พิมพ์หน้านี้ - My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: iiam ที่ 24-05-2014 12:05:02

หัวข้อ: My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 24-05-2014 12:05:02
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
















หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่...
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 24-05-2014 12:10:54


บทนำ

แสงแดดยามบ่ายเล็ดลอดผ่านกระจกบานใส ราวกับจะแผดเผาพื้นดินให้ลุกเป็นไฟ
ท่ามกลางความร้อนเช่นนี้ สิ่งที่ผู้คนต่างมองหาคือของว่างเย็นๆกับบรรยากาศเย็นๆที่ช่วยคลายความร้อน 
ร้านไอศกรีมเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้น
พนักงานตัวเล็กในร้านรีบเอ่ยต้อนรับทันที “สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับผม”
 เสียงใสแว่วมาจากหลังเคาเตอร์แคชเชียร์ คนตัวเล็กก้มๆเงยๆอยู่กับลิ้นชักหลังเคาเตอร์  ไม่ทันได้เงยหน้ามองลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาด้วยเอกสารที่กำลังจัดอยู่เต็มมือไปหมด
ไม่รอให้ลูกค้ารอนานไปกว่านี้ คนตัวเล็กกระวีกระวาดคว้าเมนูที่วางอยู่ใกล้ๆติดมือไว้ ก่อนจะผลักประตูบานพับที่กั้นส่วนของพนักงานกับส่วนของร้าน ออกไปต้อนรับลูกค้าอย่างที่ตั้งใจไว้

 “จะไปไหนเดียร์?” คนตัวเล็กหันขวับตามเสียงเรียก เมนูยังถือค้างไว้อยู่ในมือ

“เอาเมนูไปให้ลูกค้าครับ” คนตัวเล็กกำลังจะผละออกไป ไม่ทันไรก็ชะงัก หันขวับมาหาคู่สนทนาอีกรอบ “ว่าแต่เมื่อกี๊โต๊ะไหนนะครับ?”
ประโยคคำถามจากคนตัวเล็กทำเอาคู่สนทนาที่เป็นเจ้าของร้านถึงกับหลุดขำในลำคอ

“เมื่อกี๊ฉันนั่งอยู่หน้าร้านก็ไม่เห็นว่ามีลูกค้าเข้านะ” เดียร์ขมวดคิ้วน้อยๆ

จะไม่มีได้ยังไงก็เมื่อกี๊เสียงกระดิ่งยังดัง….


“เมื่อกี๊คือเสียงพี่ล็อคเข้าร้านหรอครับ?” คนตัวโตพยักหน้าหงึกหงักกับคำถามนั้น
 คนตัวเล็กถอนหายใจเบาๆ ยิ้มให้เจ้าของร้านน้อยๆ ก่อนผละเดินออกไป
ทันใดนั้นข้อมือเรียวถูกคว้าไว้ คนตัวเล็กชะงักตามแรงดึง “จะไปไหนอีก?” เจ้าของร้านตัวโตจับข้อมือบางไว้แน่น

“ทำงานไงครับ” เดียร์เอียงคอน้อยๆ คล้ายข้องใจกับคำถามนั้น
เจ้าของร้านขำน้อยๆกับท่าทางของคนตัวเล็ก

ล็อคนั่งมองคนตัวเล็กจากหน้าร้าน ไม่เห็นมีทีท่าว่าเดียร์จะไปพักสักที ทนไม่ไหวจนต้องเข้ามาเตือน เดี๋ยวจะเป็นโรคกะเพราะไปซะก่อน
คนตัวโตชี้ไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนังของร้าน “ถึงเวลาพักแล้ว ไปพักก่อน” 
ทันใดนั้นกะเพราะของคนตัวเล็กก็ทำงานเป็นลูกคู่กับประโยคของเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี ส่งเสียงร้องโครกครากให้เจ้าของร่างตัวเล็กได้อายเล่น เดียร์หันมายิ้มแหยๆให้คนตัวโต

“งั้น…ผมไปพักก่อนนะครับ”
คนตัวโตอมยิ้มน้อยๆกับท่าทางของคนตัวเล็ก
เดียร์ผละออกไปหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กหลังเคาเตอร์ก่อนเดินออกไปหลังร้าน
ไม่ลืมส่งยิ้มหวานให้เจ้าของร้าน

ล็อคเดินไปหยุดหลังเคาเตอร์ประจำการแทนคนตัวเล็ก 
ดูเหมือนว่าเดียร์จะจัดเอกสารค้างไว้ มีบางส่วนที่เสร็จไปบ้างแล้ว
ทันใดนั้นล็อคสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกกระทบผิวหนัง
คนตัวโตคว้ารีโมทเครื่องปรับอากาศ เพิ่มอุณหูภูมิให้ร้าน เมื่อกี๊ยังร้อนอยู่แท้ๆ 
เขาว่าอุณหภูมิในร้านก็ไม่ได้เย็นขนาดนั้นนะ

“มึงจับมือเดียร์!”

ถ้าล็อคได้ยินเจ้าตัวต้องหูชาไปแล้วแน่ๆ
ล็อคไม่รู้เลยว่ามีธาตุอากาศบางใสกำลังตีหน้าเข้มอยู่ข้างๆ

ล็อคก้มหน้าจัดเอกสารต่อจากที่เดียร์ทำค้างไว้ พลันประตูบานพับหลังร้านก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

คนตัวเล็กที่บอกว่าจะไปพัก เกาะขอบประตูหอบหายใจ

ล็อคเงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย

“อะ…เอ่อ… ผมลืมของครับ” คนตัวเล็กเดินมาหยุดด้านหน้าเคาเตอร์ที่ล็อคอยู่

ล็อคแอบเห็นว่าคนตัวเล็กกำมือข้างหนึ่งแน่น 

หรือไม่กล้าเข้ามาเอาของเพราะเกรงใจเขาที่อยู่ด้านใน?

“จะเอาอะไรหรอ บอกฉันได้นะ เดี๋ยวหยิบให้” ล็อคยิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็กที่ตีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คนตัวเล็กกวาดตาไปรอบๆโต๊ะเคาเตอร์ ก่อนหยิบปากามาหนึ่งด้าม “ดะ..ได้แล้วครับ ไปก่อนนะ”
ยิ้มหวานให้เจ้าของร้านก่อนกำมือแน่นเดินออกไป

ปากกา? อืม.. บางทีเดียร์คงเอาไปเขียนอะไรล่ะมั้ง

ล็อคไม่รู้ว่าที่เดียร์กำมือแน่นไม่ใช่เพราะอะไร

ถ้าเดียร์ไม่ได้ยินเสียงโวยวายของ’ธาตุอากาศ’ที่จ้องหน้าล็อคอยู่ คนตัวเล็กคงไม่รีบวิ่งเข้าร้านมาจับตัวให้ออกไปด้วยกัน
คนตัวเล็กเดินออกไปถึงลานโล่งหลังร้าน มองซ้ายมองขวา
เมื่อเห็นว่าคงไม่มีใครอยู่แถวนี้ คนตัวเล็กก็โวยวายออกมา “ตามมาทำไม!”
 เดียร์โวยวายกับธาตุอากาศที่อยู่ตรงหน้า
“ตามมาเฝ้าไง ถ้ารู้ว่าเดียร์จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้นะ”  ร่างสูงพ่นเสียงในลำคอ 

เดียร์ขมวดคิ้วแน่น ไม่พอใจกับประโยคแบบนั้น

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ไม่เกี่ยวเลย! นายเลิกตามฉันสักทีได้ไหม!”
 เดียร์ตวาดลั่น พลันชะงักไปเมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดเสียงดังเกินไป
คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวาอีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นจริงๆ

 “จะไปไหนก็ไป อย่ามาวุ่นวายเวลางานของฉัน!” เดียร์ผละเดินหนีไป ปล่อยให้ธาตุอากาศลอยเคว้งอยู่เดียวดาย
“ไม่รู้ล่ะ เดียร์ไปไหน ผมไปด้วย” ธาตุอากาศที่ว่า วิ่งมาเดินขนาบข้างคนตัวเล็ก ไม่สนใจกับประโยคโวยวายยืดยาวของคนตัวเล็ก

เดียร์หันไปมองอย่างหงุดหงิด “วายุ!!”

“จะพูดคนเดียวอีกนานไหม? คนมองกันแล้วนะ”
เดียร์หันไปมองรอบข้าง  เขาเข้ามาในเขตชุมชนแล้ว
แม่ค้าขายผลไม้รถเข็นมองเดียร์ด้วยสายตาแปลกๆ คนตัวเล็กเห็นอย่างนั้นก็รีบก้มหน้างุด จ้ำเดินอย่างหงุดหงิด ก่นด่าธาตุอากาศที่เดินตามมา

วายุขำน้อยๆกับท่าทางของเดียร์ คนตัวโตผิวปากเดินตามอย่างสบายใจ


ยังไงก็หนีเขาไม่พ้นอยู่แล้วน่า…


# My dear





ฝากติดตาม My Dear ด้วยนะคะ  :กอด1:

 :mew1:


หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 1
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 24-05-2014 12:13:14


Chapter 1


เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น ตอนเช้า ในห้องพักขนาดย่อม ใจกลางกรุง

แสงแดดพยายามสาดส่องเข้ามาให้กระทบถึงเจ้าของนาฬิกาปลุกที่ยังหลับไม่รู้ตื่นสักที 

เสียงนาฬิกาแผดลั่นไม่หยุด เพื่อนร่วมห้องรีบวิ่งเข้าห้องนอนมาปลุกเจ้าของนาฬิกาทันที

“ไอ้เดียร์โว้ย!”  เสียงหวานใสดังขึ้น ขัดกับรูปประโยคสุดห้าว

“ไอ้เดียร์! มึงไม่ตื่นไม่ว่า แต่ช่วยลุกมาปิดนาฬิกาไม่ได้รึไงวะ!”

คนถูกเรียกบิดน้อยๆ ดึงผ้าห่มคลุมโปงหันหลังหนีคนมาปลุก

พู่กันคว้านาฬิกามาปิด ก่อนหันมายื้อยุดดึงผ้าห่มผืนใหญ่ออกไปจากตัวเพื่อน

แรงพู่กันกับแรงของเดียร์ไม่ได้เยอะไปกว่ากันนัก สงครามผ้าห่มครั้งนี้ค่อนข้างสูสี

จนกระทั่งธาตุอากาศบางใสที่ยืนดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นทนดูต่อไปไม่ไหว

สุดท้ายก็ได้แต่ยื่นมือมาช่วยพู่กันดึงผ้าห่มจนผ้าผืนนั้นร่วงไปกองอยู่ข้างเตียง

พู่กันยืนมองอย่างตะลึงในความสามารถของตัวเอง

เรี่ยวแรงมหาศาลแบบนั้นมันมาได้ยังไง!

“มึงมีเรียนไม่ใช่รึไงไอ้กัน” เดียร์ลุกมานั่งตาปรือมองเพื่อนที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ปลายเตียง

ตอนนั้นเองคล้ายพู่กันเพิ่งได้สติ สะบัดหัวน้อยๆไล่ความคิดแปลกๆออกไป “มีน่ะมันมีแน่ๆ แต่มึงจะรอให้ห้องข้างๆมาปิดนาฬิกาให้รึไง!”

เดียร์อ้าปากหาวกว้างๆ บิดตัวแรงๆ “ก็กำลังจะปิดแล้วมึงก็เข้ามา”  พู่กันได้แต่ส่วยหัวน้อยๆ  เหลือบไปมองนาฬิกาเจ้าปัญหาที่เอ้งเม้งอยู่หัวเตียงก็ตระหนักได้ว่าสายแล้ว

“โจ๊กอยู่ในหม้อ อุ่นอีกทีก็กินได้ กูไปเรียนแล้วนะ”

พู่กันอยู่กับเดียร์มานาน นานแค่ไหนก็จำไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ก็วิ่งเล่นกับเดียร์แล้ว อยู่กินกับมันจนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เรียนคณะโบราณคดีด้วยกัน จนตอนนี้ก็ปี 2 กันแล้ว จริงๆมีโต้งอีกคนที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แต่ทั้งพู่กันและเดียร์เพิ่งรู้จักโต้งตอนขึ้นมัธยมต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็อยู่กันจนยืดยาวมาถึงมหาวิทยาลัยเลยนี่ล่ะ

ถึงจะเรียนคณะเดียวกัน แต่วิชาที่ลงเรียนก็ต่างกันไป เพราะทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้นักศึกษาจัดตารางเรียนเองได้  พู่กันและเดียร์ที่ต้องเรียนไปทำงานไปจึงจัดตารางเรียนเพื่อความสะดวกของชีวิต

เสียงปิดประตูห้องเป็นสัญญาณที่เดียร์รับรู้ว่าพู่กันออกไปจากห้องแล้ว

คนตัวเล็กยังนั่งตาปรืออยู่บนเตียง

วันนี้วันจันทร์ มีเรียนตอนบ่าย

คิดอย่างนั้นก็ล้มตัวลงนอนไปอีกครั้ง

ไม่ได้สนใจธาตุอากาศที่ยืนอยู่ในห้องด้วยเลย

“ยังจะนอนต่ออีก” พึมพำเบาๆก่อนย่างกรายเข้าไปหาคนตัวเล็กที่นอนอยู่

“เดียร์ ลุกเถอะ สายแล้วนะ” ใบหน้าคมโน้มต่ำลงไปกระซิบริมหู
แตะตัวกันไม่ได้ แต่ได้ใกล้ชิดก็ยังดี

เสียงที่ดังอยู่ใกล้เกินไปทำให้เดียร์ลืมตาโพลง

ลืมไปเลย ลืมได้ยังไง!

ลืมได้ยังไงว่ามี”ใคร”อยู่ในห้องด้วย

เดียร์เด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ถอยร่นไปชิดหัวเตียง ธาตุอากาศที่ว่านั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ

“นายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เดียร์กระวีกระวาดลุกไปตั้งหลักบนพื้น อย่างน้อยยืนอยู่บนพื้นก็ยังดีกว่านั่งอยู่บนเตียง

“ผมอยู่ในห้องนี้ตลอดเวลานะ” วายุยิ้มทะเล้น ท่าทางที่ทำเอาเดียร์ขมวดคิ้ว ยู่หน้า

เหนื่อยจะต้องต่อล้อต่อเถียงกับธาตุอากาศที่อยู่ตรงหน้าแต่เช้า เวลานอนดีๆหายไปหมด!

มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนนั้น! ตอนที่เดียร์กับพู่กันย้ายหอ

ด้วยปัญหาเดิมๆเรื่องเดิมๆ ปัญหาของเดียร์ที่พู่กันรับรู้แล้วเข้าใจ

เรื่องที่เดียร์มีสัมผัสพิเศษ !

เดียร์มีความสามารถพิเศษนี้ตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย และความสามารถยิ่งเข้มข้นไปอีกเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่ว่าเดียร์ไม่กลัว

เพราะกลัวนี่ไงเลยต้องย้ายหอแล้วย้ายหออีก

ถ้าไม่ใช่เพราะหอที่ย้ายไปแต่ละที่จะมีวิญญาณคอยก่อกวนตลอดล่ะก็นะ  ไม่ได้มาก่อกวนแบบในหนังผีที่เคยดู แต่มาเป็นวิญญาณผู้ชายที่คอยตื๊อ ตอแย แหย่ หยอกล้อ แซว หรืออะไรเทือกนี้ 

นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เดียร์กลัว และไม่ชอบเอามากๆ!

ลำพังแค่เจอมนุษย์เพศชายตามตื๊อหรือเข้ามาวุ่นวาย เขาก็ระอาพอแล้ว นี่ยังเจอแม้กระทั่งวิญญาณ! ก็ไม่รู้ว่าวิญญาณผู้หญิงหายไปไหนหมดนะ

ไม่ใช่ว่าเดียร์ไม่เคยจีบผู้หญิง แน่นอนเกิดเป็นผู้ชายทั้งทีมันก็มีจีบสาวบ้าง แต่พอจีบติด แล้วคบกันไปได้สักพักก็โดนบอกเลิก สาเหตุส่วนใหญ่ที่โดนบอกเลิกเพราะผู้หญิงรับไม่ได้ที่เพื่อนๆของเธอทักว่าเธอคบกับทอม   คิดมาถึงตรงนี้ยิ่งปวดใจ เขาเป็นผู้ชายนะโว้ย เดียร์อยากตะโกนให้ดังไปถึงดาวพลูโต

ห้องที่เดียร์กับพู่กันอยู่ตอนนี้เป็นห้องที่เพิ่งย้ายเข้ามาได้ 3 วัน

มาวันแรกก็เจอเลย…

วายุ… เดียร์จำชื่อได้ พ่อคุณเล่นมาแนะนำตัวตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา

ถึงเดียร์จะเจอวิญญาณผลุบๆโผล่ๆอยู่บ่อยๆ แต่มันก็ยังไม่ชิน แล้ววายุเล่นมาโผล่ตอนกำลังจะเข้าห้องน้ำ อารามตกใจทำให้เดียร์จำทุกอย่างในตอนนั้นได้ดี

ตั้งแต่เดียร์รู้ว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษแปลกๆ วายุเป็นวิญญาณแรกที่ขอความช่วยเหลือ และตื๊ออย่างถึงที่สุด การขอความช่วยเหลือของวายุเป็นอะไรที่เดียร์สุดลำบากใจที่จะให้ความช่วยเหลือจริงๆ



เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดียร์มองไปรอบๆห้องนอน จำไม่ได้ว่าวางไว้ตรงไหนของห้อง คนตัวเล็กเดินวนอยู่ในห้องหาที่มาของเสียง วายุมองตามอยู่เงียบๆ

“ใต้เก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ” วายุชี้ไปยังที่มาของเสียงที่ร้องลั่นอยู่ เดียร์หันมามองวายุเป็นเชิงไม่พอใจก่อนก้มไปหยิบโทรศัพท์ที่ร้องอยู่ วายุไม่ได้เคืองกับสายตาเคืองๆของคนตัวเล็ก กลับกัน วายุกลับเห็นว่าท่าทางแบบนั้นของเดียร์ช่างน่าเอ็นดู

“ครับพี่ล็อค” เดียร์รับโทรศัพท์ทันทีที่คว้าโทรศัพท์ได้ ชื่อของคนที่เดียร์คุยด้วยทำเอาวายุคิ้วกระตุก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดทนรอฟังอยู่เงียบๆ

เดียร์หัวร่อต่อกระซิกกับคนในสายนานเกินไป ความอดทนของวายุใกล้หมดลงเต็มที  ว่าจะไม่เสียมารยาทฟังแล้วนะ  แต่เสียงหัวเราะของเดียร์ทำเอาวายุมีมารยาทนานไม่ได้จริงๆ

ไม่รอช้า วายุใช้ความสามารถพิเศษของตัวเองฟังเสียงคนในสายไปด้วย

ไม่นานการสนทนาทางโทรศัพท์ของเดียร์กับล็อคก็สิ้นสุดลง

คนตัวเล็กรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำทันที

ถึงจะปิดประตูลงกลอนแน่นหนา แต่เดียร์คงลืมไปว่าวายุเข้าออกได้ทุกที่แม้มีสิ่งกีดขวาง

“จะไปไหน เดียร์?” คนตัวเล็กแทบสำลักฟองยาสีฟัน เมื่อได้ยินเสียงนั้นมาจากด้านหลัง เดียร์คาบแปรงสีฟันไว้ในปาก หันไปมองวายุอย่างไม่พอใจ  ถ้าเขาแก้ผ้าอยู่ล่ะวะ! โชคดีที่วายุเป็นวิญญาณที่มีมารยาทกว่าหลายวิญญาณที่เคยเจอ ขาอ่อนเดียร์เลยยังไม่เคยปรากฏแก่สายตาวายุ

“จะอาบน้ำ เข้ามาทำไม!” ตอบไม่ตรงคำถาม คนตัวเล็กพ่นฟองยาสีฟันใส่อากาศ ฟองสีขาวทะลุร่างวายุไปกระทบผนังห้องน้ำ วายุยังยืนตีหน้าเข้มมองเดียร์อยู่นิ่งๆ

“แล้วเดียร์จะไปไหนล่ะ?”

“เรื่องของฉัน” เดียร์หันไปตั้งหน้าตั้งตาแปรงฟันต่อ

“เรื่องของผมด้วย”

“อะไรอีกวะ?” เดียร์หันไปบ้วนปากก่อนหันมามองหน้าวิญญาณบางใสที่ตีหน้าเข้มอยู่ด้านหลัง

“ทำไมเดียร์ต้องทำตามคำพูดของหมอนั่นด้วย แค่มันโทรให้เดียร์ไปหา เดียร์ก็ไป” น้ำเสียงคล้ายไม่พอใจของวายุ ทำให้เดียร์ไม่พอใจในคำพูดนั้น

“พี่ล็อคเป็นเจ้านายฉันนะ! เขาให้ฉันไปช่วยงานที่ร้าน ฉันก็ต้องไปสิ!” น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจ

“แต่มันยังไม่ถึงเวลางานของเดียร์” วายุยังเถียงต่อ เดียร์รู้สึกว่ามันเหมือนคำพูดของเด็กที่ถูกขัดใจ

“เป็นลูกจ้างนายจ้างกันจะไม่มีน้ำใจกันเลยรึไงวะ ฉันอยู่กับพี่ล็อคมาเป็นปีแล้วนะ” เดียร์ถอนหายใจแรงๆ

แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาต้องมาเถียงอะไรยืดยาวแต่เช้าวะเนี่ย!

“ออกไปได้แล้ว จะอาบน้ำ”

เพราะเดียร์แตะต้องอีกฝ่ายไม่ได้ เลยยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ จะผลักออกก็ไม่ได้ ดีที่วายุก็แตะต้องเขาไม่ได้เหมือนกัน

“เดียร์” วายุเอ่ยชื่อเดียร์ออกมานิ่งๆ เดียร์ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก

“วายุ”  เอาสิ นิ่งมาก็นิ่งกลับ เดียร์จ้องหน้าวายุไม่ลดละ สุดท้ายเป็นวายุเองที่ยอมถอยออกมา เดียร์มองตามจนวายุทะลุประตูห้องน้ำไปจ้นพ้นถึงได้หันมาอาบน้ำจริงๆ

เดียร์ไม่เห็นวายุอยู่ในห้องจนกระทั่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ

คนตัวเล็กเตรียมจะออกจากห้องมุ่งหน้าไปที่ร้านไอศกรีมที่เขาทำงานอยู่ จู่ๆธาตุอากาศบางใสก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า

“ไปด้วย” ท่าทางจริงจังของวายุ เดียร์รู้แน่ๆว่ายังไงก็ห้ามไม่ได้

เดียร์รู้สึกโล่งอกไปนิดหนึ่ง ที่วายุยังไม่เสียมารยาทตามไปโดยไม่บอก อย่างน้อยก็ยังขออนุญาตกันก่อน

คนตัวเล็กถอนหายใจหนักๆก่อนออกจากห้องพัก





# My dear



ตอนแรกมาแล้วค่ะ ^^
คนเขียนจะพยายามมาลงเร็วๆ คนอ่านจะได้ไม่ต้องรอนาน

ฝากติดตามน้องเดียร์ด้วยนะคะ   :mew1:


เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^


 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 1
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 24-05-2014 23:26:52
น่ารักเนาะ ^^

เรื่องนี้ไม่มีมาม่าใช่ป่ะ?

ติดตามจ้า  :hao7:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 2
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 25-05-2014 13:19:31

Chapter 2


ร้านไอศกรีมหน้ามหาวิทยาลัยในตอนสายของวันที่แดดร้อนระอุ เนืองแน่นไปด้วยลูกค้าหลากวัยที่มานั่งรับอากาศเย็นๆพร้อมของว่างเย็นๆช่วยคลายร้อน

เสียงกระดิ่งที่ประตูของร้านดังขึ้นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วไม่ทราบได้

เจ้าของร้านตัวสูงโปร่งกำลังวุ่นอยู่กับการจัดไอศกรีมใส่ถ้วยเตรียมเสิร์ฟให้ลูกค้า
พนักงานตัวเล็กที่เพิ่งเข้าร้านมา รีบโยนกระเป๋าสะพายไปในช่องเก็บของใต้เคาเตอร์ก่อนถลาไปคว้าถ้วยไอศกรีมจากมือของเจ้าของร้านทันที “พี่ล็อค มา ผมช่วยครับ”

“อ้าวเดียร์” ล็อคเผลอสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยมาจากคนตัวเล็ก กลิ่นแป้งอ่อนๆที่ลอยปะทะจมูกคม

“เฮ้ย พี่ล็อค!” เดียร์ร้องลั่น เกือบคว้าถ้วยไอศกรีมไว้ไม่ทัน ล็อคเล่นปล่อยกลางอากาศแบบนี้

ล็อคเพิ่งได้สติตอนนั้น คนตัวโตสะบัดหน้าน้อยๆไล่ความคิดแปลกๆ

เป็นอย่างนี้ตลอดเลยสิ เวลาอยู่ใกล้ๆเดียร์!
หลายครั้งที่เผลอทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว เวลามีเดียร์อยู่ใกล้ๆ

“มาเร็วกว่าที่คิดแฮะ” ล็อคผละไปประจำอยู่หน้าเคาเตอร์แทน
ขืนอยู่ใกล้เดียร์นานกว่านี้ เขาต้องทำอะไรแปลกๆออกไปอีกแน่

“จากหลังมอมาหน้ามอ แป๊บเดียวครับพี่ ไม่มีรถติด” เดียร์ว่าเจื้อยแจ้วระหว่างรอปั่นน้ำมะนาวตามออเดอร์ที่แปะอยู่บนผนัง

“อยู่หอใหม่เป็นไงบ้าง?” วันย้ายหอ เขายังไปช่วยคนตัวเล็กขนของเข้าหออยู่เลย ถึงเดียร์จะปฏิเสธยังไงก็ตาม ล็อคก็ยังดื้อดึงมาช่วยขนของให้ได้ แค่ได้รู้ว่าเดียร์พักอยู่ยังไงก็สบายใจขึ้นไปอีกนึดหนึ่ง

“ก็โอเคครับพี่” เดียร์ว่าแค่นั้นในขณะที่หันหลังให้ล็อค คนตัวเล็กกำลังจัดไอศกรีมใส่ถ้วย พลางคิดไปถึงคำถามของล็อคก็ต้องยู่หน้าน้อยๆ มันจะโอเคกว่านี้ถ้าไม่มีวิญญาณวายุคอยวุ่นวายอยู่ในห้องนั้น

เดียร์ย้ายหอทันเปิดเทอมพอดี ย้ายเสร็จปุ๊บ เปิดเทอมปั๊บ
เดียร์ตั้งใจจะอยู่ที่ห้องใหม่นี้ แต่พอได้เจอวายุทำให้เดียร์ต้องกลับไปทบทวนใหม่

เดี๋ยวนะ วายุหรอ? …

พลันนึกถึงธาตุอากาศที่บอกว่าจะตามมาด้วย
เดียร์หันหลังขวับทันที แล้วก็ได้เจอ .. จริงๆด้วย
วายุตามมาจริงๆ
ร่างสูงโปร่งยืนขนาบข้างล็อคอยู่ที่เคาเตอร์ จ้องหน้าล็อคเหมือนโมโหกันมาเป็นชาติ

“โต้งล่ะครับ?” ไม่อยากสนใจธาตุอากาศนั้นเท่าไรนัก เดียร์ถามถึงเพื่อนอีกคนทันที เพื่อนที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมสถาบัน 

“เมื่อกี๊เพิ่งเอาไอศกรีมไปเสิร์ฟ” ล็อคว่าได้แค่นั้นก็ต้องหันไปคุยกับลูกค้าที่มาชำระเงิน

“มาได้ไงวะ?” เสียงมาก่อนที่ตัวจะมาถึง เดียร์หันไปมองที่มาของเสียงตามสัญชาตญาณ

โต้งเดินเข้ามา พร้อมถาดเสิร์ฟไอศกรีมในมือ

โต้งกับเดียร์มาทำงานร้านไอศกรีมด้วยกันตั้งแต่อยู่ปี 1  ส่วนพู่กันรับวาดภาพส่งงานตามเนท ตามคำแนะนำของโต้ง

“พี่ล็อคบอกให้มาช่วย เห็นว่าแค่มึงกับพี่ล็อคเอาไม่อยู่” เดียร์ว่าพลางส่งน้ำมะนาวปั่น 1 แก้ว พร้อมไอศกรีมที่จัดเสร็จใหม่ๆอีก 2 ถ้วยใส่ถาดยื่นให้โต้ง

วันนี้โต้งทำงานเช้าถึงเย็นเพราะไม่มีเรียนทั้งวัน ส่วนเดียร์ทำงานช่วงค่ำหลังเลิกเรียน ตารางเวลางานค่อนข้างเป็นไปแล้วแต่วัน อย่างวันนี้ อยู่ๆพี่ล็อคก็ให้มาทำงานตอนเช้า จะปฎิเสธก็กระไรอยู่ คิดซะว่าทำโอทีไปเลยแล้วกัน

“มึงมาแล้วดีจริงๆว่ะ ลูกค้ายิ่งเพิ่มเข้าไปอีก” โต้งว่าพลางมองไปรอบๆร้าน

แอบสังเกตว่าตั้งแต่เดียร์วิ่งเข้าร้านมา หลังจากนั้นไม่เกิน 10 นาที ลูกค้าผู้ชายก็เดินเข้าร้านตามมาไม่หยุด เท่าที่ดูส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษาชายทั้งนั้น

“ลูกค้าเข้าร้านแล้วมันไม่ดีตรงไหนวะ อันนี้โต๊ะ 8 อันนี้โต๊ะ 3” เดียร์ไม่เข้าใจประโยคแกมประชดของโต้ง คนตัวเล็กหันไปจัดไอศกรีมใส่ถ้วยต่ออย่างขะมักขเม้น

“มีแต่ลูกค้าผู้ชายน่ะสิ!” เสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆ เดียร์แน่ใจว่าเจ้าของประโยคกำลังสนทนากับตนแน่ๆ
ไม่รอช้ารีบเอ่ยต่อประโยคทันที เดียร์เข้าใจว่าล็อคกำลังคุยกับตน โดยเดียร์ไม่ได้เงยหน้ามองคนที่สนทนาด้วยสักนิด “มีแต่ลูกค้าผู้ชายแล้วแปลกยังไงหรอครับ?”

“ก็เพราะเป็นเดียร์ไง” เสียงที่ดังอยู่ริมหูทำเอาเดียร์หันขวับ

วายุยืนประกบหลังเดียร์แทบแนบชิด ดีที่ทั้งสองคนต่างสัมผัสกันและกันไม่ได้  เดียร์รีบหันกลับไปคืนทันที คนตัวเล็กหันไป

สนใจไอศกรีมในถังแทนธาตุอากาศที่ลอยอยู่

“เมื่อกี๊ว่าอะไรนะเดียร์?” ล็อคที่เพิ่งส่งลูกค้าเสร็จหันมาหาคนตัวเล็กที่ก้มๆเงยๆอยู่หน้าถังไอศกรีม

“เอ่อ….” เดียร์ชะงักไป “วันนี้ลูกค้าเยอะนะครับ” เดียร์หันมายิ้มแป้นให้คนตัวโตทันทีที่ตั้งสติได้

“เพิ่งเปิดเทอม ก็อย่างนี้หละ” ล็อคยิ้มอ่อนโยนให้คนตัวเล็ก ก่อนหันไปรับลูกค้าที่มาชำระเงิน ลูกค้ามาชำระเงินถี่จนล็อคอดเอะใจไม่ได้

จะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเดียร์อยู่หลังเคาเตอร์แคชเชียร์

ลูกค้าในร้านเริ่มบางตาลง  โต้งทยอยทำความสะอาดโต๊ะที่ลูกค้าออกไปแล้ว เดียร์ไม่รอช้า รีบไปช่วยเพื่อนทันที

ทั้งร้านมีพนักงานอยู่แค่สามคน  เดียร์เคยแอบถามล็อคหลายครั้งเรื่องพนักงาน แต่ล็อคก็ยืนยันว่าจะไม่รับเพิ่ม

ล็อคเพิ่งเปิดร้านไอศกรีมหน้ามหาวิทยาลัยตอนที่เดียร์และโต้งอยู่ปีหนึ่ง ความบังเอิญที่เดียร์เดินผ่านร้านไอศกรีมที่ยังตกแต่งไม่เสร็จดี เหลือบไปเห็นป้ายหน้าร้านว่ารับสมัครพนักงาน เดียร์กับโต้งไม่รอช้าที่จะเข้าไปสมัครทันที

ล็อคเป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันแต่เรียนกันคนละคณะ ล็อคเปิดร้านไอศกรีมตอนอยู่ปีสาม มาตอนนี้ก็อยู่ปีสี่ 

เนื่องจากล็อคเรียนคณะบัญชี การบริหารหารจัดการภายในร้านจึงไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งได้แรงสนับสนุนจากทางบ้านด้วยแล้ว แม้การมีธุรกิจเป็นของตัวเองจะยากลำบาก แต่ล็อคก็ผ่านมันมาด้วยดี

“โต้งอยู่ร้านคนเดียวได้ไหม?” ล็อคกำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเคาเตอร์ ง่วนอยู่กับเก็บเอกสารที่รื้อมาลงบัญชี

“ได้ครับพี่” โต้งทำท่าวันทยหัตถ์  สีหน้าเข้ม เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากพนักงานตัวเล็กในร้านที่ทำความสะอาดโต๊ะอยู่ใกล้ๆกัน ล็อคขำน้อยๆกับท่าทางของโต้ง

“เดี๋ยวพี่กับเดียร์ไปกินข้าวเที่ยงแล้วจะเลยไปเรียนเลยนะ” ล็อคเดินไปล้างมือที่อ่างล้างมือด้านหลังเคาเตอร์
ประโยคของล็อคทำเอาเดียร์ตงิดใจไปพักหนึ่ง

“ไปกันเดียร์ เดี๋ยวสาย” ความรู้สึกตหงิดใจของเดียร์เพิ่มขึ้นไปอีกทันทีที่ล็อคเดินมา สีหน้าและท่าทางของล็อค ที่เดียร์ไม่ค่อยคุ้นนัก

คนตัวเล็กที่ถูกเอ่ยชวนยังยืนอ้ำอึ้งไม่ไปไหน โต้งเสมองไปนอกร้าน กระแอมในคอเหมือนทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็น กขค ซะงั้น

“อ้าว เฮ้ย! ไอ้หน้าม่อ” เสียงโวยวายที่เดียร์ไม่ได้ยินมาสักพักดังขึ้นมาจากด้านหลังเดียร์ คนตัวเล็กหันขวับตามสัญชาตญาณ

ล็อคเห็นว่าเดียร์มีท่าทีแปลกไป “มีอะไรหรือเปล่า?”

เดียร์ชะงัก “เอ่อ… ไม่.. ไม่มีอะไรครับ”

เดียร์วิ่งไปล้างมือเก็บของ ก่อนวิ่งมาคว้าข้อมือล็อคให้รีบออกไปจากร้าน “ฝากด้วยนะโต้ง” เดียร์ว่าแล้วผลุนผลันออกไป ล็อคเดินตามอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้าคมคายปรากฏจุดยิ้มที่ริมฝีปาก

“เดียร์ จะวิ่งหนีกันอย่างนี้ไม่ได้นะ!” เสียงโวยวายที่เดียร์ได้ยินยิ่งทำให้เดียร์ก้าวเท้าเร็วขึ้น แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนที่เดียร์จับมือไว้ออกแรงยื้อข้อมือไว้ก่อน

“รถพี่จอดอยู่ทางนู้น” ล็อคชี้ไปทางด้านข้างของร้านที่เว้นที่ไว้ให้ลูกค้าจอดรถได้  เดียร์ชะงักไป

“ไปขึ้นรถกัน”  เป็นล็อคที่เป็นฝ่ายจูงมือเดียร์บ้าง เดียร์เพิ่งรู้สึกตัวในตอนนั้นเองว่าตัวเองทำตัวรุ่มร่ามกับล็อคมากไป

“ขอโทษครับ” เดียร์เอ่ยเบาๆขณะที่ล็อคจูงมือเดียร์มาฝั่งข้างคนขับ

“หืม? ขอโทษทำไมครับ?” แววตาอ่อนโยนที่ส่งมาให้คนตัวเล็ก แต่เดียร์ไม่ทันสังเกตเห็น

“ผม… จู่ๆก็พาพี่ล็อคออกมา”

“ไม่เป็นไรน่า ขึ้นรถเร็ว” ล็อคเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้ เดียร์ยังยืนนิ่งไม่ขยับตัวไปไหน ยังไม่กล้าขึ้นรถ จนล็อคต้องออกแรงดันตัวเดียร์เบาๆ คนตัวเล็กถึงได้ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย ล็อคปิดประตูรถพร้อมเดินมาขึ้นรถฝั่งคนขับ

รถเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ แล่นอยู่บนถนนที่เดียร์ไม่คุ้นตา คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวาอย่างสงสัย ออกจะแปลกใจไม่น้อยที่ล็อคพาเขาขับรถออกมาข้างนอกแทนที่จะเป็นในเขตสถาบันอย่างที่คิดไว้ตอนแรก

จะทักก็ไม่กล้า เดี๋ยวจะกลายเป็นยุ่งเรื่องของเจ้านาย จะนั่งอยู่เฉยๆก็ข้องใจ

“มึงจะพาเดียร์ไปไหน!” ตะโกนไปสิ ถ้าคิดว่าล็อคจะได้ยิน

เสียงโวยวายแบบนั้นมีแค่เดียร์เท่านั้นที่รับรู้ได้

คนตัวเล็กหันขวับไปตามที่มาของเสียง

ยังจะตามมาอีก!

เป็นใครไปไม่ได้ …วายุนั่งอยู่เบาะหลัง ตีหน้าเข้มใส่ล็อค ที่ล็อคไม่มีทางรับรู้ได้


ล็อคเห็นเดียร์มีท่าทีแปลกไป คล้ายตอนแรกที่เป็นในร้าน “อะไรหรอเดียร์?”

คนตัวเล็กเลิ่กลั่ก พยายามประมวลผลหาคำตอบดีๆ  ยังไงก็ยังปรับตัวไม่ได้อยู่ดีกับการผลุบๆโผล่ๆของวิญญาณอยู่ดี “พี่ล็อค… พาผมไปไหนหรอครับ?” เดียร์คิดว่านี่เป็นคำตอบที่ดีแล้ว ถึงมันจะเป็นในรูปของคำถามก็เถอะ

“กินข้าวเที่ยงไง” ล็อคมองถนนไปก็ยิ้มไป บนถนนมันมีอะไรน่ายิ้มให้ขนาดนั้นเลยหรือ

“แต่กินในมอก็ได้นี่ครับ” ไม่ได้จะเถียงนะ แต่สงสัยจริงๆ เดียร์รู้สึกว่าธาตุอากาศที่ตามมา กำลังฟึดฟัดหัวเสียอยู่ที่เบาะหลัง คนตัวเล็กส่งสายตาไปปรามวายุทันที

“ในมอคนเยอะ กินข้างนอกดีกว่า แล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งที่คณะ”

ไม่นานล็อคก็เลี้ยวรถเข้าจอดในร้านอาหารที่ตั้งอยู่ข้างทาง

ลืมร้านก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่รถเข็นไปได้เลย เพราะที่ล็อคพามามันคือร้านอาหารสองชั้นที่มีพนักงานมาบริการรับรถเข้าไปจอด

เดียร์ลงจากรถอย่างอึ้งๆ

พี่ล็อคพามาที่แบบนี้ทำไม!

“พี่ล็อค” เดียร์เอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้า ตาก็มองร้านอาหารหรูหราอย่างเกรงๆ

“มาเร็วเข้า เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันนะ”

ทันทีที่เข้าไปในร้าน เดียร์เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเดียร์เลยจริงๆ

ลูกค้าในร้านแต่ละคนแต่งตัวดีๆกันทั้งนั้น เสื้อผ้าหน้าผม พร้อมออกงานตลอดเวลา เดียร์แอบมองตัวเองผ่านกระจกที่เดินผ่าน เสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่นี่ไม่เหมาะกับจะเป็นลูกค้าที่นี่เลยจริงๆ

“จองไว้แล้วครับ” ล็อคเอ่ยกับพนักงานที่อยู่แถวนั้น เดียร์หันมองคนตัวโตทันที
ไปจองอะไรยังไงไว้ตอนไหน!

บริกรนำเดียร์และล็อคไปยังมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของร้าน
ทันทีที่นั่งลง ล็อคก็เริ่มร่ายเมนูใส่บริกรทันที

“อาหารที่นี่อร่อยนะ พี่มาทานบ่อย” ล็อคคุยกับเดียร์พลางสั่งอาหารไปพลาง บริกรยืนรอรับออเดอร์อยู่ไม่ไกล เดียร์มองเมนูแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อก กลืนน้ำลายยังรู้สึกดีกว่ากลืนอาหารที่มีในเมนู

ทำไมตัวเลขที่บ่งบอกว่าเป็นราคามันมีหลายหลักขนาดนี้!

“เดียร์ทานอะไรดีครับ?” ล็อคยิ้มอ่อนโยนให้คนตัวเล็กที่ตีหน้ายุ่งใส่เมนู  ดูเหมือนว่าเดียร์จะขาดการติดต่อกับล็อคไปแล้ว

“เดียร์… เดียร์ครับ” ล็อคเรียกอีกครั้ง คนตัวเล็กยังคงนั่งนับจำนวนหลักของราคาที่แปะอยู่ตามชื่ออาหาร

“ไม่ต้องกินเลยเดียร์ ลุกออกไปเลย” เสียงโวยวายที่ดังอยู่ริมหูทำเอาเดียร์หลุดจากภวังค์ คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆมองล็อคที่นั่งอยู่ตรงข้าม ไม่ลืมหันไปส่งสายตาเคืองๆให้วายุที่ชอบวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง

“ผมเอ่อ….ไม่ทานดีกว่าครับ” เดียร์ค่อยๆวางเมนูไว้บนโต๊ะ ไม่รู้ว่าถ้าทำเมนูเป็นรอยจะต้องเสียเงินเพิ่มหรือเปล่า

“ทำไมล่ะเดียร์ อาหารไม่น่าทานหรอ?” ล็อคมีสีหน้าอ่อนโยนจนเดียร์เริ่มหนักใจ คนตัวเล็กรีบปฎิเสธทันที

“ไม่ใช่ครับพี่ล็อค…คือมัน…แบบว่า…. ” เดียร์ตีสีหน้าปั้นยาก
มือเล็กเริ่มควักกระเป๋าเงินออกมานับเงินในกระเป๋า คนตัวโตที่นั่งอยู่ตรงข้ามอมยิ้มกับท่าทางนั้น “มื้อนี้พี่เลี้ยง ไม่ต้องเกรงใจ”

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค”  คนตัวเล็กรีบปฏิเสธให้วุ่น
ล็อคไม่รอช้ารีบสวนทันที “ปฏิเสธเจ้านายหรอ?” เสียงเข้มๆของล็อคทำเอาเดียร์ชะงักไป

คนตัวเล็กนั่งก้มหน้าน้อยๆ  “แต่มัน…”

“เอาน่า พี่บอกว่าเลี้ยงก็เลี้ยงสิ” ล็อคหันไปสั่งอาหารให้เดียร์
เสร็จสรรพ บริกรก็ขอตัวออกไป

เดียร์นั่งเกร็งอยู่อย่างนั้นจนอาหารมาเสิร์ฟ
ปลาทอด แกงจืด ต้มฟัก หรือแม้แต่ไข่เจียว ค่อยๆทยอยมาเสิร์ฟ

เดียร์มองอาหารที่มาเสิร์ฟไม่ยอมหยุดจนมันกองเต็มโต๊ะ

ปกติแค่ไข่เจียวอย่างเดียวก็อิ่มได้อย่างน้อยก็สองมื้อ แล้วอาหารเกือบสิบอย่างแบบนี้ เขาจะกินได้ยังไง เดียร์อยากสั่งข้าวเปล่า(เพราะคิดว่าน่าจะถูกที่สุด)มานั่งกินแกล้มกับมองอาหารพวกนี้ไปพลางๆ แค่นั่งมองก็น่าจะอิ่มแล้ว ยิ่งคิดถึงราคาก็แทบไม่กล้ากลืน

ล็อคต้องใช้เวลากล่อมเดียร์อยู่นานกว่าคนตัวเล็กจะยอมทานข้าวได้ และต้องใช้เวลาเพิ่มเข้าไปอีกกว่าเดียร์จะยอมทานให้หมด แม้คนตัวเล็กจะปฏิเสธว่าอิ่มแล้ว แต่เสียงท้องที่ดังไม่หยุดของคนตัวเล็กไม่ได้ทำให้ล็อคเชื่อในคำพูดของเดียร์เลย

เจ้าของร้านไอศกรีมทำหน้าที่ราชรถไปส่งพนักงานในร้านถึงตึกคณะ เป็นจุดรวมสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นได้ไม่ยาก

“ขอบคุณครับพี่ล็อค” คนตัวเล็กหันไปขอบคุณเจ้านายก่อนกระชับสายกระเป๋าสะพายแน่น

ที่ว่านั่งอยู่ในรถเดียร์รู้สึกเกร็งแล้ว พอลงจากรถยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่  ความรู้สึกที่ว่าเป็นจุดสนใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง เดียร์ไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าตึกคณะ วิ่งหาห้องเรียนทันที

รู้สึกเหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง แต่ก็สุดจะนึกถึง คนตัวเล็กตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหาห้องเรียนต่อทันที









# My dear




ตอนที่ 2 ตามมาติดๆ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ฮี่ๆๆ
ว่าแต่…. มีใครอยู่มั้ยยยยยยย  T T

ผีเรื่องนี้ ไม่น่ากลัวนะ  :mew6:
อาจจะแอบมีดราม่าบ้างนิดๆ แฮ่ๆ
แอมไม่เน้นดราม่าค่ะ   :mew1:

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^


 :กอด1:




หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 2
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 25-05-2014 15:09:44
สนุกดีค่ะ
มีแต่คนมาชอบน้องเดียร์ แล้วน้องเดียร์จะทำไงล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 3
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 26-05-2014 13:06:20


Chapter 3




วายุยืนหัวเสียอยู่อย่างเดียวดายกลางแสงอาทิตย์ยามบ่าย สายตาคมมองตามร่างเล็กๆของ “ผู้ช่วยชีวิต” ที่วิ่งลงจากรถเก๋งคันงาม

วายุต้องใช้ความอดทนมากมายเพื่อระงับความรู้สึกไม่พอใจไว้

เขาต้องใช้ความพยายามข่มอารมณ์แค่ไหนตอนที่เห็นเดียร์กับหมอนั่นหยอกล้อกันในรถ!

นั่งหัวเสียอยู่ในรถไปเดียร์ก็ไม่ได้หันมาสนใจ
สุดท้ายวายุเลยจำต้องเนรเทศตัวเองออกจากรถ ตามมาอย่างห่างๆ

ที่วายุต้องเป็นแบบนี้เป็นเพราะเดียร์!
เพราะเดียร์คนเดียว!

ทั้งๆที่วายุพยายามอธิบายเหตุผลต่างๆนานาว่าเดียร์คือคนเดียวที่จะทำให้วายุฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้

แต่คนตัวเล็กกลับหาว่าเรื่องที่วายุอธิบายคือเรื่องโกหก หรือที่เดียร์ชอบประชดเขาบ่อยๆว่าถูก”ผีหลอก”

วายุในตอนนี้เป็นเหมือนคนครึ่งเป็นครึ่งตาย แม้วิญญาณจะลอยอยู่อย่างนี้ แต่ร่างกายของวายุยังถูกสายน้ำเกลือ ท่อหายใจ หลอดอาหาร และเส้นสายอะไรต่อมิอะไรพันร่างกายอยู่ในโรงพยาบาลหรูใจกลางเมือง

เขาเป็นเจ้าชายนิทรามาสี่เดือนแล้ว…

วายุเป็นนักศึกษาฟิสิกส์ชั้นปีที่ 2 สถาบันเดียวกับเดียร์ (แม้ว่าจะมารู้เรื่องนี้ทีหลังก็ตาม)  ด้วยความที่วายุเป็นนักศึกษาคณะวิทย์ เขาไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ ผีสาง ยมทูตอะไรทั้งนั้นที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้

จากที่เมื่อก่อนต่อต้านเรื่องพรรค์นี้สุดๆ
ถ้าไม่ได้”เจอ”มากับตัวเอง ให้ตายยังไงก็ไม่เชื่อว่าเรื่องพวกนี้มันจะมีอยู่จริง

จนกระทั่งวันนั้น… ที่”ใครคนนั้น”โผล่มาในวันที่เขาเห็นร่างตัวเองนอนหมดสติคาพื้น เพียงเพื่อจะบอกเขาว่า

“เจ้ายังไม่ถึงฆาต วิญญาณของพ่อหนุ่มเพียงหลุดออกจากร่างชั่วขณะ”

ชั่วขณะ!!!

4เดือนนี่ชั่วขณะพอไหม!!

เขาต้องเป็นวิญญาณที่กลับเข้าร่างไม่ได้มาสี่เดือน!
แล้วที่น่าเจ็บใจกว่านั้น “ใครคนนั้น”ดันบอกเรื่องที่น่าเจ็บใจที่สุด

“ต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้า.. มารับวิญญาณผิดดวง  วิญญาณที่ต้องไปกับข้าคือดวงที่อยู่ข้างล่างที่ป้ายรถเมล์ห่างจากที่นี่ไป 2 ไมล์”

คิดถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ทึ้งหัวตัวเอง
วายุไม่เคยหงุดหงิดอะไรได้เท่านี้อีกแล้ว ยมทูตสมัยนี้สะเพร่าได้ขนาดนี้เลยรึไงวะ มาแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่าชื่อเหมือนกันเลยมาลงผิดที่ แล้วร่างเขาที่นอนหัวฟาดพื้นอยู่นี่ล่ะจะให้ทำยังไง

คนกำลังอาบน้ำอยู่ดีๆ แล้วลื่นล้มหัวฟาดพื้น เพียงเพราะก้อนสบู่ที่”จงใจ”หล่นมาอยู่ที่ฝ่าเท้า

อย่าให้พูดเลยว่าวันนั้นเขาต้องมองร่างอันเปล่าเปลือยของตัวเองถูกหิ้วออกจากห้องน้ำด้วยสีหน้าอย่างไร
กว่าจะตั้งสติได้  วายุที่เป็นวิญญาณก็พยายามคว้าเสื้อผ้ามาใส่ ถึงมันจะลำบากหน่อยก็เถอะ แล้วเขาก็เพิ่งได้เรียนรู้เมื่อเป็นวิญญาณใหม่ๆนี่เอง  ว่าต้องเพ่งสมาธิมากแค่ไหนกับการพยายามทำอะไรก็ตามที่ต้องการ
พ่อกับแม่ของวายุรุดมาที่เกิดเหตุก็ตกอกตกใจกันเป็นแถบๆ วิ่งตามรถโรงพยาบาลไปอย่างไม่รีรอ
ต้องขอบคุณอาโปน้องชายผู้น่ารักที่ใจดีเอาผ้าคลุมร่างกายเขาไว้ก่อนจะขึ้นรถโรงพยาบาลไป

“เจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้ต่อเมื่อเจ้าพบพานผู้เป็นที่รัก”   

มันเรื่องอะไรอีกเล่าทีนี้

“เจ้าต้องรอจนกว่าเขาจะมาหาเจ้า มันเป็นกฎของวิญญาณที่ยังไม่พบรักแท้ก่อนตาย ข้าจะเป็นคนอนุญาตให้วิญญาณของทั้งคู่เจอกันก่อนไปจุติใหม่  แต่กรณีของเจ้า ข้าผิดเอง ดังนั้นเท่ากับว่าข้าอนุญาตเจ้าครึ่งหนึ่งเป็นการขอขมาเจ้า”

ยิ่งฟังก็ยิ่งงง

แค่นั้น! แค่นั้นจริงๆ แล้ว”ใครคนนั้น”ก็หายไป

แต่ยัง!!!

แค่นั้นยังไม่พอ  ถ้าวายุต้องเจอกับผู้ที่อาจจะมานรกนั่นแล้ว
แล้วไอ้แสงวิ้งๆแสบตาตรงหน้าเขานี่มันอะไรกันอีกวะ!!!

“ยมทูตนั่นมันอะไรนักนะ! ชอบกวนตอนคนกำลังหลับกำลังนอน”

เสียงมาก่อนที่วายุจะเห็นร่างอันเป็นที่มาของเสียง
แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดกับความงามที่เค้าได้ประจักษ์กับสายตาตัวเอง

อุบ๊ะ!!!  นี่คนหรือนางฟ้าวะเนี่ย!!!!!!

“กามเทพพอพ่อหนุ่ม” เสียงนั่นตอบกลับมาเหมือนอ่านความคิดเขาได้ 

พาลทำให้เค้าแอบคิดชั่วแวบหนึ่งว่ากามเทพมันผู้ชายไม่ใช่หรือไง

“เจ้าชื่อวายุสินะ  ทำไมไอ้ยมทูตมันถึงแยกไม่ออกกับแค่ชื่อคน หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนกันเล้ย นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย”

ยังบ่นไม่เลิก วายุชักสีหน้าไม่เข้าใจซักพักก็เกือบหลุดขำแล้วก็อยากร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน
 นี่มันเรื่องอะไรกันวะ

“ทีนี้เจ้าฟังข้านะ  ไอ้เรื่องอนุญาตนั่นน่ะ มันคือกฎบ้าๆของทางนรกนั่นบัญญัติขึ้น เจ้ายังไม่เจอรักแท้สินะ แต่ในเมื่อวิญญาณเจ้าหลุดจากร่างแล้ว คนเดียวที่จะทำให้วิญญาณเจ้ากลับเข้าร่างได้คือคนรักของเจ้า”

ถ้าแมลงวันบินเข้ามาฟักไข่ในปากวายุได้มันคงมีเหลนกันแล้ว
นี่คือนรกสวรรค์จะสนุกกันไปไหม มาเร็วไปเร็ว ไม่มีหยุดพักหรือเกริ่นอะไรเลย

“ดังนั้นเจ้าจะได้เจอผู้เป็นรักแท้ของเจ้าที่ห้องนี้ พรหมลิขิตถูกขีดไว้แล้ว เขาต้องมาที่นี่ ที่เหลือคือหน้าที่ของเจ้า ทำอย่างไรก็ได้ให้เขามอบความรักให้เจ้าด้วยใจบริสุทธิ์”

วายุคงแสดงสีหน้าไม่ต่างจากตอนแรกเท่าไร กามเทพหนุ่มตรงหน้าถึงต้องต่อประโยคต่อไปอย่างช่วยไม่ได้

“ก็ไม่รู้ว่าข้าจะพูดให้มันสวยหรูทำไมนะ เอาง่ายๆนะ คือเจ้าต้องทำให้คนรักของเจ้ารักเจ้าให้ได้ แค่นั้นเขาก็สามารถช่วยให้วิญญาณเจ้ากลับเข้าร่างได้แล้ว  เพราะเขาคงไม่ใจร้ายปล่อยให้วิญญาณเจ้าลอยไปลอยมาเช่นนี้หรอก”

“ในสภาพนี้เนี่ยนะ!!!!!!”

ตอนนั้นเองที่วายุเริ่มมีปากมีเสียงกับคนตรงหน้า
จะให้เขาที่เป็นวิญญาณทำให้คนธรรมดามารักเนี่ยนะ มันจะตลกไปไหม ถึงเขาจะไม่เข้าใจไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนอาบน้ำแล้วก็เถอะ

“ใช่ นั่นแหละ ตามนั้นเลย เข้าใจง่ายดีนี่พ่อหนุ่ม”

โอ้ยยย  นี่เขาไปเข้าใจตอนไหนวะ!!!!!!!!!

“คนที่จะต้องมาพักห้องนี้มีไม่กี่คนหรอก เนื้อคู่เจ้ามีความสามารถที่ต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นเขาจะมองเห็นเจ้า จริงสิ! ข้าต้องให้คำใบ้เจ้าด้วยสินะ”

ว่าแล้วกามเทพหนุ่มก็หยิบกระดาษม้วนแผ่นใหญ่ออกมาก่อนจะคลี่ออก ทำให้วายุพบว่าหางกระดาษมันหล่นไปกองม้วนกันอยู่ที่ปลายเท้าสูงแค่ไหน

“อ้า นี่ไงเจอแล้ว!”  กามเทพหนุ่มยิ้มระเรื่อเมื่อค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอจากกระดาษม้วนแผ่นยักษ์นี่

“กวางน้อยผู้เป็นที่รัก” 

ว่าจบก็ม้วนแผ่นกระดาษยักษ์นั่นเก็บไป

“นั่นล่ะคำใบ้ผู้เป็นรักแท้ของเจ้า  ข้าไปละ มีความสุขกับชีวิตหลังจากนี้นะ  ข้าต้องตามไปโวยยมทูตครั้งที่เท่าไรแล้วเนี่ย ทำงานพลาดตลอด”

ตอนมาบ่นยังไง ตอนไปก็บ่นไปอย่างนั้น
แล้วแสงวิบวับที่เค้าเผชิญหน้าก็หายไป

คิดถึงตรงนี้วายุอดอมยิ้มไม่ได้
ก็ใครจะคิดล่ะว่า”กวางน้อยผู้เป็นที่รัก”จะน่ารักขนาดนี้



วายุเคยเล่าเรื่องนี้ให้เดียร์ฟังหลายครั้ง

คนตัวเล็กกลับส่งสายตาไม่เชื่อมาให้ พอวายุอธิบายเหตุผลต่างๆนานาเข้าไป ก็โดนคนตัวเล็กย้อนมา“แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นฉัน!”

จะไม่ให้แน่ใจได้อย่างไร “กวางน้อยผู้เป็นที่รัก” เล่นมาทั้ง DEER ทั้ง DEAR แบบนี้

และมันคงจริงอย่างที่กามเทพตนนั้นว่า เพราะตลอดสี่เดือนที่วายุนับวันรอ”ผู้ช่วยชีวิต”ที่จะช่วยให้เขากลับคืนร่าง ไม่มีใครเข้ามาพักห้องนี้เลยจนกระทั่งเดียร์กับพู่กันเข้ามา แล้วยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ เมื่อคนที่มองเห็นเขามีแค่เดียร์เท่านั้น แค่เดียร์จริงๆ ไม่ว่าพู่กัน โต้ง ไอ้ล็อคหรือใครก็ตาม ไม่มีใครมองเห็นวายุเลย







สี่โมงเย็นเป็นเวลาเลิกเรียน

เดียร์ลากเท้าเดินไปตามวิถีอย่างไม่เร่งรีบนัก

ที่ต้องเดินอยู่คนเดียวเพราะพู่กันไม่ได้ลงเรียนวิชานี้ด้วยกัน เดียร์เดาว่าป่านนี้พู่กันมันคงนอนวาดรูปอยู่ที่หอแน่ๆ

คนตัวเล็กควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า กดดูเวลา

มีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลางานที่ร้านไอศกรีม

ร้านไอศกรีมของล็อคอยู่หน้ามหาวิทยาลัย

ไม่ต้องนั่งรถก็เดินไปถึงแบบไม่เมื่อย

แสงแดดยามเย็นสาดส่องลงกระทบผิวน้ำในคลองข้างทาง

ลมเย็นๆพัดโชยใบไม้หวิดปลิวร่วงจากต้น

คนตัวเล็กสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเย็นเข้าเต็มปอด

เสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นลงน้ำ เดียร์หันไปดู พลันใบหน้าใสปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ  นึกขำในสิ่งที่เห็น

ลูกหมาสามตัวพากันกระโจนลงไปในน้ำ ลอยคอ ตีขา เหมือนต้องการคลายร้อน ก่อนลูกหมาเหล่านั้นจะเดินมาสะบัดขนข้างทาง

ใบหน้าใสที่ปรากฏรอยยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำเอาธาตุอากาศบางใสที่เดินตามมาข้างหลัง เผลอยิ้มตามรอยยิ้มนั้นไปด้วย


ใช้เวลาไม่นานคนตัวเล็กก็เดินมาถึงร้านไอศกรีม

เสียงกระดิ่งรูประฆังอันเล็กๆดังขึ้น ก่อนร่างบางจะเดินเข้ามา

 เดียร์ผลักประตูบานพับที่กั้นส่วนของร้านกับส่วนของพนักงาน เข้าไปทักทายเพื่อนตัวโตที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ “คนเยอะมั้ย?” เดียร์ว่าพลางยัดกระเป๋าสะพายที่มีอุปกรณ์การเรียนอยู่ในนั้น ลงไปในล็อคเกอร์ว่างข้างเคาน์เตอร์

“แทบบบบไม่ต่างกับช่วงเช้า กูเกือบเอาไม่อยู่แล้ว” โต้งส่ายหน้าน้อยๆ  คนตัวโตผละไปล้างมือที่ซิงค์ที่ตั้งอยู่ด้านในของร้านตรงข้ามเคาน์เตอร์

“เก่งมาก” เดียร์ชูนิ้วโป้งให้เพื่อนสองข้าง ก่อนหันไปรับลูกค้าที่มารอชำระเงินพอดี

โต้งยืนเช็ดมือพลางสายตาคมเหลือบไปนอกร้าน เห็นคนตัวเล็กที่จำได้ขึ้นใจหอบกระดานไม้แผ่นโต เดินมุ่งหน้ามาทางร้านไอศกรีม

โต้งมองตามจนคนตัวเล็กคนนั้น เดินเข้ามาในร้าน

“อ้าว ไอกัน” เดียร์เอ่ยทักทีคนตัวเล็กที่โต้งกำลังมองอยู่พอดี

พู่กันยิ้มแป้นให้เพื่อนทั้งสองคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะเดินไปหามุมเหมาะๆของร้าน วางแผ่นไม้กระดานที่หอบมาไว้ข้างพื้น

“ไปไหนมา?” เป็นโต้งที่เดินเข้ามาประชิดตัวเพื่อนก่อน

ประโยคคำถามที่เกิดจากการประมวลผลแล้วว่า เพื่อนตัวเล็กคนนี้คงต้องไปข้างนอกมากแน่ๆ ดูจากเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนที่พู่กันใส่อยู่ ไหนจะกางเกงแสลคสีดำที่เข้าชุด ชุดแบบนี้ไม่ใช่ชุดที่พู่กันใส่บ่อยนัก

“ไปส่งงานให้ลูกค้ามา พอดีมีเงิน เลยอยากกินไอติม” พู่กันยิ้มแป้นให้เพื่อนตัวโตที่ยังจ้องหน้าพู่กันเหมือนพู่กันไปขโมยกระเป๋าเงินมา

“ลูกค้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ไปส่งที่ไหน? งานอะไร?”

“เอ้าๆๆ จะให้กันตอบคำถามไหนก่อนวะไอโต้ง” เดียร์ผละจากเคาน์เตอร์เดินมาหาเพื่อนตัวเองบ้าง โต้งยังตีหน้าขรึม มองพู่กัน

“ถามแบบนี้หึงแน่ๆ” เสียงที่ดังมาจากข้างเดียร์ทำเอาเดียร์หันขวับด้วยความตกใจ  เสียงที่เงียบไปพักใหญ่ จนเดียร์เกือบลืมไปแล้วว่ามีอะไรคอยตามตัวเองอยู่ตลอด เดียร์ไม่ได้ให้ความสนใจเสียงนั้นเท่าไหร่ คนตัวเล็กหันไปสนใจเพื่อนตัวเองต่อ “เอาอะไรดี เดี๋ยวกูไปตักให้” 

“ก่อนกูจะสั่งนะ กูสงสัย มึงจะนั่งจ้องหน้ากูทำไมวะไอ้โต้ง!”

พู่กันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆไปหน้าคมของเพื่อนตัวโต คล้ายจ้องกลับ  โดยไม่ทันตั้งตัว โต้งเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ ใครจะรู้ว่าอยู่ๆพู่กันจะยื่นหน้าเข้ามาแบบนี้

“กะ..กูเห็นฝุ่นติดหน้ามึง แต่กูไม่กล้าบอก” แค่นั้นโต้งก็กุลีกุจอพรวดพราดลุกอออกไป มีลูกค้าเข้าร้านพอดี

โต้งเลยเดินไปคว้าเมนูเอาเตรียมบริการทันที

เดียร์มองโต้งด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อกี๊ก่อนมันลุกออกไป จู่ๆหูมันก็แดง หรือมันทำงานหนักจนเป็นไข้?

เดียร์หันมามองเพื่อนตัวเล็ก ไม่สิ พู่กันก็ไม่ได้ตัวเล็กไปกว่าเดียร์นักหรอก บางทีเดียร์อาจจะตัวเล็กกว่า เอ่อ…ช่างเถอะ เอาเป็นว่า เดียร์กันมามองพู่กันที่กำลังใช้แขนเสื้อตัวเองเช็ดหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ฝุ่นเปื้อนหน้านี่ เห็นชัดขนาดนั้นเลยหรอวะ?” เสียงพู่กันอู้อี้มาตามแขนเสื้อ เดียร์อดขำไม่ได้

“ช่างฝุ่นมันเถอะ ว่าแต่มึง เอาอะไรดี?”

พู่กันยอมเอาแขนเสื้ออกจากหน้า หันมาบอกเมนูที่อยากทาน

ตกลงเมนูกันเสร็จเรียบร้อย เดียร์ก็เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ จัดการเมนูให้เพื่อนตัวเองทันที

“โต้งชอบพู่กันมานานแค่ไหนแล้วหรอ?” เสียงในอากาศที่เดียร์ได้ยินอยู่คนเดียว ทำเอาเดียร์ขมวดคิ้วน้อยๆอย่างหงุดหงิด พยายามไม่โต้ตอบด้วย เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเขาบ้า

เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นอีกครั้ง เดียร์หันไปมองตามสัญชาตญาณ

 “อ้าว พี่ล็อค”  เดียร์เอ่ยทักเสียงใส โดยไม่รู้ตัวว่าธาตุอากาศที่ยืนอยู่ข้างๆตีหน้าบึ้งไปแล้ว

“เรียนวันนี้ เป็นไงบ้าง?” ล็อคเดินเข้ามาล้างมือที่ซิงค์ ซึ่งซิงค์มันอยู่ข้างๆเดียร์ที่กำลังล้างผลเชอร์รี่อยู่ และนั่น ทำเอาวายุที่ยืนนิ่งยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก

“เพิ่งเปิดเทอม ยังไม่มีอะไรมากครับ แต่ต่อไปก็ไม่แน่” คนตัวเล็กเอ่ยตอบเสียงใส และยิ่งทำอาวายุเลือดขึ้นหน้า ถึงเขาจะไม่มีเลือดก็ถอะ!

“ทีอย่างนี้ไปคุยกับมัน ที่ผมคุยด้วยตั้งนาน เดียร์ไม่คุยด้วยเลย!”

วายุโวยวายอยู่ข้างๆ เสียงดังน่ารำคาญนั้น มีแค่เดียร์เท่านั้นที่ได้ยิน

เดียร์พ่นลมหายใจแรงๆอย่างหงุดหงิด หันไปตีหน้าดุใส่ธาตุอากาศที่ตีหน้าเข้มอยู่ข้างๆ

“เป็นอะไรรึปล่าวเดียร์?” เสียงทุ้มของคนข้างๆ เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะทันสังเกตว่าอยู่ๆคนตัวเล็กก็ถอนหายใจ เดียร์รีบหันไปตอบพัลวัน “ป่าวๆครับพี่ล็อค ผมไม่ได้เป็นอะไร” ตอบเสร็จก็หันไปยกไอศกรีมที่โต้งจัดเสร็จแล้ว ยกไปเสิร์ฟให้ลูกค้า

วายุปล่อยให้เดียร์ยกไอศกรีมไปเสิร์ฟโดยไม่ตามไป หันมาจ้องหน้าล็อคที่เดินไปประจำเคาน์เตอร์

“อ้าว โป” เสียงของเดียร์ดังขึ้น ทักทายเจ้าของไอศกรีม ถ้วยที่เดียร์ยกมาเสิร์ฟ

“พี่เดียร์” เจ้าของชื่อยกยิ้มน้อยๆ หันมายกมือไหว้รุ่นพี่  เดียร์ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน

เพราะชื่อที่เดียร์เอ่ย ทำให้เพื่อนตัวเล็กตัวโตหันมองเจ้าของชื่อ

“อ้าว โป มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เสียงโต้งลอยมาจากโต๊ะข้างๆ คนตัวโตกำลังทำความสะอาดโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งเช็คบิล

อาโปขมวดคิ้วน้อยๆกับคำถามนั้น

“ผมมา…ตั้งแต่ที่พี่โต้งมารับออเดอร์….” อาโปชะงักไปเล็กๆ คล้ายลังเลว่าเขาตอบคำถามถูกหรือปล่าว คำตอบของอาโปทำเอาโต้งยิ้มแหยๆให้ “อ่า…ใช่ๆ” โต้งก้มหน้างุด คงเป็นตอนที่โต้งหนีพู่กันออกมาแน่ๆ คนตัวโตรีบทำความสะอาดโต๊ะก่อนตรงรี่เข้าที่ล้างจาน

 เดียร์แอบสังเกตว่าหูไอ้โต้งแดงอีกแล้ว

“เรียนเป็นไงบ้างเรา?” เดียร์มองซ้ายมองขวา แอบเห็นว่าพี่ล็อคเดินไปหลังร้าน คนตัวเล็กก็ทรุดนั่งลงตรงข้ามรุ่นน้องทันที

อาโปเป็นรุ่นน้องที่คณะ แถมเป็นน้องรหัสเดียร์ด้วย เจอกันตั้งแต่วันปฐมนิเทศ

เดียร์คอยดูแลน้องรหัสคนนี้เป็นอย่างดี อารมณ์เห่อน้องรหัสก็ว่าได้

“โอเคครับพี่เดียร์ ตอนนี้กำลังปรับตัวอยู่” อาโปยกยิ้มน้อยๆ 

เดียร์ไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดไปเองหรือปล่าว แต่รู้สึกว่าสายตาของน้องรหัส ดูเหม่อลอย คล้ายเศร้าๆยังไงไม่รู้ 

“นี่ร้านของพี่เดียร์หรอครับ?” แววตาเป็นประกายของอาโปมองไปรอบๆร้าน ท่าทางสนใจ

“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ร้านของพี่ พี่เป็นพนักงานของร้านนี้เฉยๆ”

เดียร์รีบปฏิเสธพัลวัน อาโปหันมาอมยิ้มน้อยๆ ท่าทางเขินอาย รู้สึกหน้าแตกไปเบาๆ “อ้าว หรอครับ”

เดียร์เห็นรุ่นน้องกลับไปเหม่อลอยอีกแล้ว “เป็นอะไรรึปล่าว มีอะไรปรึกษาพี่ได้นะ”

“ไม่ครับ ไม่ได้เป็นอะไร” อาโปยิ้มให้เดียร์ แต่เดียร์รู้สึกว่ามันเป็นยิ้มที่ต้องใช้ความพยายามมากๆ

“มีอะไรก็บอกพี่นะ ไม่ต้องคิดว่าพี่เป็นพี่รหัสก็ได้ คิดว่าพี่เป็นพี่ชายของเราคนหนึ่ง”

เดียร์ไม่รู้ว่าน้องของเขากำลังเป็นอะไร แต่ไม่อยากเห็นน้องเป็นแบบนี้เลย เดียร์ได้ยินน้องรับคำเบาๆ

ทันใดนั้นล็อคก็หอบลังกระดาษใบใหญ่ออกมาจากหลังร้าน

เดียร์ที่เห็นเจ้านายมาก็รีบลุกขึ้นยืนทันที

“มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ” เดียร์ตบบ่าเล็กๆของรุ่นน้องเบาๆ  ก่อนเดินผละออกไป ตอนนั้นมีลูกค้าเข้าร้านมาพอดี คนตัวเล็กเลยถลาไปคว้าเมนู เตรียมเดินไปรับออเดอร์ทันที

วายุยืนฟึดฟัดอยู่อย่างเดียวดายมาสักพัก คล้ายสงบสติ อารมณ์   เพราะเดียร์แสดงออกว่ารำคาญ วายุเลยไม่อยากเดินตามเดียร์ทุกฝีก้าว แค่เห็นเดียร์อยู่ในสายตา และมั่นใจว่าเดียร์จะไม่ไปยุ่งกับผู้ชายคนไหนก็สบายใจ

เดียร์เดินเข้ามาในเขตพนักงานหลังจากรับออเดอร์เสร็จ เป็นจังหวะเดียวกับที่วายุเพ่งมองคู่สนทนาของเดียร์เมื่อครู่ เสียงทุ้มอุทานลั่น แต่มีแค่เดียร์เท่านั้นที่ได้ยิน

“อาโป!!!”

เพราะเสียงนั้น เดียร์เลยหันไปมองเจ้าของเสียง

วายุยกยิ้มด้วยความดีใจ ร่างสูงเดินมายืนข้างๆเดียร์

“เดียร์รู้จักอาโปหรอ?”  คำถามที่เดียร์ไม่นึกว่าจะได้ยินจากปากร่างสูง คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น พยายามแค่นกระซิบเบาๆ  “รู้จักแล้วทำไม?” 

คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวา พี่ล็อคไม่ได้อยู่แถวนี้ สงสัยเดินไปหลังร้าน โต้งไปนั่งอยู่กับพู่กัน ถ้าไม่มีใครอยู่แถวนี้ คงไม่มีใครหาว่าเขาบ้าพูดคนเดียวแน่ๆ

“อาโปเป็นน้องชายแท้ๆของผมเอง”

“น้องชาย?!”





# My dear






ตอนที่ 3 ค่ะ ^^

ฝากติดตามน้องเดียร์ด้วยนะคะ ^//////////////^

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 3
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 26-05-2014 20:00:45
อ้าว....อาโปเป็นน้องวายุซะงั้น
คราวนี้ยิ่งสนิทสนมเนอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 3
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 26-05-2014 21:58:36
เดียร์เชื่อวายุสักทีสิ -3-
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 3
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 27-05-2014 12:04:19
ตัดคู่แข่งออกไปแล้วคน..เหลืออิพี่ล็อคนะ  :angry2:


เจ้าหนุ่มวัตถุโปร่งแสงนี่น่ารักเนอะ  :-[
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 4
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 28-05-2014 02:35:57
Chapter 4

“อาโปเป็นน้องชายแท้ๆของผมเอง”

“น้องชาย?!”

เสียงที่ไม่เบานักของเดียร์ ทำให้ลูกค้าในร้านหันมามองอย่างตกใจ 
ไม่ต่างจากโต้งและพู่กันที่หันมามองเดียร์เป็นตาเดียว
เดียร์ที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองทำพลาดจนได้ รีบหันไปขอโทษทุกคนในร้าน
พลางล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาชู คล้ายเป็นเชิงขอโทษที่คุยโทรศัพท์เสียงดัง
เมื่อสถานการณ์อยู่ในสภาวะปกติ เดียร์หันมาแค่นเสียงกระซิบคุยกับธาตุอากาศข้างๆ 

“นั่นน้องรหัสฉันนะ อย่าเอามุขน้องชายมาหลอกให้ช่วย”

เดียร์หวังว่าเสียงเย็นๆของตัวเองจะทำให้วายุเงียบได้บ้าง
แต่เดียร์คิดผิด เมื่อวายุยังตีหน้าระรื่นมาให้เดียร์อย่างต่อเนื่อง

“อาโปเป็นน้องรหัสเดียร์หรอ! อย่างนี้ก็ดีสิ เดียร์จะได้ยอมช่วยผมสักที”

วายุยิ้มแป้น หันไปมองน้องชายที่ตักไอศกรีมเข้าปากอย่างเหม่อลอย …. อาโปเป็นอะไร?

“ทำไมอาโปดูเหม่อๆ”

วายุอดพึมพำเบาๆไม่ได้ และเมื่อมีแค่เดียร์ที่ได้ยิน คนที่ได้ยินเลยหันไปกระซิบกับธาตุอากาศทันที

“บอกว่าอย่าเอามุขน้องชายมาหลอก”

แค่นั้นเดียร์ก็หันไปจัดการกับออเดอร์ที่เพิ่งรับมา โดยไม่ได้สนใจวายุที่ยืนเคว้งอยู่ตรงนั้น
ร่างสูงตัดสินใจปล่อยเดียร์ไว้คนเดียว ค่อยๆเดินไปหาน้องชายที่นั่งอยู่ในมุมของร้าน
วายุคิดไปเองหรือเปล่าว่าอาโปดูเศร้า คล้ายกำลังคิดถึง หรือเป็นห่วงอะไรสักอย่าง
อยากถามออกไปด้วยความเป็นห่วงน้อง แต่ในสภาพแบบนี้ วายุก็จนปัญญาจะสื่อสารกับอาโปได้
หันไปมองคนตัวเล็กที่ก้มๆเงยๆอยู่กับถังไอศกรีมเลยได้แต่ทำท่าถอนหายใจ(เพราะไม่มีลมหายใจออกมาจริงๆ)  ไม่ว่ายังไงวายุก็ต้องรู้ให้ได้

ร้านไอศกรีมของล็อค ปิดตอนสามทุ่มของทุกวัน
พนักงานในร้านรวมไปถึงเจ้าของร้าน จะเริ่มทำความสะอาดร้านตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง
เมื่อถึงเวลาทำความสะอาดร้าน เดียร์ตั้งหน้าตั้งตาล้างถ้วยชามที่อ่างล้างจานเหมือนทุกครั้ง
แต่ช่วงหลังมานี้ เดียร์ล้างถ้วยไอศกรีมเสร็จเร็วขึ้น
โต้งสังเกตอยู่เงียบๆ แต่ไม่ได้ทักออกไป คิดเอาเองว่าเดียร์มันคงมีสกิลล้างจานเพิ่มขึ้น 

“อย่ามายุ่งได้ไหม! มันล้างจานไม่ถนัด”

เดียร์มองซ้ายมองขวาเห็นโต้งกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ไกลๆ ก่อนหันไปโวยธาตุอากาศที่ยืนล้างจานอยู่ข้างๆ 
ถึงเดียร์กับวายุจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ แต่วายุหยิบจับสิ่งของได้ปกติ
แม้ว่าจะต้องเพ่งสมาธิเพิ่มอีกนิดหน่อย
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่วายุจะช่วยเดียร์ล้างจานอยู่แบบนี้
คนตัวเล็กพยายามแย่งถ้วยชามที่กองอยู่มาล้าง แต่วายุก็คอยแย่งไปล้างเอง
ร่างสูงเพียงส่งยิ้มให้เดียร์แค่นั้น ก็กลับไปล้างจานต่ออย่างเงียบๆ ปล่อยให้เดียร์ฟึดฟัดอยู่คนเดียว
คนตัวเล็กผละออกไปที่เคาน์เตอร์ สุดจะทนกับวิญญาณที่คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
กวาดสายตาไปรอบๆร้าน  เห็นอาโปยังนั่งอยู่ที่เดิม
เดียร์หันไปมองนาฬิกาที่ฝาผนัง 2 ทุ่ม 45 แล้ว
พู่กันกลับหอไปตั้งแต่ทุ่มครึ่ง ทำไมอาโปยังไม่กลับ?

“เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลัง เดียร์หันไปมองที่อ่างล้างจาน พบว่ามันสะอาดใสกิ๊ง จานทุกใบถูกล้างและเช็ดเข้าที่เรียบร้อย คนตัวเล็กหันมายู่หน้าใส่ร่างสูงอย่างหมั่นไส้  ก่อนเดินออกไปหารุ่นน้องที่นั่งอยู่คนเดียวในร้าน

“อาโป” เสียงหวานเรียกคนตัวเล็กที่นั่งมองบรรยากาศนอกร้าน ผ่านกระจกบานใส “ร้านจะปิดแล้วนะ” รุ่นพี่ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามรุ่นน้อง
อาโปหันมองส่งยิ้มเล็กๆให้รุ่นพี่ มองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนัง

“ขอโทษครับ” สีหน้าอาโปไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิมมากนัก แต่ก็ยังดีที่น้องหลุดจากภวังค์ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เดียร์ถามคำถามนี้หลายรอบแล้ว
แม้ว่าคำตอบที่ได้คือ..“ปล่าวครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
สีหน้าของอาโปไม่ทำให้เดียร์เชื่ออย่างนั้น
น้องนั่งเหม่อมาตั้งแต่ช่วงเย็น จนตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว
จะบอกว่าไม่เป็นอะไรคงไม่ได้ ยังไงเดียร์ก็ไม่เชื่อ สภาพแบบนี้จะให้น้องกลับหอคนเดียวคงไม่ดีแน่

“เดี๋ยวพี่เลิกงานแล้ว พี่จะไปส่งเราที่หอ”  เดียร์เห็นล็อคโผล่มาจากหลังร้านพอดี รีบลุกขึ้น เดินไปเช็ดโต๊ะข้างๆที่อาโปนั่งอยู่
อาโปเห็นปฏิกิริยาของรุ่นพี่ที่มีต่อเจ้าของร้านแล้ว อดไม่ได้ รุ่นน้องตัวเล็กเดินไปช่วยจัดดอกไม้บนโต๊ะ
หยิบผ้าที่เดียร์เผลอวางไว้ มาเช็ดโต๊ะเช็ดเก้าอี้ด้วย  ก่อนเอ่ยตอบรุ่นพี่  “ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์ เดี๋ยวผมกลับเองได้”
เดียร์เห็นรุ่นน้องคว้าผ้าเช็ดโต๊ะไป รีบกลับไปคว้ามาคืน “เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ทำเอง”
รุ่นน้องเพียงส่งยิ้มบางๆให้รุ่นพี่ ไม่ได้คืนผ้าเช็ดโต๊ะให้รุ่นพี่แต่อย่างใด “ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์”
เดียร์เห็นอาโปตั้งใจช่วยแล้วก็เผลอยืนมองน้อง
ท่าทางแบบนี้ แค่ไปส่งคงไม่ได้แล้ว อย่างนี้ต้อง

“พาอาโปไปที่ห้องเดียร์เลย”

“รู้แล้วน่า!”

ประโยคแรก แน่ล่ะ ว่าเดียร์ไม่ได้เป็นคนพูด เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้เดียร์ไม่พอใจ แต่ประโยคที่เดียร์โพล่งออกมา ทำให้อาโปเงยหน้ามองทันที


“ครับ?”

“อะ.. พี่จะบอกว่า คืนนี้เรามาค้างกับพี่ดีกว่า”

เดียร์พูดจบก็ต้องหันไปส่งสายตาเคืองๆให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ
ไม่รู้ว่าเดียร์คิดไปเองหรือเปล่า แต่แอบสังเกตสีหน้าวายุแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าวายุคงคิดไม่ต่างกัน

“ไม่เป็นไรครับพี่เดียร์ เดี๋ยวผม…” เดียร์ไม่ปล่อยให้น้องปฏิเสธอีก รุ่นพี่ตัวเล็กเลยรีบขัด “ไม่เป็นไรอาโป มีอะไรก็เล่าให้พี่ฟังได้ ไม่ต้องคิดมาก ไอ้กันมันก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว” 
ไม่ต้องพูดถึงความเกรงใจ แค่รุ่นน้องที่ดูเหมือนมีปัญหาแบบนี้ พู่กันมันไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
สุดท้าย อาโปยอมรอกลับหอพร้อมเดียร์ แม้ว่าเดียร์จะต้องใช้เวลากล่อมอยู่นาน ได้โต้งช่วยกล่อมอาโปด้วย น้องเลยยอมใจอ่อน

“พี่ล็อค พวกผมกลับแล้วนะครับ” โต้งกับเดียร์เข้าไปล่ำลาเจ้าของร้านเหมือนทุกวัน

สายตาคมมองตามพนักงานสองคนที่เดินออกจากร้านไปพร้อมกับคนตัวเล็กที่ล็อคไม่คุ้นหน้า
ล็อคจะกลับเป็นคนสุดท้ายของร้าน รอจนทั้งเดียร์และโต้งกลับไปแล้ว ถึงกลับบ้าง
เมื่อทุกคนกลับไปแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าของร้านจะกลับบ้างแล้ว


ยามค่ำคืนใจกลางเมืองหลวง แม้ว่าจะไร้แสงของดวงอาทิตย์สาดส่องเหมือนตอนกลางวัน
แต่ความสว่างไสวไม่ได้จางหายตามพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไป
แสงสว่างถูกประดับอยู่ตามบาทวิถี ท้องถนน ตึกสูงเฉียดฟ้า และอาคารบ้านเรือนทั่วไป
โต้ง เดียร์ และอาโป  อาศัยแสงไฟสีส้มที่ประดับอยู่ตามบาทวิถี เป็นหนทางนำไปสู่หอพักของเดียร์
พี่รหัสของอาโปชวนน้องรหัสคุยไม่หยุด เดียร์เพียงแค่คิดว่า เผื่อคุยๆไปแล้วอาโปจะหลุดปากบอกอะไรมาได้บ้าง แต่เดียร์ไม่เห็นว่าจะมีประโยคไหนของรุ่นน้องที่มันสะกิดใจเลย

“มึงไม่กลับหอรึไง?” เมื่อเดียร์ชวนอาโปคุยจนเริ่มท้อแล้ว เลยหันมาแขวะเพื่อนตัวเองบ้าง
โต้งยังคงอยู่หอเดิม หอที่เดียร์ตัดสินใจพาพู่กันย้ายออกมา
ระยะทางจากหอโต้งมาหอเดียร์ไม่ไกลนัก ตอนย้ายหอจึงไม่ลำบากเท่าไร ยิ่งมีโต้งช่วยด้วยแล้ว เอ่อ…ยิ่งตอนนั้นมีพี่ล็อคมาช่วยอีกแรงด้วยแล้ว เรียกได้ว่าเดียร์กับพู่กันแทบไม่ได้ออกแรงขนของอะไรเลย
โต้งดูร่าเริงมากเมื่อตอนที่รู้ว่าเดียร์กับพู่กันจะย้ายหอ ถ้าเทียบกับตอนอยู่หอเดียวกันแล้ว ตอนนั้น โต้งชอบชักสีหน้าหงุดหงิดเวลารู้ว่ามีขนมหรือของขวัญ มาวางหน้าห้องของเดียร์กับพู่กัน แล้วดูโต้งจะหงุดหงิดมากขึ้น ถ้ารู้ว่าของสิ่งนั้นมีโน้ตแปะไว้ว่า “ให้พู่กัน”

ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืน ทั้งสามคนเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตัวอาคารที่บ่งบอกว่าเป็นหอพัก
อาโปชะงักไปทันทีที่เห็นรุ่นพี่ทั้งสองคนเดินเลี้ยวเข้าไปในตัวตึก
อาโปแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง รุ่นน้องตัวเล็กมองไปรอบๆอย่างต้องการพิจารณาว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
เดียร์หันไปมองรุ่นน้องทันที ค่อยๆเดินเข้าไปหาอาโปที่ยืนนิ่งอยู่ “เป็นอะไรหรือเปล่าอาโป?”
อาโปสะดุ้งเหมือนหลุดจาภวังค์ แค่นส่งยิ้มน้อยๆให้รุ่นพี่ “ปะ…ปล่าวครับ “
เดียร์พิจารณาสีหน้าของอาโป ยังไงก็ปักใจเชื่อคำพูดของรุ่นน้องไม่ได้จริงๆ
เดียร์แทบลืมไปแล้วว่ามี ‘อะไรบางอย่าง’ เดินตามมาตลอด  ธาตุอากาศบางใสขมวดคิ้วมุ่น สายตาจับจ้องอาโปคล้ายถวิลหา
เดียร์ไม่รู้ว่าวายุเดินอยู่ใกล้ๆอาโปมานานแค่ไหน
สายตาที่เดียร์เห็นวายุมองอาโป ทำให้เดียร์เริ่มสะกิดใจกับคำพูดของวายุที่บอกตัวเองในร้านไอศกรีม

… อาโปเป็นน้องของวายุอย่างนั้นหรือ?

เดียร์เผลอสบตากับสายตาคมนั้น คนตัวเล็กเบนสายตาแทบไม่ทัน ก่อนจับมือรุ่นน้องไว้แน่น “ไปกันเถอะอาโป เดี๋ยวก็ถึงห้องพี่แล้ว”
อาโปออกเดินตามแรงฉุดที่ข้อมือของรุ่นพี่ตัวเล็ก
โต้งปล่อยให้เดียร์กับอาโปเดินนำเข้าลิฟต์ไปก่อน
ห้องของเดียร์อยู่ชั้น 4  ใช้เวลาขึ้นลิฟต์ไม่นาน ก็เดินทางมาถึงห้องพักของเดียร์
อาโปมองไปรอบๆ ตลอดทางเดิน เดียร์สังเกตสีหน้าของรุ่นน้องอยู่เงียบๆ สีหน้าของน้องดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก อาโปชะงักไปเมื่อเห็นหมายเลยห้อง ห้องที่รุ่นพี่หยุดยืนอยู่หน้าห้องนั้น
เดียร์ลองหมุนลูกบิดประตู และพบว่ามันไม่ได้ล็อค ไม่ต้องรอมารยาทมาเคาะประตูให้ เดียร์เปิดประตูเข้าไปทันที มีโต้งที่เดินรั้งท้าย ปิดประตูให้อีกที
เมื่อเข้ามาในห้อง ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาเดียร์คือพู่กันหลับ
เพื่อนตัวเล็กหลับคากระดาษวาดรูป บนพื้นห้อง มีดินสอหลายขนาดกระจายอยู่รอบๆตัว ในมือพู่กันยังมีดินสอคามืออยู่อีกหนึ่งแท่ง
เดียร์ตั้งท่าจะเดินไปปลุกเพื่อน แต่ก็ช้ากว่าโต้งที่ก้าวยาวๆมาอุ้มพู่กันขึ้นแนบอก เดียร์คิดว่าโต้งจะพาพู่กันไปนอนในห้องนอนดีๆ แต่ผิดคาด เมื่อโต้งอุ้มพู่กันให้มานั่งบนโซฟา แล้วตั้งหน้าตั้งตาปลุกพู่กันให้ตื่นขึ้นมาให้ได้

“พู่กัน ตื่นเดี๋ยวนี้นะเว้ย” เสียงโต้งไม่ได้เบานัก ทำให้พู่กันสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมา  ดินสอในมือพู่กันหล่นไปตอนไหนไม่รู้  คนเพิ่งตื่นยกมือสองข้างขยี้ตาไปมา พลางบิดขี้เกียจน้อยๆ แต่ก็ทำได้ไม่สบายตัวนัก เมื่อถูกจับให้นั่งบนโซฟาแบบนี้
เดียร์ที่เห็นอย่างนั้น เลยรีบพาอาโปมานั่งคุยกันบ้าง
อาโปถูกพามานั่งนั่งอยู่ที่มุมหนังสือของห้อง มีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งอยู่ เป็นมุมเงียบๆ อยู่คนละฟากกับโซฟาที่โต้งกับพู่กันตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันอยู่ มีชั้นหนังสือกั้นแบ่งสัดส่วนมุมหนังสือกับห้องนั่งเล่น
อาโปเข้าไปนั่ง พลางมองไปรอบๆด้วยสีหน้าที่เดียร์แปลความหมายไม่ออก เดียร์ผละไปหาน้ำหวานมาให้รุ่นน้องดื่ม ระหว่างนั้นก็แอบได้ยินโต้งดุพู่กันอยู่

“ทำไมไม่ล็อคห้องฮะ พู่กัน?”

“ยังไงเดี๋ยวเดียร์ก็ต้องมานี่”

“เดียร์ก็มีกุญแจ!”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”

“ไม่เป็นไร? ไม่ล็อคห้อง แถมยังหลับคาพื้นแบบนี้เนี่ยนะ ถ้ามีคนอื่นเข้ามาจะทำยังไง?!”

เดียร์รู้สึกว่าเสียงพู่กันเงียบหายไป เดียร์เดาได้ไม่ยากว่าพู่กันคงตีหน้าบึ้งใส่โต้งอยู่แน่ๆ  ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่แน่ โต้งมันอาจจะไม่กลับห้องมันเลยก็ได้ มันคงต้องงอนง้อกันไปอีกพักใหญ่
เดียร์ถือแก้วน้ำสองแก้ว มาวางที่โต๊ะญี่ปุ่น
อาโปนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น น้องนั่งนิ่งเกินไป สายตาหม่นเศร้าของอาโปจับจ้องไปทางประตูห้องนอน
เดียร์เห็นวายุนั่งตรงข้ามอาโป เดียร์นั่งอยู่ทางด้านข้างของอาโป สายตามองอาโปทีมองวายุที
เดียร์กำลังพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ‘อาโปกับวายุเป็นพี่น้องกัน’ ถามว่าอาโปหน้าเหมือนวายุไหม จะว่าเหมือนก็เหมือน จะว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือน ถ้ามองเผินๆ ด้วยขนาดรูปร่างแล้ว แน่ล่ะ ว่าดูไม่เหมือนกัน แต่ถ้าพิจารณาดวงตา ริมฝีปาก หรือ รูปหน้าแล้ว ก็ไม่ต่างกันนัก … แต่คนบนโลกนี้ ที่ไม่ใช่พี่น้องกันก็หน้าเหมือนกันได้เหมือนกันนี่

“พี่เดียร์..” เสียงเรียกเบาๆของอาโป ทำให้เดียร์หลุดจากภวังค์ของตัวเอง  เดียร์คิดไปเองหรือเปล่าว่าเสียงของอาโป ฟังดูสั่นเครือแปลกๆ

“พี่เดียร์… ผมคิดถึงพี่ชาย…” เดียร์แน่ใจแล้วว่าเสียงอาโปสั่นจริงๆ เมื่อพบว่าดวงหน้าใสของรุ่นน้อง เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา

อาโปหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อายอีกต่อไปแล้ว เดียร์โผเข้ากอดอาโปไว้แนบอกทันที มือบางลูบศีรษะรุ่นน้องคล้ายปลอบโยน “เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม ที่เราเหม่อทั้งวันแบบนี้”
เดียร์รู้สึกถึงแรงขยับของศีรษะของคนในอ้อมกอด คล้ายพยักหน้าขึ้นลง เดียร์ปล่อยให้อาโปสะอึกสะอื้นไปพักใหญ่
เดียร์สบตากับวายุที่นั่งมองอยู่ สายตาวายุที่ทอดมองอาโปทำให้เดียร์เริ่มรู้สึกผิด

 … ถ้าวายุกับอาโปเป็นพี่น้องกันจริงๆล่ะ?

“พี่วายุ… ห้องนี้… โรงพยาบาล…” เสียงอาโปอู้อี้มาจากอ้อมแขนของเดียร์ เดียร์จับใจความไม่ได้มากนัก แต่ได้ยินเป็นคำๆ ไม่แน่ใจว่าอาโปต้องการจะบอกอะไร

เดียร์ใช้เวลาพักใหญ่ ปลอบอาโปให้เงียบลง
มือบางคว้าทิชชู่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆชั้นหนังสือ ใช้ทิชชู่ซับน้ำตาให้รุ่นน้อง อาโปใช้มือเปล่าเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกลวกๆ ไม่นานก้อนสะอื้นก็หายไป

“อาโป ได้ยินพี่ไหม?” เสียงทุ้มของวายุดังขึ้น เดียร์ไม่รู้ว่าวายุพยายามจะคุยกับอาโปมานานแค่ไหน เท่าที่จำได้ เดียร์รู้สึกว่าวายุจะพูดประโยคนี้หลายครั้งแล้ว

“เล่าให้พี่ฟังได้หรือเปล่า?” เสียงหวานถามรุ่นน้องอย่างอ่อนโยน

อาโปพยักหน้าน้อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเริ่มเล่าทุกอย่าง

“พี่ชายผมได้รับอุบัติเหตุ… ตอนนี้พักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนี้ก็… สี่เดือนแล้ว” อาโปหยุดพูด ก่อนเริ่มเล่าต่อ

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่เดียร์พักอยู่ที่ห้องนี้…พี่วายุก็เคยพักอยู่ที่ห้องนี้” ชื่อที่อาโปเอ่ยถึง ทำเอาเดียร์เบิกตาน้อยๆ  เดียร์เห็นวายุทอดสายตาอ่อนโยนมองมาที่อาโป

“มันนานมากแล้วที่พี่วายุไม่ฟื้นสักที…” เสียงเบาๆของอาโป ทำเอาเดียร์เริ่มใจไม่ดี

“พวกเราพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว แต่พี่วายุก็ยังเป็นเจ้าชายนิทราอยู่” เดียร์แอบเห็นว่า หน่วยตาใสของรุ่นน้อง คลอไปด้วยน้ำตา

“ต้องทำยังไง พี่วายุถึงจะฟื้น” แม้ว่าอาโปจะพึมพำเบาๆ แต่เดียร์ได้ยินทุกคำ

“พี่ชายเราต้องไม่เป็นอะไรนะ” เดียร์จับมืออาโปไว้แน่น ความรู้สึกเป็นห่วง ท่วมท้นเต็มอก

เรื่องที่อาโปเล่า ช่างคล้ายกับเรื่องที่ใครบางคนเคยเล่าให้ฟัง และใครบางคนที่ว่าก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย
ใครบางคนที่เดียร์มองเห็น แต่อาโปไม่สามารถมองเห็นได้

“ผมพยายามคิด พยายามหาทางช่วยพี่วายุ แต่ผมก็มองไม่เห็นหนทางแล้ว ผมคิดถึงพี่วายุ ทุกคนที่บ้านก็คิดถึงพี่วายุ…” อาโปเล่าต่อไป เดียร์รับฟังอยู่เงียบๆ

ถ้านี่คือสาเหตุที่ทำให้อาโปเศร้า ทางที่จะช่วยอาโปได้ คือวายุต้องฟื้นขึ้นมาอย่างนั้นสินะ

“อาโป… พี่… ขอดูรูปพี่ชายของอาโปได้ไหม?”  ถึงแม้ว่าตอนนี้ 90% ที่เดียร์เชื่อว่าวายุที่เขารู้จัก เป็นพี่น้องกับอาโปจริงๆ แต่ก็ขอใช้อีก 10% ที่เหลือ ยืนยันให้ชัวร์หน่อยเถอะ

อาโปพยักหน้า ตอนนั้นเอง ที่เดียร์เพิ่งได้เห็นรอยยิ้ม ประดับบนใบหน้าใสของรุ่นน้อง
อาโปยื่นโทรศัพท์ให้รุ่นพี่ เดียร์มองรูปที่แสดงอยู่บนหน้าจออย่างพิจารณา เพราะวายุที่เขา”เห็น” เป็นเพียงอากาศบางใส  วายุในภาพถ่ายออกจะไม่คุ้นตาเดียร์นัก แต่โครงหน้าคมสันของวายุ ที่ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ก็ไม่ต่างกันนัก เดียร์ค่อนข้างแน่ใจว่าวายุที่เดียร์เห็น กับวายุในภาพถ่าย คือคนเดียวกัน

“พี่ชายผม หล่อใช่ไหมล่ะครับ” สีหน้ายิ้มแย้มของอาโป ทำให้เดียร์ต้องยิ้มน้อยๆไปให้ อาโปดูภูมิใจกับพี่ชายมากๆ

“อาโป ขอให้เดียร์ช่วยสิ” เสียงทุ้มของวายุดังขึ้น รูปประโยคทำให้เดียร์หันขวับ แม้ว่าวายุรู้ว่าอาโปไม่ได้ยินแน่ๆ  แน่ล่ะว่าวายุต้องการให้เดียร์ได้ยิน

“ถ้าพี่ชายผม ไม่มัวแต่เป็นเจ้าชายนิทรา ป่านนี้คง…”

“อาโป”

เดียร์ตัดสินใจขัดประโยครุ่นน้อง
อาโปมองเดียร์ด้วยสีหน้าสงสัย

“ถ้า…ถ้าพี่ช่วยพี่ชายของอาโปได้ล่ะ”

เดียร์ขบริมฝีปากล่าง ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจกับคำพูดของตัวเองนัก

“ครับ?”

แน่นอนว่าอาโปยังข้องใจกับประโยคของเดียร์

 “ถ้าวายุฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง” เดียร์พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ

เดียร์สบตากับรุ่นน้อง แม้ว่ารุ่นน้องจะแสดงสีหน้าไม่เข้าใจก็ตาม
ดวงตาใสของอาโป ทำให้เดียร์นึกถึงสายตาเศร้าๆของรุ่นน้องก่อนหน้านี้ ก็เกิดไม่สบายใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ความเป็นห่วง ทำให้เดียร์กล้าตัดสินใจมากขึ้น

ถ้าเรื่องที่วายุเคยเล่า มันเป็นเรื่องจริงล่ะก็นะ!

“วายุจะต้องฟื้น เชื่อพี่” เดียร์จับมือรุ่นน้องแน่นขึ้น

อาโปเข้าใจว่านั่นคือคำปลอบโยนของรุ่นพี่ เขาได้รับคำปลอบโยนแบบนี้มานับไม่ถ้วน  แต่นั่นเป็นเพียงความเข้าใจของอาโป
แต่สำหรับวายุแล้ว สิ่งที่เดียร์พูดออกมา
เปรียบเสมือน...
คำสัญญา


# My dear





เรื่องนี้มีวิญญาณด้วย… ถามว่าแอมแต่งไปแอมกลัวมั้ย?
มากค่ะ >< !!!
แต่วายุคงไม่เป็นวิญญาณทั้งเรื่องหรอก >< … ใช่มั้ย?
เดี๋ยวเดียร์ก็คงทำให้วายุกลับเข้าร่างได้ … หรือเปล่า?
ไม่ม้างงง ถ้างั้นล็อคจะทำยังไงล่ะ? ล็อคก็ชอบเดียร์อยู่… ไม่ใช่หรอ?
เหิยยย สปอย?
โอ่ยยยย แอมเอ๊ย บอกขนาดนี้ >< 

 :กอด1:

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 4
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 28-05-2014 17:20:45
เดียร์ยอมช่วยแล้ว ^^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 5
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 29-05-2014 21:33:07
ในที่สุด คืนนั้นโต้งก็นอนอยู่ที่ห้องของเดียร์จริงๆ

กว่าโต้งกับพู่กันจะคุยกันรู้เรื่องก็ปาไปดึกดื่น

และด้วยความใจดีของพู่กัน จึงมอบโซฟากลางห้องเป็นที่นอนของโต้งไปเสียเลย

เดียร์อาศัยช่วงที่อาโปไปอาบน้ำ เล่าเรื่องราวของน้อง ให้โต้งกับพู่กันฟังคร่าวๆ ทั้งสองคนก็อดเห็นใจรุ่นน้องน่ารักคนนี้ไม่ได้

แน่นอนว่าเดียร์ไม่ได้เล่าเรื่องที่ ‘จะทำยังไงให้พี่ชายของอาโปฟื้นได้’

เดียร์จัดชุดของตัวเองไว้ให้อาโปหนึ่งชุด โชคดีที่รูปร่างของอาโปไม่ได้ใหญ่โตนัก เดียร์เหลือบมองพี่ชายของอาโปแล้วเทียบกับรูปร่างของอาโป

 …เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ก็ไม่น่าจะรูปร่างต่างกันได้ขนาดนี้

เสียงน้ำในห้องน้ำเบาลงจนเงียบไป ไม่นาน อาโปก็ออกจากห้องน้ำในชุดที่เดียร์เตรียมไว้ให้

รุ่นน้องตัวเล็กเดินไปที่ระเบียงห้อง ตากผ้าขนหนูที่ยืมพี่เดียร์มา

แล้วจึงเดินกลับมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ใกล้ๆเดียร์ ที่กำลังคุยเรื่องจริงจังกับเพื่อนๆอยู่

เดียร์เห็นรุ่นน้องแอบหาว ตาปรือ แต่ยังพยายามนั่งอยู่

รุ่นพี่ตัวเล็กกลั้นขำน้อยๆอย่างเอ็นดู พลางเอ่ยบอกให้อาโปไปนอนก่อน ดูท่าแล้ว อาโปคงจะเกรงใจ ไม่กล้านอนก่อนแน่ๆ

เมื่ออาโปเอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร และเดียร์ก็ไม่อยากฝืนให้น้องมานั่งตาค้างแบบนี้ คนตัวเล็กเลยไล่เพื่อนตัวเองไปนอนด้วยกันเสียตอนนั้นเลย น้องจะได้ไม่ต้องเกรงใจ

อาโปที่ได้รับคำสั่งจากรุ่นพี่ว่าให้เข้านอนได้แล้ว จึงเดินโงนเงนมาที่โซฟากลางห้อง ตั้งท่าจะนอนลงไป มือเล็กๆของรุ่นพี่คนหนึ่งก็ฉุดไว้ก่อน

อาโปหันไปมองทันที …พี่พู่กัน

“อาโปนอนในห้องกับพี่ๆ โซฟานี่ให้ไอ้โต้งมันนอนไป”

พู่กันยิ้มหวานให้รุ่นน้อง แต่อาโปก็คืออาโป รุ่นน้องตัวเล็กยังตั้งตาตั้งตาปฏิเสธเสียยกใหญ่ “ไม่เป็นไรครับพี่พู่กัน ผมนอนตรงนี้ได้ ผมเกรงใจ”

จบประโยคของรุ่นน้อง พู่กันยู่หน้าน้อยๆ กิริยาที่โต้งแปลความหมายได้ว่า ‘แกล้งงอน’

“อาโปรังเกียจพี่หรือ? พี่งอนแล้วนะ”

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่” อาโปรีบปฎิเสธพัลวัน

“งั้นก็ไปนอนกับพี่ สบายกว่านอนโซฟาเยอะ ไปเร็ว ตาจะปิดอยู่แล้วน่ะเรา” พู่กันว่าพลางจูงมือรุ่นน้องกลับเข้าไปในห้องนอน

อาโปที่ความง่วงเข้าครอบงำ ได้แต่เดินตามรุ่นพี่ไปอย่างล่องลอย

เดียร์กำลังเตรียมตัวจะไปอาบน้ำ ตอนที่พู่กันจูงมืออาโปเข้าห้องมาพอดี

“นอนบนเตียงเลย เตียงกว้างมาก พี่นอนกับพู่กันยังกลิ้งได้ตั้งคนละเกือบสามรอบ” เดียร์ว่าพลางคาดผมไปด้วย

อาโปที่เดินล่องลอยเข้ามา พอได้ยินอย่างนั้นก็ล้มตึงลงไปบนเตียงทันที เดียร์กับพู่กันได้แต่แอบขำน้อยๆกับความน่ารักของอาโป

เตียงในห้องเดียร์ มันกว้างมาก ขนาดมีอาโปนอนด้วย ยังเหลือมีที่ให้กลิ้งได้อีก ไม่รู้ว่าเตียงกว้างมาก หรือผู้หลับนอนทั้งสามคน ตัวเล็กมากกันแน่

พู่กันกับเดียร์นอนริม อาโปนอนอยู่ตรงกลาง หนุนหมอนสำรองที่เดียร์หยิบมาให้อาโป จากห้องนั่งเล่น

ความสว่างจ้าในห้องนอนหายไป ความมืดเข้าครอบคลุมห้องนอนทันที

เดียร์กำลังเคลิ้ม ใกล้จะเข้าสู่นิทราแล้ว ถ้าไม่มีเสียงทุ้มๆ ดังอยู่ข้างหู เดียร์ปัดมือไล่เสียงหึ่งๆนั้นอย่างรำคาญ

“เดียร์สัญญาแล้วนะ ว่าจะช่วยผมน่ะ” เสียงคนพูด ฟังดูคล้ายกระเง้ากระงอด  เดียร์ขมวดคิ้วน้อยๆ ปรือตามอง ‘อะไรบางอย่าง’ ที่กำลังเจื้อยแจ้วอยู่อย่างหงุดหงิด

คนจะนอน ยังมากวนกันอยู่ได้

คนตัวเล็กปรับสายตาให้ชินกับความมืด ชำเลืองมองพู่กันกับอาโป ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ … ทั้งสองคนคงหลับไปแล้ว

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าหลับจริงๆกันหรือเปล่า

ข้างนอกก็มีไอ้โต้งนอนอยู่

เพื่อความปลอดภัย เรื่องเสียงพูดคุย เดียร์จึงควานหาโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอน คนตัวเล็กชันตัวลุกนั่ง ก้มหน้ากดโทรศัพท์ในมือ วายุนิ่งมองเดียร์อยู่เงียบๆ

ไม่นาน เดียร์ก็ยื่นโทรศัพท์ที่มีข้อความอยู่บนหน้าจอ ให้วายุอ่าน

‘อะไรของนาย คนจะนอน!’

“เดียร์บอกก่อนสิว่าสัญญาแล้ว ว่าจะช่วยผม”

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์แรงๆด้วย

‘ไม่ได้สัญญา แต่จะพยายาม ไม่ได้เชื่อเท่าไหร่นะว่าที่นายเคยเล่า มันเป็นเรื่องจริง จะลองปรึกษาหมอเก่งๆดู ถ้าหมอโรงพยาบาลไม่ได้ผล ก็จะลองไปหาหมอผี หมอดู  ดูซิว่าจะเป็นยังไง’

พอวายุอ่านจบเท่านั้นแหละ เจ้าตัวก็ร้องลั่นทันที

“จริงๆนะเดียร์ ผมจะโกหกเดียร์ทำไม เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ”
วายุยู่หน้า ขมวดคิ้วเครียด

เดียร์ที่ได้ฟังอย่างนั้นก็ก้มหน้าไปจิ้มข้อความบนโทรศัพท์ต่อทันที

‘ก็ไม่ได้ล้อเล่น! นั่นมันเรื่องความรู้สึกเลยนะ อย่าเอาความรู้สึกมาล้อเล่น เรารู้จักกันนานแค่ไหน พอเจอหน้าปุ๊บ มีอย่างที่ไหน มาขอเป็นแฟน แล้วที่สำคัญมาก มากๆที่สุดเลยนะ ฉันเป็นผู้ชาย!!! เข้าใจไหม! เรื่องที่นายเคยเล่า มันโคตรจะไร้สาระ!’

วายุอ่านตามที่เดียร์พิมพ์ข้อความไปเรื่อยๆ พอเดียร์พิมพ์เสร็จ วายุก็ร้องขึ้นอีก

“โอเคๆ ผมรู้ว่าเดียร์เป็นผู้ชาย เพราะผมก็เป็นผู้ชาย โอเคไหมครับ? แล้วทีนี้ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เพราะยังไงผมก็จะทำให้เดียร์รักผมให้ได้อยู่ดี”

เดียร์ขมวดคิ้วแน่น ตั้งหน้าตั้งตาจิ้มข้อความในโทรศัพท์ต่อด้วยแรงกดโทรศัพท์ที่แรงขึ้น ไม่รอฟังวายุพูดให้จบประโยค วายุก็ไม่ได้สนใจกิริยาของเดียร์เท่าไรนัก ร่างสูงยังคงพูดต่อไป

“ถ้าเดียร์มีคนรัก เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผม คิดดูนะ เดียร์ก็จะไม่มีแฟน ถึงเดียร์จะแต่งงาน มีลูก ผมก็จะตามเดียร์ไปอย่างนี้เรื่อยๆ เพราะผมกลับเข้าร่างไม่ได้ และเดียร์เป็นคนเดียวที่รู้ว่าจะช่วยผมยังไง
ผมอาจจะเป็นเจ้าชายนิทราไปจนหมดอายุขัย ไม่รู้ว่าครอบครัวของผมจะเศร้าขนาดไหน…”

เดียร์พยายามปล่อยให้คำพูดของวายุเข้าหูซ้ายทะลุขวา แต่ความพยายามก็ไม่ได้เป็นผลนัก เมื่อเดียร์เข้าใจที่วายุพูด ทุกประโยค

เดียร์ที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความ ยื่นโทรศัพท์ให้วายุอีกครั้ง

‘บอกกี่ครั้งแล้วว่าอาจจะไม่ใช่ฉันก็ได้! นายไปขอความช่วยเหลือคนอื่นสิ! คนอื่นที่เป็นผู้หญิงน่ารักๆ สวยๆ ที่พร้อมจะช่วยนายทุกอย่าง เท่าที่ฉันทำได้ คือจะลองไปหาหมอผี โอเคไหม!’

วายุยู่หน้าใส่คนตัวเล็กทันที

“ไม่โอเค!  ผมปล่อยเดียร์ไม่ได้หรอก! ถึงตอนแรกผมจะไม่ค่อยเชื่อก็เถอะนะ แต่พอผมเจอเดียร์แล้ว… ยังไงผมก็ปล่อยเดียร์ไปไม่ได้จริงๆ” เสียงวายุทอดอ่อนโยนลง เดียร์ที่เอาแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์จึงไม่ทันเห็นสายตาอ่อนโยนที่มองมา

‘นายมันโคตรไร้สาระเลย!!! พอ! หยุดพูดเรื่องนี้!! จะนอน!!!’

วายุอมยิ้มเล็กๆ ไล่อ่านข้อความที่เดียร์พิมพ์ไปเรื่อยๆจบจนบ

คนตัวเล็ก โยนโทรศัพท์ไปข้างหมอน ก่อนล้มตัวลงนอน

ความหงุดหงิดยังคงวุ่นวายอยู่ในใจ

เดียร์เอาแต่ก่นด่าต้นเหตุที่ชวนทะเลาะกลางดึกแบบนี้

เดียร์เห็นวายุยังยืนอยู่ที่เดิม คนตัวเล็กเลยหันหลังให้ร่างสูง

วายุเห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆกับความน่ารักของคนตัวเล็ก

ขายาวๆก้าวเข้าใกล้ขอบเตียงมากขึ้น ทิ้งตัวลงนั่งตรงที่ว่างของเตียง แขนข้างหนึ่งยันพื้นที่ข้างหมอนไว้ ใบหน้าคมโน้มลงไปข้างแก้มใสของคนตัวเล็ก กระซิบถ้อยคำราตรีสวัสดิ์

“ฝันดีนะครับ…”

แม้ว่าเดียร์กับวายุจะไม่สามารถสัมผัสร่างกายกันได้

แต่เสียงที่ดังใกล้เกินไป ทำให้เดียร์ผงะหนีทันที

เดียร์ไม่หันไปมองตัวต้นเหตุ

คนตัวเล็กดึงผ้าห่มคลุมโปง หนีวิญญาณด้านหลังทันที



เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

วันนี้นาฬิกาปลุกที่เดียร์ตั้งไว้ ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีมาก

ทันทีที่เสียงนาฬิกาดังขึ้น เดียร์ก็กดปิดมันทันที

เจ้าของนาฬิกาเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง

การพยายามลืมตา มันทำได้ยากเหลือเกิน ในเวลาเช้าๆแบบนี้

เดียร์สะลึมสะลือเข้าห้องน้ำด้วยความเคยชิน

ตอนเดียร์ตื่นขึ้นมา ไม่เห็นทั้งพู่กันและอาโปในห้องนอนแล้ว  พู่กันคงลงไปซื้อของกิน เดาว่าอาโปคงออกไปนั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่รู้ป่านนี้ไอ้โต้งกลับไปหรือยัง

ทันทีที่ร่างกายโดนน้ำ เดียร์ตื่นขึ้นได้เต็มตาทันที สติเข้าร่างสมบูรณ์

วันนี้เดียร์ใส่ชุดไพรเวทไปเรียน แต่งตัวเสร็จก็เดินออกจากห้องนอน มาที่มุมหนังสือ

หยิบของที่ต้องใช้เรียนยัดลงไปในกระเป๋าสะพาย

“แล้วก็ไม่จัดกระเป๋าไว้ตั้งแต่เมื่อคืน” เสียงทุ้มๆลอยเข้าหูเดียร์

คนตัวเล็กเข้าใจว่านั่นคือเสียงของเพื่อนสนิท

แน่ล่ะ เสียงแบบนี้คงไม่ใช่เสียงของอาโปหรือพู่กันแน่

โดยไม่ทันตั้งตัว เดียร์เลยโพล่งตอบคำไปทันที

“ก็มันลืมนี่หว่า”

เสียงของเดียร์ไม่ได้เบานัก

โต้งที่กำลังเดินไปเดินมาในห้องถึงกับหันมามองเดียร์ ด้วยความงุนงง “มึงว่าอะไรนะ?” 

เดียร์หันขวับไปมองคนพูดทันที สวนคำถามกลับไป“อะไร?”

“เมื่อกี๊มึงพูดว่าอะไรหรือเปล่า มึงพูดกับกูไหม? หรือมึงพูดคนเดียว?” โต้งหยุดไปนิด เหมือนเพิ่งคิดอะไรได้ “หรือมึงคุยกับใครอยู่?”

โต้งมองไปรอบๆห้อง คล้ายระแวง

ตอนนั้นเอง เดียร์เพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

พอเดียร์มองรอบตัวเองบ้าง ในสายตาเดียร์ปรากฎร่างบางใสของวายุยืนอยู่ไม่ไกลนัก ร่างสูงส่งยิ้มน้อยๆมาให้คนตัวเล็ก

“เออ กูพูดกับทุกคนนั่นแหละ” เดียร์บอกปัด แต่โต้งยังตะโกนตามมา ก่อนหายเข้าห้องน้ำไป

“มึงใช้คำว่า ‘ทุกคน’ หรอ ไอ้เดียร์!”

โต้งกับพู่กันเริ่มชินแล้ว กับเรื่องพฤติกรรมแปลกๆของเดียร์

ถ้าอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้ จะพูดคุยกับ เอ่อ..สิ่งลึกลับบ้าง ก็ไม่แปลกเท่าไรหรอก แต่ในพื้นที่สาธารณะนี่สิ…แม้ว่าโต้งกับพู่กันจะคอยพยายามเตือนสติเดียร์แล้ว แต่เดียร์ก็ยังหลุดเสียงตอบโต้อยู่หลายครั้ง โต้งกับพู่กันน่ะไม่เท่าไร แต่คนอื่นที่มองมานี่สิ…

“พี่เดียร์ ผมกำลังรอพี่ตื่นพอดีเลย” เสียงหวานใสของอาโปดังใกล้เข้ามา ไม่นาน ภาพของรุ่นน้องตัวเล็กก็ปรากฏในสายตา

เดียร์เงยหน้าจากกองหนังสือที่จับยัดลงกระเป๋าอยู่

อาโปในชุดนักศึกษา เดินมานั่งข้างกัน

“เมื่อคืน นอนหลับไหม?” เดียร์ถามพลางรื้อหาหนังสือไปพลาง

อาโปพยักหน้ารับ หน้าตาสดชื่น

เห็นอาโปร่าเริงแบบนี้ พาลทำให้นึกถึงเรื่องที่ต่อปากต่อคำกับวายุเมือคืน…

“ผมมีเรียนตอนเช้าเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าพี่เดียร์มีเรียนตอนไหน เลยรอพี่เดียร์ตื่น แล้วว่าจะออกไปเรียนเลย”

“ไปพร้อมกันกับพี่เลย ไปเร็วเดี๋ยวสาย” ว่าจบรุ่นพี่ตัวเล็กก็ฉุดรุ่นน้องที่ตัวเล็กพอๆกันให้ลุกขึ้น

“ไม่กินข้าวเช้าหรือไง?” เสียงของวายุลอยเข้าหูเดียร์อีกครั้ง เดียร์ส่ายหัวให้น้อยๆ ท่าทางส่ายหัวของเดียร์ ไม่ได้เป็นที่สะดุดตาอาโปเท่าไรนัก

วายุเดินตามเดียร์ที่วิ่งไปสวมรองเท้าหน้าห้อง

“แล้วอาโปล่ะ จะไม่ให้กินอะไรเลยรึไง”

“เรื่องนั้นคิดไว้แล้วน่า” เดียร์เผลอต่อคำวายุไปจนได้

อาโปสบตาเดียร์ เครื่องหมายคำถามปรากฏอยู่บนใบหน้าใสของรุ่นน้องตัวเล็ก

“อ่า… เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกินข้างล่างนะ”

ไม่รอให้เวลาเดินเร็วไปกว่านี้ เดียร์ออกเดินนำทันที อาโปคอยเดินตามอยู่ติดๆ

วายุมองมือบางของเดียร์ที่กุมมืออาโปไว้แน่น …พลันรอยยิ้มหล่อประดับอยู่บนใบหน้าคมสันทันที

เดียร์พาอาโปแวะร้านข้าวแกงที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย

อาโปบอกว่าแค่นมหนึ่งกล่องก็โอเคแล้ว

แต่ด้วยความเป็นห่วงน้อง เดียร์ต้องคะยั้นคะยอให้อาโปกินข้าวเช้าให้ได้ โดยบอกว่าจะนั่งเป็นเพื่อน จนเจออาโปย้อนกลับแบบอายๆว่า“ทำไมพี่เดียร์ไม่กินข้าวเช้าล่ะ”  เท่านั้นล่ะ เดียร์ก็เลยยอมไปนั่งกินข้าวกับอาโปจนได้

“พี่ไม่ค่อยชอบกินข้าวเช้าเลย” เดียร์ว่าพลางเคี้ยวเม็ดข้าวช้าๆ

เดียร์ชำเลืองมองจานข้าวตัวเองเทียบกับอาโปแล้ว ปริมาณข้าวในจานน้องดูเหมือนจะหมดเร็วกว่าของเขามาก

“ทำไมหรอครับ? มันมีประโยชน์มากเลยนะ”

“ปกติพี่ไม่กินข้าวเช้า ทุกครั้งพี่กินควบข้าวเที่ยงไปเลย”  เดียร์ว่าจบ อาโปก็ร้องอุทานขึ้นมาเบาๆ

“เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนพี่เดียร์  ถ้าพี่อยู่กับพี่วายุนะ พี่ต้องโดนพี่วายุดุแน่ๆ เพราะผมโดนดุมาแล้ว”

เดียร์เหลือบมองวายุที่ตามมานั่งข้างๆกันตั้งแต่มาถึง สีหน้าภูมิใจแบบนั้น มันชวนหงุดหงิดจริงๆ

เดียร์รวบช้อนส้อมเตรียมเก็บจานทันที

“อ้าว พี่เดียร์ อิ่มแล้วหรอ?”

เดียร์ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆให้รุ่นน้อง “พี่กลืนไม่ค่อยลง”

หลังจากนั้น เดียร์กับอาโปก็รีบเดินทางไปตามหาห้องเรียนในคาบแรก

เดียร์แยกทางกับอาโปตรงตึกคณะโบราณคดี เพราะคาบแรกนี้ เดียร์ลงข้ามคณะไว้ ทำให้ต้องไปเรียนอีกคณะหนึ่ง ส่วนอาโปที่เป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ยังถูกบังคับให้เรียนวิชาในคณะอยู่ ยังเรียนข้ามคณะไม่ได้

เดียร์ตรงไปห้องเรียนที่ลงเรียนวิชาภาษาเกาหลีไว้ เดียร์กะว่าเรียนไว้เป็นความรู้ก็ไม่เสียหาย
เลยลองลงเรียนดู  เผื่อถ้ามีสกิลภาษาเกาหลีแล้ว สาวๆอาจจะมาตามกรี๊ดเขาบ้างอะไรบ้าง …คึคึ

เดียร์เปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนภาษาเกาหลี

ความคิดแรกที่แว้บเข้ามาในหัวเดียร์คือ ‘ทำไมมีแต่ผู้หญิง’

เดียร์เข้าไปจับจองที่นั่ง รออาจารย์เข้าสอน

ตัดสินใจเลือกที่นั่งริมสุดที่ว่างอยู่

แอบชำเลืองมองไปรอบห้องอีกที ก็พบเพียงเพศหญิง

แต่ถ้าคิดอีกที เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

นั่งเรียนท่ามกลางหญิงสาวรายล้อม สวรรค์ชัดๆเลยเดียร์เอ๊ย

และก็เป็นอย่างที่เดียร์คิดจริงๆ เมื่อทั้งห้องไม่มีผู้ชายเข้ามาเรียนอีกเลย เดียร์แอบชำเลืองมองอุปกรณ์การเรียนของหญิงสาวโต๊ะข้างๆ

กระเป๋า เต็มไปด้วยพวงกุญแจรูปหน้าศิลปิน เดียร์เดาว่าคงเป็นศิลปินเกาหลี เซทเครื่องเขียนมีตัวอักษร S กับ J อยู่บนเครื่องเขียนทุกชิ้น

ถึงเดียร์จะไม่ค่อยสนใจศิลปินเกาหลี แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า SJ ที่ว่าคืออะไร

เดียร์แอบมองไปด้านหน้า โต๊ะในแถวหน้า จัดอุปกรณ์มาอย่างดี

หญิงสาวแต่ละคน พกเครื่องสำอางมาคุยโวกัน ประหนึ่งตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า

เดียร์พยายามจ้องครีม ที่แต่ละคนเอามาอวดกัน

ตัวอักษร กลมๆเหลี่ยมๆแบบนั้น มันคือภาษาเกาหลีสินะ

“ผมว่า เดียร์ไม่ต้องใช้ครีมอะไร ก็น่ารักกว่าผู้หญิงที่นั่งแถวหน้าตั้งเยอะ”

เดียร์สะดุ้งน้อยๆ เมื่อเสียงที่ว่ามันมาจากด้านข้างของโต๊ะ

วายุนั่งชันเข่ากับพื้น แขนหนาสองข้างวางพาดไปกับโต๊ะ เกยคางลงบนโต๊ะเหมือนเด็กๆ

เดียร์ขมวดคิ้ว ขบริมฝีปากล่างน้อยๆ รู้สึกโมโหตัวเองนิดหนึ่งที่โวยวายออกไปตรงๆไม่ได้

มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าเขาน่ารักกว่าผู้หญิง!

เอ็งบ้าไปแล้ว วายุ

ไม่นาน อาจารย์สาวก็เดินเข้ามาในห้องเรียน

หญิงสาวทุกคนในห้องเก็บสินค้าที่เอาออกมาโชว์ลงกระเป๋าทันที

เดียร์ตั้งหน้าตั้งตาฟังที่อาจารย์พูด

เนื่องจากเพิ่งเริ่มเรียนครั้งแรก  อาจารย์จึงสอนใช้คำพูด ประโยคพื้นฐานง่ายๆก่อน

ตั้งแต่คำทักทาย การแนะนำตัว

แต่ดูเหมือนอาจารย์จะใจร้อนไปนิด เมื่ออาจารย์มอบแบบฝึกหัดวัดพื้นฐานคร่าวๆมาทันที

อาจารย์ยังอยากเห็นความสามารถ โดยให้ออกไปเขียนที่หน้าห้องด้วย

อาจารย์ให้แต่ละแถวที่นั่ง ส่งตัวแทนออกไปเขียนหน้าห้อง

เดียร์ที่สบโอกาส ก็วางมาดเป็นฮีโร่ทันที ขันอาสาบอกสาวๆว่าเดี๋ยวตัวเองจะออกไปเขียนเอง

โจทย์ที่เดียร์ได้รับคือ “ผมยังไม่มีแฟน”

หลังจากที่ได้สาวๆช่วยจัดเรียงรูปประโยคให้แล้ว เดียร์ก็ลุกออกไปเขียนด้วยความมั่นใจ

อาจารย์ส่งยิ้มให้เดียร์ทันที ที่เดียร์ออกไปหน้าห้องคนแรก

เริ่มลงมือเขียน … 여자친구가 없어요.

เขียนเสร็จ เดียร์หันไปสบตากับอาจารย์

เจอสายตาที่อาจารย์มองแปลกๆกลับมา

“เอ่อ… เอาอย่างนี้จริงๆใช่ไหม?” เสียงอาจารย์ฟังดูคล้ายจะขำก็เหมือนไม่ขำ จะว่าดุก็ไม่เชิงดุ

หญิงสาวในแถวเริ่มลังเลไปตามอาจารย์

“ยอจาชินกู นั่นแปลว่าแฟนสาวนะคะ แล้วทำไมเธอ….” อาจารย์พูดเพียงเท่านั้นก็ชะงักไป อาจารย์กลับไปเปิดแฟ้มที่มีรายชื่อนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชานี้

“เธอชื่อ….” อาจารย์ลากเสียงยาว ไปตามนิ้วที่ไล่ชื่อนักศึกษาในแฟ้มไปด้วย

“ชินดนัยครับ” เดียร์ต่อประโยคให้อาจารย์ทันที

ทันใดนั้นอาจารย์ก็ร้องขึ้นมา “อ้าว ทำไมคำนำหน้าเป็น ‘นาย’”?

ทั้งห้องพร้อมใจกันเงียบขึ้นมาทันที

เดียร์กระพริบตาปริบๆ ส่งไปให้อาจารย์

เดียร์ได้ยินเพียงหัวเราะดังๆของ’ใครบางคน’ที่ตามเดียร์มาเท่านั้น

“เอ่อ…ครับ ผมเป็นผู้ชาย”

จบประโยคของเดียร์ อาจารย์กวาดตามองเดียร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า

เป็นเพราะเดียร์ใส่ชุดไพรเวท ยิ่งทำให้อาจารย์ต้องเพ่งมองดีๆเข้าไปใหญ่

อาจารย์ก็ไม่ได้แก่มาก ทำไมถึงดูไม่ออก

เขาเป็นผู้ชายครับผู้ชาย ทำไมอาจารย์ต้องถามเหมือนเดียร์ทำอะไรผิดด้วย

อาจารย์ขอโทษขอโพยเดียร์ไปอีกชุดใหญ่  คนตัวเล็กยิ้มแหยๆ ได้แต่ตอบว่าไม่เป็นไร

เดียร์เดินกลับมานั่งที่

เดียร์คิดไปเองหรือเปล่า ว่าสายตาของหญิงสาวในแถวที่นั่งด้วยกัน ดูแพรวพราวขึ้น

แม้แต่หญิงสาวพรีเซนเตอร์ขายครีม แถวหน้า ยังหันมาส่งสายตาระยิบระยับให้เดียร์ด้วย

ชายหนุ่มในห้องเพียงคนเดียว ได้แต่ยิ้มเก้อๆ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อเมื่อถูกมอง

เดียร์คิดไปเองว่าสายตาสาวๆต้องแอบปิ๊งปั๊งเขาอยู่แน่ๆ

อย่าให้เดียร์รู้ความคิดของสาวๆเหล่านั้นเลยดีกว่าเนอะ   คึคึคึคึ…

เสียงหัวเราะที่ดังมาจากด้านข้างยังดังต่อเนื่องไม่หยุด

เดียร์หันไปส่งสายตาปราม ให้วายุหยุดหัวเราะเสียที

“โทษๆเดียร์ ผมไม่คิดว่าอาจารย์จะ…ฮ่าๆๆๆ” ว่าแล้ววายุก็หันไปหัวเราะอีกชุดใหญ่

เดียร์ได้แต่ตีหน้าบึ้งใส่วายุ ละความสนใจไว้แค่นั้น หันไปตั้งใจฟังอาจาย์บรรยายที่หน้าห้องต่อ

วายุได้แต่พยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ

ดูซิดู...

ดูคนที่มั่นใจว่าตัวเองน่ะแมนนักแมนหนา

เจอทักขนาดนี้

น่าจะรู้ตัวได้เสียทีนะ…



“…กวางน้อยของผม”



# My dear



มาลงน้องเดียร์ต่อค่ะ ฮี่ๆๆๆ ^_^

…ตอนนี้พี่ล็อคไม่มีบทเลย T T



เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 6
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 31-05-2014 12:02:12




ในเวลาเลิกเรียน เป็นช่วงที่การจราจรติดจัดไม่ต่างกับตอนเช้า

เดียร์ไม่สละเวลาที่ต้องไปยืนนิ่งๆบนรถที่รอขยับ

คนตัวเล็กใช้วิชาบาทวิถีเป็นตัวนำพาไปยังร้านไอศกรีมที่ตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัย

มองผู้คนที่ยืนเบียดเสียดอยู่บนรถโดยสารที่ไม่ขยับ คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

รถจะติดเฉพาะถนนเส้นที่วิ่งตรง ถ้ามีทางแยก รถก็จะวิ่งได้สะดวกมากขึ้น เพราะต่างคนก็ต่างเป้าหมายกันไป ไม่ได้แออัดกันอยู่บนถนนเส้นเดียว

เดียร์เดินมาถึงทางแยก ถ้าข้ามแยกนี้ไปได้ เดินตรงไปอีกนิดหน่อย(ในความรู้สึกของเดียร์)  ก็จะถึงหน้ามหาวิทยาลัย
เดียร์หันซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง กำลังจะก้าวเท้าลงบนพื้นถนน จู่ๆรถยนต์คันหรูที่เดียร์คุ้นตาก็เข้ามาจอดดักหน้า
เดียร์ยืนนิ่ง มองรถที่จอดนิ่ง ตรงหน้า

คนขับรถเลื่อนกระจกฝั่งข้างคนขับลง

“ขึ้นมาเร็ว ไปที่ร้านด้วยกัน”

เดียร์ส่งยิ้มให้เจ้าของรถ ขบริมฝีปากล่างน้อยๆอย่างลังเล “ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค เดี๋ยวผม…” ยังไม่ทันที่เดียร์จะพูดจบประโยค ก็โดนเจ้าของรถขัดขึ้นซะก่อน “ขัดคำสั่งเจ้านายอีกแล้วนะ”

“ขึ้นมาเร็วเข้า ถ้าไปทำงานช้า พี่หักเงินเป็นนาทีนะ” จบคำขู่ของเจ้าของร้านตัวโต เดียร์รีบเปิดประตู มุดเข้าไปนั่งคู่คนขับทันที

เดียร์หันมายิ้มแหยๆ ให้เจ้าของรถ ก่อนหันหน้าไปมองมองถนนที่อยู่เบื้องหน้า ถ้าเพียงแต่คนตัวเล็กหันหน้าไปช้ากว่านี้ คงทันเห็นรอยยิ้มมุมปากของเจ้านายตัวโตแน่ๆ

“ยิ้มอะไร ยิ้มอารายยย มีหน้าที่ขับรถก็ขับไปสิวะ!” เสียงยานคาง ที่เดียร์คุ้นเคย ดงขึ้นมาจากด้านหลังของรถ

ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเสียงใคร

เดียร์ไม่อยากสนใจเสียงนั้น ไม่อยากสนใจประโยคพวกนั้น

ล็อคเตรียมออกรถต่อทันที

“เดินตลอดเลยนะเรา ไม่เมื่อยหรือ?” เสียงทุ้มของคนขับ ทำให้เดียร์ละความสนใจจากถนนได้บ้าง

“ชินแล้วครับ ไม่เมื่อยเลย” คนตัวเล็กเงียบไปสักพัก “ว่าแต่  พี่ล็อคขับรถแบบนี้ทุกวัน ไม่เบื่อหรือครับ?” เสียงใสที่ถามกลับมา ทำเอาล็อคหัวเราะน้อยๆ  ล็อครู้แน่ๆ ว่าเดียร์คงหมายถึงเวลารถติดหนักๆ อย่างตอนนี้

“ชินแล้วล่ะ ไม่เบื่อเลย” รูปประโยคคำถามและคำตอบที่คล้ายกัน ทำเอาเจ้านายและลูกน้องอดขำกับคำพูดเหล่านั้นไม่ได้

ไม่นานรถยนต์คันหรูก็เข้าจอดในบริเวณหน้าร้าน

ล็อครีบลงจากรถทันทีที่รถนิ่งสนิท เดียร์ที่เห็นล็อคกระวีกระวาดลงจากรถก็รีบปลดสายเข็มขัดด้วย แต่ยังไม่ทันที่จะได้จับประตูรถ จู่ๆประตูรถก็เปิดเองเสียก่อน เดียร์แอบคิดไปแล้ว ว่ามันฝีมือ ‘ใครคนนั้น’แน่ๆ แต่เสียงทุ้มๆที่เดียร์ได้ยิน เรียกสติเดียร์ได้อีกครั้ง

“เชิญครับ” วายุผายมือ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“เดี๋ยวนี้มีบริการเปิดประตูรถให้ลูกจ้างด้วยนะครับ”เดียร์แซวเจ้านาย อย่างไม่กลัวโดนหักเงินเดือน คนเป็นเจ้านายหัวเราะประโยคนั้นอย่างถูกใจ

ในตอนนี้ โต้งมารอเดียร์อยู่ก่อนแล้ว

เดียร์เพิ่งเอะใจ ว่าวันนี้โต้งก็มีเรียน แล้วพี่ล็อคก็ดูท่าว่าคงจะมีเรียน แล้วเดียร์ก็ไปเรียน แล้วร้าน?

เดียร์คงจะแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไป จนโต้งเดินเข้ามาทัก

“สงสัยใช่ไหม? เดี๋ยวมาคุยกัน”

โต้งว่าจบก็เดินไปส่งไอศกรีมที่โต๊ะลูกค้า

เดียร์เดินเข้าไปโยนกระเป๋าไว้ใต้เคาน์เตอร์ เดินเข้าไปดูถ้วยไอศกรีมที่ปกติจะกองกันสูงมาก แต่วันนี้ไม่มีเลย ล็อคที่เดินตามเดียร์มา เข้าประจำตำแหน่งที่แคชเชียร์ทันที

โต้งเดินกลับมาพร้อมถาดเปล่า

เห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ก็เริ่มเปิดฉากบทสนทนา

“ผมว่ารับพนักงานเพิ่มกันเถอะครับพี่ล็อค”

โต้งว่าพลางวาดถาดไว้ข้างๆที่เก็บเมนู

“พี่ก็ว่าจะถามพวกเราอยู่พอดี”  ล็อคหันมาพูดกับพนักงานในร้าน “อย่างวันนี้ก็เพิ่งเปิดร้านตอนสี่โมงเย็น” อย่างที่ล็อคคาดเดาไว้

“ใช่เลยครับพี่ล็อค ผมมาก่อนที่พี่จะมาพร้อมไอ้เดียร์ แป๊บเดียว”

“ถ้าพี่จะเปิดร้านทั้งวัน ต้องรับพนักงานที่อยู่เฝ้าร้านได้ตลอด”

โต้งเริ่มพูดถึงตารางเรียนของตัวเอง เดียร์เห็นอย่างนั้นก็เริ่มอธิบายบ้าง ล็อคที่ได้ฟังก็เริ่มจะเห็นด้วย จากที่ไม่คิดว่าจะรับพนักงานเพิ่ม

ล็อคไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คิดว่า แค่ได้เจอเดียร์ทุกวัน เขาก็มีความสุขแล้ว…

เมื่อเจอปัญหาแบบนี้ สุดท้ายล็อคก็ต้องยอมรับพนักงานเพิ่ม

แต่มีข้อแม้ว่าต้องอยู่เฝ้าร้านไอศกรีมได้ทั้งวัน

รับเพิ่มอีกสองคน คงจะพอเบาแรงเดียร์กับโต้งได้บ้าง


เมื่อถึงเวลาค่ำ ลูกค้าในร้านเพิ่มมากขึ้น

พนักงานทั้งสามคนในร้านวิ่งวุ่นรับ-ส่งลูกค้ากันจ้าละหวั่น

ถึงจะลูกค้าจะเยอะขนาดไหน เดียร์ก็ไม่หวั่น ดีตรงที่วิญญาณที่ลอยไปลอยมา ไม่ได้เข้ามากวนแต่อย่างใด

วันนี้ดูเรียบร้อยแฮะ…

เดียร์เห็นวายุตั้งหน้าตั้งตากล่าวคำทักทายและอำลาลูกค้าอยู่ตรงประตู แต่ละคนเดินทะลุวายุไปอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน

เดียร์มองวิญญาณที่พยายามสื่อสารกับคน แล้วก็ได้แต่แอบขำ

เดี๋ยวนี้ รับจ็อบเป็นพนักงานต้อนรับแล้วหรือไง

เดียร์เผลอจ้องวายุนานไปหน่อย จึงได้รอยยิ้มหล่อส่งกลับมาให้ทันที เดียร์สะดุ้งเหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้ คนตัวเล็กรีบเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ทันที

ในที่สุดก็ใกล้เวลาปิดร้าน ลูกค้าในร้านเริ่มบางตาลงแล้ว

โต้งกับเดียร์ เริ่มทำความสะอาดโต๊ะ เก้าอี้ เก็บถ้วยแก้วน้ำไปล้าง

เดียร์เห็นวายุลอยไปเก็บขยะที่หล่นอยู่ตามพื้น พยายามไม่ให้เป็นที่สังเกต

เดียร์ว่าพี่ล็อคคงไม่เห็นหรอก แต่สำหรับโต้งนี่ไม่แน่

แอบเห็นสายตาโต้งมองไปทางวายุที่กำลังเก็บขวดน้ำบนพื้น แล้วโต้งก็ตาค้างไปพักใหญ่

โต้งไม่ถามอะไรเดียร์ แต่เดียร์มั่นใจว่าโต้งรู้แน่ๆ

มันคงกลัวจนไม่กล้าถาม

เดียร์มองวายุที่ตั้งใจทำงาน พลันนึกถึงใครอีกคนที่เขาเคยบอกว่าจะช่วย

“โต้ง กูจะไม่อ้อมค้อมนะ” เดียร์โพล่งขึ้นมา แค่พูดเฉยๆ ทำไมโต้งต้องสะดุ้งขนาดนั้น

“กูรู้ว่ามึงเห็นอะไร ใช่… เขามาด้วย แต่เขาไม่ทำอะไรหรอก สบายใจได้” เดียร์พูดอย่างเดาความคิดโต้งได้ และคงเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะโต้งดูนิ่งไป

“กูจะไปหาหมอผี มีหมอผีเก่งๆแนะนำไหม?” เดียร์ว่าต่อทันทีไม่ได้ดูอาการเพื่อนเลย ว่ามันอยู่ในสภาพพร้อมให้คำแนะนำไหม

เดียร์ต้องเรียกสติเพื่อนให้กลับเข้าร่าง ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันกลัว แต่จะให้ทำยังไงล่ะ เห็นแล้วจะให้โกหกว่าตาฝาด นั่นยิ่งหลอนไปใหญ่

ไม่นาน โต้งก็รวบรวมสติเข้าร่างได้

จะว่าชินก็ชิน จะว่าไม่ชินก็ไม่ชิน เอ๊อ…แล้วมันยังไง?

ความรู้สึกแบบที่โต้งเป็น มันโคตรจะอธิบายไม่ถูก

ทำไมไอ้เดียร์ มันทำใจยอมรับเรื่องแบบนี้ง่ายจังวะ

โต้งต้องให้เดียร์ทวนคำถามอีกรอบ

โต้งที่เริ่มตั้งสติได้แล้ว จึงเริ่มต่อบทสนทนาของเพื่อนตัวเล็ก

“มึงจะไปหาหมอผีทำไม?”

“กูว่า กูต้องพึ่งหมอผีแล้วว่ะ”  จบประโยค โต้งถึงกับเบิกตากว้าง ครางเบาๆด้วยความอึ้ง “ขนาดนั้นเลยหรอวะ?”

“มึงมีแนะนำไหม?” เดียร์เดินไปหยิบไม้กวาด ไล่กวาดตามที่ที่วายุเพิ่งเดินเก็บขยะชิ้นใหญ่ไป

“จริงๆ…กูก็พอได้ยินมาบ้างนะ คนในซอยบ้านกูเคยพูดถึงกัน”

เดียร์ตาโตด้วยความดีใจ ท่าทางดีใจที่ทำเอาโต้งอยากร้องไห้

“’เขา’ไม่ว่าอะไรหรอวะ ที่มึงพูดถึงหมอผี?” โต้งกระซิบเบาๆ แต่ไม่พ้นหูวายุที่เริ่มกลับมาประกบข้างเดียร์อีกแล้ว

เดียร์เหลือบไปมอง ‘เขา’ที่โต้งพูดถึง รายนั้นได้แต่ยักคิ้วอย่างท้าทายมาให้

“หมอผีก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกเดียร์ ผมบอกแล้วไง แค่เดียร์ตกลงยอมเป็น…”

“หยุด!!” เดียร์ตวาดลั่น หันไปทางวายุที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

โชคร้ายไปหน่อย ที่บังเอิญล็อคเดินเข้ามาซ้อนหลังวายุพอดี

“ฮะ? ให้พี่หยุดทำไมหรือ?” ล็อคก้าวเท้าค้าง คนตัวโตกำลังจะเดินเข้าไปหยิบเอกสารหลังเคาน์เตอร์มาคำนวณของ

เดียร์ยิ้มแหยๆส่งไปให้เจ้าของร้านทันที

“มะ…ไม่ ไม่มีอะไรครับ ผมกำลังเอ่อ…” เดียร์หันไปรอบข้าง เห็นโต้งกลั้นขำ เดินไปเช็ดโต๊ะที่อยู่ถัดไป หันมาอีกที เจอวายุยิ้มหล่อไม่ไปไหน คนตัวเล็กพยายามหาคำพูดมาต่อบทสนทนากับเจ้านาย “ผมกำลังบอกตัวเองว่าหยุดกวาดพื้นแล้วไปล้างจานซะ” ว่าจบคนตัวเล็กก็เดินหายเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ทันที ล็อคมองตามอย่างไม่เข้าใจ ขำน้อยๆกับความน่าเอ็นดูของคนตัวเล็ก ก่อนออกไปหามุมของร้าน นั่งคิดบัญชีต่อ

“มึงไม่ได้พูดกับกูใช่ไหม?” โต้งเข้ามาแซวเพื่อนทันทีที่ได้โอกาส เดียร์หันมายู่หน้าใส่น้อยๆ ต่อคำเพื่อนไปเบาๆ “กูแทบบ้า”  เดียร์ว่าจบ โต้งหายไปทันทีหลังแซวเพื่อนได้


เดียร์หันมาตีหน้าบึ้งใส่วิญญาณที่เริ่มวุ่นวายกับเขาอีกแล้ว

“เห็นว่าวันนี้ทำตัวดี คิดว่าจะดีได้ทั้งวัน”เดียร์หันมาประชดเข้าให้

“นี่มันกลางคืนแล้วนะ ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล…” ไม่พูดเปล่า ร่างสูงโน้มตัวกระซิบริมหูเล็ก  คนตัวเล็กก้มหน้าหนีทันที หันไปตีหน้าบึ้งใส่ร่างสูง พยายามไม่สนใจรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าคม เดียร์ก้มหน้าก้มตาล้างถ้วย ล้างแก้วต่อทันที

ในที่สุดก็ได้เวลาเลิกงานจริงๆ

ล็อคอาสาไปส่งพนักงานในร้านถึงหอของแต่ละคน

คนตัวโตตั้งใจไปส่งโต้งก่อน แล้วเลยไปส่งเดียร์

เดียร์อดคิดไม่ได้ว่า ‘สวัสดิการร้านนี้ ดีจริงๆ’

เดียร์เดินเข้าลิฟต์ เป้าหมายคือชั้นสี่

“เดียร์จะไปหาหมอผีจริงๆหรอ?”

วายุถามคำถามนี้กับเดียร์หลายครั้งแล้ว ตั้งใจโน้มน้าวให้เดียร์เปลี่ยนใจ แต่คำตอบที่วายุได้ทุกครั้งคือ “ก็ไปจริงๆน่ะสิ”

ลิฟต์เปิดออก เดียร์มุ่งหน้าไปยังห้องพักของตัวเอง

ร่างสูงเดินตามอย่างล่องลอย

“หมอผีไม่ได้ช่วยให้ผมกลับเข้าร่างได้หรอกนะ” เสียงวายุฟังดูกระเง้ากระงอด เดียร์อดหันไปมองไม่ได้

 “ได้ไม่ได้ก็ต้องลองดู ดีกว่าอยู่เฉยๆ”

จบประโยค วายุได้แต่ส่งสายตาเว้าวอนไปให้

 “เดียร์ก็ไม่ต้องอยู่เฉยๆสิ เปิดใจสิเดียร์ แค่เดียร์เปิดใจ ผมรู้นะว่าตอนนี้เดียร์ไม่เปิดใจรับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นผม ไอ้ล็อค หรือใครก็ตาม”

เดียร์ชะงัก หันไปมองวายุอย่างไม่พอใจ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ?” เดียร์ว่าพลางออกเดินต่อ พอถึงห้องตัวเองก็จับลูกบิดประตู แต่เปิดไม่ออก เดียร์ลองเคาะประตู บางทีพู่กันอาจอยู่ในห้อง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อพู่กันเดินมาเปิดประตูให้

“ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเลยนะ” เดียร์เอ่ยแซวเพื่อนทันที

“ก็มันจริงอย่างที่ไอ้โต้งว่านี่หว่า”

พู่กันว่าแค่นั้น ก็กลับไปจมอยู่กับกองหนังสือ

“มีรายงานหรือ?” เห็นพู่กันแทบจะกินหนังสือ เดียร์อดถามไม่ได้

“ส่งเดือนหน้า”

“เร็วจังวะ?”

“ใช่ไหม?”

พู่กันว่าพลางทำหน้าเซ็งๆ มีแอบนินทาอาจารย์ให้ฟังอีกแน่ะ

เป็นอันรู้กันว่าถ้าอาจารย์บอกในเอาท์ไลน์ว่ามีรายงาน

นั่นคือนักศึกษาต้องเตรียมตัวตั้งแต่วันแรกที่เรียน

เดียร์เดินเข้าไปในห้องนอน หยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ เผลอคิดไปถึงรายงานของตัวเองที่ต้องทำในภาคการศึกษานี้

“เรายังคุยกันไม่จบเลยนะเดียร์”

“เฮ้ย!”

คนตัวเล็กอุทานลั่น มือบางค้างอยู่ที่กระดุมเสื้อเม็ดที่สอง

วายุลอยเข้ามานั่งบนอ่างล้างหน้า สายตาคมจงใจโลมเลียแผ่นอกขาวเนียนที่โผล่พ้นกระดุมเสื้อ

เดียร์มองตามสายตาวายุแล้วรีบติดกระดุมเสื้อคืน

“จะเข้ามาทำไม! จะอาบน้ำ”

“ก็เรายังคุยกันไม่จบ” วายุว่าพลางเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก

เดียร์เผลอถอยหลังหนีตามสัญชาตญาณ

ร่างสูงเข้าใกล้คนตัวเล็กมากขึ้น แม้รู้ว่าไม่สามารถสัมผัสผิวขาวเนียนของคนตรงหน้าได้ วายุก็อยากเข้าไปใกล้ๆ พิศชมใบหน้าเนียนใสนี้

เดียร์ถอยหลังจนแผ่นหลังเล็กสัมผัสผนังห้องน้ำ วายุเห็นอย่างนั้นก็ยังไม่หยุดเข้าใกล้คนตัวเล็ก ท่อนแขนหนายกแนบผนังห้องน้ำ คร่อมคนตัวเล็กไว้ เดียร์อยู่ตรงกลางระหว่างท่อนแขนคู่นั้น เดียร์เพิ่งรู้วันนี้นี่เอง ว่าตัวเองสูงแค่ไหล่ของวายุเท่านั้น

แม้คนตัวเล็กจะรู้ว่าไม่สามารถสัมผัสกันได้จริงๆ แต่ในเวลาแบบนี้ เดียร์ไม่สามารถคิดถึงความจริงเรื่องนั้นได้

แค่เดียร์ก้าวเท้าวิ่งออกไป ก็ทะลุร่างสูงของวายุออกไปได้แล้ว แต่อาการไร้เรี่ยวแรงที่เข้าสิงร่างกายเดียร์กะทันหัน ทำเอาเดียร์วิ่งไม่ออก

ดวงตากลมใสสบตากับควงตาคม

ร่างสูงพิศชมแก้มเนียนใสทั้งสองข้าง จ้องมองริมฝีปากเล็กที่เม้มเข้าหากันจนแนบสนิท คล้ายกำลังกลัวสิ่งใดอยู่  วายุอยากจะแนบริมฝีปากลงไป ถ้าหากว่ามันจะสัมผัสได้บ้าง

ร่างสูงลองก้มหน้าใบใกล้แก้มใส หวังว่าจมูกจะเฉียดแก้มใสๆนั้น แต่ไม่มีเลย วายุไม่รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มใดๆเลย นอกจากผนังห้องน้ำ

ให้มันได้อย่างนี้สิ! ถ้าเดียร์เป็นคนรักของเขาจริง อย่างที่กามเทพนั่นพูด เขาก็น่าจะแตะต้องเดียร์ได้บ้างสิเว้ย!

วายุผละออกมาจากแก้มขาวเนียน อย่างหงุดหงิด

ถึงจะไม่สัมผัสโดนตัว แต่การกระทำของวายุที่เดียร์เห็น พาลทำเอาคนตัวเล็กอึ้งไปไม่น้อย

“นะ…นาย ทำอะไร!”

ประโยคนั้น ทำให้วายุคลายความหงุดหงิดได้บ้าง

รอยยิ้มมุมปากปรากฏบนใบหน้าคม

“เปิดใจเดียร์ไงครับ”





# My dear



มาแล้วค่ะ ^^




เจอกันตอนต่อไปนะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 7
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 01-06-2014 16:15:09

เดียร์ขมวดคิ้วมุ่นกับประโยคของวายุ

มือบางยกขึ้น ตั้งใจจะผลักร่างสูงออกไปจากตัว

ตอนนั้นเองที่คนตัวเล็กเพิ่งคิดถึงความเป็นจริงได้

เดียร์เดินทะลุร่างของวายุ ลงแรงเท้าก้าวออกไป

 น่ากลัวว่าเท้าจะบวม

วายุได้แต่มองตามร่างเล็กที่เดินออกไป

สายตาคมฉายแววไม่พอใจ

วายุไม่แน่ใจว่าไม่พอใจการกระทำตัวเอง…

หรือไม่พอใจท่าทางของคนตัวเล็กกันแน่

เดียร์เดินมาทิ้งตัวที่เตียงกว้าง

เสียงโทรทัศน์ที่ดังเข้ามา ทำให้เดียร์แน่ใจว่า พู่กันคงอยู่ในห้องนั่งเล่น

เดียร์มองไปทางห้องน้ำ พลันนึกหงุดหงิดกับการกระทำและคำพูดของ’ใครบางคน’

ไม่ชอบการกระทำที่ดูคุกคาม เหมือนที่วายุเพิ่งทำลงไป

เดียร์จะเปิดใจหรือไม่เปิดใจ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับใครคนนั้น

…มาขอให้ช่วย …ก็จะช่วย

อย่าทำเป็นอ่านใจเดียร์ได้หน่อยเลย

ร่างเล็กกำลังคิดอะไรไม่ตกอยู่คนเดียว พลันสายตาเหลือบไปเห็นวายุ ร่างสูงค่อยๆเดินเข้ามาหาคนตัวเล็ก

“เดียร์..” เสียงทุ้มดังแผ่วๆ แต่เดียร์หันหน้าหนีเจ้าของเสียงนั้น

วายุไม่ได้ละความพยายาม ร่างสูงตามมานั่งข้างๆคนตัวเล็ก

เดียร์ไม่หันไปสนใจ

หวังว่าอาการเมิน จะทำให้วายุถอยห่างไปเอง

แต่เดียร์คงคาดการณ์ผิดไป

“เดียร์… ผมต้องทำยังไง เดียร์ถึงจะเชื่อ… ผมไม่ได้โกหกเดียร์นะ…” วายุยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าใส เห็นเดียร์กัดริมฝีปากล่างตัวเองเสียแน่น

ไร้การโต้ตอบจากร่างเล็ก เป็นโอกาสให้วายุได้พูดต่อ

“เดียร์… การที่จะรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต มันไม่ยากขนาดนั้นนะ เดียร์ลองเปิดใจ เปิดโอกาส โอเค…เดียร์อาจจะไม่ได้ต้องการรับผมเข้าไปในชีวิต เพราะผมเป็นวิญญาณที่ไม่รู้จะได้กลับเข้าร่างหรือเปล่า แต่ขอร้องละเดียร์ …”

“มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว” เสียงใสสวนขึ้นทันที

วายุชะงักไป ร่างสูงสงบลง ตั้งใจฟังสิ่งที่เดียร์จะพูด

“ถ้าลองมองอีกมุมนะ สมมติว่าฉันช่วยนาย โดยวิธีบ้าๆที่นายบอก ถึงฉันจะตอบตกลงไปว่า ‘โอเค ฉันยอมเป็นแฟนกับนาย’ ถ้านายต้องการแค่นั้น มันก็ไม่ยาก นายก็ไม่ต้องบังคับให้ฉันเปิดใจอะไรนั่นด้วย

“ถ้าฉันตกลงแต่ปาก แต่ความรู้สึกมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น..”

“ผมถึงได้บอกให้เดียร์เปิดใจไงครับ”วายุแทรกขึ้นบ้าง

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ  เผลอสบตาวายุ ทันใดนั้น เหมือนเดียร์เห็นภาพซ้อนของรุ่นน้องที่เดียร์กำลังเป็นห่วง อาโป…

ป่านนี้อาโปจะเป็นอย่างไรบ้างนะ…

เดียร์ไม่ได้ต่อบทสนทนา วายุมองคนตรงหน้านิ่งๆ

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ

คนตัวเล็กขบริมฝีปากล่างคล้ายกำลังขบคิดสิ่งใดอยู่

“พรุ่งนี้ ฉันจะไปหาร่างของนาย…ที่โรงพยาบาล”

วายุเผยจุดยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปาก

“ฉันจะพาอาโปไปด้วย แต่จะไม่บอกเรื่องหมอผีแน่นอน”

เดียร์ว่าจบก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังห้องน้ำ

ไม่วาย หันมาหาร่างสูงที่นั่งมองตามอยู่

“อย่าเข้ามาตอนจะอาบน้ำอีกเด็ดขาด!”

ว่าจบก็เตรียมหันหลังหมุนตัวกลับ เสียงทุ้มๆดังตามมาทันที

“ตอนจะอาบน้ำเข้าไปไม่ได้ แต่ตอนอาบน้ำอยู่เข้าไปได้ใช่ไหม?”

เป็นรูปประโยคที่มีความหมายไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์เลย..

เดียร์หันมาตวาด  “ไอ้บ้า!! ไม่ช่วยแม่งแล้ว!”

“ล้อเล่นน่า…” วายุลุกขึ้นสาวเท้าเข้าไปหาร่างเล็กที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ

“บอกว่าอย่าตามมาไง!”



กว่าเดียร์จะเอาตัวรอดได้ก็ปาดเหงื่อไปหลายลิตรอยู่เหมือนกัน

หลังอาบน้ำเสร็จ เดียร์นั่งเช็ดผมอยู่ที่เตียง เป็นจังหวะที่ประตูห้องนอนถูกเปิดออก พร้อมร่างของเพื่อนร่วมห้องแทรกตัวเข้ามา

“มึงเคลียร์เสร็จแล้วใช่ไหม?”

เดียร์ขมวดคิ้วมุ่นกับประโยคของพู่กัน

จู่ๆก็ถามมา ไม่มีเกริ่นนำอะไรเลย

“เคลียร์อะไรวะ?”

“กูรู้นะ ก่อนนะนี้มึงไม่ได้พูดคนเดียวใช่ไหมล่ะ?”

พู่กันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว เตรียมตัวจะอาบน้ำบ้าง

เดียร์เห็นท่าทางของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไปให้ร่างสูง ที่นั่งไขวห้าง เก๊กหล่ออยู่ข้างๆ

“กูว่าจะเข้ามาเอาของ แต่กูได้ยินเสียง เหมือนมึงกำลังคุยกับใครอยู่ กูเลยไม่กล้าเข้ามา” พู่กันว่าจบก็หันมามองหน้าเดียร์ “เขายังอยู่ในห้องใช่ไหม?”

เดียร์ได้แต่พยักหน้าให้น้อยๆ พู่กันมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวเท่าไร คงเป็นเพราะพู่กันคงชินบ้างแล้ว

“เขาให้ช่วยอะไรก็ช่วยไปนะ ได้บุญทั้งคู่นั่นล่ะ” ว่าจบ พู่กันก็เดินเข้าห้องน้ำไป



เดียร์ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอิทธิฤทธิ์ของนาฬิกาปลุกเช่นทุกวัน

หลังจากที่วิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ คนตัวเล็กคว้าโทรศัพท์ที่วางไว้ใกล้หมอน หยิบมาโทรออกทันที

คนตัวเล็กโทรพลางเดินไปใส่รองเท้า เตรียมตัวไปเรียนในตอนเช้า  เห็นพู่กันวิ่งตามมาใส่รองเท้าข้างๆ

“เร็วๆ เดี๋ยวสาย” เสียงหวานใสของพู่กัน ช่วยเร่งความเร็วให้เพื่อน

เดียร์พยักหน้าน้อยๆ เหน็บโทรศัพท์ไว้ข้างแก้ม สองมือก้มลงไปพยายามอ้ารองเท้าให้มันเข้าล็อคกับเท้า

พู่กันวิ่งไปยืนรอที่หน้าประตู ไม่นานเดียร์ก็วิ่งตามออกมา

“สวัสดีครับพี่ล็อค”  เดียร์กรอกเสียงลงไปทันทีที่ปลายสายรับโทรศัพท์

เดียร์ยังไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เพราะเจ้าของร้านไอศกรีมเอาแต่ขอโทษที่รับโทรศัพท์ช้า

“ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค ไม่เป็นไรครับ”

เพียงแค่เดียร์โทรไปหา ล็อคกลับบอกว่าเดี๋ยวจะมารับ มีธุระอะไรค่อยคุยกัน

เดียร์ขบริมฝีปากล่างน้อยๆ เห็นพู่กันวิ่งนำหน้าไปรอที่ลิฟต์แล้ว จึงออกวิ่งตามเพื่อนตัวเล็ก เข้าลิฟต์ไป

“ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค สายแล้ว ผมจะโทรมาลางานเฉยๆครับ”

แล้วก็อีกตามเคย ล็อคเอาแต่ถามเดียร์ว่า ‘เป็นอะไร’ ‘ไม่สบายหรือ’  เดียร์หาจังหวะพูดบ้างไม่ได้เลย จะให้พูดแทรกเจ้านายก็แปลกๆอยู่

ยิ่งพอเป็นอย่างนั้น เดียร์ยิ่งไม่กล้าพูดถึงโรงพยาบาลให้ล็อคได้ยินเลย ทั้งๆที่ตัวเองลางานไปโรงพยาบาลแท้ๆ

คนตัวเล็กอ้างเหตุผลว่าต้องไปทำธุระ  ดีที่ล็อคไม่เซ้าซี้มาว่าธุระอะไร ที่ไหน ไม่อย่างนั้น เดียร์คงตอบไม่ถูก

พู่กันและเดียร์มาถึงห้องเรียนได้ทันเวลาอย่างหวุดหวิด

โต้งนั่งแกร่วรออยู่ก่อนแล้ว

วันนี้เป็นวันที่มีเรียนตรงกันทั้งสามคน

เดียร์แอบคิดไปว่า ป่านนี้พี่ล็อคจะแปะป้ายรับพนักงานเพิ่มหรือยัง

“เย็นนี้ กูไปโรงพยาบาลนะ” เดียร์บอกเพื่อนทั้งสองคน ขณะที่อาจารย์พักช่วงระหว่างเรียน

ประโยคของเดียร์ เรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี

“มึงเป็นอะไรวะ?”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า? ทำไมไม่บอกกู?”

“เดี๋ยวกูไปด้วย”

เดียร์ไม่แน่ใจว่าประโยคไหนของโต้ง ประโยคไหนของพู่กัน

ทั้งสองคนแย่งกันถามโดยไม่เว้นจังหวะให้เดียร์ตอบเลย

เดียร์ลังเลไปครู่หนึ่ง

ชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องของวายุดีไหม (แน่นอนว่าเดียร์คงไม่เล่าทั้งหมด)

“คือจริงๆ..กู….”

และสุดท้ายเดียร์ก็เล่า

ในเวลาอันจำกัด ช่วงที่อาจารย์พักระหว่างสอน

เดียร์เล่าตั้งแต่ที่เจอวายุ เล่าเรื่องของอาโปกับวายุ

และบอกไปตามความจริง ว่าจะไปหาวายุที่โรงพยาบาล

…ไปให้เห็นกับตาตัวเอง ว่าวายุมีตัวตนอยู่จริงๆ

ไม่ใช่เรื่องโกหกที่เดียร์บอกตัวเองมาตลอด ว่าอาจจะโดน “ผีหลอก”

หลังเรียนเสร็จในวิชานั้น เดียร์โทรหาน้องรหัสทันที

“อาโป อยู่คณะหรือเปล่า? อยู่ห้องไหน?”

เดียร์ถามออกไปทันทีที่ปลายสายรับโทรศัพท์

เมื่อได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ เดียร์ก็รุดไปที่ที่น้องอยู่ทันที

โต้งกับพู่กันไปรอเรียนวิชาต่อไปด้วยกัน

ส่วนเดียร์ไปเรียนคนละวิชากับสองคนนั้น

มีเวลามาตามหาน้องรหัส ไม่สนใจว่าจะรบกวนน้องหรือเปล่า

ใช้เวลาไม่นาน เดียร์ก็มาถึงเป้าหมาย

สวนหน้าตึกคณะ คือที่ที่เดียร์เพิ่งมาถึง

คนตัวเล็กกวาดสายตามองหารุ่นน้อง ไม่นานก็เจอ

อาโปกำลังนั่งอ่านหนังสือ อยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน

“อาโป” เสียงใสของรุ่นพี่ เอ่ยทักทายรุ่นน้อง อาโปเงยหน้ายิ้มหวานให้รุ่นพี่ทันที  “ไม่มีเรียนหรือ?” เดียร์ถามต่อ

“เรียนบ่ายครับ พี่เดียร์ล่ะครับ?”

“เดี๋ยวก็ไปเรียนต่อแล้วล่ะ แต่ว่า..พี่อยากคุยกับเราก่อน”

อาโปเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย คล้ายตั้งคำถามกับประโยคที่เดียร์เอ่ย

“คือ…เย็นนี้ … พี่…”เดียร์อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไร

ทั้งๆที่คิดว่าถ้าได้คุยเรื่องนี้กับอาโปซึ่งๆหน้า คงจะดีกว่าคุยทางโทรศัพท์ แต่พอเอาเข้าจริง เดียร์เพิ่งรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย

“คือ….พี่อยากเจอพี่ชายของอาโป เย็นนี้ อาโปไปกับพี่หน่อยนะ”

เดียร์ว่าจบ อาโปนิ่งค้างไปเล็กน้อย

เงียบไปพักใหญ่ อาโปถึงได้เอ่ยออกมา

“สนใจอะไรพี่ผมหรือเปล่าครับเนี่ย…”

เดียร์เผลอกระแอมน้อยๆ แอบเห็นว่าอาโปมีสายตาหม่นเศร้าอีกแล้ว

“ไม่มีอะไรนะ อาโป…ไปเยี่ยมพี่ชายของเรากัน”

เดียร์เอื้อมมือไปกุมมือน้อยๆของรุ่นน้อง “วายุต้องฟื้น เชื่อพี่”

สายตาจริงจังถูกส่งไปให้รุ่นน้อง

อาโปรู้สึกชื่นชมกับสายตาและการกระทำของรุ่นพี่

ถึงแม้ว่า จะรู้สึกแปลกใจในตัวรุ่นพี่ด้วยก็เถอะ

เดียร์เหลือบไปมองนาฬิกาบนข้อมือรุ่นน้อง ก็ต้องรีบล่ำลาทันที

นัดแนะเวลาและที่หมายกัน เพื่อเจอกันเย็นนี้เรียบร้อย รุ่นพี่ตัวเล็กก็วิ่งเข้าห้องเรียนทันที



วายุนั่งเรียนกับเดียร์ จนถึงตอนเย็น

ร่างสูงเฝ้ามองดูการกระทำของเดียร์ตั้งแต่เช้า

ไม่ได้รบกวนเดียร์ อย่างที่เดียร์ชอบว่าวายุอยู่บ่อยๆ

ยิ่งเห็นว่าเดียร์พยายามเพื่อวายุบ้างแล้ว ร่างสูงยิ่งรู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“อาจารย์เลิกคลาสแล้ว ไปกันเถอะ” วายุเอ่ยเรียกเดียร์ที่เริ่มเหม่อลอย

เสียงของวายุเหมือนเข็มจิ้มลูกโป่ง เดียร์สะดุ้งทันที

คนตัวเล็กส่งสายตาเคืองๆไปให้วายุเล็กน้อย หันไปรีบเก็บของลงกระเป๋า หยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูเวลา พบว่าเกือบถึงเวลาที่นัดอาโปไว้แล้ว

อาโปรอเดียร์อยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย

รุ่นพี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา รีบพาน้องขึ้นแท็กซี่ไปยังที่หมายทันที

โรงพยาบาลใจกลางเมืองหลวง คือที่หมายที่อาโปพาเดียร์ไป

เดียร์เหลือบมองนาฬิกาที่หน้าปัดรถอยู่เรื่อยๆ พบว่ากินเวลาไปเกือบชั่วโมง

ในที่สุดก็มาถึงโรงพยาบาลเป้าหมาย

อาโปเดินนำเดียร์ไปขึ้นลิฟต์

เดียร์รู้สึกว่าตัวเองขึ้นลิฟต์ไปสูงมาก เห็นเลขที่อาโปกดไว้แล้วก็แอบกลั้นหายใจ เผลอคิดไปถึงค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลหรูแบบนี้

พอออกจากลิฟต์ได้ อาโปพารุ่นพี่เดินไปยังห้องของพี่ชาย

พอเปิดเข้าไปในห้องแล้ว เดียร์แทบไม่กล้าหายใจ

ภายในห้องพักของโรงพยาบาลหรู

มีร่างของใครคนหนึ่ง นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล

เดียร์ไม่รู้ว่าสายที่โยงไปยังร่างของชายคนนั้นมีสายอะไรบ้าง

ไม่รู้ว่าถ้าเดียร์หายใจแรงๆออกไปครั้งหนึ่ง จะทำให้สายเหล่านั้นพันกันหรือเปล่า

เดียร์มองออกแค่สายน้ำเกลือ กับท่อออกซิเจน

เดียร์เดาว่า คงมีหลอดอาหารอยู่สักเส้นท่ามกลางเส้นสายเหล่านั้น

ไม่ไกลจากร่างของชายคนนั้น มีหญิงมีอายุคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา สายตาของหญิงสูงวัยสบตากับสายตาของเดียร์

“พี่เดียร์ นี่ป้าแหม่มครับ” อาโปแนะนำหญิงคนนั้นให้รู้จัก  เดียร์ยกมือไหว้ทักทายอย่างนอบน้อม

เดียร์ได้ได้รู้จากปากของป้าแหม่มอีกที ว่าป้าแหม่มเป็นคนดูแลวายุ เป็นพี่เลี้ยงของวายุตั้งแต่เด็กๆ

“ป้าแหม่มครับ นี่พี่เดียร์ เป็นพี่รหัสอาโปเอง” อาโปยิ้มหวาน เดินเข้าไปหาป้าแหม่มที่อ้าแขนรอกอด อาโปโถมตัวเข้ากอดป้าแหม่มเต็มรัก

อาโปเริ่มพูดคุยกับป้าแหม่ม ไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ของทุกคนที่บ้าน ตั้งแต่อาโปต้องออกมาอยู่หอ ก็ยังไม่ได้กลับบ้านเลย

เดียร์ได้ยินอาโปพูดว่า “เหมือนพี่วายุตอนนั้นเลย”

เดียร์เดินเข้าไปพิจารณาใบหน้าของคนที่นอนหลับใหล

โครงหน้าที่เดียร์คุ้นเคย ดวงตาปิดสนิท แผ่นอกของคนที่นอนอยู่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ

เดียร์เผลอกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่

ไม่ผิดแน่ๆ… คนที่นอนอยู่ตรงหน้าตอนนี้…

วายุ…

พลันเดียร์รู้สึกถึงเสียงทุ้มที่ดังแผ่วๆอยู่ข้างๆ

ท่ามกลางสติที่เริ่มหลุดลอย เดียร์จับใจความจากเสียงนั้นได้ว่า “ผมดูแย่มากเลยนะ”

เดียร์หันไปมองร่างสูงข้างๆ เทียบกับร่างที่นอนอยู่บนเตียง

…ช่างแตกต่างกันจริงๆ

วายุในร่างวิญญาณ ดูเหมือนคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ในขณะที่ร่างที่นอนอยู่บนเตียง ดูซูบผอมลงไปพอสมควร

จำได้ว่า…วายุเคยเล่าให้ฟังว่าสี่เดือน

…สี่เดือนแล้วสินะ

ที่วายุต้องนอนอยู่บนเตียงแบบนี้

ความรู้สึกเป็นห่วงเริ่มไหลเข้ามาท่วมท้นเต็มอก

เดียร์ไม่อยากให้วายุเป็นแบบนี้

ถ้าเลือกได้ ก็อยากเห็นวายุที่มีร่างกายแข็งแรง เหมือนที่เดียร์เห็นบ่อยๆ ในโหมดวิญญาณ

…ไม่ใช่คนที่นอนรอวันตายแบบนี้

ที่วายุขอร้องให้ช่วย..

ที่เดียร์ปฏิเสธมาตลอด….

เดียร์ไม่อยากเป็นแบบนั้นอีกแล้ว

เดียร์เผลอมองอาโปที่กำลังนั่งคุยกับป้าแหม่มอยู่

รู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาเฉยๆ

น้ำใสเริ่มคลอหน่วยตาของคนตัวเล็ก

น้ำที่ไหลออกจากดวงตา ค่อยๆไหลลงลู่แนบแก้มใส

วายุยืนนิ่ง สายตาคมจ้องมองคนข้างๆไม่วางตา

“ร้องไห้ทำไมครับ?”

ชั่ววูบหนึ่ง วายุอยากจะยกมือเช็ดน้ำตาจากแก้มใสนั้น

ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าคงทำอย่างที่คิดไม่ได้

ยิ่งเห็นน้ำใสๆไหลออกจากดวงตาของคนตัวเล็กไม่หยุด

วายุยิ่งห้ามใจได้ยากขึ้น

ถึงแม้จะรู้ว่าทำไม่ได้ แต่ขอให้ได้ทำอย่างที่คิดเถอะ

วายุไม่สามารถยอมรับความจริงนั้นได้อีกแล้ว

มือหนาข้างหนึ่ง ค่อยๆยกมือไล้รอยน้ำตาไปจากแก้มใส

ความรู้สึกอ่อนนุ่มสัมผัสที่ปลายนิ้ว

วายุชะงักไป…

ร่างสูงก้มมองมือตัวเอง ความรู้สึกอุ่นๆยังติดอยู่ที่ปลายนิ้ว

ร่างสูงมองเดียร์ที่เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าตัวเองอย่างลวกๆ

เมื่อคนตัวเล็กคิดว่าคงทำความสะอาใบหน้าเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปหาอาโปกับป้าแหม่ม

คนตัวเล็กยิ้มน้อยๆให้ทั้งสองคน ก่อนนั่งลงข้างๆอาโป

“วายุจะฟื้นเมื่อไรหรือครับ? หมอได้บอกไหม?”

คำถามของเดียร์ ทำให้ทั้งสองคนยิ้มเศ้ราๆมาให้

ป้าแหม่มเป็นคนตอบคำถามนั้น

“ไม่มีใครให้คำตอบได้เลยค่ะ  ป้าหวังว่าคุณหนูจะฟื้นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ป้าได้แต่ภาวนาทุกวัน”

คำตอบของป้าแหม่ม ทำให้เดียร์ไม่สบายใจมากขึ้น คนตัวเล็กขมวดคิ้วแน่น ขบริมฝีปากล่างด้วยความเคยชิน

คนตัวเล็กคิดไปถึงสารพัดวิธี ที่เคยบอกว่าจะช่วยวายุ

เดียร์เห็นวายุไปนั่งข้างๆป้าแหม่ม

สายตาคมมองหญิงสูงวัย ด้วยสายตาอ่อนโยน

เดียร์มองอาโปที่นั่งก้มหน้านิ่ง

ตอนนั้นเองที่เดียร์เริ่มบอกกับตัวเองว่า

‘ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร วายุต้องฟื้น!’




# My dear




ยังคงมาลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับตอนนี้ อยากมอบโล่พี่รหัสดีเด่น ให้เดียร์จริงๆ ….
เดียร์เริ่มเหนื่อยละ
บอกแล้ว~ >< ว่าอย่ากลัววายุ

ฮี่ๆๆ
เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^







หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 7
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 01-06-2014 17:50:49
 :mew6:  เดียร์ช่วยวายุให้ฟื้นเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 8
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 03-06-2014 03:08:40


หลังจากวันนั้น 

เดียร์เริ่มลงมือทำในสิ่งที่คิดไว้

วันหยุดของเดียร์ ในสัปดาห์นั้น เดียร์มุ่งหน้าไปพบหมอผี ที่โต้งเคยแนะนำไว้

เดียร์ไม่ได้บอกใคร มีเพียงวายุเท่านั้นที่รู้เรื่อง แต่วายุก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก แม้ว่าจะคัดค้านเท่าไร เดียร์ก็ยังดื้อจะไปพบหมอผีให้ได้

เดียร์ขึ้นรถโดยสารประจำทางตามที่โต้งแนะนำ

ผู้โดยสารบนรถ ไม่ได้แน่นขนัด

เดียร์ยอมให้ที่นั่งกับเด็ก ผู้หญิง และคนชรา

คนตัวเล็กยืนเกาะเสาเหล็กที่ตั้งอยู่กลางรถไว้แน่น

ถ้าไม่ติดว่าเอื้อมมือไม่ถึงราวเหล็กที่อยู่บนหัวล่ะก็นะ

คนตัวเล็กเงยหน้ามองราวเหล็กอย่างหงุดหงิดเล็กๆ

“คุณครับ มานั่งตรงนี้ดีกว่า”

เสียงที่ดังมาจากด้านหลัง พร้อมแรงสะกิดเบาๆที่แขน

เดียร์หันไปตามที่มาของเสียง

ผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ลุกขึ้นมาโหนราวเหล็ก ชี้ไปที่นั่งที่ตัวเองเพิ่งลุกออกมา

เดียร์มองพลางขมวดคิ้ว

“ไม่เป็นไรครับ” เดียร์ปฏิเสธเบาๆ

ชายคนนั้นเพียงส่งยิ้มให้เดียร์น้อยๆ  ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

เห็นสายตาที่มองเดียร์แล้ว อดเดินหนีไม่ได้

เดียร์เดินไปนั่งแหมะลงไปที่ที่ชายคนนั้นให้นั่ง

เขาคงลุกให้นั่งเพราะใกล้จะลงแล้วล่ะมั้ง

เดียร์เหลือบไปมองผู้เสียสละ ก็ยังเห็นชายคนนั้นโหนราวเหล็กอยู่

รถโดยสารประจำทาง จอดรับ-ส่งผู้โดยสาร เป็นระยะ

แต่เดียร์ไม่เห็นว่าชายคนนั้นจะลงไปเลย

เสียงหัวเราะที่เดียร์คุ้นเคย ดังมาพักใหญ่

คนตัวเล็กเงยหน้ามองที่มาของเสียง ที่ยืนโหนราวเหล็กอยู่ใกล้ๆ

ด้วยความหงุดหงิด เดียร์จึงควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง

ก้มหน้าพิมพ์ข้อความลงไป เน้นตัวใหญ่ๆ ให้ใครคนนั้นเห็น

‘หัวเราะอะไรฮะ!!!!’

สายตาทิ่มแทงของเดียร์ส่งตรงไปถึงวายุ

ร่างสูงก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็ก

กวาดสายตามองคนตัวเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อย่างเสียมารยาท

วายุเลยได้รับสายตาเคืองๆมาจากร่างเล็ก

เดียร์ไม่รู้ตัวเลยหรือไงนะ….

“อยากรู้จริงๆหรือ?” วายุตอบไปแค่นั้น ก็ต้องกลั้นขำอีกรอบ

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ หันหน้าหนีวายุอย่างหงุดหงิด

“ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงลุกให้เดียร์นั่ง…ทั้งๆที่เขายังไม่ลง”

วายุว่าพลางมองไปที่ชายคนนั้น ที่ยังยืนโหนราวเหล็กอยู่

เดียร์ขบริมฝีปากล่างน้อยๆ พยายามไม่สนใจคำพูดของวายุ แต่คำพูดของวายุก็เข้ามารบกวนการทำงานของสมองอยู่ดี

เอาเป็นว่า จะเพราะอะไรก็ช่าง…เดียร์เองก็ไม่ได้ชอบการกระทำแบบนี้นักหรอก

มันน่าดีใจไหม? ทั้งๆที่เดียร์ก็เป็นผู้ชาย แต่กลับถูกผู้ชายปฏิบัติราวกับเดียร์เป็นผู้หญิง

คนตัวเล็กกำลังมองข้างทาง พลางคิดอะไรไปเรื่อยอย่างหงุดหงิด

ตอนนั้นเอง เดียร์เพิ่งตระหนักได้ว่า ใกล้ถึงที่หมายแล้ว

คนตัวเล็กเตรียมตัวลงจากรถ  ลุกเดินไปกดกริ่ง

เหลือบมองไปข้างหลัง เห็นชายคนนั้น กลับไปนั่งที่ที่เดียร์เพิ่งลุกออกมา

คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อยๆ ขับไล่ความหงุดหงิด

เมื่อถึงเป้าหมาย คนตัวเล็กลงจากรถโดยสาร

ภาพที่เดียร์เห็นคือ ซอยเล็กๆ เข้าหมู่บ้านจัดสรร  หน้าปากซอยมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่

เดียร์ลังเลเล็กน้อย ออกจะผิดคาดไปนิดกับภาพที่เห็น

เดียร์วาดภาพไว้ว่า แถวนี้จะต้องเป็นบ้านไม้เก่าๆ มีตึกโทรมๆตั้งอยู่รายล้อม แต่นี่….ไม่ใช่เลย

ดูชื่อซอย ชื่อหมู่บ้าน ตามที่โต้งบอกมาแล้ว ก็ใช่ทุกอย่าง

“มาผิดที่แล้วมั้งเดียร์ กลับเถอะ” วายุยืนเซ็ง อยู่ข้างๆ

เดียร์ไม่ได้สนใจวายุเท่าไร

คนตัวเล็กมุ่งหน้าไปทางวินมอเตอร์ไซค์

ยังไง พึ่งวินฯคงชัวร์กว่า

“ไปบ้านหมอเสือครับ”

พี่วินฯพาเดียร์มางส่งที่บ้านหลังหนึ่งในซอย

เดียร์เดาว่าหมอเสืออะไรเนี่ย คงมีชื่อเสียงพอสมควร

ดูจากจำนวนคนที่ออกันอยู่เต็มบ้าน

เดียร์นิ่งไปพักใหญ่ ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี  ที่แบบนี้เดียร์ก็เพิ่งมาครั้งแรกนี่ล่ะ

คนตัวเล็กเดินเข้าไปนั่งรวมกับกลุ่มคนที่นั่งอยู่

ภายในบ้านหลังนี้ ถูกจัดให้มีพื้นที่ยกสูง  ในบริเวณบ้าน ที่เดียร์เดาว่าคงเป็นห้องนั่งเล่น ถูกทำให้เป็นพื้นที่โล่ง รองรับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามา

เดียร์เห็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ ใส่ชุดขาวทั้งตัว กำลังนั่งพนมมือ สวด พึมพำเบาๆ ตรงหน้าชายคนนั้นมีหญิงวัยรุ่น นั่งพนมมือตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ 

ชายคนนั้นคงเป็นหมอเสือ…เดียร์มองไปเหนือพื้นที่ยกสูง เห็นป้ายเขียนด้วยตัวหนังสือสีทองว่า ‘ตำหนักหมอเสือ’

“เอ้า คนต่อไป” เสียงแหบๆดังขึ้น

หญิงวัยรุ่นค่อยๆคลานออกจากหมอเสือ สีหน้าเธอดูดีขึ้น ถ้าเทียบกับตอนที่เธอนั่งอยู่ตรงหน้าหมอเสือ

เดียร์มอง พลางใจเต้นระรัว ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นจนเดียร์ทำตัวไม่ถูก

เดียร์ยังไม่เห็นมีใครไปนั่งแทนที่หญิงสาวคนนั้น กลุ่มคนที่ออกันอยู่ต่างหันมาคุยกันเบาๆ ว่าใครจะเข้าไปคุยกับหมอเสือต่อ

“ไอ้หนู!” เสียงแหบๆดังขึ้น ทำให้เสียงซุบซิบเบาๆ ค่อยๆหายไป

เดียร์ตกใจ เลิ่กลั่ก เมื่อพบว่าตัวเองกำลังประสานสายตากับหมอเสืออยู่ คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวา ไม่แน่ใจว่าหมอเสือกำลังคุยกับเดียร์จริงหรือไม่

“เอ็งนั่นแหละ ไม่ต้องหันไปไหน” เดียร์ชี้ตัวเอง เป็นเชิงตั้งคำถาม

หมอเสือพยักหน้าน้อยๆ กวักมือเรียกเดียร์เข้าไปหา

“เอ็งมีปัญหาอะไรวะ ถึงต้องมาหาข้า”

หมอเสือถามอย่างไม่รีรอ เดียร์ที่ยังไม่ได้เรียงคำพูดถึงกับอ้ำๆอึ้งๆ “ผม…ผะ ผม เอ่อ..”

หมอเสือกระตุกยิ้มน้อยๆ

“เอ้าๆ ว่าไง ตกลงว่าเอ็งมีเรื่องอะไรให้ข้าช่วย”

ใช้เวลาสักพัก เดียร์ก็รวบรวมสติได้

คนตัวเล็กเล่าเรื่องราวทั้งหมดของตัวเองให้หมอเสือฟัง

หมอเสือมีสีหน้าครุ่นคิด มือหยาบใหญ่ลูบปลายคางตัวเองเบาๆ คิ้วขมวดแน่น

ตอนนั้นเอง วายุที่นั่งอยู่ข้างๆเดียร์ เริ่มรู้สึกตงิดใจ

ทั้งๆที่วายุก็เป็นวิญญาณ

แต่วายุไม่เห็นการตอบสนองของหมอเสือเลย

หมอเสือทำเหมือนไม่รู้ ว่าวายุอยู่ข้างๆเดียร์

วายุพยายามสื่อสารกับหมอเสือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ

หมอเสือทำเหมือนว่าวายุเป็นเพียงธาตุอากาศ

วายุเหลือบมองไปทางด้านหลังของพื้นที่ยกสูง

มีฉากกั้นอยู่ วายุเห็นชายชุดขาวประมาณ 3 คน กำลังวิ่งวุ่นอยู่ในนั้น  เห็นสำรับอาหารวางตั้งอยู่บนโต๊ะ คงเตรียมมาให้หมอเสือ

วายุไม่รู้ว่าเดียร์กับหมอเสือ คุยกันไปถึงไหน

กว่าวายุจะดึงความสนใจกลับมาที่คนตัวเล็กได้

เดียร์ก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังหลังฉากนั้น

“เดียร์จะไปไหน!” วายุเผลอฉวยข้อมือเล็ก แต่คว้าไม่ได้ วายุคว้าได้เพียงอากาศ วายุมองมือตัวเอง ขมวดคิ้วน้อยๆ ….ทำไม

เดียร์หายเข้าไปในหลังฉาก วายุตามเข้าไปอย่างหงุดหงิด

มันชักจะแปลกๆแล้วนะ ไอ้หมอเสืออะไรเนี่ย

“เดียร์ กลับเถอะ ผมว่าที่นี่มันมีอะไรแปลกๆ” วายุตามมานั่งข้างเดียร์  ชายชุดขาวคนหนึ่ง ที่เดียร์เดาว่าคงเป็นลูกน้องหมอเสือ ยกสำรับอาหารมาให้เดียร์

วายุขมวดคิ้วมุ่น “เดียร์ อย่ากินนะ!”

คำเตือนมาก่อนที่เดียร์จะวางมือลงบนช้อน

เดียร์ชะงักไปเล็กน้อย มองหน้าวายุอย่างชั่งใจ

สุดท้าย คนตัวเล็กยอมเก็บมือให้เรียบร้อย นั่งนิ่งๆ รอจนกว่าหมอเสือจะเข้ามา

“เดียร์เข้ามาทำไม?” วายุถามอย่างโมโห ไม่รู้ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วย

คนตัวเล็กมองซ้ายมองขวา อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น หันมาคุยกับวายุ “หมอเสือเขาบอกว่าให้เข้ามารอไง ไม่ได้ยินหรือ?” เดียร์กระซิบเบาๆ 

“แล้วเดียร์ก็เข้ามาง่ายๆ?”

“ทำตามเขาไปก่อนเถอะ เขาบอกว่าเขาจะช่วย” 

“เดียร์ ผมขอบอกอีกครั้งว่า ให้เดียร์กลับ ผมชักไม่ไว้ใจที่นี่แล้ว”

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ “พอฉันจะช่วย นายกลับบอกให้ฉันกลับ นายต้องการอะไรกันแน่ วายุ”

“แต่มันต้องไม่ใช่วิธีนี้สิ” วายุชมวดคิ้วมุ่น

“วิธีนี้นี่แหละ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” เดียร์ว่าจบก็หันไปยกแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างสำรับอาหาร  คนตัวเล็กยกแก้วน้ำจ่อริมฝีปาก

“อย่าดื่ม เด็ดขาด”

เดียร์ไม่สนใจคำเตือนวายุแล้ว คนตัวเล็กกระกดน้ำลงผ่าลำคอไปสามอึก

วายุมองอย่างหงุดหงิด

ร่างสูงตัดสินใจออกไประงับอารมณ์ที่ด้านนอก

ปล่อยให้เดียร์อยู่ในฉากกั้นคนเดียว  “คนอะไร ดื้อชะมัด!” วายุบ่นอย่างหงุดหงิด

ร่างสูงออกมายืนพิงเสาบริเวณหน้าบ้านของหมอเสือ

มองไปข้างใน เห็นหมอเสือกำลังรดน้ำมนต์ให้หญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง  …ใส่ชุดนักเรียนเสียด้วย สงสัยเด็กม.6

วายุนั่งพิจารณาพิธีกรรมของหมอเสือ

มีหลายอย่างที่หมอเสือทำ

ทั้งดูดวง ทำนาย รับสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าวิญญาณ ใบ้หวย

วายุดูไปก็ขำไป เหมือนว่าเป็นเรื่องน่าขันเสียเหลือเกิน

วายุเกือบปักใจเชื่อแล้วเชียว ถ้าไม่ทันสังเกตเห็นตอนที่หมอผีบอกว่าคุยกับผี

วายุมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครเลย..ไม่มีใครที่เป็นเหมือนเขาเลย

วายุเห็นเพียงหมอเสือ….คุยคนเดียว

กลุ่มคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น ก้มลงกราบกันแทบไม่ทัน

วายุขมวดคิ้วมุ่น … ชักไม่ดีแล้ว

ตั้งท่าจะเข้าไปบอกเดียร์อีกรอบ ก็ต้องชะงักไป

รู้ว่าเตือนเท่าไร เดียร์ก็ไม่ฟัง ถึงบอกไป เดี๋ยวเดียร์ก็หาว่าวายุหลอกอีก

วายุไม่ห็นทีท่าว่าหมอเสือจะเข้าไปหาเดียร์ และเดียร์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะออกมา

จนใกล้พลบค่ำ กลุ่มคนที่มารอหมอเสือทั้งวัน ทยอยพากันกลับ

จนคนสุดท้ายกลับไป

วายุหันไปมองนาฬิกา … 1 ทุ่ม

วายุเห็นหมอเสือเดินเข้าไปกระซิบกับลูกน้อง

ก่อนลูกน้องทุกคนจะแยกย้ายพากันมาปิดประตู หน้าต่างทุกบาน  … คงจะปิดตำหนักแล้ว แล้วเดียร์ล่ะ?

วายุเห็นหมอเสือถึงเดินเข้าห้องไปห้องหนึ่ง ออกมาพร้อมพานเงินติดมือมาด้วย

หมอเสือเดินเข้าไปในฉากกั้นที่เดียร์อยู่

วายุกระแทกตัวนั่งลงพื้นแรงๆอย่างหงุดหงิด

ทำไมเดียร์ยังรอมันอยู่ได้นะ

 ทั้งๆที่มันช่วยเดียร์เป็นคนสุดท้าย

วายุนั่งมองลูกน้องชุดขาวของหมอเสือปิดตำหนักจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้น ทุกคนถอดชุดขาวออก  เปลี่ยนเป็นเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แต่ละคนเดินเข้าออกห้องโถงกับห้องนอน หายเข้าไปในฉากกั้น ทีละคน

ทำไมต้องรีบเปลี่ยนชุด?

เปลี่ยนชุดแล้วเข้าไปในฉากกั้นได้ด้วยหรือ?

“วายุ!!!”

เสียงใสๆดังขึ้น วายุลุกพรวดทันที

เสียงนั่น! … เสียงของเดียร์!!

“ฮึก! วายุ!... ชะ ช่วย….อ๊ะ!” วายุวิ่งพรวดเข้าไปหลังฉากกั้นทันที



# My dear










มาแล้วค่ะ ^_^


ว่าแล้วก็กลับเข็นตอนต่อไป ….



เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^ 
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 8
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 03-06-2014 07:30:57
อื้ออออ ดื้อจนได้เรื่องนะเดียร์ วายุช่วยเดียร์ด้วยนะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 9
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 05-06-2014 21:46:55


Chapter 9


ภาพที่วายุเห็น ทำเอาวายุจุกเหมือนถูกเหล็กร้อนอัดเข้าที่ท้องสักร้อยที 

สายตาคมสบตากับคนตัวเล็ก

“เดียร์!!!” วายุร้องลั่น

ภาพตรงหน้าทำเอาวายุรู้สึกเหมือนใจสลาย

ร่างเล็กถูกตรึง ราบไปกับพื้น ชายฉกรรจ์ที่วายุจำหน้าได้ 3-4 คน ตรึงมือและเท้าของเดียร์ไว้คนละข้าง  ไอ้หมอผีที่ชื่อเสือ ขึ้นครอมร่างเล็กไว้ทั้งตัว มันถลกเสื้อเดียร์มากองไว้บนหน้าอก มือหยาบของมันลากไล้หยาบโลนไปตามผิวเนียน

“วายุ….” คนตัวเล็กครางแผ่ว สายตาอ้อนวอน ขอความช่วยเหลือถูกส่งมาให้

“มึงร้องไปก็ไม่มีใครช่วยมึงได้หรอกเว้ย!!” ไอ้เสือที่อ้างตัวเป็นหมอผี ในที่สุดก็เผยธาตุแท้ออกมา พวกมันหัวเราะลั่นกับท่าทีที่ไร้ทางสู้ของคนตัวเล็ก

วายุกำมือแน่น  ความโมโหมาถึงขีดสุด

ร่างสูงตรงเข้าไปถีบไอ้เสือออกจากร่างเล็ก

“เฮ้ย!!!” ไอ้เสือร้องลั่น สอดส่ายสายตามองหาที่มาของแรงมหาศาลเมื่อครู่ “ใครวะ!!!”

วายุไม่สนใจว่าตัวเองจะแตะต้องตัวใครได้บ้าง ตอนนี้ขอเพียงแค่ได้ทำอย่างที่ใจนึก

ร่างสูงตรงเข้าไปถีบและเตะลูกน้องของไอ้เสือที่ตรึงเดียร์ไว้กับพื้น พวกมันหงายหลังกันไปเป็นแถบๆ ทั้งหัวหน้าและลูกน้อง มองหาที่มาของแรงมหาศาลนั้นกันเลิ่กลั่ก

เมื่อเห็นว่าเดียร์หลุดจากพันธนาการนั้นแล้ว วายุตรงเข้าไปกระทืบท้องของพวกมันให้หนำใจ

แค่เท้าคงไม่พอ วายุขึ้นคร่อมไอ้เสือ มือหนาเหนี่ยวแรงชกหน้าไอ้หมอผีเถื่อนไม่ยั้ง

วายุลงแรงกับหัวหน้ามันไม่หยุด ปล่อยพวกลูกน้องให้นอนร้องโอดโอย 

ไม่มีใครมองเห็นวายุ

ไม่มีใครทำอะไรวายุได้

ใครจะหาว่าเขาเป็นหมาลอบกัดก็ช่าง

ในเมื่อไอ้พวกที่วายุกระทืบอยู่นี่  สันดานพวกมันก็ไม่ต่างกับหมานักหรอก!

วายุลงแรงจนไอ้เสือเลือดกบปาก ก่อนผละออกไปกระทืบท้องลูกน้องของมันอีกคนละที

วายุหันกลับมาหาคนตัวเล็ก “เดียร์..”

เดียร์ดันตัวเองไปชิดฝาผนัง สองแขนกอดตัวเองแน่น น้ำใสๆเปรอะเต็มใบหน้าเนียน  เสียงสะอื้นดังมาแผ่วๆ

วายุกำมือแน่น  พยายามตั้งสติ

ร่างสูงเอื้อมมือไปแตะท่อนแขนเล็ก พลันปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่ม วายุกลั้นใจ ลองยื่นมือไปโอบคนตัวเล็กไว้ทั้งตัว

ความรู้สึกอุ่นๆแผ่ซ่านไปทั้งลำแขนของวายุ

เมื่อเห็นอย่างนั้น วายุไม่รอช้า

ค่อยๆช้อนร่างของคนตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

แขนข้างหนึ่งสอดใต้รักแร้ทั้งสองข้าง แขนอีกข้างหนึ่งสอดเข้าที่ข้อพับขาทั้งสองข้าง

กระชับอ้อมกอดให้เข้าที่ อุ้มคนตัวเล็กขึ้น

วายุพาเดียร์เดินออกจากห้องนั้น เปิดประตูด้วยมือเดียว เดินออกไปจากบ้านหลังนั้น

วายุไม่ปรายตาหันกลับไปมองอีกเลย….




วายุพาเดียร์มาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ วางคนตัวเล็กนั่งลงบนที่นั่ง

วายุสังเกตว่าแถวนั้นไม่ค่อยมีคน เนื่องจากเป็นบ้านจัดสรร และค่อนข้างห่างจากตลาดหรือชุมชน  ยิ่งพอช่วงค่ำด้วยแล้ว แทบไม่มีใครออกจากบ้านไปไหนเลย

ร่างสูงพยายามหาวิธีที่จะพาคนตัวเล็กกลับ เห็นเดียร์เป็นอย่างนี้ วายุยิ่งใจไม่ดี

ร่างสูงขมวดคิ้วแน่น หันไปชกเสาเหล็กข้างๆหนึ่งที

“โธ่โว้ย!!!!!!”

ทั้งๆที่เขาเตือนเดียร์แล้ว! บอกเดียร์แล้ว! ทำไมไม่ฟังกันบ้าง!

ทำไมดื้อขนาดนี้!!!

ถ้าตอนนั้น เขาไม่ปล่อยให้เดียร์อยู่คนเดียว…

แค่อยู่กับเดียร์ตลอดเวลา…

อยู่ข้างๆเดียร์…

เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้!!

โธ่โว้ย!! ไอ้วายุ!!!!

ชั่วอึดใจต่อมา สภาพอากาศดูจะยิ่งสร้างความลำบากให้มากขึ้น

สายฝนโหมกระหน่ำลงมา สายลมพัดพาหยาดละอองฝนกระทบผิวเนียนใส

เดียร์กอดตัวเองแน่น

วายุพาลโทษดินฟ้าอากาศ ที่เอาแต่สร้างความวุ่นวายให้

“เดียร์…เดี๋ยวผมพาเดียร์กลับบ้านนะ” วายุนั่งลงข้างๆ

มือหนาโอบกอดคนตัวเล็กมาซบอกตัวเอง

ดูเหมือนว่าเดียร์ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

เดียร์ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร

วายุขมวดคิ้วแน่น

ปัญหาคือ เขาจะพาเดียร์กลับบ้านได้อย่างไร?

แน่นอนว่าคงไม่มีใครมองเห็นวายุ แต่เดียร์ในตอนนี้ก็ไม่พร้อมจะเจอกับใคร

มือหนาถือวิสาสะล้วงกระเป๋ากางเกงคนตัวเล็ก

ควานหาโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัว  กดดูรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ เผื่อมีใครจะช่วยเดียร์ได้บ้าง

ฟ้าร้องแทรกเข้ามา ระหว่างที่วายุกำลังกดโทรศัพท์

ร่างสูงรีบปิดเครื่อง ยัดโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋ากางเกงของคนตัวเล็ก

…จะให้ใช้โทรศัพท์ตอนนี้คงไม่ดีแน่

ร่างสูงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น  สายตาคมสอดส่องไปตามท้องถนน  เผื่อจะมีรถโดยสารผ่านมาแถวนี้บ้าง  พอก้มมองคนตัวเล็กในอ้อมกอด วายุก็ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น

เสียงฟ้าร้องแทรกเข้ามาเรื่อยๆ สายฝนยังคงเทกระหน่ำ

เดียร์กอดร่างตัวเองไว้แน่น

เหตุการณ์ที่เดียร์เพิ่งเจอ มันเกินกว่าที่ความรู้สึกเดียร์จะรับไหว

ไม่เอาอีกแล้ว…

เดียร์ไม่อยากอยู่คนเดียว เดียร์ต้องการคนอยู่ข้างๆ

ใครก็ได้ที่อยู่ข้างๆเดียร์… ไม่ปล่อยให้เดียร์อยู่คนเดียว…

ความรู้สึกเย็นๆของสิ่งที่โอบกอดเดียร์ไว้อยู่

ทำให้เดียร์อุ่นใจได้บ้าง

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

มันนานมาก กว่าสายฝนจะเริ่มซา

เสียงฟ้าร้องหายไป สายลมเบาบางลง

วายุตัดสินใจล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงของคนตัวเล็ก กดเปิดเครื่อง กดดูรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์อีกครั้ง

วายุรู้สึกถึงแรงสั่นของคนในอ้อมกอด

ริมฝีปากเล็กสั่นระริก ท่อนแขนบางกอดรัดตัวเองแน่นขึ้น

วายุพยายามกระชับอ้อมกอด หวังว่าคนตัวเล็กจะอุ่นขึ้นบ้าง

แต่ร่างของวายุที่เป็นวิญญาณ คงจะให้ความอบอุ่นเดียร์ไม่ได้นัก

วายุดูเวลาในโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็ก

สี่ทุ่มแล้ว…

ขณะที่วายุกำลังไล่ดูรายชื่อผู้ติดต่ออยู่  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี

ชื่อคนที่โทร.เข้ามา ทำให้วายุชะงักไปนิด แต่เห็นเดียร์เป็นอย่างนี้แล้ว จะยอมสงบศึกสักวันแล้วกันวะ

“เดียร์ คุยหน่อยนะ เขาคงไม่ได้ยินเสียงผม”

วายุกดรับสาย ยื่นโทรศัพท์ไปแนบหูเดียร์

เดียร์เงยหน้ามองวายุ  กรอกเสียงลงไปตามคำสั่ง

“คะ…ครับ?”

“เดียร์…พี่อยากคุยกับเรา เรื่องที่เราลา…” เสียงที่ดังมาตามสาย ทำให้เดียร์อุ่นใจได้นิดหนึ่ง

วายุฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ

“พะ..พี่ล็อค…ผม…ผะ..ผม” เสียงเดียร์สั่นจนเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์

ตอนนั้นเองที่ปลายสายเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติ

“เดียร์ เป็นอะไรครับ? เดียร์อยู่ไหน? เดียร์ บอกพี่ เดียร์อยู่ไหน?” 

เดียร์เริ่มรู้สึกว่าอากาศมันเย็นขึ้น คนตัวเล็กพยายามควบคุมสติ แต่ทำได้ยากเหลือเกิน

“เดียร์ตั้งสตินะครับ บอกพี่ล็อคไป ว่าตอนนี้เดียร์อยู่ที่ไหน” วายุช่วยพูดปลอบเดียร์อยู่ใกล้ๆ

คนตัวเล็กรู้สึกคอแห้งขึ้นมา พยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  จนในที่สุดเดียร์ก็สามารถบอกที่อยู่ของตัวเองได้

วายุนั่งโอบเดียร์อยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย

คนตัวเล็กยังตัวสั่นอยู่เหมือนเดิม

“เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วนะเดียร์”

วายุทอดเสียงอ่อนโยน ลูบศีรษะเล็กเบาๆ

“ขอโทษ….” เสียงพึมพำเบาๆดังมาจากคนในอ้อมกอด วายุก้มมองน้อยๆ  เสียงนั้นเบาจนวายุแทบไม่ได้ยิน

“หืม? ว่าไงนะครับ?”

“ขอโทษ…” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกนิด วายุพอจับใจความได้

ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“ไม่เป็นไรครับเดียร์ ไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยปลอบโยน มือหนาลูบศีรษะคนตัวเล็กเบาๆ

“วายุ…ฉันขอโทษ … ถ้าฉันเชื่อนาย” เดียร์ใกล้จะเป่าปี่อีกครั้ง  คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาแดงก่ำ

“ไม่เป็นไรครับเดียร์ ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษนะ เดียร์พยายามทำเพื่อผม ผมต่างหากที่ต้องขอโทษเดียร์” วายุเอ่ยยาวๆ ขัดประโยคของเดียร์ ไม่ปล่อยให้เดียร์พูดอะไรมากไปกว่านี้

วันนี้เดียร์เจออะไรมามากพอแล้ว

สายฝนหายไป ทิ้งไว้เพียงสายน้ำที่รวมตัวกัน

น้ำฝนที่ถูกขังอยู่บนพื้นถนน  ไม่ต่างจากน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาใส

วายุไล่สายตามองไปตามท้องถนน พอฝนหยุด เริ่มมีรถผ่านมาบ้าง แต่นานๆจะผ่านมาที

ตอนนั้นเอง รถยนต์คันหรูขับมาจอดตรงหน้า

คนบนรถลงจากรถด้วยความร้อนรน

มาพร้อมเสียงทุ้มที่เดียร์คุ้นเคย “เดียร์…”

คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้น  “พี่ล็อค….” คนตัวเล็กสบตากับล็อค พลันมือหนาของวายุก็ตกลงบนเก้าอี้ทันที

วายุเอื้อมมือไปจับมือเดียร์อีกครั้ง

แต่ทว่า…

คว้าได้เพียงอากาศ..

ร่างสูงก้มมองมือตัวเอง ….  ขมวดคิ้วมุ่น

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?

ล็อคเดินตรงเข้ามาประคองเดียร์

“ขึ้นรถกันก่อนเดียร์”

ล็อคไม่รุ้ว่าทำไมเดียร์ถึงเป็นแบบนี้

ล็อคไม่รู้ว่าเดียร์เจออะไรมา

ล็อคไม่รู้ว่าเดียร์มาทำอะไรแถวนี้

ล็อคอยากรู้… ทุกเรื่อง

แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้

ตอนที่เดียร์ยังไม่พร้อมจะคุยแบบนี้

ล็อคประคองคนตัวเล็กเข้าไปนั่งข้างคนขับ โน้มตัวไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้ ปิดประตูให้เรียบร้อย  คนตัวโตวิ่งมาขึ้นรถฝั่งตัวเอง แน่นอนว่าวายุตามเข้าไปนั่งบนเบาะหลังของรถยนต์คันหรูทันที




# My dear





น้องเดียร์ดูใสๆซื่อๆเนอะ ฮ่าๆๆ
ที่สำคัญ ดื้อ! ><

เป็นกำลังใจให้เดียร์ด้วยนะคะ


สถิติแอมตอนนี้อยู่ที่...เกือบ 10 ตอน ใน 1หน้า ... โอโห้


เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 10
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 09-06-2014 02:19:14






รถยนต์คันหรู แล่นเข้าจอดหน้าหอพักนักศึกษาชาย ในเวลาตีหนึ่ง…

วายุประคองร่างเดียร์ขึ้นไปจนถึงห้องพัก

คนตัวโตใช้เวลาเคาะประตูห้องไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออก

พู่กันกำโทรศัพท์มือถือไว้ในมือแน่น ทันทีที่เปิดประตูแล้วพบเดียร์และล็อคมาด้วยกัน  พู่กันรี่เข้าไปประคองเดียร์ทันที

พู่กันตกใจ ทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ ลนลานจนล็อคต้องเตือนให้พู่กันตั้งสติดีๆ

“เดียร์เป็นอะไรครับ?” พู่กันถามคำถามนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็จำไม่ได้ ล็อคได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ล็อคเองก็ไม่มั่นใจนัก…

เดียร์ขอตัวเข้าไปอาบน้ำ พู่กันและล็อคได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง

วายุคอยตามเดียร์อยู่ไม่ห่าง ตามเข้าไป แม้แต่ในห้องน้ำ

คนตัวเล็กไม่หันมาตวาดวายุเหมือนทุกครั้ง

วายุเฝ้ามองจนเดียร์เริ่มเปลื้องผ้า ร่างสูงจึงตัดสินใจผละออกไป

วายุออกมาสมทบกับพู่กันและล็อคที่อยู่ในห้องนั่งเล่น

“เดียร์ไม่รับโทรศัพท์ผมเลยครับ”  พู่กันพูดด้วยสีหน้าวิตก  “โทรไปกี่ครั้งก็ไม่รับ เดียร์ไม่โทรมาบอกอะไรผมด้วย”

“ที่ที่เดียร์ไป ไม่ใช่แถวนี้ พี่สงสัยว่าเดียร์ไปทำอะไร” วายุเสนอความคิดของตัวเองบ้าง

“แล้วเดียร์ไปทำไม พี่ล็อค เดียร์เป็นอะไร?” พู่กันพูดด้วยน้ำเสียงวิตกไม่ต่างจากตอนแรกนัก คนตัวเล็กหารือกับล็อคไปพักใหญ่ ตัดสินใจโทร.หาเพื่อนตัวโตกลางดึกเลย

ทันทีที่พู่กันโทร.หาโต้ง เพื่อนตัวโตก็รุดมายังห้องพักของเดียร์และพู่กันทันที

ภาพที่โต้งเห็นคือ พู่กันนั่งโอบไหล่เดียร์อยู่ที่โซฟา

ได้ยินพู่กันบอกเดียร์ว่าให้ไปนอนพักผ่อน แต่เดียร์เอาแต่ส่ายหน้า พึมพำว่าไม่อยากนอนคนเดียว

“งั้นเดี๋ยวเราไปนอนด้วย” พู่กันว่าพลางประคองเพื่อนตัวเล็กให้ลุกขึ้น พาเดินเข้าห้องนอนไป

โต้งมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจ

“เดียร์ยังไม่พูดอะไรเลย” ล็อคหันมาบอกโต้งที่ยืนมองอยู่

โต้งเดินมานั่งที่โซฟา นั่งอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน

ล็อคกับโต้งนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบ

จนกระทั่งพู่กันเดินออกมาจากห้องนอน

“เดียร์หลับไปแล้วครับ คงเหนื่อยมาก” พู่กันเดินมานั่งข้างๆโต้ง

ทั้งสามคนตกลงจะเริ่มคุยเรื่องเดียร์

“เดียร์ไม่ได้ลางาน นอกจากตอนนั้นที่บอกว่าจะไปโรงพยาบาล”

ล็อคเริ่มพูดก่อน โต้งนิ่งไปเล็กน้อย คิดตามที่ล็อคพูด ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง

“วันก่อน เดียร์บอกว่าจะไปหาหมอผี”

ประโยคของโต้งทำเอาพู่กันกับล็อคหันมามองโต้งเป็นตาเดียว

“หมอผี? ทำไมเดียร์ต้องไปหาหมอผี?” เป็นล็อคที่ถามขึ้นมา

พู่กันคิดตามที่โต้งพูด

หมอผี…จะเกี่ยวอะไรกับเรื่องผีที่มาขอให้เดียร์ช่วยหรือเปล่า?

“’เขา’ขอให้เดียร์ช่วย” เดียร์ว่าพลางมองไปรอบๆห้อง

ถ้าพู่กันเป็นเดียร์ ก็คงจะมองเห็นวายุที่นั่งฟังบทสนทนานั้นอยู่ไม่ไกล

โต้งตาโต อุทานลั่น “เออใช่! อาจจะเกี่ยวกันก็ได้นะเว้ย”

บทสนทนาของโต้งและพู่กัน ทำเอาล็อคขมวดคิ้วมุ่น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ล็อคถามออกไปในที่สุด

พู่กันกับโต้งหันไปสบตากันเล็กน้อย

ไหนๆเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้วนะ…

พู่กันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจเล่าเรื่องของเดียร์ให้ล็อคฟัง

“เดียร์…มองเห็นผีได้ครับ”

หลังจากนั้นคือเรื่องเล่าที่มาจากปากของโต้งและพู่กัน

เล่าถึงตอนที่ย้ายหอมาที่ห้องนี้ และล่าสุดคือเรื่องที่เดียร์บอกว่าจะไปหาหมอผี

ล็อคนั่งฟังอยู่เงียบๆ ขมวดคิ้วพลาง ถามพลาง

“อย่างนี้ วิญญาณที่ว่านั่น ก็อยู่ในห้องนี้?”

ล็อคถามพลางมองไปรอบๆห้อง

“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นครับ” เป็นพู่กันที่เป็นคนตอบออกไป

“ทั้งหมดนี่คือเรื่องที่เราเดากัน เอาไว้รอฟังจากปากเดียร์ดีกว่า”

โต้งเป็นคนจบการสนทนานั้น

ทั้งสามคนคุยกันจนเกือบตีสี่

ล็อคขอตัวกลับไปก่อน กำชับพู่กันว่าถ้าเดียร์ตื่นแล้วให้โทร.หา

ส่วนโต้ง ได้สิทธิ์ยึดโซฟาเป็นที่นอนไป

พู่กันเดินกลับเข้าไปในห้องนอน

ลมหายใจสม่ำเสมอของเดียร์ ทำให้พู่กันสบายใจขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยเดียร์ก็ได้พักผ่อน

ถึงจะไม่รู้ว่าเดียร์ไปเจออะไรมาบ้าง แต่เดียร์ที่พู่กันเห็นตอนนั้น

…เหมือนไม่ใช่เดียร์เลย

“ให้เดียร์ช่วย ก็ดูแลเดียร์ด้วยนะ” พู่กันพึมพำเบาๆ ก่อนซุกตัวลงไปในผ้าห่ม

เหมือนพู่กันรู้…ว่าวายุอยู่ในห้อง

ใช่…วายุอยู่ในห้อง

ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้เดียร์ จ้องมองคนตัวเล็กหลับตาพริ้ม

ใบหน้าคมโน้มลงไปใกล้หน้าผากเนียน

วายุเผลอหลับตาแน่น ชะงักไปเล็กน้อย

ไม่แน่ใจว่าครั้งนี้จะสัมผัสคนตัวเล็กได้หรือไม่

วายุลืมตาอีกครั้ง โน้มใบหน้าลงไปใกล้หน้าผากเนียนมากขึ้น

พลันสัมผัสอุ่นอยู่ที่ปลายจมูก

วายุตัดสินใจประทับริมฝีปาก ลงใบบนหน้าผากเนียน  ก่อนค่อยๆผละออกมาช้าๆ

วายุนั่งอยู่ข้างๆเดียร์อย่างนั้น …. จนกระทั่งรุ่งเช้า


พู่กันต่อสายโทรศัพท์หาล็อคทันทีที่ตื่น

เดียร์ตื่นเช้ากว่าพู่กัน  พู่กันตื่นตอนเดียร์อาบน้ำ

พู่กันกระวีกระวาดควานหาโทรศัพท์มือถือแทบไม่ทัน

รอจนเดียร์ออกมาจากห้องน้ำ

สังเกตว่าสีหน้าเพื่อนตัวเล็กดีขึ้นกว่าเมื่อคืน

“มึง…โอเคป่ะวะ?” พู่กันเลียบๆเคียงๆถามดู

เดียร์หันมายิ้มให้พู่กันน้อยๆ “กูสบายดีน่า”

พู่กันมองเพื่อนตัวเล็กที่เดินไปจากห้องนอน เห็นอย่างนั้น พู่กันก็เข้าไปอาบน้ำบ้าง ถึงจะใช้เวลาชั่งใจอยู่นานก็เถอะ

“เดียร์ จะไปไหน?” เสียงทุ้มๆของวายุดังขึ้น

คนตัวเล็กหันไปตามที่มาของเสียง เห็นวายุยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง

วายุรู้สึกว่าเดียร์มองมาด้วยสายตาที่แปลกไป

ไม่แน่ใจว่าสายตานั้นแปลว่าอะไร

“ไปทำงาน…” เดียร์ว่าพลางเดินไปต้มโจ๊กคัพ

วายุปราดเข้ามาประชิดตัวทันที

“ไปทำงานไหวหรือ?  พักผ่อนดีกว่า เรื่องงานน่ะ….”

“ไม่ทำไม่ได้ วายุ มันคืองาน”

คนตัวเล็กเดินหนีไปกดน้ำร้อนใส่ถ้วยโจ๊ก

ถึงวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ แต่ไม่ใช่วันหยุด

วันนี้ไม่มีเรียน แต่มีงานต้องทำ…

คนตัวเล็กเดินหนีวายุออกไปนั่งที่โซฟา เปิดโทรทัศน์ให้มีเสียงอื่นแทรกเข้ามาบ้าง

วายุเดินตามเดียร์มาติดๆ

“เมื่อวาน….ขอบคุณนะ…” เดียร์พึมพำเบาๆ

วายุชะงักไปเล็กน้อย  จู่ๆเดียร์ก็เอ่ยขึ้นมา  …. ทันใดนั้น จุดยิ้มน้อยๆค่อยๆเผยบนใบหน้าคม

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณที่เดียร์ทำเพื่อผม แล้วก็ขอโทษ…ขอโทษที่ผม..”

“มันผ่านไปแล้ววายุ” เดียร์ไม่รอให้วายุพูดจบ คนตัวเล็กรีบขัดขึ้นทันที “เก็บไว้เป็นบทเรียน” เดียร์เงยหน้า สบตากับวายุ

คนตัวเล็กส่งยิ้มน้อยๆให้ร่างสูง

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ เรื่องแค่นี้ ฉันไม่เก็บไปคิดให้เสียสุขภาพจิตหรอก” ว่าจบก็หันไปตักโจ๊กเข้าปาก

วายุได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่หัวเราะลั่น

สายตาคมมองคนตัวเล็กอย่างพึงพอใจ

เห็นเดียร์กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ วายุก็ดีใจ…

ชอบที่เดียร์เป็นแบบนี้จัง….


ช่วงสายของวันนั้น เจ้าของร้านไอศกรีมมาทักทายแต่เช้า

เดียร์เปิดประตูรับด้วยความตกใจ

แว้บแรก คิดว่าพี่ล็อคจะมาว่า ที่เดียร์ไปทำงานสาย

เผลอหันไปมองนาฬืกาที่ข้างฝา

ยังไม่เวลาไปทำงานเลย….

พอคนตัวเล็กเห็นล็อคส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ เดียร์เริ่มเข้าใจ…

“วันนี้เดียร์ไม่ต้องไปทำงานนะ” ล็อคนั่งคุยกับเดียร์ที่โซฟา

ส่วนพู่กันกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเช้า  ปล่อยให้เจ้านายกับลูกน้องคุยกันไป

ล็อคเอาแต่ปลอบด้วยถ้อยคำสารพัด เดียร์ได้แต่ยิ้มน้อยๆไปให้

“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับพี่ล็อค” เดียร์ย้ำไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

ถ้าเดียร์ไม่ไปทำงาน จะมีเงินไหมล่ะนี่

“เดียร์ยังไม่สบายอยู่นะ” เสียงทุ้มส่งความห่วงใยมาให้

แต่เดียร์ก็ยังเป็นเดียร์

วายุที่นั่งอยู่ข้างๆยังอดคิดไม่ได้เลยว่า เดียร์น่ะ…ดื้อ

ในที่สุดความดื้อของเดียร์ก็เป็นผล

ล็อคยอมให้เดียร์ไปที่ร้านได้ แต่ต้องไม่ทำงานหนัก

วายุสังเกตจากท่าทางของเดียร์แล้ว คนตัวเล็กคงไม่อยู่เฉยๆแน่

แค่ตอนนี้เดียร์ไปทำงานได้ ถ้าไปถึงร้าน คงวิ่งวุ่นทำงานเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ


เดียร์มาถึงร้านไอศกรีมตอนที่ร้านเปิดแล้ว

โต้งกำลังวิ่งวุ่นเช็ดโต๊ะ เช็ดเก้าอี้

เดียร์เหลือบไปทางหน้าร้าน เห็นป้ายรับสมัครพนักงานแปะไว้อยู่

“อยู่แค่แคชเชียร์นะ”ล็อคย้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำเดียร์เข้าไปในร้าน เดียร์เดินตามพลางยิ้มอยู่คนเดียว

อยู่แค่แคชเชียร์น่ะน่าเบื่อออก…

“ไอ้เดียร์!!!”  โต้งร้องลั่น ทักทายเพื่อนตัวเล็กที่เดินเข้ามาในร้าน

เดียร์รี่ตรงเข้าไปหาเพื่อนตัวโตทันที

คนตัวเล็กกระโดดตบหัวเพื่อน ทักทายเพื่อนไปทีหนึ่ง

“ตบหัวกูทำไมเนี่ย?” โต้งโยนผ้าขี้ริ้วในมือทิ้ง มือหนาลูบหัวตัวเองป้อยๆ เดียร์มองอย่างสะใจ

“หมอผีที่มึงแนะนำมาแม่ง โคตรห่วย” เดียร์ว่าพลางส่ายหน้าน้อยๆ “มันเป็นหมอเถื่อนเว้ย” คนตัวเล็กคอยสังเกตปฏิกิริยาของโต้ง

แล้วก็เป็นอย่างที่เดียร์คิด โต้งดูตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

“มึงไปหาหมอผีมาแล้วจริงๆหรือวะ!” โต้งเผลอคิดไปถึงสภาพเดียร์เมื่อคืน “มัน..ทำอะไรมึงหรือเปล่าวะ?”

แววตาเดียร์มีแววหม่นเศร้าไปเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น คนตัวเล็กกลับมามีแววตาสดใสดังเดิม

“มันจะทำหรือไม่ทำ ตอนนี้กูก็ไม่เป็นอะไรแล้วนี่ สบายใจได้”    คนตัวเล็กยืดแขนไปตบบ่าเพื่อนปุๆ

“เพราะ ‘เขา’ให้ช่วยใช่ไหมวะ? มึงถึงต้องตามหาหมอผีแบบนี้”

เท่าที่โต้งได้ยินมาจากพู่กัน…มันน่าจะเป็นอย่างนั้น

เดียร์ชะงักไปเล็กน้อย คนตัวเล็กกัดริมฝีปากล่างแน่น

“กูเต็มใจช่วย ‘เขา’… กูไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่หว่า” เดียร์ว่าพลางเหลือบไปมองวายุ เห็นร่างสูงยืนอมยิ้มน้อยๆอยู่ไม่ไกล

“มึงคงไม่ตามหาหมอผีคนอื่นแล้วนะ?”  โต้งว่าพลางส่งความเป็นห่วงไปให้เพื่อน ผ่านทางสายตา

เดียร์ถอนหายใจแรงๆ “กูไม่เอาแล้วหมอผีอะไรเนี่ย เสียเวลา ทำงานดีกว่า”

ว่าจบ คนตัวเล็กกลับหลังไปประจำเคาน์เตอร์ทันที

โต้งมองตามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ดีแล้ว…

วายุเดินตามเดียร์ไปติดๆ “เดียร์แน่ใจนะ ว่าไม่เป็นไร”  ร่างสูงถามย้ำอย่างไม่เชื่อในคำพูดของเดียร์

….ไม่คิดว่าเดียร์จะเข้มแข็งขนาดนี้

“คิดอะไรมาก เรื่องที่เกิดไปแล้ว มันกลับไปแก้ไม่ได้นี่ ถ้ามัวแต่ยึดติดกับอดีต แล้วเราจะอยู่กับปัจจุบันยังไง?” เดียร์พูดเบาๆ  ล็อคเดินออกไปหน้าร้าน เดียร์เลยกล้าพูดเบาๆได้บ้าง

วายุยังไม่ละสายตาไปจากคนตัวเล็ก

เดียร์ก้มๆเงยๆ อยู่หลังเคาน์เตอร์ ตั้งหน้าตั้งตาจัดของให้เข้าที่

“ฉันไม่ไปหาหมอผีอีกแล้ว” เดียร์ลุกขึ้น ยืนจ้องหน้าวายุบ้าง

วายุอมยิ้มน้อยๆ ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าใส

“ต่อไป..ถึงตาผมแล้วนะ”



# My dear



ตอนที่ 10 แล้ว ^^

พยายามไม่ดราม่าสุดๆ   ^^’’


เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^

หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 10
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 09-06-2014 21:34:47
 :เฮ้อ: โล่งอกที่เดียร์ปลอดภัย แล้วต่อจากนี้จะทำไงต่อไป
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 11
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 11-06-2014 15:45:30

Chapter 11

แสงอาทิตย์ยามสาย สาดส่องผ่านกระจกบานใส สายลมพัดพากลุ่มเมฆไปตามแรงลม ใบไม้ลู่ไหวน้อยๆ คล้ายหยอกล้อ

ล็อคนั่งมองบรรยากาศภายนอกร้านผ่านกระจกบานใส ในมุมส่วนตัวของเจ้าของร้าน มุมที่มีโต๊ะยาวที่มีพื้นที่มากพอจะวางของ มีเก้าอี้ไม้สีขาวหนึ่งตัว เพียงเท่านี้ล็อคก็จมจ่ออยู่ตรงนี้ไปได้อีกทั้งวัน

คนตัวโตมักใช้มุมนี้เป็นห้องทำงานชั่วคราว เมื่อใดที่ต้องการสมาธิในการทำเอกสารบัญชีของร้าน ล็อคจะเข้าประจำที่มุมนี้ทันที

เสียงเพลงอันไพเราะ คลอเบาๆ สร้างบรรยากาศสดใสให้กับร้าน  ล็อคไล่สายตามองพนักงานแต่ละคนของร้าน

โต้งกำลังยกไอศกรีมมาเสิร์ฟลูกค้าสาวกลุ่มใหญ่ ล็อคแอบเห็นว่าลูกค้าคนหนึ่งในโต๊ะ พยายามยัดกระดาษอันเล็กๆใส่มือโต้ง แต่โต้งปฏิเสธไม่รับท่าเดียว คงเห็นท่าไม่ดี โต้งเลยรีบขอตัวไปทำความสะอาดโต๊ะอื่น …ลูกค้ากลุ่มนั้น หันมาร้องว่าเสียดายกันใหญ่ …ล็อคเดาว่าที่เธอพยายามยัดใส่มือโต้ง คงไม่พ้นเบอร์โทรศัพท์ หรือ เฟสบุ๊ค หรือไลน์ อะไรพวกนั้น

สายตาคมเหลือบมองไปยังที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ พนักงานตัวเล็กกำลังยิ้มหวานให้ลูกค้าที่รอเช็คบิล มือบางรับ-ส่งบิลและเงินสดอย่างคล่องมือ เอ่ยขอบคุณลูกค้า เมื่อลูกค้ากำลังจะก้าวออกจากร้านไป

ล็อคอมยิ้มน้อยๆกับภาพที่เห็น

ทันใดนั้น เผลอคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน….

เดียร์… ไปทำอะไรมา?

ที่ที่ล็อคไปเจอเดียร์ มันไม่ใช่ใกล้ๆเลย

ถ้าเดียร์ไม่สะดวกใจที่จะบอก ก็จะไม่คาดคั้น

แต่ลึกๆ อย่างไรเสีย ล็อคก็อดเป็นห่วงคนตัวเล็กไม่ได้จริงๆ ไม่อยากให้เดียร์ทำงานในวันแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่เดียร์ในตอนเช้าที่ล็อคเจอ แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันกับเดียร์ ที่ล็อคเจอเมื่อคืน

เห็นเดียร์ร่าเริงแบบนี้…ก็ดีแล้วนะ

“มองขนาดนี้ เดี๋ยวมันก็ท้องหรอก” เสียงทุ้มของพนักงานตัวโต ดังอยู่ไม่ไกล เจ้าของร้านยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน สายตาหวานเชื่อมยังถูกส่งไปให้พนักงานอีกคนของร้าน

โต้งส่ายหน้าน้อยๆ ตั้งใจเดินเข้าไปใกล้เจ้าของร้านอีก มองงานที่อยู่ในมือเจ้าของร้าน อดทักไม่ได้ “หัวใจเต็มหน้ากระดาษแล้วพี่ล็อค”

ล็อคเพิ่งได้สติเดี๋ยวนั้น เงยหน้าสบตากับพนักงานตัวโตที่อยู่ใกล้ๆ  เห็นโต้งชี้มาที่กระดาษที่อยู่ในมือ  ล็อครีบก้มมองตามที่โต้งบอก ดวงตาคมเบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น

หัวข้อของกระดาษแผ่นนั้นมีคำว่า ‘บัญชีประจำวัน’  บนตัวหนังสือที่ถูกพิมพ์มาอย่างดี มีรอยปากกาวาดเป็นรูปหัวใจ เต็มหน้ากระดาษ

“วาดรูปสวยนะพี่” โต้งยิ้มแซวส่งท้าย รีบหอบถ้วยไอศกรีมเปล่า หนีฝ่าเท้าล็อคทันที

โต้งเดินหนีเจ้าของร้านไปยังที่ประจำของตัวเอง

อ่างล้างจาน… เรียกว่าที่ประจำไหมนะ?

เสียงกระดิ่งที่ประตูร้านดังขึ้น

เดียร์ที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เอ่ยต้อนรับทันที

“สวัสดีครับ …2 ที่นะครับ?” เดียร์กำลังจะเดินไปคว้าเมนู ผายมือเชิญลูกค้าไปนั่ง แต่ทั้งสองคนพากันยืนนิ่ง ยิ้มน้อยๆมาให้เดียร์

“พวกเรามาสมัครงานน่ะครับ” หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยขึ้น

เดียร์เผลอตาโตไปชั่ววินาที มองคนสองคนตรงหน้าอีกที…

เมื่อกี๊พูดว่า ‘ครับ’ ?  … เป็นผู้ชายหรือ?

รับสมัครพนักงานชายไม่ใช่หรือ….

“…ครับ ถ้างั้น…รบกวน เชิญตามผมมาทางนี้เลยครับ”

เดียร์เดินนำผู้มาใหม่ทั้งสองคน ไปยังมุมส่วนตัวของเจ้าของร้าน

“พี่ล็อค มีคนมาสมัครงานแล้วนะ” เดียร์เดินไปเคาะโต๊ะเจ้านายเบาๆ  ล็อคเงยหน้ามองทันที สายตาคมมองตามมือบางที่ผายไปทางด้านหลัง คนตัวโตเผลอขมวดคิ้วน้อยๆ ยื่นหน้าไปกระซิบกับเดียร์เบาๆ  “เรารับพนักงานชายไม่ใช่หรือ?”

เดียร์เผลอกระแอมน้อยๆ กระซิบตอบเจ้าของร้านไปคืน “ผมว่าผู้ชายนะพี่ล็อค” เดียร์รีบผละออกไป ยิ้มหวานให้กับว่าที่พนักงานใหม่ทั้งสองคน ก่อนกลับไปเฝ้าแคชเชียร์เหมือนเดิม

ตอนแรก ล็อคแทบไม่ให้เดียร์ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แคชเชียร์พี่ล็อคก็จะทำ ไหนจะช่วยโต้งเสิร์ฟไอศกรีม ทำความสะอาดโต๊ะ แต่เดียร์มาทำงาน จะให้นั่งอยู่เฉยๆก็น่าเบื่อแย่สิ กว่าเดียร์จะกล่อมพี่ล็อคได้ ใช้เวลาอยู่พอสมควร ในที่สุดก็ได้ประจำแคชเชียร์ แต่มันก็ออกจะน่าเบื่อไปหน่อย ถ้าไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย เดียร์เลยแว้บไปที่อ่างล้างจาน แว้บไปเสิร์ฟไอศกรีม แว้บไปทำความสะอาดโต๊ะ สรุปคือ เดียร์ทำงานเหมือนเดิมนั่นล่ะ ล็อคจะว่ายังไง เดียร์ไม่สนหรอก
 
….ถ้าจะตัดเงินเดือนเพราะทำงานเกิน มันก็ออกจะเกินไป… หรือไม่ทำงานแล้วได้เงินเท่าเดิม มันก็ออกจะแปลกๆอยู่นา… ทำงานแล้วก็ทำให้มันคุ้มเงินหน่อย….

“ใครวะ?” โต้งเอ่ยทักทันทีที่เดียร์เข้าประจำที่

“มาสมัครงานน่ะ” พอเดียร์ตอบปั๊บ โต้งก็ถามต่อปุ๊บ

“เรารับพนักงานชายไม่ใช่หรือวะ?”

เดียร์หันไปยิ้มแหยๆให้เพื่อน “กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่พี่เขาพูดครับนะ”

“ทอมหรือ?” โต้งยังคงถามต่อไป เดียร์เห็นโต้งกำลังล้างถ้วยไอศกรีมอยู่ เหมือนมันพูดกับอ่างล้างจานมากกว่าพูดกับเดียร์ แต่ถึงอย่างนั้นเดียร์ก็ยังใจดีต่อบทสนทนา

“ไม่รู้ว่ะ” เดียร์หันมาจัดเคาน์เตอร์ ยังไม่มีลูกค้าเข้า ยังไม่มีลูกค้าออก เดียร์นั่งนิ่งๆ มองกลุ่มลูกค้ารอบๆร้าน หากใครต้องการอะไรเพิ่ม เดียร์พร้อมจะบริการให้

“สองคนนั้นเป็นผู้ชายนะ เหมือนเดียร์ไง” เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้ๆ

เดียร์เห็นเงียบไปนานแล้ว เกือบลืมไปเลยว่าตามอยู่ตลอด

เดียร์หันไปขมวดคิ้วน้อยๆให้ธาตุอากาศข้างๆ กระซิบเบาๆ “น่ารักขนาดนั้นน่ะนะ ผู้ชาย?”

วายุพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มหวานให้คนตัวเล็ก “ผมถึงได้บอกว่าเหมือนเดียร์ไง” รอยยิ้มไม่ได้จางหายไปจากใบหน้าคมแม้แต่น้อย

เดียร์เห็นอย่างนั้น อดไม่ได้ที่จะยู่หน้าน้อยๆใส่ร่างสูง

“ฉันหล่อโว้ย หล่อน่ะหล่อ รู้จักไหม?” เดียร์ได้แต่ส่งค้อนไปทางสายตา สะบัดหน้าหนีร่างสูงที่เอาแต่จ้องหน้าเดียร์

วายุอมยิ้มเล็กๆ ส่ายหน้าน้อยๆ กับความมั่นใจของเดียร์

“โน่น ดูโน่น สาวโต๊ะนั้นยังมองฉันเลย เห็นไหม?”

คนตัวเล็กเหลือบมองไปทางโต๊ะลูกค้าสาวกลุ่มใหญ่ หญิงสาวในโต๊ะมองเดียร์แล้วก็หันไปกรี๊ดเบาๆกัน

เดียร์ยิ่งได้ใจ ทำทีเป็นหันไปมองโต๊ะอื่น แต่ไม่วายยังแอบส่งยิ้มเล็กๆให้สาวๆกลุ่มนั้น

วายุเห็นอย่างนั้นแล้วอยากเก็บเดียร์ใส่กระเป๋าจริงๆ

ไม่ได้รู้เลยใช่ไหม ว่าท่าทางแบบนั้นมันน่ารักขนาดไหน

วายุเหลือบมองไปอีกมุมของร้าน เห็นลูกค้าชายประมาณ 3-4 คน มองเดียร์เป็นตาเดียว …วายุขมวดคิ้วฉับ

“ช่วยโต้งล้างถ้วยไอศกรีมไป” วายุเอ่ยนิ่งๆ  ยังไม่ทันที่เดียร์จะตอบอะไร เสียงใสๆของคนตัวเล็กก็ร้องขึ้นเบาๆ วายุมองตามสายตาคนตัวเล็ก  เห็นน้ำล้างจานกระเซ็นเต็มพื้น

“เป็นอะไรรึป่าววะมึง?” เดียร์ค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ๆเพื่อน  โต้งได้แต่ยิ้มแหยๆมาให้

“โทษทีว่ะ มือลื่น” เดียร์ควานหาไม้ถูพื้น ตั้งใจจะเดินกลับมาทำความสะอาด แต่ทว่า คนตัวเล็กมัวแต่หาไม้ถูพื้นจนไม่ทันระวังน้ำที่นองอยู่เต็มพื้น

คนตัวเล็กก้าวเท้าออกไป พลันรู้สึกว่าแรงเสียดทานมันน้อยลง

“เฮ้ย!” เสียงใสร้องลั่น ร่างกายเอนหลังไปสี่สิบห้าองศาแล้ว อีกไม่กี่องศา แผ่นหลังจะแนบพื้น คนตัวเล็กหลับตาแน่น

พลัน คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

ท่อนแขนอบอุ่น ประคองร่างของเดียร์ไว้ได้ทัน ก่อนที่เดียร์จะร่วงลงพื้น

เดียร์เข้าใจว่าคงเป็นโต้ง เพราะแถวนี้ มีแค่โต้งอยู่คนเดียว  แต่ลืมอะไรไปหรือเปล่า….

เดียร์แง้มดวงตาน้อยๆ … พลัน ดวงตาใสเบิกโพลง มองผู้ที่เข้ามารับร่างของเดียร์ไว้

“วายุ!” เดียร์ร้องเบาๆ เผลอมองไปทางโต้ง มันอ้าปากค้างไปแล้ว  เดียร์รีบผละออกจากอ้อมแขนนั้นทันที

คนตัวเล็กเดินช้าๆ เข้าไปหาไม้ถูพื้น ปล่อยให้โต้งอ้าปากค้างไปสักพัก  ทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อย ให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุเหมือนเมื่อกี๊

เดียร์มองวายุที่เอาแต่อมยิ้มส่งสายตาไม่รู้ไม่เห็นมาให้ คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนมีควันออกหู …หมั่นไส้นัก ไอ้ท่าทางทะเล้นแบบนั้น

คนตัวเล็กหันไปสนใจเพื่อนตัวโตที่แข้งค้างไปแล้ว

“โต้ง…” เรียกเบาๆ เข้าไปสะกิดที่แขน ดีที่มันไม่ถืออะไรไว้ในมือตอนมันตกใจ

เดียร์ไม่เห็นเพื่อนมีปฏิกิริยาตอบสนอง เดียร์ชกเบาๆไปที่อกเพื่อน และดูเหมือนจะได้ผล โต้งไอเบาๆ ลูบอกตัวเอง

“มึง…มะ มึง….” โต้งชี้หน้าเดียร์ เหมือนว่าเดียร์เป็นผีมาหลอกมัน

“เออ กูเอง ทำไม?” เดียร์ท้าวเอวน้อยๆ พยายามเรียกสติเพื่อน ต้องให้มันชิน

“มึงทำได้ยังไง มึงจะถึงพื้นแล้วนะ กูกำลังจะเข้าไปรับมึง แต่กูโดนผลักออกมา” ประโยคของโต้ง ทำให้เดียร์หันไปมองตัวต้นเหตุทันที รายนั้นเอาแต่อมยิ้มมีเลศนัยอยู่นั่น

“เออ….’เขา’ช่วยกูเอง ไม่มีอะไรหรอก”

โต้งเบิกตากว้างกับคำว่า ‘เขา’ ของเพื่อนตัวเล็ก

“’เขา’ตามมึงมาด้วยหรือวะ? นี่กูอยู่กับ ‘เขา’ของมึงมาตลอดเลยหรอเนี่ย ” โต้งรู้สึกอยากจะกลั่นน้ำตาลูกผู้ชายออกมาจริงๆ

ถึงจะรู้ว่าเพื่อนมีความสามารถพิเศษ แต่มันก็ยังไม่ชิน แล้วเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ก็ไม่ได้ทำให้โต้งรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ….คิดแล้วอดขนลุกไม่ได้

“เอาน่า กูบอกมึงไว้ จะได้ชิน ‘เขา’ไม่ทำอะไรมึงหรอก”

เดียร์ตบบ่าเพื่อนปุๆ คนตัวเล็กกำลังจะผละหนี โต้งรีบจับแขนเพื่อนไว้แน่น “เขาไม่ทำอะไรกูแน่นะ”

“แน่สิ ไว้ใจได้”เดียร์บีบมือเพื่อนแน่นๆ ยิ้มน้อยๆให้เพื่อนตัวโต

โต้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลับไปล้างถ้วยไอศกรีมต่อ

มีลูกค้าเข้าร้าน เดียร์ตั้งท่าจะออกไปรับ แต่เพื่อนที่เดียร์เข้าใจว่าล้างถ้วยไอศกรีมอยู่ รีบถลามาขวางเดียร์ทันที

“เดี๋ยวกูไปเอง ฝากล้างที่เหลือหน่อยนะ” โต้งถลาไปคว้าเมนู เข้าไปรับลูกค้าทันที  เรื่องอะไรจะอยู่คนเดียว…

เดียร์เห็นท่าทางเพื่อนแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ หันมามองตัวต้นเหตุ

“ไปล้างที่เหลือเลย” เสียงใสสั่งธาตุอากาศข้างๆ

วายุไม่ได้ว่าอะไร ยอมไปล้างถ้วยไอศกรีมที่เหลืออยู่

คนตัวเล็กเห็นอย่างนั้นก็ชะงักไปนิด

วายุหยิบจับสิ่งของได้ แต่ไม่เคยโดนตัวเดียร์ได้

แล้วทำไม…วายุถึงโดนตัวเดียร์ได้

เหตุการณ์ในคืนนั้นก็ด้วย…

“…ทำไม?” คนตัวเล็กพึมพำเบาๆ สายตาจับจ้องไปที่ร่างสูงที่อยู่หน้าอ่างล้างจาน

เดียร์คงคิดอะไรเพลินไปหน่อย เผลอแป๊บเดียว วายุล้างถ้วยไอศกรีมเสร็จแล้ว

เดียร์เห็นโต้งถือไอศกรีมถ้วยใหม่ไปเสิร์ฟลูกค้า

เฮ้ย! แล้วอย่างนี้มันจะเห็นตอนวายุล้างถ้วยไอศกรีมหรือเปล่า?

“ไม่เห็นหรอก ผมล้างเสร็จก่อนโต้งจะเข้ามาอีก”

วายุพูดเหมือนรู้ว่าเดียร์คิดอะไรอยู่

เดียร์ขมวดคิ้วน้อยๆ

“ถ้วยมันเหลือใบเดียวเอง” ว่าจบ ร่างสูงก็ประกบเดียร์ไม่ห่าง เหมือนเดิม  เดียร์พยายามไม่สนใจ แต่ถึงกระนั้น เสียงของวายุ ยังคงลอยเข้ามาให้ได้ยิน

“ผมชอบเวลาที่ผมโดนตัวเดียร์ได้นะ” อีกครั้ง ที่วายุพูดเหมือนรู้ว่าเดียร์คิดอะไรอยู่

วายุยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไปหน้าใส นึกอยากได้กลิ่นหอมๆของคนตรงหน้า …

รอให้กลับเข้าร่างได้ก่อนนะ…

คนตัวเล็กเผลอกลั้นหายใจ วายุเอ่ยต่อทันที

“….ทำให้ผมรู้ว่า ตัวเดียร์…นุ่มมากแค่ไหน” ว่าจบ ร่างสูงค่อยๆถอยห่างออกจากใบหน้าใส  ยืดตัวตรง มองคนตัวเล็กที่อ้าปากค้าไปเรียบร้อยแล้ว

คนตัวเล็กอยากจะตะโกนให้ลั่นร้าน แต่ทำได้เพียงกำมือแน่น

ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคอย่างนี้จากร่างสูง

“ฉวยโอกาสเรอะ!  ทั้งความคิด ทั้งร่างกาย มันจะมากไปแล้วนะวายุ!” เดียร์กัดฟันกรอด แค่นเสียงลอดไรฟัน พยายามไม่ให้เสียงมันดังจนเกินไป

วายุเพียงแค่ยิ้มหวานให้คนตัวเล็ก

“ผมไม่ได้อ่านความคิดเดียร์ได้ขนาดนั้นนะ เดียร์คิดอะไร ก็ออกมาทางสีหน้าหมด แต่ฉวยโอกาสทางกายนี่….” วายุหยุดไปพักหนึ่ง มองปฏิกิริยาของคนตัวเล็ก  …คนตัวเล็กฟึดฟัดขึ้นมาทันที

….นับว่าเป็นปฏิกิริยาที่น่าพอใจ วายุไม่รอช้าที่จะเอ่ยต่อ

“ผมไม่ปฏิเสธ”





# My dear



ฮัดช่า…. มาแล้ว ^^
ไม่มีคอมเม้นเพิ่ม แต่ก็จะยังลงต่อไป  T T …
อยากแต่งให้จบอ่า… แต่รู้สึกท้อจังเลยค่ะ T T
จะพยายามทำให้จบเรื่องให้ได้ค่ะ ฮึ้บๆ ^^


ทักทาย คุณลิงภูเขา   คุณbulldog17  และคุณ Nus@nT@R@
เหมือนเรากำลังคุยกันอยู่ 3-4 คน ฮ่าๆๆ
และโดยเฉพาะคุณ Nus@nT@R@ ขอบคุณมากๆค่ะ   :กอด1:
ขอบคุณที่คอมเม้นให้แอมได้ชื่นใจ  :mew3:



ตอนนี้แอมเพิ่งมาดูการ์ตูนเรื่อง Kuroko no Basket
คางามิน่ารักน่าร้าก ><~~~~




เจอกันตอนต่อไปนะคะ ^_^





หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 12
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 15-06-2014 19:36:26


Chapter 12



หลังจากวันนั้น เดียร์ต้องคอยระวังตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม

หากถามว่าระวังอะไร…คงหนีไม่พ้น…วายุ

เดียร์ต้องเอาตัวรอดจากฝ่ามือหนาที่คอยจุ้นจ้านกับเดียร์อยู่เรื่อย

วายุไม่ได้พูดแต่ปาก หากแต่ลงมือทำจริงๆ

“จะอาบน้ำ! ตามเข้ามาทำไม!” คนตัวเล็กตวาดไล่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วมิอาจทราบได้  วายุยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้องน้ำ

ภาพตรงหน้ามันน่ามองน้อยเสียที่ไหน คนตัวเล็กในชุดนอน…เสื้อยืดตัวบาง กางเกงขาสั้น

ร่างสูงไล่สายตาพิจารณาร่างเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  นึกอยากสัมผัสผิวเนียน ….

คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น “ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง” เดียร์ก้าวเท้าไปใกล้ร่างสูง

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เดียร์ยังหนีสายตาวายุไม่พ้นเลยสักวินาทีเดียว

นึกโทษพู่กัน ที่ป่านนี้คงดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นแน่ๆ

“ทำไมชอบมาวุ่นวายตอนจะอาบน้ำฮะ?!” เดียร์ขยี้ผมแรงๆ ท่าทางหงุดหงิด วายุยกยิ้มน้อยๆ

“งั้นไม่วุ่นวายตอนอาบน้ำได้ แต่วุ่นวายตอนนอนได้ใช่ไหม?”

วายุยักคิ้วหล่อๆไปให้คนตัวเล็ก แอบเห็นเดียร์กำมือแน่น

“จะบ้าหรือไง! ออกไปเลยนะ จะตอนไหนก็ห้ามกวน!” เดียร์เข้ามาดันหลังวายุ รวบรวมแรงทั้งหมดดันให้วายุออกไปจากห้องน้ำให้ได้

ไม่แปลกหรอก… ถ้าวายุโดนตัวเดียร์ได้ เดียร์ก็ต้องโดนตัววายุได้

“จะแต๊ะอั๋งผมหรือไงครับ? หืม?” วายุยิ้มล้อไปให้น้อยๆ

เดียร์ยู่หน้าใส่ร่างสูง จนวายุทะลุออกไปจากห้องน้ำได้

คนตัวเล็กหันมาขยี้ศีรษะแรงๆอีกที

ไม่รู้จะทำอย่างไร

มีประตูกั้น แต่ก็เหมือนไม่มีประตู

นับวันมันจะยิ่งเอาใหญ่แล้วนะ…วายุ!!!

คนตัวเล็กหลับหูหลับตาอาบน้ำให้เร็วที่สุด

ไม่อยากใช้เวลาในห้องน้ำมาก ถึงเดียร์จะไม่เห็นวายุ แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าวายุไม่เห็นเดียร์

คนตัวเล็กออกจากห้องน้ำมา ในชุดพร้อมไปมหาวิทยาลัย

เห็นวายุนั่งนิ่งอยู่ที่เตียง

เดียร์ตั้งใจจะเดินเลยออกไป ไม่อยากสนใจเท่าไรนัก แต่สังเกตท่าทางวายุที่นิ่ง…เกินไป

 ….เป็นอะไรหรือเปล่า?

เดียร์เดินเข้าไปใกล้ๆ ภาพตรงหน้าชัดเจนมากขึ้น

มือขวาของวายุ กุมที่หน้าอกด้านซ้ายแน่น

ร่างสูงเงยหน้า สบตาคนที่เดินเข้ามาใกล้

“ผมเป็นอะไรไม่รู้…” คิ้วหน้าขมวดแน่น

เดียร์เห็นท่าไม่ดี ค่อยๆนั่งลงข้างๆ “เป็นอะไรวายุ?”

คนตัวเล็กเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูก หันซ้ายหันขวาอย่างต้องการตัวช่วย เห็นสีหน้าเจ็บปวดของวายุแล้วใจไม่ดีเลยนะจริงๆ  ยอมสงบศึกเรื่องในห้องน้ำไว้ก่อนก็ได้

วายุแบมือออกข้างหนึ่ง สายตาอ่อนโยนถูกส่งไปให้คนตัวเล็ก เดียร์มองฝ่ามือหนาอย่างไม่เข้าใจ เห็นอย่างนั้น วายุเลยคว้ามือบางมาจับไว้แน่น วางมือน้อยๆนั้น ลงไปบนหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง

“ผมรู้สึกเหมือน…ได้ยินเสียง….”

เดียร์ไม่ค่อยเข้าใจที่วายุพูดเท่าไรนัก แต่กระนั้น ร่างเล็กก็ยื่นใบหน้าใสเข้าไปใกล้ๆกับหน้าอกด้านซ้ายของร่างสูง

ไม่รู้ว่าที่วายุแสดงสีหน้าเจ็บปวดนั้นแปลว่าอะไร

เสียงที่วายุได้ยิน ทำให้วายุเจ็บ…อย่างนั้นหรือ?

“ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย” เดียร์พึมพำเบาๆ มือบางวางแนบลงไปบนแผ่นอกแกร่ง เผื่อว่าจะเจอที่มาของเสียงที่ว่า
ร่างเล็กที่แนบกายชิดกับแผ่นอกแกร่ง ทำให้วายุเผลอแนบริมฝีปากกับกลุ่มผมนุ่มที่ซุกอยู่ที่หน้าอก

…รอยยิ้มน้อยๆประดับบนใบหน้าคม

“ไม่ได้ยินจริงๆหรือ? แต่ผมได้ยินชัดมากเลยนะ” วายุรู้สึกได้ว่าร่างเล็กแนบชิดมากยิ่งขึ้น วายุยกมือโอบเอวบางไว้หลวมๆ  แอบเห็นคนในอ้อมแขนขมวดคิ้วมุ่น เป็นจังหวะเดียวกับที่เดียร์เผลอสบตากับวายุเข้าพอดี ร่างเล็กผละออกทันที

“แกล้งกันหรือ?!” คนตัวเล็กเดินหนีออกไป ไม่วาย มีหันมาส่งสายตาแค้นเคืองให้วายุอีก

“ไม่ได้แกล้งนะ” ร่างสูงตะโกนไล่หลังไป  เดียร์เดินออกไปจากห้องนอนแล้ว…

วายุกลับมาจมอยู่กับตัวเองอีกครั้ง

เขาไม่ได้โกหกเดียร์จริงๆ….

เสียงนั้น…ดังมาจากหน้าอกด้านซ้าย…

มันไม่เคยมีเสียงอะไรเลย จนกระทั่งวันนี้…

มันเป็นความเจ็บปวด เหมือนเข็มอันใหญ่แทงเข้ามาในร่างกาย ไม่นาน ความเจ็บนั้นค่อยๆหายไป เหลือเพียงความรู้สึก…เต็มตื้น…ที่อัดแน่นอยู่เต็มอก …ยิ่งตอนที่เดียร์แสดงอาการห่วงใยเขา… ความรู้สึกนั้น…เหมือนทำให้ในร่างกายถูกอัดลมจนโป่งพอง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ วายุแทบสัมผัสความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกาย ไม่ได้เลยสักครั้ง

หรือนี่คือสัญญาณจากอะไรบางอย่าง?





หลังเลิกเรียนของวันนั้น เดียร์ไปทำงานที่ร้านไอศกรีมเหมือนทุกวัน  เมื่อเข้าไปในร้าน คนตัวเล็กเห็นคนสองคนที่บอกว่ามาสมัครงาน ทำงานอยู่ก่อนแล้ว

หลังจากได้พูดคุยทักทายกัน เดียร์ถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนอายุมากกว่าเดียร์..  พี่ๆทั้งสองคนชื่อ ‘พี่ข้าว’ กับ ‘พี่ปิ่น’

คนตัวเล็กเผลอมองพี่ๆทั้งสองคนอยู่หลายครั้ง มองยังไง เดียร์ก็ยังไม่แน่ใจว่าพี่ๆทั้งสองคนเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้ชายจริงๆ ก็เป็นผู้ชายที่น่ารักมากแน่ๆ  เดียร์แอบวัดส่วนสูงตัวเองกับพี่ๆทั้งสองคน

…ส่วนสูงไม่ค่อยต่างกันเท่าไรแฮะ…

โต้งเข้าร้านมาทีหลังเดียร์ …เดียร์แอบเห็นว่าโต้งมีท่าทางไม่ต่างจากเดียร์มากนัก ตอนที่รู้ว่าพี่ข้าวกับพี่ปิ่นเริ่มงานวันนี้

“พวกพี่เคยทำงานอยู่ร้านข้าวแกงในมอนี่ล่ะ” พี่ข้าวบอก พลางเดินไปทำความสะอาดโต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งลุกออกไป

“แต่…เจ้าของร้าน…” พี่ปิ่นเสริมประโยคให้ แต่ดูท่าว่าจะยังไม่จบประโยค  เดียร์กับโต้งเผลอแสดงอาการ’ลุ้น’ออกมาทางสีหน้า

ข้าวกับปิ่นได้แต่ยิ้มแหยๆมาให้

ตอนนั้นเอง ที่ล็อคเดินเข้ามาสมทบ  คนตัวโตกระแอมหน่อยๆ “แต่เจ้าของร้านนี้ โหดนะ”

เดียร์เผลอหันไปสบตาคนพูดทันที เห็นล็อคพยายามกลั้นยิ้มอยู่

ข้าวกับปิ่นเลยยอมแยกย้ายกันไปทันที

“พี่ล็อค แกล้งพี่ๆเขาทำไม?” เดียร์หันไปจัดการตกแต่งไอศกรีมในถ้วยต่อ โต้งผละออกไปรับลูกค้า

“ไม่ได้แกล้งนะ นี่พี่ไม่โหดหรือ? พี่โหดนะ ดูหน้าพี่สิ” ล็อคจ้องหน้าเดียร์นิ่งๆ ท่าทางนั้นไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าไรนัก ในความคิดเดียร์ ดูอ่อนโยนมากกว่า… คนตัวเล็กเผลอขำออกมาเบาๆ  ล็อคเห็นอย่างนั้น อดยิ้มตามไม่ได้ ..

“เจ้าของร้านข้าวแกงที่พี่ข้าวกับพี่ปิ่นเคยทำ มันเป็นพวกเฒ่าหัวงูน่ะ” คนตัวโตเอ่ยพลางเดินไปประจำแคชเชียร์

เดียร์วางถ้วยไอศกรีมที่จัดเสร็จแล้ว เตรียมออกไปเสิร์ฟ แต่ต้องชะงักเพราะคำพูดของล็อค  คนตัวเล็กเบิกตากว้าง  ยกไอศกรีมไปเสิร์ฟเสร็จ รีบกลับมาคุยกับเจ้าของร้านต่อ

“อย่างนี้ พี่ข้าวกับพี่ปิ่นไม่แย่หรือ?”

“เลยลาออกแล้วมาทำที่ร้านนี้ไง” ล็อคยิ้มอ่อนโยนไปให้

เดียร์ผละเข้าไปอยู่หน้าถังไอศกรีม เผลอมองพี่ข้าวกับพี่ปิ่นที่กำลังเรียนรู้เมนูไอศกรีมอยู่กับโต้ง

พี่ทั้งสองคนน่ารัก… ตัวเล็กๆ ผิวขาวเนียน… ริมฝีปากอมชมพู เดียร์เองยังแยกไม่ออกเลยว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย

ถ้าเจอเฒ่าหัวงูอย่างนั้น….คงลำบากแย่

“คิดอะไรอยู่อีกแล้วใช่ไหม?” เสียงกระซิบดังอยู่ริมหู เดียร์ผงะหนีทันทีตามสัญชาตญาณ

“เมื่อไหร่นายจะเลิกผลุบๆโผล่ๆแบบนี้สักทีฮะ!” เดียร์เผลอวาดแขนตีที่แขนล่ำ เรียกเสียงร้องโอดโอยเบาๆจากร่างสูงได้

“พอตีผมได้ นี่เอาใหญ่เลยนะ” วายุแสร้งร้องโอดโอย คนตัวเล็กหันมายู่หน้าใส่ร่างสูง ท่าทางน่ารักจนวายุอยากจะฟัดใบหน้าใสๆนั่นสักทีสองที

เดียร์รู้สึกถึงสายตาของใครสักคนที่มองมา เงยหน้ามองไปทางวายุ  เห็นวายุกำลังมองออกไปนอกร้าน แต่ยังยืนข้างกันไม่ไปไหน สอดส่ายสายตามองไปเรื่อยๆ จนปะทะเข้ากับสายตาของเจ้าของร้านที่อยู่ตรงแคชเชียร์

ล็อคส่งสายตานิ่งๆมาทางเดียร์  คนตัวเล็กเผลอสะดุ้งสุดตัว เหมือนเด็กที่แอบขโมยขนมไปกินแล้วถูกจับได้ แต่ตอนนี้ ถึงเดียร์จะไม่ได้ขโมยขนมใคร แต่ความรู้สึกที่พยายามแอบทำอะไรบางอย่างมาตลอด … เหมือนมันกำลังถูกเปิดเผยอย่างไรไม่รู้…

“คุยกับใครอยู่หรือ?” คนตัวโตยิ้มให้น้อยๆ คำถามที่ทำเอาเดียร์ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ

ล็อคนึกไปถึงวันนั้น ที่โต้งกับพู่กันเล่าเรื่อง ‘ความสามารถพิเศษของเดียร์’ ให้ฟัง  …หลังจากวันนั้น ล็อคแอบสังเกตมาพักหนึ่งแล้ว เพิ่งเห็นจังๆก็วันนี้

“เอ่อ…พี่ล็อคคงไม่ได้หาว่าผมเป็นบ้าใช่ไหม? คือผม…” เดียร์ไม่รู้ว่าตัวเองจะเริ่มพูดยังไง จะให้พูดความจริง ไม่รู้ล็อคจะเชื่อไหม จะให้โกหก ก็ไม่รู้จะโกหกว่าอะไร โอ๊ยยย ไอ้เดียร์!!

“พี่พอรู้มาบ้างน่าว่าเดียร์เห็น…เอ่อ..พี่แค่…ช็อค…นิดหน่อย” ล็อคว่าพลางยิ้มแหยๆมาให้เดียร์ คนตัวโตเกาท้ายทอยน้อยๆ หันไปรับลูกค้าที่มาเช็คบิล

เดียร์อยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆสักทีสองที  ไม่ได้โมโหคนที่บอกพี่ล็อค แต่เดียร์ทำอะไรไม่ถูก


รู้สึกโล่งขึ้นมานิดหนึ่ง ที่พี่ล็อครู้ แต่ไม่ได้โล่งทั้งหมด เพราะดูเหมือนพี่ล็อคจะช็อคอย่างที่ว่าจริงๆ

… กลัวว่าพี่ล็อคจะกลัว ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เดียร์มองเห็นด้วย

“เพราะนาย!” เดียร์หันไปชี้หน้าร่างสูงอย่างคาดโทษ ผลักประตูบานพับที่กั้นส่วนของพนักงานเอาไว้ เดินออกไปรับออเดอร์ลูกค้า

วายุมองตาม…อมยิ้มน้อยๆกับท่าทางนั้น

“เดียร์เห็นกู แต่ไม่เห็นมึงหรอก” วายุส่งสายตาไปทางเจ้าของร้าน หัวเราะในลำคอ ก่อนหายไปนั่งเล่นที่หน้าร้าน

วายุเดินทะลุกระจกใสของร้านไอศกรีม นั่งกินลมชมวิวกับบรรยากาศหน้าร้าน  พลันสายตาคมก็สะดุดเข้ากับคนตัวเล็กที่คุ้นเคย ร่างเล็กๆนั้นมุ่งหน้ามายังร้านไอศกรีม สีหน้าดูสดใส..กว่าเมื่อหลายวันก่อน

วายุมองตามจนคนตัวเล็กที่ว่า เดินเข้าไปในร้าน ร่างสูงไม่รอช้า รีบตามไปติดๆ

“อาโป” เสียงใสของพนักงานในร้าน เรียกชื่อน้องรหัสลั่น

เจ้าของชื่อยิ้มแป้นเข้าไปหารุ่นพี่ “พี่เดียร์..คิดถึงจัง” อาโปถลาไปกอดเอวรุ่นพี่ตัวเล็กแน่น ถึงเดียร์จะยังดูไม่เข้าใจกับสถานการณ์นี้เท่าไร แต่ก็กอดตอบรุ่นน้องแน่นๆไม่ต่างกัน

เดียร์จูงมืออาโปมานั่งที่โต๊ะว่าง  วางถาดเปล่าไว้บนโต๊ะ 

“เป็นไงบ้างเรา?” เดียร์จับมือรุ่นน้องไว้แน่น สังเกตว่าสีหน้าอาโปดูสดใสกว่าหลายวันก่อนมาก 

เดียร์กับอาโปคุยกันไปเรื่อย อาโปแอบบ่นถึงอาจารย์บางท่านให้ฟัง เดียร์อดไม่ได้ บ่นไปกับรุ่นน้อง จนอาโปเริ่มพูดถึงพี่ชายตัวเอง

“พี่วายุ…..” อาโปชะงัก ยิ้มแป้น  แต่ชื่อที่อาโปเอ่ย ทำเอาเดียร์ใจกระตุก รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“วายุทำไม?” น้ำเสียงเดียร์แสดงอาการร้อนรน จนรุ่นน้องต้องรีบเอ่ยขัด

“พี่วายุไม่ได้เป็นอะไรครับ แต่ว่า…” อาโปชะงัก เดียร์เผลอลุ้นตาม “พี่วายุ…ดีขึ้นบ้างแล้วครับ”

จบประโยค เดียร์เผลอร้องลั่นด้วยความดีใจ ทุกคนในร้านหันมามองเดียร์เป็นตาเดียว คนตัวเล็กรีบยกมือไหว้กล่าวขอโทษ

เดียร์สบตากับรุ่นน้อง ดวงตาใสๆของอาโป มีความสุขจนเดียร์ไม่กล้าถามอะไรอีก เผลอสบตากับวายุ ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้

หรืออาการของวายุ…คือสัญญาณอะไรบางอย่าง?


# My dear





เริ่มมีสัญญาณอะไรบ้างแล้ว ^^

แสดงความคิดเห็นกันหน่อยน่อ TT''

พอลงเนื้อเรื่องยาวๆแล้วแอบตาลาย ^^''




เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^


หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 12
เริ่มหัวข้อโดย: t_cus ที่ 16-06-2014 15:20:50
น้องเดียร์น่าร้ากกก  :mew1:

รอตอนต่อไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 13
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 18-06-2014 01:25:19

Chapter 13




เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นในตอนเช้า เจ้าของนาฬิกาปรือตาน้อยๆ หาที่มาของเสียง พอเจอตัวการแล้ว จัดการตะปบปิดสุดแรง เมื่อทุกอย่างอยู่ในความสงบ คนตัวเล็กพลิกตัวหนีนาฬิกาที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ เข้าสู่นิทราต่อทันที

ทันใดนั้น เดียร์รู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออก เหมือนถูกของหนักทับลงบนร่างกาย เดียร์พยายามออกแรงเปลี่ยนท่านอน บางทีอาจเป็นเพราะนอนผิดท่า เลือดในร่างกายจึงไม่ไหลเวียน หากแต่คนตัวเล็กไม่สามารถขยับกายได้เลยแม้แต่นิดเดียว  พยายามเปล่งเสียงร้องออกไป เผื่อว่าจะมีใครช่วยได้บ้าง แต่เดียร์ไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้เลย คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดูดพลังงานออกไปจนหมด เดียร์กลั้นใจลองพยายามลืมตาขึ้น  … ลืมตาได้ง่ายกว่าที่คิด กระพริบตาน้อยๆ ปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างในตอนเช้า ภาพตรงหน้าค่อยๆชัดเจนขึ้น ดวงตาใสเบิกกว้างทันที

วายุ!!!!!

ร่างสูงแนบริมฝีปากประทับริมฝีปากอมชมพูของคนตัวเล็กมาพักใหญ่ ไม่เห็นเดียร์มีปฏิกิริยาตอบสนอง มิน่าล่ะ ขนาดนาฬิกาปลุกดังขนาดนั้น ยังเอาไม่อยู่

ทีแรก วายุเพียงจะแกล้งเล่นๆ แค่กระซิบปลุกเบาๆ แล้วรอให้เดียร์ตื่นมาโวยวายเล่นๆ แต่ครานี้ ต่างออกไป…

ไหนๆก็สัมผัสคนตัวเล็กได้แล้ว…ใช้โอกาสนี้ให้คุ้มสิ

วายุตัดสินใจแนบริมฝีปากเข้ากับแก้มเนียน แต่คนตัวเล็กยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่น พอเป็นอย่างนั้น กลายเป็นว่ายิ่งเปิดโอกาสให้วายุได้สัมผัสคนตัวเล็กมากขึ้น  ริมฝีปากหนาแนบลงไปบนริมฝีปากอมชมพูทันที

ยิ่งสัมผัส ยิ่งหลงใหล …

ร่างสูงใหญ่ของวายุ คร่อมทับร่างของคนตัวเล็กช้าๆ สองมือหนารวบข้อมือคนตัวเล็กกดแนบไว้กับเตียง  ใช้น้ำหนักตัวกดทับขาเรียวเล็กทั้งสองข้างไว้  ริมฝีปากยังคงกอบโกยสัมผัสหวานชื่นจากคนใต้ร่าง …  กลิ่นกายของคนตัวเล็กค่อยๆกระทบโสตสัมผัสของวายุ  ร่างสูงยกยิ้มอยู่ในใจ

 … ไม่ต้องรอให้เข้าร่างได้  ก็ได้กลิ่นกายของคนตัวเล็กได้นี่หว่า….

เดียร์ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา คนตัวเล็กดิ้นสุดแรง เหมือนลมหายใจใกล้จะหมดจากปอด พยายามส่งเสียงโวยวายออกไป แต่ทำได้ยากเหลือเกิน

วายุเห็นอย่างนั้น ได้แต่ยอมผละออกให้อย่างอ้อยอิ่ง แค่ยอมละจูบให้เท่านั้น ร่างสูงใหญ่ไม่ได้ลุกออกไปจากคนตัวเล็กเลย

“นายทำบ้าอะไรฮะ!!” คนตัวเล็กตวาดลั่น พยายามกอบโกยอากาศเข้าปอดไปด้วย เห็นวายุอมยิ้มน้อยๆ …น่าหมั่นไส้! ท่อนแขนเล็กพยายามดันไหล่กว้างให้ออกไปจากร่างกายตัวเอง แต่วายุกลับไม่ขยับเลยสักนิด

“มันหนักนะ! ออกไป” เดียร์รวบรวมแรงอีกครั้ง ดันไหล่กว้างจนสุดแรง วายุรวบข้อมือบางทั้งสองข้างไว้แน่น

“ทำไมขี้เซาจังนะ? ถ้ารู้ว่าปลุกแบบนี้แล้วจะตื่น ผมปลุกตั้งนานแล้ว”  ไม่พูดเปล่า ร่างสูงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าใส  คนตัวเล็ก เผลอเม้มปากแน่น หลับตาปี๋ … วายุกดริมฝีปากแนบแก้มใสทันที  …โทษฐานมาทำท่าน่ารักใส่

“ไอ้บ้า! ปล่อยนะ …อื้อ…วายุ!! หยุด!! อื้อ!”

คนตัวเล็กดิ้นหนีริมฝีปากหนาที่เริ่มคลอเคลียเข้าใกล้ริมฝากอีกครั้ง  พยายามหันหน้าหนี แต่วายุก็ดักไว้ได้ทุกทาง   เรี่ยวแรงของเดียร์ไม่สามารถสู้แรงมหาศาลของวายุได้  คนตัวเล็กยกขาปัดป่ายไปมา พยายามดึงมือออกจากการถูกตรึง แต่ทำไม่ได้เลย เมื่อเดียร์ยังถูกวายุฉกพลังงานไปเสียเกือบหมดตัวแบบนี้

วายุสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็ก ดูดชิมเหมือนผึ้งที่ควานหาน้ำหวานในดอกไม้ ลิ้นเล็กเอาแต่ถดหนี วายุบดริมฝีปากแนบชิดมากยิ่งขึ้น สอดเรียวลิ้นประสานกับลิ้นเล็กได้ในที่สุด

…ร่างสูงยิ้มพอใจอยู่ในอก

“ไอ้เดียร์!!!” เสียงของเพื่อนร่วมห้องดังเข้ามา เดียร์พยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย วายุยังคงแนบริมฝีปากอยู่แบบนี้

“เป็นไรวะ!!” เดียร์ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน แต่ได้ยินเสียงพู่กันตอนนี้ เดียร์รู้สึกโล่งขึ้นมานิดหนึ่ง แต่พู่กันจะช่วยเขายังไงล่ะวะ! ไม่ต่างกับพู่กันที่ได้แต่เดินไปทั่วห้อง อย่างทำอะไรไม่ถูก

จะเข้าห้องมาเอาของ แต่เจอเดียร์นอนดิ้นอยู่แบบนี้!

“อื้อ!!!” เดียร์ส่งเสียงออกไปในลำคอ พลางทุบแผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่คร่อมทับอยู่ ร่างเล็กหลับตาแน่น ลิ้นเล็กยังถูกเกี่ยวกระหวัดไม่ปล่อย จนพ่อคุณเขาพอใจแล้วนั่นแหละ เดียร์ถึงได้หายใจด้วยตัวเองได้  วายุยอมลุกออกจากร่างเล็ก เดียร์รีบชันตัวนั่ง ดันตัวเองหนีวายุไปจนชิดหัวเตียง

“มึงเป็นไรวะ?!” พู่กันถามร้อนรน นั่งลงข้างๆเพื่อนตัวเล็ก เอื้อมมือไปอังหน้าผากเพื่อน… บางทีมันอาจจะไม่สบาย ไอ้เดียร์มันถึงได้หน้าแดงแบบนี้

“กู….กูโดนผีอำ”

“ฮะ?!”

คำตอบของเดียร์ทำเอาพู่กันอดตกใจไม่ได้ อยู่กับไอ้เดียร์มาตั้งนาน ถึงมันจะบอกว่ามันเห็นวิญญาณได้ แต่มันก็ไม่เคยบอกว่ามันถูกผีอำ

เดียร์พยายามไม่สบตาวายุ ไม่รู้ว่าจะเจอสายตาแบบไหนตอบกลับมา

เพิ่งถูกมันจูบมาเลยนะเว้ย! จูบแรกน่ะจูบแรก!

โธ่ว้อย! ไอ้วายุ!

หัวเสียอยู่คนเดียว มีพู่กันนั่งไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงอยู่ข้างๆ 

“สายแล้วนะเว้ย” เดียร์ทักออกไปในที่สุด หลังจากเจอพู่กันปลอบมาพักใหญ่

 “มึงอยู่คนเดียวได้หรือวะ? ..”

“กูสบายดี ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูเคลียร์เอง หรือมึงจะอยู่ช่วยกูเคลียร์?” เดียร์ล้อพู่กันเข้าให้  พู่กันรู้ว่า ‘เคลียร์’ ของเดียร์ที่ว่า คือ ‘เคลียร์’ กับอะไร …  ไม่นาน พู่กันขอตัวไปเรียนทันที ปล่อยให้เดียร์อยู่ ‘เคลียร์’ไปแล้วกัน อย่างน้อยก็คุยกันรู้เรื่อง

พู่กันออกไปแล้ว… เดียร์มองร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกล  แค่นั้น เดียร์รีบวิ่งลงจากเตียงทันที เดินหนีออกจากห้องนอนไปที่โซฟา

สายตาวายุน่ากลัวเหลือเกิน…

สายตาที่มองเดียร์ราวกับจะกลืนกินเดียร์ไปทั้งตัว

“ตื่นแล้ว ยังจะมานั่งหมกตัวอยู่อีก”

วายุตามไปนั่งเบียดคนร่างเล็กบนโซฟา จงใจให้ท่อนขาเรียวเล็กพาดหน้าแข้งหนา เดียร์กระเถิบหนีไปจนสุดขอบโซฟา ตั้งท่ารับมือเต็มที่

พยายามหนีไปก็คงหนีไม่พ้น เมื่อวายุเดินทะลุทุกอย่างบนโลกใบนี้ ได้

ถ้าหนีเข้าห้องน้ำ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าวายุจะไม่ตามเข้าไปด้วย

“เมื่อกี๊ก็กว่าจะตื่น ผมต้องช่วยปลุกเลยนะ หรือต้องให้ผมอาบน้ำให้ด้วย โอเค ได้” วายุยื่นแขนออกไปหาคนตัวเล็ก ยังไม่ทันโดนตัว เดียร์รีบปัดมือหนาออกจากระยะอันตรายทันที

“อาบเองได้ ไม่ต้องยุ่ง!” เดียร์เผลอกัดริมฝีปากล่างแน่น

คนมีเรียนตอนบ่าย แต่ถูกปลุกตั้งแต่เช้า

มันหงุดหงิดนะ!!!

“ทำไมชอบกัดปากตัวเอง หืม? มันสนุกนักหรือไง ไหนผมลองบ้างสิ” วายุยื่นมือไปจับแขนบาง ดึงร่างเล็กๆเข้ามาใกล้ตัว มือบางปัดป้องพัลวัน วายุต้องใช้มือทั้งสองข้างรวบข้อมือเล็กไว้ วายุยื่นใบหน้าเข้าใบใกล้ใบหน้าใส ปลายจมูกคมสัมผัสปลายจมูกของคนในอ้อมแขน

เดียร์เม้มริมฝีปากแน่น หลับตาปี๋ หนีสายตาคมของร่างสูง

วายุหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ

“แค่ผมจูบเมื่อกี๊มันก็แดงเจ่อพอแล้ว แล้วไปกัดปากตัวเองแบบนี้มันยิ่งแดงเข้าไปใหญ่เลย ดูสิ”  ริมฝีปากหนาประทับจูบเบาๆลงไปที่ริมฝีปากเล็ก 

“อย่ากัดปากตัวเองอีกนะ ถ้ากัดอีก ผมจะกัดให้เอง”

วายุยอมปล่อยร่างในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ

เดียร์รู้สึกหายใจติดขัด รวบรวมสติ ปรับอุณหภูมิในร่างกาย

อยากจะต่อว่าด่าทอใส่ร่างโปร่งแสงตรงหน้า แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เดียร์ได้แต่หายใจเข้าออกแรงๆ หวังว่าจะระบายอารมณ์ทั้งหมดออกไปได้บ้าง

“ไปอาบน้ำได้แล้ว ผมไม่แอบดูหรอก”

วายุว่าพลางเอนกายยืดแขนทั้งสองข้างวางไว้บนพนักโซฟา สายตามคมมองไปทางร่างเล็กที่ยังนั่งจ้องหน้าเขาเหมือนโมโหมาเป็นชาติ  ท่าทางน่ารักจนวายุอดใจไม่ได้ ยื่นนิ้วใบไล้แก้มใสเล่นเบาๆ

“ที่ไม่ไปนี่เพราะอยากให้ผมอาบให้จริงๆใช่ไหม?”

แค่นั้น เดียร์ก็วิ่งลงจากโซฟาทันที ยังไม่วายมีหันกลับมามองวายุเป็นระยะๆด้วย  วายุหัวเราะในลำคออย่างพอใจ

ใช้เวลไม่นาน คนตัวเล็กก็ออกมาจากห้องน้ำ

วายุแอบจับเวลาเล่นๆ …ช่วงนี้เดียร์ทำสถิติอาบน้ำได้เร็วขึ้นแฮะ

ร่างเล็กเดินไปที่มุมหนังสือ บนโต๊ะญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ มีโน้ตบุ๊ควางอยู่ เดียร์เปิดโน้ตบุ๊คเล่น ไม่สนใจอีกร่างที่อยู่ด้วยกัน

“โห มีแต่ผู้ชายทักแชทมาเต็มเลย” เสียงที่เดียร์ไม่ค่อยอยากได้ยิน ดังอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กพยายามทำเป็นหูทวนลม ควานหาหูฟังมากั้นโลกซะ แต่วายุออกแรงรั้งหูฟังไว้จนได้  เดียร์เผลอเหลือบตามองวายุ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาด สายตาหมายมาดแบบนั้น มันทำให้เดียร์ทำอะไรไม่ถูก

“จะเปิดเพลงก็เปิด จะเล่นเฟสก็เล่น จะทำอะไรก็ทำ ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ”

คำพูดนั้น ทำให้เดียร์เริ่มควันออกหู

“ไม่ต้อง! นายนั่นแหละ จะไปไหนก็ไป” ว่าจบเดียร์ก็หันมาเสียบหูฟังกับตัวเครื่อง ยังไม่ทันเสียบหู หูฟังก็ถูกกระชากออกไป

“อยู่ด้วยกัน อย่าทำเหมือนอยู่คนเดียวสิ” สายตาออดอ้อนถูกส่งตรงมาให้คนตัวเล็ก เดียร์รู้สึกเหมือนความร้อนในร่างกายทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่ใบหน้า ยอมวางหูฟังไว้ข้างตัว เปิดเพลงโดยใช้ลำโพง

วายุยกยิ้มน้อยๆ…

“เห็นไหม ตื่นแต่เช้า ทำอะไรได้ตั้งเยอะ ดีกว่านอนอยู่เฉยๆอีก”

วายุพูดออกมาเบาๆ สายตาคมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็กที่วางไว้ข้างตัว ไม่รอให้เจ้าของเครื่องรู้ตัว วายุฉกมันมาทันที

“เขาเรียกว่าออมแรง เข้าใจไหม?” เดียร์เผลอหันไปต่อคำกับร่างสูง ทันทีที่รู้สึกตัว คนตัวเล็กรีบหันหน้าหนีมาจดจ่อกับหน้าจอคอมฯทันที

วายุเลือกที่จะส่งยิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็ก แทนประโยคตอบโต้

เห็นท่าทางหงุดหงิดของเดียร์แล้ว อยากจะฟัดเข้าให้จริงๆ…

วายุหันมาจอจ่อกับโทรศัพท์มือถือของคนตัวเล็ก กดเข้าไปดูโซเชียลเนทเวิร์คทั้งหลายแหล่ที่คนตัวเล็กล็อคอินไว้
ในเฟสบุ๊คมีคนที่เพิ่มเพื่อนมาแล้วเดียร์ไม่รับตั้งหลายคน ในแชทบ็อกซ์ เต็มไปด้วยข้อความทักทายของผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งชายทั้งหญิง วายุไล่เปิดดูไปเรื่อยๆ บางอันเดียร์ก็ตอบ บางอันเดียร์ก็ไม่ตอบ เท่าที่สังเกต เดียร์ไม่ค่อยต่อบทสนทนายาวๆกับคนที่ไม่รู้จัก

ส่องจนพอใจแล้ว วายุล็อคเอ้าท์เฟสบุ๊คของเดียร์ แล้วล็อคอินเฟสบุ๊คของตัวเองบ้าง

ไม่ได้เล่นอะไรแบบนี้ตั้งหลายเดือน … ในนั้นมันจะเป็นยังไงบ้างนะ

เดียร์กับวายุหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเองกันพักใหญ่ จนเดียร์ร้องลั่นว่าใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว นั่นแหละวายุเลยรีบโยนมือถือไปข้างๆเดียร์

เดียร์ที่ควานหาโทรศัพท์มือถือได้ก็คว้ากระเป๋าที่เตรียมไว้ วิ่งออกไปจากห้องทันที



ไปเรียนวันนี้ เดียร์ได้รับข่าวจากอาจารย์ ว่าสัปดาห์หน้ามีลงภาคสนาม  ตกเย็นวันนั้น เดียร์จึงต้องหาจังหวะลางานไว้ล่วงหน้ากับเจ้าของร้านเลย

“โต้งด้วยหรือ?” ล็อคถามโต้งที่ยืนขนาบข้างอยู่ไม่ไกลเพื่อนตัวเอง

“ใช่ครับ พวกผมสองคนต้องไปลงภาคสนามอาทิตย์หน้า ไปประมาณสามวัน ผมเลยรีบแจ้งไว้ก่อน เผื่อฉุกละหุก” เดียร์เป็นคนอธิบายเรื่องราว มีโต้งรับคำเป็นลูกคู่

ล็อคแอบถอนหายใจเบาๆ มองไปยังพนักงานใหม่ทั้งสองคนที่กำลังรับ-ส่งลูกค้าอยู่

“ดีนะที่ได้พี่ข้าวกับพี่ปิ่นแล้ว ไม่งั้นพี่คงไม่รู้จะทำยังไง” ล็อคส่งสายตาเว้าวอนมาทางเดียร์ โต้งที่เห็นสายตาของเจ้าของร้านแล้วเผลอกระแอมเสียงดัง เรียกสติล็อคได้บ้าง

“ผมขออนุญาตไปทำงานก่อนนะครับ” โต้งว่าจบก็หายตัวเข้าไปที่อ่างล้างจาน เดียร์เห็นอย่างนั้นก็ขอตัวไปทำงานบ้าง

เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น ก่อนลูกค้าตัวเล็กที่ล็อคเริ่มคุ้นหน้า จะก้าวเข้ามา

ล็อคเผลอมองรอยยิ้มสดใสของคนตัวเล็กที่ก้าวตรงไปทักทาย’พี่รหัส’แล้วเผลอยิ้มตาม

รอยยิ้มที่เดียร์ส่งไปให้น้องรหัส…ช่างหวานไม่แพ้กันทั้งพี่ทั้งน้องเลย

เดียร์พาอาโปมานั่งที่โต๊ะว่าง รับออเดอร์จากรุ่นน้องได้ก็เข้าไปจัดการไอศกรีมถ้วยใหญ่มาให้รุ่นน้องตามหน้าที่ของพนักงาน

“ช่วงนี้อารมณ์ดีจังนะ~” เดียร์เห็นอาโปยิ้มแย้มร่าเริง อดทักไม่ได้ แต่อยู่คุยด้วยนานๆไม่ได้ ล็อคเริ่มส่งสายตาไล่ให้ไปทำงานแล้ว

อาโปกินไอศกรีมไปพลาง คอยอมยิ้มมาให้เดียร์เรื่อยๆ

ดูท่าว่าน้องรหัสเขา คงจะมีความสุขมากๆ

อาโปนั่งมองบรรยากาศรอบๆร้าน  เสียงเพลงเบาๆที่เปิดคลอ ทำให้ร้านดูมีชีวิตชีวามากขึ้น …อาโปซึมซับความรู้สึกเหล่านั้นไว้เต็มอก

อาโปหยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่นฆ่าเวลา

เขาอยากอยู่ใกล้ๆพี่เดียร์ อยากกินไอศกรีมเย็นๆ

อยากอยู่แบบนี้นานๆ นั่งเล่นโทรศัพท์ตอนนี้คงไม่เป็นไรหรอก

อาโปเข้าเช็คแจ้งเตือนในโซเชียลเน็ทเวิร์คตามความเคยชิน

เข้าเฟสบุ๊ค….กดดูไปเรื่อยๆ… ทั้งแจ้งเตือน ทั้งแชทบ็อกซ์

…รู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ

อาโปพยายามหาสาเหตุของความรู้สึกนั้น พลันสังเกตเห็นจุดกลมๆสีเขียวที่แสดงสถานะออนไลน์ของใครบางคน
คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น

พี่วายุ?

เฮ้ย…พี่วายุจะเล่นได้ยังไง พี่เขายังนอนต่อท่อออกซิเจนอยู่ที่โรงพยาบาล คงไม่ได้ฟื้นเมื่อเช้าแล้วมาเล่นโทรศัพท์ได้ตอนนี้หรอก

หรือเพื่อนของพี่วายุ?

แต่พี่วายุหวงเรื่องส่วนตัวยิ่งกว่าอะไร จะเพื่อนหรือแฟนก็คงไม่ให้ใครรู้รหัสผ่านทั้งนั้น

แล้ววงกลมสีเขียวกับชื่อที่ขึ้นอยู่นี่…

มาได้ยังไง?

วายุนั่งมองน้องชายสุดที่รักมาพักใหญ่ เห็นน้องนิ่งไป เลยก้มไปดูหน้าจอโทรศัพท์น้องบ้าง

ฉิบหาย…

“เดียร์…ผมยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”วายุเข้าไปหาร่างเล็กที่จัดไอศกรีมอยู่

เดียร์หันมามองอย่างไม่เข้าใจ “เอาไปทำไม?”

“น่านะ…ให้ผมยืมหน่อย แป๊บเดียว เดี๋ยวให้คืน” วายุกระพริบตาปริบๆ หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือ แต่เดียร์กลับเดินหนีเสียดื้อๆ วายุรีบเดินตามทันที

“ผมไม่โทรหาสาวที่ไหนหรอกน่า ผู้ชายก็ไม่มีด้วย น่านะเดียร์” ประโยคนั้นทำให้เดียร์หันมามองเจ้าของประโยคทันที  วายุได้แต่ยิ้มแหยๆไปให้

“จะเอาไปทำอะไร?” ร่างเล็กถามอีกครั้ง  วายุชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกำลังเรียบเรียงเรื่องราว ในที่สุดวายุก็ยอมเล่าให้ฟัง

“เมื่อเช้าผมล็อคอินเฟสบุ๊คไว้ในโทรศัพท์เดียร์ ผมไม่รู้ว่าเดียร์ได้กดออกหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมยังออนไลน์อยู่ในเฟสบุ๊คอยู่เลย อาโปเห็นแล้ว” วายุชี้ไปทางร่างเล็กๆของน้องชายตัวเอง

เดียร์อ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน มือบางควานหาโทรศัพท์ขึ้นมากดดู

เป็นอย่างที่วายุว่าจริงๆ… ชื่อบัญชีผู้ใช้มันไม่ใช่ชื่อเดียร์ แค่รูปประจำตัวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ เดียร์ลนลานรีบล็อคเอ้าท์ทันที

“ทำไมสะเพร่าอย่างนี้ฮะ?!” เดียร์แค่นเสียงลอดไปทางไรฟัน โวยวายเสียงดังไม่ได้ ลูกค้ายังนั่งอยู่เต็มร้าน

วายุ ยกมือในท่าพนม ถูมือไปมาตรงหน้าเดียร์ เป็นเชิงขอโทษ ยิ้มแหยๆไปให้คนตัวเล็ก

“แล้วอย่าขโมยโทรศัพท์ไปเล่นอีก ไม่ชอบ”

“ขอโทษคร้าบ..”



# My dear


ทักทายคุณ t_cus ค่ะ ^^

ขอบคุณที่ติดตามน้องเดียร์ค่ะ  :mew3:



หาคนคุยด้วย ไม่มีใครคุยด้วยเลย TT''

 

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 14
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 19-06-2014 11:48:39

Chapter 14





เดียร์มาทำงานที่ร้านไอศกรีมหลังเลิกเรียนเหมือนทุกวัน

เดียร์เห็นพี่ข้าวกับพี่ปิ่นวิ่งทำงานกันให้วุ่น ไม่รู้เดียร์รู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่าตั้งแต่มีพี่ข้าวกับพี่ปิ่นมาช่วยงานในร้าน ลูกค้าที่เยอะอยู่แล้ว กลับเยอะมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะลูกค้าผู้ชาย 

เดียร์โยนกระเป๋าสะพายไปเก็บใต้เคาน์เตอร์ หยิบผ้ากันเปื้อนมาคาดเอว เดินไปรับลูกค้าที่เข้ามาในร้านเรื่อยๆ

พี่ข้าวกับพี่ปิ่นยังอยู่หน้าถังไอศกรีมกันทั้งคู่ โต้งยังไม่มา ส่วนพี่ล็อค  ไม่รู้วันนี้เข้าร้านหรือเปล่า เจ้าของร้านจะมาหรือไม่มาก็ได้ แต่เดียร์ก็ยังเห็นพี่ล็อคมาแทบทุกวัน ไม่ยอมขาดเลยแม้แต่วันเดียว

ลูกค้าเดินเข้ามาระหว่างที่เดียร์กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ

ชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าชะงักไปนิดที่เดียร์เข้าไปต้อนรับ

“เชิญครับ” เดียร์ส่งยิ้มไปให้ แต่ดูท่าว่าลูกค้าคนนั้นไม่ได้สนใจเดียร์เลย เอาแต่มองไปรอบๆร้าน เหมือนกำลังหาใครอยู่ ขนาดเดียร์พาเดินมาจนถึงโต๊ะแล้ว ยังไม่สนใจเดียร์เลย

เดียร์ยื่นเมนูให้ลูกค้า บอกว่าอีกสักครู่จะมารับเมนู

“ลูกค้าคนนั้นเขาดูแปลกๆ” เดียร์เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ พึมพำเบาๆ ข้าวกำลังตักไอศกรีมใส่ถ้วยอยู่ หันมามองเดียร์แว้บหนึ่ง

“ทำไมหรือ?” ข้าวถามพลางตกแต่งไอศกรีมเตรียมยกไปเสิร์ฟ

“ไม่รู้สิครับ คนนั้น…” เดียร์ส่งสายตาไปที่ลูกค้าชายคนนั้น ข้าวมองตามสายตาเดียร์  เห็นว่าเดียร์มองใครอยู่ ข้าวเผลอนิ่งไปชั่วครู่

“เอ่อ…พี่ไปเสิร์ฟไอศกรีมก่อนนะ” ข้าวก้มหน้าน้อยๆ เดินเลี่ยงออกไปอีกทาง  เดียร์ได้แต่มองตามข้าวนิ่งๆ

ไม่นานพี่ปิ่นกับพี่ข้าวก็เดินกลับเข้ามาด้วยกัน พี่ข้าวพูดอะไรกับพี่ปิ่นไม่รู้ ท่าทางดูเครียดๆ  เดียร์เผลอสบตากับพี่ข้าวที่ยิ้มแหยๆมาให้ เดียร์ได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆตอบไป  แค่นั้น เดียร์ก็ต้องขอตัวออกไปรับออเดอร์ของลูกค้าก่อน

“ดูแปลกๆเนอะ สงสัยจะมีซัมธิง” เสียงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเดียร์แบบนี้ จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากร่างโปร่งแสงที่ตามเดียร์มาตลอด

เดียร์ไม่ได้หันไปตอบประโยคของวายุ เดียร์รับออเดอร์จากลูกค้าที่มีท่าทีแปลกๆคนนั้น กำลังจะเดินกลับ ลูกค้าก็เรียกไว้อีกครั้ง

“ขอโทษนะครับ…ให้ข้าวมาหาผมหน่อยสิ”

เดียร์ชะงักไปหลายวินาทีทีเดียว..

อยากเจอพี่ข้าว?

สงสัยคงเป็นคนรู้จักกัน…

เดียร์รับคำจากลูกค้าหนุ่ม ตั้งใจจะเดินไปเรียกพี่ข้าว

ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรบอกพี่ข้าว เป็นพี่ข้าวซะอีกที่ดูลุกลี้ลุกลน เป็นฝ่ายเข้ามาหาเดียร์ก่อน

“ถ้าเขาถามหาพี่ บอกเขาว่าพี่ไม่อยู่นะ” ข้าวถูมือตัวเองไปมา สีหน้าดูกังวลจนผิดปกติ

เดียร์ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆไปให้ “ผมบอกเขาไปแล้วว่าพี่ข้าวอยู่…”

ข้าวแทบทรุดตอนได้ยินประโยคนั้นจากน้องตัวเล็ก

เดียร์ไม่รู้ว่าพี่ข้าวกับผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกัน หรือมีเรื่องอะไรกัน แต่ท่าทางของพี่ข้าวตอนนี้ ทำเอาเดียร์รู้สึกผิดยังไงไม่รู้สิ…

ข้าวเดินไหล่ตกไปหาชายหนุ่มโต๊ะนั้น เดียร์แอบมองตามอยู่เงียบๆ  พี่ปิ่นก็คอยลุ้นอยู่ข้างๆด้วย  เหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะคุยอะไรกับพี่ข้าวนิดหน่อย แค่คุยน่ะคงนิดเดียว เพราะหลังจากนั้น ผู้ชายคนนั้นก็ลากพี่ข้าวออกไปจากร้านเฉยเลย  ไม่สนใจพี่ข้าวที่พยายามดิ้นให้หลุดจากข้อมือนั้น

เดียร์อดตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ได้  ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากข้างๆ… พี่ปิ่นถอนหายใจซะดังเชียว

“เอาอีกแล้ว” ปิ่นพึมพำเบาๆ ตบไหล่เดียร์ปุๆ แค่นั้น พี่ปิ่นก็หันไปง่วนอยู่กับถังไอศกรีมเหมือนเดิม

เดียร์อยากจะถามออกไปซะเหลือเกิน แต่มันจะดูยุ่งไปหรือเปล่า ถ้าพี่เขาจะบอกก็คงจะบอกเองมั้ง จะถามดีไหม? ถามหรือไม่ถาม?

เดียร์มองตามพี่ปิ่นอยู่เงียบๆ ตัดสินใจไม่ถามอะไรออกไป ก้มมองถ้วยไอศกรีมที่ถือค้างไว้ในมือ …ที่จริงมันควรเป็นออเดอร์ของผู้ชายที่ลากพี่ข้าวออกไป ดีนะ..ยังไม่ได้ตักไอศกรีมใส่ถ้วย

ไม่นานโต้งก็เข้าร้านมา มาพร้อมพี่ล็อคซะด้วย

“โทษทีนะ พี่พาโต้งไปขนของมา เมื่อคืนพี่ลองคิดสูตรไอศกรีมเล่นๆ เลยอยากลองทำดู”

ของที่ว่านั่น ไม่พ้นพวกวัตถุดิบที่เอาไว้ตกแต่งไอศกรีม หรือส่วนผสมของเครื่องดื่มเย็นๆ ที่อยู่ในหน้ารายการอาหารของร้าน

เดียร์กำลังจะเข้าไปช่วยโต้งขนของจากรถพี่ล็อค แต่กลับถูกพี่ล็อคห้ามไว้ซะอย่างนั้น  ล็อคกับโต้งช่วยกันขนของจนเสร็จจนได้ หลังจากนั้น ล็อคมาประจำที่แคชเชียร์ ส่วนโต้งเดินเข้ามาทำงานหลังเคาน์เตอร์

เดียร์หันไปล้างผลไม้ ทั้งผลเชอร์รี่และสตรอเบอร์รี่สีแดงสด  ข้างๆเดียร์มีพี่ปิ่นคอยหยิบผลไม้เหล่านั้น จัดลงถ้วยไอศกรีม

“พี่ข้าวลาหยุดหรือครับ?” เสียงทุ้มดังมาจากแคชเชียร์ เดียร์เงยหน้าจากผลไม้ สบตากับพี่ปิ่นแว้บหนึ่ง สีหน้าพี่ปิ่นแลดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไรไม่รู้

“เอ่อ…ครับ พี่ข้าวไปทำธุระนิดหน่อยครับ” เดียร์เป็นคนตอบออกไป  ปิ่นแอบถอนหายใจเบาๆ รีบหันไปเป็นลูกคู่ทันที “ข้าวมันรีบไปทำธุระนิดหน่อยครับ เลยไม่ทันลางานด้วยตัวเอง”

ล็อคพยักหน้าหงึกหงัก คิ้วหนาขมวดน้อยๆ “พี่ข้าวไม่สบายหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงบอกผมได้นะ” ล็อคหันมาบอกปิ่นที่เริ่มตั้งตัวไม่อยู่แล้ว กระนั้นก็พยายามจบบทสนทนาให้ได้ จึงได้แต่รับคำไปเบาๆ “เอ่อ…ครับ”

การทำงานในร้านไอศกรีมดำเนินไปอย่างเช่นทุกวัน เจ้าของร้านไอศกรีมมองพนักงานแต่ละคน จากมุมประจำของเจ้าของร้าน
โต้งกำลังรับออเดอร์จากโต๊ะลูกค้าสาวกลุ่มหนึ่ง พี่ปิ่นกำลังยกไอศกรีมมาเสิร์ฟโต๊ะลูกค้าชายที่ล็อคเดาว่าโต๊ะนั้นคงเป็นนักศึกษาทั้งโต๊ะ  สายตาคมหยุดนิ่งอยู่ที่พนักงานตัวเล็กหน้าแคชเชียร์ คนตัวเล็กยิ้มส่งลูกค้าหลังจากที่ลูกค้าชำระเงินเสร็จ

เผลอนึกย้อนไปตอนที่เปิดร้านช่วงแรกๆ ตอนที่โต้งกับเดียร์มาสมัครงานที่ร้าน ล็อคสอนงานทุกอย่างในร้านให้ทั้งสองคน  ทั้งโต้งและเดียร์ทำงานได้เหมือนกันหมด ยกเว้นอยู่อย่างเดียวที่โต้งไม่ค่อยอยากจะทำนัก คืองานแคชเชียร์ โต้งให้เหตุผลว่า ไม่ถนัดนับเงิน ทอนเงิน งานนี้ค่อนข้างละเอียด ให้โต้งใช้แรงงาน ออกแรงจัดไอศกรีมลงถ้วยยังดีกว่า

ถามว่าล็อคไว้ใจโต้งกับเดียร์ไหม? ตอบได้เลยว่าไว้ใจมาก ทำงานด้วยกันมาเป็นปี เจอหน้ากันจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นครอบครับเดียวกันแล้ว

เสียงเพลงบรรเลงเบาๆคลอไปเรื่อยๆ ทำให้ร้านดูมีชีวิตชีวา บรรยากาศสดใสโอบล้อมร้านไอศกรีมแห่งนี้ไว้สายตาคมนิ่งมองพนักงานตัวเล็กที่ประจำอยู่ที่แคชเชียร์ …พลันจุดยิ้มน้อยๆประดับบนใบหน้าหล่อ

เจ้าของร้านเดินไปเปลี่ยนเพลงที่เปิดคลออยู่ เปลี่ยนเป็นเพลงสื่อความหมายเล็กๆ

…หวังว่าใครคนนั้นจะรับรู้นะ…

 เสียงดนตรีจังหวะสบายๆดังขึ้นเบาๆ… ล็อคเดินกลับมานั่งที่ประจำที่สามารถมองเห็นทุกคนในร้านได้

ถ้าคนไม่รักจะฝืนอย่างไร ทำดีแค่ไหนก็รับไม่ได้
เป็นเรื่องของหัวใจ ที่ต้องรู้และต้องเตรียมใจ
แต่คนที่รักเขาก็รักต่อไป ทำดีแค่ไหนคุณก็ไม่สนใจ
รู้ก็รู้ว่ายังห่างไกล แต่แอบคิดเข้าข้างตัวเอง


เนื้อเพลงท่อนแรกดังขึ้น… สายตาคมหยุดนิ่งที่ร่างเล็กที่ยังอยู่ที่แคชเชียร์เหมือนเดิม

อยากให้คุณมองมองตรงนี้ คนแอบรักคุณอยู่ตรงนี้
แอบส่งยิ้มเสมอ แต่คุณคงไม่สนใจ
อยากให้คุณมองมองอีกที คนแอบรักคุณอยู่ตรงนี้
แค่คุณหันมา ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้

ความรู้สึกถูกจับจ้องอยู่ ทำให้เดียร์หันกลับมาสบตาที่มาของสายตาคู่นั้น ล็อคเพียงส่งยิ้มน้อยๆไปให้ ความรู้สึกวูบวาบอัดแน่นเต็มแผ่นอกหนา เมื่อ…..ได้รับยิ้มหวานๆตอบกลับมา

ถ้าคนรักกันจะรู้อย่างไร ตั้งแต่แรกเจอหรือนานเท่าไหร่
ปล่อยตามหัวใจ ให้ความรักนำทางคุณไป
แต่คนที่รักเขาก็รักต่อไป อีกนานแค่ไหนก็จะรอเรื่อยไป
รู้ก็รู้ว่ายังห่างไกล แต่แอบคิดเข้าข้างตัวเอง

คนตัวเล็กหลบตาวูบ เพียงแค่สบตากับสายตาคู่คมแค่นั้น
ไม่รู้ว่าล็อคคิดไปเองหรือเปล่า ..แต่เขาเห็นแก้มใสขึ้นสีเรื่อ 

รู้ก็รู้ว่าคิดไปแล้ว รู้ก็รู้ก็เผลอไปแล้ว
เพิ่งจะรู้ตอนรักไปแล้วให้ถอนใจยังไงช่วยที (ช่วยที)
เฝ้าเตือนตัวเองทุกทีที่เจอ ใกล้ใกล้คุณห้ามใจไม่ไหว

เดียร์เผลอสบตากับเจ้าของร้านอีกครั้ง ร่างเล็กเผลอกัดริมฝีปากล่างแน่น

คนตัวเล็กไม่สามารถอยู่ที่แคชเชียร์ต่อไปได้แล้ว อาศัยจังหวะที่ไม่มีลูกค้ารอชำระเงิน เดินเข้าไปหลบอยู่ถังไอศกรีมทันที หวังว่าจะหนีสายตาคมคู่นั้นได้บ้าง

ทำไมสายตาพี่ล็อคมันหยาดเยิ้มได้ขนาดนั้น….

เสียงเพลงหยุดลง พร้อมๆกับที่เสียงใครบางคนดังขึ้นมา

 “เพลงเหี้ยอะไรวะ ไม่เห็นเพราะเลย!!”

เดียร์ตกใจกับเสียงตวาดนั้น เผลอมองหาที่มาของเสียง  แล้วก็ได้เจอ… วายุ…กำลังขมวดคิ้วแน่น มือหนากำเข้าหาตัวซะแน่น สายตาคมๆมองมาทางเดียร์อย่างเคืองๆ

เพลงต่อไปเริ่มบรรเลง เพลงจังหวะช้าๆ สบายๆ ชวนผ่อนคลายอารมณ์กับไอศกรีมเย็นๆ

“เป็นอะไรเดียร์ เขินหรือ? เขินกับเพลงที่ไอ้บ้านั่นมันเปิดหรือ?!!”  วายุตรงเข้ามาบีบแขนบางแน่น คนตัวเล็กยู่หน้าไปตามแรงบีบที่ดูเหมือนว่ามันจะมากขึ้น

“โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรวายุ!! มาโวยวายอะไร!!!” เดียร์พยายามแค่นเสียงตอบโต้ ยังอยู่ในร้าน ส่งเสียงดังไม่ได้ ไม่งั้นคงได้มีคนจับเดียร์ส่งศรีธัญญาแน่

วายุเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเดียร์ เลยยอมผ่อนแรงลง แต่ยังไม่ปล่อยมือออกจากแขนเล็ก

“เดียร์อย่าหวั่นไหวไปกับมันนะ อย่าฟังใครนะ อย่ามองใคร อย่าคุยกับใคร” วายุตีหน้าเข้มใส่ร่างบาง ทำเอาเดียร์ขมวดคิ้วฉับ พยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม

“นายจะบ้าหรือไง!!  หวั่นไหวอะไร เพ้อเจ้อ! แล้วนายจะให้ฉันอยู่คนเดียวบนโลกหรือไง!!! อย่าเยอะ!!” เดียร์พยามสะบัดแขนให้หลุด แต่วายุดูท่าจะไม่ปล่อยง่ายๆเลย  ดวงตาใสเหลือบเห็นใครบางคนกำลังตรงเข้ามาหลังเคาน์เตอร์

ไม่ใช่โต้ง ไม่ใช่พี่ปิ่น แต่เป็น……พี่ล็อค

เห็นอย่างนั้น เดียร์ยิ่งพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม แต่วายุกลับจับยึดแขนเดียร์ให้แน่นมากขึ้นเท่านั้น

พี่ล็อคมาแล้ว…พี่ล็อคเดินตรงเข้ามาแล้ว

“เป็นอะไรหรือเปล่าเดียร์?” ล็อคเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า เดียร์ได้แต่อึกๆอักๆ …. เผลอสบตากับล็อค ก็คิดไปถึงสายตาคมที่มองมาเมื่อครู่ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อโดยไม่ทันตั้งตัว

“ไม่สบายหรือ?” เจ้าของร้านไม่ถามเปล่า มือหนาอังหน้าผากเนียนของคนตัวเล็กตรงหน้า  แต่ไม่นานกลับถูกปัดออกด้วยแรงที่ล็อคมองไม่เห็น ล็อคผงะไปนิดหน่อย ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ไม่วายยังเอื้อมมือมาจับแขนบางด้วย บังเอิญเหลือเกินว่าเป็นข้างที่วายุกำลังจับไว้อยู่พอดี

“ไปนั่งพักก่อนไหม?” ล็อคออกแรงดึงแขนเดียร์ แต่ทว่าล็อครู้สึกเหมือนมีแรงต้าน ไม่ให้ล็อคออกแรงดึงได้ง่ายๆ  เดียร์ได้แต่ส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษมาให้ล็อค

ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธ แค่ร่างกายเดียร์ เดียร์ยังควบคุมไม่ได้เลย แล้วนั่น…ไม่ใช่ฝีมือเดียร์ด้วย

เมื่อเดียร์ไม่เดินออกไปด้วยกัน ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของร้านไอศกรีมเลยเข้าหาเดียร์ซะเลย

ล็อคเดินมาขนาบข้างคนตัวเล็ก ใกล้จนล็อคได้กลิ่นกายของคนตัวเล็ก ผสานกับผิวเนียนที่ล็อคสัมผัสอยู่ ทำให้ล็อคไม่อยากผละออกไปเลยจริงๆ

เดียร์อดตกใจไม่ได้ กับร่างสูงใหญ่ของเจ้าของร้านที่ยืนอยู่แนบชิดกัน ไม่ใช่แค่ไหล่ชนไหล่ หากแต่แผ่นอกกว้างของล็อค ซ้อนไหล่ข้างหนึ่งของเดียร์อยู่เต็มๆ

“มันจะใกล้ไปแล้วนะเว้ย!!” เสียงทุ้มที่ล็อคไม่ได้ยินตวาดลั่น มาพร้อมแรงฉุดที่ข้อมือบาง เดียร์เผลอสะดุ้งไปกับแรงนั้น

วายุตั้งใจดึงเดียร์ให้ห่างจากคนที่ยืนใกล้เดียร์เกินไป หากแต่แรงดึงของวายุกลับทำให้ร่างเล็กเซเข้าปะทะแผ่นอกกว้างของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไปเต็มๆ … คนตัวเล็กรับรู้ได้ถึงแผ่นอกหนาที่แนบชิดอยู่กับแผ่นหลัง  เดียร์พยายามดิ้นหนีจากสัมผัสนั้น วายุไม่รอช้า รีบดึงข้อมือเดียร์ออกจากสถานการณ์บาดตาทันที เดียร์รีบหันไปขอโทษเจ้าของร้านซะยกใหญ่ ไม่สนใจวายุที่ยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่สักนิด

ไปขอโทษมันทำไมวะ!

“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ ผมคงมึนๆนิดหน่อย” เดียร์รีบอธิบายต่อทันทีว่าคงไม่สบายนิดหน่อย

ล็อคยังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย…

ถ้าเดียร์สังเกตดีๆ จะเห็นรอยยิ้มพอใจประดับอยู่บนใบหน้าหล่อของเจ้าของร้าน




# My dear




ขอบคุณเพลง ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ ของ Basketband ค่ะ ^//////^

เขียนเรื่องร้านไอศกรีมตอนดึกๆนี่ทรมาณท้องไส้ดีจังค่ะ T T

ทุกคนคะ T T อย่าปล่อยให้แอมคุยคนเดียว ~~  :o12:


 :กอด1:

เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^ 
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 14
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-06-2014 18:06:19
สนุกมากเลยคะ ลุ้นอยู่ว่าเมื่อไรวายุจะเข้าร่างได้สักที
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 15
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 21-06-2014 23:48:04

 
Chapter 15


หลังจากวันนั้นที่พี่ล็อคบอกว่าได้ไอศกรีมสูตรใหม่มา วันนี้พี่ล็อคไม่รอช้า รีบลงมือทำไอศกรีมที่ว่าทันที

ล็อคง่วนอยู่กับถังไอศกรีมตั้งแต่ช่วงเย็น

เดียร์ โต้ง และปิ่น คอยรับ-ส่งลูกค้าอยู่เรื่อยๆ

พี่ข้าวยังไม่มาทำงานเลย… เหมือนได้ยินพี่ล็อคบอกพี่ปิ่นว่าวันนี้พี่ข้าวโทร.มาลางาน…

ขนาดพี่ปิ่นยังต้องรู้เรื่องพี่ข้าวจากพี่ล็อค...

แล้วพี่ข้าวไปไหน… พี่ข้าวเป็นอะไรหรือเปล่า?....จะเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นที่มาฉุดพี่ข้าวไปตั้งแต่วันนั้นหรือเปล่า..

เดียร์เหลือบมองเจ้าของร้านหลายครั้ง เห็นเจ้าของร้านหยิบนั่น ใส่นี่ ลงไปในถ้วยไอศกรีม เห็นตักชิมแล้วก็ตักออกจากถ้วย ดูเครียดจังแฮะ…

“เดียร์ มาช่วยชิมหน่อย” เสียงเจ้าของร้านเรียกเดียร์นิ่งๆ ทำเอาคนตัวเล็กที่เผลอคิดอะไรเพลินๆอยู่ ถึงกับสะดุ้งสุดตัว เดียร์รับคำอ้ำอึ้ง เดินตรงไปยืนข้างคนตัวโต

“ถ้าจะท้องเสีย ก็ท้องเสียกันวันนี้แหละ” ล็อคว่าพลางยิ้มแหยๆมาให้  คนตัวเล็กมองไอศกรีมในถ้วย…กล้วย มะม่วง มะละกอ สตรอเบอรี่ ราดช็อคโกแลต โดยด้วยลูกเกด … หมดหรือยังนะ … เดียร์ไม่รู้ว่าในถ้วยนั้นมีอะไรมากกว่านี้ซ่อนอยู่หรือเปล่า ... มันดูน่าทานนะ คงไม่ถึงกับท้องเสียหรอก

เดียร์เอื้อมมือไปคว้าช้อนที่วางอยู่ไม่ไกล ตั้งใจจะเอามาตักไอศกรีม ยังไม่ทันจะหยิบช้อนออกมา มือหนาของคนข้างๆก็คว้าไว้ซะก่อน

“กินนี่เลย” ล็อคจับมือบางไว้แน่น ยื่นช้อนที่มีไอศกรีมอยู่ไปตรงหน้าร่างเล็ก  เดียร์อึกอักอย่างทำอะไรไม่ถูกสายตาคมส่งแรงกดดันมาจนเดียร์รู้สึกได้ เดียร์รู้สึกแปลกๆไม่น้อย แต่กระนั้นก็ยอมอ้าปากรับไอศกรีมจากคนตัวโต

ล็อคยกยิ้มอย่างพึงพอใจ

“โอเคไหม?” ล็อคอดไม่ได้ที่จะลุ้นกับคำตอบของคนตัวเล็ก เดียร์ยังอมไอศกรีมไว้ในปาก ไอศกรีมเลอะขอบปากเรียวเล็กไหลย้อยเกือบถึงคาง  มือหนาของเจ้าของร้านยื่นไปปาดไอศกรีมออกจากใบหน้าใส ทำเอาเดียร์ถึงกับชะงัก

“ว่ายังไงครับ โอเคหรือเปล่า?” สายตาอ่อนโยนถูกส่งมาให้ร่างเล็ก รอยยิ้มจุดที่ริมฝีปากคม ยิ่งเห็นท่าทางเก้อเขินของเดียร์แล้ว… ชักอยากชิมคนตรงหน้าแทนไอศกรีม….

“เยอะไปแล้ว…เยอะปาย…”  เสียงที่ล็อคไม่ได้ยินดังแทรกเข้ามา เดียร์รีบเรียกสติเข้าร่าง หันไปมองวายุที่ลงแรงปัดมือล็อคออกจากมือเขา
ล็อคชะงักไปเล็กน้อย สายตาคมส่งแววตาฉงนไปให้ร่างเล็ก เดียร์เพียงแต่ยิ้มแหยๆไปให้ กล่าวขอโทษเจ้าของร้านตามมารยาท  กลับเข้าเรื่องไอศกรีมเถอะ…

“โยเกิร์ตหรือครับ?...” เดียร์เลียริมฝีปากน้อยๆ รสชาติจากไอศกรีมยังติดอยู่ในปาก

“ใช่แล้ว…พี่เอาโยเกิร์ตมาทำเป็นเนื้อไอศกรีมดู เดียร์ว่ามันโอเคไหม?”

“โอเคมากเลยครับ อร่อยมาก” เดียร์ชูนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้พี่ล็อค สีหน้ายิ้มแย้มจนล็อคอยากจะถ่ายภาพตรงหน้าตั้งเป็นหน้าจอโทรศัพท์

“จริงๆมีอีกนะ… พี่เพิ่งลองทำเองครั้งแรก ไม่รู้มันจะเป็นยังไง พี่พยายามชิมแล้วเปรียบเทียบกับร้านอื่นดู กะว่ารสชาติต้องไม่เหมือนกับร้านอื่น ไม่ว่าจะทำจากโยเกิร์ตหรือนมสดก็เถอะ” ล็อคเริ่มลงมือกับไอศกรีมนมสดต่อทันที มีเดียร์คอยยืนช่วยหยิบจับส่งของอยู่ข้างๆ  โต้งกับปิ่นเดินเข้าออกหลังเคาน์เตอร์อยู่เป็นระยะๆ ตามออเดอร์ไอศกรีมที่ได้รับมา เห็นเจ้าของร้านกำลังจีบสาวอยู่อดไม่ได้ที่จะพากันแอบไปหัวเราะเบาๆ

“เดียร์…ช่วยพี่ดูหน่อยสิ เดียร์ว่าพี่ต้องตวงน้ำเชื่อมเพิ่มอีกไหม?” คนตัวเล็กเผลอส่งสายตาปริบๆไปให้เจ้าของร้าน

ล็อคยืนอยู่หน้าเครื่องปั่นผลไม้… ถึงเดียร์จะไม่ค่อยเข้าใจว่าพี่ล็อคจะปั่นมะละกอผสมกับมะม่วงเพื่ออะไร แต่เดียร์ก็ยอมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆคนตัวสูง

พี่ล็อคทำเป็นอยู่คนเดียวแท้ๆ….มาถามเดียร์ที่ไม่ค่อยรู้อะไร

ใบหน้าใสยื่นไปพิจารณาระดับน้ำเชื่อมในตัวเครื่อง…จริงๆมันก็คงพอแล้วมั้ง… น้ำแค่นี้มันก็คงไม่หวานเกินไป

ใบหน้าใสอยู่ในระดับอกของคนข้างๆ… เดียร์กำลังจะผละออก …โดยไม่ทันตั้งตัว จมูกรั้นของคนตัวเล็ก สัมผัสกับแก้มสากของคนข้างๆทันที

เดียร์ชะงัก ต้องเรียกว่าชะงักในระดับแข็งค้าง

คนตัวเล็กดึงตัวเองกลับมาตั้งหลัก เรียกสติ พยายามควบคุมระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายที่ดูมันจะทำงานเร็วกว่าปกติ

พี่ล็อค!!!!

ยื่นหน้าเข้ามาทำไม!!!!!

เดียร์เผลอสบตากับเจ้าของร้าน แล้วต้องรีบหลบสายตานั้นทันที

“เดียร์ว่าน้ำเชื่อมแค่นี้มันจะหวานไปไหม?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังเข้ามา เดียร์ได้แต่ตอบอ้ำๆอึ้งๆไป “ผมว่า…”

ยังไม่ทันที่เดียร์จะพูดได้จบประโยค คนตัวเล็กก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อมะละกอกับมะม่วงที่มันควรอยู่ในตัวเครื่อง ถูกเทใส่ร่างของเจ้าของร้านจนหมด  …ถ้าคนอื่นมาเห็นตอนนี้ คงจะเห็นเพียงเครื่องปั่นผลไม้ ลอยอยู่กลางอากาศ

“พอแค่นี้! เลิกงาน! กลับ!!!” วายุโยนเครื่องปั่นผลไม้ลงพื้นอย่างไม่สนใจใยดี เดินตรงมาฉุดแขนเดียร์ลากออกไปนอกร้านทันที ทิ้งให้ล็อคยืนช็อคอยู่คนเดียว มองตามร่างบางที่เดินตัวปลิวออกไปนอกร้าน…เหมือนกำลังถูกใครบังคับจูงให้ออกไป

“พี่ล็อค โอเคไหม?” โต้งกระวีกระวาดเข้ามาทันทีเมื่อได้ยินเสียงฮือฮาของลูกค้าพูดถึงเหตุการณ์หลังเคาน์เตอร์ มีปิ่นวิ่งตามโต้งมาติดๆ  มองสภาพเจ้าของร้านแล้วอดตกใจไม่ได้ มือบางกระวีกระวาดเข้าไปปัดชิ้นมะม่วงที่ติดอยู่ตามไหล่กว้าง เข้าไปหยิบเครื่องปั่นผลไม้วางไว้ที่อ่างล้างจาน

“เมื่อกี๊ไม่ใช่ฝีมือเดียร์” ล็อคพึมพำออกมาเบาๆ   เจ้าของร้านไอศกรีมขมวดคิ้วแน่น

โต้งยืนมองนิ่งๆ ได้ยินที่ล็อคพูดทุกคำ…

ไม่ใช่ฝีมือเดียร์..แล้วฝีมือใคร….




“วายุ! หยุดนะ!! มันเจ็บ! ปล่อย!!”  เสียงหวานใสดังเรื่อยมาตลอดทาง

วายุไม่ได้ผ่อนแรงที่จับยึดข้อมือบางแม้แต่น้อย ตั้งแต่ร้านไอศกรีมจนมาถึงทางเท้าในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าเดียร์จะพยายามดิ้นแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดง่ายๆ

เดียร์ไม่สนว่านี่คือทางเท้าที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่

ไม่สนว่าตรงนี้จะมีรถหลากยี่ห้อขับผ่านไปผ่านมา

ไม่สนว่าใครจะคิดว่าเดียร์บ้า

เดียร์แค่ต้องการคุยกับวายุให้รู้เรื่อง!!

“วายุ! หยุด!! นายเป็นบ้าอะไรฮะ!!!” เสียงเล็กโวยวายลั่น วายุหันมามองคนตัวเล็กด้วยสายตาแววโรจน์ชั่ววินาที ร่างสูงฉุดข้อมือบางเข้าไปในตึกคณะที่อยู่ใกล้ๆ

วายุไม่สนว่าที่นี่คือตึกคณะอะไร

วายุต้องการที่สงบ เพื่อคุยกับคนตัวเล็กให้รู้เรื่อง!

เสียงซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ดังอยู่ไม่ใกล้เท่าไร แสงสว่างรายล้อมไปทั้งตัวตึก วายุหยุดนิ่งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เมื่อแน่ใจว่าคงไม่มีใครเดินผ่านมาแถวนี้แน่ๆ  ร่างสูงใช้สองมือจับยึดใบหน้าเรียวใสไว้แน่น ริมฝีปากหนาแนบจูบกับริมฝีปากเรียวเล็กตรงหน้าทันที คนตัวเล็กเบิกตากว้าง มือเล็กทุบหลังไหล่ร่างสูงสุดแรง แต่วายุกลับไม่สะทกสะท้านกับเรี่ยวแรงอันน้อยนิดนั้นเลย

“อื้อ.!” เสียงอู้อี้ดังมาจากร่างเล็ก คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนถูกแย่งอากาศหายใจ พยายามวอนขออากาศหายใจจากร่างตรงหน้า  แต่ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน เมื่อวายุยังกอบโกยความหวานหอมจากริมฝีปากเล็กอย่างไม่ลดละ   มือบางไร้เรี่ยวแรงขัดขืน เริ่มเกาะเกี่ยวท่อนแขนหนาของร่างตรงหน้าไว้แน่น มือหนาข้างหนึ่งไล้แผ่นหลังบางอย่างหลงใหล ค่อยๆโอบเอวบางเข้าหาตัว ประคองร่างในอ้อมกอดไว้ก่อนที่ร่างเล็กจะทรุดลงไปกองกับพื้น

เรียวลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กอย่างหลงใหล ดูดดื่มความหอมหวานจากรสจูบ จมูกคมไซร้แก้มใสทั้งสองข้าง ก่อนค่อยๆผละออกให้คนตัวเล็กได้หายใจชั่วขณะ ใบหน้าคมลากริมฝีปากซุกไซ้ไปกับซอกคอขาว ริมฝีปากหนาขบเม้มต้นคอเล็กจนเกิดรอย จมูกโด่งซอนไซไปตามเรือนผมนุ่ม สายตาคมผละออกมามองรอยสีแดงเข้มบนต้นคอขาวเนียนอย่างพึงพอใจ

วายุเข้าครอบครองริมฝีปากเล็กอีกครา

ไม่ชอบเวลาที่เดียร์ยอมให้ผู้ชายคนอื่นถูกเนื้อต้องตัว!

ไม่ชอบที่ไอ้ล็อคมันหอมแก้ม!!

มันจะเกินไปแล้ว!! …

ทำไมเดียร์ไม่ขัดขืนไอ้ล็อคบ้างวะ!!

วายุอยากจะใช้จูบนี้แสดงความเป็นเจ้าของ อยากจะสัมผัสให้เดียร์รู้ว่าวายุรู้สึกยังไงกับเดียร์  คิดว่าวายุล้อเล่นหรือไงกัน!

เนิ่นนาน กว่าร่างสูงจะพอใจ… คนตัวเล็กแทบประคองตัวไม่อยู่ ถ้าไม่ได้มือหนายึดเอวบางไว้กับตัว คนตัวเล็กคงร่วงลงไปกองกับพื้นแน่ๆ

“ทีหลังอย่าไปยอมมันง่ายๆอีก” วายุประคองใบหน้าใสไว้ ใบหน้าคมแสดงออกถึงความไม่พอใจ เดียร์พยายามปัดมือหนาออกไปจากหน้าตัวเอง พลางกอบโกยออกซิเจนเข้าปอดให้มากที่สุด  ใบหน้าใสขึ้นสีเรื่ออมชมพู ริมฝีปากเล็กบวมเจ่อ

ดวงตาใสวาววับไปด้วยหยดน้ำ….

น้ำใสๆที่เกาะขอบดวงตากลมโต ค่อยๆไหลรินอาบแก้ม

จากหนึ่งหยด…เป็นสองหยด…

วายุเริ่มใจเสีย เมื่อสายน้ำจากดวงตาใสยังคงไหลอาบแก้มเนียนต่อเนื่องไม่หยุด

“เดียร์…” เสียงทุ้มเรียกชื่อคนตรงหน้าแผ่ว  คนตัวเล็กยกมือปาดน้ำใสๆที่นองอยู่เต็มแก้ม

“เป็นบ้าอะไรวายุ!!! นายจะวุ่นวายกับฉันเกินไปแล้ว!!!!” เดียร์ออกแรงผลักแผ่นอกกว้างออกห่างจากตัว 

วายุรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงหดหาย เพียงเพราะน้ำใสๆที่นองแก้มเนียน … เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้

“ขอโทษ…” เสียงทุ้มแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด เดียร์ส่งสายตาเคืองโกรธไปให้ร่างสูง คนตัวเล็กกัดริมฝีปากล่างแน่น เดินหนีวายุไปทางที่วายุเพิ่งลากออกมา ร่างสูงคิ้วกระตุกทันที

“จะไปไหน?” วายุตามไปคว้าแขนเล็กไว้ คงออกแรงมากไปหน่อย คนตัวเล็กถึงกับเซมาปะทะแผ่นอกกว้าง

“อย่ามายุ่ง!!!”  เดียร์พยายามบิดแขนออกจากพันธนาการนั้น สายตาคมมองใบหน้าใสที่ขมวดคิ้วแน่น ได้แต่ยอมปล่อยแขนบางให้เป็นอิสระ

“เดียร์…ผมขอโทษ ผมไม่อยากให้เดียร์เผลอใจไปกับมันนะ” เดียร์ก้าวเดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจสายตาเว้าวอนของร่างข้างๆ

“ช่วยผมแล้ว ก็ต้องเชื่อใจผมด้วยนะ” วายุยังคงว่าต่อไป  คนตัวเล็กหันมามองด้วยความโมโห

“ทำไม! กลัวตัวเองเข้าร่างไม่ได้หรือไง!!”

วายุชะงักไปกับคำพูดของร่างเล็ก ร่างสูงมองร่างเล็กด้วยความตกใจ

ทำไมเดียร์คิดอย่างนั้น…..

“ผมจะเข้าร่างได้หรือไม่ได้ ผมไม่รู้ แต่ผมไม่ชอบที่เดียร์ปล่อยให้มันโดนตัวเดียร์แบบนั้น!” วายุเริ่มมีลมหวงขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย!”

“ผมไม่ชอบ!  เพราะเดียร์เปิดใจให้ผมแล้ว!”

“เพ้ออะไรของนาย!”

“ตั้งแต่ที่ผมโดนตัวเดียร์ได้แล้ว!”

ทั้งคู่เงียบไป…

ร่างเล็กหยุดนิ่ง หันมองร่างสูงข้างๆ …วายุมองใบหน้าเนียนใสอยู่ก่อนแล้ว

“ยิ่งผมสัมผัสเดียร์ได้ ผมยิ่งรู้สึกเหมือนในร่างกายมีก้อนเนื้อเต้นอยู่ในอก” วายุสบตากับร่างตรงหน้า

“จำได้ไหม…อาโปเคยบอกว่าผมมีอาการดีขึ้น”

เดียร์สบตากับร่างโปร่งแสงตรงหน้า ดวงตากลมโตมองเหมือนพยายามเค้นหาความจริงอะไรบางอย่างอยู่ คนตัวเล็กมองรอยยิ้มน้อยๆที่ประดับอยู่บนใบหน้าคม
เดียร์ไม่เคยสังเกต… ไม่เคยรับรู้ถึงความผิดปกติเหล่านั้น

หรือที่วายุพูดมา…

จะเป็นเรื่องจริง….




# My dear




น้องเดียร์….  = =  ดูรั้นๆเนอะ

ทำไมรั้นได้ขนาดนี้ T T 


ทักทายคุณ B52 ค่ะ  :mew3: 
ฝากน้องเดียร์ด้วยนะคะ  :กอด1:


แสดงความคิดเห็นกันหน่อยน่อ ^^'' 



เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 16
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 22-06-2014 00:00:22

Chapter 16



เดียร์มุ่งหน้ากลับไปที่ร้านไอศกรีม คนตัวเล็กพยายามไม่สนใจร่างโปร่งแสงข้างๆที่เดินตามมาห้ามไม่หยุด

ภาพที่เดียร์เห็นตอนเข้าไปในร้าน ทำเอาเดียร์อดตกใจไม่ได้

คราบหวานๆของผลไม้ที่เกิดจากฝีมือวายุ กระจายเป็นวงกว้างเต็มเสื้อของพี่ล็อค ดูเหมือนล็อคไม่ได้เดือดร้อนที่จะไปเปลี่ยนเสื้อนัก เดียร์เห็นพี่ล็อคเอาแต่เดินไปเดินมาอยู่หลังเคาน์เตอร์ ท่าทางเคร่งเครียด

เดียร์ส่งสายตาคาดโทษไปให้วายุ รีบเดินเข้าไปขอโทษเจ้าของร้านยกใหญ่ ดูเหมือนพี่ล็อคจะไม่ได้ติดใจเอาความอะไรมาก

“เดียร์ไม่ได้เป็นคนทำนี่ครับ ไม่ต้องขอโทษหรอก” ล็อคเอ่ยเสียงนุ่ม  คำพูดที่ทำเอาเดียร์ชะงักไป ดวงตาใสเงยขึ้นมองเจ้าของร้าน

“พี่ไม่รู้ว่า‘เขา’ทำ ทำไมนะ ไม่รู้ว่าพี่ทำอะไรไม่ถูกใจ’เขา’หรือเปล่า…”

เดียร์กระพริบตาปริบๆ ครางออกมาน้อยๆ.. “พี่ล็อครู้….?”

ล็อคเพียงแค่ยิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็ก มือหนาวางลงบนศีรษะของคนตัวเล็ก โคลงไปมาเล็กน้อย “ขอโทษนะ… ”

“พี่สังเกตมาสักพักแล้ว… เพิ่งเชื่อจริงๆก็วันนี้ล่ะ”

ล็อคขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อ ปล่อยให้เดียร์มองตามอย่างอึ้งๆ

“ให้มันรู้ซะบ้าง” เสียงทุ้มๆลอยอยู่เหนือหัว เสียงที่เดียร์ได้ยินคนเดียว เรียกสติเดียร์ให้กลับเข้าร่างได้ คนตัวเล็กกัดฟันแน่น มองร่างสูงด้วยความโมโห ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งหงุดหงิด เดียร์ผละออกไปทำงานต่อทันที

วันต่อมา เดียร์มาทำงานตามปกติ

แอบนับถอยหลังวันไปลงภาคสนาม .. มันก็อีกไม่กี่วันแล้ว

พี่ข้าวยังไม่กลับมา ตอนกลางวันมีพี่ปิ่นอยู่ร้านคนเดียว บางวันพี่ล็อคที่ไม่มีเรียนก็จะมาเฝ้าร้านด้วย กว่าโต้งกับเดียร์จะมาทำงานก็หลังเลิกเรียน

“ไอ้ล็อค” เสียงดังมาจากทางเข้าร้านพร้อมๆกับเสียงกระดิ่งที่ประตู  เดียร์กำลังตักไอศกรีมลงถ้วยอยู่ เผลอหันมองไปยังที่มาของเสียง

พี่ข้าว!!

แต่ไม่ใช่พี่ข้าวคนเดียว … ข้างๆพี่ข้าว.. ผู้ชายคนนั้นนี่!

เจ้าของร้านลุกออกมาหาผู้มาเยือน พอเข้าไปยืนใกล้ๆกัน ถึงได้รู้ว่าความสูงของทั้งสองคนไม่ต่างกันแม้แต่น้อย

“พาพี่ข้าวไป ไม่มีบอกกูก่อนสักคำ”  พี่ล็อคเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และได้รับการตอบโต้มานิ่งๆ

“กูก็โทรมาบอกมึงแล้วนี่หว่า”

“แล้วมึงจะเอายังไง?”

“ให้ข้าวอยู่กับมึงไปก่อน อย่างน้อยกูก็ไว้ใจมึง”

บทสนทนาดังขึ้น ไม่มีเกริ่นนำหรืออะไรทั้งนั้น

เดียร์ไม่ได้ตั้งใจจะฟังนะ แต่สองคนนั้นไม่ได้คุยกันเบาๆเลย

เดียร์ยกไอศกรีมไปเสิร์ฟลูกค้า เดินสวนกับคนสามคนที่ยืนอยู่กลางร้าน   เห็นโต้งกับพี่ปิ่นก็มีอาการไม่ต่างกันกับเดียร์

พี่ข้าวดูเกร็งๆไม่น้อยเมื่ออยู่ท่ามกลางพี่ล็อคกับผู้ชายคนนั้น

ไม่นานพี่ข้าวก็เดินตัวเกร็งเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ พี่ปิ่นรีบเข้ามาหาพี่ข้าวทันที ส่วนผู้ชายคนนั้นไปนั่งคุยกับพี่ล็อคที่มุมประจำของเจ้าของร้าน

แต่เดี๋ยวก่อน… แล้ววัตถุโปร่งแสงเดินได้นั่น จะเข้าไปนั่งร่วมวงทำไม!

“ใจเย็นๆบ้างก็ได้ไอ้เต้ มึงทำแบบนี้ กูสงสารพี่ข้าว” ล็อคเอ่ยบอกคนตรงหน้า 

“ใจเย็นเหมือนมึง แล้วเป็นไงล่ะ ไปถึงไหนแล้วล่ะมึง” เต้แขวะเพื่อนเข้าให้ ล็อคเผลอคิ้วกระตุก สายตาเจ้าของร้าน มองไปยังพนักงานตัวเล็กอย่างหมายมาด

“แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วน่า” คำพูดของล็อค เรียกเสียงหัวเราะในลำคอของเพื่อนตัวสูงได้

 เต้เป็นเพื่อนล็อคมาตั้งแต่มัธยมปลาย จนตอนนี้ก็เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน  ความใจร้อนใจเร็วของไอ้เต้ไม่ลดน้อยลงเลย ขนาดมันถูกใจพี่ข้าว มันยังจีบแบบไม่ให้โอกาสพี่ข้าวหายใจ ล็อคเคยเห็นพี่ข้าวตามร้านขายข้าวแกง ตามคำบอกเล่าของไอ้เต้ ตอนนั้นล็อคคิดว่าพี่ข้าวคงเป็นผู้หญิงที่ไอ้เต้มันหลงหัวปักหัวปำ จนพี่ข้าวมาสมัครงานที่ร้านนั่นแหละ ล็อคถึงได้รู้ว่าพี่ข้าวไม่ใช่ผู้หญิง

“คนอื่นมีเยอะแยะ ทำไมต้องเดียร์วะ” วัตถุโปร่งแสงเริ่มส่งเสียงบ้าง  วายุนั่งฟังคนสองคนคุยกัน จะว่าสอดรู้สอดเห็นก็ไม่ผิดนัก เพราะวายุทำอย่างนั้นจริงๆ  เก็บข้อมูลไว้ เผื่อมันจะเป็นประโยชน์

ที่วายุหงุดหงิดที่สุด คงไม่พ้นเรื่องที่ล็อคเอาแต่แอบมองเดียร์อยู่แบบนี้!!

เมื่อทนฟังต่อไปไม่ได้ วายุก็ได้แต่พาตัวเองออกจากการสนทนานั้น เดินตามเดียร์อยู่เงียบๆดีกว่า อย่างน้อยก็ได้อยู่ใกล้ๆเดียร์

ถึงคนตัวเล็กจะแสดงท่าทีรำคาญในบางครั้ง แต่วายุก็รู้สึกดีไม่น้อย เมื่อเดียร์ยอมให้วายุช่วยหยิบจับนั่นนี่บ้างในเวลาทำงาน ต้องอาศัยจังหวะดีๆโอกาสเหมาะๆ วายุรู้สึกเหมือนได้เล่นเกมอะไรสักอย่างอยู่ ต้องคอยช่วยเดียร์ ในจังหวะที่แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น แล้วมันก็ได้ผลทุกครั้ง ไม่รู้วายุคิดไปเองหรือเปล่า แต่เห็นท่าทางสนุกสนานของเดียร์แล้ว อดคิดไปไม่ได้ว่าเดียร์เองก็คงสนุกไม่ต่างกัน

เดียร์เริ่มตระหนักถึงระยะเวลาที่ต้องไปลงภาคสนาม เมื่อเริ่มคิดได้ว่ายังไม่ได้เตรียมของใช้ หลังเลิกงานของวันนั้น เลยแวะเซเว่นหน้าหอสักหน่อย  ไอ้โต้งก็กลับหอมัน มันบอกว่าเดี๋ยวไปซื้อที่หน้าหอมันเอา

โทร.ถามพู่กันถึงของใช้ที่จะซื้อ เดียร์กลับได้รับคำตอบเพียงแค่ “มึงเอาอะไร กูเอาด้วย”

คนตัวเล็กเดินหยิบของใช้ที่จำเป็น  ไปลงภาคสนามแบบนี้  อย่าหวังเลยว่าจะได้นอนโรงแรม  ไปแบบประหยัดที่สุด ก็ไปอยู่กับชาวบ้านแถวนั้นเลย ของใช้จำพวกยาสระผม สบู่ ยาสีฟัน เตรียมไว้ดีกว่าต้องไปซื้อเอาข้างหน้า เพราะไม่รู้ว่าที่ๆจะไป จะสะดวกซื้อแค่ไหน

มือเล็กหยิบของลงตะกร้าสีส้ม ในใจลองคำนวณเงินกับราคาของ

ยาสระผมขวดเดียวใช้กับพู่กันก็ได้ อันนี้ 32 บาท กับสบู่เหลว ก็ใช้กับพู่กันได้ อันนี้อีก … 29 บาท  ยาสีฟันหลอดเล็ก ก็ใช้กับพู่กันได้ …  20 บาท แป้งขวดเล็กๆอีก 18 บาท  … ทั้งหมดมัน… เท่าไร?

เดียร์ยืนนับนิ้วอยู่หน้าชั้นขายของ เหมือนแค่นิ้วมันมันจะไม่พอ คนหัวช้าอย่างเดียร์ สุดท้ายก็ต้องพึ่งเครื่องมือหน่อย กำลังจะคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาช่วยคำนวณ เสียงทุ้มก็ดังขัดขึ้นซะก่อน

“99 บาทแล้ว ยังไม่ถึง 100 เลย เอาขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหม?” เสียงวายุลอยเข้าหูมา เดียร์ชะงักมือที่จะหยิบโทรศัพท์ทันที คนตัวเล็กเงยหน้ามองร่างสูงอย่างไม่ค่อยเชื่อ

“ผมเรียนฟิสิกส์นะ อย่าลืมสิ คำนวณแค่นี้ สบายมาก” วายุว่าพลางขยิบตาข้างหนึ่งให้คนตัวเล็ก ก่อนผละออกไป วายุเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้กระจก ด้านในมีก้อนแป้งสีขาววางอยู่ หน้าตาน่าทาน

“อยากกินแรบบิท” วายุส่งสายตาออดอ้อนมาให้เดียร์

เดียร์อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าให้น้อยๆ  แต่กระนั้นก็ยอมเอาซาลาเปาแรบบิทไส้ครีมมาให้วายุชิ้นหนึ่ง

อยู่กับวายุมาตั้งนาน ยอมรับว่าเริ่มชินกับการที่มีร่างโปร่งแสงของวายุวนเวียนอยู่ข้างๆ  เริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมหลายอย่าง ถึงช่วงแรกๆ เดียร์จะทำตัวไม่ค่อยถูก แต่เมื่อเวลาผ่านไป พฤติกรรมทุกอย่างของเดียร์กลับเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องคุยกับวายุในที่สาธารณะ  ต้องคอยลุ้นว่าจะมีใครสังเกตเห็นหรือเปล่า มันกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับคนตัวเล็กไปเสียนี่
 

ในที่สุด วันที่ต้องไปภาคสนามก็มาถึง

เดียร์กับพู่กันต้องพากันตื่นแต่เช้ากว่าปกติ เพื่อไปขึ้นรถตามเวลานัด อาจารย์นัดตอน หกโมงครึ่ง ที่หน้าตึกคณะ ถ้าไปไม่ทัน มีวิ่งตามรถแน่ๆ

เดียร์กับพู่กันต่างหอบกระเป๋าเป้มาคนละใบ ทั้งสองคนมาถึงก่อนเวลานัด 15 นาที แต่เมื่อมองไปรอบๆ ยังไม่เห็นเพื่อนตัวโตอีกคนที่ควรจะมาถึงแล้ว นักศึกษาคนอื่นๆก็ทยอยมากันเยอะแล้วด้วย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาระหว่างที่เดียร์กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ เดียร์สะดุ้งน้อยๆ แต่เสียงโทรศัพท์นั้นไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของเดียร์ แต่เป็นของเพื่อนตัวเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

พู่กันยู่หน้าน้อยๆ เมื่อเห็นชื่อหราบนหน้าจอ

“กูอยู่ที่จอดรถ” พู่กันกรอกเสียงไปเนือยๆ เดียร์เดาว่าคงเป็นไอ้โต้งนั่นแหละที่โทร.มา

“ที่จอดรถตรงไหนวะ?” เสียงทุ้มดังมาลอดโทรศัพท์มือถือเข้ามา ทำเอาพู่กันขมวดคิ้วฉับ

“ที่อาจารย์นัดไง”

“อาจารย์นัดตรงไหนวะ?”

“ตึกคณะไง”

“ก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”

“เอ๊า!!”  พู่กันขึ้นเสียงน้อยๆ เดียร์หันขวับมองเพื่อนตัวเล็กทันที เห็นพู่กันยังสนทนากับคนในสายอยู่

“อะไร?”

“อะไร?”

“ก็แล้วอะไรล่ะ?”

“อะไรของมึง”

“อ้าว!”

พู่กันจิ๊ปากน้อยๆ ดูท่าไอ้โต้งคงกวนพู่กันได้แต่เช้า

หลังจากพู่กันวางสายไปไม่นาน พี่วินมอ’ไซค์ก็แว๊นพาไอ้โต้งมาส่งที่หน้าตึกคณะได้ทันเวลา

รถบัสของมหา’ลัย พาทุกคนเดินทางไปยังเป้าหมาย

ไปลงภาคสนามของโบราณคดี งานนี้มีไปพิพิธภัณฑ์ แล้วก็ไปดูที่ที่นักโบราณคดียังขุดไม่เสร็จ

ทุกคนดูชินกับการไปลงภาคสนาม เพราะเคยไปกันมาแล้วตั้งแต่ปี 1 และแทบจะไปกันทุกเทอม แต่มีอยู่คน… ไม่สิ ไม่ใช่… แต่มีวัตถุโปร่งแสงที่ตามเดียร์ไปทุกที่ ดูท่าจะตื่นเต้นกับการตามไปภาคสนามไม่น้อย

“ไม่ได้ขอให้ตามมา” เดียร์เอ่ยออกไปนิ่งๆ

เดียร์นั่งติดหน้าต่างในแถวเกือบถึงส่วนท้ายของตัวรถ ที่นั่งข้างๆเดียร์ไม่มีใครนั่งด้วย พู่กันกับโต้งนั่งคู่กันที่เบาะฟาก ตรงข้ามกับเดียร์  จะบอกว่าข้างๆเดียร์ไม่มีใครนั่งด้วยก็ไม่ถูกไปซะทีเดียว….

ร่างโปร่งแสงที่นั่งหน้าระรื่นอยู่ข้างเดียร์นี่ล่ะ….เดียร์เห็นวายุดูดี๊ด๊ามาตั้งแต่รถออกตัว  วายุหันมายิ้มหวานให้คนตัวเล็ก
“ไหนๆก็มีโอกาสแล้วน่า ที่ผมเรียน ไม่มีพาไปขุดหาโครงกระดูกแบบนี้หรอกนะ ผมอยากเห็นมานานแล้วเหมือนกัน เคยเห็นแต่ในทีวี” เดียร์นิ่งฟังอยู่เงียบๆ สีหน้าวายุไม่ได้ลดความตื่นเต้นลงเลย ท่าทางเหมือนเด็กเล็กๆกำลังจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด

“อีกอย่างนะเดียร์” วายุว่าต่อ เดียร์เงยหน้าสบตาร่างสูงข้างๆ

“ผมจะได้ระวังไม่ให้มีใครมายุ่มย่ามกับเดียร์ด้วย”





# My dear


 :mew3:




เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 16
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-06-2014 02:06:45
อ่านจากตอนที่แล้วนึกกลัวว่าวายุจะน้อยใจเดียร์จนต้องหายไปสะอีก แต่ก็ต้องกลัวเก้อ นับถือความพยายามในความดื้อของวายุจริงๆ แอบหวั่นๆใจไปให้พี่ล็อคนิดหนึ่งเมื่อเจอความดี น่ารัก และความอดทนของเขาที่แอบรักมาเป็นปี คงจะมีคู่ให้น่ะคะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 16
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 22-06-2014 07:58:51
สนุกมากๆ เลยครับ บรรยายก็ดี อ่านแล้วลื่นไหล
อยากให้วายุฟื้นเร็วๆ  แต่เหมือนเดียร์ก็ยังไม่ได้รักวายุนะ เหมือนจะสงสารมากกว่า หรือรักแล้วแต่ไม่รู้ตัว
แล้วถ้าวายุฟื้นแล้วความจำจะอยู่หรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 16
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 22-06-2014 10:18:06
เพิ่งเห็นเรื่องนี้โผล่มาในหน้าแรก เป็นกำลังใจให้นะคะ :mew1:

ลุ้นว่าเดียร์จะช่วยวายุได้มั้ย หวั่นใจแค่พี่ล๊อค แอบรักไม่ว่า แต่อย่าได้กลายเป็นคนไม่ดีทำร้ายเดียร์เพราะความรักเลยนะ

สู้ต่อไปค่ะผู้แต่ง :L2:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 16
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 24-06-2014 17:08:17
ขอให้วายุฟื้นมาแล้วจำเดียร์ไม่ได้เถอะ เพี้ยง
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 17
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 25-06-2014 22:32:37
Chapter 17


แหล่งโบราณคดีในจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นที่ที่อาจารย์พานักศึกษามาดูงาน  อาจจะยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไรนัก เพราะเพิ่งเริ่มมีการค้นพบ ยิ่งเป็นเช่นนั้นยิ่งต้องให้ความสำคัญ

หลังจากนั่งรถมาตั้งแต่เช้า มาถึงที่สถานที่เป้าหมายก็ช่วงสาย

เดียร์เดินขนาบข้างพู่กัน ข้างพู่กันอีกฝั่งมีโต้งเดินอยู่ใกล้ๆ อาจารย์เดินนำอยู่ด้านหน้าลิบๆ นักศึกษาคนอื่นๆเดินประปรายตามๆกันไป  เพราะรถบัสเข้าไปจอดที่ด้านหน้างานไม่ได้ ทุกคนจึงต้องเดินเท้าบนถนนคอนกรีตเข้าไป กว่านักศึกษาจะเดินมาถึง อาจารย์ก็นั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว อาจารย์ไม่พูดพร่ำทำเพลง พานักศึกษาลงมือทำงานกันเลย

ระหว่างทำงาน มีพี่ๆวิทยากรคอยให้คำอธิบายอยู่ใกล้ๆ พี่ๆวิทยากรที่ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนักโบราณคดีที่ขุดงานนี้อยู่นั่นเอง

โครงกระดูกที่ยังขุดไม่เสร็จ บางส่วนถูกขุดจัดเรียงเป็นรูปร่างได้แล้ว บางส่วนยังถูกฝังอยู่ในดิน ใกล้ๆกันมีภาชนะเครื่องปั้นดินเผามากมาย ทั้งหม้อสามขา ทั้งไห ที่สำคัญมีโครงกระดูกบรรจุอยู่ในไหด้วย

เดียร์เดินตามพี่วิทยากรสาวสวยคนหนึ่ง โต้งกับพู่กันตามเดียร์มาติดๆ

“ขุดหาหม้อกันก่อนดีกว่า” พี่สาววิทยากรมาคอยคุม พาไปหาเนินดินที่ยังไม่ถูกแซะ เมื่ออุปกรณ์พร้อม เดียร์ค่อยๆแซะหาซากภาชนะดินเผา  ไม่วายยังได้ยินพี่คนสวยเอ่ยบอกเบาๆ “แยกหม้อกับโครงกระดูกดีๆนะ”

เดียร์ยิ้มสดใสส่งไปให้พี่สาวคนนั้น โต้งกับพู่กันนั่งรอบล้อมพี่สาวคนนั้นอยู่ไม่ไกล

ชายเสื้อยืดของเดียร์กระตุกตามแรงดึงของอะไรบางอย่าง

และรู้สึกว่ามันกระตุกมาพักใหญ่แล้วด้วย…

“เดียร์… เอาจริงหรือ? น่ากลัวนะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ

คนตัวเล็กเงยหน้ามองร่างสูงที่นั่งเกาะชายเสื้อเดียร์ซะแน่น

วายุยังจับยึดชายเสื้อเดียร์ไม่ปล่อย ตอนแรกวายุเกาะแขนเดียร์เลยแหละ จนเพื่อนในคณะเดินมาทักว่าเดียร์เดินแปลกๆ จะไม่ให้แปลกได้อย่างไร วายุเล่นจับยึดแขนข้างหนึ่งซะแน่น จนมันไม่แกว่งเลย

พอโดนเดียร์เอ็ดไปเบาๆ วายุเลยยอมมาจับชายเสื้อเดียร์แทน

อย่ามีใครสังเกตเห็นนะ

“จะกลัวทำไมวายุ  อย่างกับนายไม่ใช่วิญญาณอย่างนั้นแหละ” เดียร์เอ็ดไปเบาๆ ให้มันเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้

“โถ่…เดียร์”

“ถ้ากลัวก็ไปรอข้างนอก”

“ไม่เอา!” วายุออกแรงจับชายเสื้อเดียร์แน่นขึ้น เดียร์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ  แค่วายุยอมอยู่นิ่งๆ ไม่กวนเวลาทำงานก็โอเคแล้ว

วายุเชื่อฟังเดียร์เป็นอย่างดี ก็แค่เดินตามเดียร์ไม่ห่าง จับเสื้อคนตัวเล็กไม่ปล่อย คอยเขม่นคนอื่นๆที่แอบมองเดียร์ (ถึงมันจะไม่รู้ว่าโดนเขม่นก็เถอะ)  แค่นั้นเดียร์ก็ทำงานได้อย่างราบรื่น

เดียร์กำลังตั้งใจแงะเศษหม้อออกจากก้อนดิน เขย่าเศษดินให้กะเทาะออก ข้างๆเดียร์มีเศษทั้งหม้อ ทั้งไห กองอยู่ใกล้ๆ … กองเริ่มสูงขึ้นแล้ว  เดียร์หอบกองเศษหม้อทั้งหมดไว้ในมือ เอาไปใส่ในตะกร้ารวมที่วางอยู่ไม่ไกล  ในจังหวะที่เดียร์หันกลับมา ดันพลาดท่าสะดุดกับถังเปล่าที่วางอยู่ใกล้ๆ 

“เฮ้ย!!” เสียงใสตะโกนลั่น สายตาใสเหลือบไปเห็นซากหม้อ ไหที่วางกองกันอยู่ในดิน คนตัวเล็กหลับตาปี๋ เผลอกลั้นใจ …งานนี้มีเอาหน้าซุกหม้อแน่ๆ

แต่ยังไม่ทันที่จะล้มลงไปได้ 180 องศา ร่างของเดียร์ก็ลอยอยู่กลางอากาศในท่าไมเคิล แจ็คสันเอนตัวไปข้างหน้า เกือบ 60 องศา

เฮ้ย!!! มันจะเป๊ะไปแล้ว

“ระวังหน่อยสิ” เสียงทุ้มดังอยู่ริมหู วายุประคองเดียร์ให้กลับมาตั้งหลักบนพื้นดิน  คนตัวเล็กได้แต่กระพริบตาปริบๆ สายตายังจับจ้องหม้อไหที่กองอยู่ด้านหน้า

“ขะ…ขอบใจ” เอ่ยเบาๆ ผละไปรวมกับพู่กันและโต้ง

สองคนนั้นไม่เท่าไร ชินกับเรื่องแปลกๆแบบนี้บ้างแล้ว แต่คนอื่นๆนี่สิ … 

พี่วิทยากรคนสวยถึงกับหันมาชมเดียร์ยกใหญ่ ว่าเดียร์ทำท่าแบบนั้นได้อย่างไร  เดียร์ได้แต่ยิ้มแหยๆไปให้ 
ดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นวายุยืนมองอยู่ไม่ไกล รอยยิ้มหล่อ ประดับอยู่บนใบหน้าคม แค่เดียร์มองดวงตาคู่นั่น ก็ต้องรีบหลบสายตาทันที

หลังจากขุดกันไปพักใหญ่ ในที่สุดอาจารย์ก็ให้พัก นักศึกษาทยอยไปล้างมือ ทำความสะอาดร่างกายตามพอใจ  งานที่ให้ลงมือขุดมีแค่ที่เดียว ส่วนที่อื่นๆ จะไปดูพิพิธภัณฑ์ที่ขุดเสร็จแล้ว

“ต่างกันยังไงหรือเดียร์?”  วายุเดินขนาบข้างเดียร์ขณะกลับขึ้นรถ และอย่างเคย อาจารย์เดินนำไปก่อน บางทีอาจถึงรถแล้ว ส่วนนักศึกษาก็เดินตามๆกันไป ยังมีอีกหลายคนเดินรั้งท้ายเดียร์อยู่

เดียร์หันมามองหน้าวายุ สีหน้าสงสัยเหมือนเด็กๆ

เดียร์เผลอยิ้มออกมากับสีหน้าน่ารักๆแบบนั้น…

รอยยิ้มของคนตัวเล็ก ทำเอาวายุชะงักไปเช่นกัน…

“เดียร์ยังไม่ตอบเลย” วายุกระพริบตาปริบๆ มือหนาเกาท้ายทอยเก้อๆ หันซ้ายหันขวาอย่างทำอะไรไม่ถูก

“หมายถึง ที่ที่เราจะไปต่อหรือ?” คนตัวเล็กถามกลับไปเบาๆ  วายุพยักหน้าหงึกหงัก

“ต่อไปเราจะไปดูพิพิธภัณฑ์ แต่ที่เรามาก่อนนี้คือแหล่งโบราณคดีที่ยังขุดไม่เสร็จ ถ้าขุดเสร็จ ก็คงเป็นพิพิธภัณฑ์เหมือนกัน”

วายุร้องอ๋อขึ้นมาเบาๆ  …ริมฝีปากคมยกยิ้มน้อยๆ  สายตามคมมองนิ่งที่คนตัวเล็ก 

ไม่นานก็เดินมาถึงรถ เดียร์เดินเข้าไปประจำที่ตัวเอง วายุเดินตามมาติดๆ

“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า?” เดียร์แค่นเสียงถามร่างข้างๆเบาๆ  วายุยังคงมองนิ่งที่ใบหน้าใส เดียร์ชักไม่มั่นใจ หันไปส่องเงาตัวเองจากกระจกบานใสของหน้าต่างรถ มือบางลูบไปทั่วหน้า … อาจจะเลอะจากที่ไปขุดหม้อเมื่อกี๊  วายุถึงได้เอาแต่จ้องหน้าเดียร์แบบนี้ ถ้ามีอะไรติดอยู่ก็บอกกันหน่อยสิ

“น่ารัก”

เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้น ทำเอาเดียร์หันขวับ “ฮะ?!”

เดียร์ว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดนะ …ที่วายุพูดมันหมายความว่ายังไง!

ไม่มีประโยคตอบโต้จากปากวายุ

ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆกับท่าทางของคนตัวเล็ก มือหนาวางลงบนศีรษะของคนตัวเล็ก โยกโคลงน้อยๆ ผละออกมากอดอก แต่กระนั้น สายตาคมก็ยังไม่ละไปจากใบหน้าใส

“’เขา’มาด้วยหรือวะ?” เสียงใสที่ดังมาจากอีกฟากของรถ เรียกสติให้กลับเข้าร่าง  คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆ  ปรับโฟกัสสายตาให้มองทะลุร่างโปร่งแสงข้างๆ  .. พู่กันกับโต้งมองมาทางเดียร์เป็นตาเดียว ตั้งแต่เห็นเดียร์มีท่าทีแปลกๆ

“อะ…เออ ‘เขา’มาด้วย” พู่กันกับโต้งเผลอลมหายใจสะดุดไปน้อยๆ  เดียร์พยายามไม่สบตากับร่างข้างๆ ความรู้สึกถูกมองอย่างกับจะกลืนกินแบบนี้ มันเรียกเลือดขึ้นมากองรวมกันที่ใบหน้าได้ไม่ยาก คนตัวเล็กหันหน้าไปทางหน้าต่าง หนีสายตาคมคู่นั้น…





กว่าจะถึงสถานที่ต่อไป ดวงตะวันเริ่มคล้อยตามเวลาบ่ายของวัน

อาจารย์พาทานข้าวเที่ยงก่อนเริ่มชมพิพิธภัณฑ์

สถานที่แห่งนี้ ก่อนจะมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ก็เป็นแหล่งโบราณคดีมาก่อนเช่นกัน คล้ายๆกับสถานที่ที่ไปขุดกันมาในตอนเช้า
ต่างตรงที่ ที่ตรงนี้เป็นสถานที่จัดแสดง ของทุกชิ้น กระดูกทุกส่วน มีตู้กระจกกั้นไว้หมดแล้ว 

วิทยากรอธิบายที่มาและความสำคัญของโครงกระดูกที่ถูกรักษาไว้และความเป็นมาของวัตถุแต่ละชิ้นที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์
 
เดียร์เดินดูรอบๆพิพิธภัณฑ์ด้วยความสนใจ โต้งก็ไปที่ตู้กระจกตู้หนึ่ง พู่กันก็ไปที่ตู้กระจกอีกตู้หนึ่ง  รวมไปถึงร่างโปร่งแสงที่เดินไปอีกตู้หนึ่ง

ท่าทางสนใจของวายุ…ทำเอาเดียร์เผลอยิ้มออกมาน้อยๆ

“เดียร์… เขาให้ลองจุดไฟได้ด้วย” วายุตามไปยืนข้างๆวิทยากร เดียร์เห็นอย่างนั้นแล้วแอบกลั้นหายใจเบาๆ

วายุไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ตอนไหน! ดูสิ ยื่นหน้าไปจนจะชิดวิทยากรอยู่แล้ว  พี่วิทยากรที่นี่เป็นผู้ชาย ตัวใหญ่พอๆกับวายุ พอวายุไปยืนแทบจะแนบหน้ากับพี่วิทยากรแล้ว ภาพที่เดียร์เห็นอยู่คนเดียว ทำเอาเดียร์รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก

หวังว่าพี่วิทยากรจะไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของวายุนะ

เดียร์มองหินเลียนแบบที่วางกองอยู่ในชั้น วายุยืนมองหินเหล่านั้นด้วยความสนใจ

ชั้นที่บรรจุหินที่มีรูปทรงคล้ายๆกัน ขนาดของหินคือเท่าหนึ่งกำมือ รูปร่างกลมมน  น้ำหนักเบากว่าของจริงๆเล็กน้อย เพราะเป็นหินที่ทำเลียนแบบไว้ให้ผู้สนใจได้ลองใช้ดู

หินที่ว่ามีไว้ศึกษาเรื่องการจุดไฟของคนในสมัยโบราณ ถ้าอยากรู้ว่าในสมัยโบราณจุดไฟยากแค่ไหน ผู้ที่สนใจสามารถลองกะเทาะหินดูได้

วิทยากรเดินนำไปที่ตู้กระจกตู้อื่น เดียร์กำลังจะผละออกไป พลันเห็นวายุค่อยๆยกหินขึ้นมาจากชั้น แค่นั้นเดียร์ก็ปรูดเข้าไปแย่งหินออกมาจากมือหนาทันที

“ทำอะไรวายุ!” คนตัวเล็กแค่เสียงเบาๆ วายุตีหน้าเหรอหรามาให้

“ลองดูเดียร์ ผมลองคำนวณค่าแรงเล่นๆดูแล้ว ไม่น่าจะยากนะ”

วายุยักคิ้วน้อยๆให้คนตัวเล็ก ไม่ได้สนใจว่าเดียร์ตกใจแค่ไหนที่เห็นวายุยกหินขึ้นมาแบบนั้น ถ้าใครมาเห็น ก็จะเห็นแค่ก้อนหินลอยได้แค่นั้นแหละ!

“วางลง! เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นหรอก” เดียร์กระซิบออกไปให้ดังที่สุด  วายุเพียงส่ายหน้าน้อยๆให้คนตัวเล็ก

“ไม่มีใครเห็นหรอก” ร่างสูงยิ้มน้อยๆ มือหนาออกแรงเอาหินหนักๆสองก้อนมากระทบกัน ไม่ทันไรก็เกิดประกายวาบ เดียร์เผลอตกใจไปกับประกายไฟนั้น

“วายุ!”

“ลองดูสิ” ไม่พูดเปล่า วายุยื่นหินให้เดียร์หนึ่งก้อน สายตาคมมองมืออีกข้างที่กำหินไว้แน่น

“ไม่กล้าอ่ะดิ๊~ จะมีแรงเร๊อ~~” วายุแซวจนเดียร์ขมวดคิ้วมุ่น

เห็นคนตัวเล็กแสดงท่าทางไม่พอใจ… อดมองไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าหวานๆนั้น

“อย่ายั่วโมโหกันนะ” เดียร์แค่นเสียงให้เบาที่สุด

“จะไม่ลองดูจริงๆหรือ?”  วายุยักคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงท้าทาย

เดียร์เห็นอย่างนั้นได้แต่กัดริมฝีปากล่างแน่น … วายุกระตุกยิ้ม

“กัดปากอีกแล้วนะ” ร่างสูงเอื้อมมือมาจับปลายคางของคนตรงหน้า  เดียร์รีบปัดมือนั้นออกจากการคุกคาม  หันไปตั้งท่าเตรียมกะเทาะหินอย่างที่วายุทำ

“คอยดูนะ” เดียร์กำหินไว้ในมือแน่น ออกแรงกะเทาะหินสุดแรง แต่ทว่า… กลับไม่มีประกายไฟใดๆเล็ดลอดออกมาเลย  คนตัวเล็กขมวดคิ้วแน่น ออกแรงกะเทาะหินอีกหลายครั้ง แต่ก็ตามเคย…  ไม่มีประกายใดๆให้เห็นเลย  คนสมัยก่อนเขาต้องออกแรงกันขนาดไหนนะ กว่าจะได้กองไฟหนึ่งกอง

“ทำไมไม่มีอะไรเลยล่ะ” คนตัวเล็กพึมพำเบาๆ สองมือเล็ก ออกแรงกระทบหินอีก … วายุอมยิ้มน้อยๆ

ร่างสูงเดินเข้าไปซ้อนแผ่นหลังบาง มือหนาทั้งสองข้างเอื้อมมาจับมือบางไว้ทั้งข้างซ้ายและขวา  จมูกโด่งสัมผัสเรือนผมนุ่มที่เริ่มชื้นเหงื่อน้อยๆจากการลงงานที่แรก ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยอยู่ริมหูของคนในอ้อมแขน

“ลองดูอีกครั้งนะ” วายุกระชับมือบางทั้งสองข้างให้จับหินไว้ให้แน่น  …ออกแรงบังคับมือน้อยๆนั้น จับหินกะเทาะกัน …ตามมาด้วย ประกายไฟสว่างวาบ

“เห็นไหม? ทำได้แล้ว” วายุซุกจมูกไล้แก้มเนียนอีกครั้ง ก่อนค่อยๆผละออกมา …  เดียร์ยังกำหินไว้ในมือแน่น ดวงตากลมโตพยายามเบือนหลบสายตาคม ใบหน้าใสเจือสีชมพูฝาด

“เฮ้ย! เดียร์ทำได้ด้วย เมื่อกี๊กูลองตั้งนาน ไม่เห็นได้เลย” เสียงทุ้มของเพื่อนร่วมคณะดังมาจากที่ไกลๆ  เดียร์รีบวางหินทั้งสองก้อนลงไปบนชั้น ตั้งท่าจะวิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ..พลาดไปนิดเดียวตรงที่เผลอสบตากับร่างสูง … สายตาโลมเลียแบบนั้นทำเอาเดียร์ต้องรีบวิ่งหนีไปพร้อมๆกับความร้อนที่ลามไปทั้งใบหน้า

วายุเดินตามไป ความรู้สึกวูบวาบคับพองไปทั้งอก

“แขนเดียร์เล็กนิดเดียว มีแรงกะเทาะหินด้วย” เพื่อนชายร่วมคณะทักเดียร์ขึ้นมา ข้างๆกันมีเพื่อนๆของผู้ชายคนนั้นล้อมอยู่ เพื่อนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มรั้งท้ายของวิทยากร อยู่ตรงนี้ แทบไม่ได้ยินอะไรที่วิทยากรพูดเลย

เดียร์พยายามมองหาพู่กันกับโต้ง …  เห็นอยู่ไม่ไกลจากวิทยากรมากนัก

“เก่งนะเนี่ย เอาแรงมาจากไหนเยอะแยะ” เพื่อนในก๊วนของชายคนนั้นเริ่มเข้ามายืนใกล้ๆเดียร์

“กู… ฟลุ๊ค พวกมึงลองไปทำดูอีกรอบสิ” เดียร์พยายามเดินอ้อมคนอื่นๆ ไปใกล้วิทยากรให้มากขึ้น

“เดียร์ทำให้ดูอีกรอบหน่อยสิ” ผู้ชายคนแรกที่ทักเดียร์ เป็นคนเอ่ยชวน  พลางเอื้อมมือมาจับมือเดียร์ แต่ช้ากว่าใครอีกคนอยู่ดี

“ทำไมชอบละล้าละลังนักนะ” วายุฉุดมือบาง ออกแรงดึงมือเดียร์ไว้ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะโดนตัวเดียร์ได้ คนถูกลากไม่ทันตั้งตัว ได้แต่เดินตามแรงดึง มาโผล่อีกที ก็พบว่ายืนอยู่ข้างพู่กันซะแล้ว

“โทษที….” เดียร์ที่พรวดพราดเข้ามา ได้แต่ยิ้มแหยๆไปให้เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆทุกคน โต้งกับพู่กันมองว่าเป็นเรื่องเกือบปกติ แต่คนอื่นๆดูตกใจไม่น้อยที่เดียร์พรวดพราดเข้ามาแบบนั้น

“พวกมันแอบมองเดียร์ตลอดเลยนะ เผลอไม่ได้ ไอ้พวกนี้” วายุจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ มือหนายกขึ้นกอดอก ยืนประกบเดียร์ไม่ห่าง

คนตัวเล็กพยายามไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับร่างสูงข้างๆ พยายามตั้งสติ โฟกัสไปที่วิทยากรที่บรรยายอยู่ ไม่วายยังได้ยินวายุพึมพำเบาๆ

“มองอย่างเดียว กูก็หวงเว้ย!”


 

# My dear


ทักทายคุณ insomniac  คุณ route rover และ คุณ Alone Alone

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นค่ะ ... มีกำลังใจขึ้นมาเลย ^^

บางทีคำอธิษฐานของคุณ Alone Alone อาจจะเป็นจริง(?)  ^^




เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 17
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 25-06-2014 22:39:18
 :-[ เดียร์น่าร้ากกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 17
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-06-2014 03:28:08
เสน่ห์แรงหลาย
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 17
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 27-06-2014 01:21:41
เยอะไปนะ เยอะไป  เขายังไม่ได้ตกลงอะไรกับตัวด้วย
ก็ไปอาละวาดคนอื่นซะ เป็นวิญญาณที่เอาแต่ใไร้สาระจริงๆ
ถ้าเขาเมินใส่จะสมน้ำหน้าให้ คนที่โดนอาละวาดใส่ก็ใจดีจัง
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 17
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 28-06-2014 22:15:59

Chapter 18



แสงอาทิตย์เริ่มจางลง ดวงจันทร์ลอยเด่นบนฟากฟ้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน  รถบัสของมหาวิทยาลัยขับเคลื่อนไปตามถนนคอนกรีตเล็กๆตามทางเข้าหมู่บ้าน บางที่คอนกรีตขาดตอนไป มีเพียงดินลูกรังให้รถแล่นผ่านไปได้บ้าง   สองข้างทางของถนนเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่เรียงชิดติดกัน ทุ่งนากว้างเป็นฉากหลังอยู่ไม่ไกลนัก…

“เรากำลังจะไปไหนกัน?” เสียงทุ้มข้างๆเดียร์ดังขึ้น

วายุนั่งมองทิวทัศน์สองข้างทาง ท่าทางสนใจ ชะโงกหน้า ชะแง้คอ เหมือนเด็กๆ   

..คนตัวเล็กอมยิ้มน้อยๆ

“ดูตื่นเต้นจังเลยนะ” เดียร์กระซิบไปเบาๆ …วายุเลยหันมายิ้มยิงฟันให้

“ก็ไม่เคยมานี่นา…” วายุกลับไปชะโงกหน้าต่างต่อ เดียร์ผงะถอยหนีตามสัญชาตญาณ เมื่อวายุชะโงกหน้ามาเสียเกือบชิด คนตัวเล็กลมหายใจสะดุดโดยไม่รู้ตัว…

อย่าคิดว่าวายุจะไม่เห็นท่าทางแบบนั้นของคนตัวเล็ก … จุดยิ้มน้อยๆประดับที่ริมฝีปากคม

หลังจากนั่งรถผ่านหมู่บ้านมาหลายหมู่บ้าน ในที่สุดก็มาถึงเป้าหมาย สถานที่ที่เป็นที่หลับนอนของทุกคนในค่ำคืนนี้

ภาคสนามวิชาโบราณคดี… ต้องจัดให้มีดูโบราณสถานสักหน่อย แต่ในเวลาค่ำมืดแบบนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะไปเดินชมโบราณสถานแน่ๆ  ทางเลือกที่ดีที่สุดตามความคิดของอาจารย์ คือนอนในหมู่บ้านใกล้ๆโบราณสถานเลยนี่แหละ

นักศึกษาแต่ละคน หอบกระเป๋าที่เตรียมมา เข้าไปพักในบ้านที่ถูกเตรียมไว้ต้อนรับ …เป็นบ้านที่ใหญ่พอสมควร มีพื้นที่โล่งในตัวบ้าน  กว้างพอที่จะรองรับนักศึกษาทั้งหมดที่มา แน่นอนว่ารวมไปถึงอาจารย์ด้วย  นอกจากนี้ เจ้าบ้านยังจัดหาอาหารมื้อเย็นต้อนรับเป็นอย่างดี ทุกคนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน เลยพากันฟาดอาหารซะเกลี้ยง กินอิ่มกันแล้ว  อาการอยากชำระล้างร่างกายก็ตามมา  แต่เนื่องจากเป็นบ้านของชาวบ้าน … ถึงจะเป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้านก็เถอะ  …  สิ่งที่รองรับคนจำนวนมากแบบนี้ในเวลาเดียวกันลำบากหน่อย คือ….ห้องน้ำ

เดียร์กับพู่กันออกมาเดินเล่นข้างนอก ใกล้ๆกันนั้น อาจารย์กำลังนั่งคุยอยู่กับลุงผู้ใหญ่อย่างออกรสชาติ

เดียร์ได้ยินลุงผู้ใหญ่บ้านคุยกับอาจารย์ว่า ตอนแรกมีห้องน้ำห้องเดียว แต่หลังๆเริ่มมีคณะทัวร์มาพักบ่อย คล้ายๆกับที่อาจารย์พามา เลยสร้างห้องน้ำเพิ่มอีกห้อง  เป็นสองห้อง… แต่ถ้ายังไม่พอ คงต้องสร้างเพิ่มอีก  แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ขาดแคลนห้องน้ำขนาดนั้นเสียทีเดียว เพราะนอกตัวบ้าน ยังมีตุ่มใส่น้ำฝน ที่ลุงผู้ใหญ่บ้านรองน้ำไว้ใช้อาบอยู่ ลุงบอกว่าอาบน้ำฝนแล้วเย็นชื่นใจ…

อาจารย์แนะนำ ให้นักศึกษาชายอาบข้างนอก ส่วนนักศึกษาหญิงอาบน้ำในห้องน้ำ ซึ่งอาจารย์คิดเหมือนเดียร์เปี๊ยบ …ได้อาบน้ำท่ามกลางแสงจันทร์ คงจะสดชื่นไม่น้อย

“อาบข้างนอกกันเถอะมึง” ตอนนั้นเองที่เดียร์รู้ว่าเดียร์ไม่ได้คิดไปเองคนเดียว คำชวนจากพู่กันทำให้เดียร์ยิ้มกว้าง… สนุกล่ะทีนี้

“จะไปไหนกัน! พวกมึงรอไปอาบในห้องน้ำเลย” เสียงทุ้มดังลั่น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของโต้งจะเข้ามาบังแสงจันทร์ที่อาบใบหน้าหวานของเพื่อนตัวเล็กทั้งสองคน  เดียร์กับพู่กันได้แต่มองโต้งตาปริบๆ

พู่กันมองตามมือโต้ง ในมือหนามีผ้าขาวม้าถือไว้ มืออีกข้างถือขันอาบน้ำ ดูท่าไอ้โต้งคงไปขอยืมลุงผู้ใหญ่มาแล้ว ทีไอ้โต้งยังอาบได้ แล้วทำไมเขาจะอาบไม่ได้วะ!

“กูไม่ไปรอต่อแถวอาบน้ำในห้องน้ำหรอก เหนียวตัวจะแย่” พู่กันยู่หน้าน้อยๆใส่โต้ง ก่อนหันมาชวนเดียร์  “ไปยืมผ้าขาวม้าของลุงกัน”

“ไม่ได้!!!” เป็นโต้งอีกตามเคย  โต้งขวางหน้าพู่กันกับเดียร์ไว้ คนตัวโตขมวดคิ้วแน่น  “บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิวะ!”

“ใช่!! ไม่ได้ก็คือไม่ได้!!” เสียงอีกเสียงดังขึ้นสนับสนุนคำพูดของโต้ง เสียงที่พู่กันไม่ได้ยิน เสียงที่ดังมาจากข้างๆเดียร์

เดียร์หันขวับมองร่างข้างๆ …วายุขมวดคิ้วแน่น ท่าทางไม่ต่างจากโต้งเลย

“พวกมึงไปรออาบน้ำในห้องน้ำ เดี๋ยวนี้! ชอบโชว์นักหรือไงวะ!”  โต้งรวบผ้าขาวม้ากับขันน้ำมาถือไว้ในมือเดียว มืออีกข้างก็จับมือเพื่อนทั้งสองคนไว้ …  พู่กันกับเดียร์เผลอมองหน้ากันด้วยความตกใจ … ไม่คิดว่าไอ้โต้งจะกำข้อมือเดียร์กับพู่กันไว้ด้วยมือข้างเดียวของมันแบบนี้!

โต้งลากพู่กันกับเดียร์เข้าไปในบ้าน พามาหยุดอยู่ที่กระเป๋าของทั้งสามคนที่กองรวมกันไว้  ทันทีที่โต้งปล่อยมือเล็กๆของเพื่อนทั้งสองคน คนถูกลากพากันถูรอยแดงๆบนข้อมือกันยกใหญ่

“กูเจ็บนะเว้ย!!” พู่กันซี้ดปากน้อยๆ หันไปตวาดโต้งที่ยืนนิ่งไปแล้ว  เดียร์ไม่รอช้า ทำหน้าที่เป็นลูกคู่สนับสนุนพู่กันทันที

“แม่งลากมาได้!!”

โต้งมองรอยแดงๆบนข้อมือของเพื่อนทั้งสองคนแล้วก็เผลอกลืนน้ำลายเอื๊อก… นี่กูออกแรงเยอะไปหรือเปล่าวะ….

“พวกมึงรออาบน้ำในห้องน้ำ เดี๋ยวก็ได้อาบแล้ว”

“กูไม่รอหรอก ผู้หญิงอาบน้ำช้าจะตาย”

“เออ อาบข้างนอกก็ไม่เสียหายอะไร”

“ไม่เสียหายหรอ!!!” ประโยคสุดท้ายเดียร์ได้ยินว่าเป็นสองเสียงที่พูดพร้อมกัน  เสียงหนึ่ง..แน่ๆล่ะ เสียงไอ้โต้ง แต่อีกเสียงหนึ่ง…

“เดียร์ไม่เห็นสายตาของไอ้พวกนั้นหรอ!!! ไอ้แว่นที่มันมองเดียร์ตลอดเวลาน่ะ!! พู่กันก็ไม่ได้ต่างไปจากเดียร์หรอกนะ เพื่อนไอ้แว่น…ทั้งกลุ่มของมันน่ะ มองเดียร์กับพู่กันจนตาเยิ้ม!! แล้วเดียร์ยังจะพาพู่กัน ไปอาบน้ำให้พวกมันดูอีกหรอ!!” วายุว่าพลางขมวดคิ้วแน่น ร่างสูงขบกรามจนเส้นเลือดกระตุก

“มันจะเสียหายยังไง!! กูเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงนะเว้ย!” พู่กันตีหน้าบึ้งใส่โต้ง ไม่ต่างกับเดียร์ที่มองหน้าวายุด้วยความโมโห

“จะให้กูพูดยังไงวะ!!  ทำไมพวกมึงดื้อด้านขนาดนี้เนี่ย!!!” โต้งยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด  คิดหรือว่าพู่กันจะสน  มือบางคว้าข้อมือเพื่อนตัวเล็กไว้ ออกแรงดึงให้ออกไปด้านนอกด้วยกัน

“เดี๋ยว!  มึงจะไปไหน?!” โต้งตามมาดักทางเพื่อนตัวเล็กทั้งสองคน

“ไปอาบน้ำ!!”





พู่กันกับเดียร์นั่งเช็ดผมอยู่นอกตัวบ้าน นักศึกษาหลายคนเดินชมแปลงดอกไม้ที่ส่งกลิ่นยามค่ำคืน  หลังจากแต่ละคนชำระร่างกายกันแล้ว ความสดชื่นก็ตามมา ความง่วงหายไปไหนไม่รู้  แน่นอนว่าออกนอกสถานที่แบบนี้ นักศึกษาชายบางคนย่อมพกน้ำสีเหลืองทองติดมาด้วย และเหมือนลุงผู้ใหญ่จะเข้าใจดี ถึงกับเอาเจ้าน้ำสีที่ว่ามาให้เพิ่มอีกหลายขวด เตรียมน้ำแข็งพร้อมกับแกล้มไว้ให้ด้วย

พู่กันมองเข้าไปในกลุ่มเพื่อนชายที่เริ่มตั้งวงกัน เห็นร่างสูงใหญ่คุ้นตานั่งรวมกลุ่มอยู่ตรงนั้นด้วย แค่นั้นก็ทำเอาพู่กันหงุดหงิดขึ้นมาทันที ….นึกถึงตอนนั้น

พู่กันกับเดียร์เข้าไปขอยืมผ้าขาวม้ากับขันอาบน้ำได้แล้ว แต่ไอ้โต้งกลับมาแย่งของที่ยืมมาได้ทั้งหมดเอาไปคืนลุงผู้ใหญ่ ไล่ให้เดียร์กับพู่กันไปอาบน้ำ แค่นั้นคงยังไม่สาแก่ใจไอ้โต้งนัก เมื่อมันถึงกับตามมาเฝ้าหน้าห้องน้ำด้วยตัวเองเลย!

“หงุดหงิดว้อย!” พู่กันยีหัวตัวเองแรงๆตามอารมณ์ ยิ่งคิดถึงตอนที่ไอ้โต้งโยนเข้าห้องน้ำแล้วยิ่งหงุดหงิด!
ไม่ต่างจากเดียร์ที่นั่งหน้าบึ้งใส่ร่างโปร่งแสงข้างๆ

“ผมไม่ได้เข้าไปดูเดียร์อาบน้ำสักหน่อย จะหงุดหงิดทำไมครับ?” วายุลอยหน้าลอยตาพูด ใบหน้าอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก

งานนี้ต้องขอบคุณไอ้โต้งจริงๆ

“หรือหงุดหงิดที่ผมไม่เข้าไปอาบให้เดียร์?” ว่าพลางค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆใบหน้าใส คนตัวเล็กหันหนีตามสัญชาตญาณ ท่าทางแบบนั้น ยิ่งเปิดโอกาสให้ร่างสูงสัมผัสแก้มขาวนวลได้ง่ายๆ และวายุก็ไม่ใช่พวกปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเฉยๆซะด้วย … จมูกโด่งสัมผัสแก้มเนียนทันที แนบเข้าไปแล้วค่อยๆผละออก วายุนิ่งมองใบหน้าใสสักพัก … ไม่นานแก้มใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อชวนมอง… วายุยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ…ท่าทางน่ารักจนวายุอยากจะเปลี่ยนสีที่แก้มของคนตัวเล็กวันละหลายๆรอบ…. นึกสงสัย…จะแดงไปทั้งตัวหรือเปล่านะ…

“กูว่าไอ้โต้งแม่งเมาแล้วแน่ๆ”  เสียงหวานใสของพู่กันดังขึ้น เดียร์พยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ เอาอาการวูบวาบในอกเมื่อกี๊ออกไปให้หมด คนตัวเล็กมองตามสายตาเพื่อนตัวเล็ก … ไอ้โต้งกำลังอ้อแอ้เลย ไอ้นี่ก็รู้ว่าตัวเองคออ่อนก็ยังจะกิน…

“ปล่อยมันไว้อย่างนั้นดีไหมเนี่ย!” พู่กันฮึดฮัดขึ้นอย่างหัวเสีย อารมณ์กรุ่นๆยังค้างคาอยู่ในอก

“เอามันออกมาเถอะ มันอยู่ มันก็ไม่ได้กินหรอก” เดียร์ว่าพลางขยับตัวลุกขึ้นเดิน พู่กันเห็นอย่างนั้น รีบถลาไปคว้ามือเพื่อนไว้

“มึงแบกมันคนเดียวไม่ได้แน่ๆ” พู่กันจับมือเดียร์ไว้แน่นๆ

เดียร์แอบอมยิ้มน้อยๆ…ถึงโต้งกับพู่กันชอบทะเลาะกัน แต่ยิ่งพวกมันทะเลาะกัน มันยิ่งเป็นห่วงกัน…

…เดียร์ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น … ทำไมจะไม่รู้ว่าไอ้โต้งกับพู่กันมันคงไม่หยุดอยู่ที่เพื่อนกันแน่ๆ

พู่กันจูงมือเดียร์ผ่าเข้าไปกลางวงเหล้า ไอ้โต้งเริ่มโงนเงน ปากมันเจื้อยแจ้วจ๊ะจ๋าไพเราะนักล่ะ คนอื่นๆในวงยังแค่กรึ่มๆ มีแต่ไอ้โต้งนี่แหละที่เมาแอ๋ไปเรียบร้อย

พู่กันฉุดตัวไอ้โต้งออกมาจากวงเหล้า ยกแขนไอ้โต้งขึ้นมาพาดคอ มือบางออกแรงประคองเอวหนาไว้ไม่ให้ล้ม เดียร์ช่วยยึดแขนอีกข้างของโต้งไว้ ไม่ให้มันลากดิน … นับว่าทุลักทุเลไม่น้อย กว่าจะมาถึงที่นอนได้ เล่นเอาพู่กันกับเดียร์ถึงกับหอบ

“พู่กานจ๋า~ขอจุ๊บหน่อยเร้ววว จู๊บ~” ไอ้โต้งอ้อแอ้อยู่บนที่นอน  พู่กันส่ายหน้าอย่างหน่ายๆกับท่าทางของไอ้โต้ง แต่มันก็เท่านั้น ดีที่โต้งแยกเดียร์กับพู่กันได้อยู่ มันเลยคว้าหมับเข้าที่เอวของพู่กัน กอดแน่นไม่ปล่อย ปากมันก็อ้อแอ้ฟังไม่ได้ความ

“ไอ้สัส! ปล่อยกูนะเว้ย!!” พู่กันโวยลั่น ดีที่ตรงที่นอนไม่มีใครนอนอยู่เลย แน่ล่ะ นอนแยกหญิงกับชาย ผู้ชายที่เหลือยังนั่งตั้งวงกันอยู่ข้างนอกนู้น ส่วนผู้หญิง คงหลับกันไปหมดแล้วล่ะ

“มึงปล่อยให้มันกอดไปก่อน เดี๋ยวมันก็ปล่อย” เดียร์เอ่ยไปนิ่งๆ  พู่กันชะงักไป ท่าทางเกร็งจนทำตัวไม่ถูก พู่กันยอมปล่อยให้โต้งกอดอย่างที่เดียร์ว่า แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ…พอไม่ขัดขืน มันก็ยอมปล่อย

พู่กันยิ้มออกมาน้อยๆ..ฟาดมือลงที่แขนหนาของคนที่นอนอยู่ด้วยความหมั่นไส้  เดียร์แอบขำออกมาเบาๆ…

“กูไปเดินเล่นแป๊บนึงนะ” เดียร์ว่าพลางลุกเดินออกไปข้างนอก เรียกสายตาฉงนของเพื่อนตัวเล็ก

“มึงไม่ง่วงหรือ?”

“ยังว่ะ กูอยากดูดาว”

เดียร์ออกมาสูดอากาศเย็นๆยามค่ำคืน หายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด หายใจออกยาวๆอย่างสดชื่น …  จากบ้านของลุงผู้ใหญ่ มองออกไปเห็นทุ่งนากว้าง ต้นไมใบหญ้าสะบัดหยอกล้อกับสายลม ดวงจันทร์กระจ่างสว่างฟ้า ดวงดาวระยิบระยับประปรายเคล้าไปกับแสงจันทร์

“สวยจัง” คนตัวเล็กครางออกมาเบาๆ…

“ใช่…สวยมาก”

กว่าจะรู้ตัว คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัว ดวงตากลมโตหันไปมองที่มาของเสียง … เดียร์ไม่ได้อยู่คนเดียว?

ดวงตากลมโตประสานสายตากับสายตาคมของร่างสูง รอยยิ้มน้อยๆประดับอยู่บนใบหน้าคม สายตาอ่อนโยนทอดมองใบหน้าหวานอย่างหลงใหล  สายตาของวายุทำเอาเดียร์ทำตัวไม่ถูก ความร้อนขึ้นมารวมกันที่ใบหน้า เดียร์หวังว่าสายลมที่พัดผ่านเข้ามาจะพัดพาความร้อนออกไปจากใบหน้าได้บ้าง …

ถึงแม้ว่าที่ที่ยืนอยู่จะไม่ได้สว่างมากนัก มีเพียงแสงไฟนีออนที่สาดออกมาจากตัวบ้าน ประกอบกับแสงจันทร์ที่ส่องลงมา เมื่อแสงเหล่านั้นตกกระทบใบหน้าใส … มันเป็นภาพที่ชวนมองเหลือเกิน

วายุไม่สามารถละสายตาออกไปจากภาพตรงหน้าได้จริงๆ…

“เมื่อไรเดียร์จะยอมตกลงเป็นแฟนกับผมนะ” วายุพึมพำออกมา ตั้งใจให้คนตัวเล็กได้ยินด้วย  สายตาคมยังไม่ละไปจากใบหน้าใส ตั้งใจมองปฏิกิริยาตอบโต้จากคนตัวเล็ก …แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อเดียร์หันมายู่หน้าใส่น้อยๆ

“ยังไม่เลิกพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ?”

“ผมทำไปขนาดนี้ เดียร์ยังไม่รู้อีกหรือว่าผมรู้สึกยังไงกับเดียร์”เสียงทุ้มทอดเสียงอ่อนโยน เจือน้ำเสียงออดอ้อนเข้าไปเล็กน้อย

เดียร์เผลอกัดริมฝีปากล่างแน่น ใบหน้าหวานเห่อร้อนจนเจ้าตัวรู้สึกได้  เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา….“ไม่รู้มั้ง”

วายุเผยยิ้มกว้าง … รู้สึกวูบวาบอยู่ในอก

…ราวกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของก้อนเนื้อในอกด้านซ้าย

“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะเดียร์ ถ้าผมฟื้น…ผมก็ยังคงมีเดียร์คนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง”

ไม่รู้เพราะบรรยากาศเป็นใจหรืออย่างไร วายุถึงได้กล้าพูดในสิ่งที่เดียร์ไม่เคยได้ยินมาก่อน …ความรู้สึกทั้งหมดของวายุถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด…หวังเพียงคนตัวเล็กตรงหน้าจะเข้าใจ

“ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่อยู่ใกล้เดียร์ ยิ่งนานวันเข้า ผมยิ่งรู้สึกดีกับเดียร์มากขึ้น  ผมยินดีที่จะช่วยเหลือเดียร์ทุกอย่าง ผมไม่สนว่าเดียร์จะช่วยผมหรือไม่ ผมจะไม่ทำให้เดียร์เดือดร้อน จะไม่วุ่นวายกับเดียร์ จะไม่ทำให้เดียร์รำคาญ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากไปไหนเลย อย่าไล่ให้ผมไปไปไหนนะ ผมอยากอยู่กับเดียร์ อยากตามเดียร์ไปทุกๆที่ …ถึงผมจะเป็นเจ้าชายนิทราตลอดชีวิต ผมก็ยอม…”

คำพูดของวายุทำเอาเดียร์ได้แต่ยืนนิ่ง…คนตัวเล็กได้ยินทุกคำ ทุกประโยค…

“แต่ถ้าวันหนึ่ง ผมฟื้นขึ้นมา…ผมสัญญา ผมจะกลับมาหาเดียร์ จะทำทุกวิถีทางให้เดียร์เป็นของผมให้ได้” สายตาคมฉายแววมุ่งมั่น.. คนตัวเล็กแทบไม่กล้าสบสายตาคู่นั้นเลย

“เดียร์สัญญาได้ไหม?...ว่าจะรอผมฟื้น…” น้ำเสียงวายุฟังดูนุ่มนวล…  เดียร์แทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาจากวายุ

… เดียร์ไม่คิดว่าวายุจะเอ่ยเรื่องแบบนี้ออกมา… มันเกินความคาดหมาย จนเดียร์ตั้งตัวไม่ทัน 

คนตัวเล็กชะงักค้างไป… วายุห้ามใจไม่ไหว เอื้อมมือไปคว้ามือบางมากระชับกับฝ่ามือตัวเองแน่น สายตาคมสบตากับคนตัวเล็กตรงหน้า

“นะครับ….ที่รัก…”

สายลมพัดโชยเข้ามาปะทะใบหน้าหวาน แสงจันทร์กระทบใบหน้านวล….

…พลันรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าคม ร่างสูงค่อยๆรั้งคนตัวเล็กเข้าโอบกอดแน่น … ความรู้สึกตื้นตันด้วยความยินดี คับพองเต็มอก

…เพียงเพราะคนตัวเล็กๆคนนี้…

…แม้จะเสี้ยววินาที…แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ…แม้ว่าแทบจะมองไม่เห็นเลย…แต่วายุแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด

…ใบหน้าหวานพยักหน้าน้อยๆ…

แค่นั้น… ถึงจะไม่ได้กลั่นออกมาเป็นคำพูด …วายุก็ยินดีอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบคุณนะเดียร์…” ร่างสูงยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่ยากจะหุบลงได้

ไม่ต่างจากคนตัวเล็กเลย…

แม้ว่าเดียร์จะพยายามกลั้นยิ้มแก้เขินอย่างไร ก็ไม่สามารถเก็บกลั้นรอยยิ้ม ให้จางหายไปจากใบหน้าได้เลย…



# My dear







ถึงเวลาแล้วใช่มั้ย…

เอาล่ะๆๆๆๆ วายุสู้ๆ ><!!! ฮึ้บๆ!!



มีใครเพิ่งดูคุโรโกะเหมือนแอมมั่ง .. ><  หลงคางามิไปเต็มๆ
หน้าคางามิลอยมาเต็มนิยายเลย  >/////////////<

ยินดีต้อนรับคุณplengpitและคุณ kunt ค่ะ  :-[

ขอบคุณคอมเม้นของคุณ B52 ด้วยค่ะ ^^
ไม่รู้ว่าจำขนมจีบซาลาเปาได้หรือเปล่านะคะ ^^'' แต่แอมจำได้ว่าคุณ B52 เคยเม้นขนมจีบซาลาเปาให้อยู่  :mew1:



เจอกันตอนต่อไปค่ะ  ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-06-2014 01:43:25
 ตอนนี้พยักหน้าแล้วนะ อย่าไปหวั่นไหวกับพี่อีกคนล่ะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 18
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 29-06-2014 04:59:25
นึกว่าพยักหน้าเสร็จ จะฟื้นเลย 55
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 18
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 29-06-2014 07:22:11
วายุน่าจะใกล้ฟื้นแล้วสินะ ดีจัง :katai2-1:

*อยากให้ใส่วันที่อัพตอนใหม่ด้วยจังค่ะ เพิ่งเห็นว่าเป็นตอนใหม่ 2 ตอนแล้วที่ไม่ได้อ่าน ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ*
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 19 (30/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 30-06-2014 01:14:42

Chapter 19


กิจกรรมลงภาคสนามเป็นไปด้วยความราบรื่น ทั้งดูงานที่แหล่งโบราณคดีที่ยังขุดไม่เสร็จ ทั้งชมโบราณสถาน ปราสาทหิน  ได้พูดคุยกับชาวบ้านในแต่ละที่ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันที่ไปลงภาคสนาม แต่ทำให้นักศึกษาได้ความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆกันถ้วนหน้า

รถบัสของมหาวิทยาลัยเคลื่อนตัวเข้าจอดหน้าตึกคณะโบราณคดี ในช่วงค่ำของวัน  นักศึกษาแยกย้ายกันทันที

เดียร์หอบสัมภาระลงจากรถบัส มีพู่กันกับโต้งเดินตามมาติดๆ

เดียร์กับพู่กันตกลงกันว่าจะแว๊นพี่วินฯกลับหอ มีโต้งขอตามไปด้วย

“ทำไมไม่กลับหอมึงวะ?” พู่กันถาม

“ไม่อยาก” โต้งว่าแค่นั้นก็ยิ้มทะเล้นน้อยๆ พู่กันอดไม่ได้ ยู่หน้าใส่โต้งน้อยๆ

พูดแล้วคิดถึงตอนที่มันเมาแอ๋ นับว่ามันเก่งมากที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คิด ทั้งๆที่ตอนกลางคืนมันยังเมา คุยไม่รู้เรื่อง พอเช้ามา มันดันตื่นเช้า สติ สตางค์ครบถ้วน … อย่างกับว่ามันไม่ได้เมาจริงๆอย่างนั้นแหละ

ไม่นาน ทั้งสามคนก็มาถึงเป้าหมาย พอเข้ามาในห้องได้ ก็พากันนอนแผ่หลา กระจายเต็มห้อง ไม่แปลกเลย… เล่นเดินทาง ทำอะไรหลายอย่างมาหลายวันแบบนี้ ทั้งเดิน ทั้งวิ่ง นอนดึก ตื่นเช้า ไหนจะนั่งรถนานๆอีก อาการล้าตามมาอย่างแน่นอน

เดียร์กำลังเคลิ้ม ใกล้หลับเต็มที พอร่างกายได้เอน ตาก็จะปิดให้ได้

“อาบน้ำก่อนเถอะ…” เสียงทุ้มดังอยู่ริมหู เดียร์ครางเบาๆ เป็นเชิงรำคาญ …. ถูกรบกวนตอนนอนนี่หงุดหงิดนักล่ะ

“อาบน้ำก่อนเร็ว แล้วค่อยมานอน..” เสียงทุ้มอ่อนโยนส่งมาอีกครั้ง หากแต่ไม่ได้มีแต่เสียงเท่านั้น สัมผัสเย็นๆ ไล้ไปตามใบหน้าเดียร์ คล้ายจะปลุกเดียร์ให้ลุกขึ้นมา …

สัมผัสที่ว่า ไม่ใช่ความเย็นของน้ำ หากแต่เป็นความเย็นของผิวกายของร่างสูงที่นั่งคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง

“ถ้าเดียร์ไม่ลุกไปอาบเอง ผมจะอาบให้นะ” ว่าพลางช้อนแขนเข้าใต้รักแร้กับข้อพับขาทั้งสองข้าง ท่าทางเตรียมอุ้มคนตัวเล็กเข้าห้องน้ำอย่างที่ว่าจริงๆ การกระทำนั้นทำเอาคนตัวเล็กตกใจ ลืมตาโพลง

“เฮ้ย!!”
ดวงตาใสสบกับสายตาคม มือบางโอบรอบคอร่างสูงแน่น  วายุกระชับคนตัวเล็กในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น

“ปะ…ปล่อย!!” เดียร์แค่นเสียงกระซิบ ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาใสเสหลบสายตาคม หันไปมองพื้นห้อง เห็นโต้งนอนอยู่ข้างๆพู่กัน ทั้งสองคนนอนตะแคงข้างหันหน้าหากัน ลมหายใจสม่ำเสมอจากทั้งสองคน ทำให้เดียร์รู้ว่า พวกมันคงหลับไปแล้วแน่ๆ

“วายุ! ปล่อย!” เดียร์หันมาดิ้นเบาๆ  ปกติก็สู้แรงของวายุไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งตอนร่างกายล้าแบบนี้ ยิ่งออกแรงได้ลำบากไปใหญ่

วายุอมยิ้มน้อยๆ ท่อนขายาวก้าวเดินทั้งที่ร่างเล็กยังอยู่ในอ้อมแขน

เดียร์มีท่าทีขัดขืนไม่หยุด จนวายุก้าวมาถึงหน้าห้องน้ำ

“ผมไม่แอบดูหรอก อาบเสร็จแล้วจะนอน ผมก็ไม่ว่า” วายุค่อยๆวางคนตัวเล็กให้ยืนบนพื้น

เดียร์เผลอกำชายเสื้อตัวเองแน่น พยายามก้มหน้าหลบสายตาคมที่เพ่งมองมา  ไม่รอช้า หาโอกาสหนีร่างตรงหน้าทันที ทางที่ดีที่สุดคือหนีเข้าห้องน้ำนั่นล่ะ

เดียร์เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเผลอกลั้นหายใจอีกแล้ว … ทำไมนะ เวลาอยู่ใกล้วายุทีไร เป็นแบบนี้ทุกที ไหนจะอาการหนาวๆร้อนๆที่หน้านี่อีก ไหนจะอาการวูบวาบในท้องแบบนี้อีก….  อดคิดถึงคืนนั้นไม่ได้..

อยากจะรู้นัก วายุสนุกไหมที่ทำให้เขาร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแบบนี้!

เมื่อคิดว่าความร้อนที่หน้ามันมากเกินจนใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว คนตัวเล็กเลยรีบเปลื้องผ้า วิ่งเข้าหาน้ำเย็นๆใต้ฝักบัวแทน

หลังจากได้พักผ่อนเต็มที่อย่างที่ร่างกายต้องการ เวลาหนึ่งคืนก็พอให้หายเหนื่อยได้บ้าง เพราะงานที่ทำอยู่ทุกวัน ทำให้ร่างกายปรับสภาพคุ้นชินกับความล้าจนเป็นเรื่องปกติ และเพราะเดียร์ไม่ได้ทำงานอย่างเดียว ทำให้ต้องแบ่งเวลาให้การเรียนด้วย แต่มันก็ชินซะแล้วล่ะ…

ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเข้าใกล้ช่วงสอบกลางภาค สิ่งที่ตามมาคือรายงานเกือบทุกวิชาที่ต้องส่ง ไหนจะรูปเล่มรายงาน ไหนจะเตรียมนำเสนอ  … 2 สัปดาห์ก่อนสอบนี่แทบไม่ต้องนอนกันล่ะ

หลังเลิกงาน เดียร์ใช้เวลานั่งจมอยู่กับโน้ตบุ๊ค  บนโต๊ะญี่ปุ่นมีหนังสือกองอยู่ประมาณเกือบ 20 เล่มวางอยู่ข้างๆโน้ตบุ๊ค แน่ล่ะว่าทั้ง 20 เล่ม คือหนังสือประกอบการทำรายงานที่ต้องส่งทุกวิชา  … ไม่ไกลไปจากเดียร์  มีร่างเล็กๆของเพื่อนร่วมห้องนอนคว่ำอยู่หน้าโน้ตบุ๊คไม่ต่างกัน รอบตัวพู่กันมีหนังสือ สมุด ปากกา กระจายอยู่ล้อมรอบ  หนังสือหลายเล่มถูกเปิดทิ้งไว้ ในหน้าที่ต้องใช้ข้อมูล บางเล่มที่มันหนามากๆถูกเอามาวางไว้ใต้คางของคนตัวเล็ก ให้พู่กันนอนหนุนเล่นๆ

“รายงานตอนไปภาคสนาม มึงทำเสร็จยังวะ?” พู่กันคาบปากกาไว้ในปาก ส่งเสียงอู้อี้ถามเพื่อนตัวเล็กที่นั่งขมวดคิ้วอยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊ค

“ยังไม่เสร็จดีว่ะ เหลือเช็คอีกรอบ” เดียร์หันไปมองเพื่อนตัวเอง พู่กันกำลังนั่งหันซ้ายหันขวา เหมือนกำลังหาอะไรอยู่ ปากยังคาบปากกาไว้ พลางหยิบหนังสือหลายเล่มขึ้นมาดู แล้วก็วางลงไป ก่อนก้มลงไปหาใหม่  และเมื่อพู่กันได้สิ่งที่ต้องการ ก็กลับมาล้มตัวลงนอนคว่ำไปอีกที …เดียร์แอบขำน้อยๆกับความน่ารักของเพื่อนตัวเอง เผลอคิดไปถึงไอ้โต้ง… ป่านนี้มันคงหัวฟูอยู่ที่ห้องแน่ๆ

“แล้วมึงล่ะ? ทำเสร็จยัง?” เดียร์ถามออกไปบ้าง

พู่กันได้ยินอย่างนั้นก็คายปากกาในปากออก หันมายู่หน้าน้อยๆ

“กูทำไปได้ครึ่งเดียวเอง กูกำลังปั่นรายงานของประวัติศาสตร์ศิลป์อยู่”

“เออใช่ วิชานั้นกูยังไม่ได้เริ่มเลย!”

เดียร์อุทานลั่น หันไปรื้อหัวข้อเรื่องที่เคยจดไว้ในสมุดสักเล่ม

..ด้านตรงข้ามของโต๊ะญี่ปุ่นที่เดียร์นั่งอยู่.. มีร่างโปร่งแสงเฝ้ามองพฤติกรรมที่เต็มไปด้วยความน่ารักของคนตัวเล็กทั้งสองคน

วายุนั่งเท้าคางมองเดียร์ที่สาละวนอยู่กับกองสมุด หนังสือ สายตาอ่อนโยนถูกส่งไปให้คนตัวเล็ก ไม่อยากส่งเสียงรบกวนการทำงานที่ต้องใช้สมาธิ แต่หารู้ไม่ ถึงวายุจะไม่ส่งเสียงรบกวน แต่สายตาที่เอาแต่จ้องมองเดียร์ไม่ละไปไหนเลยแบบนี้ ทำให้เดียร์เผลอสติหลุดเป็นพักๆได้เหมือนกัน…  เดียร์อยากจะลุกหนีไปให้พ้นสายตาหยาดเยิ้มที่ร่างสูงมองมา แต่เชื่อสิ ถึงเดียร์จะลุกหนีไป วายุก็ตามมาอยู่ดี เมื่อหนีไปไหนไม่ได้ก็นั่งมันอยู่ตรงนี้แหละ

วายุนิ่งมองคนตัวเล็กอยู่เงียบๆ … เกิดความรู้สึกวูบวาบอยู่ในอก  รู้สึกเต็มตื้น… พึงพอใจ.. มีความสุข… วายุบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกไหนมีมากกว่ากัน แต่พอรวมๆกันแล้ว วายุบอกได้แค่ว่า .. รู้สึกดี

“อั่ก!!” เสียงร้องดังลั่นมาจากฝั่งตรงข้ามเดียร์

คนตัวเล็กละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ค มองร่างโปร่งแสงตรงหน้า

ไม่รู้เดียร์มองหน้าจอโน้ตบุ๊คจนสายตาล้าไปหรืออย่างไร  ถึงได้รู้สึกว่าร่างของวายุดูเบาบางลงไปมาก!

เกิดอะไรขึ้น?!

คนตัวเล็กขยี้ตาน้อยๆ… ภาพตรงหน้าดูชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าเพียงคนตัวเล็กกระพริบตา … ร่างตรงหน้าก็ดูจะเบาบางลงไปอีก

“วายุ เป็นอะไร?!” คนตัวเล็กถามเสียงร้อนรน ถลาเข้าไปหาวายุทันที ร่างของวายุดูเบาบางจนแทบมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่พอเดียร์จับโฟกัสได้ เห็นวายุนั่งตัวงอไปแล้ว มือหนาทั้งสองข้างกุมหน้าอกด้านซ้ายของตัวเองไว้แน่น เดียร์เข้าไปจับแขนล่ำของร่างสูงไว้

…จับได้ … ยังสัมผัสร่างวายุได้อย่างปกติ

พู่กันเห็นท่าทีของเพื่อนแปลกไปแล้วได้แต่ผวา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนั่งมองภาพตรงหน้าไม่ไปไหน ถึงแม้ว่าพู่กันจะเห็นแค่เดียร์กำลังพูดคนเดียวก็ตาม

“วายุ พูดสิ!” มือบางวางทับลงบนมือหนาบนหน้าอก ในชั่วพริบตาที่มือบางสัมผัสลงไป วายุรีบคว้ามือน้อยๆนั้นมากุมไว้แน่น เดียร์เผลอยู่หน้าน้อยๆ เพราะแรงบีบที่มือไม่ใช่เล่นๆเลย..

ร่างสูงยังคงก้มหน้านิ่ง … เดียร์เห็นวายุกัดฟันแน่น

ท่าทางเจ็บปวดแบบนี้ มันคืออะไร?!

คนตัวเล็กเผลอกัดริมฝีปากล่างตาม

ยิ่งเห็นวายุแสดงท่าทีเจ็บปวดออกมามากเท่าไร เดียร์รู้สึกเหมือนตัวเองเจ็บตามไปด้วยมากเท่านั้น

ไร้ถ้อยคำเอื้อนเอ่ยจากทั้งคู่ มีเพียงความรู้สึกในอกที่ส่งถึงกัน

เนิ่นนาน…กว่าวายุจะเงยหน้าขึ้น

ใบหน้าคมสบตากับกับดวงตาใสทันที … ร่างสูงใจกระตุกวูบ

น้ำใสคลอหน่วยตากลมโต… บาดใจนัก!

“ร้องไห้ทำไมครับ?” วายุยกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะคนตัวเล็ก โคลงน้อยๆด้วยความเอ็นดู

เห็นอย่างนั้น เดียร์เลยค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุม ยกมือน้อยๆปาดน้ำใสๆที่เริ่มไหลรินลงแก้ม ..ยังกัดริมฝีปากล่างตัวเองไม่ปล่อย

“ผมขอโทษ ตกใจหรือ?... ผมไม่ได้เป็นอะไรนะ” วายุยิ้มหวานให้คนตรงหน้า … เดียร์ไม่ได้เชื่อคำพูดนั้นเท่าไรหรอกนะ

“ถ้าไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย!” มือบางฟาดเบาๆที่ท่อนแขนล่ำสัน ท่าทางเง้างอด น่ารักน่าเอ็นดู วายุอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าไปสัมผัสกับแก้มเนียนใส

“นี่!” คนตัวเล็กร้องลั่นเมื่อถูกร่างสูงโฉบเข้ามาประทับจมูกโด่งที่ข้างแก้ม  …ถึงจะเริ่มรู้สึกว่าวายุกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว …แต่อย่างไรก็ยังไม่น่าไว้ใจจริงๆ

“ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วนะ…น่า…กลับไปทำรายงานต่อเถอะ”

วายุปัดเส้นผมนุ่มที่ตกลงมาบังใบหน้าเนียน เก็บปอยผมไปทัดหูจ้องมองใบหน้าเนียนใสไม่วางตา

“มีอะไรหรือเปล่าวะ?” เสียงของเพื่อนร่วมห้องทำให้เดียร์เริ่มรู้สึกตัว

เดียร์หันขวับไปทางที่คิดว่าพู่กันนั่งอยู่ แต่ไม่เจอพู่กัน… สายตากวาดมองไปทั่วห้อง … เห็นพู่กันยืนเกาะตู้เย็นอยู่ลิบๆ 

เดียร์เพิ่งได้สติเดี๋ยวนั้นเอง  …เขาคงทำให้พู่กันตกใจอีกแล้ว

“ม่ะ…ไม่มีอะไร”

“’เขา’ไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหม?”

“อะ….เอ่อ..ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ไม่มีใครทำอะไรด้วย  ขอโทษนะพู่กัน” เดียร์ยิ้มแหยๆไปให้เพื่อนตัวเล็ก

พู่กันค่อยๆก้าวออกจากตู้เย็นช้าๆ เรียกขวัญ เรียกสติ ให้อยู่กับเนื้อกับตัว คว้าหนังสือสวดมนต์ได้ก็เอามากางไว้ปนๆกับกองหนังสือที่ต้องทำงาน … เผื่อฉุกเฉินจะได้ใช้ได้เลย … แบบนี้ค่อยอุ่นใจหน่อย

สายตาวายุจับจ้องไปที่คนตัวเล็กอีกครั้ง แต่ทว่า ความคิดของวายุกลับคิดไปถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้

รู้สึกถึงความเจ็บที่เกิดขึ้นในร่างกาย เหมือนมีคนเอาเหล็กร้อนมาแทง แล้วคว้านเอาอะไรสักอย่างออกไป ก่อนเอาอะไรบางอย่างเข้ามาแทนที่

หลังจากความเจ็บอันหนักหน่วงผ่านไป ..สิ่งที่ตามมา คือสัมผัสอบอุ่นไหลเวียนทั่วร่างกาย  ไออุ่นแผ่ซ่านเคล้าไปกับความรู้สึกที่อัดแน่นเต็มอก … วายุรู้สึกเหมือน ที่อกด้านซ้าย…มีการเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ

หัวใจเต้นงั้นหรือ?

วายุแทบไม่กล้าคิดถึงเรื่องที่เคยเฝ้ารอมาตลอด

เรื่องที่วายุรอจนแทบลืมไปแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น…

วายุแทบไม่กล้าคิดถึงเรื่องนั้นเลย…

เขาจะฟื้นจริงๆหรือ?....

ความสงสัยของวายุยิ่งเพิ่มหลักฐานชัดเจนมากขึ้น เมื่อวันต่อมา อาโปมาที่ร้านไอศกรีมอย่างอารมณ์ดี 

อาโปวิ่งเข้ามาหารุ่นพี่ตัวเล็กที่อาโปเคารพเหมือนพี่ชายแท้ๆ…

“พี่เดียร์” อาโปสวมกอดเดียร์ แทบจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว

เดียร์กำลังจะเอาถาดเปล่าไปเก็บ แต่รุ่นน้องโจนเข้ามากอดไว้แน่นได้ก่อน 

ล็อคยืนมองอยู่ไม่ไกล สายตาที่มองทั้งสองคนกอดกันเต็มไปด้วยความเอ็นดู… มองออกไปด้านนอก พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำแล้ว อีกไม่นานแสงไฟคงสว่างไสวเต็มถนน

เดียร์ยื่นแขนข้างหนึ่งไปโอบรุ่นน้อง มืออีกข้างยังถือถาดไว้ ข้างๆเดียร์มีร่างโปร่งแสงยืนนิ่ง มองท่าทางของคนสองคนที่กอดกันกลม

“อารมณ์ดีแบบนี้ แสดงว่าทำรายงานเสร็จหมดแล้วใช่ไหม?”

อาโปค่อยๆผละออก ยู่หน้าน้อยๆ ท่าทางน่าเอ็นดูเชียว

“งานยังไม่เสร็จหรอกครับ แต่ว่า…”

อาโปชะงัก ลากเสียงยาว จงใจให้รุ่นพี่ลุ้น และก็เป็นอย่างนั้น

เดียร์ทวนคำด้วยท่าทางตื่นเต้น “แต่ว่า…?”

“แต่ว่า … ที่ผมดีใจเนี่ย…” อาโปจงใจเว้นวรรคนานๆให้รุ่นพี่ลุ้นเล่นๆ แต่ไม่ใช่แค่เดียร์หรอกที่ลุ้น ร่างโปร่งแสงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ลุ้นไม่ต่างกัน  อาโปอมยิ้มน้อยๆ เอ่ยบอกน้ำเสียงสดใส  “พี่วายุไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว”

“ฮะ?!!!!” รุ่นพี่ตัวเล็กอุทานลั่น หันไปสบตากับร่างโปร่งแสงข้างๆอัตโนมัติ  ไม่รู้ว่าเผลอปล่อยถาดไอศกรีมลงพื้นตอนไหน ดีที่ไม่ได้คุยกันกลางร้าน ถึงจะหลบมุมแถวเคาน์เตอร์ แต่เสียงปล่อยถาดลงพื้นก็ยังดังไปทั้งร้านอยู่ดี  พี่ข้าวอาสามาเก็บถาดนั้นไปทำความสะอาดเอง  เดียร์ตกใจรีบหันไปบอกพี่ข้าวว่าไม่เป็นไร แต่พี่ข้าวเพียงยิ้มอ่อนโยนให้เดียร์ บอกให้เดียร์คุยกับน้องให้เสร็จดีกว่า

“ละ..แล้ว ไม่ใช้เครื่องช่วยใจ ..แล้ว … แล้วเจ้าตัวเป็นอย่างไรบ้าง?  อาการแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?!” รุ่นพี่ตัวเล็กถามร้อนรน

อาโปตาโตด้วยความตกใจ ถึงจะรู้สึกแปลกๆกับสิ่งที่รุ่นพี่พูด แต่พอเริ่มจับน้ำเสียงกับสีหน้าของรุ่นพี่ตัวเล็กได้แล้ว อาโปรีบแก้ความเข้าใจผิดทันที

“ไม่ใช่ครับพี่เดียร์ ไม่ใช่  พี่วายุไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว เพราะพี่วายุหายใจด้วยตัวเองได้แล้ว แสดงว่าพี่วายุเริ่มรู้สึกตัวบ้างแล้ว อีกไม่นานก็คงฟื้น หมอบอกว่าไม่น่าจะเกินเดือนแล้วล่ะ” อาโปยิ้มแย้มอย่างมีมีความสุข

คนที่เป็นเจ้าชายนิทรามาสี่เดือน…

กำลังจะฟื้นในไม่ช้านี้หรือ?

“อ๊า~!!! จริงหรืออาโป!  จริงๆใช่ไหม!!” เดียร์ร้องลั่นด้วยความดีใจ เผลอกระโดดโลดเต้น  ต้องชะงักไปเมื่อได้รับสายตาแปลกๆจากลูกค้า

เดียร์หันไปขออนุญาตเจ้าของร้านที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เมื่อได้รับอนุญาต เดียร์รีบจูงมืออาโปออกไปหน้าร้านด้วยกัน

“อาโป บอกพี่อีกที ว่าพี่ไม่ได้หูฝาด” เดียร์ถามย้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง …อาโปยิ้มหวานมาให้

“พี่เดียร์ไม่ได้หูฝาดหรอกครับ พี่วายุดีขึ้นจริงๆ ผมโคตรชอบพี่เดียร์เลยนะรู้ไหม พี่แคร์พี่วายุเหมือนเป็นคนในครอบครัวจริงๆ เวลาผมมาคุยกับพี่ ผมโคตรมีความสุข” อาโปยังคงเจื้อยแจ้วต่อไป

ทางด้านหลังอาโป… มีร่างโปร่งแสงของวายุยืนมองอยู่ไม่ไกล

สายตาคมทอดมองแผ่นหลังเล็กๆของน้องชาย ก่อนเลยมาสบตากับดวงตาใสของเดียร์ที่มองวายุอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ร่างสูง … วายุยิ้มอ่อนโยนไปให้ สายตาทอดมองคนสองคนคุยกันด้วยความเอ็นดู

เรื่องที่ได้รู้จากอาโปวันนี้ … ทำให้วายุมีความสุขมากจริงๆ

หลังจากนี้คงมีแต่เรื่องดีๆตามมาแน่ๆ


ไกลออกไปจากหน้าร้านไอศกรีม….

ในความมืดมิด เสียงสองเสียงเถียงกันมาพักใหญ่ แต่ทว่าผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่สามารถได้ยินได้

…  ประโยคซ้ำๆ …เถียงกันวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา

“เอาไงดีล่ะทีนี้ บอกหรือไม่บอก?”

“บอกเถอะ”

“ไม่ต้องบอกหรอก”

“บอกเถอะน่า ไม่บอกแล้วจะรู้หรือ?”

“ไม่ต้องให้รู้น่ะดีแล้ว”





# My dear





เป็นตอนที่แต่งเสร็จแล้วหอบ
โฮ่… แต่งไปลุ้นไป
ฝากด้วยนะคะ แอมเริ่มเห็นฉากจบลอยมาละ ^^



คนเขียนรีบปฎิบัติตามคำแนะนำทันที ฮี่ๆๆๆ ^^

ขอบคุณมากๆค่ะ  :mew3:



เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 19 (30/6/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-06-2014 03:05:51
ตลกพู่กันอะ ดูน่ารักดี วายุอาการดีขึ้นพราะตอนนี้เดียร์เริ่มใส่ใจวายุหรือเปล่า แบบยิ่งคิดคำนึงถึงตลอดเวลายิ่งอาการดีขึ้นแบบนี้
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 20 (1/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 01-07-2014 08:44:19

Chapter 20


แสงสีส้มพาดผ่านขอบฟ้า ฝูงนกพากันบินกลับรัง ...ไม่นาน ดวงจันทร์เริ่มฉายเด่นอยู่บนขอบฟ้าอีกฟาก แสงดาวระยิบระยับพร่างพราย  …จนกระทั่ง ดวงจันทร์เคลื่อนย้ายไปยังขอบฟ้าอีกฟาก ดวงดาวค่อยๆจางหายไป..แสงตะวันค่อยๆสาดส่องอีกครั้ง…

วันแล้ว วันเล่า ที่เดียร์นับวันรอวันหยุด

ตั้งใจไว้ว่าถ้าถึงวันหยุด เขาจะไปหาวายุที่โรงพยาบาล

แม้ว่าที่จริงเดียร์อยากจะไปโรงพยาบาลให้เร็วกว่านั้น แต่กว่าจะเลิกงานแต่ละวันก็ดึกดื่น ไหนจะต้องตื่นมาเรียนตอนเช้าอีก

รอเพียงให้ถึงวันหยุดเร็วๆ จะมุ่งหน้าไปหาวายุที่โรงพยาบาลทันที

“ผมก็อยู่นี่แล้วไงครับ ไม่ไปไหนด้วย ผมที่อยู่โรงพยาบาล ไม่หล่อเท่าผมที่นั่งอยู่ข้างๆเดียร์ตอนนี้หรอกนะ ” วายุแซวเดียร์ ขณะนั่งเฝ้าคนตัวเล็กทำรายงานหลังเสร็จงานจากร้านไอศกรีม

เดียร์ละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ค เงยหน้ามองร่างสูงที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะญี่ปุ่น

“มันเกี่ยวกันไหมล่ะ …ฉันก็อยากไปเยี่ยมนายเหมือนกันนะ ถ้านายดีขึ้นจริงๆ ฉันก็ดีใจด้วย” 

“เพราะเดียร์ชอบผมแล้วไงล่ะ ผมเลยดีขึ้นขนาดนี้”

วายุสวนกลับ ยิ้มแป้นใส่ คนน่ารักตรงหน้าเพียงตวาดกลับมาเบาๆ  “ไอ้บ้า!  มันเกี่ยวกันตรงไหน” 

“เกี่ยวทุกตรงเลยครับที่รัก”

เดียร์พยายามดึงสติมาอยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค สงบจิตสงบใจที่มันกำลังเต้นกระทุ้งโครมๆอยู่ในอก

สายตาคมมองใบหน้าหวานที่เริ่มเปลี่ยนสี… รอยยิ้มน้อยๆจุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ

…น่ารัก….

เข็มของนาฬิกาเดินไล่วนกันอยู่บนหน้าปัดไปเรื่อยๆ

เดียร์ยังทำรายงานต่อไปอย่างไม่ยอมหยุดพัก ….เหลือบไปมองบนพื้นข้างๆตัว มีร่างเล็กของเพื่อนร่วมห้องนอนแผ่หลาคาโน้ตบุ๊คที่เปิดค้างไว้ หนังสือกระจัดกระจายอยู่รอบๆตัว  เดียร์หลับตาพักสายตาสักพัก มองหน้าจอโน้ตบุ๊คนานๆก็ทำให้สายตาล้าได้...

เดียร์ก้มลงฟุบไปกับโต๊ะญี่ปุ่น.. พลันได้ยินเสียงก๊อกแก๊กดังเข้ามา คนตัวเล็กเด้งตัวนั่งคืนทันที …มองไปยังที่มาของเสียง

ร่างโปร่งแสงของวายุกำลังจดจ่ออยู่กับโน้ตบุ๊ค ไม่รู้ว่าดึงโน้ตบุ๊คหันไปตอนไหน มือหนาวางบนแป้นพิมพ์ สายตามองหน้าจอ ท่าทางจริงจัง

“ทำอะไร?” คนตัวเล็กขยี้ตาน้อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปดูหน้าจอ

 “อันนี้คำนวณคาร์บอน 14 ใช่ไหมล่ะ? ผมพอทำได้” แล้ววายุก็ทำให้อย่างที่พูดจริงๆ …ร่างสูงส่งยิ้มน้อยๆมาให้เดียร์ ลงมือพิมพ์สูตรและวิธีการคำนวณลงไป  มีผละออกมาหยิบปากกากับกระดาษมาขีดๆเขียนๆอะไรบ้าง แล้วก็กลับไปจดจ่ออยู่กับหน้าจอต่อ

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เดียร์เผลอนั่งมองท่าทางของร่างสูง

ริมฝีปากบางอมยิ้มน้อยๆโดยไม่รู้ตัว…

จนกระทั่งเสียงทุ้มๆดังขึ้นมา

“มองอย่างนี้ผมก็เขินนะ”

ร่างเล็กสะดุ้งน้อยๆ  เผลอสบตาร่างสูงได้ไม่ทันไรก็ต้องรีบก้มหน้าหลบสายตา มือบางคว้าหนังสือแถวนั้นมากางบังหน้าตัวเองที่มันคงเปลี่ยนสีอีกแล้ว

… วายุมองมาอีกแล้ว … สายตาของวายุที่มองมาก็ไม่ใช่เล่นๆเลย  แค่เดียร์แอบมองวายุครั้งเดียว ยังไงก็ไม่เท่าที่วายุใช้สายตาทะลวงร่างของเดียร์แบบนี้หรอก

จะให้ร่างของเดียร์ทะลุจริงๆใช่ไหม!







ในที่สุด วันที่เดียร์รอคอยก็มาถึง

เป็นอีกครั้งที่เดียร์ขอให้อาโปไปโรงพยาบาลด้วย แม้ว่าเดียร์จะไปเองโดยให้วายุพาไปได้ แต่มันก็ยังไม่อุ่นใจเท่ามี“คน”ไปเป็นเพื่อนจริงๆ

เดียร์กับอาโปโดยสารแท็กซี่มาถึงโรงพยาบาลเป้าหมายในช่วงสายของวัน  ตามด้วยขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ต้องการ

อาโปเดินเคียงข้างมากับรุ่นพี่ที่เริ่มสนิทกันมากขึ้นแล้ว

ทันทีที่มาถึงห้อง มือบางของรุ่นน้องเคาะประตูเบาๆ เป็นสัญญาณให้คนที่อยู่ด้านในรับทราบว่ามีคนมา  เมื่อลองเปิดประตูแล้วพบว่าไม่ได้ล็อค  อาโปจึงเดินนำรุ่นพี่เข้าไปด้านใน

“ป้าแหม่ม~” อาโปเดินเข้าไปกอดเอวหญิงวัยกลางคน ได้รับอ้อมกอดรัดแน่นกลับคืนมา

“อยากกอดบ้างจัง” เสียงทุ้มดังขึ้นมาเบาๆ …สายตาหม่นเศร้า

เดียร์เงยหน้ามองร่างสูง มือบางยื่นมือไปบีบกระชับมือหนาแน่น ยิ้มน้อยๆให้กำลังใจ

“ป้าแหม่ม สวัสดีครับ” เดียร์เข้าไปทักทายผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างโซฟา ป้าแหม่มยกมือรับไหว้ ยิ้มอ่อนโยนมาให้คนตัวเล็ก

เดียร์แอบสังเกตจากสภาพความเป็นอยู่และข้าวของเครื่องใช้แล้ว ท่าทางป้าแหม่มจะอยู่เฝ้าวายุทุกวัน

“พี่ๆคนอื่นๆล่ะครับ ผลัดๆกันบ้างก็ได้” อาโปเอ่ยอ้อนๆกับผู้สูงวัย ถึงอาโปจะมานอนเฝ้าบ้าง พ่อกับแม่มานอนเฝ้าบ้าง แต่ยังไม่บ่อยเท่าป้าแหม่ม ขนาดขอให้พี่ๆคนอื่นๆในบ้านผลัดกันมาเฝ้าไข้บ้าง กลับได้นอนเป็นเพื่อนป้าแหม่มซะนี่

“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าอยากอยู่กับคุณหนูวายุ” รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าของผู้มากวัย อาโปเห็นอย่างนั้นเลยออกแรงรัดแขนเข้ากับร่างท้วมๆของป้าแหม่มอีก

เดียร์เดินเข้าไปหยุดข้างเตียงผู้ป่วย

ร่างของวายุดูดีกว่าครั้งแรกที่เดียร์มาเยี่ยม อาจเป็นเพราะเลือดไหลเวียนดีขึ้นหรืออย่างไร ไม่ทราบได้  ผิวเนื้อดูมีชีวิตชีวาขึ้น สายระโยงระยางที่เคยต่อเข้าร่างกายของวายุก็เริ่มน้อยลง  เผยให้เห็นใบหน้าคมคายของวายุที่ดูซูบไป  แผ่นอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ …ดูๆไป เหมือนวายุเพียงแค่นอนหลับเท่านั้นเอง

“ดูดีขึ้น….นิดหน่อย” เสียงจากร่างข้างๆ ทำเอาเดียร์อดไม่ได้ที่จะกระทุ้งศอกใส่เอวร่างสูง  วายุแสร้งร้องโอดโอยไปตามระเบียบ

“มันใช่เวลาพูดถึงเรื่องนั้นไหม?” คนตัวเล็กแค่นเสียงให้เบาที่สุด  วายุเพียงยิ้มแหยๆมาให้

“ถ้าผมไม่หล่อ เดี๋ยวเดียร์ไม่รัก”

“หรอออออออ”

“ทำเสียงแบบนี้ แสดงว่า ไม่หล่อก็รัก”

คนตัวเล็กหันมาฟึดฟัดอยู่คนเดียว จะส่งเสียงเถียงวายุมากไปก็ไม่ได้ ถ้าเผลอเสียงดังขึ้นมา ป้าแหม่มกับอาโปคงจับเดียร์ส่งแผนกจิตเวชชัวร์

เดียร์กลับไปนั่งคุยกับป้าแหม่มแล้วก็อาโปอีกพักใหญ่

พอได้ถามถึงอาการของวายุ… ป้าแหม่มบอกว่าอาการของวายุดีขึ้นมาก ขนาดหมอยังบอกว่าดีขึ้นเร็วมากจนน่าตกใจ …

อย่าว่าแต่หมอเลย … เดียร์เองยังตกใจ

….พอได้คุยแล้วก็เริ่มสนุกปาก

ป้าแหม่มเริ่มเล่าเรื่องของวายุตอนเด็กๆให้ฟัง บางเรื่องอาโปเองก็ไม่เคยรู้ อดตื่นเต้นไปกับเรื่องแปลกๆไม่ได้ เดียร์ฟังไปก็ขำไป … แต่ร่างโปร่งแสงข้างๆเดียร์ ไม่ได้ขำไปด้วยเลย เอาแต่ยู่หน้าน้อยๆใส่หญิงสูงวัยที่เล่าเรื่องอย่างอารมณ์ดี ได้ยินวายุพยายามเถียงเรื่องที่ป้าแหม่มเล่า

“ไม่ใช่นะป้า ตอนนั้นล้อจักรยานมันไม่ดีต่างหาก”

“ตอนนั้นน่ะนะ คุณหนูร้องไห้จ้าเลย เอาแต่โทษก้อนหินว่าขวางทางจักรยาน เลยขี่จักรยานล้ม”

เสียงวายุเคล้าไปกับเสียงป้าแหม่ม ยิ่งเดียร์ได้ฟังวายุแก้ตัว ยิ่งทำให้เดียร์กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

เดียร์อยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงช่วงบ่ายของวัน อาโปอยากอยู่กับป้าแหม่มต่อ เดียร์ไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวจึงขอตัวกลับก่อน


ต่อตรงนี้ ^^



กลับหอมา ก็มานั่งจ้องกับหน้าจอโน้ตบุ๊คต่อ รายงานยังค้างคาอยู่อีกหลายวิชา ซึ่งรายงานของแต่ละวิชาก็ไม่ใช่เบาๆเลย

พู่กันหอบโน้ตบุ๊คกับกระดานวาดรูปไปยึดพื้นที่โซนโซฟา แอบเห็นว่าพู่กันหันมาวาดรูปบ่อยกว่าพิมพ์งานในโน้ตบุ๊คซะอีก

เดียร์นั่งจ้องโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดที่ถูกเปิดค้างไว้ แสงสว่างจากหน้าจอตกกระทบใบหน้าใส หากแต่คนตัวเล็กกลับไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ต้องพิมพ์ลงไปในหน้ากระดาษนั้น

เรื่องของวายุวนเวียนอยู่ในความคิดของเดียร์

วายุดูเหมือนว่าจะดีขึ้นจริงๆ… ดีขึ้นเร็วจนไม่น่าเชื่อ

ไหนจะอาการแปลกๆของวายุที่พักนี้เป็นบ่อยเหลือเกิน  เดียร์ไม่รู้ว่าวายุเป็นอะไร แต่ท่าทางเจ็บปวดของวายุก็ชวนให้เดียร์คิดเชื่อมโยงกับเรื่องที่ร่างกายของวายุมีอาการดีขึ้น….บางทีมันอาจจะเกี่ยวกัน

หรือวายุจะกลับเข้าร่างได้จริงๆ?

วายุกำลังจะฟื้น?

ที่วายุเคยบอกมาตลอดมันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?

ถึงเดียร์จะยอมรับว่าเริ่มรู้สึกดีๆกับวายุบ้าง ( โอเค มันอาจจะไม่แค่ “บ้าง” แต่อาจจะมากกว่านั้น ) แต่แค่เพราะเรื่องนี้น่ะหรือที่ทำให้วายุฟื้นได้?

แต่มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ….ถ้ารู้สึกดีกับวายุ แล้ววายุฟื้นขึ้นมาได้ 

ถ้าวายุกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง คงจะดีไม่น้อย ถ้าจะสานสัมพันธ์กับวายุอย่างที่ความรู้สึกลึกๆต้องการ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในร่างวิญญาณแบบนี้

แล้วถ้าวายุไม่ฟื้นล่ะ?

จะเป็นไปได้ไหม ถ้าวายุแค่มีอาการดีขึ้นแต่กลับเข้าร่างไม่ได้

“คิดอะไรอยู่ครับ?” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังเข้ามา  เดียร์เผลอสะดุ้งสุดตัว

“วายุ!” ตวาดเบาๆ  วายุโน้มหน้ามาแทบชิด ตอนเดียร์เผลอหันไปมองร่างสูง ปลายจมูกชนกันเบาๆด้วย

“ที่คิดอยู่นี่ คิดเรื่องรายงานหรือคิดเรื่องผม?” ร่างสูงถอยห่างไปเล็กน้อย ย้ำว่าเล็กน้อย! ร่างของวายุยังอยู่แทบจะแนบเนื้อกับคนตัวเล็ก มีเพียงใบหน้าที่ผละออกไป วายุพูดออกมาแต่ละที ทำเอาเดียร์อดรู้สึกร้อนๆหนาวๆไม่ได้

“ถอยออกไปหน่อยสิ” คนตัวเล็กก้มหน้าบอกอ้อมแอ้ม มือบางดันไหล่กว้างให้ขยับห่างจากตัว วายุอมยิ้มน้อยๆ

“เดียร์ยังไม่ตอบเลย ว่าไงครับ? คิดเรื่องรายงานหรือคิดเรื่องผม”

คนตัวเล็กกัดริมฝีปากล่างเบาๆ กลั้นใจเงยหน้าสบตาร่างสูง

“ฉันจะคิดเรื่องนายทำไมล่ะ”

“ปากแข็ง”

ร่างสูงก้มหน้าแนบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากเล็ก เพียงแค่สัมผัสเบาๆแล้วผละออก ถึงจะเป็นแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ … ใบหน้าใสเปลี่ยนสีอีกแล้ว

“ผมบอกหลายครั้งแล้วนะ ว่าเดียร์คิดอะไรก็ออกมาทางสีหน้าหมด” วายุเอ่ยอย่างครึ้มใจ มองร่างเล็กตรงหน้าที่พยายามก้มหน้าคางชิดอก ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นแก้มที่เปลี่ยนสีอยู่ดี

“ระ…รู้แล้ว ถามทำไมล่ะ!?”

“อยากรู้ว่าเดียร์จะพูดอย่างที่คิดหรือเปล่า” ยิ่งเห็นคนตัวเล็กก้มหน้า วายุยิ่งได้ใจ ใบหน้าหล่อยื่นเข้าไปใกล้ๆแก้มใส “ปากแข็งแบบนี้ น่าทำให้อ่อนจัง”

“วายุ!” เดียร์เผลอเงยหน้าตวาดร่างสูง และเพิ่งรู้ว่าตัวเองพลาด เมื่อได้สบตากับสายตาหยาดเยิ้มตรงหน้า เดียร์เริ่มหันรีหันขวาง ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที

“จะ…จะทำงานต่อแล้ว เขยิบออกไปห่างๆได้ไหม?”

วายุยอมเขยิบออกให้แต่โดยดี

ถ้าเอาน้ำเปล่าไปไว้ใกล้ๆหน้าเดียร์ตอนนี้ น้ำคงเดือดแน่ๆ…

วายุเขยิบไปนั่งเท้าคางจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะญี่ปุ่นเหมือนเดิม มองคนตัวเล็กที่ยกมือน้อยๆตบแก้มตัวเองเบาๆ หายใจเข้าหายใจออกช้าๆ สะบัดหน้าน้อยๆแล้วก็กลับเข้าสู่โลกของรายงานอีกครั้ง

คนตัวเล็กหันไปหยิบหนังสือที่ต้องใช้ข้อมูลมาอ่าน ขีดเน้นข้อความตามเห็นสมควร แล้วก็กลับไปจดจ่อกับไมโครซอฟต์เวิร์ด

นั่งหลังขดหลังแข็งไปได้สักพัก คนตัวเล็กก็หอบหนังสือที่ต้องอ่านเดินเข้าห้องนอน …

วายุเดินตามไปเงียบๆ  มองคนตัวเล็กที่นั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสือ  มือบางมีปากกาเน้นข้อความอยู่ในมือ …อ่านไปได้สักพัก จากที่นั่งพิงหัวเตียง แผ่นหลังบางเริ่มสัมผัสที่นอน ศีรษะเริ่มวางบนหมอน  คนตัวเล็กพลิกตัวนอนคว่ำ หนุนหมอนไว้ใต้อก พอเริ่มเมื่อยก็เปลี่ยนท่ามานอนตะแคง พลิกซ้ายพลิกขวาจนพอใจ

วายุนั่งมองแผ่นหลังเล็กที่นอนตะแคงหันหลังให้ รู้สึกว่าเดียร์เริ่มนิ่งไปจนผิดปกติ

ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ร่างเล็ก…. พลันรอยยิ้มน้อยๆปรากฏบนใบหน้าคม

แพขนตายาวพริ้มปิดลงมา ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ หนังสือเล่มโตนอนนิ่งอยู่ในมือในหน้าที่เปิดค้างไว้ ข้างตัวมีปากกาเน้นข้อความหล่นอยู่

วายุค่อยๆดึงหนังสือออกจากมือน้อยๆนั้น หยิบปากกาเน้นข้อความมาคั่นหน้าไว้ เผื่อเจ้าตัวอ่านต่อ

…บทจะหลับก็หลับกันง่ายๆแบบนี้เลยนะ….

แสงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง อีกไม่นานแสงสีทองคงหายลับไป

ดวงจันทร์เริ่มประดับประดาบนท้องฟ้าบ้างแล้ว

วายุเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้อง ไปที่โซฟา พู่กันก็ยังตั้งหน้าตั้งตาวาดรูป ไม่ได้สนใจหน้าจอโน้ตบุ๊คที่ไม่รู้ว่ามันดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ วายุเดินเข้าเดินออกห้องนอน ก็ไม่มีทีท่าว่าเดียร์จะตื่น

วายุไม่รู้จะทำอะไร สุดท้ายมาทิ้งตัวนั่งข้างคนตัวเล็กในห้องนอน

ลอบมองใบหน้าหวาน  ที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ไม่รู้จักเบื่อ

ตอนนั้นเองที่คนตัวเล็กเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

ร่างเล็กบิดน้อยๆ มือบางประคองศีรษะตัวเองไว้

“ปวดหัว” เสียงหวานพึมพำเบาๆ พลางยันตัวลุกนั่ง วายุคอยช่วยประคองคนตัวเล็กให้นั่งพิงกับหัวเตียง ทันทีที่คนตัวเล็กตาสว่าง และเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า เสียงใสก็ร้องลั่น

“นะ…นายทำอะไรฉัน!!” ไม่รู้ล่ะ โวยวายไว้ก่อน  เดียร์ปวดหัวมาก   ตอนก่อนนอนก็ไม่เห็นปวดหัวแบบนี้ พอตื่นขึ้นมาแล้วปวดหัว แล้วยังมาเจอวายุอยู่ตรงหน้าอีก

คนตัวเล็กกวาดตามองสำรวจร่างกายตัวเอง… ไม่มีรอยบุบตรงไหน เสื้อผ้าอยู่ครบ  แล้วทำไมถึงปวดหัว!

“ผมไม่ได้ทำอะไรเดียร์หรอกนะ… เดียร์เล่นนอนทับตะวันแบบนี้ ก็ปวดหัวเป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละ”

คำพูดของวายุไม่ได้ทำให้เดียร์เชื่อร้อยเปอร์เซ็นเลย

คนตัวเล็กส่งสายตาไม่ไว้ใจไปให้ร่างสูง

“เอ้า…จริงๆนะ  นอนตอนเย็นก็อย่างนี้แหละ” วายุเห็นท่าทางระแวงของเดียร์แล้วชักอยากแกล้ง “หรือเดียร์อยากให้ผมทำอะไร ก็ได้นะ ผมไม่เกี่ยงหรอกว่าผมจะเป็นคนหรือวิญญาณ ถ้าเดียร์ใจร้อน เดี๋ยวผมทำตอนนี้ก็ได้”

วายุไม่พูดเปล่า ยื่นมือไปหาร่างเล็กทันที

เดียร์รีบลุกหนีไปยืนอีกฝั่งของเตียง เสียงหวานตวาดลั่น

“จะบ้าหรือ! ฉันพูดแบบนั้นหรือไง!”

“อ้าว เห็นเดียร์ไม่พอใจ ผมก็คิดว่าเดียร์โมโหที่ผมไม่ยอมทำ…”

“หยุด!! ฉันพูดแบบนั้นตอนไหนฮะ!!”

วายุสาวเท้าไปหาเดียร์

ทันทีที่ถึงตัวเดียร์ แสงสว่างวาบก็แผดจ้าเต็มห้อง

เดียร์ยกมือปิดตาอัตโนมัติ ข้างๆมีวายุยืนมองแสงตรงหน้าไม่วางตา

…เหตุการณ์คุ้นๆ

“สวัสดี ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพ่อหนุ่ม” เสียงทุ้มที่วายุคิดว่าคุ้นหูดังขึ้น เพราะเสียงมาก่อนที่ร่างจะเผยชัด วายุเลยพยายามนึกว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหน จนแสงสว่างค่อยๆจางลง วายุถึงกับเบิกตาโพลงกับภาพที่ฉายชัดตรงหน้า

“ยมทูต?!” วายุแน่ใจแล้วว่าเสียงนั้นคือเสียงยมทูตแน่ๆ

“ไม่ใช่ยมทูตตนเดียวซะหน่อย” เสียงใสข้างยมทูตนั่น…

“กามเทพ?!”

“ยังจำกันได้นี่”

วายุแทบจะทึ้งหัวตัวเอง

สายตาคมเหลือบไปมองร่างเล็กข้างๆ เดียร์ตาโตอ้าปากค้างไปเรียบร้อยแล้ว

“สวัสดี เรายังไม่เคยเจอกันเลยสินะ ไม่สิ พวกเราเจอเธอแล้ว แต่เธอยังไม่เคยเจอพวกเรา” เสียงใสของกามเทพเอ่ยทักคนตัวเล็กที่ได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ  วายุได้แต่มองร่างทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ

“ก่อนอื่นเลย พวกเราขอแสดงความดีใจด้วยนะ” เสียงทุ้มของยมทูตฟังดูนุ่มนวล

“ตอนนี้ก็ลงเอยกันด้วยดีแล้วสินะ.. ทีนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาแล้วล่ะ” ยมทูตว่าต่อไป  ข้างๆตัวมีกามเทพหยิบปากกาขนนกมาจดอะไรไม่รู้ใส่สมุดพกประจำตัว … เหมือนเป็นบันทึกประจำวัน

“ที่มาวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่จะบอกว่า นายกลับเข้าร่างได้แล้วนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนของยมทูตยังดังต่อไป

“กลับเข้าร่างได้แล้ว?!!” ตอนนั้นเองที่เดียร์รู้สึกเหมือนเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ คนตัวเล็กร้องลั่น ….วายุได้แต่มองยมทูตตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ปล่อยให้ร่างของนายอยู่อย่างนั้นนานๆมันไม่ดี ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว กลับเข้าร่างได้แล้วนะ” กามเทพเอ่ยบ้าง มือก็ยังจดอะไรลงไปไม่หยุด

“เดี๋ยว!...แต่  กลับยังไง ผมจะเข้าร่างได้ เดี๋ยวนะ นี่พูดอะไรกัน อย่าล้อเล่นนะ ผมจะเข้าร่างได้ยังไง” วายุละล่ำละลักแทบจับใจความไม่ได้ ไม่รู้ว่าความตื่นเต้นดีใจกับความสงสัยข้องใจ อันไหนมันมากกว่ากัน

“พรุ่งนี้เลยไหมล่ะ เร็วดี พวกเราจะพาไปส่งเข้าร่าง ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว”กามเทพเก็บปากกาขนนก ถือสมุดไว้ในมือ วายุมองไม่ทันว่าปากกาขนนกถูกเก็บไว้ที่ไหน แต่มันก็หายไปจากมือของกามเทพแล้ว

“พรุ่งนี้?! เดี๋ยว นี่อะไร ทำไมอะไรมันรวดเร็วแบบนี้ ตอนนั้นคิดจะให้ลื่นล้มก็ล้มไปเฉยๆ พอตอนนี้ก็จะเข้าร่างง่ายๆอย่างนี้?” วายุยอมรับว่าหงุดหงิดเล็กน้อย …  มันคงดีที่ได้กลับเข้าร่างเร็วๆ แต่เอะอะก็ปุบปับแบบนี้   มันจะรวดเร็วไปไหม? เข้าร่างได้แล้วจะเป็นยังไง? ร่างกายที่ไม่ได้ขยับเลยตลอดเวลาสี่เดือน… แน่นอนว่าต้องใช้เวลาพักฟื้น นี่ไม่ให้เวลาทำใจอะไรเลยหรือไงกัน!

“รีบฟื้น จะได้รีบกลับมาเป็นปกติ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดของข้าเอง ข้าต้องขอโทษด้วย หลังจากนี้…ข้า…เห็นใจพวกเจ้านะ ข้าขอโทษที่ทำอะไรไม่ได้มาก”

“ไอ้ยมทูต!  พูดมากล่ะ  ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่บอก” กามเทพแค่นเสียงกระซิบ ยมทูตเพียงได้แต่ยิ้มน้อยๆ

“เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงคืน เจอกันที่โรงพยาบาล เวลาที่เหมาะที่สุดคือ ห้าทุ่มห้าสิบเก้านาที”

ทันใดนั้น แสงวูบวาบแผดจ้าอีกครั้ง ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ ไร้ร่องรอยของร่างสองร่างที่ยืนอยู่เมื่อครู่

มาเร็วไปเร็วเหมือนเดิม ไม่มีให้ตั้งตัวกันเลย!

เดียร์หันมามองวายุตาปริบๆ สายตาประสานกัน พลันรอยยิ้มกว้างเผยชัดบนใบหน้าของทั้งคู่ ตามมาด้วยเสียงร้องลั่นด้วยความดีใจ

พู่กันที่วาดรูปอยู่ด้านนอก เพิ่งได้ยินเสียงเดียร์ร้องลั่นอยู่ในห้อง…. เดียร์คงคุยอะไรกับ“ใคร”อยู่ หรือคุยโทรศัพท์ก็ไม่รู้ หลังๆมานี้พู่กันชักดูไม่ออก …แต่ก็ชินแล้วล่ะนะ




# My dear


วายุดีขึ้นแล้วนะคะ ฮี่ๆๆๆ



เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 20 (1/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-07-2014 15:24:30
จะได้เข้าร่างแล้วนะวายุ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 20 (1/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 02-07-2014 16:05:21
ขอให้เข้าร่างได้โดยปลอดภัยนะคะ  :call:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 20 (1/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 02-07-2014 18:24:15
เข้าร่างแล้วจะจำเดียร์ไม่ได้ใช่เปล่า
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 21 (3/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 03-07-2014 16:41:59
Chapter 21





แสงอรุณสาดส่องรับวันใหม่ ฝูงนกพากันบินออกจากรัง ลมโชยอ่อนๆหลอกล้อกับยอดไม้ใหญ่

วายุยืนมองภาพบรรยากาศยามเช้าจากในห้อง…

ห้องที่วายุเคยอาศัยอยู่…

ห้องที่วายุคุ้นเคย…

ห้องที่ได้พบกับเดียร์…

ร่างสูงหันกลับมามองคนตัวเล็กทั้งสองคนบนเตียงนอน ทั้งเดียร์และพู่กันยังนอนหลับสบายอยู่บนที่นอน

พู่กันเล่นอยู่ทำงานจนดึก

ส่วนเดียร์… มัวแต่ตื่นเต้นที่เมื่อคืนได้เจอยมทูตกับกามเทพ ไหนจะเรื่องที่วายุจะได้กลับเข้าร่างอีก … กว่าเดียร์จะหลับ ดาวก็เริ่มจางหายไปจากขอบฟ้าแล้ว

ไม่นาน พู่กันค่อยๆปรือตาตื่นขึ้นมา บิดตัวน้อยๆ ก่อนลุกเดินเข้าห้องน้ำ

วายุแอบนับถอยหลังในใจ….

หลังจากนี้อีกสิบวินาที … นาฬิกาปลุกจะดัง

ว่าแล้ว วายุเริ่มนับ สิบ….เก้า….แปด….

สาม….สอง….หนึ่ง  และ…..

เป็นอย่างที่คิดไว้ นาฬิกาปลุกร้องลั่นขึ้นมาทันที

เดียร์ควานหาที่มาของเสียงรบกวน มือเล็กตะปบปิดนาฬิกาเต็มแรง 

ร่างสูงเริ่มนับถอยหลังอีกครั้ง

หลังจากนี้อีกยี่สิบวินาที เดียร์จะลุกจากที่นอน

…วายุอดขำน้อยๆไม่ได้

นาฬิกาปลุกเวลานี้ทุกวัน เดียร์ก็เป็นแบบนี้ทุกวัน

คอยดูนะ ถ้ากลับเข้าร่างได้จะโยนนาฬิกาทิ้งเสีย แล้วเขาจะเป็นคนปลุกเดียร์เอง …ปลุกแบบมอนิ่งคิสดีไหมนะ หรือจะเอาแบบดีปคิสไปเลย

…แต่เดียร์ต้องไม่ตะปบเขาเหมือนที่ตะปบนาฬิกานะ

เดียร์เด้งตัวจากที่นอนตอนที่วายุนับครบยี่สิบวินาทีพอดี

คนตัวเล็กขยี้ตาน้อยๆ ได้ยินเสียงน้ำจากห้องน้ำ…พู่กันคงอาบน้ำอยู่

คนตัวเล็กเหลือบสายตามองไปรอบๆห้อง คล้ายมองหาใครบางคน

“ตื่นหรือยังเนี่ย?” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างๆ รู้สึกถึงไอเย็นจากร่างสูงที่อยู่บนศีรษะ มือหนาโยกโคลงศีรษะเบาๆ

“ตื่น…แล้ว…” อื้อหือ เสียงยานคางได้อีก …วายุหลุดขำน้อยๆ

พู่กันออกจากห้องน้ำพอดี เดียร์เห็นอย่างนั้นเลยตั้งท่าจะลงจากเตียงเข้าห้องน้ำบ้าง

“อาบน้ำก่อนนะ” เสียงหวานเอ่ยเบาๆ เดินโซเซเข้าห้องน้ำไป

แล้วก็เป็นอย่างเช่นทุกวัน เดียร์ไปเรียนกับพู่กัน มีโต้งนั่งรออยู่ที่ห้องเรียนแล้ว วายุตามเดียร์ไปทุกที่ทุกวิชา

ยอมรับว่าตั้งแต่เป็นวิญญาณตามติดเดียร์แบบนี้ วายุได้เรียนอะไรที่ไม่เคยเรียนเยอะมาก ทั้งที่ปกติเรื่องที่เรียนจะอยู่แต่กับตัวเลขและสูตรคำนวณ พอมานั่งฟังวิชาที่เป็นเนื้อหา อย่างประวัติศาสตร์หรือมนุษยวิทยาแบบนี้ ทำเอาวายุเพลินไปเหมือนกัน

นั่นสินะ… ตอนนี้วายุชินกับการมีเดียร์อยู่ข้างๆแล้ว

วายุแทบไม่เคยปล่อยให้เดียร์คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว (อาจจะมีบ้างตอนเดียร์เข้าห้องน้ำ..เขาก็ยังพอมีมารยามพอนะ) ไม่ว่าเดียร์จะไปไหน จะทำอะไร วายุรับรู้อยู่ตลอด

คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้

ถ้าเขาฟื้นขึ้นมาจริงๆ… กิจวัตรแบบนี้ก็คงหายไป…

ร่างสูงมองนิ่งไปยังคนตัวเล็กที่กำลังตวัดปากกาลงหน้ากระดาษสมุดมือเป็นระวิง ใบหน้าใสเงยมองอาจารย์ที่บรรยายหน้าห้องเป็นระยะๆ สลับกับก้มลงไปจดจ่อกับสมุดต่อ

เดียร์จะคิดเหมือนเขาไหมนะ….

เดียร์จะรู้สึกเหงาไหม...

แต่ก็เอาเถอะ… อย่างไรเสีย ถ้าฟื้นขึ้นมาได้ก็ไม่ปล่อยให้เดียร์คลาดสายตาเหมือนเดิมอยู่ดี 

คนที่จะอยู่ในสายตาเดียร์ได้ มีแค่วายุเท่านั้น!

วันนี้แล้วสินะ…ที่วายุจะฟื้น

วายุคิดถึงคำสัญญาที่เคยเอ่ย..

เดียร์ต้องรอจนเขาฟื้นจริงๆนะ…

ห้ามหวั่นไหวกับใครนะ

ห้ามปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับไอ้ล็อคนะ

…ห้ามผิดสัญญานะ

ถึงแม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้น แต่ระหว่างนั้นเดียร์ต้องรอนะ  ช่วงพักฟื้น เขาคงไปไหนมาไหนกับเดียร์แบบนี้ไม่ได้ จะรับรู้ข่าวคราวของเดียร์ได้ ก็มีแค่อาโปเท่านั้นที่พอจะบอกได้บ้าง…ถึงตอนนั้นวายุจะเล่าให้อาโปฟังทุกอย่างว่าวายุรู้สึกยังไงกับเดียร์… น้องชายเขาคงไม่ใจร้ายขนาดไม่ยอมรับเรื่องของเขากับเดียร์หรอก ดูท่าอาโปเองก็ออกจะปลื้มเดียร์อยู่ไม่น้อย

นักศึกษาทยอยเดินออกจากห้องเรียนหลังจากเรียนเสร็จ

วายุสะดุ้งน้อยๆเมื่อเจอแรงสะกิดเบาๆที่แขน

“เรียนเสร็จแล้ว ไปกัน” เดียร์กระซิบเบาๆ

สายตาคมมองเลยไหล่บางไป เห็นโต้งกับพู่กันกำลังเตรียมตัวสะพายกระเป๋ากันแล้ว

…นี่เขาเหม่อนานขนาดนี้เลยหรือเนี่ย

โต้ง พู่กัน และเดียร์ มีเรียนต่ออีกทีตอนบ่าย วายุเพิ่งรู้สึกว่าเดียร์ “ตื่น”จริงๆก็ตอนบ่ายนี่ล่ะ

ร่างสูงต้องคอยปรามคนตัวเล็กที่เอาแต่จะร้องดีใจกับวายุกลางโรงอาหาร ไหนจะระหว่างทางเดินมาห้องเรียนตอนบ่ายอีก

“กี่โมงนะ? ห้าทุ่ม ห้าสิบเก้าใช่ไหม?” เดียร์ว่าเสียงระรื่น พลางจดยิกๆลงไปบนช็อตโน้ต

“นายไม่ตื่นเต้นเลยหรือไง! นายกำลังจะฟื้น! โอ้โห มันยิ่งกว่าในหนังที่เคยดูซะอีก ฉันรอให้ถึงห้าทุ่มไม่ไหวแล้วนะ โอ่ย จะเป็นยังไงนะตอนนั้น มันจะมีแสงวิ้งๆเหมือนในละครไหม? ตอนนายเข้าร่าง นายจะเจ็บไหม? แล้วหลังจากนั้นนายจะฟื้นเลยไหม? โหยยย รอไม่ไหวแล้ว” เดียร์ว่าอย่างตื่นเต้น เสียงใสไม่ได้ดังในระดับกระซิบ แต่ดังในระดับคนคุยกันเบาๆ

พู่กันกับโต้งเหลือบมองเดียร์เป็นระยะๆ … ท่าทางของเดียร์เหมือนคนซ้อมบทละครมาก… แอคติ้งมาเต็ม สีหน้า ท่าทาง อารมณ์

ทั้งสามคนอยู่ในห้องเรียน  กำลังรอเรียนตอนบ่าย นักศึกษาคนอื่นๆทยอยเข้าห้องมาเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งที่มีคนเข้ามา จุดโฟกัสสายตาของทุกคนจะต้องจับจ้องอยู่ที่เดียร์ทันที

“เบาๆครับ” วายุจุ๊ปากให้คนตัวเล็กลดเสียงลง เดียร์ยกมือปิดปากอย่างว่าง่าย แต่เสียงหวานๆก็ยังเล็ดลอดออกมาเบาๆ

“กามเทพกับยมทูตเคยบอกไหมว่าจะเจ็บหรือเปล่า?”

“ไม่เคยนา…ไม่เคยพูดถึงเลย ที่ผมเจ็บก็มีแต่ตอนที่เจ็บหน้าอกนั่นล่ะ…แต่ทุกครั้งที่เจ็บ ร่างกายผมก็ดีขึ้นทุกที”

“แล้วอย่างนี้ ถ้าตอนต้องฟื้นจริงๆ ไม่เจ็บแย่หรือ?” ดวงตาใสฉายแววเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด …วายุอมยิ้มน้อยๆ

“ไม่เจ็บหรอก มีเดียร์อยู่ข้างๆแบบนี้ ผมไม่เจ็บหรอกครับ”  วายุยิ้มหวานให้คนตัวเล็ก ..ใบหน้าใสมีสีชมพูระเรื่อน้อยๆ

ไม่ทันไร เดียร์ก็ต้องหันไปหยิบสมุด ปากกาออกมาจากกระเป๋า เมื่ออาจารย์เดินเข้าห้องมาแล้วร่ายยาวทันที

กว่าจะการเรียนการสอนจะเสร็จสิ้นก็กินเวลาไปสามชั่วโมง

พู่กันขอตัวกลับไปวาดรูปส่งลูกค้าต่อ ส่วนโต้งกับเดียร์รีบมุ่งหน้าไปที่ร้านไอศกรีมทันที

โต้งตงิดใจ อยากถามเดียร์หลายครั้งแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้เดียร์คุยเก่งเป็นพิเศษ ถ้าคุยกับโต้ง โต้งจะไม่แปลกใจเลย

แต่นี่เดียร์ไม่ได้คุยกับโต้งน่ะสิ!

เพื่อนตัวเล็กเอาแต่คุยคนเดียว (ใช่ ในสายตาของโต้ง) ถึงโต้งจะไม่เห็นคู่สนทนาที่เดียร์คุยด้วย แต่เดาว่าฝ่ายโน้นคงมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นแน่  อยากถามน่ะก็อยากถามน่ะ  แต่ถามว่ากลัวไหม ยังไงก็กลัวอยู่ดี ไม่รู้ว่าถ้าโต้งถามอะไรเดียร์มันไปแล้ว ‘เขา’จะพอใจไหมที่โต้งไปอยากรู้เรื่องของ ‘เขา’

ร้านไอศกรีมอยู่ใกล้กว่าทุกครั้งในความรู้สึกของเดียร์

รู้สึกเหมือนทุกครั้งที่เดินมา จะใช้เวลานานกว่านี้

หรือเป็นเพราะเดียร์มัวแต่คุยกับวายุเพลินจนลืมเวลา?

โต้งเดินนำเข้าร้านไปก่อน เดียร์เดินตามไปติดๆ

“พี่เดียร์” เสียงใสร้องทักขึ้น เดียร์หันไปตามที่มาของเสียง รอยยิ้มหวานถูกส่งไปให้ทันที

“อาโป! มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“เลิกเรียนปุ๊บก็รีบมาเลย”

เดียร์เดินเอากระเป๋าสายไปโยนไว้ใต้เคาน์เตอร์ ก่อนผละออกมาหารุ่นน้อง

ตรงหน้าอาโปมีไอศกรีมเต็มถ้วย ดูไปแล้ว เหมือนอาโปเพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำ

“เดี๋ยวนี้มาบ่อยน้า ไอศกรีมที่นี่อร่อยใช่ไหมล่า~?” รุ่นพี่เอ่ยแซว …ได้รับรอยยิ้มเขินๆจากรุ่นน้อง

“อร่อยด้วย อยากอยู่กับพี่เดียร์ด้วย” อาโปว่าพลางตักไอศกรีมเข้าปากไปคำหนึ่ง ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้รุ่นพี่อดเขินไม่ได้ “สูตรใหม่นี่อร่อยจริงๆนะครับ ถ้าพี่เดียร์ทำต้องอร่อยกว่านี้แน่”

“ปากหวาน~~ ปากหวานเหมือนใครนะเราเนี่ย”  เดียร์ว่าพลางเหล่ตาไปมองร่างโปร่งแสงที่นั่งตรงข้ามอาโป
วายุส่งสายตาทะเล้นกลับมาให้

คุยกันต่อสักพัก เดียร์ก็ต้องผละไปทำงาน

พี่ล็อคยังนั่งทำงานในมุมส่วนตัวของเจ้าของร้าน พี่ข้าวกับพี่ปิ่นสาละวนอยู่กับการหั่นผลไม้หลากชนิดประดับตกแต่งไอศกรีม โต้งยืนรับออเดอร์จากลูกค้าอยู่ไม่ไกล

ไม่เคยอยากให้ปิดร้านเร็วเท่าวันนี้มาก่อน

เดียร์เอาแต่นึกถึงช่วงเวลาหลังจากนี้…ความกระวนกระวายสุมเข้ามาในจิตใจ

คนตัวเล็กเหลือบไปมองนาฬิกาที่ผนังร้าน

…หนึ่งทุ่ม

หนึ่งทุ่มแล้ว

อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ห้าทุ่ม

…ถึงตอนนั้นรถจะติดไหมนะ

…จะไปทันหรือเปล่านะ

แล้วถ้าไปไม่ทันจะเป็นอะไรไหมนะ…

เดียร์สะบัดหน้าน้อยๆ เรียกสติกลับเข้าร่าง ตั้งใจทำงานให้ลืมเวลาที่ต้องรอ มีอะไรทำฆ่าเวลาแล้วก็อย่าเพิ่งคิดมาก

…เอ…แล้วทุกครั้งที่นั่งรถไปนี่ใช้เวลากี่ชั่วโมงนะ..

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มดังเข้ามา เดียร์เผลอสะดุ้งน้อยๆ ยิ้มแหยๆให้คนที่เข้ามาทัก

“พี่ล็อค…”

“พี่เห็นเราเหม่อนานแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหนไหม?” ไม่พูดเปล่า มือหนายื่นมาสัมผัสแก้มใสทันที เดียร์เบี่ยงหน้าหลบตามสัญชาตญาณ  ล็อคชะงักไปเล็กน้อย

“อะ…เอ่อ…ขอโทษครับพี่ล็อค ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ” ว่าจบ เดียร์ก็ผละออกไปรับลูกค้าที่เพิ่งเข้าร้าน  ล็อคได้แต่มองตามร่างเล็กไป ยอมรับว่าตกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่เดียร์หลบแบบนั้น

จะไม่ให้เดียร์หนีล็อคออกมาได้อย่างไร …สายตาคมที่มองเดียร์อยู่นั่นไง สายตาที่ไม่มีใครมองเห็นนอกจากเดียร์

ตอนที่พี่ล็อคเข้ามาหาเดียร์ วายุเล่นมองแทบจะงับหัวพี่ล็อคอยู่แล้ว …เพื่อความปลอดภัยของพี่ล็อคเลยจริงๆ นะ กลัววายุจะเอามะละกอราดพี่ล็อคอีก

เดียร์เหลือบมองนาฬิกาเป็นพักๆ

สองทุ่มแล้ว…..

มองไปรอบๆร้าน…อาโปยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่รู้กินไอศกรีมไปกี่ถ้วยแล้ว จะกินเยอะไปแล้วนะอาโป….

สามทุ่มแล้ว….

สามทุ่ม สามทุ่ม สามทุ่ม

ปิดร้าน!!

อาโปอยู่จนกระทั่งร้านปิด

รุ่นน้องตัวเล็กกะจะกลับหอพร้อมๆกับพี่รหัส

อาโปชอบความรู้สึกอบอุ่นเวลาอยู่กับพี่เดียร์ อยากคุยกับพี่เดียร์ทุกเรื่อง แต่วันนี้ดูเหมือนพี่เดียร์จะรีบผิดปกติ ไม่ใช่แค่อาโป ทุกคนในร้านก็ดูออก

“อาโป ไปโรงพยาบาลกัน” เมื่อเดียร์ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก้าวฉับๆไปหารุ่นน้อง  …ไม่มีเกริ่นนำบอกชื่อเรื่องหรือแถมบรรณานุกรมให้สักนิด  อาโปได้แต่มองตาปริบๆ…

คำพูดของเดียร์ทำเอาเจ้าของร้านถึงกับหันขวับ

“เป็นอะไรหรือเปล่าเดียร์? ไปโรงพยาบาลทำไม? ให้พี่ไปส่งไหม?” ไม่ได้พูดอย่างเดียว ล็อคเดินตรงมายังคนตัวเล็กทั้งสองคนด้วย

เดียร์มองไปรอบๆร้านอีกครั้ง

พี่ข้าวกับพี่ปิ่นกำลังล้างมือเตรียมกลับบ้าน ไอ้โต้งกำลังเดินไปหยิบกระเป๋าใต้เคาน์เตอร์ เมื่อทุกอย่างในร้านอยู่ในความเรียบร้อยแล้ว

ถ้าอย่างนั้น…

“พี่ล็อคไปส่งพวกผมที่โรงพยาบาลหน่อยนะครับ”

“เฮ้ย!” เสียงอุทานจากร่างที่ไม่มีใครมองเห็น

วายุขมวดคิ้วน้อยๆ “ทำไมต้องให้มันไปด้วย”

“เร็วกว่าแท็กซี่แน่นอน” เดียร์ว่าเบาๆ คำพูดที่ดูเหมือนพึมพำนั้นไม่มีใครได้ยินนอกจากวายุ

“เดี๋ยวๆพี่เดียร์ พี่จะไปโรงพยาบาลทำไม” อาโปไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเลยสักนิด อะไร? ยังไง?  จู่ๆพี่เดียร์จะไปโรงพยาบาลทำไม? ทำไมพี่เดียร์ต้องรีบ?

“ไปหาวายุกันนะอาโป… พี่ล็อคครับ รบกวนด้วยนะครับ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังบนรถ” เดียร์หันไปคุยกับอาโป แล้วหันมาหาล็อค

พี่ข้าวกับพี่ปิ่นที่ดูงงๆ ก็ขอตัวกลับไปก่อน

ไอ้โต้งที่ไม่เข้าใจอะไรตั้งแต่เช้า ยิ่งไม่เข้าใจกว่าเก่าอีก

“มึงกลับไปอยู่กับพู่กันก่อน กูกลับดึก” เดียร์บอกโต้งไว้แค่นั้น ก็เดินตามพี่ล็อคไปขึ้นรถ  ปล่อยให้โต้งได้แต่มองตามตาปริบๆ

เดียร์บอกทางไปโรงพยาบาลด้วยความเคยชิน  ล็อคขับรถไปเรื่อยๆตามถนนหลวงในเมืองใหญ่ อาโปได้แต่มองบรรยากาศในรถด้วยความฉงน แต่กระนั้นก็ยอมเก็บความสงสัยไว้ เพราะดูท่าแล้ว พี่เดียร์คงยังไม่พร้อมอธิบายให้ฟังแน่ๆ

เดียร์เหลือบมองนาฬิกาที่หน้ารถ

สี่ทุ่มครึ่ง…

ฮะ?!!! สี่ทุ่มครึ่ง?!!

ทำไมมันเร็วจังวะ!

“เดียร์เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดๆ” ล็อคเหลือบมองกระจกหน้ารถที่สะท้อนเงาของใบหน้าใส

“ปะ..เปล่าครับ  ขอโทษพี่ล็อคด้วยนะครับ ผมต้องรีบไปหาเพื่อนจริงๆ” เดียร์เพิ่งมาอธิบายให้ล็อคฟังทีหลังว่าต้องรีบไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล …ถึงจะรู้สึกถึงสายตาคมดุจากร่างโปร่งแสงที่มองเดียร์นิ่งๆตอนที่เดียร์บอกว่าไปหา ”เพื่อน” ก็เถอะ…

“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ ว่าแต่…ไปทางไหนต่อนะ?”

เดียร์บอกทางต่ออย่างคุ้นเคย

การจราจรเริ่มติดขัด ติดไฟแดงแทบทุกแยก

ไม่เคยรู้สึกว่าโรงพยาบาลนั้นอยู่ไกลเท่าครั้งนี้

เดียร์เริ่มนั่งนิ่งไม่ติด เหลือบมองนาฬิกาที่หน้ารถทุกๆห้านาที

เผลอแป๊บเดียว…

ห้าทุ่มครึ่งแล้ว!!?

อะไรวะ!!

เดียร์เริ่มหันซ้ายหันขวา นั่งมองทางข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

“ซอยหน้าเลยครับ”

ล็อคเลี้ยวรถเข้าไปจอดในที่จอดรถของโรงพยาบาล

ทันทีที่รถจอดนิ่ง เดียร์รีบวิ่งลงจากรถโดยไม่ได้เอ่ยอะไรเลย

“พี่เดียร์!” อาโปร้องเรียก อาโปเพิ่งเท้าแตะพื้น แต่เดียร์วิ่งเข้าประตูไปแล้ว

“เจอกันห้องวายุนะอาโป” หันไปบอกรุ่นน้องแค่นั้นก็ออกวิ่งตรงไปยังลิฟต์

“กี่โมงแล้วๆๆ”  รู้สึกว่าลิฟต์ขับเคลื่อนช้ากว่าปกติ…เร็วๆกว่านี้หน่อยสิ

ตัวเลขบอกชั้นขึ้นสูงไปเรื่อยๆ เดียร์เผลอกลั้นหายใจเมื่อใกล้ถึงชั้นเป้าหมาย

ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เดียร์ออกวิ่งทันที

มือบางเคาะประตูห้องเบาๆ ค่อยๆเปิดแง้มเข้าไป

ภาพที่เดียร์เห็นคือร่างสว่างไสวของยมทูตกับกามเทพ และป้าแหม่มที่นอนหลับอยู่ที่โซฟา

“ป้าแกจะหลับไปสักพัก จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย” กามเทพเอ่ยออกมา

เดียร์หอบน้อยๆ เหนื่อยจากแรงวิ่ง ควักโทรศัพท์มือถือออกมากดดูเวลา

ห้าทุ่ม ห้าสิบห้านาที!!

ฉิวเฉียดชิบ!

“ไม่เป็นไรนะเดียร์?” เสียงทุ้มจากร่างโปร่งแสงดังเข้ามา เดียร์เงยหน้าสบตากับร่างสูง แรงหอบค่อยๆลดลง จังหวะการหายใจค่อยๆกลับมาเป็นปกติ

“นายต้องไม่เป็นอะไรนะ” เดียร์ยื่นมือไปจับกับมือหนา วายุกระชับมือน้อยๆไว้ ค่อยๆรั้งร่างน้อยๆเข้ามาแนบอก โอบกอดแน่นๆ

“มันดีแล้วหรอที่เราไม่บอกอะไรให้ทั้งสองคนรู้เลย” กามเทพหันไปซุบซิบเบาๆกับยมทูต ยมทูตเพียงส่งสายตาเห็นใจไปยัง 1 คน 1 วิญญาณที่ยืนกอดกันอยู่ไม่ไกล ก่อนเอ่ยออกมาเบาๆ

“ทั้งสองคนมีด้ายแดงเชื่อมกันอยู่ ยังไงก็ได้เจอกันอยู่ดี” 

“แต่มัน…” กามเทพเริ่มมีน้ำใสคลอหน่วยตา ยิ่งเห็นทั้งสองคนเป็นห่วงกัน…ยิ่งเห็นใจ

“คู่กันแล้ว ยังไงก็ไม่แคล้วคลาดกัน คำนี้ยังใช้ได้เสมอนะ” ยมทูตยิ้มอ่อนโยนให้กามเทพ  กามเทพหนุ่มกระพริบตาปริบๆ เก็บน้ำใสๆกลับเข้าตาให้หมด

“เอาล่ะ ถึงเวลาแล้วนะ” เสียงของกามเทพทำเอาวายุกับเดียร์ค่อยๆผละออกจากกัน

“อยู่รอจนผมฟื้นนะ อย่าไปไหนนะ”วายุบีบมือน้อยๆ เดียร์ยิ้มกว้าง พยักหน้าน้อยๆให้ร่างสูง

“รีบๆฟื้นนะ ..รออยู่” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งไปให้ร่างสูงบ้าง

เดียร์เดินเคียงข้างวายุมาหยุดข้างเตียงผู้ป่วย

“ไปอยู่ตรงนั้นแบบหนึ่งนะ” เสียงอ่อนโยนของยมทูตเอ่ยบอกคนตัวเล็ก …เดียร์เดินเลี่ยงห่างออกไปจากเตียงสามก้าว …ทำให้เดียร์กับวายุต้องปล่อยกันโดยปริยาย

วายุหันมายิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็ก

เดียร์อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างอย่างลุ้นๆ

กามเทพกับยมทูตลอบสบตากัน

ในจังหวะที่เดียร์กับวายุกำลังสบตากัน แสงสว่างก็แผดจ้าทั่วห้อง

กามเทพกับยมทูตร่ายคาถาผูกติดร่างของวายุกับวิญญาณของวายุเข้าด้วยกัน  เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น  แสงสว่างพลันหายไปพร้อมๆกับร่างของกามเทพและยมทูต

ตอนนั้นเอง ประตูห้องพักคนไข้ถูกเปิดออก ตามมาด้วยอาโปและล็อคที่วิ่งเข้ามา

สายตาคมของล็อคทันเห็นร่างของเดียร์ค่อยๆล้มลงกับพื้น ไม่รอช้ารีบเข้าไปรับร่างเล็กนั้นไว้ทันที

“เดียร์!!”



# My dear




แต่ละคนเดาตอนจบไว้ยังไงน่อ? จะเหมือนที่แอมคิดหรือเปล่า  :katai4:




เจอกันตอนต่อไปค่ะ ^_^’’ 
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 21 (3/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 03-07-2014 17:30:42
เค้าเดาว่าเดียร์จะจำช่วงตอนที่อยู่กับวิญญาณวายุไม่ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าคนแต่งจะแหวกแนวให้วายุสามารถจำเดียร์ได้รึป่าว
เพราะปกติเรื่องไหนๆที่วิญญาณหลุดออกจากร่างพอคืนร่างมักจะจำช่วงที่เป็นวิญาณไม่ได้
หรืออาจจะจำอะไรไม่ได้ทั้ง2คน ซึ่งเราอยากเชียร์อันหลังเพราะจะได้ไม่มีใครเจ็บปวด
คืออย่างน้อยๆยมทูตก็บอกอยู่ว่าคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน ฉะนั้นให้ทั้งสองเริ่มจากศูนย์ดูยุติธรรมสุด
จะได้ไม่ต้องมีใครเสียใจที่อีกฝ่ายจำกันไม่ได้ เอ๊ะ! รึจะจำกันอะไรกันได้ทั้งสองคนนะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 21 (3/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 04-07-2014 20:57:07
 :katai1: อย่ามาทำให้ลุ้นสิที่รักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 21 (3/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-07-2014 21:21:32
จะต่างคนต่างลืมหรือเปล่า แล้วเริ่มต้นทำความรู้จักกันใหม่อีกที
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 22 (5/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 05-07-2014 02:15:34
Chapter 22


ท่ามกลางความมืดมิด… ไร้แสงสาดส่อง …

ไม่สามารถรับรู้ผ่านการมองเห็นได้ว่ามีใครอยู่แถวนั้นหรือไม่

ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจหรือเสียงลมพัดผ่าน

มืด… ทำไมมืดอย่างนี้

ที่นี่ที่ไหน…?

เท้าเล็กก้าวเดินออกไปอย่างไร้จุดหมาย คลำทางสะเปะสะปะไปตามความรู้สึกที่เท้าพาไป

ยิ่งเดินไกลออกไปเท่าไร ยิ่งไร้ทางออกมากเท่านั้น

ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาอย่างทำอะไรไม่ถูก

ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนดังแว่วเข้ามา เสียงที่อยู่ไกลออกไป

เสียงที่ฟังดูเจ็บปวด…   

“ใครน่ะ!!!” เสียงหวานตะโกนฝ่าความมืด ไร้เสียงตอบโต้ หากแต่เสียงร้องนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

คนตัวเล็กออกวิ่งตามหาที่มาของเสียง

เท้าเล็กวิ่งฝ่าความมืดเข้าไป

เสียงร้องนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องเลย

ร่างเล็กสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเจ้าของเสียง

ใบหน้าหวานเหยเกน้อยๆ…

ยิ่งเสียงร้องดังขึ้นเท่าไร น้ำตาใสๆค่อยรินไหลอาบแก้มเนียนมากขึ้นเท่านั้น

“โอ๊ย!!!” ความเจ็บปวดแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย  ร่างเล็กทรุดลงกับพื้น หอบจนตัวโยน น้ำตาใสๆไหลรินไม่หยุด  ใบหน้าหวานส่ายไปมา มือเล็กยกขึ้นปิดหูทั้งสองข้าง ยิ่งได้ยินเสียงร้องนั้น ยิ่งเจ็บปวด คล้ายมีคนเอามีดมากรีดแทงคว้านก้อนเนื้อออกไปจากร่างกาย

ทำไมเจ็บปวดแบบนี้….

ไม่อยากได้ยินเสียงร้องนั้นอีกแล้ว

พอแล้ว…

พอเสียที…

ไม่เอาแล้ว!!!!




“เดียร์!!”

ร่างเล็กบนเตียงผู้ป่วยสะดุ้งสุดตัว รู้สึกได้ว่าตัวเองหอบหนักเอาการ ใบหน้าใสชุ่มไปด้วยเหงื่อ…

ภาพแรกที่ประจักษ์แก่สายตาของเดียร์ คือใบหน้าคมของ..

…พี่ล็อค

“ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไรนะ ฝันร้ายหรือ?” มือหนาของล็อคกุมมือเดียร์ข้างหนึ่งไว้แน่น

ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆห้อง

ที่นี่….ไม่ใช่ห้องนอนที่หอ

สายตาเหลือบมองผ้าห่มสีขาวที่คลุมร่างอยู่ เห็นสัญลักษณ์พร้อมป้ายชื่อของโรงพยาบาล พอจะเดาได้ทันทีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

ที่ข้างเตียงอีกฝั่งมีโต้งกับพู่กันยืนลุ้นอาการเดียร์อย่างใจจดใจจ่อ

ความสว่างที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลากลางคืน…

แล้วความมืดที่เจอเมื่อกี๊คืออะไร?...

แล้วเสียงร้องนั่นล่ะ

ทั้งหมดเป็นความฝันอย่างนั้นหรือ?

ทำไมความฝันทำให้เขาเจ็บปวดได้ขนาดนี้…

เดียร์ยู่หน้าน้อยๆเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บในร่างกาย

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าวะมึง? ยังไงให้หมอเช็คอีกที”

พู่กันสังเกตอาการเพื่อนอยู่เงียบๆ เห็นเดียร์ยู่หน้าแล้วยกมือจับหน้าอก เหมือนมันจะช้ำใน คงจะเจ็บอยู่ไม่น้อย

“ทำไมกูถึงได้มาอยู่ที่นี่วะ?” เดียร์แค่นเสียงถามออกไป พยายามชันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ล็อคกับพู่กันช่วยกันประคองเดียร์ไว้คนละข้าง

“อยู่ๆมึงกูวูบลงไปกับเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ดีที่กูรับมึงไว้ได้ทัน ไม่งั้นหัวฟาดพื้นแน่ๆ แต่มึงดันกวาดของที่อยู่บนเคาน์เตอร์มาด้วย มันเลยหล่นทับมึงซ้ำมาอีก พี่ล็อคเลยรีบพามึงมาโรงพยาบาล” โต้งเขยิบขึ้นมานั่งบนเตียงผู้ป่วยที่มันเหลือพื้นที่เยอะมาก

ล็อคหันไปเทน้ำเปล่าใส่แก้วพร้อมหยิบหลอดส่งให้ร่างเล็กบนเตียง เดียร์ดื่มน้ำอย่างกระหายจนหมดแก้ว

“ขอบคุณครับพี่ล็อค”

ล็อคเพียงยิ้มอ่อนโยนมาให้

“หมอบอกว่ามึงอ่ะโหมงานหนัก ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ” พู่กันพูดบ้าง  พลางยกแขนเพื่อนขึ้นมาดู

“ดูสิเนี่ย แขนก็เล็กแค่นี้ ตัวมึงก็แค่นี้ ยังจะทำงานหนัก ไหนจะเรียน ไหนจะงาน พักบ้าง ก่อนที่มึงจะแฮงค์เหมือนวันนี้” เดียร์ได้แต่ยิ้มแหยๆไปให้เพื่อน

“พู่กันพูดซะพี่เป็นเจ้านายใจร้ายเลยอ่ะ” ล็อคยู่หน้าน้อยๆอย่างทีเล่นทีจริง ทำเอารุ่นน้องอีกสามคนถึงกับหลุดขำเบาๆ

“พี่ไม่ได้บังคับให้เดียร์ทำงานหนักนะครับ..พี่อนุญาตให้ลาได้ พักได้ ตามสะดวก เล่นโหมงานจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ พี่เป็นห่วงนะ” มือหนาของรุ่นพี่ตัวโตลูบหัวรุ่นน้องบนเตียงคนไข้ด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าคม

ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

ผู้มาใหม่ค่อยๆแง้มประตูกว้างออก ใบหน้าใสค่อยๆยื่นเข้ามา

“ฮาโหล” เมื่อรู้ว่าเข้าถูกห้องแล้วก็เดินเข้ามาทั้งตัว หันไปปิดประตูให้เรียบร้อยก่อนเดินมาหยุดอยู่ที่คนทั้งสี่คนในห้องที่อยู่ก่อนแล้ว

“อาโป! มาได้ไงเนี่ย” รุ่นพี่บนเตียงทักออกไปก่อน พู่กันยิ้มหวานอย่างดีใจ เดินเข้ามาจูงมือรุ่นน้องไปยืนข้างกัน โต้งขยับไปยืนรวมฝั่งเดียวกับพี่ล็อค

อาโปยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสี่คน “สวัสดีครับ”

“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” พู่กันถามเสียงใส

“พี่ชายผมนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ ตอนผมลงไปซื้อข้าว เห็นพวกพี่เข้ามาพอดี เลยไปถามพยาบาลดู พี่เดียร์เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?” อาโปยื่นมือไปจับมือรุ่นพี่ตัวเล็ก บีบแน่นๆอย่างสนุกมือ

“แค่เป็นลมน่ะ นอนน้อย” ตอนนี้เดียร์รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว

“เมื่อกี๊เราบอกว่าพี่ชายเราพักฟื้นอยู่ที่นี่หรือ?” เดียร์ถามกลับบ้าง

“ใช่ครับ พี่วายุกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น ต้องทำกายภาพบำบัดด้วย โห ก่อนหน้านี้พี่ชายผมสลบไปตั้งสี่เดือน อย่างกับเจ้าชายนิทราแน่ะ”

“แล้วพี่ชายเราเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” พู่กันถามบ้าง

“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วครับ กินแล้วก็นอนอยู่ในโรงพยาบาลไปวันๆ อ้อ พี่ชายผมน่ะ รุ่นพวกพี่เลยนะครับ” อาโปเจื้อยแจ้วอย่างสนุกสนาน ได้คุยกับรุ่นพี่แล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

พี่รหัสอาโปก็น่ารักขนาดนี้ พี่พู่กันก็น่ารักอย่าบอกใคร พี่โต้งก็ใจดี แถมพี่เจ้าของร้านไอศกรีมยังใจดีอีก 

“พี่เดียร์ต้องอยู่โรงพยาบาลอีกกี่คืนครับ ผมจะได้มาเล่นด้วย” คำถามของอาโปทำเอาเดียร์เพิ่งคิดได้

จริงสิ…โรงพยาลนี้ไม่ใช่เล่นๆเลย หรูขนาดนี้  ต้องแพงมากแน่ๆ… แล้วเขาจะหาเงินที่ไหนมาจ่าย

“พี่ว่าจะให้เดียร์พักที่นี่อีกสักคืน-สองคืน” ล็อคเป็นคนตอบ ทำเอาเดียร์ใจหล่นวูบ

“ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค ผมกลับวันนี้เลยดีกว่า ผมหายดีแล้ว”

“พักต่ออีกสักหน่อยเถอะ ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่”

“ผมกลับไปพักต่อที่หอดีกว่าครับ”

เดียร์กับล็อคเถียงกันไม่หยุดจนโต้งขัดขึ้นมา

“อยู่นี่แหละมึง เดี๋ยวกูกับพู่กันมานอนด้วย”

“แต่มึง…ค่ารักษามัน….”

“ไม่เป็นไรน่า พี่จัดการเอง” ล็อคอาสาอีกครั้ง เดียร์ได้แต่ยิ้มแหยๆไปให้ เกรงใจอย่างบอกไม่ถูก

“ไม่เป็นไรครับพี่ล็อค ผม…”

“ทำไมดื้อจังเลยนะ หืม?” ล็อคแกล้งเก๊กเสียงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย ทำเอาเดียร์หุบปากฉับ  รุ่นน้องตัวเล็กที่มองอยู่เผลออมยิ้มน้อยๆ

“เอาน่าพี่เดียร์…ถ้าพี่เบื่อ เดี๋ยวผมพาไปหาพี่ชายผมก็ได้ อยู่ไม่ไกลกันด้วย ห้องริมสุดตรงนี้เอง” อาโปยิ้มหวานหยดย้อยให้รุ่นพี่

คนป่วยต้องการกำลังใจ ถ้ามีคนคุยด้วยก็จะไม่เหงา

ตอนกลางวันพาพี่เดียร์ไปคุยเล่นกับพี่วายุก็ได้ รุ่นเดียวกันคงคุยกันไม่ยาก พี่รหัสอาโปน่ารักขนาดนี้… พี่วายุคงไม่ว่าอะไรหรอก

หลังจากนั้นไม่นาน พยาบาลคนสวยเข้ามาดูอาการของเดียร์

เมื่อถึงเวลาพักผ่อนของผู้ป่วยแล้ว อาโปขอตัวกลับไปก่อน

ร่างเล็กเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยของพี่รหัส มุ่งหน้าไปยังห้องพักของพี่ชาย

มือบางเคาะประตูเบาๆ ค่อยๆแง้มเข้าไป

“ไปซนที่ไหนมาอีกล่ะ” เสียงทุ้มของร่างบนเตียงทักขึ้น

อาโปยิ้มแหะๆไปให้

“ซนที่ไหนล่ะพี่วายุ โปไปเยี่ยมรุ่นพี่มา” อาโปเดินเข้าไปอ้อนป้าแหม่มที่นั่งปอกแอ๊ปเปิ้ลใส่จาน ป้าแหม่มเลยป้อนแอ๊ปเปิ้ลชิ้นเล็กใส่ปากคุณหนูตัวน้อย  วายุที่นั่งมองอยู่บนเตียงถึงกับส่ายหน้าเบาๆ

“โตขนาดนี้แล้วยังจะอ้อนป้าแหม่มอีก” วายุเอ็ดเบาๆ ไม่ได้จริงจังเท่าไร ออกจะเป็นเชิงแซวน้องชายเสียด้วยซ้ำ

“หืมม ตัวเองอ้อนได้ไม่น่ารักเท่าเค้าอ่ะดิ๊” อาโปแซวกลับ ก่อนวิ่งหนีสายตาคมดุของพี่ชาย ร่างบางเดินไปเปิดโทรทัศน์ เอารีโมทไปให้พี่ชาย

“รุ่นพี่เราเป็นอะไรหรือ? ทำไมถึงได้มาโรงพยาบาล” วายุรับรีโมทจากน้องชาย อาศัยช่วงที่น้องเดินเข้ามาหาไต่ถามออกไป

“พี่เดียร์เป็นลมนิดหน่อยครับ นอนน้อย เห็นว่าจะพักอยู่โรงพยาบาลก่อน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เดี๋ยวโปจะพาพี่เดียร์มาเยี่ยม นอนแห้งอยู่บนเตียงแบบนี้คงเบื่อแย่ใช่ไหมล่ะ” อาโปยักคิ้วให้พี่ชายก่อนเดินไปนั่งจุ้มปุ๊กกับป้าแหม่มที่ปอกแอ๊ปเปิ้ลอยู่

วายุบิดตัวน้อยๆ ค่อยเอนหลังพิงพนักโซฟา นั่งๆนอนๆรอเวลาให้พยาบาลมาทำกายภาพบำบัด

นี่ก็เกือบเดือนแล้วที่วายุฟื้น พอฟื้นมา ก็อยู่แต่ในโรงพยาบาล

ถ้าครบเดือนเมื่อไร คงต้องขอไปพักฟื้นที่บ้าน

อยู่โรงพยาบาลนานๆแบบนี้น่าเบื่อออก

เท่าที่ฟังจากที่พ่อกับแม่บอกมา นี่ก็จะห้าเดือนแล้วที่เขาอยู่โรงพยาบาล

ห้าเดือนนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ

จะครึ่งปีอยู่แล้ว…

ให้เขาได้กลับไปสูดอากาศโลกภายนอกบ้างเถอะ

เคยถามหมออยู่หลายครั้งว่าเขาจะหายดีเมื่อไร หมอบอกว่าอีกประมาณ 2-3 เดือนก็หายดีเป็นปกติ

วายุแอบนับเวลาเล่นๆ… ถ้าเรียนอยู่ก็คงจะเป็นช่วงเทอม 2 ของภาคเรียน  ให้เขาได้กลับไปเรียนสักทีเถอะ อย่างน้อยก็ยังดีกว่านั่งๆนอนๆอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้


หนึ่งคืนผ่านไปกับค่ำคืนในโรงพยาบาล

แสงสว่างเล็ดลอดผ่านหน้าต่างบานใสเข้ามา

ร่างเล็กบนเตียงผู้ป่วยค่อยๆลืมตาช้าๆ กระพริบตาน้อยๆปรับสายตารับกับแสงสว่างของเช้าวันใหม่

เดียร์บิดตัวน้อยๆ พลิกซ้ายพลิกขวาจนพอใจ

ยอมรับว่าเมื่อคืนเขาหลับจนไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ

ไม่ได้นอนอิ่มๆแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ…

ดวงตากวาดมองไปรอบๆห้อง

โต้งกับพู่กันนอนกอดกันกลมอยู่บนโซฟา…ภาพที่เดียร์อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เสียจริงๆ

คนตัวเล็กอมยิ้มน้อยๆอย่างนึกสนุก มองหาโทรศัพท์มือถือที่คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้มือ ระหว่างนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ก่อนผู้มาเยือนจะแทรกกายเข้ามา

และเสียงเคาะประตูนั่นเองทำเอาสองคนที่นอนกอดกันกลมบนโซฟาค่อยๆงัวเงียตื่นขึ้นมา เดียร์อดเสียดายไม่ได้...ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเลย

“ตื่นแล้วหรือ?” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆตามจังหวะฝีเท้าที่เดินตรงเข้ามา

ล็อควางถุงข้าวต้มปลาและน้ำเต้าหู้อุ่นๆไว้ที่ชั้นข้างเตียง เท่าที่สังเกตแล้ว พี่ล็อคไม่ได้ซื้อมาอย่างละถุง

พี่ล็อคตื่นแต่เช้าไปซื้อเลยหรือเนี่ย…

“พี่ซื้อข้าวต้มกับน้ำเต้าหู้มาฝาก” ล็อคหันมายิ้มน้อยๆให้คนตัวเล็กที่อยู่บนเตียง โต้งกับพู่กันงัวเงียลุกไปล้างหน้าล้างตา เป็นโต้งที่เดินมาหาพี่ล็อคก่อน

“อันนี้เอาไปแกะใส่ชามนะ” ล็อคยื่นถุงข้าวต้มสองถุงให้โต้ง โต้งรับไปแกะใส่ชามอย่างที่พี่ล็อคบอก ไม่นานพู่กันก็ตามมาสมทบ โต้งยื่นชามข้าวต้มให้พู่กัน 1 ชาม

“ไปล้างหน้าล้างตากันก่อน” ล็อคเข้ามาประคองเดียร์ลงจากเตียง พยุงร่างเล็กไปยังห้องน้ำ

ล็อคยืนรอหน้าห้องสักพัก เดียร์ค่อยๆเปิดประตูออกมา ล็อคจึงพาเดียร์มานั่งพักบนเตียงผู้ป่วยตามเดิม

“เอ่อ…ผมไม่ได้เป็นอะไรมากนะครับพี่ล็อค” เดียร์ว่าอย่างเกรงใจ ล็อคหันไปเทข้าวต้มใส่ชาม เป่าไล่ความร้อน ช้อนคันเล็กถูกยื่นมาจ่อหน้าเดียร์พร้อมข้าวต้มเต็มช้อน

“อ้าปากเร็ว” ล็อคอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มน้อยๆ  เดียร์กัดริมฝีปากล่างเบาๆ…ท่าทางที่ล็อคต้องเร่งเข้าอีก

“อ้าปากเร็ว เดี๋ยวพี่ป้อน”

“ม่ะ…ไม่เป็นไรครับ”

“น่า…เร็ว”

“คือ…ผม…”

ล็อคสบตากับร่างตรงหน้า สายตาคมดุถูกส่งมาให้ร่างเล็ก เดียร์ยอมเผยอปากน้อยๆรับข้าวต้มอุ่นๆเข้าปาก

“ที่เหลือให้ผมทานเองดีกว่าครับ” เดียร์ยังคะยั้นคะยอไม่เลิก

ล็อคแอบถอนหายใจน้อยๆ ยอมวางชามข้าวต้มบนโต๊ะทานข้าวของผู้ป่วย เลื่อนโต๊ะให้เข้าที่ เดียร์เอ่ยขอบคุณก่อนหันไปลงมือทานข้าวต้มด้วยตัวเอง

“พี่ล็อคไม่ทานด้วยกันหรือครับ?” เดียร์ไม่เห็นทีท่าว่าล็อคจะผละไปเลย เอาแต่ยืนจ้องเดียร์มาพักใหญ่แล้ว

“ทานครับทาน” ล็อคหลุดขำออกมาเบาๆ

เดียร์ไม่รู้ว่าพี่ล็อคขำอะไร แต่ถึงกระนั้น พี่ล็อคก็หันไปเทข้ามต้มใส่ชามแล้วก็ตักข้าวต้มทานโดยไม่รีรอ

แต่ละคำที่พี่ล็อคตักข้าวต้มเข้าปาก ทำไมเดียร์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นข้าวต้มที่ละลายในปากพี่ล็อคอย่างนั้นล่ะ…

กินข้าวต้มก็มองข้าวต้มสิพี่ล็อค จะมองเดียร์ทำไม!



ขึ้นชื่อว่าเดียร์ ชวนให้คิดถึงคำว่าดื้อ

ช่วงสายของวันนั้นเดียร์บอกกับพยาบาลว่าขอกลับไปพักต่อที่บ้าน ซึ่งก็คือที่หอของเดียร์นั่นล่ะ แต่พอเดียร์บอกพยาบาลไปแบบนั้น พี่ล็อคก็เข้ามาห้ามทันที เดียร์ไม่อยากนั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆแต่ในโรงพยาบาลแบบนี้  นี่ก็ขาดงานมาหลายวันแล้ว ไหนจะรายงาน ไหนจะเรียนอีก อยู่เฉยๆแบบนี้มันน่าเบื่อนะ

สุดท้ายพี่ล็อคก็ยอมใจอ่อนให้เดียร์ แต่ยอมแค่ให้กลับไปพักฟื้นที่หอ ส่วนงานที่ร้านไอศกรีมอย่าเพิ่งทำ เดียร์อดผิดหวังไม่ได้..แต่ก็นะ ดีกว่าให้อยู่แต่ในโรงพยาบาลแล้วกัน

“พี่เดียร์~” เสียงหวานใสเจื้อยแจ้วมาจากประตู ก่อนเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาใกล้รุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนเตียง

ภาพในห้องแปลกตาจนคนมาใหม่อดแปลกใจไม่ได้

พี่เดียร์ในชุดลำลอง

พี่โต้งกับพี่พู่กันกำลังง่วนอยู่กับเสื้อผ้าที่ถูกพับลงประเป๋า พี่ล็อคกับพี่เดียร์กำลังคุยกับอยู่เบาๆ

“พี่เดียร์จะกลับแล้วหรือ?” อาโปเดินเข้าไปนั่งข้างๆรุ่นพี่ เดียร์อ้าแขนโอบเอวรุ่นน้องตัวเล็กไว้

“จะกลับแล้ว อยู่นี่ไม่รู้จะทำอะไร”

“หายดีแล้วหรือครับ?”

“หายดีเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ” รุ่นพี่ตัวเล็กยกแขนอวดกล้ามที่ไม่มีโผล่มาให้เห็น มีแต่ท่อนแขนขาวเนียนกระจ่างใส อาโปหลุดขำน้อยๆกับท่าทางของรุ่นพี่

“อย่างนี้พี่วายุก็ไม่มีเพื่อนคุยแล้วอ่ะดิ” อาโปว่าอย่างงอนๆ ท่าทางที่ทำเอารุ่นพี่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นอดยิ้มออกมาไม่ได้

“จริงสิ พี่ชายเรา… พี่ไปเยี่ยมตอนนี้เลยได้ไหม?”

อาโปยิ้มร่า “ได้สิครับ ไปๆพี่ เดี๋ยวผมพาไป” อาโปออกแรงจูงมือรุ่นพี่ให้ลงจากเตียงไปด้วยกัน

เดียร์หันมาขออนุญาตพี่ล็อคอีกครั้งก่อนหันไปตะโกนบอกโต้งกับพู่กันให้รับรู้ ..ล็อคหลุดยิ้มออกมาน้อยๆกับท่าทางของพี่น้องรหัสคู่นั้น

เดียร์เดินเคียงข้างน้องรหัสไปจนถึงห้องริมสุด

อาโปยกมือเคาะประตูเบาๆก่อนค่อยๆเปิดเข้าไป

ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาของทั้งสองคนออกจะแปลกตาไปนิด… หรือบางทีอาจจะไม่นิดเลย…

“พี่บิ๊ก พี่ต้น พี่เพชร สวัสดีครับ” อาโปเข้าไปทักทายชายหนุ่มสามคนที่กำลังนั่งรุมเตียงของพี่วายุอยู่

“พวกพี่มากันตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย ผมออกไปแป๊บเดียวเอง” อาโปดูงงๆไม่น้อยกับการที่เข้ามาเจอเพื่อนพี่ชายทั้งสามคนในห้องแบบนี้ ไม่ต่างจากเดียร์ที่ทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่ เดียร์เหลือบไปเห็นหญิงสูงวัยนั่งนิ่งๆอยู่ที่โซฟาก็รีบหันไปยกมือไหว้ ป้าแหม่มรับไหว้พร้อมส่งสายตาอ่อนโยนมาให้

ชายหนุ่มทั้งสี่คนมองหน้ากันไปมาอย่างตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนตอบ

“พี่เข้ามาก็เจอไอ้ยุกับป้าแหม่มอยู่กันสองคน แล้วเราน่ะ ไปซนที่ไหนมา” พี่เพชรที่นั่งอยู่ข้างเตียงเป็นคนตอบออกมา ประโยคของพี่เพชรทำเอาอาโปยู่หน้าน้อยๆ

“โปไม่ได้ไปซนที่ไหนมา โปพาพี่เดียร์มาเยี่ยมพี่วายุ”

อาโปจูงมือเดียร์ฝ่าชายฉกรรจ์ทั้งสามคนที่ล้อมรอบอยู่บนเตียงพี่ชายเข้าไปหาวายุ

“พี่เดียร์ พี่รหัสโปเอง… พี่เดียร์ครับ นี่พี่วายุ” อาโปแนะนำให้คนทั้งสองคนรู้จักกัน

สายตาคมของคนบนเตียงสบตากับดวงตาใสของคนตัวเล็กที่อาโปพามา

วายุรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆลุกลามเข้ามาในร่างกาย มันเป็นความรู้สึกยินดีหรือมีความสุขหรือถูกใจอะไรเทือกนั้น

…ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเจอกันมาก่อน

แต่จะเจอได้อย่างไร…

ก่อนจะเข้าโรงพยาบาลคงไม่เคยเจอกัน..และอีกอย่าง เขาอยู่แต่ในโรงพยาบาลมาห้าเดือนเลยนะ

“เป็นไงบ้างครับ? เห็นอาโปว่าไม่สบายมาก” เดียร์ตัดสินใจเอ่ยออกไป เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงเอาแต่จ้องหน้าเดียร์ไม่เลิก

วายุกระแอมน้อยๆ  กำลังจะอ้าปากพูด แต่เพื่อนตัวดีดันพูดขัดซะก่อน

“ไอ้ยุมันอึดครับ มันไม่เป็นอะไรหรอก ว่าแต่…เดียร์อยู่ปีไหนหรอครับ?” เสียงที่ดังมาจากข้างเตียงอีกฝั่งทำให้เดียร์ต้องเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ทันทีที่สบตากัน ฝ่ายนั้นก็เอ่ยต่อทันที “ผมชื่อต้นครับ คณะวิทย์ เอกฟิลิกส์ ปี 2 เบอร์โทรศัพท์…”

“พอเลยไอ้เชี่ยต้น!! มึงแม่งม่อ” วายุฟาดมือลงบนหน้าผากเพื่อนข้างๆทันที

“เห็นไหม มันมีแรงฟาดเพื่อนมันขนาดนี้แล้ว ไอ้ยุมันไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ …มีคนไปส่งหรือยังครับ ผมว่างนะ จะไปตอนไหนบอกได้เลย”

“ไอ้พี่บิ๊ก!!ม่อว่ะ” อาโปแว้ดใส่เข้าให้ หันมายิ้มเจื่อนๆให้พี่รหัสตัวเอง

“พวกพี่เขาก็อย่างนี้ล่ะครับ อย่าไปถือสาเลย”

ถึงอาโปจะว่าอย่างนั้น แต่เดียร์ทำตัวไม่ถูกไปแล้ว

“พี่เดียร์จะกลับแล้วนะพี่วายุ โปเลยพาพี่เดียร์มาเยี่ยมพี่ก่อน” อาโปว่าพลางส่งสายตาบอกสามคนที่เหลือว่าให้เงียบ

“แล้ว…เดียร์เป็นไงบ้าง เห็นอาโปบอกว่าเพิ่งนอนโรงพยาบาลเมื่อวานเองไม่ใช่หรือ?” เป็นประโยคแรกที่วายุได้พูดคุยกับคนตัวบาง

รู้สึกดีอย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าแค่ได้คุยด้วยจะรู้สึกดีขนาดนี้

ทำไมกัน?

“เอ่อ…เราหายดีแล้ว ไหนๆก็ไหนแล้ว เลยแวะมาเยี่ยม” รอยยิ้มหวานถูกส่งไปให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง

วายุรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนเพียงเพราะรอยยิ้มนั้น..

“ขอบคุณนะ…” ประโยคสั้นๆ แต่วายุรู้สึกว่าเค้นขึ้นมาจากลำคอได้ยากลำบากเหลือเกิน …เกิดทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“พี่วายุ เดี๋ยวโปพาพี่เดียร์ไปส่งที่ห้องก่อนนะ เดี๋ยวเพื่อนพี่เดียร์รอ”

เดียร์บอกลาทั้งสี่คนที่อยู่ตรงนั้น หันไปยกมือไหว้ลาป้าแหม่มที่นั่งอยู่ที่โซฟา

อาโปพาเดียร์ออกจากห้องไปแล้ว…

วายุมองตามร่างเล็กนั้นจนลับสายตา

“มอง มอง ไอ้นี่ก็มองเขาอยู่นั่นล่ะ ว่าแต่กูนะ” ต้นเป็นคนเอ่ยออกมา  แววตาล้อเลียนแกมหมั่นไส้ถูกส่งไปให้คนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียง

“กูมองขนาดนั้นเลยหรือวะ?”

คำถามประโยคเดียว ทำเอาเพื่อนทั้งสามคนตอบเป็นประโยคเดียวได้กันได้ดังๆว่า…

“เออ!!!”




# My dear




ชะแว้บบบบบบ

ฮี่ๆๆๆ

หลายคนเดาถูก  :katai5:


เจอกันตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 22 (5/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-07-2014 02:38:48
จริงๆด้วยลืมกันไปหมดเลย เหมือนเหตุการณ์ต่างๆจะถูกท่านทั้งสองเปลี่ยนหรือบิดเบือนด้วนนะนี่ รอลุ้นกับทั้งคู่รวมไปถึงภาวนาให้พี่ล็อคเจอคนที่รักจริงเร็วๆทีเถอะ สงสารคนหล่อคนดีที่เป็นพระรอง
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 22 (5/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 05-07-2014 14:50:42
ก็ยังดีีที่ลืมกันทั้งสองคน ดีกว่ามีใครคนใดคนหนึ่งจำได้แล้วต้องเจ็บปวด
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 22 (5/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 05-07-2014 18:50:29
 :z3:  อัพต่อน้าาา สู้ๆ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 06-07-2014 11:00:30

Chapter 23

เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นในตอนเช้า

หน้าต่างบานน้อยถูกเปิดทิ้งไว้ส่งผลให้ลมอ่อนๆยามเช้าพัดผ่านเข้ามา

เจ้าของนาฬิกาซุกหน้าแน่นเข้ากับผ้าห่ม มือน้อยๆคลำหาที่มาของเสียงน่ารำคาญนั้น พอสัมผัสถึงวัตถุที่ส่งเสียงร้อง มือบางตะปบเจ้าวัตถุนั้นอย่างไม่ออมแรง… เสียงน่ารำคาญของนาฬิกาปลุกเงียบลงทันที

แต่ความน่ารำคาญยังไม่หมดไปแค่นั้น

แรงสั่นสะเทือนที่สัมผัสได้จากแผ่นหลังทำเอาร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงขมวดคิ้วแน่น ปรือตาน้อยๆมองหาที่มาของแรงสั่นสะเทือนนั้น

โทรศัพท์มือถือนี่เอง…

เจ้าของโทรศัพท์แทบโยนโทรศัพท์ไปไกลๆ ถ้าไม่ทันเห็นตัวหนังสือหราบนหน้าจอว่า “พรีเซนต์งาน 9 โมง”

เท่านั้นล่ะ… ร่างเล็กกระโจนลงจากเตียงทันที

นี่มัน 8 โมงแล้ว!!!

พู่กันในชุดเตรียมไปเรียนยืนมองเพื่อนตัวเองที่เพิ่งลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างปลงๆ

ไม่ใช่ว่าพู่กันไม่พยายามปลุกนะ

ทั้งดึง ทั้งทุบ ทั้งตะโกนก็แล้ว ไอ้เดียร์ก็ไม่สะเทือนเลยแม้แต่น้อย

รอจนถึงเวลาตื่นของมันนั่นแหละ

วันนี้มีพรีเซนต์งานตอน 9 โมง นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกเกือบๆชั่วโมงที่ต้องไปให้ถึงห้องเรียน

ป่านนี้ไอ้โต้งคงไปเตรียมตัวอยู่ที่หน้าห้องเรียนแล้วมั้ง

แหงล่ะ โปรเจคปลายภาคแบบนี้

อดหลับอดนอนมาเกือบเดือน

ทุ่มเทมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องทุ่มเทต่อไปจนเสร็จ

ช่วงสุดท้ายของเทอมนี่ตัดสินความเป็นความตายของชีวิตเลยนะ

คะแนนจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับช่วงนี้เลย

ดีที่งานของปลายภาคมีนำเสนอไม่กี่วิชา บางวิชาพอเสร็จรายงานกลางภาคแล้วก็รอสอบปลายภาคอย่างเดียว

หนึ่งเทอมนี่ผ่านไปเร็วจริงๆนะ…

เผลอแป๊บเดียวก็ปลายภาคซะแล้ว

“ไปเร็วมึง” เดียร์ใช้เวลาวิ่งผ่านน้ำกับใส่เสื้อผ้าเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ วิ่งนำพู่กันไปใส่รองเท้าที่ประตู

โปรเจคสุดท้ายของเทอมนี้ขอให้ผ่านไปได้ด้วย A เถอะ !

หลังจากช่วงทรหดของการนำเสนองานผ่านพ้นไป

เดียร์เดินนำโต้งกับพู่กันมานั่งพักที่ม้าหินอ่อนบริเวณสวนหน้าคณะ

“เสร็จซะที” พู่กันครางออกมาอย่างเหนื่อยๆ

เดียร์ถอนหายใจแรงๆเหมือนได้ปลดปล่อยความเครียดไปบ้างแล้ว

“ยังไม่เสร็จดี…เหลือสอบ” เดียร์ครางออกมาเบาๆ  โต้งได้แต่มองเพื่อนตัวเล็กซ้ายขวา ท่าไม่ดีเท่าไรแฮะ…

“เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำ รอกูแป๊บ” โต้งว่าจบก็ลุกออกไป

เดียร์กับพู่กันบอกขอบใจอุบอิบตามหลังไป

หลังจากนี้คือช่วงของการอ่านหนังสือสอบเต็มๆ

ส่งรายงานหมดแล้ว

นำเสนองานหมดแล้ว

ทีนี้นับถอยหลังสู่วันสอบได้เลย

และเพราะเป็นช่วงใกล้สอบ บางวิชาก็ปิดคลาสไปบ้างแล้ว ให้เวลานักศึกษาไปเตรียมตัวสอบกัน

และเพราะอย่างนั้น ทำให้ทั้งสามคนมานั่งคอตกอยู่ที่ม้าหินอ่อนได้ เพราะวิชาที่ต้องเรียนก็ปิดคลาสกันหมดแล้ว

นักศึกษาพลุ่กพล่านในที่สาธารณะกว่าเวลาปกติ

บ้างวิ่งส่งงาน บ้างนั่งอ่านหนังสือ บ้างจับกลุ่มติว

เดียร์มองภาพเหล่านั้นด้วยความชินตา

“พี่เดียร์!!!” เสียงหวานใสตะโกนมาแต่ไกล เจ้าของชื่อหันมองที่มาของเสียงทันที

เดียร์เห็นน้องรหัสยืนโบกมืออยู่ไกลๆ ข้างๆอาโปมีเพื่อนผู้หญิงและผู้ชายรวมกันประมาณ 3-4 คน อาโปหันไปคุยอะไรกับเพื่อนสักพักก็แยกตัวมาหาเดียร์

“พี่เดียร์ พี่พู่กัน ดูเหนื่อยๆนะครับ” อาโปวางหนังสือที่หอบมาลงบนโต๊ะ  รุ่นพี่สองคนยิ้มแหยๆไปให้

“พรีเซ้นต์งานวิชาในตำนาน แทบลากเลือด” พู่กันบ่นออกมา เดียร์พยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้างๆ

ไม่นานโต้งหิวน้ำและขนม ติดมือกลับมาที่โต๊ะ

“พอดีเลยพู่กัน พี่กำลังคิดอยู่ว่าจะคุยกับพวกมันยังไงดี” โต้งเปรยออกมาเมื่อเห็นรุ่นน้องตัวเล็กนั่งรวมอยู่ด้วย

“ครับ?” อาโปไม่ค่อยเข้าใจที่โต้งพูดเท่าไรนัก

“พี่ก็พูดไม่ค่อยเป็น อะไรแบบ หวานๆดีๆ อะไรแบบนั้นน่ะ พวกปลอบ ให้กำลังใจ พี่ก็..”

“อ๋อ…ฮ่าๆๆๆๆ” พู่กันหัวเราะร่ากับท่าทีของโต้ง และเพราะคำพูดของโต้งทำเอาเดียร์กับพู่กันหลุดขำออกมาด้วย

“มึงคิดมากว่ะ พวกกูไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้น” พู่กันว่าอย่างหน่ายๆ โต้งได้แต่ยิ้มแหะๆมาให้

สักพักพู่กันเริ่มบ่นถึงตอนที่นำเสนอ พอเป็นอย่างนั้นเดียร์เลยร่วมด้วยเสียเลย มีโต้งคอยแทรกเป็นระยะ อาโปนั่งฟังไปเงียบๆ บางคำพูดรุ่นพี่ก็นินทาอาจารย์ บางคำพูดก็ชมอาจารย์ บางคำพูดก็เหน็บแนมเพื่อนร่วมคลาส ฟังไปก็เพลินดีเหมือนกัน แถมรุ่นพี่ยังมีคอยหันมาเตือนว่าวิชานี้โหดยังไงเป็นพักๆ

อาโปนั่งฟังไปเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังจ้องใบหน้าหวานของพี่รหัสที่กำลังคุยอย่างออกรสชาติ สายตาของอาโปพลันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างลับๆล่อๆอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังพี่รหัสเท่าไรนัก

อาโปคงจ้องสิ่งลับๆล่อๆนั่นนานไปหน่อย จนเดียร์ทักออกมา

“อะไรหรืออาโป?” เดียร์หันไปมองตามสายตาของรุ่นน้อง

เท่านั้นก็พอจะรู้ได้ว่าอาโปมองอะไร

“เพื่อนพี่ชายอาโปนี่?”

ชายหนุ่มสามคนสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้ว่าโดนจับได้

เดียร์เล่นโบกมือให้ขนาดนี้ จะซ่อนตัวต่อไปก็แปลกๆเนอะ

“ใครหรือเดียร์?” พู่กันถามเบาๆ

“เพื่อนพี่ชายอาโป” เดียร์ตอบไปเบาๆ ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสามคนค่อยๆเคลื่อนย้ายตัวเองมาล้อมหน้าล้อมหลังเดียร์จนเต็มพื้นที่ โต้งคอยกันตัวพู่กันให้ห่างจากหนึ่งในสามคนที่เฉียดมาใกล้พู่กันเกินไป

“พวกพี่ไม่มีเรียนกันหรือไง?” อาโปถามออกไป น้ำเสียงไม่ค่อยยินดีนัก

ทั้งสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“ไม่มี… เรียนเสร็จหมดแล้ว ว่าง” เพชรเป็นคนตอบออกมา

“แล้วทำไมถึงมาอยู่แถวนี้?” อาโปยังคงถามต่อไป

“ก็…” เพชรลากเสียงยาว ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้เพื่อนทั้งสองคน

“เดินเล่น” ต้นที่นั่งข้างๆเดียร์เป็นคนตอบออกไป

ทำเอาคนทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ก่อนขมวดคิ้วทันที

“เดินเล่นไกลจังนะพี่” อาโปแขวะเข้าให้

คณะวิทย์ฯ กับคณะโบราณฯอยู่ใกล้กันนักนี่

“ยืดเส้นยืดสายน่า”

จะให้บอกได้อย่างไรว่าแอบตามเดียร์

ไอ้ว่างน่ะ ไม่ได้โกหกหรอก

ตั้งแต่เจอเดียร์ที่โรงพยาบาลตอนนั้นก็เกิดอยากทำความรู้จักขึ้นมาทันที… พวกเขามีกันตั้ง 3 คน มาบุกไปทั้งสามคน มันต้องมีคนใดคนหนึ่งได้บ้างละว้า

เดียร์เริ่มหันมาคุยกับคนมาใหม่ทั้งสามคน แนะนำให้โต้งกับพู่กันรู้จัก ….ต้องยอมรับว่าต้น เพชร บิ๊ก เป็นคนเข้ากับคนง่ายพอสมควร ได้คุยกับไอ้โต้งไม่เท่าไร นี่จะชวนกันไปกินน้ำสีกันแล้ว

เที่ยงๆแบบนี้ แดดแรงแบบนี้ ไหนๆก็ว่างกันแล้ว เดียร์เลยชวนทุกคนไปร้านไอศกรีมที่ทำงานอยู่

มันน่าจะดีกว่าไปนั่งก๊งน้ำสีทองกันแต่วันอย่างนี้แหละน่า

เดียร์เล่นชวนขนาดนี้ … สามหนุ่มคณะวิทย์มีหรือจะปฏิเสธ

ร้านไอศกรีมเป็นที่หลบร้อนของผู้คนได้เป็นอย่างดี

ลูกค้าเข้าออกเรื่อยๆเป็นพักๆ

เดียร์นำทุกคนเข้าไปในร้าน

พี่ข้าวที่อยู่หลังเคารน์เตอร์เงยหน้าขึ้นต้อนรับทันที

“อ้าว เดียร์” พี่ข้าวส่งยิ้มให้ เมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นน้องที่รู้จักก็กลับไปจัดเอกสารต่อ ข้างๆพี่ข้าวมีพี่ปิ่นเป็นลูกมือช่วยอยู่

เดียร์เดินนำทุกคนไปที่โต๊ะว่าง ก่อนเดินเลี่ยงมาหยิบเมนูไปให้ทุกคนดู

ชินแล้วล่ะกับการบริการแบบนี้…

เช่นเดียวกันกับโต้งที่ผละออกไปส่องถังไอศกรีม หยิบถ้วยไอศกรีมออกมาเรียงกันอย่างตั้งใจ

เดียร์กวาดสายตามองหาเจ้าของร้าน

…ไม่นาน เจ้าของร้านก็โผล่มาจากหลังร้าน

เสื้อเชิ้ตชุ่มไปด้วยเหงื่อ…ท่าทางแบบนี้คงไปขนของหลังร้านด้วยตัวเองอีกแล้วแน่ๆ

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?” เดียร์วิ่งไปดักหน้าพี่ล็อค คนตัวโตชะงักไปด้วยความตกใจ

“อ้าว! ยังไม่ถึงเวลางานไม่ใช่หรือ?” ล็อคเหลือบไมองนาฬิกาที่ผนังร้าน … ท่าทางของล็อคทำเอาเดียร์ยู่หน้าน้อยๆ

“มาก่อนเวลางานไม่ได้หรือครับ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น…เดียร์ อย่าทำหน้าแบบนี้สิ” ล็อคส่งสายตาอ่อนโยนไปให้ อยากจะยื่นมือไปสัมผัสแก้มใสตรงหน้า แต่มือที่เพิ่งไปคลุกฝุ่นมาก็ยังไม่ได้ล้าง เดี๋ยวจะเปื้อนแก้มเนียนเสียเปล่าๆ

การกระทำของเดียร์กับเจ้าของร้านอยู่ในสายตาของ”เพื่อนใหม่” คณะวิทย์ฯทั้งสามคน

“แฟนหรือวะ?!” ต้นร้องออกมาเบาๆ พยายามแค่นเสียงให้เหลือเพียงเสียงกระซิบ ให้พอฟังรู้เรื่องอยู่

“เฮ้ย ไม่ใช่ม้าง เดียร์ดูนิ่งๆ ไม่น่าจะใช่แฟน” เพชรพูดไป สายตาก็ไม่ได้ละไปจากเดียร์เลย

“มึงๆ นั่น เค้าเข้าไปข้างหลังด้วยกันแล้ว” บิ๊กร้องลั่น

“โอ๊ย พวกพี่!!!”เสียงอาโปแว้ดเข้ามาก่อนที่ตัวจะมาถึง

อาโปแยกไปนั่งกับพู่กัน ส่วนชายหนุ่มคณะวิทย์ฯทั้งสามคนถูกปล่อยให้นั่งด้วยกันไปหนึ่งโต๊ะ

“ที่ตามมาเพราะแค่นี้หรือไง?!” อาโปเดินเข้ามาหยุดนิ่งที่รุ่นพี่ทั้งสามคน …  ทำไมม่อกันเก่งขนาดเนี่ย

“ม่ะ…ไม่ใช่ พวกพี่ก็อยากกินไอติมไง” ต้นว่าพลางก้มไปดูเมนูที่ถือค้างไว้ในมือ เพชรกับบิ๊กที่นั่งอยู่ข้างๆรีบเอาอย่างทันที

อาโปถอนหายใจแรงๆกลับไปนั่งกระแทกตัวที่เก้าอี้อย่างหน่ายๆ

เสียงกระดิ่งที่หน้าร้านดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหวานใสของพนักงานตัวเล็กเอ่ยต้อนรับลูกค้า

ล็อคมองหาที่มาของเสียงเมื่อครู่

หลายครั้งที่แยกเสียงไม่ออก เสียงพี่ข้าว พี่ปิ่น หรือเดียร์ ฟังๆไปก็ดูคล้ายกันหมด

“พี่วายุ!!”

“ไอ้ยุ!!”

เจ้าของชื่อที่เพิ่งเดินเข้าร้านไอศกรีมมาหันไปมองคนเรียก  ….ร่างสูงยิ้มน้อยๆอย่างงงๆ

“ทำไมมาอยู่ที่นี่กันหมดเลยวะ?”

เดียร์กำลังง่วนอยู่กับถังไอศกรีมตอนที่เสียงกระดิ่งดัง พอเสียงอาโปดังขึ้น เดียร์เลยหันไปมอง…

“ใครวะ?” โต้งถามออกไปเบาๆ

“พี่ชายของอาโป”

เดียร์ว่าจบก็ยกไอศกรีมไปเสิร์ฟ

ไม่ได้เสิร์ฟให้ใครที่ไหน เดียร์ยกทั้งส่วนของเพื่อนๆและของตัวเองอกมาพร้อมกัน ลงมือนั่งทานไอศกรีมกับอาโปและพู่กัน ส่วนของอีกโต๊ะ เดี๋ยวโต้งจะยกออกมาทีหลัง

“สวัสดีครับ” เดียร์ยิ้มทักทายไปให้คนมาใหม่ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา

“พี่วายุมาทำอะไรแถวนี้?” อาโปหันไปคุยกับพี่ชายตัวเองบ้าง

ถึงพี่วายุจะหายดีเป็นปกติแล้วก็เถอะ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

“มาดูมหา’ลัย คิดถึง… พอดีมันร้อน ก็เลยหาที่นั่งเล่น”

“ที่ว่าไม่สบาย หายดีแล้วหรือครับ?” เดียร์ถามออกไปบ้าง

เดียร์คิดไปเองหรือเปล่า…ว่าสายตาของวายุที่ส่งมา…ดูอ่อนโยนเกินไป

ทำไมเดียร์รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าแบบนี้นะ!

“หายดีแล้วครับ เทอมหน้าคงกลับมาเรียนเท่าที่เรียนได้ก่อน”

เดียร์ก้มหน้าหนีสายตาคมคู่นั้น มือบางเขี่ยไอศกรีมเล่น

ดีที่โต้งยกไอศกรีมมาเสิร์ฟโต๊ะนั้นพอดี ความสนใจของเจ้าของสายตาจึงเบี่ยงเบนไปได้บ้าง

“มึงคิดอะไรอยู่วะวายุ?” ต้นเอ่ยขึ้นมานิ่งๆเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองเงียบเกินไป มันไม่ได้เงียบอย่างเดียว…มันเอาแต่มองเดียร์ตาไม่กระพริบ

“กูคิดอะไรวะ?” วายุพึมพำเบาๆ

นั่นสิ เขาคิดอะไรอยู่

เขาแค่คิดว่าเดียร์น่ารักดี

ดูอ่อนโยน…เป็นกันเอง…น่ารัก…น่ามอง…

น่า…คบเป็นแฟน

“กูสั่งมาสองถ้วย ถ้วยนี้กูให้มึง” บิ๊กยื่นไอศกรีมมาตรงหน้าวายุ

วายุขำออกมาน้อยๆ…เออดี ยังไม่ทันสั่งก็ได้ไอศกรีมละ

“เอาดีๆ มึงมามหา’ลัยเพราะอะไร?” เพชรถามออกไปบ้าง

“กูคิดถึงจริงๆ กูไม่ได้โกหก แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวนี่หว่า”

“ว่าไป….”

“กูอยากเจอเดียร์”

“คิดไว้ไม่มีผิด” ต้นสบถออกมาเบาๆ

ตอนนั้นเองที่วายุรู้สึกเหมือนถูกสายตาของเพื่อนทิ่มแทงเข้ามา

“ทำไมมองกูอย่างนั้นวะ?”

“ถ้ามึงคิดจะจีบเดียร์ด้วย พวกกูแม่งแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” บิ๊กส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

“ยังไงวะ?”

“มึงดูตัวเองแล้วมึงดูพวกกู ใครจะไปสู้มึงได้วะ แค่หน้าตามึงก็ชนะขาดแล้ว แต่นี่มึงแม่งเสือกนิสัยดี  ไม่เจ้าชู้ ไม่กะล่อน  ไอห่า ใครจะสู้มึงได้วะ” ต้นร่ายยาวอย่างเคืองๆ 

“พวกมึงกำลังชมกูใช่ไหม?” วายุขำน้อยๆ … ตกลงมันด่าหรือมันชม?

“พวกกูไม่สู้ แต่ก็ใช่ว่าจะสนับสนุนมึงไม่ได้” เพชรว่าออกมา ท่าทางเริ่มจริงจัง ทำเอาบิ๊กกับต้นจริงจังด้วย

“กูยอมหลีกทางให้” ต้นตบบ่าวายุ ท่าทางให้กำลงใจเต็มที่  ต้นคงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกผู้เสียสละอยู่แน่ๆ

“เอาไงก็เอา” บิ๊กตบบ่าวายุอีกข้าง

วายุยิ้มร่า…

สายตาคมจับจ้องไปที่ร่างเล็กที่กำลังคุยอย่างออกรสชาติ

แค่มองแก้มใสก็รู้สึกถึงความอ่อนนุ่ม ผิวขาวเนียนชวนหลงใหลราวกับได้เคยสัมผัส…

 “พวกมึงคอยดู…” วายุอมยิ้มน้อยๆ…ก่อนเอ่ยเต็มเสียง

“กูจะจีบเดียร์ให้ได้”



บริเวณหน้าร้านไอศกรีมเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่ไม่ว่าคนจะเยอะแค่ไหนก็ไม่มีใครมองเห็นสองร่างที่ยืนอยู่หน้าร้านไอศกรีมเลย

“บอกแล้ว..คู่กันแล้วยังไงก็ไม่แคล้วคลาดกัน”

“ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ แต่ตอนนั้นมันทำใจลำบากนี่”

สองเสียงเถียงกันมาพักใหญ่

“เดียร์ลืมหมดแล้วจริงๆใช่ไหม?” กามเทพถามออกไปเบาๆ เห็นเดียร์ยิ้ม หัวเราะกับเพื่อนๆแล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“ลืมหมดแล้ว ทั้งคู่เลย จริงๆต้องบอกว่า “ทุกคน”ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นหมดแล้ว” ยมทูตเอ่ยอย่างอ่อนโยน สายตาทอดมองไปทางวายุที่กำลังสุมหัวพูดคุยกับเพื่อนอยู่

“เดียร์มองไม่เห็นพวกเราแล้วใช่ไหม?” กามเทพถามอีกครั้ง

รู้สึกตงิดใจอย่างไรไม่รู้ … รู้สึกเหมือนเผลอสบตาเดียร์หลายครั้ง

“เอ…เรื่องลืมนี่ ลืมหมดแล้วแน่ๆ แต่เรื่องมองเห็นนี่..ไม่แน่ใจนะ …บางทีอาจจะ…”

ทันใดนั้นกามเทพก็ต้องเบิกตากว้าง

“ไอ้ยมทูต พลาดตลอด! ถ้าจะลืมแล้วก็ต้องลืมให้หมดสิ! ดู! นั่น! เดียร์ยิ้มให้ฉันด้วย!! โธ่ ว้อย!!! ไอ้ยมทูต!!!!!!!!!!!”




THE END



หา? จบแล้ว?

จบแล้วค่ะ ^^

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามให้กำลังใจมาตลอดค่ะ ^_^ 
ขอบคุณที่เข้ามาพูดคุยทักทายกัน แฮ่ๆ ไม่งั้นแอมได้คุยคนเดียว(?)จนจบเรื่องแน่ๆ TT


คิดไว้ว่าน่าจะมีตอนพิเศษนะคะ ^^
เดี๋ยวแอมขอตั้งสติก่อน แต่งเรื่องนี้แล้วแอมหลอนยังไงไม่รู้ (หัวเราะ) พูดคนเดียว(?)เก่งขึ้นทุกวัน



ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ <3
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 06-07-2014 11:46:22
 :mew2: งืออ จบไม่ทันตั้งตัว ขอพิเศษเพิ่มอีกหน่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-07-2014 12:46:57
จบจริงอะ ทำไมยังรู้สึกว่ามันน่าจะมีอีกนิดๆแหะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 06-07-2014 13:06:17
ขอตอนพิเศษเพิ่มอีกนิดดดดสิ 

แอบฮาตอนท้าย ยมทูตลบไม่หมด 55
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 06-07-2014 13:15:22
ง่ะ จบแล้ว
อยากอ่านตอนวายุจีบเดียร์(อีกครั้ง) อิอิ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-07-2014 16:17:03
เสียดายเหมือนกันนะ ช่วงเวลาที่ขาดหายไป
ขอชดเชยด้วยตอนพิเศษครับ 55
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกน่ารักนี้มาให้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 06-07-2014 21:02:49
อ่านรวดเดียวค่ะ รู้สึกจบเหมือนไม่จบยังไงไม่รู้ รอตอนพิเศษจ้า
เดียร์จำไม่ได้จริงอ่ะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: nnA ที่ 08-07-2014 01:00:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 09-07-2014 16:36:31
ขอบคุณครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: dr.ghost ที่ 09-07-2014 17:54:31
 :mew2:ขอบคุณฮะ   น่ารักมากกกกกกกกกกกกก

หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 09-07-2014 18:21:45
วายุนี่พระเอกในอุดมคติเราเลย ไม่เจ้าชู้ นิสัยดี อ่านเรื่องงไหนๆก็มีแต่พระเอกเลวๆ
มารอตอนพิเศษอยู่นะคราฟฟฟฟฟฟฟฟ  :mew2:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 10-07-2014 00:40:12
อ่านรวดเดีียวจนถึงตอนจบเลยยยย
สนุกมากกกค่า เท่าที่เห็นไม่มีคำผิดด้วย
ดำเนินเรื่องดีค่ะ แอบข้าไปบ้าง
รอตอนพิเศษค่ะ อยากอ่านตอนที่เค้าเป็น
แฟนกันแล้วอ่าาาา
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 12-07-2014 08:27:29
มีพลังบางอย่างซ่อนอยู่จริงๆ

พลังแห่งรักใ
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 04-08-2014 01:04:33
ขอตอนพิเศษหน่อยยยยยยยยคร๊าบบบบบบบบบ 

สนุกดีครับ อ่านได้เรื่อยๆ  แต่บางอย่างก็ลงรายละเอียดไปน่ะ อย่างเช่นสถานที่อะไรทำนองนี่  แต่ขอเป็นกำลังใจให้พัฒนางานต่อไปครับ สู้ๆๆ ชอบ.....
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: CorNnE PRiNCeS ที่ 10-08-2014 05:32:27
:call:  :call:  :call:

เคยอ่านแนวนี้ นะเรื่อง ผู้มาเยือนยามวิกาล
ทำเอาหลอน อยู่ นิสนึง พักนึง

ตามหารัก พากลับร่าง

แต่ เรื่องนี้
เพลินๆ ดี
ไหลลื่น ตลอด

ขอบคุณมากมาย นะคับ

จะบอกว่า มีตอนพิเศษ หรือภาคต่อป่าวคับ
เมื่อไหร่จะจำกันได้นะ

 :hao7:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Chapter 23 (END) (6/7/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 11-08-2014 01:50:38
อยากรู้ตอนกลับมารักกันจังคะ แต่งเพิ่มอีกนิดได้มิ๊ สนุกมาก อ่านเพลินเลย
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 1 (11/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 11-08-2014 22:42:23


Part  1







ดวงจันทร์ลอยเด่นบนฟากฟ้า แสงนวลตาสาดส่องหยอกล้อกับหมู่ดาว

 

เดียร์เงยหน้าสูดอากาศเย็นๆเข้าปอด ดวงตาใสจับจ้องดวงจันทร์กลมโตที่คล้ายลอยตามมาในขณะที่เดียร์กำลังเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ…

 

“อย่าปล่อยมือสิครับ เดี๋ยวตกนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับกระชับมือน้อยๆทั้งสองข้างไว้ที่เอวหนา

 

“นายกล้าทำฉันตกด้วยเหรอ?” เดียร์กระเซ้าไปพลางยู่หน้าน้อยๆ ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ

 

วายุปั่นจักรยานไปตามทางจักรยานของมหาวิทยาลัย บรรยากาศในเวลาสี่ทุ่มช่างเงียบสงบ

 

เดียร์เลิกงานจากร้านไอศกรีมสามทุ่ม วายุเดาว่าคนตัวเล็กคงอดไม่ได้ที่จะต้องหาอะไรทานในเวลากลางคืน ซึ่งวายุเดาไม่ผิดเลย ไม่เสียทีที่มานั่งรอเดียร์ที่หน้าหอตั้งแต่สามทุ่ม หลังจากนั้นทั้งวายุและเดียร์ก็มาอยู่บนทางจักรยาน เดินทางไปยังร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัย

 

บรรยากาศหน้ามหาวิทยาลัยหลังสี่ทุ่มคึกคักกว่าตอนกลางวัน

 

วายุเลี้ยวจักรยานเข้าจอดหน้าร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ

 

“อยากกินผัดพริกหมู” เดียร์เงยหน้าบอกร่างสูง วายุยิ้มให้น้อยๆ ยื่นมือกุมมือบางไว้ ออกแรงดึงน้อยๆ เป็นเชิงว่าให้เดินไปด้วยกัน

 

วายุนำเดียร์เข้าไปจับจองที่นั่งภายในร้าน

 

เดียร์หยิบรายการอาหารบนโต๊ะ กวาดตามองหาสิ่งที่อยากทาน วายุหยิบปากกากับกระดาษเตรียมเขียนรายการอาหารตามคำสั่งของคนตัวเล็กอย่างรู้หน้าที่

 

“เอาผัดพริกหมู ปลานิลนึ่งมะนาว ไก่ทอด  นายจะเอาอะไรไหม?”

 

เดียร์เงยหน้ามองร่างสูงที่กำลังจดยิกๆลงกระดาษเปล่าแผ่นเล็กๆ … วายุส่ายหน้าตอบพลางอมยิ้มน้อยๆ

 

…ตัวแค่นี้แต่กินเยอะจังน้า~ ที่กินเข้าไปมันไปอยู่ไหนหมดกัน

 

“เครื่องดื่มล่ะครับ เอาอะไรดี”

 

“น้ำเปล่าดีกว่า”

 

วายุเขียนรายการอาหารลงไปตามคำสั่ง ไม่ลืมเขียนข้าวเปล่าสองจานที่คนตัวเล็กไม่ต้องพูดเขาก็รู้ว่าต้องเขียนลงไป

 

อ่านรายการอาหารทวนซ้ำให้คนตัวเล็กฟังอีกรอบ พนักงานในร้านจึงมาเก็บออเดอร์ไป

 

“เหนื่อยไหม?” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยพลางจับจ้องใบหน้าใสที่ระเรื่อไปด้วยสีชมพูจางๆ ท่าทางคงเหนื่อยจากงานที่ทำ ไหนจะเรียนตอนกลางวันอีก   เดียร์เพียงยิ้มหวานมาให้พลางส่ายหน้าเบาๆ

 

… เห็นเดียร์เหนื่อยขนาดนี้เขารู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก

 

เขาเคยบอกให้เดียร์เลิกทำงานตั้งแต่ยังจีบเดียร์ไม่ติด ตอนนั้นเล่นเอาเดียร์โวยวายไปอยู่พักใหญ่

ต้องหาวิธีง้อสารพัดกว่าเดียร์จะยอมคุยด้วย พอจีบติด เขาลองบอกให้เดียร์เพลางานลงก็โดนงอนอีก

สุดท้ายเลยปล่อยให้เจ้าตัวทำตามใจไป แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้เขาไปรับไปส่งเดียร์ที่ร้านด้วยตัวเอง

บอกตามตรง เขาไม่ไว้ใจเจ้านายของเดียร์ที่ชื่อไอ้ล็อคอะไรนั่นเลย

 

“พี่วายุ! …พี่เดียร์!”  เสียงใสดังเข้ามาจากภายนอกร้าน

 

เจ้าของชื่อทั้งสองคนหันไปตามเสียงเรียก

 

วายุเห็นน้องชายตัวเองยืนโบกมือให้สุดแรงอยู่บริเวณนอกร้าน

 

แต่เดี๋ยวก่อน! …. อาโปไม่ได้มาคนเดียว

 

“พี่ล็อค สวัสดีครับ …อาโปมาไงเนี่ยเรา” เดียร์รีบทักทายคนสองคนที่ยืนอยู่นอกร้าน

 

ท่าทางของเดียร์ทำเอาวายุคิ้วกระตุก

 

พูดถึงก็มาเลยนะไอ้เจ้าของร้านบ้าบออะไรเนี่ย

 

อาโปดูมีท่าทีลังเลเล็กน้อย อาโปเงยหน้าคุยอะไรกับไอ้ล็อคไม่รู้ ดูเหมือนว่าอาโปจะเข้ามาหาเขากับเดียร์ แต่ไอ้ล็อคอะไรนั่นเหมือนไม่อยากให้อาโปเข้ามา

 

… จริงๆ ไอ้ล็อคมันดูห่างๆจากเดียร์ไปนะ

 

ตั้งแต่มันรู้ว่าเขากับเดียร์เป็นแฟนกัน…

 

“พี่วายุ พี่เดียร์ ผมต้องไปแล้ว… ไว้เจอกันนะพี่” อาโปหันมาตะโกนบอกก่อนจะถูกคนตัวสูงข้างๆลากเดินไปด้วยกัน

ท่าทางที่ดูยังไงก็รู้ว่าอาโปโดนฉุดทำเอาคนเป็นพี่ชายถึงกับนั่งไม่ติด

 

“เฮ้ย! อาโป  ไอ้ล็อค มึงจะทำอะไรน้องกูวะ!” วายุโพล่งไปโดยไม่ทันตั้งตัว ตั้งท่าจะลุกตามสองคนนั้นไป แต่ทว่ามือน้อยๆของคนที่นั่งตรงข้ามออกแรงคว้าแขนหนาไว้ได้ก่อน

 

“พี่ล็อคไม่ทำอะไรอาโปหรอก …เชื่อใจได้”

 

ทำไมยิ่งเดียร์พูดอย่างนั้นเขายิ่งอยากกระโดดถีบขาคู่ใส่ไอ้ล็อคมากขึ้นกันนะ

 

เดียร์เชื่อใจไอ้ล็อคขนาดนั้นเลยเหรอ!

 

เดียร์เชื่อใจไอ้ล็อคกี่เรื่องแล้ว! ทำไมต้องเป็นไอ้ล็อคด้วยวะ!

 

“ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าคิดมากเรื่องพี่ล็อคอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย”

 

ยิ่งคบกัน เขายิ่งรู้ว่าเดียร์อ่านใจเขาได้เก่งขึ้น

 

คนตัวเล็กกระชับมือน้อยๆเข้ากับมือหนา ออกแรงจับไว้แน่นๆ

 

“พี่ล็อคเป็นแค่เจ้านาย โอเค? ..ไม่สำคัญว่าจะเจอใครก่อนหรือหลัง ถ้าคนที่ใช่ยังไงก็ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”

 

เสียงหวานที่เอื้อนเอ่ย ทำเอาวายุอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด

 

วายุกระชับมือตัวเองเข้ากับมือน้อยๆ เอ่ยเบาๆ… “ขอโทษ…”

 

เดียร์ยิ้มแป้น ส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

 

วายุหยิบน้ำเปล่าเย็นๆมาดื่มดับอาการวู่วาม รอไปสักพัก ข้าวสวยร้อนๆ กับอาหารอุ่นๆก็มาตั้งเรียงรายตรงหน้า

 

เดียร์ลงมือจัดการอาหารตรงหน้าทันที มีวายุคอยหยิบนั่นตักนี่ไปใส่ในจานข้าวให้ ถึงจะถูกคนตัวเล็กเอ็ดเบาๆว่าไม่ต้อง แต่วายุกลับแสร้งทำเป็นหูทวนลมเสียนี่

 

“ล้นจานแล้ว พอก่อน” นั่นแหละ วายุถึงได้หยุดจริงๆ

 

วายุเริ่มตักอาหารใส่จานตัวเอง ลงมือทานบ้าง

 

สายตาคมจับจ้องท่าทางน่ารักของคนตัวเล็กไม่วางตา

 

เสียงโทรทัศน์ที่เปิดในร้านดังเข้ามาเป็นพักๆ... เหมือนได้ยินเสียงรายงานข่าวรอบดึกจบไปแล้ว

 

ต่อไปก็คงเป็นละคร…

 

วายุเห็นป้าแม่ครัวหารีโมทมาเพิ่มเสียงโทรทัศน์ ได้ยินแกบ่นกับพนักงานคนอื่นว่าละครเรื่องโปรดกำลังจะมา

 

“เรื่องนี้ฉันชอบมากเลยนะ! พระเอกเป็นวิญญาณด้วย” ป้าแม่ครัวนั่งบนเก้าอี้ไม่มีพนัก หันไปคุยกับพนักงานที่ล้างจานอยู่ใกล้ๆ

 

ตอนนี้ลูกค้าในร้านแน่นจนไม่มีที่ว่าง ยังไม่มีใครเข้าออกร้าน ป้าแกเลยนั่งพักได้

 

“พระเอกเป็นผี น่าดูตรงไหนป้า น่ากลัวออก” หญิงสาวที่นั่งล้างจานอยู่เอ่ยออกมา

 

“แกไม่รู้อะไร เพราะพระเอกเป็นผีนี่แหละสนุก นางเอกเห็นผีได้ด้วยนะ นี่แล้วแกดู พระเอกหล่อขนาดนี้ ฉันจะพลาดได้ง๊าย~!”

 

พระเอกเป็นผี… นางเอกเห็นผี…

 

เนื้อเรื่องฟังดูแปลกๆแฮะ แล้วจะรักกันได้ยังไง คนกับผีเนี่ยนะ

 

วายุเคี้ยวข้าวไปเงียบๆ ไม่ได้ตั้งใจจะฟังที่ป้าแกพูดหรอก ถ้าป้าแกไม่พูดเสียงดังจนได้ยินกันทั้งร้านแบบนี้

 

เดียร์ละจากจานข้าว หันหน้าไปทางโทรทัศน์  ในปากยังเคี้ยวข้าวหนุบหนับ

 

ดวงตาใสจับจ้องโทรทัศน์ที่ตัวละครกำลังดำเนินเรื่องอยู่ ดูอยู่อย่างนั้นจนกลืนข้าวหมดปาก ก่อนเอ่ยออกมา

 

“เห็นผีได้ไม่เห็นแปลกเลย”

 

เดียร์ไม่ได้สนใจละครต่อ คนตัวเล็กหันกลับมาจดจ่ออยู่กับจานข้าวอีกครั้ง

 

วายุขมวดคิ้วน้อยๆ …

 

เดียร์เคยบอกเขาว่าเดียร์มีสัมผัสพิเศษ แต่เรื่องแบบนี้จะเชื่อได้สักแค่ไหนกัน

 

แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น หลายครั้งที่เขาสังเกตว่าเดียร์มีท่าทางแปลกๆ

 

เหมือนเดียร์คุยคนเดียวบ้าง ทำอะไรแปลกๆบ้าง

 

แล้วมันจะเกี่ยวกับที่เดียร์มีสัมผัสพิเศษหรือเปล่า?

 

วายุสะบัดหน้าน้อยๆขับไล่ความคิดที่ชวนสับสน

 

เขาไม่เชื่อเรื่องอะไรก็ตามที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้

 

ใช้เวลาไม่นานเดียร์ก็ทานข้าวเสร็จ วายุเริ่มชินกับอาการทานเยอะของเดียร์แล้ว

 

กับข้าวทุกจานแทบไม่เหลืออะไรที่กินได้

 

“พรุ่งนี้วันหยุด ไปเที่ยวกันไหม?” เดียร์ตะโกนฝ่าแรงลม ขณะซ้อนท้ายจักรยานคันเดิม

 

“อยากไปไหนครับ?” เสียงทุ้มตอบกลับ กระชับมือน้อยๆเข้ากับเอวให้แน่นขึ้น

 

เดียร์ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ

 

รูปร่างคล้ายสีควันบุหรี่ลอยไปลอยมาผ่านตาเดียร์ไปเรื่อยๆตามทาง หลากหลายหน้าตา หลากหลายรูปร่าง เดียร์ยิ้มทักทายไปตามมารยาทเมื่อเห็นว่าบางตนหยุดยิ้มให้

 

พลางคิดตามที่วายุถาม…

 

ไปเที่ยวที่ไหนเหรอ…

 

จริงสิ!

 

“ไปสวนสนุกกัน”

 

 

 

 

# My dear





ตอนพิเศษพาร์ทแรกมาแล้วค่ะ ><~~

ขอโทษมากๆค่ะ ดองไว้นานมาก TT_TT

แอมแว้บไปเปิดเรื่องใหม่แล้วนะคะ ลงไปได้ 5 ตอนแล้วค่ะ ฮี่ๆๆๆ ^^

เรื่อง Moonlight… แค่ทำงานกลางคืน  ฝากด้วยนะคะ ^///////^

ขอไปปั่นตอนพิเศษของน้องเดียร์พาร์ท 2 ต่อก่อนนะคะ

จะรีบมาต่อโดยพลันฮับ ^//////////^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 1 (11/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: nnA ที่ 12-08-2014 01:01:30
 :mew1: เดียร์น่าร๊าก
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 2 (12/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 12-08-2014 01:44:54


Part 2

 

วายุจูงมือเดียร์ผ่านประตูทางเข้าสวนสนุก



ใบหน้าหวานยิ้มแย้มทักทายพนักงานหน้าประตู เลยไปส่งยิ้มหวานให้หมู่มวลดอกไม้ที่เรียงรายอยู่ข้างทาง



ต่างกับคนตัวโตข้างๆที่ตีหน้าหงิกมาสักพักแล้วตั้งแต่….



“ไอ้ยุ! ยิ้มหน่อยสิวะมึง มาเที่ยวทั้งทีทำหน้าเป็นตูดไปได้”



“ไอห่า มึงทำหน้าให้มันดีๆหน่อยสิเว้ย”



และอีกคำพูดสารพัดที่ดังมาจาก บิ๊ก ต้น เพชร



วายุเพิ่งรู้ตอนมาถึงสวนสนุกว่าเดียร์นัดไอ้เพื่อนสามตัวของเขาไว้ด้วย



ให้มันได้อย่างนี้สิ!



วายุมองเลยผ่านเสียงเย้าแหย่ของเพื่อนรักทั้งสามคน



สายตาคมจับจ้องไปยังคนสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันไม่ไกล



โต้งกับพู่กันกำลังยืนถ่ายรูปคู่กันอยู่ ..ภาพที่เรียกรอยยิ้มน้อยๆให้วายุ



เผลอกวาดสายตากลับไปมองเพื่อนทั้งสามคนของตัวเองที่ตอนนี้น้องชายเขาเข้ามาคุมพวกมันเรียบร้อย



อาโปลากบิ๊กให้เดินไปด้วยกัน ทำให้เพื่อนอีกสองคนต้องเดินตามไปด้วย สักพักอาโปก็วิ่งออกจากกลุ่มไป



วายุขำน้อยๆกับน้องชายตัวเอง



อาโปคงวิ่งออกไปหาอะไรกิน เหมือนทุกครั้งที่มาสวนสนุก



บรรยากาศดีจริงๆ ดีนะที่ไอ้ลอคมันไม่ได้มาด้วย….. เหรอ?!!



แล้วอาโปไปลากไอ้ล็อคมาจากไหนวะ?!



อย่าบอกนะว่าไปนัดกันโดยที่เขาไม่รู้เรื่องอีกแล้ว!



“วายุ” เสียงใสๆดังขึ้นตรงหน้า วายุละสายตาจากอาโป  ก้มมองคนตัวเล็กตรงหน้า



“ครับ?”



“ไปบ้านผีสิงกัน”



เดียร์ไม่รอให้วายุตอบตกลงหรือปฏิเสธ คนตัวเล็กจูงมือหนามุ่งตรงไปยังบ้านผีสิงทันที



แต่ถึงกระนั้นเดียร์ยังใจดีหันไปเรียกทุกคน



“ทุกคน~ Let’s go to บ้านผีสิง!”



เสียงกรีดร้องดังเข้ามาให้ได้ยินตั้งแต่ยืนอยู่ที่ขายตั๋ว



เดียร์นับจำนวนสมาชิกแล้วจัดการซื้อตั๋วให้เรียบร้อย



“พี่บิ๊ก พี่ต้น  พี่เพชร เข้าไปก่อนเลย” เสียงอาโปดังอยู่ข้างหลัง ข้างๆอาโปมีเจ้าของร้านไอศกรีมยืนนิ่งอยู่ด้วย



เพชรหัวเราะเบาๆกับคำชวนของรุ่นน้อง “เอาจริงเหรอ?”



“เข้าไปเลย เดี๋ยวเราเดินตาม” พู่กันว่าพลางกระชับสายกระเป๋าสะพายแน่น เตรียมวิ่งเข้าแล้วหาทางออกเลย



“ถ้าเป็นพู่กัน เดี๋ยวเราเดินนำให้เอง ไม่ต้องกลัวนะ” ต้นว่าพลางขยิบตาให้พู่กันข้างหนึ่ง



ทำเอาโต้งถลาเข้ามาขวางพู่กันทั้งตัว “เยอะนะมึงเนี่ย”



พวกนี้สนิทกันเร็วมาก มันคุยกันไม่กี่ชั่วโมงก็เล่นภาษาพ่อขุนกันแล้ว



โต้งจับมือพู่กันแน่น พู่กันอดไม่ได้ที่จะแอบขำน้อยๆ



รู้ทั้งรู้ว่าสามคนนั้นชอบแหย่ โต้งก็ชอบขึ้นตามพวกมัน



พวกนี้มันไม่ได้ทะเลาะกันจริงจังอะไรหรอก หยอกแซวกันมากกว่า



“มาๆ ไม่ต้องเถียงกัน” เดียร์ว่าพลางออกแรงดึงวายุตามเข้าบ้านผีสิงไป



พู่กันกับโต้งเกาะแขนกันได้แล้วก็เดินตามไป อาโปลากแขนล็อคเข้าไปด้วย  ทิ้งให้สามทหารเสืออารักขารั้งท้าย



ความมืดในบ้านผีสิงชวนขนหัวลุกนัก ไม่รู้ว่าท่ามกลางความมืดนั้นมีอะไร ชวนให้จินตนาการถึงสิ่งต่างๆที่อยู่ในนั้น

แสงไฟสลัวที่พอให้เห็นทางเดินไม่ได้ช่วยให้อุ่นใจเท่าไรเลย



“ฮึด! ฮัด! ยะฮู้  ยู้ฮู้~~~~~” เสียงหวานของคนตัวเล็กข้างๆวายุดังมาตั้งแต่เดินเข้ามา

เดียร์จับแขนวายุแน่น



ถึงจะเห็นวิญญาณได้ แต่บรรยากาศในบ้านผีสิงก็น่ากลัวเสียเหลือเกิน ถึงจะชินกับวิญญาณที่เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ได้เห็นในที่ที่เหมือนบ้านผีสิงแบบนี้นี่



“ยิ่งส่งเสียง ผียิ่งมานะ” วายุเอ่ยเรียบๆ เดียร์ที่ได้ยินอย่างนั้นหุบปากฉับทันที



“ว้ากกกกกกกกกกกกกก ตะ…ตัวอะไร อะไร! อะไรวะ?!”

เดียร์สะดุ้งสุดตัวทุกครั้งที่เจอการแสดงตุ้งแช่ของนักแสดงในบ้านผีสิง



เดียร์ซุกหน้าเข้าหลังวายุเป็นว่าเล่น



วายุอมยิ้มน้อยๆ จับมือเดียร์ไว้แน่นๆ ออกแรงกระตุกข้อมือให้คนตัวเล็กเดินตามไปด้วยกัน



เสียงกรีดร้องจากทัพลังดังเข้ามาเป็นพักๆ



พู่กันกับโต้งเดินกอดกันไปตามทาง ไม่ต่างอะไรจากอาโปที่ซุกหน้าเข้าแขนล่ำๆของล็อค



และเสียงที่ดังที่สุดคงหนีไม่พ้นเสียงกรีดร้องแหบห้าวของชายฉกรรจ์ที่รั้งท้ายทั้งสามคน



“ว้ากกกกกกก ไม่เอาแล้ววววว” เดียร์จับแขนวายุแน่น ออกแรงลากสุดตัว ก้าวเร็วๆ หาทางออกให้เร็วที่สุด

แรงของเดียร์ในตอนนี้ เยอะจนวายุฉุดแทบไม่อยู่ ได้แต่ก้าวเท้าตามแรงดึงของคนตัวเล็กอย่างต้านไม่ได้


เสียงกรีดร้องยังดังอยู่เช่นนั้นไปพักใหญ่ แยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร



“ทางออก! เจอแล้ว!! วิ่งงงงงงง” เดียร์ดันตัววายุไปด้านหน้า ดันให้วายุวิ่งนำ ส่วนตัวเองวิ่งตามไปติดๆ



ออกมาได้ เดียร์ก็ลงไปนั่งหอบอยู่กับพื้น วายุรี่เข้าไปพัดวีให้



ไม่นาน โต้งกับพู่กันก็เดินขาสั่นออกมา ตามมาด้วยอาโปที่มีอาการไม่ต่างจากเดียร์เท่าไรนัก



ส่วนสามทหารเสือที่ว่าแน่ ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังเข้ามาก่อนที่จะโผล่มานั่งหอบข้างนอก



“โคตรสนุกเลยว่ะ” เดียร์ว่าขณะที่ตัวเองยังหอบไม่หยุด



วายุอดขำไม่ได้…  สนุก แต่ร้องตั้งแต่เข้า.. เดียร์นะเดียร์



“อ้าว! ออกมาข้างนอกได้ด้วยเหรอ?” เดียร์หันไปด้านข้าง ยิ้มน้อยๆ



วายุหันขวับ มองตามสายตาคนตัวเล็ก



“เดียร์คุยกับใครครับ?”



“ฮะ? อ้าว ก็นี่ไง….” เดียร์ชี้ไปทางประตูทางออก พลันคนตัวเล็กชะงักไป “เดี๋ยวก่อนนะ”



นั่นไง… บ้านผีสิงทำหลอนเลย



นี่เขากำลังสับสนระหว่างผีจริงกับผีปลอมใช่ไหม?!



“อ้อ… ไม่มีอะไร คงตาฝาด” เดียร์หันมายิ้มแหยๆให้ร่างสูง



“เห็นอะไรอีกแล้วใช่ไหม?” เสียงทุ้มถามออกไป เดียร์พยักหน้าไปน้อยๆ



“มาบ้านผีสิงก็ต้องมีผีอยู่แล้วไงวายุ” ดวงตาใสสบกับสายตาคม



วายุขมวดคิ้วน้อยๆ…



จะว่าเขาไม่เชื่อก็ได้… พอไม่เชื่อ เลยกลายเป็นว่าพาลไม่ชอบด้วย



เขาไม่ชอบเวลาที่เดียร์กำลังคุยคนเดียว โอเค เดียร์อาจจะไม่ได้คุยคนเดียว แต่เวลาที่เดียร์ทำเหมือนตัวเองสื่อสารกับสิ่งลึกลับได้  มันทำเดียร์ดูเหมือนคนงมงาย ซึ่งเขาไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก



“น่าวายุ อย่าขมวดคิ้วสิ เดี๋ยวไม่หล่อนะ” นิ้วชี้เรียวสวยจิ้มเข้าที่หว่างคิ้วหนาเข้ม วายุคลายปมคิ้วดั่งต้องมนตร์



“ไปเล่นอย่างอื่นกันเถอะ” เสียงใสของอาโปเรียกความสนใจของทุกคน



พู่กันบอกว่าอยากเล่นรถไฟเหาะ แต่ไอ้ต้นดันอยากเล่นม้าหมุน…เข้ากับหน้ามึงจริงๆต้นเอ๊ย



เดียร์กระชับมือน้อยๆกับมือหนาของวายุ ใบหน้าหวานยิ้มแย้มชวนให้วายุยิ้มตามได้ไม่ยาก



“ขอโทษครับ” เดียร์เอ่ยเบาๆ พลางหันขวับไปขอโทษคนที่ตัวเองเพิ่งเดินชน



อ้าว  หายไปแล้ว เดินเร็วจัง



เดียร์รู้สึกถึงแรงมหาศาลที่ฉุดข้อมือไว้ ดวงตากลมโตเงยขึ้นมองเจ้าของมือที่จับมือไว้แน่น



“ไม่ตลกเลยนะครับ” เสียงวายุฟังดูทุ้มต่ำอย่างน่ากลัว เดียร์ได้แต่ยิ้มน้อยๆไปให้



เขาทำอะไรไม่ถูกใจหรือเปล่าวะ



…ทำไมวายุมีท่าทางแบบนี้?



“พูดถึงอะไรครับ?....วายุเป็นอะไร?” เดียร์เอาน้ำเย็นเข้าลูบ วายุในตอนนี้เหมือนมีพลังงานมหาศาลลุกโชนอยู่ข้างใน

คนอื่นเดินเข้าไปต่อแถวรอขึ้นรถไฟเหาะแล้ว แต่เดียร์ยังถูกวายุจับมือไว้แน่น



“เดียร์ก็รู้ว่าผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น แต่เดียร์ก็ยังแสดงออกมาเรื่อยๆ”



“พูดถึงอะไรกัน?”



“เดียร์ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเดียร์มีท่าทางแปลกๆ ทั้งที่ทางออกบ้านผีสิง ทั้งเมื่อกี๊นี้ จู่ๆเดียร์ก็หันไปบอกขอโทษ

เดียร์พูดกับใคร?  เดียร์คุยคนเดียวทั้งนั้น”



“วายุ..ไม่ใช่แบบนั้นนะ”



“ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ถ้าไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ ผมอยากให้เดียร์เลิกงมงาย อย่าทำเหมือนว่าตัวเองกำลังสื่อสาร

กับอะไรไม่รู้ให้ผมเชื่อตามเดียร์ อย่าทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้สิครับ”




เดียร์ชะงักไป คนตัวเล็กอ้าปากค้างน้อยๆ




สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนเอ่ยออกมาอย่างอัดอั้น



“วายุ ฟังกันก่อนได้ไหม?... ฉันไม่ได้ต้องการให้วายุเชื่อ แค่วายุยอมรับ ฉันไม่ได้โกหกนะ

แล้วฉันก็ไม่ได้งมงายด้วย แล้วถ้าวายุกำลังคิดว่าฉันเป็นโรคประสาทอยู่ ฉันก็บอกได้เลยว่าฉันไม่ได้ป่วยอะไรทั้งนั้น”

เสียงหวานเริ่มสั่นเครือ



ทำไมวายุไม่เข้าใจกันบ้างเลย!



ถ้าเขาเลือกได้เขาก็ไม่ได้อยากมีสัมผัสพิเศษอะไรแบบนี้หรอก



เขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เขาพยายามควบคุมตัวเองแล้ว แต่บางครั้งก็ทำได้ยากเหลือเกิน



“ยอมรับฉันที่เป็นแบบนี้ไม่ได้เหรอ?” ประกายวายวับคลอหน่วยตาใส น้ำใสๆค่อยๆไหลแนบแก้มเนียน

วายุใจกระตุกวาบ



“เดียร์….” ร่างสูงรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้ หากแต่คนตัวเล็กขืนตัวสุดแรง



“ปล่อย” เสียงเครือเคล้าไปกับแรงสะอื้น วายุไม่ปล่อย ออกแรงจูงมือคนตัวเล็กให้เดินไปหามุมเงียบๆคุยกัน



เดียร์อาศัยจังหวะที่วายุผ่อนแรง สลัดมือหลุดจากมือหนา หันหลังวิ่งหนีวายุไป



…ว่าแต่คนอื่นไม่มีเหตุผล ตัวเองมีเหตุผลไหม?!



ทำไมเป็นคนแบบนี้นะวายุ!



# My dear







เดี๋ยวมีต่อ Part 3 ค่ะ ^///////^

หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 3 (13/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 13-08-2014 18:10:33

Part 3

โรงอาหารของคณะวิทย์ฯในเวลาบ่ายสามสงบกว่าตอนเที่ยง แม่ค้าหลายร้านเริ่มเก็บของ ทำความสะอาดร้านกันบ้างแล้ว

นักศึกษาจับจองที่นั่งกันประปราย  รวมไปถึงร่างสูงใหญ่ของวายุด้วย…

วายุในเสื้อช็อปสีเทานั่งมองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะมาพักใหญ่ หยิบขึ้นมาแล้วก็วางลงไปคืน นิ่งมองอยู่อย่างนั้นไม่เป็นอันทำอะไร

เดียร์ไม่คุยกับเขามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว…

พอเจอกัน เดียร์ก็พยายามหลบหน้า …โทร.ไป ก็ไม่รับ

เขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าเดียร์… แต่เรื่องแบบนั้นมันเกินกว่าจะเชื่อได้จริงๆนี่นา

“มึงมานั่งหล่ออะไรอยู่ตรงนี้วะ” เสียงคุ้นหูทำให้วายุเงยหน้าขึ้น

บิ๊กเดินมาทิ้งตัวนั่งตรงข้ามกับเขา วายุได้แต่ถอนหายใจแรงๆ

“กูกำลังหาวิธีง้อเดียร์”

“นี่เดียร์ยังไม่หายโกรธมึงอีกเหรอวะ?!”

วายุได้แต่พยักหน้าตอบเนือยๆ

วายุถอนหายใจแรงๆออกมาอีกที  สะบัดหน้าน้อยๆอย่างขับไล่อาการวิตกกังวล

มองไปรอบๆตัวแล้วหาเรื่องชวนคุย

“ไอ้ต้น ไอ้เพชรล่ะ?”

“พวกมันไปสอบแล็บ แล้วนี่มึงจะนั่งอยู่อย่างนี้อีกนานไหม?”

“กูอยากเจอเดียร์ใจจะขาด แต่เดียร์ไม่ยอมให้กูเจอเลย”

“มึงก็ไปดักรอดิวะ”

“กูลองแล้ว แต่เดียร์หลบกูเก่งมาก ดักทางไหน หนีทางนั้น”

“มึงลองให้อาโปช่วยคุยหรือยัง?”

“เออ! ใช่! อาโป!” วายุยิ้มร่า บิ๊กรู้สึกถึงประกายวิบวับในสายตาของวายุ

ค่ำวันนั้นวายุนัดเจอน้องชายทันที เล่าเรื่องทั้งหมดให้อาโปฟัง รวมถึงขอความช่วยเหลือ
อาโป…น้องชายผู้น่ารักมีหรือจะปฏิเสธพี่วายุ ตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดนานเลยสักนิด

“ถ้าเป็นอาโป เดียร์จะต้องยอมฟังแน่” คนเป็นพี่ชายพูดคล้ายปลอบใจตัวเอง

“ไว้ใจได้เลยพี่วายุ”

อาโปรีบทำหน้าที่น้องชายที่ดีในตอนเช้าของอีกวัน ตามหาพี่สะใภ้ทั่วตึกคณะ เท้าเล็กก้าวเร็วๆ สายตาสอดส่องหาเป้าหมาย
ไม่ทันไรสายตาก็ปะทะเข้ากับภาพคุ้นตาในระยะสามก้าวถึง

พี่เดียร์กำลังนั่งอยู่กับพี่พู่กัน

“พี่เดียร์ พี่พู่กัน” เสียงใสเจื้อยแจ้วทักทายรุ่นพี่ ยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท

“มาแต่เช้าเหมือนกันนะเรา” เดียร์ส่งเสียงทักทายพลางช่วยพู่กันยกกองหนังสือบนโต๊ะออกให้มีที่มองเห็นอาโปได้

“โห พวกพี่ทำอะไรกันครับนี่ หนังสือเยอะขนาดนี้” อาโปถือวิสาสะหยิบหนังสือตรงหน้าขึ้นมาหนึ่งเล่ม เปิดพลิกซ้ายขวาอ่านคร่าวๆ

“รายงานแล้วก็รายงาย น้องเอ๊ย…ชีวิตมีแต่รายงาน” พู่กันยู่หน้าน้อยๆ เดียร์ได้แต่ยิ้มแหยๆให้รุ่นน้อง อาโปรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เผลอคิดถึงเรื่องที่ตัวเองก็คงจะต้องเจอเหมือนกัน

อาโปนิ่งมองรุ่นพี่สองคนหยิบจับหนังสือเล่นนั้นเล่มนี้แล้วได้แต่ชั่งใจ

..ถ้าพูดเรื่องพี่วายุตอนนี้ พี่เดียร์จะว่าอะไรหรือเปล่านะ

ลองเสี่ยงดูแล้วกันอาโป!

“คือ….พี่เดียร์ครับ” เดียร์สบตากับรุ่นน้องเป็นเชิงว่าพูดมาได้เลย

“คือว่า..เรื่องพี่วายุ”  ยังไม่ทันที่อาโปจะเอ่ยต่อ เดียร์ก็ขมวดคิ้วฉับ อาโปใจกระตุกวาบ

“ไม่ๆ คือ พี่เดียร์ไปเจอพี่วายุหน่อยไม่ได้เหรอครับ พี่วายุเขาก็รู้สึกผิดนะพี่…” เสียงอาโปเบาลงตามใบหน้าบูดบึ้งของรุ่นพี่

“ถ้าจะรู้สึกผิด ทำไมเขาไม่คิดก่อนที่จะว่าพี่ พี่พูดดีกับเขาแล้ว เขาก็ไม่ฟัง”

“พี่เดียร์…อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ พี่วายุอยากคุยกับพี่จริงๆนะ ยอมให้พี่วายุง้อเถอะนะ นะครับนะ~” ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เดียร์
ยอมลงให้กับแรงอ้อนของรุ่นน้องตัวเล็กคนนี้

“งั้นให้แค่ทางโทรศัพท์”

“โถ่…พี่เดียร์ ต้องเจอหน้ากันสิครับ พี่เดียร์อย่าโกรธพี่วายุแบบนี้เลยนะ นะนะ” อาโปยิ้มทะเล้น ท่าทางที่เดียร์ต้องพยายามกลั้นยิ้มไม่ให้ยิ้มตาม

“เดี๋ยวผมเลี้ยงไอติมพี่เดียร์”

“พี่ทำงานร้านไอติมนะ”

“งั้น…ผมเลี้ยงมาม่า”

“จะเอาของกินมาล่อพี่หรือไงฮะเรา” เดียร์เย้าเข้าให้ คนเป็นน้องได้แต่ยิ้มแหะๆ

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่พู่กันเอาแต่นั่งอมยิ้มมองคนสองคนคุยกัน

พี่สะใภ้กับน้องเขยคู่นี้นี่น่ารักชะมัด

“ตกลงว่าพี่เดียร์ยอมเจอพี่วายุแล้วนะ” อาโปยิ้มหวานให้รุ่นพี่ ยิ่งเห็นพี่เดียร์กลั้นยิ้ม อาโปยิ่งลิงโลด

ที่เหลือคงต้องให้พี่วายุจัดการต่อเอง




ร้านไอศกรีมหน้ามหาวิทยาลัยที่มีเจ้าของร้านชื่อล็อค เป็นร้านที่วายุไม่อยากมาเยือนมากที่สุด

แล้วทำไมเขาถึงได้มานั่งอยู่ในร้านนี้เป็นชั่วโมงแล้ววะ

กว่าเดียร์จะเข้างานก็ห้าโมงเย็น

ดูนาฬิกาในโทรศัพท์มือถืออีกที … นี่มันเพิ่งบ่ายโมง

ไอ้ล็อคมันไปอยู่ไหนของมันวะ!

“น้องวายุมาหาคุณล็อคหรือเปล่าครับ?” เสียงหวานของพนักงานในร้านดังขึ้น

วายุเงยหน้าตามเสียงทัก เจอพี่ข้าวยืนอยู่ไม่ไกล

เขามารับส่งเดียร์ที่ร้านนี้จนเริ่มสนิทกับทุกคนแล้ว แต่มีอยู่คนที่ยังไงก็ไม่สนิทและไม่อยากสนิทกับมันเลย

“ไอ้ล็อค… เอ่อ แล้วล็อคมันไปไหนเหรอครับ?”

“กำลังมาครับ วันนี้คุณล็อคไม่มีเรียน”

ข้าวเดาไม่ผิดจริงๆด้วย เห็นวายุมานั่งชะเง้อชะแง้มองหลังร้านมาพักใหญ่

น้องเดียร์ก็ไม่ได้เข้างานเวลานี้น้องวายุก็น่าจะรู้ ก็คงมีอยู่คนเดียวแล้วละที่น้องวายุอยากเจอ

เสียงกระดิ่งจากประตูทำเอาวายุหันขวับ

คนที่วายุกำลังรอเดินเข้าร้านมาเงียบๆ

“ไอ้ล็อค!” ตะโกนลั่น เจ้าของชื่อชะงักทันที

วายุเดินพรวดพราดเข้ามาหาเจ้าของร้านไอศกรีม

“มีอะไร?” น้ำเสียงของล็อคนิ่งยิ่งกว่านิ่ง

วายุชะงักไปเล็กน้อย รับมือกับอาการสงบของล็อคไม่ทัน วายุกระแอมสองสามที เกาหูตัวเองเบาๆ

“กู..กูขอยืมร้านหน่อย”

“ฮะ?!”

“กูขอเช่าพื้นที่ก็ได้  คือ….มึงต้องให้ความร่วมมือกับกูนะ”

“อะไรของมึงเนี่ย” เอาตรงๆเลย ล็อครับมือไม่ทัน ถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน

“กูก็ไม่รู้จะใช้คำยังไง ถ้าไม่รบกวนมึงเกินไปนะ ให้กูยืมพื้นที่ร้านมึงใช้ง้อเดียร์หน่อย”





# My dear






มีต่อ Part 4  ค่ะ ^///////////^
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 3 (13/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: nnA ที่ 13-08-2014 21:13:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 3 (13/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Elizabeth_TonnY ที่ 14-08-2014 00:33:50
ปรับความเข้าใจกันเร็วๆน้ะะะะ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 3 (13/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 14-08-2014 21:45:50
ง้อเร็วๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: iiam ที่ 14-08-2014 21:58:08
Part 4

เจ้าของร้านไอศกรีมยืนมองบรรยากาศในร้านไอศกรีมจากเคาน์เตอร์แคชเชียร์

ความวุ่นวายเล็กๆเกิดขึ้นในร้านโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

มันวุ่นวายตั้งแต่ที่วายุมาคุยกับเขาเมื่อตอนบ่าย

หลังจากนั้นไม่นานอาโปและเพื่อนวายุอีกสามคนก็หอบของพะรุงพะรังเข้าร้านมา

“พี่ล็อคนี่ใจดีจริงๆ ขอบคุณมากๆนะครับ” เสียงเจื้อยแจ้วของอาโปดังเข้ามา

อาโปเดินมาหยุดยืนข้างล็อค มือน้อยๆยกขึ้นซับหยาดเหงื่อที่ผุดตามใบหน้า

ล็อคเห็นอย่างนั้นเลยยื่นกล่องทิชชู่ไปให้ อาโปยิ้มรับอย่างขอบคุณ

พี่ข้าวกับพี่ปิ่นรี่จัดโต๊ะเก้าอี้เสียยกใหญ่ ทำความสะอาดให้เสร็จสรรพเรียบร้อย

“น้องวายุ  ตรงโซนนี้โอเคไหมครับ?” ข้าวตะโกนถามข้ามมายังอีกฟากของร้าน

ข้าวจัดเฉพาะเก้าอี้เรียงเป็นครึ่งวงกลม เว้นที่ว่างตรงกลางไว้ โต๊ะที่เหลือเอาไปต่อรวมกันไว้ที่มุมอื่น

วายุชะเง้อมองผลงานของพี่ข้าว พลันรอยยิ้มประดับบนใบหน้าคม ยกนิ้วโป้งให้กับฝีมือการจัดตกแต่งของพี่ข้าว

วายุหันมาจัดการกับสิ่งตรงหน้าที่เขาวานน้องชายสุดที่รักหอบมาด้วย ผูกโบว์สีแดงให้กับเจ้าสิ่งนั้นเรียบร้อยก็หันมาตรวจเช็ครอบๆร้าน

ลูกค้าในร้านก็ยังมีอยู่ ร้านไม่ได้ปิดทำการ เขาไม่ได้เหมาทั้งร้าน ก็แค่ขอพื้นที่บางส่วนของร้านของไอ้ล็อคเท่านั้นละ

วายุเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนฝาผนังร้านไอศกรีม

….สี่โมงครึ่ง?!

เดียร์เข้าร้านห้าโมง!!

“แสตนบายกันเร็วเข้า” วายุวิ่งพรวดเข้าไปนั่งที่ที่พี่ข้าวเพิ่งจัดเสร็จ

อาโปหอบ”ของขวัญ”ที่วายุเตรียมไว้มาตั้งไว้ข้างๆพี่ชาย

บิ๊ก ต้น เพชร หลบไปนั่งที่โต๊ะตัวอื่นในร้าน

ข้าวกับปิ่นไปยืนประจำประตูทางเข้า ชะเง้อคอมองหาเป้าหมาย

วายุนั่งไม่เป็นสุขอยู่ที่เก้าอี้ในมุมที่จัดไว้ หันซ้ายหันขวาอย่างทำอะไรไม่ถูก

อาโปเห็นท่าทางของพี่ชายแล้วอดไม่ได้ที่จะเข้ามาปลอบประโลม

“ใจเย็นๆพี่วายุ”

ไม่ทันจบประโยคของอาโปดี เสียงของพี่ปิ่นก็ดังขึ้น “มาแล้วๆๆ!!”

ข้าวกับปิ่นวิ่งมาหลบหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ที่มีล็อคยืนอยู่ก่อนแล้ว

เดียร์ผละไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆทั้งสามคนของเขา

เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของโต้งจะก้าวเข้ามา ตามมาติดๆด้วยพู่กัน

โต้งกับพู่กันชะงักไปทันทีที่เห็นบรรยากาศที่แปลกไปของร้าน

ยังไม่มีใครทันตั้งตัว บิ๊กรี่เข้าไปคว้าโต้งกับพู่กันไปนั่งร่วมโต๊ะทันที

… และคนที่ตามเข้าร้านมาอีกคน

…. คือเป้าหมายของวันนี้


วายุสูดลมหายใจเข้าลึกๆ  …กีตาร์โปร่งสีน้ำตาลอ่อนวางอยู่บนตัก มือทั้งสองข้างประจำที่

สายตาคมจับจ้องร่างเล็กๆของผู้เป็นที่รัก….

…เสียงกีตาร์ดังขึ้นเบาๆ    ตามมาด้วยเสียงทุ้มของร่างสูงที่นั่งอยู่กลางร้าน…

บอกตรงๆ ว่าฉันก็เสียใจ
ที่ทำให้เราต้องทะเลาะกัน
ไม่ว่าด้วยเหตุผลนั้นคืออะไร

คนผิดคือฉันไม่ใช่เธอ
อย่าร้อง... อย่าร้องไห้เลยเธอ
หันหน้ามาคุยกันก่อน ดีไหม


เดียร์นิ่งค้าง  เผลอสบตากับร่างสูงที่นั่งดีดกีตาร์อยู่

อยากหลบสายตาแต่ทำไม่ได้ เหมือนในสายตาคมคู่นั้นมีแรงดึงดูดจากอะไรบางอย่าง…


ต้องทำอย่างไงเธอจึงจะยอมหายโกรธ
ต้องทำอย่างไงเธอจึงจะยกโทษให้ฉัน
อย่าทรมานโดยการไม่มองหน้ากัน
นึกว่าสงสาร คนรักกัน ฉันขอโทษ

ไม่ตั้งใจจะ ทำร้ายเธอ
แต่ก็เผลอทำเธอร้องไห้
ฉันไม่ได้ความจริงๆ ที่รัก

คนผิดคือฉันไม่ใช่เธอ
อย่าร้อง... อย่าร้องไห้เลยเธอ
หันหน้ามาคุยกันก่อน ดีไหม

ต้องทำอย่างไงเธอจึงจะยอมหายโกรธ
ต้องทำอย่างไงเธอจึงจะยกโทษให้ฉัน
อย่าทรมานโดยการไม่มองหน้ากัน
นึกว่าสงสาร คนรักกัน ฉันขอโทษ

ต้องทำอย่างไงเธอจึงจะยอมหายโกรธ
ต้องทำอย่างไงเธอจึงจะยกโทษให้ฉัน
อย่าทรมานโดยการไม่มองหน้ากัน
นึกว่าสงสาร คนรักกัน ฉันขอโทษ

ฉันขอโทษ....



เดียร์ไม่เคยคาดคิดว่าวายุ…


…จะทำอะไรแบบนี้


เพลงจบแล้ว….

เสียงกีตาร์หายไป..


บรรยากาศในร้านตอนนี้เงียบจนแทบได้ยินเสียงหายใจของทุกคนในร้าน

เดียร์ไม่สามารถหลบสายตาวายุได้อย่างที่อยากทำ

กีตาร์โปร่งบนตักของวายุถูกวางลงกับพื้น

วายุคว้า”ของขวัญ”ที่วางอยู่ข้างตัวติดมือมาด้วย

ร่างสูงค่อยๆสาวเท้าเข้าหาร่างเล็กที่ยืนค้างอยู่ที่ประตู

มือหนายกเจ้าสิ่งของที่มีโบว์สีแดงประดับอยู่ขึ้นมาตรงหน้า ยื่นให้ร่างเล็กรับไว้…

ตุ๊กตากวางเรนเดียร์ตัวใหญ่…คือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเดียร์

“ผมขอโทษ …หายโกรธผมนะครับ” วายุยื่นหน้าผ่านตุ๊กตา ส่งเสียงออดอ้อน เดียร์แทบไม่อยากจะเชื่อกับภาพที่เห็น

นี่คือวิธีง้อแฟนของวายุอย่างนั้นสินะ?!

เดียร์ยื่นมือไปรับตุ๊กตาอย่างเก้ๆกังๆ

ถามว่าอายไหม ตอบได้เลยว่ามาก

ถูกสายตาของคนทั้งร้านจับจ้องเป็นตาเดียว ประหนึ่งเหมือนกดดันให้เดียร์ยกโทษให้วายุแบบนี้

…แต่ถึงไม่มีสายตากดดัน  แล้วไหนจะวายุทำถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงเขาก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองงอนวายุได้นานหรอก

“นายนี่ไม่อายบ้างเลยหรือไง?!” เดียร์เอ็ดเบาๆ ใบหน้าเห่อร้อนไปหมด แล้วยิ่งรู้สึกร้อนกว่าเดิมเมื่อได้ยินสิ่งที่วายุเอ่ยตอบ

“ง้อเมียทั้งที จะต้องอายใครล่ะครับ”

เดียร์ไม่ปล่อยให้คนในร้านได้ยินสิ่งที่วายุพูดต่อไปอีกแล้ว

ร่างเล็กอุ้มตุ๊กตากวางเรนเดียร์ออกไปนอกร้าน วายุอมยิ้มน้อยๆกับท่าทางนั้น

เสียงโห่แซวของทุกคนที่เป็นสักขีพยานดังตามมา วายุไม่รอช้าก้าวเท้าตามร่างเล็กๆนั้นทันที

วายุก้าวยาวๆไม่กี่ก้าวก็ตามประชิดร่างเล็กได้ทัน

“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอครับ หื้ม?” วายุคว้าร่างเล็กมารวบไว้ในอ้อมกอด ไม่สนว่าเดียร์จะกอดตุ๊กตากวางเรนเดียร์ไว้แน่น

“จะโกรธนายรอบสองเพราะนายทำฉันอายนี่แหละ”

“ใจร้าย …” วายุแสร้งน้อยใจ  จุดยิ้มประดับบนใบหน้าคม

“ผมไม่สนว่าเดียร์จะมีสัมผัสพิเศษหรืออะไรก็ช่าง ถึงยังไงเดียร์ก็ยังเป็นเดียร์ของผมอยู่ดี” เสียงทุ้มเจือกระแสอ่อนโยน

เดียร์รู้สึกว่าใบหน้าตัวเองไม่ได้ลดอุณหภูมิลงเลย

เดียร์ไม่รู้ว่าเสียงตัวเองไปอยู่ในหมด ต้องใช้แรงกว่าจะเค้นออกมาได้

“นาย….อย่าชวนทะเลาะเรื่องนั้นอีกก็แล้วกัน”

“ครับ ไม่พูดถึงแล้ว”

วายุกอดกระชับแน่นขึ้น  ฝังจมูกโด่งลงกับกลุ่มผมนุ่ม

“ถึงเดียร์จะเห็นผีจริงๆ ผมก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่อย่าให้รู้ว่าไปกิ๊กกับผีละกัน ไม่อย่างนั้นล่ะน่าดู”

จบประโยค วายุได้ยินเสียงคนตัวเล็กหัวเราะเบาๆ

“นายหึงผีหรือไง?”

“หึงเดียร์สิ”  วายุต่อประโยคสวนกลับแทบทันที ผละออกมาจับจ้องดวงหน้าหวานใส

สอดประสานสายตา ถ่ายทอดทุกความรู้สึก …ความอ่อนโยน ความห่วงหา  ความรัก…


“เดียร์เป็นของผมคนเดียวนะครับ ที่รักของผม”





THE END






จบแล้วค่ะ ^////////////////////^
ขอบคุณเพลง I’m sorry  ของศิลปินวง AB NORMAL ด้วยค่ะ ^^
นี่แอมติดใจพี่ข้าวกับพี่ปิ่น ฮ่าๆๆๆ ถ้ามีโอกาสคงได้เขียนเรื่องราวของพี่ปิ่นกับพี่ข้าว
อ่านไปอ่านมารู้สึกว่าร้านพี่ล็อคนี่คล้ายฮาเร็มเลยแฮะ ฮ่าๆๆๆ
มีทั้งพี่ข้าว พี่ปิ่น ไหนจะน้องเดียร์ ดีที่ยังมีโต้งไว้อยู่คน

ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ
คอมเม้นกระตุ้นเนื้อเรื่องได้ดีจริงๆค่ะ ฮ่าๆๆ ได้อ่านคอมเม้นของทุกคนแล้วมีแรงเขียนน้องเดียร์ได้ต่อ
ขอบคุณทุกคนสำหรับการติดตามค่ะ ^-^


ฝากนิยายอีกสักเรื่องนะคะ ฮี่ๆๆๆ
กำลังแต่งอยู่เลย เขียนเรื่อยๆฮับ เรื่อง     Moonlight … แค่ทำงานกลางคืน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42839.0)
ฝากด้วยนะคะ ^^


ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ ^-^

 :pig4:

อัยแอม
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Elizabeth_TonnY ที่ 18-08-2014 13:55:46
เขิลลลลลล ได้ทุกตอนสิน่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-08-2014 19:16:49
ขอบคุณค่ะ 
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: hormonesyj ที่ 18-08-2014 19:55:44
ขอบคุณมากค่ะ
เดียร์น่ารัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Kire-i ที่ 24-08-2014 10:11:43
ตามมาจากขนมจีบซาลาเปา
แล้วก็จะตามในเรื่องต่อๆไป
ชอบมาก สนุกมากๆๆๆๆ

 เป็นกำลังใจให้นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: hormonesyj ที่ 25-08-2014 10:51:43
เดียร์เป็นของพี่คนเดียว  :กอด1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: My Dear... # นิยายเรื่องนี้มีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 27-08-2014 01:35:44
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 03-09-2015 01:24:38
ตอนเป็นวิญญาณนี้แอบเศร้านิดๆที่เดียร์ไม่พยายามเข้าใจวายุเลย ดื้อมากๆเลย แต่ก็มีช่วงหวานๆก็ยวนๆละนะ ตอนเป็นเเฟนกันเเล้วนี้น่ารักอ่ะ :m1: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 06-09-2015 04:45:58
วายุมันน่ารักกว่าที่คิดแฮะ 555555 นึกว่าจะเป็นคนกะล่อนซะอีก เราชอบตัวละครเรื่องนี้ทุกตัวเลย น่ารักดี ชอบเวลาแก็งพู่กันเดียร์อาโปอยู่ด้วยกันค่ะ เหมือนกำลังเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆหรือสมาคมแม่บ้านรวมตัวกัน 55555
หัวข้อ: Re: My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: Napa ที่ 17-01-2017 10:49:26
เดียร์  น่ารัก   :mew1:
หัวข้อ: Re: My Dear... Special Part 4 THE END (14/8/2557)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-01-2017 01:45:08
 :pig4: :pig4: :pig4: