พิมพ์หน้านี้ - [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: BaoBao ที่ 15-03-2015 22:01:30

หัวข้อ: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 15-03-2015 22:01:30
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

อ่านก่อน ชั่งใจ
เรื่องที่เป็นอักษรตัวสีชมพู คือ แนวน่ารักไม่ปวดใจ
เรื่องที่เป็นอักษรตัวสีม่วง คือ แนวเจ็บปวดหน่วงหัวใจ
เรื่องที่เป็นอักษรตัวสีเขียวฟ้า คือ แนวที่จัดอารมณ์ไม่ได้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เรื่องสั้น

 [หึง & ง้อ]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32258.0)
 [ข้างๆ]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32730.0)
 [บังเอิญ]… ณ โรงพยาบาล  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34345.0)
 [อย่าเงียบสิวะ!]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34200.0)
 [แค่นี้ได้มั้ย?]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34200.30)
  [บังเอิญ]… คำบางคำกับช่อดอกไม้   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37207.msg2319691#msg2319691)
ซีรีย์สั้นกุด [บังเอิญ]...คน (ไม่) รู้จัก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43183.msg2778253#msg2778253)
ซีรีย์สั้นกุด คำ บ า ง คำ [Silence speaks...]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39086.msg2471624#msg2471624)

เรื่องกึ่งสั้น-กึ่งยาว
 [แอบ]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32607.0)
 [สองก้าว]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32258.msg1903406#msg1903406)
 [เวลา]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32382.0)
 [รู้แล้ว]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33130.msg1981862#msg1981862)


เรื่องยาว
 [กระดาษ]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32535.0)
 [กระซิบ]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32646.0)
 [บอก]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32646.msg1970179#msg1970179)
 [บังเอิญ]… สวนทาง   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34952.0)


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 15-03-2015 22:06:22
[ที่รัก]
๑.


พายกระทบผิวน้ำดังเป็นจังหวะ ก้องอยู่ในบรรยากาศเงียบสงัดของคืนจันทร์เสี้ยว เสียงค้างคาวกระพืบปีกออกหากินในยามกลางคืนลอยมาเป็นช่วงๆ ด้านหน้าบ้าง ด้านหลังบ้าง

เพราะเป็นข้างแรม อีกสองวันจึงเข้าคืนเดือนมืด หากไม่มีตะเกียงเจ้าพายุที่หัวเรือแล้วนั้น คนพายคงไม่ต่างตาบอดพายเรือ พายไปโดยไม่รู้ทิศทาง

“เป็นใบ้รึ ขาม?”

คนที่เอ่ยถามนั่งขัดสมาธิหลังตรงอยู่กลางลำเรือ ยามอยู่ในแสงสว่างดูเจิดจ้า แม้นอยู่ใต้ผืนฟ้าราตรียังโดดเด่น เด่นมิใช่จากรูปร่างหน้าตาภายนอก โดดเด่นจากแก่นภายใน ชื่มชมได้ไม่รู้เบื่อ

“ลิ้นกระผมยังอยู่ดีขอรับ นาย...”

ถึงเป็นนายบ่าว แต่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก การสัพยอกเล็กน้อยเมื่ออยู่กันเพียงลำพัง มิถือว่าล่วงเกินอะไร กระนั้นขามก็ยังรู้ที่สูงที่ต่ำ รู้สิ่งใดควรไม่ควร ไม่มากไม่น้อยกับนายผู้นี้

“แล้วทำไมไม่คุย รึมีเรื่องทุกข์ร้อนในใจ... มีความรัก?”


ขามกลั้นไม่ไหว พ่นลมจากปาก ขันจริงๆ “พุทโธ่ ตัวกระผมเองยังเอาตัวแทบไม่รอด จะพาใครมาลำบากทำไมขอรับ”

“ความลำบากใช่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี คนดีหายาก เงินทองหาง่าย”

ไม่ใช่แค่คนดี ความรู้ก็หายากเช่นกัน

นายผู้นี้พูดน้อย แต่นายชอบฟัง ด้วยเหตุนี้นายจึงได้รับคำชมจากพระครูทุกคน  ฟังจดจำ ใคร่ครวญ เรียบเรียง กลั่นกรอง สุดท้ายค่อยออกมาเป็นคำพูด ไม่เพียงแค่คำที่เสนาะเพราะพริ้ง โทนเสียงเรียบทุ้มนุ่มลึกยิ่งเอื้อให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ

“คนดีอดตายมีเท่าดอกหญ้า...” ขามพูดแล้วลดแรงที่จ้วงพายแหวกผืนน้ำ

แรกเริ่มเดิมทีขามตั้งใจรีบพาย จ้วงแรง เร่งลำเรือให้ล่องไปข้างหน้า ตั้งหน้าตั้งใจออกแรงพายพานายกลับบ้าน นานแล้วที่นายไม่ได้กลับ

“เป็นคนดีไม่อดตายดอก ขาม คนเลวมีกินอิ่มท้อง ใจเป็นสุขแค่ใดกันเชียว”

เพราะนายชวนคุย ขามจึงผ่อนแรงมือ ปล่อยเรือให้ไหลเอื่อย คุยเป็นเพื่อนนาย

“นายอยู่ดีมีสุขไหมขอรับ?”

รู้ว่าเป็นคนดีลำบาก ดังนั้นขามจึงเอ่ยถามนายของตนด้วยความเป็นห่วง  นายไปรับราชการไกลถึงหน้าด่าน ชายชาติทหารมิได้อยู่สุขสบายดอก ลำบากเพื่อคนที่อยู่ข้างหลัง

“เป็นห่วงก็ตามข้าไปสิ” ตรีเพชรทำเสียงขึ้นจมูก ไม่ได้โกรธแค่หงุดหงิดนิดหน่อย

“กระผะ----”

ขามยังไม่ทันแก้ตัวให้ตัวเอง นายก็แย้งขึ้นมาก่อน

“กระผมมีแม่คนเดียว นายอย่าให้กระผมต้องเลือกเลย  ฮึ๊! มีคำอื่นไหม? ข้าฟังคำนี้จนเบื่อละ”

โดนนายโมโหใส่ ใช่ทำให้ขามสลด ขามหัวเราะอ้าปากเต็มที่ มิกลั้น

เคยเถียงกันเรื่องนี้มีกี่ครั้งแล้ว ขี้เกียจนับ นายไปรับราชการเป็นสิบปีได้ ตอนนั้นนายอายุ17 ท่านลุงที่เป็นญาติฝ่ายแม่ของนายมารับตัวไปอบรมดูแลที่โน่น ความรู้พื้นฐานร่ำเรียนที่บ้านได้ แต่ไม่สามารถใช้จริงได้ทั้งหมด

เวลานั้นขามเพิ่ง 14 ย่าง 15 แม้นไม่เรียกว่าเด็ก แต่ก็ยังไม่เป็นโตเป็นผู้ใหญ่ ซ้ำทางบ้านท่านลุงของนายมีบ่าวไพร่รับใช้ไม่ขาดเหลือ ขามจึงไม่จำเป็นต้องติดตามนายไปด้วย ทั้งที่ตอนอยู่บ้านตัวเองถือเป็นบ่าวคนสนิทของนาย

ครั้นเมื่อขามอายุ 17-18 ปี จะขอติดตามไปรับใช้นายก็ได้ ทั้งนายเองยังเคยออกมาชวนหลายครั้งมาโดยตลอด เหตุหนึ่งกลับทำให้ขามตัดสินใจลำบาก เพราะความไม่ระวังของคนในเรือน ทำให้ฟืนร้อนๆ กระดอนมาโดนตาขวาของแม่ ถึงเหลือตาอีกข้าง แต่ก็หยิบจับทำอะไรได้ไม่เหมือนเดิม

พ่อเสียไปแล้วตอนขามอายุได้ 5 ขวบ ทั้งพ่อและแม่เป็นบ่าวให้กับบ้านของนายตรีเพชรตั้งแต่เด็ก เติบโต มีเย้ามีเรือน มีที่พักอาศัย มีกินทุกวัน เพราะบุญคุณจากเจ้านาย ด้วยเหตุที่เป็นบ่าวซึ่งอยู่มานาน จึงได้รับความเมตตาในระดับหนึ่ง ไม่ใช่มากมาย

ถึงพี่ป้าน้าอาในเรือนรับปากว่าจะช่วยกันดูแลแม่ให้เป็นอย่างดี ขามเสียเองที่ตัดใจไม่ลง หน้าด่านที่นายอยู่มิใช่เช้าไปเย็นกลับได้ ขี่ม้านั่งเกวียนยังไม่ใช่วันเดียวถึง บ่าวรับใช้ในเรือนเยี่ยงตน มีแต่เดินไปและเดินกลับ ห่วงอย่างเดียว กลับมาไม่ทันดูใจแม่

เหนือสิ่งอื่นใด ขามรู้ตัวดีว่าตนเป็นชายอกสามศอก แต่มิใช่ชายชาติทหาร เนื้อแท้ขี้ใจอ่อน ขี้ห่วง ขี้กังวล มีดีแค่เป็นคนดี ขยันขันแข็ง นอกนั้นไม่ดีอะไรเลย


ระหว่างที่ขามหัวเราะ นายเปลี่ยนท่านั่ง ยกขาข้างหนึ่งตั้งชันขึ้นมา เอาแขนข้างเดียวกันตามมาวางบนหัวเข่า ส่วนข้างที่กำดาบอยู่นั้น คงไว้ที่หน้าตักตามเดิม

“เอ็งเถอะ ไอ้ขาม ไหนบอกข้ามาสิ ไปทำอะไรมาถึงโดนหวายหลัง” นายถามหน้าอมยิ้ม

จากที่เดิมแหงนหน้าหัวเราะร่า ขามก้มหน้างุด เอาความอับอายซ่อนจากสายตาของนายตรีเพชร กระดากปากที่จะบอกนายว่า เอาวัวไปกินหญ้า อากาศมันดีเลยงีบหน่อย ใครเล่าจะรู้  ริมบึงน้ำใกล้พงหญ้าแถวนั้นดันมีไอ้เข้ วัวไม่ตาย ไอ้เข้ได้เนื้อต้นขาของวัวไปก้อนนึง ส่วนไอ้ขามระบมหลังจนไข้ขึ้น เพราะตัวที่โดนกัดเป็นวัวพ่อพันธ์ หวายจึงลงหลังไปเต็มๆ

“อะไรเอ็งก็ดี กินง่าย นอนง่าย ที่ไหนเวลาไหนนอนได้ทั้งนั้น...... สมน้ำหน้า!”


นายเป็นคนรอบรู้ เรื่องที่บ่าวคนสนิททำให้นายอับอาย มีหรือนายไม่ได้ข่าว

“แหะแหะ.....” ขามยกมือเกาหลังหัว หัวเราะแก้เก้อสักครู่  ก่อนเริ่มเอามือที่หยุดค้าง จ้ำพายต่อ

มัวแต่อายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเรื่องน่าอายให้นายเห็น หากเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งทำให้ขามรู้สึกผิดมาก นายจะบอกว่าทุกคนทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ขอแค่ผิดแล้วจำ อย่าทำผิดซ้ำอีก ส่วนเรื่องที่ไม่ใหญ่โตนายจะพูดว่าสมน้ำหน้า แต่ทุกคำที่นายพูดล้วนเป็นคำสอนทั้งสิ้น เตือนให้ไม่ทำผิดซ้ำเรื่องเดิม

“เอ็งกินข้าวปลารึยังละ?”

เมื่อนายถาม ขามจึงเงยหน้าขึ้น เพราะนายเปลี่ยนเรื่องคุยขามจึงยินดีเงยหน้า แววตานายดูห่วงใย ขามแอบตื้นตันใจ บ่าวเรือนอื่นเคยมาเล่าให้ฟังว่านายของบ้านตัวเองโมโหร้าย บ่าวไพร่ได้แต่กราบกรานระวังตน ไม่เพียงกลัวตาย กลัวพิกนพิการให้ชีวิตลำบากไปกว่าเดิม แต่เจ้านายของขามมิใช่

นายใหญ่ นายหญิงทุกคน ใจดี มีเมตตา แม้หงุดหงิดเอาแต่ใจบ้างก็ตามประสาของมนุษย์ มิใช่ประเภทสัตว์ร้ายห่มหนังคน นายตรีเพชรยิ่งใจดี เข้มงวดแต่ใจดี

“...ประเดี๋ยวนายพักผ่อนแล้ว กระผมค่อยจัดการตัวเองขอรับ”

ตั้งใจพานายกลับบ้าน อยู่ดูแลพัดวีจนนายเข้านอน  แล้วถึงค่อยหาอะไรใส่ท้อง ข้าวปลาไม่สำคัญเท่านายกลับมาบ้าน


“กลับไปค่อยกินด้วยกัน” ตรีเพชรบอก

“อ้าว...” ขามอุทานเสียงหลง มองหน้ายิ้มๆ ของนายอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มจ้วงพายเต็มแรงมือ

“หึหึหึ เอ็งหิวขนาดนั้นเชียว?” ตรีเพชรกระเซ้าเย้าแหย่

“....ฮึ๊ย!.... ที่ไหนเล่านาย... เฮ้อ... ป่านนี้แล้ว...จะเหลืออะไรให้นายกิน....” ขามออกแรงจ้วงพายไปพูดไป ยิ่งเหนื่อย เลยหยุดไว้แค่นั้น ไม่พูดต่อ

“ข้ากินง่าย อะไรก็กินได้ เอ็งรู้ไหม สองปีก่อน ตอนข้าไปสืบข่าวพวกรามัญ ข้ากินอยู่ยังไง?”

นายกะโอ้อวด เรื่องนี้นายภูมิใจมาก พูดได้ไม่หยุดปาก  เพราะเป็นงานลับนายจึงโอ้อวดได้น้อยคนมาก แต่สองปีแล้วนายยังเอามาพูดไม่เบื่อ ขามชักสงสัยว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ได้รู้ความภาคภูมิใจนี้ของนายหรือเปล่า?

“...นี่มันบ้าน! ...นายจะกินข้าวไก่หญ้าวัวได้ไงเล่า!...” แม้ยิ่งพูดยิ่งเหนื่อย ขามยังยอมสละเรี่ยวแรงมาแย้งนายตรีเพชร

ปรากฎว่านายหัวเราะงอหาย

เสียงหัวเราะของนายดังก้องคุ้งน้ำ ทำเอาสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่หากินกลางคืนตกใจสะดุ้งตื่นกลัว ขามสงสารพวกมันอยู่เหมือนกัน แต่การสิ่งใดที่ทำให้นายมีความสุข อารมณดี  บ่าวอย่างเขาไม่กล้าขัด

จ้ำพายพานายกลับบ้าน พร้อมอมยิ้มจนกระพุงแก้มแทบแตก 

หัวข้อ: Re: [ที่รัก]
เริ่มหัวข้อโดย: carenaka ที่ 15-03-2015 22:28:21
เดินเรื่องดีคะ รอนะคะ
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๒
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 15-03-2015 23:07:00
๒.


ข้าวเย็นของบนเรือนมักรับกันตอนตะวันคล้อยต่ำ หากเจ้านายมีเรื่องต้องบอกกล่าวพูดคุยกัน อาจเก็บสำรับเอาเมื่อฟ้ามืด


ตอนขามพายเรือออกไปรับนาย ตะวันคล้อยต่ำ สำรับกำลังยกขึ้นบนเรือน ถึงเก็บสำรับช้าแต่คงไม่ช้าถึงขนาดนี้

ตอนเรือเกือบถึงท่า นายกำชับว่าอย่าบอกใครเรื่องที่ตัวเองยังไม่ได้กินข้าว สั่งให้แอบเอาสำรับไปให้ทีหลัง เกรงใจท่านพ่อท่านแม่ต้องมานั่งรอลูกกินข้าวทั้งที่ค่ำมืดแล้ว

ขามอยากแย้งความคิดนายตรีเพชร เพราะค่ำมืดแล้ว นายถึงต้องรีบกิน แต่หัวเรือถึงท่าพอดี บ่าวคนอื่นที่มารอรับ รีบคว้าเรือไว้ พร้อมแจ้งว่า ท่านๆ รออยู่ นายลุกขึ้น ก้าวเท้าขึ้นไปบนท่า เดินตรงไปยังเรือนใหญ่แบบไม่ชักช้า

“เฮ้อ.....” ขามได้แต่ถอนหายใจยาว

“พายเรือแค่นี้เหนื่อยเรอะ ไอ้ขาม!”  อึ่งข้าเก่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ทักเสียงเข้ม

“ไม่ใช่ลุง แรงข้ายังเหลือเฟือ ให้ข้าไปผ่าฟืนตอนนี้ยังได้!” ขามยืดอกทำท่าผึ่งผาย

“งั้นมึงก็ไปผ่าสิ งานข้าพรุ่งนี้จะได้เบาลงหน่อย”  อึ่งพูดจบหัวเราะร่วน

“โอ๊ย! งานใครงานมันสิ!” พูดพลางดีดตัวขึ้นจากเรือ ผูกเชือกกับเสาท่าเรือ

“อะไรวะ พูดไม่เป็นคำพูด!”

“ลุงนี่ไม่รู้เรื่องเลย นั่นมันสำนวน...”

“สำนวนตีรวนละไม่ว่า ไอ้บ้าสำนวนเอ๊ย!” ไอ้อึ่งไม่แค่พูด ฟาดฝ่ามือใส่หัวทุยๆ ของเด็กรุ่นลูก

“โอ๊ย!” ขามยกมือลูบหัวตรงที่โดนตบ ก่อนแย้งให้เจ็บแสบ “เดี๋ยวข้าจะไปฟ้องนายตรีเพชร ว่าลุงอึ่งว่านายเป็นไอ้บ้าสำนวน! ที่ข้าพูดข้าจำมาจากนายทั้งนั้น!”

ลุงอึ่งเงื้อมือจะฟาดอีก ขามรีบโกยออกมาให้พ้นรัศมีมือคนวัยทอง เสียงลุงอึ่งด่าไล่หลังมา

คนไม่รู้อาจเข้าใจว่าไม่ถูกกัน ความจริงไม่ใช่ เป็นแค่การหยอกล้อกันของคนรุ่นพ่อรุ่นลูก


ลุงอึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อของขาม หลังจากพ่อตาย ลุงอึ่งตั้งตัวเป็นพ่อคนที่สองของขาม คอยสั่งสอน คอยดูแล  เพราะนิสัยปากยังไม่ว่ามือก็ถึงซะแล้วจึงชวนให้เข้าใจผิดได้ง่าย

ขามวิ่งตามหลังขบวนนายไปจนทัน แต่พอจะเดินไปล้างเท้าคนหนึ่งที่อยู่หลังขบวนกลับยื่นแขนมาขวางอก

“มึงจะไปไหน ไอ้ขาม?”

“ไปคอยรับใช้นายตรีเพชรสิ”

“ความวัวมึงยังไม่จาง กล้าเอาหน้าขึ้นไปให้เจ้านายเห็นรึ!... วันดีๆ แบบนี้มึงอย่าเอาหน้าขึ้นไปให้ท่านอารมณ์เสียเลย”

ไอ้ขันที่ไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่  พูดน้ำเสียงข่มขู่ก่อนลดลงในตอนท้ายประโยค ย้อนถามผสมเย้ยหยัน

กับไอ้นี่ ไม่เคยฟาดปากกันสักครั้ง แต่ชังหน้ากันเหมือนคนเคยมีเรื่องกัน

ไอ้ขันเป็นบ่าวใกล้ชิดนาย ไม่ใช่บ่าวประเภทออกแรงทำงาน  มันมีฝีมือเลยมีหน้าที่ดูแลคุ้มครองเจ้านายทั้งในบ้านนอกบ้าน มันมีอิทธิพลไม่ใช่น้อย แต่กลับยังไม่พอใจ ได้ยินว่าความฝันสูงสุดของมันคือได้เป็นบ่าวคนสนิทของนายตรีเพชร

ลุงอึ่งบอกว่าเพราะไอ้ขันอายุยังน้อยจึงมองการณ์ไกล เกาะต้นไม้ที่จะยืนต้นได้นานที่สุดในชั่วชีวิตตัวเอง แต่ต้นไม้ที่ชื่อว่าตรีเพชร กลับไม่ชอบให้มีขันประดับลำต้น หรือแม้แต่กิ่งใบ

บ่าวสาวๆ ที่ชอบพอกับไอ้ขันแอบมาเล่าให้ขามฟังว่า ขันผูกใจเจ็บขามมาก เรื่องที่ขามมีโอกาสตามไปรับใช้นายตรีเพชรที่ไปรับราชการ แต่ไม่ไป ซ้ำร้ายนายไม่ชวนบ่าวคนไหนในเรือนอีกเลย ในเมื่อว่านายไม่ได้ ไอ้ขันจึงหันมาลงกับขามแทน

“.....เออ!!”

เพราะเถียงไม่ได้ ขามจึงกระแทกเสียงใส่ไอ้ขัน แล้วเดินห่างออกจากเรือนใหญ่ เดินไปหงุดหงิดไป แต่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ขามรีบเบนเข็มวิ่งไปทางโรงครัว

นายยังไม่ได้กินข้าวเย็น แต่ดึกขนาดนี้ แม้แต่บ่าวยังกินกันแล้วไปแล้ว ไม่รู้ยังมีอะไรเหลือ...

.

.

.

.

.

.

ขามคิดไปพลางวิ่งไปพลาง คิดเผื่อกับข้าวหมดแล้วจะเอาอะไรมาทำกับข้าวให้นายกิน คิดว่าตัวเองทำกับข้าวอะไรเป็นบ้าง ให้นายกินข้าวแมวไม่ได้เด็ดขาด!

เห็นโรงครัวอยู่ข้างหน้า แต่แสงไฟที่มองเห็นกลับทยอยดับลง นั่นหมายความว่าบ่าวในครัวทำงานการเสร็จแล้ว กำลังจะกลับไปพักผ่อน

เป็นเรื่องดีที่ขามจะได้เตรียมของกินให้นายได้สะดวกโดยไม่ต้องเสียเวลาตอบคำถามใคร แต่ในความดีก็มีความไม่ดี เพราะถ้าเกิดไม่มีกับข้าวเหลือเลยจะทำอย่างไร?!

กับข้าวที่ขามมั่นใจที่สุดคือปลาเผา หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นกับข้าวอย่างเดียวที่ทำเป็นก็ได้ แล้วถ้าเกิดไม่มีปลาเหลือล่ะ?! นายมิต้องรอเขาไปจับปลาก่อนรึ!

“นั่นใครน่ะ!? ป้าชื่น มะลิ น้าช่อ...”

ขามรีบเร่งเท้า ปากร้องตะโกนเรียกกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งกำลังเดินไปคนละทางกับตัวเอง เพราะความมืดซ้ำไม่ได้ถืออะไรที่ให้แสงสว่างติดมือมา จึงมองไม่ออกว่าเป็นใคร ได้แต่ขุดชื่อออกมาจากความทรงจำ  คิดในหัวว่าใครบ้างที่น่าจะอยู่ที่โรงครัวเวลาแบบนี้

คนกลุ่มนั้นหยุดเพราะเรียกร้องเรียก

ขามใจชื้นขึ้น ดีใจที่ตัวเองไม่ต้องเหนื่อยวิ่งตาม

“แล้วมึงน่ะใคร?!”

เสียงผู้หญิงที่ฟังดูมีอายุเอ่ยถาม ทำให้ขามรู้ว่าหนึ่งในคนกลุ่มนั้นเป็นใคร

“น้าช่อ! ฉันเอง ขาม! ขาม!”

“อ้อ ไอ้ขามหรอกรึ! ไงล่ะ กลับมาแล้วเรอะ ถ้าหิวข้าวก็ไปดูในครัวโน่น กับไม่พอก็กินข้าวไปเยอะๆ” คราวนี้เป็นเสียงป้าชื่น

วิ่งไปถึงคนกลุ่มนั้น ขามยืนหอบก่อนเล็กน้อยถึงเอ่ยปากซักถาม

“....เหลือ... กับข้าว... อะไร... ” พูดไม่ออกแล้ว ลมมันตีขึ้นมาถึงหน้าอกละ

“ก็พอมึงกินดอก ไอ้ขาม” น้าช่อบอก

“มีปลาสลิดจ้ะ พี่ขาม น้ำพริกก็มี ผักไม่พอพี่ก็ไปเด็ดเอานะ” กิ่งที่เป็นลูกสาวน้าชื่นบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เพราะรูปร่างคล้ายมะลิ จึงทำให้ขามเข้าใจผิด


ไม่ว่าขัน มะลิ กิ่ง ขาม ล้วนเป็นบ่าวรุ่นๆ เดียวกัน อายุห่างกันไม่เกิน 5 ปี แต่ขามสนิทกับกิ่งมากกว่า เพราะเป็นบ่าวที่เกิดในเรือนด้วยกัน ผิดจากมะลิกับขันที่ถูกพ่อแม่พามาตอนโตแล้ว

“แล้วอย่าเสือกเด็ดทิ้งเด็ดขว้างล่ะ เอาแต่ที่พอกิน!” ป้าชื่นพูด

“ขอบใจจ้ะ”

ได้คำขอบคุณจากขามแล้ว พวกเธอก็พากันเดินไปทางที่พักของบ่าวไพร่

ที่พักของบ่าวประเภทใช้แรงงานจะอยู่ไกลจากเรือนใหญ่ หากแบ่งพื้นที่ของทั้งหมดออกเป็น 5 ส่วน ส่วนแรกด้านหน้าคือเรือนของเจ้านายกับสวน ลำดับต่อมาคือโรงครัว ถัดจากโรงครัวคือที่พักของบ่าว  สองส่วนท้ายคือบึงใหญ่กับพื้นที่เพาะปลูก

.

.

.

เดินไปทางโรงครัวด้วยความดีใจ แต่พอจุดเทียนค้นกับข้าวออกมาวาง ขามกลับทำหน้าเหมือนเห็นหมูบินได้

ปลาสลิดตัวแค่เนี๊ย!

น้ำพริกเท่าถ้วยตะไล!

เด็ดผักสักตะกร้าไปให้นายกิน นายจะคิดว่าตัวเองเป็นกระต่ายรึเปล่า?!


ขามขาทรุดลงนั่งยองๆ ยกสองมือกุมหัว พยายามเค้นความคิดดีๆ ออกมา

ข้าวไม่เป็นปัญหา ผักก็มีพอ ปลาสลิดยกให้นายหมดเลย น้ำพริกเดี๋ยวตักนิดๆ พอเป็นพิธี คลุกข้าวกินกับผักก็ได้ แต่ขืนไปนั่งกินข้าวเปล่าให้นายดู นายไม่ยอมแน่...

เช่นนั้น ขามจึงเดินวุ่นหากับข้าวให้ตัวเองเพิ่ม อะไรที่กินได้ อะไรที่นายจะไม่ว่า...

“อ๊ะ!”

ขณะกำลังนั่งจ้องไหผักดอง ขามพลันนึกถึงยายเฝื่อนบ่าวแก่งักที่อยู่ท้ายแปลงผักขึ้นมาได้ เคยไปเยี่ยมแกพร้อมกับกิ่ง เห็นกิ่งปลอกมะม่วงสุกให้กินกับข้าวต้ม ตอนหลังมาเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าคนแก่ก็กินแบบนั้นแหละ แก่แล้ว ฟันไม่มี กินมาเยอะ ตอนหลังกินอะไรก็ได้ ไม่ใช่ของแปลก

นึกได้แบบนั้น ขามจึงรีบเดินไปที่ท้ายโรงครัว หยิบตะกร้าหวายกับไม้ยาวสำหรับเก็บมะม่วงออกมา


มีมะม่วงต้นนึงที่นายตรีเพชรชอบ กินมาตั้งแต่เด็ก พอต้นมันเริ่มแก่ นายหญิงก็สั่งปลูกต้นใหม่เตรียมไว้รอ  นายจึงมีมะม่วงต้นโปรดกินทุกปี

มะม่วงต้นนี้นายไม่หวง ใครจะเก็บกินก็ได้ บ่าวคนอื่นที่รู้ว่าต้นนี้นายชอบ ลองมาเก็บไปกิน  บ่าวบางพวกชมว่าอร่อยมากสมกับที่นายโปรด บ่าวบางพวกว่าไม่รู้รส ไม่เห็นแตกต่างกับต้นอื่น สุดท้ายก็ไม่ค่อยมีคนไปเก็บกิน เกรงใจว่าเป็นต้นที่นายชอบ สำหรับขามนั้นกินได้ แต่ไม่รู้สึกหรอกว่าอร่อยมาก แยกความแตกต่างไม่ออก

มาถึงต้นมะม่วง ขามก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง

มันมืด แถมเป็นคืนข้างแรม คบเพลิงที่เอามาจึงให้ความสว่างไม่พอ แม้เอาไม้สอยติดมือมาด้วย ก็มองไม่รู้หรอกว่าลูกไหนสุกไม่สุก โชคดีที่ปีนี้มะม่วงมีดอกเยอะจึงมีผลหลายระดับให้เลือกเก็บ ขามจึงวางไม้สอยลง เอาเฉพาะตะกร้ากับคบเพลิงเดินเข้าไปใต้ต้น ส่องดูเฉพาะลูกที่อยู่ข้างล่างเลือกที่ใกล้สุกลงตะกร้า

เดินรอบต้นแล้ว ได้มาจำนวนหนึ่ง เดินเอากลับไปเลือกลูกที่สุกจริงๆ ที่โรงครัว

ล้างน้ำ ปลอกเปลือก จัดใส่ชามเสร็จ รู้ตัวละว่าเสียเวลามาเยอะแล้ว

นายพูดคุยกับนายใหญ่นายหญิงไม่นานนักหรอก ค่ำพอควรแล้ว ท่านๆ น่าจะง่วงนอน สำคัญว่านายมาหลายวันอยู่ เวลาจึงมีอีกเหลือเฟือ ส่วนเวลาของขามใช้เกินไปละ เช่นนี้ขามจึงรีบเร่งจัดอาหารจานชามใส่สำรับ เอาผ้าคลุมปิดท้าย ปิดครัว เร่งเท้าไปทางด้านหลังเรือนใหญ่

เรือนของนายตรีเพชรแยกออกมาจากเรือนใหญ่ โดยอยู่ทางด้านหลัง มีสวนขนาดพอดีๆ กั้นกลาง


เดิมนายอยู่เรือนเดียวกับท่านแม่ ครั้นนายเติบโตขึ้นต้องร่ำเรียนวิชาหนังสือหนังหา ด้วยท่านพ่อมุ่งเข็มให้ไปรับราชการทางทหารตามอย่างญาติฝ่ายเมีย จึงมีการสร้างเรือนนี้ขึ้น ฝึกให้นายอยู่ด้วยตัวเอง ฝึกให้มีระเบียบวินัย ฝึกให้เข้มแข็งทั้งจิตใจร่างกาย

เรือนแยกหลังเล็ก ขามจึงเช็ดถูทำความสะอาดคนเดียวได้  วันไหนต้องติดตามนายไปทำธุระก็ฝากแม่หรือคนอื่นที่สนิทกันมาทำแทน  วันไหนเหนื่อยหนักก็ขอแรงคนอื่นมาช่วยบ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้นความรับผิดชอบของเรือนเล็กนายตรีเพชรเป็นของขาม รู้โดยทั่วกัน

แม้เป็นคนสนิทถึงขนาดนี้ ขามกลับไม่ค่อยได้นอนเรือนเดียวกับนาย เหมือนบ่าวคนสนิทของเจ้านายคนอื่น

ปกติแล้วบ่าวคนสนิทประจำตัวของนายแต่ละคน มักนอนหน้าห้องนอนเจ้านาย มีแค่เรือนใหญ่ที่นายใหญ่กับนายหญิงอยู่เท่านั้น ถึงมีห้องเล็กสำหรับบ่าวคนสนิท

ทั้งนี้เป็นคำแนะนำจากพี่ชายของนายหญิง

ท่านว่า การมีคนพะเน้าพะนอตลอดเวลา ทั้งยามหลับยามตื่น ทำให้จิตใจอ่อนแอ

กระนั้นใช่ว่าปล่อยให้นายนอนในเรือนแยกคนเดียว ตอนกลางคืนมีบ่าวคอยเดินเฝ้ายามอยู่แล้ว สำหรับเรือนของนายตรีเพชรก็ให้บ่าวสองคนคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านล่าง ไม่ต้องเดินตรวจยามเหมือนคนอื่น

“มึงถืออะไรมาด้วยน่ะ ไอ้ขาม” หนึ่งในสองบ่าวที่รับหน้าที่เฝ้าเรือนแยกเอ่ยถาม เมื่อขามเดินฉีกยิ้มจนตาหยีไปใกล้บันได

“แหะแหะ...” ขนามหัวเราะแห้งๆ ไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย

คนที่ถามมาแต่เริ่มทำหน้านิ่วก่อนยื่นมือมาเปิดผ้าดู จากนั้นก็เอ็ดเสียงดุ“ไอ้นี่! มึงอย่าบอกนะว่านายกูยังไม่ได้กินข้าว! มึงมันเป็นบ่าวประสาอะไรกัน!”

พี่รุ่งเป็นบ่าวที่รับหน้าที่เฝ้าเรือนมาตั้งแต่ต้น ส่วนอีกคนผลัดเปลี่ยนกันหลายหน้า ก่อนมาหยุดที่พี่ไสว


เป็นบ่าวเฝ้าหน้าเรือนไม่ใช่ของง่าย นอกจากมีฝีมือจริงๆ พื้นฐานต้องมีระเบียบ ไม่ขี้เกียจ แอบงีบทีโดนโบยหลังแตก กลางค่ำกลางคืนนายกำลังนอน ทำเสียงดังพูดคุยอะไรไม่ได้เด็ดขาด นายตรีเพชรเป็นพวกหูไว้ อะไรนิดหน่อยตื่นแล้ว

ส่วนที่นายตรีเพชรเรียกร้องเพิ่มคือความเฉลียวฉลาดและปากหนัก อย่าให้สั่งซ้ำสั่งซ้อน ไม่ต้องให้สั่งก็คิดเองเป็น ได้เป็นบ่าวเฝ้าเรือนนายน้อยอย่าคุยโตโอ้อวด สิ่งละอันพันละน้อยของเจ้านาย อย่าได้เอาไปพูดคุยเล่นหัวไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดี เช่นนี้กว่าพี่ไสวจะเข้ามาเป็นคนที่สองก็นานอักโข

ขามกับรุ่งจึงเสมือนพี่ชายน้องชาย เห็นหน้ากันทุกเมื่อเชื่อวัน

“โถ พี่คิดเหรอว่าคนอย่างข้าจะยอมให้นายท้องหิว นายเล่นมาบอกเอาตอนลงเรือมาแล้ว ถึงข้าจับปลาเป็นก็ต้มยำทำแกงให้นายไม่ได้ดอก”

รับใช้นายคนเดียวกันมานานมาก รู้ไส้รู้พุงกัน พูดคุยโมโหกันได้ไม่มีติดข้องหมองใจกัน นายเป็นยังไงทั้งขามทั้งรุ่งรู้แก่ใจ

“ไปให้เร็วเลยมึง! ชักช้ายืดยาด นายกูกลับถึงเรือนตั้งนานแล้ว!” หากขามไม่ได้ถือสำรับอาหารอยู่คาดว่าได้โดนรุ่งถีบกระตุ้นแล้ว


รีบซอยเท้าขึ้นบันไดเรือนไปอย่างว่อง เอาสำรับไปวางที่ศาลากลางเรือน จากนั้นก็ถลาไปทางห้องนอนของนาย

“สำรับมาแล้ว นาย......”

อ้าปากค้างอยู่แบบนั้น เพราะกวาดตามองทั้งห้องก็แล้ว กลับไม่เห็นตัวเจ้านาย กำลังเอียงคอคิดว่านายไปไหนทั้งที่พี่รุ่งบอกว่ากลับเรือนมานานแล้ว  ทันใดนั้น ลมเย็นพัดวูบมาโดนคอฝั่งซ้าย ขนแขนลุกเกรียวกราว อารามตกใจขามแหกปากร้องหนึ่งคำพร้อมกับหน้าคว่ำไปข้างหน้า

“เฮ๊ย!”


เสียงหัวเราะที่แสนคุ้นหูดังลอยมา ขามรีบลุกจากพื้นขึ้นมาบ่นอุบ “โหย...นายนี่เอง นึกวะ----”

“นึกว่าผีสินะ ผีเผอมีที่ไหน ขามเอ๊ย...” พูดจบ ตรีเพชรหมุนตัวกลับหลัง เดินไปทางศาลาเล็กกลางเรือน นั่งลงประจำที่ เปิดผ้าคลุมสำรับ

ขามที่เดินตามหลังนายไป นั่งลงข้างๆ นาย แต่ไม่ได้นั่งบนยกพื้น คุกเข่ากับพื้นเรือน  เป็นบ่าวอย่าตีเสมอเทียมนายไม่ว่าอยู่ในสายตาใครหรือไม่ก็ตาม นี่คือสิ่งที่แม่พร่ำสอนเสมอ

“นายไม่อยากให้ใครรู้ เลยให้น้าช่อ ป้าชื่น ทำอะไรเพิ่มไม่ได้ แต่กระผมเอามะม่วงกับกล้วยมาด้วย น่าจะพอให้นายอิ่มได้ถึงเช้า” ขามบอกด้วยสีหน้าท่าทีกระตือรือร้น พูดพลางกุรีกุจอตักข้าวสวยใส่จานให้นาย

พอจานข้าวสวยวางตรงหน้า ตรีเพชรนั่งนิ่งครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามบ่าวคนสนิท “แล้วของเอ็งล่ะ?”

“นาย ถึงไม่---”

ขามยังไม่ทันพูดถึงครึ่งประโยคที่อยากพูด นายก็แทรกขึ้นมาก่อน

“ถึงไม่มีใครเห็น แต่บ่าวก็ไม่ควรร่วมกินสำรับเดียวกับเจ้านาย ถูกไหม?”

“ไม่ถูกขอรับ กระผมแค่อยากให้นายกินก่อน นายอิ่มข้าวแล้ว กินผลไม้เล่นไป กระผมค่อยตามเก็บ” ขามพูดจบก็ยิ้มหน้าแป้น

“เถียงข้างๆ คูๆ ใช้ได้ที่ไหน!  อย่าชักช้า ข้าหิวละ ตักข้าวเอ็งมากินพร้อมกัน แล้วจะนั่งกินตรงไหนก็เชิญตามเอ็งสะดวกใจ” ตรีเพชรพูดจบก็เริ่มลงมือกินทันทีไม่รอ

นั่งกินกับพื้นได้ แต่ต้องกินพร้อมกัน นายยอมให้ครึ่งทางแล้ว ขามจะเอาอะไรไปแย้งนาย ทั้งไม่มีสายตาคนอื่น ยิ่งปฎิเสธยาก


ทำตามแผนที่วางไว้ ตักน้ำพริกโปะข้าวมานิดหน่อย หยิบผักมาวางกำนึง จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ ตักข้าวเข้าปากไปทีละคำ เคี้ยวไปคิดไปจะใช้ข้ออ้างไหนเรื่องปลากับนายดี กินข้าวได้สามคำนายก็เอ่ยถึงปลาขึ้นมา

“มาแกะปลาสิ ขาม ข้าขี้เกียจล้างมือ”

“ขอรับ”

วางจานกับยกพื้น ก่อนกุรีกุจอคุกเข่าข้างสำรับมุมเดิม ปลาสลิดสำหรับบ่าวตัวไม่ใหญ่นักหรอก แกะสี่ตัวเสร็จได้เนื้อขยุ้มเดียว ซึ่งก็พอสำหรับคนเดียวกินตามที่คนเก็บไว้ให้คิด

แยกจานก้างออกมาวางนอกสำรับเพื่อให้อาหารดูน่ากิน พร้อมกับบอกเจ้านายว่า “กระผมมองไม่ค่อยเห็น นายระวังก้างติดคอด้วยนะขอรับ”

นายรับคำในลำคอ แล้วกินต่อไปเงียบๆ

ขามไม่รู้ว่าตัวเองควรดีใจรึเปล่า ที่นายไม่ชักชวนเถียงเรื่องปลา ไม่ยัดเยียดแบ่งกับข้าวให้กิน นายกินเฉพาะปลาจนหมด กับน้ำพริกนิดหน่อย เอาผักแนมแก้เลี่ยนบ้าง พอข้าวหมด นายยกทั้งสำรับให้ เก็บแต่จานมะม่วงไปกินเล่น

คาดว่าเพราะหิว แม้ผิดแผนอดกินมะม่วงสุกกับข้าวเปล่า แต่ก็ได้น้ำพริกกับผักมามากกว่าที่คาดไว้ ซัดข้าวที่เอามาหมดโถ ตบท้ายด้วยกล้วยน้ำว้าหนึ่งลูก พุงกางกันเลยทีเดียว

นายค่อยๆ กินแบบคนเป็นเจ้านาย ไม่ซัดโฮกๆ เหมือนบ่าว เช่นนั้นเมื่อบ่าวอิ่มแปร้นายจึงยังเหลือมะม่วงอีกสองชิ้น

“......มะม่วงล้างปากไหม?”

ขามยกมือโบก “โอย... ไม่ไหวแล้วนาย จุก”

จิ้มมะม่วงหนึ่งชิ้นเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวจนหมดแล้วถึงพูด “คืนนี้เอ็งจะนอนไหน?”

“แล้วแต่นายขอรับ”

จิ้มมะม่วงชิ้นสุดท้ายเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวจนหมดแล้วถึงพูด “เช้าปลุกข้าด้วย แม่ข้าให้ไปใส่บาตรตอนเช้า”

พูดจบ ตรีเพชรลุกขึ้น เดินเข้าห้องนอนไป

เป็นบ่าวต้องรู้ใจนาย บ่าวเรือนนี้นอกจากรู้ใจนายแล้วต้องเฉลียวฉลาดด้วย นายพูดหนึ่ง สองกับสามหรือสี่ไปคิดต่อเอง เช่นนี้ขามจึงค่อยๆ เก็บสำรับเอาลงไปไว้ที่ครัว ล้างจานชามเสร็จ ก็ไปอาบน้ำอาบท่า บอกแม่ว่าคืนนี้นอนที่เรือนนาย  จากนั้นถือผ้าห่มออกจากบ้าน ตรงไปทางหลังเรือนใหญ่

กลับมา ประตูห้องนอนนายปิดไปแล้ว นายจะหลับหรือยัง ไม่ใช่ธุระกงการของบ่าว ที่นอนของขามคืนนี้คือหน้าประตูห้องนอนนายตรีเพชร

หัวข้อ: Re: [ที่รัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 15-03-2015 23:38:27
ขามแอบน้อยใจสินะ :hao5:  อยากอ่านต่อแล้วจ้า~
หัวข้อ: Re: [ที่รัก]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 16-03-2015 00:08:31
ขามน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๓
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 16-03-2015 02:24:14
๓.


รู้สึกตัวตื่นเพราะมีคนมาเขย่าตัว ถึงมองไม่เห็นว่าใครมากวนเวลานอน แต่ก็รู้ว่าได้เวลาตื่นแล้ว

“ไปปลุกนายได้แล้ว นายต้องอาบน้ำเตรียมตัวก่อนลงไปใส่บาตร อย่าชักช้าไอ้ขี้เซา!”

ดีดตัวผึงขึ้นมานั่ง แต่รอจนได้ยินเสียงคนที่มาปลุกเดินลงบันไดไป ถึงค่อยพาตัวเองเดินตามหลังเขาลงไปข้างล่าง

เอาหน้าสดๆ ไปปลุกนายไม่ได้ ไม่จำเริญหูจำเริญตา เป็นบ่าวประจำตัวนายต้องสะอาดสะอ้าน เช่นนี้ขามจึงต้องลงไปล้างหน้ากลั้วปากที่โอ่งชั้นล่าง ดูแลผ้าผ่อนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  ตบหน้าแรงๆ ให้ตัวเองตื่นเต็มตา ก่อนถึงขึ้นเรือนไปปลุกนาย

เคาะประตูก่อนเข้าไป คลานเข่าไปที่เตียงเจ้านายเงียบๆ ไม่ใช่เรื่องด่วน ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งทำเสียงดังให้นายตกใจตื่น นายเป็นคนรู้สึกตัวไวอยู่แล้ว หยุดนั่งคุกเข่าช่วงกลางเตียง เรียกนายไม่กี่คำ นายก็ลืมตาละ

“นายขอรับ นาย นาย ได้เวลาตื่นแล้วขอรับ นาย นะ-----”

พอนายลืมตาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกต่อ นั่งนิ่งๆ รอนายลุกจากเตียง แล้วค่อยเข้าไปเก็บพับผ้าห่มปัดที่หลับที่นอน ทำอะไรอย่าชักช้า เดี๋ยวต้องตามไปดูแลนายในห้องน้ำอีก

ถ้าเป็นบ่าวเรือนอื่น ต้องอยู่ด้วยจนนายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แต่นายตรีเพชรไม่ชอบให้มาวุ่นวาย ตอนเด็กแม้เลือกไม่ได้ยังไม่ชอบให้บ่าวมายุ่ง ให้รอเฉยๆ ช่วยใส่เสื้อนี่ได้ไม่ค่อยว่า ครั้นโตจนแยกมาอยู่อีกเรือนแล้ว บ่าวเตรียมอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในห้องน้ำเสร็จแล้วจะไปทำอะไรก็ไป

เช่นนี้ ขามจึงลงมาชั้นล่าง ไปที่โอ่งเดิมหลังเรือน อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเอง ชุดใหม่เอาติดมาพร้อมผ้าห่มตั้งแต่เมื่อคืน วางตัวเก่าไว้ที่ลับตาหน่อยไม่ให้ดูน่าเกลียด ว่างค่อยมาเก็บไปให้แม่ซักทีหลัง บางครั้งเพราะวางในมุมประจำแม่จึงมาเอาไปซักให้เองก็มี

พี่รุ่งกับพี่ไสวจะไปเมื่อมีบ่าวมารับช่วงที่เรือน หรือรอเช้าหน่อย ไม่มีกำหนดแน่นอน แล้วแต่นายสั่งหรือตามความเหมาะสมในแต่ละวัน วันนี้ทั้งสองคนยังอยู่ ไม่รู้เพราะเหตุใดเหมือนกัน ขามไม่มีเวลาซักถาม นายไม่ใช่คนทำอะไรชักช้า บ่าวของนายจึงต้องทำอะไรเร็วเป็นเท่าตัว เปลี่ยนผ้าผ่อนชุดใหม่เสร็จก็ตรงขึ้นเรือนทันที


“อ้าว... นายรออะไรอยู่รึขอรับ?”

นายสวมโจงกระเบนเรียบร้อยแล้ว แต่ท่อนบนยังไม่ใส่  สิ่งที่แปลกจนทำให้ต้องเอ่ยทักคือนายยืนกอดอก

“ขาม เสื้อสีม่วงตะแบกของข้าอยู่ไหน?” นายหันหน้ามาถาม

“.....” ขามนั่งคุกเข่านิ่งคิดครู่หนึ่ง สีม่วงตะแบกเป็นยังไงไม่รู้จัก ทุกทีนายก็เลือกเอง หยิบเอง บ่าวมีหน้าที่เก็บลงหีบเท่านั้น

“ตัวที่แม่ข้าตัดให้เมื่อสามปีก่อนไง สีที่เอ็งว่าสวยน่ะ” นายอธิบายเพิ่ม

“อ๋อ......” ขามลากเสียงยาว “ผ้าสีที่นายหญิงชอบมาก  อ๋อๆๆๆๆ...”  ขามพูดพลางคลานเข่าไปที่หีบตรงหน้าเจ้านาย “อยู่ในนี้ล่ะขอรับ กระผมเอาผ้าผืนห่อมันไว้ เห็นว่านายหญิงชอบสีนี้มาก แต่นายไม่ค่อยอยู่บ้าน กระผมกลัวสีมันซีด เลยห่อไว้อย่างดี เดี๋ยวนะขอรับ เดี๋ยวนะขอรับ....” พูดซ้ำคำสุดท้ายไปเรื่อยจนเจอผ้าที่ตัวเองห่อเองกับมือ “นี่ไงขอรับ!”

จับผ้าแพรพรรณเนื้อนิ่มลื่นมือออกมาแบบทะนุถนอมมาก แม้ไม่ใช่ผ้าบอบบางอะไร แต่มันก็ดีกว่าผ้าฝ้ายสำหรับบ่าวไพร่ใส่ ความนิ่มของมันทำให้ขามไม่กล้าแตะต้องมันแรง

แกะผ้าสีเปลือกไข่ที่ห่อเสื้อสีม่วงตะแบกออกแล้วชูยื่นให้เจ้านายด้วยสองมือ

“ข้าถึงว่าทำไมหาไม่เจอ” นายหยิบไป แล้วสวมให้กับตัวเอง

นายไม่ต้องการให้ใครช่วยแต่งตัว ขามจึงเก็บพับผ้าที่ห่อผืนนั้นให้เป็นระเบียบก่อนจัดเตรียมเก็บหีบผ้า ทำงานไปพลางพูดไปพลาง “นายหญิงบอกให้ใส่ตัวนี้หรือขอรับ”

“เปล่า พอดีนึกถึงมันขึ้นมาได้”

“นายใส่สีนี้ขึ้นจริงๆ ขอรับ กระผมช๊อบชอบ ถึงเป็นสีของผู้หญิง แต่มันทำให้นายดูใจดี อ่อนโยนมาก”

“ถ้าข้าใส่สีแดงตัด เอ็งคงมองข้าเป็นยักษ์”

“ที่ไหนกันขอรับ นายใจดีออกขนาดนี้ จะเป็นยักษ์ได้ยังไง ว่าแต่สีแดงตัดมันเป็นยังไงรึขอรับ?” เก็บหีบเสร็จพอดี เลยกลับมานั่งคุกเข่ารอนายแต่งตัว เงยหน้าถาม รอรับความรู้ใหม่

ตรีเพชรกำลังผูกผ้าคาดเอว เหลือบตาลงมองบ่าวคนสนิท  ถอนหายใจยาวเมื่อเห็นหน้าซื่อตาใสของบ่าว “.....แดงเข้มผสมน้ำตาลน่ะ”

“อ๋อ....” ขามลากเสียงยาว ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นสีแบบไหน แต่ก็พอจินตนาการได้

“หึหึหึ ไว้จะหามาให้ดู ในเรือนแม่ข้าน่าจะมี” ตรีเพชรอดขำไม่ได้

“ไม่ๆๆๆ นายไม่ต้องลำบากหรอกขอรับ” ขามรีบปฏิเสธน้ำใจของเจ้านาย  “สีสวยๆ พวกนี้ไม่จำเป็นสำหรับคนเป็นบ่าว เห็นแล้วว่าสวยก็คือสวย รู้มากไปก็ไม่รู้จะเอาไปคุยกับใคร”

“รู้ประดับหัวเอ็งไว้ เผื่อเอาไว้คุยกับข้าก็ได้ สีน้ำไหล มอคราม เหลืองรง นวลจันทร์ หงสบาท มีอีกเยอะแยะ ข้าว่าไม่น่าเบื่อเท่าโคลงโลกนิติที่เจ้าชอบดอก”

“โคลงโลกนิติ!” ขามทำปากเบ้

ไอ้โคลงนี่มีประโยชน์กับชีวิตก็จริง แต่พอรู้ว่าชีวิตมีกฎระเบียบเยอะขนาดนั้น พาเอาเบื่อมากจนแทบอยากอ้วก

ก่อนโน้น นายอุตสาห์อ่านให้ฟัง กลับใจทีหลังก็ไม่ได้  ฟังนายอ่านไปเรื่อยๆ ไหงหลับกลางอากาศได้ก็ไม่รู้

นายสะกิดให้ตื่น ถามว่า: เบื่อมากเลยเหรอ

ตัวเองยังมีหน้าไปตอบนายว่า: ไม่ กระผมชอบขอรับ

เช่นนี้ไม่ให้นายเอาเก็บมาล้อได้อย่างไร

“เรียบร้อยดีหรือยัง?” ผูกผ้าคาดเอวเสร็จ ตรีเพชรถึงเอ่ยถามบ่าวคนสนิท

“อืม....” ขามมองสำรวจทั่วตัวเจ้านายก่อนพยักหน้าพร้อมกล่าวตอบ “ขอรับ”

“ข้าทานข้าวเช้าเสร็จ ว่าจะออกไปข้างนอกหาเพื่อนสักหน่อย เอ็งเตรียมตัวไว้ด้วย” พูดจบตรีเพชรก็เดินออกไปจากห้อง ลงจากเรือน ตรงไปทางเรือนใหญ่




 
o8 สีม่วงตะแบก  คือสีม่วงของดอกตะแบก
จิ้มดูสี ต่างๆ ที่เอ่ยถึงในเนื้อเรื่อง (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/10614397_445864222223497_6606583625173102277_n.jpg?oh=f1e9dde47f7266550bf972d08534ac07&oe=558790A7&__gda__=1433457531_7006e18cf1270e408f583c3b80a889ae)
หัวข้อ: Re: [ที่รัก]
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 16-03-2015 05:07:17
นายหญิงเป็นคนชอบทำบุญ ตักบาตรทุกเช้าแทบไม่ขาด แต่วันนี้ที่หน้าบ้านดูแปลกตาไปนิด


ไม่ใช่วันพิเศษอะไร กลับมีคนมารอใส่บาตรมากพอควร ถึงเป็นวันที่นายตรีเพชรกลับบ้านก็ตามที แต่นายไปรับราชการเป็นสิบปีแล้ว ความพิเศษย่อมกลายเป็นปกติธรรมดา มิใช่เรื่องแปลก

ครั้นเดินไปใกล้กลุ่มคนที่รอใส่บาตร ขามจึงเข้าใจโดยไม่ต้องขอคำอธิบายจากใคร


เป็นบ่าวของนายไม่ใช่แค่ฉลาดแต่ต้องเฉลียว

ฉลาดคือรู้ว่าสาวสวยที่ยืนข้างนายหญิงเป็นใครมาทำอะไร เพื่ออะไร


เฉลียวคือรู้ว่านายตนเองคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร

แม้นตอนนี้มองหน้านายไม่ได้ แต่อีกเดี๋ยวก็รู้ว่าเสื้อสีม่วงตะแบกนี้ นายใส่เพื่อให้ใครดูหรือไม่


“พ่อตรีไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังจริงๆ นัดเป็นนัดไม่เคยบิดพริ้ว” นายหญิงกล่าวชมบุตรชายคนโต ก่อนหันใบหน้าอมยิ้มหวานไปทางสาวสวยที่ยืนข้างๆ “แม่น้อยไม่ได้เจอพี่ตรีมาหลายปีแล้วใช่ไหม? ยังพอจำกันได้หรือเปล่า?”

สาวสวยแรกรุ่นห่มสไบแพรสีเหลืองสดนุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลไม่อ่อนไม่เข้มยกมือพนมไหว้บุตรชายคนโตของเรือนหลังนี้อย่างนบนอบ ก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้เจอพี่ตรีนานจริงค่ะ แต่พี่ตรีไม่ค่อยเปลี่ยน จึงพอจำได้”

ตรีเพชรยกมือขึ้นรับไหว้ก่อนกล่าวตอบ “น่าอายที่พี่จะบอกว่า หากน้องไม่ได้ยืนตรงนี้ พี่คงจำน้องไม่ได้ กรรณิการ์สบายดีนะ?”

“สบายดีค่ะ พี่ตรีล่ะคะ? รับราชการไกลถึงหน้าด่าน คงลำบากตรากตรำมาก” กรรณิการ์กล่าวด้วยความห่วงใยทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

“หึหึหึ เป็นทหารไม่มีคำว่าลำบากดอก เพื่อคนที่อยู่ข้างหลังอยู่ดีมีสุข  เหนื่อยนักก็นอนพักสักตื่น ค่อยมาทำงานต่อ” ตรีเพชรกล่าวฉะฉาน

“บ้านเมืองสงบสุข เพราะได้ทหารที่เสียสละแบบพี่ตรี” กรรณิการ์กล่าวชม

“มิใช่ดอก เพราะบุญบารมีขององค์เหนือหัวต่างหาก” ตรีเพชรพูดพลางยกมือไหว้ท่วมหัว “พี่เป็นแค่ก้อนหินก้อนเล็กๆ ในกำแพงเมืองของท่าน”

“ปีก่อน พี่ชายน้าจะส่งพ่อตรีเข้าไปรับราชการในเมือง เจ้าตัวก็ไม่ไป ช่างไม่คิดถึงหัวอกพ่อแม่เลย ดื้อดึงอยู่แต่กับหน้าด่าน” นายหญิงติติงบุตรชายตนเองแบบทีเล่นทีจริง

ตรีเพชรหัวเราะชอบใจ ก่อนก้าวเข้าไปกอดแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง “ข้ารักพ่อแม่ไม่ยิ่งหย่อนกว่าบ้านเมืองดอก”

ขามแอบขบขันในใจ

ลูกอ้อนของนายกินขาดเสมอ ไม่รู้เป็นเพราะพื้นนิสัยที่ไม่ชอบอ้อนใคร เช่นนั้น พออ้อนที ขอเดือนได้เดือนขอดาวได้ดาว ทว่าเวลานี้นายไม่ได้ขออะไรมาก ขอแค่ใส่บาตรกับแม่เท่านั้น

เพราะคนเยอะแล้ว ขามจึงไม่เข้าไปรับใช้นายของตัวเอง ปลีกตัวออกมายืนด้านหลัง ไม่ห่างเกินไม่ไกลเกิน

ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเรื่องแม่หญิงน้อยจากมะลิ เห็นว่านายหญิงตั้งใจให้ตบแต่งกับนายตรีเพชร แม่หญิงน้อยอายุ 18 แล้ว สมควรมีเรือนมาหลายปี แต่เพราะเจ้าตัวเองหรือเพราะทางบ้านช่างเลือกก็ไม่อาจทราบได้ ลงท้ายแม่หญิงน้อยยังคงไม่ได้ออกเรือน


มารดาของแม่หญิงน้อยเป็นเพื่อนกับนายหญิง แม่หญิงน้อยเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ทางบ้านจึงหวงเป็นพิเศษ  ทางนี้ก็เช่นกัน เพราะเป็นลูกชายคนโต ทางบ้านจึงห่วงเป็นพิเศษ  ฐานะทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรไม่ทัดเทียมกัน  แต่ผลทางอ้อมของการฝึกลูกชายคนโตให้เป็นชายชาติทหาร คือความแข็งไม่ยอมงอ  สิ่งใดไม่เห็นด้วยก็คือไม่เห็นด้วย  ไม่ทำตาม  ไม่คล้อยตาม

การบังคับแต่งงานจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้

หลายปีก่อน นายใหญ่เคยตระเตรียมการเช่นนั้น และผลที่ได้คือนายตรีเพชรเสนอตัวไปเป็นนกพิราบ หาข่าวฝ่ายรามัญ

นายหญิงลมจับไข้ลุกไม่ขึ้นเป็นเดือนๆ จะส่งใครไปตามกลับมาก็ไม่ได้ เรื่องบ้านเมือง ฤา สำคัญน้อยกว่าเรื่องในมุ้ง

ขามจำได้แม่น นายหายไปแบบไร้ข่าวคราว 7 เดือนถึงกลับมาบ้าน ผ่ายผอม ตัวดำเมี่ยม  แต่นายดูหน้าชื่นตาบานดี เล่าเรื่องนั้นนี้ให้ฟังทั้งคืน  คืนต่อมาก็เล่าอีก  เล่าติดต่อกัน 3 คืน  ขามเกือบตายโดยไม่ต้องออกไปจากบ้าน

น้องชายนายแต่งงานเมื่อหลายปีแล้ว ก่อนนายตรีเพชรไปเป็นนกพิราบราวหนึ่งปี น้องสาวร่วมมารดาและต่างมารดาทยอยล้วนออกเรือนไปแล้วถ้วนหน้า เวลานี้เหลือเพียงนายตรีเพชรคนเดียว นายอายุเกือบ 30 แล้ว ถ้าแต่งงานช้ากว่านี้จะเป็นอย่างคำโบราณว่า...มีลูกไม่ทันใช้

ขามสงสัยมาได้พักหนึ่ง ระยะหลังนายมักพูดแต่ให้ตนแต่งเมีย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ก่อนนายไปเป็นนกพิราบ หรือหลังจากนายกลับมา?

ทั้งที่ตัวเองไม่ยอมมีเมีย ทำไมต้องเร่งให้คนอื่นมี?

กำลังคิดเพลินๆ ก็มีคนมากระซิบเรียก

“พี่ขาม!”

“หะ! หือ? ทำไม?!” ตกใจ มองเลิกลั่ก

“นายพี่ไปแล้ว มัวยืนเหม่ออะไรอยู่ได้!”

พอมะลิพูด ขามถึงค่อยเข้าใจว่า เหตุใดถึงรู้สึกแปลกกับภาพตรงหน้า ที่แท้เขาใส่บาตรกันเสร็จแล้วจึงดูโล่งตาจนผิดปกติ

“เอ้า! ช่วยหน่อย เป็นผู้ชายทั้งที” มะลิเห็นพี่ขามไม่ยอมขยับสักที จึงเอาของในมือยัดใส่มือพี่ขาม ส่วนตัวเองเดินตัวปลิว

“อ้าว! มะลิ! เอ็งนี่นะ เดี๋ยวไอ้ขันมันเห็นก็หาเรื่องพี่อีก”

มะลิคนนี้คล้ายว่ากำลังคบหาดูใจกับไอ้ขัน แต่ไอ้ขันค่อนข้างเป็นคนเจ้าชู้จึงไม่ได้พูดคุยกับมะลิคนเดียว แต่กิ่งบอกว่ามะลิชอบขัน

ความรักมันยุ่งอย่างนี้ไง ขามจึงไม่อยากไปยุ่ง ชีวิตนี้มีแม่ มีนาย ก็พอแล้ว เท่านี้ก็ยุ่งสายตัวแทบขาด

“นายหญิงหมายมั่นปั้นมือกับแม่หญิงน้อยมากเลยนะพี่” มะลิพูด

“ปากนั่นน่ะ รู้จักหุบซะบ้าง เอ็งจะได้ดีกว่านี้” ขามเตือนด้วยความหวังดี

“ใครเค้าก็พูดกัน ไม่ใช่ความลับสักหน่อย พี่ขามยังรู้เลยไม่ใช่เหรอ?” มะลิเถียง

“ที่ข้ารู้ก็เพราะเอ็งปากสว่างต่างหาก ข้าอยู่ของข้าเฉยๆ จะรู้ไหม?” ขามแย้ง

“เดี๋ยวก็มีคนอื่นบอกพี่เองละ เค้ารู้กันทั้งบ้าน นี่ข้าช่วยให้พี่รู้ก่อนคนอื่นตั้งหลายคนเชียวนะ” มะลิเถียงคำไม่ตกฟาก

“เอ็งนี่มันจริงๆ เลย ธุระของนายไม่ใช่กงการของเอ็ง อย่าเที่ยวมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้สิ!” ขามเตือนอีกครั้ง

“เดี๋ยวคืนนี้ ทางบ้านแม่หญิงน้อยจะมากินข้าวที่เรือนใหญ่ ถ้านายพี่ไม่หนีไปไหน คืนพรุ่งนี้ทางเราจะไปบ้านโน้นบ้าง ตื่นเต้นดีเนอะพี่ขาม”มะลิพูด

“ตื่นเต้นอยากไปบ้านแม่หญิงน้อย?” ขามรู้ว่ามะลิชอบออกนอกบ้าน เพราะนอกบ้านมีสิ่งตื่นตาตื่นใจเยอะแยะ ยกเว้นเรื่องปากสว่าง นอกเหนือจากนั้นมะลิวางตัวดีเสมอมา นายหญิงจึงพาออกไปข้างนอกบ่อยครั้ง

“เปล่า ข้าอยากรู้ว่านายพี่จะทำยังไงต่างหาก คราวก่อนไปถึงพม่า ถ้าคราวนี้ไม่เห็นด้วยขึ้นมาอีก จะไปไกลถึงไหนไม่รู้เนอะพี่?”

ได้ยินคำตอบจากมะลิแล้วขามอยากง้างเท้าขึ้นมายันยัยเด็กคนนี้จริงๆ!

เดินเกือบถึงกระไดเรือนใหญ่พอดี ขามถือโอกาสปลีกตัวไปก่อนทำร้ายผู้หญิง  เอาของในมือที่ช่วยถือคืนให้ “เอาไป  ข้าไปละ หิวข้าวแล้ว”

มะลิร้องเสียงหลง “อ้าว พี่ไม่ขึ้นไปรับใช้นายพี่ล่ะ?”

“ถ้าไอ้วัวพ่อพันธุ์นั่นยังไม่หายดี ข้าคงขึ้นเรือนใหญ่ไม่ได้หรอกวะ”

มะลิขำคิกกับเหตุผลที่แย้งไม่ได้นั่น

วัวเจ็บกับวัวตาย ไม่รู้อย่างไรร้ายแรงกว่ากัน

“ข้าอยู่โรงครัวนะ” ขามบอกมะลิเสร็จก็เดินห่างออกจากเรือนใหญ่ทันที


อันที่จริงเป็นบ่าวกินข้าวก่อนนายไม่ได้ แต่มีบ่าวบางส่วนเป็นข้อยกเว้น เช่น พวกที่อยู่ยามตอนกลางคืนมีสิทธิ์ได้กินก่อน กินแล้วค่อยไปนอน ส่วนบ่าวคนสนิทอย่างขาม ต้องเหตุจำเป็นจริงๆ จึงกินก่อนได้

“มึงจะหิวอะไรแต่เช้าไอ้ขาม! เมื่อคืนก็กินข้าวกูหมดหม้อเลย ท้องมึงเป็นเหวรึไง!”

น้าช่อแว๊ดใส่ทันทีที่เห็นขามหยิบชามข้าวไปร่วมวงกับพี่รุ่งพี่ไสว กินก่อนน่ะมีเหตุผล  เมื่อกี้นายบอกว่าจะไปข้างนอก เขามีสิทธิ์กินก่อนเต็มที่ ส่วนข้าวหมดหม้อนั้นก็มีเหตุผล แต่เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถบอกใครได้

“เดี๋ยวนายจะออกไปข้างนอก ฉันกินตุนก่อนละ อย่าชวนคุย ฉันจะรีบกินรีบไปรอรับใช้นาย”

พูดจบขามก็เริ่มลงมือกิน กินไปได้สองสามคำพี่ไสวพูดขึ้นมาว่า

“เมียกูท่าจะคลอดวันสองวันนี้แล้วว่ะ”

ขามเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าว มองหน้าพี่ไสว เคี้ยวข้าวลงคอเสร็จค่อยพูด “มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะพี่”

“เมียกูก็บ่นปวดท้องว่ะ สงกะสัยจะวันเดียวกันละมั้งมึง” พี่รุ่งพูดขึ้นมาบ้าง

ขามหันหน้าควับไปมองพี่รุ่ง ตาโตค้าง ไม่รู้จะพูดอะไรดี เลยหยิบเอาที่ใช้กับพี่ไสวมาเลย “...เออ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะพี่”

พี่ไสวกับพี่รุ่งหัวเราะชอบใจ

หลังจากแซวหนุ่มโสดที่นั่งกินข้าววงเดียวกันอย่างขามเสร็จแล้ว ก็คุยสัพยอกกันเองว่า สงสัยทำงานด้วยกันนานไป ทำลูกก็ว่างทำวันเดียวกัน เลยจะเกิดวันเดียวกันซะงั้น พูดจบพวกพี่แกก็ขำก้าก คนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินก็แซวกัน เฮฮากันทั้งโรงครัว

ขามก็ตลกด้วยอยู่หรอก แต่มัวอ้อยอิ่งกินข้าวไม่ได้ ถึงรู้ว่านายต้องกินข้าวเช้านานเพราะมีแขก แต่ข้าวเช้าของเจ้านายเป็นของเบาๆ กินไม่นานก็หมดก็อิ่ม เกิดการดูตัวคราวนี้นายไม่ชอบ อยากออกไปข้างนอกเร็วๆ บ่าวมัวแต่ชักช้า เจ้านายเสียอารมณ์ผิดแผน คงไม่งาม


นายโกรธขามไม่บ่นสักคำ กลัวแค่นายอารมณ์ไม่ดี นานทีนายถึงกลับบ้านมาพักผ่อน แม้ไม่รู้ว่ามากี่วัน เพราะยังไม่มีโอกาสได้ถาม แต่ขามก็อยากให้นายอารมณ์ดีทุกวัน ทุกเวลา

กินข้าวอิ่ม กลั้วปาก ทำความสะอาดเนื้อตัว จัดผ้าผ่อนให้เรียบร้อย เสร็จทุกอย่างแล้วขามจึงเดินไปทางเรือนใหญ่ นั่งรอนายอยู่ข้างใต้เรือน

บ่าวประจำเรือนใหญ่เวลานี้อยู่ข้างบนกันหมด พวกที่อยู่ข้างล่างคือกลุ่มที่คอยสานต่องาน คนหนึ่งบอกว่านายกินเสร็จแล้ว แต่ยังคุยกันอยู่ ขามโล่งอกที่มาทันเวลา  ดูจากนิสัยนาย หากคุยด้วยนานคืออารมณ์ดี หากคุยไม่นานคืออารมณ์เสีย  แต่วันนี้น่าจะคุยได้แค่พอดีๆ  เพราะนายมีแผนว่าจะไปหาเพื่อน

นายมีเพื่อนน้อย ไม่สิต้องพูดว่านายคบเพื่อนน้อย ส่วนใหญ่นายเรียกว่าคนรู้จัก ดังนั้นเพื่อนที่นายออกไปหาด้วยตัวเองย่อมสำคัญพอตัว สนิทกันพอดู   ขามลองนึกเล่นๆ ว่ามีใครบ้างที่นายอาจไปหา เหตุเพราะนายพาติดตัวไปข้างนอกเสมอ เพื่อนนายที่สนิทกัน ขามจึงรู้จักถ้วนหน้า อีกฝ่ายก็รู้จักหน้าขามดี เดินข้างนอกจำกันได้ ทักไม่ผิดตัว

ยังไล่ชื่อไม่ทันครบคน เจ้านายก็เริ่มเดินลงบันไดมา แต่ที่ลงมามีแค่นายตรีเพชรกับแม่หญิงกรรณิการ์

นายตรีเพชรไปส่งแม่หญิงกรรณิการ์ขึ้นเสี่ยงรูปทรงธรรมดาแบบที่คนระดับเจ้านายมีใช้กันทุกบ้าน จากนั้นนายเดินวกกลับเข้ามา แต่ไม่ได้ขึ้นเรือนใหญ่ เดินอ้อมเรือนไป ขามรู้ด้วยตัวเองว่านายจะไปที่ไหน จึงค่อยๆ เดินตามไป

เห็นแต่หลังของนาย มองไม่ออกว่านายกำลังคิดอะไร รู้สึกยังไง ที่รู้มีเพียงแค่เงียบเข้าไว้ เวลาแบบนี้อย่าเอะอะมะเทิ่ง

นายเดินไปถึงกลางสวนขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างหลังเรือนใหญ่กับหน้าเรือนของนายเอง แล้วก็หยุด


ขามสะดุดฝีเท้าไปชั่วอึดใจก่อนเดินเข้าไปหานาย รักษาระยะห่างจากนายแบบพอดีๆ ไม่มากเกินไปให้นายรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ ไม่ห่างเกินไปจนนายหงุดหงิดรำคาญ

ราวกับนายกำลังยืนฟังเสียงนก

ยามเช้าสารพัดนกเริ่มออกหากิน ใต้ต้นไม้มักมีเสียงนกดังเซ็งแซ่ แต่ในสวนจะมีแค่ไม่กี่ตัว ไม่รู้ว่ามีคนตั้งใจทำหรือไม่  แต่นกในสวนของนายมักมีแต่ตัวที่ร้องเสียงไพเราะทั้งนั้น

ขามยืนฟังเสียงนกไปพร้อมกับนาย

ขณะที่นกเริ่มร้องสุดเสียง อวดลูกคอของตัวเอง นายก็พูดขึ้นมา

“เมื่อไหร่เอ็งถึงจะแต่งงานสักที”

เห็นแค่หลังนาย ไม่รู้จริงๆ ว่านายถามด้วยอารมณ์ไหน ความรู้สึกไหน แต่กับนายไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรมาก แค่ซื่อตรงกับความคิดและความรู้สึกของตัวเองก็พอ ก็ดีที่สุด

“กระผมไม่แต่งไปตลอดชีวิตขอรับ กระผมอยากอยู่รับใช้นาย...”

ขามไม่รู้ว่าคำตอบของตัวเองทำให้นายรู้สึกดีหรือไม่ดี เป็นบ่าวของนายนอกจากฉลาดเฉลียวแล้ว ยังต้องมีระเบียบรู้กาละเทศะ และปากหนัก เช่นนั้นขามจึงยืนปิดปากเงียบเหมือนเมื่อครู่


o8 แม่หญิงกรรณิการ์ ชื่อแม่หญิงมาจากชื่อดอกไม้
กดเบาๆ เพื่อดูภาพดอกกรรณิการ์ (http://www.homeidea.in.th/wp-content/uploads/2013/02/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-2.jpg)
หัวข้อ: Re: [ที่รัก]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-03-2015 06:56:02
ทำไมนายต้องถามขามบ่อยๆด้วยอ่ะ มีความนัยอะไรรึเปล่า
รู้สึกแปลกๆเวลาอ่านเจอคำว่าเพื่อน ทำให้นึกถึงคำว่าเล่นเพื่อน ไม่แน่ใจว่าสมัยก่อนใช้คำว่าเพื่อนหรือใช้คำอื่นกันแน่
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: [ที่รัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 16-03-2015 08:50:53
อยากรู้ว่านายคิดอะไรอยู่จังค่ะ เราจะได้มีโอกาสได้อ่านไหมเอ่ย? :-[
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๔
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 16-03-2015 20:41:38
๔.

นกขมิ้นเสียงดีที่ส่งเสียงร้องเจื้อแจ้วกระเบ็งเพลงท่อนสุดท้ายแล้วบินไปจากต้นชมพู่พร้อมกับนกอีกตัว ครั้นนกขยับปีกโผบิน นายก็เริ่มขยับตัว  นายหมุนตัวกลับมาพร้อมกับสั่งให้ไปเอาห่อผ้าสีกรักที่วางอยู่ในห้องมา ประเดี๋ยวจะออกไปข้างนอก

นายยังยืนที่เดิม จึงต้องก้มหลังต่ำก่อนเดินสวนตัวนายไป

ไปถึงเรือน เจอไอ้เอี้ยงกำลังกวาดใบไม้แห้งจึงฝากเช็ดถูเรือน ไปกับนายวันนี้ไม่รู้ว่าจะกลับกี่โมงกี่ยาม ไม่รู้ด้วยซ้ำไปที่ไหน นายไม่ได้บอก ไอ้เอี้ยงเป็นคนคุ้นเคยกันอยู่ มันไม่ได้ว่าอะไร แต่เดี๋ยวหากนายกลับไปรับราชการก็คงต้องทำงานคืนมัน

ขึ้นเรือนตรงไปห้องนอนนาย ก้าวพ้นธรณีประตูเข้าไปยืนในห้องนอนนายแล้ว ขามอยากตีตัวเองเหลือเกิน นายสั่งว่าห่อผ้าสีกรัก สีกรักเป็นแบบไหนขามรู้อยู่ แต่ห่อผ้าวางอยู่ไหน ห่อเล็กห่อใหญ่ มิรู้เลย

แต่เพราะนายเป็นคนสั่งอะไรสั่งชัดเจนจึงพอสังเขปได้ว่า มันต้องวางอยู่ที่ใดที่หนึ่งในห้อง มิต้องไปหาในตู้หรือหีบ เมื่อกวาดตามองรอบห้องถ้วนแล้วไม่เจอ ขามจึงเดินตรงไปที่เตียงนอนของนาย

ห่อผ้าสีกรักขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่ในซอกหนึ่งที่หัวเตียง ซอกนี้ไม่ใช่กล่องลับอะไร มันเป็นแค่ช่องว่างที่เกิดจากการต่อไม้แต่ละท่อนออกมาเป็นลวดลาย ไม่ใช่แกะสลักไม้ทั้งแผ่น แค่เอาท่อนไม้มาต่อเรียงกันให้เห็นแปลกตาหน่อยเท่านั้น แต่ตรงนี้ละที่นายชอบเอาของมาซุกไว้

มิใช่ของสำคัญมีค่าหลายสิบหลายร้อยอัฐ แก้วแหวนเงินทองสิ่งของล่อตาล่อใจบ่าวนิสัยเสียนั้นอยู่ที่เรือนใหญ่ ยกเว้นแต่สร้อยคอทองซึ่งนายใส่ติดตัวตลอดเวลา นอกนั้นนายไม่เก็บหรือใส่ของมีค่าให้รำคาญใจตัวเอง

เพราะไม่รู้ว่าของในห่อผ้าเป็นอะไร ของสูงหรือของใช้ธรรมดา ขามจึงไม่กล้าเอามันเหน็บกับผ้าผูกสะเอว ถือด้วยมือ ยกสูงเท่าหนักอกไว้ตลอดทาง

มาถึงสวน ปรากฎว่านายไม่อยู่แล้ว คงไปรอที่หน้าเรือนใหญ่ ขามจึงเร่งฝีเท้าตัวเอง

“พี่ขาม!”

ขณะที่วิ่งมาจนจะพ้นเสาหน้าของเรือนใหญ่ กลับได้ยินเสียงมะลิร้องเรียกเสียงดังมาจากใต้ถุนเรือนใหญ่ ขามชะงักฝีเท้า หยุดยืน

“อะไร มะลิ? ข้ารีบอยู่ นายกำลังรอ!” ขามพูดด้วยเสียงร้อนใจไม่ต่างจากใจที่ร้อนอยู่ภายใน

มะลิที่กระวีกระวาดวิ่งมาหาพี่ขามตั้งแต่ตนเองพูดจบ เข้ามากระซิบกระซาบ “ฉันฝากซื้อของหน่อยสิพี่ นะ นะ น้า....”

“วันนี้ไม่ได้ดอก ข้าไม่รู้ว่านายไปไหน” ขามบอก

“ไม่เป็นไรๆ ฉันฝากไว้ก่อน ถ้าพี่ไม่ประเหมาะสบโอกาสซื้อก็ค่อยเอามาคืนฉัน” มะลิไม่พูดเปล่า ยัดเยียดของใส่มือพี่ขาม พร้อมพูดต่ออย่างใจเย็น “วันนี้แดดจ้า ตากปลาคงแห้งในแดดเดียว ฉันเอามะขามหวานที่พี่ชอบใส่ไปด้วย เผื่อพี่จะแห้งคอ”

ขามก้มหน้ามองถุงผ้าขนาดใหญ่คับมือ แม้นรีบแต่อดท้วงไม่ได้ “ฮึ๊! ฝักสองฝักจะไปพอกินที่ไหน ว่าแต่เอ็งจะเอาอะไร?”

“ผ้าจ้ะพี่ขาม สีเหลืองสวยๆ ที่ฉันให้พี่ดูคราวก่อนไง นังเจียนมันว่าเจ๊กจะเข้ามาขายที่ตลาดวันนี้ ฉันเอาแค่ครึ่งหราพอ อัฐฉันมีแค่ในถุงละ ถ้ามันแพง ก็ให้พอเย็บสักถุงก็ได้ เท่าถุงที่อยู่ในมือพี่นี่แหละ” มะลิรีบพูด เร็วจนขามเกือบฟังไม่ทัน

ขามถอนหายใจก่อนตอบมะลิ “เฮ้อ..... ข้าไม่รับปากนะ”

“จ้ะพี่ ไม่ได้ไม่เป็นไร ขอบใจนะพี่ขาม” มะลิโปรยยิ้มหวาน

“ข้าไปละ นายรอ”

ขามเร่งก้าวเท้าพลางเอาถุงผ้าของมะลิเหน็บที่ผ้าพันเอวด้านหลัง เดินพ้นเสาหน้าเรือนใหญ่ เห็นนายนั่งรอที่เสลี่ยงแล้ว จึงเปลี่ยนจากซอยเท้าถี่เป็นวิ่งเต็มก้าว

“ขออภัยขอรับ นาย” พูดพร้อมกับคุกเข่ากับพื้น ชูยื่นห่อผ้าสีกรักให้นายตรีเพชร

นายหยิบห่อผ้าอันเล็กไปโดยไม่บ่นว่าอะไร จึงเดาได้ว่าตนเองไปไม่นานเกินนายรอ

“อื้อ!”

ตรีเพชรทำเสียงในลำคอครั้งเดียว บ่าวสี่นายซึ่งมีหน้าที่หามเสลี่ยงลุกขึ้นยืน ขามเองก็ลุกขึ้นด้วย ก้าวขาเดินจังหวะเดียวกับบ่าวที่มีหน้าที่แบกหาม

หากนายไม่ได้พูดคุยด้วย บ่าวที่ติดสอยห้อยตามต้องเดินต่อท้ายเสลี่ยง แต่สำหรับบ่าวคนสนิทอย่างขามนั้นต้องอยู่ข้างนาย เดินค่อนไปทางด้านหลังของนาย ไม่เดินล้ำหน้า

เพราะนายที่คุ้มกะลาหัวมีฐานะดี บ่าวทุกคนในเรือนจึงได้รับเสื้อไว้สวมใส่  ถึงไม่ใช่ผ้าเนื้อดีเด่กระนั้นบ่าวทุกคนก็ยังปลาบปลื้ม

ปกติแล้วนั้น เป็นผู้ชายมีโจงกระเบนใส่ก็พอ ไม่มากเรื่องหลายชิ้นเหมือนพวกผู้หญิง ผู้ชายทำงานออกแรง สวมเสื้อไปมีแต่รุงรัง ขยับตัวไม่สะดวก แต่เจ้านายบอกว่าไม่น่ามอง หากอยู่ในบ้าน เวลาทำงานจะถอดเสื้อ ใส่แค่โจงกระเบนหรือผ้าขาวม้าไม่ว่า แต่หากพบเจอแขกโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำงานหนัก ให้หลีกลี้ไปพ้นๆ ตา ไม่ก็สวมเสื้อซะ  เมื่อนอกบ้านกับนายต้องสวมเสื้อโดยไม่มีข้อยกเว้น

เสื้อของบ่าวผู้ชาย อาจเปรียบได้กับผ้าสไบหรือผ้าพันอกสีสวยของผู้หญิง นำมาใช้เวลาสำคัญเท่านั้น เสื้อของบ่าวผู้ชายในเรือน เจ้านายเป็นคนจัดหามาให้ ไม่ใช่สีเดียว แต่ก็ไม่ใช่สีฉูดฉาดอะไร ผ้าสีพื้น ราคาถูก เนื้อหนาทนทาน เจ้านายท่านจะให้เมื่อมีวาระโอกาสสำคัญ มิใช่ได้ให้ทุกปีเหมือนบ่าวของเจ้าขุนมูลนาย โจงกระเบนเป็นผ้าผืนที่ไม่ต้องตัดเย็บอะไรมากนัก ใช้กันทุกคน จึงมีให้ทุกปี  บ่าวผู้ชายในเรือนจะซื้อเองก็แค่ผ้าขาวม้า ใครมีเมียก็ลำบากหน่อย ต้องเจียดเงินไปให้เมียใช้ ผ้าขาวม้าสักผืนอาจได้มายากยิ่ง

บ่าวผู้หญิงแตกต่างกับบ่าวผู้ชายราวฟ้ากับเหว บ้างอาจได้ของใช้ตกทอดมาจากเจ้านายทั้งผ้ารัดอก สไบ ผ้านุ่ง รวมถึงเครื่องประดับ แต่ถึงได้มา ก็มิสามารถใส่เล่นหัวได้ ของดีต้องเก็บไว้ใช้ให้ถูกกาละเทศะ ไม่งั้นอาจกลายเป็นหายนะมาสู่ตัวเองได้

บ่าวสาวรุ่นๆ อย่างมะลิหรือกิ่งมักมีเรื่องให้ต้องซื้อ อัฐมีนิดหน่อยไปตามเรื่องซื้ออะไรได้ไม่มากนักหรอก

มะลิชอบแต่งตัว แต่เจ้าตัวไม่เสียเงินไปกับการซื้อผ้าผ่อนมานุ่มห่ม  คนสวยสวมผ้าขี้ริ้วก็ยังมีคนชมว่าสวย  มะลิชอบเย็บผ้าปักผ้า ฝีมือดีทีเดียว ไม่งั้นไม่ได้เป็นหนึ่งในคนโปรดของเจ้านายหรอก นอกจากเจ้านายแล้วใครให้มะลิทำ แม่ขอแลกด้วยอัฐเสมอ ผ้าที่ฝากซื้อวันนี้ก็คงมีใครสักคนมาจ้าง

“อึ๊ก!” กำลังเดินอยู่ดีๆ กลับมีใบลานฟาดหลังจนรู้สึกแสบๆ คันๆ   ขามหันหน้าควับไปมองข้างหลัง พบว่าไอ้ไผ่ที่แบกเสลี่ยงอยู่ทำปากบุ้ยใบ้ กระพริบตามองมันได้ไม่ทันไร เสียงนายพลันดังเรียก

“ไอ้ขาม...”

เสียงนายดิ่งต่ำคล้ายคนหมดความอดทน ขามจึงรีบหัวหน้าไปขานรับ

“ขอรับ!”

นายกวักมือเรียกให้ไปใกล้

“จะให้กระผมทำอะไรขอรับ?”

“จะให้เอ็งเอาใจไว้กับตัวเอง ออกมาข้างนอก เดินใจลอยสะดุดเต่า หกล้มคอหักตาย มันไม่น่าดู”

สะดุดเต่า!!!

“...เอ่อ... ขออภัยขอรับ...” ขามอับอายที่รับใช้สะเพร่าจนให้นายต้องออกปากว่า

“ตอนข้าคุยกับเพื่อน พวกเอ็งจะไปไหนก็ไป แต่อย่าชักช้า เย็นนี้ข้าต้องกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้าน” ตรีเพชรทวนประโยคเดิมที่ตนเองพูดไปแล้วให้บ่าวคนสนิทฟังอีกครั้ง

“ขอรับ!” ขามรับคำแข็งขัน

จากนั้นนายไม่ได้พูดอะไรอีก ขามจึงผ่อนเท้าไปเดินด้านหลังของนาย ครั้งนี้ไม่เหม่อใจลอยให้นายว่าได้อีก จดจ่ออยู่แต่กับนายเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งเสลี่ยงเริ่มไปในเส้นทางที่คุ้นตา ขามจึงได้รู้ในตอนนั้นว่าเพื่อนคนไหนที่นายจะไปหา

นายเกรียงไกร...หนึ่งในเพื่อนสนิทที่มีจำนวนน้อยนิดของนายตรีเพชร

ท่านเป็นลูกขุนน้ำขุนนาง รับใช้องค์สมเด็จและชาติบ้านเมืองมาตั้งแต่ต้นตระกูล แม้นไม่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่คุณงามความดีที่สร้างสมไว้ ทำให้มีบารมีและเป็นที่นับหน้าถือตา

ตอนเด็กท่านเกรียงไกรร่ำเรียนวิชากับพระคุณมั่น พระครูท่านเดียวกันกับนายตรีเพชร พอทั้งสองอายุ 10 ขวบถึงแยกกันไปเรียนในสิ่งที่ทางบ้านจัดเตรียมให้ หากนายตรีเพชรเรียกว่าข้าราชการใช้แรง  ท่านเกรียงไกรก็คือข้าราชการใช้หัว เมื่อทำงานต่างกัน จึงเรียนวิชาต่างกัน

เพราะต้นตระกูลฝ่ายบิดาของนายตรีเพชรไม่เก่าแก่และมีอำนาจเท่า ความเป็นเพื่อนของทั้งสองจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ขาดช่วง กระนั้นท่านเกรียงไกรก็มิได้เป็น “คนรู้จัก”ของนายตรีเพชร ท่านเกรียงไกรคือเพื่อนของนายตรีเพชรทั้งต่อหน้าและลับหลัง  ในสายตาขาม นายทั้งสองแทบไม่มีอะไรเหมือนกัน อาศัยแค่ความน้ำใสใจจริงเท่านั้นจึงเป็นเพื่อนกันมาจนทุกวันนี้

“ขาม เอ็งมากับข้าก่อน” นายพูดก่อนลุกลงจากเสลี่ยง

ขามรอจนนายยืน และก้าวข้ามคานหาบไปแล้ว ถึงค่อยลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่ติดบนโจงกระเบนช่วงเข่าอย่างเบามือ ไม่รีบร้อนรนจนดูเป็นลิงค่าง สาวเท้าก้าวไปเดินตามหลังดุจผีเสื้อโบยบิน ซอยเท้าถี่ ไม่ก้าวยาวพรวดจ้ำๆ  เว้นระห่างจากนายให้พอเหมาะพอควร หากนายเรียกใช้เบาๆ ก็ต้องได้ยิน หลังต้องค้อมลงเล็กน้อยตลอดเวลาที่เดิน จะยืดหลังตกหน้าเชิดมิได้เด็ดขาด

อยู่ในบ้านกริยามารยาทวางไว้เท่าไหร่ ออกนอกบ้านเพิ่มเข้าไปอีกสามเท่า ทุกสิ่งเพื่อหน้าตาของนาย เกียรติของนาย มิใช่แค่กริยา กระทั่งอาภรณ์ที่สวมใส่ เนื้อตัวที่สะอาดสะอ้านก็ต้องใส่ใจดูแลเพื่อนาย

หากลูกเป็นกระจกส่งบุพการี บ่าวก็เช่นกัน เป็นกระจกส่องเจ้านาย

เดินตามหลังนายไปได้ครู่หนึ่ง ขามนึกฉงน

เคยตามนายมาเรือนหลังนี้หลายครั้ง ไม่เคยเข้ามาลึกขนาดนี้ ราวกับกำลังเข้าสู่ชั้นในของเรือน ลึกเกินกว่าแขกควรเข้ามา ครั้นเมื่อบ่าวที่นำทางพาไปถึงห้องหนึ่ง เห็นการตกแต่งและคนที่อยู่ในห้องนั้น ขามจึงหายสงสัย

“ไงไอ้เกลอ ดำเมี่ยมเชียวนะ” ชายที่นั่งยืดสองขาบนตั่งตัวยาวกล่าวทักทายแขกด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

“ปากดีแบบนี้ งั้นข้ากลับละท่าน” นายตรีเพชรกล่าวแบบนั้น แต่มิได้หันหลังกลับตามที่ตนเองพูด ยังคงเดินตรงไปนั่งเก้าอี้เดี่ยวตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ตั่งยาว

เมื่อบ่าวของเรือนที่เดินนำทางมานั่งลง ขามจึงเดินไปนั่งด้วยกันกับเขา เยื้องมาข้างหลังหน่อย

“ได้มาไหม? ถ้าไม่ได้เอ็งกลับไปเลย!” ท่านเกรียงไกรถามตั้งแต่เพื่อนยังไม่หย่อนก้นลงนั่ง

“อาจเอามาให้ช้าไป แต่ก็เก็บติดตัวไว้นะท่าน” นายตรีเพชรยื่นสิ่งที่กำอยู่ในมือให้เพื่อน

“ไหน ไหน ไหน....” ท่านเกรียงไกรพูดพลางรับสิ่งนั้นมาแกะดู

เพราะในห้องไม่มีใครอื่น ซ้ำท่านเกรียงไกรมิใช่คนบ้าพิธีรีตอง ขามจึงเงยหน้ามองเจ้านายได้ ด้วยเหตุนี้ถึงได้เห็นสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าสีกรักที่ตนเองไปเอามาจากห้องนอนนาย ขามนึกดีใจที่ตัวเองคิดเยอะ ถือห่อผ้าไว้สูงๆ เพราะเวลานี้นายเกรียงไกนเอาของที่อยู่ในห่อผ้าสีกรัก พนมใส่ในมือ ยกสูงท่วมหัว

ไม่ใช่พระเครื่องก็ต้องเป็นของสูงมีอาคม

“ขอบใจนะ พ่อตรี คงลำบากแย่” ท่านเกรียงไกรพูดพลางชื่นชมสิ่งที่อยู่ในมือตัวเอง

“มิใช่เรื่องใหญ่ดอก ท่านเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง?” นายตรีเพชรเอ่ยถาม

“มิใช่เรื่องใหญ่ดอก แผลหายก็ลุกเดินได้” ท่านเกรียงไกรตอบคล้ายล้อเลียนเพื่อน

“ฮื้อ...... ระวังตนไว้บ้าง ทำสิ่งใดให้นึกถึงหน้าพ่อแม่ลูกเมียไว้...” นายตรีเพชรพูดโทนเสียงทุ่มต่ำเตือนด้วยความจริงใจ

“รู้แล้วๆๆ ข้าได้ยินจนหูชาละ อย่าพูดอีกเลย” ท่านเกรียงไกรทำหน้ารำคาญมาก “เจ้าเถอะ ปีนี้จะแต่งเมียได้รึยัง? ข้าอยากหมั้นลูกสาวเจ้าให้ลูกชายข้าเต็มแก่ละ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า!” นายตรีเพชรหัวเราะร่า “บุตรลูกท่านพระยาหมั้นหมายธิดานายกองไร้ชื่อเสียง ได้ประโยชน์อันใด?”

“ประโยชน์คือความพอใจของพ่อ” ท่านเกรียงไกรกล่าวเสียงหนักแน่น

นายตรีเพชรยังคงอมยิ้ม “...ถ้าเลือกได้ ข้าอยากให้ลูกข้าได้เลือกเอง”

“ลูกมักเป็นความปรารถนาของพ่อแม่ สิ่งใดพ่อแม่ทำไม่ได้ มักอยากให้ลูกทำแทน” ท่านเกรียงไกรกล่าวเสียงเรียบรื่น

นายตรีเพชรไม่โต้เถียง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม สายตาแม้มองไปทางเพื่อน แต่หลุบลงเล็กน้อย มิได้จ้องตาเพื่อน เฉกเช่นเมื่อกี้ที่พูดคุยกัน

ท่านเกรียงไกรเป็นคนคุยสนุก ไม่ชอบความเงียบ จึงไม่ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่นาน

“ไม่เจอหน้ากันนานนะ ไอ้ขาม สบายดีหรือไม่?”

เมื่อเจ้านายทักทาย ขามรีบก้มลงกราบ ก่อนเอ่ยตอบ “มีสุขตามสมควรขอรับท่าน”

“ดี มีทุกข์อันใดมาบอกข้าได้ บ่าวของเพื่อนข้าก็เหมือนบ่าวของข้า” ท่านเกรียงไกรกล่าว

แต่ก่อนบ่าวจะเอ่ยคำขอบคุณ เจ้านายกลับกล่าวขึ้นมาก่อน

“ขอบคุณที่ท่านพระยาเมตตา” ตรีเพชรกล่าวด้วยน้ำเสียงนบนอบ

“อุวะ! เอ่ยถึงตำแหน่งเยี่ยงนี้ เอ็งว่าข้าเสือกรึ?!” ท่านเกรียงไกรเร่งเสียงดังขึ้น

“ปากท่านก็ช่างหาเรื่อง ไว้ครั้งหน้าข้าจะหาพระอุดมาให้ท่าน!”

“ฮึ๊ด...” ขามรีบตะครุบปากตัวเองได้ทันเส้นยาแดงผ่าแปด

“เอ็งกล้าขำรึ ไอ้ขาม!” ท่านเกรียงไกรตวาดเสียงดังลั่น แต่แบบทีเล่นทีจริง

“ไอ้ขาม เอ็งไปรอข้าข้างนอก ข้ามีธุระจะคุยกับท่านเกรียง” ตรีเพชรกล่าว

“ฮึ๊!” ท่านเกรียงไกรทำเสียงขึ้นจมูก

“ขอรับ...” ขามรับคำเจ้านายของตัวเองแล้ว คลานออกจากห้อง เมื่อพ้นประตูมาแล้วถึงค่อยลุกขึ้นยืน ปรากฎว่าบ่าวประจำเรือนนี้ก็คลานตามออกมาด้วย กำลังปิดประตูห้อง

บางเรื่องของเจ้านาย มิใช่สิ่งที่บ่าวควรฟัง แม้เป็นบ่าวปากหนักแค่ไหนก็ตาม

ขามยืนรอจนบ่าวคนนั้นปิดบานประตูเรียบร้อยแล้วถึงเอ่ยพูด “...พี่ รบกวนช่วยบอกทางข้าหน่อยได้ไหม ขามาข้ามิได้จำทางไว้”

แม้นพูดแบบนั้น  ความจริงถึงตั้งใจจำ ขามก็จำไม่ได้อยู่ดี เรือนใหญ่โตโอ่อ่า ห้องหับซ้อนทับซับซ้อน มิได้เดินทุกวัน หลงไม่ใช่เรื่องแปลก

“ได้สิ ตามข้ามา...” บ่าวคนนั้นพูดจบก็เดินนำไป

ขามเดินตามหลังเขาไปในระยะที่ใกล้หน่อย หน้าตรง ไม่หันรีหันขวาง แม้นมีของสวยงามแปลกตายั่วให้มองก็มองมิได้ กริยาไม่งาม แม้จะชวนบ่าวที่เดินนำทางคุยเล่นก็ไม่เหมาะ ในเรือนชั้นในแบบนี้ ถึงมองไม่เห็นเจ้านาย แต่ท่านอาจอยู่ในห้องไหนก็ได้ หากท่านกำลังพักผ่อน อาจเป็นการรบกวนได้

บ่าวที่เดินนำ คล้ายว่าพาเดินไปอีกทาง นึกสงสัยอยู่ก็จริง แต่เขาอาจเดินนำไปที่พักของผู้ติดตามแขกที่มาเยือนก็เป็นได้  เพราะนายบอกแล้วว่าจะอยู่นานหน่อย ให้ไปซื้อของได้ พวกที่หามเสลี่ยงมาน่าจะไม่ได้ยืนตากแดดอยู่หน้าบ้าน และก็เป็นดังคาด ทางเส้นนั้นทะลุมาเจอศาลาเล็กๆ หลังหนึ่ง  ขามมองเห็นเพื่อนร่วมเรือนนั่งเล่นกันอยู่

“ด้านหลัง หลังคาสีเขียวนั่นเป็นโรงครัว หากหิวไปที่นั่นได้” ชายที่เดินนำมาหยุดที่ปลายทางไม่เดินออกไปจากตัวบ้าน หันหน้ามาบอกด้วยสีหน้าเอื้อเฟื้อ

“ขอบคุณจ้ะพี่” ขามกล่าวขอบคุณพร้อมยกมือพนมไหว้ อีกฝ่ายน่าจะเป็นบ่าวคนสำคัญในเรือน เพราะการแต่งตัวดูดี ซ้ำเขาดูมีอายุมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

บ่าวคนนั้นรับไหว้ ยิ้มตอบรับ แล้วเดินกลับเข้าไปในเรือนโดยไม่พูดอะไรเพิ่มอีก

เป็นการวางตัวที่ดูรื่นหูรื่นตามากสำหรับขาม ใจนึกอยากจดจำท่วงท่าของบ่าวคนนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วน  ฝันไว้ในใจว่าสักวันตนเองจะทำได้แบบนี้บ้าง ต่อหน้าคนอื่นดี แต่ลับหลังมีแต่เรื่องประมาทสะเพร่าให้นายต้องอายเหมือนเช่นทุกวันนี้ ขามละอายใจเหลือเกิน

มองจนบ่าวคนนั้นลับตาไปแล้ว ขามจึงเดินไปรวมกับบ่าวร่วมเรือนสี่คนนั้น

“ดื่มน้ำสิ” ไอ้ไผ่พูดพลางยื่นขันน้ำมาให้

ขามรับไปจิบสองสามอึกก่อนส่งคืน “ชื่นใจดี... เอ้อ ข้าจะไปตลาดพวกพี่จะไปด้วยไหม?”

“คิดแต่เที่ยวเล่นนะมึง!”

ไอ้ไผ่ติติง พี่คนๆ อื่นพลอยทำตาดุใส่ด้วย

“ไม่ใช่! นังมะลิมันฝากซื้อของ เมื่อกี้พี่ไผ่ก็ได้ยิน นายบอกว่าจะไปไหนก็ได้ นี่เมื่อกี้นายก็ไล่ฉันออกมา ไม่มีอะไรให้ฉันต้องรับใช้ดอก ตลาดอยู่ไม่ไกลด้วย ไปสักหน่อยจะได้ไม่โดนนังมะลิมันบ่น”

เหตุผลกลบปิดได้ทุกหลุม ขามจึงไม่โดนพี่ๆ แย้ง ในกลุ่มขามอายุน้อยสุด แม้เป็นคนสนิทของนายแต่เป็นเด็กก็ควรเชื่อฟังผู้ใหญ่ เคารพความอาวุโส พี่คนอื่นอายุอานามมิใช่น้อย จึงไม่เห็นตลาดเป็นของน่าตื่นเต้น มีแค่ไผ่ซึ่งอายุใกล้เคียงกับขามเท่านั้นที่ไปด้วย แม้ตลาดไม่น่าสนใจ แต่ไผ่ก็ยังไม่ถึงกับเบื่อตลาด

ดื่มน้ำกันอีกคนละอึกสองอึก จากนั้นขามกับไผ่ก็พากันเดินไปตลาด

ตลาดอยู่ห่างจากเรือนท่านเกรียงไกรพอควร พอเริ่มเหนื่อยก็เดินถึงพอดี เวลานี้ไม่เช้าแล้ว ของที่ขายจึงมีแต่ของใช้ ไม่ใช่ของกินหรือของสด

ระหว่างที่เดิน ไผ่ถามว่ามาซื้ออะไรให้มะลิ ขามนึกสะกิดใจว่าไอ้ไผ่จะเป็นหนึ่งในชายที่หมายเด็ดดอกมะลิหรือไม่ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครแสดงออกหรอกว่าชอบหรือแอบชอบมะลิ ไอ้ขันมันหมาหวงก้าง ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับหมาหรอก แต่ปรากฎว่าเดาผิด

พอบอกว่ามาซื้อผ้าให้มะลิ ไอ้ไผ่ก็ถามอีกว่ามะลิคิดเงินค่าเย็บปักผ้ายังไง บอกว่าอยากให้ของขวัญสาวที่ตามจีบอยู่  แล้วก็ปรึกษาว่าให้ของที่ผู้หญิงอื่นทำ สาวจะโกรธไหม

ไอ้ไผ่มันคนโผงผาง พูดคุยกับผู้หญิงไม่ค่อยเป็น ไม่เคยคบหาใครเลยด้วยซ้ำ   ส่วนขามไม่ใช่คนเจ้าชู้เยี่ยงไอ้ขัน แต่ที่พูดคุยกับผู้หญิงได้สบายปาก น่าจะเพราะอยู่กับแม่สองคนตั้งแต่เด็ก เพื่อนเล่นที่สนิทกันตอนเด็กก็คือกิ่ง จึงเข้ากับผู้หญิงได้  ไม่เคอะเขิน

ทว่าก็เข้าใจความรู้สึกผู้หญิงในระดับพื้นฐานเท่านั้น ขามไม่กล้าพูดว่าตัวเองเข้าใจผู้หญิงทั้งหมด ใจนางลึกเกินหยั่งถึง ส่วนที่เกินพื้นฐานนั้นเป็นไปตามนิสัยของแต่ละนาง

คำถามของไอ้ไผ่ ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน ขามจึงตอบได้

ค่าปักมันต่างกันไปตามเนื้องาน จึงบอกแค่คร่าวๆ ให้ไอ้ไผ่ฟัง ส่วนประเด็นที่ว่าสาวจะโกรธไหมหากเอางานฝีมือของสาวอื่นไปให้เป็นของขวัญ ต้องถามกลับว่าสาวที่ไอ้ไผ่ไปจีบมีฝีมือในการเย็บปักไหม?

กุหลาบเหมือนกัน ไม่ควรให้มันแข่งกันบาน นายตรีเพชรเคยสอนไว้ เสียแต่ตอนนั้นนายไม่ได้เทียบกับดอกไม้ นายเทียบกับเสือ...เสือเหมือนกัน อยู่ในกรงเดียวกัน ไม่ควรให้มันแข่งกันเป็นเจ้าป่า

สาวที่ไอ้ไผ่จีบอยู่แค่พอเย็บผ้าเป็น แต่เก่งเรื่องทำอาหาร เช่นนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหากับของขวัญชิ้นนี้

ไปถึงตลาด เจอผ้าสีเหลืองแบบที่มะลิเคยเอามาให้ดู ถามราคาแล้วแพงบรรลัย ถามเจ๊กว่ามีสีนี้ ผ้าแบบอื่น ราคาถูกกว่านี้ไหม ปรากฎว่าไม่มี อัฐที่มะลิให้มาก็พอซื้ออยู่ แต่ไม่ถึงครึ่งหลาได้แค่ครึ่งของครึ่งเท่านั้น ก็ต้องเอา ไม่มีทางเลือก

เจ๊กกำลังวัดผ้าตัดแบ่งให้ ไอ้ไผ่กระซิบว่ามีเงินอยู่เท่านี้ ไม่รู้จะได้ออกมาอีกไหม ถึงออกมาก็ซื้อผ้าไม่เป็น เลยให้ช่วยเลือกให้หน่อย ทำถุงผ้าแบบถุงใส่เงินของมะลิก็พอ

ผ้าที่มีลาย ไม่ต้องเสียเวลาปัก เย็บเป็นถุงก็ดูดีแล้ว ขามจึงเน้นถามราคากับเจ๊กเฉพาะผ้ามีลาย บวกลบราคาผ้ากับเงินที่ไอ้ไผ่มี  จิ้มให้ไอ้ไผ่เลือกเอง 5 ลาย   ไอ้ไผ่กลับบอกว่าไม่อยากได้ผ้าลายอยากได้ผ้าพื้นสีสด

นึกด่าไอ้ไผ่ในใจว่า มึงไม่แย้งตั้งแต่ตอนกูไล่ถามราคาเจ๊กวะ?! 

มันก็บอกหน้าซื่อๆ เหมือนไม่ได้มีเจตนาเรื่องมาก เลยถามสีพื้นใหม่ คราวนี้ถามสีที่มันอยากได้มาเลย จะได้เลือกแต่เนื้อผ้า สุดท้ายเพราะถุงเล็ก ใช้ผ้าแค่นิดเดียว  เลยได้ผ้าจีนเนื้อดีสีเขียวใบตองอ่อน

ธุระมีแค่นี้ เสร็จแล้วจึงพากันเดินกลับเรือนคุณเกรียงไกร

เดินออกมาพ้นตลาดได้ไม่เท่าไหร่ ไอ้ไผ่ก็หยิบผ้าขึ้นมาลูบ มันว่านิ่มมือดี ขามเห็นด้วยกับไอ้ไผ่ พอมีคนชื่นชมด้วยไอ้ไผ่จึงภาคภูมิใจมั่นใจมากขึ้นว่าสาวเจ้าน่าจะชอบเหมือนกัน

ความรักแบบนี้สิค่อยน่าสนหน่อย ตรงมาตรงไปไม่มีเล่ห์เหลี่ยม วกวนซับซ้อนแบบไอ้ขันกับมะลิ ปวดหัวมากกว่ามีความสุข

o8 นกขมิ้นหน้าตาเช่นไร คลิ๊กเบาๆ ดูภาพนกขมิ้น (http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2012/05/17/gjjaa6abi8eej6hi6bfg7.jpg)
สีกรัก ได้มาจากสีของไม้แก่นขนุน บ้างเรียก สีกรักดำ  ส่วนสีแก่นขนุนนั้นจะออกสีส้มเหลือง มีหลายเฉด คลิ๊กเบาๆ ดูสีกรัก (http://files.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=3072911&d=1392561643)
ถุงผ้าของมะลิหน้าตายังไง คลิ๊กเบาๆ ดูภาพลักษณะถุงผ้าของมะลิ (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/636/15636/images/bag/sacchetti.jpg)
หัวข้อ: Re: [ที่รัก]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 16-03-2015 21:24:03
แล้วขามล่ะ...เมื่อไรจะมีคนรักกับเขาสักที?
เอ~ หรือว่าขามรอนายอยู่คะ :-[
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 17-03-2015 08:16:19
๕.

กลับถึงเรือนท่านเกรียงไกร พี่คนอื่นกินข้าวเที่ยงเสร็จนานแล้ว กำลังเอนหลังงีบกันอยู่ ขามกับไผ่จึงเดินไปกินข้าวในครัว

หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนตามระเบียบ เลยเดินไปเอนหลังงีบในศาลาเดียวกัน

รู้ตัวอีกทีเพราะบ่าวคนหนึ่งมาปลุก เป็นคนละคนกับที่เดินมาส่งขาม น้ำเสียงกับกริยาของบ่าวคนนี้ไม่ค่อยดี เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม แต่นายเสร็จธุระแล้ว ทุกคนจึงรีบลุก ล้างหน้า เตรียมกลับบ้าน ไม่มีเวลาไปเอาความกับบ่าวคนนั้น

นายตรีเพชรมารอที่หน้าเรือนแล้ว แต่ไม่ได้ยืนรอกลางแดด ยังนั่งอยู่ในชายคาบ้าน พร้อมกับบ่าวมารยาทดีที่ขามชื่นชอบ

พอเสลี่ยงมาถึง นายลุกจากเก้าอี้ บ่าวมารยาทดีคนนั้นเดินมาส่งถึงเสลี่ยง รอจนนายตรีเพชรนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาจึงคุกเข่าพนมมือไหว้ เป็นการส่งลา

ขามนั่งอยู่ใกล้ๆ บ่าวคนนั้น รอจนเสลี่ยงถูกยกขึ้น คนหาบด้านหลังเดินพ้นตัวเองไปแล้วจึงยกมือไหว้บ่าวคนนั้นก่อน เดินก้มหลังอ้อมหลังบ่าวคนนั้นไปหานายตัวเอง

บ่าวคนนั้น แม้นไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่หากเดินมาส่งนายตรีเพชรถึงเสลี่ยงเช่นนี้ ย่อมคุ้นเคยกับนายพอสมควร เช่นนั้นขามจึงนบนอบต่อเขา

“อิ่มไหม?” ตรีเพชรถามเมื่อเห็นบ่าวคนสนิทเดินมาอยู่ข้างๆ

“โอ๊ะ เขาเลี้ยงดีขอรับนาย ตักข้าวเพิ่มได้” บ่าวตอบแบบเป็นกลางทั้งที่ใจอยากชมว่า ของกินดีเหลือเกิน ไม่มีเขียมแม้บ่าวของแขก ให้กินได้เต็มที่ สมแล้วที่เป็นตระกูลใหญ่

“ข้าหมายถึงพวกเอ็งนอนอิ่มไหม?”

สิ้นคำถามของนาย คล้ายว่าเสลี่ยงสะดุดเล็กน้อย

ขามเดินไปเกาหัวไป ไม่รู้จะตอบนายอย่างไรดี ใจจริงคิดว่านอนอิ่มดีเหมือนกัน เพราะถึงโดนปลุกก็ไม่รู้สึกงัวเงีย

ไม่มีบ่าวคนไหนตอบนาย นายจึงเอ่ยมาอีกคำ ครั้งนี้เสียงเข้มเฉียบขาดกว่าเดิม

“อยู่บ้านคนอื่นยังกล้าหลับ นั่งหลับข้าไม่ว่า นอนเป็นหมาแบบนั้นใช้ได้ที่ไหน! อย่าให้มีอีกเชียว!”


"ขอรับ!" / "ขอรับ!" / "ขอรับ!" / "ขอรับ!"

“โอ๊ย!”

เสียงไอ้ขามร้องโอย เนื่องจากโดนเขกกบาลลงโทษแทนคนอื่นๆ

นี่ก็เป็นข้อเสียหนึ่งอย่างของบ่าวคนสนิท  อยู่ใกล้ตัวนาย จึงอยู่ใกล้มือตีนนายไปด้วย





มาถึงเรือนไม่ชักช้า กระนั้นยังไม่ทันต้อนรับแขก

แขกมาก่อนเวลา เพราะเป็นคนสนิทกันจึงมาพูดคุยเล่นก่อนเวลาทานอาหาร  นายตรีเพชรไปธุระนอกบ้าน ถึงไม่เสียมารยาท ก็ควรรีบเร่งขึ้นไปพบผู้หลักผู้ใหญ่

ทว่า บ่าวคนสนิทของนายหญิงกลับเดินมาบอกให้นายตรีเพชรไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน วันนี้ไม่ใช่เฉพาะมารดาแม่หญิงน้อยที่มา บิดาของแม่หญิงน้อยก็มาด้วย

“ได้กระไร ข้ามิใช่ผู้หญิง ให้ผู้ใหญ่รออาบน้ำจะได้รึ!” นายตรีเพชรเอ็ดคำโต

“นายน้อยไปข้างนอกมา ตากแดดตากลมหน้าดำซีด  ขึ้นไปทั้งแบบนี้ ดูไม่ดีเลยนะเจ้าคะ” ป้าผกาเป็นคนสนิทของนายใหญ่ได้เลี้ยงดูนายน้อยมาแต่อ้อนแต่ออก จึงพอพูดคุยถกเถียงกับนายน้อยได้ถนัดปาก

“งั้นไปเอาอ่างมา ข้าจะล้างหน้า!”

ป้าผกากำลังจะอ้าปากพูด นายน้อยพูดเสียงเข้มตัดบท

“ขาม!”

นายเรียกคำเดียว ไม่ต้องอธิบาย ขามวิ่งปรู๊ดไปใต้ถุนเรือนใหญ่ หากะละมังกับผ้าแห้ง

เดินประคองกะละมังน้ำออกมา พร้อมกับผ้าแห้งคล้องที่แขนซ้าย  นายมานั่งรอที่แคร่ใต้ถุนเรือน ขามจึงเดินเอากะละมังไปวางบนแคร่ ใกล้ตัวนาย

จริงอย่างที่นายว่า ผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง เอะอะก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ เป็นลูกสาวให้ผู้ใหญ่รอตัวเองแต่งเนื้อแต่งตัวไม่มีใครว่า ได้เห็นของสวยงาม ถือว่าคุ้ม นายตรีเพชรเป็นผู้ชายแม้ไปข้างนอกมาก็จริง แต่แขกที่มาก่อนเวลาย่อมรู้แล้วว่านายอยู่นอกบ้านไม่ได้อยู่ในบ้าน จึงไม่ได้ออกมาต้อนรับในทันที เช่นนั้นอยู่ๆ เดินขึ้นบันไดตัวหอมฟุ้ง เกรงว่าท่านพระยาคงมองเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

ผู้หญิงก็คิดแบบผู้หญิง ขามไม่ได้เข้าข้างนาย เพียงแค่คิดในแบบผู้ชาย จึงเห็นด้วยกับนาย

“เอ๊ะ!” ขามอุทานขณะชูสองมือไปรับผ้าที่นายซับหน้าเสร็จแล้ว

นายมองจ้องคิ้วขมวด

บ่าวคนสนิทยกมือพนมไหว้พร้อมพูดพำพัมว่า “ขออภัยขอรับ นาย...”  จากนั้นบ่าวก็ยกก้นขึ้นจากหลังเท้า ยืดตัวขึ้นไป ยื่นมือไปที่บ่าของนาย เอาสิ่งที่หยิบได้ วางบนผ้าที่ถืออยู่อีกมือ “...ดอกโมกข์ขอรับ สงสัยหล่นมาติดตอนนายเดินเข้ามาเมื่อกี้”

“อืม...” นายฮัมในลำคอก่อนลุกขึ้นยืน

พอนายลุกขึ้น บ่าวคนสนิทกลับอุทานอีกครั้ง

“เอ๊ะ!”

นายหันหน้าลงมามอง คราวนี้คิ้วไม่ขมวดแล้ว

“มึงจะเอ๊ะอะไรนัก ไอ้ขาม!” ป้าผกาที่รอพานายน้อยขึ้นเรือนใหญ่เอ็ดเสียงเบาแต่ดุจริงจัง

ขามห่อไหล่ย่นหัวตัวเองลง อ้อมแอ้มบอกป้าผกาว่า “ขอโทษจ๊ะป้า แต่ดอกโมกข์มันติดที่ผมนาย...”

“ตรงไหน?” ตรีเพชรถาม

“หลังหูขอรับนาย หูซ้าย” ขามบอกพร้อมยกมือชี้บุ้ยใบ้

ตรีเพชรยกมือซ้ายขึ้นลูบหลังศรีษะตัวเอง สะดุดกับก้อนเล็กๆ ที่ไม่ใช่เส้นผม รูดมือลงมาโดยกอบสิ่งนั้นติดมือมาด้วย ปรากฎว่าเป็นดอกโมกข์จริง ดอกเล็กกระจิ๊ดริดสองดอก

บ่าวคนสนิทเดินเข่ามาใกล้ ชูสองมือขึ้นรอ เหมือนตอนรอรับผ้าซับหน้า ตรีเพชรจึงเอาดอกโมกข์ในมือวางลงที่ฝ่ามือบ่าวคนสนิท เสร็จแล้วก็พูดว่า “เรียบร้อยดีหรือยัง?”

“ขอรับ!”

จากนั้นตรีเพชรจึงเดินออกไปจากใต้ถุนเรือน ตรงไปหาบันได ก้าวขึ้นไปบนเรือนด้วยฝีเท้ามั่นคง


o8 ดอกโมกข์เป็นอย่างไร หลายคนคงเคยเห็นกันมาแล้ว แต่เผื่อบางคนนึกภาพไม่ออก...
กดเบาๆ เพื่อดูภาพดอกโมกข์ (http://4.bp.blogspot.com/-Dj82nWvaYps/TjVonV4FOJI/AAAAAAAABdA/W6An170jFbw/s400/1294838682.jpg)
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 17-03-2015 08:28:15
 :pig4: รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 17-03-2015 08:41:15
ขามลุกขึ้นยืน มองดอกโมกข์สามดอกในมือ

มันเคยอยู่บนตัวนายทิ้งให้คนเหยียบย่ำก็รู้สึกไม่ดี เงยหน้าขึ้น หันมองไปรอบๆ บริเวณนั้นตาสะดุดเข้ากับอ่างบัวหน้าเรือนใหญ่ จึงเดินไปหาอ่างบัว เอาดอกโมกข์สามดอกลอยบนผิวหน้าเสร็จแล้วเข้าไปจัดเก็บกะละมังกับผ้า ส่งคืนให้บ่าวเรือนใหญ่

เพราะคดีเก่าทำให้ขึ้นไปรับใช้นายบนเรือนใหญ่ไม่ได้ ขามจึงไปที่เรือนแยกของนายสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยที่ฝากไอ้เอี้ยงทำแทน

ไอ้เอี้ยงไม่ใช่คนละเอียด จึงมีส่วนเล็กส่วนน้อยให้ขามตามเก็บ หันมองฟ้าอีกทีท้องฟ้าเริ่มมีสีส้ม ขามจึงรีบไปเผาตะไคร้กับเปลือกรมควันในห้องนอนนาย

ท้องฟ้าเพิ่งเป็นสีขี้เถ้า พี่รุ่งกับพี่ไสวก็มาถึงหน้าเรือนแล้ว

ขามเดินลงบันไดไปหาพี่รุ่ง แล้วบอกว่า “พี่รุ่ง ข้าฝากดูห้องนอนนายหน่อยนะข้าจุดไฟรมควันไว้ ถ้านายมาแล้ว เตือนนายด้วยว่าอย่าเพิ่งเข้าไป”

“เออ...” รุ่งรับคำสั้นๆ

ขามเดินวกไปที่ตุ่มน้ำ ล้วงมือเข้าไปในซอกหนึ่ง ควานหาเสื้อผ้าที่ม้วนเก็บไว้เมื่อเช้าปรากฎว่าไม่เจอ เขาไม่ได้ตกใจเพราะมีแค่แม่เท่านั้นที่เป็นคนเอามันไป

แม่ของขามเป็นบ่าวในครัว มีฝีมือทำขนม แม้หน้าตาขนมไม่สวยเท่าฝีมือสาวชาววังแต่รสชาตินั้นเทียบกันได้ไม่อาย บางครั้งพี่ป้าน้าอามักแซวขามว่ากินขนมบ่อยเลยปากหวาน

ความจริงแล้วไม่ได้ปากหวานอะไรเลย เป็นเพื่อนเล่นกันนายตรีเพชรตอนเด็กเลยโดนแม่เข้มงวดเรื่องคำพูดคำจา ลงท้ายก็ติดมาเป็นนิสัย คำกร่นด่าแบบได้ยินแล้วระคายหูรู้จัก แต่ไม่ชอบพูด ส่วนปากหวานกับสาวๆ เหมือนที่ไอ้ขันชอบใช้นั้นขามพูดไม่เป็นหรอก แค่คิดยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำ

มาถึงโรงครัว เจอลาภปาก เพราะมีแขกมาแม่จึงทำข้าวเหนียวมูล หน้าปลาหวานนั้นบ่าวไม่ได้กินดอกนายเท่านั้นถึงได้ชิม แต่ข้าวเหนียวมูลของแม่ กินเปล่าๆ ก็อร่อย ขามจึงไปกระแซะ ขอแม่มาได้หนึ่งกระทง

เมื่อคืนตั้งใจกินมะม่วงกบข้าวเปล่าแล้วไม่ได้กิน คาใจพิกลทั้งที่ตัวเองไม่ได้ชอบมะม่วง กระนั้นก็ยังไปเอามะม่วงในตะกร้าหวายที่เก็บมาเมื่อคืน มาปลอกกิน

“ไอ้ขาม ทำไมไม่กินข้าวปลาซะก่อนเล่า” แม่เอ็ดตาเขียว

“ลงท้องแล้วมันก็กองรวมกัน กินอย่างไหนก่อนก็ได้น่าแม่” ขามให้เหตุผล

แม่ตีผวั๊ะต้นแขนลูกชายหนึ่งที แล้วทำงานต่อ ลูกมันโตแล้ว คร้านจะเปลืองน้ำลาย

มะม่วงของต้นนายตรีเพชรกินกับข้าวเหนียวมูลอร่อยที่สุด แม่เคยบอกไว้ ต้นอื่นจะหวานโดด ผสมกับข้าวเหนียวหวานมันถึงอร่อยแต่ยิ่งทานจะยิ่งเลี่ยน ได้มะม่วงที่หวานพอดี ถึงเรียกว่ากินเพลินจนหยุดปากไม่ได้ แต่ขามไม่รู้รสขนาดแม่หรอก รู้แค่ข้าวเหนียวมูลที่แม่ทำอร่อยมาก

กินข้าวเหนียวหมด กำลังจะต่อข้าวสวยสำรับจากเจ้านายก็ถูกลำเลียงมาโรงครัว ขามยืดคอเมียงมองสำรับ ไม่เห็นถ้วยชามสำหรับของหวาน จึงไม่เร่งรีบ ค่อยๆกินข้าวไป

กินข้าวเสร็จ เดินกลับบ้าน ถอดเสื้อผ้า เอาผ้าขาวม้าพันตัว หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ ไปอาบน้ำที่บึง

ในเมื่อเวลากินเวลานอนต่างกับคนอื่น เวลาอาบน้ำย่อมต่างกันด้วย แม้ที่ท่าเวลานี้ไม่มีใคร ขามก็ไม่ใคร่สะดวกใจแก้ผ้าอาบน้ำโทงๆ เหมือนบ่าวผู้ชายคนอื่น นุ่งผ้าขาวม้าผืนเก่าซีดที่ใช้มาทั้งปี นั่งขัดเท้าอย่างพิถีพิถัน

วันนี้ไปข้างนอกมา แถมไปเดินตลาดด้วย ฝ่าเท้าจึงดำเขรอะไม่น่าดู ขัดไปก็นึกฝันถึงรองเท้าชั่วชีวิตนี้จะได้มีบุญใส่กับเขาไหม?

มิใช่อิจฉา แค่สงสัยว่าจะมีบุญสักครั้งไหม ก็เท่านั้น

ล้างฝุ่นโคลนเกลี้ยงแล้วค่อยเอาส้นเท้าไปถูกับแง่งหิน นอกจากช่วยขัดรอยเส้นสีกระดำกระด่างยังช่วยไม่ให้ส้นเท้าแข็งเกินไปด้วย ถึงเท้าบ่าวไพร่ไม่มีทางนุ่มเหมือนเท้าเจ้านายแต่ส้นเท้าที่แข็งเกินไปทำให้เจ็บเวลาเดินได้

ตักน้ำราดตัวสักขัน ขัดๆ ถูๆ ตามซอกตัว มีขี้ไคลติดตัวมันไม่จำเริญหูจำเริญตา

ขามอาบน้ำเสร็จกำลังนุ่งโจงกระเบน บ่าวผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่เสร็จงานแล้วนุ่งแค่ผ้าขาวม้าเดินมาอาบน้ำที่ท่าตะโกนทักทายมาแต่ไกล

“ใครวะ? แม่งนุ่งโจงกระเบนอาบน้ำซะด้วยวะ”

แล้วคนอื่นๆ ก็หัวเราะลูกคอสั่น น้ำเสียงไม่ใช่หาเรื่องเจตนาแค่แซวเล่นเท่านั้น ขามจึงตะโกนตอบไป

“ใครมันจะบ้านุ่งโจงกระเบนอาบน้ำ ข้าอาบเสร็จแล้ว”

“อ้าว ไอ้ขามนี่เอง นึกว่านางไม้ที่ไหน จุ๊จุ๊จุ๊...” บ่าวคนหนึ่งในกลุ่มทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่หยุดปาก

บ่าวพวกนี้รู้จักกัน แต่ไม่อยากสนิท นิสัยโผงผางแบบไอ้ไผ่หรือเขม่นหน้าจ้องแต่จะหาเรื่องเหมือนไอ้ขันไม่ว่า เกลียดพวกมันตรงที่ปากพล่อย แซวอะไรน่าขนลุก เหมือนเล่นๆ แต่แปลกๆ ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก

พวกมันมีกัน 5 คน สี่ในห้าคนพอทำเนาแต่ไอ้ตัวโย่งๆ ที่สุดในกลุ่มนี่ไม่ไหว

ขณะที่ไอ้ตัวโย่งเดินมาถึงตรงหน้า ยังทำเสียงจุ๊ๆ ไม่หยุดปาก ขามผูกโจงกระเบนเสร็จพอดีจึงยื่นแขนไปคว้าเสื้อที่วางพาดบนขื่อ แล้วบอกว่า “ข้าไปละ”

ไอ้ตัวโย่งยังยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า ขามจึงขยับเท้าไปด้านข้าง คิดในใจว่ามึงไม่ยอมหลีก กูหลีกเองก็ได้วะ ที่ไหนได้ไอ้ตัวโย่งกลับขยับเท้ามายืนขวางหน้าอีก ขามคร้านจะเอาเรื่องจึงขยับเท้าไปด้านข้างตำแหน่งเดิม มันก็ตามอีก!

“มึงมีอะไรวะ?” ขามเงยหน้าขึ้นมาแบบมีน้ำโห

“แค่สงสัย...” คนพูดอมยิ้มแค่มุมปาก “ว่านี่เป็นผีหรือคน...” สิ้นคำหลังคนพูดไม่พูดเปล่ายกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือทาบกับหน้าอกของคนที่ยืนหน้าตึงอยู่ตรงกันข้าม

“ไอ้เหี้ย!” ขามสบถด่าอย่างอดไม่ได้ นอกจากด่าไอ้ตัวโย่งแล้วปฎิกริยาของตัวเองมันก็ไปเอง แขนขวาสะบัด ปัดมือของไอ้โย่งไปจากตัว

ไอ้ตัวโย่งไม่รู้สึกรู้สม สาวเท้าก้าวมาประชิดราวกับจะหาเรื่องแต่ขามรู้สึกว่าไม่ใช่ซะทีเดียว

“เฮ้ย! มาอาบน้ำ มัวแต่เล่นอยู่ได้!” คนหนึ่งในกลุ่มพวกมันที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าพูดปราม

ไอ้ตัวโย่งทำเสียงจิ๊จ๊ะแบบขัดใจ ก่อนเดินสวนไปกระนั้นก็ยังเจตนาเดินให้ไหล่ชนตัวขาม

“ไอ้---”

ขามยังไม่ทันพูดให้ครบคำ พลันมีเสียงหวานร้องเรียกชื่อตนขึ้นมาก่อน

“พี่ขามอยู่นี่ที่ไหมจ๊ะ?”

กำลังโมโห แต่ก็ได้เสียงนั้นช่วยดึงไว้ ไม่ให้มีเรื่องกระนั้นขามก็ยังปรับเสียงตัวเองไม่ได้ ตะโกนตอบไปทั้งห้วนๆ

“อยู่!”

ไอ้ตัวโย่งหัวเราะขันแบบน่าโดนต่อย

ขามมองไปทางต้นเสียง คนนั้นเป็นผู้หญิง คงไม่กล้าเดินมาถึงตรงนี้เพราะเป็นที่สำหรับผู้ชายใช้อาบน้ำ ไม่รู้มีธุระเร่งด่วนรึเปล่า ถึงได้ตามหากันแบบนี้

คิดได้ดังนั้น ขามจึงข่มความโกรธลงได้ หันหน้ากลับมา ไม่สนใจไอ้ตัวโย่ง ทว่า เดินมาได้สองก้ว ขามกลับรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกนั้นเกิดตรงมือข้างขวาจึงยกมือข้างขวาขึ้นมาดู ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเสื้อตัวเองหายไป

ขามก้มลงมองพื้น เพราะเมื่อกี้สะบัดมือขวา มันอาจตกพื้น ทว่ากลับไม่เห็นเสื้อของตัวเอง ที่ท่ามีแต่ไม้กระดานเปียกๆ ขณะที่ยืนกวาดสายตามองพื้นให้ดีๆเป็นรอบที่สอง เงาหนึ่งพลันโผล่พรวดขึ้นมาจากในน้ำ

“อึ๊ก!” ขามตกใจจนร้องอุทานออกมาไม่ได้ คำมันติดอยู่ตรงลำคอ

คนที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำพูดว่า “ของเอ็งสินะ?”

ขามมองสิ่งที่อยู่ในมือไอ้ตัวโย่ง มันเป็นเสื้อ และก็คงไม่ใช่เสื้อของตัวเองไม่ได้ เสื้อไม่ใช่ทางมะพร้าวที่ลอยน้ำให้เห็นดาษดื่น แม้นโกรธจนไม่อยากเสวนาด้วยขามกลับยอมทิ้งเสื้อไปง่ายๆ ไม่ได้ จำข่มใจค้อมตัวลงไปหยิบเสื้อเปียกชุ่มจากมือไอ้ตัวโย่ง

ด้วยมารยาทฝังลึกหรืออย่างไรมิอาจทราบได้ ปากมันกลับพูดไปโดยไม่ทันตั้งใจ “...ขอบใจ...”

นึกได้อีกทีคำพูดก็หลุดปากไปแล้ว ได้แค่เม้มปากกัดไว้ พอได้ยินเสียงหัวเราะจากไอ้โย่ง ขามสุดทน เดินฮึดฮัดออกไปจากท่าทันที

เสียงหัวเราะเยาะแบบแปลกๆ จากพวกมันทั้งกลุ่มดังลอยตามหลังมา

ขามเกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้เข้าไส้ ไม่รู้วันๆ พวกมันจะสนุกอะไรกันนัก เจอทีไรก็หัวเราะแบบนี้

ครั้งหนึ่งเดินเลี่ยงพวกมันมาได้ เจอพี่รุ่ง พี่รุ่งคงเห็นไม่มากก็น้อยจึงบอกว่าอย่าไปใส่ใจ ไม่ชอบก็อยู่ให้ห่างไอ้พวกนี้ไว้ แล้วพี่รุ่งก็สอนว่าถึงเกลียดขี้หน้ากัน แต่เป็นบ่าวเรือนเดียวกันมีเรื่องกันไม่ดี นายไม่ชอบ

เพราะเข้าใจเหตุผลที่พี่รุ่งบอก ขามจึงพยายามเลี่ยงให้ได้มากที่สุด ทั้งที่อยากประเคนหมัดใส่ดั้งมันใจแทบขาด


o8 ทางมะพร้าวเป็นอย่างไร มันก็คือก้านใบมะพร้าวที่แห้งแล้วนั่นเอง
กดเบาๆ เพื่อดูภาพทางมะพร้าว (http://www.hugubon.com/hugubon/local/product/201406/20/p35/2.jpg)
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 17-03-2015 14:16:09
ดูท่าขามจะโดนหนุ่ม ๆ แซวเสียแล้วมั้ง :hao3:
รอตอนต่อไปนะค้า~ :bye2:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: makone ที่ 17-03-2015 15:14:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 17-03-2015 15:55:42
ชอบภาษามากเลยค่ะ อ่านแล้วละมุนละไม
การดำเนินเรื่องบรรยากาศไทย ๆ สมัยเก่านี่ อ่านแล้วมีความสุขมากเลย  :o8:
แถมยังได้รับความรู้เพิ่มเติม ที่มีสอดแทรกอยู่ในเนื้อเรื่องด้วย ชอบมาก ๆ เลยค่ะ
ขาม ซื่อ ๆ น่ารักจัง เป็นบ่าวที่ดี แม้นายจะเอ็นดูเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ก็ไม่เคยคิดลำพองตนเลย
นายตรีเพชร เจ้านายที่แสนอบอุ่น ใจดี ไม่ถือตัว แต่ก็เข้มแข็งสมชายชาติทหาร เท่ห์มาก ๆ
ชอบที่ แม้นายตรีเพชร จะกตัญญู แต่ก็ไม่ใช่จะยอมให้ถูกจับคลุมถุงชนง่าย ๆ เด็ดเดี่ยวดีมาก
การที่นายตรีเพชร ไม่ยอมแต่งงานกับใคร เป็นเพราะมีใจให้ขามอยู่หรือเปล่า
แต่เพราะยากจะบอกความรู้สึก และรู้ว่า ความรู้สึกที่ขามมีให้ คือ รักและเคารพตนในฐานะเจ้านาย
จึงอยากจะตัดใจ แต่ก็ไม่ต้องการแต่งงาน ไปใช้ชีวิตกับคนที่ไม่ได้รัก
จึงคอยเร่งให้ขามแต่งงานไปแทน เพื่อที่ตัวเองจะได้ตัดใจได้หรือเปล่านะ (เดาเอาล้วน ๆ )

ตอนล่าสุด แอบกลัวพวกบ่าวที่แซวขามอ่ะ โดยเฉพาะไอ้โย่งที่แกล้งขาม
คิดอะไรไม่ดีกับขามอยู่หรือเปล่าอ่ะ หวังว่าขามจะไม่ถูกทำอะไรหรอกนะ กลัวจัง :ling3:
ขามอยากได้รองเท้าเหรอ นายตรีเพชรจะรู้ไหม อยากให้นายซื้อให้ขามจังเลย  :-[
เรื่องนี้ จะดราม่าไหมนะ ถ้ามีก็หวังว่าจะไม่มากนะคะ อยากให้จบแบบมีความสุขจังเลย
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 17-03-2015 16:04:39
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 17-03-2015 16:44:42
มาลุ้นว่าขามจะคู่กับใคร
ว่าแต่นายกับเกรียงไกรเค้าไม่มีซัมธิงรองกันใช่มั้ย
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Chevy ที่ 17-03-2015 18:16:19
นาย กับ ขาม ให้อารมณ์เป็นตัวนางทั้งคู่


เดาเล่นๆ ว่า นาย กับ ท่านเกรียงไกร น่าจะมีซัมติง


ส่วนไอ้โย่ง มาตอนเดียว ให้อารมณ์พระเอกมาก เหมาะกับขามดี


หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๕ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: คุณอัง ที่ 17-03-2015 19:23:30

เข้ามานั่งรอติดตามตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๖
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 17-03-2015 23:08:37
๖.


คนที่มาร้องเรียกคือมะลิ

ขามเดินไปถึงตัวมะลิแล้วยังไม่หายโมโห สีหน้าคงเห็นชัดกระทั่งมะลิยังเอ่ยปากทัก

“มีเรื่องทะเลาะกันเหรอพี่?”

“ฮื้อ!” ขามพ่นลมหายใจออกทางจมูกแรงๆ หนึ่งที เหมือนไล่ความโกรธออกไปจากตัว จากนั้นถึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เกือบเป็นปกติ “ช่างมันเถอะ ว่าแต่เอ็งมีอะไร?”

“ฉันจะมาถามพี่ว่าของที่ฝากซื้อน่ะ พี่ได้มาไหม? หากไม่ได้ ฉันจะฝากคนอื่นต่อ” มะลิบอก

“อ๋อ ได้! ข้าซื้อมาแล้ว แต่ผ้าอะไรกัน แพงบรรลัยเลย ใครสั่งทำเอ็งทำวะ?” ขามถาม

“เหรอ แพงขนาดนั้นเชียว แล้วได้ถึงครึ่งหลาไหม?” มะลิทำตาโต ตัวเองรู้ว่าแพง แต่ไม่คิดว่ามันจะแพงมากมายจนพี่ขามต้องเอ่ยปาก

“ได้แค่ครึ่งของครึ่งหลาว่ะ เหลือเงินหน่อยนึง” ขามบอก

“เฮ้อ... เอาเถอะ ฉันก็ทำใจอยู่ว่ามันต้องของดี ว่าแต่มันอยู่ไหนล่ะ?”มะลิระบายลมหายใจคล้ายปลงตก ก่อนเอ่ยทวง

ขามเอียงคอ ครุ่นคิด “...อืม...... ในบ้านมั้ง น่าจะอยู่กับเสื้อผ้าที่ข้าใส่ไปวันนี้...”

พูดแบบลังเล เพราะความจริง จำไม่ได้เหมือนว่าตอนตัวเองถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนใส่ผ้าขาวม้าก่อนมาอาบน้ำ เห็นห่อผ้าของมะลิด้วย?

มะลิได้ยินก็เร่งให้ไปเอามา แต่อีกทีก็บอกว่าไปเอาเองดีกว่า ไม่อยากยืนรอตรงนี้ มันไม่ดี

พอไปถึงบ้าน ค้นยังไงก็หาผ้าของมะลิไม่เจอ ไม่เพียงห่อผ้าที่ซื้อจากเจ๊ก แม้แต่ถุงผ้าใส่เงินของมะลิก็ไม่เจอเหมือนกัน

มะลิโวยวายใหญ่ “พี่ขาม! พี่ทำของฉันหายรึ!?”

“พี่ไม่ได้ทำหาย! ตอนเดินกลับมาพี่ยังคอยจับมันดูอยู่เลยว่ามันอยู่ข้างหลังหรือเปล่า?”ขามพูดพลางตบที่ข้างหลังตัวเองให้มะลิดู

เขาเอามันเหน็บใส่ผ้าพันเอวด้านหลัง เวลาไปซื้อของถ้าไม่ใช่ของใหญ่ก็เหน็บแบบนี้ตลอด ถึงทำร่วงกลางทางไอ้ไผ่ที่อยู่ด้านหลังย่อมเห็น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็น ที่สำคัญตอนเอากะละมังที่นายล้างหน้าไปเทน้ำ ก่อนคืนกะละมังให้บ่าวเรือนใหญ่ ยังเผลอเอามือตบหลังตามนิสัยอยู่เลย

มันต้องอยู่!

อยู่ในเรือนนี่แหละ!


“ใจเย็นก่อนมะลิ พี่ไม่ได้ทำตกแน่ พี่อาจวางลืมไว้ที่ไหนสักที่ ตอนพี่กลับมาช่วงที่อยู่ใต้เรือนใหญ่ จับดูมันยังอยู่เลย ถ้าตกก็ต้องตกแถวเรือนใหญ่นี่ละ! ไม่งั้น....เอ้อ! พี่อาจลืมทิ้งไว้ที่เรือนนายก็ได้ เมื่อเย็นทำอะไรยุ่งๆ เลยอาจหยิบมันออกมาวางก็ได้! ต้องใช่แน่ๆ! ใช่แน่!”

“ไม่รู้ละ! ถ้าพี่หาไม่เจอ พี่ต้องเอาเงินมาใช้คืนฉันด้วย! ผ้าพี่ก็ต้องซื้อคืนฉัน! รู้ไหม?!” มะลิโกรธมาก

“จ้ะจ้ะ! พี่สัญญา! มันไม่หายหรอกๆๆ......”

ขามยังพูดทวนประโยคหลังไปเรื่อยๆ แต่มะลิไม่สนใจฟัง สะบัดหน้าเดินออกไปจากบ้านพี่ขาม

มะลิเดินไปไกลแล้ว ขามยกหลังมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก เพิ่งจะอาบน้ำมาตัวเย็นๆ ไหงร้อนขนาดนี้ก็ไม่รู้

จะเดินไปอาบน้ำอีกทีคงไม่ได้ มิใช่กลัวเจอไอ้พวกปากเปราะนั่น แต่เพราะเสียเวลามาเยอะแล้ว ควรต้องรีบไปรอรับใช้นายสักที

คิดได้ดังนั้น ขามก็วิ่งหน้าตั้งออกจากบ้าน ไปยังเรือนแยกของนายตรีเพชร

.

.

.

ถึงเรือน

พี่ไสวกำลังเดินอยู่ข้างเรือนฝั่งกระโน้นโดยหันหลังให้  ส่วนพี่รุ่งยืนอีกฝั่งของเรือน ทั้งสองไม่ได้ยืนหน้าเรือน ผลัดเปลี่ยนตำแหน่งยืนยามรอบเรือนกันทั้งคืน

ขามรีบล้างเท้าที่หัวกระได ก่อนเดินซอยเท้าเร็วจี๋ขึ้นบันไดไป  ถึงประตูทางเข้าเรือน เจอนายกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาเล็กกลางเรือน สิ่งที่ทำให้ขามต้องอุทานคือของที่อยู่ในมือนาย

“พุธโธ่เอ๊ย! ว่าแล้ว!”

ตรีเพชรเงยหน้าขึ้นมา คิ้วขมวดปม จ้องบ่าวที่เอะอะมะเทิ่ง

นายคนสนิทรู้ตัวในบัดเดี๋ยวนั้นว่าทำเสียกริยาไป จึงรีบคุกเข่าคลานไปหาเจ้านาย พนมมือไหว้ขอโทษ

“...ขออภัยด้วยขอรับ นาย บ่าวอารามดีใจเกินไป จึงลืมตัวเสียงดัง”

“อืม...”

นายรับคำขอโทษแบบสั้นๆ แต่นี่แหละที่หมายความว่าไม่พอใจ ขามจึงค่อยๆ อธิบาย

“...นายไปเจอมันที่ไหนหรือขอรับ?  บ่าวคิดว่าทำมันหายเสียแล้ว เป็นเงินหลายอัฐทีเดียว ใจหายใจคว่ำหมดเลย...” ขามพูดด้วยเสียงอ้อมแอ้ม คล้ายว่าตนยังสำนึกผิดอยู่

“.......” ตรีเพชรเงียบอยู่อึดใจก่อนเอ่ยปาก “ของเอ็งรึ?”

“ขอรับ แต่อันที่จริงเป็นของนังมะลิ มันฝากซื้อน่ะขอรับ บ่าวไปหาซื้อมาตอนนายพูดคุยธุระกับท่านเกรียงไกร” ขามตอบเสียงอ้อมแอ้ม แสดงทั้งสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงว่าสำนึกผิดจริงๆ

“มะขามบ้านเราไม่อร่อย จนมะลิต้องฝากเอ็งไปซื้อที่ตลาดเทียวรึ?”

คำถามของนายทำเอาขามต้องเงยหน้าขึ้น การมองหน้านายหลังเพิ่งทำผิดมานั้น ไม่ควร  กระนั้นขามกลับอดใจไม่ได้

“มะขาม?” ขามทวนซ้ำในจุดที่ตัวเองสงสัย

“ใช่ มะขาม ทำไม? บ้านเราไม่มีให้กินหรือไง?”

นายตรีเพชรไม่พูดเปล่า หยิบมะขามฝักโตหนึ่งฝักให้ดูด้วย

ขามมองมะขามในมือนายตาปริบๆ ในหัวพยายามคิดตามนาย ไม่นานนักปัญญาของขามพลันบังเกิด

“...อุ...อึ๊ก...ครึครึครึ...”ขามรีบตะคุบปากตัวเอง ก่อนจะทำผิดซ้ำสองในชั่วเวลาใกล้เคียงกันมากๆ

“เอ็งขำอะไร!”

นายดุเสียงเข้ม แต่ขามไม่ยักรู้สึกกลัว เวลานี้มีแต่อยากขำ ยิ่งเห็นถมึงถึงของนายยิ่งทนไม่ไหว ต้องเอาฝ่ามือทั้งสองของตัวเองปิดหน้าไว้ รวบรวมสติให้มั่น ก่อนเอามือลง แล้วคลายความสงสัยให้นาย

“......คือแบบนี้ขอรับ ที่ซื้อน่ะมีแค่ผ้าขอรับ มะขามนั่นมะลิมันใส่ในถุงมาให้พร้อมเงิน บอกว่าเอาเก็บไว้กิน มันเห็นว่าข้างนอกร้อน มะขามหวานดี น่าจะช่วยให้ชุ่มคอ มะขามบ้านเราอร่อยที่สุดขอรับนาย...”

นายวางมือลงบนโต๊ะเสียงดังผิดปกติ แต่ไม่ใช่ทุบโต๊ะปึงปังแสดงอาการโกรธ  แค่แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ

ขามรู้ดีว่าการอธิบายของตัวเองทำให้นายหน้าแตก แต่ไม่อธิบายก็ไม่ได้  นายไม่พอใจน่ะถูกแล้ว

เช่นนั้น ขามจึงคลานกระดึบไปใกล้ขานายข้างที่วางกับพื้นเรือน ไม่ใช่พับขึ้นขัดสมาธิบนยกพื้น ขามนั่งพับเพียบเก็บขาเรียบร้อย ก่อนยื่นมือไปบีบนวดต้นขานาย น้ำหนักพอดีๆ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

บีบนวดไปพลางพูดประจบเอาใจนายไปพลาง

“นั่งเสลี่ยงนานๆ ปวดขาไหมขอรับ? ไอ้ขามนวดให้นะขอรับ คืนนี้นายจะได้นอนหลับสบาย  เมื่อเย็นนายได้ทานข้าวเหนียวมูลไหมขอรับ? แม่ให้มาถามนายว่าอยากกินขนมอะไร จะทำมาให้ ตอนอยู่หน้าด่านคงไม่ค่อยมีขนมถูกปากนาย มาบ้านทั้งที กินเยอะหน่อยคงไม่เป็นไร ปีนี้มะขามบ้านเราก็หวาน ดินดีน้ำดี นายลองชิมหรือยังขอรับ?...”

บีบนวดมาได้เป็นนาน พอไปถึงมะขาม นายสะบัดขาหนีทันควัน

“อ๊ะ...” ขามอุทานในลำคอ

นายไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืน เดินจ้ำพรวดๆ ไปทางห้องน้ำ ขามรีบกระวีกระวาดตามหลังนายไป  แต่พอไปถึงหน้าประตูห้องน้ำ นายกลับปิดประตูใส่หน้า!

“นาย!”

ขามร้องเรียกนายสองคำ นายไม่ขาน เช่นนั้นจึงไม่อาจรบกวนนาย ไม่ว่านายจะโกรธหรือไม่ ก็ต้องปล่อยนายไป

ไม่ได้รับใช้นายในห้องน้ำ ก็มีงานอื่นให้ทำเยอะแยะ

คิดได้ดังนั้น ขามจึงเดินเข้าไปในห้องนาย เก็บเครื่องหอมที่รมไล่ยุงและแมลงออกไปวางที่ศาลากลางเรือน จัดเก็บผ้าสีเหลืองที่มะลิฝากซื้อเข้าห่อ แกะมะขามกินรอนายอาบน้ำ

มะขามหวานฝักใหญ่ ถึงแม้แค่สองสามฝักก็ชุ่มคอดี เคี้ยวเพลิน พริบตาเดียว หมดซะแล้ว  กำลังจะลุกเอาเม็ดไปทิ้ง นายก็เดินออกมาพอดี หัวเปียกโชก

“ตายละนาย! ทำไมไม่เช็ดผม ออกมาโดนลม ประเดี๋ยวไม่สบายนะขอรับ” ขามพูดพลางกุลีกุจอเข้าไปหานาย  ครั้นเห็นนายกำลังจะเอาผ้าขาวม้าเช็ดหัวตัวเอง ขามร้องห้ามเสียงหลง “ไม่ได้นะนาย!  นั่นมันผ้านุ่ง เอาไปเช็ดหัวได้ยังไง!”

ไม่พูดเปล่า ขามรีบลุกไปแย่งผ้าขาวม้าจากมือนาย นายเอ็ดเสียงดังขึ้นมาทันควัน

“เอ็งนี่! แล้วข้าจะเอาอะไรเช็ดหัวเล่าวะ!”

“ก็ผ้าผืนอื่นสิขอรับ! นี่มันผ้านุ่ง!”

“มันมีผืนอื่นที่ไหน มีอยู่แค่นี้! จะเรื่องมากอะไรนักตอนอยู่โน่นข้าก็ใช้ของข้าผืนเดียว!”

“แต่ที่นี่บ้านขอรับ! เดี๋ยวกระผมไปเอาผืนใหม่มาให้ นายรอก่อน!”

เจ้านายบ้านนี้ อะไรก็ดีหมด  ยกเว้นตอนเอาแต่ใจ!---ขามคิดพลางเดินส่ายหน้าเข้าไปในห้องนอนของนาย

เพราะเมื่อกี้นายไม่ยอมให้เข้าไปเตรียมของ ผ้าผ่อนเลยเตรียมให้ไม่ครบ แต่คิดอีกทีสมควรต้องว่าตัวเองด้วย ที่เมื่อเย็นสะเพร่า ไม่เตรียมอะไรให้พร้อม พอคิดแบบนั้น ขามจึงรีบเร่งเอาผ้าแห้งผืนใหม่ไปให้นายเช็ดหัว

นายนั่งที่ศาลาหลังเล็กกลางเรือนด้วยท่าเดิม ครั้นเดินไปใกล้ตัวนาย แผ่นหลังกว้างหนาของนายกลับสะดุดตาขาม เส้นขีดยาวทะแยงจากช่วงบ่าลงไปถึงกลางหลัง ปีก่อนนั้นมันยังไม่มี แผ่นหลังนายแม้นคร้ามแดด ทว่าเกลี้ยงเกลาเสมอมา

รอยแผลของนักรบ มีค่าเทียบเท่าเกียรติยศ

ขามรู้แก่ใจ เพราะนายเลยพูดไว้ แต่แผลเล็กแผลน้อย พอทนได้ บาดแผลกลางหลังนี้เล่า มิอยากคิดเลยว่านายต้องทรมานแค่ไหน กว่ามันจะเป็นแค่รอยแผลเป็น ยิ่งคิดน้ำตายิ่งเอ่อที่ขอบตา

“...ขาม...”

เสียงเรียกขานเบาๆ เรียกสติของขามที่เผลอยืนยิ่งตะลึงอยู่คืนมา

อาจเพราะเห็นว่าหายไปนาน นายจึงหันหน้ากลับมาดู

“...ขะ ขอรับ! ขอรับ!” ขานรับนายก่อนรีบเร่งเอาผ้าผืนใหม่ไปให้นายเช็ดหัว คุกเข่าข้างขานาย ก้มหน้าลงมองเท้านาย ไม่กล้ามองหน้านาย แม้ยามมองเห็นหน้าจะมองไม่เห็นหลัง กระนั้นภาพแผ่นหลังของนายกลับติดอยู่ในหัว ไม่ว่ามองอะไรก็ยังเหมือนมองหลังนาย

“..... เอ็ง....อะไร? เมื่อ....ยืน....ลึง....ไร?”

เสียงนายที่ผ่านเข้าหูมันฟังไม่รู้เรื่องเลย ขามจึงเงยหน้าขึ้น สบตานายแวบหนึ่งตามนิสัยเคยชิน แต่แล้วก็ต้องเลี่ยงตาไปมองโต๊ะ มองถุงของมะลิ เห็นถุงของมะลิแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย

“นายว่าอะไรนะขอรับ?”

“เฮ้อ...” ตรีเพชรถอนหายใจระอาทีหนึ่งก่อนพูดว่า “ข้าถามว่าเอ็งเป็นอะไร? เมื่อกี้เอ็งยืนตะลึงอะไร?”

“ไม่มี! กระผมไม่ได้ยืนตะลึงอะไรขอรับ!” ปฎิเสธทันควัน

“โกหก! ข้ามองเอ็งตั้งนานก่อนจะเรียกเอ็ง เอ็งยืนทื่อเป็นรูปปั้นอยู่นานสองนาน อย่ามาเถียงข้า”

นายเอาเหตุหนักแน่นมาสะกัดจนผลออกมาได้แค่หนึ่งเดียว เช่นนี้ขามจึงมิกล้าเถียงข้างๆ คูๆ

“....บ่าวตกใจนิดหน่อยขอรับ...” ก้มหน้า ตอบเสียงอ่อน

“ตกใจอะไร?” ตรีเพชรยังคงคาดคั้น

“......” ขามคิดว่าจะไม่พูด แต่ด้วยนิสัยนาย เรื่องที่ไม่สนใจ จะไม่ถาม แต่หากเป็นเรื่องที่อยากรู้แล้วล่ะก็ ต้องถามให้หายสงสัย ด้วยเหตุนี้ ขามจึงตัดใจพูดให้มันจบไป “...... กระผมตกใจ แผลเป็นข้างหลังนาย... มันเป็นรอยดาบ ใช่ไหมขอรับ?”

เมื่อคำถามนี้หลุดจากบ่าวคนสนิท คล้ายว่าเจ้านายกลับกลายเป็นฝ่ายอึดอัดแทน

“.....ใช่...” ตรีเพชรตอบเสียงแผ่ว

“...นายใหญ่กับนายหญิงยังไม่ทราบใช่ไหมขอรับ?...” ขามถามต่อ

“...ใช่...” เสียงยังคงแผ่วเบา

“กระผมก็ห้ามพูด ใช่ไหมขอรับ?” ขามถามต่อ

“...ใช่...” เสียงยังคงเบาเช่นเดิม

“..........ช่วงนี้ไม่มีการรบรามิใช่หรือนาย? ทำไมนายถึงโดนฟัน?” ขามยังคงอดใจไม่ถามไม่ได้

“ฮื้อ....” นายระบายลมหายใจยาว เงียบไปนานมาก ถึงพูดด้วยเสียงเรียบรื่นปนสังเวช “บ้านเมืองสงบสุขก็จริงอยู่ แต่มันมิใช่แบบที่เอ็งเห็นดอก”

คำตอบสุดท้ายของนายทำหัวใจขามหล่นไปถึงตาตุ่ม “อะไรกันนาย! จะมีศึกสงครามกระนั้นรึ?!”

“มิใช่ในเร็ววัน แต่หลีกเลี่ยงมิได้เช่นกัน เอ็งอย่าได้พูดไป มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปพูดเล่น!” ประโยคสุดท้าย ตรีเพชรกำชับเสียงเด็ดขาด

ขามมองหน้านายได้สักที เพราะมีเรื่องให้ต้องตกใจยิ่งกว่า


ไม่เคยคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะได้ตกอยู่ในไฟสงคราม

“......บะ.. บ่าว... บ่าว... ครั้งนี้บ่าวขอติดตามนายไปด้วยนะขอรับ!”

ชั่ววินาทีนั้นเอง ขามตัดสินใจได้ในที่สุด

คิดว่าตอนนายโดยฟันที่หลังแล้วไม่มีใครดูแลใกล้ชิด ยังทรมานใจแทบน้ำตาไหล แล้วต่อไปเล่า หากนายต้องตายคนเดียวไกลบ้านในศึกสงคราม......

แค่คิดน้ำตาก็พาลไหลออกมา

มันห้ามไม่ได้

ห้ามตัวเองไม่ได้

“.........ถึงเอ็งร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ข้าก็พาเอ็งไปมิได้ดอก...” ตรีเพชรมองบ่าวคนสนิทที่กำลังน้ำตาไหลพราก เข้าใจความคิดของบ่าว

“...ทำไม ...ขอรับ ...บ่าว ...รับใช้...นาย......”

แม้นบ่าวพูดไม่เต็มประโยค ตรีเพชรก็เข้าใจ เขาระบายลมหายใจยาวหนึ่งทีก่อนพูดว่า “เพลงดาบเอย ยิงธนูเอย  เอ็งไม่เป็นอะไรสักอย่าง ไปขวางมือขวางเท้าพวกข้าเปล่าๆ....”

บ่าวคนสนิทส่ายหน้า ส่ายไม่หยุด ร้องไห้ไม่หยุด

ตรีเพชรได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

ยามนี้เป็นช่วงข้างแรม ดวงจันทร์ยังเหลือเศษเสี้ยวส่องสว่าง เศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ไม่พ้นพรุ่งนี้ก็ต้องหายไปหมดเกลี้ยง กลายเป็นคืนเดือนมืด

กระนั้น ท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์สีเงินยวงกลับยังคงงดงาม  งามด้วยจุดเล็กจุดน้อยของดาว บ้างส่องแสงดวงใหญ่กว่าดวงอื่น บ้างอยู่นิ่งในขณะที่ดวงข้างๆ กระพริบ

ในคืนข้างแรมอันเงียบสงบ

คนเป็นนายนั่งหลังพิงเสาของศาลาหลังเล็กกลางเรือน เงยหน้าชื่นชมความงามของทะเลดาวกับเศษเสี้ยวเว้าแหว่งของดวงจันทร์...มือข้างคอยลูบเส้นผม ตรวจดูว่ามันแห้งหรือยัง

ส่วนอีกข้างที่เหลือนั้น วางอยู่เหนือหัวของบ่าวคนสนิท ที่ยังคงร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๖ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 17-03-2015 23:41:17
นายหึงสิน้า~ :hao6: แต่มาน้ำตาปริบตอนรู้ว่านายจะต้องออกรบอีกเนี่ยล่ะค่ะ เราไม่กินมาม่าเด็ดขาด! บอกไว้ตรงนี้เลยนะคะ :a14:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๖ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 18-03-2015 00:21:18
นายโกรธขาม เรื่องมะขามเหรอ หรือว่าที่หุนหันเข้าห้องน้ำไปตอนโดนขามบีบ ๆ นวด ๆ นี่ เพราะเรื่องอื่นจ้ะ  :-[
แต่ทำไมรู้สึกเหมือนนายจะหึง ๆ ขามหรือเปล่า ตอนแรกคงคิดว่าขามซื้อผ้ามาให้สาวที่ไหนแน่เลยนะ
นายเคยถูกลอบฟันด้วยเหรอ พอพูดถึงสงคราม ก็กลัวดราม่าขึ้นมาอีกแล้วอ่ะ แงงงง จะร้องไห้ตามขามเลย  :monkeysad:
เข้าใจหัวอกขาม รู้ว่านายต้องไปเสี่ยงชีวิต ต้องอยู่ท่ามกลางอันตราย ในขณะที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้
มันทรมานจริง ๆ นะ สำหรับคนที่ต้องคอยเฝ้าดูอย่างเดียว ยังไงก็อย่าให้นายเป็นอันตรายอะไรเลยน้า
กลัวจบดราม่าอ่ะ แงงงง  :ling3:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๖ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 18-03-2015 10:50:45
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: ฮือ ๆๆๆ น่าสงสารไอ้ขามจริงๆ
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๖ / ๑๗ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 18-03-2015 17:34:47
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๗
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 19-03-2015 15:34:17
๗.


หากเจ็บแค้น จงเจ็บแค้นตัวเองเถิด

เมื่อมีโอกาส กลับปฎิเสธจะรับมัน

ครั้นต่อมาอยากได้โอกาส กลับไร้ความสามารถเอื้มมมือไปคว้า

กำแพงวัด มิได้สร้างจากทราย  หากไม่มีรากฐานมั่นคงแล้วไซร้ สักวันย่อมพังทลาย

ถ้าติดตามนายไปเสียตั้งแต่ยังเด็ก  แม้นฝึกฝนเพลงดาบเอาเพลานั้น ถึงไม่เก่งกาจเชี่ยวชาญกระไร ทว่าอย่างน้อยๆ ก็เป็นบ้าง มิใช่เป็นตัวขวางมือขวางเท้าแบบที่นายว่า

คิดได้ตอนนี้ไม่ทันการเสียแล้ว  ต่อให้ร้องไห้เป็นสายเลือด นายก็พาไปด้วยไม่ได้...นายบอกแล้ว

สงคราม เกิดมาก็เคยได้ยิน หากเป็นแค่เพียงในเรื่องเล่า ความวุ่นวายที่เกิดแต่เบื้องบน ไกลเกินบ่าวไพร่จะเข้าใจ กระนั้นก็ยังแยกออก นั่นเป็นความขัดแย้งภายใน มิใช่สงคราม

คิดให้ถ้วนอีกครั้ง นายเป็นคนไปหาข่าวเมื่อหลายปีก่อน ย่อมรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด...อาจรู้มานานแล้ว

อกอัดอั้นเหลือแสน มีแต่สิ่งที่พูดไม่ได้

เจอแอ่งน้ำตรงหน้า ยังเดินไปขวางไม่ให้นายเหยียบน้ำ เปื้อนเท้า

เจอคมหอกคมดาบเล่าทำเช่นไร? เอาตัวไปขวางรับคมหอกคมดาบแทนนาย ทำได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด หากแต่อยู่ตรงนี้จะไปทำได้อย่างไร...ไกลกันเหลือเกิน

เจ็บแค้นตัวเองเหลือเกิน  แค้นที่ได้แต่ยืนมองเฉยๆ  ทำอะไรไม่ได้เลย


“เฮ้อ ข้ายังมิตายวันตายพรุ่ง เอ็งจะรีบร้องไห้ไปไหน หึ๊ ไอ้ขาม!” ตรีเพชรเอ็ดบ่าวคนสนิท

“นาย... อย่าพูดแบบนั้น... เดี๋ยวมันเป็นลาง... ไม่ดี... ด่าบ่าวแทนเถอะ...” ขามหยุดมือที่กำลังเช็ดถูกพื้นเรือนมากล่าวกับเจ้านาย  พูดไป น้ำตาตกไป

ก่อนหน้านี้ก็เช็ดพื้นไปน้ำตาตกไป เอาน้ำตาเช็ดพื้นไปครึ่งเรือนแล้วกระมัง  แต่ทำอย่างไรได้อกมันแน่นจนหายใจลำบาก เจ็บแค้นตัวเอง แต่ทำอะไรตัวเองไม่ได้ มีแต่ร้องไห้เท่านั้นที่พอทำได้ จึงไม่คิดห้ามมัน

“เอ็งหยุดบีบน้ำตาเสียที ข้าเห็นแล้วหงุดหงิด ร้องมาทั้งคืนจนบัดนี้น้ำตาเอ็งยังไม่หมดอีกรึ?! พอ!”

“....นาย....” ขามมองหน้านายด้วยสายตาอ้อนวอน พูดต่อในใจ

กระผมพูดกับใครก็ไม่ได้ ช่วยอะไรนายก็ไม่ได้ ห้ามนายไม่ให้ไปเสี่ยงชีวิตก็ไม่ได้ ให้ใครช่วยพูดกับนายก็ไม่ได้ กระผมทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ขอแค่ร้องไห้เท่านั้น ยังไม่ได้อีกเหรอนาย?


แกร๊ง!

ตรีเพชรผุดลุกขึ้นทันที หลังจากผลักชามข้าวต้มปลาไปโดนจานชมพู่

ขามย่นคอ ก้มหน้าลง

...พุธโธ่ น้ำตาหยดเปื้อนพื้นอีกละ

เห็นดังนั้นขามรีบขยับผ้าขี้ริ้วเช็ดน้ำตาตัวเองที่หยดลงพื้น

วันนี้ห้ามเอ็งเอาหน้าแบบนั้นลงจากเรือนข้าไปพบใครเชียว! ถูพื้นไป ถูมันทั้งเรือน ซอกเล็กซอกน้อย มุมตู้ขาเตียง เช็ดให้สะอาด! เอาที่หลับที่นอนข้าออกมาแตกแดดด้วย ใบไม้รอบบ้านกวาดซะให้เกลี้ยง แล้วอย่าขอให้ใครมาช่วยล่ะ! ทำให้เสร็จแล้วถึงค่อยกินข้าว! กินที่เหลือของข้านั่นล่ะ!

ตรีเพชรสั่งด้วยน้ำเสียงดุเข้มเหยียดยาว ก่อนสะบัดตัวเดินลงเท้าหนักออกไปจากเรือน

ขามมองตามหลังนายตาละห้อย จนได้ยินเสียงนายเดินลงบันไดพ้นไปแล้ว จึงยกมือขวาขึ้นมาตบต้นขาตัวเองแรงๆ

เพี๊ยะ!  “ไอ้คนไม่ได้เรื่อง! ทำนายโกรธแล้วเห็นไหม...”

เพี๊ยะ! “มึงจะร้องอะไรนัก หยุดได้แล้ว...”

เพี๊ยะ! “ทำเจ้านายรำคาญใจ... ใช้ได้ที่ไหน...”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะ!

ตีจนแสบหน้าขา น้ำตายังคงไหลเช่นเดิม กระนั้นขามก็ยังลุกขึ้น เดินไปในห้องนอนของนาย ตรงไปยังเตียงนอนของนาย หอบหมอนกับผ้าห่มออกมาวางที่พื้นศาลากลางเรือน

พื้นตรงนี้เช็ดถูสะอาดแล้ว เพื่อให้นายนั่งกินข้าวเช้า ครั้นนึกขึ้นได้ว่าตัวเองทำนายรำคาญจนกินข้าวไม่หมด น้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีก

“ซื๊ด!” สูดน้ำมูกกลับเข้าไปแรงๆ ก่อนกัดปาก ยกมือปาดน้ำตา เดินไปที่ห้องเก็บของซึ่งอยู่ใกล้กับห้องน้ำ หยิบผ้าสีขาวเปลือกใหญ่ผืนหนาพับใหญ่ออกมาจากหีบ พร้อมกับราวไม้สามอัน

ราวไม้นี้ไว้สำหรับผึ่งผ้า นำเอาสองท่อนที่สั้นกว่าอีกหนึ่งท่อนไปเสียบที่มุมเสาเรือนตรงข้ามกัน เพราะเป็นหลุมที่เจาะไม้มาพอดีกันจึงปักไม้ตั้งได้อย่างมั่นคง

เสร็จจากนั้นเดินกลับไปที่ศาลาพร้อมไม้ยาวอีกอันที่เหลือ เอาผ้าห่มของนายพาดกับราวไม้จับผ้าให้กางเรียบไม่ให้มีรอบยับย่น เสร็จแล้วค่อยยกมันขึ้นไปพาดกับท่อนไม่ที่ตั้งไว้เมื่อครู่ ที่ปลายไม้สองท่อนนั้นมีแง่งรองรับเป็นฐานให้อยู่แล้ว แค่วางพาดให้เข้ามุมก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ทำไปก็เช็ดหน้าไป มิใช่เช็ดเหงื่อ หากแต่เป็นน้ำตา

เสร็จจากตากผ้าห่ม ก็หยิบผ้าผืนหนาสีเปลือกไข่ไก่ขึ้นมาคลี่ สะบัดแรงๆ ให้มันคลายออกจากพับ จากนั้นบรรจงวางมันกับพื้นเรือน พื้นตรงฝั่งนี้เช็ดถูแล้วเช่นกัน

เมื่อเช้าตื่นสาย ร้องไห้จนดึกกว่าจะเหนื่อยหลับไป ตื่นมาปรากฎว่านายตื่นก่อน เพราะหน้าบวมตาแดง นายจึงสั่งไม่ให้ลงเรือน ประเดี๋ยวคนอื่นจะสงสัยว่านายเอ็ดอะไรบ่าว ส่วนบ่าวก็เป็นพวกโกหกไม่เก่ง ประเดี๋ยวหลุดปากอะไรไปให้คนคลางแคลงสงสัย

คลี่ผ้าเสร็จแล้ว เอาแจกันมาทับผ้าสี่มุม เดินกลับไปหยิบหมอน

เดินไปเช็ดหน้าไป มิใช่เช็ดเหงื่อ หากแต่เป็นน้ำตา

ถอดปลอกหมอนวางกองไว้กับยกพื้น เอาตัวหมอนไปวางบนผ้าผืนหนาที่เมื่อกี้กลางเตรียมไว้เพื่อตากแดด  เดินกลับไปที่ห้องนอนนายอีกครั้ง เพื่อแบกฟูกมาตากแดดด้วย

“ซื๊ด!” แบกฟูกเดินไปพลาง สูดน้ำมูกกลับเข้าไปแรงๆ เป็นระยะ

เสียใจที่ตัวเองเป็นบ่าวไม่ได้เรื่อง วันนี้ต้องลำบากคนอื่นยกข้าวเช้ามาให้นายที่เรือน ละอายใจตัวเองมากเลยถูพื้นเสียเลย ถูไปร้องไห้ไป จนนายทนรำคาญไม่ไหว ต้องหนีไปจากเรือน

หลายวันก่อนที่นายจะกลับมาบ้าน ปัดฝุ่นจากฟูกไปแล้ว วันนี้จึงแค่ตากแดด วางฟูกบนผ้าผืนหนา จัดระเบียบให้เรียบร้อย ลุกขึ้นยืน ยกต้นแขนขึ้นปาดน้ำตา เหงื่อเริ่มออกท่วมหลัง ส่วนน้ำตาก็ยังคงไหล

“ซื๊ด!” สูดน้ำมูกกลับเข้าไปแรงๆ พลางเดินไปหยิบปลอกหมอนกับผ้าปูฟูกไปซัก เพราะลงเรือนไม่ได้จึงเอากะละมังมานั่งซักแอบๆ ใกล้ห้องเก็บของ

“ซื๊ด!” สูดน้ำมูกกลับเข้าไปแรงๆ ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าน้ำอะไรอยู่บนหน้า น้ำตาหรือน้ำซักผ้า หรือว่าเหงื่อ  นึกสงสัยแต่ไม่หาคำตอบ ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

ตากผ้า

เช็ดพื้นเรือนที่เหลืออีกฟาก

เช็ดตู้ ขาตั่ง ซอกหลืบมุม เสาเล็กเสาใหญ่ทั่วทั้งเรือน

เช็ดไล่ลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย แล้วถึงเอาผ้าขี้ริ้วไปซักที่ข้างโอ่งซึ่งใช้อาบน้ำเป็นประจำ ตากผ้าขี้ริ้วเสร็จ คว้าไม้กวาดเดินกวาดใบไม้รอบเรือน

กำลังนั่งกอบไม้ไม้แห้งใส่กระบุง เสียงคนหนึ่งร้องทักจากด้านหลัง

“พี่ขาม!”

หันหลังไปมองตามสัญชาตญาณ พอเห็นว่าใครเรียกก็พลันนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ ขามจึงรีบหันหน้ากลับมา ยกกระบุงใบไม้แห้งขึ้น ใจคิดจะเดินหนี แต่ไม่ทันเสียแล้ว นังมะลิวิ่งมาถึงตัวเสียก่อน ขามจึงได้แต่ก้มหน้าลงต่ำๆ

“พี่ขาม พี่เจอของฉันไหม?” มะลิมาถึงไม่อ้อยอิ่ง ถามเข้าประเด็นทันที

นึกโล่งใจที่ธุระของมะลิ คือแค่เอาของให้มันก็เสร็จเรื่อง จึงรีบตอบรับ “...เจอๆ อยู่บนเรือนนาย เดี๋ยวพี่ไปหยิบมาให้นะ...”

วางกระบุงจากมือ กำลังจะก้าวไปทางบันได มะลิกลับจับแขนหมับ พูดเสียงโทนต่ำ “พี่ขาม...”

ขามใจหายแวบ นึกด่าตัวเองที่เมื่อกี้หลงดีใจ เลยเผลอเงยหน้าขึ้นมาหลังจากวางกระบุงแล้ว สะเพร่าให้มะลิสังเกตเห็นตาแดงๆ หน้าเปียกๆ เช่นนี้ แล้วจะแก้ตัวอย่างไร บอกว่าโดนนายดุมาก็ไม่ได้ นายใจดีออกขนาดนั้น ไม่อยากทำให้นายเสียหาย

คิดเป็นตุเป็นตะในหัวสารพัด แต่แล้วมะลิกลับไม่ได้พูดเหมือนที่ตัวเองคาดการณ์ไว้

“โถ ทำงานซะหน้าเปียกตัวชุ่มเลย เอาผ้าไปซับเหงื่อหน่อยสิพี่” มะลิพูดด้วยน้ำเสียงสงสาร พร้อมกับยื่นผ้าผืนเล็กที่พวกสาวๆ มักมีติดตัวกันทุกคนมาให้

ขามนึกสะดุดใจ ทั้งไม่แน่ใจ จึงหันไปมองหน้ามะลิ

มะลิส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ ตากลมโตกระพริบเป็นปกติ ไม่มีวี่แววซ่อนความนัยอะไร ขนาดนั้นขามก็ยังไม่มั่นใจ พูดแบบกลางๆ “...ขอบใจนะ แต่เอ็งเก็บไว้ใช้เถอะ เดี๋ยวมันจะเปื้อน ข้าคลุกดินคลุกฝุ่นมาตั้งแต่เช้า”

มะลิไม่ยัดเยียดผ้าให้ เก็บผ้าผืนเล็กเหน็บสะเอวที่เดิม พลางพูดเสียงใส “ฉันถึงว่า นายไปเรือนใหญ่พี่ก็ไม่ได้ตามไป ฉันมองหาพี่ในโรงครัวก็ไม่เจอ นึกขึ้นได้ว่าพี่น่าจะทำงานอยู่ที่เรือน เลยลองมาดู”

มะลิเป็นคนค่อนข้างปากสว่าง หากเห็นสิ่งใดผิดปกติ ทนไม่พูดออกมาไม่ได้ดอก ได้ยินพูดจ๋อยๆ แบบนี้ ขามจึงแอบโล่งอก

ได้ทำงานออกแรงเยอะแยะ ทำๆ ไม่ได้หยุดพัก น้ำตามันคงหยุดไประหว่างทำงานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ที่เช็ดไปช่วงหลังท่าจะเป็นเหงื่อล้วนๆ

“...เอ่อ... มะลิรอนี่นะ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปหยิบมะ-----”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีอีกคนเรียกชื่อตัวเอง แต่คราวนี้คิ้วขามขมวดปม เพราะเสียงนั้นไม่เพียงแต่ตะคอกดุดัน ซ้ำยังแฝงความดูหมิ่นดูแคลนมาด้วย

“ไอ้ขาม!”

“เรียกพ่อมึงเรอะ ไอ้ขุน!”

ขามสวนกลับแบบไม่ยอม ไอ้ขุ่นเดินปรี่หน้าตึงเข้ามา สีหน้าท่าทางหมายเอาเรื่อง ขามยังคงยืนที่เดิม จ้องตามันแบบเอาเรื่องเช่นกัน

หลบได้เยี่ยงไร ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด  ถึงรู้อยู่ดอกว่ามันหึงมะลิที่มายืนคุยกันเงียบๆ สองคนแบบตอนนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นเรื่อง ถ้ามันเป็นบ้าถึงขนาดพูดไม่รู้ฟัง  สอยปากมันสักครั้งก็ดีเหมือนกัน  วันนี้รู้สึกคันมือนึกอยากต่อยคน!

ก่อนไอ้ขันจะเดินมาถึงช่วงระยะยื่นมือจับตัวถึง มะลิพลันเข้ามาขวางหน้า ยันอกคนรักเอาไว้

“อย่ามาทำเกะกะระรานหน้าเรือนนายนะ พี่ขุน!” มะลิขึ้นเสียงกับไอ้ขุน ก่อนหันมาบอกกับพี่ขามเสียงเฉียบขาด “พี่ขามไปเอาของที่ฉันฝากซื้อมา เดี๋ยวฉันคุยกับพี่ขุนเอง!”

“มึงจะคุยอะไรกับกู! คุยกับมันซี่!” ไอ้ขุนพูดยียวน

ขามถอนหายใจแรง ก่อนหมุนตัวเดินไปที่บันได มะลิกับไอ้ขุนถกเถียงกันไม่หยุดปาก เสียงไม่ดังนักหรอก แค่สูงๆ ต่ำๆ  เร็วรัวเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วกว่าปกติ

ตรงนี้เป็นหน้าเรือนของนาย นายจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แม้นนายไม่อยู่เรือนไปรับราชการ ใครก็ไม่ควรมามีเรื่องถกเถียงทะเลาะวิวาทกันตรงนี้ ไม่มีใครรู้ก็ดีไป แต่ทำแล้วโดนคนอื่นเห็นเอาไปฟ้องนาย โดนหวายหลังอาจไม่พอ นายใหญ่ถือมากเรื่องกินข้าวหม้อเดียวกัน แต่กัดกันเป็นหมา เรื่องนี้ไอ้ขุนย่อมรู้ดี

เดินขึ้นมาถึงศาลากลางเรือน เห็นถุงผ้าวางบนโต๊ะ ถัดจากสำรับอาหารของนายมาโยชน์หนึ่ง

ไกลขนาดนี้ ยังได้ยินเสียงถกเถียงกันของไอ้ขุนกับมะลิ ยิ่งฟังเสียงสองคนนั้นถกเถียงกัน ขามยิ่งอนาถใจ ต้องยกผ้าที่ผูกเอวขึ้นมาซับหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ระบายลมหายใจยาวหนึ่งครั้งเพื่อปรับอารมณ์  รู้สึกใจสงบนิ่งดีแล้ว ถึงค่อยหยิบถุงผ้ากับห่อผ้าของมะลิเดินลงเรือนไป

“เอ้า! มะลิ ของเอ็ง!”  ขามตะโกนบอกมะลิ ตัวเองหยุดอยู่ตรงหัวบันได บริเวณที่นายใช้ล้างเท้าก่อนขึ้นเรือน ไม่อยากเดินไปใกล้ไอ้ขุน กลัวอยู่ในใจลึกๆ ว่าเรื่องจะไม่จบแค่ถกเถียงกัน

รู้ว่าภายในของตนเองนั้นมีสิ่งอัดแน่นอยู่มากมาย และพวกมันต้องการหาที่ระบายเต็มแก่ ไอ้ขุนเป็นที่ระบายชั้นดี ดังนั้นจึงไม่ควรเข้าใกล้มันตอนนี้

ในขณะที่มะลิเร่งสาวเท้าเดินมา ไอ้ขุนยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ส่งสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อมาแทน

“ขอบใจมากจ้ะพี่ขาม ขอโทษแทนพี่ขุนด้วยนะ” มะลิเดินมาถึงยกมือไหว้ก่อน ยื่นมือมารับถุงผ้ากับห่อผ้าไป

“เอ็งก็อธิบายกับคนของเอ็งให้เข้าใจ บอกมันไปว่า ข้าไม่ชอบเสือกเรื่องใคร  รู้แล้วก็ไม่ต้องมาเฝ้าหาเรื่องข้า!” ขามมองหน้ามะลิ แต่กลับพูดเสียงดังเกินกว่าที่มะลิจะได้ยินคนเดียว


ฝากกันไปบอก อาจผิดเพี้ยนระหว่างทางได้  พูดลอยๆ ตรงไปเลยดีกว่า

“...ฉันบอกพี่ขุนเขาแล้ว พี่เขารู้แล้วล่ะ ฉันขอโทษแทนพี่ขุนด้วยนะ...”

เห็นมะลิต้องออกตัวแทนไอ้ขุนแล้วหงุดหงิด ขามส่ายหน้าแบบเอือมระอา เดินกลับขึ้นเรือนของนายไป

ไอ้คนขอโทษแทนคนผิดนี่ก็น่าหมั่นไส้ หน้าตาไม่ได้สลดเลย  ดีใจที่คนรักหึงตัวเองจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่

ไอ้คนผิดก็อีกคน จะต้องให้บอกกี่ครั้งว่าไม่ได้พิศวาสนังมะลิ หาเรื่องกันไม่เว้นวาย จะรักกันชอบกันก็ทำไปสิ ทำไมต้องมาทำให้คนอื่นลำบาก เดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย?!

ยิ่งคิดถึงคนคู่นี้แล้วขามยิ่งเดือดโมโห  ครั้นโมโหมากท้องที่กลวงเปล่ามาตั้งแต่เช้าก็ส่งเสียงร้องโวยวาย

“ชิ๊!” ขามยกมือกุมท้อง ทำเสียงหงุดหงิด

หน้าหันไปมองชามข้าวต้มของนาย ก่อนไปแม้ยังร้องไห้ไม่หยุด แต่คำสั่งนายจำได้ขึ้นสมองไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่คำเดียว นายให้กินข้าวของนายได้ แต่ต้องทำงานให้เสร็จก่อน

งานทำเกือบเสร็จแล้ว เหลือแค่เอาใบไม้แห้งใส่กระบุงไปกองในหลุมหลังเรือน ถ้าไม่มีนังมะลิกับไอ้ขันมายุ่งวุ่นวายป่านนี้ขึ้นมานั่งกินข้าวละ

จ๊อกกกก---


ท้องร้องอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ใช่แค่ส่งเสียงร้อง ไส้เหมือนบิดเกลียวอยู่ในห้องแสบเหมือนโดนน้ำกรดราด เหงื่อชึมรอบหน้า แต่ใบหน้าด้านหน้ากลับเย็นวาบ พอยกมือขึ้นมาดู ปรากฎว่ามันสั่นริกๆ พอเงยหน้า มองเห็นดาวระยิบทั้งที่ยังเป็นกลางวัน 

ขามรีบเดินโซซัดโซเซไปคว้าชามข้าวต้มของนาย ลงมานั่งกินที่พื้นเรือน

ขามจ้วงๆ ข้าวต้มใส่ปาก เก็บเนื้อปลาชิ้นใหญ่ไว้กินทีหลังซดข้าวกับน้ำข้าวให้หมดเสียก่อน

กำลังเคี้ยวเนื้อปลาชิ้นใหญ่ชิ้นสุดท้าย ขามนึกคิดเสียดายเหลือเกิน ที่เมื่อกี้ตัวเองหิวจนไม่ได้ละเมียดละไมกิน จึงไม่รู้เลยว่าข้าวต้มปลาของนายมันอร่อยลึกล้ำอย่างไร ปากรู้แค่อร่อยเท่านั้น เกิดมากี่ปีแล้วเพิ่งได้กินข้าวต้มปลาของนายก็วันนี้เอง ไม่รู้จะมีบุญปากอีกไหม


ยังไม่ทันกลืนเนื้อปลาลงคอ เสียงอสุนีบาตพลันฟาดเปรี้ยงลงมา

“อร่อยไหม?”

เพราะนั่งเอาหลังพิงยกพื้นของศาลาหลังเล็กกลางเรือน แค่เอี้ยวหน้าไปเล็กน้อยขามก็เห็นเจ้าอสุนีบาตได้ถนัดตาแล้ว

ท่านั่งตอนนี้เสียกริยามาก หลังพิงยกพื้น ขาซ้ายตั้งขึ้นมือซ้ายถือขามข้าวต้ม ขาขวาเยียดยาวเอาศอกของแขนขวาเท้ากับยกพื้น กระนั้นขามก็สามารถพลิกตัวก้มลงกราบนายได้รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ไม่มีติดขัด

กราบนี้ ขามถือว่าขอสมาโทษนายที่ทำกริยาไม่งามให้นายเห็น

นั่งคุกเข่าวางก้นบนหลังเท้าให้เรียบร้อย แล้วถึงก้มหน้าพูดอ้อมแอ้มกับนาย “นายมาเงียบๆ เชียวขอรับ บ่าวไม่รู้ตัวเลย...”

“ฮึ! ถ้าข้าเดินตีนหนักแบบเอ็ง จะไปเป็นนกพิราบได้เยี่ยงไร”

“จริงขอรับ สมควรแล้วที่บ่าวต้องอยู่ที่นี่...”

“...ขาม...”

เสียงนายฟังดูแปลกหูไป แม้เรียบตึง แต่มีอารมณ์เป็นห่วงนิดๆ ผสมอยู่ในเสียงเรียกนั้น เพราะเริ่มที่จะยอมรับความจริงขึ้นมาได้ ขามจึงกล้ามองหน้านาย

“...ขอรับ...” ขามเงยหน้า มองตานายนิ่ง รอรับคำสั่งหรือคำสั่งสอน

ตานายคมเหมือนเดิม แต่ลูกตาดำคล้ายเคลื่อนไหว ราวกับมันกำลังควานหาอะไรบางอย่าง แม้นเคยภาคภูมิใจว่ารู้ใจนาย รู้ความคิดนาย กระนั้นก็มีหลายครั้งที่ขามไม่เข้าใจนาย

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๗ / ๑๙ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: คุณอัง ที่ 19-03-2015 16:00:26
โธ่ . .ทูนหัวของนาย ไม่เอา ไม่ร้องน้า~ :hao5:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๗ / ๑๙ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 19-03-2015 16:57:22
ตอนนี้พูดได้แค่ว่า 'ขามน่าเอ็นดูฝุดๆ' ค่ะ จะว่าสงสารก็สงสาร แต่ก็ผสมไปกับเสียงหัวเราะด้วยน่ะสิคะ โอ๋ๆ อีกอย่างเป็นนายนี่ลำบากนะคะ รู้สึก...แต่พูดไม่ได้
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๗ / ๑๙ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 19-03-2015 17:01:36
 :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:  ฮือสงสารไอ้ขาม
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๗ / ๑๙ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 19-03-2015 17:36:57
เป็นอะไรที่เอ่ยยาก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๗ / ๑๙ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 20-03-2015 08:04:17
ฮืออ  :mew6: สงสารขาม นายอย่าดุขามสิ 
เพราะรักและห่วงนายยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง ขาม ถึงเสียใจขนาดนี้
แต่ก็เพราะนาย ก็รักและห่วงขามเช่นกัน ถึงไม่อยากพาขามไปพบอันตราย
อย่าให้มีใครเป็นอะไรเลยน้า กลัวจังเลยอ่ะ


หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๗ / ๑๙ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-03-2015 13:37:30
ขามงอแงซะ......นายคงอ่อนใจ เอ๊ะ หรือใจอ่อนไปแล้ว
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๘ / ๒๑ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 21-03-2015 12:40:12
๘.

“......บึงบัวข้างวัดเจียกจร คือบึงที่ไอ้เข้กัดขาวัวใช่หรือไม่?”

นายปิดปากเงียบอยู่นานถึงเอ่ยปากถามในสิ่งที่ขามต้องอึ้งไปชั่วครู่ก่อนตอบ คำถามนี้ตอบไม่ยาก เสียแค่ไม่เข้าใจว่านายต้องการถามไปเพื่ออะไร?

“......ไม่ใช่ขอรับ บึงที่มีไอ้เข้คือบึงดอกโสน คุ้งน้ำกระโน้นขอรับ” ไม่พูดเปล่าขามยกแขนชี้ทิศทางของบึงนั้นให้นายดูด้วย

“งั้นเอ็งมีอะไรจะทำก็ไปทำ เสร็จแล้วมาหาข้า ข้าจะไปวัดเจียกจร”

พูดจบคนเป็นนายก้าวขาเดินสวนทางกับที่บ่าวคนสนิทกำลังนั่ง  บ่าวขยับเข่าหันไปหานายพร้อมเอ่ยถาม

“นายจะเอาบัวสีอะไรขอรับ? ประเดี๋ยวกระผมไปเก็บมาให้ แดดกลางบึงมันร้อนไม่มีร่มไม้ นายรอที่เรือนให้เย็นกายดีกว่า”

ตรีเพชรหยุดยืนฟังบ่าวคนสนิทพูดจนจบ แล้วถึงพูดพร้อมอมยิ้มที่มุมปาก “ข้ากลับมาแล้วยังมิได้ไปกราบหลวงปู่ วันนี้เห็นไม่มีธุระอะไร เลยจะเยี่ยมท่านหน่อย”

“อ้าว อย่างงั้นเหรอขอรับ แหะแหะ...” ขามหัวเราะแก้เก้อยกมือขวาขึ้นลูบหลังหัว

ตรีเพชรส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจแบบระอาเล็กน้อยแล้วเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่พูดอะไรอีก

เมื่อนายมีธุระ ขามจึงเร่งมือเท้า จัดเก็บถ้วยชามสำรับของนาย ยกลงไปข้างล่างวางไว้ที่หัวกระไดล่างสุด เพราะต้องทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จก่อน

โกยใบไม้แห้งใส่กระบุง ยกไปเทที่หลุมหลังเรือน เอาจอบขุดดินใกล้ๆนั้นกลบหนึ่งชั้นไม่หนา หนึ่งเพื่อกันใบไม้ปลิวออกจากหลุม สองพอใบแห้งผสมเคล้ากับดินตามธรรมชาติ เอาขี้วัวขี้ไก่ผสมทำเป็นปุ๋ยได้

เรือนแยกของนายตรีเพชรมีต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสูงครึ้ม จึงทำให้มีใบไม้แห้งจำนวนหนึ่งทุกวัน กวาดทิ้งไปเฉยๆ น่าเสียดาย

เมื่อคืนรีบเดินมาหาถุงให้มะลิ เลยรีบหยิบผ้าผ่อนมาเปลี่ยนจำต้องไปอาบน้ำที่ท่า ผลัดเปลี่ยนชุดที่บ้าน

เพลานี้สายมากแล้ว อาบน้ำเสร็จผลัดผ้าที่ท่ามิเหมาะ บ่าวผู้หญิงอาจเดินผ่านมาเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นชายใช่ทำอะไรสบายๆ ตามใจ ควรคิดถึงหัวอกฝ่ายหญิงบ้าง เรื่องนี้แม่สอนไว้แต่เด็ก

ยกสำรับไปให้บ่าวในครัว กลับบ้านผลัดผ้า นุ่งผ้าขาวม้าไปอาบน้ำที่ท่า กลับมาผลัดผ้าที่บ้านทำทุกอย่างแบบไม่ชักช้า เสร็จแล้วก็รีบตรงไปหานาย

วัดเจียกจรอยู่ระแวกบ้าน ไปได้สองทางคือเดินไปกับนั่งเรือไป  เพราะนายตรีเพชรไม่อยากนั่งเสลี่ยง จึงพายเรือไปวัด

ขามจะเรียกไอ้เอี้ยงไปด้วย ช่วยกันพาย ไปช่วยกันดูแลนาย แต่นายกลับบอกว่าไม่เอา ไม่ชอบเป็นแม่ไก่ มีลูกเจี๊ยบเดินตามเป็นพรวน

เรือสำหรับนายมีหลายลำ ส่วนใหญ่เป็นลำใหญ่คุมลำบาก ขามเลยเอาเรือลำเดียวกับที่พายไปรับนาย พานายไปวัดเจียกจร

นายตรีเพชรนั่งกลางเรือเหมือนเช่นเคย แต่ครั้งนี้นั่งหันหน้าไปทางหัวเรือ

เห็นนายไม่รีบ ทั้งเห็นนายหันหน้ามองซ้ายมองขวา คล้ายว่าดูทัศนียภาพสองข้างคลอง ขามจึงค่อยๆ วาดพายแหวกเกลียวน้ำ พายด้านซ้ายสองสามที เปลี่ยนมาพายด้านขวาสองสามที สลับกันไป

หลวงปู่ที่วัดเจียกจร ก่อนนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาส  ราวห้าปีก่อนท่านชราภาพมากแล้วจึงให้พระรูปอื่นเป็นแทน

หลวงปู่เป็นครูคนแรกของนายตรีเพชร ชื่อตรีเพชรก็หลวงปู่เป็นคนตั้งให้

ขามจำได้ขึ้นใจ ครั้งแรกที่ติดตามนายไปวัดเจียกจร ตัวเองราวอายุ 4 ขวบ ตอนนั้นยังไม่ใช่บ่าวคนสนิท บ่าวรับใช้ก็มิใช่ เป็นแค่บ่าวเพื่อนเล่นกับนายเท่านั้น

เจอหน้ากันครั้งแรก หลวงปู่ถามว่า: ชื่ออะไร

ตอบหลวงปู่ว่า: ขามขอรับ

หลวงปู่บอกว่า: มีบ่าวชื่อขามก็ดี น่าเกรงขาม

แย้งหลวงปู่ไปว่า: ไม่ใช่เกรงขาม กระผมชื่อมะขามต่างหากขอรับ

พูดความจริงกลับโดนหัวเราะใส่  ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่านายตรีเพชรกับหลวงปู่หัวเราะเพราะอะไร  เวลานั้นยังเด็กมาก ถึงสงสัย ถึงไม่ค่อยพอใจ แต่วันนั้นก่อนออกจากวัดกลับบ้านก็ลืมไปซะแล้ว

ลืมไปสนิทเลยจริงๆ กระทั่งโตมาอายุได้ราว 14 หรือ15 นี่ละ ใครสักคนกระแซ็วนายว่ามีบ่าวคนสนิทชื่อขาม น่าเกรงขามจริงๆ

เป็นนายที่รื้อฟื้นความทรงจำให้  เลยได้รู้ตอนนั้นว่าเพราะอะไรตัวเองถึงโดนหัวเราะใส่

“อย่าเพิ่งไปวัด ไปเก็บดอกบัวก่อน” ตรีเพชรบอกบ่าวคนสนิททันทีที่เห็นตัววัด

บ่าวคนสนิทพอเข้าใจความคิดของเจ้านาย จึงเอ่ยปากว่า “เดี๋ยวบ่าวส่งนายที่ท่าก่อน ค่อยไปเก็บให้ ดีไหมขอรับ?”

แดดมันเริ่มแรงแล้ว น่าจะใกล้เวลาตะวันตรงหัว ไม่อยากให้นายตากแดด บ่าวคิดด้วยความหวังดี นายกลับไม่รับความปรารถนาดีจากบ่าว

“ไม่ดี!”

บ่าวอ้าปากเตรียมจะพูดต่อ นายเหมือนมีตาหลังพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เอ็งอย่ามากเรื่อง ข้าแค่จะเก็บดอกบัวไปถวายพระ มิใช่ให้เอ็งดำลงไปเก็บรากบัว เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ!”

นายสั่งแล้ว บ่ายเบี่ยงคงไม่พ้นโดนเอ็ด ไม่อยากให้นายมีน้ำโห จึงพายตรงต่อไป ผ่านหน้าวัด แล้วโค้งไปทางข้างวัด

ที่ตรงนี้เรียกกันง่ายๆ ว่าบึงดอกบัวข้างวัดเจียกจร มันมีบัวดาษเดื่อนไปหมด หย่อมนั้นสีชมพู หย่อมนั้นสีขาว บางหย่อมก็มีสีแปลกตา สืบสาวราวเรื่องไม่มีใครรู้ว่ามันมาได้ยังไง

แม้นในคลองมีบัวไม่ใช่เรื่องแปลก แต่บัวบางหย่อมที่สวยแปลกตานั้นมิใช่บัวทั่วไปตามคลองหนองบึง ต้องมีคนตั้งใจปลูกมันตรงนี้ มันถึงขึ้นมาได้  สมัยเด็กตัวเองคิดว่าหย่อมที่แปลกตานั้นต้องมีคนทำหล่นไว้แน่ พูดให้นายตรีเพชรฟัง นายขำใหญ่

กอบัวขึ้นหนา ไม่สามารถพายเรือฝ่าเข้าไปได้ จึงพายเรือพานายเลาะเก็บแค่ขอบๆ

นายนึกสนุกหรืออย่างไรไม่แน่ใจ กอนี้ดอกไม่ใหญ่ กอนี้ไม่สวยให้พายอยู่นั่นละ  ถ้ายามตะวันไม่ตรงหัว ขามจะไม่พูดสักคำ กระนั้นพูดไปแล้วนายทำเป็นหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน ดอกบานไม่เอา จะเอาดอกตูม ดอกเล็กก็ไม่เอา จะเอาดอกใหญ่ๆ....

ขามอยากเอาหัวมุดน้ำ ถามปลาในน้ำว่า กลางวันแสกๆ แบบนี้ บัวดอกใหญ่ที่ไหนมันไม่บานบ้าง?!

ด้วยเหตุนี้ กว่าเรือจะได้จอดท่า เข้าไปหาหลวงปู่ปรากฎว่าเป็นเวลาที่พระกำลังฉันเพล นายบ่าวจึงจำต้องนั่งรอก่อน

หากต้องการมาหาหลวงปู่ ควรตรงมาศาลาวัดเป็นที่แรก ท่านมักทำทุกอย่างที่ตรงนี้ กุฏิ...ท่านว่าไว้สำหรับพักผ่อนเท่านั้น ซ้ำการอุดอู้อยู่แต่ในห้องหับทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง

ข้าวต้มปลาของเจ้านาย แม้อร่อยแต่ไม่อยู่ท้อง ขามทั้งทำงานซกๆ ไม่ได้หยุดทั้งพายเรือพานายมาถึงบ้าน ทั้งพายวนให้นายเลือกเก็บดอกบัว ท้องไม่ร้องหิวสิแปลก

เพราะนั่งอยู่ไกล เสียงท้องร้องจึงได้ยินกันเพียงสองคน สำหรับขามยอมอายคนทั้งศาลาดีกว่าอายนายตรีเพชรคนเดียว กริยาไม่งามอีกแล้ว

ตรีเพชรหัวเราะในลำคอ ก่อนพูดทั้งอมยิ้ม “หึหึ... รอไหวไหม? เดี๋ยวขอข้าวหลวงปู่กิน”

“มิต้อ---”

“กินเถิด ขากลับข้าไม่อยากพายเรือเอง”

อายแทบซุกแผ่นดินหนี แย้งเหตุผลของนายไม่ได้ คุณพระช่วยไอ้ขาม พระท่านฉันเสร็จพอดี จึงรีบคลานเข่าไปหาหลวงปู่

กราบหลวงปู่แล้วเงยหน้าขึ้น ยังไม่ทันพูดอะไร หลวงปู่เอ่ยถามมาก่อน

“เจริญพร นายเอ็งกลับมาแล้วรึ”

คล้ายเป็นแค่คำทักทาย มิใช่หลวงปู่ต้องการคำตอบ ขามจึงรับคำแล้วรีบเข้าประเด็น “ขอรับ เห็นทีวันนี้ต้องขอฝากท้องกับที่วัดแล้วล่ะขอรับ”

“อืม... เอาไปซี” หลวงปู่พูดจบก็มองไปด้านหลัง พูดกับอีกคน “เจริญพรเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? หึหึ หน้าตาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะนะ”

ตรีเพชรคลานเข่าเข้าไปชิดติดกับยกพื้น นั่งพับเพียบเรียบร้อย พนมมือค้างไว้พร้อมกับพูดคุยกับหลวงปู่

“มิเจ็บมิไข้ขอรับ พยายามเอาคำสอนของหลวงปู่มาใช้ จึงเอาถ่านขึ้นบ้าง”

หลวงปู่ยกสำรับอาหารให้แล้ว ขามยกมือพนมก่อนยกถาดขนาดกลางลงไปวางที่พื้น ไกลจากระยะที่นายตรีเพชรนั่งมาหนึ่งวา ตนเองนั้นไม่มีธุระพูดคุยกับหลวงปู่จึงลุกออกไปจากที่ตรงนั้น เพื่อหาจานมาให้เจ้านายกินข้าว

“ประเดี๋ยวกินเสร็จแล้ว ตามไปที่กุฏิ อาตมามีของจะให้”

หลวงปู่พูดเท่านั้น แล้วขยับหันไปคุยกับญาติโยมกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นกลุ่มซึ่งมาถวายภัตตาหารเพล

ตรีเพชรไหว้หลวงปู่หนึ่งครั้ง ก่อนขยับออกมานั่งใกล้ถาดสำรับของหลวงปู่ รอไม่นาน บ่าวคนสนิทก็นำจานมาให้

“เอ็งเอาบัวนี่ไปล้างน้ำให้สะอาดสิ ล้างแต่ดอก ก้านข้าไม่เอา” ตรีเพชรยื่นดอกบัวหลวงสองดอกที่เลือกไว้ให้บ่าวคนสนิท

“หือ... นายจะใช้ทำสิ่งใดหรือขอรับ?” ขามนึกสงสัยไหนนายบอกว่าจะเอาบัวไปไหว้พระประธาน

“ข้าเห็นว่าเมี่ยงคำกับลาบ แต่เบื่อใบชะพลูละ จึงว่าจะกินกับกลีบบัว” ตรีเพชรกล่าว

ขามพยักหน้าพร้อมยื่นมือไปรับดอกบัวจากนาย แล้วลุกไปทางหลังศาลาอีกที

เมื่อครู่ที่ยกถาดลงมา ไม่ทันได้มองสำรวจว่ามีกับข้าวอะไรบ้าง  กินกลีบบัวแทนใบชะพลู สิ่งนี้จำได้ว่าเริ่มมาจากนายหญิง ท่านทราบมาจากใครไม่รู้นัยว่าชาววังเขาทานกัน จึงสั่งบ่าวให้ทำขึ้นไปให้ จากแรกเห็นว่าแปลก เวลานี้ไม่รู้สึกแปลกกระไร

เอากลีบบัวที่ล้างใส่ชาม หยิบจานดินขนาดพอเหมาะติดมือไปด้วยอีกหนึ่งเผื่อให้นายใช้วางแยกกับจานข้าว เดินกลับมาขดข้าวใส่จานให้นายก่อนตักให้ตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งกินไป

ตั้งแต่เด็ก หากกินข้าววัด หลวงปู่สั่งให้กินด้วยกัน ไม่แยกใครบ่าวใครนาย  อาหารที่คนนำมาถวายพระ มิใช่กับข้าวของนายหรือกับข้าวของบ่าวอีกต่อไป เป็นอาหารที่กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน ดังนั้นกินร่วมถาดเดียวกันได้

กระนั้นพวกที่เป็นบ่าวติดสอยห้อยตามนายก็มักแยกถาดของบ่าวกับถาดของนาย รวมกลุ่มใครกลุ่มมัน หากคนน้อย ได้สำรับมาแค่ถาดเดียวก็จำเป็นต้องกินรวมกับเจ้านาย และแน่นอนว่าของดีๆ ต้องให้เจ้านายกินก่อน บ่าวกินช้าหน่อย รอนายอิ่มแล้วถึงค่อยซัดให้เต็มที่

ขามก็กำลังทำเช่นนั้น หากแต่นายตรีเพชรกลับเอากลีบบัวที่ใส่ลาบไว้แล้วกลีบหนึ่งวางที่จานข้าวบ่าวคนสนิท พร้อมพูดว่า “ประเดี๋ยวไม่มีแรงพายเรือ”

“พุธโธ่ นา---”

บ่าวยังไม่ทันได้พูดสักคำ นายก็พูดแทรกขึ้นมา

“เมื่อกี้หลวงปู่บอกให้ไปหาที่กุฏิ ประเดี๋ยวไปไหว้พระประธานก่อนค่อยไปที่กุฎิท่าน”

“ขอรับ” ขามรับคำแล้วหยิบดอกบัวเข้าปาก ลาบรสชาติอ่อนเข้ากันได้พอดีกับกลีบบัว คาดว่าคนทำมาถวายน่าจะตั้งให้หลวงปู่ได้กินถนัดปาก สับหมูเสียชิ้นเล็กละเอียด คนไม่มีฟันก็กินได้อร่อย

“อร่อยไหม?” ตรีเพชรถามบ่าวคนสนิท ปากอมยิ้ม

ยังเคี้ยวอยู่จึงพูดไม่ได้ เลยใช้การพยักหน้าแทนคำตอบ

“งั้นก็กินไปอีก ไม่ต้องมากพิธี เมื่อกี้หลวงปู่เพิ่งชมข้าว่าดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นแล้ว  เอ็งอย่าทำให้ข้าต้องเอาคำชมคืนท่านเร็วขนาดนั้น”

“...นายกินให้อิ่มก่อนเถิด ประเดี๋ยวบ่าวค่อยตามเก็บ” กลืนลงคอแล้วจึงพูดได้

“เอ็งคิดว่าเอ็งเกรงใจข้าเป็นฝ่ายเดียวรึ มิคิดเลยหรือว่าข้าก็เกรงใจเอ็ง” ตรีเพชรพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

ขามทำตาโต “อะไรกันนาย นายจะมาเกรงใจกระผมทำไม!”

“ข้ากลัวไม่มีคนพายเรือพาข้ากลับบ้าน”

“พุธโธ่ มิต้องเอาลาบมาแลกดอก แค่ข้าวเปล่าๆ ไอ้ขามก็รับใช้นายทูลเกล้าถวายหัวแล้ว”

“เชียวรึ! แค่ข้าวเปล่ายังได้ขนาดนั้น แล้วถ้าข้าให้ทองหยอดเม็ดขุนเอ็งหมดนี่เลย  ประเดี๋ยวข้าจะได้อะไรบ้าง?”

“ยกเว้นดาวกับเดือนขอรับ นอกนั้นไอ้ขามให้นายได้ทุกอย่าง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า...”

“ฮึฮึฮึ...”

น่าแปลกเหลือแสน ทุกครั้งที่เข้ามาอยู่ในเขตพัทธสีมา ราวกับกฎเกณฑ์รัดรุงต่างๆ นาๆ คลายลง ภายในวัดมีแค่ 2 สถานะ พระและญาติโยม

เป็นสถานที่สำหรับหาความสงบ

สถานที่ที่ทำให้จิตใจสงบ

.

.

.

กินไป คุยถึงสมัยเด็กไป ไม่ทันไรก็อิ่ม ญาติโยมที่มาถวายเพลยังนั่งทานกันอยู่ ขามจึงยกสำรับของตัวเองไปไว้ที่หลังศาลา

เจอเด็กวัดนั่งกินอยู่ จึงเอากับข้าวไปให้เพิ่ม กลีบบัวเหลือไม่กี่กลีบจึงบอกพวกเด็กๆ ให้เข้าใจว่ากินได้ กินแทนใบชะพลู เด็กบางคนไม่เชื่อว่าหลอกกัน แต่มีคนหนึ่งบอกว่าเห็นพี่เขากินจริง ยังนึกแปลกใจอยู่ จึงบอกเด็กๆ ไปว่า คนในวังเค้ากินกันไม่ได้แกล้ง ทุกคนจึงเชื่อ

ขามฝากเด็กๆ ล้างจาน กล่าวขอบใจอย่างมีมารยาท แล้วเดินมาสมทบกับนายตรีเพชร ปรากฎว่าผู้ใหญ่ในกลุ่มที่มาถวายเพลกำลังนั่งคุยด้วยอยู่ จึงไปนั่งเยื้องหลังนายเล็กน้อย

คาดว่ามิใช่คนรู้จัก เพราะนายเห็นบ่าวมาแล้วก็รีบออกตัวว่า ต้องไปแล้ว พอดีมีธุระต้องคุยกับหลวงปู่

ระหว่างทาง นายบอกว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนต่างถิ่น มาเยี่ยมญาติที่อยู่ที่นี่  เห็นเราพูดคุยกับหลวงปู่เลยเข้ามาสอบถามพูดคุยด้วย เรื่องว่าวัดนี้มีชื่อ แต่มิรู้ว่าเด่นดังด้านของมีอาคมหรือของขลังอย่างไรบ้าง

ทีแรกขามก็ฟังไปเฉยๆ จนนายพูดคำสุดท้ายจึงขำคิก

'ไม่รู้ของขลังมันวนอย่างไรมาถึงตัวข้า เขาถามข้าว่ามีเรือนหรือยัง หากไม่มีเขามีลูกสาวหลายคน ลองมองดูก่อนได้ เผื่อต้องตาต้องใจ'

เพราะรู้จักเจ้านายตัวเองดีจึงได้ขำ

หากอยู่ในขอบเขตวัด นายตรีเพชรจะพยายามไม่ทำผิดศีล 5 เป็นอย่างน้อย พอไม่ตอบให้ตรงประเด็น เกรงว่าฝ่ายนั้นคงคาดคั้นหนัก ทว่าเมื่อบอกความจริงว่ายังไม่มีเมียเลยโดนรั้งไว้ใหญ่ เช่นนี้เห็นบ่าวมาจึงรีบขอตัวลา มิสนคำเรียกไล่หลังกันเลยทีเดียว


o8 ดอกโสนขึ้นตามริมน้ำ ทานได้นะ ชุบแป้ง เจียวใส่ไข่ ลวกทานกับน้ำพริก...
กดเบาๆ เพื่อดูภาพดอกโสน (http://student.nu.ac.th/hellobboss/images/plants/nl3.jpg)
กลีบบัวทานได้จริง แต่ยุคสมัยนี้อาจกินลำบากหน่อย ดูที่ไม่ใส่สารพิษ ก่อนกินนะขอรับ
กดเบาๆ เพื่อดูภาพเมี่ยงกลีบบัว (https://smoothmint.files.wordpress.com/2011/10/d10975877-39.jpg)
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๘ / ๒๑ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 21-03-2015 13:51:08
นายอยากจะนั่งเรือชมธรรมชาติกับขามนานๆ ใช่ไหมคะ หืมม...ม มีการหยอกเอินกันเบาๆ ด้วยน้า :-[ ชอบบรรยากาศตอนทั้งสองคนอยู่ในวัดจังเลยค่ะ ไออุ่นๆ ฟุ้งขึ้นมาเต็มเลยเชียว~
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๘ / ๒๑ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-03-2015 14:35:43
ติดตามต่อไปค่าา
อยากรู้ว่านายบ่าวคู่นี้จะลงเอยยังไง
แต่ที่แน่ๆ มะขามซื่อดีจัง
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๘ / ๒๑ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: คุณอัง ที่ 22-03-2015 01:55:18
ไอ้เรารึก็เข้าใจว่าขาม มาจากคำว่าน่าเกรงขามจริงๆเสียอีก
ที่แท้มาจากมะขามนี่เอง โอ้ยย ทำไมคิดไม่ถึงกันนะ  :o8:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๘ / ๒๑ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 24-03-2015 14:43:25
เรายังรอมะขามกับนายอยู่นะค้าา :sad4:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๙ / ๒๔ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 24-03-2015 17:42:21
๙.

เอาดอกบัวที่เก็บมา 10 ดอกไปไหว้พระประธานในอุโบสถทั้งหมด เจ้านายนั่งไหว้ตรงกลาง บ่าวคนสนิทนั่งถัดมาด้านหลังเยื้องมาทางขวา  เจ้านายปักธูปแล้ว บ่าวถึงค่อยปัก ต่างคนกราบลาสามครั้ง จากนั้นก็พากันเดินออกมาจากอุโบสถ ตรงไปด้านหลังของวัด

กุฏิหลวงปู่อยู่หน้าทางเข้าป่าช้า ท่านอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่จำพรรษา มิเคยย้าย

ท่านเป็นพระสายปฏิบัติ นอกจากกิจของสงฆ์ที่ควรทำแล้ว ท่านมิยุ่งเกี่ยว และเพราะความเคร่งครัดในศีลในธรรมกับความรอบรู้ของท่าน ทำให้ท่านได้เป็นพระครูของลูกเจ้าขุนมูลนายจำนวนหนึ่ง ซึ่งเวลานี้ลูกศิษย์ที่เอาโล้เอาพายล้วนได้ดีกันถ้วนหน้า ส่วนที่ไม่ได้ดีนั้น หลวงปู่บอกว่าเป็นกรรมติดตัวมา ปล่อยไปตามยถากรรม

หลวงปู่นั่งรอที่ชานเรือน ปกติจะมีเด็กวัดสักหนึ่งคนมารอรับใช้หลวงปู่ ที่ไม่เห็นอาจเพราะอยู่ในกลุ่มที่นั่งกินข้าวหลังศาลาวัด เช่นนั้นขามจึงทำหน้าที่แทนเด็กวัด ถามท่านว่าอยากได้อะไร น้ำร้อน นำชา หมากกระโถน หลวงปู่ไม่เอาสักอย่าง ขามจึงขอบีบนวดขาให้ เรื่องนี้ท่านมิขัดศรัทธา

“ครั้งนี้กลับมากี่เพลาเล่า?” หลวงปู่ถาม

“มินานดอกขอรับ งานการยังมีให้ทำอีกมาก อย่างไรเสียก็ไม่เกินสิบวัน” ตรีเพชรตอบ

“ยิ่งดูเป็นผู้เป็นคนงานก็คงยิ่งยุ่ง” หลวงปู่กระเซ้าเล่น

“ยุ่งแค่ไหนก็ต้องมากราบหลวงปู่ขอรับ คิดถึงไม่ลืม” ตรีเพชรกล่าว

“จะคิดถึงพระก็ตอนเจ็บป่วยใกล้ตาย” หลวงปู่พูดคล้ายกระเซ้าเล่น

“...ขอรับ...”

หลวงปู่เอามือล้วงเข้าไปในจีวร หยิบของบางอย่างออกมา แบมือ ทำปากขมุบขมิบแบบไม่ออกเสียงครู่หนึ่ง ก่อนพูดกับลูกศิษย์ว่า “เอาไปเถิด เก็บติดตัวไว้ คงพอช่วยได้บ้าง”

ตรีเพชรก้มกราบ ก่อนชูมือขวาตั้งศอกกับพื้น แบมือรับสิ่งที่หลวงปู่ต้องการให้ “ขอบพระคุณขอรับ”

“อยากได้มั่งรึ?” ครั้งนี้หลวงปู่เปรยตาไปทางคนบ่าว

ขามรีบออกตัว “ไม่ใช่ขอรับ กระผมแค่มองเฉยๆ”

“คนมิสนใจ แรงมือจะผ่อนลงได้เยี่ยงไร...” หลวงปูพูดดักคอ

ขามไม่อาจแย้งได้ จึงปิดปากเงียบ ตั้งหน้าตั้งตาบีบนวดคลายเส้นให้หลวงปู่ต่อ

“หึหึหึ เอ็งมิต้องใช้มันดอก ไอ้มะขาม มันก็แค่ตะกุด หมั่นทำความดีไว้ ความดีจักคุ้มครองเอ็งได้ยิ่งกว่าของขลังใด” หลวงปู่สอนสั่ง

เป็นคำสอนที่หลวงปู่หมั่นบอกกับขามเสมอ

ท่านใส่ใจแม้ตนเป็นแค่บ่าวรับใช้ในเรือน ดูจากคำที่ท่านเรียกก็ได้ เพราะก่อนโน้นเคยแย้งท่านว่าตัวเองไม่ได้ชื่อเกรงขาม แต่ขามมาจากมะขาม นับแต่นั้นท่านก็เรียกไอ้มะขามมาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยน

ใครอื่นว่าหลวงปู่แหย่เล่น แต่ไอ้ขามเท่านั้นที่ซาบซึ้งกับสิ่งเล็กน้อยที่หลวงปู่มีให้ตน... จะเป็นคนที่น่าเกรงขาม หรือเป็นแค่ไอ้มะขาม อยู่ที่ตัวเองเลือก  ถึงเป็นบ่าวที่ชีวิตครึ่งหนึ่งฝากไว้กับเจ้านาย กระนั้นก็ยังเหลืออีกครึ่งที่ตนเองต้องดูแล ดำเนินชีวิตในทางที่ดี เป็นคนดี จักได้ดีเอง

“ขอบพระคุณขอรับ”

เป็นอีกครั้งที่เจ้านายกล่าวขอบคุณแทนบ่าว แต่สำหรับหลวงปู่นั้น ไม่ต่างการการเอากลีบบัวมากินแทนใบชะพลู แม้นแปลกแต่เห็นจนชินตา

“วันนี้มีธุระที่อื่นอีกไหม?” หลวงปู่ถามลูกศิษย์

“ไม่มีขอรับ” ตรีเพชรตอบ

“งั้นนั่งสมาธิกันหน่อย สังขารนี้ร่วงโรยลงทุกวัน มิรู้ครั้งหน้าจะได้เจอกันรึไม่” หลวงปู่กล่าวหน้าเรียบเฉยๆ ไม่ทอดอาลัย

“หลวงปู่ยังแข็งแรง...” ตรีเพชรกล่าว หากแต่เป็นคำกล่าวตามสมควร ด้วยเพราะสิ่งที่ตาเห็น ทำให้มิอาจไม่เห็นด้วยกับคำที่หลวงปู่พูด ปีนี้ท่านดูชราภาพมากจริง

“สิ่งที่เห็นด้วยตา ล้วนปรุงแต่งทั้งนั้น” หลวงปู่บอกเป็นคำสอน

“สาธุ” ตรีเพชรกล่าว

คำว่า “สาธุ” นี้ ใช้กันแทนคำรับ บางคนเห็นเป็นเทียบกับคำว่า “ขอรับ” ซึ่งในความจริงแล้วนั้น มิใช่  สาธุ แปลว่า ดีแล้ว เพราะเห็นชอบจึงกล่าวคำว่า “สาธุ”

“เอ็งก็นั่งด้วยกัน ไอ้มะขาม ประเดี๋ยวข้าจะแบ่งบุญให้ ตั้งใจรับด้วยละ” หลวงปู่พูดกระเซ้า

ขามรีบยกมือพนมไหว้ ขอบคุณหลวงปู่

เพราะหลวงปู่ท่านอยู่สายปฏิบัติ จึงมักชวนลูกศิษย์ลูกหานั่งสมาธิ ที่ว่าแบ่งบุญนั้น ทำมิได้ดอก บุญใครทำไว้ก็ตกที่คนนั้น เช่นเดียวกับบาป  สิ่งที่หลวงปู่ทำได้คือแผ่เมตตา กระนั้นขามก็มิใช่พวกบ้าบุญ เพราะรู้ว่าการนั่งสมาธินั้นมีดี จึงยินยอมนั่ง

หลวงปู่สั่งให้ไปเอาอาสนะมาหน่อย อยู่ในตัวกุฎิด้านใน แต่มิต้องเอาหมอนรองหลังมาท่าน  ท่านว่ามีเบาะเรียงอยู่แถวนั้น หยิบมานั่งกันเองด้วย

เบาะมิใช่เพื่อรองให้นุ่ม แต่กับคนไม่เชี่ยวชาญนั้น นั่งให้รู้ว่ากำลังนั่งทำอะไร เป็นการบังคับตนให้อยู่กับสมาธิได้อีกทางหนึ่ง ที่เหลือนั้นขึ้นอยู่กับใจว่าจะเข้าสมาธิได้หรือไม่

นั่งกันที่ชานซึ่งคุยกันตรงนี้ละ ไม่ได้ย้ายไปไหน

หลวงปู่นั่งหันหลังให้กุฏิตัวเอง นายตรีเพชรนั่งตรงข้ามกับหลวงปู่ เว้นระยะออกมาช่วงหนึ่ง หันหน้าชนกัน ขามนั่งฝั่งเดียวกับเจ้านายตัวเอง หันหน้าไปทางหลวงปู่ เพราะรู้ว่าตัวเองนั่งสมาธิไม่เก่ง จึงเลื่อนตัวเองออกมาห่างหน่อย ติดราวไม้อีกฟากของชาน ถึงเรียกว่าอีกฟากก็ใช่ว่าไกล  กุฏิหลวงปู่หน้าแคบหลังสั้น เล็กกระทัดรัดมาก

เมื่อหลวงปู่เห็นแต่ละคนเลือกท่านั่งกันได้แล้ว หลับตากันแล้ว จึงพูดนำเข้าสมาธิ

ระหว่างที่หลวงปู่พูด มีเสียงนกร้องเป็นช่วงๆ ไม่ได้สังเกตว่ามันร้องมาตั้งแต่แรกหรือเพิ่งร้องตอนหลวงปู่พูดนำเข้าสมาธิ กระนั้นเมื่อหลวงปู่หยุดพูดไปแล้ว มันก็ยังคงร้องต่อ

ขามเงี่ยหูฟังได้ครู่หนึ่งจึงค่อยรู้ เจ้านกที่ร้องอยู่นั่นเป็นนกขมิ้น เพราะเสียงแตกต่างกันในบางช่วง จึงเดาว่ามันน่าจะมีกันสองตัว เสียงนกขมิ้นแหลมหวาน ฟังเพลิน

เมื่อจิตนิ่ง ตัวจึงนิ่ง

แต่นิ่งอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ความคิดนิ่งได้

ความคิดเหมือนลิง วิ่งเล่นซุกซนตลอดเวลา

ความคิดของขามกำลังเล่นซุกซนอยู่กับเสียงนกขมิ้น

ในหูมีแต่เสียงของนกขมิ้น

ก้อง ไม่หยุด


























ไม่รู้ว่านกร้องนานแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงพูดคุยเข้ามาแทนที่นกตั้งแต่เมื่อใด ใจที่ล่องลอยไปคืนมาที่ตัวเอง ตาจึงค่อยๆ ลืมขึ้น หลับตานานไปจึงต้านแสงสว่างไม่ค่อยไหว ต้องกระพริบอีกหลายครั้งถึงลืมตามองได้

หลวงปู่กำลังพูดคุยอยู่กับนายตรีเพชร เสียงสูงๆ ต่ำๆ ไม่ดังมาก ได้ยินกันแค่สองคน แต่เพราะกุฏินี้แคบเสียงจึงเล็ดลอดมาถึงหูของขาม กระนั้นก็ฟังไม่รู้เรื่องว่าพวกท่านคุยอะไรกัน

ครั้นยืดหลัง ตัวขี้เกียจจึงเกาะ สองแขนเหยียดกางโดยไม่ได้สั่ง ขณะเดียวกับที่ตัวเองกำลังบิดขี้เกียจ สติเริ่มตระหนักว่า เมื่อกี้นี้ศรีษะตัวเองมันพิงอยู่กับซี่ไม้ของราวชาน  มิต้องให้พูดซ้ำ ไม่ได้บุญจากหลวงปู่ไปกินดอก ที่อิ่มนั่นเพราะนอนจนอิ่มต่างหาก

ทว่าเรื่องนี้ไม่อายนายดอก เป็นมาแต่เด็ก นั่งสมาธิเหมือนมานั่งหลับ เข้าสมาธิแทบนับครั้งได้  ส่วนที่เหลือนั้นแบ่งเป็นสองส่วน หนึ่งนั่งหลับจนใครก็ดูออก สองคือนั่งหลับแล้วไม่มีใครดูออก

“อิ่มบุญข้าพุงกางไปเลยสิ ไอ้มะขาม!” หลวงปู่เอ็ดเสียงเข้ม แต่ไม่ได้เอาจริงกระไร

ขามก้มหน้า ยกมือพนมไหว้หลวงปู่ แต่อดหาวไม่ได้ เลยไหว้ไปหาวไป

“จะไหว้หรือจะหาว เลือกสักอย่างเถิดไอ้มะขาม” หลวงปู่พูดเสียงเอือมระอา แต่ไม่ได้เอาจริงกระไร

“มันห้ามมิได้ขอรับ หลวงปู่...” อ้อมแอ้มตอบแบบคนไม่ตื่นดีนัก

“เอ็งไปล้างหน้าเถิด ประเดี๋ยวเราจะกลับกันแล้ว” ตรีเพชรสั่งบ่าวคนสนิท

“ขอรับ!”

ขามรีบกระตือรือร้น คลานไปหากระได ค่อยๆ ลงไปที่ตุ่มข้างหัวบันไดล่าง ล้างหน้าสามสี่กระบวย น้ำในตุ่มเย็นชื่นใจ ไม่นานตาก็ตื่นเต็มที่ กลั้วปากเล็กน้อย แล้วจึงกลับขึ้นไป

ตรีเพชรเห็นบ่าวคนสนิทขึ้นมาแล้ว จึงจัดท่า คุกเข่า ก้มกราบลาหลวงปู่ “กระผมขอตัวกลับก่อนขอรับ”

ระหว่างที่ตรีเพชรก้มลงกราบ หลวงปู่ยื่นมือมาวางที่ศรีษะ พูดด้วยน้ำเสียงเมตตาการุณ  เบา ทว่าก้องกังวาล “ขอให้รอดปลอดภัย”

ขามได้ยินแล้วขนลุกซู่

พอหลวงปู่ยกมือออก ตรีเพชรเงยหน้าขึ้นมา พนมมือไหว้หลวงปู่อีกครั้ง “ขอบพระคุณขอรับ”

“มานี่ ไอ้มะขาม” หลวงปู่กวักมือเรียกให้ไปใกล้ๆ

ขามคลานเข่าเข้าไปใกล้หลวงปู่ คุกเข่านั่งบนส้นเท้า ก่อนก้มลงกราบลา เช่นเดียวกับที่หลวงปู่ทำกับนายตรีเพชร หลวงปู่เอาฝ่ามือมาวางที่ศรีษะ แต่พูดคนละอย่าง

“ขอให้ความดีจงคุ้มครอง”

ขามได้ยินแล้วขนลุกซู่ไม่ต่างกัน

เป็นคำอำนวยพรของแท้

พรแท้ๆ

“ขอบพระคุณขอรับ” ขามกล่าวขอบคุณหลวงปู่ที่อุตสาห์ให้พรทั้งที่ตัวเองนั่งหลับ

“ไปเถิด” หลวงปู่กล่าว

สองนายบ่าวพนมมือไหว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนลงจากกุฏิ หลวงปู่ยังคงนั่งที่เดิม ท่าเดิม จนสองนายบ่าวเดินมาไกลแล้ว ท่านก็ยังนั่งมองส่ง

โบราณว่าครูเปรียบเสมือนพ่อ มีแต่ให้กับให้






















มองตะวันที่เริ่มคล้อยต่ำลงมา กะเวลาแล้วยังไม่สาย จึงค่อยๆ พายเรือกลับบ้าน ไม่เร่งฝีพายมากเกินไป แต่ก็ไม่ได้อ้อยอิ่ง

ถึงท่าเรือของที่บ้าน ฝากบ่าวที่อยู่ตรงนั้นผูกเรือ แล้วเดินตามไปคอยรับใช้นาย

ประเดี๋ยวนายต้องไปกินข้าวที่เรือนของหลวงอรุณเดชา บิดาของแม่หญิงกรรณิการ์ พบผู้ใหญ่นอกจากแต่งกายให้เรียบร้อยแล้ว เนื้อตัวต้องสะอาดสะอ้าน มิใช่เพื่ออวดตัวเอง  แต่เพื่อให้เกียรติผู้ใหญ่ที่จะไปพบ

ระหว่างนายอาบน้ำผลัดผ้า ขามจัดเก็บที่หลับที่นอนของนายซึ่งเอาออกมาผึ่งแดด  ผ้าผืนที่ซักยังไม่ใช้ เอาผืนที่ซักเก็บไว้ก่อนหน้ามาใช้แทน ทั้งผ้าปูและปลอกหมอน ตระเตรียมที่นอนของนายเสร็จแล้วจึงค่อยเผาตะไคร้กับเปลือกส้ม รมควันไล่แมลง

จมูกได้กลิ่นแปลกๆ ยังไม่ทันนึกว่าคืออะไร หูพลันได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้องนอน  วันนี้นายคงลูบน้ำอบเล็กน้อย เพราะได้กลิ่นหอมบางๆ จากตัวนาย

นายเดินตรงไปที่หัวเตียง เอาบางสิ่งเก็บไว้ที่ซอกหัวเตียง เพราะนายไม่ค่อยมีของมีค่าและไม่เก็บของมีค่าไว้กับตัว อยู่ด้วยกันมาทั้งวัน สิ่งมีค่าที่นายจะเดินเอามาเก็บที่หัวเตียงได้นั้นมีอยู่แค่หนึ่งเดียว

“ใช่ที่หลวงตาให้มารึเปล่าขอรับ? ทำไมไม่เอาติดตัวละขอรับ มันจักได้คุ้มครองนาย”

“ที่นี่มิมีอันตรายใดดอก เอาไว้ติดตัวตอนอยู่โน่นดีกว่า”

นายบอกแค่นั้น แล้วเดินออกไปจากห้องนอน เดินต่อไป ลงเรือนไป

ไม่มีคำสั่งให้ตามนั่นหมายความว่าไม่ต้องตามไปเรือนหลวงอรุณเดชา เช่นนั้น ขามจึงดูความเรียบร้อยในเรือนให้ถ้วนเสียก่อน จึงค่อยลงจากเรือนนายไปอาบน้ำก่อนกินข้าว

เรือนของหลวงอรุณเดชานั้นไปได้ทั้งทางบกและทางน้ำ แม้นเป็นคืนเดือนมืด นายใหญ่ยังเลือกไปทางน้ำ กับคนที่มีชีวิตอยู่กับสายน้ำมาตั้งแต่เกิด อย่างไรเสียก็รู้สึกว่าปลอดภัย

นายใหญ่ นายหญิง นายตรีเพชรนั่งเรือลำเดียวกัน โดยมีบ่าวคนสนิทของนายหญิงอีกสองคนและฝีพายสี่คน คืนนี้นายใหญ่ให้เอาเรือสามเกล้าออก มันเป็นเรือซึ่งใหญ่และแพงที่สุด เรือก็มิต่างจากการแต่งเนื้อแต่งตัว มิใช่นำไปเพื่อโอ้อวด แต่เพื่อให้เกียรติกับอีกฝ่าย

หากไม่ได้ไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้านายไปพร้อมกันหลายคนเหมือนเช่นนี้อาจใช้เรือมาดประทุมได้ หากเจ้านายไปคนเดียวใช้ได้ทั้งเรืออีแปะและเรือสำปั้น ส่วนเรือบดนั้น เพราะมีขนาดเล็ก เหมาะแก่การเร่งความเร็ว บ่าวจึงมักใช้ไปทำธุระด่วนให้เจ้านาย

บ่าวที่ติดตามเจ้านายไปวันนี้แยกนั่งเรืออีแปะอีกสองลำ ลำละสี่คนรวมคนพาย บ่าวพวกนี้มิใช่บ่าวรับใช้ทั่วไปเป็นพวกชายฉกรรจ์มีฝีมือ ติดตามไปเพื่อให้ความคุ้มครองเจ้านาย ถึงพื้นที่ของเรืออีแปะมีเหลือเฟือนั่นมิใช่ปัญหา มีเรือติดตามสองลำดูกำลังดี ไม่น้อยจนดูโหรงเหรง ไม่เอิกเกริกแต่สมกับฐานะ

ไม่ว่าคืนจันทร์เต็มดวงหรือคืนเดือนมืดก็เป็นวันพระ

ทุกวันพระ บ่าวผู้หญิงจะมีงานเพิ่มนั่นคือเก็บดอกไม้และร้อยมาลัย

ดอกไม้ต้องเก็บกันแต่เช้ามืด ก่อนโดนแสงแดด  โดยเฉพาะมะลิ บัว กุหลาบ ส่วนพวกดอกรัก ดาวเรือง บานไม่รู้โรยนั้น เก็บเมื่อไรก็ได้

ดอกบานใช่ว่าใช้ไม่ได้แกะเป็นกลีบออกมาร้อยไปทีละใบสลับสีกัน อาจใช้ใบแก้ว ใบเทียนทอง หรือกระทั่งขั้วดอกรัก ร้อยคละเคล้ากันไปด้วยย่อมได้ หากแต่การร้อยทีละกลีบทีละใบเช่นนี้ ต้องเป็นคนมีฝีมือเท่านั้นจึงออกมาสวย

นอกจากมาลัยไหว้พระแล้วนั้น นายหญิงยังสั่งให้ทำเครื่องแขวน ติดประตูหน้าต่างทั่วทั้งเรือนใหญ่ด้วยจักได้ดูสดชื่นสบายตา มีทั้งบันไดแก้ว วิมานพระอินทร์ วิมานแท่น หากเป็นวันพระใหญ่จักต้องทำระย้าน้อยแขวนแซม  ส่วนเครื่องแขวนขนาดใหญ่วิจิตร อาธิ โคมกระเช้าหน้านาง นั้นทำเมื่อมีงานบุญ ไม่ก็งานมงคล

ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันพระ ทั้งบ้านจะหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นดอกไม้ ไม่ว่าเรือนใหญ่หรือเรือนเล็กล้วนแล้วแต่ถูกตบแต่งสวยงามน่ามอง มีก็แต่เรือนแยกของนายตรีเพชรเท่านั้น ที่เหมือนเช่นทุกวัน

นายตรีเพชรมิค่อยชอบกลิ่นดอกไม้ ส่วนเครื่องแขวนนั้นท่านว่าดูรกตามากว่าน่าชม จึงไม่ยอมให้มาติดอะไรบนเรือนแยกของท่าน พวงมาลัยก็มิต้องเอามาให้ พนมมือไหว้เหมือนทุกวัน ท่านว่าพอแล้ว

สำหรับบ่าวไพร่ ไม่ใคร่มีเวลา ทั้งยังไม่มีอุปกรณ์ ส่วนใหญ่มักทำกระทงหรือกรวย นำดอกไม้ที่เก็บมาจัดวางให้สวยงาม แทนการร้อยมาลัยซึ่งต้องใช้เวลาทำพอควร

แม่ของขามมีฝีมือในการทำขนมแต่ไร้ฝีมือในการประดิษฐ์ประดอย ทำได้แค่เอาใบตองมาม้วนเป็นกรวย เก็บดอกจำปีบ้าง จำปาบ้าง ดาวเรืองบ้าง มาใส่ก็ใช้ได้แล้ว ช่วงเช้าเพราะงานในครัวมีมากล้น แม่และขามจึงมักไหว้พระในตอนกลางคืน

วันนี้ขามพอมีเวลาอาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้ว แม่มือยังไม่ว่าง จึงขอให้กิ่งช่วยทำกรวยใบตองให้สองกรวย เอาไปใส่ดอกจำปี กรวยหนึ่งที่เป็นของแม่เก็บไว้ในบ้าน อีกกรวยของตัวเองถือติดมือไปที่เรือนแยก

คืนนี้น่าจะได้นอนเฝ้าหน้าประตูห้องนาย ขามจึงเลือกกรวยดอกจำปี  เพราะมันมีกลิ่นไม่ฉุนแรงมาก  อันที่จริงก็มีดอกไม้อื่นที่ไม่มีกลิ่น  แต่ขามชอบดอกจำปี กลิ่นมันเหมือนกลิ่นตัวของแม่ ไหว้พระแล้ววางไว้เหนือหัว หลับสบายใจ

เดินขึ้นเรือนมาไม่ทันไร ได้ยินเสียงแปลกๆ  ดังอยู่ในสวนระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนแยก ขามวางกรวยดอกจำปีไว้บนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ในศาลาเล็กกลางเรือน ก่อนรีบลงไปจากเรือน

เสียงนั้นฟังดูชวนให้ไม่สบายใจ คล้ายกับเสียงคนกำลังทะเลาะกัน


o8 รูปแบบเรือ
กดเบาๆ เพื่อดูภาพเรือสามเกล้า (http://www.weloveshopping.com/shop/khongthai/B017.jpg)
กดเบาๆ เพื่อดูภาพเรืออีแป๊ะ (http://www.oocities.org/thaphraarthit/boat4.JPG)
กดเบาๆ เพื่อดูภาพเรือสำปั้น (http://www.weloveshopping.com/shop/khongthai/B003.jpg)
กดเบาๆ เพื่อดูภาพเรือบด (http://www.weloveshopping.com/shop/khongthai/B001.jpg)



o8 เครื่องแขวนไทย มีหลากหลาย
กดเบาๆ เพื่อดูภาพบันไดแก้ว (http://www.baanjomyut.com/library/offerings/006.jpg)
กดเบาๆ เพื่อดูภาพวิมาพระอินทร์ (http://s.exaidea.com/upload2/1/20121109/a725b7b619cfa233d79aae66212726ea.jpg)
กดเบาๆ เพื่อดูภาพวิมานแท่น (http://webboard.sanook.com/forum/?Old_Topic=1&action=dlattach;topic=3334783.0;attach=954169;image)
กดเบาๆ เพื่อดูภาพระย้าน้อย (http://www.jimmybeautiful.com/jimmy/d/16853-1/_MG_4146.jpg)
กดเบาๆ เพื่อดูภาพกระเช้าหน้านาง (http://www.baanjomyut.com/library/offerings/014.jpg)
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๙ / ๒๔ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 24-03-2015 18:01:23
คำอวยพรของหลวงพ่อทำเอาใจหายเลยเชียวค่ะ :hao4: ขอให้นายแคล้วคลาดปลอดภัยด้วยนะค้าา~
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๙ / ๒๔ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 24-03-2015 19:39:26
คุณตรีเพชรต้องไปต่างเมืองอีกแน่ๆ มะขามเอ้ยแย่แน่ๆ..
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๙ / ๒๔ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-03-2015 21:43:48
ใครทะเลาะกันหว่า
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๙ / ๒๔ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 25-03-2015 08:11:53
ขอให้พรของหลวงปู่ คุ้มครองนายและมะขามให้รอดปลอดภัยเถิดนะ
แล้วใครทะเลาะกันอยู่น่ะ แถวเรือนนาย ยังมีใครกล้ามาส่งเสียงดังอีกเหรอ
กลัวดราม่าจัง ฮือออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 28-03-2015 20:15:53
๑๐.

เพราะไม่มีแสงจันทร์ จึงมองหน้าเหล่าคนที่พูดเสียงแหลมกรรโชกในสวนนั้นไม่ถนัดตา รู้เพียงว่าเป็นผู้หญิง

ทีแรกขามตั้งใจว่าจะเดินกลับ ไม่ยุ่งเกี่ยว ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องผู้หญิงทะเลาะกัน แต่พอเห็นคนหนึ่งในนั้นเริ่มทำร้ายร่างกายอีกคน  กลับข่มใจหันหลังไม่ได้เสียเอง

“มีเรื่องอะไรกัน! พูดคุยกันดีๆ มิได้รึ! หยุด! หยุด!

ขามวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง  เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้รู้ว่าในกลุ่มนั้นมีด้วยกัน 5 คน เป็นบ่าวสาวทั้งสิ้น

สองคนที่กำลังตบตีกันไม่สนใจคำทัดทานของขาม ส่วนอีกสองในสามคนเดินตรงปรี่มาขวางทางขาม

“มิใช่เรื่องของเอ็ง ไปเสีย!” บ่าวหญิงคนหนึ่งบอกขามเสียงกร้าว

“พวกเอ็งจักทำสิ่งใดเกรงใจนายท่านบ้าง อยู่บ้านเดียวกัน ทำไมไม่พูดจากันดีๆ!” คำพูดคล้ายว่าประนีประนอม หากแต่น้ำเสียงของขามแข็งกร้าวไม่แพ้กัน

“พูดดีมันไม่ได้ความ ก็ต้องสั่งสอนกันหน่อย ไปซะไอ้ขาม! อย่ามายุ่งเรื่องของพวกข้า!” บ่าวผู้หญิงอีกคนที่มาขวาง บอกกับขามด้วยเสียงคล้ายรำคาญเล็กน้อย

“ไม่ยุ่งได้เยี่ยงไร นี่มันหน้าเรือนนายข้า! ประเดี๋ยวนายข้าจักกลับมาอยู่แล้ว ข้าไม่ดูแลความเรียบร้อยบริเวณเรือนนายได้อย่างไร!” ขามพูดกับบ่าวสองคนตรงหน้า ก่อนหันไปตะโกนบอกสองคนที่กำลังตบตีกัน  “ไอ้ที่กัดกันอยู่นั่นน่ะ! หยุดได้แล้ว!”

ทันทีที่ขามพูดจบประโยค หนึ่งในสองที่กำลังยืนยื้อยุดฉุดกระชากกัน ส่งเสียงร้องออกมา

“พี่ขะ...พี่ขาม!...พี่.......”

เพราะคนร้องเรียกชื่อขามโดนอีกคนลากลงไปนอนกองกับพื้น จึงไม่สามารถพูดได้อย่างที่ใจคิด  พยายามปกป้องตัวเองสุดชีวิต หากแต่แค่นั้นขามก็รู้แล้วว่าฝ่ายที่โดนกระหน่ำฝ่ามืออยู่นั้นคือใคร

“มะลิ...” ขามอุทานเสียงเบา พยายามเค้นความคิด ทว่าสถานการณ์ฉุกละหุกเกินกว่าจะมัวมาคิด จำต้องปล่อยทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณ

“เอ็ง!...โอ๊ย!”

บ่าวคนหนึ่งที่ยืนจังก้าขวางหน้า โดนขามผลักอย่างแรง ล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น  บ่าวอีกคนที่ยืนห่างกว่า แม้เข้ามายื้อแขนขามไว้ได้ ทว่าแรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชาย ขามผลักนางล้มไปกองกับพื้นด้วยอีกคน

แม้นทำร้ายผู้หญิงอาจเสียชาติบุรุษ ทว่า สี่คนรุมหนึ่งเป็นข้อแก้ต่างที่สามารถยกขึ้นมาอ้างได้ทีหลัง ซ้ำบ่าวพวกนี้ขึ้นชื่อว่ามือตีนหนัก ขามเห็นมานักต่อนักแล้ว ไม่รีบทำอะไรเสียแต่ตอนนี้ เกรงว่ามะลิอาจช้ำในเจ็บหนักเป็นเดือนได้

ขามปรี่เข้าไปหามะลิแบบไม่รอช้า ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งได้ยินเสียงกร่นด่าชัดถนัดหู เพราะลงไม้ลงมือไม่ได้มาก จึงแค่ผลักอีกสองคนแรงๆ แล้วรีบประคองมะลิขึ้นมาจากพื้น กอดไว้แน่น หันหลังรับความโกรธที่ยังไม่หายจากคู่กรณีของมะลิ

เสียงด่าทอแสลงหูมากมายดังอยู่ด้านหลัง เสียงร้องไห้กระซิกน่าสังเวชดังอยู่ด้านหน้า

คนที่ซึ่งน่าจะเป็นคนลงไม้ลงมือกับมะลิกำลังระบายอารมณ์กับแผ่นหลังของขาม ส่วนคนอื่นที่เหลือต่างพยายามดึงวงแขนของขาม แย่งตัวมะลิไป 

พักหนึ่งจากนั้น ขณะที่ขามรู้สึกเหมือนหูเริ่มอื้ออึง หลังแสบซิบๆ  เสียงตะโกนของรุ่งกับไสวพลันดังลอยมา

“ใครมาทำอะไรเอะอะแถวนี้!” เสียงตะโกนของรุ่ง

“นี่หน้าเรือนนายพวกมึงยังกล้าอีกรึ!” เสียงตะโกนของไสว

บ่าวซึ่งมีหน้าที่เดินยามน่ายำเกรงกว่าบ่าวรับใช้อย่างขามมากโข ตัวรุ่งกับไสวยังไม่ทันวิ่งมาถึง บ่าวผู้หญิงที่ราวกับแปลงร่างเป็นยักษีต่างรีบจรลีหลีกลี้ไป

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังลอยห่างไปจากตนเอง ขามถอนหายใจด้วยความโล่งอก 

พี่ไสวกับพี่รุ่งวิ่งมาใกล้ถึงแล้ว ส่วนมะลิยังคงร้องห่มร้องไห้

.

.

.

“เกิดเรื่องอะไรไอ้ขาม?!” ไสวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

“ผู้หญิงมีเรื่องกันนิดหน่อยน่ะพี่” ขามบอกแบบสงวนท่าที

“รุมกันแบบนี้ไม่ใช่นิดหน่อยแล้ว...” รุ่งพูดจบยื่นหน้าไปดูหลังไอ้ขาม ก่อนพูดต่อ “หลังเอ็งน่าดูชมทีเดียว”

ขามเอี้ยวคอไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ แม้นมองไม่เห็น แต่ความแสบยิบๆ ที่หลังเป็นเครื่องยืนยันแทนได้

“แล้วตกลงมันเรื่องอะไร?” ไสวยังคงซักไซ้

“ข้าก็ไม่รู้ดอก เพียงแค่เห็นนังมะลิมันโดนรุมอยู่จึงมาช่วยมัน พวกนั้นมือตีนหนักกันทั้งนั้น...” ขามยังคงตอบแบบสงวนท่าที

ความจริงนั้น ตัวขามพอจะประติดประต่อเรื่องราวได้จากคำสบถด่าที่ได้ยินเมื่อครู่ หากแต่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด ฟังความข้างเดียวมิได้ ซ้ำเรื่องนี้ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย จึงไม่สมควรพูดอะไรออกไป

มะลิยังคงเสียขวัญร้องไห้ไม่หยุด แต่เสียงสะอึกสะอื้นแรงเริ่มค่อยๆ ผ่อนลง

“มันเรื่องหนักหนาอะไรถึงขั้นต้องมารุมทำร้ายกัน หือ! นังมะลิ?!” ไสวยังคงข้องใจ

รุ่งซึ่งมองท่าทีของขามออก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบไหล่เกลอ “เรื่องของผู้หญิง มึงเป็นผู้ชายจะไปเข้าใจอะไร”

“ข้าไม่ได้อยากเสือก! ข้าอยากช่วย ทำแบบนี้กับคนที่กินข้าวหม้อเดียวกันได้เยี่ยงไร!” ไสวโวยวาย

โดนซักถึงขนาดนี้ มะลิกลับยังไม่ยอมเงยหน้ามาพูดกับใครสักที  แต่ขามเข้าใจ เรื่องนี้คงหนักหนาสำหรับเจ้าตัว จึงยกมือขึ้นลูบหัวปลอบใจมะลิ ก่อนออกตัวแทนให้

“ข้าขอบใจแทนมะลิมันด้วยนะ พี่ไสว แต่มันกำลังเสียขวัญ ข้าว่าให้มันได้นั่งพักก่อน จิตใจสบายแล้วค่อยคุยกันดีกว่า มะลิมันก็เหมือนน้องนุ่งข้า หนักเบาอย่างไรข้าก็ต้องช่วยมัน พี่ก็เหมือนพี่ชายข้ากับมัน หากเจอปัญหาขบไม่แตก ย่อมต้องมาให้พี่ช่วยอยู่แล้ว...”

รุ่งตบบ่าเกลอหนักๆ สองสามที ก่อนกล่าวเสริมคำที่ขามพูด “ใช่ มึงต้องให้เวลาผู้หญิงเขาหน่อย ใจเย็นๆ น่า ไป! เรากลับเรือนนายตรีเพชรเถิด คลาดสายตามานานแล้ว มันไม่ดี!”

เมื่อเอ่ยถึงหน้าที่ขึ้นมาไสวจึงใจเย็นลงได้ “เอ้อ! งั้นไป! นังมะลิ เอ็งไปนั่งพักที่เรือนนายก่อน”

พูดจบไสวหมุนตัวกลับหลัง เดินนำเกลอกลับไปที่เรือนนายตรีเพชรแบบไม่รอช้า

.

.

.

“เดินไหวรึไม่?” ขามก้มหน้าลงถามมะลิ

มะลิยอมเงยหน้าที่ชุ่มด้วยน้ำตาขึ้นมาในที่สุด พนมมือไหว้แทบอกพี่ขาม “...ขอบคุณจ๊ะ พี่ขาม ฉันขอบคุณจริงๆ...”

เสียงพูดแหบแห้งสั่นเครือในทุกคำยิ่งชวนให้สงสาร

“เฮ้อ...มะลิเอ๊ย เอ็งจะทนไปเพื่ออะไร...”

คำพูดของขามไม่เหมือนเป็นคำถาม ฟังดูคล้ายคำรำพึงรำพันมากกว่า

มะลิน้ำตาร่วงอีกสองสามหยด ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดิม “...ฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยจ๊ะพี่ ไม่มี...พี่ขุน... ไม่มีใครบอกฉันเลย... ฉันรักพี่ขุน แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรเยี่ยงที่กุหลาบมันทำ! ฉัน... ฉัน...”

ยิ่งพูดมากเท่าไหร่น้ำตายิ่งไหลลงมามากเท่านั้น ขามระบายลมหายใจยาว ก่อนลูบหัวปลอบมะลิอีกครั้ง “พี่เข้าใจ พี่รู้ว่าเอ็งเป็นคนอย่างไร แต่หากเอ็งรักกับไอ้ขุน เอ็งคงเลี่ยงนังกุหลาบไม่ได้ ผัวหนึ่งเมียสอง เอ็งทนได้จริงรึ?”

มะลิไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ เอาแต่ก้มหน้าสะอึกสะอื้น

แม้นมะลิมีข้อเสียหลายอย่าง อยู่ด้วยแล้วไม่สบายใจเท่ากิ่ง แต่ความคิดหลายอย่างกลับตรงกัน หนึ่งในนั้นคือ...คนรักมีแค่หนึ่งเพียงพอแล้ว

การมีเมียหลายคนเป็นเรื่องปกติ มิผิดประเพณี ซ้ำยังเป็นเครื่องแสดงฐานะได้อีกทาง  แม้นคนไม่ได้กินอากาศเป็นอาหาร แต่หากมีเงินมีความสามารถเลี้ยงดู อยากมีเท่าไหร่ก็มีไป กระนั้นทุกคนก็ไม่อาจเถียงคำหนึ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่ว่าไว้ "ยิ่งมากคน ยิ่งมากความ"

“...พี่ไปส่งเอ็งกลับบ้านนะ เอาหน้าตาแบบนี้ไปรับใช้เจ้านายคงไม่เหมาะ ส่งเอ็งแล้ว พี่จะไปบอกป้าผกาให้”

“จ๊ะพี่...” มะลิยอมรับคำแนะนำจากพี่ขามอย่างง่ายดาย

เพราะมีคนเป็นห่วงอยู่อีกทาง ขามจึงพามะลิไปหาพี่ไสวกับพี่รุ่งก่อน บอกกล่าวขอบคุณเรียบร้อยแล้ว จึงพาตัวไปส่งบ้าน โดยทิ้งสาเหตุของการทะเลาะกันไว้ก่อน ค่อยพูดทีหลัง

มะลิพักอยู่บ้านเดียวกับน้าบัวผันซึ่งไม่ได้เป็นญาติหรือคนรู้จักกันมาก่อน เพราะไม่ใช่บ่าวที่เกิดในเรือน ถูกพ่อแม่พาตัวมาให้นายใหญ่ตอนประมาณ 4 ขวบ ด้วยความที่ยังเด็กจึงต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแลอบรมสั่งสอน น้าบัวผันคือคนที่ทำหน้าที่นั้น ความผูกพันนานปีส่งผลให้ปัจจุบันทั้งสองไม่ต่างจากแม่ลูกกันจริงๆ

เห็นหน้ามะลิแวบเดียว น้าบัวผันโวยวายใหญ่ ถามทั้งน้ำตารื้นว่าใครทำเอ็ง

เมื่อเห็นมะลิอยู่ในที่ปลอดภัย มีคนคอยดูแลแล้ว ขามจึงเดินออกมาเงียบๆ  ระหว่างเดินเผลอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าตามวิสัย

ดาวพร่างพราวเต็มฟ้า แม้ให้แสงสว่างไม่มากเท่ากับดวงจันทร์ กระนั้นก็ยังสวย

ชีวิตของใครย่อมเป็นไปในแบบของคนคนนั้น หากชีวิตของทุกคนดำเนินไปเหมือนกัน เราจะมีชื่อต่างกันไปเพื่ออะไร

เดินคิดอะไรไปเรื่อย ไม่มีแก่นสาร ทีแรกตั้งใจเดินไปเรือนใหญ่ หาป้าผกาเพื่อบอกว่ามะลิไม่สบาย จึงไม่ได้อยู่รับใช้เจ้านายตอนกลับจากเรือนหลวงอรุณเดชา กลับเจอป้าผกาเดินนำบ่าวกลุ่มหนึ่งไปทางท่าน้ำ คาดว่าคงมารอรับเจ้านาย ขามจึงค่อยๆ เดินตามขบวนของป้าผกาไปแบบไม่เร่งรีบ รอจนป้าผกานั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปแจ้งเรื่องมะลิ

อาจเพราะไม่มีธุระต้องใช้สอยบ่าวมากคน ป้าผกาจึงพยักหน้ารับรู้ กล่าวติติงเล็กน้อยตามธรรมเนียม จากนั้นก็ไม่ว่ากระไรอีก

เสร็จธุระของมะลิแล้ว ขามเดินไปนั่งที่ตอไม้หนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกลุ่มของป้าผกา อันที่จริงไม่ต้องรอรับนายตรีเพชรตรงนี้ก็ได้ ไปรอที่เรือนเลยก็ได้ แต่ใจมันไม่สงบพิลึก นั่งมองน้ำเล่นเงียบๆ อาจช่วยได้มากกว่าไปนั่งคิดมากที่เรือนของนาย

ป้าผกาสมกับเป็นบ่าวก้นกุฏิ นั่งรอกันไม่กี่เพลา หัวเรือสามเกล้าก็ล่องมาให้เห็นแต่ไกล

บ่าวทุกคนต่างกุลีกุจอลุกขึ้น ตระเตรียมตัวเองให้ดูเรียบร้อย ก่อนไปรวมกลุ่มกันที่ท่าน้ำ แต่ขามยืนห่างออกมาจากกลุ่มบ่าวคนอื่น เหมือนอย่างที่ไอ้ขันเคยพูด ‘ความวัวมึงยังไม่จางกล้าเอาหน้าขึ้นไปให้เจ้านายเห็นรึ!... วันดีๆ แบบนี้ มึงอย่าเอาหน้าขึ้นไปให้ท่านอารมณ์เสียเลย’

วันนี้เป็นวันดีวันหนึ่ง จึงไม่ควรเอาหน้าไปให้นายท่านเห็น แต่ครั้นเรือจอดเทียบท่าขามกลับไม่เห็นวี่แววของวันดี

นายใหญ่ลงจากเรือด้วยท่าทางปึงปัง เดินเท้ากระแทกกระดานไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ก่อนตรงไปทางเรือนใหญ่ราวกับเป็นจ้าวพายุ นายหญิงกับบ่าวที่มารอรับเดินตามกันแทบไม่ทัน

ขามมัวแต่ยืนอึ้งมองตามขบวนของนายใหญ่ มิทันได้นับจำนวนเจ้านาย เดือดร้อนให้เจ้านายที่เหลืออีกหนึ่งต้องเดินมาทักด้วยตัวเอง

“เอ็งมายืนชมนกชมไม้รึ?”

หันไปเห็นหน้านายในระยะประชิด อารามตกใจ ขาอ่อนคุกเข่ากับพื้นทันที “กลับมาแล้วเหรอขอรับนาย?”

เป็นคำถามที่โง่มากจนแม้แต่ตัวเองยังต้องขำ ไม่ใช่แค่นายเท่านั้น

“หึหึหึ...เอ็งไปเอาของกับพวกไอ้ขัน ถือไปเรือนข้า” ตรีเพชรพูดจบเดินต่อไปโดยไม่รอบ่าวคนสนิท

เจ้านายไปแล้วขามจึงรีบเร่งลุกขึ้น เดินไปที่ท่า 

ลูกน้องคนหนึ่งของไอ้ขันถือห่อผ้าขนาดใหญ่พอประมาณ  คิดว่านั่นคงเป็นของที่นายบอกให้เอาไปที่เรือน จึงเดินไปขอกับคนที่ถือมันอยู่

“...นั่นของนายตรีเพชรใช่หรือไม่?  เมื่อกี้นายสั่งให้ข้าถือไปที่เรือน”

ลูกน้องไอ้ขันที่ถือห่อผ้านั่นอยู่พยักเพยิ่นหน้าทำท่าว่าให้มาเอาไป ระหว่างสองฝ่ายการไม่พูดแม้นดูมึนตึง แต่ดีกว่าพูดแล้วขุ่นเคืองใจ

“ถือให้ระวัง ของนั่นเสียหายไป ชีวิตเอ็งใช้คืนยังไม่พอ!” ขันพูดลอยๆ แบบไม่มองหน้าใคร

ขามที่เดินถือห่อผ้ามาถึงตัวไอ้ขันพอดี หยุดยืนพูดลอยๆ โดยไม่มองหน้าใครบ้าง “ของบางสิ่งใช้ไม่ระวัง เสียหายไป ชั่วชีวิตนี้ก็เรียกคืนมิได้  หาเวลาไปหานั่งมะลิซะในคืนนี้  มิฉะนั้นเอ็งอาจเสียใจไปชั่วชีวิต”

“นี่มึ---”

ขามไม่สนใจฟังว่าไอ้ขันจะพูดอะไร ตัวเองพูดจบแล้วก็เดินจ้ำๆ ตรงไปทางเรือนแยกแบบไม่คิดเหลียวหลังหรือหยุดฝีเท้า

เรื่องบางเรื่องแม้นไม่ใช่ธุระกงการของตนเอง แต่เรื่องบางเรื่องหากไม่มีใครบอก คนคนนั้นอาจไม่รู้ หรือรับรู้แบบผิดๆ ได้ เพราะคิดเช่นนั้น ขามจึงหาเหาใส่หัวให้ตัวเองสักตัวสองตัว  แต่เท่านี้พอละ มากกว่านี้คงไม่ไหว

หลังจากเร่งฝีเท้าห่างจากไอ้ขันมาได้พอควรแล้ว ขามจึงผ่อนฝีเท้าลง เดินต่อไปอย่างระมัดระวัง ของในห่อผ้ามีน้ำหนักพอควร ความใหญ่ของมันทำให้ขามต้องถือแบบกึ่งอุ้ม วางมันไว้บนท้องแขนทั้งสองข้าง ใช้ทั้งมือ แขน ลำตัวช่วยประคองถึงรู้สึกมั่นใจ

เดินมาถึงเรือนไม่เห็นตัวพี่รุ่ง เจอแต่พี่ไสว คงกำลังเดินยามรอบเรือนอยู่

พี่ไสวถามสั้นๆ ว่า: เรียบร้อยไหม

เข้าใจกันว่าถามเรื่องมะลิ จึงพยักหน้าพร้อมตอบให้แกสบายใจว่า: เรียบร้อยดี อยู่กับน้าบัวผัน

ได้ยินดังนั้นพี่ไสวก็ไม่ซักถามต่อ ยกมือข้างขวาขึ้นทำท่าว่าให้ไปเถอะ ขามจึงเดินต่อเข้าไปในชายคาเรือน วางของของนายไว้ที่ขั้นบันได ล้างเท้าให้สะอาดก่อนเดินขึ้นเรือน

ด้วยคิดว่าสิ่งที่ถือมาเป็นของสำคัญจึงตรงไปที่ห้องนอนของนายตรีเพชร เพราะประตูห้องปิดงับไว้ จึงร้องเรียกนายสองสามคำ ไม่กล้าเข้าไปในทันที

“นายขอรับนาย... นายขอรับ...”

นายตรีเพชรเป็นคนประสาทสัมผัสไวหากเรียกแบบนี้แล้วไม่ขาน ย่อมไม่อยู่ในห้อง

ขามจึงวางของในมือลงกับพื้น ก่อนลุกขึ้นมาปลดกลอนประตู ก้มตัวลงไปหยิบของแล้วเดินเข้าไปในห้อง เวลานี้เป็นกลางคืน ยุงเอย แมลงเอยค้างคาวเอย อาจเข้าไปในห้องนอนให้นายรำคาญใจได้ ขามจึงใช้อวัยวะอื่นที่พอใช้งานได้ อาธิ ไหล่กับหลัง เพื่อปิดประตูให้เรียบร้อย ก่อนนำของไปวางบนหลังตู้ใบหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าต่าง

ยังไม่ทันหันหลังกลับออกไปจากห้องเสียงนายพลันดังขึ้นมาก่อน

“หลังเอ็งเป็นอะไร?”



ยังมีต่อ
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 28-03-2015 21:30:31
นายจัดการเลยค่ะ กล้ามากที่เอาความโกรธมาลงกับขาม นิสัยไม่ดี...~ ฮึ่ม!
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-03-2015 23:02:44
เฮ้อ มากคนมากความจริงๆ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 28-03-2015 23:07:52
ขามคนดี  :กอด1: 
สงสารมะลินะ ไม่น่าไปรักคนเจ้าชู้อย่างนั้นเลย เฮ้อ
พวกบ่าวที่รุมก็ใจร้ายจริง ๆ แถมยังกล้ามาทำแถวเรือนนายอีก
ต้องให้นายตรีเพชรจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเลย
ว่าแต่ นายใหญ่ โกรธอะไรมาหนอ เรื่องของนายตรีเพชรแน่เลย

หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 29-03-2015 13:03:46
นายตรีเพชรต้องออกไปหาข่าว ทำศึกอีกแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-03-2015 23:36:42
รอต่อๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 05-04-2015 09:35:19
:sad4: คึดถึงมะขามค่าา '..8 วันที่ฉันรอเธอ..~'
(ใส่ทำนองเอาเองนะค้าา) มาต่อนะคะนะ
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 05-04-2015 16:25:09
เนื้อเรื่องสนุก ชอบมากค่ะ
ขอให้ความดีคุ้มครองทั้งนายตรีเพชรและบ่าวขามนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 01-05-2015 08:14:57
ดันจ้าา.. :call:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 01-05-2015 12:49:42
 :katai1:
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 08-06-2015 18:35:28
สนุกมากครับ ขามน่ารักมาก รอมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: sep,16 ที่ 09-06-2015 00:09:32
สนุกมากเลยค่ะ อยากอ่านต่อจังเลย
ชอบมากๆ ชอบนาย ชอบขาม คุณbaobao เก่งมากๆ  o13
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: posh ที่ 22-12-2015 21:49:04
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: sum ที่ 04-06-2017 20:15:59
คุณBaoBao ( เปาเปา ? )
เขียนเรื่องนี้ได้ดี มากเลยยย รวมถึงเรื่องอื่นๆด้วย สนุกมาก
<3
ปล. รออ่านต่อนะครับ ;)
หัวข้อ: Re: [ที่รัก] วรรค ๑๐ (ส่วนแรก) / ๒๘ มีนาคม
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-06-2017 18:11:58
รอ............................  :a12: :a12: