พิมพ์หน้านี้ - Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: KOKURO ที่ 08-11-2014 12:46:19

หัวข้อ: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 08-11-2014 12:46:19
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 08-11-2014 12:48:57
สวัสดีครับทุกคน
พอดีกระทู้เก่าหายไปแล้วน่ะครับ ผมเลยลงใหม่ ก็ไม่แน่ใจว่าจะสม่ำเสมอแค่ไหนนะครับ แต่จะพยายามลงให้ได้อย่างน้อยเดือนละตอนครับ
ขอบคุณล่วงหน้าที่ติดตามนะครับ

HAKURO/KOKURO

Lock on You 01

เสียงเพลงแว่วหวานดังไปพร้อมกับเรียวนิ้วที่กดไล่ไปตามสายและคันซอที่กรีดสีไปบนเส้นลวด  ใบหน้าที่แนบอยู่กับตัวไวโอลินมีรอยยิ้มระบายจาง ๆ  สองตาหลับพริ้ม...มันคงไม่แปลกอะไรหากที่นี่เป็นเวทีแสดงคอนเสิร์ตในโรงละครหรูหรา...แต่ที่นี่คือริมถนน  ถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนนับพัน ๆ คนที่ทยอยเดินออกมาจากอาคารสำนักงานหลายแห่งที่ตั้งเรียงรายกันอยู่  ผุ่นควันไอเสียกระจายฟุ้งไปในอากาศ  เสียงจ้อกแจ้กจอแจสับสนวุ่นวาย  เสียงไวโอลินบรรเลงอยู่ ณ ตรงนั้น
แม้จะเป็นสถานที่ที่แทบจะไม่มีใครสนใจใคร  แต่ด้วยเสียงเพลงที่ไม่เข้ากับสถานที่และความโดดเด่นของผู้บรรเลงทำให้หลายคนต้องหยุดแล้วหันมาดู
ผู้ที่กำลังกรีดนิ้วลงบนสายไวโอลินและเปลี่ยนมันให้เป็นบทเพลงไพเราะคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง  บุคลิกและหน้าตาจัดได้ว่าดี  เขาคงจะดูเป็นนักไวโอลินชั้นสูงหากอยู่บนเวทีและสวมสูทงามหรู  แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตเข้ารูปที่ดูธรรมดา ๆ เสียยิ่งกว่าพวกพนักงานบริษัท  และที่ดูแปลกแยกไปกว่าทุกคนในที่นี้คือผมสีแดงอมชมพูจัดจ้า  ลักษณะทั้งหลายดึงดูดให้หลายต่อหลายคนหันมาให้ความสนใจในเสียงเพลงของเขา
เมื่อตัวโน้ตสุดท้ายขาดเสียงลง  ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับโค้งรับเสียงตบมือจากคนดู  เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ส่งยิ้มกว้างเปี่ยมเสน่ห์พร้อมประกายตากินนัยไปให้สาว ๆ ที่ดูอยู่  เรียกเสียงกิ๊วก๊าวจากพวกเธอพอเป็นพิธี  แต่แล้วดวงตาพราวก็หรี่แสงลงนิดหน่อยเมื่อมองไปไม่พบคนที่ควรจะอยู่
ชายหนุ่มยกไวโอลินขึ้นจรดเตรียมเริ่มเพลงใหม่  พลันก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กเพรียวบางกำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงมา  ริมฝีปากบางยกยิ้มกับตัวเองแล้วกรีดคันซอลงบนสาย
เด็กหนุ่มที่กำลังรีบร้อนสาวเท้าช้าลง  เพลงที่ใครคนนั้นกำลังบรรเลงอยู่นับเป็นเพลงโปรดของเขาทีเดียว  เขาค่อย ๆ เดินผ่านฝูงชนเข้าไปช้า ๆ  ถ้าไม่คิดว่าเข้าข้างตัวเองเขาก็อยากจะเชื่อว่าคนที่กำลังบรรเลงเพลงอยู่เล่นเพลงนี้เพื่อเขา
เด็กหนุ่มเลือกที่นั่งเหมาะ ๆ ตรงบันไดหน้าตึกแล้วฟังเพลงอย่างเพลิดเพลิน  เขามาที่นี่ทุกเย็นหลังเลิกงาน  ซึ่งก็ไม่ได้เสียเวล่ำเวลาอะไรมากนักเพราะมันเป็นทางผ่านที่จะไปขึ้นรถกลับบ้านอยู่แล้ว  มันเป็นช่วงเวลาผ่อนคลายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาพึงจะได้รับหลังจากเคร่งเครียดกับการทำงานมาทั้งวัน...และยังจะต้องกลับไปเครียดต่อที่บ้านอีก
เขาเฝ้ามองร่างที่ยืนเด่นอยู่ริมบาทวิถีอย่างหลงใหล  เขาคนนั้นดูมีความสุขที่ได้เล่นไวโอลินแบบนี้ทุกเย็น  ริมฝีปากบางเชิดดูเจ้าอารมณ์นั้นมักมีรอยยิ้มระบายอยู่เสมอ  ชายหนุ่มไม่ได้เรี่ยรายเงินจากคนที่มาฟัง  เบื้องหน้าของเขามีกล่องใส่ไวโอลินตั้งอยู่ก็จริงแต่มันก็ไม่เคยเปิดออก  เขาเพียงแค่มาที่นี่เพื่อแสดงเพลงของเขาเท่านั้น...บรรเลงบทเพลงไพเราะเพื่อมนุษย์เงินเดือนที่เหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียดมาตลอดวัน  เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจให้ต่อสู้กับชีวิตและการงานต่อไป  เด็กหนุ่มนึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ ...ทำอย่างไรเขาถึงจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแบบนี้บ้างนะ
หลังจากบรรเลงเพลงจบไปอีกหลายเพลง  นักดนตรีหนุ่มก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“เอาหละ  วันนี้แค่นี้ก่อนแล้วกัน”  เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังไม่เบาจนเกินไปนัก
มีเสียงคนดูร้องขอให้บรรเลงเพลงเพิ่มอีกสักเพลง  ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลนิดหน่อย  แล้วโดยไม่คาดฝัน  เขาก็หันไปถามเด็กหนุ่มที่นั่งดูอยู่ไม่ไกลนัก
“อยากฟังเพลงอะไร?”
เด็กหนุ่มตกตะลึงไปชั่วขณะ  เขาไม่คิดว่านักดนตรีที่เขาหลงใหลจะหันมาพูดกับเขาตรง ๆ แบบนี้
“เอ้อ...คือ...”  เด็กหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้ง
“ชักช้าเดี๋ยวถามคนอื่นนะ”  พ่อนักดนตรีข้างถนนเร่งเร้ามาอีก  ดวงตาเป็นประกายส่งสายตาล้อ ๆ มาให้  สาว ๆ ที่มุงดูอยู่ปิดปากหัวเราะกันคิกคัก  พวกเธอรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ขี้เล่นแบบนี้กับคนดูเสมอ
“เอ้อ...เพลงนั้นน่ะครับ”  เสียงเบา ๆ อ้อมแอ้มมาด้วยความประหม่า
“เพลงนั้นน่ะมันเพลงไหนกันล่ะ?”  ร่างสูงโปร่งย้อนถาม
“ง่า...”  จะให้ตอบได้ยังไงล่ะ  เขาไม่รู้จักชื่อเพลงนี่นา
นักดนตรีช่างแกล้งมองหน้าเด็กหนุ่มแล้วก็ยิ้ม  ยกไวโอลินขึ้นจรดท่า
“งั้นผมจะเดาละกัน  หน้าตาแบบนี้...มาฟังทุกวันแบบนี้...น่าจะชอบเพลงนี้”
ท่วงทำนองอ่อนหวานล่องลอยออกมาจากสายลวดและคันซอ  เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง  นั่นเป็นเพลงที่เขาอยากฟังจริง ๆ ด้วย...ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้จะรู้...ไม่สิ  ฟังจากที่พูดเมื่อกี้แล้ว  นักดนตรีหนุ่มจำเขาได้ด้วยซ้ำ!
สุดยอดไปเลย...ดีใจจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงดีแล้ว  เด็กหนุ่มได้แต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งจบเพลง
“ทีนี้ก็จำไว้นะ  เพลงนี้ชื่อ Curtain call  คราวหน้าถามอีกต้องตอบให้ได้นะ”  จู่ ๆ เจ้าของเรือนผมสีแดงก็หันมาพูดกับเขา  เล่นเอาสะดุ้ง
“อ่ะ  ครับ”  เด็กหนุ่มลุกลี้ลุกลนหาสมุดกับปากกาจะมาจด  แต่นั่นทำให้กระเป๋าทำงานที่วางไว้บนตักหล่นตุ้บไปอยู่บนพื้น
ชายหนุ่มกลั้นหัวเราะแล้วหันไปบอกกับบรรดาผู้ชมที่ยืนมุงดูอยู่  “เอาละ  คอนเสิร์ตจบแล้วครับ  แยกย้ายกันกลับบ้านได้  ถ้าใครยังไม่อยากกลับก็เชิญที่คลับของผมนะครับ...อ้อ  ไม่เลี้ยงนะครับ”
มีเสียงหัวเราะมาจากกลุ่มผู้ชม  แล้วต่างก็ค่อย ๆ ทยอยกันเดินออกไปทีละกลุ่มสองกลุ่มในขณะที่นักดนตรีหนุ่มก็เก็บไวโอลินใส่กล่อง  แล้วก็หันมาเจอเด็กหนุ่มยังยืนงง ๆ อยู่ตรงที่เดิม
“ไม่กลับบ้านเหรอครับ?”
“เอ๊ะ...เอ้อ...กลับครับ”
“ดีแล้ว  งั้นก็รีบกลับซะ  เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วง  แล้วเจอกันนะครับ”  ชายหนุ่มบอกพลางยกมือโบกให้นิด ๆ แล้วเดินไปทางด้านตรงข้ามกับสถานีรถไฟ
เด็กหนุ่มยืนมองร่างนั้นไปจนลับตา  แล้วจึงกลับหลังหันเดินไปในทิศทางตรงข้าม  ใช่...หลังจากจบการแสดง  พวกเขาจะเดินไปคนละทางเสมอ  ในขณะที่ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในย่านใจกลางเมือง  แต่ตัวเขากลับเดินไปยังสถานีรถไฟเพื่ออาศัยขบวนรถที่แออัดไปด้วยผู้คนมากมายมหาศาลกลับบ้าน
ในขบวนรถที่แน่นจนไม่ต้องอาศัยราวโหนก็สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ล้ม  อาริโยชิ  ฟุยุกิยืนหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ที่ข้างประตู  งานในวันนี้ทำเอาเขาหัวหมุนไปหมด  เด็กหนุ่มเพิ่งจะจบจากมหาวิทยาลัยมาเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมานี่เอง  ด้วยผลการเรียนระดับปานกลางและจบคณะที่ไม่ได้เป็นของหายากสำหรับสังคมการทำงานเท่าไรนัก  ตัวเขาที่ไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษได้มาทำงานที่บริษัทนี้ก็ด้วยเส้นสายของพ่อเท่านั้น
พ่อของฟุยุกิเป็นทนายความฝีมือดีที่มีชื่อเสียงไม่น้อย  พี่ชายทั้งสองคนก็มีอาชีพด้านกฎหมายเช่นเดียวกับพ่อ  พี่คนโตเป็นอัยการ  ส่วนพี่คนรองเป็นทนาย  พวกพี่ชายอายุมากกว่าฟุยุกิมาก  ตอนที่ฟุยุกิเกิดพี่ชายคนโต  เคียวยะก็กำลังจะจบมัธยมปลาย  ส่วนมิโนรุ  พี่ชายคนรองก็เข้ามัธยมปลายไปแล้ว  ทั้งสองคนเป็นคนเรียนเก่งและหัวดีเรียกได้ว่าเป็นระดับแนวหน้าของโรงเรียนเลยทีเดียว  ซ้ำด้านกิจกรรมชมรมกีฬาก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าด้านการเรียนเลย  ดังนั้นฟุยุกิจึงได้ยินอยู่เสมอว่าพี่ชายทั้งสองเนื้อหอมในหมู่สาว ๆ ราวกับพระเอกในการ์ตูนผู้หญิงยังไงยังงั้น  ซึ่งเรื่องนั้นฟุยุกิก็รู้ดีอยู่แก่ใจ  เพราะกระทั่งในตอนนี้แม้จะล่วงเข้าสู่วัยสามสิบตอนปลายแล้ว  พี่ชายทั้งสองของเขาก็ยังเป็นขวัญใจของสาว ๆ อยู่เสมอ  ถึงแม้เคียวยะจะมีคู่ชีวิตแล้วก็เถอะ
ต่างกับฟุยุกิ...เด็กหนุ่มไม่เพียงแต่เรียนไม่เก่ง  จนบางครั้งคนรอบข้างก็บอกว่าเขาหัวทึบ  ด้านกีฬาก็ยังไม่เอาไหนอีกด้วย  ผลการเรียนของเขาไม่เคยเทียบติดฝุ่นพวกพี่ ๆ เมื่อตอนเรียนอยู่ระดับเดียวกัน  แม้จะไม่ถึงกับต่ำเตี้ยเรี่ยดินแต่ก็เฉียดฉิวคาบเส้นไปมาอยู่อย่างนั้น  มิใยที่มิโนรุจะเจียดเวลามาช่วยติวให้เป็นครั้งคราว  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผลการเรียนของฟุยุกิดีขึ้น  หลายครั้งที่โดนว้ากใส่เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่มิโนรุอธิบายเลยสักนิด  ขนาดเคียวยะที่ใจเย็นกว่าก็ยังเอือมระอา  พวกญาติ ๆ ปลอบใจเขาอยู่เสมอว่าไม่ต้องคิดมาก  ที่ฟุยุกิเป็นอย่างนี้ก็เพราะแม่มีเขาตอนอายุมากเกินไป  แต่เบื้องหลังคำปลอบโยนนั้นเด็กหนุ่มรู้ดี...มีเสียงซุบซิบนินทาซ่อนอยู่  ใช่...เพราะแม่มีเขาช้าเกินไป  อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะปัญญาอ่อน
บางครั้ง...ในตอนที่ความอดทนถึงขีดสุด  ฟุยุกิเคยหลุดปากเรื่องที่เขาปัญญาอ่อนออกไปใส่หน้าพวกพี่ชาย  ผลลัพธ์ก็คือมิโนรุตบหน้าเขาฉาดใหญ่แล้วเดินหนีไปด้วยท่าทางฉุนเฉียว  ส่วนเคียวยะก็มองเขาด้วยสายตาเย็นชาแล้วบอกว่า
“ไม่มีคนปัญญาอ่อนที่ไหนเข้าเรียนมัธยมต้นได้ตามเกณฑ์หรอก  ยุกิ  แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของคุณแม่ด้วยที่มีนายตอนอายุสี่สิบกว่าแล้ว  คุณแม่รักและอยากให้นายมีชีวิตอยู่มากถึงขนาดเอาชีวิตเข้าแลกมาเชียวนะ”
ใช่...แม่เสียชีวิตหลังจากคลอดเขา  ในช่วงนั้นสุขภาพของแม่ไม่ดีอยู่แล้ว  แต่หลังจากที่ทราบจากหมอว่ามีฟุยุกิอยู่ในท้อง  ก็ดูเหมือนสุขภาพของแม่จะดีขึ้นมาทันที  แต่ขีดจำกัดก็คือขีดจำกัด  การอุ้มท้องอาจจะไม่ใช่เรื่องลำบากเกินไปนัก  แต่การให้กำเนิดบุตรนั้นเกินกำลังของแม่  แม่จากไปหลังจากได้กอดเขาเพียงไม่กี่ครั้ง  สิ่งเดียวที่เหลือไว้ให้เขาก็คือชื่อฟุยุกินี้เท่านั้นเอง
ชีวิตในวัยเด็กของฟุยุกิไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร  ด้วยหน้าที่การงานของพ่อทำให้มีเงินมากพอที่จะจ้างพยาบาลมาคอยดูแลเขาจนพ้นช่วงเด็กอ่อน  และแม่บ้านเก่าแก่ก็คอยดูแลเขาต่อจากนั้นมา  ฟุยุกิถูกคาดหวังว่าจะได้ทำงานด้านกฎหมายเช่นเดียวกับที่ทุก ๆ คนในตระกูลอาริโยชิทำมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ  แต่ความคาดหวังนั้นดูจะจบสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่ฟุยุกิอยู่ประถมปลาย  หลังจากนั้น  แม้จะพยายามเคี่ยวเข็นอย่างไรผลการเรียนของฟุยุกิก็ยิ่งทำให้ความคาดหวังนั้นริบหรี่ลงทุกที  และพ่อก็คงเลิกหวังกับเขาไปนานแล้ว
ฟุยุกิเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะธรรมดา ๆ อย่างมนุษยศาสตร์  สาขาวิชาที่เรียนก็แสนจะธรรมดา  เขาใช้ชีวิตเรื่อย ๆ เหมือนที่เคยเป็นมาจนจบ  แต่ตอนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องงาน  พ่อก็ใช้เส้นสายฝากเขาเข้าทำงานที่บริษัทด้านกฎหมายแห่งนี้ในฝ่ายธุรการ...เพราะรู้ดีว่าฟุยุกิคงไม่สามารถทำงานอะไรได้ดีกว่านี้แน่
แต่...แม้จะแค่งานเอกสารที่ต้องจัดการไปวัน ๆ  ฟุยุกิก็เหนื่อยเต็มที
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองผู้คนรอบตัว  ทุกคนก็ดูเหนื่อยเหมือนกับเขา  แต่...จะมีใครเหนื่อยกับงานเอกสารง่าย ๆ เหมือนกับเขาบ้างไหมนะ  จะมีใครรู้สึกว่ามีเรื่องต้องจำเยอะเหลือเกินอย่างเขาบ้างไหมนะ  จะมีใครต้องใช้ความพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกับเขาไหมนะ...และ...จะมีใครเหนื่อยกับการเป็น  “เด็กเส้น”  เหมือนกับเขาบ้างหรือเปล่า...
...หรือเราจะปัญญาอ่อนจริง ๆ...
ประโยคเดิม ๆ ที่เคยบอกกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตั้งแต่เด็กผุดขึ้นมาในหัว  ฟุยุกิถอนใจแรง ๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง...ไม่เอา  อย่าไปคิดถึงมันดีกว่า  คิดถึงอะไรดี ๆ กว่านี้หน่อยเถอะ...แต่เรื่องดี ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกิดขึ้นในชีวิตเท่าไรนัก  อ้อ...มีสิ...เรื่องของนักดนตรีหนุ่มเมื่อกี้นี้ไง  เพลงนั้นชื่อเพลงอะไรนะ...
...Curtain Call…
ฟุยุกิบอกกับตัวเอง  ดีจังที่ยังจำได้...เด็กหนุ่มยิ้มกับตัวเอง  ไว้คราวหน้าเขาจะลองถามชื่อเพลงอื่นด้วยดีกว่า  มันจำง่ายกว่าชื่อแฟ้มเอกสารในสำนักงานเยอะเลย
“กลับมาแล้วครับ”  ฟุยุกิเอ่ยขึ้นหลังจากเปิดประตูห้องชุดหรูของแมนชั่นแห่งหนึ่งเข้าไป  ทั้งที่ไม่มีคนอยู่แต่เด็กหนุ่มก็ยังพูดด้วยติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็ก
ระหว่างที่รูดเนคไทพลางเดินเกร่ไปที่ตู้เย็นก็เห็นกระดาษฝากข้อความแปะอยู่  “คืนนี้อาจจะไม่กลับ  หาข้าวกินเองได้ใช่ไหม  มิโนรุ”
ฟุยุกิอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นแล้วก็ถอนใจ  ไม่เห็นจะต้องถามแบบนั้นเลย  เขาไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้วเสียหน่อย  แล้วก็ไม่ใช่ทำอะไรไม่เป็นด้วย  แต่มิโนรุก็มักจะเห็นเขาเป็นเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่เสมอ
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์เดินลงไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ ๆ แมนชั่น  เขาอยู่กับมิโนรุที่แมนชั่นแห่งนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย  ใจจริงแล้วเขาอยากไปหาห้องเช่าอยู่คนเดียวมากกว่า  แต่ดูเหมือนคนในครอบครัวจะไม่ไว้ใจว่าเขาจะเอาชีวิตรอดตามลำพังได้  จึงตกลงใจส่งมาอยู่กับมิโนรุ  ซึ่งพี่ชายที่ยังโสดอยู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่ฟุยุกิสังเกตว่าเขาคงจะได้ออกไปอยู่คนเดียวเร็ว ๆ นี้  เพราะดูเหมือนพี่ชายจะกำลังมีคนรัก
ข้าวกล่องไก่ทอดคาราอาเกะคือมื้อเย็นที่ได้จากร้านสะดวกซื้อ  เด็กหนุ่มหิ้วมันเข้าไปในห้องส่วนตัวพร้อมกับชาข้าวที่แช่ไว้ในตู้เย็น  ที่จริงก็เหนื่อยเสียจนอยากจะนอนเต็มทีแล้ว  แต่ยังมีบางอย่างค้างคาใจอยู่นิดหน่อยจึงเปิดคอมพิวเตอร์...เขาอยากรู้ว่าเพลงที่นักดนตรีคนนั้นเล่นไวโอลินมีต้นฉบับแบบไหน
อินเตอร์เน็ทคือแหล่งข้อมูลของโลก  เพียงแค่ใส่คำที่ต้องการลงไปในระบบค้นหา  ข้อมูลที่ต้องการก็ทะลักขึ้นมาบนหน้าจอ  ฟุยุกิคาบตะเกียบพลางมองตัวหนังสือเหล่านั้นอย่างลังเล  มีคำว่า Curtain call เยอะเกินไป  มีตั้งแต่ความหมายไปยันวิดีโอ...เอาละ  ยังไงเสียมันก็เป็นเพลงที่เอาไปเล่นไวโอลินได้  ในไฟล์วิดีโอน่าจะใช่บ้างละน่า  คิดแล้วก็คลิกไปที่ไฟล์วิดีโอไฟล์หนึ่ง
โชคดีที่สวรรค์ไม่ให้เขาต้องหานาน  หลังจากค้นหาไปไม่กี่ครั้งฟุยุกิก็พบเพลงที่ต้องการ  หลังจากตั้งใจฟังอยู่สองสามรอบก็บอกกับตัวเองว่า  เขาชอบเพลงนี้ที่บรรเลงด้วยไวโอลินของนักดนตรีคนนั้นมากกว่า
พรุ่งนี้...คงจะได้เจอกันอีกสินะ...

แต่นักดนตรีคนนั้นไม่ได้มาเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนในวันรุ่งขึ้น  ฟุยุกิไม่ได้นึกประหลาดใจนักเพราะก็มีบางครั้งที่ผู้ชายคนนั้นหายหน้าไปแบบนี้  เพียงแต่นึกเสียดายที่วันนี้จะไม่ได้ถามชื่อเพลงอื่น ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้...พรุ่งนี้เขาคงจะมาน่า...เด็กหนุ่มปลอบใจตัวเอง  แต่แล้วก็นึกได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์  เขาไม่ต้องมาทำงาน  แถมดีไม่ดีนอกจากจะไม่ต้องมาทำงานแล้วยัง...
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น  ฟุยุกิรีบล้วงมันออกมาจากกระเป๋า  บนหน้าจอปรากฏชื่อของพี่ชายคนรอง
“ครับ?”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”  เสียงจากปลายสายถามมาห้วน ๆ
“ก็...ใกล้ ๆ สถานีรถไฟใกล้ ๆ ที่ทำงาน”
“ตกลงอยู่ใกล้อะไรแน่?”
“ใกล้ที่ทำงานครับ”
“กลับไปรอหน้าที่ทำงาน  เดี๋ยวจะไปรับ”
“ไปบ้านคุณพ่อเหรอครับ?”
“อื้อ  แค่นี้นะ”
มิโนรุตัดสายไปอย่างไม่เปิดโอกาสให้ฟุยุกิถามอะไรมากไปกว่านั้น  นี่เป็นเรื่องปกติ  ในคืนวันศุกร์และเสาร์เขาจะต้องไปค้างที่บ้านพ่อ  เหมือนจะเป็นกฎตายตัวอย่างไรชอบกล  ที่จริงถ้ามีธุระหรือติดงานก็ไม่จำเป็นต้องไปก็ได้  แต่สำหรับเด็กเข้าทำงานใหม่อย่างฟุยุกิแล้วเรื่องแบบนั้นคงเป็นแค่ข้ออ้างไร้สาระสำหรับพ่อ  แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ  เขาไม่อยากไปเจอหน้าพ่อนี่นา...ถ้าคุยกันละก็...คงไม่พ้นถูกตำหนิเรื่องงานแหง ๆ
รถเก๋งคันสวยของพี่ชายจอดเทียบหน้าบริษัท  ฟุยุกิก้าวขึ้นรถท่ามกลางสายตาของพนักงานสาว ๆ ในบริษัทบางคนที่เพิ่งเดินออกมา  คงมีบางคนที่จำรถของพี่ชายของเขาได้ถึงได้กระซิบกระซาบวี้ดว้ายอะไรกันใหญ่โต  ชื่อเสียงของลูกชายบ้านอาริโยชิขจรขจายมาถึงที่นี่ด้วย  แม้ว่าฟุยุกิจะทำให้สาว ๆ หลายคนผิดหวังก็เถอะ
“ทีหลังตอบให้มันชัด ๆ หน่อยนะว่าอยู่ที่บริษัทหรือที่สถานี  มันเสียเวลาวนรถ  รู้มั้ย?”  มิโนรุเปิดฉากทันทีที่ออกรถ
“ครับ”  ตอบได้แค่นั้นทั้งที่ในใจก็คิด...ตอนนั้นเขาอยู่กึ่งกลางระหว่างบริษัทกับสถานีรถไฟพอดี  แล้วจะให้ตอบว่ายังไงล่ะ
“อาทิตย์นี้ทำงานเป็นไงบ้าง?”
“ก็...เรื่อย ๆ...”  คำตอบอ้อมแอ้ม
“ไอ้เรื่อย ๆ ของนายหมายถึงเอาเอกสารใส่ผิดแฟ้มหรือว่าคีย์ข้อมูลอะไรพลาดไปอีกหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ”  แค่ทำไม่ทันใจหัวหน้าเท่านั้นเอง
มิโนรุเหลือบมองน้องชายแวบหนึ่ง  “ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว  ได้เพื่อนบ้างหรือยังเนี่ย?”
ฟุยุกิเกลียดคำถามพวกนี้  เดี๋ยวพ่อก็จะต้องถามเขาแบบนี้แหละ  แล้วมิโนรุจะมาซักไซ้เขาก่อนทำไม  อยากให้เขาตอบหรือไงว่าคนที่เข้าทำงานรุ่นเดียวกับเขาน่ะไม่มีใครคบเขาหรอก  ทุกคนมองว่าเขาเป็นเด็กเส้นไร้ความสามารถ  ที่ได้เข้าทำงานก็เพราะมีบารมีของพ่อเท่านั้น  ทุกคนดูแคลนเขาและบางทีก็นินทาเขาลับหลัง  นั่นทำให้เขาต้องพยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ใครว่าได้  แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจความพยายามของเขาเลย  เพราะสิ่งที่เขาทำได้  ใคร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น  และดูเหมือนจะทำได้อย่างสบาย ๆ เสียด้วย  มีแต่เขาเท่านั้นที่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น
“ก็...มีบ้าง”  ฟุยุกิตอบไปแผ่ว ๆ
ผู้เป็นพี่เหลือบมองเด็กหนุ่มอีกครั้งหนึ่งก่อนจะถอนใจดัง ๆ  “รู้อะไรมั้ย  ยุกิ  นายโกหกได้ห่วยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“...ครับ”
“เพราะงั้นไม่ต้องพยายามโกหกฉัน  ถ้ายังไม่มีเพื่อนก็ต้องพยายามปรับตัว  แก้ไขข้อด้อยของตัวเอง  ชีวิตการทำงานน่ะ  มนุษยสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญนะ”
หลังจากนั้นคือการเทศน์มหาชาติยืดยาวเรื่องการปรับตัวและความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน  ฟุยุกินึกอยากเอามือปิดหูหรือไม่ก็เปิดประตูแล้วโดดลงรถไปเสียเดี๋ยวนี้  แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือ...นั่งฟังมิโนรุพูดไปจนกระทั่งถึงบ้าน
ฟุยุกิไม่ชอบบ้านพ่อหรือก็คือบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด  แต่เขาก็ยังกลับบ้านทุกอาทิตย์  เพราะที่นั่นมีสถานที่ที่เขาจะสามารถรู้สึกผ่อนคลายและวางภาระทุกอย่างลงได้  ฟุยุกิอาบน้ำแล้วสวมชุดยูกาตะที่แม่บ้านจัดเตรียมไว้ให้  แม้ว่าเวลาทำงานทุกคนในบ้านจะอยู่ในชุดสูทสากลตามครรลองของสังคม  แต่เมื่ออยู่บ้านคนในตระกูลอาริโยชิมักจะเลือกทำตัวสไตล์ญี่ปุ่นมากกว่า  ฟุยุกิเองก็คุ้นเคยกับการสวมยูกาตะนอนมาตั้งแต่เด็ก
เด็กหนุ่มเดินไปยังสวนญี่ปุ่นหลังบ้านแล้วนั่งลงที่ระเบียง  อากาศอุ่นขึ้นมากเพราะจวนจะเข้าหน้าร้อนเต็มที  แต่ก่อนหน้านั้นจะมีฝนตกอย่างต่อเนื่องระยะหนึ่ง  นั่นก็ดี...เพราะฝนจะทำให้สวนแห่งนี้สวยขึ้นมากทีเดียว  สวนหลังบ้านแห่งนี้ทำเป็นน้ำตกเตี้ย ๆ และธารน้ำเล็ก ๆ ปูด้วยหินแม่น้ำก้อนกลม ๆ พาดยาวไปถึงรั้วบ้าน  ซากุระย้อยกิ่งต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านลงปกคลุมเหนือน้ำตกจำลอง  ตอนนี้ดอกไม้ร่วงหมดแล้วจึงเหลือเพียงก้านเล็ก ๆ และใบที่พลิ้วไหวไปตามลม  แต่อีกไม่นานอาจิไซที่ปลูกไว้จะผลิดอก  สองฟากของธารน้ำจำลองปูด้วยหญ้ามอสนุ่ม ๆ แผ่ออกมาจนกลืนกับแนวของหินละเอียดและหญ้าที่ลาดปูไปบนพื้น  มีทางเดินที่ทำด้วยแผ่นหินและไม้ไผ่คดเคี้ยวไปตามพุ่มไม้เล็ก ๆ และโคมหินแบบโบราณที่เก่าเสียจนตะไคร่ขึ้น  ซึ่งลุงคนสวนยังมีแก่ใจนำตะเกียงมาไว้ที่โคมหินนี้ทุกวัน  ด้วยรู้ว่าคุณหนูคนเล็กของเขาโปรดปรานสวนแห่งนี้ยิ่งนัก
ใช่...มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่เป็นเหมือนโลกทั้งโลกของฟุยุกิ  พ่อกับพี่ชายไม่ค่อยให้ความสนใจกับสวนแห่งนี้เท่าไรนัก  ต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง  ดังนั้นที่นี่จึงถูกปล่อยปละละเลย  มีเพียงฟุยุกิเท่านั้นที่มีความสุขกับความสงบที่สวนแห่งนี้มอบให้
เด็กหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะโหยหาสวนแห่งนี้มากขนาดนี้จนกระทั่งเข้าทำงาน  โลกรอบตัวดูจะเคลื่อนที่ไปเร็วเหลือเกิน  จังหวะของชีวิตไหลโถมไปข้างหน้าอย่างเร็วและแรงเสียจนเขาไล่ตามแทบไม่ทัน  ทุกวันนี้เขาได้แต่พยายามวิ่งตามคนอื่น ๆ ไปอย่างสุดกำลังทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าควรจะต้องจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร  เพราะถ้าหากยืนหันรีหันขวางด้วยความสับสน  สิ่งที่ตามมาจะเป็นคำตำหนิติเตียน  ซึ่งไม่ได้ตำหนิเขาเพียงคนเดียว  แต่มันจะลามปามไปถึงพ่อและพวกพี่ ๆ ด้วยแน่นอน...เขาไม่อยากทำให้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตระกูลอาริโยชิที่พ่อกับพี่สร้างขึ้นมาต้องมัวหมอง  ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามให้เต็มที่
แต่มันช่างแสนเหน็ดเหนื่อย...ฟุยุกิถอนใจยาวแล้วเหม่อมองแสงจากตะเกียงในโคมหิน  เขารู้ตัวดีว่าตนเองเชื่องช้าและไม่ค่อยทันคนอื่น  และทั้งที่พยายามเต็มที่แล้วก็ยังไม่พอสำหรับคนรอบตัว  โลกหมุนไปเร็วเหลือเกิน  และเขาก็เหนื่อยเหลือเกิน  จะมีที่ไหนในโลกไหมนะ  ที่เวลาจะหยุดนิ่งเหมือนในสวนแห่งนี้...ไม่สิ  ไม่ต้องหยุดนิ่งก็ได้  แค่ไหลไปอย่างช้า ๆ เอื่อย ๆ เหมือนน้ำในลำธารนี่ก็พอ  ที่ที่เขาจะพอได้พักหายใจหายคอในระหว่างวันอันวุ่นวายได้...จะมีสักที่ไหมนะ...

...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 08-11-2014 12:49:55
ฝนเริ่มตกแล้ว  ฤดูฝนที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับคนเมือง  ฝนอันเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวัน  บนพื้นจะเต็มไปด้วยน้ำเฉอะแฉะที่ทำให้ขากางเกงเปรอะเปื้อน  หยาดฝนในอากาศจะทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้น  และเมฆหมอกมืดมัวจะทำให้จิตใจคนขุ่นมัวไปด้วย
ฟุยุกิเดินลากขาออกจากที่ทำงาน  วันนี้เขาโดนหัวหน้าดุ  ก็เรื่องทำงานช้านั่นแหละ  ที่จริงหัวหน้าก็ไม่ได้ดุรุนแรงอะไร  เขาไม่เคยทำงานผิดพลาดแต่ก็ช้าเสียจนขัดใจ  หัวหน้าเตือนว่าถ้างานเอกสารช้า  งานอื่น ๆ ก็พลอยช้าไปด้วย  อย่างไรเสียก็อยากให้เขาทำงานให้เร็วขึ้นอีกนิด...ใช่  ไม่ได้โดนดุ  แต่เพราะรู้สึกว่าตัวเองทำเต็มที่แล้วแต่ก็ยังไม่ทันใจคนรอบข้างจึงรู้สึกเจ็บปวด
สองขาที่หนักอึ้งหยุดลง  เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว  ฝนยังตก  น้ำเจิ่งนองถนน  แต่ผู้คนกลับรีบร้อนเคลื่อนไหวกันไปมาวุ่นวาย  ชีวิตต้องรีบขนาดนั้นเชียวหรือ...โลกหมุนเร็วหรืออย่างไร  ทำไมจึงต้องไล่ตามกันขนาดนั้น...ไม่รู้สิ  เขาไม่เข้าใจ  รู้แค่ว่าตัวเองเหนื่อยเหลือเกิน  มีที่ไหนให้เขาพักได้บ้างนะ
พลันก็แว่วเสียงอะไรบางอย่างลอยมาแต่ไกล  เสียงหวาน ๆ ที่ทำให้จิตใจสงบลงได้  ฟุยุกิเดินตามเสียงนั้นไป
ใต้ชายคาเล็ก ๆ แคบ ๆ ของป้ายรถเมล์  ที่มาของเสียงอยู่ที่นั่น  นักดนตรีหนุ่มผมแดงกำลังบรรเลงเพลงด้วยไวโอลินตัวโปรดอยู่ตรงนั้น  ฟุยุกิชะงักเท้า  ภาพตรงหน้าช่างแปลกตา  ท่ามกลางผู้คนที่ก้าวเดินสวนกันไปมาเหมือนมดปลวกไม่มีใครสนใจใคร  ร่างนั้นยืนสงบนิ่ง  หลับตาพริ้มราวกับดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองที่หลั่งไหลออกมาจากคันซอและสายลวดของไวโอลิน  เสียงดนตรีแว่วหวานกลืนไปกับเสียงของสายฝนสอดประสานราวกับเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลงเดียวกัน
ในขณะที่ไม่มีใครสนใจชายคนนั้น  ฟุยุกิกลับหยุดยืนตรงหน้าเขาแล้วยื่นร่มไปกางคลุมให้  แม้จะยืนอยู่ใต้ชายคา  แต่ก็ไม่สามารถกันละอองฝนได้นักหรอก
กระทั่งตัวโน้ตสุดท้ายแผ่วหายไปกับสายฝน  นักดนตรีหนุ่มจึงลืมตาขึ้น  คิ้วเรียวเลิกขึ้นนิดหน่อยอย่างประหลาดใจ
“ยังเล่นไวโอลินอยู่อีกเหรอครับ  ฝนตกแบบนี้ไม่มีใครหยุดฟังคุณหรอก”  ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปอย่างนั้น
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาอย่างนึกสงสัยในถ้อยคำนั้น  แต่แล้วนักดนตรีหนุ่มก็ยิ้ม
“แต่คุณก็หยุดฟังไม่ใช่เหรอ?”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ  เขามองรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบในอกจนต้องก้มหน้าลง
“...ผมเหนื่อย”
ถ้อยคำที่อ่อนล้านั้นไม่ดังไปกว่ากระซิบ...ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกไปนะ  ไปบ่นให้คนแปลกหน้าฟังแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน  ผู้ชายคนนี้เกี่ยวอะไรด้วย  ก็แค่คนที่ได้เห็นหน้ากันตอนหลังเลิกงานเท่านั้น  แล้วไปพูดแบบนี้...ฟุยุกินึกโกรธตัวเอง
แต่นักดนตรีหนุ่มกลับยกไวโอลินขึ้นจรดท่าแล้วตั้งสาย
“ฝนตก  อากาศชื้น  เสียงอาจจะเพี้ยน ๆ นิดหน่อยนะ”  อยู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมา  “เอาละ  ฟังซะให้หายเหนื่อย  Curtain call ใช่มั้ย?”
คันซอกรีดไล่สายก่อให้เกิดเป็นท่วงทำนองของบทเพลงที่ฟุยุกิชื่นชอบ  เสียงใสบางครั้งเริงโลดขึ้นราวกับจะออกไปเริงระบำกลางสายฝน  หากบางท่อนก็ต่ำทุ้มเหมือนจะล้าแรง  แต่ท่วงทำนองเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง  ที่ฟุยุกิรู้สึกตื้อในอกอยู่ตอนนี้คือ  ชายแปลกหน้าที่เพิ่งเคยพูดคุยกันไม่กี่คำคนนี้รู้ถึงจิตใจของเขาและปลอบโยน...อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
บทเพลงขาดหายไปตอนไหนก็ไม่รู้  เด็กหนุ่มมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมือใหญ่และอุ่นแนบลงที่แก้มแล้วปาดเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา
“คุณเหนื่อยเกินไปแล้วละ”
ฟุยุกิยกมือขึ้นปิดปากกลั้นสะอื้น  นี่เขาเป็นอะไรไป  ทำไมถึงมายืนร้องไห้อยู่ในที่แบบนี้  ต่อหน้าคนคนนี้
นักดนตรีหนุ่มไม่พูดอะไร  เขาเก็บไวโอลินลงกล่องแล้วจับมือของฟุยุกิดึงให้เดินตามเขาไป
มันแปลกที่เด็กหนุ่มยอมเดินตามคนแปลกหน้าไปแบบนั้น  แต่ในตอนนั้นฟุยุกิไม่คิดอะไรอีกแล้ว  ที่ไหนก็ได้  ขอให้พาเขาไปพ้นจากโลกที่แสนวุ่นวายนี่เสียที

เสียงกระดิ่งลั่นกริ๋งเรียกฟุยุกิกลับมาจากห้วงภวังค์  ตรงหน้าคือประตูไม้กรุกระจกบานเล็ก ๆ ที่แขวนกระดิ่งเงินอันเขื่องไว้ด้านบน  นักดนตรีหนุ่มที่เดินจูงมือเขามาหันมาพูดกับเขา
“หุบร่มเสียสิ”
ในตอนนั้นเองที่ฟุยุกิเพิ่งรู้สึกตัวว่ากางร่มอยู่  แต่ดูเหมือนว่าร่มนั้นจะไม่ช่วยอะไรเลย  ค่าที่ว่าทั้งเขาและนักดนตรีคนนั้นดูจะเปียกชื้นไปทั้งตัว  เด็กหนุ่มหุบร่มแล้วเสียบไว้ที่เสียบร่มข้างประตู
“เชิญครับ”  นักดนตรีหนุ่มกล่าวเชื้อเชิญพลางผลักบานประตูเปิดออก  ฟุยุกิก้าวตามไปอย่างไม่แน่ใจในตัวเองเท่าไรนัก
“ยินดีต้อนรับครับ”
พร้อมกับคำทักทายนั้นคือกลิ่นหอมของกาแฟที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ  ฟุยุกิงงงันไปนิดหน่อย  ที่ที่นักดนตรีหนุ่มพาเขามาคือร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่มีที่นั่งเพียงไม่กี่ที่  หลังเคาน์เตอร์คือร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนและผ้ากันเปื้อน  ดูเหมือนจะเป็นพนักงานของร้าน
“หวัดดี  นัตสึเมะ”  นักดนตรีหนุ่มเอ่ยทัก
“หวัดดี  คิริฮาระ”  อีกฝ่ายทักตอบ
อ้อ...ชื่อคิริฮาระ...ฟุยุกิบันทึกชื่อนั้นลงในสมอง
“ขายดีน่าดูเลยนะ”  คิริฮาระว่าพลางมองไปรอบ ๆ ร้านที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว
“ฝนตกก็งี้แหละ  พอฝนซาเดี๋ยวก็มีคนแวะมาเอง”  นัตสึเมะตอบพลางยักไหล่  “ว่าแต่...พาใครมาด้วย?”
“อ้อ  นี่เหรอ?  คนดูของฉันน่ะ”  คิริฮาระเหลือบไปมองร่างเล็กที่ยืนกอดกระเป๋าอยู่ข้างหลังเขา  “เข้ามาสิครับ  เจ้านี่เชื่องแล้ว  ไม่กัดหรอก”
“เอ่อ...คือ...”  ฟุยุกิลังเล  แต่ในเมื่อตามเขามาถึงที่นี่แล้วก็เลยตามเลยก็แล้วกัน
“ก่อนอื่น  ขอยืมผ้าขนหนูสองผืนเลย”  คิริฮาระบอกนัตสึเมะ
“ไปทำอะไรมาถึงได้เปียกมาแบบนี้?”  นัตสึเมะถามทิ้งไว้ก่อนจะหายเข้าประตูหลังเคาน์เตอร์ไปแล้วกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูสองผืน  “อย่าบอกนะว่าวันนี้ก็ไปเล่นไวโอลินมาน่ะ”
“ปิ๊งป่อง  ฉลาดจริง ๆ เลย  นัตจัง”  นักดนตรีหนุ่มยิ้มกว้าง  เอื้อมมือไปรับผ้าขนหนู  แต่ถูกดึงกลับไปเสียก่อนจะคว้าได้ทัน
“ไม่ต้องเช็ดมันแล้ว  บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกแบบนี้”  ร่างสูงส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้ผู้เป็นเพื่อนก่อนจะส่งผ้าในมือให้ฟุยุกิ  “เชิญครับ”
“อ๊ะ...เอ่อ...ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มรับผ้าผืนนั้นมาพลางโค้งให้
“งก!  กับเพื่อนกับฝูงทำงกนะ”  คิริฮาระว่า
“เพื่อนปากแมวแบบนี้ก็สมควรหรอก”
ตรงหน้าคือผู้ชายวัย 30 สองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องราวกับเด็กประถม  ฟุยุกิไม่รู้จะทำหน้ายังไง  แต่ทำไมไม่รู้ถึงได้ดูน่าสนุกนัก  ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เผลอหัวเราะออกมา
“ฮะ ๆ ๆ...อ๊ะ  ขอโทษครับ  ฮะ ๆ”
“ถ้าจะขอโทษก็อย่าหัวเราะแต่แรกสิ”  คิริฮาระแกล้งว่ามา  แต่ฟุยุกิกลับหยุดหัวเราะและหน้าเสียทันที
“ขะ...ขอโทษครับ...”
พอเห็นอาการของเด็กหนุ่ม  คิริฮาระก็เงียบไป  เขาแค่แหย่เล่นเท่านั้น  ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจังขนาดนี้
“อย่าไปสนใจเจ้าบ้านี่เลยครับ  เชิญทางนี้ดีกว่า”  นัตสึเมะว่าพลางผายมือไปยังเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์
ฟุยุกิเดินไปนั่งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  เพิ่งจะรู้สึกขึ้นมาได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้เดินตามคนแปลกหน้ามาแบบนี้นะ  เอาเถอะ  เขาอาจจะไม่ใช่เด็กแล้ว  แต่ถึงจะบอกว่าคุ้นหน้าคิริฮาระก็ไม่ใช่ว่าจะรู้นิสัยใจคอกันเสียหน่อย  ถ้าทำอะไรให้ไม่ชอบใจจะต้องถูกเกลียดแน่...
“ไม่ต้องกลัวนะครับ  เจ้านั่นก็ฉีดยาแล้ว  ถึงจะกัดได้ก็ไม่ติดเชื้อหรอก  แต่ตอนนี้เช็ดตัวให้แห้งก่อนดีกว่าครับ  ไม่งั้นจะเป็นหวัดเอาได้”  เสียงของนัตสึเมะทุ้มต่ำจนออกจะฟังยากนิดหน่อย  แต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลจนฟุยุกิรู้สึกสบายใจ
“รบกวนหน่อยนะครับ”  พูดแล้วก็ใช้ผ้าขนหนูซับผมเบา ๆ
“ถอดสูทมาผึ่งสักหน่อยมั้ยครับ  ตัวจะได้แห้งเร็วขึ้น”
“อ้ะ  เอาไปเลย  ฝากด้วยนะ  นัตจัง”  คนที่ถูกเมินยื่นแจ็กเก็ตของตนให้ทันที
“ถ้ายังเรียกแบบนี้อีก  ฉันจะเผาเสื้อนายซะ”  ไม่พูดเปล่ายังจุดเตาแก๊สอีกต่างหาก
“เฮ้ย ๆ ๆ!  อย่านะ  เสื้อลายนี้มันหายากแล้วนะ  แล้วนั่นน่ะ  คิโยะซื้อให้ด้วย”  คิริฮาระห้ามเสียงหลง
“งั้นพูดดี ๆ ก่อน”
“ครับ  คุณนัตสึเมะ”
“ก็แค่นั้น...”  ว่าแล้วก็เอาแจ็กเก็ตของคิริฮาระไปผึ่งไว้ข้างประตู  “แล้วก็ของคุณ...เอ่อ...จะไม่แนะนำสักนิดเหรอ  คิริฮาระ”
“ฉันก็ไม่รู้ชื่อเขาเหมือนกัน”  คิริฮาระตอบหน้าตาเฉย
นัตสึเมะหรี่ตามองผู้เป็นเพื่อนอย่างไม่ไว้ใจ  แต่คิริฮาระก็แกล้งเอาผ้าขนหนูคลุมหน้าแล้วเช็ดหัวอย่างไม่สนใจ  ชายหนุ่มจึงหันไปหาฟุยุกิ
“ผม  อิชิกาวะ  นัตสึเมะครับ  แล้วคุณ?”
“ฟุยุกิครับ  อาริโยชิ  ฟุยุกิ”  เด็กหนุ่มตอบอย่างกระตือรือร้น
“ครับ  ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้ว  ขอสูทของคุณด้วยครับ  อาริโยชิซัง”  นัตสึเมะยื่นมือมาหา  ทำให้เด็กหนุ่มต้องยอมถอดเสื้อสูทที่เปียกชื้นของตนให้โดยดี
คิริฮาระนั่งลงข้าง ๆ ฟุยุกิ  “นัตสึเมะ  หนาวแล้ว”
“จะเอาอะไรแก้หนาวล่ะ?”
“เหมือนเดิม  เอสเปรซโซ”
“อื้ม  แล้วอาริโยชิซังล่ะครับ?”
“เอ้อ...”  ฟุยุกิอ่านป้ายรายการเครื่องดื่มด้านหลังนัตสึเมะอย่างลังเล  ในที่สุดก็อ้อมแอ้มออกมา  “คือ...ผม...ไม่เคยดื่มกาแฟครับ”
จบคำนั้นก็บังเกิดความเงียบเท่าเข็มตกได้ยินครอบคลุมไปทั้งร้าน
...ทำไงดี...นี่เราต้องพูดอะไรแปลก ๆ ออกไปแน่ ๆ เลย...ทำไงดี...ฟุยุกิร้อนรนอยู่ในใจ
“คะ...คือว่าผม...ไม่เคยเข้าร้านกาแฟน่ะครับ  ชงดื่มเองที่บ้าน  เลยไม่รู้ว่ากาแฟอันไหนเป็นอะไร”  เด็กหนุ่มแก้ตัว
สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคิริฮาระแล้วก็ตามมาด้วยนัตสึเมะ  ฟุยุกิอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
“งะ...งั้น...ผมเอาเอสเปรซโซก็ได้ครับ  มันคงเหมือน ๆ กับที่ชง...ที่...บ้าน...”  ยิ่งพยายามแก้ตัวก็ยิ่งเหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง  เด็กหนุ่มจึงเงียบไปทั้งที่หน้าแดงก่ำ
มือใหญ่เอื้อมมาตบไหล่ของฟุยุกิเบา ๆ   เป็นนักดนตรีหนุ่มนั่นเอง
“คนที่เกิดมาไม่เคยดื่มกาแฟ  โดนเอสเปรซโซเข้าไปก็ไม่ต้องดื่มกาแฟอีกทั้งชีวิตเลยนะ”
ฟุยุกิเบิกตากว้าง  พูดแบบนี้แปลว่ามองออกหมดเลยหรือ  แม้แต่เรื่องที่เขาไม่เคยดื่มกาแฟเลยน่ะนะ
“เย็นป่านนี้แล้วไม่ต้องดื่มกาแฟหรอกครับ  รับเป็นพวกชาดีมั้ย?”  นัตสึเมะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ  แต่เขาไม่เคยดื่มอะไรนอกจากชาเขียวนี่นา  และนัตสึเมะก็อ่านสีหน้าลำบากใจนั้นออก
“เดี๋ยวผมเลือกให้แล้วกัน  ลองดูมั้ยครับ?”
เป็นการเสนอทางเลือกที่ดี  แม้จะไม่แน่ใจนักแต่ฟุยุกิก็พยักหน้ารับ  นัตสึเมะจึงหันไปบดเมล็ดกาแฟสำหรับคิริฮาระแล้วเลือกชาจากขวดโหลที่วางเรียงรายกันอยู่ที่ชั้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก  นัตสึเมะน่ะ  เลือกเครื่องดื่มได้เหมาะกับคนเสมอแหละ”  คิริฮาระบอก
เลือกเครื่องดื่มได้เหมาะกับคน...มันหมายความว่าไงกันนะ  ฟุยุกิได้แต่สงสัยอยู่ในใจ
“เอสเปรซโซร้อน  ได้แล้ว”  นัตสึเมะวางกาแฟดำถ้วยเล็กนิดเดียวลงตรงหน้าคิริฮาระ
“ขอบใจ”  นักดนตรีหนุ่มใช้นิ้วเกี่ยวหูถ้วยกาแฟแล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาที่เขา  พอหันไปดูก็พบฟุยุกิกำหลังทำหน้าสงสัย  “ทำไมเหรอ?”
“ทำไม...กาแฟมันถ้วยเล็กจังครับ?”
ยังไม่ทันที่คิริฮาระจะตอบ  นัตสึเมะก็อธิบายว่า  “เอสเปรซโซเป็นกาแฟดำที่เสิร์ฟด้วยถ้วยขนาดเล็กครับ  เป็นพื้นฐานของกาแฟอื่น ๆ ทั้งหมดแล้วก็จะเข้มเป็นพิเศษ”
“แล้วดื่มกาแฟเข้มขนาดนี้ในเวลาแบบนี้  จะได้นอนเหรอครับ?”  ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใย
“ผมยังต้องทำงานต่อไปจนเกือบเช้าน่ะ  กาแฟตอนนี้นี่แหละกำลังดีเลย”  คิริฮาระบอกแล้วก็ยกกาแฟขึ้นจิบ
“ส่วนนี่ของคุณครับ”  นัตสึเมะวางถ้วยมัคสีขาวแต่งลายด้วยเส้นสีเงินเป็นประกายบาง ๆ ลงบนเคาน์เตอร์
ฟุยุกิมองชาในถ้วยอย่างสนใจ  น้ำชาเป็นสีเหลืองจาง ๆ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ  ให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างประหลาด  แตกต่างจากชาเขียวหรือชาฝรั่งที่ดื่มประจำที่บ้าน
“นี่...ชาอะไรเหรอครับ?”
“ชาคาโมมายล์ครับ  เป็นชาสมุนไพร  เหมาะสำหรับตอนเหนื่อย ๆ นะครับ”  พร้อมคำอธิบายคือรอยยิ้มเป็นมิตร  ผู้ชายคนนี้คงจะยิ้มแบบนี้อยู่เสมอกระมัง  ถึงได้ดูเป็นธรรมชาติขนาดนี้
เหนื่อยงั้นหรือ...ใช่  เขากำลังเหนื่อย  นัตสึเมะเลือกเครื่องดื่มได้เหมาะกับเขาจริง ๆ  แต่...ดูออกงั้นหรือ...เขาบอกคิริฮาระว่าเหนื่อยก็จริง  แต่คิริฮาระยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับนัตสึเมะสักคำนี่นา
ฟุยุกิกุมถ้วยชาร้อน ๆ แล้วก้มหน้านิ่ง  รอบตัวมีเพียงกลิ่นกาแฟที่หอมอบอวลและเสียงพูดคุยกันของคิริฮาระกับนัตสึเมะ  สีหน้าท่าทางของเขาคงจะบอกชัดละมั้งว่ากำลังเหนื่อย  แบบนี้สินะ  มิโนรุถึงได้บอกว่าเขาโกหกได้ไม่เอาไหน  ขนาดคนแปลกหน้าอย่างนัตสึเมะก็ยังมองออก
“ชานั่น  ถ้าไม่ดื่มตอนกำลังร้อนจะไม่อร่อยนะครับ”  เสียงของนัตสึเมะปลุกฟุยุกิจากภวังค์
“อ๊ะ...เอ่อ  ครับ”  เด็กหนุ่มรีบกระวีกระวาดยกชาขึ้นดื่ม
ชาร้อน ๆ นั้นค่อนข้างจะไร้รสชาติ  หากพอล่วงผ่านลำคอกลับหอมฟุ้งขึ้นจมูก  ทำให้รู้สึกสดชื่น  ในอกที่เคยหนักอึ้งอยู่เมื่อครู่กลับโล่งเบาและอุ่นซ่านไปทั้งร่าง  ต่างจากชาเขียวหรือชาข้าวที่ดื่มในหน้าร้อน
“อร่อยมั้ยครับ?”  นัตสึเมะถาม
ฟุยุกิพยักหน้า  “หอมจังเลยครับ  สดชื่นมากด้วย”
“เห็นผลเร็วจัง”  คิริฮาระแกล้งว่ามา
“มันก็แล้วแต่คน  อย่างนายดื่มทั้งกาก็ไม่มีผลอะไรหรอก”  นัตสึเมะตอกเข้าให้
“ไอ้คนชงก็เหมือนกันแหละวะ  พอนอนไม่หลับขึ้นมาก็...”
นัตสึเมะไม่รอให้คิริฮาระพูดจบ  แทรกขึ้นมาทันที  “...ล่อแต่เหล้า”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน  ฟุยุกินั่งดูทั้งสองแล้วก็ยิ้ม...เขาไม่เห็นจำได้เลยว่าตอนที่พวกพี่ชายอายุประมาณนี้จะเคยสนุกสนานเฮฮาแบบนี้บ้าง

ข้างนอกฝนยังตกพรำ ๆ  น้ำฝนเกาะเป็นสายเหมือนไข่มุกอยู่บนกระจก  ชายหนุ่มทั้งสองยังคงพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ในเรื่องที่ฟุยุกิไม่เข้าใจ  พูดถึงคนที่ฟุยุกิไม่รู้จัก  แต่ก็น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเงียบสงบที่คุ้นเคยราวกับกำลังนั่งอยู่ที่สวนญี่ปุ่นหลังบ้าน...เวลาในร้านกาแฟแห่งนี้ก็หยุดนิ่งเหมือนกันงั้นหรือ  เป็นสถานที่ที่ปล่อยให้โลกอันเร่งร้อนมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ไล่ตาม  กลางเมืองใหญ่ยังมีที่แบบนี้อยู่สินะ  ที่ที่หยุดเวลาเอาไว้เหมือนที่สวนหลังบ้าน...
แต่เวลาไม่ได้หยุดเดิน  คิริฮาระยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแล้วดูนาฬิกาข้อมือ
“ต้องไปแล้วละ”
“ฉันนึกว่าวันนี้นายจะโดดงานแล้วซะอีก”  นัตสึเมะว่าพลางเช็ดถ้วยกาแฟ
“โดดได้ไง  เดี๋ยวจิวจังก็เล่นฉันตายพอดี”  คิริฮาระลุกไปหยิบแจ็กเก็ตมาสวม
“ขอบคุณสวรรค์ที่โอโนเสะซังให้จูอิจิซังมาคอยคุมนาย  ไม่งั้นร้านคงเจ๊งตั้งแต่ปีแรก”
“อย่าพูดมากน่า  นี่วันนี้ต้องเคลียร์รายการของเข้าด้วย  เฮ่อ...แค่คิดก็ปวดกบาลแล้ว”
“มีงานทำก็ดีแล้วน่า  ขยัน ๆ เข้านะ”
“อื้ม  จะพยายาม”
“อ๊ะ  ผมไปด้วยครับ”  ฟุยุกิรีบหยิบของของตนด้วย
“ไม่ต้องรีบหรอกครับ  ถ้าไม่มีธุระอะไรก็พักให้สบายเถอะ  คิริฮาระมันต้องไปทำงานน่ะครับ”  นัตสึเมะรั้งเอาไว้
“เอ๊ะ  ทำงาน?”
“คลับนั่งดริ๊งค์น่ะครับ”
ฟุยุกิขมวดคิ้วแล้วคิดนิดหนึ่ง  ก่อนจะพยักหน้า  “อ้อ...ร้านเหล้า”
คิริฮาระกับนัตสึเมะอึ้งไปนิดหนึ่ง  จริงอยู่ว่าคลับของคิริฮาระขายเหล้า  แต่ทั้งรูปแบบและความหมายมันคนละเรื่องกับคำว่าร้านเหล้าเลยนะ...เด็กคนนี้นี่  อะไรมันจะซื่อจนจั๊กกะเดียมหัวใจแบบนี้...
“จะว่างั้นก็ไม่ผิดหรอก...”  คิริฮาระพูดขึ้นในที่สุด  “เอาละ  ผมต้องไปก่อน  ไว้เจอกันนะ”
“เอ้อ...ครับ  แล้วเจอกัน”
ว่าแล้วคิริฮาระก็ออกจากร้านไป  ทิ้งฟุยุกิไว้ตามลำพังกับนัตสึเมะ...ถึงจะบอกว่าพักตามสบายได้ก็เถอะ  แต่นี่มันก็เกือบสองทุ่มแล้ว  นัตสึเมะก็คงจะต้องปิดร้าน  ถ้าเขาอยู่นานจะเป็นการรบกวนได้  เด็กหนุ่มจึงรีบดื่มชาให้หมด
“ผม...เอ้อ...ผมก็กลับดีกว่าครับ”  ว่าพลางก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา  “ค่าชาเท่าไรครับ?”
“ฟรีครับ”  นัตสึเมะตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“หา?”
“ผมเลี้ยง  เพื่อนของคิริฮาระก็เหมือนเพื่อนผม  เพราะงั้นฟรีครับ”
“เอ๊ะ...แต่ผมกับคิริฮาระซังไม่ได้...”  ใช่...จะเรียกว่าเพื่อนไม่ได้หรอก  ก็แค่คนที่เจอหน้ากันบ่อย ๆ เท่านั้น  ชื่อของนักดนตรีหนุ่มนั่นก็อาศัยจำเอาระหว่างที่อยู่ในร้านนี้เท่านั้นเอง
พอเห็นสีหน้าลำบากใจของเด็กหนุ่ม  นัตสึเมะก็บอกว่า  “เอาเป็นว่าผมเลี้ยง  โทษฐานที่เรามารู้จักกันดีมั้ยครับ  อาริโยชิซัง”
“เอ้อ...ครับ”  เจ้าของร้านว่ามาแบบนี้จะให้ทำยังไงได้  “แต่...ผมไม่คุ้นเลย...”
“ไม่คุ้นอะไรครับ?”
“ถูกเรียกว่าอาริโยชิซัง...ไม่คุ้นเลย”  ในความรู้สึกของฟุยุกิ  นี่คือชื่อที่คนอื่น ๆ ใช้เรียกพ่อกับพวกพี่ ๆ ของเขา
“งั้น...อาริโยชิคุง”  ก็อารมณ์เดียวกับเวลาครูเรียกละนะ
“...ครับ”  ฟุยุกิพยักหน้า  “ขอสูทด้วยครับ”
พอนัตสึเมะส่งสูทที่ผึ่งไว้ให้  เด็กหนุ่มก็รับมาสวม  หยิบกระเป๋าทำงานแล้วโค้งให้  ก่อนจะเดินไปที่ประตูร้าน
“อย่าลืมร่มนะครับ”  นัตสึเมะที่เดินตามมาส่งบอก
“วันนี้ขอบคุณมากครับ”
“ขอบคุณคิริฮาระเถอะ...อ้อ  นี่  ของฝาก”  เจ้าของร้านกาแฟส่งห่อผ้าเล็ก ๆ ให้
“อะไรครับ?”  ฟุยุกิรับมาพร้อมกับทำหน้าสงสัย
“ชาคาโมมายล์  หาโหลใส่แล้วเอาไว้ชงดื่มก่อนนอนหรือตอนเหนื่อย ๆ ก็ได้”
“เอ๊ะ!  ทำไม...?”  แค่คนที่เพิ่งเจอหน้ากัน  ไม่เห็นต้องให้เขาขนาดนี้เลย
“รับไปเถอะครับ  คนเรามันต้องมีเวลาพักผ่อนสบาย ๆ บ้าง”
รอยยิ้มของนัตสึเมะราวกับแสงสว่าง...หากเป็นแสงสว่างคนละแบบกับคิริฮาระ  นักดนตรีหนุ่มที่จับไวโอลินนั้นเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน  แต่รอยยิ้มของนัตสึเมะเหมือนแสงจันทร์ที่อ่อนโยน...ฟุยุกิรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด
“ขอบคุณครับ  ขอบคุณมาก”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก  แค่นี้เอง”
เด็กหนุ่มหยิบร่มมากางออก  “แล้วจะมาอีกนะครับ”
“เชิญได้ทุกเมื่อครับ”
ฟุยุกิทำท่าจะออกเดินแล้วก็ชะงัก  หันมาทำหน้าเจื่อน ๆ กับนัตสึเมะ
“เอ้อ...ที่นี่ที่ไหนครับ?”
สุดจะกลั้นหัวเราะไว้ได้  นัตสึเมะเผลอปล่อยก๊ากออกมา  เล่นเอาฟุยุกิหน้าแดงก่ำ  ชายหนุ่มพยายามกลั้นสุดชีวิต
“ขอโทษนะ...โทษที...แต่สีหน้าคุณเมื่อกี้มัน...”  นัตสึเมะละคำว่า  “น่ารัก”  ไว้ในใจ  ถึงจะเป็นเด็กที่ไม่ประสาต่อโลกแค่ไหน  แต่ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากถูกชมว่าน่ารักหรอก
เด็กหนุ่มก้มหน้างุด
“สถานีรถไฟไปทางนั้นครับ  เดินไปสองช่วงตึกก็ถึงแล้ว”  ปากบอกอย่างนั้นแต่ยังอมยิ้มจนแก้มแทบแตก
“...ขอบคุณฮะ”  ฟุยุกิตอบเสียงแผ่ว ๆ ด้วยเขินอาย
“ให้ไปส่งมั้ยครับ?”
คำนั้นอาจเป็นความปรารถนาดีที่ออกมาจากใจ  แต่กลับทำให้ฟุยุกิอายมากขึ้นไปอีก
“ไม่ต้องครับ  ขอบคุณ...”
“งั้น...กลับระวัง ๆ นะครับ  แล้วเจอกัน”
“ครับ  ลาก่อนครับ”
นัตสึเมะยืนมองส่งเด็กหนุ่มไปจนลับสายตา  เพื่อนใหม่ที่คิริฮาระพามานี่น่าสนใจทีเดียว  แต่ท่าทางอ่อนล้านั้นทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้  คิริฮาระคงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มเช่นกันถึงได้พามาที่นี่  อายุยังน้อยแท้ ๆ แต่กลับไร้ชีวิตชีวา...เอาเถอะ  ถ้ามาคราวหน้าจะสอนให้ดื่มกาแฟแล้วกัน

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 30-11-2014 12:06:56
โอ๊ะ เพิ่งเห็นว่าลงเรื่องใหม่แล้ว
รอติดตามนะคะ
เราชอบอ่านนิยายของคุณ
ถึงจะเครียดๆ+โหดไปสักหน่อย แต่เราว่าพล็อตสนุกและสมจริงดี

รออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 30-11-2014 12:56:50
ชอบมากค่ะ รอติดตามนะคะ เสียดายมากกระทู้เก่าหาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 30-11-2014 13:37:43
จำเรื่องนี้ได้ค่ะ ปมนายเอกเบากว่าเรื่องอื่นๆนะ แต่ชอบค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 03-12-2014 14:03:47
 :hao4: :hao4:   น่ารักอะ :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 01 (รีโพสต์) 8-11-57
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 03-12-2014 17:03:08
มาสเตอร์กลับมาแล้วววว >_<
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 15-12-2014 20:17:13
ยังรีโพสต์อยู่นะครับ ขอโทษที่มาอัพช้า ติดปัญหาเรื่องอินเตอร์เนทอยู่นานครับ ตอนนี้เริ่มเสถียรแล้ว เลยพอจะอัพได้ครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 02

เสียงไวโอลินยังคงแว่วหวานแทรกไปกับบรรยากาศความวุ่นวายของเวลาเลิกงาน  แม้วันนี้จะมืดครึ้มแต่ก็โชคดีที่ฝนไม่ตก  ฟุยุกิกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปบนทางเท้าเพื่อไปให้ทันการแสดงเพลงสุดท้าย  แล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่อคิริฮาระหันมาเห็นเขาแล้วก็ยิ้มให้พร้อมกับเริ่มบรรเลงหนึ่งในบทเพลงที่เขาชอบ  ฟุยุกิหยุดยืนดูการแสดงและยิ้มน้อย ๆ
“เอาละครับ  เพลงสุดท้ายแล้วนะ  จบแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านนะครับ  เดี๋ยวคนที่บ้านจะเป็นห่วง”  ประกาศเสร็จคิริฮาระก็จรดคันซอแล้วบรรเลงเพลงโปรดของฟุยุกิ
Curtain call…ฟุยุกิบอกกับตัวเองแล้วยืนฟังบทเพลงหวานเศร้านั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม  เหมือนโลกหยุดหมุน  เด็กหนุ่มนึกอยากให้เพลงนี้ไม่มีวันจบ  เขาจะได้อยู่ตรงนี้ไปนาน ๆ
แต่ทุกสิ่งย่อมจบลงเป็นธรรมดา  ในที่สุดคิริฮาระก็ส่งตัวโน้ตสุดท้ายให้ละลายหายไปในอากาศแล้วยกคันซอขึ้น  โค้งรับเสียงปรบมือจากบรรดาผู้ชมราวกับแสดงอยู่บนเวทีระดับโลก
“ขอบคุณครับ  ขอบคุณ  เอาละ  แยกย้ายกันได้แล้วครับ  ใครยังไม่อยากกลับจะไปต่อที่ร้านผมก็เชิญนะครับ  แต่ผมจะตามไปทีหลัง  ขอตัวไปหาที่รักก่อน”
เหล่าผู้ชมหัวเราะกับการล้อเล่นนั้นแล้วทยอยกันออกเดินไปตามทางของตน  ฟุยุกิเมียง ๆ มอง ๆ คิริฮาระอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปทัก  จนกระทั่งชายหนุ่มเก็บไวโอลินลงกล่องเสร็จ
“อะ...เอ้อ...”  ฟุยุกิรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น
“สวัสดีครับ  อาริโยชิคุง”  คิริฮาระเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน
“สวัสดีครับ  คิริฮาระซัง”  เด็กหนุ่มโค้งให้อย่างมีมารยาทจนคิริฮาระต้องรีบโค้งตอบ  “วะ...วันนี้จะ...ไปที่ร้านกาแฟหรือเปล่าครับ?”
“ไปสิครับ  ก็บอกแล้วไงว่าจะไปหาที่รัก”
“เอ๊ะ!?”  ฟุยุกิทำหน้าตื่น ๆ...คิริฮาระกับนัตสึเมะเป็น...!?
ชายหนุ่มดูจะเข้าใจว่าฟุยุกิคิดอะไรอยู่จึงหัวเราะ  “ไม่ใช่อย่างน้าน  ที่รักของผมคือเอสเปรซโซฝีมือนัตสึเมะครับ  อร่อยที่สุดในโลกแล้ว”
ท่าทางลอบถอนใจอย่างโล่งอกของฟุยุกิทำให้คิริฮาระอดยิ้มไม่ได้
“พอ...พอดีอยากไปน่ะครับ  แต่ผมจำทางไม่ได้...”  ฟุยุกิบอกอ้อมแอ้ม
“เอาสิ  ไปด้วยกันก็ได้  คราวนี้จำทางด้วยนะครับ”  คิริฮาระทำหน้าล้อ ๆ แล้วก็เดินนำหน้าไป
แท้จริงแล้วร้านกาแฟของนัตสึเมะตั้งอยู่ในจุดที่จำได้ง่าย  คืออยู่ข้างมหาวิทยาลัยชื่อดังของละแวกนั้น  ในช่วงเวลานี้ยังคงมีนักศึกษามานั่งดื่มกาแฟและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระหรือทำงานกันอยู่หลายคน  และแทบทุกคนหันขวับมามองทันทีเมื่อร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีแดงยาวประบ่าเดินเข้ามาในร้าน  ทำเอาฟุยุกิถึงกับตกประหม่า
“หวัดดี  นัตสึเมะ”  คิริฮาระเอ่ยทักผู้เป็นเจ้าของร้านโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น
“สวัสดี  คิริฮาระ  วันนี้จะโดดงานหรือเปล่า?”  นัตสึเมะทักตอบแกมจิกกัด
“ไม่หรอกน่า  เดือนนี้โดดงานจนโดนจิวจังคาดโทษแล้ว”
“ฉันว่าจูอิจิซังสมกับเป็นผู้จัดการร้านมากกว่านายอีกนะ”
“ช่างฉันเถอะ”  คิริฮาระนั่งลงที่มุมเคาน์เตอร์ด้านในอันเป็นที่นั่งประจำ  “ขอเหมือนเดิมนะ”
“ได้...อ๊ะ  สวัสดีครับ  อาริโยชิคุง”  นัตสึเมะเอ่ยทักทายทันทีที่เห็นฟุยุกิซึ่งเดินแอบหลังคิริฮาระมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“สวัสดีครับ  นัต...เอ้อ...มาสเตอร์”
“เรียกนัตสึเมะก็ได้ครับ  ถ้าสะดวกกว่า  นั่งก่อนสิครับ”  นัตสึเมะบอกอย่างไม่ถือตัวก่อนจะหันไปจัดการบดเมล็ดกาแฟและตวงใส่เครื่องเพื่อชงกาแฟให้คิริฮาระ
กลิ่นกาแฟชั้นดีหอมอบอวลไปทั้งร้าน  ฟุยุกิสูดกลิ่นหอมสดชื่นนั้นพลางนึกเสียดายที่ตนดื่มกาแฟไม่เป็น  เพียงไม่นานนักกาแฟถ้วยเล็กเข้มข้นหอมกรุ่นก็ถูกวางลงตรงหน้าคิริฮาระ
“นี่แหละ  สุดที่รักของผม”  พ่อหนุ่มนักดนตรีบอกกับฟุยุกิ  แล้วหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบพลางทำหน้ามีความสุข
“สุดที่รัก?”  นัตสึเมะทำหน้างง ๆ
“อื้ม  มายเอสเปรซโซ  มายเลิฟ”
“จะอ้วก”  คนชงกาแฟให้ดื่มว่าเอาดื้อ ๆ
“โธ่  นี่ถ้าไม่ได้กาแฟของนาย  ฉันทำงานถึงเช้าไม่ได้หรอกนะ”
“คิดไปเองมากกว่า  ฉันดื่มวันละตั้งหลายถ้วยยังไม่เคยนอนไม่หลับเลย”
“ของนายมันดื้อยาแล้ว”
“เอ้อ...ร้านเหล้านี่เปิดถึงเช้าเลยเหรอครับ?”  ฟุยุกิถามขึ้นมาอย่างเกรงอกเกรงใจ
“ตัวร้านน่ะปิดตีสอง  แต่ผมต้องเช็คของ  ทำบัญชี  แล้วก็ทะเลาะกับจิวจังอีก  กว่าจะเสร็จก็เช้าละครับ”  ชายหนุ่มอธิบายพลางจิบกาแฟไปพลาง
“ที่จริงมันก็ไม่ถึงเช้าหรอกครับ  ถ้าหมอนี่มันไม่ขี้เกียจ”  นัตสึเมะขัดขึ้น
“เอ๊...ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ  ฉันแค่ไม่คล่องงาน”  คิริฮาระเถียง
“ทำร้านมาห้าปีแล้วเนี่ยนะ  ยังมีหน้ามาไม่คล่องงานอีกเหรอ?”  นัตสึเมะหรี่ตาอย่างจับผิด
“ก็ไม่ได้ทำมาสิบปีอย่างนายนี่”
“สิบปี!?”  ฟุยุกิอุทาน  ดูหน้าตาท่าทางแล้วชายหนุ่มทั้งสองคนน่าจะอายุไม่เกินสามสิบห้า  ที่จริงการมีกิจการส่วนตัวแบบนี้ก็ยังถือว่าเร็วเสียด้วยซ้ำ  แต่บอกว่าทำมาสิบปีแล้วนี่มัน...
“ผมทำร้านนี้มาตั้งแต่จบ ม. ปลายใหม่ ๆ น่ะครับ  ถู ๆ ไถ ๆ กันมาก็ร่วม ๆ สิบปีแล้ว”  ชายหนุ่มพูดอย่างถ่อมตนแต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ฟุยุกิได้แต่นิ่งอึ้ง  นัตสึเมะเลือกทางเดินของตัวเองมาตั้งแต่จบมัธยมเลยหรือ  ยอดจริง ๆ...ต่างกับเขาที่จนป่านนี้ก็ยังต้องให้คนในครอบครัวชี้ทางให้เดินลิบลับ  เด็กหนุ่มทำหน้าม่อย  และนัตสึเมะก็สังเกตเห็น
“คิดอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ก็...คิดว่าพวกคุณนี่วิเศษจังนะครับ  ที่มีเส้นทางของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนั้น”
นัตสึเมะกับคิริฮาระลอบสบตากัน  แล้วก็เป็นคิริฮาระที่เอ่ยขึ้นมาว่า
“มันก็ไม่ได้ดีนักหรอกนะ  ในการที่ใครสักคนจะต้องเลือกเส้นทางของตัวเองตั้งแต่เด็กแบบนั้นน่ะ  มันมีปัจจัยอื่น ๆ บีบบังคับให้ต้องเลือกเหมือนกัน  และบางทีมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้เส้นทางที่ตัวเองชอบเสมอไป  อย่างผมเนี่ยก็ไม่ได้อยากเปิดผับหรอกนะ  เพียงแต่ญาติผู้ใหญ่เขาเล็งเห็นแล้วว่าผมน่าจะทำงานบาป ๆ ขึ้นเลยยัดเยียดร้านมาให้”
“โอโนเสะซังเขาไปเป็นญาติผู้ใหญ่ของนายตั้งแต่เมื่อไรกัน?”  นัตสึเมะเบรคเข้าให้
“ก็ตั้งแต่เป็นเจ้าหนี้ฉันแหละ  ถ้านับญาติกันแล้วมันจะได้ประนอมหนี้ได้”
“คิดเองเออเองชัด ๆ”
คิริฮาระยักไหล่อย่างไม่แยแสแล้วพูดต่อ  “นัตสึเมะน่ะมันโชคดี  ที่ถึงจะโดนโชคชะตาบีบบังคับแต่ก็ยังได้เส้นทางที่ตัวเองชอบ”
“คนเรามันมีจังหวะชีวิตของตัวเองครับ  สักวันมันก็ต้องมาถึง  เพียงแค่เราจะเลือกเหรือไม่เลือกเส้นทางนั้นเท่านั้นเอง”  นัตสึเมะเสริมให้
“ผม...ไม่เคยได้เลือกเลยครับ...ทุกอย่าง  มีคนเลือกให้เสมอ...”  ฟุยุกิตัดพ้อกับคำพูดนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่ว ๆ
“แปรงสีฟันล่ะ?”  อยู่ ๆ คิริฮาระก็ผ่ากลางปล้องขึ้นมาเฉย ๆ
“กะ...เกี่ยวอะไรกับแปรงสีฟันครับ?”  ไม่ใช่แค่ฟุยุกิ  แม้แต่นัตสึเมะก็งง
“ถ้าเลือกแปรงสีฟันได้เอง  อะไรก็เลือกเองได้ทั้งนั้นแหละ  ไม่มีใครมาเลือกอะไรให้เราได้เสมอไปหรอก”
“แต่...นั่นมันแค่เรื่องเล็ก ๆ นี่ครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มเถียง
“เรื่องใหญ่ ๆ ทุกเรื่องมันก็เริ่มมาจากเรื่องเล็ก ๆ ทั้งนั้นแหละ”
ที่คิริฮาระพูดมันก็จริงอยู่หรอก  แต่คิริฮาระไม่ใช่เขานี่  ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าที่บ้านของเขาเป็นยังไง  ต่อให้เขากล้าเถียงไปก็ไม่มีใครฟังเขาหรอก  เขามันก็แค่เด็กไม่ได้เรื่องที่ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำอะไรเองได้เท่านั้นแหละ
นัตสึเมะสังเกตสีหน้าของฟุยุกิแล้วยิ้มน้อย ๆ...ท่าทางอย่างนี้มันเหมือนกับพวกเขาเมื่อครั้งยังเด็กจริง ๆ  เพียงแต่ตอนนั้นพวกเขาเด็กกว่าฟุยุกิมากนัก...ชายหนุ่มหันไปเลือกโหลใบชาที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นแล้วจัดการรินน้ำร้อนใส่กาเพื่อชงชา
ไม่นานนักน้ำชาหอมกรุ่นก็เสิร์ฟลงตรงหน้าฟุยุกิ
“ชามะลิครับ  ดื่มเสียให้สดชื่น”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของร้าน  “ไม่ใช่ชาคาโมมายล์เหรอครับ?”
“วันนี้ไม่ได้เหนื่อยจนอยากพักไม่ใช่เหรอครับ  แค่ซึมเศร้านิดหน่อย  ดื่มชาหอม ๆ ให้สดชื่นเถอะครับ”
รอยยิ้มของนัตสึเมะทำให้ฟุยุกิรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก  เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ  กลิ่นมะลิหอมฟุ้งอยู่ในจมูกและในลำคอ  ช่วยให้สดชื่นจริง ๆ อย่างที่นัตสึเมะว่า
ไม่มีใครพูดอะไรกันพักใหญ่  และระหว่างนั้นลูกค้าคนอื่น ๆ ก็ทยอยกันจ่ายเงินและออกจากร้านไป
“ผมน่ะ...ไม่ได้อยากเล่นไวโอลินเองหรอกนะ”  อยู่ ๆ คิริฮาระก็พูดขึ้น  ทำให้ฟุยุกิหันไปมองอย่างประหลาดใจ  “ผมเกิดในตระกูลนักดนตรีคลาสสิค  คงจะเล่นดนตรีกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ละมั้ง  พอผมเกิดมาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเล่นไวโอลิน  ตัวผมเองก็ไม่ได้ชอบเล่นหรอกนะ...ยากจะตาย  คนสอนก็โหด  แต่ตั้งแต่จำความได้ก็จับไวโอลินแล้ว  ก็เลยต้องเล่นไป”
ฟุยุกินิ่งฟัง  ไม่น่าเชื่อเลยว่าคิริฮาระที่สีไวโอลินได้แสนวิเศษคนนั้นจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“ตอนที่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญมันก็มี  แต่พอดีเล่นได้  ก็เลยเล่นมาเรื่อย ๆ...รู้สึกตัวอีกทีก็เก่งซะแล้ว”
บทสรุปของคิริฮาระทำเอาฟุยุกิอดขำออกมาไม่ได้
“แปลว่าถ้าไม่เก่งจะเลิกเล่นเหรอครับ?”
“อ๋อ  แน่ละ...ใครจะไปทนทำเรื่องที่ไม่เหมาะกับตัวเองอยู่ได้ล่ะ”  คำพูดนั้นทำให้ฟุยุกิถึงกับสะอึก  แต่ก็โล่งใจเมื่อได้ยินประโยคถัดมา  “ถ้าเป็นผมในตอนนี้ก็ต้องตอบแบบนี้ละนะ  แต่ถ้าถามผมเมื่อสักสิบห้าปีก่อน...ผมคงตอบไม่ได้  ต่อให้เล่นได้ห่วยแค่ไหนก็คงต้องเล่นไวโอลินต่อไปละมั้ง  ก็ครอบครัวเขากำหนดมาแบบนั้นแล้วนี่  อย่างน้องชายผมก็ต้องเล่นเปียโน  ทั้งที่อยากเล่นไวโอลิน  แต่เพราะฝีมือไวโอลินไม่เอาไหนที่บ้านก็เลยเลือกเครื่องดนตรีที่เหมาะสมกว่าให้...เริ่มแรกมันก็แบบนี้แหละ  แปรงสีฟันอันแรก  พ่อแม่จะเป็นคนเลือกให้เราเสมอ  จนกว่าเราอยากจะเลือกแปรงสีฟันเอง”
“แต่ถ้าเขาไม่เปิดโอกาสให้เราเลือกล่ะครับ?”
“มันขึ้นอยู่กับว่าเราบอกเขาว่าเราอยากเลือกแปรงสีฟันเองหรือเปล่าต่างหาก  ถ้าเราไม่เคยบอก  ก็บอกไม่ได้หรอกว่าเขาเปิดโอกาสให้เราหรือเปล่า  แต่ถ้าบอกไปแล้วเขาไม่ยอม...นั่นก็อีกเรื่อง”
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว...คิริฮาระซังจะทำยังไงครับ?”
“หึ...เรื่องนั้นถามนัตสึเมะดีกว่า  ผมน่ะชอบแปรงสีฟันที่ที่บ้านเลือกให้นะ  เพียงแต่ถือวิสาสะเปลี่ยนยาสีฟันเองเท่านั้นเอง  แต่หมอนั่นน่ะโยนทิ้งหมดทั้งแปรงสีฟันยาสีฟันเลยละ”  คิริฮาระพูดพลางบุ้ยบ้ายไปทางนัตสึเมะที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าอยู่
“เอ๊ะ  ร้านนี้ไม่ใช่ของครอบครัวนัตสึเมะซังหรอกเหรอครับ?”  ฟุยุกิงงงัน
“ไม่ใช่หรอก  นี่เป็นร้านของนัตสึเมะเองน่ะ”
ฟุยุกิทำหน้าทึ่งจัด  จ้องมองแผ่นหลังของนัตสึเมะที่หันไปง่วนอยู่กับการล้างเช็ดถ้วยกาแฟด้วยสายตาชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง...ร้านของตัวเอง  ด้วยวัยขนาดนี้  แถมยังทำมาแล้วเป็นสิบปี...ไม่ธรรมดาเลย  มิน่าล่ะ  ถึงได้รู้ไปหมดว่าควรจะชงอะไรให้ใครในตอนไหน  เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวล้วน ๆ สินะ
แล้วเขาล่ะ  มีความเชี่ยวชาญอะไรบ้าง...ตั้งแต่เด็กมาเขาไม่มีอะไรที่โดดเด่นเลยแม้แต่น้อย  เรื่องเรียนก็ไม่เอาไหน  เรื่องกีฬาก็ไม่เอาถ่าน  ไม่ต้องพูดถึงดนตรีหรือศิลปะเลย  ทางบ้านไม่เคยสนับสนุนหรือให้ความสนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว  คนอย่างเขามีดีอะไรบ้างนะ...
ในขณะที่เผลอปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปในห้วงความคิดคำนึง  พลันก็ได้ยินเสียงไวโอลินแว่วเข้ามาในโสตประสาทดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง  ฟุยุกิไม่รู้เลยว่าคิริฮาระเอาไวโอลินออกมาจากกระเป๋าตอนไหน  แถมตอนนี้ก็กำลังตั้งท่าจรดคันซอพร้อมบรรเลงแล้วด้วย
“เซอร์วิสพิเศษ...สเปเชียล  ไพรเวท  ไลฟ์ของท่านคิริฮาระ”  ชายหนุ่มขยิบตาให้ฟุยุกิ  “น้อยคนนะที่จะได้ฟังน่ะ  ฟังซะให้เป็นบุญหู”
เสียงไวโอลินหวีดหวานขึ้นมาในความเงียบของร้านกาแฟที่มีเพียงพวกเขา  แม้ฟุยุกิจะไม่เคยรู้จักเพลงนั้นมาก่อน  แต่ท่วงทำนองและจังหวะจะโคนของบทเพลงบ่งบอกว่าเป็นเพลงสมัยใหม่ไม่ใช่เพลงคลาสสิคทั่วไป...คงเหมือนกับ Curtain Call ที่คิริฮาระเล่นบ่อย ๆ ก็มีต้นฉบับเป็นเพลงของวงร็อควงหนึ่งเช่นกัน
“คิริฮาระน่ะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านบทเพลงได้อย่างน่าอัศจรรย์เชียวละ”  เป็นนัตสึเมะที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ ทำให้ฟุยุกิละสายตาจากนักไวโอลินหนุ่มและหันไปมอง  “ถ้าเป็นเพลงรักก็จะหวานหยดจนน่าหมั่นไส้  ถ้าเป็นเพลงโศกก็เล่นเอาน้ำตาร่วงได้ง่าย ๆ เลยละครับ”
“แต่เพลงนี้...”  ฟุยุกิรู้สึกได้ว่าเพลงนี้ไม่ใช่ทั้งเพลงรักและเพลงเศร้าอย่างที่นัตสึเมะบอก  “...มัน...กร้าวๆแปลก ๆ นะครับ”
“รู้สึกสินะครับ”  นัตสึเมะยิ้มให้  “เพลงนี้น่ะคิริฮาระเล่นบ่อย ๆ  เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของหมอนั่น...Up to you บทเพลงสำหรับการเริ่มต้นน่ะครับ”
เริ่มต้นหรือ...หมายถึงเขางั้นหรือ...ฟุยุกิไม่อยากนึกเข้าข้างตัวเอง  แต่มันคงใช่...ก็ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีเพียงเขาที่ยังเคว้งคว้างไร้จุดยืนอยู่คนเดียวนี่นา
แล้ว...จะให้เขาเริ่มต้นอะไรล่ะ...?
เสียงเพลงจางหายไปในอากาศ  คิริฮาระทำหน้าพึงพอใจกับการบรรเลงของตัวเองก่อนจะหันมาบอกกับฟุยุกิและนัตสึเมะ
“ตบมือสิ”
ฟุยุกิเผลอทำตามประโยคคำสั่งนั้นอย่างงง ๆ  แต่นัตสึเมะเบ้หน้า
“ไม่มีใครขอให้เล่นเสียหน่อย”
“ไม่รู้หละ  คนเขาอุตส่าห์เล่นให้ฟังแล้วก็ต้องขอรางวัลหน่อยสิ”
“เพลงนี้ฉันฟังจนเบื่อแล้ว”
“นายก็พูดแบบนี้ทุกเพลง”  คิริฮาระส่ายหน้าพลางเก็บเครื่องดนตรีลงกล่อง  “ไว้วันหลังฉันจะเล่นเพลงที่นายฟังไม่เบื่อให้ฟัง”
“ถามคนฟังหรือยังว่าอยากฟังมั้ย?”
“ทำไมต้องถาม?”  คิริฮาระย้อนเอาทันที  “ฉันอยากเล่น  ฉันก็เล่น  นายมีหน้าที่ฟังก็ฟัง ๆ ไปแหละดีแล้ว”
ฟุยุกิเผลอยิ้มกับคำพูดที่แสนจะมั่นใจในตัวเองของคิริฮาระ...ถ้าเขาเป็นได้สักเสี้ยวหนึ่งของคิริฮาระจะดีสักแค่ไหนนะ
“เอาละ  วันนี้จบการแสดงแค่นี้  ผมต้องไปทำงานแล้ว”  คิริฮาระหันมาบอกกับฟุยุกิแล้วหยิบข้าวของ  “ไว้วันหลังเชิญที่ร้านผมบ้างนะ  อาริโยชิคุง  ไปลองรสชาติใหม่ ๆ บ้าง  ร้านกาแฟน่ะมันน่าเบื่อ”
“แต่แกก็มาทุกวัน”  นัตสึเมะแทรกขึ้นมาทันทีพลางเท้าเอวอย่างเอาเรื่อง  “พรุ่งนี้ไม่ต้องมาแล้วนะ  ร้านฉันมันน่าเบื่อ”
“โธ่  งอนไปได้  อายุปูนนี้แล้ว  งอนไม่น่ารักหรอก”  คิริฮาระเปลี่ยนเสียงเป็นออดอ้อนทันที  “กาแฟของนายอร่อยออกน่า  อร่อยที่สุดที่เคยดื่มมาในชีวิตเลยน้า”
“อร่อยเพราะได้ดื่มฟรีน่ะสิ  ไปไป๊  จะไปไหนก็ไปเสียที  ไอ้แมวเจ้าเล่ห์”  คนเป็นมาสเตอร์โบกมือไล่
คิริฮาระหัวเราะคิกคัก  ท่าทางสนุกที่ได้แหย่นัตสึเมะ  “เอาละ  ไปละนะ  แล้วเจอกันนะ  นัตสึเมะ  อาริโยชิคุง”
“อ๊ะ  แล้วเจอกันครับ”  ฟุยุกิรีบโค้งให้  แต่ก็เกือบจะไม่ทันคิริฮาระที่ก้าวออกประตูไปเสียแล้ว
นัตสึเมะหยิบถ้วยกาแฟของคิริฮาระไปวางในอ่างล้างจาน  “ดื่มชาต่อให้สบายเถอะครับ  คงไม่มีลูกค้าแล้วหละ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 15-12-2014 20:18:18
“เอ๊ะ  นัตสึเมะซังจะปิดร้านแล้วสิครับ  งั้นผมกลับ...”
“ไม่ต้องรีบหรอกครับ  ผมพักที่ชั้นบนนี่แหละ  เพราะงั้นจะปิดร้านตอนไหนก็ไม่มีปัญหาหรอก  ช่วงค่ำแบบนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าแล้ว  อาริโยชิคุงดื่มชาให้สบายเถอะครับ  เดี๋ยวผมก็เก็บของไปเรื่อยแหละ”
พูดแล้วนัตสึเมะก็เริ่มเก็บถ้วยโถโอชามตามที่พูด  บรรยากาศในร้านเงียบสงัด  มีเพียงเสียงเคลื่อนไหวของผู้เป็นเจ้าของร้าน  เสียงถ้วยจานกระทบกันเบา ๆ ในอ่างล้างจาน  เสียงผ้าขนหนูเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้และอุปกรณ์ต่าง ๆ  นอกจากนี้แล้วก็มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังแว่วมาเบา ๆ  แม้แต่อากาศก็เหมือนกับจะหยุดเคลื่อนไหว
เหมือนกับที่เคยรู้สึกเมื่อครั้งแรกที่มาที่นี่  ฟุยุกิรู้สึกว่าเวลาในร้านแห่งนี้ได้หยุดลง...ไม่สิ  ไม่ถึงกับหยุด  แต่เคลื่อนไปอย่างเนิบช้าผิดกับโลกอันวุ่นวายภายนอก
ฟุยุกิดื่มชาหอมกรุ่นแล้วปล่อยหัวใจตัวเองให้ได้พักผ่อนเหมือนกับตอนอยู่ในสวนญี่ปุ่นหลังบ้าน  แม้จะไม่มีบรรยากาศเย็นฉ่ำของน้ำค้างยามค่ำแต่ที่นี่ก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน...จะดีสักแค่ไหนนะถ้าชีวิตจะไม่ต้องเร่งรีบอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้  ถ้าได้ทำงานแบบนัตสึเมะทุกวันเขาคงมีความสุขสินะ
ตะเกียงแอลกอฮอล์ถูกวางลงตรงหน้าฟุยุกิ  อุปกรณ์ที่ดูแปลกแยกไปจากข้าวของอื่น ๆ ในร้านกาแฟทำให้ฟุยุกิต้องเงยหน้าขึ้นมาสนใจมัน  ของแบบนี้มันควรจะอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์มากกว่าไม่ใช่หรือ
“แปลกใจเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ พลางจุดตะเกียง  แล้วหยิบแก้วไวน์ออกมาจากชั้นวาง
ตะเกียงแอลกอฮอล์กับแก้วไวน์...ยิ่งไม่เข้ากันเข้าไปใหญ่
แม้จะเห็นสีหน้าเหรอหราของฟุยุกิแต่นัตสึเมะก็ไม่ได้อธิบาย  เขาเริ่มต้นกลั่นกาแฟจากเครื่องชงใส่ถ้วยตวงไว้  ตักน้ำตาลทรายใส่ในแก้วไวน์และตามด้วยเหล้าวอดก้าสองฝา  ก่อนจะนำแก้วไวน์นั้นไปจ่อลนกับเปลวไฟจนน้ำตาลละลายเป็นเนื้อเดียวกับเหล้า  จากนั้นจึงบรรจงรินกาแฟลงไปในแก้วไวน์อย่างเบามือให้กาแฟลอยอยู่เหนือส่วนผสมที่ละลายไว้  ตบท้ายด้วยวิปครีมที่ชั้นบนสุด
ฟุยุกิจ้องมองทุกขั้นตอนตาไม่กระพริบ  “โห...ยังกับไอศครีมเลยครับ  นี่กาแฟเหรอครับเนี่ย?”
“กาแฟไอริชครับ  แต่ผมปรับสูตรนิดหน่อยสำหรับตัวผมเองน่ะ”  นัตสึเมะบอกพลางดับตะเกียงแอลกอฮอล์  “ไม่ค่อยมีคนรู้จักก็เลยไม่ได้ทำขายน่ะครับ  แล้วขั้นตอนมันก็ยุ่งยากพอสมควรด้วย”
ใช่...ขั้นตอนมันดูยุ่งยาก  แต่การเคลื่อนไหวของนัตสึเมะกลับทำให้มันดูเป็นเรื่องง่ายไปเลยทีเดียว
“แบบนี้เป็นกาแฟเด็ก ๆ หรือเปล่าครับ  มีวิปครีมด้วย”  ฟุยุกิถามอย่างสนอกสนใจ  เผื่อยังไงเขาจะได้ลองหัดจากกาแฟแบบนี้บ้าง
แต่นัตสึเมะกลับหัวเราะ  “ไม่ใช่หรอกครับ  กาแฟของผู้ใหญ่เลยหละ  ถึงจะมีวิปครีมแต่ก็ใส่เหล้าด้วยนะครับ”
ฟุยุกิเผลอเบ้หน้า...เขาดื่มไม่เป็นทั้งกาแฟทั้งเหล้า  แล้วนี่ยังเอามาผสมกันอีก...ไม่ไหวแน่
“เล่ากันว่ากาแฟไอริชมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศไอร์แลนด์ครับ  เพราะอากาศหนาวจึงต้องการเครื่องดื่มที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นและให้พลังงานสูง  ก็เลยมีการใส่เหล้ารัมและน้ำตาลลงในกาแฟ  เหล้าทำให้ร่างกายอุ่นและน้ำตาลกับวิปครีมก็ให้พลังงานไงล่ะครับ  เห็นว่านิยมนั่งดื่มกันในฤดูหนาวข้างเตาผิง...”  นัตสึเมะอธิบายเกร็ดความรู้ให้ฟัง
“แต่นัตสึเมะซังดื่มกลางหน้าฝนต้นหน้าร้อนเลยนะครับ”
“ผมดื่มทุกวันแหละครับ  เป็นคนขาดความอบอุ่นน่ะ”  นัตสึเมะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี...แต่อะไรบางอย่างทำให้ฟุยุกิรู้สึกว่าสีหน้าของนัตสึเมะมีแววเศร้าฉาบอยู่จาง ๆ
“ดีจังนะครับ  ได้ทำงานที่ชอบ  แล้วก็ได้ดื่มกาแฟอร่อย ๆ ทุกวัน...ไม่ต้องขึ้นรถไฟเบียดคนไปทำงานด้วย  ชีวิตไม่ต้องรีบร้อน”  ฟุยุกิพูดเหมือนกับจะเปรยกับตัวเองเสียมากกว่า
“ร้านกาแฟก็ยุ่งนะครับ  ยิ่งตอนเที่ยงอะไรแบบนี้...นึกอยากจะมีสักสิบมือเลยละครับ”  นัตสึเมะแย้ง  “ผมทำร้านอยู่คนเดียวด้วย  ไหนจะรับออร์เดอร์  ไหนจะชงกาแฟ  ทำแซนด์วิช  คิดเงิน...โฮ้ย...ไม่อยากรีบก็ต้องรีบละครับ  เพราะลูกค้าทุกคนเขารีบกันทั้งนั้น  ถ้าเราทำช้าเดี๋ยวเขาไม่ได้กินมื้อเที่ยง”
ฟุยุกิเลิกคิ้ว...เขานึกภาพร้านของนัตสึเมะที่ยุ่งขนาดนั้นไม่ออกเอาเสียเลย  เขาเคยเห็นแต่ตอนที่นัตสึเมะค่อย ๆ บรรจงตักผงกาแฟใส่เครื่องชงแล้วรอให้มันกลั่นตัวออกมาเป็นกาแฟหอมกรุ่นอย่างใจเย็น  อย่างเมื่อกี้นี้อีก...กว่าจะลนน้ำตาลให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกับเหล้าได้ก็ต้องค่อย ๆ หมุนแก้วไปมาไม่ให้น้ำตาลไหม้และไม่ให้แก้วติดคราบดำ...แล้วจะบอกว่าทั้งยุ่งทั้งรีบจนอยากมีสิบมือนั่น  ใครจะไปนึกออก
“อาริโยชิคุงมาตอนเย็น ๆ แบบนี้น่ะดีแล้วละครับ  จะได้นั่งดื่มชาให้สบาย ๆ ได้  แล้วผมก็มีเวลาพอจะชงชาอร่อย ๆ ให้ได้ด้วย”
“ชานี่...ก็ต้องค่อย ๆ ชงเหมือนกันสินะครับ”  ฟุยุกิคิดไปถึงพิธีชงชาที่นาน ๆ ครั้งคุณพ่อจะพาไปร่วมพิธีสักครั้ง
“ครับ  ชาที่ชงเสิร์ฟตอนเที่ยงกับที่ชงให้คุณดื่มน่ะ  รับรองว่าคนละรสกันเลยละครับ...แต่ผมก็ไม่ชำนาญเรื่องชาเท่าไรนัก  แค่อ่านหนังสือมาบ้างลักจำมาบ้างน่ะครับ”  นัตสึเมะคุยพลางจิบกาแฟของตนเองไปด้วย
“ชงอร่อยขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าชำนาญอีกเหรอครับ?”
“ยังหรอกครับ  ผมถนัดเรื่องกาแฟมากกว่า  แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจขนาดเรียกได้ว่าผู้เชี่ยวชาญ  แต่ผมแค่สนุกกับการปรับสูตรให้ถูกใจลูกค้าแต่ละคนน่ะครับ  คนเราชอบกาแฟอ่อนเข้มต่างกัน  แค่ใส่น้ำมากน้อยกว่ากันนิดเดียวก็ได้กาแฟคนละแบบแล้วละครับ...บางที  ผมเองก็ยังชงเอสเปรซโซไม่ได้เรื่องให้คิริฮาระมันว่าเอาได้บ่อย ๆ อยู่เลยละครับ”
“ทั้งที่ทำมาตั้งเป็นสิบปีน่ะเหรอครับ?”  เห็นคิริฮาระเรียกเอสเปรซโซของนัตสึเมะว่าสุดที่รัก  นึกไม่ออกเลยว่าที่ว่าไม่ได้เรื่องจนโดนตำหนิน่ะมันเป็นยังไง
“ความชำนาญทุกอย่างต้องใช้เวลาทั้งนั้นแหละครับ  ต้องค่อย ๆ ฝึกฝนกันไป...และถึงจะคล่องแล้ว  แต่ถ้าเผลอตัวไปสักหน่อย  ไม่ว่าใครก็ทำพลาดได้ทั้งนั้น”
“ผม...ไม่มีเวลาให้ค่อย ๆ ฝึกเลย”  ฟุยุกิเผลอหลุดปากออกมาในที่สุด  “พอเข้าทำงานได้  ทุกคนก็อยากให้ผมเป็นงานเร็ว ๆ  ต้องทำงานให้เร็ว ๆ  ต้องรีบจำเอกสารให้ได้  ต้องหาข้อมูลที่เขาต้องการให้ได้ทันที...อะไร ๆ ก็ต้องเร็วไปหมดทั้งนั้น...แล้วผมก็ทำไม่ได้...”
หางเสียงที่แทบจะหายเข้าไปในลำคอ  บอกถึงความกลัดกลุ้มของเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี  นัตสึเมะไม่ได้หัวเราะ  เขาเห็นมาเยอะแล้ว  เด็กหนุ่มสาวที่ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมการทำงานได้  หลายคนเข้ามาในร้านของเขาเพื่อพักตั้งหลักและกลับไปสู้ใหม่  บางคนก็เข้ามาพักหลายหนหน่อย  แต่ละคนมีเรื่องมาบ่น  ทั้งที่บ่นกับเขาโดยตรงและบ่นให้กันฟังและลอยมาเข้าหูเขา  เรื่องรุ่นพี่ที่ทำงาน  เรื่องหัวหน้างาน  เรื่องลูกค้า...แต่ยังไม่เคยมีใครมาบ่นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เหมือนกับฟุยุกิเลย
แต่นัตสึเมะกลับรู้สึกว่าเรื่องเล็กน้อยนี้แหละเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา  คนส่วนมากไม่ได้มีปัญหากับงาน  แต่มีปัญหากับคนที่ทำงานเสียมากกว่า...นี่เป็นรายแรกที่มีปัญหากับงานโดยตรง  และถ้าให้พูดตามตรง...ไม่ว่าไปทำงานอะไรฟุยุกิก็จะมีปัญหาทั้งนั้นแหละ  นัตสึเมะเห็นคนมาเยอะ  เพียงเจอหน้ากันครั้งแรกเขาก็ดูออกว่าเด็กคนนี้ไม่มีความมั่นใจในตนเองแม้สักน้อย  ยิ่งฟังคำพูดที่หลุดจากปากมาก็รู้ว่าไม่เคยได้ตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลย  ชีวิตถูกขีดเส้นไว้มาตั้งแต่เด็ก  การที่ถูกกำหนดมาตลอดทำให้เงอะงะลังเลอยู่ตลอดเวลา  การไม่เคยตัดสินใจอะไรเลยทำให้ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนคิดจะถูกหรือไม่  จนไม่กล้าทำอะไรลงไปและกลายเป็นคนเชื่องช้าในสายตาของคนอื่น...และหมุนตามโลกไม่ทัน
นัตสึเมะรู้จักคนที่คล้าย ๆ แบบนี้อยู่คนหนึ่ง...ซาคากิ  คิโยฮารุ  หนอนหนังสือที่รู้จักแต่โลกของตัวอักษร  อดีตนักศึกษาวรรณคดีเปรียบเทียบที่ได้ทุนไปเรียนต่อที่เยอรมันและตอนนี้ก็เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น  คิโยฮารุก็ดูเชื่องช้าไม่ทันคน  แต่การอ่านหนังสือเยอะทำให้โลกของเขาเปิดกว้างในแบบของเขา  และเขาโชคดีที่ไม่ต้องหลุดมาอยู่ในสังคมการทำงานแบบบริษัทที่ต้องไหลไปตามกระแสโลกเหมือนตกลงไปในแม่น้ำอันเชี่ยวกราก...ถ้าคิโยฮารุต้องทำงานในบริษัท  นัตสึเมะก็ฟันธงได้เลยว่าจะต้องเป็นอย่างฟุยุกิในตอนนี้แน่ ๆ...และคิริฮาระก็คงมองเห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว  ถึงได้บังคับให้คิโยฮารุรับทุนไปเรียนต่อที่เยอรมัน  เพราะอย่างน้อยงานสอนก็ไม่ได้เร่งร้อนเท่ากับงานบริษัท
แต่นัตสึเมะก็ทำได้แค่เป็นผู้ฟัง  ตัวเขาเองก็ถือว่าเป็นคนที่อยู่นอกวงโคจรของการทำงานเช่นกัน  แม้จะบอกว่าร้านกาแฟมีช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิง  แต่ก็แค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น  คงเทียบไม่ได้กับฟุยุกิที่ต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดกับการทำงานที่เจ้าตัวบอกว่ารีบร้อน 8 – 9 ชั่วโมงในแต่ละวัน...มันไม่ใช่เรื่องง่าย  นัตสึเมะนึกออก  ตอนที่เขาทำร้านกาแฟแห่งนี้คนเดียวใหม่ ๆ เขาก็เกือบตายเพราะช่วงพักเที่ยงอยู่เป็นปีเหมือนกัน
“อาริโยชิคุง”  นัตสึเมะทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด  “ผมจะไม่บอกหรอกนะครับว่าต้องปรับตัวหรือพยายามเข้า  เพราะผมรู้ว่าคุณกำลังพยายามสุดชีวิตแล้ว...ผมบอกได้แค่ว่า  เมื่อไรที่คุณเหนื่อย  คุณแวะมาพักที่นี่ได้เสมอ  ผมจะชงชาอร่อย ๆ ไว้ให้คุณเอง”
ฟุยุกิรู้สึกตื้อขึ้นมาในอก  นี่เป็นคนแรกที่ไม่บอกให้เขาพยายาม...ทำไมนัตสึเมะถึงเข้าใจล่ะ...แล้วทำไมคิริฮาระถึงเข้าใจ  ทั้งที่คนรอบตัวเขาไม่เคยมีใครเข้าใจเลย  พ่อกับพวกพี่ชายไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าเขาคิดอะไรหรือกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่  แต่กับคนที่เพิ่งจะรู้จักกันสองคนนี้กลับเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเขาได้พยายามเต็มกำลังของเขาและกำลังเหนื่อยเต็มทีแล้ว...ทำไมพวกเขาถึงเข้าใจ
ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะได้พูดอะไร  เสียงกระดิ่งที่ประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของหญิงสาว
“นัตสึเมะ!”
ผู้ที่เข้ามาในร้านคือสตรีหน้าตาสวยในชุดที่ดูภูมิฐานราคาแพง  เธอเดินเซ ๆ เข้ามาหานัตสึเมะพร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้าง
“นัตสึเมะ  คิดถึงจังเลย”  เธอยิ้มหวานแล้วชะโงกตัวข้ามเคาน์เตอร์ไปกอดนัตสึเมะไว้  กลิ่นแอลกอฮอล์ที่กรุ่นออกมาจากกายเธอทำให้รู้ว่าเจ้าตัวมึนเมาไม่น้อย
“โอ๊ะ  ระวังหน่อยครับ  เคย์โกะซัง  ผมยังมีลูกค้าอยู่นะ”  นัตสึเมะบอกพลางเหลือบมองฟุยุกิอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“หือ...ลูกค้าเหรอ?  ตายจริง  ขอโทษจ้ะ”  เคย์โกะผละออกจากนัตสึเมะแล้วยิ้มให้ฟุยุกิพลางขอโทษขอโพย  “หน้าตาน่ารักจัง  เรียนอยู่ปีไหนแล้วคะเนี่ย?”
“เอ้อ...”
ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะตอบอะไร  นัตสึเมะก็เป็นฝ่ายแทรกขึ้นมาแทน
“อาริโยชิซังเขาทำงานแล้วครับ  เคย์โกะซัง”
“อ้าว  ตายจริง  เห็นหน้าเด็ก ๆ เลยนึกว่ายังเรียนอยู่  ขอโทษนะคะ”
“อะ...เอ้อ...มะ...ไม่เป็นไรครับ...”  ฟุยุกิก้มหน้างุด  บางทีเขาอาจจะมาอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ควรอยู่เข้าแล้วก็เป็นได้
“ไม่ต้องคิดมากนะจ๊ะ  คุยกับนัตสึเมะไปเถอะ  เขาคุยสนุก”  เคย์โกะบอกกับฟุยุกิก่อนจะหันไปพูดกับนัตสึเมะ  “ฉันไปรอข้างบนนะ  นัตสึเมะ”
ว่าแล้วเธอก็เดินเข้าไปทางประตูที่เชื่อมต่อกับด้านหลังร้าน  ฟุยุกิลอบมองตามเธอไป...เธอเป็นหญิงสาวอายุน่าจะอยู่ในช่วงวัย 40  แต่ยังสวยและดูอ่อนเยาว์อยู่มาก  จากท่าทางการแสดงออกของเธอแล้ว  เธอคงจะเป็นคนรักของนัตสึเมะกระมัง  แต่เมื่อกลับมามองนัตสึเมะ  ฟุยุกิก็พบว่าชายหนุ่มถอนใจหนักหน่วงและมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างไม่ปิดบัง  แต่พอรู้สึกตัวว่าฟุยุกิมองอยู่ก็รีบยิ้มกลบเกลื่อนทันที
“ขอโทษนะครับ  ให้เห็นอะไรไม่สมควรเสียได้”
“มะ...ไม่หรอกครับ...ผมเองก็...”  ฟุยุกิลนลาน  แล้วก็นึกได้ว่าถ้าเขายังอยู่ก็จะเป็นก้างขวางคอเสียเปล่า ๆ  เด็กหนุ่มจึงรีบลุกขึ้น  “ผะ...ผม...ผมเองก็ขอตัวดีกว่า  นี่ค่าน้ำชาครับ”
ฟุยุกิกำลังจะหยิบกระเป๋าสตางค์แต่นัตสึเมะรีบคว้ามือนั้นไว้
“ไม่ต้องหรอกครับ  ผมเลี้ยง”
“เลี้ยงอีกแล้วเหรอครับ?  ไม่ได้นะครับ  แบบนี้ผมก็เกรงใจแย่...”
“ถ้าวันไหนดื่มกาแฟแล้วผมจะคิดเงินก็แล้วกัน”  นัตสึเมะขยิบตาให้
“เอ๊ะ...แต่...”  ฟุยุกิทำหน้าลำบากใจ  เขาดื่มกาแฟไม่เป็นนี่นา
“เอาแบบนั้นแล้วกันนะครับ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านมัดมือชกทันที
“อ่ะ...เอ้อ...ขอบคุณมากครับ”  ฟุยุกิโค้งให้นัตสึเมะอย่างไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี  “งั้น...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับ  แล้วมาอีกนะครับ”  นัตสึเมะบอกพลางเปิดประตูร้านให้
ฟุยุกิออกจากร้านของนัตสึเมะพร้อมกับความรู้สึกแปลก ๆ  ทั้งที่นัตสึเมะจะมีคนรักเป็นใครมาจากไหนมันก็ไม่แปลกแท้ ๆ  แต่ทำไมไม่รู้  เขากลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เหมาะกับนัตสึเมะเลยสักนิด  และแม้เธอจะแสดงท่าทางเป็นคนรักของชายหนุ่มแต่เขากลับเห็นนัตสึเมะมีท่าทีเย็นชาและเหนื่อยหน่าย  ผิดจากเวลาที่อยู่กับเขาหรือคิริฮาระโดยสิ้นเชิง
...คนเราเปลี่ยนอารมณ์ได้ขนาดนี้เชียวหรือ...
ฟุยุกิส่ายหน้า  ไม่รู้สิ...คนโง่ ๆ อย่างเขาไม่เข้าใจหรอก  ตัวเขาเองก็มีแค่อารมณ์ซึมเศร้าอารมณ์เดียวนี่แหละ  ไม่มีทางจะเข้าใจความรู้สึกของนัตสึเมะหรือใครได้หรอก...เพียงแต่...ถ้าเป็นได้อย่างคิริฮาระสักเสี้ยวหนึ่งได้คงดีสินะ  ถ้ามีความมั่นใจในตัวเองสักเพียงเศษเสี้ยวของผู้ชายคนนั้นละก็...บางที  เขาอาจจะกล้าคุยกับพ่อหรือพวกพี่ชายก็ได้...

ตอนที่ฟุยุกิกลับถึงบ้านมิโนรุยังไม่กลับ  แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  มิโนรุมักจะมีงานยุ่งและกลับบ้านดึกเสมออยู่แล้ว...แต่ระยะนี้เขาสังเกตว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป  มิโนรุน่าจะมีคนรักเสียมากกว่า  บางครั้งเขาก็เห็นว่ามิโนรุจะใช้เวลาโทรศัพท์นานกว่าปกติ  ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าก็ไม่เหมือนคุยเรื่องงานอยู่ด้วย  ช่วงเดือนที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไปค้างที่บ้านพ่อ  เพียงแค่ไปส่งเขาแล้วกลับมาโดยอ้างว่ามีงานค้างอยู่  แต่สีหน้าดูมีความสุขเหลือเกิน...เอาละ  อย่างไรเสียเขาคงได้ออกไปอยู่คนเดียวเร็ว ๆ นี้แล้วละนะ
เด็กหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็มาเปิดคอมพิวเตอร์  ปกติเขามักจะไม่ค่อยออนไลน์เท่าไรนัก  กลับมาถึงบ้านพอกินข้าวและอาบน้ำแล้วก็มักจะนอนเสียด้วยความอ่อนเพลียจากการทำงานมาทั้งวัน  แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยนัก...อาจเพราะได้พักจากที่ร้านของนัตสึเมะมาบ้างแล้วก็ได้
ฟุยุกิยังติดใจเพลงที่คิริฮาระบรรเลงในวันนี้...นัตสึเมะบอกว่าชื่อเพลงอะไรนะ...สมองที่มีหน่วยความจำต่ำพยายามขุดคุ้ยความทรงจำเต็มที่  เพลงนั้นชื่ออะไรนะ  ชื่อที่มีความหมายเอาแต่ใจนิด ๆ  เมโลดี้แข็งกร้าวหน่อย ๆ...เพลงแห่งการเริ่มต้น...
...นึกไม่ออก...ฟุยุกิถอดใจหลังจากนั่งคิดอยู่สักพัก  ช่างเถอะ  อย่างไรเสียเขาก็หัวไม่ดีอยู่แล้ว  จะลืมชื่อเพลงที่เพิ่งเคยได้ยินแค่ครั้งเดียวมันก็ไม่แปลกนี่นะ  ไว้วันหลังค่อยไปถามคิริฮาระอีกทีแล้วกัน
เด็กหนุ่มปิดคอมพิวเตอร์แล้วเข้านอน  ในหัวยังคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้วนเวียนไปมา...ตั้งแต่ได้คุยกับคิริฮาระและได้ไปที่ร้านกาแฟของนัตสึเมะก็เพิ่งไม่กี่วันมานี้เอง  แต่เขากลับรู้สึกว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย...ไม่สิ  มีความคิดเกิดขึ้นในสมองของเขามากมาย  คิริฮาระมักจะพูดอะไรแปลก ๆ แบบที่เขาคิดไปไม่ถึงเสมอ...แปรงสีฟันอย่างนี้  ยาสีฟันอย่างนี้...ช่างสรรหาอะไรมาเปรียบเทียบได้เป็นรูปธรรมเหลือเกิน
แต่พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว  เขาเองก็คงใช้แปรงสีฟันที่พ่อกับพี่ชายเป็นคนเลือกให้อยู่สินะ  และคงยังใช้ยาสีฟันรสหวาน ๆ สำหรับเด็ก ๆ อยู่เป็นแน่  เพราะที่บ้านยังคงเห็นเขาเป็นเด็กอยู่เสมอ  แม้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยและทำงานแล้วก็ตาม
...ผมน่ะชอบแปรงสีฟันที่ที่บ้านเลือกให้นะ  แต่ถือวิสาสะเปลี่ยนยาสีฟันเอง...
คำพูดของคิริฮาระผุดขึ้นมาในหัว  นั่นสินะ...ยาสีฟันของคิริฮาระคงรสชาติเผ็ดร้อนไม่เบาทีเดียว  นึกดูสิ  เกิดในครอบครัวนักดนตรีคลาสสิค  แต่กลับย้อมผมแดงและแต่งตัวเสียขนาดนั้น  ไม่ได้อยู่ในกรอบของความเป็นนักดนตรีคลาสสิคเลยสักนิด  ตอนที่เริ่มทำตัวแบบนี้คนที่บ้านจะไม่เล่นงานเอาหรอกหรือ...หรือคนอย่างคิริฮาระจะไม่กลัวคำตำหนิใด ๆ อยู่แล้ว
...แต่มันเท่มากเลยนะ...เสียงในใจของฟุยุกิบอกกับตัวเอง  เขาชอบบุคลิกของคิริฮาระ  ทั้งเรือนผมสีแดง  รูปร่างหน้าตา  ท่วงท่าในการบรรเลงไวโอลิน...ชอบไปเสียหมดทุกอย่าง  มันดูสง่างามและเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์  เป็นดวงอาทิตย์ที่จะไปส่องแสงเจิดจรัสบนเวทีระดับโลกที่ไหนก็ได้  แต่คิริฮาระกลับลดตัวเองมาบรรเลงเพลงข้างถนนเพื่อปลอบประโลมคนทำงานกินเงินเดือนอย่างพวกเขา  เป็นความคิดและการกระทำที่น่าชื่นชมเหลือเกิน
...อยากใกล้ชิดให้มากกว่านี้...อยากรู้จักให้มากกว่านี้...
หัวใจของฟุยุกิเต้นแรงกับความคิดของตัวเอง  ไม่เอาน่า...คนอย่างเขาจะมีอะไรพอจะไปใกล้ชิดคิริฮาระได้  แค่มองอยู่ห่าง ๆ อย่างนี้ก็พอแล้ว  หากอีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเอง...แต่คิริฮาระจำได้ว่าเขาชอบเพลงอะไร  พาเขาไปที่ร้านของนัตสึเมะ  และบรรเลงเพลงเพื่อเขา...เพื่อเขาเท่านั้น
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว  เขาพยายามข่มตาให้หลับ  แต่ก็ใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะจมลงสู่ห้วงนิทราโดยยังมีภาพของคิริฮาระวนเวียนอยู่ในหัว

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-12-2014 10:16:31
มีปมที่หนักหนากว่าของนายเอกอีกเหรอ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 24-12-2014 07:35:30
รอตอนต่อไปค่ะ เจ้าหนูฟุยุกิช่างใสซื่อจริงๆ
หัวข้อ: Re: Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 24-12-2014 21:30:20
สุขสันต์วันคริสต์มาสอีฟครับ  หาเรื่องลงนิยายน่ะครับ  ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก  ฮะๆๆ

Lock on You 03

เสียงไวโอลินก้องอยู่ในหัวใจของฟุยุกิ  วันแล้ววันเล่า  คืนแล้วคืนเล่า  ชื่อเพลงที่จำได้มีเพิ่มมากขึ้น  หลายเพลงที่เขาลองค้นหาบทเพลงต้นฉบับแล้วบอกกับตัวเองว่าเขาชอบเพลงที่บรรเลงด้วยไวโอลินของคิริฮาระมากกว่า  คอนเสิร์ตข้างถนนหลังเลิกงานซึ่งเคยเป็นสิ่งพิเศษอยู่แล้วยิ่งพิเศษมากขึ้นไปอีก  เมื่อหลังจากแสดงจบแล้วคิริฮาระมักจะพาเขาไปนั่งเล่นที่ร้านของนัตสึเมะเป็นประจำ  จนราวกับว่านั่นเป็นสถานที่ของพวกเขาเท่านั้น...ใช่สิ  มันต้องใช่แบบนั้นแน่  ในเมื่อในบรรดาคนดูทั้งหมดมีแค่ฟุยุกิเท่านั้นที่คิริฮาระพาไปที่นั่น  แม้จะไม่ได้พูดคุยกันมากนัก  แต่ฟุยุกิก็พอใจที่จะได้นั่งฟังคิริฮาระกับนัตสึเมะคุยกันแบบนั้น
หัวใจของฟุยุกิพองโตและแอบปลาบปลื้มกับฐานะพิเศษนี้เพียวลำพัง
เพียงแต่...คิริฮาระไม่มาเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนหลายวันแล้ว
แรกทีเดียว  ฟุยุกิคิดว่าคิริฮาระคงจะมีธุระหรือไม่สบายนิดหน่อย  แต่หลังจากผ่านไปกว่าสามวัน  ความเปลี่ยวเหงาและห่วงกังวลบางอย่างก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเด็กหนุ่ม
สองเท้าพาตัวเองไปยังร้านกาแฟบนเส้นทางที่เริ่มจะคุ้นเคย  ท่ามกลางม่านฝนที่โปรยปราย  แสงสว่างที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกออกมาทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก  ราวกับเป็นที่พักเหนื่อยของนักเดินทางที่รอนแรมมาไกล
ฟุยุกิหุบร่มแล้วผลักประตูเข้าไป  เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่เหนือประตูดังกริ๋งเป็นการต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับครับ”  เสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยดังมาจากหลังเคาน์เตอร์
“สวัสดีครับ  นัตสึเมะซัง”  ฟุยุกิทักทายตอบเบา ๆ  ที่จริงเขารู้นานแล้วว่าชื่อเต็มของนัตสึเมะคือ  อิชิกาวะ  นัตสึเมะ  และเขาควรจะเรียกว่าอิชิกาวะซังตามมารยาทมากกว่า  แต่ในเมื่อนัตสึเมะชอบที่จะให้ใครต่อใครเรียกเขาอย่างนี้  ฟุยุกิก็ยินดีที่จะเรียกด้วย
“สวัสดีครับ  อาริโยชิคุง  เชิญนั่งก่อนครับ”  นัตสึเมะกล่าวพลางผายมือไปที่โต๊ะด้านในสุด  ก่อนจะหันไปพูดกับแขกที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์  “ขอตัวสักครู่นะครับ  โอโนเสะคุง”
“ผมบอกหลายครั้งแล้วนะครับ  มาสเตอร์  ว่าให้เลิกเรียกผมอย่างนี้เสียที”
“ครับ ๆ  โทโมกิคุง”  ว่าแล้วนัตสึเมะก็เดินออกมาจากเคาน์เตอร์แล้วนำฟุยุกิไปนั่งที่โต๊ะ  “วันนี้อยากดื่มอะไรครับ  อาริโยชิคุง?”
“มะ...ไม่รู้สิครับ  นัตสึเมะซังเป็นคนชงให้ผมทุกทีนี่ครับ”  ฟุยุกิตอบพลางลอบสังเกตคนที่นัตสึเมะคุยด้วยเมื่อกี้
“งั้น...เอาเป็นเอิร์ลเกรย์นมอุ่น ๆ แล้วกันนะครับ  เดี๋ยวผมไปชงมาให้  รอสักครู่นะครับ”  ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านยิ้มให้แล้วผละจากไป
การชงชาของนัตสึเมะมีขั้นตอนการชงมากกว่าการใส่ใบชาลงไปในน้ำร้อน  ซึ่งต้องใช้เวลานิดหน่อยแต่ก็ได้ชาที่อร่อยสมกับที่รอเสมอ  ซึ่งฟุยุกิก็คุ้นเคยดีอยู่แล้ว  แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปในวันนี้ก็คือข้าง ๆ ไม่มีคิริฮาระอยู่  และนัตสึเมะก็ยังไม่ว่างมาคุยกับเขา
เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ ร้าน  ร้านกาแฟเล็ก ๆ ของนัตสึเมะมีที่นั่งเพียง 4 – 5 โต๊ะและในตอนนี้ก็ยังมีลูกค้าอยู่อีกสองสามโต๊ะนั่งกระจัดกระจายกันไป  มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์...ตรงที่ประจำของเขา
ความรู้สึกบางอย่างแล่นริ้วขึ้นมาในหัวใจ...ใครคนนั้นดูจะอายุอานามรุ่นเดียวกับเขา  แต่ดูจากลักษณะการพูดคุยกับนัตสึเมะแล้วคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี  และที่บอกให้นัตสึเมะเรียกชื่อจริงก็แปลว่าจะต้องสนิทกันมากพอสมควรทีเดียว
เมื่อนัตสึเมะยกชามาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ  ฟุยุกิก็แสร้งมองสายฝนนอกหน้าต่าง
“รอสักครู่นะครับ  อาริโยชิคุง  เดี๋ยวจะมาคุยด้วย”  นัตสึเมะบอกยิ้ม ๆ พลางพยักเพยิดไปทางร่างเล็กที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์
“อ๊ะ  ไม่...ไม่เป็นไรหรอกครับ  ไม่ต้องห่วงผมหรอก”  ฟุยุกิรีบบอกปัด
หากแต่ก็รู้ตัวดีว่าตนแอบเงี่ยหูฟังบทสนทนาของนัตสึเมะและเด็กที่ชื่อโทโมกิอยู่เงียบ ๆ
“โทโมกิคุงเรียนจบหลักสูตรแล้วนี่ครับ  จะต้องช่วยวายะซังได้เยอะแน่  แค่ทำอย่างที่เรียนที่ฝึกงานมาก็พอครับ”  น้ำเสียงของนัตสึเมะช่างแสนนุ่มนวล
“ผมรู้ครับ...ผมก็พยายามทำอย่างนั้น  แต่ทำไมพอคนที่ต้องดูแลเป็นชุนแล้วผมถึงไม่มั่นใจเลยก็ไม่รู้”
“ไม่ใช่เกร็งมากเกินไปเหรอครับ?”
“ผม...ผมไม่รู้...”  เสียงของเด็กหนุ่มแผ่วหวิว  “แต่ยิ่งอยู่กับชุนนานเข้า...ผม...ผมมองไม่เห็นความหวังเลย”
หางเสียงขาดหายไปและแทรกมาด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบา  มือใหญ่ของนัตสึเมะวางลงบนเรือนผมสีดำของเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างอ่อนโยน
“ถ้าคุณเชื่อ  มันจะต้องมีความหวังแน่ครับ  โทโมกิคุง...แม้จะทีละเล็กละน้อย  แต่ความเชื่อมั่นของคุณจะต้องสื่อไปถึงวายะซังได้แน่ครับ”
เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้น
“มาสเตอร์พูดเหมือนคิริฮาระซังเลย”
“ก็พวกผมเป็นเพื่อนกันนี่ครับ  คบกันมาครึ่งชีวิตแล้ว  จะคิดอะไรเหมือนกันบ้างก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ
“ดีจังนะครับ  ผมอิจฉาพวกคุณจัง”
“ไม่ต้องอิจฉาหรอกครับ  โทโมกิคุงก็เป็นเพื่อนของพวกผมเหมือนกันนะครับ  มีอะไรก็มาคุยกับผมได้  ผมอยู่ที่นี่เสมอแหละครับ”
“ขอบคุณนะครับ  มาสเตอร์”
ฟุยุกินั่งฟังการสนทนานั้นด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด  ทั้งรู้สึกผิด  อิ่มเอมใจ...และเสียใจ  ผิดที่แอบฟังเขาคุยกัน  อิ่มเอมใจไปกับคำพูดที่แสนอ่อนโยนของนัตสึเมะ  และเสียใจที่ได้รู้ว่าความอ่อนโยนที่ลอยอวลอยู่ในร้านกาแฟแห่งนี้หาใช่ของเขาเพียงคนเดียวไม่
เด็กหนุ่มพยายามบอกกับตัวเองไม่ให้คิดอะไรมาก  นัตสึเมะเปิดร้านกาแฟเป็นธุรกิจ  จึงไม่แปลกที่จะแจกจ่ายอะไรดี ๆ เพื่อรักษาลูกค้าไว้  ตัวเขาเองไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กคนนั้น  เป็นเพียงแค่ลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น...มันก็แค่ตรรกะง่าย ๆ ในสังคม
แต่ทั้งที่เข้าใจดีอยู่แล้ว  แต่ฟุยุกิกลับยังเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอะไรไปเหรอครับ  อาริโยชิคุง?”
เสียงนุ่มทุ้มของนัตสึเมะเรียกฟุยุกิออกจากห้วงภวังค์
“เอ๊ะ!...อ่ะ...เปล่าครับ”  ฟุยุกิเหลียวมองลอกแลกไปรอบ ๆ ร้านอย่างงง ๆ  ไม่รู้เลยว่าเด็กที่คุยกับนัตสึเมะอยู่เมื่อครู่กลับไปเมื่อไร
“เปล่าแล้วทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ?”  นัตสึเมะทำคิ้วขมวดแล้วชี้ที่หว่างคิ้วตัวเอง
ฟุยุกิยกมือขึ้นแตะหว่างคิ้วตัวเองทันที  “ผม...ทำหน้าแบบนั้นเหรอครับ!?”
“ก็ใช่สิครับ  ผมถึงได้ถามไง”  ผู้เป็นเจ้าของร้านนั่งลงบนเก้าอี้ฟากตรงข้าม  “เป็นอะไรไปครับ  ทำงานมาเหนื่อยเหรอ?”
ก้อนอะไรร้อน ๆ ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอของฟุยุกิ  นัตสึเมะช่างอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใย...แต่นั่นก็แค่หน้าที่ทางธุรกิจเท่านั้น  เด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะบอกความรู้สึกจริง ๆ ออกไปจึงตัดสินใจที่จะเก็บมันไว้  แล้วคิดถึงความมุ่งหมายแรกที่ตั้งใจมาที่นี่
“คือ...คิริฮาระซังน่ะครับ  ไม่ได้มาเล่นไวโอลินหลายวันแล้ว  ไม่รู้เป็นอะไรไปหรือเปล่า...”
ใช่...เขาคิดจะมาถามเรื่องนี้ต่างหาก
“อ๋อ  หมอนั่นติดธุระอื่นน่ะครับ  คงหายหน้าไปสักพักแหละ”  นัตสึเมะตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ธุระ...ที่ร้านเหล้าเหรอครับ?”
นัตสึเมะหัวเราะ  ไม่ว่าเมื่อไรฟุยุกิก็ยังคงเรียกคลับของคิริฮาระว่าร้านเหล้าสิน่า  “ไม่ใช่ครับ  ซ้อมการแสดงคอนเสิร์ตสำหรับฤดูใบไม้ร่วงน่ะครับ”
“คอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วง?”  ฟุยุกิห่างไกลจากเรื่องพวกนี้มากเหลือเกิน  ชีวิตเขาแทบไม่มีกิจกรรมสันทนาการอะไรเลย
“วงออเครสตร้าของคุณพ่อของคิริฮาระจัดคอนเสิร์ตทุกปีน่ะครับ  แล้วแต่ว่าปีไหนจะจัดฤดูไหน”  นัตสึเมะอธิบาย
“คุณพ่อ?...ที่บ้านของคิริฮาระซังเล่นดนตรีทั้งบ้านเลยเหรอครับ?”
“ระดับมืออาชีพเลยละครับ  คุณพ่อจะมีงานเดินสายแถบยุโรปเสมอ  แต่ก็จะกลับมาเล่นที่ญี่ปุ่นปีละครั้งน่ะครับ”
ฟุยุกิรู้สึกใจเต้นกับคำตอบนั้น  คิริฮาระเป็นนักไวโอลินระดับมืออาชีพ...นี่มันมากกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเลยนะ  หัวใจที่เต็มไปด้วยจความชื่นชมในตัวคิริฮาระอยู่แล้วพองฟูยิ่งขึ้นไปอีก
“หายห่วงแล้ว  ยิ้มได้แล้วสินะครับ”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ  “เห็นทำหน้าแปลก ๆ เข้าร้านมา  นึกว่ามีปัญหาอะไรเสียอีก  ที่แท้ก็เป็นห่วงคิริฮาระนี่เอง  เพื่อนผมนี่เสน่ห์แรงจริง ๆ”
“เอ้อ...มันก็...”  ฟุยุกิเกาหัวแก้เขิน
นัตสึเมะเหลือบไปเห็นถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้าฟุยุกิเข้า  “ชา...ไม่ได้ดื่มเลยเหรอครับ?”
“อ๊ะ!  จะ...จะดื่มเดี๋ยวนี้แหละครับ”  เด็กหนุ่มรีบยื่นมือไปหยิบถ้วย  เขามัวแต่นั่งสังเกตนัตสึเมะกับเด็กคนนั้นจนลืมชาถ้วยนี้ไปเลย
หากชายหนุ่มเอื้อมมือมาปิดปากถ้วยไว้  “ไม่ต้องหรอกครับ  ถ้วยนี้ไม่อร่อยแล้ว  เดี๋ยวผมชงให้ใหม่ดีกว่า”
“เอ๊ะ?...อย่าเลยครับ  ผมดื่มได้”  ฟุยุกิรีบบอกปัดด้วยความเกรงใจ
“ให้ลูกค้าดื่มของไม่อร่อยก็เสียชื่อผมแย่สิครับ”  นัตสึเมะหยิบถ้วยแล้วลุกขึ้นยืน  “เมื่อกี้คงมัวแต่ห่วงคิริฮาระจนลืมดื่มให้มั้ยละครับ  เดี๋ยวผมจัดการให้ใหม่  ดื่มของอร่อย ๆ จะทำให้สบายใจกว่านะครับ”
ฟุยุกิอยากจะบอกว่าที่ห่วงคิริฮาระมันก็ส่วนหนึ่ง  แต่เพราะเขามัวแต่แอบฟังบทสนทนาของนัตสึเมะต่างหากถึงได้ลืมดื่มชาถ้วยนั้นไป...แต่ก็พูดไม่ออก  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองจะต้องสนใจมากขนาดนั้นด้วย
นัตสึเมะนำชาถ้วยนั้นไปประยุกต์เป็นชาเย็นและนำมาเสิร์ฟให้ฟุยุกิในเวลาไม่นานนัก
“อาจจะไม่เหมาะกับวันฝนตกแบบนี้เท่าไรนัก  แต่ก็เป็นเมนูหน้าร้อนที่ขายดีนะครับ”
“ไม่ใช่กาแฟเย็นเหรอครับ  ที่ขายดีน่ะ”
“บางทีถ้าร้อนมาก ๆ กาแฟจะให้ความรู้สึกหนักข้นเกินไปครับ  น้ำชาจะเบาและเย็นสบายกว่า  มีคนพูดแบบนี้เยอะเข้าผมก็เลยต้องไปศึกษาเรื่องน้ำชาด้วย  แต่ก็แค่หางอึ่งละครับ”  ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
แต่ถึงเจ้าตัวจะพูดอย่างนั้น  หากฟุยุกิกลับรู้สึกว่าชาที่นัตสึเมะชงให้เขาดื่มแต่ละถ้วยมันอร่อยจริง ๆ  เพราะแม้จะเอาใบชาที่ได้รับจากนัตสึเมะไปชงดื่มเองที่บ้านก็ไม่เคยได้รสชาติแบบนั้นเลย
“แล้วเรื่องงานเป็นยังไงบ้างครับ  ยังเหนื่อยอยู่มั้ย?”  ที่ถามเพราะตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน  ไม่มีวันไหนที่ฟุยุกิไม่บ่นเรื่องการทำงาน  เด็กจบใหม่และเพิ่งเข้าทำงานส่วนมากก็เป็นแบบนี้ทุกคน  การจะปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร
“มันก็...”  ฟุยุกิคิดถึงเรื่องที่ทำงาน  ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย  เขายังคงทำงานช้าและงุ่มง่ามเหมือนเคย  เพียงแต่ดูเหมือนหัวหน้าจะดุเขาน้อยลง  นั่นอาจเพราะเอือมระอาเขาแล้วก็ได้  “ก็เหนื่อยเหมือนเคยแหละครับ  ผมมันก็ได้แค่นี้  แต่ยังดีที่พอเลิกงานก็มีเพลงของคิริฮาระซังให้ฟัง  ถ้าเหนื่อยมากก็ยังมีชาที่นัตสึเมะซังให้ไปไว้ชงดื่ม”
“ถ้างั้นก็ดีแล้วครับ  ถ้าชาหมดแล้วก็บอกได้นะครับ”
“เกรงใจน่ะครับ  นัตสึเมะซังบอกร้านให้ผมก็ได้  เดี๋ยวผมไปซื้อเอง”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ  ชาคาโมมายล์จะหาใบชายากนิดหนึ่ง  ส่วนมากที่มีขายจะเป็นชาซองเสียมากกว่า  มันไม่หอมชื่นใจเท่าอย่างเป็นใบชา  ผมน่ะซื้อจากร้านที่คบหากันมานานครับ  ซื้อได้ทีละมาก ๆ ราคาถูกกว่าปกตินิดหน่อย  บางทีก็เลยแบ่งให้คนนั้นคนนี้ไปบ้าง  เมื่อกี้ก็ให้โทโมกิคุงไป”
ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของนัตสึเมะเสียดเข้าไปในใจของฟุยุกิ  ทำให้อยากจะเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกไป
“เอ้อ...คนคนนั้น...สนิทกันเหรอครับ  เห็นเขาพูดถึงคิริฮาระซังด้วย...”
นัตสึเมะเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย  แต่นั่นทำให้ฟุยุกิลนลานขึ้นมาทันที
“อ๊ะ!  คือ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะครับ  แค่เห็นท่าทางเขาคุ้นเคยกับนัตสึเมะซังมาก  ก็เลย...แล้วก็ได้ยินชื่อคิริฮาระซังด้วย  ก็เลย...เลย...”
นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางของฟุยุกิ  เป็นเด็กที่ซื่อและโกหกไม่เก่งเลยจริง ๆ
“ไม่ได้สนิทมากนักหรอกครับ  พอดีว่าเป็นคนรู้จักของคิริฮาระ  ผมก็เลยรู้จักไปด้วย  ที่จริงลูกค้าบางส่วนของผมจะเป็นคนรู้จักของคิริฮาระน่ะครับ  ผมก็ได้อาศัยเครือข่ายตรงนี้ไปด้วย  แต่ก็มีไม่มากนักที่จะแวะเวียนมาบ่อย ๆ  โทโมกิคุงก็นาน ๆ จะแวะมาสักครั้ง  แค่เฉพาะตอนที่เหนื่อยจนไม่ไหวแล้วจริง ๆ เท่านั้นน่ะครับ”
“เหนื่อยจนไม่ไหวเหรอครับ?”
“เหมือนอย่างคุณนั่นแหละครับ  ร้านของผมก็แค่ที่พักเหนื่อย  ผมก็แค่คนคอยรับฟังแล้วคอยชงเครื่องดื่มอร่อย ๆ ไว้ต้อนรับ  แต่ถ้าใครแวะเข้ามาแล้วมีพลังกลับไปสู้ต่อได้ผมก็ดีใจละครับ”
ฟุยุกิหรุบตาลงมองแก้วชาที่มีหยดน้ำเกาะพราว  “ผมไม่ได้เหนื่อยจนไม่ไหวหรอกครับ  ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้ว  เรื่องของผมมันก็แค่เรื่องเล็ก ๆ กระจอก ๆ ที่จัดการได้ง่าย ๆ เท่านั้นเอง”
“ความเหนื่อยของแต่ละคนมีขีดจำกัดที่แตกต่างกันไปนะครับ  อย่างผมเนี่ยเป็นพวกทำอะไรทีละหลาย ๆ อย่างไม่ได้  แต่เรื่องตื่นเช้านี่สบายมาก  ในขณะที่คิริฮาระน่ะทำอะไรพร้อม ๆ กันได้ตั้งร้อยแปดอย่าง  ทั้งบริหารร้านทั้งเล่นดนตรี  แต่ถ้าให้ตื่นเช้าติดกันสักสามวันก็พับแล้วละครับ”  นัตสึเมะเผาเพื่อนพลางหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ  “อาริโยชิคุงก็เหมือนกัน  อาจจะเหนื่อยกับงานที่ใคร ๆ เห็นว่าง่าย  แต่อาจจะจัดการกับเรื่องยากของคนอื่นได้ง่าย ๆ ก็ได้นะครับ”
“แต่...ผมไม่เคยทำอะไรนอกจากเรียนหนังสือเลยนะครับ”  ฟุยุกิบีบมือตัวเอง  “...แถมยังเรียนไม่ได้ความด้วย”
ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าพลางครุ่นคิด  เด็กคนนี้ไม่มีความมั่นใจอะไรในตัวเองเลย  เขาเติบโตมาในสภาพไหนกันนะ  เหมือนอยู่ภายใต้ความกดดันตลอดเวลาจนไม่กล้ากระดิกตัว...สภาพอย่างนี้...ช่างแสนคุ้นตา
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะครับ  ตอนนี้ดื่มชาให้สบายใจก่อนดีกว่า”  นัตสึเมะเลื่อนแก้วชาไปใกล้ฟุยุกิ  “เดี๋ยวนอกจากจะชืดไปครั้งนึงแล้วน้ำแข็งจะละลายอีก  มันจะเสียใจแย่นะครับ”
“ครับ...”  เด็กหนุ่มดูดชาจากหลอดแล้วระบายลมหายใจยาว  สีหน้าดูปลอดโปร่งขึ้น  “อร่อยจังครับ  นี่ขนาดเอาชาชืด ๆ ไปทำใหม่นะครับเนี่ย”
“ใช่มั้ยล่ะครับ  ปรับแก้แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง”  นัตสึเมะยิ้มกว้าง  “ชีวิตคนเราก็เหมือนชาชืด ๆ นั่นแหละครับ  เมื่อไรที่รู้สึกว่ามันไม่อร่อยแล้วก็ลองเติมอะไรเข้าไปดู  มันก็จะดีขึ้นเองละครับ”
“เติมอะไร...?”
“ก็พวกน้ำตาล  น้ำเชื่อม  ไซรัป  น้ำผึ้ง  นม...”
“ไม่ใช่ครับ  หมายถึงชีวิต”
“อ๋อ...ก็พวกอะไรใหม่ ๆ ที่อยากทำหรือยังไม่เคยทำน่ะครับ”
“แล้ว...ผมควรจะทำอะไรดีล่ะครับ?”
นัตสึเมะนิ่งอึ้งไปนิดหน่อย  ก่อนจะอดอมยิ้มกับดวงตากลมโตที่จ้องตรงมาและคำถามอันแสนซื่อนั้นไม่ได้
“เรื่องนี้...อาริโยชิคุงต้องไปค้นหาเครื่องเติมเองแล้วละครับ  ผมมีสูตรของผมแต่ไม่ใช่จะเหมาะกับทุกคนเสมอไป  ได้แค่แนะนำละครรับ”
คิดเอาเองงั้นหรือ...ฟุยุกิขมวดคิ้วมุ่น  แต่ไหนแต่ไรมา  ไม่เคยมีใครพูดกับเขาอย่างนี้มาก่อนเลย  ทั้งพ่อและพวกพี่ชายจะคอยบอกอยู่เสมอว่าเขาควรทำอะไรหรือต้องทำอะไร  และเขาก็เพียงแค่เดินไปตามทางที่ทุกคนชี้บอกให้เท่านั้น  ไม่ว่าจะเรื่องคณะที่เลือกเรียนหรืองานที่ทำอยู่ในตอนนี้  คนที่บ้านก็เลือกให้ทั้งสิ้น  กระทั่งเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ทุกวันนี้ก็เถอะ...ก็ยังมีคนคอยจัดการให้
หัวข้อ: Re: Lock on You 02 (รีโพสต์) 15-12-57
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 24-12-2014 21:32:57
แล้วนัตสึเมะมาบอกให้เขาคิดเอาเอง...เขาจะทำได้หรือ...
นัตสึเมะสังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วก็พอจะเข้าใจความรู้สึก
“ไม่ต้องตอนนี้ก้ได้ครับ  ไม่ต้องรีบ  ค่อย ๆ ลองคิดดู...รีบมากเกินไปจะได้ชาที่ไม่อร่อยนะครับ”
“...ครับ”  ฟุยุกิพยักหน้าน้อย ๆ  “แต่...ผมไม่มั่นใจเลย  ผมจะทำได้จริง ๆ เหรอครับ”
“ต้องได้สิครับ”  นัตสึเมะจ้องตาเด็กหนุ่มแล้วยิ้ม  “คนที่เดินออกมาจากเส้นทางที่พ่อเลือกให้อย่างผมแนะนำทั้งที  คุณต้องทำได้แน่ครับ”
“เอ๊ะ?”
ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะได้ถามอะไรต่อ  ก็พอดีมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเข้ามา  ท่าทางจะสนิทสนมกับนัตสึเมะเป็นอย่างดีเสียด้วย  ค่าที่ว่ารีบเรียกตัวชายหนุ่มไปคุยกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว  เด็กหนุ่มจึงถือโอกาสนี้ขอตัวกลับก่อน...แน่นอนว่านอกจากนัตสึเมะจะไม่ยอมคิดค่าน้ำชาแล้วยังย้ำถึงการบ้านแสนยากที่ฝากไว้ให้คิดอีกด้วย

...

หลังจากปิดร้านและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว  นัตสึเมะก็เตรียมชงกาแฟไอริชสูตรพิเศษให้ตัวเอง  ส่วนผสมที่คุ้นเคยถูกนำมาวางเรียงบนเคาน์เตอร์ครับที่อยู่ในที่พักด้านหลังร้าน  น้ำกาแฟสีเข้มถูกกลั่นออกจากเครื่องด้วยผงกาแฟที่น้อยกว่าปกติ  ชายหนุ่มไม่อยากดื่มกาแฟเข้มมากนักในช่วงค่ำแบบนี้  เขาดื่มกาแฟไอริชเพื่อให้หลับง่ายขึ้น  ดังนั้นถ้ากาแฟเข้มเกินไปจะทำให้ตาค้างไปทั้งคืนเสียมากกว่า
น้ำตาลทรายสองช้อนโรยตัวลงในแก้วไวน์ทรงสูงตามมาด้วยเหล้าวอดก้าสามฝา  นัตสึเมะบรรจงนำแก้วไวน์นั้นไปลนกับเปลวของตะเกียงแอลกอฮอล์ช้า ๆ จนเหล้าและน้ำตาลละลายเข้ากันดี  ก้นแก้วกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้เพราะผ่านความร้อนมาวันแล้ววันเล่า...คงถึงเวลาเปลี่ยนแก้วใหม่เสียที  ชายหนุ่มรินกาแฟลงไปผสมกับของเหลวที่ก้นแก้วแล้วบีบวิปครีมที่ด้านบนเล็กน้อย
กาแฟสูตรสำหรับให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในฤดูหนาวแก้วนี้ไม่เหมาะกับฝนต้นฤดูร้อนเท่าไรนัก  แต่นี่เป็นเครื่องดื่มที่นัตสึเมะดื่มติดต่อกันมานับสิบปีแล้ว  ไม่ใช่เพื่อความอบอุ่น...แต่เพื่อให้หลับลงได้โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
จริงอยู่ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้หลับง่ายกว่ากาแฟที่มีส่วนผสมและวิธีการชงยุ่งยากแบบนี้  แต่นัตสึเมะก็ชอบกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  หากเขาก็ยอมรับกับตัวเองว่าติดแอลกอฮอล์  ดูได้จากปริมาณวอดก้าและจำนวนแก้วที่ดื่มต่อวันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่ชายหนุ่มกำลังละเลียดกาแฟที่เต็มไปด้วยฤทธิ์ร้อนของวอดก้า  เขาวางแก้วลงพลางถอนใจ...คงจะเป็นเธอคนนั้นอีกกระมัง...
หากคนที่อยู่อีกฟากของประตูกลับผิดไปจากที่คาด
“โย่  นัตสึเมะ”
“คิริฮาระ?”  ผู้เป็นเจ้าของบ้านเลิกคิ้ว  “คุณพ่อปล่อยมาได้ยังไงล่ะเนี่ย?”
“วันนี้ฉันต้องไปเช็คสต็อคที่ร้านน่ะสิ  ขืนไม่ไปจิวจังต้องไปล่าฉันถึงบ้านแน่ ๆ  ขนาดวันนี้ยังถึงกับโทรไปหาคุณพ่อโดยตรงเลยนะ  คุณพ่อก็เลยให้มาเนี่ย”  ชายหนุ่มผมแดงถือวิสาสะเข้ามาในบ้านโดยไม่รอคำเชิญ  “ขอกาแฟสักถ้วยสิ”
“ได้สิ  รอแป๊บนะ”  นัตสึเมะปิดประตูแล้วตรงไปที่เคาน์เตอร์ครัวก่อนจะจัดการชงกาแฟให้ตามที่เพื่อนขอ
คิริฮาระนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวซึ่งแก้วไวน์ใส่กาแฟของนัตสึเมะยังตั้งอยู่ตรงนั้น
“นี่แก้วที่เท่าไรของวันน่ะ?”
“สาม”  นัตสึเมะตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ดื่มสามเวลาหลังกอาหารเรอะ?”  น้ำเสียงนั้นเหน็บแนมและประชดประชัน
“ยังมีก่อนนอนอีกแก้วนะ”  เสียงตอบมาปนหัวเราะ
“เขาด่าแล้วยังไม่สำนึกอีกแน่ะ”  คิริฮาระบ่นอุบอิบ
“วันนี้...”  นัตสึเมะเปลี่ยนเรื่องพูด  “อาริโยชิคุงแวะมาถามหานายแน่ะ  เห็นว่าหายไปหลายวันเลยเป็นห่วง”
กาแฟถ้วยเล็กหอมกรุ่นถูกวางลงตรงหน้าผู้เป็นเพื่อนรัก
“อาริโยชิ...อ๋อ  เด็กนั่น...แล้วนายบอกไปว่าไง?”
“ก็บอกว่านายโดนเรียกตัวไปซ้อมดนตรีน่ะสิ”  นัตสึเมะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม  “พอรู้แบบนี้ก็ดูสบายใจนะ  ท่าทางจะหลงนายเข้าเต็มเปาเชียวละ”
“อ๊ะ  แน่ละ  นี่ท่านคิริฮาระเชียวนะ”  คิริฮาระทำท่าสะบัดเรือนผมสีแดงอย่างไว้ตัว
นัตสึเมะหัวเราะ  “จะอ้วก”
“เชิญที่ห้องน้ำครับ”  ไม่พูดเปล่ายังผายมือไปทางห้องน้ำอีกด้วย
นัตสึเมะทำเป็นไม่สนใจท่าทางนั้น  “แล้วก็...โทโมกิคุงก็แวะมานะ”
คิริฮาระชะงัก  “โทโมกิคุงเหรอ?...ว่าไงมั่ง  วายะเป็นยังไงบ้าง?”
นัตสึเมะส่ายหน้า  “ก็เหมือนเดิม  ยังไม่รู้สึกตัว  ไม่มีการตอบสนอง  เพียงแต่ตอนนี้โทโมกิคุงเรียนจบแล้วเลยรับหน้าที่ดูแลเองเกือบทั้งหมด  ก็เลยเหนื่อยมากหน่อย...มาปรับทุกข์น่ะ”
“เจ้าบ้านั่นนอนนานเหลือเกิน...”  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ซึมลงเมื่อคิดถึงคนที่เคยเป็นทั้งเพื่อนและเปรียบเสมือนพี่ชายอีกคน  “ลำบากโทโมกิคุงเขาแย่”
“ปัญหาที่สมองมันต้องอาศัยเวลาฟื้นฟูนานนะ”
“น่าสงสารโทโมกิคุง  ดูแลเจ้าชายนิทรานี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ  อยากไปกระชากคอเขย่าปลุกให้มันฟื้นจริง ๆ”
“คนที่บอกให้โทโมกิคุงมีความหวังคือนายนะ  ไม่ต้องห่วงหรอกน่า  โทโมกิคุงจะต้องผ่านมันไปได้แน่  เขาเข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิดเยอะ  เขาต้องมีวิธีแก้ปัญหาของเขาเองแน่”
“นั่นสินะ...ที่ผ่าน ๆ มามันแย่กว่านี้ตั้งเยอะ”  คิริฮาระค่อยผ่อนคลายลง  “ว่าแต่ปัญหาของนายเถอะ  เมื่อไรจะจัดการซะ  จะได้เลิกติดเหล้าเสียที”
“หยาบคาย  ฉันติดกาแฟหรอก”  พูดพลางยกแก้วกาแฟขึ้นมาให้ดูเป็นการยืนยัน
“กาแฟบ้านแกสิ  ใส่วอดก้าสามฝา”  คิริฮาระทำตาเขียวใส่
“เอาน่า...ปัญหาของฉันมันยังไม่ถึงเวลาแก้  ตัวเองแก้ปัญหาได้แล้วก็อย่ามาเร่งคนอื่นเขาสิ  ฉันไม่อยากแก้ปัญหาด้วยวิธีบ้าระห่ำจนทำให้ใครต้องร้องไห้อย่างนายหรอก  ยิ่งวิธีขูดเนื้อเถือหนังตัวเองฉันยิ่งไม่เอาด้วยใหญ่เลย”  นัตสึเมะพูดพลางทำหน้าเบ้ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด  “ว่าแต่...รู้หรือเปล่าว่าตัวปัญหาของนายเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“โฮ้ย  รู้เสียยิ่งกว่ารู้  ฉันแวะไปหามันบ่อย ๆ แทบจะทุกอาทิตย์เลยด้วย”  คิริฮาระว่าพลางทำตาเป็นประกายวิบวับด้วยความสนุกสนาน
“โหดร้ายว่ะ”  ถึงจะพูดแบบนั้นแต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่ได้บอกเลยว่าหมายความตามคำพูด
“มันก็ดีใจทุกครั้งที่ฉันไปเยี่ยมนะ  แต่พอฉันเริ่มถอดเสื้อผ้าต่อหน้ามัน...มันก็กรีดร้องเหมือนโดนเชือดเลยละ”  แววตาของคิริฮาระเป็นประกายเหมือนเสือร้าย  เต็มไปด้วยความสาแก่ใจ
“ทำขนาดนั้นเลย?  นั่นมันผู้ป่วยจิตเวชนะนั่น”
“มันทำกับฉันไว้มากกว่านี้อีก”  หางเสียงกระชากคล้ายจะขุ่นเคือง  “มันทรมานฉันมาตั้งไม่รู้กี่ปี  ทำลายชีวิตฉันทั้งชีวิต  ทำจนฉันเกือบกลับมาเป็นตัวเองไม่ได้...นายไม่เห็นนี่  นัตสึเมะ  สภาพมันที่กรีดร้องดิ้นรนอยู่บนรถเข็น  ตะเกียกตะกายจะเข้ามาหาฉัน  จ้องมองฉันในชุดทาสตาแทบทะลักออกจากเบ้า  กระหายหื่นอยากในตัวฉันจนฉี่ราดแต่ทำอะไรไม่ได้...ทำอะไรไม่ได้แล้ว  ของของมันใช้การไม่ได้แล้ว  แค่จะลุกจากรถเข็นก็ยังทำไม่ได้  ได้แต่กระเสือกกระสนเหมือนหนอนแมลงอยู่ตรงหน้าฉัน  เอื้อมมือมาไขว่คว้าฉันแต่ไม่อาจแตะต้องได้...สะใจเป็นที่สุด”
นัตสึเมะไม่ได้พยายามห้ามสิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากปากของคิริฮาระ  เขารู้จักคิริฮาระมานานพอที่จะเข้าใจความคับแค้นที่มีต่อผู้ชายคนหนึ่งเป็นอย่างดี
ผู้ชายคนนั้นชื่อ  คิริฮาระ  เรอิจิ...ซึ่งเป็นอาแท้ ๆ ของคิริฮาระ  ยู
หากอาแท้ ๆ ผู้นี้เองที่ได้ยัดเยียดความรักอันวิปริต...ข่มขืนกระทำชำเราคิริฮาระมาตั้งแต่อายุเก้าขวบ  การกระทำของเรอิจิส่งผลต่อชีวิตของคิริฮาระมากมาย  การถูกข่มขืนต่อเนื่องกันนานปีทำให้คิริฮาระกลายเป็นคนที่มีรสนิยมทางเพศแบบกามวิปริตชอบความรุนแรงหรือที่เรียกกันว่า SM อย่างช่วยไม่ได้  เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น  ฮาร์โมนที่เปลี่ยนแปลงกับรสนิยมทางเพศเช่นนี้  ประจวบกับที่เรอิจิต้องออกเดินทางแสดงคอนเสิร์ตอยู่บ่อย ๆ จนไม่มีเวลาให้  ผลักดันให้คิริฮาระต้องขายตัว  และในตอนที่นัตสึเมะกำลังห่วงว่าการกระทำเช่นนั้นอาจนำอันตรายมาสู่คิริฮาระได้  ก็เหมือนสวรรค์โปรดให้คิริฮาระได้พบกับวายะ  ชุน  การพบกันครั้งนั้นนำคิริฮาระไปสู่วงการนายแบบ SM ภายใต้สังกัดบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลที่สุดในวงการใต้ดิน  ลูนาติก  ลัสท์  และหนีจากเรอิจิออกจากบ้านมาใช้ชีวิตตามลำพังได้
ด้วยเสน่ห์เย้ายวนอันเปี่ยมล้นและบุคลิกท่าทางที่โดดเด่น  ทำให้คิริฮาระขึ้นสู่การเป็นนายแบบระดับ TOP 5 อย่างรวดเร็วและคงอยู่ในตำแหน่งนั้นกระทั่งร้างลาจากวงการไป  แต่ในตอนที่เขากำลังรุ่งโรจน์  เรอิจิก็หวนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความปรารถนาที่จะครอบครองคิริฮาระไว้เป็นของตนคนเดียวอย่างแรงกล้า  ถึงขนาดส่งภาพถ่ายและภาพยนตร์ที่คิริฮาระนำแสดงไปที่มหาวิทยาลัย  ทำให้คิริฮาระต้องถูกไล่ออก
หากคิริฮาระไม่ยอมจำนน  ในห้วงแห่งความสิ้นหวังนั้น  ชายหนุ่มตัดสินใจเผชิญหน้ากับเรอิจิและจัดการกับความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยงถึงขึ้นแตกหัก...ผลลัพธ์ก็คือ  เรอิจิพิการท่อนล่างจนต้องใช้ชีวิตบนเก้าอี้รถเข็นไปตลอดกาล  ส่วนคิริฮาระถึงกับเสียสติไปหลายเดือน
ดังนั้น  นัตสึเมะจึงไม่เคยห้ามเลยที่คิริฮาระจะใช้โอกาสของตัวเองเอาคืนและทรมานเรอิจิให้เจ็บแสบที่สุด  แค่ความเครียดจากความพิการก็แย่พออยู่แล้ว  เมื่อถูกกดดันจากการยั่วยวนและหยามหยันของหลานชายสุดที่รัก  เรอิจิก็สุดจะครองสติไว้ได้  ในที่สุดทางครอบครัวก็ต้องส่งตัวเข้าสถานบำบัดทางจิตเวชระยะยาวโดยคิดว่าเรอิจิเสียสติไปเพราะสูญเสียร่างกายท่อนล่างและชีวิตบนเส้นทางดนตรี...ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากคิริฮาระ
“หมอก็คงสงสัยเหมือนกันแหละว่าทำไมอาการของมันถึงทรง ๆ ทรุด ๆ ไม่ดีขึ้นเสียที  แล้วที่โรง’ บาลก็ดีนะ  เขาให้เวลาส่วนตัวเยอะดี  แล้วก็ดีตรงที่มันมักจะอาการดีขึ้นมากระหว่างที่ฉันไม่ไปเยี่ยม  หมอเขาก็เลยไว้ใจให้เวลาฉันอยู่กับมันตามลำพังเสียนาน  ฉันเลยเล่นซะเปรมไปเลย”  คิริฮาระเล่าพลางจิบกาแฟ
“เดี๋ยวหมอเขาก็จับได้กันพอดี”  นัตสึเมะแกล้งแหย่
“ไม่มีทาง...หรือถ้าจะจับได้จริงฉันก็จะไม่ไปหามันสักพัก  หรือถ้ามันจะอาการดีขึ้นจนออกจากโรง’ บาลได้...คราวนี้ละ  นรกของจริงรอมันอยู่”  ชายหนุ่มยิ้มเย็นหากดวงตาลุกโชน  “ที่ผ่านมาก็แค่ช่วยตัวเองต่อหน้ามัน  ถ้ามันออกมาได้ละก็...เล่นเซ็กส์โชว์ต่อหน้ามันเลยเป็นไง?”
“ไม่ต้องมามองฉัน  ไปชวนคนอื่นเลยไป”  นัตสึเมะโบกมือไล่ความคิดแผลง ๆ นั่น  แอบภาวนาอยู่ในใจให้เรอิจิอยู่ในสถานบำบัดไปจนตายจะดีกว่า
“ใครบอกจะชวนนาย  นี่ถ้าวายะอยู่ฉันต้องชวนวายะแหงอยู่แล้ว  อืม...ช่วงนี้มีเด็กเก่ง ๆ ที่น่าสนใจมั้ยน้า...”  คิริฮาระทำท่าเหมือนจะคิดอะไรไปไกล
“หยุด!  ท่านคิริฮาระ  ดึกแล้วครับ  เชิญไสหัวไปทำงานได้แล้ว  เดี๋ยวถ้าต้องโต้รุ่ง  พรุ่งนี้จะซ้อมดนตรีไม่ไหวนะครับ  กระผมก็จะพักผ่อนแล้วครับ”  นัตสึเมะตัดบทเอาดื้อ ๆ
“ไล่เลยเหรอเนี่ย  ใจร้ายว่ะ”  คิริฮาระบ่นแต่ก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมด  “คนเขากำลังสนุกแท้ ๆ”
“นายสนุกของนายไปคนเดียวเถอะ”
“แค่นิดหน่อยน่า  เอาละ...ขอบใจที่เลี้ยงกาแฟนะ”  คิริฮาระลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปที่ประตู  “อ้อ  ไว้ถ้าได้ตั๋วคอนเสิร์ตแล้วจะเอามาให้นะ”
“อื้ม  จะรอ”  นัตสึเมะเดินตามไปส่งเพื่อนที่ประตูบ้าน
“แล้วอีกอย่าง...”  คิริฮาระหันขวับมาจนหน้าแทบจะชนหน้านัตสึเมะ  “กาแฟถ้วยก่อนนอนน่ะ...งดซะ  รีบ ๆ ไปอาบน้ำแล้วเข้านอนไปซะ  นายดื่มมากเกินไปแล้ว  เจ้าขี้เหล้า”
นัตสึเมะเพียงแต่ยิ้ม  “จะพยายามนะ”
คิริฮาระทำหน้ามุ่ย  “ฉันไม่เคยเชื่อไอ้คำว่าจะพยายามของนายเลยสิน่า  แต่เอาเถอะ...แล้วเจอกันนะ”
“อื้ม  แล้วเจอกัน”
นัตสึเมะมองส่งผู้เป็นเพื่อนกระทั่งหายลับไปในเงามืด  บ้านของเขาเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองที่คิริฮาระพึงจะกลับมาเสมอ  ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ร้านกาแฟแห่งนี้หรือที่บ้านพ่อของเขาก็ตาม  ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อตอนอยู่มัธยมต้น  คิริฮาระก็ใช้บ้านของเขาเป็นที่พักใจเวลาที่มีปัญหากับเรอิจิหรือตอนที่บาดเจ็บจากการขายบริการเสมอ  ทำให้นัตสึเมะรู้ความเป็นมาเป็นไปของคิริฮาระโดยตลอด  จนกล้าพูดได้เต็มปากว่าเขารู้จักคิริฮาระคนปัจจุบันนี้ดีกว่าใคร...หลายครั้งที่ได้ตระกองกอดไว้ในค่ำคืนแห่งความปรารถนา  หลายครั้งที่เคยเยียวยาทั้งแผลกายและแผลใจให้  ใกล้ชิดกันจนคิริฮาระยังเคยเอ่ยปาก
...ทำไมฉันถึงไม่รักนายซะนะ...ในเมื่อถ้าเป็นอย่างนั้น  อะไร ๆ ก็จะง่ายกว่านี้แท้ ๆ...
ไม่ใช่นัตสึเมะไม่เคยคิด  แต่เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่มีวันพัฒนาไปในทางนั้น...พวกเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกันในลักษณะนั้น  พวกเขาผูกพันกันใกล้ชิดเสียจนเหมือนกับว่าคิริฮาระเป็นพี่น้องที่ไปอาศัยท้องคนอื่นเกิด...ไม่ใช่สิ  บางทีอะไรที่เรียกว่า  SOUL MATE  อาจจะหมายถึงความสัมพันธ์ลักษณะนี้ก็ได้
ชีวิตของคิริฮาระลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด  คนเฝ้าดูอย่างนัตสึเมะต้องคอยลุ้นใจหายใจคว่ำทุกทีไป  แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่เขายุ่งอยู่กับตัวเองจนไม่มีเวลาไปสนใจคิริฮาระ
ชายหนุ่มกลับเข้าบ้านไปดื่มกาแฟของตัวเองต่อพลางคิดถึงการทำงานวันพรุ่งนี้  ตอนเช้าต้องออกไปซื้อขนมปังกับผักสดสำหรับทำแซนวิช...แฮมยังมีเหลืออยู่  ชีสล่ะ...น่าจะเหลือน้อยแล้ว  พรุ่งนี้แวะไปซื้อมาด้วยเลยดีกว่า...
คิดไปได้แค่นั้น  เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น  คราวนี้นัตสึเมะถอนใจยาว  ผู้มาเยือนคนนี้ต้องไม่ใช่คิริฮาระที่ย้อนกลับมาดูว่าเขาดื่มกาแฟก่อนนอนหรือไม่แน่  ชายหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มจนหมด  รสชาติหวานหอมร้อนแรงของวอดก้าผสมน้ำตาลที่เหลืออยู่ก้นแก้วล่วงผ่านลำคอและทิ้งร่องรอยไว้ที่ปลายลิ้น
เมื่อเปิดประตูออกก็พบหญิงสาววัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าสวยหรู  แม้จะล่วงเข้าวัย 40 แล้วแต่ใบหน้างดงามนั้นยังแลดูอ่อนกว่าวัยอยู่มากด้วยเจ้าตัวหมั่นดูแลตัวเองอยู่เสมอ  เรือนผมจัดทรงอย่างดี  มีสีสันแต้มแต่งดวงหน้าอย่างประณีต
“จะไปงานเลี้ยงเหรอครับ  เคย์โกะซัง?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ
“ว่าจะไป  แต่ไม่ไปแล้ว”  ใบหน้าสวยงอง้ำ  เดินกระแทกส้นเท้าปึงปังเข้ามาในบ้านอย่างไม่กลัวส้นสูง 4 นิ้วจะหัก
“ทะเลาะกับคุณพ่ออีกแล้วสินะครับ”  นัตสึเมะปิดประตูตามหลังแล้วใส่กลอน
“น่าโมโหสิ้นดี!  กะแค่ไปงานเลี้ยง  มันเรื่องอะไรต้องให้ฉันไปรถคนละคันด้วยล่ะ!?”  เคย์โกะใส่อารมณ์ทันที
“ไม่ใช่คุณเสริมสวยนานเกินไปเหรอครับ?”  ชายหนุ่มแกล้งแหย่  แต่ที่พูดมันก็เรื่องจริง
“เหอะ!  ไม่อยากควงฉันออกหน้าออกตาซะมากกว่า”  แววตาของเจ้าหล่อนเป็นประกายวาบ  “ตั้งสิบกว่าปีแล้ว  เขารู้กันไปทั้งโลกแล้วละย่ะ!”
นัตสึเมะเพียงแต่ยิ้มอยู่ในสีหน้า  “แล้วฮารุกะล่ะครับ?”
“นั่นเขาพาไปด้วย  ยังดี  ยังยอมให้ลูกสาวนั่งรถคันเดียวกัน”  สีหน้าเวลาพูดถึงลูกสาวดูอ่อนลง
“ให้ฮารุกะไปคุมก็ดีแล้วนี่ครับ  จะได้ไม่มีสาว ๆ กล้าเข้ามาใกล้คุณพ่อ”
“พูดยังกับฮารุกะจะทำได้งั้นนี่  ขนาดพี่ชายเธอยังไม่เคยทำได้เลย”  น้ำเสียงนั้นประชดประชัน
“อากิโตะไม่ทันคนหรอกครับ  แต่ฮารุกะน่ะเป็นลูกสาวเคย์โกะซังเชียวนะครับ”
“หมายความว่ายังไงยะ!?”  เคย์โกะหันมาแว้ดทันที
“ก็หมายความอย่างที่พูด...ว่าแต่  อุตส่าห์แต่งตัวสวยออกอย่างนี้  ไม่ไปเที่ยวต่อเหรอครับ?”  นัตสึเมะเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย
“หมดอารมณ์จะไปไหนแล้ว  เลยมาหาเธอเนี่ย”  พูดแล้วท่าทีแข็งกระด้างของเคย์โกะก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง  เธอเดินนวยนาดมายกสองแขนโอบรอบลำคอร่างสูงไว้  “นี่...มีอะไรทำให้ฉันเมาได้บ้างมั้ย?”
“ถ้าอยากดื่มเหล้าก็ต้องไปโฮสต์คลับละครับ  ที่บ้านผมไม่มี”
“โกหก  เธอมีวอดก้าติดบ้าน  ฉันรู้นะ”  เคย์โกะทำน้ำเสียงดื้อดึงเหมือนเด็กสาว
“ถ้าคุณดื่มวอดก้าเพียว ๆ ได้ก็โอเค  ผมไม่มีอะไรจะผสมให้นะครับ”  นัตสึเมะยักไหล่
“ใจร้าย  น้ำผลไม้อะไรก็ไม่มีเลยเหรอ  แล้วเธอเอาไว้ผสมอะไรเนี่ย?”
“ก็ผสมกาแฟไงครับ”
“แหยะ  กาแฟหวาน ๆ นั่นน่ะเหรอ”  เคย์โกะทำท่าขนลุก  เธอเคยลองกาแฟของนัตสึเมะแล้วไม่ถูกปากเอาเสียเลย  เธอชอบของหวานแต่กาแฟหวาน ๆ นี่ยังไงก็ดื่มไม่ได้
“ก็ผมชอบนี่นา”  ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่แยแส
“ไม่มีของกินให้เมาก็ไม่เป็นไร”  เคย์โกะทำเสียงอ่อนเสียงหวานพลางช้อนตาขึ้นมองนัตสึเมะ  “เธอทำให้ฉันเมาหน่อยสิ...ด้วยตัวเธอน่ะ...”
“หึ...ผมไม่ใช่โฮสต์นะครับ”
แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ชายหนุ่มก็โอบรอบเอวบางและรั้งเธอเข้ามาใกล้  แม้จะไม่ยินดียินร้ายกับเสน่ห์หอมหวานที่เธอหว่านโปรยก็ยังแนบริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มที่แต้มลิปสติกสีสวยไว้  แม้จะไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยก็ยังตอบสนองทุกการเรียกร้องของเธอให้
คงต้องขอบคุณกาแฟไอริชทุกแก้วที่ดื่มเข้าไป  ที่ทำให้หัวใจของเขาด้านชาได้ถึงเพียงนี้...

...

กามกิจอันเร่าร้อนจนแทบจะแผดเผาหญิงสาวให้มอดไหม้เป็นจุณผ่านพ้นไป  นัตสึเมะลงมาที่ห้องครัวเมื่อเคย์โกะหลับสนิทอยู่บนเตียงของเขา
ชายหนุ่มชงกาแฟไอริชสูตรพิเศษให้ตัวเองและเพิ่มวอดก้าลงไปอีกฝา  ถ้าคิริฮาระรู้จะต้องโดนดุแน่...เขายิ้มกับตัวเอง  แต่ในค่ำคืนที่รอบกายจะอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนนั้น  เขาอยากจะหลับไปโดยไม่ต้องรับรู้ถึงคนข้างกาย  ไม่ต้องรับรู้ถึงการกระทำของตน  ไม่ต้องรับรู้ถึงความผิดบาป...ว่าตนมีความสัมพันธ์กับใคร...


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 04 (รีโพสต์) 24-01-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 24-01-2015 22:20:35
ไม่มาอัพตั้งเดือนแน่ะครับ มาอัพแล้วนะครับ จวนจะพ้นส่วนที่รีโพสต์แล้ว (ครั้งก่อนลงไว้ 5 ตอน)
ช่วยติดตามกันต่อด้วยนะครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 04

“เบื่อ!  เบื่อจะตายอยู่แล้ว!”  คิริฮาระฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์แล้วงอแง

“เด็ก ๆ ทำมันก็น่ารักอยู่หรอกนะ  คิริฮาระ”  นัตสึเมะว่าพลางตวงผงกาแฟใส่เครื่องชงให้อย่างไม่สนใจ

“ก็มันเบื่อนี่  ซ้อมอะไรกันนักหนา  วัน ๆ ได้เจอแต่ตาแก่วัยใกล้เกษียณทั้งนั้น  ไม่มีหนุ่ม ๆ มาให้เป็นอาหารตาอาหารใจบ้างเล้ย”  คิริฮาระบ่นกระปอดกระแปด

“นายก็บ่นแบบนี้ทุกปีแหละ”  นัตสึเมะวางถ้วยเอสเปรสโซที่มีคุกกี้สองชิ้นวางไว้บนจานรองแก้วลงตรงหน้าผู้เป็นเพื่อน  “แล้วนี่นายมีรสนิยมชอบกินเด็กตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“ตั้งแต่รู้ว่าวายะมันกิ๊กกับโทโมกิคุงนั่นแหละ  ก็เลยแอบเหล่เด็กบ้าง  หลอกมากินบ้าง”  คิริฮาระว่าพลางจิบกาแฟ  “ฮื้อ~  หอมสะท้านใจ”

“ฉันจะฟ้องซาคากิซัง  ว่านายแอบกินเด็กตอนที่เขาไม่อยู่”

“คิโยฮารุเข้าใจฉันดีอยู่แล้ว  ไม่ว่าอะไรหรอกน่า”  คิริฮาระยักไหล่อย่างไม่ยี่หระต่อคำขู่ของเพื่อน

“แต่กินเด็กมันไม่ใช่เรื่องงานนี่  ฉันว่าเขาต้องว่าแน่”

คิริฮาระทำหน้าไม่แน่ใจ  “จริงอ้ะ?”

“ต้องว่าแน่เลย”  นัตสึเมะยืนยันหนักแน่น

“งั้น...ห้ามบอกนะ”

“งั้นก็เอาค่าปิดปากมาก่อน”  นัตสึเมะแบมือ  “ที่มาวันนี้น่ะ  เรื่องนี้ใช่มั้ยล่ะ”

“แสนรู้จริงจริ๊ง...”  คิริฮาระบ่นพลางล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตหยิบซองกระดาษสีแสดออกมาส่งให้นัตสึเมะ

“ขอบใจ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านกาแฟรับซองมาเปิดออกดู  สิ่งที่อยู่ในนั้นคือตั๋วคอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงของวงออร์เคสตร้าที่คิริฮาระไปร่วมฝึกซ้อมอยู่สองใบ  ชายหนุ่มเลิกคิ้ว  “สองใบ?  ทำไมถึงตั้งสองใบล่ะ?”

“เผื่อนายจะอยากชวนใครไปด้วยไง”

“ฉันเนี่ยนะจะชวนใครไป  นายก็เห็นนี่ว่าฉันไปคนเดียวทุกปี”

“ปีนี้ฉันเลยอยากให้ชวนใครไปด้วยไง  ลูกค้าก็ได้  ฮารุกะจังก็ได้...ยกเว้นตัวปัญหาของนาย  ฉันไม่อยากเห็นหน้า”  คิริฮาระพูดพลางหยิบคุกกี้ใส่ปาก

“เคย์โกะซังเขาไปทำอะไรให้นายไม่ชอบใจ  ฮึ?  เจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ  เก็บซองตั๋วคอนเสิร์ตลงในลิ้นชักที่เคาน์เตอร์

พ่อหนุ่มนักไวโอลินตวัดหางตาจิกผู้เป็นเพื่อน  “ต้องให้อธิบายด้วยเหรอครับ  คุณอิชิกาวะ  นัตสึเมะ”

“อย่ามาเรียกเต็มยศอย่างนี้สิ  ฟังแล้วขนลุก”  นัตสึเมะส่ายหัวดุกดิก  เวลาประชดใครทีไร  ทั้งสีหน้าท่าทางน้ำเสียงและวิธีพูดของคิริฮาระมันจะต้องเป็นตามกันไปหมดจริง ๆ สิน่า...

“ก็อยากแกล้งโง่ทำไม”  คิริฮาระกินคุกกี้แล้วยกกาแฟอึกสุดท้ายดื่มล้างปาก  “ไม่รู้ละ  อย่างขี้เหร่ก็ต้องพาฮารุกะจังไปด้วย  อย่างสวย ๆ ก็ต้องเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายของฉัน  ถ้าไปคนเดียวอีกละน่าดู”

“ที่แท้ก็แค่อยากหาเรื่องตื่นเต้นให้ชีวิตด้วยการรอดูว่าฉันแอบคบใครอยู่หรือเปล่าเท่านั้นสินะ”

“ปล๊าว~”  คิริฮาระทำเสียงสูง  แกล้งทำเป็นไม่รู้ถึงสายตารู้ทันของนัตสึเมะ

ร่างสูงส่ายหน้า...คิริฮาระไม่เคยเปลี่ยนเลยนับจากหลุดพ้นจากพันธนาการอันวิปริตของเรอิจิมา  นักดนตรีหนุ่มทำตัวเป็นแมวเจ้าเล่ห์ซุกซนและดื้อดึงกับเขาเสมอ  แต่เขาก็ชินกับความเอาแต่ใจนี้เสียแล้ว  บางทีถ้าไม่มีคิริฮาระมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ มันคงจะเหงาเสียมากกว่า

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นและลูกค้าวัยทำงานก็เดินเข้ามาในร้าน

“ยินดีต้อนรับครับ”  นัตสึเมะเอ่ยต้อนรับพลางเหลือบดูนาฬิกา...ถึงเวลาของลูกค้าหลังเลิกงานแล้ว  “เดี๋ยวต้องกลับไปซ้อมรอบเย็นอีกใช่มั้ย  คิริฮาระ?”

“ใช่  กำลังว่าจะไปพอดีเลย”  ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วเบ้หน้า  “คืนนี้เลิกดึกอีกแหง  อยากกลับไปเล่นที่ข้างถนนเร็ว ๆ จังน้า”

“จบคอนเสิร์ตแล้วก็เล่นซะให้หายอยากเลยแล้วกัน  คนดูของนายเขารออยู่แน่ะ”  นัตสึเมะหยิบกระดาษจดออร์เดอร์แล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์ไปหาลูกค้าที่โต๊ะ  “ขอบใจสำหรับตั๋วนะ  แล้วฉันจะไม่ฟ้องซาคากิซังว่านายแอบกินเด็กก็แล้วกัน”

“กล้าฟ้องก็ลอง”  คิริฮาระหลิ่วตาใส่อย่างถือดีแล้วลุกจากที่นั่ง  “ไปนะ  แล้วเจอกัน”

“อื้ม  แล้วเจอกัน”

ลูกค้าตอนเย็นไม่คึกคักเหมือนช่วงกลางวันหรือพักเที่ยง  ส่วนใหญ่จะมาตามลำพังหรือเป็นคู่เพื่อพักผ่อนหลังทำงานมาเหนื่อย ๆ  ส่วนพวกที่ยังมีแรงเหลือก็มักจะไปที่ร้านเหล้าเสียมากกว่า  ร้านกาแฟแห่งนี้จึงเป็นเหมือนสถานที่สำหรับผ่อนคลายและแวะเติมพลังก่อนกลับบ้าน  นัตสึเมะเข้าใจตรงจุดนี้จึงปิดร้านค่อนข้างดึก  แม้บางวันจะมีลูกค้าแค่  2 – 3  คนก็ตาม

“ยินดีต้อนรับครับ”  ชายหนุ่มเอ่ยคำทักทายติดปากเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตูขณะที่กำลังล้างแก้วอยู่  ภายในร้านไม่มีลูกค้าเหลืออยู่แล้ว

ผู้ที่เดินเข้าประตูมาคือเด็กหนุ่มในชุดทำงาน  หน้าตาหมองเศร้า

“เป็นอะไรไปครับ  อาริโยชิคุง?”  นัตสึเมะวางมือจากงานแล้วเดินมาหาคนที่เริ่มจะกลายเป็นลูกค้าประจำของเขา

ดวงตาของฟุยุกิหรุบต่ำ  เรือนผมสีดำทิ้งตัวปรกใบหน้า  ปกติเด็กหนุ่มก็ดูไม่สดชื่นอยู่แล้ว  ยิ่งแบบนี้ยิ่งดูหดหู่เข้าไปใหญ่

เมื่อยังไม่มีคำตอบจากสวรรค์  นัตสึเมะก็ตบไหล่ฟุยุกิเบา ๆ แล้วพาไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด  “เชิญทางนี้ดีกว่าครับ  เดี๋ยวผมชงชาอร่อย ๆ มาให้ดื่ม”

ชายหนุ่มปล่อยให้ฟุยุกิสงบสติอารมณ์โดยไม่รบกวน  ระหว่างนั้นเขาก็บรรจงอุ่นนมสดแล้วหยิบใบชาจากในขวดโหลออกมาชงใส่ถ้วย  เมื่อนมอุ่นได้ที่ก็ใช้ไม้ตีไข่ลงไปคนแรง ๆ จนเป็นฟองเนียน  ก่อนจะบรรจงเทลงในถ้วยชา

“เดคอร์  มิลค์ที  ได้แล้วครับ”

เมื่อถ้วยชาถูกางลงตรงหน้า  ดวงตาที่เหม่อซึมเลื่อนลอยของฟุยุกิก็เบิกกว้างขึ้น

“ว้าว  สวยจังครับ!”

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในถ้วยชาคือโฟมนมสีขาวตัดกับน้ำชาสีเข้มวาดเป็นรูปดอกซากุระ

“ผิดฤดูกาลไปหน่อย  แต่ผมวาดใบเมเปิ้ลไม่เป็นเสียด้วยสิครับ”

“ทำได้ยังไงครับเนี่ย  น่ารักจังเลย”  ฟุยุกิจ้องถ้วยชาไม่วางตาด้วยความชื่นชม

“ก็ลองทำแบบเดคอร์  คาปูชิโนดูน่ะครับ  เพิ่งลองทำเป็นครั้งแรกแต่ก็ออกมาใช้ได้เหมือนกัน”  นัตสึเมะทอดสายตามองถ้วยชาประดับดอกซากุระฝีมือตัวเองแล้วยิ้ม  “แต่สีชามันเข้มสู้สีกาแฟไม่ได้  ภาพเลยจางไปหน่อย”

“แต่ก็สวยจนไม่อยากดื่มเลยนะครับ”

“ทำมาให้ดื่มก็ต้องดื่มสิครับ  เดี๋ยวมันก็เสียใจแย่”  ชายหนุ่มเลื่อนถ้วยชาไปให้ฟุยุกิเป็นเชิงคะยั้นคะยอ

เด็กหนุ่มยกถ้วยขึ้นดื่ม  กลิ่นหอมของชากำจายฟุ้ง  ดามมาด้วยรสหวานมันของนมสดร้อน

“อร่อยจังเลยครับ”  ฟุยุกิร้องออกมา  แต่แล้วสีหน้าก็กลับหมองลง  “นัตสึเมะซังนี่เก่งจังนะครับ  ขนาดแค่ลองชงกาแบบนี้เป็นครั้งแรกก็ยังทำได้สวยและอร่อยแบบนี้”

“ไม่ใช่ครั้งแรกซะทีเดียวหรอกครับ  ผมชงชาบ่อย ๆ  ส่วนภาพซากุระนี่ผมก็หัดมานานแล้ว  เพียงแต่ทำกับกาแฟเท่านั้น  แล้วก็วาดได้แค่ภาพเดียวนี่แหละครับ”

“แต่ก็ยังเก่ง...”  เด็กหนุ่มทำหน้าเศร้าจนดูเหมือนกับว่าจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนั้น

นัตสึเมะสังเกตอาการของฟุยุกิอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปตบหลังมือของเด็กหนุ่มเบา ๆ

“มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังมั้ยครับ?”

ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นก่อนจะขยับเอ่ยออกมาเบา ๆ  “...ผมกลัวนัตสึเมะซังจะเบื่อ  เลยไม่อยากเล่า...”

“เล่ามาเถอะครับ  บางทีคนเราก็ต้องการคนรับฟังนะครับ”

“มันเรื่องเดิม ๆ ครับ...เหมือนอย่างที่คุณรู้  ผมก็แค่...”

ใช่...ก็แค่เขาทำงานไม่ได้ดังใจหัวหน้าจนโดนดุ   เรื่องแบบนี้เขาเล่ามากี่ครั้งกี่หนแล้ว  ถ้าหลุดปากไปให้พ่อหรือพี่ชายได้ยินจะต้องโดนตัดบทหรือมองด้วยสายตาเย็นชาตั้งแต่ต้นแน่...แม้แต่คนในครอบครัวยังเอือมระอา  แล้วนัตสึเมะเป็นใคร...คนที่ต้องรับฟังคำบ่นของคนมากมาย  จะมีความอดทนอะไรกับเรื่องซ้ำซากของเขา  เขาไม่อยากเป็นคนน่าเบื่อมากไปกว่านี้อีกแล้ว  นี่เป็นที่พักใจแห่งเดียวของเขาในตอนนี้  ถ้าจะต้องถูกนัตสึเมะเบื่อขี้หน้าอีกคนละก็  เขาคง...

“อาริโยชิคุง  เล่ามาเถอะครับ  ไว้ถ้าผมเบื่อจนไม่อยากฟังแล้วผมจะบอกตรง ๆ”

น้ำเสียงและรอยยิ้มอ่อนโยนของนัตสึเมะ  ทำให้ฟุยุกิอุ่นวาบในหัวใจ  แต่ก็ยังคงกังวลอยู่มาก

“แต่มันก็เรื่องดิม ๆ นะครับ  คุณคง...”

“จะเป็นเรื่องเก็บแฟ้มเอกสารผิดชั้นจนคนอื่นหาไม่เจอ  หรือส่งไฟล์งานไปผิดแผนก  หรือพิมพ์เอกสารช้าจนโดนดุ...ผมให้เล่าซ้ำได้อีกเรื่องละยี่สิบครั้งเลยครับ”

“นี่จำได้หมดเลยเหรอครับ?”  แม้จะยังรู้สึกหดหู่แต่ก็อดหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดของนัตสึเมะไม่ได้

“ถ้าวันนี้เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเล่ามาก่อน  ผมจะให้โปรโมชั่นบ่นเพิ่มอีกเรื่องละสิบครั้งเป็นสามสิบครั้งเลยครับ”

คราวนี้ฟุยุกิหัวเราะคิก  “งั้นนัตสึเมะซังต้องได้ฟังผมบ่นจนเบื่อแน่ ๆ เลยครับ”

“งั้น...ความผิดพลาดครั้งใหม่คือ...?”

“ผมถ่ายเอกสารให้หัวหน้าเกินไปห้าเท่าครับ”  พูดออกมาแล้วก็สลดวูบ  “เขาให้ถ่ายสิบชุด  ผมเล่นไปห้าสิบ...”

“ทำไมมันเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะครับ?”  นัตสึเมะถามขึ้นหลังจากอึ้งไปนิดหน่อย

“คือผมกำลังจัดไฟล์งานในคอม ฯ อยู่แล้วหัวหน้าก็มาบอกให้ถ่ายเอกสารการประชุมเพิ่ม  ทีแรกบอกห้าแล้วเปลี่ยนเป็นสิบ  ผมกำลังรีบเซฟไฟล์ไม่ทันฟังก็เลยเข้าใจว่าห้าสิบชุด  พอถ่ายไปให้ก็เลยโดนเอ็ดว่างี่เง่าหรือไง  ไม่รู้หรือว่าคนในแผนกมีไม่ถึงยี่สิบคน  ถ่ายไปทำไมตั้งห้าสิบชุด...น่ะครับ”  ฟุยุกิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“กระดาษหมดรีมมั้ยครับ?”

“ไม่ครับ  ชุดนึงแค่ไม่กี่แผ่น”

“ยังดีนะครับ  กระดาษเนี่ยยังเอาไปรียูสแล้วรีไซเคิลได้  แต่กาแฟเนี่ย  เสียแล้วเสียเลยนะครับ”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองนัตสึเมะพร้อมกับความสงสัยในสีหน้า  “เกี่ยวอะไรกับกาแฟครับ?”

“ผมจะเล่าให้ฟัง  เมื่อก่อน...สมัยที่ผมเป็นเด็กฝึกงานที่นี่ใหม่ ๆ  คุณป้าเจ้าของร้านเคยให้ผมสั่งกาแฟให้  คุณป้าให้สั่งสามกิโล  ผมเล่นไปสามสิบ...”  นัตสึเมะทำเสียงเบื่อหน่ายเมื่อพูดมาถึงตรงนี้  “แล้ว...อาริโยชิคุงก็คงเห็นว่าร้านนี้มันไม่ได้มีลูกค้าเยอะขนาดจะใช้กาแฟขนาดนั้น”

ฟุยุกิพยักหน้ารับ  เขาแทบนึกภาพตอนที่ทั้งร้านมีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะและนัตสึเมะต้องหมุนไปหมุนมาอยู่ในเคาน์เตอร์แบบหัวไม่วางหางไม่เว้นไม่ออกเลย

“แถมกาแฟเนี่ย  ถ้าเก็บไว้นานมันก็ไม่หอม  ใช้ไม่ได้ด้วย  ถึงได้บอกว่ากระดาษมันรียูสได้ไงครับ”

“ละ...แล้วทำยังไงล่ะครับ?”  ฟุยุกิทำหน้าเป็นกังวลเหมือนอยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นด้วยจริง ๆ

“คุณป้าบอกให้ผมขายให้หมดให้ได้”

“หา!?  จะเป็นไปได้ยังไงครับ!?”  เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง

นัตสึเมะหัวเราะกับอาการแตกตื่นของฟุยุกิ  “จริงใจมากครับ  อาริโยชิคุง  นี่แปลว่าคุณรู้จักร้านนี้ดีทีเดียวนะครับเนี่ย”

“อ๊ะ...ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  มันเรื่องจริง  ตอนนั้นผมก็โวยวายแบบนั้นเหมือนกัน”  นัตสึเมะโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“ละ...แล้วทำยังไงล่ะครับ?”  ฟุยุกิถามประโยคเดิมซ้ำเหมือนเด็กคะยั้นคะยอให้เล่านิทานต่อ

“สุดท้ายแล้ว  ยังไงก็ไม่มีทางขายหมดแน่  คุณป้าเลยเอากาแฟพวกนั้นแหละครับมาสอนให้ผมชงกาแฟสารพัดชนิด  ซื้อหนังสือรวมสูตรกาแฟให้ผมเล่มนึง...ภาษาอังกฤษด้วยนะครับ  บังคับให้ผมอ่านแล้วทดลองทำตามไปจนหมดเล่ม  แล้วกาแฟมันยังเหลือ  แกก็ให้ผมทำซ้ำอีกรอบจนคล่องเลยละครับ  จะบอกว่าผมชงกาแฟอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะเจ้ากาแฟสามสิบกิโลนั่นแหละครับ  แล้วก็ได้เรียนรู้อีกอย่างนึงด้วย...”

“อะไรเหรอครับ?”

“อย่าสั่งกาแฟเกิน  และกาแฟที่เก็บไว้นานเกินไปรสชาติมันได้แต่กลิ่นไม่เอาไหนเลย”  นัตสึเมะทำหน้าเบ้

“ได้ดื่มด้วยเหรอครับ?”

“โดนบังคับให้ดื่มน่ะสิครับ  คุณป้าน่ะเคี่ยวยังกับอะไรดี”  ชายหนุ่มส้ายหน้าหากยังคงมีรอยยิ้ม  “ก็ไม่ได้ดื่มหมดทั้งสามสิบกิโลนั่นหรอกนะครับ  ที่เหลือถุงหลัง ๆ ก็ใช้ฝึกชงอย่างเดียว”

“ดีนะครับ  ที่ผมไม่ได้โดนหัวหน้าสั่งให้กินกระดาษด้วย...”  ฟุยุกิหัวเราะแห้งๆกับความผิดของตัวเอง  “แต่ถ้าโดนสั่งให้จัดการกับมันด้วยเครื่องย่อยกระดาษปั่นมือหมดนั่นก็คงไม่ไหวเหมือนกัน”

“อยากให้ไม่ทำผิดซ้ำมั้ยครับ?”

“อยากสิครับ!  ผมเบื่อตัวเองจะแย่อยู่แล้ว”

“ไปขอกระดาษที่ถ่ายเอกสารพลาดแล้วเอามาเย็บเล่มทำสมุดโน้ตสิครับ  จากนั้นเวลาทำอะไรผิดพลาดก็จดทุกอย่างลงไปในนั้น  มันจะคอยเตือนใจไม่ให้ผิดซ้ำบ่อย ๆ”  นัตสึเมะแนะนำ

“ได้ผลแน่นะครับ”  สมุดจดความผิดพลาดของตัวเองเนี่ย  มันน่าอายจะตายไป

“ผมยังเก็บห่อกาแฟเมื่อตอนนั้นไว้อยู่เลยครับ  แต่เก็บแค่ห่อเดียวน่ะนะ  เวลาจะสั่งกาแฟทีก็ต้องมองมันก่อนแล้วตั้งสติดี ๆ  อยู่นั่นไงครับ”  นัตสึเมะชี้ไปที่เคาน์เตอร์ตรงที่วางเครื่องคิดเงินและโทรศัพท์ไว้

ตรงนั้นมีห่อกระดาษพลอยด์เก่า ๆ ยับ ๆ แปะอยู่

ฟุยุกิหัวเราะคิก  ตอนแรกเขาคิดว่านัตสึเมะกุเรื่องขึ้นมาเพื่อปลอบใจเขาเสียอีก

“ไม่น่าเชื่อนะครับว่าอย่างนัตสึเมะซังก็เคยพลาดครั้งใหญ่กับเขาด้วย”

“ทุกวันนี้บางทีก็ยังชงกาแฟผิดออร์เดอร์อยู่เลยครับ”

“มีด้วยเหรอครับ?”

“อย่างเขาสั่งมอคค่าแล้วชงคาปูชิโนให้เขาอะไรแบบนี้ละครับ”

“แล้วทำยังไงล่ะครับ?”

“ก็ต้องดื่มเองสิครับ  วันไหนติงต๊องมากชงผิดเยอะก็เมากาแฟไปเลย  วันไหนติงต๊องพิเศษก็ต้องทิ้งละครับ  ยอมขาดทุนกันไป”  ชายหนุ่มยักไหล่ด้วยท่าทางสบาย ๆ

“นัตสึเมะซังเนี่ย  ชอบทำให้ผมรู้สึกว่าความผิดพลาดของผมเป็นเรื่องเล็กน้อยได้ทุกทีเลยนะครับ”  และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาชอบมาที่นี่

“คนเรามีสองแบบครับ  คือรู้สึกว่าความผิดพลาดของตัวเล็กน้อยเสมอกับยิ่งใหญ่เสมอ  คนแบบหลังอย่างอาริโยชิคุงเนี่ยต้องมีตัวอย่างของคนอื่นให้เห็นแล้วจะสบายใจขึ้นครับ  ก็พอดีว่าผมมีตัวอย่างให้เสมอเสียด้วย”

“แบบนี้ผมคงมีตัวอย่างไม่ดี ๆ ให้คนอื่นได้เห็นเยอะเลยนะครับ”  ฟุยุกิยกชาขึ้นจิบแล้วระบายลมหายใจยาวด้วยท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น  “ที่จริง...ผมก็ทำงานพลาดน้อยลงนะครับ  แต่ก็ยังช้าเสียจนคนอื่นเขาเอือมระอากัน  ก็ไม่มีใครว่าอะไรผมตรง ๆ หรอกนะครับ  แต่บางทีคำเหน็บแนมมันก็ลอยมาเข้าหู  ว่างุ่มง่ามบ้างละ  เหมือนคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าบ้างละ...ผมอยากจะเถียงด้วยซ้ำว่าผมเป็นแค่ระบบแมนนวล  ฮะ ๆ”

นัตสึเมะพลอยหัวเราะตามฟุยุกิไปด้วย

“หัวหน้าเขาก็ไม่ค่อยดุผมแล้วนะครับ  ยกเว้นวันนี้  แต่เขาชอบบอกว่าผมทำงานละเอียดเกินไปจนตัวเองสับสนเอง  ที่ช้าอยู่แล้วก็เลยยิ่งช้าเข้าไปใหญ่  วันนี้เขาก็บอกนะครับว่าเขาไม่หวังให้ผมเร็วกว่านี้มากนักหรอก  ขอแค่ไม่ผิดพลาดเลยก็พอ...แต่ผมว่าแบบนั้นน่าจะยากที่สุดนะครับ”  ฟุยุกิยิ้มเศร้า ๆ กับตัวเองนิดหนึ่ง  “ถ้าโลกหมุนช้าลงสักครึ่งนึงก็ดีสิครรับ  คนช้า ๆ อย่างผมจะได้ทำงานตามจังหวะของตัวเองได้โดยไม่พลาดอีก”

“ต่อให้โลกหมุนช้า  ถ้าคนมันจะพลาดมันก็พลาดละครับ  แต่อาริโยชิคุงคงจะทำงานได้สบายใจขึ้นสินะครับ”

“ครับ  ผมพยายามไล่ตามทุกคนจนเหนื่อย  ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตมันต้องเร่งรีบและรวดเร็วขนาดนี้  มันเหนื่อยจนกระทั่งหัวถึงหมอนก็หลับได้ทันที  แต่ก็เหมือนยังนอนไม่พอ  ผมยังอยากจะพักให้นานกว่านั้นอีก  อยากให้ใจมันได้หยุดนิ่ง ๆ บ้าง...ปกติ...หลังเลิกงานก็ยังมีไวโอลินของคิริฮาระซังให้ฟัง  แต่นี่ก็นานแล้วที่...”
หัวข้อ: Re: Lock on You 04 (รีโพสต์) 24-01-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 24-01-2015 22:23:51
ดวงหน้าที่กลับไปเศร้าหมองอีกทำให้นัตสึเมะรู้ทันที  เด็กคนนี้หลงใหลคิริฮาระมาก  อาจจะเริ่มจากบทเพลงหวาน ๆ บางเพลงที่เคยได้ฟัง  แล้วจึงมาสนใจในตัวตนของเจ้าหนุ่มผมแดงนั่น  นัตสึเมะไม่เคยฟังคิริฮาระเล่นไวโอลินข้างถนน  แต่เขารู้จักคิริฮาระดีพอที่จะเข้าใจเสน่ห์ของเสียงไวโอลินนั้น  แค่ฟังเสียงโดยไม่ต้องเห็นหน้าก็ทำให้คนหลงรักได้แล้ว

...แต่ถ้าเจอตัวจริงเข้าก็อาจจะเลิกรักไปเลยก็ได้...นัตสึเมะแอบคิด

แต่แน่นอน...คนที่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งรักคิริฮาระมีเยอะแยะไป...นั่งอยู่ตรงหน้าเขาหนึ่งคนนี่ไง  ฟุยุกิที่ใช้คอนเสิร์ตข้างถนนของคิริฮาระเป็นทั้งที่พักใจและกำลังใจคงจะทุกข์ทรมานไม่น้อยที่อยู่ ๆ ที่พักใจนั้นก็หายไป

ถึงจะอยากให้กำลังใจ  เขาก็คงทำได้ไม่ดีเท่าคิริฮาระหรอก...แต่เขารู้แล้วว่าควรจะทำยังไง

นัตสึเมะลุกจากเก้าอี้

“อาริโยชิคุงครับ  ผมมีอะไรจะให้คุณ  รอแป๊บนะครับ”

...

“พี่  ปกติไปดูคอนเสิร์ตนี่เขาแต่งตัวกันแบบไหนเหรอ?”

“หา!?”

มิโนรุถึงกับเหวอเมื่ออยู่ไม่อยู่เจ้าน้องชายที่วัน ๆ แทบจะไม่เคยเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อนก็โผล่งขึ้นมาตอนนั่งกินข้าวเย็นอยู่ด้วยกัน  วันนี้ไม่มีงานเร่งด่วนอะไรเขาเลยได้กลับบ้านเร็ว

“คอนเสิร์ตอะไร?”  ชายหนุ่มถามกลับไปเมื่อฝ่ายเริ่มต้นไม่อธิบายอะไรต่อ  และมิโนรุเองก็นึกไม่ออกเสียด้วยว่าคนอย่างฟุยุกิจะไปดูคอนเสิร์ตประเภทไหน...คงไม่ใช่วงร็อคแบบที่โยกหัวกันกระจายหรอกนะ

“คอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงของวง...วงออร์เคสตร้าที่เล่นเป็นประจำทุกปีน่ะ  มีคนชวนไปดู”  ฟุยุกิขยายความเมื่อเห็นพี่ชายทำหน้าสงสัยเต็มที

“อ้อ...วงของคอนดักเตอร์คิริฮาระ  โยอิจิน่ะเหรอ?”

“พี่รู้จักด้วยเหรอ?”  ฟุยุกิทำหน้าอัศจรรย์ใจ

“คุณพ่อชอบ  ไม่รู้เหรอ?”  มิโนรุตอบอย่างธรรมดาที่สุด

เด็กหนุ่มหรุบตาลงแล้วส่ายหน้า  เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับรสนิยมของพ่อเลย  พ่อที่เขารู้จักคือผู้ชายเข้มงวดที่สนใจอยู่เพียงสองอย่าง  คือ  เรื่องงานกับเรื่องผลการเรียนของเขาเท่านั้น  แต่พ่อก็ไม่เคยดุด่าเขามากมายนัก  คนที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชเขาอยู่ตลอดเวลาเหมือนทำหน้าที่แทนพ่อคือเคียวยะ  พี่ชายคนโต  พ่อมักจะนั่งฟังรายงานผลการเรียนของเขาเงียบ ๆ และบางครั้งก็ไม่พูดอะไรเลย  แต่ฟุยุกิเกลียดความนิ่งเงียบของพ่อ  สู้ต่อว่าเขาเหมือนที่เคียวยะกับมิโนรุทำเสียยังดีกว่า

ฟุยุกิจึงมักจะหลบหน้าพ่อเสมอ  นอกจากเวลาอาหารี่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไปเงียบๆ  ทำตัวไร้ตัวตน  ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพ่อจะไม่ค่อยสนใจเขาเช่นกัน

“ใส่สูทชุดที่ตัดไว้ใส่ออกงานสิ”  เสียงของมิโนรุดึงฟุยุกิออกจากภวังค์

“เอ๊ะ...ได้เหรอ?”

“ได้สิ  แต่งตัวดีไว้ก่อนย่อมได้เปรียบ  นายคงไม่คิดจะใส่ชุดทำงานไปใช่มั้ย?”  มิโนรุหรี่ตาลงอย่างจับผิด

“เปล่า...”  ฟุยุกิตอบเสียงอ่อย ๆ  ถ้ารู้ว่าจะใส่อะไรไปจะมาถามทำไม  “แต่ชุดอยู่ที่บ้านพ่อ...”

“ก็ขึ้นรถไฟไปสิ  อย่าบอกนะว่ากลับบ้านตัวเองไม่ถูก”

“เปล่า...”  เด็กหนุ่มไม่อยากบอกหรอกว่าเขาไม่อยากไปเจอหน้าพ่อตามลำพัง


แต่สุดท้ายแล้ว  ฟุยุกิก็เลือกเย็นวันหนึ่งเดินทางไปบ้านพ่อ  เขาตั้งใจว่าจะแค่แวะมาเอาสูทแล้วรีบกลับ  แต่ก็ถูกคุณแม่บ้านคะยั้นคะยอให้ค้างสักคืน  และเด็กหนุ่มก็อดตามใจไม่ได้

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น  ผู้เป็นพ่อมีสีหน้าประหลาดใจนิดหน่อยเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กอยู่ที่บ้าน  แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  บทสนทนาในโต๊ะอาหารไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องในชีวิตประจำวันเล็กน้อย  แล้วต่างก็เงียบกันไปจนกระทั่งกินเสร็จเรียบร้อย  และไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนเข้านอน


วันรุ่งขึ้น  ฟุยุกิตื่นเช้ากว่าปกติเพราะต้องขึ้นรถไฟกลับไปเก็บชุดสูทที่แมนชั่นของมิโนรุก่อนไปทำงาน  เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นขณะที่เขากำลังแต่งตตัว  เมื่อเปิดออกไปก็พบคุณแม่บ้าน

“มีอะไรเหรอครับ?”

“คุณผู้ชายบอกให้คุณหนูไปทานมื้อเช้าด้วยกันแน่ะค่ะ”  เธอบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  แก้มเป็นสีชมพูจนดูอ่อนกว่าวัยมาก

“แต่...เดี๋ยวผมไปไม่ทันรถไฟนะครับ”

“คุณผู้ชายบอกว่าจะไปส่งที่แมนชั่นแน่ะค่ะ”

ฟุยุกิทำหน้าปั้นยาก  ตอนนี้เคียวยะกับพี่สะใภ้ไปเที่ยวต่างประเทศ  ที่บ้านนี้จึงไม่มีใครอยู่นอกจากเขากับพ่อเท่านั้น  แค่มื้อเย็นเมื่อวานก็อึดอัดพอแล้ว  นี่ยังต้องใช้เวลาร่วมกันในตอนเช้าอีกหรือ...แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก  ฟุยุกิจึงไปที่ห้องอาหารอย่างไม่เต็มใจนัก

มื้อเช้าแบบญี่ปุ่นคือเมนูหลักของบ้านอาริโยชิ  ซึ่งฟุยุกิก็คุ้นเคยมาตลอดจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยและย้ายไปอยู่กับมิโนรุ

“เห็นกลับมาเอาสูท  จะไปงานไหนรึ?”  ผู้เป็นพ่อทำลายความเงียบขึ้น

“ไปดูคอนเสิร์ตครับ”  ฟุยุกิตอบด้วยเสียงแผ่ว ๆ

พ่อขมวดคิ้วนิดหน่อย  “คอนเสิร์ตอะไรถึงต้องใส่สูทไปดู?”

“คอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงน่ะครับ...ที่เป็นออร์เคสตร้า...”

“ของคอนดักเตอร์คิริฮาระน่ะเหรอ?”  พ่อทำเสียงประหลาดใจ

“...ครับ”

“อืม...”  พ่อพยักหน้าแล้วตักข้าวใส่ปาก  ครู่หนึ่งจึงได้พูดต่อ  “วงนั้นเขาดีนะ  พ่อไปดูทุกปี  ไม่ยักรู้ว่าแกชอบ”

“ก็...มีคนชวนไปน่ะครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม  เขาก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะชอบหรือเปล่า  เขารู้แค่ว่าอยากไปดูคิริฮาระแสดงบนเวทีใหญ่เท่านั้น

“งั้นเรอะ...วงนี้มีแต่สมาชิกผู้ใหญ่เสียเยอะ  แต่ก็มืออาชีพทั้งนั้น  เล่นได้วิเศษเชียวละ”  พ่อพูดเรื่อย ๆ เหมือนจะเล่าให้ฟุยุกิฟัง  “แต่ก็มีสมาชิกรุ่น ๆ อยู่บ้าง...มีคนนึง  เป็นลูกชายคอนดักเตอร์  เล่นไวโอลินได้เยี่ยม  แต่ขัดหูขัดตาน่าดู”

ฟุยุกิรู้ทันทีว่าพ่อหมายถึงใคร  แต่ก็อยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นขัดหูขัดตาพ่อตรงไหน

“ย้อมผมแดงทั้งหัว...ทำผมแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว  จนป่านนี้...เล่นมาแป็นสิบปีแล้วก็ยังทำผมแดงอยู่ได้  ชอบทำตัวเด่นเกินเหตุ  เวลาเดี่ยวไวโอลินก็วางท่าจริตมารยาเหลือเกิน  ถ้าไปเจอที่อื่นคงคิดว่าเป็นไอ้ตัวมากกว่าจะเป็นนักดนตรี  แต่ฝีมือไวโอลินเขาก็สุดยอดจริง ๆ นั่นแหละ  แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว...แต่ต้องหลับตาฟัง”

แม้ประโยคจบจะเต็มไปด้วยความชื่นชม  แต่คำวิจารณ์เผ็ดร้อนก็ทำให้ฟุยุกิรู้สึกแปล๊บขึ้นมาในใจ  เขารู้ดีว่าคนอย่างคิริฮาระน่ะไม่ว่าคนรุ่นพ่อเขาคนไหนก็ต้องไม่ชอบขี้หน้าทั้งนั้นแหละ  แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องวิจารณ์รุนแรงขนาดเหมาเป็นพวกขายบริการเลยนี่นา  คิริฮาระที่เขารู้จักน่ะ  เป็นสุดยอดนักไวโอลินี่เอาใจใส่คนฟังเป็นอย่างยิ่ง  พ่อไม่รู้หรอกว่าผู้ชายผมแดงคนนั้นได้เยียวยาเขาไว้มากแค่ไหน

ความขัดเคืองใจทำให้ฟุยุกิไม่ยอมพูดอะไรกับพ่ออีก  แม้กระทั่งพ่อขับรถมาส่งจนถึงหน้าแมนชั่นก็ตาม

อารมณ์หงุดหงิดกัดกินหัวใจของเด็กหนุ่มไปตลอดวันอย่างน่าประหลาด  ทั้งที่เขาเป็นคนใจเย็นและไม่ค่อยโกรธอะไรนาน ๆ แท้ ๆ  แต่แค่คำพูดไม่กี่คำของพ่อกลับเป็นเหมือนเสี้ยนปักคาหัวใจให้รำคาญตลอดเวลา  และเมื่อมันยังไม่ยอมจางหายไปจนเลิกงาน  ฟุยุกิก็คิดหาใครสักคนที่เขาจะเล่าให้ฟังได้

สองเท้าพาเขาไปยังร้านกาแฟของนัตสึเมะ


“ฮะ ๆ  อย่าคิดมากไปเลยครับ  มันเรื่องปกติน่ะ”  นัตสึเมะบอกเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดจบลง

ฟุยุกิรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นนัตสึเมะหัวเราะ  แม้เขาพยายามเล่าด้วยคำพูดที่เบาลงกว่าคำของพ่อมากแล้ว  มันก็ยังดูไม่ดีอยู่ดีนั่นแหละ  แต่นัตสึเมะกลับหัวเราะ...ทำไมกันนะ...

“ไม่โกรธเหรอครับ?”

“ไม่มีอะไรต้องโกรธนี่ครับ  คิริฮาระเองก็เป็นอย่างที่คุณพ่อคุณว่าจริง ๆ นั่นแหละ”  นัตสึเมะตอบยิ้ม ๆ

“แต่ก็ไม่น่าจะว่าเป็นพวกขายบริการนี่ครับ”  น้ำเสียงของเด็กหนุ่มขุ่นเคือง

“อืม...จะเรียกว่าขายบริการก็...ลักษณะของคิริฮาระน่ะ  บางีก็ดูเป็นโฮสต์ได้นี่ครับ  แล้วผมเองก็คิดว่าโฮสต์กับศิลปินมีจุดร่วมที่เหมือนกันอยู่จุดหนึ่ง  คือการเอนเตอร์เทนลูกค้า  คุณคงไม่เถียงใช่มั้ยครับว่าคิริฮาระเอนเตอร์เทนคนดูได้ไม่เลวจริง ๆ”  นัตสึเมะแสดงความเห็นทั้งยังยิ้มเรื่อย ๆ อยู่อย่างนั้น

“...ทำไมนัตสึเมะซังพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดานักล่ะครับ”  ฟุยุกิทำหน้าม่อย  แม้จะยอมรับในสิ่งที่นัตสึเมะพูดมา  แต่ก็อดขัดใจที่นัตสึเมะไม่พยายามปกป้องเพื่อนตัวเองเลยไม่ได้

“ผมรู้จักคิริฮาระมานานเกินไปมั้งครับ  หมอนั่นเคยถูกวิจารณ์มากกว่านี้มาตั้งเยอะ  แค่ที่คุณพ่อคุณพูดมานี่ไม่สะเทือนคิริฮาระหรอกครับ”  นัตสึเมะไม่กล้าบอกหรอกว่า  พ่อของฟุยุกิวิจารณ์ได้แม่นยังกับตาเห็น

การเป็นนายแบบของลูนาติก  ลัสท์ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการขายบริการ  เพียงแต่มีระดับและปลอดภัยกับตัวเองมากกว่าก็เท่านั้น  คิริฮาระที่ในตอนนี้อายุ  30  แล้วรามือจากวงการนายแบบมาพักใหญ่และได้รับคลับที่ดูแลอยู่เป็นของขวัญและเป็นที่ทำมาหากินจากท่านประธานโอโนเสะ  ต่างจากนายแบบนางแบบคนอื่น ๆ ที่มักจะมีลูกค้าเงินหนักรับไปเลี้ยงดู  แต่แม้จะรามือจากวงการแล้ว  ก็ยังมีลูกค้าเก่าเรียกใช้บริการอยู่อย่างสม่ำเสมอ

แต่เรื่องนี้...ยังคงเป็นความลับสำหรับคนนอกเสมอ

“อย่างคิริฮาระน่ะ  ต่อให้ใครมาพูดใส่หน้าว่าขายบริการ  ก็ไม่ใส่ใจหรอกครับ  เขาเป็นคนมีความภาคภูมิใจในตัวเองขนาดนั้นแหละ”

ฟุยุกิดูโล่งใจขึ้นนิดหน่อย  “นั่นสินะครับ...ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”

“ร้อนใจแทนเจ้าตัวไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ  มาดื่มอะไรอร่อย ๆ ดีกว่า  วันนี้นำเสนอชาอินเดียครับ”  นัตสึเมะทำท่าเหมือนงานเปิดโปรโมชั่นอะไรใหญ่โต  “ใส่เครื่องเทศนิดหน่อย  ตอนอากาศเริ่มเย็นแบบนี้จะดีกับร่างกายนะครับ”

“เอาของกินมาหลอกล่อผมอยู่เรื่อยเลย”  ฟุยุกิยิ้มนิด ๆ

ก็น่าแปลก  ทั้งที่หงุดหงิดใจมาตลอดทั้งวันแต่ด้วยคำพูดของนัตสึเมะเพียงไม่กี่คำกลับทำให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาได้  คงเพราะเป็นนัตสึเมะที่เข้าใจคิริฮาระเป็นอย่างดีเป็นคนพูดละมั้ง  ถึงได้รู้สึกมั่นใจ

...อีกไม่นานก็จะได้เจอกันแล้ว  กับผู้ชายผมแดงคนนั้น...

...

มืดแล้ว  นัตสึเมะเก็บร้านเรียบร้อยแล้วก็หามื้อเย็นเบา ๆ จากของที่เหลือในตู้เย็น  แน่นอนว่าไม่ลืมชงกาแฟไอริชสูตรพิเศษให้ตัวเองด้วย  และในตอนที่กำลังนั่งเล็มสลัดผักที่เหลือจากการทำแซนด์วิช  เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

นัตสึเมะลุกขึ้นไปเปิดโดยถามพอเป็นพิธี  “ใครครับ?”

“ฉันเอง  หิวกาแฟแล้ว  เปิดหน่อยเร้ว”

เสียงอ้อนแต่ติดจะเอาแต่ใจนั้นทำให้นัตสึเมะหัวเราะ

“ตกลงจะอ้อนหรือจะข่มขู่  คิริฮาระ”  เขาถามพลางเปิดประตูให้

“ถ้าอ้อนไม่ได้ผลจะขู่”  แขกยามวิกาลเข้าบ้านมา

“แล้วมาร้องหากาแฟอะไรป่านนี้  ฉันปิดร้านแล้ว”

“ก็พ่อเพิ่งปล่อยตัวมา  และฉันรู้ว่าถ้ามาจะต้องได้ดื่ม”  คิริฮาระยิ้มแต้อย่างประจบประแจง

“วันเช็คยอดอีกแล้วเหรอ?  ว่าแต่...หิ้วไวโอลินมาด้วยทำไม?”  นัตสึเมะถามพลางเปิดเครื่องบดเมล็ดกาแฟ

“ก็แวะมาเล่นเพลงใหม่ให้นายฟังก่อน  แลกกับกาแฟไง”

“หึ...แบบนี้  พอถึงวันงานฉันก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ”  ชายหนุ่มลงมือชงกาแฟอย่างคล่องแคล่ว  “ปีนี้ก็ได้เดี่ยวไวโอลินอีกแล้วเหรอ?”

“อื้ม  พอดีแต่งเพลงนี้มาแล้วพ่อชอบ  เลยยอมให้เดี่ยว...จะว่าไป  นึกถึงครั้งแรกที่ได้เดี่ยวจังน้า”

นัตสึเมะเองก็ยังจำได้ถึงครั้งแรกที่คิริฮาระมีโอกาสเดี่ยวไวโอลินบนเวทีฉลองฤดูใบไม้ผลิ  เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นเพราะวิชาเรียน  แต่ถูกเรียบเรียงขัดเกลาจนเข้าตาผู้เป็นพ่อ  กลายเป็นบทเพลงอ่อนหวานชวนให้หลงใหล...แน่ละ  จะไม่อ่อนหวานได้อย่างไร  ในเมื่อตอนนั้นคิริฮาระกำลังตกอยู่ในห้วงรักเป็นครั้งแรกของชีวิต

“เอาละ  งั้นดื่มซะ  แล้วขอฟังหน่อยนะ”  นัตสึเมะวางถ้วยกาแฟเล็ก ๆ ลงตรงหน้าคิริฮาระ

“ฮื้อ...หอมชื่นใจ”  คิริฮาระสูดกลิ่นหอมของกาแฟแล้วยกขึ้นจิบ  เพียงไม่กี่อึก  กาแฟถ้วยเล็กทั้งหมดก็ล่วงลงไปส่งกลิ่นฟุ้งอยู่ในลำคอ  “ฮ้า...นี่ถ้าพ่อไม่ปล่อยให้มาดื่มกาแฟของนายละก็  ฉันต้องขาดใจตายแน่เลย”

“ไม่ต้องยอเลย  กินอะไรมาหรือยัง  เอาสลัดมั้ย?”

“ไม่ต้องหรอก  ปกติฉันก็ไม่ค่อยกินมื้อเย็นอยู่แล้ว”  คิริฮาระบอกปฏิเสธพลางเปิดกระเป๋าใส่ไวโอลิน

“แต่คืนนี้ต้องเช็คยอดที่ร้านไม่ใช่เหรอ  เดี๋ยวดึก ๆ จะหิวนะ”

“ไม่เป็นไร ๆ  ไว้หิวก็ค่อยไปหาอะไรกินเอาได้  นายไม่ต้องห่วงหรอก”  พูดแล้วก็เดินออกจากโต๊ะกินข้าว ยกไวโอลินขึ้นจรดท่า  “ทีนี้ก็ตั้งใจฟังนะ”

“ฉันตั้งใจเสมออยู่แล้ว”  นัตสึเมะตอบยิ้ม ๆ แล้วนั่งลงที่โต๊ะ

เสียงดนตรีหวีดหวานลอยล่องออกมาจากคันซอและสายลวด  เป็นท่วงทำนองที่อ่อนพริ้วเลื่อนลอยให้ความรู้สึกเงียบเหงาอยู่ในที

คิริฮาระคงเขียนขึ้นมาจากอิมเมจของฤดูใบไม้ร่วง  ในตอนที่ใบไม้ที่เปลี่ยนสีหล่นพริ้วลงจากกิ่งก้าน...นัตสึเมะคิด

หากในหัวของชายหนุ่มกลับมีอีกภาพหนึ่งซ้อนขึ้นมา...ภาพของเด็กหนุ่มผมดำผู้มีดวงตาเหงา ๆ  ยืนอยู่ท่ามกลางม่านใบไม้ที่ทิ้งตัวลงคลุมพื้นดินอย่างไม่ขาดสาย...ทำไม...ถึงคิดถึงเด็กคนนั้นได้นะ...

ตัวโน้ตสุดท้ายแผ่วหายไปในอากาศ  นัตสึเมะตบมือให้

“เพราะนี่  ได้บรรยากาศสุด ๆ เลย”

“ขอบใจ”  คิริฮาระยิ้มแล้วเก็บไวโอลิน

“แต่นายนี่...มาช้าเกินไปทุกทีเลยนะ”

“เอ๊ะ  ทำไมเหรอ?”

“วันนี้อาริโยชิคุงมาอีกแล้วน่ะสิ  แต่ไม่เคยได้เจอนายเลย  คลาดกันตลอด”  นัตสึเมะบอก

“อา...เด็กคนนั้นน่ะเหรอ”  คิริฮาระพยักหน้าน้อย ๆ  “บอกเขาสิว่าอีกไม่นานหรอก  จบคอนเสิร์ตแล้วฉันจะรีบไปเล่นที่ข้างถนนทันทีแหละ  เดี๋ยวก็ได้เจอแล้ว”

“ฉันก็บอกไปอย่างนั้นแหละ”

“ขอบใจ...แล้ว...หาคนไปดูคอนเสิร์ตด้วยได้หรือยัง?”  คิริฮาระหรี่ตาพลางยิ้มเจ้าเล่ห์

“หึ...ความลับ  ไว้รอดูเอาวันงานแล้วกัน”  นัตสึเมะแกล้งอมพะนำ

“เออ  จะรอดู  ถ้าไม่มีใครไปด้วยละน่าดู”  นักดนตรีหนุ่มว่าแล้วก็หัวเราะ  “เอาละ  ฉันต้องไปแล้ว  ขอบคุณสำหรับกาแฟนะ”

“อื้ม  ขอบคุณที่มาเล่นไวโอลินให้ฟังเหมือนกัน  เพราะมากเลย...แต่ยังสู้  Shyly Café Latte  ไม่ได้”  นัตสึเมะกระเซ้า

“เฮ้ย  นั่นมันเพลงพิเศษ  มาสเตอร์พีซเฟ้ย”

ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน  ก่อนที่คิริฮาระจะรีบออกจากบ้านของนัตสึเมะแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านของตัวเอง

นัตสึเมะกลับมากินสลัดของตัวเองแล้วจิบกาแฟ  คิริฮาระจะต้องใช้อิมเมจของฤดูใบไม้ร่วงแต่งเพลงเป็นแน่...แต่ทำไมนะ...ทำไมภาพในหัวของเขาถึงได้เป็นภาพของเด็กขี้เหงาคนนั้นไปได้...ท่วงทำนองของบทเพลงช่างน่าอัศจรรย์  ว่ากันว่ามันทำให้ภาพในหัวของแต่ละคนออกมาต่างกันโดยสิ้นเชิง  ขึ้นอยู่กับความรู้สึกและประสบการณ์ของคนคนนั้น

ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง...ดูท่า  เขาจะติดใจเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าแล้วจริง ๆ สินะ...

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 04 (รีโพสต์) 24-01-58
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 25-01-2015 19:20:25
รออ่านค่ะ. :heaven
หัวข้อ: Re: Lock on You 05 (รีโพสต์) 6-03-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 06-03-2015 20:24:13
รีโพสต์ครั้งสุดท้ายแล้วครับ ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องที่ดำเนินต่อแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่ยังตามอ่านนะครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 05

ฤดูใบไม้ร่วงเข้ามาเยือนเมืองหลวงแห่งแสงสีอย่างเต็มตัว  ใบไม้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแดงแต่งแต้มป่าคอนกรีตให้เป็นสีสันละลานตา  ส่วนที่ล่วงหน้าไปก่อนก็เริ่มทิ้งก้านร่วงหล่นลงบนพื้น

ฟุยุกิแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด  เดินไปตามเส้นทางที่ใช้เป็นประจำหลังเลิกงาน  ในวันหยุดแบบนี้สองข้างทางดูแปลกตากว่าปกติ  บรรยากาศสงบเงียบกว่าเคย  หากเด็กหนุ่มใจเต้นอย่างประหลาด

เขาปฏิเสธที่จะไปงานคอนเสิร์ตกับพ่อเพราะนัดกับนัตสึเมะเอาไว้แล้ว  วันนี้นัตสึเมะจะปิดร้านหนึ่งวัน  ซึ่งก็ทำแบบนี้ทุกครั้งที่คิริฮาระมีคอนเสิร์ต  นัตสึเมะชวนเขามาที่ร้านเผื่อหาอะไรรองท้องก่อนไปที่งานด้วยกัน

ประตูหน้าร้านมีป้าย  “ปิด”  แขวนอยู่  ฟุยุกิเดินอ้อมไปทางด้านหลังตามที่นัตสึเมะบอกไว้  ประตูด้านหลังก็ปิดอยู่เช่นกัน  เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเคาะประตูอย่างไม่แน่ใจ  พลันก็มีเสียงตอบกลับมาจากอีกฟาก

“ครับ  ใครครับ?”
“เอ้อ...ผมเองครับ”  ฟุยุกิตอบกลับไปด้วยความประหม่า
ประตูเปิดออกทันที  พร้อมกับนัตสึเมะที่มีรอยยิ้มกว้าง
“เชิญครับ  อาริโยชิคุง”
“ระ...รบกวนด้วยครับ”

ฟุยุกิก้าวเข้าไปข้างในอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าประตูด้านหลังนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับร้านกาแฟแต่เป็นบ้านของนัตสึเมะเลยทีเดียว  เด็กหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำ  ด้วยความที่เป็นคนไม่มีเพื่อนเขาจึงไม่เคยไปบ้านคนอื่นนอกจากบ้านญาติซึ่งก็แทบจะนับครั้งได้  แล้วอยู่ ๆ ก็ได้มาเข้าบ้านคนอื่นแบบนี้...ก็ถึงกับเกร็ง

นัตสึเมะเองก็สังเกตเห็นความประหม่านั้น  จึงรีบชวนคุยให้ผ่อนคลาย
“ถอดสูทออกก่อนมั้ยครับ  จะได้ไม่ยับ”
“อ๊ะ!...ครับ”  ฟุยุกิรีบถอดสูทให้  และนัตสึเมะก็รับไปแขวนไว้ให้อย่างดี
“นั่งก่อนครับ  ตรงโต๊ะกินข้าวนั่นแหละ  ผมเตรียมชาไว้ให้แล้ว”  ผู้เป็นเจ้าของบ้านผายมือไปทางโต๊ะกลางห้องก่อนจะเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ครัว

ฟุยุกินั่งลงด้วยอาการเก้ ๆ กัง ๆ  กลิ่นอายในบ้านของนัตสึเมะแทบจะไม่ต่างกับที่ร้านจึงทำให้ประหม่าน้อยลง  เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว  ส่วนที่พักชั้นล่างของนัตสึเมะไม่ใหญ่โตอะไรนัก  มีเพียงเคาน์เตอร์ครัวกับโต๊ะกินข้าว  ที่ข้างเคาน์เตอร์มีประตูบานหนึ่งซึ่งฟุยุกิคะแนด้วยสายตาว่าน่าจะเปิดไปสู่ข้างเคาน์เตอร์ของร้านกาแฟ  ด้านในสุดของห้องมีบันไดขึ้นชั้นบน  ข้างใต้บันไดคือห้องน้ำ  ผนังด้านตรงข้ามกับครัวเจาะเป็นบานหน้าต่าง  มีเครื่องซักผ้าเล็ก ๆ กับชั้นวางของตั้งอยู่...เรียบง่ายและเป็นระเบียบจนน่าตกใจ

ถ้วยใส่ชาสีเข้มลอยหน้าด้วยวิปครีมโรงอัลมอนด์คั่วบนถูกวางลงตรงหน้าฟุยุกิพร้อมด้วยจานคุกกี้
“ดื่มชาให้อุ่น ๆ ก่อนครับ”
“อ๊ะ  ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มรับถ้วยมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองนัตสึเมะ  ก่อนจะขมวดคิ้ว
“มีอะไรเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามพลางนั่งลงตรงข้ามพร้อมกับกาแฟของตน
“เปล่าครับ...แค่...รู้สึกว่าวันนี้นัตสึเมะซังดูแปลกตา”
“เพราะไม่มีผ้ากันเปื้อนมั้งครับ”  ชายหนุ่มพูดแล้วก็หัวเราะ

ก็เป็นไปได้...ฟุยุกิคิด  แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนัตสึเมะในชุดไปรเวท  ผมยาวเลยบ่าที่มักจะมัดรวบไว้ตอนนี้ปล่อยตามสบาย  เชิ้ตขาวกับผ้ากันเปื้อนที่เห็นจนชินตาถูกถอดเก็บและแทนที่ด้วยเสื้อคอเต่าสีดำแขนยาวกับกางเกงยีนส์ขาม้าทรงสวย...ดูราวกับไม่ใช่ผู้ชายที่เขามาคุยด้วยแทบทุกวันเลย

และเพราะอะไรไม่รู้...ฟุยุกิถึงรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งหน้าจนต้องรีบหลบตา

“แปลกขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้าแดง
“ก็...ไม่คุ้นน่ะครับ”  คำตอบอ้อมแอ้ม  รู้สึกเหมือนคุยกับคนแปลกหน้า
“เดี๋ยวก็คุ้นครับ...เอาละ  ดื่มชาทานขนมรองท้องก่อน  ยังมีเวลาเหลือเฟือน่ะครับ”

ชาหอมกรุ่นและมีรสหวานมันของอัลมอนด์คั่วกับวิปครีมทำให้ฟุยุกิผ่อนคลายลง  แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน  แต่รสมือของนัตสึเมะยังเหมือนเดิม...ยังอบอุ่น  นุ่มนวล  และอร่อยเหมือนเดิม

“ชอบมั้ยครับ?”
“อร่อยมากเลยครับ  หอม ๆ มัน ๆ ดีจังเลย”  ออกปากชมแล้วก็จิบอีกอึกหนึ่ง
“ชอบก็ดีครับ  ฟังแล้วชื่นใจ”  ชายหนุ่มหัวเราะเรื่อย ๆ ตามนิสัย
“...แล้ว...นัตสึเมะซังจะไปทั้งชุดนี้เหรอครับ?”  ฟุยุกิมองเสื้อผ้าของนัตสึเมะแล้วทำหน้าปั้นยาก  ดูท่าเขาจะแต่งตัวมาโอเวอร์เกินไปเสียแล้ว
“ไม่หรอกครับ  ผมไม่ใช่สตีฟ  จ็อบส์นี่  เดี๋ยวไปแต่งเพิ่มไม่ให้อายอาริโยชิคุงแน่ครับ”
ฟุยุกิหัวเราะกับคำตอบนั้น  “งั้นจะรอดูนะครับ”

และผลลัพธ์ของการรอคอยก็ทำให้ฟุยุกิใจเต้นยิ่งกว่าเก่า  เมื่อนัตสึเมะที่ขอตัวหายขึ้นข้างบนไปกลับลงมาในเสื้อสูทกำมะหยี่สีแดงหม่นที่ตัดเย็บอย่างประณีตและสร้อยทองคำขาวห้อยจี้คริสตัลอันเขื่องเป็นประกายเด่นอยู่บนตัวเสื้อสีดำ  ผมที่ปล่อยยาวถูกรวบเรียบร้อยไว้ด้านหลัง  ผูกริบบิ้นสีเดียวกับสูท

ไม่เหลือคราบมาสเตอร์ร้านกาแฟที่เห็นจนเจนตาเลย

“เป็นยังไงครับ  พอจะสูสีกับคุณหรือยัง?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ  แววตาเป็นประกาย
“สูสีอะไรกันครับ!?”  ฟุยุกิร้อง  “นัตสึเมะซังดูดีมากเลยนะครับ  อย่างกับนายแบบแน่ะ”
“ชมเกินไปแล้วครับ”  ชายหนุ่มหัวเราะ
“ว่าแต่...ริบบิ้นนั่น...”  เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม  “...มันไม่น่ารักไปหน่อยเหรอครับ”
“อ๋อ...อันนี้คำท้าครับ  คิริฮาระซื้อมาให้แล้วท้าให้ผมผูกไปงาน...ไม่รู้จักท่านนัตสึเมะเสียแล้ว”

ฟุยุกิหัวเราะคิก  เขารู้ว่านัตสึเมะกับคิริฮาระมีมุมเด็ก ๆ ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ  แต่ก็ไม่คิดว่าจะท้าทายกันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้  แถมฝ่ายรับคำท้าก็ดันเอาจริงเอาจังเสียด้วย

“แล้วเดิมพันกันด้วยอะไรครับ?”
“ก็อะไรบ้า ๆ บอ ๆ นิดหน่อยครับ...แต่ถ้าริบบิ้นเป็นสีชมพูนี่ผมก็ต้องยอมเสียพนันละ”  นัตสึเมะส่ายหน้า  แค่นึกภาพก็ไม่ไหวเสียแล้ว  “เอาละครับ  ไปกันเถอะ”
ฟุยุกิรับสูทจากชายหนุ่มมาสวม  แล้วก็ต้องใจเต้นอีกครั้งเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาบรรจงจัดเสื้อผ้าและแต่งเนคไทให้
“เรียบร้อยครับ  หล่อสมบูรณ์แบบแล้ว  อาริโยชิคุงนี่เหมาะกับสีน้ำเงินเข้มนะครับ”
“เอ้อ...ขอบคุณครับ”  ฟุยุกิก้มหน้างุด  เขาไม่เคยคิดหรอกว่าเขาเหมาะกับสีอะไร  สูทชุดนี้ก็แค่สูทสีดำธรรมดาที่พ่อสั่งให้ตัดเพื่อใส่ไปงานแต่งงานของลูกพี่ลูกน้อง  ส่วนเนคไทเส้นนี้เคียวยะเป็นคนซื้อมาฝากจากเมืองไทย  ซึ่งเขาเองไม่เคยรู้สึกว่ามันพิเศษไปกว่าเนคไทของเครื่องแบบนักเรียนตรงไหน  แต่พอได้รับคำชาแบบนี้แล้วก็อดดีใจไม่ได้

...

นัตสึเมะพาฟุยุกิไปถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ตก่อนเวลาแสดงประมาณครึ่งชั่วโมง  และเพราะนี่เป็นการแสดงรอบปฐมทัศน์  จึงมีแขกรับเชิญที่แต่งตัวสวยงามมารวมกันเต็มไปหมด  แม้จะมีคนที่ซื้อบัตรเข้าชมและแต่งตัวธรรมดา ๆ มาชมด้วย  แต่ฟุยุกิก็รู้สึกดีที่ตนแต่งชุดที่ดีที่สุดมา  และรู้สึกภูมิใจอย่างประหลาดที่นัตสึเมะเป็นที่ดึงดูดสายตาของใครต่อใคร

เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น  เขาไม่เคยมางานแบบนี้มาก่อนเลย  อะไร ๆ จึงดูน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด...แต่ตื่นใจได้ไม่นานนักก็ต้องอึ้งไปเมื่อหันไปเจอพ่อเข้าพอดี

“อ้าว  ฟุยุกิ  ที่บอกว่าจะมาดูนี่...คือรอบปฐมทัศน์เลยเรอะ?”
“คะ...ครับ...”  พ่อก็ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมาดูรอบนี้
“แล้วมากับใครล่ะ?”

ในขณะที่ฟุยุกิอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ  นัตสึเมะก็ไปรับสูจิบัตรกลับมาพอดี
“อาริโยชิคุง  สูจิบัตรครับ...”  ชายหนุ่มสังเกตเห็นผู้มากด้วยวัยได้ในทันที  เขายิ้มทักทายแล้วก้มหัวให้  “คุณพ่อของอาริโยชิคุงสินะครับ”
พ่อของฟุยุกิพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยแน่ใจ  ก่อนจะมองหน้าฟุยุกิเป็นเชิงถาม
“เอ้อ...นี่...นัตสึเมะซัง...”  พูดไปแล้วก็หน้าเสีย  ฟุยุกิเพิ่งรู้ตัวว่าลืมชื่อสกุลของนัตสึเมะไปเสียแล้ว
“อิชิกาวะ  นัตสึเมะครับ  เป็นเจ้าของร้านกาแฟที่อาริโยชิคุงแวะไปบ่อย ๆ  ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  นัตสึเมะแนะนำตัวแล้วโค้งให้อย่างสุภาพ

คราวนี้พ่อของเด็กหนุ่มดูพอใจกับมารยาทอันดีของนัตสึเมะ
“เจ้าลูกชายผมคงไปรวบกวนบ่อย ๆ สินะ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ  คุยกับอาริโยชิคุงก็สนุกดี  ผมเองก็ได้ลองชงชาสูตรใหม่ ๆ ด้วย”
“ชา?”  ผู้มากด้วยวัยกว่าเลิกคิ้ว  “เป็นร้านกาแฟไม่ใช่เรอะ?”
“ก็อาริโยชิคุงไม่เคยดื่มกาแฟนี่ครับ  ผมเลยชงชาให้แทน”

อาริโยชิผู้พ่อพยักหน้าพลางเหลือบตามองลูกชายคนเล็ก  แม้จะไม่มีแววติเตียนหรืออะไร  ฟุยุกิก็ยังรู้สึกอึดอัด
“เอาละ  จวนได้เวลาแสดงแล้ว  ไปนั่งที่เถอะ”  พ่อตัดบทเมื่อได้ยินเสียงกริ่งเตือนบอกเวลาการแสดง  “ฝากลูกชายด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ  ผมจะดูแลให้ดีเลยครับ”  นัตสึเมะรับคำทั้งยังยิ้มอยู่เช่นเดิม

เมื่อแยกมาจากพ่อแล้ว  ฟุยุกิก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก
“ถึงกับถอนใจเลยเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ แล้วเดินนำไปยังที่นั่ง
“ผม...ไม่ค่อยถูกโรคกับพ่อเท่าไรน่ะครับ”  ฟุยุกิตอบอ้อมแอ้ม
“ท่าทางเข้มงวดนะครับ”
“ดุมาก...”

นัตสึเมะหัวเราะกับคำพูดและสีหน้าของฟุยุกิ...ดูท่าจะกลัวพ่อจริง ๆ  และเมื่อมาถึงที่นั่ง  ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจ
“โอโน...เอ้อ...โทโมกิคุง?”
“อ๊ะ!  สวัสดีครับ  นัตสึเมะซัง”  เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นทักทาย  ฟุยุกิจำได้ทันทีว่านั่นคือคนที่เคยเห็นที่ร้านของนัตสึเมะ
“มาคนเดียวเหรอครับ?”
“เปล่าครับ  ยาจิมะซังก็มาด้วย  แต่นั่งอยู่แถวหลังน่ะครับ”  โทโมกิบอกพลางชี้ให้ดูชายฉกรรจ์ที่นั่งถัดไปอีกบล็อกหนึ่ง  “พอดีคิริฮาระซังเอาตั๋วไปให้ที่บ้าน  บอกว่ามีของจะฝากไปให้ชุนน่ะครับ”
นัตสึเมะพยักหน้ารับ
“แล้ว...คุณคนนั้น...?”  โทโมกิถามไปยังฟุยุกิที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ด้านหลังร่างสูง
“อ้อ  นี่อาริโยชิ  ฟุยุกิคุงครับ  ขาประจำที่ร้านผม”  แล้วก็หันไปบอกกับฟุยุกิ  “นี่โอโนเสะ  โทโมกิคุงครับ  ที่คุณเคยเจอที่ร้านเมื่อวันก่อน”
“เอ้อ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ”  ฟุยุกิก้มหัวให้เล็กน้อย
“เช่นกันครับ...”  โทโมกิก็ก้มหัวตอบ  “นัตสึเมะซังนี่ขาประจำเยอะนะครับ”
“คิริฮาระพามาฝากทั้งนั้นแหละครับ”  นัตสึเมะพูดปนหัวเราะแล้วนั่งลง  พาให้เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งตามด้วย
“อาริโยชิซังก็เหมือนกันเหรอครับ  คิริฮาระซังนี่หลอกคนเก่งจัง  นี่ถ้าผมไม่ติดธุระเรื่องชุนก็คงไปดื่มกาแฟบ่อย ๆ เหมือนกัน”  โทโมกิหัวเราะน้อย ๆ  ดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มคนที่ไปนั่งร้องไห้ที่ร้านของนัตสึเมะเลย

ไฟในฮอลล์ดับวูบลง  มีเสียงเคลื่อนไหวบนเวที  ฟุยุกิลืมสิ้นทุกสิ่งและนั่งรอด้วยใจระทึก  เมื่อไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง  หัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นระรัวแรง  แม้จะเป็นวงออร์เคสตร้าขนาดกลางที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือโปสเตอร์จนชินตา  แต่เมื่อมาเห็นของจริงบนเวทีกลับดูอลังการอย่างบอกไม่ถูก  แต่ฟุยุกิไม่ได้ใจเต้นกับความอลังการนั้นหรอก  ที่หัวใจเต้นแรงจนในอกเจ็บแปลบนั่นเป็นเพราะชายหนุ่มผมแดงที่นั่งอยู่ในกลุ่มนักไวโอลินต่างหาก

คิริฮาระอยู่ในชุดนักดนตรีเต็มยศ  กวาดตามองผู้ชมพร้อมกับยิ้มพรายอยู่ในสีหน้า  ท่วงท่าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหมือนที่เคยเป็น

เสียงปรบมือต้อนรับนักดนตรียิ่งดังขึ้นอีกเมื่อคอนดักเตอร์ปรากฏตัวขึ้นบนเวที  แต่ไม่มีสิ่งใดดึงความสนใจของฟุยุกิได้อีกแล้ว  สองตาของฟุยุกิจับจ้องไปที่ร่างของคิริฮาระเดียงคนเดียวเท่านั้น...อย่างที่คิดไว้เลย  คิริฮาระเหมาะที่จะอยู่บนเวทีแห่งแสงไฟเช่นนี้จริง ๆ  แค่ที่เล่นอยู่ริมถนนก็โดดเด่นมากพออยู่แล้ว  แต่ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่อง...เสน่ห์ดึงดูดของคิริฮาระก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี

บทเพลงแสนไพเราะแทบไม่เข้าหู  สำหรับฟุยุกิแล้ว...เพลงเพราะก็คือเพราะ  ไม่ว่าใครเล่นมันก็เพราะทั้งสิ้น  แต่เมื่อเฝ้ามองท่วงท่าการบรรเลงของคิริฮาระที่สอดคล้องไปกับท่วงทำนองแล้ว  เพลงที่ไพเราะอยู่แล้วก็ดูจะวิเศษยิ่งขึ้นไปอีก

เพลงแล้วเพลงเล่าผ่านไป  ฟุยุกิรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน  มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อม่านปิดลงและไฟในฮอลล์เปิดสว่างไสว...การแสดงช่วงแรกจบลงแล้ว

“ออกไปหาอะไรดื่มกันเถอะครับ  อาริโยชิคุง”  เสียงนัตสึเมะดังขึ้นข้างตัว  ดึงฟุยุกิออกจากภวังค์
“อ๊ะ!...ครับ”  เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นทันที

ระหว่างพักการแสดง  ฟุยุกิไม่ได้พบคิริฮาระอย่างที่หวังไว้  ได้แต่ยืนคุยกับนัตสึเมะและโทดมกิอยู่ตรงมุมขายเครื่องดื่ม  เขารู้สึกต้องอัธยาศัยกับโทโมกิมากกว่าที่คิด  แม้จะมีแววเศร้าหมองแฝงอยู่ลึก ๆ  แต่ดวงตาของโทโมกิก็เป็นประกายซุกซนเมื่อเอ่ยปากแซวนัตสึเมะเรื่องริบบิ้นผูกผม

“เขาเอาไปให้ผมเหมือนกัน  แต่นายแม่บอกว่าถ้าผูกมาจะตีให้ตาย  ผมก็เลยต้องยอมแพ้พนันนี่แหละครับ”  โทโมกิบอกแล้วก็หัวเราะ
“กลัวคุณผู้หญิงมากกว่าจะโดนคิริฮาระแก้งสินะครับ”  นัตสึเมะยิ้ม
“ไม่ให้แกล้งหรอกครับ  ถ้าจะแกล้ง...ผมก็จะฟ้องนายแม่”  โทโมกิหัวเราะคิก  “แล้วอาริโยชิซังไม่ได้ริบบิ้นบ้างเหรอครับ?”
“อ่ะ...ไม่ครับ”
“อาริโยชิคุงเป็นแขกรับเชิญพิเศษของผมครับ  คิริฮาระแกล้งไม่ได้หรอก”
“อ๋า...ดีจัง  แขกพิเศษด้วย”  โทโมกิแกล้งเอาศอกกระทุ้งนัตสึเมะ
ฟุยุกิยิ้มอาย ๆ  แค่ฟังโทโมกิกับนัตสึเมะคุยกันก็สนุกแล้ว  แต่ถ้าได้รู้จักพวกเขามากขึ้นกว่านี้อีกนิดก็คงดี  บางทีชีวิตอาจจะสนุกกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้

หมดพักครึ่งการแสดง  ผู้ชมก็ทยอยกันกลับไปประจำที่  ตอนนั้นเองที่นัตสึเมะกระซิบกับฟุยุกิ
“ครึ่งหลังนี่  ทำใจดี ๆ ไว้นะครับ”
“เอ๊ะ?”
นัตสึเมะไม่อธิบายอะไรนอกจากยิ้มเจ้าเล่ห์  แล้วไฟในฮอลล์ก็ดับลงอีกครั้ง

ม่านค่อย ๆ เลื่อนเปิด  สปอตไลท์หลายดวงสาดจ้าไปจับที่จุดเดียว  และผู้ที่ยืนอยู่กลางเวทีพร้อมกับไวโอลินในมือก็คือ...คิริฮาระ  ยู

เขากวาดตาไปรอบฮอลล์แล้วยิ้มรับเสียงปรบมือ  ก่อนจะสะบัดเรือนผมสีแดงยาวเคลียบ่าและตั้งท่าจรดไวโอลิน

ฟุยุกิที่ไม่ได้สนใจจะอ่านสูจิบัตรมาก่อนจึงไม่รู้ว่ามีการแสดงเดี่ยวไวโอลินของคิริฮาระด้วยถึงกับอ้าปากค้าง  และเข้าใจคำพูดของนัตสึเมะในตอนนั้นเอง  หากยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ  ท่วงทำนองแว่วหวานก็ล่องลอยออกมาจากสายลวดและคันซอของคิริฮาระ

ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางป่าใบไม้แดง...สำเนียงอ่อนหวานชักนำผู้ฟังให้เดินทางลึกเข้าไปในป่าอันเต็มไปด้วยใบไม้หลากสีสรรพ์...ฟุยุกิตะลึงกับพลังของเสียงดนตรีที่สามารถทำให้เกิดภาพขึ้นมาในใจของเขาได้  แล้วคิริฮาระก็ขยับโยกกายพร้อมกับเปลี่ยนท่วงทำนองไวโอลิน  ดุจสายลมพัดผ่านต้นไม้ให้ปลิดใบร่วงพรู  ม่านใบไม้สีเหลืองแดงละลิ่วลอยวนก่อนจะค่อย ๆ ทิ้งตัวลงสู่พื้นพสุธา...เนิบ...ช้า...
หัวข้อ: Re: Lock on You 05 (รีโพสต์) 6-03-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 06-03-2015 20:27:32
ฟุยุกิจะเห็นภาพอะไร  นัตสึเมะไม่รู้หรอก  แต่ในใจของเขานั้น...เมื่อม่านใบไม้ค่อยหล่นลงสู่พื้น  ก็เผยให้เห็นร่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านนั้น...ร่างเล็กบอบบาง  เรือนผมสีดำยาวปรกหน้า  ขนตายาวหรุบต่ำราวกับพยายามจะซ่อนแววตาเศร้าสร้อยนั้นไว้...หลายครั้งหลายหนที่นึกอยากดึงเข้ามากอดแล้วปลอบโยนให้หายเศร้า  แต่เขามีคุณสมบัติอะไรดีพอที่จะทำอย่างนั้นงั้นหรือ...

สายลมกระโชกแรงพัดผ่านไป  เหลือไว้เพียงแต่ต้นไม้ที่มีใบประดับอยู่เพียงน้อยนิดยืนหยัดแผ่กิ่งก้านสง่างามอยู่บนผืนพรมใบไม้สีสวยงามอย่างที่ฝีมือมนุษย์ไม่อาจถักทอเลียนแบบได้...นัตสึเมะถอนใจแผ่วเบา  แล้วลอบมองคนที่นั่งข้าง ๆ  ฟุยุกิเหม่อมองไปบนเวทีด้วยแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความหลงใหล  เหมือนหัวใจได้โดยบินไปกับตัวโน้ตสุดท้ายที่เลือนหายไปในอากาศ...

เสียงปรบมือดังกึกก้อง  คิริฮาระโบกคันซอแล้วโค้งรับเสียงปรบมืออย่างสง่างาม  ฟุยุกิปรบมือเต็มที่จนเจ็บไปหมดแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด  ความรู้สึกบางอย่างมันเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจ  เป็นครั้งแรกที่ฟุยุกิรู้สึกว่าดีแล้วที่ได้ทำงานที่สำนักงานนั้น  ดีแล้วที่ได้เดินกลับบ้านทางนั้นทุกวัน...และดีเหลือเกินที่ได้พบกับคิริฮาระและไวโอลินของเขา  ปลาบปลื้มจนหัวใจปวดแปลบ  คิริฮาระที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟบนเวทีดูเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน...ใช่...เป็นดวงตะวันหนึ่งเดียวที่มอบแสงสว่างและความอบอุ่นให้กับชีวิตที่มืดมนนี้

ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้า  ฟุยุกิมองมันอย่างงุนงงแล้วจึงมองหน้านัตสึเมะผู้ส่งมันมาให้

“เช็ดน้ำตาเสียหน่อยสิครับ”
“เอ๊ะ?”  ฟุยุกิยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง...น้ำตาไหลรินตั้งแต่เมื่อไร  เขาไม่รู้สึกตัวเลย
“คิริฮาระสั่นไหวหัวใจคนได้แบบนี้เสมอแหละครับ”  นัตสึเมะพูดอย่างภาคภูมิใจ  “ไม่ต้องอายหรอกครับ  ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ร้องไห้น่ะ”

ฟุยุกิเหลือบมองไปตามที่นัตสึเมะพยักเพยิดไป  แล้วก็เห็นโทโมกิกำลังนั่งซับน้ำตาอย่างจริงจังไม่ต่างจากเขา  เด็กหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้...นั่นสินะ...คิริฮาระช่างเปี่ยมไปด้วยพลังและเสน่ห์ดึงดูดหัวใจคนอย่างน่าเหลือเชื่อ  ไม่แปลกเลยที่เขาจะเผลอน้ำตาไหลออกมาแบบนี้

การแสดงยังคงดำเนินต่อไป  บทเพลงแล้วบทเพลงเล่าที่ถ่ายทอดออกมาจากหลากหลายเครื่องดนตรีพาให้หัวใจโลดเล่นไปตามท่วงทำนอง...กระทั่งเสียงเพลงสุดท้ายสิ้นสุดลง  ทั้งฮอลล์ก็ลุกขึ้นปรบมือแสดงความชื่นชมกึกก้องยาวนาน

เมื่อม่านปิดและไฟในฮอลล์เปิดสว่าง  ผู้คนก็เริ่มทยอยกันออกจากสถานที่แสดง  ส่วนมากก็ออกมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อพูดคุยถึงการแสดงที่เพิ่งจบลงหรือไม่ก็ซื้อสูจิบัตรและของที่ระลึกเพิ่มเติม  หากนัตสึเมะพาฟุยุกิกับโทโมกิและผู้ติดตามเดินเลาะไปอีกด้านหนึ่งซึ่งไปออกทางด้านหลังเวที  ชายหนุ่มบอกชื่อและแสดงบัตรให้สต๊าฟที่เฝ้าพื้นที่อยู่  ก่อนจะถูกปล่อยให้เข้าไปในส่วนของนักดนตรีได้

คิริฮาระปะปนอยู่กับกลุ่มนักดนตรีในวง  กำลังพูดคุยกันเรื่องการแสดงในวันนี้  แต่ทันทีที่หันมาเห็นนัตสึเมะซึ่งโบกมือทักทายอยู่ที่หน้าประตูก็รีบปลีกตัวออกมา  นักดนตรีหนุ่มเดินกางแขนยิ้มร่ามาหาแล้วโถมเข้ากอดนัตสึเมะทั้งตัวจนเซถลา

“ตัวไม่ใช่เบา ๆ นะเนี่ย”  นัตสึเมะแกล้งว่า
“หาว่า...ตลอดห้าปีมานี่น้ำหนักตัวฉันไม่ขึ้นเลยนะ”  คิริฮาระเถียง
“อืม...ชักจะผอมเกินไปแล้วด้วยซ้ำ”
“ช่าย...เพราะงั้น  ไม่หนัก”  คิริฮาระทำท่าจะยกขาก่ายเพื่อนเสียด้วย
“ทะลึ่งละ...ลง!”  แกล้งดุด้วยเสียงเข้ม ๆ  “เล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้  อายคนอื่นเขาบ้าง”
“คนอื่น...?”  คิริฮาระชะโงกไปมองข้างหลังนัตสึเมะ  “อ้อ...ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย  สวัสดี  โทโมกิคุง  อาริโยชิคุง”

“สวัสดีครับ  คิริฮาระซัง  ร่าเริงเหมือนเคยนะครับ”  โทโมกิเอ่ยพลางกลั้นยิ้ม
“ความร่าเริงคือเคล็ดลับของความเป็นหนุ่มตลอดกาล”  นักดนตรีหนุ่มขยิบตาแล้วหันไปหาฟุยุกิ  “ไม่เจอกันนานนะครับ  อาริโยชิคุง”
“เอ้อ...สวัสดีครับ...”  ทั้งที่คุ้นเคยกันพอประมาณแล้ว  แต่ฟุยุกิกลับรู้สึกประหม่าอย่างประหลาด...คงเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างชมการแสดงก็เป็นได้
“เอ...แล้ว...ฮารุกะจังล่ะ?”  คิริฮาระถามทั้งยังกอดคอนัตสึเมะอยู่อย่างนั้น
“ไม่ได้มาหรอก  ไม่ได้ชวน”  นัตสึเมะบอก  “ว่าแต่...เมื่อไรจะปล่อยฉันเสียที”
“อ้าว...แล้วตั๋วอีกใบของฉันล่ะ?”  คิริฮาระทำเป็นไม่ได้ยิน
“ก็นี่ไง...เซอร์ไพรส์”  นัตสึเมะผายมือไปทางฟุยุกิ

คิริฮาระเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจแล้วมองหน้านัตสึเมะอีกครั้ง  ร่างสูงยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นการยืนยัน  นักดนตรีหนุ่มหันไปมองฟุยุกิแล้วยิ้มกว้าง

“ผู้โชคดีคนใหม่ของฉันเหรอเนี่ย”  คิริฮาระปล่อยนัตสึเมะแล้วจับมือฟุยุกิเขย่า  “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านัตสึเมะจะพาใครอื่นนอกจากน้องสาวมา  การแสดงของผมเป็นยังไงบ้างครับ  อาริโยชิคุง?”

“อ๊ะ...เอ่อ...ยอดมากเลยครับ  ยอดจริง ๆ  ผมไม่เคยดูการแสดงแบบนี้มาก่อนเลย”  ฟุยุกิละล่ำละลักตอบ

“อาริโยชิคุงไม่เคยดูคอนเสิร์ตใหญ่ก็เลยว่าดีหรือเปล่า?”  ชายหนุ่มแกล้งแหย่
“ไม่นะครับ!  คิริฮาระซังยอดเยี่ยมจริง ๆ  ผมน้ำตาไหลเลยนะครับ...”

พอหลุดปากออกไปแบบนั้น  น้ำตาก็ดันไหลออกมาจริง ๆ  ฟุยุกิตกใจตัวเองจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ  คิริฮาระเองก็ตกใจที่อยู่ ๆ เด็กหนุ่มมาร้องไห้ต่อหน้าเขาแบบนี้  แต่แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู  ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้

“อย่าร้องสิ  เดี๋ยวจบซีซันนี้แล้วจะรีบกลับไปเล่นให้ดูให้หนำใจเลยนะ”

ฟุยุกิได้แต่พยักหน้า  น้ำตาเจ้ากรรมยังไหลไม่หยุด  ยิ่งคิริฮาระโอบไหล่เขาไว้เหมือนจะปลอบโยนก็ยิ่งหยุดไม่ได้

“แล้ว...ผมเล่นดีกว่าที่ข้างถนนหรือเปล่า?”

“ดี...ดีกว่าครับ...แต่...แต่ผมชอบแบบนั้นมากกว่า”  คิริฮาระที่อยู่บนเวทีแห่งแสงไฟดูห่างไกลเกินไปสำหรับเขา  เขาชอบคิริฮาระที่เล่นไวโอลินเพื่อเป็นที่พักใจให้พวกคนทำงานมากกว่า

คิริฮาระยิ้มแล้วตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ  “แล้วโทโมกิคุงร้องไห้หรือเปล่า?”

โทโมกิยิ้มกว้าง  “ถึงร้อง...ผมก็ไม่บอกคุณหรอกครับ”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ  “รอของฝากแป๊บนึงนะ  สต๊าฟกำลังจัดการให้อยู่”

“ของฝากที่ว่านี่...อะไรเหรอครับ?”  โทโมกิชักอยากรู้

“บันทึกการแสดงสดแบบไม่ตัดต่อ  เอาไปให้หมอนั่นฟัง  เผื่อจะอยากตื่นขึ้นมาฟังผมเล่นสด ๆ เร็ว ๆ”

โทโมกินิ่งอึ้งไปนิดหน่อย  ก่อนจะยิ้มทั้งตาแดง ๆ  “ดนตรีบำบัดสินะครับ”

“มันจะบำบัดได้มั้ยก็ไม่รู้สิ  แต่ถ้ามันทำให้หมอนั่นตื่นมาเจอคุณเร็วขึ้นอีกนิด  ผมก็ดีใจแล้ว”  คิริฮาระบอกยิ้ม ๆ

“ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ  “...ชุนคงชอบ”

“ผมว่าคงไม่ชอบนักหรอกครับ  คิริฮาระเล่นไวโอลินทีไร  วายะซังกัดเอาทุกที”  เป็นนัตสึเมะที่ขัดคอขึ้น  “ถ้าจะตื่นก็คงตื่นมาเฉ่งโทษฐานหนวกหูละมั้งครับ”

โทโมกิหัวเราะคิกในขณะที่คิริฮาระทำหน้าบูด  ฟุยุกิยังอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้  แม้จะไม่รู้ว่าคนที่ชื่อวายะ  ชุน  เป็นใครและเกิดอะไรขึ้นกับเขา  แต่เท่าที่ฟังก็คงจะป่วยหนักละมั้ง  ถึงได้มีการให้กำลังใจกันในลักษณะนี้

แม้จะดูมีความซึมเศร้าปนอยู่บ้าง  แต่ฟุยุกิก็ชอบบรรยากาศที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่ในตอนนี้  มันเป็นความผ่อนคลายที่อบอุ่นอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยสัมผัสจากในบ้าน  ทั้งที่สมาชิกในวงสนทนาก็มีแต่ผู้ชายเหมือนกับที่บ้าน  แต่พ่อกับพวกพี่ชายมักจะเคร่งเครียดอยู่เสมอ  เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าคนในบ้านเขาเคยหยอกล้อกันเล่นแบบนี้บ้างหรือเปล่า

“อ๊ะ!  ว่าแต่...ริบบิ้นที่ให้ไปล่ะครับ?”  คิริฮาระชะโงกไปดูปอยผมด้านหลังที่ไว้ยาวเป็นหางของโทโมกิซึ่งรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย
“ไม่ได้ผูกมาหรอกครับ  นายแม่ไม่ให้ผูก”  โทโมกิสารภาพตามตรง
“เอ๋...อ้างนายแม่แบบนี้ขี้โกงนี่นา  แล้วนัตสึเมะ...”  คิริฮาระหันขวับไปกะเล่นงานนัตสึเมะเต็มที่
“ฉันผูก”  ไม่พูดเปล่ายังดึง  ‘หาง’  ผูกโบว์มาให้ดูด้วย
“...หน้าไม่อาย”  คิริฮาระว่า  ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเอาริบบิ้นไปให้เขาผูกแท้ ๆ
“หน้าฉันไม่เหลือยางอายตั้งแต่คบนายเป็นเพื่อนแล้วละ”  นัตสึเมะพูดใส่หน้าเพื่อนหน้าตาเฉย
คิริฮาระอ้าปากค้าง  ก่อนจะยกมือขึ้นกุมอกแล้วทรุดลงนั่งยอง ๆ  “ระ...แรง...”
“ฉันชนะพนันสองเรื่อง  นายต้องเลี้ยงอาหารไทยฉัน”  ร่างสูงทำท่าเชิดใส่
“อย่างนายกินเผ็ดเป็นด้วยหรือไง?”
“ก็กินเก่งกว่านาย  เอาละ...อย่ามาเฉไฉ  นี่ฉันมีพยานบุคคลสองปากนะ  จะมาบิดพลิ้วไม่ได้นะ”  นัตสึเมะพยักเพยิดไปทางฟุยุกิกับโทโมกิ

พอโดนต้อนจนหมดทางหนี  คิริฮาระก็ทำหน้าทุ่ยแล้วตอบด้วยเสียงสะบัด ๆ
“เฮอะ!  ก็ได้ ๆ”
“เลี้ยงพวกผมด้วยใช่มั้ยครับ?”  โทโมกิแกล้งแหย่มา
“หา!?  โทโมกิคุงน่ะแพ้พนันผมนะ  ต้องเลี้ยงผมสิ”
“ถ้านายแม่ไม่ห้ามไว้ก็ไม่แพ้หรอกครับ  อันนี้คิริฮาระซังต้องไปตกลงกับนายแม่เอาเองแล้วละ”  เด็กหนุ่มิ้มแต้
“เอาเป็นว่าไปกันทั้งสี่คนเลยแล้วกัน  คิริฮาระเลี้ยง”  นัตสึเมะสรุปให้หน้าตาเฉย
“เอ๊ะ!?  ผมด้วยเหรอครับ?”  ฟุยุกิตกใจนิดหน่อยกับคำพูดนั้น
“ด้วยสิครับ  ในฐานะพยานบุคคลไง”  ชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น
“หมดกัน...ค่าตัวฉัน...”  คิริฮาระทำเสียงระทดระท้อแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

ฟุยุกิถึงกับอึ้งกับโอกาสที่ไม่คาดฝันนั้น  เขาแค่มาดูคอนเสิร์ตกับนัตสึเมะเท่านั้นเอง  แค่คิดว่าจะได้เห็นคิริฮาระเล่นดนตรีอีกครั้ง  ไม่ได้คิดขนาดจะได้เข้ามาหลังเวทีและอยู่ในกลุ่มที่พูดคุยกันสนิทชิดเชื้อแบบนี้เลยด้วยซ้ำ...แล้วยังจะไปกินข้าว...นี่มันมากเกินไปแล้ว  หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก  จะทำยังไงดี...ตอนนี้จะทำหน้ายังไงดี  ทำหน้าไม่ถูกแล้ว  มันร้อนไปหมดทั้งหน้า  สองตาก็ร้อนไปหมด...จะทำยังไงดี...

“อ้าว...ยังไม่ทันกินของเผ็ดก็ร้องไห้ซะแล้วเหรอ  อาริโยชิคุง”  เป็นคิริฮาระที่สังเกตเห็นแล้วยกมือขึ้นลูบผมเขาเบา ๆ
“เปล่าครับ...ก็มัน...มัน...”
ไม่รู้จะตอบอะไรได้  เด็กหนุ่มได้แต่กลั้นสะอื้นอยู่อย่างนั้น...อายทั้งอายแต่ก็หยุดน้ำตาไม่ได้  ในที่สุดก็ต้องหัวเราะออกมากับความขี้แยของตัวเอง
“ฮะ...ฮะ ๆ...ไม่เอาไหนเลยนะครับ  ผมเนี่ย”
“ไม่หรอกน่า...ก็แค่ร้องไห้เอง”  คิริฮาระปลอบเบา ๆ
“ใช่...ไม่เป็นไรหรอก  ผมยังเคยร้องไห้กับคิริฮาระซังบ่อยไป”  โทโมกิเสริมมา  “โดยเฉพาะตอนเด็ก ๆ นะ”
“...โตแล้ว...ไม่ร้องเหรอครับ?”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มถาม
“...ยังหาโอกาสไม่ได้เลย  อาริโยชิซังแย่งไปแล้ว”  เด็กหนุ่มบอกพลางยิ้มกว้าง
“ฮะ...ฮะ ๆ  ขอโทษนะครับ”  ฟุยุกิเลยพลอยหัวเราะไปด้วย

การพูดคุยถูกขัดเมื่อสต๊าฟนำซีดีมาให้คิริฮาระ  เขารับเอาไว้ก่อนจะถามหาปากกามาเขียนชื่อคอนเสิร์ตและวันที่ลงบนแผ่นแล้วส่งให้โทโมกิ

“ฝากให้วายะด้วยนะครับ”
โทโมกิรับไว้ด้วยสองมือแล้วโค้งให้  “ขอบคุณครับ  จะเปิดให้ฟังบ่อย ๆ เลยละครับ”
“ถ้าฟังบ่อย...เดี๋ยวหมอนั่นก็อยากลุกมาด่าผมเองแหละครับ  อาจจะเป็นผลดีก็ได้”  คิริฮาระหัวเราะ  “เอาละ  เดี๋ยวผมต้องมีประชุมวงอีกนิดหน่อย  ขอบคุณทุกคนที่มามากนะครับ”
“ขอบคุณสำหรับบัตรเชิญนะ”  นัตสึเมะบอก

หลังจากกล่าคำอำลากันนิดหน่อย  นัตสึเมะก็พาเด็กหนุ่มทั้งสองออกมาจากหลังเวที  เขากับฟุยุกิส่งโทโมกิขึ้นรถที่คนขับรถนำมารับที่หน้าอาคาร  เมื่อเห็นรถหรูราคาแพงนั่นแล้ว  ฟุยุกิก็อึ้งนิดหน่อย  โทโมกิรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็จริง  แต่คงเป็นคนในตระกูลสูงละมั้ง  ถึงได้มีทั้งผู้ติดตามและรถหรูที่มีคนขับพร้อมแบบนี้  หากโทโมกิดูติดดินและไม่มีท่าทีถือตัวเลยสักนิด  เป็นคนสนุกสนานและน่าประทับใจทีเดียว...คงจะดีถ้าสถานที่ต่างกันของพวกเขาจะไม่เป็นปัญหากับความสัมพันธ์ที่อาจจะพัฒนาขึ้นได้มากกว่านี้

“แล้วอาริโยชิคุงจะกลับยังไงครับ  กลับกับคุณพ่อหรือเปล่า?”  นัตสึเมะถามขึ้นหลังจากรถของโทโมกิวิ่งไปจนลับตาแล้ว
“เปล่าครับ  ผมไม่ได้อยู่บ้านคุณพ่อแต่อยู่ที่แมนชั่นกับพี่ชาย  เดี๋ยวขึ้นรถไฟกลับครับ”  ฟุยุกิบอก
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งที่สถานีรถไฟก็แล้วกันนะครับ”
“อ๊ะ!  ไม่ต้องก็ได้ครับ  ลำบากเปล่า ๆ”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ  ผมเองก็ต้องกลับรถไฟเหมือนกัน  ก็เดินไปด้วยกันนี่แหละ”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ
“อ่า...ครับ  เอางั้นก็ได้”

ทั้งสองเดินไปด้วยกันบนทางเท้าที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนของวันหยุด  หลายคนคือผู้ชมที่เพิ่งทยอยออกมาจากฮอลล์เช่นเดียวกับพวกเขา  สังเกตได้จากสูจิบัตรและของที่ระลึกในมือ  ฟุยุกิเองก็มีสูจิบัตรเช่นกัน  แต่ของที่ระลึกที่ได้รับมาไม่ใช่ของที่มีตัวตน...ไหล่ที่คิริฮาระโอบไว้ยังร้อนผ่าวในความรู้สึก  มือที่โอบเขาไม่ปล่อยตลอดการสนทนาช่างแสนอ่อนโยน  ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายท่าทางโฉบเฉี่ยวแบบคิริฮาระจะสามารถเช็ดน้ำตาให้คนอื่นได้แบบนั้น

“อ๊ะ!  นัตสึเมะซัง  ผมเผลอเอาผ้าเช็ดหน้าของคิริฮาระซังติดมาด้วยน่ะครับ”  ฟุยุกิเพิ่งจะรู้สึกตัว  รีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าสูท  “ทำยังไงดี...”
“ก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกันครับ  ไม่ต้องคืนหรอก”  นัตสึเมะตอบง่าย ๆ...ผ้าเช็ดหน้าสีขาวแต่งขอบลูกไม้แบบนี้ไม่ใช่ของที่คิริฮาระใช้เป็นประจำหรอก  แต่เป็นพวกของประดับเสื้อเวลาออกงานเสียมากกว่า  จะหายไปสักผืนเจ้าตัวก็ไม่เดือดร้อนอะไรแน่
“จะ...ดีเหรอครับ”  แม้จะพูดอย่างนั้นแต่เด็กหนุ่มก็แอบใจเต้น
“ดีครับ  เก็บไว้เถอะ  คิริฮาระเองก็คงอยากให้คุณมั้งครับ  ถึงได้ควักออกมาให้”  ร่างสูงสรุปเองเสร็จสรรพ
“งะ...งั้น...ขอรับไว้นะครับ”  ฟุยุกิบรรจงพับผ้าเช็ดหน้าแล้วเหน็บลงในกระเป๋าสูทพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข  แทบจะรู้สึกได้ว่าผ้าเช็ดหน้าผืนบางสะท้อนไปตามแรงเต้นของหัวใจ

นัตสึเมะมองใบหน้านั้นแล้วก็ยิ้ม  เขาไม่ได้พูดอะไรอีกกระทั่งถึงสถานีรถไฟ  ปล่อยให้ฟุยุกิดื่มด่ำกับความสุขของตนไปเงียบ ๆ...คืนนี้ถ้าเด็กหนุ่มไม่นอนหลับฝันดีก็คงต้องพลิกซ้ายพลิกขวานอนไม่หลับทั้งคืนเพราะตื่นเต้นเกินไปเป็นแน่

ทั้งสองเข้าไปในสถานีด้วยกันแต่รถสายที่จะขึ้นอยู่คนละชานชาลา  นัตสึเมะอาสาไปส่งฟุยุกิก่อนเพราะบ้านของเขาอยู่ในเมืองและมีรถมาทุก 5 นาที

“วันนี้ต้องขอบคุณนัตสึเมะซังมากเลยนะครับ  ที่พาผมมาดูคอนเสิร์ตในวันนี้  สนุกมาก ๆ เลย”  ฟุยุกิโค้งให้อย่างมีมารยาท
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่คุณยอมไปด้วย  ผมเลยชนะพนันคิริฮาระ”  นัตสึเมะตอบอย่างอารมณ์ดี

ฟุยุกิหัวเราะ  แล้วเสียงประกาศเตือนรถไฟเข้าจอดก็ดังขึ้นและตามมาด้วยขบวนรถที่เปิดไฟสว่างจ้าเคลื่อนเข้ามาในชานชาลา
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ  นัตสึเมะซัง”  เด็กหนุ่มโค้งให้อีกครั้ง
“แล้วรอไปทานอาหารไทยด้วยกันนะครับ”  ร่างสูงยิ้ม
ฟุยุกิหัวเราะเขิน ๆ  “ครับ  แล้วเจอกันนะครับ”
“แล้วเจอกันครับ”

นัตสึเมะเฝ้ามองเด็กหนุ่มเดินปะปนกับแถวผู้โดยสารหายเข้าไปในตัวรถ  และโบกมือตอบเมื่ออีกฝ่ายโบกมือมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม...พอยิ้มแล้วก็น่ารักดี  น่าเสียดายที่ชอบทำหน้าเศร้า ๆ อยู่เรื่อย  ถ้าทำให้ยิ้มได้บ่อย ๆ แบบนี้ก็ดีสินะ...นัตสึเมะคิดขณะที่มองรถไฟขบวนนั้นเคลื่อนออกจากชานชาลาและหายลับตาไป

ในตอนที่กำลังเดินกลับไปรอรถไฟที่จะกลับบ้าน  โทรศัพท์มือถือก็สั่นและแสดงข้อความเข้า  นัตสึเมะเปิดดูแล้วยิ้ม...ข้อความจากคิริฮาระ

“พาเด็กคนนั้นมาน่ะ  ไม่ใช่เพราะเรื่องพนันแต่จงใจให้เขาเจอฉันสิท่า”

นัตสึเมะหัวเราะก่อนส่งข้อความกลับไป  “เกลียดชะมัดเลย  คนรู้ทันเนี่ย  ก็เขาอยากฟังไวโอลินของนายจะแย่อยู่แล้ว  น่าสงสาร  ก็เลยพาไป”

“แอบมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า  เด็กนั่นน่ารัก...ถูกใจนายละสิ”
“ไม่เถียง  ก็แค่อยากเซอร์วิสคนที่ถูกใจนิดหน่อย  นายก็ช่วยทำตัวน่ารัก ๆ หน่อยแล้วกัน”
“เลี้ยงต้อย!”

ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยก๊ากออกมากลางรถไฟกับข้อความนั้น  ถึงเขาจะถูกใจฟุยุกิและแก่กว่าหลายปีก็เถอะ  แต่มันยังไม่ใช่อะไรแบบนั้นแน่

“ยังไม่ได้เลี้ยง  แค่อยากให้เด็กที่ยิ้มแล้วน่ารักยิ้มบ่อย ๆ มันผิดตรงไหน?”
“ไม่ผิดหรอกคร้าบ  อิชิกาวะ  นัตสึเมะซัง  ยังไม่เลี้ยงแต่กำลังจะฝากฉันเลี้ยงใช่มั้ย  ระวังเหอะ  เดี๋ยวฉันจับกินไม่รู้ด้วย  หมู่นี้ฉันยิ่งคันเขี้ยวอยากเคี้ยวเด็กอยู่ด้วย”

นัตสึเมะจิ้มตอบกลับไปด้วยความเร็วระดับเด็กมัธยมปลายยังอาย  “ฉัน...จะ...โทร...ไป...เยอรมัน...เดี๋ยว...นี้”

“ไม่!  สาบานด้วยเกียรติของอดีตนายแบบระดับ TOP 5  ของลูนาติก  ลัสท์  ว่าฉันจะไม่กินเด็กคนนั้นและจะเลี้ยงขาหมูเยอรมันถ้านายจะไม่ปากโป้ง”

ร่างสูงหัวเราะเบา ๆ  ไอ้เกรียติที่ว่านั่นมันน่าเชื่อถือตรงไหน...แต่ก็ช่างเถอะ  ขาหมูเยอรมันก็น่าอร่อยดี

“โอเค  ฉันจะเก็บข้อความไว้เป็นหลักฐาน  ขยันทำงานเข้าล่ะ  จบคอนเสิร์ตแล้วจะเลี้ยงเอสเปรซโซกับคุกกี้อร่อย ๆ นะ”

“อื้อม  แล้วเจอกัน  ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์”

การโต้ตอบกันทางข้อความจบลงแค่นั้น...และนัตสึเมะก็เดินกลับถึงบ้านพอดี  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่แม้จะมองไม่เห็นดาวแต่ก็กระจ่างใส...ก็ไม่ใช่จะฝากเลี้ยงอะไรหรอก  แต่ถ้าการเจอคิริฮาระบ่อย ๆ จะทำให้ฟุยุกิยิ้มมากขึ้นมันก็ดีไม่ใช่หรือ...
นั่นเป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่นัตสึเมะจะเปิดประตูและเดินหายเข้าบ้านไป

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 05 (รีโพสต์) 6-03-58
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 06-03-2015 22:43:15
สนุกมากเลยค่าา ดีใจมากๆที่มีมาให้อ่านอีก
ฟุยุกิคุงน่ารัก แต่สงสารเบาๆ หลงพ่อหนุ่มผมแดงขนาดนั้น
ถ้าวันไหนต้องเจ็บขึ้นมา ไม่อยากคิดเลย
หัวข้อ: Re: Lock on You 06 / 22-03-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 22-03-2015 21:53:43
สวัสดีครับ คราวนี้มาเร็วหน่อย ไม่ได้รีโพสต์แล้วนะครับ ลงเรื่องต่อแล้ว
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ ชอบไม่ชอบยังไงก็เม้นต์บอกกันหน่อยนะครับ ผมรออ่านเม้นต์ ฮ่าๆๆ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 06

“กลับมาแล้วครับ”  ฟุยุกิเอ่ยขึ้นเมื่อไขรูดคีย์การ์ดเข้าห้องพักในแมนชั่น

“กลับมาแล้วเหรอ...หมู่นี้กลับดึกนะ”  มิโนรุ  ผู้เป็นพี่ชายนั่งจิบไวน์รอบก่อนนอนอยู่หน้าโทรทัศน์  “ไปเที่ยวกับเพื่อนมาเหรอ?”

“เอ้อ...ครับ...”  เด็กหนุ่มรับคำอย่างแกน ๆ...เพราะถึงจะออกไปกับคนอื่นแต่ก็เรียกว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ดี


จนป่านนี้ฟุยุกิก็ยังไม่ค่อยคบหาสมาคมกับเพื่อนร่วมงาน  ไม่ใช่เพราะเข้ากับใครไม่ได้หรือไม่อยากคบหาใคร  แต่เป็นเพราะตัวเองทำงานช้าเลยต้องทำแต่งานจนไม่มีเวลาไปเสวนากับใครต่างหาก  กว่าจะทำงานเรียบร้อยแต่ละอย่าง  คนอื่นเขาก็ไปกันไกลแล้ว  ดังนั้นคนที่ฟุยุกิไปคบหาด้วยจริง ๆ คือคนที่รู้จักหลังเลิกงานเท่านั้น

หลังจากจบฤดูการแสดงคอนเสิร์ตแล้ว  คิริฮาระก็กลับมาเล่นไวโอลินข้างถนนเหมือนเคย  แน่นอนว่าได้รับการต้อนรับจากแฟนประจำอย่างล้นหลาม  แม้อากาศจะหนาวไปบ้างแต่ในวันแรกที่คิริฮาระกลับมาก็มีคนมาห้อมล้อมดูการแสดงกลางแจ้งหลายสิบคน  ฟุยุกิมาถึงช้าเพราะมัวแต่จัดการงานของตัวเองอยู่  แต่เมื่อเห็นคิริฮาระอยู่ที่นั่นพร้อมกับเสียงไวโอลินแว่วหวาน...หัวใจก็พองโต  เด็กหนุ่มเลือกที่นั่งข้างทางในมุมเหมาะ ๆ และดูการแสดงจนจบ  ก่อนจะไปที่ร้านกาแฟของนัตสึเมะพร้อมกับคิริฮาระ...เป็นเช่นนี้มาแทบทุกวัน

“อาริโยชิคุง  ไม่ลองไปที่คลับของผมบ้างเหรอ?”  คิริฮาระเอ่ยชวนในวันหนึ่งขณะที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ในร้านของนัตสึเมะ

“เอ๋?  เป็นร้านเหล้าไม่ใช่เหรอครับ?  ผมดื่มเหล้าไม่ได้หรอก”  ฟุยุกิรีบบอกปัดทันที

“เครื่องดื่มที่ไม่ใช่เหล้าก็มีน่า  เป็นคลับก็ไม่ได้มีแต่เหล้าซะหน่อย”  คิริฮาระเน้นคำว่าคลับ  เพราะฟุยุกิเรียกทีไรก็เป็นร้านเหล้าทุกที...ซึ่งอิมเมจมันคนละเรื่องกันเลย

“อ่า...ครับ...”

“งั้นไปนะ  ไม่ได้มีนัดเดทกับสาวที่ไหนใช่มั้ย?”  ชายหนุ่มคะยั้นคะยอ

“นี่...จะหาลูกค้าเข้าร้านว่างั้นเถอะ”  นัตสึเมะที่ยืนฟังอยู่ขัดคอ

“เฮ่ย  ฉันเลี้ยงเองน่า  ไปกับเจ้าของร้านใครจะให้จ่ายกัน  เสียหน้าหมด”  คิริฮาระรีบว่า  “นะ...อาริโยชิคุง  เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง  ลองไปเที่ยวบ้าง  มาดื่มแต่ชาที่ร้านนี้มันไร้รสชาติของชีวิตน่ะ”

“นายก็มาดื่มกาแฟร้านฉันทุกวัน”  นัตสึเมะเท้าเอว  ทำหน้าหาเรื่องใส่...มาว่าไร้รสชาติของชีวิตแบบนี้มันยอมไม่ได้

“ก็กาแฟฝีมือนายมันอร่อยกว่าที่อื่น”  นักดนตรีหนุ่มยักไหล่ทำท่าเหมือนกับว่า...ยอมมาดื่มก็บุญแล้วนะ

“ฉันจะถือว่าเป็นคำชม”  คนเป็นเจ้าของร้านก็ทำท่าเชิดใส่เหมือนกัน

ฟุยุกิหัวเราะคิก  เพราะแบบนี้เขาถึงได้ชอบอยู่กับสองคนนี้ยังไงล่ะ  ไม่มีใครถามเรื่องงานหรือความสัมพันธ์กับคนรอบตัว  ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง  ที่นี่มีแต่บรรยากาศเป็นกันเองและคำพูดหยอกล้อที่ฟังแล้วสบายใจอยู่เสมอ

ในที่สุดคืนนั้นฟุยุกิก็ไปกับคิริฮาระจนได้  คิริฮาระเลือกมุมที่นั่งสบายให้ฟุยุกิก่อนจะไปชงเครื่องดื่มมาให้แล้วกลับมานั่งด้วย  คาลัวร์มิ้นต์มิลค์คือเมนูที่คิริฮาระเลือกให้เด็กหนุ่ม  เป็นเมนูที่ปกติแล้วจะมีแต่สาว ๆ สั่งกัน  แต่คิริฮาระรู้ดีว่าฟุยุกิไม่เคยลิ้มลองของพวกนี้มาก่อน  เมนูนี้จึงเหมาะที่สุด  ซ้ำยังใส่เหล้าน้อยจนอ่อนบางแทบไม่รู้สึกถึงรสเหล้าด้วยซ้ำ

บรรยากาศในคลับของคิริฮาระมีเพียงแสงไฟสลัวกับเพลงเบา ๆ ที่เปิดคลอเท่านั้น  แขกส่วนมากจะมานั่งดื่มแค่พอเพลิดเพลิน  พูดคุยปรึกษาอะไรกัน  หรือไม่ก็เป็นคู่หนุ่มสาวที่มาเดทกันหลังเลิกงานเสียมาก  ถ้าบอกว่าร้านกาแฟของนัตสึเมะให้อิมเมจของความอบอุ่นในตอนกลางวัน  คลับของคิริฮาระก็เป็นเหมือนความสงบเย็นยามค่ำคืน  ก็น่าแปลก...คิริฮาระที่มีบุคลิกเหมือนพร้อมจะลุกเป็นไฟอยู่เสมอกลับมีคลับที่ให้บรรยากาศแบบนี้ได้  ซ้ำบางครั้งก็ยังทำตัวเป็นบาร์เทนเดอร์เองเสียด้วย

“ที่นี่...ดูสบายดีจังนะครับ”  ฟุยุกิพูดหลังจากสังเกตบรรยากาศรอบตัว  “ผมคิดว่าร้านเหล้าจะต้องมีแต่พวกขี้เมาเอะอะโวยวายเสียอีก”

“ถ้าเป็นร้านเหล้าละก็ใช่หรอก  แต่ที่นี่เป็นคลับไง”  คิริฮาระพยายามฝังความแตกต่างระหว่างร้านเหล้ากับคลับลงในสมองของฟุยุกิให้ได้  “แต่บางทีก็มีคนที่มาดื่มจนเมากลิ้งเหมือนกันนะ”

“เหรอครับ?  ลำบากแย่เลยสิครับ”  ฟุยุกิจิบเครื่องดื่มตรงหน้าน้อย ๆ

“ก็ไม่ลำบากอะไรนักหรอก  แค่จับยัดใส่แท็กซี่กลับบ้านไปน่ะ”  คิริฮาระยักไหล่  “เป็นไง  พอดื่มได้มั้ย  ไอ้นั่นน่ะ?”

“อร่อยครับ  หอมด้วย...นี่ใส่เหล้าจริง ๆ เหรอครับ  ทำไมมันหวาน?”

“เหล้ามิ้นต์มันหวานแบบนี้แหละ  ถ้าดื่มมาก ๆ ก็เมาได้นิ่ม ๆ เหมือนกัน  เพราะงั้นคืนนี้เอาแก้วเดียวพอนะ”

“ครับ...แล้ว...คิริฮาระซังดูแลร้านคนเดียวเหรอครับ?”

“เปล่า  ก็มีจิวจังอีกคน  ที่เป็นบาร์เทนเดอร์ประจำบาร์นั่นไง  ผมก็แค่...เก็บเงินไปวัน ๆ ละมั้ง  ฮะ ๆ ๆ  ผมไม่เก่งเท่านัตสึเมะหรอก  บางเรื่องยังต้องให้จิวจังจ้ำจี้จ้ำไชอยู่เลย”  คิริฮาระหัวเราะแล้วเหลือบไปมองจูอิจิโร่ที่กำลังเช็ดแก้วเหล้าอยู่หลังเคาน์เตอร์

“ผม...ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว...แต่ไม่รู้ว่าจะถามได้มั้ยน่ะครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม

“ถามอะไรเหรอ?”

“คิริฮาระซังกับนัตสึเมะซังน่ะครับ  ทั้งที่สนิทกันออกขนาดนั้น  แล้วคิริฮาระซังก็เรียกนัตสึเมะซังด้วยชื่อตัวด้วย  แต่ทำไมนัตสึเมะซังถึงเรียกคิริฮาระซังด้วยชื่อสกุลล่ะครับ?  มันดูห่างเหินออกนี่นา”

“อ๋อ...เมื่อก่อนผมไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อตัวน่ะครับ  ชื่อมันสั้นแล้วก็เหมือนผู้หญิงไง  แล้วนัตสึเมะก็คงติด...ยิ่งพอมาทำงานที่ร้านกาแฟก็เลยติดเรียกใครต่อใครด้วยชื่อสกุลไปหมด  ก็คงต้องสนิทกันจริง ๆ ละครับถึงจะเรียกชื่อตัว”  คิริฮาระอธิบาย

“งั้น...อย่างโทโมกิซังนี่ก็คงสนิทกับนัตสึเมะซังมากสินะครับ”  ฟุยุกินึกขึ้นมาได้  ดูเหมือนจะมีแค่โทโมกิเท่านั้นที่นัตสึเมะเรียกด้วยชื่อตัว

“โทโมกิคุงเป็นกรณีพิเศษครับ  เจ้าตัวบังคับให้เรียกชื่อตัว  เขาว่าไม่ชอบให้เรียกชื่อสกุลน่ะครับ”

“อ้อ...แบบนี้นี่เอง”  ฟุยุกิพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้ว...อาริโยชิคุงอยากให้เรียกชื่อตัวมั้ยล่ะ?”  คิริฮาระเท้าคางแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

“เอ๊ะ!?”  ฟุยุกิตกใจไปชั่วขณะ  “อะ...อะไรนะครับ?”

“ผมถามว่าอาริโยชิคุงอยากให้ผมเรียกชื่อตัวหรือเปล่าน่ะ”

“ก็...เอ้อ...ผม...”  เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง  นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็แทบจะไม่เคยมีใครเรียกเขาด้วยชื่อตัวมาก่อนเลย  แล้วอยู่ ๆ คิริฮาระมาถามว่าจะให้เรียกชื่อตัวมั้ยเนี่ย...มันก็...

“เอาเป็นว่าเรียกเลยแล้วกัน  นะ  ฟุยุกิคุง”

“อะ...หา...?”  ฟุยุกิหน้าแดงแปร๊ดและร้อนผ่าวไปหมด  ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มของคิริฮาระสั่นไหวหัวใจของเด็กหนุ่มอย่างรุนแรง

“มีคนเรียกชื่อตัวเนี่ยมันน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอ  ฟุยุกิคุง?”  คิริฮาระแกล้งแหย่เมื่อเห็นฟุยุกิหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“มะ...มัน...คือ...ผมไม่...”  เด็กหนุ่มถึงกับไปไม่เป็น  ได้แต่ก้มหน้างุดไม่รู้จะทำอย่างไร

“ฟุยุกิคุง?”

“ยะ...อย่าแกล้งสิครับ”

คิริฮาระยิ้มกับตัวเอง  ท่าทางแบบนั้นมันน่ารักน่าแกล้งน้อยอยู่เสียเมื่อไรล่ะ  พอจะเข้าใจแล้วที่นัตสึเมะถูกใจเด็กคนนี้

“ไม่แกล้งแล้วก็ได้”  คิริฮาระหัวเราะเบา ๆ แล้วตบหลังมือเด็กหนุ่ม  “ดื่มไปก่อนนะครับ  ขอตัวไปคุยกับลูกค้าแป๊บเดียว  เดี๋ยวมานะ  ฟุยุกิคุง”

ประโยคสุดท้ายยังไม่วายแหย่  ฟุยุกิยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง  ถึงในร้านจะไฟสลัวแต่คิริฮาระจะต้องเห็นแน่ว่าเขาหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว  อายเหลือเกิน...อายจริง ๆ...ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าจะอายทำไม  แต่เวลาที่ถูกคิริฮาระเรียกชื่อตัวแล้วมันไม่เหมือนกับที่ที่บ้านเรียกนี่นา  ทั้งที่ก็เป็นแค่การเรียกชื่อธรรมดา  แต่ทำไมพอเป็นคิริฮาระแล้วถึงได้ใจเต้นอย่างบอกไม่ถูกด้วยล่ะ

ความจริงคำตอบก็รู้อยู่แก่ใจ  หากฟุยุกิไม่กล้ายอมรับกับตัวเอง...มันน่าอายเกินไปที่จะยอมรับว่าตัวเขา...ชอบผู้ชายคนนี้


แต่หลังจากวันนั้นมา  หลังจากออกจากร้านของนัตสึเมะแล้วฟุยุกิก็ตามคิริฮาระไปที่คลับบ่อย ๆ  และเป็นเหตุให้กลับดึกอย่างที่มิโนรุว่ามา  ถึงจะกลับบ้านดึกบ้างหรือนอนดึกกว่าปกติบ้าง  ฟุยุกิก็ไม่รู้สึกเหนื่อย  หากรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขกว่าเดิม  เหมือนได้พบที่พักใจที่แท้จริงได้  ถึงเขาจะไม่ได้คุยกับคิริฮาระที่คลับมากนักแต่การนั่งดูชายหนุ่มในอิริยาบทต่าง ๆ นอกจากการเล่นไวโอลินก็ทำให้เขารู้สึกดี...ก็ดีเหมือนนั่งดูนัตสึเมะชงกาแฟ  แต่ความรู้สึกมันต่างกันไม่น้อย

เหล้ามิ้นต์อ่อน ๆ ที่เพิ่งหัดดื่มไม่นานคงทำให้คนที่ไม่คุ้นกับแอลกอฮอล์หลับสบาย  หมู่นี้ฟุยุกิหลับสนิททุกคืนอย่างน่าประหลาด  และคืนนี้ก็เช่นกันที่พอหัวถึงหมอน  เด็กหนุ่มก็หลับไปในทันที

...

“ชื่อตัว...เหรอครับ?”  นัตสึเมะทวนคำหลังจากที่ฟุยุกิเอ่ยถามมา

“ครับ...ก็ผมไม่เห็นนัตสึเมะซังเรียกคิริฮาระซังด้วยชื่อตัวเลย  ก็เลยสงสัยน่ะครับ”

“มันติดปากแล้วน่ะครับ  ตอนที่รู้จักกันใหม่ ๆ คิริฮาระไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อตัวน่ะครับ  แล้วชื่อยูมันสั้นแล้วก็ดูน่ารักเกินไปสำหรับคิริฮาระด้วย”  นัตสึเมะอธิบายยิ้ม ๆ  ในความเป็นจริงก็คือตอนที่พวกเขารู้จักกัน  คิริฮาระเกลียดที่จะถูกคนอื่นเรียกชื่อจริงมาก  เพราะเรอิจิเรียกเขาว่า  ยูจัง  เมื่อเป็นแบบนี้นัตสึเมะก็เลยติดที่จะเรียกชื่อสกุลของเพื่อนรักมาตลอด

“ตอบเหมือนกันเลยครับ”

“กับคิริฮาระน่ะเหรอ?”

“ใช่ครับ  คิริฮาระซังก็บอกว่าเมื่อก่อนไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อตัว”  ฟุยุกิพยักหน้าแล้วยกชาขึ้นจิบ

“อืม...นี่แปลว่าถามเจ้าตัวมาแล้ว  แล้วมาพิสูจน์อักษรกับผมสิเนี่ย”  นัตสึเมะยิ้ม

“อ๊ะ  เปล่านะครับ  แค่อยากรู้น่ะครับ”  เด็กหนุ่มปฏิเสธทันที

“ผมไม่เรียกชื่อตัวของคิริฮาระ  แต่ถ้าเป็นฟุยุกิคุงละก็...เรียกได้นะครับ  ยังไงชื่อก็ยังเหมาะกับตัว”

“อ๊ะ!  เอ๋...?  ไม่...คือว่า...”  ฟุยุกิละล่ำละลักทันที  ทำไมมันกลายเป็นอย่างนี้อีกแล้วล่ะเนี่ย...เขาไม่ได้ถามเพื่อจุดประสงค์นี้เสียหน่อย  นัตสึเมะทำแบบเดียวกับคิริฮาระอีกคนแล้ว

“ไม่ชอบเหรอครับ?  ถ้าไม่ชอมผมก็จะไม่เรียก”

“เปล่าครับ!”  ก่อนจะรู้ตัวเด็กหนุ่มก็ปฏิเสธไปแล้ว  “ไม่...ไม่ใช่ไม่ชอบ!  แค่...แค่...ไม่คุ้นน่ะครับ”

“งั้นค่อย ๆ เรียกไปก็คุ้นเองละครับ”  ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ตามนิสัยและไม่ได้พยายามแหย่ฟุยุกิต่ออีก  “ว่าแต่...ได้ยินว่าคิริฮาระพาไปเที่ยวที่ไหนมาเหรอครับ?”

“อ๋อ...ก็ไปคามาคุระมาครับ”

“คามาคุระ?”  นัตสึเมะเลิกคิ้ว  “อย่างคิริฮาระเนี่ยนะ  พอคุณไปเที่ยวคามาคุระ?”

“เห็นบอกว่าอยากไปเก็บบรรยากาศโบราณ ๆ ไว้ไปแต่งเพลงหรืออะไรนี่แหละครับ”  จริง ๆ แล้วตอนที่ถูกชวนฟุยุกิก็งงเหมือนกัน  เขาคิดว่าอย่างคิริฮาระน่าจะเหมาะกับย่านเลิศหรูกลางเมืองอย่างกินซ่ามากกว่า

“แล้วไปเที่ยวที่ไหนบ้างล่ะครับ?”  เจ้าของร้านกาแฟทำหน้าครุ่นคิด...ถึงจะบอกว่าเอาไปแต่งเพลงหรืออะไรก็เถอะ  มันก็ไม่ได้เข้ากับคิริฮาระอยู่ดี

“ก็ไปไหว้พระไดบุทสึกับเที่ยววัดรอบ ๆ  แล้วก็เดินเล่นดูใบไม้เปลี่ยนสีอยู่แถว ๆ นั้นแหละครับ...แต่ก็สนุกดี”  เด็กหนุ่มเล่ายิ้ม ๆ  “อ้อ...แล้วก็ซอฟท์ครีมอาจิไซหอมมากครับ”

“ฟังดูเหมือน...ไปทัศนศึกษานะครับ”

“ครับ  แบบเดียวกับตอนไปกับที่โรงเรียนสมัยประถมเลย”  ฟุยุกิพยักหน้ายอมรับ  “แต่ไปกับคิริฮาระซังสนุกกว่า  แล้วใบไม้เปลี่ยนสีที่นั่นก็ยังสวยมากด้วยครับ  ถึงจะเป็นปลายฤดูแล้วก็เถอะ”

นัตสึเมะมองตาที่เป็นประกายระยิบของฟุยุกิแล้วก็อมยิ้ม  ดูท่า...ผมแดง ๆ ของคิริฮาระคงจะสวยกว่าใบไม้แดงเป็นไหน ๆ ละมั้ง  การฝากคิริฮาระ  “เลี้ยง”  ฟุยุกิท่าจะได้ผลดี  เพราะหมู่นี้เด็กหนุ่มยิ้มบ่อยขึ้นและมีท่าทีซึมเศร้าน้อยลง  แม้จะยังมีเรื่องความผิดพลาดในที่ทำงานมาเล่าให้ฟังบ้าง  แต่ก็เล่าด้วยท่าทางสดชื่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

“แล้ว...มีแผนจะไปเที่ยวที่ไหนกันอีกมั้ยครับ?”

“เอ้อ...ไม่มีหรอกครับ  ไม่ได้มีแผนอะไรนี่ครับ  ที่ผมได้ไปคามาคุระนี่ก็เพราะคิริฮาระซังชวนนัตสึเมะซังแล้วไม่ยอมปิดร้านนี่ครับ  เลยมาชวนผมแทน”

“...ผม?”  นัตสึเมะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  แต่แล้วก็นึกได้...นี่ต้องเป็นแผนของคิริฮาระแน่  ในเมื่อเขาไม่เคยได้ยินเรื่องการไปคามาคุระเลย  และคิริฮาระก็ไม่เคยมาชวนให้เขาปิดร้านด้วย  แบบนี้แปลว่าคิริฮาระแค่เอาเขาไปอ้างกับฟุยุกิเพื่อพาไปเที่ยวเท่านั้นเอง  ไอ้ที่ว่าไปเก็บบรรยากาศแต่งเพลงอะไรนั่นก็ข้ออ้างล้วน ๆ สินะ

“ไม่ใช่เหรอครับ?”

“คงใช่แหละครับ”  นัตสึเมะแบ่งรับแบ่งสู้กับคำถามซื่อ ๆ นั่น

ฟุยุกิทำหน้าลังเลนิดหน่อย  “แต่...ก็บอกว่าคราวหน้าจะพาไปทานอาหารร้านอร่อยที่ไม่ใช่อาหารไทยด้วยละครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ  เมื่อตอนที่พวกเขาไปกินอาหารไทยด้วยกันสี่คน  ฟุยุกิที่กินเผ็ดไม่ค่อยได้หน้าแดงก่ำและดื่มน้ำเป็นว่าเล่น  โทโมกิเสียอีกที่กินเผ็ดเก่งกว่าที่คาดไว้

“ก็ดีนะครับ  คิริฮาระรู้จักร้านอร่อย ๆ เยอะ  ต้องถูกปากแน่”  ไม่ใช่คราวนี้ก็ต้องมีสักคราวจนได้แหละ

“นัตสึเมะซังไม่ไปด้วยกันอีกเหรอครับ?”

“ผมไม่ค่อยสะดวกจะปิดร้านน่ะครับ  ถ้าคิริฮาระจะไปวันที่ผมหยุดผมค่อยไปด้วยแล้วกัน”  นัตสึเมะตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้อีก  อย่างไรเสียเขาก็หยุดทุกวันพุธอยู่แล้ว  แต่ถ้าให้เดาละก็...คิริฮาระไม่มีทางพาฟุยุกิไปไหนวันพุธให้เขาตามไปเป็นก้างขวางคอหรอก  แม้ว่าปกติพวกเขาจะหาเวลาไปกินอะไรด้วยกันบ่อย ๆ ในวันพุธก็ตาม

ฟุยุกิทำหน้าเสียดาย  “ไปกันหลายคนสนุกออกครับ”

“ไปกับคิริฮาระก็สนุกครับ  เชื่อสิ”  นัตสึเมะปลอบใจ...แต่เชื่อสิ  พอได้ไปกับคิริฮาระจริง ๆ แล้ว  ฟุยุกิไม่คิดถึงเขาหรอก  “ว่าแต่...ชาคาโมมายล์หมดหรือยังครับ?”

“ยังพอเหลือครับ”

“พอดีวันนี้ได้ชาใหม่ ๆ มาน่ะครับ  เลยว่าจะแบ่งให้”  นัตสึเมะหันไปหยิบโหลใส่ชาเล็ก ๆ ลงมาจากชั้น

“อ๊ะ!  ยังไม่ต้องหรอกครับ  ยังมีเหลือจริง ๆ”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธ

“รับไปเถอะครับ  ชาใหม่เอี่ยมแบบนี้จะหอมมากนะครับ  อยากให้ลองชงดื่มดู”  ชายหนุ่มเลื่อนโหลชาไปให้

“ขะ...ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มรับไว้พร้อมกับยิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจ

นัตสึเมะชอบรอยยิ้มแบบนี้  เพราะอยากเห็นบ่อย ๆ จึงได้ฝากให้คิริฮาระช่วยดูแล

“เอ้อ...นัตสึเมะซังครับ  แนะนำเรื่องการชงชาให้หน่อยได้มั้ยครับ  ผมเอาไปชงยังไงก็ไม่อร่อยเท่าที่นัตสึเมะซังชงให้ดื่มเสียที”

“ชงชา?”  เจ้าของร้านกาแฟเลิกคิ้ว  ถ้าเป็นกาแฟละก็เขาอธิบายได้เป็นฉาก ๆ  แต่ชาเนี่ย...เขาก็แค่อ่านหนังสือแล้วชงตามสัญชาตญาณเท่านั้นเอง  จะให้แนะนำมันก็...  แต่เห็นตาแป๋ว ๆ คู่นั้นแล้วก็ปฏิเสธไม่ออก  ในที่สุดก็นึกได้
หัวข้อ: Re: Lock on You 06 / 22-03-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 22-03-2015 21:56:49
“เอาอย่างนี้...รอเดี๋ยวนะครับ”

บอกแค่นั้นแล้วนัตสึเมะก็หายเข้าไปในส่วนบ้านพักทิ้งฟุยุกิไว้คนเดียว  เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากชั้นสอง...บางที  นัตสึเมะคงไปหาอะไรอยู่ละมั้ง  ครู่ใหญ่...ชายหนุ่มก็กลับมาพร้อมหนังสือในมือเล่มหนึ่ง

“ผมไม่แน่ใจว่าจะอธิบายยังไงดี  แต่อาจารย์ของผมน่าจะอธิบายได้ครับ”  นัตสึเมะส่งหนังสือให้ฟุยุกิ

“...อาจารย์เหรอครับ?”

“ผมเรียนรู้วิธีชงชามาจากหนังสือเล่มนี้น่ะครับ”

“อ๋า...”  ฟุยุกิรับหนังสือมาดู  “นี่มันภาษาอังกฤษนี่ครับ!?”

“ครับ  หนังสือภาษาญี่ปุ่นมันหาไม่ได้น่ะ”

“ไม่ไหวหรอกครับ...ผมน่ะ...”  ฟุยุกิทำหน้าละห้อยทันที

“ยังไม่ได้ลองเลยครับ  รู้ได้ยังไงว่าไม่ไหว  อาริโยชิคุงจบมหา’ ลัยนะครับ  ผมจบแค่มัธยมปลายยังอ่านได้เลย”

“เรื่องนั้นมันก็...”

“ลองดูครับ  ไหน ๆ ก็สนใจจะชงชาให้อร่อยแล้ว  แค่อ่านหนังสือเพื่อไปชงชาอร่อย ๆ นี่มันไม่เท่าไรหรอกครับ  คุ้มออก  อ่านครั้งเดียวก็ชงชาอร่อย ๆ ดื่มได้ทั้งชีวิตเลยนะครับ  แถมยังได้ชาใหม่ ๆ ไปด้วย”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ

“กว่าผมจะอ่านหนังสือจบและชงชาได้อร่อย  ชาก็หายหอมหมดแล้วละครับ”  เด็กหนุ่มทำเสียงท้อใจ

“ถึงเป็นแบบนั้น...ผมก็ยังมีชาใหม่ ๆ ให้คุณเสมอแหละครับ  เมื่อไรก็ได้...ถ้าคุณอยากชงชาอร่อย ๆ ไว้ดื่มเองละก็  ผมหาให้คุณได้เสมอแหละครับ”  พูดแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มกว้าง  “ไม่ต้องรีบ...ไม่ต้องเดี๋ยวนี้หรอกครับ  การชงชา...ถ้ารีบร้อนจะไม่อร่อยนะครับ”

ฟุยุกิรู้สึกโล่งในหัวใจอย่างประหลาด...งั้นหรือ  ไม่ต้องรีบก็ได้สินะ  ไม่ต้องชงชาให้อร่อยภายในวันเดียวก็ได้สินะ...เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ ออกมาในที่สุด

“งั้น...ขอยืมหนังสือหน่อยนะครับ”

“ครับ  นานเท่าที่พอใจได้เลยครับ”  นัตสึเมะพยักหน้าให้  แค่มีอะไรที่ฟุยุกิพอจะสนใจนิดหน่อยก็ดีแล้ว...แค่นี้ก็ดีกว่าฟุยุกิที่ว่างเปล่าเมื่อหลายเดือนก่อนตั้งเยอะ

ฟุยุกิกลับบ้านพร้อมหนังสือวิธีชงชาในกระเป๋าและโหลใส่ชาในมือ  อากาศเย็นไปหน่อยแต่หัวใจของเขาสดใสร่าเริง  นัตสึเมะใจดีเหลือเกิน  แม้บางครั้งจะทำให้รู้สึกเกรงใจไปบ้าง  แต่การที่มีคนมาเอาใจใส่แบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ  ถ้าพี่ชายสักคนของเขาใจดีแบบนัตสึเมะก็ดีสิ  ความตึงเครียดในชีวิตเขาคงจะลดลงบ้าง...แต่ช่างเถอะ  เคียวยะกับมิโนะรุก็เป็นแบบนี้มาแต่แรกอยู่แล้ว  เดี๋ยวเขาจะหัดชงขาอร่อย ๆ ให้พวกพี่ ๆ ทึ่งให้ดู

...

ตอนกลางวันในวันธรรมดาของย่านร้านค้าเล็ก ๆ ริมคลองผู้คนไม่พลุกพล่านนัก  ถ้าเป็นช่วงฤดุใบไม้ผลิที่ซากุระบานสะพรั่ง  ที่นี่ก็เป็นจุดชมดอกไม้ที่เป็นที่นิยมไม่น้อย  และถ้าเป็นช่วงเดือนก่อนที่ใบไม้ยังไม่ร่วงหล่น  ผู้คนก็คงจะคราคร่ำมากกว่านี้แน่  แต่ในวันนี้คิริฮาระกับนัตสึเมะกำลังนั่งละเลียดมื้อกลางวันอยู่ในร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูดี  ถ้าทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างก็จะสัมผัสกับทิวทัศน์ริมคลองได้  น่าเสียดายที่ตอนนี้ใบไม้ได้ทิ่งกิ่งหมดจนเหลือแต่ต้นโกร๋น ๆ แล้ว

“คาโบนาร่าที่นี่อร่อยดีนะ”  คิริฮาระพูดแล้วก็วางส้อมลง

“ถ้าอร่อยก็กินให้เยอะกว่านี้หน่อยสิ  นายกินน้อยเกินไปแล้วนะ”  นัตสึเมะพยักเพยิดไปทางจานคาโบนาร่าที่เหลืออยู่อีกเกือบครึ่ง

“อิ่มแล้วนี่”

“เดี๋ยวคนทำก็เสียใจแย่หรอก  นั่งส่งสายตาหวานซึ้งให้นายอยู่นั่น”  ร่างสูงแอบชำเลืองสายตาเป็นสัญญาณไปทางหญิงสาวสองคนที่เคาน์เตอร์  คนหนึ่งแต่งชุดธรรมดา  ส่วนอีกคนสวมชุดเมด  แต่ดูแล้วก็น่าจะเป็นสองพี่น้องที่ช่วยกันทำร้านนี้

คิริฮาระเหลือบมองตามไป  สายตาระยิบระยับนั่นก็ใช่หรอก  แต่ดูแล้วคงไม่ได้หวานซึ้งกับเขาคนเดียวแน่  เขาหยิบส้อมแล้วค่อย ๆ ละเลียดอาหารตรงหน้าต่ออีกหน่อย

“ฉันว่าเขาไม่ได้ส่งสายตาหวานซึ้งให้ฉันหรอก  ที่มันหวานเพราะมีนายมาด้วยต่างหาก”

“หา?”  นัตสึเมะชะงักมือที่กำลังจะส่งสปาเก็ตตี้ของตนเข้าปาก

คิริฮาระยักไหล่  “ก็เหมือนพวกสาวมหา’ ลัยบางกลุ่มที่ร้านนายแหละ  พอเห็นฉันนั่งคุยกับนายก็ทำตาหวานกันใหญ่”

นัตสึเมะนิ่งคิดไปนิดหนึ่งแล้วเหลือบไปมองสองสามอีกครั้ง  “แล้วถ้าฉันไม่มาด้วย...”

“ตาก็จะไม่เยิ้มขนาดนั้น”

“อายุปูนนี้กันแล้วน่ะนะ”  นัตสึเมะลอบถอนใจ  ถึงจะไม่เรียกว่าแก่  แต่พวกเขาก็เข้าเลข 3 กันแล้ว

“เขาเรียกว่าโอจิค่อน...พวกชอบลุง”  คิริฮาระดูดเส้นคาโบนาร่าเข้าปากพลางอธิบาย

“รู้ละเอียดจัง”

“ฉันว่านายก็รู้  อย่ามาทำมึนหน่อยเลยฟะ”  นักดนตรีหนุ่มเอาส้อมชี้หน้าเพื่อน

ร่างสูงแค่ยักไหล่แล้วทำยิ้ม ๆ  เรื่องพวกนี้ทำไมเขาจะไม่รู้  เขาคลุกคลีอยู่กับพวกนักศึกษาสาวในมหาวิทยาลัยมาเป็นสิบปี  บางคนถึงกับประกาศจุดประสงค์ในการยึดเขากับคิริฮาระเป็นอาหารตาอย่างโจ่งแจ้งด้วยซ้ำ  ฟังดูก็น่าจั๊กจี้  แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร  อย่างน้อยสาว ๆ พวกนี้ก็เป็นลูกค้างประจำละ

“ไอ้เรื่องพรรค์นี้มันเป็นแค่แฟชั่นหรือเป็นวัฒนธรรมใหม่กันน้า”  คิริฮาระบ่นงึมงำ

“คงไม่ใช่แฟชั่นหรอก  ถ้าแค่แฟชั่นคงไม่อยู่มานานขนาดนี้”  นัตสึเมะตอบพลางส่งสปาเก็ตตี้คำสุดท้ายเข้าปาก  “แต่ก็ไม่น่าจะเรียกว่าวัฒนธรรมหรอกนะ”

“ฉันก็พูดไปงั้นเอง”  ว่าแล้วคิริฮาระก็วางส้อมลง  “พอละ  ฉันกินมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”

นัตสึเมะไม่ได้ว่าอะไรแต่ยกมือเรียกสาวในชุดเมดมาที่โต๊ะ

“มีอะไรให้รับใช้เจ้าคะ  นายท่าน?”  เธอถามตามแบบฟอร์มของสาวเมดที่ดี  ทั้งที่ที่นี่ไม่ใช่เมดคาเฟ่แท้ ๆ

“ที่นี่มีกาแฟสดด้วยใช่มั้ยครับ?”  นัตสึเมะถามกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำว่านายท่าน  ในขณะที่คิริฮาระแอบคันในหัวใจจนต้องเบือนหน้าหนีไปกลั้นหัวเราะ

“มีเจ้าค่ะ  ไม่ทราบว่านายท่านจะรับเป็นแบบไหนดีเจ้าคะ?”

“ขอมอคค่ากับเอสเปรซโซครับ”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ  งั้นขอเก็บจานอาหารเลยนะเจ้าคะ”  ว่าแล้วสาวเมดก็เก็บจานทั้งสองใบแล้วเดินกลับไปสั่งออร์เดอร์กาแฟที่เคาน์เตอร์อย่างอารมณ์ดี

“มอคค่า?  ปกตินายดื่มแต่กาแฟขี้เมานี่”  คิริฮาระหันมาถามทันทีที่สาวเมดไปพ้นแล้ว

“กาแฟไอริชน่ะ  ไม่มีใครเขาทำขายกันหรอก  ฉันยังไม่ขายเลย”  นัตสึเมะบอกตามตรง

“ว่าแต่นายนี่...ดื่มกาแฟของร้านอื่นด้วยเหรอ?”  เสียงลดเบาลงจนแทบจะเป็นกระซิบ  การที่เจ้าของร้านสักร้านมาเข้าร้านคนอื่นมันก็ดูคล้ายกับการล้วงความลับทางธุรกิจละนะ

“ฉันชอบกาแฟ  ไม่ต้องชงเองก็ได้  ขอให้อร่อยก็พอ”

“ถ้าไม่อร่อยล่ะ?”

“ก็ไม่ชอบ”

คิริฮาระเบ้หน้าใส่ร่างสูงแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  บางทีคำตอบของนัตสึเมะก็ยียวนอย่างนี้แหละ  ต่อปากต่อคำด้วยก็เสียอารมณ์เปล่า ๆ

ไม่นานนักกาแฟสองถ้วยก็ถูกวางลงตรงหน้า  กลิ่นของมันใช้ได้ทีเดียว  นัตสึเมะยกถ้วยมอคค่าของตนขึ้นจิบก่อน

“อื้ม...อร่อย”

“จริงนะ?”  นักดนตรีหนุ่มทำหน้าไม่แน่ใจ

“ลองชิมดูสิ”

ได้ฟังอย่างนั้น  คิริฮาระจึงยกถ้วยกาแฟของตนขึ้นลิ้มรสบ้าง  ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ

“อื้ม  รสชาติดี  แต่ยังสู้กาแฟของนายไม่ได้”

“ขอบใจที่ชม”  นัตสึเมะค้อมหัวน้อย ๆ รับคำชมนั้น  “ว่าแต่...ช่วงนี้ชวนฟุยุกิคุงไปเที่ยวบ่อยนะ”

“ก็นิดนึง  รู้สึกเหมือนไปเที่ยวกับอาโออิเมื่อก่อนเลย”  คิริฮาระหมายถึงน้องชายของเขาที่อ่อนกว่ากัน 5 ปี  แต่พูดไปแล้วก็ชะงัก  “เอ๊ะ...ฟุยุกิ...คุง?  นี่นายเรียกเด็กนั่นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรน่ะ?”

“หือ?  หลังจากนายเรียกไม่นานมั้ง  เขามาเล่าให้ฟังว่านายแหย่เขาแบบนั้น  ฉันเลยแกล้งเรียกบ้าง  ก็เลยติดปากแล้วน่ะ”  ร่างสูงอธิบาย

“เห~  แผนสูงนี่  เอาฉันเป็นบันไดขยับความสัมพันธ์”  นักดนตรีหนุ่มทำหน้าเจ้าเล่ห์

“เปล่าซะหน่อย  ก็ฟุยุกิเขามาเล่าให้ฟัง”  นัตสึเมะยักไหล่  “แล้ว...ไปเที่ยวกันบ่อยสินะ”

“ก็...บ่อย  ช่วงนี้ติด ๆ กัน 2 – 3 อาทิตย์แล้ว”

“แปลกนะ  ที่คนอย่างนายชวนฟุยุกิคุงไปคามาคุระน่ะ  ไม่เห็นจะเหมาะกับนายสักนิด”

“ไม่เหมาะกับฉัน  แต่เหมาะกับเด็กนั่นนี่นา  เมืองเล็ก ๆ สงบ ๆ นั่นน่ะ...ถ้าไม่รวมพวกนักท่องเที่ยวนะ  แต่ฉันก็พาเขาเดินเลี่ยง ๆ ไปตามซอกซอยที่ไม่ค่อยมีคน  แล้วบังเอิญเจอร้านอร่อยพอดีเลย  ท่าทางฟุยุกิคุงก็แฮปปี้ด้วย”

ฟังคิริฮาระเล่ามาแล้วนัตสึเมะก็นึกขึ้นมาได้  คิริฮาระเป็นคนที่เลือกของได้เหมาะกับคนเสมอ  ถ้วยกาแฟของลูกค้าที่สนิทสนมกันเช่นของโทโมกิ  คิริฮาระเป็นคนไปสรรหามาให้ทั้งสิ้น  ไม่ใช่แค่เลือกของให้เหมาะกับคน  แม้แต่เลือกสถานที่ก็ยังทำได้ดีสินะ

“ทำไมถึงต้องไปถึงคามาคุระล่ะ  แค่แถวนี้ก็เหมาะกับฟุยุกิคุงแล้วนะ”  พูดแล้วนัตสึเมะก็มองออกไปนอกหน้าต่างร้าน  ละแวกนี้มันเงียบสงบจริง ๆ นั่นแหละ

“ฉันว่าฟุยุกิเหมาะกับอะไรที่เป็นญี่ปุ่น ๆ น่ะ  จะพาไปเกียวโตก็ไกลเกินไป  คามาคุระอยู่ในระยะกำลังเหมาะน่ะ”  คิริฮาระอธิบายความคิดของตัวเอง  “อาทิตย์ที่แล้วก็พาไปจิบลิ  มิวเซียม  ไปดูโตโตโร่มา”

นัตสึเมะเกือบพ่นกาแฟที่กำลังดื่ม  “จิบลิ  มิวเซียมเนี่ยนะ!?”

“ก็คิดว่ามันน่าจะเหมาะกับเด็ก  แต่ฟุยุกิคุงกลับไม่รู้จักโตโตโร่นี่สิ  แถมวันที่ไปเด็กก็เยอะมากด้วย”  ชายหนุ่มทำเสียงเหนื่อยหน่าย

“นี่...ฟุยุกิคุงอายุ 22 แล้วนะ  ไม่ใช่เด็กแล้ว”  นัตสึเมะกุมขมับ

“ก็ท่าทางเหมือนเด็ก ม. ต้น  ฉันก็เผลิคิดว่าเดทกับอาโออิเหมื่อนเมื่อก่อนน่ะสิ  ใครจะไปคิดว่าเด็กแบบนั้นจะไม่รู้จักการ์ตูนเลยน่ะ  แต่เขาก็บอกว่าน่ารักนะ  เลยซื้อที่ห้อยมือถือให้...บ๊ะ  ก็ยังดี  อย่างน้อยก็ท่าทางจะชอบอยู่บ้าง”  นึกถึงท่าทางของฟุยุกิตอนได้รับที่ห้อยมือถือแล้วคิริฮาระก็เผลอยิ้มอย่างเอ็นดู

“ก็...ไม่น่าจะรู้จักหรอก”  นัตสึเมะยิ้มตามไปด้วย  “เขาเคยบอกว่าเอาแต่เรียนมาตั้งแต่เด็ก...เรียนอย่างเดียวมาตลอด  เลยไม่ค่อยรู้จักอะไรเลยน่ะ”

“น่าสงสารนะ  ฉันที่โดนบังคับให้เล่นดนตรีมาแต่เด็กแถมยังเจออะไรพรรค์นั้นมา...ไอ้โรคจิตนั้นมันก็ยังสอนให้ฉันรู้จักการ์ตูนพวกนี้ผ่านเพลงประกอบเลย”  นักดนตรีหนุ่มทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง  ดวงตาคมหรี่ซึมลงเล็กน้อย

นัตสึเมะเลิกคิ้วกับคำพูดนั้นก่อนจะยิ้มบาง ๆ  นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งในชีวิตที่คิริฮาระพูดถึงเรอิจิในทางดี  เป็นความทรงจำดี ๆ เพียงน้อยนิดที่คิริฮาระมีต่อผู้เป็นอาแท้ ๆ  ถึงจะตามไปเอาคืนอย่างร้ายกาจถึงโรงพยาบาลจิตเวช  แต่บางครั้งเวลาที่พูดถึงเรื่องราวในอดีต  คิริฮาระดูจะมีท่าทีอ่อนลงบ้าง  คงเพราะวัยและความเข้าใจโลกที่เพิ่มขึ้นละมั้ง  แม้ส่วนที่แค้นก็ยังแค้น  แต่ก็สามารถค้นพบความทรงจำดี ๆ ในหัวใจได้

“ดูท่าทางนายก็มีความสุขที่ได้ไปเที่ยวนะ”

“บอกแล้วไงว่าเหมือนได้เดทกับอาโออิเมื่อก่อนเลย  เลยรู้สึกดีน่ะ”

“แล้วอาโออิคุงเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ก็ยังสวีทกับเจ้าจิโร่เหมือนเคย  แล้วก็ตระเวนเล่นเปียโนเก็บประสบการณ์อยู่ที่ยุโรป  เลยไม่มีเวลามาเดทกับพี่ชายที่น่าสงสารคนนี้แล้ว”  คิริฮาระทำหน้าเศร้า

“เลยเอาฟุยุกิคุงไปแทนที่น้องว่างั้นเถอะ”

“ก็น่ารักเหมือนกันเลยนี่นา”

“นายเห็นเขาเป็นน้อง  แต่เขาต้องไม่เห็นนายเป็นพี่แน่เลย”  น้ำเสียงของนัตสึเมะดูจริงจังอยู่ในที

“นั่นสินะ...มองตาก็รู้แล้ว  แฟนเพลงคลั่งไคล้กับไอดอลในฝัน...แบบนั้นสินะ”

“มันจะไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”

คิริฮาระยิ้ม  “ฟุยุกิคุงเป็นแฟนเพลงคนสำคัญของฉัน  ไม่เคยมีใครหยุดฟังเพลงและกางร่มให้ฉันในวันฝนตก  แต่เด็กคนนั้นทำ  ฉันเลยอยากให้ความสำคัญกับเขา  อยากดูแลในแบบที่ตัวเองทำได้...แต่เขาก็เป็นแค่น้องชายที่น่ารักเท่านั้นแหละ  นัตสึเมะ  แล้วนายก็เป็นคนมาฝากฉันเลี้ยงด้วยไม่ใช่เหรอ”

“เลี้ยงให้ดีล่ะ”

“ไม่เชื่อใจฉันเหรอ?”

“คนที่ฉันไม่เชื่อใจคือฟุยุกิคุง  เด็กนั่นอ่อนโลกเกินไป  และนายก็มีเสน่ห์มากเกินไป”

คิริฮาระทำตาโต  “หายากนะ  คำชมจากนายเนี่ย”

“นาน ๆ พูดเรื่องจริงบ้างก็ไม่เสียหายนี่”  นัตสึเมะหัวเราะ  “แต่เสน่ห์นั่นมันเป็นอันตราย  โดยเฉพาะกับเด็กที่ไม่ประสีประสาอะไรเลยอย่างนั้น”

“ฉันจะระวังแล้วกัน”  คิริฮาระพยักหน้ารับ  “ว่าแต่...ที่อุตส่าห์ชวนมากินข้าววันหยุดก็เพื่อเตือนเรื่องนี้?”

นัตสึเมะไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มจนหมด

“อ้อมค้อมเหลือเกินนะ  นัตสึเมะซัง”  นักดนตรีหนุ่มส่ายหน้า

“นายผ่าซากเกินไปเองต่างหาก”

“อ้อมไกล ๆ มันเหนื่อย  แล้ว...จากนี่จะไปไหนต่อหรือเปล่า?”

“ว่าจะไปซื้อของเข้าร้านนิดหน่อย  แล้วก็กะจะซื้ออะไรไปทำมื้อเย็นด้วย  นายอยากกินอะไรล่ะ?”  ประโยคหลังเพิ่มเสียงดังขึ้นนิดหน่อยพลางเหลือบมองสองสาวที่เคาน์เตอร์ที่ยังจ้องพวกเขาตาเป็นมัน

คิริฮาระก็สังเกตเห็นสายตาของเพื่อนเลยรีบรับมุขทันที  เขาตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มหวานเสแสร้งสุดชีวิต  “ข้าวฝีมือนายน่ะ  ไม่ว่าอะไรก็อร่อยทั้งนั้นแหละ”

สองสาวถึงกับปิดปากกรี๊ด...เซอร์วิสนิดหน่อย  บริหารเสน่ห์น่ะนะ...

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 06 / 22-03-58
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-03-2015 02:38:33
ลากยาวเลย แล้วก็บีบหัวใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: Lock on You 07 / 16-04-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 16-04-2015 19:44:39
สวัสดีหลังสงกรานต์ครับ
เป็นยังไงบ้าง? ไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันมาหรือเปล่าครับ? สนุกไหม?
ผมทำงานที่ร้านครับ ไม่โดนน้ำสักหยดมาหลายปีแล้ว ฮะๆๆ
แต่ก็ได้เขียนนิยายต่อด้วยนะครับ ดีไปอีกแบบ
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

Lock on You 07

ความจริงแล้วคืนนี้คิริฮาระบอกว่าจะพาฟุยุกิไปดื่มที่บาร์สุดหรูของโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางโอไดบะหลังจากไปลางานกับจูอิจิที่คลับเรียบร้อยแล้ว  แต่เมื่อไปถึงคลับก็พบว่าจูอิจิงอมด้วยไข้หวัดถึงขนาดต้องใส่หน้ากากและตาแดงเยิ้มเลยทีเดียว

“ทำไมปล่อยให้เป็นขนาดนี้!?”  คิริฮาระโวยวาย  ร้อยวันพันปี  แม่ทัพคนสำคัญของเขาไม่เคยแม้แต่จะจามด้วยซ้ำ

“ก็ใครใช้ให้หิมะตกกะทันหัน...แค่ก ๆ...ล่ะครับ”  เสียงนั้นเหมือนจะโทษว่าเป็นความผิดของคิริฮาระ

“เกี่ยวอะไรกับหิมะตก?”  นั่นเป็นเรื่องเมื่อ 4 วันก่อนต่างหาก  วันนี้หิมะไม่ตกเสียหน่อย

“ก็ตอนกลับบ้าน...แค่ก ๆ...วันที่หิมะตก  ผมลื่นล้มระหว่างทางกลับบ้านตั้งหลายครัง  กว่าจะถึงบ้าน...แค่ก ๆ...ก็ชื้นไปหมดทั้งตัว  แล้วจากวันนั้นผู้จัดการก็ไม่...แค่ก ๆ...มาทำงานเลยนะครับ  ผมก็ต้อง...แค่ก...อยู่โยงเฝ้าร้าน  จนเป็น...แค่ก ๆ ๆ...แบบนี้แหละ”  แม้จะพูดไปไอไปแต่น้ำเสียงของจูอิจิก็จิกกัดและคำพูดก็บอกประสิทธิภาพการทำงานของคิริฮาระเป็นอย่างดี

“ง่า...ขอโทษ”  คิริฮาระหน้าจ๋อย  “งั้น...วันนี้นายกลับเถอะ  แล้วพรุ่งนี้ก็ไปหาหมอแล้วพักให้สบายซะนะ”

“จะให้ปล่อย...แค่ก ๆ...ผู้จัดการไว้คนเดียว...แค่ก...น่ะเหรอครับ!?”  หางเสียงสูงแสดงความไม่ไว้ใจเต็มที่

“เห็นฉันเป็นคนยังไง  หา?”  คนเป็นผู้จัดการทำเสียงไม่พอใจ

“ก็เป็นอย่าง...แค่ก ๆ ๆ...ที่เห็นแหละครับ”

“ต่อให้นายอยู่ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก  สภาพแบบนี้จะเอาหวัดไปติดลูกค้าเปล่า ๆ  ฉันดูร้านคนเดียวได้น่า”

“ผู้จัดการน่ะนะ!?”

“ทำไม!?”

ฟุยุกิที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ มานานรู้สึกทึ่งกับวิธีการพูดของจูอิจิ  คิริฮาระที่ว่าปากร้าย ๆ ยังดูหือไม่ขึ้น  แต่ดูจากอาการป่วยแล้วเขาก็เห็นด้วยกับคิริฮาระว่าจูอิจิควรจะไปพักเสียมากกว่า  แต่จะให้คิริฮาระอยู่คนเดียวก็...

“ดะ...เดี๋ยวผมช่วยเองครับ!”  เด็กหนุ่มโผล่งออกไปก่อนใจคิดจนเจ้าตัวเองก็ตกใจ

“เอ๊ะ!  จะดีเหรอครับ  อาริโยชิซัง...แค่ก ๆ...”  จูอิจิทำหน้าประหลาดใจ  แต่ไหนแต่ไรมาเด็กคนนี้เป็นแค่แขกคนพิเศษที่คิริฮาระมักจะพามานั่งดื่มบ่อย ๆ ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนเท่านั้น

“เอ้อ...ก็...คงไม่ดี...ไม่สิ...ไม่รู้จะทำได้แค่ไหน...แต่คง...พอช่วยได้ละครับ”  ฟุยุกิตอบแบบไม่เหลือความมั่นใจ  “แต่...ถ้าแค่เก็บล้างอะไร...คิดว่าทำได้ครับ”

คิริฮาระมองฟุยุกิแล้วยิ้ม ๆ  เด็กคนนี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางดี  ถ้าเป็นตอนที่ได้พบกันใหม่ ๆ ละก็ฟุยุกิไม่มีทางแสดงความเห็นอะไรเลยแน่  ไม่กล้าแทรกขึ้นมาด้วยซ้ำ  แต่ถึงขนาดอาสาจะช่วยนี่ก็ถือว่าพัฒนาไปมากทีเดียว

“ลองดูก็ได้  ช่วยเก็บล้างพวกแก้วเครื่องดื่มแล้วกันนะครับ”  คิริฮาระบอก

“ผู้จัดการ...”  จูอิจิทำท่าจะท้วง

“ฟุยุกิคุงทำได้น่า  ส่วนเรื่องอื่นฉันทำเองได้  ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำเลยเสียหน่อย  นายไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นหรอก  จิวจัง  ไปพักให้หายป่วยเถอะ”  คนเป็นผู้จัดการบอกอย่างผู้จัดการแท้ ๆ ที่นาน ๆ จะได้เห็นสักครั้ง

จูอิจิดูลังเลนิดหน่อย  แต่สุดท้ายก็พยักหน้า

“ฝากด้วยนะครับ  อาริโยชิซัง”  เขาก้มหัวให้นิดหนึ่ง  “แล้วก็...ฝาก...แค่ก ๆ...ผู้จัดการด้วยนะครับ”

“จิวจัง!”

ในที่สุดนัดหมายของคืนนั้นก็เป็นอันยกเลิกไป  และฟุยุกิก็ได้อยู่ช่วยงานที่คลับของคิริฮาระ


ตามปกติแล้วเท่าที่เคยมาในวันธรรมดา  ฟุยุกิรู้สึกว่าที่คลับมีลูกค้าไม่มากนัก  แต่คืนวันศุกร์แบบนี้ที่นั่งกลับเต็มทุกโต๊ะ  แม้ลูกค้าจะเยอะและต้องทำงานคนเดียว  แต่คิริฮาระก็สามารถบริหารการบริการให้มันไม่วุ่นวายได้  เขาบอกลูกค้าไปตรง ๆ ว่าผู้ช่วยของเขาไม่สบายเลยต้องทำงานคนเดียว  อาจมีล่าช้าบ้างต้องขออภัย  และเมื่อโดนถามถึงฟุยุกิที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ข้างหลังก็ได้คำตอบว่า

“ลูกค้าท่านแรกน่ะครับ  เข้ามาเห็นผมกำลังจะหามผู้ช่วยออกไปหาหมอพอดี  เลยช่วยพาไปให้แถมยังใจดีย้อนกลับมาช่วยงานอีกน่ะครับ  เป็นคนดีเหลือเกิน”

...เกินความจริงไปไกลมาก...

งานเก็บล้างไม่ได้มีอะไรเร่งรีบมาก  แต่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนนิดหน่อย  เพราะแก้วแต่ละใบบางเหลือเกิน  หากฟุยุกิก็ทำได้อย่างใจเย็น  เขาค่อย ๆ ล้างและเช็ดแก้วเครื่องดื่มทรงสวยสารพัดแบบไปเรื่อย ๆ พลางดูคิริฮาระผสมค็อกเทล  แม้แต่ตอนที่ไม่ได้จับไวโอลิน  คิริฮาระก็ยังดูดี  นั่นคงเป็นบุคลิกภาพที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้วละมั้ง  ฟุยุกิแอบยิ้มกับตัวเองพร้อมกับคิดว่าคิริฮาระจะเคยเล่นไวโอลินให้ลูกค้าที่นี่ฟังหรือเปล่านะ

และในจังหวะที่ว่างจากลูกค้านั่นเอง  คิริฮาระก็หยิบไวโอลินที่แขวนอยู่ข้างชั้นวางเครื่องดื่มซึ่งฟุยุกิไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อนลงมา  ก่อนจะเริ่มต้นบรรเลงเพลงช้าหวานซึ้งอันเป็นเพลงฮิตในช่วงนี้  ลูกค้าปรมือกันเกรียวกราวและนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน
คิริฮาระเล่นไวโอลินสลับกับชงเครื่องดื่มให้ลูกค้าไปเรื่อย ๆ  ส่วนฟุยุกิก็ช่วยงานและมองดูชายหนุ่มจนเพลินลืมเวลา  มารู้สึกตัวอีกทีก็เลยเที่ยงคืน...และรถไฟเที่ยวสุดท้ายก็หมดแล้ว

“แย่แล้ว...”  ฟุยุกิมองนาฬิกาแล้วครางออกมา  เขากะว่าจะอยู่ช่วยงานคิริฮาระจนถึงก่อนรถหมดแล้วจะรีบขอตัวกลับก่อนแท้ ๆ  แบบนี้ไม่แคล้วต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านแน่

“มีอะไรเหรอ  ฟุยุกิคุง?”  คิริฮาระคงได้ยินเข้าเลยหันมาถาม

“คือ...แย่แล้วครับ...รถไฟ...หมดแล้ว”

ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกา  “อ้าว  ป่านนี้แล้วเหรอ  รถหมดไปนานแล้วนี่”

“ครับ  สงสัยต้องกลับแท็กซี่”  ฟุยุกิตอบเสียงอ่อย ๆ

“รอกลับพร้อมกันมั้ย?  เดี๋ยวลูกค้าหมดผมก็ปิดร้านแล้วละ”  คิริฮาระบอกพลางมองไปรอบ ๆ ร้านซึ่งเหลือลูกค้าอยู่แค่สองสามโต๊ะเท่านั้น

แม้จะเป็นคำชวนเรียบง่าย  แต่ฟุยุกิก็ใจเต้นรีบรับปากไปทันที

“คะ...ครับ!”

พูดไปแล้วก็ตกใจตัวเอง  เขาไม่เคยกลับบ้านหลังรถไฟหมดมาก่อนเลยในชีวิต  อย่างช้าที่สุดก็คือกลับรถเที่ยวสุดท้ายซึ่งก็ไม่บ่อยนัก  แต่นี่เขากลับบอกว่าจะรอจนคิริฮาระปิดร้านแล้วค่อยกลับ...มันก็น่าตกใจจริง ๆ นั่นแหละ

กว่าลูกค้าจะกลับหมดและเก็บร้านเสร็จก็เกือบตีสอง  มองคิริฮาระที่เก็บร้านไปเรื่อย ๆ แบบเดียวกับนัตสึเมะแล้วฟุยุกิก็กลั้นหาวและแอบกังวลอยู่ลึก ๆ  ป่านนี้มิโนรุคงจะเป็นห่วงแย่แล้ว  สัปดาห์นี้พวกเขาไม่ไปบ้านพ่อกันทั้งคู่  มิโนรุติดงาน  ส่วนเขาก็นัดกับคิริฮาระเอาไว้  ดังนั้นตอนนี้มิโนรุก็น่าจะกลับถึงแมนชั่นและพบว่าเขายังไม่กลับบ้านแล้ว  แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีโทรศัพท์โทรตามเลย

“เอาละ  ไปกันเถอะ”  คิริฮาระเก็บของเรียบร้อยและเรียกฟุยุกิออกจากร้านก่อนจะปิดล็อก

ทั้งสองเดินข้างกันไปในสายลมเย็นเฉียบของฤดูหนาว  หลังจากหิมะตกเมื่อ 4 วันก่อนอากาศได้อุ่นขึ้นิดหน่อยแล้วกลับไปหนาวอีก  เร็ว ๆ นี้คงจะมีหิมะตกอีกครั้งแน่  ฟุยุกิกระชับเสื้อโค้ทเมื่อมีลมพัดมาวูบหนึ่ง  แล้วมือใหญ่ก็โอบไหล่เขาดึงเข้าไปใกล้ตัว

“หนาวเหรอ?”  เสียงนุ่มถามขึ้นเบา ๆ

ฟุยุกิเกร็งไปทั้งร่าง  ก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ รับ  แม้อากาศจะหนาวแต่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าหน้าของตนร้อนผ่าวไปถึงหู

“วันนี้ขอบคุณนะที่อยู่ช่วย  ช่วยผมได้มากเลยละ”  คิริฮาระยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“มะ...ไม่หรอกครับ  ผม...แค่อยากช่วย  ถ้า...จะมีประโยชน์อะไร...กับคิริฮาระซังบ้าง...”

คำตอบลุกลี้ลุกลนและท่าทางประหม่านั้นทำให้คิริฮาระอดยิ้มไม่ได้  แม้จะมีพัฒนาการที่ดีให้เห็น  แต่กับเขาแล้ว  ฟุยุกิก็ยังดูเป็นเด็กแบบนี้เสมอเลย

“ทำได้ดีมากเลยละ”  ชายหนุ่มลูบเรือนผมดำขลับอย่างเอ็นดู  “ว่าแต่...บ้านฟุยุกิคุงอยู่ที่ไหนน่ะ?”

“เอ้อ...ก็...”  ฟุยุกิบอกชื่อย่านที่พักอาศัยที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไป

“ไกลจัง!”

“อ่า...ครับ...”  เด็กหนุ่มยอมรับ  เขารู้สึกว่ามันไกลมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว  แต่ในเมื่อมันเป็นแมนชั่นของมิโนรุ  จะให้พูดอะไรได้

“อืม...”  คิริฮาระทำท่าครุ่นคิดนิดหน่อย  ก่อนจะบอกว่า  “ไปค้างที่บ้านผมแล้วกัน”

“หา!!?”  ฟุยุกิร้องเสียงดัง  ไม่ใช่แค่ใจเต้น...แต่หัวใจแทบหยุดเต้นไปเลยทีเดียว  “วะ...วะ...ว่าอะไรนะครับ!?”

“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย?  ผมแค่บอกให้ไปค้างที่บ้านผมก็แล้วกัน  บ้านคุณไกลมาก  กว่าจะถึงก็เช้าพอดี”

“มะ...มะ...มะ...ไม่เช้าหรอกครับ  แล้ว...แล้ว...ผมก็ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน  บะ...บะ...บ้านคิริฮาระซังน่ะ...”  ฟุยุกิเป็นโรคติดอ่างขึ้นมากะทันหัน

“ชุดนอนกับผ้าเช็ดตัวใช้ของผมก่อนก็ได้  ขากลับก็ใส่ชุดเดิมไง”  คิริฮาระกลั้นยิ้ม

“จะ...จะ...จะดีเหรอครับ?  บะ...บะ...แบบนั้นมัน...ผะ...ผม...ผมว่ามันไม่...”

“ดีสิ!  แท็กซี่มาแล้ว  ขึ้นเลย ๆ”  คิริฮาระไม่ปล่อยให้ฟุยุกิไปติดอ่างอื่น ๆ อีก  เขาโบกแท็กซี่แล้วยัดฟุยุกิขึ้นรถทันที  ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธด้วย

...

บ้านของคิริฮาระคือห้องชุดขนาดครอบครัวบนชั้น 12 ของแมนชั่นหรูใจกลางเมือง  มีทั้งห้องนอน 3 ห้อง  ห้องน้ำ  ห้องครัว  และห้องนั่งเล่นแยกเป็นสัดส่วน  ตอนที่เห็นแมนชั่นและสถานที่ตั้ง  ฟุยุกิก็อึ้งไปทีหนึ่งแล้ว  แต่พอได้เห็นภายในห้องก็แทบจะอ้าปากค้าง  การตกแต่งภายในเป็นระเบียบสวยงามราวกับห้องตัวอย่าง  ใช้โทนสีฟ้าอมเทาที่ดูอ่อนโยน  แม้จะดูขัดกับอิมเมจของคิริฮาระโดยสิ้นเชิงจนน่าประหลาดแต่ความสวยของห้องก็ทำให้ฟุยุกิมองข้ามเรื่องนี้ไปเลย

“นั่งที่โซฟาก่อนก็ได้ครับ”  คิริฮาระเชื้อเชิญพลางวางสัมภาระลงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแร่ออกมาให้  “ในตู้มีแต่เบียร์  คิดว่าคงไม่ดื่ม  เอาน้ำแร่แล้วกันนะ”

“ขะ...ขอบคุณครับ  ระ...รบกวนด้วยนะครับ”  ฟุยุกิเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้เอ่ยคำทักทายตามมารยาทเลยรีบพูดออกมาด้วย

“เกร็งอะไรขนาดนั้น”  คิริฮาระหัวเราะ  “บ้านผมมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ปะ...เปล่าครับ  คือ...ผมไม่คุ้น...ไม่ค่อย...ได้ไปบ้านใคร...”  นอกจากบ้านเพื่อนสมัยเด็ก ๆ ก็มีแค่บ้านนัตสึเมะที่ได้เข้าไปเมื่อตอนฤดูใบไม้ร่วงครั้งเดียวนั้น

“อ้อ...งี้นี่เอง”  ผู้เป็นเจ้าของบ้านพยักหน้าหงึกหงัก  “แต่ทำตัวตามสบายเถอะ  เสื้อโค้ทนั่นก็ถอดซะก่อนก็ได้”

“อ๊ะ  ครับ”  ฟุยุกิรีบถอดเสื้อโค้ทออก  จริง ๆ ก็เริ่มร้อนแล้วเหมือนกันเพราะเครื่องปรับอากาศในห้องเริ่มทำงานแล้ว

คิริฮาระหายเข้าไปในห้องอาบน้ำครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่น่าจะเป็นห้องนอน  ก่อนจะกลับมาพร้อมชุดนอนและผ้าขนหนูในมือ

“เดี๋ยวน้ำเต็มอ่างก็อาบได้เลยนะครับ  แช่ตัวให้สบายเลยก็ได้  คืนนี้จะได้หลับสนิท”

“ชะ...แช่ตัว!?”  เด็กหนุ่มทำตาโต  จะให้อาบน้ำแช่ตัวในบ้านคนอื่นเนี่ยนะ!!

เหมือนคิริฮาระจะเดาได้ว่าฟุยุกิคิดอะไรอยู่จึงรีบบอกว่า  “นึกซะว่าไปทัศนศึกษาแล้วพักโรงแรมแล้วกันครับ  คิริฮาระโฮมสเตย์ยินดีต้อนรับ”

ฟุยุกิค่อยยิ้มออก  เขารับของจากมือคิริฮาระ  “งะ...งั้นรบกวนหน่อยนะครับ”

“แช่ให้หายติดอ่างเลยนะครับ”  ชายหนุ่มแซวมา

ฟุยุกิหน้าแดงก่ำแล้วรีบผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำทันที

อ่างน้ำอุ่นคือสุดยอดความสุขในวันที่หนาวเหน็บเช่นนี้  ฟุยุกิแช่ตัวพลางมองสำรวจในห้องอาบน้ำที่กรุ่นเป็นไอ ในห้องอาบน้ำก็เป็นระเบียบเรียบร้อยไม่แพ้ด้านนอก  เพียงแต่บนชั้นวางของนั้น  นอกจากจะมีสบู่กับแชมพูแล้วยังมีพวกเกลือหอมและน้ำมันหอมสำหรับแช่ตัววางเรียงรายอยู่มากมาย  ท่าทางคิริฮาระจะชอบของพวกนี้และคงขี้เบื่อจนต้องเปลี่ยนกลิ่นบ่อย ๆ สินะ

ฟุยุกิมองพวกมันอย่างสนใจ  เขาไม่เคยใช้ของพวกนี้ตามใจชอบ  ที่บ้านพ่อค่อนข้างหัวโบราณจึงมักจะทำตามธรรมเนียมที่พ่อจะอาบน้ำคนแรก  ตามมาด้วยเคียวยะ  มิโนรุ  และเขาเป็นคนสุดท้าย  ดังนั้นเกลือหอมหรือน้ำมันที่ใส่ลงไปจึงเป็นพวกกลิ่นสมุนไพรที่พ่อชอบเสมอ  ส่วนมิโนรุไม่พิถีพิถันอะไรกับเรื่องพวกนี้มากนัก  เขาก็เลยไม่ได้สนใจไปด้วย  แต่พอเห็นมันอยู่รวมกันเยอะ ๆ แล้วก็อดสนใจไม่ได้

เมื่อแช่น้ำจนตัวอุ่นพอสมควรแล้ว  เด็กหนุ่มก็รีบขึ้นมาแต่งตัวเพราะคิดว่าคิริฮาระก็คงจะอยากอาบน้ำและพักผ่อนบ้างแล้ว  ชุดนอนที่คิริฮาระให้ยืมตัวใหญ่ไปหน่อยแต่ก็เป็นผ้าเนื้อนนุ่มใส่สบาย

พอออกมาจากห้องน้ำ  ฟุยุกิก็เห็นคิริฮาระกำลังนั่งยิ้มอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกโดยมีกองกระดาษเอกสารกออยู่ใกล้ ๆ  เมื่อรู้สึกตัวว่าฟุยุกิมองอยู่ก็หันมายิ้มให้

“เรียบร้อยแล้วเหรอครับ  สบายตัวมั้ย?”

“ดีมากเลยครับ”  ฟุยุกิก้มหัวให้นิด ๆ เป็นเชิงขอบคุณ  “แล้ว...คิริฮาระซังทำงานเหรอครับ?”

“เอาบัญชีกลับมาทำน่ะ  แล้วก็เช็คเมล์นิดหน่อย”

“ขยันจังครับ...”  ดึกป่านนี้แล้วแท้ ๆ...

“ถ้าไม่ทำบัญชีไว้  จิวจังต้องบ่นยาวแน่เลยน่ะ...เอาละ  คุณนอนก่อนเถอะ  ผมยังต้องทำงานต่ออีกหน่อย”  พูดแล้วผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ลุกจากโซฟาไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง  “คืนนี้พักที่นี่แล้วกันนะครับ”

ห้องนอนนั้นค่อนข้างกว้างและแตกต่างกับห้องข้างนอกโดยสิ้นเชิง  ในขณะที่ภายนอกทำให้ฟุยุกิรู้สึกว่าขัดกับอิมเมจของคิริฮาระเป็นอย่างมาก  แต่ห้องนอนนี้กลับตกแต่งด้วยสีขาวดำเป็นหลัก  กระทั่งเตียงนอนและผ้าห่มขนสัตว์ก็ยังเป็นผ้าสีดำเป็นมันเลื่อมสะท้อนแสงโคมไฟตั้งพื้นเป็นเงาเหมือนเสือดำที่นอนหมอบอยู่กลางห้อง  เป็นห้องที่แสดงตัวตนของคิริฮาระอย่างที่สุด

“นะ...นี่ห้อง...ของคิริฮาระซังเหรอครับ...?”  ฟุยุกิถามหลางกลืนน้ำลาย

“เก่งนี่  รู้ได้ยังไงเนี่ย?”

ไม่รู้ก็แปลกแล้ว...ฟุยุกิอยากบอกแบบนั้นแต่ก็พูดไม่ออก

“ผม...ผมนอนห้องอื่นก็ได้นะครับ!”

“ไม่มีห้องอื่นหรอก”

จะไม่มีได้ยังไง  ก็เห็นอยู่ว่ามี 3 ห้อง...ฟุยุกิทำตาโตมองหน้าชายหนุ่ม

“ห้องอื่นผมเอาไปทำอย่างอื่นหมดแล้วน่ะ”

“โซฟาก็ได้ครับ!”  เด็กหนุ่มบอกด้วยเสียงเกือบแตกตื่น

“ให้แขกนอนโซฟาเนี่ยนะ  รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลยนะ”  คิริฮาระหัวเราะคิก  “เอาน่า  นอนเถอะ  เดี๋ยวผมไปนอนห้องทำงานได้  นี่ก็ดึกมากแล้ว  อย่าคิดมากเลยนะ”

ไม่พูดเปล่ายังรุนหลังฟุยุกิเข้าไปในห้อง  กดไหล่ให้นั่งลงบนเตียงดิบดี

“นอนซะนะครับ  ห้องนอนผมน่ะอาถรรพ์  รายไหนรายนั้น...ถ้าได้นอนละก็ฝันดีทุกราย”

“คะ...ครับ...”  ไม่มีทางเลือกนอกจากตอบไปแบบนี้

“เดี๋ยวผมขอตัวไปทำงานก่อน  ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ...”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มตอบกลับไป

ประตูห้องปิดลง  เหลือแต่เด็กหนุ่มอยู่ในห้องคนเดียวกับแสงสลัวของโคมไฟ  ไม่มีอะไรให้ทำดีไปกว่านี้  ฟุยุกิจึงสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ  แต่ยังคงลืมตาโพลงอยู่ในความมืด  แม้จะดึกมากแล้วอย่างที่คิริฮาระบอกหากฟุยุกิยังไม่อาจข่มตาหลับลงได้  หัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ  ใต้ผ้าห่มนี้...กลิ่นอายของคิริฮาระอวลอยู่รอบกายราวกับจะห่อหุ้มเขาเอาไว้

...ไม่หรอก...มันป็นกลิ่นผ้าห่มเท่านั้นแหละ...  ฟุยุกิพยายามบอกตัวเอง

...แต่นี่เป็นเตียงของคิริฮาระซัง...ที่ที่คิริฮาระซังนอนทุกคืนนะ...  อีกใจพูดอย่างนั้น

...แต่...มันไม่ใช่กลิ่นของคิริฮาระซังเสียหน่อย...

...แล้วทำไมกลิ่นของเขาจะไม่ติดอยู่ในผ้านวมบ้างล่ะ...

สองใจเถียงกันได้แค่นี้...ฟุยุกิก็กลิ้งขลุก ๆ อยู่บนเตียง  ยกมองมือขึ้นปิดหูแล้วซุกหน้างุดลงกับหมอน  ใบหน้าร้อนผ่าวแบบที่ไม่ต้องเห็นก็รู้แล้วว่ามันแดงไปถึงไหนต่อไหน

...หมอนนี่...ก็หมอนที่คิริฮาระซังหนุนทุกคืนนี่นา...

เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องพิลึก ๆ แล้วดิ้นปัด ๆ  ใจเต้นจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก  แบบนี้ตายแน่...ต้องขาดใจตายก่อนจะได้หลับฝันดีตามที่คิริฮาระบอกแน่  แค่อยู่ข้าง ๆ คิริฮาระก็ใจสั่นแล้ว...คนอย่างเขาจะนอนบนเตียงใต้ผ้าห่มของคิริฮาระได้ยังไง!!

ในตอนที่กลิ้งมาจนจะตกเตียง  หูของฟุยุกิก็แว่วเสียงอะไรบางอย่าง...เสียงที่แว่วหวานและแสนอ่อนโยน...เสียงไวโอลิน  คิริฮาระกำลังสีไวโอลินอยู่ที่ห้องด้านนอก  เพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน...หลายเดือนมานี้  เขาจำเพลงที่คิริฮาระเล่นที่ข้างถนนได้แทบทุกเพลงแม้จะไม่รู้จักชื่อ  แต่เพลงที่คิริฮาระกำลังบรรเลงอยู่นี้...เขาไม่เคยฟังมาก่อน

ช่างแสนอ่อนหวาน...ราวกับจะละลายความหนาวเหน็บได้  เขารู้ว่าคิริฮาระอ่อนโยน...แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะอ่อนหวานได้ถึงเพียงนี้  ราวกับเป็นความรู้สึกที่เก็บไว้เพื่อใครบางคนโดยเฉพาะ...

...แล้วใครล่ะ...

ยังไม่ทันถามตัวเองมากไปกว่านี้  ท่ามกลางความอ่อนโยนที่รายล้อม...ฟุยุกิก็จมลงสู่ห้วงนิทรา

...
หัวข้อ: Re: Lock on You 07 / 16-04-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 16-04-2015 19:47:28
“ช่วงเสาร์อาทิตย์นายไม่ค่อยกลับบ้านเลยนะ  ฟุยุกิ”  มิโนรุพูดขึ้นในวันหนึ่งที่มีเวลาคุยกันในตอนเช้า

“เอ๊ะ?...เอ้อ...ก็...”  ฟุยุกิไม่รู้จะตอบยังไง

“ไปค้างบ้านเพื่อนเหรอ?”

“เอ่อ...ครับ”  เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม  ตอบไปแบบนี้จะถูกดุอะไรหรือเปล่านะ

แต่มิโนรุไม่ได้ว่าอะไรนอกจากพยักหน้ารับรู้แล้วขยับเนคไทให้เข้าที่  สีหน้านั้นเกือบจะยิ้มด้วยซ้ำ

“ก็ดีแล้ว”

ฟุยุกิทำหน้าประหลาดใจ  “...ไม่ว่าอะไรเหรอ?”

“จะว่าทำไม”  ผู้เป็นพี่หัวเราะ  “พวกฉันรอให้มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่นายเรียน ม. ปลายแล้ว”

“เอ๋?”

“มันแปลว่าอย่างน้อย...ในที่สุดนายก็มีเพื่อนให้ไปค้างที่บ้านกับเขาเสียที  เลิกเป็นมนุษย์เก็บเนื้อเก็บตัวไม่มีใครคบแล้วไงล่ะ  ถึงจะช้าไปหน่อยแต่ก็ยังมีเพื่อนละนะ”  มิโนรุยิ้มกว้างแบบที่นาน ๆ จะได้เห็นสักครั้ง

ฟุยุกิดูงุนงง  แต่มิโนรุไม่ได้สนใจอะไรอีก

...เหรอ?  ไปค้างบ้านคิริฮาระไม่ผิดงั้นเหรอ  ไม่กลับบ้านพ่อทุกอาทิตย์ก็ได้สินะ...ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลย  แต่ก็แปลว่าจะไปค้างอีกก็ไม่เป็นไรสินะ...ถึงคิริฮาระจะไม่ใช่เพื่อนแบบที่มิโนรุเข้าใจก็เถอะ

...

“บางครั้งฉันก็คิดว่ามันดีจริง ๆ หรือเปล่า”  จู่ ๆ นัตสึเมะก็เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ขณะที่กำลังเข็นรถเข็นและเลือกซื้อของอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต

“อะไรดี?”  คิริฮาระทำหน้างงเมื่ออยู่ ๆ เพื่อนรักก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย  พวกเขากำลังเดินอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านของนัตสึเมะและค่อนข้างจะตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาแม่บ้านที่มาจับจ่ายซื้อของไม่น้อยทีเดียว

“การฝากให้นายดูแลฟุยุกิคุงน่ะสิ”  ร่างสูงหยิบกระป๋องเนยถั่วขึ้นมาพลิกดูวันหมดอายุ

“แล้วมันไม่ดีตรงไหน?”  คิริฮาระหยิบถั่วลันเตากระป๋องใส่ในรถเข็น

“ตรงที่นายชักจะเกินเลยไปใหญ่แล้ว”  นัตสึเมะหยิบกระป๋องที่คิริฮาระเพิ่งใส่ลงไปกลับคืนชั้นวาง  “ถั่วน่ะไปซื้อของสดก็ได้  ถั่วสด ๆ อร่อยกว่า”

นักดนตรีหนุ่มนิ่งไปนิดหนึ่ง  “หมายถึงเรื่องที่ฉันให้ถั่ว...เอ๊ย  ฟุยุกิคุงไปค้างที่บ้านน่ะเหรอ?”

“ใช่...”  นัตสึเมะมองตาเพื่อน  แล้วต่างก็นิ่งกันไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่คิริฮาระจะหันไปหยิบขวดแยมสตรอว์เบอร์รี่กับบลูเบอร์รี่มาพิจารณา

“แต่ฟุยุกิคุงก็ดูมีความสุขดีออกนี่นา”

“ก็ใช่  แต่ฉันไม่คิดเลยว่านายจะถึงขนาดให้นอนในห้องของนาย...บนเตียงเดียวกัน”

“ก็ห้องอื่นมันไม่ว่างแล้ว  ห้องนึงของคิโยะ  อีกห้องเป็นห้องดนตรี  แล้วเตียงของฉันก็คิงไซส์...นอนสองคนได้สบาย ๆ หรอก  และฉันก็นอนห้องอื่นไม่ค่อยหลับเสียด้วย”  พูดแล้วก็ชูขวดแยมให้ดู  “อันไหนดี?”

“ยี่ห้อนั้นอร่อยกว่า”  ร่างสูงชี้ไปที่ชั้นใกล้ ๆ กัน  “ฉันรู้ว่าเตียงนายนอนสองคนได้  แต่ไม่คิดว่านายจะยอมให้ใครมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวขนาดนั้น”

“อืม...นั่นสินะ”  คิริฮาระทำท่าครุ่นคิด  ปกติแล้วเขาค่อนข้างจะซีเรียสกับความเป็นส่วนตัว  เพราะมีความลับความไม่ลับในชีวิตเยอะแยะ  แต่เขากลับยอมให้ฟุยุกินอนในห้องส่วนตัวแบบไม่คิดอะไรเลยเสียได้  “คงเพราะฟุยุกิเหมือนอาโออิเมื่อก่อนมั้ง”

“แน่ใจเหรอว่าเหมือนอาโออิคุง?”  นัตสึเมะหยิบแยมยี่ห้อที่แนะนำคิริฮาระใส่รถเข็นเผื่อส่วนของตัวเองด้วย  “เขาเล่าว่านายนอนกอดเขา”

นักดนตรีหนุ่มหมุนตัวกลับมาแล้วยกเท้าขึ้นแตกล้อหน้าของรถเข็นให้หยุด  กอดอกแล้วเขม้นมองหน้าเพื่อน

“นี่นายเรียกฉันออกมาแต่หัววันเพื่อสอบปากคำงั้นเรอะ?”

“...แค่อยากรู้  ว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไงกันแน่”  นัตสึเมะตอบอย่างสงบ  “ฟุยุกิคุงมาเล่าให้ฉันฟังแทบทุกเรื่องแหละ  ท่าทางเขาดีใจและมีความสุขมาก  แทบไม่เหลือเค้าเด็กอมทุกข์คนที่นายพามาหาฉันเลย  แต่ถ้าพูดตามตรง...ท่าทางเขาเหมือนเด็กที่ได้ใกล้ชิดไอดอลที่ตามกรี๊ดอยู่อะไรแบบนั้นน่ะ  เหมือนกำลังอยู่ในฝัน  ทีนี้...เด็กแบบนั้นมักจะเอาความฝันความจริงมาปนกันมั่วไปหมด  เหมือนสมัยที่นายเรียนมหา’ ลัยก็ยังมีสาวมาเม้าธ์กันในร้านของฉันว่าได้นอนกับนายแล้ว  ทั้งที่ความจริงก็แค่นายเก็บสมุดที่เธอทำหล่นให้เท่านั้นเอง  ถึงฟุยุกิคุงจะดูไม่ใช่เด็กขี้โกหกแบบนั้น  แต่ฉันก็ฟันธงไม่ได้หรอกว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งหมดหรือเปล่า  เลยต้องมาถามนายนี่แหละ”

“ถามคนขี้โกหกอย่างฉันเนี่ยนะ?”

“อย่างน้อยนายก็ไม่เคยโกหกฉัน”

คิริฮาระมองลึกเข้าไปในดวงตาของนัตสึเมะ  แล้วต่างก็จ้องตากันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง  ก่อนที่คิริฮาระจะถอนใจ

“ใช่  ฉันกอดเขา...แบบหมอนข้าง”

“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ  นายไม่ติดหมอนข้างนี่?”

“ฉันฝันถึงคิโยฮารุ”

“จะเอาฟุยุกิคุงไปเป็นตัวแทนซาคากิซังไม่ได้นะ  คิริฮาระ”  น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นมาทันที

“ถึงนายไม่บอกฉันก็รู้อยู่แล้วน่า  แล้วก็เลิกเรียกซาคากิซังเสียทีเถอะ  คิโยะบ่นว่ามันห่างเหิน  เรารู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้วนะ”

“จะเอาฟุยุกิคุงไปเป็นตัวแทนคิโยฮารุคุงไม่ได้นะ  คิริฮาระ”  ร่างสูงพูดใหม่ทันควันอย่างประชดประชัน

“เออ  ฉันรู้แล้ว  ฉันไม่ทำหรอก  แล้วมันก็แทนกันไม่ได้ด้วย”  คิริฮาระทำเสียงหงุดหงิด  “คืนนั้นฉันแค่ฝัน  ควานไปข้างตัวเจอคนนอนอยู่ก็คิดว่าเป็นคิโยะ  เลยคว้ามากอด...แต่กลิ่นมันไม่ใช่  แต่ทีนี้กอดไปแล้วก็เลยเลยตามเลย  แล้วมันก็อุ่นดีด้วยน่ะ”

“กลิ่น?  นายเป็นหมาหรือไงเนี่ย?”

“ฉันแค่จมูกไว!”  นักดนตรีหนุ่มสวนทันที  “อย่างนายน่ะ  ต่อให้ใช้น้ำหอมทั้งห้างก็กลบกลิ่นกาแฟที่คลุ้งไปหมดนั่นไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ  มันเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของนายไปแล้ว  คิโยะก็เหมือนกัน  กลิ่นน้ำหอมของเขามันติดจมูกฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว  เพราะงั้นแค่กอดคนผิดก็ต้องรู้แหงอยู่แล้วน่า  ฟุยุกิคุงน่ะ...มีกลิ่นบริสุทธิ์กว่านั้นมาก...จนไม่กล้าทำอะไรเลยละ  ทำไม่ได้จริง ๆ...”

เห็นสีหน้าของคิริฮาระแล้วนัตสึเมะก็อดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้  คิริฮาระในตอนนี้เหมือนเวลาที่พูดถึงเรื่องน่าเอ็นดูของน้องชายอยู่ไม่มีผิด  ถูกแล้ว...คิริฮาระไม่เคยโกหกเขา  ที่บอกว่าฟุยุกิเหมือนน้อยก็ต้องเป็นความรู้สึกจริง ๆ แน่

“ไม่กล้าทำอะไรแต่ก็ยังอุตส่าห์กอดนะ”  ร่างสูงส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรแฮปปี้ไปกว่าการมีคนให้นอนกอดตอนหน้าหนาวอีกแล้ว”  คิริฮาระกำมือหมับ

“ทีหลังถ้าไม่มีใครให้กอดตอนหนาว ๆ  จะมากอดฉันก็ได้นะ”

คิริฮาระชะงักกึก  หันไปมองนัตสึเมะอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง  “อะไรนะ!?”

“ฉันบอกว่า...ถ้าไม่มีใครให้กอดตอนหนาว ๆ  เรียกฉันไปให้กอดถึงบ้านก็ได้นะ”  นัตสึเมะแกล้งพูดดังขึ้นจนคนรอบข้างหันมามอง

คิริฮาระรีบกระโจนเข้าไปตะครุบปากนัตสึเมะทันที  เบิกตากว้างและกระซิบอย่างลนลาน  “ไอ้บ้า!  ถึงฉันจะเป็นคนพรรค์นี้แต่ฉันก็ไม่อยากมีข่าวออกอากาศกับนายหรอกนะ!”

“ยังกะนายแคร์”  นัตสึเมะงึมงำลอดมือคิริฮาระออกมา

“แคร์นะเฟ้ย  นายเห็นฉันเป็นคนยังไงฟะ?”

“ก็เป็นแบบนี้แหละ  ปล่อยมือเสียที”

คิริฮาระยอมปล่อยมือแต่ยังบ่นอะไรงึมงำไม่หยุด  นัตสึเมะเพียงแต่หัวเราะเบา ๆ แล้วเข็นรถเข็นเลาะไปตามชั้นวางสินต้า  เลือกหยิบของที่จะใช้ในชีวิตประจำวันและที่ต้องใช้ในร้านในตะกร้ารถเข็น  มีเจ้าหนุ่มหัวแดงเดินบ่นไปข้าง ๆ

“ไม่ซื้ออะไรเข้าบ้านบ้างเหรอ  คิริฮาระ?”

“ปกติฉันก็ไม่ค่อยทำอะไรกินอยู่แล้วน่ะ  ฝากท้องไว้กับร้านใกล้ ๆ แมนชั่นมากกว่า”

“ไม่หาไว้เผื่อทำมื้อเช้ากินบ้างเหรอ?”

“ฉันตื่นมาก็บ่ายแล้ว  แล้วถ้าจะบอกให้กินอาหารสดใหม่ละก็...ที่ร้านคุณลุงก็ทำสด ๆ ใหม่ ๆ เหมือนกันแหละ  อร่อยด้วย”  คิริฮาระรีบดักคอเพราะรู้ดีว่านัตสึเมะพยายามจ้ำจี้จ้ำไชเขาเรื่องนี้มาตลอด

“เกลียดชะมัด  คนรู้ทันเนี่ย”  ร่างสูงส่ายหน้าแต่ก็ยิ้มเรื่อย ๆ ตามนิสัย

“ก็ฉันคบนายมาค่อนชีวิตแล้วนี่  ก็ต้องรู้ทันบ้างแหละ”  แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นแซนวิชสเปรดกับซีเรียล  “เอ...แต่ซื้อไปบ้างน่าจะดี  เผื่อ...”

“เผื่อฟุยุกิคุงไปค้าง...ฉันก็ว่างั้นแหละ  ของกินที่บ้านนายมันน้อยเกินไป  ลำพังตัวนายก็ไม่เป็นไรหรอก  แต่คนอื่นเขาจะอดตายเอานะ”

“บ๊ะ!  พูดยังกะไปค้างบ้านฉันบ่อย”

“คงไม่เคยไปมั้งครับ  คุณคิริฮาระ  ยู  ใครกันนะที่มาอ้อนกระอืด ๆ ให้ผมไปนอนเป็นเพื่อนแก้เหงาใจอยู่ร่วมเดือนตอนที่ซาคากิซังไปเยอรมันใหม่ ๆ น่ะ  ผมเกือบอดมื้อเช้าตายจนสุดท้ายก็ต้องหอบหิ้วเสบียงไปตุนไว้รักษาชีวิตตัวเอง  คุณไม่เคยสังเกตเลยเหรอครับ...ที่รัก!”  คำสุดท้ายเน้นเสียงดังเป็นพิเศษ

“ว้าก!!  พูดบ้าอะไรเนี่ย!?  อย่ามาสร้างความเข้าใจผิดแถวนี้นะว้อย!!”  คิริฮาระตะปบปากนัตสึเมะแล้วรีบลากไปให้พ้นจากสายตาแม่บ้านที่มองมานับสิบทันที

หน้าตู้แช่ผักผลไม้คือที่หลบภัยชั่วคราวของนักดนตรีหนุ่ม  เขาเหลือบมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง  แต่นัตสึเมะกลับเลือกผักหน้าตาเฉย

“นี่นายมีความแค้นอะไรกับฉันเนี่ย  นัตสึเมะ?”  คิริฮาระทำเสียงคาดคั้น

“เปล่านี่”

“นาย...เรื่องฟุยุกิคุงใช่มะ?”

ร่างสูงชะงักไปนิดหน่อยแต่มือก็เลือกแอปเปิ้ลพลางตอบว่า  “เปล่าเสียหน่อย  ทำไมฉันต้องคิดมากเรื่องเด็กคนนั้นด้วยล่ะ  ที่รัก?”

“มุกเดิม ๆ ใช้กับฉันซ้ำ 3 ครั้งไม่ได้ผลหรอกเฟ้ย”

“ชิ!  ตั้งตัวติดแล้วเรอะ”  ร่างสูงจิ๊ปากขัดใจ

“สารภาพมาซะ  เจ้าเสาโทรเลข  นายโกรธฉันเรื่องฟุยุกิคุงใช่มั้ย?”  คิริฮาระเท้าเอวอย่างหาเรื่อง  หากนัตสึเมะยังทำหน้าเฉย ๆ
“สปาเก็ตตี้วันนี้  จะใส่เห็ดเยอะหน่อยมั้ย  ที่รัก?”

“สปาเก็ตตี้เหรอ?  เอาสิ  ซอสครีมเห็ดก็ต้องเห็ดเยอะ ๆ...อ๊ะ  อย่ามานอกเรื่องนะ!”

ร่างสูงได้แต่ยิ้ม ๆ ในขณะที่คนตัวเล็กกว่าเดินตามมาแว้ด ๆ อยู่ข้าง ๆ  จากสายตาคนนอกไม่แคล้วต้องเห็นพวกเขาเป็นคู่เกย์แต่งงานใหม่ที่ทะเลาะกันเป็นแน่  แต่ช่างเถอะ...ใช่ครั้งแรกเสียเมื่อไรล่ะ


คิริฮาระนั่งจิ้มผักสลัดใส่ปากพลางสูดกลิ่นซอสครีมเห็ดที่อบอวลไปหมดทั้งบ้านของนัตสึเมะ  เจ้าของบ้านกำลังยืนอยู่หน้าเตาในชุดผ้ากันเปื้อนคุ้นตา

“มันเรื่องอะไรนายถึงได้มาทำมื้อเย็นเลี้ยงฉันแบบนี้เนี่ย?”  นักดนตรีหนุ่มถาม  ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นนัตสึเมะเข้าครัว  แต่เรื่องจะทำอาหารจริงจังนอกจากแซนด์วิชที่ขายที่ร้านแล้วออกจะหายาก

“ตอบแทนเรื่องฟุยุกิคุงมั้ง”

“ไหนนายโกรธที่ฉันพาเขาไปค้างที่บ้านไง”

“ก็ไม่ถึงกับโกรธ...ก็แค่...”

“อิจฉา?”  คิริฮาระต่อประโยคให้จบ

“อืม...อาจจะ...”  นัตสึเมะเทนมลงหม้อ  “เท่าที่ฟัง...แค่นอนในห้องนายก็ไม่เท่าไรหรอก  แต่พอบอกว่านอนกอดนี่...มันจี๊ดขึ้นมาในใจเลยละ”

“นายชอบเด็กนั่น...”

“ชอบ...ก็น่ารักดี”

“ไม่ใช่แค่นั้นมั้ง?”  คิริฮาระเหล่มองแผ่นหลังที่ไม่ยอมหันมา  “นี่...ถ้าชอบขนาดนั้น  นายควรจะแสดงให้มันชัดเจนกว่านี้นะ  ไม่อย่างนั้น  เด็กนั่นก็จะได้แค่ติดหนึบอยู่กับฉันและคอยเล่าให้นายฟังอยู่แบบนี้แหละ”

“คนอย่างฉันจะไปชัดเจนอะไรได้”  น้ำเสียงนั้นแฝงความระทดระท้อนิดหน่อย

“นั่นสินะ  ขนาดปัญหาค้างคามาครึ่งชีวิตยังทำอะไรให้ชัดเจนไม่ได้เลยนี่”  นักดนตรีหนุ่มทำเสียงประชดประชัน

“มันคนละเรื่องกันนะ”  นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ

“เรื่องเดียวกันแหละ  ถ้าแก้เรื่องนั้นไม่ได้  เรื่องนี้ก็ชัดเจนไม่ได้เหมือนกัน”

“ครับ ๆ...ทราบแล้วครับ  ว่าแต่เอาสลัดเพิ่มอีกมั้ย?”

คิริฮาระแค่ถอนใจ  นัตสึเมะหาทางเลี่ยงจากเรื่องนี้ได้เสมอ  “อย่ามาหาเรื่องตัดกำลังฉัน  นายก็รู้ว่าฉันกินได้ไม่มาก”

“รับรองวันนี้กินมากแน่  ฝีมือฉันเสียอย่าง  นมให้เพียบเห็ดให้พรึ่บ”

“ชีสล่ะ?”

“ถ้าอยากกินก็มีให้ใส่  อยู่ในตู้เย็นแน่ะ”  นัตสึเมะชี้ไปที่ตู้เย็นพลางคนของในหม้อไปด้วย

หลังจากเคี่ยวอยู่ครู่ใหญ่  ซอสครีมเห็ดก็ได้ที่  นัตสึเมะตักราดลงบนจานใส่เส้นสปาเก็ตตี้แล้วนำมาเสิร์ฟ

“สปาเก็ตตี้ซอสครีมเห็ด  นัตสึเมะสเปเชียล  ได้แล้วครับ”

“โห...อลังการมาก ๆ”  คิริฮาระทำตาโตกับเห็ดฝานบา ๆ มากมายในจาน

“กินก่อนแล้วค่อยชมแล้วกัน”

ทันทีที่ตักคำแรกใส่ปาก  นักดนตรีหนุ่มก็พยายามจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมาทั้งยังมีสปาเก็ตตี้เต็มปาก

“เดี๋ยวมันออกจมูกนะ!”  นัตสึเมะรีบห้าม

พอกลืนลงไปทั้งคำได้  คิริฮาระก็รีบพูด

“อร่อย!  ไม่เคยกินซอสครีมเห็ดที่ไหนขนาดนี้มาก่อนเลย  ทำไมนายไม่ทำขายเนี่ย?”

“ทำขนาดนี้ราคามันคงเท่าของโรงแรมน่ะ  เอาไว้นายอยากกินแล้วฉันทำให้กินก็แล้วกัน”

“ฮู้ย~  เป็นบุญปาก”

“เติมได้อีกนะ  ยังมีอีกเยอะเลย”  นัตสึเมะยิ้มกับคำชมนั้น

“นี่นายทำเผื่อกี่คนกินเนี่ย?”

“สูตรมันสำหรรับ 4 ที่  แล้วฉันเพิ่มของไปอีกหน่อย  เลยเยอะน่ะ  เดี๋ยวนายเอาไปฝากจูอิจิซังด้วยแล้วกันนะ”

“ได้ ๆ”  พูดพลางคิริฮาระก็โกยสปาเก็ตตี้เข้าปากเหมือนไม่เคยกินมาก่อนในชีวิต

และในตอนที่คิริฮาระกำลังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากอย่างเพลิดเพลินนั่นเอง  โทรศัพท์มือถือของเขาก็ร้องขึ้นเป็นสัญญาณสั้น ๆ  จึงหยิบออกมาดู

“ข้อความเหรอ?”

“ฉันตั้งไว้ว่าถ้ามีเมล์จากเยอรมันเข้าให้มันเตือนน่ะ”

นัตสึเมะพยักหน้า...เมล์จากเยอรมันที่ว่ามีแค่เมล์เดียวเท่านั้น...จากซาคากิ  คิโยฮาระ

คิริฮาระเปิดเมล์อ่านอยู่เป็นครู่  ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มกว้างขึ้นทุกที  และในตอนที่เขาปิดโทรศัพท์แล้วมองหน้านัตสึเมะ  ใบหน้านั้นก็มีรอยยิ้มระบายอยู่เต็ม

“นายเลิกห่วงเรื่องฉันกับฟุยุกิคุงได้แล้วหละ”

“ทำไมล่ะ  ซาคากิซังว่าไงเหรอ?”  ไม่ว่ายังไงก็ติดเรียกแบบเดิมไม่ได้อยู่ดีสิน่า

“คิโยฮารุใช้ทุนที่เยอรมันเรียบร้อยแล้ว  และจะย้ายกลับมาสอนที่ญี่ปุ่น  เดินเรื่องเรียบร้อยหมดแล้วด้วย”

“เหรอ  เมื่อไรล่ะ?”  นัตสึเมะอดดีใจไปด้วยไม่ได้

“ฤดูใบไม้ผลินี่แหละ!!”

คิริฮาระตอบพลางยิ้มกว้าง...หากนัตสึเมะกลับรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก  แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 07 / 16-04-58
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 18-04-2015 21:17:40
 :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Lock on You 08 / 01-05-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 01-05-2015 22:14:25
สวัสดีวันแรงงานครับ
สบายดีกันหรือเปล่า? ที่บ้านผมร้อนมากเลยละครับ ถ้ามีที่ไหนเย็นๆก็บอกกันบ้างนะครับ จะไปสิงสู่
เรื่องกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม (?) เลยทีเดียว มาติดตามฟุยุกิกันต่อนะครับ
แล้วเจอกันเร็วๆนี้นะครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on you 08

มีแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิตอันราบเรียบเหมือนแล่นไปตามรางที่ถูกกำหนดไว้แล้วของฟุยุกิที่รู้สึกว่าทุกสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่มันกลับตาลปัตร  เหมือนโลกทั้งใบพลิกกลับ  ฟ้ากลายเป็นดิน

ฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว  แม้สายลมจะยังเย็นผิวอยู่บ้าง  แต่ฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนเมืองใหญ่ที่รีบร้อนแห่งนี้แล้ว  ต้นไม้ที่ยืนต้นแห่งโกร๋นมาหลายเดือนเริ่มแตกตุ่มตา  ที่ใจร้อนหน่อยก็เริ่มผลิใบอ่อนสีเขียวสดมาประดับกิ่งก้าน  แม้จะยังไม่มีดอกสวย ๆ ให้ชื่นชม  แต่ก็รู้สึกได้ว่าโลกที่เคลื่อนไปไม่หยุดนิ่งได้ชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอชื่นชมความงามของฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง

เกือบครบปีแล้ว  นับตั้งแต่ฟุยุกิเริ่มทำงานมา  ทุกคืนวันที่ต้องพยายามวิ่งอย่างสุดกำลังเพื่อไล่ตามโลกรอบตัวให้ทันยังคงดำเนินไป  ความผิดพลาดในการทำงานลดน้อยลง  ความถี่ของหัวข้อที่ถูกบันทึกลงในสมุดจดข้อผิดพลาดที่นัตสึเมะแนะนำให้ทำขึ้นก็เว้นระยะห่างมากขึ้น  ตอนที่หัวหน้าของเขารู้เรื่องสมุดเล่มนี้ก็ทำหน้าแปลก ๆ  แต่ฟุยุกิสังเกตว่าหัวหน้ากำลังแอบกลั้นยิ้ม...รอยยิ้มนั้นเกือบจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ  แต่ความเชื่องช้าในการทำงานแทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง  หากความละเอียดถี่ถ้วนคือข้อดีเพียงหนึ่งเดียว  ความล่าช้าก็เป็นข้อเสียใหญ่ที่ทำให้ทุกคนพร้อมจะมองข้ามข้อดีที่มีเพียงน้อยนิดนั้นไป  แม้หัวหน้าจะไม่เคยดุด่าอะไร  แต่เสียงนินทายังคงลอยมาเข้าหูเสมอ...ทั้งแบบลอยตามลมและจงใจ

เหนื่อย...จนอยากจะจำศีลยาว ๆ เหมือนหมีในฤดูหนาว  แต่ในเมื่อทำไม่ได้  ฟุยุกิก็กัดฟันวิ่งต่อไป  ยังดีที่ในตอนนี้เขาค้นพบที่พักใจของตัวเองนอกเหนือจากสวนญี่ปุ่นที่บ้านพ่อแล้ว  ร้านกาแฟของนัตสึเมะยังเปิดต้อนรับเขายามเหนื่อยล้าเสมอ...และไวโอลินของคิริฮาระยังปลอบประโลมเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ฟุยุกิไม่ได้ไปที่คลับของคิริฮาระบ่อยนัก  อย่างไรเสียเขาก็ดื่มเหล้าไม่เก่ง  คิริฮาระเคยให้เขาลองค็อกเทลอื่นนอกจากเหล้ามิ้นต์...ผลคือเขาเมาพับกลับบ้านไม่ได้ไปเลย  คิริฮาระจึงล้มเลิกความคิดที่จะหัดให้เขาดื่มเหล้าไปเรียบร้อยแล้ว  แต่ถ้าช่วงสุดสัปดาห์ไหนสะดวก  เขาก็จะแวะไปและมักจะเลยไปค้างที่บ้านคิริฮาระเสมอ

ชีวิตเป็นแบบนี้มาหลายเดือน  จนกระทั่งเข้าสัปดาห์นี้ที่คิริฮาระหายหน้าไปจากคอนเสิร์ตข้างถนน  ฟุยุกิรู้สึกเหงา ๆ นิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก  เพราะก็มีบางครั้งที่คิริฮาระจะหายหน้าหายตาไปแบบนี้  ซึ่งนอกจากกรณีการเตรียมคอนเสิร์ตประจำฤดูกาลเหมือนเมื่อปีที่แล้วแล้ว  นัตสึเมะก็เคยบอกว่าคิริฮาระยังไปทำงานพิเศษกับเจ้านายเก่าเป็นครั้งคราว  ถึงจะนึกสงสัยว่าคิริฮาระเคยทำงานอะไรแต่ฟุยุกิก็ไม่ได้ถาม  เขาคิดเอาเองว่าคงจะเป็นงานด้านดนตรีตามที่คิริฮาระถนัด

หลังเลิกงานวันนี้  ฟุยุกิก็แวะไปที่ร้านกาแฟของนัตสึเมะก่อนกลับบ้านเหมือนที่เคยทำแทบทุกวัน  แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบคิริฮาระที่นั่น

“อ้าว  สวัสดี  ฟุยุกิคุง  ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ”  นักดนตรีหนุ่มเอ่ยทักทันทีที่เห็นฟุยุกิเข้ามาในร้าน

“คิริฮาระซัง!?  ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?  ผมนึกว่าคุณไปทำงานเสียอีก”

“เปล่าหรอก  แค่ธุระเรื่องอื่นน่ะ”

ในตอนนั้นเองที่ชายคนหนึ่งชะโงกตัวมองข้ามไหล่คิริฮาระมา

“คนนี้เองเหรอ  ฟุยุกิคุงที่เล่าให้ฟังน่ะ?”

ฟุยุกิชะงักไปนิดหนึ่ง...เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นมาก่อน  แต่...คิริฮาระเล่าเรื่องเขาให้คนคนนี้ฟังหรือ?

“ใช่  คนนี้แหละ  น่ารักใช่มั้ยล่ะ?”  คิริฮาระยิ้มกว้างให้คนคนนั้น  เป็นรอยยิ้มแบบที่ฟุยุกิเคยเห็นเขายิ้มกับนัตสึเมะเท่านั้น

“เห็นว่าน่ารัก  ยูคุงก็เลยหว่านเสน่ห์ใส่สินะ”

“ปล๊า~ว”

...ยูคุง...?  นั่นคือชื่อตัวของคิริฮาระนี่...ฟุยุกิกระตุกวาบในหัวใจ  คนคนนี้เรียกคิริฮาระด้วยชื่อตัว...ชื่อที่แม้แต่นัตสึเมะก็ยังไม่เคยเรียกเลยแท้ ๆ...คนคนนี้เป็นใครกัน?

เห็นสีหน้าของฟุยุกิแล้วคิริฮาระค่อยนึกขึ้นมาได้

“อ้อ  ลืมแนะนำแบบเป็นทางการไปเลยสินะ  คิโยะ  นี่อาริโยชิ  ฟุยุกิคุง  ผู้ชมคนสำคัญของฉันหละ”  พูดแล้วก็หันมาหาฟุยุกิ  “แล้วก็...ฟุยุกิคุง  หมอนี่คือ...”

ยังไม่ทันที่คิริฮาระจะพูดจบ  ชายหนุ่มคนนั้นก็แทรกขึ้นมาพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ซาคากิ  คิโยฮารุครับ  เป็นรูมเมทของยูคุง”

...รูมเมท?...

ฟุยุกิคิดไปถึงห้องของคิริฮาระ  ห้องสีฟ้าอมเทาที่แสนอ่อนโยนซึ่งไม่ได้เข้ากับคิริฮาระเลยแม้แต่น้อยนั่น...จะต้องเข้ากับผู้ชายคนนี้อย่างที่สุดแน่  ที่นั่นไม่ใช่ห้องของคิริฮาระ  แต่เป็นห้องของผู้ชายที่ชื่อซาคากิ  คิโยฮารุนี่ต่างหาก!!

ฟุยุกิรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ  เผลอจ้องมองคิโยฮารุอย่างลืมตัว

ผู้ชายซึ่งประกาศตนเป็นรูมเมทของคิริฮาระน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคิริฮาระและนัตสึเมะ  แต่ใบหน้านั้นดูเด็กกว่านิดหน่อย  แว่นกรอบทองทรงกลมใสทำให้ดูคงแก่เรียน  หากดวงตาสีเข้มเป็นประกายสดใสอย่างคนมีความสุข  เรือนผมที่ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับรูปหน้ามนสวย  ริมฝีปากอิ่มได้รูปที่พอยิ้มก็จะเผยให้เห็นฟันเขี้ยวที่ดูมีเสน่ห์  เสื้อผ้าซึ่งเป็นเพียงเชิ้ตผ้าสำลีเนื้อหนาสวมทับเสื้อยืดและกางเกงยีนส์สีซีดนั้น  บอกชัดว่ารสนิยมของเขาไม่ได้เข้ากันกับคิริฮาระผู้ซึ่งสวมสูทลายเสือกับเสื้อคอเต่าสีดำแม้แต่น้อย

...แล้ว...เป็นรูมเมทกัน...?

เป็นไปไม่ได้หรอก...บางอย่างในหัวใจบอกกับฟุยุกิว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

“เอ้า  จ้องใหญ่เลย  น่ารักใช่มั้ยล่ะ  ฟุยุกิคุง?”

เสียงของคิริฮาระดึงฟุยุกิออกจากห้วงภวังค์

“ฮะ?  อ๊ะ...เอ้อ...ครับ...”  เด็กหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเอออออะไรออกไป

“จะบ้าเหรอ  ยูคุง!  พ้นวัยจะน่ารักแล้วน่า”  คิโยฮารุหัวเราะ

“ของน่ารักยังไงก็น่ารัก  ไม่มีพ้นวัยหรอก”  ว่าแล้วคิริอาระก็ขยิบตาให้ตามประสาคนขี้แกล้ง

ฟุยุกิทำหน้าไม่ถูก  เขาได้แต่หันไปมองนัตสึเมะแล้วทำตาปริบ ๆ  นัตสึเมะเข้าใจความรู้สึกของฟุยุกิดี  ความสนิทสนมของคิริฮาระกับคิโยฮารุคงทำให้เด็กหนุ่มตั้งตัวไม่ติด  เขารีบเชิญฟุยุกิมานั่งที่เคาน์เตอร์

“นั่งก่อนสิครับ  ฟุยุกิคุง  เดี๋ยวเราค่อย ๆ คุยกันไปก็ได้”

ฟุยุกิเดินไปนั่งอย่างงง ๆ ตรงเก้าอี้ข้าง ๆ คิริฮาระแล้วก็เอาแต่นิ่งเงียบ  ไม่รู้จะพูดอะไร  ปกติเขาไม่ใช่คนพูดอะไรมากอยู่แล้ว  ยิ่งในสถานการณ์ชวนสับสนแบบนี้ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด  เสียงของนัตสึเมะที่กำลังชงชาให้ก็แว่วมาเข้าหู

“ซาคากิซังเคยเป็นอาจารย์สอนวรรณคดีเปรียบเทียบอยู่ที่เยอรมันน่ะครับ”

“เยอรมัน?”  ฟุยุกิหันไปมองคิโยฮารุอย่างทึ่ง ๆ

“เพิ่งย้ายกลับมาที่นี่น่ะครับ  จะเริ่มสอนเทอมนี้”  คิโยฮารุอธิบายเพิ่มเติม

“เป็นอาจารย์เหรอครับเนี่ย...”

“ไม่เหมาะสินะครับ”

“ไม่ใช่ครับ...แค่...รู้สึกว่าบรรยากาศแปลก ๆ  แต่ไม่คิดว่าจะเป็นอาจารย์”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธ

“เหมือนพวกโอตาคุใช่มั้ยครับ  สมัยเรียน  ยูคุงก็เคยว่าแบบนั้นเหมือนกัน”  ชายหนุ่มหัวเราะพลางพยักเพยิดไปทางคิริฮาระ

“เคยพูดแบบนั้นด้วยเหรอ?  จำไม่ได้แล้วละ”  นักไวโอลินหนุ่มทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

“เคยไล่ให้ไปใส่เสื้อลายการ์ตูนกลางฮาราจุกุเลยละ  คนเขาไปหาดูเครื่องเงินแท้ ๆ”  คิโยฮารุรื้อฟื้นความจำ

“งั้น...ตอนนี้ถ้าจะใส่เสื้อมีลาย  ก็คงเป็นลายเชคสเปียร์แทนแล้วสินะ  ฮะ ๆ ๆ”

ฟุยุกิรู้สึกงุนงงกับคิริฮาระที่หัวเราะจนตาหยี  เขาเคยเห็นคิริฮาระหัวเราะบ่อย ๆ แต่ไม่เคยรู้สึกว่าคิริฮาระมีความสุขขนาดนี้  ทำไมล่ะ...เพราะผู้ชายคนนี้อย่างนั้นหรือ

ในตอนที่ยังคิดอะไรไม่ออก  ถ้วยชาหอมกรุ่นก็ถูกวางลงตรงหน้า  ชานมสีนวลส่งควันฉุยดูน่าดื่ม

“ดื่มชาให้สบาย ๆ ก่อนครับ  ฟุยุกิคุง  อุตส่าห์มาเหนื่อย ๆ”  นัตสึเมะบอกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น  เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ

“เอ๊ะ  นัตสึเมะซังชงชาด้วยเหรอครับ?”  คิโยฮารุชะโงกหน้ามาถาม

“เป็นบางครั้งน่ะครับ  ฟุยุกิคุงไม่เคยดื่มกาแฟก็เลยชงชาให้”

“หือม์...ไม่ดื่มกาแฟเหรอครับ  กาแฟของนัตสึเมะซังอร่อยนะครับ  น่าจะลอง”

“ผม...เอ้อ...ก็เคยคิด...”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มตอบ  เขาอยากลองชิมกาแฟของนัตสึเมะเหมือนกันแต่ก็ยังไม่กล้า

“เอ๊ะ  ฉันไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอว่าฟุยุกิคุงไม่ดื่มกาแฟน่ะ”  คิริฮาระแทรกขึ้นมา

“ไม่เคยนะ  เคยบอกแค่ว่าดื่มเหล้าไม่เก่ง”  พูดแล้วคิโยฮารุก็หันกลับมาหาฟุยุกิ  “ดื่มกาแฟไม่เก่งก็เริ่มจากอ่อน ๆ อย่างลาเต้ก็ดีนะครับ  ใส่นมเยอะ ๆ ทั้งหอมทั้งมัน”

“เอ่อ...ครับ...”

“คิดจะหาพลพรรคลาเต้หรือไง?”  คิริฮาระแทรกมาอีก

“ก็มันอร่อยออกนี่นา”  คิโยฮารุเถียง

“จริง ๆ มันก็ไม่ได้อ่อนลงหรอกนะครับ”  นัตสึเมะแทรกขึ้นมาบ้าง  “มันก็เอสเปรสโซที่ใส่นมเลยเจือจางลง  คาเฟอีนก็เท่าเดิมแหละครับ  แปลว่าก็ทำให้นอนไม่หลับเท่ากัน”

“ผมดื่มตอนไหนก็หลับ”  คิโยฮารุหัวเราะคิก

“แต่บรรยากาศและสีสันมันต่างกันเยอะเลยนะ  เอสเปรสโซกับลาเต้น่ะ”  คิริฮาระตั้งข้อสังเกต

“ก็มันผ่านการผสมแล้วนี่นา”

“แต่เป็นส่วนผสมที่ดีนะ...ว่าแล้วก็...”  คิริฮาระพูดค้างไว้แค่นั้นแล้วหยิบไวโอลินออกมาจากกล่องที่วางไว้บนพื้น  ก่อนจะหันมาพูดกับคิโยฮารุ  “ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เล่นเพลงนี้ให้ฟังเลยนี่นะ”

คิโยฮารุเพียงแต่พยักหน้าแล้วยิ้ม

ฟุยุกิเคยได้ฟังการบรรเลงไวโอลินของคิริฮาระเป็นการส่วนตัวในร้านนี้บ่อย ๆ  เลยคิดว่าที่คิริฮาระกำลังจะบรรเลงนี่ก็คงเหมือนทุกครั้งที่เคยได้ฟังมา...แต่เขาคิดผิด...

ทันทีที่คิริฮาระจรดคันซอลงกับสายลวด  ท่วงทำนองกระจ่างใสก็หลั่งไหลออกมา  บรรยากาศของบทเพลงเปี่ยมไปด้วยความนุ่มนวลและอบอุ่น  แม้จะอ่อนหวานเหมือนเพลงที่ใช้แสดงในคอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็แตกต่าง  ฟุกิรู้ดีว่าตอนนี้ดอกไม้ยังไม่บาน  แต่เพลงนี้ทำให้เขารู้สึกถึงช่วงเวลาที่ดอกไม้ผลิกลีบสะพรั่ง  แสงแดดอุ่น ๆ และห้องที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟ

กลิ่นกาแฟ...ใช่...ฟุยุกิแทบจะไม่ต้องจินตนาการ  เพลงนี้ชวนให้คิดถึงร้านของนัตสึเมะนี่เอง  แต่เป็นร้านนี้ในตอนกลางวันที่มีแสงแดดสาดส่องเข้ามา  ไม่ใช่ตอนเย็นเงียบเหงาที่เขารู้จักแบบนี้

แล้วท่ามกลางแสงแดดอุ่นนั้น  ก็มีภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นมา  ใครคนนั้นมองมาแล้วส่งยิ้มอาย ๆ มาให้...

พลัน...ฟุยุกิก็รู้สึกตัว

ใครคนนั้น  อยู่ตรงหน้านี่แล้ว

คิโยฮารุกำลังนั่งฟังเพลงและยิ้มน้อย ๆ ไปยังคิริฮาระ  ภาพในจินตนาการกลายเป็นความจริงขึ้นมาและปรากฏอยู่ตรงหน้าฟุยุกิ  หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด  ทั้งอัศจรรย์ใจ...และเสียใจ...

ความเศร้าเสียใจบางอย่างตื้อขึ้นมาในอกอย่างไม่อาจระงับได้  หัวใจรู้สึกได้ถึงความเป็นจริงที่ถาโถมเข้ามาจนสมองตีความไม่ทัน  หัวใจเข้าใจ...หากสมองไม่ยอมรับ  สมองยอมรับ...แต่หัวใจไม่ยอมเข้าใจ

บทเพลงนี้...เพื่อผู้ชายคนนี้  ผู้ชายคนที่เป็นคนสำคัญของคิริฮาระ

ฟุยุกินั่งเหม่อจนกระทั่งตัวโน้ตสุดท้าขาดหายไปในอากาศ  เด็กหนุ่มเห็นคิริฮาระหันไปยิ้มกับคิโยฮารุและพูดอะไรบางอย่าง  แต่สมองของเขาไม่รับรู้แล้ว...ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีก  ความเป็นจริงที่เพิ่งรู้สึกตัวนี้...มันโหดร้ายเกินไป

ฟุยุกิรีบคว้ากระเป๋าทำงาน  “ผะ...ผมมีธุระ...ขอ...ขอตัวก่อนนะครับ!!”

เด็กหนุ่มขอตัวแล้วรีบร้อนออกจากร้านไปโดยไม่ฟังเสียงใคร  นัตสึเมะมองตามไปโดยไม่พูดอะไร...เขาเข้าใจความรู้สึกของฟุยุกิดี  แต่จะให้พูดอะไรล่ะ  นี่เป็นความจริงที่สักวันฟุยุกิก็ต้องรับอยู่อยู่ดี  เพียงแต่มันคงจะกะทันหันเกินไปสำหรับเด็กคนนั้น

“ฟุยุกิคุงเป็นอะไรไปน่ะ?”  คิริฮาระหันไปหานัตสึเมะ  “นายทำอะไรฟุยุกิคุงเหรอ  นัตสึเมะ  ขนาดชายังแค่จิบ ๆ แล้วทิ้งไว้เลยนะ”

นัตสึเมะเหลือบมองถ้วยชาที่แทบจะไม่ถูกแตะต้องแล้วเหลือบมองหน้าคิริฮาระก่อนจะถอนใจ

“อะไรเล่า  มีอะไรก็พูดมาสิ  อย่ามามองหน้าแล้วถอนใจใส่นะ!”  นักดนตรีหนุ่มโวยวาย

นัตสึเมะมองหน้าเพื่อนแล้วถอนใจอีกครั้งก่อนจะเก็บถ้วยชา...บางครั้งคิริฮาระก็โง่เกินคาดแบบนี้แหละ  ก็ปล่อยให้มันโง่ไปก่อนแล้วกัน...

...

นับแต่วันนั้น  ทุกอย่างในชีวิตฟุยุกิก็ปั่นป่วนไปหมด  เขานอนไม่หลับ  ตื่นสาย  ทำงานผิดพลาดจนโดนหัวหน้าดุอย่งรุนแรง...แต่ถึงอย่างนั้น  เขาก็ไม่กล้าไปที่ร้านของนัตสึเมะอันเป็นที่พักใจ  ไม่กล้ากระทั่งจะเดินผ่านไปพบหน้าคิริฮาระ

ไม่กล้ามองกระทั่งเรือนผมสีแดงนั้น  ไม่กล้าฟังกระทั่งเสียงไวโอลิน...กลัวว่าหัวใจจะแหลกสลายมากไปกว่านี้

เขาอ้างว่าเจ็บขาแล้วขอให้มิโนรุช่วยรับส่งที่ทำงานให้  ถึงจะต้องทนฟังคำบ่นว่าของมิโนรุก็ยังดีกว่าต้องเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เจอคิริฮาระ

แต่แล้วเรื่องที่เขาทำงานพลาดอย่างต่อเนื่องก็ไปถึงหูผู้เป็นพ่อ  ฟุยุกิถูกเรียกไปพบตอนสุดสัปดาห์  เขารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้  และในเมื่อยังแก้ไขอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมโดนดุไป  เด็กหนุ่มนั่งฟังคำเทศนาอย่างเหม่อลอย  ผิดจากที่รู้สึกผิดจนเกร็งเช่นทุกครั้ง  แม้ท่าทีจะเหมือนกำลังฟังแต่ใจของฟุยุกิกลับปั่นป่วนยุ่งเหยิงไปด้วยเรื่องของคิริฮาระ

“...เข้าใจนะ  ฟุยุกิ”

“...ครับ”

“เข้าใจแล้วก็กลับห้องซะ”

“...ครับ”

เมื่อฟุยุกิออกจากห้องนั่งเล่นไปแล้ว  ก็เหลือเพียงผู้เป็นพ่อกับเคียวยะ  พี่ชายคนโตของฟุยุกิเท่านั้น

พ่อถอนใจเฮือกใหญ่  “เมื่อกี้...ฟุยุกิมันเข้าใจอะไรของมันน่ะ...?”

“ก็คงเรื่องเกษตรอินทรีย์ที่คุณพ่อพูดเมื่อกี้แหละครับ”  เคียวยะตอบยิ้ม ๆ

“มันรู้มั้ยน่ะ  ว่าฉันนอกเรื่องมาครึ่งค่อนชั่วโมงแล้ว”

“คงไม่รู้หรอกครับ  ท่าทางจะคิดอะไรอยู่”

“มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ”  คนเป็นพ่อส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“คงกำลังกลุ้มเรื่องความรักมั้งครับ”

“รัก?”

“ท่าทางมันฟ้องน่ะครับ”

“ถึงวัยนั้นแล้วเรอะ!?”  คุณพ่อทำตาโต

“คุณพ่อครับ...”  เคียวยะขยับแว่น  “ฟุยุกิอายุยี่สิบสองแล้วนะครับ  ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว”

“...นั่นสินะ”  ผู้มากด้วยวัยถอนใจ  “ที่ทำงานแย่ลงก็เพราะเรื่องนี้สินะ”

“คงใช่แหละครับ  เห็นมิโนรุว่าก่อนหน้านี้ก็ไปค้างบ้านเพื่อนบ้าง  กลับดึกบ้าง”

“ช่วงที่ไม่ค่อยกลับมาบ้านน่ะเรอะ...อืม...ถึงวัยนั้นแล้วสินะ...”

เคียวยะไม่ได้ตอบอะไรนอกจากแอบคิดอยู่ในใจว่า...มันควรจะถึงวัยนั้นมาตั้งแต่หกปีก่อนแล้วต่างหาก
หัวข้อ: Re: Lock on You 08 / 01-05-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 01-05-2015 22:17:13
ในสวนญี่ปุ่นที่เงียบสงบ  ฟุยุกินั่งเหม่อมองซากุระย้อยกิ่งที่แย้มบานอยู่เหนือโคมหินซึ่งลุงคนสวนมาจุดตะเกียงไว้ให้เมื่อรู้ว่าคุณหนูคนเล็กจะมาค้าง  เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้พ่อกับพี่ชายจะกำลังคุยอะไรกันอยู่  เมื่อกี้พ่อดุว่าอะไรบ้างเขาก็ไม่ได้ฟัง  ในหัวมีแต่ภาพของคิริฮาระกับคิโยฮารุผุดขึ้นมาเต็มไปหมด

วันนั้น...ไม่ใช่แค่ภาพในหัวและความเป็นจริงที่รับได้ยากเท่านั้นหรอกที่ทำให้สะเทือนใจ  แต่ยังมีสีหน้ายามบรรเลงเพลงของคิริฮาระที่ได้เห็นอีกด้วย

สีหน้าที่มีความสุข...รอยยิ้มพึงพอใจ  สายตาที่มีให้คิโยฮารุ...

บทเพลงพิเศษ...ที่มีให้สำหรับคนพิเศษเท่านั้น

ไม่ใช่สำหรับเขา...ไม่ใช่เขา

ฟุยุกิไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้  มันหยดลงบนตักหยดแล้วหยดเล่า  เหมือนความทรงจำที่ร่วงหล่นลงมา...ที่ผ่านมา  เขาคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนพิเศษของคิริฮาระ  หรืออย่างน้อยก็พิเศษกว่าคนอื่น ๆ  เขาได้รู้จักร้านของนัตสึเมะ  ได้ไปเที่ยวคลับของคิริฮาระ  ซ้ำยังได้ไปค้างที่ห้อง

ห้อง...ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของผู้ชายคนนั้น

เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่แรกถึงความแปลกแยกนั้น  แต่ความหลงใหลได้ปลื้มที่ได้เป็นคนพิเศษของคิริฮาระทำให้เขามองข้ามมันไปทุกครั้ง  ห้องของคิริฮาระ...ที่ไม่ใช่ห้องของคิริฮาระแม้แต่น้อย  ที่นั่นเป็นห้องของคิโยฮารุต่างหาก  แม้กระทั่งห้องนอนที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นอายของคิริฮาระก็ไม่ได้มีไว้โอบล้อมเขา  ทุกอย่าง...มีไว้เพื่อคิโยฮารุเท่านั้น

หยุดร้องไห้ไม่ได้...ฟุยุกิยกชายแขนเสื้อยูกาตะขึ้นมาซับน้ำตา  สวนญี่ปุ่นแห่งนี้สงบและอบอุ่น  หากไร้คำปลอบโยน...ไม่เหมือนที่ร้านของนัตสึเมะ  ถ้าเป็นที่นั่น  นัตสึเมะจะต้องปลอบเขาแน่

แต่...นัตสึเมะเองก็คงรู้สินะ  เรื่องของคิริฮาระกับคิโยฮารุน่ะ...ก็เป็นเพื่อนกันนี่นา

รู้สึกเหมือนถูกหลอก  แต่ฟุยุกิก็ไม่รู้จะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใครแล้ว

...

กระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นในวันอาทิตย์ที่เงียบเหงา  นัตสึเมะรีบวางหนังสือในมือลงแล้วกล่าวคำทักทาย

“ยินดีต้อนรับครับ...อ้าว  ฟุยุกิคุง?”

หางเสียงเจือด้วยความสงสัย  ฟุยุกิแทบจะไม่เคยมาที่ร้านของเขาในวันอาทิตย์นอกจากจะมากับคิริฮาระ  แต่ในเมื่อคิริฮาระบอกว่าไม่ได้เจอฟุยุกิเลยตั้งแต่วันนั้น  การมาที่ร้านในวันอาทิตย์เช่นนี้จึงเป็นเรื่องแปลกจริง ๆ

“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ  กำลังเป็นห่วงอยู่เลย  นั่งก่อนสิครับ”  นัตสึเมะเชื้อเชิญ

แต่ฟุยุกิยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูร้าน  ก้มหน้ามองพื้นและบิดไม้บิดมือไปมาเหมือนจะลังเลใจ  เห็นท่าทางที่เหมือนพร้อมจะเดินออกจากร้านไปได้ทุกเมื่อแบบนั้นแล้ว  นัตสึเมะก็รีบออกมาจากเคาน์เตอร์

“เป็นอะไรไปครับ  มีอะไรหรือเปล่า?”

ฟุยุกิเหลือบสายตาขึ้นมองร่างสูง  นั่นไง...นัตสึเมะใจดีจริง ๆ ด้วย  สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยแบบนั้น  เห็นแล้วรู้สึกผิดที่กำลังทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจยังไงไม่รู้  แต่น้ำเสียงและคำพูดของนัตสึเมะก็ทำให้อุ่นใจขึ้นมาก

“คือ...ผม...”  ถึงตอนนี้ก็ชักไม่อยากถามเสียแล้ว  แต่ถ้าไม่พูดออกไปก็คงค้างคาใจไปไม่จบไม่สิ้น  “ผม...อยากถามเรื่องคิริฮาระซังกับ...อาจารย์คนนั้นน่ะครับ”

นัตสึเมะไม่แปลกใจกับคำพูดนั้น  “งั้นไปนั่งที่เคาน์เตอร์แล้วคุยกันสบาย ๆ ดีกว่านะครับ”

ฟุยุกิเดินไปนั่งทั้งที่ใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ได้ยินเสียงนัตสึเมะกำลังทำอะไรก๊อกแก๊กอยู่ในเคาน์เตอร์  ไม่นานนักชานมหอมกรุ่นก็มาวางอยู่ตรงหน้า

“ดื่มก่อนสิครับ  คราวก่อนรีบกลับไปจนแทบไม่ได้ดื่มเลยนะครับ”

ฟุยุกิเอ่ยขอบคุณแล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างเลื่อนลอย  แต่พอชาล่วงลำคอ  กลิ่นหอมนุ่มนวลก็พลุ่งขึ้นจมูกให้รู้สึกชื่นใจ  ความรู้สึกพลันผ่อนคลายลงทันที  ชาของนัตสึเมะไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  ไม่ว่าดื่มเมื่อไรก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้เสมอ

“...ผม...ยังไม่ได้อ่านหนังสือที่นัตสึเมะซังให้ยืมไปเลยครับ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วยิ้ม  “ไม่ต้องรีบนี่ครับ  ว่างเมื่อไรค่อยอ่านก็ได้”

“ครับ...”  ฟุยุกิพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพูดต่อเบา ๆ  “แล้ว...เรื่องคิริฮาระซังกับ...”

“ซาคากิซัง...สินะครับ”

“ครับ...เขา...เป็นคนพิเศษของคิริอาระซังใช่มั้ยครับ?”  คำถามนี้แทบจะไม่ต้องการคำตอบแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถาม

“ครับ”

หลังคำตอบเรียบ ๆ  สีหน้าของฟุยุกิก็สลดลงยิ่งกว่าเก่า  มือที่ประคองถ้วยชาสั่นน้อย ๆ

“เขา...คบกันมานานแล้วเหรอครับ?”

“ร่วมสิบปีแล้วครับ  ตั้งแต่ก่อนซาคากิซังจะไปเรียนที่เยอรมัน”

แล้วผู้ชายคนนั้นไปเรียนที่เยอรมันกี่ปี...ระยะเวลาที่ต้องห่างไกลกันคงไม่น้อย  แต่คิริฮาระกลับมั่นคงกับเขาคนนั้นมาเป็นสิบปี  รักแท้...งั้นหรือ

ถ้าอย่างนั้น...มาทำดีกับเขาทำไมกัน...

“แต่ที่คิริฮาระแคร์คุณและใจดีกับคุณ  นั่นก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกันนะครับ”

“เอ๊ะ?”  ฟุยุกิรีบเงยหน้าขึ้นมองนัตสึเมะทันที  เมื่อกี้เขาไม่ได้หลุดปากพูดอะไรออกไปไม่ใช่หรือ

“ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไงครับ  ฟุยุกิคุง”  ใบหน้าของนัตสึเมะมีรอยยิ้มบาง ๆ  “คุณคงรู้สึกเหมือนถูกคิริฮาระหลอก  ถึงคิริฮาระจะเป็นคนชอบหว่านเสน่ห์  แต่เขาก็เป็นห่วงคุณจริง ๆ นะครับ”

ใช่...เรื่องนั้นฟุยุกิก็เข้าใจ  แต่บางแห่งในหัวใจยังไม่อยากยอมรับ  เขาเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของคิริฮาระมาจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้แท้ ๆ  แต่กลับถูกช่วงชิงไปในชั่วพริบตาเดียว...พริบตาที่คิริฮาระบรรเลงเพลงนั้น...

บทเพลงพิเศษที่เหนือกว่าทุกเพลงที่เขาเคยได้ฟัง...บทเพลงที่บรรเลงออกมาจากความรู้สึกพิเศษ

“ใจเย็น ๆ ไว้นะครับ  ฟุยุกิคุง  ยังไงก็ยังมีผมอยู่นะครับ”

แววตาของฟุยุกิสั่นระริกด้วยความหวั่นไหว  เขารู้ว่านัตสึเมะใจดีและคอยให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ...แต่มันไม่เหมือนกัน  แสงจันทร์ไม่อาจแทนที่แสงตะวันได้  กระนั้น...เมื่อได้ฟังคำพูดนั้นก็อดหวั่นไหวไม่ได้

“มีอะไรก็พูดให้ผมฟังได้นะครับ  ช่วงนี้งานไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”

งานเหรอ...มีสิ  เพียงแต่เขาไม่ได้ใส่ใจเท่านั้นเอง

“มีครับ  แต่ผม...เอาแต่คิดเรื่องคิริฮาระซังกับเขา  คิดอยู่ตลอด...หยุดไม่ได้”

นัตสึเมะอมยิ้ม  “ครั้งแรกก็แบบนี้แหละครับ”

คำพูดนั้นเข้าหู  แต่ฟุยุกิยังไม่เข้าใจความหมาย

“เมื่อคืน  คุณพ่อก็เรียกไปดุ...”

“ดุว่ายังไงครับ?”

“ไม่รู้สิครับ  ผมไม่ได้ฟังเลย”  เด็กหนุ่มตอบพลางขมวดคิ้ว...แต่เหมือนจะมีคำว่าปุ๋ยพืชสดติดอยู่ในสมองยังไงไม่รู้...ตกลงพ่อพูดอะไรกันแน่นะ

ร่างสูงอดเอื้อมมือไปลูบผมมฟุยุกิด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ถ้าคิดแต่เรื่องคิริฮาระ  แล้วมีอะไรอยากถามมากกว่านี้มั้ยครับ?”

“ถามได้เหรอครับ?”  แต่เดิมฟุยุกิไม่คิดจะถามอะไรละลาบละล้วงให้มากนัก  แต่ในเมื่อนัตสึเมะเปิดโอกาสให้ถามเขาก็อยากจะรู้

“จะตอบเฉพาะเรื่องที่ตอบได้แล้วกันนะครับ”

ฟุยุกิก้มลงมองถ้วยชาในมือ  นึกหาคำถาม  ก่อนจะถามเรื่องที่ค้างคาใจที่สุดออกไป

“เพลงนั้น...ชื่ออะไรเหรอครับ?”

ไม่ต้องนึกนาน  นัตสึเมะก็รู้ว่าเพลงไหน  “Shyly Café Latte ครับ”

“คิริฮาระซังแต่งให้เขาเหรอครับ?”  แค่ฟังชื่อเพลง  ภาพของคิโยฮารุก็ปรากฏขึ้นมาในหัวทันที

นัตสึเมะทบทวนความจำนิดหนึ่ง  เรื่องมันนานจนเขาเองก็คิดว่าคิริฮาระแต่งเพลงนั้นให้คิโยฮารุไปแล้วเหมือนกัน

“เอ...ไม่ใช่นะครับ  เพลงนั้นคิริฮาระแต่งในวิชาเรียน  แล้วถึงได้มาใส่อิมเมจของซาคากิซังทีหลัง”

“วิชาเรียน!?...แล้วออกมาเพราะขนาดนั้นเนี่ยนะ?”  ฟุยุกิทำตาโต  ฟังยังไงก็ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

“ก็คิริฮาระเป็นนักไวโอลินอัจฉริยะนี่ครับ...จากมุมมองของผมน่ะนะ  อ้อ...เพลงนั้นเอาไปเล่นในคอนเสิร์ตฤดูใบไม้ผลิปีนั้นด้วย”  ความทรงจำของนัตสึเมะชัดเจนขึ้น  ถ้าจำไม่ผิด...ตอนนั้นคิโยฮารุร้องไห้ด้วยนี่นะ

“เหมือนกับเพลงที่เล่นเมื่อปีที่แล้วน่ะเหรอครับ!?”  ฟุยุกิทำตาโตเข้าไปอีก

“ครับ...”  นัตสึเมะส่ายหน้าน้อย ๆ  ฟุยุกิก็ร้องไห้เพราะเพลงของคิริฮาระเหมือนกันนี่นะ...แล้วตาโตเป็นประกายนั่น  คงลืมไปแล้วสิท่าว่าตัวเองกำลังถามเรื่องอะไรอยู่กันแน่

เด็กหนุ่มยกชาขึ้นดื่มระงับความตื่นเต้น  คิริฮาระคงได้บรรเลงเดี่ยวไวโอลินในคอนเสิร์ตประจำฤดูบ่อย ๆ สินะ  ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากฟังเพลงอื่น ๆ บ้างจัง  คิริฮาระซังของเขานี่สุดยอดจริง ๆ

อ๊ะ...ไม่ใช่ของเขาสิ  ของผู้ชายคนนั้นต่างหาก...คิดอย่างนี้แล้วฟุยุกิก็สลดวูบลง

ร่างสูงเกือบจะหัวเราะออกมากับท่าทีที่เปลี่ยนมาเปลี่ยนไปเหมือนการ์ตูนนั้น  แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ด้วยความยากเย็น...ก็หนุ่มน้อยที่ทำตาแดง ๆ เหมือนกระต่ายหงอยนี่มันน่ารักน้อยอยู่เมื่อไร

“จะถามอะไรอีกมั้ยครับ?”

ฟุยุกิเงยหน้าหงอย ๆ ขึ้นมา  “แล้ว...คิริฮาระซังเรียนที่ไหนเหรอครับ?”

“ที่ไหน?...ก็ที่นี่น่ะสิครับ”  นัตสึเมะชี้มือไปทางหน้าต่าง...ฝั่งตรงข้ามคือรั้วมหาวิทยาลัย

“แล้ว...เขา...?”  ฟุยุกิยังคงหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อคิโยฮารุออกมา

“ก็เรียนที่เดียวกันนี่แหละครับ  คนนึงเรียนดนตรี  คนนึงเรียนวรรณคดีเปรียบเทียบ”

“เจอกันที่นี่  แล้วก็จบที่นี่ทั้งคู่เลยสินะครับ”  ฟุยุกินึกอายเหมือนกัน  ความจริงไม่น่าต้องถาม  ในเมื่อร้านของนัตสึเมะตั้งอยู่ข้างมหาวิทยาลัย  ถ้าใครจะมาเป็นลูกค้าประจำก็ควรจะเป็นคนที่ไป ๆ มา ๆ ในละแวกนี้แหละ

“เปล่าครับ  ซาคากิซังจบคนเดียว  คิริฮาระเรียนไม่จบ”

“เอ๊ะ?”  อย่างคิริฮาระน่ะเหรอจะเรียนไม่จบ  ออกจะมีฝีมือขนาดนั้นแท้ ๆ

“ตอนนั้นมันเกิดเรื่องยุ่ง ๆ เยอะแยะน่ะครับ  คิริฮาระเลยเรียนไม่จบ  ส่วนซาคากิซังได้ทุนไปเรียนต่อที่เยอรมัน”

“ทิ้งคิริฮาระซังไว้คนเดียวเหรอครับ!?”  ฟุยุกิเผลอส่งเสียงดัง

“เปล่าครับ  โดนคิริฮาระไล่ไปน่ะ”

“เอ๊ะ  ทำไมล่ะครับ?  เวลาที่มีปัญหาก็น่าจะอยากให้คนรั...”  เด็กหนุ่มแทบกัดลิ้นตัวเองกับคำที่เกือบจะหลุดปากไป  ถึงสมองกับหัวใจจะไม่ยอมรับ  แต่จิตใต้สำนึกยอมทุกอย่างแล้วสินะ

นัตสึเมะทำเป็นไม่ได้ยินคำนั้นเพื่อเห็นแก่หน้าของฟุยุกิ  “คิริฮาระแก้ปัญหาเองได้ครับ  ถึงจะอยากให้อยู่ด้วยแต่เรื่องทุนสำคัญกว่า  เพราะนั่นคืออนาคตของซาคากิซัง  ก็เลยบังคับให้ไปน่ะครับ”

บังคับ...เพื่ออนาคต  ไม่เข้าใจเลยว่าคิริฮาระคิดอะไรอยู่  ถ้าเป็นฟุยุกิจะต้องขอร้องให้คนสำคัญอยู่ด้วยในช่วงเวลาที่เลวร้ายแน่  คิริฮาระเข้มแข็งเหลือเกิน...และเพราะเข้มแข็งอย่างนี้  เขาถึงได้หลงใหลนัก

ผู้ชายที่มีความมุ่งมั่นและจุดยืนในชีวิตของตัวเอง  ทั้งยังไม่ได้คิดแต่เรื่องของตัวเองแต่ยังคิดถึงอนาคตของคนใกล้ตัวด้วย  เขาเองก็คงเป็นอีกคนที่คิริฮาระคิดถึงในส่วนนั้น  ในวันนั้นที่เขาแย่เต็มทีถึงได้พาเขามาที่นี่

“แต่เพราะอย่างนั้น  ซาคากิซังถึงได้เป็นอาจารย์มาจนทุกวันนี้น่ะครับ”

ได้เป็นอาจารย์...เพราะคิริฮาระคิดถึงอนาคต  ซ้ำยังรอคอยผ่านเวลามานับสิบปี...ฟุยุกิก้มหน้านิ่ง  ไม่มีอะไรที่เขาจะเทียบได้สักอย่างเดียว

มือใหญ่วางลงบนเรือนผมนุ่มของฟุยุกิเบา ๆ  ไออุ่นจากมือนั้นถ่ายทอดมาถึงความรู้สึก  มือที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟหอมนี้อบอุ่นเสมอ  และคอยช่วยประคับประคองฟุยุกิไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“รักครั้งแรก  ก็แบบนี้แหละครับ...และอกหักครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละ”

“รัก...?  อกหัก...?”  ฟุยุกิมองหน้านัตสึเมะอย่างงง ๆ

“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอครับ  ว่าตัวเองกำลังอกหักน่ะ”  ร่างสูงยิ้ม

“ผม...อกหัก?...จากคิริฮาระซังน่ะเหรอครับ?”

“ครับ  ตกหลุมรัก...และกำลังอกหักครับ”

เด็กหนุ่มทำตาปริบ ๆ  เขารู้ว่าเขาหลงใหลคิริฮาระ  แต่นั่นมันเรียกว่าการตกหลุมรักงั้นหรือ  แล้วความเป็นจริงที่ยังทำใจยอมรับไม่ได้นี่คือ...อกหัก?

“จะทำความเข้าใจและผ่านไปได้ต้องใช้เวลาหน่อยนะครับ  ระหว่างนี้ก็ประคองเรื่องงานให้ดี...”

ยังไม่ทันที่นัตสึเมะจะพูดจบ  เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านก็ดังขึ้น  เขารีบปล่อยมือจากฟุยุกิทันที

“ยินดีต้อนรับครับ...ซาคากิซัง?”

ร่างโปร่งที่มีกระเป๋าสะพายไหล่เดินผ่านประตูเข้ามาด้วยท่าทางคุ้นตา

“อรุณสวัสดิ์ครับ  นัตสึเมะซัง  วันอาทิตย์นี่แถวนี้มันเงียบจริง ๆ นะครับ...อ้าว  ฟุยุกิคุง”

พอถูกคนที่กำลังเป็นเครื่องรบกวนจิตใจทัก  ฟุยุกิก็ทำตัวไม่ถูก

“อะ...อรุณสวัสดิ์...ครับ”

“อรุณสวัสดิ์ครับ  ออกมาเที่ยววันอาทิตย์เหรอครับ?”  คิโยฮารุวางกระเป๋าลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ

“อะ...ปะ...เปล่าครับ”  เด็กหนุ่มดูลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที  “ผะ...ผมแค่แวะมา...”

“หาเพื่อนคุยสินะครับ  นัตสึเมะซังคุยสนุกออกนี่นะ”

ฟุยุกิหลบตาคิโยฮารุ  “ผม...ผมมีธุระครับ  กลับก่อนนะครับ...ขอบคุณสำหรับน้ำชานะครับ  นัตสึเมะซัง...”

ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็รีบผลุนผลันออกไปจากร้าน  นัตสึเมะกับคิโยฮารุไม่ได้รั้งไว้  พวกเขาเพียงแต่มองตามไปเท่านั้น  จนเมื่อฟุยุกิลับสายตาไปแล้ว  ต่างก็ถอนใจออกมา

“รู้สึกผิดจังครับ”  คิโยฮารุส่ายหน้า

“ช่วยไม่ได้นี่ครับ”  นัตสึเมะตอบยิ้ม ๆ  “ว่าแต่ซาคากิซังมาทำอะไรวันอาทิตย์แบบนี้ครับ?”

“เลิกเรียกซาคากิเสียทีเถอะครับ”  คิโยฮารุทำเสียงตัดพ้อ  “ผมมาเตรียมที่ทางกับเอกสารการเรียนการสอนน่ะครับ  จะเริ่มสอนอาทิตย์หน้าแล้ว”

“อ๊ะ  เร็วจังนะครับ”

“จะเปิดเทอมแล้วนี่ครับ  จะได้มาเป็นแขกประจำของนัตสึเมะซังอีกแล้ว”

“ยินดีต้อนรับเสมอเลยครับ”  นัตสึเมะยิ้มพลางนึกถึงสมัยก่อนที่คิโยฮารุมาสิงอ่านหนังสืออยู่ที่ร้านของเขาทุกวัน

“แต่เด็กคนนั้นคงไม่ยินดีเท่าไร...”  พูดแล้วคิโยฮารุก็มองถ้วยชาของฟุยุกิที่ยังวางทิ้งไว้  “เขาคงไม่อยากเจอหน้าผม”

“...รู้ตัวด้วยเหรอครับ?”

“ผมไม่ใช่ยูคุงนะครับ  เรื่องง่าย ๆ แค่นี้  รู้มาตั้งแต่วันนั้นแล้วละครับ”

“หมอนั่น...ยังไม่รู้เรื่องสินะครับ”

“ยูคุงโง่เรื่องพวกนี้จะตายไป  นัตสึเมะซังก็รู้นี่ครับ”

คนเป็นเจ้าของร้านหัวเราะ  “กลับจากเยอรมันนี่  ปากร้ายขึ้นเยอะเลยนะครับ”

“ได้เพื่อนนิสัยแย่น่ะครับ  ว่าแต่  วันนี้ขอลาเต้ฮาเซลนัท...ใส่วิปครีมด้วยนะครับ”  คิโยฮารุบอกพลางยิ้มกว้าง

“ได้ครับ  นั่งรอสักครู่นะครับ”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 09 / 08-05-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 08-05-2015 19:50:01
สวัสดีครับ
ได้หยุดยาวกันหรือเปล่าครับ สนุกกันไหม? ผมเขียนนิยายมันส์มือมากเลย อีกไม่นานคงจบแล้วละครับ
จะเปิดเทอมแล้ว (สำหรับนักเรียน) พยายามเข้านะครับ
ไม่มีอะไรจะเขียนแล้ว ฮะๆๆ เจอกันตอนหน้านะครับ

HAKURO_KOKURO

Lock on You 09

ซากุระผลิบานสะพรั่ง  ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเมืองหลวงแห่งตึกระฟ้าอันแสนกระด้างนี้แล้ว  ทุกหนทุกแห่งมีแต่ผู้คนออกมาชื่นชมความงามของซากุระ  เทศกาลชมดอกไม้ก็เริ่มต้นขึ้น  แต่ในตอนที่ทั้งเมืองกำลังคึกคักด้วยสีสันของการเริ่มต้นชีวิตใหม่  โลกของฟุยุกิกลับพังทลาย

จะเรียกว่าอกหักหรืออะไรก็ช่าง  แต่เด็กหนุ่มยังทำใจกับการสูญเสียนี้ไม่ได้  เขายังคงไม่กล้าเดินผ่านทางที่คิริฮาระจะไปเล่นคอนเสิร์ตข้างถนน  ได้แต่เลี่ยง ๆ ไปเดินอีกฝั่งหนึ่ง  ส่วนที่ร้านของนัตสึเมะ...นี่มหาวิทยาลัยคงเปิดเทอมแล้ว  ถ้าไปที่นั่นจะต้องเจอผู้ชายคนนั้นแน่  เขาเคยแวะไปเลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่แถวร้านหลังเลิกงาน  ก็พบว่าทั้งคิริฮาระและคิโยฮารุอยู่ข้างใน  เลยรีบกลับบ้านไป

ฟุยุกิรู้สึกไม่มีทางไป  ได้แต่ตรงกลับบ้านหลังเลิกงานทุกวัน...ทั้งที่มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนเมื่อก่อนที่จะได้รู้จักกับคิริฮาระแท้ ๆ  แต่ทำไมถึงได้หดหู่นักนะ...จริงสิ  มันไม่เหมือนเดิมหรอก  เพราะตั้งแต่เข้าทำงานเมื่อปีที่แล้ว  เขาก็แวะฟังเพลงของคิริอาระทุกวันแทบไม่เคยขาดนี่นา  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น

ไม่รู้จะไปทางไหนดี  บ้านที่กลับไปตอนนี้  มิโนรุก็มักจะกลับดึกอยู่บ่อย ๆ  น่าแปลกที่เมื่อก่อนเขาจะดีใจด้วยซ้ำถ้ามิโนรุไม่อยู่บ้าน  แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบ้านมันเงียบอย่างประหลาดและเขารู้สึกไม่สบายใจเลย  และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฟุยุกินึกอยากกลับไปบ้านพ่อเพื่อหมกตัวอยู่ในสวนญี่ปุ่นเป็นวัน ๆ  แต่การไปกลับบ้านพ่อทุกวันมันก็เกินกำลังไปหน่อย  เด็กหนุ่มจึงได้แต่อดทน
แม้ว่าพอตั้งสติได้แล้วเรื่องงานจะค่อยยังชั่วลงบ้าง  แต่นั่นก็หมายถึงการกลับไปเป็นฟุยุกิผู้เชื่องช้าและต้องใช้ความพยายามสุดตัวในการทำงานง่าย ๆ สักชิ้น  พองานไม่ผิดพลาด  หัวหน้าก็เลิกดุ  แต่สิ่งที่มาแทนคือเสียงเหน็บแนมนินทาถึงความเป็นเด็กเส้น  และเด็กที่เพิ่งเข้าใหม่เก่งกว่าเขา

ฟุยุกิไม่มีอะไรจะพูดและไม่คิดจะโต้แย้ง  เขาไม่เคยอยากทำงานนี้มาแต่แรกอยู่แล้ว  ทุกอย่างพ่อเป็นคนจัดการให้ทั้งสิ้น  แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร  อยากทำอะไร  และต้องทำยังไง  เขาที่เคยมีแต่คนคอยชี้นำมาตลอด  เมื่อถึงเวลาที่ต้องคิดเอาเองเช่นนี้ก็เคว้งคว้าง...เรื่องอกหักนี่จะไปปรึกษาใครได้  ตอนนี้มิโนรุกำลังมีความรัก  ส่วนเคียวยะกับพ่อก็อายุมากเกินไป
และที่สำคัญ...คิริฮาระเป็นผู้ชาย

แม้แต่ตัวเขาเองยังยอมรับไม่ได้เลยว่าเขาชอบคิริฮาระที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน  จริงอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดหรือแปลกแยกอะไร  เพราะเขาไม่เคยรู้หรือใส่ใจเรื่องความรักมาก่อน...แต่ถ้าพูดออกไป  ที่บ้านจะคิดยังไง...

ทั้งที่คิดว่าจะไม่ไปอีก  แต่ในตอนที่จิตใจสับสนหาทางออกเองไม่ได้  สองเท้าก็ก้าวไปตามสัญชาตญาณ...ไปยังที่พึ่งทางใจแห่งสุดท้าย...ร้านกาแฟของนัตสึเมะ

เสียงกระดิ่งประตูกังวานใสดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นกรุ่นของกาแฟที่ฟุ้งออกมาทันทีที่เปิดประตู  เจ้าของร้านที่กำลังเก็บล้างถ้วยชามเงยหน้าขึ้นมามองแล้วส่งยิ้มให้

“สวัสดีครับ  ฟุยุกิคุง  ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

น้ำเสียงอบอุ่นและรอยยิ้มนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ฟุยุกิก้าวเข้าไปในร้านด้วยความรู้สึกโหยหา  แต่พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด  ทำเอาเท้าที่กำลังจะก้าวต่อชะงักทันที

คิโยฮารุกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับกองสมุดและตำรับตำราที่สุมอยู่บนโต๊ะโดยมีถ้วยกาแฟตั้งอยู่ตรงหน้า

นัตสึเมะสังเกตเห็นอาการชะงักนั้นจึงกวักมือเรียกฟุยุกิแล้วชี้ลงที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์  เนื่องจากเป็นการบอกใบ้โดยไม่ใช้เสียง  เด็กหนุ่มเลยเผลอย่องเข้าไปนั่งและพยายามวางกระเป๋าโดยไม่ให้มีเสียงไปด้วย

“กำลังเขียนแผนการสอนน่ะครับ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านกระซิบ  ฟุยุกิเหลือบตาไปทางคิโยฮารุ  ไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำ  “มานั่งเอาดินสอไชขมับตัวเองตั้งแต่บ่ายแล้วละครับ”

ได้ยินแล้วฟุยุกิก็อดเหลือบไปมองอีกแวบไม่ได้  คิโยฮารุกำลังเอาดินสอหมุน ๆ จิ้ม ๆ อยู่ตรงขมับจริง ๆ ด้วย

...ถ้าดินสอมันทะลุเข้าไปจริง ๆ จะทำยังไง...คิดแล้วก็กลัวเขาจะได้ยิน  เด็กหนุ่มรีบหันกลับมาทันที

“มะ...มันยากเหรอครับ?”  ถามไปด้วยเสียงกระซิบ

“เห็นว่านึกภาษาญี่ปุ่นแบบทางการไม่ออกน่ะครับ  ใช้ภาษาเยอรมันมาหลายปี”  นัตสึเมะตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบเช่นกัน

ฟุยุกิพยักหน้าหงึก ๆ แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  ส่วนนัตสึเมะก็หันกลับเข้าเคาน์เตอร์ไปทำอะไรก๊อกแก๊ก  ซึ่งไม่นานนักในร้านก็มีเพียงเสียงน้ำเดือดกับเสียงถ้วยชามกระทบกันและเสียงบ่นงึมงำของคิโยฮารุเท่านั้น

ความคิดของเด็กหนุ่มล่องลอยฟุ้งซ่านไปชั่วครู่  ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคิดอะไรบ้าง  รู้แต่มันหดหู่ลงทุกที  จนถ้วยชาสีจาง ๆ วางลงตรงหน้า  เขาจึงได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่ชงให้  แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมา

“วันนี้ท่าทางเหนื่อยมาก  เลยชงชาคาโมมายล์ให้น่ะครับ”

ฟุยุกิก้มลงมองน้ำชาในถ้วยก่อนจะพึมพำเบา ๆ  “นั่นสินะครับ...เหนื่อย...เหมือนตอนนั้นเลย”

ราวกับเวลาได้ย้อนกลับคืนมา  ในวันที่คิริฮาระพาเขามาที่นี่เป็นครั้งแรก  และชาถ้วยแรกที่ได้รับ...แต่วันนี้เขาเหนื่อยจริง ๆ หรือ  มันดูแตกต่าง  มีบางอย่างที่ไม่ใช่ความเหนื่อย...เป็นบางอย่างที่ดูซึมเศร้า

“ไม่เหมือนเท่าไรนะครับ...ไม่ได้ไปฟังเพลงของคิริฮาระเลยไม่ใช่เหรอ?”

เด็กหนุ่มพยักหน้า  “...ไม่รู้จะทำหน้ายังไงน่ะครับ”

“คิริฮาระก็บ่นว่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน  แต่ถ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”

ฟุยุกิพยักหน้าอีกครั้งแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ  ชาอุ่น ๆ ซึ่งมีกลิ่นหอมที่คุ้นเคยทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง  จริง ๆ นะ...ชงดื่มเองมานานแล้วก็ยังไม่ได้รสชาติแบบของนัตสึเมะเสียที  หนังสือที่ยืมไปก็ยังไม่ได้อ่านเลยด้วยซ้ำ  แล้วยังจะมีเรื่องนี้...คิดแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“ชาไม่อร่อยเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ

“ปะ...เปล่าครับ”  เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธ  “ชาอร่อยมากครับ  แต่ผม...”

“คิดไม่ตกเรื่องคิริฮาระเหรอครับ?”

ฟุยุกิช้อนตาขึ้นมองนัตสึเมะก่อนจะรีบหลบตาลงอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีลังเลใจ

“ถามมาเถอะครับ  ผมบอกแล้วว่าผมจะตอบเท่าที่ตอบได้”

เด็กหนุ่มเหลือบมองคิโยฮารุที่นั่งคร่ำเคร่งอยู่ที่โต๊ะ  ท่าทางชายหนุ่มจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากงานตรงหน้า  ฟุยุกิจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตัดสินใจถาม

“ที่ผมชอบผู้ชาย...มันพิลึกมั้ยครับ?”

นัตสึเมะเลิกคิ้วแล้วนิ่งไปหลายอึดใจ  มองหน้าเด็กหนุ่มตาปริบ ๆ  เล่นเอาคนถามใจเสีย

“พิลึก...สินะครับ...”

“เปล่าครับ”  นัตสึเมะตอบทันที  “แค่ไม่เคยมีใครมาถามผมแบบนี้เท่านั้นเอง”

“ไม่มี...เลยเหรอครับ?”

“ครับ  แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันพิลึกตรงไหนนะครับ  ถ้าการจะชอบใครสักคนเป็นเรื่องพิลึกละก็  ผมเองก็คงพิลึกเหมือนกันละครับ”
ฟุยุกินึกไปถึงสาวใหญ่ที่น่าจะเป็นคนรักของนัตสึเมะคนนั้น  นั่นสินะ...นัตสึเมะเองก็ชอบคนอายุมากกว่าหลายปีนี่นา

“และคิริฮาระก็ต้องพิลึกด้วย”  นัตสึเมะเหลือบมองคิโยฮารุ  ซึ่งฟุยุกิก็มองตามไปด้วย...ใช่  คิโยฮารุเป็นคนพิเศษของคิริฮาระ  ถ้าคิดไปในแง่นั้นมันก็พิลึกยิ่งกว่านัตสึเมะเสียอีก

“ไม่ใช่...เรื่องแปลกใช่มั้ยครับ?”

“สำหรับผมมันไม่มีอะไรแปลกหรือพิลึกเลยครับ  แต่โลกนี้ก็มีคนใจกว้างบ้างใจแคบบ้างละนะ”

ฟุยุกิพยักหน้า  “นั่นสินะครับ  เรื่องนี้...ผมไม่กล้าคุยกับคนที่บ้านน่ะครับ”

นัตสึเมะนึกถึงหน้าพ่อของฟุยุกิที่เคยพบกันที่คอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วง  คุณพ่ออาจไม่ใจแคบแต่ก็ไม่น่าจะคุยเรื่องนี้ได้ละมั้ง...พ่อของฟุยุกิน่าจะแก่กว่าพ่อของเขาเยอะทีเดียว

“ผม...ชอบ...คิริฮาระซังครับ”  เสียงนั้นไม่ดังไปกว่ากระซิบ  ด้วยรู้ว่าคิโยฮารุนั่งอยู่ด้วย

“ผมรู้ครับ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ผมชอบไวโอลินของเขา  ชอบฟังเขาคุยกับนัตสึเมะซัง  ชอบเวลาที่เขาคุยกับลูกค้า...ชอบไปหมดทุกอย่าง...”  เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นปิดหน้า  ทุกอย่างที่ว่ามานั้นเป็นของคิโยฮารุเท่านั้น  “แต่...มันเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ยครับ...เป็นไปไม่ได้...”

สองไหล่บอบบางสั่นสะท้าน  นัตสึเมะวางมือลงบนไหล่นั้นแล้วบีบเบา ๆ  เขาเข้าใจดี...ฟุยุกิไม่ใช่คนแรกที่มาคุยเรื่องคิริฮาระกับเขา  เพื่อนของเขาเนื้อหอมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  เคยมีกระทั่งสาวที่พยายามเข้าหาคิริฮาระผ่านทางเขาด้วยซ้ำ  แต่คิริฮาระไม่เคยสนใจใครเลยจนได้พบคิโยฮารุ  คิริฮาระไม่ใช่พวกจะรับใครเข้ามาในชีวิตแต่เป็นฝ่ายเข้าไปในชีวิตคนอื่นมากกว่า  คงมีแต่ฟุยุกินี่แหละที่คิริฮาระยอมรับเอาไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ด้วยความรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยเด็กที่อ่อนล้าคนนี้ไปตามยถากรรมได้
และฟุยุกิก็ดูจะเป็นคนเดียวที่เข้ามาหาและยึดคิริฮาระเอาไว้ในลักษณะเหมือนจะพึ่งพิง

จังหวะมันไม่เหมาะ  ถ้าคิโยฮารุไม่กลับมา  คิริฮาระจะต้องคอยประคับประคองฟุยุกิจนกว่าจะยืนด้วยตัวเองได้แน่  เพราะคิริฮาระเป็นคนแบบนั้น...แต่พอคิโยฮารุกลับมา  คิริฮาระก็ลืมหมดทุกอย่าง  หันไปทุ่มให้กับคิโยฮารุจนหมดให้สมกับที่จากกันมานานหลายปี...คิริฮาระเป็นคนแบบนั้นด้วย  เป็นคนที่มองเห็นความสุขของตัวเองและพร้อมที่จะคว้ามันไว้ในมือ

ชีวิตของฟุยุกิแค่ผิดจังหวะไปหน่อยเท่านั้นเอง...แต่เป็นการผิดจังหวะที่อาจจะทำให้เวทีชีวิตล่มไปเลยก็ได้

นัตสึเมะอยากจะประคับประคองเด็กคนนี้ไว้เท่าที่จะทำได้

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงทักทาย

“สวัสดีครับ  นัตสึเมะซัง!”

“อ้าว  โอโน...โทโมกิคุง  สวัสดีครับ”

ฟุยุกิรีบเงยหน้าขึ้นแล้วลนลานหาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาทันที  เขาไม่ได้พบโทโมกิอีกเลยตั้งแต่ไปกินข้าวด้วยกันครั้งนั้น  และไม่อยากให้เห็นหน้าตอนร้องไห้ด้วย

“โอ๊ะ  อาริโยชิซังก็อยู่ด้วย  ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”  โทโมกิรีบปราดเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ทันที  ก่อนจะสังเกตเห็น  “อ้าว  เป็นอะไรไปครับ  กำลังปรึกษาอะไรนัตสึเมะซังอยู่เหรอ?”

ฟุยุกิที่ยังตอบอะไรไม่ได้  ได้แต่เอาผ้าเช็ดหน้าปิด ๆ หน้าแล้วพยักหน้ารับทั้งตาแดงก่ำ  โทโมกิจ้องหน้าตาบู้บี้ของฟุยุกิอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มแล้วตบที่ตักของอีกฝ่ายเบา ๆ

“ไม่เป็นไรนะครับ  เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง  คุยกับนัตสึเมะซังก็ดี  ชอบมีไอเดียอะไรดี ๆ ให้อยู่เรื่อย”

ฟุยุกิพยักหน้าหงึก ๆ  เรื่องไอเดียของนัตสึเมะนี่เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง

“ว่าแต่ถึงขนาดร้องไห้เนี่ย  กลุ้มเรื่องอะไรเหรอครับ  ผมถามได้มั้ย?”  โทโมกิซัก

“ผม...”  ฟุยุกิลังเลนิดหน่อย  แต่แล้วก็เอ่ยออกไป  “ผม...เพิ่งรู้ตัว...ว่าผมชอบผู้ชายครับ...มัน...พิลึกมั้ย?”

โทโมกิทำตาโตแล้วหันไปมองหน้านัตสึเมะ  พอนัตสึเมะพยักหน้าให้ก็หันกลับมามองหน้าฟุยุกิ  จ้องตาแดง ๆ เหมือนกระต่ายนั่นแล้วก็หัวเราะพรืดออกมา

“หึ...ฮะ ๆ ๆ...ไม่  ไม่พิลึกหรอกครับ  ฮะ ๆ ๆ  พวกเดียวกันน่า...พวกเดียวกัน”  โทโมกิตบไหล่ฟุยุกิ

“...พวกเดียวกัน?”  ฟุยุกิทำตาปริบ ๆ

“ผมก็มีคนรักเป็นผู้ชาย”  โทโมกิพูดออกมาง่าย ๆ

“หา!?”

โทโมกิยิ้มกว้าง  “คนรักของผมเป็นผู้ชาย...แต่ตอนนี้หลับอยู่น่ะ”

“หลับ?”

“มันเคยมีเรื่องยุ่ง ๆ น่ะครับ  แล้วเขาปกป้องผมไว้เลยโดนยิง...กลายเป็นมนุษย์พืชน่ะ”  หางเสียงแผ่วลงนิดหน่อย  แต่แล้วก็กลับมาแจ่มใสตามเดิม  “ตอนนี้ผมก็คอยดูแลอยู่ครับ”

“...เก่งจัง...”  ดูแลมนุษย์พืชนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ

“ไม่เก่งหรอกครับ  นี่ก็โดนคุณพ่อไล่ออกมาจากบ้านเพราะไปอาละวาดคนหลับเข้า  บอกว่าให้สงบสติได้แล้วค่อยกลับเข้าบ้าน”  โทโมกิหัวเราะอาย ๆ

“อาละวาดใส่วายะซังอีกแล้วเหรอครับ?”  นัตสึเมะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็...นิดหน่อยครับ  ไม่ตื่นเสียทีนี่นา”  เด็กหนุ่มเอียงคอแล้วทำหน้าสลดลง  “ผมนี่ต้องฝึกความอดทนอีกเยอะเลยนะครับ”

“โทโมกิคุงก็ทำได้ดีแล้วละครับ”  ร่างสูงยิ้มให้แล้วไปเตรียมชงกาแฟ

โทโมกิมองตามแผ่นหลังนั้นไปแล้วยิ้ม  ก่อนจะหันกลับมาพูดกับฟุยุกิ

“เพราะงั้น  ไม่พิลึกหรอกนะครับ”

“เอ๊ะ?...เอ้อ...ครับ”

“ว่าแต่...อาริโยชิซัง  ชอบคนแบบไหนเหรอ?”

เพียงแค่นั้น  น้ำตาที่แห้งไปแล้วของฟุยุกิก็ร่วงมาอีก

“หวา!  อย่าร้องสิ  ผมขอโทษ!  ไม่ถามก็ได้  ไม่ถามแล้วครับ!”  โทโมกิลนลาน

“...”  เสียงงึมงำจับความไม่ได้ลอดออกมาจากริมฝีปากของฟุยุกิ

“เอ๊ะ  อะไรนะครับ?”  โทโมกิเงี่ยหูไปฟัง

“ผม...ชอบคิริฮาระซัง...”

ฟังเสียงกระซิบนั้นแล้วโทโมกิก็เบิกตากว้างแต่เขาไม่แปลกใจเลย  ดูจากอาการที่ฟุยุกิแสดงออกต่อหน้าคิริฮาระเท่าที่เขาเคยเห็นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว

“แต่...อกหักแล้วละครับ...”

“เอ๋?  คิริฮาระซังปฏิเสธ?”

ฟุยุกิส่ายหน้า  “เขา...คนนั้นของ...คิริฮาระซัง...กลับมาแล้วนี่ครับ”

พูดแล้วฟุยุกิก็รู้สึกว่าไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป  เขารีบคว้ากระเป๋าขึ้น

“ผมขอตัวก่อนนะครับ!”

“อาริโยชิซัง!”

ฟุยุกิรีบผลุนผลันออกจากร้านโดยมีโทโมกิตามไปติด ๆ  นัตสึเมะแค่มองตามไปโดยไม่พูดอะไร  ในตอนนั้นเองที่เสียงปิดหนังสือดังขึ้น

“น่าสงสารจังน้า...”

“ฟังอยู่ด้วยเหรอครับ  คิโยฮารุคุง?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ ไปยังคนที่ถอดแว่นออกมาขยี้ตา

“แอบฟังมาสักพักแล้วครับ”  คิโยฮารุสวมแว่นกลับคืน  “ยูคุงสร้างปัญหาที่ตัวเองแก้ไม่ได้ซะแล้วสิ”

“ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำมั้งว่าสร้างปัญหาอะไร”

“ก็ยูคุงนี่ครับ”  คิโยฮารุหัวเราะ  “แต่มันแย่ตรงที่ผมก็ถอยให้ไม่ได้หรอกนะ”

“ประกาศกร้าวเลยนะครับ”

“ผมก็รักของผมนะครับ...แต่...เด็กคนนั้นจะต้องเข้าใจเจตนาของยูคุงแน่  เมื่อเขายืนได้ด้วยตัวเองแบบโทโมกิคุงแล้ว”

“แต่หลักยึดเวลาอ่อนล้าก็ยังจำเป็นนะครับ”

คิโยฮารุมองหน้านัตสึเมะแล้วยิ้มกว้าง  “ผมว่านัตสึเมะอยากเป็นหลักนั่นนะครับ”

“ผมน่ะเหรอครับ?”

“ท่าทางฟ้องออกจะตาย”  คิโยฮารุหลิ่วตาให้

นัตสึเมะหัวเราะ  คิริฮาระก็พูดแบบนี้  แถมยังคิโยฮารุอีก  ท่าทางเขาดูออกง่ายขนาดนั้นเลยนะ

“อยากเป็นกับเป็นได้มันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ”

คิโยฮารุเพียงแต่ยิ้มกับคำพูดนั้น  เขารู้ว่านัตสึเมะเองก็มีเงื่อนไขและอะไรในใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน  แต่เท่าที่สังเกตเห็น  เขาว่าเขาค่อนข้างมั่นใจที่จะพูดแบบนี้

“นัตสึเมะซังเป็นได้แน่ครับ  และกำลังเป็นอยู่โดยที่ฟุยุกิคุงไม่รู้ตัว...รอแค่ให้ทุกอย่างมันชัดเจนเท่านั้นแหละครับ”

นัตสึเมะยิ้มแล้วพยักหน้า  คิริฮาระบอกให้เขาแสดงออกให้ชัดเจน  แต่คิโยฮารุบอกให้รอ  ทั้งสองคนแตกต่างกันตรงนี้  แต่ก็เข้ากันได้อย่างดีที่สุด  และเป็นสองคนที่ดูจะเข้าใจเขาที่สุด  ต่างกันแค่คำแนะนำเท่านั้นเอง

“แต่ตอนนี้...ให้คนวัยเดียวกันเขาปลอบกันไปก่อนแล้วกันนะครับ”

...
หัวข้อ: Re: Lock on You 09 / 08-05-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 08-05-2015 19:52:37
โทโมกิไล่ตามฟุยุกิไปทันได้ไม่ยาก  เพราะไม่อยากให้สะดุดตาคนเขาจึงจูงมือฟุยุกิเข้าไปหาที่นั่งในมหาวิทยาลัย  หน้าตาท่าทางของพวกเขายังไม่แตกต่างจากพวกนักศึกษามากนักเลยกลมกลืนไปได้ง่าย ๆ  อากาศยังค่อนข้างเย็น  โทโมกิจึงเลือกเครื่องดื่มร้อนจากตู้ขายของอัตโนมัติแล้วกลับไปหาฟุยุกิ

“นี่ครับ  อาริโยชิซัง  ผมเลี้ยงเอง”  โทโมกิส่งกระป๋องชาเขียวร้อนให้

“อ่ะ...ขอบคุณครับ...”  ฟุยุกิรับไปถือไว้  ตายังแดง ๆ จากการร้องไห้เมื่อกี้

โทโมกินั่งลงข้าง ๆ  “ขอโทษนะครับ  ที่เมื่อกี้ถามอะไรแปลก ๆ ไป”

“ไม่หรอกครับ...ผมแค่อ่อนไหวมากเกินไปหน่อย  พอพูดออกมาก็เลย...”  ฟุยุกิส่ายหน้ากับตัวเอง  “น่าอายจังนะครับ”

โทโมกิรีบส่ายหน้า  “ไม่น่าอายหรอกครับ  ผมเองก็ร้องไห้กับนัตสึเมะซังมาเยอะเหมือนกัน”

ฟุยุกินึกถึงตอนที่ได้เห็นโทโมกิที่ร้านนของนัตสึเมะเป็นครั้งแรก  โทโมกิกำลังร้องไห้ปรับทุกข์กับนัตสึเมะด้วยเรื่องบางอย่าง

“แต่พูดถึงคิริฮาระซังแล้ว...ไม่แปลกหรอกครับ  ที่คุณจะชอบเขาน่ะ  เขามีเสน่ห์สุด ๆ เลยนี่นะ  ผมก็ชอบเขานะ”

ฟุยุกิพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย

“แล้วก็เคยมีคนหลงเสน่ห์คิริฮาระซังจนพยายามบังคับให้ผมเป็นเหมือนเขาด้วย”

“เอ๋?”

“เจ้ามนุษย์พืชของผมนั่นแหละ”  พอเห็นฟุยุกิทำตาโต  โทโมกิเลยพูดต่อ  “เรื่องมันยา...วมากครับ  เอาเป็นว่าชุนรู้จักกับคิริฮาระซังมาก่อน  แล้วเลยมาพยายามยัดเยียดให้ผมเป็นเหมือนคิริฮาระซังน่ะครับ”

“...ไม่ดีเลย...”  คนถูกบังคับมาตลอดชีวิตหลุดปากออกมาอย่างนั้น

“ใช่  ไม่ดีเลย  แต่พอได้รู้จักคิริฮาระซังแล้วผมก็ชอบเขานะ  เขาเป็นคนให้กำลังใจ  ทำให้ผมอดทนดูแลชุนมาได้จนถึงตอนนี้”  โทโมกิดื่มชาร้อนแล้วยิ้มออกมา  “ผมนับถือคิริฮาระซังมากเลยละครับ”

“ดูแลคนป่วย...ลำบากแย่เลยสิครับ”

“ก็ลำบาก  แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทำ...ก็มีบ้างที่อาละวาดไปอย่างวันนี้  เวลาแบบนั้นก็จะเผ่นมาหานัตสึเมะซัง  มาพักรบน่ะครับ”

“...วันนี้คุณเลยไม่ได้คุยกับนัตสึเมะซังเลยสิครับ  เพราะผมแท้ ๆ...”  ฟุยุกิทำหน้าหงอย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  นัตสึเมะซังอยู่ร้านทุกวัน  มาหาเมื่อไรก็ได้  แล้วผมก็อยากคุยกับอาริโยชิซังมากกว่าด้วย  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”  โทโมกิยิ้มให้  “แล้ว...เมื่อกี้ค้างอยู่ตรงอกหัก  มันยังไงกันเหรอครับ?”

ฟุยุกิหลุบตาลงมองพื้น  ทอดถอนใจยาว  “ก็...คนพิเศษของคิริฮาระซังกลับมาแล้วนี่ครับ”

“ซาคากิซังน่ะนะ!?”  โทโมกิเสียงดัง  “เมื่อไรครับ!?”

“ก็...สักเดือนกว่า ๆ นี่แหละครับ...เมื่อกี้ก็อยู่ในร้านด้วย”  ฟุยุกิทำตาปริบ ๆ กับอาการตื่นเต้นของโทโมกิ

“ห๊า!?”  โทโมกิโวยวาย  “ไม่เห็นสังเกตเลย  นึกว่าลูกค้าคนอื่น”

...คิโยฮารุไร้ตัวตนขนาดนั้นเชียวรึ...ฟุยุกิแอบคิดในใจ

“อืม...แต่ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องยอมรับการอกหักอย่างจำยอมแล้วละครับ”  โทโมกิส่ายหน้า  “ผมไม่เคยเห็นใครยึดมั่นและรอคอยกันมานานขนาดนั้นมาก่อนเลย”

“...นั่นสินะครับ”  ฟุยุกิถอนใจเฮือกใหญ่  “ผมไม่มีอะไรไปสู้เขาได้เลย...ผมแค่ชอบคิริฮาระซังเท่านั้นเอง”

“แต่อาริโยชิซังก็ชอบคิริฮาระซังอย่างจริงใจนี่ครับ  แบบนั้นก็ดีแล้วนี่นา  แล้วอาริโยชิซังก็ไม่ได้มีแค่คิริฮาระซังนี่ครับ  ยังมีนัตสึเมะซังอยู่ทั้งคน”

คำพูดนี้...เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

...ฟุยุกิคุง  ยังไงก็ยังมีผมอยู่ทั้งคนนะครับ...

ใช่...เคยได้ยินจากนัตสึเมะเองนั่นแหละ  แต่มันหมายความว่ายังไงกันนะ...เขารู้อยู่แล้วว่านัตสึเมะจะคอยอยู่ที่ร้านและให้กำลังใจเขาเสมอ  แต่ไม่เห็นต้องย้ำเลยนี่นา

“พรุ่งนี้วันเสาร์  อาริโยชิซังต้องทำงานหรือเปล่า?”  โทโมกิถามขึ้น

“เปล่าครับ  ผมหยุดสองวัน...ทำไมเหรอครับ?”  ฟุยุกิทำหน้าสงสัยที่อยู่ ๆ โทโมกิก็เปลี่ยนเรื่อง

“พอดีอยากคุยกับอาริโยชิซังต่อ  แต่ต้องกลับไปดูแลชุนด้วย  เลยว่าจะชวนไปค้างที่บ้านน่ะครับ”

“เอ๋!?  จะ...จะดีเหรอครับ?  โอโนเสะซังต้องดูแลคนป่วยด้วย  ผม...ผมไปจะรบกวนเสียเปล่า ๆ...”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธลนลาน  เขาได้พบได้พูดคุยกับโทโมกิแค่ไม่กี่หนเท่านั้นเอง  แล้วจะให้ไปค้างที่บ้านเนี่ยนะ

“มันไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอกครับ  ผมก็ชินแล้วด้วย...แต่อยากให้อาริโยชิซังไปน่ะ  คือผมไม่ค่อยมีเพื่อนรุ่นเดียวกันเท่าไร  เพิ่งมีอาริโยชิซังนี่แหละที่คุยกันได้เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้  ก็เลยสนุกน่ะครับ”  โทโมกิยิ้มกว้าง

...สนุกเหรอ...คนหดหู่อย่างเขาเนี่ยนะ...ฟุยุกิถามตัวเอง  แต่จะว่าไปแล้วเขาเองก็แทบจะไม่มีเพื่อนเลยเหมือนกัน  แต่กลับคุยกับโทโมกิได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ  และบางทีแค่ฟังโทโมกิคุยก็สนุกแล้ว...การมีเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นแบบนี้เองสินะ

“งั้น...ไปก็ได้ครับ”  พอโทโมกิตั้งท่าจะดีใจ  ฟุยุกิก็รีบพูดต่อ  “แต่...”

“แต่อะไร?”

“เลิกเรียผมว่าอาริโยชิซังเถอะครับ  ไม่คุ้นเลย  เรียกฟุยุกิก็ได้”

โทโมกิหัวเราะ  “ก็ดี  ผมก็ไม่ชอบถูกเรียกว่าโอโนเสะซังเหมือนกัน  งั้นเรียกผมว่าโทโมกินะ  ฟุยุกิคุง”

“ครับ  โทโมกิคุง

...

แม้ดูจากรถเบนซ์คันงามที่โทโมกินั่งอยู่เสมอจะทำให้รู้ว่าฐานะทางบ้านดีแค่ไหน  แต่การได้ไปเห็นบ้านจริง ๆ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง  บ้านของฟุยุกินั้นจัดว่าเป็นบ้านญี่ปุ่นที่ใหญ่พอสมควรแล้วในละแวกบ้าน  แต่เทียบแล้วก็ได้แค่เรือนหลังเดียวของบ้านโอโนเสะเท่านั้นเอง  ในอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต  มีเรือนน้อยใหญ่ตั้งกระจายกันอยู่  มีการปลูกต้นไม้และจัดสวนสวยจนชวนให้ฟุยุกินึกถึงพระราชวังโบราณที่เคยไปเห็นตอนทัศนศึกษากับทางโรงเรียน

ฟุยุกิที่กำลังตะลึงกับความใหญ่โตของตัวบ้านต้องอึ้งเข้าไปอีกเมื่อรถที่ไปรับมาจากสถานีรถไฟเข้าจอดที่หน้าเรือนใหญ่  เห็นท่าทางสบาย ๆ ของโทโมกิแล้วเขาก็คิดไปว่าคงจะเป็นเด็กในเรือนอื่นที่เป็นของตระกูลสายรอง  ไม่คิดเลยว่าจะเป็นลูกเจ้าของบ้าน

แม้จะค่ำแล้ว  แต่ชายฉกรรจ์หลายคนที่ยังทำงานอยู่แถวนั้นก็รีบมาตั้งแถวรับ

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ  คุณหนูโทโมกิ!!”

ในขณะที่ฟุยุกิยืนกอดกระเป๋าตะลึงงัน  โทโมกิกลับทักตอบอย่างเป็นกันเอง

“กลับมาแล้วครับ  ทุกคน”

ได้ยินแบบนั้น  ฟุยุกิก็รีบโค้งให้ทุกคนทันที

“สะ...สวัสดีครับ!  ยะ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ!”

บรรดาชายที่ตั้งแถวอยู่มองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม ๆ  แล้วหนึ่งในนั้นก็เดินเข้ามาหาโทโมกิ

“เพื่อนของคุณหนูที่บอกว่าจะมาค้างสินะครับ”

“อื้ม  อาริโยชิ  ฟุยุกิคุง  ฝากฮิโรมุซังดูแลด้วยนะครับ”

“ครับผม”  ชายที่ถูกเรียกว่าฮิโรมุเข้าไปหาฟุยุกิแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ  “ขอกระเป๋าด้วยครับ  อาริโยชิซัง  เดี๋ยวผมจะเอาไปไว้ที่ห้องพักให้ครับ”

“อะ...เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรครับ  ผม...ผมเอาไปเองดีกว่า  แค่...แค่กระเป๋าทำงานเอง”  ฟุยุกิละล่ำละลัก

“ให้ผมได้บริการเถอะครับ  คุณหนูโทโมกิไม่เคยพาเพื่อนมาบ้านเลย  พวกเรายินดีมากเลยละครับ”

เขาว่ามาอย่างนี้  ฟุยุกิเลยไม่รู้จะว่ายังไงนอกจากส่งกระเป๋าให้ไปแล้วเดินตามโทโมกิเข้าไปในเรือน

ผู้ที่รออยู่ที่โถงหน้าคือสตรีสูงวัยในชุดยูกาตะเรียบหรู  ลักษณะท่าทางและกิริยานั้นมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นนายหญิงของตระกูลโอโนเสะแน่

ฟุยุกิรีบโค้งให้ทันทีแบบลืมรอให้โทโมกิแนะนำก่อนไปเลย

“สวัสดีครับ!  อาริโยชิ  ฟุยุกิครับ  ยะ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ!”

สตรีผู้มากด้วยวัยมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยแต่แล้วก็ยิ้มให้

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ  อาริโยชิซัง  เชิญข้างในเถอะค่ะ”

ความสง่างามและความสุภาพของโอโนเสะ  ยูคาริทำเอาฟุยุกิประหม่า  แต่เมื่อโทโมกิหันมาพยักหน้าให้ก็ค่อยผ่อนคลายและเดินตามขึ้นเรือนไปอย่างระมัดระวัง

เรือนใหญ่ของตระกูลโอโนเสะใหญ่โตแต่ก็เรียบง่ายแบบบ้านญี่ปุ่นโบราณ  ฟุยุกิที่อยู่ในบ้านญี่ปุ่นมาตลอดอยู่แล้วจึงคุ้นเคยได้ไม่ยาก  พวกเขากลับมาค่อนข้างค่ำ  คนอื่น ๆ จึงกินมื้อเย็นไปเรียบร้อยแล้ว  สำรับที่ตั้งจึงมีแค่สำหรับเขาสองคนเท่านั้น  ซึ่งนั่นก็ดีสำหรับฟุยุกิ  เพราะเด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าจะต้องประหม่าแน่นอนถ้าต้องกินข้าวร่วมกับครอบครัวของโทโมกิ

หลังจากกินข้าวแล้ว  โทโมกิก็ชวนแขกไปที่ห้องที่เตรียมไว้ให้

“บ้านของโทโมกิคุงเนี่ยใหญ่จังเลยนะ  ทำเอาประหม่าไปหมดเลยละครับ”  ฟุยุกิพูดขึ้นระหว่างเดินตามโทโมกิไป

“ใช่มั้ยล่ะ?  ตอนผมมาที่นี่ครั้งแรกก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

“เอ๊ะ?”

“ผมไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของตระกูลโอโนเสะหรอก  มันมีเรื่องซับซ้อนบางอย่าง  คุณพ่อโอโนเสะเลยรับผมมาเลี้ยงน่ะครับ”  โทโมกิอธิบาย

ฟุยุกิรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดนั้น  “แต่...ทุกคนดูใจดีกับโทโมกิคุงมากเลยนะครับ”

โทโมกิพยักหน้า  “ถึงจะเข้มงวดแต่ก็ใจดีมากเลยละครับ  นายแม่นี่อย่างเคี่ยวเลย  มาทีแรก  เรื่องเรียนผมไม่เอาไหน  นายแม่ก็จัดตารางให้เรียนพิเศษเลย...เกือบตายแน่ะ”

“ผมก็เรียนไม่เอาไหนเหมือนกัน...พวกพี่ ๆ ดุเอาอยู่เรื่อยเลย”  ฟุยุกิเล่าให้ฟังบ้าง

“พวกเดียวกันอีกแล้ว”  โทโมกิตบไหล่ฟุยุกิอย่างเป็นกันเอง

“แล้วก็...สวนสวยมากเลยนะครับ”  ฟุยุกิทอดสายตาไปยังสวนญี่ปุ่นกลางบ้านที่ตอนนี้ซากุระย้อยกิ่งต้นใหญ่กำลังแผ่กิ่งก้านอวดดอกสะพรั่งอยู่เหนือลำธารจำลองและบ่อน้ำใหญ่  “ซากุระนั่นสุดยอดไปเลย”

“เห็นว่าท่านเจ้าบ้านคนก่อนชอบซากุระน่ะครับ  ที่ด้านนอกเรือนก็ปลูกไว้ตามทางเดินเต็มไปหมด  ฤดูใบไม้ผลินี่ไม่ต้องไปชมดอกไม้ที่ไหนเลย  หอบเสื่อไปปูตามถนนในบ้านก็พอ”

“น่าอิจฉาจังเลยครับ  บ้านผมมีซากุระย้อยกิ่งเล็ก ๆ ต้นเดียวเอง”

“ถ้าชอบละก็  เดี๋ยวอาบน้ำแล้วมานั่งชมดอกไม้กันมั้ยล่ะครับ”

“ได้เหรอครับ  โทโมกิคุงต้องดูแลคนป่วยด้วยนี่นา”

โทโมกิหัวเราะ  “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ชุนน่ะ  แค่เช็ดตัวแล้วก็พลิกตัวเปลี่ยนท่านอนก็ทิ้งไว้ได้อีกสองชั่วโมงละครับ”

“เอ๋  ง่ายขนาดนั้นเลย?”

“ไปดูมั้ยล่ะครับ?”  โทโมกิชวน  ไม่แปลกหรอกที่คนไม่เคยเห็นจะไม่เข้าใจ  มันดูยุ่งยากก็จริง  แต่ถ้าทำชิน ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

“ได้เหรอครับ?”  ฟุยุกินึกสนใจขึ้นมา

“ได้ครับ  ผมอนุญาตแล้วนี่นา”

ฟุยุกิเดินตามโทโมกิไปยังห้องส่วนตัวซึ่งก็อยู่ติดกับห้องที่จัดไว้ให้เขานอนในคืนนี้  ในห้องนั้นกว้างขวางหากตกแต่งเรียบง่ายในสไตล์ญี่ปุ่นกึ่งตะวันตอ  มีแค่โต๊ะทำงาน  ชั้นหนังสือ  ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อิน  และของประดับตกแต่งอีกเล็กน้อยเท่านั้น  แต่ด้านในสุดของห้องมีฟูกปูไว้...ร่างหนึ่งนอนเหยียดกายอยู่ที่นั่น

“กลับมาแล้ว  ชุน”  โทโมกิพูดพลางเดินเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่งอยู่  ก่อนจะหันมาพูดกับฟุยุกิ  “เข้ามาสิครับ  ฟุยุกิคุง”

ฟุยุกิเดินตามเข้าไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  ร่างที่นอนอยู่นั้นเป็นชายที่ครั้งหนึ่งคงเคยมีรูปร่างใหญ่โต  หากบัดนี้ซูบผอม  มีสายเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ฟุยุกิไม่แน่ใจว่ามีไว้ทำอะไรบ้าง  เค้าหน้าเซียวในกรอบผมสีดำยาวบอกชัดว่าเป็นคนหล่อเหลา  แม้ในตอนที่ต้องนอนนิ่งและซูบโทรมเช่นนี้ก็ยังเรียกได้ว่าหน้าตาดี  ฟุยุกินึกอยากเห็นตอนที่ชายคนนี้ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

“นี่ชุนของผมครับ”  โทโมกิแนะนำกับฟุยุกิ  “นอนมาสี่ปีแล้วละ”

“เท่จังนะครับ”  ฟุยุกิหลุดปากไปอย่างที่คิด  ถ้าบอกว่าเคยเป็นคนรู้จักของคิริฮาระมาก่อน  จะต้องดูดีไม่แพ้กันแน่เลย

“ก็เท่หรอก  แต่นิสัยเสียมากครับ”  โทโมกิเอานิ้วจิ้มหน้าผากคนที่นอนไม่รู้สึกตัวอยู่  “เกเร  ขี้แกล้ง  เอาแต่ใจ  ชอบใช้กำลัง  อาละวาด  บ้าพลัง...แต่ก็แอบอ่อนโยนนะครับ”

ฟุยุกิอมยิ้มกับประโยคสุดท้ายนั้น

“แล้ว...คนที่บ้านยอมรับได้ง่าย ๆ เลยเหรอครับ?”

“ไม่หรอก...”  โทโมกิทำหน้าครุ่นคิดเหมือนไม่แน่ใจว่าจะเล่าให้ฟังยังไงดี  “คือ...มันเกิดเรื่องของชุนกับผมก่อนที่ผมจะได้มาอยู่บ้านนี้น่ะครับ  พอรับผมมาอยู่ในบ้านนี้แล้ว  คุณพ่อโอโนเสะก็เลยจัดการให้ชุนมาทำงานที่บ้านด้วยแบบเลยตามเลยน่ะครับ  แล้วมันก็เลยเถิดมาจนถึงตอนที่ชุนต้องมานอนแอ้งแม้งอยู่นี่แหละ”

การยอมรับแบบเลยตามเลยนั่นคงใช้กับกรณีของเขาไม่ได้สินะ...ฟุยุกิคิด

“ฟุยุกิคุงไปอาบน้ำก่อนมั้ย?  เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้ชุนแล้วค่อยไปอาบทีหลังน่ะ”  โทโมกิบอก

“เอางั้นเหรอครับ?”

“เป็นแขก  อาบก่อนเลย  เสร็จแล้วมาชมดอกไม้กันนะ”

“ครับ”

ห้องอาบน้ำบ้านโอโนเสะพยายามรักษารูปแบบโบราณเอาไว้ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนไปพักที่เรียวคัง  แถมชุดยูกาตะสำหรับใส่นอนที่โทโมกิให้ยืมก็ใส่สบายเสียด้วย  ฟุยุกิอาบน้ำสบายเนื้อสบายตัวแล้วก็เดินกลับมาที่ห้องพัก  พลันก็ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ ดังมาจากห้องของโทโมกิ...เขานิ่งฟัง

“ชุน...เห็นฟุยุกิคุงแล้วใช่มั้ย  เพื่อนใหม่ของฉันเอง  เจอกันเพราะนัตสึเมะซังน่ะ...ฉันว่าพวกเราคล้ายกันหลายอย่างเลยนะ  อย่างน้อยก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากคิริฮาระซังเหมือนกัน...เออ  พูดถึงคิริฮาระซัง...ซาคากิซังกลับมาจากเยอรมันแล้วนะ  ชุนก็รู้จักซาคากิซังใช่มั้ย?  ทีนี้คิริฮาระซังก็ไม่ต้องแอบทำหน้าเหงา ๆ อยู่คนเดียวอีกแล้วเนอะ...นี่  ชุน  ฉันมีเพื่อนแล้วนะ  ชุนอดว่าฉันเป็นคนไม่มีคนคบแล้วละ  เดี๋ยวเราจะนั่งชมดอกไม้กันด้วย  อิจฉาใช่มั้ย?  ชุนขี้อิจฉาออกนี่นะ...ถ้าอิจฉานักก็รีบตื่นมาเร็ว ๆ สิ...ฉันรออยู่นะ  ชุน...รออยู่เสมอเลยนะ...”

น้ำเสียงนั้นช่างอ่อนหวานและอ่อนไหว  เสียงสะอื้นน้อย ๆ ที่ปนมาในตอนท้ายทำให้ฟุยุกิเจ็บปวดไปด้วย...เรื่องที่เขาอกหักมันเล็กน้อยเหลือเกิน...ต้องใช้ความเด็ดขาดแค่ไหน  คิริฮาระถึงยอมปล่อยคิโยฮารุไปเยอรมันเพื่ออนาคตได้...ต้องใช้ความอดทนเท่าไร  คิริฮาระถึงรอคิโยฮารุมาได้นานขนาดนี้...แล้วต้องให้ความรักมากมายเพียงใด  โทโมกิถึงจะเฝ้าดูแลคนรักที่ยังไม่รู้ว่าจะลืมตาขึ้นมาเมื่อไรได้...

แล้วเขามีอะไร...แค่ผิดหวังกับความรักความหลงใหลแบบเด็ก ๆ ก็จะเป็นจะตายถึงขนาดนี้  เขามันแค่คนโง่ที่พยายามจะไขว่คว้าดวงตะวันมาไว้เป็นของตัวเองทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติอะไรเลย

ฟุยุกิซ่อนน้ำตา...โดยไม่รู้ตัว  เขาคิดถึงนัตสึเมะ  ถ้านัตสึเมะอยู่ด้วยในตอนนี้  จะพูดกับเขาว่าอะไร  จะชงชาอะไรมาปลอบใจเขา

ต่อให้เขาเป็นคนโง่ที่ไม่มีดีอะไรเลย  มืออุ่นและรอยยิ้มนั้นก็จะยังคงมีให้เขาใช่ไหม

...คงไม่ทิ้งเขาไปใช่ไหม...


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 10 / 23-05-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 23-05-2015 21:39:46
สวัสดีครับ
ยังเหลือคนอ่านอยู่อีกไหมนี่? รู้สึกกระทู้มันดันลงไวเหลือเกิน ฮะๆๆ
ไม่เป็นไร ไว้รออ่านรอเม้นต์ตอนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้นะครับ (คิดว่าเรตติ้งดีขนาดนั้น?)
ลงต่อละนะครับ
HAKURO_KOKURO

Lock on You 10

“ฉันว่าฉันคิดผิดที่เอาฟุยุกิคุงไปฝากให้นายดูแล”

“หา?”  คิริฮาระชะงักตะเกียบที่กำลังคีบซูชิเข้าปาก

“นายทำฟุยุกิคุงเสียใจแล้ว”  นัตสึเมะว่าพลางหยิบจานซูชิลงมาจากรางเลื่อน  วันนี้พวกเขาเปลี่ยนบรรยากาศมากินซูชิรางเลื่อนเหมือนเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

คิริฮาระรีบเอาซูชิเข้าปากก่อนจะถาม  “ฉันไปทำให้ฟุยุกิคุงเสียใจตั้งแต่เมื่อไร?”

นัตสึเมะมองหน้าเพื่อนแล้วหรี่ตา  “ไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งไม่รู้?”

“ก็แล้วมันเมื่อไรกันล่ะ?  ตอนพาไปเที่ยวโอไดบะเหรอ?”  นักดนตรีหนุ่มดูงุนงงเอามาก ๆ

ไม่มีเค้าโกหกอะไรในใบหน้านั้น  และนัตสึเมะก็แน่ใจว่าคิริฮาระไม่มีอะไรปิดบังเขา  คิริฮาระก็เป็นของคิริฮาระอย่างนี้แหละ  อย่างที่คิโยฮารุพูดไม่มีผิด...ยูคุงน่ะ  โง่เรื่องแบบนี้จะตายไป...

ใช่...นัตสึเมะถอนใจพลางคีบซูชิใส่ปาก...โง่กว่าที่เขาคิดด้วยซ้ำ...

คิริฮาระไม่เข้าใจหรอกว่าการที่ตนไปกระดี๊กระด๊ากับคนรักที่เพิ่งกลับมาจากเยอรมันนั้นทำร้ายฟุยุกิแค่ไหน  ตรรกะของคิริฮาระก็คือ  ในเมื่อเป็นคนที่เขาไม่ได้มีใจด้วย  ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่นับเป็นการทำร้ายแต่อย่างใด  เพราะฉะนั้นการที่เขากลับไปจี๋จ๋ากับคิโยฮารุก็ย่อมไม่ใช่การทำให้ฟุยุกิที่เขาเห็นเป็นน้องชายเสียใจเป็นแน่

“นายพูดมาตรง ๆ เลยดีกว่า  นัตสึเมะ  มัวแต่อมพะนำทำเท่อยู่แบบนั้นน่ะฉันไม่เข้าใจหรอกนะ”  คิริฮาระทำเสียงเข้ม  บอกให้รู้ว่าตัวเขาก็สนใจคำพูดของนัตสึเมะขึ้นมาจริง ๆ แล้ว  “ฉันทำให้ฟุยุกิคุงเสียใจตั้งแต่เมื่อไร?”

น้ำเสียงคาดคั้นทำให้นัตสึเมะเลิกที่จะบ่ายเบี่ยง  “ตั้งแต่คิโยฮารุคุงกลับมา”

“เอ๋?”

กะแล้วว่าต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้...นัตสึเมะถอนใจอีก

“มันเรื่องอะไรกันล่ะ?  เกี่ยวอะไรกับคิโยฮารุ?”  คิริฮาระดูแตกตื่น

“ฟุยุกิคุงชอบนายน่ะ”

“เรื่องนั้นฉันรู้”

“เขาอยากเป็นคนรักของนาย”

คิริฮาระเบิกตากว้าง  ก่อนจะมีสีหน้าลำบากใจแบบที่แทบไม่เคยปรากฏให้เห็น

“แต่...ฉันคิดกับฟุยุกิคุงแค่น้อง...”

“ฉันรู้...แต่นั่นก็เป็นความจริง  เด็กคนนั้นเจ็บปวดที่รู้ว่านายมีคนรักแล้ว  เลยพยายามหลบหน้านายไง”

“แบบนั้นเองเหรอ...”  คิริฮาระทำหน้าจ๋อย  “มิน่า...ไม่มาฟังเพลงเลย”

“อกหักครั้งแรก  ก็เลยยังทำใจไม่ได้น่ะ”  นัตสึเมะยักไหล่แล้วคีบซูชิใส่ปากอีก

“แล้ว...นายได้เจอฟุยุกิคุงบ้างมั้ย?”

“ก็เจอบ้าง”  ร่างสูงแบ่งรับแบ่งสู้  แม้ว่าความจริงแล้วเขาจะไม่ด้พบฟุยุกิเลยตั้งแต่วันที่ปล่อยไปกับโทโมกิ

“เขาเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็หงอยไปตามระเบียบแหละ  คนอกหักใครจะร่าเริงได้”

คิริฮาระวางตะเกียบ  “ฉัน...รู้สึกผิดจัง”

น้ำเสียงที่ออกมาจากใจทำให้นัตสึเมะอดเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนไม่ได้

“ไม่เป็นไรหรอก  ถึงฟุยุกิคุงจะเสียใจก็ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก  นายก็แค่รักคิโยฮารุคุง  และจังหวะของฟุยุกิคุงมันไม่เหมาะเท่านั้นเอง”

“ฉันควรจะทำยังไงดี?”

“ไม่ต้องทำหรอก  นี่เป็นเรื่องที่ฟุยุกิคุงต้องผ่านไปด้วยตัวเอง  นายทำอะไรไม่ได้หรอก  นอกจากจะทิ้งคิโยฮารุคุงหามาฟุยุกิคุง”

“บ้า!  ใครจะไปทำได้วะ”  คิริฮาระตวัดหางตาขว้างค้อนวงใหญ่

“ก็นั่นสิ”  พูดแล้วนัตสึเมะก็หัวเราะ  “กินต่อเถอะ  ขอโทษที่ขัดจังหวะการกินนะ”

แต่คิริฮาระยังคงคิดอะไรต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างแล้วพูดออกมา

“ยังมีวิธีแก้ไขอยู่นี่นา”

“ยังไง?”  เจ้าของร้านกาแฟถามพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ

“นายก็ดูแลฟุยุกิคุงเสียเองไงล่ะ”

นัตสึเมะถึงกับสำลัก  “ฉะ...ฉันเนี่ยนะ!?”

“ก็นายน่ะสิ  นายไม่ใช่เหรอที่เป็นคนอยากดูแลเด็กคนนั้นจนต้องเอามาฝากฉันไว้น่ะ”

“มะ...มันก็ใช่...”

“ตอนนี้ฉันทำฟุยุกิคุงเสียใจแล้ว  เพราะงั้น...นายเอากลับไปดูแลเองซะ”  คิริฮาระยิ้มกว้างเหมือนแมวเจ้าเล่ห์

“จะบ้าเรอะ  ไม่ได้หรอก”

“ทำไมจะไม่ได้?”

“คนอย่างฉันเนี่ยนะ...ไม่ได้หรอก”

“คนอย่างนายแล้วจะทำไม...?”  นักดนตรีหนุ่มหรี่ตา  “อ้อ...เรื่องตัวปัญหาของนาย...ใช่มั้ย?”

“นายก็รู้ดีอยู่แล้ว...”

คิริฮาระถอนใจและทำหน้าเบื่อหน่ายออกนอกหน้า  “ทุกที...ต้องมีเรื่องนี้มาขัดทุกที  ไม่เคยทำอะไรกับมันได้เลย  ยัยผู้หญิงพรรค์นั้น...!”

“คิริฮาระ...พอได้แล้ว”  นัตสึเมะปรามด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

“เดี๋ยวนายก็พูด...พูดเยอะด้วย”

“เชอะ!  เกลียดชะมัด  คนรู้ทันเนี่ย”  คิริฮาระพ่นลมออกจมูกอย่างฉุนเฉียวแล้วแย่งซูชิของนัตสึเมะมากิน

“พาลอีกแล้ว”  นัตสึเมะส่ายหน้าแล้วหันไปหยิบซูชิแบบเดียวกับที่คิริฮาระแย่งไปลงจากรางเลื่อน  “แต่เพราะแบบนี้แหละ  ฉันถึงดูแลฟุยุกิคุงไม่ได้ไง”

“...ทั้งที่อยากทำอย่างนั้นจนตัวสั่นน่ะนะ”

“ไม่ขนาดนั้นเสียหน่อย”

“แสดงออกขนาดนั้นยังหน้าด้านเถียงอีก”  ว่าแล้วคิริฮาระก็ถอนใจ  “นายจะมีความสุขมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ  นัตสึเมะ?”

“ฉันมีความสุขแล้วน่า”

“ไม่จริงหรอก”  คิริฮาระสวนทันควัน  “คนที่นายแคร์กำลังเป็นทุกข์  นายไม่มีทางมีความสุขหรอก”

คำพูดนั้นแทงใจ  แต่นัตสึเมะไม่ได้ตอบอะไร  คิริฮาระมองออกทุกอย่างรวมไปถึงความทุกข์และปัญหาเรื้อรังของเขา  แต่เป็นตัวเขาเองที่ยังไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองดี  และเขาเลือกที่จะทำอย่างที่คิโยฮารุบอก...รอ...จนกว่าทุกอย่างจะชัดเจน

...

ซากุระเริ่มร่วงแล้ว  ช่วงเวลาแห่งความงดงามของมันในแต่ละปีสั้นนิดเดียว  ดังนั้นทุกคนจึงตื่นตัวและให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง  ฟุยุกิเองก็เคยให้ความสำคัญกับการชมซากุระเสมอ  แม้จะไม่ได้ไปกับเพื่อนเรียนหรือกับทางบริษัท  แต่ก็มักจะนั่งชมซากุระย้อยกิ่งที่มีอยู่เพียงต้นเดียวในสวนที่บ้าน  หากปีนี้เขามีเรื่องวุ่นวายใจเกินกว่าจะชื่นชมความงามของดอกไม้ได้  ถึงจะได้นั่งชมซากุระกับโทโมกิ  แต่ใจเขายังคงจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น...เมื่อรู้สึกตัวอีกที  ดอกไม้ก็เริ่มร่วงแล้ว

ซากุระ...แม้จะร่วงก็ยังสวยงาม  กลีบดอกสีจาง ๆ ที่พร้อมใจกันทิ้งก้านพลิ้วลงมาตามสายลมดูราวกับม่านหิมะ  สวยจนฟุยุกิอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตที่เหมือนกำลังร่วงหล่นของตนจะสวยได้สักเศษเสี้ยวของซากุระหรือไม่

การได้ไปบ้านโทโมกิและได้พบกับคนรักที่กลายเป็นเจ้าชายนิทราของโทโมกิ  ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าโลกของตนเปลี่ยนไป  มุมมองบางอย่างในชีวิตเปลี่ยนไป  เหมือนมีบางสิ่งกระจ่างใสขึ้น...แต่ความมืดมนในใจก็ยังคงอยู่  ราวกับมีฟุยุกิอยู่สองคน...คนหนึ่งคือฟุยุกิคนเดิมที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์และความเศร้าของตน  ส่วนอีกคนคือฟุยุกิที่กำลังเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มองเห็นโลกกว้างขึ้นมากกว่าตัวเอง  แต่ฟุยุกิคนนี้ยังเป็นแค่หน่ออ่อนที่ยังไม่เติบโตดี  ยังมีบางอย่างซึ่งจำเป็นต่อการเติบใหญ่ที่ยังขาดไป  แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

เลิกงานแล้ว  ฟุยุกิเดินเตร็ดเตร่อยู่ละแวกที่ทำงานเพราะยังไม่นึกอยากกลับบ้าน  วันนี้เป็นวันพุธซึ่งนัตสึเมะปิดร้านและตอนนี้คิริฮาระก็คงกำลังเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนอยู่เป็นแน่  ในเวลาแบบนี้ฟุยุกิรู้สึกเหมือนไม่มีที่ไป  กลับบ้านไปก็ต้องอยู่คนเดียว...ไม่สิ  ช่วงนี้มิโนรุพาแฟนมาที่บ้านบ่อย ๆ  จะเรียกว่าพามาเปิดตัวก็ไม่ผิด  และฟุยุกิไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอเท่าไรนัก

ในสภาพแบบนี้  ฟุยุกิคิดว่าควรจะหาที่อยู่อาศัยของตัวเองไว้แต่เนิ่น ๆ  เขาจึงมักไปด้อม ๆ มอง ๆ ตามป้ายประกาศของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพื่อหาดูห้องที่ถูกใจ  แต่ระหว่างที่เดินดู  ฟุยุกิก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าตัวเองจะอยู่คนเดียวแบบไหน  เขาอยู่กับครอบครัวมาตลอดจนชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า

“สวัสดีครับ  ฟุยุกิคุง”

เสียงทักไม่คาดฝันทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวและรีบหันควับไปทางต้นเสียงทันที  ไม่เคยมีใครมาทักเขาแถวที่ทำงาน  แต่บางทีหัวหน้าหรือรุ่นพี่ในบริษัทอาจจะนึกครึ้มเลยแกล้งทักเขาเล่นก็ได้

แต่เจ้าของเสียงเหนือความคาดหมายไปกว่านั้นมาก  และทำเอาฟุยุกิยืนตะลึงตัวแข็ง

ซาคากิ  คิโยฮารุ!!

พอหายตัวแข็ง  ฟุยุกิก็ลนลานจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหน

“สะ...สะ...สวัสดีครับ  ซะ...ซาคากิ...ซัง...!”

คิโยฮารุแอบยิ้มกับท่าทางน่าเอ็นดูปนน่าขันนั่นแล้วเดินเข้าไปหา

“สวัสดีตอนเย็นครับ  เดินชมดอกไม้หลังเลิกงานเหรอครับ?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้ายิก  “ปะ...ปะ...เปล่าครับ”

คิโยฮารุยิ้มให้อีกแล้วหันไปสังเกตป้ายประกาศที่ฟุยุกิให้ความสนใจอยู่เมื่อครู่

“กำลังหาห้องเช่าเหรอครับ  ผมรู้จักบริษัทอสังหา ฯ ดี ๆ อยู่นะ  ฟุยุกิชอบห้องแบบไหนล่ะครับ?”

“หะ...ห้อง...บะ...แบบ...แบบญี่ปุ่นครับ”

“ห้องแบบญี่ปุ่นก็อยู่สบายดีนะครับ  แต่ผมอยู่ห้องแบบฝรั่งมาตลอดเลยไม่คุ้นกับห้องญี่ปุ่นน่ะ”  คิโยฮารุชวนคุย  แต่เห็นฟุยุกิยังยืนตัวเกร็งเหมือนไม่กล้าหายใจ  จึงเอื้อมมือไปตะปบลงบนไหล่ดังปุบ  “หายใจลึก ๆ ครับ  หายใจลึก~ลึ~ก...”

เด็กหนุ่มเผลอทำตามด้วยความแตกตื่นปนงุนงง  พอหายใจลึก ๆ สองสามครั้งก็ค่อยคลายอาการเกร็งลง  ในที่สุดก็ถอนใจเฮือก

“เป็นไงครับ  ดีขึ้นแล้วนะ?”  คิโยฮารุปล่อยมือ

ฟุยุกิพยักหน้าหงึก ๆ  พอตั้งสติได้แล้ว  คำถามก็มารออยู่ที่ปาก

“ทะ...ทำไมซาคากิ...เอ้อ  อาจารย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?”

ในเมื่อมหาวิทยาลัยที่คิโยฮารุสอนอยู่  อยู่หน้าร้านของนัตสึเมะ  แล้วทำไมคิโยฮารุถึงมาปรากฏตัวละแวกที่ทำงานของเขาได้

“ไม่ต้องเรียกอาจารย์หรอกครับ  พอดีวันนี้ผมเลิกเร็ว  แล้วนัตสึเมะซังก็หยุดร้าน  เลยว่าจะมาหายูคุงน่ะครับ”

ได้ยินชื่อคิริฮาระแล้วฟุยุกิก็หน้าจ๋อยลงทันที  “งะ...งั้นเหรอครับ...”

“แต่ผมเปลี่ยนใจแล้ว”  คิโยฮารุยิ้มกว้างทันควัน  “ผมพาฟุยุกิคุงไปดูคอนเสิร์ตของยูคุงด้วยดีกว่า”

“............เอ๋!!?”

ยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรให้ชัดเจน  รู้สึกตัวอีกทีฟุยุกิก็มายืนอยู่หน้าขั้นบันไดที่ประจำที่ใช้นั่งฟังคอนเสิร์ตข้างถนนของคิริฮาระมาจนถึงเมื่อเดือนก่อน  หัวใจของฟุยุกิเต้นแรง  เมื่อคนที่เขาพยายามหลบหน้ามาตลอดมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกรีดนิ้วลงบนสายไวโอลิน  บรรเลงท่วงทำนองไพเราะเหมือนเช่นที่เคยเห็นมาเสมอ

เด็กหนุ่มเผลอทรุดตัวลงนั่งที่ขั้นบันได  วางกระเป๋าทำงานลงบนตัก  และทอดสายตาไปยังนักไวโอลินหนุ่มเหมือนต้องมนต์  คิโยฮารุนั่งลงข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไร  เขาเข้าใจดี...ยิ่งมองแววตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลแบบนั้นก็ยิ่งเข้าใจ  เขาเคยเป็นมาก่อน  ในตอนนั้นเมื่อนานมาแล้ว  ทุกครั้งที่คิริฮาระเล่นไวโอลินที่ร้านของนัตสึเมะ  เขาที่มักจะหลงเข้าไปในโลกของตัวหนังสือได้เป็นวัน ๆ ก็ยังต้องกลับออกมา  และโดยไม่รู้ตัว...เขาก็จ้องมองคิริฮาระด้วยสายตาแบบเดียวกับฟุยุกิในตอนนี้  กระทั่งตอนที่เป็นคนรักกันแล้ว  เขาก็ยังมีสายตาแบบเดิม...ดวงตะวันของเขาน่าหลงใหลเสมอ

คิริฮาระบรรเลงเพลงจบแล้วเงยหน้าขึ้นมาพบสองคนที่ไม่คิดว่าจะพบนั่งอยู่ที่บันได  เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนงุนงง  ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาในที่สุด  เขาจรดคันซอลงกับสายลวดแล้วเริ่มบรรเลงบรรดาบทเพลงที่ฟุยุกิชื่นชอบ

ริมฝีปากของเด็กหนุ่มสั่นระริก  มือกำแน่น  ใช่...คิริฮาระยังจำเขาได้  ต่อให้คิโยฮารุอยู่เคียงข้างก็ยังมีเขาอยู่ในใจเสมอ  แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว  หากอีกใจหนึ่งก็เถียง...ถ้าไม่ได้เป็นคนสำคัญแล้วจะมีความหมายอะไร  ความสับสนวุ่นวายใจที่เกิดขึ้นแทบจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา

แต่มือใหญ่ ๆ ก็เอื้อมมาโอบไหล่ฟุยุกิไว้  เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นคิโยฮารุ  ฟุยุกิรีบขยี้ตาทันที

“ขอโทษนะ  ฟุยุกิคุง”

“เอ๊ะ!?”  เด็กหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง  คิโยฮารุจะมาขอโทษเขาเรื่องอะไร

“การที่ผมกลับมาคงทำร้ายคุณมากสินะครับ  เหมือนผมมาแย่งยูคุงไปจากคุณ”

น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นยิ่งทำให้ฟุยุกิสับสน  เขาแทบไม่เคยคุยกับคิโยฮารุเลยด้วยซ้ำ  แต่ผู้ชายคนนี้กลับรู้ทุกอย่างที่เขารู้สึก

“ระ...เรื่องนั้น...”  ฟุยุกิพยายามปฏิเสธ  แต่คำพูดกลับไม่ยอมออกมา

“ผมเข้าใจความรู้สึกที่คุณมีต่อยูคุงครับ  ผมเองก็เคยเป็น...และยังเป็นมาตลอด”  แววตาของคิโยฮารุอ่อนโยน  หากมีแววมุ่งมั่นบางอย่าง  “แต่ผมสูญเสียเขาไปไม่ได้ครับ”

ฟุยุกินิ่งอึ้ง  คำพูดนั้นเรียบง่าย  นุ่มนวล  แต่ชัดเจนในเจตนา...แม้จะเข้าใจความรู้สึกของเขา  คิโยฮารุก็ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวดียว

“ยูคุงคือความหมายในการมีชีวิตอยู่ของผมในตอนนี้ครับ”

“...ความหมาย...?”

คิโยฮารุพยักหน้าพลางยิ้ม  สีหน้านั้นละมุนละไม

“ตอนที่ผมอายุเท่า ๆ คุณ  ผมเป็นพวก...ปลีกตัวจากสังคม...น่าจะเรียกแบบนี้ได้”

ปลีกตัวจากสังคม...?  คิโยฮารุดูไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด

“ผมมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้ไม่กล้าเข้าสังคมมาตั้งแต่เด็กน่ะครับ  ไม่ถึงกับขังตัวเองอยู่ในบ้านแต่ก็พยายามจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร  อาศัยหนังสือเป็นเพื่อน  แล้วก็ทำอะไร ๆ ตามลำพัง  เหมือนว่าตัวเองพอใจที่เป็นแบบนั้น  แต่จริง ๆ แล้วมันเหงามากเลยละครับ”

ฟุยุกิเข้าใจความรู้สึกนั้นดี  ทั้งที่เหงาแสนเหงาแต่ก็ไม่รู้จะเข้าหาคนอื่นได้อย่างไร...ไม่รู้วิธีการมีเพื่อน

“ในตอนที่ผมกำลังเป็นแบบนั้น  ยูคุงก็บุกรุกเข้ามาในชีวิตผม”

“บุกรุก?”  คำพูดไม่คาดฝันออกมาอีกคำหนึ่งแล้ว

คิโยฮารุหัวเราะ  “ครับ  บุกรุก...ละเมิดความเป็นส่วนตัวเลยละครับ  ชีวิตผมช่วงนั้นปั่นป่วนไปหมดเลย”

เด็กหนุ่มคิดถึงตัวเอง  คิริฮาระไม่ได้เป็นฝ่ายเข้ามาหา  แต่เป็นเขาเองสินะที่ก้าวเข้าไปในชีวิตของคิริฮาระ...และฝ่ายนั้นก็ยอมรับเขาไว้ด้วยความสงสาร

...สงสาร...ไม่ใช่ความรักสินะ

“แต่ความจริงแล้ว  ผมก็ชอบเขามาก่อนหน้านั้นแล้วละครับ  ก็เหมือนกับที่ทุกคนที่นี่ชอบเขา  ยูคุงดึงดูดคนได้เสมอ”  คิโยฮารุกวาดตามองไปรอบ ๆ  “แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตผม  แล้ว...หลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมด  เปลี่ยนไปหมดเลยจริง ๆ”
หัวข้อ: Re: Lock on You 10 / 23-05-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 23-05-2015 21:42:17
“ที่...โดนคิริฮาระซังไล่ไปเรียนที่เยอรมันน่ะเหรอครับ...”  ฟุยุกิเผลอเน้นคำว่า  ไล่  เหมือนส่วนลึกในหัวใจแสดงอาการต่อต้านบางอย่างออกมา

คิโยฮารุยิ้มกว้าง  “นัตสึเมะซังเล่าให้ฟังเหรอครับ?”

ฟุยุกิพยักหน้า  ไม่มีอะไรต้องโกหกนี่นะ

“ใช่ครับ  โดนขู่ว่าถ้าผมไม่รับทุน  เขาจะเลิกคบกับผมด้วย  เลิกแบบว่าชีวิตนี้ไม่ต้องมาเจอกันอีกแล้วเลยนะครับ”

เด็กหนุ่มทำตาโต  “ทำไม...ถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?  ใจร้ายจัง...”

คิโยฮารุส่ายหน้า  “ทีแรกผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันครับ  แต่ตัวผมในตอนนั้นน่ะ  นอกจากอ่านหนังสือแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นไรสักอย่าง  ถ้ายูคุงไม่บังคับแบบนั้น  ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผมจะเป็นยังไง  จะทำอะไรอยู่ที่ไหน...แต่ที่แน่ ๆ  คงไม่ได้เป็นอาจารย์มีหน้าที่การงานดี ๆ แบบนี้แน่”

ฟุยุกินิ่งฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจนั้น...จะมีสักวันไหมที่เขาจะสามารถพูดถึงตัวเองด้วยน้ำเสียงแบบนี้ได้

“ตอนนั้นยูคุงกำลังมีปัญหาชีวิต  และผมอยากอยู่ข้าง ๆ เขาครับ  แต่ยูคุงไม่ยอมเอาอนาคตของเราสองคนไปเดิมพันกับปัญหาของตัวเอง  เลยบังคับให้ผมไปเยอรมัน...ไปเผชิญปัญหาชีวิตบ้าง”  ชายหนุ่มหัวเราะตบท้าย

“ปัญหาอะไรเหรอครับ?”

“เยอะเลยครับ  แรกสุดก็ภาษา  ต่อมาก็การเข้าสังคม  ถึงจะอยู่กับยูคุงมานานก็ไม่ใช่ว่าผมจะเข้าสังคมได้ง่าย ๆ นะครับ  การไปอยู่ตามลำพังต่างที่ต่างแดนทำให้ผมต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด  พูดเยอรมันไม่ได้ก็ต้องพูดให้ได้  ไม่กล้าคบใครก็ต้องคบให้ได้  ในเมื่อยูคุงยังเอาตัวรอดจากปัญหาของตัวเขาได้โดยไม่มีผม  ผมก็ต้องทำให้ได้โดยไม่มียูคุงเหมือนกัน  เพื่อที่ความรักและการเสียสละของยูคุงจะได้ไม่สูญเปล่า  ผมจะต้องมีอนาคตที่มั่นคงให้ได้  เพื่อเป็นหลักประกันให้ชีวิตของเราสองคน  ด้วยแรงผลักดันนั้นทำให้ผมมีทุกวันนี้ได้ครับ”

ฟุยุกิกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอลงไปอย่างยากเย็น  เขาไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว  แต่บางอย่างในหัวใจบอกว่าเขาต้องฟังให้จบ  คำพูดของคิโยฮารุคือสิ่งจำเป็น

“ผมใช้ยูคุงเป็นแรงผลักดัน...เป็นหลักยึดของชีวิตมาตลอด  แม้ในตอนนี้ผมจะมีหน้าที่การงานมั่นคงดีแล้ว  แต่ผมก็ยังยึดเขาเอาไว้  ผมพยายามดำเนินชีวิตให้ดีเพื่อให้ยูคุงภาคภูมิใจในตัวผมที่เขาอุตส่าห์ค้นหาและพาออกมาจากกำแพงที่ผมสร้างขึ้นมาขังตัวเองเอาไว้  ผมทำทุกอย่างเพื่อเขา  มีชีวิตอยู่เพื่อเขา  เพราะอย่างนั้น...ผมจึงสูญเสียเขาไปไม่ได้”  คิโยฮารุสูดลมหายใจลึกแล้วโอบไหล่ฟุยุกิรั้งไปกอดไว้แน่น  “...ขอโทษนะครับ  ฟุยุกิคุง”

...ขอโทษหรือ?...คิโยฮารุจะต้องมาขอโทษเขาทำไม  เขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ...แม้จะคิดอย่างนั้น  แต่ฟุยุกิก็พูดไม่ได้  ร้องไห้ไม่ออก  ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น

แล้วเสียง...ก็ลอยมาเข้าหู

“เอาละครับ  ต่อไปเป็นเพลงสุดท้ายของวันนี้  เป็นเพลงโปรดของคนพิเศษของผม  เชิญรับฟังครับ”

เสียงของคิริฮาระ...เพลงของคนพิเศษ...เพลงนั้นสินะ  ที่เคยได้ฟังที่ร้านของนัตสึเมะ

ฟุยุกิหลับตาลงด้วยความรวดร้าวที่เอ่อท้นออกมาจากใจ  หากเสียงที่มากระทบหูกลับเป็นท่วงทำนองที่คุ้นเคย

...Curtain Call…

เด็กหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้น  แล้วก็พบกับสายตาของคิริฮาระที่จ้องมองมาก่อนอยู่แล้ว  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นฉายแววอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่มองมาที่เขา  รอยยิ้มบาง ๆ แต้มอยู่ที่ริมฝีปาก...งดงามเหมือนที่เคยเห็น  ท่วงทำนองของเพลงอ่อนหวานกว่าที่เคย

...คนพิเศษ...

คำนั้นออกมาจากปากคิริฮาระ...และหมายถึงเขา

น้ำตาไหลอาบแก้ม  ความรู้สึกหลากหลายทะลักออกมาพร้อมกับน้ำตา  ทั้งเสียใจ  โล่งใจ  รู้สึกผิด  และตื้นตัน...ทุกอย่างปะปนกันและกลั่นออกมาเป็นน้ำตา...ที่หยุดไม่ได้

ผ้าเช็ดหน้ากลิ่นหอมอ่อน ๆ ถูกยื่นมาซับน้ำตาให้  ฟุยุกิรับมันมาแล้วซุกหน้ากลั้นสะอื้น  คิโยฮารุยังคงโอบเขาไว้แน่น

ชัดเจนแล้ว...ทั้งคิริฮาระและคิโยฮารุพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้ว  เขาเป็นคนพิเศษของคิริฮาระคนหนึ่ง  แต่คิโยฮารุพิเศษกว่านั้นมากนัก  และคิริฮาระก็สำคัญกับคิโยฮารุมากเกินกว่าที่เขาจะเข้าไปแทรกหรือช่วงชิงมาได้

หน่ออ่อนของความเป็นผู้ใหญ่ยอมรับและทำความเข้าใจ...จนเริ่มผลิใบ

หากฟุยุกิที่ยังเยาว์วัยกลับร้องไห้ไม่หยุด  แม้จะอยู่ในวงล้อมของความอ่อนโยนก็ยังโหยหา...ความรัก...ที่จะเป็นของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น

...

ฟุยุกิไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดอะไรถึงได้ไปที่คลับของคิริฮาระตามคำชวน  บางทีอาจไม่ได้คิดอะไรนอกจากหาที่ซ่อนน้ำตาเลยก็ได้  คิริฮาระเดินจูงมือเด็กหนุ่มไปตลอดทางโดยมีคิโยฮารุเดินตามไปห่าง ๆ  มือนั้นอบอุ่นเหมือนเมื่อครั้งแรกที่คิริฮาระเดินจูงมือเขาไปที่ร้านของนัตสึเมะ  ฟุยุกิกุมมือนั้นไว้แน่น...บางทีเขาอาจจะอยากเหนี่ยวรั้งความอบอุ่นนี้ไว้ให้นานที่สุดถึงได้ตามมา

โต๊ะเล็กมุมด้านในที่ไม่สะดุดตานักคือที่ที่คิริฮาระเลือกให้ฟุยุกินั่ง  แม้จะเป็นโต๊ะที่นั่งได้สองคนแต่คิโยฮารุก็ไม่ได้มานั่งด้วย  ชายหนุ่มทั้งสองเข้าใจดีว่าหลังจากร้องไห้มาอย่างหนักแล้ว  ฟุยุกิคงต้องการเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพังบ้าง  แต่ครั้นจะปล่อยให้กลับบ้านไปคนเดียวก็อดห่วงไม่ได้

เหล้ามิ้นต์อ่อน ๆ แบบที่คิริฮาระชงให้ฟุยุกิดื่มบ่อย ๆ ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะนานแล้ว  แต่เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะแตะต้องมัน  เขานั่งก้มหน้านิ่ง  ทอดสายตาต่ำมองพื้น  เฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น  คำพูดของคิโยฮารุ...และการกระทำของคิริฮาระ

ความผูกพันของทั้งสองไม่มีที่ให้เขาแทรกเข้าไปในความรู้สึกฉันชู้สาว  เขาเป็นได้เต็มที่แค่น้องชายคนหนึ่งเท่านั้น  ความจริงเขาน่าจะพอใจแล้วกับคำว่าคนพิเศษของคิริฮาระ...ใช่...ในส่วนลึกเขาก็พอใจแล้ว  แต่ความว่างเปล่าบางอย่างในหัวใจทำให้ยังไม่อยากพอใจเพียงแค่นั้น  เป็นความว่างเปล่าที่รู้สึกว่าเป็นบางสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตและเขาคิดว่าคิริฮาระจะสามารถเติมเต็มให้ได้  เขาต้องการแสงตะวันนำทาง...หรือมือของใครสักคนที่จะจูงเขาออกไปจากชีวิตที่มืดมนนี้

เสียงไวโอลินแว่วมา  ดึงให้ฟุยุกิหลุดจากห้วงคิดคำนึง

ที่เคาน์เตอร์...คิริฮาระกำลังบรรเลงไวโอลินตามคำเรียกร้องของลูกค้า  เพลงที่เล่นเป็นเพลงป๊อปที่กำลังติดหูอยู่ในตอนนี้  แต่ไม่ว่าจะเล่นเพลงทั่ว ๆ ไปหรือเพลงคลาสสิค  คิริฮาระก็ดูดีเสมอ  ชายหนุ่มดูมีความสุขทุกครั้งที่ได้จับไวโอลิน  แม้จะบรรเลงเพลงเศร้าก็ยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่ริมฝีปากตลอดเวลา...งดงามและเจิดจ้า...เหมือนดวงตะวัน

แล้วคิริฮาระก็หันไปหัวเราะกับคิโยฮารุที่ยืนเช็ดแก้วเหล้าอยู่  ฟุยุกิสลดวูบ  ดวงตะวันดวงนี้ไม่ใช่ของเขา...คิริฮาระจะส่องแสงให้กับคิโยฮารุเท่านั้น  แม้มือนั้นจะจับมือเขาจูงเดิน  แต่ก็เป็นมือที่คอยจูงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว  ไม่ใช่มือที่จะพาไปส่งจนถึงปลายทางได้

ไม่ใช่มือของคิริฮาระ...ฟุยุกิเข้าใจแล้วว่าต้องการมือของใครสักคนที่จะคอยประคับประคองไม่ให้ล้มลงบนถนนที่มองไม่เห็นทางไปนี้  ต้องการใครสักคนที่จะเป็นแสงจันทร์ส่องนำทางยามค่ำคืนอันมืดมิด  ไม่ใช่แสงตะวันที่รออยู่ตรงปลายทาง

พลันเด็กหนุ่มก็รู้สึกตัว

เขามีมือที่ว่านั้นอยู่แล้ว...มือที่คอยประคองตอนที่เขาซวนเซแทบจะล้มลง  มือที่คอยหยิบยื่นถ้วยชาหอมกรุ่นมาให้ยามอ่อนล้า  มือที่เอื้อมมือมาตบไหล่และมอบคำแนะนำอันเป็นกำลังใจ

มือที่อ่อนโยนและกรุ่นด้วยกลิ่นกาแฟ

คำพูดของโทโมกิย้อนกลับมาในหัว

...อาริโยชิซังไม่ได้มีแค่คิริฮาระซังนี่ครับ  ยังมีนัตสึเมะซังอยู่ทั้งคน...

รอยยิ้มของนัตสึเมะผุดขึ้นมา

...ฟุยุกิคุง  ยังไงก็มีผมอยู่นะครับ...

เขาเชื่อ...คำพูดนั้นได้ใช่ไหม

ฟุยุกิคว้ากระเป๋าทำงานแล้วรีบร้อนตรงไปยังเคาน์เตอร์  แต่คิริฮาระยังบรรเลงเพลงไม่จบและเขาไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้อีกแล้ว  เด็กหนุ่มฝากข้อความขอบคุณไว้กับจูอิจิที่บังเอิญเดินผ่านมาใกล้ ๆ แล้วผลุนผลันออกจากร้านไป

สองขาก้าวไปบนทางเดินอย่างร้อนรนใจ  ค่อนข้างดึกแล้ว...และวันนี้เป็นวันหยุดของนัตสึเมะ  ฟุยุกิไม่แน่ใจว่านัตสึเมะจะเข้านอนเร็วแค่ไหน  ไม่แน่ว่ามันเป็นการรบกวนหรือเปล่า  รู้แค่ว่าเขาต้องไปหานัตสึเมะเดี๋ยวนี้

ฟุยุกิเดินฝ่าสายลมเย็นมาจนหยุดยืนตรงหน้าประตูหลังบ้านของนัตสึเมะ  แสงไฟยังลอดออกมาทางหน้าต่าง...นัตสึเมะยังไม่นอน  หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง  เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเคาะประตู

ไม่กี่อึดใจก็มีเสียงกุกกักจากอีกฟากหนึ่งของประตู  ตามมาด้วยคำถาม

“ครับ?  ใครครับ?”

“...ผมเองครับ...ฟุยุกิ...”

ประตูบ้านเปิดออกทันที  นัตสึเมะอยู่ที่นั่น...ในชุดไปรเวทที่ฟุยุกิไม่ค่อยคุ้นตา  หากรอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนที่เป็นมาเสมอ

แค่เห็นหน้า...น้ำตาก็ไหล  ฟุยุกิพูดอะไรไม่ออก  ไม่มีกระทั่งคำทักทายด้วยซ้ำ

หากนัตสึเมะไม่ได้ว่าอะไร  เขาจับมือเด็กหนุ่มแล้วดึงให้เดินเข้ามาในบ้านก่อนจะปิดประตู  มือใหญ่เอื้อมมาปาดเช็ดน้ำตาให้อย่างนุ่มนวลก่อนจะค่อย ๆ รั้งร่างนั้นไปกอดไว้แล้วลูบเรือนผมดำนุ่มมืออย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรนะครับ  ฟุยุกิคุง  ยังมีผมอยู่นะ”

ฟุยุกิซบหน้าลงกับอกกว้างแล้วสะอื้นเบา ๆ  นัตสึเมะเข้าใจเขาโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย  เขาน่าจะมาที่นี่ตั้งแต่แรก...น่าจะรู้ตัวให้เร็วกว่านี้

ใบหน้าถูกช้อนประคองให้เงยขึ้น  ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นร้อนจะประทับแนบลงมาที่หน้าผากมน

พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเกือบจะพร้อมกับที่ประตูเปิดออกและตามมาด้วยเสียงสดใสของหญิงสาว

“นัตสึเมะ~”

ร่างสูงรีบผละออกจากฟุยุกิอย่างรวดเร็ว  เด็กหนุ่มเองก็สะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปมองที่ประตูพร้อม ๆ กัน

ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูคือหญิงสาววัยกลางคนที่ฟุยุกิเคยพบเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ในวันนั้นเธอเข้ามาในร้านด้วยท่าทางมึนเมาและเข้ามากอดนัตสึเมะไว้...

ฟุยุกิเบิกตากว้าง...ใช่แล้ว  เธอคนนี้คือ...คนรักของนัตสึเมะ!!

หญิงสาวยืนมองทั้งสองอย่างงุนงง

“...เคย์โกะซัง...?”  นัตสึเมะพูดออกมาได้ในที่สุด

“มี...แขกหรอกเหรอเนี่ย...?”  เคย์โกะเองก็เอ่ยออกมาอย่างขัด ๆ เขิน ๆ  ก่อนจะสังเกตเห็นรอยน้ำตาบนใบหน้าของฟุยุกิ  “ตายจริง!  ร้องไห้ทำไมคะ?  เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

น้ำเสียงของเคย์โกะมีแววห่วงใย  หากฟุยุกิรีบหลบหน้าทันที

“ผะ...ผม...ขอตัวก่อนนะครับ!!”

เด็กหนุ่มผละออกจากอ้อมแขนของนัตสึเมะแล้วเผ่นออกไปทางประตูที่เคย์โกะยังเปิดค้างไว้ก่อนที่ใครจะห้ามได้ทัน

“ฟุยุกิคุง!!  เดี๋ยว...!”  นัตสึเมะตะโกนไล่หลังไป  แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะทำยังไงต่อจึงได้แต่ชะงักอยู่แค่นั้น

เคย์โกะมองตามแผ่นหลังที่วิ่งหายไปในความมืดอย่างงุนงง  แต่ก็ค่อนข้างจะแน่ใจแล้วว่าตนโผล่มาผิดจังหวะผิดเวลาอย่างแน่นอน  ยิ่งหันกลับมาเห็นสีหน้าที่เกือบจะเจ็บปวดของนัตสึเมะ  เธอยิ่งรู้สึกกระดาก...จริง ๆ แล้ว  เด็กผู้ชายนั้น  ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นเวลาร้องไห้หรอก  นอกจากคนที่ไว้ใจจริง ๆ

“...ขอโทษนะ  นัตสึเมะ”

“ขอโทษทำไมครับ?”  นัตสึเมะหันมามองเธออย่างประหลาดใจ  หากในแววตายังแฝงแววรวดร้าวอยู่

“เด็กคนนั้น...คงกำลังปรึกษาอะไรเธอสินะ  เรื่องสำคัญด้วย  แล้ว...ฉันก็ดันโผล่มา...”  เคย์โกะอ้อมแอ้ม

นัตสึเมะถอนใจหนักหน่วง  “ไม่ใช่ความผิดของเคย์โกะซังหรอกครับ  ไม่ต้องขอโทษหรอก”

เคย์โกะค่อยโล่งใจ  “ว่าแต่...มีเรื่องอะไรกันเหรอ?  ถึงกับร้องไห้แน่ะ”

“อกหักน่ะครับ”  น้ำเสียงตอบราบเรียบ  หากนัตสึเมะแอบกำมือแน่น

เขารู้...ตอนนี้การอกหักของฟุยุกิ  กินความหมายไปไกลเกินเรื่องของคิริฮาระมากนัก...เขาพลาดเอง  จังหวะมันเลวร้ายเกินไป

...

ฟุยุกิไม่ได้กลับบ้าน  เขาไม่กล้าขึ้นรถไฟในสภาพนี้หรอก  เด็กหนุ่มเดินเปะปะไปเรื่อยเปื่อย  ก้มหน้าซ่อนน้ำตาไว้ไม่ให้ใครเห็น  ในสมองปั่นป่วนวุ่นวายจนแทบจะจับต้นชนปลายไม่ได้  เขาเดินมาจนถึงสวนสาธารณะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งจึงได้แวะเข้าไปนั่ง

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้  น้ำตาแห้งไปนานแล้ว  แต่ฟุยุกิยังคงนั่งซึมอยู่ที่นั่น  สมองที่สับสนจนถึงที่สุดแล้วกลับว่างเปล่า  เหลือเพียงความเจ็บปวดจนหัวใจชาและความเข้าใจ...เข้าใจว่าไม่มีความรักของใครเป็นของเขา  ไม่มีแสงใดจะส่องนำทางเขา  ไม่ว่าจะเป็นแสงตะวันหรือแสงจันทร์ก็ตาม...เขาจะต้องอยู่ในความมืดมนนี้ไปตามลำพัง

เมื่อความเข้าใจนั้นตกตะกอนดีแล้ว  เด็กหนุ่มก็ยกนาฬิกาขึ้นดู  ดึกมากแล้ว...รถไฟก็หมดไปนานแล้ว  ฟุยุกิเดินออกจากสวนสาธารณะไปยังถนนใหญ่เพื่อเรียกแท็กซี่  โชคดีที่ไม่ต้องรอนานนักก็มีแท็กซี่ผ่านมา  เขาบอกจุดหมายแล้วนั่งนิ่งเงียบไปตลอดทาง  ระหว่างนั้น...ร่างกายก็ค่อยหนาวสะท้านมากขึ้นทุกที  แน่ละ...ฟุยุกิคิดอย่างไม่ใส่ใจ...ก็เขานั่งตากลมตากน้ำค้างอยู่อย่างนั้นมาตั้งหลายชั่วโมง  จะเป็นไข้ก็ไม่แปลกหรอก  ช่างเถอะ...กลับไปค่อยกินยาก่อนนอนก็ได้

แต่ฟุยุกิก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิด  พอพาตัวเองเข้าไปในห้องนอนได้  เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรไหว  อาการหนาวสะท้านรุนแรงขึ้นจนร่างกายเหมือนจะเป็นตะคริว  สิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็แค่หยิบรีโมทมาเปิดเครื่องทำความร้อน  ก่อนจะทิ้งกายลงบนเตียงโดยไม่ได้ถอดสูททำงานด้วยซ้ำ  ลมหายใจร้อนผ่าว  ร่างกายสะท้านเป็นระยะ  ฟุยุกิรู้ว่าตัวเองอาการไม่ดีแล้วและควรจะเรียกมิโนรุที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ  แต่จิตใจที่จมอยู่ในห้วงแห่งความมืดมนกลับไม่อยากจะดิ้นรนอะไรอีกแล้ว  ดังนั้น...เด็กหนุ่มจึงหลับตาลงช้า ๆ  ปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ความมืดมิด

หูแว่วเสียงมิโนรุแผ่วเบา  บางทีพี่ชายคงจะได้ยินเสียงเขาเลยลุกมาดูสินะ  เขากลับบ้านดึกมาก  คงต้องถูกดุแน่  แต่ตอนนี้เขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรอีกแล้ว  เขาเหนื่อยเหลือเกิน  อยากจะพักเสียที  วันนี้มันมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไปจนเขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว...ให้เขาได้นอนเถอะ

มีความรู้สึกว่าใครบางคนมาเขย่าตัว  และเสียงตื่นตกใจของพี่ชายมากระทบหู

“ฟุยุกิ!...ฟุยุกิ!!?”

หากสัมผัสเหล่านั้นเหมือนลอยมาจากที่ไกลแสนไกล...แล้วทุกสิ่งก็ดับวูบลง


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 11 / 25-06-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 25-06-2015 21:57:08
สวัสดีครับ สบายดีกันหรือเปล่า ท่าทางจะไม่เหลือคนอ่านเท่าไรแล้ว กระทู้ไหลเร็วมาก และเนทบ้านผมป่วยมากด้วยครับ คราวนี้เลยเว้นช่วงไปเสียนาน รออ่านตอนจบแล้วก็ไม่ว่ากันครับ ฮะๆๆ
มาต่อกันเลยนะครับ

Lock on You 11

“พูดไปแล้ว”

“ใช่...พูดไปแล้ว”

หลังจากความเงียบที่มีแค่สายตาประสานบอกเล่าเรื่องราวกันครู่หนึ่ง  เสียงถอนใจก็ตามมา

“แล้วฉันก็พลาดไปแล้วด้วย...”

“นายพลาดเรื่องอะไรเหรอ  นัตสึเมะ?”

คนถูกถามถอนใจอีกเฮือกใหญ่  “หลังจากออกมาจากคลับของนาย  ฟุยุกิคุงมาหาฉันน่ะสิ”

“แล้วมันพลาดตรงไหน?”  คนฟังขมวดคิ้ว

“ตรงที่เคย์โกะซังดันมาที่นี่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรน่ะสิ”  พูดแล้วนัตสึเมะก็ถอนใจใหญ่...ยาว...

คิริฮาระเอาหน้าผากโขกเคาน์เตอร์ร้านกาแฟ  “โธ่...นัตสึเมะเอ๊ย...”

“แล้วจากวันนั้นฟุยุกิคุงก็หายหน้าไปเลยสินะครับ”  เป็นคิโยฮารุที่พูดแทรกขึ้นมา

“ครับ  ผมยังไม่เจอเขาอีกเลย”

“ผมไปดู ๆ แถวบริษัทเขาก็ไม่เห็นเลยนะครับ  นี่มันก็ร่วมอาทิตย์แล้ว...ท่าทาง...พวกเราคงโดนเกลียดซะแล้วละครับ”

“คิโยะก็พูดตรงเกินไปน่า”  คิริฮาระขัด

“แต่มันคงจะจริงนั่นแหละ”  นัตสึเมะพึมพำกับตัวเองแล้วทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง

หัวใจของเขาหนักอึ้งมาตลอดหลายวันนี้  แม้จะเป็นห่วงฟุยุกิแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นทำงานที่ไหน  ไม่มีกระทั่งเบอร์โทรศัพท์  ทั้งที่รู้จักกันมาร่วมปีแล้ว  แต่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับฟุยุกิเลย

แต่ในระหว่างที่นัตสึเมะ  คิริฮาระ  และคิโยฮารุไม่รู้  ฟุยุกิรู้สึกตัวขึ้นมาในโรงพยาบาลเมื่อหลายวันก่อน  ความรู้สึกแรกคือความร้อนที่แผดเผาอยู่ในร่างกายจนลำคอแสบร้อนและสายตาพร่ามัวไปหมด  เด็กหนุ่มระบายลมหายใจอย่างยากลำบากแล้วพยายามขยับตัว  ทันใดนั้น  ใครบางคนก็ปราดเข้ามาในสายตา

“ฟุยุกิ!  รู้สึกตัวแล้วเหรอ!?”

ฟุยุกิเขม้นตามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขมุบขมิบปากเอ่ยออกมาเบา ๆ

“...คุณพ่อ...”  พูดออกไปแล้วก็นึกประหลาดใจ  พ่อน่ะเหรอ  จะมาอยู่ข้างกายเขาในเวลาแบบนี้

“ใช่  พ่อเอง...เป็นไงบ้าง?”  มือใหญ่เอื้อมมาแตะหน้าผากแล้วเกลี่ยผมออกให้

“...หิวน้ำ...”

“รอเดี๋ยวนะ”

ไม่นานนัก  ร่างก็ถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่งเอน ๆ แล้วหลอดดูดก็จรดเข้าที่ริมฝีปาก  ฟุยุกิเอนกายซบผู้เป็นพ่ออย่างล้าแรงแล้วค่อย ๆ ดื่มน้ำ  แต่แม้จะกระหายสักแค่ไหน  เด็กหนุ่มก็อ่อนล้าเสียจนดื่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ปล่อยหลอด

“พอแล้วเหรอ?””

พอเห็นฟุยุกิพยักหน้าแทนคำตอบ  ผู้เป็นพ่อก็วางแก้วน้ำแล้วค่อย ๆ ประคองฟุยุกิลงนอน

“พักซะ  ไข้แกยังสูงอยู่เลย  เดี๋ยวตอนบ่ายคุณหมอจะมาดูอาการอีกที”

แม้จะไม่คุ้นกับมือที่ลูบผมให้อย่างอ่อนโยน  แต่ฟุยุกิก็หลับตาลงแต่โดยดีพร้อมกับคิดว่านี่จะต้องเป็นความฝันอันประหลาดที่เกิดจากพิษไข้แน่

แล้วหลังจากนั้นฟุยุกิก็หลงวนเวียนอยู่ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง  บางขณะก็อยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่รู้จะเดินออกไปทางไหน  แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างและได้ยินเสียงพ่อ  เคียวยะ  และมิโนรุพูดอะไรกันแต่จับความไม่ได้...และหลายครั้งที่รู้สึกถึงมือที่แตะลงบนหน้าผาก  ตามมาด้วยสัมผัสอบอุ่นแปลกประหลาดไม่คุ้นเคย

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้  เมื่อฟุยุกิลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับสัมผัสทางกายที่รู้สึกสบายขึ้น  แสงสว่างที่เหมือนไม่ได้เห็นมานานทำเอาตาพร่ามัวจนต้องหลับตาลงอีกแล้วค่อยปรับสายตาจนคุ้นชิน  เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนยาวออกมา  เสียงผ่อนลมหายใจนั้นเองที่เรียกให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงรู้สึกตัวแล้วชะโงกหน้ามามอง

“ตื่นแล้วเหรอ  ฟุยุกิ?”

“...คุณพ่อ?”

พ่ออีกแล้วหรือ...น่าประหลาดจริง  ดูเหมือนว่าคนที่เขาตื่นมาเจอเมื่อครั้งที่แล้วก็จะเป็นพ่อใช่ไหม...

“อื้ม  พ่อเอง...คราวนี้พูดรู้เรื่องแล้วนี่นะ”  มือชราแตะลงที่หน้าผาก  “ไข้ลดลงเยอะแล้วด้วย”

“...พูดรู้เรื่อง...?”

“วันก่อนแกก็ตื่นมาแบบนี้แหละ  แต่ไข้สูงจนพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย”

“...ไข้สูง...?”

“ปอดบวมน่ะ  แกนึกยังไงถึงไปตากลมตากฟ้าจนเป็นไข้แบบนี้?”

“ตากลม?...ปอดบวม?...”  ฟุยุกินึกทวน  แต่ความทรงจำมันพร่ามัวไปหมด

“ช่างมันก่อนเถอะ  เดี๋ยวอาการดีขึ้นก็นึกออกเอง  หิวน้ำหรือเปล่า  ดื่มน้ำสักหน่อยมั้ย?”

พอฟุยุกิพยักหน้ารับข้อเสนอ  ผู้เป็นพ่อก็พยุงเขาขึ้นนั่งแล้วจัดหมอนรองหลังให้  เด็กหนุ่มออกจะประหม่าจนถึงขั้นขัดเขินกับสิ่งที่พ่อทำให้  ในความทรงจำของเขาตั้งแต่เล็กจนโตพ่อไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย  ไม่เคยกระทั่งเฝ้าไข้เสียด้วยซ้ำ

ในตอนที่ฟุยุกิกำลังดื่มน้ำ  พยาบาลก็เข้ามาวัดไข้  เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มรู้สึกตัวได้สติดีแล้วก็บอกว่าจะไปแจ้งให้แพทย์เข้าของไข้ทราบแล้วขอตัวออกจากห้องไป

ความเงียบปกคลุมห้องไปชั่วขณะ  แล้วสึโตมุผู้เป็นพ่อก็เอ่ยขึ้น

“กินแอปเปิ้ลมั้ย?  ยาเอะซังปอกแล้วฝากเคียวยะมาเมื่อเช้าแน่ะ”  คำพูดนั้นหมายถึงคุณแม่บ้านเก่าแก่ที่อยู่กับครอบครัวมานานจนเกือบเหมือนญาติ  ว่าแล้วสึโตมุก็กุลีกุจอเปิดตู้เย็น

“...ทำไม...คุณพ่อถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?”  ตามปกติจะต้องเป็นคุณแม่บ้านที่คอยดูแลเขาอยู่เสมอ

“ก็ทั้งบ้านมีแต่ตาแก่คนนี้ที่ว่างงานน่ะสิ”  สึโตมุตอบเรื่อย ๆ พลางหยิบกล่องใส่แอปเปิ้ลออกมา

“คุณพ่อก็ยังทำงานอยู่นี่ครับ”  ถึงความทรงจำจะคลุมเครือ  แต่ฟุยุกิจำได้แม่นว่าผู้ชายวัยเกษียณคนนี้ยังเป็นทนายความฝีมือดีที่มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ

“งานของฉันไม่ต้องตอกบัตรเข้าทำงานเหมือนพวกพี่ ๆ แกนี่  แล้วตอนนี้ฉันก็ว่างงานจริง ๆ ด้วย”  สึโตมุกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง  จิ้มแอปเปิ้ลส่งให้ฟุยุกิ

เด็กหนุ่มรับแอปเปิ้ลที่บรรจงปอกเป็นรูปกระต่ายมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะพึมพำขอบคุณเบา ๆ

“เคี้ยวให้ละเอียดก่อนล่ะ  แกไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน  เดี๋ยวจะไม่ย่อย”  คนเป็นพ่อเจ้ากี้เจ้าการ

ฟุยุกิทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย  แต่กินได้แค่สองสามชิ้นก็อิ่ม  เขาเอนหลังพิงหมอนอย่างอ่อนล้า

“นั่งพักเสียก่อน  นอนเลยเดี๋ยวสำลัก...อ้อ  เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยมั้ย?”

“เรียกพยาบาลเหรอครับ?”

“จะเรียกทำไม  ฉันก็ทำเป็น”

“...เอ๋?...”

ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะสงสัยได้สุดหางเสียง  สึโตมุก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ  ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับกะละมังเล็กและผ้าขนหนู  เขาวางข้าวของที่โต๊ะข้างเตียงแล้วจัดแจงปลดเชือกของชุดคนไข้ออก  ฟุยุกิเกร็งตัวแข็ง

“ถ้าหนาวก็บอกนะ”

ว่าแล้วผู้เป็นพ่อก็ลงมือเช็ดตัวให้ฟุยุกิอย่างรวดเร็วและชำนาญ  ในขณะที่เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อ  ในหัววุ่นวายด้วยความสับสนและอัศจรรย์ใจ  จนในที่สุดสึโตมุก็สังเกตเห็น

“เป็นอะไรไป  ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”

“มัน...ไม่คุ้นเลยครับ...”

“ไม่คุ้น?...ถูกเช็ดตัวน่ะเรอะ?”

“เปล่าครับ...คนเช็ด...ต่างหาก”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มตอบ

“คิดว่าฉันทำไม่เป็นหรือไง  ฉันน่ะเช็ดพี่แกมานักต่อนักแล้ว  ตอนเด็ก ๆ พวกมันขี้โรคออกจะตาย”  ปากพูดไปมือก็เช็ดไปด้วย

“แต่...กับผม...ไม่เคย...”

สึโตมุชะงักมือแล้วมองลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้ก้มหน้านิ่ง  ก่อนจะถอนใจเบา ๆ

“นั่นสินะ  ฉันให้ยาเอะซังดูแลเรื่องแกทั้งหมดเลย”

แล้วทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย  สึโตมุจึงจัดหมอนให้ฟุยุกิอีกครั้ง

“เอาละ  นอนเสียก่อน  คงอีกสักพักกว่าหมอจะมา”

เด็กหนุ่มนอนลงอย่างว่าง่ายก่อนจะระบายลมหายใจยาว  ท่าทางผ่อนคลายลง

“ที่แกดูเกร็งขนาดนี้  เพราะฉันไม่เคยเฝ้าไข้แกเลยสินะ”

ฟุยุกิพยักหน้าน้อย ๆ...ถูกแล้ว  พ่อไม่เคยดูแลเขาแบบนี้เลยสักครั้ง  แค่จะนึกภาพยังนึกไม่ออก  จนถึงตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่ากำลังฝันไปเพราะพิษไข้หรือเปล่าด้วยซ้ำ

สึโตมุพยักหน้ากับตัวเอง  สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  เอื้อมมือมาลูบผมลูกชายโดยไม่พูดอะไร  ฟุยุกินึกสงสัยว่าพ่อกำลังคิดอะไรอยู่  แต่เมื่อสัมผัสชวนผ่อนคลายทำให้เขารู้สึกดี  จึงหลับตาลงแล้วผล็อยหลับไป

ไม่นานนัก  ฟุยุกิก็ถูกปลุกอีกครั้งเมื่อหมอเข้ามาดูอาการ  แพทย์เจ้าของไข้ตรวจเขาอย่างละเอียด  ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจและบอกกับสึโตมุว่าอาการของฟุยุกิดีขึ้นมากทีเดียว  แต่ยังมีไข้จึงต้องให้ยาและอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักระยะเพื่อสังเกตอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน  หมอสั่งจ่ายยาก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป

“หมอสมัยนี้อะไร ๆ ก็จ่ายยา  คนเป็นไข้น่ะ  เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย ๆ ก็หายแล้ว”  ผู้เป็นพ่อบ่นกระปอดกระแปด
คนป่วยที่ซุกอยู่ในผ้าห่มทำตาปริบ ๆ  “...จริงเหรอฮะ?”

สึโตมุนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบมาหน้าตาเฉยว่า  “ไม่รู้สิ  ไอ้สองคนนั้นไม่เคยเป็นปอดบวมนี่”

ฟังแล้วฟุยุกิก็สอบถอนใจแล้วหลับตาลง...นี่ก็ไม่คุ้นเลย  พ่อเขาตลกหน้าตายแบบนี้เป็นด้วยหรือ...จะขำก็ขำไม่ออกยังไงไม่รู้  เลยแสร้งทำเป็นนอนก่อนจะหลับไปจริง ๆ ด้วยความอ่อนเพลียจากพิษไข้

เคียวยะกับมิโนรุมาที่โรงพยาบาลตอนหลังเลิกงาน  การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ยิ่งทำให้ฟุยุกิเกร็งเข้าไปใหญ่...จะโดนถามเรื่องงานไหม  จะโดนถามเรื่องเพื่อนร่วมงานไหม  จะโดนตำหนิอะไรหรือเปล่า  ถ้าถูกถามควรจะตอบยังไง...ความคิดของฟุยุกิวุ่นวายสับสน  แต่กลับไม่มีใครพูดเรื่องที่เขากลัวเลยแม้แต่คนเดียว  ต่างก็คุยกันเรื่องงานของตัวเอง  คุยถึงลูกความที่มีปัญหาประหลาด ๆ จนนึกขำไม่ได้  ภาพของพ่อกับพวกพี่ชายที่นั่งคุยกันไปหัวเราะกันไปดูต่างกับภาพโต๊ะอาหารที่บ้านอย่างสิ้นเชิง  เป็นบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย  แต่ทำให้ฟุยุกิอุ่นใจอย่างประหลาด  หัวใจผ่อนคลายลง...ถ้าที่บ้านเป็นแบบนี้ตลอดเวลา  เขาคงไม่โตมาเป็นคนแบบนี้ใช่ไหม...

“คืนนี้คุณพ่อกลับไปพักที่บ้านเถอะครับ  เดี๋ยวผมเฝ้าไข้ยุกิเอง”  เคียวยะพูดขึ้น

“อ้าว  แล้วงานของแกล่ะ?”  สึโตมุถาม

“พรุ่งนี้ผมหยุดครับ  นี่ก็เตรียมเสื้อผ้ามาแล้วด้วย  คุณพ่อนอนที่นี่มาหลายคืนแล้ว”

“แต่ฟุยุกิมันเพิ่งฟื้นไข้”

“ก็เพราะฟื้นไข้แล้วน่ะสิครับ  คุณพ่อไม่ต้องห่วงก็ได้”

“แล้วถ้าไข้มันกลับ...”

“คุณหมออยู่ตั้งหลายคนครับ”

“แล้วถ้า...”

“โฮ้ย  พี่เคียวยะเช็ดตัวเป็นครับ  มาครับ  คุณพ่อ  ผมจะไปส่งที่บ้าน”  มิโนรุตัดบทแล้วรีบหอบเสื้อผ้าใช้แล้วของผู้เป็นพ่อยัดลงกระเป๋าก่อนจะมีการต่อปากต่อคำมากไปกว่านี้

“มีแอปเปิ้ลของยาเอะซังอยู่ในตู้เย็นนะ  เอาให้น้องกินด้วย  แล้วแกอย่ากินเองหมดล่ะ”  สึโตมุยังไม่วายสั่งขณะที่โดนมิโนรุลาดออกจากห้องไป

“ครับ  ไม่กินหรอกครับ  ผมไม่ใช่มิโนรุเสียหน่อย  ราตรีสวัสดิ์นะครับ  คุณพ่อ”

พอประตูห้องปิดลง  ความเงียบสงบก็มาเยือน  เคียวยะถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง

“พ่อเรานี่จู้จี้จริง ๆ  ดื้อเสียด้วย  ฉันจะมาเปลี่ยนเฝ้าไข้หลายวันแล้วแกก็ไม่ยอม”

“คุณพ่อน่ะเหรอ...”

“ก็ใช่น่ะสิ  แกบอกว่าแกดูแลเองได้  แกว่าง  แต่ไม่ได้นึกเลยว่าตัวเองอายุเท่าไรแล้ว  ถ้าติดเชื้ออะไรล้มป่วยไปอีกคนจะทำยังไง...เออ  แต่แกคงเชื่อว่าแกแข็งแรงดีอีกนั่นแหละ”  พี่ชายคนโตบ่นอุบ

ฟุยุกิไม่รู้จะพยักหน้าเห็นด้วยดีไหม  เลยได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ

“ว่าแต่...กินแอปเปิ้ลที่คุณพ่อว่ามั้ยล่ะ?”

“...ครับ”

ฟุยุกิรับกล่องแอปเปิ้ลมาจากเคียวยะแล้วลงมือกิน  อาจเพราะยาที่หมอฉีดให้ทำให้เขาสดชื่นขึ้นกว่าเมื่อตอนเช้ามากและกินได้มากขึ้นด้วย

เคียวยะรอจนฟุยุกิกินแอปเปิ้ลจนหมดจึงเอากล่องไปล้างเก็บแล้วกลับมานั่งที่ข้างเตียงอีกครั้ง  นี่ก็เป็นความไม่คุ้นเคยอีกอย่าง  ความทรงจำที่ฟุยุกิมีกับเคียวยะส่วนมากแล้วจะเป็นเรื่องเรียน  เคียวยะเรียนในมหาวิทยาลัยใกล้บ้านจึงอยู่ที่บ้านจนกระทั่งเข้าทำงาน  ออกจากบ้านไปทำงานระยะหนึ่งก็แต่งงานแล้วกลับมาอยู่บ้านในฐานะผู้สืบทอดตามแบบฉบับของลูกชายคนโต  ทำให้เคียวยะเป็นคนคอยดูแลเรื่องเรียนของฟุยุกิมาตลอด  ตั้งแต่สอนทำการบ้านไปจนถึงหาที่เรียนพิเศษให้  เรียกได้ว่าทำหน้าที่พ่อคนที่สองเลยทีเดียว...ถ้าจำไม่ผิด  เวลาประชุมผู้ปกครองเคียวยะจะไปแทนพ่อเสียด้วยซ้ำ  แม้ว่าหลังจากที่ฟุยุกิออกไปอยู่กับมิโนรุแล้วเคียวยะจะดูแลเขาน้อยลง  แต่ฟุยุกิก็ยังเกรงพี่ชายคนโตพอ ๆ กับพ่ออยู่ดี

“นี่  ยุกิ”  เคียวยะทำลายความเงียบขึ้น  เล่นเอาฟุยุกิสะดุ้งสุดตัว  “แก...มีปัญหาเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ใช่มั้ย?”

“หะ...หา?”  ฟุยุกิทำหน้างุนงงเต็มกำลัง  ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า

“ฉันถามว่าแกมีปัญหาความรักใช่มั้ย  อย่างไปหลงรักใครหรืออกหักอะไรแบบนี้  ไอ้แบบที่ไม่สมหวังน่ะ”  เคียวยะขยายความอย่างอดทนเหมือนเวลาสอนการบ้านให้ฟุยุกิ

ได้ยินแล้วเด็กหนุ่มก็หน้าแดงก่ำอย่างควบคุมไม่ได้  ร้อนผ่าวไปทั้งตัวเหมือนไข้กลับ

“ทะ...ทำไม...ทำไมพี่รู้...?”

เห็นอาการแบบนั้นแล้วเคียวยะก็กลอกตาพลางกลั้นยิ้ม  “ฉันก็มีตาไว้ดูน่ะนะ”

“คะ...แค่ดู...ก็รู้เหรอ?”  ฟุยุกิเกือบจะแตกตื่น  “มิ...พี่มิโนรุ...ไม่เห็นรู้เลย...”

“โฮ้ย  มิโนรุน่ะความรักบังตา  กำลังมีแฟนแบบนั้นคงไม่ว่างมาสนใจน้องนุ่งหรอก”  ผู้เป็นพี่พูดพลางหัวเราะ  “ฉันเห็นแกออกอาการมาตั้งแต่ตอนโดนคุณพ่อเรียกตัวกลับบ้านเพราะเรื่องงานคราวโน้นแล้ว  ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ใช้กับงานได้ผลมั้ยล่ะ?”

“...เกษตรอินทรีย์!?”  ฟุยุกิยิ่งงงหนัก

“เห็นมั้ย  ไม่รู้ตัวจริง ๆ ด้วย  คุณพ่อเห็นแกเหม่อ ๆ เลยแกล้งเปลี่ยนเรื่องดูน่ะ  พอสรุปจบถามว่าแกเข้าใจมั้ย  แกก็บอกว่าเข้าใจนี่นา”  เคียวยะเล่าพลางอมยิ้ม  “เป็นปัญหาหัวใจจริง ๆ สินะ”

ฟุยุกิทำตาโตแล้วนิ่งค้างไปทั้งหน้ายังแดงก่ำ  ในหัวเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ระเบิดเป็นลูกโซ่...เกษตรอินทรีย์อะไร  พ่อน่ะนะพูดเรื่องนั้น  แล้วเคียวยะที่ฟังอยู่ด้วยทำไมไม่ท้วง  แล้วทำไมพ่อไม่ดุที่เขาเหม่อ...แล้ว...แล้ว...แล้วเคียวยะเห็นแค่นั้นก็รู้เลยเหรอว่าเขามีปัญหาอะไร  เขาคิดจะเก็บเป็นความลับแท้ ๆ  แล้วทำไมเคียวยะถึงรู้!?

เคียวยะเห็นน้องชายช็อคไปแบบนั้นก็ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้  ท่าทางเขาจะแทงใจดำฟุยุกิเกินไปสินะ

“ใจเย็น ๆ  มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอก  ใคร ๆ ก็เป็นกันได้”  ชายหนุ่มลูบหลังลูบไหล่น้องให้ผ่อนคลาย

ฟุยุกิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้  ทั้งอายทั้งโล่งใจอย่างประหลาด...แต่ยังไม่หมด

“ตกลง...รักเขาข้างเดียวหรืออกหักกันล่ะ?”

“...ทั้งสองอย่าง...”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มตอบออกมาในที่สุด

เคียวยะนิ่งไปนิดหนึ่ง  ก่อนที่จะลอบถอนใจแล้วเอื้อมมือไปลูบผมฟุยุกิเบา ๆ  “แย่หน่อยนะ”

...มันแย่กว่าที่พี่คิดเยอะเลยหละ...ฟุยุกิคิดอยู่ในใจแล้วก็น้ำตาร่วง

“แย่จัง...มาทำให้น้องชายฉันร้องไห้เสียได้  เป็นคนแบบไหนกันนะ”  เคียวยะพยายามตะล่อมถาม

“...เล่นไวโอลินเก่ง...”  เด็กหนุ่มกลั้นสะอื้นแล้วเอ่ยออกมา  “...แล้วก็เท่มากด้วย”

“ศิลปินสินะ  แล้วยังไงอีกล่ะ  แกถึงไปหลงรักเขาได้น่ะ”

“เขามาเล่น...คอนเสิร์ตข้างถนนแถวที่ทำงาน...ทุกวัน...ก็เลยชอบ”

เคียวยะแอบขมวดคิ้ว...แบบนี้มันไม่ใจง่ายไปหน่อยเหรอ  น้องเรา...

“ทั้งที่ไม่ได้พูดอะไร...ก็เข้าใจความรู้สึกของผม...คอยปลอบ  คอยให้กำลังใจ...”  ฟุยุกิเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังพูดถึงใครกันแน่  แต่ก็ยังพูดต่อไป  “คอยรับฟังปัญหา...ช่วยคิดหาทางแก้...ใจดีด้วยมาตลอด”

คราวนี้เคียวยะพยักหน้า  เจอคนแบบนี้เข้า  เป็นใครก็คงอดรักไม่ได้ละนะ

“...แต่...มีคนรักแล้ว...ทั้งสองคนเลย...ฮึก...”

“สองคน?”  เคียวยะชักงง  “คนที่ว่านั่นเขามีแฟนสองคนเหรอ?”

ฟุยุกิส่ายหน้า  “ทั้งสองคน...เขามีคนรักแล้ว...ฮือ...”

สมองอันชาญฉลาดของพี่ชายคนโตประมวลผลพลางดึงน้องชายมากอดปลอบ  ถ้าฟังไม่ผิดและเข้าใจไม่ผิด...ฟุยุกิไปชอบคนทีเดียวสองคนแล้วอกหักคูณสองสินะ...แล้วมันเรื่องอะไร  เจ้าเด็กใสซื่อนี่ถึงได้กลายเป็นคนหลายใจไปได้ล่ะ?  ไม่สิ...มันต้องมีรายละเอียดอื่น ๆ อีกแน่  แต่ถามตอนนี้คงจะไม่ดีแล้วละมั้ง  เดี๋ยวสะเทือนใจมากไปไข้จะกลับเสียเปล่า ๆ

เคียวยะได้แต่ปลอบฟุยุกิจนหลับไปในที่สุด

...
หัวข้อ: Re: Lock on You 11 / 25-06-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 25-06-2015 22:00:13
“เอ๊ะ?  ไปหลงรักคนอื่นทีเดียวสองคนพร้อมกันเนี่ยนะ!?”

“ชู่ว์...เบา ๆ สิ  มิโนรุ  ไอ้บ้า”  เคียวยะปราม

มิโนรุรีบตะครุบปากตัวเอง  เขาลืมตัวไปว่าอยู่ในร้านกาแฟใกล้ ๆ โรงพยาบาล  ที่เผลอเสียงดังไปเมื่อกี้ทำให้คนในร้านหันมามองเป็นตาเดียวกัน

“ก็มันตกใจ...พี่ว่าไงนะ?  ไอ้น้องชายหงิม ๆ ไม่เอาผู้เอาคนของเราเนี่ยนะ  อกหักดับเบิ้ล?”  มิโนรุลดเสียงลงเป็นกระซิบ

“น่าจะแบบนั้นแหละ  ก็บอกว่า  ‘สองคนนั้นมีแฟนแล้ว’  นี่นา”

“อะไรกัน  ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“นายมัวแต่สนมิยูกิซังอยู่น่ะสิ  ช่างเถอะ...เอาเป็นว่าช่วยกันคิดหน่อยแล้วกัน  นายไปแถวที่ทำงานยุกิบ่อย ๆ แล้วเคยเห็นผู้หญิงไปเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนแถวนั้นบ้างมั้ย?”  เคียวยะถามแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ

“คอนเสิร์ต?...”  มิโนรุครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง  “ถ้าผู้ชายละก็มี  แต่ไม่มีผู้หญิงหรอก  เคยเห็นผู้ชายผมแดง ๆ ท่าทางดูดีเหมือนนายแบบไปเล่นไวโอลินแถวนั้นบ่อย ๆ น่ะ”

เคียวยะสำลักกาแฟ  “ผะ...ผู้ชาย...?”

“ใช่  ผู้ชาย  ดูไม่ผิดหรอก  ถึงผมจะยาวก็ไม่ใช่ผู้หญิงแน่  เด่นออกขนาดนั้น”  มิโนรุยืนยัน  “อ้าว...เป็นอะไรไปล่ะ  พี่?”

ผู้เป็นพี่คนโตนั่งกุมขมับ  เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฟุยุกิถึงไม่เคยเอาเรื่องนี้มาปรึกษาใครเลย

“แล้ว...คนที่ว่านั้นท่าทางใจดีมั้ย?”

“จะรู้มั้ย?  ฉันไม่เคยแวะไปดูนี่  แต่ถ้าเอาจากที่ตาเห็นก็ไม่ใจดีตรงไหนหรอก  น่าจะใจร้ายด้วยซ้ำ...ว่าแต่ถามทำไมน่ะ?”

“งั้นเรอะ...ที่ใจดีนั่นเป็นอีกคนงั้นเรอะ...”  เคียวยะพึมพำ

“เอ๊ะ...อะไรนะ?”

“ถ้าคนที่เล่นไวโอลินไม่ได้ใจดี  แปลว่ามีคนใจดีอีกคนสินะ”

“หา...?”  มิโนรุคิดอยู่ชั่ววินาทีแล้วก็นิ่งอึ้งตะลึงงันเหมือนโดนช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูง  “มะ...ไม่จริง...”

“จริง”

“นะ...น้องเรา...”

“เพราะแกนั่นแหละ  ไม่ดูแลให้ดี”  เคียวยะตัดบท

ด้วยเหตุนี้  เคียวยะกับมิโนรุจึงรีบเลิกงานเร็วแล้วมาซุ่มดูคอนเสิร์ตข้างถนนของนักไวโอลินผมแดงที่น่าจะเป็นเหตุให้น้องชายอกหัก  แต่จะเรียกว่าซุ่มก็ไม่ถูกนักเพราะก็แค่มายืนดูเฉย ๆ

“...เก่งนี่”  มิโนรุอดออกปากชมไม่ได้

“เก่งสิ  นั่นมันลูกชายของคอนดักเตอร์คิริฮาระที่คุณพ่อชอบไปดูคอนเสิร์ตเชียวนะ”  เคียวยะบอก

“ทำไมพี่รู้ล่ะ?”

“ฉันเคยไปดูกับคุณพ่อครั้งนึง  คนมีเสน่ห์แบบนี้  ไม่แปลกหรอกที่ยุกิจะชอบน่ะ...แต่ดูยังไงก็ไม่ใจดีอย่างที่ว่าจริง ๆ นั่นแหละ”

“งั้นต้องตามหาคนใจดีอีกสินะ”  มิโนรุพึมพำ  “ว่าแต่...จะตามหาไปทำไมเหรอ  ยังไงยุกิก็อกหักไปแล้วนี่”

“ฉันก็แค่อยากรู้ว่ายุกิไปชอบคนแบบไหนเข้า  ทำไมถึงไปชอบผู้ชายได้  แล้วผู้ชายคนนั้นมันมีค่าพอจะให้น้องเราไปชอบมั้ย”  เคียวยะอธิบายเสียงแข็ง

“...โกรธอยู่เหรอเนี่ย?”  มิโนรุเพิ่งจับอารมณ์พี่ชายได้

“เจ้าพวกนั้นทำให้ยุกิร้องไห้นะ  ไม่ให้โกรธได้ยังไง”

“แต่น้องเราไปชอบเขาเองนะ  เขาจะมีแฟนแล้วก็ไม่ผิดนี่นา”  เห็นเคียวยะจ้องนักไวโอลินหนุ่มเขม็งแล้วมิโนรุชักก็หวั่นใจ

“เออ  ไม่ผิด  แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร”

และด้วยเหตุนี้  มิโนรุจึงต้องร่วมมือกับเคียวยะแอบตามนักไวโอลินหนุ่มไป  ทั้งที่คิดว่าชายหนุ่มจะไปตามย่านอโคจร  แต่เขากลับมุ่งหน้าไปทางมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของละแวกนั้น  และไปยังร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย

“เอายังไงล่ะ  พี่  จะเข้าไปมั้ย?”

“เข้าสิ  ก็แค่ร้านกาแฟธรรมดานี่”

แล้วทั้งสองก็เข้าไปในร้านกาแฟแห่งนั้นซึ่งเจ้าของร้านก็ให้การต้อนรับและแนะนำกาแฟเป็นอย่างดี  กาแฟอร่อย...แต่เคียวยะกับมิโนรุไม่ได้ใส่ใจนัก  เพราะคอยแต่เงี่ยหูฟังการสนทนาของนักดนตรีหนุ่ม  เจ้าของร้าน  และชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง

“หลังจากออกมาจากคลับของนาย  ฟุยุกิคุงมาหาฉันน่ะสิ”

ชื่อของน้องชายทำเอาทั้งสองหูผึ่ง...มาถูกที่แน่แล้ว  ทั้งคู่กลั้นใจแล้วฟังต่อ

“แล้วมันพลาดตรงไหน?”  นักดนตรีหนุ่มถาม

“ตรงที่เคย์โกะซังดันมาที่นี่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรน่ะสิ”  พูดแล้วเจ้าของร้านกาแฟก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“โธ่...นัตสึเมะเอ๊ย...”

“แล้วจากวันนั้นฟุยุกิคุงก็หายหน้าไปเลยสินะครับ”  ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งฟังอยู่นานพูดแทรกขึ้นมา

“ครับ  ผมยังไม่เจอเขาอีกเลย”

“ผมไปดู ๆ แถวบริษัทเขาก็ไม่เห็นเลยนะครับ  นี่มันก็ร่วมอาทิตย์แล้ว...ท่าทาง...พวกเราคงโดนเกลียดซะแล้วละครับ”

“คิโยะก็พูดตรงเกินไปน่า”  นักดนตรีหนุ่มขัด

“แต่มันคงจะจริงนั่นแหละ”

สายตาที่มองออกไปนอกหน้าต่างของเจ้าของร้านมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เคียวยะกับมิโนรุแน่ใจ...เจอแล้ว  คนใจดีของฟุยุกิ

ทั้งสองจ่ายเงินแล้วออกจากร้านกาแฟมาโดยไม่ได้พูดอะไร  ต่างก็เดินกันไปเงียบ ๆ พลางครุ่นคิด  จนในที่สุดมิโนรุก็ทำลายความเงียบขึ้น

“ท่าทาง...พวกเขาก็แคร์ยุกิดีนะ”

“ใช่...แต่ก็มีคนรักแล้วทั้งสองคน”  เคียวยะทั้งเห็นด้วยทั้งขัดใจ

“...ยุกิคอยเอาเรื่องอะไร ๆ มาปรึกษาสองคนนี้ตลอดเลยสินะ  แต่ไม่เคยมาปรึกษาพวกเราเลย”

“พวกเราคงเป็นพี่ที่ใช้ไม่ได้ละมั้ง...”

“นั่นสินะ  ยุกิอยู่กับฉันตั้งหลายปีแท้ ๆ  ฉันกลับไม่เคยรู้อะไรเลย”  มิโนรุเสียงอ่อย

“ช่างเถอะ  ฉันไม่โทษนายคนเดียวหรอก”  เคียวยะกอดคอน้องชาย  “พวกเราต้องเริ่มต้นกันใหม่แล้วละ”

...

หลังจากนั้นสองสามวัน  มิโนรุก็มาที่โรงพยาบาลในฐานะคนเฝ้าไข้พร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่ง  แต่เมื่อมาถึงห้องพักของฟุยุกิก็พบเคียวยะรออยู่ก่อนแล้ว

“อ้าว  พี่...แล้วงานล่ะ?”

“ลาน่ะ  งานไม่เร่งมาก  พอจะลาได้”  เคียวยะบอก

“อ้อ  งั้นเรอะ”  มิโนรุรับรู้แล้วส่งหนังสือให้ฟุยุกิ  “เอ้า  ของที่บอกให้เอามา”

“ขอบคุณครับ”  ฟุยุกิรับมาพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ

“ว่าแต่...ทำไมแกถึงมีหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ในห้องด้วยล่ะ?  อ้อ  นี่พจนานุกรม”

“มีคนให้ยืมมาน่ะ  อยู่โรง’ บาลว่าง ๆ เลยจะเอามาลองอ่าน”

“หนังสือเกี่ยวกับอะไรเหรอ?”  เคียวยะชักสนใจ  แต่ไหนแต่ไรฟุยุกิไม่เคยสนใจอ่านหนังสือเลยไม่ว่าจะหนังสือเรียนหรือหนังสืออ่านเล่น

“วิธีชงชาให้อร่อยน่ะ”

เคียวยะกับมิโนรุลอบสบตากัน  ก่อนที่เคียวยะจะสูดลมหายใจลึกและตัดสินใจพูดออกมา

“ได้มาจาก...เจ้าของร้านกาแฟคนนั้นใช่มั้ย?”

“เอ๊ะ...?”

“พี่ไปเจอมาแล้วละ  สองคนนั้นของแกน่ะ”

“เอ๊ะ...ทะ...ทำไม...?”  ฟุยุกิดูสับสน  เลือดหายไปจากสีหน้าทันที

“ยุกิ  ใจเย็น ๆ”  เคียวยะเอื้อมมือไปกุมมือเย็นเฉียบของน้องชาย  “ฉันไม่ได้จะว่าอะไรแกหรอก  สองคนนั้นดูเป็นคนดีนะ”

“ละ...แล้ว...ทำไม...?”

“ก็มาทำให้น้องชายฉันร้องไห้นี่  ก็กะจะต่อว่าสักหน่อย  แต่ดันเป็นคนดีกว่าที่คิดน่ะสิ  เลยไม่ได้ทำอะไร”  พี่ชายคนโตถอนใจ

“ว่าแต่สองคนนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้แกปอดบวมด้วยใช่มั้ย?  แบบว่าหนีจากคนนั้นมาอกหักกับคนนี้  เลยประชดชีวิตนั่งตากน้ำค้างจนเป็นหวัดอะไรแบบนี้น่ะ”  มิโนรุถาม

คราวนี้หน้าซีด ๆ ของฟุยุกิกลับแดงก่ำ  “ทะ...ทำไมรู้...!?”

“เดาไม่ผิดจริง ๆ สินะ...”  มิโนรุก้าวอาด ๆ มาหาฟุยุกิแล้วเขกหัวเต็มแรง  “ไอ้เด็กโง่!!”

“มิโนรุ!  จะบ้าเรอะ!?”  เคียวยะรีบห้าม

“ไอ้เด็กโง่นี่ต่างหาก  จะบ้าหรือไง!?  อกหักก็แทนที่จะมาปรึกษากัน  ดันไปทำตัวเองป่วยหนักขนาดนี้  รู้มั้ยว่าตอนเปิดห้องไปเจอน่ะ  หัวใจเกือบวายเลยนะเฟ้ย!”  มิโนรุโวยใส่

ฟุยุกิยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองป้อยพลางนิ่วหน้า  อะไรบางอย่างผลักดันให้คำพูดที่ไม่ได้พูดมานานหลายปีแล้วออกไป

“ใช่สิ...ผมมันโง่  ผมมันปัญญาอ่อน”

“ฟุยุกิ!”  เคียวยะตกใจ  ในขณะที่มิโนรุนิ่งไปทันที

“คนปัญญาอ่อนอย่างผมจะรู้ได้ไงล่ะว่าอกหักแล้วต้องทำยังไง  ผมก็แค่พยายามคิดตามแบบของผม  แต่มันปัญญาอ่อนเลยใช้เวลานานไปหน่อย  กว่าจะรู้ตัวก็เป็นหวัดแล้ว...แล้วผมจะปรึกษาใครได้ล่ะ  คนที่ผมชอบเป็นผู้ชายนะ  เรื่องแบบนี้ให้พูดกับคุณพ่อกับพวกพี่ได้เหรอ?  ตอนที่เจ็บใจเพราะซาคากิซังกลับมา  ถ้านัตสึเมะซังไม่บอกผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอกหัก  แล้วแบบนี้จะให้ผมปรึกษาใครล่ะ  ผมก็แค่แก้ปัญหาแบบที่ตัวเองพอจะทำได้เท่านั้นเอง”

หลังจากพูดจนแทบไม่หายใจแล้ว  ฟุยุกิก็ปล่อยโฮออกมา  ความรู้สึกที่อัดอั้นมาตลอดระเบิดออกมาตอนนั้นเอง

เคียวยะรีบคว้าร่างของน้องชายมากอดไว้แน่นพลางส่งสายตาตำหนิมิโนรุ

“ใจเย็น ๆ  ยุกิ...แกไม่ได้ปัญญาอ่อนหรอก  พี่รับรองได้  ไม่มีคนปัญญาอ่อนคนไหนเรียนจนจบปริญญาได้แบบแกหรอก”

“ผมมันโง่นี่  เรียนแบบพวกพี่ก็ไม่ได้  เป็นทนายแบบพ่อก็ไม่ได้  ไม่มีอะไรดีเลย”  เด็กหนุ่มยังคงต่อต้าน

“มีดีสิ  แกกำลังจะหัดชงชาไม่ใช่หรือไง...ไม่สิ  ตอนเด็ก ๆ ที่ไปเรียนชงชา  แกก็ทำได้ดีนี่นา  อาจารย์ยังชมว่าแกสมาธิดี  ถึงอันนั้นจะเป็นชาญี่ปุ่นก็เถอะ”  เคียวยะพยายามปลอบ

“แล้วมันช่วยเรื่องเรียนเรื่องงานได้ตรงไหน?  เล่นดนตรีก็ไม่เป็น  กีฬาก็ไม่เอาไหน  ดื่มกาแฟก็ยังไม่เคยดื่มเลยด้วยซ้ำ  อนาคตก็ไม่มี  ต้องเป็นเด็กเส้นให้คนเขาเกลียดขี้หน้าทั้งบริษัท!”  ฟุยุกิไม่เย็นลงง่าย ๆ

“เกลียดเหรอ?”  เคียวยะกับมิโนรุมองหน้ากัน  ฟุยุกิไม่เคยพูดเรื่องนี้และรายงานผลการทำงานที่ส่งมาให้สึโตมุที่บ้านก็ไม่มีเรื่องนี้ด้วย

“เกลียดสิ  เด็กเส้นฝีมือไม่เอาไหน  ทำงานไม่ได้เรื่อง  เชื่องช้า  งุ่มง่าม  ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก  จนเขาจะยกงานให้เด็กเข้าใหม่ทำหมดแล้ว  ผมมันไม่เอาไหน  ได้แต่อาศัยบารมีพ่อกับพี่ชายเท่านั้นแหละ”

“แกไม่เห็นเคยบอกพี่เลย  ยุกิ?”  มิโนรุดูแตกตื่น

“จะให้บอกอะไร?  พี่บอกให้ผมปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น  บอกให้ทำงานดี ๆ  ผมก็พยายามแล้วไง  แต่มนุษยสัมพันธ์จะมีประโยชน์อะไรถ้าคนอื่นเขารังเกียจมาตั้งแต่ต้นแล้วน่ะ”  เด็กหนุ่มพูดไปสะอื้นไป

“ใจเย็น ๆ  ยุกิ  ใจเย็น ๆ ไว้”  เคียวยะกอดน้องไว้แน่น

“เรื่องพวกนี้...ไม่เห็นต้องพูดเลย  ผมแค่เผลอบอกว่าเหนื่อย  คิริฮาระซังก็เล่นไวโอลินให้ฟังแล้วพาไปหานัตสึเมะซัง  นัตสึเมะซังก็ชงชาอร่อย ๆ ให้ดื่ม  ไม่เคยถามอะไรเลย  ไม่เคยคาดคั้นว่ามีเพื่อนแล้วหรือยัง  ทำงานผิดพลาดมาก็ไม่เคยตำหนิ  คอยแต่แนะนำวิธีการดี ๆ ที่จะทำงานดีขึ้นให้...ผมก็เลย...ชอบพวกเขา...”  หางเสียงแผ่วหายก่อนจะสะอึกสะอื้น  “แต่...เขาเป็นผู้ชาย  ผมรู้ว่ามันผิด...ผมก็ไม่เคยคิดจะชอบผู้ชายเลยสักนิด  แต่มันชอบไปแล้ว...จะให้ทำยังไง  จะให้ปรึกษาพ่อกับพวกพี่เหรอ...จะรับได้เหรอ...”

พี่ชายทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครั้ง...นั่นสิ  จะรับได้หรือ?  ถ้าทุกอย่างไม่ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้  พวกเขาจะยอมรับได้หรือ
ยังไม่ทันจะพูดอะไร  ฟุยุกิก็พูดต่อเหมือนทำนบที่กั้นความรู้สึกไว้พังทลายลง

“แล้วตอนที่รู้สึกตัวว่ารัก  ซาคากิซังก็กลับมา  เขากับคิริฮาระซังรักกันมาก...รอกันมาเป็นสิบปี  ผมไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย  เป็นแค่เด็กโง่ที่หลงคิดเพ้อไปเองคนเดียว  ความรู้สึกที่ผมให้เขามันก็แค่ความหลงใหลคลั่งใคล้แบบเด็ก ๆ เท่านั้นเอง  เทียบกับความรักของเขาไม่ได้เลย  แต่นัตสึเมะซังบอกว่าผมไม่ได้ผิด  ผมมีสิทธิ์ที่จะรัก...นัตสึเมะซังไม่เคยซ้ำเติมผมเลย  คอยให้กำลังใจอยู่ตลอด...คืนนั้นผมเลยไปหาเขา  เขาบอกผมว่าไม่เป็นไร...แต่...แต่...คนรักของนัตสึเมะซังก็มา”

“แล้วยังไงอีก?  พูดเลย  ยุกิ  พูดออกมาให้หมดเลย”  เคียวยะลูบหลังลูบไหล่ให้กำลังใจฟุยุกิ

“ผมไม่รู้จะทำยังไง  เลยไปนั่งคิดที่สวนสาธารณะคนเดียว...จนคิดได้  ว่าไม่มีใครเป็นของผมหรอก  ไม่มีใครรักผมหรอก...แล้วผมก็กลับบ้าน...ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว...”

“ฉันเรียกรถพยาบาลเองแหละ  ตัวแกร้อนอย่างกับไฟ”  มิโนรุยักไหล่แล้วเดินมานั่งลงที่ปลายเตียง  เอื้อมมือมาลูบหัวฟุยุกิ  “ฉันขอโทษนะ  ฉันไม่รู้อะไรเลยแล้วยังเขกหัวแกอีก”

ฟุยุกิพยักหน้าน้อย ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร  เคียวยะถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดอย่างสงบ

“ฟังนะ  ฟุยุกิ  ถ้าพวกเขาดีกับแกขนาดนั้นแล้วแกเลยชอบพวกเขา  มันไม่ผิดเลยสักนิดเดียว...ต่อให้พวกเขาเป็นผู้ชายมันก็ไม่ผิด  แต่การที่แกทำอะไรอย่างไปตากน้ำค้างจนตัวเองป่วยหนักแบบนี้มันผิด  เข้าใจนะ”

ฟุยุกิพยักหน้ารับ

“คราวหลังถ้าคิดว่าจะต้องคิดอะไรนาน ๆ ก็กลับไปคิดที่บ้าน  ตกลงนะ”

“แต่...พี่มิโนรุอาจจะ...พามิยูกิซังมาที่บ้าน...”

“ก็ไปบ้านพ่อสิเฟ้ย  ไอ้เด็กโง่...โอ๊ย!!”  ท้ายประโยคต้องร้องออกมาเมื่อเคียวยะเขกหัวเข้าให้เต็มรัก

“อย่าไปสนใจไอ้บ้าเลย  ยุกิ  ฟังพี่ต่อนะ...”  เคียวยะกลับมาพูดกับคนในอ้อมแขนต่อ  “การทำให้ตัวเองป่วยมันผิด  แต่การทำให้คนที่รักที่ห่วงตัวเองเป็นกังวลมันผิดมากกว่านะ”

“...รักเหรอ?”

“คุณพ่อมาเฝ้าแกทุกวันตั้งแต่แกเข้าโรง’ บาล  ไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยนเลยนะ”

“ตอนนี้เลยความดันขึ้น  โดนจับนอนอยู่บ้านไปแล้ว”  มิโนรุเสริม

“คุณพ่อน่ะเหรอ...?”

“คอยเช็ดตัวให้แกตลอดเวลาเลยละ”  เคียวยะยิ้มกับสีหน้างุนงงของฟุยุกิ

“ไม่จริง...ก็คุณพ่อไม่เคยสนใจผมเลย...”

“ฟุยุกิ  คุณพ่อน่ะนะ  ตอนที่แกเด็ก ๆ คุณพ่อยังเสียใจกับเรื่องคุณแม่อยู่มากเลยโหมทำงานไงล่ะ  แล้วคุณพ่อน่ะมีแกตอนอายุมากแล้ว  ก็เลยสอนการบ้านให้แกไม่ได้  ต้องยกหน้าที่ให้พวกฉัน”

“แต่คุณพ่อไม่เคยไปประชุมผู้ปกครองเลยด้วยซ้ำ”  ฟุยุกิเถียง

“โฮ้ย  เรื่องนั้นน่ะ  คุณพ่อเขาอาย”  มิโนรุพูดปนหัวเราะ  “แกกลัวจะมีคนครหาว่าอายุเยอะแล้วเพิ่งมีลูกเข้าประถม  จริง ๆ มันแมนออกจะตายไป  เนอะ”

“แต่...ไม่เคยเฝ้าไข้ด้วย”

“ก็บอกแล้วไงว่าตอนนั้นคุณพ่อโหมงาน  อีกอย่างนะ  คือแกมีลูกคนเล็กแบบไม่ได้เตรียมตัว  พอนึกถึงว่าต้องใช้เงินเพื่อการศึกษาเล่าเรียนของแกแล้ว  เงินมันจะไม่เหลือติดบ้านเอาน่ะ  แกเลยทำงานลืมตาย  ลูกแกจะได้สบายไง”  เคียวยะพูดยิ้ม ๆ  “แล้วคุณพ่อน่ะ  เป็นผู้ชายโบราณ  เรื่องจะมาเฝ้าไข้เช็ดตัวลูกเองน่ะ  ไม่มีหรอก  คุณแม่สั่งทั้งนั้นแหละ  พอคุณแม่ไม่อยู่แล้ว  จะทำเองก็ประดักประเดิด  และเพราะแกเป็นคนโบราณ  ก็เลยเป็นคนแข็ง ๆ แบบนั้น  บางทีแกก็บ่นกับฉันกับยาเอะซังนะ”

“บ่น?”

“ว่าแกกระด้างกับลูกคนเล็กเกินไปหรือเปล่า  เมื่อก่อนจะมีคุณแม่เป็นตัวเชื่อมระหว่างแกกับลูก  พอไม่มีคุณแม่แล้วก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง  จะเข้าหาลูกแบบไหน  มันขาด ๆ เกิน ๆ ไปหมด...สุดท้าย  คุณพ่อก็เลยทำเฉย ๆ ไว้ก่อนน่ะ”

“...เฉย ๆ แบบนั้น...ไม่ดีเลย  ผมไม่ชอบเลย...”

“พี่ก็ว่ามันไม่ดี  แต่เข้าใจคุณพ่อเถอะนะ  คุณพ่อรักแกมากนะ  พอได้ยินว่าแกเข้าโรง’ บาล  ก็รีบเผ่นออกจากบ้านมากลางดึกเลย  ห้ามก็ไม่ฟัง  แกจะมาดูฟุยุกิของแกให้ได้”

ได้ยินแล้วเด็กหนุ่มก็น้ำตาร่วงเผาะ

“เพราะงั้น...จะชอบผู้ชายหรืออะไรก็ไม่เป็นไรหรอก  แต่ห้ามทำให้คุณพ่อเป็นห่วงอีกนะ”

ฟุยุกิพยักหน้า  น้ำตาไหลไม่หยุด

“แล้วก็...พวกพี่ก็รักแกนะ  ถึงได้เข้มงวดกับแกมาตลอด...แต่ตัวตนของพวกพี่คงจะกดดันแกมากใช่มั้ย?”

“ก็คนมันเก่ง  ช่วยไม่ได้”  มิโนรุยักไหล่  ทำไม่รู้ไม่ชี้กับตาเขียว ๆ ของเคียวยะ

“บางที...ถ้าพี่ปล่อยให้แกได้เที่ยวเล่นมากกว่านี้  คงจะดีสินะ”

“คนมันไม่เคยมีลูก  จะรู้ได้ไงว่าแค่ไหนถึงจะพอดี  คุณแม่ก็ไม่อยู่แนะนำ  คุณพ่อก็พึ่งไม่ได้  เลี้ยงมาได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว”  มิโนรุแกล้งบ่นแต่ก็ยิ้ม

“ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจมาตลอดนะ  ยุกิ”

ความว่างเปล่าบางอย่างที่รู้สึกมาตลอดชีวิต  ถูกเติมเต็มในวินาทีนั้น...แม้จะยังไม่สมบูรณ์พร้อม  แต่ฟุยุกิก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ขาดหายไปและเขาพยายามแสวงหาจากใครสักคนคือความรักของครอบครัวนี่เอง  ความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่สัมผัสมาตลอดตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในโรงพยาบาลก็คือความอบอุ่นของครอบครัวที่โหยหามาตลอดชีวิต

สิ่งจำเป็นสำหรับหน่ออ่อนของความเป็นผู้ใหญ่ถูกรดรินลงมา...จากนี้ไป  ฟุยุกิพร้อมที่จะเติบโตต่อไปแล้ว...


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 11 / 25-06-58
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-06-2015 01:23:54
รู้สึกว่าไม่ได้อ่านมานานมาก อ่านทีนี้เล่นยาวเลย จากบรรยากาศมนๆหน่วงใจไปกับฟุยุุิจนมาถึงตอนปัจจุบัน รู้สึกโล่งใจมากๆ เพราะได้มีการเปิดใจในครอบครัว ได้ระบายถึงความอัดอั้นตันใจออกมาให้ทุกคนรับรู้ จากนี้ไปความสัมพันธ์ในครอบครัวคงจะดีขึ้นแน่ๆ ส่วนนัทสึเมะถ้ายังไม่มีการเริ่มทำอะไรจริงๆจังๆน่ะ ความรักครั้งนี้คงสมหวังหรอกน่ะ *เป็นกำลังใจให้คนเขียน เขียนต่อไปจ้า ตามอ่านอยู่น่ะจ๊ะ เขียนได้ดีมากเลยคำผิดก็ไม่ค่อยมีด้วย ชอบตรงนี้แหละเพราะมันแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจทุกตัวอักษรที่คุณต้องการถ่ายทอดออกมา  o13
หัวข้อ: Re: Lock on You 12 / 17-07-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 17-07-2015 22:53:30
เนทมีน้อยใช้สอยประหยัด
อัพละนะคร้าบ

Lock on You 12

กระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้น  นัตสึเมะที่กำลังล้างถ้วยจานเก็บอยู่ส่งเสียงทักทายตามมารยาทก่อนจะหันไปมอง

“ยินดีต้อนรับครับ  อ้าว...คิริฮาระ”

“หวัดดี  นัตสึเมะ”

“หน้าเหี่ยวมาเชียว  เป็นอะไรไปล่ะ?”  นัตสึเมะคว่ำถ้วยกาแฟที่เช็ดแล้วให้เรียบร้อยก่อนจะหันมาสนใจคนที่เดินหน้ามุ่ยมานั่งที่เก้าอี้ประจำ

“ฟุยุกิคุงไม่มาอีกแล้ว”  คิริฮาระเอาคางเกยเคาน์เตอร์

“ก็น่าจะแบบนั้นแหละ”  นัตสึเมะตอบรับง่าย ๆ แล้วหันไปเปิดเครื่องบดกาแฟเพื่อชงกาแฟให้คิริฮาระ

“แล้วมาที่นี่หรือเปล่า?”

“ไม่มาหรอก  คงจะไม่มาอีกแล้วละมั้ง”

“ดูนายใจเย็นจัง  ทำใจได้เหรอ?”  คิริฮาระออกจะประหลาดใจกับท่าทีของเพื่อน

“ก็ฉันทำได้แค่นี้  ร้อนรนไปก็เปล่าประโยชน์  ถ้าเขาจะไม่มาแล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะ”  นัตสึเมะเริ่มต้นชงกาแฟตามปกติ

“...อุตส่าห์ทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี...”  นักดนตรีหนุ่มบ่นงึมงำ

“แน่ใจเหรอ?”  ร่างสูงแอบหัวเราะแล้ววางกาแฟเอสเปรซโซถ้วยเล็ก ๆ ลงตรงหน้าคิริฮาระ  “พอซาคากิคุงมานายก็ทิ้งเขาเฉยเลยไม่ใช่เหรอ”

คิริฮาระหน้ามุ่ยกว่าเดิม  “ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าเด็กนั่นชอบฉันแบบนั้น  ฉันก็เอ็นดูเหมือนน้องชายอะไรแบบนี้...ใครจะไปนึกว่า...”

นัตสึเมะส่ายหน้า  ก็แบบนั้นละ...คิริฮาระโง่เรื่องแบบนี้เสมอ  ทั้งที่ปกติฉลาดทันคนทุกอย่างแท้ ๆ

เจ้าของร้านกาแฟมองออกไปนอกหน้าต่าง  ความจริงก็น่าเสียดาย  พวกเขาคอยดูแลฟุยุกิมาอย่างดี  ที่หายไปแบบนี้ก็ยังเป็นห่วง  แต่พวกเขาพลาดเอง  ถ้าฟุยุกิจะตัดสัมพันธ์  พวกเขาจะทำอะไรได้  ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเด็กคนนั้น  ตัวเขาเองก็ยังมีปัญหาของตัวเองค้างคาอยู่อีกเยอะ  แก้ปัญหาของตัวเองยังไม่ได้จะดูแลคนอื่นได้อย่างไร

แต่...ความรุ่มร้อนบางอย่างที่ติดอยู่ในหัวใจนี่มันคืออะไรกันนะ...ความรู้สึกบางอย่างที่บอกกับตัวเองว่าจะยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้นี่คืออะไรกัน...นัตสึเมะได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจตัวเองเงียบ ๆ

...

กลิ่นน้ำชาหอมกรุ่นไปทั้งห้องพักในโรงพยาบาล  ไม่นานนักถ้วยที่ใส่น้ำชาสีสวยก็ถูกวางลงตรงหน้าสึโตมุกับเคียวยะ  ซึ่งรับไปลองดื่มคนละจิบ

“อื้ม  อร่อยนี่”  เคียวยะออกปากชม

“ฉันไม่ชอบชาฝรั่งเท่าไร  แต่นี่ก็ใช้ได้นะ”  สึโตมุพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ขอบคุณครับ”  คนถูกชมยิ้มเขิน ๆ

“ว่าแต่จะออกจากโรงพยาบาลวันนี้แล้ว  ยังมีกะใจจะชงชาอีกนะ”  ผู้เป็นพ่อว่าพลางดื่มชาอีก

“ก็ยุกิเพิ่งอ่านหนังสือจบนี่ครับ  เลยร้อนวิชา”  เคียวยะบอกยิ้ม ๆ

“อ่านช้า”  สึโตมุว่าอีก

“ก็...ภาษาอังกฤษ...นี่ครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มเถียง

“หือ?  ภาษาอังกฤษ?  แกเนี่ยนะ  อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ?”

“มะ...มีคนให้ยืมมาครับ...”  เด็กหนุ่มทำท่าเกรง ๆ แล้วเหลือบมองหนังสือสอนวิธีชงชาที่ค่อนข้างเก่าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

ถึงนัตสึเมะจะเคยบอกว่าเขาแค่ศึกษาการชงชาคร่าว ๆ เผื่อมีลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟก็เถอะ  แต่ดูจากหน้าปกที่มีร่องรอยเหมือนผ่านการใช้งานมานานแล้ว  ก็รู้ได้ว่านัตสึเมะไม่ได้ศึกษาเล่น ๆ แต่ต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจำขึ้นใจ

ในหนังสือมีคำแปลศัพท์บางคำเขียนเอาไว้ด้วย  ทำให้ฟุยุกิอ่านง่ายขึ้นมาก  แต่ถึงจะอ่านง่ายขึ้นแล้วก็ยังต้องใช้เวลานานเพราะร้างราภาษาอังกฤษไปนาน

“ใช้ได้นี่  อ่านเอาในหนังสือแล้วยังชงได้ขนาดนี้  ใช้ได้ ๆ”  ผู้เป็นพ่อทำหน้านิ่งแต่ก็พยักหน้ากับตัวเองอย่างพึงพอใจ

ฟุยุกิแอบสบตากับเคียวยะแล้วอมยิ้ม  พ่อของพวกเขาก็เป็นเสียแบบนี้  เรื่องจะเอ่ยปากชมหรือแสดงอะไรออกมาตรง ๆ นั้นไม่มีเสียละ  คำว่าใช้ได้ของพ่อก็ถือว่าเก่งแล้ว

ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล  ความสัมพันธ์ในครอบครัวอาริโยชิดีขึ้น  แม้จะยังดูไม่คุ้นเคยกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นกะทันหันเท่าไร  แต่ฟุยุกิก็พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้

เด็กหนุ่มพักฟื้นอยู่ราวอาทิตย์หนึ่ง  และมิโนรุก็ทำเรื่องลาพักร้อนต่อให้อีกอาทิตย์หนึ่ง  ซึ่งวันนี้ฟุยุกิจะออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นต่อที่บ้าน  เขาใช้เวลาระหว่างรอหมอมาตรวจเป็นครั้งสุดท้ายทดลองชาชงให้พ่อกับพี่ชายดื่ม  แม้จะไม่มั่นใจในฝีมือนักก็ได้รับคำชมผิดคาด

ฟุยุกิกลับไปพักฟื้นที่บ้านพ่อ  ทั้งนี้ก็เพราะอย่างน้อยจะได้มีคุณแม่บ้านคอยดูแล  ระหว่างที่อยู่บ้านเด็กหนุ่มก็ทดลองชงชาอยู่บ่อย ๆ  บรรยากาศยามบ่ายของหนึ่งอาทิตย์นั้นคือเขาจะต้องชงชาและนั่งดื่มชาที่ระเบียงพลางชมสวนกับพ่อ

ชุดยูคาตะ  ชาฝรั่ง  ขนมญี่ปุ่น...บรรยากาศแปลกประหลาดที่ไม่คุ้นเคย  แต่ดูเหมือนว่าพ่อกับลูกชายจะสนุกกับความแปลกใหม่นี้

ฟุยุกิยังคงไม่ค่อยพูด  เอาแต่นั่งฟังพ่อพูดไปเงียบ ๆ เหมือนเคย  แต่ความเกร็งและความเครียดในการเผชิญหน้าลดลงไปมาก  ผู้เป็นพ่อไม่ได้ถามซักไซ้เรื่องงานการอะไรอีก  บางทีพี่ชายทั้งสองคงจะเล่าเรื่องที่เขาพูดออกมาเมื่อตอนอยู่โรงพยาบาลให้พ่อฟัง  เรื่องที่พูดคุยกันส่วนมากจึงเป็นเรื่องสัพเพเหระเสียมาก

ระหว่างที่อยู่ที่บ้าน  ฟุยุกิก็คิด...เป็นเรื่องเก่า ๆ ที่คิริฮาระเคยพูดเอาไว้นานแล้ว

...เรื่องแปรงสีฟัน...

คิริฮาระเคยพูดไว้ว่าถ้าเลือกแปรงสีฟันเองได้  ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถเลือกเองได้ทั้งนั้น  แปรงสีฟันอันแรก  พ่อแม่จะเป็นคนเลือกให้เราเสมอ  จนกว่าเราจะอยากเลือกแปรงสีฟันเอง

ตัวเขาในตอนนั้นถามกลับไปว่า  แล้วถ้าคนในบ้านไม่เปิดโอกาสให้เลือกล่ะ?

เขาจำได้ว่าคิริฮาระทำหน้าจริงจังแล้วตอบกลับมาว่า

“มันขึ้นอยู่กับว่าเราบอกเขาว่าเราอยากเลือกแปรงสีฟันเองหรือเปล่าต่างหาก  ถ้าเราไม่เคยบอก  ก็บอกไม่ได้หรอกว่าเขาเปิดโอกาสให้เราหรือเปล่า  แต่ถ้าบอกไปแล้วเขาไม่ยอม...นั่นก็อีกเรื่อง”

ตัวเขาในตอนนั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนที่บ้านจะยอมฟังเรื่องที่เขาจะบอก  แต่ตอนนี้เขาคิดว่าถ้าเขาพูดไป  ทุกคนคงยอมรับฟังแน่...เพียงแต่จะยอมให้เลือกหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง

แต่ฟุยุกิยังต้องการเวลาคิดอีกนิดหน่อย  เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดจะตัดสินใจนั้นมันดีหรือไม่  และไม่รู้ว่าควรจะปรึกษาใครดี
ชื่อของนัตสึเมะแวบขึ้นมาในหัว  ปกติถ้าเขาคิดเรื่องจะปรึกษาอะไรใคร  นัตสึเมะจะเป็นคนแรกที่เขาคิดถึงอยู่แล้ว  แต่ครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษกว่านั้น  ที่เขาอยากปรึกษา  ก็เพราะนัตสึเมะเป็นคนที่คิริฮาระบอกว่า...โยนทิ้งหมดทั้งแปรงสีฟันและยาสีฟันที่ทางบ้านเลือกให้...

ดังนั้นถ้าเป็นนัตสึเมะละก็  คงให้คำปรึกษาแก่เขาได้แน่  เพียงแต่...เขาไม่มีความกล้าพอที่จะกลับไปที่ร้านกาแฟแห่งนั้น  ยังมีบางอย่างค้างคาอยู่ในความรู้สึก  ความรู้สึกเจ็บปวดแบบที่เขาไม่อยากเจออีกแล้วยังหลงเหลืออยู่

เขาต้องคิดเองคนเดียว

...

ฟุยุกิกลับไปทำงาน  แน่นอนว่าจะต้องถูกเพื่อนร่วมงานต้อนรับด้วยสายตาแปลก ๆ โทษฐานหยุดงานไปเสียนาน  แต่ก็แปลกที่ครั้งนี้เขาไม่รู้สึกใส่ใจกับสายตาพวกนั้น  มีเสียงนินทาลอยมาเข้าหูบ้าง  แต่ฟุยุกิก็ปล่อยมันผ่านไปแล้วทำงานไปตามปกติ  เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด  ทั้งที่ผ่านมาเขาแคร์กับเรื่องพวกนี้มาตลอดแท้ ๆ  พยายามเร่งตัวเองวิ่งไล่ตามโลกรอบตัวอย่างสุดกำลัง  แต่จบลงด้วยความล้มเหลวเสมอ

แต่ในตอนนี้ฟุยุกิรู้สึกเหมือนกับเห็นพื้นที่ว่างสำหรับตนเอง  แม้โลกรอบตัวจะวิ่งวุ่นและสับสนวุ่นวาย  แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนอยู่ที่สวนหลังบ้านซึ่งเวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า  เขาทำงานไปเรื่อย ๆ ตามประสาของเขา  แม้ว่าจะยังคงช้าไม่ทันใจใครต่อใครจนโดนเขม่นหรือพูดจาไม่ดีใส่  แต่กลับไม่ผิดพลาดเลยสักนิด

ฟุยุกิรู้สึกเหมือนจับจังหวะของตัวเองได้  และรู้แล้วว่าจังหวะของเขาไม่เหมาะกับจังหวะของสำนักงานแห่งนี้  ดังนั้นเมื่อถูกคนอื่นต่อว่าหรือทำกิริยาไม่ดีใส่  เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร  ไม่ได้โต้ตอบอะไร...เพราะในใจของเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
แล้ววันหนึ่ง  เมื่อความคิดนั้นตกตะกอน  เขาก็บอกกับมิโนรุ

“พี่  ฉันจะลาออก”

“หา!?”

มิโนรุตกใจอย่างจริงจัง  ไม่เชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ

“ฉันบอกว่าฉันจะลาออก”  ฟุยุกิบอกซ้ำด้วยเสียงเรียบ ๆ เบา ๆ

“เดี๋ยว ๆ ๆ!!  นี่มันเรื่องอะไรกัน!?  ทำไมอยู่ ๆ นายถึงจะลาออก?”  มิโนรุวางถ้วยกาแฟตัวเองลงทันที

“ฉันรู้สึกแล้วว่าฉันไม่เหมาะกับงานที่นี่  ก็เลยจะลาออกน่ะ  กะว่าวันนี้จะไปบอกหัวหน้า”

“เดี๋ยว!  หยุด...หยุดก่อน  นี่บอกคุณพ่อกับเคียวยะหรือยัง?”

“ยัง  เพิ่งคิดตกเมื่อคืนนี้น่ะ”

“ทำไมล่ะ?”

“...ฉันบอกพี่ไปแล้วนี่”

“เรื่อง...เด็กเส้นน่ะเหรอ?”  มิโนรุเดาออกแค่เรื่องเดียว  เพราะรายงานผลการทำงานเดือนนี้ของฟุยุกิออกมาดีเยี่ยม

“นั่นก็เรื่องนึง...”  เด็กหนุ่มยกถ้วยชาขึ้นดื่ม  “โลกของที่นั่นมันหมุนเร็วเกินไปสำหรับฉันน่ะ”

“ถ้าพูดแบบนั้น...โลกที่ไหนมันก็หมุนเร็วทั้งนั้นแหละ”

“ไม่หรอก...มีบางที่...”  ฟุยุกิอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงร้านกาแฟของนัตสึเมะ

ผู้เป็นพี่ชายลอบถอนใจ  “ยังไงก็ช่างเถอะ  อย่าเพิ่งไปบอกหัวหน้าวันนี้เลยนะ  เอาไว้คุยกับพ่อกับเคียวยะก่อน”

“แต่ถึงบอกวันนี้  ก็ยังต้องจัดการงานอะไร ๆ ที่ค้างไว้อยู่ดี  กว่าจะได้ออกก็ตั้งเดือนหน้าโน่นแหละ”

“นายยังไม่มีงานใหม่เลยนะ”

“เดี๋ยวค่อยหาก็ได้นี่...ขายดอกไม้อะไรอย่างงี้”

“จะบ้าเรอะ!?”

ฟุยุกิไม่สนใจพี่ชายที่ชักจะเริ่มขึ้นเสียง  เขาทำเป็นสนใจเวลาว่าต้องออกจากบ้านเสียที  แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ออกไปทำงาน  ระหว่างทางเขาก็นึกขำตัวเองเหมือนกันที่ต่อปากต่อคำกับมิโนรุได้ขนาดนั้น  แถมยังตีหน้ามึนเลี่ยงออกมาหน้าตาเฉยเสียอีก

วันนั้นฟุยุกิขอพบหัวหน้าแล้วบอกสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป  ซึ่งหัวหน้าของเขารับฟังอย่างสงบกว่าที่คิด

“งั้นรึ  อยากลาออกสินะ”

“ครับ  ผมคงไม่เหมาะกับที่นี่เท่าไร  อยู่ไปก็มีแต่ถ่วงคนอื่นน่ะครับ”

“อืม...เดือนที่แล้วเธอทำงานได้ดีมากนะ  ฉันคิดว่าถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยเธอจะคล่องกว่านี้”

“หัวหน้าให้โอกาสผมมาตั้งปีกว่าแล้วครับ  ผมเองที่พัฒนาตัวเองไม่ได้”

“...ยังไงก็ไม่เอาแล้วสินะ”

“ขอโทษนะครับ  แต่ผมจะจัดการงานที่ยังค้างอยู่ให้เรียบร้อยก่อนไปน่ะครับ”

“อื้ม  ขอบใจนะ  เดี๋ยวฉันจะเรียนให้คุณพ่อของเธอทราบด้วย”

“ขอความกรุณาด้วยครับ”  ฟุยุกิโค้งต่ำให้หัวหน้า  ก่อนจะขอตัวออกจากห้อง  แต่แล้วก็ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงเรียก

“อาริโยชิคุง”

“ครับ?”

เมื่อหันกลับไป  ฟุยุกิก็พบกับรอยยิ้มเอ็นดูของหัวหน้า

“ถึงเธอจะเหมือนคนทำงานไม่ได้ความ  แต่ฉันเห็นความพยายามในตัวเธอนะ  สมุดจดความผิดพลาดนั่นอาจจะดูแย่ไปหน่อยแต่ก็เป็นหลักฐานความพยายามที่ดี...เหนื่อยหน่อยนะ”

ฟุยุกิรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว  แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกมาได้และก้มหัวให้หัวหน้าอีกครั้ง  ก่อนจะกลับไปทำงานของตัวเอง

ระเบิดลงในตอนเย็น...เพราะต้องเคลียร์งานที่ค้างไว้ให้มากที่สุด  ฟุยุกิจึงออกมาจากบริษัทช้ากว่าที่เคย  และพอออกจากประตูมาก็พบมิโนรุยืนหน้าหงิกรออยู่แล้ว

ฟุยุกินึกอยากจะหนีออกบันไดหนีไฟ  แต่ยังไงตอนนี้ก็หนีไม่พ้นแล้ว  เมื่อพี่ชายซึ่งเป็นจุดรวมสายตาของพนักงานสาวทั้งหลายก้าวฉับ ๆ ตรงดิ่งมาหาเขา

“ฟุ...ยุ...กิ...”  มิโนรุยิ้ม  แต่เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะฆ่าคนได้สักสองสามคน

เด็กหนุ่มไม่มีทางหนี  นอกจากยิ้มสู้

“ฮะ...ฮะ ๆ...พี่...”

“ช่าย  ฉันเป็นพี่แก...เพราะฉะนั้น  ขึ้นรถไปบ้านคุณพ่อด้วยกันเสียดี ๆ”

ไม่พูดเปล่ายังคว้ามือฟุยุกิลากตามไปด้วย

“เดี๋ยว...พี่!  ทำไมต้องไปบ้านคุณพ่อด้วย?”

“ก็คุณพ่อโทรมาบอกให้พาแกไปที่บ้านน่ะสิ”

“วันนี้น่ะเหรอ?  เรื่องอะไร...อ๊ะ!”

“นึกออกแล้วใช่มั้ย?  หัวหน้าแกเขาโทรไปบอกคุณพ่อแล้ว  คุณพ่อโทรมาโวยกับฉัน  เพราะเขาโทรหาแกแล้วแกไม่ยอมรับสาย”

“อะ...เอ่อ...ผมปิดมือถือไว้...”  เมื่อตอนบ่ายมีงานจัดเอกสาร  เขาเลยปิดโทรศัพท์มือถือไว้เพื่อให้มีสมาธิ  แล้วก็เลยลืมเปิดเครื่อง

“ไอ้เด็กโง่!!  ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเพิ่งบอกหัวหน้า  ให้ไปคุยกับคุณพ่อก่อน”  มิโนรุดุเอา

ฟุยุกิหุบปากเงียบ  ใช่  มิโนรุบอกอย่างนั้น  แต่เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในที่แบบนี้มากกว่านี้อีกสักนาทีเดียว  แค่ที่ต้องอยู่ไปอีกร่วมเดือนก็แย่แล้ว  ขืนให้รอปรึกษาพ่อกับพี่ชายคนโตก่อนมีหวังอกแตกตายกันพอดี

คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ตกใจตัวเอง  ไม่รู้ว่าเขามีความคิดแบบนี้ขึ้นมาในใจตั้งแต่เมื่อไร  ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาต้องยอมทนรอจนกว่าพ่อกับพี่ ๆ จะตัดสินใจให้แน่  แต่ทำไมคราวนี้เขาถึงไม่รอกันนะ...ทำไมเขาถึงคิดหักดิบเปลี่ยนแปรงสีฟันเองแบบนี้กันนะ

“บ้าจริง ๆ เลย  แทนที่จะรอคุยกันให้รู้เรื่องก่อน  ไปลาออกกะทันหันแบบนี้...นี่มันหมดช่วงรับพนักงานใหม่แล้วนะ  ทีนี้จะไปหางานที่ไหนให้ได้”  มิโนรุบ่นพลางลากน้องชายตามหลังไปด้วย

ฟุยุกิเดินตามไปเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร

“ให้ตายสิ  บริษัทอาโอยามะที่เป็นลูกค้าของเคียวยะจะพอรับพนักงานใหม่ได้มั้ยนะ...หรือว่าจะเป็นโฮริงุจิกรุ๊ปดี...”

เด็กหนุ่มกระชากมือออกจากการเกาะกุมทันที  มิโนรุหันมามองอย่างงุนงง  ฟุยุกิกอดกระเป๋าทำงานไว้แน่น
หัวข้อ: Re: Lock on You 12 / 17-07-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 17-07-2015 22:56:45
“ฉัน...ไม่ให้คุณพ่อฝากงานให้แล้ว”

“ว่าไงนะ?”

“ฉันไม่อยากเป็นเด็กเส้นแล้ว!”

“จะบ้าเหรอ  ยุกิ!  จะเข้าทำงานกลางภาคมันก็ต้องฝากกันแบบนี้แหละ  แล้วที่สำคัญเกรดเฉลี่ยกับประวัติการทำงานของนายน่ะ...”  พูดแล้วมิโนรุก็นึกได้ว่าไม่ควรพูด  เขารีบตะครุบปากตัวเองทันที...แต่ก็ไม่ทัน

“...มันห่วยใช่มั้ยล่ะ”  ฟุยุกิขมวดคิ้วมุ่น  “เพราะงี้คุณพ่อกับพวกพี่ถึงได้ต้องคอยเจ้ากี้เจ้าการตลอด  เพราะกลัวฉันไม่มีงานทำใช่มั้ย?”

“ยุกิ...คือ...มันก็...”

“ฉันจะไม่ทำงานที่คุณพ่อกับพวกพี่หาให้อีกแล้ว!”

พูดแล้วฟุยุกิก็กลับหลังหันเดินหนี

“เฮ้ย!  ยุกิ!  นายต้องไปบ้านก่อนนะ”  มิโนรุรีบวิ่งตามไป

“ไม่เอา  ฉันไม่ไป!”

“ต้องไป!  คุณพ่อรออยู่นะ!”  คนเป็นพี่คว้ามือไว้

“ไม่ไป!  ถ้าไปเดี๋ยวคุณพ่อก็จับยัดเข้าบริษัทอะไรสักแห่งอีกจนได้แหละ  ไม่เอาหรอก!!”  ฟุยุกิพยายามดึงมือออก

“ต้องไป!!”

“ไม่ไป!!”

แน่นอนกว่าการยื้อกันนั้นจะต้องเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่ยังเดินไปมาอยู่บนทางเท้า  แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองที่โต้เถียงกันอยู่มีเค้าหน้าคล้ายคลึงกันก็เลิกสนใจ

...แต่คนที่มองมาจากอีกฟากถนนไม่ได้เห็นชัดขนาดนั้น...

นัตสึเมะปิดร้านตอนบ่ายเมื่อพบว่าน้ำตาลกรวดหมด  ความจริงมันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหนาหรอก  เพียงแต่วันนี้ลูกค้าน้อยและเขารู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยแจ่มใสเลยหาเรื่องออกมาเดินเล่นหน่อยเท่านั้นเอง  เขาซื้อของที่ต้องการได้แล้วและกำลังเดินกลับไปที่ร้าน  ระหว่างทางก็เห็นฟุยุกิ...

...ฟุยุกิกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งฉุดกระชากไปขึ้นรถ...!?

วินาทีนั้นเหมือนเส้นอะไรในสมองของนัตสึเมะขาดผึง  เขากระโจนข้ามรั้วกั้นและวิ่งข้ามถนนไปแบบลืมดูไฟเขียวไฟแดง  ตรงปรี่ไปยังสองคนที่กำลังโต้เถียงกันอยู่

ชายหนุ่มคว้ามือชายคนนั้นไว้แล้วดึงออกจากมือฟุยุกิ

“พอได้แล้วครับ”

มิโนรุหันไปมองผู้มาห้ามด้วยความงุนงง

“เอ๊ะ?  อะ...คุณ...!?”

“นัตสึเมะซัง!?”  ฟุยุกิอุทานออกมา

“เด็กเขาไม่เต็มใจไม่ใช่หรือไงครับ”

นัตสึเมะพูดด้วยสายตาคมกริบ  แล้วก็รีบคว้าข้อมือฟุยุกิลากให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ!  นะ...นัตสึเมะซัง!  คือ...”

นัตสึเมะได้ยินเสียงที่เหมือนพยายามจะห้ามหรืออธิบายอะไรบางอย่างของฟุยุกิ  แต่เขาไม่สนใจจะฟัง  ในใจมันพลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกบางอย่าง  เขาก้าวยาว ๆ ฝ่าฝูงชนไปด้วยความเร็วขนาดที่ฟุยุกิแทบจะต้องวิ่งตาม

เด็กหนุ่มตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนตั้งตัวไม่ทันนั้น  เขาแค่กำลังทะเลาะกับมิโนรุ  แล้วอยู่ ๆ คนที่เขาพยายามหลบหน้ามานานก็เข้ามาแทรกและพาเขาหนีมา  มือใหญ่จับข้อมือเขาไว้ไม่ปล่อยจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนจากอุ้งมือนั้น  เขาพยายามจะบอกแต่ดูเหมือนนัตสึเมะจะไม่ฟัง  ในที่สุดก็ได้แต่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังไป...จนกระทั่งถึงร้านกาแฟ

แล้วนัตสึเมะก็ปล่อยมือฟุยุกิเพื่อไขกุญแจเปิดร้าน  ก่อนจะหันมาดึงตัวเด็กหนุ่มเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว

“นัตสึเมะซั...!!?”

เสียงกระดิ่งที่ประตูร้านยังไม่ทันจาง  ฟุยุกิก็ถูกคว้าไปกอดไว้แน่น

...ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก...คือคำที่เหมาะกับฟุยุกิในตอนนี้ที่สุด  เด็กหนุ่มปล่อยกระเป๋าทำงานร่วงหลุดมือ  ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดนั้น  เสียงลมหายใจถี่แรงก้องอยู่ข้างหู  อ้อมแขนกระชับรั้งร่างของเขาแนบแน่นจนรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนของหัวใจที่เต้นระรัว...ว่าแต่...เป็นเสียงหัวใจของใครกัน?  เพราะเหนื่อยจากการเดินรวดเดียวจากที่ทำงานของเขามาจนถึงที่นี่งั้นหรือ  หรือเพราะความรู้สึกอย่างอื่น...ฟุยุกิรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว  ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัว...แทบจะไม่กล้าหายใจเสียด้วยซ้ำ
แล้วก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำกระซิบเบา ๆ

“...ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”

ความเครียดเกร็งที่เกิดขึ้นผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว  เด็กหนุ่มถอนใจยาว...ใบหน้าที่ร้อนผ่าวอยู่แล้วยิ่งร้อนหนักเข้าไปใหญ่  ฟุยุกิรู้สึกแปลกประหลาด...ทั้งอยากร้องไห้...ทั้งอยากหัวเราะ...แต่เมื่อไม่รู้จะทำอะไรได้  ก็ซุกหน้าลงกับอกกว้าง

อกของนัตสึเมะกรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟหอมสดชื่น  กลิ่นที่ทำให้สบายใจ...กลิ่นของร้านนี้ที่โอบล้อมเขาไว้อย่างอบอุ่นและอ่อนโยนเสมอ

ทั้งสองนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง  แล้วนัตสึเมะก็ตบหลังฟุยุกิเบา ๆ ก่อนจะผละออก

“หายตกใจแล้วนะครับ”

เด็กหนุ่มยืนจ้องหน้าร่างสูงนิ่ง ๆ  ถ้าใบหน้ามันจะร้อนไปกว่านี้ได้มันคงร้อนไปแล้ว  แต่นี่คงถึงขีดสุดของมัน  ความร้อนนั้นเลยส่งผลให้เวียนหัวขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน  ฟุยุกิเข่าอ่อนทรุดหงายไปข้างหลัง

“ฟุยุกิคุง!!?”  นัตสึเมะคว้าตัวเด็กหนุ่มไว้ได้ทันพอดี

“.........”  ฟุยุกิพูดออกมาไม่เป็นภาษา...ที่พ่อบอกว่าเขาไข้ขึ้นจนพูดจาไม่รู้เรื่อง  คงเป็นแบบนี้ละมั้ง

“...นั่งก่อนครับ  นั่งก่อน”

ผู้เป็นเจ้าของร้านประคองเด็กหนุ่มไปนั่งที่โต๊ะแล้วหายเข้าไปในส่วนบ้านพัก  ฟุยุกินั่งฟุบหน้าเอาหน้าผากแนบกับโต๊ะเย็น ๆ เผื่อมันจะลดอุณหภูมิในหัวได้...แต่เหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย

แล้วนัตสึเมะก็กลับมาพร้อมกับผ้าเย็น

“เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยครับ  จะได้ดีขึ้น”

ฟุยุกิรับผ้ามาเช็ดหน้าอย่างว่าง่าย  ผ้าเย็น ๆ ทำให้อาการดีขึ้นบ้าง  แต่ก็ยังไม่กล้าสบตานัตสึเมะ

“คงตกใจมากสินะครับ  โดนลวนลามแบบนั้น...”

“ลวนลาม?”  เด็กหนุ่มหันไปมองหน้านัตสึเมะทันที  ลืมอายด้วยความงุนงง  “เปล่านี่ครับ”

“อ้าว...ก็ผู้ชายคนเมื่อกี้จะฉุดคุณขึ้นรถ...?”  ร่างสูงงงด้วย

“ไม่ได้ลวนลามครับ  เข้าใจผิดแล้ว”

“แต่คุณตกใจขนาดนั้น...”

พอเรื่องวนกลับมาที่เดิม  ฟุยุกิก็ร้อนหน้าขึ้นมาอีกครั้ง  เขารีบก้มหน้าซุกผ้าเย็นแน่น

“.........”

“...อะไรนะครับ?”  งึมงำขนาดนั้น  ต่อให้เงี่ยหูฟังก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง

“...ผมตกใจนัตสึเมะซังนั่นแหละ...”

“ผม...?”

“...อยู่ ๆ ก็...กอด...”

ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งร้านไปชั่วขณะ

นัตสึเมะยืนนิ่ง  พูดไม่ออกบอกไม่ถูก  ใช่...เมื่อกี้เขากอดฟุยุกิ  ก็ไม่ใช่ไม่เคยกอด...แต่ทำไมถึงกอด  ทำไมถึงลากฟุยุกิมาที่ร้าน...แล้วกอด...กอดทำไม  มีเหตุผลอะไร...คำถามวนเวียนอยู่ในสมอง  แต่ไม่มีคำตอบ  เมื่อกี้เขาทำไปด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ ไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดเลยสักนิด  ทันทีที่เห็นฟุยุกิกับผู้ชายคนนั้นร่างกายก็ขยับไปเอง...ว่าแต่...สัญชาตญาณอะไร...?

ยังไม่ทันจะได้คำตอบ  เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านก็ดังขึ้น  นัตสึเมะขยับปากไปโดยอัตโนมัติ

“ยินดีต้อนรับครั...”

“ฟุยุกิ!!”

ผู้ที่พรวดพราดเข้ามาในร้านคือผู้ชายคนเมื่อกี้  ตามหลังมาด้วยคิริฮาระซึ่งไม่รู้มาด้วยกันได้อย่างไร  และทันทีที่เข้ามา  ชายคนนั้นก็รีบปรี่เข้าไปหาฟุยุกิทันที

“ยุกิ!  ไม่เป็นไรใช่มั้ย?  หมอนั่นไม่ได้ทำอะไรใช่มั้ย?  เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“...ปะ...เปล่า...”  ฟุยุกิตอบคำถามทั้งชุดนั้นได้แค่คำเดียว

“แน่ใจนะ  แล้วทำไมหน้าแดงแบบนี้?  พอดีฉันหลงทาง  หาทางมาร้านนี้ไม่เจอ  ก็เคยมาแค่หนเดียวนี่นา  งมอยู่ตั้งนานเลยมาช้าเนี่ย  แล้วเป็นอะไร  ทำไมหน้าแดง?  ไข้กลับหรือเปล่า?”  ไม่ถามเปล่ายังใช้สองมือตบ ๆ คลำ ๆ ไปทั่วตัวฟุยุกิเหมือนจะให้แน่ใจว่าไม่มีตรงไหนบุบสลาย

“เปล่า...ไม่ใช่...คือ...”  ยิ่งโดนถามแบบนั้นฟุยุกิก็ยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่

นัตสึเมะมองดูชายหนุ่มคนนั้นอย่างงง ๆ แล้วหันไปหาคิริฮาระ  คิริฮาระเหล่มองด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่าเขาก็มีคำถามอยากถามเหมือนกัน  แต่ก็อธิบายมาว่า

“คุณคนนี้เขาหลงทางแน่ะ  แบบว่าจะมาร้านนาย”

“แล้ว...?”

“แล้วฉันเดินมาพอดี  เขาก็รีบโดดมาขวางเลย  ใส่มาเป็นชุด...รู้จักร้านกาแฟนั่นใช่มั้ย  กำลังจะไปที่นั่นใช่มั้ย  หมอนั่นพาน้องผมไปแล้ว  ช่วยพาผมไปที...อะไรแบบนี้น่ะ”  คิริฮาระยักไหล่  “นายไปทำอะไรเข้าล่ะ?”

“น้อง...?”  นัตสึเมะตอบไม่ตรงคำถาม

“ก็ถ้าดูหน้าแล้ว...ก็คงน้องแหละ”  นักดนตรีหนุ่มพยักเพยิดไปทางฟุยุกิที่นั่งเอาผ้าเย็นโปะหน้ากับชายหนุ่มที่ยังคาดคั้นว่าทำไมถึงหน้าแดง

นัตสึเมะยืนนิ่ง  ในหัวเหมือนมีชินคันเซ็นสักยี่สิบขบวนวิ่งสวนกันไปมา  สีหน้าตื่น ๆ นั่นเป็นสิ่งที่คิริฮาระไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนับแต่เป็นเพื่อนกันมา

“เฮ้ย  นัตสึเมะ...นาย...?”  คิริฮาระรีบแตะแขนเพื่อนไว้

คราวนี้เป็นนัตสึเมะเองที่อยากเป็นลม  เมื่อกี้เขาทำอะไรลงไป...ชายหนุ่มยืนเท้าเคาน์เตอร์ก้มหน้านิ่ง

“เฮ้ย  ไม่เป็นไรนะ  นัตสึเมะ”

“...ขอผ้าเย็นสักผืนเถอะ...ด่วน ๆ เลย”

...

“สรุปคือ  ฟุยุกิคุงเป็นน้องชายคุณพี่สินะครับ”  คิริฮาระออกรับหน้าพร้อมรอยยิ้มคนทำงานบริการมืออาชีพ  ในขณะที่คนต้นเรื่องหนีเข้าเคาน์เตอร์ไปชงเครื่องดื่ม

“ครับ  ว่าแต่...เรียกคุณพี่เลยเรอะ...”  มิโนรุยังทำหน้าตึง  มองคิริฮาระอย่างไม่ไว้วางใจ

“ฮะ ๆ  เรียกอาริโยชิซังแล้วกันนะครับ  แต่สำหรับผม  คุณพี่ของฟุยุกิคุงก็เสมือนคุณพี่ของผมนั่นแหละครับ  ถ้ายอมให้เรียกผมก็ดีใจละครับ”  คิริฮาระยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตร  ด้วยรอยยิ้มและวิธีพูดแบบนี้เอง  เวลากลับไปรับจ๊อบพิเศษที่ท่านประธานโอโนเสะเจ้าของคลับที่คิริฮาระดูแลอยู่ขอร้องมา  ถึงได้จับลูกค้าอยู่หมัดเสมอ

และถึงมิโนรุจะเป็นทนายความผู้รอบคอบ  ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นเงื้อมมือคิริฮาระไปได้

“...ตามสะดวกเถอะ”

เสร็จคิริฮาระไปอีกหนึ่ง...

“สรุปคือฟุยุกิคุงทะเลาะกับคุณพี่อยู่  แล้วนัตสึเมะเห็นเข้าเลยเข้าใจผิดว่าโดนลวนลามอะไรแบบนี้สินะ”  นักดนตรีหนุ่มหันไปพูดกับฟุยุกิ

“...คงงั้น...แหละครับ”  เด็กหนุ่มยังก้มหน้างุด

“พี่น้องทะเลาะกันไม่ดีนะ  ว่าแต่...ทะเลาะกันเรื่องอะไรล่ะ?  ถามได้มั้ย?”

ความเงียบน่าอึดอัดเข้าครอบคลุมไปชั่วขณะหนึ่ง  ก่อนที่ฟุยุกิจะพูดออกมาเบา ๆ

“ผม...จะลาออกจากงานครับ...”

“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งออก  ยังไม่ได้ปรึกษาคุณพ่อกับเคียวยะเลยนะ  แล้วนี่คุณพ่อรออยู่นะเนี่ย”  มิโนรุรีบแทรกขึ้นมาทันที

“คุณพี่ใจเย็นก่อนครับ”  คิริฮาระยกมือห้ามพร้อมกับรอยยิ้มมืออาชีพ  ซึ่งก็ได้ผล  มิโนรุยอมหยุดแต่ก็หันหน้าหนีมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่พอใจ  “ทำไมถึงจะลาออกเสียล่ะ?”

ฟุยุกิดูจะลังเลนิดหน่อย  แต่ในที่สุดก็พูดออกมา

“ผมเหนื่อยน่ะครับ  ผมปรับตัวเข้ากับที่ทำงานไม่ได้  โลกที่นั่นหมุนเร็วเกินไป”

“ก็บอกแล้วไงว่าที่ไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”  มิโนรุหันกลับมาแทรกอีก  “โลกน่ะมันวิ่งไปข้างหน้า  มันไม่หยุดรอใครหรอก  เราต่างหากที่ต้องไล่ตามให้ทัน”

“ก็ฉันไล่ไม่ทันนี่  มันเหนื่อยนะ  ต้องวิ่งตามคนที่ไม่ยอมหยุดรอเราน่ะ  ฉันน่ะแค่เดินก็เหนื่อยแล้ว  จะให้มาวิ่งระยะสั้นน่ะทำไม่ได้หรอกนะ”  ฟุยุกิเถียงเหมือนจะลืมตัว

“ก็ฝึกเข้าสิ  นายเพิ่งอายุยี่สิบสาม  มีเวลาถมเถไป”

“แล้วที่พยายามมาตลอดปีกว่านี่มันได้ผลมั้ยเล่า  ของที่ไม่เหมาะมันก็คือไม่เหมาะไม่ใช่หรือไง”

“ถ้าไม่ปรับตัวแล้วจะไปทำงานที่ไหนได้  มีงานช้า ๆ ที่ไหนให้ทำหรือไงเล่า”

ก่อนที่คิริฮาระจะทันได้ห้ามสงครามระหว่างพี่น้อง  ถ้วยชาชุดสวยก็ถูกวางลงบนโต๊ะ  ทำให้เกิดการพักรบไปโดยปริยาย

“ทั้งสองคนใจเย็น ๆ นะครับ  ดื่มชากันก่อน”  นัตสึเมะนั่นเองที่เป็นทูตสันติภาพ

คิริฮาระเลิกคิ้วนิดหน่อย  นี่เป็นชุดถ้วยกาแฟเพียงหนึ่งเดียวที่เข้าชุดกันของร้านนี้  นาน ๆ ครั้งถึงจะเห็นนัตสึเมะเอาออกมาใช้สักทีหนึ่ง  ที่ให้เขาออกรับหน้าแทนอยู่พักใหญ่นี่ไปชงชาสงบสติอารมณ์มางั้นสินะ  อาการถึงได้ดูปกติดีแล้ว

“เหนื่อยใช่มั้ยครับ?  งั้นดื่มชาก่อนนะ”  ไม่พูดเปล่ายังรินน้ำชาในเหยือกใส่ถ้วยทั้งสองใบส่งให้สองพี่น้อง

ชาสีอ่อนใส  ส่งกลิ่นหอมกรุ่นที่คุ้นเคย

“ชาคาโมมายล์...”

“ครับ  อาริโยชิซังก็ลองดื่มด้วยสิครับ”  ประโยคหลังหันไปพูดกับมิโนรุ

“เป็นร้านกาแฟทำไมถึงมีชาด้วย?”  มิโนรุยังทำท่าไม่พอใจ

“ก็สำหรับลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟอย่างฟุยุกิคุงไงล่ะครับ”

แม้จะมีท่าทีเหมือนระแวดระวังอะไรบางอย่างอยู่  แต่มิโนรุก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม

“โอ๊ะ  อร่อยกว่าที่ยุกิชงอีกนี่”

“ก็ใช่สิ  หนังสือเล่มนั้นของนัตสึเมะซังนี่นา”

“ฟุยุกิคุงหัดชงชาแล้วเหรอครับ?”  เจ้าของหนังสือที่ถูกกล่าวอ้างทำหน้าดีใจ

“ครับ...ก็นิดหน่อย...ยังไม่ได้เรื่องหรอกครับ”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ค่อย ๆ ทดลองไป  เดี๋ยวก็หาจังหวะที่เหมาะได้เอง...เติมได้ตามสะดวกนะครับ”

พูดแล้วนัตสึเมะก็วางกาน้ำชาลง  ก่อนจะเลี่ยงกลับไปในเคาน์เตอร์  คิริฮาระก็ตามไปด้วย

เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง  แต่ไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดเหมือนครั้งก่อน  สองคนพี่น้องนั่งดื่มน้ำชาพลางครุ่นคิด

“ยุกิ  พวกพี่ก็รู้นะว่าแกเป็นคนช้า  แต่ก็คิดว่าแกคงจะปรับตัวได้ถ้าพยายาม”  มิโนรุทำลายความเงียบขึ้น

“แล้วพี่ก็เห็นแล้วว่าฉันทำไม่ได้”

คนเป็นพี่ลอบถอนใจ  “แต่มันไม่มีงานที่ไหนที่จะมาเชื่องช้าอยู่ได้หรอกนะ”

“ฉันรู้...”

“แล้วนายจะไปทำงานอะไร?”

“ยังไม่รู้เลย...รู้แค่ว่าทนอยู่ไม่ได้แล้ว”

“พวกฉันก็เป็นห่วงเรื่องนี้แหละ...อย่างน้อยถ้านายรู้ว่าจะไปทำงานอะไรก็ยังดี”

ฟุยุกินิ่งเงียบ  นั่นสินะ...จะมีงานอะไรที่ให้ทำได้โดยไม่ต้องรีบเร่ง  ไม่ต้องวิ่งไล่ตามโลกให้ทัน  ไม่ต้องพยายามสุดชีวิตจนแทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่...จะมีงานอะไรให้พอได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักนิด  ได้ค่อย ๆ ฝึกฝนตัวเองไปอย่างช้า ๆ ตามจังหวะของตัวเอง  ไม่ใช่ไหลไปตามกระแสโลกอันบ้าคลั่งแบบนั้น...โลกที่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหมือนสวนหลังบ้าน  หรือไม่ก็...

“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ”

สองพี่น้องอาริโยชิหันไปตามเสียง  แล้วก็พบนัตสึเมะยืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะ

“ฟุยุกิคุง  สนใจจะทำงานที่ร้านนี้มั้ยครับ?”

“เอ๋!!?”

ไม่ใช่แค่มิโนรุกับฟุยุกิ  แม้แต่คิริฮาระก็อุทานออกมาด้วย

“เงินเดือนอาจจะไม่มาก  แต่กินฟรีสามมื้อนะครับ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านยื่นข้อเสนออีก

“ทะ...ทำไม...?”  ฟุยุกิแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“ก็งานช้า ๆ ที่ไม่ต้องรีบวิ่งตามใคร...แค่ต้องเอาชีวิตรอดช่วงเที่ยงไปให้ได้เท่านั้นเองครับ  ระยะนี้ผมก็แก่ลงเยอะ  ตอนเที่ยง ๆ ก็อยากได้ใครมาช่วยสักคนน่ะครับ”

“ดะ...ได้เหรอครับ?”

“ถ้าสนใจ...แล้วคุณพี่กับคุณพ่อไม่ว่าอะไร  ก็ลองกลับไปคิดดูก็ได้ครับ”  นัตสึเมะยิ้ม

สำหรับฟุยุกิคงรู้สึกเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่  แต่สำหรับคิริฮาระที่นั่งดูอยู่ที่เคาน์เตอร์แล้วกลับคิดว่า...เพื่อนเราเหนือชั้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว  ถึงกับฉวยโอกาสเสียบเข้าทางญาติผู้ใหญ่เลยทีเดียว



(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 12 / 17-07-58
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 09-08-2015 01:30:02
 :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: Lock on You 13 / 26-08-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 26-08-2015 19:59:13
สวัสดีครับ สบายกันดีอยู่หรือเปล่า?
ผมก็สบายตามอัตภาพครับ เดินทางเยอะนิดหน่อย เหนื่อยครับ
มาอ่านกันต่อเลยนะครับ
HAKURO_KOKURO
//////////

Lock on You 13

“นัตสึเมะซังครับ  ผมมีเรื่องอยากจะถามหน่อย”  ฟุยุกิพูดขึ้นมาขณะที่กำลังชงน้ำชาในตอนบ่ายวันหนึ่งหลังจากจบช่วงเที่ยงที่ยุ่งจนหัวหมุนไปแล้ว

“อะไรเหรอครับ?”  นัตสึเมะชะงักมือที่กำลังเก็บล้างถ้วยจาน

“เรื่องแปรงสีฟันกับยาสีฟันน่ะครับ”

“หา?”  อย่าบอกนะว่าอยากรู้ว่าเขาใช้ยี่ห้อไหนจะได้ซื้อมาใช้บ้างน่ะ

“คือ...นานมาแล้วน่ะครับ  คิริฮาระซังเคยบอกแบบเปรียบเทียบให้ผมฟังว่า  การเลือกใช้ชีวิตก็เหมือนการเลือกแปรงสีฟัน  คิริฮาระซังชอบการเล่นไวโอลินซึ่งเหมือนแปรงสีฟันที่ที่บ้านเลือกให้  แต่เปลี่ยนยาสีฟัน  คือเปลี่ยนแนวการเล่นเอง  แล้วก็บอกอีกว่านัตสึเมะซังโยนทั้งแปรงสีฟันทั้งยาสีฟันที่ทางบ้านเลือกให้ทิ้งหมดเลย  ผมเลยอยากรู้ว่านัตสึเมะซังทิ้งอะไรไปเหรอครับ?”

นัตสึเมะมองสีหน้าจริงจังของฟุยุกิ  เด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย  ดูกระฉับกระเฉงและมีความมั่นใจที่จะคิดจะถามมากขึ้น


จากวันนั้นที่เขาเสนอให้ฟุยุกิมาทำงานที่ร้าน  เวลาก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว  ในตอนแรกทางบ้านของฟุยุกิก็ไม่แน่ใจที่จะให้เด็กหนุ่มมาทำงานในร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่ดูไม่มั่นคงแบบนี้  แต่เมื่อมิโนรุบอกว่าน่าจะพอเป็นไปได้  ทั้งสึโตมุและเคียวยะก็พากันมาที่ร้านเพื่อดูให้เห็นกับตา

นัตสึเมะต้อนรับครอบครัวอาริโยชิเป็นอย่างดี

“ผมแค่คิดว่าฟุยุกิคุงอาจจะไม่เหมาะกับงานที่ต้องเร่งรีบตามกระแสสังคมที่ไหลไปเร็วนักน่ะครับ  เขาน่าจะเหมาะกับงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า  ที่ร้านของผมนอกจากตอนเที่ยงแล้วก็จะมีลูกค้าทยอย ๆ กันมาเรื่อย ๆ มากกว่าน่ะครับ  ไม่ได้ต้องรีบเร่งอะไรมากนัก  จังหวะการทำงานช้า ๆ แบบนี้อาจจะเหมาะกับฟุยุกิคุงก็ได้”

“แล้วลูกค้าไม่เยอะแบบนี้  คุณจ่ายค่าแรงไหวเหรอ?”  เคียวยะชักห่วงเรื่องความมั่นคงด้านรายได้ของน้องชาย

“ก็คงไม่มากเท่าเงินเดือนพนักงานบริษัท  ไม่มีสวัสดิการหรือโบนัสอะไร  แต่มีอาหารสามมื้อนะครับ  นึกเสียว่ามาทำงานฆ่าเวลาระหว่างรอหางานที่เหมาะสมกว่านี้ก็ได้ครับ”  นัตสึเมะบอกตามตรง

“อืม...”  สึโตมุที่นั่งจิบกาแฟและนิ่งเงียบมาตลอดพยักหน้าน้อย ๆ  “ฟังดูดี  แต่ลูกชายผมจะเป็นภาระให้คุณเสียเปล่า ๆ มั้ยล่ะ?”

“ไม่หรอกครับ  ผมอยากได้คนช่วยอยู่พอดี  ตอนช่วงเที่ยงที่ลูกค้าเยอะมาก ๆ ผมก็ชักทำคนเดียวไม่ไหวแล้วละครับ  อย่างน้อยมาช่วยแค่ตอนนั้นก็ยังดีครับ”

“ทำไมถึงคิดว่าฟุยุกิจะช่วยคุณได้ล่ะ?”

นัตสึเมะยิ้มกับคำถามนี้

“ก็เขามีความตั้งใจนี่ครับ  ผมเห็นเขาพยายามเรื่องงานมาตลอด  ก็เลยคิดว่าน่าจะทำได้น่ะครับ”

คราวนี้สึโตมุหัวเราะเบา ๆ  แล้วหันไปพูดกับฟุยุกิ

“พ่อตัดสินใจให้ไม่ได้หรอก  งานที่เงินเดือนน้อยแถมสวัสดิการก็ไม่มีแบบนี้  มันขึ้นอยู่กับแกแล้ว  ฟุยุกิ  ว่าแกอยากทำหรือเปล่า?”

ฟุยุกินิ่งอึ้ง...แต่ไหนแต่ไรพ่อไม่เคยพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน  พ่อเคยแต่ชี้นิ้วสั่งและให้เขาทำตามเท่านั้น

“ส่วนตัวพี่ก็ไม่อยากให้นายทำหรอกนะ  มันดูไม่มั่นคง  แต่ถ้าคิดว่าจะสบายใจกว่า  ก็แล้วแต่นายแล้วกัน”  เคียวยะพูดขึ้นด้วย
เด็กหนุ่มมองหน้าพ่อ  พี่ชาย  แล้วหันไปมองนัตสึเมะ  ซึ่งผู้เป็นเจ้าของร้านได้แต่ยิ้ม  คนคนนี้แทบจะไม่เคยบอกให้เขาทำอะไรหรือควรทำอะไร  แค่คอยแนะนำทางที่เป็นไปได้  ซึ่งจะทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับตัวเขาเองทั้งสิ้น

แม้จะยังมีเรื่องค้างคาใจเกี่ยวกับนัตสึเมะอยู่บ้าง  แต่ฟุยุกิก็ตัดสินใจไปแล้วตั้งแต่วันที่ถูกเอ่ยชวน

“ผมอยากทำครับ”

สึโตมุกับเคียวยะมองหน้ากัน  แล้วก็พยักหน้านิด ๆ

“ก็น่าจะอย่างนั้นแหละ

“ตั้งใจทำงานก็แล้วกัน  อย่าให้เดือดร้อนคุณเจ้าของร้านเขา”

ฟุยุกิแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง  เขาคิดว่าจะถูกต่อต้านมากกว่านี้เสียอีก  ผู้เป็นพ่อยิ้มกับสีหน้าตื่น ๆ ของลูกชายคนเล็ก

“ยังไงซะ  กาแฟที่นี่ก็อร่อยนะ...เอ้า  ขอบคุณคุณเขาเสียสิ”

ฟุยุกิรีบลุกขึ้นแล้วโค้งต่ำให้นัตสึเมะ

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ  นัตสึเมะซัง!”

ผู้เป็นเจ้าของร้านยิ้ม  “ทางนี้ก็ฝากตัวด้วยนะครับ”

หลังจากเคลียร์งานที่ค้างอยู่เสร็จ  ฟุยุกิก็ออกจากงานและได้ของขวัญจากหัวหน้าเป็นสมุดจดข้อผิดพลาดเล่มใหม่ที่เขียนกำชับมาว่าอย่าให้มันเต็มเล่มเร็วนัก  แล้วก็เข้ามาทำงานที่ร้านของนัตสึเมะ

เด็กหนุ่มต้องออกจากแมนชั่นมาทำงานแต่เช้าตรู่ก่อนช่วงเวลาเร่งด่วนซึ่งเช้ากว่าปกติมาก  แต่เพราะงานที่ไม่รีบร้อนนักทำให้เหมือนมีเวลาพักระหว่างวันพอสมควรจึงไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยเท่าไร  งานที่ทำก็ทั่ว ๆ ไป  ช่วยเสิร์ฟ  เก็บโต๊ะ  ล้างจาน  ทำความสะอาดร้าน...และชงชาตามออร์เดอร์

แรก ๆ ฟุยุกิก็อิดออด  กลัวว่าจะชงได้ไม่ดีเท่าที่นัตสึเมะชง  ผู้เป็นเจ้าของร้านเลยให้ฝึกชงทุกวัน  ดังนั้นที่ร้านจึงมีเวลาน้ำชาตอนสิบโมงเช้าและบ่ายสามซึ่งทั้งเจ้าของและพนักงานจะแอบอู้งานนั่งดื่มชากันตามสบาย  แล้ววันหนึ่ง  ฟุยุกิก็สามารถชงชาตามออร์เดอร์ได้มั่นใจมากขึ้น


และตอนนี้คือเวลาน้ำชาที่ว่านั่น

ได้ยินคำอธิบายเรื่องแปรงสีฟันยาสีฟันของฟุยุกิแล้วนัตสึเมะก็ยิ้มก่อนจะล้างถ้วยต่อ

“ทิ้งหมดเลยครับ  ทั้งเรื่องเรียน  ทั้งเรื่องที่บ้าน  ทั้งบ้านด้วย”

“บ้านด้วย?”

“ครับ  ถึงได้มาอยู่ที่นี่ไง...แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น  ร้านนี้ก็เป็นร้านที่คุณพ่อซื้อให้  จะเรียกว่าทิ้งบ้านเสียทีเดียวก็ไม่ถูก  ที่ย้ายบ้านเท่านั้นเอง”

“อา...แล้ว...”  ฟุยุกินึกอยากถามต่อ  แต่ไม่แน่ใจว่าควรถามหรือไม่

“ไว้ชงชาเสร็จเรามาคุยเรื่องรายละเอียดกันนะครับ”

“ถะ...ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะครับ”

“เล่าได้สิครับ  ไม่ใช่ความลับอะไรเสียหน่อย”

ดังนั้นเมื่อนัตสึเมะล้างจานเสร็จและฟุยุกิชงชาได้ที่แล้ว  จึงจัดที่ดื่มชากันที่เคาน์เตอร์นั่นเอง

“บ้านผมเป็นนักการเมืองครับ  เริ่มเป็นมาตั้งแต่สมัยปฏิรูปประเทศเลยละมั้ง”  นัตสึเมะเริ่มต้นเล่าเรื่องให้ฟุยุกิฟัง

“นักการเมือง!?”  เด็กหนุ่มทำตาโต  มองคนเล่าหัวจรดเท้าและจากเท้าจรดหัวเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน...ดูยังไงนัตสึเมะก็ไม่มีวี่แววจะเป็นนักการเมืองได้เลยสักนิด

นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ  “รู้นะครับ  ว่าคิดอะไรอยู่...แต่ถ้าคุณเห็นพี่ชายผมคุณจะต้องทึ่งแน่  ว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ น่ะเหรอ”

“คงเหมือน ๆ ผมกับพี่เคียวยะมั้งครับ...ไม่เหมือนกันเลย”  ฟุยุกินึกเปรียบเทียบ

“ฟุยุกิคุงดูข่าวสารบ้านเมืองบ้างมั้ยครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ

“ก็ดูบ้างครับ  สมัยเรียนก็ต้องเอาข้อมูลมาทำรายงานบ้าง...”

“รู้จักอิชิกาวะ  สึคาสะมั้ยครับ?”

“เอ...ถ้าจำไม่ผิด...ที่เป็น ร.ม.ช. กระทรวงพานิชย์หรือเปล่าครับ?”

“แล้วอิชิกาวะ  อากิโตะล่ะครับ?”

“ส.ส. หน้าใหม่ไฟแรง  ดาวรุ่งของพรรค...ลูกชายของ ร.ม.ช. คนนั้นสินะครับ”

“แล้ว...อิชิกาวะ  นัตสึเมะล่ะครับ?”

“อิชิกาวะ  นัตสึเมะ...นัตสึ...เมะ...?”  ฟุยุกิคิด  ก่อนจะชะงักแล้วทำตาโต  “...ไม่จริง!!”

“จริงที่สุดครับ  นั่นพ่อกับพี่ชายผมเอง”

“...ไม่น่าเชื่อ!  ไม่เหมือนเลยสักนิดนี่ครับ!!”  ฟุยุกิโวยวาย

“ไว้วันหลังจะแต่งตัวแบบนักการเมืองให้ดูแล้วกันนะครับ...แต่ลูกค้าคงไม่เข้าร้าน”  พูดเองนึกภาพเองแล้วนัตสึเมะก็ส่ายหน้า

ฟุยุกิชักมึน  เขานึกไม่ออกเลยว่าถ้านัตสึเมะไปใส่สูทผูกเนคไท  ใส่แว่น  หวีผมเรียบ  ทำหน้าจริงจังตามแบบนักการเมืองแล้วมันจะเป็นอย่างไร...ไม่เป็นน่าจะดีกว่าจริง ๆ แหละมั้ง

“ก็อย่างนี้ละครับ  จริง ๆ ผมเองก็ควรจะต้องเป็นนักการเมืองด้วย  เพราะลูกพี่ลูกน้องคนอื่น ๆ ก็เป็นกันเกือบหมด”

“แล้ว...ทำไมถึงทิ้งมาได้ล่ะครับ?”  เด็กหนุ่มนึกสงสัย  ความจริงตระกูลเขาก็ทำงานด้านกฎหมายกันแทบทุกคน  อย่างน้อยในบ้านเขาก็เป็นนักกฎหมายทุกคน  ตัวเขาที่เป็นข้อยกเว้นก็เพราะหัวไม่ดีและเรียนไม่ได้เท่านั้นเอง  แต่นัตสึเมะดูไม่น่าจะเป็นกรณียกเว้นแบบเขานี่นา

“ผม...ไม่เคยมีความสุขกับแบบแผนของที่บ้านเลยครับ”  นัตสึเมะบอกพลางยกน้ำชาขึ้นจิบ  “ในตระกูลของผมจะมีระเบียบประมาณว่า...ลูกหลานทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาที่เหมาะสมเพื่อเป็นนักการเมืองรุ่นต่อไป  ประมาณนั้นน่ะครับ”

“การศึกษาที่เหมาะสม?”  ฟุยุกิแน่ใจว่าไม่มีหลักสูตรการเป็นนักการเมืองในระบอบการศึกษาแน่ ๆ

“อืม...แบบว่ากำหนดเกรดที่ควรจะได้ในวิชาสังคม  วิทยาศาสตร์  ประวัติศาสตร์  ภาษา  และพละนั่นแหละครับ  วิชาสายวิทย์ก็กำหนดเกรดรอง ๆ ลงไป”

“วิชาพละเกี่ยวอะไรด้วยครับ?”

“คนที่เก่งพละมักจะเป็นคนดังของโรงเรียนครับ”

...ปูทางกันตั้งแต่ในโรงเรียนเลยทีเดียว...

“แล้วก็จะต้องพยายามเป็นประธานนักเรียนหรืออย่างน้อยก็ต้องอยู่ในสภานักเรียนให้ได้”

...หนทางสู่สภาผู้แทน ฯ เริ่มที่บ้านและที่โรงเรียนสินะ...

“แล้ว...ถ้าหัวไม่ดี  เรียนไม่เอาไหนล่ะครับ?”  ฟุยุกิถาม  ในตระกูลหนึ่งมันก็ต้องมีคนไม่เอาไหนแบบเขาบ้างสิน่า  จะไปดีหมดทุกคนได้ยังไง

“ก็แบบนั้นก็ต้องพยายามเรียนให้มากที่สุด  เพื่อเป็นผู้ช่วยของคนอื่นน่ะครับ  อย่างเป็นเลขาของพ่อหรืออา”

“ฟังดูเหมือนบริษัทระบบครอบครัวเลย...”

“ก็เป็นแบบนั้นแหละครับ  แล้วผมก็ถูกกำหนดไว้ด้วยกฎเกณฑ์แบบนั้นตั้งแต่เข้าประถมเลย”  พูดแล้วนัตสึเมะก็ยิ้ม  “เมื่อก่อน...ผมก็เป็นแบบฟุยุกิคุงนี่แหละครับ”

“เอ๊ะ?”

“ทำอะไรไม่เป็น...ได้แต่เรียนไปวัน ๆ  เลิกเรียนแล้วก็ไปเรียนพิเศษ  เรียนพิเศษแล้วก็กลับมาอ่านหนังสือต่อที่บ้าน  ถ้าผลการสอบออกมาไม่ดีจะมีครูมาสอนเพิ่มให้ที่บ้านด้วย”

“...โหดกว่าของผมอีก...”  ฟุยุกิทำเสียงท้อใจ  ตัวเขาแค่ถูกจับไปเรียนพิเศษก็เหนื่อยแล้ว

“แย่มากเลยละครับ  แต่ผมก็เรียนมาได้...จะว่าไป  ผมเรียนดีกว่าอากิโตะด้วยซ้ำ”

“แล้วทำไมถึงไม่ทำต่อล่ะครับ?”

“ก็มันไม่มีความสุขนี่ครับ  ไม่ได้เที่ยวได้เล่น  เรื่องชมรมก็โดนบังคับเล่นกีฬา  เกมก็ไม่เคยเล่น  คาราโอเกะก็ไม่เคยไป  ไม่มีอะไรสนุกสักอย่างเลยครับ  แถมเพื่อนก็ไม่มีด้วย”  นัตสึเมะเล่าพลางทำท่าทีเบื่อหน่าย

“...รู้สึกเข้าใจยังไงไม่รู้”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม  จะว่าไปชีวิตเขาก็คล้าย ๆ แบบนี้

“เพิ่งมาได้มีเพื่อนก็ตอนอยู่มัธยมต้นแหละครับ  ได้เจอคิริฮาระ”

“โลกคงสดใสขึ้นเยอะนะครับ”  ก็คิริฮาระร่าเริงออกขนาดนั้นนี่นา

“เปล่าเลยครับ  เหมือนได้คนมาช่วยแชร์ความหดหู่กันมากกว่า”

“อ้าว?”

“คิริฮาระตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้หรอกครับ  หดหู่  จิตตก  มืดมน...ยังไม่เคยเจอใครหดหู่ขนาดนั้นอีกเลยครับ  ผมว่าผมแย่แล้ว  หมอนั่นแย่กว่าผมร้อยเท่า”

“นะ...นึกภาพไม่ออกเลยครับ”

“นั่นสิครับ...ไม่รู้โตมาเป็นคนแบบนี้ได้ยังไง  เมื่อก่อนถึงจะมืดมนก็น่ารักแท้ ๆ”


นัตสึเมะย้อนนึกไปถึงเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ผมสีน้ำตาลท่าทางอมทุกข์ที่ได้เจอในวันแรกที่เข้ามัธยมต้น  ถ้าเป็นปกตินัตสึเมะคงไม่เข้าไปคุยกับคนท่าทางแบบนั้นแน่  แต่เพราะได้นั่งข้าง ๆ กันจึงต้องคุยกันบ้าง  แล้วก็กลายเป็นความสนิทสนมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้  อาจเพราะเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวเหมือน ๆ กันเลยคุยถูกคอกัน  ทั้งสองกินข้าวกลางวันด้วยกันเสมอ  และก็อยู่กันแค่สองคนเสมอ  ในที่สุดคิริฮาระก็เปิดใจ...เล่าเรื่องราวปัญหาของตัวเองให้ฟังทั้งหมด

นั่นเป็นครั้งแรกที่นัตสึเมะนึกอยากปกป้องใครสักคนขึ้นมา

แต่หลังจากขึ้นมัธยมปลาย...ปัญหาก็มาเกิดขึ้นกับเขา

คิริฮาระสังเกตเห็นได้ทันทีและรีบเค้นถาม  กับเพื่อนคนนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง...ในเมื่อคิริฮาระยังเปิดใจเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง  เขาก็ต้องเล่าให้คิริฮาระฟังได้ด้วย

นัตสึเมะไม่เคยลืมสีหน้าเจ็บปวดของคิริฮาระในวันนั้น  พวกเขาได้แต่กอดและปลอบกันอยู่เงียบ ๆ  ไม่มีใครช่วยใครได้...เพราะยังอ่อนเยาว์เหลือเกิน  เพราะเป็นปัญหาที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร  ต่างก็พยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีของตน...เท่าที่พอจะคิดได้
คิริฮาระเลือกที่จะปลดปล่อย  และทิ้งตัวเองลงสู่เส้นทางที่เลวร้าย

ส่วนนัตสึเมะได้แต่เก็บทุกอย่างเงียบไว้ในใจของตัวเองตามลำพัง

ตัวเขาในตอนนั้น  ทั้งปกป้องเพื่อนไม่ได้...และจัดการกับปัญหาของตัวเองก็ไม่ได้ด้วย


“มันก็ปัญหาวัยรุ่นละครับ  ผมไม่อยากจะเดินตามรอยพ่อ  ไม่อยากเป็นนักการเมืองหรืออะไรพวกนั้น  พอคิดเรื่องนั้นมาก ๆ เข้าผลการเรียนก็ตกลง  แล้วก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย”  นัตสึเมะเลือกเล่าไปในทางอื่น...ซึ่งก็ไม่ได้โกหก  นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ชีวิตมัธยมปลายของเขามืดมนขนาดนั้น

“แล้ว...ไม่โดนดุเหรอครับ?”

“โดนสิครับ  แต่พอดีเคยเรียนดีกว่าคนอื่นมาก่อน  เลยไม่โดนลงโทษอะไรมากนัก  แค่โดนคาดโทษว่าการสอบครั้งต่อไปต้องดีกว่านี้”  นัตสึเมะยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง  “...แต่ผมไม่เห็นทางจะทำให้คะแนนมันดีได้หรอกนะครับ  เพราะตอนนั้นผมคิดมากจนไม่มีสมาธิจะเรียนเลย”

“แล้วทำยังไงล่ะฮะ?”

ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางตื่นเต้นเหมือนกำลังฟังนิทานของฟุยุกิ

“พอถึงวันหนึ่ง  มันคงถึงจุดแตกหักมั้งครับ  หลังเลิกเรียน...คิริฮาระรีบกลับบ้านไปเรียนไวโอลิน  เหลือผมอยู่คนเดียว  จริง ๆ ก็ต้องไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาต่อ  แต่วันนั้นผมไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนเลย  ไม่อยากกลับบ้านด้วย  มันรู้สึกเหมือนอยากจะไปที่ไหนสักแห่งไกล ๆ แล้วหายไปเลย  ผมก็เลยออกจากโรงเรียนแล้วเดินไปเรื่อย ๆ  เข้าซอกนั้นออกซอยนี้  ไปตามทางที่ไม่เคยรู้จักน่ะครับ”

พูดแล้วนัตสึเมะก็มองไปรอบ ๆ ร้านด้วยแววตาเหมือนจะระลึกถึง

“แล้วก็เดินมาถึงที่นี่”

“ที่ร้านนี้เหรอครับ?”
หัวข้อ: Re: Lock on You 13 / 26-08-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 26-08-2015 20:03:01
“ใช่ครับ  ตอนนั้นผมไม่ทันรู้ตัวหรอก  กำลังจะเดินผ่านไป  แต่คุณป้าเจ้าของร้านที่ยืนกวาดใบไม้อยู่หน้าบ้านเรียกไว้”
เสียงนั้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ

“คุณป้าพูดว่า...เจ้าหนู  ยังเด็กยังเล็กทำไมทำหน้าตาหมดอาลัยตายอยากแบบนั้น  ไม่ได้เรื่องเลย...แล้วแกก็ลากผมเข้ามาในร้านนี่แหละครับ”

“คุณป้าที่ว่านี่...เจ้าของร้านคนเก่าใช่มั้ยครับ?”

“ใช่  แกลากผมเข้ามาในร้าน  บังคับให้นั่งที่โต๊ะ  แล้วแกก็หายไปหลังเคาน์เตอร์”

“ชงอะไรมาให้ดื่มเหรอครับ?”  ฟุยุกิทำหน้าตื่นเต้นกว่าเดิม

“ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักกาแฟหรอกครับ  แต่ถ้าจำไม่ผิด...น่าจะเป็นมอคค่าใส่นมเพิ่มวิปครีมอะไรทำนองนี้แหละครับ”

“โห...”  ฟังแล้วหน้าตามันน่าจะออกมาเป็นไอศครีมเสียมากกว่า

“คุณป้าบอกให้ผมนั่งพักให้สบาย  ดื่มกาแฟให้หมด  แล้วคุณป้าก็ไปจัดการเก็บกวาดร้าน  ทิ้งผมไว้อย่างนั้นแหละ”  ชายหนุ่มมองไปทางโต๊ะข้างหน้าต่างที่ตนเคยนั่งเป็นครั้งแรก  “ตอนนั้น...รู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ  มีกลิ่นกาแฟหอม ๆ อยู่รอบตัว...สบายใจยังไงบอกไม่ถูก...แล้วกาแฟถ้วยนั้นก็อร่อยเสียด้วยสิครับ”


นัตสึเมะสมัยมัธยมปลายที่อ่อนล้ากับชีวิตและปัญหาของตัวเองเหลือเกิน  นั่งที่โต๊ะข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง  หนุ่มสาวของมหาวิทยาลัยที่ฝั่งตรงข้ามคงจะเลิกเรียนกันแล้วจึงทยอยออกจากมหาวิทยาลัย  บางส่วนก็มาที่ร้านแห่งนี้  เริ่มต้นพูดคุยกัน  เปลี่ยนบรรยากาศเงียบเหงาของร้านให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

แต่ก็เป็นบรรยากาศแปลกประหลาด  ทั้งที่มีการเคลื่อนไหว  มีการพูดคุย  และมีผู้คนมากมาย  นัตสึเมะกลับรู้สึกสงบ  ราวกับว่าโลกที่หมุนไปไม่หยุดได้ทอดฝีเท้าลงพอให้ชีวิตผ่อนคลายบ้าง  เด็กหนุ่มยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม  รสชาติหวานนุ่มนวลและหอมละมุนทำให้รู้สึกโล่งสบาย

...แล้วนัตสึเมะก็ยิ้มออกมาได้ในรอบหลายวัน...

มันสบายใจเสียจนเขาเผลอนั่งยาวจนคุณป้าจะปิดร้าน  พอรู้สึกตัวเด็กหนุ่มก็รีบตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายค่าเครื่องดื่ม

“ฟรีย่ะ”

นัตสึเมะงุนงงไปชั่วขณะ

“ก็บอกว่าฟรียังไงล่ะยะ”  ผู้เป็นเจ้าของร้านย้ำอีกที

“เอ้อ...งั้น...ขอบคุณมากครับ”  เด็กหนุ่มรีบโค้งให้

คุณป้ามองหนุ่มน้อยหัวจรดเท้าก่อนจะพูดขึ้นว่า  “จะไม่ถามหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ทำหน้าซังกะตายแบบนั้น...แต่...ดีขึ้นหรือยังล่ะ?”

พอถูกถามแบบนั้น  นัตสึเมะก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขายังนึกอยากจะหายไปจากโลกนี้อยู่เลย  แต่ระหว่างที่นั่งอยู่ในร้านนี้ความคิดพวกนั้นก็หายไปหมดแล้ว

“ก็...ดีขึ้นแล้วครับ”

“ก็ดี”  คุณป้ายกมุมปากขึ้นยิ้มนิด ๆ  “ไปดีมาดีล่ะ  ถ้าเหนื่อยเมื่อไรก็แวะมาที่นี่ได้นะ  มาพักเสียให้หายเหนื่อย  ฉันอยู่เสมอแหละ  ยกเว้นวันพุธ”

เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดแบบนี้กับนัตสึเมะ  เขารีบขอบคุณคุณป้าแล้วก็กลับบ้าน


“แล้วหลังจากวันนั้นผมก็เริ่มโดดเรียนพิเศษ  แวะเวียนมาที่ร้านนี้เป็นประจำน่ะครับ”  นัตสึเมะยกถ้วยชาขึ้นดื่มอีกก่อนจะรินชาในกาเติมให้ฟุยุกิ

“ไม่โดนดุเหรอครับ?”  เด็กหนุ่มถามพลางกุลีกุจอรินชาให้นัตสึเมะด้วย

“แรก ๆ ก็ไม่โดนหรอกครับ  ไม่มีใครรู้ว่าผมโดดเรียนพิเศษน่ะ...แต่หลังจากนั้นไม่นาน  ลูกพี่ลูกน้องที่เรียนพิเศษที่เดียวกันก็จับได้  แล้วเอาไปฟ้องพ่อผม...โดนเทศน์เสียยาวเลยครับ”

“หวา...ขี้ฟ้อง”  ฟุยุกิทำหน้าเบ้

“ก็นิดหน่อยครับ  ลูกหลานบ้านนี้ต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่  ถ้ารู้ว่าใครทำผิดกฎอะไรต้องรีบบอกผู้ใหญ่...ประมาณนั้นแหละครับ”  นัตสึเมะไม่ได้กล่าวโทษญาติตัวเอง  แต่ส่ายหน้านิด ๆ เหมือนจะเอือมระอาความเป็นไปในตระกูล  “ทีนี้...โดนเทศน์แล้ว  ผมเลยกลับไปตั้งใจเรียนพิเศษ  แต่ก็ไม่ได้นานหรอกครับ  มันได้รู้จักความสบายใจแล้วนี่  ผมก็เลยโดดเรียนอีก  แล้วก็โดนตัดค่าขนม”

“อ้าว  แล้วทำยังไงล่ะครับ?”

“ให้ทายครับ”

“อืม...”  ฟุยุกินิ่งคิด  นึกถึงเรื่องที่นัตสึเมะเคยเล่า ๆ ให้ฟัง  “...นัตสึเมะซังขอคุณป้าทำงานพิเศษใช่มั้ยครับ?”

“ปิ๊งป่อง  ถูกต้องครับ  เอารางวัลไป”  พูดแล้วชายหนุ่มก็หันไปหยิบลูกอมจากขวดโหลที่เอาไว้แถมให้ลูกค้ามาให้ฟุยุกิเม็ดหนึ่ง

“แหะ ๆ...”  ถึงจะเป็นของในร้านที่ไม่ได้มีค่าอะไรเลย  แต่ฟุยุกิก็รับมาใส่กระเป๋าพลางทำหน้าเขิน ๆ

“คุณป้าก็ไม่ได้อยากรับผมไว้ทำงานนักหรอกครับ  แต่แกก็ยอมอยู่ดี”


นัตสึเมะยังจำสีหน้าคุณป้าในวันนั้นได้ดี

“...เฮอะ  เด็กไม่ดี  โดดเรียนแล้วยังมีหน้ามาขอเขาทำงานพิเศษอีก”  คุณป้าปรายตามองนัตสึเมะหัวจรดเท้าเหมือนที่ชอบทำบ่อย ๆ  “แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าเรียนพิเศษไปมันจะได้อะไรขึ้นมา  ถ้าแค่เรียนในโรงเรียนแล้วยังไม่พอ  ระบบการศึกษามันคงห่วยจนเอาไม่ได้แล้วละ  มีแต่พวกที่ห่วยไม่เอาไหนนั่นแหละที่ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม”

“ผมเรียนดีนะครับ”  นัตสึเมะเถียง

“เออ  ถ้าเรียนดีแล้วจะไปเรียนพิเศษทำไมก็ไม่รู้  พ่อแม่สมัยนี้นี่คิดอะไรก็ไม่รู้...เอาเถอะ  อยากทำก็ทำ  บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่มีเงินให้มากนัก  แล้วถ้าทำอะไรผิดละก็ฉันหักเงินจริง ๆ ด้วย”

“ขอบคุณมากครับ  คุณป้า!”

ตั้งแต่เกิดมา  นัตสึเมะเพิ่งรู้จักคำว่าดีใจจนออกนอกหน้าวันนั้นเอง


“แล้วผมก็เลิกเรียนพิเศษไปเลย”

“ไม่โดนดุแย่เลยเหรอครับ?”

“จะเหลือเหรอครับ”  นัตสึเมะพูดพลางหัวเราะเสียงดัง  “อย่าว่าแต่คุณพ่อเลย  ไล่ไปตั้งแต่โดนอากิโตะด่า  โดนคุณพ่อดุ  จนถึงขั้นโดนคุณปู่เรียกตัวไปพบเลยนะครับ”

ฟุยุกิทำหน้าสยดสยอง...ถ้าเขาโดนแบบนั้นต้องตายแน่เลย

“ก็ไม่รู้ทำไม...ทั้งที่เคยเป็นเด็กดีมาตลอด  แต่ผมกลับนั่งฟังเฉย ๆ แล้วก็ยืนยันว่าผมตัดสินใจแล้ว  ว่าผมจะไม่เป็นนักการเมืองเด็ดขาด  ไม่ว่าจะนักการเมืองระดับประเทศหรือนักการเมืองท้องถิ่น  ผมไม่อยากอยู่ในระบบของตระกูลอีกแล้ว”  นัตสึเมะยิ้มน้อย ๆ  “...อึ้งไปทั้งบ้านเลยละครับ”

ฟุยุกิก็อึ้ง...นี่สินะที่คิริฮาระบอกว่าทิ้งหมดทั้งแปรงสีฟันทั้งยาสีฟัน  นัตสึเมะเอาความกล้าจากไหนมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองกันนะ  เพราะกาแฟแค่ถ้วยเดียวนั่นน่ะเหรอ?

“มีคำถามสินะครับ”  ชายหนุ่มยิ้ม

“...ทำไม...นัตสึเมะซังถึงกล้าล่ะครับ?  แบบนี้...จะโดนตัดออกจากกองมรดกก็ไม่แปลกเลยนะครับ”

“ผมบอกไปว่าที่บ้านมีอากิโตะที่พร้อมจะเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว  ลูกคนรองอย่างผมไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองก็ได้  แล้วผมก็เหนื่อยจากการเตรียมความพร้อมนี่เต็มที...ผมเหนื่อย  ผมเห็นคนอื่น ๆ เหนื่อย  และผมอยากทำที่พักเหนื่อยไว้รอคนอื่นบ้าง”  นัตสึเมะกวาดตามองไปรอบ ๆ ร้านของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ  “แต่ญาติพี่น้องของผมคงไม่ค่อยเหนื่อยกัน  เลยไม่ค่อยมีใครแวะมาพัก  นอกจากอากิโตะที่มาแทบทุกเดือน”

“เขาอิจฉาที่นัตสึเมะซังเลือกทางของตัวเองได้  เลยไม่กล้ามากันน่ะสิครับ”

นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ  “อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้”

“...ขอโทษนะครับที่คิดแบบนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  บางทีผมก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกัน”  ชายหนุ่มมองหน้าฟุยุกิด้วยสายตาอ่อนโยน  “...ผมเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน  เลยเข้าใจความรู้สึกของคุณ  บางครั้ง...คนเราก็ต้องการที่พักเหนื่อยกันบ้าง”

ฟุยุกิมองตอบดวงตาคู่นั้น  อย่างนี้เองสินะ...นัตสึเมะถึงได้เข้าใจเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากัน  และเพราะเข้าใจถึงได้ไม่เคยถามอะไรเลย  ไม่เคยตำหนิไม่ว่าจะทำงานผิดพลาดหรือเล่าเรื่องแย่ ๆ ซ้ำ ๆ ให้ฟังสักกี่หน  เพราะนัตสึเมะเคยผ่านตรงจุดนั้นมาแล้ว  และรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไร...การรับฟังคือสิ่งที่คนที่กำลังอ่อนล้าต้องการที่สุด

“แล้ว...นัตสึเมะซังมาเป็นเจ้าของร้านได้ยังไงล่ะครับ?”

“ก็เพราะคุณป้าจะเลิกขายและผมจะตกงานไงล่ะครับ”  นัตสึเมะพูดง่าย ๆ

“อ้าว...?”

“คุณป้าน่ะ...ผมเรียกคุณป้าก็ต้องแก่กว่าพ่อผมแหงอยู่แล้ว  ถึงจะกระฉับกระเฉงแข็งแรงแต่มีเหตุผลบางประการแทรกเข้ามา  แกเลยอยากเลิกกิจการน่ะครับ”

“ปัญหาสุขภาพเหรอครับ?”  ฟุยุกินึกถึงพ่อตน  ที่แม้จะยังคล่องแคล่วแต่ก็เริ่มมีปัญหาเจ็บนั่นปวดนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว

“เปล่าครับ...ปัญหาหัวใจ”

“เป็นโรคหัวใจเหรอครับ?”  เป็นโรคที่ไม่แปลกสำหรับผู้สูงวัยนี่นะ

“ไม่ใช่ครับ  ปัญหาหัวใจเลยละครับ...คนรักแกกลับมาขอแต่งงาน”

“หา!?”  ฟุยุกิร้องเสียงหลง

นัตสึเมะอดขำไม่ได้  ตอนนั้นเขาก็เคยร้องแบบนี้เหมือนกัน


เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่นัตสึเมะกำลังจะจบมัธยมปลาย  เขาทำงานที่ร้านมาเกือบสามปีและชงกาแฟเป็นหมดทุกแบบ  คุณป้าเจ้าของร้านก็ไว้ใจให้เป็นตัวตายตัวแทนได้แล้ว  มีช่วงหนึ่งที่คุณป้าดูไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเคย  คุยกับลูกค้าน้อยลง  ไม่ค่อยจิกกัดนัตสึเมะเท่าไรนัก  แถมบางวันยังดูเหม่อลอยอย่างประหลาด

แล้ววันหนึ่งคุณป้าก็พูดออกมาว่า

“ฉันจะเลิกทำร้านนี้เสียดีมั้ยนะ?”

“เอ๋?”  หนุ่มน้อยนัตสึเมะที่กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้อยู่ถึงกับชะงักมือ

“ฉันพูดว่าฉันจะเลิกทำร้านนี้ดีมั้ย”

“ทำไมจะเลิกซะล่ะครับ?  ลูกค้าน้อยไปเหรอ?  หรือเพราะผมมาเป็นลูกจ้างเลยขาดทุน?”  นัตสึเมะชักร้อนรน  เพราะเขาเห็นอยู่ทุกวันว่าลูกค้าที่ร้านนี้ไม่ได้เยอะขนาดที่จะต้องมีเด็กทำงานพิเศษ  ลำพังในช่วงหลังเลิกเรียนแบบนี้  คุณป้าคนเดียวก็ทำได้  จะว่าไปแล้วเขาเข้ามาเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ

“ไม่หรอก  ต่อให้มีเด็กอย่างเธอเพิ่มอีกคนก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก  ตัวฉันนี่แหละที่มีปัญหา”  คุณป้าพูดแล้วก็ถอนใจ

นัตสึเมะเห็นคุณป้าถอนใจแทบนับครั้งได้  ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงชักเป็นห่วง

“อาจจะก้าวก่ายเกินไปหน่อย  แต่คุณป้ามีปัญหาอะไรก็พูดให้ผมฟังได้นะครับ”

“เธอน่ะเอาตัวเองให้รอดเถอะย่ะ  จะจบ ม. ปลายแล้วไม่ใช่หรือไง  คิดเรื่องสอบเรื่องเรียนต่อไว้หรือยังล่ะ?”

“ถึงไม่คิด  ที่บ้านก็จัดการให้อยู่ดีละครับ  แล้วผมก็สอบได้สบาย ๆ อยู่แล้วด้วย...เอาเรื่องของคุณป้าดีกว่าครับ  ทำไมถึงจะเลิกทำร้านเสียล่ะครับ?”

คุณป้าปรายตามองเด็กทำงานพิเศษที่ยืนถือไม้ถูพื้นหัวจรดเท้าเหมือนที่ชอบทำบ่อย ๆ  ก่อนจะถอนใจยาว ๆ อีกครั้ง

“ก็เอริคน่ะสิ”

“เอริค?”  นั่นเป็นชื่อชาวต่างชาติสินะ

“เอริคเขาขอฉันแต่งงาน”

“หา!!?”

นัตสึเมะร้องลั่นร้าน  แล้วรีบตะครุบปากตัวเองเมื่อโดนสายตาคมกริบจ้องมาเหมือนดาบเสียบทะลุอก  แต่คุณป้ากลับไม่ได้ว่าอะไรแล้วหันหน้าหนี

“นั่นแหละย่ะ  เอริคเขาขอฉันแต่งงาน”

“แต่งงาน?  เอริคเป็นใครครับ?  แล้วมาขอแต่งงานอะไรเอาอายุปูนนี้?”

“เธอนี่มันชักปากดีขึ้นทุกวันแล้วนะ  ขอโทษนะยะที่แก่”

“เอ้อ...ผมไม่ได้ตั้งใจ...แต่คุณป้าอายุมากกว่าพ่อผมอีกนะครับ...แล้วขอแต่งงานน่ะนะ...”  นัตสึเมะเกาหัวแก้เก้อ

คุณป้าเงียบไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะเปิดเครื่องบดเมล็ดกาแฟและเตรียมตัวชงกาแฟ

“บ้านเกิดฉันอยู่ที่โอกินาว่า  แล้วเอริคก็เป็นทหารอเมริกันที่ประจำการอยู่ที่ฐานทัพนั่นแหละ”  คุณป้าเริ่มต้นเล่า  “แน่นอนว่าฉันไม่เคยชอบเขาเลย  คนญี่ปุ่นที่นั่นไม่ชอบทหารอเมริกันอยู่แล้ว  เรื่องมาตามตื๊อตามวอแวนี่ไม่ต้องพูดถึง...ไม่มีสาวไหนเอาทั้งนั้นแหละ”

มือที่คล่องแคล่วตวงผงกาแฟใส่โฮลเดอร์  “แต่ฉันทำงานที่คาเฟ่ใกล้ ๆ บ้าน  ก็ย่อมมีพวกทหารมานั่งดื่มกินกันเป็นธรรมดา...เอริคก็เป็นหนึ่งในนั้น”

“มาจีบคุณป้าสินะครับ”

“ด่ากันทุกวันต่างหากย่ะ”  คุณป้าหัวเราะขณะที่เปิดเครื่องชงกาแฟ  “ผู้ชายบ้าอะไร  พูดมากก็เท่านั้น  หูตางี้แพรวพราวไปหมด  ฉันก็นิสัยอย่างนี้...รู้สึกตัวอีกที  อีตานั่นก็พูดภาษาญี่ปุ่นคล่องปรื๋อ  ส่วนฉันก็ด่าเป็นภาษาอังกฤษไฟแลบแล้ว”

...ฟังดูก็สมกับเป็นคุณป้าดีนะ...

“...แล้วเขาก็ปลดประจำการจากโอกินาว่า  ย้ายไปที่อื่น”  มอคค่าร้อนหอมกรุ่นด้วยกลิ่นกาแฟเจือกลิ่นโกโก้ถูกวางลงบนเคาน์เตอร์ตรงหน้านัตสึเมะ  “...แต่เราก็ยังติดต่อกันทางจดหมายอยู่เรื่อย ๆ”

นัตสึเมะเอ่ยขอบคุณแล้วรับกาแฟมา

“จากนั้นไม่นาน  ฉันก็แต่งงานกับลูกชายเจ้าของคาเฟ่  แล้วย้ายตามสามีมาจนถึงโตเกียวนี่แหละ”

“แล้วคุณเอริคล่ะครับ?”

“ทางนั้นก็แต่งงานเหมือนกัน  มีลูกสักโขยงได้มั้ง  ในจดหมายบอกว่าจะตั้งทีมฟุตบอลหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ”  คุณป้าหัวเราะน้อย ๆ พลางชงกาแฟสำหรับตัวเอง  “ส่วนฉันก็อย่างที่เห็น  หลังจากตั้งตัวทำร้านนี้ได้ไม่นาน...อีตาสุดที่รักก็ชิงไปสวรรค์เสียก่อน  ฉันเลยต้องทำร้านนี้มาตามลำพังคนเดียวนี่แหละ”

“...ผมนึกว่าคุณป้ายังโสดสนิทเสียอีก”

“ผู้หญิงอย่างฉันมีเสน่ห์กับผู้ชายนะยะ  ขนาดเธอยังหลงมาเป็นลูกจ้างเลยไม่ใช่หรือไง”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น  คุณเอริคถึงมาขอคุณป้าแต่งงานเอาป่านนี้ล่ะครับ?”  นัตสึเมะรีบเปลี่ยนเรื่อง  โดนหาว่าหลงเสน่ห์สาวที่แก่กว่าพ่อตัวเองนี่...รับไม่ได้นะ

“ภรรยาเขาเสียแล้วน่ะสิ  ลูกเต้าก็แยกกันไปทำทีมฟุตบอลของตัวเองกันหมดแล้ว  ก็คงจะเหงาละมั้ง”

“แค่นั้นน่ะเหรอครับ?”

“ไม่รู้สิ  เขาเขียนมาว่าอยากมาอยู่ที่โอกินาว่าด้วยกันน่ะ...เขียนมาเป็นภาษาญี่ปุ่น...เอริคเขียนจดหมายถึงฉันเป็นภาษาญี่ปุ่นมาตลอดเลย”

นัตสึเมะพยักหน้า...แบบนี้แปลว่าคุณเอริคคนนั้นไม่เคยลืมคุณป้าเลยสินะ  ถ้าถึงขนาดเขียนจดหมายเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ละก็...เขาจะต้องไม่เคยลืมคุณป้าเลยแน่ ๆ

“...โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว  สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว...ถึงเราจะแต่งงานกันตอนนี้  ก็คงไม่มีใครคัดค้านสินะ”  คุณป้าพูดเบา ๆ เหมือนจะรำพึงกับตัวเอง

แวบหนึ่ง...นัตสึเมะเหมือนเห็นคุณป้ากลับเป็นสาวน้อยอีกครั้ง  เรื่องของคุณป้าเหมือนกับนิยาย...แต่ไม่มีใครคัดค้านหรอก...จริง ๆ นะ


“แล้วคุณป้าก็เลิกทำร้านนี้และกลับไปโอกินาว่า  ไปอยู่กับคุณเอริคนั่นแหละครับ”  นัตสึเมะดื่มชาอึกสุดท้าย  “...แล้วผมที่กำลังจะจบ ม. ปลายก็ตกงาน”

“โห...”

“แล้วจะด้วยอะไรดลใจผมก็ไม่แน่ใจ  ผมไปขอให้คุณพ่อซื้อร้านนี้ให้เพื่อทำร้านกาแฟต่อ”

“คุณพ่อไม่ว่าอะไรเหรอครับ?”

“ว่าครับ  แต่ผมให้เหตุผลเดิม...ร้านนี้เคยเป็นที่พักใจในตอนที่ผมเหนื่อยที่สุด  ผมอยากเก็บมันไว้เผื่อใครสักคนจะใช้มันเป็นที่พักใจบ้าง...คุณพ่อก็เลยยอม”  นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ  “คุณพ่อซื้อให้ก็จริง  แต่ผมต้องผ่อนบ้านกับคุณพ่อนะครับ”

“...เพิ่งจบ ม. ปลาย...ไม่ลำบากแย่เหรอครับ?”

“ลำบากมากครับ  แต่ผมโชคดีที่ได้ลูกค้าเก่าของคุณป้าช่วยไว้เยอะ  ทุกคนยังแวะเวียนมาอยู่เสมอ  คอยให้คำแนะนำคอยดูแลต่าง ๆ นานา  ได้รับความเอ็นดูเยอะเลยละครับ...แล้วความรู้ที่โดนบังคับให้เรียนมาก็ช่วยได้มาก...ไม่มีอะไรเสียเปล่าหรอกครับ”

ฟุยุกินึกศรัทธาในตัวนัตสึเมะ  สีหน้าเวลาที่เขาพูดถึงร้านของคุณป้าที่เก็บรักษามาได้ด้วยมือของตัวเองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ  ดวงตาเป็นประกายด้วยความรู้สึกมากมาย...ที่พักใจที่อบอุ่นและอ่อนโยนแห่งนี้ถูกสร้างออกมาจากบุคลิกของเขาคนนี้สินะ

สง่างาม...เป็นความสง่างามคนละแบบกับที่ฟุยุกิรู้สึกกับคิริฮาระที่อยู่บนเวทีคอนเสิร์ต  ผู้ที่ใช้ชีวิตยืนหยัดได้ด้วยสองขาของตัวเองมีความสง่างามเช่นนี้เอง

คิริฮาระงามสง่าและร้อนแรงเหมือนดวงตะวัน

ส่วนนัตสึเมะก็สง่างามและอ่อนโยนเหมือนดวงจันทร์

ฟุยุกิคิด...สักวัน...เขาจะสามารถเติบโตขึ้นอย่างน่าภาคภูมิใจแบบนี้ได้ไหมนะ...

“ไม่มีอะไรเสียเปล่าจริง ๆ...”

เสียงของนัตสึเมะดึงฟุยุกิกลับมาจากห้วงความคิด

“การเก็บที่พักใจแห่งนี้ไว้  ทำให้ผมได้พบกับฟุยุกิคุง...ไม่มีความยากลำบากอะไรเสียเปล่าเลยครับ”

ดวงตาที่มองมาและรอยยิ้มนั้นช่างแสนอ่อนโยน  ฟุยุกิได้แต่ก้มหน้าที่ร้อนผ่าวหลบตา  ไม่รู้จะพูดคำใดออกไปได้นอกจาก...

“ขอบคุณครับ  นัตสึเมะซัง...”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 13 / 26-08-58
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-08-2015 22:50:01
ได้อ่านแล้ว
หัวข้อ: Re: Lock on You 14 / 30-09-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 30-09-2015 12:38:17
สวัสดี...เดือนละครั้งมั้งครับ
จริงๆกะว่าจะรวมเล่มเรื่องนี้กับ All I want ไปขายงาน Y สิ้นปี ไม่รู้จะมีใครซื้อไหม ฮะๆๆ
ยังไงก็มาอ่านกันต่อนะครับ
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามนะครับ
HAKURO_KOKURO
++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 14

ฝนต้นฤดูร้อนแวะเวียนมาเยือนร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งนี้อีกครั้ง  อาจิไซที่เจ้าของร้านเอากิ่งไปจิ้ม ๆ ทิ้งไว้ในกระบะซีเมนต์สำหรับปลูกไม้ประดับหน้าร้านผลิดอกให้ชมเป็นครั้งแรก  ฝนตกในเมืองทำให้จิตใจคนห่อเหี่ยว  แต่ดอกไม้สีม่วงอมฟ้ากลับสยายกลีบเล่นน้ำฝนอย่างร่าเริง  เวลาในร้านกาแฟที่เงียบเหงาเสมอยามฝนตกยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า

“ฟุยุกิคุงชงชาเก่งแล้วนะครับเนี่ย”  คิโยฮารุเอ่ยปากชมหลังจากได้ลิ้มลองเอิร์ลเกรย์นม

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ  อาจารย์  ชมเกินไปแล้ว”  เด็กหนุ่มก้มหน้างุดท่าทางเขินอาย

“แต่อร่อยจริง ๆ นะ  ฝีมือดีขึ้นเยอะเลย”

ฟุยุกิได้แต่เกาหัวแก้เก้อ...ไม่เคยถูกชมขนาดนี้มาก่อนก็เลยไม่ค่อยชิน

“ลาเต้ของผมเป็นหม้ายเสียแล้วสิ”  นัตสึเมะแซวมาจากหลังเคานท์เตอร์  “หมู่นี้ดื่มแต่ชาของฟุยุกิคุงนะครับ  คิโยฮารุคุง”

“แหม...ก็เปลี่ยนบรรยากาศบ้างสิครับ  ตอนเช้าดื่มลาเต้  ตอนบ่ายดื่มชาอะไรแบบนี้”

“เอ่อ...อาจารย์”  ฟุยุกิอ้อมแอ้ม  “มาที่ร้านถี่เกินไปมั้ยครับเนี่ย?”

ที่อยากถามก็คือคิโยฮารุไม่ทำงานทำการบ้างเหรอ  เขาทำตัวอย่างกับนักศึกษาที่มีเวลาว่างเหลือเฟือ  บางวันนอกจากจะมาดื่มกาแฟตอนเช้าก่อนเข้าสอนแล้ว  ตอนสาย ๆ ก็มา  ตอนเที่ยงก็มาหามื้อเที่ยงกิน  แถมตอนบ่ายก็ยังมาอีก...บางครั้งมีแวะเจอคิริฮาระก่อนกลับบ้านเสียอีก

“อย่าทำหน้าสงสัยแบบนั้นสิ  ผมก็ทำงานนะครับ”  คิโยฮารุหัวเราะ  “แต่ผมเป็นพวกชอบทำงานให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้มีเวลามาอ่านหนังสือน่ะครับ  เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว  ไม่งั้นผมก็หอบงานมาทำที่ร้านนี่แหละ”

“เก่งจังนะครับ”  ฟุยุกิรู้สึกทึ่งกับคำตอบ

“ก็ผมทำเป็นแต่อ่านกับเขียนหนังสือนี่ครับ  ตรวจงานเด็กก็คือการอ่าน  เขียนแผนการเรียนการสอนก็คือการเขียน  ของถนัดทั้งนั้นน่ะครับ”

“แล้วเวลาคุณบรรยายหน้าชั้นเนี่ยมันเป็นยังไงนะ  ผมนึกภาพไม่ออกเลย”  นัตสึเมะแทรกขึ้นมา

“ก็พูดสองคำ  เขียนบนกระดานห้าบรรทัดสิครับ  เดี๋ยวพอจะลบกระดานรอบหนึ่ง  เด็ก ๆ มันตกใจก็รีบจดกันเองแหละ”  หนอนหนังสือที่ผันตัวเองมาเป็นอาจารย์หัวเราะอีก  “นัตสึเมะซังลองไปเข้าคลาสมั้ยล่ะครับ  พุธนี้ผมมีสอนพอดี  คุณก็ว่างด้วยนี่”

“ไม่ไหวละครับ”  นัตสึเมะยกมือยอมแพ้  “ผมไม่ได้ยุ่งกับเรื่องเรียนมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว”

บทสนทนาเป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อยท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำ ๆ ลงมาไม่หยุด  ฟุยุกิรู้สึกเป็นกันเองกับคิโยฮารุมากขึ้นเรื่อย ๆ  ก็อย่างที่ว่า...ชายหนุ่มมาเป็นขาประจำที่ร้านนี้ประหนึ่งใช้ร้านเป็นห้องพักครู  บางครั้งก็มีนักศึกษาตามมาปรึกษางานถึงที่ร้านด้วย  แล้วคิโยฮารุก็จะเลี้ยงทุกคนที่มาหาเขา...จนบางทีฟุยุกิก็คิดว่าที่พวกนักศึกษามาหาคิโยฮารุถึงที่นี่เพราะอยากกินของฟรีหรือเปล่า

หลังจากที่ฟุยุกิผ่านการอกหักครั้งแรกจนทำใจได้และตัดสินใจลาออกจากงานแล้ว  เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  มุมมองที่มองโลกก็เปลี่ยนไป  และความรู้สึกที่มีต่อคิโยฮารุก็เปลี่ยนไป...เมื่อได้ใจเย็น ๆ และทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ  แล้ว  จากที่รู้สึกว่าคิโยฮารุเป็นผู้ที่มาแย่งแสงตะวันไปจากเขา  ก็กลับรู้สึกชื่นชมในความรักที่มั่นคงของเขากับคิริฮาระ  และเมื่อได้คุ้นเคยกับคิโยฮารุมากขึ้น  ก็รู้สึกได้ว่าคิโยฮารุเป็นกันเองและเป็นคนน่ารักน่าคบมากคนหนึ่ง  พอรู้ว่าเขาเริ่มรับออร์เดอร์ชงชา  คิโยฮารุก็เปลี่ยนเครื่องดื่มมื้อบ่ายจากลาเต้ที่รักกันมานานเป็นชาตามใจคนชงทันที...ดังนั้นฟุยุกิจึงมีการบ้านจากคิโยฮารุแม้จะไม่ใช่นักศึกษาว่า  จงเตรียมน้ำชายามบ่ายให้ต่างกันทุกวัน

“โอ้...ท่าทางสนิทกันดีนะ”  เสียงของคิริฮาระดังขึ้นพร้อมเสียงกระดิ่งที่หน้าร้าน

“อ้าว  คิริฮาระ?  ทำไมวันนี้มาเร็ว  ไม่ไปเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนเหรอ?”  นัตสึเมะถามเมื่อเห็นเพื่อนรักมาผิดเวลา

“ก็กะว่าจะแวะมาหาชาดื่มแล้วค่อยไป”  พูดพลางก็วางกล่องไวโอลินลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับคิโยฮารุแบบไม่ต้องถามอะไร

“เดินวนไปวนมาเนี่ยนะ?”

“ออกกำลังกายน่า...ฟุยุกิคุง  เมนูน้ำชาวันนี้เป็นอะไร?”  ชายหนุ่มถามพลางชี้ไปที่ถ้วยของคิโยฮารุ

“เอิร์ลเกรย์ครับ  ใส่นมก็ได้  ชงเย็นก็ได้”  ฟุยุกิตอบอย่างฉะฉานผิดจากเมื่อหลายเดือนก่อนมาก

“งั้นเอาแบบร้อน  ใส่นมที่หนึ่ง”

“ได้ครับ  รอสักครู่นะครับ”  รับออร์เดอร์แล้วฟุยุกิก็เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์

นัตสึเมะอาศัยโอกาสนั้นออกมาคุยกับเพื่อนที่โต๊ะ  เพื่อปล่อยให้ฟุยุกิมีสมาธิในการชงชา

“อีกหน่อยคงไม่มีใครดื่มกาแฟของฉันแล้วสินะ  มีแต่คนดื่มชา”

“ก็อร่อยนี่ครับ”  คิโยฮารุตอบ

“ก็คนชงน่ารักนี่นา”  คิริฮาระบอก

นัตสึเมะเอานิ้วจิ้มหน้าผากคิริฮาระแรง ๆ แล้วหันไปหาคิโยฮารุ  “นี่  คิโยฮารุคุง...คิริฮาระน่ะนะ  มันเคยเลี้ยงต้อยฟุยุกิคุงตอนคุณไม่อยู่ด้วย”

“เอ๋  จริงเหรอครับ?”

“ปากโป้ง!”  นักดนตรีหนุ่มโวยวาย

“พาไปเที่ยวคามาคุระด้วยนะครับ  ไปนั่นไปนี่แทบทุกอาทิตย์เลยด้วย”  นัตสึเมะฟ้องต่อ

“หวา...นอกใจนี่”  คิโยฮารุทำท่าตกใจไปด้วย

“นัตสึเมะ!  ไหนนายบอกว่าจะไม่บอกไงเล่า”  คิริฮาระยังคงโวยวายแต่ไม่มีใครสนใจ

“นั่นแหละครับ  จัดการเลยนะครับ”

“ไม่ได้การ  ไม่ได้การ...แบบนี้ต้องลงโทษหน่อย”  คิโยฮารุตีหน้ายุ่งแล้วดื่มชาของตัวเอง

“ละ...ลงโทษอะไร?”  คิริฮาระชักระแวง

“หน้าร้อนปีนี้ต้องพาฉันไปเที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโดด้วยนะ”  คิโยฮารุพูดแล้วก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเขี้ยว...เป็นรอยยิ้มแบบที่คิริฮาระแพ้ทางมาตลอด

“อะ...เอ่อ...ก็ได้...”

นัตสึเมะแอบอมยิ้มด้วยความสะใจลึก ๆ...บังอาจมาชมเด็กของท่านนัตสึเมะซึ่ง ๆ หน้าก็ต้องโดนแบบนี้แหละ

พอตกเย็นได้เวลาเลิกงาน  คิริฮาระกับคิโยฮารุก็แยกย้ายกันกลับบ้าน  คิริฮาระมุ่งหน้าไปยังที่เล่นคอนเสิร์ตข้างถนน  ส่วนคิโยฮารุตรงกลับบ้านเพื่อไปตรวจงานนักศึกษาและอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ให้จบ

“คิริฮาระซังกับอาจารย์ซาคากิเนี่ย...ดูเป็นครอบครัวจังนะครับ”  ฟุยุกิเปรย ๆ ขึ้นมาขณะที่ล้างถ้วยชาของทั้งคู่

“เอ๊ะ?  ยังไงเหรอครับ?”  นัตสึเมะถาม...ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคู่นี้ในลักษณะนี้มาก่อน

“คือ...ไม่เหมือนแฟนหรือคนรักแบบที่เคยเห็นน่ะครับ  ไม่ต้องตัวติดกันทำกิจกรรมร่วมกันตลอดเวลา  ใครชอบอะไรก็ทำอย่างนั้น...เหมือนคู่แต่งงานที่แต่งกันมาหลายปีแล้วน่ะครับ”  ฟุยุกินึกไปถึงเคียวยะกับพี่สะใภ้ที่ก็เริ่มเป็นแบบนี้เหมือนกัน  แต่ก็ยังรักกันดีอยู่

“สองคนนี้เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วละครับ  สมัยก่อนก็เรียนคนละคณะ  วิชาเรียนก็ไม่ตรงกันอยู่แล้วด้วย  แล้วคิโยฮารุคุงก็ไปอยู่เยอรมันเสียหลายปี...ก็รักกันแบบเว้นช่องว่างให้ต่างฝ่ายต่างมีความเป็นส่วนตัวละครับ”

“ดูดีนะฮะ...ผมชอบแบบนี้”  พูดแล้วฟุยุกิก็ทำงานของตัวเองต่อ

เด็กหนุ่มจะพูดมาด้วยความรู้สึกแบบไหนนัตสึเมะไม่รู้หรอก  เพียงแต่คำพูดซื่อ ๆ นั่นมันดูจริงใจและน่ารักจนอดยิ้มไม่ได้

“อยากเป็นแบบนั้นบ้างเหรอครับ?”

“เอ๊ะ?”

“อยากมีความรักแบบครอบครัวอย่างนั้นบ้างเหรอครับ?”  ชายหนุ่มถามพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

“เอ๊ะ...เอ่อ...คือ...มะ  ไม่รู้สิครับ...ผม...ผมก็ไม่เคยมีแฟน”  ฟุยุกิตกประหม่าจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหน  ได้แต่แกว่งไปมาข้างตัวเหมือนตุ๊กตาไขลาน

นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบเรือนผมดำขลับนั้นเบา ๆ

“ถ้าชอบแบบนั้นผมก็โอเคนะครับ”

“...เอ๊ะ?”

สมองใช้เวลาประมวลผลคำพูดนั้นอยู่นานกว่าจะตีความได้  ใบหน้าของฟุยุกิร้อนวาบแล้วแดงขึ้นมาทันตาเห็น

“นะ...นัต...นัตสึเมะซัง...?”

“ไม่ต้องรีบก็ได้  แต่ลองเอาไปคิดดูนะครับ”

ยังไม่ทันที่ฟุยุกิจะได้พูดอะไรต่อก็มีลูกค้าเข้ามาในร้าน  นัตสึเมะจึงผละไปรับลูกค้าแล้วปล่อยให้ฟุยุกิยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกอยู่คนเดียว

เวลาที่เหลือจนกระทั่งร้านปิดผ่านไปอย่างว่างเปล่า  เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง  นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าล้างถ้วยจานและเก็บกวาดร้านเสร็จไปตอนไหน  กระทั่งนัตสึเมะเดินไปล็อกประตูร้านแล้วปิดไฟนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว

ฟุยุกิถอดผ้ากันเปื้อน  แต่งตัว  หยิบข้าวของ...แล้วเดินลอย ๆ ไปที่ประตูบ้าน  โดยมีนัตสึเมะตามไปส่ง  เด็กหนุ่มเปิดประตูแล้วยืนสมองกลวงคาอยู่ตรงนั้น...นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะกล่าวคำอำลาอย่างไร  กระทั่งนัตสึเมะโน้มตัวมาจูบเบา ๆ ที่แก้ม

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ  ฟุยุกิคุง”

“ระ...ราตรีสวัสดิ์ครับ...”  เป็นคำตอบที่ออกไปโดยอัตโนมัติทั้งที่สมองยังไม่ได้ออกคำสั่ง  ดวงตากลมโตเบิกกว้างนิ่งค้างไปกับการกระทำเมื่อกี้

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”  เสียงนุ่มทุ้มบอกมาอีก

“...แล้วเจอกันครับ”

พูดแค่นั้นแล้วฟุยุกิก็กลับหลังหันเดินตัวทื่อ ๆ ออกไปเหมือนหุ่นยนต์  นัตสึเมะมองตามไปแล้วก็นึกเป็นห่วง...เขาจู่โจมเร็วเกินไปสินะ  ฟุยุกิจะไปถึงสถานีรถไฟโดยสวัสดิภาพไหมเนี่ย  แต่เมื่อเห็นฟุยุกิไปตรงทาง  เขาก็ค่อยคลายกังวล

ในตอนนั้นเอง...

“ฮั่นแน่!  พี่จ๋า!”  ร่างเล็ก ๆ โดดผลุงมาตรงหน้า

“เอิ๊ว!!  ฮารุกะ!  ตกใจหมด!!”  นัตสึเมะร้องเสียงหลง  ก่อนจะเห็นว่าเป็นใครแล้วค่อยโล่งอก

คนที่โผล่มาทำหน้าซุกซนใส่คือสาวน้อยที่เพิ่งขึ้นมัธยมปลาย...ฮารุกะ  น้องสาวของเขาเอง

“ทำอะไรอยู่จ๊ะ  พี่จ๋า?  ทำไมต้องตกใจด้วยล่ะ?”

“...เปล่า  แค่กำลังจะปิดบ้าน”  ชายหนุ่มตอบทั้งยังใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ

“เหรอ~?  แล้วคนตะกี้แฟนเหรอ?”  สาวน้อยทำเสียงล้อเลียน

“ไม่ใช่!  นี่มาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย!?”  นัตสึเมะแทบจะกัดลิ้นตัวเอง

“ก็มาทันเห็นพี่หอมแก้มคนนั้นแหละ”  ฮารุกะหัวเราะคิกคัก

“แก่แดดใหญ่แล้ว!”  ดุไปแค่แก้เก้อ  “...แล้วนี่มาทำไมป่านนี้เนี่ย?  มันมืดแล้วนะ”

“หนูมาเที่ยวกับเพื่อนน่ะ”  ฮารุกะตอบแต่ไม่ยอมสบตา...และนัตสึเมะก็สังเกตเห็น

“แล้วเพื่อน ๆ ไปไหนหมด?”

“แยกย้ายกันกลับไปหมดแล้วค่ะ”  สาวน้อยยังคงไม่สบตา

“แล้วไม่ไปเรียนพิเศษเหรอ?”  ผู้เป็นพี่ชายแกล้งตะล่อมไปเรื่อย ๆ

“หนูโดด...ค่ะ”  ฮารุกะอ้อมแอ้ม

“อืม...ไม่ดีเลยนะ  โดดเรียนน่ะพี่ไม่ว่าหรอก  แต่สองทุ่มแล้วยังมาโต๋เต๋อยู่แถวนี้  พี่ว่าไม่น่าจะดีนะ”  นัตสึเมะกอดอกแล้วเอนตัวพิงกรอบประตู  ไม่เอ่ยชวนเข้าบ้านเสียด้วยซ้ำ

ฮารุกะเอามือไพล่หลัง  เอาเท้าเขี่ยพื้นแล้วก้มหน้ามองเหมือนมีอะไรน่าสนใจอยู่ใต้เท้านั้น  ครู่หนึ่งจึงได้พูดออกไป

“หนูคิดถึงพี่จ๋าน่ะค่ะ”

ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม  “ไม่ต้องมาอ้อนเลย  พี่ไม่หลงกลหรอก”

ฮารุกะนิ่วหน้าแล้วทำแก้มป่อง  เป็นสีหน้าเวลาขัดใจแบบที่ติดนิสัยมาตั้งแต่เด็ก  เห็นแล้วคนเป็นพี่ก็อดเอ็นดูไม่ได้  แต่ก็ยังไม่ยอมใจอ่อนให้

“บอกความจริงมาเสียดี ๆ”

“...หนีออกจากบ้านค่ะ”  สาวน้อยตอบเสียงอ่อย ๆ

นัตสึเมะเลิกคิ้วขึ้นกับคำตอบนั้น  ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ

“งั้นเรอะ...หนีออกจากบ้านมาบ้านพี่งั้นเรอะ  มา...เข้ามาคุยกันให้รู้เรื่องซิ  มันเกิดอะไรขึ้นถึงหนีออกจากบ้านกัน”

ชายหนุ่มยอมหลีกทางจากหน้าประตูแล้วปล่อยให้น้องสาวเข้าบ้านมา

ฮารุกะเดินไปนั่งตรงโต๊ะกินข้าวอย่างคุ้นเคย  แต่ไหนแต่ไรมานัตสึเมะก็เป็นคนคอยดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก  เธอจำได้ว่าตอนประถม  พี่ชายคนนี้เป็นคนทำข้าวกล่องให้ด้วยซ้ำ  นัตสึเมะเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัวแล้วเริ่มต้นชงกาแฟสูตรพิเศษให้ตัวเอง

“เอาละ  ไหนว่ามาซิ  หนีออกจากบ้านเรื่องอะไร?”  นัตสึเมะเปิดฉากโดยไม่ได้หันมามอง

“คือ...”  ฮารุกะอ้อมแอ้ม  “...หนูทะเลาะกับคุณแม่น่ะค่ะ”

“ทะเลาะกับเคย์โกะซัง?”  ชายหนุ่มเลิกคิ้ว  เป็นคำตอบที่แปลก  เพราะฮารุกะค่อนข้างจะเข้ากับแม่ดี  “มันเรื่องอะไรกันล่ะ?”

“คือ...หมู่นี้คุณแม่ทำตัวน่าเบื่อค่ะ”  ฮารุกะดีดเล็บตัวเองเล่น  “เอาแต่บอกให้หนูตั้งใจเรียน  ต้องเรียนให้ได้ดี ๆ  เรียนพิเศษให้หนัก ๆ  ขยันอ่านหนังสือเยอะ ๆ  ห้ามไปเที่ยวเล่น...ทั้งที่ตัวเองก็ออกไปค้างข้างนอกบ่อย ๆ แท้ ๆ”

“อืม...ฮารุกะขึ้น ม. ปลายแล้วนี่นะ”  นัตสึเมะนึกออก  ตอนที่เขาขึ้นมัธยมปลายที่บ้านก็บอกแบบนี้เหมือนกัน  ตระกูลของเขาเป็นตระกูลที่เน้นเรื่องการเรียน  เน้นการปูพื้นฐานเพื่อไปเป็นนักการเมืองที่ยอดเยี่ยม

“ค่ะ...พอขึ้น ม. ปลายมาก็น่ารำคาญขึ้นมาเลยค่ะ  คุณพ่อบอกว่าหนูน่าจะเป็นประธานนักเรียนแบบพี่อากิโตะได้  พอได้ยินแบบนั้นคุณแม่ก็เคี่ยวใหญ่เลยค่ะ  ทั้งที่ปกติจะต้องไม่เห็นด้วยกับคุณพ่อแท้ ๆ”  สาวน้อยทอดถอนใจ

“หึ ๆ...ประธานนักเรียนเหรอ...”  ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงตอนที่พี่ชายของเขาได้เป็นประธานนักเรียน  ตอนนั้นเขากำลังเริ่มจิตตกและผลการเรียนตกต่ำลงเลยไม่ได้เข้าร่วมสภานักเรียนด้วย  ไม่อย่างนั้น...ตำแหน่งในสภาจะไปไหนเสีย  แต่อากิโตะก็มาปรึกษาเรื่องงานกับเขาอยู่บ่อย ๆ...แทบจะเรียกได้ว่าเขาเป็นประธานนักเรียนในเงามืดเลยด้วยซ้ำ

“อย่างหนูจะเป็นได้ยังไงกันคะ  ถึงหนูจะมีเพื่อนเยอะก็ใช่ว่าหนูจะทำงานอะไรแบบนั้นได้นะคะ”  ฮารุกะบ่นกระปอดกระแปด

“โดนกดดันก็เลยโดดเรียนพิเศษแล้วหนีออกจากบ้านมาว่างั้นเถอะ”  นัตสึเมะถือแก้วกาแฟของตัวเองมาที่โต๊ะพร้อมกับถ้วยโกโก้ร้อนที่ชงให้น้องสาวด้วย

“จะว่า...แบบนั้นก็ได้ค่ะ...”  เด็กสาวบอกพลางรับถ้วยโกโก้ไปพร้อมกับพึมพำขอบคุณเบา ๆ

“อืม...ก็ไม่แปลกหรอกนะ  พี่ก็เคยเป็น”

ฮารุกะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ พูดออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“พี่จ๋า...หนูว่า...คุณแม่ต้องเลี้ยงโฮสต์ไว้แน่เลยหละ...”

นัตสึเมะแทบสำลักกาแฟ  “ฮะ...โฮสต์!?”
หัวข้อ: Re: Lock on You 14 / 30-09-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 30-09-2015 12:41:24
“ค่ะ  ก็คุณแม่น่ะ  ชอบแต่งตัวสวย ๆ ออกจากบ้านไปตอนเย็นแล้วก็ไม่กลับมาทั้งคืนนี่คะ  หนูว่าคุณแม่ต้องไปติดโฮสต์แล้วไปกับเขาแน่เลยค่ะ”

นัตสึเมะทำหน้าปั้นยาก...ฮารุกะคาดเดาได้เกือบถูกทีเดียว  พลาดไปหน่อยตรงที่ไม่ใช่โฮสต์  แต่เป็นเจ้าของร้านกาแฟต่างหาก

“น่าเกลียดมากเลยค่ะ  นอกใจคุณพ่อแบบนั้น...แล้วยังจะมาบังคับหนูให้เป็นเด็กดีแบบนั้นแบบนี้อีก”  สาวน้อยทำหน้าบูดบึ้ง
ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก...เรื่องนี้จะให้ฮารุกะรู้ไม่ได้เด็ดขาด

“แล้วคุณแม่นะคะ  ทั้งที่ไม่เคยสอนการบ้านหรืออธิบายบทเรียนอะไรให้หนูได้เลย  แต่กลับบังคับให้หนูเรียนพิเศษ  เข้มงวดกับผลการเรียน  จู้จี้ขี้บ่นมากเลยละค่ะ”

เหมือนเขื่อนแตก  ฮารุกะพูดสิ่งที่อยากพูดออกมาไม่หยุด

นัตสึเมะไม่รู้จะว่าอย่างไร  เคย์โกะไม่ใช่คนหัวดีอะไรนัก  ที่เธอได้แต่งงานเข้ามาในตระกูลของเขาก็ด้วยเหตุบางอย่างเท่านั้น  เมื่อเจอกับระบบของตระกูลที่เน้นเรื่องการเรียนการศึกษาเป็นอย่างมาก  จึงทุ่มเทผลักดันให้ลูกสาวมีผลการเรียนที่ดีไม่น้อยหน้าใคร  เพื่อไม่ให้ญาติพี่น้องมาดูถูกลูกของเธอได้...เหมือนกับที่เธอโดนดูถูกมาแล้ว

“ทั้งที่เรียนดีไปยังไง  ก็ไม่เห็นมีใครชมนี่คะ...เรียนได้ที่หนึ่งของชั้น  ก็ไม่เห็นคุณปู่จะชมเลยนี่คะ...”  ฮารุกะพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

นัตสึเมะพยักหน้า...เขารู้อยู่แล้วว่าความพยายามของเคย์โกะไม่ค่อยเป็นผล  ตราบเท่าที่เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่คนในตระกูลยอมรับ  ลูกสาวของเธอก็ไม่เป็นที่ยอมรับไปด้วย  ในหมู่ญาติตอนนี้...เด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกับฮารุกะก็มีแต่พวกลูก ๆ ของญาติผู้พี่ของเขาซึ่งมีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น  ถ้าเทียบกับฮารุกะแล้วนับว่าเป็นคนละรุ่นกัน...เพราะฮารุกะเป็นลูกสาวของพ่อเขา  มีศักดิ์เป็นน้าของเด็กพวกนั้น...แต่ถ้าดูจากทางสายเลือดแล้วก็นับว่าเป็นสายรอง  ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับคุณปู่และลุงป้าน้าอา  ผิดกับเขาที่ถึงจะฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลแต่ก็ยังได้รับการต้อนรับอย่างดีในวันรวมญาติ

ในแง่หนึ่ง  ความกดดันของฮารุกะมีน้อยกว่าเขาเมื่อตอนอายุเท่ากัน  ไม่มีใครคาดหวังให้เธอเจริญรอยตามเส้นทางของตระกูล  ฮารุกะมีสิทธิ์เต็มที่ในการเลือกใช้ชีวิตและประกอบอาชีพตามใจโดยไม่มีใครทัดทาน  ในขณะที่ตัวเขาในตอนนั้นถูกกดดันด้วยความคาดหวังของตระกูลที่หมายจะผลิตนักการเมืองระดับประเทศขึ้นมาอีกคนหนึ่ง  แต่ในอีกแง่หนึ่ง  ฮารุกะก็ต้องทนรับแรงกดดันด้านอัธยาศัยไมตรี  ญาติ ๆ ไม่ยินดีต้อนรับเธอและแม่ของเธอ  แม้จะไปงานรวมญาติก็มีแต่ความเฉยชาให้  แม้แต่อากิโตะที่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็ยังดูเฉยเมยกับตัวตนของเธอ  มีแค่เขาเท่านั้นที่คอยดูแลเอาใจใส่แทบจะเหมือนลูกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ...แต่อย่างน้อย  พ่อก็รักฮารุกะ  พาออกงานสังคมออกหน้าออกตาเสมอ...ซึ่งพ่อแทบไม่เคยทำอย่างนั้นกับเคย์โกะเลย
นั่นทำให้ภาระเรื่องเคย์โกะมาลงที่เขา

“คุณปู่ก็ไม่เคยชมพี่...”

“เอ๋?”

“ต่อให้พี่ชงกาแฟอร่อยแค่ไหนคุณปู่ก็ไม่ดื่มหรอก”  นัตสึเมะพูดยิ้ม ๆ

“มันคนละเรื่องกันนี่คะ  หนูกำลังพูดเรื่องเรียนอยู่นะ”  ฮารุกะโวยวายเมื่อพี่ชายออกนอกประเด็น

“เหมือนกันแหละ  เพราะพี่ก็ทุ่มกับเรื่องกาแฟสุดฝีมือเหมือนที่ฮารุกะทุ่มกับเรื่องเรียนเหมือนกัน...ซึ่งคุณปู่ไม่เห็นจะชมเราสองคนเรื่องนี้เลย”

“หนูพูดเรื่องเรียนอยู่ค่า~!”  สาวน้อยโวยพลางเอื้อมมือไปตีแขนพี่ชายเพี๊ยะ ๆ

“เรื่องเรียนคุณปู่ก็ไม่ชมพี่นี่  เพราะพี่คิซาระเรียนเก่งกว่าพี่เยอะ  แล้วพี่ก็ไม่เคยเป็นประธานนักเรียนแบบอากิโตะด้วย  แถมยังจบแค่ ม. ปลายไม่ยอมเรียนต่ออีกต่างหาก  จะให้คุณปู่ชมใครสักคน...ก็เหมือนพยายามให้เป็ดขันนั่นแหละ  ยิ่งแก่แล้วต่อมชื่นชมมันคงฝ่อไปตามกาลเวลาละมั้ง...ว่าแต่  คุณพ่อชมหรือเปล่าล่ะ?”

“...ชมค่ะ”

“ก็ดีแล้วนี่  คุณพ่อชมเชียวนะ  คุณพ่อน่ะไม่เคยชมพี่กับอากิโตะเลยนะ  เอาแต่เคี่ยวไปวัน ๆ...คุณพ่อชมน่ะ  มีค่ามากกว่าคุณปู่ชมอีกนะเนี่ย”

“จริงเหรอ?”

“จริงสิ  จะโกหกทำไม  พี่เคยโกหกเราด้วยเหรอ?”

ฮารุกะนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง  “โกหกอยู่เรื่อยแหละ”

นัตสึเมะหัวเราะเสียงดัง  “ตอนไหน?”

“บอกว่ากลืนเม็ดแตงโมแล้วมันจะไปงอกในท้อง!  รู้มั้ยคะ  หนูกลัวมาตั้งนาน  เพิ่งมารู้เมื่อต้นปีนี่เองว่าพี่จ๋าโกหก”

“เอ้า!  ทำไมรู้ช้านัก?”  นัตสึเมะยิ่งขำหนักกว่าเดิม  นั่นเป็นเรื่องที่เขาหลอกเอาไว้ตั้งแต่ฮารุกะเพิ่งเข้าอนุบาลด้วยซ้ำ

“ก็ไม่รู้นี่  หนูก็กินแตงโมระวัง ๆ มาตลอด  วันนั้นเผลอกลืนเม็ดเข้าไปเลยโวยวาย  เพื่อน ๆ หัวเราะเยาะกันใหญ่เลยด้วย!”  ฮารุกะทำแก้มป่อง

“ฮะ ๆ ๆ  อันนี้ช่วยไม่ได้นะ  พี่นึกว่าที่โรงเรียนเขาจะสอนเสียอีก...แล้ว  กินข้าวกินปลามาหรือยัง?”  นัตสึเมะเปลี่ยนเรื่องพูด

“กินมาแล้วค่ะ  แต่ถ้าพี่จ๋าจะทำแซนด์วิชต้นตำรับให้หนูก็กินอีกได้”

“หึ...อยากกินก็บอกมาตรง ๆ ก็ได้”  ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วตรงไปเปิดตู้เย็น  หยิบข้าวของออกมาทำแซนด์วิชให้น้องสาวตัวดีและทำเผื่อส่วนของตัวเองด้วย

“มีการบ้านใช่มั้ย?  ทำรอไปก่อนแล้วกัน  หรือไม่ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ  ชุดนอนของพี่อยู่ในตู้  รู้ที่ใช่มั้ย?”

“รู้ค่ะ  งั้นรบกวนหน่อยนะค้า~”  ฮารุกะมีท่าทีร่าเริงขึ้นมาก  นาน ๆ ครั้งเธอถึงจะได้มาค้างที่บ้านพี่ชายเสียทีหนึ่ง

ฮารุกะหายไปครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมกับชุดนอนตัวโคร่งของพี่ชาย  เธอกลับไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวแล้วหยิบการบ้านออกมา  พร้อมกันนั้นจานแซนด์วิชก็ถูกวางลงบนโต๊ะ

“พี่จ๋า...ทำไมในตู้เสื้อผ้าของพี่มีเสื้อผ้าผู้หญิงด้วยล่ะ?”

นัตสึเมะชะงักกึก...นั่นเป็นเสื้อผ้าที่เคย์โกะเอามาทิ้งไว้และเขาไม่ได้สนใจจะเก็บ  เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาเปิดเจอ!!

“หนูรู้น้า~  ของแฟนใช่มั้ยล่ะ?”  สาวน้อยส่งสายตาล้อเลียนมา

นัตสึเมะพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติ  แต่มันช่างยากเย็น

“...จะว่างั้นก็ได้”

“ฮั่นแน่!  คนที่เห็นเมื่อเย็นใช่มั้ยคะ?  มีแฟนไม่เห็นบอกกันบ้างเลย”

“...ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”  นัตสึเมะอ้อมแอ้ม

“อ๋อ~  กำลังดูใจกันอยู่ใช่มั้ยล่ะคะ?  พี่จ๋ายังไม่คิดจะลงเอยกับใครเหรอ?  อายุป่านนี้แล้วน้า  เอ๊ะ?  หรือเป็นแฟนกับพี่คิริฮาระไปแล้ว?”

“มันจะแก่แดดเกินไปแล้วนะ!  กินข้าวแล้วทำการบ้านไปซะ  ยัยเด็กลิงนี่!”  ชายหนุ่มเอื้อมมือมาเขกกระโหลกน้องสาว  ถึงจะทำเป็นดุแก้เก้อ  แต่ก็แอบโล่งใจที่ฮารุกะเดาไปในทิศทางนั้น

...เรื่องของเขากับเคย์โกะ  ไม่อาจให้ฮารุกะรู้ได้เด็ดขาด  เขาตั้งใจจะรอให้ทุกอย่างคลี่คลายมากกว่านี้  แล้วปล่อยให้เรื่องนี้เลือนหายไปกับกาลเวลา...แต่ท่าทาง...กาลเวลาจะไม่ยอมให้เขารอมากไปกว่านี้แล้วสินะ...

...

นัตสึเมะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่มาเปิดร้านตามปกติ  เมื่อคืนฮารุกะค้างที่บ้าน  แม้จากที่นี่ไปโรงเรียนจะไกลสักหน่อยแต่ยังมีเวลาเหลือเฟือ  เขาจึงปล่อยให้น้องสาวนอนต่อไปอีกหน่อย  นัตสึเมะจัดแจงเตรียมอุปกรณ์และทำความสะอาดร้านรอลูกค้าตอนเช้า  ซึ่งมักจะแวะมาดื่มกาแฟหรือซื้อแซนด์วิชไปเป็นมื้อเช้าที่ทำงาน

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ  พี่จ๋าตื่นเช้าจัง”  ฮารุกะโผล่หน้ามาจากประตูข้างเคาน์เตอร์  ใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อย

“เราก็ตื่นเช้านี่  มากินมื้อเช้าเสียก่อน  จะได้ไปโรงเรียน”  ว่าพลางนัตสึเมะก็วางจานแซนด์วิชพร้อมกับโกโก้ร้อนให้บนเคาน์เตอร์

“ขอบคุณค่า  พี่จ๋านี่ต้องเป็นเจ้าสาวที่ดีแน่ ๆ เลย”

“ทะลึ่งละ...เด็กบ้า”

ไม่นานนักกระดิ่งที่หน้าประตูร้านก็ดังขึ้น

“...อะ...อรุณสวัสดิ์ครับ  นัตสึเมะซัง”

“อรุณสวัสดิ์ครับ  ฟุยุกิคุง”  นัตสึเมะเอ่ยทักทายลูกจ้าง  “เป็นอะไรไปครับ  หน้าหมอง ๆ?”

ฟุยุกิหลบตา  จะให้บอกได้อย่างไรว่าเมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเพราะคิดเรื่องนัตสึเมะนั่นแหละ...แล้วไหงเจ้าตัวยังมีหน้ามาถามแบบนี้โดยไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลยเล่า

“...นอนน้อยไปหน่อยครับ  เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ...”  พูดแล้วก็ก้มหน้างุด ๆ เดินตรงไปยังประตูข้างเคาน์เตอร์  แล้วก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่พอดี...มีลูกค้าแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย?

“อรุณสวัสดิ์ค่า~”

“อะ...อรุณสวัสดิ์ครับ  เอ้อ...”  ฟุยุกิออกจะงง ๆ ที่อยู่ ๆ สาวน้อยแปลกหน้าเป็นฝ่ายทักเขาก่อน

“นี่ฮารุกะ  น้องสาวของผมเองครับ”  นัตสึเมะบอก  “เมื่อคืนมาค้างที่นี่น่ะ”

“...น้องสาว?”  นัตสึเมะมีน้องสาวอายุน้อยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย  เด็กนี่เพิ่งจะเรียนมัธยมเองไม่ใช่เหรอ

“ฮารุกะ  นี่อาริโยชิ  ฟุยุกิคุง  เป็นลูกมือพี่เองน่ะ”

“ลูกมือ?  ร้านพี่จ๋านี่ยุ่งขนาดต้องมีลูกมือเลยเหรอคะ?”  ฮารุกะถามคำถามแทงใจดำทั้งเจ้าของร้านและลูกจ้าง

“...เรื่องมันยาวน่ะ”

เห็นสีหน้าของนัตสึเมะตอนนี้แล้วฟุยุกิก็ขำ  เขาเลี่ยง ๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า  ปล่อยให้สองพี่น้องโต้ตอบกันไปตามลำพัง  ในตอนที่กลับออกมาก็พอดีกับที่คิโยฮารุมาถึง

“อรุณสวัสดิ์ครับ  นัตสึเมะซัง...อ้าว  มีลูกค้าแล้ว”  คิโยฮารุรู้สึกเสียแชมป์  เพราะเขามักจะเป็นลูกค้าคนแรกของร้านนี้เสมอ

“อรุณสวัสดิ์ครับ  ไม่ใช่ลูกค้าหรอก  นี่น้องสาวผมน่ะ”

“ฮารุกะค่ะ”  สาวน้อยยิ้มหวานให้

“โอ้  คนนี้เองเหรอครับ  ได้ยินมาตั้งนาน  เพิ่งเคยเจอตัวจริงเป็นครั้งแรกนี่แหละ”  คิโยฮารุพยักหน้าหงึก ๆ  เขาเคยได้ยินทั้งนัตสึเมะและคิริฮาระพูดถึงน้องสาวคนนี้มาตั้งนานแล้ว  แต่ยังไม่เคยได้เห็นหน้าสักครั้ง  “น่ารักกว่านัตสึเมะซังนะครับ”

“อย่าให้ต้องหน้าเหมือนผมเลยครับ...”  นัตสึเมะเคยคิดว่าถ้าฮารุกะเป็นผู้ชายคงจะหน้าคล้ายเขากับอากิโตะเหมือนกัน  แต่เพราะเป็นผู้หญิงเลยได้แม่มามาก  หน้าออกไปคล้ายเคย์โกะเสียมากกว่า

“ล้อเล่นน่า...เช้านี้เอาลาเต้อย่างเดียวแล้วกันครับ  เมื่อเช้ายูคุงทำมื้อเช้าให้กินไปแล้วละครับ”

“คิริฮาระเนี่ยนะ!?”

“เพิ่งเข้าบ้านเมื่อเช้า  เลยทำมื้อเช้าเป็นการไถ่โทษน่ะครับ”  คิโยฮารุหัวเราะเบา ๆ

“คิริฮาระ...?  คุณพี่อยู่กับพี่คิริฮาระเหรอคะ?”  ฮารุกะถามซื่อ ๆ

...แต่เหมือนระเบิดลงกลางร้าน  กระทั่งฟุยุกิยังเผลอนิ่งตัวแข็งไปด้วย

“...ครับ  เป็นรูมเมทกันน่ะครับ”  คิโยฮารุตอบหลังจากนิ่งไปอึดใจพระพุทธ...แต่เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะปั้นสีหน้าให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

นัตสึเมะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปอุ่นนมเตรียมชงลาเต้ให้คิโยฮารุ  เรื่องบางเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันตามปกติเนี่ย  ไม่ควรพูดตอนที่เด็ก ๆ อยู่ด้วยสินะ  เขาก็ลืมไปเลยว่าฮารุกะรู้จักคิริฮาระเป็นอย่างดี  แต่ไม่เคยรู้จักคิโยฮารุ  แต่พวกเขาคุยกันถึงฮารุกะบ่อย ๆ จนคิดไปเองว่าทั้งสองรู้จักกันด้วย...แล้วก็ลืมไปแล้วด้วยว่าฮารุกะไม่รู้หรอกว่าคิริฮาระเป็นคนรักของคิโยฮารุ

ไอ้คำว่ารูมเมทก็ดูเป็นคำอ้างที่ดีอยู่หรอก  แต่ดูจากบุคลิกของคิริฮาระกับคิโยฮารุแล้ว...มันคงใช้ไม่ได้สำหรับบางคนละนะ

ฮารุกะก็ดูสงสัยอยู่บ้าง  แต่ด้วยความที่เป็นเด็กมีมารยาทเลยไม่ได้ถามอะไรต่ออีก  หลังจากกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วเธอก็เตรียมตัวไปโรงเรียน

“ไปนะคะ  พี่จ๋า  ไว้ทะเลาะกับคุณแม่อีกจะมารบกวนใหม่”

“มาแบบไม่ต้องทะเลาะกันมาก็น่าจะดีนะ”

“ไม่รับปากค่า~”  สาวน้อยหัวเราะคิกคักแล้วเขย่งหอมแก้มนัตสึเมะเสียทีหนึ่ง  “ไปแล้วนะคะ  พี่จ๋าก็ขายกาแฟดี ๆ นะ  ไปแล้วนะคะ  ทุกคน  แล้วเจอกันค่า”

ฮารุกะบอกกับทุกคนอย่างร่าเริงแล้วออกจากร้านไปพร้อมกับเสียงกระดิ่งหน้าประตู  ไม่มีท่าทีหงอย ๆ แบบเมื่อคืนอยู่เลย  การได้คุยกับนัตสึเมะทำให้เธอสบายใจขึ้น แม้จะไม่ได้พูดอะไรกันมากแต่นัตสึเมะมักจะรับฟังและมีคำปลอบใจดี ๆ ที่ถ้าฟังผ่าน ๆ จะไม่เหมือนคำปลอบใจเลยสักนิด  ที่เธอมักจะมาหานัตสึเมะเวลาที่มีปัญหาอะไรก็เพราะนัตสึเมะเป็นคนเดียวที่ไม่อยู่ในวิถีทางของตระกูล  เป็นคนที่แหกคอกออกมาจากขนบธรรมเนียมที่เธอเองก็เห็นว่ามันคร่ำครึและน่ารำคาญ  ออกมาใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุขและมีความภาคภูมิใจแบบที่ญาติ ๆ เองก็ดูถูกไม่ได้  ชีวิตของนัตสึเมะดูเรียบง่ายและดำเนินไปช้า ๆ  แต่ความช้านี่เองที่ทำให้ฮารุกะมาอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกสบายใจ

ออกมาจากร้านไม่ไกลนักโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น  ฮารุกะหยิบมันขึ้นมาดูแล้วเบ้หน้านิด ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของแม่  แต่เธอก็กดรับสาย

“ค่า”

“ว่าไง  ไปนอนที่บ้านนัตสึเมะงั้นสิเรา”

“ก็งั้นแหละค่ะ  จะให้หนูไปไหนล่ะคะ?”

“ไม่ต้องมายอกย้อนเลย  เมื่อวานโดดเรียนพิเศษใช่มั้ย?  เดี๋ยวเถอะ  นี่ถ้าผลการเรียนตกตั้งแต่เพิ่งเข้า ม. ปลายจะทำยังไง”

“หยุดค่ะ  หยุด!  หนูไม่อยากฟังเทศน์แต่เช้าหรอกนะ  พี่จ๋าเทศน์มาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“นัตสึเมะไม่เทศน์หรอกย่ะ  แถมยังให้ท้ายด้วย  แม่รู้นะ”

“งั้นยิ่งไม่ต้องเทศน์ใหญ่เลยค่ะ  ก็ขนาดพี่จ๋ายังไม่ว่าเลย  คุณแม่จู้จี้เยอะ ๆ เดี๋ยวจะเป็นยายแก่น่ารำคาญนะคะ”

“ว่าใครเป็นยายแก่ยะ!”

“ล้อเล่นค่า~”  ฮารุกะหัวเราะคิกคัก  “แหม  เดี๋ยวหนูก็ไม่ค่อยได้มาหาพี่จ๋าแล้วละค่ะ”

“ทำไม?”

“ก็พี่จ๋ามีแฟนน่ะสิคะ  ขืนไปหาตอนที่แฟนเขาอยู่ก็เป็นก้างขวางคอเขาน่ะสิ”

“แฟน!?”

“ค่า  หนูเห็นพี่เขาหอมแก้มคนนั้นด้วยแหละ  แต่ไม่เห็นหน้าหรอกนะคะ  มันมืด...พี่จ๋าก็มีความลับเนาะ  อุ๊ย  ถึงสถานีรถไฟแล้วละค่ะ  แค่นี้ก่อนนะคะแม่  หนูต้องขึ้นรถไฟแล้ว  แล้วเจอกันนะคะ”

ฮารุกะตัดสายไปโดยไม่ทันสังเกตความเงียบจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์...เป็นความเงียบที่น่าสะพรึงกลัวก่อนพายุจะมา


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 14 / 30-09-58
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-09-2015 19:23:12
ระเบิดจะลง? เดี๋ยวได้ตายกันหมดหรอกเคย์โกะ
หัวข้อ: Re: Lock on You 14 / 30-09-58
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 30-09-2015 23:27:14
ดีใจที่ได้อ่านมากเลยค่ะ ติดตามตั้งแต่ที่บอร์แต่มันเข้าไม่ได้แล้วแอบเสียใจที่ไม่ได้อ่านต่อซะแล้ว

ช่วงที่ฟุยุกิคุงอกหักนี่ทำน้ำตาซึมตามเลยค่ะ ส่วนนัตสึเมะ ปัญหาเคย์โกะซังนี่ทำเอาอึ้ง มามีสัมพันธ์กันแบบนี้ได้ยังไงนะ

รอติดตามค่า ^^
หัวข้อ: Re: Lock on You 14 / 30-09-58
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 01-10-2015 22:33:05
สนุกมาก
ชอบครอบครัวของฟุยุกิ น่ารักดี  :mew1:
หัวข้อ: Re: Lock on You 14 / 30-09-58
เริ่มหัวข้อโดย: Cockroach ที่ 02-10-2015 00:23:38
ยังติดตามอยู่เสมอนะครับ >3< มีนิยายของท่านทุกเล่มเลย เรื่องนี้ก็จะรอสอยไว้เชยชมเช่นกัน
หัวข้อ: Re: Lock on You 15 / 31-10-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 31-10-2015 20:39:19
สวัสดีครับ
มันเป็นกิจกรรมอัพนิยายเดือนละครั้งจริง ๆ นะเนี่ย  ผมก็ไม่ได้อยากอัพเดือนละครั้งหรอกนะครับ  แต่เนตไม่เอื้ออำนวย  (ถอนใจ)
มาต่อกันเลยนะครับ
อ้อ  ผมจะรวมเล่ม ALL I WANT แล้วนะครับ  ขอโฆษณาเนียน ๆ ตรงนี้เลย ฮะๆๆ
แล้วเจอกันเมื่อเนตเอื้ออำนวยนะครับ

HAKURO_KOKURO
++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 15

วันนี้ฝนก็ตกจนถึงเวลาปิดร้าน ฟุยุกิเช็ดถ้วยจานที่ล้างแล้วอย่างเหม่อลอย  พอเหลือกันอยู่สองคนกับนัตสึเมะแล้วบรรยากาศแปลก ๆ ก็เข้ามาครอบคลุมอีก...นัตสึเมะทำเหมือนกับว่าลืมไปแล้วว่าเมื่อวานทำอะไรเอาไว้  แต่เขายังไม่ลืม...แก้มข้างที่ถูกประทับริมฝีปากยังรู้สึกร้อนผ่าวอยู่เลย  มันเรื่องอะไรกันนะ  ทำไมนัตสึเมะถึงทำแบบนั้น...นัตสึเมะมีคนรักแล้วไม่ใช่หรือ  ผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยเจอน่ะ...แล้ว...มาทำแบบนี้

นัตสึเมะพลิกป้ายหน้าร้านเป็น  “ปิด”  มองลูกจ้างที่หยุดการเคลื่อนไหวไปเฉย ๆ เหมือนถ่านหมดแล้วก็อมยิ้ม  ฟุยุกิมีอาการแปลก ๆ มาตั้งแต่เช้าและเขาก็รู้ว่าทำไม  เพียงแต่ทำเป็นเฉยไว้ก็เท่านั้น...ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดจะรุกถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้นมาก่อน  แต่เพราะฟุยุกิพูดอะไรน่ารัก ๆ อย่างเรื่องครอบครัวขึ้นมา  มันทำให้เขานึกอยากสารภาพความในใจออกไปเสียที...แต่คงจะแสดงออกมากเกินไปละมั้ง  ฟุยุกิถึงได้มีสภาพแบบนี้

และมันคงจะเร็วเกินไป...เพราะเขายังแก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้เลย

“ฟุยุกิคุงครับ”

“ครับ!!?”  เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเกือบทำจานรองแก้วในมือหล่นแตก

“...พักดื่มน้ำชากันหน่อยดีมั้ยครับ?”  นัตสึเมะทำเป็นไม่เห็นอาการนั้นและยิ้มให้เหมือนอย่างเคย

“เอ่อ...ครับ  ได้ครับ  เดี๋ยวจะชงให้นะครับ”

ฟุยุกิรีบร้อนเก็บกวาดข้าวของจนเรียบร้อยแล้วจัดแจงชงน้ำชา  เมื่อตอนบ่ายพวกเขาไม่ได้ดื่มชากันเหมือนเคยและคิโยฮารุก็ไม่ได้แวะมาที่ร้าน  พร้อมกับที่ฟุยุกิใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งสองจึงลืม ๆ เรื่องนี้ไป

แม้จะร้อนรนมาตลอด  แต่พอเอากาน้ำร้อนตั้งเตาและเตรียมใบชากับเหยือก  เด็กหนุ่มก็ดูสงบลงอย่างรวดเร็ว  ฟุยุกิมีสมาธิในการชงชาเสมอจนน่าประหลาด  เวลาที่หยิบใบชามาใส่ลงในน้ำร้อนและค่อย ๆ หมุนเหยือกให้ใบชาค่อย ๆ คลายตัวออก  ดูราวกับเด็กหนุ่มได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไปจนหมดสิ้น  มีเพียงแค่ตัวเองกับเหยือกน้ำชาในมือ...และระยะหลังมาก็ชงได้ประณีตอย่างไม่มีข้อผิดพลาดเลย

น้ำชาพร้อมตั้งโต๊ะ  นัตสึเมะเตรียมขนมนิดหน่อยไว้กินกับน้ำ...แต่พอชงน้ำชาเสร็จ  ฟุยุกิก็กลับมาเกร็งอีกแล้ว  นัตสึเมะสังเกตเห็นอาการนั้นแล้วก็เข้าใจ

“ฟุยุกิคุง”

“ครับ!”

“เรื่องเมื่อวาน...ขอโทษนะครับ”

“อะ...เอ๋?”

“ผมคงทำอะไรเกินไป  คุณคงไม่ชอบใจ”  นัตสึเมะพูดพลางยกถ้วยชาขึ้นดื่ม

“อะ...เอ่อ...ผม...ผมนึกว่านัตสึเมะซัง...ลืมไปแล้ว”  ฟุยุกิกุมถ้วยชาของตัวเองพลางก้มหน้างุด  ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“จะลืมได้ยังไงล่ะครับ  ในเมื่อผมตั้งใจทำ”  ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ

“ตะ...ตั้งใจ...?”

“ครับ  ตั้งใจ  และจงใจด้วย”

เจอคำตอบแบบนี้ฟุยุกิถึงกับพูดไม่ออก  เขาหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก  ได้แต่ยึดถ้วยชาไว้เป็นที่พึ่งทางใจ...ใจหนึ่งก็ดีใจอยู่หรอก  แต่อีกใจหนึ่งยังมีบางอย่างค้างคา...

“แต่...แต่...นัตสึเมะซัง...มีคนรักแล้วนี่ครับ...”  ฟุยุกิอ้อมแอ้มออกมา

“คนรัก?”

ใช่...คนรัก  ก็เพราะแบบนี้  ในตอนที่ฟุยุกิผิดหวังจากคิริฮาระและพยายามจะหันมาพึ่งพานัตสึเมะแต่กลับต้องยอมตัดใจอีกครั้ง  เพราะนัตสึเมะมีคนรักอยู่แล้ว

“ก็...คุณผู้หญิงคนนั้น...”

ผู้หญิงที่เคยเข้ามากอดและแสดงท่าทีกับนัตสึเมะอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ  ผู้หญิงที่เคยเปิดประตูเข้ามาพอดีตอนที่นัตสึเมะจูบหน้าผากของเขา

หลังจากความนิ่งเงียบยาวนาน  เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ

“นั่นไม่ใช่คนรักของผม”

“เอ๊ะ?”  ฟุยุกิเงยหน้าขึ้นทันที  แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง

ดวงตาที่มีแววอ่อนโยนอยู่เสมอจับจ้องมาที่เขา  ในนั้นมีความเย็นชาฉาบอยู่บาง ๆ จนรู้สึกได้

“เคย์โกะซังไม่ใช่คนรักของผมครับ”  นัตสึเมะย้ำอีกครั้ง

“เอ๋...ตะ...แต่...”  ฟุยุกิสับสน  ก็ที่เขาเคยเห็นมา  เธอแสดงออกกับนัตสึเมะแบบนั้นนี่นา...แล้วบอกว่าไม่ใช่คนรัก...

รอยยิ้มบาง ๆ กลับมาแต้มที่ริมฝีปากของนัตสึเมะอีกครั้ง  แต่เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะเยาะหยันอะไรบางอย่างอย่างไรชอบกล

“มันมีเรื่องซับซ้อนอยู่  แต่เคย์โกะซังไม่ใช่คนรักของผมแน่ ๆ ครับ”

“เรื่องซับซ้อน?”

“ไว้ให้อะไร ๆ มันดีกว่านี้  แล้วผมจะเล่าให้ฟังนะครับ”

“อ๊ะ!  ไม่...ไม่ต้องหรอกครับ!  ถ้านัตสึเมะซังไม่สะดวกที่จะเล่า!  คือ...ผมไม่อยากละลาบละล้วง...มัน...”  ฟุยุกิรีบปฏิเสธ  แต่นัตสึเมะกลับยิ้มมากกว่าเดิม

“ต้องเล่าสิครับ  ถ้าจะเป็นครอบครัวกันน่ะ”

“คะ...ครอบครัว!?”  ฟุยุกิทำตาโตเท่าจานรองแก้ว...นัตสึเมะพูดอะไรออกมา!?

“ก็เมื่อวานพูดเองนี่ครับ  ว่าชอบความสัมพันธ์แบบครอบครัว”

“มะ...ไม่ได้พูด!!”  เด็กหนุ่มโวย  เขาแค่บอกว่าชอบที่คิริฮาระกับคิโยฮารุมีความสัมพันธ์แบบครอบครัวเท่านั้นเอง  ไม่ได้หมายความอย่างที่นัตสึเมะพูดเสียหน่อย

“แต่ก็อยากเป็นแบบนั้นบ้างใช่มั้ยล่ะครับ?”

“มะ...มันก็...!!”

“ถ้าชอบแบบนั้นผมก็โอเคนะครับ”  ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนให้

ฟุยุกิอ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้จะโต้เถียงอะไรออกไปได้  มือใหญ่เอื้อมมาตบแขนของเขาเบา ๆ

“ดื่มชาก่อนครับ”

เด็กหนุ่มกระดกถ้วยชาดื่มเฮือกแล้วถอนใจแรง ๆ  อาการเกร็งลดลงนิดหน่อย

“ดีขึ้นแล้วนะครับ?”

“...คิดว่า...”

นัตสึเมะปล่อยให้ฟุยุกิหายใจหายคอครู่หนึ่ง  จึงพูดออกมาเบา ๆ

“ผมจริงจังนะครับ  ฟุยุกิคุง”

“อะ...เอ้อ...ตั้งแต่เมื่อไรกันครับ?”

“ตั้งแต่แรก  ไม่รู้สึกตัวเลยเหรอครับ?”

ฟุยุกิก้มหน้างุด  ไม่ใช่ไม่รู้สึก  มีหลายครั้งหลายคราวและหลายโอกาสที่เขารู้สึกถึงความอ่อนโยนที่น่าจะมากกว่าที่มีให้คนอื่นจากนัตสึเมะ  ทั้งที่รับฟังปัญหาและให้คำปรึกษาดี ๆ...ทั้งมืออุ่นที่เอื้อมมากุมมือเขาไว้ในวันที่สับคน...ทั้งอ้อมกอดที่มีให้ในตอนที่เขาผิดหวัง  เขารู้ว่านัตสึเมะทำอะไรหลายอย่างเพื่อเขามาตลอดโดยเว้นระยะห่าง ๆ  คงเพราะเห็นว่าเขากำลังมีใจให้คิริฮาระ  และมีคำพูดหนึ่งที่ยังติดอยู่ในความทรงจำเสมอมา...

...ฟุยุกิคุง  ยังไงก็ยังมีผมอยู่ทั้งคนนะครับ...

ใช่...นัตสึเมะอยู่เคียงข้างเขามาตลอด  คอยอยู่ข้าง ๆ ในเวลาที่เขาต้องการใครสักคนเสมอ  แต่เขาเองที่หลงคิริฮาระหน้ามืดตามัวจนไม่รู้สึกตัว

“แล้ว...จะดีเหรอครับ...คนอย่างผมน่ะ?”

“คนอย่างฟุยุกิคุงทำไมเหรอครับ?”

“ผม...ไม่เอาไหนเลย...”

“ผมชอบฟุยุกิคุงที่ไม่เอาไหนเลยคนนั้นแหละครับ”

เด็กหนุ่มยังคงก้มหน้างุด  ไม่กล้าสบตานัตสึเมะตรง ๆ...ดีใจ  ดีใจที่สุดในชีวิต  ดีใจจนไม่รู้จะพูดอะไรได้  เพียงแต่...มันจะดีแล้วเหรอ  มันกะทันหันเกินไปหรือเปล่า...

“ไม่ต้องรีบตอบตอนนี้หรอกครับ  กลับไปค่อย ๆ คิดดูก่อนก็ได้”

ก็เพราะคิดมาครั้งหนึ่งแล้ว  เมื่อคืนถึงได้นอนไม่พอยังไงเล่า

“ถ้าไม่ชอบผม  ก็บอกมาตรง ๆ นะครับ...ผมจะได้ไล่ออก”

“หา!?”

“ผมไม่บังคับคุณให้ต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ชอบหรอกครับ”

“เดี๋ยวสิครับ  ทำไมเรื่องมันไปถึงตรงนั้นได้!?”  ฟุยุกิโวยวาย  “ถ้าไล่ผมออกแล้วผมจะไปทำอะไรล่ะครับ!?”

“ฝีมือขนาดนี้เปิดร้านน้ำชาของตัวเองได้แล้วละครับ...แต่ผมหมายถึงกรณีที่คุณไม่ชอบผมนะ  ถ้าชอบมันก็อีกเรื่องหนึ่ง”

“ผม...คือ...ผม...”  เด็กหนุ่มร้อนรนขึ้นมาอีก

นัตสึเมะหัวเราะน้อย ๆ แล้วตบแขนฟุยุกิเบา ๆ

“ไม่ต้องรีบร้อนครับ  ผมเองก็มีเรื่องที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนเหมือนกัน  เอาไว้ตอนที่เราพร้อมกันทั้งคู่แล้วเราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกทีก็ได้ครับ”

“คะ...ครับ...”

“เอาละ  เดี๋ยวก็กลับได้แล้วละครับ  ดึกป่านนี้แล้ว  ที่เหลือเดี๋ยวผมเก็บกวาดเอง”

“เอ้อ...ขอบคุณครับ”

ฟุยุกิถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปยังประตูที่เปิดไปยังส่วนที่พักของนัตสึเมะเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบข้าวของ  นัตสึเมะปิดไฟหน้าร้านแล้วเดินตามไปด้วย  ยืนส่งเด็กหนุ่มที่หน้าประตูบ้านเหมือนอย่างเคยทุกวัน  และวันนี้...ก็เป็นพิเศษ

ชายหนุ่มโน้มตัวลงจูบแก้มของฟุยุกิเบา ๆ

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ  ฟุยุกิคุง”

ฟุยุกิยกมือขึ้นลูบแก้มทั้งหน้าแดงก่ำ  อ้อมแอ้มตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบา

“ราตรีสวัสดิ์ครับ...นัตสึเมะซัง...”

ในตอนนั้นเอง  เสียงหวีดแหวเหมือนสายฟ้าฟาดก็ดังขึ้น


“นัตสึเมะ!!!!”

...

นัตสึเมะหันขวับไปตามเสียงนั้นแล้วตกใจจนตัวชาเมื่อเห็นเจ้าของเสียง

“เคย์โกะซัง!?”

เคย์โกะปราดเข้ามาหานัตสึเมะด้วยสีหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ  เธอกระชากฟุยุกิออกห่างจากนัตสึเมะทันที

“เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง  นัตสึเมะ!?  เธอทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง!?”  เคย์โกะกรีดเสียงพลางทุบตีชายหนุ่มด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด

“เคย์โกะซัง!  ใจเย็น ๆ ก่อน!!”  นัตสึเมะพยายามห้าม  เขาเองก็ตกใจกับผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด  แถมยังมาผิดจังหวะพอดีเสียอีก

“เย็นอะไร!?  เธอจะทิ้งฉันใช่มั้ย!  นังนี่มันมีดีตรงไหน!  เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง!!”  เคย์โกะชี้ไปที่ฟุยุกิแล้วก็นิ่งงันไป...คนที่เธอคิดว่าเป็นแฟนสาวของนัตสึเมะกลับเป็น...

เด็กหนุ่มลูกจ้างของร้าน...กำลังยืนกอดกระเป๋าด้วยใบหน้าซีดเผือดและตื่นตะลึง

“นะ...นี่...นี่...”  นิ้วที่ชี้ฟุยุกิสั่นระริก  เธอช็อกกับความจริงที่ไม่คาดฝัน

“เคย์โกะซัง!  ใจเย็น ๆ ก่อน  ผมอธิบายได้นะ!”  นัตสึเมะพยายามเกลี้ยกล่อมแม้จะมองไม่เห็นว่ามันจะเป็นไปได้ก็ตาม

“กรี๊ด!!!!”  เคย์โกะกรีดเสียงร้อง  “นัตสึเมะ!!!!  นี่เธอ...เธอ...!!  เธอทรยศฉัน!  เธอทรยศฉันเหรอ!!  นัตสึเมะ!!!!”

เคย์โกะปราดเข้าไปหาฟุยุกิที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ  แต่นัตสึเมะเร็วกว่า  เขารวบร่างของเคย์โกะไว้แล้วกระชากกลับมาหาตัวเอง

“เคย์โกะซัง!  ฟังผม!  ใจเย็น ๆ แล้วฟังผมก่อน!!”

“ไม่!!  นี่มันอะไร!  นี่มันเรื่องอะไรกัน!?  เธอมีอะไรกับเด็กคนนี้งั้นเหรอ!!  นี่มันเด็กผู้ชายนะ!  นี่เธอ...!!”

เคย์โกะอาละวาด  นัตสึเมะพยายามหยุดเธอสุดชีวิต

และในตอนนั้นเอง...

“พี่จ๋า!!  คุณแม่!!”

หัวใจของนัตสึเมะแทบจะหยุดเต้นกับเสียงเรียกนั้น  คนเดียวที่เขาไม่อยากให้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้...ฮารุกะ!!

แต่ในขณะที่นัตสึเมะรู้สึกเหมือนถูกโยนเข้าไปกลางพายุใหญ่  เขาก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นใครอีกคนวิ่งตามหลังฮารุกะมา

“นัตสึเมะ!  เกิดอะไรขึ้น!?”

“คิริฮาระ!  ช่วยหน่อย!!”

คิริฮาระไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรด้วย  เขาแค่จะมาดื่มกาแฟที่บ้านของนัตสึเมะก่อนไปทำงานเหมือนเคย  ก็พอดีเห็นฮารุกะวิ่งหน้าตาตื่นมาทางนี้  จะเรียกไว้ถามอะไรเธอก็ไม่ยอมตอบเลยวิ่งตามมาด้วย  แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์และตัวละครที่อยู่ตรงหน้า  เขาก็แทบจะเดาเรื่องราวได้ทั้งหมด

...ความแตกแล้ว...

เคย์โกะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของนัตสึเมะกับฟุยุกิแล้ว!!

“เธอหลอกลวงฉัน!  นัตสึเมะ!!  เธอทรยศฉัน!!”  เคย์โกะยังคงกรีดร้องด้วยเสียงอันดัง

“ผมไม่ได้ทรยศคุณนะ!”  นัตสึเมะพยายามเขย่าเรียกสติเธอแต่ก็ไม่เป็นผล

“เธอวางแผนมาตลอดใช่มั้ย!?  เธอจ้างเด็กนี่มาทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลย!  เธอ...เธอ...เธอวางแผนมาตลอด!!  เธอทรยศฉัน!!”

“ผมไม่ได้ทรยศคุณ!  ฟังซี่!”

“เธอจะหักหลังฉันเหมือนพ่อเธอไม่ได้นะ!  นัตสึเมะ!!”

นัตสึเมะหรี่ตาลงด้วยสีหน้าเจ็บปวด  ถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรให้ชัดเจนแล้วสินะ

เขาจับไหล่ของเคย์โกะไว้มั่น  จ้องตาเธอแล้วตะโกนใส่หน้า


“ผมไม่ได้ทรยศคุณ!  ก็ผม...ผมไม่เคยรักคุณเลยนี่!!”


ความเงียบสงัดราวกับความตายเข้าครอบคลุมที่ตรงนั้น  มันกินเวลาแค่ไม่กี่วินาที  แต่สำหรับทุกคนในที่นั้นรู้สึกเหมือนยาวนานชั่วนิรันดร์

แล้วเคย์โกะก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง  น้ำตาไหลอาบแก้ม

“ไม่จริง!!  ไม่จริง!!  ไม่จริง!!!!”

นัตสึเมะตะครุบปากเธอแล้วกระชากเข้าบ้าน

“คิริฮาระ!  ส่งสองคนนั้นกลับบ้านไปที!  เดี๋ยวนี้เลย!!”

ประตูบ้านกระแทกปิดเสียงดัง  นอกจากเสียงกรีดร้องของเคย์โกะที่ดังออกมาให้ได้ยินแล้ว  ไม่มีเสียงใครอีกเลย

แล้ว...ฮารุกะก็ทรุดฮวบลงตรงนั้น

“ฮารุกะจัง!!”  คิริฮาระคว้าร่างเล็ก ๆ ไว้ทันก่อนที่เธอจะล้มไปฟาดอะไรเข้า

“...พะ...พี่...คิริฮาระ...”  ฮารุกะขมุบขมิบปากเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น  น้ำตานองหน้า  “...พี่จ๋า...กับคุณแม่...?”

พอได้สบตาฮารุกะตรง ๆ แบบนี้แล้ว  คิริฮาระเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมนัตสึเมะถึงไม่เคยคิดจะจัดการกับปัญหาในชีวิตของตัวเองให้แล้วเรื่องไปเสียที...นัตสึเมะคงไม่อยากมองตาคู่นี้  ในเวลาที่มีความรู้สึกเช่นนี้...ดวงตาบริสุทธิ์ที่มีบางสิ่งในหัวใจแหลกสลายไป...

นักดนตรีหนุ่มกลืนน้ำลาย  มันก็ดีแล้ว  ที่เขามาอยู่ที่นี่ในตอนนี้พอดี...นัตสึเมะอาจจะรับมือเคย์โกะได้  แต่ไม่มีทางรับมือฮารุกะในตอนนี้ได้แน่  นี่เป็นหน้าที่ของเขา  เป็นบทบาทของเขาที่จะต้องแบ่งปันภาระเหล่านี้ให้กับนัตสึเมะ  เหมือนที่นัตสึเมะเคยช่วยแบ่งปันความทุกข์ของเขามาตลอด

“...ไม่จริง...ใช่มั้ยคะ...?”

คิริฮาระส่ายหน้า  “มันไม่ใช่แบบที่เธอคิด...มันอาจจะเป็นเรื่องจริง  แต่มันมีอะไรมากกว่าที่เธอคิดอีกมาก  พี่เล่าไม่ได้  นัตสึเมะจะต้องเป็นคนเล่าเอง  และฮารุกะจังจะต้องรับฟังจากปากของนัตสึเมะเอง...เข้าใจนะ”

สาวน้อยน้ำตาไหลพราก

“...ไม่เอา...หนูไม่อยากฟัง...”

“ฮารุกะจังจะเบือนหน้าหนีจากความจริงที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้นะ  ต่อให้ไม่มอง  มันก็อยู่ตรงนั้น...ต่อไหนพยายามจะหนีไป  มันก็อยู่ตรงนั้น...เธอต้องรับความจริงให้ได้  ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องยอมรับความจริงนี้ให้ได้”

ฮารุกะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร  ซุกหน้าลงกับอกของคิริฮาระ  มือเล็ก ๆ กำยึดอกเสื้อนั้นไว้แน่นเหมือนโลกนี้ไม่เหลือที่พึ่งอื่นใดอีกแล้ว

คิริฮาระก็กอดเด็กสาวเอาไว้แน่น  มือเรียวลูบเรือนผมนิ่มอย่างอ่อนโยน  กระซิบคำปลอบโยนแผ่วเบาเหมือนปลอบประโลมน้องแท้ ๆ ของตัวเอง...แล้วก็รู้สึกถึงมือที่เอื้อมมาดึงชายเสื้อเบา ๆ

ฟุยุกิยังคงยืนอยู่ตรงนั้น  จ้องมองเขาด้วยสายตาหวั่นไหวและสับสน

“ผม...ก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ใช่มั้ยครับ...?”

คิริฮาระไม่ได้ตอบอะไร  เขาเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ กับคำถามนั้น
หัวข้อ: Re: Lock on You 15 / 31-10-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 31-10-2015 20:41:26
นัตสึเมะจำไม่ได้เลยว่าตัวเองทำอย่างไรให้เคย์โกะเงียบไป  เขาคงไม่ได้บีบคอเธอใช่ไหม...หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้ทำอะไรเลย  แต่เธอของขึ้นจนช็อกหมดสติไปเองก็ได้...คงเป็นแบบนั้น  เพราะตอนนี้นัตสึเมะกำลังนั่งเอาหน้าซบฝ่ามืออยู่ข้างเตียงที่มีเคย์โกะนอนนิ่งอยู่  เธอสงบไปแล้ว...แต่น้ำตายังไหลไม่หยุด

ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี  รู้แค่ว่าดีเหลือเกินที่คิริฮาระมาอยู่ที่นั่นตอนนั้นพอดี  ไม่อย่างนั้นฮารุกะจะต้องตามขึ้นมาถึงบนบ้าน  แล้วอะไร ๆ จะต้องวุ่นวายกันไปใหญ่โตแน่

เขาไม่อยากให้ฮารุกะรู้...แต่เธอก็รู้เข้าจนได้  นี่เป็นเรื่องใหญ่...ใหญ่ขนาดทำลายชีวิตน้องสาวตัวน้อยได้ทั้งชีวิตเลยทีเดียว  เขาต้องการคำอธิบายดี ๆ เพื่อบอกเธอ...แต่หาไม่พบ  ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าอย่างไร

ไม่ใช่แค่กับฮารุกะ...แต่กับฟุยุกิด้วย

เขาชอบฟุยุกิ...ชอบแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งจะชอบใครสักคนได้  และเพราะความรู้สึกนี้ทำให้เขาเริ่มคิดที่จะตัดสินปัญหาของตัวเองที่คาราคาซังมาเนิ่นนานเสียที  เขาคิดจะเลิกรากับเคย์โกะ  คิดจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น...อย่างค่อยเป็นค่อยไป

แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้

มันมาถึงเร็วเกินไป  จังหวะมันเลวร้ายเกินไป...อย่าว่าแต่เคย์โกะรับไม่ได้เลย  เขาเองก็ยังรับไม่ได้เหมือนกัน

นัตสึเมะเงยหน้าขึ้นอย่างเลื่อนลอย  ในบ้านไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงลมหายใจปนสะอื้นของเคย์โกะ  คิริฮาระคงพาทั้งสองคนกลับไปแล้ว...แต่ก็คิดอะไรไม่ออกเลย  ในชั่วโมงที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากมายเกินไปจนสมองของเขารับข้อมูลไม่ทัน...ไม่สิ  สมองเขาคงรับทันแต่ไม่สามารถหาวิธีแก้ไขอย่างเยือกเย็นได้เหมือนเคย  เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาทำทุกอย่างลงไปด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ  ทั้งที่ปกป้องฟุยุกิ  ตะโกนใส่เคย์โกะและกระชากเธอเข้ามาในบ้าน...ไม่สมกับเป็นเขาเลยสักนิด

ชายหนุ่มมองคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยสายตาว่างเปล่า  แล้วตัวเขาที่แท้จริงมันเป็นยังไงกันนะ...อิชิกาวะ  นัตสึเมะที่แท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรกันแน่  เขามักจะถนอมน้ำใจคนอื่นมาเสมอไม่ใช่หรือ...ถ้าอย่างนั้น  เขาก็ควรจะไปคิดหาวิธีที่จะถนอมน้ำใจเคย์โกะ  ฮารุกะ  และฟุยุกิให้ได้สินะ

แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก...เขาอาจจะต้องการตัวช่วย

นัตสึเมะเดินโผเผลงจากห้อง  แล้วก็ต้องประหลาดใจ...มีใครบางคนอยู่ที่โต๊ะกินข้าวของเขา

คิริฮาระ  ฮารุกะ  ฟุยุกิ...และพี่ชายของเขา...อากิโตะ

นัตสึเมะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง  ทำไมอากิโตะถึงมาอยู่ที่นี่ได้...อากิโตะมาดื่มกาแฟที่ร้านของเขาบ่อยก็จริง  แต่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ในเวลาแบบนี้นี่นา

เห็นสายตางุนงงของนัตสึเมะแล้วคิริฮาระก็เข้าใจ  เขาลุกจากโต๊ะไปตบไหล่เพื่อนเบา ๆ

“ฉันเรียกพี่อากิโตะมาเองแหละ”

“...ทำไม?”  นัตสึเมะถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ถ้าใครจะเป็นพยานในเรื่องราวของนายได้  คนคนนั้นก็ควรจะเป็นพี่อากิโตะไม่ใช่เหรอ  เพราะแรกเริ่มเดิมที  นายทำไปเพื่อพี่อากิโตะไม่ใช่เหรอ?”

นัตสึเมะหลับตาและระบายลมหายใจยาว  จุดเริ่มต้น...มันเริ่มมานานเหลือเกิน  นานจนเขาแทบจะลืมสาเหตุที่ทำให้มันเริ่มขึ้นไปแล้วด้วยซ้ำ

“...งานก็ยุ่ง  ยังอุตส่าห์มานะ  พี่...”

“ก็เพราะเป็นเรื่องของนายน่ะสิ”  น้ำเสียงทุ้มที่คล้ายคลึงกันตอบกลับมา

นัตสึเมะยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ...ฉากพร้อมแล้ว  ตัวละครครบแล้ว  สถานการณ์ในเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ถอยหลังไม่ได้แล้ว  จะไม่มีการถนอมน้ำใจอะไรกันอีก  จากจุดนี้ไปมีแต่ความจริงให้ต้องเผชิญหน้าเท่านั้น

ชายหนุ่มเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัว  เปิดสวิตช์เครื่องบดกาแฟ

“คิริฮาระ  เอาเอสเปรสโซมั้ย?”

“ถ้านายจะมีแก่ใจชงน่ะนะ”

“อากิโตะจะต้องกลับไปทำงานต่อใช่มั้ย  เอาเป็นมอคค่านะ”

“อื้ม  เอาที่เคยชงให้เป็นประจำนั่นแหละ”

“ฮารุกะ...”

ไม่มีคำตอบ...และนัตสึเมะก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก

“ฟุยุกิคุง...”

“คะ...ครับ!”

นัตสึเมะแค่ยิ้มน้อย ๆ กับคำตอบนั้นโดยไม่พูดอะไรต่อ

ในครัวไม่มีเสียงอะไรอีกนอกจากเสียงของเครื่องบดกาแฟและเครื่องชงกาแฟ  นัตสึเมะเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเหมือนเวลาบริการลูกค้า  ฟุยุกิจ้องมองแผ่นหลังนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม...แต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม  นัตสึเมะจะเล่าเองเมื่อถึงเวลา...เขาบอกเอาไว้อย่างนั้น

ฟุยุกินึกประหลาดใจตัวเองเหมือนกันที่ยังอยู่ที่นี่  นั่งรออยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัดเป็นเวลานานจนกระทั่งนัตสึเมะลงมาจากชั้นบน  ระหว่างนั้นก็มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้นหลายอย่าง  คิริฮาระไม่ได้พาพวกเขากลับไปส่งบ้านตามที่นัตสึเมะสั่ง  แต่กลับโทรศัพท์หาใครบางคนแล้วพาพวกเขาเข้ามานั่งรอในบ้าน  นั่งฟังเสียงอาละวาดโวยวายที่ดังมาจากชั้นบนโดยไม่พูดอะไร  เพียงแค่กอดไหล่ของฮารุกะเอาไว้แน่น  ฮารุกะเองก็ใจแข็งอย่างน่าประหลาด  เธอนั่งฟังเสียงของแม่และพี่ชายโดยไม่ได้ยกมือขึ้นปิดหู  แม้จะร้องไห้แต่ก็พยายามต่อสู้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่  และหลังจากที่เสียงจากข้างบนเงียบไปไม่นาน...อากิโตะก็ปรากฏตัวขึ้น

ส.ส. หน้าใหม่ไฟแรงที่เคยได้เห็นหน้าเฉพาะในโทรทัศน์เดินเข้ามาในบ้านและทักทายคิริฮาระอย่างคุ้นเคย  เป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาด  เขาดูคล้ายกับนัตสึเมะมาก  แต่ก็ดูต่างกันไปหมด  ผมตัดสั้นเรียบร้อยและชุดสูทเป็นทางการดูสมกับเป็นนักการเมือง  แม้เครื่องหน้าจะเหมือนนัตสึเมะแต่กลับไม่มีอะไรคล้ายกันเลย

และที่ฟุยุกิรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือตัวเอง  เขาควรจะวิ่งหนีกลับบ้านไปตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว  แต่เขากลับยังอยู่ที่นี่  อะไรบางอย่างในใจบอกให้เขาอยู่ที่นี่...เขาเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น  ดังนั้น...ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรเขาก็ควรจะอยู่ที่นี่

ถ้วยกาแฟหอมกรุ่นถูกวางลงบนโต๊ะ  รวมถึงตรงหน้าฟุยุกิกับฮารุกะด้วย

“เอ๊ะ?”  ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองนัตสึเมะพร้อมกัน

“คาเฟ่ลาเต้...ใส่นมให้เยอะหน่อย  ถ้านอนได้ก่อนกาแฟออกฤทธิ์ก็ไม่เป็นไรหรอก”  นัตสึเมะยังมีรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเหมือนเคย  “ขอโทษนะ  ที่กาแฟแก้วแรกในชีวิตกลับต้องมาเสิร์ฟในเวลาแบบนี้”

ฮารุกะเม้มริมฝีปากแน่น  แล้วรีบก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา  เสียงแผ่ว ๆ ดังลอดออกมาจากริมฝีปาก

“...ขอบคุณค่ะ...”

ฟุยุกิขยับปากเหมือนจะถามอะไร  แต่แล้วก็เก็บกลืนคำถามนั้นไว้ก่อนจะพยักหน้า

“ขอบคุณมากครับ”

กาแฟ...เครื่องดื่มของผู้ใหญ่  รสชาติของผู้ใหญ่...นัตสึเมะตัดสินใจว่าพวกเขาถึงเวลาที่จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วสินะ

ฟุยุกิกับฮารุกะยกถ้วยกาแฟขึ้นจรดริมฝีปากแล้วลองจิบดู

กาแฟอึกแรกที่ได้ลิ้มรส  ขมปร่า...ทว่าหวานนุ่มละมุนด้วยนมร้อน  สำหรับฟุยุกิแล้วมันหวานกว่าที่คิดพอสมควร  แต่ฮารุกะกลับกระซิบเบา ๆ ว่า

“พี่จ๋า...ขอ...น้ำตาลหน่อยได้มั้ยคะ?”

นัตสึเมะยิ้มแล้วหยิบโหลน้ำตาลมาตั้งให้  ก่อนจะหันกลับไปชงกาแฟสูตรพิเศษให้ตัวเอง  เขาใส่เหล้าวอดก้าลงไปในแก้วไวน์มากกว่าปกติ  หากคิริฮาระไม่ได้ทัดทานไว้  ในเวลาแบบนี้นัตสึเมะควรจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำให้เต็มที่

แก้วไวน์ที่ใส่น้ำตาลทรายกับวอดก้าถูกนำไปลนกับไฟตะเกียงแอลกอฮอล์  นัตสึเมะทอดสายตามองน้ำตาลที่ค่อย ๆ หลอมละลายพลางเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“จะเริ่มจากตรงไหนดี?”

ไม่มีใครตอบอะไรนอกจากคิริฮาระ

“อย่าท่าเยอะ  จะเล่าก็เล่ามันทั้งหมดตั้งแต่ต้นนั่นแหละ”

นัตสึเมะหัวเราะเบา ๆ กับน้ำเสียงหงุดหงิดไม่เก็บอาการนั้น...คิริฮาระหงุดหงิดกับเรื่องของเขามาเป็นสิบปีแล้ว  จะหงุดหงิดเพิ่มอีกสักสองสามนาทีก็คงไม่เป็นไร

“งั้นเอาตั้งแต่ต้นเลยนะ...ตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อน  ที่คุณพ่อพาผู้หญิงที่กำลังตั้งท้องคนหนึ่งมาที่บ้านน่ะ...ผู้หญิงคนนั้น  คือเคย์โกะซัง”

(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
ปล. ผมว่าคงมีคนอยากมี "ครอบครัว" กับผู้ชายแบบนัตสึเมะไม่น้อยละเนอะ ฮะๆๆ
หัวข้อ: Re: Lock on You 15 / 31-10-58
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 31-10-2015 22:37:12
ช็อก! ช็อกตรงคำว่า "โปรดติดตามตอนต่อไป"  :hao5:
ฟุยุกิโตขึ้นเยอะเลย
หัวข้อ: Re: Lock on You 15 / 31-10-58
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 19-11-2015 01:00:28
รู้สึกตัดฉับ ขาดตอนมากค่า ตอนหน้านัตสึเมะคงเคลียร์ปัญหาได้...ใช่มั้ยนะ
หัวข้อ: Re: Lock on You 16 / 29-11-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 29-11-2015 20:03:05
สวัสดีครับ
เดือนละครั้งจริงๆด้วยนะครับ ฮะๆๆ กะว่าจะลงตอนกลางเดือนอีกครั้งก็เนทหมดไปแล้วละครับ อด...
เป็นนัตสึเมะก็ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบนี้ละดีแล้ว (คนอ่านต้องไม่ดีด้วยแน่ๆ)
ขออนุญาตฮาร์ดเซลล์ครับ
ผมรวมเล่ม ALL I WANT แล้วครับ จะไปขายในงาน BL EXTRA ที่สนามเป้าวันที่ 13 ธ.ค. นี้ ใครที่สะดวกก็เชิญที่งานนะครับ ส่วนใครที่ไม่สะดวกก็ติดต่อสอบถามได้ที่ hakuro_kokuroอย่าแสดงเมลบนบอร์ด นะครับ

เอาละ มาดูเรื่องราวของนัตสึเมะกันต่อได้เลยครับ
HAKURO

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 16

ตั้งแต่พอรู้ความ  นัตสึเมะกับอากิโตะก็รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน  แม้จะไม่เคยมีปัญหาอะไรและดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นตามปกติ  แต่พ่อแม่ก็ไม่เคยรักกัน  ตระกูลอิชิกาวะเป็นตระกูลทางการเมือง  การแต่งงานแบบการเมืองเพื่อให้ได้มีผู้สืบทอดย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก  พ่อกับแม่ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยมเท่านั้น  พ่อเป็นนักการเมืองที่ดีและทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวได้ไม่บกพร่อง  ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านแม่เรือนคอยดูแลลูก ๆ และดูแลบ้านได้อย่างไม่มีตำหนิ  ถึงพ่อจะมีอีหนูหรือสาว ๆ อยู่บ้างตามประสานักการเมืองเนื้อหอม  แต่ในบ้านก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลย

นัตสึเมะมารู้ว่าพ่อมีใจให้กับแม่บ้างก็เมื่อตอนที่แม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต  พ่อดูซึม ๆ ไปและมักจะพูดติดปากเสมอว่า  ได้เสียเพื่อนคู่คิดไปแล้ว...ระหว่างพ่อกับแม่คงมีความผูกพันกันเช่นนั้น

โชคดีที่แม้จะเสียแม่ไปและพ่อไม่ค่อยมีเวลาให้มากนัก  แต่นัตสึเมะกับอากิโตะก็เป็นเด็กดีพอที่จะไม่ออกนอกลู่นอกทาง  พ่อยังคงมีสาว ๆ ไว้ควงบ้างหรือคอยติดตามรับใช้บ้างแต่ก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่พ่อเอาออกหน้าออกตาแทนแม่

กระทั่งวันหนึ่ง  ตอนนั้นนัตสึเมะอายุได้สิบห้าปี  พ่อก็พาผู้หญิงคนหนึ่งมาที่บ้าน  เธอเป็นผู้หญิงสาวที่ยังสาวมาก...น่าจะอายุมากกว่านัตสึเมะแค่ราวสิบปีเท่านั้น  ดูแล้วยังน่าจะเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลยด้วยซ้ำ

แต่เธอตั้งท้อง

และพ่อก็บอกกับนัตสึเมะและอากิโตะว่า

“นี่เคย์โกะ  ตั้งแต่วันนี้ไปเขาจะเป็นแม่เลี้ยงของพวกแก  ดีกับเขาและน้องในท้องด้วยล่ะ”

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด  จะว่ากะทันหันจนทำอะไรไม่ถูกก็ไม่ใช่  แต่นัตสึเมะไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านเลย  อากิโตะยังดูมีปัญหาค้างคาใจมากกว่าเขาเสียอีก...พ่อที่ไม่เคยมีข่าวคาวอื้อฉาวอะไรกลับพาผู้หญิงสาวมาที่บ้าน  มันมีอะไรน่าสงสัยที่พ่อไม่ยอมเล่าให้ฟัง

แต่หลังจากที่เคย์โกะมาอยู่ร่วมบ้านกับพวกเขาไม่นาน  อากิโตะก็มาบอกกับนัตสึเมะ

“ฉันรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”

“หือ?  เคย์โกะซังน่ะเหรอ?”

“ใช่  เธอเป็นโฮสเตสในบาร์ชั้นสูงที่คุณพ่อชอบไปนั่งน่ะ”

“โฮสเตสเนี่ย...สาวนั่งดริ๊งค์สินะ  แล้วพี่ไปรู้มาจากไหนเนี่ย?”  นัตสึเมะขมวดคิ้ว  ปกติอากิโตะจะไม่ไปจุ้นจ้านกับเรื่องส่วนตัวของผู้ใหญ่เด็ดขาด

“ฉันถามโมริเอะซัง  เลขา ฯ ของคุณพ่อมา  เขาบอกว่าผู้หญิงคนนี้มาติดคุณพ่อนานแล้ว”  อากิโตะกระซิบกระซาบ

“เขามาติดคุณพ่อ...?  ไม่ใช่คุณพ่อไปติดเขาหรอกเหรอ?”

“ปัดโธ่  ไอ้โง่!”  อากิโตะตบกระโหลกน้องชายเบา ๆ  “ฉันหมายถึงว่าเขาจ้องจะจับคุณพ่อมาตั้งนานแล้ว  กะจะเป็นเมียคุณพ่อน่ะ”

“อ้อ...งี้นี่เอง”  นัตสึเมะลูบหัวป้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก  พ่อของเขาเป็นนักการเมืองที่เริ่มมีชื่อเสียงและตำแหน่งหน้าที่กำลังไปได้สวย  ไม่แปลกหรอกถ้าจะมีผู้หญิงมาจ้องจะจับสักคนสองคนน่ะ

“ไม่เดือดร้อนเลยนะ?”

“จะเดือดร้อนทำไม?  ยังไงเคย์โกะซังก็ท้องแล้ว  แล้วคุณพ่อก็พาเข้าบ้านมาแล้วด้วย”

“แก...ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดานะ  เธอเรียนมหา’ ลัยก็จริง  แต่ก็แค่มหา’ ลัยชั้นล่าง  แถมยังทำงานพิเศษเป็นโฮสเตสอีกต่างหาก  ได้ยินว่าเป็นโฮสเตสขายดีที่จ้องแต่ผู้ชายรวย ๆ ตลอดเลยด้วยนะ”

“บาร์ชั้นสูงมันก็ต้องมีแต่ผู้ชายรวย ๆ ซี่...คือฉันก็พอรู้หรอกนะว่าเธอน่าจะเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงใช้เงินมือเติบ  แต่...แล้วยังไงล่ะ?  ไม่เห็นพี่จะต้องเดือดร้อนเลย”

“ก็...เธอยอมปล่อยตัวให้ท้องเพื่อจับคุณพ่อเราให้อยู่หมัดเชียวนะ  ปกติสาวโฮสเตสที่ไหนเขาจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวกันตั้งแต่ยังสาวเล่า  สู้เก็บความสาวเอาไว้ปอกลอกผู้ชายไปอีกหลาย ๆ คนไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ทำไมพี่รู้ดีนักล่ะ?”

“แล้วทำไมแกถึงไม่รู้อะไรเลยล่ะ?”

“รู้ไปก็เท่านั้น...บางทีเธอคงอยากมีครอบครัวที่มั่นคงกับใครสักคนละมั้ง”  นัตสึเมะยักไหล่

“ใจเย็นเหลือเกินนะ”  อากิโตะทอดถอนใจกับปฏิกิริยาเฉยเมยของน้องชาย

“ใจร้อนไปก็เท่านั้น  เตรียมตัวเลี้ยงน้องเถอะ  ฉันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน  แต่พี่เคยมีแล้ว  น่าจะเลี้ยงเป็นสินะ”

“ฉันแก่กว่าแกแค่สองปี  ไอ้งี่เง่า  ไม่เคยเลี้ยงเฟ้ย”

ถึงอากิโตะจะดูไม่พอใจกับความเป็นมาของเคย์โกะ  แต่เมื่อเธอคลอดฮารุกะออกมาเขาก็ดูใจอ่อนลง  ส่วนนัตสึเมะนั้นไม่ต้องพูดถึง  เขาทั้งรักทั้งหลงน้องสาวคนนี้เลยทีเดียว

เคย์โกะเป็นผู้หญิงสวยและทะเยอทะยาน  เธอทำงานเป็นโฮสเตสด้วยเป้าหมายที่ว่าจะหาผู้ชายดี ๆ และร่ำรวยสักคนเพื่อความมั่นคงของชีวิตในอนาคต  และเธอก็ได้ตามหวังจริง ๆ เมื่ออิชิกาวะ  สึคาสะไปที่บาร์และใช้บริการเธออยู่บ่อย ๆ

จากเพื่อนนั่งดื่ม  ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เลยเถิดไปเป็นความสัมพันธ์ทางกาย  แต่จนแล้วจนรอดนักการเมืองอนาคตไกลนี้ก็ไม่คิดจะรับเธอเข้าบ้านหรือควงเธอออกงานเสียที  เคย์โกะจึงวางแผนจะจับผู้ชายคนนี้ให้อยู่มือ  เธอแอบเจาะถุงยางอนามัยก่อนจะมีสัมพันธ์กันและพยายามปล่อยให้ตัวเองตั้งครรภ์

แน่นอนว่าสึคาสะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่เคย์โกะท้อง  แต่เขาก็เป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ไล่เธอไปทำแท้ง  เขาจดทะเบียนสมรสและรับเธอเข้าเป็นสะใภ้ของตระกูลอิชิกาวะแม้จะถูกญาติ ๆ คัดค้านก็ตาม

ในตอนนั้นเคย์โกะเพิ่งอายุยี่สิบห้า  ยังสาวและยังสวยอยู่มาก  แต่เธอไม่มีคุณสมบัติอะไรในการจะเป็นสะใภ้ของอิชิกาวะเลย  เธอไม่เป็นที่ยอมรับของใครในตระกูลทั้งสิ้น  และเมื่อคลอดลูกสาวออกมา  เธอก็ได้รู้ชัด...สึคาสะไม่ได้เห็นความสำคัญของเธอเลยสักนิด  เขาแค่แต่งงานกับเธอเพราะเห็นแก่เด็กในท้องเท่านั้น

แม้ชีวิตจะมั่นคง  มีฐานะทางการเงินเพียบพร้อมเหมือนที่ฝันเอาไว้  แต่เคย์โกะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมและคนรอบตัว  สึคาสะไม่เคยพาเธอไปออกหน้าออกตาที่ไหนในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย  เธอแค่อยู่บ้าน  เลี้ยงลูก  และใช้ชีวิตไปวัน ๆ กับความสุขสบายบนกองเงินกองทองของตระกูลอิชิกาวะ  แต่...ในหัวใจนั้นว่างเปล่า  สึคาสะรักฮารุกะ  ลูกสาวตัวน้อยของเธอ...แต่ไม่เคยรักเธอเลย  ยิ่งแต่งงานเข้ามาในบ้านแล้ว  ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ยิ่งห่างเหินกว่าแต่เก่า  หนำซ้ำ...สึคาสะก็ยังไปมีผู้หญิงคนใหม่ที่มาเป็นชู้รักแทนที่ตำแหน่งเดิมของเธอ

ความว่างเปล่านั้นกัดกินหัวใจของเคย์โกะ  เธอเริ่มมีอาการซึมเศร้า  แม้จะรู้ว่าคนในบ้านไม่ได้รังเกียจลูกสาวของตน  แต่เธอยังปรารถนาที่จะได้รับความรักจากใครสักคน...ความทะเยอทะยานแต่เดิมผนวกเข้ากับความว่างเปล่าในชีวิต  ผลักดันให้เธอมุ่งไปสู่ทิศทางที่ไม่ควรจะไป

...เธอหมายจะมีสัมพันธ์กับอากิโตะ...

อากิโตะกับนัตสึเมะเป็นสองคนที่ใกล้ชิดเธอมากที่สุด  อยู่บ้านเดียวกัน  ได้เจอกันทุกวัน...สึคาสะเสียอีกที่ยุ่งอยู่กับงานและการขยับตำแหน่งจนไม่ค่อยจะกลับบ้าน  ถ้าเธออาศัยโอกาสตอนที่สึคาสะไม่อยู่บ้าน  แผนการคงจะไปได้สวย  อากิโตะในตอนนั้นเพิ่งจะย่างสิบแปด  เป็นช่วงวัยกำลังเหมาะที่จะล่อลวงให้ติดกับ

แต่นัตสึเมะจับสังเกตได้

เขาติดฮารุกะมาก  หลังเลิกเรียนพิเศษมาจะต้องมาขลุกอยู่กับน้องทุกวัน  แน่นอนว่าเคย์โกะก็อยู่ด้วยเสมอ  นัตสึเมะเริ่มติดใจที่เคย์โกะถามเรื่องอากิโตะบ่อย ๆ  ถามไปถึงรายละเอียดยิบย่อยต่าง ๆ เช่นเรื่องของกินที่ชอบ  หรือของสะสม...มันแปลก  พวกเขาอยู่บ้านเดียวกันมาเกือบปีแล้ว  อยู่ ๆ เคย์โกะก็เพิ่งจะมาสนใจอากิโตะขึ้นมาเฉย ๆ  และการมาตะล่อมถามเขาแบบนี้มันก็แปลก  เพราะเคย์โกะกับอากิโตะก็พูดคุยกันได้ตามปกติ  อาจจะไม่สนิทสนมถึงขนาดหยอกล้อเล่นหัวกัน  แต่หลังจากที่มีฮารุกะแล้วอากิโตะก็ลดการตั้งแง่กับเคย์โกะลงและพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ  ถ้าจะถามเรื่องอะไรพวกนี้ก็น่าจะถามกับอากิโตะเอาตรง ๆ เลยก็ได้นี่นา

นัตสึเมะเป็นเด็กฉลาด  แม้จะดูซื่อ ๆ แต่ก็ซ่อนความเฉียบแหลมเอาไว้จนคุณปู่ยังออกปากชม  หากนัตสึเมะตั้งใจจริงก็คงจะเป็นนักการเมืองที่มีอนาคตไกลได้  แต่เพราะเจ้าตัวชอบทำตัวเฉื่อยชาอยู่เสมอ  ทำให้ไม่มีใครไว้วางใจในอนาคตของเด็กหนุ่มนัก
ที่นัตสึเมะทำตัวเฉื่อยชาเป็นเพราะบางครั้งเขาก็อยากให้ตัวเองเฉื่อยชาไปจริง ๆ  ในบางกรณีความฉลาดที่มากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อชีวิต...และกรณีนี้  ความฉลาดก็ทำให้เขารู้เท่าทันความคิดของเคย์โกะ

นัตสึเมะตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง  อากิโตะเป็นลูกชายคนโตของบ้าน  เป็นผู้ที่แบกรับความหวังและหน้าที่ในการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองของตระกูลทางสายนี้  อากิโตะพยายามมาตลอด  ทั้งตั้งใจเรียน  ตั้งใจฝึกกีฬา  ประพฤติตนดี  และเพิ่งก้าวขึ้นสู่การเป็นประธานนักเรียนอันเป็นก้าวสำคัญสู่เส้นทางการเมือง  อากิโตะจะต้องเดินตามรอยที่ปู่และพ่อกรุยทางไว้ให้  ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมแบกรับทุกอย่างเอาไว้ด้วยสำนึกว่ามันเป็นหน้าที่ของลูกคนโตอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจและใช้สิ่งที่แบกรับไว้เป็นแรงผลักดันให้ชีวิตเสียด้วยซ้ำ  ผิดกับนัตสึเมะที่เป็นลูกชายคนรอง  เขาถูกวางไว้ให้สืบทอดวิถีของตระกูลก็จริง  แต่ก็เป็นแค่ตัวหมากรอง ๆ หรือเป็นแค่ผู้ช่วยของอากิโตะเท่านั้น  หากชีวิตของเขาจะนอกลู่นอกทางไปบ้างก็ไม่เสียหายอะไร

แต่กับอากิโตะไม่ใช่...อากิโตะจะมีประวัติที่ด่างพร้อยไม่ได้เด็ดขาด  อากิโตะจะทำให้ปู่กับพ่อผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด  ถ้าปล่อยไปอย่างนี้  อากิโตะที่ใจอ่อนกับเคย์โกะและฮารุกะไปแล้วจะต้องเผลอตัวเข้าจนได้แน่

นัตสึเมะเป็นเด็กฉลาด...แต่ก็เป็นแค่เด็ก  เขาไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรดี  ครั้นจะไปบอกพ่อก็ยังไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้  แต่ถ้าจะรอให้มีหลักฐานอากิโตะก็คงไม่รอดปากเหยี่ยวปากกาแล้ว  นัตสึเมะรักพี่ชาย  พวกเขามีกันแค่สองคนพี่น้องมาตลอด  การปกป้องพี่ชายคนนี้ก็เหมือนกับการปกป้องอนาคตของตระกูลนั่นแหละ...ขอให้อากิโตะปลอดภัยก็พอ  ตัวเขาจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ

ในตอนนั้น  นัตสึเมะตัดสินใจเอาตัวเข้าแลก

“นี่  นัตสึเมะ  อากิโตะน่ะชอบทานไดฟุคุของร้านคุเรฮะที่อยู่หัวมุมสถานีรถไฟใช่มั้ยจ๊ะ?  ฉันจะไปซื้อมาดีมั้ยน้า?”

เคย์โกะเอ่ยขึ้นในวันหนึ่งที่นัตสึเมะเลิกเรียนพิเศษและกลับมาถึงบ้าน  อากิโตะยังไม่กลับ  เขาบอกว่าวันนี้มีประชุมสภานักเรียนและอาจจะกลับค่ำหน่อย

ระยะนี้เคย์โกะเอาอกเอาใจอากิโตะมาก  และเริ่มเดินเกมรุกอย่างเห็นได้ชัด...แต่อากิโตะที่กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องเรียนและเรื่องสภานักเรียนไม่ทันรู้ตัวหรอก

นัตสึเมะกัดริมฝีปาก  เขาตัดสินใจไปแล้วและเขาควรจะชิงลงมือก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินไป

“เคย์โกะซังครับ...”

“จ๊ะ?”

“...พอเถอะครับ”

“เอ๊ะ?”

“อย่า...ไปยุ่งกับอากิโตะเลยครับ”

เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางห้องนั่งเล่น  เคย์โกะยืนตะลึงงัน  นัตสึเมะจ้องเธอไม่วางตา...ไม่แม้แต่จะหลบสายตา  เขาเห็นความหวั่นไหวในแววตาของเธอ  เห็นความรู้สึกผิด  ความเสียใจ  และความรู้สึกตัดพ้อ

“ฉะ...ฉัน...ไม่ได้...”

“อย่าปฏิเสธเลยครับ  ผมอยู่กับคุณมาตลอด  ผมรู้ครับ...รู้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วย”

หญิงสาวไม่รู้จะทำอย่างไร  เธอไม่เคยคิดว่าความจะแตกและไม่เคยเตรียมคำปฏิเสธหรือบอกปัดเอาไว้  เธอไม่คิดว่านัตสึเมะที่ดูเฉื่อยชาจะเท่าทันเธอได้ขนาดนี้  ขนาดอากิโตะยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ...แล้วทำไมนัตสึเมะถึงได้มองเธอทะลุปรุโปร่ง

สายตาจริงจังที่มองตรงมาเหมือนจะจ้องเข้าไปในหัวใจของเธอ  นัตสึเมะไม่ได้ตำหนิอะไร...เขาเพียงแค่มองเท่านั้น  แต่เคย์โกะกลับรู้สึกร้อนรนจนแทบหาที่ยืนไม่ได้  เธออยากปฏิเสธ  อยากจะบอกว่ามันไม่ใช่แบบที่เขาคิด...แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าดวงตาคู่นี้แล้ว  เธอก็จนด้วยคำพูด  เธอรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนจนจนมุม

เคย์โกะทิ้งตัวลงกับโซฟาแล้วซบหน้ากับฝ่ามือ

“แล้วจะให้ฉันทำยังไง!?”  เธอร้องออกมาเหมือนคนไร้ทางหนี

“ทำไมคุณจะต้องทำยังไงด้วยล่ะครับ?”  นัตสึเมะย้อนถาม  เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเคย์โกะจะต้องพยายามทำอะไรผิด ๆ แบบนั้นด้วย

“ก็สึคาสะซัง...พ่อของเธอไม่เคยรักฉันเลยนี่!”

“แต่คุณพ่อรักฮารุกะมากนะครับ”  สำหรับนัตสึเมะแล้ว  การยอมรับลูกสาวก็เท่ากับยอมรับแม่ด้วยนั่นเอง

“เขารักฮารุกะ  แต่ไม่เคยรักฉันเลย!  เข้าใจมั้ย  นัตสึเมะ?  พ่อของเธอไม่เคยรักฉันเลยสักนิด!”

นั่นเป็นคำพูดที่นัตสึเมะไม่เข้าใจ  ก็ทำไมล่ะ...ขนาดกับแม่  พ่อก็ยังไม่ได้รักเลย  พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันด้วยหน้าที่  และต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี  ครอบครัวของเขาไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย  แล้วเคย์โกะจะเรียกร้องหาความรักทำไม

“ฉันก็เป็นผู้หญิงธรรมดานะ  ฉันก็ต้องการความรักความมั่นคงในชีวิต...ฉันรู้  ว่าฉันทะเยอทะยาน  มักใหญ่ใฝ่สูง  ฉันรู้ว่าพวกเธอต้องมองฉันไม่ดีมาตลอด  แต่ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา  ไม่ได้หัวดีอย่างคนอื่น ๆ  เข้ามหา’ ลัยดี ๆ ก็ไม่ได้  เป็นผู้หญิงที่หาที่ไหนก็มี  แต่ฉันอยากจะมีชีวิตที่มั่นคง...ครอบครัวของฉันมีสภาพเศรษฐกิจง่อนแง่นมาตลอด  และฉันเหนื่อยกับสภาพแบบนั้นเต็มทีแล้ว  ฉันก็แค่อยากมีบ้านที่มั่นคงด้านการเงินกับเขาบ้าง  บ้านที่มีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดแคลน  ไม่ต้องวิ่งไปทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนสองที่สามที่เพื่อหาเงินมาช่วยพ่อแม่จ่ายค่าน้ำค่าไฟ...เธอที่โตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมแบบนี้คงไม่เข้าใจสินะ”

นั่นเป็นครั้งแรกที่เคย์โกะพูดถึงเรื่องครอบครัวของเธอ  นัตสึเมะไม่รู้ว่าเธอพูดความจริงหรือไม่  แต่สำหรับตัวเขาในตอนนั้นแล้ว  นั่นเป็นการเปิดหูเปิดตาครั้งแรกในชีวิต  ถูกแล้ว...เขาอยู่อย่างสุขสบายมาตลอด  ชีวิตไม่จำเป็นต้องคิดอะไรนอกจากเรียนหนังสือไปวันหนึ่ง ๆ  เมื่อถึงเวลาก็มีอาหารให้กิน  หมดวันก็เข้านอน  แค่รับผิดชอบชีวิตส่วนของตัวเอง  เรื่องในบ้านทั้งหมดเป็นหน้าที่ของแม่และแม่บ้านเท่านั้น...เขาไม่เคยรู้หรอกว่าการต้องไปทำงานหาเงินเองเป็นอย่างไร  ยิ่งเป็นการทำงานเพื่อมาช่วยค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่

“งั้น...ก็น่าจะพอแล้วนี่ครับ”  ก็ครอบครัวของเขามั่นคงแล้ว

“นัตสึเมะ...ผู้หญิงน่ะ  ต้องการมากกว่าความมั่นคงทางการเงินนะ  ฉันต้องการความรักด้วย”

เคย์โกะแค่นยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนนัตสึเมะรู้สึกประหลาดใจ  เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะบอกว่า  เอาละ  ในเมื่อเธออยากให้ฉันเปิดเผยตัวตนที่ชั่วร้ายของฉันนักละก็...ฉันจะให้เธอเห็นให้หมดเลย

“จริง ๆ แล้ว...ฉันอยากได้ความรักมากกว่า  อยากมีผู้ชายที่รักฉัน  อยากอยู่กับคนที่รักฉัน  แต่...ความรู้สึกที่ว่าอยากมีความมั่นคงทางการเงินมันฝังหัวฉันเสียจนฉันทนไม่ได้หากไปมีผู้ชายที่รักแล้วต้องปากกัดตีนถีบอีก  ดังนั้นฉันจึงเลือกผู้ชายที่ร่ำรวยไว้ก่อนเสมอ...แต่พอได้มันมาแล้ว  ฉันกลับ...”  หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ อย่างดูถูกตัวเอง  “ฉันนี่มันโลภมากจริง ๆ สินะ”

นัตสึเมะไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจถูกมั้ย  เคย์โกะเป็นผู้หญิงไม่ดี  ทะเยอทะยาน  โลภมาก  เรียกร้องต้องการไม่สิ้นสุด...แต่ทำไมนะ  เห็นสีหน้าแบบนั้นแล้วเขากลับรู้สึกสงสาร  สีหน้าของคนที่รู้ก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด  แต่ก็ไม่อาจหยุดมันได้และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับมัน  น่าสงสาร...และน่าสมเพช

ผู้หญิงคนนี้น่าสงสาร...ตอนนั้นเขาบอกกับตัวเองได้แค่นั้น

“แล้วคุณคิดว่าอากิโตะจะรักคุณได้เหรอ?”

เคย์โกะหัวเราะเบา ๆ  “ชายหญิง...ถ้าได้ใกล้ชิดกันจะต้องรักกันได้แน่  นี่เขาก็อ่อนโยนกับฉันมากขึ้นเยอะแล้วนี่”

ก็จริง...ทั้งที่เคยตั้งแง่กับเคย์โกะมาตลอด  แต่ตอนนี้อากิโตะอ่อนโยนกับเธอมากขึ้นจริง ๆ  ถ้าปล่อยไปแบบนี้...อากิโตะจะรักเธอหรือไม่ก็ไม่รู้หรอก  แต่เขาจะต้องตกหลุมพรางของเธอแน่  จะต้องเป็นไปตามแผนการของเธอแน่

ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมให้เกิดขึ้นได้  ถ้าความแตกขึ้นมา...อย่าว่าแต่กับคนวงนอกเลย  แค่กับคนในตระกูลอากิโตะก็หมดอนาคตแล้ว
นัตสึเมะจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาไม่ได้
หัวข้อ: Re: Lock on You 16 / 29-11-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 29-11-2015 20:06:21
“อย่าไปยุ่งกับอากิโตะเลยครับ”  เด็กหนุ่มย้ำอีกครั้ง

“แต่...”

“คุณต้องการคนที่จะอยู่กับคุณใช่มั้ย?”

เคย์โกะพยักหน้าน้อย ๆ

“ผมไง”

หญิงสาวเบิกตากว้าง  ไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้

“นัตสึเมะ!”

“ถ้าคุณต้องการคนอยู่ด้วย  ผมจะอยู่กับคุณเอง  แต่อย่าไปยุ่งกับอากิโตะ”  นัตสึเมะพูดอย่างหนักแน่น

“นี่...นี่เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา!?”

“ถ้าผู้ชายสองคนของบ้านนี้ให้ในสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้  ผมจะให้เอง...แต่คุณต้องไม่ไปยุ่งกับอากิโตะ”

“นัตสึเมะ...นี่มัน...บ้าจริง...!”

ในตอนนั้นเอง  ฮารุกะที่หลับอยู่ในเปลก็ส่งเสียงร้องออกมา  นัตสึเมะผละจากเคย์โกะไปอุ้มน้องสาวตัวน้อยขึ้นมากอด  เคย์โกะมองดูเด็กหนุ่มที่กำลังปลอบโยนลูกสาวของเธอด้วยสายตาสับสน

นัตสึเมะอ่อนโยน  ใจดี  และรักลูกสาวของเธอมาก...เคย์โกะรู้เรื่องนี้ดีมาตลอด  แต่เขายังเด็กเหลือเกิน  เธอรู้ว่าเธอต้องการผู้ชายแบบนัตสึเมะมาตลอด  แต่ที่เธอเลือกจะเข้าหาอากิโตะเพราะช่วงวัยที่ใกล้กันมากกว่า...ทว่าเมื่อดูถึงความเป็นจริงแล้ว  อากิโตะก็แก่กว่านัตสึเมะแค่สองปีเท่านั้น  ช่องว่างระหว่างอายุของเธอและพวกเขาไม่ได้ใกล้กันตรงไหนเลย  ถ้านัตสึเมะโตกว่านี้ก็ดีสิ...อย่างน้อย  ถ้าอายุเท่าอากิโตะก็ดีสิ...ถ้าแบบนั้นเธอคง...

“เคย์โกะซัง...ผมพูดจริง ๆ นะ”  นัตสึเมะพูดทั้งยังอุ้มฮารุกะที่เลิกร้องโยเยแล้ว  “ถ้าคุณต้องการคนที่จะอยู่ด้วย  ผมจะอยู่กับคุณเอง  ถ้าคุณจะไม่ไปยุ่งกับอากิโตะ...ผมจะอยู่กับคุณเอง”

ในวันนั้นเคย์โกะปฏิเสธข้อเสนอของนัตสึเมะ  แต่เธอก็ถูกสายตามุ่งมั่นจริงจังของเด็กหนุ่มจับไว้เสียแล้ว  ด้วยความสำนึกผิดบางประการหรือไม่อีกทีก็รู้ว่านัตสึเมะจับตามองอยู่ทำให้เธอเว้นระยะห่างจากอากิโตะ  เธอพยายามอยู่นิ่ง ๆ วางตัวตามปกติ  แต่เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม  ความเปลี่ยวเหงาเดิม ๆ ก็ยื่นมือมาผลักหลังเธออีกครั้ง

และเมื่อถึงจุดที่เธอทนกับมันไม่ได้...เธอก็ตอบรับคำพูดของนัตสึเมะ

ความสัมพันธ์ทางกายครั้งแรกเกิดขึ้นอย่างเปิดเผยจนน่าหวาดหวั่น  ในห้องนั่งเล่นที่มีกันเพียงสองคนหลังจากที่แม่บ้านกลับไปแล้วและฮารุกะกำลังหลับอยู่  เคย์โกะสอนนัตสึเมะที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องเชิงกามให้แทบทุกอย่างที่เธอรู้  แม้มันจะรีบร้อน  รวดเร็ว  แต่ก็ทำให้เธออิ่มเอมกับความรู้สึกที่ได้ครอบครองและสอนสั่งหนุ่มน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง

นับแต่วันนั้น  เคย์โกะก็ยึดนัตสึเมะเอาไว้เป็นของเธอ

นัตสึเมะพยายามรักษาระยะห่างไว้เพื่อไม่ให้คนในครอบครัวสงสัย  แม้ความสัมพันธ์จะดำเนินไปอย่างลับ ๆ และเคย์โกะจะรอบคอบพอที่จะไม่แสดงอาการให้ใครรู้  แต่นัตสึเมะก็กลัว...การทำความผิดและมีความลับมันเป็นแบบนี้เอง  เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้

แม้ตัวเองจะเป็นคนออกปากเสนอตัวให้เคย์โกะเอง  แต่ความหวาดกลัวนั้นก็ตามเกาะหลังเขาเหมือนเงาตามตัว  นัตสึเมะไม่เคยมีความลับกับคนในครอบครัวมาก่อน  ดังนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นก็ย่อมมีอาการแสดงออกแม้จะพยายามปกปิดไว้แค่ไหนก็ตาม  เด็กหนุ่มเริ่มพูดคุยน้อยลงและเก็บเนื้อเก็บตัว  สีหน้าท่าทางดูเป็นกังวลจนเพื่อนสนิทอย่างคิริฮาระสังเกตได้  และเมื่อถูกคิริฮาระคาดคั้นเอาหนัก ๆ เข้า  นัตสึเมะจึงยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

คิริฮาระไม่อยากเชื่อหูตัวเอง  นัตสึเมะคนนั้น...นัตสึเมะคนที่เป็นเสมือนพี่ชายของเขาคนนั้น  ทำความผิดร้ายแรงแบบนั้น...แม้เหตุผลที่บอกว่าทำเพื่อปกป้องอากิโตะจะพอฟังขึ้น  แต่สิ่งที่นัตสึเมะทำลงไปมันก็เกินจะรับได้อยู่ดี  หากก็ไม่มีใครรู้ว่าควรทำอย่างไร  คิริฮาระเสียอีกที่เป็นฝ่ายร้องไห้ออกมาก่อน  เล่นเอานัตสึเมะตกอกตกใจ

“ระ...ร้องทำไม!?”

“ฉะ...ฉัน...ช่วยอะไรนายไม่ได้เลย...”  หนุ่มน้อยคิริฮาระยกมือเช็ดน้ำตาป้อย ๆ

“บ้าแล้ว!  ช่วยไม่ได้ก็ไม่ต้องร้องสิ  เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าก็คิดว่าฉันรังแกนายหรอก”  นัตสึเมะมองไปรอบตัวเลิ่กลั่ก  ตอนนี้คือเวลาพักเที่ยงและพวกเขายังอยู่ในโรงเรียน  ถึงจะหาที่หลบมุมพูดคุยกันแล้วแต่การที่คิริฮาระร้องไห้แบบนี้มันไม่ปลอดภัยเลย

“ก็...ก็...ทีนัตสึเมะยังช่วยฉันมาตลอด...แต่ฉันช่วยนายไม่ได้เลยนี่...”

“ฉันไม่ได้ช่วยอะไร...”  ที่ผ่านมานัตสึเมะเพียงแค่รับฟังปัญหาของคิริฮาระและคอยปลอบใจเท่านั้น

แต่สำหรับคิริฮาระแล้ว  นั่นคือความช่วยเหลือสินะ

“นายช่วยรับฟังแล้วไง...แค่นั้นก็พอแล้วนี่”  นัตสึเมะตบไหล่คิริฮาระเบา ๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่นั้น  น้ำตาที่กลั้นไว้มานานไหลออกมาเงียบ ๆ พร้อมกับความรู้สึกโล่งใจบาง ๆ  “พอแล้วละ...ขอบใจมากนะ”

นับแต่นั้นนัตสึเมะกับคิริฮาระก็แบ่งกันความลับซึ่งกันและกัน  ช่วยเยียวยากันและกันแม้จะช่วยอะไรกันไม่ได้ก็ตาม  แต่ความรู้สึกที่เกาะกินใจนัตสึเมะก็ไม่ได้หายไปไหน  นัตสึเมะยังคงรู้สึกผิดและหวาดระแวงกลัวความลับจะรั่วไหลอยู่ตลอดเวลา  นั่นทำให้เขาเหม่อลอย  ไม่มีสมาธิ  และผลการเรียนตกต่ำลง  จนในที่สุดอากิโตะที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองก็ยังรู้สึกถึงความผิดปกตินั้น

“นายเป็นอะไรไปหรือเปล่า  นัตสึเมะ?”

คำถามนั้นธรรมดา  แต่นัตสึเมะสะดุ้งสุดตัว  ไม่แปลกเลยที่อากิโตะจะยิ่งจับสังเกตได้มากขึ้นไปอีก  เขาลากนัตสึเมะไปที่ห้องนอนของเขาแล้วปิดประตูลงกลอน

“เอาละ  ว่ามาซิ  นายเป็นอะไรไป?  อ้อ  ห้ามตอบว่าเปล่าหรือไม่ได้เป็นอะไร  เพราะนายเป็นอยู่เห็น ๆ”  อากิโตะดักคอทันที

นัตสึเมะกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

“...ฉันตอบไม่ได้”

อากิโตะกลอกตา  นึกอยากต่อยน้องชายสักหมัดโทษฐานที่แถหนีคำถามไปจนได้

“ตอบมา  นัตสึเมะ”  คนเป็นพี่ทำเสียงนิ่งข่มขู่

“ฉันตอบไม่ได้...ต่อให้ขู่ให้ตายฉันก็บอกนายไม่ได้”

นัตสึเมะหลบตาแล้วก้มหน้านิ่ง  แค่นั้นอากิโตะก็รู้ได้ว่าจะต้องเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับนัตสึเมะ  ถึงขนาดบอกไม่ได้นี่มันต้องแย่จริง ๆ นั่นแหละ  แต่คนแบบนัตสึเมะจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นได้  น้องชายของเขาใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอด  เรียน  เรียนพิเศษ  อ่านหนังสือ  ขนาดไม่ได้พยายามอะไรมากมายก็ยังสอบได้คะแนนดี ๆ ได้  แต่ช่วงนี้เขาสังเกตว่านัตสึเมะกลับบ้านดึกบ่อย ๆ และคะแนนสอบย่อยก็แย่ลงด้วย  มีลูกพี่ลูกน้องบางคนที่เรียนพิเศษที่เดียวกับนัตสึเมะมาบอกว่านัตสึเมะไม่ได้ไปเรียนพิเศษ  แล้วน้องชายของเขามันไปอยู่ที่ไหนมาถึงได้กลับบ้านค่ำมืดแบบนั้น  ปกติจะต้องรีบแจ้นกลับบ้านมาเล่นกับฮารุกะนี่นา  แล้วนี่ทำตัวเหมือนไม่อยากอยู่บ้านอย่างนั้นแหละ

“...ไม่อยากอยู่บ้าน...เหรอ?”  อากิโตะรำพึงกับความคิดของตัวเอง  แต่เล่นเอานัตสึเมะสะดุ้ง  แน่นอนว่าอากิโตะจับอาการนั้นได้  “นั่นไง!  นายไม่อยากอยู่บ้านจริง ๆ ใช่มั้ย?  เกิดอะไรขึ้น?”

นัตสึเมะอึกอักและเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของฮารุกะดังมาจากห้องนั่งเล่น  เขาก็สะดุ้งอีก

“ฉะ...ฉันจะลงไปดูฮารุกะ...”

นัตสึเมะหาทางบ่ายเบี่ยง  แต่อากิโตะคว้าแขนไว้

“ไม่ต้อง!”  เขาดึงน้องชายกลับมานั่งลงที่เก้าอี้  ลดเสียงลงจนแทบกระซิบ  “นาย...มีปัญหาอะไรกับเคย์โกะซังใช่มั้ย?”

คราวนี้นัตสึเมะหน้าถอดสี  เรื่องมันใกล้ตัวเขาเข้ามาทุกทีแล้ว  และเขาไม่รู้ว่าจะต้องปฏิเสธอย่างไร

“ตอบมา  นัตสึเมะ  ฉันเดาถูกใช่มั้ย?”  อากิโตะคาดคั้น

“...ฉันตอบไม่ได้...”

“ตอบมา  ฉันจะไม่บอกคุณพ่อหรอก  เพราะงั้นพูดออกมาซะ”  เพราะรู้สึกว่าเรื่องจะต้องแย่กว่าที่คิด  อากิโตะจึงตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น  แต่ไหนแต่ไรพวกเขาไม่เคยมีอะไรต้องปิดบังพ่อ  แต่ถ้าจะต้องปิดบังก็แปลว่ามันเลวร้ายมากจริง ๆ

นัตสึเมะหลับตาแน่น  เขาไม่มีทางหนีอีกแล้ว

“...ฉัน...”

เสียงสั่นพร่าลอดริมฝีปากมาไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ

“ฉัน...มีอะไร...กับเคย์โกะซัง...”

หลังจากคำนั้นคือความเงียบยาวนาน  มือของอากิโตะที่จับแขนนัตสึเมะไว้สั่นสะท้าน  เด็กหนุ่มไม่กล้ามองหน้าพี่ชายเพราะกลัวที่จะเห็นสีหน้านั้น  แต่เขาก็รับรู้ความรู้สึกของพี่ชายได้ผ่านมือนั้น

“...ทำไม...?”  อากิโตะเค้นเสียงถามออกมาอย่างยากเย็น

“...เธอ...คิดจะจับพี่...”

“แล้วนายทำบ้าอะไร!?”  อากิโตะเผลอตัวตะโกนออกมา  นัตสึเมะรีบตะครุบปากพี่ชายไว้

“อย่าเสียงดังสิ!  เดี๋ยวข้างล่างได้ยินหรอก”

อากิโตะสูดลมหายใจลึกหลาย ๆ ครั้ง  พยายามทำใจให้นิ่งก่อนจะแค่นเสียงออกมา  “แกทำบ้าอะไร...ทำไมแกไม่บอกฉัน  ไม่บอกคุณพ่อ?”

“บอกแล้วยังไง?  ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานอะไรเลย...เธอแค่คิด  แค่กำลังพยายาม  แต่ถ้าฉันปล่อยไปมันจะต้องทำให้พี่เดือดร้อนแน่  และฉันปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้”

“แล้วทำไมไม่บอกคุณพ่อ?”

“บอกได้เหรอ?  ถ้าคุณพ่อไล่เธอออกจากบ้านล่ะ?  เธอจะเป็นยังไง...ฮารุกะจะเป็นยังไง?  ไม่มีหลักฐานอะไรเลย  มันก็เหมือนฉันกล่าวหาเคย์โกะซังนั่นแหละ”

“แต่ตอนนี้มีหลักฐานแล้ว  ฉันจะไปพูดกับผู้หญิงคนนั้นให้รู้เรื่อง”  อากิโตะถลันไปที่ประตูห้อง

“อย่า!”  คราวนี้นัตสึเมะเป็นฝ่ายคว้าแขนพี่ชายเอาไว้  “พอแค่นี้เถอะ  มันไม่ได้เสียหายอะไรเสียหน่อย  ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย  ปล่อยมันไปแบบนี้เถอะ”

“แกเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย  นัตสึเมะ!?  แกทำแบบนั้นไปได้ยังไง?”

“ก็ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่  มันไม่จบแค่พี่คนเดียวนะ  พี่ต้องสืบทอดตระกูลต่อไม่ใช่เหรอ?  ต่อให้เราปิดเงียบ  แต่ถ้าวันหนึ่งที่พี่เป็นนักการเมืองเจริญรอยตามพ่อแล้ว...แล้วมีใครมาขุดคุ้ยเข้าล่ะ?  นักการเมืองหนุ่มมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับแม่เลี้ยงของตัวเอง...เอาแบบนั้นเหรอ?  มันไม่จบแค่พี่นะ  คุณพ่อก็จบด้วย  ตระกูลเราก็จบด้วย  ชื่อเสียงของอิชิกาวะที่สั่งสมมาจะไม่เหลืออะไรเลยนะ  ไหนจะญาติพี่น้องเราอีกล่ะ  พวกลูกพี่ลูกน้องที่กำลังพยายามอยู่อีกล่ะ...ไม่เหลืออะไรเลยนะ  ฉันถึงได้ทำแบบนี้ลงไปไง”

เจอเหตุผลของนัตสึเมะเข้าไป  อากิโตะก็จุกขึ้นมาถึงคอหอย...มันเป็นการกระทำที่บ้าและโง่  แต่เขาก็เถียงไม่ออก  ที่ผ่านมาเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเคย์โกะหมายหัวเขาเอาไว้  ถ้าเผลอประมาทไปมันจะกลายเป็นเรื่องแบบที่นัตสึเมะพูดมาแน่

“เป็นฉันซะก็ไม่เป็นไรหรอก  ฉันไม่ได้คิดจะสืบทอดตำแหน่งหน้าที่อะไรในตระกูลอยู่แล้ว  ไม่มีใครมาขุดคุ้ยอะไรหรอก...ต่อให้คุ้ยได้  ฉันที่จะไม่เป็นนักการเมืองก็เหมือนแกะดำของตระกูลนั่นแหละ  ทุกคนจะเข้าใจว่าฉันนอกคอกแบบนี้ถึงไม่ได้รับตำแหน่งอะไร  เรื่องมันก็จะจบแค่นั้นเอง”

“นาย...จะไม่เป็นนักการเมืองเหรอ?”  อากิโตะเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้จากปากน้องชายเป็นครั้งแรก

“ฉันไม่เคยอยากเป็นเลย  ที่ผลการเรียนแย่ลงแบบนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องเคย์โกะซังอย่างเดียวหรอกนะ...ฉันเอง  ที่ไม่อยากเอาอะไรอีกแล้ว  ฉันเบื่อที่จะเดินตามทางของอิชิกาวะแล้ว...”

“บ้าจริง...แล้วนายจะไปทำอะไร?”  สำหรับพวกเขาที่ถูกขีดเส้นทางไว้ให้เดินแล้ว  การไปแสวงหาอะไรอื่นนั้นดูจะยากเกินเอื้อม

“ก็คงทำอะไรได้สักอย่างแหละ”  นัตสึเมะตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้  ทั้งที่ก็ยังมองไม่เห็นหนทางข้างหน้าเหมือนกัน  “ปล่อยมันไปแบบนี้เถอะนะ  ฉันไม่เป็นไรหรอก  เคย์โกะซังเขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะไปยุ่งกับพี่แล้วด้วย  แบบนี้ดีแล้วละ  นึกเสียว่าเห็นแก่ฮารุกะก็แล้วกัน...อย่าไปบอกคุณพ่อล่ะ”

“...บอกได้เหรอ  เรื่องแบบนี้น่ะ...”  อากิโตะพูดเสียงอ่อยแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียง  เอื้อมมือไปตบเข่าของนัตสึเมะเบา ๆ  “...ขอโทษนะ  นัตสึเมะ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก  ฉันตัดสินใจทำลงไปเองแหละ...และฉันก็ไม่เป็นไรด้วย  ถ้าพี่โอเคก็ดีแล้วละ”

“มันก็โอเค...แต่มันไม่ดีสักนิดเลยนะ...”


แม้การเปิดเผยความลับกับพี่ชายจะทำให้หัวใจของนัตสึเมะเบาขึ้นบ้าง  แต่ด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่อยากเดินตามเส้นทางของตระกูลทำให้เขาไม่มีสมาธิที่จะเรียนหนังสือและปล่อยให้คะแนนตกต่ำลงจนโดนปู่เรียกพบ

หลังจากโดนคาดโทษ  นัตสึเมะพยายามกลับไปเป็นเด็กดีตามเดิมอีกครั้ง  แต่ก็ค้นพบว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้ว  ความมืดมนเข้ากัดกินหัวใจจนสองเท้าพาตัวเองเดินไปอย่างไม่รู้จุดหมายด้วยความคิดที่ว่าถ้าหายไปจากโลกนี้เสียได้ก็ดี
แต่คนที่หยุดเขาไว้คือคุณป้าเจ้าของร้านกาแฟแห่งนี้


“จากนั้นพี่ก็ทำงานพิเศษที่นี่โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของคุณพ่อกับคุณปู่  ดื้อหัวชนฝาจนทุกคนต้องยอม...ไม่สิ  จนไม่มีใครอยากยุ่งด้วยต่างหาก”  พูดแล้วนัตสึเมะก็หัวเราะ

ฮารุกะทำตาโตกับเรื่องที่ได้ฟังมาจนถึงตอนนี้

“นี่มันอะไรกันคะ!?  ทำไมพี่อากิโตะไม่ห้าม!?”  ฮารุกะร้องเสียงหลงกับเรื่องที่ได้ฟังมาจนถึงตอนนี้

“พี่ด่าแล้ว  มันไม่ฟัง”  ว่าพลางอากิโตะก็ยักไหล่อย่างเอือมระอา  “เธอเคยเห็นนัตสึเมะฟังที่พี่พูดเหรอ?”

“ก็ไม่เคยหรอกค่ะ  แต่อย่างน้อยพี่ก็น่าจะทำอะไรบ้าง...”  หางเสียงอ่อนลงแต่ยังมีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

นัตสึเมะพ่นลมหายใจออกจมูกเหมือนจะโล่งใจน้อย ๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“จนกระทั่งคุณป้าบอกว่าจะเลิกกิจการที่ร้าน  ตอนนั้นก็รู้สึกเคว้งไปชั่วขณะหนึ่ง  แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ไปขอให้คุณพ่อซื้อร้านนี้ให้  แล้วก็ทำร้านนี้ต่อมาเรื่อย ๆ”

เรื่องราวน่าจะจบแค่ตรงนี้  แต่คิริฮาระพูดขึ้นมาว่า

“แล้วก็กลายเป็นคนติดเหล้า  โดยอ้างว่าติดกาแฟ”

“เหล้าเหรอคะ?”  ฮารุกะร้องอีก

“กาแฟไอริชเป็นกาแฟใส่เหล้า  ปกติเขาใส่เหล้ารัมที่ใช้ทำอาหาร  แต่เจ้านี่ใส่วอดก้า  ใส่เยอะด้วย  เมื่อกี้ก็ใส่ไปตั้งหลายฝาใช่มั้ย  เจ้าขี้เมา”  คิริฮาระทำเสียงเหน็บแนม

ฮารุกะกับฟุยุกิทำตาโต

“ทำไมพี่จ๋าถึงติดเหล้าล่ะคะ?”  ฮารุกะถาม  เธอรู้ว่าพวกพี่ชายของเธอดื่มเหล้ากันบ้าง  แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดใช้คำว่าติดได้

“ก็...ถ้าไม่ดื่ม  ก็นอนไม่หลับ...”  นัตสึเมะตอบ  ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม...แต่ก็ดูเศร้าหมอง

“นอนไม่หลับเรื่องอะไรคะ?  อ๊ะ...หรือว่า...”  พูดแล้วฮารุกะก็รู้ได้ด้วยตัวเอง  เธอยกมือขึ้นปิดปากแล้วเหลือบสายตามองไปที่เพดาน...เรื่องแม่ของเธองั้นสินะ

“มันรู้สึกผิดน่ะ  รู้มาตลอดว่ามันไม่ดีก็ยังทำ  ยิ่งโตก็ยิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่อง  มันควรจะมีทางแก้ที่ดีกว่านี้  แต่ก็สงสารเคย์โกะซังจนไม่รู้จะทำอย่างไร  เลยได้แต่ปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้มาตลอด  ยิ่งฮารุกะโตขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น  กลัวว่าสักวันหนึ่ง...ถ้าฮารุกะรู้จะเป็นอย่างไร  จะรู้สึกอย่างไร  จะคิดอย่างไรกับแม่และพี่ชายของตัวเอง...ถ้าฮารุกะรู้แล้วจะเสียใจแค่ไหน  จะเสียผู้เสียคนหรือเปล่า...กลัวมาตลอด  พอกลัวจนนอนไม่หลับก็เลยต้องพึ่งเหล้าแบบนี้แหละ  พอรู้ตัวก็ติดเสียแล้ว”

“นี่มันอะไรกันคะ!?  ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้!?  ทำไมไม่มีใครคิดทำอะไรให้มันดีกว่านี้คะ!?”  ฮารุกะผุดลุกขึ้นยืนอย่างแรงจนถ้วยกาแฟบนโต๊ะเขย่า  “ทำไมทั้งพี่จ๋าทั้งคุณแม่ถึงได้...ทำไมถึงได้ทำเรื่องชั่วร้ายแบบนั้นได้ลงคอคะ!!?”

“ฮารุกะ!  พอแล้ว!!”  คนที่ตวาดขึ้นมาคืออากิโตะ

“แต่...!”

“พี่บอกให้พอ!  ทุกคนมีเหตุผลที่จะทำเรื่องไม่ดีทั้งนั้น  และนี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมากล่าวหาใครว่าชั่วร้ายได้นะ”

เด็กสาวเม้มปากแน่น  สองมือกำแน่นและสั่นระริก  เธอกระแทกตัวลงนั่งที่เดิม...ท่าทางนั้นเหมือนเคย์โกะเวลาถูกขัดใจไม่มีผิด
หัวข้อ: Re: Lock on You 16 / 29-11-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 29-11-2015 20:07:49
“เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพราะพี่ทำตัวเองทั้งนั้นแหละ”  นัตสึเมะยิ้มให้น้องสาวอย่างอ่อนโยน  “ทุกอย่างเป็นสิ่งที่พี่ตัดสินใจเองและทำลงไปเองทั้งนั้น  เพราะงั้นฮารุกะไม่ต้องไปโกรธคุณแม่หรอกนะ  พี่ไม่เป็นไรหรอก”

“เป็น!”  คิริฮาระแทรกขึ้นมาทันที  “ทั้งเป็นแล้วก็ผิดด้วย  ผิดทั้งเคย์โกะทั้งนายนั่นแหละ  เล่นปล่อยให้เรื่องมันยืดเยื้อมาจนถึงป่านนี้  คนหนึ่งก็สงสาร  อีกคนก็เรียกร้องหาความรัก...แล้วยังไง?  ตอนนี้นายมีความรักของตัวเองแล้ว  ยังคิดจะผูกติดอยู่กับเคย์โกะอยู่อีกเหรอ?  แล้วฟุยุกิคุงล่ะ  แล้วความสุขของนายล่ะ  มัวแต่คิดถึงคนอื่นอยู่ได้  ทำไมไม่คิดถึงตัวเองบ้าง  คนที่ไม่มีความสุขจะไปทำให้คนอื่นมีความสุขได้ยังไง  ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงฟุยุกิคุงบ้างสิ  นายจะปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังไปแบบนี้เหรอ  แล้วฟุยุกิคุงจะอยู่ในฐานะอะไรของนาย?”

“...มัน...ก็...”

นัตสึเมะเงยหน้าขึ้นมองฟุยุกิ  เด็กหนุ่มก็มองกลับมาด้วยสายตาหวั่นไหว  ที่คิริฮาระว่ามาก็ถูกแล้ว  เขาเพิ่งสารภาพรักกับฟุยุกิไปเมื่อวานนี้เอง  เป็นการพูดตรง ๆ และผ่าซากแบบที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะพูดออกไปเหมือนกัน  นั่นสินะ...ขนาดเรื่องแบบนี้ยังพูดออกไปตรง ๆ ได้  แล้วทำไมเขาถึงปล่อยให้เรื่องเคย์โกะยืดเยื้อมาจนป่านนี้  แล้วถ้าเขาไม่คิดจะจัดการอะไรเลย...ฟุยุกิจะทำอย่างไร

“นายน่ะ  เอาแต่คิดถึงคนอื่น  ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย  แรกสุดก็ฮารุกะ  แล้วก็อากิโตะ  แล้วก็เคย์โกะ  เอาแต่แคร์คนรอบตัวมาตลอด  พอถึงเวลาที่ควรจะต้องแคร์ตัวเองบ้างกลับลังเล  หัวใจของนายมันทำด้วยอะไร  นัตสึเมะ?  นายจะคิดถึงคนอื่นไปจนถึงเมื่อไร  นายเจอคนสำคัญของตัวเองแล้วนี่  แล้วนายจะแคร์คนอื่นไปทำไม  นายต้องแคร์เขาซี่  ฉันน่ะ  ช่วยดูแลฟุยุกิคุงแทนนายไม่ได้แล้วนะ  นายต้องทำเองแล้ว”  คิริฮาระพูดด้วยสีหน้าจริงจังแบบที่นาน ๆ นัตสึเมะจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง

อากิโตะที่ยืนฟังอยู่นานเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองฟุยุกิอย่างประหลาดใจ

“เด็กคนนี้...คนรักของนัตสึเมะงั้นเรอะ?”

“ใช่”

คิริฮาระตอบทันที  แต่ฟุยุกิรีบบอกปัดเป็นพัลวัน

“คะ...คนรักอะไรกันครับ!?  ผมกับนัตสึเมะซังยังไม่...!!”

“เด็กผู้ชาย...น่ะนะ?”  อากิโตะไม่ได้สนใจฟุยุกิแต่กลับถามคิริฮาระต่อด้วยน้ำเสียงงุนงง

“เด็กผู้ชายนี่แหละ”  คิริฮาระพยักหน้า

“...ไม่เห็นเคยออกอาการมาก่อนเลย...”  อากิโตะละคำพูดที่คิดว่าไม่ควรพูดไว้

“ก็น้องชายพี่อากิโตะมัวแต่ยุ่งอยู่กับแม่เลี้ยงไง  เลยไม่มีเวลาไปออกอาการเป็นเกย์น่ะ”  คิริฮาระต่อคำพูดที่อากิโตะละไว้ออกมาอย่างแจ่มแจ้ง  “อ๊ะ  ไม่สิ  นัตสึเมะไม่ใช่เกย์หรอกนะ  ก็แค่ชอบฟุยุกิคุงคนเดียวเท่านั้นแหละ  เรื่องนี้ฉันยืนยันได้”

ฟุยุกิหน้าแดงก่ำกับคำพูดนั้น  ยกมือขึ้นปิดหน้าพยายามเถียงอะไรที่ฟังไม่เป็นภาษามนุษย์  แค่ที่นัตสึเมะสารภาพรักเขามันก็กะทันหันเกินไปอยู่แล้ว  นี่คิริฮาระยังมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพี่ชายกับน้องสาวของนัตสึเมะในสถานการณ์แบบนี้เสียอีก  เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหนแล้ว

“งั้นรึ...คนรักของนัตสึเมะงั้นรึ...”  อากิโตะพึมพำกับตัวเอง  ก่อนจะหันไปพูดกับนัตสึเมะด้วยสีหน้าจริงจัง  “นัตสึเมะ  ถ้างั้นก็ถึงเวลาที่นายต้องตัดสินใจทำอะไรลงไปให้ชัดเจนแล้วละ  ว่านายจะเลือกอยู่กับเด็กคนนี้  หรือจะปกป้องเคย์โกะซังต่อไป”

“...เรื่องนั้น...”  นัตสึเมะได้แต่ก้มหน้านิ่ง

“ไม่มีเวลามาอ้ำอึ้งแล้ว  นายต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลย”

อากิโตะเน้นเสียงแล้วเดินตรงไปที่บันได  ขึ้นไปยังชั้นบน  ก่อนจะกลับมาพร้อมกับเคย์โกะที่ยังไม่ได้สติในอ้อมแขน

“พี่...?”

“จากนี้ฉันจะทำในสิ่งที่คนเป็นพี่ควรทำมาตั้งนานแล้วเสียที  ส่วนนาย...หน้าที่ของนายคือตัดสินใจซะ  ตอบฉันมาซะว่านายจะเลือกใคร”

“ก็...”  นัตสึเมะมีสีหน้าลำบากใจ  แต่ถึงอากิโตะจะไม่คาดคั้น  เขาก็ตัดสินใจไปตั้งนานแล้ว  “ก็ต้องฟุยุกิคุงสิ”

“ดี!  ฉันจะจัดการให้เรื่องมันเรียบร้อย  แล้วจะติดต่อมาทีหลัง”

“พี่คิดจะทำอะไรน่ะ?”

อากิโตะแค่ยักไหล่แต่ไม่ตอบอะไร  เขาหันไปพูดกับฮารุกะ

“ฮารุกะ  กลับกันได้แล้ว”

“อะ...เอ๊ะ?  แต่...แต่หนู...”

“พี่รู้ว่าเธอสับสน  แต่กลับได้แล้ว  นัตสึเมะมีเรื่องที่ต้องคิดและพวกเราก็มีเรื่องที่ต้องทำเหมือนกัน”

พูดแค่นั้นแล้วอากิโตะก็ตรงดิ่งไปที่ประตูบ้านแล้วออกไปทันที  จนฮารุกะต้องรีบตามไปด้วย

เด็กสาวมีท่าทีลังเลอยู่นิดหนึ่ง  เธอหันกลับมามองนัตสึเมะด้วยสายตาหวั่นไหวและสับสน  คิริฮาระคิดว่าเธอจะกลับมากอดพี่ชายสุดที่รักของเธอสักครั้ง  แต่ไม่...ฮารุกะมีสีหน้าเจ็บปวดแล้วตามอากิโตะออกจากบ้านไปโดยไม่แม้แต่จะกล่าวคำอำลา

เมื่อสองพี่น้องอิชิกาวะออกไปแล้ว  ทั้งบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบ

“เอาละ  ฉันก็กลับบ้าน...ไม่สิ  ฉันไปทำงานดีกว่า  ฟุยุกิคุงก็ไปกับผมดีกว่านะ”  คิริฮาระตบบ่าฟุยุกิที่ยังยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น

“เดี๋ยว!  มันอะไรกันน่ะ  พี่เขาคิดจะทำอะไรน่ะ  คิริฮาระ?”  นัตสึเมะดูร้อนรนขึ้นมาอย่างแปลก ๆ

คิริฮาระยักไหล่  “ใครจะไปรู้  นายเป็นน้องแท้ ๆ ยังไม่รู้  แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าพี่อากิโตะคิดอะไรอยู่”

“แต่สังหรณ์ไม่ดีเลยนะ”

คิริฮาระเหยียดยิ้มเหมือนแมวเจ้าเล่ห์

“เชิญสังหรณ์ไปตามสะดวกเถอะ  พ่อนักบุญ  พรุ่งนี้วันพุธหยุดร้านด้วย  สังหรณ์ไปทั้งวันเลยนะ  เดี๋ยววันพฤหัส ฯ ฉันจะพาฟุยุกิคุงกลับมาส่ง”

“หะ...หา!?”  นัตสึเมะกับฟุยุกิร้องออกมาพร้อมกัน

แต่ยังไม่ทันที่ใครจะว่าอะไรต่อ  คิริฮาระก็คว้ากระเป๋าของตัวเองกับของฟุยุกิขึ้นมาแล้วลากฟุยุกิออกจากบ้านไปทันที  แต่ยังไม่วายทิ้งท้าย

“แต่คืนนี้ห้ามดื่มกาแฟขี้เมาอีกแล้วนะ  นายดื่มมากพอแล้ว  ไปนอนซะ”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 17 / 9-12-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 09-12-2015 11:45:33
สวัสดีครับ
พอดีผมรักษา 3G มาได้ถึงวันที่ 9 เป็นครั้งแรก (ปกติหมดตั้งแต่วันที่ 5 ไม่รู้ใช้อะไรนัก)
อัพโลดครับ อัพโลด

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 17

นัตสึเมะลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง  แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทาบลงบนใบหน้าของเขาพอดี...แดดส่องตา...เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขาเลยตั้งแต่เปิดร้านมา  เพราะต่อให้เป็นวันหยุดเขาก็ตื่นเช้าเป็นนิสัย  ที่ตื่นสายขนาดนี้มันต้องมีสาเหตุ

ชายหนุ่มยกมือขึ้นแปะหน้าผากตัวเอง  ทั้งที่สมองมึนงงไปหมดแต่ก็ไม่มีไข้...แล้วมึนเรื่องอะไร  นัตสึเมะพยายามนึกทบทวนแต่เหมือนในหัวมันว่างเปล่า  เหมือนบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ มันขาดหายไป...อย่ากระนั้นเลย  ลงไปดื่มกาแฟสักแก้วคงช่วยให้หัวโล่งขึ้น

คำตอบแสดงอยู่ในห้องครัว  ถ้วยกาแฟที่นัตสึเมะชงให้ทุกคนเมื่อคืนยังวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว  นึกออกแล้ว...เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน  แต่นึกออกแล้วยังไงต่อล่ะ...

นัตสึเมะเก็บถ้วยกาแฟทั้งหมดไปวางไว้ในอ่างล้างจานแล้วลงมือชงกาแฟสำหรับตัวเอง  สำหรับตอนเช้า  เขาชอบดื่มกาแฟดำธรรมดามากกว่า  แต่เมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่เหนือประตูบ้านก็ถึงได้รู้ตัวว่าเลยเที่ยงมาแล้ว  ชายหนุ่มกุมขมับ...ไม่ใช่แค่ตื่นสาย  แต่ตื่นบ่ายเลยทีเดียว...เรื่องเมื่อคืนคงช็อกเขามากถึงขั้นหลับยาวขนาดนี้

แต่ในหัวก็โล่งอย่างประหลาด  นัตสึเมะจำได้ว่าเมื่อคืนหลังจากที่ทุกคนกลับไปหมดแล้วเขาก็อาบน้ำแล้วขึ้นเตียง...หลับสนิทมาจนแดดส่องหน้านี่แหละ  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์วอดก้าในกาแฟไอริชที่ดื่มเข้าไป  มันก็แปลกตรงที่เขาก็ดื่มหนักแบบนั้นทุกวันอยู่แล้ว  แต่ไม่เคยมีวันไหนที่หลับสนิทขนาดนี้มาก่อน  ชายหนุ่มเอาหน้าซบลงกับโต๊ะกินข้าวพยายามจะคิด...แต่ก็ไม่รู้จะคิดอะไร  ในสมองมันว่างเปล่าไปหมด

เรื่องที่ผูกมัดชีวิตมาตลอดสิบห้าปีถูกกระตุกปมให้คลายออกไปชั่วคืนเดียว  แม้มันจะยังไม่คลี่คลายออกทั้งหมด  แต่การได้เผยความลับออกไปจนหมดเปลือกกับทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ทำให้โล่งได้ขนาดนี้

ไม่มีกะใจจะทำอะไรแล้ว...นัตสึเมะดื่มกาแฟอุ่น ๆ จนหมดถ้วยแล้วกลับขึ้นไปนอน  ทั้งที่เพิ่งตื่นมาแต่พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับต่อได้ทันที

ในความฝันสีขาวโพลนมีใบหน้าของใครต่อใครปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด  ทั้งตัวเองในวัยเด็กและตอนวัยรุ่น  พ่อแม่และพี่ชาย  คิริฮาระ  เคย์โกะกับฮารุกะ  คุณป้าเจ้าของร้านกาแฟ...และฟุยุกิ  เขาเห็นใบหน้าของตัวเองในช่วงวัยต่าง ๆ ทับซ้อนลงกับใบหน้าของฟุยุกิ  เด็กหนุ่มอ่อนโลกที่สับสนในชีวิตและไม่รู้จะหันไปพึ่งพาใคร  นัตสึเมะรู้สึกเหมือนกำลังมองตัวเองในตอนนั้นผ่านฟุยุกิแล้วก็รู้สึกอยากปกป้อง  บางทีความรู้สึกนั้นอาจจะเกิดขึ้นเพราะอยากปกป้องตนเองที่ไม่สามารถปกป้องได้ในตอนนั้นก็เป็นได้

แต่เขารู้ว่าเขาชอบฟุยุกิ  จะเรียกว่ารักได้หรือยังก็ไม่รู้...แต่เขาชอบฟุยุกิ  อยากเห็นเด็กคนนั้นยิ้มเยอะ ๆ  อยากเห็นสีหน้าตื่นเต้นเวลารู้เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน  อยากจะเห็นสีหน้าต่าง ๆ ของเด็กคนนั้นให้มากกว่านี้...ถ้าอย่างนั้น  ก็คงต้องอยู่เคียงข้างให้ใกล้ชิดกว่านี้สินะ...


 นัตสึเมะรู้สึกเหมือนตัวเองหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่นานราวกับยามเช้าไม่มีวันมาถึง  กระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างมึนงงอีกครั้ง  มือถือของเขามักจะวางไว้ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์และแทบจะไม่เคยร้องเลย  เขามีเพื่อนน้อยและคิริฮาระก็มาหาเขาแทบทุกวัน  คนในครอบครัวก็รู้ดีว่าเขาทำงานจนไม่ค่อยมีเวลารับสายส่วนใหญ่จึงส่งข้อความมาทิ้งไว้  เขามีมันไว้โทรออกไปหาคนอื่นเสียมากกว่า...ถ้ามันดังขึ้นแบบนี้ก็แปลว่ามีเรื่องด่วน

นัตสึเมะเดินกึ่งฝันกึ่งตื่นไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายโดยไม่ทันดูหมายเลขโทรเข้า

“...ครับ?”

“นัตสึเมะ!  นัตสึเมะ  ช่วยด้วย”

เสียงหญิงสาวดังมาจากปลายสาย  นัตสึเมะนึกอยู่ครู่หนึ่งว่านั่นเป็นเสียงใคร

“...เคย์โกะ...ซัง?”

“นัตสึเมะ  ช่วยด้วย!  มาที่บ้านที”

“ที่บ้าน...?  เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”  ชายหนุ่มถามกลับไปเรียบ ๆ  สมองที่มึนจากการนอนยาวยังจับต้นชนปลายไม่ได้  ไม่รับรู้ถึงความร้อนรนในน้ำเสียงนั้น

“ฮารุกะ...ฮารุกะ...”

มีเสียงสะอื้นปนมาด้วย  คราวนี้นัตสึเมะตื่นตัวทันที

“ฮารุกะเป็นอะไร!?”

“ฮารุกะไม่ยอมออกจากห้องมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว  ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน...นัตสึเมะ  ช่วยที...ช่วยพูดกับฮารุกะที”

“ครับ...ครับ  ผมจะไปเดี๋ยวนี้”  นัตสึเมะรับคำแล้ววางสาย

ชายหนุ่มลงไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเอง  ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาดูโทรมและอิดโรยอย่างประหลาด...ทั้งที่นอนตั้งเยอะแล้วแท้ ๆ  ทำไมถึงดูเหนื่อย ๆ กันนะ...แต่ไม่มีเวลาจะคิดแล้ว  เขารีบล้างหน้าล้างตาแล้วกลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า  ท้องฟ้ายามเย็นปรากฏอยู่นอกหน้าต่าง  นัตสึเมะหวีผมที่ยาวเลยบ่าแล้วรวบไว้คร่าว ๆ อย่างเคย  หลังจากที่ขึ้นมานอนเขาคงหลับต่อจนถึงเย็นสินะ  แต่รู้สึกเหมือนหลับไปนานเหลือเกิน

ชายหนุ่มล็อกประตูบ้าน  สองเท้าก้าวยาว ๆ ไปตามเส้นทางคุ้นเคยมุ่งสู่สถานีรถไฟ  ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องทัก

“อ้าว  มาสเตอร์  สวัสดีค่ะ”

“ครับ?”  พอหันไปมองก็พบว่าเป็นเด็กนักศึกษาลูกค้าประจำที่ร้าน

“วันนี้ปิดร้านเหรอคะ?  เมื่อกลางวันแวะไปไม่เห็นเปิด  มีธุระเหรอคะ?”  เธอทักทายอย่างเป็นกันเอง

“ก็วันนี้วันหยุดนี่ครับ”  นัตสึเมะตอบกลับไปอย่างงง ๆ  ทุกคนรู้อยู่แล้วนี่ว่าเขาปิดร้านทุกวันพุธ

“มาสเตอร์ปิดร้านสองวันติดเลยนะคะ?”  นักศึกษาสาวชักงงด้วย

เห็นสีหน้าของเธอแล้ว  เจ้าของร้านกาแฟก็ชักไม่แน่ใจ  เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามไปว่า

“...วันนี้...วันพฤหัส ฯ...?”

“ก็วันพฤหัส ฯ น่ะสิคะ”  เธอเอียงคอตามสไตล์เด็กสาว  ชักสงสัยว่าคุณมาสเตอร์ของเธอเป็นอะไรไปหรือเปล่า

นัตสึเมะกุมขมับ...เขากลับขึ้นเตียงตอนบ่ายแล้วนอนต่อจนเย็นย่ำจริง ๆ นั่นแหละ  แต่ไม่ใช่เย็นวันพุธ  เขาหลับข้ามวันเลยทีเดียว...มิน่า  หน้าตาถึงได้ดูโทรมนัก  ไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนี่เอง

“มาสเตอร์ไม่สบายหรือเปล่าคะ?”

“ก็...นิดหน่อยครับ  ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”  เขาพยายามบอกปัดไป

“ถ้ายังไงพรุ่งนี้ก็หยุดอีกสักวันก็ได้นะคะ  รักษาสุขภาพก่อน  ฉันจะบอกเพื่อน ๆ ให้”

“ขอบคุณมากครับ  ยังไงก็แวะมาดูนะครับ  อาจจะเปิด”  นัตสึเมะยิ้มให้กับความมีน้ำใจของเธอ  “งั้นขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ  หายไว ๆ นะคะ”

นัตสึเมะแยกจากลูกค้าแล้วมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟทั้งยังงงอยู่เล็กน้อย  งงกับตัวเองที่นอนข้ามวันข้ามคืนได้แบบไม่รู้ตัว...แล้วที่เขาไม่เปิดร้านวันนี้  ฟุยุกิคงเป็นห่วงแย่แล้ว  แต่ยังไงก็ต้องไปดูฮารุกะที่บ้านก่อน

บ้านเกิดของนัตสึเมะอยู่ออกไปทางชานเมืองย่านที่อยู่อาศัยของคนที่ค่อนข้างมีฐานะ  บ้านขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่โตโอ่อ่าอะไรมากมายแต่ห้อมล้อมด้วยสวนสวยและต้นไม้ใหญ่หลายต้นคือบ้านที่นัตสึเมะอยู่มาตั้งแต่เกิดจนไปมีร้านกาแฟของตัวเอง  แม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่มีตำแหน่งทางการเมืองมาหลายชั่วคนแต่แม่ของนัตสึเมะตั้งใจจะดูแลบ้านเองจึงเลือกจะมีบ้านหลังเล็ก ๆ  พวกเขามามีแม่บ้านก็ตอนที่แม่เสียชีวิตแล้วนั่นเอง

และคุณแม่บ้านกำลังยืนกระวนกระวายรอรับนัตสึเมะอยู่หน้าบ้าน

“ทานากะซัง...ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ?”

“ก็รอนัตสึเมะซังอยู่นี่แหละค่ะ”

“แล้ว...เกิดอะไรขึ้นครับ  เป็นยังไงบ้าง?”

“ก็ฮารุกะซังไม่ยอมออกจากห้องน่ะสิคะ  แล้วเคย์โกะซังก็ดูฟูมฟายแปลก ๆ ด้วย...ยังไงดีล่ะคะ  ฉันก็ไม่เคยเห็นเคย์โกะซังเป็นอะไรแปลก ๆ แบบนั้นนะคะ”  สีหน้าของคุณแม่บ้านดูเป็นกังวล  เธอรู้ว่านายหญิงของเธออารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นปกติแต่ก็ไม่เคยดูประสาทเสียมากขนาดนี้  และปกติพวกเธอก็เข้ากันได้ดี

นัตสึเมะพอจะรู้สาเหตุที่เคย์โกะดูแปลกในสายตาของทานากะ  ขนาดเขาเองยังเสียศูนย์  เคย์โกะก็คงได้รับผลกระทบไม่น้อยไปกว่ากัน

“ทานากะซังกลับบ้านก่อนก็ได้ครับ  เดี๋ยวผมจัดการเอง”

“...ไม่เป็นไรแน่นะคะ?”  ทานากะยังเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ที่เคย์โกะซังแปลก ๆ คงเพราะ...เข้าวัยทอง...”  นัตสึเมะตอบพร้อมกับยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนให้แม่บ้านสบายใจ

“ว้าย!  หยาบคาย  นัตสึเมะซังละก็”  คุณแม่บ้านร้องพลางตีแขนนัตสึเมะ  “เอาเถอะค่ะ  ถ้าคุณพูดแบบนี้ก็คงไม่เป็นไรหรอก  งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะคะ  ฝากดูเคย์โกะซังกับฮารุกะซังด้วย”

“ครับ  เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”

ทานากะขอตัวกลับ  ไม่ใช่เธอไม่เป็นห่วงแต่เธอรู้ว่านี่น่าจะเป็นปัญหาในครอบครัวซึ่งเธอไม่ควรยุ่ง  บ่อยครั้งที่เคย์โกะมีปัญหาอะไรกับฮารุกะแล้วนัตสึเมะจะถูกเรียกตัวมาเสมอ  และทุกครั้งก็จบลงด้วยดี  ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน  นัตสึเมะคงจัดการปัญหาได้แน่

ชายหนุ่มยืนมองคุณแม่บ้านจนลับตาไปจึงได้เข้าบ้าน  ทันทีที่ก้าวเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น  เคย์โกะกำลังร้องไห้อยู่ในห้องนั่งเล่น  นัตสึเมะเดินเข้าไปหาเธอ

“ไม่เป็นไรนะครับ  เคย์โกะซัง?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตานองหน้า  พอเห็นคนตรงหน้า  หน้าตาที่บิดเบี้ยวจากการร้องไห้ก็ยิ่งเบ้หนักจนหมดสวย

“จะไม่เป็นไรได้ยังไงเล่า  นัตสึเมะบ้า!”  เธอต่อว่าแล้วลุกขึ้นมากอดชายหนุ่มไว้

แต่นัตสึเมะไม่ได้กอดเธอตอบ  เคย์โกะเองก็ประหลาดใจกับปฏิกิริยานั้น  ในที่สุดเธอก็ผละตัวออกแล้วมองหน้านัตสึเมะ...สายตาที่มองตอบกลับมาบอกชัดทุกอย่าง  เขาจะไม่มีอ้อมกอดให้เธออีกแล้ว

“ฮารุกะ...เป็นยังไงบ้างครับ?”

น้ำเสียงนั้นแทบจะทำให้เคย์โกะร้องไห้มากกว่าเดิม  เปล่า...นัตสึเมะไม่ได้เย็นชากับเธอ  ตรงกันข้าม  ทั้งสายตาและน้ำเสียงนั้นอ่อนโยน  ดวงตาคู่นั้นมีแววสงสารจนเกือบจะสมเพชด้วยซ้ำ

ในคืนนั้นเธออาละวาดฟูมฟายจนไม่ได้สติก็จริง  แต่อากิโตะเล่าให้เธอฟังหมดแล้ว  นัตสึเมะเล่าเรื่องระหว่างเขากับเธอให้ทุกคนฟังหมดแล้ว  ตัวอากิโตะเองก็รู้มานานแล้ว...และ...ฮารุกะก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

ดังนั้น...นัตสึเมะจะไม่เป็นของเธออีก  จะไม่มีอ้อมกอดให้เธออีกต่อไปไม่ว่าเธอจะเรียกร้องสักแค่ไหน  นัตสึเมะเลือกแล้ว  เขาตัดสินใจจะจบความสัมพันธ์กับเธอ

ส่วนฮารุกะ...

“...เมื่อวาน...ฮารุกะไปโรงเรียน  พอกลับมาเจอฉัน...ก็...ก็ร้องไห้...แล้วไม่ยอมออกจากห้องอีกเลย...”  เคย์โกะตอบด้วยน้ำเสียงขาดห้วงเพราะแรงสะอื้น

อากิโตะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังหลังจากที่ฮารุกะไปโรงเรียนแล้ว  ทำให้เธอเข้าใจท่าทางกระด้างเย็นชาของลูกสาวที่มีต่อเธอในตอนเช้าได้  และตอนที่ฮารุกะกลับเข้าบ้าน  เธอก็พยายามจะคุย...แต่ลูกสาวไม่ฟัง

“ทะเลาะกันเหรอครับ?”

“ถ้า...ทะเลาะกันก็ดีสิ...”  อย่างน้อยเธอก็จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะง้อลูกสาวได้

“ไม่เป็นไรนะครับ  เดี๋ยวผมจัดการเอง”  นัตสึเมะจับไหล่เคย์โกะแล้วบีบเบา ๆ

แม้จะไม่มีอ้อมกอด  แต่มือใหญ่นั้นยังคงสร้างความเชื่อมั่นให้เคย์โกะได้เสมอ  เธอพยักหน้าน้อย ๆ

“ฝาก...ฮารุกะด้วยนะ...”

นัตสึเมะขึ้นไปบนห้องของน้องสาวพร้อมกับขวดน้ำและถ้วยนมอุ่น ๆ  เขาเคาะประตูห้องเบา ๆ

“ไม่ต้องมายุ่งกับหนู!!”  เสียงแหบพร่าตวาดกลับมา

“ไม่ให้ยุ่งจริง ๆ น่ะเหรอ?”  นัตสึเมะถามกลับไป

ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงเจ้าของห้องกระวีกระวาดมาที่ประตูห้อง  แต่แล้วกลับชะงักก่อนจะเปิดประตู

“พี่จ๋า?”

“พี่เอง”

“พี่จ๋ามาทำไมคะ?”  น้ำเสียงนั้นค่อนข้างเย็นชา

นัตสึเมะลอบถอนใจเบา ๆ  ปฏิกิริยาของฮารุกะเมื่อคืนก่อนบอกชัดว่าเธอรับการกระทำของเขาไม่ได้  จึงไม่แปลกที่เธอจะไม่ยินดีต้อนรับเขาอีกต่อไป  แต่ยังไงเขาก็ต้องดูแลเธอที่เป็นน้องสาวคนเดียวอยู่ดี

“มีคนบอกว่าฮารุกะไม่ยอมออกจากห้องตั้งแต่เมื่อวานแน่ะ  พี่เลยมาดูเสียหน่อย”

“จะมาดูทำไมคะ?  ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยเถอะค่ะ  คุณแม่อยู่ข้างล่าง”  หางเสียงสะบัดและเต็มไปด้วยความประชดประชัน

ชายหนุ่มอมยิ้มกับตัวเองนิด ๆ  น้องสาวตัวน้อยของเขาโตพอจะทำสุ้มเสียงแบบนี้เป็นแล้วหรือนี่

“เจอแล้วละ  เคย์โกะซังเขาเป็นห่วงฮารุกะมาก  เลยโทรตามพี่มานี่แหละ”

“จะมาเป็นห่วงหนูทำไม  เป็นห่วงตัวเองกันเถอะค่ะ”

“จะไม่ให้ห่วงจริง ๆ น่ะเหรอ  แน่ใจนะ?”

คราวนี้ในห้องเงียบไป  ฮารุกะกำลังลังเล  เธอรู้ว่านัตสึเมะรักและเอ็นดูเธอมาก  แต่ในขณะเดียวกันก็เข้มงวดกับเธอไม่น้อย  แม้จะเป็นพี่ชายใจดี  แต่ถ้าดื้อดึงมาก ๆ ก็สามารถทำโทษเธอได้อย่างไม่ลังเลเช่นกัน  ถ้าขืนเธอยังทำฤทธิ์มากไปกว่านี้นัตสึเมะได้กลับไปจริง ๆ แน่

เด็กสาวเปิดประตูห้องในที่สุด  เธอชะโงกหน้าออกมากวาดตามองไปรอบ ๆ

“เคย์โกะซังอยู่ข้างล่าง  ไม่ได้เอาใส่กระเป๋าเสื้อมาด้วยหรอกน่า”  นัตสึเมะประชดนิด ๆ พร้อมรอยยิ้มแล้วเข้าห้องไป

ห้องของฮารุกะตกแต่งน่ารักสมกับเป็นห้องของสาวน้อย  นัตสึเมะวางน้ำและถ้วยนมลงบนโต๊ะเขียนหนังสือของน้องสาว

“ดื่มนมซะ  ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานไม่ใช่เหรอ?”

“...ค่ะ...”  ฮารุกะหยิบถ้วยนมขึ้นมาจิบแต่โดยดี  ผมเผ้าและหน้าตาของเธอยับยู่ยี่พอ ๆ กับเคย์โกะ  รอยช้ำใต้ตาและดวงตาแดงก่ำบอกถึงความทุกข์แสนสาหัสที่ไม่เคยประสบมาก่อน

นัตสึเมะไม่อยากเห็นสีหน้าแบบนี้ของผู้หญิงทั้งสองคนในชีวิต  แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้วก็ช่วยไม่ได้  จากนี้เขาทำได้แค่เฝ้าดูและให้กำลังใจให้ทั้งสองเดินต่อไปได้เท่านั้น

ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน  ครั้งนี้นัตสึเมะไม่ได้เปิดฉากพูดคุยก่อน  ฮารุกะสับสนเกินกว่าที่เขาจะไปเค้นถามหรือกระตุ้นให้เธอพูดได้  เด็กสาวต้องการเวลาปรับตัวปรับใจจนกว่าจะถึงเวลา...แล้วเธอจะพูดออกมาเอง

“หนู...เป็นคนบอกคุณแม่เองว่า...พี่จ๋ามีแฟน”

นัตสึเมะเลิกคิ้วน้อย ๆ  นึกสงสัยว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น  แต่ยังไม่ทันถาม  ฮารุกะก็พูดต่อ

“หนูเห็นพี่จ๋าหอมแก้มคนอื่น...แล้วก็เห็นเสื้อผ้าผู้หญิงในตู้เสื้อผ้าของพี่จ๋า  หนูเลยคิดว่าพี่จ๋ามีแฟนแล้ว”  เด็กสาวอ้อมแอ้ม  “แต่หนู...ไม่คิดว่าจะเป็นคนละเรื่องกัน”

ตอนนี้ฮารุกะคงรู้แล้วว่าเสื้อผ้าในตู้นั่นเป็นของเคย์โกะ  และเธอคงเดาได้จากสถานการณ์เมื่อคืนนั้นว่าคนที่เขาหอมแก้มไปคือฟุยุกิ  เธออยู่ในเหตุการณ์ด้วย  และฟุยุกิก็อยู่ในบ้านตอนที่เขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังด้วย...ฮารุกะอาจจะสับสนยิ่งขึ้นกับเรื่องที่เขาชอบผู้ชายก็เป็นได้

“พี่จ๋าชอบคุณพี่คนนั้นเหรอคะ?”

นั่นไง...ฮารุกะเดาถูก

“ชอบสิ”  นัตสึเมะยอมรับง่าย ๆ

“ถ้าคิดจะไปชอบคนอื่นแล้วทำแบบนั้นกับคุณแม่ทำไมคะ?”  เด็กสาวเสียงแข็ง

“พี่บอกแล้วนี่ว่ามันคนละเรื่องกันน่ะ”

“...เพราะแค่สงสารน่ะเหรอคะ  ถ้าไม่ได้รักแล้วพี่จ๋าไปมีอะไรกับคุณแม่ทำไมคะ?”  ถึงตอนนี้มือที่กุมถ้วยนมก็สั่นระริก

“ความสัมพันธ์ทางกายกับความรัก...มันคนละเรื่องกันนะ  ฮารุกะ”  เสียงของนัตสึเมะสงบนิ่ง  เกือบจะเหมือนเสียงครูเวลาสอนหน้าห้องเรียน

“...เอ๊ะ?”

“ฮารุกะคงคิดสินะว่ารักเท่ากับความสัมพันธ์ทางกาย  แต่พี่จะบอกให้ว่ามันไม่ใช่หรอก...สำหรับผู้ชายแล้วมันไม่ใช่เลย  ในบางส่วนมันใช่  แต่ในบางส่วนมันแยกจากกันโดยสิ้นเชิง...และความสัมพันธ์ของพี่กับเคย์โกะซัง  สองเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย”

“หมายความว่าพี่จ๋ามีอะไรกับคุณแม่ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลยงั้นเหรอคะ?”  เสียงของสาวน้อยเริ่มหวีดแหวขึ้นทุกที

“จะว่าแบบนั้นก็ได้”

นอกจากความสงสารแล้ว  ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของสิ่งที่เรียกว่ารัก

“เห็นแก่ตัว!  เห็นแก่ตัวที่สุด!!”  ฮารุกะลุกขึ้นยืน  ถ้วยนมในมือหล่นลงบนพื้นพรมกลิ้งไป  นมสาดเลอะไปทั่ว  “หนูไม่คิดเลยว่าพี่จ๋าจะเห็นแก่ตัวแบบนี้!”

นัตสึเมะมองน้องสาวที่กำลังเกรี้ยวกราด  สมควรแล้วที่เขาจะโดนว่าแบบนี้  และในส่วนลึกเขาก็ดีใจที่ฮารุกะต่อว่าเขาเรื่องนี้  นั่นแปลว่าเธอที่ยังมีความคิดเช่นนี้ยังมีหัวใจที่บริสุทธิ์มากพอ  เธอยังไม่รีบร้อนโตไปเป็นสาวกร้านโลกแบบที่เขาเคยเห็น

“เห็นแก่ตัวทุกคนเลย!  ทั้งพี่จ๋า  ทั้งคุณแม่!  คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง  ไม่คิดถึงใจคนอื่นเลย!  ทั้งที่รู้ว่ามันผิดก็ยังจะทำ  ทั้งที่รู้ว่าสักวันต้องมีคนรู้ก็ยังจะทำ  ไร้สามัญสำนึกที่สุด!!”

“อย่าว่านัตสึเมะแบบนั้นนะ  ฮารุกะ!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตูห้อง  ฮารุกะหันขวับไปดู  แม่ของเธอยืนอยู่ที่นั่น  เมื่อกี้ตอนที่เปิดให้นัตสึเมะเข้ามาเธอลืมล็อกห้อง
หัวข้อ: Re: Lock on You 17 / 9-12-58
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 09-12-2015 11:47:45
“นัตสึเมะไม่ได้เห็นแก่ตัวสักนิดเลยนะ  แม่ผิดเอง!  ทั้งหมดเป็นเพราะแม่เอง!”

“รู้ตัวด้วยเหรอคะ!  คุณแม่ผิดที่ดันเรียกร้องหาอะไรไร้สาระแบบนั้น  แล้วพี่จ๋าก็ผิดที่ดันไปตอบสนองคุณแม่แบบโง่ ๆ!  บ้าที่สุด!  ไร้สาระที่สุด!”  ฮารุกะขึ้นเสียงใส่เคย์โกะ

“ผู้ใหญ่ก็มีเหตุผลของผู้ใหญ่นะ!”  เคย์โกะเถียงกลับ

“เหตุผลไร้สาระน่ะสิคะ!  เรียกร้องหาความรัก...ไม่ได้จากคุณพ่อก็จะไปเอาจากพี่อากิโตะ  แล้วก็มาเรียกร้องกับพี่จ๋า  แล้วคุณแม่ได้อะไรคะ!?  เคยมีใครรักคุณแม่บ้าง!?”

“ก็มีฮารุกะยังไงล่ะ”  นัตสึเมะขัดขึ้นเรียบ ๆ

ฮารุกะชะงักทันที  เธอหันขวับไปหาพี่ชาย  ลมหายใจปั่นป่วนรุนแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว  สองมือที่กำเกร็งสั่นระริก  แววตาฉาบด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ

“ที่โกรธพี่ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะรักเคย์โกะซังหรอกเหรอ”

“หนูโกรธเพราะโกรธค่ะ!  คุณแม่...คุณแม่น่ะ  ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่แล้วยังเรียกร้องอะไรไม่ได้ความอยู่ได้  คนเราถ้ารักตัวเองเสียอย่างจะต้องไปหาความรักจากคนอื่นทำไมคะ!”

“อย่าเอาขี้ปากคนอื่นมาสั่งสอนแม่นะ  ยัยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!!”  เคย์โกะตวาดแว้ด

นัตสึเมะถอนใจกับตัวเองในขณะที่สองแม่ลูกทุ่มเถียงกัน  เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลย  อย่างดีก็แค่เคยโดนเคย์โกะอาละวาดใส่  แต่เคย์โกะก็โตพอที่จะรับฟังเหตุผลแบบผู้ใหญ่แล้ว  ทว่าฮารุกะไม่ใช่...ฮารุกะยังเป็นสาวน้อยแรกแย้มที่โลกทั้งโลกยังสวยงามและต้องมาแปดเปื้อนหม่นหมองเพราะการกระทำของผู้ใหญ่อย่างพวกเขา  นัตสึเมะนึกไม่ออกว่าควรจะพูดเกลี้ยกล่อมหรืออธิบายเหตุผลกับฮารุกะอย่างไร

“ถึงหนูจะจำขี้ปากคนอื่นมาพูด  แต่เพราะคุณแม่ไม่เคยรักตัวเองใช่มั้ยคะ  ถึงได้เรียกร้องจะเอาความรักจากคนอื่น  พอไม่ได้มาก็สรรหาวิธีการโง่ ๆ มาใช้  พอสูญเสียไปก็อาละวาดบ้าบอน่าเกลียดแบบนั้น!!”

เคย์โกะนิ่งอั้นไปกับคำพูดของลูกสาว  อยากจะเถียงก็เถียงไม่ออก  ได้แต่โกรธจนมือไม้สั่นไปหมด

“ฮารุกะที่เกิดและโตมาท่ามกลางความรักจะพูดแบบนั้นใส่แม่ไม่ได้นะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตูห้อง  เป็นเสียงที่นัตสึเมะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในเวลาแบบนี้  เขาหันไปมองทันที

“...คุณพ่อ...?”

อิชิกาวะ  สึคาสะยืนอยู่หน้าประตูห้องของลูกสาวคนเล็กโดยมีอากิโตะยืนอยู่ข้างหลัง

“คุณพ่อมาตั้งแต่เมื่อไรครับ?”  นัตสึเมะลุกจากเตียงน้องสาวที่นั่งอยู่ทันที

“มาพักหนึ่งแล้ว  มัวแต่ตะโกนกันลั่น ๆ แบบนี้น่ะสิถึงได้ไม่ได้ยินเสียงรถ”

สึคาสะกวาดตามองไปรอบห้องและมองหน้าทุกคน  ลูกชายคนรองหน้าตาอิดโรย  ส่วนเมียกับลูกสาวก็ดูกระเซอะกระเซิงเหมือนคนบ้า  เขาถอนใจหนักหน่วงก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ

“ท่าทางทุกอย่างจะเริ่มจากฉันสินะ...และคงถึงเวลาที่เราควรพูดคุยพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที  ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตากันเสียก่อน  พ่อจะรออยู่ข้างล่าง”


โต๊ะกินข้าวของบ้านอิชิกาวะไม่เคยมีสมาชิกมานั่งพร้อมหน้ากันนานแล้ว  ตั้งแต่นัตสึเมะกับอากิโตะย้ายออกไปอยู่ตามลำพังก็มีเพียงเคย์โกะกับฮารุกะเท่านั้นที่ใช้โต๊ะนี้  สึคาสะผู้เป็นพ่อนั้นนาน ๆ ครั้งจึงจะได้แวะมากินมื้อเย็นด้วย

เย็นนี้  สมาชิกครอบครัวทั้งห้าคนนั่งล้อมโต๊ะกินข้าว  แต่ไม่ได้กินอาหารร่วมกัน

ฮารุกะเลือกที่จะนั่งข้างอากิโตะเพราะเป็นคนที่เธอรู้สึกไม่ดีด้วยน้อยที่สุดในตอนนี้  นัตสึเมะกับเคย์โกะนั่งฝั่งตรงข้าม  และมีสึคาสะนั่งหัวโต๊ะ

“เอาละ  ฉันได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากอากิโตะแล้ว”  ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นหลังจากความเงียบยาวนาน  “ท่าทางเรื่องจะเกิดขึ้นเพราะฉันสินะ  แต่แปลก...ที่ทำไมคนต้นเรื่องอย่างฉันถึงไม่เคยรู้อะไรเลยมาเป็นสิบปี”

นัตสึเมะกับเคย์โกะก้มหน้านิ่ง  ไม่แม้แต่จะสบตาหัวหน้าครอบครัว  เพียงแต่นัตสึเมะจะดูสงบกว่าเคย์โกะมาก  เขาแบกรับความรู้สึกนี้มานานจนหัวใจด้านชาไปหมดแล้ว

“พ่อไม่ได้จะกล่าวโทษอะไรแกหรอกนะ  นัตสึเมะ  แต่แกก็รู้ตัวดีอยู่แล้วใช่มั้ยว่าตัวเองทำผิด”

“รู้ครับ”

“ไม่ใช่นะคะ  นัตสึเมะไม่ได้ผิด  ฉันเองต่างหากค่ะที่เป็นคนผิด”  เคย์โกะรีบเถียงแทน

“ใจเย็น ๆ  เคย์โกะ  ว่ากันไปทีละคนดีกว่า”

สึคาสะยกมือห้าม  ทำให้เคย์โกะเงียบลงทันที  เธอนั่งบิดมือตัวเองอย่างร้อนรนในใจ

“นัตสึเมะ  แกเป็นเด็กหัวดี  คิดก่อนลงมือทำมาตลอด  ทำให้พ่อไว้ใจว่าแกจะสามารถตัดสินใจทำอะไรในชีวิตของตัวเองได้ด้วยตัวเอง...แต่ดูเหมือนพ่อจะคิดดีเกินไปสินะ”

นัตสึเมะยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย  “ก็คงงั้นแหละครับ”

“ที่จริงตอนนั้นพ่อก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมอยู่ ๆ แกถึงเปลี่ยนไป  ทำไมอยู่ ๆ แกถึงจะเลิกเรียนแล้วออกไปทำร้านกาแฟ  ตอนที่ซื้อร้านนั้นให้แกพ่อก็สงสัยอยู่  แต่ก็คิดว่าแกคงคิดอะไรตามแบบของแกมาดีแล้วเลยไม่ได้คัดค้านอะไร...แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีสาเหตุแบบนี้”  พูดแล้วสึคาสะก็ถอนใจเบา ๆ  “ตอนนี้แกมีความสุขดีหรือเปล่า?”

“ถ้าเรื่องที่ร้านละก็...ผมสบายดีครับ”  คราวนี้นัตสึเมะสบตาพ่อแล้วยิ้มให้

สึคาสะส่ายหน้า  “ตอบไม่ตรงคำถามนะ  หาทางเลี่ยงได้เจ้าเล่ห์เหมือนเคย...นี่ถ้าแกเล่นการเมืองคงเป็นนายก ฯ ได้ละมั้ง”

“เดี๋ยวก็ล่มจมทั้งประเทศพอดีกันครับ”

“นี่  นัตสึเมะ  ทำไมแกถึงทำอะไรแบบนั้นกับเคย์โกะล่ะ?”  ในที่สุดผู้เป็นพ่อก็เข้าประเด็น

“อากิโตะไม่ได้เล่าเหรอครับ?”  ชายหนุ่มย้อนถาม

“ก็เล่าอยู่  แต่ฉันอยากฟังจากปากแกเองมากกว่า”

นัตสึเมะนิ่งคิดนิดหนึ่งเหมือนจะเลือกคำพูด  แต่แล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้ทุกคนในที่นี้รู้เรื่องนี้หมดแล้ว  เขาไม่จำเป็นต้องสรรหาคำพูดอะไรมาถนอมน้ำใจใครอีกแล้ว

“แรกสุด...ก็เพื่อกันเคย์โกะซังออกจากอากิโตะน่ะครับ  แล้วจากนั้นก็เลยตามเลย...เป็นแบบนี้เคย์โกะซังก็จะไม่ไปยุ่งกับใครอีก  ไม่ไปทำอะไรเสียหายที่ไหนอีก  ใช้ตัวเองเข้าแลกคนเดียวแล้วคุ้มขนาดนี้ก็เลยทำแบบนั้นมาเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้แหละครับ”

“ฉันไม่ไปทำเสียหายที่ไหนหรอกย่ะ”  เคย์โกะอดเคืองกับคำพูดของนัตสึเมะไม่ได้

“ก็เผื่อไปโดนโฮสต์ที่ไหนหลอกเอาอะไรอย่างงี้ไงครับ”  ชายหนุ่มสวนทันควัน

“ทั้งที่ไม่ได้รักเลยเนี่ยนะ”  ผู้เป็นพ่อถามต่อ

คราวนี้นัตสึเมะนิ่งคิดนานกว่าเดิม  ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ

“คุณพ่อ...ก็ไม่ได้รักเคย์โกะซังเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”

เหมือนโยนระเบิดลงกลางโต๊ะ  ทุกคนนิ่งเงียบ  เคย์โกะบีบมือตัวเองแน่นจนสั่น  นั่นเป็นความจริงที่เธอรู้มาตลอดแต่ไม่อยากฟัง  เธอกัดริมฝีปากแน่น  พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมา

แล้วมือใหญ่ก็เอื้อมมาตบไหล่เธอเบา ๆ

“เพราะแบบนี้ไง  ฉันถึงได้บอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะฉัน  ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียทีเดียวหรอก”

“...สึคาสะซัง...?”  เคย์โกะหันไปมองหน้าสามีตามกฎหมายอย่างประหลาดใจ

“ถึงเธอกับนัตสึเมะจะผิดเพราะทำเรื่องผิดศีลธรรมแบบนั้น  แต่ทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นเพราะฉันดันรับเธอเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่ได้รักเธอเลยนั่นแหละ”

สึคาสะสบตาเคย์โกะแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา  เขาได้เห็นความหวั่นไหวไม่มั่นคงในดวงตาของเธอ  เป็นความหวั่นไหวที่เธอคงรู้สึกมาตลอดเพราะเขา

“ถึงป่านนี้แล้ว  ฉันจะขอพูดตรง ๆ นะ...ที่ผ่านมา  ฉันไม่เคยคิดจะลงเอยกับผู้หญิงคนไหนเลยตั้งแต่อายาเมะตาย  ไม่ใช่ว่าฉันลืมอายาเมะไม่ได้  แต่เพราะฉันคิดว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนจะมาเป็นคู่คิดของฉันได้แบบนั้นอีกแล้ว  อย่างที่พวกลูก ๆ รู้และเธอก็น่าจะรู้  ฉันกับอายาเมะแต่งงานกันด้วยเรื่องทางการเมือง  ไม่ใช่เพราะความรัก  อายาเมะเป็นผู้หญิงที่ถูกเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อเป็นภรรยานักการเมืองเท่า ๆ กับที่ฉันถูกเตรียมมาให้เป็นนักการเมืองนั่นแหละ  การแต่งงานของเรา  การสร้างครอบครัวของเราคือการทำงานเป็นทีม  ฉันกับอายาเมะเป็นพาร์ทเนอร์ที่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อความสำเร็จด้านการงานและด้านครอบครัว  เพื่อให้ฉันเป็นนักการเมืองตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จด้านครอบครัวและเพื่อสร้างทายาทสืบทอดทางการเมืองต่อไป  ดังนั้นเมื่อสูญเสียอายาเมะไป  ฉันจึงคิดว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนจะมาเป็นพาร์ทเนอร์ที่รู้ใจฉันแบบนั้นได้  และตอนนั้นฉันก็เริ่มประสบความสำเร็จด้านการงานแล้ว  ลูก ๆ ก็โตพอจะควบคุมชีวิตตัวเองเป็นแล้ว  ฉันจึงไม่คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนอีก  สำหรับฉันแล้ว  ครอบครัวคือทีมงานที่จะทำให้ตระกูลเดินหน้าต่อไปได้  ในตอนนั้นการสร้างครอบครัวใหม่จึงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว...แต่พูดตามตรงนะ  ฉันรักใครไม่เป็นน่ะ”

นี่เป็นเรื่องที่อากิโตะกับนัตสึเมะรู้ดีมาตลอดชีวิต  แม่ของพวกเขาเคยพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงเรื่องนี้ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ  การถูกเลี้ยงมาด้วยความเป็นจริงทำให้พวกเขารู้สึกว่าการที่พ่อกับแม่ไม่ได้รักกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  พวกเขามีครอบครัวที่ปกติสุขเหมือนคนอื่น ๆ ก็เพียงพอแล้ว...แต่สำหรับเคย์โกะกับฮารุกะที่เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกถึงกับรู้สึกเกร็ง

“ตอนที่เธอมาบอกว่าท้อง  ฉันก็ตกใจและหนักใจนะ  เคย์โกะ  แต่สุดท้ายฉันก็รับเธอเข้ามาไว้ในตระกูล  ทั้งที่รู้ว่าเธอคงจะต้องลำบากกับเครือญาติแบบนี้ของฉันแน่”

“แล้ว...คุณยอมจดทะเบียนกับฉันทำไมคะ?  คุณ...คุณก็น่าจะรู้ว่าฉัน...ฉันเป็นคนยังไง”  เคย์โกะถามเสียงสั่น

“ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนยังไง  เธอทะเยอทะยานและพยายามไขว่คว้าหาชีวิตที่ดีกว่า  และความทะเยอทะยานนั้นผลักดันให้เธอพัฒนาชีวิตตัวเองขึ้นมาได้จนถึงระดับนั้น...ฉันตรวจสอบเบื้องหลังของเธอมาไม่น้อยนะ  เคย์โกะ  แต่ฉันก็ชอบผู้หญิงที่มีความพยายามน่ะ”

สึคาสะยิ้มบาง ๆ  ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาทางสายตาของเขาบอกให้เคย์โกะรู้ว่าคำพูดนั้นคือความจริงใจที่เขามีต่อเธอ

“ฉันรู้ว่าเธอจะต้องลำบากในการแต่งงานเข้าตระกูลของฉัน  แต่ฉันก็รู้อีกว่าผู้หญิงที่มีความพยายามล้นเหลืออย่างเธอจะต้องพยายามแล้วพยายามอีกจนผ่านมันไปได้แน่  และที่สำคัญ...เราไม่มีเหตุผลที่จะไปทำลายชีวิตน้อย ๆ ที่เราทำให้เกิดขึ้นมาไม่ใช่เหรอ?”

ถึงตอนนี้สึคาสะหันไปมองหน้าลูกสาวคนเล็ก  ฮารุกะหน้าแดงก่ำและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“แม้จะรู้ว่าเธอปล่อยให้ตัวเองท้องเพราะมีจุดหมายอะไร  แต่เราก็ไม่มีเหตุผลในการทำลายชีวิตเด็กคนหนึ่ง  ความจริงฉันจะแค่รับฮารุกะมาเป็นลูกเพียงคนเดียวก็ได้  แต่เด็กจำเป็นต้องมีแม่  ควรจะมีแม่ให้อยู่ใกล้ชิดและไม่ต้องอยู่ท่ามกลางเสียงครหาว่าเป็นแม่ที่พ่อไม่ยอมแต่งงานด้วย  ถึงตอนที่จดทะเบียนกับเธอฉันจะไม่แน่ใจนักว่าเธอจะเป็นแม่แบบไหน...แต่ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าเธอเป็นแม่ที่ดีมาก  เคย์โกะ”

“ฉะ...ฉันน่ะเหรอคะ  เป็นแม่ที่ดี?”

“ก็ดูสิ  ฮารุกะโตมาเป็นเด็กผู้หญิงที่ดีแบบนี้แล้วนะ  ถ้าเธอไม่ใช่แม่ที่ดีจะเลี้ยงลูกได้ดีแบบนี้เหรอ?”

“นะ...นั่นเพราะนัตสึเมะ...”  เคย์โกะรีบบอกปัด  เธอคิดว่านัตสึเมะดูแลฮารุกะดีกว่าที่เธอทำเสียอีก

“นัตสึเมะมันก็รักน้องแบบที่มันควรรัก  แต่ที่ฮารุกะถอดแบบเธอมาเป็นเด็กผู้หญิงที่มีความพยายามอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเธอเอาใจใส่มาตลอดหรอกเหรอ  ฮารุกะเรียนไม่เก่งแต่ก็พยายามสุดความสามารถเพราะเธอสั่งสอนมาใช่มั้ย  ฮารุกะอ่อนน้อมและรู้วิธีการเข้าหาผู้ใหญ่เป็นอย่างดีก็เพราะเธออบรมมา  ฉันรู้ว่าเธอเป็นแม่ที่ดี  ก็เพราะลูกของเราโตมาดียังไงล่ะ”

ถึงตอนนี้เคย์โกะก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป  เธอยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วสะอื้นเบา ๆ  สึคาสะลูบหลังเธออย่างอ่อนโยนแล้วหันไปพูดกับลูกสาว

“และเพราะแบบนี้  พ่อถึงได้บอกไงล่ะว่าฮารุกะเกิดและโตมาท่ามกลางความรัก  และฮารุกะจะพูดแบบนั้นกับแม่ไม่ได้”

เด็กสาวเม้มปากแน่น  น้ำตาร่วงเผาะ...เธอรู้ว่าแม่รักเธอมากแค่ไหน  แม้จะจู้จี้ขี้บ่นและมีเรื่องทะเลาะกันบ้างแต่เธอก็รู้ว่าแม่เข้าใจเธอมากแค่ไหน  จะว่าไปแล้วเธอมีปัญหากับแม่น้อยกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ  แม่ของเธอยังสาว  ยังสวย  เป็นคนทันสมัย  แม้จะเข้มงวดในบางเรื่องบ้างแต่ก็เป็นแม่ที่เธอภาคภูมิใจทุกครั้งที่มีการเยี่ยมชมการสอนที่โรงเรียน...ที่เธอต่อว่าแม่ของเธอไปแบบนั้นก็เพราะความโกรธและความไม่เข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้น

“พ่อจะไม่บอกหรอกนะว่าให้ฮารุกะยกโทษให้กับความผิดที่แม่ทำลงไป  แต่พ่อคิดว่าฮารุกะคงรู้ว่าควรจะพูดอะไร”

ฮารุกะเงยหน้าขึ้นทันที

“ขะ...ขอโทษ  ขอโทษที่หนูพูดไม่ดี  ขอโทษค่ะ  คุณแม่!”  พูดแล้วเด็กสาวก็ก้มหน้านิ่ง  กลั้นสะอื้นจนตัวสั่น  อากิโตะต้องเอื้อมมือมาโอบไหล่น้องสาวแล้วปลอบโยนเบา ๆ  “แต่...แต่หนูยังไม่หายโกรธหรอกนะคะ...”

“...ยัยลูกหัวดื้อ...”

“เหมือนเธอไม่มีผิดเลย...”

“อย่าให้ท้ายลูกนะคะ...”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากทุกคนก่อนจะค่อย ๆ เงียบลง  ความเงียบอันเป็นภวังค์แห่งการครุ่นคิดเข้าครอบคลุมห้องกินข้าวเล็ก ๆ นั้นชั่วขณะ

“เพราะฉันรักใครไม่เป็นแบบนี้  เลยผลักดันให้เธอกับนัตสึเมะทำเรื่องเสียหายแบบนั้นลงไป  ถ้ามองอีกแง่ก็เป็นความผิดของฉันเองสินะ”

“สึคาสะซัง...”  เคย์โกะกุมมือผู้เป็นสามีไว้แล้วบีบเบา ๆ  เธอเคยเรียกร้องความรักจากมือนี้ทั้งที่รู้ว่ามันจะไม่มีให้

“ได้ยินว่านัตสึเมะมีแฟนแล้ว...”

“ทำไมมันข้ามไปเรื่องนั้นได้ครับ?”  นัตสึเมะขมวดคิ้ว

“ได้ยินว่าเป็นผู้ชายด้วย...”

คราวนี้นัตสึเมะเงียบ  เหลือบตาหลบจากสายตาทุกคนในครอบครัว  บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงเมื่อครู่กลับอึดอัดขึ้นมาอีกทันที  เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคิริฮาระถึงไม่เคยบอกคนในครอบครัวว่าตัวเองเป็นเกย์...มันลำบากใจแบบนี้เองสิน่า

“สรุปก็คือมันไม่รักเธอแน่ ๆ  เคย์โกะ...ทีนี้เธอจะทำยังไง?”

“ทะ...ทำยังไงน่ะเหรอคะ...?”  เคย์โกะอึ้ง  เธอยอมรับว่าเธอยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย  วันสองวันที่ผ่านมาเธอเอาแต่คร่ำครวญบ้าบอกับเรื่องนี้มาตลอดก็จริง  แต่ไม่ได้มีสติพอจะคิดอะไรเลย

“เคย์โกะ...”  สึคาสะกุมมือภรรยาตามกฎหมายไว้  “ฉันไม่เคยรักใคร  ฉันให้ในสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้จนเธอต้องไปเรียกร้องเอากับลูก ๆ ของฉันและเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น  ฉันจะไม่บอกให้เราลืมเรื่องเลวร้ายที่พวกเธอทำลงไปเพราะฉันทำให้เกิดขึ้น  จะไม่บอกว่าจะยกโทษหรือให้อภัยกับความผิดของพวกเธอ  ทุกความผิดพลาดและความเลวร้ายคือสิ่งที่จะสอนให้เราไม่ทำแบบเดิมซ้ำอีก  เมื่อทุกคนรู้แล้วว่าตัวเองทำผิดอะไร...ก็น่าจะเพียงพอแล้ว  นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวเรา  เป็นรอยแผลที่จะติดตัวเราไปจนตาย  เราจะปิดบังหรือจะเอาไปบอกกับใครก็ได้ทั้งสิ้น  เพียงแต่เรารู้แล้วว่าเราเคยทำความผิดอะไร  และเราต่างได้รับการลงโทษมาจนเพียงพอแล้ว”

นัตสึเมะกับเคย์โกะใช้เวลาตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมากับการรู้สึกผิดในการกระทำของตนและหวาดกลัวที่จะถูกคนที่รักที่สุดล่วงรู้มาตลอด  อากิโตะก็อึดอัดใจมาตลอดช่วงเวลานั้น  ฮารุกะก็ต้องเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

และตัวสึคาสะเอง  เขารู้ดีว่าใจตัวเองร้อนเป็นไฟตอนที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากอากิโตะเมื่อคืนนี้  และต้องใช้เวลาตลอดทั้งวันทบทวนความผิดของตนที่ละเลยครอบครัวจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นโดยที่ตัวเองไม่ได้รู้ตัวเลย  ถึงตอนนี้...เขาควรจะทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวหาทางออกให้กับทุกคนเสียที

“เคย์โกะ  อย่างที่บอก...ฉันไม่เคยรักใคร  ดังนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าจะให้ความรักอย่างที่เธอต้องการได้มั้ย  แต่ฉันอยากให้เราเริ่มต้นกันใหม่  เธอ...พร้อมจะมาเป็นพาร์ทเนอร์ของฉันมั้ย?”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 17 / 9-12-58
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 09-12-2015 19:37:38
ดูคลี่คลายได้ดีมากเลยค่ะ รู้สึกโล่งไปด้วยเลย ^^
หัวข้อ: Re: Lock on You 17 / 9-12-58
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 09-12-2015 22:32:45
คุณพ่อก็ใจดีนี่นา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Lock on You 18/ 4-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 04-01-2016 09:58:02
สวัสดีปีใหม่ครับ
เป็นยังไงกันบ้าง วันหยุดไปเที่ยวที่ไหนมาหรือเปล่า?
ผมทำงานอยู่ที่บ้านครับ แถมอินเตอร์เนทมีปัญหาเสียอีก แต่อย่างน้อยก็พอจะมีให้อัพนิยายได้ละนะครับ
เนทมีน้อยใช้สอยประหยัด...มาอ่านกันต่อเลยนะครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 18

“สรุปว่าคุณพ่อจะวางมือทางการเมือง?”  คิริฮาระถามพลางแทะคุกกี้ที่วางแถมมาให้บนจานรองแก้วกาแฟเหมือนเคย

“ก็ไม่เชิงหรอก  แค่จะพักงานสักระยะ...อ้างปัญหาสุขภาพอะไรแบบนี้น่ะ  เดี๋ยวอะไร ๆ ดีขึ้นก็กลับมาลงสนามใหม่”  นัตสึเมะตอบพลางทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟ

“แล้วไปเมืองไทยเนี่ยนะ  คุณพ่อคิดจะไปตากอากาศเหรอ  ร้อนจะตายชัก”  นักดนตรีหนุ่มนึกถึงสภาพอากาศของประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรแล้วแล้วก็นิ่วหน้า...เขาไม่ชอบอากาศร้อน

“ก็วางแผนคร่าว ๆ กันไว้น่ะนะ  คงไม่ได้ไปตากอากาศปรับความเข้าใจกับเมียอย่างเดียวหรอก  เห็นว่าคิดจะเปิดกิจการด้านความงามอะไรสักอย่างให้เคย์โกะซังด้วยน่ะ”

“เห...ฟังดูเข้าทีนี่  น่าจะเหมาะกับตัวปัญหานั่น”  ถึงคิริฮาระจะไม่ชอบเคย์โกะ  แต่เขาก็มองข้อดีข้อด้อยของคนอื่นได้อย่างเป็นกลางพอสมควร  เคย์โกะแต่งตัวเก่งและรักสวยรักงาม  เสื้อผ้าหน้าผมของเธอเพอร์เฟคเสมอ  ถ้าเป็นงานด้านความงามเธอต้องทำได้ดีแน่

“เลิกเรียกเขาว่าตัวปัญหาได้แล้วน่า  ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

“ก็มันติดปาก...ว่าแต่  ฮารุกะจังไปด้วยเหรอ?”  คิริฮาระอดเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กของนัตสึเมะไม่ได้  เรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ใหญ่โตสำหรับเธอมากทีเดียว  แถมตอนนี้เธอกำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่ออีกต่างหาก  ปัญหาด้านความรู้สึกที่มีต่อคนในครอบครัวคงจะแก้ไม่ง่ายนัก

“ไม่หรอก  ฮารุกะคงจะเข้าโรงเรียนประจำน่ะ”  นัตสึเมะบอกพลางถอนใจน้อย ๆ

“เอ๊ะ  ทำไมงั้นล่ะ?”

“ก็...สภาพตอนนี้เขาไม่มีทางยอมไปอยู่กับเคย์โกะซังง่าย ๆ แน่  แล้วจะให้อยู่กับฉันก็...นายก็เห็นปฏิกิริยาของฮารุกะนี่  เขาก็เกลียดขี้หน้าฉันไม่น้อยเหมือนกันแหละ”  พูดแล้วก็เงียบไป...นัตสึเมะดูหงอย ๆ ลงไปบ้างเพราะเรื่องน้องสาวนี่แหละ

“แต่จะเอาไปเข้าโรงเรียนประจำเนี่ยนะ  มันเหมือน...ตัดหางปล่อยวัดเลย”  คิริฮาระบ่นงึมงำ

“เจ้าตัวเขาเสนอเองต่างหาก  โรงเรียนที่ฮารุกะเรียนอยู่ตอนนี้มีหอพักนักเรียนประจำด้วยน่ะ  ยังได้อยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิม  แล้วอย่างน้อยช่วงวัยรุ่นนี่ก็ยังได้อยู่ในกฎระเบียบมีคนดูแลอย่างเคร่งครัด  ก็น่าเป็นห่วงน้อยกว่าอยู่คนเดียวละนะ  แถมเสาร์อาทิตย์ก็ยังกลับบ้านได้ด้วย”

“อ้าว  กลับมาแล้วจะไปอยู่กับใคร?”

“พี่อากิโตะไง  ถ้าคุณพ่อกับเคย์โกะซังไปเมืองไทยแล้ว  พี่อากิโตะก็จะขายแมนชั่นที่อยู่ตอนนี้แล้วกลับมาอยู่ที่บ้านแทนน่ะ  แต่ครั้นจะให้ฮารุกะอยู่กับพี่อากิโตะที่บ้านเลยก็ไม่สะดวก  เพราะพี่เขาคงมีงานยุ่งตามประสานักการเมือง  ไม่มีเวลาดูแลฮารุกะหรอก  แต่ถ้าแค่เสาร์อาทิตย์ก็คงพอจะปลีกตัวมาอยู่กันตามประสาพี่น้องได้ละมั้ง”  พูดถึงตอนนี้แล้วนัตสึเมะก็ดูผ่อนคลายลง

“สมกับเป็นบ้านนายดีนะ  วางแผนการอะไรไว้เรียบร้อยเชียว”

“จริง ๆ ก็เพิ่งจะวางแผนกันคืนวันนั้นแหละ  เพราะคุณพ่อเองมีแผนแค่จะพักงานการเมืองสักพักเพื่อปรับความสัมพันธ์กับเคย์โกะซังเท่านั้นเอง  ที่เหลือก็เพิ่งคุยกันเดี๋ยวนั้นแหละ”

“ประชุมครอบครัวครั้งแรกในรอบสามสิบปีสินะ”  คิริฮาระพยักหน้าหงึก ๆ

“เฮ้ย  ครั้งที่สอง  ครั้งแรกตอนคุณแม่เสีย  คุณพ่อเรียกฉันกับพี่อากิโตะไปคุยอะไรประมาณนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว”  นัตสึเมะเถียง  “แต่ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอก  ก็ต้องรอรัฐบาลหมดวาระก่อน  คุณพ่อถึงจะลาออกน่ะ  ขืนออกตอนนี้มีหวังยุ่งตายชักเลย”

“มันก็อีกไม่กี่เดือนแล้วนี่  ฉันว่าน่าจะมีคนรอเสียบอยู่เยอะนะ  ตำแหน่งพ่อนายน่ะ”

“เพราะมีคนรอเสียบน่ะสิ  ถ้าออกตอนนี้อนาคตของพี่อากิโตะยุ่งตายชักเลย”  แม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่อยู่ในพรรคการเมืองมานาน  แต่การปูทางสำหรับทายาทรุ่นใหม่ให้หนาแน่นมั่นคงก็เป็นเรื่องจำเป็น  เพราะในโลกการเมืองไม่มีอะไรแน่นอนทั้งสิ้น

“อืม...ก็เข้าใจนะ”  นักดนตรีหนุ่มพยักหน้าอีก  “เพราะไปคุยกับที่บ้านมาเยอะแยะเลยปิดร้านจนถึงวันอาทิตย์สินะ”

“สมองมันป่วนไปหมดน่ะ...ไม่สิ  มันกลวงไปหมดจนไม่รู้จะทำยังไงดีมากกว่า  จะเปิดร้านก็ไม่แน่ใจว่าจะชงกาแฟถูกหรือเปล่า  เลยนอน ๆ มันเสียให้เต็มที่  ออกไปเดินเล่นให้หายอยาก  แล้วก็กลับมานอนต่อ...จนรู้สึกว่ามันอยู่ตัวแล้วเลยเพิ่งมาเปิดร้านวันนี้แหละ”  นัตสึเมะพูดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ

“คิโยฮารุเกือบอดตายเลยนะนั่น”

“ทำไมนายไม่บอกเขาเล่า  ฉันก็ไปที่คลับของนายด้วยนี่นา”  ช่วงที่ปิดร้าน  นัตสึเมะออกไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ในเมืองเกือบตลอดวัน  พอตกค่ำก็แวะไปที่คลับของคิริฮาระแล้วก็กลับไปนอน  วนเวียนอยู่อย่างนี้ทุกวัน

“ก็กว่าฉันจะเลิกงานคิโยะก็หลับไปนานแล้ว  แล้วตอนที่เขาออกไปทำงานฉันก็ยังไม่มีสมองจะบอกอะไรเขาหรอก  แค่ตื่นมาส่งกันทุกเช้าได้ก็อัศจรรย์ตัวเองอยู่เนี่ย  อ้อ...แล้วฟุยุกิคุงเขาไม่ห่วงนายบ้างเหรอ?”  คิริฮาระเหลือบตามองลูกจ้างหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ อยู่

“เขามาที่ร้านวันศุกร์  เห็นฉันไม่เปิดร้านเลยไปเรียกที่ด้านหลัง  เลยคุยกันนิดหน่อยว่าจะปิดร้านสองสามวันน่ะ  เขาก็เลยได้หยุดด้วย”

“ไม่...ได้คุยอะไรกันมากกว่านี้หน่อยเหรอ?”  นักดนตรีหนุ่มลดเสียงลงจนเป็นกระซิบ

“เปล่า  ตอนนั้นฉันก็ยังไม่มีสมองเหมือนกัน”  นัตสึเมะยักไหล่  เขารู้ว่าคิริฮาระหมายถึงเรื่องอะไร  แต่ในเวลาแบบนั้นเขาก็ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดเรื่องความรู้สึกของเขากับฟุยุกิอย่างไรดี  เขายังไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านให้ฟุยุกิฟังด้วยซ้ำ

“รีบ ๆ บอกให้เขามั่นใจเสียทีเถอะ  ว่าปัญหาของนายมันจบแล้วและนายพร้อมที่จะดูแลเขาแล้ว”

“พูดบ้า ๆ...มันยังไม่ได้แน่นอนไปถึงขั้นนั้นเสียหน่อย”

“ก็ไปให้ถึงเสียทีสิ”

“เร่งจริง”

“ก็ฉันใจร้อน  ชีวิตฉันก็ค้างคาแค่เรื่องนายคนเดียวนี่แหละ  รีบ ๆ เป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีเถอะ  ฉันจะได้หมดห่วงเสียที”

“พูดอย่างกับคุณยายรอดูหน้าหลานงั้นแหละ  จะรีบตายแล้วหรือไง?”

“โฮ้ย  คนอย่างฉันไม่ตายเร็วหรอก  ต้องรอให้วายะตื่นมาทะเลาะกันก่อนถึงจะตายตาหลับ”

“ครับ ๆ  คุณคิริฮาระ  งั้นก็รีบ ๆ กินแล้วรีบ ๆ ไปทำงานเสียทีเถอะครับ  เดี๋ยวจูอิจิซังด่าเอาจนเฉาตายกันพอดี”

“โอ๊ะ  งัดไม้ตายมาขู่  เถียงไม่ออกละสิท่า”  คิริฮาระทำท่าล้อเลียน  “เอาละ ๆ  ไปก็ได้  แต่ยังไงก็รีบ ๆ มีครอบครัวเสียทีเถอะนะ  นัตสึเมะจัง”

“ทะลึ่ง”

คิริฮาระจากไปพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนเคย  วันนี้แม้จะค่อนข้างค่ำแล้วแต่ยังมีลูกค้าอยู่หลายโต๊ะ  คงเพราะนัตสึเมะปิดร้านหลายวันบรรดาลูกค้าประจำจึงรีบแวะเวียนมาด้วยความเป็นห่วงทันทีที่เห็นว่าเปิดร้าน  เขาอ้างว่าเป็นหวัดเลยต้องหยุดพักผ่อนนานหน่อยเท่านั้นและตอนนี้ก็แข็งแรงดีแล้ว

แต่ในขณะที่นัตสึเมะรู้สึกว่าตัวเองเป็นปกติดี  ฟุยุกิกลับดูไม่ปกติ

นัตสึเมะสังเกตเห็นตั้งแต่เช้าแล้วว่าฟุยุกิดูใจลอยอย่างประหลาด  แม้จะยังชงชาตามออร์เดอร์ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง  แต่เมื่อมีเวลาว่างหรือตอนที่เก็บโต๊ะเพลิน ๆ ก็จะเผลอหยุดมือและเหมือนจะคิดอะไรอยู่  สีหน้าดูมีความกังวลฉาบอยู่บาง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นทุกข์มากมายนัก...แต่ถึงกระนั้น  นัตสึเมะก็เป็นห่วง

“ฟุยุกิคุง  มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”  นัตสึเมะถามขึ้นหลังจากเก็บกวาดและปิดร้านเรียบร้อยแล้ว

“เอ๊ะ...เปล่านี่ครับ”  เด็กหนุ่มปฏิเสธแล้วก็หน้าม่อยลงทันทีเพราะรู้ว่าตัวเองโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย  “คือ...ก็มีนิดหน่อยครับ  แต่ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอก  ไม่ถึงกับต้องให้นัตสึเมะซังเป็นห่วงหรอกครับ”

“ต้องเป็นห่วงสิครับ  ท่าทางเหม่อมาตั้งแต่เช้าแล้ว”

“เรื่องเล็กนิดเดียวครับ  เทียบกับเรื่องของนัตสึเมะซังแล้วไม่เป็นปัญหาเลย”  ฟุยุกิรีบบอกปัด

นัตสึเมะยิ้มน้อย ๆ  “ฟุยุกิคุง  เรื่องของผมน่ะ  ไม่มีปัญหาอะไรแล้วละครับ”

“เอ๊ะ?”

“ก็ว่าจะคุยกับฟุยุกิคุงอยู่พอดีเหมือนกัน  พอจะมีเวลาสักนิดมั้ยครับ  มานั่งคุยกันหน่อยเป็นไง?”  นัตสึเมะเดินนำเข้าไปในตัวบ้านแล้วถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ข้างประตู  ทำให้ฟุยุกิเดินตามเข้าไปด้วย  “นั่งก่อนครับ  เดี๋ยวจะชงกาแฟอร่อย ๆ ให้”

ฟุยุกินั่งลงที่โต๊ะกินข้าวแต่โดยดี  จ้องมองแผ่นหลังที่เคลื่อนไหวอยู่หน้าเคาน์เตอร์ครัวอย่างคล่องแคล่วแล้วก็รู้สึกโล่งใจว่าได้นัตสึเมะคนเดิมกลับมาแล้ว  นึกย้อนไปแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อเกือบหนึ่งสัปดาห์ก่อนเขาจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ร้ายแรงกดดันแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน  เขาได้รู้เรื่องราวและความลับทั้งหมดที่นัตสึเมะเก็บงำเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ  ตอนแรกเขาคิดจะหนีกลับบ้านเพราะไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร  แต่เมื่อได้ยินคิริฮาระบอกกับฮารุกะว่าจะต้องไม่หนีความจริง  เขาจึงตัดสินใจอยู่...ก็นัตสึเมะบอกกับเขาก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นไม่นานเองว่า  จะเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง...ถ้าคิดจะเป็นครอบครัวกัน...

...ครอบครัว...?

คิดถึงตรงนี้แล้วกายละเอียดของฟุยุกิก็ระเบิดทำลายตัวเอง  เรื่องตึงเครียดของนัตสึเมะมันกระแทกใจเกินไปจนเขาลืมเรื่องนี้ไปเลยตลอดหลายวันมานี้  นัตสึเมะบอกว่าชอบเขาและคิดจริงจังด้วยมาตั้งแต่ต้น...และยังบอกให้เขากลับไปคิดดู...แต่เขายังไม่ได้คิดเลย  มันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อนจนเขาไม่มีโอกาสได้คิดอะไรเลย

แต่เพราะนัตสึเมะพูดแบบนั้น  เขาจึงอยู่ที่นี่ในคืนวันนั้นเพื่อรับรู้เรื่องราวและความจริงทั้งหมดของนัตสึเมะ...ในฐานะผู้เกี่ยวข้องโดยตรง

“เป็นอะไรไปครับ  หน้าแดงเชียว?”

ถ้วยกาแฟหอมกรุ่นวางลงตรงหน้าฟุยุกิพร้อมกับที่คนชงก็นั่งลงด้วย

“ผม...ยังไม่ได้คิดเลยครับ...”

“คิด?”  นัตสึเมะเลิกคิ้วกับสิ่งที่อยู่ ๆ ฟุยุกิก็พูดออกมา

“เรื่องที่นัตสึเมะซังบอกให้กลับไปคิด...คือ...มันมีเรื่องอื่นให้คิดมากเกินไป  ผมเลยลืมคิดเรื่องนั้นไปเลยน่ะครับ”  ฟุยุกิหลบตาแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม

“เรื่อง...นั้น...?”  นัตสึเมะยังจับความไม่ได้

“ก็ที่...บอกให้ผมกลับไปคิดว่า...ผมชอบคุณหรือเปล่า...”  เด็กหนุ่มงึมงำตอบมาจากถ้วยกาแฟ

“อ๊ะ...”  นัตสึเมะชะงักไป...เขาก็ลืมเรื่องนั้นไปสนิทเลยเหมือนกัน

“...ขอโทษนะครับ”

ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ กับคำขอโทษนั้น  “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ  ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ  วันนั้นให้เห็นอะไรแย่ ๆ ไปเยอะเลย...แต่...ก็ไม่เป็นไรแล้วละครับ  ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

“ไม่เป็นไรแล้วเหรอครับ?”  ฟุยุกิรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

“ครับ  ที่บ้านเราคุยกันแล้ว  ก็เรียบร้อยแล้ว”

นัตสึเมะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านให้ฟุยุกิฟังโดยบอกรายละเอียดน้อยกว่าที่เล่าให้คิริฮาระฟัง  คิริฮาระรู้จักเขาและครอบครัวมานานจึงรู้เรื่องในบ้านของเขาดี  ซึ่งเรื่องพวกนั้นฟุยุกิยังไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้ก็ได้

“งั้นเหรอครับ...ค่อยโล่งใจหน่อย”  ฟุยุกิระบายลมหายใจเบา ๆ หลังจากที่ฟังเรื่องจากนัตสึเมะจบ

“ว่าแต่...จากนี้ไปคือปัญหาละครับ”

“เอ๊ะ  อะไรอีกครับ?”

ฟุยุกิมองหน้านัตสึเมะ  แล้วก็พบว่าสายตาที่มองมามีแววกังวลฉาบอยู่บาง ๆ

“ผมเป็นคนแบบนี้  ได้ทำเรื่องแบบที่ฟุยุกิคุงได้รู้ไปแล้ว...ทำเรื่องแบบนั้นแล้วเก็บมันไว้เป็นความลับ  แสร้งตีหน้าเป็นคนดีมาตลอด...แบบนี้แล้ว  ฟุยุกิคุงจะชอบผมหรือเปล่า?”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าความกังวลของนัตสึเมะพุ่งเป้ามาที่เขาโดยตรง  นั่นสินะ...ตอนนี้เขาได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนัตสึเมะทั้งหมดแล้ว  แล้วเขาจะชอบนัตสึเมะหรือเปล่า  เรื่องที่นัตสึเมะทำลงไปมันผิดศีลธรรมและละเมิดความถูกต้องทั้งมวลที่เขาเคยรู้จัก  เป็นความผิดที่หากแพร่ออกไปสู่สังคมแล้วนัตสึเมะจะอยู่ยากเลยทีเดียว  สังคมจะต้องประนามและตัดสินโทษนัตสึเมะแน่...แต่เขาล่ะ  เขารู้สึกอย่างไร

มือที่กุมถ้วยกาแฟเกร็งและสั่นน้อย ๆ  แล้วฟุยุกิก็สูดลมหายใจลึก  พูดออกไปทั้งเสียงสั่นพร่า


“ผม...ผมยังไม่รู้ว่าชอบนัตสึเมะซังหรือเปล่า  แต่...แต่ผมไม่ได้เกลียดนัตสึเมะซังนะครับ”


นัตสึเมะมองร่างที่ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาเขา  ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้ม...หัวใจเหมือนได้รับการเยียวยา

“ขอบคุณครับ  ฟุยุกิคุง”

“เอ๊ะ!  ขะ...ขอบคุณอะไรครับ?  ผม...ผมก็แค่...แค่...”

ฟุยุกิเงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางลนลาน  มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือที่ถือถ้วยกาแฟอยู่เบา ๆ

“ขอบคุณที่ไม่รังเกียจคนอย่างผมครับ”

รอยยิ้มนั้นของนัตสึเมะเป็นรอยยิ้มที่ฟุยุกิคุ้นเคยมาตลอด  รอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยนที่มีให้ตั้งแต่วันแรกที่เขามาที่ร้านกาแฟแห่งนี้  เป็นรอยยิ้มที่คอยประคับประคองเขาไว้เสมอมา  และตอนนี้มันดูมีความหมายและความรู้สึกพิเศษบางอย่างนอกเหนือจากนั้นแฝงอยู่ด้วย

นัตสึเมะเป็นคนที่คอยเฝ้ามองและเป็นกำลังใจให้เขาเรื่อยมา  เป็นคนที่บอกว่าชอบคนไม่เอาไหนอย่างเขาอย่างจริงจัง...แล้วเขาจะเกลียดนัตสึเมะลงได้อย่างไร

เขาชอบนัตสึเมะ  แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบคนรักหรือเปล่า  แต่เขาก็ชอบนัตสึเมะคนนี้...นัตสึเมะคนที่ก่อปัญหา  แก้ปัญหา  และยอมรับปัญหาของตัวเองได้ทั้งหมดคนนี้แหละ

มืออุ่นค่อย ๆ ผละออกไปจับถ้วยกาแฟของตัวเอง  ตอนนั้นเองที่ฟุยุกิสังเกตว่านัตสึเมะไม่ได้ดื่มกาแฟในแก้วไวน์เหมือนเคย

“ไม่ใช่...กาแฟไอริชเหรอครับ?”

“ตั้งแต่คืนวันนั้นก็ไม่ได้ดื่มอีกเลยละครับ”  นัตสึเมะมองถ้วยกาแฟในมือพลางยิ้ม  “เหมือนกับว่ามันโล่งใจจนหลับได้โดยไม่ต้องใช้เหล้าแล้วน่ะ”

“ดีจังเลย”  ฟุยุกิพูดออกมาจากใจจริง

“แต่ก็ยังติดรสหวานอยู่เลยต้องใส่วิปครีมด้วย  ไม่สมกับเป็นเจ้าของร้านกาแฟเลยนะครับ”  ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ  “แถมถ้วยของตัวเองก็ไม่มี  ต้องเอาถ้วยที่ปกติเอาไว้รับแขกมาใช้ก่อน”

“ไม่เป็นไรนี่ครับ  ดื่มของที่ชอบก็ดีแล้ว  แล้วก็ค่อยไปหาถ้วยทีหลังก็ได้”

“นั่นสินะครับ...ว่าแต่  ฟุยุกิคุงมีปัญหาสินะ  ถึงได้เหม่อ ๆ แบบนั้น”  นัตสึเมะย้อนกลับเข้าเรื่องที่สงสัยมาทั้งวัน

“อ๊ะ  ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ  ก็แค่...พี่ชายผมเขาว่าจะแต่งงาน”

“คุณพี่ที่อยู่ด้วยตอนนี้น่ะเหรอครับ?”  ชายหนุ่มนึกไปถึงพี่ชายของฟุยุกิที่เขาเคยเข้าใจผิดว่ามาลวนลามฟุยุกิคนนั้น

“ครับ  เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาพาแฟนไปเจอคุณพ่อที่บ้านน่ะครับ  แบบนี้แล้ว...คงคิดจะแต่งงานแล้วละครับ”

“อ้อ  แล้วมีปัญหาอะไรเหรอครับ?”

“คือ...ถ้าพี่มิโนรุแต่งงาน  ผมอยู่ที่แมนชั่นด้วยคงไม่สะดวก...ผมก็เลยคิดว่าจะหาที่อยู่คนเดียวน่ะครับ”

“แล้ว...?”

“แล้ว...ผม...ไม่เคยอยู่คนเดียวมาก่อนเลย  ออกจากบ้านพ่อมาก็มาอยู่กับพี่มิโนรุ...เลยไม่ค่อยแน่ใจน่ะครับ  แต่...ก็ตั้งใจว่าจะออกมาอยู่คนเดียวแหละครับ”

“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง”  นัตสึเมะพยักหน้าเข้าใจ  ตอนที่เขาคิดจะออกมาอยู่ที่ร้านนี้คนเดียวเขาก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน  ก็นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยพอสมควร  แต่ที่เหม่อลอยบ้างก็ไม่เชิงว่าเป็นกังวลหรอก  แค่จินตนาการไม่ออกว่าตัวเองอยู่คนเดียวแล้วจะเป็นแบบไหนเท่านั้นเอง  จะเอาที่นอนไว้ตรงไหน  จะหาอยู่หากินอย่างไร  ต้องทำอาหารกินเองไหม  แล้วจะอยู่ตรงไหนเดินทางมาทำงานอย่างไร...สารพัดจะคิด

“ยังไม่ทันคุยกับที่บ้านก็เผลอคิดไปว่าจะอยู่ห้องแบบไหนแล้วละครับ”

“ยังไม่ได้คุยหรอกเหรอครับ?”

“กะว่าอาทิตย์นี้จะกลับไปคุยน่ะครับ”
หัวข้อ: Re: Lock on You 18/ 4-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 04-01-2016 10:00:07
นัตสึเมะพยักหน้ารับ...แต่ที่เขาคิดแล้วไม่ได้พูดออกไปก็คือ  ถ้ากลับไปคุยกับคนที่บ้าน  ความฝันที่จะอยู่คนเดียวของฟุยุกิคงเป็นไปได้ยากแล้วละ

...

“จะไปอยู่คนเดียวทำไม  กลับมาอยู่บ้านสิ”

สึโตมุพูดออกมาแบบไม่ต้องคิดทันทีที่ฟังลูกชายคนเล็กพูดจบ  ฟุยุกิบอกว่ามิโนรุกำลังจะแต่งงานและเขาคงไม่สะดวกที่จะอยู่กับมิโนรุต่อจึงคิดจะย้ายออกไปอยู่คนเดียวที่อื่น

“ที่นี่ไกลออกครับ  ผมไปทำงานไม่ไหวหรอก”  ฟุยุกิให้เหตุผล  ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วบ้านของพวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองโตเกียวด้วยซ้ำ  “แล้วที่ร้านก็เปิดแต่เช้า  ถ้าอยู่ที่บ้านต้องออกไปตั้งแต่รถไฟเที่ยวแรกเลยนะครับ”

“เดี๋ยวฉันไปส่งที่สถานีเอง”

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะครับ”  ฟุยุกิทำหน้างุนงงระคนอ่อนใจ  แต่ไหนแต่ไรมาพ่อของเขาไม่เคยใส่ใจดูแลเขาแบบนี้เลย  ให้ไปโรงเรียนเอง  ให้เดินไปขึ้นรถไฟเอง  ไม่เคยไปรับไปส่งที่ไหนเลยด้วยซ้ำ  แล้วอยู่ ๆ จะมาประคบประหงมเขาอะไรป่านนี้

“ออกไปแล้วจะไปอยู่กับใคร?”

“ผมก็บอกอยู่นี่ไงครับว่าอยู่คนเดียว”

“อยู่ได้เรอะ?  ทำกับข้าวเป็นหรือเปล่า  ไม่สิ  จุดเตาแก๊สเป็นหรือเปล่า  จะหาอยู่หากินยังไง?”

“คุณพ่อครับ  ผมไม่ใช่เด็กประถมนะครับ”  ฟุยุกิโวยวาย  เขาทำเป็นทุกอย่างนั่นแหละ  แม้จะไม่ค่อยได้ความนักก็เถอะ  อยู่กับมิโนรุก็ใช่ว่ามิโนรุจะทำอะไรให้ทุกอย่างเสียเมื่อไร

“กลับมาอยู่ที่บ้านนี่แหละ  สะดวกกว่าตั้งเยอะ”  คนเป็นพ่อวกกลับมาเรื่องเดิม

“สะดวกเรื่องกินอยู่แต่ไม่สะดวกเรื่องเดินทางนะครับ”

ในขณะที่สองพ่อลูกเถียงกัน  เคียวยะได้แต่นั่งมองหน้าพ่อกับน้องสลับกันไปมา  เอ่ยขอบคุณภรรยาที่ยกขนมกับน้ำชามาให้แล้วก็นั่งมองหน้าทั้งสองคนต่อไปโดยมีภรรยาแอบกลั้นขำอยู่ข้าง ๆ  อยู่ ๆ พ่อของเขาก็เกิดจะอยากทะนุถนอมลูกคนเล็กขึ้นมาเสียเฉย ๆ  มีอาการแบบนี้มาตั้งแต่ฟุยุกิเข้าโรงพยาบาลและลาออกจากงานนั่นแหละ  ส่วนฟุยุกิเองก็ไม่เคยเถียงพ่อหรือคนในครอบครัวมาก่อน  อาการแบบนี้เหมือนเข้าวัยต่อต้านช้าไปสิบปียังไงยังงั้น

แต่ดูจากอาการแล้ว  ฟุยุกิไม่น่าจะรบชนะหรอก


“คุณพ่อไม่ยอมท่าเดียวเลยครับ!”

ฟุยุกิกลับมาฟ้องนัตสึเมะในเช้าวันจันทร์  ท่าทางกระฟัดกระเฟียดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนดูตลกเสียจนนัตสึเมะต้องกลั้นหัวเราะ

“ก็คุณพ่อท่านเป็นห่วงนี่ครับ”  ชายหนุ่มพยายามปลอบทั้งเสียงยังสั่น

“เอาแต่พูดว่าแล้วจะอยู่จะกินยังไง  ผมก็ทำอาหารเป็นนะครับ  ทำข้าวเช้ากินเองทุกวัน  แถมบางวันก็ทำข้าวกล่องไปกินที่ทำงานด้วยนะครับ”  ฟุยุกิยังขัดเคือง

“ทำอะไรไปกินเหรอครับ?”

“แซนด์วิชทูน่ามายองเนสครับ”

นัตสึเมะถึงกับกลั้นขำไม่อยู่  นั่นมันเลเวลต่ำกว่าคลับแซนด์วิชที่ขายที่ร้านอีกนะเนี่ย  แค่เอาทูน่ามายองเนสมาทาขนมปังนี่มันเรียกว่าทำข้าวกล่องตรงไหนกัน

“อย่าหัวเราะนะครับ  กินได้นะครับ  อร่อยด้วย”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ  แค่...สารอาหารมันจะไม่ครบถ้วนนะครับ”

“ก็ทำสลัดใส่ไปสิครับ”

“ทำยังไงบ้างครับ?”

“ก็ซอยกะหล่ำปลีเยอะ ๆ แล้วราดมายองเนส”

...ไอ้นั่นไม่เรียกสลัดแน่ ๆ...นัตสึเมะคิดแต่ไม่ได้พูด  แต่ถึงจะไม่พูดก็คงออกไปทางสีหน้าและแววตาหมดแล้ว

“อย่ามาขำนะครับ”  ฟุยุกิค้อนปะหลับปะเหลือกแล้วเดินไปเช็ดโต๊ะทั้งที่เพิ่งจะเช็ดไปเมื่อกี้

ผู้เป็นเจ้าของร้านมองตามแล้วยิ้มกับตัวเอง  ก็คงแบบนี้สินะ  ทางบ้านถึงได้ไม่ไว้ใจให้ออกไปอยู่คนเดียว  ความจริงทำงานที่ร้านก็มีอาหารให้ทั้งสามมื้อจึงไม่ใช่เรื่องน่าห่วงอะไร  แต่เพราะความเป็น  “เด็ก”  ในตัวฟุยุกิมีมากเกินไป  คนที่บ้านจึงอดห่วงไม่ได้
ช่วงเที่ยง  ในร้านมีลูกค้าเยอะเหมือนเคย  มีทั้งที่นั่งกินที่ร้านและที่ซื้อกลับไป  แน่นอนว่าที่โต๊ะด้านในสุดมีอาจารย์สอนวรรณคดีนั่งหนีโลกแห่งความจริงเข้าไปในหนังสืออยู่เหมือนเคยด้วย  แต่ที่ไม่เหมือนปกติคือผู้ที่มาเยือนคนหนึ่ง

“ขอโทษที่มาช่วงยุ่ง ๆ ตอนเที่ยงนะ  แต่ขอคุยกับฟุยุกิหน่อยได้มั้ย?  พอดีวันนี้มีงานค้างอยู่อาจจะกลับบ้านดึกน่ะ”

มิโนรุตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์และบอกกับนัตสึเมะทันที

“อ้อ  ได้สิครับ  ว่าแต่อาริโยชิซังจะรับอะไรมั้ยครับ?”  ก็ยังไม่วายทำหน้าที่คนค้าขายที่ดี

“ขอแซนด์วิชกับกาแฟดำแล้วกันครับ”

ว่าแล้วมิโนรุก็ไปนั่งตรงที่ว่างพร้อมกับมีน้องชายตามไปด้วย

“พี่มีธุระอะไรเหรอ?”  ฟุยุกิลงนั่งอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยความรู้สึกเกรงใจเจ้าของร้านซึ่งตอนนี้กำลังยุ่งกับการรับลูกค้าอย่างมาก

“คุณพ่อกับเคียวยะบอกว่านายอยากย้ายออกไปอยู่คนเดียวเหรอ?”

“ใช่  ก็พี่จะแต่งงานนี่นา  ฉันอยู่ด้วยคงไม่สะดวกหรอก”

“เรื่องนั้นมันก็จริง  แต่ว่า...”

“โอ๊ย  อย่ามาเกลี้ยกล่อมฉันให้อยู่บ้านพ่อนะ  ขืนอยู่บ้านฉันได้ตายเพราะเดินทางมาทำงานแน่”  ฟุยุกิที่ยังหงุดหงิดไม่หายทำเสียงเคือง ๆ

“อันนั้นมันก็ใช่  แต่นายจะอยู่คนเดียวได้ยังไง  นายไม่เคยอยู่คนเดียวเลยนะ”

“ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงล่ะ”

“นี่นายเป็นเด็กขี้เถียงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”  มิโนรุรู้สึกแปลก ๆ กับการต่อปากต่อคำของน้องชาย  แต่ไหนแต่ไรมาฟุยุกิแทบไม่เคยเถียงกับคนในบ้านเลย  เป็นเด็กว่าง่ายพูดอะไรก็เชื่อฟังทั้งนั้น

คราวนี้ฟุยุกิไม่เถียงแต่เม้มปากแล้วทำแก้มป่องนิด ๆ  มิโนรุนึกอยากถ่ายรูปหน้าฟุยุกิตอนนี้แล้วส่งไปให้เคียวยะดู...หน้าดื้อ ๆ แบบนี้มันควรจะทำตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนไหมนะ...

“เฮ่อ...ยังไงก็จะไปอยู่คนเดียวให้ได้สินะ”

“อื้อ”

“แล้ว...หาอยู่หากินเป็นเหรอ?  ไอ้แซนด์วิชแบบที่นายทำกินเองบ่อย ๆ นั่นไม่เรียกอาหารหรอกนะ”

โดนแทงใจดำเข้าพอดี  ฟุยุกิทำหน้าดื้อกว่าเดิม

“ที่ร้านมีให้กินสามมื้ออยู่แล้วนี่”

“แล้วรู้วิธีหาห้องพักเหรอ?”

“อาจารย์บอกว่ารู้จักบริษัทอสังหา ฯ ดี ๆ  ไว้จะแนะนำให้”  ไม่รู้ทำไมฟุยุกิถึงนึกคำพูดเมื่อนานมาแล้วของคิโยฮารุขึ้นมาได้ตอนนี้

“อาจารย์?”

“คนนั้น”  ว่าพลางชี้ไปยังคิโยฮารุที่นั่งไม่สนใจโลกอยู่ด้านในร้าน

“นั่น...อาจารย์ของนายเหรอ?”  มิโนรุถามด้วยความไม่แน่ใจ  ผู้ชายคนนั้นยังดูหนุ่มและดูสบาย ๆ เกินไปจนนึกว่านักศึกษาปริญญาโทอะไรทำนองนั้นด้วยซ้ำ

“อาจารย์ซาคากิ  สอนวรรณคดีเปรียบเทียบอยู่ที่มหา’ ลัยนี้”  พูดแล้วก็ชี้ไปยังรั้วมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

มิโนรุยังนึกไม่ออกว่าอาจารย์วรรณคดีเปรียบเทียบจะไปรู้จักบริษัทอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างไร  แต่ก็ไล่ถามน้องชายต่อไปอีก

“แล้วมีเงินไปวางมัดจำห้องเหรอ?”

“หือ?”

“จะไปเช่าห้องน่ะ  ต้องวางมัดจำเป็นค่าเช่าล่วงหน้าสามเดือนนะ  แล้วก็มีค่ากินเปล่าที่ต้องจ่ายให้เจ้าของห้องเช่าต่างหากด้วย  แถมยังมีค่าประกันด้วยนะ”  มิโนรุแจกแจงคร่าว ๆ

“หะ...หา?”

“ไม่รู้สินะ?”

“ไม่เคยรู้มาก่อนเลย!”

มิโนรุยักไหล่  ก็ไม่แปลก...ถ้ารู้สิแปลก

“แล้วก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้นด้วยสินะ?”

“ไม่มีหรอก!”

เงินเดือนสมัยทำงานก็ไม่เยอะขนาดนั้น  ถึงจะพอมีเงินเก็บบ้างแต่ก็ไม่ได้มีเยอะพอจะเอาไปจ่ายค่าเช่าห้องล่วงหน้าสามเดือนได้หรอก  แล้วเงินเดือนที่ได้รับตอนนี้ก็น้อยกว่าที่เคยได้เสียอีก  ที่อยู่ได้สบาย ๆ อย่างทุกวันนี้ก็เพราะอยู่กับมิโนรุนั่นแหละ

“งั้นก็เลิกคิดได้เลย”  มิโนรุตัดบทพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ

“อือ...”  ฟุยุกิหน้านิ่วคิ้วขมวด  ดูขัดเคืองใจยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

ในตอนนั้นเองที่กาแฟร้อนหอมกรุ่นวางลงตรงหน้ามิโนรุ

“ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ  กาแฟร้อนกับคลับแซนด์วิชได้แล้วครับ”  นัตสึเมะยิ้มพลางวางของที่สั่งลงบนโต๊ะด้วยความนุ่มนวลอย่างมืออาชีพ  “แล้วก็เอิร์ลเกรย์นมร้อนด้วยครับ”

“อะ...เอ๊ะ?  นัตสึเมะซัง...ผมไม่...”  ฟุยุกิรีบบอก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  เห็นท่าทางจะคุยกันนานก็เลยชงมาเผื่อให้น่ะ”

“ไม่นานหรอกครับ  จบแล้วละ...หมดเรื่องกันเสียทีนะ  ยุกิ”  มิโนรุยิ้มแล้วหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่ม

ฟุยุกิโกรธจนหน้าแดง  แต่ก็ไม่รู้ว่าโกรธอะไรแน่...โกรธที่มิโนรุมาทำท่ายิ้มเยาะ  หรือโกรธตัวเองที่มีเงินเก็บน้อย...หรือไม่ก็โกรธตัวเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย

“เรื่องที่จะออกมาอยู่คนเดียวน่ะเหรอครับ?”  นัตสึเมะถาม

“ครับ  เรียบร้อยแล้วละ  เจ้านี่ออกมาอยู่คนเดียวไม่ไหวหรอก  แค่จะเช่าห้องยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเลย”  มิโนรุบอก

“แต่ยังไงพี่ก็จะแต่งงานนี่  แล้วฉันไม่กลับไปอยู่บ้านพ่อหรอกนะ  ถ้ากลับไปมีหวังต้องตื่นตีสี่กลับบ้านสี่ทุ่มน่ะสิ”  ฟุยุกิงัดเอาเหตุผลสุดท้ายที่นึกออกออกมาสู้

“อืม...”  มิโนรุทำหน้าครุ่นคิด  “งั้นก็อยู่กับฉันเก็บเงินไปอีกระยะก็ได้นี่”

“มีมิยูกิซังอยู่ในบ้านด้วยเนี่ยนะ  น้องสามีกับพี่สะใภ้ในบ้านเดียวกันเนี่ยนะ...ความเหมาะสมอยู่ตรงไหน...”

“ไปติดนิสัยจิกกัดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย!?”  มิโนรุแทบสำลักกาแฟ

ฟุยุกิเมินหน้าหนี...ติดมาจากคนแถวนี้แหละ  ฟังเขาจิกกันทุกวันนี่นะ

“ใจเย็น ๆ ก่อนครับ  อาริโยชิซัง  ฟุยุกิคุงด้วย”  นัตสึเมะห้ามทัพ  “ผมมีข้อเสนอนะครับ”

“หือ?”  สองพี่น้องหันไปมองผู้เป็นเจ้าของร้านพร้อมกัน

“ถ้าไม่รังเกียจ  อยู่ที่นี่มั้ยครับ?”

“หา!?”

สองพี่น้องอาริโยชิร้องออกมาพร้อมกัน  และมีใครบางคนหูผึ่งขึ้นมาด้วย

“คือที่ชั้นสองกว้างพอจะกั้นห้องได้อีกห้องเลยละครับ  ถ้าเกรงใจจะจ่ายค่าเช่าด้วยผมก็ยินดีครับ”  นัตสึเมะนำเสนอด้วยรอยยิ้มเรื่อย ๆ อันเป็นเครื่องหมายการค้า

“จะดีเหรอครับ  แค่รับยุกิทำงานที่นี่ก็น่าจะรบกวนคุณแย่แล้ว”  มิโนรุดูเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาทันที

“ดีสิครับ  ไหน ๆ ก็ทำงานที่นี่อยู่แล้ว  จะอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลกนี่ครับ  ผมว่าสะดวกดีด้วย”

“เอ๊ะ...ตะ...แต่ว่า...”  ฟุยุกิเองก็ดูตกใจไม่น้อย

“แค่ข้อเสนอครับ  ลองไปคิดดูก่อนก็ได้  ยังไงอาริโยชิซังก็ยังไม่ได้แต่งงานวันนี้พรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอครับ  ยังมีเวลาให้คิดอีกเยอะครับ”

“เอ้อ...นั่นสินะ...”  มิโนรุดูผ่อนคลายลง

“จะดีเหรอครับ  นัตสึเมะซัง?”  ฟุยุกิถามย้ำ

“ถ้าฟุยุกิคุงว่าดี  ผมก็ว่าดีละครับ...โอ๊ะ  ลูกค้ามาอีกแล้ว  ถ้ายังไงก็ลองไปคิดดูนะครับ  ผมว่าน่าจะเวิร์ค”

พูดแล้วก็รีบกลับเข้าเคาน์เตอร์ไปรับลูกค้ารายล่าสุด  ทิ้งให้ฟุยุกิหน้าแดงเรื่อเพราะพอจะเข้าใจความหมายของคำว่ากลับไปคิดดูของนัตสึเมะระดับหนึ่ง...ก็เหมือนที่ให้ไปคิดเรื่องชอบไม่ชอบนั่นแหละ...นัตสึเมะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว  นี่ก็แค่การชี้นำเท่านั้น

มิโนรุเห็นหน้าแดง ๆ ของน้องชายแล้วก็นึกได้  ฟุยุกิเคยตกหลุมรักผู้ชายคนนี้มาก่อน  ข้อเสนอนี่ย่อมดีต่อฟุยุกิแน่อยู่แล้ว...แต่ผู้ชายคนนี้มีคนรักแล้วนี่นา  แล้วถ้าฟุยุกิมาอยู่ด้วยจะเหมาะสมหรือ...แต่ยังไงลองไปปรึกษาเคียวยะก่อนก็น่าจะดี  อ้อ  ต้องคุยกับฟุยุกิให้แน่นอนด้วยสินะ...

ในขณะที่สองพี่น้องต่างคิดกันไป  คิโยฮารุที่นั่งอยู่ด้านในสุดของร้านก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความแจ้งข่าวด่วนข่าวร้อนประจำวันให้คิริฮาระ

...นัตสึเมะซังเปลี่ยนไป  ต้องติดนิสัยยูคุงมาแน่ ๆ...


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 18/ 4-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-01-2016 16:00:35
ตั้งแต่คราวที่เคย์โกะรู้เรืรองที่นัทสึเมะมีแฟนคราวนั้นก็ยังไม่ได้อ่านเลย ก็ได้แต่คิดกังวลไปต่างๆนานาว่าเรื่องใหญ่แน่ๆ แบบที่หน่วงมากๆแน่ๆ แต่พอทุกอย่างมันผ่านไปแล้วก็  :เฮ้อ:  :เฮ้อ:  :เฮ้อ: หมดแล้วซึ่งความหน่วงหนักใจ ตอนนี้ก็มีแต่ความน่ารักๆของฟุยุกิอย่างเดียว  :กอด1:  :กอด1: เดี๋วนี้มีการทงการเถียงกับพี่ชายด้วย ความกล้าเริ่มมีเยอะขึ้นแล้วน่ะ  :hao3:  :hao3:
หัวข้อ: Re: Lock on You 18/ 4-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 08-01-2016 01:40:04
ต่างคนต่างติดนิสัยคิริฮาระมากันคนละนิดละหน่อยสินะ  ^^
หัวข้อ: Re: Lock on You 18/ 4-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 08-01-2016 22:50:30
นัตสึเมะเนียนเลยนะ  :laugh:
แต่แบบนี้ก็ดีกว่าเศร้าๆจมทุกข์แหละ  o13
หัวข้อ: Re: Lock on You 19/ 15-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 15-01-2016 19:43:50
สวัสดีครับ ทุกคน
พอดีผมป่วยครับ เลยอัพนัตสึเมะแก้ป่วย ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ไหม แต่อยากอัพ ฮะๆๆ
นิยายที่แปลไม่ค่อยได้ใจเลยมาหาความหวานกับฟุยุกิครับ
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เอาตัวให้รอดกันนะครับ อย่าแพ้ภัยตัวเองแบบผม

แล้วเจอกันตอนหน้าครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 19

“ไหนนายบอกว่าคุณเจ้าของร้านเขามีคนรักแล้วไง  ฟุยุกิ?”  เคียวยะถามขึ้นทันทีที่หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าวในแมนชั่นของมิโนรุ  เขาถูกมิโนรุเรียกตัวมาเพื่อคุยกันเรื่องที่อยู่ใหม่ของน้องชายคนเล็ก

ฟุยุกิรินน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ ให้พี่ชายคนโต  “อ๋อ  อันนั้นมันเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ”

“เข้าใจผิด?  แล้วเอาไปร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเนี่ยนะ”  เคียวยะยังจำเหตุการณ์ที่ฟุยุกิระเบิดอารมณ์กลางห้องพักผู้ป่วยได้ดี

“ก็...ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่”  เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มตอบ

“ไหนเล่ามาให้รู้เรื่องหน่อยซิ”

“คือ...จริง ๆ นัตสึเมะซังเขายังโสด  ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน  ส่วนคุณผู้หญิงคนนั้นเขาเป็น...เอ้อ...ญาติผู้พี่”  ฟุยุกิเลือกคำที่คิดว่าน่าจะพอฟังขึ้น  “แล้วทีนี้...คือฉันไม่รู้ไง  ฉันเห็นเขาสนิทสนมกันมากก็เลยคิดว่าเป็นคนรัก...ก็...แบบว่า...คิดไปเอง”

“คิดไปเองจนเป็นปอดบวมเนี่ยนะ”  มิโนรุทำเสียงเอือมระอา

“ก็...”  ฟุยุกิจะเถียงก็เถียงไม่ออกได้แต่หาข้ออ้าง  “ของคิริฮาระซังเป็นคนรักจริง ๆ นี่นา”

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วช่างมันก่อนก็ได้”  เคียวยะตัดบท  “ว่าแต่เขายินดีที่จะให้นายไปอยู่ด้วยจริง ๆ น่ะเหรอ?”

“เขาว่าแบบนั้นละ”  ฟุยุกิคิดว่านัตสึเมะยินดีมากเลยละ


เย็นวันนั้นหลังจากเลิกงานแล้ว  นัตสึเมะพาฟุยุกิขึ้นไปดูชั้นสองของตัวบ้าน  ชั้นบนของบ้านนัตสึเมะเป็นเหมือนห้องใต้หลังคาขนาดใหญ่  กินพื้นที่รวมส่วนของร้านกาแฟและตัวบ้านชั้นล่างทั้งหมด  สภาพของมันตอนนี้คือห้องนอนกว้าง ๆ ห้องเดียวที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เกือบทั้งหมด  ให้อารมณ์เรียบง่ายและดูหรูหราคนละแบบกับห้องของคิริฮาระที่เขาเคยไปเยือน

“ถ้าย้ายเฟอร์นิเจอร์ออกแล้วกั้นตรงนี้ก็จะได้อีกห้องหนึ่งแล้วละครับ”  นัตสึเมะชี้ที่ทางให้ดูคร่าว ๆ

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ  แค่มุมด้านนั้นก็พอ”  ฟุยุกิชี้ไปที่ผนังด้านตรงข้ามกับเตียงของนัตสึเมะ  เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่นัตสึเมะใช้ตั้งชั้นวางของและกล่องลังอะไรเล็กน้อย

“จะไปอยู่ทำไมแคบ ๆ ครับ  อยู่ทั้งทีก็ให้สบายเนื้อสบายตัวหน่อย”

“ตะ...แต่...”

“เอาน่า  ผมตัดสินใจแล้วละ  กั้นห้องตรงนี้แหละครับ  สะดวกดี”

“เอ๊ะ...?”  อะไรคือตัดสินใจแล้ว

“อย่าคิดมากครับ  ยังมีเวลาให้คิดอีกเยอะ”  พูดแล้วนัตสึเมะก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพากลับลงมาข้างล่าง

...และส่งฟุยุกิกลับบ้านด้วยรอยจูบที่ข้างแก้ม...


“ฟุยุกิ...หน้าแดงทำไม?”

เสียงเคียวยะดึงฟุยุกิออกจากห้วงภวังค์

“เอ๊ะ?  ปะ...เปล่าเสียหน่อย”  ฟุยุกิรีบเถียงแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าร้อน ๆ ของตน

พี่ชายสองคนลอบมองหน้ากัน...โกหกได้ห่วยเหมือนเคย  แต่คราวนี้เป็นความห่วยที่คนเป็นพี่ต้องคิดเยอะ

“ยุกิ  นายยังชอบเขาอยู่ใช่ไหม?”  เคียวยะถามอีก

“เอ๊ะ  ทะ...ทำไมเรื่องมันไปตรงนั้นได้...?”  เด็กหนุ่มดูลนลานขึ้นมาทันที

“พี่มีตานะ  ดูเอาก็รู้”

ฟุยุกิก้มหน้างุด  หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงมากกว่าเก่า  เคียวยะถอนใจน้อย ๆ

“คืองี้นะ  ยุกิ...ไม่ใช่ว่าพี่จะยอมรับเรื่องที่นายชอบผู้ชายได้ทั้งหมดหรอกนะ  เพราะนายยังไม่เคยได้สัมผัสผู้หญิงมาก่อนเลย”

“เอ๋?”

“ก็ไม่ใช่ว่าพี่ใจแคบหรอกนะ  แต่ยังไงดีล่ะ...”  เคียวยะพยายามเลือกคำพูดที่จะไม่ฟังดูแย่เกินไป  “ถ้าเป็นแบบปกติมันก็น่าจะดีกว่าใช่หรือเปล่า?”

ฟุยุกิตอบคำถามนั้นไม่ได้  เขาไม่เคยสัมผัสผู้หญิงมาก่อนเลยจริง ๆ  สมัยเรียนก็มีเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้หญิงอยู่บ้าง  แต่เขาซึ่งเอาแต่เรียนมาตลอดไม่ได้ให้ความสนใจเพศตรงข้ามเลย  แค่ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองก็ลำบากพออยู่แล้ว  จะว่าไปเขาจำหน้าเพื่อนผู้หญิงในห้องไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ  นอกจากหัวหน้าห้องที่มีเรื่องได้พูดคุยกันบ้างเพราะเธอเป็นหัวหน้าห้องเท่านั้นเอง

“มะ...ไม่รู้สิ  มัน...ดีกว่าจริง ๆ เหรอ?”  เรื่องของนัตสึเมะกับเคย์โกะไม่เห็นจะมีดีตรงไหนเลย

“อย่างน้อยก็อยู่ในสังคมได้ง่ายกว่านะ”

ฟุยุกิมองหน้าพี่ชายทั้งสองคน  ก็คงงั้น...เพราะเคียวยะก็มีครอบครัวที่อบอุ่น  ส่วนมิโนรุก็ดูมีความสุขกับแฟนสาวที่กำลังจะแต่งงานกันเร็ว ๆ นี้ดี  แต่...คิริฮาระกับคิโยฮารุก็ดูมีความสุขดีนี่นา  และถ้ามองจากสายตาของคนไม่รู้จักก็ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าทั้งสองคบกันอยู่  แม้จะมีบรรยากาศของความเป็นครอบครัวแผ่ออกมาจาง ๆ ก็เถอะ  แต่ฟุยุกิก็ไม่เคยมีตัวอย่างอื่นให้ดูมากกว่านี้  อ้อ...มีโทโมกิ  แต่คงใช้เป็นตัวอย่างไม่ได้เพราะคนรักของโทโมกิยังนอนนิ่งเป็นมนุษย์พืชอยู่เลย  ถึงจะดูปกติดีแต่ก็เรียกว่ามีความสุขไม่ได้ละมั้ง

“แปลว่า...ฉันควรมีแฟนเป็นผู้หญิงมากกว่างั้นเหรอ?”  ฟุยุกิรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นตัวเองที่ตัดสินใจอะไรเองไม่เป็นอีกครั้ง

“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น  แค่...ถ้านายลองคบผู้หญิงก่อนหรืออะไรแบบนั้น  มันก็น่าจะมีตัวเลือกเพิ่มขึ้นหรือเปล่า”  เคียวยะเองก็ไม่รู้จะหาคำพูดแบบไหนมาใช้เหมือนกัน  เพราะเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบไปก้าวก่ายรสนิยมของคนอื่น

“แต่...ฉันไม่เคยชอบใครนอกจากคิริฮาระซังกับนัตสึเมะซังนี่นา”

“ความชอบของนายมันเป็นความชอบแบบเด็ก ๆ  นายก็พูดเองนี่นา  ทีนี้นายจะรู้ได้ยังไงว่าที่นายรู้สึกดีกับคุณเจ้าของร้านมันไม่ใช่ความรู้สึกแบบครั้งก่อนนั่น”

“มะ...มันไม่เหมือนนะ  ไม่เหมือนเลย”

แม้จะอธิบายไม่ได้แต่ฟุยุกิก็รู้ดีว่ามันไม่เหมือนกัน  ความรู้สึกที่เขามีต่อคิริฮาระเร่าร้อนกว่านี้  วูบไหวกว่านี้  และยึดติดมากกว่านี้  เป็นความรู้สึกว่าดีใจที่ได้อยู่ข้าง ๆ และเป็นที่สนใจ  อยากยึดเอาไว้เป็นของตน  อยากเอาชีวิตไปฝากเขาไว้  แต่กับนัตสึเมะแล้ว  เขารู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ข้าง ๆ  อยากให้นัตสึเมะรู้สึกดีที่เห็นเขายืนได้ด้วยขาของตัวเอง  อยากให้นัตสึเมะดีใจที่เห็นเขามีพัฒนาการในทางที่ดี  อยากให้นัตสึเมะคอยเฝ้าดูเขาไปเรื่อย ๆ...เขารู้สึกกับนัตสึเมะแบบนั้นแหละ

“มันไม่เหมือนกัน...คิริฮาระซังไม่ได้ชอบฉัน  แต่...นัตสึเมะซัง...”  ฟุยุกิสูดลมหายใจลึก  “นัตสึเมะซังบอกว่าชอบฉันนะ”

เคียวยะกับมิโนรุนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

“ขะ...เขาบอกว่า...ชอบฉัน...ชอบมาตั้งแต่แรก...ชอบฉันที่เป็นคนไม่เอาไหนแบบนี้...มาตลอด...”

พูดแล้วเด็กหนุ่มก็ก้มหน้างุด  มือที่กุมถ้วยชาเกร็งน้อย ๆ

“เขาพูดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”  เคียวยะถาม

ฟุยุกิพยักหน้ารับ

“งั้นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะคุยกับนายคนเดียวแล้วละ  ท่าทางฉันคงต้องคุยกับเขาด้วยแล้ว”

“หา?”

“ไว้ฉันจะนัดไป  ฝากบอกคุณเจ้าของร้านด้วยนะ”

...

นัตสึเมะมองท่าทางแตกตื่นของลูกจ้างแล้วก็พอจะเข้าใจ  เขาเองก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเหมือนกัน  การที่เคียวยะจะนัดพูดคุยกับเขานั้นมันออกจะใกล้เคียงกับ...การขอพบหน้าว่าที่ลูกเขย...แบบนั้นเลยทีเดียว  ฟุยุกิเป็นน้องคนเล็ก  แม้จากที่เจ้าตัวเคยเล่าให้ฟังจะดูเหมือนพวกพี่ชายไม่ค่อยเป็นคนอบอุ่นสักเท่าไรนัก  แต่จากที่ดูด้วยตาคร่าว ๆ แล้วนัตสึเมะบอกได้เลยว่าพี่ชายสองคนนี้ทั้งหวงและห่วงน้องไม่น้อย  ก็คงเหมือนเขาห่วงฮารุกะนั่นแหละ  ถ้าฮารุกะจะมีแฟนเป็นตัวเป็นคนสักคนเขาก็คงอยากคุยกับคนคนนั้นด้วยเหมือนกัน

แล้วยิ่งถ้าจะไปอยู่ด้วยกัน...ยิ่งต้องคุย

“ครับ  ผมเข้าใจแล้ว  ไว้จะเตรียมอาหารเครื่องดื่มอร่อย ๆ ไว้รอนะครับ”

“ทำไมพี่เคียวยะต้องมาคุยกับนัตสึเมะซังด้วยล่ะครับ?  ทำไมดูมันเป็นเรื่องใหญ่จัง  พี่สองคนดูจริงจังมากเลยละครับ”  ฟุยุกิยังมีท่าทีตื่น ๆ

“ก็...ผมชวนน้องชายเขามาอยู่ด้วยนี่ครับ  เขาก็ต้องอยากให้แน่ใจเป็นธรรมดา”

“แค่ย้ายมาอยู่ด้วยเอง  ก็เหมือนมาเช่าห้องนี่ครับ”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ  นี่มันคือการมาใช้ชีวิตร่วมกันนะครับ”  นัตสึเมะพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ใช้...ชีวิตร่วมกัน...?”  ฟุยุกิดูงุนงงกับคำพูดนั้นนิด ๆ

“ครับ  ใช้ชีวิตร่วมกัน...แบบครอบครัว”

สมองของฟุยุกิว่างเปล่าไปชั่วขณะ  ก่อนจะรู้สึกเหมือนยืนอยู่ที่ฐานปล่อยจรวดอพอลโล  คำว่าครอบครัวกระแทกเข้ามาในสมองแล้วสะท้อนลงไปยังหัวใจเหมือนโดนไอพ่นจรวดอัดใส่หน้า  เกิดแรงสะเทือนสะท้านไปทั้งร่างระดับน้อง ๆ แผ่นดินไหวเลยทีเดียว

“ครอบครัว!?”  เด็กหนุ่มเผลอตะโกนออกมา

“ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอครับ  ผมว่าพวกคุณพี่ของฟุยุกิคุงเขารู้กันหมดแล้วละครับ  ไม่อย่างนั้นคงไม่อยากมาคุยกับผมแน่”

ฟุยุกิรู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม

“โอ๊ะ  นั่งก่อนครับ”  นัตสึเมะประคองเด็กหนุ่มที่ยืนโงนเงนลงนั่งที่เคาน์เตอร์

“ทำไม...เรื่องมันไปขนาดนั้นได้...”

“มันไปขนาดนั้นตั้งแต่ผมชวนฟุยุกิคุงมาอยู่ด้วยกันที่นี่แล้วละครับ”  นัตสึเมะลูบหลังฟุยุกิเบา ๆ  “ไม่สิ...มันไปขนาดนั้นมาก่อนจะเกิดเรื่องเคย์โกะซังต่งหากล่ะครับ  ฟุยุกิคุงเคยบอกไม่ใช่เหรอครับว่าชอบบรรยากาศแบบครอบครัวของคิริฮาระกับคิโยฮารุคุง  แล้วผมก็บอกว่าถ้าชอบแบบนั้นผมก็โอเคนะ...น่ะ”

“ตะ...ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ...?”

“ผมเป็นคนคิดไกลครับ”  ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าฟุยุกิ  “เพียงแต่...ฟุยุกิคุงรังเกียจหรือเปล่า  ที่จะมาอยู่กับผมแบบนั้นน่ะ?”

คราวนี้เด็กหนุ่มไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ไม่...ไม่รังเกียจหรอกครับ”

ใช่...เขาดีใจเสียด้วยซ้ำ  เพียงแต่...

“แต่...ท่าทางพี่เคียวยะจะไม่ชอบใจ...”

“ก็เป็นธรรมดาครับ”  นัตสึเมะปลอบ  ความเบี่ยงเบนทางเพศของคนในครอบครัวเป็นประเด็นอ่อนไหวเสมอ...ก็แปลกที่พ่อกับอากิโตะไม่ได้พูดอะไรเรื่องที่เขาชอบฟุยุกิ  แต่คงเพราะเห็นเขาถึงขนาดยุ่งกับเคย์โกะได้  จะเป็นอะไรก็คงไม่แปลกแล้วละมั้ง

“พี่เขาว่าผมน่าจะลองคบผู้หญิงดูก่อน  เผื่อจะชอบผู้หญิง”

“แล้วฟุยุกิคุงอยากลองไหมล่ะครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ

“ถึงจะอยากก็ไม่มีให้ลองหรอกครับ”  เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ย

“มีสาว ๆ ในร้านมองฟุยุกิคุงหลายคนนะครับ  ถ้าเปิดโอกาสให้หน่อยเขาอาจจะจีบเอาก็ได้นะครับ”  แม้จะเป็นการแหย่เล่นแต่ก็เป็นความจริง    พวกลูกค้าสาว ๆ พูดคุยกันถึงฟุยุกิไม่น้อย  มีทั้งที่แอบมองตามแล้วกระซิบคิกคักกันก็มาก  หากฟุยุกิไม่ขี้ตื่นเกินไปนักก็อาจจะมีสาวสักคนลุกขึ้นมาจีบก็ได้

“เอ๋?...ไม่จริงหรอก  นัตสึเมะซังโกหกผมเล่นอีกแล้ว”

“เอ...ผมว่าผมไม่เคยโกหกฟุยุกิคุงนะครับ  แต่ถ้าไม่ชอบลูกค้าในร้าน...ฮารุกะยังว่างอยู่นะครับ  ยังไม่มีแฟน”

“นะ...นั่นมันน้องสาวนัตสึเมะซังนี่ครับ  ไม่เอา ๆ...ไม่เอาหรอกครับ”

“ถึงจะขี้วีนไปบ้างแต่เป็นเด็กดีนะครับ”

“ไม่เอาครับ  อะไรกัน...ผมอุตส่าห์ดีใจ...ที่นัตสึเมะซังชวนมาอยู่ด้วย...”  เด็กหนุ่มก้มหน้างุด  กำผ้ากันเปื้อนแน่น...นัตสึเมะพูดเหมือนเห็นด้วยกับเคียวยะอย่างนั้นแหละ

เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วนัตสึเมะก็ยิ้ม  กุมมือของฟุยุกิไว้เบา ๆ

“ขอโทษครับ  ผมแค่แหย่เล่นเท่านั้นเอง  ผมก็ไม่ได้อยากให้ฟุยุกิคุงไปคบกับใครหรอกครับ  ถึงจะเป็นฮารุกะก็เถอะ”

“...จริงนะครับ...”  ฟุยุกิช้อนตาขึ้นมองแบบชวนให้หัวใจละลายได้

และนัตสึเมะก็ละลาย...

“จริงสิครับ”

ริมฝีปากอุ่นแนบลงที่ข้างแก้มของฟุยุกิแผ่วเบา  รู้สึกได้ถึงอาการกระตุกเกร็งน้อย ๆ จากแก้มนั้นก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายลง  รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอ่อน ๆ ที่แทรกมากับกลิ่นน้ำหอมที่ฟุยุกิใช้เป็นประจำ...กลิ่นนี้สินะที่คิริฮาระเคยบอกว่าบริสุทธิ์จนไม่กล้าแตะต้อง

“มันก็ไม่ควรจะสวีทกันตั้งแต่เพิ่งเปิดร้านหรือเปล่า?”

น้ำเสียงไม่สบอารมณ์หน่อย ๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่งหน้าประตู  นัตสึเมะรีบลุกพรวดผละออกจากฟุยุกิทันที

“คิ...คิริฮาระ!!?”

“ก็ท่านคิริฮาระน่ะสิ  แล้วก็นะ...จะสวีทก็แนะนำหลังเคาน์เตอร์  ไม่ใช่หน้าเคาน์เตอร์แบบนี้  เดี๋ยวเรตติ้งร้านก็พุ่งกระฉูดจนขายไม่ไหวจะทำยังไง”  คิริฮาระสะบัดผมอย่างมีมาดน่าหมั่นไส้ตามสไตล์ตัวเอง

“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่เวลานี้ได้เนี่ย  นายไม่เคยตื่นเช้าไม่ใช่เรอะ?”  นัตสึเมะเกือบจะขึ้นเสียงหน่อย ๆ หน้าแดงนิด ๆ  สีหน้าแตกตื่นนั่นทำให้คิริฮาระนึกสนุก

“ตื่นเช้า?...แน่น้อน  ฉันไม่ได้ตื่นเช้า  ถ้านายจะแหกขี้ตาดูหน้าฉันบ้างนะ  นัตสึเมะ...ฉันยังไม่ได้นอน...”  คิริฮาระมองหน้าเพื่อนแล้วยิ้มขวาง ๆ แบบคนสติหลุดไปครึ่งหนึ่งเพราะอดนอน  “ฉันปรับปรุงร้านใหม่  ไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว  ทั้งทำบัญชี  จัดสต็อกของ  ซื้อของใหม่เข้าร้าน  โดนจิวจังด่า...พออะไร ๆ ลงตัวจนกลับไปนอนได้ก็แวะมาหากาแฟอร่อย ๆ ดื่มก่อนเข้าบ้าน...แล้วดันมาเจอฉากสวีทน่าอิจฉาเนี่ยนะ  ฮึ่ย...”

“...พาล...สินะ”

“พาลเฟ้ย!  เอาเอสเปรสโซมา  คุกกี้ด้วย  แซนด์วิชเลยก็ได้  แล้วก็เอาฟุยุกิคุงมาเสิร์ฟด้วย”

“อะ...เอ๊ะ...ทำไมเป็นผม...?”  ฟุยุกิที่หน้าแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุกละล่ำละลัก

“ไม่รุ!  โหยหาความน่ารัก  มีอะไรไหม?”  คิริฮาระว่าพลางเดินตุบตับไปนั่งลงที่เก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์ด้านในสุดที่นั่งเป็นประจำ  “เร็ว ๆ  เอามาเร็ว ๆ เลย เร้ว!!”

“ไม่ต้องหาเหตุผลกับคนพาลหรอกครับ  ฟุยุกิคุง  เดี๋ยวคิโยฮารุซังมาก็หายบ้าเองแหละ  มาช่วยผมทำแซนด์วิชดีกว่า”
พูดแล้วนัตสึเมะก็จับมือฟุยุกิเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์  นึกด่าคิริฮาระอยู่ในใจ...เพื่อนเวร...

...

ฝนต้นฤดูร้อนยังตกพรำ ๆ สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้คนที่สัญจรไปมาในเมืองหลวงแห่งนี้  แต่ความชื้นแฉะเหนอะหนะไม่ได้รบกวนสวนสวยที่ฟุยุกิกำลังนั่งมองอยู่นี่เลย  เปล่า...ไม่ใช่สวนญี่ปุ่นที่บ้านหรอก  แต่เป็นสวนของภัตตาคารญี่ปุ่นขนาดใหญ่หรูหราแบบที่ฟุยุกิไม่เคยคิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้จะได้มาเยือน  ต้นหลิวในสวนส่ายกิ่งที่เต็มไปด้วยใบสีเขียวสดรับแรงกระทบของเม็ดฝน  ต้นไม้ใบหญ้าดูสดชื่นเต็มที่  ต่างจากฟุยุกิโดยสิ้นเชิง

ตอนนี้ฟุยุกิกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศกดดันเป็นอย่างยิ่ง  ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คือนัตสึเมะ...และฝั่งตรงข้ามของโต๊ะไม้ตัวใหญ่สวยงามคือพี่ชายทั้งสองคน

ในขณะที่ฟุยุกินั่งตัวเกร็ง  นัตสึเมะกลับมีท่าทีสบาย ๆ  ฟุยุกิเกร็งมาตั้งแต่วันที่เคียวยะบอกว่าขอคุยกับนัตสึเมะที่ร้านอาหารแห่งนี้แล้ว  ยิ่งเห็นนัตสึเมะไม่คิดมากอะไรก็ยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่  นัตสึเมะดูผ่อนคลายเหมือนเวลาอยู่ที่ร้าน  วันนี้เขาไม่ได้แต่งตัวเป็นทางการอะไรด้วยซ้ำ  แค่ใส่เสื้อเชิ้ตสีสุภาพและรวบผมเรียบร้อยกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: Lock on You 19/ 15-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 15-01-2016 19:47:38
พี่ชายทั้งสองของฟุยุกิมาในชุดทำงาน  แม้จะเป็นการใส่สูทผูกเนกไทธรรมดาแต่ความเนี้ยบและออร่าของนักกฎหมายก็ข่มฟุยุกิจนอยู่หมัด  หากนัตสึเมะไม่สะทกสะท้านเลย  เขาทักทายทั้งสองอย่างสุภาพเหมือนเวลาพบกันที่ร้านแล้วก็นั่งรอให้เคียวยะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน  ในความคิดของฟุยุกิแล้ว...สีหน้ายิ้มเรื่อย ๆ นั่นดูจะกดดันเคียวยะเสียมากกว่า

“คุณเจ้าของร้าน...ไม่สิ  อิชิกาวะซัง”  เคียวยะเริ่มในที่สุด

“ครับ?”  นัตสึเมะยิ้มหวาน...ยิ้มหวานจริง ๆ  ฟุยุกิดูไม่ผิดแน่ ๆ  และรอยยิ้มนั้นก็ทำเอาเคียวยะอึ้งไปชั่วขณะ

“อะ  เอ่อ...ได้ยินว่าคุณชวนฟุยุกิไปพักกับคุณที่ร้านเหรอครับ?”

“ครับ  ก็เห็นว่าคุณพี่คนรองกำลังจะแต่งงานและฟุยุกิคุงจะหาที่อยู่ใหม่  แต่ดูจะมีปัญหานิดหน่อยก็เลยชวนดูน่ะครับ”

“จะสะดวกหรือครับ?”

“เรื่องที่ทางสะดวกเหลือเฟือครับ  ชั้นสองของบ้านผมเป็นแค่ห้องโล่ง ๆ ใหญ่ ๆ  กั้นห้องได้อีกตั้งสองห้องเลยละครับ”  นัตสึเมะอธิบายทั้งยังยิ้ม

“แล้ว...เรื่องอื่น...จะสะดวกหรือครับ?”  เคียวยะถามอ้อม ๆ

“เรื่องอื่น?”  นัตสึเมะทำเป็นไม่รู้ความนัยในคำถามนั้น

“ก็เช่นครอบครัว”

“ผมโสดครับ”

“ไม่ใช่ครับ  ไม่ใช่คนรัก  หมายถึงครอบครัวของคุณคนอื่น ๆ...คือ...คุณจะรับน้องชายของผมไปอยู่ด้วย...จะสะดวกหรือครับ?”

นัตสึเมะรู้ว่าเคียวยะหมายถึงอะไร  เขาเป็นผู้ชายที่กำลังจะรับผู้ชายไปอยู่ในบ้านเดียวกัน  มองจากสายตาของครอบครัวอาริโยชิยังเป็นเรื่องน่าขัดข้อง  แล้วครอบครัวของนัตสึเมะจะไม่มีปัญหาหรือ

“เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาครับ  พ่อกับพี่ชายผมเข้าใจดี  ส่วนน้องสาวอาจจะงอแงบ้างแต่แกก็ไม่มายุ่งเรื่องส่วนตัวของผมหรอกครับ”

“แปลว่าคุณพ่อกับพี่ชายของคุณรู้มาตลอดว่าคุณเป็น...เอ่อ...แบบนี้?”

มิโนรุกับฟุยุกิถึงกับออกอาการเกร็งกับคำพูดของเคียวยะ  มันดูขวานผ่าซากเกินไปยังไงก็ไม่รู้

“เปล่าหรอกครับ  ผมก็ไม่เคยเป็น – แบบนี้ – มาก่อน  เพิ่งเคยเป็นนี่แหละครับ”  คนต้นเรื่องยังดูสบาย ๆ

“หมายความว่ายังไงครับ?”

“หมายความว่า...ผมไม่เคยชอบใครมาก่อนเลยน่ะครับ  ฟุยุกิคุงเป็นคนแรก”

คำตอบตรง ๆ นั่นทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ  ก้มหน้างุด

เคียวยะกำลังจะถามต่อก็ถูกขัดจังหวะเมื่อพนักงานนำอาหารและเหล้าสาเกเข้ามาเสิร์ฟ  ไม่มีใครพูดอะไรจนเธอกลับออกไป  นัตสึเมะรีบหยิบขวดเหล้ารินใส่จอกให้เคียวยะกับมิโนรุทันที

“ดื่มก่อนเถอะครับ  กลิ่นหอมเชียว  ต้องเป็นสาเกชั้นดีแน่ ๆ”  นัตสึเมะบอกกับพี่ชายทั้งสองของฟุยุกิด้วยท่าทางเหมือนเป็นเจ้าของร้านเสียเอง

“อื้ม  อร่อย”  มิโนรุพูดออกมาหลังจากยกสาเกขึ้นดื่ม

“ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ”  เคียวยะพูดเสียงเข้ม

“เอ๊ะ...?”  มิโนรุชะงัก  กำลังจะเถียงว่าสาเกอร่อยย่อมไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว  แต่สัมผัสได้ถึงรังสีตึงเครียดบางอย่างของพี่ชายเลยสงบปากไว้ทัน

“เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณไม่เคยชอบใครมาก่อน?”  เคียวยะพูดกับนัตสึเมะ

“ครับ  ฟุยุกิคุงเป็นคนแรก”  เจ้าของร้านกาแฟย้ำ

“แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าคุณชอบผู้ชายจริง ๆ?”

คำถามเป็นประเด็นเดียวกับที่ถามฟุยุกิ  ถ้าไม่เคยมีความรักแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าชอบเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน  เป็นคำถามที่ฟุยุกิตอบไม่ได้  แต่นัตสึเมะตอบทันที

“ผมไม่รู้หรอกครับว่าผมชอบผู้ชายหรือเปล่า  ผมแค่ชอบฟุยุกิคุงเท่านั้นเองครับ”

หน้าที่แดงอยู่แล้วของฟุยุกิยิ่งแดงก่ำเหมือนเลือดจะระเบิดออกทางรูหูได้  ส่วนมิโนรุก็ดีใจที่ตัวเองกลืนสาเกลงคอไปหมดแล้ว  ไม่อย่างนั้นต้องสำลักแน่...เขารู้ว่าเจ้าของร้านกาแฟคนนี้ไม่ธรรมดา  แต่ก็ไม่คิดจะว่าจะไม่ธรรมดาขนาดนี้

“แหม...ชีวิตผมมันก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ น่ะครับ  ทำร้านกาแฟมาสิบกว่าปีก็มีลูกค้าเข้ามาจีบบ้าง  มีผู้หญิงมายุ่งด้วยบ้าง  มีเพื่อนผู้ชายที่คนอื่นเข้าใจผิดว่าคบกันบ้าง  แต่ผมก็ไม่เคยชอบใครจริงจังหรอกครับ  ฟุยุกิคุงเป็นคนแรก...ยังไงดี  คือผมเป็นฝ่ายชอบฟุยุกิคุงก่อนเสียด้วยซ้ำน่ะครับ”

ตรงเกินไปแล้ว!!...กายละเอียดของเคียวยะตะโกนแบบนั้น  แถมวิธีพูดนิ่ม ๆ เรื่อย ๆ ไม่ใส่อารมณ์แต่แทงเข้าประเด็นจัง ๆ ตลอดเวลานี่มัน...ถ้าเป็นทนายความที่ต้องสู้กันในศาลจะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่ต่อกรยากแน่ ๆ

แต่ยังหรอก...เคียวยะยังไม่แพ้  ยังมีประเด็นอื่นให้เขารุกได้อีก

“ได้ยินแบบนั้นก็พอจะดีใจหรอกนะครับ  ว่าอย่างน้อยคุณก็จริงใจกับน้องชายของผม  แต่มันเรื่องอะไรถึงได้เป็นฟุยุกิล่ะครับ?”

นัตสึเมะยิ้มก่อนจะตอบ

“ตอนแรกที่เห็นฟุยุกิคุง...เขาดูเหนื่อยเต็มทีครับ  ผมเลยอยากช่วยเป็นที่พักเหนื่อยให้เขา  แล้วระหว่างที่คอยเป็นที่พักให้เขา  ผมก็รู้สึกอยากปกป้องเขามากขึ้นทุกทีน่ะครับ  อยากเห็นเขาผ่อนคลายมากกว่านี้  อยากเห็นเขายิ้มมากกว่านี้  อยากเห็นเขามีความสุขมากกว่านี้...รู้ตัวอีกที  ความรู้สึกแบบนี้มันคงเรียกว่าชอบได้แล้วละมั้งครับ  ผมก็เลยบอกกับเขา”

“...แล้วก็เลยชวนไปทำงานที่ร้านสินะ...”  มิโนรุพึมพำขึ้นมาเบา ๆ...พวกเขาเองที่คิดไม่ทันไอ้หมอนี่

“อยู่ใกล้ ๆ ตาก็จะรู้สึกเป็นห่วงน้อยหน่อยน่ะครับ”

“แล้วทีนี้เลยคิดจะเอาไปอยู่ใกล้มาก ๆ เลยสินะ”  มิโนรุค่อน

“จริง ๆ ถ้าคุณพี่ไม่ได้จะแต่งงานผมก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรหรอกครับ  จังหวะมันเหมาะพอดีมากกว่า”

“อ้าว  พูดเหมือนผมเป็นฝ่ายผิดที่จะแต่งงานซะงั้น...”

“เปล่าครับ  เปล่า”  นัตสึเมะหัวเราะพลางปฏิเสธแล้วรินเหล้าให้มิโนรุอีก  “ผมแค่บอกว่าจังหวะมันดีเท่านั้นเองครับ”

“เดี๋ยวสิ...ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ”  เคียวยะขัดขึ้นเมื่อเห็นบรรยากาศจะไหลไปเข้าทางนัตสึเมะ

“ครับ  ผมก็ว่าประเด็นของคุณพี่คนโตไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก”  พูดแล้วนัตสึเมะก็รินเหล้าให้เคียวยะ

ฟุยุกิดูต่างฝ่ายต่างพยายามสกัดลูกยิงซึ่งกันและกันอย่างทึ่ง ๆ...บางที  ต่อให้เป็นพ่อของเขา  นัตสึเมะก็คงรับมือได้สบายสินะ

“ที่คุณจริงใจกับฟุยุกิน่ะก็ไม่เป็นไรหรอก  แต่คุณรู้บ้างไหมว่าสังคมจะมองพวกคุณยังไง”  เคียวยะมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น  “ที่ประเทศอื่นผมไม่รู้หรอกนะ  แต่สังคมญี่ปุ่นมันไม่ใช่  เราไม่ได้ยอมรับพวกรักร่วมเพศได้ขนาดนั้น  พูดตามตรงเลยว่าสังคมของเรายังใจแคบ  เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว...”

ตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น  เคียวยะชะงักคำพูดทันที  พนักงานเสิร์ฟนำอาหารชุดต่อไปมาให้  เธอวางจานลงอย่างนุ่มนวล  หากก่อนจะออกจากห้องไปเธอแอบเหลือบมองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ

เคียวยะรอจนแน่ใจว่าพนักงานสาวเดินพ้นไปแล้วจึงพูดต่อ

“...ก็อย่างที่เห็น  เห็นสายตาของเธอไหม  ยุกิ  แค่ได้ยินเรื่องที่พวกเราคุยกันนิดหน่อยเท่านั้น...ดูท่าทีของเธอสิ”

ฟุยุกิชาวาบไปทั้งหน้า  เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน  ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตโดยไม่ได้สนใจใคร  ลำพังเรื่องของตัวเองเขาก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว  จะมีเวลาไปใส่ใจใครได้  เขาไม่เคยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องรักร่วมเพศใด ๆ ทั้งสิ้น  ไม่เคยทั้งสนับสนุนหรือรู้สึกรังเกียจ  รู้แค่ว่ามันเป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับกันเท่านั้น  ซึ่งความรับรู้นี้เองที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ใจในตอนแรกที่รู้ตัวว่าชอบคิริฮาระ  แต่เมื่อได้คุยกับนัตสึเมะและโทโมกิแล้วพบว่าทั้งสองยอมรับเรื่องนี้ได้  ความทุกข์นั้นก็ค่อยคลายลง

แต่พอเห็นแบบนี้ก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่  ที่นัตสึเมะยอมรับได้เพราะคลุกคลีกับคิริฮาระมานาน  รู้ความเป็นมาเป็นไปในความรักของคิริฮาระมาตลอด  ส่วนโทโมกิก็มีคนรักเป็นผู้ชายอยู่แล้วจึงไม่รู้สึกว่ามันแปลกอะไร  แต่กับคนอื่นมันไม่ใช่...เห็นสายตาของพนักงานสาวเมื่อกี้ก็พอจะรู้แม้เธอจะไม่พูดออกมา  ถึงที่นี่จะเป็นห้องส่วนตัว  แต่เสียงพูดคุยก็ลอดออกไปได้บ้าง  เธอคงจะได้ยินบางส่วน  และเมื่อดูสัดส่วนท่าทีของคนในห้องแล้ว  เธอคงตัดสินใจว่าคนที่จัดอยู่ในคำว่า  “รักร่วมเพศ”  ต้องเป็นเขากับนัตสึเมะแน่

สายตาที่มองมาดูตะขิดตะขวงใจ...และฉาบไว้ด้วยความรังเกียจ

“สังคมเราไม่ได้ยอมรับพวกรักร่วมเพศเลยนะ”  เคียวยะพูดต่อ  “แล้วนายจะทนกับสายตาแบบนั้นได้ไหม  เวลานายเดินไปไหนมาไหนกับอิชิกาวะซังแล้วมีคนมองแบบนั้น  นายทนได้หรือเปล่า  พี่ไม่อยากให้นายต้องถูกสังคมเหยียดหยามแบบนั้นนะ”

ฟุยุกิไม่ตอบ...เขาตอบไม่ได้  แค่สายตาของคนคนเดียวก็ทำเขาชาไปทั้งตัวแล้ว  นั่นสิ...เขาจะทนได้หรือ  ถ้าออกไปเดินตามถนนหนทางแล้วถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น  เขาจะอยู่เคียงข้างนัตสึเมะได้หรือ

แต่...มันอาจไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปก็ได้...

“คุณพี่ครับ”  เป็นนัตสึเมะที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ  “ผมคิดว่าเรื่องนั้นไม่มีปัญหานะครับ”

“จะไม่มีปัญหาได้ยังไง  เมื่อกี้คุณก็เห็น...”  เคียวยะเถียง

“นั่นเพราะเธอได้ยินเรื่องที่เราคุยกันครับ  ตอนเธอมาเสิร์ฟอาหารรอบแรกเธอก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรนี่ครับ”

เคียวยะกับมิโนรุนิ่งไปนิดหนึ่ง...มันก็จริง

นัตสึเมะทำท่าเหมือนจะเลือกคำพูดอยู่นิดหนึ่งจึงพูดว่า

“คือเรื่องแบบนี้มันน่าจะอยู่ที่การแสดงออกของเราด้วยละครับ  ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง...พูดตรง ๆ เลยนะครับ...เป็นเกย์  เพื่อนผมคนนี้มีคนรักที่เรียนที่เดียวกันและอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้  คนรักของเพื่อนผมเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยครับ  และไม่มีใครสังเกตเลยว่าสองคนนี้เป็นคนรักที่อยู่ด้วยกัน  เพราะเขาไม่แสดงออกครับ  ไม่เคยเดินจับมือกัน  ไม่เคยแสดงท่าทางสวีทกัน  ไม่เคยพูดอะไรให้คนจับได้ในที่สาธารณะ  ที่เดียวที่พวกเขาจะแสดงออกนอกบ้านคือในร้านของผมครับ...ดังนั้นผมถึงกล้าบอกว่าไม่เป็นปัญหา”

“อาจารย์มหา’ ลัยเลยเหรอ...?”  มิโนรุทวนคำ

“ครับ  ก็มหา’ ลัยที่อยู่ตรงข้ามร้านนั่นแหละครับ  ลูกค้าประจำที่ร้านตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา”  นัตสึเมะละความจริงที่ว่าสมัยเป็นนักศึกษา  เขารู้กันค่อนมหาวิทยาลัยว่าคิริฮาระกับคิโยฮารุคบกันเป็นแฟน

“ไม่มีใครรู้เลยจริง ๆ เหรอครับ?”  เคียวยะออกจะทึ่ง  สำหรับบางอาชีพแล้ว  การเป็นพวกรักร่วมเพศมีความเสี่ยงจะตกงานมากกว่าคนอื่นในกรณีที่เรื่องแดงออกไป

“ไม่แสดงออกเสียอย่างก็ไม่มีใครรู้หรอกครับ  ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ  แค่เดินด้วยกัน  คุยกัน...มันไม่ทำให้คนอื่นคิดว่าเราเป็นเกย์หรอกครับ  สองคนนั้นวางตัวดี  และผมก็คิดว่าพวกผมคงเป็นแบบพวกเขาละครับ”  นัตสึเมะเน้นคำว่า...พวกผม...ชัดเจน  “จริง ๆ แล้วผมไม่แคร์สังคมเท่าไรหรอกครับ  เพราะถ้าไม่บอกก็ไม่มีใครรู้  งานของผมอยู่ในร้านของผม  ไม่ได้มีเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานที่ไหนมาคอยจับผิด  ถึงจะมีลูกค้าจับสังเกตบ้างก็จะกลายเป็นแค่ข่าวลือ  เราห้ามปากกับใจคนอื่นไม่ได้นี่ครับ  ผมเองก็เคยมีข่าวลือกับเพื่อนผมคนนั้น  ก็ไม่มากมายอะไร  ผมคิดว่าผมรับผิดชอบฟุยุกิคุงในเรื่องนี้ได้ครับ  ที่ผมแคร์คือครอบครัวมากกว่า  ถ้าครอบครัวยอมรับได้  อะไร ๆ มันจะง่ายขึ้นมากทีเดียว  นี่คือเหตุผลที่ผมมาคุยกับพวกคุณพี่ในวันนี้ละครับ”

นัตสึเมะจบแค่นั้นแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม

เคียวยะกับมิโนรุได้แต่ครุ่นคิด  งั้นหรือ...ข้อสำคัญคือการยอมรับจากคนในครอบครัวงั้นหรือ  จะว่าไปแล้วพวกเขาก็ยอมรับมาตลอดตั้งแต่รู้เรื่องว่าฟุยุกิชอบผู้ชาย  แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการยอมรับนั้นมันมากแค่ไหนและมั่นคงแค่ไหน

มิโนรุเองไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก  ตอนที่รู้ครั้งแรกเขาตกใจมากก็จริง  แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากฟุยุกิและเห็นว่าคนที่ฟุยุกิชอบเป็นคนยังไง  เขาก็รู้สึกเบาใจเสียด้วยซ้ำ  และยิ่งเห็นฟุยุกิทำงานอย่างสบายอกสบายใจอยู่ในร้านกาแฟของนัตสึเมะ  ตัวเขาก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นด้วย  ที่จริงเขาก็เป็นห่วงฟุยุกิเหมือนกันตอนที่คิดจะแต่งงาน  แต่ก็คิดว่าน้องชายคงกลับไปอยู่บ้านพ่อ  ไม่คิดว่าจะดิ้นรนหาทางออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้  แต่พอนัตสึเมะเสนอให้ไปอยู่ด้วยกัน  เขาก็โล่งใจขึ้นมาทันที  ไม่ได้คิดถึงเรื่องว่านัตสึเมะเป็นคนที่ฟุยุกิชอบเลยด้วยซ้ำ  ที่เขาคิดอะไรง่าย ๆ แบบนี้ก็เพราะเขาเป็นพี่ชายของฟุยุกิ...คิดแค่แบบพี่ชายเท่านั้น

แต่เคียวยะไม่ใช่  เคียวยะดูแลฟุยุกิมาเหมือนเป็นลูก  ดูแลเรื่องการเรียนมาตลอด  กระทั่งไปงานพบผู้ปกครองแทนพ่อเสียด้วยซ้ำ  ดังนั้นความรู้สึกของเคียวยะที่มีต่อฟุยุกิจึงล้ำลึกกว่าและคิดมากกว่ามิโนรุไปมาก  ตอนแรกที่เขารู้ว่าฟุยุกิป่วยเพราะอกหัก...เขาโกรธ  โกรธที่มีใครบางคนมาทำให้น้องที่เขาดูแลมาเป็นอย่างดีต้องเจ็บปวดขนาดนั้น  แต่เมื่อตามหาตัวสองคนนั้นจนเจอแล้วเขาก็พบว่าทั้งสองเป็นคนดี  และสิ่งที่ทั้งสองคนนั้นเป็นชี้ให้เห็นความบกพร่องในการเลี้ยงดูของเขาด้วย  เขาเลี้ยงฟุยุกิมาด้วยสมอง...ไม่ได้เลี้ยงด้วยหัวใจ  แต่ในขณะที่ฟุยุกิกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องที่ไม่สามารถใช้สมองอย่างเดียวจัดการได้  นัตสึเมะกลับประคับประคองหัวใจที่เปราะบางนั้นไว้ได้  เขาเห็นนัตสึเมะเข้าใจฟุยุกิเป็นอย่างดีระหว่างที่ทำงานด้วยกันในร้านก็รู้สึกเบาใจ  ความจริงแล้วเขาไว้ใจให้นัตสึเมะดูแลฟุยุกิมากเลยทีเดียว  แต่พอได้ยินว่านัตสึเมะบอกชอบฟุยุกิ...ความรู้สึกด้านศีลธรรมจรรยาก็ตื่นตัวขึ้นมา  เขากลัว...กลัวว่าคนอื่นจะมองน้องชายของเขาผิดปกติ  ฟุยุกิเป็นเด็กดี  นอกจากเรียนไม่เก่งแล้วแทบไม่เคยทำอะไรผิดเลย  ไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อนหรือผิดปกติอะไรด้วย  แต่เขากลัวว่าสังคมจะยัดเยียดความผิดปกตินั้นให้น้องชายของเขา  เพียงเพราะน้องของเขาชอบผู้ชายด้วยกัน

เคียวยะไม่อยากให้ใครมองฟุยุกิด้วยสายตารังเกียจเพราะเรื่องงี่เง่าพรรค์นั้น

...เรื่องงี่เง่า...พรรค์นั้น...?

เคียวยะสะดุดคิด  เขาเรียกเรื่องที่ฟุยุกิเป็นรักร่วมเพศว่าเรื่องงี่เง่าพรรค์นั้น  แปลว่าเขาไม่ได้เห็นว่ามันสำคัญสักนิดเลยสินะ  แล้วที่เขาร้อนใจจนต้องเรียกนัตสึเมะมาคุยด้วยมันเพราะอะไรกันแน่...ตัวเขาเองก็เชื่อใจและไว้ใจที่นัตสึเมะเข้าใจฟุยุกิเป็นอย่างดีถึงได้ยอมให้ทำงานที่ร้านกาแฟไม่ใช่หรือ  แล้วเพราะอะไร...ไม่ใช่เพราะเขากังวลเรื่องนัตสึเมะหรอก  เขากังวลเรื่องคนอื่นต่างหาก  คนที่ไม่เข้าใจจะไม่มีวันรู้เลยว่าฟุยุกิเป็นอย่างไร  ขนาดญาติกันเองยังบอกว่าฟุยุกิปัญญาอ่อนเพราะแม่มีเขาตอนอายุมากเกินไป  แล้วคนนอกจะเข้าใจว่าฟุยุกิเป็นอย่างไรถ้าเห็นตอนอยู่กับนัตสึเมะ  จะรังเกียจน้องชายเขาไหม  จะเหยียดหยามไหม...จะพูดใส่หน้าว่าตาย ๆ ไปซะก็ดีไหม...

เขาไม่อยากให้ฟุยุกิต้องเจออะไรอย่างนั้นทั้งที่มีความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ

แต่ถ้านัตสึเมะยืนยันว่าไม่เป็นไร...เขาควรจะเชื่อใจผู้ชายคนนี้ได้สินะ

เคียวยะถอนใจแรง ๆ  “พี่ไม่ค่อยเห็นด้วยในเรื่องนี้เท่าไรหรอก  แต่เรื่องความรู้สึกของคนแต่ละคนมันคงห้ามกันไม่ได้  ถ้ายังไงก็ต้องขอดูสักระยะก่อนละว่ามันจะไปได้ดีหรือเปล่า”

พูดแล้วเคียวยะก็หยิบขวดเหล้าขึ้นมาพยักเพยิดไปทางนัตสึเมะ  ซึ่งชายหนุ่มรีบหยิบจอกของตัวเองขึ้นมารับทันที  เคียวยะพูดเบา ๆ ขณะที่รินเหล้าให้นัตสึเมะ  ซึ่งมิโนรุกับฟุยุกิฟังแล้วได้แต่อมยิ้ม

“ถ้ายังไงก็ฝากดูแลน้องชายด้วยนะครับ  ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ส่งกลับมา...ที่บ้านยังมีห้องว่างเสมอ”


(โปรดติดตามตอนต่อไปครับ)
ป.ล. ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้วนะครับ (ยิ้มหวานแบบนัตสึเมะ)
หัวข้อ: Re: Lock on You 19/ 15-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 15-01-2016 23:33:33
อย่างกะมาขอหมั้น 555
 :m3:
หัวข้อ: Re: Lock on You 19/ 15-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-01-2016 00:20:53
ดูตัวชัดๆ  o13
หัวข้อ: Re: Lock on You 19/ 15-1-59
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 23-01-2016 01:59:54
ชิงไหวชิงพริบกันสุดๆ
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 07-02-2016 12:41:04
สวัสดีครับ ทุกคน
เมื่อต้นเดือนไม่อยู่บ้านครับ เลยไม่ได้อัพ
นี่ก็...จบแล้วละครับ
จบไปอีกเรื่อง ทีนี้ก็ครบซีรี่ส์แล้วละครับ (ตกลงมันคือซีรี่ส์งั้นเรอะ?)
ก็คาดว่าจะรวมเล่มสักปลายปีนี้น่ะครับ และยังไม่รู้เลยว่าจะได้เขียนนิยายเรื่องยาวแบบนี้อีกเมื่อไร ช่วงนี้งานแปลเข้าเยอะน่ะครับเลยไม่ได้เขียนนิยายตัวเองเลย
ถ้ายังไง สนใจติดตามเรื่องอื่นๆ หรือข่าวความคืบหน้าการรวมเล่มก็เชิญที่นี่นะครับ
https://web.facebook.com/hakuroallstory/
ขออนุญาตโฆษณานิดหนึ่งนะครับ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ

HAKURO_KOKURO
+++++++++++++++++++++++++++++++++

Lock on You 20

เข้าฤดูร้อนเต็มที่แล้ว  ที่มหาวิทยาลัยก็ปิดเทอมหน้าร้อนแล้ว  นักศึกษาทยอยหยุดเรียนกลับบ้าน  ทำงานพิเศษ  หรือไปท่องเที่ยวกันเยอะ  ลูกค้าที่ร้านน้อยลงไปถนัดใจ  กระทั่งคิโยฮารุกับคิริฮาระยังหายหน้าไปชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโด  ในช่วงเวลาแบบนี้เองที่ฟุยุกิกำลังจะย้ายเข้ามาอยู่ที่ร้านกับนัตสึเมะ

วันพุธซึ่งเป็นวันหยุดประจำร้าน  นัตสึเมะชวนฟุยุกิไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน

“จริง ๆ ไม่ต้องซื้อใหม่ก็ได้นี่ครับ  ผมใช้พวกเครื่องนอนที่นัตสึเมะซังเอาไว้รับแขกก็ได้”  ฟุยุกิบอกเพราะรู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองและรบกวนนัตสึเมะมาก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถึงทำแบบนั้นผมก็ต้องซื้อเครื่องนอนรับแขกใหม่อยู่ดีแหละ  ฟุยุกิคุงใช้ของใหม่ไปเลยน่ะดีแล้ว...ว่าแต่ไม่เอาเตียงจริง ๆ เหรอครับ?”

“ไม่เอาหรอกครับ  ผมถนัดนอนฟูกปูพื้นอยู่แล้ว  แถมเราก็มีตู้เก็บของที่ใช้กั้นห้องมาใช้เก็บฟูกแล้วด้วยนี่ครับ  ถ้าซื้อนั่นซื้อนี้เยอะก็เกรงใจนัตสึเมะซัง  เล่นไม่ยอมให้ผมออกค่าอะไรเลยนี่นา”  เด็กหนุ่มบ่นอุบอิบ

นัตสึเมะอมยิ้ม  ที่จริงเขากะจะกั้นห้องชั้นบนให้เป็นสัดส่วนเพื่อความเป็นส่วนตัวของฟุยุกิ  แต่เด็กหนุ่มกลับบอกให้ใช้ตู้เก็บของที่ตั้งชิดผนังอยู่มากั้นแทนเพื่อประหยัดค่าต่อเติมบ้าน  คนเป็นเจ้าของบ้านแอบดีใจกับไอเดียนี้  เพราะนั่นแปลว่าจะไม่มีอะไรขวางกั้นระหว่างพวกเขามากเกินไปนัก  เข้าทางเขาแบบที่ฟุยุกิไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

ซื่อบริสุทธิ์เกินไปมันก็ดีแบบนี้ละนะ...

นัตสึเมะเรียกช่างมาย้ายข้าวของ  ย้ายตู้เก็บของมายึดตรึงติดกับเพดานกลางบ้าน  และจัดการทำความสะอาดทาสีตกแต่งห้องใหม่ตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว  พออะไรพร้อมสรรพเรียบร้อยจึงได้ชวนฟุยุกิมาซื้อของใช้

ฟุยุกิเลือกฟูกนอนและผ้านวมเนื้อนุ่มคุณภาพดีกับปลอกนวมลายเรียบ ๆ  รวมถึงผ้าห่มขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวสีเข้มเรียบง่าย  นัตสึเมะยิ้มนิด ๆ กับรสนิยมการเลือกนั้น  ฟุยุกิเลือกของที่ขัดกับบุคลิกและเป็นผู้ใหญ่เกินตัว  ดูอย่างไรนั่นก็เหมาะกับเคียวยะหรือคุณพ่อเสียมากกว่า...ฟุยุกิไม่เคยเลือกของเอง  ไม่เคยมีรสนิยมของตัวเอง  แต่รสนิยมที่ซึมซับมาก็หล่อหลอมขึ้นมาเป็นตัวเขาในตอนนี้

“แน่ใจเหรอครับว่าชอบลายแบบนี้?”  นัตสึเมะลองหยั่งเชิงดู

“อืม...ไม่รู้สิครับ  ปกติใช้แต่แบบนี้มาตลอด”  คำตอบเรียบง่ายและเป็นไปตามคาด

“ไม่ลองเลือกแบบที่ตัวเองชอบดูเหรอครับ?”

“เอ๊ะ?”

“แบบที่คุณชอบไง  อะไรก็ได้  ลายอะไรก็ได้”

“เอ๊ะ...เอ่อ...”  ฟุยุกิทำหน้าลังเล  ไม่เคยมีใครบอกให้เขาเลือกเองมาก่อนเลย

“เอาพวกนี้ไว้นี่ก่อน  แล้วไปเดินหาลายที่ฟุยุกิคุงชอบกันเถอะครับ”  นัตสึเมะชวน

“...ครับ”  เด็กหนุ่มตอบอย่างไม่มั่นใจ  เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบลวดลายแบบไหน

แผนกเครื่องนอนมีปลอกผ้านวมให้เลือกมากมายจนตาลาย  มีตั้งแต่แบบหวานแหววน่ารักไปจนถึงเคร่งขรึมแบบผู้ใหญ่และแบบไม่มีลาย  ฟุยุกิมองไปรอบ ๆ ตัวด้วยสีหน้าลำบากใจ  แต่แล้วก็ไปสะดุดกับผ้าผืนสวยสีขาวที่มีลายใบเมเปิ้ลสีแดงและเหลืองให้ความรู้สึกแบบฤดูใบไม้ร่วงที่นุ่มนวล

“อันนี้ครับ”  ฟุยุกิชี้หมับโดยไม่ต้องคิด

นัตสึเมะเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยิ้มออกมา  ก็ดูเหมาะกับฟุยุกิดี  มันทำให้เขาหวนคิดไปถึงคอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงกับเพลงเดี่ยวไวโอลินของคิริฮาระ  ภาพที่ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงของเขา...คือฟุยุกิที่ยืนอยู่ท่ามกลางใบเมเปิ้ลสีแดง  ดังนั้นปลอกนวมผืนนี้จึงเหมาะกับฟุยุกิอย่างบอกไม่ถูก

“สวยครับ  เอาสิ”  นัตสึเมะตอบรับโดยไม่ถามราคาด้วยซ้ำ  เขาบอกความต้องการกับพนักงานแล้วพูดกับฟุยุกิต่อ  “ทีนี้ก็ผ้าห่มขนสัตว์นะครับ”

“ไม่มีลายเดียวกันเหรอครับ?”  ฟุยุกิถามพนักงาน

คำตอบคือไม่มี  ฟุยุกิจึงต้องไปเดินหาลายที่เขาน่าจะชอบเองอีกครั้ง  ผ้าห่มขนสัตว์มีลวดลายเยอะแบบกว่าปลอกนวม  แต่ฟุยุกิใช้เวลาไม่นานนักก็เลือกผ้าออกมาผืนหนึ่ง

“เอาผืนนี้ครับ”

“...วัว?”  นัตสึเมะกลั้นขำกับผ้าห่มลายขาวดำที่ดูแล้วอยากดื่มนมขึ้นมาทันที

“ไม่ใช่วัวเฉย ๆ นะครับ  มีแมวซ่อนอยู่ในวัวด้วย”  ฟุยุกิชี้ให้ดูลายผ้าชัด ๆ  จริงด้วย...ถ้ามองผ่าน ๆ จะเห็นแค่ลวดลายสีดำกระจายอยู่ตามผืนผ้า  แต่พวกจุดเล็ก ๆ กลับทำเป็นรูปแมวเอาไว้

“ตาดีจังครับ  ผมไม่สังเกตเลยนะเนี่ย”  นัตสึเมะออกปากชม  “ฟุยุกิคุงนี่ช่างสังเกตนะครับ”

ฟุยุกิหัวเราะอาย ๆ  ได้มาเลือกของใช้เองแบบนี้เป็นครั้งแรกมันรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก  ทีนี้เขาก็ได้ปลอกนวมลายสวยกับผ้าห่มขนสัตว์ลายน่ารักไว้ห่มนอนแล้ว...แต่เมื่อไรจะถึงหน้าหนาวกันนะ  ตอนนี้คงต้องกลับไปห่มผ้าผืนบางที่จะหอบหิ้วมาจากบ้านพ่อไปก่อน

“เอาละ  ทีนี้ก็ของผมบ้าง”

“เอ๊ะ  นัตสึเมะซังก็จะซื้อด้วยเหรอครับ?”

“ครับ  ผมใช้ของเดิมมานานเต็มที  อยากเปลี่ยนสีสันให้ชีวิตบ้าง”  ที่นัตสึเมะละไว้ก็คือ  ที่นอนหมอนมุ้งที่เขาใช้อยู่ในตอนนี้มันผ่านเคย์โกะมาหมดแล้ว  เขาอยากจะโละมันออกจากชีวิตไปให้หมดเสียที

“แล้วนัตสึเมะซังชอบแบบไหนล่ะครับ?”

“นั่นสิครับ...ผมว่าจะให้ฟุยุกิคุงเลือกให้แน่ะ”

“เอ๊ะ!?”  เด็กหนุ่มร้อง

“คือผมไม่ค่อยเลือกของใช้เองเท่าไร  อยากรู้ว่าคนเลือกจะมองผมแบบไหนน่ะครับ”

นี่ก็เป็นความจริงเรื่องหนึ่ง  แต่ถ้าพูดให้ลึกลงไปแล้วอาจเพราะช่วงวัยเด็กถึงวัยรุ่นเขาไม่ค่อยมีตัวตนของตัวเองเท่าไร  เมื่อคิริฮาระเริ่มซื้อถ้วยกาแฟมาให้เขาใช้ในร้านและสำหรับแขกขาประจำคนอื่น ๆ  นัตสึเมะก็รู้สึกสนุกกับการคาดเดาและตีความบุคลิกของคนอื่นผ่านสายตาของคิริฮาระ  และสนุกกับการที่คนอื่นตีความเขาและเลือกซื้อของมาให้...อย่างผ้ากันเปื้อนส่วนมากของเขาก็ได้พวกคุณป้าขาประจำที่มาดื่มกันตั้งแต่สมัยยังเป็นร้านของคุณป้าซื้อหามาให้เสียหลายตัว

และครั้งนี้เขาอยากรู้ว่าฟุยุกิมองเขาเป็นอย่างไร

“มะ...ไม่เอาดีกว่า  เดี๋ยวผมเลือกไม่ถูกใจนัตสึเมะซัง”  ฟุยุกิรีบบอกปฏิเสธ

“เลือกเถอะครับ  แบบไหนผมก็ถูกใจทั้งนั้นแหละ”  แน่นอน...ก็เป็นของที่ฟุยุกิเลือกให้นี่นา

“เอางั้นเหรอครับ?”

“ครับ...เอาแบบที่ฟุยุกิคุงคิดว่าน่าจะเหมาะกับผม”

แล้วฟุยุกิก็ต้องเดินตีหน้ายุ่งไปตามชั้นสินค้าอีกครั้ง  ของที่เหมาะกับนัตสึเมะงั้นหรือ...พูดถึงนัตสึเมะแล้วก็ต้องกาแฟสินะ  ตัวนัตสึเมะกรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟตลอดเวลา  แม้เจ้าตัวจะใช้น้ำหอมกลิ่นสดชื่นเป็นประจำ  แต่จะได้กลิ่นน้ำหอมนั่นเฉพาะเวลาที่ใกล้ชิดกันจริง ๆ เท่านั้น...คิดถึงตรงนี้แล้วฟุยุกิก็หน้าแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง  ต้องแสร้งทำเป็นเลือกผ้าห่มอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้นัตสึเมะเห็นหน้า

ผ้าห่มลายเมล็ดกาแฟหรือถ้วยกาแฟก็มีอยู่  แต่ถ้าอะไร ๆ จะเป็นกาแฟไปหมดชีวิตนัตสึเมะคงน่าเบื่อแย่  ไม่หรอก...นัตสึเมะอาจจะชงกาแฟอร่อย  แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขามีดีอยู่แค่นั้นนี่นา

แล้วสายตาของฟุยุกิก็ไปสะดุดเข้ากับผ้านวมผืนหนึ่ง  เป็นสีดำและมีลวดลายที่ยังดูไม่ออก  เด็กหนุ่มหยิบภาพตัวอย่างที่แขวนอยู่กับสินค้ามาดู...มันเป็นผ้าห่มรูปท้องฟ้าตอนกลางคืนที่มีดาวประปรายและพระจันทร์สีเหลืองดวงใหญ่  ฉากหน้าเป็นเงาต้นไม้สีเงิน

ฟุยุกิมองภาพนั้นแล้วก็คิดถึงอะไรบางอย่าง  ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าคิริฮาระเหมือนดวงตะวัน  ส่วนนัตสึเมะคือดวงจันทร์...ทั้งสองส่องแสงสว่างให้ชีวิตที่มืดมนของเขา  คิริฮาระสว่างเจิดจ้าน่าหลงใหล  ในขณะที่นัตสึเมะจะส่องแสงลงมาโอบกอดเขาอย่างนุ่มนวลในเวลาที่มืดมนที่สุด

“ผืนนี้แหละครับ”  ฟุยุกิหันไปบอกกับนัตสึเมะ

“ผืนนี้เหรอครับ?”  นัตสึเมะทำหน้าประหลาดใจน้อย ๆ ก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาดู

“ครับ  เหมาะกับนัตสึเมะซังที่สุดเลย”  ฟุยุกิเพียงแต่ยิ้ม...ไม่ยอมอธิบายอะไร

ผ้าผืนนั้นมีปลอกนวมที่เข้าชุดกันอยู่  เพียงแต่ปลอกนวมเป็นลายท้องฟ้าราตรีที่เต็มไปด้วยดาวและดวงจันทร์เท่านั้น  ฟุยุกิเลือกมันเป็นชุดแบบไม่ต้องคิดอะไรเพิ่ม

“ผมเหมือนตอนกลางคืนเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ

“แล้วแต่จะคิดครับ”  เด็กหนุ่มยิ้ม

ฟุยุกิไม่คิดจะบอกนัตสึเมะหรอกว่ามันหมายความว่าอย่างไร  เรื่องที่นัตสึเมะเป็นดวงจันทร์ผู้อ่อนโยนของเขา...ให้เขารู้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว

...

การใช้ชีวิตร่วมกับนัตสึเมะไม่ใช่เรื่องยากอะไร  ที่ยากคือฟุยุกิรู้สึกเกรงใจนัตสึเมะเหลือเกิน  เขาเพิ่งมารู้ตัวจริงจังตอนมาอยู่กับนัตสึเมะนี่เองว่าเขาทำอะไรไม่เป็นเลย  อย่างที่มิโนรุว่านั่นแหละ  ถ้าเขาออกไปอยู่ตามลำพังเขาต้องไม่รอดแน่  ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารการกินเท่านั้น  แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ไม่เป็นทั้งสิ้น...กระทั่งทำความสะอาดห้องน้ำก็ยังไม่เคย  นัตสึเมะทำให้เขาหมดทุกอย่างแถมไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไรเลย  มันทำให้ฟุยุกิคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง

เช้านี้ฟุยุกิย่องลงจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น  หมายจะทำมื้อเช้าให้นัตสึเมะกินบ้าง  ถ้าเป็นอาหารง่าย ๆ อย่างไข่ดาวกับขนมปังปิ้งและสลัดเขาก็พอจะทำได้  เด็กหนุ่มปิ้งขนมปังแล้วพยายามจะทำไข่ดาว...แต่...เขาเปิดเตาแก๊สบ้านนี้ไม่เป็น  ฟุยุกินิ่วหน้า...เอาเถอะ  ไว้ให้นัตสึเมะมาทำก็แล้วกัน  เดี๋ยวเขาทำสลัดให้ดีกว่า...อ้อ  เตรียมผักไว้เผื่อทำคลับแซนด์วิชสำหรับขายเลยแล้วกัน

ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย...สลัดตามปกติที่ฟุยุกิทำกินเองนั้นเขาไม่ได้คิดมากอะไร  มีผักอะไรก็ใช้มือเด็ด ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เอาลงชามไปรวม ๆ กันแล้วใส่มะเขือเทศลูกเล็กลงไป  ราดด้วยมายองเนส...ก็แค่นั้น  แต่ของจะทำขายนี่คงใช้มือเด็ดเอาไม่ได้  แถมมะเขือเทศที่นัตสึเมะใช้ยังเป็นมะเขือเทศลูกใหญ่ที่ต้องฝานเอาเสียอีก

ฟุยุกิเงอะงะอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด  หยิบเขียงและมีดออกมา...เพื่อที่จะบาดมือตัวเองตอนหั่นมะเขือเทศ

“เกิดอะไรขึ้นครับ?”  นัตสึเมะตื่นลงมาตามเวลาของตัวเอง  ความจริงเขาได้ยินเสียงกุกกักมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วแต่เพิ่งจะลงมาเมื่อได้ยินเสียงร้องเบา ๆ

“มะ...ไม่มีอะไรครับ”  ฟุยุกิรีบซ่อนมือที่เป็นแผล

“เห็นนะครับ  เลือดใช่ไหม?”  กวาดตามองไปตามเคาน์เตอร์ครัวแล้วก็พอจะเดาได้  “มีดบาดใช่ไหมครับ?”

“คะ...ครับ”  ฟุยุกิตอบอ่อย ๆ

“ไหนดูซิ  ทำอีท่าไหนเข้าล่ะครับ”  นัตสึเมะจับมือฟุยุกิมาดูแล้วเอาไปล้างน้ำ

“ก็...คิดว่า...จะทำมื้อเช้าให้นัตสึเมะซัง  แล้วก็อยากเตรียมผักไว้สำหรับทำคลับแซนด์วิชด้วย...ก็เลย...เลย...มะเขือเทศลูกใหญ่นี่ลื่นจังนะครับ”

“ฟุยุกิคุงไม่เคยใช้มีดสินะครับ”  ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้

“...ไม่เคยครับ”  ฟุยุกิหน้ามุ่ย

“ไม่รู้นี่ครับว่าอยากทำ  ผมจะได้สอนให้”

“จริงเหรอครับ?”

“ครับ  ถ้าฟุยุกิคุงอยากทำอาหารน่ะนะ  ถึงผมจะทำได้แต่อาหารง่าย ๆ ก็เถอะ”

“ทำครับ  ผมอยากทำครับ  สอนหน่อยนะครับ”  เด็กหนุ่มกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“งั้นไว้จะสอนนะครับ”  นัตสึเมะจูบลงตรงแผลที่พันพลาสเตอร์แล้วของฟุยุกิเบา ๆ  “เอาละ  เรียบร้อย  เดี๋ยวก็หายครับ”

ฟุยุกิตัวแข็งทื่อ  ตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันนี่นัตสึเมะทำอะไรแบบนี้กับเขาอยู่เรื่อย  เดี๋ยวก็กอด  เดี๋ยวก็โอบ  เดี๋ยวก็หอมแก้ม...ถึงจะเริ่มชิน ๆ บ้างแล้วแต่โดนเล่นทีเผลอทีไรไปไม่เป็นทุกที

“ไม่ชินอีกเหรอครับ?”  นัตสึเมะกระซิบถามเบา ๆ  น้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่...ชินครับ...”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ แล้วจูบหน้าผากของฟุยุกิอีกครั้ง

“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ  เดี๋ยวผมทำต่อเอง”

พูดแล้วนัตสึเมะก็สวมผ้ากันเปื้อนแล้วหันไปจัดการกับกองผักสลัดที่ฟุยุกิวางไว้

ก่อนจะถูกกอดเอวจากด้านหลังแรง ๆ

“อะ...เอ๊ะ...ฟุยุกิคุง...?”

ฟุยุกิแนบหน้านิ่งอยู่กับแผ่นหลังของนัตสึเมะชั่วขณะหนึ่งก่อนจะรีบผละออกอย่างรวดเร็ว

“เอาคืนครับ!”  เด็กหนุ่มบอกแล้ววิ่งตื๋อขึ้นบ้านไป

นัตสึเมะได้แต่ยืนงง  ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ...เอาคืนน่ารักแบบนี้  คงต้องแกล้งบ่อย ๆ แล้วสินะ...

...

“มีความสุขมากไปแล้ว  นัตสึเมะ”

“หา?...”

“หน้าตาน่าหมั่นไส้นั่นมันอะไร  ฉันแค่ไปฮอกไกโดอาทิตย์เดียว  ทำไมนายถึงทำหน้าเหมือนคนถูกรางวัลที่หนึ่งแบบนั้น”  คิริฮาระจ้องหน้าเพื่อนพลางใช้น้ำเสียงเหน็บแนม

นัตสึเมะกระตุกยิ้มที่มุมปาก  ซึ่งมันดูยียวนสิ้นดีสำหรับคิริฮาระ

“ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งอีก  จะบอกให้”

“โอ๊ย  หมั่นไส้!”  นักดนตรีหนุ่มโวยวาย  “ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว  บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”

“เสียงดังเกินไปแล้ว  เกรงใจลูกค้าหน่อย”  นัตสึเมะกวาดตามองลูกค้าที่นั่งอยู่สองสามโต๊ะ  “ไม่ถึงไหนหรอก  ใสซื่อออกขนาดนั้น  ใครจะไปกล้าทำอะไร”

“แต่ฉันว่านายต้องทำไปแล้วแน่ ๆ  ไม่อะไรก็อะไรสักอย่าง”  คิริฮาระฟันธง

“ก็ทำน้อยกว่าตอนที่นายจ้องจับคิโยฮารุคุงครั้งแรกก็แล้วกัน”  นัตสึเมะยิ้มหวานพลางกระแทกถ้วยเอสเปรสโซแถมคุกกี้ลงตรงหน้าคิริฮาระ  “เอสเปรสโซเกาะเพื่อนกินได้แล้วครับ”

“นะ...นัตสึเมะรังแกเค้า...”  คิริฮาระทำท่าซับน้ำตาแต่รีบหยิบถ้วยกาแฟมาจิบ

“เพื่อนไม่รักดีมีไว้ให้รังแกนะ”  เจ้าของร้านตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟ

“ว่าแต่...ทุกอย่างโอเคดีใช่ไหม?”  คิริฮาระถามพลางเหลือบมองฟุยุกิที่กำลังเก็บโต๊ะ

“ดีสิ  ถึงเมื่อเช้าจะโดนมีดบาดก็เถอะนะ”

“โอ๊ย  อันนั้นเรื่องปกติ  ฉันกับคิโยะยังทำมีดบาดมือกันบ่อย ๆ อยู่เลย”

“เดี๋ยวก็ไม่เหลือนิ้วไว้เล่นไวโอลินกันพอดี  หัดทำอาหารกันซะบ้างเถอะ  ประหยัดรายจ่ายกันบ้าง”  นัตสึเมะบ่น  คิริฮาระกับคิโยฮารุไม่ยอมทำอาหารกินกันเสียเลย  เอาแต่ฝากท้องไว้ที่ร้านของเขากับร้านอาหารใกล้บ้าน

“ถ้าคิโยะมีข้าวกล่องมากินเอง...นายจะเจ๊งนะ  นัตสึเมะ”  คิริฮาระทำหน้าจริงจัง

“อืม...ก็อาจจะจริง...”  นัตสึเมะชักเชื่อตาม  เพราะตั้งแต่กลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้  คิโยฮารุก็ยึดร้านของเขาเป็นห้องทำงานมื้อเที่ยงทุกวัน  แถมยังกินคลับแซนด์วิชสูตรเดิม ๆ ได้ไม่มีเบื่อด้วย

“คุยอะไรกันเหรอครับ?”  ฟุยุกิถือถาดใส่ถ้วยจานใช้แล้วเดินมาวางที่เคาน์เตอร์

“กำลังคุยว่านัตสึเมะคงอยากกินอาหารฝีมือฟุยุกิคุงเต็มทีแล้วละ”  คิริฮาระตอบทันที

“อะ...เอ๋!?  ไม่ไหวหรอกครับ  ยังทำไม่เป็นหรอก”  เด็กหนุ่มดูลนลาน

“อย่าไปเชื่อมันสิครับ  ฟุยุกิคุง”  นัตสึเมะรีบเบรก  ไม่อย่างนั้นคิริฮาระต้องปั้นเรื่องอะไรไปใหญ่โตอีกแน่

“เอ๋  ไม่ได้อยากกินหรอกเหรอครับ?”

“ก็อยากกินอยู่หรอกครับ  แต่รอให้หัดก่อนก็ได้”

“อะ...อือ...ผมจะพยายามนะครับ”  ฟุยุกิก้มหน้างุด ๆ แล้วรีบหยิบถาดที่ยกมาไปล้าง

คิริฮาระมองตามฟุยุกิแล้วเลื่อนสายตากลับมาจับที่ใบหน้าของเพื่อนรัก
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: KOKURO ที่ 07-02-2016 12:44:02
“เก็บอาการบ้างได้ไหม?”

“คนมีความสุขจะให้ซ่อนยังไงก็ซ่อนไม่มิดหรอก”  นัตสึเมะตอกกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน

“โอ้  ฉันจะอ้วก”  นักดนตรีหนุ่มทำท่าผะอืดผะอม

“อย่ามาอิจฉาฉัน  ของของนายมาโน่นแล้ว”  นัตสึเมะชี้ไปที่ประตูที่เปิดออกพร้อมกับเสียงกระดิ่ง

“คิโยฮารุ”  คิริฮาระส่งเสียงเรียกพร้อมกับโบกมือหยอย ๆ

คิโยฮารุเดินเข้าไปหาทันที  “ทำไมวันนี้ยูคุงมาเร็วจัง  ไม่ได้ไปเล่นคอนเสิร์ตข้างถนนเหรอ?”

“มันร้อน  ทนเล่นนานไม่ไหว  สาว ๆ บ่นกันน่าดูเลยละ”

“ดื่มกาแฟแล้วกลับไปเล่นต่อสิ  แดดร่มลมตกแล้วนี่”  คิโยฮารุบอกพลางนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ  “ฟุยุกิคุง  ขอชาประจำวันแบบเย็นด้วยนะครับ”

“ได้ครับ”  ฟุยุกิหันมายิ้มให้แล้วกระวีกระวาดชงชา

“ไม่เอาหรอก  ฉันเหนื่อยแล้ว  หิวแล้วด้วย  มื้อเย็นนายจะกินอะไร?”  คิริฮาระทำหน้างอแงใส่คนรัก

“ราเม็ง”

“ราเม็งเนี่ยนะ!?”

“ก็ยูคุงบอกให้ฉันเลือกนี่  ฉันอยากกินราเม็งละ  ราเม็งซุปกระดูกหมูใกล้ ๆ คลับก็ดีนะ  ชามใหญ่ดี  กินแล้วอิ่มถึงเช้าเลย”

“อ๋า  ร้อนจะตายยังจะกินราเม็งอีก”  คิริฮาระค่อนแม้จะรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายเขาก็ต้องยอมจนได้

นัตสึเมะมองดูเพื่อนทั้งสองต่อปากต่อคำกันแล้วก็ยิ้ม  ความจริงแล้วบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยคงพอจะเดาออกว่าความสัมพันธ์ของคิริฮาระกับคิโยฮารุเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน  แต่เพราะไม่เคยมีการแสดงออกที่ชัดเจนว่าเป็นคนรัก  เรื่องของทั้งคู่จึงเป็นเหมือนข่าวลือในหมู่สาว ๆ เสียมากกว่า  แต่ก็มีหลายคนพยายามมาที่ร้านช่วงเย็น ๆ แบบนี้เพื่อเสพทั้งสองเป็นอาหารตาเหมือนกัน  และแน่นอน...มีหลายคนแสดงความสนใจเขากับฟุยุกิด้วย  แต่ก็อย่างที่บอก  ถ้าไม่ทำอะไรออกนอกหน้า  ความสัมพันธ์นั้นก็เป็นแค่ข่าวลือ

“คิริฮาระซังกับอาจารย์ซาคากินี่  ดีจังเลยนะครับ”  ฟุยุกิพูดขึ้นขณะที่กำลังทำความสะอาดเพื่อปิดร้าน

“หือ?”

“เห็นบอกว่าคบกันมาตั้งเป็นสิบปีแล้ว  แต่ยังดูน่ารัก ๆ เหมือนคนเพิ่งคบกันใหม่ ๆ เลยนะครับ”

“คงเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันเท่าไรมั้งครับ  พอได้อยู่ด้วยกันตลอดแบบนี้เลยหวานชื่นกันเยอะหน่อย”  นัตสึเมะออกความเห็น

“แต่ก็ดีนะครับ...แบบนี้ใช่ไหมครับ  ที่นัตสึเมะซังบอกว่าไม่แสดงออกเสียอย่างก็ไม่มีใครรู้น่ะ”

“ครับ  ประมาณนี้แหละ”

“อืม...ดีครับ”  ฟุยุกิเหมือนอยากพูดอะไรอีกแต่ก็เงียบแล้วถูร้านต่อ

“คิดใช่ไหมครับ  ว่าถ้าเราเป็นแบบนั้นบ้างคงจะดี”

โดยไม่ทันรู้ตัว  นัตสึเมะก็มายืนอยู่ข้างหลังเสียแล้ว  มือใหญ่เอื้อมมากอดเอวฟุยุกิไว้หลวม ๆ

“หะ...ฮะ!?  ว่าไงนะครับ!?”

“อยากเป็นแบบสองคนนั้นบ้างใช่ไหมล่ะครับ?”

เสียงกระซิบที่อยู่ใกล้แค่คืบทำเอาหัวใจของฟุยุกิเต้นระรัว

“มะ...มันก็ใช่หรอกครับ!  แต่นี่มัน...แสดงออกมากเกินไปแล้วนี่ครับ!!”

นัตสึเมะรั้งเด็กหนุ่มที่ตกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกมาใกล้ตัว

“ก็นี่ในร้านนี่ครับ  มู่ลี่ก็เอาลงหมดแล้ว  ไม่มีใครเห็นหรอกครับ”

“มะ...มันก็ใช่หรอก  แต่...แต่...”  ฟุยุกิพยายามห้าม  แต่ก็หาเหตุผลมาห้ามไม่ได้...ไม่ใช่มันไม่มีเหตุผล  แต่สมองของเขาไม่ทำงานเวลาที่อยู่แนบชิดกับนัตสึเมะแบบนี้

“ผมสัญญาแล้วว่าจะไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ  แต่นี่เราอยู่ในบ้านของเรา  ปิดม่านหมดแล้ว  ไม่มีใครมาเห็น...ขอผมทำหน่อยได้มั้ยครับ?”  ชายหนุ่มกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

“ทะ...ทำอะไรครับ...?”

นัตสึเมะไม่ตอบ  หากช้อนใบหน้าของเด็กหนุ่มให้เงยขึ้น  แล้วบรรจงแนบริมฝีปากลงกับเรียวปากอุ่นอย่างนุ่มนวล  ฟุยุกิสะดุ้งสุดตัวปล่อยไม้ถูพื้นล้มลง  รีบหันกลับไปหาชายหนุ่มแล้วยกมือขึ้นขึ้นดันอก  แต่นั่นเข้าทางนัตสึเมะพอดี  แขนข้างที่โอบเอวบางเอาไว้รั้งคนตัวเล็กกว่าเข้าไปหาตัวจนแนบชิด  มือที่จับปลายคางออกแรงนิด ๆ ยั้งไม่ให้หันหนีไปไหน

ริมฝีปากร้อนบดคลึงแนบแน่นนุ่มนวลโดยไม่มีท่าทีจะล่วงล้ำ  แต่แค่นั้นก็ทำให้ฟุยุกิสะท้านไปทั้งตัว  หัวใจเต้นระรัวเร็วจนแทบจะรู้สึกเจ็บปวด  กลิ่นอายกรุ่นกลิ่นกาแฟปนกับกลิ่นน้ำหอมเหมือนจะโอบล้อมเขาไว้รอบด้าน  ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามอง  มือที่เคยพยายามผลักไสกลับกำยึดเสื้อของนัตสึเมะไว้แน่น

แล้วสัมผัสอุ่นก็ผละออกไปอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง

“กลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”  เสียงนุ่มกระซิบถาม

ฟุยุกิค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมองทั้งยังเกร็งร่างสั่นสะท้าน  ใบหน้าที่แสนอ่อนโยนของนัตสึเมะอยู่ห่างไปแค่คืบ  เด็กหนุ่มค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจและลดอาการเกร็งลง

“ขอโทษนะครับ”  นัตสึเมะบอก  ลูบแก้มฟุยุกิอย่างนุ่มนวล

“...ผม...ผมไม่...”  เด็กหนุ่มพยายามพูดออกไป  “ผม...ไม่ได้กลัว...ครับ”

“ตัวสั่นขนาดนี้  ไม่ได้กลัวหรอกเหรอครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ

“ผม...ไม่...ผมแค่...ไม่รู้...ไม่รู้จะทำยังไง...ดี...”  ฟุยุกิพูดแล้วก็ก้มหน้างุด  ใบหน้าแดงก่ำและร้อนผ่าว

ชายหนุ่มยิ้ม...หากแต่ฟุยุกิจะเงยหน้าขึ้น  ก็จะได้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและมีแววเอ็นดูแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...เขาประคองใบหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงที่แก้มร้อนผะผ่าวนั้น

“ขอโทษนะครับ  ไว้ผมจะสอนให้ว่าต้องทำยังไงนะ”

“อะ...อือ...”

ตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ  นัตสึเมะรีบหันไปมอง...บางทีอาจจะเป็นคิริฮาระที่ชอบโผล่มาผิดจังหวะเสมอก็ได้
แต่ไม่ใช่...ที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านคือ...มิโนรุ!!

“...!!!!”

ฟุยุกิส่งเสียงเหมือนกาน้ำเดือด  ผลักนัตสึเมะกระเด็นแล้วเผ่นขึ้นบ้านไปอย่างรวดเร็ว  นัตสึเมะมองตามฟุยุกิไปอย่างงุนงงก่อนจะหันกลับไปมองมิโนรุ

คุณพี่ชายหน้าบูดสนิท  ยกมือขึ้นชี้โซ่คล้องประตูเหมือนจะบอกว่า  “เปิดเดี๋ยวนี้นะ!”

นัตสึเมะไขกุญแจที่เพิ่งล็อกไปไม่นานให้

“นึกยังไงถึงมาเวลานี้ล่ะครับ?”  ถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นายทำอะไรน้องฉัน?”  ไม่มีคำทักทายด้วยซ้ำ  แถมยังเปลี่ยนสรรพนามเป็นกันเองสุด ๆ

“เอ้อ...ก็...เห็นตั้งแต่ตอนไหนล่ะครับ?”  นัตสึเมะยิ้มกระเรี่ยกระราด

“ตั้งแต่จูบ”  มิโนรุตอบห้วน ๆ

“งั้นก็ทำไอ้นั่นแหละครับ”

ถ้าคิ้วมันจะยังขมวดได้มากกว่านี้อีกมิโนรุก็คงทำ  แต่นี่ถึงที่สุดของมันแล้วเขาจึงได้แค่จ้องตานัตสึเมะ...ไอ้รอยยิ้มเรื่อย ๆ นั่นมันยียวนและไม่มีทางเอาชนะได้เลย  ที่จริงเขาก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ต้องถามให้มันเจ็บใจก็ได้  เพราะเขาเห็นสวีทซีนตั้งแต่ต้นทั้งหมด  แต่มันหลุดปากไปตามสัญชาตญาณและความเคยชิน

“ไหนนายบอกว่าจะไม่ทำไง”  มิโนรุยังเสียงเขียว

“ผมบอกว่าจะไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อให้ใครรู้ครับ  นี่ร้านก็ปิดแล้ว  มู่ลี่ก็เอาลงหมดแล้ว  เลยคิดว่าน่าจะทำได้น่ะครับ”  นัตสึเมะตอบยิ้ม ๆ

“ประตูร้านนายมันไม่มีมู่ลี่  ไม่รู้เรอะ!?”

“แหม...ผมไม่คิดว่าใครจะมาส่องทางประตูร้านนี่ครับ”  ปกติเวลาลูกค้าเห็นว่าเอาม่านลงแล้ว  ต่อให้เห็นแสงไฟก็ต้องเข้าใจว่าร้านปิดแล้วทั้งสิ้น  ไม่คิดว่าจะมีแขกที่ไม่ใช่ลูกค้ามาเยือนเอาป่านนี้  “ใจเย็นก่อนครับ  ไปนั่งที่บ้านเถอะ  เดี๋ยวผมถูพื้นอีกนิดแล้วจะตามไปชงกาแฟให้ดื่มนะครับ”

นัตสึเมะตะล่อมพลางรุนหลังมิโนรุให้ไปนั่งรอในส่วนบ้านพักของเขา  เก็บกวาดปัดถูอีกนิดหน่อยก็เรียบร้อยตามประสาคนชำนาญก่อนจะปิดไฟแล้วกลับเข้าบ้าน

“ว่าแต่มาทำอะไรดึกป่านนี้ล่ะครับ?”  ผู้เป็นเจ้าของบ้านถามทันทีที่เห็นมิโนรุยังทำหน้าบูดอยู่

“เอาผ้าห่มบางมาให้ยุกิน่ะสิ  แล้วงานมันติดพันเลยมาช้าหน่อย...ใครจะไปคิดว่าจะมีคนทำทะลึ่งกับน้องชายฉันอยู่”

“ไม่ได้ทะลึ่งนะครับ  แค่ขอความรัก”

มิโนรุถึงกับสำลักทั้งที่ยังไม่ได้ดื่มกาแฟ

“นายนี่มัน...!  ทำไมถึงได้หน้าไม่อายแบบนี้!?”

“ก็แล้วมีอะไรต้องอายล่ะครับ?”  นัตสึเมะยิ้มพลางชงกาแฟให้  “ต้องกลับไปทำงานต่อหรือเปล่าครับ  ผมจะได้ชงให้เข้ม ๆ หน่อย”

“ไม่ต้องหรอก  เอาธรรมดา ๆ ก็พอ”

มิโนรุทอดถอนใจ  มีน้องเขยหน้าไม่อายแบบนี้คงต้องทำใจสินะ...น้องเขย?...มิโนรุเอาหัวโขกโต๊ะ  นี่เขายอมรับไอ้หมอนี่เต็มที่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย

“เอาผ้าห่มขึ้นไปให้ฟุยุกิคุงก่อนก็ได้นะครับ”

“อย่าเลย  ต้องกำลังอายสุด ๆ อยู่แน่ ๆ  ขืนฉันขึ้นไปคงโวยวายไม่เป็นภาษาคน  เดี๋ยวฝากนายเอาขึ้นไปให้ด้วยแล้วกัน”

“ได้ครับ”

กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นไปทั้งห้อง  มิโนรุมาที่ร้านของนัตสึเมะบ่อยก็จริง  แต่เพิ่งได้เข้ามาในบ้านเป็นครั้งที่สอง  ครั้งแรกก็ตอนมาดูที่ดูทางให้ฟุยุกิเพื่อความมั่นใจ  เขาชอบบ้านของนัตสึเมะ  เป็นบ้านที่ดูเรียบง่ายและอบอุ่น  เป็นระเบียบเรียบร้อยผิดกับบ้านหนุ่มโสดทั่วไป

“ก็ดีอยู่นะ  ที่ยุกิได้อยู่ที่นี่”  มิโนรุพึมพำกับตัวเอง

“ครับ?”  นัตสึเมะวางกาแฟลงตรงหน้ามิโนรุ

“ไม่มีอะไร”

มิโนรุกับนัตสึเมะนั่งพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่งจนกาแฟหมดถ้วยจึงขอตัวกลับ

“ฝากฟุยุกิด้วยนะ”

“แน่นอนครับ  ผมจะดูแลอย่างดีเลย”

มิโนรุเหล่มองนัตสึเมะอย่างไม่ไว้วางใจ  “ดีแบบเมื่อกี้น่ะเหรอ?”

“แหม...ก็มีบ้างแหละครับ  แต่คราวหน้าไม่ทำที่ร้านแล้ว  เดี๋ยวคุณพี่มาเจอเข้าอีก”  นัตสึเมะยิ้มอย่างเคย

“เจ้าเล่ห์นักนะ...”  มิโนรุบ่นอุบอิบ  “เอาเถอะ  ไว้เจอกันนะ”

“ครับ  อย่างน้อยวันแต่งงานของคุณพี่ต้องได้เจอแน่”

“แต่งตัวน้องชายผมให้หล่อ ๆ ล่ะ”

“ครับ  จัดเต็มเท่า ๆ เจ้าบ่าวไปเลย”

มิโนรุหัวเราะเบา ๆ แล้วโบกมือให้ก่อนจะเดินจากไป

นัตสึเมะมองส่งแขกจนลับตาแล้วกลับเข้าบ้าน  เอาถ้วยกาแฟไปวางในอ่างล้างจานแล้วหยิบถุงใส่ผ้าห่มบางที่มิโนรุเอามาให้ฟุยุกิขึ้นไปชั้นบน

ห้องข้างบนปิดไฟมืด  ฟุยุกิกำลังนั่งเอาหัวยัดเข้าไปในตู้เก็บของและวางแปะอยู่บนฟูกนอน  นัตสึเมะกลั้นหัวเราะเกือบตายกับภาพนั้น

“เป็นอะไรไปครับ  ทำไมไปอยู่ท่านั้นได้”  ชายหนุ่มเข้าไปนั่งยอง ๆ ใกล้ ๆ โดยไม่ได้เปิดไฟ

เด็กหนุ่มตอบอะไรที่ฟังดูไม่เป็นภาษามนุษย์กลับมาทั้งยังเอาหน้ามุดอยู่กับฟูก

“ขออีกทีซิครับ?”

“พี่มิโนรุต้องลากผมกลับบ้านแน่เลย”  ฟุยุกิอู้อี้ตอบกลับมาในที่สุด

“ทำไมจะต้องลากกลับล่ะครับ?”  นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ

“ก็พี่มิโนรุเห็น...เห็น...”  พูดได้แค่นั้นแล้วฟุยุกิก็ส่งเสียงเหมือนกาน้ำเดือดออกมาอีก

ชายหนุ่มตบหลังฟุยุกิเบา ๆ  “มิโนรุซังไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ”

“จริงเหรอฮะ...”

“ครับ  นี่ยังฝากให้เอาผ้าห่มขึ้นมาให้เพราะรู้ว่าฟุยุกิคุงกำลังอายด้วย”

“อ๊ะ...เอาผ้าห่มมาให้ถึงนี่เลยเหรอ  ว่าจะไปเอาเองแท้ ๆ...”  ฟุยุกิรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

“คงเป็นห่วงแหละครับ  อยากมาดูความเป็นอยู่ด้วย...แต่ผิดจังหวะไปหน่อย”

“ก็นัตสึเมะซังนั่นแหละครับ  ทะลึ่ง!”  เด็กหนุ่มแหวเอา

“ก็ผมไม่คิดว่าจะมีใครมาโผล่ที่ประตูร้านนี่ครับ”

นัตสึเมะพูดกลั้วหัวเราะแล้วดึงร่างเล็กมากอดไว้  จูบลงข้างขมับเบา ๆ

“คราวหลังจะไม่ทำแล้วละครับ”

“จริงนะครับ...สองหนแล้วนะครับ  คราวก่อนก็คิริฮาระซัง...”  ฟุยุกิงึมงำ

“จริงครับ  จะไม่ทำที่ร้านอีกแล้ว”  นัตสึเมะบอกแล้วแนบจมูกลงกับเรือนผมนิ่มที่มีกลิ่นเหงื่อจากการทำงานจาง ๆ

ฟุยุกิถอนใจยาว ๆ แล้วเอนตัวพิงอกกว้างเต็มที่  รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด  ราวกับว่าคุ้นเคยกับแผ่นอกนี้มาตลอดชีวิต  นัตสึเมะคือที่พักใจ...ไม่ใช่แค่ร้านของนัตสึเมะ  แต่ตัวนัตสึเมะเองนั่นแหละที่เป็นที่พักใจของเขา  เช่นเดียวกับสวนญี่ปุ่นที่บ้านเป็นโลกทั้งโลกที่โอบกอดเขาไว้ด้วยความเยือกเย็นและอบอุ่น

ฟุยุกิคิดถึงตัวเองเมื่อครั้งเป็นเด็กหลงทางอยู่ท่ามกลางโลกที่สับสนวุ่นวาย  กระแสของโลกนั้นไหลไปอย่างรวดเร็วจนเขาไล่ตามไม่ทัน  ได้แต่วิ่งกระหืดกระหอบไม่รู้เหนือรู้ใต้  จนกระทั่งได้มือของคิริฮาระช่วยเอาไว้  และมือนั้นได้ส่งเขาต่อให้นัตสึเมะซึ่งรับเขาเอาไว้ในโลกที่สงบเย็นแห่งนี้อย่างอ่อนโยน  แม้การทำงานที่นี่จะต้องตื่นแต่เช้ามืดและทำงานจนค่ำ  ใช้เวลาทำงานเยอะกว่าการทำงานบริษัทมาก  แต่ฟุยุกิกลับรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนทั้งกายและใจ  ไม่ต้องวิ่งตามใครให้เหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป  ทั้งยังรู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่พักใจแห่งนี้ด้วย

เด็กหนุ่มหลับตาลงแล้วเบียดกายซุกนัตสึเมะมากขึ้นอีก

“เป็นอะไรไปเหรอครับ?”  เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถาม...ฟุยุกิชอบเสียงนี้

“เปล่าครับ  แค่...รู้สึกว่ามีความสุขจัง...ก็เท่านั้นแหละครับ”

“ดีแล้วละครับ”

ฟุยุกิไม่ได้ถามว่านัตสึเมะมีความสุขหรือเปล่า  เขารู้สึกได้จากน้ำเสียง  อ้อมกอด  และการกระทำของนัตสึเมะ...รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนคู่นั้นยังอบอุ่นเหมือนเคย  แต่มีบางอย่างที่มากขึ้น  เป็นบางอย่างที่ฟุยุกิเองก็เข้าใจแม้จะไม่ต้องพูดออกมา

แสงจันทร์ของฤดูร้อนสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง  ทำให้ห้องมืด ๆ เป็นเงาสลัวด้วยแสงสีเงินเลือนราง...นัตสึเมะก็เป็นเช่นแสงจันทร์  ช่วยสาดส่องชีวิตมืดมนของฟุยุกิช่วยนำทางให้อย่างนุ่มนวล  คอยเฝ้ามองทุกย่างก้าวของเด็กหนุ่มเรื่อยมา  ประคับประคองในยามที่ก้าวพลาดและลื่นล้ม  เป็นแสงจันทร์ที่ให้โดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด...ทุกครั้งที่หันมองมาก็จะพบเขาอยู่ที่นั่นเสมอ

และจากนี้พระจันทร์ดวงนี้จะสาดส่องเพื่อฟุยุกิเพียงคนเดียวเท่านั้น

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น  แนบริมฝีปากอุ่นเข้ากับเรียวปากที่เพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งที่สองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  ค่อย ๆ เผยอแย้มเหมือนจะบอกว่าเขายินดียอมรับทุกอย่างที่นัตสึเมะเป็น

ชายหนุ่มตกใจกับการกระทำนั้นนิดหน่อย  ก่อนจะยิ้มกับตัวเองแล้วรั้งร่างของเด็กหนุ่มมาแนบชิด  บดริมฝีปากเข้าหาแนบแน่นและมอบจุมพิตดื่มด่ำหวานล้ำให้

ราวกับจูบสาบาน...เป็นคำสาบานใต้แสงจันทร์

ว่าทั้งสองจะเป็นของกันและกันตลอดไป...


ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-02-2016 16:54:11
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 07-02-2016 23:52:17
ชอบมากๆเลย คิดหาคู่ให้นัตสึเมะมาตั้งแต่เรื่องคิโยะ แล้วก็วายะแล้ว
อ่านรวดเดียวเลย
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: san ที่ 08-02-2016 12:41:04
เป็นอะไรที่ละมุนละไม   :-[ :-[
:L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 08-02-2016 19:12:00
กรี้ดดดดดดดดดด ไม่รู้เลยว่าเป็นคู่นี้ แอร๊ยยยยย ดีใจที่ได้อ่าน ชอบตั้งแต่เรื่องก่อนๆแย้ว
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: SaKiNonZa ที่ 08-02-2016 21:09:10
ชอบอ่ะ อยากให้มีต่อ แบบยาวยาวววววววว
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 09-02-2016 09:44:32
 :haun4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-02-2016 03:58:34
 :pig4: :pig4:  :pig4: ค่อยๆสอนค่อยๆเรียนรู้กันไปเนอะ
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-02-2016 16:34:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 11-02-2016 21:47:08
แฮปปี้เอนดิ้ง มีความสุขขข  :mew1:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 15-02-2016 20:01:10
 :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 23-03-2016 10:17:40
นัตสึเมะมีคู่แล้ว :mew1:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 25-03-2016 21:50:30
สวีทไปได้หน่อย จบซะแล้ว  :ling1:  เข้าใจความอึดอัดของคนที่โดนตีกรอบชีวิต เรื่องนี้ไม่หน่วงเท่าไหร่ เพราะครอบครัวยอมหันหน้าเข้าหากัน  :กอด1:  เหล่าพี่ชายน่ารักดี  :hao3:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 30-05-2016 21:51:40
สนุกมากกกกก
ชอบตั้งแต่เรื่องคิริฮาระแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้
เปิดมาเจอ โหยยยย แรร์ไอเทมม
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 31-05-2016 13:36:56
ชอบมากกก ตั้งแต่ชุนแล้วววว โอ่ยย แต่งได้ดี น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: Money11 ที่ 04-06-2016 03:01:30
ชอบมากกกก แอบซึ้งตอนฟุยุกิอกหักด้วย ฮือ
ที่จริงซึ้งทั้งเรื่องเลย ละมุนไปหมด ชอบมากๆๆๆๆ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้นะคะ
 :m15:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-06-2020 19:50:40
โหหหหหหหสนุกมากกกกโอ๊ยยยยยยอะไรเพิ่งมาเจอ พลาดได้ไง สงสัยเพราะตอนแรกไม่ชอบชื่อญี่ปุ่นมั้งเลยมองข้ามไป แต่พอลองอ่านดูคือหยุดไม่ได้เลยจนจบแล้วคิดว่าเออวะมันเหมาะกับชื่อญี่ปุ่นมากกว่านะ ถ้าเรื่องนี้ตัวละครชื่อคนไทยบางทีอาจจะไม่อินแบบนี้ก็ได้ ตัวละครเด่นเป็นเทาๆกัน มีปมแต่ก็คลี่คลายได้ ตัวนายเอกฟุยุกิก็มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆก็นะโตมาแบบนี้ เลยต้องใช้เวลา ชอบที่พวกเขาพูดกันตรงๆดี โอ็ยยเคมีกันไปหมด นิยายยดีมากกกก ชอบภาษาด้วย ขอบคุณนะคะที่แต่งดีดีแบบนี้มาให้อ่าน เดี๋ยวลองหาผลงานอื่นของผู้แต่งดูค่ะ ติดใจ 5555  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Lock on You 20/ 7-2-59 IT'S THE END
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-06-2020 03:43:51
มาอ่านอีกรอบ ชอบอีกครั้ง