คุณเคยมีรักแรกไหมครับ?
ใช่ครับ ‘รักแรกน่ะ’
ผมเองก็มีนะ ไหนๆผมก็นึกถึงหัวข้อนี้ขึ้นมาแล้ว
ผมจะเล่าเรื่องของผม ให้คุณฟังสักหน่อยแล้วกัน
เรื่องความรักของไอ้ลูกหมาตัวหนึ่ง...
.
.
.
เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อตอนผมเข้ามอหนึ่งใหม่ๆ ผมสอบติดโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง นั่นทำให้พ่อกับแม่ดีใจมาก ถึงมันจะไกลบ้านและต้องตื่นแต่เช้าไปสักหน่อย แต่ผมก็ดีใจนะที่ได้เรียนที่นี่
วันแรกของการเรียนก็ไม่มีอะไรมาก ผมมาถึงเช้าได้เลือกที่นั่งด้านหน้าห้อง เพราะมีปัญหาเรื่องสายตาสั้น ถึงจะใส่แว่นอยู่แล้ว ผมก็ติดที่จะนั่งด้านหน้ามากกว่า
ชีวิตในโรงเรียนก็ดูจะผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อนๆก็นิสัยดี ทุกคนใจดีมาก แต่ผมก็ยังไม่ได้คุยกับอีกหลายๆคนในห้องเพราะเป็นคนเข้าหาใครไม่ค่อยเก่ง อย่างมากถ้าเจอกันด้านนอกตอนพักเที่ยงผมก็ยิ้มทักทายเพื่อนในห้องทุกคนที่เจอ
แต่มีวันหนึ่งที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป
วันนั้นเป็นวิชาภาษาไทย อาจารย์ให้ออกไปรายงานหน้าชั้นเรียน เพราะผมนั่งแถวหน้าห้องที่สุด แน่นอนว่าผมถูกเรียกให้ออกไปรายงานหน้าชั้นเป็นคนแรกๆ พอรายงานจบก็หยิบโทรศัพท์มือถือมานั่งเล่นเกมใต้โต๊ะ
ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับเกมในโทรศัพท์มือถือ
"...!?" โทรศัพท์มือถือถูกดึงออกไปต่อหน้าต่อตา อาจารย์ชูมือถือไปมาอยู่ตรงหน้าห้อง ก่อนจะพูดให้ทุกคนได้ยิน
"นี่เรากำลังอยู่ในคาบอะไร?"
"วิชาภาษาไทยครับ" ผมตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ยอมรับว่าตกใจ ตอนนั้นก็แค่คิดว่ารายงานหน้าชั้นจบไปแล้ว ผมก็เลยอยากเล่นเกม อย่างน้อยผมก็ไม่ได้รบกวนคนอื่น
"แล้วเพื่อนๆกำลังทำอะไรอยู่ครับ?" อาจารย์หันมาถามผม ตอนนี้ทุกคนในห้องต่างจับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว อา...อยากจะเอาหัวมุดโต๊ะชะมัด
"กำลังพูดหน้าชั้นครับ..." เสียงผมเริ่มแผ่วลง
"แล้วเราทำอะไรครับ?" อาจารย์ยังคงถามต่อ
"เล่นมือถือครับ..." ตอนนี้ผมรู้สึกว่าการกลืนน้ำลายให้ผ่านลงหลอดอาหารไปนั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน...
"แล้วก่อนเริ่มเรียนเราตกลงกันว่ายังไงนะ ครูบอกว่าให้เล่นมือถือในคาบหรือเปล่า?"
"ไม่ครับ" ตอนนี้ผมแทบจะกลายร่างเป็นลูกหมาไปแล้ว
"อืม... เราก็จำได้นี่ งั้นครูขอยึดไว้ก่อนนะ เลิกเรียนตอนเย็นค่อยมาเอาคืนล่ะ เอาล่ะ รายงานต่อได้จ้ะ" ประโยคสุดท้ายอาจารย์หันไปพูดกับเพื่อนที่ยืนอยู่หน้าห้องให้พูดรายงานต่อ ส่วนมือถือของผมก็ถูกเก็บใส่ไว้ในกระเป๋าของอาจารย์เรียบร้อย
พอหมดคาบเรียน เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ลุกขึ้นมาหา แล้วปลอบว่าไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปขอคืน ผมก็พยักหน้ารับเข้าใจ เพราะผิดเองที่หยิบออกมาเล่นในคาบ
"ไม่เป็นไรนะเว้ย เดี๋ยวตอนเย็นก็ได้คืนแล้ว"
"อือ เราผิดเองที่เอามือถือออกมาเล่น"
"เข้าใจๆ คาบนี้มันโคตรจะน่าเบื่อ จริงๆเราก็เอาออกมาเล่นนะแต่อาจารย์ไม่เห็น" เพื่อนที่เข้ามาคุยด้วยตบบ่าผมเบาๆ
"อือ..." ผมครางรับ ก็ผิดจริงๆนี่นะ...
"อย่าคิดมากๆ ไปกินข้าวดีกว่าว่ะ เดี๋ยวคนเยอะแล้วไม่มีที่นั่ง"
"เดี๋ยวขึ้นห้องไปก่อนเลยนะ เราเอางานไปส่งก่อน" เพื่อนที่นั่งข้างๆผมในห้องพูดขึ้น ผมพยักหน้ารับเอ่ยขอบคุณแล้วเดินแยกออกมา
ตอนนี้ยังอยู่ในเวลาพักเที่ยง ในห้องเลยยังไม่มีใคร ผมแกะกล่องนมเปรี้ยวนั่งดูดอยู่เงียบๆคนเดียว พลางคิดถึงเรื่องที่ถูกยึดมือถือในคาบ คิดว่าถ้าอาจารย์โทรไปบอกแม่แล้วแม่รู้เรื่องขึ้นมาแม่จะโกรธไหม หรือจะโดนหักคะแนนหรือเปล่า คิดไปต่างๆนานา
"เฮ้!" เสียงตบโต๊ะดังปัง! พร้อมกับเสียงร้องของใครบางคนทำเอาสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้นมาเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่จำได้ว่านั่งอยู่ด้านหลังจนเกือบจะท้ายห้อง อีกฝ่ายส่งยิ้มที่มีลักยิ้มบุ๋มเพียงข้างเดียวมาให้
"ขอโทษที่ทำให้ตกใจ" อีกฝ่ายยังคงยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงบุคลิกลักษณะของคนขี้เล่น "ใช่ คนที่โดนยึดมือถือป่ะ?"
นั่นเป็นประโยคแรกที่เราได้เริ่มต้นคุยกัน
จากนั้นมาเราก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรื่องเกมที่เราเล่นเหมือนๆกันทำให้สนิทกันได้ไม่ยาก
"นี่เมลล์เรา" ลักยิ้มด้านซ้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกฝ่าย มันช่างเข้ากันเสียเหลือเกิน
"อือ เดี๋ยวจะแอดไปนะ" รับเศษกระดาษที่มีอีเมลล์ของอีกฝ่ายเขียนไว้มาใส่ในกล่องดินสอ เพราะถ้าหากไว้ที่อื่นคิดว่ามันคงจะหล่นหายได้ง่าย
อย่าคิดไปไกลเลยครับว่าที่ได้อีเมลล์มาแล้วเราจะคุยหรือจีบกัน เพียงแค่เขาจะชวนผมเล่นเกมน่ะ ซึ่งผมก็ได้เมลล์ของเพื่อนๆในห้องมาเยอะอยู่
พอถึงบ้านก็รีบเปิดคอมฯ เปิดโปรแกรมที่เรียกว่า MSN ขึ้นมา แล้วทำการเพิ่มอีเมลล์หนึ่งเข้าไป เพียงไม่นานเขาก็กดรับคำร้อง เหมือนกับว่าเขารออยู่หน้าคอมอยู่แล้ว
เราเริ่มเล่นเกมด้วยกัน คุยกันเรื่อยๆ
โดยที่ผมไม่ได้รู้เลยว่า
การทำแบบนี้
มันยิ่งทำให้ผมผูกพันธ์กับเขามากขึ้น
ผม : เราว่า เราชอบเขา
ผมทักMSNไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
เพื่อนคนนั้น : คนที่มึงเคยเล่าให้ฟังหรือเปล่าวะ?
ผม : อือ
ผม : คนนั้นแหละ
เพื่อนคนนั้น : เห้ย จริงดิ
เพื่อนคนนั้น : แค่เพื่อนในห้องล้อ ไม่คิดว่ามึงจะชอบจริงๆ
ผม : ขอโทษ
เพื่อนคนนั้น : ขอโทษทำไมวะ? มึงไม่ได้ทำอะไรผิดนี่
ผม : ไม่รู้สิ แค่อยากขอโทษ
เพื่อนคนนั้น : เออ เอาน่ะ ถ้าชอบก็ไปบอกเขา อย่างน้อยมึงก็ได้บอก
พูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก
ผมเก็บความรู้สึกนี้ไว้อย่างงั้น ไม่ได้คิดจะไปสารภาพอะไรหรอก แค่ทุกวันนี้ได้คุยด้วย มันก็เพียงพอแล้วล่ะ
มันจะดีมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่เคยมีท่าทีว่าจะชอบตอบ
แต่เพราะเขาทำแบบนี้ ผมเลยยิ่งมีความหวัง
ช่วงนี้ผมรู้สึกว่ามีคนมองบ่อยขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาอีกคนหนึ่งที่รีบหลบกลับไป ลักยิ้มบุ๋มที่แก้มนั่นมักจะเป็นสิ่งต่อมาที่ผมเจอเสมอ
ตอนแรกก็นึกว่าแค่บังเอิญหันไปมองแล้วเจอหน้ากันเฉยๆ แต่พักหลังมันชักจะบ่อยขึ้นจนน่าแปลกใจ หลายครั้งที่เราสบตากัน จนคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เขายังทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมก็ยังสังเกตเห็นได้ ว่าเขามองมาที่ผมบ่อยๆ
ผมพอจะเข้าข้างตัวเองได้ไหมนะ
“ไปเข้าค่ายภาษาอังกฤษไหม?” ผมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือ คนตรงหน้าส่งรอยยิ้มบุ๋มที่แก้มด้านซ้ายมาให้เหมือนทุกทีที่เขาชอบทำ
“ว่าจะลองขอแม่ก่อน” ผมตอบอย่างไม่มั่นใจ เพราะที่บ้านก็ไม่ได้มีเงินมากมายนัก ทั้งค่าใช้จ่ายของค่ายภาษาอังกฤษนี้ก็ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะอยู่
“ไปเถอะนะ ไม่มีใครในกลุ่มไปด้วยเลย” เขาทำหน้าอ้อนวอนเหมือนลูกหมาที่กำลังขออาหารจากเจ้านาย ทำเอาอดใจอ่อนไม่ได้เมื่อเจอกับสายตาแบบนั้น
“งั้นเราจะลองไปขอแม่ดูก่อน”
สุดท้ายแล้วก็มาด้วยกันจนได้ ตอนแรกก็นึกว่าแม่จะไม่ให้ไปเสียอีก แต่แม่ให้เหตุผลที่ว่า จะได้ฝึกภาษาอังกฤษด้วยเลยอยากให้ผมลองไปเข้าค่ายแบบนี้ดูสักครั้ง
ค่ายนี้ก็ไม่มีอะไรมาก วันแรกกับวันที่สองเราจะทำกิจกรรมกันอยู่ในที่พัก ส่วนวันที่สามเป็นวันเดินทางกลับ ตอนเช้าเราจะแวะฟาร์มโคนมที่อยู่ระหว่างทางขากลับ
บนรถบัสผมได้นั่งข้างเขา ผมไม่อยากจะเชื่อว่าผมได้นั่งข้างเขา คนที่ผมชอบ ไม่รู้ว่าเริ่มชอบตอนไหน ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบ บางทีอาจจะเป็นเพราะรอยบุ๋มบนแก้มข้างซ้ายนั่นก็ได้…
ผมนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ร่วมชั่วโมงเพราะหัวของเขาที่พิงลงมา กลัวสายตาจากคนอื่นๆมองมาก็กลัว กลัวอาจารย์เห็นด้วย สุดท้ายก็เลยแกล้งหลับตามจะได้ไม่ต้องเห็นว่าในรถมีใครมองมาด้วยหรือเปล่า จนกระทั่งมาถึงที่พัก ซึ่งเป็นที่ที่เราอยู่กันสามวันสองคืน เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีสระว่ายน้ำและสวนน้ำ ทั้งยังมีเนินสูงๆเป็นลานกิจกรรมที่กว้างขวาง
อาจารย์ให้จัดกลุ่มเพื่อพักอยู่ห้องเดียวกัน ห้องละสี่คน และแน่นอนว่าผมกับเขาได้อยู่ด้วยกัน ส่วนเพื่อนอีกสองคนเป็นเพื่อนต่างห้องที่ทั้งผมและเขาไม่รู้จัก
ตอนทำกิจกรรมผมเองก็แอบเหงาอยู่หน่อยๆ เพราะกลุ่มทำกิจกรรมนั้นผมอยู่คนละกลุ่มกับเขา แต่ตอนไขปริศนาในลานกิจกรรมผมเองก็แอบเห็นเขาอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง เขาดูมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ยิ้มแบบที่เขายิ้มให้ผม เขาช่างเหมือนดวงอาทิตย์ในตอนเช้าตรู่เหลือเกิน ผมชอบดวงอาทิตย์ในตอนเช้า ตอนที่มันยังไม่แผดแสงแรงกล้าจนรู้สึกแสบตา และรู้สึกร้อนแผดเผา
ความหวังของผมเหมือนจะค่อยๆเลือนหายไป เพราะรอยยิ้มอันสดใสของเขาที่ยิ้มให้ผมนั้น ก็เหมือนกับที่เขายิ้มให้ทุกคน
แต่แล้วไฟแห่งความหวังก็ถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อวันสุดท้ายของค่ายภาษาอังกฤษเริ่มขึ้น รถบัสพาพวกเราไปยังฟาร์มโคนมที่อยู่ระหว่างขากลับ พี่เจ้าหน้าที่ให้เราเดินไปที่ไหนก็ได้ตามแต่ใจเราต้องการ ขอเพียงแค่เวลาบ่ายสามโมงจะต้องกลับมารวมกันที่จุดนัดพบ ทันทีที่พี่เจ้าหน้าที่ปล่อยให้พวกเราเที่ยวชมฟาร์มอย่างอิสระ มือของใครบางคนก็ดึงผมให้ออกเดินตาม
ใช่ มือของเขา ดึงผมให้เดินไปด้วยกัน
ผมเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย และเพิ่งสังเกตเห็นว่าเพื่อนในกลุ่มอีกหลายคนก็อยู่ข้างหน้าด้วยเช่นกัน เขาพาผมมายังรถนำเที่ยวของฟาร์ม เรานั่งข้างกัน เขายิ้มให้ผม ผมเองก็ยิ้มให้เขา...แต่มันไม่เจิดจ้าเหมือนกับรอยยิ้มแก้มบุ๋มนั่นหรอกนะ
เรานั่งรถจนมาถึงฟาร์มแกะ ผมตามเขาลงไป
ผมยืนมองพวกแกะด้วยสายตาที่สนใจมัน แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้มันด้วยเช่นกัน เขาหันมายิ้มให้ ก่อนจะดึงผมไปยังร้านขายอาหารสำหรับให้อาหารพวกมัน
“เอาหนึ่งชุดครับ” เขาจ่ายเงินและรับตะกร้าสีเขียวจากคนขายแล้วยื่นตะกร้านั้นให้กับผม ผมมองมันอย่างไม่เข้าใจแต่ก็รับมันมา
“ให้มันกินหน่อยสิ ดูสิ มันหิวแล้วนะ” เขาหันไปหาแกะตัวหนึ่งที่มันเดินเข้ามาใกล้ผมที่ถือตะกร้าอยู่เพื่อพยายามจะแย่งอาหาร ผมส่งถั่วฝักยาวในตะกร้าให้มันกิน พอเจ้าแกะตัวนั้นกินก็มีตัวอื่นอีกหลายตัวเข้ามาแย่ง
แชะ!
เสียงลั่นชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปดังขึ้น ผมหันไปมองทางต้นเสียง ใบหน้าเปื้อนยิ้มกำลังฉีกยิ้มให้ผมพร้อมกับเจ้ากล้องที่มาของเสียง
“ถ่ายทำไมน่ะ?”
“เก็บไว้ไง น่ารักดี” ผมขมวดคิ้ว เขาชมผม หรือว่าชมเจ้าแกะพวกนี้กันนะ
ผมพอจะเข้าข้างตัวเองสักหน่อยได้หรือเปล่า ว่าเขากำลังชมผมอยู่
เราให้อาหารแกะและกระต่ายในบริเวณนั้นจนหมด ผมเพิ่งสังเกตเห็น ว่าเรามากันแค่สองคน ส่วนเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มกลับไม่รู้ว่าไปไหน
“แล้วคนอื่นล่ะ?”
“หือ? ไม่รู้สิ สงสัยจะหลงกันล่ะมั้ง?” เขาตอบผมแค่นั้นแล้วยิ้มให้
คนคนนี้ใช้รอยยิ้มได้สิ้นเปลืองมาก
เราเดินเที่ยวกันในฟาร์มจนใกล้ถึงเวลานัดหมาย เลยเดินกันออกมายังจุดนัดพบด้านนอก มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เขาเลยชวนผมเข้าไป
“ไอนี่น่ารักชะมัด” เขาถือตุ๊กตาวัวนมลายขาวดำ มันเป็นวัวที่ผมจำได้ว่าวิทยากรในฟาร์มเรียกมันว่า โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน
“อยากได้หรอ?” ผมถามเขา
“อยากได้สิ มันน่ารักดี เป็นของที่ระลึกด้วยล่ะนะ อีกอย่างน้องสาวเราคงชอบ” เขายิ้มเมื่อพูดถึงน้องสาว อา...น้องสาวหน้าตาน่ารักที่คล้ายกันกับเขา เพียงแต่เธอมีลักยิ้มทั้งสองข้าง ผมเคยเจอน้องสาวเขาครั้งหนึ่งตอนประชุมผู้ปกครอง
“ก็ซื้อสิ” ผมบอกเขา
“อื้อ งั้นรอตรงนี้แป๊ปนึงนะ” ผมพยักหน้าตอบตกลง เขาเดินไปทางเคาท์เตอร์คิดเงินทันที
ผมยืนมองรอบๆร้านไปเรื่อย ในร้านมีของขายมากมาย ตั้งแต่ตุ๊กตาวัวโฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน ซึ่งเป็นมาสคอร์ตของทางร้าน พวงกุญแจลายต่างๆ โปสการ์ดที่ระลึก และของอีกมากมายลายตาไปหมด ผมเลือกที่จะไม่ซื้อมันเลย เพราะผมเองก็ไม่อยากใช้จ่ายเงินอะไรมากไปกว่านี้ ผมอยากเหลือเงินกลับให้มากที่สุด อีกอย่าง ของในร้านนี้ก็แพงด้วย
ละสายตาจากชั้นวางของในร้านหันกลับมาเจอตุ๊กตาวัวโฮลสไตน์ฟรีเชี่ยนกำลังลอยอยู่ตรงหน้า ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยอย่างไม่เข้าใจ
“หวัดดีค้าบ~” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังเจ้าตุ๊กตาตัวนั้น มันคือเสียงของเจ้าคนที่เพิ่งไปจ่ายเงินนั่นแหละ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะฮับ ช่วยรับผมกลับไปด้วยเถอะนะ...นะ…” เสียงนั้นยังคงพูดต่อ เจ้าตุ๊กตาวัวนั่นถูกจับโยกไปมาตามจังหวะการพูด
“ให้เราหรอ?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“ใช่แล้วฮับ รับผมไปอยู่ด้วยกันหน่อยน้า...นะ…” น้ำเสียงเว้าวอนของคนตรงหน้าที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำเอาผมใจอ่อน เอื้อมมือไปรับเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นมาอยู่ในอ้อมกอด
“มันแพงนะ ให้เราทำไม” ผมถามออกไป อีกอย่าง พวกเราก็เพิ่งจะขึ้นมอหนึ่ง ราคาตุ๊กตาตัวนี้ก็เกินกำลังเด็กอย่างพวกเราด้วย
“อยากให้ รับไปเถอะน่า” เขาตอบผมเพียงแค่นั้นก็จะเดินนำออกไป
ทำไมถึงต้องทำแบบนี้กับผมด้วยนะ
พอกลับมาถึงบ้าน ผมเอาตุ๊กตาตัวนี้มาไว้ที่หัวนอน และทุกคืนผมจะนอนกอดมันด้วยทุกครั้ง มันทำให้ผมฝันดี นับตั้งแต่วันนั้นมา
เวลาช่างผ่านไปไวอย่างกับโกหก ตอนนี้ผมรู้จักกับเขามาร่วมสามปีแล้ว และพวกเราเองก็กำลังจะจบมอสาม เตรียมที่จะขึ้นสู่ชั้นมอสี่ ผมเริ่มตระหนักได้ว่า เวลาของเขากับผมเริ่มเหลือน้อยลงเข้าไปทุกที ผมควรจะทำอะไรสักอย่าง
ผมเขียนเฟรนด์ชิปให้เพื่อนทุกคน รวมทั้งเขาด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติที่ใครๆเขาก็ทำกัน
ตอนนี้ผมเริ่มกลัว อยากให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ ผมยังอยากอยู่ห้องเดียวกับเขา
“แป๊ปเดียวก็จะขึ้นมอสี่แล้วเนอะ” เขาหันมาพูด ผมพยักหน้าเห็นด้วย เวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน
สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไร ปล่อยให้ทุกอย่างในวันนั้นมันผ่านไป มีแค่เพียงคำร่ำลาและคำอวยพรเท่านั้นที่ผมมอบให้กับเขา
ผมกลับมาบ้าน เปิดโปรแกรมMSNเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้มาชวนเขาเล่นเกมด้วยหรอกนะ
ผม : เรามีอะไรจะบอก
ผมพิมพ์หาเขาไป และเขาเองก็พิมพ์ตอบกลับมาแทบจะในทันที
เขา : อะไรหรอ?
"......" ผมหยุดพิมพ์ ช่างใจอยู่นานว่ามันควรไหม
พอเห็นผมนิ่งไปนาน หน้าจอMSNก็ถูกเขย่าจากคนอีกฟากหนึ่งของหน้าจอคอมพิวเตอร์
"......" ผมยังคงไม่พิมพ์อะไรตอบกลับไป จนหน้าจอนั้นถูกเขย่าอีกครั้ง
เขา : อยู่หรือเปล่าน่ะ
เขา : มีอะไรจะบอกก็บอกสิ
เขา : อย่าทำให้อยากรู้แล้วเงียบแบบนั้นเซ่
ข้อความถูกส่งมาเป็นขบวนจนผมกลัว สุดท้ายก็กลั้นใจพิมพ์สิ่งที่ผมอยากบอกมาตลอดออกไป
ผม : เราชอบนาย
ผม : ชอบมานานแล้วด้วย
ผม : ขอโทษที่เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้
ผม : เรากลัวนายรับไม่ได้ กลัวจะเกลียดเรา
ผม : เราชอบนายนะ
พิมพ์เสร็จผมก็รีบกดปิดหน้าจอไปทันที นั่งหลับตาปี๋ไปกล้ามองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์
ผมกลัวคำตอบ กลัวมาก
แต่ก็อยากบอก เกือบสามปีที่ผ่านมามันอัดอั้นเหลือเกิน
เสียงส่งข้อความตอบกลับของMSNดังขึ้น แสดงว่าเขาตอบกลับมาแล้ว ผมใช้เวลาทำใจอยู่สักพักก่อนจะลืมตามากดเปิดดูข้อความตอบกลับ
เขา : อือ
คำนี้มันหมายความว่ายังไงกันนะ
หมายความว่าเขาไม่ได้รังเกียจผม
หรือว่าเขาเองก็ชอบผมด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?
ผม : อือ นี่คืออะไร
ผมถามเขากลับไป และสิ่งที่เขาตอบกลับมาก็ทำเอาผมเกือบหงายท้องตกเก้าอี้
เขา : เราก็ชอบนาย
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
「เราก็ชอบนาย」
หากตอนนี้ผมกำลังฝันอยู่ ผมคิดว่ามันคงเป็นฝันที่ดีที่สุด ผมไม่อยากตื่นจากฝันนี้เลย
เขา : แต่อย่าบอกใครนะ
เขา : เรื่องนี้เราจะรู้กันแค่สองคน
เห๋?
ผม : อืม
ผมเข้าใจว่าเขาคงจะอาย อาจจะกลัวโดนเพื่อนล้อ เพราะพวกเราสองคนก็เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ทุกคนในสังคมที่จะยอมรับเรื่องนี้ได้
ขอแค่เราสองคนรักกันก็พอ
ผมบอกกับตัวเองไปแบบนั้น
ชีวิตของการเรียนมอปลายได้เริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างดูปกติ ธรรมดา เพื่อนๆก็น่ารัก คุณครูก็ดี มีการบ้านเยอะบ้าง กิจกรรมเยอะบ้าง คละเคล้ากันไป
แต่เวลาที่ผมได้คุยกับเขาก็เริ่มน้อยลง…
เราเจอกันบ้างบางครั้ง เวลาเราเดินสวนกัน ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนจากMSNมาใช้เฟสบุ๊คกันได้สักพักแล้ว ผมพยายามทักเขาไปทางกล่องข้อความ เราคุยกันบ้างแต่ไม่ใช่ทุกวัน แต่ไม่มีครั้งไหนเลย…
ที่เขาจะทักผมมาก่อน…
มันน่าน้อยใจนะ ที่มีเพียงแต่เราฝ่ายเดียวที่ทักมา แต่ผมก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เราทั้งคู่ต่างก็ยุ่งทั้งนั้น
ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเราเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ผมที่ห่างออกไป แต่เป็นเขาที่เริ่มเดินห่างออกไปมากกว่า ผมยังคงยืนอยู่กับที่ ช่วงแรกๆพยายามวิ่งตาม อย่างเช่นไปหาที่ห้องบ้าง เขาก็ดูปกติดี คุยเหมือนกับตอนที่เรา...
ยังเป็นเพื่อนกัน
จนผมเริ่มเหนื่อย เหนื่อยที่จะวิ่ง ตอนนี้เหลือแค่เดินตาม
สังคมของพวกเราเริ่มต่างกันออกไป เขามีเพื่อนกลุ่มใหม่ แต่เขาเองก็ยังคงไม่ได้ละทิ้งเพื่อนกลุ่มเก่าอย่างผมและคนอื่นๆ สิ่งที่ทำให้ผมกับเขายังคงเชื่อมติดกันได้อยู่ คงจะเป็นเพื่อนในกลุ่มชมรมคอมพิวเตอร์
ผมสนิทกับเพื่อนคนหนึ่งในชมรมนี้ เพราะสมัยมอต้นเรานั่งรถโรงเรียนคันเดียวกัน และตอนนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่
เวลามีนัดชวนกันไปกินเลี้ยงฉลองหลังสอบเสร็จ จับสลากวันคริสต์มาสหรือปีใหม่ หรือในคาบชมรม เราก็จะได้เจอกัน
ภายนอกพวกเราดูเหมือนเพื่อนที่สนิทกันดี พูดคุยหยอกล้อเล่นกันบ้าง
แต่ข้างในของผมกลับรู้สึกอยากร้องไห้ จนบางครั้งก็อยากจะถามออกไป ว่าตอนนี้สถานะของพวกเราคือแบบไหน?
แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถาม อย่าว่าแต่จะถามจากปากของเจ้าตัวเลย แค่ถามผ่านข้อความตัวอักษรก็ยังทำได้ยาก นิ้วที่พิมพ์มันแข็งทื่อไปหมดเมื่อนึกถึงสิ่งที่อยากจะถามออกมา สุดท้ายก็พลันกดปุ่ม Back Spaceไปเสียทุกที ผมกลัวว่าถ้าถามออกไป ทุกอย่างอาจจะไม่เหมือนเดิม เขาอาจจะไม่คุยกับผมอีกเลย ผมยังอยากรักษาเขาไว้…
ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ทุกวันเกิดของเขา ผมจะวาดรูปแล้วทำเป็นพวงกุญแจให้เขาทุกปี
แต่ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ปีแรกเท่านั้นที่เขาห้อยมันไว้บนกระเป๋านักเรียน
ส่วนปีอื่นๆผมก็ไม่เคยเห็นมันเลย
ผมคิดในแง่ดี เขาอาจจะไม่อยากให้มันพัง เลยอาจจะเก็บไว้ที่บ้าน
ผมคิดแบบนั้น…
ในช่วงมอหก ปีสุดท้ายของการเรียนในโรงเรียน ผมเริ่มรู้อะไรบางอย่าง
ตอนนี้ผมหันมาเล่นทวิตเตอร์แล้ว ตามคำชวนของเพื่อนคนที่นั่งรถโรงเรียนคันเดียวกับผมกลับบ้านพร้อมผม และเขาเองก็เล่นทวิตเตอร์เหมือนกัน เราฟอลโล่กันไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันมาก
อย่าเรียกว่าไม่ค่อยได้คุยกันมากเลย
เราเมนชั่นหากันเดือนนึงไม่ถึง10เมนชั่นด้วยซ้ำ
มันน้อยเป็นหลายเท่าเมื่อเทียบกับที่เขาคุยกับคนอื่นๆ
ตอนนี้ผมเหนื่อยที่จะต้องเป็นฝ่ายทักก่อนแล้วล่ะ
แค่เจอหน้ากัน หรือเจอกันตรงๆเท่านั้นล่ะที่ผมจะคุยด้วย
เศร้าจัง… แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ผมยังชอบเขาอยู่ อืม...ผมใช้คำว่าชอบ ไม่ผิดหรอก
เพราะยังไม่รู้ว่ารักเป็นยังไง แต่เอาเป็นว่าผมให้ความสำคัญกับเขามากที่สุดก็พอ
ทุกวันนี้ผมก็ยังส่องทั้งเฟสบุ๊คและทวิตเตอร์ของเขาอยู่
เขาว่ากันว่า ยิ่งอยากรู้ ยิ่งเจ็บ
ใช่แล้วล่ะ
ข้อความคุยกันของคนสองคน รูปประโยคที่ดูผิวเผินเหมือนคุยกันตามปกติ
แต่มันไม่ใช่
สำหรับผมที่รู้จักเขามานานร่วมหกปีแล้ว ผมรู้ได้ว่านี่มันไม่ปกติ เขาเคยคุยกับผมแบบนั้น ตอนก่อนเราจะเริ่มคบกัน และหลังจากที่เราคบกันได้สักพัก
คำพูดคำจาแบบที่ผมเคยได้รับในช่วงแรกๆ มาอยู่ที่นี่เองสินะ…
อา…
แต่คงไม่ใช่หรอก นั่นก็คงแค่เพื่อนต่างโรงเรียนของเขา
‘ไม่ใช่หรอก’
ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น
มาตลอด…
วันสุดท้ายของชีวิตการเรียนในชั้นมัธยมปลายมาถึง เหล่าเพื่อนๆทุกคนพร้อมใจกันนำไหมพรมมาทำเป็นสร้อยข้อมือ ผูกและอวยพรให้แก่กัน ทั้งเพื่อนและรุ่นน้อง ผมเองก็เช่นกัน และแน่นอนว่าผมทำมาผูกให้กับทุกคน
ผมเดินมาหากลุ่มชมรมคอมพิวเตอร์ เพื่อนที่ผมสนิทที่สุดทุกคนอยู่ในกลุ่มนั้น และรวมทั้งเขาด้วย
เราผูกอวยพรให้แก่กัน ขอให้ติดในคณะที่ใช่และมหาลัยที่ชอบ ขอให้มีความสุขในรั้วมหาลัย ขอให้อย่าลืมกัน ขอให้ได้เรียนที่เดียวกัน สารพัดคำอวยพรหลั่งใหลออกมา ผมยิ้มกว้างให้กับทุกคน ยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน รู้สึกใจหายที่จู่ๆก็ต้องจากกันแล้ว จากเพื่อนๆที่สนิท ที่รู้จักกันมานาน รวมทั้งเขาด้วย…
เขาสอบติดรับตรงไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมยังคงรอแอดมิชชั่น ผมยังคงไม่รู้ว่าจะเลือกอะไร แต่ก็ยังคงเหลือเวลาอีกมาก ผมจึงไม่อยากรีบร้อนอะไร
ถึงตาเราได้ผูกข้อมือให้กันและกัน ผมเป็นคนเริ่มผูกให้เขาก่อน
“ยินดีด้วยที่สอบรับตรงติดนะ ขอให้มีความสุขมากๆ ขอให้ชีวิตมหาลัยราบรื่น มีความสุข ได้เอช้วน…”
ผมรู้แล้วล่ะ ว่าตัวตนของผมนั้นเบาบางลงทุกทีในสายตาของเขา
แต่ผมขออย่างเดียว
“สุดท้ายนี้...”
ช่วยเก็บผมไว้… ในความทรงจำ
ในส่วนที่ลึกที่สุดบ้าง...ก็ยังดี
“อย่าลืมกันนะ…”
ขอให้อย่าลืม เรื่องต่างๆเมื่อตอนนั้น ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก
ตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน และเรื่องอื่นๆอีกมากมาย
ขอเถอะนะ
ผมยิ้ม เมื่อผมพูดจบ มองเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่ตรงหน้า เขายังคงสดใสอยู่เหมือนเดิม และเมื่อผมพูดจบ ผมก็ได้รับลักยิ้มบุ๋มบนแก้มข้างซ้ายของเขาเป็นการตอบแทน พร้อมกับคำอวยพรและไหมพรมของเขาที่ข้อมือข้างซ้ายของผม
“ขอให้มีความสุขมากๆเหมือนกันนะ ขอให้สอบติดในคณะที่หวังไว้ มีความสุขกับชีวิตมหาลัย เจอเพื่อนดีๆ มีอะไรก็ปรึกษาได้ เราเป็นเพื่อนกันยังไงก็คุยกันได้เสมอนะ”
คำว่า ‘เพื่อน’ ยังคงดังก้องชัดเจนอยู่ในหัวของผม
บรรยากาศเสียงดังอื้ออึงของเหล่านักเรียนในสนามบาสหน้าเสาธงรอบข้าง พลันเงียบงัน ผมไม่ได้ยินเสียงใครอีกเลย
เพื่อนหรอ?
ตลอดมานี่แค่เพื่อนหรอ?
แล้ววันนั้นคืออะไร?
ไม่สิ
ทุกอย่างที่ผ่านมาคืออะไร?
เราเป็นเพื่อนกันยังไงก็คุยกันได้เสมอนะ
เป็นเพื่อนกันยังไงก็คุยกันได้เสมอนะ
เพื่อนกันยังไงก็คุยกันได้
เพื่อนกัน
เพื่อน
เพื่อ…
เพื่...
เพ...
เ...
...
..
.
“ฮะฮะ นั่นสินะ…” ทำได้แต่หัวเราะแห้งๆให้กับเขาไป ผมไม่เคยคิดเลยว่า ประโยคที่ไม่ได้แม้แต่จะด่าทออะไรผม ประโยคที่เป็นคำอวยพร ประโยคที่แสดงถึงความเป็นห่วงผม
จะกลายเป็นมีดกรีดแทงลงมาบนหัวใจผม
เจ็บจังเลยครับ เจ็บจัง
สำหรับผมในตอนนั้นมันเจ็บจัง
ผมอยากจะร้องไห้มันซะตรงนั้น แต่ก็ทำได้เพียงแค่กลั้นก้อนสะอื้นในลำคอและน้ำตาที่เอ่อจนเกือบล้นออกมาจากดวงตาเพียงแค่นั้น เราบอกลากัน ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้น ขึ้นห้องเรียนก่อนใคร ทั้งๆที่ทุกคนยังคงรวมตัวกันอยู่ที่สนามบาสหน้าเสาธงเสาใหญ่ของโรงเรียน
ผมปล่อยโฮ…
ร้องไห้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ร้องโดยที่ไม่สนใจว่าจะมีใครมาเห็นหรือไม่
ผมสัญญากับตัวเอง
ว่าต่อจากนี้
ผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว…
พอกันที...
และนั่นก็คือรักแรกของผมครับ เป็นความรักแบบเด็กๆ อาจจะดูงี่เง่าไปบ้าง ขอโทษด้วยนะครับ แล้วก็ขอบคุณที่รับฟังมาจนถึงตรงนี้
ตอนนี้ผมเข้ามหาลัยแล้ว เริ่มคิดทบทวนอะไรได้มากขึ้น มองย้อนกลับไปตอนนั้นก็ยังแอบนึกขำ เราร้องไห้จะเป็นจะตายทำไมนะ
สถานะของผมกับเขาในตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ แต่การอยู่คนละมหาลัยทำให้สถานะจากก่อนหน้านี้ลดลง เหลือเพียงแค่ ‘เพื่อนที่อยู่ชมรมเดียวกันตอนมอปลาย’ ซึ่งผมว่ามันก็โอเคดี สำหรับระยะห่างเท่านี้ระหว่างผมกับเขา
ผมได้รู้ความจริงอีกอย่างจากเพื่อนสนิทของผมคนเดิม คนที่เรานั่งรถโรงเรียนคันเดียวกัน ว่าเขาคบกับคนคนนั้น คนที่ผมเคยส่องเจอในทวิตเตอร์ คิดไว้ไม่ผิดจริงๆ…
ตอนนี้เขาค่อนข้างจะเปิดตัวกัน เพื่อนหลายๆคนรับรู้ แต่เขาไม่ได้บอกผมหรอกนะ…
ถามว่าเสียใจไหม?
ไม่เสียใจหรอกครับ เสียความรู้สึกนิดหน่อย
แต่ผมให้อภัยเขาได้
รูปรอยยิ้มและลักยิ้มบุ๋มด้านซ้ายของเขาในโทรศัพท์มือถือ ถูกลบออกจนเกือบหมด รูปที่เราถ่ายด้วยกันบางรูปถูกลบออก เหลือเพียงแต่รูปที่เราถ่ายกันในกลุ่มเพื่อนเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่
ผมอวยพรพวกเขาสองคนในใจ ขอให้รักกันนานๆ แต่คงไม่ต้องอวยพรอะไรมากหรอก ดูจากภาพในอินสตราแกรมแล้วผมว่าเขาก็ดูรักกันดี และอีกอย่างหนึ่งที่ผมแอบไม่ชอบใจนิดหน่อย คนที่เขาคบด้วยนั้นเรียนอยู่ที่เดียวกับผม ถึงจะต่างคณะแต่ก็ดันเป็นคณะที่อยู่ใกล้ๆกัน
แต่ยังไงก็คงไม่เจอกันอยู่แล้วล่ะ เพราะทางที่ผมกลับบ้านเป็นประจำนั้น ไม่ต้องเดินผ่านคณะนั้น ยังไงก็ยังไม่ถือว่าเลวร้าย
ผมหวังว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อเขา มันจะเบาบางลง และหายไปจนหมด
ในเร็วๆนี้สักที…
“ขอโทษนะครับ” เสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับไปที่คณะของตัวเอง ผมหันไปพบกับใครบางคนยื่นกระเป๋าสตางค์สีดำมันเรียบของผมมาตรงหน้า
“เมื่อกี้คุณทำกระเป๋าตกน่ะครับ”
“อา...ขอบคุณนะครับ” มันคงหล่นเมื่อกี้นี้ ตอนที่ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร อย่างน้อยในโลกนี้ก็ยังมีคนใจดีอยู่เหมือนกันแฮะ ผมเอื้อมมือไปรับกระเป๋าสตางค์ตรงหน้า
แต่มันถูกชักกลับไปซะก่อน
ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความมึนงง เขาชักมือกลับไปทำไมกัน?
“รบกวนช่วยบอกชื่อหน่อยได้ไหมครับ?” ผมได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ก็บอกไป
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เขาแนะนำตัวกับผม อืม...อย่างน้อยผมจะจดจำชื่อพลเมืองดีคนนี้ไว้หน่อยแล้วกันนะ
“อา...ครับ” ผมพยักหน้า ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องถามชื่อกัน หรือเขาอยากให้ผมตอบแทนที่เขาเก็บกระเป๋าสตางค์เมื่อกี้ให้กันนะ
แต่ประโยคถัดมาทำเอาผมเลิกคิ้ว รอยยิ้มที่ประดับไปด้วยลักยิ้มคล้ายกับใครบางคนที่ผมเคยนึกถึงพลันปรากฏขึ้นมา
เพียงแค่คล้าย
แต่ก็ไม่เหมือนกัน
เพราะรอยบุ๋มบนแก้มนั้น
อยู่ทางด้านขวา...
.
.
.
.
.
“จะเป็นอะไรไหม ถ้าผมจะขอเฟสบุ๊ค หรือไลน์ของคุณ”
END