พิมพ์หน้านี้ - ไม่ได้หมดรัก (วันนี้)แค่(ใจ)หมดแรง Special part 2 [8/8/2015]
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: leGGyDan ที่ 08-04-2015 01:02:10
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่ 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง 7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด 7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ 7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ... (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ - ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง) - ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ - ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ - ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส - ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข 17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ) ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้ 18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ admin thaiboyslove.com....................................... วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7 วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17 เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
มีใครคนหนึ่งเคยผมบอกว่า เหตุผลที่คนเราออกเดินทางมีด้วยกัน 2 ข้อ คือ ไปเพื่อที่จะได้ ‘เห็น’ และ ไปเพื่อจะได้ ‘ไม่เห็น’ ตอนที่ 1 ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดโอเวอร์โคตตัวยาวสีดำทรุดตัวลงนั่งบนเบาะในรถไฟฟ้าใต้ดินพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าเป้ลงวางข้างตัว ถึงขนาดของมันจะไม่เล็กแต่ก็จ้อยไปเลยเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เขาตั้งใจจะมาอาศัยอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง ไม่สิ! ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่ได้ตั้งมากกว่า เขาก็แค่รวบเสื้อผ้าบนราวในตู้เสื้อผ้าเท่าที่จะยัดลงเป้คู่ใจได้ คว้ากระเป๋าสตางค์กับพาสปอร์ตแล้วจับรถตรงไปสนามบินสุวรรณภูมิ และหกชั่วโมงต่อมาเขาก็พาตัวเองมายืนอยู่ที่สนามบินที่ถูกยกย่องว่าเป็นท่าอากาศที่มี คุณภาพและบริการยอดเยี่ยมอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 5 ปีซ้อน สนามบินนานาชาติอินชอนของประเทศเกาหลีใต้ เขากวาดสายตามองผู้คนที่ยังคราคร่ำแม้ตัวเข็มนาฬิกาจะชี้ไปที่เวลาสี่ทุ่มกว่า ในขณะที่ยังไม่รู้จะไปทางทิศไหนลมหนาวที่พัดผ่านประตูด้านหน้าเข้ามากระทบร่างจนขนแขนลุกชูชัน สัญชาติญาณการเอาตัวรอดก็พาสองขาพุ่งลงบันไดตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเข้าเมือง จากสนามบินไปสถานี Seoul Station ซึ่งเป็นศูนย์รวมของสถานีรถไฟฟ้าต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เหลียวมองไปรอบโบกี้ที่มีคนเบาบาง ร่างโปร่งจึงค่อยเหยียดขาออกเต็มความยาว เอนหลังพิงศีรษะกับกระจก ภาพตรงหน้าพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจากอุโมงค์มืดทึบค่อยเปลี่ยนเป็นท้องถนนในเลนคู่ขนานเมื่อรถไฟวิ่งออกสู่ด้านบน ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว พระจันทร์ลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางผืนฟ้าสีหมึกทอดเงาลงบนแม่น้ำฮันอันเป็นแม่น้ำสายหลักที่ตัดผ่านกลางกรุงโซลส่งประกายสีเงินระยิบระยับ มันช่างเหมือนกับแววตาของใครคนหนึ่งไม่มีผิด เปลือกตาค่อยปิดลงช้าๆ เพื่อหนีความทรงจำที่ใจไม่อยากจำ แต่ทันทีแสงระยับตรงหน้าหายไปภาพของเขาคนนั้นกลับชัดเจนอยู่ในความรู้สึก ถ้าจะให้คำจำกัดความระหว่างเขากับ ‘กุมภ์’ อย่าว่าแต่อธิบายเลยเพียงแค่ให้เล่าว่ามันเริ่มตรงไหนเขาก็ขึ้นต้นไม่ถูกแล้ว เพราะวันนั้น มันก็แค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่งที่ฟ้าฝนไม่ได้เป็นใจ ไม่มีได้มีเทวาซาตานหรือใครมาชี้นำ ทั้งที่เราแค่ควรจะเดินสวนกันไปทางใครก็ทางมันในอาคารฝั่งผู้โดยสารขาออกของสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ซึ่งเป็นทั้ง ‘จุดเริ่มต้น’ และ ‘จุดหมายปลายทาง’ ของบรรดานักเดินทาง แต่ไม่รู้อะไรที่มาดลใจให้กุมภ์เอ่ยปากทัก และทำให้ ‘กันย์’ ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหลับแล้วตื่นยากที่สุดคนนี้ยอมลืมตาและหันไปมอง “จะไปไหนเหรอครับ” ร่างสูงสันทัดในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกางเกงยีนส์ส่งยิ้มทักทายนัยน์ตาเป็นประกายชะโงกเงื้อมอยู่ตรงหน้า กันย์หยีตาที่ยังคงง่วงงุนเพื่อปรับโฟกัสดูคนตัวสูงตรงหน้าให้ชัด ป้ายชื่อสีแดงที่คล้องอยู่รอบคอกวัดแกว่งไปมาแต่ยังพออ่านได้ทันว่าผู้ชายคนนี้ชื่อกุมภ์และเป็นมัคคุเทศน์ที่มากับบริษัททัวร์ Happy Seoul ไม่ใช่ธุระต้องตอบคนแปลกหน้ากันย์จึงยกมือขึ้นกอดอกและพลิกตัวคะแคงข้างบนม้านั่งเพื่อตัดบทสนทนา แต่คนแปลกหน้ากลับทรุดตัวลงนั่งข้างกันพร้อมทั้งพูดต่อ “มานั่งหลับแบบนี้ระวังจะตกเครื่องนะคุณ” “เกาหลี” คนจะนอนตอบทั้งที่ยังหลับตา “ยังมีเวลาอีกสิบห้านาที” หวังว่าคำตอบจะช่วยหยุดคำถามแต่กลับกลายเป็นต่อบทสนทนาให้ยืดยาวออกไปอีก “บังเอิญจังผมก็กำลังจะไปเหมือนกัน คุณจะไปเที่ยวที่ไหนครับ” “เปล่า แค่บินไปแล้วก็บินกลับ” น้ำเสียงคนง่วงแสดงถึงความรำคาญใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง “คุณล้อเล่นหรือเปล่า” กุมภ์ร้องเสียงดัง “เกาหลีเป็นเมืองน่าเที่ยวมากนะคุณ สามารถมาได้ทุกฤดู ยิ่งตอนนี้เดือนเมษาเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิซากุระกำลังบานไล่ขึ้นมาจากทางภาคใต้ นี่พยากรณ์บอกว่าพรุ่งนี้ในโซลก็จะบานเต็มที่แล้ว อาทิตย์ก่อนผมเพิ่งพาลูกทัวร์ไปถึงจะยังบานไม่หมดแต่สวยจับใจทีเดียว อย่างน้อยคุณก็น่าออกไปดูสักหน่อยแล้วค่อยบินกลับ ผมรับรองว่าคุณจะหลงมนต์เสน่ห์ของมันจนติดใจต้องมาดูซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่มีวันเบื่อทีเดียว” “ผมไม่ชอบดอกไม้” ...จะบ้าเรอะ! คิดได้ยังไง มาชวนผู้ชายไปดูดอกไม้... “งั้นคุณต้องไปลองหมูย่างที่ย่านฮงแด หมูร้อนๆ กับโซจูเย็นๆ เข้ากันสุดๆ ไม่ว่าฤดูไหนก็อร่อยแต่ผมชอบกินฤดูหนาว ได้ผิงไฟไปพลางจิบเบียร์คุยกันไปสนุกอย่าบอกใคร” “ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์” “ตกลงคุณไปเกาหลีทำไมเนี่ย” คิ้วหนาขมวดมุ่นกับคนที่ยังคงซุกตัวกับม้านั่ง “นั่งเครื่องบินไปกลับเล่นๆ? ถ้าแค่นั้นงั้นผมแนะนำคุณนั่งการบินไทยหรือโคเรียนแอร์ดีกว่าไหม บริการดี อาหารอร่อยดีกว่ามานั่งเครื่องของสายการบินเล็กๆ อย่าง Sky Oneนี่ ที่นั่งก็แคบ แถมนักบินก็ห่วยแตกอีก คุณรู้ไหมผมบินกับสายการบินนี้มาห้าปีแล้วขับได้น่าปวดหัวมาก นี่ดีนะที่แอร์สวยเลยมีอะไรจรรโลงใจบ้าง” ถึงตรงนี้เปลือกตาคนง่วงเริ่มกระตุกเบาๆ ก่อนจะหรี่ขึ้นเล็กน้อย “เครื่องออกดีเลย์ประจำแต่ขับถึงตรงเวลา จนผมชักสงสัยว่าก่อนจะมาเป็นกัปตันเขาต้องเคยขับรลเมลสาย 8 มาก่อนแหงม... ดูสินี่ก็ใกล้เวลาบอร์ดดิ้งพาสแล้วผมยังไม่เห็นหัวนักบินเลย มีแต่แอร์เดินสวนกันขวักไขว่ไม่รู้ไปแอบนอนที่ไหนหรือเปล่า” ทันทีที่พูดจบแอร์โฮสเตสสาวในชุดกระโปรงสั้นสีน้ำเงินสดใสเหมือนสีท้องฟ้าก็เดินไปที่หน้าประตูทางออกและยกไมค์ประกาศเรียกขึ้นเครื่องโดยเริ่มจากลูกเรือก่อน บรรดาลูกเรือเดินลากกระเป๋าเรียงแถวเข้าไปอย่างเป็นระเบียบ แอร์โฮสเตสสาวผู้ทำหน้าที่ประกาศมองตามหลังลูกเรือคนสุดท้าย คิ้วเรียวขมวดมุ่นเธอวางไมค์ลงพลางกวาดสายตาที่แต่งแต้มสีสันมาอย่างสวยงามมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินออกจากเคาน์เตอร์มายังแถวที่ทั้งสองนั่งอยู่ “ประกาศเรียกสองครั้งแล้วยังจะมัวโอ้เอ้อยู่อีก” เสียงหวานที่เคยประกาศออกไมค์เข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ไม่อย่างนั้นดิฉันทิ้งไว้ที่นี่จริงๆ นะคะ” “เพิ่งเรียกลูกเรือไม่ใช่เหรอครับ” กุมภ์ออกตกใจเล็กน้อยพร้อมกับหันไปมองลูกทัวร์ของเขาที่บ้างก็นั่งบ้างก็ยืนรอเตรียมไปเข้าแถวก่อนจะหันกลับมามองแอร์โฮสเตสสาว และพบว่าเธอไม่ได้กำลังพูดกับเขาแต่เป็นคนขี้เซาที่นั่งข้างกันต่างหาก “ครับ” กันย์รับคำพร้อมกับลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจก่อนจะคว้าเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มวางกองไว้บนม้านั่งอีกด้านขึ้นมาสวมทับ “อ๊ะ!” ไกด์หนุ่มอุทานลั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ปลายแขนเสื้อสูทซึ่งปักดิ้นทองสองเส้นก่อนจะยกเล็งไปที่กลางหน้าผากคนที่กำลังพยายามใช้มือสางผมที่ยุ่งให้เรียบ “คุณ...” ริมฝีปากกระตุกมุมขึ้นเล็กน้อยคล้ายเป็นรอยยิ้ม “ขอบคุณที่เลือกบินกับ Sky One ผมหวังว่าคุณจะพอใจกับการบริการของเรา” ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อยและออกเดินไปยังประตูขึ้นเครื่อง นั่นคือการพบกันครั้งและทั้งที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำ แต่การพบกันอีกก็มาถึงเร็วกว่าที่คาดเมื่อ Shuttle bus สำหรับพาลูกเรือไปส่งโรงแรมสำหรับพักรอจอดเทียบอยู่คู่กับรถทัวร์ของ Happy Seoul ร่างสูงที่ตอนนี้หยิบเอาแจ๊คเก็ตหนังสีดำออกมาสวมทับเสื้อเชิ้ตเพื่อเตรียมรับมือกับอากาศต้นฤดูใบไม้ผลิที่ยังคงหนาวเย็นเย็นยืนพิงประตูรถส่งยิ้มกว้างและโบกมือทักทายราวกับกันย์เป็นหนึ่งในคณะลูกทัวร์ของเขาที่กำลังทยอยกันขึ้นรถ “ว่าไง” กัปตันหนุ่มทักอย่างเสียไม่ได้พลางถอดเสื้อสูทและส่งกระเป๋าเดินทางให้ผู้ช่วยคนขับช่วยยกขึ้นรถ “คุณนี่มันร้ายนักนะ หลอกให้ผมด่าอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” มัคคุเทศน์หนุ่มกอดอกมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มตาเป็นครั้งแรก ใครจะไปคาดคิดว่าไอ้หนุ่มหน้าอ่อนที่นั่งหลับปุ๋ยสบายใจอยู่หน้าเกทจะเป็นคนขับเครื่องบิน “อ้าว ได้ข่าวทางนี้เป็นคนโดนด่านะแล้วทำไมผมกลายเป็นฝ่ายผิดไปได้ล่ะเนี่ย ผมนอนของผมอยู่ดีๆ คุณน่ะแหละที่มาถึงก็ชวนผมคุยแล้วใส่เอาใส่เอา” “แล้วใครใช้ให้กัปตันไปนอนตรงนั้นล่ะ” “ก็แอร์มันเย็นนี่นา” กันย์ตอบหน้าตาเฉย “แล้วการงีบหลับ 10 นาทีก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งด้วย อยู่แต่ในห้องแคบๆ บนความสูงสองหมื่นฟุตนานห้าหกชั่วโมงผมก็เบื่อนะคุณ” “คุณก็หาอะไรทำแก้เบื่อไปสิ” “ดีเลย วันหลังผมจะได้ขับเป็นผาดแผลง ตีลังกาเล่นสักสองสามรอบก่อนจะหักหัวดิ่งลงจอดดีไหม” กัปตันหนุ่มบอกพร้อมกับกระพุ่มมือขึ้นข้างหนึ่งทำฉวัดเฉวียนไปในอากาศ “ไม่ดีๆ” กุมภ์ส่ายหน้าพัลวัน “โอเคผมยอมรับผิดก็ได้ที่ว่าคุณ แต่ยังไงผมก็คิดว่าการบินตีลังกาหรือไปนอนตรงนั้นมันเป็นการพักผ่อนที่ไม่เวิร์ค” “แล้วอะไรล่ะที่เวิร์ค” “อยากรู้เหรอ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง แล้วกัปตันหนุ่มที่อยากจะไปอาบน้ำนอนบนเตียงนุ่มๆ ในโรงแรมใจแทบขาดก็ได้มอง Shuttle bus ขับออกไปตาละห้อยขณะถูกลากถูลู่ถูกังไปกับคณะทัวร์เพียงแค่หลุดปากบอกไปว่าเขามีวันหยุดยาว 5 วันก่อนจะบินกลับ “ไปต้องกลัวน่ากันย์ผมไม่หลอกพาคุณไปขายหรอก” คนที่ยังไม่ทันได้แนะนำตัวขมวดคิ้ว “ก็คุณแนะนำตัวตอนประกาศต้อนรับบนเครื่อง” ไกด์หนุ่มบอก “คุณชื่อกันย์เดาได้เลยว่าต้องเกิดเดือนกันยายนใช่ไหม” ชายหนุ่มเหลือบตามองป้ายชื่อคนช่างพูดพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก “งั้นผมก็เดาว่าแม่คุณตั้งชื่อนี้ให้เกิดเดือนกุมภาพันธ์ใช่ไหมครับ... คุณกุมภ์” “แอ๊ดดด” กุมภ์ทำเสียงล้อเลียนพร้อมกับยกสองแขนขึ้นไขว้กันตรงหน้า “ผิด! พ่อผมเป็นคนตั้งต่างหาก” คนเดาผิดหน้ามุ่ย “เดินเร็วๆ สิคุณเดี๋ยวหลง” ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมาคว้ามือดึงให้ออกเดินนำไปด้วยกัน “แล้วนายจะพาฉันไปไหนเนี่ย ทำไมไม่ขึ้นรถ” กันย์ถามเมื่อถูกพาเดินแยกกลับเข้ามาในอาคารผู้โดยสารและลงบันไดเลื่อนไปชั้นใต้ดินพร้อมกับลูกทัวร์อีกหกคน “Happy Seoul ให้บริการนำเที่ยวทั้งแบบครบวงจรและแบบ Backpacker” ไกค์หนุ่มอธิบาย “ผมรับผิดชอบอย่างหลังน่ะ ได้นั่งรถเดินเที่ยวเอง แบบไม่โดนจำกัดตามตารางเวลาสบายใจกว่า มันรู้สึกได้ถึง slow life อย่างแท้จริง ค่อยๆ เดินท่องไปในสถานที่ที่เราไม่รู้จัก ปล่อยใจที่สับสนและเหนื่อยล้าไปกับสายลมแล้วเปิดรับความสดชื่นและแรงบันดาลใจใหม่ๆ เข้ามาแทนที่” “แล้วนี่เราจะไปกันยังไง” “Sub way รถเมล์แล้วก็เดิน” พูดจบก็มาหยุดยืนหน้าตู้ซื้อตั๋วพอดี เขากวักมือเรียกลูกทัวร์ทั้งหกคนมารวมกลุ่มกันและสอนวิธีซื้อตั๋วแบบ T-money รวมทั้งวิธีการใช้แล้วปล่อยให้แต่ละคนแยกย้ายไปซื้อกันเอง ก่อนจะพาลงบันไดเลื่อนไปอีกชั้นเพื่อขึ้นรถไฟ “โปรแกรมวันนี้คือไปดูพ็อตโกตหรือซากุระเกาหลีที่ริมทะเลสาบซกซน เราจะใช้เวลาที่นั่นกันทั้งวันก่อนจะกลับมาเดินเล่นกินข้าวเย็นย่านฮงแดซึ่งเป็นที่พัก” “ทำไมมันน้อยจัง ปกติวันหนึ่งมันต้องไปสักสามสี่ที่สิถึงจะคุ้ม” “นี่คุณไม่ได้ฟังผมพูดเรื่องซึมซับกับ Slow life เลยใช่ไหม” “ฟังแต่ไม่เข้าใจ” กันย์ไม่ได้ยวนแต่เป็นเรื่องจริง ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนเขาก็อยู่โรงเรียนประจำชินกับการทำอะไรมีแบบแผน จบมาสมัครเป็นนักเรียนการบินและเป็นนักบินชีวิตทุกย่างก้าวยิ่งต้องเดินไปตามตาราง ไปตามขั้นตอนไม่มีการข้าม การที่แอบออกไปงีบในห้องรอขึ้นเครื่องถือว่าเป็นการแหกกฏเพียงอย่างเดียวในชีวิตของเขาก็ว่าได้ “งั้นเดี๋ยวผมจะพาคุณไปทำความเข้าใจเองแต่ก่อนอื่นเราต้องแวะเข้าที่พักเก็บกระเป๋าก่อน” หลังจากแวะเก็บกระเป๋าที่สถานี Hongik university หรือที่เรียกว่าย่านฮงแดเป็นที่เรียบร้อยพวกเขาก็กลับลงมาขึ้นรถไฟใต้ดินอีกครั้ง “เราจะขึ้นรถไฟสาย 2 สีเขียว ลงสถานี Jamsil ออกประตู 2 หรือ 3 เดินตรงไปสัก 200 เมตรก็ถึงล่ะไม่ต้องกลัวหลงเพราะเราจะเห็นทิวต้นซากุระเรียงรายเต็มรอบทะเลสาปตั้งแต่อยู่ในสถานีเลย” จริงอย่างที่กุมภ์ว่าพวกเขาไม่ต้องใช้ความพยายามสักนิดในการตามหาเพราะราวกับสีชมพูของฤดูใบไม้ผลิจะส่งกลิ่นอายมาต้อนรับพวกเขาถึงหน้าประตู ไกด์หนุ่มปล่อยให้ลูกทัวร์แยกย้ายกันไปเดินเที่ยวตามอัธยาศัยในขณะที่เขาเดินลัดเลาะไปตามริมทะเลสาบโดยมีกันย์เดินตามหลังมาเงียบๆ แต่ในความเงียบนั้นเพราะเขากำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปและเซลฟี่กับต้นซากุระที่เพิ่งมาเห็นของจริงเป็นครั้งแรกในชีวิต “สวยใช่ไหมล่ะ” กุมภ์ถามคนที่ลืมความง่วงและโผไปต้นนั้นทีต้นนี้ที “อือ” กันย์ยอมรับ ขับเครื่องบินพาคนมาเที่ยวเกาหลีไม่รู้กี่สิบหนแต่ไม่เคยสักครั้งในชีวิตที่เขาจะมาเที่ยวชมสถานที่แบบนี้ “ให้ผมถ่ายรูปให้คุณไหม” “ไม่เป็นไร ผมว่าผมถ่ายพอแล้วล่ะ” บอกตามตรงพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าและออกเดิน “เดี๋ยว” มือใหญ่ของอีกคนเอื้อมมาคว้าที่หัวไหล่ “จะรีบจ้ำไปไหนล่ะกันย์ เรามาเที่ยวนะไม่ได้มาแข่งแรลลี่ มีเวลาอยู่ที่นี่ทั้งวันนะ... Slow life ไงจำได้ไหม” ร่างโปร่งทอดสายตามองไปตามทางเดินรอบทะเลสาบที่สองข้างทางปกคลุมด้วยซุ้มของต้นซากุระ ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ทั้งมาเดี่ยว มาคู่และมากันเป็นกลุ่มแต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือรอยยิ้มในหน้าและเสียงหัวเราะ เขาเหลียวกลับมามองคนที่ยังไม่คลายมือจากหัวไหล่ นัยน์ตาของกุมภ์ไม่ได้มองตรงมาที่เขา มันก็เหมือนกับสายตาของคนอื่นๆ ที่กำลังจับจ้องอยู่ที่กลีบบางสีชมพูแต่ประกายระยิบระยับในนั้นทำให้เขาดูโดดเด่น กุมภ์ถอนสายตากลับมาเมื่อรู้ว่าถูกมอง ทั้งสองสบตากันอยู่พักหนึ่งโดยไม่พูดอะไรก่อนที่มือใหญ่จะเลื่อนออกจากหัวไหล่เลื่อนไปสัมผัสที่กลางหลังและออกแรงผลักเบาๆ “ไปกันเถอะ” “ฮัดชิ้ว!” กันย์ใช้หลังมือถูสันจมูกจนแดงก่ำ “เอานี่ไปใส่สิ” ไม่พูดเปล่ายังถอดเสื้อนอกของตนออกคลุมบ่าให้ “ยิ่งมืดอากาศจะยิ่งหนาว ผมผิดเองแหละที่จู่ๆ ก็ลากคุณมาเลยไม่ได้ให้คุณเอาเสื้อกันหนาวหรือแจ๊คเก็ตมาด้วย” “แล้วคุณไม่หนาวเหรอ” “ไม่ล่ะ ผมชินแล้ว” กันย์กระชับมือที่สาบเสื้อและสอดแขนเข้าไปทีละข้าง เพราะเพิ่งถูกถอดออกมาจากตัวทำให้ไออุ่นจากร่างสูงยังคงติดมากับผืนผ้า ใบหน้าขาวร้อนขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดว่าเหมือนกำลังถูกคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกกันไม่ถึงวันดีกอดทางอ้อมและถึงซากุระจะส่งกลิ่นหอมอ่อนอวลไปในอากาศแต่ราวกับตอนนี้จมูกเขารับสัมผัสแค่กลิ่นน้ำหอมจากแจ๊คเก็ตหนังสีดำที่สวมอยู่เท่านั้น ทั้งสองเดินไปด้วยกันจนฟ้าเริ่มมืดส่วนใหญ่คนที่พูดเจื้อยแจ้วจะเป็นกุมภ์ที่ทำหน้าที่ไกด์มืออาชีพได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และเมื่อถึงเวลาต้องแยกจากกันย์ก็ถอดเสื้อส่งคืนให้และนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับไปโรงแรมตามเส้นทางที่กุมภ์บอก ไม่มีการอำลาอะไรเป็นพิเศษ แค่รอยยิ้มบางตามมารยาทก่อนจะหันหลังให้กันโดยไม่แม้แต่จะแลกเบอร์หรือช่องทางติดต่อใดๆ
กันย์กลับไปใช้ชีวิตเป็นแบบแผนตามปกติโดยลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยเจอคนชื่อกุมภ์ จนกระทั่งฤดูฝนมาเยือนประเทศเกาหลี ฝนที่ตกต่อเนื่องติดต่อกันสามวันสามคืนไม่ได้ทำให้พื้นถนนที่วางผังการระบายน้ำมาอย่างดีเฉอะแฉะ อุปสรรคอย่างเดียวจึงมาจากลมที่กรรโชกแรงจนเขาต้องหยุดพักหลายต่อหลายครั้งเพื่อตั้งหลักจับร่มไม่ให้มันหักพับไปเสียก่อน เด็กมหาวิทยาลัยแต่งตัวอินเทรนด์เดินสวนกันขวักไขว่ โทนสียอดฮิตของเกาหลีหนีไม่พ้นสีทึบทึมเหมือนคืนวันฝนตกอย่างดำ เทา กรมท่าและเขียวขี้ม้า ส่วนใหญ่มาเป็นคู่ทั้งที่อิงแอบกันมาในร่มคันเดียว และซุกหาอุ่นไอใต้เสื้อแจ๊ตเก็ตที่ฝ่ายชายเป็นคนยกขึ้นเหนือศีรษะ “อืมมม” กันย์แทบเดินสะดุดเมื่อจู่ๆ คู่รักตรงหน้าหยุดตรงหน้าป้ายรถเมล์ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะกระโดดขึ้นจุ๊บปากฝ่ายชายครั้งหนึ่งเป็นการอำลา พวงแก้มร้อนผ่าว แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีซ้ำยังคุ้นชินกับวัฒนธรรมการแสดงความรักของฝั่งตะวันออกเพราะแวะเวียนไปบินอยู่บ่อยๆ แต่กับคนที่นี่ทำยังไงเขาก็ไม่ชินสักที มันไม่ได้ดูดดื่มแต่หอมหวานและละเมียดละไม เพียงแค่ยืนคุยกันในรถไฟฟ้า สายตาที่มองกันราวกับจะกลืนกิน ขนาดคนไม่ตั้งใจจะแอบดูอย่างเขายังอายแทบม้วนหนีไปใต้โบกี้รถไฟ “เปียกหมดเลย” รำพึงกับตัวเองพลางหุบร่มเก็บเมื่อเข้ามายืนแอบใต้กันสาดหน้าร้านสะดวกซื้อ G25 ซึ่งเปิด 24 ชั่วโมง เพราะมัวแต่เดินเล่นเพลินไปหน่อยจึงทำให้พลาดรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้าย กำลังคิดจะเยี่ยมหน้าออกไปโบกแท๊กซี่กลับโรงแรมเมื่อร่างสูงพุ่งสวนเข้ามายืนข้างกันพร้อมกับถอดเสื้อนอกที่เขาดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะออกสะบัด “คุณกุมภ์” คนถูกเรียกเหลียวมามอง “อ้าว คุณกันย์ มาทำอะไรที่นี่ครับ” ราวกับช่วงเวลาที่เจอกันเมื่อหลายเดือนก่อนย้อนกลับมาอีกครั้งและนี่ก็เป็นช่วงต่อจากตอนที่กุมภ์พยายามอธิบายเส้นทางนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับโรงแรมให้กันย์ซึ่งได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อที่นี่คือย่านร้านค้าหน้า ม.ฮงอิก ที่เพียงแค่เดินผ่านประตู 9 ออกมาจากสถานี Hongik University ที่ๆ ทั้งสองจากกันเมื่อครั้งก่อน... “มาทำงาน... แล้วก็มาเที่ยวด้วย” “อย่าบอกนะว่านี่กำลังยืนงงกลับโรงแรมไม่ถูกน่ะ” “กลับถูก แต่รถไฟมันหมดแล้วต่างหาก” ร่างสูงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาเพราะมัวแต่เดินดูอะไรเรื่อยเปื่อยทำให้ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน “จะตีหนึ่งแล้วนี่... คุณยังพักโรงแรมเดิมใกล้สนามบินใช่ไหม ไกลเสียด้วยถ้านั่งแท๊กซี่จากนี่ไปไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นวอนแถมฝนก็ตกหนักอีก คืนนี้คุณไปพักกับผมก่อนไหมพรุ่งนี้เช้าคุณค่อยกลับ หรือจะเดินเล่นแถวนี้ต่อล่ะผมเดินเป็นเพื่อนได้นะตีห้าสถานีก็เปิดแล้ว” “คุณพักแถวนี้เหรอ” ร่างสูงชี้มือไปตามทางเดินข้างหน้าที่ค่อนข้างมืด “เลี้ยวซ้ายตรงแยกข้างหน้า แล้วเลี้ยวขวาเดินเข้าซอยไม่ถึงห้านาทีก็ถึงแล้ว... ผมเพิ่งไปส่งลูกทัวร์ขึ้นเครื่องกลับเมื่อเย็นตอนนี้ผมว่าง” ริมฝีปากยกมุมคล้ายกับจะยิ้ม กันย์ไม่ตอบรับคำชวนได้แต่ยกร่มขึ้นกาง แต่คนตัวสูงยังไม่ขยับ “เดี๋ยวนะ” เขาบอกและผลุบหายเข้าไปในร้าน G25 ทิ้งให้คนรอหน้ามุ่ย รถแท๊กซี่ขับผ่านมากันย์กำลังจะยกมือขึ้นโบกหนีให้เสียรู้แล้วรู้รอดเมื่อวัตถุอุ่นจัดประทับลงมาที่ข้างแก้ม “เฮ้ย!” ร้องเสียงหลง ผงะหนีไปเล็กน้อย เขาหันไปทำตาเขียวปัดใส่คนที่ยืนยิ้มเผล่เจ้าของนมกระป๋องร้อน “นี่ครับจะได้หายหนาว” กุมภ์บอกพร้อมกับส่งให้ด้วยใบหน้ายิ้มแป้น กันย์รับมาดู เขาอ่านภาษาเกาหลีออกงูๆ ปลาๆ มากจนถึงขั้นง่อย “เอ่อ... มันคือ” “นมถั่วแระ” กุมภ์แปลให้เสร็จสรรพ “ไม่เอาอะ ผมไม่ชอบถั่ว นมกล้วยอร่อยกว่า” “ไม่กินก็ถือไว้จะได้หายหนาว” ลมฝนพัดกรรโชกมาอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว กันย์พยายามบังคับร่มต้านแรงลม แต่ครั้งนี้เขากลับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ร่มหักพับผิดรูปจนมีทางแก้ทางเดียวคือโยนทิ้งและซื้อใหม่ “เพิ่งซื้อนะเนี่ย” กันย์บ่นอุบพร้อมกับยัดร่มทิ้งลงถังขยะหน้าร้าน ตั้งใจว่าจะเข้าไปซื้อคันใหม่เมื่อจู่ๆ เม็ดฝนก็หยุดกระทบแผ่นหลังแล้วแทนที่ด้วยไออุ่นเมื่อคนตัวสูงถอดเสื้อแจ๊คเก็ตออกแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ “ไปกันเถอะครับ” กุมภ์ยิ้ม เขาไม่ตอบแต่ก้าวขาออกเดินเคียงไปตามทาง แม้เสียงฝนสาดจะดังแข่งกับเสียงฟ้าครวญก็ไม่อาจกลบเสียงหัวใจดวงหนึ่งซึ่งกำลังเต้นแรงได้เลย และทั้งที่ลมฝนยังซัดซาดไม่ขาดสายแต่ความหนาวไม่อาจกร้ำกรายได้อีกต่อไป บางทีอาจเป็นเพราะกระป๋องนมร้อนในมือ หรือบางที... กันย์เหลียวมองคนข้างกาย ลมพัดมาอีกครั้ง แต่ภายใต้ร่มเสื้อของคนที่เดินมาด้วยกันเขาก็ยังรู้สึกว่ามันอุ่นเหลือเกิน “เขาไม่ห้ามเอาคนนอกเข้ามานอนด้วยเหรอ” กันย์นึกขึ้นได้เมื่อมาหยุดยืนหน้าประตู You & I เกสเฮาส์ทาสีขาวสูงสามชั้นบนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ ขนาดสักสองร้อยตารางเมตร “ว่าสิ” กุมภ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางกดรหัสเปิดประตูและผลักเข้าไปแต่ร่างโปร่งยังคงไม่ขยับ “ผมว่าผมไปนั่งรอที่ร้านสะดวกซื้อดีกว่า” บอกพลางกลับหลังหันเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาคว้าต้นแขนไว้ “เข้ามาเถอะเจ้าของเขาใจดี ไม่ว่าหรอกคุณแค่อย่าเสียงดังรบกวนแขกคนอื่นก็พอ” กุมภ์พูดพร้อมกับดึงร่างโปร่งเข้ามาด้านในแล้วปิดประตู และพาเดินย่องอย่างเงียบเชียบเข้าไปยังห้องด้านในที่สุดทางเดิน “มีเตียงเดียวนอนเบียดๆ กันหน่อยละกัน” “ไม่เป็นไรหรอก แค่มีที่ให้ซุกตัวอุ่นๆ ก็พอแล้ว” ร่างสูงเหลียวมามอง นัยน์ตาพราวระยับขึ้นเล็กน้อย “ถ้าคุณต้องการแค่นั้นก็ออกไปยืนรอข้างนอกแล้วให้ผมกอดเฉยๆ ก็พอแล้วมั้ง” “บ้า!” ตอบได้แค่นั้นเพราะในน้ำเสียงทีเล่นทีจริงแต่กลับจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากจนกันย์ต้องเบือนหน้าหนี “อ้าว ก็ผมเห็นคุณหลับง่าย แค่ม้านั่งตัวเดียวไม่ว่าที่ไหนก็เอนหลังพิงหลับได้แล้ว” กันย์หันหน้ากับมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอคุณที่สนามบิน” กุมภ์บอก “ตั้งแต่ห้าปีที่แล้วตอนผมมาเป็นไกด์ทัวร์ใหม่ๆ ตั้งแต่ผมบินกับ Sky One ครั้งแรก ทุกครั้งที่เจอคุณก็แค่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีน้ำเงินเข้มซุกตัวหลับอยู่มุมใดมุมหนึ่งเหมือนกับคนรอต่อเครื่องคนอื่นๆ ไม่ได้ดูสะดุดตาอะไรแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่เคยหยุดมองหรือหยุดตั้งคำถามกับตัวเองได้เลยว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไรที่นี่และกำลังจะไปไหน” “แล้วตอนนี้คุณได้คำตอบหรือยัง” “ผมรู้ว่าคุณชื่อกันย์ เป็นกัปตัน เส้นทางบินประจำคือไทย-เกาหลี คุณแค่บินมาและกำลังจะบินกลับซึ่งตอนนี้ผมกำลังภาวนาสุดใจขอให้มันเป็นไฟลท์อีกสองวันซึ่งเป็นเที่ยวที่ผมจะบินกลับพอดี” “เสียใจด้วยนะ” กันย์ตอบ “ผมกลับพรุ่งนี้ไฟลท์สิบโมงเช้า และแปดโมงผมต้องถึงสนามบินไม่อย่างนั้นจะมีผู้โดยสารบางคนบ่นเอาได้” “งั้นคุณก็รีบนอนได้แล้ว จะได้มีแรงขับเครื่องบินแล้วพรุ่งนี้ผมขออนุญาตไปส่งคุณที่สนามบินนะ” “ตามใจ” กันย์ถอดเสื้อนอกที่เปียกชื้นออกแขวนก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง “คุณจะนอนข้างนอกหรือข้างใน” “ข้างนอก” กุมภ์ตอบพลางถอดเสื้อของตนออกบ้าง “ผมกลัวคุณตื่นก่อนแล้วหนีไปไม่ปลุกผม” “ต้องปลุกสิ” กันย์หัวเราะในลำคอ “เพราะผมจำทางกลับไปสถานีรถไฟฟ้าไม่ได้แล้ว” ร่างสูงเบียดตัวขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียงแล้วซุกตัวเข้าในโปงผ้าห่มที่มีอยู่แค่ผืนเดียว “ขยับไปหน่อยสิคุณ ผมจะตกเตียงแล้วนะ” “นี่ก็ติดกำแพงแล้วเนี่ย” กันย์ล้มตัวลงนอนหันหลังให้กัน เขาขยับตัวเล็กน้อยในผ้าห่มผืนจ้อยเพื่อหนีให้พ้นจากความหนาวแต่แล้วก็พบว่าไม่จำเป็นเลยเพราะแผ่นหลังกว้างที่เบียดเสียดกันอยู่แบ่งปันความร้อนมาจนถึงปลายนิ้ว หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยแต่ก่อนที่สมองจะทันคิดอะไรฟุ้งซ่านเขาก็ผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นคนตัวสูงแต่งตัวพร้อมแล้ว “คุณไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาซะหน่อยสิจะได้สดชื่น” เขาพยักหน้าและเดินตาปรือตรงไปห้องน้ำ ยืนตั้งสติอยู่หน้าอ่างอีกอึดใจก่อนจะเปิดก๊อกให้น้ำเย็นไหลผ่านมือสักครู่ปลุกให้ตัวเองค่อยตื่นเต็มตาก่อนจะค่อยๆ วักน้ำขึ้นล้างหน้า “อ้าวๆ แขนเสื้อเปียกหมดแล้วน่ะ” กุมภ์เดินเข้ามายืนซ้อนข้างหลัง สอดมือผ่านรอบเอวมารั้งชายแขนเสื้อเชิ้ตพับขึ้นมาจนถึงข้อศอกให้ “ไม่เป็นไรหรอก เปียกนิดหน่อยเอง” “ข้างนอกอากาศเย็น ผมไม่อยากให้กัปตันไม่สบาย” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู เพราะต้องเอื้อมมือมาให้ถึงสุดปลายแขนทำให้ใบหน้าของกุมภ์แทบจะสีกับแก้มเขา กุมภ์เหลียวมองเจ้าของรอยยิ้มละมุนที่แทบจะวางใบหน้าลงบนไหล่ นัยน์ตาพราวระยับจับจ้องอยู่ที่ข้างแก้มช่างน่าหมั่นไส้จนเขาต้องดีดน้ำในมือใส่หน้าให้ถอยกลับไป “ขับเครื่องบินกลับดีๆ นะครับ” กุมภ์ยิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือลาที่หน้าประตูสนามบิน ร่างโปร่งทำท่าจะกลับหลังหันแต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันกลับมาครึ่งหนึ่ง เขารีรอไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามแต่คนตรงหน้าก็ยังส่งยิ้มตอบกลับมาเหมือนเคย เขาจึงต้องเป็นฝ่ายออกปากเสียเองเพราะไม่อยากให้เสียเวลา “มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณไม่คิดจะขอเบอร์ผมเหรอ” “คิด” กุมภ์คลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีก “แต่กลัวคุณจะไม่ให้เพราะงั้น...” เขาเปิดกระเป๋าและหยิบนามบัตรสีครีมลายโซลทาวเวอร์ออกมาส่งให้ “ถ้ามาโซลแล้วอยากได้คนพาเที่ยวอย่าลืมเรียกใช้บริการผมนะ สำหรับคุณผมพาเที่ยวฟรีไม่คิดเงินแถมบริการที่พักให้ฟรีด้วย” “ที่พักฟรีด้วยเหรอ” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง ถึงตอนนี้คนตัวสูงกว่ายิ้มแก้มแทบปริ “ผมยังไม่บอกคุณหรอกเหรอว่า You & I เป็นเกสเฮาส์ของผมเอง” ******************************************** TBC ****************************************** เพราะอากาศมันร้อนเลยเกิดอารมณ์อยาก throwback ไปหาอะไรเย็นๆ ประกอบกับอยากเขียนแนวรีวิวกลายๆ ปนรักอุ่นๆ ดูบ้าง นั่งจิ้มคีย์บอร์ดไปมาเลยได้เรื่องนี้มา เรื่องราวของผู้ชายปลายฝนต้นหนาว กับ ผู้ชายฤดูใบไม้ผลิ ใครจะมาทำให้หัวใจเหน็บหนาว หรือ ใครจะมาทำให้หัวใจอบอุ่น มาเดินทางตามหาหัวใจไปด้วยกันนะคะ^^
เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อน้าาา
กุมภ์นายทำอะไรให้กันย์หมดแรงหรอ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนเริ่มต้นก่อนนะ เรื่องน่าติดตามดีค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
:pig4:
ตอนที่ 2 นับจากวันนั้นอีกหลายวันด้วยตารางบินที่แน่นเอียดทำให้กันย์ยังไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดจะหยิบเอานามบัตรของกุมภ์ขึ้นมาเมมเบอร์ใส่โทรศัพท์จนกระทั่งลากกระเป๋าลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิของไฟลท์เช้าวันหนึ่ง เขาก็เห็นตัวสูงเดินนำกลุ่มนักเที่ยวลงจากรถบัสตระเตรียมกระเป๋าเพื่อไปเชคอิน เขารีบโบกมือลาเพื่อนร่วมไฟลท์และวิ่งเข้าไปทัก “กุมภ์” ร้องทักเสียงดังด้วยความดีใจ “เป็นไงบ้าง นี่กำลังจะไปเกาหลีเหรอ” แต่ร่างสูงหลับเหลียวมองเพียงแค่หางตา “ขอโทษนะครับ พอดีผมกำลังยุ่ง” พูดเท่านั้นแล้วเดินจากไปราวกับไม่รู้จักกัน กันย์กำหูกระเป๋าลากแน่น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นบาง ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องไปสนใจ ก็แค่คนรู้จักทั้งที่คิดอย่างนั้นพร้อมกับกลับหลังหันแต่กลับล้วงโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรหาคนที่เขาจำตัวเลขได้ขึ้นใจตั้งแต่วันที่ได้รับนามบัตรมา เสียงรอสายดังอยู่สองสามครั้งปลายสายก็กดรับ [สวัสดีครับ] “กุมภ์” [ขอโทษครับไม่ทราบว่านั่นใคร] “กันย์ไง นายจำฉันไม่ได้เหรอ” ปลายสายเงียบไปอึดใจ [จำได้ครับ] “แล้วทำไมถึงเดินหนีฉันไปเฉยๆ แบบนั้น” [เปล่า ผมแค่กำลังรีบแค่นี้นะครับ] แล้วก็กดตัดสายทิ้งไปดื้อๆ ...อ้าว เฮ้ย!... นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน... เขาเหลียวกลับไปทันเห็นคนตัวสูงยังยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋า กำลังจะเดินกลับไปเคลียร์เพราะไม่อยากให้เรื่องในใจมันค้างคา เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา กุมภ์ส่ายหน้าครั้งหนึ่งพร้อมกับยิ้มกว้างหัวเราะต่อกระซิกด้วยนัยน์ตาเป็นประกายระยิบก่อนจะพากันเดินเข้าไปในสนามบิน ริมฝีปากเม้มจนเจ็บ ผิดเองที่หลงตัวเอง... ผิดเองที่คิดไปไกล... ผิดเองที่คิดว่าเขามีใจ... ร่างโปร่งหันหลังกลับและเดินออกสู่พื้นที่โล่งด้านนอก เสียงเครื่องยนตร์ดังแว่วมาในอากาศกันย์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เครื่องโบอิ้ง747 กำลังพุ่งทะยานไปในอากาศ ...ความรัก ถ้ามันง่ายเหมือนขับเครื่องบินก็คงดี... หลังจากรั้งตำแหน่งผู้ช่วยนักบินนานนับปีจนชั่วโมงบินเพียงพอที่จะเลื่อนขั้นเป็นกัปตัน วันนั้นเขามาถึงก่อนเวลาเครื่องออกครึ่งค่อนวัน จากนั่งรอในห้องทำงาน ขยับมานั่งรอในห้องพักจนมาถึงหน้าเกทที่อาศัยสิทธิ์ความเป็นลูกเรือเข้ามาก่อนประตูจะเปิด เส้นประสาททุกเส้นเครียดเขม็ง หน้าที่สำคัญซึ่งได้รับมอบหมายเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นเส้นทางที่คุ้นชินแต่กลับไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย วันนี้อากาศจะดีไหม ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งหรือเปล่า... เขาเฝ้ารีเช็คสภาพอากาศทั้งจากอินเตอร์เน็ตและถามจากหอบังคับการบินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วถ้ามีการจี้เครื่องบินล่ะ!!... จิตวิตกคิดไปไกลถึงโน่น สองมือชื้นเหงื่อกำแน่นนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ในท้องราวกับมีค้างคาวตัวใหญ่ๆ บินว่อนและคอยเกาะดูดเลือดจนปวดหนึบเป็นระยะ “แม่จ๋าหนูกลัว” ...เออ ฉันก็กลัวเหมือนกัน... กันย์หันตามเสียงร้องไห้จ้าของเด็กผู้หญิงอายุประมาณห้าหกขวบที่กำลังสะอื้นฮักด้วยความกลัวกับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก “ไม่เอาหนูไม่ไป หนูกลัวเครื่องบินตก” ...อ้าว ไอ้เด็กเปรตนี่ พูดอะไรเป็นลาง... กันย์กัดฟันแน่น จะไปถือสาอะไรกับเด็กไม่ประสาก็ใช่ที่ เขากำลังจะลุกหนีเมื่อร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์เดินเข้าไปทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กหญิง “โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะครับ หนูไม่ต้องกลัวน้า” “ไม่เอา!” “ไหนๆ หนูลองมองออกไปข้างนอกสิ วันนี้ท้องฟ้าสวยเนอะ” ร่างสูงพูดพลางชี้มือออกไปนอกหน้าต่าง “ปุยเมฆสีขาวดูนุ๊มนุ่มเนอะ หนูไม่อยากไปเห็นใกล้ๆ เหรอ บนฟ้ามีคุณพระจันทร์ด้วยนะ ไปหาคุณกระต่าย ไปชวนคุณกระต่ายไปเล่นกัน” “มีคุณกระต่ายด้วยเหรอคะ” “มีสิ” พูดพลางชูสองนิ้วขึ้นแนบหูและท่ากระโดดหยองแหยง “แล้วเครื่องบินมันจะไม่ตกเหรอคะ ปีกมันนิดเดียวเอง” คำตอบผุดขึ้นในใจกันย์ทันที ...ตามหลักจลศาสตร์ปีกถูกออกแบบให้ด้านบนโค้งนูนทำให้ลมใต้ปีกพัดผ่านไปเร็วกว่าลมเหนือปีกเกิดเป็นแรงยกพยุงให้เครื่องบินลำใหญ่ลอยอยู่ได้... “หนูนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ของแบบนี้มันอยู่ที่กึ๊น กันดั้มก็มีปีกนิดเดียวยังบินได้ปร๋อเลย” ...ห๊ะ!! กันดั้มพ่อง เด็กมันจะรู้จักไหมวะ... “กันดั้มคืออะไรคะเป็นพวกเดียวกับโปเกม่อนหรือเปล่า” “ใช่ๆ มันเป็นเพื่อนซี้ปิกาจูเลยล่ะ ตัวใหญ่ๆ สีขาวมีเขาที่หน้าผากแล้วก็มีปีกอันใหญ่” ...มันฟังดูคล้ายๆ เปกาซัสป่ะวะ... “โห... สุดยอดไปเลยค่ะ” ในขณะที่เฝ้าดูร่างสูงหลอกล่อเด็กไปเรื่อยๆ ค้างคาวในท้องก็บินออกไปทีละตัวๆ แล้วเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่มุมปากยกขึ้นยิ้ม เขาไม่ได้หายกลัว ความกังวลยังคงมีเท่าเดิม แต่ความเครียดมันหายไปและเขารู้ว่าเขาจะทำมันได้ และนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน “ขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณ” เสียงทุ้มของกุมภ์เอ่ยมาตามสายในอีกหลายวันถัดมา “เรื่องอะไร” ตอบเสียงเรียบจนเกือบๆ จะเย็นชา แม้ไม่บอกแต่นัยน์ตากลับสื่อความหมายออกมาหมดต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักแต่เรื่องที่กุมภ์รักผู้หญิงคนนั้นหมดใจต่อให้แกล้งมองไม่เห็นยังไงก็ยังรู้สึกได้ “ลี” “คุณกำลังพูดถึงใคร” “ผู้หญิงคนนั้น... น้องสาวของผม ถ้าคุณอยากรู้ผมจะเล่าให้ฟัง” มือกำโทรศัพท์แน่นจนสั่นเทา เขาไม่อยากเชื่อคำพูดนั้นเลยจนนิดเดียวแต่ข้างในลึกๆ กลับเต้นระรัวและหลงเชื่อสนิทใจไปเสียแล้ว “แต่ผมกำลังรีบ ไม่ว่างมาฟังคุณเล่าอะไรหรอก” “จะรีบไปไหนล่ะครับ ยังมีเวลารอเครื่องออกอีกตั้งชั่วโมงนึง” “เอ๊ะ...” นัยน์ตาสีอ่อนเบิกโพลงก่อนจะกวาดมองไปรอบๆ ประตูเกท และโดยไม่ต้องอาศัยความพยายาม เขาก็เห็นร่างสูงยืนโดดเด่นอยู่หลังบานกระจกตรงหน้า นัยน์ตาประกายส่งยิ้มทักทายมาให้ “หิวไหม ผมมีร้านเนื้อย่างอร่อยจะแนะนำ... ไม่สิกันย์ ไม่ต้องกินอะไรด้วยกันก็ได้ ผมแค่อยากเจอ อยากคุยกับคุณแค่นี้ได้ไหม” ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นบาง อีกแล้ว... ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้กำลังจะทำให้ชีวิตที่เป็นแบบแผนของเขายุ่งเหยิง ไม่ได้อยากยุ่งกับคนไม่มีใจ ตัดใจซะก่อนที่จะถอนตัวไม่ขึ้น เขากำโทรศัพท์แน่นขึ้นอีกก่อนจะกระซิบ “ได้สิ แต่ต้องหลังจากผมเลิกงานนะ” กุมภ์ไม่ได้โกหกเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาว แต่ก็ไม่ปิดบังเรื่องที่รักเธอมากช่นกัน “ลีเป็นน้องสาวต่างแม่” เขาบอกขณะทั้งสองนั่งย่างหมูบนเตาถ่านร้อนๆ มือใหญ่หยิบแก้วเหล้าจรดริมฝีปากก่อนจะวางลงรวดเร็วและเติมจนเต็มอีกครั้ง “หลังจากแม่ผมตายได้สองปีพ่อก็มาเจอกับผู้หญิงเกาหลีคนหนึ่งตอนมาเที่ยวที่นี่ ตอนนั้นผมสิบขวบกำลังเริ่มต่อต้าน ผมมีพ่อคนเดียวไม่ต้องการให้ใครมาแย่งความรักไป ยิ่งผู้หญิงคนนั้นท้องทำให้ผมคิดว่าเธอตั้งใจเพื่อจับพ่อผม ทั้งสองคนแต่งงานกันเงียบๆ แล้วคลอดลีออกมา ทั้งที่ผมน่าจะเกลียดเด็กคนนี้ที่มาแย่งพ่อไปจากผม แต่ในวันที่พ่อแม่ของเราประสบอุบัติเหตุตายไปเมื่อสิบปีก่อน คนเพียงคนเดียวที่กุมมือผมไว้คือเธอ น้องสาวที่ผมแสนเกลียด ทั้งที่เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่กลับเอ่ยปากสัญญาว่าจะดูแลผม หัวใจของเธอทั้งยิ่งใหญ่และเข้มแข็งจนผู้ชายอย่างผมยังอาย หลังจากผมเรียนจบ ผมก็เงินเก็บที่มีร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัททัวร์เล็กๆ และใช้เงินประกันชีวิตก้อนสุดท้ายของพ่อกับแม่ทำบ้านใหม่ให้เป็นเกสเฮาส์... ทีแรกผมทำเพราะผมคิดว่าตัวเองกำลังสะใจที่จะได้แย่งทุกอย่างคืนมาจากเธอ แม้แต่เงินของพ่อกับแม่ผมก็ไม่เหลือให้เธอสักแดง... แต่คุณรู้ไหมจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย มันกลายเป็นว่าผมทำอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เธอหนีผมไปไหน พอผมรู้ตัวว่าตกหลุมรักเธอ ผมก็พยายามตัดใจเฝ้าตามหารักใหม่ ผมเดินทางไปเกือจะรอบโลก คบคนมากหน้าหลายตา แฟนเก่าผมมีทั้งหญิงชายอยู่ทุกๆ ประเทศที่เคยไป แต่สุดท้ายยิ่งไปไกลเท่าใด หัวใจก็ยิ่งโหยหาจะกลับมาหาเธอมากเท่านั้น” “คุณเคยบอกรักเธอหรือเปล่า” “สำหรับเธอผมเป็นแค่พี่ชาย แค่เพียงเท่านั้นมาโดยตลอดและมันก็เพียงพอแล้วสำหรับผมยังไงเลือดในกายครึ่งหนึ่งของเราทั้งคู่ก็มาจากคนๆ เดียวกัน” “แล้วผมต้องไปอีกไกลแค่ไหนถึงจะเข้าใกล้หัวใจหัวใจคุณได้” กระซิบเสียงแปร่งปร่าที่แทบกลืนไปกับเสียงเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ในเตาถ่าน “ผมรักคุณ” ริมฝีปากผุดรอยยิ้มบางพร้อมกับเอื้อมมือมาสัมผัสที่หลังคอก่อนจะก้มหน้าลงแตะริมฝีปากแผ่วค่อย เหมือนจะแข็งแต่นุ่มละมุนก่อนจะละลายหายไปรวดเร็วราวกับชิมขนมสายไหม ทั้งที่เหมือนไม่ได้กินแต่ยังคงหลงเหลือความหวานติดปลายลิ้นให้จดจำได้ “อย่ามาเสียเวลากับผมเลย” นั่นคือคำตอบ นั่นคือกุมภ์คนที่กุมหัวใจของเขาไว้นานนับปี ทุกครั้งที่พยายามจะหยุดเพื่อถอยห่างก็กลับเป็นฝ่ายเดินกลับมาตามหา แต่พอเขาจะไล่ตามก็กลับออกวิ่งเต็มฝีเท้าไม่ให้เขาไล่ทัน “รู้ไหมกันย์ คนเดินทางมีอยู่สองประเภท คือไปเพื่อจะได้เห็นกับไปเพื่อจะได้ไม่เห็น... สำหรับผมมันเริ่มต้นที่อย่างหลังถึงตอนนี้เหตุผลจะเปลี่ยนไปเพราะผมไปเพื่อที่จะเจอคุณ แต่ผมก็ยังรักการเดินทางมากเกินกว่าจะหยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นคุณอย่ารอผมเลยกันย์” “คุณเป็นคนทำให้ผมเริ่มต้นเดินทางเพื่อจะไปเห็นคุณ แต่สุดท้ายคุณกลับปล่อยให้ผมไปเพื่อจะไม่เห็นคุณอย่างนั้นเหรอ คุณใจร้ายมากเลยนะกุมภ์” “ผมขอโทษ” *********************************************TBC********************************************* ขอโทษที่มาช้า ตอนหน้าน่าจะจบแล้วค่ะ
่ดีใจจังที่มาต่อแล้ว สรุปคือกันย์ก็ยังไม่ใช่สำหรับกุมภ์ แต่เข้ามาทำให้กันย์เสียใจเฉยๆใช่ไหม กุมภ์ใจร้ายอย่างที่กันย์ว่าจริงๆ น่ะแหล่ะ
เหมือนกำลังจะหมดแรงตามไปด้วย
อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ
waiting
เศร้าอ่า ใจร้ายจริงๆ
ตอน 3 นานหลายเดือนจากโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายของกุมภ์ เขาไม่พูดอะไรด้วยซ้ำ แต่ท่ามกลางความเงียบงันนั้นราวกับเขากำลังได้ยินเสียงสะอื้นจากมุมใดมุมหนึ่งในหัวใจของคนที่อยู่ปลายสาย และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาพาตัวเองมาไกลถึงที่นี่โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่... แม้แต่จะคิดว่าจริงๆ แล้ว เขาอาจมี ‘ใครสักคน’ ที่คอยกอดปลอบและอยู่เคียงข้างแล้วก็ได้ ..เลิกตามผมได้แล้ว มันเสียเวลาเปล่า... คำพูดเดิมๆ ยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า พิงศีรษะ แนบแก้มลงบนบานกระจกเย็นเยียบถึงในรถไฟจะเปิดฮีทเตอร์ให้ร่างกายอบอุ่นแต่ในหัวใจกลับอุหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ อยากหันหลังกลับแต่ก็มาไกลเกินไปเสียแล้วเมื่อหัวใจไม่ได้ไปหยุดอยู่แค่หน้าประตูแต่มันไปอยู่ข้างๆ เขาเสียแล้ว ทันทีที่สองขาพาก้าวผ่านประตูสถานีออกมาลมหนาวก็พัดมาปะทะร่าง เกิดละไอควันสีขาวหมุนวนในอากาศติดปลายจมูก สองมือรวบสาบเสื้อแจ๊คเก็ตให้กระชับร่างก่อนจะวิ่งเต็มฝีเท้าฝ่าลมหนาวไปตามทางที่เพิ่งเคยมาแค่ครั้งเดียว เขาโกหกเรื่องเป็นคนหลงทิศ ถึงไม่ใช่ที่หนึ่งในชั้นแต่ก็ไม่เคยสอบตกในวิชาการอ่านแผนที่ ทุกๆ ที่ ทุกๆ ย่างที่ก้าวไปด้วยกันในวันที่ฝนตกยังคงแจ่มชัดในห้วงความคิด เพียงอึดใจก็มาถึงหน้าประตูเกสเฮาส์ หากต้องใช้เวลาอีกหลายอึดใจในการทำใจ นิ้วชี้ยกขึ้นสัมผัสกริ่งหลายต่อหลายครั้งแต่กลับไม่กล้าที่จะกดเรียก ยังคงหวาดกลัวกับคำตอบที่อยู่เบื้องหลัง เกือบจะถอดใจหมุนตัวกลับเมื่อเสียงหวานดังขึ้นด้านหลัง “안녕하세요, 무 엇 을 도 와 드 릴 까 요?” เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวตัวเล็กบางในชุดดอเวอร์โค้ตสีแดง พวงแก้มขาวใสออกสีชมพูกับริมฝีปากแดงเรื่อเพราะโดนความเย็นกัดตัดกับเรือนผมดำยาวสีดำสนิททำให้ดูเหมือนซานตี้แสนสวยในคืนวันคริสมาสต์ เธอเอียงคอน้อยๆ เป็นเชิงถามเมื่อเห็นเขาไม่ตอบจึงถามซ้ำอีกครั้ง “Hello, May I help you?” “เอ่อ...” “갔다 왔어? (กลับมาแล้วเหรอ)” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังตอบมาจากด้านหลังพร้อมบานประตูเปิดออก “อ้าว...” เกิดความอึดอัดใจขึ้นชั่วขณะหนึ่งเมื่อยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนที่อยากมาหากับผู้หญิงที่ไม่เจอมากที่สุด นัยน์ตาเล็กๆ เบิกโตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิบหยีลงจนเป็นสระอิเมื่อริมฝากบางกรีดรอยยิ้มกว้าง “เพื่อนพี่กุมภ์เหรอคะ เชิญด้านในก่อนค่ะ” ภาษาไทยสำเนียงเกาหลีกล่าวพลางผายมือเชื้อเชิญ “เอ่อผม...” “พวกพี่กำลังจะออกไปน่ะ”กุมภ์รีบบอกเหมือนจะอ่านใจออก เขาผลุบหายเข้าไปครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมเสื้อกันหนาวหนาว “พี่ไปก่อนนะ” “เดี๋ยวค่ะ” หญิงสาวร้องงเรียกพร้อมกับดึงผ้าพันคอออกก่อนจะเขย่งตัวขึ้นมันคล้องบนไหล่และพันทบให้ทบแล้วทบเล่าจนปิดมิดถึงปลายคาง “จะได้อุ่นๆ วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าหิมะแรกจะตกวันนี้” “ขอบใจนะ” “รีบไปรีบกลับนะคะ” เธอโบกมือให้พร้อมกับยิ้มกว้างที่ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับพี่ชายของเธอก่อนจะเข้าบ้าน ทั้งสองเดินไปตามถนนแคบๆ เรียบคลองมีเพียงแสงไฟสีส้มอ่อนจากไฟทางหัวกลมสีส้มอ่อมส่องพอให้เห็นเป็นระยะทางสั้นๆ เพียงแค่ช่วงไม่กี่ก้าวเดิน ความเงียบค่อยๆ คืบคลานเข้ามาปกคลุมทั้งสองเหมือนความหนาวจนมือเริ่มชา “มาทำอะไร” เสียงทุ้มที่ดังแทรกอากาศมาเบาๆ เกือบทำให้กันย์ที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตกใจ “เพราะผมโทรไปหรือเปล่า” “มันยังจะมีเหตุผลอื่นอีกเหรอ” กันย์ถามกลับเกือบๆ จะโกรธเพราะคนตรงหน้าหัวเราะหึๆ ลงคอหากน้ำเสียงนั้นแปร่งปร่าราวกับจะขาดใจก่อนจะกระซิบถ้อยคำที่แค่ฟังก็รู้ว่าคนพูดต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนที่จะไม่ร้องไห้ออกมา เสียงที่ทำให้เขาพาตัวเองเดินทางข้ามโลกมายืนอยู่ตรงนี้ “ลีกำลังจะแต่งงาน” พยายามกลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ รู้ดีกว่ากุมภ์กำลังเศร้าแต่ลึกลงข้างในใจกลับร้ายเกินกว่าจะเอ่ยปลอบ “แล้วคุณจะทำยังไงต่อ” กุมภ์สายศีรษะเนิบช้า “ผมยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดี” คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ ทำเอาลมหายใจสะดุด สองมือที่เย็นจัดกำเป็นเป็นหมัดจนซีดหากหัวใจเจ็บจนชา “ขอบคุณนะที่มาแต่ผมไม่เป็นอะไร” นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองผ้าพันคอสีสวยที่ตล้องรอบคอร่างสูง ไม่นึกเสียใจที่มาเพราะมันคงถึงเวลาแล้วที่เองต้องตัดสินใจ “คุณอยากจะทำอะไรก็เชิญ จะไปไหนก็ไปเถอะผมเหนื่อยมามากบางทีมันคงถึงเวลาที่ผมต้องพักแล้ว” ริมฝีปากจุดยิ้มบางคล้ายกับเป็นการร่ำลา “กุมภ์” เขาเรียกและบางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ชื่อนี้จะหลุดออกจากปาก ร่างสูงเหลียวกลับมาเพียงครึ่ง ใบหน้าที่เคยคุ้นไม่มีรอยยิ้มแต้มเหมือนเคย ความรักไม่เคยผิด คนไม่รักไม่ผิด แค่ผิด... ที่ไปรักคนที่ไม่ได้รักเรา “ถ้าคุณจะกลับไปผมคงไม่รั้ง และคงไม่ตามอีก ...แต่จำไว้ว่าวันใดที่คุณเหนื่อย หันกลับมานะผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้ และถ้าคุณไม่ว่าอะไร ครั้งนี้ขอให้ผมไปส่งคุณให้ถึงปลายทางนะ หรือแค่อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะมีแรงแล้วเดินหนีผมไปอีกครั้งก็ได้” “ตามใจ” เสียงทุ้มกระซิบห้วนราวกับไม่มีเยื่อใย พร้อมกับกลับหลังหันเดินจากไป ทิ้งให้คนที่เคยเดินตามยืนเดียวดายอยู่กลางทาง ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวริมน้ำ เอนหลังพิงพนักอย่างอ่อนล้า ริมฝีปากเม้มสนิทกับความเจ็บที่อยู่ลึกสุดในหัวใจ ขอบตาทั้งสองร้อนผ่าวแต่มันกลับไม่มีน้ำใสไหลรินสักหยด ราวกับผ่านความเสียใจมามากมายจนเกินกว่าจะมีน้ำตา ลมหนาวพัดมาอีกครั้ง หอบเอาเกร็ดเล็กๆ พราวระยับของหิมะแรกโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า นัยน์ตาสีอ่อนตวัดขึ้นมอง เนิ่นนานจนพระจันทร์เริ่มเคลื่อนตัวสูง กันย์ก้มหน้าลงและผ่อนลมหายใจบางเบา ละไอควันสีขาวพวยพุ่งหากมันไม่ได้ออกมาจากปลายจมูกโด่งแต่มาจากแก้วกาแฟร้อนในมือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้า “อากาศมันหนาว ไม่กินก็ถือไว้จะได้อุ่น” กันย์เงยหน้าขึ้นสบเจ้าของนัยน์ตาคู่สวย เงียบไปอึดใจก่อนจะรับกาแฟมาถือไว้พร้อมกับดันกายลุกขึ้นยืน และโดยไม่มีใครพูดอะไรทั้งสองก็เดินเคียงกันไปเงียบๆ ท่ามกลางหิมะซึ่งเริ่มถมตัวหนา มือที่เริ่มชาเพราะอุณหภูมิที่กำลังติดลบลงทุกทีกำแก้วกาแฟร้อนแน่นขึ้นอีกซึ่งเพียงแค่ลมพัดมาอีกครั้งก็กลับเย็นเฉียบ แต่น่าแปลกที่หัวใจยังคงอบอุ่นอย่างน่าประหลาด บางทีมันอาจเป็นเพราะละไอความร้อนจากอุณหภูมิกายของใครอีกคนที่เดินอยู่ข้างกัน นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองลำคอหนาของคนข้างกายที่โดนหิมะกัดจนเริ่มแดงพลันรอยยิ้มเล็กๆ จุดขึ้นที่มุมปาก เขาเลิกหวังว่าจะเดินไปส่งผู้ชายคนนี้จนถึงปลายทาง ขอเพียงแค่ตอนนี้เขารู้ว่าเดินทางมาไกลพอที่เข้าไปใกล้หัวใจกุมภ์เพิ่มขึ้น แม้จะแค่ครึ่งก้าวก็ยังดี *******************************************The End***************************************** จบแล้วค่า.... ขอบคุณที่ติดตามอ่านเรื่องสั้นที่แทบขาดใจเรื่องนี้นะคะ หายไปนานเพราะงานยุ่ง+วุ่นๆ กับการเขียนตอนพิเศษอีกเรื่องค่ะ (ไหนก็มาถึงขั้นนี้ล่ะฮาร์ดเซลล์ซะเลย) ฝากเรื่อง ER-นาทีหัวใจ ด้วยนะคะ พิมพ์กับสนพ.เฮอร์มิทค่ะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44684.0[/url)
:pig4: :pig4: :pig4:
:เฮ้อ: หวังว่ากุมภ์จะไม่ทำให้กันย์ผิดหวัง สงสารกันย์อ่ะ รอมานานนะ ถึงจะคิดไปเองฝ่ายเดียวก็เถอะ แต่กุมภ์ก็รู้ว่ากันย์คิดยังไงกับตัวเอง
ไม่แฮปปี้ แต่ก็ดีที่ไม่ทำร้ายจิตใจกัน
เหมือนยังพอมีหวัง...
เฮ้อออ คนที่รักมากกว่าก็เจ็บมากกว่า เหมือนจะโดนกระทำมากกว่า ถึงจะเต็มใจโดนก็เถอะ ขอบคุณที่มาต่อจนจบนะคะ
เศร้าอ่ะ สงสารกันย์ แต่อย่างว่าความรักมันก็บังคับกันไม่ได้เนาะ ก็ได้แต่หวังว่าหลังฉากจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งนะ
น้ำตาซึม... เข้าใจว่าเรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้ แต่ก็ยังลุ้นให้กันย์สมหวังอยู่ดี ถึงแม้ว่ามีบางขณะที่อ่านแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่กุมภ์แสดงออกมัน คือ นิสัยของกุมภ์อยู่แล้วที่ชอบดูแล ห่วงใยคนอื่น (มั้ง) วอนคนเขียน หากเมตตา ช่วยมาต่อตอนพิเศษหรืออะไรก็ได้ให้รู้หน่อยได้มั้ยว่าสุดท้ายกุมภ์จะรักกันย์บ้างไหม :mew6:
ชอบๆ อบอุ่นละมุนๆ แต่ดันมาหักดิบเรากลางเรื่องเฉย จริงๆ เราว่ามันยังไม่สมูทเท่าไหร่ แต่ก็เป็นเรื่องที่ประทับใจดีค่ะ +1
Special part "เดี๋ยวคุณนอนที่นี่นะ" กันย์กำลังจะหันไปถามกลับว่า ‘แล้วคุณจะนอนที่ไหน’ หลังจากกุมภ์พามายังห้องซึ่งเคยมานอนพักเมื่อหลายปีก่อน พลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากความทรงจำนอกจากผ้าห่มนวมกับฮีทเตอร์เครื่องหนึ่ง เจ้าของบ้านก็ดึงประตูห้องปิดพร้อมๆ กับถอดโอเวอร์โคตออกพาดบนไม้แขวนก่อนจะเดินไปเสียบฮีทเตอร์ตรงมุมห้องแล้วนั่งลงอังมือให้อุ่น ในขณะที่ปากยังเจื้อยแจ้วเล่าโน่นนี่นั่นให้ฟังไปตามประสามัคคุเทศน์ช่างเจรจา "รอบนี้คุณจะอยู่กี่วัน ตอนนี้คลองชองเกชอนเตรียมงานเทศกาลคริสมาสต์ มีโคมไฟกับต้นคริสมาสต์น้ำแข็งเป็นมาสคอตที่ใครๆ ก็ต้องไปถ่ายรูป แต่ถ้าคุณอยู่หลายวันผมจะพาคุณไปเอเวอร์แลนด์ ธีม Autumn in love ปีนี้สวยมากผมเพิ่งพาลูกทัวร์ไปมาเมื่อวันก่อนนี่เองยิ่งตอนนี้หิมะตกแล้วยิ่งสวย" หากคำพูดเหล่านั้นกลับผ่านหูกันย์ไปราวกับถ้อยคำที่ไม่มีความหมาย เพราะตอนนี้ทั้งสายตาและหัวใจของเขาจับจ้องอยู่ที่ลำคอหนาซึ่งค่อยเปลี่ยนจากสีแดงอันเกิดจากหิมะกัดกลับมาเป็นสีขาวดังเดิม ...แต่เขาไม่อยากให้มันเป็นเหมือนเดิม... คิดได้เท่านั้น สองขาก็ก้าวยาวๆ ไปยืนซ้อนหลังร่างสูงโดยไม่รู้ตัว "ตกลงคุณอยู่กี่วัน" คำตอบที่ได้คือความเงียบ กุมภ์พยายามเหลียวมองข้ามไหล่เมื่ออ้อมแขนสอดเข้ารอบเอวพร้อมกับริมฝีปากอุ่นประทับลงตรงหลังคอ "กันย์" กระซิบเรียกหวังให้รู้ตัวแต่คนถูกเรียกนั้นมีสติสมบูรณ์เต็มเปี่ยม กันย์ลากริมฝีปากเบาๆ ราวกับกำลังตั้งคำถามไปตามแนวไรผมก่อนจะหยุดลงที่ริมหูและขบเม้มเล่นจนขึ้นสีแดงระเรื่อ "กันย์" เรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม ริมฝีปากจึงยอมปล่อยติ่งหูจากการหยอกเย้าและซบหน้าลงบนบ่าลาดพร้อมกับกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก "ผมเข้าใจผิดเหรอ" เสียงของกันย์แตกพร่า ฝ่ามือที่เย็นจนชาจากอากาศหนาวเริ่มชื้นเหงื่อ "เพราะคุณน่ะแหละ ที่ดันกลับมา" "ผมผิดเหรอที่เป็นห่วงคุณ" "แล้วผ้าพันคอผืนนั้นหายไปไหน" ถ้าเพียงแค่ย้อนมาพร้อมแก้วกาแฟมีหรือเขาจะยอมใจอ่อนง่ายๆ และกันย์ก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้รู้ดีว่าอะไรที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ หมดถ้อยคำที่กุมภ์จะแก้ตัว ต้องยอมรับว่าเขาหลงรักคนตรงหน้านี้หมดใจตั้งแต่เจอกันครั้งแรก หากไม่อยากรั้งให้ต้องเจ็บเหมือนคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาเพราะไม่รู้ว่าอดีตของตนจะย้อนกลับมาทำร้ายกันย์เมื่อไหร่ เมื่อลีคือที่หนึ่งในใจและแม้จนถึงตอนนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่พอกันทีกับความอดทน ถ้ากันย์ไม่กลัวที่ต้องเจ็บเขาก็อยากกล้าที่จะรักผู้ชายคนนี้ดูเหมือนกัน มือใหญ่เอื้อมขึ้นรั้งใบหน้าบนบ่าขึ้นกดจูบหนักๆ ให้แทนคำตอบ "กล้ามากเลยนะที่มารุกผมก่อน" กระซิบเสียงพร่าในขณะที่ปลายลิ้นยังหยอกเย้ากับริมฝีปากที่แดงช้ำจากการบดขยี้ของตน ลมหายใจอุ่นๆ ถี่กระชั้นสอดประสานกันดังพายุที่พัดพาอารมณ์หวามให้จุดติด มือใหญ่รั้งเอวสอบเข้าแนบชิดก่อนจะเริ่มเคลื่อนเข้ารุกรานผิวเนื้ออุ่นใต้ร่มผ้า เช่นเดียวกันกับมืออีกคู่ที่ช่วยกันปลดเปลื้องสิ่งพันธนาการที่ขวางกั้นคนทั้งคู่ไว้ออก "อย่าเสียงดังนะ ลีนอนอยู่ห้องข้างบน" พูดยังไม่ทันจบดีไกด์หนุ่มก็ร้องเสียงหลงเพราะโดนฟันเขี้ยวขบลงบนปลายลิ้น กุมภ์ผละออกรวดเร็วพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก ได้รสเฝื่อนของเลือดจางๆ ในปาก "เจ็บนะคุณ ทำอะไรเนี่ย" ยังไม่ทันจะได้คำตอบก็โดนผลักล้มลงนอนแผ่หราบนเตียงที่ใหญ่พอแค่นอนได้คนเดียว ก่อนร่างโปร่งจะถอดเสื้อนอกออกโยนลงบนพื้นเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวแล้วเคลื่อนตัวตามขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนหน้าขาไม่ให้ขยับหนีไปไหน "อยู่กับผม ทำไมต้องพูดถึงผู้หญิงคนอื่น" "ผมแค่เตือน" "ก็ไม่อยากได้ยิน" กุมภ์ใช้ข้อศอกดันตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูคนตรงหน้าให้ชัด ทั้งที่สองแขนกอดไว้ที่อกแน่นแต่สายตาจริงจังที่มองตรงมานั้นเกือบๆ จะรื้นน้ำด้วยความน้อยใจ "ขอโทษนะ" ยกสองมือขึ้นกอบกุมข้างแก้มแล้วรั้งลงมาจูบย้ำคำพูดอีกครั้งแต่กลีบปากนั้นก็ปิดแน่นอย่างแข็งขืน เขาจึงค่อยถอนออกแล้วประกบซ้ำลงไปบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง... อีกครั้ง... และอีกครั้ง... อย่างยั่วเย้าและอ้อนวอน ถึงจะไม่อยากยอมรับคำขอโทษ แต่รู้ตัวอีกทีกางเกงตัวสุดท้ายก็ถูกรูดผ่านขาขาวลงไปกองรวมกับเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆ ที่ข้างเตียง ลิ้นสากลากหนักๆ ไปตามแผ่นหลังเนียนซึ่งสะท้านขึ้นลงน้อยๆ ก่อนริมฝีปากจะวนกลับไปหยุดบนบ่าลาดแล้วดุนดูดเนินกล้ามเนื้อแข็งหลังสะบักซ้ำไปซ้ำมาจนได้รอยช้ำสีกุหลาบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรอย "ไม่เอากุมภ์น่าอย่าแกล้งกันแบบนี้" เสียงหวานพร่ากระซิบมาจากคนที่อยู่ใต้ตัว เจ้าของนามจึงยอมถอนริมฝีปากออกจากแนวไหล่เคลื่อนไปฝังลงที่ข้างหู "อะไรที่ไม่เอา... อันนี้... หรือว่า... อันนี้ครับ" "อือ..." คนที่อยูข้างล่างเม้มกัดริมฝีปากจนเจ็บเพื่อกลั้นเสียงเพราะคนขี้แกล้งย้ำกดปลายนิ้วหนักๆ ลงบนหน้าอกจนเป็นไตแข็ง ในขณะที่อีกมือขยับหยอกเย้าลงบนยอดจุดอ่อนไหว ทั้งที่จะอารมณ์กำลังจะพาไปจนถึงสุดทางหากอีกฝ่ายกลับชะลอไปเสียดื้อๆ ดึงเกมรักให้ช้าลง "ตกลงอันไหนครับ" "ก็..." "บอกมาสิ" กระเซ้าพลางเป่าลมอุ่นเข้าข้างหู "คุณก็รู้นี่" "จะรู้ได้ยังไงถ้าคุณไม่บอก" ไม่พูดเปล่ายังแกล้งรั้งเอวสอบขึ้นบดเบียดกับสะโพกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นของตนจนร่างโปร่งเกร็งสะท้าน "กุมภ์!" หันมาดุเสียงเขียวหากนัยน์ตาหวานฉ่ำด้วยแรงปรารถนาที่ยากจะทานทน จนคนที่นำเกมอยู่อดใจไม่ไหวเผลอฝืนแรงสอดกายเข้าจนสุด ใบหน้าขาวเชิดขึ้นพร้อมกับกดเล็บจิกท่อนแขนแกร่งจนเลือดไหลซิบ แทนที่จะเป็นสัญญาณเตือนให้พอกลับกระตุ้นให้เขาขยับแทรกเข้าไปข้างในให้ลึกที่สุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนยากจะหยุดเหมือนพายุหิมะที่พัดโหมกระหน่ำกระทบกระจกหน้าต่างหัวเตียงจนสั่นไหว ร่างโปร่งเกร็งต้านแรงอีกครั้ง ฟันกัดลงบนกลีบปากจนแดงก่ำ กุมภ์รั้งใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อผุดพราวทั้งที่อากาศเย็นเฉียบขึ้นมาจูบซับความเจ็บปวดให้เหลือแต่ความเสน่หา ในขณะที่ฝ่ามือซึ่งครอบครองจุดร้อนรุ่มขยับรุนแรง เขาจ้วงโจนเข้าใส่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนลมหนาวสุดท้ายจะปลิวผ่านไปเหลือเพียงไออุ่นที่ของอ้อมแขนที่โอบรัดร่างคนสองคนเอาไว้บนเตียง "ตกลงคุณจะไปไหน" กุมภ์ถามคนที่นอนหนุนอยู่บนอกเขาต่างหมอน พระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นสูงแล้ว ลีมาเคาะประตูเรียกไปกินข้าวเช้าสองครั้งแล้วแต่เพราะอีกคนยังไม่ตื่นและผิวเนื้อที่แนบสนิทนั้นก็อุ่นเกินกว่าจะผละจากไป กันย์พลิกหน้ากลับมาเล็กน้อย นัยน์ตาบวมช้ำข้างหนึ่งยังปรือปิดด้วยความง่วงงุน "ที่ไหนก็ได้ที่คุณอยากให้ผมไป" ตอบสั้นๆ ก่อนจะทิ้งศีรษะลงซบตามเดิมและใช้ปลายจมูกไซร้เบาๆ ไปบนอกกว้างเมื่อมือใหญ่เอื้อมมารั้งปลายคางเชิดขึ้นรับจูบรับอรุณ “ตื่นได้แล้วครับ” เม้มกลีบปากเล่นอย่างอ้อยอิ่งพร้อมกับยกหัวเข่าข้างหนึ่งขึ้นแทรกกลางระหว่างขา เกร็งกล้ามเนื้อแข็งถูไถกับอุ่นอ่อนไหวของอีกคนที่เพิ่งสงบไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนให้กลับร้อนขึ้นมาอีกครั้ง “ผมJet lag อยู่นะ” “ก็กำลังช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีอยู่นี่ไง” “ไม่เอาตรงนั้นเดี๋ยวคนอื่นเห็น” เสียงทุ้มเครือเบาๆ เพราะคนตื่นแล้วเริ่มอยู่ไม่สุข นอกจากฝ่ามือซุกซนจะเริ่มไต่ไปทั่ว ยังแกล้งงับซอกคอเขาเล่นจนเป็นรอยแดงจางๆ “พูดแบบนี้แสดงว่าตรงที่ไม่เห็นก็ได้สินะ” พร้อมกับพลิกตัวกลับรวดเร็วกดร่างโปร่งลงบนเตียงใช้สองแขนคร่อมไว้ไม่ให้หนีไปไหน พลางพิศดูร่องรอยที่เขาทำไว้เมื่อคืนจนคนหน้าคนถูกมองเริ่มขึ้นสีก่อนจะซุกหน้าลงกลางอกแล้วขโมยชิมรสหวานของผิวเนื้อนั้นอีกครั้ง “กุมภ์... ไม่...” “เลิกพูดแบบนั้นได้แล้ว” กุมภ์ปล่อยยอดอกจากการครอบครองแล้วเคลื่อนตัวลงต่ำ “ไม่ ของคุณน่ะมันแปลว่า ใช่ สินะ คนปากไม่ตรงกับใจ” “ผม...” ลมหายใจเริ่มขาดห้วงเมื่อปลายลิ้นอุ่นแตะลงบนผิวเนื้ออ่อนตรงต้นขาด้านในก่อนริมฝีปากจะผละไปทำเช่นเดียวกับอีกข้าง ในขณะที่ขบเม้มสลับกันไปมาก็ค่อยๆ คลืบคลานเข้าสู่ส่วนกลางลำตัวมากยิ่งขึ้นจนกันย์เกือบลืมหายใจ ได้แต่ใช้ฝ่ามือสอดเข้าใต้เรือนผมนุ่มและขยำอย่างไร้สติเมื่อเสียงกุกกักดังขึ้นที่หน้าประตู “พี่คะ ทานข้าวค่ะ” “น้องคุณมา” กันย์บอกเสียงพร่าพยายามจะกระถดตัวออกห่างแต่ไม่อาจหนีพ้นมือใหญ่ที่กอบกุมสะโพกไว้แน่นได้ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ไป” กุมภ์กระซิบพร้อมกับยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเตรียมจัดการให้ถนัดถนี่ ไฟจุดมาถึงขั้นนี้แล้วเขาคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ “คุณอย่าเสียงดังก็พอ” แต่ดูท่าคนหน้าประตูจะไม่ยอมรามือง่ายๆ “ตอนนี้เที่ยงแล้วนะคะ พี่ไม่สบายหรือเปล่า” หญิงสาวรัวมือเคาะลงบนบานประตูด้วยความเป็นเป็นห่วงด้วยว่าพี่ชายเพียงคนเดียวไม่เคยตื่นสายมาก่อนและนี่ก็การมาปลุกครั้งที่สามแล้ว “พี่กุมภ์!” คนเป็นพี่ทิ้งตัวลงบนบ่าลาดอย่างยอมแพ้ในที่สุด เช่นเดียวกับกันย์ที่ยกมือขึ้นปิดหน้าเหมือนเป็นการดับไฟที่กำลังพัดโหมให้มอดสนิทในทีเดียว “เดี๋ยวพี่ออกไป” เขาหันไปตะโกนตอบเร็วๆ ก่อนจะหันกลับมาดึงมือเรียวที่เกาะกุมหน้าผากไว้แน่นออก “ไว้ค่อยมาต่อคืนนี้ละกัน” พร้อมกับกดจูบหนักๆ เข้าข้างขมับเป็นการมัดจำไว้ก่อนจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ********************************************************************************************* nc วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #นักจิตวิทยาไม่ได้กล่าวไว้
ค้างอะ!!!! o13
:ling3: ค้างค่ะค้าง!!!
เร่าร้อนกันจริงเชียว
:hao6: :hao6: น้ำลายหกเลยอะ
ค้างจริงๆ 5555
อย่าทำแบบนี้ มาต่อเลย 5555555 ค้างทั้งคู่เลยเนี่ย ทั้งสองหนุ่มกับคนอ่าน ดูท่าแววสดใสกำลังมา
เข้ามารอด้วยคน :z1:
ค้างหนัก
ก่อนอ่านต่อขอพื้นที่เล็กๆ ให้คนเขียนนี้ดนุงนะคะ เพิ่งมานั่งอ่านชัดๆ คืออายมากกับคำผิดที่ไม่น่าให้อภัยกับความไม่สมูทหลายๆ จุด น้อมรับความผิดทุกอย่างค่ะ พอดีเรื่องนี้เป็นพล็อตสั้น เป็นนิยายที่เราแต่งในมือถือ พยายามเช็คแล้วแต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ขอโทษจริงๆนะคะ ******************************************************** นัยน์ตาหวานพยายามไม่เหลือบดูพี่ชายต่างมารดาสลับกับชายหนุ่มที่นั่งกินข้าวอยู่เคียงข้าง ร่างสูงโปร่งในชุดลำลองเสื้อยืดขาเกงขายาวดูน่ามองแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอสนใจ รอยริ้วสีแดงเล็กๆ ตรงใต้แนวกรามนั่นต่างหากที่ให้เธอต้องก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย แถมเจ้าตัวยังไม่รู้สึกเสียด้วยในขณะที่เจ้าพี่ชายตัวดีนั่งอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างไม่เกรงใจน้องสาวคนนี้บ้างเลย "ข้าวอร่อยดีนะ" กันย์พยายามทำลายความเงียบแปลกๆ ที่โอบรอบโต๊ะอาหาร "เธอทำเองหมดนี่เลยเหรอ" ไม่ได้กล่างเกินจริงเพราะถึงจะเป็นอาหารไทยง่ายๆ แต่ก็ถึงรสและครบเครื่องตำรับไทยแท้ๆ อย่างแกงจืดเต้าหู้ไข่ก็หอมน้ำปลาไม่ใช่ซีอิ๊วขาวและมีกระเทียมเจียวสีหลืองกรอบโรยหน้า "โดยเฉพาะไข่เจียว" บอกพลางใช้ช้อนจิ้มไปที่กลางแพไข่หน้าตาคล้ายๆ ชะอมทอดแต่มีผักหลากชนิดกว่าทั้งต้นหอม พริกซอย และปลาหมึก สองพี่น้องหลุดหัวเราะพรวดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย "หัวเราะอะไร" "เขาเรียกพาจอน" กุมภ์บอกทั้งที่ยังมีอาหารเต็มปากด้วยซ้ำ "และอันที่จริงมันก็เป็นพิซซาเกาหลีด้วยไม่ใช่ไข่เจียว... นี่แสดงว่าเธอยังต้องพัฒนาฝีมืออีกเยอะนะลี แบบนี้เป็นเจ้าสาวไม่ได้หรอก" "แหม พี่กุมภ์ล่ะก็" น้องสาวค้อนขวับใส่พี่ชายก่อนจะหันไปช่วยตักพาจอนใส่จานให้กันย์ "ปกติพี่แอนดี้เขาก็บอกว่าอร่อยนะ" "เขาโกหกเธอน่ะสิ" "พี่กุมมม...ภ์!" "ไม่ต้องเรียกเสียงดังพี่ยังไม่แก่หูไม่ตึงยัยตัวแสบ" "แล้ววันนี้พี่กุมภ์จะพาเพื่อนไปเที่ยวไหนคะ" "ยังไม่รู้เลยรอเจ้าตัวตัดสินใจ เรื่องมากอยู่นั่นแหละ" "อ้าวคุณ ไหงมาโบ้ยกันงี้ล่ะผมก็บอกแล้วไงว่าที่ไหนก็ได้ตามใจคุณน่ะ" "ไอ้ 'ที่ไหนก็ได้' นี่มันอยู่ตรงไหนในเกาหลีเหรอลี" "หนูรู้จักแตาประตูไปที่ไหนก็ได้ของโดเรมอนน้า... แต่ถ้าอันนั้นก็อยู่ญี่ปุ่นนะคะ" กัปตันหนุ่มค้อนขวับ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเหลือเกินนะสองพี่น้องคู่นี้ "เดินทางดีๆ นะคะ" ลีโบกมือลาชายหนุ่มทั้งสองที่หน้าประตู ดูเหมือนในที่สุดพี่ชายของเธอก็ตัดสินใจได้ว่าจะพากันย์ไปที่ไหน "ไปนะ เดี๋ยวกลับค่ำๆ" "อ๊ะเดี๋ยวก่อนค่ะ" หญิงสาวร้องขึ้นก่อนจะกลับหลังหันวิ่งหายกลับเขาไปในบ้าน และกลับมาพร้อมกับผ้าพันคอไหมพรมผืนหนานุ่มสีครีม "นี่ค่ะ" กันย์เสหันไปมองน้ำค้างบนยอดใบไม้ประดับหน้าเกสเฮาส์ที่กลายเป็นน้ำแข็งประกายใสเพื่อหนีจากภาพบาดตาตรงหน้าเมื่อความนุ่มอุ่นสัมผัสผิวแก้ม "เอ่อ... ขอบคุณนะครับ" ตอบอย่างเคอะเขินพร้อมกับค้อมศีรษะให้ก่อนจะเดินตามหลังร่างสูงออกไปตามทางเดิน "น้องคุณ... ลีน่ะ... ก็น่ารักดีนะ" "ไม่น่าจะใช่นะ" รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จุดขึ้นบนมุมปากไกด์หนุ่ม "ยัยนั่นน่ะอายแทนคุณต่างหาก" "อะไร?" "ก็... นี่ไง" กุมภ์เขยิบเข้ามาใกล้และใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางดึงร่นขอบผ้าพันคอลงก่อนจะไล้ปลายนิ้วเบาๆ ไปตามแนวกราม "ขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้ชัดขนาดนี้" แก้มขาวซับสีเลือดฝาดขึ้นทันที กันย์ขยับตัวหนีเล็กน้อยพร้อมกับดึงผ้าพันคอขึ้นปิดรอยคิสมาร์สไว้เหมือนเดิม... ก็สงสัยอยู่ ว่าทำไมถึงหน้าแดงแปลกๆ ที่แท้ก็เพราะไอ้นี่เองเหรอ... เห็นดังนั่นคนตัวสูงกว่าก็อดรั้งเอวสอบเข้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหูไม่ได้ "ก่อนมันจะจาง คืนนี้ผมจะทำรอยใหม่ให้นะ รับรองว่าไม่ใช่จุกที่เห็นชัดแบบนี้แน่นอน" แกล้งงับเบาๆ ที่ติ่งหูครั้งหนึ่งก่อนจะดึงตัวกลับไปยืนที่เดิม อาศัยจังหวะที่กันย์ยังทำอะไรไม่ถูกตีเนียนคว้ามือมากุมและดึงให้เดินเคียงข้างกันไปบนถนนที่ปูพรมหิมะสีขาวนวลซึ่งตกหนักมาทั้งคืนและเพิ่งหยุดตอนใกล้รุ่งสาง แสงอาทิตย์ต้องเกล็ดใสละเอียดเป็นประกายระยิบระยับแต่ในสายตาของเขามันกลับสวยไม่ได้ครึ่งหนึ่งของรอยยิ้มมุมปากของคนที่เดินมาด้วยกัน ********************************************************* จบแล้ว ไม่ติดค้างกันแล้วนะคะสำหรับตอนนี้555 ไว้เดี๊ยวจะมาเฉลยนะคะว่าสองหนุ่มเค้าไปไหนกัน ตอนนี้ชักลังเลล่ะ เรื่องมันชักลากยาวไปทุกที แต่ถ้าแต่งต่อตามคอนเซปต์ของเรื่องมันจะดราม่าหนักนะ... หรืออยากอ่านแบบหวานๆ กันคะ???
เอ่อออ โหวตขอหวานๆค่ะ ตอนนี้ขาดน้ำตาลในเลือดอย่างหนัก :ling1:
:pig4:
หน่วงนิดๆ หรือหนักๆดีเนี้ยยยย 5555 แต่ ณ ตอนนี้ก็มีความสุขดี แล้วหวังว่ากุมภ์กันย์จะมีความสุขต่อไป หวานยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่เอาเศร้านะ~~
อย่าดราม่าเลย สงสารกันย์
Special part 2 ทั้งสองเดินลัดเลียบไปตามถนนสายแคบก่อนจะตัดเข้าสู่ท้องถนนใหญ่ "ตกลงคุณจะพาผมไปไหน" กันย์ถามอย่างฉงนเมื่อไกด์หนุ่มพาเขาลงที่สถานีเมียงดงซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่และพาเดินผ่านปะตูทางออกที่2 มาหยุดลงหน้าป้ายรถเมล์ "กลัวที่จะไปกับผมเหรอ" "เปล่า" กันย์ตอบพลางมองไปตามทางบนท้องถนนที่รถราวิ่งขวักไขว่ไม่แพ้การจราจรในกรุงเทพ "แต่กลัวหาทางกลับไม่ถูก ผมไม่รู้คุณจะทิ้งผมแล้วหนีกลับมาหาน้องสาวสุดที่รักเมื่อไหร่" คำพูดคล้ายประชดแต่แท้จริงเพียงแค่ตัดพ้อ เมื่อเขาทำใจแล้วว่าไม่มีทางขึ้นเป็นที่หนึ่งในใจคนตรงหน้า "ไม่ทิ้งหรอก" เสียงกระซิบผ่านริมฝีปากเบาๆ กันย์เบือนสายตากลับมามองเนิบช้า ไม่อาจอ่านความนัยในนัยน์ตาคู่สวยตรงหน้าจึงทำได้แค่เอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงถาม "ดูนั่น" กุมภ์พยักเพยิดไปทางคู่รักข้างกาย ฝ่ายชายรั้งเอวหญิงสาวแนบอกก่อนจะโอบตัวเธอด้วยโอเวอร์ของตนเพื่อซ่อนให้พ้นจากลมหนาวซึ่งหอบเอาหิมะโปรยลงมา ก่อนหญิงสาวจะเอื้อมมือไปโน้มคอลงมาจูบเบาๆ เป็นการขอบคุณ เพราะการแสดงความรักอย่างเปิดเผยเป็นเรื่องที่เห็นจนชินตาจึงยิ่งทำให้กันย์สงสัยหนักขึ้นไปอีก "ความรักเป็นเรื่องสวยงามของคนที่นี่แต่ไม่ใช่สำหรับเพศเดียวกันที่แทบจะถือเป็นเรื่องต้องห้ามยิ่งกว่าเมืองไทยเสียอีก" หัวคิ้วขมวดมุ่น "ถ้าตรงนี้มีเราแค่สองคนผมจะจับคุณจูบจนกว่าคุณจะแน่ใจว่าผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไปไหน" เพราะหิมะเริ่มตกอีกครั้งจึงช่วยกลบเกลื่อนแก้มขาวที่เริ่มซับสีเลือดฝาดจากเลือดลมสูบฉีดว่าเกิดจากความหนาว แต่ถึงอย่างนั้นกันย์ก็ยังก้มหน้าฝังลงในผืนผ้าพันคอนุ่ม เพียงอึดใจรถเมล์สาย02ก็วิ่งเข้ามาจอดเทียบ กุมภ์รั้งต้นแขนเขาขึ้นรถตามคนอื่นๆ โชคดียังมีที่ว่างสองที่ริมหน้าตรงเบาะหลังสุด ไกด์หนุ่มดันหลังคนไม่เคยเที่ยวเข้าไปนั่งติดหน้าต่างก่อนจะเบียดตัวนั่งลงข้างๆ การเดินทางด้วยรถเมล์เป็นไปอย่างเรียบง่าย หิมะที่ตกหนักตั้งแต่เมื่อคืนทำให้สองข้างทางถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีขาวแวววาวสะท้อนแสงอาทิตย์ กันย์พยักหน้าเป็ระยะกับการบรรยายประวัติศาสตร์ของสถานที่ต่างๆ พลางหันมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างเมื่อตึกสูงเริ่มเปลี่ยนเป็นต้นไม้ เขานั่งฟังเสียงเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ ราวกับไม่สนใจ อันที่จริงเขาก็แทบไม่ได้ฟังเลยสักนิดหรือต้องเรียกว่าไม่รู้เรื่องมากกว่า เมื่อคนที่นั่งข้างๆ แอบวางมือประกบลงบนหลังมือเย็นเชียบของเขาเพื่อแบ่งบันอุณหภูมิกายส่งผ่านความร้อนไปถึงหัวใจ เส้นทางลาดชันเรื่อยๆ เมื่อไต่ขึ้นเนินเขา จนในที่สุดสองข้างทางก็เปลี่ยนเป็นแมกไม้โดยสมบูรณ์มองเห็นตัวเมืองอยู่ไกลลงไปเบื้องล่าง รลเมล์วิ่งจนสุดปลายสายที่หอคอยสูงใหญ่ ซึ่งต่อให้เป็นคนไม่เคยมาอย่างกันย์ก็ยังพอเดาได้ว่ามันคือ N-Seoul Tower "จากตรงนี้ต้องเดินไปอีกหน่อยนะ ไหวไหม" กุมภ์บอกเมื่อเห็นชายหนุ่มที่มาด้วยหันแหงนคอมองเส้นทางเดินเบื้องหน้าที่ทอดนำไปสู่หอคอยสูง ซึ่งดีกว่าการเดินขึ้นภูที่เมืองไทยหน่อยตรงเป็นพื้นลาดยางแต่ถ้าก้าวพลาดก็อาจกลิ้งตกไปไกลให้อับอายได้เหมือนกัน "มาถึงขนาดนี้ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะ" เดินมาได้ราว10นาทีทั้งสองก็มาถึงจุดชมวิวแรกตรงฐานหอคอยซึ่งเป็นศาลาทรงแปดเหลี่ยม "คุ้มค่าไหม" กุมภ์ถามคนที่เอาแต่กวาดตามองไปรอบๆ ไม่พูดไม่จาด้วยความตื่นตะลึงทั้งที่ยังอ้าปากหอบหายใจน้อยๆ ด้วยความเหนื่อยบวกกับอากาศที่เบาบางลง "แปลกนะที่คุณชอบหิมะทั้งๆ ที่เกิดปลายฤดูฝน" กุมภ์ตั้งข้อสังเกตเพราะตอนที่พาไปดูดอกซากุระยังไม่ตื่นเต้นเท่านี้ กันย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้ทั้งที่ภาพตรงหน้าแทบไม่ต่างกันสักนิด "คนที่เกิดฤดูหนาวแต่กลับขี้หนาวอย่างคุณไม่แปลกกว่าเหรอ" "ผมว่ามันเหงามองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวฌพลนไปหมด ไม่เหมือนฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม" "เหมือนรอยยิ้มของคุณไง" "คุณว่าอะไรนะ" "เปล่า" กันย์ส่ายศีรษะก่อนจะลดโทรศัพท์ลงและชี้มือไปเบื้องหน้าที่เป็นป่า ต้นไม้สูงใหญ่เหลือแต่กิ่งก้านปกคลุมด้วยปุยหิมะที่ทับถมกันแลดูเป็นพุ่มใบสีขาว "สีขาวน่ะสวยออก มันสงบ เยือกเย็นและมีเสน่ห์ในตัว" "เหมือนเวลาที่คุณนั่งคิดอะไรเงียบๆ" "หืม" กุมภ์อมยิ้มมุมปาก "เปล่า เล่าต่อสิ" "เหมือนปุยเมฆที่เห็นจากในเคบิน... นุ่มนวลบางเบาเวลาทุกข์หรือมีเรื่องเศร้าใจคุณก็แค่มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วโยนเรื่องทุกอย่างทิ้งลงไปข้างล่าง ให้มันกลืนหายไปกับเมฆ ให้ปุยหิมะช่วยทับถมจนไม่เหลืออะไร" "ไม่เหลืออะไรแล้วไม่เหงาเหรอ" "เหงา แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ มันสอนให้ผมเข้มแข็งเพราะถึงไม่เหลือใครผมยังเหลือตัวผมเอง" "ไปตรงโซลทาวเวอร์กันเถอะ ผมมีอะไรจะอวดคุณอีกเยอะเลย" "นั่นเขาทำอะไรกัน" กันย์พยักเพยิดไปทางโครงเหล็กทรงพุ่มคล้ายต้นคริสมาสต์เรียงรายนับสิบที่มีพวงกุญแจคล้องไว้จนเต็มล้นไปจนถึงแนวรั้วที่กั้นอยู่โดยรอบป้องกันคนตกลงไป "กุญแจ่คู่รักน่ะ" กุมภ์เฉลย "คนเกาหลีเชื่อว่าถ้ามาคล้องกุญแจที่นี่จะรักกันยืนยาวตลอดไปเหมือนกุญแจที่คล้องกันไว้" "ไร้สาระจัง" กันย์รำพึงทันทีที่ฟังจบ "เอาความรักไปผูกติดกับของแบบนั้นเนี่ยนะ แล้วถ้าเลิกกันทำยังไงล่ะ ต้องมาเลื่อยออกไหม" "ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็ยังไม่เคยลอง ว่าจะลองกับคุณนี่แหละ" ยิ้มแห้งๆ พลางชูแม่กุญแจสีฟ้าลายหัวใจสีชมูหวานแหววสองตัวที่แอบซื้อมาจากตรงเคาน์เตอร์ด้านในตอนอีกคนมัวแต่ถ่ายรูป "เอ่อ..." กันย์ขยับปากเป็นปลาขาดอากาศพยายามฮุบหาออกซิเจนช่วยชีวิต อายก็อายแต่ก็ดันดีใจจนอยากจะกระโดดคว้ากุญแจจากมือใหญ่แล้วลากตัวไปคล้องด้วยกันเดี๋ยวนั้นเลย ถึงใจจริงอยากจะคล้องโซ่รอบคอคนถือไม่ให้หนีไปไหนมากกว่าก็เถอะ สุดท้ายท้ายเขาก็ได้แต่พยักหน้าและเดินตามร่างสูงไปตรงรั้วเหล็กเงียบๆ "แล้วลูกกุญแจนี่ล่ะ" "คุณต้องมันโยนออกไปให้ไกลที่สุด จะได้ไม่มีใครหาเจอแล้วเอามาไขกุญแจของเราแยกจากกันไง" กันย์มองลูกกุญแจกดอกเล็กในมือใหญ่อยู่อึดใจก่อนกุมภ์จะกำแน่นและเขวี้ยงออกไปตกไกลท่ามกลางหมู่ไม้ "ฟ้าเริ่มมืดล่ะ คุณหนาวไหมเดี๋ยวผมไปซื้อกาแฟกระป๋องมาให้นะ" "อืม" กันย์รับคำ เขาทอดสายตามองร่างสูงเดินหายไปกับฝูงชนก่อนจะถอยฉากวิ่งกลับไปยังจุดชมวิว "รอนานไหม? อ้าว กันย์" กุมภ์เหลียวมองซ้ายขวาและยิ่งกังวลมากขึ้นเพราะในบรรดาคนมากมายที่เดินผ่านไปมาไม่เห็นแม้เงาของคนที่มองหา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกแต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้โรมมิ่งมาจึงไม่เปิดเครื่องทำให้โทรเท่าใดก็ไม่ติด จะวิ่งออกไปตามก็กลัวว่ากันย์เดินกลับมาไม่เห็นจะยิ่งหลงไปกันใหญ่ พลันนัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายขึ้นมาได้ เขายัดกระป๋องกาแฟร้อนใส่กระเป๋าและออกวิ่งสุดฝีเท้าทันที "กันย์ คุณไปอยู่ที่ไหนเนี่ย" รำพึงด้วยหัวใจที่แทบจะขาดตามแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ถ้าอากาศไม่เย็นจนติดลบคงจะได้เห็นคราบเหงื่อที่ไหลรินเป็นน้ำอาบหน้า นึกวิตกจนถึงขั้นหวาดกลัวไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดอะไรไม่ดีกับคนต่างถิ่น เขาก้มก้มเอามือยันหัวเข่าพักหอบหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นเตรียมวิ่งต่อพลันเสียงทุ้มที่อยากได้ยินมากที่สุดดังแว่วมาท่ามกลางฝูงชน "กุมภ์ ผมอยู่นี่" พร้อมกับโบกมือเรียกหยอยๆ อย่างร่าเริงโดยไม่รู้สักนิดว่าทำเขาเครียดแทบบ้าแค่ไหน จนนึกอยากต่อยสักหมัด ขายาวๆ รีบก้าวฝ่าไปหา "คุณหายไปไหนมา" ร้องถามเสียงดังจนเกือบตวาด ร่างโปร่งสะดุ้งโหยง หน้าขาวซีดกว่าปุยหิมะที่กำลังโปรยปราย พยายามสรรหาถ้อยหามาอธิบายเมื่อมือใหญ่พุ่งมา เขาหลับตาแน่นคิดว่าจะโดนทำโทษ แต่ถ้านี่เป็นการลงโทษจริงๆ เขาก็ยินยอมพร้อมใจโดนลงทัณฑ์ไปตลอดชีวิต เมื่อมันอบอุ่นและหอมหวานเสียเหลือเกิน "อย่าทำแบบนี้อีกนะ" เสียงทุ้มดังซ้ำๆ อยู่ข้างหูในขณะที่สองแขนโอบรัดรอบตัวแน่นจนแทบไม่เหลือช่องว่าง คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มเหลียวมามองและยกมือป้องปากกระซิบกระซาบ แต่นาทีนี้คนที่ปากบอกว่าถือนอกจากจะไม่สนใจยังกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีก "กลัวหรือเปล่า" ยิ่งอ้อมกอดอบอุ่นมากเท่าใด ปากคนโกหกยิ่งแข็งขืนเกินกว่าจะสารภาพความจริงเมื่อกุมภ์เชื่อจนหมดใจเรื่องเขาเป็นพวกชอบหลงทาง กันย์ยกสองมือขึ้นโอบรอบบ่ากว้างพร้อมกับซบหน้าลงบนอก ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ขอแกล้งออเซาะให้สมกับที่เป็นห่วงสักหน่อย "นิดหน่อย... แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว" เพราะปลายเสียงสั่นพร่าด้วยความรู้สึกผิดที่ยังมีอยู่นิดๆ ทำให้กุมภ์เข้าใจผิดไปกันใหญ่ มือใหญ่หนักๆ ลงบนศีรษะและแผ่นหลังช่วยปลอบขวัญ "หายไปไหนมา" "ผม..." กันย์อึกอักแต่เพราะไม่อยากสารภาพผิดจึงยอมล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อโค้ท แบออกตรงหน้า เผยให้เห็นลูกกุญแจสีเงินดอกหนึ่ง "คุณไปหาไอ้นี่มาเหรอ" "ไม่เชิงหรอก... คุณปามันเข้าป่าไปแบบนั้น ผมเลยไปที่เคาน์เตอร์ถามหากุญแจแบบเดียวกันเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ผมเลยเสียเวลาไปเยอะ แล้วเขาก็ไม่ยอมแยกขายด้วย ผมก็ต้องซื้อทั้งเซ็ตแล้วขึ้นไปลองไขดูว่าจะใช้ได้หรือเปล่า" "คุณทำแบบนี้ทำไม ไม่อยากอยู่กับผมเหรอ" เสียงของกุมภ์แตกพร่า ทั้งที่เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายเดินหนีมาตลอดแต่ทันทีที่ยอมฟังเสียงของหัวใจ เขาก็ไม่อาจปล่อยมือคนตรงหน้าให้หนีไปไหนได้อีกแล้ว "อยากสิ" เสียงของกันย์แปร่งปร่าทว่าหนักแน่น "แต่ผมอยากให้คุณเก็บไว้ วันนี้คุณอาจไม่พร้อมจะไป แต่ถ้าสักวัน... เมื่อวันที่คุณอยากออกเดินทางอีกครั้งมาถึง คุณจะได้ใช้มัน..." พูดได้เท่านั้นเมื่อคำพูดถูกดูดกลืนผ่านกลีบปากที่พุ่งเข้าครอบครองโดยไม่ทันตั้งตัว กันย์ขัดขืนเพราะคนรอบข้างเริ่มหันมามองจริงจัง แต่เพราะลิ้นอุ่นที่พยามเข้าเกี่ยวกระหวัดทำให้หมดสิ้นเรี่ยวแรงจะต้านทาน และทันทีที่ปลายลิ้นสัมผัสกัน ก็รู้สึกเหมือนร่างของเขาลอยขึ้นในอากาศทั้งที่ฝ่าเท้ายังแตะพื้นจนต้องใช้สองมือสอดเข้าใต้เรือนผมนุ่มรั้งหลังคอหนาในขณะที่อีกมือรวบกำเสื้อเชิ้ตไว้แน่น ริมฝีปากที่แทบหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวค่อยคลายออกก่อนจะประกบเข้าหากันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมีแม่เหล็กดึงดูดเข้าหากัน นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งก่อนกุมภ์จะกระซิบผ่านริมฝีปากที่ยังคลอเคลียไม่ห่างจนละไอควันสีขาวจากปลายจมูกของทั้งคู่ม้วนเป็นวงลอยขึ้นสูง "ต้องให้ย้ำอีกไหมว่าจะไม่ทิ้งคุณไปไหน เชื่อผมสิกันย์" "ผมไม่เชื่อคุณหรอก" บอกผ่านริมฝีปากที่แดงชื้นจากแรงบดขยี้ "แต่ถ้าคุณอยากจะย้ำอีกสักทีผมก็พร้อมจะฟังนะ" "หลายๆ ทีก็ได้" รอยยิ้มจุดขึ้นบนมุมปาก กุมภ์ใช้สองมือโอบอุ้มใบหน้าให้เชิดขึ้นก่อนจะไล้ปลายนิ้วไปตามพวงแก้มออกสีแดงระเรื่อแล้วเคลื่อนเข้าไปใกล้ กันย์หลับตารอรับจุมพิตแต่ปลายจมูกโด่งกลับลากไปหยุดที่ริมติ่งหู "แต่ไม่ใช่ที่นี่... กลับบ้านกันเถอะครับ ผมอยากทวงมัดจำที่ติดไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า" "จะมาไม้ไหนอีก" กันย์ถามคนที่ไม่พูดไม่จาดึงมือวิ่งลงเขาโบกรถแท๊กซี่กลับบ้าน พอมาถึงปิดประตูได้ก็ผลักลงนอนบนเตียงจับถอดเสื้อโยนทิ้งพื้น แต่แทนที่จะจ้วงโจนเข้ามาเหมือนเมื่อคืนกลับประกบจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลีบปากแทบช้ำก่อนจะซุกซนลงไปฝังจมูกกลางหน้าอกแล้วขบเม้มเล่นจนยอดแข็งคัดสู้ปลายลิ้นและยังคงทำอยู่อย่างนั้นสลับไปมาทั้งสองข้างโดยไม่ยอมแตะต้องที่ใด ก่อไฟร้อนให้สุมทรวง ทั้งกำทั้งบิดผ้าปูที่นอนจนจะขาดติดมือขึ้นมาอยู่รอมร่อ "เมื่อคืนผมแกล้งคุณมากไปหน่อย วันนี้เลยจะชดใช้ให้" ตอบทั้งๆ ที่ยังไม่ยอมปล่อยจากการครอบครอง "ตรงไหนกันที่เรียกว่าชดใช้" "คุณก็รีเควสมาสิ ผมจะยอมตามใจคุณทุกอย่างเลย" "คนขี้โกง" เงยหน้าขึ้นมองฝ้าเพดานผ่านม่านน้ำที่เกาะพราวริมขนตาพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากเมื่อร่างสูงแกล้งงับแรงๆ ข้างซอกคอที่เริ่มจางจนเป็นรอยจ้ำแดงขึ้นมาอีกครั้ง "โกงตรงไหนกัน... ว่ายังไงครับบอกมาสิอยากให้ผมทำยังไง อยากให้สัมผัสตรงไหนครับ" คำถามไร้เดียงสาแต่กลับทิ้งตัวพาดทับกลางหว่างขาแล้วขยับบดเบียดสะโพกแข็งแรงที่ยังไม่ถอดกางเกงออกไปมา "ก็ทำตรงที่คุณอยากทำน่ะแหละ" "งั้นผมก็อยากทำแต่ตรงนี้" กุมภ์ใช้นิ้วหัวแม่โป้งเค้นคลึงเบาๆ ไปบนยอดอก "เพราะมันน่ารักดี" แต่กันย์กลับสะท้านเกร็งไปทั้งร่างและยอมหลุดถ้อยคำแสนอายออกมาในที่สุด "มะ... ไม่ได้มีแต่ตรงนั้นสักหน่อยที่น่ารัก" "แล้วยังมีตรงไหนอีกครับ" "ขะ...ข้างล่าง ขยับลงไปอีกสิ" "ขยับลงไปแค่ไหนล่ะครับ เยอะไหม?" ริมฝีปากค่อยเคลื่อนลงต่ำเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดตรงกลางหน้าท้องแบนราบที่เป็นร่องรอยเล็กๆ "ตรงนี้เหรอ" แล้วใช้ปลายลิ้นวนไปรอบๆ "ไม่ใช่ตรงนั้นกุมภ์ อย่า มันจั๊กจี้นะ" "แล้วตรงไหนล่ะครับ ผมมันก็แค่ไกด์บ้านๆ นะถ้าไม่บอกพิกัดให้ชัดเจนก็พาคุณไปไม่ถูกหรอก... ว่าไงครับอยากลงใต้หรือขึ้นเหนือ" พอผ่านคำแรกที่แสนยากและได้หัวเราะออกมาทำให้เขามีความกล้าที่จะตอบสนองการเย้าแหย่มากขึ้น "ลงใต้" "ไกลไหม" "ไปเรื่อยๆ " "ตรงนี้มีเนินเขา ดูเหมือนจะสูงเสียด้วย ทำยังไงดีครับผมควรจะไปต่อหรือแวะพักกินน้ำกินท่าก่อน" "พักก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนหรอกผมไม่หนีคุณไปไหน" ใจจริงแค่หวังพักหายใจหาได้ทันคนกุมเกมที่จุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ลงบนมุมปาก "งั้นผมไม่เกรงใจนะ" กุมภ์ก้มหน้าลงพ่นลมหายใจอุ่นใส่จนร่างโปร่งสะดุ้งเผลอขยำหลังศีรษะแน่น ปลายส่วนอ่อนไหวลุกชูชันขึ้นราวกับยั่วให้รีบลงมือแต่เขากลับแตะปลายลิ้นสากเพียงผะแผ่วและค่อยๆ ดูดลิ้มชิมน้ำหวานที่เมื่อเริ่มจะแห้งก็กลับเอ่อล้นขึ้นมาใหม่ สะโพกคนถูกแกล้งบิดเร่าขึ้นจากเตียงจนเขาต้องสอดมือเข้าใต้ร่างประคองไว้ไม่ให้หนีไปไหน ความร้อนที่เริ่มพองแน่นเต็มปากทำให้เขาไม่คิดจะเล่นต่อเพราะส่วนของตนก็ร้อนรุ่มจนแทบระเบิดเต็มที กุมภ์สอดนิ้วเข้าช่องทางแคบเบื้องหลัง กันย์พยายามขยับออกห่างเพราะตึงแน่นแต่อีกด้านก็ติดริมฝีปาก นิ้วที่รุกรานเข้ามาเริ่มควานหาจุดกระสันสังเกตได้จากแทนที่จะบิดหนีกลับทิ้งสะโพกลงตอบรับกับมือที่กดตรึงศีรษะแน่นจนแทบหายใจไม่ออก เขาชำแรกนิ้วกลางพร้อมกับนิ้วนางตามเข้าไป อาการตอดรัดที่เริ่มถี่ทำให้รู้ว่าใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว ร่างสูงถอนริมฝีปากออกพร้อมๆ กับปลายนิ้ว ซิปกางเกงถูดรูดลงไว้แล้ว กุมภ์ขยับเข้าทาบทับและช้อนมือเข้าใต้ขาพับให้ยกขึ้นมาเกาะเกี่ยวเอวไว้ เริ่มขยับช้าๆ สองสามครั้งให้พอคุ้นชินก่อนจะเร่งจังหวะขึ้นตามอารมณ์หวามไหวที่ไม่อาจหยุดได้จนกว่าจะดำดิ่งลงให้ลึกที่สุด ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นบางสั่นระริกคล้ายร้องขอให้พอ หยาดน้ำใสผสมเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวไหลอาบแก้ม กันย์ต้องใช้ทั้งสองมือปิดปากพร้อมกับเบือนหน้าฝังลงบนหมอนเพื่อหนีเสียงเสียดสีที่ทั้งที่กลัวจับใจว่าจะมีใครมาได้ยินแต่ร่างกายกลับยกขึ้นตอบรับการสอดแทรกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ละอาย "เอามือลงสิครับ ขอผมเห็นหน้าคุณหน่อย" เสียงสั่นเทิ้มกระซิบข้างหูพร้อมกับมือใหญ่แกะมือที่เกาะกุมหน้าออก เขาฝังหน้าลงซุกข้างเตียงเพื่อกลั้นเสียงสุดท้ายที่จวนเจียนจะเล็ดลอดออกมา เมื่อกุมภ์บีบเข้าที่ปลายคางแล้วกดริมฝีปากหยักลึกปิดลงขโมยมันออกไป สองมือละจากขยุ้มที่นอนแล้วโผเข้ากอดรับความรักท่วมท้นที่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ริมฝีปากคลี่ยิ้มละมุนเมื่อเฝ้ามองคนที่หลับสนิทอยู่บนหน้าอก เขาใช้หลังมือเกลี่ยเบาๆ ไปตามผิวแก้มนิ่มก่อนจะอดใจไม่ไหวต้องผงกศีรษะขึ้นขโมยหอมฟอดใหญ่ๆ จนคนหลับต้องพลิกตัวหนีลงไปนอนบนหมอนอีกใบ กุมภ์หัวเราะหึหึลงคอกำลังจะขยับตัวตามไปแต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความหาน้องสาวสุดที่รักก่อนจะโยนเก็บที่เดิม สายลมหอบหิมะมากระทบหน้าต่างจนสั่นกราวพาให้ขนแขนชูชันทั้งที่ในห้องเปิดฮีทเตอร์จนอุ่น เขารีบสอดแขนเข้าใต้ร่างโปร่งแล้วรั้งมากอดแนบอก เมื่อคนในอ้อมแขนพลิกตัวกลับมากอดตอบ กุมภ์ก็รู้ว่าลมหนาวไม่อาจกล้ำกรายได้อีกต่อไป บนที่นอนนุ่มในห้องที่อยู่ตรงกันเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้น มือบางเอื้อมเปะปะออกมาจากโปงผ้าคว้าโทรศัพท์จากโต๊ะข้างเตียง แสงไฟจากหน้าจอสว่างวาบอยู่อึดใจก่อนหญิงสาวจะโยนมันออกมาสไลด์ไปหยุดข้างกรอบรูปใบหนึ่ง เธอในวัยเด็ยแย้มยิ้มสดใสในขณะที่เด็กชายที่ยืนอยู่ข้างกันกอดอกหน้าตาบูดบึ้ง "ไอ้พี่บ้า! ทำคนอื่นเขานอนไม่หลับแล้วยังมีหน้าส่งข้อความแบบนั้นมาอีกนะ" แสงไฟหน้าจอยังติดอยู่อีกครู่หนึ่งแสดงข้อความที่เปิดค้างไว้ก่อนจะดับลง [พรุ่งนี้ไม่ต้องมาปลุกนะ] ********************************************************* เห็นทีคงต้องงดดราม่าสักพัก รู้สึกว่าสองคนนี้งอนกันทีไรคนเขียนเหนื่อยตลอด555 ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์และการติดตามนะคะ
ขอบคุณ... สำหรับตอนพิเศษค่ะ ค่อยหม่นน้อยลงหน่อย :pig4: :pig4: :pig4:
ตอนพิเศษนี้คือดีอ่าา ชอบๆๆๆๆ ยังหวังว่าจะมีความสุขแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากเห็นกุมภ์กับกันย์มาม่าเลย~
ช่วงแรกอ่านแล้วหน่วง ๆ แต่จบได้น่ารักมาก ๆ ครับ
ค่อยยังชั่วหน่อย กันย์ได้ทีความสุขบ้าง เอาไว้ยาใจตอนดราม่ามาเยือน
ตอนแรกไม่ชอบกุมภ์เลย เข้ามาเพื่อทำให้กันย์เสียใจชัด ๆ บทจะตัดเยื่อใยกันก็เล่นเอาซะสะอึกตาม แต่ชอบกันย์มาก ๆ ตรงที่สู้ไม่ถอยเนี่ยแหละ ฮื่อออ ดีนะที่ใจตรงกัน อย่างน้อยถ้าวันหน้าจะดราม่า ก็ยังมีความทรงจำดี ๆ ให้นึกถึงเนอะ
อ่านไปก็ลุ้นไป ว่าเรื่องจะไปจบลงตรงไหน ดีใจที่ตอนนี้ทั้งสองคนยังเดินไปด้วยกัน
อ่านไปหน่วงไป แต่จบน่ารักอ่ะ ขอตอนพิเศษน่ารักๆแบบนี้อีกได้มั้ยคะ?? อีกอย่าง ถ้าจะง้อแบบนี้ งอนกันบ่อยๆก็ดีนะะะ :hao7: :hao7: :hao7:
ตามอ่านทุกเรื่องของคนเขียนเลยค่ะ ประทับใจจากเรื่องของพี่วินทร์กับฮาร์ฟมากก เลยหาเรื่องอื่นๆของคนเขียนมาอ่านน เรื่องนี้น่ารัก แอบมองกันไปมา และสุดท้ายก็ได้รักกัน แถมรักกันลั่นบ้าน น้องเนิ้งไม่ได้นอนกันไป อยากไปเที่ยวเกาหลีบ้างเลยอ่ะ
ใช่อ่านทุกเรื่องเลย.....รอตอนพิเศษของทุกเรื่องเหมือนกัน...... :mew1: :mew1:
ชอบที่กันย์ขี้เซา หลับตรงไหนก็ได้ ฮือออ น่ารัก เราอยากอ่านอะไรหวานๆ ค่ะ ร่างกายต้องการน้ำตาลหนักมาก แต่คิดว่าถ้าได้อ่านพาร์ทดราม่าก็ดีเหมือนกัน บอกตรงๆ ว่าถึงตอนนี้มันจะดี แต่ก็ยังกลัวใจกุมภ์อยู่ หัวใจคนอ่านยิ่งอ่อนแออยู่ด้วย แง้