานมาหลายแห่งแล้วก็เป็นช่วงที่ร้านอาหารขาดคนพอดีเลยทำให้ผมได้งานทำ แต่เพราะคนค่อนข้างเยอะมันก็เลยทำให้เด็กใหม่แบบผมไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่
“น้อง! พี่ไม่ได้สั่งนะอันนี้”
“อันนี้พี่ก็ไม่ได้สั่ง น้องจดออร์เดอร์ยังไงของน้องเนี่ย!”
“ขะ ขอโทษครับ”
ผมก้มหน้าขอโทษด้วยความรู้สึกผิดแล้วก็รับออร์เดอร์ใหม่อย่างเร่งรีบ ได้แต่นึกโทษตัวเองจริงๆ ที่สับสนไม่ระวังให้ดีทำให้ทำงานผิดพลาด
“ไม่ต้องรับออร์เดอร์แล้ว รับผิดๆ ถูกๆ แบบนี้ร้านฉันก็แย่นะสิ ไปเช็ดโต๊ะซะ”เจ้าของร้านมองหน้าผมตอนที่เอารายการอาหารมาให้ ก่อนที่จะบอกให้ผมเปลี่ยนไปเช็ดโต๊ะแทน ผมเองก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำอย่างขัดไม่ได้
โครม!
“เฮ้ย! เรย์!!!”
ดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างผมเพราะไม่ว่าทำอะไรผมก็ผิดพลาดตลอด ผมที่กำลังเก็บจานอยู่แต่เกิดสะดุดหกล้มทำให้ข้าวของที่ถืออยู่หล่นแตกกระจาย บางส่วนก็กระเด็นไปโดนลูกค้าในร้าน ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทำให้ผมหน้าซีดรีบขอโทษขอโพยทันที
“พอๆ ไม่ต้องอยู่แล้วหน้าร้าน เก็บที่แตกเสร็จแล้วไปช่วยงานในครัวโน่น!!!”
“คะ ครับ”
ผมเม้มปากแน่นก้มหน้าก้มตาเก็บด้วยความรู้สึกอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาเบาๆ คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะผมแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะผมยังไม่อยากถูกไล่ออกตอนนี้ พอผมเก็บจานที่แตกเสร็จผมก็เดินเข้าไปในครัว พนักงานในร้านบางคนมองหน้าผมอย่างเอือมๆ ที่ผมทำอะไรก็เหมือนกับผิดไปหมด
“เอ่อ ให้ผมช่วยนะครับ”
“อย่าเลยเดี๋ยวทำข้าวของเสียหายอีก ฉันไม่อยากถูกเถ้าแก่ว่า”คำพูดของเขามันทำให้ผมสะอึกในอกเล็กๆ
“เฮ้อ เอางี้ นายไปล้างจานก็แล้วกัน”
“ครับ”
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งผมก็รีบรับปากรับคำอย่างไม่รีรอ มองจานกองโตที่อยู่ตรงหน้าแล้วมันก็ทำให้รู้สึกกลัวไม่น้อย จะบอกว่าตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยล้างจานเองด้วยซ้ำ
‘เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน’
เพล้ง!
เสียงจานที่แตกดังสนั่นไปทั่ว จนทำเอาผมถึงกับทำตัวไม่ถูกต้องรีบก้มลงเก็บจานที่แตกทันที แต่คิดว่ายังไงซะคงเก็บไม่ทันที่เจ้าของร้านจะมาหรอก
“ทำจานแตกอีกแล้วเหรอ!”
“ขะ ขอโทษครับ”
ผมหน้าซีดก้มหน้าตอบ ไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองเจ้าของร้านตรงๆ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองทำผิดร้ายแรงอย่างนั้นแหละ แต่มันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้
“พอๆ เลย ไม่ต้องมาทำงานกับฉันแล้ว”
“ไม่นะครับ! ขอผมทำเถอะ”
“ไม่! เป็นพนักงานเสริฟก็ไม่ได้เรื่อง ให้เข้ามาช่วยในครัวก็ยังทำจานแตกจนตอนนี้จานของฉันจะหมดร้านแล้ว ถ้าทำอีกมีหวังเจ๊งแน่ๆ”
“ขอโทษครับ”
“ตอนแรกเห็นหน้าตาดีเลยรับเอาไว้มาเป็นพนักงานเสริฟ แต่ไม่คิดจริงๆ ว่าจะไม่ได้เรื่องขนาดนี้”
“.....”
ผมก้มหน้ารับผิดแต่โดยดี มันเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ ผมมันทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้เรื่องสักนิด ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่างถ้าจะถูกไล่ออกก็ไม่แปลก
‘หน้าตาก็ดีแต่ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง.....’
‘ก็อย่างว่าแหละ คนเราห้ามมองกันที่หน้าตา....’
‘นั่นนะซิ ดีนะที่ฉันพอทำอะไรเป็นบ้างไม่แย่แบบนี้.....’
‘ฉันว่าฉันทำงานแย่แล้วนะ แต่ยังมีคนแย่กว่าฉันอีก.....’
‘แต่เล่นทำอะไรไม่เป็นเลยแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ เป็นฉัน ฉันก็ไม่เอาหรอก.....’
‘อืม ใช่ๆ’

เสียงนินทาเบาๆ จากคนรอบข้างถึงจะพูดแบบกระซิบกระซากแต่ผมก็พอจับใจความได้ว่าพวกเขาพูดอะไรกันออกมาบ้าง ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธ ไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจเพราะผมก็เป็นอย่างที่พูดจริงๆ
“เอ้า นี่เงิน ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาแล้วไปซะ”
“ขอบคุณครับ งั้นผมขอตัว”
ผมถอดผ้ากันเปื้อนออกพร้อมกับขอบคุณเจ้าของร้านที่ยอมรับผมเข้าทำงานแต่ผมไม่ได้รับเงินเขา พูดลาเสร็จผมก็เดินออกมาจากร้านเลย
“หึ”
ผมหัวเราะให้กับความน่าสมเพชตัวเองเบาๆ ทำงานได้แค่สองวันแต่กลับถูกไล่ออก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะลำบากขนาดนี้ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าพยายามสกัดกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา ทั้งๆ ที่ท้องฟ้ามันใสขนาดนี้แล้วทำไมใจของผมมันถึงได้ช้ำแบบนี้นะ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมันมืดมนไปหมด ผมสมัครงานทุกที่ทุกตำแหน่งแต่ก็อย่างว่าเด็กเพิ่งจบอย่างผมจะมีใครรับ ถึงผมอยากจะทำงานที่มีตำแหน่งสบายๆ แต่ก็ใช่จะหาได้ง่ายๆ ผมหางานอยู่หลายที่มากกว่าจะได้แต่ทุกอย่างมันก็ล้มไม่เป็นท่า
ผมที่ไม่เคยทำงาน ไม่เคยทำอะไรเองสักอย่าง ในทุกๆ วันจะมีเย็นคอยช่วยทำให้เสมอแต่วันนี้ไม่มีเย็นแล้วมันก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ได้เรื่องขนาดไหน แค่งานง่ายๆ ผมยังทำไม่ได้เลย
ภายในห้องที่ไม่ได้กว้างมีแค่พัดลมหนึ่งตัวกับที่นอนเท่านั้น ผมนั่งกอดเข่าตัวเองด้วยความรู้สึกหมดหวังแต่ทำไมน้ำตากลับไม่ไหลออกมานะ ทั้งๆ ที่ตอนเดินออกจากร้านมันตั้งท่าจะไหลออกมาท่าเดียว ความเงียบเหงามันทำให้ความนึกคิดของผมคิดไปไกล ผมยอมรับตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยแตะต้องงานอะไรเลยสักอย่างแม้แต่กระทั่งเก็บผ้าปูที่นอน การใช้ชีวิตคนเดียวมันลำบากขนาดไหนผมเพิ่งรู้ตอนนี้เอง
‘ถ้าหากว่าจะกลับไปได้ไหมนะ’
‘กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม’
‘ถ้ากลับไปที่นั่น ผมก็ไม่ต้องลำบาก ถึงไม่มีเย็นก็ยังมีคนอื่นอีกมากมายทำแทนอยู่ดี’

“ไม่ๆ คิดอะไรเนี่ยเรา”
ผมส่ายหน้ารัวไล่ความคิดที่มันกระเจิดกระเจิง ในเมื่อตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ตัดสินใจที่จะหันหลังให้กับทุกคนในบ้านหลังนั้น ผมก็ต้องสู้จนถึงที่สุด!!! จะไม่มีทางหันกลับไปเด็ดขาด ผมไม่อยากให้พวกเขามาสมเพชเวทนา ไม่อยากให้คนพวกนั้นมาดูถูกว่าผมจนตรอกจนต้องกลับไป ต่อให้ต้องอดตายอยู่ข้างทางผมก็ไม่มีวันกลับไปเด็ดขาด!!!
.
.
.
วันต่อมา
หลังจากที่ได้นอนไปหนึ่งคืนทั้งกำลังกายและกำลังใจของผมเริ่มกลับมาอีกครั้ง ผมตั้งหน้าตั้งตาหางานทำอย่างไม่คิดจะย่อท้อแม้ว่าจะถูกปฏิเสธก็ตาม แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงมันทำให้เหงื่อผมแตกพลั่ก ร้อนก็ร้อน แต่ก็ต้องทน
“เฮ้อ”
ผมถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน นี่ก็สมัครไปทั่วแล้วแต่ทำไมงานมันถึงได้หายากแบบนี้นะ เด็กจบแค่ ม.6 อย่างผมคงจะหางานไม่ได้ง่ายๆ
ช่วงจังหวะที่ผมกำลังเดินทอดน่องเพื่อหางานใหม่อีกที่ สายตาของผมเหลือบมองไปเห็นหญิงชราคนนึงกำลังเงยหน้าชูลูกอมที่ห่อพาสติกเพียงไม่กี่เม็ดเพื่อขายให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ภาพของผู้หญิงแก่ๆ คนนึงที่แทบไม่มีแรงต้องมานั่งตากแดดทำแบบนี้มันสะเทือนใจผมอย่างจัง ผมไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมลูกหลานของพวกเขาถึงได้ปล่อยให้คนแก่ที่ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้มานั่งทำอะไรแบบนี้ ไม่เข้าใจว่าเขาไม่มีลูกหลานคอยดูแลเหรอ?
“ผมขอสักถุงนะครับยาย”
“ขอบใจมากจ๊ะหนู”
ยายคนนั้นยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรก่อนที่มือสั่นๆ ของแกจะยื่นถุงลูกอมมาให้ผม ผมยื่นแบ้งค์ร้อยไปให้โดยที่ไม่ได้รับเงินทอนแต่อย่างใด ผมยิ้มให้กับยายคนนั้นก่อนที่จะเดินออกมา ผมไม่รู้ว่าเขาจะเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่าที่หลอกใช้ความน่าสงสารแต่มันก็ใช้ได้ผล มันทำให้ผมรู้สึกสงสารแกจริงๆ แต่ไม่รู้สิใจของผมมันรู้สึกสงบแปลกๆ
“เอาวะ! สู้เว้ย!!!”
ต่อจากนี้ไปผมจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ ในวันข้างหน้าผมอาจจะต้องลำบากมากกว่านี้ก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตมากขึ้น บทเรียนในคราวนี้มันทำให้ผมรู้แล้วว่าทุกเส้นทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกอย่างมันต้องมีอุปสรรคเสมอ ต่อให้ผมไม่ได้งานในวันนี้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ตลอดไป ขอแค่ผมพยายามมันก็คงจะไม่เกินกำลังผมเท่าไหร่
ขอเพียงแค่พยายาม...

สายตาคมทอดมองตรงไปยังร่างเล็กๆ ที่เดินอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่มุมปากเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกพึงพอใจ สิ่งที่เรย์ทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาก็ว่าได้ แล้วอีกเพียงไม่นานเจ้าตัวจะต้องตกหลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้
“นายครับ”
“หึ ส่งคนตามต่อไปอย่าให้คลาดสายตา ไปสมัครงานที่ไหนก็เอาเงินให้ซะ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้เรย์มีงานทำ”
“ครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับเจ้านายของตนเบาๆ พลางเอ่ยปากรับคำสั่ง...
ร่างสูงยกยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง เพียงไม่นานนักตัวรถก็เคลื่อนที่ออกไป ผ่านร่างเล็กๆ ของเรย์ที่กำลังเดินตรงฝุตบาตด้วยความเหนื่อยล้า
‘อีกไม่นานเราต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ เรย์’

แกร็ก
“เฮ้อ สรุปวันนี้ก็ไม่ได้งานจนได้”
ตกเย็นผมก็กลับมาที่พักหลังจากที่หางานมาแทบทั้งวันเล่นทำเอาผมเหนื่อยสุดๆ จนอยากที่จะลงไปพักผ่อนกับที่นอนแข็งๆ ในห้องเหลือเกิน
ตุบ!
ผมทิ้งร่างตัวเองลงบนที่นอนทันที ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ไม่อยากทำอะไรเลยแม้แต่จะอาบน้ำ ขอนอนสักงีบก่อนแล้วก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลังเพราะตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ
ทำไมงานมันถึงได้หายากขนาดนี้นะ...
ผมนอนหลับตานิ่งๆ คิดถึงวันเก่าๆ ตอนที่ผมยังสุขสบาย เพราะมีเงิน มีอำนาจเลยทำให้สามารถทำอะไรๆ ก็ได้ แต่ดูวันนี้สิผมกลับไม่เหลืออะไรเลย...
หลังจากวันนั้นผมก็ยังหางานไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่างานมันจะไม่เป็นใจให้ผมสักเท่าไหร่เลย ทั้งมองหางานจากหนังสือหางาน ส่งเอกสารรับสมัครงานไปก็เยอะแต่ก็ไม่มีที่ไหนตอบกับมาเลย เงินที่มีก็ต้องใช้อย่างประหยัด ถ้ายังหางานไม่ได้แบบนี้สักวันผมต้องแย่แน่ๆ
“จะทำยังไงดีนะ”
ผมกอดอกบอกกับตัวเองเบาๆ อย่างใช้ความคิด อีกไม่นานก็ต้องไปสมัครเรียนอีก ไหนจะค่าเทอม ค่าอยู่ ค่ากินอีก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ไปรษณีย์ครับ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความคิดของผม ผมหันหน้าไปมองนิดหน่อยก่อนที่จะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้
ไปรษณีย์อย่างนั้นเหรอ? นี่ผมสั่งอะไรไปตอนไหนนะ...
แอ๊ดดด
“ครับ?”
ผมถามออกไปอย่างงงๆ พลางมองหน้าบุรุษไปรษณีย์ตรงหน้า
“มีเอกสารมาส่งครับ”
“เอ่อ ครับ”
ผมรับเอกสารจากมือของเขาแล้วเซ็นรับเอาไว้ ก่อนที่จะกลับเข้าไปในห้องเหมือนเดิม ผมเดินไปนั่งที่เตียงนอนพลางเปิดซองเอกสารไปด้วย ข้างในเป็นกระดาษสีขาวธรรมดาๆ แต่สิ่งที่เป็นเนื้อหาข้างในมันทำให้ผมถึงกับตื่นตะลึงไปด้วยความตื้นเต้น
ใบเข้ารับการทำงาน!
ผมมองเอกสารที่อยู่ในมืออย่างถี่ถ้วนด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ นี่ผมกำลังจะได้งานทำจริงๆ สินะ...
แล้วคืนนั้นทั้งคืนผมก็แทบนอนไม่หลับเลยก็ว่าได้ เช้ามาผมก็รีบตื่นแต่เช้าเตรียมความพร้อมที่จะไปหางานทำ เสื้อผ้าที่ผมใส่ก็พยายามหาตัวที่ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมมองตัวเองในกระจกบานเล็กๆ ที่ใช้ส่องหน้าทุกวันแล้วสูดอากาศเข้าปอดยาวๆ ด้วยความมุ่งมั่น เพื่อสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง...
ครั้งนี้แหละ! ผมจะไม่พลาดอีกแล้ว...
“เอ่อ ที่นี่เหรอ?”
ผมมองไปที่บริษัทฯ ใหญ่ตรงหน้าด้วยความฉงนพอสมควร นี่ผมเคยสมัครงานที่นี่จริงเหรอ? แต่ถึงจะจริงแล้วทำไมเขารับเด็กที่จบแค่ ม.6 อย่างผมเข้าทำงานกันนะ...ด้วยความที่ไม่คิดอะไรมากไปกว่านี้ผมก็เลยเลือกเดินเข้าไปข้างในแล้วตรงไปยังประชาสัมพันธ์
“สวัสดีครับ”
ผมกล่าวทักทายหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทีสุภาพ...
“ค่ะ”
เธอหันมายิ้มให้กับผมเช่นกัน...
“เอ่อ ผมมาติดต่อเรื่องงานครับ”
“อ้อ คุณณัฏฐกานต์ อธิพัฒน์เดชากร ใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ท่านกำลังรออยู่ข้างบนเลยคะ เชิญขึ้นไปที่ห้องได้เลย”
“เอ่อ แล้วห้องไหนครับ?”
“ขึ้นลิฟท์ที่อยู่ทางขวามือนะคะ ไปชั้นที่ 15 แล้วเลี้ยวซ้ายนะคะ”
ประชาสัมพันธ์บอกกับผมอีกครั้ง ผมเองก็ทำตามที่เธอว่าอย่างว่าง่ายแม้ว่ามันจะอดแปลกใจไม่ได้ก็เถอะ...
พอผมมาถึงชั้นที่เธอบอกผมก็เดินตรงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอเลขาหน้าห้อง ผมไม่ต้องพูดอะไรเลยด้วยซ้ำเธอก็ให้ผมเข้าห้องอย่างไม่มีอิดออดเลยด้วยด้วยซ้ำ
“เชิญคะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมบอกยิ้มๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องกว้าง ดูท่าว่าจะเป็นห้องทำงานของประธานบริษัทฯ ลูกจ้างเล็กๆ อย่างผมจำเป็นที่จะต้องสัมภาษณ์งานกับคนใหญ่คนโตขนาดนี้ด้วยเหรอ?
ผมเดินเข้าไปกลางห้องด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ในมือก็ถือเอกสารไว้แน่นใจของผมในตอนนี้แทบเต้นระรัวออกมานอกอกเมื่อเห็นใครบางคนกำลังนั่งหันหลังบนเก้าอี้ทำให้
“เอ่อ สวัสดีครับ...”
ผมพูดพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด แต่เพียงแค่พูดได้ประโยคเดียวแค่นั้นแหละ คนที่นั่งหันหลังให้ผมก็ค่อยๆ หันมาอย่างช้าๆ แต่ว่ามันกลับทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เอเดน!!!

หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 20-11-2015 13:05:46

ตอนที่ 13

[ตะวัน]

เรย์...หายไป...
สมองของผมแทบคิดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าเนื้อตัวของผมสั่นไปหมด สั่นจนทำอะไรไม่ถูกเลย ผมส่ายหน้ารัวอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแล้วผมก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง รู้ตัวอีกทีผมก็ออกตามหาเรย์ไปจนทั่ว ไปในที่ๆ คิดว่าเรย์จะไป แต่ไม่ว่าจะพยายามหาเท่าไหร่ผมก็ไม่พบเลยสักนิด
ตุบ!
ผมทิ้งร่างกายตัวเองด้วยความอ่อนล้าลงบนโซฟาตัวใหญ่ภายในห้องโถง ผมหลับตาลงช้าๆ เพื่อพักจิตใจที่ว้าวุ้นให้สงบลงแต่ว่ามันดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ผมยังคิดถึงเรย์...
“ตะวัน”
หนึ่งเรียกชื่อผมเบาๆ ผมลืมตาขึ้นมาแล้วยิ้มให้กับเขาเหมือนอย่างเคย
“มีอะไรเหรอหนี่ง”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ...
“เหนื่อยเหรอตะวัน”
หนึ่งพูดขึ้น มือเล็กๆ ของเขาก็เอื้อมมาจับแขนผมเอาไว้เหมือนกับให้กำลังใจ...
“นิดหน่อยนะ”
“แล้วเจอเรย์ไหม?”
“ไม่...”
ผมส่ายหน้าตอบ...
ไม่ว่าจะตามหายังไง ไม่ว่าจะหาที่ไหนก็ไม่มีสักนิด ผมทั้งกลัวทั้งกังวล ผมกลัวเหลือเกินว่าเรย์จะคิดสั้น กลัวเหลือเกินว่าเขาจะทำอะไรโง่ๆ หรือไม่ก็ถูกล่อลวงไปทำอะไรมิดีมิร้าย ผมกลัวไปหมดจนทำอะไรไม่ถูกแล้วจริงๆ
“ถ้าเหนื่อย...ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะนะ”
หนึ่งจับแขนผมแน่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเชิงเป็นห่วง...
“ไม่!”
ผมตอบออกไปทันที...
จะปล่อยให้ผมอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ตำรวจจัดการนะเหรอ! บอกเลยว่าไม่มีทาง!!! ผมไม่ยอมอยู่เฉยๆ งอมืองอเท้าอย่างเดียวหรอก
หนึ่งมองผมด้วยสีหน้าหมองเล็กๆ เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา มือสั่นๆ ของเขาก็ยังคงจับผมไม่ปล่อย
"ตะวัน...ทำไมละตะวัน ถือว่าหนึ่งขอร้อง หนึ่งไม่อยากให้ตะวันเหนื่อย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ"
หนึ่งพูด...ผมหันไปสบตากับเขาอีกครั้ง
"ขอโทษนะหนึ่ง ตะวันทำไม่ได้จริงๆ"
"ทำไมละ? ทำไมถึงทำไม่ได้"
"..."
"หนึ่งเป็นห่วงเรย์ พ่อก็เป็นห่วงเรย์ ทุกคนเป็นห่วงเรย์กันทั้งนั้นไม่ใช่แค่ตะวันคนเดียวซะหน่อย แต่ถ้าตะวันจะยังฝืนตัวเองแบบนี้ ตะวันต่างหากที่จะแย่"
หนึ่งพยายามอธิบายเหตุผลให้ผมฟัง...
"แล้วจะให้ตะวันงอมืองอเท้า รอความช่วยเหลือจากตำรวจอย่างเดียวนะเหรอหนึ่ง! หนึ่งไม่คิดเลยเหรอว่าถ้าเกิดเรย์เกิดเป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำยังไง"
"แต่ว่า..."
"หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ ตะวันอยากพักผ่อน...หนึ่งกลับไปก่อนเถอะ"
ผมบอกพร้อมกับค่อยๆ แกะมือของหนึ่งออกจากแขนของผม เขามองผมด้วยสายตาไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ปกติผมจะไม่เคยทำกับเขาแบบนี้ ไม่ว่าหนึ่งจะร้องขออะไรผมก็ไม่เคยขัดใจเขาก็ว่าได้ แต่ยกเว้นเรื่องของเรย์เท่านั้นที่ผมทำไม่ได้ ทำไม่ได้จริงๆ...
ผมมันเป็นคนไม่เอาไหน ปกป้องเรย์ก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง...ทั้งๆ ที่ผมบอกกับตัวเองไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะปกป้องเขาให้ดีที่สุดแต่ผมกลับทำไม่ได้
เรย์อยู่ที่ไหน? ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมจะต้องตามหาเขาให้พบ ตามหาหัวใจของผม
กลับมาเถอะนะ...
เรย์...
.
.
.
.
[หนึ่ง]

ผมทรุดหน้าลงบนเตียงด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ยิ่งเห็นตะวันให้ความสำคัญกับเรย์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ผมเจ็บไปทั้งใจเลยก็ว่าได้
"ฮึก ฮือ ฮือ"
ผมร้องไห้ออกมาเบาๆ ทั้งเสียใจและน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก...
"ตะวันบ้า! บ้า! บ้า! ที่สุด"
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
มือเล็กๆ ของผมก็ทุบไปตรงที่นอนหลายต่อหลายครั้งเพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ ทั้งน้อยใจและเสียใจจริงๆ
ทำไมกันนะตะวัน...
หลังจากที่เรย์หายไปก็ปาไปเกือบเดือนแล้ว แต่พวกเราก็ยังตามหาเรย์ไม่เจอ แม้ว่าจะประกาศออกหน้าหนังสือพิมพ์หรือออกสื่อโทรทัศน์ก็ตาม...
ทั้งพ่อและทั้งตะวันต่างก็ตามหากันแทบเรียกได้ว่าจะผลิกแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ส่วนผมกับแม่ก็ได้แต่รอฟังข่าวเงียบๆ อยู่ที่บ้าน ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงเรย์หรอกนะ ผมห่วงเรย์เหมือนกับทุกคนที่เป็นห่วง แต่ว่า...ผมก็ทำได้แค่รอฟังข่าวก็เท่านั้น
"คุณพ่อ..."
ผมเรียกเบาๆ พร้อมเดินเข้าไปหาผู้ชายร่างท้วมที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านด้วยสภาพอิดโรยก่อนที่จะพยุงไปนั่งที่โซฟา
"ดูคุณพ่อเครียดๆ งานมีปัญหาเหรอครับ"
ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนอกจากตามหาเรย์แล้วพ่อยังต้องทำงานด้วย แล้วก็ดูเหมือนว่าช่วงนี้บริษัทเริ่มมีปัญหานิดหน่อย ก็ยิ่งทำให้พ่อเหนื่อยเป็นเท่าตัว
"ไม่มีอะไรหรอก หนึ่งไม่ต้องห่วง"
พ่อบอกแล้วลูบหัวผมเบาๆ มือที่อบอุ่นของพ่อที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กกับรอยยิ้มนิดๆ ที่แสดงบนใบหน้ามันทำให้ผมรู้เลยว่าพ่อกำลังมีปัญหามากแน่ๆ
"ถ้าเหนื่อยก็พักนะครับ ผมเป็นห่วง"
พ่อพยักหน้าให้ผมเบาๆ แล้วก็ยิ้มให้กับผมก่อนที่จะถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่มันก็แฝงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
"แม่ละ?"
"อยู่บนห้องครับ"
"อืม..."
"คุณพ่อจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้องไหมครับ หนึ่งจะพาไป"
"ก็ดี"
พ่อพูดขึ้นเบาๆ จากนั้นผมก็ค่อยๆ พยุงร่างหนาๆ ให้ลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งที่หน้าประตูห้อง จริงๆ แล้วผมก็อยากที่จะเข้าไปส่งในห้องนะ แต่ว่าพ่อก็บอกว่าไม่ต้องผมเลยได้ส่งแค่หน้าประตูแทน พอเห็นพ่อเป็นแบบนี้แล้วมันทำให้ผมรู้สึกปวดใจอยู่เหมือนกัน
พ่อทำงานหนัก...หนักมากเกินไปจริงๆ ผมกลัวว่าสักวันพ่อจะทรุดเพราะร่างกายทนไม่ไหว แต่ว่าพ่อก็หัวดื้อมากไม่ยอมพักเลย ทั้งทำงานด้วยแล้วก็ออกตามหาเรย์ด้วย คงจะเหนื่อยแย่...
เพล้ง!
เฮือก!
ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาลงบันได้ จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรแตกจากห้องของพ่อ ผมรีบวิ่งกลับไปที่เดิม แต่ว่ายังไม่ทันที่จะเปิดประตูผมก็ได้ยินเสียงพ่อเล็ดลอดออกมา
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโห...
"คุณจะบอกว่าเป็นความผิดของผมหรือไง!"
"แล้วมันจริงไหมล่ะ! ถ้าคุณไม่มัวแต่ตามหาเรย์ ธุรกิจมันก็คงไม่แย่แบบนี้!"
"เรย์เป็นลูกของผม! จะไม่ให้ผมตามหาได้ยังไง!!!"
"ฉันรู้ว่าเรย์เป็นลูกคุณ ฉันเองก็ห่วงเรย์ไม่น้อยกว่าคุณ แต่คุณก็ยังมีอีกหลายชีวิตไว้ดูแล ลูกจ้างของคุณเป็นพันๆ คนจะต้องตกงานเพราะคุณ! เข้าใจไหมคุณพจน์!!! แล้วคุณจะรับผิดชอบพวกเขาไหวเหรอ ห่ะ!"
"คุณหยุดพูดเรื่องนี้ได้ไหม! ผมเบื่อ!!! แค่งานกำลังมีปัญหาก็แย่พออยู่แล้ว แล้วยังต้องมาทะเลาะกับคุณอีกเกือบทุกวัน ผมเบื่อ!!!"
ผมได้แต่ยืนฟังนิ่งๆ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับไปไหน ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเลย ถึงจะมีบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับขนาดทำลายข้าวของแบบนี้ อย่างมากก็แค่งอนๆ กัน แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันรุนแรงแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจมากจริงๆ...
หลังจากวันที่ผมเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันวันนั้น พ่อกับแม่ก็เริ่มที่จะรู้สึกห่างเหิรกันมากจริงๆ ถึงเวลาที่อยู่ต่อหน้าผม พวกท่านจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่ว่าบรรยากาศที่อยู่รอบตัวที่เต็มไปด้วยความอัดแน่น มันก็ทำให้ผมรู้อยู่ดี
"เฮ้อ..."
ผมได้แต่ถอนหายทิ้งด้วยความเหนื่อยอ่อน รู้สึกไม่ชอบเลยที่เห็นพ่อกับแม่เป็นแบบนี้
"คุณหนึ่ง...ไม่สบายใจเรื่องอะไรเหรอคะ"
"เปล่าครับพี่นิด หนึ่งไม่เป็นอะไร"
ผมหันไปบอกพี่เลี้ยงของผมด้วยรอยยิ้มเบาๆ...
"ถ้างั้นนิดขอตัวก่อนนะคะ"
"ครับ"
ผมยิ้มแล้วพยักหน้าให้ พี่นิดวางแก้วนมข้างๆ หัวเตียงเสร็จแล้วไม่นานก็ออกไปจากห้อง...
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ใบหน้าของผมก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองทันที แล้วมันก็ทำให้ผมคิดถึงเรื่องของพ่อกับแม่...
ผมคิดวนไปวนมาอยู่แบบนั้นอยู่หลายชั่วโมงจนทำให้ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีมันก็บ่ายมากแล้ว ผมค่อยๆ ลุกออกจากเตียงช้าๆ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้ตื่น จากนั้นก็พาตัวเองไปข้างล่าง
รู้สึกหิวนิดๆ แฮะ ...คงเพราะแทบไม่ได้ค่อยทานอะไรเลย มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกหิวพอสมควร
"พี่นิด..."
"จริงเหรอวะแก คิดว่าพวกคุณท่านทะเลาะกันเหรอวะ"
ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังเรียกพี่นิดจู่ๆ ก็มีเสียงพูดอีกคนแทรกมา ถ้ามันเป็นเรื่องของคนอื่นผมก็คงจะไม่สนใจ แต่เพราะสรรพนามที่เรียกทำให้ผมถึงกับหยุดอยู่กับที่
"จริง เมื่อคืนตอนฉันมาปิดไฟ ฉันก็ได้ยินพวกคุณท่านทะเลาะกัน แรงมากด้วย"
"เฮ้ย แต่ตอนเช้าฉันก็เห็นว่ายังปกติเลยนะเว้ย"
"นังน้อย แกจะรู้อะไร แกไม่ได้มาเป็นคนปิดไฟแบบฉันนี่ คงเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังมีปัญหาถึงได้ปิดเงียบไง"
"เออวะ จริงของแก"
"ฉันว่านะ ตั้งแต่คุณหนึ่งหนีออกจากบ้าน พวกคุณท่านก็เอาแต่ทะเลาะกันวะ"
"แกคิดอย่างนั้นเหรอวะ"
"ก็ใช่นะซิ"
ผมฟังแค่นั้นแล้วก็เดินออกมาทันที สิ่งที่ผมได้ยินมันก็ยิ่งทำให้ผมคิดมากขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่พยายามจะไม่คิดแล้วนะ แต่ผมก็ทำไม่ได้อยู่ แค่คิดกับตัวเองไม่เท่าไหร่แต่พอได้ยินคนอื่นมาพูดแบบนี้แล้วมันทำให้ผมรู้สึกแย่...
Rrr Rrr Rrr
ในขณะที่ผมกำลังจะเดินขึ้นห้องจู่ๆ เสียงรอสายก็ดังขึ้น ผมมองไปที่หน้าจอชั่วครู่ก่อนที่จะกดรับ
"ครับ..."
//คุณหนึ่งใช่ไหมครับ ผมเป็นเลขาของคุณพจน์นะครับ//
"เอ่อ ครับ?"
ผมขานรับอย่างงงๆ เลขาของพ่ออย่างนั้นเหรอ? แล้วเขาจะโทรหาผมทำไมกันนะ แต่ว่าสิ่งที่ผมได้ยินจากปากของเขามันทำให้ผมถึงกับตัวสั่นขึ้นมาทันที
//คุณหนึ่ง ตอนนี้คุณพจน์อยู่โรงพยาบาล!//
!!!
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 20-11-2015 13:08:09

ตอนที่ 14
[ตะวัน]

ตึก ตึก ตึก
"หนึ่ง!"
ผมวิ่งไปตามทางเดินของโรงพยาบาลด้วยความเร่งรีบก่อนที่จะตรงเข้าไปหาร่างบางที่อยู่ตรงหน้าห้อง
"ตะวัน..."
หนึ่งร้องไห้ออกมาด้วยน้ำตานองหน้า ใบหน้าขาวซีดเผือดจนน่ากลัว หนึ่งมองหน้าผมเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเข้ามาโอบกอดเต็มอ้อมแขน
"ฮือ ฮือ ตะวัน...ฮือ ฮึก ฮือ"
"หนึ่ง"
ผมจับหัวไหล่เขาเบาๆ...
"ตะวัน ฮึก พ่อ ฮือ ฮือ คุณพ่อ..."
"ไม่เป็นไร คุณลุงต้องไม่เป็นไรแน่ๆ เชื่อมือหมอเถอะ"
ผมพยายามพูดให้กำลังใจอีกฝ่ายมากที่สุด แล้วพาร่างกายที่สั่นสะท้านไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิม หนึ่งยังคงร้องไห้ไม่หยุด เขาจับมือผมไว้แน่นราวกับเด็กเล็กๆ ที่กำลังกลัว...
"หนึ่ง! ตะวัน!"
ไคที่ตามมาทีหลังวิ่งด้วยหน้าตาตื่น เขามองมาที่ผมกับหนึ่งก่อนที่จะมองไปที่มือของพวกเราทั้งสองคน ผมจึงค่อยๆ เลื่อนมือออกอย่างช้าๆ แล้วทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"หนึ่ง ไม่เป็นไรนะ..."
เขาเข้ามานั่งข้างๆ หนึ่งแล้วถามด้วยความเป็นห่วง...
"...ฮึก ฮือ"
หนึ่งส่ายหน้าตอบเบาๆ...
ตอนนี้ลุงพจน์กำลังอยู่ห้องผ่าตัด อาการจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ลุงพจน์แข็งแรงมาตลอดแท้ๆ นี่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ลุงพจน์เป็นหนักขนาดนี้ แล้วตอนนี้แม่ของหนึ่งก็บินไปฮ่องกงซะด้วยเลยทำให้หนึ่งขวัญเสียมากพอดู
"เพราะเรย์แน่ๆ เลยทำให้ลุงพจน์เข้าโรงพยาบาล"
ผมหันไปมองไคที่เป็นคนพูดประโยคนี้ขึ้นมา...การที่ลุงพจน์เข้าโรงพยาบาลมันเกี่ยวอะไรกับเรย์ด้วย...
"เรย์เกี่ยวอะไร?"
"ทำไมจะไม่เกี่ยว ถ้าเรย์ไม่หายไปลุงพจน์ก็ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอดหลับอดนอนออกไปตามหา"
"ไค! หยุดกล่าวหาเรย์ได้แล้ว!!!"
ผมขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโห ถึงมันจะเป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำแต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเดือดขึ้นมาจริงๆ
"กูไม่ได้กล่าวหา กูพูดจริงๆ"
"ไค!!!"
ผมลุกขึ้นแล้วจับไปที่คอเสื้อของเขาอย่างเอาเรื่อง การกล่าวหาคนอื่นทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดมันทำให้ผมไม่ชอบ โดยเฉพาะการที่ไคมากล่าวหาเรย์แบบนี้มันยิ่งทำให้ผมไม่ชอบเข้าไปใหญ่...
"ทำไม?...มึงปกป้องเรย์"
ไคถามผมด้วยสีหน้าจับผิด...
"ใช่"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ...
"คนอย่างเรย์มีอะไรต้องน่าปกป้อง มึงก็รู้ว่าเรย์ร้ายขนาดไหน เขาทำร้ายหนึ่ง ทำร้ายคนรอบข้าง มึงเองก็น่าจะรู้..."
ผมกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ผมไม่คิดเลยว่าไคจะมองคนแค่เพียงเปลือกนอกที่สร้างขึ้น ใช่! เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบนั้น ผมเองก็ผิดเหมือนกันที่เคยมองเรย์แบบนั้น
เปลือกนอกที่ผมและทุกคนเห็นเป็นเพียงสิ่งที่เรย์สร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เขาทำมันขึ้นมาเพื่อปิดบังตัวตนที่อ่อนแอ...เขาดูเหมือนร้าย เขาดูเหมือนเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ แต่จะมีใครสักคนรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่สักนิด...
ใหน้าที่เย่อหยิ่งแต่กลับเต็มไปด้วยน้ำตา...ท่าทีที่แข็งกร้าวแต่เหมือนราวกับแก้วบางๆ ที่พร้อมจะแตกสลาย เรย์ร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น น้ำตาของเขาถูกซ่อนเอาไว้ภายในจิตใจที่เปราะบาง...
"กูไม่คิดเลยว่ามึงจะมองคนแค่นี้...กูผิดหวังในตัวมึงจริงๆ"
ผมส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไปแบบไม่สนใจใครอีกเลย แม้แต่เสียงของหนึ่งที่พยายามเรียกผมเอาไว้เหมือนกัน...
ผมเจ็บปวด...เจ็บปวดที่ทำให้เรย์เคยเสียใจ เจ็บปวดที่เคยมองเขาในแง่ไม่ดีตั้งหลายครั้ง
ผมคิดถึงเรย์...
หลังจากที่ผมออกมาจากโรงพยาบาล ผมก็ขับรถออกมาด้วยความเร็วพอสมควร ในหัวสมองของผมในตอนนี้มันแทบไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากเรื่องของเรย์...
เขาไปอยู่ที่ไหน...ไปอยู่กับใคร...แล้วป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง...มันมีแต่คำถามพวกนี้เต็มไปหมด แต่ผมก็ไม่รู้จะไปตามหาเขาได้ที่ไหน เพราะทุกที่ที่ผมคิดว่าเรย์ไป หรือแม้แต่โรงพยาบาล โรงพัก ทั้งออกข่าว ผมก็ทำมาหมดแล้ว...แต่ผมก็ยังตามหาเขาไม่เจอ...
ผมคิดเรื่องของเรย์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถมาติดไฟแดงที่แยกๆ หนึ่ง คงเพราะมันเป็นในช่วงบ่ายเลยทำให้ไม่ค่อยมีรถมากเท่าไหร่ ผมละมือออกมาจากพวงมาลัยรถแล้วมองไปยังด้านซ้ายมือของตัวเอง แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้ผมถึงกับตะลึง...
เรย์!...
คนที่ผมกำลังคิดถึงนั่งอยู่ในรถอีกคัน กระจกรถบานทึบสีดำที่ถูกเปิดลงในคราวแรกค่อยๆ เลื่อนปิดใบหน้าเรย์ทีละนิดๆ พร้อมกับเด็กคนนึงที่ถอยออกห่างจากรถแล้ววิ่งไปตรงฟุตบาต แล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไฟเขียวพอดี ทำให้รถที่ผมเห็นค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
บรืน...
ผมรีบขับรถตามไปทันทีอย่างไม่รีรอ ตอนนี้หัวใจของผมกำลังเต้นดังโครมครามอย่างห้ามไม่อยู่
ในที่สุด! ผมก็เจอเขาแล้ว!!!...
ผมเจอเรย์แล้ว!!!...

บรืน...
ผมขับรถตามด้วยความเร็วพอสมควร แต่ไม่ว่าจะพยายามตามสักเท่าไหร่ผมก็ตามไม่ทัน เหมือนราวกับว่ากำลังจงใจที่จะหนีผมอยู่
ปรี๊นๆ!
ผมกำพวงมาลัยไว้แน่นแล้วเหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดที่จะผ่อน ทั้งปาดซ้ายปาดขวาพร้อมกับบีบแตรใส่เพื่อหวังเรียกให้หยุด แต่มันก็ไม่ได้เป็นผลสักนิด รถคันนั้นนอกจากจะไม่สนใจแล้วยังขับหนีผมอีก
ผมเองก็เร่งความเร็วตามไปเรื่อยๆ แต่มันก็เหมือนเดิม...ผมขับตามรถคันนั้นไม่ทัน! แต่ผมก็ไม่คิดจะยอมแพ้ยังคงขับตามแบบระยะประชิด จนกระทั่งมาถึงแยกๆ นึงที่กำลังติดไฟแดงอยู่ มันทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาด้วยความดีใจไม่ได้
"โธ่เว้ย!!!"
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด เมื่อจู่ๆ ก็มีรถใครก็ไม่รู้ดันขับมาจอดตรงหน้าผม ทำให้ปิดกั้นระหว่างรถผมกับรถที่เรย์นั่งอยู่
ผมตบพวกมาลัยด้วยความโมโหแล้วปลดเข้มขัดนิรภัยออกก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้ววิ่งไปที่รถคันนั้น อีกเพียงแค่ไม่กี่ก้าว อีกเพียงแค่นิดเดียว!!!
"เรย์!"
ผมร้องเรียกเจ้าตัวด้วยน้ำเสียงดัง แต่มันกลับคว้าได้แค่เพียงอากาศ รถที่เรย์นั่งอยู่ค่อยๆ ขับเคลื่อนออกตัวไปโดยที่ผมได้แค่วิ่งตามหลังแล้วก็มองตามเท่านั้น หัวใจที่เต้นดังโครมครามด้วยความปิติในคราวแรกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหวไปด้วยความกลัว...
ปรื้น!!!
ไฟเขียวแล้วแต่ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม เสียงแตรรถจากคนอื่นๆ ก็ดังไล่ผม แต่ผมกลับรู้สึกว่าร่างกายตัวเองมันช่างอ่อนล้าเกินไปจริงๆ มันไม่มีแรงจะทำอะไรเลยแม้กระทั่งเดินกลับไปที่รถตัวเอง...
"เฮ้ย! เร็วๆ สิวะ คนกำลังรีบ!!!"
ผู้ชายคนหนึ่งโผล่หน้ามาจากกระจกรถคันที่อยู่ด้านหลังของผม ผมได้แต่หันหน้ามองนิดหน่อยแล้วยิ้มให้เชิงเป็นการขอโทษ
พอขึ้นมาบนรถผมก็รีบสตาร์ทรถออกไปด้วยสมองที่ว่างเปล่า มันคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี...
เรย์อยู่ในรถคันนั้น...เขานั่งอยู่กับผู้ชายอีกคนที่ผมไม่เห็นหน้า ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ผมได้เจอกับเรย์แล้ว ทั้งๆ ที่เขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกเพียงแค่นิดเดียวผมก็จะได้เจอกับเรย์...แต่ผม...
ผมตามเรย์ไม่ทัน...
.
.
.

อีกด้านหนึ่ง
เรย์!...
ร่างเล็กหันหน้าไปมองทางด้านหลัง เมื่อรู้สึกเหมือนราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเรียกหาอยู่ แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
"มีอะไร?"
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่อยู่ข้างตัวเอ่ยถามขึ้น...
"เปล่า...ไม่มีอะไร"
ร่างเล็กเอ่ยตอบเสียงเบาแล้วยิ้มบางๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปมองไปยังด้านนอกเหมือนเดิม...
ชายหนุ่มยกยิ้มบนใบหน้านิดๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามีรถอีกคันกำลังตามเขาอยู่ แล้วก็กว่าจะสลัดให้หลุดโดยที่ไม่ทำให้ร่างเล็กรู้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ตลอดระยะทางที่รถคันนั้นวิ่งตามมาติดๆ เขายอมรับว่าคนๆ นั้นคงจะเก่งมากพอดูถึงได้ขนาดตามคนขับรถของเขาได้ แถมยังตามติดชนิดที่ว่าไม่คิดที่จะปล่อยจนทำให้รู้สึกรำคาญเล็กๆ เหมือนกัน
ชายหนุ่มมองร่างบางด้วยความหวงแหนก่อนที่จะจับมือเล็กๆ ไว้แน่นโดยที่อีกคนยังคงนั่งนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาทั้งนั้นนอกจากดวงตาที่สะท้อนแต่ความเศร้าหมอง...

.
.

กว่าผมจะกลับมาบ้านได้ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง พอมาถึงผมก็นั่งหย่อนตัวที่โซฟาตัวเดิมที่อยู่กลางด้วยความปวดร้าวไปทั้งใจ ภาพที่ผมเห็นเรย์นั่งอยู่บนรถคันนั้นมันยังคงเด่นชัด ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเองที่ทำได้แค่นี้...
"คุณตะวันคะ มีจดหมายคะ"
"อืม"
ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบให้กับแม่บ้านที่ดูแลบ้านผมอยู่ แล้วจากนั้นเธอก็เดินออกไป
ผมมองซองสีขาวที่อยู่บนโต๊ะแล้วก็ทำเป็นไม่สนใจต่อ ซองของมันเป็นสีชมพูดหวานดูก็รู้ว่าคงเป็นการ์ดงานเลี้ยงธรรมดาๆ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นพวกสังคมไฮโซที่ส่งการ์ดมาเชิญผมมากกว่า แล้วยิ่งในช่วงนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจที่จะสนใจอะไรกับงานพวกนี้ด้วย มันก็เลยทำให้ผมเฉยๆ
"เฮ้อ...เมื่อไหร่ฉันจะได้เจอนายอีกนะเรย์"
ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วเอนหลังพิงโซฟาเหมือนเดิม ไม่ว่าจะพยายามยังไงผมก็ไม่สามารถสะบัดเรื่องของเรย์ให้หลุดออกจากหัวได้จริงๆ
.
.

หลายวันผ่านไป‬
"งานอะไรนะ..."
ผมหันไปถามหนึ่งด้วยสีหน้างุนงงเล็กๆ เมื่อหนึ่งชวนผมให้ไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง จะไปตอนนี้นะเหรอ? ทั้งๆ ที่คุณลุงก็ยังอยู่ในโรงพยาบาล...
"ใช่...งานจะมีมะรืนนี้ มีการ์ดเชิญด้วย..."
หนึ่งพูดพร้อมกับยื่นการ์ดมาให้ผมดู มันเป็นซองเดียวกับที่ผมเคยได้...พอผมเปิดไปดูข้างในมันก็เป็นซองสีขาวอมชมพูสวย ภายในบอกทั้งสถานที่ที่ไปงานกับเวลา แต่มันไม่ได้บอกว่าเป็นงานของใคร
"มันสำคัญมากเหรอหนึ่ง คุณลุงกำลังไม่สบายอยู่นะ"
"ก็ไม่รู้สิ แต่ว่าเขาบอกว่าต้องให้คุณพ่อไปให้ได้นะ แล้วคุณพ่อเองก็หัวรั้นจะไปด้วย..."
"แต่..."
"นะ...ตะวัน ไปเป็นเพื่อนหนึ่งหน่อย ตอนนี้หนึ่งก็มีแค่ตะวันเท่านั้นที่พอจะช่วยได้ แม่ก็ไปต่างประเทศยังไม่กลับ หนึ่งไม่รู้จะพึ่งใครจริงๆ"
หนึ่งร้องขอผมด้วยสีหน้าอ้อนวอน มันเลยทำให้ผมจำใจที่จะต้องรับปากอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าใจจริงแล้วไม่อยากให้ไปก็เถอะ ผมเองก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมพ่อของหนึ่งจะต้องรั้นไปด้วย ทั้งๆ ที่มันก็แค่เป็นงานเลี้ยงธรรมดาๆ แท้ๆ จะปฏิเสธไปเลยก็ได้ หรือว่ามันสำคัญต่อธุรกิจกันนะ...
พอถึงวันงานผมกับไคก็ไปรับหนึ่งกับลุงพจน์ที่โรงพยาบาล ด้วยร่างกายที่ยังเจ็บออดๆ แอ๊ดๆ ของลุงพจน์มันทำให้ผมนึกห่วงไม่น้อย ถ้าเกิดว่าเป็นลมล้มไปกลางงานจะทำยังไง!
"อุ๊ก!"
"คุณพ่อ!!!"
หนึ่งถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เมื่อเห็นลุงพจน์กำลังทำท่าที่จะวูบ แต่ลุงพจน์ก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้เหมือนเดิม พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในงานเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา พวกเขาต่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างเต็มยศเพื่อแข่งกันว่าใครจะดูดีที่สุด นี่แหละสังคมไฮโซที่เต็มไปด้วยหน้ากาก...
พรึ่บ!
แต่ยังไม่ทันที่งานจะเริ่มจู่ๆ ไฟที่สว่างจ้ากลับดับลงกระทันหัน ทำให้ทั้งงานเต็มไปด้วยความมืด บางคนถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ...ผมหันมองไปรอบๆ ตัว มันมืดจนมองแทบไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่นานนักไฟที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ ฉายออกมาทีละนิดๆ แต่ว่าแสงไฟกลับมุ่งตรงไปแค่ทิศทางทางเดียวคือตรงเวที...
แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้ผมถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ไม่ใช่เพราะงานที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยหรู ไม่ใช่ดารานักร้องที่มาร้องเพลงอยู่บนเวที แต่มันเป็นคนที่ผมคุ้นเคยแล้วก็ตามหามาตลอด...
เรย์!!!
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 20-11-2015 13:10:28



ตอนที่ 15

ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องมายังตัวผมพร้อมกับภาพมอนิเตอร์ทางด้านหลังที่กำลังฉายภาพของผมในทุกกริยาบทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผมนั่งเหม่อ ตอนที่ผมแอบหลับในห้องเรียนหรือแม้แต่กระทั่งตอนที่ผมกำลังเล่นเปียโน ทุกภาพล้วนแต่เป็นการแอบถ่ายทั้งนั้น...
เสียงดนตรีซึ้งๆ ที่กำลังเล่นไปตามจังหวะทำนองเพลงมันก็ทำให้ผมเต้นตามไปด้วย
ผมมองไปยังผู้ชายตรงหน้าด้วยแววตาสั่นระริก แต่ดวงตาของผมกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ เขาค่อยๆ เดินมาทางผมอย่างช้าๆ ก่อนที่จะจับมือผมเอาไว้ แล้วสิ่งที่เขาทำก็สร้างความฮือฮาไม่น้อยเหมือนกัน...
"ทุกคนครับ ผม เอเดน"
เอเดนประกาศชื่อตัวเองใส่ไมล์พร้อมกับมองหน้าผมแล้วส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มของเขามันช่างทำให้ผมรู้สึกดีจนอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"ที่ผมเชิญพวกคุณมาในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ผมแค่มีเรื่องที่อยากจะบอกับทุกคนเท่านั้น"
"..."
"ผู้ชายคนนี้ที่ยืนข้างๆ ผม...เขาเป็นคนที่ผมรักและคนที่ผมอยากจะอยู่ด้วย"
มือที่อบอุ่นของเอเดนจับมือผมไว้แน่นก่อนที่จะค่อยๆ ยกมือผมให้สูงขึ้นแล้วจูบลงมาบนฝ่ามือด้านหลัง ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่ารอบตัวผมเต็มไปด้วยเสียงกรีดกร๊าดของพวกผู้หญิงกันเลยทีเดียว
"แต่งงานกันนะเรย์..."
พูดจบรอบตัวผมก็เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องและเสียงเชียร์อย่างไม่ขาดสาย พวกเขาดูลุ้นระทึกกับคำตอบของผมมากจริงๆ
"แต่งเลยๆ"
"แต่งเลยๆ ฮิ้วว..."
แปะๆ แปะๆ
ผมน้ำตาซึมออกมาเล็กๆ มันตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูกเลย นี่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเอเดนเขาจะจัดงานแบบนี้เพื่อผม ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขาแค่บอกกับผมว่าเป็นแค่งานเลี้ยงธรรมดาๆ เท่านั้น แต่พอมาถึงงานเขากลับเซอร์ไพร์ผมด้วยวิธีนี้ มันเลยทำให้ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ
"เอเดน..."
ผมครางเรียกชื่อเขาเบาๆ...
"ตกลงนะเรย์ แต่งงานกันนะ"
เอเดนย้ำกับผมอีกครั้ง แววตาของเขาสั่นเล็กๆ เหมือนกับว่ากำลังลุ้นกับคำตอบของผมอยู่...
"อืม"
เฮ...
ทันที่ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ เสียงโห่ร้องแห่งความยินดีก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือ
เอเดนกอดผมไว้แน่นแนบอกแกร่งของเขา ผมเองก็กอดตอบเขาเหมือนกัน...เราสองคนผละออกจากกันแล้วมองไปยังรอบๆ ตัว ผมเอามือเช็ดน้ำตาตัวเองไปด้วยแล้วก็ยิ้มให้กับคนรอบตัว จนกระทั่งสายตาของผมโฟกัสไปเห็นยังคนกลุ่มๆ นึงที่กำลังมองมาทางผมอย่างไม่วางตาเช่นกัน...
สายตาที่เขามองมายังผมเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความแปลกใจที่ยังเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้...คงจะแปลกใจมากสินะที่ผมยังไม่ตายหรือว่ากำลังแปลกใจว่าทำไมผมถึงได้มีความสุข...
ผมเดินไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้มนิดๆแต่ภายใต้รอยยิ้มของผมมันกลับเต็มไปด้วยเพลิงไฟที่ลุกโชย...ไฟแห่งความแค้น!!!
"เรย์..."
เขาเรียกชื่อผมเบาๆ พร้อมกับค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาหาผมช้าๆ ทำท่าทีเหมือนกำลังจะเข้ามากอด
หึ แสดงละครงั้นเหรอ!...
"เรย์...ลูกพ่อ..."
แรงโอบกอดเบาๆ จากผู้ชายตรงหน้า เขาเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ทั้งๆ ที่มันเคยเป็นอ้อมกอดจากคนในครอบครัว แต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกอบอุ่นสักนิด...
"เรย์..."
เขาเรียกชื่อผมอีกครั้งก่อนที่จะผละตัวออกมานิดหน่อย มือของเขาก็จับที่ใบหน้าของผมทำเหมือนราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าผมยืนอยู่ตรงนี้
แล้วการกระทำของเขามันกลับทำให้คนรอบข้างซึ้งกับภาพที่เห็น แต่ว่า...มันกลับไม่ใช่กับผมสักนิด! ผมไม่ได้ซึ้งไปกับเขา ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้นนอกจากความเฉยชา
ผมเคยเจ็บปวด ผมเคยร้องไห้เพราะคนๆ นี้มามากเหลือเกินจริงๆ มากจนผมไม่รู้สึกอะไรให้แล้ว...มันสายเกินที่ผมจะหันหลังกลับไป แล้วที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งก็เพื่อที่จะมาเอาคืน!!!
"พ่อครับ..."
ผมโอบกอดเขาด้วยน้ำตา...เรียกชื่อเขาเอาไว้เพื่อย้ำให้เขารู้ว่าผมเองก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เห็นหน้าเขา...
การแสดงละครมาถึงแล้วสินะ...

ข่าวหน้าหนึ่ง‬
ทายาทตระกูลดังประกาศงานแต่งงานกับนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงโดยที่ไม่สนใจเลยว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน...และ บล
าๆ

ผมมองข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์ที่ในตอนเช้า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมทั้งนั้น แล้วทุกๆ ฉบับก็จะพูดเรื่องงานแต่งงานของผมกับเอเดน บางคนก็วิพากษ์วิจารณ์ก็มี แสดงความยินดีก็มี...แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ! อีกไม่นานข่าวพวกนี้ก็จะหายไป...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"เรย์.."
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเล็กๆ ที่ผมคุ้นเคยเอ่ยเรียกผมจากด้านนอก
ผมเดินไปเปิดประตูให้ก็เห็น ใบหน้าหวานยิ้มกว้างให้กับผม...อา จริงสิ...ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วนี่นา...
"ว่าไง มีอะไรเหรอหนึ่ง"
ผมยิ้มตอบ...
"หนึ่งมาตามไปทานข้าวเช้านะ"
"อืม กำลังจะออกไปพอดีเลย ไปกันเถอะ..."
ผมตอบปกติแล้วจูงมือเล็กๆ ของหนึ่งให้เดินไปทันที...จนกระทั่งพวกเราเดินมาถึงบันไดที่จะลงไปยังชั้นล่าง...
จะเอายังไงดี...
"ไปเร็วหนึ่ง..."
"อ่ะ เรย์ อย่าวิ่ง..เดี๋ยวตก"
ผมจับมือของหนึ่งเอาไว้แล้ววิ่งลงบันไดด้วยความเร็ว ด้วยความที่หนึ่งยังไม่ทันได้ตั้งตัวมันก็เลยทำให้เขาวิ่งตามผมไม่ทัน ผมยิ้มเยาะบนใบหน้านิดหน่อยก่อนที่จะเร่งความเร็วขึ้น...แล้วบันไดบ้านผมก็ใช่ว่าจะสั้นที่ไหน...
ตุบ ตบ ตุบ
"เรย์! เดี๋ยวตก"
หนึ่งร้องบอกอีกครั้ง...
"ไม่ตกหรอกน่า เรย์หิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว..."
ผมพูดแต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความนึกสนุก ผมมองไปยังบันไดที่อยู่ข้างล่างแล้วสาวเท้าเร็วมากกว่าเดิมก่อนที่จะแกล้งหยุดกระทันหันแล้วทำเป็นหลุดมือปล่อยแขนแขนของหนึ่งออก จนทำให้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังของผมวิ่งหยุดไม่ทัน แต่แค่นั้นยังไม่พอ ผมยังยื่นขาออกไปนิดหน่อยตรงที่หนึ่งอยู่...แล้วรอดูผลที่จะตามมา
ตุบ!
"โอ๊ย!"
ร่างเล็กๆ สะดุดขาของผมแล้วกลิ่งตกบันไดลงไปที่ชั้นล่าง...ใบหน้าหวานเหยเกไปด้วยความเจ็บปวด แต่ผมนี่สิ...กลับยิ้มร้ายออกมา...
แหม...เสียใจจริงๆ ที่มันแค่ไม่กี่ขั้นเลยทำให้หนึ่งเจ็บไม่หนักเท่าไหร่...แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็ยังคงต้องแสดงละครต่อไป...แสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เขาตกลงไปเจ็บตัวแบบนี้...
"หนึ่ง! หนึ่งเป็นอะไรไหม!!!"
ผมทำท่าวิ่งไปดูเขาด้วยความเป็นห่วง...
"ฮึก จะ เจ็บ..."
หนึ่งร้องบอก...
หึ แค่ตกบันได้แค่ไม่กี่ขั้นแต่กลับร้องไห้ สำออยซะจริง!
"หนึ่ง! เรย์! เกิดอะไรขึ้น!!!"
แล้วคงเพราะเสียงที่ดังมากมันเลยทำให้ทกคนในบ้านที่ได้ยินวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น...
"คุณพ่อ..."
ผมเรียกชื่อผู้ชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง...
"ผมผิดเองครับ ฮึก ผม...ฮือ ฮือ"
"ไม่เป็นไรๆ เรย์ไม่ต้องร้อง..."
เขาลูบหัวผมเบาๆ เชิงเป็นการปลอบประโลม...น่าแปลกนะ...ตอนที่ผมต้องการความรักจากเขา...กลับไม่เคยสนใจใยดี แถมยังผลักไสไล่ส่งอีกต่างหาก แต่พอผมไม่ต้องการ...เขากลับมาทำดีกับผมซะงั้น
แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็พาหนึ่งไปที่โซฟา...โชคดีหน่อยที่ตกเพียงแค่ไม่กี่ขั้นเลยทำให้หนึ่งแค่ขาแพลงเท่านั้น...มันทำให้ผมรู้สึกเสียดายนิดๆ เหมือนกัน...
ทำไมขาไม่หักไปเลยนะ!!!...

ผมทำเป็นเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่มีมารยานิดหน่อย ออดอ้อน แล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจพร้อมกับบีบน้ำตานิดๆ หน่อยๆ แค่นี้ก็ไม่มีใครว่าผทแล้ว แถมยังจะปลอบใจผมอีกต่างหาก!
แหม รู้อย่างนี้แล้วก็น่าจะทำตั้งแต่แรก...
"คุณพจน์! ฉันได้ข่าวว่า...เรย์!!!"
เสียงเล็กแหลมดังขึ้นพร้อมกับการมาของคนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี
"อ้าว คุณนัน...กลับมาแล้วเหรอ"
พ่อถามด้วยน้ำเสียงเรียบ...
แต่ผิดกับเธอที่กลับมองผมด้วยแววตาสงสัยคละแปลกใจ แต่ก็ยังคงแสดงสีหน้านิ่งเรียบไว้อยู่...
มาได้จังหวะดีจริงๆ!...
ส่วนผมนะเหรอ...ก็แค่ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรนะสิ!!!...
"กลับมาเมื่อไหร่" เธอถาม...
"เมื่อวานครับ" ผมตอบยิ้มๆ
"..."
แล้วเธอก็ไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่ยืนกอดอกมองมาทางผม ไม่มีคำว่าคิดถึงหรือว่าคำพูดที่แสดงความยินดีที่ผมกลับมาสักนิด จะมีก็เพียงแววตาที่พยามกลั้นสั่นเท่านั้น...
เหมือนกับว่าเธอกำลังกลัวบางอย่างอยู่!...
"ผมดีใจ...ที่ได้เจอคุณ"
ผมพูดพร้อมกับลุกเดินไปหาแม่เลี้ยงสุดที่รัก! ของผม...แล้วโอบกอดเบาๆ ด้วยความคิดถึงแบบสุดๆ ก่อนที่จะกระซิบบอกบางอย่างกัลเธอให้ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น...
'ผม...'
แม้ไม่ต้องบอกก็รับรู้ได้ดีเลยละ...ว่าตอนนี้เธอกำลังตื่นกลัว...แล้วก็คงกำลังโกรธมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่กำมือแน่นขนาดนี้หรอก!
มันทำให้ผม อยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ!!!...
"ผมขอโทษนะครับคุณนัน ที่เคยทำไม่ดีกับคุณไว้ ตอนนี้ผมคิดได้แล้ว"
ผมแกล้งทำเป็นเสียงน่าสงสารแล้วจับมือเธอไว้แน่น...แต่แค่เหมือนจับนะ...ความจริงแล้วผมกำลังจิกเล็บลงไปที่ฝ่ามือของเธอต่างหาก! แต่เธอก็ยังคงเก็บอาการไว้ได้ดีจริงๆ...
"ไม่เป็นไรจ๊ะ"
เธอพูดกับผมด้วยน้ำเสียงปกติ แต่แหม...ทำไมผมกลับดูว่าเธอกำลังทนกันนะ
"ถ้าอย่างนั้น ให้ผมเรียกคุณว่าแม่นะครับ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอีกครั้งพร้อมกับมองเธอด้วยแววตาใสซื่อเหมือนกับหนึ่ง
"นะครับ..."
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ ผมจึงอ้อนอีกครั้ง...
"..."
แต่เธอก็ไม่ตอบผม...เพียงแค่ปรายตามองไปที่พ่อแล้วพยักหน้าให้เบาๆ เท่านั้น...
หึ ไม่กล้าพูดสินะ...
แต่ไม่ต้องห่วง หลังจากนี้ไปผมจะเอาทบต้นทบดอกเลย! ทั้งแม่!!! ทั้งลูก!!!
.
.
.

อีกด้านหนึ่ง
กึก กึก กึก
ห้องนอนห้องกว้างมีเพียงเครื่องปรับอากาศเย็นๆ กระทบร่างกับเสียงกัดเล็กกระทบกันดังเป็นจังหวะท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงไฟสลัวๆ เท่านั้น
‘มันกลับมาแล้ว!’
‘จะทำยังไงดี!!!’
ความคิดของคนในเงามืดฟุ้งซ่านเสียจนควบคุมแทบไม่อยู่ ได้แต่คิดถึงคนที่เพิ่งกลับมาอย่างหงุดหงิดและเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“มันจะกลับมาทำไม! จะทำยังไงดี!!! ใช่! ต้องโทรหามัน!!!”
สีหน้าหวั่นวิตกแสดงออกมาจนเห็นได้ชัด เจ้าตัวบ่นไปมาก่อนที่จะตัดสินใจโทรหาใครอีกคน...
Rrr Rrr Rrr
“ฮัลโหล!”
//มีอะไร//
ปลายสายเอ่ยเสียงเรียบ...
“ยังจะถามว่ามีอะไรอีก!!! คุณทำแบบนี้หมายความว่าไง!!!”
//ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน คุณแค่มีหน้าที่ทำตาม//
“แต่มันผิดข้อตกลงของเรา!!!”
//หึ แล้วฉันทำผิดข้อตกลงตรงไหน//
ปลายสายหัวเราะเบาๆ ออกมาจากลำคอจนสร้างความไม่พอใจให้กับคนที่คุยด้วยไม่น้อย...
“นี่!!! อย่ามาเล่นลิ้นกับคนอย่างฉันนะ!!!”
//จุ๊ๆ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ อย่าลืมสิ...ว่าเป็นคุณต่างหากที่เลือก...//
ว่าจบก็วางสายไป...
“เดี๋ยว!!!”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
“โธ่เว้ย!!!”
โครม!
ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะพูดจบปลายสายก็วางไปทันทีจนทำให้อารมณ์เสียไม่น้อยจนต้องเขวี้ยงของที่อยู่ในมือจนแตกกระจายด้วยความโมโหอย่างถึงที่สุด
“จะทำยังไงดี!!!”
ใบหน้าบูดเบี้ยวคละไปกับความกังวลที่มีอยู่ภายในใจแต่เพียงไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มร้าย
“หึ ฉันไม่มีทางให้แกได้ลอยหน้าลอยตาอย่างมีความสุขแน่ๆ!!!”
เรย์!...





TAKE

หายไปนานเบยย ค้าขอโต๊ดนะตะเองงง มาชดเชยให้ 5 ตอนรวดเลยทีเดียว แฮ่ๆ >< หายโกรธเทคนะ นะๆๆๆๆ น้าาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 30-11-2015 23:06:23
ยังไม่หายโกรธ ขอเพิ่มอีก2ตอน อิอิ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: fida ที่ 01-12-2015 22:56:43
อ่านแล้วร้องไห้หนักมาก เมื่อเช้าตาบวมไปทำงานเลยอ่ะ :monkeysad: :m15:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 02-12-2015 03:55:08
เรื่องปมเยอะจังน่าสนุก แสดงว่ายัยแม่เลี้ยงนิร้ายมาตั้งแต่แรกสินะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 03-12-2015 09:38:25
มาแล้วๆๆๆ ปล่อยให้รอเป็นปีเลยนะครับ. แฮ่ๆๆๆ

คิดถึงตลอด. มาต่ออีกไวๆนะครับ

แวะมาให้กำลังใจคนแต่งครับ :z2:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-12-2015 02:31:33
งะ แร้วมันจะออกมารูปแบบไหนกันนะ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:35:29
 
ตอนที่ 16

"ไม่! ไม่! ม่ายย!!!!"
เฮือก!
ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่มีเพียงแสงจากไฟด้านนอกส่องมาทางหน้าต่างเท่านั้น ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายที่ฝันเห็น...มันเป็นความฝันที่ผมไม่ค่อยอยากนึกถึงเท่าไหร่
ใบหน้าของผมก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่ซึมออกมาแม้ว่าทั้งห้องจะเปิดแอร์เย็นช่ำ เสียงหัวใจของผมก็เต้นระรัวจนหยุดไม่อยู่เมื่อนึกถึงความฝันเมื่อสักครู่ แต่ผมก็ทำให้เพียงแค่อยู่นิ่งๆ เท่านั้น
00.35 นาฬิกา...
"เพิ่งจะเที่ยงคืนครึ่ง..."
ผมพูดกับตัวเองเบาๆ เมื่อมองไปยังนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วก็ดูท่าว่าคืนนี้คงหลับไม่ลงแน่ๆ หรือไม่ก็คงอีกนานกว่าผมจะหลับ...
ผมก็เลยเลือกที่จะลุกออกมาเดินเล่นข้างนอกด้วยความรู้สึกเบื่อเล็กๆ อย่างน้อยผมก็อยากคิดว่าท้องฟ้าในคืนนี้มันจะช่วยทำให้ผมลืมความฝันเมื่อสักครู่ไปได้ชั่วคราว
"ดาวสวยจัง"
ผมเปรยเบาๆ ออกมา...
ท้องฟ้าในคืนนี้มันดูสวยมากจริงๆ นั่นแหละ...ดาวเต็มท้องฟ้าเลย...
หมับ!
"อ่ะ อื้ม!!!"
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็มีคนมาจับตัวผมเอาไว้ แล้วก็ปิดปากผมเพื่อไม่ให้ร้องเสียงดัง ผมทั้งดิ้นหนีและพยายามรั้งตัวหนีแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะแรงที่เขาจับผมมันมีมากกว่าเหลือเกิน แล้วจากนั้นตัวผมก็ถูกลากไปอีกทาง
"อื้อ!!! อ่อย!!!"
ทั้งมือทั้งเท้าของผมปัดไปทั่ว หวังว่าจะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากสถานการณ์แบบนี้ แต่ว่า...จู่ๆ ผมกลับรู้สึกถึงแรงกอดรัดเบาๆ จากทางด้านหลังของผมแทนโดยที่มือของเขายังคงปิดปากผมเอาไว้
ผู้ชายที่จับตัวผม!...เขากำลังกอดผมอยู่!!!
"เรย์..."
เสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูมันทำให้ผมหยุดนิ่งแล้วหันไปมองทางด้านหลังช้าๆ
"ตะวัน!!!"
ผลัก!
แต่พอรู้ว่าเป็นใครแค่นั้นแหละ มันทำให้ผมรีบใช้แรงที่มีผลักให้เขาออกห่างจากตัวทันที ผมมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ! โกรธมากๆ ซะด้วย!!!
เขาเป็นใคร! กล้าดียังไงมาทำแบบนี้!!!
"ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!"
"ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย"
"เหอะ! แล้วนายก็มาทำกับฉันแบบนี้เนี่ยนะ"
ให้ตายสิ! มีเรื่องจะพูดกับผมแต่กลับทำตัวเหมือนโจร!!! แถมยังบุกรุกเข้ามาบ้านคนอื่นในยามวิกาล อย่างนี้มันข้อหาบุกรุกชัดๆ!!!...
"นายมาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย"
ผมชี้มือไปอีกทางตรงที่เป็นบ้านของตะวัน...แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ฟังคำของผม เขาไม่ไปแถมยังเดินเข้ามาเข้าใกล้ผมอีก...
"นี่! ฉันบอกให้ออกไป! ไม่ได้ยินหรือไง!!!"
ผมบอกอีกครั้ง...
"ฉันไม่ไป แล้วเราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง"
"โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย! ปล่อยฉันนะ!!!"
ผมร้องบอกเมื่อตะวันใช้จังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัวจับมือผมเอาไว้ก่อนที่จะกอดผมไว้แน่นแนบอกแกร่ง
"ปล่อยฉันนะ!!! ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วยด้วย!!!"
"ก็เอาสิ...อยากให้คนอื่นมาเห็นเวลาเรากอดกันก็ตามใจ"
ตะวันตอบอย่างลอยหน้าลอยตา...
ผมเม้มปากแน่นแล้วมองไปที่ผู้ชายตรงหน้าอย่างเหลืออด...มันจะอะไรกันนักกันหนานะ!!! แค่พูดๆ ก็จบใช่ไหม! เขาจะได้ปล่อยผมแล้วไปสักที!!!...
"มีอะไรก็ว่ามาสิ! แล้วปล่อยฉันได้แล้ว!!!"
"หึ"
ตะวันยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก ไม่ใช่เป็นการยิ้มเยาะแต่มันเป็นแค่รอยยิ้มขำๆ ซะมากกว่าที่เห็นท่าทีของผม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี...
"มีอะไรก็รีบๆ พูดมาซิ! ง่วงแล้ว!"
พอเห็นเขาขำไม่หยุดผมก็เลยรีบพูดขึ้น...ตะวันมองผมอย่างชั่งใจชั่วครู่ก่อนที่จะทำสีหน้าจริงจังแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง...
"เรย์...เอเดนมันบังคับนายใช่ไหม"
"บังคับอะไร?"
ผมมองหน้าตะวันอย่างงงๆ...
"เรื่องหมั้น เรื่องแต่งงาน มันบังคับนายใช่ไหม! บอกฉันมาสิ...ฉันจะช่วยนายเอง..."
เขาพูดอะไรของเขาน่ะ?...
แล้วเอเดนมาเกี่ยวอะไรด้วย?...
"หนึ่งเดือนที่นายหายไป รู้ไหมว่าฉันตามหานายแทบบ้า"
"..."
"แต่พอมาเจอ นายกลับประกาศแต่งงานกับเอเดน!...มันบังคับนายใช่ไหม! บอกฉันมาสิเรย์!!!"
เขายังพูดไม่หยุด ส่วนผมก็ได้แต่เงียบอยู่เหมือนเดิม...
"บอกฉันสิเรย์! ว่ามันทำร้ายนาย บังค้บนาย!"
"พอได้แล้ว!!!"
ผมพูดเสียงดังแล้วดันตัวตะวันให้ออกห่างจากตัว เริ่มชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ! เอเดนเขามาเกี่ยวอะไรด้วย...มันไม่ใช่เรื่องที่ตะวันจะต้องเข้ามายุ่งวุ่นวายสักนิด!
"ฟังนะ...เอเดนไม่ได้บังคับฉัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฉันเต็มใจ!"
ผมบอกเสียงนิ่ง...มองหน้าตะวันด้วยแววตาจริงจัง...
"เรย์..."
ตะวันครางเรียกชื่อผมเบาๆ...
แต่ผมก็ไม่คิดที่จะสนใจแล้วคิดจะเดินหนีไปอีกทางเพื่อกลับไปที่ห้องของตัวเอง แต่ก็เดินได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกมือหนาของตะวันรั้งตัวให้หันกลับไปสบตากับเขาอีกครั้ง...
"ปล่อยฉันนะตะวัน!"
"ไม่!...นายโกหก! จนกว่านายจะพูดความจริง"
"มันไม่มีความจริงอะไรทั้งนั้น!"
"ฉันไม่เชื่อ...บอกความจริงฉันมาสิเรย์ ฉันพร้อมี่จะเชื่อนาย พร้อมที่จะช่วยนาย"
"เอ๊ะ! พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!!! มันไม่มีอะไรทั้งนั้น!!!"
"..."
"ฉันกับเอเดน...เรารักกัน!"
ผมจ้องหน้าตะวันด้วยความเหลืออด...
"ฉันไม่เชื่อ..."
ตะวันจับแขนผม จนผมรู้สึกเจ็บเล็กๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่แสดงสีหน้าว่าเจ็บออกมาให้เห็น แต่ผมคิดว่ามันจะต้องแดงมากแน่ๆ...
"ไม่เชื่อก็เรื่องของนาย! ปล่อยฉันได้แล้ว!!!"
"ไม่!"
"ปล่อย!!!"
"ไม่!"
"ฉันบอกให้ปล่อยยังไงเล่า!!! อื้อ!!!..."
ผมกับตะวันเยื้อหยุดกันชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากของผมจะถูกครอบครองอย่างไม่ทันตั้งตัว...
ตะวันจูบผม!!!
“อื้ม!!! ปล่อย!”
ลำแขนแกร่งของตะวันโอบกระชับผมไว้แน่นมากกว่าเดิม ลิ้นของเขาก็พยายามรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของผม ร่างหนาดันตัวผมจนชิดกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังจนทำให้ผมไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้
“อืม เรย์...”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อผมเมื่อตอนที่เขาละริมฝีปากออกมานิดหน่อยก่อนที่จะประกบจูบลงมาอีกครั้งโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนเดิม ความรุนแรงในคราวแรกแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน แต่มันก็ทำให้ผมไม่สามารถหนีเขาไปได้อยู่ดี
“อืม...”
เสียงครางหวานของผมดังขึ้นเมื่อตะวันหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆ ของผม ทั้งๆ ที่ผมควรจะผลักไสและรังเกียจแต่ทำไมผมต้องรู้สึกแปลกๆ ด้วยนะ...
ไม่!...
มันต้องไม่เป็นแบบนี้!...
“ปล่อยฉันนะ!!!”
เพี๊ยะ!
ผมสะบัดตัวอย่างแรงและตบไปที่ใบหน้าซีกซ้ายของตะวัน ดวงตากร้าวมองไปที่เขาด้วยความโกรธแบบสุดๆ หลังมือทั้งสองข้างก็สลับกันเช็ดริมฝีปากอย่างรังเกียจ
“ฉันเกลียดนาย! เกลียดนายที่สุด!!!”
“เรย์...ฉัน”
ตุบ!
ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้นก็จัดการผลักตะวันไปแรงๆ แล้วเดินหนีทันที...
คนอะไรน่ารังเกียจที่สุด!...
แต่ว่า...ทำไมใจของผมถึงได้เต้นแรงขนาดนี้นะ...
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
 .
.
.
เช้า
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนพาผมแทบนอนไม่หลับ ไม่ว่าพยายามข่มตายังไงก็สะบัดเรื่องของตะวันไม่ออก
ทำไมต้องไปคิดเรื่องของเขากันนะ!!!...
“เรย์...”
ผมปรายตามองไปยังร่างเล็กๆ ที่เอ่ยเรียกผมจากอีกทาง...แหม กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่พอดีเลย...
“หนึ่ง ลงมาทำไม...หายแล้วเหรอ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงแล้วเข้าไปช่วยประคองให้หนึ่งเดินถนัดๆ
ดูผมเป็นคนดีไหมละ...
“ขอบใจนะ...ดีขึ้นแล้วละ”
หนึ่งบอกผมด้วยรอยยิ้มน่ารักๆ...
“ถ้างั้นก็ใกล้หายแล้วสิ?”
“ใช่...”
“เหรอ?”
ใกล้หายแล้วสินะ...ถ้าอย่างนั้นคงต้องทำให้หายช้าหน่อยแล้วละมั้ง ไม่สิ! ทำให้ไม่หายขาดไปเลยดีกว่า...
ผลั่ก!
“อะ โอ๊ย!”
ผมผลักร่างเล็กๆ ล้มอย่างจัง แล้วผมก็เหยียบลงบนขาที่เป็นแผลด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความสะใจแบบสุดๆ
“อะ โอ๊ย!!! เรย์!!! ฮือ ฮือ เจ็บ”
ใบหน้าหวานเหยเกไปด้วยความเจ็บปวด แล้วก็พยายามคลานหนีแต่ผมก็ไม่สงสารสักนิด กลับยิ่งทำมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ก็บอกแล้วไง...
ว่าผมนะ เป็นคนดี...
แต่แค่เหมือนจะดีเท่านั้นนะน่ะ...
“เรย์!!! โอ๊ย!!! เจ็บๆ ฮือ ฮือ เจ็บๆๆๆ”
ยิ่งเจ้าตัวร้องไห้ดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้ผมสะใจมากจริงๆ ผมบดขยี้ฝ่าเท้าของตัวเองหนักๆ แล้วกระทืบลงไปซ้ำๆ ย้ำๆ ตรงที่ขา
แล้วถ้าถามว่าการที่ผมทำแบบนี้แล้วผมไม่กลัวคนอื่นเห็นอย่างนั้นเหรอ? ผมบอกได้เลยว่าไม่! เพราะตอนที่ลงมาผมได้ทุกคนที่อยู่ในบ้านออกไปจนหมด แค่ให้เงินแล้วใช้ไปซื้อของ แค่นี้ก็ระริกระรี้วิ่งแจ้นออกไปแล้ว ส่วนพ่อก็ออกไปบริษัทฯ ตั้งแต่เช้าแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่ผม หนึ่ง แล้วก็อีกคนที่ยังอยู่ในบ้านก็เท่านั้น...
“โอ๋...เจ็บเหรอหนึ่ง ขอโทษนะที่ทำรุนแรงนะ ดูสิ...ขาบวมเป่งเลย ฮ่าๆ จะหักไหมนะ...แต่คงไม่หรอกมั้ง...”
ผมหยุดแล้วเดินไปนั่งยองๆ ข้างหนึ่ง มือของผมก็จิกผมสีดำสนิทให้หันขึ้นมาสบตากับผม
ดูสิ...น้ำตานองหน้าเลย ช่างหน้าสงสารจัง...
“หนึ่ง!!!”
ในช่วงจังหวะที่ผมปล่อย เสียงของผู้หญิงอีกคนก็ได้ดังขึ้น เธอมองมายังผมและลูกชายของเธอด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพร่างกายของหนึ่งที่กำลังนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจอยู่ข้างๆ ตัวผม...
ว้า...ตัวช่วยมาช้านะ...
ถ้าเปรียบเหมือนละครก็คงจะละครน้ำเน่าที่ตำรวจมักจะมาทีหลังเสมอสินะ...
“แกทำอะไรลูกของฉัน!!!”
เธอถามเสียงกร้าว มองผมเหมือนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ...
“ก็เปล่านี่ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
ผมพูดยิ้มๆ แล้วทำท่าผยุงหนึ่งขึ้นมา
“ออกไป!!! ออกไปเลยนะ! อย่ามาแตะต้องลูกชายฉัน!!!”
เธอผลักผมอย่างแรงจนร่างของผมเซเล็กน้อย แล้วก็เข้ามาประคองหนึ่งแทนผม
ก็อย่างว่าละ...ไม่ได้อยู่ต่อหน้าพ่อแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงละครอีก ยังไงซะ...คนที่เป็นลูกเธอก็ไม่ใช่ผม
“ฮือ ฮือ คุณแม่ ฮือ ฮึก ฮือ”
หนึ่งร้องไห้โฮ แล้วกอดแม่ตัวเองเอาไว้...
“เจ็บมากไหมลูก!”
“เจ็บ ฮึก ฮือ ฮือ หนึ่งเจ็บขา”
“แก!!! ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง!”
เธอหันมาตวาดผมทันทีที่หันไปมองขาของหนึ่ง...
“ฮ่าๆ ผมก็แค่ช่วยสงเคราะห์เอง กลัวขาจะไม่หัก”
“ฉันจะฟ้องคุณพจน์!!!”
“ก็เชิญฟ้องสิครับ เชิญฟ้องเลย...แล้วผมก็จะฟ้องคุณบ้าง...อ้อ แล้วอย่าลืมเอาคำที่ผมพูดเมื่อกี้ไปบอกด้วยนะครับ คุณแม่! ฮ่าๆ”
ผมหัวเราะร่อนออกมาด้วยก่อนที่จะเดินไปอีกทาง โดนแค่นี้มันยังน้อยไป เจ็บน้อยไปด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเขาจะเจอมันยังไม่ถึงครึ่งที่ผมเจ็บสักนิด!!!
 .
.
.
หนึ่ง PASS
“ฮึก ฮือ ฮือ คุณแม่”
“ไม่เป็นไรนะหนึ่ง แม่จะพาไปหาหมอ”
ผมพยักหน้าให้เบาๆ แล้วพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ถึงจะเจ็บมากแต่ผมก็ไม่ได้อยากให้แม่เป็นห่วงเลยได้แต่ทน
“นี่!!! มีใครอยู่บ้าง!!! มาช่วยฉันหน่อย!”
แม่ร้องเรียกให้คนมาช่วย แต่กลับไม่มีใครมาสักคนเลย...
“คอยดูนะ! ถ้าคุณพ่อกลับมาเมื่อไหร่แม่จะฟ้องคุณพ่อ!”
“อย่านะครับ!!!”
ผมร้องห้ามทันทีที่แม่พูดจบ...
“ไม่ไม่ยอม! มันทำร้ายหนึ่ง!!!”
“ฮึก หนึ่งไม่เป็นไร คุณแม่อย่าฟ้องคุณพ่อเลยนะ ฮึก แค่นี้คุณพ่อก็เครียดเรื่องงานมากแล้ว อีกอย่างเรย์เพิ่งกลับมาผมไม่อยากให้มีเรื่องในตอนนี้ หนึ่งเป็นห่วงคุณพ่อ...”
ผมบอกเหตุผลออกไป...
“ไม่! ยังไงแม่ก็จะบอก!”
“ถือว่าหนึ่งขอร้อง อย่าบอกคุณพ่อนะครับ ฮืก”
ผมร้องบอกด้วยน้ำตา พยายามร้องบอกอีกครั้งเพื่อไม่ให้แม่เอาเรื่องที่เรย์มาทำร้ายผมไปพูด แล้วถึงแม่จะไม่พอใจเท่าไหร่แต่ก็ยอมผมแต่โดยดี...
ส่วนขาของผมที่บวมไม่มากในตอนแรก ตอนนี้กลับบวมและเขียวช้ำจนน่ากลัว...
ผมไม่เข้าใจ...ทั้งๆ ที่คิดว่าพวกเรากำลังจะดีกันได้แท้ๆ แต่ความจริงเรย์ก็แค่หลอกให้ผมตายใจ...ผมไม่เข้าใจสักนิด ไม่เข้าใจจริงๆ...
 
ทำไมกันนะ นายถึงทำแบบนี้...
 

 
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:36:53

 
ตอนที่ 17

เอเดน PASS
ผมทอดมองไปยังหน้าต่างด้านนอกด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ภายในใจกลับยกยิ้มไปด้วยแผนการร้ายที่กำลังเริ่มต้น...
“เป็นไง ไอ้ลูกชาย...ฮ่าๆ”
บดินทร์...พ่อของผมแตะบ่าผมด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข ที่ทุกอย่างกำลังจะไปได้ด้วยดี...
ตระกูลผมกับตระกูลของเรย์เป็นบริษัทฯ คู่แข่งกัน พวกพ่อของพวกเราต่างก็ทำธุรกิจส่งออกกันทั้งคู่ ดังนั้นที่ผ่านมาทั้งพ่อของผมและพ่อของเรย์ก็สูสีกันมาตลอด...แข่งกันทำธุรกิจ
แต่จะเป็นอะไรไหมละ? ถ้าผมอยากที่จะได้บริษัทฯ ของเรย์มาไว้ครอบครองในมือ...แทนที่จะคอยแข่งกันทางธุรกิจสู้เอาธุรกิจของอีกฝ่ายมาเป็นของผมก็สิ้นเรื่อง...
ง่ายกว่าเยอะ!...
ผมกับเรย์เราเรียนที่เดียวกัน เรย์เป็นคนหยิ่งและดูร้ายกาจแต่กลับกันผมกลับมองว่าเขามีเสน่ห์จนอดที่จะมองตามไม่ได้เหมือนกัน...
ผมไม่ใช่คนดี...
แล้วก็ไม่คิดที่จะเป็นด้วย...
วันที่ผมเจอกับเรย์ในห้องน้ำ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันเป็นเพราะผมตั้งใจต่างหาก! ผมเดินตามเรย์แล้วแกล้งชนเขา แล้วก็ด้วยท่าทีของเรย์มันก็เลยอยากให้ผมคิดที่จะลองสนุกกับเขาดู แต่ว่าน่าเสียดายจริงๆ ที่มีคนมาขัดขวางซะได้...
“เป็นยังไง หืม กำลังไปได้สวยใช่ไหม”
“หึ พ่อคิดว่าผมเป็นใคร เรื่องแค่นี้เด็กๆ”
ผมตอบกลับด้วยความมั่นใจแบบสุดๆ...
ใช่!...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นผมเป็นคนจัดการทั้งหมด ทั้งเรื่องที่เอาเรย์มาอยู่กับผมและยังงานประกาศงานหมั่นนั่นอีก ก็เป็นผมอีกเหมือนกัน
“ป่านนี้พจน์มันคงกำลังชะล้าใจ เห็นว่าพวกเรากำลังจะดองกันอยู่สินะ ฮ่าๆ”
พ่อหัวเราะร่อนออกมาด้วยความสุข...
ส่วนผมก็ได้แต่มองแล้วยกยิ้มให้นิดๆ เท่านั้น...เรื่องมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...เกมส์มันยังไม่จบหรอกนะ!...
 
ผมกับพ่อคุยกันสักพักก่อนที่พ่อจะออกไปทำธุระข้างนอก ผมก็ยังอยู่ในห้องทำงานของตัวเองเหมือนเดิม...เพื่อรอใครบางคน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณเรย์มาขอพบคะ”
คิดถึงก็มาพอดีเลย...
“ให้เข้ามา”
“คะ”
สิ้นเสียงของผมบานประตูก็ถูกเปิดออกกว้างพร้อมกับร่างเล็กๆ ของว่าที่คู่หมั่นผมเดินเข้ามา สีหน้าของเรย์ที่มองผมเป็นแววตานิ่งๆ เขายิ้มให้ผมนิดหน่อยก่อนที่จะมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน...
ผมเดินเข้าไปใกล้เรย์แล้วเท้าแขนกับโต๊ะพร้อมกับเล่นผมนิ่มๆ ของเขาเบาๆ แล้วม้วนไปม้วนมาเป็นวงกลมเล็กๆ พร้อมกับค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทีละนิดๆ เฉียดใบหูและแก้มก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปที่ริมฝีปาก...
“พอเถอะ...”
แทนที่เราทั้งคู่จะได้จูบกันแต่เรย์กลับหันหน้าหนีผมไปทางอื่นนิดหน่อย ผมเลยละตัวออกมา...
“เรื่องที่ให้จัดการ...ฉันทำอยู่”
“หึ ไม่เป็นไร...ฉันยังรอนายเสมอ”
“ไม่ละ...ฉันไม่อยากอยู่บ้านหลังนั้นนานๆ จะรีบทำให้เร็วที่สุด”
“หึ”
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วเล่นผมเขาต่อ...เส้นผมที่อ่อนนุ่มมันสร้างความเพลินตาไม่น้อยจริงๆ
นายนะ...เป็นของฉันรู้ไหมเรย์...
 .
.
.

เรย์ PASS
ผมมาหาเอเดนที่บริษัทฯ ของเขา...ที่ต้องมาที่บริษัทฯ ก็เพราะเรื่องงาน แล้วก็เป็นเรื่องที่ผมกำลังจะทำซะด้วย...แต่เพียงแค่ต้องรอเวลาแค่นั้นแหละ
“จอด...”
“ครับ”
ผมสั่งให้คนขับรถจอดที่ตลาดแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยร้านค้า ผมมองไปยังร้านๆ นึงที่เป็นร้านขายของเล่น...พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ผมคิดถึงใครบางคน...คนที่ผมรัก...
“คุณเรย์! ระวังครับ!”
ปรี๊น!!!
ขณะที่ผมกำลังจะข้ามถนน จู่ๆ ก็มีมอเตอร์ไซน์คันหนึ่งแล่นมาทางที่ผมกำลังยืนอยู่ ตัวของผมเซไปอีกทางทันที แต่โขคดีที่ไม่ล้ม มอเตอร์ไซน์คันนั้นจอดรถแล้วหันมามองผมนิดหน่อยก่อนที่จะเร่งเครื่องขับรถออกไป ผมทั้งตื่นกลัวและสั่นสะท้านไปทั่วร่าง...
น่ากลัว!...
น่ากลัวมากจริงๆ!...
“คุณเรย์...”
“ไม่เป็นไร...ผมไม่เป็นไร”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ...พยายามฝืนทำตัวให้ปกติที่สุด แต่มันก็ช่างยากเย็นจริงๆ เพราะมันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น...
 
“ไม่ได้เรื่อง! เรื่องแค่นี้ดันพลาด!!!”
//ก็ทางนั้นเขามีคนคุ้มครอง จะให้ทำไง// ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง...
”ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง!”
//ขอเงินค่าจ้างด้วย//
“ฉันไม่ให้!!! งานก็ทำพลาดแล้วยังจะมาขอเงินอีกหรือไง!”
//อ้าว พูดแบบนี้แสดงว่าจะไม่ให้พวกกูใช่ไหม//
“ถ้าพวกแกอยากได้เงินก็ไปหาทางจัดการมันซะ! งานสำเร็จเมื่อไหร่ค่อยมาเอา!”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
สิ้นคำคนในเงามืดก็วางสายไปทันทีด้วยความรู้สึกโมโห เจ็บใจนักที่คนของตัวเองทำอะไรไม่ได้เรื่อง!
กึก กึก กึก
เสียงกัดเล็บดังขึ้นเป็นระรอกๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่นและความเครียด พลางคิดหาวิธีที่จะกำจัดคู่แข่งออกไป
เขามองไปยังรูปถ่ายที่ถูกวางไว้อยู่บนโต๊ะ ก่อนที่จะหยิบขึ้นมาดูเต็มๆ ตา พอยิ่งเห็นเจ้าตัวแบบนี้แล้วก็ยิ่งทำให้เคืองแค้นอย่างรุนแรงจนต้องฉีกรูปถ่ายใบนั้นเป็นชิ้นๆ
“ฉันเกลียดแก! ฉันเกลียดแก!!!”
แคว้ก!
 
แอ๊ด...
หลังจาที่เกิดเหตุการณ์รถเฉี่ยวผมก็กลับมาที่บ้าน ถึงในตอนแรกจะรู้สึกสั่นๆ แต่พอไม่นานผมก็เริ่มเป็นปกติ...ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากผม แล้วผมก็ยังต้องมีสิ่งที่ทำอยู่...จะมามัวแต่นั่งหวาดกลัวแบบนี้ไม่ได้
แอ๊ด...
ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อ ซึ่งที่ปกติจะล็อคอยู่...ผมอยู่บ้านหลังนี้มานาน แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะเปิดประตูเข้าไป...มันไม่อยากเลยถ้าผมมีกุญแจสำรอง...ไม่...ผมไม่ได้ไปหาเขา แต่มาเพื่อที่จะหาของบางอย่างก็เท่านั้น...
เอกสารสำคัญ...ที่เก็บไว้เฉพาะในห้องทำงาน ในลิ้นชักที่ถูกปิดสนิท...
ในตอนแรกผมก็พยายามเปิดเปิดลิ้นชักออกแล้วก็รื้อค้นด้านในแต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่มีอะไรนอกจากเอกสาร...ถึงจะเป็นเอกสารเหมือนกันแต่มันก็ไม่ใช่อันที่ผมต้องการสักนิด...
“อยู่ไหนนะ”
ผมเปรอยออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่หยุดมือ แล้วเวลาของผมเองก็มีไม่มากเท่าไหร่ซะด้วยซิ...
สงสัยคงต้องถอยก่อน...
“คุณเรย์คะ”
เฮือก!
ทันที่ก้าวออกมาจากห้องก็มีเสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ผมรู้สึกตกใจมากพอสมควร แต่ผมก็ต้องแสดงท่าทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เป็นนิดนั่นเองที่เรียกผม...
“มีอะไร”
“มีคนมาขอพบคะ”
“ใคร?”
“เขาไม่บอกชื่อคะ แต่บอกว่าต้องการพบคุณเรย์ให้ได้”
คนต้องการมาพบผมอย่างนั้นเหรอ?...ใครกันนะ...
“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบ...แล้วนิดก็ขอตัวไปทำอย่างอื่นต่อ...
พอมาถึงห้องนั่งเล่นผมกลับไม่เจอใครสักคนมีแต่เพียงห้องว่างเปล่า...ใครมาเล่นบ้าอะไรกันเนี่ย!!!
หมับ!
“เฮ้ย!”
ก่อนที่ผมจะหันหลังกลับไปจู่ๆ ร่างของผมก็ถูกรวบจากทางด้านหลังแล้วผมก็พยายามดิ้นเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ แต่คนที่กอดผมกลับไม่ยอมปล่อยเลย...
“ตะวัน! ปล่อยนะ!!!”
“ไม่ปล่อย”
ตะวันตอบหน้าตาย...
“นายไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับฉัน! ปล่อย!!!”
“ไม่ปล่อย”
ผู้ชายอะไรหน้าด้านจริงๆ!!!...
“ฉันจะตะโกนให้คนช่วย!”
ผมหันหน้าไปบอกกับเจ้าตัวอีกครั้ง...
“ก็ร้องไปสิ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากเราสองคน”
ได้! ท้านักใช่ไหม! ถ้าจะไม่มีใครอยู่สักคนให้มันรู้ไปสิ!!! พอคิดได้แค่นั้นผมก็เลยร้องตะโกนออกไปทันที...
“ช่วยด้วย! ปล่อยฉันนะ! ช่วยด้วย!!!”
“คุณน้าพาหนึ่งไปหาหมอ ส่วนนิดกับน้อยและคนอื่นๆ ก็ออกไปซื้อของเมื่อกี้ ลุงพจน์ไปทำงาน”
ตะวันร่ายยาวให้ผมฟังจนทำให้ผมต้องหยุดแล้วหันหลังไปมองเขาอย่างโกรธๆ แต่ว่าพอคิดไปคิดว่ามันก็เป็นจริงอย่างที่เขาพูด...จะมีใครอยู่บ้านได้ยังไงก็ในเมื่อผมเป็นคนทำหนึ่งให้ต้องเข้าโรงพยาบาลนี่นา...
น่าสมน้ำหน้าดีจริงๆ...
ฟอดด...
ในขณะที่ผมกำลังใช้ความคิด จู่ๆ ตะวันก็ทำในสิ่งที่ทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจพอสมควร
เขาหอมแก้มผม!!!...
“เฮ้ย!”
“คิดถึง”
ตะวันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว...มันเลยทำให้ผมหน้าแดงซ่านอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ทำบ้าอะไรของนาย!!!”
“ก็หอมแก้ม...ฟอดด...”
ไม่ว่าเปล่า ตะวันก็ก้มลงมาหอมแก้มผมอีกครั้ง...
“อะ ไอ้บ้า! ปล่อยฉันนะ!!! ไอ้บ้า ไอ้ตะวัน!!!”
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ผมทุบไปที่อกเขาแบบรัวๆ และแรงๆ แต่ตะวันก็ไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระอยู่ดี...
ฟอดด...
“ตะวัน!”
ฟอดด...
“ปล่อย!”
ฟอดด...
ยิ่งผมพยายามดิ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมมากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่ากำลังจงใจแกล้งผมอยู่...สลับซ้ายบ้าง สลับขวาบ้าง จนทำให้แก้มของผมช้ำไปหมดเลย...
“ถ้ายังดิ้นอีก ฉันก็จะหอมนายอีก”
เขาพูดเสียงนิ่ง แต่มันได้ผลชะมัด! ผมถึงกับหยุดตัวเองทันที...
“หึ”
แล้วมันก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เขาพอใจซะด้วย...
พอผมหยุด เขาก็หยุด ตะวันมองผมนิดหน่อย แต่ผมไม่มองเขาหรอกนะ! ถ้าจะให้พูดจริงๆ ผมไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ...
“เรย์...เรื่องของหนึ่ง”
เราเงียบกันอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่ตะวันจะเริ่มเป็นฝ่ายพูดออกมา แต่ว่าเพียงแค่ประโยคเดียวมันถึงกับทำให้ผมหันขวับไปมองหน้าเขาทันที...
“นายได้ทำหรือเปล่า”
เหอะ! ที่แท้มาพบผมก็เพื่อสิ่งนี้ใช่ไหม!...
“ใช่! ฉันทำเอง” ผมเงยหน้าตอบ...
“ทำไม?” ตะวันมองผมอย่างไม่เข้าใจ...
“ทำไมไม่ไปถามมันเอาละ!!! ถามมันสิว่าฉันพูดอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง!”
“...”
ผมพูดอย่างท้าทายแต่ตะวันกลับเงียบ...ไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น...แล้วนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ดี...รู้สึกไม่ดีมากๆ แต่ผมก็ทำได้แค่กัดฟันทน แล้วผลักร่างหนาให้ออกไปห่างจากตัว...
“ฉันมันผิด! นายก็กลับไปหาเขาสิไป!!!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ผมพูดประโยคนี้ออกมา รู้แต่ว่าผมไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว...อยากไปให้ไกลเลย...
“มันไม่ใช่แบบนั้นเรย์”
ตะวันพูดแล้วรั้งผมไว้เหมือนเดิม...
“ทำไม? นายจะบอกว่าอยู่ข้างฉันเหรอ? จะบอกว่าฉันไม่ผิดเหรอ?”
“ใช่...ฉันอยู่ข้างนาย”
ผมมองตะวันอย่างไม่เข้าใจในคำตอบที่พูดออกมาแบบไม่คิดของเขา พูดออกมาได้ไงว่าจะเชื่อผม? ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้อะไรเลยแท้ๆ
“อย่ามาพูดหน่อยเลย...ฉันเป็นคนทำร้ายหนึ่ง นายจะมาเข้าข้างฉันทำไม?”
“แต่ฉันเชื่อ...เชื่อว่านายจะต้องมีเหตุผล...”
ตะวันบอกผม...แววตาและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมัน จริงจัง...มันเป็นสายตาที่บ่งบอกว่าจะอยู่เคียงข้างผม...
เชื่อมันในตัวผม...
ผลัก!
แต่ผมก็เลือกที่จะหนีออกมาอีกครั้ง ผมผลักตะวันแล้ววิ่งหนี...หนีไปบนห้องของตัวเอง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตะวันกำลังมองผมด้วยแววตาแบบไหน...รู้แต่ว่าตัวผมในตอนนี้ยังไม่อยากหันหลังกลับไปมองจริงๆ...
ปัง!
ผมปิดประตูแล้วล็อคกลอนไว้แน่น หลังของผมก็พิงประตูเอาไว้ หัวใจของผมเองก็กำลังเต้นแรง...มันเป็นเพราะอะไรกันนะ...
Rrr Rrr Rrr
ขณะที่ผมกำลังใช้ความคิด จู่ๆ มือถือของผมก็ดังขึ้น หยิบมันขึ้นมาแล้วมองอย่างชั่งใจชั่วครู่ก่อนที่จะกดรับ...
ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ...
 .
.
.

ค่ำ
อากาศในยามค่ำคืนมีเพียงความมืดและแสงจันทร์สอดส่อง ทั้งๆ ที่มันดูสวยแต่กลับไร้ดาวเคียงคู่ ช่างดูเหงาหงอยจัง...
“ดูอะไรอยู่”
“คุณพ่อ...”
ผมหันไปมองคนที่เดินมานั่งข้างๆ ผมแล้วยิ้มให้ก่อนที่จะหันไปมองบนท้องฟ้าต่อ
“คืนนี้พระจันทร์สวยนะ”
“...ครับ” ผมตอบเบาๆ...
แล้วพวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก...ก็ไม่รู้จะพูดอะไรนี่นาเพราะที่ผ่านมา ผมกับเขาก็แทบไม่ได้มีความทรงจำที่ดีต่อกันเลย...
“เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้ด้วยกันเลยนะ”
ผมหันขวับไปมองเขาทันทีที่พูดจบ...รู้สึกตกใจเล็กๆ ที่เขากำลังคิดเรื่องเดียวกันกับผม
“ลูกของพ่อ...โตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ก็แหงละ...วันๆ มัวแต่สนใจลูกอีกคนนี่นา...ถ้าสังเกตก็คงแปลกแล้วนะ...
“ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนยังตัวเล็กอยู่เลย”
“...”
“เรียนเป็นยังไงบ้าง พ่อไม่เคยถามสักคำ”
“...”
“...พ่อไม่เคยเตือนเรื่องเพื่อน ไม่เคยพาเรย์ไปเที่ยว”
ผมนิ่ง...แล้วฟังที่เขาพูดต่อ...สิ่งต่างที่เขาพูดพามันก็เป็นอย่างที่พูดจริงๆ นั่นแหละ ช่วงเวลาแบบนั้นของผมกับเขา...มันไม่มีจริงๆ...
พจน์มองหน้าลูกชายตัวเองอย่างกล้ำกลืน ผีห่า ซาตาน ตัวไหน...ที่มันเข้าสิงร่างเขากันนะ...มัรเลยทำให้เขาทิ้งลูกชายตัวเองได้ลงคอ...
บอบบางขนาดนี้...
อ่อนแอขนาดนี้...
แล้วทำไมคนเป็นพ่อแบบเขาถึงได้มองข้ามแล้วไม่ใส่ใจ หากจะบอกว่าเรื่องราวในอดีตทำให้เขาละเลย...มันก็ช่างเป็นคำแก้ตัวที่น่าละอายจริงๆ
“...คุณพ่อ”
เสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกด้วยความแผ่วเบาเมื่อถูกมือหนาของพจน์ยื่นไปจับที่ใบหน้าด้านซ้ายของตัวเอง...
พจน์มองใบหน้าของเรย์อย่างพิจารณา สิ่งที่เขาจำได้ก็มีแค่ความเฉยชาและดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเท่านั้น สองมือเล็กๆ ที่เคยยืนมาทางตนเพื่อเรียกหาและเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาคิดจะจับมือนั้นตอบ...
พจน์แทบนึกภาพไม่ออกจริงๆ นึกภาพที่ตัวเองทำแบบนั้นไม่ได้ อ้อมกอดของเขาก็คอยผลักไสไล่ส่ง พอคิดได้แบบนั้นแล้ว...มันก็น่าลงโทษตัวเองนัก!
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะเรย์”
พจน์เอ่ยเสียงเบาแล้วโอบกอดร่างเล็กๆ ตรงหน้า หากแต่กลับคำตอบที่น่าจะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบาง มันมีแต่ความเงียบส่งมาเท่านั้น...
พจน์ได้แต่หวัง...หวังว่ามันจะขดเชยส่วนที่เขาเคยทำผิดพลาดไว้...ชดเชยในส่วนที่พ่อแย่ๆ อย่างเขาเคยทำ...
 
แอ๊ดด...
บานประตูที่ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างชราเดินเข้ามาด้านใน...พจน์เดินไปนั่งบนเก้าอี้ประจำ หลังก็พิงไปที่ด้านหลังเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้าก่อนที่จะค่อยๆ เอนตัวไปเปิดลิ้นชักที่ถูกปิดสนิทเอาไว้
พจน์หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาดู ข้างในเป็นเอกสารสำคัญที่ไม่สามารถให้ใครเห็นได้ เพราะมันเป็นข้อมูลของบริษัทฯ ทั้งหมด! ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือคู่แข่ง พจน์จึงไม่สามารถเก็บไว้ที่ทำงานได้เพราะเขาไม่ไว้ใจใครแม้แต่คนเดียว...
“เฮ้อ...”
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความหน่าย ไหนจะงานที่ต้องทำ ไหนจะคู่แข่ง แต่โชคยังดีที่ตอนนี้เขาสามารถดองกับอีกบดินทร์คนที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะลูกชายของพวกเขาทั้งคู่หมั่นกันก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าดีทีเดียว...
พจน์คิดทบทวนสิ่งที่ทำเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองเริ่มที่จะมีอาการวิงเวียนศรีษะ ภาพตรงหน้าเริ่มที่จะพร่ามัวไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ พจน์สะบัดใบหน้าไปมาสองสามครั้งเพื่อเรียกสติ แต่มันก็เท่านั้นเมื่อเขายังรู้สึกว่าความง่วงเริ่มก่อกุมมากขึ้นๆ
ตึง...
จนในที่สุดร่างทั้งร่างของพจน์ก็ฟุบหลับไปที่โต๊ะอย่างไม่รู้ตัว...แล้วใครบางคนก็เดินเข้ามาในห้อง ท่ามกลางความมืดในยามวิกาลพร้อมกับรอยยิ้มร้ายโดยที่คนถูกมองไม่รู้ตัวสักนิด...
หึ...
 
พจน์ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนเช้าอีกวัน สิ่งแรกที่เขาทำคือมองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ เพียงแค่เห็นก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจพอสมควรที่มันยังอยู่ครบ...แต่สิ่งที่พจน์คือไม่ออกคือเขาหลับไปตอนไหนก็เท่านั้น คิดว่าเมื่อคืนจะต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ถึงได้หลับไม่รู้เรื่องไปแบบนั้น...
“คุณพ่อ...”
พอลงมาถึงชั้นล่าง เสียงเล็กๆ ของหนึ่งก็เอ่ยดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์
“จะไปทำงานแล้วเหรอครับ”
“อืม ขาเป็นยังไงบ้าง”
พจน์เดินไปนั่งข้างๆ หนึ่งพลางลูบหัวเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน...
“เอ่อ ใกล้หายแล้วครับ”
 
หนึ่งยิ้มตอบ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด...ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด หนึ่งยังเจ็บขา...เจ็บอยู่มาก แถมยังมากขึ้นกว่าเก่าด้วยซ้ำ แต่หนึ่งยังไม่อยากให้พจน์เป็นห่วงเลยได้แต่ตอบว่าไม่เป็นอะไร...อีกใจนึงก็อดห่วงไม่ได้ นึกกลัวเสียจริงว่าเรย์จะมาไม้ไหนอีก
 
 

 
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:38:03


 
18
 
เมื่อคืน...มันก็เป็นอีกคืนที่ผมนอนไม่หลับ...คอยวนเวียนแต่จะคิดเรื่องที่เขาพูดเอาไว้...
เริ่มต้นใหม่...อย่างนั้นเหรอ...
เหอะ!...มันก็แค่คำพูดที่สวยหรูก็แค่นั้นแหละ!...คำว่าเริ่มต้นใหม่สำหรับผมนะ...มันไม่มีอีกแล้ว...
ผมลุกออกมาจากห้องตัวเองแล้วเดินลงมาที่บันได แต่ผมก็ลงมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น สายตาของผมก็มองไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขก...สงสัยคงต้องทักทายซะหน่อยละมั้ง...
“ว่าไงหนึ่ง...ตื่นเช้าจังนะ”
“ระ เรย์!...” หนึ่งเรียกผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เชิงหวาดกลัว...แล้วก็เปลี่ยนเป็นลุกยืนขึ้นด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ
“เป็นอะไร? เสียงสั่นเชียว ไม่สบายเหรอ?” ผมถามแล้วเดินเข้าไปใกล้...
“ปะ เปล่า...เรย์มีอะไรกับหนึ่งเหรอ?”
หนึ่งยิ้มตอบ...พยายามทำตัวไม่ให้สั่น แต่กลับค่อยๆ เขยิบตัวหนีทุกครั้งเวลาที่ผมเดินเข้าไปใกล้
“คิกๆ ไม่ได้กลัว...แล้วหนีทำไมละ?”
อา...ผมรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของผมในตอนนี้มันช่างเหมือนผู้ร้ายซะจริง...
“คะ คือ...คือหนึ่ง...อะ โอ๊ย!!!”
ตุบ!
คงเป็นเพราะเดินไม่ถนัดและเอาแต่เดินถอยหลังหนีผมเลยทำให้หนึ่งสะดุดกับโต๊ะล้มแบบไม่รู้ตัว...
แล้วผมก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ผมเข้าไปประชิดตัวร่างบางที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นแล้วจับกระชากหัวอย่างรุนแรง จนทำให้เจ้าตัวถึงกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย! เจ็บ! ระ เรย์ ฮึก หนึ่งเจ็บ!!! ปล่อยนะ!”
“อ่า...ขอโทษทีไม่ได้ตั้งใจ”
พูดไปยิ้มไปแต่การกระทำของผมกลับตรงกันข้ามเลย...
“เมื่อวาน...เรย์ทำให้หนึ่งต้องเจ็บขาสินะ?”
“ระ เรย์...” หนึ่งมองผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว...
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เอามือก็แล้วกันเนอะ...”
ตุบ!
ผมจับหัวของหนึ่งให้กระแทกลงไปบนพื้นแรงๆ ถึงหัวจะไม่แตกแต่ผมก็รับรองเลยว่าคงจะเจ็บและมึนไม่น้อย
“เจ็บ!!! ฮือ ฮือ โอ๊ย เจ็บ...”
ดูสิ...หนึ่งร้องไห้เลย...
ว่าแล้วผมก็จับให้หนึ่งนอนคว่ำหน้าแล้วจับมือบางของเขาให้แนบลงกับพื้น...ดูสิ สีหน้าของหนึ่งในตอนนี้ซีดเป็นไก่ต้มเลย...
“เรย์...จะทำ...อะไร...”
“ทำแบบที่หนึ่งคิดไง”
“อย่า!!!”
ผัวะ!
ผมไม่รอฟังเสียงร้องของอีกฝ่ายเลย ฝ่าเท้าของผมก็เหยียบลงไปบนมือขาวๆ ของหนึ่งเต็มๆ แถมยังเป็นมือข้างขวาซะด้วย...
“ฮือ ฮือ เจ็บๆ ปล่อยๆ โอ๊ย! เรย์!!! หนึ่งเจ็บ!!!”
ฮ่าๆ หนึ่งร้องเสียงหลงเลย...
ผมไม่สนหรอก ผมบดขยี้อย่างแรงจนมือของหนึ่งแดงอย่างน่ากลัว ผมเหยียบเข้าไปซ้ำๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งของที่น่าจะทำลาย...ไม่สิ...มันก็น่าทำลายจริงๆ นั่นแหละ
“ฮือ ฮือ ช่วยด้วย! ใครก็ได้...ช่วยด้วย...”
ตุบ ตุบ ตุบ
ร้องเข้าไป...ขอความช่วยเหลือเข้าไป...แล้วยิ่งหนึ่งร้องก็ยิ่งทำให้ผมเกิดอยากที่จะทำให้แรงขึ้นไปอีก ผมไม่ออมมือหรอกนะ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเจ็บมากแค่ไหนก็ตาม...
“เรย์!!! พอเถอะนะ หนึ่งเจ็บ ฮือ ฮือ ฮึก พอๆ เจ็บๆ”
ผมเพิ่มแรงขยี้ไปที่นิ้วเล็กๆ อีกมือนึงของหนึ่งก็พยายามจับเท้าของผมเอาไว้เพื่อห้าม...แต่คิดว่าจะห้ามผมได้เหรอ ฮ่าๆ คิดผิดซะแล้วละ...บอกเลยว่าแค่นี้ห้ามผมไม่ได้หรอก
ร้องเข้าไป!...
อ้อนวอนเข้าไป!...
ยิ่งร้องผมก็ยิ่งสะใจ! อยากทำให้เจ็บเหมือนกับที่ผมเคยเจอ...
“หนึ่ง!!! ไอ้เรย์!!!”
“กรี๊ดด คุณหนึ่ง!!!”
แล้วเพียงไม่นานผมก็ได้ยินเสียงร้องจากคนรอบข้าง พวกเขามองผมอย่างตกตะลึงก่อนที่จะพากันมาผลักผมให้ออกห่างๆ
“ฮือ ฮือ  คุณแม่...”
หนึ่งร้องไห้โฮแล้วพาร่างกายที่สะบักสะบอมลุกขึ้นลุกไปหาผู้หญิงคนนั้น...
“โธ่หนึ่ง เจ็บไหมลูก...”
เธอมองไปที่มือของลูกชายตัวเองแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง...
“คุณเรย์ ทำไมทำคุณหนึ่งแบบนี้ละคะ” นิดถามผม...
“ใช่คะ! ทำไมทำแบบนี้ละคะ” น้อยพูดขึ้น...
“ฮ่าๆ สะใจไงละ”
ผมหัวเราะออกมาแล้วก็ตอบ...ก็แล้วยังไงในเมื่อผมรู้สึกสะใจจริงๆ นี่นา...ไม่! ผมไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย ไม่เคยมีความคิดแบบนั้นใส่หัวสักนิดเลยละ...แล้วที่ผมเลือกทำมือขวาแทนที่จะเป็นมือซ้าย เพราะมือขวานะ...
หนึ่งถนัดในการใช้เล่นเปียโน!...
“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ! ฉันจะฟ้องคุณพจน์!!!”
แม่ของหนึ่งพูดขึ้นอย่างเหลืออด เธอมองผมราวกับว่าอยากจะกินเลือดกินเนื้อเลยก็ว่าได้
“ฮ่าๆ ฟ้องไปเลย! อยากจะฟ้องอะไรก็ฟ้องไป ฮ่าๆๆ”
“แก!!!”
“แต่ก่อนที่จะฟ้องนะ ผมขอทำอะไรให้มันคุ้มหน่อยก็แล้วกัน!”
พูดจบ...ผมก็ตรงดิ่งไปยังสองแม่ลูกนั่น แล้วผลักให้ผู้หญิงคนนั้นถอยออกอย่างแรง จนเธอล้มไปอีกทาง...ส่วนนิดกับน้อยก็มัวแต่ตะลึงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เลยทำให้พวกเขาห้ามผมไม่ทัน...กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หนึ่งมาอยู่ในมือผมแล้ว...
“มานี่!!!”
“โอ๊ย!!! คุณแม่!!!”
“กรี๊ด!!! ปล่อยลูกของฉันนะ!!!”
ผมจับร่างเล็กๆ ของหนึ่งแล้วกระชากให้เดินตามมาอย่างแรง ด้วยความที่ว่ายังไม่ทันตั้งตัวเลยทำให้หนึ่งล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง
ยัง...มันยังไม่จบแค่นั้น...
ผมลากหนึ่งไปทางหน้าบ้านตรงสระว่ายน้ำ โดยที่มีเสียงร้องห้ามดังมาตามหลังเป็นระรอกๆ
“โอ๊ย!!! ปล่อย! เรย์...ปล่อย!!! เจ็บๆ”
“หึหึหึ ปล่อยแน่...”
ผมแสยะยิ้มร้าย...
“จะ...ทำ...อะไร!”
หนึ่งถามเสียงสั่นๆ...
“ก็ทำอย่างที่หนึ่งคิดไงละ”
“ม่าย!!!”
ตูม!
ผมผลักหนึ่งตกน้ำ แล้วหัวเราะออกมานิดหน่อยด้วยความสะใจแบบสุดๆ แต่ก่อนที่พวกนั้นจะตามมาห้ามได้ทันผมก็ต้องเล่นอะไรสักหน่อย...
“แค่ก แค่ก แค่ก ช่วย...”
“อ้าว จะรีบขึ้นมาทำไม อยู่ในนั้นก่อนสิ”
คำพูดที่แสนเย็นชาและการกระทำที่แสนเย็นชา...ผมไม่ให้หนึ่งได้ขึ้นมาจากในน้ำได้ ผมเอื้อมมือไปจับหัวของหนึ่งเอาไว้แล้วกดลงไปในน้ำ ไม่สิ...เขาเรียกว่าจิกผมเลยละ...
หนึ่งที่กำลังเจ็บแขนเจ็บขาอยู่ก็ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำพยายามที่จะเอาชีวิตรอด...ส่วนผมนะเหรอ? ไม่มีความสงสารเลย...มีแต่หัวเราะสะใจล้วนๆ
“เรย์!!! ปล่อยหนึ่ง!!! แค่ก แค่ก แค่ก”
ซ่า...
“ปล่อย!!!”
ตูม!...
“ปล่อย อึก!”
ฮ่าๆ คิดว่าผมจะปล่อยเหรอ? ไม่มีทางซะหรอก!...
“กรี๊ด!!! หนึ่ง!!! ไอ้ชั่ว ไอ้เลว!!! แกปล่อยลูกฉันนะ!!!”
“คุณหนึ่ง!/คุณหนึ่ง!”
แล้วหลังจากนั้นความโกลาหลก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้หญิงคนนั้นและนิดกับน้อยตามมาได้ทันก่อนที่หนึ่งจะเริ่มขาดอากาศหายใจ
พวกเขาผลักผมให้ออกห่างแล้วรีบช่วยหนึ่งขึ้นมาจากน้ำ แววตาที่ดุดันของเธอมองมายังผมด้วยความโกรธแค้นแบบสุดๆ
ร่างของผมเองก็ถูกจับจากนิดกับน้อย พวกเขาต่างก็พยายามจับผมไว้แน่นเพื่อกันไปทำร้ายหนึ่งอีก...ผมไม่ดิ้น ไม่หนี ไม่ทำอะไรทั้งนั้น อยากจับหรือทำอะไรทำเลย...
“ฉันจะตบสั่งสอนแกสักหน่อยเถอะ!”
อา...นี่ละนะ นิสัยของผู้หญิง กำลังจะเริ่มออกมาแล้วละ...ในเมื่อทำคนเดียวไม่ได้ก็อาศัยคนที่มากกว่ารุม
เพี๊ยะ!
ใบหน้าผมถูกตบไปทางด้านซ้ายอย่างแรง...เพียงแค่ฉาดเดียวที่โดนแต่ผมก็รู้สึกเจ็บมากอยู่เหมือนกัน...
“...” ผมนิ่ง...ไม่หือ ไม่อือ ไม่ร้องออกมา ก่อนที่จะค่อยๆ หันหน้าไปมองผู้หญิงคนนั้นช้าๆ
“หึ”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ...
แล้วอาศัยแรงที่มากกว่าผู้หญิง ก็แน่ละ...ผมเป็นผู้ชายนี่นา...ยังไงซะแรงก็ต้องมากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว ผมสะบัดตัวอย่างแรงแล้วผลักให้นิดกับน้อยตกน้ำ
“ว้าย!”
“ว้าย!”
ตูม! ตูม!
ส่วนผู้หญิงคนนั้นพอไร้คนช่วยก็เกิดอาการหวาดกลัว แต่ผมก็ไม่รอให้เธอตั้งตัวได้เช่นกันก็ผลักเธอล้มลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง
“ว้าย!!!”
“คุณแม่!!!”
หนึ่งประคองร่างที่เจ็บออดๆ แอดๆ ของตัวเองเข้าหา...
ยังไม่สะใจผมเท่าไหร่เลย...ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนที่จะเดินออกมา ได้ยินเสียงด่าทอมาตามหลังด้วยละ แต่ก็แล้วยังไง? ผมไม่สนใจอยู่แล้ว...
“แก! ไอ้ลูกที่ไม่มีใครสั่งสอน!!! ไอ้ชั่ว! ฉันจะฟ้องคุณพจน์! ฉันจะฟ้องคุณพจน์!!!”
“ฮ่าๆ”
ตามสบายครับ...คุณแม่!!!...
 
“เชิญครับ”
พอมาถึงหน้าบ้านก็มีคนรถมารอรับผมอยู่ ผมพยักหน้าเบาๆ ให้แล้วขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็หันไปมองบ้านที่ตัวเองเพิ่งกลับมาอยู่หมาดๆ อยู่ได้แค่เพียงไม่กี่วันผมก็ต้องจากไปอีกแล้ว...
แต่มันก็ดีแล้วละ...ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากที่จะอยู่ที่นี่นานๆ สักเท่าไหร่ รีบๆ ทำงานให้เสร็จๆ แล้วก็จบไปซะ...
ลาก่อน...
 .
.
.

อีกด้านหนึ่ง
พจน์ที่กำลังประชุมอย่างเคร่งเครียดในห้องประชุมใหญ่ เหล่ากรรมการและผู้บริหารทั้งหมดแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันอย่างถ้วนหน้า...
ปัง!
เอกสารถูกวางอยู่บนโต๊ะอย่างแรงเพื่อต้องการคำตอบที่ชัดเจน...
“มันเป็นแบบนี้ได้ไง!”
พจน์กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน...เพียงแค่คืนเดียวแต่กลับทำให้บริษัทฯ ถึงกับเกือบล้มเพราะธุรกิจ!
แต่ทุกอย่างที่ถามไปกลับมีเพียงแต่ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น...เหล่าคนที่นั่งประชุมอยู่ที่นี่มีแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น ไม่มีใครสักคนที่จะตอบคำถามเขาสักนิด
“ผมถามพวกคุณเพื่อต้องการทางแก้! ไม่ใช่ให้มานั่งเงียบแบบนี้!!!”
พจน์ถามอีกครั้ง...
“พวกเราก็อยากหาทางแก้ให้นะครับคุณพจน์ แต่ตอนนี้ทางพวกเราเองก็มืดแปดด้านจริงๆ”
“ใช่ ใครมันจะคิดว่าบริษัทฯ เราจะล้มเพียงข้ามคืน”
เหล่าคณะกรรมการบริหารพยายามที่จะเสนอเหตุผลออกไป แล้วนั่นมันก็ทำให้พจน์ถึงกับแทบควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
“เฮ้อ...”
พจน์กุมขมับตัวเองด้วยความปวดหัว แล้วพยายามเก็บอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในเมื่อธุรกิจกำลังมีปัญหา อาจถึงขั้นล้มละลายได้...ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือหาทางแก้ เพื่อปรับให้หุ่นที่ตกอยู่กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่สิ่งที่คาใจพจน์มากที่สุดคือใคร! ที่มันทำแบบนี้ได้ เพราะดูจากสถานการณ์แล้วข้อมูลของบริษัทฯ รั่วไหลแน่นอนเลยทำให้สินค้าที่ส่งออกบางตัวถูกระงับและมีคู่แข่งคนอื่นสวมรอยแทน ไหนจะหุ้นที่ตกอีก ถ้าหากว่าไม่หาทางแก้ในตอนนี้...
พจน์หมดตัวแน่ๆ!!!...
“ใคร...เป็นคนทำ”
ปัง!...
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมละคุณพจน์!”
!!!
บานประตูที่ถูกเปิดออกจาบุคคลภายนอก กับคำพูดที่ถูกเอ่ยออกมาทำให้คนในห้องประชุมหันไปมองเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่พจน์เองก็เหมือนกัน...
บดินทร์!!!...
 
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณเรย์”
“อืม...”
ทันทีที่ผมกลับมาที่ๆ เดิม...ไม่สิ ที่ๆ ผมอาศัยอยู่มาร่วมเดือนต่างหาก คนรับใช้ก็ออกมาต้อนรับผมพร้อมกับหาน้ำมาให้ มันเหมือนกับเป็นภาพซ้อนเลย...
ภาพที่ใครบางคนที่แสนจะคิดถึงกำลังทำแบบนี้กับผม เธอดูแลผมด้วยรอยยิ้ม เธอห่วงผม หวงผมและรักผมยิ่งกว่าใคร...
คิดถึง...
‘คุณเรย์คะ’
เธอกำลังเรียกผมอยู่ ผมหันไปมองเธอเช่นกัน...
‘น้ำคะ’
เธอยกน้ำมาให้ผมพร้อมกับนั่งลงข้าง...
รอยยิ้มของเธอ เสียงหัวเราะของเธอ ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว...มีแต่ผมคนเดียวที่ต้องเผชิญชะตากรรม มีแต่ต้องคิดถึง...
 
สวบ
“คิดอะไรอยู่ หืม”
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นชินเอ่ยถาม เอเดนนั่งลงข้างๆ ผมแล้วใช้หลังมือเกลี่ยผมของผมเบาๆ ทั้งสีหน้าและแววตาที่เขามองมายังผมเต็มไปด้วยความหวงแหนและรักใคร่
“...เปล่า”
“ฉันดีใจที่นายกลับมา”
“อืม”
ผมพยักหน้าตอบเบาๆ...
ดีใจที่ผมกลับมาอย่างนั้นเหรอ...มันก็คงต้องเป็นแบบนั้น ผมต้องดีใจใช่ไหมที่ได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง ผมจะต้องดีใจ...แต่ว่า....
ทำไม...
ผมถึงได้เจ็บปวดแบบนี้นะ...
 
หลังจากนั้นผมก็ขอตัวขึ้นมาบนห้อง ห้องที่ผมอาศัยอยู่นานเกือบเดือน ถึงห้องที่ผมอยู่จะดูหรูหรามากเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกคุ้นชินมันอยู่ดี
ผมนั่งกอดเขาอยู่เงียบๆ ในห้องของตัวเอง ในหัวมันก็คิดแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ วนไปวนมาอยู่แบบเดิม...
 
ตาของผมก็มองไปยังนาฬิกาที่อยู่บนหัวเตียง ตอนนี้ก็กินเวลาไปเกือบบ่ายแล้ว แล้วทางนั้นคงกำลังเดือดร้อนกันยกใหญ่แน่ๆ ก็แหงละ...ก็ธุรกิจกำลังสั่นสะเทือนนี่นา...เป็นใครก็คงจะอยู่นิ่งไม่ได้หรอก...
 
 
 

 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:39:13



 


 
ตอนที่ 19

“เข้ามาได้ยังไง!”
พจน์กล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง มองชายตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย... ทำไมผู้ชายที่เป็นขู่แข่งของตัวเองถึงได้เข้ามาอยู่ภายในห้องนี้ได้! ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วที่นี่ไม่สมควรให้คนอย่างบดินทร์เข้ามา ถึงเขาและบดินทร์จะเป็นเหมือนทองแผ่นเดียวกันแล้วก็ตามแต่เพราะความไม่ชอบขี้หน้าเป็นทุนเดิมเลยทำให้เขากับบดินทร์ไม่ค่อยที่จะลงรอยกันเท่าไหร่
“หึหึ ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ละคุณพจน์ เพราะที่นี่นะ...มันจะกลายเป็นของผมแล้ว”
ชายสูงวัยเดินเข้าไปประจันหน้ากับผู้บริหารใหญ่...ไม่สิ แต่มันจะกลายเป็นเพียงแค่อดีตต่างหาก! เพราะต่อจากนี้ไปเขานี่แหละจะกลายมาเป็นคนดูแลที่นี่เอง! “ผมแค่ได้ข่าวว่า บริษัทฯ คุณกำลังจะมีปัญหา หุ้นของคุณตกและอยู่ในช่วงวิกฤษ ผมก็แค่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเท่านั้นเอง”
“ไม่จำเป็น! บริษัทฯ ของฉัน ฉันดูแลเองได้”
“ไม่เอาน่าคุณพจน์...คุณอย่าลืมสิ พนักงานอีกหลายๆ คนของคุณยังอยู่ ไหนจะลูก จะเมียของคุณอีก คุณจะติดหนี้ธนาคารเป็นพันๆ ล้าน ต่อให้ชาตินี้ชดใช้ยังไงก็ไม่ชดใช้ไม่หมด...คิดดูดีๆ นะคุณพจน์” บดินทร์เว้นคำ “แค่ขายหุ้นให้ผมซะ แล้วคุณก็จะสบาย”
รอยยิ้มร้ายฉายชัดขึ้นบนใบหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ของบดินทร์จนทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโห มันก็เป็นจริงอย่างที่บดินทร์พูด...ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้บริษัทฯ ที่เขาสร้างเองมากับมือต้องล้มไม่เป็นท่าแน่ๆ ครั้นจะปล่อยให้ไปอยู่ในมือของคนอื่นมันก็กระไรอยู่ ไม่มีทาง! ไม่มีทางซะหรอกที่เขาจะยอมให้บริษัทฯ ต้องมาล้มละลาย มันต้องมีทางออกสิน่า!
“ฉันจะไม่ยอมให้บริษัทฯ ของฉันต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่น!”
แววตากร้าวมองคู่แข่งของตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้
“ฮ่าๆ ผมก็คิดไว้แล้วว่าคุณจะต้องตอบแบบนี้...เอาเป็นว่าผมจะคอยดูก็แล้วกันว่าคุณจะประคองบริษัท? อยู่ได้นานสักเท่าไหร่”
บดินทร์พูดขึ้นพร้อมกับมองคู่แข่งของตัวเองก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง...
“เฮ้อ” พจน์ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางคิดถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น เขาเป็นถึงผู้นำบริษัทฯ เป็นถึงประธาน กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ผ่านอะไรมานักต่อนัก กะอีแค่เรื่องแค่นี้เขาก็ต้องสามารถผ่านไปได้เหมือนกัน!
 
“คุณคะ...เป็นยังไงบ้าง”
นันเอ่ยถามสามีของเธอทันทีด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร”
พจน์ยิ้มบางๆ ให้กับภรรยาตน จะไม่ให้มีอะไรได้อย่างไรเล่า...ก็ในเมื่อตอนนี้ปัญหามันประดังเข้ามาจนแทบจะแก้ไม่ทัน แต่เพื่อลูกและเมีย ไหนจะยังคนใบริษัทฯ อีก อย่างเขานะหรือที่จะยอมล้มง่ายๆ
“น้ำครับคุณพ่อ”
หนึ่งยื่นน้ำเปล่าให้กับพจน์
“ขอบใจนะ...อ้าว แล้วเรย์ละ เรย์หายไปไหน?”
พจน์รับพลางเอ่ยถามถึงลูกชายอีกคน เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเขาก็ไม่เห็นหน้าเรย์เลยสักนิด หรือว่าจะอยู่ข้างบนห้อง? แต่สิ่งที่ได้กลับมีความเงียบเป็นคำตอบ
“มีอะไร?” พจน์ถามอีกครั้ง
“จะมีอะไรละคะ ก็ลูกชายของคุณนะซิ ขนข้าวขนของออกไปจากบ้านนี้แล้ว!”
!!!
“คุณแม่!”
“ก็มันจริงนี่”
สิ่งที่ได้ยินมันทำให้พจน์แทบทรุด มือหนาสั่นค่อยๆ วางแก้วลงบนโต๊ะด้วยช้าๆ เพื่อตั้งสติของตัวเอง พลางความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว
เรย์หนีไปพร้อมๆ กับที่บริษัทฯ กำลังมีปัญหา
ไม่ต้องเดาอะไรให้มาก พจน์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของเรย์ที่กลับมาเพื่อจะแก้แค้นเขา เรย์กลับมาเพื่อที่จะเอาทุกอย่างไปจากเขา...แม้อีกใจจะบอกกับตัวเองว่าอย่าไปเชื่อ มันไม่จริง...เรย์ไม่มีทางทำกับเขาผู้เป็นพ่อได้ลงคอหรอก
เรย์คงไม่ทำแบบนั้น...
แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เขาคิดทั้งหมดมันเป็นแค่การปลอบใจตัวเอง...
 .
.
.
.

เรย์ PASS
“คิดไว้แล้วเชียว ว่าคงไม่ยอมง่ายๆ”
ผมประสานมือกับตัวเองแล้วมองไปยังชายสูงวัยตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มแห่งความชั่วร้าย รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความต้องการที่อยากจะเอาชนะ...ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ผู้ชายคนนั้นคงไม่ยอมที่จะขายหุ้นให้คนอื่นง่ายๆ แน่ๆ
“แต่อีกไม่นานมันก็ต้องขายให้เราแน่”
บดินทร์เอนหลังพิงกับโซฟาสีเข้มอย่างสบายใจ
“ไม่จำเป็น” แต่คำที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางของผมทำให้ทั้งเอเดินและพ่อของเขามองผมด้วยความสงสัย “ผมไม่ชอบรออะไรนานๆ”
“เธอมีแผน?” เอเดนถาม
“ไม่มีหรอก แผนนะ...ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ผมจะทำให้คุณอาได้อะไรๆ มาจากเขาโดยที่ไม่ต้องเสียสักบาท”
ตุบ!
ผมวางเอกสารลงบนโต๊ะกระจกสีใส
“นี่มัน!...ฮ่าๆ ฮ่าๆ ถูกใจ! ถูกใจฉันจริงๆ”
บดินทร์หยิบมันขึ้นไปดูก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจสุดๆ ผมยกยิ้มสายให้อย่างเช่นเคย...ก็แน่ละ จะไม่ให้ดีใจได้ยังไง ในเมื่อเอกสารตรงหน้าเป็นเอกสารขายหุ้นให้กับบดินทร์ด้วยราคาถูกแสนถูกแล้วก็ยังถูกต้องตามกฏหมาย! ไม่ใช่เพียงแค่หุ้นในบริษัทฯ มันยังรวมถึงที่ดินและบ้าน ถ้าจะพูดกันง่ายๆ ก็คือ...
ผู้ชายคนนั้นหมดตัวแน่ๆ
“แต่ถ้าทำแบบนี้มันก็ฟ้องร้องได้” บดินทร์พูด
“นั่นสิ” เอเดนพูด
“อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้พจน์มันจะทำหน้ายังไง”
“พรุ่งนี้ก็รู้”
ผมแสยะยิ้มพลางนึกถึงวันพรุ่งนี้...มันคงน่าสนุกไม่น้อยเลย อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำยังไงถ้ารู้ว่าตัวเองกำลังจะหมดตัว!
 
หลังจากนั้นผมก็กลับเข้ามาในห้องตัวเอง ห้องที่มีเพียงผมและใครอีกคนที่เดินตามเข้ามาด้วย...ชายหนุ่มในชุดสุดสีดำมันขับผิวขาวๆ ของเขาให้ดูเด่นและหล่อขึ้นมากกว่าเดิม ผมยอมรับว่าเอเดนเป็นคนที่หน้าตาดีคนนึง ไม่สิ...เป็นคนที่หล่อมาก มากจนทำให้ผู้หญิงและผู้ชายหลายๆ คนยอมที่จะพลีกายเข้าแลกเพื่อให้ได้ตัวเขามา
“ฉันไม่ว่าเธอจะทำได้”
เขายืนกอดอกถาม
“ฉันทำได้มากกว่าที่นายคิดเยอะ”
ผมเดินไปนั่งตรงเตียงนุ่มพลางมองสบตาร่างสูงด้วยแววตายั่วยวน เอเดนยิ้มมุมปากแล้วเดินมาตรงหน้าพร้อมกับโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ ลำแขนแกร่งทั้งสองข้างก็ปิดกั้นอิสระของผม
“แล้วอย่างอื่นทำได้หรือเปล่าละ”
“แล้วคิดว่ายังไง” ผมยิ้มถาม
“เธอทำให้ฉันแปลกใจได้เสมอ”
มือของผมถูกจับขึ้นมาทาบกับริมฝีปากร้อนของเอเดน แววตาที่ส่องประกายเต็มไปด้วยความต้องการมองผมเช่นกัน
“คนเรามันก็ต้องมีบ้าง ฉันเจ็บมาเยอะ...แค่แก้แค้นนิดหน่อยๆ จะเป็นไรไป...นายเองก็เหมือนกันเอเดน...ระวังฉันให้ดี ฉันอาจแว้งกัดนายก็ได้นะ”
“ถ้าทำได้ก็ลองดู”
ผมคล้องคอเอเดนเอาไว้พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่จะชนกันจู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน ร่างสูงทำท่าจิจ๊ะในลำคออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ แล้วดูเหมือนว่าเอเดนจะไม่สนใจเสียงนั้นด้วยเขาค่อยๆ โน้มใบหน้าหล่อเข้ามาเข้าใกล้ผมอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“นายครับ ท่านให้ผมมาเรียกเพื่อพานายไปประชุมครับ”
แต่ยังไม่ทันเท่าไหร่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้กลับมีเสียงของคนข้างนอกดังขึ้นมาด้วย... เอเดนกำหมัดแน่นพยายามที่จะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ให้พลุ่งพล่าน พอเห็นเขาทำท่าทำทางแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ผมอดไม่ได้เหมือนกันที่จะจูบลงไปที่แก้มของเขาเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลม
“ไปทำงานเถอะ”
“อืม”
ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนที่จะยอมละออกจากตัวผมแต่โดยดี ช่วงนี้งานของเขาเยอะมาก...ไหนจะต้องช่วยบดินทร์บริหารกิจการ และไหนที่จะเรื่องของผู้ชายคนนั้นอีก อีกอย่างเอเดนก็ยังอยู่ในช่วงเรียน ถึงจะอยู่ในช่วงปิดเทอมแต่ก็ยังเป็นวัยนักศึกษาธรรมดาๆ แต่ความรับผิดชอบกลับหนักหนากว่าคนอื่นๆ นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าผู้สืบทอด
ผมมองส่งเอเดนออกไปจากห้องตัวเอง ผู้ชายที่เป็นบอดี้การ์ดก็หันมามองผมพร้อมกับโค้งรับเบาๆ แล้วเดินตามหลังเอเดนออกไป...จากนั้นห้องทั้งห้องก็สู่เข้าความเงียบเชียบอีกครั้ง
ให้ตายสิ! ขยะแขยงชะมัด!
ต้องมาแสดงว่ารักเขาขนาดไหน มันช่างน่าอายซะจริงๆ แต่ว่าผมจำเป็นที่จะต้องทำ! ทำเพื่อให้พวกเขาไว้ใจมากที่สุด
ผมมองไปที่เตียงตัวเองที่มีโทรศัพท์วางอยู่ หน้าจอของมันปรากฏรายชื่อคนที่โทรเข้ามา มันทำให้ผมรู้ทันทีเลยว่าใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ
อีกเพียงแค่นิดเดียว...
 
วันต่อมาผมก็เข้าไปที่บริษัทใหญ่ของผู้ชายคนนั้น เข้าไปนั่งรอในโต๊ะตำแหน่งของท่านประธานเพื่อเฝ้ารอให้คนๆ นั้นเข้ามา ป่านนี้ก็คงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทฯ ของตัวเอง ถ้าเดาไม่ผิดคงกำลังวิ่งหน้าตั้งเข้ามาแน่ๆ ส่วนลุงบดินทร์กับเอเดนตอนนี้กำลังประชุมสำคัญกับคณะกรรมการบริหารอยู่ในห้องประชุมใหญ่ ที่ผมไม่เข้าไปเพราะผมจะรอคนๆ นั้นให้เข้ามาหาผมต่างหาก
ชักจะอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ
อยากเห็นสีหน้าของเขาจัง
คงจะผิดหวังและเสียใจน่าดู แต่ชื่อเถอะ...มันไม่ถึงครึ่งที่ผมต้องเจ็บเพราะเขาหรอกนะ แม้กระทั่งตอนนี้แค่หลับตาลง ผมก็ยังจำได้ถึงแววตาที่มองมามีแต่ความสมเพชและชิงชัง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันจะโทษใครไม่ได้...ต้องโทษตัวเขาเองนั้นแหละ
ปัง!
และแล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด...คนที่ผมกำลังรอคอยเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นๆ แต่ผมกลับเผยยิ้มกว้างให้เขาแล้วทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
“สวัสดีครับ คุณพ่อ”
“เรย์!”
ผมลุกจากเก้าอี้ผู้บริหารแล้วหันมองเขาชัดๆ
“ครับ?”
“ทำแบบนี้ทำไม! ทำแบบนี้ได้ยังไง!!!”
เสียงสั่นของผู้ชายวัยกลางคนตะคอกใส่ผมด้วยความโมโห ก็แน่ละ...ผมเล่นทำขนาดนี้ถ้าไม่โมโหคงไม่รู้จะว่ายังไงละ
“ผมทำอะไร? ผมก็แค่เอาของๆ เราคืน”
ผมเอียงหน้าตอบ
“ของๆ เรางั้นเหรอ? หึ! สิ่งที่แกทำมันเรียกว่าของๆ เราอย่างนั้นเหรอ! คิดบ้างไหมว่าฉันจะรู้สึกยังไง! บริษัทฯ ที่ทำมากับมือ ทำแบบนี้ได้ยังไง!!!”
“แล้วคุณเคยคิดถึงความรู้สึกของผมบ้างหรือเปล่า” ผมมองหน้าเขา “คุณเคยบ้างไหมตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผมอยู่กับคุณ ผมจะมีความสุขเหมือนลูกรักของคุณบ้างไหม! คุณเมินเฉยผม! คุณทิ้งผม! คุณทรมานผมด้วยความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น!”
ผมพยายามสกัดกลั้นน้ำตาของตัวเอง พอคิดถึงภาพเก่าๆ คิดถึงอดีต คิดถึงตอนที่เย็นตาย มันก็ทำให้ผมแทบอยากร้องไห้ออกมา แต่สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือสกัดกลั้นมันเอาไว้แล้วแสดงสีหน้ายิ้มเยอะออกมามากกว่า
นี่แหละตัวผมที่จะทำในตอนนี้
“แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน! ทำไมต้องเอาบริษัทฯ มาเกี่ยวข้อง! ทำไม! ถ้าคิดจะแก้แค้นทำไมไม่ทำวิธีอื่น!!! เพราะแก! แกทำให้ฉันต้องเสียบริษัทฯ ต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่าง!!! เพราะแก!!!”
เขายกมือขึ้นกลางอากาศทำท่าเหมือนจะตบผมเหมือนอย่างที่เคยทำ แววตากร้าวเต็มไปด้วยความโกรธมองผมแบบไม่ลดละ
“เอาสิ...จะตบผมไม่ไม่ใช่เหรอ?”
ผมท้าทายยืนนิ่งๆ ปกติผมก็โดนจนชิน ถ้าจะโดนอีกครั้งมันจะเป็นไรไป
“โธ่เว้ย!”
เขาสบถออกมาพร้อมกับละมือลงไป แต่การกระทำของเขามันไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นเลย เขาแค่พยายามปิดกั้นอารมณ์ตัวเอง...ก็เท่านั้น
“ทำไมไม่ทำละ ทำเหมือนอย่างที่คุณเคยทำสิ...ตบผม ตีผม แล้วก็มองผมด้วยแววตารังเกียจ มันเป็นสิ่งที่คุณถนัดไม่ใช่เหรอ? ผมไม่ใช่ลูกรักของคุณ คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกผิด...ไม่ต้องรู้สึกอะไรเลย”
“...”
“เพราะผมเองก็เลิกรักคุณไปนานแล้วเหมือนกัน” ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วเสหน้าไปมองทางอื่น ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาจะทำหน้าแบบไหน แต่มันก็ไม่สำคัญเลย...ไม่สิ ผมไม่อยากรู้ด้วยซ้ำ
ภาพเก่าๆ ที่เขาเคยทำร้ายผมวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดเหมือนหนังฉายซ้ำ ไม่มีเลยสักครั้งที่ผมจะหลับตาลงอย่างเป็นสุข ทุกวัน ทุกคืน ผมเห็นแต่น้ำตาตัวเองที่ไหลเปียกหมอน ในวันที่ผมคิดจะตัดสินใจจากเขาไปเป็นวันเดียวกับที่ผมสูญเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิต ผู้หญิงที่รักผมยิ่งกว่าใคร เธอเป็นเหมือนแม่ที่คอยอุ้มชูเลี้ยงดูผม เธอเป็นเหมือนพ่อที่คอยปกป้องผมจากทุกคน และเธอเป็นเหมือนเพื่อนที่อยู่กับผมในวันที่ผมเหงาและไม่มีใคร
เย็นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม
แต่เขาไม่...เขาไม่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองเรียกว่าพ่อ เหอะ! บอกว่า ‘เริ่มต้นกันใหม่’ อย่างนั้นเหรอ? ผมอยากจะหัวเราะออกมาให้ดังๆ อ้อมกอดที่ผมโหยหา ทุกครั้งที่ผมมองหน้าเขามีแต่ความเย็นชา ตอนที่ผมไม่สบายเขาไปอยู่ที่ไหน ตอนที่ผมกลัวเสียงฟ้าผ่าเขาหายไปไหน แล้วตอนที่ผมอยากกอดเขาที่สุด...แต่เขากลับทิ้งผม
ถ้าเขารักผม...สักนิด แค่สักนิดก็ยังดี แค่เขาคิดจะรักผมบ้างคงไม่ต้องให้ผมทนทุกข์ทรมานขนาดนี้หรอก ถ้าเขาคิดจะรักผม...เหมือนอย่างที่เขารักหนึ่ง...ผมคงไม่เจ็บปวดขนาดนี้
“เชิญออกไปได้แล้ว อ้อ รบกวนช่วยพาเมียและลูกของคุณเก็บของออกจากบ้านของผมด้วย ให้เสร็จภายในวันพรุ่งนี้ ผมจะให้คนไปรับ”
แล้วนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ผมพูดกับเขา
 
 
“ว่าไงนะ! เรย์นะเหรอ?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วถามอีกรอบ หลังจากที่ได้ยินข่าวมาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นฝีมือของ ‘เรย์’
“หนึ่งพูดจริงๆ นะตะวัน เรย์เขา...เรย์เขาทำร้ายหนึ่ง ทำร้ายคุณพ่อ”
ร่างเล็กเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเจ็บตัวก็ยิ่งกลัวเรย์ขึ้นมาจับใจ แต่ตอนนี้เขาจะทำอะไรได้ เพราะทุกคนกำลังวุ่นวายกันหมด
“เห็นไหมละตะวัน! เรย์มันเชื่อไม่ได้จริงๆ เหอะ! กลับมาแล้วแสดงเป็นลูกที่ดีอย่างนั้นเหรอ ฉันคนนึงละที่ไม่เชื่อ!” ไคเสริมขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหนัก! คนอะไรก็ไม่รู้ร้ายได้ใจ ต่อให้บอกว่าเจ้าตัวเปลี่ยนใจกลับมาดี คงมีแต่เขาเท่านั้นแหละที่ไม่เชื่อ!
“ตะวัน?”
หนึ่งเอื้อมมือไปจับแขนของตะวันเมื่อเห็นว่าเงียบไปนาน ร่างสูงยิ้มให้กับเพื่อนตรงหน้าพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ให้
แน่นอน! เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเรย์จะเป็นคนทำ แต่ถึงแม้ว่าจะทำจริงๆ เรย์ก็ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน เขาไม่คิดเชื่อว่าร่างเล็กที่มักแอบร้องไห้เป็นประจำจะทำได้ถึงขนาดนี้ แม้ว่าตะวันจะไม่รู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร แต่ยังไงซะเขาก็เชื่อมั่นในตัวเรย์
‘นายต้องมีเหตุผลใช่ไหมเรย์’
“แต่ฉันว่า...”
“คิดจะเข้าข้างเรย์อีกแล้วใช่ไหมตะวัน”
ไคพูดขัดขึ้นเมื่อเห็นตะวันกำลังจะเอ่ยปากพูด แค่เห็นสีหน้าของเพื่อนตัวดีเขาก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คิดจะเข้าข้างคนที่ทำผิดเหมือนครั้งก่อนตอนที่อยู่โรงพยาบาลอย่างนั้นเหรอ? ยังไงซะครั้งนี้เขาก็ไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่ๆ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าคนทำผิดเป็นใคร!
หนึ่งเม้มปากแน่นมองชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป...ร่างเล็กก้มหน้าต่ำมองพื้นด้วยความรู้สึกสับสนพลางกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว นึกน้อยใจชายตรงหน้าเสียจริงที่ไม่สนใจกันเลย ผิดกับไคที่พยายามปลอบประโลมทุกวิธีทาง แต่ตะวันนี่สิ...ทำแค่เพียงยิ้มให้กับตนเท่านั้น ตะวันจะรู้บ้างไหนนะว่าการที่เขาทำเมินเฉยแบบนี้มันทำให้ใจดวงน้อยเจ็บ...เจ็บมากจริงๆ
 
ตะวันเดินวนไปวนมาอย่างใช้ความคิดหลังจากที่อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ใจของชายหนุ่มร้อนรุ่มดั่งไฟเผา อยากจะเข้าไปถามคนที่กำลังเป็นโจทย์ตอนนี้ซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดตรงที่ว่าเขาไม่รู้ว่าเรย์อยู่ที่ไหนนี่สิ! แต่ก็ไม่นานนักร่างสูงก็เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ถ้าสถานที่ที่เรย์จะไปอยู่ก็คือบ้านของเอเดน แต่เขาจะเข้าไปยังไงให้เข้าใกล้ตัวเรย์ได้นี่สิปัญหา
“เอาไงดีวะ”
ตะวันสบถกับตัวเองพยายามที่จะคิดหาหนทางที่จะเข้าใกล้เรย์ให้ได้ มันต้องมีสักทางสิน่า! เพราะยังไงเขาก็ไม่มีทางเชื่อ ไม่เชื่อเด็ดขาด!
 

“ฉันเชื่อนายนะเรย์”
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:40:17




 
ตอนที่ 20

พจน์เดินออกมาจากบริษัทฯ ของตัวเองด้วยใจหดหู่ สายตาหม่นมองไปยังตึกสูงระฟ้าอย่างคนห่อเหี่ยว ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว...เขาไม่ใช่ผู้บริหารของที่นี่อีกแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมด เพียงแค่ข้ามคืนของๆ เขาก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่นอย่างง่ายดาย โดยคนที่ทำนั้นเป็นลูกชายของตัวเอง!...ทันทีที่รู้ข่าวจากทนายเขาก็รีบเข้ามาในบริษัทฯ แต่พอมาถึงก็เจอกับศัตรูทางธุรกิจและพวกคณะกรรมการบริหารกำลังนั่งประชุมอยู่ภายในห้องประชุม
ในคราวแรกพจน์ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเอกสารซื้อขายหุ้นรวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทฯ เลยทำให้รู้ตัวว่าเขาถูกบดินทร์เล่นงานเข้าให้แล้ว พจน์คัดค้านสุดตัวว่ามันเป็นของปลอม เขาไม่มีทางยกของๆ เขาให้คนอื่นง่ายๆ
แต่พจน์ทำอะไรไม่ได้เลย...คนพวกนั้นที่เคยอยู่ร่วมงานและเคยอยู่เคียงข้างเขากลับปลีกตัวไปอยู่กับบดินทร์! มันทำให้พจน์ไม่เหลือใคร...ไม่เหลือแม้แต่กำลังที่จะต่อสู้ เพราะทุกสิ่งที่เขามีถูกเอาไปจนหมดตัว
“คุณคะ!”
นันปรี่เข้าหาผู้เป็นสามีด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก เธอรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านด้วยใจไม่สู้ดีนัก รู้สึกหวั่นๆ เสียจริงเมื่อเห็นหน้าสามีของเธอ
“คุณพ่อ!”
หนึ่งเองก็เช่นกัน
ไร้คำตอบจากคนตอบ มีแต่เพียงความเงียบงัน พจน์ในตอนนี้ไม่อยากพูดอะไรออกมาทั้งนั้น มันรู้สึกจุกในอกจนแน่นไปหมด ชายวัยกลางคนเดินไปนั่งตรงโซฟาตัวที่นั่งเป็นประจำอย่างคนหมดแรง เขาในตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เงินทองและทรัพย์สมบัติก็ถูกริบไปหมด
“คุณพจน์ ว่ายังไงคะ! คุณอย่าเอาแต่เงียบสิ เรื่องบริษัทฯ เป็นยังไงบ้าง คุณพจน์...คุณพจน์!”
นันไม่พูดเปล่าแต่กลับไปนั่งข้างสามีของเธอพลางเขย่าแขนไปมาเพื่อเร่งรัดเอาคำตอบ
“คุณพจน์!”
“เงียบสักทีได้ไหมนัน!”
แต่จนแล้วจนรอดพจน์ก็ทนไม่ไหวพลั้งเผลอขึ้นเสียงใส่หญิงคนรัก
“คุณพ่อ”
หนึ่งมองบิดาตนอย่างไม่น่าเชื่อหูตัวเอง เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีสักครั้งที่พจน์จะตะคอกหรือขึ้นเสียงใส่
“ขอโทษ”
พจน์พยายามทำใจเย็นแล้วมองไปที่ภรรยาและลูกชายอีกครั้ง เหมือนมีบางอย่างจุกในลำคอจนทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะเริ่มพูดยังไงดี จะทำยังไงดี จากที่เคยอยู่สุขสบาย จากที่ไม่มีเรื่องต้องทุกข์ร้อนและมีเงินมีทองใช้ แต่ดูตอนนี้สิ...พจน์ไม่เหลืออะไรเลย แม้กระทั่งบ้านที่จะซุกหัวนอนก็ยังไม่มีเลย
“คุณนัน หนึ่ง...” พจน์กลืนน้ำลายลงคอ “เรา...ต้องเก็บของ”
นันและหนึ่งขมวดคิ้วด้วยความงุนงง...ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พจน์พูดหมายความว่าอะไรกันแน่?
“เก็บของ? เก็บของทำไมคะคุณพจน์”
“นั่นสิครับคุณพ่อ”
ชายสูงวัยมองหน้าลูกเมียทั้งสองอีกครั้ง มือหนาพลางเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชายตัวเองเบาๆ ถึงไม่อยากยอมรับแต่เขาจำเป็นที่จะต้องทำ! ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาผิดเอง...เป็นคนผิดตั้งแต่แรก ถ้าเขาใส่ใจเรย์สักนิดคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“พวกเรา...หมดตัวแล้วคุณนัน”
!!!
“ว่าอะไรนะคะ! หมดตัว? คุณหมายความว่ายังไง”
นันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จู่ๆ ก็มาบอกว่าหมดตัวอย่างนั้นเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไง! พจน์ต้องโกหก ต้องโกหกแน่ๆ!!!
“คุณพ่อล้อเล่นใช่ไหมครับ”
หนึ่งถามอีกคนแต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธของผู้เป็นพ่อ พร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ทำให้คนตัวเล็กรู้เลยว่าพจน์พูดความจริง
เพียงไม่นานนักเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ ออกมาจากริมฝีปากหนาคู่นั้นทีละเรื่องๆ ทั้งหนึ่งและนันต่างก็ตั้งใจฟัง แต่สิ่งที่พจน์เอ่ยออกมานั้นมันกลับทำให้ลมแทบจับ นันแทบอยากจะเป็นลมล้มทั้งยืนด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งเองก็เช่นกัน ถึงแม้จะตกใจแต่ก็พยายามครองสติให้อยู่ ร่างบางส่ายหน้าช้าๆ อย่างคนไม่เชื่อหูตัวเอง...
มันจะเป็นไปได้ยังไง!
ไม่! ต้องไม่ใช่แบบนี้!
“ไปเก็บของซะ พวกเราจะไปจากที่นี่กัน”
พจน์เอ่ยพลางไม่กล้าสบตาลูกและเมียตัวเอง
“ไม่ไป! ฉันไม่ไป!!! ที่นี่เป็นบ้านของคุณ มันเป็นบ้านของฉันกับคุณ! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!!!”
เสียงแข็งกร้าวบอกแก่ผู้เป็นสามีอย่างคนไม่ยอม ที่นี่เป็นบ้านของเธอ! ไม่สิ...ถึงจะเป็นบ้านของพจน์แต่เธอที่เป็นภรรยาก็เปรียบเสมือนเจ้าของบ้านเหมือนกัน จะให้เธอออกไปอยู่ที่อื่นอย่างนั้นหรือ? ยังไงซะก็ไม่มีวันยอมเด็ดขาด!
“คุณแม่”
“เพื่อนของคุณก็มีไม่ใช่เหรอ! โทรไปสิ! โทรไปขอร้องเพื่อนของคุณให้ช่วย! เดี๋ยวนะ...เพื่อนของฉันก็มี เพื่อนๆ ที่เป็นนักธุรกิจของฉันก็เยอะ ฉันจะลองโทรไปให้พวกเขามาช่วย”
นันเลิกลักคว้าไปที่โทรศัพท์ของตัวเองแล้วกดโทรออกไปยังปลายสาย หัวใจของเธอเต้นระรัวจนแทบกระเด้งออกมานอกอกเพื่อรอลุ้นให้อีกคนกดรับสายของเธอ
“ฮัลโหล คุณอ้อยเหรอคะ...นี่ฉัน...”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
แต่ยังไม่ทันที่นันจะเอ่ยคำออกไป ปลายสายก็ถูกตัดทิ้งเสียก่อน ใบหน้าสวยหรี่ตามองไปที่หน้าจอตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจโทรไปอีกครั้ง แต่มันก็เหมือนเดิม
ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
“ฮึ๊ย! คนอื่นก็ได้!” กดไปที่อีกเบอร์ “ฮัลโหล คุณกาญเหรอคะ”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
แต่ผลตอบรับก็เหมือนเดิม
มือบางกำโทรศัพท์แน่นพยายามโทรหาเพื่อนๆ ของเธออีกหลายๆ คน แต่ผลตอบรับก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสองคราแรก...สายถูกตัดและไม่มีการรับสายแต่อย่างใด
“กรี๊ดด!!! ไอ้พวกบ้า!”
นันกรีดร้องอย่างโมโหเมื่อมันไม่เป็นดั่งใจนึก
“พอเถอะคุณนัน”
พจน์ห้าม เขามองภรรยาตัวเองด้วยความอดสู สิ่งที่นันทำมันทำให้เขาคิดว่าช่างไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ ที่เที่ยวร่ำร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่แล้ว แต่พจน์เข้าใจนันดีว่ารู้สึกยังไง เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากนันเหมือนกัน แต่เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่สามารถที่จะอ่อนแอได้เลยต้องพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง ทั้งที่ใจจริงแล้วอยากร้องไห้แทบเป็นแทบตาย
“ไม่! ฉันไม่ยอม! ฮือ ฮือ”
หัวใจของนันแทบแหลกสลาย เธอร้องไห้ออกมาอย่างนึกอดสู... ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันนี้จริงๆ วันที่เธอต้องกลับไปยากจนอีกครั้ง ริมฝีปากสีแดงฉานร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดพลางนึกถึงอดีตที่อยากจะลืม ทั้งๆ ที่เธอพยายามมาจนได้ขนาดนี้มีหรือที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
 .
.
.

[เรย์]
ภายในห้องที่ประดับประดาไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู ถึงมันจะเรียบง่านแต่สไตล์การตกแต่งกลับสวยงามและเพอร์เฟ็กสมกับเป็นผู้ใช้จริงๆ ใบหน้าสวยของคนที่ผมมาพบกำลังคลี่ยิ้มหวานมาให้จนทำเอาผมอดที่จะยิ้มตามด้วยไม่ได้ ผมมาพบ ‘เธอ’ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แต่มันไม่ใช่การแค่พบกันธรรมดาๆ เท่านั้น แต่มันเป็นการแอบมาพบ แม้กระทั่งเอเดนก็ไม่รู้เรื่องนี้
“มีใครตามหรือเปล่า”
‘เธอ’ ถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่มีครับ...วางใจได้”
“อืม...แล้ว อีกนานแค่ไหน”
“อีกไม่นานครับ”
ผมยิ้มตอบ...แต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้วท่าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่ผมยังคงดื้อดึง แต่ผมหยุดตอนนี้ไม่ได้จริงๆ มันสายเกินไปแล้ว...
“เฮ้อ”
“ผมไม่เป็นไรหรอก”
ผมเข้าไปโอบกอด ‘เธอ’ เอาไว้แน่น เพื่อเป็นคำมั่นว่าผมจะจบงานนี้ให้เร็วที่สุด...เธอกอดผมไว้แน่นด้วยความเป็นห่วงและเติมเต็มไปด้วยความรัก อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น อ้อมกอดที่ผมไม่เคยมี
“อย่าประมาทนะเรย์ งานนี้มันเสี่ยง”
“ครับ ผมรู้”
ผมรู้ว่าควรจะจัดการงานนี้ยังไง...ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไง เหลืออีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น...เรื่องทุกอย่างก็จะจบลง
“ถอนตัวเถอะนะ ตอนนี้มันยังไม่สาย”
เธอทำเสียงร้องขอ พลางมองหน้าผมด้วยแววตาเว้าวอน ผมไม่อยากให้เธอต้องเสียใจเลย แต่ผมหันหลังกลับไปไม่ได้จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าเธอจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็เลยได้แต่ถอนหายใจอีกรอบในความดื้อดึงของผม
“ผมสัญญา จบงานนี้เมื่อไหร่ ผมจะไปจากที่นี่ ช่วยรออีกนิดนะครับ”
ผมกอดเธอไว้แน่นพลางหลับตาลงช้าๆ ต้องจัดการงานนี้ให้เร็วที่สุด...
 
“หายไปไหนมา”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามผมทันทีที่ผมกลับมาที่บ้านของเอเดน...ใบหน้าของเขาดูท่าว่าจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่ผมไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ได้บอกเขา เพราะปกติตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันเอเดนก็ให้คนคอยตามผมตลอด แทบไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาเลย
“ไปเดินเล่น”
ผมสบตาตอบ
“แล้วทำไมถึงไม่บอกกู! มึงรู้ไหมกูเป็นห่วงมึงขนาดไหน ห่ะ!”
อีกแล้ว...ถ้าเขาโมโหเมื่อไหร่ เขาจะขึ้นมึงขึ้นกูกับผมทันที แต่ถ้าเป็นอารมณ์ปกติจะเรียก ‘ฉัน’ และ ‘นาย’
เอเดนปรี่เข้ามาจับแขนผมแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“ขอโทษ...แต่อย่าโกรธเลยนะ” ผมเอื้อมไปจับมือหนา
“...”
“ที่ไม่บอกเพราะว่าเห็นเอเดนกำลังประชุมงานอยู่ เลยไม่อยากกวน”
แต่ดูท่าว่าเอเดนจะไม่ยอม แรงที่มีมากกว่าของเขามันทำให้ผมเจ็บจนผมต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บเล็กๆ ก่อนที่จะจับไปที่ใบหน้าหล่อแล้วเอื้อมไปจูบเบาๆ ที่แก้ม
จุ๊ฟ
“หายโกรธนะเอเดน”
ผมก้มหน้าต่ำมองพื้นด้วยความเขินอาย ให้ตายเถอะ! การที่ต้องมาง้อผู้ชายร่างสูงๆ เหมือนกับผู้หญิงแบบนี้แล้วอายชะมัด!
“นายก็รู้ว่าพ่อฉันยังไม่ไว้ใจนาย คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”
เอเดนกอดผม มือหนาก็ลูบผมของผมเบาๆ
“อืม”
อย่างที่เอเดนพูด...ผมรู้ว่าลุงบดินทร์ยังไม่ไว้ใจผม เขาไม่วางใจที่ผมยังอยู่ในบ้านเขา ถึงได้ให้ผมหมั่นกับเอเดนเพื่อกันไว้ก่อน ถึงเขาจะพอใจกับผลงานของผมที่ทำให้ได้ทรัพย์สมบัติของผู้ชายคนนั้น แต่เหตุผลที่ลุงบดินทร์ยังไม่ไว้ใจผมเต็มร้อยก็คงจะเป็นเพราะผมเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น คงกลัวว่าผมจะแว้งกัดเอาได้ง่ายๆ เขาก็เลยมักจะส่งคนคอยตามผมตลอด
“นายเป็นของฉันนะเรย์”
“ฉันรู้”
ผมตอบเขาเสียงเบา...กี่ครั้งแล้วนะที่เอเดนพูดคำนี้กับผม เขามักบอกกับผมเสมอว่าผมเป็นของเขา...แล้วมันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้
 
วันต่อมา
ผมพาลูกน้องอีกหลายๆ คนไปที่บ้าน ‘อธิพัฒน์เดชากร’ บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็กจนโต ป่านนี้แล้วคนพวกนั้นก็คงจัดการเก็บของเรียบร้อยแล้วสินะ หึ อยากเห็นหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ว่าจะทำหน้ายังไง คงกำลังรอต้อนรับเจ้าของบ้านคนใหม่อย่างผมอยู่ละมั้ง
“ถึงแล้วครับคุณเรย์”
คนขับรถหันมาบอกกับผมก่อนที่จะวิ่งลงมาจากรถเพื่อเปิดประตูให้ มันน่าขำดีนะ...เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังมาอยู่ที่นี่อยู่เลย แต่มาวันนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าของบ้านซะเอง
ผมเดินเข้าไปด้านในบ้านที่เงียบเชียว มันเงียบมากกว่าที่ผมคิด เหมือนราวกับว่าไม่มีใครอยู่บ้าน...แต่จริงๆ พอเดินเข้าไปข้างในมันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ทุกคนที่ผมคุ้นตายังนั่งอยู่ตรงโซฟา โดยที่มีผู้หญิงที่ผมเกลียดที่สุดนั่งหน้าเชิดไม่ยอมแม้กระทั่งหันมามองผม ส่วนหนึ่งและผู้ชายคนนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆ โดยที่ยังมีคนรับใช้นั่งด้วย
หึ ทำท่าเหมือนนางพญา
“ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ ผมเอาคนมารับพวกคุณแล้ว”
ผมยืนกอดอกมองการกระทำของคนพวกนั้น อยากรู้เสียจริงๆ ว่าจะทำยังไงต่อไป...พวกคนรับใช้ก็ยังไม่ยอมขยับ ยังคงก้มหน้านิ่ง
คงได้รับคำสั่งมาจากคนเป็นนายมาสินะ
“ผมบอกให้ออกไป!”
“ฉันไม่ออก!”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาบอกกับผมด้วยแววตาแข็งกร้าว เธอมองผมราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ สายตาของเธอมีแต่ความเกลียดชัง ไม่เหมือนกับผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นสิบๆ ปีเลย เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่มีทางทำเสียงและสีหน้าแบบนี้ใส่ผมแน่ๆ แต่ก็อย่างว่า...นี่แหละมนุษย์ พอศูนย์สิ้นทุกอย่างไปก็เริ่มแสดงตัวตนจริงๆ ออกมา
“คุณแม่” หนึ่งครางเรียกชื่อเสียงสั่นๆ ก่อนจะหันมาสบตากับผม “เรย์...อย่าทำแบบนี้เลยนะ หนึ่งขอร้อง”
“ไม่ต้องไปพูดดีกับมัน หนึ่ง!” เธอรีบสวนทันที “ยังไงซะ พวกฉันก็ไม่ออกไปจากบ้านหลังนี้! แกนั่นแหละที่ต้องออกไป ไอ้ลูกเนรคุณ!”
คำกล่าวหาถูกสาดซัดใส่ผม...ตายจริง นี่ผมกลายเป็นลูกเนรคุณไปแล้วเหรอเนี่ย มันก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้...ทำร้ายผู้บังเกิดเกล้าได้ลงคอ ยึดทรัพย์แล้วไล่ออกจากบ้านอีก รู้ถึงไหนคงถูกประณามแน่ๆ แต่แล้วยังไง? ผมไม่แคร์หรอก...แค่มีเงินก็จัดการได้ทุกอย่าง จะสร้างเรื่องจริงเป็นเรื่องเท็จ หรือ เรื่องเท็จเป็นเรื่องจริงยังไงก็ได้ แค่ใส่สีตีไข่สักหน่อยแค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว...แค่บีบน้ำตาแล้วก็ร้องขอความเห็นใจจากสังคม ขี้คร้านจะมีแต่คนสงสารผมซะมากกว่า
“ไม่เอาน่า...คุณแม่ ออกไปดีๆ ซะเถอะ อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง”
ผมเอ่ยเรียก ‘คุณแม่’ ด้วยสายตายียวน
“ฉันไม่ออก! แกทำพ่อแกอย่างนี้ได้ยังไง ห่ะ! แกทำแบบนี้ได้ยังไง! เขาเป็นคนเลี้ยงดูแกมานะ แกจะไล่คุณพจน์และพวกฉันออกจากบ้านไม่ได้!!!” เธอยืนขึ้นประจันหน้ากับผมแล้วชี้มือใส่
“โหว ผมจำเป็นที่จะต้องขอบคุณพวกคุณสินะที่เลี้ยงดูผมเป็นอย่างดี? แต่ผมไม่ยักจะจำได้เลย คุณไม่เคยรักผมเหมือนลูกแท้ๆ อยู่แล้วนี่นา ส่วนคนพวกนี้ก็เหมือนกันเป็นคนใช้แต่ดันมานินทาเจ้านาย อย่างนี้สมควรเอาไว้ที่ไหน ส่วนพ่อเหรอ? ผมไม่เห็นเคยรู้จัก...เพราะเท่าที่จำได้พ่อของผมได้ตาย! ไปแล้ว”
เป็นไงละ...ผมพูดเรียงคนเลย...ใครทำอะไรกับผมไว้บ้างผมจำได้หมด พากันพูดไม่ออกเลย...พวกที่เป็นคนรับใช้ของผู้หญิงคนนั้นก็ได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้ามองสบตากับผมเหมือนเดิม...
"ไอ้!"
“พอได้แล้วคุณนัน!”
หลังจากที่เงียบมานานเขาก็พูดขึ้น
“ฮึก คุณแม่...”
ผมหันไปมองหนึ่งที่ตอนนี้น้ำตาคลอเบ้า คอยจับแม่ตัวเองเอาไว้พลางมองไปที่ขา ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่น่าเสียดายเล็กๆ ผมน่าจะทำจนกว่าจะนั่งรถเข็นนะเนี่ย
“ไปเก็บของแล้วออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ พวกเรา...ต้องไปอยู่ที่อื่นกันแล้ว”
เขาลุกขึ้นสบตากับผม...มันเป็นสายตาที่เย็นเฉียบ สายตาที่แน่นิ่งและไร้ความรัก เหมือนอย่างแต่ก่อน...ไม่สิ จะเรียกได้ว่าเป็นสายตาที่แสดงถึง...ความเฉยเมย
“จัดการซะ พาคนพวกนี้ออกไปจากบ้านหลังนี้ให้หมด”
“ครับ”
ผมสั่งลูกน้องที่อยู่ทางด้านหลังแล้วพาตัวเองเชิดหน้าทำเหมือนไม่ใส่ใจ ใช่! ทั้งๆ ที่มันต้องเป็นแบบนั้นแต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้นะ ทำไมผมจะต้องสนใจแววตาของเขาด้วย ผมไม่ได้เจ็บ...ไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด
จุดเริ่มต้นของผม...เริ่มมาจากตรงไหนกันแน่นะ ตอนไหนกันที่ผมต้องกลายเป็นคนแบบนี้...ทรยศครอบครัว สมรู้ร่วมคิดกับศตรูของครอบครัวตัวเอง แต่มันก็ดีแล้วนี่...สาสมกับที่พวกเขาทำกับผม แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก พวกเขายังต้องชดใช้มากกว่านี้อีก
‘ไอ้ลูกเนรคุณ!’
นี่แหละ...ตัวผม
 

หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:41:47



 

 
ตอนที่ 21

“จัดการซะ อย่าให้พลาด”
“ครับ”
บดินทร์เอ่ยสั่งลูกน้องที่อยู่ทางด้านหลัง รอยยิ้มเหี้ยมฉายชัดบนใบหน้า ถึงจะได้ทุกอย่างอย่างที่ต้องการแล้วก็ตาม แต่แค่นี้มันยังไม่พอหรอก ทุกอย่างมันต้องเป็นของๆ เขาแล้วก็ต้องไร้เสี้ยนหนาม! ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มันต้องถูกกำจัด แม้กระทั่ง...เรย์!
แต่เรื่องนี้เอเดนจะรู้ไม่ได้เพราะเขารู้ว่าตอนนี้เอเดนกำลังหลงเรย์ขนาดไหน ถึงกับออกโรงปกป้องและให้คนคอยคุมทุกฝีก้าว แต่สำหรับเขาแล้วเรื่อง ‘ความรัก’ มันเป็นเพียงแค่เรื่องตลกที่ไม่น่าพิสมัย แต่ถ้าเอามาเป็นเมียบำเรอฆ่าเวลาเล่นๆ ก็ไม่เท่าไหร่ เรย์เองก็เหมือนกัน...แต่ถึงยังไงซะเรย์ก็เป็นลูกของศัตรู ถึงเจ้าตัวจะไม่เคยทำอะไรให้แต่บดินทร์ก็ยังอยากตัดไฟแต่ต้นลม เรย์เปรียบเสมือนงูพิษขนาดทรยศพ่อแม่ของตัวเองได้ แล้วเขาเป็นใคร? บดินทร์ก็เป็นเพียงแค่คนนอก... งูพิษตัวนั้นอาจแว้งกลับมาได้เหมือนกัน!
“แต่ท่านครับ คุณเอเดน”
“อย่าให้เอเดนรู้”
“ครับ”
ชายหนุ่มโค้งรับคำสั่งกับผู้เป็นนายอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง เหลือแต่เพียงรอยยิ้มร้ายของบดินทร์ที่ยังคงฉายชัดเท่านั้น
เพียงแค่กำจัดคนหนึ่งคนมันคงไม่ยากเท่าไหร่สำหรับบดินทร์ ผู้ชายที่มีอำนาจ ทั้งเงิน ทองบารมี แค่เรื่องจัดฉากมันง่ายเพียงนิดเดียว
อย่าโทษกันเลยก็แล้วกัน!
 
พจน์มองบ้านที่อยู่ใหม่ของตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อสายตาตัวเอง...นี่เหรอที่สถานที่ที่เขาและครอบครัวจะมาอยู่ มันไม่ได้ต่างอะไรกับพวกคนสลัมเลยด้วยซ้ำ บ้านไม้ผุๆ เก่าๆ ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องอำนวยความสะดวกสักชิ้น
“อะไร! นี่พวกฉันต้องมาอยู่ที่นี่เหรอ”
นันตวาดกับชายหนุ่มสวมแว่นดำตรงหน้า
“ครับ มันเป็นคำสั่งของคุณเรย์”
ร่างสูงตอบด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง
“ฉันไม่อยู่! ฉันไม่อยู่สถานที่สกปรกแบบนี้หรอก! ฉันจะไปอยู่ที่อื่น!!!”
หมดแล้วซึ่งความอดทน นันทนรับสิ่งพวกนี้ไม่ไหวจริงๆ ถ้าต้องมาอยู่ในที่ที่แบบนี้แล้วละก็สู้เธอตายๆ ไปซะยังดีกว่า
หนึ่งเองก็เช่นกัน มองบ้านหลังใหม่ตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ จากคุณหนูที่สุขสบายต้องมาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแบบนี้เหรอ? มันเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปจนหนึ่งรับมือไม่ทัน ถึงอยากจะท้วงแต่หนึ่งก็ทำได้แค่ทน เพราะตอนนี้เรย์มีทั้งเงินและอำนาจ จนหนึ่งไม่สามารถไปต่อกรได้
“ถ้าพวกคุณมีเงินมากพอ ก็เชิญครับ ผมขอตัว”
ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไป
พจน์ทรุดนั่งลงอย่างคนหมดแรง กลิ่นเหม็นอับของไม้และฝุ่น บ่งบอกได้เลยว่าที่นี่ยังไม่ได้ทำความสะอาด นี่เขาตกอับขนาดนี้ภายในชั่วข้ามคืน มาดเจ้าของบริษัทฯ ผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้เหลือแต่ตาแก่ที่ไม่มีใคร ไม่มีคนรับใช้
“คุณพ่อ...”
หนึ่งเอ่ยเรียกเสียงเบาหวิว
“เอาของเข้าไปเก็บเถอะหนึ่ง”
พจน์คลี่ยิ้มบางให้กับลูกชายตน ถึงยังไงซะเขาก็ยังเป็นหัวหน้าครอบครัว ยังคงต้องดูแลปกป้องต่อให้เหนื่อยเจียนตายหรือเจ็บจนแทบขาดใจ แต่จะล้มไม่ได้เด็ดขาด!
หนึ่งมองไปรอบๆ ห้องของตัวเอง ที่นี่มีแต่เพียงแค่ตู้เสื้อผ้ากับเตียงนอนเท่านั้น ไม่มีเฟอร์นิเจอร์สวยๆ หรือการตกแต่งแบบหรูอย่างที่ตัวเองเคยอยู่ ถ้าจะให้อยู่แบบนี้ตลอดไปนะเหรอ? เขาเองก็คงทนไม่ได้เหมือนกัน แต่ขาก็ยังเจ็บ ร่างกายก็ยังระบมอยู่ เขาจะทำอะไรได้มากกว่านี้ก็ไม่ได้นอกเหนือเสียจากหาคนช่วย แล้วคนแรกที่หนึ่งนึกถึงก็คือตะวัน... ทำไมนะ ตะวันหายไปไหน เสียงออกจะดังขนาดนี้แต่ทำไมตะวันถึงไม่มาช่วย ยิ่งนึกมันก็ยิ่งน้อยใจ แต่หนึ่งก็เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์แล้วโทรไปหาคนที่คิดถึงที่สุด แต่ไม่นานนักดวงตาสดใสก็แปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงเมื่อปลายสายไร้เสียงตอบรับจากหมายเลขที่เรียก
ในเมื่อหนึ่งคนโทรไม่ติด หนึ่งจึงตัดสินใจที่จะโทรไปยังอีกสาย อย่างน้อยหนึ่งก็รู้แน่นอนว่ายังไงซะไคก็ไม่ทิ้งเขาเด็ดขาด แล้วไคจะต้องหาทางมาช่วยแน่ๆ ถ้าจะให้ทนอยู่ในสภาพแบบนี้นานๆ หนึ่งเองก็คงจะทนไม่ไหวเหมือนกัน!
ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
 .
.
.
.
[เรย์]
ผมเอนหลังพิงเบาะรถด้วยความอ่อนล้า พลางหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อนนิดๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยเหลือเกิน หลังจากนี้ต้องทำอะไรอีกนะ...ผมจะต้องทำอะไรอีก ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ผมยังไม่ได้ทำ แต่ว่าทำไมผมอยากรู้สึกพักจังเลย...มันเหนื่อยเกินไป เหนื่อยมากจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองอยากหยุดพักเหมือนกัน แต่ผมยังคงพักตอนนี้ไม่ได้
“คุณเรย์ครับ”
เสียงคนขับรถเรียกชื่อผม
“ฉันไม่เป็นไร ขับรถต่อไปเถอะ”
“ครับ”
เสียงขับเคลื่อนรถยนต์แล่นบนท้องถนนแต่ผมก็ยังคงหลับตาอยู่...ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ผมไม่สบายใจผมคงไปยังที่ที่นึง ไปหาคนที่มีแต่คนรักผม เสียงเด็กเล็กๆ ที่ต่างก็เรียกชื่อผมด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มของทุกคนมันทำให้ผม...คิดถึง
ผมคิดถึงหนูนา
ผมคิดถึงเด็กๆ นี่นั่น
แต่ผมยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว...ทุกคนจะ...
“เดี๋ยว”
ผมลืมตาขึ้นแล้วบอกให้รถหยุด
“ครับ”
“ขับรถไปที่...”
“ครับ”
คนขับรถของผมพยักหน้ารับคำก่อนที่จะเปลี่ยนเส้นทางไปอีกทาง เส้นทางที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมเบนสายตามองไปตามถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่ง ป่านนี้แล้วความรู้สึกของผมก็ยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด มันมีแต่จะแย่ลงด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ตอนที่ผมยังไม่มีอำนาจ เงิน...ที่มี มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขสักนิดเดียว
แล้วความสุขของผมคืออะไร
ผมสั่งให้คนของผมขับรถแล่นผ่านบริเวณหน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ถึงจะเป็นแค่เพียงชั่วแวบเดียวผมก็รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก เด็กทุกคนในนั้นกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เรย์กำลังคิดถึง...คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ อยากกลับไปอยู่ตรงนั้นเหลือเกินแต่เรย์ในตอนนี้ไม่สามารถที่จะกลับไปทำแบบเดิมได้จริงๆ
“กลับมาแล้วเหรอหนูเรย์”
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านลุงบดินทร์ที่นั่งอยู่กลางห้องก็เอ่ยทักด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ครับ คุณลุง”
“ทำไมเรียกคุณลุงละ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า มันน่าดีใจนะที่เขาพูดแบบนี้ออกมา แต่สำหรับผมดูๆ แล้วมัน...ออกจะน่าสงสัยด้วยซ้ำไป
“ครับ แต่ผมถนัดเรียกแบบนี้มากกว่า”
ผมยิ้มตอบ ผมรู้ว่าลุงบดินทร์ไม่ได้จริงใจกับผม...เพราะถ้าเขาจริงใจที่จะช่วยผมตั้งแต่แรก คงไม่ช่วยให้ผู้หญิงคนนั้นหนีรอดไปต่างประเทศได้หรอก! ผมทำประโยชน์ให้เขา ถึงต่อหน้าจะบอกว่าชอบผมอย่างโน้น อย่างนี้ แต่เมื่อผมหมดประโยชน์เขาต้องจัดการผมแน่ๆ
ไม่มีใครปล่อยเสี้ยนหนามให้อยู่หรอกนะ
“วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว ผมขอตัวเข้าห้องก่อนนะครับ”
“อืม...”
ลุงบดินทร์พยักหน้าตอบเชิงเป็นการอนุญาต ผมก็เดินขึ้นไปบนห้องของผมทันที พอเห็นหน้าเขาแล้วมันก็ทำให้อดนึกถึงตอนนั้นไม่ได้จริงๆ วันที่ผม...เจอกับเอเดนอีกครั้ง
 .
.
.
.
เอเดน!
ผมมองหน้าผู้ชายตรงหน้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่! หรือว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของเอเดนอย่างนั้นเหรอ?
“สวัสดี เราไม่เจอกันนานเลยนะ”
น้ำเสียงที่เย็นเฉียบทำให้ร่างกายของผมแทบไร้เรี่ยวแรง หัวสมองของผมในตอนนี้อื้ออึงไปหมดจนแทบคิดอะไรไม่ออก ขาทั้งสองข้างก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะหนีได้แต่เดินก้าวถอยหลังทุกครั้งยามที่เขาเดินเข้ามาใกล้ แล้วมันทำให้ผมนึกถึงภาพในห้องน้ำในวันนั้น วันที่เขาคิดจะรังแกผม!
“ไม่ต้องกลัว กูแค่จะมาตกลงกับมึงนิดๆ หน่อยๆ”
“ตกลง? ตกลงอะไร!”
“หึ เรื่องพ่อของมึง”
!!!
แต่สิ่งที่เอเดนพูดกลับทำให้ผมตกใจยิ่งกว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพ่อของผม! นี่เอเดนต้องการจะพูดอะไรกันแน่!
“มึงไม่แค้นเหรอ? ไม่โกรธเหรอที่เขาไม่ได้รักมึง ลูกที่เขาเกลียดแสนเกลียด ลูกที่ไม่ต้องการอย่างมึงหายไปสักคนเขาคงไม่คิดจะตามหาหรอก”
“ต้องการพูดจะอะไร!”
ผมถาม แต่เอเดนกลับยิ้มขำ เขายังมองผมด้วยแววตาแน่นิ่งแต่มันกลับน่ากลัว
“มาร่วมมือกับกูสิ มาร่วมมือทำลายพ่อของมึง!”
“ฉันไม่ทำ!”
แน่นอน...ผมปฏิเสธทันที ถึงผมจะเกลียดเขามากมายสักเท่าไหร่ ถึงผมจะน้อยใจที่เขาไม่เคยสนใจผม แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะทำลายเขา
“กลับไปคิดดูดีๆ สิเรย์”
เอเดนที่อยู่ห่างจากผมไม่เท่าไหร่เข้ามาประชิดตัว
“อะ โอ๊ย! ปะ ปล่อยนะ!”
มือหนาบีบแขนผมจนรู้สึกเจ็บไปหมด น้ำตาผมแทบเล็ดออกมาแต่ผมจะแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นไม่ได้เด็ดขาด! เลยได้แต่เชิดหน้าสบตากับเขาด้วยความแข็งกร้าว แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของผมจะทำให้เอเดนชอบใจซะมากกว่า
“กลับไปคิดดูดีๆ สิเรย์ ผู้ชายคนนั้นไม่เคยสนใจมึง ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เหรอที่เป็นคนทำให้คนที่มึงรักที่สุดต้องตาย”
คำพูดของเอเดนมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกสะกดจิตเพียงแค่พูดถึงคนที่ผมรักมากที่สุดมันก็ทำให้ผมแทบหลงลืมไปว่า เอเดนกำลังอยู่ตรงหน้าผม...
“ปล่อย!”
แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะวิ่งหนีออกมา หนีจากผู้ชายคนนั้น พูดเป็นเล่น! จะให้ผมทรยศพ่อตัวเองนะเหรอ
ไม่มีทาง!!!
‘ไปทางบันไดหนีไฟดีกว่า’
ด้วยความกลัวว่าเอเดนจะส่งคนตามผมมา ผมก็เลยแอบลงไปทางบันไดหนีไฟ แต่ใครจะคิดว่าการที่ผมเจอกับเอเดนวันนั้นมันจะทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล
เป็นลูกเนรคุณ

 .
.
.

เฮือก!
ผมลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืด นี่ผมเผลอหลับไปอย่างนั้นเหรอเนี่ย...ดันฝันไปถึงตอนนั้นอีกจนได้ แล้วหลังจากวันนั้นผมก็มาอยู่กับเอเดนสินะ
“พอๆ ไม่คิดๆ”
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไปมาพยายามที่จะไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรให้มาก เรื่องมันผ่านไปแล้ว มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือเผชิญหน้ากับมันแล้วรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นก็อย่าเพิ่งไปคิดเลย
ส่วนตะวัน...ป่านนี้ก็คงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนึ่ง แล้วเขาก็คงกำลังโกรธผม ไม่สิ...เกลียดผมไปเลยต่างหาก ก็แหงละ...ทำเพื่อนเขาขนาดนี้แล้วไม่เกลียดก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่พอคิดแบบนั้นแล้วทำไมใจของผมมันถึงเจ็บแปลกๆ นะ พอหลับตาลงสัมผัสที่ริมฝีปากที่ถูกตะวันจูบมันยังตราตรึงในห้วงความทรงจำของผมอยู่เลย
รสจูบที่อ่อนโยนและหอมหวาน
 
เช้า
หลังจากนั้นผมก็หลับไปอีกครั้ง ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว ส่วนเอเดนตั้งแต่เมื่อวานผมก็ยังไม่เห็นเขาเลย ช่วงนี้คงกำลังยุ่งๆ กับงานบริษัทฯ ละมั้ง แต่ก็ช่างเถอะ...การไม่เจอหน้าเขาก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็จะได้ไม่ต้องเล่นละครตบตาว่าต้องการเขามากขนาดไหน
“เชิญครับ”
ผมมองผู้ชายสวมแว่นดำตรงหน้าอย่างสงสัย ตื่นเช้าขึ้นมาก็เจอเขารออยู่ที่รถแล้วมาบอกว่าเอเดนให้มารับผมไปที่บริษัทฯ แต่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าเขาเลยหรือว่าเป็นคนของเอเดนกันนะ อีกอย่างนึงทำไมถ้าจะเข้าบริษัทฯ พร้อมกับทำไมเอเดนไม่รอผมก่อน หรือว่าเขารีบ
“ต้องไปตอนนี้เลยเหรอ”
“ครับ”
“แล้วทำไมเอเดนไม่รอฉันละ” ผมเอียงคอตอบ
“คุณเอเดนบอกว่ามีประชุมผู้บริหารด่วนในตอนเช้า เลยล่วงหน้าไปก่อนครับ แล้วให้คุณเรย์ตามไปทีหลัง”
บานประตูรถยังคงเปิดอยู่เพื่อรอให้ผมเข้าไป มันก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ ยิ่งช่วงนี้เปลี่ยนผู้บริหารใหม่งานก็ยิ่งหนักขึ้นเป็นเท่าตัว แล้วก็ด้วยช่วงนี้ผมไม่อยากคิดอะไรมากผมก็เลยทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย แล้วไม่นานนักตัวรถที่จอดอยู่ก็ขับเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ
พอขึ้นรถได้ผมก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มองไปตามถนนที่มีรถวิ่งสวนไปมา แต่ยิ่งรถวิ่งเท่าไหร่หนทางที่มันควรจะเข้าบริษัทฯ กลับยิ่งแปลกไป แต่ผมก็ยังไม่กระโตกกระตาก ยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ผมรู้เลยว่าเพราะตัวเองประมาทเลยทำให้ติดกับศัตรูเข้าเต็มๆ
“จอดรถ”
ผมเอ่ยน้ำเสียงเรียบเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต
“คุณเรย์จะไปไหนเหรอครับ”
เขายังคงถามอยู่โดยที่ยังไม่จอดรถ ถ้าเป็นปกติแล้วเพียงแค่ผมสั่งออกไปพวกเขาก็ต้องทำตามไม่มีข้อต่อรองหรือคำถามใดๆ ทั้งสิ้น แต่นี่เขากลับไม่ทำตามซ้ำยังขับรถเร็วขึ้นๆ อีกต่างหาก
“...นายเป็นใคร ต้องการอะไร”
ในเมื่อคิดว่าไม่มีทางหนีแล้วผมจึงตัดสินใจพูดออกมา แต่เขากลับไม่ตอบผม เพียงแค่ค่อยๆ ถอดแว่นตาและวิกผมสีดำออกมาเท่านั้น แล้วนั่นมันก็ทำให้ผมได้เห็นหน้าเขาเต็มๆ
ตะวัน!
“นี่นาย!”
“นายนี่ฉลาดเหมือนกันนะ”
เขาไม่ตอบคำถามผมอีกแล้ว อะไรของผู้ชายคนนี้นะ! ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย!!!
“ทำแบบนี้ทำไม!”
ผมตะคอก รู้สึกโมโหจริงๆ นะ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ฉันไม่คุย! ฉันไม่มีอะไรจะคุยกันนาย! พาฉันไปส่งบ้านเดี๋ยวนี้นะตะวัน!!!”
“เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
“ก็บอกว่าฉันไม่คุยไงเล่า! พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!”
“ถ้าไม่คุยก็นั่งอยู่ในรถนี่แหละ”
“ตะวัน!”
ตะวันไม่ยอมทำตาม เขายังคงขับรถไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าตรงไปยังเส้นทางที่ไม่ใช่ทางไปบริษัทฯ ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาพาผมไปที่ไหน แล้วเขาต้องการอะไรจากผมถึงต้องมาทำอย่างนี้ แต่ที่แน่ๆ ผมกลับรู้สึกว่าผมเกลียดเขามากที่สุดเลย!
 
“คุณเรย์ออกไปแล้วครับ”
“อืม จัดการมันซะ”
บดินทร์เอ่ยสั่งลูกน้องของตัวเองด้วยรอยยิ้มเหี้ยม เขาไม่มีทางปล่อยให้เรย์อยู่นานแน่ๆ ยังไงซะก็ต้องถูกำจัด ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! ส่วนพจน์ค่อยกำจัดเอาทีหลังหลังจากที่เรย์ตายไปก็ยังไงได้ เพราะพวกเขาก็เปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมืออยู่แล้ว
จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด
แต่บดินทร์เลือกที่จะให้ตายซะมากกว่า!
“เพิ่มคำสั่งจากฉันให้เอเดนไปติดต่องานที่ต่างประเทศ ด่วนที่สุด!”
“ครับ”
 

ลูกน้องของบดินทร์รับคำก่อนที่จะเดินออกไปเช่นเคย


หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:43:25

 
ตอนที่ 22

ผมหน้าบูดบึ้งมองคนที่กำลังทำหน้ายิ้มแป้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา นี่เขาจะรู้ตัวหรือเปล่านะว่าตัวเขาทำอะไรลงไป นี่ขนาดลงทุนปลอมตัวเข้ามาในบ้านของเอเดนเพื่อที่จะคุยกับผมเนี่ยนะ! บ้าหรือเปล่า...ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมาจะทำยังไง!
“มีอะไรก็พูดมาสิ!”
ผมกอดอกถาม ถ้าถามในเรื่องไม่เป็นเรื่องนะ...ผมจะ...จะ...โอ๊ย!!! ทำไมชีวิตผมจะต้องมาอยู่กับผู้ชายคนนี้ด้วยเนี่ย!!! แถมมือถือของผมก็ถูกยึดไปอีก ไม่สิ...เรียกได้ว่าขว้างออกไปนอกรถจะดีกว่า แบบจงใจสุดๆ ด้วย ก็ตอนที่ผมกำลังจะโทรให้คนมาช่วย จู่ๆ ตะวันก็เอื้อมมือมาแย่งแล้วก็โยนทิ้งนอกรถอย่างหน้าตาเฉย ทำให้ตอนนี้ผมไม่มีเครื่องมือสื่อสารอะไรติดตัวเลย! แล้วเขาก็ขับมาที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันออกมานอกเส้นทางกรุงเทพฯ แล้ว!
“ย้ายมานั่งข้างหน้าซะ”
ตะวันออกคำสั่งอีกครั้ง
“ไม่! ฉันไม่ย้าย ฉันจะนั่งตรงนี้ นายนั่นแหละมีอะไรก็ถามมา!”
เรื่องอะไรที่ผมจะต้องย้ายไปนั่งหน้าด้วยละ ใครใช้ให้เขาปลอมตัวเป็นคนขับรถเอง อยากเป็นคนขับรถนักก็นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ
“ถ้าไม่มาก็ขับเล่นอยู่แบบนี้แหละ”
“ตะวัน!”
“ครับ”
เขายังทำลอยหน้าลอยตา ไม่สนใจคำห้ามของผมเลย ต่อให้ผมทำท่าฟึดฟัดไม่พอใจตะวันก็คงจะไม่ยอมง่ายๆ แน่ๆ นี่ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย! ว่าภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยและแน่นิ่งของเขาแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์จนน่าหมั่นไส้! ผมเองก็ไม่ยอมเหมือนกันดูซิว่าเขาจะทนได้สักกี่น้ำ ผมยังคงนั่งหน้าเชิดนิ่งอยู่แบบเดิม ส่วนตะวันก็ยังขับรถออกไปนอนเส้นทางเรื่อยๆ
โอ๊ย!!! นี่กะว่าให้ผมทำตามอย่างนั้นใช่ไหม! ได้ๆ ทำก็ได้!
“ฮึ๊ย!”
ผมสะบัดอารมณ์ออกมานิดหน่อยก่อนที่จะย้ายตัวเองไปนั่งด้านหน้า อย่าให้ถึงคราวผมมั่งนะ จะเอาให้หนักเลย!
“มีอะไรก็รีบๆ พูดมา...”
ปุ!
แต่ในขณะที่ผมยังไม่ทันจะพูดจบคำ อะไรบางอย่างก็มากระทบตัวรถทำให้ตะวันถึงกับขับเซเล็กน้อย ผมรีบหันไปมองทางด้านหลังอัตโนมัติเห็นว่ามีมอเตอร์ไซต์คันนึงกำลังขับตามรถที่ผมนั่งอยู่ พวกมันมีอยู่สองคน คนนึงขับอีกคนก็กำลังเล็งปืนมาทางผม ผมไม่เห็นหน้าพวกมันเพราะหมวกกันน็อคสีดำสนิทที่ใส่ปิดบังใบหน้า
ปุ! ปุ!
พวกมันยิงกระสุนใส่ตัวรถ ตะวันมองไปที่กระจกทางด้านหลังแล้วพยายามขับหนีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เอี๊ยด!
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ตะวันถามไปพยายามบังคับรถไป ดูเขาแล้วก็คงจะงุนงงไม่น้อยแต่ก็หยุดรถไม่ได้เพราะถ้าจอดรถเมื่อไหร่เป็นอันจบเห่กันพอดี
“ฉันจะไปรู้เหรอ!”
“ก้มลงไปซะ!”
“อะ โอ๊ย! มากดหัวฉันทำไม ฉันไม่ก้ม!”
ผมร้องออกมาเมื่อตะวันก็จับหัวผมให้มุดลงไปที่เบาะที่นั่งคนขับ แรงอย่างกับควาย! ถ้าคอผมหักจะทำยังไงละ!
“เดี๋ยวก็ตายหรอก ก้มไปเถอะ!”
ปุ! ปุ!
เอี๊ยด!!!
ยิ่งสถานการณ์ย่ำแย่ลงทุกทีๆ ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะจงใจที่จะฆ่า...ฆ่าใคร? ฆ่าผมอย่างนั้นเหรอ...แล้วมันก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นทำงานเร็วมาก คิดจะฆ่าผมทันทีที่ทำงานจบ หึ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ธุรกิจแบบนี้ไม่เข้าใครออกใคร หมดประโยชน์เมื่อไหร่เป็นอันต้องถูกกำจัด แต่ตอนนี้ไม่ใช่จะมาห่วงเรื่องแบบนั้น! เพราะว่าสิ่งที่น่าห่วงที่สุดก็คือคนที่นั่งข้างๆ ผม เขากำลังขับรถหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือตะวันกำลังโดนเล็ง!
ชายชุดดำสวมหมวกสีดำปิดบังใบหน้า ขับมอร์เตอร์ไซต์มาขนาบข้างด้านฝั่งที่ตะวันนั่งอยู่
“ตะวัน! ระวัง!”
ปุ!
เพล้ง!
เอี๊ยดด!!!!
ผมจับเบาะรถไว้แน่นหลับตาปี๋อัตโนมัติ รู้สึกถึงแรงเหวี่ยงของตัวรถมหาศาลเมื่อตะวันพยายามหักพวงมาลัยรถหลบไปอีกทางและพายามทรงตัวให้อยู่ ตอนนี้ไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้ว มันดูน่ากลัวไปหมดเลย ผมได้แต่ภาวนาขอให้มันจบลงโดยเร็ว
“โธ่เว้ย!”
ปุ! ปุ!
เอี๊ยด! เอี๊ยด!
ดูเหมือนว่าตะวันจะหัวเสียพอดู เขาสบถออกมาอย่างนึกโมโหแต่ก็ยังพยายามสะบัดให้หลุดจากผู้ร้ายทั้งสองคน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นได้จบเห่กันแน่! จะทำยังไงดีนะ! พวกมันมีอาวุธ มีปืน แต่พวกเราไม่มีอะไรเลย จะเอาตัวรอดยังไงดี!!!
ตะวันพยายามปกป้องผม เขาไม่ถามด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าเคร่งเครียดของเขาในตอนนี้มันทำให้ผมรู้เลยว่าเขากำลังพยายามที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ยังไง ส่วนผมก็คงทำได้แค่หลับตาแล้วก้มตัวหลบ
น่าสมเพชดีจัง
“ไม่เป็นไรแล้วเรย์”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกกับผมพร้อมกับตัวรถที่ค่อยๆ ขับเคลื่อนช้าขึ้น ตะวันสะบัดพวกนั้นหลุดออกแล้ว แต่ดูท่าว่ารถของเขาจะได้รับความเสียหายมากพอดูเหมือนกัน เล่นโดนยิงซะขนาดนั้น ดีหน่อยที่พวกมันยิงไม่โดนตัวไม่อย่างนั้นป่านนี้ก็คงได้ตายไปแล้ว
“อะ อะไร”
ร่างสูงหันหน้ามามองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบ จนทำเอาใจคอผมสั่นไปหมด
“คนพวกนั้นเป็นใคร”
เขาถามพลางขับรถไปเรื่อยๆ
“คะ ใครมันจะไปรู้เล่า! ฉันก็มาพร้อมกับนายเนี่ย!”
ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น ต้องทำตัวไม่ให้น่าสงสัยที่สุดไม่อย่างนั้นคนอย่างตะวันถามไม่หยุดแน่ๆ
“หึ ดี...ถ้าไม่บอกก็อยู่กับแบบนี้แหละ!”
แต่แทนที่ตะวันจะซักไซ้ตามที่ผมคิดแต่ผมก็กลับคิดผิดเมื่อจู่ๆ เขาก็ประกาศกร้าวขึ้นมา ถ้าหากว่าผมไม่ยอมบอกเขาก็คงจะพาผมไปแบบนี้เรื่อยๆ อย่างแน่นอน
“ตะวัน! นายจะพาฉันไปไหน ฉันไม่ไป! พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ! ตะวัน!!!”
!!!
 .
.
.

“บัดซบ!”
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
“ปล่อยมันหนีไปได้ยังไง!”
บดินทร์ฟาดมือไปยังใบหน้าของลูกน้องตัวเองด้วยความโมโห หลังจากที่พวกมันปล่อยให้เรย์หนีไปได้ ทั้งๆ ที่เขาอุตสาห์ไม่ส่งคนตามแล้วเชียว! แถมยังสั่งไม่ให้คนของเอเดนคุมอีก ก็ยังจะทำงานผิดพลาดกันได้! มันน่าโมโหนักเชียว!
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษครับนาย”
ร่างสูงใหญ่ก้มหน้ารับความผิด
“ฮึ๊ย! ไป! ไปหน้าพ้นหน้าฉัน! ถ้ากำจัดมันได้เมื่อไหร่ค่อยโผล่หน้ากลับมา!”
บดินทร์ชี้นิ้วไล่ ทำให้ลูกน้องทั้งสองคนรีบปรี่ออกไปทันที
นับว่าโชคดีนักนะที่สามารถหนีรอดไปได้ แต่จะรอดได้สักกี่น้ำ เชื่อได้เถอะว่าอีกไม่นานบดินทร์จะต้องได้รับข่าวดีแน่ๆ ถ้ากำจัดเรย์ได้เมื่อไหร่เรื่องทำลายหลักฐานก็ไม่ต้องห่วงเลย แค่มีเงินและมีอำนาจแค่นั้น ทุกอย่างก็สามารถดลบันดาลให้ทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเรย์ในตอนนี้จะอยู่ในสถานะของคู่หมั่นลูกชายตัวเองก็ตาม
ปัง!
“คุณพ่อ!”
บานประตูที่ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของเอเดนเดินสาวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแลดูถึงความโกรธจัด
“กลับมาแล้วเหรอ”
บดินทร์คลี่ยิ้มให้เหมือนอย่างเคย
“พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง!”
แต่สิ่งที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเอเดนมันกลับทำให้บดินทร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสดงสีหน้าทำเหมือนไม่รู้เรื่อง
“อะไร?”
“พ่อส่งคนไปฆ่าเรย์!”
เอเดนแสดงถึงความโกรธจัด ใช่! ตอนนี้เขากำลังโกรธบดินทร์! ที่สั่งคนไปฆ่าเรย์ลับหลังเขาแบบนี้! ถึงว่าช่วงนี้บดินทร์ถึงได้ให้งานหนักๆ แถมยังส่งปำงานที่อื่นอีก นี่ถ้าหากว่าเขาไม่นึกเอ๊ะใจและไม่สั่งให้คนแอบตามสืบคงไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองกำลังมีแผนการสังหารเรย์อยู่เป็นแน่!
“หึ ใช่ ฉันเป็นคนสั่งเอง”
“พ่อทำแบบนี้กับผมได้ยังไง! พ่อสัญญากับผมแล้ว อีกอย่างตอนนี้เรย์ก็เป็นคู่หมั่นผม!”
“แล้วแกคิดจริงๆ เหรอว่าฉันจะให้แกแต่งงานกับผู้ชาย ห่ะ!”
“แต่!...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น! อย่าลืมสิเอเดน ตระกูลเรายังต้องการทายาท เรย์ให้แกไม่ได้ แล้วอีกอย่างขนาดพ่อมันมันยังหักหลังมาแล้ว คิดเหรอว่าคนที่เป็นคนอื่นแบบแกกับฉันเรย์จะหักหลังไม่ได้! อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับธุรกิจ... เข้าใจไหมเอเดน”
คำกล่าวอ้างถึงเหตุผลต่างๆ นาๆ ทำให้เอเดนนิ่งงันไปชั่วครู่ เขามองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยสายตาที่แสดงถึงความผิดหวัง เอเดนกำลังผิดหวังในตัวบดินทร์แต่ก็ไม่อาจถกเถียงถึงสิ่งที่เอ่ยกล่าวออกมาได้แต่อย่างใด บดินทร์พูดถูกทุกอย่าง ขนาดพ่อของเรย์...เรย์ยังทำมาแล้วได้เลย นับประสาอะไรกับคนอื่นอย่างเขา มันไม่มีทางที่เรย์จะหวังทำดีด้วยได้อยู่แล้ว ถึงตอนนี้เรย์อาจไม่คิดแต่ภายในอนาคตใครมันจะไปรู้
บดินทร์ยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเอเดนกำลังคิดตามตัวเอง นี่แหละ...มันต้องฉลาดแบบนี้ ผู้ที่จะรีบสืบทอดบริษัทฯ ต่อจากเขา ชายวัยกลางคนจับไปที่บ่าของลูกชายตัวเอง
“ต่อจากนี้แกจะรักใครชอบใครหรืออยากเล่นๆ กับใครฉันจะไม่ว่า ตามใจแก...กลับไปทำงานซะ ส่วนเรื่องเรย์ ฉันจะจัดการทุกอย่างเอง”
“แต่สำหรับผมมันไม่ใช่! เรย์เป็นของผม! พ่อไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!”
เอเดนหันไปมองบดินทร์ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ
“แกรักมัน?”
บดินทร์ข่มความโกรธเอาไว้แล้วกัดฟันถาม นึกแค้นใจนักที่ผู้ชายคนเดียวทำให้เอเดนเกิดอาการต่อต้าน ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่เอเดนจะไม่เชื่อฟังเขา
ทั้งหมดมันเป็นเพราะเรย์!
เพราะเรย์เพียงคนเดียว!!!
“ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าผมต้องการเรย์! แล้วพ่อก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเรย์!”
“เอเดน! เอเดน! โธ่เว้ย!”
เอเดนตอบเสียงกร้าวก่อนที่จะหันหลังเดินจากออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจเสียงเรียกของบดินทร์ที่ดังมาตามหลัง
ร่างสูงขบกรามแน่นพลางคิดถึงคนร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังหนีหายอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือตามหาตัวเรย์ให้พบ ส่วนเรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าครอบครัวของเรย์จะถูกกำจัดให้หายออกไปจากโลกนี้ยังไงซะเขาก็ไม่สน แต่เพียงแค่เรย์เท่านั้น! ที่ไม่สามารถปล่อยไปได้
‘นายต้องเป็นของฉัน เรย์!’
 .
.
.
.
“ตะวัน! นายปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!!”
ปัง! ปัง! ปัง!
ผมทุบไปที่บานประตูรัวๆ อย่างโมโห! ใช่! ผมกำลังโมโหมาก!!! มากถึงมากที่สุด! ตะวันพาผมมาที่ไหนก็ไม่รู้ รู้สึกว่าผมจะอยู่แถวๆ แม่ฮ่องสอนที่อยู่ตรงไหนสักที่นี่แหละ พอมาถึงเขาก็ลากผมเข้ามาในบ้าน ผมที่พยายามหนีแล้วหนีอีกก็หนีไม่พ้นจนถูกจับมาขังแบบนี้แหละ
“นายก็บอกฉันมาสักทีสิ ว่าพวกนั้นเป็นใคร”
ตะวันที่อยู่อีกฝากประตูพูดขึ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์เดิมๆ ที่ผมเพิ่งเอาตัวรอดไปหมาดๆ
“ฉันจะไปรู้ไหมเล่า! ปล่อยฉันนะ!”
“แค่นายบอกฉันมาว่าพวกนั้นเป็นใคร ทำไมถึงตามล่านาย แล้วสิ่งต่างๆ ที่นายทำ ฉันก็พร้อมที่จะปล่อยนายออกมา”
“ฉันก็บอกว่าไม่ไม่รู้เรื่องไงเล่า! ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง อีกอย่างคนที่พวกนั้นตามอาจจะเป็นนายก็ได้”
“อย่าคิดว่าฉันโง่นะเรย์ ฉันไม่เคยมีศัตรูที่ไหน”
ตะวันยังคงทำตัวดื้อดึงเหมือนเดิม ก็จริงที่เขาพูด...ตะวันไม่เคยมีศัตรูที่ไหน เพราะฉะนั้นคนๆ เดียวที่จะถูกตามล่าได้ก็มีแค่ผม
“ไม่รู้! ก็บอกว่าไม่รู้ไงเล่า!”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็อยู่ในนั้นไปนั่นแหละ”
“ตะวัน! ตะวัน!!!”
ปัง! ปัง! ปัง!
แต่ดูท่าทีแล้วตะวันคงไม่ยอมเปิดให้ผมง่ายๆ แน่ๆ แล้วตอนนี้ผมก็เจ็บมือมากด้วยกับอาการอ่อนเพลียของร่างกายที่เพิ่งเจอมา มันก็เลยทำให้ผมหยุดทุบประตูเซ๋งเคร็งนี่แล้วพาร่างตัวเองไปที่เตียง ตะวันกล้าดียังไงมาสั่งผม! เขากล้ามากที่มาขังผมด้วย! รู้จักกันมาตั้งนานนะแต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าตะวันจะกลายเป็นคนแบบนี้ ทั้งเอาแต่ใจและยังชอบบังคับอีก!
ฮึ๊ย! คิดแล้วขัดใจ!
แล้วก็ด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องมาจับเจ่าอยู่กับที่เลยทำให้ผมเลือกที่จะเอนตัวนอนพลางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นาน ผมเพิ่งทำงานให้เขาเสร็จก็สั่งเก็บผมเลยเหรอเนี่ย ฮ่าๆ มันน่าตลกดีนะ ทำเหมือนกับในละครเลย ผมรู้...คนอย่างบดินทร์ไม่คิดที่จะปล่อยผมให้รอดไปได้ง่ายๆ แน่ๆ เขาจะต้องหาทางกำจัดผมอีก แล้วถ้าเป็นแบบนั้นตะวันก็จะตกอยู่ในอันตราย
“ไม่ๆ คิดอะไรเนี่ย!”
ผมส่ายหัวตัวเองไปมาเพื่อไล่ความคิด ทำไมต้องไปห่วงผู้ชายพรรณนั้นด้วย! เขาทำตัวของเขาเอง มายุ่งกับผมเอง ถ้าจะตายมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับผมนี่
 

ไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:45:13



 

 
ตอนที่ 23

[ตะวัน]
แอ๊ดด
ผมเปิดประตูเข้าไปยังห้องที่ขังเรย์เอาไว้ที่ตอนนี้เงียบไปแล้ว คงจะเหนื่อยจากการเดินทางถึงได้หลับไปแบบไม่รู้ตัว แล้วก็คงไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าผมกำลังอยู่ใกล้ๆ พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็อดที่จะทำให้ผมคิดไม่ได้จริงๆ ว่าเรย์น่ารักมาก...มากซะจนผมอยากจะครอบครองเขาแต่เพียงผู้เดียว
นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้เห็นร่างเล็กบอบบางหลับอยู่ใกล้ๆ กว่าจะเข้าใกล้เรย์ได้ขนาดนั้นมันไม่ได้ง่าย ผมใช้อำนาจเงินแฝงตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของเอเดน แล้วออกกลอุบายนิดหน่อยเพื่อให้คนที่เฝ้าเรย์อยู่ให้ออกห่างก่อนที่จะพาเรย์ออกมาจากบ้านหลังนั้น แต่ก็ดันเกิดเรื่องซะก่อน...
มีคนคิดจะกำจัดเรย์
ผมไม่รู้หรอกว่าเรย์กำลังมีเรื่องอะไร แต่ที่รู้ๆ เรย์คงไม่ปริปากบอกผมง่ายๆ แน่ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรย์กำลังทำคืออะไรกันแน่ ทำไมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้น ไปยุ่งกับคนชั่วๆ แบบครอบครัวเอเดน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าครอบครัวเอเดนทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร ถ้าคนภายนอกมองอาจมองเห็นว่าแค่ธุรกิจส่งออกและปล่อยเงินกู้อย่างทั่วๆ ไป แต่ใครจะรู้ว่าที่แท้จริงแล้วภายใต้หน้ากากสังคมคนพวกนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ปล่อยเงินกู้ที่ผิดกฎหมาย ค้าสารเสพติดและทำร้ายร่างกาย ถ้าจะให้พูดให้ถูกก็คือ...คนพวกนั้นชั่วอย่างไร้ที่ติ
บ้านที่ผมพาเรย์มาอยู่เป็นบ้านพักส่วนตัวอีกหลัง จริงๆ ก็เป็นบ้านที่ผมเคยมาอยู่ตอนเด็กๆ นั่นแหละ เอาไว้เป็นที่พักตอนที่มาทำธุระหรือมาเที่ยว แต่พอหลังจากย้ายไปอเมริการผมก็ไม่ได้มาอีกเลย แต่ครอบครัวผมก็ยังจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดเอาไว้ตลอด เพื่อว่าวันใดวันนึงจะกลับมาเหมือนเดิม ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจพาเรย์มาที่นี่หรอก แต่เพราะเจ้าตัวเอาแต่ดื้อด้านไม่ยอมปริปากพูดออกมาง่ายๆ ผมก็เลยพามาซะเลย แต่กว่าจะมาถึงได้ก็เสียเวลาหลงทางนานเหมือนกัน
“อืม”
เสียงครางหวานแผ่วเบาพร้อมกับเจ้าตัวที่ขยับท่าทีเล็กน้อยเพื่อให้นอนสบายขึ้น ท่าทางน่ารักๆ ของเรย์มันทำให้ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้จริงๆ
ผมลูบไปที่ใบหน้าหวานอย่างเมือที่สุดก่อนที่จะก้อมหน้าลงไปใกล้ที่แก้มนวล
ฟอดด
ฝันดีนะ
 .
.
.
.
[เรย์]
ผมตื่นมาอีกทีก็ตอนค่ำ พอตื่นมาก็มีผ้าห่อมคลุมตัวผมเอาไว้แล้ว ไม่อยากคิดเลยจริงๆ ว่าตะวันเขาตะเป็นคนห่มผ้าให้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าเขาเข้ามาตอนที่ผมหลับนะซิ!
แกร็ก
“ตื่นแล้วเหรอ”
บานประตูที่ถูกล็อคสนิทถูกเปิดออกมาจากด้านนอกพร้อมกับคนที่ผมไม่อยากเจอหน้าที่สุดโผล่เข้ามาให้เห็น
“ลงไปกินข้าวเถอะ”
เหอะ! คงจะมีอารมณ์กินหรอกเนอะ!
“ไม่!”
ผมตอบแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น...คอยดู! จะประท้วงให้ดู!!!
จ๊อก...
แต่ดูเหมือนว่าท้องของผมจะไม่ให้ความร่วมมือเลย มันดันร้องออกมาซะงั้น แถมยังเสียงดังมากซะด้วย
“หึหึ”
เสียงคนที่ยืนอยู่หน้าประตูหัวเราะออกมาเบาๆ
“อะ อะไรเล่า! หัวเราะอะไร!”
ผมหันไปตวาด...ไม่ได้หิวนะ แต่แค่ท้องมันร้องแค่นั้นเอง
“เปล่านี่ ไปกินข้าวเถอะ หิวไม่ใช่เหรอ”
“ก็บอกว่าไม่หิวไงละ! เฮ้ย! จะทำอะไร ปล่อยฉันนะตะวัน!!!”
ขณะที่ผมกำลังจะปฏิเสธแต่ยังพูดไม่ทันจบ ร่างหนาของตะวันก็เข้ามาประชิดตัวแล้วอุ้มผม! แถมยังอุ้มในท่าเจ้าหญิงซะด้วย!!!
ตะวันไม่ยอมปล่อยผมเลย เขาหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มผมไปที่โต๊ะอาหาร ไม่เพียงแค่นั้นเขายังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระแต่กลับจับผมนั่งตักเขา แล้วกอดผมเอาไว้แน่น ทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องให้มานั่งตักแล้วป้อนข้าว
ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ย!
นี่ผมยังไม่แปรงฟันเลยนะ! ตื่นมาจะให้กินเลยหรือยังไง!
“อ้าปาก”
“ไม่!”
ผมหันหน้าหนี..
เรื่องอะไรจะยอม! เขาไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับผม!
“ดื้อจริงๆ”
เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วจับผมให้เปลี่ยนท่าให้นั่งหันหน้ามาทางเขา แล้วใช้มือซ้ายโอบเอวผมไว้เหมือนเดิม ท่านั่งที่ล่อแหลมแบบนี้มันทำให้ผมทำตัวแทบไม่ถูก พยายามจะดันตัวเองออกมาแต่แรงของตะวันกลับมีมากกว่าที่ผมคิด
“ปล่อย! ปล่อยนะตะวัน!”
ผมดิ้น แล้วก็ดิ้น แต่ก็เหมือนเดิม ตะวันไม่ยอมปล่อย
“เรย์...ถ้านายจะยังมาดิ้นแบบนี้มันจะแย่เอานะ”
“...?”
ผมหยุดนิ่งแล้วมองตะวันอย่างไม่เข้าใจ การที่ผมจะดิ้นหนีเอาตัวรอดมันทำให้ผมแย่ตรงไหน?
แต่ว่า...สายตาของผมก็ดันไปสะดุดกับช่วงล่างของตะวันที่ตอนนี้กำลังพองนูนเล็กๆ แค่มองดูก็รู้เลยว่าเขากำลังเกิดอารมณ์ มันถึงกับทำให้ผมหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที
“อะ อะ ไอ้บ้า!”
“อยู่เฉยๆ แล้วกินข้าวซะ”
ร่างหนาดันร่างของผมให้แนบชิดเข้าไปอีก จนใบหน้าของเราทั้งคู่เกือบจะชิดกันอยู่รอมร่อ ถ้าไม่มีมือของผมคอยดันเอาไว้นะ ป่านนี้คงยิ่งกว่านี้แน่ๆ... ตะวันกำลังมองผมด้วยแววตาหยาดเยิ้ม เราสองคนสบตากันท่ามกลางความเงียบงันพร้อมกับเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ
ตึก ตึก ตึก
“ปะ ปล่อยเซ่! อยู่แบบนี้แล้วจะกินได้ไงเล่า!”
ผมเบือนหน้าหนีแล้วเปลี่ยนเรื่อง...
“จะป้อน”
“ห่ะ!”
“ไม่งั้นก็นั่งอยู่แบบนี้แหละ”
พอผมตั้งท่าจะท้วง ตะวันก็พูดดักขึ้นมาซะก่อน
โธ่เว้ย! ไอ้บ้านี่! ได้คืบแล้วจะเอาศอก!!!
แต่พอเห็นสายตาของตะวันผมก็รู้เลยว่าเขาไม่ได้พูดเล่นแน่ๆ ต่อให้ผมขัดขืนยังไงก็คงไม่มีทางที่จะหนีพ้น ผมก็เลยต้องยอมจำใจเป็นฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย แม้ว่าภายในใจไม่ได้อยากทำซะเท่าไหร่ก็เถอะ แต่การที่จะต้องมานั่งตักผู้ชายด้วยกันแบบนี้มันน่าอาย...น่าอายที่สุด!
เขาป้อนข้าวผมไปมองผมไป บางทีก็หัวเราะกับท่าทีพยศเล็กๆ ของผม ทำราวกับว่าผมเป็นเด็กที่กำลังถูกขัดใจอย่างนั้นแหละ แล้วกว่าจะกินเสร็จก็ทำเอาหน้าของผมแทบสุกเลยก็ว่าได้ เพราะอะไรนะเหรอ? ก็เพราะว่าผมนั่งทับไอ้นั่นของตะวันอยู่ไงละ! แถมมันดันนูนขึ้นมาสัมผัสกับของๆ ผมอีก! ถึงจะมีเสื้อผ้ากั้นกลางก็เถอะ แต่ให้ผู้สายสองคนมานั่งแบบนี้มันก็น่าอายสุดๆ
อีตาบ้า!
 
โครม!
เสียงข้าวของที่หล่นกระจายเพราะน้ำมือบางของนันที่ปัดลงพื้นด้วยความโทสะ จะให้ต้องมาทนอยู่บ้านโกโรโกโสแบบนี้นะเหรอ! สู้ยอมที่จะตายๆ ไปซะยังดีกว่า
“ฉันทนอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอกนะคุณพจน์! ฉันทนไม่ได้! ฉันอยู่ไม่ได้!” นันเอ่ยเสียงกร้าวใส่สามี
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง!”
“ขอความช่วยเหลือสิ! ความช่วยเหลือจากเพื่อนของคุณ เพื่อนๆ คุณมีเยอะไม่ใช่เหรอ เขาต้องช่วยเราได้อยู่แล้ว เงินแค่ไม่กี่ล้านขอยืมเขาสิคุณ!”
“คุณยังจะให้ผมหน้าด้านไปขอความช่วยเหลือพวกเขาอีกหรือไง! ขนาดเพื่อนคุณเขายังหนีคุณเลย แล้วผมเป็นใคร! ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคุณนักหรอกคุณนัน!... ไม่มีใครช่วยพวกเรา! เข้าใจไหมคุณนัน! ไม่มีใครช่วยพวกเรา!!!”
หมดแล้วซึ่งความอดทน พจน์หันตวาดภรรยาตัวเองทันทีหลังจากที่ทนฟังบ่นมาเป็นชั่วโมงๆ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่ใจเย็นและสุขุมแต่ใครจะทนได้นานเล่าเมื่อภรรยาที่น่ารักและเรียบร้อยกลับกลายเป็นคนมีปากมีเสียงและมีท่าทีแสดงออกถึงความก้าวร้าว พจน์ไม่คิดเลยจริงๆ ว่านันจะกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ เหมือนกับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ยิ่งทำให้พจน์รู้สึกผิดหวัง...ผิดหวังมากจริงๆ
“นี่คุณ! นี่คุณกล้าตวาดฉันเหรอคุณพจน์!”
นันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ ว่าสามีของเธอจะกล้าขึ้นเสียงใส่ มือบางทุบไปที่ไหล่ของพจน์เพื่อระบายความอัดอั้นและโมโห
“พอสักทีเถอะคุณนัน! อย่าให้ผมสมเพชคุณไปมากกว่านี้เลย!”
ปัง!
พูดจบพจน์เดินออกจากห้องไปทันที
“คุณพจน์! คุณพจน์! ฮือ ฮือ”
นันร้องไห้ออกมาด้วยความอดสู น่านึกน้อยใจผู้เป็นสามีนัก! ทำไมกันนะ...ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าเธออยู่อย่างนี้ไม่ได้ นันไม่อยากกลับไปมีชีวิตเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วไม่อยากกลับไปอดๆ อยากๆ ต้องกัดฟันทน ดิ้นรนสู้ชีวิตเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มันเป็นอดีตที่เลวร้ายจนเธอไม่อยากจดจำจริงๆ แต่ทั้งนันและพจน์หารู้ไม่ว่าเสียงที่พวกเขาโต้เถียงกันเมื่อสักครู่กลับมีร่างเล็กอีกคนได้ยินเต็มสองรูหู
“ฮึก คุณพ่อ คุณแม่...”
หนึ่งร้องไห้ออกมาเบาๆ พยายามสกัดกลั้นเสียงตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา มือบางยกปิดปากตัวเองเอาไว้ด้วยกลัวว่าพวกท่านทั้งสองจะได้ยิน เพราะกำแพงเป็นกำแพงไม้ราคาถูก ดังนั้นการเก็บเสียงจึงไม่ต้องพูดถึงเลย มันไม่มีด้วยซ้ำ... หมดตัวยังไม่พอ พ่อกับแม่ก็ยังมาทะเลาะกันอีก ปัญหาที่เริ่มถามโถมเข้ามาทำให้หนึ่งจนปัญญาที่จะแก้ ราวกับว่าตัวเองกำลังหลงอยู่ในเขาวงกตที่หาทางออกไม่เจอ
“ตะวัน นายอยู่ที่ไหน”
ร่างเล็กครางเรียกชื่อคนที่คิดถึงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งๆ ที่ตอนนี้ต้องการกำลังใจที่สุด แต่คนที่เรียกหากลับหายไปไร้ซึ่งเงาของเจ้าตัว
หนึ่งกำลังคิดถึง...คิดถึงตะวันเหลือเกิน
 
 .
.
.
.
หลายวันผ่านไป
ตะวันพาผมมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้นี่ก็ปาไปหลายวันแล้ว วันๆ ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง ในทุกๆ วันจะมีคนมาส่งข้าวส่งน้ำให้ไม่ขาด แล้วพอถึงเวลาตะวันก็จะพาผมไปกินข้าวโดยที่เขายังป้อน! ผมเหมือนเดิม... เน้นย้ำคำว่าป้อนมากๆ พอผมจะกินเองเขาก็เอารัดเอาเปรียบผม หาเศษหาเลอจากร่างกายของผมจัง! ลูบๆ คลำๆ จนตัวผมแทบจะสึกหมดแล้ว!
“เฮ้อ”
บ่นมากไปก็เท่านั้น ถอนหายใจทิ้งดีกว่า เพราะยังไงตะวันก็คงไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ ใช่ว่าผมจะไม่หนีนะ ผมหนีแต่ก็ถูกตะวันจับได้ทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะหนีเขาพ้น พอเขาจับผมได้ทีไรก็มักจะมานั่งจ้องหน้าทำตัวติดกับผมเป็นตังเม บอกตรงๆ ว่าเบื่อมาก!!! แม้กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน
“หึหึ”
“ชิ!”
ผละเกลียดเสียงหัวเราะของเขาจริงๆ
“เหนื่อยที่จะหนีแล้วไง”
“...” ผมไม่ตอบ ไม่หันหน้ามามองเขาด้วยซ้ำ
“เมื่อไหร่นายจะเลิกหนีสักทีนะเรย์”
“นายก็ปล่อยฉันเซ่!”
แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มบางๆ พร้อมกับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเคย มันน่าโมโหนักนะ! ผมไม่เคยคิดเลยว่าตะวันจะกลายเป็นผู้ชายแบบนี้!!! ภายใต้ใบหน้าที่แน่นิ่งแต่กลับเป็นคนที่เอาแต่ใจมาก! ถึงมากที่สุด!!!
“แล้วจะกอดฉันไปถึงเมื่อไหร่ ปล่อยได้แล้ว!”
“ไม่”
“นี่!”
ผมขึ้นเสียงใส่ ผู้ชายอะไรทำไมหน้าด้านได้ขนาดนี้นะ! มันจะน่าโมโหเกินไปแล้ว!
“นายก็เลิกดื้อสักทีสิ”
นี่สรุปกลายเป็นว่าผมเป็นคนผิดใช่ไหม?
“ฉันเปล่าดื้อ!”
“ถ้านายไม่ดื้อก็บอกมาซะทีสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่...คนพวกนั้นเป็นใคร”
คำถามเดิมๆ ที่มักจะออกมาจากปากของเขาเป็นประจำ ผมเม้มปากแน่นเงียบสนิท เรื่องอะไรจะยอมบอกละ...มันไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย มันไม่จำเป็นที่เขาจะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ไม่จำเป็นจะต้องรู้ว่าทำไมผมถึงต้องมาหมั่นกับเอเดนและเหตุผลต่างๆ ที่ผมทำ
มันไม่เกี่ยวกับเขาสักนิด
“กะ ก็บอกว่าไม่รู้เรื่องไงเล่า! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง!”
“...เรย์”
เสียงทุ้มต่ำเรียกผมอีกครั้ง
“อะไร! นี่นาย...”
“ฉันอยากอยู่แบบนี้กับนายตลอดไปจัง”
ตึก!
คำพูดเบาๆ ของตะวันแต่ผมกลับได้ยินชัดเจน แล้วมันก็ทำให้วูบนึงใจของผมกระตุก ทุกอย่างรอบตัวราวกับหยุดหมุนอัตโนมัติ ดวงตาที่ตะวันมองมายังผมมันกำลังเปร่งประกาย...ดวงตาที่แสดงออกถึงความห่วงใย
“พะ พูดอะไรของนายเนี่ย! ปล่อยฉันได้แล้ว!”
ผมแสร้งทำเป็นเมินทั้งที่ใจมันกำลังสั่นไหว ไอ้หัวใจไม่รักดีเอ้ย! จะมาเต้นดังทำไมเนี่ย! ถ้าเกิดว่าตะวันเขารู้ว่าผมกำลังหวั่นไหวเพราะเขานะ มีหวังได้อยากเอาหน้ามุดลงดินแน่ๆ เกิดมาจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยมีใครมาทำแบบนี้กับผมเลย จะมีก็แต่ตะวันนี่แหละที่ใจกล้าหน้าด้านมากอดอยู่นั่นแหละ! กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าก็ไม่รู้
“หึหึ”
หนอย! ยังจะมาหัวเราะอีก หูหนวกหรือไง ห่ะ!
“เบื่อไหม?”
“เหอะ ยังจะกล้ามาถามอีกนะ นายก็ลองมาเป็นฉันซิจะได้รู้ว่าเบื่อหรือไม่เบื่อ”
“ไว้ฉันจะพานายไปเที่ยว”
“ไม่จำเป็น! แค่ปล่อยฉันก็พอ”
ใช่! มันไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องมาทำแบบนี้ มันไม่จำเป็นสักนิดเดียว ผมอยู่ตัวคนเดียวได้ ทำทุกอย่างตัวคนเดียวได้
“ฉันเป็นห่วงนายนะเรย์”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ ใบหน้า ดวงตา และทุกๆ อย่างที่คนๆ นี้พูดมา มันกำลังกลืนกินผม มันกำลังจะเริ่มทำให้ผมกลับไปอ่อนแออีกครั้ง
“หึ เป็นห่วงงั้นเหรอ พูดง่ายดีนะ...นายลืมไปแล้วเหรอ ว่าเมื่อก่อนนายเองก็มองฉันยังไง”
ผมเค้นยิ้มบอกด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้...ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะลืมเลือน ทุกคนรอบตัวต่างก็มองว่าผมเป็น ‘นางร้าย’ คนที่คอยเอาแต่แกล้งหนึ่ง คนที่ใจยักษ์ใจมารและทำทุกอย่างได้เพื่อความพอใจของตัวเอง...ตะวันเองก็เหมือนกัน เขาไม่ได้ต่างอะไรจากคนพวกนั้นเลย จะมาพูดอะไรตอนนี้...มันสายเกินไปแล้วละ เพราะผม...ไม่ใช่เรย์คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เรย์คนเก่าได้หายไปจากโลกนี้ ตั้งแต่วันที่เย็นไปจากผม...
 

อย่างไม่มีวันกลับ...
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:46:13

 
ตอนที่ 24

วิ้ว...
สายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านร่าง อากาศเย็นๆ ของธรรมชาติรอบตัวมันทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก บางทีก็รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องมานั่งคิดหาวิธีหนีผมก็เลยนั่งอยู่เฉยๆ บ้าง แต่พอลองทำแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ผมเริ่มที่จะสังเกตรอบตัวเองมากขึ้น บางทีผมคิดว่าที่นี่...มันก็สวยดีเหมือนกัน
จริงๆ แล้วตะวันก็ยังไม่ยอมปล่อยผมนะ เขาก็ยังจับผมอยู่นั้นแหละ เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่ผมมานั่งชมนกชมไม้ที่สวนหลังบ้านได้ก็เป็นเพราะว่าผมถูกตะวันยึดเสื้อผ้าออกหมดนะซิ! ให้ผมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวบางไม่มีแม้กระทั่งกางเกงชั้นใน! ดีหน่อยที่ชายเสื้อมันยาวเลยทำให้ผมไม่ค่อยโป๊ แต่คิดดูสิ...ผู้ชายต้องมาใส่ชุดแบบนี้รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น!
คอยดูนะ คอยดู! ถ้าออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่นะ ผมจะแจ้งตำรวจข้อหาทำ ‘อนาจาร!’
ตุบ
“เฮ้ย!”
ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ตะวันก็เข้ามาจู่โจมแบบไม่ให้ได้ทันตั้งตัว ร่างหนาเอนตัวลงมานอนตักผมโดยที่ไม่ได้ถามสักคำว่าเต็มใจจะให้เขานอนตักหรือเปล่า
“ง่วง”
ไม่พูดเปล่าแต่เขายังคงหลับตาพริ้มทำตัวไม่รู้สึกรู้สา ส่วนผมก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ตอนที่ถูกมือแกร่งโอบเอวซะแล้ว
“นี่ตะวัน! ลุกออกไปเลยนะ!!!”
ผมพยายามผลักตัวเขาให้ออกห่าง
“อืม อยู่เฉยๆ สิ ขอนอนหนุนตักหน่อย”
ตะวันไม่พูดเปล่าแต่กลับเอาหน้ามาซุกบนตักผมมากขึ้นกว่าเดิมแล้วเขาก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมาเหมือนเดิม ทำราวกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด
“ลุกออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ลุกออกไป!!!”
ผมทุบไปที่ไหลแกร่ง ไม่ยอมแพ้หรอก...ถ้าหากว่าไม่ลุกออกไปนะ ผมจะทุบให้ไหล่หักเลย!
แต่เพียงไม่นานนักผมก็หยุดมือพร้อมกับสะดุ้งตัวเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดตรงกลางลำตัว ขนแขนของผมก็พร้อมใจกันลุกชันทันที จะขยับก็ไม่กล้าจะขยับ ถึงจะเพียงแค่นิดเดียวแต่ลมหายใจอุ่นๆ ของตะวันก็กำลังหายใจรดตรงนั้นของผมอยู่ ผมก็เลยได้แต่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนเลยสักนิด
“ตะ...ตะวัน ออก...ออกไปนะ!”
“...”
“ตะวัน!”
“...”
“ตะวัน!”
ผมทั้งส่งเสียงเรียกและปลุกให้เจ้าตัวตื่น หวังเพียงสักนิดให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วสำนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร แต่ดูท่าแล้วคงจะไม่ง่ายแน่ๆ เพราะตะวันนอกจากจะไม่ขยับตัวแล้วเขายังกอดรัดเอวผมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก
อ๊ากก!!! ไอ้บ้าๆ
ฟี้~ ฟี้~
แต่พอผ่านไปไม่นานนัก ผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจอ่อนๆ ที่ถูกพ่นออกมาอย่างสม่ำเสมอ... นี่อย่าบอกนะว่าเขากำลังหลับ! ตะวันกำลังหลับอย่างนั้นเหรอ!!! แล้วดันมาหลับบนตักผมเนี่ยนะ!
“ตะ...”
แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างมันเลยทำให้ผมเลือกที่จะนั่งอยู่นิ่งๆ ท่าเดิม
ผมค่อยๆ เอื้อมมือบางไปเกลี่ยผมที่ปรกหน้าของตะวันเบาๆ ทำราวกับว่ากลัวเขาจะตื่นขึ้นมา ทำไมถึงไม่ผลักออกไปนะ...มันเป็นโอกาสดีไม่ใช่เหรอ? แต่ว่า...ผมกลับไม่ทำ แล้วปล่อยให้ตะวันนอนตักอยู่แบบนั้น... ความเงียบมันทำให้ผมเอนตัวไปทางด้านหลังแล้วทอดสายตามองไปบนท้องฟ้าสีคราม
ใจของผมรู้สึกสงบ...จนอยากที่จะหลับตาลงช้าๆ เพื่อลืมเรื่องราวทั้งหมดและความขุ่นมัวในใจ
ขอพักสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง
 
“อืมม”
ผมครางเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงเหมือนมีใครสักคนมายุ่งย่ามกับใบหน้าของผม แต่ด้วยความยากที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาเลยทำให้ผมยังขยับตัว แต่ก็ยังรู้สึกว่าถูกกวนอยู่เนื่องๆ แล้วที่ผมนอนก็รู้สึกนุ่มสบาย อบอุ่นดีจัง... เอ๊ะ? แต่เดี๋ยวนะ...ถ้าจำไม่ผิดผมต้องนั่งอยู่ที่สวนด้านหลังนี่นา...
พรึ่บ!
“เฮ้ย!”
พอคิดได้แค่นั้นแหละผมก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที แต่สิ่งแรกที่ผมเจอคือใบหน้าของตะวัน เขากำลังยิ้มให้แล้วเกลี่ยแก้มผมเล่นเบาๆ อยู่จนผมต้องปัดมือเขาออก แก้มผมไม่ใช่ของเล่นของเขานะถึงจะมาจับอยู่ได้!
ผมเผลอหลับไปเหรอเนี่ย!
“ฉันเป็นคนพามา”
แล้วดูเหมือนไม่ต้องให้ผมเอ่ยปากถามเลย ตะวันก็ตอบข้อสงสัยของผมซะหมด นึกๆ แล้วก็น่าอายนัก นี่ผมหลับไปได้ยังไงละเนี่ย
“แล้วทำไมนายไม่ปลุกฉัน!”
“ก็ไม่อยาก”
ดูสิ! ดูคำตอบของเขา! มันน่าโมโหนักนะ นี่จะหาเรื่องกันหรือไงกัน!
“ฉันอยากเห็นหน้านายตอนหลับ...แบบนี้”
ดวงตาคมมองมาทางผม แววตาที่เต็มไปด้วยหมายบางอย่างกำลังบอกอะไรกับผมอยู่จนทำให้ใบหน้าผมแดงซ่านขึ้นมา แล้วยังใจเต้นอีก ทุกอย่างรอบตัวราวกับถูกหยุดเวลาไว้ให้นิ่งงันจนผมแทบจะลืมหายใจเลยก็ว่าได้
“พะ พูดอะไรออกมา”
ผมเบือนหน้าหนีเพื่อหลบซ่อนใบหน้าที่แดงซ่าน
“ลุกไปอาบน้ำเถอะ”
“อ่ะ”
ตะวันยิ้มให้ผมแล้วขยี้หัวผมเบาๆ ทำเหมือนว่าผมเป็นเป็นน้อยยังไงยังงั้นแหละ แล้วจากนั้นเขาก็ลุกออกจากที่นอนแล้วเดินออกไปโดยที่ผมยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม... แต่ฝ่ามือที่ใหญ่ของเขามันทำให้ผมคิดถึง...
ใครบางคน...
ใครบางคนที่คุ้นเคย
ใครบางคนที่มักอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ
ภาพบางอย่างมันค่อยๆ ฉายชัดเข้ามาทีละนิดๆ ความทรงจำที่เลือนรางพร้อมกับภาพของชายหนุ่มที่อยู่ข้างผม... เพราะตะวัน มันทำให้ผมคิดถึงเขาคนนั้น
“ไม่ๆ ไม่ใช่! คนอย่างตะวันไม่มีทางเป็นคนๆ นั้นได้หรอก”
ผมส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิด มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกน่า... คนอย่างตะวัน ต้องไม่ใช่คนๆ นั้น...ต้องไม่ใช่แน่ๆ
เพราะคนๆ นั้น
เขาไม่มีจริง
 
“อะไร?”
พอทำอะไรๆ เสร็จผมก็ลงมาที่ข้างล่าง ตะวันนั่งรอผมอยู่แล้ว แล้วเขาก็ลากผมเข้ามาที่ห้องครัวพร้อมกับผักสดต่างๆ และเนื้อสดที่ถูกเตรียมเอาไว้ แต่ทุกอย่าง...
มันยังไม่ได้ทำ!
“ทำกับข้าวไง”
“ไม่!”
ผมตอบทันทีแทบจะไม่ทันคิด จะให้ผมลงมือทำกับข้าวเนี่ยนะ?
ฝันไปเถอะ!
“มาเถอะน่า”
ตะวันเดินอ้อมมาทางด้านหลังแล้วดันร่างของผมให้ไปนั่งตรงที่โต๊ะทำอาหาร มีทั้งเขียงและมีดพร้อมเลย ใบหน้าหล่อก็ยืนยิ้มแบบไม่รู้สึกรู้สา นี่เขาไม่เห็นสีหน้าที่แสดงออกอย่างไม่พอใจของผมหรือเปล่านะ หรือว่าสมองของเขาจะมีปัญหา ถึงอ่านความรู้สึกผมไม่ออก
“หรือว่าทำไม่เป็น?”
ตะวันเลิกคิ้วแล้วมองผม
“คะ ใครว่าฉันทำไม่เป็น!”
ผมเหวใส่... ถึงจะทำไม่เป็นจริงๆ ก็เถอะ แต่เรื่องอะไรจะให้ตะวันมาดูถูกละ จริงๆ แล้วผมก็เริ่มทำเป็นเองนิดหน่อย เพราะตอนที่อยู่ห้องเช่าผมก็ต้องทำกับข้าวกินเอง...อย่างเช่นมาม่า แต่มันก็ไม่ได้ยุ่งยาก แค่ฉีกซองแล้วใส่ๆ อะไรๆ ก็ว่าไปแค่นั้นเอง
“งั้นก็ทำสิ”
“แล้วทำไมฉันต้องทำ! ฉันไม่ทำ!”
“หรือว่าไม่กล้า?”
หนอย! นี่กล้าดูถูกกันเหรอ! ได้!...อยากให้ทำใช่ไหม? ก็จะทำให้ดู!
ผมทำหน้าบึ้งหันไปมองตรงสิ่งที่อยู่ด้านหน้าอีกทีก่อนที่จะตัดสินใจเอาเขียงมาใกล้ๆ ตัวเพื่อจัดการหั่นไอ้เจ้าผักที่อยู่ตรงหน้าโดยที่มีตะวันยืนยิ้มมาให้อย่างไม่รู้สึกรู้สา
เอาวะ!
 
“เอ้า เสร็จแล้ว”
ตึง!
ผมวางจานอาหารที่มีกับข้าวสองสามอย่างให้ตะวันดู หลังจากที่ทุลักทุเลทำมันออกมาจนได้ กับข้าวที่ผมทำมันก็ง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรมาก แค่ผัดผัก ไข่เจียว แค่นั้นแหละ... ถึงจะทำเสร็จแล้วก็จริงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ตะวันยังไม่รู้เพราะผมแอบทำตอนที่เขาเผลอ
อยากให้ผมทำดีนักใช่ไหม?
จะแกล้งให้เข็ดเลย!
“นี่?...”
ร่างสูงขมวดคิ้วมอง
“กับข้าวไง อยากให้ฉันทำไม่ใช่เหรอ? ก็ทำมาแล้วไง...ถ้าไม่กินก็ช่าง ฉันกินเอง หิวแล้ว”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจเท่าไหร่แล้วตักไข่ที่อยู่ในจานทันที เรื่องนี้ผมพูดจริงนะ...เพราะว่าผมไม่ค่อยถนัดทางด้านนี้สักเท่าไหร่มันเลยทำให้ใช้เวลานานมากพอดูกว่าจะทำออกมาได้แต่ละอย่าง มันก็เลยทำให้ผมหิวมากๆ... ผมเหลือบมองตะวันที่ทำแบบเดียวกันกับผม เขาค่อยๆ ตักผัดผักใส่จานตัวเอง...แล้วนั่นมันก็ทำให้ผมยิ้ม!
กินไปสิ!
กินเลย!
แอบลุ้นระทึกอยู่ในใจคนเดียว รอดูว่าเมื่อไหร่ตะวันจะตักมันเข้าปาก...ก็เพราะว่าผมแอบใส่น้ำปลาเข้าไปเยอะเลย อยากให้ทำดีนัก! จะเอาให้ไม่กล้าใช้ให้ผมทำกับข้าวอีกเลย คอยดู!
“อึก!”
เย้~ และแล้งสิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึง ตะวันตักข้าวเข้าปากแล้วทำสีหน้าแปลกๆ แล้วมันทำให้ผมรู้สึกสะใจจัง อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ อยากแกล้งผมก่อนทำไมละ
แต่สิ่งที่ผมไม่คาดฝันมันก็ทำให้ผมขมวดคิ้วมอง ตะวันไม่เพียงแต่จะไม่คายทิ้งแต่กลับกลืนลงไปแล้วก็ตักใหม่ทำราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สา หรือว่ามันเค็มไม่พอนะ? หรือว่าผมใส่มันน้อยไป ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมใส่น้ำปลาลงไปตั้งเยอะ
ด้วยความสงสัยผมก็เลยรีบตักผัดผักที่ผมทำกับมือมาเข้าปากทันที
แหวะ! เข็มชะมัด!
“กินเข้าไปได้ยังไงเนี่ย”
ผมแทบจะคายทิ้งออกมา เค็มขนาดนี้ตะวันกินได้ยังไง! ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือไงนะ!
“เพราะเป็นนายทำ เป็นกับข้าวมื้อแรกที่นายทำให้ฉัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้น”
ตึก
หัวใจผมสั่นไหวให้กับคำพูดของเขา ดวงตาที่แน่วแน่จับจ้องมาทางผม บ่งบอกได้เลยว่าสิ่งที่ตะวันพูดเป็นความจริง เขาไม่ได้โกหก เขายอมกินกับข้าวฝีมือแย่ๆ ที่ผมทำ เขาทำให้ผม...
ใจเต้นแรงอีกแล้ว...
 .
.
.

อีกด้านหนึ่ง
“ขอโทษครับ ทางคุณอายุเกินแล้ว เราไม่รับครับ”
เป็นอีกครั้งที่พจน์ถูกปฏิเสธงานจากคนรอบข้าง เหตุผลเพียงเพราะแค่ว่าเขา ‘อายุ’ มากเกินไปที่จะทำงานให้ ต่อให้มีวุฒิการศึกษาสูง หรือจบมาจากเมืองนอกมาก็ตาม แต่มันก็ไม่สามารถใช้เป็นใบเบิกทางให้ได้เลยสักนิด แล้วยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้อีกเลยทำให้ไม่มีใครรับพจน์เข้าทำงานเลย
พจน์เพิ่งรู้ตัวว่าเขาไร้ความสามารถก็วันนี้แหละ เพราะตลอดเวลาเขานั่งอยู่ในหน้าที่ตำแหน่งประธานบริษัทฯ หน้าที่ของเขามีเพียงชี้นิ้วแล้วก็สั่ง
ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากตึกระฟ้าด้วยท่าทางสิ้นหวัง วันนี้ทั้งวันเขาก็เหนื่อยกับการหางานทำมากพออยู่แล้ว เหนื่อยจนแทบหมดแรงเดิน เงินในกระเป๋าก็มีไม่มากแล้วก็ใกล้จะหมดลงในทุกขณะเพราะพจน์ต้องเอาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ดูท่าตอนนี้คงจะสิ้นหวังเสียแล้ว... พจน์เลยตัดสินใจเดินไปที่ป้ายรถเมย์ที่อยู่ไม่ไกล การขึ้นรถเมย์และรถสองแถวครั้งแรกมันทำให้เขาประหม่าพอดูแต่มันก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว มันทำให้เขามองเห็นวิถีชีวิตของมนุษย์ในระดับหนึ่ง ทุกคนต้องแข่งกับเวลาด้วยความเร่งรีบ ใครดีใครได้ ส่วนชายชราที่มีอายุอย่างเขาก็ทำได้แค่มองและทำใจถ้าหากว่าต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนที่หนุ่มสาวกว่า
“จะทำไงดีนะ”
พจน์กล่าวกับตัวเองเบาๆ ถ้าเป็นอย่างนี้เขาคงแย่แน่ๆ ถ้าไม่มีทั้งงานและไม่มีทั้งเงิน ลูกและเมียที่รออยู่ที่บ้านอาจถึงคราววิกฤษ พจน์เป็นผู้ชาย เป็นหัวหน้าครอบครัว เพราะฉะนั้นการหาเงินจึงตกมาอยู่ที่เขาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพจน์ก็เต็มใจที่จะทำ
เพียงเพื่อให้ลูกและเมียไม่ต้องอยู่แบบอดๆ ยากๆ
จนกระทั่งสายตาของพจน์ไปสะดุดกับบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า... อะไรบางอย่างที่ทำให้ให้เขานั่งคิดชั่งใจอยู่สักครู่ก่อนที่จะตัดสินใจลุกเดินไป
สถานที่ก่อสร้าง...รับสมัครคนงาน
 
“ขอโทษนะหนึ่ง”
ไคจับมือกับคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น รู้สึกผิดที่ช่วยเหลือคนตัวเล็กไม่ได้ ทั้งๆ ที่ถูกร้องขอมา ยิ่งมาเห็นสภาพของหนึ่งในตอนนี้ก็ยิ่งทำให้ไคนึกโทษตัวเอง คุณหนูที่เคยอยู่อย่างสุขสบาย ที่เคยมีทุกอย่างกลับต้องมาตารปัดเพราะคนเพียงคนเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะเรย์หนึ่งคงไม่ต้องมามีชีวิตแบบนี้
หลังจากที่ไครู้ว่าหนึ่งหมดตัวก็พยายามที่จะร้องขอพ่อกับแม่ตัวเองเพื่อให้ช่วยเหลือ เพราะทั้งคู่ก็เคยทำธุรกิจร่วมกันมา แต่คำตอบที่ได้มันกลับทำให้เขาผิดหวังแถมยังถูกสั่งห้ามเด็ดขาดว่าห้ามยุ่งกับหนึ่งและครอบครัวนั้นอีก เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเริ่มมีข่าวเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับครอบครัวของหนึ่ง ซึ่งทุกคนกำลังเข้าใจว่าพจน์และนันติดหนี้กับธนาคารหลายร้อนล้าน หมดตัวไปกับการพนัน เลยทำให้บดินทร์ช่วยซื้อบริษัทฯ และทรัพย์สินต่างๆ ของพจน์เอาไว้ แต่เรื่องมันก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้นเมื่อบดินทร์จับได้ว่าเรย์ที่เข้ามาหาเอเดนหวังเพียงเพื่อจะหลอกเอาเงิน จึงทำให้ตอนนี้ทั้งคู่ได้เลิกรากันไปแล้วเรย์ก็หนีไปอยู่ที่อื่น เพียงแต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ได้เป็นข่าวออกไป มีเพียงคนในเท่านั้นที่รู้
“อืม”
หนึ่งพยักหน้าเบาๆ รับรู้... เพราะรู้อยู่สถานการณ์ของตัวเองเป็นยังไง คนที่หมดตัวอย่างเขามีเหรอคนอื่นจะยื่นมือเข้ามาช่วยง่ายๆ
“ติดต่อตะวันได้ไหม”
หนึ่งดึงมือของตัวเองออกมาแล้วถามหาคนที่คิดถึง นี่มันก็ผ่านไปหลายวันแล้วแต่หนึ่งก็ไม่สามารถติดต่อตะวันได้เลย โทรไปก็ปิดเครื่อง ให้ไคไปหาที่บ้านก็ไม่อยู่ แต่ดูเหมือนว่าคำตอบของไคมันจะทำให้หนึ่งรู้สึกผิดหวังซะเหลือเกิน... ตะวันจะรู้ไหมนะว่าในตอนนี้หนึ่งกำลังต้องการกำลังใจจากคนที่รักมากที่สุด
ไคมองคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้าพลางคิดถึงคนที่ก่อเรื่องและเพื่อนตัวดีที่หายไปไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่หนึ่งกำลังเดือดร้อนแท้ๆ แต่กลับมาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นึกแล้วมันก็น่าโมโหนัก! แทนที่จะมาช่วยกัน ส่วนเรื่องของเรย์เองไคก็คิดไว้ตั้งแต่แรกเหมือนกัน คนอย่างนั้นไม่มีทางกลับตัวกลับใจมาเป็นคนดีแน่ๆ
‘คนอย่างนายไม่น่าเกิดมาเลยเรย์’
 
“เจอตัวแล้วครับ”
ลูกน้องคนสนิทเอ่ยรายงานพร้อมกับยื่นบางสิ่งให้กับผู้เป็นนายด้วยใบหน้าเรียบ... เอเดนจับจ้องรูปถ่ายที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนที่จะขย้ำมันอย่างแรงด้วยความโทสะ! ในที่สุดคนที่ตามหาตัวก็ได้เจอสักที คิดว่าใครที่ไหนพาตัวเรย์ไป แต่ไม่คิดว่าจะเป็นจุดใต้ตำตอขนาดนี้ ในเมื่อกล้าแหย่เสืออย่างเขามีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ
ไอ้ตะวัน!
“จัดการซะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มโค้งรับคำก่อนที่จะเดินออกไป
เอเดนมองตรงไปยังรูปถ่ายอีกครั้ง เขายอมรับว่ากำลังโกรธมาก...โกรธที่ศัตรูตัวฉกาจโผล่มาเอาเรย์ไปจากเขา แต่ในเมื่ออยากเข้าถ้ำเสือแล้วละก็ เสืออย่างเขาก็พร้อมที่จะขย้ำให้ตายอยู่ตลอดเวลา... ร่างสูงยกยิ้มเหี้ยมบนมุมปาก พอมองแบบนี้แล้วมันทำให้เขานึกถึงครั้งเมื่อที่ยังเรียนอยู่ด้วยกันซะจริง
ในตอนนั้นถึงเขาจะยังเป็นเด็กและอยู่ในรั้วโรงเรียนแต่ด้วยความมีฐานะที่มั่นคงทำให้มีลูกน้องตามต้อยๆ อยู่ตลอดเวลา แล้วก็เพราะว่าเป็นอย่างนี้เลยทำให้เรื่องผู้หญิงไม่ขาดปากหรือแม้กระทั่งผู้ชายก็ตาม ทุกคนที่เข้าหาล้วนแต่หวังผลประโยชน์กันทั้งนั้น แม้กระทั้งตัวเรย์เองก็เช่นกัน... เด็กผู้ชายผู้มีนัยน์ตาหยิ่งยะโส ทำท่าไม่เกรงกลัวใคร มันดึงดูดให้เขาเข้าหาจนเผลอคิดจะทำร้ายเรย์ในห้องน้ำ แต่คงเป็นเพราะความโชคดีของเจ้าตัวเลยทำให้รอดน้ำมือเขาไปได้ หลังจากนั้นเอเดนก็พยายามเข้าหาเรย์มาโดยตลอดแต่ก็ถูกตะวันคอยกันท่าจนเรียนจบ แต่ถึงอย่างนั้นเอเดนก็ยังคงส่งคนคอยตามสืบเรื่องของเรย์อยู่ตลอดเวลา จนได้รู้ว่าเรย์มีปัญหากับพจน์และหนีออกจากบ้าน แล้วนับตั้งแต่วันนั้นมันก็ทำให้เอเดนคิดจะเอาเรย์มาอยู่ในครอบครอง แล้วคิดหรือว่าเขาจะปล่อยให้ไอ้ตะวันมาฉุบมือเปิบ
เรย์เป็นของเขา!
 

ของเขาคนเดียวเท่านั้น!
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 10-12-2015 18:54:24

 
ตอนที่ 25

“สวยจัง”
ผมเอ่ยเบาๆ กับตัวเองพลางมองดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน มันช่างสวยจริงๆ สวยกว่าในกรุงเทพฯ เยอะเลย...จริงๆ มันก็อยู่ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงกลับแตกต่างกันขนาดนี้นะ แต่ก็อย่างว่านั้นแหละ...ที่โน่นมีแต่ตึกและควันรถมากมายมันเลยทำให้บดบังดวงดาวสวยๆ แบบนี้ไปหมด
“สวยเนอะ”
ตะวันมานั่งข้างๆ ผมแล้วพูดขึ้น
“อืม”
ผมตอบเบาๆ โดยที่ไม่ได้หันไปมอง ตอนนี้ไม่มีอารมณ์มองใครหรอกนอกจากดาวบนท้องฟ้า โดยเฉพาะเขาเนี่ย! อีกอย่างดาวมันสวยจริงๆ นี่นา
“มองอะไร?”
แต่ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว กลับต้องเป็นฝ่ายหันไปถามไอ้คนที่เอาแต่จ้องมองผมจนได้ ก็ตะวันเล่นจ้องผมจนเกือบจะทะลุอยู่แล้ว! เสียบรรยากาศหมด!
“ดาวสวยนะ”
“สวย...แต่พอมาอยู่กับนายมันก็หมดความสวยแล้ว!” พูดประชดซะเลย แล้วผมก็ทำเป็นไม่สนใจต่อ อยากมองก็มองไปไม่สนใจซะอย่าง
“นายเองก็สวยเหมือนกัน”
ผมรีบหันหน้าไปหาคนพูดอีกครั้ง เมื่อกี้ตะวันบอกว่าอะไรนะ? เขาบอกว่าผมสวยอย่างนั้นเหรอ...จะบ้าหรือเปล่า! ผมเป็นผู้ชายนะจะสวยได้ยังไง!
“อะ ไอ้บ้า!”
แต่ทำไมผมต้องหน้าแดงด้วย รู้สึกเหมือนว่าหน้าตัวเองกำลังจะไหมเลย พูดออกมาได้ไงก็ไม่รู้ เสี่ยวเป็นบ้า!!!
แต่ว่า...ทำไมผมกลับยิ้มไม่หุบนะ
ผมลอบมองตะวันนิดหน่อย เขาเองก็กำลังทำท่าทำทางเขินๆ อยู่เหมือนกัน แล้วก็ดูเหมือนว่าตะวันจะรู้ว่าผมมองเขาอยู่เลยหันมายิ้มให้ ทั้งๆ ที่เป็นแค่รอยยิ้มธรรมดาๆ แท้ๆ แต่ทำไมผมกลับมองว่าเขาทำได้น่ารักจัง แล้วมันก็ยิ่งทำให้ผมประหม่ามากขึ้นกว่าเดิมอีก
หน้าแดง
ใจเต้นแรง
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
คงเป็นเพราะบรรยากาศด้วยละมั้งมันก็เลยทำให้ผมมองตะวันอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหน้าของผมกับตะวันก็อยู่ใกล้กันมากเสียแล้ว ใจของผมมันสั่นไปด้วยความหวั่นไหวอย่างไม่รู้ตัว แล้วเพียงไม่นานริมฝีปากของผมกับของตะวันก็มาประกบกัน
มันเป็นแค่จูบบางเบา แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่น
อบอุ่นมากจริงๆ
แล้วเพียงไม่นานนักลิ้นอุ่นร้อนก็ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามา แล้วผมก็เผยอปากรับสิ่งนั้นด้วยความเต็มใจอย่างไม่มีอิดออด
“อืม...”
ผมครางเบาๆ ในลำคอด้วยความรู้สึกวาบหวาม ลิ้นหนาหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆ ของผมสลับกันไปมาพร้อมกับบดขยี้ ราวกับว่าคนทำกำลังจงใจแกล้งผมอยู่ แต่ผมกลับตอบสนองอย่างไม่นึกรังเกียจ แถมมือของผมก็ยังเคลื่อนไปโอบที่คอของตะวันเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวกันตัวเองจะล้มไปเพราะความอ่อนแรง ลมหายใจที่หาดห้วงมันทำให้ผมแทบตายทั้งเป็น
ทำไมถึงไม่ผลัก
ทำไมถึงได้ไม่ห้าม
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับจูบที่แสนหอมหวาน ท่ามกลางแสงดาวที่สาดส่อง ความรู้สึกบางอย่างมันบอกกับผมว่า
ผมอยากอยู่อย่างนี้ตลอดไป
เราสองคนจูบกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะค่อยๆ ละหน้าออกจากกัน ร่างสูงสบตามองผมด้วยแววตาหยาดเยิ้ม มือที่แสนอบอุ่นก็ลูบไปที่แก้มนวลด้วยความทนุถนอม
“นายจะบอกฉันได้ไหม...เรื่องทั้งหมด ทั้งเอเดนและก็ตัวนาย...ฉันพร้อมที่จะเชื่อนายทุกอย่าง ขอเพียงแค่นายบอกมา...ทำไมถึงได้ทำแบบนี้ บอกฉันให้เข้าใจสิเรย์”
แต่คำถามหลังจากที่เขาจูบผมเสร็จมันทำให้ผมเลือกที่จะเงียบเป็นคำตอบ เพราะบรรยากาศรอบๆ ตัวแน่ๆ มันเลยทำให้ผมเผลอที่จะใจกระตุกนิดหน่อย ถ้าเกิดว่าผมบอกเรื่องทั้งหมดกับตะวันไป...ถ้าเกิดว่าผมเล่าเรื่องหลังจากที่ผมหายตัวไป เขาจะเชื่อผมใช่ไหม แล้วเขาก็จะยังอยู่เคียงข้างผมเหมือนอย่างที่พูดหรือเปล่า แต่อีกใจนึงมันก็บอกกับผมว่าให้ผมปฏิเสธไป...มันเป็นไปไม่ได้ ถึงตะวันจะเชื่อผมจริงๆ ก็เถอะ แต่ว่าเรื่องนี้...มันไม่เกี่ยวกับเขา
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
ผมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง...เลือกที่จะ ‘โกหก’ ออกไปอีกครั้ง โกหกว่าไม่มีอะไร ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกลายเป็น ‘ลูกเนรคุณ’ ก็เป็นได้
 
หลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องของเอเดน ผมก็เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ แล้วก็ด้วยความไม่ชินทางและผมดันเดินเหม่อลอยมันก็เลยทำให้หลงทางได้ง่ายๆ กว่าจะรู้ตัวว่าผมเดินมาทางผิดก็ทำให้ผมแทบหาทางออกไม่เจอ ผมลุกลี้ลุกลนมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนที่พอจะช่วยเหลือผมได้ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นพนักงานที่นี่ แต่มองไปมองมาไม่ยักมีใครสักคน จนกระทั่งผมมองเห็นหลังไวๆ ของใครสักคนที่อยู่อีกทาง
‘ตอนนี้คุณเรย์ออกไปจากห้องของคุณเอเดนแล้วครับ’
‘หึ งั้นเหรอ’
แต่เสียงสนทนาที่ดังมากจากอีกทางมันทำให้ผมหยุดชะงัก...เมื่อกี้ถ้าฟังไม่ผิดมันเป็นชื่อของผมนี่นา หรือว่าเขาจะรู้ว่าผมเป็นใคร?
‘จะให้ผมทำยังไงต่อครับ’
‘ส่งคนไปจับตาดูไอ้พจน์ไว้ มันกำลังจะทำอะไรก็ต้องมารายงานให้ฉันรู้ทุกอย่าง’
‘ครับ…แล้วคุณเรย์...’
‘ยัง รอก่อน...รอให้เอเดนเอาเรย์มาเป็นพวกได้ก่อน ถึงตอนนั้นค่อยกำจัดให้พ้นทางพร้อมกับครอบครัวของมัน!’
‘ครับท่าน’
แล้วเพียงไม่นานนักเสียงสนทนาก็เงียบหายไปพร้อมกับคนพูดเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ตรงหน้า พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้วผมก็เดินออกมาจากที่ซ่อน ถึงผมจะเห็นใบหน้าเพียงแค่เสี้ยวเดียวแต่ก็รู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร...เขาเป็นคนที่มีอำนาจไม่น้อยเลยทีเดียวแล้วก็ยังเป็นคู่แข่งกับบริษัทฯ ของพ่อผมอีก ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขากำลังคิดแผนการณ์บางอย่างอยู่
ผมหาทางออกจากตึกของเอเดนอย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุแต่ก็ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมทำมันจะไร้ผล เมื่อผมกำลังถูกจับตามองและถูกสะกดรอยตาม...คนพวกนั้นกำลังมองผมอยู่จากอีกทาง แสร้งทำเป็นคนที่ไม่รู้จักแต่จริงๆ แล้วกลับไม่ใช่สักนิด... พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ผมอดคิดถึงสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อสักครู่ไม่ได้... ผมกอดเอกสารไว้แน่นแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป แล้วก็ด้วยความรีบร้อนก็เลยทำให้ผมลืมมองทางอีกครั้ง โผล่มาอีกทีผมก็อยู่ในซอยเปลี่ยวที่ไร้ผู้คนซะแล้ว รอบข้างยังเต็มไปด้วยพงหญ้าอยู่เลยแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ใส่ใจเพราะในหัวของผมมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้ผมกลัว กลัวจนลืมสังเกตุสิ่งรอบข้างว่ามีรถคันหนึ่งกำลังแล่นมาทางผมอย่างจงใจ
ผมอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง สองขาเล็กๆ พยายามที่จะพาตัวเองให้ออกมาจากตรงนั้นแต่มันก็แข็งทื่อเกินไปที่จะขยับ...
จนกระทั่ง
เอี๊ยดด!!!
โครม!!!
ผมถูกชนอย่างจังจนตัวของผมกระเด็นไปที่หน้ากระจกรถ มันเจ็บมาก...เจ็บจนผมลืมตาแทบไม่ขึ้นแต่ช่วงวินาทีที่ผมกำลังลืมตามันก็ทำให้ผมมองเห็นคนทำได้อย่างชัดเจน
ผู้หญิงที่ผมคิดว่าดีแสนดี
ผู้หญิงที่ผมคิดว่าเธอเองก็คงจะเอ็นดูผมเหมือนกัน ไม่มากก็น้อย
ผู้หญิงที่อยู่บ้านเดียวกันกับผม แต่เธอกลับทำร้ายผมได้ลงคอ
คุณนัน!!!
ทันทีที่ผมถูกชนจนกระเด็นไปอีกทาง ผู้หญิงคนนั้นก็จอดรถชั่วครู่ก่อนที่จะรีบแล่นออกไปโดยทิ้งให้ผมนอนจมกองเลือดอยู่อย่างนั้น ความเจ็บจากร่างกายมันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่ใจของผมเลย...ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ทำร้ายผมแบบนี้
ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจสักนิดเดียว
จากนั้นผมก็สลบไปไม่รับรู้อะไรอีกเลย ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาลซะแล้ว ร่างกายของผมก็มีผ้าพันแผลเต็มไปหมด แถมคนแรกที่ผมเจอก็เป็นเอเดนซะด้วย...
แล้วนับตั้งแต่วันนั้นผมก็เลือกที่จะอยู่เคียงข้างกับเอเดน

 
“เรย์...”
ตะวันเลิกคิ้วมองผมเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป ผมสบตามองเขาอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้น
“ฉันง่วง”
ผมบอกเพียงแค่นั้นแล้วเดินออกมาทันที...ยังไงซะเรื่องนี้ตะวันก็จะรู้ไม่ได้เด็ดขาด! เพราะผมไม่อยากดึงเขามาเกี่ยวกับเอเดน...แล้วอีกอย่างผม...
ไม่อยากให้ตะวันเป็นอันตราย
 .
.
.

เช้า
ตื่นเช้ามาผมก็พาตัวเองไปที่หลังบ้านเพื่อหาอะไรทำ สวนสวยๆ ถูกประดับประดาไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณ มันก็ดูสวยดีนะ...แต่ผมมาอยู่นี่ก็หลายวันแล้วไม่เห็นมีใครมารถน้ำเลย เดี๋ยวดอกไม้สวยๆ จะเหี่ยวเฉาแล้วตายเอาซะก่อน
ตะวันเองก็ยอมปล่อยให้ผมทำโน่นทำนี่เองแต่โดยดี แล้วการที่ผมทำอะไรๆ แบบนี้ใช่ว่าผมจะไม่หนีเขานะ...แต่ผมเลิกคิดที่จะหนีเองต่างหาก บางทีการวิ่งหนีมันก็ทำให้ผมเบื่อเหมือนกัน
ซ่า...
ผมลากสายยางแล้วรถน้ำต้นไม้ไปด้วยอารมณ์ที่กำลังดีสุดๆ เห็นไหม...ว่าแค่เพียงต้นไม้โดนน้ำแค่นี้มันก็ทำให้สวยขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวเลย แต่มันก็แปลกดีนะ...ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่คิดที่จะอยากทำอะไรทำนองนี้เลย ไม่คิดที่จะแตะต้องเลยด้วยซ้ำ แต่คงเพราะผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเลยทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป แม้กระทั่ง...
เรื่องของตะวันก็เหมือนกัน
เรื่องเมื่อคืน...มันทำให้ผมคิดหนักเลยทีเดียว ดันนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่อยากจำซะได้ ถึงผมจะมาอยู่กับเอเดนก็จริง...แต่ว่า
มันมีอะไรมากกว่านั้น
“ฝึกทำงานบ้านเอาไว้รอเป็นแม่บ้านหลังแต่งงานหรือไง”
ผมรีบหันไปมองคนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยความตกใจ แต่คำพูดที่เขาพูดออกมามันทำให้ผมถลึงตามองเลยก็ว่าได้...คิดได้ยังไง! ผมเป็นผู้ชายนะ จะไปเป็นเจ้าสาวได้ยังไงละ!
“แต่ก็ดีนะ ฝึกเอาไว้ก็ดี”
ตะวันยังพูดไม่หยุด แต่ผมก็ไม่ได้สนใจหันไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ไม่ใช่อะไรหรอก...ผมแค่ต้องการซ่อนใบหน้าของตัวเองก็เท่านั้น ยิ่งมาเห็นตะวันตัวเป็นๆ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี แล้วจะยังไอ้หัวใจบ้านี่อีก ทำไมมันไม่หยุดเต้นสักทีนะ!!!
ซ่า!
“เฮ้ย! ตะวัน! ทำอะไรเนี่ย เปียกหมด”
แต่คงเป็นเพราะว่าผมไม่สนใจเขาละมั้ง ตะวันก็เลยอาศัยช่วงจังหวะนั้นแย่งสายยากไปจากมือของผมแล้วก็ฉีดน้ำใส่จนผมเปียกไปหมดเกือบครึ่งตัว
“ฮ่าๆ”
ฮึ่ย! มันน่าโมโหนักนะ! ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก!!!
แกล้งกันนักเหรอ นี่ๆๆ...
ผมยื้อแย่งสายยางมาจากตะวันแล้วก็ฉีดไปที่ตัวเขาเหมือนกัน จะได้รู้บ้างว่าผมกำลังรู้สึกยังไง!
“เรย์ มันเปียกนะ”
“ก็นายอยากมาแกล้งฉันก่อนทำไมละ นี่แหนะๆ”
ซ่า ซ่า
ผมยังคงฉีดน้ำใส่ตะวันไม่หยุด เขาเองก็ตั้งหลักพยายามที่จะแย่งสายยางไปจากมือของผม แต่ผมก็ยังไม่ยอมง่ายๆ พวกเราทำอย่างนี้กันอยู่พักใหญ่อย่างไม่มีใครยอมใคร จนเสื้อผ้าของเราสองคนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ผมมีความสุข หัวเราะไปกับการเล่นของตะวัน แล้วคงเพราะผมกับตะวันเล่นกันมากเกินไปเลยทำให้ผมตกอยู่ในอ้อมอกของตะวัน สายน้ำที่ไหลรินพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เปล่งออกมา
“หึ มีความสุขกันดีจังนะ”
แต่แล้วความสนุกของผมก็จบลงเมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามา
ในที่สุดเขาก็ตามหาตัวผมเจจนได้ แต่สายตาที่เขามองมายังผมและตะวันมันเป็นสายตาแห่งความเกรี้ยวกราด
 .
.
.

ตะวัน PASS

“เอเดน”
ผมเรียกชื่อคนบุกรุกพร้อมกับมองสบตากับแววตากร้าวคู่นั้น ด้านหลังของเอเดนมีลูกน้องยืนเรียงรายนับสิบคน แต่ละคนมีอาวุธครบมือ แถมน่ากลัวทั้งนั้น เอเดนตามหาตัวเรย์จนพบสินะ ผมไม่น่าประมาทเลย คิดว่าผมกับเรย์กำลังอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วแท้ๆ เพราะความสุขนั่นมันก็เลยทำให้ผมหลงลืมไปว่ากำลังมีตัวอันตรายที่กำลังจ้องเล่นงานอยู่ แล้วตอนนี้มันก็อยู่ตรงหน้าผมซะแล้ว
“จับมัน”
“ครับ!”
สิ้นเสียงคำสั่ง คนของเอเดนก็กรูเข้ามาล้อมตัวผมเอาไว้ เมื่อเห็นว่าท่าจะไม่ดีผมจึงรีบเอาตัวเองมาบังเรย์เอาไว้แล้วดันให้ร่างบางไปอยู่ทางด้านด้านหลัง
ผลั่ก!
ผมยกขาสูงถีบชายตรงหน้าอย่างแรงแล้งรีบพาเรย์วิ่งหนีจากคนกลุ่มนั้นอย่างเร็วที่สุด...ผมไม่ได้กลัว แต่ดูจากจำนวนคนกับผมที่มีเรย์อยู่ด้วย คงจะชนะไม่ได้แน่ๆ แล้วอีกอย่างผมเป็นห่วงเรย์...ผมไม่อยากให้เรย์กลับไปอยู่กับเอเดน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเอเดนเป็นคนยังไง และผมไม่อยากให้เรย์ไปอยู่กับคนแบบนั้น
เอเดนร้ายเกินไป
แล้วการที่เรย์ไปอยู่กับมันผมก็เชื่อได้ว่าเรย์มีเหตุผล จนถึงตอนนี้เจ้าตัวจะยังไม่ได้บอกผมเหตุผลนั้นกับผมแล้วทุกครั้งที่ผมถามเขาก็มักจะปฏิเสธอยู่เสมอก็เถอะ แต่ผมก็ไม่เชื่อ...ทุกอย่างมันมีเงื่อนงำ เพียงแต่ว่าผมยังไม่รู้เท่านั้น
ปัง!
แต่ผมก็วิ่งได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ด้านหลังของผมก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที รู้ตัวอีกทีผมก็ทรุดลงไปกับพื้นเบื้องล่าง
“ตะวัน!”
ผมได้ยินเสียงของเรย์ร้องเรียกชื่อ แล้วสิ่งที่ผมเห็นคือเรย์ที่กำลังอยู่ในเงื้อมมือของเอเดน...อยากเข้าไปช่วย แต่ผมก็ถูกลูกน้องของเอเดนมารุมจับเอาไว้ ด้วยจำนวนที่มากกว่าทำให้ผมทำได้เพียงแค่มองคนตัวเล็กที่กำลังร้องเรียกชื่อ ผมพยายามที่จะสะบัดตัวให้หลุดออกไป พยายามที่จะลุกขึ้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็ทำได้เพียงแค่มองก่อนที่ใครคนใดคนหนึ่งในลูกน้องของเอเดนจะมาตะบันหน้าของผม
ผัวะ!
“อั่ก!”
 

ด้วยแรงของผู้ชายมันทำให้ไม่ยากเลยที่จะทำให้ผมเจ็บตัว แล้วเพียงไม่นานนักร่างกายของผมก็ถูกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำแล้ว แต่ผมก็ยังพยายามลุกขึ้นมาเพื่อวิ่งไปหาร่างเล็กที่กำลังมองผมแต่ดูเหมือนว่าร่างกายของผมจะไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่เมื่อมันพร้อมที่จะหมดแรงลงดื้อๆ ก่อนที่สติผมจะดับวูบลงไปในที่สุด
 
 
TAKE


มาลงกันยาวๆ เลยทีเดียวเชียว
เรื่องนี้ไม่ต้องถามหาเอ็นซีครัช! เทคบอกเลยว่าไม่มี ฮ่าๆ
ขอบคุณทุกเม้นและทุกกำลังใจน้าาาา อีกไม่เกินสิบตอนเรื่องนี้ก็จบแล้วครัช!
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Paparazzi ที่ 10-12-2015 22:18:51
ขอบคุณที่มาต่อนะค้า :impress2:

อ่านไปอ่านมาสงสารหนึ่งแทน  :katai1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 11-12-2015 00:27:43
สมควรและสาสมดี แม่นังหนึ่งน่าจะเจอดีอะไรสักอย่าง
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 11-12-2015 01:10:23
สะใจคุณนันกับหนึ่งนะ สงสารคุณพจน์
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 11-12-2015 13:20:46
สนุกมากๆๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-12-2015 01:03:01
โตเกินไว
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 24-12-2015 20:52:34
จะเอา ncๆๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 22-02-2016 01:17:19
คิดถึงแล้วน้าาาา
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 22-02-2016 22:50:12


 
ตอนที่ 26

“เฮ้ย! ทางนั้นนะเร็วๆ สิวะ!”
เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่กำลังชักช้ากับการทำงาน น้ำเสียงจิจ๊ะในลำคอที่บ่งบอกว่าเขากำลังไม่พอใจกับคนงานใหม่ที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นานเสียงจริง
ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!!!
“ครับ”
พจน์ได้แต่ก้มหน้าต่ำพลางรีบยกถังปูนด้วยความร้อนรน ถึงจะโชคดีที่มีงานทำแล้วก็ตามแต่พจน์ไม่รู้ว่านั่นจะเรียกว่าความโชคดีได้หรือไม่เพราะงานที่เขาทำเป็นงาน ‘ก่อสร้าง’ เป็นเพียงแค่ลุงแก่ๆ คนนึงที่ต้องหามปูนแบกปูน มันเป็นงานที่ใช้แรงงานแต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ ถึงพจน์จะไม่สันทัดเรื่องแบบนี้แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่มีอะไรกิน
โครม!
และด้วยความที่ไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนสักครั้งเลยทำให้พจน์ที่กำลังเร่งรีบสะดุดขาตัวเองจนทำให้ล้มลงอย่างจัง ถังปูนที่ถือมาก็หล่นระเนระนาดเปราะเปื้อนพื้นไปทั่ว
“มึงทำงานยังไงของมึงเนี่ย!!!”
ธัญ...หัวหน้าคงงานที่อายุน้อยกว่าพจน์ชี้หน้าใส่ด้วยความโมโหหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะเห็นเป็นคนใหม่แล้วดูท่าทางจะยังไม่เคยทำงานพวกนี้ เขาเลยให้ทำงานแบกปูนไปก่อน แต่ช่วงหลายวันมานี้พจน์กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองอายุแก่ขึ้นเป็นเท่าตัว
“ขะ ขอโทษ จะรีบเก็บเดี๋ยวนี้”
พจน์ระล่ำระลักเก็บปูนที่หกอยู่...
“แก่จนป่านนี้แล้วยังทำอะไรไม่เป็น! กูคิดผิดหรือคิดถูกวะเนี่ยที่เอามึงมาทำงาน!!!”
“ผะ ผมขอโทษ…อย่าไล่ผมออกเลยนะ”
พจน์เงยหน้าขึ้นมองธัญด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะสิ่งที่ธัญพูดทำให้พจน์รู้สึกกลัวว่าตัวเองจะถูกไล่ออก แล้วถ้าเกิดเป็นแบบนั้นต้องแย่แน่ๆ
“เก็บๆ เก็บซะ! แล้วก็อย่าทำหกอีก ถ้าครั้งนี้ทำหกอีกกูจะหักเงินเดือนมึง!”
ธัญชี้นิ้วสั่งอีกครั้งอย่างไม่ปราณี ถึงจะน่าสงสารแต่พจน์ก็เหมือนเป็นตัวถ่วงสำหรับงานที่ต้องเร่งทำให้เสร็จสำหรับสถาปนิกอย่างเขา
พจน์พยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหล...สมเพช! พจน์กำลังสมเพชตัวเองที่สุด ถูกดูถูกและทำงานหนัก คนที่ไม่มีประสบการณ์อย่างเขาก็ย่อมที่จะทำงานผิดพลาดเป็นธรรมดา ถึงจะรู้ดีว่าตัวเองทำงานแย่ยังไงแต่ส่วนหนึ่งก็ยังไม่อยากถูกไล่ออก
แค่อดทนแล้วก้มหน้าทำต่อไป
 .
.
.
“อ๊า!!! อ๊ากก!!!”
โครม!
มือบางปัดข้าวของระเนระนาดด้วยความโมโห นันกรีดร้องไปด้วยความทรมานและความเจ็บปวด หลายวันมานี้มันทำให้เธอแทบคลั่ง ต้องลงมือทำทุกอย่างเอง ทั้งซักผ้าและทำกับข้าว มันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้...รับไม่ได้สักนิด ตลอดเกือบยี่สิบปีที่แต่งงานกับพจน์มาเธอไม่เคยแม้กระทั้งทำเรื่องพวกนี้ กินอยู่อย่างสุขสบาย มีคนทำให้ตลอด ถ้าหากว่าต้องกลับไปเป็นแบบก่อนก่อนที่จะแต่งงานกันละก็สู้ฆ่ากันให้ตายไปเลยดีกว่า!!!
เธอเกลียดเด็กนั่น! เกลียดเรย์!!! เป็นเพราะเรย์เพียงคนเดียวที่ทำให้เป็นแบบนี้!!! ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกสู้ฆ่าให้ตายตั้งแต่วันนั้นดีกว่า!
ในวันนั้น...นันกำลังขับรถกลับบ้านหลังจากที่ไปบ้านเพื่อนไฮโซของเธอมา แล้วระหว่างทางกลับเธอก็เจอกับเรย์โดยบังเอิญ แล้วความรู้สึกบางอย่างมันก็สอดแทรกเข้ามามันเลยทำให้นันเลือกที่จะขับรถตามเรย์ไปเงียบๆ จนไปถึงซอยเปลี่ยว
ถ้าไม่มีเด็กนี่สักคน!
ถ้าหากว่าไม่มีเรย์! ทุกอย่างมันก็ต้องตกเป็นของหนึ่ง! ถ้าหากว่าไม่มีเรย์สักคน!
เพราะคิดได้แบบนั้นมันก็เลยทำให้นันเลือกที่จะทำบางอย่าง...บางอย่างที่เรียกได้ว่าเกือบคร่าชีวิตของคนหนึ่งคน
หลังจากนั้นเธอก็กลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถวนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด เธอเช็คแล้วทุกอย่าง...ไม่มีใครจับได้แน่ๆ ที่เหลือก็รอแค่ออกข่าว แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เธอรอทั้งวันมันไม่มีวันเป็นความจริง มันทำให้นันประสาทเสียไม่น้อย แล้วตอนนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีคนโทรมาหาเธอ ใช่แล้ว...นันจำได้ดีว่าคนๆ นั้นเป็นใคร
เอเดน!
ผู้ชายคนนั้นข่มขู่และหาหลักฐานมาจับผิดเธอได้ ภาพทุกอย่างชัดเจนจนนันไม่สามารถหนีรอดไปได้
‘จะเอาอะไรก็ว่ามา!’
‘มาเป็นพวกของผมสิ แล้วหลักฐานทุกอย่างรวมแม้กระทั่งเรย์ก็จะไม่สามารถเอาผิดคุณไปได้’
ข้อเสนอถูกหยิบยื่นมาให้ นันไม่มีทางเลือก จำใจที่จะต้องเข้าไปเป็นฝ่ายของเอเดนอย่างช่วยไม่ได้เพราะคำขู่ เอกสารลับของบริษัทฯ บางอย่างก็ถูกหยิบยื่นให้กับเอเดน ความลับของบริษัทฯ ถูกเผยแพร่ให้กับศัตรูคู่แข่งเลยทำให้ช่วงนั้นเป็นช่วงที่วิกฤษมากที่สุดของพจน์เลยก็ว่าได้ แล้วหลังจากนั้นนันก็หนีไปต่างประเทศ หนีไปอยู่ที่อื่นเพื่อสงบจิตสงบใจก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเรย์ได้กลับมาแล้ว แถมยังร้ายกว่าเก่า...
‘ผมรู้นะว่าคุณทำอะไรไว้ คราวนี้แหละ ผมจะทำให้คุณเจ็บปวดเหมือนอย่างที่คุณทำผม’
เสียงกระซิบที่แหบพร่าที่เรย์บอกกับเธอตอนนั้นยังจำได้ดีติดตา ไม่ผิดแน่ๆ ไม่ผิดจริงๆ เรย์กลับมาเพื่อแก้แค้น! แล้วการแก้แค้นที่ดีที่สุดก็คือหนึ่ง!!! ทำให้นันเจ็บปวด ทำให้นันเสียสติได้อย่างง่าย แล้วมันก็เป็นผลสำเร็จ!
ทุกอย่างมันดูตาลปัดไปหมด เธอถูกเรย์จัดการอย่างร้ายกาจ
ความเกลียดชังก็มีขึ้นเป็นทีวีคูณ ถึงแม้ว่าจะพยายามซ่อนความร้ายจากผ่านใบหน้าที่ใสซื่อและดูใจดีขนาดไหน พยายามที่จะคิดที่จะรักเรย์เหมือนลูกแต่ความรู้สึกบางอย่างมันกลับปฏิเสธ นันไม่เคยรักเรย์เลย...ไม่เคยสักครั้งที่คิดจะรัก เธอสะใจทุกครั้งที่เรย์ถูกต่อว่า ด่าทอ เธอมีความสุขทุกครั้งที่พจน์ยกย่องเชิดชูลูกชายเพียงคนเดียว เพียงแต่ว่าเธอจะเก็บมันไว้ให้ลึกที่สุด
“ฉันเกลียดแก! ฉันเกลียดแกไอ้เรย์!!! เกลียดๆๆ เกลียด!”
นันกรีดร้องอีกอีกครั้งโดยที่เธอไม่ได้เอะใจเลยว่ากำลังมีอีกคนที่ยืนร่ำไห้ด้วยความเสียใจ... หนึ่งปิดปากตัวเองแน่นเพื่อกลั้นเสียงร้อง เจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นแม่ตัวเองเป็นแบบนี้
คนที่ใจดีและใจเย็น
แต่กลับกลายเป็นคนละคนเมื่อสิ้นเนื้อประดาตัว กลับกลายเป็นคนที่ชอบโวยวายและทำลายข้าวของ หรือนี่อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ถูกซ่อนเอาไว้กันแน่
 .
.
.
เรย์PASS

ผมถูกเอเดนเอาตัวกลับมาอีกครั้ง ภายในห้องกว้างที่มีผมกับเอเดนและลูกน้องนับสิบอยู่ เขานั่งอยู่กลางห้องโดยที่มีผมอยู่ตรงหน้า แต่ผมทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งๆ ก็เท่านั้น สายตาของเขารับกับว่ากำลังจะจับผิดผมอยู่ แล้วมันก็ทำให้ผมไม่ชอบเลย
“ฉันต้องการคำอธิบาย”
เอเดนถามผมเสียงเข้ม
“ไม่มีอะไรจะพูด”
ตึง!
เอเดนทุบโต๊ะ มันเสียงดังมากจนผมเผลอสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังคงท่าทีเอาไว้เหมือนเดิม
“แล้วสิ่งที่ฉันเห็นจะอธิบายว่ายังไง ห่ะ!”
“ไม่มี”
ผมตอบเสียงนิ่ง
“เรย์!”
เอเดนตวาดลั่นแล้วเปลี่ยนมาจับผมเอาไว้ แต่ผมไม่มีอะไรจะพูด...มันไม่รู้จะตอบอะไรเหมือนกัน เพราะในตอนนี้ตะวันกำลังสลบอยู่ตรงหน้าผม! เขาถูกเอเดนยิง...แล้วก็ถูกพาตัวกลับมาเหมือนกับผม เลือดที่ไหลจากการถูกยิงก็ยังไม่ได้รักษามันเลยทำให้เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดและรอยเปื้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วตะวันจะต้องตายแน่ๆ
“อุ๊ก!”
ผมหันไปมองยังเสียงคุ้นเคยที่อยู่ด้านหลัง ตะวันกำลังเริ่มรู้สึกตัว เขาค่อยๆ ขยับตัวทีละนิด คงเป็นเพราะพิษบาดแผลมันก็เลยทำให้เขาขยับลำบากมากพอดู แล้วไหนจะยังร่างกายที่ถูกเชือกมัดพันธนาการนั่นอีกเลยยิ่งทำให้ขยับลำบากเข้าไปใหญ่
“เรย์...”
ตะวันเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ผมก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิม
“หึ อยากรู้จริงว่ามึงจะใจแข็งได้นานเท่าไหร่”
เอเดนเอ่ยอีกครั้ง ไม่ต้องเดาเลย...ผมรู้ว่าตอนนี้เขากำลังโมโหมาก เพราะถ้าเอเดนเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาเมื่อไหร่เขามักจะขึ้นมึงขึ้นกูกับผมแบบนี้เสมอ
ร่างของตะวันถูกลูกน้องของเอเดนจับเอาใว้ให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้นโดยที่ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลย คนที่อยู่ตรงหน้าผมเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปใกล้กับคนเจ็บแล้วใช้เท้าเหยียบแรงๆ ลงบนแผลของตะวัน
“อ๊าก!!!”
ร่างสูงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ว่าไงเรย์..”
เอเดนหันถามผมอีกครั้ง
“ก็ตามใจ...อยากทำอะไรก็ทำ”
ผมยืดกอดอกมองอย่างไม่รู้สึกรู้สา อยากทำอะไรทำเลย...ตะวันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมอยู่แล้ว
“จัดการมัน!”
เอเดนมองผมพร้อมกับยิ้มร้ายกาจมาให้ ปากก็เอ่ยสั่งลูกน้องเขาไปด้วยก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากจุดนั้นแล้วร่างของตะวันก็ถูกจับให้ลุกขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ
ผัวะ! พลั่ก!
เหล่าชายฉกรรณ์เข้าไปรุมสกรัมคนเจ็บอย่างไม่เห็นใจสักนิด ฝ่าเท้าหนักๆ กระทืบไปที่ใบหน้าและลำตัว ตะวันที่ยังคงนอนเจ็บอยู่ก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยได้แต่นอนรอรับความเจ็บปวดที่มาประทะเป็นรอกๆ อาจมองว่าผมเหมือนคนใจร้ายที่ไม่ยอมช่วย
ก็แล้วทำไมละ...
ทำไมผมจะต้องไปช่วยตะวันด้วย ในเมื่อเขาหาเรื่องเองแท้ๆ แล้วผมกับเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ปล่อยให้โดนซ้อมไปแบบนั้นแหละดีแล้ว...ดีแล้วจริงๆ
“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก กูไม่ชอบที่มึงไปสนิทกับคนอื่น...โดยเฉพาะมัน!”
เอเดนเชยคางผมให้เงยขึ้นสบตากร้าวคู่นั้น เขาพูดจริงแน่เพราะผมรู้นิสัยของเอเดนดี เขาทำร้ายคนรอบข้างได้อย่างหน้าตาเฉยๆ แม้ว่าคนๆ นั้นจะตายเขาก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว เพราะอำนาจเงินที่มีเลยทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ได้
ร่างสูงยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนที่ทาบทับริมฝีปากลงมา... เอเดนกำลังจูบผมท่ามกลางลูกน้องของเขาและตะวัน! ถึงไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่าตะวันกำลังมองผมอยู่...
ผมหลับตาลงเพื่อรอรับสัมผัสนั้น ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมอย่างช้ำชองและรุนแรง ทำเหมือนกับว่าเขากำลังประกาศให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นของเขาและก็ไม่มีใครสามารถแย่งผมไปจากเขาได้...มันควรจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ใช่! มันต้องเป็นแบบนี้นะถูกแล้ว ที่ตะวันเจ็บตัวก็เพราะเขาเข้ามาแส่เอง เขาอยากเข้ามาเจ็บตัวเองมันก็ช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นผมก็ถูกพาตัวให้เข้าไปในห้อง ส่วนตะวันก็ยังถูกลูกน้องของเอเดนซ้อมอยู่ ผมเลยไม่รู้ว่าตอนนี้ตะวันเป็นยังไงบ้าง จะตายไปหรือยังนะ... แผล...ที่ถูกยิงก็ยังไม่ได้ทำ
จะตายหรือเปล่านะ
ช่างสิ! เขาจะเป็นจะตายยังไงก็ช่าง ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย...ตะวันหาเรื่องเอง เขาแส่เอง ถ้าหากว่าเขาไม่มายุ่งกับผมตั้งแต่แรกก็คงจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก แต่ว่า... แต่ว่า...
กึก!
ผมกำมือแน่น กัดฟันทน...ต้องทน ทำได้แค่ต้องทนเท่านั้น...อีกเพียงแค่นิดเดียว ทุกอย่างก็จะจบลง...แล้วผมก็จะไปจากที่นี่
“คุณเรย์”
เสียงทุ้มเอ่ยดังจากทางด้านหลัง แล้วเข้ามากระซิบที่ข้างหูเพื่อรายงานบางอย่างให้ผมฟัง... ผมกำมือแน่นพร้อมกับยกยิ้มร้ายบนใบหน้า ในที่สุดสิ่งที่รอคอยก็กำลังจะมาถึงสินะ
นะครับ...คุณแม่
 .
.
.
.
เอเดน PASS

“สาดมัน!”
ซ่า!
ผมมองร่างที่เปียกชุ่มจากน้ำมือของลูกน้องผมด้วยรอยยิ้มเยอะ รู้สึกสะใจดีจริงๆ ที่มันสยบแทบเท้าของผมได้ ผมพามันมาขังที่โกดังส่วนตัวหลังจากที่ซ้อมมันจนสะบักสะบอมที่บ้านจนสลบ พอโดนน้ำสาดมันก็เริ่มรู้สึกตัว ดวงตาที่ปิดทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ลืมตามองผมอย่างช้าๆ ด้วยความยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาให้เห็นได้ชัด
เหอะ! มันน่าสมเพช... ถูกซ้อมจนยับเยินขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ยังจะมาอวดดีอีก
“เป็นไงละมึง เจอตีนลูกน้องกูอย่างกับหมาข้างถนน”
“ถ้ามึงไม่เล่นสกปรกกูก็ไม่มีทางแพ้มึง! อึ๊ก!”
“ปากดีนะมึง”
ผมจับกระชากที่เรือนผมสีดำสนิท ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก...มันยังไม่พอ สำหรับมัน! ต้องโดนมากกว่านี้อีก!!!... ใบหน้าของมันที่ดูเรียบเกลี้ยงในคราวแรกถูกเติมเต็มไปด้วยบาดแผล
ดูน่าสงสารซะจริง
“กูจะทำให้มึงรู้ว่านรกเป็นยังไง จัดการมันซะ!!!” ผมปล่อยให้มันเป็นอิสระแล้วหันไปสั่งลูกน้องแทน
ผัวะ!
“อั๊ก!”
แล้วไม่นานนักร่างตรงหน้าก็ถูกซ้อมจากลูกน้องผมอีกรอบ... ความจริงแล้วจะฆ่ามันให้ตายตอนนี้ง่ายอย่างกับปลอกกล้วยเข้าปาก แต่มันไม่สาแก่ใจ... อย่างที่ผมบอกกับไอ้ตะวัน! มันต้องเจอมากกว่านี้ ผมจะทำให้มันทรมานตาย แค่กำจัดคนเพียงคนเดียว...มันไม่ได้ยากเลยสักนิด
 
“แกคิดจะทำอะไร”
พอกลับมาถึงบ้านผมก็เจอกับพ่อที่นั่งรออยู่ที่ห้องโถงแล้ว สีหน้าของท่านดูเคร่งขรึม คงจะมีคนไปรายงานแน่ๆ ว่าผมทำอะไรลงไป ไม่อย่างนั้นพ่อไม่ทำหน้าแบบนี้หรอก
“ผมก็แค่ทวงคนของผมคืน”
“ฉันบอกให้แกฆ่ามันไปซะทำไมไม่ทำ!”
ชายสูงวัยผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“เรย์เป็นของผม! พ่อไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!!!”
“แต่มันจะทำให้แกพินาศ! แกอย่าลืมสิเอเดน...ขนาดพ่อมัน มันยังทรยศได้ลงคอแล้วแกเป็นใคร ฉันเป็นใคร! แกคิดว่ามันจะไม่ดัดหลังอย่างนั้นเหรอ! เด็กนั่นจะทำให้แกเดือนร้อน!!!”
เป็นอีกครั้งที่พ่อพูดเรื่องนี้กับผม ถึงพ่อจะพูดถูกทุกอย่าง...เรย์ในตอนนี้ไม่สามารถเชื่อใจได้จริงๆ แต่ผมก็ปล่อยเรย์ไปไม่ได้
“พ่อไม่ต้องห่วง...ถ้าถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ ผมจะจัดการกับเรย์เอง”
พ่อมองหน้าแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ท่านรู้ว่าผมเป็นคนยังไง ถ้าในเมื่อผมบอกว่าจะทำก็คือจะต้องทำ! แล้วถ้าเกิดว่าเรย์ทรยศผมเมื่อไหร่ ถึงผมจะต้องการเรย์มากขนาดไหนแต่ผมก็สามารถฆ่าเรย์ได้ลงคอ!
“ฉันจะรอดู”
พ่อพูดจบก็เดินไปอีกทาง...
ผมกำมือแน่นพลางมองไปที่ชั้นสองของบ้าน มองตรงไปยังห้องที่เรย์อาศัยอยู่ก่อนที่จะตัดสินใจเดินขึ้นไป พอไปถึงหน้าห้องก็เจอกับลูกน้องผมที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง เพียงแค่เห็นหน้าผมพวกเขาก็ยอมที่จะเปิดประตูให้โดยง่าย
“คิดถึงมันอยู่หรือไง”
แต่พอผมเข้ามาก็เห็นเรย์ทำหน้าเหม่อลอยมันก็ทำให้ผมอดที่จะพูดกระทบกระทั่งไม่ได้
“...เปล่า” ร่างเล็กตอบเสียงนิ่ง
หึ! กลับมาเหนื่อยๆ พอเห็นท่าทางแบบนี้แล้วมันก็น่าโมโหซะจริง
“อึ๊ก!”
ผมเอื้อมมือไปบีบลำคอบาง
“กูไม่ชอบให้ของๆ กูนึกถึงผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะไอ้ตะวัน!!!”
“อ่ะ!”
ผมเหวี่ยงร่างเล็กลงไปที่เตียง ใบหน้าหวานตื่นตระหนกเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังแสดงสีหน้านิ่งเรียบในแบบฉบับของเจ้าตัว... ผมค่อยๆ ถอดเน็กไทน์ของตัวเองออกก่อนที่จะขึ้นคร่อมร่างบางเอาไว้ แล้วใช้สองแขนแกร่งทั้งสองข้างกักตัวเอาไว้
“จะทำอะไร”
“หึ มึงก็รู้”
ผมตอบพลางค่อยๆ ปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกเบาๆ กลิ่นกายที่หอมหวานกับผิวกายที่อ่อนนุ่มราวกับหญิงสาวมันทำให้ผมแทบคลั่ง... ผมก้มหน้าซุกไซร้ที่ลำคอบางแล้วเม้มดูจนเป็นรอยแดงหลายจุด แล้วก็เพราะความหมั่นเขี้ยวเลยทำให้อดไม่ได้ที่จะกัดจนเจ้าตัวสะดุ้ง มือที่วางขนาบข้างในคราวแรกก็เปลี่ยนเป็นสอดเข้าไปใต้เสื้อตัวบางแล้วสะกิดกับยอดอกที่เริ่มชูชัน แล้วเริ่มถอดมันออกช้าๆ จนท่อนบนเปล่าเปลือยเผยให้เห็นผิวเนื้อที่ขาวผุดผ่อง
ผมละตัวออกมานิดหน่อย มองตรงไปยังร่างตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาผมยอมรับว่าผมไม่เคยล่วงเกินเรย์เลยสักครั้ง อย่างมากก็มีแค่จูบ...แต่วันนี้ผมจะทำให้มากกว่านั้น เพราะร่างกายนี้เป็นของผม
เรย์เป็นของผม!
“อึ๊ก!”
ร่างเล็กหลับตากัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อกลบเสียงร้องยามเมื่อผมกดไปที่แผ่นอกบางทั้งสองข้างแล้วขยุ้มมันเต็มแรง
“อ่ะ! อ๊า”
เสียงครางหวานถูกเอื้อนเอ่ยดังออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมใช้มือลูบไล้ไปที่สะโพกมนแล้วจับมันอย่างแรง เนื้อนิ่มๆ ที่สัมผัสมันทำให้ผมหมั่นเคี้ยวจนอดไม่ได้ที่จะย้ำมันแรงๆ
“อ่ะ!”
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกอีกครั้งยามที่ผมจับแยกขาขาวๆ ออกแล้วถอดกางเกงออกจนเหลือปราการชิ้นสุดท้าย แล้วมันก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อผมใช้นิ้วเกี่ยวกวัดชั้นในสีเทาให้หลุดออกมาเผยให้เห็นแก่นกายสีขาว หัวของมันอมชมพูสวย ร่างเล็กบิดเร้าไปด้วยความเขินอาย
“มึงต้องเป็นของกู”
 
 

                                                                                                         
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 22-02-2016 22:52:08


 


ผมมองผู้ชายตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ พยายามสกัดกลั้นความวาบหวิวที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของเอเดน ผมยอมรับว่าเขาช่ำชองมาก เจนจัดเสียจนผมแทบควบคุมสติไว้ไม่อยู่ รสจูบที่แสนรุนแรง เขาบดขยี้ริมฝีปากของผมเพื่อแสดงเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ตอกย้ำว่าผมเป็นของเขาแล้วก็ไม่มีวันที่จะหนีเขาไปได้ แล้วอีกอย่างเอเดนคงไม่ยอมที่จะปล่อยผมให้รอดเงื้อมมือเขาไปได้แน่ๆ
คงต้องยอมสินะ
เอเดนจูบไปที่ใบหน้าของผมจนพอใจแล้วเคลื่อนริมฝีผากไปที่ไซร้ที่ซอกคอบางพร้อมดูดเม้นจนเป็นรอยจ้ำแดงอีกครั้ง หน้าอกของผมก็ถูกมือหนาบีบเค้นซะจนรู้สึกเจ็บ ร่างกายและจิตใจของผมสั่นระริกอย่างหวาดกลัวแต่ก็ต้องทน เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันทำให้นึกถึง...
เรื่องเมื่อครั้งก่อน...เมื่อครั้งที่เอเดนทำกับผมในห้องน้ำวันนั้น มันยังฝังรากลึกจนรู้สึกหวาดกลัว
“ฮึก”
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพยายามที่จะไม่เปล่งเสียงออกมา แต่มันก็ดูช่างยากเย็นเหลือเกิน ลิ้นอุ่นร้อนลากไล้ไปที่ลอคอบางแล้วเคลื่อนไปที่หน้าอกทั้งสองข้างพร้อมดูดสลับกันอย่างรุนแรง มือของเขาก็จับไปที่แก่นกลางลำตัวของผม แล้วบีบเบาๆ จนผมสะดุ้งเฮือกก่อนที่จะเริ่มรูดขึ้นลงช้าๆ สลับเร็ว
“อ่ะอ๊า”
พอเขาทำแบบนี้แล้วมันทำให้ผมควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ ใบหน้าผมเชิดขึ้นแล้วเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ มือก็จกลงไปบนที่นอนเพื่อระบายความเสียวซ่าน
“หึ”
เอเดนหัวเราะในลำคอเบาๆ
ผมปรือตามองเขาด้วยความยากลำบาก เอเดนกำลังจับขาของผมให้แยกออกกว้างมากขึ้นกว่าเก่า แล้วนั่น...มันก็ทำให้ผมเริ่มรู้ว่าเอเดนกำลังจะทำอะไร
“ฮึก!”
“อย่าเกร็ง”
เขาบอกพร้อมกับค่อยๆ สอดนิ้วเข้ามาในตัวผม เพราะไม่มีสารหล่อลื่นเลยทำให้ผมเริ่มเกร็งตัวและเจ็บ ช่องทางด้านหลังก็ปฏิเสธสิ่งแปลกปลอมที่สอดแทรกเข้ามา เอเดนมองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการก่อนจะสอดนิ้วเข้ามาจนสุดในคราวเดียว
“จะ เจ็บ”
ผมกัดฟันทน ร้องบอกด้วยความทรมาน มันเจ็บจริงๆ นะ เหมือนร่างกายจะถูกแยกออกจากกันเลย แต่ดูเหมือนว่าเอเดนจะไม่ฟังคำของผม เขาหมุนคว้านนิ้วเป็นวงกว้างแล้วเริ่มกระแทกเข้าไปตรงจุดไวสัมผัสจนทำให้ผมสะดุ้งเฮือกหลายต่อหลายครั้ง ถึงมันจะเจ็บแต่ก็ยังรู้สึกดีอยู่บ้างแล้วก็เริ่มปรับตัวให้กับสิ่งแปลกปลอม... พอเห็นว่าผมเริ่มที่จะปรับตัวได้เขาก็เปลี่ยนจากหนึ่งนิ้วเป็นสองนิ้วแล้วก็ทำแบบเดิม ส่วนผมก็ยังขดตัวเกร็งแน่น ทั้งเจ็บ และจุก เมื่อจำนวนนิ้วเพิ่มเข้ามาเป็นสามนิ้ว
ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลย
“พร้อมละนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม ผมมองเอเดนผ่านม่านน้ำตาบางๆ ด้วยความอ่อนแรง ขาทั้งสองข้างก็ถูกจับไปไว้ตรงบ่าแกร่ง สะโพกมนก็ถูกยกขึ้นไว้บนตัก ผมหลับตาลงช้าๆ อยู่นิ่งๆ แล้วก็ทำใจยอมรับ
ต้องยอมรับให้ได้!
 .
.
.

“เรียบร้อยแล้วครับ ทางเราหาหลักฐานได้แล้วครับ”
ชายหนุ่มในชุดสูทสง่าเอ่ยรายงานรายงานแก่หญิงตรงหน้าพร้อมกับยื่นเอกสารให้เพื่อรายงานบางอย่าง...
บางอย่างที่เป็นหลักฐานสำคัญ!
“ติดต่อกับเจ้าหน้าที่หรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
‘โรส’ ยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นลูกตัวเองเดือดร้อนมีเหรอที่คนเป็น ‘แม่’ จะอยู่เฉยๆ...ถ้าหากว่าไม่ใช่คำขอของเรย์ละก็เธอไม่มีวันที่จะอยู่นิ่งๆ แบบนี้หรอก! จนกว่าจะถึงเวลาและจนกว่าจะหาหลักฐานได้ เรย์ถึงต้องเข้าไปอยู่ในดงเสือแบบนั้น!!!
“จัดการให้เรียบร้อย แล้วก็เอาเรย์ออกมาจากบ้านหลังนั้นซะ”
“ครับ นายหญิง”
ชายหนุ่มโค้งรับก่อนที่จะเดินออกไปเพื่อจัดการ ‘งาน’ ที่เหลืออยู่ให้เสร็จสิ้น งานชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่...
 
“อ๊ากก!!!”
ร่างสูงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเมื่อถูกชายฉกรรณ์รุมเหยียบย่ำตรงแผลที่ถูกยิง ร่างหนากัดฟันทนความเจ็บปวดที่โถมเข้าหาเป็นระรอกคลื่น เจ็บที่กายไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บที่ใจนี่สิ!
ภาพที่เรย์ถูกเอเดนจูบยังฉายชัดอยู่ในความทรงจำ อยากจะเข้าไปห้าม อยากจะเข้าไปช่วยแล้วเอาตัวเรย์ออกมาใจแทบขาด แต่ก็ติดตรงที่ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงพอและถูกลูกน้องของเอเดนจับเอาไว้ เลยได้แต่ทนมองเหมือนใจจะขาดรอนๆ
ตุบ! ผัวะ!
“อั๊ก!”
หยาดเลือดสีสดไหลทะลักออกมาจากปาก ไม่มีการออมแรงของผู้กระทำแต่อย่างใด ในเมื่อมันเป็นคำสั่งและพวกเขาก็เป็นลูกน้อง มีหน้าที่แค่ทำตามก็เท่านั้น
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมาจากอีกทางทำให้เหล่าลูกน้องของเอเดนหยุดชะงัก
“เฮ้ย มึงไปเปิดดิ สงสัยนายมา”
หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น
“แต่นายเพิ่งไปไม่ใช่เหรอวะ”
“สงสัยจะมาดูผลงาน”
ทั้งสามคนยกยิ้มที่ใบหน้าทันทีเมื่อคิดถึงเงินจำนวนมากที่ตัวเองจะได้รับ เพราะงานครั้งนี้เป็นแค่งานง่ายๆ แค่ทำให้คนหายไปจากโลกนี้เพียงคนเดียวก็ได้เงินมาได้อย่างสบาย แล้วดูท่าว่าพวกเขาจะทำงานได้ดีซะด้วย เพียงแค่นี้ค่าตอบแทนก็คงจะได้มากพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอีกนานแน่ๆ
พอคิดได้แค่นั้นชายคนหนึ่งก็เดินไปที่ประตูโกดังพร้อมกับค่อยๆ เปิดประตูต้อนรับผู้เป็นนาย...หากแต่ว่าสิ่งที่รอรับพวกเขาไม่ใช่เป็นอย่างที่คิด เพราะทันทีที่บานประตูถูกเปิดผู้มาใหม่ก็เข้ามาเยือน
“หยุด! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!”
!!!
 .
.
.
.

“Game Over”
ผมนำวัตถุสีดำที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้หมอนมาจ่อที่หน้าผากของเอเดนโดยที่เขายังไม่ทันตั้งตัว รอยยิ้มเหี้ยมแห่งชัยชนะฉายชัดบนใบหน้าของผม...แต่ดูเอเดนเขาคงกำลังตกใจมากพอดู
“เรย์!” เอเดนเรียกชื่อผมด้วยเสียงทุ่ม
“ออกไปซะ อย่าคิดว่านี่เป็นของเล่น แค่ฉันลั่นไก นายได้ไปเฝ้ายมโลกแน่เอเดน”
ผมพูดพลางพยักหน้าให้เอเดนถอยห่างออกไปจากตัว มือของผมก็ยังคงเอาปืนจ่อหน้าผากของเอเดนอยู่ ใช่!...อย่างที่บอก ปืนที่ผมถืออยู่มันเป็นของจริง ถ้าเกิดว่าเขาจะทำอะไรผมแค่เพียงอีกนิดเดียว ผมจะยิงเขาแน่!เขาเล่นสนุกกับร่างกายของผมมากพอแล้ว แล้วที่ผมยอมให้เขาทำอะไรต่อมิอะไรยกเว้นแต่สอดใส่ตัวตนเข้ามาก็แค่เพื่อ...
ถ่วงเวลา!
“มึงไม่กล้าหรอกเรย์”
เอเดนกระเถิบตัวถอยหลังแล้วพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบเหมือนอย่างเคย
“หึ รู้ได้ยังไงว่าฉันไม่กล้า ฉันกล้ามากกว่าที่นายคิดอีกเอเดน”
เอาสิ...ถ้าอยากลองผมก็พร้อมที่จะให้ลอง
“มึงทรยศกู”
“ฮ่าๆ เพิ่งรู้เหรอ ฉันบอกแล้วไง…Game Over!”
“มึง!”
ร่างสูงทำท่าจะทำร้ายผม เขายกมือขึ้นแล้วพยายามเอามือขวามาปัดปืนที่จ่อหน้าผากเขาอยู่ออก
ปัง! ปัง! ปัง!
“นายครับ! แย่แล้ว ตำรวจมาครับนาย!”
แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรมากกว่านั้น บานประตูที่ถูกปิดสนิทก็ถูกเคาะจากคนด้านนอกพร้อมกับข่าวร้ายสำหรับเขา แต่สำหรับผมมันเป็นข่าวดีซะจริง คนของผมทำงานเร็วเสมอ เพียงแค่ชั่วอึดใจผมว่าตอนนี้มีคนของผมและตำรวจเต็มคฤหาสแล้วมั้ง
“เหี้ยเอ้ย!!!”
เอเดนสบถคำหยาบออกมา เขามองหน้าผมอย่างคนโกรธแค้น แต่มันทำให้ผมรู้สึกสะใจดีเหลือเกิน
 
“ผมขอจับพวกคุณข้อหาพยายามฆ่า”
หมายจับถูกคลี่ออกมาให้เห็นพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รายลอบ ทั้งเอเดนและบดินทร์ถูกจับ ลูกน้องของพวกเขาก็ด้วย
“ฮึ่ม! พวกแกมีหลักฐานอะไร!”
บดินทร์ขบกรามแน่น
“ทางเรามีทั้งพยานและหลักฐาน รวมทั้งคลิปเสียงครับ เชิญพวกคุณให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ”
“ปล่อย! กูไม่ผิด! อย่าให้กูออกมาได้นะกูจะฟ้องร้องพวกมึงทุกตัว! กูจะเรียกทนาย! ปล่อยกู!!!”
เขายังคงดิ้นไม่หยุดระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพาออกไป ส่วนเอเดนเขากุมท่าทีได้ดีเลยทีเดียว ไม่เหมือนคนเป็นพ่อสักนิด แต่ดูท่าแล้วเขาคงจะแค้นผมมากพอดู ก็แน่ละ...เล่นถูกดัดหลังขนาดนั้นถ้าไม่แค้นนี่ก็แปลกแล้ว...ผมยืนยิ้มอยู่ที่ระเบียงพลางมองไปที่คนพวกนั้นที่เดินไปจนลับตา
มันจบแล้วสินะ
ทุกอย่างมันจบแล้ว
“เรย์”
ผมหันไปมองยังเสียงผู้หญิงที่เรียกผมจากอีกทาง
“คุณแม่”
ผมคลี่ยิ้มบางให้ คุณแม่เดินมาอยู่ตรงหน้าผมพลางโอบกอดผมไว้ด้วยไออุ่น ผมหลับตานิ่งแล้วโอบกอดท่านไว้เช่นกัน
เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น เรื่องที่ผมมาอยู่กับเอเดน เรื่องของพ่อ...ทุกอย่างมันเป็นแค่แผนการที่ผมวางไว้เท่านั้น แต่ที่ทำทุกอย่างได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะว่ามีแม่คอยช่วยเหลือและอยู่เบื้องหลัง ผมถึงได้หาหลักฐานมาเอาผิดได้...ตั้งแต่แรก
ในวันที่ผมเข้าโรงพยาบาลเพราะถูกผู้หญิงคนนั้นชน ถึงตอนแรกคนที่ผมลืมตาขึ้นมาจะเป็นเอเดนก็จริง... เอเดนยื่นข้อเสนอมาให้อีกครั้งพร้อมกับบอกว่าใครเป็นคนร้ายพร้อมกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เขาบอกว่า ‘พ่อ’ ของผมเป็นคนสั่งให้ผู้หญิงคนนั้นทำ เอเดนบอกผมว่าถ้าแค่กำจัดผมทิ้งไป ทุกอย่างที่เป็นของผมก็จะตกเป็นของหนึ่งโดยทันที
แต่ว่า...ทุกอย่างมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ทันทีที่เอเดนเดินออกไปได้ไม่นานก็มีคนที่เข้ามาใหม่ แล้วคนๆ นั้นก็คือ ‘แม่’ ของผม
อ้อมกอดที่คุ้นเคยกับเสียงร่ำไห้เพราะความเสียใจ มันทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้ฝันไปเองแน่ๆ แม่เล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง เรื่องที่ไปจากผม เรื่องที่ความจำเสื่อมแล้วก็เรื่องความทรงจำที่กลับมา แม่บอกว่าจะพาผมไปอยู่ด้วยแล้วไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกันที่นั่น ไปมีชีวิตใหม่ด้วยกันแล้วลืมทุกอย่างไปซะ... ผมกอดแม่เอาไว้ โหยหาในความรักที่ขาดมานาน แต่แวบหนึ่งผมกับคิดถึงคำพูดของบดินทร์
‘ฆ่ามันซะ’
ผมพยายามไล่ความคิดนั้นออกไป พยายามที่จะไม่สนใจเรื่องของผู้ชายคนนั้น จะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของเขา...
แต่ผมกลับทำมันไม่ได้
ผมปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้
ผมเลยวางแผนซ้อนแผน ร่วมมือกับเอเดนเพื่อหาหลักฐานว่าพวกเขาทำอะไรและวางแผนอะไรบ้าง ทำให้พวกเขาเชื่อใจให้มากที่สุด ยอมแม้กระทั้งเข้าพิธีหมั่นหลอกๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนนับร้อย แต่ข่าวที่แพร่สะพัดออกไปมันทำให้ผมคิดว่าแผนได้ดำเนินการมาเกือบครึ่งทางแล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่หาหลักฐานเท่านั้น คนของผมแทรกซึมเข้ามาในบ้านหลังนี้ คอยปกป้องผมห่างๆ แล้วก็รายงานทุกอย่างให้ผมฟังอยู่เสมอ... ส่วนเรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่ทำร้ายผม เขาพยายามฆ่าผมให้ตายผมก็เลยไปทำร้ายหนึ่ง ลูกชายที่เขารักมากที่สุด มันเป็นผลพลอยได้ในเรื่องเอเดนเหมือนกัน แม้ว่าผมจะรู้ว่าหนึ่งไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ถ้าจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บก็ต้องทำหนึ่ง! แล้วมันก็ได้ผลซะด้วย...ผมทำให้เธอแทบคลั่งแล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา...ใบหน้าที่แสนร้ายกาจถูกปกปิดด้วยรอยยิ้มที่ใจดี ทั้งๆ ที่ตัวตนของเธอนั้นร้ายกาจมากพอดู
“กลับกันเถอะเรย์ เรื่องทุกอย่างมันจบลงแล้ว”
แม่ลูบผมของผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบประโลม
“...คุณแม่ แล้ว...”
ผมเงยหน้าสบตามองแม่ อยากถามเหลือเกินว่าตะวันเป็นยังไงบ้าง...แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป
“ผู้ชายคนนั้นแม่ให้คนพาไปโรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องห่วง”
“...ครับ”
ผมยกยิ้มบางๆ ให้พลางโอบกอดแม่อีกครั้ง...
ตะวันปลอดภัยแล้วสินะ...โชคดีจริงๆ ที่เขาไม่เป็นอะไร อย่างน้อยการที่ผมกำลังจะจากไปที่นี่ผมก็จะได้ไม่ต้องติดค้างเขา เพราะหลังจากที่เสร็จเรื่องของเอเดน ผมก็จะไปจากที่นี่ทันที
หลังจากนั้นผมก็กลับไปที่คอนโดที่แม่อาศัยอยู่ชั่วคราวที่ประเทศไทย ข่าวของเอเดนดังกระฉ่อนไปทั่ว เรื่องที่ฉ้อโกง ค้าอาวุธเถื่อนและคดีพยายามฆ่า บริษัทฯ ต่างๆ ที่ทำสัญญาซื้อขายกับพวกเขาเอาไว้ต่างก็พากันถอนหุ้นไปหมด จนตอนนี้แทบเรียกได้ว่าทั้งบดินทร์และเอเดนกลับกลายเป็นคนล้มละลายในชั่วพริบตา ถึงจะเอาทนายมาขู่ฟ้องกลับแต่หลักฐานมัดตัวขนาดนั้นก็คงจะรอดยากอยู่ แค่เรื่องพยายามฆ่านี่ก็คงติดคุกไปเป็นสิบๆ ปีแล้ว ส่วนเรื่องของผมกับเอเดนไม่มีการพูดถึง ส่วนนึงเพราะแม่ช่วยปิดข่าวให้ ซึ่งมันก็ดีมากสำหรับตัวผมแล้ว...เพราะแค่นี้เรื่องของผมก็คงจะเป็นที่นินทาสนุกปากไปแล้วละ
แต่อย่างว่า...อำนาจเงินมักพึ่งพาได้เสมอ
“แม่ฟังคำขอของลูกมามากพอแล้วนะเรย์ ต่อไปนี้ฟังคำของแม่บ้าง”
ใบหน้าของแม่เคร่งขรึมมองผมด้วยแววตาจริงจัง
“คุณแม่?”
แม่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันนะ?
“เรื่องผู้หญิงคนนั้น...แม่ไม่ยอมให้มันเสวยสุขหรอกนะ!”
“แม่หมายความว่า...”
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่อยากนึกถึงสิ่งที่แม่กำลังจะพูดมาเลย...
“นังนั่น! แม่จะเอามันเข้าคุก!”
!!!
“แต่…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น! แม่ให้อิสระมันมากพอแล้วเรย์ แม่ไม่ยอมให้ลูกเจ็บตัวฟรีๆ เด็ดขาด!”
ผมรู้ว่าแม่พูดจริงทำจริงแน่ แล้วที่ท่านยอมอยู่เฉยๆ จนถึงวันนี้ก็คงเป็นเพราะคำขอร้องของผมว่าอย่าเพิ่งยุ่งเรื่องนี้จนกว่าทุกอย่างจะจบลง พอทุกอย่างเรียบร้อยก็คงจะถึงตาของแม่ผมบ้างแล้วสินะ...
แต่เอาเถอะ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด
ปล่อยให้ทุกอย่างมันไปตามเวรตามกรรมก็แล้วกัน
 
 
                                                                                                         
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 22-02-2016 22:55:08

 
ตอนที่ 28

“กรี๊ดๆ กรี๊ด!!!”
โครม!
เป็นอีกวันที่นันทำลายข้าวของของบ้าน เธอกำลังโมโหอย่างหนักที่ต้องมาทนทำงานเหนื่อยทุกวัน ไหนจะซักผ้าและทำกับข้าว ไหนจะต้องออกไปเดินตลาด ต้องแบกหน้าหลบหน้าหลบตาทุกคนเพราะกลัวว่าจะจำเธอได้ว่าเธอเคยเป็นใครมาก่อน กับพจน์เองก็ทะเลาะกันแทบทุกวัน...นันไม่อยากใช้ชีวิตอยู่แบบนี้! มันลำบากเกินไป!
“ทำไมชีวิตฉันต้องมาเป็นแบบนี้ด้วย!!! อ๊ากก!!! เพราะแก! เพราะแกเพียงคนเดียวไอ้เรย์!!!”
เพล้ง! โครม!
“พอสักทีเถอะคุณ!”
เป็นอีกครั้งที่พจน์หมดความอดทนกับภรรยาของเขา ปัญหาครอบครัวที่เริ่มเกิดขึ้นทำให้พจน์เองก็เริ่มทนไม่ไหวเหมือนกัน! ไม่คิดเลยภรรยาที่อ่อนโยนคนนั้นจะกลับกลายมาเป็นคนแบบนี้ได้ พอเขาเริ่มหมดตัว อะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด เหนื่อยจากการทำงานยังไม่พอ ยังต้องมารับมือกับปัญหาทางบ้านอีก!
“ก็ฉันเหนื่อย! คุณรู้ไหมว่าฉันเหนื่อย!!! ฉันไม่อยากอยู่แบบนี้ ฉันไม่ต้องการคุณได้ยินไหม!!!”
นันกรีดร้องเอ่ยความรู้สึกของตัวเองออกมา พจน์มองสบตานิ่งพลางส่ายหน้าเบาๆ เพราะไม่อยากให้ลูกและเมียรู้ว่าตอนนี้ตัวเองได้งานอะไรถึงปกปิดและไม่บอกกล่าว การทำงานที่ผิดพลาดทำให้ตัวเขาเกือบถูกไล่ออกอยู่รอมร่อ แต่พจน์ก็พยายามทน! แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำงานนี้ก็ตาม กลับบ้านมาก็แทนที่จะเจอกับเรื่องที่ทำให้อุ่นใจ สบายใจ แต่นี่อะไร? นันมีแต่อาละวาดและชวนทะเลาะอยู่ทุกวัน!
มันทำให้พจน์รู้สึกเหนื่อยหน่าย
“คุณเองก็อดทนหน่อยสิ! ผมเองก็เหนื่อยเหมือนกัน”
“แต่ฉันเหนื่อยกว่า! ฉันไม่อยากอยู่แบบนี้!!! ฉันอยู่ไม่ได้! ฉันต้องการเงิน! ได้ยินไหมคุณพจน์ว่าฉันต้องการเงิน!”
เพราะต้องอดทนมาตลอดทำให้นันเผลอที่จะพูดความคิดของตัวเองออกมา เธอรีบยกมือปิดปากตัวเองอย่างคนลืมตัว แต่เพียงแค่คำพูดเล็กๆ มันทำให้พจน์ถึงกับมองนันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“...คุณแต่งงานกับผมเพราะอะไรกันแน่”
พจน์กลั้นใจถาม ทั้งที่ความจริงเขาเองก็รู้สึกทั้งเจ็บและจุกไม่แพ้กัน แต่คำตอบที่ได้มากลับกลายเป็นความเงียบ นี่ภรรยาของเขาเป็นแบบนี้เองเหรอ...ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่อยู่ด้วยกัน มันไม่เคยทำให้เธอรักเขาเลยเหรอ? หรือว่าที่แต่งงานกันก็เพียงเพราะว่าเขามีเงิน
“นั่นคุณจะไปไหน! คุณพจน์!”
ทันทีที่เห็นสามีไม่คิดจะสนใจเธอ นันจึงรีบรั้งแขนพจน์เอาไว้แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ผมจะไปทำงาน!”
พจน์ดึงแขนตัวเองออกมาแล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
“กรี๊ดๆ คุณพจน์! คุณพจน์! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!!! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน คุณพจน์!”
นันยังคงเรียกสามีของเธอให้หันกลับมา แต่ก็มีแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น...เธอรู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปเมื่อสักครู่มันอาจทำร้ายจิตใจของพจน์ ใช่ว่าเธอจะไม่รักเขา แต่ความรักมันก็ต้องอยู่ในพื้นฐานของ ‘การเงิน’ ด้วยเช่นกัน
“ฮึก คุณแม่...พอเถอะ”
หนึ่งเดินเข้ามาโอบกอดนันจากทางด้านหลัง ร่างเล็กร้องไห้ด้วยความเสียใจ ทำไมหนึ่งจะไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งที่คนเป็นพ่อและแม่เอ่ยขึ้นมาเมื่อสักครู่ แม่แต่งงานกับพ่อก็เพียงเพื่อหวังเงินเท่านั้นหรือ...เพียงแค่นี้มันก็ทำให้ใจดวงน้อยแตกสลายจนไม่มีชิ้นดีแล้ว
“คุณพจน์! กลับมา! คุณพจน์!”
“ฮึก คุณแม่...คุณแม่”
หนึ่งร้องเรียกนันด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเสียใจอย่างที่สุด ใบหน้าหวานนองไปด้วยน้ำตาอย่างห้ามไม่อยู่
ใครก็ได้! ช่วยหยุดความทรมานนี้ที!!!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ร่างเล็กหันหน้าไปมองด้วยความสงสัยก่อนที่จะเช็ดน้ำตาตัวเองให้แห้งเหือดแล้วไปเปิดประตูให้ แต่ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออกก็ทำให้หนึ่งถึงกับมองอย่างฉงน
“คุณตำรวจมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งให้มาจับผู้ต้องหา ข้อหาพยายามฆ่า”
“คุณตำรวจ พูดอะไรนะครับ...ใครฆ่าอะไร? ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วละ”
ถึงจะสงสัยแต่หนึ่งที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ตอบออกไปอย่างที่ตัวเองคิด ในบ้านหลังนี้จะมีฆาตกรได้ยังไง? เพราะทั้งบ้านก็มีกันอยู่แค่สามคนเท่านั้น
“ไม่ผิดหรอกครับ เชิญคุณนันไปให้ปากคำกับเราด้วย”
สายตาของผู้พิทักษ์สันติราชหนุ่มมองไปยังทางด้านหลังของหนึ่งด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่ผิดกับคนที่ถูกมองกลับแสดงสีหน้าซีดเผือดออกมาอย่างเห็นได้ชัด นันกำมือแน่นพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่นแต่ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวตั้งแต่เห็นตำรวจ
 



“ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉัน!!! ฉันไม่ผิด ฉันไม่ได้ทำ!!! ปล่อยฉัน!!!”
นันร้องโวยวายอย่างคนไร้สติทันทีหลังจากที่ถูกจับมาอยู่ในห้องขุมขัง จะมาทำแบบนี้กับเธอไม่ได้เด็ดขาด! เธอไม่ได้ผิด! คนที่ผิดคือเรย์เพียงคนเดียว!!!
“ฮึก ฮือ ฮือ คุณแม่”
เสียงร่ำไห้ที่น่าสงสารจับจ้องผู้เป็นแม่ด้วยใจที่ปวดร้าวเมื่อเห็นคนที่รักต้องไปอยู่ในคุก
“หนึ่ง...หนึ่งช่วยแม่ด้วยนะลูก แม่ไม่ผิด!”
“ฮือ ฮือ หนึ่งจะช่วยคุณแม่...คุณแม่ครับ ฮึก คุณตำรวจ...ปล่อยแม่ผมได้ไหม ฮือ ฮือ”
ร่างเล็กหันไปขอร้องกับเจ้าหน้าที่ด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา
“ผมคงปล่อยไม่ได้ครับนอกจากว่าจะมีคนมาประกันตัว”
“ฮือ ฮือ ฮึก คุณแม่...”
แต่คำตอบของผู้พิทักษ์สันติราชทำเอาหนึ่งแทบทรุดลงไปกับพื้น เขาจะไปหาเงินมาจากไหนมาประกันตัว ข้อหาฆ่าคนตายต้องใช้เงินประกันอย่างน้อยก็หลักแสน แต่ดูตอนนี้สิ...ทั้งเนื้อทั้งตัวเขากลับไม่เหลืออะไรเลย จะให้เชื่ออย่างนั้นเหรอว่าแม่เขาจะฆ่าคนตาย มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก แม่ที่ใจดีคงไม่มีทางทำแบบนั้น แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่หนึ่งคิดมันผิดเมื่อเห็นใครอีกคนก้าวเข้ามาในโรงพักด้วยสีหน้าหยิ่งยโสในแบบฉบับของเจ้าตัว
“สวัสดี หนึ่ง...ไม่เจอกันนานนะ”
!!!
 


พจน์มาทำงานที่สถานที่ก่อสร้างด้วยใจที่หดหู่ คำพูดของนันที่เอื้อนเอ่ยต่อเขายังคงดังก้องอยู่ในหัวจนไม่สามารถสะบัดให้หลุดไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงต้องมาทำงานเหมือนปกติ แม้ว่าใจจะยังไม่อยากทำอะไรเท่าไหร่ แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบเลยทำให้เขาไม่สามารถที่จะหยุดมันได้ ถึงพจน์จะทำงานก่อสร้างมาหลายวันแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับหน้าที่นี้อยู่ดี ทำให้วันๆ นึงเขาโดนหัวหน้างานต่อว่าหลายต่อหลายครั้ง
แดดที่ร้อนเปรี้ยงปร้างราวกับว่ามันกำลังแผดเผาทุกอณูผิว พจน์มองไปที่ท้องฟ้าที่เจิดจรัญ เพราะความร้อนของแสงอาทิตย์แล้วก็เพราะว่าเขาทำงานกลางแจ้งบวกกับร่างกายที่มีอายุมาก ไม่ใช่คนหนุ่มไฟแรงเลยทำให้พจน์รู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าคนอื่น
“ลุง! ขอปูนหน่อย เร็วๆ”
“ได้ๆ”
พจน์หันไปตามเสียงเรียกแล้วรีบตักปูนใส่ถังก่อนที่จะแบกไปให้กับคนที่กำลังทำการฉาบผนังอยู่
“ลุง ทางนี้ด้วย”
“ได้ๆ”
พอส่งให้อีกคนเสร็จพจน์ก็ต้องรีบไปส่งปูนให้กับอีกคน ก่อนที่จะรีบไปแบกไม้ขึ้นไปบนตึก แต่พจน์กลับไม่รู้เลยว่ากำลังมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา
Rrr. Rrr. Rrr.
เสียงรอสายที่คุ้นชินทำให้พจน์วางงานแล้วมองหน้าจอ
‘หนึ่ง’
เขาไม่ลังเลสักนิดก่อนที่จะกดรับสาย หากแต่สิ่งที่ได้ยินกลับกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจ มันทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับใจหล่นวูบ
//ฮึก คุณพ่อ//
“หนึ่ง! หนึ่งเป็นอะไร!”
//ฮือ ฮือ คุณพ่อ...คุณแม่ ฮึก//
“แม่?...แม่เป็นอะไร”
พจน์ขมวดคิ้วถาม ยิ่งเห็นหนึ่งพูดออกมาแบบนี้ก็ยิ่งใจไม่ดี
//คุณแม่ถูกจับ//
!!!
 .
.
.
.


ผมมองร่างเล็กที่กำลังร่ำไห้อย่างน่าสงสาร แต่มันก็แค่สำหรับคนอื่น...ส่วนผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะหนึ่ง...มักเป็นแบบนี้มาตลอด เขามักจะร้องไห้อยู่เสมอจนใครๆ ที่เห็นต่างก็สงสารแล้วก็มอบความรักให้กับเขา ซึ่งผิดกับผม... น้ำตาของผมมันแห้งเหือด ความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาเป็นระรอกๆ ไม่ว่าจะเท่าไหร่ก็ตามแต่น้ำตาของผมกลับไม่ไหล
เพราะมันเคยร้องไห้ จนหมดแรง
หลังจากที่แม่บอกว่าจะเอาผู้หญิงคนนั้นเข้าคุก แม่ก็ส่งหลักฐานทั้งหมดให้กับตำรวจแล้วตำรวจก็บุกไปที่บ้านพร้อมกับหมายจับ ส่วนผมต้องมาให้ปากคำเพราะเป็นพยานคนสำคัญ
“พวกแกใส่ร้ายฉัน! ฉันจะฟ้องร้องให้หมด! ฉันจะบอกนักข่าว ฉันทำให้ทุกคนรู้ว่าพวกแกมันเป็นคนชั่ว!”
ผู้หญิงคนนั้นพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา บอกว่าตัวเองไม่ผิดจนผมชักเริ่มที่จะรู้สึกรำคาญ
“เหรอ? นี่ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าคนที่ชนลูกฉันหน้าคล้ายเธออย่างกับแกะ”
“แกทำหลักบานปลอม!”
“ปลอมไม่ปลอมเดี๋ยวก็รู้ แต่ฉันไม่เอาเธอไว้แน่นัน!”
แม่พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง แต่ผมกลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น เมื่อสักครู่ผมเห็นว่าหนึ่งกำลังโทรศัพท์อยู่ ผมไม่รู้ว่าหนึ่งกำลังโทรหาใครแต่ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นผู้ชายคนนั้นแน่ๆ แล้วอีกไม่นานเขาก็จะมาสินะ
ถ้าเกิดว่าเขามาเห็นครอบครัวที่รักเป็นแบบนี้ละก็ คงจะทั้งโกรธและเกลียดผมมากขึ้นไปอีกแน่ๆ
“หนึ่ง! นัน!”
แล้วสิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึง เสียงกระหืดกระหอบของลมหายใจถูกพ่นออกมาอย่างแรง ผมหันไปมองตามเสียงนั้น แต่สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมแทบไม่เชื่อในสายตาตัวเอง ผู้ชายที่เคยดูภูมิฐานตรงหน้ากลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แค่ไม่เจอกันไม่นานนี่เขาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยเหรอ? เนื้อตัวที่เคยสะอาดสะอ้านกลับมีแต่รอยเปื้อน ผิวพรรณที่เคยดูดีกลับเริ่มคล้ำลงนิดหน่อย ใบหน้าของเขาก็ดูซูบซีดลงไปมาก แสดงถึงความเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
ดูก็รู้ว่าคงจะลำบากมากพอดู
“คุณพ่อ ฮือ ฮือ ช่วยคุณแม่ด้วย ฮึก ฮือ”
หนึ่งวิ่งเข้าไปโอบกอดเพื่อร้องขอให้ช่วย ทั้งๆ ที่มันเป็นภาพที่ชินตาแต่ทำไมผมกลับรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เห็นภาพแบบนี้นะ
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
ไม่มีการทักทายระหว่างพวกเรา เขามองหน้าผมสลับกับแม่
“ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอคะคุณพจน์...แต่เอาเถอะคะ ไม่จำเป็นที่จะต้องทักกันก็ได้เพราะยังไงซะฉันก็ไม่ได้อยากคุยกับคุณสักเท่าไหร่”
แม่พูดเย้ยหยัน ดวงตาเรียวมองไปที่อดีตสามีอย่างไม่เกรงกลัว
“คุณ ฮึก ฮือ ฮือ ช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากอยู่ในนี้ ฮึก”
เสียงร่ำไห้ของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นเพื่อขอร้องให้เห็นใจ
“คุณเป็นสามีของผู้ต้องหาใช่ไหมครับ เชิญให้ปากคำกับทางเราด้วย”
ตำรวจที่เป็นคนดูแลคดีนี้กล่าวขึ้นพร้อมกับเชิญเขาไปนั่งที่โต๊ะก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับยื่นหลักฐานให้ ผมเห็นเขามองภาพเหล่านั้นจากกล้องวงจรปิดด้วยแววตาสั่นๆ ภาพที่ผมกำลังโดนรถชนแล้วก็เลขทะเบียนพร้อมกับใบหน้าของผู้ต้องหา หลักฐานทุกอย่างมัดตัวขนาดนี้แล้วถ้ายังจะมาบอกว่าไม่ผิดอีกก็คงจะเป็นไปไม่ได้
หนึ่งเองก็เหมือนกัน...เขารับฟังความและโทษทัณฑ์ของผู้เป็นมารดาด้วยแววตาสั่นระริก คงจะไม่เชื่อเหมือนกันว่าแม่ตัวเองที่คิดว่าดีแสนดีจะทำแบบนี้ได้ลงคอ
ความเงียบงันเข้ามาหลังจากที่ตำรวจพูดจบ เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มีแต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้าที่ดูโรยราหันมามองผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“หลังจากนี้ฉันจะให้ทนายจัดการเรื่องทั้งหมด คุณคงเข้าใจนะคุณพจน์ ฉันเองก็รักลูกของฉันเหมือนกัน เหมือนอย่างที่คุณรักลูกและเมียของคุณ มันทำลูกฉันก่อน ฉันก็ไม่ปล่อยมันเอาไว้เหมือนกัน!”
“...”
ไร้คำตอบจากผู้เป็นพ่อ... เขามองผมสลับกับแม่อีกครั้ง ร่างกายที่เคยแข็งแรงเซเล็กน้อยแล้วทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด
ตุบ
พ่อคุกเข่าต่อหน้าผมอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาของผู้คน
“คุณพ่อ!”
หนึ่งวิ่งเข้ามาประคองร่างใหญ่แล้วฉุดให้ลุกขึ้น
“คุณจะทำอะไร?”
นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมพูดกับเขาตั้งแต่เข้ามาในโรงพัก ผมมองด้วยความฉงนเพราะสิ่งที่เขาทำอยู่มันทำให้ผมใจสั่นไปด้วยความนึกกลัว
“...พ่อ...ขอโทษ”
คำขอโทษสั่นๆ ถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พ่อขอโทษ”
เขาพูดขึ้นอีกครั้งโดยที่ยังก้มหน้าต่ำมองพื้นอยู่ที่เดิมก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผม
“คุณทำแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ลุกขึ้นมาเถอะ”
ผมเบือนหน้าหนีไม่กล้าที่จะสบตากับเขาตรงๆ
“จะให้พ่อทำยังไง...พ่อก็ยอม ยกโทษ...ให้คุณนันเถอะนะ...เรย์”
ผมกำมือแน่นแล้วหันไปมองเขา ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มแดงก่ำทีละนิดๆ ผมอยากจะหัวเราะออกมาซะจริงๆ ถึงขนาดนี้แล้วเขายังจะกล้าให้ผมยกโทษให้ผู้หญิงคนนั้นอีกเหรอ? ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นทำผิด! ทั้งๆ ที่เขาเกือบจะฆ่าผม แต่ก็ยังลงทุนคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องให้ผมยกโทษให้
รักมันมากสินะ!
รักผู้หญิงคนนั้นมากกว่าผมที่เป็นลูกในไส้!
“ถ้าคนที่อยู่ในห้องขังเป็นผม...ถ้าผมถูกจับ คุณจะยอมคุกเข่าแบบนี้ไหม ถ้าคนๆ นั้นเป็นผม ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น...คุณจะยอมทำแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกับที่ทำกับผมไหม”
คำถามถูกเอื้อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเบา ความเจ็บปวดที่ได้รับมันแทบทำให้ใจผมด้านชาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี ผมเสียใจ...เสียใจที่เขายอดลดศักดิ์ศรีตัวเองขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดคนที่อยู่ในห้องขังเป็นผม...
เขาจะยอมทำแบบนี้หรือเปล่า
“กราบเท้าผมสิ”
“เรย์!”
ทันทีที่ผมพูดออกไปแม่ก็เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตกใจ หนึ่งมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ส่วนเขาก็สบตามองกับผมด้วยความรู้สึกสับสน... ผมพูดจริง อยากรู้นักว่าเขาจะยอมทำตามที่ตัวเองต้องการได้มากขนาดไหน ถ้ารักผู้หญิงคนนั้นมากนักเรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะทำไม่ได้
รอยยิ้มเย้ยหยันเกิดขึ้นบนใบหน้า ผมเห็นเขาลังเล...แน่นอน! ผมก็คิดไว้เหมือนกันว่าเขาคงไม่กล้า แค่คุกเข่าก็ลดศักดิ์ศรีเขามากพอแล้ว คงไม่ถึงขนาดทำแบบนั้นหรอก
“เรย์! ทำแบบนี้มันเกินไป” หนึ่งท้วง
“อะไร? อะไรที่ว่าเกินไป นายไม่เป็นฉันไม่รู้หรอกหนึ่ง คนที่ได้รับความรักมากมายอย่างนายจะมาเข้าใจอะไรฉัน นายมีชีวิตที่ดี ทุกคนรักนาย แต่ฉันสิ...ไม่มีอะไรเลย เขาไม่เคยรักฉัน ทุกคนเห็นว่านายดีไปหมดแต่ฉันกลับเป็นคนเลว”
“ฉัน...”
“ทั้งนายและแม่ของนายที่ได้รับความรักจากเขาเต็มเปี่ยม ถึงจะฆ่าฉันให้ตาย...” ผมกลืนน้ำลายลงคอ “ก็ไม่ผิด”
ผมรู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองกำลังสั่นและคำพูดที่พูดออกไปก็เต็มไปด้วยคำตัดเพ้อ ไม่ไหว...น้ำตาผมกำลังจะไหลออกมา จนถึงกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถเอาชนะใจของเขาได้จริงๆ แล้วที่เขาบอกกับผมเมื่อวันนั้น ให้ผมไป ‘เริ่มต้นใหม่’ กับเขามันก็คงจะเป็นแค่เรื่องโกหกสินะ
“...พ่อขอโทษ ขอโทษที่เคยทำผิดกับลูก ขอโทษที่เคยทำให้ลูกเสียใจ ยกโทษให้พวกเรานะเรย์ ตอนนี้พ่อรู้แล้ว...พ่อรู้ความเจ็บปวดของลูกแล้ว”
เขายกมือขึ้นช้าๆ...
“คุณพ่อ! อย่า!”
!!!
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 22-02-2016 22:56:44


 
ตอนที่ 29

ผมชักเท้ากลับทันทีเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร ร่างสูงที่กำลังก้มกราบเท้าผมหยุดชะงักแล้วเงยหน้าสบตากับผมด้วยน้ำตา
จะร้องไห้ทำไม?
เสียใจอย่างนั้นเหรอที่เห็นผมเป็นแบบนี้
หรือว่าเสียใจที่ต้องทำถึงขนาดนี้กันนะ
“เรย์...”
แม่เรียกชื่อผมพลางจับมือผมแน่น... หนึ่งเข้าไปโอบกอดพ่อเอาไว้เพื่อห้ามไม่ให้ทำ สำหรับทุกคนในตอนนี้ผมคงเป็นนางมารร้ายสินะ แต่ผมเองก็เจ็บเหมือนกัน... ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าทำถึงขนาดนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ
“ฮึก ฮือ ฮือ เรย์...พอเถอะนะ อย่าทำคุณพ่อเลย”
หนึ่งร้องไห้อ้อนวอน ถูกลูกที่รักปกป้องขนาดนี้เขาจะดีใจหรือเปล่านะ...แน่ละสิ คงจะดีใจแน่ๆ ยังไงซะผมก็เป็นลูกที่เขาไม่ต้องการ
“...แค่นี้ใช่ไหม ที่คุณจะพูด”
ผมกำมือแน่นมองเขาด้วยม่านน้ำตา ทั้งๆ ที่คิดไว้แล้วว่าผมจะต้องไม่อ่อนแอ คิดเอาไว้แล้วแท้ๆ แต่ผมกลับทำมันไม่ได้... ผมเกลียดเขา! เกลียดผู้ชายคนนี้มากจริงๆ แต่ว่า...
ผมก็รักเขามากเหมือนกัน
“คุณตำรวจครับ...ปล่อยตัวผู้หญิงคนนั้นออกมาเถอะ” ผมนิ่งชั่วอึดใจ “ผมยอมความ”
สิ่งเดียวที่ผมจะให้เขาได้...แล้วก็คงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้รับจากผม หลังจากที่ปล่อยตัวผู้หญิงคนนั้นไปผมก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีก เพราะหลังจากนั้นผมจะกลับอเมริกากับแม่แล้วก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว ผมจะหลงลืมว่าเคยมีเขาเป็นพ่อ ผมจะลืมให้หมด!
สายตาที่แสดงถึงชัยชนะถูกจับจ้องมาทางผมทันทีที่ถูกปล่อยตัว มันเป็นสายตาที่ผมเกลียดแสนเกลียดดีจริงๆ
“แค่นี้ใช่ไหมครับที่คุณต้องการ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย็นชาก่อนที่จะเดินออกไปจากโรงพักโดยที่ไม่ได้หันไปมองพวกเขาสักนิด แม่กุมไหล่ผมเอาไว้เบาๆ ด้วยความเป็นห่วง ถึงท่านจะไม่พอใจที่ผมปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นลอยนวลแต่ถ้าเป็นการตัดสินใจของผม แม่ก็จะไม่ห้าม
ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ที่เหลือผมก็ให้ทนายจัดการไป อยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด...ไม่อยากเห็นหน้าเขาแม้แต่วินาทีเดียว
“เรย์ เดี๋ยวก่อน!”
เขาเรียกผมเอาไว้ แต่ผมก็ไม่ได้หันไปมอง ยังคงตั้งหน้าตั่งตาเดินต่อไปจนกระทั่งออกมาจากโรงพัก
Rrr. Rrr. Rrr.
“…Hi Darling~”
โทรศัพท์ของแม่ดังขึ้น แม่ก็กดรับแล้วหยุดเดิน...แค่ดูก็รู้ว่าใครโทรมา คงจะเป็นสามีใหม่ของแม่แน่ๆ ดูท่าทางของท่านดูมีความสุขดีจัง ใบหน้าหวานเขินอายเล็กๆ อย่างน่ารัก ปฏิกิริยาของท่านมันทำให้ผมนึกถึงใครอีกคนที่ตอนนี้ยังอยู่ในโรงพยาบาล
ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ...จะฟื้นหรือยัง
ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สองขาก็เดินออกห่างจากแม่เพื่อให้ท่านได้คุยเป็นการส่วนตัวกับคนที่รัก โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าถูกสายตาพิฆาตจับจ้องมาทางด้านหลัง
 


นันกำมือแน่นมองเด็กที่เย่อหยิ่งด้วยความอาฆาต ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ยังคงเกลียดเด็กนั่นเข้าไส้!ทั้งความโกรธและความเกลียดที่มีมันยากเกินจะยับยั้งชั่งใจ ถึงจะเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาแต่เธอก็เลือกที่จะให้ความโกรธเข้าครอบงำนันไม่ได้ฟังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือคนอื่นพูดสักนิด รู้ตัวอีกทีเธอก็วิ่งเข้าตรงไปหาร่างเล็กที่กำลังเดินจากไปเสียแล้ว
ถ้าหากว่าไม่มีมัน!
ชีวิตของเธอก็คงจะไม่เป็นแบบนี้!
ถ้าเด็กนั่นตายๆ ไปซะได้!
สองมือบางถูกยกขึ้นมาเสมอหัวไหล่ก่อนที่จะผลักร่างเล็กอย่างแรงให้ล้มลงไปกับพื้นเบื้องล่าง
ตุบ!
“โอ๊ย!”
เรย์ร้องออกมาด้วยความเจ็บเล็กๆ เมื่อหัวเข่าทั้งสองข้างครูดลงกับพื้น... เรย์พยายามลุกขึ้นแล้วมองไปที่คนที่ทำด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่โชคคงไม่เข้าข้างสักเท่าไหร่ เพราะตรงที่ร่างบางล้มลงไปมีรถคันหนึ่งที่กำลังแล่นเข้ามา... ชายคนขับรถเบิกตาโผลงด้วยความตกใจแบบสุดขีดเมื่อจู่ๆ ก็มีคนมาปาดหน้า แล้วก็ด้วยความตกใจนั้นเขาก็เผลอที่จะเหยียบคันเร่งมากกว่าเหยียบเบรก จนทำให้รถที่แล่นมาเร็วอยู่แล้วกลับแล่นเร็วขึ้นไปอีก... เรย์มองรถคันนั้นด้วยความตกตะลึงพร้อมกับหลับตาปี๋อย่างตกใจ
พจน์ที่วิ่งตามนันออกมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่นันผลักเรย์ตกพื้น เขาเห็นตั้งแต่รถคันนั้นกำลังจะเลี้ยวเข้ามา ร่างสูงใหญ่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงก่อนที่สองขาจะทำหน้าที่วิ่งไปตรงจุดเกิดเหตุให้ไวที่สุดเท่าที่ชายชราอย่างเขาจะทำได้
เรย์!
ลูกพ่อ!
ความทรงจำสีจางที่แวบผ่านเข้ามา ห้วงแห่งความสับสน พจน์คิดอยู่อย่างเดียวคือต้องปกป้องลูกชายที่กำลังเผชิญอันตรายตรงหน้า
ขอเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
แค่ครั้งเดียวจริงๆ
ที่เขาอยากจะทำหน้าที่ของพ่อ
โครม!
ตัวรถพุ่งชนร่างใหญ่อย่างเต็มแรง พจน์กอดเรย์ไว้แน่นแนบอก หากแต่โชคร้ายที่มันไม่ใช่พื้นที่โล่ง ตรงหน้าเป็นรถอีกคนที่จอดอยู่ เพราะรถที่ชนมาจากทางด้านหลังทำให้ชนเข้ากับรถอีกคันเข้าเต็มๆ ร่างชราเสียหายจากแรงกระแทกแต่ถึงอย่างนั้นสองมือก็ยังไม่ปล่อยจากลูกน้อย
“กรี๊ดด!!!!!!! ม่าย!!!! คุณพจน์! ไม่ๆ”
นันกรีดร้องอย่างสุดเสียง ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างด้วยความนึกกลัว ความผิดที่ตัวเองเป็นคนก่อมันทำให้เธอนึกกลัวขึ้นมาจับใจ ยิ่งเห็นตำรวจที่กำลังวิ่งมาก็ยิ่งทำให้นันตื่นตกใจ มือบางสั่นสะท้านไปทั่ว เธอกัดฟันตัวเองก่อนที่จะวิ่งหนีไปอีกทาง
“คุณแม่!”
หนึ่งร้องเรียกผู้เป็นมารดาด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้จะควรทำยังไงดี พ่อที่รักก็กำลังตกอยู่ในอันตราย ส่วนแม่ก็กำลังวิ่งหนี... หนึ่งไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอะไรก่อน ห่วงแม่ก็ห่วง ห่วงพ่อก็ห่วง แต่สุดท้ายแล้วหนึ่งก็เลือกที่จะวิ่งตามนันไปเพราะเห็นว่ายังไงซะพจน์ก็ยังมีคนคอยช่วยเหลือ
“ไม่! ฉันไม่ผิด! ฉันไม่ผิด! อย่ามาจับฉันนะ ม่ายย!!!!”
นันยังคงควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่กรีดร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่ง เธอกลัวที่ต้องกลับไปอยู่แบบนั้นอีกครั้ง เพราะความไม่ย้ำคิดของตัวเองแท้ๆ เลยทำอะไรไม่ยับยั้งชั่งใจ เลยทำให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นและทำให้พจน์บาดเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นนันก็ยังไม่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง เพราะมัน! เพราะมันเพียงคนเดียวที่ทำให้เป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าไม่มีมันสักคนทั้งเขาและหนึ่งก็ต้องอยู่อย่างมีความสุข พจน์ที่เคยรักเขานักรักเขาหนามาตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยยังวัยรุ่นก็คงไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแล้วมีลูก ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งเกลียด!
เส้นทางที่นันวิ่งไปเป็นเส้นทางที่กำลังมีจราจรขับแน่นพร้อมกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังเดินกันให้ขวักใขว่นันไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกมาจากทางด้านหลัง รู้แต่ว่าตัวเองต้องหนีไปให้ไกลที่สุด หนีไปจากความผิดที่ตัวเองเป็นคนก่อ
จนกระทั่ง...
ตุบ!
“เฮ้ย เดินระวังหน่อยสิ”
“อ่ะ!...กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!”
ด้วยความที่เธอกำลังกระวนกระวายจนทำให้ไม่ทันมองเห็นรถที่กำลังเดินสวนมาแล้วโชคร้ายก็มาเยือนเมื่อตรงที่เธอกำลังจะล้มกลับไม่ใช่พื้นแข็งๆ แต่เป็นท่อน้ำที่ถูกเปิดฝาระบายน้ำเอาไว้ แล้วร่างของหญิงสาวผู้โชคร้ายก็หล่นลงไป
ตูม!
.
.
.
.
.
เจ็บ...
ผมกำลังรู้สึกเจ็บไปทั่วร่างเมื่อถูกแรงกระแทกจากรถคันที่วิ่งมา ความรู้สึกชาเกิดขึ้นอยู่ชั่วขณะพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนรอบข้าง คิดไว้เลยว่าตัวเองจะต้องตายแน่ๆ ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะแต่ผมก็ยังมีลมหายใจ ร่างของผมรู้สึกเหมือนกับถูกโอบกอดเอาไว้แต่ผมก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมา
“ไม่เป็นอะไรนะ”
น้ำเสียงที่ฟังคุ้นหูทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ภายในใจก็นึกภาวนาขอให้สิ่งที่ผมคิดเป็นเพียงเรื่องที่ผมคิดไปเอง
!!!
แต่มันไม่ใช่... ตัวของผมถูกกอดเอาไว้แน่นจากอ้อมแขนแกร่งที่ผมเคยโหยหา ผมมองเขาอย่างไม่น่าเชื่อแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ เพราะตอนนี้ผมถูกบี้อยู่ตรงกลางระหว่างรถสองคัน หนึ่งคันที่ชนผม กับอีกคันที่อยู่ด้านหลัง
“ทะ ทำไม?”
ผมถามเขาเสียงสั่น...เขาปกป้องผมอย่างนั้นเหรอ? มาปกป้องผมทำไม...
“เจ็บไหม ทนอีกนิดนะลูก”
เขาถามผมโดยที่ยังมีเลือดไหลออกมาจากตัว... ผมส่ายหน้าไปมา น้ำตามันมาจากไหนก็ไม่รู้ก็ค่อยๆ เริ่มไหลออกมาช้าๆ
“คุณ...”
อยากถามเหลือเกินว่าเจ็บมากไหมแต่มันเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอทำให้พูดไม่ออก
“...พ่อ...ขอ”
สองมือที่อ่อนแรงมาลูบหน้าผมเบาๆ แต่เพียงไม่นานนักร่างทั้งร่างก็ทรุดลงกับไหล่ของผม เพราะยังติดอยู่ระหว่างรถทั้งคู่ทำให้แทบขยับไม่ได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่น... เพราะมันทำให้ผมนึกถึงวันที่เสียคนที่รักที่สุดไป
ตอนนั้นก็เป็นแบบนี้...เย็นตายในอ้อมอกของผม เย็นยิ้มให้กับผมเหมือนกัน... ผมเอ่ยเรียกแล้วพยายามปลุกเขาเบาๆ ให้ตื่น แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำรุนแรงเพราะกลัวว่าถ้าขยับมากกว่านี้เขาจะเป็นอะไรหนัก
ผมได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง เสียงของผู้หญิงคนนั้นที่กำลังกรีดร้องด้วยความตกใจ เสียงร้องไห้ของหนึ่งแล้วก็เสียงเรียกจากรอบๆ ตัวให้พากันช่วย…แต่ผมมองไม่เห็นอะไรเลย ควันรถมันขึ้นบังเต็มไปหมด... น้ำตาผมกำลังไหลแต่ผมกลับร้องไม่ออก
คุณพ่อ...คุณพ่อ...
ปกป้องผม...
แล้วนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดได้ก่อนที่สติของผมทั้งหมดจะดับวูบลงไปในที่สุดแล้วไม่รับรู้อะไรรอบตัวอีกเลย
 
“...อืม”
ผมค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบที่ด้านหลัง เพดานสีขาวกับกลิ่นของยา...ไม่ต้องเดาเลยว่าที่นี่ที่ไหน
จริงสิ ผมสลบไปสินะ...
“เรย์…”
ผมหันไปหาผู้หญิงที่กำลังนั่งน้ำตาซึมอยู่ข้างตัว เธอลูบหัวผมเบาๆ แล้วยิ้มให้ รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ทำให้ผมอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้
“...คุณแม่”
ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูก หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะ”
น้ำเสียงของแม่สั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังแสดงสีหน้ายิ้มออกมาให้ผมได้เห็น...จากนั้นแม่ก็กดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามาตรวจร่างกายของผม โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากไม่ต้องถึงขึ้นกระดูกหักแต่ก็ยังมีแผลฟกช้ำอยู่ตามตัวแล้วก็อาการปวดตามข้อต่างๆ อีกไม่นานผมก็จะหายเป็นปกติ...แต่ตอนนี้รู้สึกเจ็บชะมัด! เพราะโดนแรงกระแทกสินะ ขยับตัวแทบไม่ได้เลย ขยับทีก็เจ็บที...
“ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ”
“ขอบคุณคะ คุณหมอ”
พอตรวจเสร็จหมอก็เดินออกไปจนเหลือผมกับแม่อยู่กันแค่สองคนอีกครั้ง แม่คอยหาโน่นหานี่ให้ผม ถามว่าอยากกินอะไรไหม หรือต้องการอะไรหรือเปล่า แม่ดูแลผมเหมือนอย่างกับที่เย็นดูแล...
เฮ้อ พูดแล้วก็คิดถึงเย็นดีจัง
แต่ว่า...มันก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจของผม
“...แล้ว...เขา”
ผมชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะถามดีไหม แต่จนแล้วจนรอดผมก็ตัดสินใจถามออกไป ความจริงผมก็น่าจะถามตั้งนานแล้วแต่มันไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยปากพูด
“กระดูกหักเพราะถูกชนเต็มๆ ตอนนี้ยังไม่ฟื้น แต่ก็ไม่ต้องห่วง...เขาปลอดภัยดี”
ความรู้สึกโล่งใจเข้ามาแทนที่เมื่อแม่พูดจบ ริมฝีปากผมคลี่ยิ้มบางๆ และแสดงสีหน้าคลายกังวลอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยผมก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด...
แม่เล่าให้ผมฟังว่า หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นผลักผมให้ล้มลง แม่กำลังคุยโทรศัพท์กับคนรักของแม่อยู่ พอหันมาอีกทีรถก็วิ่งแล่นเข้ามาแล้ว พร้อมกับเขาที่วิ่งเข้าไปรับร่างผมเอาไว้จนหลังโดนกระแทกอย่างเต็มแรง... ส่วนผู้หญิงคนนั้นพอเห็นพ่อถูกรถชนก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับบอกว่าตัวเองไม่ผิด ไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่จะวิ่งหนีไป แต่โชคคงไม่เข้าข้างเธอสักเท่าไหร่ เพราะตอนที่เธอวิ่ง เธอก็เกือบจะโดนรถมอเตอร์ไซต์เฉี่ยวเอาเหมือนกัน แล้วทางด้านหลังของเธอก็เป็นท่อระบายน้ำที่กำลังเปิดฝาเอาไว้อยู่ เลยทำให้ตกลงไปในนั้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วกว่าจะถูกช่วยขึ้นมาก็นานพอสมควร
เธอจมลงไปในน้ำเน่าๆ ที่ดำปิ๊ดปี๋ กลืนน้ำเหม็นๆ เข้าไปหลายอึกที่มีแต่ขยะ ตำรวจก็พาทั้งผมและพ่อรวมทั้งผู้หญิงคนนั้นส่งโรงพยาบาล ผมและพ่อรอดชีวิต แต่เธอโชคร้าย...น้ำที่สกปรกมันมีเชื้อโรคอยู่มากมาย ถึงจะมาถึงมือหมอแล้วก็เถอะแต่เชื้อโรคนั้นมันก็วิ่งแล่นเข้าไปสู่เซลล์สมองและร่างกาย ทำให้ในตอนนี้เธอยังไม่ฟื้น แล้วดูจากอาการก็อาจย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ดีไม่ดีอาจกลายเป็นอัมพาตไปเลยก็ได้
“เรย์...กลับอเมริกากับแม่เถอะ แม่ไม่อยากให้เรย์อยู่ที่นี่อีกแล้ว แม้แต่วินาทีเดียว”
แม่กอดผมเอาไว้แนบอก ฟังจากน้ำเสียงของท่านแล้วคงจะไม่ยอมให้ผมอยู่ที่นี่อีกต่อไป เพราะแค่นี้ผมก็เอาแต่ใจมากพอแล้ว
“ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแม่ที่โน่นเถอะนะ”
“...ครับ”
ผมหลับตาลงช้าๆ ได้ยินเสียงหัวใจของแม่เต้นดังด้วย มันเลยยิ่งทำให้ใจของผมรู้สึกสงบไปมากขึ้น...ไม่กระวนกระวาย
ถึงเวลาต้องไปแล้วสินะ
 
ผมออกจากโรงพยาบาลทันทีที่รู้สึกตัว ถึงจะยังเจ็บอยู่แต่ก็อยู่ในระดับที่ยังพอทนได้อีกอย่างแม่ก็ได้จ้างพยาบาลเอาไว้ดูแลผมตอนที่ขึ้นเครื่องบินจนกระทั่งไปถึงอเมริกาแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อย่างเช่นเสื้อผ้าผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะไม่ว่าจะยังไงไปถึงโน่นแม่ก็บอกว่าจะซื้อให้ใหม่อยู่ดี แต่สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดของผมก็คือเถ้ากระดูกของเย็น แล้วก็อัลบัลผมเคยคู่กับเย็นเอาไว้
ทั้งหมดมันเป็นความทรงจำของผม
ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีวันลืม
ผมเดินไปตามทางเดินของโรงพยาบาล ไปยังห้องผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่ รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยสายน้ำเกลือและสายอากาศอ๊อกซิเจนเพื่อช่วยหายใจระโยงระยางเต็มไปหมด โดยที่มีคนที่ผมเกลียดที่สุดกำลังยืนมองด้วยน้ำตานองหน้าเหมือนอย่างเคย
หึ อ่อนแอแบบนี้ต่อไปจะช่วยเหลืออะไรตัวเองได้
“เรย์...”
หนึ่งเรียกผม ดวงตาทั้งสองข้างสั่นระริก
“ปะ เป็นไงบ้าง ดีขึ้นแล้วเหรอ”
“...” ผมไม่ตอบ
“ยังเจ็บตรงไหนไหม”
“...”
คำถามซ้ำๆ เดิมๆ เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหวานพยายามยิ้มให้ผมเป็นปรกติ แต่คำพูดพวกนั้นมันไม่ได้ซึมซับเข้ามาในจิตใจของผมเลยสักนิด
“มีอะไรก็พูดมา”
มันเป็นสิ่งแรกที่ผมพูดกับเขาหลังจากที่ปิดปากเงียบมาพักหนึ่ง เหอะ...แค่คำพูดสวยหรู ผมรู้ว่าหนึ่งก็แค่พูดไปตามระเบียบก็เท่านั้น แค่มองตาก็รู้ว่าต้องมีอะไรอีก
“...เรย์ ฮึก ขอโทษ...ฮึก ขอโทษแทนคุณแม่ ฮึก ฮือ ตอนนี้คุณแม่ป่วย ยกโทษให้คุณแม่เถอะนะ ฮึก”
ว่าแล้วเชียว...หนึ่งก็ทำได้แค่นี้ เอ่ยปากขอโทษและร้องขอแทนคนอื่น ถ้าเพื่อคนที่ตัวเองแคร์ก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายให้อภัยโดยที่ไม่สนเลยว่าคนที่โดนทำร้ายจะรู้สึกยังไง... ผมรู้ว่าการให้อภัยมันเป็นการทำให้จิตใจสงบ ทุกคนก็บอกแบบนั้น...แต่ใครละที่จะทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ผม
ถึงปากจะบอกว่าให้อภัยก็จริง แต่มันก็มีบ้างที่ส่วนหนึ่งในใจจะไม่ยอมรับและไม่ให้ ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ผมไม่ให้เลยจะยังดีกว่า
“ฮึก ขอโทษ...ขอโทษนะเรย์ ยกโทษให้พวกเราด้วยนะ”
หนึ่งยังคงร้องไห้ไม่หยุด สองมือบางเอื้อมมาจับมือของผม มันสั่นจนผมรู้สึกได้... มุมปากผมยกยิ้มขึ้นมาเบาๆ แล้วสบตามองหน้าหนึ่ง
“แค่คำขอโทษมันง่ายไปหรือเปล่า”
ผมปัดมือนั้นออกอย่างรังเกียจ
“...เรย์”
“คนแบบนายก็ทำได้แค่นี้แหละหนึ่ง อ่อนแอ ไร้ทางสู้ ชอบพูดว่าขอโทษพร่ำเพื่อ...เหอะ น่าสมเพชจริงๆ แล้วการที่แม่ของนายเป็นแบบนี้นะ ฉันไม่รู้สึกสงสารเลย มันสมควรแล้วหนึ่งที่เขาจะได้รับมัน” ผมยิ้มแล้วเดินผ่านร่างเล็กที่กำลังร่ำไห้อย่างน่าสงสารแล้วผมก็บอกสิ่งที่อยู่ภายในใจอีกครั้ง
“สมน้ำหน้า!”
จากนั้นผมก็ไม่หันไปมองหนึ่งอีกเลย
มันรู้สึกสะใจยังไงก็ไม่รู้สิ...ครอบครัวของหนึ่งพังพินาศ โลกที่สวยงามก็แตกสลายไปชั่วพริบตา แม่ก็เป็นแบบนี้ หึ จงรับคำสาปแช่งของผมไปเถอะ ต่อให้ตายผมก็ไม่มีวันให้อภัย!
ผมเข็นรถเข็นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปหยุดที่หน้าห้องๆ นึง... ผมมองบานประตูที่ปิดสนิทด้วยความชั่งใจ จะทำยังไงกับมันดีนะ...จะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดีนะ ผมกำลังสับสน...ใจนึงก็อยากเข้าแต่อีกใจนึงก็ไม่กล้าที่จะเข้าไป แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะเปิดมัน
 

แอ๊ด...
 
 
                                           
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน26-30 22/02/16
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 22-02-2016 22:59:05


ตอนที่ 30

ชายวัยกลางคนกำลังนอนอยู่บนเตียงสีฟ้าสะอาดของโรงพยาบาล เขาใส่เฝือกเกือบทั้งตัวทั้งแขนและขา เขายังไม่รู้สึกตัว...ผมเดินมาอยู่ข้างเตียงของเขาช้าๆ พลางมองไปที่ใบหน้าที่แก่ชราลงไปมาก สีหน้าที่ดูคล้ำลงไปถนัดตา พ่อที่เคยดูภูมิฐานกลับเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ทั้งหมดมันก็คงเป็นเพราะผมสินะ... หลังจากที่พ่อออกจากบ้านผมก็ให้คนคอยสืบตลอดว่าเขาทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องงานก็เหมือนกันทำไมผมจะไม่รู้ว่าพ่อไปทำงานก่อสร้าง
ผมเอื้อมจับที่มือของเขา ฝ่ามือที่เคยนุ่มนิ้มในคราวแรกกลับมีรอยแผลฟกช้ำและรอยแดงเป็นจ้ำๆ บ่งบอกได้ดีเลยว่าไม่เคยทำงานหนัก คงจะลำบากมากสินะ ที่ต้องทำงานอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะตัวผมเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ถูกคนดูถูก ถูกคนเหยียดหยาม ถูกกล่าวหาต่างๆ นาๆ เรื่องพวกนั้นผมดีเลยละว่าเป็นยังไง
ความทรงจำสีจางค่อยๆ ฉายชัดเข้ามา ห้วงแห่งความทรงจำที่น้อยนิด ถึงแม้ว่าจะนานและเกือบลืมไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อครั้งยังเด็กๆ ตอนที่ผมกำลังวิ่ง แล้วผมก็ล้มลงไปกับพื้นปูนแข็งๆ เพราะความที่ยังเป็นเด็ก ทั้งตกใจและกลัว ผมร้องไห้ให้กับบาดแผลเล็กๆ ที่ตัวเองเป็นคนก่อแบบไม่ทันระวัง คุณแม่ก็ไม่อยู่ ทุกคนก็เอาแต่โอ๋ลูกเมียน้อย จนผมต้องอยู่คนเดียว
‘ฮึก เจ็บ...เจ็บจังเลย’
‘เป็นอะไร’
‘...ปะ ป่าวคับ’
‘ลุกขึ้นมาสิ’
‘คุณ...พ่อ...’
เป็นครั้งแรกที่เขายื่นมือมาหาผม
เป็นครั้งแรกที่เขาฉุดผมให้ลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นให้ออกจากเสื้อผ้า
เป็นครั้งแรกที่ผมอยากร้องไห้เพราะความดีใจ
“ฮึก คุณพ่อ...”
ผมพยายามสกัดกลั้นเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ภาพที่เขาพยายามปกป้องผมยังคงชัดเจน เพียงเท่านี้...เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ทั้งเงิน ทอง หรือทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่สิ่งที่ผมปราถนาก็มีเพียงแค่ข้อเดียว
ความรักจากพ่อ
ถึงผมจะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงผมจะโกรธเขามากขนาดไหนแต่ผมก็ไม่เคยเกลียดเลยสักนิด เรื่องของเอเดนก็เหมือนกัน ถ้าผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ถ้าผมทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอเดนจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขา แล้วพ่อจะเป็นจะตายยังไงก็ช่าง... แต่ผมกลับทำมันไม่ได้ ผมปล่อยให้เอเดนทำร้ายพ่อไม่ได้ ผมถึง...เอาตัวเองมายุ่งเกี่ยว แล้วมันก็คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำเพื่อพ่อได้...ก่อนที่ผมจะไปจากที่นี่ ผมทำให้พ่อได้เพียงแค่นี้จริงๆ
ขอบคุณครับพ่อ
ขอบคุณที่ปกป้องผม
ผมละมือออกจากมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลก่อนที่จะวางมือใหญ่เอาไว้ที่เดิมแล้วพยายามห้ามน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน เพราะผมจะไม่กลับมาที่นี่อีก
ลาก่อนครับ...คุณพ่อ
ปัง
บานประตูถูกปิดลงอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาของผมที่ร่างไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมกล้ำกลืนฝืนความเจ็บปวดมันลงไปในอก จะหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้วละ พอสักทีเถอะ...ทิ้งความอ่อนแอของตัวเองแล้วเดินหน้าต่อไป
มันก็แค่นั้น
ทิ้งที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่ซะ
“ยังมีหน้ามาอีกนะ”
กึก!
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปไหนได้ไกล เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยก็ดังมาจากทางด้านหลัง มันทำให้ผมหยุดเท้าที่จะเดินแต่ก็ยังไม่ได้หันหน้าไปมอง เพราะผมรู้ว่าคนที่เรียกผมเป็นใคร...ผู้ชายอีกคนที่ผมเกลียดแสนเกลียด เขาเป็นผู้ชายอีกคนที่มักกล่าวหาผมเป็นประจำ มาเจอกันตอนนี้ก็คงกำลังจะมาหาหนึ่งสินะ
“หึ คนเลวๆ แบบนายยังต้องการอะไรอีกเรย์”
“...”
“พอใจหรือยังละที่เห็นพ่อตัวเองเป็นแบบนี้”
“...”
“พอใจหรือยังที่เห็นแม่ของเรย์ต้องนอนอยู่ที่เตียง”
“...”
“พอใจหรือยังที่เห็นหนึ่งต้องร้องไห้! พอใจหรือยังที่ต้องเห็นทุกคนพินาศเพราะฝีมือนาย!!! พอใจหรือยังเรย์!!!”
คำต่อว่าที่มาพร้อมกับความชิงชัง ผมยังคงไม่หันไปมองไค แค่ฟังจากน้ำเสียงผมก็เดาได้ไม่ยากว่าเขาทั้งโกรธและเกลียดผมขนาดไหน ผมเลือกที่จะเงียบ...แล้วก้าวเท้าเดินหน้าไปต่อ ไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจอะไรทั้งนั้น เขาไม่ได้มีค่าพอที่จะให้ผมต้องไปเสวนาด้วย อยากคิดอะไรก็คิดไป อยากจะพูดยังไงก็เชิญตามสบายเพราะผมไม่จำเป็นที่จะต้องแก้ตัว
“ตะวันบาดเจ็บก็เพราะนาย ทุกคนเป็นแบบนี้ก็เพราะนาย คนอย่างนายมัน!”
กึก
ผมหยุดเดินอีกครั้ง
“ไม่น่าเกิดมาเลยจริงๆ”
“คนอย่างนาย...ก็คิดได้แค่นี้แหละ ไค”
เป็นคำแรกที่ผมพูดกับเขาหลังจากที่เงียบมานาน
“หมายความว่ายังไง”
“นายมัน...ไม่ได้รู้อะไรจริงๆ มองไม่เห็นหัวใครนอกจากคนที่ตัวเองแคร์ นายมันก็ไม่ได้ดีอะไร เป็นแค่กบอยู่ในกะลาแค่นั้นแหละ...ดูถูกและเหยียดหยามคนอื่น นี่นะเหรอลูกผู้ดี หึ ที่แท้มันก็ยิ่งกว่าเศษสวะซะอีก” ผมละคำ “คนอย่างนาย ไม่น่าเกิดมาเหมือนกัน”
“มันจะมากไปแล้วนะ!”
ไคดูโกรธมาก...แต่ที่ผมพูดมันเป็นความจริง เขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผมสักนิด แล้วมาต่อว่าคนอื่นได้ยังไง แต่เขาไม่มีค่าพอที่จะเสวนาด้วยอีกต่อไป...พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง ผู้ชายแบบไคที่คอยแต่จะทับถมคนอื่น ไม่มีทางที่จะปกป้องใครได้หรอก
“จิตใจของนายมันอ่อนแอสิ้นดี”
คำพูดที่ราบเรียบของผมถูกส่งไปให้ร่างสูงอีกครั้ง แล้วผมก็ไม่สนใจเขาอีก ทางของผมคือเบื้องหน้าไม่ใช่หันหลังกลับ เพราะฉะนั้นไคไม่สามารถทำให้ผมหันหลังกลับไปได้หรอก
ผมเดินตรงมายังทางเดินของโรงพยาบาลมาเรื่อยๆ อีกไม่นานก็จะถึงหน้าโรงพยาบาลแล้ว ต่อจากนี้ผมก็จะไปนั่งเครื่องบินเพื่อกลับไปที่อเมริกา ส่วนตะวัน...เขาก็อยู่โรงพยาบาลนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ผมไม่ไปหาเขาหรอก...ไม่สิ ผมไปหาเขาไม่ได้ ตะวันที่ไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรกลับต้องมารับบาดเจ็บก็เพราะผม เพราะมายุ่งเกี่ยวกับผม เขาเลยพลอยติดร่างแหไปด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น...
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น...
ขอบคุณนะ...ขอบคุณที่คิดจะยอมเชื่อคนแบบผม
‘ฉันเชื่อนายนะเรย์’
‘มันเป็นอาหารมื้อแรกที่นายทำให้ฉัน ไม่ว่าจะอะไรก็อร่อย’
‘เรย์...ฉัน...’
รักนาย...
“ฮึก”
ผมสะอื้นในลำคอเบาๆ เมื่อคิดถึงคนที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล คงต้องลากันแค่นี้...
“ไปกันเถอะเรย์”
แม่เดินมากอดไหล่ของผมเอาไว้ทันทีที่ผมเดินออกมาจากโรงพยาบาล ตรงหน้าของผมเป็นรถคันใหญ่หรูที่คอยรับส่งจากที่ไปถึงสนามบิน
“คุณแม่”
ผมหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ในวัยกลางคนแต่ก็ยังสวยสะพรั่งราวกับหญิงสาวแรกแย้มก็ไม่ปาน แม่ดูแลตัวเองอย่างดี ทำให้เหมือนมีเวทมนต์ที่ทำให้คงสภาพเดิมไว้ จากกันก็นานแสนนาน...เกือบสิบปีแล้วสินะที่เราไม่ได้เจอกัน แม่ก็ยังเป็นแม่ของผม อยู่กับผมแล้วก็ไม่เคยทิ้งกันไปไหน อ้อมอกของแม่อบอุ่นเหลือเกิน...คงไม่มีเรื่องอะไรอีกแล้วสินะ
“ไม่ไปเยี่ยมเขาจะดีเหรอ”
แม่ถามผมหลังจากที่พวกเราขึ้นรถมาแล้ว
“ไม่ครับ”
ผมส่ายหน้าตอบก่อนที่ไม่นานตัวรถจะเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ จนออกไปนอกเขตของโรงพยาบาลในที่สุด...ท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถรากับเหล่าผู้คนที่เดินไปเดินมาอย่างคับคั่ง อีกไม่นานเกินรอก็คงจะใกล้ถึงสนามบิน...
จนกระทั่ง...
ตูม!!!

“เกิดอะไรขึ้น!!!”
“แย่แล้ว! รถระเบิด!”
“เรียกพยาบาลกับรถดับเพลิงมาเร็ว!!!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายของคนรอบด้านดังขึ้นมาทันทีเมื่อรถคันหรูที่เพิ่งขับผ่านไปเมื่อสักครู่เกิดระเบิดขึ้นอย่างกระทันหัน ใบหน้าของผู้คนเห็นเหตุการณ์ตื่นตระหนกไปด้วยความตกใจ พวกเขาไม่คิดเลยสักนิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดใกล้ตัว เพลิงที่ร้อนระอุได้ลุกมอดไหม้เป็นจนทำให้รถคันหรูที่ดูสวยงามในคราวแรกแปรเปลี่ยนเป็นสีดำตอตะโก
“เฮ้ย! มีคนติดอยู่ในรถ! มีคนติดอยู่ในรถ!!! รีบมาช่วยกันเร็วเข้า”
“ไหนๆ”
“ไปช่วยกันเร็ว!”
ชายคนหนึ่งตะโกนบอกเมื่อเห็นเงาจางๆ ที่อยู่ด้านใน ถึงแม้จะมีควันโขมงออกมามากแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นเป็นตัวคน โดยที่พวกเขาไม่อาจรู้เลยว่ามีรอยยิ้มเหี้ยมของใครอีกคนที่ถูกส่งมาจากอีกทางเมื่อเห็นว่างานของตนสำเร็จไปด้วยดี

ภายในห้องพยาบาลที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของยา พจน์ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ที่เตียง ใบหน้าชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอยกับดวงตาที่ปิดสนิทมีน้ำตาไหลลงมาจากหางตาเล็กๆ ถึงจะยังไม่รู้สึกตัวแต่ภายในใจของพจน์กลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
เพราะอะไรกันนะ...
ความรู้สึกเช่นนี้คืออะไร...
เพราะสูญเสียคนสำคัญ เพราะคิดได้เมื่อสาย แม้จะยังอยู่ในห้วงแห่งความฝันแต่มันก็ทำให้น้ำตาของผู้เป็นพ่อไหลออกมาด้วยความเสียใจ
...เรย์
“คุณพ่อ...”
หนึ่งมองดูสีหน้าของพจน์ด้วยความกังวล ราวกับว่าท่านกำลังฝันร้าย ด้วยความเป็นลูกทำให้อดห่วงคนเป็นพ่อไม่ได้จริงๆ
“สีหน้าทำไมดูไม่ดีเลย”
ยิ่งเห็นสีหน้าของพจน์ที่แย่ลงก็ยิ่งทำให้หนึ่งเป็นห่วง หรือว่าบางทีอาจจะเป็นอาการข้างเคียงก็เป็นได้ มือบางจับไปที่ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยบาดแผลอย่างคนรู้สึกผิดที่ปล่อยให้พ่อตัวเองต้องไปเผชิญชะตากรรมลำบาก ทำงานหนักแต่เพียงผู้เดียว ส่วนตนกับแม่ก็ได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านโดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
“ผมขอโทษครับคุณพ่อ”
หนึ่งร่ำไห้อย่างรู้สึกผิด...
รอบตัวที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทำให้หนึ่งแทบตั้งสติไว้แทบไม่อยู่ นันก็อาการยังไม่ดีขึ้น แถมจะยังมีแต่ทรุดลงเรื่อยๆ ส่วนพจน์ก็ยังมาเป็นแบบนี้อีก คำสบถที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสะใจของเรย์ยังคงดังก้องอยู่ในหัว
ไม่มีวัน...ที่จะยกโทษให้
ก็แน่ละ...เป็นใครก็คงจะยกโทษให้ไม่ได้
ถ้าเป็นเขาเองก็จะเป็นเหมือนกับเรย์ ไม่มีวันยกโทษให้คนที่จะทำร้ายคนอื่นอย่างแน่นอน แล้วที่เรื่องมันเป็นแบบนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกเสียจากครอบครัวของเขาเอง
.
.
.

ข่าวด่วน
เมื่อเวลาประมาณ 13.45 น. ได้มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นแถวถนน............ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่และหน่วยดับเพลิงกำลังช่วยกันดับเพลิงอย่างเต็มที่ โดยที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่ารถคันดังกล่าวเป็นเจ้าของธุรกิจดัง บลาๆๆ...

ข่าวจากทีวีที่เปิดทิ้งเอาไว้เรียกความสนใจจากร่างเล็กไม่น้อย แต่ทว่าทันทีที่หันไปมองดวงตากลมโตกลับเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง
เรย์!!!



หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 28-08-2016 22:59:54


 
ตอนที่ 31

ตะวัน PART
เฮือก!
ผมลืมตาโผลงทันทีที่รู้สึกตัว ราวกับว่าตัวเองเพิ่งตื่นจากฝันร้ายที่ยาวนานจนรู้สึกว่าคอตัวเองกำลังแห้งผากไปด้วยความกระหายน้ำ จริงสิ...ผมถูกเอเดนซ้อมจนเกือบสลบแต่ช่วงวินาทีสุดท้ายที่ผมกำลังจะหลับไปรู้สึกว่าเหมือนมีคนเข้ามาช่วย
“ตะวัน! ตะวันตื่นแล้ว”
ผมหันไปตามเสียงเรียกที่สั่นเครือราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ก็ไม่ปาน หนึ่งจับมือของผมเอาไว้แน่นด้วยความดีใจ
“เป็นไงบ้างวะ”
ไคที่ยืนอยู่ข้างๆ หนึ่งก็ถามผมด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความเป็นห่วง
“นะ น้ำ”
ริมฝีปากที่แหบพร่าค่อยๆ ขยับทีละนิด หนึ่งก็รับกุลีกุจอรินน้ำใส่แก้วให้ผม ร่างเล็กจับหัวให้ผมตั้งขึ้นนิดหน่อยก่อนที่จะประคองแก้วน้ำให้ผมดื่มได้ถนัด ความชุ่มช่ำของน้ำเย็นมันทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“แค่กๆแค่กๆ”
แล้วคงเพราะผมรีบมากไปเลยสำลัก
“ตะวัน! เป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นไร” ผมพยักหน้าตอบ
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเราไปตามหมอมาให้”
หนึ่งพูดอีกครั้งพลางเอื้อมมือไปกดออดจากข้างเตียง แล้วไม่นานนักชายใส่ชุดกราวน์สีขาวก็เดินเข้ามาทำหน้าที่ตรวจร่างกายของผมคร่าวๆ แต่ดูจากรอยพวกนี้แล้วผมคงไม่น่าจะเป็นหนักเท่าไหร่นัก จะมีก็เจ็บตรงแผลที่ถูกยิงก็เท่านั้นกับรอยเขียวช้ำบนตัว เอเดนมันเล่นผมหนักจริงๆ ถ้าไม่มีคนมาช่วยเอาไว้ป่านนี้ผมก็คงจะกลายเป็นศพไปแล้วแน่ๆ นั่นอาจจะเป็นเพราะความโชคดีของก็ได้ แต่ว่าใครเป็นคนช่วยผมกันละ...หรือว่าจะเป็นเรย์?
“ตะวันยังเจ็บตรงไหนบ้างไหม”
“นิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมาก”
ร่างเล็กเอ่ยถามอีกครั้งหลังจากที่ผมตรวจเสร็จเรียบร้อย ผมก็ได้แต่ตอบไปเบาๆ เพราะตอนนี้ยังคงใช้เสียงมากไม่ได้
“เออ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คุณลุงกับคุณป้าจะได้สบายใจ”
ไคพูดเสียงนิ่งตามสไตล์ แต่ผมกับไคคบกันมานาน ผมย่อมรู้ดีที่สุดว่ามันเองก็เป็นห่วงผมไม่น้อยเหมือนกัน แล้วก็คงเป็นไคนี่แหละที่จัดการเรื่องทุกอย่างตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาล ป่านนี้พ่อกับแม่ผมที่อเมริกาคงเป็นห่วงกันน่าดู สงสัยถ้ากลับไปคราวนี้คงต้องไปอธิบายกันยกใหญ่แน่ๆ
“ตะวันรู้ไหม ตะวันหลับไปตั้งสามวัน...เรา...เราเป็นห่วงตะวันมากเลย”
สามวัน?
นี่ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ
“คราวนี่ก็ถึงตานายแล้ว อธิบายมาซะดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ไคถามด้วยสีหน้าจริงจัง เขาคงจะไม่ยอมง่ายๆ แน่ๆ ถ้าหากว่าผมปิดบังหรือไม่เล่าความจริง... ผมก็เลยตัดสินใจเล่าทุกอย่างออกไปตั้งแต่แอบสะกดรอยและตามเรย์เข้าไปอยู่ในบ้านของเอเดน จนกระทั่งถึงวันที่ผมถูกเอเดนซ้อมแล้วก็ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่ผมอยู่โรงพยาบาลนี่แหละ แต่ระหว่างที่ผมเล่าหนึ่งก็ทำสีหน้าเศร้าคล้ายคนจะร้องไห้ไปด้วย
“ฉันละเชื่อจริงๆ เลยวะ”
ผมยิ้มบางๆ เมื่อไคดูหัวเสีย
“แต่ก็ดีแล้วที่ตะวันไม่เป็นอะไรมาก โชคดีจริงๆ”
ถึงผมจะโชคดีที่รอดมาได้อย่างที่หนึ่งพูดก็จริง แต่ตื่นมาผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเรย์เป็นยังไงบ้าง ป่านนี้แล้วเจ้าตัวจะนอนร้องไห้เพราะความเป็นห่วงผมอยู่หรือเปล่านะ
“...อะไร?”
ร่างสูงยืนกอดอกถามเมื่อเห็นว่าผมยังคงจับจ้องไม่วางตา
“เรย์...เรย์เป็นยังไงบ้าง”
ทันทีที่ผมถามถึงร่างเล็กทั้งไคและหนึ่งก็ทำหน้าซีด ใบหน้าของคนทั้งคู่ดูเปลี่ยนไปจากคราวแรกอย่างเห็นได้ชัด ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ใจที่นิ่งสงบก็เริ่มเต้นระรัวอีกครั้ง ความรู้สึกที่คนทั้งคู่แสดงออกมันบอกกับผมว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเรย์ แล้วผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร...
“เอ่อ คือ...”
“มีอะไรเกิดขึ้นกับเรย์!”
“ใจเย็นดิวะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับเรย์!”
ผมถามคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงต่ำเมื่อเห็นว่าทั้งหนึ่งและไคยังไม่ยอมที่จะปริปากพูดเรื่องของเรย์ออกมา ให้ตายสิ! พวกนี้ทำไมต้องให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจด้วยนะ คนยิ่งร้อนใจอยู่... ผมเป็นห่วงเรย์ เป็นห่วงเขามากๆ ยิ่งเห็นว่าเรย์ถูกเอเดนพาตัวไปอีกครั้งก็ยิ่งห่วงกว่าเดิม อีกอย่าง...ผมก็ไม่เชื่อว่าเรย์จะเป็นอย่างที่ใครๆ กล่าวหา เพราะผมรู้ดีที่สุดว่าแท้จริงแล้วเรย์เป็นคนยังไง
ภายใต้ใบหน้าที่เย่อหยิ่งกลับเต็มไปด้วยน้ำตา
นิสัยที่เป็นคนไม่ยอมคนแต่แท้จริงแล้วกลับอ่อนโยนมากกว่าใคร
ถึงผมจะเป็นอีกคนที่เข้าใจผิดตั้งแต่แรก เป็นอีกคนที่เคยไม่ชอบเรย์เพราะเรย์เป็นแบบนี้ แต่ผม...ไม่เคยเกลียดเรย์ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว...ผมพร้อมที่จะเชื่อเรย์ทุกอย่าง แล้วก็พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าผม...รักเรย์ขนาดไหน ขอแค่โอกาสอีกสักครั้ง...แค่ครั้งเดียวจริงๆ ที่เรย์จะให้อภัยผม ให้ผมได้อยู่เคียงข้าง ได้ปกป้อง...ผมขอแค่เท่านี้ก็พอ
“ตะวัน...เอ่อ คือ...คือ เรย์เขา...”
หนึ่งทำหน้าลำบากใจ
“เรย์ทำไม?”
ผมขมวดคิ้วถาม
“เรย์เขาตายไปแล้ว”
!!!
“ไค!”
แต่ยังไม่ทันที่หนึ่งจะเอ่ยปากพูด ไคก็พูดแทรกแทนที่ แต่สิ่งที่ผมได้ยินมันกลับทำให้ใจของผมสั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัว
“ว่าอะไรนะ”
ผมหันไปถามไคอีกครั้ง
“...เรย์...ตายแล้ว”
“โกหก!”
ผมจับกระชากคอเสื้อของไคด้วยความโมโห กล้าดียังไงมาบอกว่าเรย์ตายแล้ว ผมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด! เรย์จะตายได้ยังไงก็ในเมื่อผมยังเจอเรย์อยู่เลย
“ตะวัน!”
มือเล็กๆ ของหนึ่งจับแขนผมไว้เพื่อห้ามปราม ใบหน้าหวานคลอไปด้วยน้ำตา
“...เรย์เขาเสียแล้ว ฮึก เขาตายแล้วจริงๆ นะ”
“ไม่เชื่อ! ฉันไม่เชื่อ!”
ผมโวยวายลั่นแล้วพยายามดึงสายเข็มเกลือที่เจาะแขนผมอยู่ สมองของผมไม่รับรู้อะไรแล้วตอนนี้ ทุกคนกำลังโกหกผม!
“ตะวัน…หยุดเถอะ อย่าทำแบบนี้”
“ตะวัน!”
“ฉันจะไปหาเรย์! ปล่อย!!!”
ผมยื้อหยุดมือของทั้งคู่เอาไว้ ตอนนี้สติของผมแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สิ่งเดียวที่ผมคิดคือรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของเรย์ ทุกอย่างรอบตัวราวกับหยุดหมุน ผมคิดอะไรไม่ออกเลย...รู้แค่ว่าต้องไปหาเรย์ แต่ต้องไปที่ไหน? ผมไม่รู้...ไม่รู้เลยจริงๆ น้ำตาลูกผู้ชายที่แห้งเหือดกลับค่อยๆ ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกที่สูญเสียคนสำคัญทำให้ผมแทบบ้าจนต้องโวยวายใส่คนรอบข้าง ไม่แม้กระทั่งหยุดฟังเพื่อนทั้งสองจะคอยห้ามปรามก็ตาม
มันไม่จริงใช่ไหม...เรย์!!!
 
กว่าผมจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน ผมมองไปตรงเบื้องหน้าด้วยความเหม่อลอย...ถึงตอนนี้สิ่งที่ผมได้ยินมามันก็ไม่ใช่ความฝัน ผมยังทำใจไม่ได้เรื่องที่เรย์จากไป... หนึ่งเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ที่เรย์ต้องทำแบบนี้ก็เพราะแม่ของหนึ่งที่เป็นคนไปขับรถชนเรย์ก่อน เรย์ก็เลยที่ต้องการจะเอาคืน แต่ทุกอย่างก็ต้องตาลปัดเมื่อวันที่ถูกจับแม่ของหนึ่งผลักเรย์ล้มลงไปกับพื้นประจวบเหมาะที่มีรถอีกคันกำลังแล่นมาพอดี แล้วก็ด้วยความตกใจทำให้คนขับรถเผลอที่จะเหยียบคันเร่งมากกว่าเหยียบเบรก แล้วจังหวะนั้นเองพ่อของหนึ่งก็ได้เอาตัวมาปกป้องเรย์เอาไว้จนได้รับบาดเจ็บ ส่วนเรย์ที่ออกจากโรงพยาบาลทันทีที่ฟื้นขึ้นจู่ๆ รถที่ขับก็เกิดระเบิดขึ้น
แล้วเรย์ก็อยู่ในรถคันนั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
เจ็บใจ...เจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรเรย์ได้เลย...ทั้งๆ ที่เรย์กำลังลำบากแต่ผมกลับมาอยู่ในโรงพยาบาล มันช่างน่าสมเพชตัวเองจริงๆ
ตอนนี้ทุกคนรู้ความจริงหมดแล้วเรื่องของเรย์ ทั้งเรื่องที่บ้านเด็กกำพร้านั่นก็ด้วยเหมือนกัน ทุกคนที่เคยดูถูกเรย์เอาไว้ต่างก็สำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้กระทั่งไคเองก็เหมือนกัน...เขาเอาแต่กล่าวโทษตัวเองที่เป็นคนพูดจาว่าร้ายเรย์ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ถึงไคอยากจะขอโทษเรย์สักเท่าไหร่แต่คำขอโทษนั้นมันก็สายเกินไปเสียแล้ว
“ตะวัน...อย่าเอาแต่เงียบสิ พูดอะไรบ้าง”
“...”
“ฮึก ตะวัน...”
“...”
“ตะวัน...”
หนึ่งเรียกผมซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ผมก็ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม...ใครมันจะไปทำใจได้ ผมทำไม่ได้หรอกที่จะทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพูดกับคนอื่นหน้าตาเฉยๆ มันเจ็บทุกครั้งที่คิดถึงร่างเล็กที่ผมจะไม่มีทางได้เห็นอีกแล้ว
“คุณพ่อก็เป็นอีกคน ฮึก ตะวันอย่าเป็นแบบคุณพ่อเลยนะ ฮือ ฮือ”
ร่างบางยังคงร้องไห้ไม่หยุด ผมรู้ว่าหนึ่งกำลังขวัญเสียและอ่อนแอ แต่ผมก็ยังไม่สามารถที่ปริปากพูดออกมาได้จริงๆ
“ฉันอยากเจอคุณลุง”
ผมพูดโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าหนึ่ง ผมอยากเจอพ่อของเรย์...หลังจากตื่นขึ้นมาผมก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเลย เห็นหนึ่งว่าตอนนี้ท่านก็กำลังช็อกเหมือนกันกับผม ไม่กิน ไม่พูดอะไรกับใครเลยด้วยซ้ำ
 
แอ๊ดด
บานประตูที่ถูกเปิดออกพร้อมกับผมที่นั่งอยู่ในรถเข็นถูกเข็นเข้าไปในห้องที่มีชายวัยกลางคนกำลังเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง ดวงตาที่ไร้จุดหมาย ร่างกายที่ซูบผอมลงไปถนัดตา หนึ่งกับไคยังรอผมอยู่ด้านนอกเพราะผมขอร้องเอาไว้ว่าอยากคุยกันแค่สองคน ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น แต่ผมรู้แค่ว่าความรู้สึกของผมกับลุงพจน์อาจจะเหมือนกันก็ได้
ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องคนสำคัญเอาไว้ได้
“คุณลุง”
ร่างสูงเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงทุ้ม คุณลุงหันมามองผม ดวงตาทั้งสองข้างนิ่งเรียบ
“เป็นยังไงบ้างครับ”
ผมถามอย่างเป็นห่วง คุณลุงทำเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ ตอบผม ท่านคงช็อกมาก คงไม่คิดมาก่อนว่าเรย์จะด่วนจากไปเร็วขนาดนี้
“...ฉันเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเลยนะ ว่าไหม” คุณลุงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตอนที่เรย์เกิดฉันไม่ได้มาอยู่ข้างๆ เขา ตอนที่เรย์เป็นเด็กก็ด้วยเหมือนกัน...ฉันไม่เคยที่จะ...อยู่เคียงข้างเขาเลย เพราะความโกรธและเกลียดแท้ๆ ที่ตัวเองถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ฉันเลยเลือกที่จะเมินเฉยต่อเขา...”
คุณลุงยังคงก้มหน้าพูด บอกเล่าเรื่องต่างๆ ให้ผมฟังโดยที่ผมไม่พูดอะไรออกไปเลย น้ำเสียงนิ่งๆ เรียบๆ แต่คนฟังมันกลับดูหดหู่ไม่น้อย ความผิดบาปในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนก่อมันทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกผิด...ผมฟังคุณลุงพูดอยู่นาน บรรยากาศที่สดใสเพราะแสงแดดค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มพร้อมกับน้ำตาของคุณลุงที่ค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ
“ลุงช่าง...เป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ”
ผมกำมือแน่น...เจ็บปวดไปกับน้ำตาของลูกผู้ชาย กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองได้ทำผิดมหันต์มันก็สายเกินไป เวลาไม่อาจย้อนกลับมาก็จริง แต่ผม...ผมเชื่อว่า...
“เรย์ยังต้องมีชีวิตอยู่ครับ”
ผมไม่มีทางเชื่อแบบที่ใครๆ พูดเด็ดขาดว่าเรย์ได้หายไปจากโลกใบนี้แล้ว ตามข่าวที่บอกและที่ได้ยินมา หลังจากที่รถระเบิดก็ไม่มีข่าวว่าเห็นศพของเรย์หรือหลักฐานแม้กระทั่งภาพยืนยันว่าเป็นศพของเรย์ ถึงจะบอกว่าศพถูกสามีคนใหม่ของแม่เรย์พาไปที่อเมริกาแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ไม่เชื่ออยู่ดี
“...เธอ”
“ผมไม่เชื่อครับ...”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“...เพราะเรย์” ผมเว้นคำ “ไม่ใช่คนอ่อนแอ”
ดวงตาทั้งสองข้างสบกับนัยน์ตาสีนิลกาลโดยตรง เรย์ไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะมายอมแพ้ง่ายๆ กับเรื่องแค่นี้
“แล้วเธอจะทำยังไง”
“ผมจะกลับอเมริกา!”
 

ทางเดียวที่จะพิสูจน์ทุกอย่างได้คือผมต้องกลับไปยังที่ๆ เรย์อยู่ ในเมื่อเรย์อยู่ที่นั่นผมก็จะพิสูจน์ให้เห็นกับตา
 
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 28-08-2016 23:01:09


 

 

 
ตอนที่ 32

“ตะวัน...จะไปจริงๆ เหรอ อย่าเพิ่งไปเลยนะ”
ร่างเล็กห้ามผมเอาไว้ทันทีเมื่อเห็นว่าผมกำลังเก็บเสื้อผ้าเพื่อกลับอเมริกา ดวงตาทั้งสองข้างต่างก็เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ผมลูบหัวเบาๆ พลางยิ้มให้ ความจริงผมเองก็ยังไม่หายดีหรอก บาดแผลทางกายยังคงต้องรักษา แต่ว่าบาดแผลทางใจมันหนักยิ่งกว่า
“ฮึก อย่าไปเลยนะ”
“ไม่ได้หรอกหนึ่ง”
“ทะ ทำไมละ ตะวันไม่สงสารฉันเหรอ”
ผมละมือออกจากผมสีดำขลับ
“ขอโทษนะ”
แต่สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่เท่านี้
“ฮึกตะวัน! ฮือ ฮือ”
ร่างบางโผเข้ากอดผมอย่างเต็มแรง เสียงสะอื้นเบาๆ ของเจ้าตัวทำให้ผมเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่มีการโอบตอบหรือปลอบใจ เพราะถ้าทำแบบนั้นมันจะทำให้หนึ่งคิดไปไกลมากกว่านี้
“อย่าไปเลยนะ ตะวันยังเจ็บอยู่...เรย์เขาตายแล้ว ยอมรับความจริงเถอะนะ”
“...”
“ตะวัน ฮึก”
“ปล่อยเถอะหนึ่ง”
ผมรั้งแขนบางออก แต่หนึ่งก็ยังคงกอดผมไว้แน่นเหมือนเดิม
“ฮึก ฉัน...ฉันรักนายนะตะวัน”
ความในใจถูกส่งมายังผมพร้อมด้วยใบหน้านองน้ำตา ดวงตาหม่นทั้งสองข้างมองผมด้วยความเว้าวอน ผมยิ้มให้กับร่างเล็กบางๆ
“ขอบคุณ”
“ตะวัน...” หนึ่งเผยยิ้มเบาๆ
“แต่สักวันนายจะต้องเจอคนที่รักนายและนายก็รักเขามากกว่าฉันแน่ๆ”
แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นร่างเล็กก็หุบยิ้มทันที ทั้งหมดมันเป็นความรู้สึกของผมที่มีต่อหนึ่ง...ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีหนึ่งก็ยังคงเป็นเพื่อนของผมเสมอ เขาเป็นเพื่อนที่ดีและน่ารัก แต่ผมก็ไม่อาจที่จะมอบความรู้สึกแบบอื่นเพื่อตอบแทนเขาได้ หนึ่งมีคนที่รักเขามากมายพออยู่แล้ว
แต่เรย์ไม่มี...
ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขามาตั้งแต่ต้น สิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนมีเพียงแค่คราบน้ำตาและความเหงา...เป็นแค่เพียงคนอ่อนแอที่ทำเป็นเข้มแข็ง เพราะฉะนั้น...ผมจึงเลือกที่จะรักเรย์ เพื่ออยู่เคียงข้างพร้อมเดินไปด้วยกัน
รักที่เรย์เป็นเรย์
เป็นนางร้ายของทุกคน
“รักเรย์มากเลยเหรอ” หนึ่งถามเสียงสั่น
“อืม”
ผมยิ้มตอบ...ถึงจะเป็นคำตอบเพียงสั้นๆ แต่มันเป็นความรู้สึกทั้งหมดของผมที่มีต่อเรย์
“เข้าใจแล้ว” หนึ่งยิ้ม “ขอให้โชคดีนะตะวัน”
แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้า คงพยายามยิ้มเพื่อผม...ทั้งหนึ่งกับเรย์ก็เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งคือหนึ่งที่เป็นคนอ่อนแอ ส่วนอีกด้านก็เป็นเรย์ที่เป็นคนเข้มแข็ง พวกเขาไม่เหมือนกันถึงได้ดึงดูดซึ่งกันและกันโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ลึกๆ แล้วผมว่าพวกเขาอาจจะเหมือนกันมากก็ได้
ความเหมือน...ที่แตกต่าง
 
หลังจากนั้นผมก็ให้ไคมาส่งที่สนามบิน อีกไม่นานเครื่องก็จะออกแล้ว...ผมกับไคเป็นเพื่อนกันมานาน อยู่ด้วยกันมาก็ตั้งหลายปีพอต้องจากกันแบบนี้มันก็ทำให้อดที่จะรู้สึกโหวงๆ ไม่ได้เหมือนกัน
“โชคดีนะ”
“อืม นายเองก็เหมือนกัน”
“ไปถึงโน่นแล้วก็อย่าลืมโทรมาละ”
“เออ รู้แล้วน่า”
“...โชคดีนะ”
เสียงเล็กเอ่ยยิ้มให้กับผม
“นายเองก็เหมือนกัน”
ผมจับไปที่เรือนผมสีดำเบาๆ ก่อนที่จะละตัวออกมาแล้วเดินหันหลังไปยังบานประตูที่ถูกเปิดไว้อยู่ ถ้ากลับไปพ่อกับแม่คงจะต้องตกใจมากแน่ๆ แล้วผมก็คงจะโดนต่อว่า...ยังไม่หายดีแท้ๆ แต่กลับฝืนร่างกายเดินทางตั้งหลายชั่วโมง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะทำ
รอฉันก่อนนะเรย์
 
“ฮึก...”
ลับหลังร่างสูงที่เดินจากไปแล้ว ใบหน้าหวานก็คลอไปด้วยน้ำตา มือเล็กๆ ถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเองที่ไหล ทั้งเสียใจและเศร้าใจ ความรักที่มีให้คนร่างสูงมานานกลับต้องมาพังทลายลงเพียงแค่ไม่กี่นาที หนึ่งที่ฝืนยิ้มมาตลอดตอนนี้กลับทนไม่ไหวซะแล้ว มันทำใจลำบากที่จะต้องสูญเสียคนที่รักไปแต่หนึ่งก็รั้งตะวันไว้ไม่ได้ เขาร่างเล็กรู้ตัวดีว่าตะวันไม่มีทางหันมามองตัวเองเด็ดขาด
เพราะหัวใจของเขามีแค่เรย์คนเดียว
“กลับกันเถอะ”
“อื้อ”
หนึ่งพยักหน้าเบาๆ ตอบ
มือหนาของไคกุมมือร่างเล็กไว้แน่น ความรู้สึกอุ่นถูกส่งผ่านมือคู่นี้เหมือนกับว่าไคกำลังต้องการที่จะให้กำลังใจดวงน้อยที่ยังบอบช้ำ
ส่วนลึกของจิตใจแล้ว หนึ่งอิจฉาเรย์...
อิจฉาเหลือเกิน...
เขาไม่เหมือนตัวเองสักอย่าง ทั้งเข้มแข็ง แข็งแกร่งและอ่อนโยน...ก็สมควรแล้วที่ตะวันจะรัก เพราะเป็นแบบนี้ไงหนึ่งถึงได้ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วขอแค่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปก็พอ
ฉันรักนายนะ...ตะวัน
 
“กลับมาแล้วเหรอพ่อตัวดี”
คำทักทายของพ่อเกิดขึ้นทันทีที่ผมเดินทางมาถึงบ้านของตัวเอง แต่กว่าจะมาถึงได้เล่นทำเอาผมแทบไข้ขึ้นอีกรอบเพราะการอักเสบของแผล โชคดีหน่อยที่พ่อให้คนไปรับที่สนามบิน ไม่อย่างนั้นผมคงถูกหามเข้าส่งโรงพยาบาลก่อนที่จะเข้าบ้านแน่ๆ
“กลับมาแล้วเหรอตะวัน”
“กลับมาแล้วครับคุณแม่”
เสียงใสๆ ของคุณแม่กล่าวต้อนรับพร้อมกับร่างอ้อนแอ้นเข้ามาโอบกอดด้วยความคิดถึง ผมเองก็คิดถึงแม่มากเช่นเดียวกัน ไม่เจอกันตั้งนานดูคุณแม่ยังเหมือนเดิมเลย ไม่สิ...สวยขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย
“แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปหาที่ไทย เห็นไคบอกว่าบาดเจ็บ เป็นอะไรมากหรือเปล่า” คุณแม่พูดแล้วสำรวจร่างกายของผมไปด้วย
“อย่าไปโอ๋มันมากสิคุณ”
“อุ๊ย คุณคะ”
ร่างของแม่ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นสามีซึ่งก็คือคุณพ่อของผมนั่นแหละ คุณพ่อรักคุณแม่มากขนาดผมที่เป็นลูกยังหวงมากเลย
“ลูกของเรามันแกร่งจะตาย แค่นี้ไม่ตายหรอกน่า”
“คุณอาทิตย์ก็…นี่แนะ”
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะคุณมิเชล”
“สมน้ำหน้า”
คุณแม่หยิกไปที่ลำแขนของคุณพ่อ มันสร้างเสียงหัวเราะได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงคุณพ่อจะพูดจาขวานผ่าซากแบบนั้น แต่สำหรับคุณแม่และผมต่างก็รู้ดีเลยว่าแท้จริงแล้วคุณพ่อก็เป็นห่วงผมไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นนักธุรกิจที่ต้องปกครองผู้คนหลายพันคนจำเป็นที่จะต้องรักษามาดเอาไว้ แต่ก็แค่ต่อหน้าคนทั่วไปแค่นั้นแหละ พออยู่ต่อหน้าคุณแม่จริงๆ คุณพ่อกลายเป็นแมวเชื่องๆ ได้เลยละ
“ไหนตะวัน...เล่าให้แม่ฟังหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บแบบนี้” คุณแม่พาผมไปนั่งตรงโซฟา...
หลังจากนั้นผมก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้กับคุณพ่อและคุณแม่ได้ฟังอีกครั้ง ถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย...เรื่องของเรย์
ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ฟังผมแบบไม่ถามสักคำ เหมือนกับที่ผมเอาแต่นั่งฟังพ่อของหนึ่ง...สีหน้าและแววตาของท่านทั้งคู่เต็มไปด้วยความกังวลและเศร้าใจ ความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
“แล้วตะวันมั่นใจได้ยังไงว่าเด็กคนนั้นยังไม่ตาย”
“นั่นสิ เด็กคนนั้นอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
ทั้งคุณแม่และคุณพ่อต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ผมก้มหน้าประสานมือตัวเองเอาไว้แน่น
“...ผมไม่รู้”
ใช่! ผมไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของเรย์สักอย่าง
“ตะวัน...”
“แต่ผมเชื่อ...ผมเชื่อว่าเรย์ยังไม่ตายแล้วผมจะตามหาเรย์ให้พบ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองท่านทั้งสอง
“ถ้าพบแล้วจะทำยังไง” คุณพ่อถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ดวงตาคมที่เหมือนกับผมจ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา
“ผมจะอยู่เคียงข้างเรย์”
ผมตอบด้วยแววตามุ่งมั่นแล้วผมก็เชื่อในสัญชาติญาณของตัวเอง ถึงจะต้องใช้เวลาหาตลอดชีวิตผมก็จะต้องตามหาเรย์ให้เจอ
“หึ เข้าใจแล้ว”
คุณพ่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“เชื่อมือฉันที่เป็นพ่อแกเถอะ”
!!!
 
หลังจากนั้นทั้งผมและคุณพ่อก็ช่วยกันสืบค้นหาที่อยู่ของเรย์ ในเมื่อคุณพ่อเป็นคนพูดเองแบบนี้ผมคิดว่าไม่นานนักก็คงจะเจอตัวแน่ๆ อเมริกามันกว้างใหญ่มากก็จริง แต่ถ้ามีนักสืบฝีมือดีๆ ก็คงไม่นานที่ผมจะเจอตัว ป่านนี้เรย์จะเป็นยังไงบ้างนะ ดูแลตัวเองบ้างหรือเปล่า หรือว่ากำลังร้องไห้อยู่
รู้ไหมว่าฉันคิดถึงนายเหลือเกิน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ตะวัน ขอแม่เข้าไปหน่อยได้ไหม”
เสียงคุณแม่เคาะเรียกจากด้านนอก
“ครับ”
ผมลุกขึ้นไปเปิดประตู
คุณแม่เดินเข้ามาข้างในด้วยรอยยิ้มหวาน มันเป็นรอยยิ้มที่ผมชอบ ดูใจดีและมีเมตตา ดังนั้นผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณพ่อถึงได้หวงแหนคุณแม่นัก
“ยังเจ็บแผลอยู่ไหมตะวัน”
“ไม่ครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะตะวัน เด็กคนนั้น...คุณพ่อจะต้องตามเขาเจอแน่ๆ”
“...ครับ”
ผมโผเข้ากอดร่างอ้อนแอ้นของคุณแม่อย่างเต็มรัก อาจจะมองว่าผมเป็นเหมือนลูกแหง่ แต่สำหรับผมกลับคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอายสักนิด
ชื่อของผมที่คุณแม่ตั้ง ส่วนหนึ่งจะได้เข้ากับคุณพ่อที่ชื่ออาทิตย์ก็จริง แต่คุณแม่บอกผมว่าชื่อนี้มันมีความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น คุณแม่อยากให้ผมเติบโตเป็นเด็กที่แข็งแรงและอบอุ่นเหมือนดวงตะวัน แต่ผมในตอนนี้กลับคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับชื่อนี้สักนิด เพราะกว่าดวงตะวันจะส่องแสงไปถึง คนที่ผมรักสุดหัวใจก็หายไปจากสายตาซะแล้ว
“คุณแม่...เรย์จะยกโทษให้ผมไหม”
“ตะวัน...”
“ผมเคยทำผิดต่อเรย์ เขาจะยังยกโทษให้ผมไหม”
ผมละตัวออกมาถาม สบตานิ่ง...ถึงจะบอกว่าต่อให้ได้อยู่ในฐานะอะไรผมก็ยอม แต่อีกใจนึงผมก็กลัว...กลัวว่าผมจะไม่ได้เจอเรย์อีกแล้ว กลัวว่าเรย์จะไม่ยกโทษให้
“ตะวัน...ฟังแม่นะ” คุณแม่ยิ้ม “คนเราทุกคนย่อมเคยทำผิดพลาด ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์กันทุกคนหรอกนะ ทุกคนย่อมเคยทำผิด...คนทำผิดแล้วรู้สำนึกไม่มีใครไม่ให้อภัยหรอกนะ”
คำปลอบโยนที่คุณแม่เอื้อนเอ่ยอีกครั้ง มันทำให้ใจของผมที่สั่นระรัวสงบนิ่ง ภายในใจก็ได้แต่ขอภาวนาขอให้ผมได้เจอกับเรย์เร็วๆ
แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ผมคิดมันจะผิด
 
ฟิ้วว...
สายลมที่พัดผ่านร่างเบาๆ ผมมองไปยังเบื้องหน้าด้วยหัวใจปวดร้าว หลังจากที่ผมให้พ่อช่วยตามหาคนที่ผมรัก แน่นอน...ว่าผมเจอ แต่สิ่งที่ผมเห็นอยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น ป้ายหลุมศพตรงหน้าเป็นชื่อของเรย์อย่างชัดเจน รวมทั้งรูปถ่ายด้วยเหมือนกัน มันบ่งบอกได้ดีเลยทีเดียวว่าสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดมันเป็นความคิดที่ผิด
เรย์ตายแล้ว
“เรย์...”
ผมเอื้อมมือไปจับป้ายหลุมศพตรงหน้าอย่างเบามือ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ค่อยๆ ไหลลงมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างช้า
ความเจ็บปวด
ความเศร้า
 

มันทำให้ผมอยากกรีดร้องออกมา แต่ผมก็ทำได้แค่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เจ็บ...แต่มันเจ็บจนร้องไห้ไม่ออกต่างหากเข้าทั้งสองข้างทรุดลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง มันคงจบแล้วจริงๆ สินะ...ต่อไปนี้จะไม่มีเรย์อีกแล้ว
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 28-08-2016 23:03:03

ตอนที่ 33

ผมอยู่ที่ป้ายหลุมศพของเรย์ จ้องมองป้ายหลุมศพตรงหน้าเป็นเวลานานพอสมควร ถึงทุกอย่างที่เห็นมันจะบอกว่าเป็นความจริงทุกประการ แต่ส่วนหนึ่งของจิตใจผมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี หรือว่าทั้งหมดเป็นเพราะผมกำลังหลอกตัวเองกันแน่
ตั้งแต่ผมเจอเรย์ครั้งแรกมันก็เกือบ 4 ปีแล้วสินะ
ร่างเล็กยืนกอดอกตัวเองไว้แน่น ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งมาทางผม เป็นสายตาที่ไม่ยอมลงให้กับใครและไม่เป็นมิตรกับใครแม้กระทั่งผมที่เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แต่เป็นเพราะอะไร? ผมรู้สึกหลงใหลกับดวงตาคู่นั้น มันเหมือนมีมนต์สะกดที่ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเด็กผู้ชายที่ตัวเล็กกว่าผมได้เลย มันดึงดูดโดยที่ผมไม่รู้ตัว
‘มองอะไร!’
น้ำเสียงแข็งกร้าวเอ่ยพูดประโยคแรกออกมา ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ มันยิ่งทำให้ผมจับจ้องจนแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ ในตอนนั้นผมกำลังคิดว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายอย่างนั้นเหรอ
ถ้าหนึ่งเปรียบเหมือนเจ้าหญิงที่แสนบริสุทธิ์
เรย์ก็เปรียบเสมือนเจ้าหญิงที่น่าหลงใหลด้วยเช่นกัน
ทั้งสีหน้า แววตา ท่าทางดื้อรั้นแบบนั้น มันช่างสะกดใจของผมซะจริง
‘ฉันถามว่ามองอะไร!’ เด็กคนนั้นถามอีกครั้ง
‘เอ่อ...’
‘เข้ามาได้ยังไง!หรือว่าเป็นขโมย!’
‘เปล่า เรามาหาหนึ่ง’
ผมตอบออกไปตามความจริง ผมกับหนึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน แล้วผมก็มาหาหนึ่งที่บ้าน
‘เป็นเพื่อนกับมันเหรอ?’ ร่างเล็กขมวดคิ้วถาม
“อื้อ ใช่”
‘...เหรอ’
วูบหนึ่งผมเห็นดวงตาที่หยิ่งยโสแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสลด แต่ก็เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้นมันก็กลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘ตะวัน’
แต่ยังไม่ทันที่เราสองคนจะพูดอะไรต่อน้ำเสียงเล็กก็เอ่ยเรียกผมจากทางด้านหลัง ใบหน้าหวานของเพื่อนอีกคนกำลังมองมาทางที่ผมกับเด็กอีกคนยืนอยู่ด้วยกัน
‘หนึ่ง’
‘มาทำอะไรตรงนี้’
‘มาเดินเล่นนะ แล้วพอดี...’
ผมหันไปอีกทางตรงที่มีเด็กคนนั้นยืนอยู่ แต่ว่าพอผมหันไปแล้วกลับไม่เจอใครนอกจากต้นไม้ที่เขียวชอุ่มและความว่างเปล่าของอากาศ
หลังจากนั้นผมก็รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกคนละแม่กับหนึ่ง แล้วเด็กคนนั้นก็ชื่อ ‘เรย์’ พ่อกับแม่ของเรย์ได้แยกทางกันแล้วเรย์ก็มาอยู่กับพ่อ... ผมที่ยังเป็นเด็กไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเท่าไหร่ ไม่เข้าใจเลยว่าเรย์กำลังรู้สึกยังไงเมื่อคิดว่าตัวเองกำลังเป็นส่วนเกินของครอบครัว เลยทำให้เรย์มักจะทำตัวร้ายๆ และแกล้งหนึ่งเป็นประจำ มันเลยทำให้ผมมองข้ามแววตาที่เศร้าสร้อยนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว
บางทีอาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่ผมเริ่มหลงรักเด็กผู้ชายร่างเล็กคนนั้น แต่อาจเป็นเพราะผมกำลังหนีใจตัวเองด้วยเช่นกันเลยทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้ กลายเป็นผมที่ผิดตั้งแต่ครั้งแรก ถ้าเกิดว่าผมอยู่เคียงข้างเรย์ให้นานกว่านี้ ถ้าเกิดว่าผมอยู่ข้างๆ เขา
เรย์ก็อาจจะไม่ตาย
 
“ขอโทษ”
ผมพูดซ้ำๆ ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อหวังให้คนที่กำลังนอนหลับได้ยิน ผมเจ็บปวด ผมทรมานกับการสูญเสีย ได้โปรดเถอะ...ขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน
คืนเรย์มาให้ผมเถอะ
 
แกร็ก
เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมอง ดวงตาทั้งสองข้างของผมเบิกกว้างด้วยความตกใจและงุนงง ใบหน้าที่คุ้นเคยมองตรงมายังผมก่อนที่จะรีบหันหลังเดินจากไป ผมจำได้! ผมจำได้ดีเยว่าใคร! ร่างกายของผมมันวิ่งไปเองอัตโนมัติ วิ่งเพื่อไปหาคนที่คิดถึง
“เรย์!”
“หยุดนะ!”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเข้าไปถึงตัวผมก็ถูกชายชุดดำสองสามคนมาชาร์จตัวเอาไว้จนร่างกายทรุดลงไปกับพื้นแข็งๆ ที่มีแต่หญ้าและดิน
“เรย์! อย่าเพิ่งไป! เรย์!”
ผมร้องเรียกอีกครั้งแล้วพยายามดิ้นให้หลุดจากร่างแกร่งที่คิดว่าจะเป็นบอดี้การ์ดของเรย์ พวกเขาแรงเยอะมาก แต่ผมไม่ยอมหรอก!
“ปล่อย!”
ผมอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายละตัวออกจากชายชุดดำสำเร็จแล้ววิ่งตรงไปหาร่างเล็กที่กำลังเดินไปที่รถอีกครั้ง บาดแผลที่ถูกยิงก็เริ่มเจ็บเล็กน้อยเพราะขยับมากเกินไป แต่ด้วยความไวของผู้ที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีทำให้ตัวผมถูกจับอีกครั้ง พวกเขากดตัวผมกับพื้นด้วยความรุนแรงจนทำให้บาดแผลกระแทกโดนพื้นเต็มก่อนที่จะจัดการซ้อมผม
ผัวะ!ผัวะ! ตุบ!
“บอกมาแกเป็นใคร!”
“คิดจะมาทำร้ายคุณหนูใช่ไหม!”
น้ำเสียงเข้มเอ่ยถามไปพลางกระทืบผมไปพลาง ด้วยความที่มีจำนวนมากกว่าและผมก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ทำให้ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ผมก็ยังตะเกียดตะกายไปหาร่างเล็กที่กำลังเหลือบสายตาหันมามองผมเล็กน้อย
“กลับ” ร่างเล็กออกคำสั่งกับคนที่กำลังซ้อมผมอยู่
“แต่!”
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นทำท่าเหมือนจะแย้ง แต่พอเห็นสายตาของเรย์เขาก็หยุด แต่ก็ยังคงจับตัวผมเอาไว้อยู่ จากนั้นเรย์ก็เดินไปตรงรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“ออกรถ”
“ครับ”
เสียงเล็กๆ เอ่ยสั่งกับคนรถที่ยืนรอ เพียงไม่นานเรย์ก็หายเข้าไปกับรถคันนั้นแล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างของผมถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ พวกเขาปล่อยผมแล้วก็รีบวิ่งไปขึ้นรถอีกคันที่จอดอยู่เหมือนกัน ผมรีบพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยความทุลัดทุเลแล้ววิ่งตามรถคันที่แล่นออกไป
“เรย์!...เรย์!”
ผมร้องเรียกคนตัวเล็กที่อยู่ภายในรถ ถึงจะรู้ว่ายังไงซะเขาก็คงไม่ได้ยินเสียงของผมแน่ๆ แต่ผมก็จะวิ่งตามให้สุดกำลัง ผมได้เจอเรย์แล้วจะไม่ยอมปล่อยเขาไปเด็ดขาด! แล้วก็คงเป็นเพราะผมวิ่งมากไปเลยทำให้บาดแผลที่โดนยิงอักเสบมากขึ้นไปอีก ปากแผลก็เริ่มปริเล็กน้อยจนมีเลือดซึมออกมา ผมจับไปที่แผลตัวเองไว้แน่นแล้วก็พยายามวิ่งต่อไป
วิ่ง..
วิ่ง...
แล้วก็วิ่ง...
เสียงของผมตะโกนกู่ร้องเรียกชื่อซ้ำไปซ้ำมา คงเพราะมัวแต่วิ่งมากไปเลยทำให้ผมล้มหลายรอบ เนื้อตัวก็เริ่มถลอกปอกเปิกไปหมด เสื้อผ้าที่ใส่มาคราวแรกก็เต็มไปด้วยฝุ่น ความเหนื่อยล้าจากการวิ่งทำให้ขาของผมเริ่มอ่อนแรงจนแทบทนไม่ไหว ในที่สุดผมก็ร่วงหล่นไปกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลซึมมากกว่าเดิม
ตุบ!
“เรย์...แฮ่กแฮ่ก”
ผมหอบหายใจเข้าออกระรัวด้วยความเหนื่อยอ่อน ขาทั้งสองข้างของผมก็แทบไม่มีแรงแล้ว คงเป็นเพราะผมเสียเลือดไปมากและอาการบาดเจ็บที่แผลเลยทำให้ผมเกิดอาการหน้ามืดจนทำให้ผมที่กำลังพยุงตัวเองลุกขึ้นล้มไปอีกรอบ
แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะลุกขึ้นอีกครั้งผมก็เห็นเงาของใครอีกคนทาบทับลง ผมเงยมองไปที่ด้านบนที่ตอนนี้กำลังทำหน้าเศร้ามองผม ราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้... ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบเห็นน้ำตาของคนที่ผมรักสักนิด
“เรย์”
ผมเอ่ยเรียกชื่อเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง
“นายยังไม่ตาย นายจริงๆ ด้วยเรย์!”
ผมโผเข้ากอดร่างเล็กๆ เต็มแรงด้วยความคิดถึง ผิวเนื้อที่สัมผัสทำให้ผมรู้เลยว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป เรย์ยังคงมีชีวิตอยู่แล้วเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“กลับไปซะ แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
ร่างเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ผมละตัวออกมาแล้วมองใบหน้าที่ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความเฉยชา
“เรย์...”
“เรย์ได้ตายไปแล้ว นายกลับไปซะเถอะแล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ต่อไปนี้เราสองคนจะไม่รู้จักกัน”
“ไม่!”
ผมกอดเจ้าตัวแน่นกว่าเดิม ถ้าต้องปล่อยให้เรย์จากผมไปอีกครั้งผมคงยอมไม่ได้...หัวใจของผมมันเต้นกระหน่ำด้วยความกลัวและกังวล ถึงจะยังไม่เข้าใจก็เถอะว่าทำไมเรย์ถึงได้โกหกทุกคน โกหกว่าตายไปแล้วแต่เรื่องนั้นผมไม่สนใจ เพราะสิ่งที่ผมสนใจมากที่สุดคือเรย์คนที่ผมกำลังโอบกอดอยู่แค่นั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมไม่สนใจสักนิด
“ฉันรักนายนะเรย์...รัก...ฉันรักเธอ”
ผมบอกความรู้สึกตัวเองออกไป
“ปล่อยฉันนะ!”
เรย์เองก็พยายามผลักร่างของผมให้ออกห่าง มือเล็กๆ ของเขาดันไปตรงช่องท้องแต่ก็ไม่ออกแรงมาก
“กลับมาเถอะนะเรย์ กลับมาหาฉัน ฮึก อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ ฮึก”
ผมพยายามสกัดกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมา เสียงสะอื้นไห้เบาๆ มันทำให้เรย์หยุดมือที่จะผลักตัวผมออก ความรู้สึกของผมมันช่างตีกันมั่วซั่วไปหมด ทั้งหวั่นใจ กลัว และดีใจ มันสับสนปนเปกันจนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“ฉันรักนาย อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ”
“...”
“ฉันรักนายนะเรย์”
ผมบอกกับเขาซ้ำๆ หวังว่าจะทำให้คนร่างเล็กรับรู้ถึงความรู้สึกของผม
“...ทำไม นายถึงรักฉัน”
เรย์เอ่ยเบาๆ แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน ผมละตัวออกร่างเล็กแล้วสบไปที่ดวงตาที่นิ่งเรียบแต่กลับสั่นเครือ
“เรย์”
“ฉันมีอะไรดี...ฉันเป็นนางร้าย ฉันเป็นคนไม่ดี นายจะยังรักฉันอีกเหรอ”
“รักสิ...ฉันรักนาย รักที่นายเป็นนาย รักในตัวของนาย...ถึงนายจะร้ายแต่ฉันก็จะรัก”
เรย์ช้อนตามองผม
“ฉันรักนาย นางร้ายของฉัน”
ผมกอดเรย์ไว้แน่น ต่อให้ไม่ว่าจะยังไงผมก็จะไม่ยอมสูญเสียเรย์ไปอีกเด็ดขาด! ผมรักของผม...ผมรักนางร้ายคนนี้ของผม
ผมรักเรย์มากจริงๆ
 
“เจ็บหรือเปล่า”
หลังจากนั้นเรย์ก็พาผมไปทำแผล มือบางจับไปที่แผลที่โดนยิงเบาๆ มันสั่นจนผมรู้สึกได้ รอบผ้าพันแผลมีเลือดไหลซึมออกมาเยอะพอสมควร อีกทั้งรอยเปื้อนฝุ่นตอนที่ผมล้มลงไปอีกด้วยเลยทำให้มันดูไม่น่าพิศมัยสักเท่าไหร่
“เจ็บ...แต่มันไม่เท่ากับเจ็บที่ตรงนี้”
ผมจับมือบางไปทาบที่หัวใจของตัวเอง มันกำลังเต้นตึกตักด้วยความตื้นตันใจที่เรย์ยังมีชีวิตอยู่
“บ้า”
ร่างเล็กทำหน้าเขินอายหลบสายตาผม
“ฉันพูดจริงๆ นะเรย์...ตรงนี้มันเจ็บจริงๆ มันเจ็บตรงที่ตัวเองตื่นขึ้นมาก็พบกับข่าวร้าย มันเจ็บที่ตัวเองไม่สามารถปกป้องนายได้ มันเจ็บตรงที่เมื่อรู้ว่าจะไม่ได้เจอนายอีกต่อไป”
ผมกำมือบางเอาไว้แน่นเพื่อให้เขารู้ว่าผมกำลังเจ็บจริงๆ เรย์ค่อยๆ หันมามองสบตากับผมพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ร่างเล็กกำลังทำหน้าแดงแล้วก็ก้มหน้าทำแผลให้ผมต่อ ความเย็นของน้ำที่ประคบเพื่อเช็ดทำความสะอาดมันสัมผัสกับผิวของผมเบาๆ ดูเรย์จะกลัวที่จะทำให้ผมเจ็บมากเขาถึงพยายามที่จะเบามือ จนไม่นานนักน้ำในกาละมังก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ เรย์ทายาให้กับผมแล้วก็พันแผลให้ใหม่ ผมเองก็นั่งนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน มองดูทุกการกระทำของเขาด้วยความสุข
“เรย์”
ผมเรียกชื่อเขาในขณะที่เรย์กำลังพันผ้าพันแผลให้ผมอยู่
“อะไร”
เรย์เองก็ขานรับแต่ก็ยังไม่มองหน้าผม
“ให้โอกาสชั้นนะ...ให้โอกาสชั้นได้ดูแลนาย ได้ไหม”
บางทีผมคิดว่า ความรักของผมกำลังที่จะเริ่มต้นขึ้น...
 
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 28-08-2016 23:04:30


 
ตอนที่ 34

ผมยังไม่ตาย
ผมยังมีชีวิตอยู่
แล้วผมก็กำลังจะเริ่มต้นใหม่กับที่ใหม่ๆ
ความจริงที่ถูกปิดบัง ความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้หลังจากที่รถที่ผมระเบิดเมื่อครั้งนั้น ผู้จ้างวานไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนของเอเดน... เอเดนเกลียดผมมาก ก่อนที่เขาจะถูกตัดสินจำคุก เขาได้ใช้มูลทรัพย์ประกันตัวแล้วก็จ้างวานนักฆ่าเพื่อที่จะมาฆ่าผม แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่รอด ตำรวจสืบสาวราวเรื่องจนได้พบต้นตอที่แท้จริง
ผมรู้ว่าคนอย่างเอเดนไม่ปล่อยผมไปได้ง่ายๆ แน่ ก่อนที่รถจะระเบิดทั้งผมและแม่รวมทั้งคนขับรถก็ได้ออกมาจากรถได้ทัน เพียงแค่เสี้ยววินาทีรถก็เกิดระเบิดขึ้น ด้วยอำนาจเงินมันจึงเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่จะกลบเกลื่อนข่าวที่ออกไป แล้วผมก็อาศัยช่วงจังหวะที่ชุลมุนกลับอเมริกาพร้อมกับแม่ ทั้งเปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนที่อยู่ใหม่
เป็นเรย์คนใหม่ ที่ไม่ใช่คนเดิม
หลังจากที่ผมมาอยู่ที่อเมริกากับแม่ผมก็ได้เจอกับริชาร์ตผู้เป็นแฟนใหม่ของแม่ เขาเป็นนักธุรกิจชื่อดัง เคยลงนิตยสารหลายๆ ฉบับๆ ว่าเป็นนักธุรกิจที่น่าจับตามองอันดับต้นๆ ของประเทศ แม่กับริชาร์ตมีลูกด้วยกันหนึ่งคน เขาเป็นน้องของผม อายุห่างกันก็พอสมควร เด็กคนนั้นเป็นเด็กน่ารัก ผมสีบรอนด์เหมือนกับเด็กฝรั่งทั่วๆ ไปแต่มีนัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนกับแม่ น้องชายของผมอายุเพียงแค่ 10 ขวบ เท่านั้น เขามีชื่อว่า ลัคกี้... ลักกี้เป็นเด็กขี้อายและอ่อนแอนิดหน่อย เป็นเด็กที่ค่อนข้างแตกต่างจากผมเลย แต่เพราะเป็นน้องเลยทำให้ผมรู้สึกดีด้วย อีกอย่าง...รอยยิ้มของลักกี้มันก็ทำให้ผมคิดถึงหนูนา
ถึงผมจะจากมาที่นี่แต่ผมก็ไม่ได้ทิ้งเด็กกำพร้า ไม่ได้ทิ้งหนูนา ผมยังรับอุปภัมพ์อยู่แต่ใช้ชื่อในนามอื่นและพาไปอยู่ที่อื่นที่ดีกว่านี้
“ลักกี้ มารู้จักพี่ของลูกซะสิ”
แม่พูดเป็นภาษาอังกฤษบอกให้ลักกี้มาทักทายผม เด็กน้อยดวงตากลมโตมองผมด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นคนแปลกหน้า
“ไม่เอา”
ลักกี้ส่ายหน้าตอบพลางหลบไปที่ด้านหลังแต่เขาก็ยังคงมองผมอยู่
“ลักกี้”
“งื้อ~”
แม่เรียกร่างเล็กอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าลักกี้จะไม่ยอมง่ายๆ คงเพราะเห็นว่าผมเป็นคนอื่น เด็กคนนี้จึงไม่ยอมเข้าใกล้ ก็แน่ละ...เล่นคิดว่าเป็นลูกคนเดียวมาตลอดแต่จู่ๆ กลับมามีพี่แบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้เป็นใครใครก็คงจะทำใจลำบาก...พอคิดได้แบบนั้นผมก็ยิ้มบางให้แล้วยื่นมือไปให้เด็กน้อยตรงหน้า
“พี่ชื่อเรย์...ยินดีที่ได้รู้จัก”
ลักกี่มองผมอย่างชั่งใจ ตอนแรกก็ดูลังเลอยู่เหมือนกัน แต่คงเห็นแม่ยิ้มแล้วพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกนัยๆ ว่าไม่มีอะไรหรอก ลักกี้ก็เลยค่อยๆ ที่จะผละร่างเล็กๆ ออกมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“สะ สวัสดีครับ”
เด็กน้อยทำหน้าเขินอาย แล้วนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าตัวเองกำลังเริ่มที่จะมีครอบครัว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ส่วนหนึ่งในใจของผมกลับรู้สึกเหงาเล็กๆ ที่นี่ผมไม่มีคนรู้จักและไม่มีใครรู้จักผม แต่ในทุกๆ วันที่ผมอยู่กลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ความรู้สึกที่ยังค้างคามันยังคงมีอยู่ภายในใจที่เปล่าเปลี่ยว
ผมเป็นห่วงตะวัน
เป็นห่วงเขามากเหลือเกิน ป่านนี้เขาจะฟื้นหรือยังนะ...ป่านนี้แล้วเขาจะรู้หรือยังว่าผมตายไปแล้ว แล้วถ้าเกิดว่าตะวันรู้เขาจะทำหน้ายังไง ทั้งคำถามและคำตอบมันตีวนอยู่ในหัวสมองของผมซ้ำไปซ้ำมา คิดจนหัวแทบระเบิดและคิดถึงใจแทบขาด
แต่ผม...กลับไปไม่ได้แล้ว
“...เรย์...เรย์!”
“คะ ครับ”
ผมสะดุ้งตกใจเบาๆ เมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
“กำลังคิดอะไรอยู่”
แม่ถามแล้วนั่งลงข้างๆ สายตาที่อ่อนโยนมองตรงมายังผม
“...เปล่าครับ”ผมตอบเสียงเบา
“อย่าฝืนเลยนะเรย์”
แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เชื่อผมสักเท่าไหร่นัก ฝ่ามือที่อบอุ่นจับไปที่มือของเพื่อให้กำลังใจ แต่ผมกลับได้แต่นิ่งเงียบ ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วงผม แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ผมใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ มีครอบครัวใหม่ที่น่ารัก มีน้องชายที่กำลังเริ่มสนิทกันดี ต้องไม่ใส่ใจและไม่คิดถึงวันเก่าๆ รวมทั้งคิดเรื่องของตะวันและผู้ชายคนนั้นด้วย ป่านนี้แล้วทุกคนที่นั่นก็คงเข้าใจว่าผมตายไปแล้วด้วย ไม่ต้องไปใส่ใจแล้วใช้ชีวิตใหม่ของตัวเองที่นี่ไปก็พอ ผมเริ่มสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฯ ใหม่ และช่วยงานที่บริษัทฯ ของริชาร์ตไปด้วยพลางๆ ริชาร์ตเป็นคนเก่งมากเลยทีเดียว ทุกคนให้ความรักผมเป็นอย่างดี จนบางครั้งผมก็แทบลืมไปเลยว่าส่วนลึกของจิตใจผมก็ยังคงเหงาอยู่ก็ตาม
“คุณเรียกผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมถามเป็นภาษาอังกฤษทันทีที่เมื่อเห็นหน้าผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของแม่และเป็นพ่อเลี้ยงของผม ริชาร์ตเรียกผมมาพบเป็นการส่วนตัวภายในห้องทำงานของเขา
“ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากจะคุยกับเธอเท่านั้น”
ริชาร์ตตอบ ใบหน้าที่มีหนวดเคราเล็กๆ กระตุกตามริมฝีปากที่คลี่ยิ้มให้กับผม มันทั้งดูอ่อนโยนและแข็งแกร่ง น่าเกรงขามในคราวเดียวกัน
“ครับ?”
ผมทำหน้าฉงน สบดวงตาคู่นั้น
“เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอเริ่มชินหรือยัง”
อา...ให้ตายสิ ผมไม่ชอบที่เขาเรียกผมว่า ‘เธอ’ เลย มันฟังดูเหมือนเป็นผู้หญิงยังไงก็ไม่รู้
“ครับ ก็ดีแล้ว ผมเริ่มที่จะชินแล้ว”
“ก็ดีแล้ว ฉันดีใจนะที่เธอเริ่มสดใสร่าเริงขึ้น”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกกับผม ถึงเขาจะไม่ได้มีท่าทีรุกรามก็เถอะแต่การมาอยู่แบบนี้มันก็ทำให้ผมอึดอัดเหมือนกันแฮะ
“เธอรู้ไหมตอนที่ฉันพบกับแม่ของเธอครั้งแรกฉันก็ตกหลุมรักเลย”
“ครับ?”
ผมเอียงคอมองเขานิดหน่อย นี่เขาต้องการจะพูดอะไรกันแน่ จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องอดีตตอนที่พบกับแม่ผมซะอย่างนั้น
“เราเจอกันครั้งแรกที่เกาะที่แม่ของเธอพักอาศัยอยู่ โรสเป็นคนสวยมาก ชุดที่เธอใส่ครั้งแรกที่เราเจอกันก็เป็นเสื้อสีแดงสดนี่แหละ ฉันพยายามจีบแม่ของเธออยู่นานเลย แต่โรสเป็นผู้หญิงที่ใจแข็งสุดๆ แล้วก็ยังไม่ยอมลงกับใครง่ายๆ ฉันในตอนนั้นนะใช้แผนทุกอย่างเพื่อให้ได้แม่ของเธอมาครอบครอง บอกได้เลยว่าชั่วสารพัดอย่าง ฮ่าๆ”
เอ่อ ชั่วสารพัดอย่าง? ไม่น่าเชื่อจริงๆ เลยว่าผู้ชายแบบนี้จะทำเรื่องเลวร้ายไปได้ แถมยังจะนั่งหัวเราะได้หน้าตาเฉยอีก
“ถึงฉันจะเป็นคนชั่วในสายตาคนอื่นแต่สิ่งที่ฉันต้องการก็เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น คือความรักจากแม่ของเธอ”
ประโยคสุดท้ายที่ริชาร์ตเอ่ยบอกมันทำให้ใจของผมกระตุกอยู่วูบนึง
“คุณหมายความว่ายังไง”
“มีคนต้องการที่จะพบเธอนะ ไปตามหาสิ่งที่เธอต้องการซะ”
ริชาร์ตยื่นเอกสารบางอย่างให้กับผม ผมมองแผ่นกระดาษบางๆ ที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่ดวงตาของผมจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ ขอความในนั้นแม้ว่าผมจะไม่ต้องอ่านจนจบแต่ก็สรุปได้ง่ายๆ ว่ากำลังมีคนตามสืบเรื่องของผมอยู่ แล้วคนๆ นั้นๆ ก็คือตะวัน...
นี่เขา...ตามหาผมถึงนี่เลยเหรอ
เขาไม่คิดจะเชื่อหรือไงนะว่าผมได้ตายจากไปแล้ว
คนบ้า...
 
เรื่องของตะวันมันทำให้ผมสับสนอยู่พอสมควร ผมไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับเขาดี จะอยู่เฉยๆ แล้วทำไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างนี้ดีหรือเปล่านะ แต่อีกใจนึงมันก็...ก็อยากที่จะพบตะวัน จนแล้วจนรอดผมก็ทนไม่ไหวกับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองก็เลยเลือกที่จะไปยังสุสานปลอมๆ ของตัวเองที่เป็นคนสร้างขึ้น นัยนึงก็เพื่อหลอกทุกคนว่าผมตายไปแล้วแล้วก็ฝังทุกอย่างเกี่ยวกับผมลงไป
แต่ใครมันจะไปคิดว่าผมเจอตะวันที่นั่นด้วย เขากำลังร้องไห้หน้าป้ายหลุมศพของผม...น้ำตาของเขามันทำให้ผมปวดใจ อยากเดินเข้าไปหา อยากเดินเข้าไปใกล้ๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองเดินไปเหยียบกิ่งไม้เล็กๆ ซะแล้ว
แกร็ก
ผมยืนตกตะลึงชั่วครู่ ตะวันก็หันมองผม ในคราวแรกเขาเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไหร่ แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มก็เผยที่ใบหน้า เขากำลังดีใจที่ได้เจอผม...แต่ผมก็ทำได้แค่เดินหนี หนีให้ไกลจากตรงนี้เพราะรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมใจสั่นแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก
“เรย์!”
เสียงเรียกจากทางด้านหลัง ตะวันกำลังเรียกชื่อของผมแต่ตัวของเขาถูกการ์ดของผมจับเอาไว้ น้ำเสียงที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความดีใจกำลังร่ำร้องให้ผมหยุด ร่างของเขาถูกซ้อมอย่างสะบักสะบอมเพราะไม่ยอมหยุดที่จะเข้าหาผม
ผมสั่งให้พวกเขาหยุดเพื่อที่จะต้องไม่ทำร้ายตะวันไปมากกว่านี้ แทนที่ตะวันจะหยุดแต่เขากลับไม่หยุด เขาวิ่งตามผมพร้อมกับร้องเรียกชื่อของผมไปด้วย ผมมองผ่านร่างที่วิ่งอย่างทุลัดทุเล ล้มบ้าง วิ่งบ้าง ความจริงแล้วผมสามารถให้คนขับรถขับรถเร็วๆ เพื่อหนีไปจากเขาได้ แต่ทำไมผมถึงได้สั่งให้ขับไปช้าๆ กันนะ น้ำตาของที่ไหลสะอื้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
ร่างกายของเขาก็เริ่มเต็มไปด้วยบาดแผล เนื้อตัวก็เต็มไปด้วยฝุ่น ผมพยายามที่จะสกัดกลั้นมันไม่ให้ไหลออกมาแล้วนะแต่มันทำไม่ได้จริงๆ
มันเจ็บปวดเหลือเกิน
“หยุดรถ”
เอี๊ยด!
ทันทีที่ผมสั่งตัวรถที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ก็หยุดลง ผมรีบก้าวลงจากรถแล้ววิ่งไปหาร่างที่กำลังล้มอยู่ ตะวันค่อยๆ ทอดสายตามองผม
“นายยังไม่ตาย นายจริงๆ ด้วย เรย์!”
ตะวันโผเข้ากอดผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตาทั้งสองข้างผมเบิกกว้างด้วยความตกใจแต่ทำไมผมถึงได้ไม่ผลักเขาออกไปนะ
“กลับไปซะ แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
“เรย์...”
“เรย์ได้ตายไปแล้ว นายกลับไปซะเถอะแล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ต่อไปนี้เราสองคนจะไม่รู้จักกัน”
“ไม่!”
เขากอดผมแน่นกว่าเดิมจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของเขา... มันเต้นเพราะกลัวว่าจะสูญเสียผมไปอีกครั้งหรือว่าเป็นเพราะดีใจที่ได้เจอผมกันแน่ แต่จะยังไงก็ช่างเพราะเสียงหัวใจของเขามันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงไปด้วย
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ตะวัน...ตะวัน...ตะวัน...
ฉัน...รัก...
“ฉันรักนายนะเรย์...รัก...ฉันรักเธอ”
ในขณะที่ผมอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ ตะวันก็พูดออกมาซ้อนทับกับความคิดของผม...ตะวันกำลังบอกว่ารักผมอยู่ ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจมันทำให้ผมแทบอยากจะโอบกอดเขาตอบ แต่ผมก็ทำได้แค่เพียงกำมือตัวเองแน่นแล้วพยายามผลักร่างสูงให้ออกห่าง
ไม่ได้! ผมจะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด! จะยอมแพ้ให้กับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้!
“ปล่อยฉันนะ!”
“กลับมาเถอะนะเรย์ กลับมาหาฉัน ฮึก อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ ฮึก”
แต่เสียงสะอื้นเบาๆ ของตะวันมันทำให้ผมหยุด...เขากำลังร้องไห้เพราะผม แล้วทำไมน้ำตาของเขามันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ เลย
“ฉันรักนาย อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ ฉันรักนายนะเรย์”
เขาบอกกับเขาซ้ำๆ
“...ทำไม นายถึงรักฉัน”
ผมถามเสียงเบาแต่มันก็ดังพอที่จะทำให้เราสองคนได้ยินชัดเจน
“เรย์”
“ฉันมีอะไรดี...ฉันเป็นนางร้าย ฉันเป็นคนไม่ดี นายจะยังรักฉันอีกเหรอ”
“รักสิ...ฉันรักนาย รักที่นายเป็นนาย รักในตัวของนาย...ถึงนายจะร้ายแต่ฉันก็จะรัก”
ร่างสูงยิ้มบางให้แล้วละหน้าออกมามองผม เราสองคนสบตากันอย่างสื่อความหมายแล้วมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าที่ถูกทาบทับจากดวงตะวันจากทางด้านหลังดูจริงจังมากกว่าเคย จนผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีผมกำลังถูกมนต์สะกดเลยทำให้แทบขยับตัวไม่ได้เลย
“ฉันรักนาย นางร้ายของฉัน”
แล้วผมก็กำลังคิดว่าบางทีความรักของผมคงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ต่อจากนี้และตลอดไป
 .
.
.
4 ปีผ่านไป
กาลเวลาหมุนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งรอบตัวกำลังดำเนินไปตามวิธีชีวิตของมัน รอบตัวของผมก็เปลี่ยนไป ทั้งสิ่งก่อสร้าง เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกต่างๆ รวมแม้กระทั่งผู้คน เมื่อเวลาผ่านพ้นไปทุกคนก็ย่อมมีวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น ตัวผมเองก็เหมือนกัน... จากวันเลื่อนเป็นเดือน จากหนึ่งเดือนก็กลายเป็นสองเดือนและสามเดือนจวบจนกระทั่งผ่านไปเป็นปี นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ที่ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ผ่านไป 4 ปีแล้วสินะ...ผมไม่ใช่เด็กๆ ที่เอาแต่ใจไปวันๆ อีกต่อไปแล้ว แทบเรียกได้ว่าตัวผมในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนด้วยซ้ำ
ทุกคนเปลี่ยนไป
ผมก็เปลี่ยนไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เรย์...เสร็จหรือยัง”
ริชาร์ตเปิดประตูเข้ามาแล้วแล้วเดินมาตรงผมที่กำลังนั่งอยู่ที่หน้ากระจก
“เสร็จแล้วครับ”
ผมลุกขึ้นแล้วหันไปยิ้มตอบ
“ไปกันเถอะ ทุกคนรออยู่”
“ครับ”
ว่าจบผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกห้อง ทางเดินที่เงียบสงบในคราวแรกค่อยๆ มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากบานประตูที่อยู่ตรงด้านหน้าเบาๆ รู้สึกตื่นเต้นจนประหม่าเลย
แอ๊ดด
บานประตูที่ปิดสนิทถูกเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างจ้าที่สว่างไสว มันสาดส่องโดนตัวของผมจากแสงเล็กๆ และเริ่มใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ ผมเดินไปทางพื้นพรมสีแดงที่นุ่มนิ่มด้วยใจสั่นระรัว ทุกคนกำลังรอผมอยู่ พวกเขาต่างก็มีสีหน้าที่แสดงถึงความยินดี ผมเดินไปอยู่เคียงข้างคนที่รอผมอยู่ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
แล้วคำปฏิญาณก็เริ่มขึ้น
พิธีแต่งงานของพวกเราสองคน
ทุกอย่างดำเนินไปตามพิธี ทั้งครอบครัวของผม ริชาร์ตและลักกี้ และครอบครัวของตะวันต่างก็แสดงความยินดี งานแต่งงานของพวกเราสองคนต่างก็ไม่มีใครคัดค้านและไม่ได้เป็นข่าวดัง ผมกับตะวันต้องการที่จะจัดงานกันอย่างเงียบๆ ไม่ต้องหรูหรา ไม่ต้องฟุ้มเฟือย แค่เราสองคนมีความสุขก็เพียงพอ
“ขอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจุมพิตซึ่งกันและกัน”
บาทหลางเอ่ยประโยคสุดท้ายหลังจากที่พวกเราทั้งคู่แลกแหวนซึ่งกันและกัน
“จูบเลยๆ จูบเลยๆ”
“เอาเลยๆ จูบเลยๆ”
“กรี๊ดดดด”
เสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้อง ตะวันจับไปที่แก้มนิ่มของผมทั้งสองข้างเพื่อประคองใบหน้าให้เงยขึ้นไปสบตาก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะประกบลงมาเบาๆ เป็นจูบที่แสนเบาหวิว ไม่ได้หวาบหวาม แต่มันก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่คุ้นเคย
4 ปีที่ผมจากมาอยู่ที่อเมริกา
4 ปีที่ตะวันอยู่เคียงข้างผม
4 ปีที่ได้เราได้เรียนรู้ซึ้งกันและกัน
และ 4 ปี ที่เขารักผม
มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานแต่ก็แสนสั้นด้วยเช่นกัน ขอบคุณที่อยู่ยอมอยู่กับคนร้ายๆ แบบผม คนที่คนอื่นมองไม่ดีคนนี้
ขอบคุณ
 
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 28-08-2016 23:05:40


 

 
บทส่งท้าย


หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงานผมก็มาอยู่ที่เรือนหอกับตะวัน ความจริงแล้วก็เป็นบ้านของตะวันนั้นแหละ แล้วนี่ก็เป็นห้องของตะวันด้วย ความจริงแล้วตอนที่กำลังคบกันผมก็เคยมาห้องของเขานะ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมากแค่เข้ามาไม่กี่ครั้งเอง ส่วนใหญ่ผมกับตะวันจะอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่มากกว่า แล้วก็เป็นตะวันนั่นแหละที่มักจะเป็นฝ่ายไปหาผมที่บ้านมากกว่า แล้วพอแต่งงานกันผมกับตะวันก็ตกลงที่จะไม่ซื้อบ้านใหม่แต่มาอยู่บ้านของพ่อกับแม่ตะวันแทน ถึงจะเคยเข้ามาก็เถอะแต่พอรู้ว่าตัวเองจะเข้าในฐานะอะไรมันก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ
ซ่า...
สายน้ำที่ไหลรดลงมาบนร่างกายมันยิ่งทำให้ใจของผมเต้นแรงมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ตื่นเต้นจังเลย...เพราะคืนนี้...คืนนี้ผมจะกลายเป็นของตะวันอย่างเต็มตัว ทั้งร่างกายและหัวใจดวงนี้จะเป็นของๆ เขาเพียงคนเดียว
‘เท่านี้คงพอแล้วละมั้ง’
ผมมองรูปร่างตัวเองผ่านบานกระจกแล้วจัดแจงใส่เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน ผิวกายที่ถูกขัดสีฉวีวรรณอย่างดีทุกซอกทุกมุม ผมยิ้มบางๆ ให้กับตัวเองก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ ภายนอกห้องมีตะวันที่กำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก
อ่า...ให้ตายสิ! ประมาทจังเลย -///-
“อะ ออกมาแล้วเหรอ”
ตะวันถามอย่างเขินๆ
“อะอืม”
ผมก้มหน้าตอบพยายามซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านของตัวเอง
“งั้นไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อะอืม”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง แล้วตะวันก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ
โอ๊ย! ทำไมอาการใจเต้นมันไม่หยุดสักทีนะ จะมัวแต่ตื่นเต้นทำไม อีกเดี๋ยวเราก็จะกลายเป็นของตะวันแล้วแท้ๆ
ผมส่ายหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดของตัวเองแล้วไปนั่งลงที่เตียง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าจะต้องมานั่งลงตรงนี้แต่มันไม่มีที่นั่งนี่นา จะให้นั่งลงตรงหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งก็กะไรอยู่ แต่ใจของผมยังเต้นไม่หยุดเลย...เวลาก็เหมือนไปอย่างเชื่องช้า จนผมเผลอคิดไปว่าทำไมตะวันถึงได้ออกมาช้าจังนะ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นนะแหละ  ผมยังนั่งตัวแกร็งอยู่บนที่นอนอยู่เลย
แกร็ก
ตะวันออกมาแล้ว มันทำให้ผมยิ่งเกร็งไปใหญ่เลยแต่ก็อดไม่ได้ที่เหลือบไปมองเขานิดหน่อย ร่างสูงสมส่วนในชุดคลุมสีเทาเข้ม น้ำที่เกาะตามแผงอกแกร่งและลำคอมันทำให้เขาดูเซ็กซี่มากจริงๆ จนผมต้องหลุบตาลงอีกครั้งเพื่อซ่อนความอาย
ผมไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนผมไหม แต่ผมเขินจนใจแทบขาดเลย
ตะวันมานั่งข้างๆ เราต่างคนก็ต่างเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี มันเป็นคืนแรกของเราสองคนเลยทำให้ประหม่า ตลอดเวลาสี่ปีที่คบกันมาเราไม่เคยมีเรื่องอย่างว่าเลย ตะวันเขาเป็นสุภาพบุรุษกับผมเสมอ ไม่เคยร้องขอและล้วงเกินอะไรเลย อย่างมากก็แค่จูบกันแค่นั้นแหละ...
“เอ่อ/เอ่อ”
อ่ะ ผมกับตะวันพูดพร้อมกัน เขาเอามือมาเกาแก้มตัวเองอย่างน่ารัก ท่าทีผ่อนคลายของเขามันทำให้ผมอดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ เหมือนเด็กเลย
“ฮะ ฮ่าๆ”
“หัวเราะอะไร”
“เปล่า”
ผมยิ้มกว้างแต่ก็ยังคงส่งเสียงหัวเราะในลำคออยู่รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งมายังผมเบาๆ เลยทำให้ผมหยุดหัวเราะแล้วสบตากับร่างสูงแทน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความต้องการถูกส่งมายังผมแต่ก็ยังคงถูกสกัดกลั้นเอาไว้อยู่ แค่มองก็รู้แล้วว่าตะวันในตอนนี้กำลังต้องการผมขนาดไหนกัน ใบหน้าที่คุ้นเคยมาตลอดสี่ปีอยู่ใกล้แค่เอื้อม ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปจับที่คางได้รูปของตะวันแล้วประทับริมฝีปากตัวเองลงไปที่ริมฝีปากอุ่นๆ ความวาบหวามหล่อหลอมให้เราสองคนเริ่มที่จะกลายเป็นคนเดียวกัน ร่างเล็กของผมถูกให้เอนลงบนที่นอนนุ่มๆ ที่โรยด้วยกลีบกุหลายหอมๆ จูบที่แสนแผ่วเบาในคราวแรกๆ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรุกหนักขึ้นเมื่อลิ้นชื้นถูกสอดแทรกเข้ามากวาดต้อนทั่วโพรงปาก ผมเองก็จูบตอบอย่างไม่รังเกียจ จูบที่รุนแรงและเต็มไปด้วยความต้องการแต่มันก็หอมหวานสำหรับเราสองคน
ทุกอย่างก็เริ่มเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เสื้อคลุมของผมถูกมือหนารูดออกไปจากร่างกายช้าๆ ของตะวันเองก็เหมือนกัน จนในที่สุดก็เหลือแต่เพียงร่างกายที่เปล่าเปลือยของเราสองคน แผงอกของตะวันอยู่ตรงหน้าผมแล้ว หัวใจของเขาก็อยู่ใกล้มากจนสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรง
“ขอบคุณนะเรย์...ขอบคุณที่ยอมเริ่มต้นใหม่กับฉัน”
ตะวันจับมือผมแล้วจูบเบาๆ ที่หลังมือ
“อื้อ ไม่หรอก” ผมส่ายหน้า “ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย...ขอบคุณนะที่มารักฉัน” มือของผมเอื้อมไปกอดลำคอหนา
“ฉันรักนาย”
“ฉันเองก็รักนายเหมือนกัน”
ผมกอดตะวันไว้แน่น ดันร่างหนาให้ลงมารับจูบที่ร้อนแรงของผมอีกครั้ง ตะวันเองก็ไม่ปฏิเสธ มือหนาเคลื่อนมาที่หน้าอกของผมแล้วขยี้ที่เม็ดทับทิมสีแดงเบาๆ จนผมรู้สึกเสียวซ่าน ร่างสูงละหน้าออกมาแล้วขบกัดไปที่ลำคอบางจนผมสะดุ้ง ตะวันค่อยๆ สร้างรอยจูบไปทีละจุดๆ จนทั่ว มือของเขาก็แทบไม่อยู่นิ่งลูบไล้ไปทั่วเรื่อนกายขาวพร้อมกับบีบเข้นอย่างหมั่นเขี้ยว
“อ่ะอ๊า”
มันรู้สึกดีมากจนผมเผลอที่จะร้องครางออกมาไม่ได้
“หึ”
ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ให้กับปฏิกิริยาของผม จนอดไม่ได้ที่จะตีไปที่ลำแขนทีนึง น่าหมั่นไส้นัก! เห็นอย่างนี้ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะ!
“อ๊า”
แต่ก็ต้านทานได้ไม่นานนักผมก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวั่นไหวเมื่อมือหนาโอบอุ้มกลางลำตัวของผมเอาไว้แล้วจับรูดขึ้นลงเบาๆ นิ้วโป้ก็ประกบอุดตรงส่วนปลายเอาไว้พร้อมกับคลึงเบาๆ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกมากขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนว่าตะวันกำลังแกล้งผมอยู่ เขาคอยทำให้ผมสั่นสะท้านไปด้วยแรงสัมผัสที่แผ่วเบาแต่มันกลับเสียวซ่านไปทุกอณูของร่างกาย ริมฝีปากของเขาก็ขยับจากลำคอบางที่สร้างรอยไว้เคลื่อนมาที่แผ่นอก ลิ้นสากๆ ที่ลาดเลื่อนลงมามันทำให้รู้สึก...เสียว
“อ๊า ตะวัน...ฉัน...ฉัน อ๊า”
ผมจิกมือลงบนเรือนผมสีดำขลับ ส่ายหน้าไปมาเมื่อถูกริมฝีปากคู่เดิมละเลงลิ้นกับยอดอกที่เริ่มชูชัน ฟันซี่ขาวขบกัดเบาๆ แต่มันก็ยิ่งทำให้ร่างกายของผมไม่สามารถหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ มันกำลังเพิ่มความต้องการขึ้นเรื่อยๆ ตะวันเล่นกับยอดอกทั้งสองข้างสลับกันไปมาอย่างถือวิสาสะ มือที่กอบกุมแก่นกายของผมเอาไว้ก็ยังคงทำหน้าได้ดี เขาไม่หยุดมือที่จะขยับมันเลย
พอร่างสูงหยอกล้อเล่นกับหน้าอกของผมจนพอใจก็ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงไปที่หน้าท้องแบนราบ เขาหยอกล้อเล่นกับสะดือของผมนิดหน่อย
“อ๊า อื้อ”
“เรย์...”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียก เขาจับจ้องไปที่ส่วนกลางลำตัวที่ตอนนี้มีน้ำเยิ้มออกมาปริ่มๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าเขาจะทำอะไรกับมันเป็นอันดับต่อไป
“อ๊า! อืม...อ๊า”
ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ แต่มันทำไม่ได้เลยยามที่ส่วนนั้นถูกริมฝีปากของตะวันครอบลงไป เขาใช้ลิ้นเล่นกับส่วนปลาย ขบกัดเบาๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมแทบหมดแรงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอสำหรับเขาสักเท่าไหร่ ร่างสูงกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมจนสุดความยาว เขาใช้ลิ้นชื้นเลียวนไปรอบๆ
“อื้อ อ่ะอ๊า”
ใครก็ได้ช่วยบอกผมหน่อยว่าตะวันเขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อนมันเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่านะ! ทำไมเขาดูเชี่ยวจังเลย
“ตะ...ตะวัน อ๊า”
อยากถามเขานะ แต่ปากของผมกลับพูดอะไรไม่ได้เลย...นอกจากครางอย่างเดียว
แล้วผมก็พูดได้ไม่กี่คำเหมือนเคย ตะวันดูดส่วนอ่อนไหวของผมขึ้นลงสลับกันไปมา ช้าบ้าง เร็วบ้าง สองขาของผมสั่นระริก มันแทบจะรั้งให้หยัดยืนไม่อยู่ น้ำที่ปริ่มตรงปลายมันก็ยิ่งทวีความต้องการมากขึ้น ตะวันเขาช่ำชองมากจนผมอยากปลดปล่อยออกมา แต่ตะวันก็ไม่ปล่อยให้ผมไปถึงฝั่งฝันเลย เขากวัดลิ้นละเลงยอดปลายซ้ำไปซ้ำมาจนรู้สึกได้ถึงความชื้นเฉอะแฉะของน้ำลาย
“ชอบไหมเรย์”
คนบ้า! ถามอะไรออกมาก็ไม่รู้ ใครจะกล้าตอบละ
“อื้อ อ๊าอ๊า”
แต่พอผมไม่ตอบคำถาม ตะวันก็ยิ่งแกล้งผมหนักขึ้นไปอีก สมองผมคิดอะไรไม่ออกแล้วจนต้องร้องครางออกมาเพื่อปลดปล่อยความเสียวกระสัน
“ชอบไหม”
“อะอืม ชอบ...ชอบ อ๊า”
เขาถามคำถามเดิมออกมา
“ชอบ...ชอบสิ มันเสียว อ่ะอ๊า!”
สะโพกบางแอ่นรับปลายลิ้นอุ่นชื้นที่ครอบคลุมส่วนอ่อนไหวที่กำลังรูดขึ้นลงไปมา เพราะความรู้สึกแปลกใหม่ที่แทบทนไม่ไหว ผมก็เลยยกมือขึ้นมาจับไปที่เรือนผมสีดำของเขาแล้วขยุ้มมันเบาๆ ตามจังหวะการลงลิ้นที่ช้ำชอง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปฝึกมาจากไหน
“อ่ะ! ตะ ตะวัน! ยะ อย่า! มันสกปรก”
ผมร้องออกมาเมื่อจู่ๆ ตะวันลากลิ้นเคลื่อนลงมาที่ส่วนซ่อนเร้น มันกำลังขมิบเหมือนต้องการเชิญชวนให้ตะวันลองสัมผัสมันอย่างนั้นแหละ ดวงตาแพรวพราวที่กำลังหยาดเยิ้มจ้องมองด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อนิดหน่อยก่อนที่จะก้มหน้าลงไปอีกครั้งแล้ว ส่วนปลายลิ้นก็ลียวนเข้าไปในช่องทางต้องห้าม
“ยะ อย่า! อ๊าอ๊า”
ผมขยุ้มผมของตะวันแรงขึ้น มันสับสนไปหมดเลย เขากล้าที่จะทำแบบนี้ได้ยังไงกันนะ ตรงนั้นมันสกปรกจะตาย แถมลิ้นของเขาที่ถูไถตรงปากทางก็ค่อยๆ แหย่เข้ามาในตัวผมช้าๆ มันรู้สึกแปลกๆ มันอธิบายไม่ถูกแต่ก็รู้สึกดี ขาที่สั่นระริกทั้งสองข้างถูกจับขึ้นไปพาดบนบ่าแกร่ง มือของตะวันก็ไม่อยู่เฉยเขาขยี้ลงมาที่ยอดอกของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่องทางที่ปิดสนิทก็ถูกรุกล้ำไม่หยุด ปลายนิ้วอุ่นค่อยๆ ถูไถที่ช่องทางสงวนแล้วดันเข้ามาช้าๆ
“อ่ะ! มะ มันเจ็บ”
นี่เพียงแค่ปลายนิ้วชี้นิ้วเดียวมันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บ
“อดทนนะเรย์ ไม่งั้นมันจะรู้สึกเจ็บกว่านี้”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงทุ้ม ผมก็พยักหน้าเบาๆ ตอบรับ ก็พอจะรู้มาอยู่บ้างนั้นแหละว่าผู้ชายมีอะไรกันมันต้องเตรียมพร้อมหลายอย่าง แต่แบบนี้มันไม่ชินเอาซะเลย นิ้วอุ่นที่เข้ามาในตัวผมก็เริ่มที่จะเข้ามาจนเกือบสุดความยาว ทั้งเจ็บ ทั้งรู้สึกแปลกๆ
“อี๊! อ่ะ!”
ร่างสูงหมุนคว้านนิ้วเบาๆ แค่เพียงเขาทำแค่นั้นมันก็ทำให้ผมหมดแรงแล้ว มือที่ใช้ขยุ้มผมตะวันในคราวแรกแปลเปลี่ยนเป็นวางเรียบลงกับที่นอนแล้วใช้เล็บจิเอาไว้ ตะวันละหน้าออกมาจากช่องทางสงวนของผมแล้วจัดการหยอกล้อเล่นกับแก่นกลางลำตัวของผมอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขากำลังทำให้ผมเบี่ยงเบนความสนใจ แล้วมันก็ได้ผลซะด้วย ตอนนี้ความรู้สึกมันตีกันมั่วไปหมดเลย
ไม่ไหว...อยากปล่อยออกมา
แต่มัน...แต่มันยังไม่สุด มันยังไม่ถึงสักที ปลายนิ้วที่ถูกสอดใส่เข้ามาก็ค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ จนกลายเป็นเร็วขึ้นๆ มันกระแทกเข้ามาตรงส่วนไวสัมผัสจนทำเอาผมสะดุ้งเฮือกหลายต่อหลายครั้ง พอเห็นว่าผมเริ่มที่จะชินและผ่อนคลายเขาก็เพิ่มนิ้วเข้ามา คงเพราะยังมีน้ำลายเป็นตัวช่วยเลยทำให้เขาสอดใส่เข้ามาได้ถึงแม้ว่ามันจะเพียงแค่ครึ่งทางก็เถอะ แต่มันก็เจ็บจนผมต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่น
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ ผ่อนคลาย”
ตะวันเช็ดน้ำตาของผมเบาๆ คงเพราะท่านี้ละมั้งมันทำเลยทำให้ผมเห็นความเป็นชายของเขาที่กำลังพองนูนจนเหมือนมันจะระเบิดออกมา ผมเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันเลยรู้เลยว่าเขากำลังอดทนขนาดไหน เพราะผมเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง การเตรียมความพร้อมก็เลยเยอะกว่า ตะวันเขากำลังอดทนที่จะไม่ทำให้ผมเจ็บ เขาดูห่วงผมมากเลย
“ไม่เป็นไร เข้ามาเถอะ...เข้ามา”
ผมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พยายามผ่อนลมหายใจที่ขาดห้วงให้เป็นปกติเพื่อผ่อนคลายร่างกายที่ตึงเครียด ตะวันเองก็ช่วยผมเต็มที่ เขาละเลงลิ้นเล่นกับส่วนอ่อนไหวเพื่อดึงความสนใจจากช่องทางด้านหลัง ยอมรับเลยว่าไม่ว่าจะกี่ครั้งๆ มันก็ดึงความสนใจของผมได้ดีจริงๆ ผมรู้สึกได้ถึงนิ้วที่กำลังสอดใส่เข้ามาในตัวอีกครั้ง ตะวันดันเข้ามาเรื่อยๆ จนสุด เขาแช่ไว้ชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มขยับนิ้วทั้งสองอีกครั้ง มันเจ็บ...เจ็บจนผมหายใจไม่ออก แต่มันก็มีความรู้สึกแปลกใหม่เข้ามาด้วยเช่นกัน ทุกครั้งที่นิ้วยาวกระแทกกระทั้นลงบนจุดกระสันมันทำให้ผมขนลุกสู่ จนบางครั้งก็เปล่งเสียงที่น่าอายออกมา เขาทำแบบนั้นย้ำๆ ซ้ำๆ จนช่องทางเริ่มขยายแล้วก็สอดใส่นิ้วที่สามเข้ามา
“ตะวัน...ตะวัน อ๊า”
ใจของผมขาดแล้ว ไม่เอา...ไม่อยากได้นิ้ว
“เรย์ จุ๊บ จุ๊บ”
เขากดจูบที่ส่วนอ่อนไหว ขกกัดที่ส่วนหัว หยอกล้อเล่นกับส่วนปลายบานสีแดงเข้ม นิ้วทั้งสามก็ยังทำหน้าที่อย่างดี แล้วนั่นมันก็ทำให้ผมอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
“อ๊า!”
ผมปลดปล่อยออกมาใส่ริมฝีปากคู่สวย ตะวันเองก็กลืนกินอย่างไม่รังเกียจจนบางส่วนไหลย้อยออกมาจากมุมปากของเขา ผมนอนหอบหายใจรวยรินอย่างหมดแรง มองดูตัวเองที่กำลังถูกช้อนไปอยู่บนตักแกร่ง อีกไม่นานสิ่งนั้นก็จะเข้ามาอยู่ในตัวผมแล้ว
“พร้อมนะ”
“อะอืม”
ผมตอบรับ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มเลือนรางไปทุกขณะ ทำอย่างกับเพิ่งไปวิ่งมารอนธอนมาเลย แรงที่จะขยับก็แทบไม่มี
“ผ่อนคลายนะเรย์ ฉันไม่ไหวแล้ว”
เสียงทุ้มบอกกับผมอีกครั้ง แล้วไม่นานนักผมก็รู้สึกถึงตัวตนของตะวันกำลังจ่อมาที่ช่องทางสงวน ส่วนหัวถูกดันเข้ามาช้าๆ ผมสะดุ้งเฮือกไปด้วยความตกใจ
“จะ เจ็บ! ฮึก”
มันเจ็บมากเลย แค่เพียงส่วนหัวแค่นั้นเองแต่ทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้นะ แต่คนที่ทรมานมากกว่าก็คือตะวัน เขาอดทนเพื่อผม ดูจากสีหน้าตอนนี้สิตงกำลังพยายามสกัดกลั้นอารมณ์เต็มที่ แต่ไม่อยากให้ผมเจ็บก็เลยยังทนสินะ
“เข้า...เข้ามาเถอะ เข้ามาเร็วๆ ฉันต้องการนายนะ”
“อึก เรย์”
ผมโอบไปที่ลำคอของเขาแล้วซุกหน้าลงไปบนบ่าแกร่ง ฝันขาวขบกัดจนมันเป็นรอยแต่ก็ไม่เท่ากับที่ตะวันสร้างรอยเอาไว้จนทั่วลำคอของผม พอเห็นแบบนั้นแล้วตะวันก็เริ่มขยับสะโพกให้ส่วนแข็งขืนให้ดันเข้ามาจนสุดความยาว ขาทั้งสองข้างของผมเองก็หมดแรงจนต้องปล่อยให้ขนาบไปกับที่นอนแต่ก็ถูกตะวันรั้งเอาไว้แล้วสอดแขนมาใต้ข้อพับเอาไว้
“ฉันทนไม่ไหวแล้วเรย์”
“อ่ะ! อ๊าอ๊า ตะ...ตะวัน”
ร่างสูงขยับเข้าออกช้าๆ แล้วเริ่มเร็วขึ้นๆ จนตัวผมสั่นคลอน มันเจ็บก็จริงแต่ว่าพอตะวันกระทุ้งเข้ามาด้านในทีไรมันก็โดนจุดเสียวกระสันของผมทุกที ร่างกายที่ขาวระเรื่อก็แดงขึ้นมา ผมเผยอริมฝีปากคู่สวยกู่ร้องทุกครั้งที่เขาสอดใส่ ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ยิ่งกว่านิ้วทั้งสามมันทำให้ผม...หายใจไม่ทั่วท้อง
“อ๊าเรย์”
“อ่ะ! อ๊าอ๊า”
ผมไม่รับรู้อะไรเลย ได้ยินแต่เสียงเนื้อกระทบกันเท่านั้น ตะวันก้มหน้ามาจูบผม ลิ้นของเราสองคนพันกันเป็นพัลวัน ร่างกายของผมถูกจับเปลี่ยนท่วงท่าให้ตะแคงข้างโดยที่เจ้าตัวยังไม่ถอนแก่นกายออก พออยู่ในท่านี้แล้วมันทำให้ผมยิ่งรู้สึกเสียวกระสันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม มือหนาเอื้อมมาจับที่แก่นกลางลำตัวของผมอีกครั้งแล้วขยับขึ้นลงเบาๆ ตามจังหวะที่กระแทกกระทั้นลงมา
มือของผมก็จิกไปที่นอนแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังอัดอั้น มือของตะวันก็ไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ เขาทำให้ผมรู้สึกอยากจะถึงอีกครั้ง แล้วมันก็ไม่นานด้วยเมื่อคราวนี้ผมปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาจนล้นฝ่ามือของตะวัน
“อ๊า~”
ผมฟุบหน้าลงไปกับหมอนใบนุ่ม มันเหนื่อยจัง อย่างกับไปวิ่งมารอนธอนมาเลย
“ดะ เดี๋ยวตะวัน! เดี๋ยวก่อน! อ๊าอ๊าอ่ะอ๊า”
ผมที่กำลังนอนหมดแรงสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อถูกร่างหนาสอดใส่เข้ามาในตัวอย่างรุนแรง ถึงผมจะเสร็จไปแล้วสองรอบก็เถอะแต่ตะวันยังไม่เสร็จเลย แล้วก็คงเพราะผมเกร็งตัวมากไปหน่อยเลยทำให้ช่องทางด้านหลังขมิบถี่รัวราวกับว่ามันกำลังเชิญชวนให้แก่นกายใหญ่สอดใส่เข้ามาแรงๆ
“ตะวัน...ตะวัน อ๊าอ๊า”
ผมส่ายหน้าไปมาเมื่อทนไม่ไหว
“เรย์อ๊า”
น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อผมแหบพร่าแต่ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ แรงที่โหมกระหน่ำราวกับพายุมันทำให้ผมเริ่มที่จะเกิดความต้องการขึ้นอีกรอบ แก่นกายที่สงบนิ่งก็เริ่มชูชันอีกครั้ง ปากของผมก็พร่ำบอกให้ตะวันทำเร็วอีก แรงอีก ช่องทางของผมก็โอบรัดส่วนแข็งขืนเอาไว้แน่น กลืนกินตัวตนใหญ่เข้ามาจนสุดครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเราสองคนก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน
มันเป็นครั้งที่สามของผมแล้ว...ร่างกายก็เริ่มไม่ไหวจริงๆ มันอยากจะหลับมากเลย ผมตาปรือมองคนรักด้วยรอยยิ้ม ช่องทางที่ถูกเติมเต็มยังคงรัดแน่นจนผมรู้สึกว่าเขาคงยังไม่พอใจแน่ๆ แล้วดูท่าว่าผมจะต้องตามใจสามีของผมซะด้วย คืนรักของเราสองคนคงไม่จบง่ายๆ ซะแล้วสิ
 

 
 
TAKE
แฮ่ๆ >< กว่าจะมีเอ็นซี ก็เล่นซะตอนสุดท้ายเบย ไม่รู้จะฟินกันหรือเปล่า แต่พยายามทำให้ฟินละ ส่วนเรื่องภาค2 ตอนแรกเทคก็คิดว่าจะทำแต่มีปัญหานิดหน่อย ก็เลยอาจจะไม่มีน้องเรย์ภาค2 หรืออาจจะมี คืออันนี้เทคไม่แน่ใจอ่ะ เอาเป็นว่า ตอนจบของน้องเรย์ภาคนี้ บทสรุปจะอยู่ในเรื่องน้าาา อาจไม่ได้เอามาลงให้อ่าน แต่จะอยู่ในเล่มอ่ะ
ส่วนใครที่รออุดหนุนน้องเรย์อยู่ อดใจรอนิสนุงน้าาา ตอนนี้กำลังทำปกอยู่ และรอคิวทำเล่ม ซึ่งทางเรฟแจ้งว่าจะเปิดพรีเดือนมกราคม ปีหน้า ยังไงก็อดใจรออีกนิส!!!!! และเก็บตังค์ซื้อด้วยก็ดี ฮ่าๆ
 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 28-08-2016 23:13:03


ประกาศ!

 
เปิดจองนิยายจ้าาาาา

 
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

 
สนพ.Rev Publishing

https://www.facebook.com/Rev.Publishing.BL/?fref=ts

[/size]

 
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: zaturday ที่ 11-10-2016 13:17:36
ร้องไห้หนักมากกกกกกกก อ่านจบคือแบบปวดตาเลยอ่ะ สงสารเรย์ แต่ก็นะ สุดท้ายทุกคนก็มีความสุข แฮปปี้เอน ตัวร้ายได้รับกรรม แต่อยากให้คนเขียนติดต่อแอ้ดมินเปลี่ยนกระทู้เป็นหัวข้อนิยายที่จบแล้ว เพราะอ่านไปแรกๆเราเกือบหยุดอ่านตอนเห็นกระทู้ว่าเป็นนิยายที่ไม่มาต่อจนจบ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: Aunttk ที่ 20-10-2016 19:59:53
ชอบแนวนี้อะ ดราม่าหนักๆแต่คือแฮปปี้ น้ำตาไหลพรากก  :hao5:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 21-10-2016 10:33:12
น้ำตากี่ลิตรนี่ โธ่ ดราม่าชีวิตนายร้าย
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 21-10-2016 16:52:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 21-10-2016 18:25:28
ดราม่ามาก แต่คำผิดเยอะอยู่
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 22-10-2016 01:19:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Evil ที่ 22-10-2016 04:32:47
ร้องไห้หนักมาก และอินมากค่ะ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: dilokrittisak ที่ 22-10-2016 21:34:21
ชอบเรื่องนี้ ดราม่าน้ำตาไหล :hao5: :hao5:
อินมากๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 22-10-2016 22:18:35
 :sad4: :sad4:
ร้องไห้หนักมากกกกก

เนื้อเรื่องดีมากค่า

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 23-10-2016 02:21:43
ดราม่าาาา มากกกก ชีวิตรันทดจริง ๆ เป็นนิยายที่ถ่ายทอดเรื่องราวความ โชคร้าย ? ของตัวเอกออกมาได้ดีทีเดียว โธ่..บัดซบจริง
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน31-35 28/08/16 END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev.
เริ่มหัวข้อโดย: Take ที่ 23-10-2016 14:06:22

ประชาสัมพันธุ์ค๊าา

ตอนนี้หนังสือ นาง(นาย)ร้าย ที่รัก

เหลือจำนวนไม่มากแล้วนะค๊าาา แค่ประมาณ 50 เล่ม เท่านั้นเอง

รักน้องเรย์ รักเทค ก็อย่าลืมอุดหนุนหนังสือด้วยน๊าา

มันเป็นงานแรกที่เทคออกกับ สำนักพิมพ์

ก็เลยไม่รู้จะประชาสัมพันธุ์ยังไงดี

เอาเป็นว่า...ซื้อกันเยอะๆ น๊าาา

ขอบคุณค๊าา

สั่งซื้อได้ที่เพจ https://www.facebook.com/Rev.Publishing.BL/?fref=ts


หรือเว็บ http://www.rev-publishing.com/product/13/the-villain-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81

หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 08-01-2017 08:03:24
ดราม่าได้สะใจมาก ชอบ ๆๆๆ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 08-01-2017 14:17:42
 :monkeysad:
 :กอด1:
 :pig4:9
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 01-10-2017 10:02:44
จบสวย ชอบเนื้อหาดี
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: TAETAEBAE ที่ 02-10-2017 02:29:03
นิยายสนุก..แต่ความสมจริง สมเหตุไม่ได้ เช่นตอนโรงพยาบาล แจ้งความยอมความ... จะถือว่าคือนิยายแล้วกัน ไรต์แต่งแนวแฟนตาซีคงดี
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 02-10-2017 14:08:05
เป็นนิยาย ที่อ่านแล้ว ปวดตาจนตาบวม จริงๆ แล้วบทที่รอคอยมานาน ก็มาถึง แม้จะมีแค่ฉากเดียวก็เหอะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 04-10-2017 23:41:39
ดราม่าสุดใจ ตาบวมสุดๆ
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 11-11-2017 09:00:19
สงสารเรย์ มีความสุขได้ซะที
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 03-02-2021 19:16:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 01-04-2021 01:07:26
 :hao5: