[เรื่องสั้น] รักแรกครั้งนั้น...ในใจฉันตลอดไป
ผมยังจำได้ดี
ความทรงจำวัยเด็ก สมัยที่ผมยังเรียนชั้นประถมครั้งนั้น
เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่เคยลบเลือนไปจากใจผมได้เลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ความทรงจำที่มีเด็กผู้ชายหน้าใส ผิวสีแทน รูปร่างผอมบาง
ปากนิด จมูกหน่อย ดวงตากลม ภายใต้เปลือกตาชั้นเดียว
และใฝเม็ดเล็กๆ ที่ประดับอยู่ตรงแก้มซ้ายคนนั้น
เด็กผู้ชาย ที่แม้ว่าจะเป็นถึงลูกของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครู ทั้งพ่อและแม่
แต่ผลการเรียนของเขากลับไม่เอาไหนเลย
ความสามารถทั้งหมดของเขา เหมือนจะไปตกอยู่ที่การเล่นฟุตบอลเสียทั้งหมด
เด็กผู้ชายที่บ้านอยู่ไกลจากโรงเรียนมากกว่าผมไปราวกิโลเมตรเศษ
แต่ก็ขยันมาชวนผมไปโรงเรียนพร้อมกันทุกวัน
เด็กผู้ชายที่เป็นเพียงไม่กี่คน ในโรงเรียนเล็กๆ ในชนบท ที่มีจักรยานคันเก่งเป็นพาหนะประจำตัว
เด็กผู้ชายที่ชอบพูดจาหยอกล้อผมเสมอ (แม้วันนี้ผมจะจำไม่ได้แล้วว่า มันเป็นเรื่องอะไรบ้าง)
โดยเฉพาะเวลาที่ผมเดินกลับจากโรงเรียนในฟากถนนหนึ่ง
และเขาปั่นจักรยานในอีกฟากถนนหนึ่งอย่างช้าๆ เหมือนจะยืดเวลาให้ได้แกล้งผมไว้ให้นานที่สุด
เด็กผู้ชายที่ชื่อ “ไผท”
เด็กผู้ชายที่เมื่อในอีกไม่กี่ปีต่อมา ก็ถูกพ่อของเขาส่งตัวไปเข้าโรงเรียนกีฬาชื่อดังในจังหวัดแห่งหนึ่ง ขณะที่เขาอายุได้เพียง 13 ปี
เด็กผู้ชายที่ผมเคยคิดมาตลอดว่า ‘ผมอยากเป็นเพื่อนสนิทของเขา’
เด็กผู้ชายที่มีรอยยิ้ม ซึ่งผมชอบแอบมอง
เด็กผู้ชายซึ่งบางวัน ปั่นจักรยานคันเก่งมาจอดเรียกผมหน้าบ้าน โดยหารู้ไม่ว่า วันนั้นผมนอนปวดฟันอยู่ และไม่สามารถไปเรียนไหว
ก่อนที่เขาจะปั่นกลับมาเยี่ยมอีกครั้งในตอนเลิกเรียน
เด็กผู้ชายที่เมื่อเขากลับมาเจอผมอีกครั้งในตอนอายุ 15
เมื่อเราต่างเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น
ในวันที่เขากลับมาเยี่ยมบ้าน ด้วยรูปร่างที่เติบโตขึ้นอย่างเด็กผู้ชายที่เป็นนักกีฬา
รูปร่างแกร่ง แขนและขาสมส่วน และเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนที่ออกกำลังกายอยู่เสมอ
ทว่า ริมฝีปากนั้นยังคงบางสวยได้รูป
จมูกนั้นโด่งขึ้นเป็นสันอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตานั้นยังคงดำขลับ และกลมเกลี้ยงอยู่ภายในเปลือกตาชั้นเดียว
ผิวสีแทนของเขาดูกรำแดดขึ้น จากการต้องฝึกซ้อมกีฬากลางแจ้งเป็นประจำ
แต่มันก็ดูเนียน และใสจนน่าสัมผัส
ผมกับเขาพูดคุยกันไม่กี่คำ
ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนของเราอีก 2 คนมากกว่า ที่เป็นฝ่ายพูดคุยกับเขาในบทสนทนาของกลุ่ม
ขณะที่ผมมักจะเป็นผู้ฟัง และลอบสังเกตตาสวยคู่นั้น กับริมฝีปากบาง เวลาที่เขาขยับเล่าเรื่องราวต่างๆ
ผมมองเพลินอย่างไม่รู้เบื่อ
แต่ก็เสไปมองทางอื่นอยู่เป็นระยะ ด้วยกลัวว่าเพื่อนข้างๆ (รวมถึงตัว ไผท) จะสังเกตเห็น
ว่าผมมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน
ความลับที่ผมเริ่มจะแน่ใจขึ้นทุกวัน ว่าไม่น่าจะใช่ความรู้สึกที่มีให้กันเพียงในฐานะเพื่อน
ความลับที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าแค่ไปเจอเขาแทบทุกครั้งที่เขากลับมาเยี่ยมบ้าน
แบบปีละครั้ง
สองปีครั้ง
ก่อนจะค่อยๆ ห่างไป ..
ห่างไปเรื่อยๆ...
เมื่อผมโตขึ้นจนเรียนระดับมหาวิทยาลัย
และกลับมาที่บ้านในช่วงปิดเทอม
บางครั้งผมก็แอบถามเอาจากแม่ ว่า “ไผท เขากลับมาเยี่ยมบ้านบ้างหรือเปล่า?
บ้าง แม่ผมก็เป็นฝ่ายบอกมาเอง ว่า “ปีนี้ ไผท มันกลับมาบ้านนะ ไม่นัดเจอกันหรือ?”
ผมหัวใจพองโตทุกครั้งเมื่อได้ยินข่าวคราวจากเพื่อนเก่าคนนี้
แม้เราจะได้เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ในรอบหลายๆ ปี
แม้เราจะได้พูดคุยกันแค่ไม่กี่คำ
แต่ผมก็แอบสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขาอยู่เสมอ
เขาเติบโตขึ้น
ทั้งทางความคิด ที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่าผมพอสมควร
เมื่อต้องไปอยู่ไกลบ้านตั้งแต่ยังเป็นเด็กขนาดนั้น
และทั้งในทางร่่างกาย ที่เข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัว
รูปร่างแข็งแกร่งแบบนักกีฬาฟุตบอล ที่ฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ
และฝีเท้าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากคำบอกเล่าของพี่ชายผม
เนื่องจากเขามักจะไปเตะฟุตบอลเล่นด้วยกันกับกลุ่มวัยรุ่นละแวกบ้านทุกครั้งเมื่อกลับมา
ผมเล่นกีฬาไม่เก่ง
ส่วนมากจึงได้แต่เป็นฝ่ายมองอยู่ข้างสนามมากกว่า
แต่แค่นั้น มันก็ทำให้ผมมีความสุขเสมอ
มันเป็นความสุข ที่ผมได้รับมาตั้งแต่ที่เรายังเรียนชั้นประถมมาด้วยกัน
ความสุขที่สัมผัสได้ แม้เราจะพูดคุยกันนับคำได้
ความสุขที่สัมผัสได้ แม้หลายครั้งผมจะได้แค่มอง
ความสุข ที่ผมอบอุ่นใจทุกครั้ง
แค่เพียงได้รู้ข่าวคราวของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา... แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
.....
วันนี้
หลังจากที่ผมไม่ได้ข่าวคราวของเขามานานหลายปีแล้ว
นับตั้งแต่เรียนจบ และต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน
เพื่อนบางคนก็เริ่มมีครอบครัวกันไปบ้างแล้ว
แต่ผมที่ยังคงเป็นโสด และไม่มีทีท่าจะลงเอยแบบเพื่อนๆ เหล่านั้น
ก็ยังคงคิดถึงเขาเสมอ
โดยเฉพาะเมื่อผมกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงเทศกาลต่างๆ
แม่ผมเองก็ไม่ได้ข่าวคราวของไผท เลย
ข่าวคราวล่าสุด เห็นจะเป็นเมื่อหลายปีก่อน
สมัยที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ
แม่บอกว่า “ไผท เขาเลิกเป็นนักกีฬา แล้วหันไปเรียนอะไรสักอย่างอย่างจริงจัง”
หลังจากนั้น เส้นทางชีวิตระหว่างผมกับเขา ก็ดูเหมือนจะห่างกันออกไปทุกที
หลังจากครอบครัวของเขาย้ายไปจากละแวกบ้านที่เราเคยเติบโตมาด้วยกัน
.....
ผมลองพิมพ์ชื่อ-นามสกุล ของเขา (ที่ผมยังคงจำมันได้ขึ้นใจ) ลงไปในเฟสบุค
โดยที่ไม่คาดคิดว่าชื่อนั้นจะปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ผมหัวใจพองโต ด้วยความดีใจอย่างบอกไม่ถูก
ผมบอกได้ทันทีว่ารูปโปรไฟล์นั้น ‘เป็นเขา’
เขาที่ถึงวันนี้จะอายุกว่า 30 ปี เช่นเดียวกันกับผม
แต่ใบหน้านั้นยังคงคุ้นตา
นิ้วมือผมสั่นน้อยๆ
ก่อนจะค่อยๆ บรรจงกดลงไปบนปุ่ม “เพิ่มเพื่อน”
หัวใจผมเต้นแรงเหมือนรัวกลอง
ก่อนที่จะปรากฏ การแจ้งเตือน “ตอบรับคำขอเป็นเพื่อน” ที่เพิ่งกดลงไปเพียงไม่กี่นาที
และไม่ทันที่ผมจะทันจัดการอะไรต่อไปจากนั้น
กล่องข้อความใหม่ในเฟสบุคของผม ก็ปรากฏข้อความทักทายเข้ามา
“เฮ้ย อนวัช ใช่ไหม?
...คิดถึงว่ะ!!”
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
นี่เป็นการลงเรื่องครั้งแรกในเล้าของผมครับ
ยังไงฝากคอมเม้นท์ และติดตามด้วยนะครับ
ยินดีรับฟังทุกคำติชมครับผม