พิมพ์หน้านี้ - ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: เดหลี ที่ 16-04-2014 04:02:05

หัวข้อ: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 16-04-2014 04:02:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 16-04-2014 04:15:43
บทที่ 1

โต๊ะไม้ใต้ต้นหูกวางต้นหนึ่งในคณะแพทยศาสตร์กลายเป็นสถานที่นัดพบอย่างปัจจุบันทันด่วนของกลุ่มเพื่อนที่แทบเรียกได้ว่าแตกฉานซ่านเซ็นหลังวิชาเวชศาสตร์ชุมชน เนื่องจากแยกย้ายขึ้นวอร์ดหลักคนละวอร์ด ถึงจะเริ่มชีวิตการเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสี่ได้ไม่นาน แต่ในความรู้สึกของคนที่ต้องปรับตัวกับการเรียนที่ต่างออกไปและความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น ก็เหมือนเวลาเลยผ่านเป็นกัปกัลป์ทีเดียวหลังการปฐมนิเทศขึ้นปีแรกของชั้นคลินิก

แต่เย็นนี้ทุกคนต่างปลอดเวรกันโดยมิได้นัดหมาย ถือเป็นฤกษ์งามยามดี นัดกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที

คนมาถึงเป็นคนแรกถอดเสื้อตัวยาวชั้นนอกออกพับใส่ในกระเป๋าแล้วจึงนั่งลง เคาะนิ้วกับโต๊ะ มองไปรอบๆ จำแนกเพื่อนร่วมรุ่นได้ว่าคนใดไม่มีเวร พวกเขาเหล่านั้นจะมีเวลาเดินเอื่อยช้า หยุดพูดหยุดคุยได้บ้าง ต่างจากพวกที่รีบไปขึ้นเวร สาวเท้าเร็ว สีหน้าเคร่งเครียด เพราะไม่รู้ว่าจะเจอเข้ากับอะไรในช่วงเวลาอีกหลายชั่วโมงข้างหน้า

ปีนี้ จะว่าไปก็เป็นปีสุดท้ายของนักศึกษาหลายๆ คนที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนสมัยมัธยมของเขาก็เริ่มคุยเรื่องมองหางานกันแล้ว แต่สำหรับนักศึกษาแพทย์ปีสี่ ถือว่าเพิ่งมาได้ครึ่งทางเท่านั้นเอง

แต่คนเราย่อมมีเวลาของทางเดินชีวิตที่แตกต่างกัน และรักษิตคิดว่า... เขาเลือกเดินมาทางนี้แล้ว

หวนนึกไปถึงโอวาทของคณบดีขณะปฐมนิเทศเมื่อเขาเพิ่งขึ้นปีสอง มีถ้อยคำที่ยังจำได้ขึ้นใจ

‘ขอให้พวกคุณพยายามกันจนเต็มความสามารถ พวกผมก็จะสอนกันสุดความสามารถ ทำอะไรคิดเสมอว่า... มีคนเขาฝากชีวิตไว้ในมือพวกคุณ’

... ห้องประชุมครื้นเครงขึ้นเมื่ออาจารย์เปรยต่อว่า พอแก่ตัวลงก็ต้องฝากผีฝากไข้กับ ‘หมอเด็ก’ น้องๆ เหล่านี้เหมือนกัน อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้มีโอกาสอบรมบ่มเพาะหมอที่จะมารักษาตัวเองในอนาคตไปก่อน

เขาเก็บโอวาทของอาจารย์ไว้เตือนตัวเอง ในบางวันที่เหนื่อยและท้อ เหนื่อยกับการสอบที่เหมือนจะมีไม่หยุดหย่อนและความรู้สึกที่ต้องแข่งขันตลอดเวลา อย่างน้อยก็กับตัวเอง... ท้อกับหนังสือตั้งโตที่ต้องเตรียมตัวอ่านในขณะเพื่อนๆ ที่เข้าเรียนคณะอื่นดูจะได้ปิดเทอมนานกว่า

เวลานี้... สิ่งเหล่านั้นไม่บั่นทอนจิตใจอีกต่อไป อาจจะเคยมี เพียงช่วงระยะสั้นๆ 

แต่รักษิตเรียนรู้นานแล้วว่า... การเปรียบเทียบย่อมทำให้ทุกข์ของตัวเองดูหนักหนากว่าที่เป็นเสมอ

เขาเงยหน้าขึ้นเห็นเพื่อนที่นัดกันไว้โบกมือมาจากระยะไกลพอดี ศิวัชเดินถึงโต๊ะ กวาดตามองยังไม่เห็นที่เหลืออีกสองคนก็ว่า “พวกผู้หญิงยังไม่มาอีก ช้า”

รักษิตกลั้นยิ้มเมื่อคนพูดถูกสมุดม้วนฟาดเข้าให้ที่กลางหลังอย่างถนัดถนี่โดยผู้ถูกพาดพิงซึ่งเดินตามมาอย่างกระชั้นชิดพร้อมเสียงเอ็ดไม่จริงจังนัก “ตี๋ ว่าใครช้า”

ศิวัชหุบปากสนิท เพราะรู้กันดีว่าการลงจากวอร์ด แม้กระทั่งวันที่ไม่ต้องขึ้นเวรนั้นจะช้าเร็วขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายประการไม่ว่าจะเป็นพี่แพทย์ประจำบ้านที่รู้จักกันในนามพี่เดนท์ ย่อมาจากเรสิเดนท์ พี่ปีหกหรือเอ็กซ์เทิร์น อาจารย์ งานวอร์ดยิบย่อยอื่นๆ หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมวอร์ดก็มีส่วนทั้งสิ้น
 
... อย่าว่าแต่ศิวัชไม่กล้า ‘หือ’ กับญาดาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นเพื่อนได้แต่ยิ้มเรี่ยราด รักษิตจึงตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยเปลี่ยนเรื่องไปเสีย

“สูติฯ วันนี้เป็นไงมั่งนิ้ง”

“เพิ่งเชียร์คลอดมาอีก... ยิ่งกว่าเชียร์วอลเลย์บอลหญิง เหงื่อนี้ไหลเป็นน้ำเลยจ้า แต่ก็ดีนิ้งเก็บเกือบครบแล้ว ที่เหลือถือว่าเป็นโบนัส” ญาดาหัวเราะ

... ทั้งศิวัชและรักษิตถามรายละเอียดต่อไปกันอย่างสนใจอยู่อีกครู่หนึ่ง เพราะกับสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยานั้นทั้งคู่ก็ยังไม่เคยขึ้น แถมเป็นเรื่องที่ออกจะไม่คุ้นเสียด้วย จนญาดาเอ่ยขึ้นมาว่า

“เอ้อ้วนไปไหนตี๋... ไม่ได้ลงมาพร้อมกันหรือ”

ผู้ถูกเอ่ยถึงคือรูมเมตของศิวัช และตอนนี้ยังอยู่วอร์ดศัลยกรรมสายเดียวกันเสียอีก ปะเหมาะเคราะห์ดีถ้าเจอ ก็มักจะได้รับคำชักชวนให้กินข้าวด้วยกัน

เอ้อ้วนย่อมไม่ได้ชื่อเอ้อ้วนมาตั้งแต่เกิด ชื่อเอ้เฉยๆ ได้รับคำขยายเมื่อเจ้าตัวสอบเข้าเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ และพบว่า ในจำนวนเพื่อนร่วมรุ่นทั้งสองร้อยกว่าคนนั้น มีเอ้ซ้ำกันขึ้นมาอีกคน

เมื่อมีสองเอ้ เอ้ผู้มีมวลร่างกายมากกว่าจึงกลายเป็น 'เอ้อ้วน' แม้เอ้แรกจะขอซิ่วตัวเองออกไปอยู่วิศวกรรมศาสตร์ ทำให้เหลือเพียงเอ้เดียวในคณะ แต่เอ้อ้วน (นามจริงนศพ. อนันต์) ก็ยังเป็นเอ้อ้วนจนถึงทุกวันนี้ เนื่องด้วยเพื่อนเรียกจนชินปาก และเพราะขนาดตัวมิได้เล็กลงกว่าเดิมแต่อย่างใด

“แยกกันเมื่อกี้ รีบไปหาข้าวกินเพราะวันนี้ต้องขึ้นเวร” ศิวัชตอบ “พูดถึงก็สงสารมันเหมือนกันนะเนี่ย เมื่อเช้าเพิ่งโดนพี่ดุ เย็นมายังมีเวรอีก”

เรื่อง ‘พี่ดุ’ เป็นเรื่องต้องขยาย เพราะทักษะการดำรงชีวิตให้อยู่รอดบนวอร์ดรวมความรู้รอบเกี่ยวกับผู้อาจมีอิทธิพลต่อการผ่านวอร์ดนั้นไปให้ได้เช่นพี่และอาจารย์... จึงช่วยไม่ได้ที่ต้องถือความพลาดของเพื่อนเป็นครู 

ศิวัชขยายความต่อว่า ขึ้นไปทำแผลตอนเช้าตามปกติของวอร์ดศัลยกรรม แต่นักศึกษาแพทย์อนันต์เกิดความยุ่งยากกับคนไข้หญิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ปัญหาคือ ป้ามีแผลที่นิ้วเท้าอันเป็นภาวะแทรกซ้อนเนื่องมาจากเบาหวาน แต่กลับไม่ยอมให้นักศึกษาแพทย์แตะ ต่อต้านท่าเดียว

พยาบาลเวรไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มาก ขณะนั้นเป็นเวลาตีห้าครึ่ง แพทย์ประจำบ้านทั้งหลายคงมาถึงประมาณหกโมงเพื่อดูความเรียบร้อยให้เสร็จทันก่อนอาจารย์จะขึ้นมาสักเจ็ดโมงกว่าๆ เอ็กซ์เทิร์นก็ยุ่งกับงานอยู่อีกฟากหนึ่ง นักศึกษาแพทย์อนันต์เริ่มจนปัญญา และจึงพยายามอธิบายผลเสียของการไม่ยอมทำแผลให้ป้าฟัง

ศิวัชผู้วุ่นวายกับแผลกดทับจำนวนมากอยู่ที่เตียงข้างๆ ได้ยินเพื่อนโน้มน้าวว่า หากแผลติดเชื้อลุกลามก็มีโอกาสสูงที่จะต้องตัดนิ้ว เท้า หรือแม้แต่ขาได้ การที่ป้าต้องอยู่โรงพยาบาลก็เพราะแผลกว้างตั้งเกือบสี่เซนติเมตรและลึกไม่น้อย ไม่สามารถจะรักษาแบบผู้ป่วยนอก ศิวัชฟังไปฟังมา รู้สึกว่าเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่น่าคัดค้านแต่อย่างใด

พอทำแผลกดทับเตียงข้างๆ เสร็จ กะว่าจะมาช่วย ก็ได้ยินเสียงเพื่อนข้างหลังกระซิบกระซาบกันขึ้นว่า ‘พี่มา’

“ดูนาฬิกา ก็คิดว่ามาเร็ว... แต่ไม่ใช่พี่สายเรานะ ไม่เคยเห็นแถววอร์ด” คนเล่าพูดต่อ “พี่มาที่เตียงปุ๊บ บอกเอ้อ้วนว่า เดี๋ยวขอคุยด้วย แต่ที่สำคัญคือ พอเห็นหน้าพี่เขา ป้ายอมให้ทำแผลเฉย...”

“อ้าว” ญาดาร้องอย่างผิดคาด “ลงนะหน้าทอง คาถาเมตตามหานิยมวัดไหน ป้าหลงเสน่ห์เลยเรอะ”

“ถ้ามีจริงก็ดี คนไข้จะได้ไม่งอแงใส่” ศิวัชว่าพลางหัวเราะ “ไม่ใช่อะไรหรอก คนไข้เก่าพี่เขานั่นแหละ”

ถึงจะเป็นคนไข้เก่า เคยคุ้นหน้าคุ้นตาจนไว้ใจหมอมาแล้วถึงได้ยอม แต่รักษิตคิดว่า ย้อนกลับไปคราวแรก กว่าคนไข้ที่แสดงฤทธิ์เดชดื้อเสียขนาดนี้จะยอมวางใจ ก็ต้องให้เครดิตหมอสักหน่อยเหมือนกัน

“คราวนี้พี่เขาก็ทำแผลไป คือทุกอย่างโคตรสมาร์ท" คราวนี้ศิวัชชมจริงใจ “คนอื่นมามุงดูกันหมด”

ความ ‘สมาร์ท’ เป็นสิ่งที่นักศึกษาแพทย์ย่อมอยากบรรลุถึง แม้จะหาคำจำกัดความยากว่าคืออะไรแน่ แต่ถ้าเห็นก็มักจะบอกออกมาได้เอง ทั้งเหล่าอาจารย์แพทย์หรือรุ่นพี่ที่ได้รับเสียงชื่นชมว่า ‘สมาร์ท’ และคำตักเตือนว่า โน่นไม่สมาร์ท นี่ไม่สมาร์ท

... หมออย่ายืนตัวงอคุยกับคนไข้ อย่าก้มหน้าก้มตาจดงุดๆ เอ้า ถามแล้วก็รายงานดีๆ อย่ายุกยิกสิหมอ... ซึ่งถ้าไม่นับเรื่องแต่งตัวให้เรียบร้อยหรืออะไรทำนองนั้น ก็คงรวมลักษณาการฉะฉานมั่นใจในองค์ความรู้เอาไว้ด้วย ส่วนด้านฝีมือหัตถการอย่างทำแผลที่ศิวัชเอ่ยถึง คนฟังก็เข้าใจตรงกันว่าน่าจะรวดเร็วเรียบร้อยอย่างชำนาญดี ไม่มีเงอะงะให้เห็น

“พอคนไข้ไม่อยากมองหมอเลยบอกว่า... คุณป้าเลือกมองหน้านศพ. คนไหนก็ได้ครับที่คิดว่าตลกที่สุด"

ศิวัชชี้ตัวเอง รักษิตหัวเราะ หน้าตี๋ๆ ขาวๆ กลมแป้นของเพื่อนมองไปแล้วก็คล้ายแป๊ะยิ้ม ได้อุทิศให้คนไข้มองคลายเครียดระหว่างทำแผลก็ดีไปอย่าง

“... พี่เขาก็บอกป้าว่า ตอนนี้ป้าอยู่ในศัลย์มีแต่หมอเก่งๆ เดี๋ยวถ้าหมอคนอื่นมา หรือน้องๆ นักศึกษาแพทย์พวกนี้เขาอยากจะดูแล ป้าให้ทำนะ... แต่ป้าว่า ป้าไว้ใจหมอ อยากให้หมอพิธานดู”

“... พิธาน...” รักษิตพึมพำ พลางนึกว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนหรือเปล่า

คนไข้บางคน เวลาเจอหมอแล้วรู้จักคุ้นเคยในฐานะ ‘หมอของเรา’ บางทีก็อยากจะเจอแต่คนนั้น ซึ่งก็ว่าไม่ได้ เป็นเรื่องของจิตใจด้วยส่วนหนึ่ง

“พี่เขาเลยว่า หมอน่ะทำงานเป็นทีม... คราวที่แล้วก่อนเจอหมอ ป้าก็เจออาจารย์ของหมอมาก่อนเหมือนกันนี่นา ถ้าป้าให้รุ่นพี่รุ่นน้องของหมอช่วยกันดู หมอก็สัญญาว่าจะขออาจารย์มาดูป้าด้วยจนกว่าจะดีขึ้น”

“ก็ไม่เห็นดุอะไรนี่” ญาดาผู้รอฟังอยู่นานว่า “หรือแกหน้าดุ? คนหน้าดุพูดเฉยๆ บางทีเรายังรู้สึกเหมือนโดนด่า”

รักษิตคิดว่าเพื่อนคงอิงเอาจากในวอร์ดของตัวเองนั่นแหละ ศิวัชโบกไม้โบกมือเอ่ยต่อ

“ยัง เดี๋ยวก่อนสิ... ส่วนเรื่องหน้าตา ก็... หน้าตานิ่งๆ นะ ไม่ถึงกับบึ้ง แต่ก็ทำหน้าเฉยๆ ตลอด ไม่รู้ป้าติดใจตรงไหน”

คนไข้มักจะชอบหมอที่ยิ้มแย้มและรับฟัง ถ้าให้ความรู้สึกว่าตามใจ (ทั้งๆ ที่จริงๆ อาจจะใช่หรือไม่ก็ได้) ยิ่งชอบใหญ่

“ทำแผลเสร็จ พี่สอนจับชีพจรหลังเท้ากับที่หลังข้อเท้าอีกที พอพวกที่มุงๆ ไปแล้ว พี่ก็บอกเอ้อ้วน...” คราวนี้คนเล่ายืดหลังตรง ตีหน้าเคร่งเป็นการเลียนแบบรุ่นพี่ “’เราอยากให้คนไข้ดีขึ้น คนไข้ก็อยากดีขึ้นเหมือนกัน ต้องบอกว่าถ้าทำแล้วดียังไง ไม่ใช่ไม่ทำ แล้วแย่ยังไง คนไข้เขามีความกังวลมากอยู่แล้ว ยิ่งไปเพิ่มความกังวล... ก็ยิ่งไม่อยากร่วมมือ’”   

“มันก็...” รักษิตกำลังจะเห็นด้วยกับญาดาว่าไม่เชิงใช่ดุ เรียกว่าอบรมอาจจะได้ แต่พอมาคิดดูแล้วในความรู้สึกของคนฟังในเวลานั้น คำพูดของรุ่นพี่คงไม่สามารถให้อารมณ์อื่นนอกจาก ‘ถูกดุ’ อยู่ดี

"ไม่ได้ขึ้นเสียงอะไรมากมายหรอก พูดเฉยๆ เฉยเหมือนหน้าเขานี่แหละ แต่ไอ้เอ้อ้วนนี้ ซีดแล้วซีดอีก ใครไม่โดนกับตัวไม่รู้... ไม่อยากจะนึกตอนไม่พอใจอะไรมากกว่านั้น เสร็จแล้วเขาก็ไป พี่เดนท์หนึ่งเรายังไม่ขึ้นมาเลย" ศิวัชหมายถึงแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ปีหนึ่งซึ่งปกติดูแลงานน้องให้เรียบร้อยและสั่งการรักษาเบื้องต้นก่อนอาจารย์จะมา “เอ้อ้วนมันก็เช็ดเหงื่อสิ แตกพลั่ก... แต่ป้าแกฟังพี่จริงๆ นั่นละ”

“ดีแล้วไง จะได้หาย” ญาดาว่า “บางทีคนไข้เหมือนรู้เรื่องแต่เจอกันอีกทีบอกหมอไม่เคยพูดนี้มึนเลย ไม่ได้มีปัญหาความจำด้วยนะ”

เพื่อนคนสุดท้ายในกลุ่มเดินมาถึงในตอนนั้น เป็นอันครบองค์สี่ที่เริ่มกลมเกลียวตั้งแต่อยู่โต๊ะอาจารย์ใหญ่เดียวกันในแล็บกรอสของมหกายวิภาคปีสอง ขึ้นไปทวนมืดๆ บรรยากาศวังเวงจนสนิทไปเอง กระทั่งลงเวชศาสตร์ชุมชนพื้นที่เดียวกันอีกเมื่อไม่นานมานี้

ต่อเมื่อเข้ามาใกล้จึงได้เห็นว่าที่มือยังพันผ้าพันแผลสีขาวเอาไว้ด้วย สามคนที่นั่งอยู่ก่อนต่างถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนได้คำตอบสั้น “โดนกัด”

เกตุวดีนั้นประจำวอร์ดกุมารเวชศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าละเอียดจัดและจึงไม่มีทางปล่อยเร็วอยู่แล้ว แต่เพื่อนๆ ก็ไม่คิดว่าที่ช้าสุดนี่ไม่ใช่เนื่องมาจากมหกรรมราวนด์เย็นตามธรรมดา เพราะอุบัติเหตุวิชาชีพต่างหาก

"เลือดปรี๊ด... เราร้องเด็กร้อง พ่อแม่เด็กก็ร้อง..." คนเล่าส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “กัดแล้วสะบัดด้วยนะ อาจารย์ต้องมาช่วยแยก คุยกับพ่อแม่เรื่องพฤติกรรม แต่พ่อแม่ก็ยืนยันว่าลูกไม่เคยกัดใครเพิ่งจะมากัด ‘พี่หมอ’ คนนี้แหละ เฮ้อ”

... หลังจากนั้นนักศึกษาแพทย์เกตุวดีต้องไปฉีดยากันบาดทะยัก ยาปฏิชีวนะ ล้างทำแผลตามระเบียบ ให้รุ่นพี่และนางพยาบาลรู้จักทักจนทั่วว่า 'อ้อ คนนี้เองที่โดนกัด' 

เพื่อนๆ ยังซักต่อไปอีกด้วยความเป็นห่วง จนเจ้าตัวต้องพูด “ไม่เป็นไรแล้วล่ะน่า เล่ามาดีกว่าเมื่อกี้คุยอะไรกันอยู่”

เรื่อง ‘พี่ดุ’ จึงถูกถ่ายทอดอีกครั้ง เกตุวดีฟังแล้วก็ว่า

“เดี๋ยว... หมอพิธานนี่อยู่ออร์โธนะไม่ใช่ศัลย์ เคยได้ยินพี่เกี้ยวพูดถึงอยู่ เป็นรุ่นน้องพี่เกี้ยว”

ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ที่เกี่ยวข้องกับกระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ เอ็น เส้นประสาทนั้นนักศึกษาแพทย์ปีสี่ยังไม่ได้เข้าไปสัมผัสโดยตรง แม้จะเรียนรู้เบื้องต้นกันมาบ้าง กรองพรหรือ ‘พี่เกี้ยว’ พี่สาวของเกตุวดีตอนนี้ก็กลับมาเรียนต่อเป็นแพทย์ประจำบ้านออร์โธปิดิกส์อยู่เหมือนกัน

“อ้าว แล้วมาทำอะไรตรงศัลย์” ศิวัชโพล่งขึ้น พลางนึกไปว่าเพื่อนเอ้นั้นจะถึงคราวซวยฟรีหรือไม่

“ไม่แปลก ปีแรกเดนท์ออร์โธไปเวียนอยู่ที่ศัลย์ ตี๋ก็เล่าว่าป้าเป็นคนไข้เก่าพี่เขาไม่ใช่เหรอ แสดงว่าพี่เขาคงขออาจารย์กลับไปดูบ้างได้แหละ” เกตุวดีผู้เป็นประหนึ่งสารานุกรมของกลุ่มยังคงมีคำตอบให้กับทุกเรื่องเหมือนเคย “แต่คงไม่ไปบ่อยหรอก ขึ้นปีสองแล้วออร์โธยุ่งจะตาย ตอนพี่เกี้ยวอยู่ปีสองบ่นทุกวัน”

“พี่เกี้ยวปีสามแล้วไม่บ่นเหรอ” ญาดาเย้า

“บ่นหนักกว่าเดิมสิไม่ว่า” เกตุวดีตอบพลางหัวเราะ 

กรองพรยังเคยพาเพื่อนๆ ที่สนิทของน้องไปเลี้ยงเมื่อสอบใหญ่ครั้งจบปีสามผ่านไป ศิวัชผู้เชื่อฝังหัวว่าแพทย์หญิงที่เลือกต่อเฉพาะทางออร์โธปิดิกส์จะต้องมีลักษณะอันอนุมานเอาได้ว่า ‘แรงเยอะ’ อยู่ในตัวถึงกับนั่งนิ่งอย่างอัศจรรย์ใจ เพราะพี่เกี้ยวที่เจอก็ไม่ได้สูงใหญ่ล่ำ กล้ามเป็นมัดๆ อะไรทำนองนั้น ออกจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กกว่ามาตรฐาน ดูเด็กกว่าอายุ ซ้ำยังคุยเรื่อง ‘สาวๆ’ กับญาดาระหว่างรออาหารอย่างออกรสออกชาติ ด้วยเหตุว่าน้องตัวเองไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ซื้อของหรือว่าเครื่องสำอางเสื้อผ้าสักเท่าไร
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 16-04-2014 04:20:10

บทที่ 1 (ต่อ)

เมื่อเกตุวดีขอตัวไปเข้าห้องน้ำ กรองพรจึงได้หันมาถามยิ้มๆ

'มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะน้องตี๋'

ศิวัชอึกอักอยู่ครู่ จนญาดาที่นั่งข้างกันถองเบาๆ ค่อยโพล่งออกไป 

'... คือผมคิดว่าพี่เกี้ยวไม่เหมือนอยู่ออร์โธเลยครับ'

'แล้วหมอออร์โธต้องเป็นไง' รุ่นพี่ถามกลับพลางหัวเราะ ‘เห็นยังงี้พี่ทำได้หมดนะ ตั้งแต่ยกขาคนไข้ยันผ่าดามเหล็กยึดสกรู ความถึกมันอยู่ในอินเนอร์จ้ะ'

แต่กรองพรก็เล่าให้ฟังต่อว่า ยังมีคนไข้ประเภทลุงหัวเก่าบางคนที่มีปัญหา เพราะ ‘หมอเป็นผู้หญิง’ หรือ ‘หมอยังเด็ก’ หลายกรณีต้องพิสูจน์กัน หลายครั้งที่กรองพรต้องย้ำ ‘หมอนี่แหละค่ะที่ผ่าขาลุง’ รักษิตที่นั่งฟังอยู่ยังคิด แล้วจริงๆ หมอต้องเป็นยังไง? ก่อนเรียนต่อเฉพาะทาง ตามความรับรู้ทั่วไปของคน หมอก็ควรจะดูคงแก่เรียน มาพร้อมกับแว่นและจมูกจมอยู่ในหนังสือตลอดเวลา แต่ที่เขาเห็นอยู่ปีแล้วปีเล่าก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ยังบอกไม่ได้ว่าคนเรียนแพทย์ควรต้องมีหน้าตาท่าทางเฉพาะอย่างไร พอมาเป็นแพทย์ประจำบ้านแล้ว ก็ไม่วายถูกจัดเข้าประเภทอีก

อย่างกรองพร อาจจะมีคนทายว่าเรียนผิวหนังหรือตา อย่างที่หมอสาวๆ จำนวนมากเลือก เธออาจจะไม่มีปัญหากับคนไข้ในแผนกโรคผิวหนังหรือจักษุเพราะเป็นผู้หญิงก็ได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่างานในแผนกใดหนักเบากว่ากัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลักษณะภายนอกเป็นสิ่งที่คนเราเห็นกันก่อน และหลายครั้ง ใช้ตัดสินกันก่อน

เขาหยุดห้วงความคิดไว้เพียงนั้นเมื่อศิวัชเอ่ยขึ้นว่าในเมื่อสมาชิกมากันครบพร้อมแล้ว ก็ควรยกขบวนไปกินข้าวได้เสียที รักษิตเดินตีคู่ไปกับญาดา ผู้อยากจะรู้ว่าวันแรกๆ ในการขึ้นวอร์ดอายุกรรมของเขาเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ตอบว่า

"ดีแหละ... ดีทั้งสาย เอ็กซ์เทิร์นก็ดี พี่เดนท์ก็เก่ง เพื่อนในวอร์ดก็...”   
   
แต่เพื่อนย่นจมูกแล้วขัด “มันไม่มีน่ะษิต ดีหมดยังงั้น... ไหนเล่าวันนี้ซิ”

รักษิตอดขำความระแวงระวังของเพื่อนไม่ได้ ในเมื่อก็เจอพี่ เจออาจารย์ตามปกติ จนถึงได้เคสในความรับผิดชอบที่เพื่อนในวอร์ดจัดสรรกันก่อนไปรับคนไข้ใหม่ ซึ่งเขาละไว้ว่าประวัติที่ได้แบ่งมานั้นหนาปึก คนไข้นอนโรงพยาบาลนานเชียว อ่านกันอุตลุดแน่ แต่ญาดาร้องขึ้นเสียก่อน

"เดี๋ยว... ปกติมันควรจะไปพร้อมกันแล้วค่อยแบ่งไม่ใช่หรือ ษิตก็ไม่ได้ไปสายนี่"

บางทีอาจารย์หรือแพทย์ประจำบ้านอาจจะมาช่วยแบ่งให้ แต่บางทีอีกเหมือนกันที่นักศึกษาแพทย์แบ่งกันเองก่อนคนไข้ใหม่จะเข้ามาโดยพี่ดูแลอีกที เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปรับคนไข้มากระจายกันอยู่แล้ว

"ก็ไปตรงเวลา” เขาตอบ “... หมายถึงก่อนพี่นัด แต่นีน่าเขาบอกว่าดูกันเสร็จไปแล้ว ก็ไม่เป็น..."

"ใครนะ" เพื่อนขัดขึ้นอีก "ไม่เห็นคุ้น คณะเรามีคนชื่อนี้ด้วยเหรอ จำไม่ได้ว่ามีลูกครึ่งเข้ามา"

"ไม่ใช่ลูกครึ่ง... ที่ขาวๆ ผมยาวๆ เป็นคนถือป้ายคณะตอนกีฬาเฟรชชี่ด้วยไง แล้วก็เป็นนางนพมาศของมหาวิทยาลัย"

"อ๋อ" คนฟังเพิ่งถึงบางอ้อ "ยายเง็ก ทัศนีย์"

"... เขาให้เรียกนีน่า"

"นีน่าอะไรกั๊น!" ญาดาหัวเราะลั่น "ยายเง็กนี่เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ย้ายโรงเรียนไปเสียได้ตอนมอสี่ มาเจอที่คณะเดียวกันอีก ปีหนึ่งยังชื่อเง็ก ขึ้นชั้นคลินิก จะเป็นหมอนีน่า! โอยตาย"

รักษิตเพียงแต่ยิ้ม เพราะไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ในการเปลี่ยนชื่อเรียกอย่างที่เพื่อนในวอร์ดต้องการ ญาดากับทัศนีย์อาจจะเคยมีประเด็นอะไรตามประสาเพื่อนสมัยเด็กที่รู้จักกันมาก่อน แต่เขาคิดว่ามันน่าจะผ่านไปนานแล้ว

"ษิตอย่าไปยอมพวกยายเง็ก" เพื่อนยังว่า "แหม เสียดายนิ้งไม่ได้ขึ้นด้วย ไม่งั้น..."

คราวนี้รักษิตหลุดหัวเราะ ส่ายศีรษะน้อยๆ กับท่าทางหมายมั่นปั้นมือของเพื่อน ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อตอนปีหนึ่งก็ยังไม่เปลี่ยน เป็นญาดาขาลุยแต่ไหนแต่ไร ก่อนตอบอย่างไม่ต้องการให้เรื่องยาวมากไปกว่านี้

"ไม่เป็นไรหรอกนิ้ง เห็นเขาแบ่งกันแล้ว เราไงก็ได้"

"โถ่... เดี๋ยวพอมีเคสใหม่มานะ ก็ดันให้ษิตรับอีกเพราะจะบอกว่าของตัวน่ะเพิ่งขึ้นวอร์ด ไม่เหมือนของษิตที่มีแผนการรักษาอยู่แล้ว" ญาดาว่าเป็นฉาก "คอยดูสิ ชีวิตในวอร์ดมันจะดีไปได้ยังไง้ถ้าเพื่อนร่วมวอร์ดไม่ดี”

“ไม่ใช่ไม่ดี” รักษิตแก้ แต่ญาดาจะฟังเขาก็หาไม่ เอ่ยต่อไปทันที

“ไอ้แบบแย่งรับเคสจะตรวจทุกอย่างในโลกนี้นี่ยังพอทน เข้าใจว่าถือคะแนนเป็นสรณะ ยังไงคนไข้ก็เข้าเรื่อยๆ อยู่แล้วไม่เดือดร้อนจนคนอื่นไม่ได้ทำเท่าไหร่ แต่พวกเกี่ยงงาน ถือเผด็จการพวกมากเข้าไว้นะบอกเลย สะเทือนอารมณ์ทางแพทย์มาก”

ในเมื่อคนฟังยังหัวเราะเฉยไม่ต่อความด้วย ญาดาจึงได้แต่ว่า “นิ้งเตือนแล้วนะษิต ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว แต่นิ้งเห็นลางตั้งแต่เอาเคสไปแบ่งกันกับพวกเพื่อนตัวเองก่อนละ”

ศิวัชกับเกตุวดีที่เดินล่วงหน้าไปก่อนหันมากวักมือเรียก ทั้งคู่จึงเร่งฝีเท้าตามไป เมื่อทันก็คุยกันเรื่องอื่นโดยไม่วกมาวอร์ดอายุรกรรมอีก


... การขึ้นชั้นคลินิกทำให้ต้องปฏิบัติงานในวอร์ดแต่เช้าตรู่ก็จริง แต่รักษิตยังพยายามจะกลับไปค้างที่บ้านหากมีโอกาส เนื่องเพราะเหลือมารดาเพียงคนเดียว

ถึงมีคนช่วยงานแวดล้อม แต่เขารู้ดีว่าไม่เหมือนลูกชาย

ด้วยภาระบริหารที่มีมากมาย บางทีก็ติดงานสังคม ทำให้แม่มักจะกลับถึงบ้านเมื่อเวลามื้อเย็นล่วงไปนานแล้ว รักษิตนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ได้กินข้าวกับแม่

... เมื่อไรกันนะ

เขาเดินเข้าบ้านช้าๆ ผ่านห้องทำงาน คิดว่าแม่อาจจะยังอยู่ในนั้น เพราะบ่อยครั้งที่คุณตรีรัตน์ทำงานจนดึกดื่นค่อนคืน แต่กลับได้ยินเสียงคุยกันเบาๆ บ่งบอกว่า มีคนสองคนในห้องทำงาน

บทสนทนาแผ่วเบาจนจับใจความไม่ได้ แต่บางครั้งกลับดังขึ้นเหมือนมีข้อคิดเห็นที่ขัดแย้ง แล้วกลับเบาลงอีก

รักษิตถอยออกมาเมื่อจำเสียงอีกเสียงที่ไม่ใช่ของแม่ได้ ตัดสินใจออกไปที่โถงหน้าบ้าน รอจนกว่าทั้งสองคนจะเสร็จธุระ

ร่างสูงที่โผล่พ้นประตูบานใหญ่ออกมานั้นคุ้นตาเขาเป็นอย่างดี รักษิตลุกขึ้นยืน เห็นอีกฝ่ายยกมือลูบหน้าอย่างเหนื่อยล้า แต่เมื่อเห็นเขา กลับปรากฎรอยยิ้มขึ้นบางเบา ทักว่า

“นอนบ้านหรือวันนี้”

รักษิตพยักหน้า นึกรู้ว่าคงเพิ่งคุยงานกับคุณตรีรัตน์เสร็จ เรื่องงานต่างๆ ที่เขาไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแบ่งเบาได้ในเวลานี้ เพราะทั้งคนตรงหน้าและผู้เป็นมารดาเองบอกตรงกัน ‘ษิตต้องเรียนให้จบก่อน’

รอยยิ้มน้อยๆ ยังไม่จางเมื่อคนพูดเอ่ย “วันนี้เป็นไงบ้าง เล่าให้พี่ฟังหน่อย” 

พี่ลภมีเวลาให้เขา เสมอ...

รักษิตพูดเรื่องวอร์ดตัวเองแต่เพียงย่อๆ ในความเห็นของเขาเรื่องที่ญาดาห่วงเผื่อแผ่มาให้นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขายังคิดว่าเพื่อนในวอร์ดอย่างไรต่อไปต้องเป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพ หนักนิดเบาหน่อยควรจะคุยกันได้ ดังนั้นที่เหลือเล่าจึงเป็นเรื่องเพื่อนโดน ‘ดุ’ ในวอร์ดศัลยกรรมล้วนๆ   

คนฟังกลับนิ่งไปนาน ก่อนถาม

"หมอคนนั้น... ชื่ออะไรนะ"

"... พิธาน ถิรบรรณ" รักษิตว่าตามเพื่อนตี๋ที่จำมาแม่นทั้งชื่อนามสกุล ตอนกินข้าวกันยังพูด บอกให้เพื่อนอีกสามคนจำด้วยไว้ภาวนาไม่ให้ต้องเจอตอนเป็นเอ็กซ์เทิร์น เพราะขณะนี้ศิวัชมีความเชื่อฝังหัวอย่างใหม่นั่นคือ หมอพิธานต้องประเมินนักศึกษาแพทย์ได้โหดอย่างที่สุด

“เจอแป๊บๆ แค่นี้ยังโหดแล้วเลย” เขาว่าพลางหัวเราะ

ความเงียบเกิดขึ้นอีก จนรักษิตขยับจะถาม แต่คนที่นิ่งไปกลับพูดขึ้น

"ธานเขาไม่โหดหรอก... แค่เป็นคนเอาจริงเอาจัง"

"พี่ลภพูดเหมือนรู้จัก"

ประโยคนั้นจุดรอยยิ้มบางขึ้นได้อีกครั้ง สายตาคนนั่งตรงข้ามทอดไปไกล คำนึงถึงบางอย่าง... ที่นายแพทย์ลภคงรู้เพียงคนเดียว

"เขาเคยเป็นรุ่นน้องพี่"     

“แต่เห็นเกดบอกว่าพี่เกี้ยวก็ชม” รักษิตเล่าต่อ เพราะในโต๊ะกินข้าว ญาดาเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าที่กรองพรเคยพูดถึงหมอพิธานผู้ทำให้ชีวิตนักศึกษาแพทย์อนันต์ลำบากนั้นเป็นไปในทางใด “... ตั้งใจทำงาน คงจริงจังอย่างพี่ลภว่า”

“เกี้ยวก็อยู่ด้วยหรือ”

“พี่เกี้ยวเป็นพี่สาวเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มน่ะครับ เป็นเดนท์ออร์โธปีสามแล้ว พี่ลภรู้จักเหรอ”

“รุ่นน้องพี่เหมือนกัน” คือคำตอบ แต่รักษิตคิดว่า ‘รุ่นน้องเหมือนกัน’ คราวนี้กลับไม่เหมือน ‘รุ่นน้องพี่’ คราวพูดถึงหมอพิธาน แต่จะไม่เหมือนอย่างไรเขาก็อธิบายลงไปไม่ได้แน่

อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน ลูบศีรษะเขาเบาๆ บอก “พี่ไปก่อนนะ”

รักษิตเดินตามมาส่ง เอ่ยก่อนจะทันถึงตัวรถ “พี่ลภ ขอบคุณครับ”

คนได้รับคำขอบคุณหันกลับมา เลิกคิ้วน้อยๆ “เรื่องอะไร”

"ทุกอย่าง... ทุกเรื่อง... เรื่องพี่ริน..."

"พูดบ่อยจัง" รักษิตได้คำตอบมาแบบนั้น เหมือนทุกครั้ง "... พี่รู้แล้ว"

“ทุกเรื่องจริงๆ อย่างเรื่องงานนี่ ก็ต้องฝากไว้กับพี่ลภหมด”

ลภกอดอก บอกเขาว่า “ไม่เอาละ ขี้เกียจพูดเรื่องนั้น... ว่าแต่สเตท ยังอยู่ดีหรือเปล่า ไม่ใช่ทำหายไปแล้วนะ”

สเตทโธสโคปหรือหูฟัง อุปกรณ์คู่ชีพที่นักศึกษาแพทย์ต้องมีทุกคน รักษิตตบกระเป๋าสะพายอย่างภูมิใจ “หายได้ไง พี่ลภซื้อให้”
 
ตาเหลือบเห็นโทรศัพท์เครื่องเก่าแสนเก่าที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตคนยืนพิงรถ ไวเท่าความคิด รักษิตรีบพูด “ษิตจะซื้ออะไรตอบแทนพี่ลภดี โทรศัพท์เครื่องใหม่ดีไหม ผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์...”

คราวนี้คนฟังหัวเราะ “ไม่ต้องหรอก สเตทมันจำเป็น แต่โทรศัพท์ใหม่ไม่จำเป็นนี่นา เครื่องนี้ยังใช้ได้ดีอยู่”

“จะซื้ออะไรให้ก็ไม่รับสักอย่าง...”

“พี่อยากได้ของที่ไม่ต้องซื้อ เอาเอมาฝากพี่อีกสิเทอมนี้”

“เอ้า จะพยายาม” รักษิตว่า “ให้พี่ลภตัวหนึ่ง คุณแม่ตัวหนึ่ง...”

“ได้กันคนละตัวเท่านั้นน่ะ?” ลภว่า ประกายขันเต้นระยิบอยู่ในแววตา

“อย่างน้อยดีไหม อย่างน้อยคนละตัว” รักษิตบอกทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้แค่ไหนกับการผ่านชั้นคลินิกปีแรก ก่อนผูกมัดตัวเองมากกว่านี้เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง "เจ้ารถนี่ก็เหมือนกัน อยู่ยง ทนจริงๆ ยังไม่เข้าพิพิธภัณฑ์อีก เข้าไปพร้อมโทรศัพท์พี่ลภเลย"

“มันก็ยัง...”

“... ใช้ได้” คนกระเซ้าต่อเสียเองอย่างรู้ทัน “รู้ไหม... คนที่ไม่ยอมทิ้งของเก่าสักทีน่ะที่จริงแล้วเป็นคนยังไง”

“ประหยัดมัธยัสถ์?”

“ไม่ใช่” รักษิตว่า “เป็นพวกยึดติดต่างหาก”

“อาจจะจริงก็ได้” ลภกลับรับเสียง่ายๆ ไขประตูรถขึ้นนั่ง “พี่ต้องไปล่ะ... พรุ่งนี้ไปเรียนดีๆ วันอื่นจะกลับบ้านมาก็บอก เผื่อพี่ไม่มีเวรจะได้ไปส่ง”

"คืนนี้ยังกลับไปโรงพยาบาลอีกหรือ" รักษิตโน้มตัวลงถาม ทั้งที่ออกจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

“พี่รับเวรไว้นี่”

“ความจริง...”

เขากลืนถ้อยคำต่อมาลงไป ไม่ว่าจะเป็น ‘ไม่ต้องทำก็ได้’ หรือ ‘น่าจะกลับไปพักผ่อน’

งานบริษัทเครื่องมือแพทย์ที่แม่ทำต่อมาจากพ่อนั้นดึงเวลาหมอลภไปอาทิตย์ละห้าวัน แต่ข้อตกลงที่ศัลยแพทย์บอกไว้กับแม่ของเขาอย่างหนักแน่นตั้งแต่แรกเริ่มเข้ามารับงาน คือยังต้องการ “แพรคทิซ”... รักษาคนไข้ ดังนั้นลภจึงทำงานที่โรงพยาบาลด้วยแบบไม่เต็มเวลาหรือที่เรียกว่ารับพาร์ทไทม์ ส่วนใหญ่เป็นเวรดึกอาทิตย์ละสามถึงสี่คืน ไม่เคยมีฝั่งไหนบกพร่อง

แล้วทำไมเขาถึงจะยับยั้งหมอไม่ให้ทำงานหมอ? ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่อีกฝ่ายต้องทำงานที่บริษัท ก็เพราะพันธะ และความจำเป็น...

รักษิตจึงพูดเพียงว่า

“เปล่าครับ เห็นทำงานเยอะกลัวจะเหนื่อย”

ลภยิ้มให้เขา แต่คนพูดก็รู้อีกนั่นแหละ ถ้างานที่รักจริงๆ แล้ว ไม่มีคำว่าเหนื่อย

รักษิตถอยออกมา มองคนสตาร์ทรถแล้วแต่ยังมีสีหน้าครุ่นคิด บอกในที่สุด "... พี่อาจได้กลับไปเรียนต่อเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้”

"ถ้างั้นก็ดีสิ” คนได้ยินยิ้มกว้าง ช่วยไม่ได้ที่เขาคิดว่าลภน่าจะมีความสุขอยู่ในโรงเรียนแพทย์มากกว่าบริษัท ที่ตอนนี้งานทรงตัวไปได้ดีจนแม่น่าจะไม่ค้านการเรียนต่อซับบอร์ดหรือบอร์ดย่อยต่อยอดจากศัลยศาสตร์ที่ลภจบมาแล้ว หรือไม่ แม่ก็อาจจะเห็นว่าการเรียนต่อยอดจนเชี่ยวชาญเฉพาะขึ้นไปอีกนั้นส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของบริษัทและเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ ก็เป็นได้ “ตัดสินใจหรือยังครับว่าจะสมัครที่ไหน”

“ที่เดียวกับษิตก็น่าจะดี...” ลภยิ้มน้อยๆ ก่อนต่อ “ถ้าเขารับพี่”

“โห... ทำไมจะไม่รับ” รักษิตออกมั่นใจ “พี่ลภเก่ง จบเฉพาะทางศัลย์ไปแล้วยังได้ยินอาจารย์พูดถึงอยู่จนทุกวันนี้ ดีเลย ษิตจะได้มีพี่ลภเป็นเฟลโลว์”

“กว่าจะได้เข้าไปเรียนก็ปีหน้านะ... ต้องจัดการ... หลายเรื่องให้เรียบร้อย”

รักษิตพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ในใจคิดว่า ถ้าแม่มีข้อคัดค้าน เขานี่แหละจะช่วยพูดอีกแรง

เขาโบกมือส่ง ยิ้มรับรอยยิ้มจากคนที่ไขกระจกขึ้นก่อนเคลื่อนรถออกไป "ขับดีๆ ครับ"

จวบจนรถเก่าคันนั้นลับตาแล้ว รักษิตจึงเดินกลับเข้าไปภายในบ้านหลังใหญ่ที่ยังเปิดไฟสว่างอยู่เพียงลำพัง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีคนอ่านอีกครั้งค่ะ หายไปพักหนึ่งคือว่าไปทำพล็อต (อ้างกันอย่างนี้เลย 55) บวกงานการยังแยะเหมือนเดิมตอนแรกคิดว่าจะนานกว่านี้กว่าจะได้กลับมาลงเรื่องใหม่ซะแล้ว แต่ก็คิดถึงทุกคนน้า

เรื่องนี้ก็... บอกได้ว่าเรื่องหมอก็เป็นเรื่องที่อยากเขียนอยู่ ยังไงก็ขอฝากด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ


ป.ล. ขอบคุณคนอ่านทุกท่าน ทั้งที่กลับไปอ่านเรื่องเก่าๆ ด้วยนะคะ ทั้งนี้ เรามิได้เพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องอยากให้มีตอนพิเศษของท่าน :) ขอบคุณด้วยซ้ำนะที่ยังคิดถึงตัวละครอยู่ แต่คนเขียนเป็นแบบที่ว่าเวลาเขียนคิดพล็อตไป พอสุดแล้วก็จะจบ 55 คือรู้สึกว่าส่งตัวละครถึงฝั่งละ เขาได้ตอนจบอย่างที่ควรจะเป็นแล้วอะไรอย่างนี้ สรุปว่าตอนพิเศษเนี่ยถ้าคิดออก (คือมีเรื่องหรือพล็อตขึ้นมาในใจ) ก็จะค่อยมาเขียนเนอะ ขอบคุณมากๆๆๆ อีกครั้งนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: pedchara ที่ 16-04-2014 07:54:20
อ่านง่ายน่ารักดีค่ะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 16-04-2014 10:28:03
มาต้อนรับเรื่องใหม่ :mc4:

เหมือนจะมีปมอดีตนะเนี่ย หมอลภ หมอพิธาน
รอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ลำนำบุหลันครวญ ที่ 16-04-2014 11:17:55
เข้ามาเจอนิยายพี่เดหลีโดยบังเอิญ

ยังใช้ภาษาละเมียดละไมแบบที่อ่านปุ๊บไม่ต้องรูดไปดูนามปากกาก็รู้ว่าใคร
อย่าว่าแต่พี่เดหลีชอบนิยายแนวหมอ ผมเองก็ชอบนิยายแนวหมอด้วยภาษาทำนองนี้แหละครับ

เคยพยายามจะเขียน แต่สุดท้ายก็พยายามใส่เท่าที่จำเป็นในนิยายเรื่องหนึ่งของผม
เพราะดีเทลของการเขียนนิยายหมอนี่มันยุ่บยั่บน่ากลัวว่าจะเขียนได้ไม่ถูกต้องตามที่ควร

สำหรับเรื่องนี้ นอกจากภาษาที่ละเมียด แอบบ่นนิดว่าในตอนแรกว่าตัวละครเยอะจนรู้สึกว่าเกินไปบ้าง
แต่พอมาอ่านถึงย่อหน้าท้ายๆจึงรู้สึกว่า นิยายกำลังจะพยายามสื่อหรือจูงเราไปในทางใด ทำให้รู้สึกไม่เคว้งไปนัก

และคิดว่าคงไม่ยากที่นิยายเรื่องน้จะครองใจใครหลายๆคนเหมือนอย่างเรื่องก่อนๆ ของพี่เดหลี

จิ้มเป็ดไว้เป็นกำลังใจให้นะครับ
 :L2:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-04-2014 12:44:20
ภาษาสวยงามเช่นเคย ตัวเอกก็รักษิตสินะ ส่วนอีกคนจะเป็นใคร
หมอพิธานที่มาแต่ชื่อ หรือหมอลภที่ยังไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์กันยังไง
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 16-04-2014 13:52:57

ชอบเรื่องนี้จัง

อ่านนิยายแล้วได้ความรู้ด้วย

เป็นกำลังใจให้คนแต่ง---สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-04-2014 14:41:08
ดีจังได้อ่านนิยายเรื่องใหม่แล้ว
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 16-04-2014 15:22:54
อยากบอกว่า ในแง่ของคนไข้ เราต้องการหมอของเราเท่านั้น มันเป็นความรู้สึก ไว้ใจ เชื่อใจ วางใจ
ตอนต้องเข้าผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก พี่สาวที่เป็นพยาบาลกังวลใจมาก เพราะพยาธิสภาพของเรา
แต่เราบอกว่าจะผ่า เพราะเรารักษาทางยา มาหลายปี เราเชื่อมั่นในคุณหมอของเรามาก และทุกอย่าง
ผ่านมาเรียบร้อยดี นอนอยู่ 15 วัน คุณหมอของเรา คุณหมอเฟลโลว์ คุณหมอเรสิเดนท์ น่ารักมาก
แต่แปลกใจจังคุณพยาบาลชอบบ่นว่า คุณหมอจู้จี้ เอาแต่ใจ ความจริงคุณหมออยากดูแลให้คนไข้
ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ใช่เหรอ
ขอบคุณมากนะคะ แค่เริ่มต้นก้อสนุกแล้ว เพราะต้องจำตัวละครกันงงเลย <3
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 17-04-2014 14:21:51
หมอลภ กับ รักษิต ตอนนี้เป็นอะไรกันหรอ แค่พี่น้องหรือมากกว่านั้น แล้วยังกับหมอพิธานอีก ยังไงกัน?

สมาร์ท โก้  ฯลฯ คำพวกนี้จะเจอแต่ในนิยายสมัยก่อน เพิ่งเคยเห็นนิยายสมัยใหม่ใช้คำนี้ครั้งแรกเลยมั้ง 555

ชอบเรื่องหมอ ๆ นะ แล้วจะรอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 17-04-2014 15:21:20
ทำไมเพิ่งเห็น! ดีใจมากๆ ค่ะที่มีโอกาสได้อ่านเรื่องของคุณเดหลีอีกครั้ง รับรองว่าจะติดตามจนถึงตอนจบเลยทีเดียว  :mew1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 17-04-2014 17:31:59
ดีใจมากคุณเดหลีกลับมาแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องของคุณหมอซะด้วย ภาษายังละเมียดละไมเหมืิอนเดิมเลยค่ะ

ชอบชื่อเรื่องจังอบอุ่นดี

ยังมึนๆกับตัวละครอยู่5555  รอตอนต่อไปนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 17-04-2014 18:48:11
ว้าว มีเรื่องใหม่แล้ว
ทีแรกยังไม่ทันเห็น
พอดีแวะไปดูในกระทู้นักเขียนแนะนำนิยาย
รีบตามลิ้งค์มาอย่างรวดเร็ว
เรื่องใหม่มาเร็วกว่าที่คิด ดีจริงๆเลย
อ่านแล้ว โห รายละเอียดยิบ ทำการบ้านมาดีจริงๆ

//กระซิบ// [เพิ่งอ่านบริษัทบำบัดโสดจบเป็นรอบที่สองเมื่อช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ที่ผ่านมา]  :hao3:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 18-04-2014 00:03:21
ใครคู่ใครเนี่ย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 19-04-2014 21:47:28
ภาษาอบอุ่นดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 19-04-2014 22:34:07
เย่ๆ เรื่องใหม่ของคุณเดหลี :mc4:
ยังงงกับความสัมพันธ์ของเหล่าคุณหมออยู่ ต้องรอดูกันต่อไปสินะ :katai2-1:
รออ่านตอนต่อไปค่า :L2:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 19-04-2014 23:08:28
ชอบพล็อตเกี่ยวกับแพทย์มากๆเลยค่ะ
น่าติดตามมาก สำนวนการเขียนนิยายของพี่ยังน่าทึ่งเช่นเคย
รอตอนต่อไปค่ะ อยากอ่านต่อมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 24-04-2014 08:37:56
พอเห็นชื่อคนแต่งปั๊บ ก็กดเข้ามาดูปุ๊บเลย

ต้อนรับเรื่องใหม่นะคะะ :L2:

ท่าทางน่าสนุก รอตอนต่อไปค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 1] 16 เม.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 11-05-2014 00:46:01
คิดถึงแกงค์คุณหมอแล้ววว
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 17-05-2014 00:55:46
บทที่ 2

โรงอาหารคณะแพทยศาสตร์ตอนเช้าคนแน่น แต่ผู้เพิ่งเดินเข้ามายังเห็นเป้าหมายที่มักมองหาอยู่เป็นประจำได้ถนัด ร่างในเสื้อกาวน์ขาวแขนสั้นก้มหน้าต่ำ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า... หนังสือวางเยื้องอยู่ทางขวา ถึงจะวางเคียงกับจานข้าว แต่ก็เป็นภาพที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ทั้งที่อยู่ในชุดคล้ายคลึงกันหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเลือกจะใช้ช่วงเวลาระหว่างรับประทานอาหารพูดคุยเพื่อสังสรรค์มากกว่า

ธีรพัทธ์เดินตรงเข้าไป รุ่นน้องแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งจากวอร์ดเดียวกันที่ใช้โต๊ะยาวตัวนั้นร่วมอยู่ด้วยรีบเขยิบที่ให้ ก้มศีรษะทักทายเรียบร้อยก็หันไปสนใจบทสนทนาในกลุ่มต่อ ส่วนคนอ่านหนังสือยังไม่มีท่าทางรับรู้ว่าเพื่อนมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่สิ่งที่ทำให้พิธานเงยหน้าขึ้นมาสนใจได้ทันทีอาจจะมีอยู่ไม่กี่อย่างในโลกนี้ และธีรพัทธ์ก็ทำใจนานแล้วว่าคงไม่ได้รวมเขาอยู่ด้วย

ซึ่งก็ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้ลองดู... เขาไล่นิ้วไปตามขอบกระดาษ นึกรู้ว่าแค่นี้คงดึงสมาธิมายาก ก่อนเปรยขึ้นลอยๆ

“กินอะไรไม่น่าอร่อย”

พิธานพลิกหน้าหนังสือ แต่คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นเหมือนจะบ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยและถามเหตุผลเขาไปในขณะเดียวกัน

ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ไอ้พูดโดยที่ไม่ต้องพูดนี่...

“กินมันก็ต้องเห็นทั้งรูป รู้ทั้งรส ถึงจะคุ้ม” ธีรพัทธ์ว่า ถือหลักแม้อาชีพจะเอื้อให้เห็นแง่มุมไม่น่าอภิรมย์ของชีวิตอยู่บ่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเลิกแสวงหาความสุนทรีย์ในด้านอื่น ถึงจะเป็นเพียงการกินข้าวในโรงอาหารไม่ใช่เหลาก็ตามที “นี่กินไป ตาดู...”

ธีรพัทธ์ชะโงกข้ามโต๊ะ เห็นหนังสือเปิดค้างอยู่ที่ภาพการผ่าตัดทางออร์โธปิดิกส์แบบโคลสอัพ สี่สี ชัดเจนโดยไม่ต้องจินตนาการเพิ่ม

พิธานไม่ว่าอะไร เพียงแต่โบกมือซ้ายเหมือนจะบอกให้ลุกไปซื้อข้าวได้แล้ว สอดคล้องกับเสียงร้องของท้องเขาพอดี เมื่อนึกถึงภาระงานในวอร์ดอายุรกรรมที่คงจะต้องตามเรสิเดนท์ปีหนึ่งขึ้นไปช่วยดูน้องในไม่ช้ารวมทั้งรายงานกับอาจารย์ ธีรพัทธ์ก็เลือกจะหยุดตอแยเพื่อนแล้วไปหาข้าวใส่ท้องเพื่อเตรียมรับชั่วโมงทำงานอันยาวนานดีกว่า

“อย่าเพิ่งรีบไปล่ะ” เขาหันมาบอก แต่อันที่จริงอีกฝ่ายจะยังอยู่หรือไม่ธีรพัทธ์ไม่คิดถือ รู้ดีว่า ในช่วงปฏิบัติงานหมอยิ่งกว่าชีพจรลงเท้า

สมัยใช้ทุนต่างจังหวัด กินข้าวอยู่หน้าโรงพยาบาลแท้ๆ มีโทรศัพท์ตามตัว ฟังแล้วคนไข้มาด้วยอาการหนักพอควร ในโรงพยาบาลเล็กๆ การอยู่เวรเพียงคนสองคนหรือแม้แต่คนเดียวเป็นเรื่องปกติ เขาทิ้งจานวิ่งข้ามถนน สั่งการในโทรศัพท์ไป พยาบาลก็รายงานอาการไป ถึงห้องฉุกเฉินหมอแทบจะหอบแข่งกับคนไข้ แก้ไขจนเรียบร้อย เพิ่งสำเหนียกว่ายังไม่ได้จ่ายเงินค่าข้าว ต้องวานคนงานออกมาอีก ดีว่าลุงเจ้าของร้านมักคุ้นกับเขาอยู่แล้วเลยไม่ถึงกับโดนข้อหากินฟรี

ส่วนตอนนี้... ป้าๆ ขายกับข้าวส่งเสียงทักกันเกรียวเมื่อธีรพัทธ์โผล่เข้าไปให้เห็น ที่จริงก็รู้จักหน้าค่าตากันตั้งแต่ตอนเขายังเรียน พอขึ้นเป็นเอ็กซ์เทิร์นธีรพัทธ์รับพวกเธอคนหนึ่งเป็นคนไข้ ตอนนั้นถึงจะเขียนคำสั่งการรักษาได้ก็ต้องรอให้แพทย์ประจำบ้านหรืออาจารย์มาเซ็นรับรองก่อน

เขาพยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า บางครั้ง กุญแจสำคัญในการวินิจฉัยก็อยู่ในสิ่งที่อาจารย์เคยบอกและนักศึกษาแพทย์ต่างคิดว่าช่างง่ายดาย แต่แท้ที่จริงทำได้ยากยิ่งในทางปฏิบัติ ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่มีคนเจ็บคนป่วยคลาคล่ำอยู่ตลอดและแพทย์งานล้นมือ นั่นคือ ‘ฟังคนไข้ให้ดี’

... จะเป็นหมอรักษาคนให้ได้ ซักประวัติเป็นแล้ว ต้องฟังให้เป็นด้วย บ่อยครั้งคนไข้พูดจาวกวน หลงลืม หรือแม้แต่ไม่พูดถึงเพราะคิดว่าไม่สำคัญ อาการแรกเริ่มมาอย่าง กลับกลายไปเป็นอีกอย่างก็มี เขายังเคยเจอคนไข้ถูกรับเข้าที่วอร์ดจิตเวชด้วยอาการเหม่อลอยและพูดคนเดียว พฤติกรรมเปลี่ยนไปจากปกติ รักษาแล้วไม่ดีขึ้นจนปรึกษาอายุรกรรม ลงท้ายว่าเป็นสมองอักเสบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ไม่ได้เกี่ยวกับโรคจิตเภทสักหน่อย

เพราะฉะนั้นนอกจากผลแล็บกับเอ็กซเรย์ ยังต้องอาศัยการปะติดปะต่อคำบอกเล่า ชิ้นส่วนเรื่องราวต่างๆ ทั้งของคนไข้ ของญาติ รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยเข้าด้วยกันจนได้คำตอบ

อายุรศาสตร์เป็นหนึ่งในสาขาที่เอื้อให้ทำเช่นนั้น และไม่ต้องใช้เวลาไปกับการอยู่ในห้องผ่าตัดเป็นชั่วโมงๆ

“หมอไม่เห็นค่อยลงมาเลย” อดีตคนไข้พูดยิ้มๆ ตักข้าวให้เขาจนพูนจาน แถมไข่อีกสองฟองแม้ลูกค้าจะทักท้วงด้วยกลัวขาดกำไร “ป้าต้องหาเรื่องป่วยไปนอนอีกแล้วมั้งถึงจะได้เจอ”

อันที่จริงธีรพัทธ์เพิ่งเผชิญมรสุมสัมมนาเฉพาะทางขนานใหญ่ ซึ่งจบลงไปได้เมื่อไม่นานมานี้พร้อมความโล่งใจอย่างเหลือล้นของแพทย์ประจำบ้านอายุรศาสตร์ (และอาจจะรวมอาจารย์อีกหลายท่านด้วย) ช่วงก่อนหน้า นอกจากเวลาไปดูคนไข้แล้วเขาก็แทบจะกินนอนอยู่ในห้องพักแพทย์ที่มักมีของกินมาทิ้งไว้จากรุ่นพี่หรืออาจารย์ที่มีน้ำใจบ้าง จากผู้แทนที่หวังจะให้หมอจำบริษัทได้และช่วยสั่งยาบ้างเลยไม่ถึงกับอด แค่เจอผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันวนไปเวียนมา กลับจากวอร์ดก็เตรียมนำเสนอ บ้างก็เขียนรายงาน ตำรากองกระจัดกระจายเต็มห้องจนเบื่อทั้งหน้าคนและหน้าหนังสือเต็มที

พอมีโอกาสลงมาเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ค่อยได้เจอ กลับสนใจหนังสือที่เขาขออนุญาตเบื่อหนึ่งวันมากกว่าเสียนี่

ธีรพัทธ์ยิ้มกับป้า บอกจากใจ “อย่าเลยครับ สัปดาห์ที่แล้วผมยุ่งมาก...” เขาลากเสียงเพื่อเน้นว่า มาก... จริงๆ “ป้าอย่าป่วยเลยครับ ข้างบนไม่มีผัดกระเพรา ยังไงก็ต้องลง”

ยิ่งทำงานแบบนี้ ยิ่งเหมือนถูกย้ำเตือนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ...

กลับมาถึงโต๊ะ รุ่นน้องแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งกลุ่มนั้นลุกไปแล้ว แต่ตำราออร์โธปิดิกส์เล่มเดิมยังเปิดอยู่ และคนอ่านก็ยังไม่ได้ไปไหนแม้รวบช้อนส้อมไว้อย่างเรียบร้อย ธีรพัทธ์ดูนาฬิกา เพิ่งจะหกโมงครึ่ง... เขาลงนั่ง กินข้าวพลางเล่าหัวข้อน่าสนใจในงานสัมมนาของตัวเองให้เพื่อนฟัง

พิธานไม่ได้อยู่วอร์ดเดียวกับเขาก็จริง แต่การ ‘คอนซัลต์’ หรือปรึกษาข้ามวอร์ดกันเกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่นหากคนไข้ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แต่ความดันยังสูงอย่างน่าเป็นห่วง อายุรกรรมคงต้องหาวิธีแก้เพื่อให้การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่นและลดทอนอาการแทรกซ้อนภายหลัง หัวข้อสัมมนาของธีรพัทธ์เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยก่อนผ่าตัดเหมือนกัน ถือว่านำเสนอผ่านไปด้วยดีเป็นที่น่าพอใจ

แต่ถึงได้รับคำชมคราวนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์จะไม่ด่าในโอกาสถัดไป ตอนเพิ่งมาเรียนต่อ เป็นแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งสองสามเดือนแรก ยอมรับว่ามีกลวงและเอ๋อบ้างเมื่อพี่หรืออาจารย์ถาม พอผ่านไตรมาสนรกนั่นจนขึ้นปีสอง ธีรพัทธ์ก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะมีความรู้อยู่พอควร มาเย็นวานนี้เองอาจารย์ได้โอกาสซอยสับเขาค่อนข้างละเอียด... ด้วยการยิงคำถามรัว

'คิดถึงอะไรได้บ้าง'

'คิดถึงอะไรอีก'

'หมอ ตอบผมมานี่หมอคิดแล้วเหรอ'

การต่อความยาวกับอาจารย์ว่า 'คิดแล้วสิครับ' ไม่ช่วยอะไร ธีรพัทธ์จึงก้มหน้าก้มตารับคำสั่งสอนโดยดี แต่บางครั้งเมื่อกลับมาใคร่ครวญ ลองถามหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านหรือที่เรียกว่าชิฟเรสิเดนท์ รวมทั้งเปิดตำราดูแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าเขาพลาดไปไกลจนอาจารย์ต้องทำหน้าประหนึ่งสิ้นหวังกับอนาคตวงการแพทย์ไทยขนาดนั้น

เหมือนทุกครั้ง เขาก็อดระบายกับเพื่อนที่เจอหน้ากันตั้งแต่สมัยเรียนไม่ได้

“... คราวนี้ไม่ถูกตรงไหน” ธีรพัทธ์ถามลอยๆ กับอากาศ และพิธานก็ตอบทั้งๆ ที่ตายังไม่ละจากหนังสือ

“ไม่ถูกใจอาจารย์”

อาจจะจริง... แต่ธีรพัทธ์ก็พยายามคิดเสียว่าอาจารย์หวังดี และในบางครั้งอาจอยากให้ลูกศิษย์กลับมาหาคำตอบเองเพิ่มเติม หรือแม้แต่ไปถามอาจารย์ท่านอื่นดูบ้างก็ได้ คนไข้ยังมีสิทธิ์ปรึกษาหมออีกหลายคนหากไม่แน่ใจในการวินิจฉัย หมอก็มีสิทธิ์ถามหมอเวลาไม่แน่ใจเหมือนกัน

ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคิดว่าการพยายามทำให้ ‘ถูกใจ’ ใครๆ... หากใครคนนั้นเป็นคนที่เอื้อประโยชน์ได้ หรือนับถือกันมาด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ อาจเป็นนิสัยธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ ไม่เช่นนั้น การลุกขึ้นมาตั้งคำถาม ทดลองเทคนิควิธีอะไรใหม่ๆ คงยากกว่าทำตามกันไป โดยเฉพาะในสังคมที่ค่อนข้างอนุรักษ์และถือระบบอาวุโสอย่างโรงเรียนแพทย์

แต่คงไม่เป็นกันทุกคน อย่างน้อยก็คนตรงหน้าเขานี่แหละคนหนึ่ง

ตอนแรกๆ นั้นธีรพัทธ์แทบไม่รู้ว่าพิธานอยู่ในคณะเดียวกันด้วย คนมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมอย่างเขาย่อมไม่สังเกตคนที่มักจะปลีกตัวอยู่ตามลำพังและปฏิเสธคำชวนไปสังสรรค์ หาที่กินดื่มกันข้างนอกคณะบ้าง เมื่อชวนแล้วไม่ไปก็ไม่ชวนอีก ธีรพัทธ์จัดคนเหล่านี้ไว้ในพวกกลัวไม่คุ้มค่าเทอมถึงได้เอาแต่หมกอยู่ในห้องสมุด... การเรียนอย่างเอาเป็นเอาตายไม่อยู่ในนิสัยเขา ก่อนขึ้นปีสี่มาเจอคนไข้จริงๆ ธีรพัทธ์คิดว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยยังมีเรื่องสนุกสนานให้ไปรู้ไปเห็นอีกมาก และชีวิตนั้นไม่จำกัดอยู่แต่ในคณะของตัวเองแน่ๆ

เรียกได้ว่า... พิธานอยู่นอกวงสังคมของเขา

พอขึ้นชั้นคลินิก เพื่อนกลุ่มใหญ่ของเขาต่างกระจัดกระจายกันไปหมด หลายคนออกไปเข้าคณะอื่นตั้งแต่ปีสองปีสาม ธีรพัทธ์พบว่าต้องอยู่วอร์ดศัลยกรรมเป็นวอร์ดแรก พร้อมด้วยพิธานเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมวอร์ด

เขาสู้ทน เพราะไม่ชอบสาขานี้... ไม่ชอบจนหาเหตุผลได้ล้านแปดประการ ตั้งแต่ไฟห้องผ่าตัดร้อนจ้าแต่แอร์เย็นเฉียบ วิธีล้างมือแบบย้ำคิดย้ำทำ การยืนขาแข็งเป็นวอลเปเปอร์หลายชั่วโมง รอว่าอาจารย์หรือพี่จะเมตตาเรียกให้เข้าไปดูใกล้ๆ ช่วยหยิบจับถืออะไรบ้างหรือเปล่า จวบจนผู้คน เพราะศัลยแพทย์ที่เขาเจอ ทั้งอาจารย์ ทั้งเรสิเดนท์ประจำสายช่างใจร้อน และคงเหลือที่ไว้อภัยให้มือใหม่น้อยมาก โดนเอ็ดโดนด่าจนเพื่อนผู้หญิงร้องไห้ไปหลายคน (และแน่นอน โดนเอ็ดซ้ำ)

ธีรพัทธ์กำลังนั่งนับวันให้ลงวอร์ดศัลยกรรมไปเสียทีเมื่อจู่ๆ ก็มีแผ่นกระดาษตีตารางเรียบร้อยยื่นมาให้ เขาเงยหน้าขึ้น พบพิธานยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขากวาดตามองหัวข้อ แล้วต้องอ่านซ้ำ

พักหลังธีรพัทธ์ชาชินกับดราม่าในห้องผ่าตัด พยายามสนใจแต่อวัยวะคนไข้ส่วนที่เป็นปัญหาเก็บเกี่ยวความรู้ไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเริ่มเป็นอุปสรรคในการเรียน ไม่ใช่สำหรับเขาคนเดียวแต่เพื่อนคนอื่นๆ ในห้องก็เหมือนกัน กับการโยน กระแทก หรือแม้แต่ขว้างเครื่องมือในการผ่าตัดบางชิ้นลงพื้นเพียงเพราะมีอะไรไม่ถูกใจศัลยแพทย์

คนที่หนักข้อที่สุดคืออาจารย์อายุยังไม่มากนักคนหนึ่ง ธีรพัทธ์กล้าพูดว่าถ้าไม่ได้เข้าด้วยกัน ไม่มีใครรู้ว่าในห้องจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นเขาเชื่อว่าอาจารย์อาวุโสท่านอื่นๆ ยังไม่ระแคะระคาย หรือหากมีบ้าง ก็ดูเหมือนหลุดมือ การวางเครื่องมือลงแรงหน่อยย่อมเกิดขึ้นได้ แพทย์ประจำบ้านศัลยกรรมก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป และเลือกจะไม่รายงาน ทุกคนปิดปากเงียบด้วยกลัวแรงสะท้อนจากการประเมินผล รวมทั้งคิดว่า ‘เป็นเรื่องธรรมดา... เกิดขึ้นได้’

แต่พิธานไม่คิดอย่างนั้น กลับเขียนรายงานอย่างละเอียด ระบุกระทั่งว่าการขว้างปาฟอร์เซ็ปเกิดขึ้นกี่หน บางครั้งไม่มีสาเหตุแน่นอน แต่แม้จะด้วยเหตุใดก็ตาม ศัลยแพทย์ควรมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์มากกว่านี้ ถ้าเพิ่มเติมได้ ธีรพัทธ์คงจะเสริมว่า ควรยกยอตัวเองให้น้อยลงกว่านี้สักหน่อยด้วย

รายงานพร้อม ขาดแต่พยาน... แม้นักศึกษาแพทย์ที่ถูกจัดให้เข้ากับอาจารย์คนนี้จะเห็นเหตุการณ์กันทุกคน รวมทั้งพี่ปีห้าและเอ็กซ์เทิร์นด้วย แต่กลับมีลายเซ็นอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นไม่ถึงห้าชื่อด้วยซ้ำ ธีรพัทธ์จรดปากกาลงไป เซ็นชื่ออย่างไม่ลังเล

พิธานไปหาอาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยส่งรายงานพร้อมรายชื่อพยานอันน้อยนิดนั้นให้ถึงมือหัวหน้าภาค และคณบดีในที่สุด... กระบวนการสืบสาวราวเรื่องดำเนินไปเร็วขึ้นเมื่ออาจารย์คนนั้นแสดงอาการก้าวร้าวจนเกินควรในที่ประชุมภาค ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่นักศึกษาแพทย์พิธานรายงานไป เมื่อเริ่มมีมูลจึงเกิดการสอบสวนขึ้น

... ลงท้ายว่าแท้จริงแล้วอาจารย์ป่วยด้วยโรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพลาร์ เป็นมานานโดยไม่มีใครรู้ แม้มีสัญญาณต่างๆ ไม่ว่าชื่นชมความเก่งกาจของตัวเอง อารมณ์ร้อนโมโหกับเรื่องที่ไม่ควรจะต้องโมโห ทำลายข้าวข้าวถึงจะเล็กๆ น้อยๆ... แต่ไม่มีใครฉุกใจเพราะคิดว่าก็อาจจะเป็นนิสัยปกติของผู้ที่ทำงานเคร่งเครียดกดดันและต้องแข่งกับเวลาอย่างศัลยแพทย์... ละมัง

เหตุการณ์นี้ทำให้ภาควิชาศัลยศาสตร์เข้มงวดกับการประเมินสุขภาพจิตบุคลากรประจำปีมากขึ้น เพราะมีผลกระทบกับการตัดสินใจโดยตรง อย่างกรณีไบโพลาร์นี่ก็ทำให้หุนหันพลันแล่น เชื่อมั่นในตัวเองเกินเหตุ ปล่อยนานไปคงมีโอกาสที่การผ่าตัดจะผิดพลาด

อาจารย์รับการรักษาตัว ต้องได้รับยาสม่ำเสมอ ได้ข่าวว่าตั้งใจจะกลับไปทำงานต่อที่จังหวัดบ้านเกิด

พอเรื่องแดงออกมา เพื่อนร่วมรุ่นก็ได้แต่พูด ถึงว่า... แม้ตอนแรกไม่มีใครคิดริเริ่มอะไรขึ้นเหมือนพิธาน

แล้วศัลยแพทย์คนอื่นที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงแต่ไม่เกี่ยวอะไรกับสุขภาพจิตล่ะ? ธีรพัทธ์ก็ได้แต่สรุปว่า... มาจากอีโก้จัดนั่นแหละ และรอวันที่จะได้ลงวอร์ดศัลยกรรมต่อไป

แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะเขานับวันจะได้ขึ้นวอร์ดใหม่พร้อมพิธาน

อีกฝ่ายทำให้เขาทึ่ง เมื่อทึ่งแล้ว ก็เริ่มสนใจ... คนที่ดูจะมุเรียนราวมีแรงผลักดันอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นแบบนั้น ความจริงก็ไม่ได้ ‘บ้า’ เรียนอย่างเดียว หากมีเพื่อนต้องการความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นงานในวอร์ดหรือเป็นข้อสงสัยเรื่องวิชาใดๆ พิธานไม่เคยเกี่ยงงอน ทั้งยังรับผิดชอบงานกิจกรรมอื่นๆ ของคณะ

เมื่อสนใจ... ก็ตามมาด้วยการสังเกต

ธีรพัทธ์ได้พบว่า วงหน้าที่มักวางเฉยอยู่เป็นนิตย์อ่อนโยนลงมากเพียงใดเมื่อซักถามอาการหรือให้คำอธิบายกับคนไข้ ภายใต้ท่าทีเรียบๆ นั้นไม่ใช่ความแข็งกระด้างอย่างไร้น้ำใจ จนเมื่อใกล้จบปีสี่เพื่อนในวอร์ดวางแผนเหมารถกันไปปล่อยสมองต่างจังหวัดสักสองสามวัน พิธานปฏิเสธคำชวนเช่นเคย

ยังมีเรื่องหนึ่งที่ธีรพัทธ์เก็บความสงสัยไว้ในใจ... ทุกพักกลางวัน พิธานจะหายไปจากคณะ หายไปไหน ไปทำอะไรก็ไม่รู้ แม้จะเป็นเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เพราะยังมีคาบเรียน สัมมนา หรืองานวอร์ดในตอนบ่ายให้ต้องทำ แต่ถ้าจะกินข้าว โรงอาหารประจำคณะแพทยศาสตร์เองก็มี วันหนึ่ง ธีรพัทธ์จึงทำสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะทำ นั่นคือ... ลองเดินตามไปดู

เขาเห็นเพื่อนเดินข้ามถนน เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา จนกระทั่งถึงอาคารที่เป็นหน่วยหนึ่งในส่วนบริหารของมหาวิทยาลัย มีลานเล็กๆ หลังคาคลุมอยู่ข้างหน้า

พิธานเข้าไปช่วยตักอาหารให้นักศึกษาซึ่งธีรพัทธ์ดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นเด็กปีหนึ่ง แล้วจึงได้ลงนั่งทานเอง

เขายืนอยู่อย่างงงๆ นิดๆ ก่อนตัดสินใจถามนักศึกษาคณะอื่นที่เพิ่งเดินออกมาจากลานนั้น ได้คำตอบว่า... มหาวิทยาลัยจัดเลี้ยงอาหารกลางวันนักศึกษาทุนชนบท ด้วยเข้าใจว่าเงินค่าใช้จ่ายรายเดือนต่างหากจากค่าเทอมนั้นคงน้อยนิดเหลือเกิน

ธีรพัทธ์จึงเพิ่งรู้ว่า พิธานเดินมาอย่างนี้ ทุกวัน ตั้งแต่ปีหนึ่ง นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายมักปฏิเสธคำชวนให้ไปเที่ยว ไปหาอะไรกิน บางทีอาจมื้อละเป็นร้อยข้างนอกคณะบ้าง เพราะไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้

ตอนนั้นเองที่พิธานเงยหน้าขึ้น มองตรงมา และไม่มีท่าทีแปลกไปอย่างใดเมื่อเห็นเขา ธีรพัทธ์เสียอีกที่ยืนอ้ำอึ้งอยู่ด้วยความกระดาก ทั้งที่อยากรู้อยากเห็นจนเดินตามมาถึงนี่ ทั้งไม่แน่ใจว่า พิธานต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องส่วนตัวหรือเปล่า

เพราะเขาไม่อยากให้พิธานโกรธ หรือแม้แต่ไม่พอใจเขา

แต่พิธานก็ปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิม เสมอต้น เสมอปลาย... ก่อนธีรพัทธ์จะทันมีเวลาคิดหรือได้ ‘ริเริ่ม’ ทำอย่างใจ ปีห้าก็มาถึงแล้ว และเมื่อขึ้นปีห้า ในวอร์ดศัลยกรรมที่ธีรพัทธ์หวังเหลือเกินให้ได้รุ่นพี่กับอาจารย์ในสายอารมณ์ปกติเป็นผู้เป็นคนกว่าในตอนปีสี่ เขาก็สมหวัง

ยกเว้นเพียง... ในปีห้านั้นเอง ที่พิธานพบกับแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์เพิ่งเข้ามาใหม่ที่ชื่อลภ

ธีรพัทธ์รู้สึกว่าตัวเองอาจจะช้าไปแล้ว ช้าไปในอะไรหลายๆ อย่าง แต่เขาก็เก็บความรู้สึกที่ยังไม่ได้พัฒนานั้นไว้ ยั้งให้อยู่ในความเป็นเพื่อน อย่างที่เขารู้ว่าพิธานต้องการ

เมื่อเรียนจบแล้วพวกเขาแทบไม่ได้ติดต่อกัน ธีรพัทธ์คิดว่านี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดก่อน... เขาพยายามจดจ่ออยู่กับการใช้ทุน และนึกถึงพิธานในฐานะเพื่อนที่ดี จนกลับมาเจอกันอีกครั้งโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อเลือกเรียนต่อทีเดียวกันอีก เห็นความโทรมเยินของกันและกันมาตลอดชีวิตการเป็นแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่ง ปรับทุกข์บ้าง ปรึกษาการงานกันบ้าง (ส่วนใหญ่จากทางเขา พิธานเป็นผู้ฟัง) ธีรพัทธ์ก็รู้สึกว่าได้เพื่อนเก่ากลับคืนมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... เมื่ออีกฝ่ายไม่เคยมีท่าทีอะไรให้เขาหวังได้

ธีรพัทธ์ดึงตัวเองกลับ ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง

“อาจารย์ให้ไปช่วยดูคอมเมดด้วย” เขาหมายถึงวิชาเวชศาสตร์ชุมชนของนักศึกษาแพทย์ปีสี่ คอมเมดก็ย่อมาจากคอมมิวนิตี้ เมดิซินนั่นเอง วิชานี้โยงอยู่กับโรงพยาบาลร่วมสอนของมหาวิทยาลัยที่ธีรพัทธ์เคยเพิ่มพูนทักษะอยู่ปีแรก “ยังมีปัญหาคนไข้ที่อยู่คนเดียวหรือลูกหลานไปทำงานลืมกินยา ทำให้ได้ยาไม่ครบเลย มาทีไรน้ำตาลสูงปรี๊ดทุกที”

พิธานพยักหน้า ปัญหานี้พบได้ทั่วไปในต่างจังหวัดที่คนไข้สูงอายุรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก แต่ไม่มีคนดูแลคอยเตือนให้กินยาตรงเวลา รวมทั้งมีอุปสรรคในการเดินทางอยู่บ้าง ต้องรอจนกว่าลูกหลานจะว่าง ทำให้เลยเวลานัด ธีรพัทธ์เล่าต่อ

“แต่มีน้องปีสี่คนหนึ่ง บอกว่าขอลองทำอะไรดู เผื่อปัญหานี้มันจะลดลงไปได้บ้าง เพื่อนเขาก็ช่วยกัน... เป็นปฏิทินติดซองยาแน่ะ ฉีกมากินเหมือนฉีกปฏิทินนั่นละ ความจริงเยี่ยมบ้านก็มีส่วน... แต่ขอให้ได้รับยาเข้าไปทุกวันเถอะ ไอเดียดีนะ อาจารย์ให้เอเลยกลุ่มนั้น”

ธีรพัทธ์กำลังคิดถึงชื่อน้องปีสี่คนนั้น รัก... รักอะไรสักอย่างนี่ละ เขาช่วยอาจารย์ดูอยู่หลายกลุ่ม วิ่งรอกกลับมามหาวิทยาลัยอีก... บางทีก็เลือนๆ ไปบ้าง แต่จำเรื่องนี้แม่นแน่นอน

พอดีกับพิธานปิดหนังสือลุกขึ้น หกโมงจะห้าสิบแล้ว ธีรพัทธ์เองก็เตรียมขึ้นวอร์ดเหมือนกัน พิธานทำท่าจะเดินล่วงหน้าไปก่อน แต่กลับหันมามองเขา มองโต๊ะ แล้วก็มองเขาอีก

“เออ ฝากเก็บจานด้วย” แล้วเจ้าตัวก็ไปเลย ทิ้งเพื่อนร่วมวิชาชีพยิ้มสั่นศีรษะกับตัวเองอยู่คนเดียว
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 17-05-2014 01:02:32
บทที่ 2 (ต่อ)

วอร์ดอายุรกรรมวันนี้ออกจะเรื่อยๆ... นั่นคืองานเยอะแบบเรื่อยๆ แต่ตราบใดที่คนไข้ไม่ทำท่าจะวิกฤตพร้อมกันรวดเดียวสักห้าเตียงธีรพัทธ์ก็ถือว่าเรื่อยแล้ว เขาโน้มตัวอยู่เหนือเคาน์เตอร์กำลังเซ็นชื่อ คุยกับพยาบาลหลังเคาน์เตอร์เล็กๆ น้อยๆ ตอนที่พยาบาลอาวุโสกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมา และส่งเสียงกระเซ้า

“อ้าว... หมอพัทธ์จีบนางพยาบาลอีกแล้ว”

ธีรพัทธ์หัวเราะไม่ตอบ แพทย์ประจำบ้านอย่างเขาย่อมตระหนัก... น้องๆ ขึ้นมาแล้วก็ลงไป แต่พยาบาลนั้นไซร้อยู่ยั้งยืนยง! ดังนั้นควรพยายามสอนน้องให้ได้มากที่สุดในเวลาจำกัดควบคู่ไปกับการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าพยาบาลไว้ หากพยาบาลช่วยงานในสิ่งที่ควรทำเรียบร้อย (รวมถึง ขอให้ช่วยอะไรแล้วช่วย) เขาจะได้ไปดูน้องทำหัตถการที่จำเป็นต้องกวนคนไข้ในระดับมากกว่าฉีดยาหรือเจาะเลือดและจึงเป็นหน้าที่หมอ เช่นดูดน้ำไขสันหลังเป็นต้น

เขาทักทายพยาบาลกลุ่มนั้น หันไปหยิบชาร์ตที่วางกองอยู่ใกล้กัน เย้ากลับ

“โอยนี่โต๊ะผีสิงแน่ๆ หยิบชาร์ตเท่าไรไม่หมดเสียที”

ท่าทางง่ายๆ อารมณ์ดีทำให้ธีรพัทธ์ผูกใจคนได้ทั่วไป... พยาบาลหัวเราะกันครืน และเขาก็รอดจากการต้องถูกแหย่เรื่องที่กล้าสาบานว่าไม่ได้ ‘จีบ’ แต่การพูดจาดีๆ กับโคนันทวิศาล เอ้ย พยาบาล ก็มีแต่จะให้ผลดีตอบกลับมา         

ในวอร์ดศัลยกรรม ถ้าแพทย์ประจำบ้านสงสัยน้องทำแผลไม่เรียบร้อย อาจจะให้แกะออกมาทำใหม่ แต่ในวอร์ดอายุรกรรม ธีรพัทธ์คิดว่ามีน้อยอย่างมากที่เอากลับคืนมาได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องดูแล้วดูอีก ดูคำสั่งให้ยาของเอ็กซ์เทิร์น ดูการให้ยาของพยาบาล บอกใหม่เมื่อพยาบาลอ่านลายมือหวัดสุดยอดของเอ็กซ์เทิร์นไม่ออกโดยไม่ทำให้พยาบาลรู้สึกว่ากำลังถูกตำหนิ

ถ้ามีสายสัมพันธ์อันราบรื่นกันอยู่ก่อนแล้ว แทนที่จะเป็นการ ‘บ่น’ ก็กลายเป็นการ ‘ขอร้อง’ และพยาบาลจะไม่เห็นว่าเขาจู้จี้จุกจิกจนเกินพอดี เพียงแต่ละเอียดถี่ถ้วน ‘หน่อย’ เท่านั้น

เขาขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าแฟ้มคนไข้ที่อยู่ในความดูแลของปีสี่เหมือนความสมดุลจะเอียงกะเท่เร่พิกล... โดยเฉพาะของนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งที่ได้แต่คนไข้นอนนานๆ ธีรพัทธ์พลิกกลับไปดูของปีสี่คนอื่นในวอร์ดเดียวกัน แล้วจึงเขียนชื่อวานรุ่นน้องเรสิเดนท์ไปตามมาหา

แต่... ก็ทำให้เขารู้ชื่อน้องปีสี่ในวิชาเวชศาสตร์ชุมชนที่แอบเรียกอยู่ในใจว่าน้องปฏิทินตั้งหลายอาทิตย์... รักษิต พิพิธนันท์ ที่แท้เราก็อยู่สายเดียวกันนี่ ตอนแรกๆ ธีรพัทธ์ทั้งยุ่งกับสัมมนาทั้งวิ่งวุ่นอยู่กับคนไข้อีกตึก ตึกนี้แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งจึงดูแลน้องบวกรับหน้าอาจารย์ไปก่อน เขาเพิ่งจะได้กลับมานี่แหละ

ธีรพัทธ์เงยหน้าขึ้นเห็นกลุ่มเด็กปีสี่พอดี รักษิตเดินรั้งหลังท่าทางไม่แน่ใจ เขากวักมือเรียกทั้งกลุ่มออกไปที่ทางเดิน บอก

“พี่เห็นคนไข้ที่น้องแบ่งกันดูแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะเฉลี่ยกันได้ดีกว่านี้ เลยจะย้ายบางคนสลับกัน” เขาดูแฟ้ม “น้อง... ทัศนีย์”

“นีน่าค่ะ” เจ้าหล่อนบอกเขาอย่างมั่นใจ ธีรพัทธ์พยักหน้า โอเค... น้องหน้าหมวยชื่อฝรั่ง

“น้องดูคนนี้กับคนนี้แทนนะ สลับกับเพื่อน”

“พี่คะ” ทัศนีย์ยังฉะฉานกับเขาเหมือนเดิม “เราแบ่งกันไปแล้วค่ะตั้งแต่แรกตอนที่พี่ยังไม่มา หนูกับเพื่อนคนอื่นๆ...” เธอพยักพเยิดไปทางเพื่อนผู้หญิงสองคนที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ “เห็นว่าแบ่งแบบนี้ดีแล้ว เราเริ่มเขียนรายงานกันไปแล้วด้วย รักษิตเขาก็ไม่มีปัญหา”

ธีรพัทธ์มองน้องปฏิทินของเขา ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบเรียบๆ “ครับ ผมดูได้”

ทัศนีย์ยิ้มให้ธีรพัทธ์เหมือนจะถามว่าเห็นไหมล่ะ? แต่รอยยิ้มนั้นคลายลงเมื่อรุ่นพี่บอก “อาจารย์กำชับให้น้องๆ ได้ทั้งเคสใหม่เคสเก่า พี่ก็เห็นด้วย” เขาสลับแฟ้มรวมทั้งของน้องผู้หญิงอีกสองคนโดยไม่สนใจอาการอ้าปากค้างเตรียมจะทักท้วงอีก ก่อนยื่นส่งให้ “เอ้า”

พี่แพทย์ประจำบ้านนั้นมีบทบาทในการประเมินให้ลงวอร์ดด้วย เพราะฉะนั้นการดื้อดึงโต้เถียงอยู่ย่อมไม่ใช่ความฉลาด เขามองทัศนีย์หน้าง้ำ รับแฟ้มไปอย่างไม่เต็มใจแต่ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้น ก่อนจะหันหลังเดินไปพร้อมเพื่อน ธีรพัทธ์พูดลอยๆ พลางหัวเราะ

“พี่จะคอยดูตอนรับคนไข้ใหม่ด้วยนะ”

รุ่นน้องกลุ่มนั้นรีบจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ธีรพัทธ์หัวเราะหึๆ หันกลับมา พบรักษิตยังยืนอยู่ด้วยสีหน้าคล้ายยุ่งยากใจ

“... พี่ธีรพัทธ์ครับ”

“เรียกพี่พัทธ์ก็ได้” เขาบอก “เราเคยเจอกันแล้วนะตอนคอมเมด พี่ได้ฟังตอนกลุ่มเรารายงานด้วย”

“ครับ ผมจำได้” คนตรงหน้าเขาตอบ นิ่งไปนิด ก่อนเอ่ย “ที่จริง ไม่ต้องย้ายสลับกันก็ได้ ผมไม่มีปัญหาจริงๆ”

ธีรพัทธ์มองรุ่นน้องอย่างพิจารณา ตอบว่า “ไม่เกี่ยงคนไข้น่ะ ดีแล้ว แต่ถ้าเขายังไม่ออกจากโรงพยาบาล น้องจะไม่ได้เจอโรคใหม่ๆ เลย เพื่อนน้องเขาก็จะไม่ได้มีประสบการณ์ดูแลคนไข้ที่นอนนาน ความซับซ้อนมาก”

รักษิตนิ่งไปอีก ก่อนสบตาเขาแล้วบอกว่า “พี่พัทธ์พูดถูก”

ธีรพัทธ์เกือบขำ ได้แต่บอกให้ไปทำงานต่อ

... เริ่มรู้สึกว่าปีสี่สายนี้น่าสนใจเสียแล้ว


รักษิตกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนรายงานตอนที่มีเงาทาบมาเหนือกระดาษ เงยหน้าขึ้นก็พบเพื่อนร่วมวอร์ด ทัศนีย์เจ้าเก่า กำลังยืนค้ำเขาอยู่ เปิดฉากขึ้นก่อน

“เมื่อวานเธอลงจากวอร์ดหลังสุด หลังเที่ยงคืนแล้วมั้ง”

รักษิตไม่นึกอยากถามว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร เพียงแต่พยักหน้า

“ลงจากวอร์ดหลังสุด... รอฟ้องพี่เดนท์”

ประโยคนั้นบอกออกมาอย่างคนพูดเชื่อว่าความคิดตัวเองเป็นเรื่องจริง

รักษิตไม่ชอบแก้ตัว ไม่ทำเองและไม่นิยมคนที่ทำ เขาไม่มีอารมณ์จะมาแจงสี่เบี้ยตอนนี้ บอกสั้นๆ “ไม่ใช่อย่างที่คิด”

ทัศนีย์เอียงคอ กลอกตามองเพดาน แล้วจึงว่า “ไหนๆ ก็ไหนๆ ได้อย่างที่ต้องการแล้ว เอานี่ไปย้อมให้ด้วยละกัน”

พูดจบก็ลอยชายจากไป งานในวอร์ดหรือที่เรียกว่าวอร์ดเวิร์กนั้นยังไงก็ควรจะเสร็จ ยิ่งช้า ยิ่งหมายความว่าจะได้ผลที่ใช้ช่วยในการวินิจฉัยหรือรักษาช้าตามไปด้วย รักษิตกวาดตาไปรอบๆ ปีสี่เหลือเขาคนเดียว

... มองแล็บที่เพื่อนร่วมวอร์ดกระแทกกระทั้นลงมาแล้วก็ได้แต่ถอนใจ


ใกล้เที่ยงคืน ธีรพัทธ์นึกขอบคุณที่วันนี้วอร์ดอายุรกรรมไม่เยินมาก เขาเดินดูไปรอบหนึ่งหลังอาจารย์กับพี่เฟลโลว์กลับไปแล้ว รอบนี้พวกปีหกหรือเอ็กซ์เทิร์นค่อนข้างเป็นงาน เรสิเดนท์เลยสบายขึ้นมานิด มีต้องแซะนักศึกษาแพทย์บ้าพลังบางคนที่ยังเกาะติดเตียงให้ลงไปได้แล้ว คนไข้จะได้พักผ่อน

เขาเดินจนถึงเตียงสุดท้ายมุมห้อง เห็นเงาตะคุ่ม เสื้อกาวน์ขาวยาวน่าจะเป็นนักศึกษาแพทย์อีก เวลาเยี่ยมหมดนานแล้ว... เมื่อเข้าไปใกล้ร่างนั้นก็รีบลุกขึ้น วางมือคนไข้ลง

ธีรพัทธ์ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นเสี้ยวหน้าที่ปรากฎชัด รักษิตมีท่าทางเก้อๆ เล็กน้อย เหมือนกลัวเขาจะว่า

“ญาติน้องหรือ”

“ไม่ใช่หรอกครับ... คนไข้ผม เอ้อ... หมายถึง ที่ผมช่วยดูอยู่ตอนนี้” อีกฝ่ายตอบกลับมาเบาๆ แต่ออกจะพูดเร็วกว่าปกติ อาจจะเป็นนิสัยที่ทำตอนประหม่าก็ได้ “คือ... ผมมาดูก่อนลง แล้วคุณยายก็เอามือผมไปจับ แล้วก็ไม่ปล่อย จนหลับ... เพิ่งหลับไปเมื่อกี้”

เขาไม่ได้บอกว่า เมื่อคืนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ถึงได้ลงหลังสุด และไม่บอกว่า... คุณยายที่นอนอยู่นี้ทำให้คิดถึงคุณย่าของตัวเองที่เสียไปแล้ว แม้ท่านจะเสียไปเมื่อรักษิตอายุเพียงสิบหรือสิบเอ็ดขวบเท่านั้น แต่ความทรงจำหนึ่งที่ยังแจ่มชัด ก็คือมือเหี่ยวย่นอันอบอุ่นที่มักจะลูบศีรษะเขาอย่างปรานี หรือกุมมือเขาไว้เมื่อหลานเล่าอะไรให้ฟังตามประสาเด็ก

สัมผัสนั้นคล้ายคลึงกับในตอนนี้...

ธีรพัทธ์ไม่รู้จะพูดอะไร ความจริงวอร์ดอายุรกรรมก็ไม่เหมือนจิตเวชที่มีกฎแนะนำไม่ให้นักศึกษาแพทย์สนิทสนมหรือเอ่ยทักคนไข้ในลักษณะเป็นส่วนตัวนอกเวลาทำงาน เขามองรุ่นน้องที่ยังคงมองร่างบนเตียงอยู่ เอ่ยได้แค่ว่า

“... เที่ยงคืนกว่าแล้ว”

“อ้อ” รักษิตพึมพำโดยไม่หันมามองเขา “... ผมไปแล้วครับ”

ธีรพัทธ์ก้มศีรษะรับรุ่นน้องที่ถึงจะดูใจลอยเมื่อกี้ก็ยังอุตส่าห์ทำความเคารพเขา แล้วจึงเดินกลับไปห้องพักแพทย์

คิดว่า... ปีนี้น่าสนใจจริงๆ เสียด้วย


วันต่อมาหลังเสร็จสิ้นการราวนด์จากอาจารย์แล้ว พิธานกำลังเขียนดิสชาร์จซัมมารี่หรือรายงานการจำหน่ายผู้ป่วยออก อีกนัยหนึ่งก็คือคนไข้ที่กลับบ้านได้แล้วเพื่อให้อาจารย์ตรวจก่อนส่งคืนเวชระเบียนตอนที่ได้ยินเสียงคล้ายๆ ร้องไห้ดังมาจากหอผู้ป่วย

เขาตัดสินใจวางดิสชาร์จซัมมารี่ไว้ก่อน ความจริงถ้าคิดถึงบริบทแวดล้อมหมอก็ไม่ควรจะแปลกใจที่ในโรงพยาบาลจะมีเสียงร่ำไห้บ้าง... การเสียน้ำตาเป็นการระบายความเครียด ความเศร้า... ซึ่งคงมีอยู่ทั่วไปในโรงพยาบาลอันเป็นศูนย์รวมความทุกข์ของคนมีโรคภัย แต่พิธานก็ยังไม่คิดว่าคือเรื่องธรรมดา เขาเดินออกไปหาต้นเสียง ถ้าเจ็บถ้าปวด กังวลอะไรตรงไหนจะได้แก้ไขกันไป

เพราะเขาไม่อยากให้ใจชาชินกับความทุกข์ทรมานของคน

พิธานเจอเตียงนั้นในเวลาไม่นาน คนไข้พยายามหันหน้าซุกหมอนไว้กลั้นเสียงสะอื้น เขาดูคนไข้ก่อนดูชาร์ต เป็นเด็กผู้หญิง อายุไม่น่าจะเกินสิบห้า เพิ่งผ่าตัดรักษากระดูกหักด้วยการดามโลหะ จำได้ว่ามักจะมีแม่มาคอยเฝ้าอยู่ ทั่วไปไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

แต่ ‘ไม่น่าเป็นห่วง’ ในสายตาแพทย์กับคนไข้ไม่เหมือนกัน เขาเดินไปจนคนไข้เห็น เด็กหญิงสะดุ้งน้อยๆ รีบปาดเช็ดน้ำตา

พิธานเอ่ยถามอย่างปกติที่สุด “แม่ไปไหนแล้วล่ะ”

“แม่... ลงไปข้างล่าง ซื้อของ... ค่ะ” คำตอบกระท่อนกระแท่นด้วยยังสะอื้นอยู่

โดยปกติพิธานไม่เชื่อในคำปลอบลมๆ แล้งๆ ถ้าหมอไม่เชื่อในสิ่งที่พูดออกมาเองก็ไม่ต้องหวังว่าคนไข้จะเชื่อ แต่การบรรเทาทุกข์ให้คนไข้ไม่ว่าทางใดคือสิ่งที่หมอควรทำ   

คนอื่นจะแย้งเขาก็ไม่เป็นไร... แต่พิธานคิดว่า เด็กอายุยังไม่ถึงสิบห้า ผู้ใหญ่วัยกลางคนหรือวัยเกษียณ ก็คงอยากได้ความชัดเจนและคำตอบที่ตรงไปตรงมาไม่ต่างกัน

“เจ็บตรงไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า” เขาถามทั้งๆ ที่ดูแล้วทุกอย่างก็ยัง... เรียบร้อยดีอย่างว่า ยาแก้ปวดก็ได้แล้ว

เด็กหญิงส่ายหน้า ถ้าไม่ใช่ทางร่างกายก็จิตใจ พิธานรออยู่อีกครู่ จึงได้ถาม “กังวลอะไรบอกหมอได้ไหม”

“หนูกลัวเดินไม่ได้เหมือนเดิม” คราวนี้น้ำตาร่วงพรู

อันที่จริง แพทย์ผู้รักษาย่อมต้องชี้แจงหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาที่กระดูกจะติด การกายภาพ มาตัดไหม ดูแลตัวเองหลังออกจากโรงพยาบาล ติดตามผลจนถึงเวลาเอาเหล็กออก พิธานแน่ใจว่าอาจารย์คงอธิบายไปแล้ว ซึ่งก็จริงตามนั้น

แต่ร่องรอยกังวลยังไม่จางหายไป ถ้ากลับไปเขียนดิสชาร์จซัมมารี่ต่อ ไม่วายได้ยินเสียงร้องไห้อีกระลอกแน่ เขารอจนการสะอื้นเริ่มทิ้งช่วง ค่อยบอก

“หมอก็เคยขาหักเหมือนกัน”

คนไข้ชะงัก มองอย่างไม่แน่ใจ “... จริงเหรอ”

“จริง” พิธานตอบ “หักข้างเดียวกันเลย”

เขาก้มลงม้วนขากางเกงขึ้น โดยทั่วไปก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นร่องรอยแผลเป็นแนวยาวจางๆ บนหน้าแข้งตั้งแต่เหนือข้อเท้าเรื่อยไปจนเกือบถึงหัวเข่า

คนไข้เพ่งมองรอยนั้นอย่างสนใจ น้ำตาเริ่มแห้งเหือด

“กระดูกเป็นอวัยวะที่แปลกนะ” เขาว่าเรื่อยๆ “เป็นไม่กี่อย่างที่ถ้าจัดให้เข้าที่ ได้อยู่นิ่งๆ แล้วจะหายเอง”

“แล้วทำไมหนูต้องใส่เหล็กด้วย”

อันนี้พิธานก็ค่อนข้างแน่ใจว่าอาจารย์เจ้าของไข้คงพูดไปแล้วอีก แต่คนไข้อาจจะอยากรวนหรือลืมก็ไม่แน่ใจ เขาพยายามตอบให้ง่ายที่สุด

“บางทีใส่เฝือกเฉยๆ ไม่ได้ผลดีพอ ก็ต้องใช้ผ่าตัดช่วย เข้าไปดามยึดเอาไว้ แต่อายุยังน้อยกระดูกติดเร็ว ขยันกายภาพหน่อยก็แล้วกัน”

คนไข้กลับมาสนใจขาเขาอีกแล้ว บอก “ตอนหมอเดินมาดูไม่ออกเลย”

“เพราะว่าหมอขยันกายภาพไง” เขาว่า “ต้องทำตั้งแต่แรกๆ นี่แหละ”

เห็นแม่ของเด็กเดินมาแล้วแต่ไกล พิธานรีบพูด “แม่มาแน่ะ... ไม่ต้องร้องหรอก เดี๋ยวแม่จะไม่สบายใจ”

เด็กหญิงพยักหน้า ท่าทางคลายกังวลจากเคสตัวอย่างที่เคยผ่าตัดแบบเดียวกันและเดินมาให้ดูถึงที่ พิธานจึงกลับไป แว่วเสียงเด็กหญิงบอกแม่ว่ามีหมอมาดู

“คนนั้นเหรอ” แม่ตอบ คงชะเง้อมองเขา “ไม่ใช่หมอที่ผ่าหนูนี่”

“หมอดีนะแม่ ปลอบหนูด้วย” เด็กหญิงตอบ ได้ยินเสียงรื้อถุงกรอบแกรบ “แม่ซื้ออะไรมาฝากหนูมั่ง”

พิธานเดินยังไม่พ้นวอร์ด เด็กๆ ก็ดีอย่างนี้ ความทุกข์สลายไปเร็ว อาจจะเพราะลืมได้ง่ายกว่า

ในทางออร์โธปิดิกส์ ถ้าจะใส่เฝือกยังต้องเผื่อเลยไปถึงข้อที่ไม่ได้หัก ถ้าจะยึดแล้วต้องยึดให้ทุกอย่างอยู่กับที่ ยึดไว้อย่างแน่นหนา หวังว่าสักวันจะสมานกันดี

อาจยังเสียวแปลบปลาบบ้างเมื่อลงน้ำหนักในระยะแรกๆ แต่แล้วก็หาย กระดูกที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นเป็นอย่างนั้น

แล้วหัวใจล่ะ... หัวใจไม่มีกระดูก ดังนั้นแผลจึงประสานสนิทยากเย็น และยังเจ็บปวด...


ตกค่ำ รักษิตเดินลากเท้าอย่างอ่อนระโหยโรยแรงเข้าบ้าน วอร์ดอายุรกรรมวันนี้จะว่ายุ่งก็ยุ่งเหมือนเดิม ดีหน่อยที่ไม่มีเวร ยกเว้นแต่เพื่อนร่วมวอร์ดที่ยังคงผูกใจเรื่องพี่เดนท์ย้ายเคส จึงได้สรรหาวอร์ดเวิร์กมาสุมให้เขาเมื่อตัวเองลงบันทึกในสมุดไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนตัวพี่เดนท์ผู้หวังดีสลับคนไข้ให้... ก็ไม่เห็นหน้าทั้งวัน แว่วว่าไปอยู่โอพีดีหรือแผนกผู้ป่วยนอก ส่วนตอนที่เขาออกไปช่วยที่โอพีดี ก็เจอพี่แพทย์ประจำบ้านอีกคน

รักษิตชะงักเมื่อเห็นรถคันคุ้นเคยแล่นออกจากบ้าน เขาโบกมือ ลภลดกระจกลงยิ้มให้เขา แม้จะยังมีร่องรอยความเคร่งเครียดกังวลอยู่ลึกๆ รักษิตรีบถาม

“พี่ลภไปไหน ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันหรือ”

“คุณแม่ษิต...” คนในรถหยุดถอนใจ “ให้พี่ไปคุยเรื่อง... ช่างเถอะ เอาเป็นว่าพี่ต้องไปพยายามขายของในระหว่างที่ลูกค้าพยายามจะกินมื้อเย็น”

รักษิตสะดุดกับความขมกลายๆ เมื่ออีกฝ่ายพูดคำว่า ‘ขายของ’ แต่พยายามจะไม่คิดมาก ถามไถ่ถึงร้านที่ลภต้องไป เมื่อได้คำตอบก็เอ่ย

“ไม่ไกล... เสร็จแล้วกลับมาค้างเสียที่นี่ก็ได้”

ห้องของหมอลภในบ้านหลังนี้ แม้สมควรแก่สิทธิ์ทุกประการ แต่ก็เป็นห้องที่แทบไม่เคยถูกใช้เลย จริงดังคาดเมื่อลภตอบเขา

“พี่กลับบ้านพี่ดีกว่า”

“ที่นี่ก็บ้านพี่เหมือนกัน” รักษิตหวังว่าประโยคนี้จะไม่ฟังดูเหมือนเขาดื้อดึง เพียงแต่อยากให้รู้ว่าอะไรที่เขามีสิทธิ์ ลภก็มี ยิ่งกว่ามีอีก

ลภมองเขานิ่งๆ ยิ้มอยู่น้อยๆ อันเป็นวิธีที่อีกฝ่ายใช้เมื่อไม่อยากโต้เถียงกับเขา จนรักษิตต้องเปลี่ยนเรื่องไปเอง

“คุณแม่อารมณ์ดีหรือเปล่าครับ”

“พักนี้ยุ่งๆ” ลภตอบ “แต่พอเห็นษิตเข้าไปหา คงหายเหนื่อย...”

รักษิตถอยออกมา พูดเหมือนทุกครั้ง “ขับรถดีๆ ครับ”

เขามองรถคันนั้นลับไปจากบ้านแล้วจึงเดินเข้าไปข้างใน ชะงักเป็นคำรบสองเมื่อพบมารดาแต่งกายงามพริ้งเดินลงมาจากบันได

“คุณแม่จะออกไปข้างนอก” ลูกชายพึมพำ ไม่เป็นประโยคคำถาม เพราะความจริงนั้นเห็นอยู่ต่อหน้า คุณตรีรัตน์กรายเข้ามาใกล้ จูบแก้มเขาเบาๆ ทีหนึ่ง

“แม่มีงานเลี้ยง ษิตกินอะไรมาหรือยังลูก ให้แม่บ้านทำให้นะ”

รักษิตกลับไม่รู้สึกหิวด้วยสนใจเรื่องอื่นมากกว่า “คุณแม่... พี่ลภบอกเรื่องจะกลับไปเรียนต่อแล้วใช่ไหม”

มารดาพยักหน้า “แม่ว่าก็ดี กว่าเขาจะได้เรียนยังมีเวลาจัดการเรื่องที่บริษัทให้เรียบร้อยก่อน แล้วถ้าได้เข้าไป พวกอาจารย์ในภาคศัลย์ชมพี่ลภของลูกจะตาย ไปงานไหนต่องานไหนแม่ได้ยินตลอดเขายังจำกันได้ เคยอยากให้เป็นสตาฟตอนเรียนจบด้วยไม่ใช่หรือ แบบนี้จะพูดจะจาอะไรเรื่องผลิตภัณฑ์หรือเครื่องมือเรามันก็สะดวก ต่อไปน่ะ”

รักษิตเข้าใจสีหน้ายุ่งยากของคนที่เพิ่งขับรถออกไปจากบ้านตอนนี้เอง เขาพูดเสียงอ่อน

“คุณแม่... อย่าบังคับพี่เขานักเลย เท่านี้ เขาก็ช่วยทุกอย่าง ทำทุกอย่างที่ทำได้อยู่แล้ว คุณแม่ก็ทราบเพราะอะไร”

“ษิตอย่าเพิ่งคิดเลยลูก เรื่องของผู้ใหญ่” คุณตรีรัตน์กลับตัดบทเพียงเท่านั้น “แม่ต้องไปแล้ว”

รักษิตถอนใจ แม้แม่บ้านเข้ามาถามเรื่องมื้อเย็นก็พยักหน้าตอบอย่างเนือยๆ

โต๊ะกินข้าวขนาดสิบแปดที่ดูกว้างเกินไปจริงๆ เมื่อเขาต้องนั่งอยู่คนเดียว
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 17-05-2014 01:05:41
คุณ pedchara ขอบคุณค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ =นีรนาคา= ขอบคุณมากสำหรับการต้อนรับค่ะ ก็น่าจะมีนะ ปมอดีตเนี่ย ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณลำนำบุหลันครวญ ขอบคุณน้าที่มาทักทายกัน จริงๆ พอมาเขียนเรื่องเองนี่ทำให้ไม่ได้อ่านของคนอื่นไปเลย เรื่องหมอเป็นเรื่องที่อยากลองเขียนดูจ้ะ แต่รายละเอียดเยอะมาก เยอะจริงๆ แต่ถ้าจะเป็นนิยายแนวหมอ ที่คนเกินครึ่งก็เป็นหมอนี่มันก็คงต้องใส่ ก็พยายามเช็คให้ถูกที่สุดละนะ ตัวละครเยอะอาจจะเพราะเปิดมามากในบทแรกมั้ง แต่น่าจะมีประมาณเท่านี้แล้วแหละ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจอีกครั้งนะคะ

คุณ malula สวัสดีอีกครั้งค่ะ ตัวเอกจริงๆ มีสี่ค่ะ 55 ชีวิตยุ่งเกี่ยวกันไปมา เดี๋ยวความสัมพันธ์ก็จะค่อยๆ เปิดเผยไปแหละนะ ขอบคุณมากๆ สำหรับการอ่านค่า

คุณ AGALIGO ขอบคุณที่แวะอ่านค่ะ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจ เพราะเขียนยากอยู่ทีเดียว

คุณ lizzii ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

คุณ piggyfree จริงๆ ด้วยเนอะ อย่างพ่อแม่เราก็จะคุ้นเคยกับหมออยู่แค่ไม่กี่คน โดยเฉพาะทางออร์โธต้องเชื่อใจหมอจริงๆ ค่ะเพราะหมอคนผ่าจะรู้ดีสุดว่าทำอะไรแน่นหนาแค่ไหน ควรขยับตอนไหนอะไรอย่างนี้ พยาบาลรู้สึกอย่างนั้นก็ไม่แปลก เพราะหมอกลัวจะพลาดเลยดับเบิ้ลเช็คบ่อยๆ นี่แหละ (ต้องทำอย่างพี่พัทธ์ เอาใจพยาบาลเข้าไว้ 55) เดี๋ยวตัวละครที่เปิดมาแล้วก็จะมีบทของตัวเองไปเรื่อยๆ หวังว่าจะไม่งงนะคะ

คุณ ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ 55 ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ แต่ก็ดูพี่น้องอยู่นะ ไม่รู้พี่น้องยังไงสิ สมาร์ทนี่ในวงการหมอก็ยังพูดกันอยู่นะคะ แต่อาจจะเพราะสังคมหมออนุรักษ์เลยเปลี่ยนช้าก็ได้ 55 ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ Wordslinger ขอบคุณมากกกที่ยังตามอ่านกันอยู่ เป็นกำลังใจให้กับการเขียนเหมือนกันนะคะ ขอบคุณมากๆๆ สำหรับการติดตามค่ะ

คุณ Nemasis ขอบคุณสำหรับการอ่านมากค่ะ ขอบคุณที่รอด้วยน้า แหะๆ ตัวละครเยอะสุดเท่าที่เคยเขียนมาค่ะ แต่ก็คงไม่เยอะไปกว่านี้แล้วแหละ

คุณ Sillyfoolstupid ขอบคุณมากที่อ่านค่าคือรายละเอียดมันเยอะจริงๆ แต่จะเยอะหน่อยช่วงแรกๆ เนอะ มาช้าหน่อยนะช่วงแรกๆ เพราะเหตุนี้แหละ ขอบคุณมากค่ะปลื้มใจจริงเวลาคนอ่านบอกว่าอ่านนิยายเราอีกรอบ :)

คุณ sang som 55 ไม่รู้ว่าที่เคยคู่กันจะได้คู่กันอีกไหมค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ liza sarin ขอบคุณมากค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ BeeRY ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งค่ะ ความสัมพันธ์ตอนนี้ทุกคนยังคลุมเครืออยู่นะจริงๆ แล้ว ต้องรอดูกันต่อไปจริงๆ ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ afewn ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่า ถ้าชอบเรื่องหมอก็ฝากอ่านต่อด้วยน้า โทษทีที่ช่วงแรกๆ จะช้าหน่อยน้า

คุณ SenzaAmore สวัสดีอีกครั้งค่า ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มาแล้วค่ะ ช้าเนอะ ขออภัย แต่ก็สัญญาเหมือนเดิมว่าจะมาเรื่อยๆ พยายามจะไม่สั้น 55 และจะเขียนจนจบค่ะ เรื่องนี้ก็ตัวละครเยอะสุดเท่าที่เขียนมาจริงด้วย แต่ว่าถ้าโผล่มาแล้วนี่เดี๋ยวก็จะโผล่มาอีกให้ได้ทำความรู้จักมักคุ้นกันไปนะคะ :) แล้วก็มีประมาณเท่านี้แหละ ยิ่งสี่คนหลักของเราชีวิตพัวพันกันตลอด แบ่งกันเด่น (นี่ฝากถึงพี่ลภซึ่งยังแวบไปแวบมาอยู่ 55 เดี๋ยวก่อนเถอะ เดี๋ยวจัดให้ ยังไม่ได้เข้าไปเรียนและเจอหมอกระดูกผู้เคยกระดูกหักของเราเลยนะ) แรกๆ ปูเยอะเรื่องจะไปช้าๆ กันนิดนึง แต่ไม่นานหรอกค่ะ :)

ป.ล. ก็ยังรู้สึกว่าเขียนยากอยู่นะ (นี่ก็เขียนมาสั้นสี่ยาวสองละ - ถึงเรื่องยาวจะไม่ยาวมากก็เหอะ) อยากเป็นแบบว่ายิ่งเขียนยิ่งง่ายลื่นปรื๊ด แต่รายละเอียดเรื่องนี้มันเยอะจริงๆ น้า ทั้งตัวอาชีพที่เป็นแบคกราวนด์ แล้วก็ปมกะภูมิหลังแต่ละคนนี่ไม่ใช่น้อย - -" แต่จะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ :) ขอบคุณมากๆๆ อีกครั้งสำหรับการอ่านนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-05-2014 01:34:21
ยังไม่รู้ความเป็นมาของหมอลภ เลยไม่รู้ว่าทำไมต้องคอยเป็นลูกไล่คุณนายแม่ของรักษิตด้วย
แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเคยมีอดีตกับหมอพิธาน
ส่วนหมอพัทธ์คนนี้ออกทีหลังแต่แววพระเอกมาล่ะ (เดาล้วน ๆ)
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 17-05-2014 07:47:46
ทัศนีย์เหมือนเธอเป็นคนเห็นแก่ตัวจริงนะ นิสัยแย่จัง  :เฮ้อ:

หมอลภและหมอพิธาน? อะไร? ยังไง? ส่วนหมอพัทธ์ชอบนิสัยหมอจังค่ะ  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 18-05-2014 20:25:54
สนุกจัง
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-05-2014 20:54:53
แวะเข้ามาอ่านดูเพราะเห็นชื่อคุณเดหลี ยิ่งเห็นเป็นเรื่องที่เกี่ยวหมอกับพยาบาลยิ่งชอบเลย แต่ตอนนี้ยังยุ่งรุงรังอยู่ไม่รู้ใครคู่ใครอย่างไร ติดตามอ่านต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 18-05-2014 21:17:58
ตัวละครหลักสี่คน น่าสนใจมาก หมอลภยังเป็นปริศนาที่สุด รอเฉลยไปเรื่อยๆนะคะ ยาวอ่านเพลินเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-05-2014 22:45:09
เหมือนมีสองคู่ พัลลภกับพิธาน  ธีรพัฒน์กับรักษิต
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 19-05-2014 00:24:35
มาต่อแล้วดีใจมากเลยยย
เรื่องนี้ยังคงต้องใช้สมาธิในการอ่านระดับสิบอีกเช่นเคย บางประโยคต้องอ่านสี่รอบ ฮาาา
ภาษาหมอศัพท์เทคนิคค่อนข้างจะเยอะเนาะ ยาวจุใจดีจังเลย มาต่อบ่อยๆนะคะ คิดถึงทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ohuii ที่ 21-05-2014 13:18:46
ภาษาเรียบลื่นมากๆเลยค่ะ อ่านเพลินแต่ต้องตั้งใจอ่านเพราะศัพท์คุณหมอคนอ่านไม่คุ้นเท่าไหร่ 55
 คนเขียนเป็นคุณหมอหรือเปล่าคะเขียนได้ลื่นมากเลย
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 2] 17 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 23-05-2014 11:39:34
 o13 สนุกค่ะ พอดีเรียนในวิชาชีพสายนี้พอดีเลยรู้สึกอ่านแล้วเห็นภาพเลยค่ะ 555

รอตอนต่อไปน้า +1ให้กำลังใจ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 31-05-2014 03:28:25
บทที่ 3

“เป็นไรวะหน้าตาไม่ค่อยเสบย”

คำทักทายประโยคแรกที่ศิวัชเอ่ยเมื่อเห็นหน้าเพื่อนในเช้าวันรุ่งขึ้นได้รับเพียงการสั่นศีรษะตอบกลับมา เมื่อคืนหลังจากพยายามกินข้าวเย็นไปแล้ว รักษิตก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอีกพักอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี อ่านหนังสือก็ยังไม่มีสมาธิพอ รอแม่ก็ไม่ทราบเมื่อไรถึงจะกลับ เพราะบางครั้งเมื่อออกงานค่ำซึ่งไม่พ้นเพื่อเป็นการหาลู่ทางธุรกิจเสร็จสิ้น คุณตรีรัตน์มักวกกลับไปที่บริษัท ติดต่อกับหุ้นส่วนในอีกทวีป บางครั้งก็ค้างที่นั่นเลย

เขาจึงตัดสินใจกลับมานอนหอเหมือนเดิมดีกว่า

... แต่พอได้ยินรูมเมตคุยกันเรื่องคนไข้ที่รับไว้ซึ่งเพิ่งเสียชีวิต ก็อดหดหู่ตามไปด้วยไม่ได้ แม้ความตายจะเป็นสิ่งที่ต้องพบเจออยู่เสมอตราบใดที่ยังทำงานแบบนี้ และนักศึกษาแพทย์ถูกอบรมให้เตรียมรับมือไว้บ้างแล้วก็ตาม

รักษิตถามถึงเพื่อนร่วมห้องของอีกฝ่ายซึ่งมักจะลงมาพร้อมกันเนื่องจากขึ้นวอร์ดเดียวกันอยู่แล้ว ศิวัชตอบว่า

“เมื่อคืนไม่มีเวร เอ้อ้วนเลยนอนบ้านที่ปทุม กลับมาทีไรค่อยเบิกบานหน่อยเพราะได้เจอแม่ เจอน้อง”

เขานี่... เจอคนในครอบครัวก็เหมือนไม่เจอ แต่รักษิตหยุดความสงสารตัวเองไว้เพราะ... ทุกคนต่างมีปัญหากันทั้งนั้น ศิวัชเองกลับบ้านนับครั้งได้ เขาพอรู้เลาๆ แต่เรื่องค่อยชัดเจนขึ้นเมื่อศิวัชโทรศัพท์หาเขาวันก่อนจะไปลงพื้นที่เวชศาสตร์ชุมชนด้วยกันก่อนขึ้นปีสี่

‘ถึงหอแล้วใช่มั้ยษิต’

เขาตอบว่าเพิ่งเอาของเก็บเมื่อสักครู่นี้เอง ได้ยินเสียงในสายพูดต่อ ‘เออดี ลงมาช่วยถือของหน่อยเถอะ พอม้ารู้ว่าจะไปลงชุมชนต่างจังหวัดก่อนเปิดเทอมกลัวไม่มีกินเลยทำมาให้เยอะเลย’ ตามด้วยเสียงถอนใจหนึ่งเฮือก

‘ไม่ได้กันดารขนาดนั้น’ รักษิตจำได้ว่าตอบไป ส่วนเพื่อนพูดเสียงหน่าย

‘รู้ แต่ไม่เอามาก็เฮิร์ตอีกป่ะ เท่านี้ก็บ่นว่ามีลูกเหมือนไม่มี ไม่ค่อยอยู่บ้านแล้ว เอาเหอะจะได้แบ่งคนอื่นกินด้วย นี่มารึยังษิต’

เขาจึงรีบลงจากหอ เห็นศิวัชยืนอยู่ข้างรถคันหนึ่งกำลังลำเลียงข้าวของวางบนพื้น กระจกด้านคนขับถูกลดลง ได้ยินเสียงพูดลอดออกมาชัด

‘นี่เฮียลื้อจะจบปีหน้านี้แล้ว ได้มาทำมาหากินช่วยพ่อช่วยแม่ ลื้อเท่าไหร่นะ อีกสามปี? เสร็จแล้วก็ไม่ได้มาช่วยที่บ้านอยู่ดี’

รักษิตเห็นเพื่อนยืดตัวขึ้น ตอบด้วยเสียงค่อนข้างดัง

‘อากงครับ! อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ตอนป่วยไข้ขึ้นมาก็แล้วกัน ผมไม่ได้แช่งใครทั้งสิ้นนะอย่าเข้าใจผิด แต่ต้องมีบ้างล่ะที่คนเราจะป่วย’

‘กว่าลื้อจะเรียนจบ กงแก่กว่านี้อีก ลื้อไปใช้ทุนต่างจังหวัดงกๆ ไม่ได้มารักษาหรอก กงซี้ก่อน!’

... ศิวัชเถียงไม่ออกเรื่องต้องใช้ทุนตามหน้าที่ ได้แต่พนมมือไหว้บอกว่า ‘ผมไปละ ขอให้อากงสุขภาพแข็งแรง’

เพื่อนยืนรีรออยู่ทันได้ไหว้ตาม จากนั้นช่วยโกยที่เหลือขึ้นมาถือ ส่วนศิวัชสะพายเป้มือหิ้วของเดินดุ่มๆ นำหน้ากลับเข้าหอ

ลูกพี่ลูกน้องของศิวัชเรียนเศรษฐศาสตร์ ซึ่งอาจจะดูใช้ช่วยงานการได้มากกว่าในครอบครัวที่เน้นเรื่องค้าขายแต่รุ่นบรรพบุรุษอย่างบ้านของเพื่อน แต่รักษิตคิดว่าอากงของศิวัชรักหลานคนเล็กไม่น้อยไปกว่าตัวญาติผู้พี่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ขับรถมาส่งถึงคณะเพื่อให้มาเรียนต่อ

แต่นั่นแหละ ยังต้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่ดี... และอาจเป็นต่อไปอีกนาน เนื่องด้วยหลานไม่อยากฟังปู่บ่นเชิงเปรียบเทียบเพราะทำอย่างไรก็คงไม่สามารถจบ ‘เร็วๆ’ ภายในสี่ปีพร้อมลูกพี่ลูกน้อง และมาช่วยงานที่บ้านได้ทันทีแน่ๆ ส่วนแม่ออกแนวห่วงลูกชายคนเดียว คอยซักคอยถามอยู่บ่อยๆ ถึงความกันดารอันคิดไปก่อนล่วงหน้าของพื้นที่ใช้ทุน แม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าต้องลงเอยที่ไหน แต่ ‘ม้า’ ก็คาดว่าต้องห่างไกลความเจริญทุกที่ไป

เมื่อบ้านเป็นครอบครัวใหญ่ค่อนข้างวุ่นวาย เพื่อนเลยได้ข้ออ้างบอกพ่อแม่ แม้จะไม่มีเวรก็... อยู่หออ่านหนังสือ

ถ้าศิวัชไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านเพราะเหตุคนอยู่เยอะ เขาก็คง... ไม่อยากกลับเพราะไม่มีใครอยู่เลยละมัง

“ไปหาอะไรกินกันก่อน” ศิวัชตบบ่าเขา “กองทัพเดินได้ด้วยท้อง วอร์ดเดินได้ด้วยมดงานอย่างเรา นี่ตั้งแต่ขึ้นวอร์ดศัลย์มาตีห้าตื่นเองเลย หิวว่ะ ท้องร้อง”

รักษิตเดินตามเพื่อนไปโดยดีแม้ยังไม่รู้สึกอยากกินอะไร หวังว่าเมื่อเห็นอาหารจริงๆ แล้วจะหิวขึ้นมาได้บ้าง ศิวัชเล่าว่าเมื่อวานเจอเกตุวดีตอนลงจากเวร หวิดโดนกัดเสียอีกแล้ว

"... ตอนพี่เกี้ยวขึ้นจิตเวชก็เคยโดนกัดเหมือนกัน” รักษิตพูด จำได้จากที่เกตุวดีเคยบอก

"สงสัยถ่ายทอดในยีน ยีนแนวโน้มว่าจะถูกกัด" ศิวัชว่าไปเรื่อยพลางหัวเราะ "ดีนะ เกดไม่มีน้องอีก...”

บ้านนั้นน่าจะมีกันแค่สองคนพี่น้อง กรองพรกับเกตุวดี... รักษิตไม่ค่อยรู้ละเอียดนักเนื่องจากเพื่อนไม่ขยายความเรื่องส่วนตัวสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกห่างเหิน เพราะแต่ละคนมีนิสัยเรื่องนี้ต่างกันอยู่แล้ว กับญาดาเขาแทบจะรู้หมดตั้งแต่ปีหนึ่งว่าอีกฝ่ายภูมิลำเนาจากไหนมีญาติพี่น้องกี่คน และถึงแม้ญาดากับเกตุวดีจะนิสัยไม่เหมือนกัน ก็ยังเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทแน่นแฟ้นกลมเกลียวดี

เดินมาจนถึงโรงอาหาร ได้ข้าวเรียบร้อยศิวัชก็ต่อที่ร้านข้างๆ

“โอเลี้ยง... เอ๊ะ น้ำเปล่าดีกว่า” ก่อนหันมาพูดกับเขา “ถ้าติดกาแฟตั้งแต่ยังเรียนไม่จบชีวิตภายภาคหน้าจะเป็นไงวะ”

รักษิตมองเพื่อน วีรเวรสมัยปีสามของศิวัชก่อนการสอบใหญ่นั้นคืออ่านหนังสือพร้อมกระปุกกาแฟผงและช้อนหนึ่งคัน ฝืดคอเข้าก็ซดน้ำตาม มิไยที่เพื่อนร่วมห้องจะพยายามยื้อออกเนื่องจากกลัวเจ้าตัวหัวใจวายตายก่อนได้เข้าห้องสอบ สุดท้ายอนันต์ต้องโทรหาเขา ขึ้นไปเคาะห้องลากกันลงมาอ่านพร้อมหน้ากับรูมเมตของรักษิตเองที่ยังไม่นอนทั้งสองคน โต้รุ่งยาวไป

“ไม่ติดอะไรก็ดีแล้ว” เขาตอบขำๆ ไม่ได้รื้อฟื้นเรื่องกระปุกกาแฟ ศิวัชถามต่อเรื่องเวรที่เมื่อวันเสาร์รักษิตเพิ่งจะอยู่ไปพร้อมทัศนีย์ ซึ่งทำให้เข้าใจว่าสายตัวแทบขาดนั้นเป็นอย่างไร การอยู่เวรกับผู้ที่ทำงานไม่ค่อยจะเข้าขากันแถมยังทำหูทวนลมกับสิ่งที่เขาบอกนอกจากเหนื่อยเพิ่มกันทั้งสองฝ่ายแล้วยังหงุดหงิดใจอีก ซึ่งรักษิตรู้ว่าทัศนีย์คงนึกโทษเขาตามเคย

“เวรกว่าเดิมมั้ยล่ะ” เพื่อนถามเหมือนตาเห็น รักษิตถอนใจ ญาดาคงไปขยายให้ศิวัชฟังแล้ว แต่เขาก็ต้องอยู่วอร์ดอายุรกรรมกับนักศึกษาแพทย์ชุดเดิมไปจนครบสิบสัปดาห์อยู่ดี

“เอ้า กิน!” ศิวัชจิ้มช้อนพรวดเมื่อคนนั่งตรงข้ามชักจะรามือลง “อีกตั้งหกชั่วโมงกว่าจะเที่ยง ไม่กินจะเอาแรงที่ไหนไปสู้รบปรบมือ”

รักษิตจำได้ว่าครั้งแรกที่ศิวัชเข้าห้องผ่าตัดอีกฝ่ายบอกเขาด้วยท่าทางเพลียๆ เมื่อเจอกันเย็นวันเดียวกันนั้นที่หอ

‘นี่มันไม่ใช่โอเพอเรทิฟฟิลด์แล้ว มันคือแบทเทิลฟิลด์ชัดๆ!’

ถ้านี่เป็นสงคราม หมอก็ต้องสู้กับโรคภัยโดยมีวอร์ด โอพีดี และบริเวณผ่าตัดเป็นสนามรบ เดิมพันอยู่ที่ชีวิตของคนไข้

และกองทัพ... เดินได้ด้วยท้องจริงๆ เสียด้วย


ธีรพัทธ์กำลังมีเรื่องปวดหัวกับรุ่นน้องแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งที่อยู่เวรห้องฉุกเฉินและได้รับการปรึกษาหรือคอนซัลต์มาในช่วงเวลาราชการ ซึ่งหมายความว่าควรจะรายงานเขาที่เป็นคนอยู่เวรปรึกษาต่อ แต่ก็กลับไปก่อน ที่สำคัญคือรุ่นน้องบอกหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านว่าส่งเวรแล้วโดยที่เขาได้ใบคอนซัลต์ช้าไปมาก ธีรพัทธ์เคยโดย ‘โยน’ มาแล้วตอนใช้ทุนปีแรกเนื่องจากรีบไปดูคนไข้ กว่าจะเห็นว่าใบคอนซัลต์นั้นผิดเรื่องรายละเอียดเวลาไปโขก็อีกวัน กลายเป็นเขาไปดูคนไข้ล่าช้ากว่าที่ควร

... เลยต้องคอยเตือนตัวเองให้ละเอียดถี่ถ้วนในด้านเอกสารมากกว่านี้ ไม่วายเกิดเรื่องอีกจนได้ เขาไม่อยากจะโทษวัฒนธรรมฟ้องร้องหมอที่เริ่มเกิดหนักและถี่ในช่วงหลัง เพื่อนร่วมวิชาชีพบางคนจากที่ควรจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันจึงชักเอนเอียงไปทางรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ผลักภาระความรับผิดชอบหรือความสุ่มเสี่ยงให้พ้นตัวก่อนเสียหมด

ตอนเย็นถ้าเจอหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านเขาอาจจะหาโอกาสชี้แจง ซึ่งเป็นเรื่องรองลงไป เพราะตั้งแต่เช้าถึงสายวันนี้อายุรกรรมยุ่งรุงรังไม่น้อย แก้ช็อค ความดันตก แก้ชากับตะคริว (พบว่าแคลเซียมลงฮวบฮาบ) คนไข้ดึงท่อออก ใส่กลับเข้าไปใหม่ ฯลฯ แล้วตอนนี้คนไข้ที่ซีดมาเพราะโลหิตจางจากธาลัสซีเมียและรับเข้าไว้นอนในโรงพยาบาลเพื่อให้เลือดก็...

ธีรพัทธ์ขมวดคิ้วจนรู้สึกว่าตั้งแต่มาเป็นแพทย์ประจำบ้านเขาน่าจะมีรอยย่นที่หน้าผากถาวร ถามพยาบาลว่า

“เขียนใบขอเลือดกับส่งตัวอย่างไปพักใหญ่แล้ว เจ้าหน้าที่ไปรับมาหรือยังครับ”

“ในคอมฯ มันยังไม่ขึ้นให้ไปเอาได้เลยหมอ”

“รบกวนโทรตามที” เขาบอก บางครั้งโทรไปก็ไม่ช่วยให้เร็วขึ้น เพราะถ้าไม่ใช่กรณีเร่งด่วนมากจริงๆ จะต้องรอการตรวจความเข้ากันได้หรือที่เรียกว่าครอสแมตช์ ซึ่งกินเวลาประมาณชั่วโมงกว่าเพื่อความปลอดภัย แต่อย่างน้อยจะได้รู้ว่าถึงไหนแล้ว

พอติดพยาบาลส่งโทรศัพท์ให้เขา ธีรพัทธ์รับแล้วว่า “ครับ ผมเขียนไปเอง... อ้าว รอจ่ายแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นในคอมพิวเตอร์เลย โอเคๆ ขอบคุณครับ เดี๋ยวส่งคนไปรับ”

วางหูเหลียวหาเจ้าหน้าที่หอผู้ป่วยไม่พบ ต้องถามพยาบาลอีก “นี่เขาไปไหนกันหมด”

“วันนี้ลาหลายคนหมอ ที่เหลือไปส่งเอกสาร”

ธีรพัทธ์ไม่อยากวานนางพยาบาลวัยใกล้เกษียณ เดนท์หนึ่งเอ็กซ์เทิร์นทุกคนงานล้นมือ เขาเองก็ติดพันคนไข้อยู่อีกสองสามคน เที่ยงน้องปีสี่ปีห้าคงลงหมดแล้ว

เขาเห็นเสื้อกาวน์ยาวสีขาวอยู่ไวๆ เจ้าของเดินออกมาจากมุมในสุดและกำลังจะลับพ้นประตู จึงรีบเรียกไว้ “น้องๆ!”

รักษิตหันมาอย่างแปลกใจนิดๆ แต่ก็เดินมาตามที่เรียก ธีรพัทธ์คิดว่าตัวเองน่าจะเดาออกว่าเป็นใคร เพราะเจ้าตัวคงไล่ดูคนไข้จนถึงเตียงหญิงชราเมื่อคืนก่อนโน้นและหยุดอยู่เตียงนั้นนานอีกนั่นแหละถึงได้ลงช้ากว่าเพื่อน 

“โทษที กวนเวลากินข้าวนิดหนึ่ง... นี่ใบรับเลือด เอากระติกน้ำแข็งให้น้องด้วย ขอบคุณครับ” ประโยคหลังเขาบอกพยาบาลก่อนหันมาพูดต่อ “ช่วยไปรับให้พี่หน่อยนะ คนไข้รออยู่”

รักษิตรีบรับคำอย่างเต็มใจ รู้สึกว่าถึงจะเป็นงานเล็กน้อยแต่ก็นับว่าได้ช่วยคนไข้เหมือนกัน อาจจะเป็นความสำคัญของมดงานอย่างที่ศิวัชว่า


วิ่งไปรับเลือดมาส่งที่วอร์ดแล้วเลยได้ดูและช่วยเหลือการให้เม็ดเลือดแดงเข้มข้นก่อนจะถูกไล่ให้ลงไปกินข้าว กินเสร็จรักษิตไปต่อแถวที่ร้านขายน้ำ แต่มีคนมาต่อหลังเขาเกือบจะทันที ต้องหันไปเมื่อได้ยินเสียงคุ้นๆ ถามขึ้น

“ร้านนี้อะไรอร่อย"

รักษิตกำลังนึกอยู่เพราะอร่อยของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน พอดีกับอีกฝ่ายเปลี่ยนคำถาม

"น้องชอบกินอะไร"

อันนี้ง่ายหน่อย “ผมกำลังจะสั่งโกโก้เย็น...”

“อ้อ ปั่นไหม”

“ปกติก็ไม่หรอกครับ ชอบกินแบบใส่น้ำแข็งธรรมดามากกว่า”

ธีรพัทธ์พยักหน้า “สมัยพี่ร้านนี้ไม่มี”

“หรือว่าจะใส่กาแฟผสม” รักษิตขยายเมนู แต่คิดว่าควรต้องเตือนคนพยายามจะสั่งตาม “ไม่รู้พี่พัทธ์จะชอบหรือเปล่า คือร้านนี้เขา... คนอะไรไม่ค่อยละลาย เพื่อนบางคนก็ชอบให้ใส่โอรีโอด้วย”

"แล้วคนทุกอย่างไม่ละลายเนี่ยนะ?"

"ละลายบ้างไม่ละลายบ้าง" คนตอบก็ดูชินเสียจนธีรพัทธ์ชักไม่แน่ใจว่าที่ใส่ๆ ในแก้วให้ซื้อกินกันทั้งคณะแพทย์ (และคณะข้างเคียงด้วย) นี่เกิดจากความขี้เกียจของคนขายหรือความชอบของลูกค้าจริงๆ กันแน่ แต่คนกำลังจะซื้อบอก “... อร่อยดี”

พอถึงคิวเขารักษิตรีบพูด “พี่พัทธ์สั่งก่อนก็ได้” คิดแต่ว่าอีกฝ่ายอาจจะต้องรีบไปทำงานต่อ

“เอางั้นเหรอ”

รุ่นน้องพยักหน้า ถอยไปข้างๆ เพื่อเว้นที่ให้ ได้ยินเสียงบอกคนขายว่าโกโก้เย็นไม่ปั่น พอเขาขยับจะไปสั่งบ้างก็พบว่าแก้วถูกยื่นมาตรงหน้าแล้ว

“ค่าวิ่ง” คนให้ว่ายิ้มๆ ก่อนจะผละไป รักษิตมัวแต่งงเสียจนยังไม่ได้ขอบคุณ

... แก้วโกโก้ในมือเขาเย็นจัดขัดกับเปลวแดดร้อนภายนอก


ดูนาฬิกายังไม่บ่ายโมง อีกทั้งอาจารย์เลื่อนบรรยายเป็นบ่ายครึ่ง รักษิตจึงขึ้นไปวอร์ดเพื่อดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้างหรือไม่ เอ็กซ์เทิร์นสองสามคนกับพยาบาลจับกลุ่มกันตรงโต๊ะแถวเคาน์เตอร์ เมื่อเห็นเขาก็ส่งเสียงชวน

“น้อง กินขนมไหม”

รักษิตเดินเข้าไปใกล้ เห็นถุงข้าวของวางกองอยู่ เอ็กซ์เทิร์นในสายเดียวกันพูดขึ้นว่า

“พี่พัทธ์ซื้อมาให้ รายนี้ละชอบซื้อขนมแจกคน”

“ของหมอซื้อมาเองหรือคนไข้ฝาก” พยาบาลที่ร่วมวงอยู่ด้วยกระเซ้าต่ออย่างรู้ทัน “หมอพัทธ์เขาแม่ยกแยะ”

“เอาน่า... พี่ให้แล้วก็ถือว่ากินได้หมด” เอ็กซ์เทิร์นตอบพลางยิ้ม

“หมอยังไม่แต่งงานก็เงี้ย จะซื้อของฝากที ก็เป็นรุ่นน้องเป็นเพื่อนร่วมงาน ส่วนใครเอาของมาฝาก ก็ต้องให้เรากินอีกเพราะอยู่คนเดียว เอากลับไปไม่นานก็เสีย” พยาบาลอีกคนบอก “แต่ไม่ใช่ไม่ชอบนะ ได้ของกินเนี่ย...”

“นินทาอะไรผมครับ ได้ยินนะ” เสียงกลั้วหัวเราะนำมาก่อนเจ้าของจะโผล่เข้ามาในวอร์ด เรียกเสียงทักให้แซด ธีรพัทธ์เอื้อมมือไปหยิบแฟ้มมาดู พยาบาลรีบยื่นเอกสารที่ต้องการลายเซ็นให้ แต่ยังตอบ

“เรื่องจริงทั้งนั้นหมอ ดูอย่างเดนท์คนอื่นสิแต่งงานตั้งแต่ตอนใช้ทุนแล้วค่อยมาเรียนต่อ พี่กลัวหมอจะมีลูกไม่ทันใช้”

“ผมถูกใจคนยาก” เขาว่า สุ้มเสียงไม่จริงจังนัก “หรือถูกใจแล้วเขาก็ไม่ถูกใจผม อยู่อย่างนี้ก็สบายดี เห็นเพื่อนมีลูกแล้วยังนึกภาพตัวเองไม่ออก”

จากนั้นจึงกระจายกลุ่มเอ็กซ์เทิร์นกลับไปดูคนไข้ต่อ รักษิตได้โอกาสขอบคุณเรื่องแก้วน้ำเมื่อกลางวัน... คงเป็นนิสัยของอีกฝ่ายที่ชอบซื้อของกินให้รุ่นน้องในสาย ไม่ก็พยาบาลร่วมวอร์ดเป็นประจำอยู่แล้ว ธีรพัทธ์เพียงแต่ยิ้ม

พยาบาลเรียกรุ่นพี่ให้เซ็นเอกสารอีก รักษิตจึงหันมองออกนอกหน้าต่าง ข้างล่างเป็นลานจอดรถ เขาเพ่งมองเมื่อเห็นกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ เดินออกมาจากชั้นล่างของอาคาร เห็นหมอลภเข้าก็ดีใจ

เพราะผู้ที่เดินไปพลางคุยไปพลางกันอยู่นั้นล้วนเป็นอาจารย์จากภาควิชาศัลยศาสตร์ พี่ลภคงสมัครไว้แล้ว และมาสัมภาษณ์กับอาจารย์วันนี้เรื่องการเข้าเป็นแพทย์ประจำบ้านต่อยอด ซึ่งรับน้อยมากเพียงปีละคนสองคนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอนุสาขาใดก็ตาม

ภาพที่อาจารย์ยังเดินออกมาส่งด้วยอาการมีเรื่องพูดติดพันนั้นบอกเขาชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องได้ยินกับหูว่าทุกอย่างราบรื่นเพียงไร รักษิตเห็นอาจารย์ท่านหนึ่งตบบ่าอดีตลูกศิษย์เมื่ออีกฝ่ายยกมือไหว้ลา

... ดีแล้ว พี่ลภจะได้มีความสุขขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

รักษิตเกือบสะดุ้งเมื่อมีมือมาโบกอยู่ตรงหน้า เขาถอนสายตากลับมา เห็นรุ่นพี่ผู้คงเสร็จงานเอกสารแล้วกำลังคล้องหูฟังเตรียม ‘ออกรอบ’ (หรือออกรบ?) ต่อ แต่ยังพูดกับเขาว่า

“เอ้า เหม่อ... พี่ถามว่าเห็นข้อสอบกันแล้วใช่ไหม เป็นไง มีตรงไหนอยากถามเพิ่มไหม”

“ข้อสอบอะไรครับ” รักษิตถามงงๆ

ธีรพัทธ์ทำหน้าแปลกใจ “ข้อสอบเก่า ปีที่แล้วกับปีก่อนหน้า น้อง... อะไรนะชื่อฝรั่งหน้าหมวยนี่ มาขอให้พี่ช่วยเฉลย”

ปกติร้านซีร็อกซ์เจ้าประจำของนักศึกษาแพทย์ที่โถงอาคารบรรยายนั้นเป็นศูนย์รวมข้อมูลประดามีไม่ว่าจะเป็นชีทเลคเชอร์วิชาต่างๆ ใส่กล่องแยกกันไว้ รายงานฉบับเก่าๆ ของรุ่นพี่ที่ถือกันว่าเขียนดีจนควรค่าแก่การยึดเป็นคัมภีร์ต่อๆ กันมา แม้เนื้อหาอาจต้องการการอัพเดตก็ยังถือว่าเป็นตัวอย่างด้านการเขียนที่มีรายละเอียดครบถ้วน ส่วนใครได้อะไรมาใหม่และอยากมีน้ำใจเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นโน้ตสรุปรวบยอดจากพี่รหัส หรือสไลด์ที่จดเนื้อหาเรียบร้อยก็มาฝากไว้ที่ร้านนี้เหมือนกัน

... อาจจะมีบ้างที่เก็บเอาไว้ส่วนตัวหรือเฉพาะกลุ่ม แต่ถ้าได้ซีร็อกซ์หนหนึ่งมักมีหนต่อๆ ไปตามมาอย่างเร็วรี่ สุดท้ายก็สะพัดอยู่ดี
 
“นี... นีน่าใช่ไหมครับที่ขอให้พี่ช่วยทำเฉลย” รักษิตถาม พอธีรพัทธ์พยักหน้าอย่างเพิ่งจะจำได้เลยพูดต่อ “งั้นเดี๋ยวผมค่อยถามหลังเลคเชอร์เสร็จ ขอบคุณพี่แทนเพื่อนๆ ด้วย คงได้ประโยชน์มาก”

เขาก้มศีรษะแล้วหันหลังจะไปเพราะใกล้เวลาเริ่มบรรยาย แต่ต้องชะงักเมื่อรุ่นพี่เอ่ยขึ้นเสียก่อน “พี่เลยไปวางที่ร้านซีร็อกซ์แล้ว”

“อ้าว”   

“จะกระจายกันอ่านอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” อีกฝ่ายต้องถามเมื่อเห็นท่าทางรุ่นน้อง “มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า... ครับ” รักษิตตอบอย่างออกจะลังเล “ผมแค่คิดว่าเขาเป็นคนไปหาข้อสอบมา เขาก็ควรรับผิดชอบจัดการว่าจะเอาไงต่อ”

นิสัยตรงๆ แบบนี้ทำให้ธีรพัทธ์ประหวัดนึกถึงพิธานขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนแทบไม่มีอะไรคล้ายคลึงกันเลย

“พี่ทำเฉลยไปเยอะอยู่ เห็นว่าน่าจะได้อ่านทั่วๆ กัน พอเสร็จ ผ่านตรงนั้นพอดีเลยแวะวางให้เลย” ธีรพัทธ์ว่า “ถ้ามันควรจะเผยแพร่อยู่แล้ว ใครวางก็คงไม่ต่างกันละมัง”

“ก็... จริงครับ” รักษิตว่า แบบรุ่นพี่อาจจะรวดเร็วดีกว่า เพราะลัดขั้นตอนไม่ต้องส่งข้อสอบที่เฉลยเสร็จแล้วให้เพื่อนร่วมวอร์ดเอาไปวางอีกที

แล้วการดูแนวข้อสอบเก่าก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อาจจะช่วยให้คะแนนสอบออกมาดี เพราะยังมีอะไรต่อมิอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่ใช้ในการประเมิน ไม่ว่าจะเป็นการทำวอร์ดเวิร์ก รายงานรับคนไข้หลายต่อหลายฉบับ

หรือการประเมินการทำงานในวอร์ดจากพี่แพทย์ประจำบ้านและอาจารย์
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 31-05-2014 03:38:30
บทที่ 3 (ต่อ)

เมื่อถึงห้องบรรยายนั้นอาจารย์ยังไม่เข้ามา เพื่อนๆ จึงจับกลุ่มคุยกันบ้าง เห็นกลุ่มหนึ่งมีหลายคนอยู่ค่อนไปทางหน้าห้อง เสียงดังเซ็งแซ่ รักษิตกำลังเหลียวซ้ายแลขวาจะหาที่สงบๆ นั่ง แต่ช่วยไม่ได้ที่หูไพล่ไปได้ยินเสียงสนทนาจากกลุ่มนั้นเข้า

“แวะร้านซีร็อกซ์มาเลยเห็นว่ามีข้อสอบเก่าชุดใหม่ไปวาง เฉลยละเอียดลองอ่านไปแล้วเข้าใจง่ายดีด้วย ขอบคุณนีน่ามากนะที่อุตส่าห์ไปหามาเผื่อเพื่อนๆ” คนพูดอยู่วอร์ดอายุรกรรมเหมือนกันแต่อีกสาย ไม่เคยต้องขึ้นวอร์ดหรือเข้าเวรพร้อมกันกับทัศนีย์หรือรักษิตทั้งสิ้น ท่าทางดีอกดีใจอย่างที่ว่า

รักษิตมองปึกกระดาษในมือเพื่อนคนนั้น แผ่นหน้าสุดยังเขียนด้วยหมึกเส้นใหญ่เป็นชื่อเล่นใหม่ของทัศนีย์ที่เจ้าตัวบอกให้เรียกทั่วกันชัดเจน พอถ่ายเอกสารเลยติดมาด้วย ยืนยันให้รู้โดยไม่ต้องหาว่า ใครเป็นเจ้าของ

ส่วนเจ้าตัวคนได้รับคำขอบคุณหน้าตาพิลึกอยู่กลางวงล้อม จะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งก็ไม่เชิง สุดท้ายเลยพูดออกมาว่า “อื้ม... เราเป็นคนหามาเองแหละ แต่นี่... พี่เดนท์ที่ไปขอให้เขาช่วยเฉลยบางส่วนคงเอาไปวางที่ร้านซีร็อกซ์ ไม่ก็... คนบางคนคงหวังดีเอาไปวางให้ เราก็เพิ่งเห็นพร้อมเธอนี่แหละว่าพี่เขาเฉลยเสร็จแล้ว”

“งั้นเธอจะเอาของเราไปก่อนไหม แต่มีรอยขีดแล้วนะ” เพื่อนผู้นั้นยังอุตส่าห์มีน้ำใจ คงเห็นแก่แรงคนหา “นิดเดียวแหละ เพิ่งพลิกอ่านไปได้ไม่มาก เดี๋ยวเราไปซีร็อกซ์ใหม่ ต้นฉบับยังอยู่ที่ร้าน”

“ไม่เป็นไร” ทัศนีย์ว่า ตวัดสายตามาทางเขา “ต้นฉบับจริงๆ ไม่รู้อยู่ไหนแน่ ถ้าไปซีร็อกซ์สำเนามาอีกก็อ่านไม่ชัด ข้อสอบมันพิมพ์ไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว”

“ตอนเราเพิ่งมาจากร้านซีร็อกซ์ตัวจริงยังอยู่นั่นนะนีน่า เธอเขียนชื่อด้วยหมึกสีน้ำเงินไม่ใช่เหรอ”

ทัศนีย์ตอบแค่ว่า “อ้อ เหรอ งั้นเดี๋ยวไปดู” พอดีกับอาจารย์เข้ามา

รักษิตยังไม่เคยเห็นตัวจริงตัวปลอมอะไรทั้งสิ้นของข้อสอบทั้งสองชุด แต่เรื่องพลัดหยิบต้นฉบับไปโดยทิ้งฉบับสำเนาที่ไม่ชัดเท่าไว้ที่ร้านให้คนมาทีหลังซีร็อกซ์ต่อๆ กันไปนั้นเคยเกิดขึ้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะด้วยบังเอิญหรือเจตนาก็ตามที เขาหวังว่ากับข้อสอบสองชุดนี้เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเร็วนัก


เสร็จคาบบรรยายอาจารย์วานเขาไปทำธุระที่แผนกผู้ป่วยนอก รักษิตจึงตามไปราวนด์เย็นและเก็บวอร์ดเวิร์กช้าอีกตามเคย พอขึ้นวอร์ดยังไม่ทันจะทำอะไร มองไปสุดฝั่งตรงข้ามเห็นทัศนีย์ยกมือเช็ดตาป้อย รอบตัวไม่มีใคร มีแต่รถเข็นทำหัตถการอยู่คันเดียว เขานึกห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรกระเด็นเข้าตาหรือเปล่า อาจจะไม่มีคนทันเห็น

รักษิตรีบเดินเข้าไปหา “อย่าขยี้...”

อีกฝ่ายเงยหน้ามองอย่างขุ่นเคือง ตาแดง น้ำตาไหลก็จริง แต่พอดูใกล้ๆ แล้วไม่น่าเป็นสิ่งแปลกปลอม

น้ำตาไหลเพราะกำลังร้องไห้น่ะ...

สมองยังไม่ทันจะประมวลผลดีทัศนีย์ก็เข็นรถเฉียดเขาไปจนแทบจะทับเท้าเข้าให้ ท่าทางไม่พอใจที่เขามาพบเข้า รักษิตเหลียวไปรอบๆ ทันเห็นคนในรัศมีใกล้สุดซึ่งเขาเหมาเอาว่าน่าจะเป็นสาเหตุ รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วถามด้วยความร้อนใจ

“พี่พัทธ์... ดุอะไรเขาร้องไห้เลย”

คนหันมางงไม่แพ้กัน “พูดถึงใครเนี่ย”

“ก็ทัศนีย์... นีน่าน่ะ”

ธีรพัทธ์มองคนถามหน้าตาตื่น อย่างกับกลัวถูก 'ดุ' เสียเองในอนาคต แต่ก็ดูห่วงใยเพื่อนร่วมวอร์ดแท้จริงจนเขาออกจะแปลกใจนิดๆ เพราะมองอย่างไรรักษิตกับทัศนีย์ก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทชนิดเข้าขากอดคอกันเฮฮาแน่

"ไม่ได้ดุ แค่บอก เรื่องในวอร์ด" เขาตอบ

ธีรพัทธ์ไม่ได้ขยายความ แต่เรื่องที่เขาพูดกับทัศนีย์ถือเป็นเรื่องตักเตือนกันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องเท่านั้นเอง เพราะมีงานในวอร์ดบางส่วนที่เขาเห็นว่าทัศนีย์ยังทำไม่เรียบร้อย คิดว่าเป็นการพูดดีๆ ด้วยเหตุและด้วยผล

สมัยเรียนเขาไม่ชอบรุ่นพี่จำพวกใช้อำนาจบาตรใหญ่ พูดจากดขี่รุ่นน้องเจ็บๆ แสบๆ ถึงบางคนคิดว่าเป็นวิธีสอน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาธีรพัทธ์ไม่รู้สึกว่าการเรียนภายใต้บรรยากาศที่พยายามสร้างให้เกิดความกลัวนั้นเอื้อให้เขาจำอะไรได้กี่มากน้อย เมื่อไม่ชอบจึงตั้งใจว่าถ้ามีรุ่นน้องของตัวเองแล้วละก็... จะไม่ทำ

เขาบอกรักษิตอย่างนั้น กอดอก มองรุ่นน้องขมวดคิ้วเหมือนพยายามคิดพิจารณาเรื่องราวอยู่ก่อนยิงคำถามแกมหัวเราะ

“ชอบน้องนีน่าเขาหรือเปล่าเนี่ย... ตามถาม เป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้น่ะ ช่วยงานวอร์ดอีกนะ พี่เห็น”

เห็นหน้ารุ่นน้องแล้วให้ขำ นี่ดีว่าเขากำลังจะลงและส่งเวรนอกเวลาเรียบร้อยแล้ว ถึงได้มีเวลามาแหย่รุ่นน้องในสายตัวเอง (เหลือตามชี้แจงหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านเกี่ยวกับเวรปรึกษาเมื่อคืน แต่ก็นั่นแหละ ถือเป็นเรื่องรอง) รักษิตยืนมองเขาท่าทางเหวอนิดๆ เหมือนไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามนี้ ไปไม่ถูกอยู่อึดใจเต็มๆ ก่อนหาเสียงเจอและพูดออกมาได้ว่า

“ผมอยากช่วยใครไม่ได้ต้องชอบเขาหมดทุกคน... แบบนั้น นีน่าก็เพื่อนคนหนึ่ง แล้วก็...”

“แล้วก็...?” ธีรพัทธ์ยังไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

“แล้วก็... ไม่รู้สิ ถ้าเหมือนจะชอบให้คนอื่นตามใจแต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไร นิสัยเขาคล้าย... บางทีผมก็นึกว่าตัวเองเป็นพี่ ทั้งๆ ที่...” รักษิตเงยหน้าสบตาเขาปัจจุบันทันด่วน เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดเยอะเกินกว่าที่ตั้งใจ “เอ้อ... พี่พัทธ์จะลงแล้วใช่ไหม”

“เดี๋ยว...” ธีรพัทธ์รีบเรียกเมื่อรุ่นน้องทำท่าจะผละไป อันที่จริงเขาก็ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับรุ่นน้องในสายคนนี้ ไม่เหมือนเอ็กซ์เทิร์นบางคนที่มีนิสัยช่างเล่า “น้องมีพี่สาว? มีพี่สาวด้วย พี่ก็...”

รุ่นน้องจ้ำอ้าวเข้าไปในวอร์ดแล้ว ปะเหมาะเคราะห์อะไรไม่รู้หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านเกิดจะแวะมาตรงนี้ทั้งๆ ที่ปกติปกครองอยู่อีกตึก บอกให้เขาลงไปคุยกันข้างล่าง ธีรพัทธ์เลยต้องพักเรื่องนี้ไว้เพียงแค่นั้นก่อน


พอเห็นตาแดงช้ำของคนเพิ่งผ่านศึกน้ำตามาหยกๆ รักษิตก็อดสงสารไม่ได้ จากที่ญาดาเคยแง้มให้ฟัง คิดว่าเพื่อนร่วมวอร์ดอาจจะได้รับการประคบประหงมพะเน้าพะนอจากที่บ้าน จนไม่เคยมีคนพูดตรงๆ ด้วยแบบนี้ ในอนาคตอีกฝ่ายอาจจะต้องเจอกับอาจารย์ หรือแพทย์ประจำบ้านที่ดุและใช้การตักเตือนด้วยถ้อยคำรุนแรงยิ่งกว่าธีรพัทธ์ เพราะพอได้รับคำอธิบาย เขาก็เชื่อว่าพี่พัทธ์นี่... เตือนเบาแล้ว

แต่ขึ้นวอร์ดด้วยกัน จะมาซ้ำเติมกันอีกก็ใช่ที่

เขาพูดเสียงอ่อนๆ พยายามจะไม่ก่ออารมณ์โมโหให้กรุ่นขึ้นอีก “พี่เขาเตือนเพราะหวังดี...”

“ใครเป็นคนเอาชีทไปวาง เธอหรือว่าพี่”

รักษิตก็ไม่รู้ว่าทัศนีย์จะยังมุ่งเป้าที่เขาอีกทำไม เขายังไม่ได้แม้แต่จะจับข้อสอบชุดนั้น ให้ใครเฉลยแล้วไม่ได้คืนมา แต่ไปปรากฎที่ร้านถ่ายเอกสารก็ต้องคิดว่าเป็นคนนั้นก่อนสิ นี่แสดงว่าตอนธีรพัทธ์เรียกตัวไปตักเตือน ซึ่งเป็นแค่เรื่องงานในวอร์ดอย่างเดียวแท้ๆ คนฟังยังคิดถึงเจ้าข้อสอบร้านซีร็อกซ์นั่นอยู่ไม่เลิก

แต่เขาก็ไม่ได้พูดทั้งหมดออกไปอย่างใจคิด เพียงตอบสั้นๆ

“พี่พัทธ์”

ทัศนีย์หันขวับมาจ้องเขาเหมือนจะดูให้แน่ว่ารักษิตไม่ได้โป้ปดมดเท็จ ตาแดงขึ้นมาอีก

“พี่เขาต้องไม่เชื่อว่าเราจะเป็นคนไปวางถึงไม่ยอมคืนเรา พี่เขาคงคิดว่าเราจะเก็บไว้อ่านคนเดียว”

“เขาไม่คิดอย่างนั้นหรอก” รักษิตปลอบ เพื่อนร่วมวอร์ดคงเดือดร้อนกับการที่พี่แพทย์ประจำบ้านจะมองตัวเองอย่างไรมากจริงๆ เพราะเกี่ยวกับการประเมินคะแนนจิตพิสัยตอนจะลงวอร์ดด้วย “พี่พัทธ์เขาพูดว่า ถ้านีน่าจะไปวางอยู่แล้ว พี่เขาไปวางให้ก็เหมือนกัน ทำนองนั้นน่ะ”

“เราก็จะไปวางจริงๆ” ทัศนีย์พูดเสียงขึ้นจมูก มองเขาจากหางตา “เธอไม่เชื่อเราอีกคนล่ะสิ”

“ทำไมจะไม่เชื่อ” เขาตอบง่ายๆ “จะเจาะนี่ก็มา ช่วย”

เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำขอบใจ... แม้จะเสียมิได้นิดหน่อย จากทัศนีย์นับตั้งแต่ขึ้นวอร์ดมา


เช้าตรู่อากาศค่อนข้างเย็นด้วยเมื่อคืนฝนเพิ่งจะตก แสงเงินแสงทองระเรื่อจับขอบฟ้า แต่บนขมับของนายแพทย์ลภกลับปรากฎเหงื่อชื้นเล็กน้อยขัดกับสภาพอากาศ เพราะก้มๆ เงยๆ อยู่กับเครื่องยนต์มาพักใหญ่แล้ว ยังไม่มีทีท่าจะสตาร์ทติด

สงสัยคราวนี้จะเกินกำลังช่างสมัครเล่นอย่างเขา... ตั้งแต่ใช้รถเก่าคันนี้เสียบ้างเล็กๆ น้อยๆ เขาก็แก้เองมาโดยตลอด อาจจะถึงเวลาเข้าอู่ใหญ่สักที

แต่ที่สำคัญคือทำไมต้องมาเสียเอาวันนี้ด้วยสิ...

ลภตัดสินใจกลับเข้าไปล้างมือ เมื่อคืนรถก็ยังดีๆ อยู่แท้ๆ... เขารับรักษิตให้มาค้างบ้าน เพราะคุณตรีรัตน์ต้องร่วมประชุมใหญ่ของบริษัทเครื่องมือแพทย์ในภูมิภาคที่สิงคโปร์ห้าวัน อย่างน้อยลูกชายจะได้กินข้าวเช้ากับแม่ ระหว่างทางเล่าที่ไปคุยกับอาจารย์เรื่องเข้าเป็นแพทย์ประจำบ้านต่อยอดปีหน้า รักษิตท่าทางดีใจกว่าเขาเสียอีก

เพราะที่จริง ลภก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า การตัดสินใจในครั้งนี้... ถ้าตัดเหตุผลทางด้านวิชาการออกไปแล้ว จะยังความสุขหรือทุกข์มาให้เขามากกว่ากัน

คุณตรีรัตน์แต่งกายในชุดพร้อมเดินทางออกมาจากบ้าน คนรับใช้หิ้วกระเป๋าตามมาให้ส่วนลูกชายเดินรั้งหลังอีกที เมื่อเห็นเขาเข้าก็ยิ้มให้ ทำท่าจะเดินตรงมาที่รถ แต่ลภบอกเสียก่อนตั้งแต่หน้าตัวบ้าน

“รถพี่เสียน่ะ... โทษที สงสัยต้องบอกให้ช่างมาลาก”

“งั้นษิตไปเอง” รักษิตว่า “เดี๋ยวติดรถคุณแม่ไปลงข้างหน้า”

“ษิต ให้พี่ลภไปส่ง” คุณตรีรัตน์บอก พยักหน้าให้สาวใช้วางกระเป๋าลง คงได้ยินเขาประโยคท้ายๆ

“รถพี่ลภเสีย คุณแม่ต้องรีบไปสนามบินไม่ใช่หรือ แล้วษิตไปต่อเอง” รักษิตตอบ ชักจะมองนาฬิกาเพราะถ้าต้องไปเองเขาก็ควรจะออกจากบ้านแล้ว

“อะไรลูก รถบ้านเรามีตั้งหลายคัน” มารดาว่า “... เดี๋ยวแม่ไปด้วยดีกว่า”

“คุณแม่ แต่เครื่องออก...”

“ยังพอมีเวลา แม่อยากไปส่งษิต จะได้คุยกันด้วยไงลูก พักหลังไม่ค่อยได้คุยกันเลย” คุณตรีรัตน์พูดต่อ “ส่งษิตแล้ว แม่ค่อยให้พี่ลภของลูกเลยไปสนามบิน”

ตลอดเวลานั้นลภยืนฟังอยู่เงียบๆ จนคุณตรีรัตน์กวักมือเรียกสาวใช้ให้ไปหยิบกุญแจ และบอกคนขับรถว่า “ถอยคันในสุดให้หมอหน่อย” เขาจึงพูดขึ้น

“เสร็จจากสนามบิน ผมจะนำมาคืน...”

“หมอก็ขับต่อไปบริษัทเลยสิ เสียเวลาทำไม บอกให้ใช้ตั้งนาน ก็ไม่ยอมใช้ จนรถนี่มันพัง... ดีที่มาเป็นที่บ้าน” คุณตรีรัตน์เอ่ยโดยไม่ยอมให้เขาพูดแทรกอีก “ถึงแก้ได้แล้วก็ขอที เราเป็นผู้บริหาร มีรถประจำตำแหน่งไม่ใช้ ไม่เอาคนขับ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น บางทีมันก็ต้องรู้จักรักษาภาพลักษณ์บ้าง”

ลภพยายามข่มใจ “ผมคิดว่าภาพลักษณ์ที่ดีคงมีน้ำหนักอยู่ที่การตั้งใจทำงานให้ลุล่วงมากกว่า ซึ่งผมพยายามรักษามาตลอดอยู่แล้ว อีกอย่าง ผมกำลังจะเข้าเรียนต่อซึ่งคิดว่าได้รับอนุญาต” เขาอดลงเสียงหนักไม่ได้ “เฟลโลว์คงไม่จำเป็นต้องมี”

“ตามใจ หมอก็ใช้คันนี้ไปจนกว่ารถนั่นจะซ่อมเสร็จแล้วกัน ไม่รู้จะแก้ได้ไหม” คุณตรีรัตน์ว่า “ลงท้ายอาจจะชอบก็ได้”

ลภไม่พูดอะไร เขารับกุญแจจากคนรถแล้วเปิดประตู คุณตรีรัตน์เรียกบุตรชายไปนั่งข้างหลังด้วย เพราะจะได้คุยกันสะดวกโดยไม่ต้องชะโงกไปมา รักษิตมองเขาอย่างเกรงใจ แต่ลภพยักหน้าให้

เขารู้อยู่เต็มอกทีเดียวว่า การชอบไม่ได้เกิดขึ้นโดยการทนสภาพนั้นอยู่เป็นระยะเวลานานๆ

ถ้าไม่ชอบ อย่างไรก็ยังไม่ชอบอยู่ดี


ธีรพัทธ์คิดว่าโชคตัวเองชักจะกระเตื้องขึ้นมาหน่อย เพราะนอกจากจะพูดจากับหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านได้เข้าใจราบรื่นดีแล้ว เช้านี้เขายังเจอพิธานก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นวอร์ด กำลังมีเรื่องจะหารืออยู่พอดี

ยังมีเวลาอยู่บ้างก่อนต้องไปปฏิบัติงาน เลยชวนให้นั่งที่โต๊ะหินอ่อนข้างคณะ เขาเองลงนั่งตรงข้าม เอ่ยเรื่องที่คิดตรึกตรองมาพักหนึ่งอย่างไม่อ้อมค้อม

“อยากปรึกษาเรื่องไปอิเล็คทิฟ... แต่มันต้องทิ้งทางนี้ไปนานพอสมควร คิดไม่ตกข้อดีข้อเสีย นี่ยังไม่ได้บอกใครนอกจากคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาไว้คร่าวๆ”

ถึงพิธานจะอยู่คนละภาคกับเขา แต่อีกฝ่ายเคยไปเรียนที่โรงพยาบาลอื่นเป็นวิชาเลือกมาช่วงหนึ่งแล้ว หรือที่เรียกว่าไป ‘อิเล็คทิฟ’ เมื่อตอนเรียนแพทย์ประจำบ้านปีแรกซึ่งเน้นไปที่ศัลยศาสตร์เพื่อเตรียมเรียนศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์

... ประเด็นคือรุ่นพี่แพทย์ประจำบ้านของวอร์ดเขาเองหรือแม้แต่หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านก็ไม่เคยไปอิเล็คทิฟนานๆ เนื่องจากโรงเรียนแพทย์ที่ประจำอยู่นี้ถือว่าพร้อมในระดับสูงของประเทศ โรคแปลกๆ ที่ไม่ค่อยได้เจอก็มาเจอที่นี่ เพื่อนแพทย์ประจำบ้านปีสองคนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ เขาเคยได้ยินรุ่นน้องปีหนึ่งคุยกัน มักจะอยากไปอิเล็คทิฟในโรงพยาบาลที่พร้อมอยู่แล้ว ไม่ก็ขออิเล็คทิฟต่างประเทศช่วงสั้นๆ มากกว่า

แต่ธีรพัทธ์เห็นว่าในเมื่อเขาต้องกลับไปใช้ทุนต้นสังกัดเมื่อจบบอร์ดอายุรกรรม ก็น่าจะกลับไปดูโรงพยาบาลต้นสังกัดเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยเพื่อเรียนรู้ปัญหา ย้ายไปทีละหน่วย จะได้เห็นสภาพโรคที่เกิดขึ้นมากในแถบนั้น พอกลับมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเดิมในปีสามซึ่งเป็นปีสุดท้าย ก็เตรียมหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อกลับไปรับมือด้วย

“ว่าจะไปกี่เดือน” เพื่อนถามเขา

“น่าจะหก... แต่ยังไงคงรอให้รอบนี้ลงก่อน” ธีรพัทธ์หมายถึงนักศึกษาแพทย์ที่ขึ้นวอร์ดอายุรกรรมเป็นวอร์ดแรก เขาคงต้องช่วยสอนและช่วยอาจารย์ประเมินจนเสร็จ ถึงจะดำเนินเรื่องไปอิเล็คทิฟต่อได้

พิธานยิ้มนิดๆ “กลับมาเป็นชิฟเลย”

เรื่องวางตัว ‘ชิฟ’ หรือหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านก็เป็นเรื่องที่ธีรพัทธ์ยังข้องใจว่าแทบทันทีที่รู้ว่าได้ตำแหน่ง หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านจะต้องเริ่มมองหาตัวตายตัวแทนแต่เนิ่นทันที ด้วยความเห็นชอบของอาจารย์ ธีรพัทธ์ก็โดนทาบทามมาบ้าง ไม่แปลกที่วอร์ดอื่นจะรู้กันว่าตัวเลือกชิฟแต่ละวอร์ดเป็นใคร (ซึ่งชิฟมีได้หลายคน) เพื่อทำงานประสานกันในอนาคตนั่นเอง

คิดไม่ผิดที่ปรึกษาพิธาน เพราะอีกฝ่ายมีความสามารถในการแจกแจงรายละเอียดอย่างมีตรรกะและเหตุผล หลายครั้งถามให้เขาได้คิดพิจารณาถี่ถ้วนขึ้น ธีรพัทธ์กำลังพยักหน้าเห็นด้วยกับการได้ออกเยี่ยมบ้านคนไข้อีกครั้งซึ่งทำได้ยากในโรงเรียนแพทย์ในกรุงแบบนี้ ตอนที่กลั้นหาวไม่อยู่กะทันหัน

พิธานมองเขา “นอนไม่พอ?”

“เออ ไม่พอมาห้าปีแล้ว” เขาตอบ ตอบเองขำเอง ก่อนพูดต่อ “สมัยปีหกหรือว่าใช้ทุน อดหลับอดนอน ควบเวรเท่าไหร่เท่ากันสิ ตอนนี้ ไม่ได้นอนคืนหนึ่งเหมือนจะตาย...”

ธีรพัทธ์ก้มหน้าดูเอกสารโรงพยาบาลที่เลือกไปอีกครั้ง พิธานมองเลยข้ามไหล่เพื่อนไป ก่อนจะชะงัก...


ลภขับรถโดยไม่พูดอะไรมาตลอดทาง คุณตรีรัตน์ก็คุยหนุงหนิงกับลูกชายอยู่ที่เบาะหลัง ในกระจกหลังเห็นรักษิตเหลือบมองเขาบ่อยๆ อย่างขอโทษขอโพย ลภก็พยักหน้าน้อยๆ ให้

จนถึงคณะแพทยศาสตร์ รักษิตรีบลงจากรถ เปิดประตูค้างไว้ มารดาเยี่ยมหน้าออกมาโบกมือลาเขา รักษิตพนมมือไหว้ ถามเสียงอ่อยอย่างออกจะเกรงใจ

“คุณแม่ ไม่นั่งข้างหน้าเหรอ...”

“ไปเถอะเดี๋ยวขึ้นวอร์ดสาย” คนขับพูดเป็นประโยคแรกตั้งแต่ออกจากบ้านมา รักษิตหันไปไหว้ลาอีกคน ยังเปิดประตูค้างอยู่

คุณตรีรัตน์ถอนใจก่อนลงจากรถ เดินอ้อมมาข้างหน้าอย่างที่ลูกชายแนะ บอกว่า “อืม แม่มีเรื่องจะคุยกับพี่ลภเขาด้วย จะได้ไม่ต้องหันไปหันมา ษิตไปโรงเรียนดีๆ นะลูก”

รักษิตอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ เพราะแม่ยังพูดเหมือนตอนไปส่งเขาที่โรงเรียนประถมไม่มีผิด ถึงตอนนี้เขาจะเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสี่แล้วก็ตาม


ธีรพัทธ์เงยหน้าขึ้นมองเพื่อน เห็นสายตาจับนิ่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม หันไปมองบ้างก็ไม่เห็นอะไร เป็นลานจอดรถที่ค่อนข้างคับคั่งเท่านั้น

“มีอะไรรึเปล่า ต้องไปแล้วเหรอ” เขาดูนาฬิกา

“ไม่มีอะไร” พิธานตอบ “เมื่อกี้ถามเรื่องสัมมนาใช่ไหม...”

เขาคุยกับธีรพัทธ์ต่อจนได้เวลาขึ้นวอร์ดจึงแยกย้ายกัน ระหว่างขึ้นลิฟต์ พิธานใช้เวลารวบรวมสมาธิให้นิ่งเหมือนเคย เตรียมรับงานหนักที่รออยู่ข้างหน้า

เพราะไม่มีอะไร และไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น รถหรูแพงคันที่เพิ่งแล่นออกไปนั้น ก็เหมือนรถหรูแพงคันอื่นๆ ในท้องถนน

ที่มีลูกเขย เป็นผู้ขับให้แม่ยาย...
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 31-05-2014 03:41:03
คุณ malula เดี๋ยวอ่านต่อไป จะค่อยคลี่คลายมานะคะ เรื่องเป็นพระเอก... ก็ให้เป็นพระเอกทั้งสี่คนล่ะ 555

คุณ ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ก็อาจจะมีบ้างนะคะ บางทีเราก็อาจจะเจอเพื่อนคล้ายๆ แบบนี้ในตอนเรียน หรือในที่ทำงานนะ แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าเธอแย่มากจริงหรือเปล่า 55 หมอพัทธ์เธอเสถียรดีคนเขียนก็ชอบ 55

คุณ warin ขอบคุณมากค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ B52 ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่ะ รุงรัง เหมือนเวรอายุรกรรม 55 ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ ว่าจะมีคู่กันไหม

คุณ Nemasis ขอบคุณมากค่ะ หมอลภเธอเป็นปริศนาจริงด้วย ตอนนี้ก็ยาวอีกแล้วค่ะ 55

คุณ iforgive ขอบคุณสำหรับการอ่านค่ะ ว่าแต่จะคู่กันตามนี้จริงไหม สลับกันมั้ย 55 ป.ล. หมอลภแกชื่อลภเฉยๆ แหละค่ะ เป็นรากบาลี

คุณ afewn ขอบคุณค่า ประโยคไหนกันเอ่ยสี่รอบ อยากเขียนให้อ่านลื่นๆ จังเลย ตอนนี้ก็ยาวอีกแล้วน้า จะพยายามค่ะ นี่เสร็จก็มาเลยแหละ

คุณ ohuii ขอบคุณสำหรับการอ่านค่ะ ขอบคุณที่ไปอ่านเรื่องโน้นด้วยน้า คนเขียนไม่ได้เป็นหมอหรอกค่ะ แต่อาศัยค้น กับถามคนที่เป็น 555 พยายามเขียนให้รายละเอียดถูกเท่าที่ทำได้ ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ SenzaAmore ขอบคุณค่ะ เรียนวิชาชีพสายนี้ด้วย :) ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจค่ะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทนี้น่าจะมีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นในหลายๆ เรื่องบ้างเนอะคะ อิอิ ขอบคุณสำหรับการอ่านมากๆ ค่ะ  :กอด1:

ป.ล. (มีป. ล. มันทุกบท 55) เรื่องกลับมาเรียนของพี่ลภนี่ เอาเป็นว่าอนุสาขาแบบสองปี คือเป็นแพทย์ประจำบ้านต่อยอด (ปกติก็เรียกเฟลโลว์) เพราะบางสถาบันก็เรียกเฟลโลว์แยกจากต่อยอดอีก เรียนปีเดียวเหมือนต้นสังกัดส่งมา ซึ่งน่าจะเป็นข้าราชการ แต่พี่ลภไม่ได้เป็น แล้วทำไมไม่ได้อยู่ในระบบเหมือนคนอื่น? ก็อยากฝากให้อ่านต่อไป... ขอบคุณมากๆ อีกครั้งค่ะ  :pig4:

ป.ล.ล. แก้ไขคำตกนิดหน่อยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 31-05-2014 06:00:08
ก็สงสัยมานานว่านิยายคุณเดหลีนี่ ตัวละครจะออกแนวผู้ชายสายวิทย์สุขภาพนะคะ :z1:
ได้คำศัพท์ในวงการมาเต็ม ประหนึ่งได้เรียนเอง :m20:
อ่านมาตั้งหลายบรรทัด มาสะดุดตรงบรรทัดสุดท้ายเนี่ย พี่ลภเป็นลูกเขย แล้วแม่ษิตเป็นแม่ยาย แล้วพี่ลภกับษิต? :katai1:
ถึงไม่ได้เป็นหมอ แต่ก็งานยุ่งไม่แพ้หมอเลย ยังไงก็จะรออ่านนะคะ ตอนก่อนไม่ทันเห็นเพราะงานเข้าแบบจัดหนัก :z3:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 31-05-2014 09:57:43
นีน่าโดนมาหลายรอบแล้ว น่าจะดีขึ้นบ้างล่ะ

ลูกเขยแม่ยายนี่เหมือนลูกเลี้ยงแม่เลี้ยงมากกว่านะ

หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 31-05-2014 13:36:15
หมอลภเป็นลูกเขย O_O  โอ้ ดราม่าเลย
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-05-2014 18:36:52
อึนๆหน่วงๆในอกจัง นีน่าโดนตอนนี้น่าจะเริ่มคิดอะไรได้บ้างละน่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 01-06-2014 10:56:18
ท่าทางมาม่ามาแต่ไกลเลยคะ ชีวิตนศแพทย์วุ่นๆจัง ลุ้นพิทานจะคู่กับใคร 55
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 01-06-2014 13:58:10
เฮ่ยยยพี่ลภเป็นลูกเขย ..บอกมาแบบนี้พี่ลภก็ยังดูเป็นปริศนาอยู่ดี 555+

สนุกมากค่ะ อ่านเพลินจบตอนไม่รู้ตัวเลยเหมือนเดินราวน์วอร์ดพร้อมคุณหมอทั้งหลาย
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 02-06-2014 13:35:47
เรื่องนี้ต้องใช้เวลาอ่านนานมากกก แต่อ่านได้เรื่อยไม่มีเบื่อไม่มีสะดุดค่ะ เนื้อหาค่อนข้างจะหมอแบบโคตรหมอเลย ไม่เหมือนนิยายเรื่องอื่นที่สัมผัสได้ไม่ดีเท่าไร 555555
เขียนได้ดีค่ะ มีปมให้สงสัยเยอะ รออ่านตอนต่อไปเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 02-06-2014 14:03:38
ต้องอ่านแบบทุกตัวอักษร  เพราะยิ่งอ่านยิ่งเข้มข้น
ชอบอาชีพหมอ  นานๆจะมีตัวเอกเป็นหมอถึง 4 คน 
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 3] 31 พ.ค. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 03-06-2014 14:00:23
อานะ สงสัยต่อไป พี่สาว? ลูกเขยแม่ยาย เหมือนลูกไล่ก็เหมือน? แล้วก็เหมือนเดิม หมอพิธานกับหมอลภ เคยมีซังติงกันหรือมีอะไรที่มากกว่านั้น?
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 12-06-2014 00:18:03
บทที่ 4

ข่าวดี... ใครก็อยากเป็นผู้ให้ และอยากเป็นผู้รับ

แต่ข่าวที่จะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก็ไม่เชิงล่ะ... เรียกว่ามีความดีอยู่ในความร้าย และมีความร้ายอยู่ในความดี

ความจริง ข่าวจะดีหรือจะร้าย ก็ขึ้นอยู่กับความคาดหวังตั้งแต่แรก ว่าลงท้ายแล้ว ต่างจากความจริงเพียงใด...


ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลางที่ไม่ได้หรูหรายังพลุกพล่านไปด้วยคนเจ็บคนป่วยและญาติแม้จะดึกดื่นค่อนคืนแล้ว มีทั้งกรณีเร่งด่วนจริง และที่ยังรอได้

ในส่วนอุบัติเหตุก็เช่นกัน ผู้บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากหมอและพยาบาล ที่ต้องเย็บก็เย็บ ที่สงสัยว่ากระดูกหักก็ส่งไปเอ็กซเรย์ แต่ส่วนที่สาหัส ก็ต้องเตรียมผ่าตัดด่วนกันกลางดึก

ลภกำลังล้างมือ เขาทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ทุกขั้นตอนแทบเป็นไปอย่างอัตโนมัติ คนไข้ถูกแทงที่ท้องมาหลายแผล พอเห็นเมื่อแรกรับ ประเมินอาการและกู้ชีพเบื้องต้นไปแล้ว เขาก็คิดว่าต้องผ่าตัดแน่นอนเพราะตอนมาเริ่มมีอาการช็อคจากเสียเลือดรวมทั้งอุณหภูมิร่างกายและความดันลดต่ำลงมาก เลือดที่ออกในช่องท้องต้องหยุดให้เร็วที่สุด

เขาสั่งเลือดเพิ่ม ไปคุยกับญาติเรื่องความจำเป็นจนเซ็นยินยอมผ่าตัดจึงให้ “เซ็ตโออาร์เลย” แต่พอเข้าไปก็ต้องบอกพยาบาลเบาแอร์ลงมากที่สุดเพราะคนเจ็บอุณหภูมิต่ำกว่าปกติอยู่แล้ว แม้จะพยายามให้ความอบอุ่นก็ตาม

ทั้งอุณหภูมิที่ลด เลือดที่ออกไม่หยุดและผลเลือดที่ค่าโน้มเอียงเป็นกรดเพิ่มอัตราตายในกรณีบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ จนเขาคิดว่าต้องใช้วิธีผ่าตัดเพื่อควบคุมความเสียหายไว้ก่อนแล้วส่งเข้าไอซียูให้ร่างกายฟื้นฟูดีขึ้นหน่อย จึงค่อยผ่าตัดอีกครั้ง แทนที่จะมุ่งซ่อมแซมทุกอวัยวะอย่างละเอียดตั้งแต่ตอนนี้ เพราะคนบนเตียงคงไม่สามารถทนการผ่าตัดนานหลายชั่วโมงได้แน่

ทุกคนเข้าประจำที่ ศัลยแพทย์จึงผ่าตัดเปิดช่องท้องหรือที่เรียกว่าแลปพาโรโตมี่ กรีดแนวตั้งตามกึ่งกลาง อ้อมสะดือไปทางขวา การลงมีดแบบนี้ทำได้รวดเร็วในช่วงนาทีแห่งความเป็นความตาย และทำให้เห็นอวัยวะภายในได้ทั้งหมด

พอดูดซับเลือดออกเท่าที่ทำได้แล้วจึงวางผ้าก๊อซชุบน้ำเกลือไว้ทั้งสี่มุมของช่องท้อง เริ่มตรวจดูอวัยวะภายใน หลอดเลือดที่ฉีกขาดเสียหาย แผลแทงทะลุต้องมีสองรูเสมอ... เข้า ออก... หู ตา นิ้วของศัลยแพทย์ทำงานประสานกัน บางทีฟังได้ว่าเลือดยังคงออกจากที่ใด ที่พอเย็บซ่อมแซมได้ก็ทำเลย และต้องผูกเอาไว้ก่อนในบางที่ที่มองแทบไม่เห็นด้วยซ้ำ

ทุกกระบวนการที่เกิดขึ้นด้วยความชำนาญนั้นไม่ได้มาจากความจำ แต่มาจากการรับมือกับความจริงที่อยู่ตรงหน้า เพราะไม่มีคนไข้คนใดเหมือนกัน แม้จะมาด้วยการบาดเจ็บคล้ายคลึงกันก็ตาม

ลภถอนใจยาวเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น คนไข้ถูกส่งออกไปที่ห้องสังเกตอาการ เพื่อต่อไปยังไอซียูเรียบร้อยแล้ว เขาถอดถุงมือผ่าตัดซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดจนแทบมองไม่ออกว่าเคยเป็นสีขาวมาก่อนทิ้งลงถัง

แม้ผ่านพ้นภาวะเฉียดตายมาได้ แต่อาการยังวิกฤต ต้องอยู่ในไอซียูก่อนผ่าตัดครั้งต่อไป และถึงจะอยู่ในไอซียู ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าคนเจ็บจะไม่ทรุดลง หรือการผ่าตัดครั้งต่อไปจะเรียบร้อยดี

เพราะ... ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ในทางการแพทย์

เขาถอนใจอีกครั้ง ใคร่ครวญถึงถ้อยคำที่จะออกไปบอกญาติ ดี... เลือดที่ออกอย่างหนักถือว่าควบคุมได้ ไม่... ยังน่าเป็นห่วง ต้องเฝ้าดูอาการกันอย่างใกล้ชิด ใช่... คนไข้ยังมีชีวิตอยู่

ยังมีความไม่แน่นอน... แต่นั่นก็ถือเป็นข่าวดีได้ไม่ใช่หรือ

นั่นคือ... กลางดึกของลภ


ห่างไกลออกไปในตัวเมือง ทีมผ่าตัดสองทีมกำลังแยกกันทำงาน ยึดกระดูกโดยใส่โลหะหลังจากผ่าตัดเปิดเข้าไปจัดกระดูกให้เข้าที่แล้ว คนไข้ขาหักทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุรถยนต์ แต่สัญญาณชีพดี จึงได้รับเข้าไว้ในโรงพยาบาล งดอาหารรอผ่าตัดเช้านี้

ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นจนคลายขันชะเนาะที่ต้นขาทั้งสองข้าง ซึ่งจำเป็นต้องทำเพื่อให้เห็นบริเวณผ่าตัดได้ชัดเจนและลดการเสียเลือด หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที... คนไข้ความดันตกอย่างรุนแรง ชีพจรอ่อน แม้ได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้นแต่กลับเริ่มเข้าสู่ภาวะหัวใจวาย

เสียงอาจารย์สั่งยาฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของหัวใจเป็นชุด ปฏิบัติการกู้ชีพเริ่มขึ้นเต็มรูปแบบ ทีมแพทย์ทำทุกอย่างเพื่อให้คนไข้ที่เพิ่งจะพูดจาและหัวเราะก่อนเข้าห้องผ่าตัดกลับมา

หลังจากปั๊มหัวใจอยู่ราวครึ่งชั่วโมงกว่าก็ประสบความสำเร็จ... แว่วเสียงถอนใจโล่งอกจากรอบห้อง

"คุณไปคุยกับญาติก่อน" อาจารย์บอกลูกศิษย์ที่เข้าช่วย ก่อนรีบเร่งออกไปเพราะมีผ่าตัดต่อ

พิธานถอดเสื้อคลุมสีเขียวออก รองเท้าที่ใช้ในห้องเสียดสีกับพื้นเป็นเสียงคุ้นเคย แต่เขาครุ่นคิดถึงแต่เรื่องที่ต้องบอกญาติคนไข้ หรือถ้าให้ถูก คือตอบคำถามถึงสิ่งที่ไม่คาดฝัน

... ทำไมคนไข้ที่ผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วน ความเสี่ยงถือว่าน้อย ถึงได้หัวใจวายบนเตียง และตอนนี้ก็ยังอยู่ในไอซียู...

เท่าที่เห็น ถ้าอาการวันนี้ดีต่อไปเรื่อยๆ ก็น่าจะออกจากไอซียูได้โดยเร็ว และกลับมาหายเป็นปกติได้ แต่เขาไม่อาจทำตัวเป็นหมอดูแทนที่จะเป็นหมอ พยากรณ์สิ่งที่ตัวเองคาดเดาให้ญาติคนไข้ฟัง มีแต่ต้องบอกสถานการณ์ที่เป็นจริงเท่านั้น

สำหรับญาติที่รอจะได้เข้าเยี่ยมคนไข้ในหอผู้ป่วยที่พักฟื้นตามปกติ และเพิ่งคุยกันไปเมื่อคืนหยกๆ ก็... ออกจะเป็นข่าวร้าย...

เขาเดินตรงไปหาญาติคนไข้ แนะนำตัว เตรียมใจให้พร้อมรับปฏิกิริยาทุกอย่างที่ตอบกลับมา

นั่นคือ... ตอนเช้าของพิธาน


วอร์ดอายุรกรรมหญิงยังวุ่นวายเช่นเคย แพทย์ประจำบ้านที่เดินออกมาจากด้านในและถามหารุ่นน้องมีสีหน้าอิดโรยกว่าทุกวัน ก่อนจะได้คำตอบว่าปีสี่มีคาบบรรยาย จึงเดินกลับเข้าไปอีก

คนไข้หญิงชราที่อาการทรุดหนักลงมากนั้นลำดับการดูแลเป็นอาจารย์ แพทย์ประจำบ้านปีสองคือตัวเขาเอง แล้วก็รักษิตเลย ธีรพัทธ์ยังหนักใจเหมือนทุกครั้งที่ต้องคุยกับญาติคนไข้เรื่องนี้ ช่วยให้ตัดสินใจ ปล่อย หรือ ยื้อ...

สมมติว่าเขาเป็นหมอประจำครอบครัวของใครสักคน หรือเป็นหมอด้านโรคเรื้อรังยาวนานอย่างมะเร็ง ก็คงได้พบหน้าคนไข้และญาติอยู่เป็นเดือนเป็นปี มีความคุ้นเคยกันจนแจ้งข่าวแบบนี้ได้ลำบากน้อยลง นิดหนึ่ง... แต่นี่ เขาแทบไม่เคยพบญาติคนไข้ แถมพยาบาลยังเพิ่งบอกว่าจะมาเยี่ยมไม่ได้หลายวัน อันเป็นช่วงที่คนป่วยอาการไม่ดีอยู่แล้วน่าจะวิกฤตลงอีก

แม้จะมีวิทยาการก้าวหน้าสักปานใด แต่ชีวิตมนุษย์ไม่อาจต่อให้ยาวไปเรื่อยๆ ได้เมื่อถึงขีดจำกัด หากโรคเริ่มไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรือยา ถ้าทำทุกอย่าง ทุกอย่างที่ทำได้... บางที คนไข้ก็ยอมรับความจริงได้ง่ายกว่าหมอเสียด้วยซ้ำ เพราะหมอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแพ้ ทั้งๆ ที่ชีวิตเป็นของคนไข้ เพียงแค่... เป้าหมายที่มีร่วมกันเปลี่ยนไปแล้วเท่านั้น

... เปลี่ยนจากรักษาให้หาย เป็นประคับประคองเพื่อไม่ให้เจ็บปวดและสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้

ธีรพัทธ์กลับออกมาอีกครั้ง บอกพยาบาลด้วยน้ำเสียงออกจะล้า “ญาติคนไข้มาแล้วใช่ไหม... หาห้องให้ผมด้วยครับ”

หลายครั้ง ห้องก็ไม่ได้เป็น ‘ห้อง’ เป็นเพียงเตียงว่าง หรือมุมใดมุมหนึ่งของวอร์ดที่พอจะดึงม่านมากั้นเพื่อให้รู้สึกเป็นส่วนตัวขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อคุยกับญาติของคนไข้ที่แพทย์บางคนเรียกว่า ‘โฮปเลส เคส’ หรือหมดหวังแล้วนั่นแหละ

ธีรพัทธ์ไม่ชอบคำนี้ตั้งแต่ตอนเรียน คิดว่าทำให้ทุกอย่างดู... จบสิ้นเกินไปในความรู้สึกของทั้งคนบอกและคนรับสาร หมออาจจะไม่ใช้คำนี้ตรงๆ เมื่อพูดกับญาติ แต่หากกำกับความคิดเอาไว้ ญาติก็รับรู้ได้อยู่ดี สำหรับเขา ถึงไม่มีหวังจะให้หาย แต่ก็ยังมีหวังได้อีกหลายอย่างในชีวิตช่วงสุดท้ายของคนไข้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ได้ทำอะไรที่อยากทำในขอบเขตที่เป็นไปได้ หรือลดความทุกข์ทรมานลง

การคุย NR... ย่อจาก No Resuscitation นั่นคือ ไม่กู้ชีพอีกแล้ว ถ้าคนไข้เริ่มแย่ และทำท่าจะ ‘ไป’ หมายความว่า... จะปล่อยให้ไปโดยไม่พยายามรั้งไว้อีก

แต่บางครั้ง ญาติก็ต้องการให้แพทย์ยื้อชีวิตคนไข้เอาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในบางกรณีที่การกระทำดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรต่อคนไข้แล้วโดยสิ้นเชิง หมอก็อาจต้อง... โน้มน้าวญาติอีกครั้งหนึ่ง

ตั้งแต่เรียนมา ธีรพัทธ์เคยต้องคุยเช่นนี้ไม่รู้กี่หนต่อกี่หน นับจากครั้งแรกๆ ที่เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นยมทูตไปบอกญาติคนไข้ว่า... เวลาเหลือน้อยแล้วนะครับ ถึงจะไม่ได้พูดอย่างนั้นออกไปจริงๆ ก็เถอะ จนกระทั่งทำใจได้ว่า นี่คือหน้าที่หนึ่งของหมอ และตั้งใจรับฟังความรู้สึกของคนได้ข่าวอย่างเต็มที่ทุกครั้ง

เพราะถึงหมอจะต้องทำแบบนี้เป็นร้อยเป็นพันครั้งตลอดช่วงเวลาที่ยังเป็นหมออยู่ แต่ญาติคนไข้อาจจะเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก หมออาจจะจำเป็นต้องบอกข่าวร้ายอยู่ทุกวันจนชิน แต่ครอบครัวคนไข้... ไม่มีวันชิน

อย่างน้อย... ถ้าไม่กู้ชีพ... ไม่ต้องปั๊มหัวใจ ซึ่งต้องกดให้ลึก แรงและเร็วพอ จนอาจเกิดซี่โครงหักเป็นผลข้างเคียง คนไข้ก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีก ในขณะที่อวัยวะและร่างกายส่วนอื่นไม่ไหวแล้วเช่นกัน

นั่นคือ... ช่วงบ่ายของธีรพัทธ์


รักษิตเดินอย่างรีบเร่งไปตึกอายุรกรรมเมื่อหมดคาบเรียนแล้ว ใจนึกห่วงคนไข้ที่เขาเรียกว่า ‘คุณยาย’ แทนที่คุณย่าของตัวเอง เพราะหลังจากเข้าๆ ออกๆ ไอซียูไปหลายรอบ คนไข้ก็แสดงความจำนงอยากกลับมานอนที่หอผู้ป่วยตามเดิม เพราะ ‘มีเพื่อน... มีหมอๆ เยอะ’ หอผู้ป่วยวิกฤตนั้นเงียบเหงากว่ามาก

เขาเดินผ่านกลุ่มพยาบาลที่คงเพิ่งลงเวร ได้ยินบทสนทนาที่ทำให้ชะงัก ก่อนจะสาวเท้าเร็วจนเป็นวิ่งด้วยแรงสังหรณ์ใจบางอย่าง

“ไปสบายอีกคนแล้ว ก่อนลงนี่เอง”

“คุย NR ไว้แล้วนี่”

“ใช่... แต่ญาติไม่อยู่ อยู่แต่หมอพัทธ์ เลยได้บอก นี่มือหมอนะ จับไว้นะ... ท่องพุทโธ ให้ได้ยิน แป๊บเดียว... แต่คนไข้แกก็ไปสงบ ไม่ทุรนทุราย"

เขาวิ่งขึ้นไปถึงชั้นสาม ใจเต้นแรงราวจะออกมานอกอก ก็เมื่อเช้านี้ที่เขาตามอาจารย์และพี่ๆ ไปราวนด์ตอนเช้า คุณยายยังดูสบายขึ้นกว่าเมื่อคืนตั้งเยอะ ถึงแม้จะเหนื่อยและอ่อนเพลีย ถึงผลแล็บอื่นๆ จะไม่ได้ดีขึ้นมาก แต่...

รักษิตหยุดฝีเท้าลงเมื่อถึงเตียงว่างเปล่า ผู้ช่วยพยาบาลกำลังเปลี่ยนผ้าปูเตียงอยู่ก่อนแล้ว

อีกไม่นาน ก็คงมีคนไข้ใหม่ที่รับเข้ามาได้ใช้เตียงนี้ต่อไป เตียงห้าสิบเจ็ด ก็จะไม่ใช่เตียงของคุณยายอีก

เขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงรอยยิ้มอบอุ่นที่มักมีให้เขาเสมอแม้จะป่วย และคำเย้าว่า ‘เดี๋ยวไปแผนกอื่น ก็ลืมยาย’

‘ไม่ลืมหรอกครับ’ รักษิตจำได้ว่าตอบอย่างจริงจัง ‘คุณยายเป็นคนแรกของผม’

เป็นคนไข้ที่เขาได้รับเป็นคนแรก และจากไปเป็นคนแรก...

เขาเดินออกมานอกวอร์ด คนอื่นยังมาไม่ถึง ราวนด์เย็นยังไม่เริ่ม รู้สึกจริงๆ ว่า... ต้องใช้เวลาตระเตรียมใจก่อนกลับเข้าไปข้างใน
 
รักษิตทรุดตัวลงนั่งที่ขั้นบันไดชั้นบนสุด ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิด ชีวิตคนเรา สั้นและเปราะบางแค่ไหน... พอมาเรียนหมอตอนแรกก็มีแต่ความรู้สึกอยากจะช่วย แท้จริงหมอเจอกับความตายอยู่วันแล้ววันเล่า และบางที ที่ว่าจะช่วยคนไข้นั้นไม่ได้จบลงที่หาย ดิสชาร์จกลับบ้านได้เสมอไป การช่วยให้เผชิญช่วงสุดท้ายโดยเจ็บปวดน้อยที่สุด จากไปอย่างไม่ทรมาน ก็ช่วยเหมือนกัน พอยาช่วยไม่ไหว ก็พุทโธนี่อย่างไรเล่า

... คุณยายอยากอยู่หอผู้ป่วยธรรมดามากกว่า เพราะลูกหลานเข้าเยี่ยมได้ง่ายกว่าหรือเปล่านะ...

แต่สุดท้าย มือที่ส่งให้ยึดจับไว้ในตอนใกล้จะละไป ก็คือมือของแพทย์ประจำบ้านวอร์ดอายุรกรรม ไม่ใช่มือของลูกหลานที่รอให้มาเยี่ยม

รักษิตหันไปมองเมื่อรู้สึกว่ามีคนนั่งลงมาข้างๆ... เป็นธีรพัทธ์นั่นเอง เมื่อสบตากัน รักษิตก็รู้ว่า รุ่นพี่รู้ว่าเขารู้

ผ่านไปพักหนึ่ง อีกฝ่ายจึงเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน

“พี่ตามหาอยู่เหมือนกัน... จะให้ช่วยคุย NR”

พี่พัทธ์... ด้วยความที่ใจดีก็ยังพูดว่าจะให้เขาช่วย ทั้งที่จริงๆ แล้วพี่นั่นแหละที่ต้องช่วยเขามากกว่า รุ่นพี่อาจจะอยากให้เขามีประสบการณ์ ได้คุยเช่นนี้กับคนไข้รวมทั้งญาติบ้าง เพราะ... อีกไม่นานเขาจะต้องทำเอง และทำคนเดียว

“คิดว่า ยังมีเวลาอีกหน่อย แต่ก็...” ธีรพัทธ์หยุด เป็นความเงียบที่เข้าใจกันดี ก่อนเอ่ยต่อ “เสียดาย... ญาติคนไข้กลับมาไม่ทัน”

เงียบกันไปอีกช่วง ธีรพัทธ์เป็นฝ่ายต้องหันไปบ้างเมื่อจู่ๆ รุ่นน้องก็ถาม "มันจะดีขึ้นบ้างไหมพี่พัทธ์"

ที่ผ่านมา เขาก็ไม่ใช่ไม่เคยต้องปลอบน้องๆ ยังคิด พวกที่ปลงง่าย ไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรมากน่าจะสบายกว่า ถือว่าทำดีที่สุดในขณะนั้นแล้วก็พอ แต่ธีรพัทธ์มองออกว่า รักษิตเป็นคนจริงจัง ไม่ใช่พวกจริงจังแบบพยายามบังคับสถานการณ์รอบด้านหรือคนอื่นให้เป็นไปดังใจ แต่เป็นความจริงจังแบบที่ว่า ถ้ามีเรื่องอะไรผ่านเข้ามากระทบ ก็คงคิดใคร่ครวญอยู่ซ้ำๆ จนเกิดผลได้สองอย่าง คือถ้าไม่รู้สึกดีขึ้น ก็แย่กว่าเดิมไปเลย

เขาจึงตอบตรงๆ “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจเสียก่อนถ้าพี่บอกว่า ไม่... แต่เราจะหาวิธีรับมือที่เป็นของเราได้”

ธีรพัทธ์เพิ่งสรุปกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ว่า นี่คงเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะเปลี่ยนนักศึกษาแพทย์ให้กลายเป็นแพทย์ หมอนั้นดูแลชีวิตของคนอื่น แต่ก็ต้องหาวิธีดูแลความรู้สึกตัวเองด้วย ไม่อย่างนั้นคงหมดไฟหมดพลัง จนหมดอาลัยตายอยากกันเสียหมด ลงท้ายด้วยไปทำอย่างอื่นดีกว่า

ส่วนในระหว่างนี้ ถ้าสังคมแพทย์ยังเป็นสังคมของพี่น้อง เป็นพี่สอนน้องอยู่ละก็ เขาก็ถือเป็นหน้าที่รุ่นพี่ที่ต้องดูแลความรู้สึกรุ่นน้องด้วยเหมือนกัน

“หรือ... ผมควรจะทำใจให้ชินไว้บ้าง เพราะผมเรียนเพื่อที่จะเป็นหมอ” รักษิตพูดเบาๆ “คงต้องเจอ... เรื่องแบบนี้อีกหลายหน”

“... พี่ว่า ไม่ต้องไปบังคับตัวเองให้ชินหรอก ไม่อย่างนั้นเราจะเฉยชาไปหมด... เห็นแต่โรค ไม่เห็นคนไข้” ธีรพัทธ์บอกช้าๆ “... หมอน่ะ เจอคนไข้เข้าก็อยากจะทำโน่นทำนี่ เพราะเรียนมาเยอะ แต่ให้รู้ตัวว่าต้องพอได้แล้ว เพราะบางครั้ง... การพอคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ กลับยากกว่าเสียอีก”

รักษิตนิ่ง ได้ยินเสียงรุ่นพี่เล่าต่อเรื่อยๆ "ตอนเรียน คนไข้เพื่อนพี่อยู่ๆ ก็ไปกะทันหันเหมือนกัน ขานั้นพอหมดเวรเดินลงจากวอร์ด กลับหอไม่พูดไม่จากับใครเลย แต่เช้าวันต่อมา เขาก็ลุก กลับมารับคนไข้ต่อ... บอกว่า ถ้าตัวเองแย่ ก็ช่วยใครไม่ได้”

“ผมไม่อยาก...” รักษิตโพล่งออกมา แล้วเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก แต่อีกฝ่ายก็รอเขาอย่างอดทน จนคนเป็นรุ่นน้องพูดเสียงเบา รู้ตัวว่าออกจะฟังดูเป็นเด็กอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ “ผมไม่ชอบความรู้สึกที่ว่า เราทำอะไรไม่ได้แล้ว”

“บางที ก็ไม่เหลืออะไรให้เราทำแล้วต่างหาก” ธีรพัทธ์พูด มองหน้าคนนั่งข้างกัน “แต่... เรายังอยู่กับคนไข้ได้ พูดกับญาติเขาได้ น้องเพิ่งเจอ แรกๆ คงลำบากหน่อย”

รักษิตนิ่งไปอีก ท่าทางรุ่นพี่จะคิดว่าเขาเพิ่งรู้จักกับความตายอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก แต่ไม่จริงหรอก นับเฉพาะคนในครอบครัว นอกจากคุณปู่คุณย่า คุณพ่อแล้ว พี่สาวคนโตของเขาเองก็จากไป ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย และไม่สมควรเลย

“ถ้าไม่ใช่เพราะมีอาการหรือโรคอื่นๆ ที่ทำให้พยากรณ์แย่มากอยู่แล้ว ถ้าไม่มีการคุยปฏิเสธการกู้ชีพมาก่อน เราก็พร้อมจะปั๊มต่อ ใช่ไหม... ทั้งๆ ที่ยิ่งนาน โอกาสที่อะไรๆ จะเสียหาย โอกาสที่เขาจะกลับมาได้ก็น้อย แต่ก็ยังทำ พี่ไม่คิดว่าเรายอมแพ้กันง่ายขนาดนั้นนะ...” ธีรพัทธ์บอก “บางที... เราก็ไม่มีทางรู้”

รักษิตเงยหน้าขึ้น รุ่นพี่กำลังบอกเขาว่า ถ้าไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ในทางการแพทย์อย่างที่มักจะเคยได้ยินบ่อยๆ ก็... ไม่มีอะไรหมดหวังร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน

เพราะไม่ว่าจะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ สิ่งที่สำคัญกว่าคือคุณภาพชีวิต ณ ขณะนั้นของคนไข้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงใดก็ตาม

“ผมแค่...” รักษิตเริ่ม รู้สึกว่าคงฟังดูเป็นเด็กอีกแล้ว แต่ก็คิดว่าต้องบอกใครสักคนออกมาจริงๆ และธีรพัทธ์นั้นเหมาะ เพราะเขาแน่ใจว่ารุ่นพี่ไม่หัวเราะเยาะเขาแน่ๆ “ผมแค่... อยากสู้ให้ถึงที่สุดก่อน”

“ดีแล้ว” ธีรพัทธ์ตอบ “เพราะถ้าพี่เป็นคนไข้ พี่ก็อยากได้หมอแบบนี้แหละ”

คำพูดประโยคนั้นทำให้เขามีกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด จนได้ยินประโยคถัดไป ที่ธีรพัทธ์บอกว่าจะไปเวียนที่โรงพยาบาลในต่างจังหวัด ต้องถาม “... แล้วจะไม่กลับมาแล้วเหรอ”

“กลับมาสิ ระหว่างนี้ก็ต้องมีกลับมาบ้าง” รุ่นพี่รีบตอบ “พอปีสาม ก็กลับมาเรียนต่อที่นี่จนจบ น้องก็ปีห้าแล้ว...”

รักษิตพยักหน้า หันหลังไปมองลอดผ่านประตูกระจกของวอร์ด เอ่ยขอบคุณเขาอย่างจริงใจ ก่อนจะลุกขึ้น

ธีรพัทธ์ก็ลุกขึ้นเหมือนกัน ความจริงน้องรอบนี้ใกล้ลงวอร์ดแล้ว... แต่เขาจะพูดกับรักษิตก่อนแยกย้ายกันกลับไปทำงานว่าอย่างไรดี

... อยู่ได้นะ? ดูสนิทชิดเชื้อแถมยังเป็นการเหมาถึง... อะไรก็ไม่รู้อีก ก็ต้องอยู่ได้อยู่แล้วสิ เพราะยังมีรุ่นพี่ทั้งเอ็กซ์เทิร์นและแพทย์ประจำบ้านคนอื่นๆ อีกหลายคนที่จะต้องเจอเมื่อรักษิตขึ้นวอร์ดใหม่ ไม่เป็นไรนะ? เขาก็คิดว่ารุ่นน้องคงไม่เป็นไร จากแววตาท่าทาง รวมทั้งการทำงานที่เคยเห็นผ่านมา บ่งบอกว่า เป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจมากคนหนึ่ง

ที่เหลือให้พูดพร้อมรอยยิ้ม ก็คือ “แล้วเจอกัน”

... เพราะต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ


ลภกำลังออกจากที่ทำงานเพื่อตรงไปยังโรงพยาบาลตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อเห็นหน้าจอก็กดรับก่อนจะก้าวขึ้นรถ เสียงที่ลอดผ่านออกมานั้นทำเอาเขาขมวดคิ้วนิดๆ

“พี่ลภคุยได้นะ?”

“ษิตมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามทันที จับสังเกตน้ำเสียงนั้นได้ “มาเจอพี่ที่โรงพยาบาลไหม แต่ต้องรอหน่อยนะ เสร็จแล้วพี่ไปส่งบ้าน”

“ไม่เป็นไร” รักษิตรีบตอบ ความจริงเขาก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นแล้วตั้งแต่ที่คุยกับรุ่นพี่ กลับเข้าไปทำงานในวอร์ดจนเพิ่งออกมาเมื่อกี้นี้ แต่เพราะเคยเล่าเรื่องทุกอย่างให้คนปลายสายฟังมาตลอด ก็เลยพูดต่อ “ความจริงก็... มีนิดหน่อย เรื่องคนไข้น่ะ แต่คุยกับรุ่นพี่ในสายไป เลยโอเคแล้ว พี่ลภไม่ต้องห่วง”

“คนไข้?” อีกฝ่ายทวน “ษิตโอเคแน่นะ”

“อืม... ษิตรับไว้แรกๆ เลย ก็ดูกับพี่เขา ยังคิดถึงคุณย่านิดหน่อย... แต่พอวันนี้เขาไม่อยู่แล้ว เลย... คิดถึงหมด คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ แล้วก็... พี่ริน”

ปลายสายเงียบไป จนรักษิตพูดต่อ “พูดแต่เรื่องษิต... พี่ลภก็เสียงแย่เหมือนกันนะ มีอะไรหรือเปล่า?”

“คนไข้พี่ที่ผ่าไว้ อาการไม่ค่อยดี” ลภตอบตรงๆ “พี่กำลังจะไปดู ต้องผ่าอีกครั้ง แต่นี่... อยู่ในไอซียูแล้วก็ยังไม่ค่อยดี”

ปกติถ้าผ่าตัดเพื่อควบคุมความเสียหายไปแล้ว การผ่าตัดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองวัน ถ้าต้องผ่าเพื่อแก้ไขในขณะที่คนไข้ร่างกายยังไม่เสถียรพอย่อมอันตรายกว่ามาก แต่บางทีก็ไม่มีทางเลือก เขายังคิดว่าอาจรอได้อีกหน่อยเพื่อให้ดีขึ้น และหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่โทรศัพท์จากโรงพยาบาลก็ทำให้ต้องรีบเข้าไปแม้จะไม่ได้รับเวรของวันนี้ไว้ หลังจากเพิ่งแวะไปดูมาเมื่อเช้า

“เอ๊ะ... เกือบลืม” เขาได้ยินอีกคนร้องขึ้น “ษิตโทรมามีเรื่องต้องบอกพี่ลภ”

“ขอเป็นข่าวดีนะ... พี่อยากฟังข่าวดีบ้าง”

“คือ... คุณแม่จะถึงพรุ่งนี้แล้ว ตอนเย็นอยากคุยกับพี่ลภที่บ้าน”

ปลายสายเงียบไปอีก รักษิตถามเสียงอ่อย “ม... ไม่ใช่ข่าวดีใช่ไหม”

“พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น...” ลภตอบ “แค่กำลังคิดว่า... วันศุกร์แล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”

“ถ้างั้น... พี่ลภเตรียมฟังข่าวดีนะ”

“ว่ามา”

“เวลาผ่านไปเร็ว...”

“อือฮึ...”

“แป๊บเดียว พี่ลภก็จะได้ไปเรียนต่อ”

ปลายสายนิ่งไปนิด ก่อนตอบ “พี่ก็รออยู่...”

เพราะกับเรื่องบางเรื่อง... เขาก็ได้แต่หวัง และรออยู่เท่านั้น
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 12-06-2014 00:21:38
คุณ BeeRY เรื่องยาวเรื่องแรกที่แต่งนี่ ไม่มีผู้ชายสายวิทย์สุขภาพเลยนะคะ 55 (แต่มีผู้หญิงสายวิทย์สุขภาพแทน) จริงๆ ก็คือชอบนั่นแหละ แต่ก็ชอบหลายอย่างนะ เรื่องอาชีพน่ะ กร๊าก ถ้าพี่ลภเป็นลูกเขย แม่ษิตเป็นแม่ยาย ตามนี้ษิตก็ดองกับพี่ลภล่ะซี น้องภรรยา? คนอ่านงานยุ่งไม่เป็นไรค่ะ แค่แวะมาอ่านก็ดีใจแล้วน้า

คุณ malula บทนี้ไม่มีนีน่า แต่ชีอาจจะรีเทิร์น (เราเปิดตัวละครมาแล้วเราจะไม่เสียเปล่า) ลูกเลี้ยงแม่เลี้ยง ก็ยังไงก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ เนอะ จะรักเหมือนษิตได้ไง

คุณ iforgive ดราม่าเพราะความเข้าใจ (หรือไม่เข้าใจ) ของคนนี่แหละ เหอๆ แต่เรื่องบางเรื่องก็เข้าใจยากนะ

คุณ B52 คือนอกจากชีวิตส่วนตัวของพวกเขาแล้ว อย่างอื่นมันก็อึนนิดหน่อยค่ะ แต่คงไม่เยอะอะไร นีน่าเธอก็เป็นคนฉลาดน่ะนะ

คุณ jinjin283 มาม่า? นิดหน่อยค่ะ พิธานอาจจะไม่มีคู่เลยก็ได้นะ 55

คุณ Nemasis จริง คือปมมันอยู่ตรงเธอเนี่ย เดี๋ยวเราจะค่อยๆ คลี่กันไป ขอบคุณมากค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ -west- ขอบคุณมากค่ะที่แวะเข้ามาอ่าน บทนี้สั้นกว่าบทอื่นนิดหน่อยหวังว่าจะไม่ต้องใช้เวลาอ่านนานเท่า 555 จริงๆ ก็พยายามเขียนให้กระชับๆ หน่อยค่ะรายละเอียดมันเยอะ กลัวคนอ่านขี้เกียจอ่าน 555 ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ warin ขอบคุณมากนะคะ หมอสี่คนนี่ก็ไม่เหมือนกันเลยนะเพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็มีตัวแปรเยอะ 55 ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ฝากสงสัยต่ออีกนิดนะคะ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะค่อยๆ คลี่ออกมา ตามที่เรื่องดำเนินไป (ก็ปกติลูกเขยไม่ใช่ลูกไล่แม่ยายเหรอ 55 บางคนนะ) เรื่องหมอพิธานกับลภ เดี๋ยวก็เจอกัน และจะได้กระจ่างขึ้นแล้วค่ะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความจริง... ตั้งใจให้เรื่องนี้เป็นนิยายเชิงการแพทย์หน่อยๆ นะ เพราะฉะนั้นมันจะมีประเด็นในวงการเขาเองด้วย นอกจากเรื่องส่วนตัวของตัวละครของเรา ซึ่งก็เยอะอยู่ แต่ความจริงคือรายละเอียดทางการแพทย์เหล่านี้ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เล่าเรื่องที่อยากเล่าได้ (อันนั้นน่ะสำคัญ) ก็เลยจะพยายามไม่ให้พวกศัพท์เทคนิกอะไรงี้เยอะจนเกินจำเป็นไปนะคะ ถ้ามีศัพท์เฉพาะหรือต้องทับศัพท์จะขยายความเป็นภาษาไทยเอาไว้ในตัวเนื้อเรื่องเลยนะ (อีกครั้ง จะพยายามไม่ให้เยอะค่ะ)

เอาล่ะ ถ้าเข้าใจว่าแต่งงานนี่ก็ต้องแต่งกับผู้หญิงนะ (น่าเสียดายที่) บ้านเมืองเรายังไม่มีการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันที่รับรองโดยกฎหมาย เป็นอย่างนั้นพี่ลภก็น่าโกรธอยู่น่ะ 55 แต่นั่นแหละ แต่ละคนมีชิ้นส่วนความจริงกันคนละอย่าง ซึ่งก็อาจจะจริงหมดหรือไม่ก็ได้ หรือจะเห็นทั้งภาพต่อเมื่อเอาจิ๊กซอว์ทั้งหมดมาต่อกันก็ได้ และก็กำลังจะเจอกันแล้วแหละ

ขอบคุณคนอ่านมากๆ เช่นเคยค่ะ
  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-06-2014 09:36:21
น้องษิตยังต้องเรียนรู้และพบเจออะไรอีกมาก มีที่ปรึกษาดี ๆ นี่ก็ช่วยได้เยอะเลย
พี่ลภเป็นหม้ายสินะ
เห็นใจบรรดาคุณหมอจัง นอกจากรักษาคนไข้ ไหนต้องรับมือกับญาติคนไข้
แล้วยังต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอีก
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-06-2014 12:48:24
แม่ยายกับลูกเขยนี่ มันมีเรื่องอะไรกันว๊า
ดูอึดอัด คลุมเครือ ชอบกลจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-06-2014 13:37:25
ง่ะ ตอนที่สี่แล้ว เราพลาดไปสามตอนเลย อ่านรวดเดียว
หน่วงๆ พิกล ตอนแรกเลยคิดว่าพิธานจะคู่กับษิต แต่พออ่านต่ิมาเรื่อยๆ
พิธานคงเป็นคนรักเก่าของลภ แล้วลภก็มาแต่งงานกับรินที่เป็นพี่ของษิต
ตอนนี้ลภเป็นหม้าย พิธานยังเฮิทไม่หาย เอ๊ะ แล้วสุดท้ายจะเป็นยังไงต่อ
ติดตามตอนต่อไปค่าาาา
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 12-06-2014 18:27:31
เพิ่งมาเห็นว่าคุณเดหลีเปิดเรื่องใหม่
ตามอ่านยิงยาวรวดเลย อ่านทีไรก็ต้องละเมียดอ่าน อ่านไปประมวลผลไป
ชอบที่แทรกความรู้ไว้เยอะแยะเต็มไปหมดเลย
ยิ่งอ่านก็ทำให้เข้าใจคุณหมอๆ ทั้งหลายมากขึ้นด้วย (ทั้งในนิยาย, โลกความเป็นจริง)

แต่ยิ่งอ่านแล้วยิ่งระแวง กลัวแทนตาษิตจริงๆ ว่าจะโดนเข้าไปเอี่ยวอะไรบ้าง
กลัวจะโดนทำร้ายจิตใจจากสารพันคนรอบตัวที่แบกมาม่าไว้คนละชาม  :ling3:

นั่งลุ้นรอตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 12-06-2014 22:33:09
อ่านตอนที่แล้วไม่ได้เม้นความคิดเห็นไว้
แต่มาแอบอ่านที่คุณเดหลีตอบเหล่าคนอ่านอยู่นะคะ

เวลาเราอ่านนิยายแต่ละเรื่อง พออ่านเสร็จก็จะมีความคิดเห็นส่วนตัวกันทั้งนั้น
ว่าตัวละครตัวนั้นเป็นอย่างนั้น ตัวละครตัวนี้เป็นอย่างนี้
คนนั้นน่าจะคู่กับคนนี้ คนนี้เป็นพระเอก คนนั้นเป็นนายเอก

แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังเดาไม่ถูกเลย
อ่านตอนแรก คิดว่ารักษิตเป็นนายเอก
พอมีพิธาน ก็คิดว่าพิธานอาจจะเป็นนายเอก
พอมีลภ ก็งงว่าลภจะมีความสำคัญถึงขั้นไหน
พอมีธีรภัทร์ก็คิดว่าคงคู่กับพิธาน แต่จะสมหวังหรือเปล่า?
แล้วพอรักษิตเจอกับธีรภัทร์ ก็ อ้าว...
แล้วมาเจอปมพิธานกับลภ ที่คิดไว้แต่แรกว่าทั้งสองคนน่าจะเมะ แล้วเป็นซะอย่างนี้ ???

พออ่านถึงตอนล่าสุดก็เลยว่าจะรื้อความคิด ตั้งต้นใหม่
เพราะเดาไม่ถูกเลยว่าใครพระเอกนายเอก ใครคู่ใคร
ตอนอ่านรอยรัก จำหลักใจ รอบแรกก็เข้าใจเนื้อเรื่องดี
แต่อ่านรอบสองแล้วจะเข้าใจลึกซึ้งกว่า
แต่สำหรับเรื่องนี้คาดว่าคงต้องอ่านสักสามรอบเป็นอย่างน้อยถึงจะเข้าใจทั้งหมด

ตรงไหนที่มีเรื่องการแพทย์จะอ่านทวนซ้ำๆ
เป็นเรื่องที่ใช้เวลาอ่านในแต่ละตอนนาน รายละเอียดเยอะ
เพราะเป็นเด็กสายศิลป์ โง่วิทย์มาก  :o11:
แต่ชอบค่ะ ได้ความรู้ดี เฝ้ารอคอยคำตอบและบทสรุปต่อไป 
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 12-06-2014 23:17:35
ลดศัพท์เทคนิคลงหน่อย  หรือไม่ ก้มีหมายเหตุไว้ข้างล่าง  จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน  ได้กุศลนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 17-06-2014 07:20:54
อ่านแล้วนึกถึง godhand teru นะเป็นแบบหมอที่ไม่ยอมแพ้ต่อคนไข้ ที่ไม่ว่าคนไข้จะอาการหนักเท่าไหร่ก็ตาม แต่บางทีคนไข้หรือญาติคนไข้ต่างก็ถอดใจไปแล้ว

ไม่ก็ซีรี่ย์เรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น ที่หมอพยายามจะทำทุกอย่างเพื่อให้คนไข้ได้หาย สุดท้ายเขาก็ตาย หมอก็เลยเป็นคนเสียใจมากที่สุดที่เขาจากไป ขนาดที่บรรดาญาติ ๆ ทำใจไว้แล้วเช่นกัน การเป็นหมอนี่บางทีก็รับภาระไว้เยอะนะ

พูดถึงเรื่องหมอแล้วนึกถึง ด็อกเตอร์เฮาส์ ชีวิตจริง ๆ จะมีหมอเกรียน ๆ แบบนั้นหรือเปล่าหว่า  :laugh:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: เกลียวคลื่น ที่ 17-06-2014 08:16:20
หาที่ปักไว้ก่อน  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 20-06-2014 10:19:19
ช่วงนี้ยุ่งๆค่ะ มาอ่านรวดเดียวเลย555

เหมือนเรื่องนี้จะยังครุมเครือว่าใครเป็นพระเอก  :mew3:

แต่คุณเดหลีแต่งได้บรรยากาศหมอมากๆเลยค่ะ สมจริงดี ชอบๆ รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ปล...ศัพท์เทคนิคบางคำ อาจจะต้องมีอธิบายให้คนเข้าใจนะคะ เพราะคนที่ไม่ได้เรียนสายนี้อาจจะงง ได้เหมือนกัน^^
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 4] 12 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 25-06-2014 18:22:04
คืออ่านๆไปจนต้องอุทานในใจเลยว่า เฮ้ย พี่เค้ารู้ขั้นตอนทางการแพทย์ต่างๆได้ไง
เช่น การผ่าตัด แบบพี่เป็นหมอเอง หรือหาข้อมูล หรือมีคนสนิทเป็นหมอ
ข้อมูลอาการต่างๆ อะไรพวกนี้ทั้งละเอียดและเป๊ะ ถ่ายทอดออกมาได้สุดยอดมากจริงๆ
จนคิดว่าคนที่เขียนแนวหมอนี่ถ้าไม่ได้เป็นหมอหรืออยู่ในวงการแพทย์เอง
จะสามารถเขียนแล้วถ่ายทอดออกมาให้ได้บรรยากาศแบบนี้ได้ยังไง
คือพี่เก่งและสุดยอดมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 5] 29 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 29-06-2014 00:27:25
บทที่ 5

แดดยามเย็นลอดผ่านร่มเงาต้นหูกวางลงมาแต้มพื้นโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มเป็นดวงๆ นักศึกษาแพทย์สองคนกำลังขะมักเขม้นกับงานตรงหน้า โน้ตบุ๊กเปิดกางอยู่ ส่วนตำราและเอกสารกองระเกะระกะอยู่ด้านข้าง

เวลาก่อนขึ้นเวรอันน้อยนิดเป็นช่วงที่ต้องรีบฉกฉวยไว้ก่อนเพื่อปั่นรายงานที่ต้องส่งหรือตามอ่านหนังสือย้อนหลัง ถ้าใครโชคดีพอว่างกว่านั้นจึงจะได้หาที่งีบสักหน่อยหรือไปหาของกินนอกคณะบ้าง แต่ตอนนี้รักษิตคิดว่าตัวเองไม่อยู่ในข่ายนั้น เพราะพอขึ้นวอร์ดใหม่ เจอคนไข้ใหม่ๆ ก็ต้องเริ่มเรียนรู้กันใหม่ เขากวาดตาอ่านทวนรายงานย่อหน้าสุดท้ายในจอ คิดว่ายังสรุปได้ไม่ค่อยดีนักแต่สมองก็ชักจะล้าแล้ว ยังเหลือเวลาพรุ่งนี้ให้แก้ไขอีกวัน

ญาดาปิดโน้ตบุ๊กลง บ่นว่าชักไม่ไหวแล้วเหมือนกัน หยิบขนมมากินแล้วพูดอย่างเห็นใจเมื่อเพื่อนยังจ้องหน้าจออยู่ไม่เลิก

“สูติฯ ประเด็นเยอะอยู่นะ... ขนาดนิ้งผ่านมาแล้ว ยังไม่คิดว่าตัวเองรู้อะไรเท่าไหร่ วอร์ดอื่นเราก็คิดถึงตัวคนไข้ อาการ โรคที่เขาเป็น แต่ในสูติฯ เหมือนมีสองคนให้ต้องรับผิดชอบเลย นอกจากคนไข้ยังมีลูกในท้องเขาด้วย”

รักษิตพยักหน้า ถอนใจแล้วหยิบหนังสือมาเปิด ถ้าจะเขียนสรุปใหม่ก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก เขาจดที่สำคัญเอาไว้ ได้ยินเสียงคนนั่งตรงข้ามถามต่อ

“แล้ว... ในวอร์ดเองเป็นไง”

รักษิตยิ้มทั้งๆ ยังก้มหน้าก้มตาเขียนอยู่ รู้ว่าเพื่อนจะถามว่าอะไร ความจริงพี่แพทย์ประจำบ้านที่เขาเจอไม่ใช่พี่ที่ญาดาเคยเจอทั้งหมดเมื่อตอนขึ้นวอร์ดนี้ แต่คนถามคงตั้งใจถามเรื่องเพื่อนร่วมวอร์ดเสียมากกว่า เขาเอ่ยตอบ

“เอาเป็นว่า... ช่วยๆ กันทำแล้วกัน”

“ษิต” เสียงเพื่อนชักจะแสดงถึงความ ‘อดรนทนไม่ได้’ “ษิตไม่ได้อยู่วอร์ดกับยายนั่นสองคนนะ นิ้งถามคนอื่น คงได้ยินอีกแบบ”

รักษิตวางปากกา พูดเรื่อยๆ เช่นเดิม “แต่ตอนนี้ นิ้งถามเรา... วอร์ดมันงานเยอะ ก็ช่วยๆ กัน บางที ในตารางมีชื่ออยู่เวรพร้อมกันขึ้นมา คู่เวรก็ต้องช่วยกันก่อนไปขอให้พี่ช่วย”

ญาดาทำเสียงในลำคอคล้ายๆ “ฮึ!” รักษิตหัวเราะ

“เอ ถ้าทัศนีย์เป็นนีน่าแล้ว ญาดา... ญาญ่าไหม? เราพร้อมเรียกนะ”

“พูดเล่นอยู่ได้” ญาดากระฟัดกระเฟียด “เรื่องชื่อน่ะถึงนิ้งจะหมั่นไส้ ก็ยังเป็นเรื่องเล็ก... เอาเถอะ ษิตจะเป็นพ่อพระก็เป็นไป ระวังด้วยแล้วกัน ยุคนี้ คนดีต้องมีเขี้ยวเล็บบ้างนะจ๊ะมันถึงจะอยู่รอดปลอดภัย!"

คนพูดจากไปขึ้นเวรแล้ว แต่รักษิตยังหัวเราะหึๆ กับหลักการ 'คนดีต้องมีเขี้ยว' ของเพื่อน ก้มอ่านหนังสือต่อ จนต้องเงยหน้าขึ้นเพราะเงาที่ทาบลงมา

“ตำรานี่มันมีอะไรขำหรือ” ธีรพัทธ์ถามขึ้นยิ้มๆ เกือบจะทันทีที่ลงนั่งฝั่งตรงข้าม

เขากลับกรุงเทพฯ เพียงวันสองวัน เพราะอาจารย์โทรตามให้ร่วมสัมมนาที่เป็นประเด็นน่าสนใจ พอดีรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกันกำลังจะกลับมาเยี่ยมบ้านเลยได้ติดรถมา หารค่าน้ำมันกันไป ข้างคนขับก็ดีใจเพราะจะได้มีเพื่อนชวนคุยระหว่างทาง แม้ใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วโมงดี แต่หากสติสมาธิไม่อยู่กับตัวแวบเดียว อาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ยิ่งกับคนที่ทำงานมาเกือบสามสิบหกชั่วโมงโดยแทบไม่ได้นอนด้วยแล้ว

เสร็จสัมมนา คุยกับอาจารย์เรียบร้อย เขาก็เดินลงจากตึก สะดุดตากับนักศึกษาแพทย์ที่นั่งอยู่คนเดียวใต้ต้นหูกวาง ถึงเจ้าตัวจะไม่ได้ยิ้มให้เขาโดยตรง แต่คนเห็นนึกอยากทักเป็นกำลัง ถึงไม่มีเหตุผลอะไรอื่น อย่างน้อย ก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสายร่วมวอร์ดเดียวกันมาอยู่ก่อน

รักษิตวางปากกาหนังสือ ทักเขาตอบอย่างดีใจ ถามไถ่เรื่องการเดินทางเรื่องทั่วไปกันอยู่พัก ธีรพัทธ์สังเกตเห็นตำราที่วางกองว่ามาจากภาควิชาใด จึงกระเซ้าออกไป

“ขึ้นวอร์ดใหม่แล้ว คิดถึงเมดบ้างหรือเปล่า...”

ชะงักไปนิดเมื่อรุ่นน้องตอบมาอย่างจริงจัง “คิดครับ ต้องคิด...”

ธีรพัทธ์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ยังยิ้มอยู่ ก่อนเจ้าตัวจะขยายความ

“... คนไข้ที่ผมรับมีคอนดิชั่นทางเมดด้วยทั้งนั้น เป็นเบาหวาน... อีกคนก็ความดัน ไธรอยด์ก็มี ต้องดูละเอียดเลย”

... คิดถึงเพราะคนไข้มีภาวะทางอายุรกรรมนี่เอง ธีรพัทธ์อดขำกับคำตอบพาซื่อนั้นไม่ได้ พอดีกับรักษิตรวบหนังสือเอกสาร โน้ตบุ๊กใส่กระเป๋า เอ่ยลาเขาว่าต้องกลับขึ้นตึกแล้ว เย็นนี้ พี่นัดสายเล็กน้อย

ธีรพัทธ์พยักหน้ายิ้ม มองรุ่นน้องคล้อยหลังไปหน่อยก่อนจะนึกอะไรได้จึงเรียกไว้ “ค่ำๆ นัดกินข้าวกับพวกในวอร์ด น้องไปด้วยกันซี ไม่มีเวรใช่ไหม”

รักษิตสั่นศีรษะ ถามเขาอย่างลังเล “จะไม่แปลกหรือครับ ผมไม่ค่อยรู้จักใคร”

“พี่ชวนอยู่นี่ไง” เขาว่าพลางหัวเราะ “รู้จักพี่ไม่ใช่หรือ ไปเถอะ เห็นหน้ากันแล้วทั้งนั้น มีเอ็กซ์เทิร์นในสายเราด้วย”

รุ่นน้องรับคำ นัดแนะเวลากันเรียบร้อย ธีรพัทธ์จึงลุกขึ้นจากโต๊ะไม้ใต้ต้นหูกวางบ้าง


มื้อนั้นผ่านไปอย่างสนุกสนานเฮฮาดี มีพี่แพทย์ประจำบ้านบางคนที่รักษิตไม่เคยพบ แต่ก็ได้โอกาสทำความรู้จักคุ้นเคยกัน ขากลับบางคนแยกย้ายจากที่ร้าน ส่วนธีรพัทธ์กับรักษิตเดินผ่านเข้ามหาวิทยาลัยมาส่งเอ็กซ์เทิร์นผู้หญิงที่หอ เพราะทางเดินนั้นเปลี่ยวอยู่บ้าง

ยิ่งพอพ้นจากหอหญิงไปทางหอชาย จะมีร่มไม้มืดครึ้มตลอดแนว แม้ตามไฟไว้ก็ยังสลัวราง เงาวูบไหวจากกิ่งก้านเบื้องบนทาบพื้นข้างล่างเป็นรูปร่างประหลาดซับซ้อน เคลื่อนไหวไปตามแรงลม

ทั้งสองคนหันมองหน้าก่อนจะหัวเราะอย่างเข้าใจกันดี ทางตรงนี้แหละที่เลื่องลือว่ามักจะเกิดเรื่องเหนือธรรมชาติ จนนักศึกษาแพทย์บางคนที่เชื่อถือเรื่องแบบนี้ถึงกับต้องไหว้ก่อนเดินผ่าน ไม่ก็ชักชวนเพื่อนมากลับหอกันเป็นกลุ่มทีเดียว

รักษิตนึกถึงเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ศิวัชเพิ่งจะมีทฤษฎีว่า ผีจะเลือกหลอกตอนหัวค่ำมากกว่า ถ้าเฉพาะกับตรงนี้น่ะ

‘... พวกกลับหอก่อนแสดงว่าไม่มีเวร หลอกไปยังพอมีแรงตกใจบ้าง ถ้ามาหลอกพวกลงเวร เดินกลับตอนเที่ยงคืนตีหนึ่งนะ... หลอกไปก็เสียเวลาเปล่า แทบจะเป็นซอมบี้กันอยู่แล้วแต่ละคน ไม่มีสติมาสนใจอะไรหรอก’

เขาบอกรุ่นพี่ ยังว่าปีหนึ่งมีการมาทดสอบความกล้าตรงนี้ด้วย จับมือเดินกันเป็นหาง แถวห้ามขาด

“อ้อ สมัยพี่นะ...” ธีรพัทธ์เริ่ม แล้วชักคิดว่าพูดอย่างนั้นดูชราชอบกลเลยหยุด จำได้ว่าเมื่อตอนตัวเองอยู่ปีสี่ ได้ยินพี่ๆ หรืออาจารย์พูดว่า 'สมัยพี่...' แล้วยังคิดว่าแก่

เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ...

“สมัยพี่ทำไมครับ?” รุ่นน้องเห็นเขาทิ้งไว้แค่นั้นยังอุตส่าห์ซักต่อ ทั้งคู่เดินเคียงกันไปช้าๆ ไม่รีบร้อน ลมกลางคืนพัดโชยมา เกิดเสียงเสียดสีของกิ่งไม้ใบไม้เป็นระยะ

“สมัยพี่... ซึ่งก็... ไม่ค่อยนานหรอกนะ” เขาเล่า หัวเราะเบาๆ “สารพัดอุบายจะคิดมาดักแกล้งเพื่อน แต่มีคนหนึ่ง ไม่กลัวอะไรเลย ประสาทแข็งจริงๆ จนพวกที่แกล้งไปปะโดนอาจารย์เข้า ถูกด่าเสียเปิง หลังจากนั้นเลยต้องเพลาๆ ลง”

รุ่นน้องกลับถามว่า “เพื่อนพี่พัทธ์คนนี้ คนเดียวกับที่เคยพูดถึงเมื่อวันนั้นที่นอกวอร์ด...”

“อืม... เพื่อนเรียนมาด้วยกันน่ะ ตอนนี้มาเรียนต่อที่นี่”

รักษิตพยักหน้า เป็นความรู้สึกที่ออกจะรับรู้ได้เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงเพื่อนร่วมรุ่นคนนี้ ซึ่งแฝงความชื่นชมและเชื่อถือเอาไว้แจ่มชัด

เมื่อเดินถึงช่วงที่มืดที่สุด อยู่ๆ รุ่นพี่ก็ถามเขาว่า “แล้วน้องล่ะ กลัวไหม”

รักษิตนิ่งไปนาน ก่อนตอบว่า “ถ้าถามว่ากลัวความมืดไหม ผมก็ตอบได้ว่าไม่กลัว แต่ถ้าถามว่ากลัวสิ่งที่กลัวกันว่าจะอยู่ในความมืดหรือเปล่า...”

เขาคิดถึงตอนเรียนมหกายวิภาคเมื่อปีสอง เป็นเรื่องแปลกที่นักศึกษาแพทย์มักจะมีสติอยู่กับตัวเป็นอย่างดีเมื่อลงมือศึกษาร่างแต่ละส่วนของอาจารย์ใหญ่ผู้บริจาคร่างเป็นวิทยาทาน ในห้องเรียนที่เปิดไฟฟ้าสว่างและมีเพื่อนๆ แวดล้อมหลายคน ต่อเมื่อจะต้องขึ้นไปคนเดียว บางคนก็เกิดจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ไม่กล้าเสี่ยงกับอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเคารพท่านผู้มีคุณปการต่อการศึกษาเหล่านั้นแต่อย่างใด

เขาจำได้ว่า มีพี่เอ็กซ์เทิร์นคนหนึ่งมักจะมาช่วยอาจารย์ในบางคาบ สอนน้องใช้เครื่องมือ เลาะ แยก... สอนน้องเก็บแต่ละส่วน จนวันทำบุญใหญ่เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนวิชานี้ ทั้งนักศึกษาแพทย์และอาจารย์ต่างเข้าร่วมพิธี รวมทั้งญาติๆ ที่คณะเชิญมาด้วย เขาก็เห็นพี่เอ็กซ์เทิร์นคนนี้อยู่ในกลุ่มนั้น

พี่บอกเมื่อเห็นเขา ‘พ่อเป็นครู ตายไปก็ยังอยากเป็นครู...’

เขายังจำพี่เอ็กซ์เทิร์นคนนั้นได้ดี ทั้งๆ ที่พบเธอเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันทำบุญใหญ่ ป่านนี้ คงกำลังใช้ทุนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง

รักษิตพูดช้าๆ “ผมก็คงตอบพี่พัทธ์ว่า ไม่รู้... เพราะผมยังไม่เคยเจอ แต่คิดว่า ถ้าตอนเป็น เป็นคนที่เรารู้จัก เคยรักเคยผูกพัน ตอนตาย ก็ยังเหมือนกัน ไม่น่ากลัว...”

ธีรพัทธ์หันไปมองรุ่นน้อง มองอยู่นิ่งๆ อีกฝ่ายคงไม่รู้ตัว เพราะทอดสายตาไกลไปข้างหน้า เมื่อแรกที่เจอ เขาคิดว่ารักษิตควรเป็นเด็กธรรมดาอย่างที่นักศึกษาแพทย์ปีสี่เป็น แต่ยิ่งรู้จัก ก็ยิ่งรู้สึกว่า รุ่นน้องมีเรื่องอยู่ในใจเยอะกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน

ถ้าได้ค่อยๆ พูดออกมาบ้าง ก็คงจะดี...

แต่สิทธิจะเล่าหรือไม่เล่าก็เป็นของรุ่นน้อง สิทธิของรุ่นพี่อย่างเขานั้นไม่ได้รวมถึงการขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัว ดังนั้นธีรพัทธ์จึงเปลี่ยนเรื่องอย่างจะให้บรรยากาศที่ดูหนักขึ้น... ผ่อนคลายลง

“เออว่าแต่... พี่สงสัยตั้งนานแล้ว ชื่อรัก-ษิตนี่แปลก เพราะ แต่ไม่ค่อยเคยเห็น แปลว่าอะไร...”

“รักษิต แปลว่า ได้รับการคุ้มครอง” รุ่นน้องตอบ นิ่งไปอีกนิดก่อนบอก “ผมอยากให้กลับกันมากกว่า บางที...”

ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าหอพักนักศึกษาแพทย์ชายแล้ว ธีรพัทธ์โบกมือให้เมื่อแยกกัน รุ่นน้องยิ้มตอบแม้จะยังมีสีหน้าครุ่นคิดถึงบางเรื่องที่เขาไม่รู้ได้ เมื่อรักษิตหันหลังเดินขึ้นบันไดไปแล้ว เขาก็ยังคงยืนมองอยู่ที่เดิม จึงได้เห็นว่ารอยยิ้มนั้นคลี่ระบายกว้างขึ้นเมื่ออีกฝ่ายหยุดเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาดู ก่อนจะกดรับและหายเข้าตึกไป

ธีรพัทธ์ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ แม้เมื่อเดินออกมาพ้นรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว


“พี่ลภ ษิตเพิ่งเห็น“ ได้ยินเสียงเอ่ยอย่างขอโทษขอโพยแทบจะทันทีที่รับสาย

“ไม่เป็นไร... พี่แค่โทรมาถามข่าวคราวน่ะ ระยะหลังไม่เจอกันที่บ้าน เป็นห่วงว่าจะเป็นไงบ้าง”

“อ้อ...” รักษิตเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ห้องเขาเองนั้นอยู่ชั้นสี่ ส่วนในลิฟต์ไม่ค่อยมีสัญญาณ “ขอบคุณครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตอนนี้อยู่สูติฯ ก็โอเค ปั่นรายงานเยอะเหมือนเดิม พอดี พี่พัทธ์... ธีรพัทธ์ที่เป็นพี่เดนท์ของษิตตอนอยู่เมดน่ะ เขากลับมา เลยไปกินข้าวกันกับรุ่นพี่หลายคน ร้านเสียงดังไม่ค่อยได้ยินเสียงโทรศัพท์...”

ปลายสายไม่ได้ตอบ รักษิตจึงพูดต่อ

“วันนั้นเห็นพี่ลภรีบเลยไม่ได้เล่าอะไรเยอะ แต่พี่พัทธ์นี่แหละที่ษิตเคยบอกพี่ลภว่า ได้คุยตอนษิตมีเคสที่คนไข้ไปกะทันหัน เขายังว่าเพื่อนเขาก็มีเคสคล้ายๆ กัน เกือบแย่เหมือนกัน แต่ตอนเช้าก็มาทำงานเหมือนเดิม...”

รักษิตเล่าย้อนถึงวันนั้นถี่ถ้วนแล้วจึงสรุป “พี่พัทธ์คงต้องรักแล้วก็ชื่นชมเพื่อนคนนี้พอสมควรเลย พูดถึงอยู่บ่อยๆ”

“คง... ใช่” ปลายสายตอบเพียงนั้น

แต่ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า เพื่อนคนที่ถูกพูดถึงคือใคร หมอชื่อธีรพัทธ์อาจจะไม่ได้มีคนเดียว แต่ธีรพัทธ์ที่มีเพื่อนร่วมรุ่นอย่างนี้...

“พี่ลภ ยังอยู่เปล่า”

“อืม... งั้นษิตไปทำรายงานต่อเถอะ จะได้รีบนอน”

“โห คืนนี้คงไม่ไหว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นเช้าแล้วมาทวนอีกรอบดีกว่า” รักษิตว่า “โอเค... แล้วเจอกันครับ”

วางหูแล้วเขาจึงได้เปิดประตูเข้าห้อง รูมเมตยังไม่กลับทั้งคู่ อาจจะมีเวรหรือออกไปหาอะไรกินข้างนอกเหมือนกัน รักษิตทิ้งตัวลงบนเตียง หวนคิดถึงตอนเดินกลับหอ ด้วยบรรยากาศหรืออะไรก็ตาม ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรแปลกๆ ออกไปบ้างหรือเปล่า

... หวังว่ารุ่นพี่จะไม่คิดว่าเขาแปลกมากแล้วกัน


เปิดเทอมใหม่ จากปีสี่ ก็เลื่อนเป็นนักศึกษาแพทย์ปีห้า... มีรุ่นน้องในชั้นคลินิกของตัวเอง พักกลางวันแล้วรักษิตรีบเดินไปโรงอาหาร วันนี้นัดเพื่อนกันไว้ ขาดเพียงคนเดียวคือเกตุวดี เขาหยุดพูดกับปีสี่ที่เอ่ยทัก ตอนแรกก็รู้สึกไม่คุ้นนิดหน่อยที่มีน้องมาคุยเรื่องคนไข้ด้วย จากเมื่อปีก่อนที่ยังรู้สึกว่าทำอะไรได้น้อยและต้องมองหาพี่เพื่อถาม... แต่ตอนนี้เขาเองก็เป็นพี่แล้วเหมือนกัน

ส่วนในวอร์ด ทั้งเอ็กซ์เทิร์นและพี่แพทย์ประจำบ้านต่างคาดหวังว่าปีห้าต้องรู้และช่วยงานได้มากเป็นเท่าตัว ซึ่งทำให้รู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองไม่หยุดหย่อนเหมือนเดิม ทั้งเรื่องเรียน ปีห้ายังเจอคนไข้ที่มีภาวะฉุกเฉินเพิ่มมากขึ้นด้วย

เมื่อถึงโต๊ะก็พบว่าศิวัชและญาดารออยู่ก่อนแล้ว ได้ยินเสียงศิวัชแว่วๆ

“เออ ดวงเอ้อ้วนตอนขึ้นชั้นคลินิกนี่เป็นไง ซวยแต่ต้น ซวยแต่ปีสี่ยันปีห้า”

“เริ่มซวยตั้งแต่ได้หนังสือจากพี่รหัสแล้ว” ญาดาบอก “มีอย่างที่ไหน สายอื่นเขาก็เขียนอวยพรต่อๆ กันมาให้น้องจบไปดีๆ สายเอ้อ้วนคัดโองการแช่งน้องตั้งแต่หน้าแรกจ้า แรงไหมล่ะ”

“เป็นยังไงนิ้ง” รักษิตลงนั่งแล้วถาม “เคยได้ยินแต่โองการแช่งน้ำ”

“คล้ายกันแหละ เปลี่ยนเป้าหมาย” เพื่อนตอบ “นิ้งเห็นนั่งหน้าตาพะอืดพะอมเมื่อวาน เลยเข้าไปถาม ปกติไม่เคยกินข้าวไม่ลงนี่... เอ้อ้วนก็ยังพูดไม่ออกอยู่ดีนั่นแหละ ชี้ให้ดูหนังสือ เปิดหน้าแรก เจอเลย ถ้าทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ตั้งใจ ก็อย่าจบ! จงตกในสามวัน อย่าอ่านทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี! แช่งเผื่อไปล่วงหน้าโน่น สงสารน้องสาย ฝ่อหมด”

รักษิตพอใจชื้นอยู่หน่อยที่สายของเขาไม่เคร่งเครียดกันถึงขนาดนั้น จะออกแนวธรรมะธรรมโมมากกว่า เขียนโน้ตต่อมาให้ว่า ‘การขึ้นเวรคือการชดใช้เวร (กรรม) จงทำบุญอย่างสม่ำเสมอจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา ทั้งกับเราและคนไข้’

ศิวัชพูดต่อ “สายเอ้อ้วนสายเกียรตินิยม เกรดมาหลุมดำตรงมันนี่แหละ เอาน่ะ รุ่นพี่ก็ไม่เห็นเป็นไปตามคำแช่ง จบกันออกไปได้ทุกคน คนที่ต้องห่วงน่ะคือพวกปีห้าที่อยู่สายเดียวกันมากกว่า เอ้อ้วนมันดวงมหาเยิน... เรียกคนไข้หนักตลอด”

รักษิตเปิดคู่มือ พลิกไปภาคผนวก ซึ่งเขายังไม่ทันได้มีเวลาดูชื่อเพื่อนร่วมสายอย่างละเอียด และพบชื่อของนักศึกษาแพทย์อนันต์เกือบจะทันที เป็นอันว่าศิวัชหลุดรอดจากการขึ้นวอร์ดเดียวกับรูมเมตในปีนี้ และท่าทางว่าดวงเยินนั้นจะโอนมาทางเขาแทน ส่วนญาดาก็ชะโงกมาดูเหมือนกัน แต่ด้วยจุดประสงค์ต่างจากเขา เพราะเจ้าตัวจิ้มชื่อที่อยู่เหนือขึ้นไป บอก

“แหมษิตนี่ละก็ ดวงคู่สร้างคู่สมกับยายเง็กจริงๆ ปีห้ายังอยู่ด้วยกันอีก”

รักษิตยิ้มจืด

เอาเข้าจริงเขาก็ไม่เคยคาดหวังงานเบาอยู่แล้วตั้งแต่เลือกเข้าคณะนี้...


ในห้องพักแพทย์ภาควิชาศัลยศาสตร์ หน่วยศัลยศาสตร์หลอดเลือดที่อาจารย์ส่วนหนึ่งใช้ร่วมกับเฟลโลว์หรือแพทย์ประจำบ้านต่อยอดสาขานี้นั้น หมอที่มีตารางปฏิบัติงานต่างเดินเข้าๆ ออกๆ บ้างก็ชงกาแฟดื่มก่อนถึงเวลาต้องเข้าผ่าตัด บ้างก็แวะหาอะไรใส่ท้องก่อนลงไปคลินิกโรคเฉพาะทางในตอนบ่าย แต่วันนี้ที่ต่างออกไปคือไม่ว่าใครก็ใครจะต้องทักสมาชิกใหม่ของหน่วยที่กำลังอ่านวารสารทางการแพทย์อยู่มุมโต๊ะด้านใน และทุกครั้งลภก็จะวางหนังสือ ก้มศีรษะหรือยกมือไหว้พร้อมกับตอบคำถามตามแต่วาระ

เสียงเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองทำให้บรรยากาศที่เคยคุ้นสมัยเรียนเฉพาะทางกลับมาอีกครั้ง ลภรู้สึกว่า เขาอยู่ในที่... ที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริง ถึงจะละภาระความรับผิดชอบอีกด้านหนึ่งที่บริษัทไปไม่ได้หมด แต่ก็ยังดีที่เขาทำงานในโรงพยาบาลได้เต็มที่เต็มเวลากว่าแต่ก่อน

อาจารย์ท่านหนึ่งเดินถือถ้วยกาแฟมานั่งลงข้างเขา เอ่ยขึ้นว่า “ยินดีต้อนรับหมอ... ตอนหมอมาสัมภาษณ์ผมไม่อยู่ นึกว่าจะไปทรอม่าเสียแล้ว”

อาจารย์หมายถึงหน่วยศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ ยังจำได้ว่าลูกศิษย์เคยแสดงความสนใจเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ตอนเรียนศัลยศาสตร์ทั่วไป ลภพยักหน้า ตอบตามตรง 

“ความจริงตอนแรกผมก็ลังเลอยู่ครับ... แต่อยากลงละเอียดด้านนี้มากกว่า”

“มาวาสน่ะดีแล้วหมอ” อาจารย์ที่นั่งอยู่ใกล้กันเสริมขึ้น ‘วาส’ ย่อจากวาสคูลาร์ ที่แปลว่าเกี่ยวกับหลอดเลือดอันเป็นชื่อหน่วยศัลยศาสตร์ย่อยนี้นั่นเอง “ตอนนี้คนเป็นโรคหลอดเลือดกันเยอะ ทั้งเคสทั้งวิธีใหม่ๆ มีให้ได้ศึกษากันอีกมาก... ทรอม่าเขาต้องทำได้กว้างๆ ไว้ก่อน ถ้ายังไงเราก็ยังไปช่วยเขาได้”

นอกจากโรคที่จะเกิดได้กับหลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง และระบบไหลเวียนน้ำเหลืองแล้ว ยังมีคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุซึ่งเส้นเลือดอาจได้รับบาดเจ็บเสียหาย บางกรณี กระดูกที่หักกดทับหลอดเลือดเอาไว้ จนอวัยวะส่วนนั้นขาดเลือดไปเลี้ยง ยิ่งทิ้งไว้นานก็ยิ่งอันตราย

แต่ถ้าเจอศัลยแพทย์เฉพาะทางหลอดเลือดเร็ว โอกาสที่ถึงกับต้องตัดอวัยวะจะน้อยลงมาก

“ความจริงผมยังคิด เผื่อหมอจะเปลี่ยนใจ กลับเข้ามาในราชการ” อาจารย์ท่านแรกเอ่ยขึ้นอีก ใช้ช้อนคนกาแฟก่อนจะวางลง “เสียดายคนเก่งๆ สมองไหลไปเอกชนหมด”

“เฮ่ย... พูดว่ากลับเข้ามาก็ไม่ถูก หมอลภไม่เคยอยู่ในราชการอยู่แล้ว” อาจารย์อีกท่านท้วงรุ่นน้อง จนคนพูดต้องรับ

“จริง เกือบลืม ก่อนเทรนศัลย์หมอไม่ได้จบในนี้ จบแล้วก็ไม่ต้องกลับไปใช้ทุน เห็นว่าทำงานบริษัทเครื่องมือแพทย์อยู่ด้วยใช่ไหม ดีที่ยังไม่เลิกแพรคทิซ กลับมาเรียนใหม่ก็ไม่ลำบากมาก... เอาเถอะ จะอยู่ที่ไหนก็ถือว่าช่วยกันรักษาคนไข้แล้วกัน”

“เงื่อนไขชีวิตคนเรามันต่างกันนี่ จริงไหมลภ” อาจารย์ตบบ่าเขาก่อนจะเดินออกไป ส่วนลูกศิษย์ถอนใจยาว

อาจารย์พูดถูก ภาระบางอย่างสลัดหลุดไปได้ยากจนกว่าจะถึงเวลาสมควร โดยเฉพาะ... เมื่อกำหนดจากเงื่อนไขในชีวิตของเขา

เฟลโลว์ปีสองเดินเข้ามา ปีนี้ปรากฎว่าเฟลโลว์ปีหนึ่งที่ควรจะเข้าพร้อมกับเขาสละสิทธิ์ด้วยสาเหตุบางอย่าง จึงเหลือลภเป็นแพทย์ประจำบ้านต่อยอดปีหนึ่งอยู่เพียงคนเดียว เมื่อเห็นเขารุ่นพี่ก็ถาม

“ตอนบ่ายผ่าอะไรน้อง”

“มีช่วยอาจารย์...” เขาเอ่ยชื่ออาจารย์จากหน่วยศัลยศาสตร์หลอดเลือดคนหนึ่งที่ไม่อยู่ในห้องนี้ก่อนบอกชื่อกระบวนการแล้วเสริม “ทำกับภาคอื่นน่ะครับ”

“อย่างลภ ช่วยรอบเดียว ครั้งหน้าก็ทำเองได้แล้ว ใช่ไหมคะอาจารย์” เฟลโลว์ว่าพลางยิ้ม ส่วนอาจารย์หัวเราะพร้อมกับพยักหน้า

ลภยิ้มจาง ฝีมือในการผ่าตัดของเขาที่ได้รับการยอมรับอาจเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความภูมิใจให้เกิดขึ้นได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้คุณสมบัตินั้นเป็นสิ่งเดียวที่นิยามตัวตนอยู่ดี

เพราะไม่ต้องการจะเป็นศัลยแพทย์ที่ไม่มีแง่มุมอื่นในชีวิต นอกจากผ่าตัดเก่งเท่านั้น


พิธานกำลังเตรียมตัวเข้าช่วยอาจารย์จากภาคตัวเองผ่าตัดยึดตรึงกระดูกสันหลังในตอนบ่าย พอเจอหน้ากันในห้องชั้นในก่อนจะเข้าห้องผ่าตัด อาจารย์ก็ทัก

“อ้าว วันนี้ไม่ใช่เกี้ยวหรือ”

“พี่เขาให้ผมแทนครับ” พิธานตอบ ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดกรองพร ซึ่งเป็นแพทย์ประจำบ้านปีสี่และพ่วงตำแหน่งหัวหน้าแพทย์ประจำบ้าน อันหมายความว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดเวรรุ่นน้องที่จะเข้าผ่าตัด ถึงได้ผิดวิสัยขอแลกตารางกับเขาอย่างปัจจุบันทันด่วน

อาจารย์พยักหน้ารับรู้ บอกว่า “วาสเขาเริ่มก่อนนะ แล้วเราต่อ สตาฟกับเฟลโลว์มาแล้ว”

เนื่องจากการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกสันหลังแบบผ่าเข้าไปจากข้างหน้านั้น จะต้องพบกับหลอดเลือดขนาดใหญ่ข้างบนสันหลัง ดังนั้นหลายครั้งศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์จึงผ่าตัดร่วมกับศัลยแพทย์หลอดเลือด เพื่อให้ช่วยย้ายหลอดเลือดเหล่านี้ไปข้างๆ แล้วจึงค่อยนำดิสก์ หรือหมอนกระดูกสันหลังที่เสื่อมออกเพื่อแทนที่ด้วยวัสดุแทนหมอนรองกระดูกสันหลังต่อไป

พิธานเดินตามอาจารย์เข้าไปในห้องผ่าตัด แพทย์จากหน่วยศัลยศาสตร์หลอดเลือดรออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนใส่หน้ากากและชุดเตรียมผ่าตัดพร้อม อาจารย์บอกขั้นตอนกระบวนการที่จะทำ การผ่าตัดเริ่มต้นขึ้นโดยศัลยศาสตร์หลอดเลือดเป็นผู้ลงมีด

พิธานมองมือและนิ้วที่ห่อหุ้มด้วยถุงมือยางสีขาวเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด อันที่จริงเขาเคยดูอาจารย์และแพทย์ประจำบ้านต่อยอดจากหน่วยต่างๆ ผ่าตัดมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่คนนี้ คนนี้...

ทางออร์โธปิดิกส์กำลังจะเข้าไปรับช่วงต่อจากศัลยศาสตร์ที่ช่วยย้ายหลอดเลือดแล้ว เขาไล่สายตาจากท่อนแขน หัวไหล่ที่ปกคลุมด้วยชุดผ่าตัดผ้าหนาสีเขียวเข้ม ไปจนถึงใบหน้าที่ครึ่งล่างอยู่ภายใต้หน้ากาก

ตอนนั้นเองที่เฟลโลว์จากศัลยศาสตร์หลอดเลือดคนนั้นละมือออกไป และเงยหน้าขึ้นสบตาเขา

พิธานก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พร้อมกับหัวใจที่กระตุกอย่างรุนแรง อาจารย์เหลือบมองพลางพยักหน้าให้เข้าประจำที่ เขาสูดหายใจลึก ไม่เคยยอมให้ตัวเองเข้าผ่าตัดโดยที่สมาธิไม่แน่วแน่เพียงพอ ทุกครั้งที่จับเครื่องมือ จิตใจจะอยู่ใน ‘โซน’ ที่จดจ่อกับกระบวนการและคนไข้ตรงหน้าเท่านั้น

แต่ครั้งนี้ ก่อนเข้าไปใน ‘โซน’ เขายังรู้สึกได้ว่า เฟลโลว์คนนั้นยังคงมองอยู่ นิ่ง นาน แล้วจึงออกไปจากห้อง


การผ่าตัดสำเร็จไปด้วยดี ห้าโมงเย็นแล้วเมื่อพิธานเสร็จจากการตรวจความเรียบร้อยทุกอย่าง และเดินออกมาพบกับเฟลโลว์คนเดิมที่ข้างหน้า

ใช่... เขาแทนที่ช่องว่างในความทรงจำตอนนี้ว่าเฟลโลว์ ก่อนหน้านั้นก็คงจะแทนว่าหมอ อีกฝ่ายเป็นหมอคนหนึ่ง เพราะยังไม่ยินยอมให้สถานะอื่นแทรกตัวเข้ามา แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ ทำนบแห่งห้วงคำนึงก็ทลายลง

ภาพที่เขาหันไปพบนั้นทับซ้อนกับเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขายังอยู่ปีห้า และเสียงแซ่ที่ทั้งเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้องโจษกัน ก็ดูราวจะล่องลอยมาเข้าหูอีกครั้ง

‘เรสิเดนท์ศัลย์เข้าใหม่ พี่ลภน่ะ...’

‘จบโรงเรียนแพทย์ ระดับท็อปของอเมริกาเชียว เห็นว่าได้เทรนศัลย์ต่อที่โน่น เข้าปีหนึ่งไปแล้วด้วย’

‘อ้าว เข้าได้แล้วทำไมออกมาเทรนใหม่ที่นี่ล่ะ’

‘ไม่รู้สิ... ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าเขากลับมาทำไม’


นั่นสิ... กลับมาทำไม ทั้งตอนนั้น แล้วก็ตอนนี้...

พิธานหันกลับไปเผชิญหน้า พยายามไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากสิ่งที่ตัวเองตั้งใจจะพูด เขากดเสียงต่ำ

“คุณทำแบบนี้ นึกจะไปก็ไป จู่ๆ ก็กลับเข้ามาอีก...”

โรงเรียนแพทย์ในไทย เรียกพี่ เรียกน้อง เป็นระบบพี่สอนน้อง ลภเคยคิดว่า... เป็นธรรมเนียมที่น่ารัก เขาเรียนผ่านมาในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก สรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้พูดและคู่สนทนาเหมือนกันไปหมดไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่... คนไข้ควรต้องไว้ใจหมอ คนเรียนต้องไว้ใจคนสอน... นับว่าสร้างความคุ้นเคยกันแต่แรกพบ เพราะเรามักจะไว้ใจญาติมากกว่าคนแปลกหน้า

ไม่รู้ตัวว่าคุ้นชินแค่ไหนกับการเรียกแบบนั้น โดยเฉพาะจากคนที่กำลังมองเขาราวคนไม่รู้จักกันอยู่... จนเมื่อได้ยินสรรพนามแตกต่างไป... เพิ่มระยะความห่างเหิน ใจเขาก็เจ็บหน่วงอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าเกิดผม...”

พิธานหยุด ไม่มีทางที่จะพูดออกไป ถ้าความไม่คาดคิดนั้นกระทบใจเขามากพอ... ทั้งยังเกิดก่อนจะเข้าผ่าตัด เพราะเท่ากับยอมรับว่า การปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งของคนตรงหน้าส่งผลกับจิตใจตัวเองอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ลภก็เอ่ยราวรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

“ธานไม่มีทางยอมให้ตัวเองเข้าผ่าตัดถ้าทุกอย่างไม่เต็มร้อย ถ้าไม่โอเค ก็คงออกมาแล้ว เพราะธานไม่มีทางยอมเอาชีวิตคนไข้ไปเสี่ยง”

“อย่าพูดเหมือนรู้จักผมดีเลย” เป็นคำตอบราบเรียบ “ถ้าเลือกได้...”

ถ้าเลือกได้... อะไร? พิธานอาจจะหมายความว่าไม่อยากเข้าผ่าตัดกับเขา ไม่อยากทำงานร่วมกับเขา แต่วงการแพทย์นั้นไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งเมื่อเรียนอยู่ที่เดียวกันแบบนี้ด้วยแล้ว ถ้าเป็นเรื่องที่จะกระทบกระเทือนถึงคนไข้ แม้หมอไม่ชอบหน้ากัน ด้วยจรรยาแพทย์ถ้าจำเป็นต้องปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือก็ต้องทำ

หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่น... เรื่องหลังระหว่างกัน ที่จนป่านนี้ ลภก็ยังไม่คิดว่าตัวเองเข้าใจต้นสายปลายเหตุดี

"ทำไม" บางทีเขาก็อยากจะ 'รวน' กลับไปบ้าง ความเจ็บปวดและไม่เข้าใจที่ฝังรากลึกอยู่เนิ่นนานเป็นแรงผลักดันคำพูด "พี่ยังไม่เห็นว่าอะไรคือปัญหา... หรือต้องเป็นหมอเมด ถึงจะยินดีให้ความร่วมมือ"

พิธานมองหน้าเขา และลภก็นึกเสียใจที่หลุดปากออกไปเช่นนั้น

เขามองตามร่างที่หันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกแม้สักคำ ถอนใจเฮือก ก่อนทิ้งตัวพิงผนัง คลึงนิ้วโป้งลงหว่างคิ้ว

ทำไม... ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้...
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 5] 29 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 29-06-2014 00:32:34
คุณ malula ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่ะ นั่นสิ ต้องมีที่ปรึกษาเนอะ

คุณ iforgive ฝากอ่านต่อนะคะ เราจะต้องคลี่คลายกันไป

คุณ lizzii เดาคู่กันต่อไปก็ได้น้า 55 ฝากอ่านต่อด้วยค่า

คุณ ArgèntaR๛ ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่ะ อ่านไปเรื่อยๆ ก็ได้ค่ะ นั่นสิ ษิต... เอี่ยวแน่ๆ แต่ตัวษิตเองก็อาจจะมีชามมาม่าเหมือนกันนะ อิอิ

คุณ Sillyfoolstupid ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่ะ เรื่องนี้ลองอ่านเหมือนมันเป็นซีรีย์ก็ได้นะ แบบว่ามีตัวละครหลัก แต่ละคนก็มีเส้นเรื่องของตัวเอง แล้วก็มาพัวพันกัน 55 ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ oaw_eang ในเนื้อเรื่องจะมีอธิบายแทรกไว้เลยค่ะ แบบว่าจะไม่ให้มีคำไหนที่จู่ๆ ใช้โดยไม่อธิบาย แต่ก็ไม่อยากให้ต้องเลื่อนมาหาอภิธานศัพท์ข้างล่างอีก จะระวังมากขึ้นในบทต่อๆ ไปนะคะ

คุณ ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ หมอจริงๆ หลายคนก็เป็นแบบนี้นะ แต่จะให้หายทุกคนก็ไม่ได้ หมอก็มีหลากหลายนิสัยอยู่ค่ะ เหมือนคนในวงการอื่นๆ 55 แต่เกรียนมากขนาดเฮาส์นี่ไม่เก่งเทพจริงๆ (อีโก้จะเยอะด้วย) ก็ต้องหาหมอวิลสันเป็นของตัวเองซักคน อิอิ

คุณเกลียวคลื่น ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ แล้วแวะเข้ามาอ่านอีกนะ

คุณ SenzaAmore แวะมาอ่านก็ดีใจแล้วค่ะ เรื่องศัพท์เทคนิคถ้าใช้จะพยายามให้มีคำอธิบายแทรกไว้ในเรื่องเลยค่ะ จะระวังให้มากขึ้นในบทต่อๆ ไปค่ะ

คุณ afewn 55 หาข้อมูล (อย่างหนัก) บวกถามคนที่เป็นค่ะ พยายามเขียนให้ถูกเท่าที่จะทำได้นะ ถ้าชอบก็ฝากอ่านต่อด้วยนะจ๊ะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังรู้สึกว่าพี่ลภเป็นตัวปริศนาของเราอยู่ 555 แต่ละคนมีความเข้าใจและเหตุผลที่ถูกในแง่ของตัวเองนะ ขอบคุณคนอ่านมากๆๆๆ เช่นเคยนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 5] 29 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-06-2014 02:20:08
เนื้อหาวิชาการแน่นปึก ความสัมพันธ์ของบางคนยังไม่ค่อยเผย ติดตามอ่านเรื่อยๆจ้า
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 5] 29 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-06-2014 06:20:45
มมันมีอะไรกันเหรอ พี่ลภ อยากรู้
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 5] 29 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 29-06-2014 17:53:44
สองคนนี้ยังไงกันลภกับพิธาน
ส่วนอีกคู่ พัทธ์คงสนใจน้องษิตไม่น้อย ส่วนน้องเหมือนไม่รู้ตัว แต่จดจำเรื่องพี่ได้เยอะเลย
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 5] 29 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 08-07-2014 19:14:37
รู้สึกดีใจมากที่เห็นผลงานใหม่ของคุณเดหลี หลังจากตามไปอ่านเรื่องเก่าๆอย่างบ้าคลั่ง เเละย้อนกลับมาอ่านเรืองเดิมซ้ำๆเหมือนคนย้ำคิดย้ำทำมาพักใหญ่...ฮา

ขอบคุณคุณเดหลีที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งน่าติดตามเเละเป็นเเรงบันดาลใจให้รู้สึกอยากขีดๆเขียนๆเล่าเรื่องของตัวเองบ้างนะคะ (เเต่สุดท้ายความขี้เกียจของเมศก็ชนะอยู่ดี...เเฮ่)

ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ เมศจะลุ้นคู่พิธานเป็นพิเศษ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 5] 29 มิ.ย. 57 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 09-07-2014 09:47:15
เรื่องนี้จะมีพลิกล็อคไหมหนอ อ่านดูแล้วยังไม่รู้ว่าใครคู่ใครเลย ความสัมพันธ์หมอพิธานกับหมอลภก็ยังไม่เคลียร์

อ่านแล้วดูเหมือนจะลดศัพท์ไปเยอะอยู่เหมือนกันนะ อย่างชื่อโรคถ้าเป็นในชีวิตจริงหมอมานั่งคุยกันนี่ คงพ้นชื่อเฉพาะของโรคนั้นออกมาเป็นไฟแน่ ๆ ซึ่งคนอ่านคงไม่รู้เรื่องหรอก 555
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 31-07-2014 04:45:43
บทที่ 6

ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่อาจารย์และแพทย์ประจำบ้านต่อยอดของภาควิชาออกตรวจดูคนไข้พร้อมรุ่นน้อง เสร็จสิ้นแล้ว ลภจึงเดินย้อนกลับไปเนื่องจากอาจารย์เรียกแพทย์ประจำบ้านคุย ส่วนนักศึกษาแพทย์ลงไปพักก่อนถึงเวลาขึ้นเวร เหลือปีสุดท้ายอยู่ในวอร์ดประปราย

เขาเห็นคนไข้มาใหม่นอนอยู่คนเดียว พอพลิกดูรายงานรับเข้าที่เอ็กซ์เทิร์นเขียนไว้แล้วก็คิดว่าหมดเวรต้องพูดกันสักหน่อยเนื่องจากแทบเหมือนกับที่แผนกผู้ป่วยนอกเขียนมาไม่ผิดเพี้ยน ไม่รู้ว่าได้ซักประวัติตรวจร่างกายเองเพิ่มหรือเปล่า แผนการว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ก็ยังไม่ได้เขียน

พยาบาลเดินมาบอก “... เพิ่งมาเลยค่ะ จากออร์โธฝากนอนในวอร์ดเรา”

สาเหตุใหญ่ๆ ของการต้อง ‘ฝาก’ นั้นไม่ออร์โธปิดิกส์เตียงเต็ม ก็คนไข้มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดร่วมด้วย หรืออาจจะทั้งสองอย่าง ประวัติ... เคยผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก ซึ่งมีผลทำให้จำกัดการเคลื่อนไหวไประยะหนึ่ง ตอนนี้ขาบวมขึ้น สีผิวหนังเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

เขาทักคนไข้ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน ปัญหาที่ทำให้มาโรงพยาบาลนั้นคือปวดขา คุยถามอาการกันอยู่ครู่จึงขอตรวจ คลำตามเส้นเลือดไปเรื่อยๆ พลางถามเป็นระยะ "... กดตรงนี้เจ็บไหม"

คนไข้พยักหน้า

ลภถอยออกไปดูชาร์ตด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาเห็นบันทึกผลแล็บอื่นแล้วแต่ก็เอ่ยกับพยาบาล "มีคำสั่งให้อัลตร้าซาวนด์ด้วย"
"ค่ะ หมอเจ้าของไข้โทรปรึกษาแผนกรังสีไว้... ตอนนี้ผลน่าจะขึ้นมาแล้ว"

เขาขอบคุณพยาบาล ยิ้มเล็กน้อยให้คนไข้ บอกว่า “เดี๋ยวหมอมานะ ไปดูผลตรวจแล้วจะกลับมาคุยด้วย”

เขาเดินไปที่คอมพิวเตอร์ ที่นี่สามารถดูผลแล็บหลายอย่างได้หากใช้ล็อกอินของแพทย์ประจำบ้านขึ้นไป จากอาการและประวัติเขาสงสัยหลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน บางทีภาวะนี้ก็ไม่แสดงอาการจำเพาะ ขาปวดบวมมา เป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่ในกรณีนี้ คนไข้เข้ากับรายการความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคนี้ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเพิ่งได้รับการผ่าตัดที่ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ปวดขาไปตามหลอดเลือดดำ ขาบวมค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับข้างปกติและกดแล้วบุ๋มลงไป หมอที่ส่งขึ้นมาจากแผนกผู้ป่วยนอกน่าจะเห็นเหมือนกัน ถึงได้ส่งอัลตร้าซาวนด์ ถ้าคิดว่าเป็นลิ่มเลือดอุดตันจะให้นอนพักก่อนอยู่แล้ว

... ผลอัลตร้าซาวนด์ยืนยันความคิด จุดสีเทาเห็นชัดบนหน้าจอ อยู่ในเส้นเลือดที่ถูกบีบให้เรียบแบนที่สุด... หากมีลิ่มเลือดแล้ว จะไม่ราบลงเสมอกัน ถ้าหลุดไปที่ปอดอาจอันตรายถึงชีวิตได้

ประเด็นคือคนไข้หลอดเลือดอุดตันที่ขามักจะมีหลอดเลือดแดงที่ปอดอุดตันร่วมด้วย แม้ไม่มีอาการแสดงอย่างหายใจลำบากหรือไอ ตอนนี้คนไข้ก็ดูจะไม่รู้สึกอะไรนอกจากปวดขา เขาฟังหัวใจปอดแล้วไม่มีเสียงผิดปกติ แต่ก็ยังมีอย่างอื่นที่เข้ากันได้กับภาวะหลอดเลือดแดงที่ปอดอุดตัน เช่นประวัติเคยผ่าตัดใหญ่ และชีพจรออกจะเต้นเร็วไปสักหน่อย

ดังนั้น ขั้นต่อไปคือ... ส่งตรวจเพิ่มให้แน่ใจเรื่องหลอดเลือดแดงที่ปอด แล้วก็พิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือด

ลภชะงักเมื่อเหลือบเห็นชื่อผู้ส่งตรวจอัลตร้าซาวนด์ที่มุมขวาบนของหน้าจอ

คนไข้ของพิธาน... จากปฏิกิริยาเมื่อวาน เขาไม่อยากให้เกิดเหตุผลที่อีกฝ่ายจะรู้สึกขัดเคืองขึ้นมาได้อีกเลยจริงๆ พูดนั้นต้องพูดกันแน่ เขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นมาโดยตลอด มีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในสถาบันเดียวกันอีกก็รีบฉวยไว้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เจอหน้า หลังขาดการติดต่อกันทั้งๆ เขารู้ว่า... พิธานจงใจ เพียรพยายามหาตัว จนได้ข่าวว่ากลับมาเรียนที่เดิม

ลภถอนใจ จะอย่างไร ตอนนี้คนไข้ฝากนอนอยู่ในวอร์ดศัลย์ การดูแลใช้ทีมแพทย์หลายคนหลายชั้นเป็นเรื่องปกติ... เขาลงมือเขียนใบคำสั่ง ทั้งตรวจเพิ่มและให้ยา พอเสร็จก็กลับไปทางเตียงคนไข้ เพื่อคุยอธิบายเรื่องอาการและแนวทางการรักษา

พิธานคงจะเสร็จจากแผนกผู้ป่วยนอกเร็วในวันนี้ เพราะเจ้าตัวอยู่ตรงนั้นแล้วตอนเขาเดินไปถึง และน่าจะเห็นจากชาร์ตที่เขาบันทึกต่อไว้แล้วด้วยว่าหมอที่มาดูหลังส่งคนไข้ขึ้นวอร์ดชื่ออะไร ลภไม่มีลายเซ็นที่อ่านยาก หรือถึงจะยาก พิธานก็เห็นลายเซ็นเขามายาวนานตั้งแต่สมัยเรียน เกินพอที่จะรู้ว่าเป็นใคร

... อาจทำให้คนลากเก้าอี้มานั่งคุยกับคนไข้ที่ข้างเตียงวางสีหน้าเรียบสนิทได้อย่างแนบเนียนเมื่อเห็นแพทย์ประจำบ้านต่อยอดเดินเข้าไปใกล้

ลภยืนฟังอีกฝ่ายอธิบายภาวะที่คนไข้เป็นและแนวทางต่อจากนี้โดยไม่ขัด พิธานคงดูผลอัลตร้าซาวนด์มาจากข้างล่างแล้ว เขาเพียงแต่เสริมเรื่องการส่งตรวจหลอดเลือดแดงอุดตันที่ปอด และอธิบายว่าเป็นอย่างไรเพื่อให้คนไข้รู้ล่วงหน้า

พิธานหันมามองเขาอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง ก่อนจะสนใจคนไข้ต่อ น่าจะคุ้นเคยกันมาเพราะเคยดูแลตั้งแต่ตอนผ่าตัดเมื่อเดือนก่อน คนไข้มีท่าทางสบายใจขึ้นเมื่อเห็นหน้าหมอที่รู้จัก ลภมองอีกฝ่ายปล่อยให้คนไข้จับแขนเอาไว้ขณะค่อยๆ พูดไปอย่างใจเย็น

วันเวลาเก่าๆ ที่เคยใช้ร่วมกันบนวอร์ดดูจะย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง

แต่แล้วพิธานก็ลุกขึ้น ดูใบคำสั่งของเขา และเขียนลงไปใหม่

อันที่จริงยาละลายลิ่มเลือดแบบนี้จะให้วันละครั้งหรือสองครั้งก็ไม่มีนัยแตกต่างกันทางสถิติมากนัก ประสิทธิภาพและความปลอดภัยพอๆ กัน ถ้าปรับขนาดยาถูกต้องแล้ว

เขาแน่ใจว่าคนที่ใส่ใจอ่านงานวิจัยอยู่สม่ำเสมอ... รู้

รู้ แต่ก็ยังแก้

ลภไม่ปรารถนาจะทักท้วงต่อหน้าคนไข้และพยาบาล ได้แต่เดินตาม ‘เจ้าของไข้’ ออกจากวอร์ด จนมาทันกันที่หน้าลิฟต์

ลิฟต์ตึกศัลยกรรมนั้นค่อนข้างเก่าและช้า พอขึ้นมาแล้วบางทีผู้โดยสารต้องหลีกทางให้เตียงคนไข้ไปก่อน แล้วรอตัวถัดไป ดังนั้นแพทย์ประจำบ้านที่รอลิฟต์จึงทำได้เพียงถอนหายใจและดูนาฬิกา ในขณะคนเดินตามมาพูดเบาๆ

“... โมโหเพราะอะไร เพราะสั่งยาให้คนไข้ไปก่อน หรือเพราะ... เป็นพี่"

พิธานเงยหน้าดูเลขชั้นที่ขยับอย่างเชื่องช้าโดยไม่ตอบ

“แก้ขนาดยาเฟลโลว์ ไม่ถามสักคำ ธานคงไม่ทำกับคนอื่น”

อีกฝ่ายก้าวไปกดลูกศรลงอีกครั้ง กิริยาท่าทางอยากไปจากที่นี่เต็มแก่จนคนมองอดสะท้อนในใจไม่ได้

ลิฟต์ยังไม่มาจนแล้วจนรอด

เมื่อนั้นพิธานจึงพูด

“คนไข้ของผม เรื่องของผม ผมจัดการเอง คุณควรจะดูเอ็กซ์เทิร์นในวอร์ดของคุณมากกว่า ลอกโอพีดีการ์ดใส่แอดมิชชั่นโน้ตแบบนี้ จะตรวจร่างกายซักประวัติยังขี้เกียจ อีกหน่อยคงทิ้งเคส”

ลภคร้านจะอธิบายว่าเขาเห็นเรื่องเอ็กซ์เทิร์นเล่นง่ายเอาอาการจากรายงานของแผนกผู้ป่วยนอกมาเขียนรายงานรับเข้าวอร์ด ตั้งใจจะว่ากล่าวอยู่แล้ว แต่ที่พูดกันอยู่นี้เขาแน่ใจ... ปัญหาแท้จริงจรดลึก อยู่ไกลกว่านั้น และทำให้เรสิเดนท์ตรงหน้าพูดราวกับว่าเอ็กซ์เทิร์นดูจะไร้ความรับผิดชอบตามแบบเฟลโลว์

และถ้าพูดกันถึงเรื่อง ‘ทิ้ง’ จริงๆ... เขาก็อยากถามเหมือนกันว่า ใครกันแน่ที่ทิ้งใคร

ลิฟต์เปิดออก เตียงคนไข้ถูกเข็นออกมา ส่งผลให้แพทย์สองคนที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ต้องก้าวถอยเพื่อหลีกทางให้

“มีเรื่องอะไร"

พิธานชะงัก ผู้ที่เดินออกจากลิฟต์เป็นคนสุดท้ายคือศาสตราจารย์นายแพทย์กอบชนม์ หัวหน้าภาควิชาออร์โธปิดิกส์ อาจารย์กวาดสายตามอง คงจับสังเกตจากร่องรอยความขัดแย้งที่ยังกรุ่นอยู่ได้

เมื่อเฟลโลว์นิ่งเหมือนจะให้เขาเป็นคนพูดก่อน พิธานจึงต้องตอบ

"พอดี... เห็นไม่ตรงกันเรื่องให้ยาคนไข้นิดหน่อยครับ"

อาจารย์มองหน้าทีละคนอีกครั้ง พูดเรียบๆ

"หมอเรียนกันมากี่ปี... ถ้าผู้มีการศึกษาเป็นผู้เจริญ ก็ควรจะตกลงกันอย่างผู้เจริญแล้ว ด้วยเหตุด้วยผล"

พิธานเพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอกำมือแน่นอยู่ อาจารย์หันมาหา "หมอพิธานด้วย อย่าให้พวกศัลย์เขาพูดได้ว่าเราออร์โธนี่เตือนอะไรไม่ฟัง"

ศัลยศาสตร์กับออร์โธปิดิกส์ปกติไม่ได้ลงรอยราบรื่นไปเสียทุกเรื่อง แย้งกันได้ตั้งแต่แรงในการขันชะเนาะไปจนถึงจะวางแผนรักษาคนไข้ที่บาดเจ็บหลายระบบมาอย่างไร หลายครั้งต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าอีกฝ่ายดื้อแพ่งและมีอัตตาใหญ่เทียบเท่าภูเขา แต่ยังต้องทำงานร่วมกันอยู่ดี อาจารย์กล่าวกับลูกศิษย์ภาคตัวเองก็จริง แต่เหมือนบอกเฟลโลว์อีกภาคไปพร้อมกัน

พิธานจึงได้แต่รับคำ

อาจารย์หันไปถามเฟลโลว์ที่ว่าถึงคนไข้ในหน่วยที่บาดเจ็บหลอดเลือดมาร่วมกับเส้นประสาทแล้ว พิธานจึงถือโอกาสเลี่ยงเข้าลิฟต์โดยไม่มองใครอีก ซ่อมหลอดเลือดเป็นหน้าที่ศัลยศาสตร์หลอดเลือด แต่ซ่อมเส้นเอ็นเส้นประสาทนั้นของออร์โธปิดิกส์ ต้องทำงานประสานกัน คงเป็นสาเหตุที่อาจารย์ขึ้นมาที่หน่วย

ก่อนกลับไปถึงวอร์ด เขาเข้าห้องน้ำเปิดก๊อก วักน้ำขึ้นอย่างแรงก่อนจะปิด ลูบหน้าที่ยังมีหยดน้ำเกาะพราว มองเงาของตัวเองในกระจก

แววตาที่สะท้อนกลับมานั้นสั่นไหว ร่องรอยของความกระทบกระเทือนยังมีให้เห็น... ซึ่งเขาเกลียด พิธานละสายตาจากกระจก เปิดก๊อกวักน้ำขึ้นอีกครั้ง

... เขาบอกตัวเองแล้ว บอกตั้งแต่สามปีก่อน ว่าจะไม่รู้สึกอะไรอีก นอกจากเห็นใจในความทุกข์เวทนาของคนเจ็บคนป่วยที่หลั่งไหลมาหา ไม่แยแสอะไร นอกจากงานในหน้าที่ รักษาคนไข้ให้ดีที่สุด เมื่อได้ทุ่มเททั้งหมดลงกับชีวิตของการใช้ทุนแล้ว เขาก็พอจะผ่านแต่ละวันไปได้

เมื่อก่อน... อีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ ตอนนี้ ก็กลับมาเป็นรุ่นพี่ ที่เขาต้องฟัง ต้องยอมรับว่ามีความรู้และประสบการณ์มากกว่า ความยอมรับนับถือในครั้งนั้นก่อเกิดนำพามาซึ่งความรู้สึกอะไรอีกหลายต่อหลายอย่าง ในช่วงเวลาต่อมา...

คนที่เขาคิดว่าหัวนอก จบจากนอก มีชีวิตแตกต่างจากเด็กบ้านนอกคนหนึ่งอย่างเขาอย่างเทียบกันไม่ติด กลับถ่อมตน สุภาพ เอื้อเฟื้อต่อคนรอบข้าง ทั้งๆ ที่มาจากสภาพแวดล้อมที่เคร่งเครียดอย่างโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของอเมริกา และยังแข่งขันจนได้เข้าเรียนแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ที่นั่นแล้ว     

เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในสายกันมา ความใกล้ชิดสนิทสนมย่อมทวีขึ้นเป็นธรรมดา หลายครั้งสอนแบบเรียกได้ว่า ‘จับมือทำ’ จริงๆ แน่นอนว่า รุ่นพี่แพทย์ประจำบ้านนั้นย่อมสอนทุกคนในสาย แต่รอยยิ้มน้อยๆ ที่ส่งมาให้เมื่อถึงเวลาต้องลงจากวอร์ดทุกวัน รวมถึงสายตาที่สานสบกันโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ในความต่างมีความเข้ากันได้ มีความคิดเห็นต่อเรื่องบางเรื่องที่คล้ายคลึง ไม่นานเลยที่จะพบว่า การใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็นความสุข

อย่างน้อย ก็ในช่วงเวลานั้น...

พิธานยอมรับว่าเขาเป็นคนมีกำแพง ง่ายกว่าที่จะคิดเสียว่า ชีวิตไม่ต้องมีใครก็ได้

เพราะตั้งแต่เข้าปีหนึ่งมาเขาก็อยู่แบบนี้ ในใบทะเบียนประวัตินักศึกษาของเขา บิดา... ถึงแก่กรรม มารดา... ถึงแก่กรรม ชื่อผู้ที่ติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน ไม่มี...

พิธานจำได้ว่าอาจารย์ผู้สอบสัมภาษณ์ และต่อมาได้กลายมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาด้วยนั้นเงยหน้าขึ้นมองอย่างเห็นใจ ถามว่า

‘พ่อแม่เสียหมด แล้วอยู่กับใคร’

อาจารย์คงจะเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ชื่อผู้ปกครองอื่นใดอีก ความจริงพิธานไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ท่านเสียตั้งแต่เขายังอยู่ในท้องแม่ ส่วนแม่... ก็จากไปตอนเขาเรียนชั้นมัธยมปีที่สอง

ความทรงจำนั้นยังเด่นชัด และคงอยู่กับเขาไปจนวันตายทีเดียว แม่ป่วย ป่วยมากจนต้องส่งต่อ เส้นทางนั้นขรุขระคดเคี้ยว จนกว่าจะไปถึงโรงพยาบาลใหญ่ ก็สายเกินไปเสียแล้ว หมอพูดกับเขา แต่เด็กมอสองในตอนนั้นก็ไม่เข้าใจคำตอบของหมอเลยสักคำ เหมือนหมออยู่อีกโลก พูดคนละภาษา

เขาเงยหน้ามองอาจารย์ ตอบว่า

‘หลวงลุงครับ... ท่านเป็นญาติห่างๆ ของพ่อ’

ถ้าเขาไม่ได้พบหลวงลุง ป่านนี้ อาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ต่อหน้าให้อาจารย์สัมภาษณ์เข้าคณะแพทยศาสตร์ บ้านไม่มีเพราะเช่าอยู่ เงินน้อยนิดที่แม่อดออมไว้หายไปกับค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างรวดเร็ว... แต่หลวงลุงก็ให้เขาไปอยู่ด้วยที่วัด บอกให้เรียนหนังสือต่อ

ถึงท่านจะไม่เข้าใจศัพท์แพทย์หรืออาการของโรคซับซ้อนอะไร แต่ท่านก็เข้าใจชีวิต ไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนที่เขานั่งอ่านหนังสือธรรมะ อ่านพระไตรปิฎกออกเสียงในกุฎิให้ท่านฟัง อันที่จริง อาจจะกำลังอ่านให้ตัวเองฟังมากกว่าก็ได้ หลวงลุงบอกกับเขาว่า ความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นตลอดเวลา ความเป็นขึ้นและความดับ ต่อเนื่องสลับกันไป สิ้นกรรม สิ้นอายุขัย ก็สิ้นชีวิต...
 
แต่หลวงลุงก็ต้องรู้อีกเหมือนกันว่า เนื่องเพราะเขายังเป็นมนุษย์ ทุกข์ต่างๆ ก็ยังคงต้องเกิดขึ้นต่อเนื่องสลับกันไปเช่นเดียวกัน
อาจารย์ก้มลงมองใบประวัติของเขา เคาะปากกาลงตรงช่องว่างนั้นอย่างครุ่นคิด เอ่ยว่า

‘แต่จะใส่ชื่อพระ ให้ติดต่อเวลามีเรื่องก็ไม่เหมาะ รบกวนท่าน...’

อาจารย์เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งเมื่อว่าที่นักศึกษาแพทย์ตอบว่า ‘หลวงลุงมรณภาพ ก่อนผมต้องขึ้นมาสอบสัมภาษณ์ไม่นานครับ’

เมื่อพิธานอยู่ชั้นมัธยมปีที่หก หลวงลุงก็อาพาธทรุดหนัก เขาวิ่งรอกระหว่างโรงพยาบาลกับโรงเรียน อ่านหนังสือสอบอยู่ข้างเตียงท่าน จนหลวงลุงประสงค์อยากกลับกุฏิ เขาปรนนิบัติดูแลท่านอย่างเต็มกำลัง สุดท้าย หลวงลุงละสังขารด้วยอาการสงบ...

เขามีเวลาบวชหน้าไฟให้ท่านเพียงสามวันก็ต้องนั่งรถโดยสารมาที่แพร่ แล้วจึงขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ด้วยสมองมึนชา มองสองข้างทางที่มืดมิดลับสายตาไปเรื่อยๆ ไม่ได้หลับเลยสักงีบเดียว

อาจารย์มองเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนอีกครู่หนึ่ง แล้วจึงก้มลงเขียนในใบประวัติของเขา ในช่องผู้ที่ติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน
... เป็นชื่อของอาจารย์เอง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงปรานี ปรานีต่อเขา สมชื่อ... ตลอดเวลาที่พิธานเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่นั้น ได้ท่านช่วยแนะนำดูแลในเรื่องต่างๆ จดหมายขอทุนเพิ่มเติมจากคณะท่านก็เป็นผู้รับรอง กระทั่งเรียกเขามาช่วยงานประชุม งานสัมมนา ลงท้ายด้วย ‘กินขนมเสียก่อนกลับนะ’

อาหารการกินในสัมมนานั้นเหลือเฟือด้วยแรงอุดหนุนของบริษัทยา แพทย์บางคนก็รีบกลับ หรือรีบไปทำธุระอย่างอื่นต่อ นักศึกษาแพทย์ช่วยงานและแม่บ้านจึงรับไป ตอนที่เขาไปกราบอาจารย์ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้ช่วยเหลือเขา เต็มที่เท่าที่อาจารย์ที่ปรึกษาจะทำได้ อาจารย์ยังพูดกับเขาว่า   

‘ถ้าจะเรียนต่อ กลับมาที่นี่นะ...’

แต่เขาก็มีอันต้องรีบใช้วันลากลับมากรุงเทพฯ ด้วยเหตุไม่คาดคิด ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ อย่างที่หลวงลุงเคยบอก... ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ เตรียมใจรับไว้หรือไม่

อาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง แต่อาจารย์ก็จากไปเพราะมะเร็ง บางทีชีวิตคนเราอาจจะเต็มไปด้วยความย้อนแย้งอย่างน่าประหลาดเช่นนี้

เขาคิดว่าไม่ควรจะ ‘ยึด’ ใคร การ ‘ยึด’ นำมาซึ่งความทุกข์... หลวงลุงคงพยักหน้า... ตัดทุกข์ได้เปลาะหนึ่ง แต่หลวงลุงใกล้ชิดพระศาสนากว่าเขาหลายเท่านัก รักของหลวงลุงจะต้องใจกว้าง เห็นแก่ผู้อื่นและลดตัวตนให้เหลือน้อยที่สุด คงเหลือแต่เมตตา... อยากให้มีความสุข

แต่สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่ยังมีกิเลส ความรักย่อมผันแปรไปได้หลายลักษณะ บ้างรักแล้วจะยึด ยึดไว้เป็นที่พึ่ง ที่พอใจ เป็นความหวัง ความสุข เป็นของตัวเอง...

กับเพื่อนที่พอจะนับว่ารู้จักกันใกล้ชิดกว่าคนอื่น เขาก็ได้ยอมรับว่า เมื่อจบการศึกษา แยกย้ายกันไปใช้ทุนแล้ว คงยิ่งห่างไกลกันออกไป

ทุกคนที่สำคัญพอให้ยึดเหนี่ยวต่างทยอยจากไปทั้งสิ้น แม่ หลวงลุง อาจารย์ที่ปรึกษาผู้เมตตา

แม้กระทั่งคนที่บอกว่าจะไม่ไป ก็ไป...

พิธานไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นพวกรับความจริงไม่ได้ ถึงยากจะทำความเข้าใจ แต่ก็จะพยายามเข้าใจ... เข้าใจว่าคนเราย่อมผันแปรไปได้ และความรักอันคิดว่าเคยวางอยู่ที่หนึ่งอย่างมั่นคงก็อาจกลับกลายได้เช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากอีกฝ่ายต้องการปัจจัยอื่นเป็นเครื่องประกอบความรัก ซึ่งเขาให้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางสังคม ทรัพย์สินเงินทอง ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์ตามขนบ

แต่ในที่สุดเขาก็จะเข้าใจ ดีกว่าปล่อยให้รู้จากคนอื่น และปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเองในภายหลัง อย่างที่ประสบมา

อย่างน้อยถ้าบอก จะได้จากกันด้วยดี เขาจะได้ยังนับถืออีกฝ่ายได้ โดยไม่สูญเสียความนับถือตัวเอง ไม่ต้องระวังตัวต่อต้านเหมือนเม่นพองขนเวลารู้สึกว่าถูกคุกคาม โดยที่ห้ามตัวเองไม่ได้แบบนี้

พิธานลูบน้ำออกจากใบหน้าจนหมด เขามองกระจก แววตาที่สะท้อนกลับมาแน่วนิ่งอีกครั้ง

... เส้นทางเดินที่คิดว่าเคยมีร่วมกัน คงเลยผ่านไปจนยากจะบรรจบได้อีกแล้ว


หญิงสาวในเสื้อกาวน์สั้นและกระโปรงพลีทยาวแค่เข่าผลักประตูร้านกาแฟชั้นล่างของตึก เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วตามนิสัย เมื่อได้กาแฟแล้วก็กวาดตามอง ไม่เห็นโต๊ะว่าง แต่เห็นคนรู้จัก

เธอก้าวเข้าไปใกล้ ทักขึ้นอย่างร่าเริง

“พี่ลภ เกี้ยวนั่งด้วย”

ลภเงยหน้าขึ้น อดยิ้มบางตอบรอยยิ้มกว้างขวางนั้นไม่ได้ เมื่อตอนเรียน เขาเคยอยากรู้จักคนคนหนึ่งให้มากขึ้น... ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าเลียบเคียงเอาจากนักศึกษาแพทย์ปีหกประจำสายเขาคนนี้ เอ็กซ์เทิร์นกรองพรผู้ได้รับการยืนยันจากเหล่าเพื่อนแพทย์ประจำบ้านว่า 'ไอ้เกี้ยวรู้เรื่องทุกคนในคณะ!'

และถึงแม้ว่ากรองพรอาจจะสังเกตว่าเขาถามถึงนักศึกษาแพทย์ปีห้าคนหนึ่งบ่อยเป็นพิเศษ ก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกไปหรือแม้แต่จะปริปาก ไม่ว่าถามเขาหรือถามคนอื่นก็ตาม นอกจากนี้ เอ็กซ์เทิร์นกรองพรยังถือเป็นเอ็กซ์เทิร์นจำพวกมีประสิทธิภาพ ทุ่นแรงเรสิเดนท์ไปได้โข

กรองพรลงนั่งตรงข้ามเขา เหลือบเห็นหน้าจอเข้าแวบหนึ่งก็เอ่ย “โอ๊ะ เปเปอร์... เกี้ยวมากวนหรือเปล่า”

“ไม่หรอก เขียนเสร็จแล้ว พี่แค่อ่านทวนอีกครั้งเท่านั้น”

“นั่นสิ... พี่ลภน่าจะใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าภาษาไทยด้วยซ้ำ” กรองพรว่า คนกาแฟพลาง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็เปลี่ยนเรื่อง “ไม่นับต้นเทอมเราเจอกันครั้งหลังสุดเมื่อไหร่นะ นานมาก...”

“วันรับปริญญาเกี้ยวละมัง”

"ใช่ๆ... เกี้ยวเป็นเอ็กซ์เทิร์นแล้วตอนพี่ลภเข้ามาเป็นเดนท์หนึ่ง เจอกันปีเดียวเกี้ยวก็จบออกไปใช้ทุนแล้ว แต่เรียนรู้อะไรไปเยอะเลย”

สิ่งที่กรองพรซึ่งเป็นเอ็กซ์เทิร์นที่สนิทสนมกับแพทย์ประจำบ้านปีที่หนึ่งในตอนนั้นพอสมควรยังไม่กล้าถามเพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว คือสาเหตุที่อีกฝ่ายออกจากโครงการแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่อเมริกา แล้วกลับประเทศไทย ถ้าเป็นเธอ หากได้เข้าเป็นแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ในโรงเรียนแพทย์ชั้นนำขนาดนั้น คงไม่ยอมละทิ้งโอกาสนี้ง่ายๆ

เธอยกกาแฟขึ้นจิบ ถามลอยๆ

“นี่เกี้ยวต้อง... หาแลกเวรห้องผ่าตัดอีกไหม”

ลภถอนใจ “ขอโทษเกี้ยวด้วย ตอนแรกพี่ไม่รู้จะเจอเขายังไง... แต่คงไม่ต้องกวนเกี้ยวแล้ว บ่อยเข้ามันจะไปกระทบเรื่องอื่น พี่น่ะ คนนอกภาค... แต่เกี้ยวเป็นชิฟเดนท์เขา”

กรองพรรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้คนอื่นในภาคเริ่มตั้งคำถามถึงการจัดการบริหารเวรของเธอ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการทำงานในฐานะหัวหน้าแพทย์ประจำบ้าน เธอยิ้มน้อยๆ

“รุ่นน้องเกี้ยวคนนี้เขาก็นิสัยคล้ายพี่ลภ... ต่างกันตรงที่ว่าคนไม่ค่อยเข้าใจเขานี่สิ... เห็นอยู่คนเดียวออกบ่อย แต่นั่นแหละเกี้ยวอาจจะคิดแทนเขาก็ได้ เจ้าตัวอาจจะโอเคอยู่แล้วที่เป็นแบบนี้”

“เพื่อนเขาก็อยู่” คนนั่งตรงข้ามก้มลงมองหน้าจอแล้ว จึงเดาไม่ออกว่าพูดด้วยอารมณ์ใด

“อ๋อ หมอพัทธ์น่ะหรือ” กรองพรว่า แพทย์ร่วมรุ่นกับพิธานตอนเรียนและมาต่อเฉพาะทางพร้อมกันอีกในเวลานี้ก็มีแต่ธีรพัทธ์เท่านั้น “ก็จริง มีพัทธ์เป็นเพื่อนก็ยังดี อยู่คนละภาคแต่เห็นกินข้าวด้วยกันบ้างเหมือนกัน”

ลภไม่ตอบ กรองพรจึงพูดต่อ “เกี้ยวเห็นพิธานมาตั้งแต่ตอนเรียน อยู่ในสายเดียวกันตลอดตั้งแต่ขึ้นชั้นคลินิก รู้ว่าเขาตั้งใจทำงาน ฝีมือก็ดี แต่นอกจากอาจารย์ที่ปรึกษาเขาแล้ว อาจารย์คนอื่นจำพิธานได้เพราะเขาท็อป แล้วก็เรียกช่วยงานเพราะว่าเก่ง ไม่ใช่เพราะถูกนิสัยใจคอเป็นพิเศษ อาจารย์ไม่โปรดเหมือนพี่ลภ ไม่ได้ป๊อบปูลาร์กับรุ่นน้องหรือพยาบาลเหมือนหมอพัทธ์ เกี้ยวยังนึกเลยว่า หลายหนเขาทำงานลำบากกว่าที่ควร คนชอบเข้าใจเขาผิด... ไม่ใช่เรื่องสั่งการรักษานะ เกี้ยวคิดว่าเป็นเรื่องของบุคลิก”

“ตรงไหนกัน” ลภถาม ในสายตาเขาย่อมมองพิธานในแง่ดีที่สุดเสมอ จึงไม่เห็นว่าสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นปัญหาควรเป็นประเด็น

“... พิธานเขาชอบมีท่าทางเหมือนทำทุกอย่างคนเดียวได้ ซึ่งหลายหนเขาก็ทำได้จริงๆ คนที่พึ่งตัวเองมาตลอดอาจจะเป็นแบบนี้” กรองพรบอกอย่างที่เธอทราบ คือในความหมายของผู้ที่เสียทั้งพ่อและแม่ไป ต้องอยู่ตัวคนเดียว “แต่มันทำให้คนคิดว่าเขาไม่ต้องการให้ช่วย ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเองไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้น บางทีคนก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกับพิธานมากเพราะเขาพูดตรงๆ...”

“พี่ว่า คนที่รับความจริงไม่ได้น่าจะเป็นปัญหามากกว่าคนพูดความจริง” ลภว่า บางส่วนในตัวเขาไม่ว่าเมื่อไรก็ยังจะแล่นเข้าปกป้องคนที่ถูกเอ่ยถึงอยู่ดี

“มันต้องมีวิธี บางครั้งก็ต้องอ้อมหน่อย... เกี้ยวยังเคยบอกพี่ลภเลยว่า อย่างพิธาน เหมาะกับสภาพแวดล้อมแบบฝรั่งมากกว่า”

เพราะเหตุนี้หรือเปล่า เขาจึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างที่เชื่อมโยงกันได้ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่พบกัน สภาพอนุรักษ์นิยมบางอย่างที่นี่ ที่เขาเคยมีปัญหาหนักใจ เขาก็ได้รู้ว่า มีคนคนหนึ่งคิดเหมือนกัน...

“พี่ไม่คิดว่าเขาต้องเปลี่ยน...” ลภบอกหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง “พี่ไม่คิดว่าเขาผิดที่เป็นคนแบบนี้”

"อาจจะใช่... พี่ลภรู้จักพิธานเขาดีกว่าเกี้ยว" กรองพรว่า “บางเรื่องก็ไม่มีใครผิด ไม่มีคนผิดหรอก มีแต่เข้าใจกันผิด เหมือนคนที่ยังไม่รู้จักพิธานดีพอชอบนึกว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้”

ลภยิ้มจางให้หญิงสาว รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามให้กำลังใจเขาอยู่

แต่เรื่องนี้ ถ้าจะมีคนผิด ก็คงเป็นเขา
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 31-07-2014 04:52:20
คุณ B52 นี่ก็จะค่อยๆ เผยมาเรื่อยๆ แล้วล่ะค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ iforgive จริงๆ คนเขียนก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า พี่ลภแกรู้มั้ยว่ามันมีอะไรกันแน่ คือแกคิดว่าแกรู้หรือไม่ก็พอรู้น่ะนะ

คุณ malula คนมันมีอดีตอะค่ะ 555 ตอนนี้พัทธ์ษิตไม่โผล่ บทหน้านะ ยังพัวพันกันไปอีก

คุณภาณุเมศพลัง ดีใจค่ะที่มาอ่านเรื่องนี้ด้วย แต่การเขียนและการงานทำให้คนเขียนไม่มีเวลาไปอ่านของคนอื่นๆ เลยล่ะ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้กับงานเขียนของคุณด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ พิธานนี่ต้องการการลุ้นมากเชียวล่ะ

คุณ ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ พัวพันกันไปสี่คนอย่างนี้ล่ะค่ะ เรื่องมันเกี่ยวกันอยู่ สองคนนี้ก็ประมาณมีอดีตนั่นแหละแต่รายละเอียดมันก็จะมาเรื่อยๆ อิอิ พยายามใช้ภาษาไทยเขียนไปให้มากที่สุดเพราะว่ายังไงนี่ก็นิยายภาษาไทยเนอะ 55 อยากให้อ่านได้ลื่นๆ ถ้าชีวิตจริงหมอคุยกันจะไม่พูดเป็นภาษาไทยยาวขนาดนี้ 55 (เปิดเกมหมอยอดนักสืบ ตอนปรึกษาเคสกันจะได้อารมณ์มาก)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ช่วงนี้การงานค่อนข้างโหดร้ายกับคนเขียนมาก ทั้งเอากลับมาทำที่บ้าน เสาร์อาทิตย์ก็ทำ T_T มันเลยจะช้าแบบนี้ไปอีกสักสองสามเดือน... ขอโทษด้วยนะคะ

เรื่องนี้จริงๆ ก็เป็นเรื่องของคนที่มาเจอกันอีกครั้ง (เท่าๆ กับคนที่เพิ่งเจอ 55) เพราะฉะนั้นมันต้องย้อนเป็นระยะ แต่อีกไม่เยอะค่ะ แล้วเราก็จะไปข้างหน้ากันเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน รับรองว่า... สุดท้ายเคลียร์

ขอบคุณคนอ่านมากๆๆ ค่ะ
:กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 31-07-2014 10:32:26
สงสารพิธานนะ และเข้าใจด้วยว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น
พี่ลภจะกลับมาซ้ำที่เจ็บอยู่เดิมหรือมาเพื่อแก้ไขกันล่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 31-07-2014 21:05:42
คุณเดหลีรู้ไหม...เมศมารอคุณเดหลีที่บอร์ดทุกวันเลยนะ *ทำเสียงเย็นประกอบ*

โถๆ พิธานน่าเอ็นดูเเท้ๆ จะเข้มเเข็งมาจากไหนก็มีหัวใจเนอะ ว่าเเต่พี่ลภเถอะ 'รวน' เรื่อยเลย
ดูท่าทางเเล้ว เหมือนพี่ลภกับพิธานจะเเยกจากกันเพราะไม่คุยกันให้รู้เรื่องมากกว่าหมดรัก
เดาว่าคงมีเหตุให้ไม่ได้คุยกัน (เดาล้วนๆ)

ขอบคุณคุณเดหลี
ขอเป็นกำลังใจให้พ้นระยะงานยุ่งเร็วๆนะคะ
เเละขอชูป้ายไฟเป็นเเม่ยกน้องเม่นพิธานอย่างเป็นทางการค่ะ :)




หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 31-07-2014 22:18:01
เรื่องของหมอพิธานมันสะเทือนใจจริง ๆ เราคงรู้สึกเหมือนอาจารย์ที่สัมภาษณ์
คือถ้าพอช่วยอะไรได้ก็คงทำให้
นอกจากสาระเรื่องทางการแพทย์ บทนี้มีธรรมะแทรกเข้ามาด้วย รู้สึกเป็นประโยชน์มาก
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหมอลภและหมอพิธานต้องย่ำแย่อย่างนี้
ต้องเกิดการเข้าใจผิดอะไรแน่ ๆ รออ่านเฉลยจ้า

หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-08-2014 22:11:32
เจ็บอะสำหรับหลายๆคนเลย
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 02-08-2014 00:49:40
สงสารพิธานมาก
แต่พิธานก็เข้มแข็งมาก ๆ เหมือนกัน ^_^
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-08-2014 10:17:48
หมอพิธานน่าสงสารจัง เห้ออออ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 02-08-2014 10:36:00
โอ๊ย จุกอก...
เหมือนตกลงไปในบ่อน้ำลึกๆ ขึ้นไม่ได้ ดิ้นรนเกาะผนังเอาตัวรอดไปวันๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 6] 31 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 13-08-2014 02:19:57
อุ่ยเพิ่งได้มาตามต่องานยุ่งพอๆกับคนแต่งเลย
สงสารพิธานนนนน
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 19-08-2014 19:30:52
บทที่ 7

รักษิตโบกมือให้เพื่อนสนิทในกลุ่มจากใต้ตึก บอกให้ไปกินข้าวกันโดยไม่ต้องรอ เพราะวันนี้มีเวรในวอร์ดอายุรกรรม... โดยไม่มีคู่เวรแต่อย่างใด

ตั้งแต่ขึ้นปีห้า ด้วยเนื้อหาการเรียนเขาเจอคนไข้ที่มีภาวะฉุกเฉินมากขึ้น คนไข้ที่อาการค่อนข้างหนักอยู่แล้ว ราวนด์ตอนเช้าร่วมกับอาจารย์และพี่แพทย์ประจำบ้าน บางทียังไม่ทันเสร็จก็มีอันต้องวิ่งกลับไปปั๊มหัวใจเตียงแรกๆ เอากลับมาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง...

เขาเงยหน้าขึ้นมองเลขชั้นลิฟต์ที่ขยับช้าๆ ระบายลมหายใจยาว

ทุกครั้งเขายังไม่อาจขจัดความรู้สึกใจหายได้เมื่อพบว่าชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่พยายามดูแลประคับประคองได้ดับสูญลงไปเสียแล้ว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเตียงเรียงราย คนไข้เหล่านั้นก็ยังอยู่ และมีแต่จะเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ รักษิตจึงรวบรวมกำลังใจ ทำงานต่อไป
ไม่อยากใช้คำว่าเข้มแข็งขึ้น แต่ก็รู้สึกว่ารับมือได้ดีขึ้น

เหมือนที่พี่พัทธ์เคยบอก...

หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านที่ดูสายเขา ก็คือพี่แพทย์ประจำบ้านคนเดิมที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทันทีที่เข้าไปในวอร์ดรักษิตก็เห็นธีรพัทธ์กำลังโน้มตัวอยู่เหนือเตียงหลังนอกสุด น่าจะเพิ่งทำหัตถการอะไรบางอย่างเสร็จ แต่ยังคุยกับคนไข้

รักษิตเซ็นชื่อเข้าเวร มองไปรอบๆ ยังไม่มีใครเรียก วอร์ดดูเงียบสงบดีจึงเตร่เข้าไปใกล้ ธีรพัทธ์หันมายิ้มให้นิดหนึ่งเมื่อเห็นรุ่นน้องปีห้าที่ขึ้นเวรวันนี้ พอดีคนไข้พูดต่อซึ่งคงเป็นเรื่องติดพันอยู่

"แหม หมอสมัยนี้ หล่อ..."

คนได้รับคำชมหัวเราะ หันมาพูดเบาๆ กับรุ่นน้อง

"คุณป้าชมทุกคน"

"ไม่จริงจ้ะ ชมเฉพาะคนหล่อ" คุณป้ายืนยัน "ไม่หล่อก็ไม่ชม"

รักษิตยิ้ม ถ้ายังมีแก่ใจจะชมหมอที่รักษาว่าสวยว่าหล่อ หรือสังเกตเห็นดอกไม้ที่เคาน์เตอร์พยาบาล ก็แสดงว่า... กำลังใจดี คนไข้มีหวัง ไม่ได้ชืดชา ทอดอาลัยกับชีวิตหรืออาการเจ็บป่วย กำลังใจที่ดีนั้นมีส่วนทำให้คนไข้กระตือรือร้นจะฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ เพราะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตอยู่...

“หนูด้วยนะลูก” คุณป้าจำหนึ่งในนักศึกษาแพทย์ที่คอยแวะเวียนมาดู รวมทั้งราวนด์ตอนเช้าและเย็นพร้อมคณะแพทย์ได้ “หน้าตาดี๊”

รักษิตอดหัวเราะไม่ได้เมื่อรุ่นพี่ก็หันมามองหน้าเขาอย่างพินิจพิจารณาเช่นกัน จำเป็นต้องยอมรับคำชมว่า ‘หน้าตาดี’ ไม่ถึงกับ ‘หล่อเลย’ เหมือนหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านอย่างที่คุณป้ามอบหมาย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้วันหยุด และถือเป็นเคราะห์ดีที่เหล่าเพื่อนสนิทในกลุ่มทุกคนรวมทั้งนักศึกษาแพทย์อนันต์ปลอดธุระพร้อมกัน ศิวัชจึงยืมรถจากที่บ้าน ตัดสินใจว่าจะออกไปหาอะไรกินกันที่อยุธยา

ทำไมต้องเป็นอยุธยา จริงๆ ก็ไม่แน่ชัดนัก เพียงแต่ญาดาเปรยขึ้นว่าเบื่ออาหารการกินแถวรอบคณะเต็มที เกตุวดีจึงว่า ถ้าจะออกไปต่างจังหวัดละก็ ขอที่มีที่เที่ยวประเทืองความรู้หน่อยก็ดี พิพิธภัณฑ์ก็ได้ หลังจากศิวัชค่อนเพื่อนว่า ‘เนิร์ดแม้กระทั่งนอกโรงพยาบาล’ และถูกตอกกลับว่าไม่สนอะไรนอกจากเรื่องกิน ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าจริงแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่าไปอยุธยากัน

การณ์กลายเป็นว่าเกตุวดีได้ชมพิพิธภัณฑ์และดูวัดวาอารามอยู่ไม่ถึงสองชั่วโมง เพราะแป๊บเดียวก็หิวกันเสียแล้ว จึงยกขบวนออกมาตลาด ระหว่างที่อนันต์กับศิวัชวิ่งหาของกินและรักษิตกำลังรับหน้าที่ถ่ายรูปให้เพื่อนผู้หญิงอยู่นั้น ก็มีเสียงคุ้นๆ ทักขึ้น

‘อ้าว มาเยี่ยมถึงบ้านพี่เชียว’

เมื่อลดกล้องถ่ายรูปลงหันไป ก็พบธีรพัทธ์ยืนหิ้วข้าวของ ส่งยิ้มกว้างมาให้ เพื่อนผู้หญิงสองคนมองมาอย่างแปลกใจเล็กน้อย เนื่องจากเมื่อครั้งพวกเธอเวียนมาวอร์ดอายุรกรรม ธีรพัทธ์ก็ได้ใช้โรงพยาบาลต่างจังหวัดเป็นที่เรียนจนเกือบสิ้นสุดปีที่สองของการเป็นแพทย์ประจำบ้านจึงไม่ค่อยคุ้นหน้านัก ก่อนจะจำได้ในที่สุดว่าเป็นรุ่นพี่ที่เคยช่วยอาจารย์ประเมินในวิชาเวชศาสตร์ชุมชนเมื่อก่อนขึ้นปีสี่นั่นเอง

หลังจากนั้นก็คุยกันได้อย่างสนิทสนมดีเมื่อศิวัชและอนันต์ตามมาสมทบ เพราะทุกคนจับกลุ่มทำรายงานเวชศาสตร์ชุมชนกลุ่มเดียวกัน ธีรพัทธ์ลงนั่งรับประทานอาหารกลางวันด้วย รวมทั้งยกขนมที่ซื้อมาให้น้องๆ กินหลังจากนั้น เมื่อรักษิตท้วงก็ได้รับคำตอบว่า

‘เดี๋ยวซื้อใหม่ก็ได้ บ้านพี่เอง’

จนเมื่อศิวัชและอนันต์ไปดูของฝากอย่างอื่นให้ที่บ้าน และเพื่อนผู้หญิงชักชวนกันไปหาห้องน้ำเข้าแล้ว จึงเหลือรักษิตนั่งรออยู่กับรุ่นพี่ที่โต๊ะเพียงสองคน ธีรพัทธ์ถามขึ้น

‘น้องไม่ไปซื้อบ้างหรือ ขนมก็ได้ ที่นี่อร่อยหลายอย่าง’

รักษิตส่ายหน้า เขาเองก็อยากซื้อไปฝากพี่ๆ คนทำงานที่บ้านอยู่หรอก ติดแต่ว่าหลังจากวันนี้เขาคงกลับหอเลยยังไม่ได้ไปบ้าน และตารางเรียนรวมทั้งเวรแน่นจนไม่ได้กลับอีกพักใหญ่ ของจะเสียเปล่าๆ แม่ไม่อยู่อีกแล้ว ส่วนพี่ลภ... พี่ลภไม่ชอบกินขนม

‘ฝากตี๋กับเอ้ซื้อฝากรูมเมตแล้วละครับ’ เขาตอบแค่นั้น และแม้รุ่นพี่อาจจะแปลกใจที่เขาไม่ได้พูดถึงบ้านก็ไม่ได้ถาม กลับเล่าเรื่อยๆ

‘เดี๋ยวน้องๆ กลับกันแล้ว พี่ค่อยไปซื้อของให้พี่สาว... พี่สาวพี่เป็นอัยการอยู่ที่นี่แหละ พอกลับมาเรียนต่อแล้วไปอยู่หอ พี่ก็เอารถมาฝากไว้ ก่อนไปทำงานค่อยมาเอา’

‘พี่สาว...’ รักษิตทวน รุ่นพี่พยักหน้า

‘อายุห่างกันตั้งรอบกว่า เลี้ยงมาเหมือนเป็นแม่เลย พ่อแม่พี่เสียตั้งแต่พี่อยู่ปอหกเอง... ตอนนั้นพี่สาวพี่ก็เรียนจบทำงานแล้ว จบเนติแล้วด้วย สอบเข้าได้ ต้องย้ายมาทำงานที่นี่พอดี พี่ก็เลยย้ายโรงเรียน ย้ายบ้าน...’

เขาจำได้ว่าธีรพัทธ์หัวเราะน้อยๆ ดังจะขำตัวเอง ‘สมัยวัยรุ่นเกกมะเหรกน่าดู ถ้าไม่มีพี่ ไม่รู้จะโตมายังไง’

ธีรพัทธ์หันไปทางรุ่นน้องที่เท้าคางสนใจฟัง บอก ‘จนถึงตอนเรียนหมอ เวลาพี่มีเคสยาก ถึงได้หยุด กลับบ้านมาก็ยังนั่งคิดถึงเคส หรือบางที คนไข้ไม่อยู่แล้ว แต่ยังคิดถึงเคสนั้นอยู่ พี่สาวพี่จะบอกว่า นี่... ถึงทำสำนวนเต็มที่ นำเสนอต่อศาลเต็มที่ ก็ไม่ได้ชนะคดีทุกครั้ง บางที บางเรื่องก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา แต่พอมีคดีใหม่ ก็... เต็มที่อีก’

รักษิตพยักหน้า ไม่ต่างอะไรกันนักกับการทำงานของหมอ รุ่นพี่อาจจะคิดว่าเขายัง ‘จิตตก’ อยู่เมื่อมีคนไข้ตายถึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่รักษิตรู้สึกว่าเขาจะค่อยๆ เรียนรู้และจัดการไป ไม่ให้รุ่นพี่ต้อง ‘ห่วง’

เขาไหวตัวเล็กน้อยเมื่อธีรพัทธ์เปลี่ยนเรื่องถาม ‘เหมือนน้องเคยพูดว่ามีพี่สาวเหมือนกัน’

รักษิตไม่รู้ว่ารุ่นพี่เก็บความสงสัยไว้ตั้งแต่คราวส่งเวรเมื่อตอนเขายังอยู่ปีสี่ ถึงไม่มีนิสัยชอบขุดคุ้ย แต่เพราะทั้งตอนนั้นและตอนนี้ เมื่อนึกถึงหรือได้ยินคำว่า ‘พี่สาว’ แววตารุ่นน้องจะหม่นเศร้าลง ธีรพัทธ์นึกเสียดายที่มันบดบังประกายสดใสในยามปกติไปเกือบหมด

‘ก็...’ รักษิตถอนใจยาว ‘พี่สาวผมเสียแล้วละครับ ผมเพิ่งขึ้นปีสองได้ไม่นาน ความจริง พวกเรา หมายถึงที่บ้าน... ผมกับแม่ควรจะเตรียมใจ เพราะพี่ก็ป่วยมานาน เราหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ ก็... เกือบจะเป็นอย่างนั้น แต่สุดท้าย...’

ธีรพัทธ์ฟังด้วยความเข้าใจ ถึงรักษิตจะไม่ลงรายละเอียดในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะใจความสำคัญอยู่ที่นั่น ‘ควรจะเตรียมใจ’ หรือ... ไม่มีใครเตรียมใจรับความตายที่ใกล้จะมาถึงของญาติสนิทได้ง่ายหรอก เพราะหมายรวมถึงการยอมรับว่า จะไม่หาย ไม่ดีดังเดิมแล้ว

กลุ่มเพื่อนเดินคุยกันเฮฮากลับมา รักษิตยิ้มให้เขาน้อยๆ เหมือนมีชิ้นส่วนเรื่องราวที่ได้แบ่งปันกันระหว่างสองคน และธีรพัทธ์ก็ยิ้มตอบ

ส่วนตอนนี้ เมื่อเสร็จจากเตียงคุณป้าผู้อุตส่าห์ชมหมอว่าหล่อและหน้าตาดีแล้ว รุ่นพี่ก็บอกกับเขาว่า

“มาช่วยพี่หน่อย”

รักษิตเดินตามหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านมาที่อีกเตียง คนไข้ใส่ท่อระบายลมจากโพรงปอดอยู่ ได้รับการประเมินว่าน่าจะถอดได้แล้ว

แต่คนที่จะให้ ‘ช่วย’ กลับไม่ยักใส่ถุงมือ ยืนมองเขาเฉยอยู่ รักษิตจึงต้องดำเนินการต่อไปทั้งรู้สึกกดดันหน่อยๆ ทั้งการใส่การถอด เขาก็เคยฝึกแต่กับหุ่นจำลอง เห็นรุ่นพี่ทำกับคนไข้จริงไม่กี่ครั้งเอง

เมื่อจัดท่านอนคนไข้เรียบร้อย รักษิตใส่ถุงมือ เปิดผ้าปิดแผล ทำความสะอาดรอบๆ ตัดไหมที่ติดกับสายท่อ พยายามทวนขั้นตอนในหัวไปด้วย จนปิดแผล บอกให้ผู้ป่วยหายใจเข้าให้สุดและกลั้นไว้ แล้วค่อยๆ ดึงท่อออก โดยใช้อีกมือกดปิดแผลเอาไว้ด้วย

เมื่อท่อหลุดแล้ว เขาจึงบอกให้คนไข้หายใจตามปกติ ปิดพลาสเตอร์ทับผ้าก๊อซ เป็นอันเสร็จ

เขาหันไปมองธีรพัทธ์ รุ่นพี่ยกหัวแม่โป้งสองมือ ยิ้มอย่างที่ทำให้อยากยิ้มตอบกลับมาอีกครั้ง

... ก่อนจะกระซิบว่า “ดีแล้ว แต่ทีหลัง ตอนบอกให้คนไข้กลั้นหายใจ หมอไม่ต้องกลั้นไปด้วยนะ”


ลภกดลิฟต์ลงเมื่อหมดเวลาทำงาน ทั้งๆ ที่รู้สึกล้าไปหมดจากเคสหนักๆ ในวันนี้ของหน่วย แต่ใจก็ยังอดประหวัดนึกถึงคนอีกภาคไม่ได้ วันนี้จะ...

เสียงกระแอมดังขึ้นขัดห้วงความคิดของเขา เมื่อหันไปก็พบอาจารย์จากหน่วยเดียวกันก้าวเข้ามายืนรอลิฟต์ด้วย เขาจึงยกมือไหว้

อาจารย์รับไหว้ แล้วเลยพูดว่า “เจอหมอก็ดี กำลังมีเรื่องอยากคุยด้วย มีผู้บริจาคแสดงความจำนงว่าอยากซื้ออุปกรณ์ให้เรา คุยกับหัวหน้าภาคแล้วก็รังสีฯ เรียบร้อย เครื่องอัลตร้าซาวนด์เครื่องเดิมมันเก่ามาก พอดีเลยได้ซื้อใหม่จากเงินตรงนี้ งบสักสี่ล้านนะหมอ”

เมื่อนั้นลภจึงได้รู้ว่า อาจารย์พูดเรื่องนี้กับเขาทำไม ไม่ใช่การบอกกล่าวกับเฟลโลว์ในหน่วยว่าภาควิชาศัลยศาสตร์กำลังจะมีเครื่องอัลตร้าซาวนด์รุ่นใหม่ที่ใช้ประโยชน์ได้เพิ่มขึ้นอีกเครื่อง 

แต่บอกให้เขา... จัดหาให้

อาจารย์พูดต่อ “หมอเข้าไปที่บริษัท ก็เอาแคตาล็อกไปทิ้งไว้ห้องพี่หน่อย หรือจะส่งไฟล์มาก่อนก็ได้ ถ้ามี... พี่จะได้ดูสเปคเลย”

อาจารย์ถึงกับเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อเฟลโลว์ถาม “... ไม่ประกวดราคาหรือครับ”

“คณะไม่ได้เป็นผู้จัดซื้อ... มีคนอยากซื้อให้ สามีเขาเคยมาผ่าตัดที่หน่วยเรา ได้ผลดี เขาเองก็อยากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนไปต่างประเทศกับสามี พี่ถึงได้บอกหมอ”

แปลว่า ด่วน...

บริษัทยา หรือบริษัทขายเครื่องมือและวัสดุทางการแพทย์จะกัน "เงินสวัสดิการ" ซึ่งเป็นเงินพิเศษ ตามเปอร์เซ็นต์ของยอดการสั่งซื้อเอาไว้ ตามปกติเงินนี้ก็คงเข้าโรงพยาบาล แต่ที่เพิ่มเติมจากนั้นอาจออกมาในรูปแบบของตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม ของขวัญ อะไรก็ได้ ให้กับหมอที่มีส่วนช่วยตัดสินใจสั่งซื้อ เพื่อผูกใจให้เป็นลูกค้าต่อไป

ส่วนนี้ลภไม่เคยยุ่งเลยในบริษัท รู้สึกกระดากที่จะต้องมาคิดหาสินน้ำใจจากเหตุผลเชิงพาณิชย์แถมให้เพื่อนร่วมวิชาชีพ แม้แพทย์บางคนจะเลือกไม่รับก็ตามที จึงยกให้คุณตรีรัตน์จัดการทั้งหมด ดังที่เธอเคยพูดเอาไว้

‘บริษัทอื่นทำกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่ทำก็เสียเปรียบ’

แต่ตอนนี้เหตุการณ์ที่เขาพยายามหลีกเลี่ยง คิดว่าจะพ้นเมื่อเข้ามาเรียนต่อเต็มตัวกลับติดตามมาอีกครั้ง ลภได้แต่ยิ้มฝืน ก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมอาจารย์ ซึ่งยังดึงตัวเขาไว้พูดเรื่องเครื่องอัลตร้าซาวนด์ต่อไป

อย่างน้อย ตอนที่ยังเป็นแพทย์ประจำบ้านต่อยอดอยู่ในที่นี้ เขาก็แค่อยากทำหน้าที่หมอ ไม่ได้อยากขายของ...
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ก.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 19-08-2014 19:38:44
บทที่ 7 (ต่อ)

เย็นวันต่อมา พิธานนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องประชุมเล็กของภาควิชาออร์โธปิดิกส์ ซึ่งในบางครั้งก็กลายเป็นห้องพักแพทย์ด้วยอย่างเย็นนี้ที่อาจารย์นัดแพทย์ประจำบ้านปีสามและสี่เรื่องงานวิจัย ได้ยินเสียงกรองพรคุยแจ้วๆ กับเพื่อนชั้นปีเดียวกันและรุ่นน้อง ทุกถ้อยคำผ่านหูแต่ไม่กระทบสมาธิเขา จนกระทั่งพี่ปีสี่คนหนึ่งเอ่ยว่าได้ผ่าตัดคนไข้ที่ส่งต่อมาจากหน่วยศัลยศาสตร์หลอดเลือดนั่นแหละ

พิธานพยายามทำหูทวนลมตั้งแต่ได้ยินชื่อศัลยแพทย์ และคำชื่นชมว่า ‘งานเนี้ยบ’ อะไรต่างๆ นานา โดยมีกรองพรเป็นลูกคู่สรรเสริญรุ่นพี่ที่เจอกันมาตั้งแต่เธอยังอยู่ปีหก แต่ก็พบว่าตัวเองอ่านหนังสืออยู่บรรทัดเดิมนี้มาห้านาทีแล้ว

คนไข้ที่บาดเจ็บโดยหลอดเลือดและกระดูกเสียหายร่วมกันเสี่ยงจะเสียอวัยวะสูงมากกว่าคนไข้ที่บาดเจ็บแต่หลอดเลือดหรือกระดูกหักร้าว บางกรณีต้องจัดการกระดูกให้อยู่กับที่ในห้องฉุกเฉิน ส่งซ่อมหลอดเลือด แล้วค่อยส่งมาออร์โธปิดิกส์ แต่บางกรณีต้องดูแลทางเดินของเลือดชั่วคราวไว้ก่อน ยึดตรึงกระดูกภายนอกแล้วจึงซ่อมแซมหลอดเลือดอีกที คนไข้บาดเจ็บมาแบบนี้จึงต้องอยู่ในความดูแลของทั้งศัลยแพทย์หลอดเลือดและศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ ที่ต้องคุยตกลงลำดับการผ่าตัดกันด้วย

ทำงานร่วมกัน เกี่ยวข้องกันต่อไป...

พิธานถอนใจ เขาก็เคยเฝ้ามองการผ่าตัดของรุ่นพี่แพทย์ประจำบ้านคนนี้ด้วยความทึ่ง และศรัทธา... เฉกเดียวกัน จำได้ถึงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว สวยงาม ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือใด หรือแม้กำลังเย็บปิดอยู่ก็ตาม เฝ้ามอง จนยังเคยพลั้งบอกจากปากตัวเองเลยด้วยซ้ำ

‘... พี่ลภมือสวย’

แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปนานแล้ว หยุดไว้ ณ จุดหนึ่งในความทรงจำ ที่หลังจากนั้นเขาเลือกจะเดินจากมาเพียงผู้เดียว

กรองพรสรุปด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เห็นมั้ย เพราะงั้น เราต้องสมานฉันท์กับวาสไว้นะจ๊ะ”

“เมื่อประชุมคราวที่แล้วเจ๊ก็บอกให้สมานฉันท์กับพลาสติก” รุ่นน้องอีกคนท้วงพลางหัวเราะ หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านว่า

“หมด... พลาสติก รีแฮบ เรดิโอ ดมยา เมด...”

“ทั้งโรงพยาบาลแล้วเจ๊” รุ่นน้องคนเดิมว่า แม้จะยอมรับว่าออร์โธปิดิกส์ต้องอาศัยการทำงานร่วมกับแพทย์อื่นอีกหลายสาขาหากมีคนไข้ที่บาดเจ็บซับซ้อนรุนแรงมา ทั้งศัลยศาสตร์ตกแต่ง เวชศาสตร์ฟื้นฟู รังสีวิทยายิ่งสำคัญจะได้เห็นสภาพความเป็นไปทั้งก่อนและระหว่างรักษาจนหาย ส่วนถ้าจะผ่าตัดก็ต้องปรึกษาวิสัญญีแพทย์ บางกรณีก็รวมอายุรแพทย์ด้วย

“เอ๊า...” กรองพรเสียงสูง “ไม่งั้นลำบากนะ... จำมหากาพย์สงครามศัลย์-ดมยาปีที่แล้วไม่ได้หรือไง คู่กิ่งทองใบหยก รักข้ามภาค ตอนดีๆ กันอยู่มันก็ดีหรอก พอทางใครทางมันเท่านั้นแหละ ศัลย์ขอเซ็ทเคส แป๊บเดียวโดนออฟ ศัลย์บอกด่วน ดมยาบอกรอได้... เป็นไงล่ะ”             

ในห้องพยักหน้ากันอย่างจำได้ดี จากเรื่องส่วนตัว ก็ลามไปเรื่องอื่น เพื่อนสองฝ่ายพลอยทะเลาะกันไปหมดเนื่องเพราะสถานการณ์ทำให้เลือกข้าง ความจริง ถ้ามีข้อบ่งชี้ว่าเร่งด่วนก็ต้องได้รับการผ่าตัดด่วนอยู่แล้วโดยวิสัญญีเห็นพ้องจากสัญญาณต่างๆ ของคนไข้ แต่บางกรณีที่ขอมา ‘ด่วน’ นั้นก็จะได้สะดวกกับศัลยแพทย์ ไม่ต้องหิ้วเวรค้างเติ่งกันไป ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากวิสัญญี และศัลยแพทย์ควรเข้าใจเช่นกันหากถูก ‘ออฟเคส’ หรือยกเลิก เนื่องจากมีกรณีด่วนกว่าที่ต้องใช้ห้องผ่าตัด

“แล้วเจ๊เองล่ะ...” เสียงกระเซ้าดังขึ้น กรองพรยักไหล่ กับคนอื่นอาจจะดูขัดตา แต่พอเป็นกรองพรก็เก๋เข้ากับบุคลิกของเธอดี

”ไม่รู้ มีแฟนแต่ละคนไม่เคยเป็นหมอ ก็เลยไม่ต้องลำบากใจมาเจอหน้าอีกในแวดวงเดียวกัน”

“สรุปว่า... ออร์โธมีนโยบายสมานฉันท์กับทุกหมู่เหล่า...”

“ถูก โดยเฉพาะวาส เพราะเราไม่ได้มีโอกาสประชุมข้ามภาคกันบ่อยเหมือนกับพวกพลาสติกหรือรีแฮบ” กรองพรบอก ก่อนหันไปหารุ่นน้องที่มีหนังสืออยู่ตรงหน้า “พิธาน...”

คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองเป็นเชิงถาม รุ่นพี่หัวเราะ “อ้าว เห็นถอนใจแล้วส่ายหัว พี่ก็คิดว่าเรามีเรื่องอะไรจะแย้งพี่น่ะซี”

“อาจจะเถียงกับหนังสืออยู่ก็ได้พี่เกี้ยว” เพื่อนปีสามอีกคนเอ่ยเป็นเชิงเย้า เขายิ้มนิดๆ

แต่เมื่อกรองพรยังมองอยู่เหมือนจะรอคำตอบ พิธานจึงต้องพูด "ผมแค่คิดว่า... บางที ไม่มีเขา เราก็ต้องทำกันไปให้ได้"

อีกไม่ถึงสองปี เขาก็จะต้องกลับไปทำงานตามที่ได้ทุนมาเรียน โรงพยาบาลต่างจังหวัดที่ห่างไกล... มีเขาเป็นศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์เพียงคนเดียว หรืออาจจะเป็นคนเดียวในระยะรัศมีหลายกิโลเมตร ไม่มีศัลยแพทย์เฉพาะทางซึ่งมักประจำอยู่โรงพยาบาลใหญ่

... และก็คงไม่มี ‘ใคร’ ทั้งนั้นด้วย

กรองพรยิ้ม บอกช้าๆ ดังจะพูดกับเขาเพียงสองคน "แต่ตอนนี้เรายังอยู่ในโรงเรียนแพทย์ มีผู้เชี่ยวชาญให้ปรึกษา ให้ขอความช่วยเหลือ ก็ดีแล้วนี่น้อง”

พิธานไม่อยากเถียงรุ่นพี่ที่เขารู้ว่าหวังดี ในเมื่อพื้นฐานการจะไม่เห็นด้วยอาจมาจากเหตุผลส่วนตัวเกินครึ่ง จึงพยักหน้าพร้อมรับคำ
อย่างน้อย เพื่อคนไข้ เขาก็พร้อมทำงานร่วมรวมทั้งปรึกษาอยู่แล้ว และบอกตัวเองว่า ไม่เกี่ยงจะเป็นใครด้วย

ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ... ก็แค่ ‘ต้อง’ ทำงานร่วมกัน

... อีกแค่ไม่ถึงสองปี

“แล้วนั่นสองคน ทำอะไรกัน”

ประโยคนี้กรองพรหันไปถามรุ่นน้องซึ่งงุบงิบกันอยู่ที่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามนานแล้ว พิธานก้มมองหนังสืออีกครั้งเมื่อจุดสนใจจากทั้งเพื่อนๆ และรุ่นพี่ย้ายไปสู่ทั้งคู่แทน จนต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกเมื่อคนถูกถามตอบเสียงอ่อย

“เอ้อ พอดี... เพื่อนเขาอยากซื้อของ... ค่ะ พี่”

“โอ๊ย... ให้ลงไปก่อนไหมจ๊ะ พวกเธอ อาจารย์กอบมาเห็นเข้าก็โดนดุเท่านั้นหรอก แทนที่จะคิดว่าเดี๋ยวจะตอบเรื่องวิจัยอาจารย์ว่ายังไง หรือไม่ก็มาคุยกับฉันก็ยังดี”

รุ่นพี่ปีสี่ซึ่งรับตำแหน่งหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านอีกคนเดินเข้ามา ทันได้ยินกรองพรพูดกับรุ่นน้องเข้าก็หัวเราะลั่น

“อาจารย์ยังไม่มา หาดาวน์ไลน์เลยหรือน้อง”

“หนูไม่ได้จะเป็นดาวน์ไลน์ แค่ซื้อของมาใช้เฉยๆ” ผู้ซื้อยังอุตส่าห์ประท้วงโดยมีเพื่อนที่นั่งข้างๆ พยักหน้าหงึกหงักว่าไม่ได้จะหาผู้ขายต่อเช่นกัน “จารย์กอบก็เคร่งไปไหนไม่รู้ ขนาดปากกาบริษัทยาแจกยังไม่ยอมใช้”

หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านมองหน้ากัน รู้ดีว่าศาสตราจารย์นายแพทย์กอบชนม์ หัวหน้าภาควิชาออร์โธปิดิกส์นั้นมี ‘หลักการ’ ส่วนตน ท่านไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์เพื่อนร่วมงานตามมารยาทอันดีก็จริง แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดย่อมรู้ว่าสำหรับตัวท่านเองแล้ว อะไร ‘ได้’ หรือ ‘ไม่ได้’

“แต่ใครจะใช้อาจารย์ก็ไม่ได้ว่า ตอนจะเซ็นชื่อหรือเขียนคำสั่งในวอร์ด หาปากกาเขียนติดได้ก็บุญแล้ว” กรองพรบอก จนแพทย์ประจำบ้านปีสามที่เย้าเรื่องพิธานทะเลาะกับหนังสือเอ่ยขึ้น

“พกปากกาติดกระเป๋าเสื้อแบบอาจารย์เลยสิ... ไม่ต้องเป็นพรีเซนเตอร์”

“อาจารย์บางคนก็เอาไปให้ลูกหลานใช้น่ะ... จะได้ไม่เสียของ ดีเทลยามาทีของกองพะเนิน ดินสอปากกา แฟ้ม อยู่ในมือเด็กประถมกับอาจารย์หมอก็ไม่เหมือนกันแล้ว คนเห็นเข้าในโรงเรียนจะรู้จักชื่อบริษัทยาสักกี่คน” หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ว่า “นี่เห็นใจน้องๆ นะไม่ใช่ไม่เห็นใจ บางคนเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ภาระค่าใช้จ่ายมันเยอะ เดนท์ที่รับจ๊อบตามโรงพยาบาลเอกชนตั้งแต่ปีหนึ่งก็อะลุ้มอล่วยกันไปแล้ว ตราบใดที่งานในหน้าที่ไม่เสีย”

“พี่จำรุ่นพี่คนหนึ่งได้ไหมที่เราเคยไปตามกันอยู่ที่โอพีดี” กรองพรเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ “ตอนจะเรียกคนต่อไปมาเลยเพราะคนไข้ยาวเป็นกิโล ชีบอกแป๊บนึง ขอสองนาที”

รุ่นน้องฟังกันอย่างสนใจ ส่วนคนถูกถามหัวเราะหึๆ บอกว่าจำได้ กรองพรจึงเล่าให้น้องๆ ฟังต่อ

“ชะโงกหน้าเข้าไป ชีจ้องตารางหุ้นอยู่จ้ะ แหม... แต่พอคนไข้เข้ามาหลังสองนาทีนั่นแล้วชีก็สนใจคนไข้เต็มที่เหมือนกัน สุดท้ายมันก็วกกลับมาเรื่องแบ่งเวลาอีกนั่นแหละ ทีหลังช่วยดูตอนพักก็จะดีหรอก”

รุ่นน้องพากันหัวเราะ แต่เรื่องเล่านี้ก็แฝงไปด้วยความจริงที่ว่าเงินเดือนช่วงกลับมาเรียนต่อนั้นน้อยนิดเหลือเกินพอๆ กับค่าเวร สำหรับแพทย์ที่มีภาระค่าใช้จ่ายทางบ้าน หรือมีครอบครัวต้องเลี้ยงดูแล้ว ก็ได้แต่กระเสือกระสนหางานพิเศษทำกันไป ไม่ว่าจะเป็นการรับเวรนอก หรือทำธุรกิจอื่นก็ตามที เพียงแต่ตอนทำหน้าที่แพทย์ต้องไม่เสียจรรยา เช่นจะขายของคนไข้ก็ขายด้วยความยินยอมพร้อมใจของคนซื้อ ไม่ใช่อ้างว่าเพราะเป็นหมอจึงรับรองคุณภาพได้ เป็นต้น

“คิดแล้วก็อิจฉาคนตัวเปล่าอย่างพิธานเหมือนกันเว้ย” เพื่อนปีสามคนเดิมยังพูดต่อ “ไม่ค่อยเห็นซื้ออะไรด้วย เก็บเงินตอนใช้ทุนได้เยอะเลยสิท่า”

คนถูกพาดพิงตอบทั้งๆ ก้มอ่านหนังสือ “ก็มันไม่จำเป็น... แต่บางคนคงได้โอกาสทางธุรกิจตอนมาเรียนต่อ”

เพื่อนๆ และรุ่นพี่คนอื่นหัวเราะอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องเป็นราวอะไร มีแต่กรองพรเท่านั้นที่ยังมองรุ่นน้องอยู่ พิธานไม่ได้สะสมทรัพย์ ไม่ได้แสวงหาความร่ำรวย อย่างตอนเรียนทำงานพิเศษในมหาวิทยาลัยอยู่บ้างเพื่อช่วยค่าใช้จ่าย แต่พอเรียนปีสูงๆ ซึ่งต้องทุ่มเทเวลามากขึ้น อาจารย์ที่ปรึกษาก็ช่วยเขียนจดหมายรับรองทุนเพิ่มจากคณะให้ เพื่อที่เด็กเรียนดีอย่างลูกศิษย์จะได้ไม่ต้องเบียดบังเวลาอ่านหนังสือ หากใช้จ่ายอย่างประหยัด

เรื่องลภมีตำแหน่งสำคัญอยู่ในบริษัทเครื่องมือแพทย์นั้นเธอก็รู้ แต่ไม่คิดว่ารุ่นพี่จะอาศัยการเป็นแพทย์ประจำบ้านต่อยอดในตอนนี้หาผลประโยชน์เข้าตัวอย่างนั้น ขณะคนอื่นในห้องพูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระหรือบางคนก็ก้มทวนเอกสารวิจัยของตนเอง เธอก็ถามเบาๆ

“หมายถึงใครหรือ”

พิธานไม่ตอบ เขาก็แค่... เผอิญอยู่ในห้องเตรียมผ่าตัดตอนที่อาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์สองคนเดินคุยกันเข้ามาด้วยเรื่องซื้อเครื่องอัลตร้าซาวนด์ใหม่จากเงินบริจาค เงินเป็นก้อนซึ่งติดต่อบริษัทเครื่องมือแพทย์เพียงเจ้าเดียวที่มี ‘ตัวแทน’ อยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว

แต่กรองพรไม่ได้ยินเหมือนที่เขาได้ยิน

จู่ๆ พิธานก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา เขาเองก็เคยศรัทธาฝีมือ อุดมการณ์ หัวใจ... ของแพทย์คนที่กรองพรนับถือ เขารู้ว่าหมอทุกคนไม่เหมือนกัน การตัดสินใจในชีวิตย่อมต่างกัน ไม่ผิดอะไรเลยที่หมอหลายต่อหลายคนจะเลือกทำธุรกิจควบคู่ไปด้วย เน้นงานวิจัยมากกว่ารักษา ออกจากราชการไปทำโรงพยาบาลเอกชนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า หรือแม้กระทั่งเลิกเป็นหมอไปทำอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง

เขาไม่อาจล่วงรู้แรงกดดันหรือเงื่อนไขในชีวิตของเพื่อนร่วมวิชาชีพทุกคนได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ได้คาดหวังหรือโทษใครทั้งนั้นเมื่อธีรพัทธ์เล่าให้ฟังในบางคราวว่า ‘เพื่อนคนนั้นออกจากราชการไปแล้ว’ หรือ ‘พี่คนนั้นเลิกเป็นหมอไปทำธุรกิจที่บ้านแทน’ หรือ... อะไรก็ตาม

พิธานตระหนักดี เอาคำว่าอุดมการณ์มาตัดสินเพื่อนร่วมวิชาชีพไม่ได้ ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นบางคนมีสิทธิ์จะเห็นว่าเขาต้อง ‘ใช้ทุนดักดานอยู่บ้านนอก’ หลังเรียนจบเฉพาะทาง ไม่เคยได้ไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองนอกเมืองนาอันเป็นโอกาสงาม เขาก็มีสิทธิ์จะไม่เห็นด้วย และกลับไปทำงานในที่ที่ให้ทุนมาเรียนอย่างที่ตั้งใจไว้ดังเดิม โดยไม่ต้องยกตัวว่ามี ‘อุดมการณ์’ มากกว่าใครด้วย ก็แค่... เป็นการตัดสินใจของเขาเท่านั้นเอง

เขาไม่คาดหวังกับใคร กับคนอื่นเขาไม่ติดใจเลย เพียงแต่... เขาเคยคาดหวังกับหมอคนหนึ่ง หมอคนเดียวที่คิดไปเองว่าเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของกันและกัน และจึงจะเข้าใจ... ในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยเช่นกัน

กลายเป็นว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง

และอาจจะไม่อยากเข้าใจอีกแล้ว


หลังคุยเรื่องงานวิจัยกับอาจารย์เสร็จ แพทย์ประจำบ้านปีสามและสี่ต่างเก็บของกันออกจากห้องเพื่อกลับไปทำงานในเวร ถ้าไม่มีเวรก็กลับไปพักผ่อนเสียที กรองพรหอบหนังสือกำลังจะออกไป เห็นคนเดินสวนเข้ามาเร็วๆ ก็ร้องทัก

“อ้าวน้องพัทธ์ วันนี้มาถึงนี่”

ธีรพัทธ์ทำความเคารพรุ่นพี่ กรองพรเย้าขึ้นอีก

“เยินเชียวนะวันนี้”

“วันนี้วอร์ดยุ่งน่ะครับ” รุ่นน้องตอบ “แต่ผมส่งเวรแล้ว แวะมาหาพิธาน ได้ยินว่าอยู่แถวนี้”

กรองพรพยักหน้า “เก็บของอยู่แน่ะ... พี่ไปก่อนนะ”

ธีรพัทธ์ก้าวเข้ามาในห้อง พิธานลุกขึ้นแล้ว มองด้วยความประหลาดใจที่เห็นเพื่อนทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ สองแขนเหยียดยาวไปบนโต๊ะพร้อมกับคราง

“ปวดหลัง...”

คนเป็นเพื่อนถอนใจ “ไปหาหมอออร์โธสิ”

ธีรพัทธ์มองเหมือนจะบอก ‘ก็นี่ไงหมอออร์โธ’ พิธานเคยบอกแล้วว่าเขายังไม่จบ ยังไม่ได้บอร์ด ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาแบบนี้ธีรพัทธ์ก็ยังมาอยู่ดี

เขาจึงได้แต่วางของลงแล้วเริ่มถาม “ไม่มีไข้?”

ความจริงก็ควรต้องวัด แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยหมออายุรกรรมน่าจะรู้ว่าตัวเองมีไข้หรือไม่มีกระมัง

ธีรพัทธ์ส่ายศีรษะ

“ร้าวไปตรงไหนไหม”

เท่าที่รู้ธีรพัทธ์ไม่มีโรคประจำตัวอะไร พิธานถามอย่างซักประวัติต่อไปอีกจนเพื่อนบอกว่า “จู่ๆ มันเป็นขึ้นมาเลย”

‘หมอ’ ลองให้ยืนเอี้ยวตัวไปมา ปรากฎว่าไม่ได้เจ็บมากกว่าเดิม เขาทุบลงไปข้างๆ แนวสันหลัง ไม่เบาไม่แรงนัก ธีรพัทธ์ร้องโอ๊ย แต่ต่อมาก็บอก “... เหมือนดีขึ้นหน่อยนึงแฮะ”

เสียงแว่วจากหน้าห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ พิธานเห็นเงาชุดสีขาวไวๆ น่าจะเป็นพยาบาล เอ่ยว่า “อาจารย์ให้หมอรอในนี้ค่ะ เดี๋ยวอาจารย์มา ติดเคสอยู่”

ธีรพัทธ์หันไปมองเมื่อได้ยินเสียงผลักประตู เป็นคนที่เขาไม่คาดว่าจะเห็นในที่นี้ อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะผงกศีรษะให้ เพราะอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นรุ่นพี่

ลภพยักหน้ารับ แต่สายตาจับอยู่ที่อีกคน

ธีรพัทธ์ลอบมองเพื่อน เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉย เขาที่ไม่เคยขัดเขินอะไรกับการตั้งต้นบทสนทนา กลับหาอะไรมาเริ่มประโยคไม่ได้ ตั้งแต่จบปีหก เขาก็ไม่ได้เจอทั้งคู่อีก แต่บรรยากาศครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนไปใช้ทุน... ไม่ใช่อย่างนี้แน่ ตอนนั้น ทั้งลภและพิธานไม่ต้องพูดกัน หรือแม้กระทั่งอยู่ใกล้กันก็ได้ แต่ก็ทำให้เขาซึ่งไม่มีใครถึงกับเหงาแปลบขึ้นมาได้ทุกทีนั่นแหละ

ต่างจากตอนนี้... แม้อยู่ในห้องเดียวกัน แต่ก็เหินห่างชัดเจน

พิธานยืดตัวขึ้น บอกเพื่อนว่า “ไปเถอะ อาจจะต้องใช้ห้อง”

“เอ้อ...” ธีรพัทธ์ลุกขึ้นตาม บอก “จริงๆ ไม่ถึงกับต้องเต็มรูปแบบ...”

ลภมองคนที่รวบหนังสือเอกสารขึ้นมาลวกๆ โดยไม่ยอมมองเขา ก็ ‘เต็มรูปแบบ’ ของการตรวจออร์โธปิดิกส์นั่นน่ะคนถูกตรวจต้องถอดเสื้อผ้าออกหมด เหลือไว้ชิ้นเดียวเท่านั้นแหละ... จะได้ดูทั้งสันหลังสะโพกขาให้ละเอียดเพื่อหาความผิดปกติ

หลังจากวันนั้นไม่ใช่เขาไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย แต่ก็เจอต่อหน้าคนอื่น ซึ่งพิธานคงมีข้ออ้างอย่างดีในการจะไม่พูดกับเขาโดยตรง ในหมู่ผู้คนก็คงไม่มีคนผิดสังเกตอะไร

แต่ตอนนี้ เขาคิดว่า ‘เพื่อนสนิท’ คนนี้คงรู้แล้ว

เรื่องพิธานอยากตรวจ ‘คนไข้’ อย่างไรนั้นก็ช่างเถอะ ถ้าเพียงแต่อีกฝ่ายจะแสดงให้เขารู้สักเล็กน้อยว่ายังสนใจความรู้สึกนึกคิดของเขาบ้าง...

ลภก้าวตามคนที่เดินนำเพื่อนออกไปจากห้อง อีกฝ่ายเดินลิ่ว ส่วนอาจารย์ที่นัดเขาเพื่อดูเคสคนไข้ก็สวนเข้ามาพอดี ถึงกับทักอย่างประหลาดใจ “อ้าว หมอจะไปไหน นี่เราไม่ค่อยมีเวลานะ”

ลภมองแฟ้มประวัติคนไข้ในมืออาจารย์

ในเวลางานของหมอ... คนไข้สำคัญที่สุด
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 19-08-2014 19:46:14
บทที่ 7 (ต่อ)

พ้นออกจากห้องประชุมมานอกวอร์ด ยังไม่ทันต้องเข้าห้องตรวจอะไร พิธานก็พูดเร็วๆ ว่า “พัก ประคบเย็น ถ้าไม่ดีขึ้น จะเขียนชื่อยาคลายกล้ามเนื้อให้”

ธีรพัทธ์มองเพื่อน จากที่ดูกันไปเมื่อกี้เขาก็เริ่มรู้ว่าถ้าเป็นปัญหากระดูกหรืออะไรลึกๆ ละก็ ทุบอย่างไรก็ไม่มีทางรู้สึกดีขึ้นมาได้ อาการบ่งชี้ว่าเป็นกล้ามเนื้อมากกว่า แต่ตอนนี้เรื่องที่ติดใจไม่ใช่เรื่องหลังตัวเองแล้ว

”เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น เล่นเอาไปไม่ถูก”

พิธานนิ่ง ธีรพัทธ์ถอนใจ ในช่วงเวลาสามปีที่เขาไม่เจอพิธาน เกิดอะไรขึ้นบ้าง... สิ่งเดียวที่เขายังรักษาไว้ได้คือมิตรภาพ กับคนอื่น มิตรภาพแบบที่ไม่เข้าไปล่วงรู้เรื่องราวส่วนตัวอาจจะทำให้ ‘มิตร’ ห่างเหินจากกัน... แต่พิธานก็เป็นคนแบบนี้ ถ้าสอดแทรกมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเจ้าตัวยังไม่พร้อมสิ จะยิ่งถูกกันให้ห่างออกมาอีกมากกว่า

เท่าที่เห็นผ่านมา ธีรพัทธ์ก็พอประมวลได้แล้วว่า... ไม่เหมือนเดิม

ถ้าเป็นสัก... แปดปีก่อน เขาอาจจะดีใจก็ได้ ดีใจที่อาจจะมีโอกาส แต่ตอนนี้ที่เห็นคือ สิ่งที่ ‘ไม่เหมือนเดิม’ นั้น ไม่ได้ทำให้เพื่อนมีความสุขขึ้นเท่าไรเลย

พิธานพูดกับเขาแค่ว่า “บางทีมันก็ไม่ใช่อย่างที่คิดว่าใช่ เท่านั้นเอง”

เป็นคำตอบที่ธีรพัทธ์รู้สึกว่า... กันลภออกจากความผิดหรือการกล่าวโทษที่เขาอาจจะอยากให้มี กลายเป็นเรื่องของคนสองคน และความผิดหรือการกล่าวโทษนั้นถ้าจะมี พิธานก็คงพิจารณาเอง ไม่ใช่หน้าที่คนอื่น

“เอ๊อ... ไปหาคนนวดดีกว่า” ธีรพัทธ์เปรย ไม่อยากคาดคั้นอะไรมากไปกว่านั้น “เมื่อกี้พอทุบๆ แล้วสบายดีเหมือนกัน”

“ที่ต้องเปลี่ยนคือนิสัยการทำงาน ไม่อย่างนั้นก็เคยตัว” ตามเคย ถ้าเป็นเรื่องอาการความเจ็บป่วย พิธานอดตอบไม่ได้ “ชินต้องนวด พอไม่ได้นวดก็ปวดกว่าเดิม ไม่อยากให้ใช้ยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ”

เคยตัว... และถ้าไม่มีอย่างที่เคยมี ก็จะทรมานมากทีเดียว


เช้านี้เป็นเช้าที่ไม่สดใสเอาเสียเลยสำหรับนักศึกษาแพทย์ปีห้าสองคน ศิวัชกับรักษิตเจอกันในห้องน้ำสุดปลายทางเดินของหอพักประมาณห้ารอบได้แล้วเมื่อคืน และลากสังขารลงมานั่งมองข้าวต้มในตอนเช้าตรู่ด้วยความโทรมสุดขีด

ศิวัชคนข้าวต้มไปมา ผิดวิสัยปกติที่เจริญอาหารได้ตลอด บ่น “พะอืดพะอมว่ะ... อยากอ้วก”

“หอยดองเลย” รักษิตว่า เขาไม่ได้กินเข้าไปมากเท่าเพื่อน แต่ขนาดนั้นก็ยังต้องไปเข้าห้องน้ำพอๆ กัน ไม่อยากคิดว่าถ้ากินมากกว่านี้อาการจะขนาดไหน

เมื่อคืนศิวัชมาเคาะห้องเขาชวนไปกินข้าวตอนสามทุ่ม ความจริงรักษิตเรียบร้อยตั้งแต่หกโมง แต่หลังจากอ่านหนังสือไปพักก็หิวขึ้นมาอีกเหมือนกัน ถ้าอนันต์อยู่คงจะลงไปกินด้วย แต่นี่รูมเมตกลับบ้าน เพื่อนร่วมห้องรักษิตเองก็มีเวรทั้งคู่

‘หิวโคตรๆ เหมือนวันนี้ไม่ได้กินข้าว’ ศิวัชว่า ท่าทางหิวโซเหมือนที่บอก แล้วยังเร่งเขา ‘เอ้า เดินเร็วๆ สิ’

‘แล้วกินหรือยัง ตั้งแต่กลางวันน่ะ’ รักษิตอดถามไม่ได้

เพื่อนกลับลังเล ‘เออ... กินยังวะ’

‘อาการหนักแล้วนะตี๋’

ศิวัชบ่นทำนองว่าวอร์ดยุ่งจนลืม พอถึงร้านก็โซ้ยไม่สนใจใคร พอตกดึกเท่านั้นแหละ...

“ทำไมเราซวย” ศิวัชครวญ หลังจากกินข้าวต้มไปได้ครึ่งชามและวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาเจียนจนได้ “ร้านนี้คนอื่นกินไม่เห็นเป็นไร เรียนหมอแล้วร่างกายอ่อนแอ”

รักษิตคร้านจะตอบ เขาให้เพื่อนนั่งรอหน้าตึก ส่วนตัวเองโทรหาเกตุวดีขอยาจำเป็นพวกยาธาตุ ผงเกลือแร่เตรียมไว้ก่อน ถ้านักศึกษาแพทย์จะเบิกยา ต้องไปผ่านแผนกผู้ป่วยนอกตามปกติ การ ‘ขอยาเกด’ ซึ่งเจ้าตัวแทบจะเป็นตู้ยาสามัญเคลื่อนที่จึงเป็นสิ่งจำเป็นในยามเร่งด่วน

ศิวัชบอก “เหมือนจะไข้ขึ้น”

รักษิตรีบกรอกเสียงลงโทรศัพท์ “พาราด้วยนะเกด”

ไม่ช้าไม่นานเกตุวดีก็เดินแกมวิ่งจากหอหญิงมาหา ดูสภาพทั้งคู่แล้วต้องถาม “ไหวไหมนี่ ลาไหม”

“ไหว!” ศิวัชที่หน้าซีดเซียวรับปรอทแบบใช้แล้วทิ้งจากเพื่อนมาวัดตัวเอง สรุปว่ามีไข้จริงเลยกินพาราก่อน “ตอนนี้ขาดไม่ได้!”

‘คะแนนขยัน’ นั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องเดียว ที่ ‘ขาดไม่ได้’ นั้นน่าจะมาจากภาระความรับผิดชอบในหน้าที่ต่างหาก

รักษิตถอนใจ บอกว่าตอนเย็นเจอกันที่เดิมเผื่อไม่ใครก็ใครต้องหิ้วกันกลับหอ ก่อนจะแยกย้ายขึ้นวอร์ด

... และแวะเข้าห้องน้ำเสียอีกทีหนึ่ง

เขาโผเผเข้าไปในวอร์ดอายุรกรรม เวียนหัวเต็มทีแต่ก็พยายามจิบน้ำไปเรื่อยๆ หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านประจำสายไปดูไอซียู พี่ปีสองจึงนำราวนด์แล้วอาจารย์มาตรวจอีกทีหนึ่ง รักษิตเดินลากเท้ารั้งท้าย ไม่มีคนสนใจเขานอกจากอนันต์ที่กระซิบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ผ่านวันนั้นมาได้ อนันต์ติดคุยเรื่องรายงาน รักษิตจึงเดินลงมาเจอศิวัชนั่งหมดสภาพอยู่ที่ใต้ต้นหูกวาง บอกเสียงแหบ

“แย่”

รักษิตทรุดตัวลงนั่ง “ผงเกลือแร่ให้ละลายใส่ขวดน้ำ กินหรือเปล่า”

“ก็... กิน... แต่มันอ้วก” เพื่อนว่า “เวียนหัวว่ะ ปากแห้งไปหมด”

“เออ ไม่ไหวแล้วล่ะ” รักษิตบอก พยุงเพื่อนขึ้น

นอกเวลาราชการไปแล้ว ก็มีแต่ห้องฉุกเฉิน ถ้าถ่ายท้องและอาเจียนแบบนี้ ที่ต้องระวังก็คืออาการขาดน้ำ เวียนหัว ปากแห้ง หน้ามืด อย่างที่ศิวัชเป็น เขายังคิดว่าตัวเองไหว... เอาเพื่อนไปส่งก่อน

ย่างเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ยังไม่ถึงกับแออัดมาก พี่เอ็กซ์เทิร์นเคยบอก ‘อุบัติเหตุหนักมักมาหลังเที่ยงคืน’ แต่ก็มีคนคับคั่งพอสมควร นักศึกษาแพทย์ใส่เสื้อกาวน์ยาวสองคนยืนอยู่โดยไม่มีใครสนใจ

“เขียนประวัติกันก่อนแล้วกัน” รักษิตตัดสินใจ พยุงเพื่อนไปนั่งเก้าอี้ไม้ข้างๆ “ไหวไหมตี๋”

เสียงเก้าอี้ล้มโครม เพื่อนคว่ำลงไปแล้ว รักษิตตามไปหอบหิ้วขึ้นมา นักศึกษาแพทย์สองคนยืนยักแย่ยักยันกันอยู่

เมื่อนั้นในห้องฉุกเฉินถึงได้รู้ว่า... หมอก็จะมาหาหมอนี่

“โทษที หน้ามืด” ศิวัชยังอุตส่าห์บอกเขา ก่อนจะได้ขึ้นเตียง และให้น้ำเกลือ

ประโยคสุดท้ายที่เพื่อนบอกก่อนหลับไปด้วยความเพลีย คือ

“ถ้าอยู่ในปางทรงกาวน์นี่นะ... ห้ามสาย ห้ามพลาด ห้ามป่วยด้วย... ถ้าจะตายก็ตายเลย”

ท้ายประโยคเบาลงไปเรื่อยๆ รักษิตตบหลังมือเพื่อนข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือ นึกถึงเรื่องที่รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่าถ้ายังลุกได้ ก็ต้องลุกมาราวนด์ได้ มีหมอลากสายน้ำเกลือหรือไม้ค้ำยันราวนด์มาแล้ว พูดกับเพื่อนๆ กันว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือรุ่นพี่เพียงแต่เล่าให้เกินจริงเพื่อให้รุ่นน้องเห็นภาพความเสียสละที่หมอควรจะมี

เขาคิดว่า อาจจะไม่ไกลจากภาพความจริงนัก

คิดว่าจะบอกให้เพื่อนผู้หญิงรู้ แต่เหนื่อยเพลียเต็มทีเหมือนกัน ปกติงานในวอร์ดก็หนักอยู่แล้ว ถ้าสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ยิ่งเหนื่อยหนักอีกเป็นทวีคูณ ระยะทางที่เขาต้องเดินกลับหอดูจะไกลเหลือเกินในเวลานี้

รักษิตนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเพื่อน เตียงที่ศิวัชนอนอยู่มุมในสุดติดกับผนังห้อง ไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไรนัก คิดว่าจะงีบเสียหน่อย ตื่นมาดูว่าเพื่อนเป็นอย่างไร แล้วค่อยเดินกลับ พรุ่งนี้หยุด เขาคงตื่นสายได้เล็กน้อย...

มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกห่วงใย “ษิต... ษิต... มานอนอะไรตรงนี้ กลับบ้าน พี่ไปส่ง”

รักษิตยันตัวขึ้นจากเก้าอี้ไม้แข็งด้วยความเมื่อยขบ เห็นดวงหน้าพร่าเลือนแต่แล้วค่อยชัดเจนขึ้น เขาเรียกเบาๆ “พี่ลภ...”

ปิดเทอมก่อนขึ้นปีสามเขาเคยไม่สบาย นอกจากแม่ก็เห็นแต่หน้าหมอลภ ทั้งๆ ที่จบศัลย์ แต่รักษาและอยู่เฝ้าไข้เลือดออกของเขาเองจนหาย

“เดินไหวไหม”

รักษิตพยักหน้า แต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายจับต้นแขนพยุงขึ้นมา เหลือบมองไปทางเตียง ถามว่า “เพื่อนษิต... ไปไหนแล้ว”

“คนที่ตี๋ๆ ขาวๆ หรือเปล่า พี่เข้ามาสวนกัน เห็นญาติมารับไปแล้ว ปู่เขามั้ง”

รักษิตเพิ่งระลึกว่าได้ยินเสียงเพื่อนเรียกแหบๆ เบาๆ อยู่เหมือนกัน คงบอกว่าจะกลับแล้วเขาจะได้ไม่ต้องห่วง แต่ด้วยความเพลียที่สะสมมาเขาจึงยังตื่นไม่เต็มตา นี่คงมีคนโทรหาผู้ปกครองให้ ของเขาใส่ชื่อไว้สองคน แม่กับหมอลภ... โทรไม่เจอแม่อีกตามเคย

“กลับบ้านกัน”

“คืนนี้พี่ลภจะค้างที่บ้านไหม”

รักษิตถาม แล้วก็กลัวคำตอบปฏิเสธ เขาแค่อยากเห็น ‘ครอบครัว’ ของเขากินข้าวพร้อมหน้ากันบ้าง พรุ่งนี้วันหยุด แต่แม่อาจจะไม่หยุด พี่ลภก็อาจจะมีงานเหมือนกัน

“ถ้าษิตป่วย พี่ก็ต้องอยู่สิ” เป็นคำตอบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว


ธีรพัทธ์ถูกตามตัวมาดูคนไข้ที่ห้องฉุกเฉิน ความจริงก็ควรจะตามลำดับชั้น แต่ปีสองเกิดตามตัวไม่ได้ จึงต้องหาหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านเพราะอาการคนไข้ค่อนข้างหนักด้วย เขาเกือบจะกลับออกไปแล้วถ้าไม่เห็นรุ่นน้องในสายกำลังเดินช้าๆ มาที่ประตู โดยมีรุ่นพี่เมื่อสมัยเขายังเรียนตามมา แต่จากท่าทางก็พอจะรู้ว่า ดูอยู่ทุกย่างก้าว

ธีรพัทธ์เดินเข้าไปหา ผงกศีรษะให้รุ่นพี่นิดหนึ่ง แต่ความสนใจอยู่ที่รุ่นน้อง “เป็นอะไรหรือเปล่า... หน้าซีด”

“อาหารเป็นพิษนิดหน่อยน่ะครับ” รักษิตตอบ “ไม่เป็นไรมาก พี่ลภกำลังจะไปส่งที่บ้าน”

ธีรพัทธ์อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาไม่รู้และไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ญาติหรือ... ห่างเกินไปที่จะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่รู้จักกันในโรงเรียนแพทย์ หรือว่าเกี่ยวดองทางอื่น หรือผู้บริหารที่ได้รับความไว้วางใจไปส่งลูกชายเจ้าของบริษัท?

“พี่ลภเป็น... เป็นพี่ผม” รุ่นน้องยังบอกเมื่อเห็นเขาเงียบไป “แต่ตอนนี้มาเรียนต่อ... พี่ลภ พี่พัทธ์นี่ไงที่ษิตเคยเล่าให้ฟังว่า...”

“ไปกันเถอะ ษิตจะได้พัก” ลภตัดบท

“นอนที่นี่ไหม คืนหนึ่ง มีหมอ...” ธีรพัทธ์กำลังจะพูดต่อว่า และเขาก็จะมาดูเป็นระยะ ถึงแม้รักษิตต้องใช้เตียงในห้องดูอาการในห้องฉุกเฉินไปก่อน

“ที่บ้านก็มีหมอ” รุ่นพี่พูดด้วยเสียงเดิม ธีรพัทธ์ขยับจะพูด พอดีเสียงข้อความดังขึ้น

“เอ๊ะ พิ...”

ลภมองเขาทันที นางพยาบาลในห้องฉุกเฉินคนหนึ่งวางหูโทรศัพท์ กวาดสายตามอง เมื่อเห็นหมอที่ตามอยู่ก็รีบเดินมาหา

“ออร์โธได้ยินเสียงตามหมอธีรพัทธ์มาห้องฉุกเฉิน เลยโทรมาว่าถ้าหมอเสร็จเคสแล้วอย่าลืมประชุมค่ะ หมอพิธานฝากบอกว่าสำคัญ ไม่นาน”

ธีรพัทธ์เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองลืมเสียสนิทเรื่องประชุมข้ามภาควิชา ซึ่งเป็นของใหม่เพราะปกติออร์โธปิดิกส์ประชุมบ่อยอยู่กับรังสีวิทยา พยาธิวิทยา และเวชศาสตร์ฟื้นฟู มีศัลยศาสตร์ตกแต่งบ้าง แต่ศาสตราจารย์นายแพทย์กอบชนม์เห็นว่าการดูแลคนไข้ก่อนหลังผ่าตัดก็สำคัญ ควรให้อายุรกรรมส่งตัวแทนมา โดยเฉพาะหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

เขารู้ว่าเพื่อนไม่ใช่คนที่สักแต่ว่าตามๆ ตัวพอให้มีคนนั่งในห้องประชุม ถ้าไม่ ‘สำคัญ’ จริงอย่างที่บอก พิธานเห็นการดูคนไข้มาก่อนการประชุมด้วยซ้ำ

... ความจริงอีกอย่างก็คือ ถ้าพิธานเรียก เขาไม่เคยไม่ไปมาก่อน

ธีรพัทธ์ได้แต่บอก “เดี๋ยวก็หายแล้วนะ จะได้มาช่วยพี่ต่อ”

รุ่นน้องยิ้มให้เขา จนธีรพัทธ์เดินออกไปแล้ว จึงได้ค่อยๆ เดินต่อโดยมีลภตามหลังมาเหมือนเคย

“แล้วพี่ลภไม่ต้องประชุมหรือ เหมือนตามหลายภาค” รักษิตมานึกได้เมื่อขึ้นรถ ไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียงาน

"เขาไม่ได้ตามพี่" ลภตอบราบเรียบ ก่อนจะสตาร์ทรถ

เมื่อเหลือบมองอีกครั้งก็พบว่ารักษิตเอนพิงพนัก หลับตาลงแล้ว รถติดไฟแดง เขาวางมือข้างขวาบนพวงมาลัย เอื้อมอีกข้างไปลูบศีรษะคนข้างตัวแผ่วเบา

พี่สาวของรักษิต... รสริน ผู้หญิงสาวที่ควรจะได้ชื่นชมกับชีวิต ไม่ต้องทนกับอาการเจ็บป่วยที่ทำให้เธอไม่สามารถใช้มันอย่างใจหวังได้แม้เกิดมาพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง พรข้อเดียวที่ไม่ได้ คือสุขภาพที่แข็งแรง...

ถ้าน้องชายคนเดียวที่เธอฝากเอาไว้ป่วยไข้ลง ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ลภก็ถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องดูแล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง สำหรับครอบครัวพิพิธนันท์
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 19-08-2014 19:49:24
คุณ iforgive จะทำให้ดีขึ้นโดยที่อีกคนไม่ค่อยร่วมมือได้หรือเปล่าน้า

คุณภาณุเมศพลัง ขอบคุณมากค่ะที่รออ่านนะ พี่ลภแกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแหละถึงได้พูดออกไปแบบนั้น ตอนนี้งานก็ยังยุ่งอยู่ แต่ก็แฮปปี้ที่ได้เขียนก็จะพยายามเขียนต่อไปเรื่อยๆ พิธานมีอิเมจเป็นเม่นไปซะแล้ว 555 เม่นน่ารักอยู่นะ

คุณ malula ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่ะ คือคนมันไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดกันเลยนี่สิ พิธานก็อาจจะคิดว่าให้มันจบๆ ไปดีกว่าก็ได้นะ เป็นเพื่อนร่วมงานกันไปแบบไม่ต้องเจออะไรกันมากเดี๋ยวไม่ถึงสองปี ก็ไม่ต้องเจอกันอีกละ (เหรอ) อิอิ

คุณ B52 เจ็บนะ... แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป...

คุณ -west- ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ จริงๆ พิธานก็มีดวงคนอุปถัมภ์มาตลอด เพียงแต่จากไปเร็วเท่านั้นเอง อยู่คนเดียวก็ต้องแกร่งหน่อยค่ะ

คุณ lizzii อ่านต่อไป อาจจะมีใครน่าสงสารกว่านี้ก็ได้น้า ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่ะ

คุณ fuku ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า อ่านเมนต์แล้วเห็นภาพเลยย

คุณ Nemasis ขอให้งานหายยุ่งเร็วๆ ค่ะ อิอิ คนเขียนนี่อีกพักใหญ่เลยแต่ก็จะพยายามมานะ ฝากอ่านต่อด้วยน้าา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความรู้สึกของคนเป็นสิ่งซับซ้อน... (นี่ก็เหมือนเคยพูดมาละ) จริงๆ พัทธ์ธาน ษิตพี่ลภก็ดีอยู่นะ... อ่อคราวที่แล้วมีแต่คนสงสารพิธาน เจ้าตัวน่าจะเป็นพวกไม่ค่อยให้คนอื่นรู้เรื่องส่วนตัวเพราะยังงี้ แต่นี่เป็นคนอ่านอะเนอะ ก็ต้องได้รู้อยู่แล้ว อิอิ ว่าแต่ต่อไป คนอ่านอาจจะสงสารคนอื่นมากกว่าพิธานก็ได้นา

ขอบคุณคนอ่านมากๆ นะคะที่อ่านอยู่ค่ะ เรื่องนี้ค่อนข้างสูบพลังคนเขียน แต่ก็สนุกที่ได้เขียนนะ เหนื่อยแต่สนุกอะ 555 จะพยายามมาเรื่อยๆ ค่ะ

ขอบคุณคนอ่านทุกท่านอีกครั้งค่ะ :กอด1:

ป.ล. ตอนนี้แอบยาว อิอิ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-08-2014 20:49:51
ความอึดอัดมันแผ่ซ่านไปหมด แต่ละคนก็มีเหตุผลและความจำเป็นในชีวิตไม่เหมือนกันหรอก ฉะนั้นไม่รู้ก็ไม่ต้องไปคิดแทนว่าควรจะเป็นอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ นี้คือข้อคิดที่ได้จากตอนนี้ ***ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ ติดตามอ่านอยู่ตลอดจ้า
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-08-2014 21:17:07
 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-08-2014 21:21:09
นิยายเรื่องนี้ไม่มี nc  แต่สนุกน่าติดตามทุกตอน  อิอิ
ด้วยอารมณ์หน่วงๆ  ภาษาละเมียดละไม  ลุ้นตลอดว่าเมื่อไหร่พิธานจะใจอ่อนกับลภซะที
ส่วนคู่พัทธ์กับรักษิต  ยังเรื่อยๆๆ  มาเรียงๆๆ 
เป็นกำลังใจให้หมอลภนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-08-2014 21:24:56
จะว่ายังไงดี เหมือนคนอื่น ๆ เขาก็ปกติดี
จะไม่ปกติก็คือ หมอลภกับหมอพิธาน งึม ๆ งำ ๆ กันอยู่สองคน
แหม่...หมอพัทธ์น่าจะได้ดูแลน้องษิต เผื่อมีอะไรให้ลุ้นบ้าง
จะให้ลุ้นลภษิต พัทธ์ธาน ตามที่คุณเดหลีว่า ไม่ไหวมั้ง
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 19-08-2014 22:40:06
เอ...เห็นจะลุ้น ลภษิต พัทธ์ธาน ไม่ขึ้นนะคะสำหรับเมศ
เพราะนอกจากหมอๆพัทธ์ษิตจะ “หน้าตาดี๊” เเล้ว บรรยากาศเวลาอยู่ด้วยกันยัง "น่าเอ็นดู๊วว" อีกด้วยค่ะ

ตอนที่เเล้วอ่านเเล้วสงสารพิธาน พอมาอ่านตอนนี้ เห็นเลาๆว่าพิธานเป็นคนใจเเข็งจนอาจถึงขั้นมีทิฐิต่อพี่ลภ
ซึ่งคง..มีเหตุผลเป็นของตัวเอง(เช่นเดียวกันคนอื่นๆในเรื่อง) แต่ไม่เเน่...เอาจริงๆคนที่ใจร้ายที่สุดอาจจะเป็นพิธานเองก็ได้

พี่ลภดูจะหวงน้อง ไม่รู้ว่าหวงเพราะเป็นน้องหรือเพราะหมอพัทธ์ขัดลูกตาพี่ลภเขานะคะ อิอิ

ขอเป็นกำลังใจให้คุณเดหลี
เมศจะเฝ้าติดตามผลงานต่อไปโดยเฉพาะช่วงหลังวันหวยออกค่ะ  ห้าห้าห้าห้า
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-08-2014 00:45:39
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 20-08-2014 08:23:41
มัวแต่ทำงานงกๆ เลยพลาดไม่ได้มาให้กำลังใจตั้งสองตอน :hao5:
ยังเดาอะไรไม่ได้เลย  :katai1:
รออ่านตอนต่อไปดีกว่า :hao3:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-08-2014 10:29:38
เหมือนคนที่น่าสงสารที่สุด อาจเป็นลภก็ได้  หรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: pim_onelove ที่ 23-08-2014 05:02:16
ตามมาอ่านเรื่องใหม่ค่ะ  อ่านรวดเดียว 7 ตอนเลย สนุกและตามลุ้นไปกับเหล่าคุณหมอด้วยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 23-08-2014 16:56:57
เหมือนพิธานจะเข้าใจลภผิดนะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 24-08-2014 01:01:01
สนุกกกกกอ่านรวดเดียวเลย

พิธานมีเบื้องหลังกับลภแน่ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 7] 19 ส.ค. 57 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 06-09-2014 19:56:27
อยากอ่านต่อแล้ว ฮรื่อ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [แจ้งข่าวหน่อยนะคะ] 10 ก.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 10-09-2014 04:03:25
เรียนคนอ่านที่รักทุกท่าน

เนื่องด้วยระยะนี้คนเขียนติดภารกิจการงานมากจริงๆ จึงขออนุญาตแจ้งว่า มาได้อีกทีคงราวๆ กลางค่อนไปทางปลายตุลาคมนะคะ ขออภัยเป็นอย่างมากที่ต้องให้ท่านรอ (มาช้าแต่มาชัวร์ๆ ค่ะ แหะๆ)

ขอบคุณคนอ่านมากๆ ค่ะ จะพยายามรีบกลับมานะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [แจ้งข่าวหน่อยนะคะ] 10 ก.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 10-09-2014 09:16:59
 :mew2: รับทราบคร่า จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [แจ้งข่าวหน่อยนะคะ] 10 ก.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 10-09-2014 09:49:58
นี่ก็การงานรุมเร้าไม่แพ้กันค่ะ ป่วยก็ยังต้องฝืนสังขารไปทำงาน
เพราะมันคือความรับผิดชอบ อยากได้หมอๆในเรื่องนี้มาดูแลจัง
ลำเอียงไปทางรักษิตซะด้วยสิ ถึงจะยังฝึกอยู่ก็เถอะ ฮี่ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [แจ้งข่าวหน่อยนะคะ] 10 ก.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 08-10-2014 16:50:59
 :m32: แว๊บเข้ามา +เป็ด และมาปูเสื่อรอน้องรักษิตจร้า
 :m1: ตอนนี้เค้าขอสมัครเป็น รักษิต FC ยังทันมั๊ยคร้าาาาาา
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [แจ้งข่าวหน่อยนะคะ] 10 ก.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: pim_onelove ที่ 30-10-2014 06:14:24
ปักหมุดว่ายังรออยู่นะค๊า
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [แจ้งข่าวหน่อยนะคะ] 10 ก.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 20-11-2014 18:25:15
คิดถึงบรรดาคุณหมอแล้ววว
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [แจ้งข่าวหน่อยนะคะ] 10 ก.ย. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Millet ที่ 30-11-2014 02:25:34
อ่านรวดเดียว คุณเดหลีไม่เคยทำใหเผิดหวัง
ดีเทลแน่นมาก แต่อ่านเพลินมากเช่นกัน
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 10-12-2014 05:36:19
บทที่ 8

รักษิตรู้สึกตัวตื่นตอนกลางดึก มองนาฬิกาหัวเตียงก็พบว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว ในห้องมืด มีเพียงแสงไฟจากโถงชั้นบนลอดเข้ามาเป็นลำจาง เมื่อค่ำพอถึงบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าจากโรงพยาบาล ฝืนกินอะไรไปนิดหน่อยลภจึงปล่อยให้เขานอน ได้ยินเสียงบอกแว่วๆ ว่านั่งทำงานอยู่แค่ข้างนอกนี้ ประตูทิ้งแง้มไว้เพื่อจะเรียกได้

เขาลุกไปล้างหน้าล้างตา พอเดินออกไปนอกห้องก็เห็นภาพอย่างที่นึกเอาไว้ โถงชั้นบนจัดเป็นพื้นที่พักผ่อนกลายๆ มีทั้งโซฟาตัวใหญ่และโทรทัศน์ เสียแต่ไม่ค่อยมีผู้ใช้ตรงจุดประสงค์เท่าใดนัก โคมส่องสว่างอยู่ดวงเดียวสาดกระทบแฟ้มเอกสารที่ยังเปิดค้าง รักษิตนึกรู้ว่าคงเป็นงานจากบริษัท เพราะอีกฝ่ายมักจะมีท่าทีเคร่งเครียดเช่นนี้เสมอ ต่างกับเวลาอื่น

คนจดจ่อกับงานอย่างมีสมาธิเงยหน้าขึ้นทันทีที่รู้ว่าเขาเข้าไปใกล้ เอ่ยถาม

“เป็นไง... ยังปวดท้องอยู่ไหม”

“นิดหน่อย... แต่ดีขึ้นแล้วครับ”

“ไข้ล่ะ...”

รักษิตยกมือทาบหน้าผากตัวเอง “ไม่น่ามีนะ”

ลภวางมือจากงาน ดูจนแน่ใจว่าอาการเขาเรียบร้อยดีแล้ว จึงบอก “โทรหาแม่เสียหน่อย หรือจะให้พี่โทร?” 

ยังผลให้คนฟังรีบปฏิเสธ “... อย่าดีกว่า ไม่เป็นไรแล้ว คุณแม่กังวลเปล่าๆ”

ความเคยชินทำให้รักษิต ‘ไม่เป็นไร’ เสมอมาเพราะมีคนป่วยหนักกว่าอยู่ในครอบครัว แต่คนที่เขาปิดบังไม่ได้ก็มี... ความจริงลภมักติดต่อคุณตรีรัตน์ด้วยเรื่องงาน มีเพียงเรื่องเกี่ยวกับเขาเป็นข้อยกเว้น

อีกฝ่ายยังมองมาอย่างชั่งใจอยู่ครู่ ในที่สุดก็พูดว่า “งั้นลงไปข้างล่างกัน... พี่จะไปชงกาแฟ”

รักษิตไม่หิว และยังไม่อยากนอนต่อ จึงตามลงไปโดยดี นั่งลงที่โต๊ะติดกับส่วนเตรียมอาหาร หลังจากปฏิเสธว่าไม่อยากกินอะไรไปอีกครั้งแล้ว ก็มีถ้วยกระเบื้องเคลือบพิมพ์ลายแมวการ์ตูนชื่อเฟลิกซ์สีขาวดำกำลังยิ้มแป้นมาวางตรงหน้า ก่อนคนวางจะหันกลับไปชงกาแฟของตัวเองต่อ

รักษิตมองถ้วยชาที่ยังร้อนกรุ่น มองตัวการ์ตูนแมวส่งยิ้มให้เขาเหมือนเดิมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน แล้วก็หลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

“พี่ลภ... ไม่มาเป็นพี่ชายษิตจริงๆ นะ...”

ถ้าเป็นเวลาปกติเขาอาจจะไม่พูดก็ได้ แต่วันนี้เขาป่วย... เพิ่งจะหาย ถือว่าตามใจตัวเองวันหนึ่งแล้วกัน

รักษิตโตเกินจะอยากใช้อะไรที่มีเจ้าเฟลิกซ์อยู่แล้ว แต่มันเป็นตัวแทนความทรงจำเก่าๆ ตอนยังเด็ก ถ้าเกิดเจ็บไข้ขึ้นมา ต้องกินยา เมื่อก่อนใช้ถ้วยใบนี้ เห็นตาโตๆ รอยยิ้มกว้างๆ ของมันแล้วเขาก็รู้สึกสบายใจทุกครั้ง

คนที่ยังใช้ช้อนคนกาแฟอยู่เพียงแต่ชะงักนิดหนึ่งเท่านั้น ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า “... พี่ก็เป็นพี่ของษิตจริงๆ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น...” รักษิตถอนใจ “พี่ลภก็รู้ว่าษิตหมายความว่ายังไง...”

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร รักษิตถอนใจอีกครั้ง เขาแค่คิดว่า ในเมื่อไม่มีใครหลงเหลืออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกาหรือที่นี่ บางที เขากับคุณตรีรัตน์ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับคำว่าครอบครัวของนายแพทย์ลภในเวลานี้ก็ได้

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนที่รักษิตจะทันพูดอะไรมากไปกว่านั้น ลภรับสายจากมือถือ

“ครับ... คืนนี้ผมก็กำลังดูอยู่ จะส่งอีเมล์ให้ตรวจทานพรุ่งนี้เช้า”

เท่านั้นเขาก็นึกรู้ว่าแม่โทรมา พอดีกับลภเอ่ยพลางเหลือบมาทางเขา “ษิตหรือครับ...”

รักษิตรีบไขว้มือเป็นรูปกากบาท ขืนเขาพูดโทรศัพท์กับแม่ตอนนี้คุณตรีรัตน์ได้ซักฟอกเขาสะอาดปะไร อันที่จริงรักษิตไม่เคยมีปมเรื่องคิดว่าแม่ลำเอียงหรือไม่รัก อาจจะมีบ้างตอนยังเด็กมากๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ทั้งปู่ย่าพ่อแม่ก็ดูจะรุมให้ความสนใจพี่สาว แต่อีกไม่นานเขาก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร รวมทั้งที่แม่ทำงานหนักมาตลอดด้วย ถึงไม่อยากให้มีเรื่องกังวลเพิ่มมากกว่าเดิมเพราะตัวเองเป็นสาเหตุ

เมื่อลภไม่ได้ตอบ ปลายสายจึงเข้าใจว่าลูกชายไม่ได้กลับมาค้างบ้าน ทำให้พูดเลยไปเรื่องอื่น ปรากฎว่าในที่ประชุมนั้นคุณตรีรัตน์เผอิญได้พบกับผู้ที่เคยแสดงความประสงค์จะบริจาคเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลพอดี เมื่อได้พูดคุยก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าคือโรงพยาบาลใดรวมทั้งผู้บริจาคเองก็ทราบจากอาจารย์หมอว่ามีการติดต่อบริษัทไว้แล้วด้วย

ลภเกือบถอนใจ นึกโล่งอกที่ไม่ต้องนำเสนอสินค้ากับอาจารย์ในภาคอีก เรื่องขายไม่ใช่เรื่องที่เขาถนัดเลย ไม่แคล้วปลายสายคงตำหนิเขาที่ล่าช้า จริงตามนั้น เพียงแต่คุณตรีรัตน์อาจจะยังอยู่ในอารมณ์ดีที่เรื่องสำเร็จลุล่วง จึงไม่ได้พูดให้มากความนัก

วางสายกันแล้ว รักษิตจึงได้บอก

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ษิตโทรหาคุณแม่เอง”

“อืม...”

“คุณแม่บ่นอะไรพี่ลภอีกหรือเปล่า”

คราวนี้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะเล็กน้อย ตอบว่า “ก็ทั่วไป... ษิตอย่าห่วงเลย ดึกแล้วขึ้นไปนอนเถอะ พี่ก็จะไปทำงานต่อเหมือนกัน”

รักษิตยังเห็นแสงไฟลอดผ่านจากภายนอกอยู่อีกนานก่อนเคลิ้มหลับในคืนนั้น


พิธานเคาะประตูห้องทำงานหัวหน้าภาคก่อนจะเปิดเข้าไป หลังราวนด์เช้าอาจารย์เรียกพบเขา บอกว่ามีเรื่องเกี่ยวกับคนไข้

อาจารย์กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ ทำมือให้ลูกศิษย์รอสักครู่ จึงได้บอกว่า

“ผมพบสตาฟศัลย์ตอนขึ้นมา ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องของเราโดยตรง แต่ถือว่าช่วยคนไข้หน่อยแล้วกันหมอ เคสที่หมอเคยดูอยู่ ดีเอ็มฟุตนะ กลับมา คราวนี้แผลไม่ดีเลย ถามถึงหมอ สตาฟศัลย์เลยบอกผมว่าถ้ามีเวลา ให้หมอไปดูคนไข้ แล้วก็ไปพบหน่อย”

ที่อาจารย์กอบชนม์พูดถึงคือแผลเกิดจากเบาหวานที่เท้า เคสนี้พิธานเคยช่วยดูตั้งแต่ตอนไปเวียนศัลยศาสตร์ตอนเข้าเรียนแพทย์ประจำบ้านออร์โธปิดิกส์ใหม่ๆ... แต่ความที่เป็นคนไปดูบ่อย แทนพี่แทนอาจารย์บ้าง คนไข้จึงจำเขาได้และถามถึงทุกครั้งแม้ว่าแพทย์ประจำบ้านคนนั้นจะกลับไปอยู่ในวอร์ดของตัวเองแล้ว เขารีบรับคำ จากที่ฟังอาจารย์คราวนี้ก็น่าเป็นห่วงจริงๆ เพราะแผลขาดเลือดร่วมด้วย จากการที่หลอดเลือดตีบจนอุดตัน

พอว่างจากวอร์ดตัวเองหน่อย เขาก็รีบไปดูคนไข้ที่วอร์ดศัลย์ก่อนไปแผนกผู้ป่วยนอกของออร์โธปิดิกส์ตอนบ่าย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะตำหนิคนไข้ว่าทำไมถึงปล่อยให้เป็นขนาดนี้กว่าจะมาหาหมอ เขาคุยกับญาติกับคนไข้อยู่พักเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ก่อนจะไปพบอาจารย์ภาคศัลยศาสตร์ที่อาจารย์กอบชนม์ให้ชื่อมา

อาจารย์คุยกับเขา อย่างน้อยการที่คนไข้ได้รับการประเมินให้ผ่าตัดทางเดินของเลือด ที่เรียกกันว่ารีวาสคูลาไรเซชั่นโดยใช้วิธีบายพาส คือใช้เส้นเลือดเทียมต่อข้ามส่วนที่ตันไปนั้น ก็ยังมีโอกาสหลีกเลี่ยงการต้องตัดนิ้วหรือเท้าไปได้มากกว่ากลุ่มที่ใช้วิธีนี้รักษาไม่ได้ แต่แล้วอาจารย์ก็บอกสิ่งที่ทำให้เขานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แม้อาจารย์จะไม่ทันสังเกตก็ตาม

“ผมเข้าใจว่าถ้าหมอไปคุย คนไข้จะฟังขึ้นอีกมาก ต่อจากนี้มีอะไรหมอปรึกษาหมอลภนะ... เขาเคยทำบายพาสมาแล้วคล้ายๆ กันได้ผลดี ผมก็คอยดูอยู่ แต่เรื่องรายละเอียดหมอไปคุยกับเขาโดยตรงได้เลย เคสนี้เขาก็น่าจะได้ทำด้วย”

พิธานไม่มีทางเลือกนอกจากรับคำอีกครั้ง ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ เรียนที่เดียวกัน สาขาคาบเกี่ยว จะช้าจะเร็ว ไม่เจอกันอีกในห้องผ่าตัดก็ต้องได้ทำเคสด้วยกันอยู่ดี เขาตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าถ้าเพื่อการรักษาคนไข้ ทำงานร่วมกันบ้างไม่นับว่าเป็นอย่างไร อีกไม่ถึงสองปี ก็ต่างคนต่างจบ ต่างคนต่างแยกย้ายไป... เหมือนเดิม

มีอะไรต้องกลัว

แต่กระนั้นยังต้องสูดหายใจลึกก่อนเคาะประตู พิธานรู้ว่าห้องทำงานของเฟลโลว์หน่วยศัลยศาสตร์หลอดเลือดใช้ร่วมกัน ตั้งโต๊ะกระจายในห้องเล็กๆ นั้นอยู่สามสี่โต๊ะ แต่ในเวลานี้ก็มีเพียงนายแพทย์ลภเท่านั้น

คนที่นั่งอ่านวารสารทางการแพทย์อยู่หลังคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่เปิดค้างอยู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจนิดๆ แต่แล้วคงรู้ว่าเขามาด้วยเรื่องอะไร ยิ้มให้พร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ข้างหน้าให้นั่ง

ชั่วเวลาที่ลภปิดโน้ตบุ๊คลง ช่วยไม่ได้ที่คนนั่งตรงข้ามจะสังเกตเห็นสีหน้าอิดโรยเล็กน้อยและรอยไรที่เริ่มขึ้นเขียวอ่อนจางบริเวณคาง

ทำงานดึก? เถอะ... ทำงานสองที่ก็เหนื่อยทั้งนั้น

... ไม่ใช่เรื่องของเขาไม่ใช่หรือ เรื่องของเขามีแต่ปรึกษาเคสคนไข้เท่านั้น
 
พิธานทำอย่างนั้นไปจนเกือบบ่ายโมง โดยที่เฟลโลว์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนเขาเหลือบดูนาฬิกาพบว่าได้เวลาต้องไปแผนกผู้ป่วยนอก

ลภลุกขึ้นยืนเมื่ออีกฝ่ายเดินเกือบถึงประตู ก่อนจะห้ามตัวเองทันก็พูดออกไปแล้วว่า “อย่าลืมกินข้าว เดี๋ยวปวดท้องอีกเหมือนเมื่อก่อน”

พิธานหยุดนิดเดียว แต่ก็ปิดประตูตามหลังให้อย่างเรียบร้อยโดยไม่พูดอะไร

ลภทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง เขาพยายามจะไม่ให้การกระทำหรือความรู้สึกของเขาเป็นภาระของอีกฝ่าย ‘เมื่อก่อน’ เคยดีอย่างไร... ‘ตอนนี้’ ก็ยังมีอยู่เช่นกัน ไม่ใช่หรือ...


รักษิตนั่งเขียนรายงานอยู่บนวอร์ดจนท้องร้อง พักหลังงานทับถมจนเขาต้องเร่งปั่นบนวอร์ดให้รู้แล้วรู้รอดไม่ว่าจะเป็นเวรหรือไม่ก็ตาม แต่พอชักดึกก็ระเห็จลงมา คิดว่าจะไปอาบน้ำให้ตาสว่างแล้วเขียนต่ออีกหน่อยก่อนนอน ที่หอคงมีมาม่าอยู่บ้าง

เขาพบธีรพัทธ์ที่ใต้ตึก ทันทีที่เห็นหน้ารุ่นพี่ก็ว่า “หายยัง...”

รักษิตพยักหน้าอย่างแข็งขัน อีกฝ่ายก็ยิ้มแล้วพูดต่อ “หายแล้วก็ไปกินข้าวกัน”

เขาอาจจะทำหน้างง แต่รุ่นพี่อธิบายเป็นเหตุเป็นผลอย่างยิ่ง “มีอะไรออกไปเยอะเราก็ต้องเติมเข้าไปใหม่สิ”

รักษิตไม่ปฏิเสธเพราะหิวอยู่ไม่น้อย จะได้ไม่ต้องเบียดบังมาม่ารูมเมตและซื้อใช้คืนทีหลัง รุ่นพี่พาเขาลัดเลาะออกไปพลางว่า “ร้านข้าวต้มลุง รั้วฝั่งโน้น เคยกินหรือเปล่า”

เขาส่ายหัว “มีด้วยหรือครับ”

“น้องๆ สมัยนี้... พลาดของดี ว่าไม่ได้ ลุงเปิดแล้วแต่อารมณ์ ติสต์แตกสุดๆ" 

เจอร้านเข้าพอดี ธีรพัทธ์จึงว่า "นี่มาแล้วเจอแสดงว่าเรามีวาสนาต่อ... การได้กินข้าวต้มลุงนะ"

โต๊ะสังกะสีเอียงไปหน่อย แต่ไม่ขัดอารมณ์คนพามาซึ่งสั่งกับข้าวอย่างไม่บันยะบันยังจนรุ่นน้องเริ่มท้วง “เดี๋ยวกินไม่หมด”

“น้องนั่นแหละกินเข้าไปเยอะๆ” อีกฝ่ายกลับว่าอย่างนั้น “เรียนหนัก ผอม...”

“ตอนมัธยมผมเป็นเด็กอ้วนด้วยซ้ำ” รักษิตหัวเราะ “... ใครสั่งก็ต้องรับผิดชอบ”

รุ่นพี่ตอบโต้ด้วยการตักกับข้าวให้เขาจนพูนมองไม่เห็นข้าวต้ม แล้วบอกให้รับผิดชอบร่วมกัน

รักษิตคิดถึงเมื่อเช้า อาจารย์ถามแล้วเกือบตอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาน่าจะเคยรู้ อยู่ดีๆ นึกไม่ออกเสียอย่างนั้น อดเปรยออกมาไม่ได้ แต่ธีรพัทธ์กลับบอก

“เรื่องลืมเป็นเรื่องปกติ”

พอเห็นสีหน้ารุ่นน้อง ธีรพัทธ์ก็เหลือบตาขึ้นบน คิดถึงเพื่อนตัวเองที่กำลังอยู่เวรว่าจะทำหน้าอย่างไรหากได้ยินคำตอบแบบนี้ แล้วจึงแก้ “เอาใหม่ ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่... เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้”

รุ่นน้องตักกับข้าวคืนให้เขาบ้าง ธีรพัทธ์พูดต่อ “เชื่อสิ ถ้ายังเป็นหมออยู่น้องจะลืมอีกหลายหน สำคัญที่ว่ายังไงเราต้องไม่ทำให้คนไข้เกิดอันตราย และเราต้องมีวิธีหาคำตอบ”

รักษิตฟังเขาอยู่เงียบๆ

“ตอนใช้ทุน อยู่โรงพยาบาลคนเดียว พี่เคยจำโดสยาเด็กไม่ได้”

“แล้ว... ทำไงครับ” คนฟังถามเบาๆ คิดไปว่า หากกำลังรักษาโดยมีสายตาพ่อแม่คนไข้มองมาด้วยความหวังแล้ว เป็นเขาเองคงรู้สึกกดดันไม่น้อยทีเดียว

“ก็เปิดหนังสือดูมันตรงนั้นแหละ” โรงพยาบาลชุมชนที่ธีรพัทธ์เคยไปใช้ทุนในปีที่สองนั้นเล็กมาก อินเตอร์เน็ตไม่ใช่สิ่งที่เข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย สามเดือนแรกไม่มีคนช่วย ธีรพัทธ์เคยต้องอยู่เวรทุกวันมาแล้ว วิ่งรอกดูทั้งคนไข้ในและนอก มีอะไรขึ้นมาพยาบาลตามเขาคนเดียว

พอนึกย้อนกลับไปยังอัศจรรย์ใจว่าผ่านมาได้อย่างไร

“... พ่อแม่เด็กไม่ว่าอะไรหรือครับ” รุ่นน้องถามอย่างออกจะทึ่งหน่อยๆ บางที ญาติก็คาดหวังให้หมอดำรงตนเป็นผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญตลอดเวลา

“เราตั้งใจจะช่วยลูกเขาน่ะ... สรุป รอด แต่เอาเป็นว่าถ้าเป็นในเมืองหรือสมัยนี้ คนไข้ ญาติคนไข้ไม่เหมือนกัน เราต้องมีวิธี ขอตัวออกไปแป๊บหนึ่ง ถามรุ่นพี่ ค้นจากฐานข้อมูล... ไม่รู้ก็ต้องไปทำให้รู้ อย่าไม่รู้แล้วดันทุรัง”

เคสของเขาที่ต่างจังหวัดนั้นพ่อแม่คนไข้เป็นชนกลุ่มน้อยด้วยซ้ำ... เพียงแต่พยายามขอบคุณที่เขาช่วยลูก กลุ่มนี้ก็เป็นอีกกลุ่มที่มักมาโรงพยาบาลด้วยอาการเพียบหนัก ธีรพัทธ์รู้ว่าหากไม่หนักหนาจริงๆ จะไม่ยอมมา ด้วยปัจจัยด้านการหาเลี้ยงชีพ การเงิน เวลา อะไรอีกหลายๆ อย่าง

“ผมรู้สึกว่าตอนนี้ญาติ คนไข้บางคนไม่ไว้ใจเรา” รุ่นน้องว่า “ไปโอพีดี หรืออยู่ที่อีอาร์ บางทีญาติเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปถ่ายคลิป ตอนทำงาน โดนไปหลายคน เราก็ไม่อยากให้เขาเอาไปลง อาจจะตีความผิด”

“สมัยก่อนไม่มีนะ ใช้เพจเจอร์ ตอนพี่เข้าปีหนึ่งโทรศัพท์ยังหน้าจอขาวดำ ที่พอถ่ายรูปได้ก็ออกมาห่วย” ธีรพัทธ์เอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “แต่พี่ว่า... เรากับคนไข้จะอยู่กันด้วยความระแวงไม่ได้น่ะ หมอรักษาไประแวงไป ญาติเฝ้าไประแวงไป แทนที่จะพูดกันให้รู้เรื่อง ปัญหามันเกิดเพราะอย่างนี้”

โลกที่ใช้ความตั้งใจดีเป็นเกราะคุ้มกันภัยได้คงจะเป็นโลกที่สวยงาม แต่โลกในความเป็นจริงบางทีก็ไม่ใช่เช่นนั้น

รุ่นน้องว่า “สาธุ...”

ธีรพัทธ์ขำ ถึงจะรู้ว่าหมายถึงเห็นด้วย แต่นักศึกษาแพทย์ปีห้าหน้ายังเด็กมาพูดแบบนี้เขาก็ขำอยู่ดี ท่าทางโตมากับคนแก่ เหมือนตอนไปเจอกันที่อยุธยา เพื่อนของรักษิตเล่าให้ฟังว่าแม่เจ้าตัวมีลูกตอนอายุไม่น้อยแล้ว

“น้องครับ...” ธีรพัทธ์ลากเสียงจนรุ่นน้องที่นั่งอยู่ตรงข้ามอดหัวเราะตามไม่ได้ “พี่ยังเป็นคนนะไม่ใช่พระปิดทองมาจากไหน... ที่ยังไม่เม้งแข่งกับญาตินี่ก็พยายามคิดว่าเขาทุกข์ มีปัญหา ถึงได้มา”

รักษิตพยักหน้า คนเราแสดงออกซึ่งความทุกข์ใจ ความเป็นห่วงไม่เหมือนกัน เขาคิดว่าตัวเองคงต้องเพิ่มความอดทนอีกไม่น้อย แต่เป็นหมอไม่ได้รักษาร่างกายอย่างเดียว การเยียวยาจิตใจบ้างก็ไม่ใช่แค่หน้าที่ของจิตแพทย์ รักษิตยังจำได้ถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เขาได้อ่านตั้งแต่ปีต้นๆ ที่ระบุว่าการอธิบาย ให้ความมั่นใจแก่คนไข้นั้น ช่วยลดทอนความเจ็บปวดทางร่างกายได้ดีกว่าการให้ยาชาโดยปราศจากการพูดคุยเสียอีก

บางที หมอก็มีความสามารถทำอะไรได้ถึงขนาดนั้นในการช่วยเหลือคนไข้... น่าเสียดายที่โลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยการเร่งรีบ แข่งขัน ความสัมพันธ์ที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเชิงธุรกิจ มีผู้ให้บริการ มีลูกค้า... ทำให้อาจจะหลงลืมแง่มุมเช่นนั้นไป
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 10-12-2014 05:46:06
บทที่ 8 (ต่อ)

หลังข้าวต้มมื้อดึก รักษิตก็คิดว่าตัวเองควรจะรีบอาบน้ำนอนแล้วตื่นมาก่อนเวลาขึ้นวอร์ดเพื่อปั่นรายงานต่อจะดีกว่า เขาเตรียมตัวแยกกับธีรพัทธ์ที่ใต้หอ ไม่ลืมขอบคุณอีกหลายครั้ง ก็พอดีเจอศิวัชเดินมากำลังจะขึ้นตึก

ศิวัชแทบจะล็อกคอเขา ค่าที่เจอกันยากเย็นพักนี้ เอาเข้าจริงหลังเหตุการณ์อาหารเป็นพิษหฤโหดนั่นก็แทบไม่ได้เจอกันเลยรวมทั้งเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนด้วย เพียงแต่รับรู้ว่ายังอยู่กันดีผ่านกรุ๊ปในไลน์เท่านั้น

เพื่อนไม่ลืมทักทายรุ่นพี่ ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เดินกลับหอตัวเอง ศิวัชจึงเปิดฉากเจรจาตรงนั้นและเริ่มเรื่องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ษิต ถือว่าเพื่อนขอร้องนะ”

“หือ?” รักษิตยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“งานอำลาซีเนียร์ เล่นกีตาร์หน่อยนะ”

“เอาเวลาที่ไหนซ้อมอีกไม่กี่วัน” คนถูกขอร้องตอบ “ไม่ได้เล่นนานแล้วด้วย”

ธีรพัทธ์ที่ยืนฟังอยู่เพิ่งรู้ว่ารุ่นน้องในสายมีความสามารถพิเศษเพิ่มมาอีกอย่าง อดนึกไม่ได้ว่าถ้าเล่นเป็น อย่างรุ่นน้องถ้าไม่เล่นอีก... น่าเสียดาย

“ถือว่าเพื่อนขอร้อง” ศิวัชกลับไปประเด็นเดิม “แทนน้องรหัส... อยากร้องเพลงนี้ลาซีเนียร์ เอ้านี่ ส่งคอร์ดมาเสร็จสรรพ ดูให้น้องมันหน่อยน่ะ”

รักษิตก้มลงดูตามเพื่อนบอก น้องผู้หญิง สายรหัสปีสี่ของศิวัชคนนี้เขาก็รู้จัก ดูอยู่ครู่จึงว่า “คุ้นๆ นะ... แต่ไม่แน่ใจจะหัดทันไหม”

“เห็นใจน้องมันน่า” ศิวัชว่า “มีลิงค์ให้ไปฟังด้วย เพราะดีนา หูดีๆ ฝีมือเทพๆ ยังงี้ เดี๋ยวก็เล่นได้ ไม่ยากหรอก”

รักษิตมองคนไม่ได้เล่น ซึ่งพูดว่าไม่ยากเต็มปากเต็มคำแล้วถอนใจ “มีอะไรอยากบอก บอกพี่เขาตรงๆ ไม่ได้หรือ”

ธีรพัทธ์เกือบขำอีกแต่พยายามทำหน้านิ่งไว้ ศิวัชว้ากเพื่อนเสียทันที “เอ๊ะ! ไม่เข้าใจจิตใจน้องมันมั่งเลย ไม่เคยชอบใครรักใคร แล้วเกิดไม่เข้าใจกัน เหลือแค่โอกาสสุดท้ายก่อนไม่ได้เจอกันอีกนานบ้างเรอะ”

รักษิตมองเพื่อนอย่างอึ้งหน่อยๆ ศิวัชสรุปท้อแท้ “เออ... ไม่เคย”

“พี่ไม่เห็นรู้เลยว่าน้องเล่นกีตาร์เป็นด้วย” ธีรพัทธ์ได้จังหวะพูดขึ้น ตอนเจอกันครั้งแรกคราวที่ออกเวชศาสตร์ชุมชน พอมีเวลาชุมนุมกัน คนอื่นในชั้นปีคว้าเอากีตาร์ไปเล่น รักษิตก็เพียงแต่นั่งฟังเท่านั้น

ศิวัชรีบขยายความ “พี่... ตอนปีหนึ่งษิตมันอยู่ชมรมดนตรีสากลของมหาวิทยาลัยเทอมหนึ่งเล่นไม่รู้กี่งาน พอปีสอง เลิก...”

“ไม่มีอะไร... เรียนหนักขึ้นเลยห่างๆ ไป ห่างแล้วก็ไม่ค่อยได้จับอีก” เพื่อนว่าเรื่อยๆ “เอ้า บอกซึ่งหน้าไม่ได้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวลองเล่นดู บอกน้องเขาด้วยพี่จะพยายาม พากันไปล่มบนเวทีห้ามโกรธกัน...”

“ระดับนี้แล้วไม่ล่มหรอก” ศิวัชมั่นอกมั่นใจ “ขอบใจหลาย สงสารน้องมัน เดี๋ยวบอกก่อน คงดีใจน่าดู”

ธีรพัทธ์โบกมือลารุ่นน้องทั้งสองคน เขาอาจคิดโยงไปเอง แต่รักษิตน่าจะมีเหตุผลอื่นในการวางกีตาร์ ตอนปีสองอย่างนั้นหรือ...
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็รู้สึกดีใจที่รุ่นน้องยังกลับมาเล่นอีกครั้ง


หลายวันต่อมารักษิตกำลังกินข้าวอย่างทำเวลาอยู่ในโรงอาหารกับญาดาผู้เดินเจอกันโดยบังเอิญตอนที่เกตุวดีกับอนันต์เดินเข้ามาพอดี ญาดารีบเรียกทั้งคู่ ท่าทางดีอกดีใจเพราะพออยู่ในวอร์ดที่ยุ่งหนักๆ แค่เผอิญเจอกันกับเพื่อนตามทางเดินก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว

ระหว่างที่อนันต์ไปซื้อข้าว และรับอาสาจะซื้อมาเผื่อเกตุวดีด้วยนั้น ญาดาก็ว่า “ช่วงนี้ชีวิตเวียร์สุด... พี่ดุอาจารย์ดุโอ๊ย”

‘เวียร์’ ย่อมาจากภาษาอังกฤษคือซีเวียร์ หมายถึงอาการหนักหรือรุนแรง ซึ่งหมู่แพทย์ยังใช้กันอย่างทั่วไปในศัพท์ประจำวันถ้าประสบปัญหามรสุมกระหน่ำหนักหน่วง

“หมอเด็กใจดีแต่กับเด็กนั่นแหละ” ญาดายังพูด “ทุกอย่างต้องเป๊ะ! ก่อนลงมานี่เลย พี่เดนท์ถาม พอนิ้งตอบ นางทำหน้านิ่งแล้วบอกว่า ‘น้องอยู่นิวบอร์น ก็ตอบเหมือนนิวบอร์นดีเนอะ’ โอยตาย... นางด่าว่าสมองฉันเท่าเด็กแรกเกิดจ้ะ นี่หน้าม้านถึงหลัง”

เกตุวดีกับรักษิตได้แต่ปลอบไปตามเรื่องตามราว เพราะอีกไม่นานก็จะลงวอร์ดกันแล้ว ส่วนตัวเกตุวดีเองนั้นไปนิติเวช เลคเชอร์เก้าโมง เป็นที่อิจฉาของมนุษย์ผู้ต้องตื่นมาราวนด์เช้าทั้งหลาย

“พอไปเมดขอให้นิ้งเจอพี่ดีๆ น่ารักๆ ด้วยเถอะ...” ญาดาภาวนา “เมดหนักอยู่แล้วพี่ดุอีกนี่ตายเลย”

“พี่พัทธ์ไงใจดี” รักษิตพูดโดยอัตโนมัติ และยังคิดว่าเพื่อนคงเห็นด้วยเพราะเคยเจอกันแล้ว

ญาดาทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะว่า “เออ พูดถึง... ได้ยินจากวอร์ดษิต แก๊งยายเง็กกลัวตอนประเมินกันจัง คิดว่าหวั่นตามหัวหน้าแก๊ง แต่ก็แปลกเพราะพี่พัทธ์ไม่น่าลำเอียง ไม่งั้นอาจารย์ไม่ให้ช่วยตลอดหรอก...”

“พี่พัทธ์จะลำเอียงเรื่องอะไร” เกตุวดีว่า “อีกอย่างเขาไม่ใช่คนประเมินคนเดียว แก๊งนั้นมากลัวเรื่องนี้ แทนที่จะกลัวเรื่องเขียนรายงานคนไข้เนี่ยนะ”

“นั่นน่ะสิ นิ้งได้ยินยังแปลกใจ”

รักษิตกำลังจะพูดว่าเขาเห็นด้วยกับเกตุวดี ก็พอดีอนันต์ซึ่งนั่งจ้วงข้าวเงียบๆ อยู่พักหนึ่งเกิดสำลักกะทันหัน รักษิตรีบเลื่อนน้ำให้ พอเริ่มจะดีขึ้นญาดาจึงว่า

“เอ้อ้วน! รู้อะไรแล้วไม่เล่า... เห็นเงียบๆ ข่าวเพียบนะยะ”

สองคนที่เหลือในโต๊ะหันไปมองอย่างประหลาดใจ แต่การณ์กลายเป็นว่าญาดานั้นเดาถูก พอถูกคะยั้นคะยอหนักเข้าอนันต์จึงได้อุบอิบว่า “นี... น่าว่าษิตไปสนิทกับ... ชิฟ คือพี่พัทธ์เขาอาจจะอยากให้ษิตเป็นพ่อสื่อ ก็เลยเลี้ยงข้าว อะไรอย่างนี้ เลยกลัวจะเอียง...”

“บ้าไปใหญ่” ญาดาพูดทันที “พี่พัทธ์เขาเป็นชิฟเดนท์ เขาก็เลี้ยงรุ่นน้องตามธรรมเนียม ยิ่งษิตเป็นน้องในสายด้วย น้องคนอื่นเขาก็เลี้ยง ไม่มาคิดอะไรกับเด็กๆ อย่างพวกเราหรอก”

ส่วนเกตุวดีพูดแค่ "โธ่เอ๊ย"

รักษิตถือช้อนค้าง ลืมหิวไปชั่วขณะ ที่ธีรพัทธ์จะชอบเพื่อนผู้หญิงคนใดคนหนึ่งในกลุ่มของเขานั้นคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเจอกันอยู่ไม่กี่หน แถมตอนเจอเขาไม่ว่าในวอร์ดหรือที่อื่นก็ไม่เห็นให้ช่วยเรื่องนี้สักนิด แต่จะแก้ความเข้าใจผิดเรื่องรุ่นพี่ ‘เอียง’ อย่างไรดี ธีรพัทธ์เป็นกันเองกับเขา แต่ก็สอนคนอื่นอย่างสนิทสนมเช่นเดียวกัน ที่ญาดาว่าเลี้ยงน้องคนอื่นด้วยก็จริง เป็นพี่ที่ไม่ได้เลือกปฏิบัติแต่อย่างใด

ได้แต่คิดว่าคนอื่นในวอร์ดนอกจากเพื่อนกลุ่มทัศนีย์เองสองสามคนแล้ว ไม่น่ามีใครเชื่อไปด้วย

“ยายเง็กหล่อนหวงคะแนนน่ะซี นึกว่าพี่เขาสนิทกับใคร จะประเมินให้สูง” ญาดายังว่า “ทำไมคณะไม่เปลี่ยนคนที่เวียนด้วยกันเป็นรอบไป... เฮ้อ นี่ยังอยู่สายเดียวกับษิตอีกนาน”

รักษิตยังไม่กังวลเรื่องนั้นมากเท่าสิ่งที่อาจจะมีผู้เข้าใจธีรพัทธ์ผิดๆ แต่เขาก็ไม่เจอทัศนีย์อีก ได้ข่าวว่าลาครึ่งวัน พอถึงตอนเย็นทั้งๆ ที่เคยบอกน้องรหัสของศิวัชว่าจะซ้อมกันสักเที่ยวสองเที่ยวก่อนก็ต่างคนต่างยุ่ง ลงจากตึกได้เขารีบกลับหอไปเอากีตาร์ ปะกับรุ่นน้องที่ดูออกจะเครียดและประหม่าจึงได้แต่บอกให้ทำใจให้สบายๆ ถ้าจะใช้เสียงเพลงเป็นสื่อก็ต้องปล่อยไปตามนั้น ตัวเขาเองมีเวลาแค่ถอดเสื้อกาวน์ยัดลวกๆ ไว้ในกระเป๋าแล้วขึ้นเวทีเลย

รักษิตตั้งสาย ความคุ้นชินเริ่มหลั่งไหลมาสู่มือและนิ้วอีกครั้ง... งานจัดในห้องประชุมชั้นล่างห่างจากตึกคนไข้ในเพื่อไม่ให้อึกทึกรบกวน เป็นส่วนสำหรับจัดงานต่างๆ อยู่แล้ว ประตูเปิดแง้มไว้เล็กน้อยติดต่อกับบริเวณที่จัดอาหารไว้ภายนอก ประดับไฟสีงดงาม
เขามองรุ่นน้องที่ยืนอยู่หน้าไมโครโฟน พยักหน้าให้

ขอให้เสียงเพลงและความหมายไปถึงคนที่น้องอยากบอก เขาจะตั้งใจสนับสนุนด้วยท่วงทำนอง... อำลารุ่นพี่ ที่อีกไม่นานก็จะต้องออกไปจากรั้วโรงเรียนแพทย์ แยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่ เหลือไว้แต่ความทรงจำเท่านั้น


เสียงเพลงแว่วมาเบาๆ ล่องลอยถึงหน้าตึกศัลยกรรม เพียงแค่ปิดประตูก็คงไม่ได้ยินอะไรอีก พิธานหยุดยืนนิ่ง เสียงกีตาร์กังวานเข้ากันดีกับเสียงคนร้อง หวานใสเจือเศร้า

… There’s a rumour I don’t love you anymore
and there’s a rumour that I finally closed the door…


เขาเงยหน้าขึ้น สบตาเข้ากับคนที่เพิ่งก้าวออกจากตึกศัลยกรรม อีกฝ่ายก็หยุดชะงักไปเช่นกัน

Reality’s so far away from all the rumours that I don’t love you anymore…


ภายในงานการแสดงยังดำเนินต่อไป จนแพทย์ประจำบ้านที่เพิ่งจะปลีกตัวได้และเข้ามาอย่างเงียบเชียบไม่เป็นจุดสนใจ

“อ้าว พัทธ์ นึกว่าจะไม่มา” เพื่อนเรสิเดนท์อายุกรรมปีเดียวกับเขาทักขึ้น พลางขยับเก้าอี้ว่างให้นั่ง

“ไม่มาได้ไง เอ็กซ์เทิร์นรู้จักแทบหมดทุกคนขนาดนี้” เพื่อนอีกคนเย้าขึ้น

“มากินข้าว” ธีรพัทธ์ตอบยิ้มๆ

“มากินข้าวหรือมาดูนักร้อง”

“ดูทำไมนักร้อง” หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านว่า “เงียบๆ จะฟังเพลง”

… My hearts breaking but I’ll never show it
When everybody sees me I look pretty happy
And when I lay down and close my eyes
You’ll always be right here with me…


“น้องที่ร้องน่ารักดี” เพื่อนร่วมโต๊ะยังกระซิบกระซาบไม่เลิก “ร้องให้ใครไม่รู้... พัทธ์มันตั้งใจฟังเชียว”

“น้องปีสี่กับพี่เดนท์ก็เป็นคู่ที่คิวท์ดีนาเว้ย”

ธีรพัทธ์บอกให้เพื่อนเงียบอีก ก่อนจะว่า “ก็บอกว่าไม่ได้ชอบนักร้อง... ชอบเสียงกีตาร์”


There’s a rumour that I found somebody else…

“ผ่าตัดเรียบร้อยดี...” ลภเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “พรุ่งนี้ธานไปคุยอีกที คนไข้คงสบายใจขึ้น”

พิธานรู้อยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องผ่าตัด การรักษา... เขาฝากไว้กับคนคนนี้ได้ ฝากไว้อย่างวางใจ และไม่สงสัยเลยจนนิดเดียว

“ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยตอบเบาๆ

แต่ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าไม่มีใครอยากอภิปรายรายละเอียดเรื่องการผ่าตัดในตอนนี้ เงียบกันไปครู่ลภจึงเหลียวไปทางงาน ยิ้มนิดหนึ่งบอกว่า “คิดถึงงานอำลาซีเนียร์เมื่อก่อน”

เมื่อก่อน... ก่อนที่พิธานจะออกไปใช้ทุน และยังมีเส้นทางเดินของชีวิตร่วมกัน

ต่างคนต่างเงียบกันไปอีก พลุสว่างวาบขึ้นจากที่ไกลๆ ลภเงยหน้ามอง รอยยิ้มนิดๆ ยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก และพิธานก็มองรอยยิ้มนั้น

... ถึงคนจะไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว แต่ความทรงจำยังเป็นของเขา

“เมื่อก่อน จำได้ไหม ตอนที่...” แต่แล้วคนพูดก็กลับเงียบไปเสียเอง แววตาปรากฎรอยร้าวขึ้นวูบ

พิธานพูดเรียบๆ ใครจะรู้ว่าเขากำลังบอกตัวเองอยู่เช่นกัน "ผมคิดว่า... ความทรงจำที่ดีไม่ควรทำให้เป็นทุกข์"

"ตรงกันข้าม...” อีกฝ่ายบอก “ยิ่งดี ยิ่งสวยงาม ก็จะยิ่งเสียดาย พอเสียดาย ก็เกิดทุกข์ บางทีเสียดายในสิ่งที่ทำ บางที... เสียดายในสิ่งที่ไม่ได้ทำ”

ลภพยายามคิดว่าเส้นทางนั้นผิดที่ใด ต้นรัก... แม้ปลูกไว้ไกลตาแต่ยังใกล้หัวใจ แค่ได้รู้ว่ามีอยู่ก็ดีพอแล้ว ไม่ใช่ว่าคนตรงหน้าเขาคิดเหมือนกันหรอกหรือ

เสียงเพลงยังล่องลอยมาถึง ใกล้จบเต็มทีแล้ว

… Like you’d never let me go...

“พี่ไม่อยากให้ทุกอย่างเหลือแค่ความทรงจำ ในเมื่อเรายังอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ทั้งคู่ มันไม่ควรเป็นแค่ความทรงจำ” เสียงบอกนั้นหนักแน่นนัก “เรา... ยังมีเวลา...”

“ไม่ถึงสองปี” พิธานเอ่ยเสียงเบา

... พอเรียนจบ ลภก็ยังคงมีภาระงานที่บริษัทใหญ่โตนั้นเหมือนเดิม และเขาก็ต้องกลับไปใช้ทุนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“พี่ก็คงมีเวลาแค่นั้น” อีกฝ่ายตอบเสียงเบาพอกัน ดุจรับรู้ ที่ว่ามีเวลานั้นไม่ใช่นานนัก

แม้เส้นทางที่ผ่านมาจะเคี้ยวคดไปบ้าง หากลภแน่ใจ... หัวใจของเขายังตรง ไม่เคยลดเลี้ยวไปไหนเลย

... Forget the rumours that I don’t love you anymore…
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 10-12-2014 06:02:43
คุณ B52 จริงค่ะ ฝากอ่านตอนใหม่ด้วยน้า

คุณ warin ขอบคุณที่อ่านค่ะ ลุ้นต่อน้า จริงๆ ก็ไปแบบช้าๆ ทั้งคู่ล่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจให้พี่ลภค่ะ (ยังต้องการอีกมากค่ะ 55)

คุณ malula คือมันมีหลายอย่างมากระหว่างสองคนนี้ แล้วก็ยังไม่สามารถเคลียร์กันไปได้ด้วย แต่หลังจากบทนี้จะได้รู้เพิ่มขึ้นอีกนะคะ พัทธ์ษิตนี่ก็เรื่อยๆ กันแบบนี้ล่ะค่ะ 55

คุณภาณุเมศพลัง มาค่ะ งั้นน่าจะชอบบทนี้นะ อิอิ พิธานเป็นคนใจแข็งมากจริง แต่ด้วยลักษณะนิสัยบวก... อะไรที่เคยโดนๆ มา ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจค่ะ

คุณ titansyui ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่ะ

คุณ BeeRY อย่าลืมอ่านตอนนี้น้า อิอิ

คุณ iforgive อาจจะ... ได้แต่ฝากให้อ่านต่อไปนะคะ

คุณ pim_onelove ขอบคุณมากๆ ที่อ่านค่ะ แล้วคนเขียนก็เว้นช่วงไปเสียนาน ยังไงก็ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ ขอบคุณที่รอนะ

คุณ sweetbasil นี่ต้องถามว่า เข้าใจกันผิดเรื่องอะไรบ้างน่ะ (มีหลายเรื่องเรอะ)

คุณ fonny1987 ขอบคุณมากสำหรับการอ่านค่า เบื้องหลังมีแน่ๆๆ

คุณ Nemasis มาแล้วน้า ฝากด้วยน้า ช้าตลอดเลย T_T

คุณ pim-lovemj ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ ขอบคุณที่รอนะ มาเลยค่ะน้องษิต fc

คุณ Sillyfoolstupid งานเยอะเหมือนกันค่ะ งานนั่นก็ความรับผิดชอบ นิยายนี่ก็ความรับผิดชอบเหมือนกันค่ะ เหอ พยายามเขียนต่อไป รักษิตนี่ fc เยอะนะนี่

คุณ Millet ขอบคุณที่มาอ่านเรื่องนี้ด้วยค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มาแล้วค่ะ... ขออภัยรอบทิศ กะว่าจะมาได้ปลายตุลาแล้วก็ล่าช้ามานี่ นอกจากงานแล้วยังมีปัญหาข้อมือ (ไม่ใช่ด้วยวัยนะ อิอิ) แต่หมอออร์โธเรานี่คงวัยราวเดียวกับอาจารย์กอบ...

นี่ทุกคนก็ดูมีพัฒนาการไปในทางดีนะ (หรือเปล่า) ได้แต่ฝากให้อ่านต่อด้วยค่า ขอบคุณคนอ่านทุกท่านมากๆๆ เช่นเคยนะคะ
  :กอด1:

ป.ล. ลิงค์แมวเฟลิกซ์น้า เผื่อนึกไม่ออก http://pawesomecats.com/wp-content/uploads/2013/10/Felix-the-cat.jpg
แล้วนี่เพลงฉบับเต็มของ August Empire ชื่อ There's a rumour ค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=P9wXcIkuuXg เพรานะ ช้อบชอบ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ปุยหมาม่วง ที่ 10-12-2014 09:57:42






ขอถามหน่อยนะคะ

ผลงานของคุณเดหลีตอนนี้มี
สมาคมขนสั้น บริษัทบำบัดโสด รอยรักจำหลักใจ แล้วก็เรื่องนี้ ถูกต้องมั้ยคะ

มีเรื่องอื่นอีกมั้ย พอดีชอบผลงานของคุณเดหลีมากกก มีเรื่องไหนพลาดไปมั้ย

แล้วก็ คุณเดหลีมีแฟนเพจให้ติดตามมั้ยคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-12-2014 09:58:09
คู่ของรักษิตดูเห็นหนทางสว่างไสวกว่าอีกคู่มากเลย
รอติดตามกันต่อไป
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-12-2014 10:24:46
หายไปนานเลย ดีใจค่ะได้อ่านตอนใหม่แล้ว ถึงมันจะหน่วงกับคู่นั้นเหมือนเดิมก็เถอะ สนุกดี
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-12-2014 13:26:45
อ่านครั้งแรกค่ะ... ชอบนะ คนเขียนเขียนได้ดี
น้องษิต อยากให้ตัวเองกับแม่เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่ของพี่ลภ เข้าใจว่าคงจะรักอย่างพี่ชายเลยล่ะ แต่ดูเหมือนแม่น้องษิตจะไม่คิดอย่างงั้นนะ รู้สึกเหมือนพี่ลภเป็นคนรับใช้อ่ะ คือมันดูเป็นการบังคับจิตใจกันมากไป อะไรที่ไม่ชอบก็ยังต้องทำ
ส่วนพี่ลภนี่ก็ยังคลุมเครือว่าเรื่องราวเป็นยังไง แต่ทำเหมือนตัวเองเป็นหนี้ชีวิต(หรืออะไรซักอย่าง)ที่ต้องชดใช้ให้ครอบครัวนี้อ่ะ
เป็นอารมณ์แบบชีวิตนี้จะไม่มีอิสระแล้วใช่มั้ย จะทำอะไรก็ต้องขอ'แม่น้องษิต' คือชีวิตนี้ไม่ได้เป็นของตัวเองเหรอ
เราแอบรู้สึกหม่นๆและหน่วงในใจพอสมควรกับการกระทำของพี่ลภ แต่เข้าใจว่าจะต้องมีสาเหตุแน่ ซึ่งรอให้เปิดเผยอยู่
เป็นอะไรที่บีบคั้นจิตใจนะเวลาอ่านตอนของพี่ลภ มันดูเศร้าๆ กับตอนที่ษิตอยู่กับแม่หรือนึกถึงคนที่บ้านอะไรอย่างงี้อ่ะ บางทีก็นึกๆไปว่าผู้หญิงคนนี้สามารถทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกเหมือนถูกบังคับ(ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้)ตลอดเวลา ซึ่งมันไม่ควรจะใช้สำหรับคำว่า'บ้าน'เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 10-12-2014 16:07:26
เมื่อก่อนก็คิดว่าเป็นหมอนี่ก็ดี เงินดี ฐานะทางสังคมก็ดี พ่อแม่สมัยนี้ก็อยากให้ลูกเป็นหมอ
แต่พอโตมากลับรู้สึกต่างออกไป สิ่งเหล่านั้นที่เราคิดว่าดี มันต้องแลกกับอะไรตั้งหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดคือ เวลา :mew5:
ตอนที่พูดถึงหมอพิธานกับหมอลภมันเศร้าจริงๆ แม้จะยังไม่รู้เรื่องในอดีตมากนัก (ก็คนเขียนยังอุบไว้นี่นา :katai1:)
แต่นิยายคุณเดหลีมีแต่รอยยิ้มนะ เราเชื่อว่าสุดท้ายมันต้องจบลงด้วยดีแน่นอน :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 10-12-2014 17:24:50
เป็นเรื่องที่ละเมียดละไมจริงๆ
แต่ความอึมครึมยังอยู่
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 10-12-2014 19:07:18
เพิ่ฃมาอ่านครั้งแรก คิดไม่ผิดเลยค่ะที่กดอ่าน ภาษาบรรยายตัวละครละเมียดดีมากๆ หลงรักหมอษิตที่สุดเลย หมอพัทธ์ก็ใจดีมาก หรือใจดีกับน้องรักเป็นพิเศษ ส่วนคู่ลภพินี่หน่วงจริงๆ สรุป ชอบมากๆ ค่ะ จะรอตอนต่อไปนะคะคุณหมอ 5555
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 10-12-2014 21:42:33
อ่านเรื่องนี้ แล้วศรัทธาอาชีพ หมอ มากขึ้นเลยค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 10-12-2014 23:51:57
 :katai2-1: เค้ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับบรรยากาศมุ้งมิังระกว่างพี่พัทธ์และน้องรักษิต.
รอติดตามเสมอค่า คนเขียนก้อห้ามทิ้งกันน้าาาาา
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 11-12-2014 00:22:04
 :m3: บรรดาหมอๆน่ารักอ๊าาาาา อ่านแล้วแอบหลงปลื้มหมอเบาๆ
หุหุ เข้ามาอ่านครั้งแรกจ้าคนแต่งจ๋า สู้ๆนะคร๊า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 11-12-2014 10:03:57
คุณเดหลีหายไปน๊านนานนน....ตอนที่เห็นเรื่องนี้มีอัพเดท นึกว่าตาฝาด หวังว่าสุขภาพร่างกายจะดีขึ้นแล้วนะคะ

คู่พัทธ์ษิต  feel good มากค่ะ พัทธ์นี่จะหลุดปากจีบเด็กเรื่อยเลย ต่อให้หลุดปากจริง น้องษิตก็คงงงๆ ไม่ค่อยเก็ต ดังนั้นพัทธ์ค่อยๆเล็มไปนะคะเพราะว่า “น้องปีห้ากับพี่เดนท์ก็เป็นคู่ที่คิวท์ดีนาเว้ย”

เพลงนี่เพลงประจำตัวคู่พี่ลภพิธานใช่ไหมคะ555 ตีหน้าขรึมว่าไม่รักไม่แคร์ ทั้งที่อดแคร์เขาไม่ได้ อีกใจก็กลัวว่าสุดท้ายทุกอย่างจะซ้ำรอยเดิม เลยได้แต่ปลุกปลอบให้ตัวเองใจแข็งไว้ แต่พี่ลภเป็นคนชัดเจน หวังว่าคงทำให้ทิฐิของพิธานค่อยๆละลายได้ในที่สุดนะคะ

ขอบคุณคุณเดหลีและจะติดตามตอนต่อไปค่ะ 
ปล.แอบเห็นด้วยกับคห.บนๆว่าคุณเดหลีน่าจะมีแฟนเพจนะคะ  เหล่าแม่ยกจะได้ไปตามทวง เอ้ย ตามไปกดไลค์ติดตามผลงานกันได้ใกล้ชิดขึ้น
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Once ที่ 11-12-2014 18:05:26
ชอบมาก มาต่อบ่อยๆนะครับ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 12-12-2014 03:11:00
คชหมอพิธานกับหมอลภยับทำให้เราหม่นหมอง อุมครึม ไปอีก เวลาอ่านถึงตอนของคู่นี้เหมือนมีหมอกลงเลย

ปอลอ ดีใจได้อ่านต่อแล้วนึกว่าตาฝาด ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: pim_onelove ที่ 14-12-2014 10:56:54
เหล่าคุณหมอกลับมาแล้ววววววว ฮิ้ววววววววววววว

คู่หนึ่งก็เริ่มฟินมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกคู่ก็ยังอึมครึมไม่หายช่างแตกต่างกันจริงๆ เหอๆ

หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-12-2014 23:39:25
ดีจังเลยหมอพัทธ์สนใจน้องษิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนน้องก็ห่วงพี่เช่นกันสินะ
หมอลภกับหมอพิธานนี่คิดจะมีความสุขกันไหม ดาร์กเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 27-01-2015 10:09:17
หายไปจากเล้าเกือบ 2 ปีค่ะ กลับมานี่งงๆ เลย
เลื่อนๆ หาเรื่องที่น่าอ่าน สะดุดที่ชื่อ 'เดหลี'
รีบกดเข้ามาโดยไม่คิดเลยค่ะ

และที่ดีใจกว่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของ 'หมอ'

เราค่อนข้างฝังใจกับเรื่องแนวหมอ เพราะส่วนใหญ่ที่เจอ
จะพายเรือออกจากฝั่งไปซักพัก แล้วก็จมน้ำกลางทางทุกที
เสียใจ แต่ก็ยังชอบแนวนี้อยู่

เราวางใจเรื่องภาษา เพราะไม่วางจะกี่เรื่องภาษาของคุณเดหลีสวยตลอด
อ่านรื่นไม่มีสะดุด แล้วยังรู้สึกอินเหมือนกับไปขึ้นวอร์ดด้วยกันอีก

คือรู้สึกว่าพี่ลภดูเป็นผู้ใหญ่ ดูอบอุ่น แต่เหมือนเรื่องจะมืดมนนิดๆ
อ่านไปอ่านมา กลับปลื้มพี่พัทธ์ แอบเชียร์พี่พัทธ์กับน้องษิตน๊าาา~


คิคิ คุณเดหลีมาต่อไวๆ นะคะ ปักหมุด ปูเสื่อนั่งรอตอนต่อไปอย่าใจจดใจจ่อค่ะ

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 12-02-2015 21:01:06
สวัสดีค่ะ เดหลีเองค่ะ เขียนตอนใหม่อยู่ เหลืออีกหน่อย คงได้ลงในเร็วๆ นี้ (ช้าจริงๆ แต่ช่วงนี้จำเป็นเลยค่ะ มีหลายเรื่องต้องจัดการ แต่ก็ไม่ได้จะทิ้งนะ) พอดีเข้ามาบอร์ดก็ตกใจเพราะว่าล็อกอินเข้ามาไม่ได้แล้ว ขึ้นว่าไม่พบชื่อผู้ใช้งานนี้ค่ะ นี่ก็สมัครเข้ามาใหม่ ใช้ชื่อเดิม แต่ไปทำอะไรกับกระทู้ที่เคยตั้งไม่ได้แล้วค่ะ T_T เสียดายเป็ดที่คนอ่านเคยบวกให้จัง

ไปดูกระทู้ของโม พบว่าจะลบยูสที่ไม่ล็อกอินนานเกินสามเดือน (แต่เรายังไม่ถึงนะ...) ก็เลยพีเอ็มหาผู้ดูแลบอร์ดไปค่ะ ว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง เพราะก็คงใช้ยูสใหม่นี้ต่อนิยายที่กระทู้เดิมได้แหละ แต่ว่าจะเปลี่ยนหัวข้อที่เคยตั้งไม่ได้ คนอ่านก็จะไม่รู้ว่าเราอัพเดตตอนใหม่แล้วนี่สิ ถ้าดูแต่หัวข้อ นานไปๆ เกินหกเดือนก็อาจจะดูเป็นไม่มาต่อนานได้ เสี่ยงกระทู้ถูกย้ายอีก ตอนนี้ก็รอผู้ดูแลท่านตอบมาอยู่ค่ะ

ก็เลยมาแจ้งก่อนให้คนอ่านทราบว่า คนเขียนไม่ได้ลบยูสเองแล้วหนีหายไปนะคะ T^T ยังเขียนอยู่แต่ว่าคงมาลงช้าน่ะค่ะ (แต่ก็ยังไม่เกินสามเดือนถึงขนาดบอร์ดต้องลบยูสเค้าน้า...)

รักและคิดถึงคนอ่านทุกคนนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 12-02-2015 22:38:25
ขอบคุณที่มาส่งข่าวนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 13-02-2015 08:27:54
ฮืออออ ดีใจจังค่ะ

นึกว่าคุณเดหลีจะไม่กลับมาต่อแล้ว T^T


ขอบคุณที่มาแจ้งข่าวค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: ๛ナーリバス๛ ที่ 13-02-2015 10:44:44
วิธีแก้ ก็มีอยู่นะคะ ถ้าไม่ได้ยูสเก่าคืน

คือตั้งกระทู้ ใหม่เลย 1กระทู้ แล้วขอให้โมช่วยเอา อันเก่า ไปรวม(ต่อจากกระทู้อันใหม่ซึ่งจะแก้ไขหัวข้อได้ปกติ)

กระทู้และข้อความทั้งหมดในนิยายก็จะคงอยู่  เปลี่ยนหัวข้อได้

แต่ข้อเสียก็คือ...... เดาเอาว่า หมายเลขกระทู้ (ลิ้งค์) อาจจะเปลี่ยนไปด้วย ไม่ดีสำหรับคนที่เซพนิยายเป็นลิ้งค์ไว้อ่าน

ยังไงต้องถามแอดมินและโมอีกทีนะคะว่าทำแบบนี้ได้ไหม
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: pim_onelove ที่ 13-02-2015 13:04:43
เข้ามาให้กำลังใจคุณเดหลีค่ะ

ดีใจที่กำลังจะได้อ่านตอนใหม่แล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 13-02-2015 13:10:11
คิดถึงนะคะ   ไม่ได้เข้ามาสักพักเหมือนกัน
สารภาพว่า ลืมหมดแล้ว  เดี๋ยวไปอ่านย้อนใหม่
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 8] 10 ธ.ค. 57
เริ่มหัวข้อโดย: Flor-de-Amor ที่ 13-02-2015 20:47:36
คิดถึงเรื่องนี้มากๆ

ยังรออยู่นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งแรก 8 พ.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 08-05-2015 01:20:18
บทที่ 9 (ครึ่งแรก)

ฝากคุณแม่ด้วยนะ...

ไม่เอา ษิตอย่าร้อง... ยิ้มให้พี่หน่อย พี่จะจำไว้

... แต่พี่จะไม่ได้ฟังเสียงกีตาร์ษิตแล้วสิ...


เสียงปรบมือดังก้องทำให้เขาหลุดจากภวังค์ รักษิตเห็นน้องรหัสของศิวัชก้าวไปเบื้องหน้าเมื่อรุ่นพี่ปีหกคนที่อยากให้ฟังแหวกผู้คนด้านหน้าเวทีมาหา แม้บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความขัดเขินอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างคงคลี่คลายลงด้วยดี คุ้มค่ากับที่ต้องลงไปหัดอยู่ดึกๆ ดื่นๆ ใต้หอเพราะเกรงใจเพื่อนร่วมห้อง

รักษิตจับกีตาร์เมื่อตอนมัธยมต้น พี่สาวคอยเชียร์มาโดยตลอด ตั้งแต่ฝีมือยังไม่เข้าขั้นจนเป็นเพลง พี่สาวเคยให้กำลังใจเขาเท่าไร เมื่ออาการของโรคทรุดหนักลง คนป่วยเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด บางครั้งเศร้าหมอง... เขาก็ใช้ดนตรีช่วยบรรเทา พยายามให้กำลังใจกลับไปเท่านั้น บางครั้งเพียงแต่นั่งข้างกัน น้องชายเกากีตาร์ไปเบาๆ เล่นเพลงตามแต่จะนึกออก พี่สาวก็เหมือนสบายใจขึ้น

... พอคนฟังคนแรกไม่อยู่แล้วผนวกกับเรื่องการเรียนที่เริ่มหนักหนารักษิตจึงวางมันลง ไม่นึกว่าจะได้เล่นอีก

เขาลงจากเวทีไปเงียบๆ เพื่อนๆ ต่างติดงานติดธุระกันหมด แวบมาเจอพี่ในสายตัวเองตอนหัวค่ำแล้วก็ต้องไป แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รักษิตก็พบรุ่นพี่ส่งยิ้มกว้างมาให้

ธีรพัทธ์เป็นคนยิ้มได้ทั้งปากและตา ส่งให้ดวงหน้านั้นกระจ่าง รักษิตไม่นึกแปลกใจว่าทั้งรุ่นน้องและเหล่าพยาบาลออกจะ ‘ปลื้มๆ’ รุ่นพี่อยู่ไม่น้อย ในการทำงานที่ทุกคนต่างเหนื่อยและเคร่งเครียด มีหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านที่ไม่ช่วยให้เครียดขึ้นไปกว่าเก่าถือเป็นโบนัส

อันที่จริงก่อนธีรพัทธ์ลงมา จะว่าชีวิตวอร์ดในวันนี้ของเขาราบรื่นเหมาะสมกับการตั้งใจจะมาฟัง ‘เพลงเพราะๆ’ ตามที่เจ้าตัวหมายมั่นไว้ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ใบคอนซัลต์เจ้ากรรมใบหนึ่งจากแผนกผู้ป่วยนอกดันเขียนมาแค่ ‘ปรึกษาอายุรกรรม’ เป็นตัวย่อภาษาอังกฤษโดยไม่ขยายความว่าจะปรึกษาเรื่องอะไร โทรไปก็ไม่มีใครรู้เรื่อง กว่าเขาจะให้รุ่นน้องตามควานตัวเรสิเดนท์แผนกอื่นที่เขียนใบขอปรึกษาเจอ แน่นอนว่าคนเป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านต้องรองรับอารมณ์เฟลโลว์ที่หัวเสียกับฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานไปแล้วไม่น้อย

แต่พอลงจากตึก เดินเข้าที่จัดงาน ธีรพัทธ์ก็ทิ้งเรื่องปวดหัวทั้งหลายไว้เพียงนั้น ไม่ยอมให้มันมาขัดความรื่นรมย์ในเย็นนี้ของเขา ยืนรอรุ่นน้องเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋าจนเรียบร้อย

“ผมลืมโน้ต หน่อยนึง...” คนเพิ่งเล่นเสร็จสารภาพ จริงๆ เขาควรจะเอาโน้ตขึ้นไปด้วย แต่อารามรีบร้อน พอนึกได้ก็หยิบไม่ทันแล้ว ต้องปล่อยเลยตามเลย “พอดีน้องเขาเก่ง เลยไม่ล่ม”

“เรื่องลืมเป็นเรื่อง...”

“... ที่เกิดขึ้นได้” รุ่นน้องต่อให้พลางหัวเราะ “... นั่นสินะ”

“เก่งทั้งคู่น่ะ...” เสียงชมนั้นจริงใจ “คนเล่นกีตาร์ยิ่งเก่ง...”

รักษิตก้มลงวางกีตาร์ จะได้หยิบกระเป๋าหนังสือตัวเองขึ้นก่อนสะพายกีตาร์กลับเข้าไปใหม่ แท้ที่จริงก็เพื่อซ่อนสีหน้าไปด้วย เขาไม่คิดว่ารุ่นพี่จะอยู่ในงาน อาจจะไปๆ มาๆ บ้าง แต่อีกฝ่ายทำราวกับตั้งใจมาฟังเขาเล่น ทำให้คนที่ไม่ได้ขึ้นเวทีเสียนานออกจะขัดเขินอยู่บ้าง

ธีรพัทธ์กลับยกกระเป๋ากีตาร์มาหิ้วไว้เสียเอง แล้วบอกรุ่นน้องว่า “พี่ช่วยแล้วกัน แค่หนังสือก็พะรุงพะรังอยู่แล้ว... นี่น้องยังต้องรอเจอพี่รหัสอีกหรือเปล่า”

“พี่เขายังอยู่โรงพยาบาลนอกเลยครับ กลับมาไม่ทัน ไว้ค่อยนัดกินข้าวกันเองอาทิตย์หน้า”

ธีรพัทธ์พยักหน้ารับรู้ เห็นเพื่อนแพทย์ประจำบ้านที่โต๊ะกำลังมองน้องนักร้องปีสี่ที่คงมีโลกส่วนตัวไปแล้วกับคนรู้ใจอย่างเสียดาย อีกเดี๋ยวพวกนั้นคงจะหันมาสอดส่ายสายตาหาเขาเพื่อเรียกให้กลับไปร่วมวงด้วย จึงรีบเอ่ยขึ้น

“งั้นเราก็ออกไปกินกันบ้าง... หิวไหม”

รักษิตต้องยอมรับเพราะก่อนขึ้นไปเล่นเขายังไม่ได้กินอะไรเลย แต่ก็เสียเวลางงอยู่อึดใจก่อนจะถึงบางอ้อว่าอีกฝ่ายหมายถึงไปข้างนอก

“อ้าว แล้วในงาน...”

“ไม่ค่อยอร่อย” รุ่นพี่ว่าเสียอย่างนั้น “คนก็เยอะ”

รักษิตเดินตามคนชวนไปโดยดี แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าการที่อาหารไม่อร่อยกับคนเยอะมันเกี่ยวข้องกันอย่างไรก็ตามทีเถอะ
พอไปถึงร้าน ได้ที่นั่งเรียบร้อย ธีรพัทธ์จึงถามขึ้นว่า “มีที่วนข้างนอกหรือยัง”

พอเป็นเอ็กซ์เทิร์นหรือขึ้นชั้นปีสุดท้าย นักศึกษาแพทย์จะต้องไปเรียนในโรงพยาบาลร่วมสอนซึ่งมักเป็นโรงพยาบาลใหญ่ในต่างจังหวัดอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่บางครั้งถึงเลือกไปก็ไม่ได้อันดับแรก และไม่ได้อยู่กับพวกเพื่อนที่อยากทำงานที่เดียวกันด้วย ในกลุ่มรักษิตจึงตกลงว่าเลือกให้ตรงกันสักที่หนึ่งที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างไม่แย่กับชีวิตจนเกินไปนักทั้งโหลดของงานและความเป็นอยู่ นอกนั้นก็แล้วแต่ดวง

“ยังไม่ได้ดูให้แน่เลยครับ” เขาตอบตามจริงเพราะมัวแต่วุ่นวายกับการสอบที่กำลังจะมาถึง “เดี๋ยวคงลองไปถามพี่รหัสดูอีกที”

“ถ้ายังไม่มี... ไปที่โรงพยาบาลพี่ไหมล่ะ”

โรงพยาบาลที่ธีรพัทธ์ได้ทุนมาเรียนอายุรกรรมก็เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลร่วมสอนเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่างานหนัก สตาฟโหดไม่น้อย แต่ถ้าใครตั้งใจก็น่าจะได้ความรู้กลับไปมาก

รักษิตต้องหยุดถามรุ่นพี่ว่า “พี่พัทธ์พูดจริงหรือครับ”

“เอ้า แล้วกันสิ” ท่าทางหมดอาลัยนั้นทำให้รุ่นน้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คนเขาชวนจริงก็หาว่าพูดเล่น”

“เปล่าๆ” คนได้รับชวนรีบแก้ “คือพวกที่รุ่นพี่เล็งๆ ไว้ปกติจะเรียนเด่น ระดับท็อปของสาย อะไรอย่างนี้ ผมก็ไม่เชิง...”

“หมอดีๆ น่ะเขาไม่ได้ดูกันที่เกรดอย่างเดียวหรอก” ธีรพัทธ์ว่า เป็นความจริงที่เขาเองเคยประสบทั้งจากอาจารย์และรุ่นพี่ที่มีโอกาสร่วมงานกัน การตั้งใจทำงาน อุทิศตัวเพื่อคนไข้มีความสัมพันธ์น้อยมากกับระดับเกรดเฉลี่ยสะสม ขอให้มีความรู้ดีพอจะรักษาได้มาตรฐานเท่านั้น เรื่องที่เขาเห็นว่ารุ่นน้องมีแววเป็นหมอดีก็จริงอีกเหมือนกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับ... เรื่องอื่นที่เขาอาจจะ ‘เล็งๆ’ เอาไว้แต่อย่างใด

รักษิตพึมพำขอบคุณ บอกจะชวนเพื่อนด้วยซึ่งรุ่นพี่ก็ไม่ได้ขัดข้อง เพียงแต่ถามว่า “มีเบอร์พี่แล้วนะ?”

"มีสิครับ" คนตอบตอบได้ทันที หมายเลขโทรศัพท์มือถือของหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านไม่ใช่ความลับ "ตรงเคาน์เตอร์พยาบาลติดอยู่หราเลย ในใบตารางเวรปรึกษาก็เขียนไว้"

ปกติหากมีการโทรตามจะเริ่มที่วอร์ด ซึ่งดังที่ห้องพักแพทย์ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าโทรหาวอร์ดไม่เจอจึงจะมีการโทรเข้ามือถือ ข้อนี้ธีรพัทธ์ต้องยอมรับว่าเบอร์โทรของเขาไม่ใช่ของหายาก เลยบอกช้าๆ “เบอร์พี่ใครก็มีจริงแหละ แต่... มีที่อยากให้โทรหาอยู่ไม่กี่คน”

รักษิตเงยหน้าขึ้นส่วนรุ่นพี่พูดต่อไปด้วยเสียงเจือหัวเราะ “ถ้าน้องโทรมา จะได้รับด้วยความสบายใจบ้าง”

รักษิตคิดว่า สำหรับหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านอย่างธีรพัทธ์นั้นถ้าเสียงโทรศัพท์ดังเป็นอันว่าส่วนใหญ่จะต้องเกิดเรื่อง ไม่ว่าจะเคสด่วน ฉุกเฉินจากรุ่นน้องหรือพยาบาล เฟลโลว์หรืออาจารย์โทรมาตามความคืบหน้าต่างๆ ส่วนเขาลงจากวอร์ดไปแล้ว ไม่น่าหาเรื่องร้อนไปให้ได้ เลยยิ้มรับอย่างเต็มใจ

รุ่นพี่ยิ้มตอบ พลางบอกเหมือนเคยว่าให้เขากินให้หมด


ช่วงพักเที่ยงสองสามวันต่อมา รักษิตกำลังจะลุกจากโต๊ะเพื่อกลับเข้าตึก ก็พอดีเห็นศิวัชเดินมากับรูมเมตคนหนึ่งที่ขึ้นวอร์ดเดียวกัน จึงรออยู่ก่อน

รูมเมตโบกมือให้เขา แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้รักษิตค่อยเห็นว่าหน้าตาศิวัชออกจะบอกบุญไม่รับ ในขณะที่อีกคนหนึ่งมีท่าทีขำขันอย่างไรอยู่

ศิวัชกระแทกตัวลงนั่ง ไม่ต้องรอให้มีคนถามก็บอกแล้วว่า “กูนี้ไม่รุ่งกับทางศัลย์ แน่นอน”

เพื่อนที่เดินมาด้วยกันหัวเราะ ก่อนจะช่วยขยายความให้

“คือไอ้ตี๋ สัปหงกคารีแทรคเตอร์ โดนอาจารย์ด่าเช็ด”

“ยืนอยู่เฉยๆ มันก็มีบ้างแหละ” ศิวัชอุบอิบ การยืนถือเครื่องมือถ่างแผลส่วนใหญ่เป็นงานยาวนานพอสมควร “ที่จริงยังไม่ทันหลับด้วยแค่เคลิ้ม... ห้องผ่าตัดก็เย้นเย็น พี่บอกถือนิ่งๆ นิ่งๆ...”

“นิ่งจนหลับเลยไงล่ะ” รูมเมตของรักษิตว่า คุยกันอีกสองสามประโยคก่อนปลีกตัวไปเตรียมบทความที่จะเข้าสัมมนา เหลือศิวัชนั่งอยู่ สีหน้าค่อยดีขึ้นเมื่อได้น้ำเย็นที่เพื่อนยกให้ เอ่ยบอก

“เออ... ขอบใจอีกทีนะษิตเรื่องเมื่อวันงาน น้องมันแฮปปี้เอ็นดิ้งไปแล้ว”

รักษิตว่าไม่เป็นไร ตัวเขาเองนั้นคิดว่าแฮปปี้อาจจะใช่ ดูจากเมื่อค่ำวันนั้น แต่เอ็นดิ้ง... อาจต้องใช้เวลากว่าจะตัดสินได้ ถามเพื่อนเลยไปว่า

“เมื่อวานลาครึ่งวันเป็นไงบ้าง”

ศิวัชถูกที่บ้านกำชับให้ไปปรากฎตัวในงานรับปริญญาของลูกพี่ลูกน้องให้จงได้ สองสามชั่วโมงก็ยังดี มิไยที่เจ้าตัวจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งทุกครั้งที่ครอบครัวโทรมาเตือน อ้างงานสารพัด สุดท้ายก็ต้องไปหลังอากงยื่นคำขาด ‘ให้มันรู้ไปว่ายังไม่จบก็ไม่มีเวลาให้พ่อแม่ญาติพี่น้องแล้ว เจอกันอีกทีมันคงเอาหลานมาให้อุ้ม... ถ้าอั๊วยังอยู่ถึงวันนั้นนะ’

“อากงก็หน้าบานไปสิ หลานคนโปรดจบเสกทะสากเกียรตินิยม” ศิวัชเลียนเสียงคนเป็นปู่ได้ไม่มีผิดเพี้ยนก่อนว่า “หมั่นไส้!”

รักษิตคิดว่าความรู้สึกของเพื่อนน่าจะใกล้เคียงกับ ‘น้อยใจ’ มากกว่า แต่ไม่ได้พูดออกไป สักวันหนึ่งศิวัชก็คงเข้าใจเอง สายใยผูกพันในครอบครัวนั้นไม่ขาดกันง่ายๆ ถ้าไม่เป็นห่วงคงไม่รีบมาหาทันทีที่รู้ว่าหลานชายคนเล็กป่วย ในบางครอบครัวที่ยังมีญาติผู้ใหญ่อย่างอากง หวังจะให้ลูกหลานอยู่ใกล้ๆ ช่วยงานบ้าง ได้เห็นหน้า เป็นเรื่องธรรมดา

เพียงแต่ในเส้นทางนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะได้ใช้ทุนใกล้บ้าน การลาติดต่อกันยิ่งไม่ง่ายดาย วันหยุดยาวที่ใครๆ อาจจะถือโอกาสกลับไปเยี่ยมครอบครัว เพื่อนร่วมวิชาชีพของเขาบางคนยังต้องเข้าเวรอยู่...

ศิวัชเลิกหงุดหงิดแต่เพียงนั้นแล้วเปิดรูปในไลน์กลุ่มที่เพิ่งขึ้นเตือนให้เขาดู ญาดาส่งรูปที่ถ่ายกับเกตุวดีมาให้ ทั้งคู่ใส่เสื้อกาวน์ตัวสั้นดูต่างไปจากกาวน์ยาวที่เคยเห็นกันมา กิจกรรมพักหลังนี้ของนักศึกษาแพทย์ปีห้าเมื่อว่างลงจากงานในวอร์ดหรือหนังสือหนังหา ก็คือการไปลองเสื้อนักศึกษาแพทย์เวชปฏิบัติ นับเป็นสัญลักษณ์ของปีสุดท้ายที่อาวุโสสุดในหมู่นักศึกษาแพทย์ก่อนจะจบไปทำงานจริงๆ เพื่อนๆ เห่อกัน ถ่ายรูปลงโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นทิวแถว รอจะได้ใส่เต็มตัวในอีกไม่กี่เดือน

รักษิตไปลองมาเมื่อวาน ได้แต่มองเงาของตัวเองในกระจกอย่างแปลกตาอยู่บ้าง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าเวลาที่เขาจะได้ใช้ในโรงเรียนแพทย์ อยู่ร่วมกับเพื่อนๆ ทำงานโดยมีรุ่นพี่คอยดูแล อาจารย์สั่งสอนควบคุมใกล้หมดลงแล้ว นับจากปีหน้าเขาก็ต้องมีภาระความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เป็นปีสุดท้ายที่จะมีลายเซ็นรุ่นพี่หรืออาจารย์กำกับ ต่อจากนั้นหลังการสอบใหญ่ ในใบสั่งการต่างๆ ก็จะเป็นลายเซ็นของเขาเอง และเขาต้องรับผิดชอบการตัดสินใจด้วยตัวเอง

เพียงแต่... เส้นทางหลังจบจากคณะแพทยศาสตร์ จะยังเป็นอย่างที่เขาตั้งใจไว้แต่แรกเริ่มที่ได้เข้ามาหรือไม่

รักษิตลาเพื่อนเมื่อหมดเวลาพัก เดินเข้าไปชั้นล่างของแผนกออร์โธปิดิกส์ ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นห้องตรวจผู้ป่วยนอก และห้องเฝือก หากไม่ใช่ ‘เมเจอร์วอร์ด’ หรือวอร์ดหลัก ได้แก่ อายุรกรรม ศัลยกรรม สูตินรี และกุมาร นักศึกษาแพทย์ก็ใช้เวลาศึกษางานระยะสั้นกว่ามาก

เขาเห็นธีรพัทธ์เดินผ่านหน้าต่างกระจกไปแวบๆ กะจะทัก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็น เพราะยังคุยติดพันอยู่กับเพื่อนแพทย์ หยุดตรงหน้าแผนกผู้ป่วยนอกพอดี มองออกไปจากที่รักษิตยืนอยู่นี้พอเห็นได้ค่อนข้างชัด

ธีรพัทธ์นั้นพูดไปยิ้มไปซึ่งเป็นลักษณะปกติเวลาเล่าอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเคสคนไข้ ส่วนอีกคนกอดอกฟังเฉยๆ เขาเห็นหน้าไม่ถนัดนักเนื่องจากอีกฝ่ายยืนหันข้าง แต่คิดว่าน่าจะเป็นแพทย์ประจำบ้านในออร์โธปิดิกส์

เมื่อรุ่นพี่ดูจะมีธุระรักษิตจึงกลับไปอยู่ในห้องเฝือกตามเดิม ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ ปกติจะมีเจ้าหน้าที่ห้องเฝือกประจำเฉพาะด้วย แต่ไม่แน่อีกเหมือนกัน อย่างไรนักศึกษาแพทย์ก็ต้องเรียนรู้เฝือกแบบต่างๆ อย่างถี่ถ้วน
 
หลังจากอาจารย์เข้ามาสาธิตแล้ว พี่ในแผนกจึงมาดูต่อ มีการหาอาสาสมัครและเริ่มปฏิบัติ

ซึ่งทำให้รักษิตเริ่มคิดว่า ออร์โธปิดิกส์นั้นไม่ได้ ‘เบา’ ไปกว่าเมเจอร์วอร์ดทั้งหลายเลย...


เขากะโผลกกะเผลกลงจากตึกเอาตอนเย็น ทุกคนได้เวลาพักราวครึ่งชั่วโมงก่อนพี่นัดอีกที ตั้งใจจะไปกินข้าวเสียให้เสร็จเพราะไม่รู้ว่ารอบเย็นจะยืดเยื้อขนาดไหน ยิ่งมีเวลาเรียนไม่มากทั้งพี่ทั้งอาจารย์ยิ่งพร้อมใจกันอัดความรู้กระหน่ำใส่นักศึกษาแพทย์ แม้ว่าในปีสุดท้ายจะยังมีวิชาของออร์โธปิดิกส์แทรกให้เรียนอยู่อีกช่วงสั้นๆ แต่พี่และอาจารย์คงคิดว่าต้องเตรียมความพร้อมให้เสียแต่เนิ่นๆ

รักษิตมุ่งไปทางโรงอาหาร มาชะงักเพราะได้ยินเสียงคุ้นๆ ทักขึ้น

“นี่ไปโดนอะไรมา” พร้อมเจ้าตัวก้าวพรวดเดียวถึงเขา มองกวาดทั่วสภาพเบื้องหน้าซึ่งรักษิตรู้ตัวดีว่าคงดูไม่จืดจากเฝือกทั้งแขนทั้งขาอย่างละข้าง

เขาได้แต่ตอบธีรพัทธ์อ่อยๆ “หัดพันเฝือกกันมาครับ... รอบนี้ผมเป็นอาสาสมัคร”

สีหน้ารุ่นพี่คลายลงจนเป็นเกือบจะขำ เมื่อพิจารณาดูละเอียดขึ้นก็เห็นว่า... เฝือกหัดทำชัดๆ ส่วน ‘อาสาสมัคร’ ก็มอมแมมไม่น้อย ทำให้เขาคิดถึงตอนเพื่อนลงจากออร์โธปิดิกส์โดยมีน้ำปูนเปื้อนไปครึ่งขากางเกงเมื่อมาเรียนแพทย์ประจำบ้านแล้วอยู่บ่อยๆ

“เล่นเอาตกใจ... แล้วนึกยังไงลงมาทั้งอย่างนี้ล่ะน้อง”

“พี่... เกี้ยวบอกว่าให้ลองใช้ชีวิตแบบ... ติดเฝือกดูบ้างน่ะครับ”

แม้ว่ากรองพรจะเป็นพี่สาวของเพื่อนสนิทรักษิตและคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี แต่ในแผนกของเธอเองเวลาที่ทำหน้าที่หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านและต้องสอนน้องนั้นถือว่าเข้มงวดสุดๆ

ธีรพัทธ์นึกถึงอดีตพี่เอ็กซ์เทิร์นสายของตัวเองแล้วต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เรื่องเฮี้ยบไม่แพ้ใคร เรื่องอำน้องก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ถึงคราวนี้เขาคิดว่ากรองพรตั้งใจจะสอนอะไรบางอย่างกับน้องมากกว่าอำ ก็ยังว่า “พี่เขาพูดเล่นหรือเปล่า... คนอื่นล่ะ”

“อ๋อ บางคนก็ให้เพื่อนซื้อข้าวขึ้นไปให้...”

ธีรพัทธ์คร้านจะถามว่าแล้วทำไมคนตรงหน้าเขาจึงไม่คิดจะทำอย่างนั้นบ้าง เพราะเจ้าตัวบอกออกมาเองอย่างมุ่งมั่น “แต่พอพี่เกี้ยวบอกผมเลยอยากลองดู”

นั่นไง...

ธีรพัทธ์เลิกพูดเรื่องเฝือก รักษิตจึงตั้งท่าจะเดินต่อ บอกว่า “ผมจะไปโรงอาหาร”

ธีรพัทธ์ถอนใจเฮือก ก้าวตามมา “เอ้า ไป พี่ไปด้วย”

รุ่นพี่ไม่ได้ประคับประคองอะไรก็จริง แต่ก็ทำให้อุ่นใจกว่าโขยกเขยกไปคนเดียวมาก ธีรพัทธ์ลดฝีเท้าลงมาจนเดินเคียงกันไปได้ พอถึงโรงอาหารหาโต๊ะ ให้เขานั่งก่อนบอกสั้นๆ

“เดี๋ยวซื้อมาให้”

ธีรพัทธ์ผละไปโดยทำเป็นไม่เห็นท่าทางจะค้านของอีกฝ่าย เพราะขืนปล่อยรุ่นน้องลากเฝือกเบียดคนในโรงอาหาร อีกครึ่งชั่วโมงก็คงยังไม่ได้ซื้อ

เขากลับมาในเวลาไม่นาน วางจานลงให้พลางว่า “ข้าวผัดนะ กินง่ายๆ หน่อย”

รักษิตกินไปด้วยมือซ้ายอย่างออกจะทุลักทุเล พยายามไม่สนใจสายตาขำๆ ของคนที่นั่งตรงข้าม ถามขึ้นว่า “แล้วพี่พัทธ์ไม่กินหรือ”

“เดี๋ยวพี่ค่อยไปกินข้างบน” อีกฝ่ายตอบ กับข้าวเวรนั้นจะว่าอร่อยก็ไม่เต็มปาก แต่สำหรับคนกินง่ายอยู่ง่ายอย่างธีรพัทธ์ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้น...

... บางที อาหารตาก็สำคัญเหมือนกัน

รักษิตเลยกินต่อไป พลางพึมพำว่าน่าจะให้เพื่อนพันเฝือกข้างที่ไม่ถนัดแทน

เมื่อมีคนมีน้ำใจซื้อข้าวให้ เขาจึงทำเวลาได้ดีพอใช้ รุ่นพี่อุตส่าห์เดินตามไปจนถึงตึก รักษิตคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกลัวเขาล้มวัดพื้นเสียกลางทางมากกว่า

ตั้งแต่ขึ้นชั้นคลินิก ถ้าเจอเพื่อนสนิทด้วยกันรักษิตแทบไม่ระบายปัญหาอะไรที่ตัวเองได้ประสบ ไม่ว่าจะเป็นจากการทำงานในวอร์ดหรือการเรียน เพราะมีเวลาน้อยจนเขาคิดว่าน่าจะพูดเรื่องที่ทำให้สบายใจกว่านี้ หรือไม่ก็รับฟังเพื่อนคนอื่นในกลุ่มมากกว่า เพื่อนๆ ก็หนักกันทั้งนั้น สำหรับบางคนอย่างศิวัชหรือญาดาถ้าไม่ได้พูดออกมาจะยิ่งแย่ แต่สำหรับเขา ถึงไม่มีโอกาสนั้นก็ไม่เป็นไร

ในโรงพยาบาล รักษิตจึงเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆ น้อยๆ มาช่วยฟื้นฟูกำลังใจ จากการที่รู้สึกว่าได้ช่วยดูแลคนไข้ จากป่วยจนหายกลับบ้าน จากการที่ลุงป้า คุณย่าคุณยายจำเขาได้เมื่อแวะเวียนไปในตอนเช้าและเย็น จากการที่คุณปู่คุณตาขอบอกขอบใจเขา อวยพรให้บุญรักษาเมื่อจะต้องย้ายแผนกไป

หรือบางที ทุกครั้งที่เจอรุ่นพี่... รักษิตก็รู้สึกดีขึ้นมากพอจะกลับไปสู้ต่อบนวอร์ดเหมือนกัน

ธีรพัทธ์เอ่ยขึ้นเมื่อเขากำลังจะเดินเข้าไปในตึก “วันก่อนที่ชวน พี่ชวนจริงนะ...”

“ผมก็จะไปจริงๆ” รักษิตหันกลับมาตอบพลางหัวเราะ “พี่พัทธ์ต่างหาก พอพูดแล้วก็ชอบยิ้ม อย่างเนี้ย... บางทีชวนให้คิดว่าล้อเล่นหรือเปล่า”

อีกฝ่ายกำลังจะตอบ พอดีกับแพทย์ประจำบ้านคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน คงเพิ่งเสร็จงานวันนี้

พี่เรสิเดนท์คนนั้นมองเขาพลางขมวดคิ้วน้อยๆ รักษิตจำได้ว่าพิธานเป็นหนึ่งในทีมของกรองพร ซึ่งหมายความว่าจะต้องสอนสายเขาด้วย เพียงแต่วันนี้ยังไม่ได้เจออาจเพราะอยู่ในห้องผ่าตัด พอก้มดูตัวเองก็พบสภาพเฝือกที่พูดไม่ได้ว่าจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับแพทย์ประจำบ้านออร์โธปิดิกส์ ฝีมืออนันต์ที่จับคู่กันนั้นห่างไกลจากคำว่าเรียบร้อยสวยงามอยู่มาก

... ไม่รู้ว่าสายตาอีกฝ่ายหยุดอยู่ที่ชื่อ โดยเฉพาะนามสกุลของเขาที่ปักอยู่บนเสื้อกาวน์
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งแรก 8 พ.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 08-05-2015 01:23:37
คุณปุยหมาม่วง ขออภัยค่ะตอบช้าไปมาก ขอบคุณที่ไปอ่านเรื่องเก่าๆ ด้วยนะ ใช่แล้วค่ะตอนนี้มีแค่สีเรื่องค่ะ คุณปุยหมาม่วงไม่ได้พลาดเรื่องไหนเลย (ขอบคุณมากค่ะ) ส่วนแฟนเพจไม่มี T_T พยายามเขียนนิยายเนี่ยแหละถ้าต้องดูแลอย่างอื่นเดี๋ยวร้างอีกละแย่

คุณ iforgive ขอบคุณสำหรับการอ่านมากค่ะ อีกคู่มันยากอะ อีกเดี๋ยวนะ

คุณ B52 ตอนนี้ก็หายไปนานอีกแล้ว T_T จะพยายามไม่หายนานอย่างนี้อีกแล้วค่ะ หน่วงอีกนิดนึงนะ ก่อนจะรู้ความจริงกัน

คุณ sirin_chadada ขอบคุณที่อ่านค่ะ พี่ลภแกไม่ได้ชอบงานที่บริษัทเพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติตัวแกเท่าไหร่ (คนอื่นอาจจะแฮปปี้กว่า แต่พอดีคนมันไม่ชอบอะ 55) คนใช้อาจจะไม่ถึง แต่เรื่องที่แกต้อง 'ใช้' ให้ครอบครัวนี้มันมี สมควรหรือเปล่าแล้วแต่คนอ่านจะตัดสิน รับรองว่ามันจะค่อยๆ กระจ่างขึ้น เหตุผลของแม่น้องษิตก็มีเหมือนกัน

คุณ BeeRY ดูอย่างครอบครัวน้องตี๋สิคะ 55 อากงแกไม่แฮปปี้อยู่ เดี๋ยวครึ่งหลังของบทนี้จะได้รู้มากขึ้นความหลังของคู่อึมครึมนั่น ขอบคุณที่อ่านมากนะคะ

คุณ insomniac ขอบคุณสำหรับการอ่านมากๆ ค่า ฝากติดตามต่อด้วยน้า

คุณ yisren. คือคนเขียนต้องขอโทษมาก เพิ่งเข้ามาอ่านแล้วดิฉันก็หายไปนานเลย ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณ sweetbasil ขอบคุณนะคะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ pim-lovemj หวังว่าจะชอบบทนี้นะคะ ขออภัยด้วยที่เหมือนทิ้งไปพักหนึ่ง แต่ตั้งใจไว้แล้วว่ามันต้องจบ (ตอนนี้ถึงครึ่งยัง T_T) คนอ่านก็อย่าทิ้งเค้าน้า

คุณ sanri ขอบคุณมากค่า ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณภานุเมศพลัง คราวนี้ก็นานอีกแล้ว T_T จะพยายามรักษาร่างกายให้ดีค่ะ 55 พี่พัทธ์เธอเริ่มเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ ส่วนพี่ลภไม่อยู่ค่ะบทนี้ เดี๋ยวบทหน้าเจอกัน  แฟนเพจอิฉันยังไม่มีค่ะ เดี๋ยวไม่มีเวลาดูแลอีก ฝากติดตามกันทางนี้ไปก่อนน้า ขอบคุณมากๆ ที่อ่านค่ะ

คุณ Once จะพยายามค่า ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ Nemasis อีกนิดหนึ่งมันจะค่อยเคลียร์ขึ้นนะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ pim_onelove กลับมาแล้วค่ะ T_T อีกนิดมันจะมีจุดเปลี่ยน ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ malula ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเนอะ อีกคู่คือถ้าบางอย่างไม่เคลียร์มันก็ทำใจยากอยู่นะ เดี๋ยวพอรอเคลียร์แล้วดูกันอีกที

คุณ milkteabeige ยินดีต้อนรับกลับมาค่า ขอบคุณมากนะคะที่อ่าน ดิชั้นพยายามจะพาเรื่องให้พ้นน้ำอยู่ (หมายถึงอย่าหยุดเขียนใช่มั้ย) แนวนี้ใช้เวลาเขียนนาน เพราะรายละเอียดด้วย แล้วตัวละครก็ค่อนข้างซับซ้อน (พี่พัทธ์เขียนง่ายสุดเพราะ baggage แกไม่เยอะเท่าคนอื่น) ขอบคุณนะคะ ฝากเชียร์ต่อด้วยน้า

คุณ warin ขอบคุณที่แวะมานะคะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ ๛ナーリバス๛ ขอบคุณนะคะ พอดีโมช่วยกู้กลับมาเพราะเหมือนระบบจะผิดพลาด ลบไปอัตโนมัติ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำ

คุณ piggyfree คือถ้าคนอ่านจะลืมคงเป็นความผิดคนเขียนเองค่ะที่ช้า แหะๆ ยอมรับ ถ้าว่างก็ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ Flor-de-Amor ขอบคุณมากนะคะ ขอโทษที่ต้องรอนานเลย ฝากอ่านต่อด้วยนะ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คือ... กลับมาแล้วค่ะ T_T ถือว่าหายไปนานสุดตั้งแต่เขียนนิยายมา ปาฏิหาริย์มากที่ยังไม่ถูกย้าย แต่ถึงถูกย้ายก็ตั้งใจว่าจะต่อไปให้เรื่อยๆ จนจบในอีกห้อง คือตั้งใจมากที่จะเขียนให้จบ (แต่มันยังไม่จบในบทสองบทนี้หรอก T_T)

จะรีบมาต่ออีกครึ่งหนึ่งนะคะ (แต่ครึ่งแรกก็ไม่สั้นมากนะคะ ออกตัวก่อน อิอิ) น้องษิตมาออร์โธแล้วต้องเจอพิธานสิ เจอเต็มกว่านี้ด้วย แล้วบทหน้าพี่ลภคัมแบ็ค ก็อาจจะมีจุดเปลี่ยนอะไรบางอย่าง...

สุดท้ายต้องขอบคุณคนอ่านมากจริงๆ เราจะพยายามให้อะไรต่างๆ มากระทบความรับผิดชอบตรงนี้ให้น้อย จะพยายามเขียนต่อไปเรื่อยๆ ให้ดีที่สุดค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
:กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งแรก 8 พ.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 08-05-2015 09:04:51
ฮือออ

นึกว่าตาฝาด นี่แอบขยี้ตา 2 ครั้ง
ปริ่มน้ำตาจะไหลค่ะ

คิดถึงคุณเดหลีทุกวัน
วันก่อนก็กลับไปอ่านน้องโอบกับพี่แทคอีกรอบ
เมื่อวานนั่งย้อนอ่านทวิตเตอร์ของตัวเอง เจอว่าคิดถึงพี่พัทธ์กับน้องษิต
แอบงงอยู่แปปนึงว่าเรื่องอะไร แหะๆ แต่วันนี้คุณเดหลีมาแล้ว

**********

เง้อออแ พี่พัทธ์น่ารักกับน้องษิตมากเลยค่ะ อ่านแล้วสดใสสส
รอครึ่งต่อไปค่ะ เริ่มเข้มข้นแล้ว เค้าเจอกันแล้วสินะ หมอพิธานกับน้องษิตเนี่ยยย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งแรก 8 พ.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-05-2015 12:04:59
ดีใจที่ได้อ่านตอนใหม่ :hao5: รู้ว่าจะพัฒนาขึ้นหรือเปล่าคู่นี้เจอกันบ่อยเหมือนกันน่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งแรก 8 พ.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: LEO ที่ 10-05-2015 00:28:20
คุณเดหลี กลับมาแล้ว

รู้สึกคู่ใหม่กำลังพัฒนา  แต่คู่เก่าล่ะจะมาแบบไหน
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งแรก 8 พ.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-05-2015 09:53:48
มาแล้วววว  ต้องเพิ่งมองถึง 2-3 รอบ  มาแน่ใจก็ตอนเห็นปี พ.ศ. นี่แหละ  ตอนใหม่แน่นอน 555555
อ่านตอนนี้แล้ว  คิดว่ารักษิตน่าจะพอเดาได้หรือเปล่านะ  ว่าโดนจีบแล้วน่ะ
แต่คิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหา  เพราะท่าทางจะใจตรงกัน  อีกคู่นี่สิ  เฮ้ออ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งแรก 8 พ.ค. 58
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 10-05-2015 11:05:07
 :heaven น้องรักษิตกะพี่หมอพัทธ์กลับมาแล้ว โอ๊ยยยย ดีใจปลื้มปริ่มน้ำตาจะไหล
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่กลับมาต่อให้หายคิดถึงบ้าง
รอติดตามคร่าาาาา
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 10-05-2015 21:04:42
บทที่ 9 (ครึ่งหลัง)

ธีรพัทธ์ซึ่งไม่ทันสังเกตความผิดปกติยกมือทักเพื่อน คิดว่ารักษิตกำลังเรียนออร์โธปิดิกส์ แพทย์ประจำบ้านในแผนกนี้อาจจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้า ส่วนรุ่นน้องรู้สึกว่าไม่ควรจะเถลไถลต่อเพราะได้เวลาที่พี่นัดก่อนพักแล้ว จึงรีบก้มศีรษะให้เป็นการลารุ่นพี่ทั้งสองคนก่อนหันหลังจากไป
 
พิธานยังแลเลยตามนักศึกษาแพทย์ในเสื้อกาวน์ยาวที่เพิ่งลับสายตา จนเพื่อนเอ่ยทักขึ้นยิ้มๆ

“มีอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวน้องมันจะฝ่อเสียหมดก่อนลงวอร์ด”

พิธานนิ่งไปนิด แล้วจึงตอบ “... เห็นชื่อว่าอยู่ในสายให้เข้าช่วยผ่าตัดพรุ่งนี้”

“อ้อ...” ธีรพัทธ์คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องฝากฝังรักษิตเพราะรุ่นน้องคงเอาตัวรอดด้วยความขยันและอดทนส่วนตัวอย่างที่เขาเห็นมาแล้ว พิธานเองก็ไม่ใช่แพทย์ประจำบ้านประเภทที่ต้องมี ‘คนโปรด’ หรือ ‘คนไม่โปรด’ ไว้ในสาย ข้อนี้เขารู้นิสัยเพื่อนดี แต่ก็ยังอดพูดไม่ได้ “น้องคนนี้โอเคนะ ตั้งใจ เรื่องทัศนคติไม่มีปัญหา”

พิธานเดินลงบันไดมาโดยไม่ตอบ ธีรพัทธ์จึงเอ่ยต่อ “เป็นเด็กธรรมดาๆ ดี...”

เขาหมายถึงรักษิตไม่ได้ทำตัวหัวสูงหรือหนักไม่เอาเบาไม่สู้อะไร เหล่าพยาบาลตลอดจนคนไข้ที่นอนติดเตียงอยู่ก็เห็นเอ็นดูรุ่นน้องกันทั้งนั้น

“พิพิธนันท์เนี่ยนะ ธรรมดา?” เสียงคนพูดราบเรียบเฉกเคย หากเจือรอยขื่นเล็กน้อยแทบไม่ได้ยิน

ธีรพัทธ์ชะงักไป ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่านามสกุลนี้มีความหมายอย่างไรในแวดวงวิชาชีพ นอกจากพวกเป็นหมอกันทั้งสายประหนึ่งสืบทอดทางสายเลือด ลูกหลานอาจารย์หมอทั้งหลายแล้ว ตระกูลยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจเครื่องมือแพทย์ก็เป็นที่รู้จักดีไม่แพ้กัน

เพียงแต่เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยเมื่ออยู่กับรักษิต เขาไม่เคยสนใจ... ในเมื่อรุ่นน้องก็ทำตัว ‘ธรรมดาๆ’ จริงๆ อย่างที่เขารู้สึก อยู่หอใน มีรูมเมต รถก็ไม่ได้ขับมาเรียน ข้าวของเครื่องใช้ไม่มีอะไรที่แสดงว่าเจ้าตัวจะอวดร่ำอวดรวย

ธีรพัทธ์ยังเคยยิ้มขันยามผ่านไปเห็นรุ่นน้องให้ข้าวหมาแมวอยู่ริมรั้วโรงพยาบาล ให้แล้วก็ลงนั่งยองๆ มองพวกมัน รอเก็บเพื่อกันความเลอะเทอะในภายหลัง

“เอาเถอะ...” เขาบอกเพื่อน “นามสกุลดัง บ้านรวยมายังไง แต่น้องนี่ก็ติดดินพอที่คนไข้อนาถาจะถามถึงทุกวันตอนยังอยู่เมด”

พิธานคงจะไม่พูดอะไรอีกตามเคย พอดีกับตอนนั้นแพทย์ประจำบ้านออร์โธปิดิกส์คนหนึ่งเดินลงตึกมา น่าจะเป็นรุ่นน้องของพิธาน พอเห็นเข้าก็รีบพูดว่า

“ผมไม่เจอพี่เกี้ยวเลย ติดต่อก็ไม่ได้ เรื่องตารางเวรผ่าตัดวันมะรืน ผมมีธุระด่วนจะลาตั้งแต่พรุ่งนี้สองวันติดกัน เรียนอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว”

“ไว้จะบอกให้” พิธานว่า “เขียนใบลาให้เรียบร้อยแล้วกัน”

“ใครจะเข้าแทนผมล่ะพี่”

“แล้วแต่ชิฟ” เป็นคำตอบสั้นๆ แต่ดูเหมือนเรสิเดนท์รุ่นน้องจะยังมีเรื่องที่ติดใจอยู่

“หลังวันมะรืน พี่เกี้ยวเขาให้ผมเข้าโออาร์เลย น่าจะมีเฟลโลว์แผนกเราเข้าไปดูคนหนึ่ง แล้วก็...”

พิธานเลิกคิ้ว เหมือนจะถามว่าเรื่องที่พูดมานี้มีความสำคัญอะไรหรือไม่ อีกฝ่ายจึงรีบพูดต่อ

“เห็นชื่อเฟลโลว์จากวาส ชื่อหมอลภ เขาเป็นไงมั่งพี่...”

การที่แพทย์ประจำบ้านจะถามข้อมูลหมอที่ยังไม่เคยเข้าผ่าตัดด้วยกันจากรุ่นพี่เป็นเรื่องธรรมดา หากมีอะไรที่ควรระวังจะได้ระวังไว้เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างบางคนชอบคุยระหว่างผ่าตัด หรือบางคนชอบให้ห้องเงียบก็ตาม

พิธานยังเฉย ธีรพัทธ์ที่รู้จักกันมาหลายปีพอมองออกว่าเพื่อนกำลังไตร่ตรองคำตอบอยู่ ส่วนเดนท์รุ่นน้องเอ่ยอย่างจะอธิบาย

“ผมเห็นพี่เข้ากับพี่ลภหลายหนแล้ว พี่เกี้ยวบอกว่ารู้จักกันมาตั้งแต่ตอนพี่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ ก็เลย...”

หลังจากครั้งแรกที่เจอกันในห้องผ่าตัด พิธานยังมีโอกาสทำงานกับลภอีกสองสามครั้ง ทุกครั้งเป็นไปอย่างราบรื่นจนนางพยาบาลพูดกันกึ่งเย้าว่า ‘เขาสื่อสารกันด้วยใบมีด’ อาจารย์เข้ามาดูบ้าง แต่บางครั้งก็ออกไปก่อน ปล่อยให้ลูกศิษย์ที่ฝีมือไว้ใจได้ทั้งคู่ดำเนินการต่อจนผ่านพ้นเสร็จสิ้นไปด้วยดี

“ในฐานะศัลยแพทย์ ไว้ใจได้ เขา... เก่ง” รุ่นพี่ตอบช้าๆ “รับฟังความคิดคนอื่น แต่ก็ตัดสินใจได้เด็ดขาดถ้าจำเป็น”

เดนท์คนนั้นมีท่าทางโล่งใจ “ผมค่อยสบายใจ แสดงว่าอีโก้น้อยหน่อย”

สีหน้าพิธานเปลี่ยนไปนิด ก่อนจะกลับมาเรียบสนิทดังเดิม

ธีรพัทธ์ผู้ห่างไกลชีวิตในห้องผ่าตัดตั้งแต่กลับมาเรียนต่อได้แต่คิดว่าอีโก้ไม่จำกัดอยู่ในหมู่ศัลยแพทย์เท่านั้นหรอก ราวกับการยอมรับว่าตนเองผิดได้พลาดได้ไม่อยู่ในดีเอ็นเอของแพทย์บางคน ทั้งๆ ที่หมอก็เป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า

รุ่นน้องดูจะได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ จึงกล่าวลาพร้อมก้มศีรษะให้แพทย์ประจำบ้านรุ่นพี่ในแผนกเดียวกัน และเลยมาถึงรุ่นพี่ต่างแผนกอย่างเขาด้วย

พิธานยังมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่แม้เมื่ออีกฝ่ายเดินห่างไปไกลแล้ว ธีรพัทธ์อยากจะเชื่อว่าเพื่อนพูดถึงศัลยแพทย์ที่ชื่อลภได้อย่างปกติโดยไม่มีอะไรในใจ แต่ความรู้สึกของเขามันบอกไปในทางตรงกันข้าม

ภายนอกนั้นคนทั่วไปคงคิดว่าเรสิเดนท์กับเฟลโลว์คู่นี้แม้จะเคยพบกันมาก่อนในโรงเรียนแพทย์แต่ไม่ได้สนิทสนมเป็นพิเศษ พอมาทำงานร่วมกันก็มีความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงานทั่วไปนั่นเอง ดีหน่อยที่ดูจะเข้าขากันในเรื่องดูแลคนไข้ อาจมีเพียงคนที่เคยรู้จักทั้งสองมาจริงๆ อย่างเขา หรือกรองพร ที่รับรู้ถึงความ ‘ไม่เหมือนเดิม’ ของทั้งคู่ ถึงไม่รู้ลึกในรายละเอียดก็ตาม

“พูดถึงเรื่องหมอลภ...” ธีรพัทธ์เอ่ยลอยๆ ราวเป็นเพราะเดนท์ออร์โธปิดิกส์คนเมื่อครู่ทำให้เขานึกขึ้นมาได้ “จริงๆ ก็ไม่ได้ข่าวเสียนาน แต่... ตอนแรกเหมือนว่าจะตามไปทำงานด้วยไม่ใช่หรือ”

เขามองเพื่อน พอกรองพรบอกเขาเรื่องนี้ และธีรพัทธ์รู้ว่าพิธานอยากกลับไปภาคเหนือที่เป็นภูมิลำเนาเดิม เขาถึงได้เลือกสถานที่ใช้ทุนให้ไปคนละทิศคนละทางที่สุด เนรเทศตัวเองให้พ้นหูพ้นตาเสีย

เมื่อนายแพทย์ลภสอบจบได้บอร์ดศัลยศาสตร์ในอีกสองปีถัดมา ไม่ติดใช้ทุนอะไรเพราะมาเรียนเองอย่างที่เรียกว่า ‘ฟรีเทรน’ จะได้ไปสมัครเข้าทำงานที่เดียวกัน

“ไม่ได้ไป” พิธานตอบสั้นๆ

ธีรพัทธ์จำได้ว่าเขาเคยพยายามถามเรื่องนี้มาแล้ว และได้คำตอบเพียงว่า ‘บางทีก็ไม่ใช่อย่างที่คิดว่าใช่’ ซึ่งไม่ช่วยให้ความกระจ่างขึ้นมาแม้แต่น้อย อันที่จริงธีรพัทธ์ไม่ได้ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัว และเขาเคารพพื้นที่นี้ของเพื่อนเสมอมา เพียงสังหรณ์ว่ามีบางอย่างชอบกล ถ้าเป็นกรณีอย่างเหินห่างกันไปเองเขาคงจะไม่ติดใจ แต่ถ้ามีเรื่องอื่น คนอื่น แทรกเข้ามา...

“คืองี้...” ธีรพัทธ์ลองใหม่ เขาบุ้ยใบ้ไปยังทิศที่รักษิตเดินหายเข้าไป “น้องคนนี้น่ะ เคยเล่าให้ฟังแล้วไงว่าแกขยันทำงาน ใช่มั้ย ทีนี้ไปห้องฉุกเฉินเจอแกป่วยขึ้นมา ไอ้เรากะจะเอาไว้โรงพยาบาลก่อน แต่หมอลภเขามารับกลับไปบ้านพอดี...”

เขาวางไพ่ลงทุกใบ บอกตัวเองว่าไม่ได้พูดเท็จ พิธานกำลังมีปัญหา หรือปัญหานี้อาจกัดกร่อนจิตใจอีกฝ่ายมานานแล้ว ถ้าเขาพอช่วยอะไรได้จะไม่ลังเล ขั้นตอนไม่สำคัญเท่ากับการเริ่มต้น ต้องเริ่มที่อะไรสักอย่าง แม้ว่าจะเป็นเพียงการบอกความจริงเท่าที่รู้ก็ตาม

อีกอย่าง หากเรื่องนี้เกี่ยวกับรักษิตจริง เขายิ่งปล่อยไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้

“ปีหน้าน้องคนนี้จะไปวนนอกที่โรงพยาบาล...” ธีรพัทธ์เอ่ยชื่อโรงพยาบาลต้นสังกัดที่ให้ทุนเขามาเรียนอายุรกรรม ซึ่งพิธานก็รู้ว่าเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลสมทบของโรงเรียนแพทย์แห่งนี้ “ก็ต้องดูเขา ชวนไปนี่... ถ้าหมอลภเป็นผู้ปกครอง หรืออะไร... จะได้รู้ไว้”

เขาลงท้าย แล้วรอ

พิธานนิ่งจนธีรพัทธ์เกรงว่าอีกฝ่ายจะบอกให้เขาไปถาม ‘น้อง’ เสียเอง แต่ชะรอยพิธานจะเหนื่อยล้ากับการแบกรับบางสิ่งมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็บอกว่า

“เป็น... พี่เขย”

“ปัดโธ่... พิธาน” ธีรพัทธ์คราง พร้อมกันนั้นก็นึกเคืองนายแพทย์ลภขึ้นมาติดหมัด

... มาสนิทสนมกับเพื่อนเขา แล้วไปแต่งงานเสียดื้อๆ!

เจ้าสาวไม่เป็นใครไปได้นอกจากพี่สาวคนเดียวของรักษิต พิพิธนันท์แม้เป็นนามสกุลทรงอิทธิพลในแวดวงธุรกิจเครื่องมือแพทย์ แต่ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ที่มีหลายสาย ผู้ที่ถูกวางตัวให้สืบทอดกิจการน่าจะเป็นรสรินบุตรสาวคนโต เพียงแต่จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คุณตรีรัตน์จึงยังต้องเป็นเสาหลักต่อมา

ความจริงแล้วหากทายาทเจ้าแม่นักบริหารผู้กว้างขวางเข้าพิธีสมรสคงเป็นข่าวใหญ่โตไม่น้อย แต่บางทีคนรวยก็ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงลิ่วเป็นพิเศษ

ธีรพัทธ์คิดว่าเขามีความรับผิดชอบที่จะต้องให้พิธานรู้เรื่องหนึ่ง

“พี่สาวเขาเสียมาสามปีกว่าแล้ว...”

คราวนี้ธีรพัทธ์มองไม่ออกว่าเพื่อนคิดอะไรอยู่ พิธานเดินจากไปเสียดื้อๆ ตรงนั้น
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 10-05-2015 21:06:59
คุณ milkteabeige มีแต่คนตาฝาดเนอะ แหะๆ ขอบคุณมากค่ะที่ยังรอและคิดถึงกันอยู่นะ ขอบคุณที่อ่านเรื่องเก่าด้วยยย เดี๋ยวพิธานเจอษิตเต็มๆ บทหน้านะคะ

คุณ B52 ขอบคุณสำหรับการอ่านค่า ตอนนี้ก็เจอกันบ่อยหน่อยเพราะเดี๋ยวพอขึ้นปีหกพี่พัทธ์จะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนแพทย์เดียวกันละ

คุณ LEO กลับมาแล้วค่ะ T_T คู่เก่าฝากลุ้นต่อบทหน้า แต่เราจะมีภูมิหลังเพิ่มขึ้นล่ะ

คุณ iforgive มาอีกทีขึ้นปีพ.ศ. ใหม่เลยเนอะ T_T จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานขนาดนี้อีกนะคะ เรามาลุ้นอีกคู่กันต่อปายยย

คุณ pim-lovemj ขอบคุณมากนะคะ คนเขียนก็ปริ่มเหมือนกันค่ะสำหรับการติดตาม จะพยายามมาเร็วๆ นะคะ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เอิบ ครึ่งหลังสั้นนิด... แต่ถือว่ามาเร็วเนอะๆ 55 จริงๆ วางบทนี้ไว้ยาวอีกหน่อย แต่ด้วยความต่อเนื่องของพล็อตและตำแหน่งแห่งที่ในโครงเรื่อง ควรไปอยู่อีกบทดีกว่า จะพยายามเขียนมาลงเร็วๆ ค่ะ

จริงๆ เรื่องนี้ทุกคนก็มีแผลแต่หนหลังมา หนักเบาต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าต่อจากนี้จะไปยังไงต่อ...

ขอบคุณคนอ่านทุกท่านสำหรับการติดตามมากๆๆ ค่ะ
:กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: pim_onelove ที่ 10-05-2015 21:15:03
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณเดหลีกลับมาแล้ว  :pig2:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: i c u ที่ 10-05-2015 22:41:18
 :impress2:

ขอบคุณที่มาต่อให้นะคะ เราเป็นติ่งพิธานแหละ  อยากให้พิธานเจอคนดีๆที่จะไม่ทำให้เสียใจอีกอ่า คุณเดหลีอย่าใจร้ายกับพิธานนักเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-05-2015 22:52:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 11-05-2015 09:09:19
อยากให้ถึงตอนหน้าไวๆ จังคาะ
กำลังเข้มข้นมากทีเดียว

ทางเดินของหมอพี่ลภกับหมอพิธานมืดเทามากเลยค่ะ
แต่หมอพัทธ์นี่คงตกลงปลงใจแล้ว

น้องษิตน่ารัก
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 13-05-2015 21:15:43
หูยยยย มาต่อเเล้วดีใจเหมือนถูกเลขท้าย

พี่พัทธ์มาเล็งๆน้องษิตอยู่น่านนนเเหล่ะ ออกตัวไปเลยเเรงๆ น้องษิตจะได้รู้ตัวเร็วๆเดี๋ยวยังต้องผ่านด่านคุณพี่เขยลภอีก ดูท่าพี่ลภเเล้วน่าจะหวงน้องอยู่เหมือนกัน
เอ..เเต่ไม่เเน่ ถ้าได้พิธาน Keep him busy เก๊าะอาจจะง่าย

เวิ่นเว้อใส่เสียเลย ค่าที่ไม่ได้อัพมานาน  ห้าห้าห้า

เมศจะตั้งตารอคู่พี่ลภพิธานว่าเมื่อไหร่จะเลิกสื่อสารกันด้วยใบมีดเเล้วคุยกันอย่างเปิดเผยเสียทีค่ะ

เป็นกำลังใจให้คุณเดหลีนะคะ
 




หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 13-05-2015 22:16:04
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญของเรี.....เอ๊ะ ผิดเรื่อง ก็คนเขียนว่ามีคล้ายๆแผลเก่า อะไรซักอย่าง :m20:
เอาล่ะๆ เหมือนจะค่อยคลี่คลายไปบางส่วน เรื่องความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง(?)ของพี่หมอลภกับหมอพิธาน
แต่บอกตามตรง ใครคู่ใคร อะไรยังไง ยังคงสับสนต่อไป :katai1:
เฮ้อ คิดถึงจัง ต้องกลับไปอ่านทวนตอนเก่า เค้าจำไม่ได้อ่าาา :o8:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 23-05-2015 23:26:46
 :serius2: พี่หมอพัทธ์ที่หงายไพ่ทั้งหมดเนี่ย ต้องการความมั่นใจเพื่อเดินหน้าจีบน้องรักษิตใช่มั๊ยคะ
รออ่านต่อนะคะคุณเดหลี
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 12-06-2015 15:38:31
คุณเดหลี...
คิดถึงมากนะคะ 
สารภาพก่อน  ว่าหากระทู้คุณเดหลีไม่เจอ...
จำได้ว่า อ่านถึงบทที่ 2 แล้วตัวเองก็ไม่ได้เข้ามาในเล้า ถึงจะแวะเข้ามาก็แป๊บๆ  ออกไป
เข้ามาอีกครั้งหากระทู้ไม่เจอ จนวันนี้ค้นไปค้นมา เจออย่างจัง
ดีใจมากนะคะ และขอบคุณที่ยังสละเวลามาลงนิยายให้อ่านกันอีก
ไว้จะค่อยๆ กลับไปอ่านใหม่ 
รักษาสุขภาพนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 12-06-2015 20:27:32
เห็นชื่อก็เลยตามมาค่ะ เพราะชอบเรื่องก่อนหน้านี้^^
เรื่องคราวนี้เนื้อหาวิชาการแน่นจังค่ะ
แสดงว่าคนแต่งใส่ใจรายละเอียดมากเหลือเกิน
ขอบคุณกับความทุ่มเทนี้ค่ะ^^
ภาษายังคงงดงามเช่นเคย แม้จะยังๆมึนๆอยู่บ้าง5555เพราะเพิ่งอ่านได้แค่สองตอน  แต่อยากให้กำลังใจคนแต่งค่ะ^^
 ตัวหนังสือเยอะมากกกกกกก  ตาลาย5555
แต่เข้าใจค่ะ เพราะเรื่องนี้เกี่ยววิชาชีพเฉพาะและมีศัพท์เทคนิคเยอะแยะ ง่า...
ให้กำลังค่ะ^^
สู้ๆนะคะ
ติดตามค่า^^

หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 9] ครึ่งหลัง 10 พ.ค. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-06-2015 22:07:30
เย้ ๆๆ มาต่อแล้ว (คนอ่านมาช้ากว่าคนเขียนอีกค่า คิคิ)
หมอธีรพัทธ์อวยเด็กตัวเองน่าดู
ส่วนหมอพิธานผู้มืดมนอย่ามาเขม่นน้องรักษิตนะ ไม่เกี่ยวกันนะ เคืองหมอลภก็ไปลงที่หมอลภนู่น

ถึงมาต่อช้าแค่ไหนก็ยังตามอ่านนะคะ คุณเดหลีเป็นนักเขียนในดวงใจของอิฉันนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 22-06-2015 03:20:27
บทที่ 10

รุ่งเช้าวันต่อมา รักษิตรีบขึ้นไปสมทบกับเหล่านักศึกษาแพทย์กลุ่มใหญ่หน้าวอร์ดออร์โธปิดิกส์เพื่อรอการมอบหมายงาน นับเป็นกิจวัตรทุกสัปดาห์นอกเหนือไปจากการเข้าสัมมนา เลคเชอร์ หรือตามอาจารย์และรุ่นพี่ไปแผนกผู้ป่วยนอกที่ลงไว้ในตารางอยู่แล้วรวมทั้งเวรอื่นๆ แต่วันนี้ผิดแผกออกไปเพราะนักศึกษาแพทย์บางคนอาจจะได้เข้าห้องผ่าตัด ที่เหลือก็อยู่ช่วยในวอร์ดหรือลงไปโอพีดีตามปกติ

ก่อนหน้านี้นักศึกษาแพทย์มักเคยได้เห็นและช่วยทำการผ่าตัดเล็กๆ อย่างก้อนเนื้อบริเวณข้อมือหรือแก้ไขอาการนิ้วล็อก ต่อมาจึงเข้าช่วยในผ่าตัดใหญ่ขึ้น

เสียงกระซิบคุยกันจางหายไปเมื่อแพทย์ประจำบ้านปีสามผู้จะทำการผ่าตัดในวันนี้คนแรกก้าวมาเบื้องหน้า เริ่มแนะนำตัว และกล่าวถึงคนไข้กับกระบวนการที่รับผิดชอบด้วยน้ำเสียงชัดเจน

รอบตัวเขาเงียบกริบ โดยเฉพาะอนันต์นั้นยืนตัวลีบทีเดียว รักษิตจำได้ว่าพี่เรสิเดนท์ที่ชื่อพิธานผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเคยทำเอาเพื่อนกลัวไปตามๆ กันตั้งแต่ปีสี่ แต่เขาไม่มีประสบการณ์ตรง ยังคิดอยู่เลยว่าพี่ที่เข้มงวดแต่สอนเพราะอยากให้รุ่นน้องไม่พลาดในภายหน้าก็ยังดีกว่าปล่อยตามยถากรรม

เขาคิดว่าพิธานคงเป็นคนจริงจัง เห็นได้ชัดว่าการเป็นที่นิยมในหมู่รุ่นน้องไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่มีมุกตลกตอนต้นๆ ก่อนเข้าสู่เคส ไม่มีรอยยิ้ม แต่รุ่นพี่พูดโดยแทบไม่ต้องดูเอกสารหรือโน้ตอะไร รายละเอียดของอาการและคนไข้แจ่มชัด แสดงถึงความเอาใจใส่ของแพทย์เป็นอย่างดี

... จบท้ายลงด้วยการขานชื่อนักศึกษาแพทย์ที่จะเข้าช่วย

“นักศึกษาแพทย์รักษิต นักศึกษาแพทย์ทัศนีย์” รุ่นพี่เอ่ยเพียงนั้น “เตรียมตัวเลย”

ได้ยินอนันต์ถอนใจเฮือกอยู่ข้างๆ รักษิตรู้ว่านี่เป็นการเรียกให้เข้าช่วยจริง ไม่ใช่แค่ไปสังเกตการณ์โดยยืนห่างจากบริเวณผ่าตัดเพื่อป้องกันการปนเปื้อน หลักการอย่างหนึ่งที่จะลดการติดเชื้อคือจำกัดจำนวนคนในห้องผ่าตัดให้มีเท่าที่จำเป็น และคนไข้ยังมีอายุค่อนข้างมากด้วย เพราะฉะนั้นนักศึกษาแพทย์ที่ได้เข้าเคสจึงต้องน้อยอยู่แล้ว

ที่ไม่รู้คือจากนักศึกษาแพทย์ในสายทั้งหมด พอสุ่มออกมาแล้วก็ยังเป็นเขาคู่กับทัศนีย์อยู่ดี

ตามลำพังรักษิตไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงอยากเข้ากับเพื่อนๆ ที่สนิทกันมากกว่า แว่วเสียงแพทย์ประจำบ้านที่จะช่วยอาจารย์หรือทำผ่าตัดเองในวันนี้เรียกชื่อนักศึกษาแพทย์เข้าห้องผ่าตัดเป็นกลุ่มสามถึงห้าคนก็มีเนื่องจากเคสคนไข้ต่างกันออกไป ได้แต่นึกทบทวนกระบวนการที่จะเจอในห้องผ่าตัดของตัวเองซึ่งอ่านทวนมาเมื่อคืนพอดี แม้รู้ว่าในขั้นนี้สิ่งที่เน้นก็คือการเตรียมตัวเข้าผ่าตัดให้ถูกต้องนั่นเอง

ทัศนีย์ไม่พูดอะไรกับเขาตลอดทางที่เดินไปห้องผ่าตัด จากอายุรกรรมมารักษิตคิดว่าทัศนีย์กับเพื่อนน่าจะไม่มีมูลอะไรให้ยังเชื่อว่าเขาทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้คนในกลุ่มกับรุ่นพี่ถึงได้สนิทกับรุ่นพี่ที่ว่า เพราะตอนคะแนนออกก็ได้มากกว่าเขากันทั้งนั้น (จากปากคำของอนันต์ ซึ่งรู้เพราะแม้จะอยู่เฉยๆ ก็ได้รับการเผื่อแผ่ข่าวมาให้) ถึงคะแนนตอนปฏิบัติงานในวอร์ดของเขาไม่เป็นรองใครก็เถอะ

แต่ก่อนเริ่มขั้นตอนการขัดล้างมือ รักษิตก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ทำให้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้น

“ตุ้มหู... ถอดก่อนดีกว่านะ” เขาพยายามไม่ให้ฟังเป็นการตำหนิ ความตั้งใจคือเตือนเพื่อนร่วมสายด้วยความหวังดีจริงๆ “เดี๋ยวหล่นลงฟิลด์...”

ทัศนีย์มองเขาตาเขียว การถอดเครื่องประดับทุกอย่างออกก่อนล้างมือเตรียมเข้าห้องผ่าตัดเป็นเรื่องต้องปฏิบัติอยู่แล้ว รักษิตเข้าใจว่าบางครั้งก็ลืมกันได้ แต่จนแล้วจนรอดคนยืนล้างมือห่างจากเขาไปสองสามช่วงก๊อกก็ยังไม่ยอมถอด

แพทย์ประจำบ้านผู้นำการผ่าตัดเดินตามมาข้างหลังอย่างเงียบๆ พิธานมองแวบเดียว แล้วบอก “ตุ้มหู”

รักษิตเริ่มเข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงได้ออกจะเกรงรุ่นพี่ อีกฝ่ายไม่ได้เกรี้ยวกราด แต่มีกังวานของความเด็ดขาดอยู่ในน้ำเสียงแบบผู้ที่เคยชินกับการควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

เมื่อถูกตักเตือนเอาตรงๆ เช่นนั้น ทัศนีย์จึงจำต้องถอดตุ้มหูออกอย่างกระฟัดกระเฟียด ซึ่งแน่นอนว่า... ล้างมือใหม่

พอแต่งตัวเสร็จ ทุกคนเข้าประจำที่ คนไข้ได้รับการเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าเรียบร้อย และปูผ้าปราศจากเชื้อแล้วจึงเริ่มกระบวนการ

การลดโอกาสติดเชื้อหลังผ่าตัดนอกจากสภาพแวดล้อมต่างๆ แล้ว ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือบุคลากร โดยเฉพาะทักษะและเทคนิกของศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดนั่นเอง ในสาขาออร์โธปิดิกส์มักจะเปรียบเปรยกันว่าหมอเหมือนช่างไม้ เพราะอุปกรณ์ที่ต้องใช้ช่างคล้ายคลึง เลื่อย สว่าน คีม สกรู น็อต ไขควง... แต่ก็ต้องเป็นช่างที่มีฝีมือละเอียดลออ ผสานวิธีการเข้ากับความรู้ทางกายวิภาคของคนเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด

รักษิตตั้งใจดูหัตถการที่กำลังเกิดขึ้นอย่างจดจ่อ เพราะหมอพิธานนั้นทำเคสได้สวยราวกับในตำรา ในจุดที่สำคัญรุ่นพี่จะอธิบายจนกระจ่าง เขารู้สึกทึ่งเมื่อมีโอกาสเห็นของจริงอยู่ตรงหน้า

การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งแพทย์ประจำบ้านเรียกให้เข้าช่วยจากอีกฝั่ง ความจริงการเคลื่อนไหวในห้องผ่าตัดมีแบบแผนของมันอยู่ ทีมผ่าตัดที่เข้าขาจะมีจังหวะที่สอดคล้องกันเป็นอย่างดี ในการผ่าตัดยากๆ บางเคส อาจารย์หมอถึงได้ระบุตัวผู้ร่วมตั้งแต่วิสัญญีแพทย์ไปจนถึงพยาบาลส่งเครื่องมือ ความจริงก็ไม่ควรจะมีปัญหาอะไรถ้านักศึกษาแพทย์คนหนึ่งไม่หันไปทางซ้ายในขณะที่อีกคนหนึ่งหันขวาและปะทะกันเข้าอย่างจัง

รักษิตมองมือหุ้มด้วยถุงมือยางของเพื่อนร่วมสายที่ไพล่โดนเขาตั้งแต่หัวไหล่เลยไปถึงด้านหลังอย่างตกใจ อีกฝ่ายก็ดูจะตะลึงไม่แพ้กัน

“อ้าว คอนเสียแล้วหมอ...” พยาบาลในห้องผ่าตัดเอ่ยขึ้น ส่วนนายแพทย์พิธานยังเอาใจใส่กับเคสต่อไปโดยไม่ได้เหลือบแลมายังนักศึกษาแพทย์สองคนที่ยืนประจันกันอยู่ข้างเตียง

คำว่า ‘คอน’ ก้องอยู่ในหูรักษิต คอนแทมิเนต... ปนเปื้อน อันจะทำให้สภาวะปลอดเชื้อเสี่ยงถ้ายังหยิบจับอะไรต่อ...

... เข้าห้องผ่าตัดออร์โธปิดิกส์ครั้งแรกก็แจ็กพ็อตเลย

ทัศนีย์ได้สติก่อน ร้องขึ้นอย่างกล่าวหา

"เธอมาชนเรา"

รักษิตมองเพื่อนร่วมวอร์ดอย่างอ่อนใจ สีหน้าสีตา ท่าทางนั้นราวกับว่าเขาตั้งใจชนเจ้าหล่อนไม่ปาน ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลอะไรจะแกล้งกัน ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นก็ต้องออกมาทั้งคู่อยู่ดี ไม่ใช่เขาได้อยู่ดูต่อเสียเมื่อไร

“ถ้ารีบออกไปสครับใหม่ตอนนี้ อย่างน้อยจะได้ช่วยเย็บตอนหลัง” พิธานเอ่ยทั้งๆ สายตายังอยู่กับบริเวณผ่าตัดตรงหน้า

อันที่จริงการเข้าๆ ออกๆ ห้องผ่าตัดควรมีให้น้อยที่สุด แค่นี้รักษิตก็ถือว่ารุ่นพี่ใจดีมากแล้วที่ไม่ตะเพิดนักศึกษาแพทย์สองคนออกจากห้องผ่าตัดโดยไม่ต้องกลับเข้ามาอีก เพราะการหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนด้วยวิธีใดๆ ระหว่างที่เข้าเคสนั้นถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้กำลังจะเป็นเอ็กซ์เทิร์นในอีกไม่นานต้องขึ้นใจ

... ดูเหมือนทัศนีย์จะไม่คิดอย่างเขา เพราะเจ้าตัวพูดเสียงสูง 

"แต่รักษิตชนหนู!"

คราวนี้พิธานเงยหน้าขึ้น พูดเรียบๆ "... เห็นว่าบังเอิญมาโดนกันทั้งคู่" 
   
“แต่...”

รักษิตคว้าแขนเพื่อนร่วมสายก่อนที่ทัศนีย์จะทำตัวเธอเองให้ลำบากมากไปกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าทัศนีย์เข้าใจสถานการณ์หรือเปล่า แต่แน่ใจว่าการยืนยันกระต่ายขาเดียวกับแพทย์ประจำบ้านผู้กำลังต้องการสมาธิในการผ่าตัดต่อไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้าตัวคนต่อล้อต่อเถียงนั่นแหละ

“ขอโทษครับ” เขารีบพูด แล้วลากทัศนีย์ออกจากห้องไปโดยเร็ว ไม่สนใจอาการขืนและสายตาจ้องเขม็งของอีกฝ่าย

พอพ้นห้องทัศนีย์ก็สะบัดแขนหลุดพอดีกับที่รักษิตคลายมือ เขาถอนใจ มองเพื่อนร่วมสายล้างคราบเลือดที่เลอะถุงมือออกก่อนถอดทิ้งลงถังข้างอ่างอย่างกระแทกกระทั้น

... หากแต่พอหันมาอีกที รักษิตกลับเห็นเพียงหลังของอีกฝ่ายที่เดินลิ่วด้วยท่าทียังฉุนเฉียวไม่หาย เขาเรียกไม่ทัน ได้แต่ล้างมือต่อให้เสร็จเปลี่ยนชุดใหม่กลับเข้าไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ

“อีกคนไปไหนแล้วล่ะหมอ” พยาบาลถามเมื่อเห็นเขากลับเข้ามาคนเดียว

รักษิตเหลือบมองแพทย์ประจำบ้าน เขาไม่มีเหตุผลน่าเชื่อพอจะหาข้ออ้างให้กับการหายตัวของทัศนีย์ ถ้ามดเท็จอะไรออกไป เขาแน่ใจว่าพิธานดูออกแน่ๆ และคนที่จะโดนหนักที่สุดก็ไม่พ้นเพื่อนร่วมสายนี่แหละ

รักษิตจึงได้แต่ตอบว่า “ไม่ทราบครับ”

แพทย์ประจำบ้านไม่ว่าอะไร เพียงแต่เรียกให้เขามาดูการเย็บ และให้ลองทำช่วงสั้นๆ

เสร็จสิ้นเคสรักษิตจึงได้เดินออกมาและระลึกว่าวันยังไม่สิ้นสุด เขายกมือป้องตามองออกไปข้างนอก แสงแดดยังแรงร้อน ชวนให้คิดว่าคงเป็นช่วงเที่ยง นาฬิกาแขวนผนังบอกตรงตามนั้น... แปลกที่เขาไม่รู้สึกหิว

การผ่าตัดใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงครึ่ง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี... ถ้าไม่นับอุบัติเหตุช่วงกลางที่ไม่กระทบกระเทือนอะไรกับการผ่าตัดโดยรวม ฝีมือและการสอนของพิธานทำให้เขาอยากจะไปอ่านให้รู้มากขึ้น ถือว่าเขาเริ่มสนุกกับออร์โธปิดิกส์ก็ได้... รักษิตคิดมาตั้งแต่ขึ้นชั้นคลินิกว่าทุกอย่างไม่อาจดีเลิศดังใจไปหมด อย่างน้อยเหตุการณ์ในวันนี้จะได้ทำให้ระวังการเคลื่อนไหวในห้องผ่าตัดมากขึ้น 

พอลงลิฟต์ไปข้างล่างก็พบอนันต์อยู่หน้าแผนกผู้ป่วยนอก ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ด้วยสีหน้าหมดอาลัย

... รายชื่อของนักศึกษาแพทย์ที่จะต้องทำงานกลุ่มร่วมกันในออร์โธปิดิกส์ ซึ่งรวมถึงการเลือกเคสมาอภิปราย ค้นคว้าข้อมูล จนถึงการนำเสนอและเขียนออกมาเป็นรายงาน

มีชื่อของเขา ชื่อเพื่อนผู้ยืนเซ็งอยู่ข้างๆ กันนี้ และชื่อของทัศนีย์...

รักษิตสบตาเพื่อนแล้วตัดสินใจ “เดี๋ยวคุยเลยดีกว่า จะเสาร์อาทิตย์แล้วจะได้แบ่งกันไปค้น เอ้เห็นนีน่าไหม”

“ก็เข้าด้วยกันไม่ใช่หรือ” อนันต์ตอบกลับมา ท่าทางสงสัย

รักษิตถอนใจ คร้านจะเล่าเหตุการณ์ในตอนนี้ เพียงแต่บอกสั้นๆ “พอดีเขาออกมาก่อน ลองไปถามพวกกลุ่มเพื่อนเขาแล้วกัน เผื่อจะรู้”

ไม่นานอนันต์ก็เดินกลับมา คิ้วขมวดยุ่งหนักกว่าเก่า “ทางโน้นบอกนีน่าไปเข้าเคสผ่าตัด ก็เพิ่งเข้าไปเองนี่”

รักษิตคิดว่าตัวเองถอนใจเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้ววันนี้ ท่าทางทัศนีย์จะโมโหเขาน่าดูที่ทำให้ไม่ได้อยู่ตลอดทั้งการผ่าตัด เมื่อเสร็จสิ้นการเข้าเคสทุกครั้ง นักศึกษาแพทย์จะต้องได้ลายเซ็นของแพทย์ประจำบ้านหรืออาจารย์เพื่อรับรอง แต่อันที่จริงถ้าห่วงเรื่องนี้ เมื่อสักครู่พอเขาช่วยต่อจนเสร็จ พิธานก็เซ็นสมุดให้ ทั้งๆ ที่รักษิตกลับเข้าไปโดยไม่ได้หวังเรื่องนี้เป็นหลักแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่คิดว่าควรจะอยู่จนจบเท่านั้นเอง เสียดายที่ทัศนีย์ไม่กลับเข้าไปพร้อมกับเขา

รักษิตบอกอนันต์ว่าจะขึ้นไปมองหาทัศนีย์อีกรอบ เพื่อนก็พยักหน้าแล้วเสนอจะซื้อข้าวไว้รอ รักษิตได้แต่ยิ้มขอบคุณในน้ำใจนั้น หวังว่าเมื่อลงมาอีกรอบเขาคงหิวขึ้นบ้าง

คนแรกที่เขาเจอเมื่อออกจากลิฟต์กลับเป็นคนที่รักษิตไม่ได้พบหน้ามาสักพักแล้วแม้จะอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกันแท้ๆ อีกอย่าง เขาไม่ค่อยได้กลับบ้านเนื่องจากอยู่เวรติดๆ กัน โดยเฉพาะห้องฉุกเฉินในคืนที่ยุ่งหนักแล้วทำเอาหมดแรงทีเดียว

“พี่ลภ” เขาเอ่ยเสียงระโหย เห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนในครอบครัวแล้วใจก็เต็มตื้นขึ้น

“ษิต เป็นไง” อีกฝ่ายทักเขากลับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “จะมาเข้าเคสหรือ”

รักษิตสั่นศีรษะ ลภเดินเข้ามาใกล้เขา ยังอยู่ในเสื้อแขนสั้นกางเกงเขียวที่จะใส่ไว้ข้างในชุดผ่าตัด ปีกนี้เป็นส่วนที่ออร์โธปิดิกส์ใช้ รักษิตจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงมาช่วยเคสส่วนที่เกี่ยวกับหน่วยหลอดเลือด

“เพิ่งออกมา... วันแรกก็คอนเลย” รักษิตสารภาพ “ตอนแรกนึกว่าพี่เขาจะไม่เซ็นให้แล้ว”

“เข้ากับใครล่ะ” ลภถาม

“พี่พิธาน...”

คำตอบทำให้เขาอดเหลียวมองราวหวังจะได้พบเจ้าของชื่อไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่อาจจะไม่มีใครรู้ และลภก็ไม่เคยให้กรองพรช่วยเหลืออีก นั่นคือหากศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์มีเคสที่เกี่ยวพันกับหน่วยศัลยศาสตร์หลอดเลือด เขาก็มักจะอาสาอาจารย์เสียเอง
 
โอกาสน้อยนิดที่เหลือเวลาอยู่อีกไม่ถึงสองปีของเขา ยิ่งลดถอยเมื่ออีกฝ่ายดูราวจะไม่ยินยอมข้องแวะกันอีกถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่ถึงกระนั้น เพียงได้ยินชื่อ ได้ฟังเรื่องราวก็ทำให้เป็นสุขในใจได้ เขาวางมือลงบนศีรษะของคนที่กำลังเล่ายิ้มน้อยๆ

คุยกันอยู่ครู่รักษิตจึงผละจากไป ไม่ลืมให้เขาสัญญาว่าจะกลับไปกินข้าวที่บ้านตอนเย็นวันอาทิตย์ พร้อมกับเสียงอาจารย์เรียกมาจากทางเดิน ลภจึงเดินเข้าไปสมทบ

“คนไข้พร้อมแล้วแน่ะ” อาจารย์บอกเขา แล้วจึงหันไปหาผู้ที่เดินมาด้วยกัน “หมอจะเข้าด้วยไหม แจ้งชิฟเดนท์ไว้ แล้วค่อยลงไปโอพีดี”

“ผมขอตัวครับ อาจารย์” พิธานตอบอย่างสุภาพ “เดนท์ขาดไปสองคน ข้างล่างน่าจะยุ่ง”

“เอ้า! คราวหน้าแล้วกัน” อาจารย์รับ พูดกับเฟลโลว์ศัลยศาสตร์หลอดเลือดที่จำต้องละสายตามาจากเรสิเดนท์ “ไปหมอ เข้าเคสกับน้องรุ่นใหม่ๆ นี่ผมรู้สึกหนุ่มขึ้นแยะเชียว”

พิธานเอ่ยขึ้นราบเรียบ “มีคนเคยบอกผมว่า วิธีหนึ่งที่จะรู้จักใครให้เร็วที่สุด คือเข้าห้องผ่าตัดด้วยกัน”

“น่าสนใจ” อาจารย์ว่า “จะคุมสติได้หรือเปล่า ใจเย็นใจร้อน ทำงานเป็นทีมได้ดีแค่ไหนก็เห็นกันตรงนี้ละ... แต่ผมไม่ห่วงหมอลภหรอก อาจารย์ภาคเขารับรองมาแข็งขัน”

พิธานยกมือไหว้อาจารย์ ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 22-06-2015 03:34:32
บทที่ 10 (ต่อ)

เขาตรงไปยังห้องพักแพทย์ ดูงานเอกสารที่คั่งค้างเหลือมาก่อนเริ่มงานในช่วงบ่าย แต่พบว่าจิตใจไม่สงบอย่างที่หวัง

พิธานเริ่มโกรธตัวเองขึ้นมาหน่อยๆ เรื่องที่ผ่านมานั้นอาจจะไม่ลบเลือนไปโดยง่ายดาย เหมือนเคยเกิดแผลขึ้นครั้งหนึ่ง ถึงจะสมานกลับ ก็ยังเหลือแผลเป็น... แต่เขาอยู่กับมันได้ เป็นธรรมดาของชีวิตมนุษย์ มีเรื่องเจ็บปวดบ้าง สูญเสียบ้าง แต่ก็ต้องหาวิธีที่จะอยู่ต่อไปให้ได้

หากยิ่งต้องพบ ยิ่งเจอ ก็เหมือนตะกอนถูกก่อกวนให้ลอยฟุ้งขึ้นมาอีก เขาไม่ควรจะรู้สึกอะไร แต่นั่นแหละ... อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่พอตั้งใจจะตัดให้ขาด ก็ขาดสิ้นราวกับไม่เคยมีอะไรอยู่เลย

เขาเห็นภาพที่ซ้อนทับกับในอดีต เมื่อสักครู่

... รอยยิ้มอ่อนโยน มือที่ลูบผมของอีกฝ่ายอย่างถนอม...

พิธานคิดว่า รักษิตคงมีประพิมพ์ประพายคล้ายพี่สาวไม่น้อย ความเอื้อเอ็นดู อาทร... ฉายชัดอยู่ในสีหน้าและแววตาของผู้ที่ยืนผินหน้ามาหาทางเดินนั้น

ผลประโยชน์ของการเป็นเขยตระกูลพิพิธนันท์ มีส่วนแบ่งในบริษัทเครื่องมือทางการแพทย์ใหญ่โตย่อมเป็นเครื่องล่อใจในตัวเองอยู่แล้ว หากดอกฟ้ายอมโน้มกิ่งลงมา หัวใจของคนที่ไม่มั่นคงก็อาจรวนเร

เมื่อรูปการณ์เป็นไปในทางนั้นแล้ว พิธานจำได้ว่าความรู้สึกของเขาสับสนปนเป จู่ๆ คนสำคัญกำลังจะหลุดลอยโดยไม่มีท่าทีสัญญาณใดล่วงหน้า ความหวัง ความฝัน มลายหายไปกับอากาศ โดยผู้ที่หยิบยื่นมันมาให้แก่เขาเอง

ในเวลานั้น พิธานไม่แน่ใจแล้วว่ายังควรเชื่อมั่นอะไรต่อ...

'รอหน่อยนะ พี่ยังมีภาระทางนี้... มีหน้าที่ที่ต้องทำ ถ้าเรียบร้อยแล้ว พี่จะไปหา กลับไปทำงานที่เดียวกับธาน ธานอยู่ไหน พี่ก็จะไป'

เคยมีคนบอกเขาอย่างนั้น เหมือนกับที่เคยมีคนบอกเขาในวันแรกของวอร์ดศัลยศาสตร์ในปีที่สองของชั้นคลินิก ว่าจะรู้จักใครให้เร็วที่สุด... ต้องเข้าห้องผ่าตัดด้วยกัน

‘พี่อยากรู้จักน้อง...’ แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มพลางสบตากับเขา แล้วเอ่ยต่อว่า ‘... ทุกคน ให้ดีกว่านี้’

สมองของเขาต้องทำงานหนักทีเดียวหลังจากนั้น ในการโน้มน้าวหัวใจให้เชื่อว่า... สุดท้ายผลประโยชน์จะชนะ อาจเป็นโชคร้ายของหญิงสาวคนนั้นที่ต้องถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเธอพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ

แต่... หากไม่ใช่... ถ้าไม่ใช่การเข้าหาเพื่อผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ก็แปลว่าความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างกันเป็นเรื่องโกหก และการสร้างครอบครัวกับเธอผู้นั้นต่างหาก เป็นเรื่องจริง ความสัมพันธ์กับรุ่นน้องในสถาบันศึกษาเป็นเรื่องฆ่าเวลา เป็นเรื่องชั่วคราว... สลัดทิ้งไปได้เมื่อรุ่นน้องคนนั้นจบออกไปทำงานในจังหวัดที่ห่างไกล ในเมื่อความตั้งใจแต่เดิมของนายแพทย์เมื่อจบเฉพาะทางแล้วคือการทำงานในบริษัทใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง ด้วยข้อผูกพันว่าเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวโดยสมบูรณ์

... พิธานไม่รู้ว่าเหตุผลใดทำให้เขาเจ็บได้มากกว่ากัน

เขาวางปากกา มองออกไปนอกหน้าต่างเล็กแคบ เห็นแต่ทิวตึกแน่นขนัด ท้องฟ้าที่เห็นผ่านกระจกตัดแสงสีชาดูขมุกขมัว ภายในอบอวลด้วยเครื่องปรับอากาศ... แต่เขาคิดถึงท้องฟ้าภาคเหนือที่จากมา คิดถึงช่วงเวลายามย่ำค่ำ ยามรุ่งสาง... ที่ในบางฤดูแทบไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศเหมือนในกรุงเทพฯ ที่เปิดกันชั่วนาตาปี

ถ้ารู้อนาคต เขาจะไม่ไปค่ายอาสาครั้งนั้น จะไม่ขาหัก จะไม่...

แต่เพราะไม่รู้ เขาจึงได้มีความสุขในช่วงเวลาสั้นๆ   

ความทรงจำก็คือความทรงจำ ปิดผนึกแน่นหนาเอาไว้ในส่วนลึกสุดของใจ มีบางคราวที่เผลอปล่อยสลักคลายลง จึงได้ผุดพรายขึ้นมาให้ได้นึกถึง

‘เรื่องอีโก้น่ะนะ...’

‘ผมต้องเขียนรายงาน...’ เขาบอก ‘ต้องเก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์รุ่นพี่ที่เป็นหมอแล้ว ไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาหรอก แบบที่เข้าใจกันทั่วไปน่ะแหละ พวก... มั่นใจว่าตัวเองถูกเสมอน่ะ’

‘แล้วทำไมถามพี่ล่ะ’ คนพูดเอ่ยเจือหัวเราะ มองเขาเหมือนมีเรื่องสนุก

‘ก็ดูแล้ว... พี่มีน้อย’ พิธานตอบตามตรง จากที่เขาสังเกต และได้ยินทั้งอาจารย์และรุ่นพี่พูดกันมา นายแพทย์ลภถือว่าตัวเองต้องเรียนรู้อยู่เสมอ จึงคอยสำรวจแก้ไขหากมีผู้ท้วงติง

‘ใครว่า’ คำตอบทำเอาคนจะมาสัมภาษณ์อึ้งไปอึดใจ ‘พี่ว่าพี่ไม่ได้น้อยกว่าคนอื่นนะ’

นับเป็นคำตอบที่ผิดคาดสำหรับพิธาน แต่อีกฝ่ายก็บอกเขาต่อ ‘ขนาดถือมีดจะไปผ่าคน ยุ่งกับอวัยวะสำคัญๆ ของเขานี่มันก็ต้องมีระดับหนึ่ง... คือมั่นใจว่าทำได้ แล้วก็มั่นใจว่านำทีมได้ ถ้าเป็นผู้ผ่าตัดหลัก แต่ที่ยากคืออะไรรู้ไหม’

เขาจดยิก เงยหน้าขึ้นถาม ‘อะไรครับ’ 

‘ก็พอออกมานอกห้องผ่าตัดแล้ว เราเจอญาติคนไข้ไง ขืนใช้อีโก้คุยกัน ไม่รู้เรื่องพอดี ต้องลดลงทั้งสองฝ่าย’


การผ่าตัดสำเร็จสำหรับหมอบางครั้งก็ไม่ตรงกับความเข้าใจของญาติ ถึงจะดีเหมือนใหม่ไม่ได้ แต่อย่างน้อย คนไข้ควรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

และเมื่อเห็นเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็คนคนเดียวกันนี้ที่ถามเขาว่า

'จะแข่งกับใคร? ธานอยากชนะใคร อาจารย์หรือ? ถ้าต้องเทียบกับคนอื่น กับใครต่อใครไปเรื่อยๆ ก็ไม่จบสิ้นเสียทีหรอก เครื่องจักรมันยังต้องพัก นับประสาอะไรกับคน'
 
พิธานจำได้ว่าเขาไม่พอใจนัก ที่ทำทุกอย่างอยู่นั้นเขาไม่ได้หวังจะไล่ตามเอให้ครบทุกวิชาในทรานสคริปต์เพื่อเอามาอวดใคร ผลการเรียนที่ดีและคะแนนสูงสุดในบางครั้งเป็นผลพลอยได้ ความภาคภูมิใจของเขาอยู่ที่ความรู้ อยู่ที่การเป็นส่วนหนึ่งในทีมของการรักษาต่างหาก

'ผมจะแข่งกับตัวเอง'

ภาษาอังกฤษที่ตอนแรกไม่ถนัดเท่าเพื่อนร่วมชั้นปีที่จบจากโรงเรียนในเมือง เขาก็ต้องขวนขวายเพื่อให้อ่านตำราหรือบทความบางชิ้นที่อาจารย์สั่งให้ได้ ฐานข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตที่จะเอามาใช้อ้างอิงก็เป็นภาษาอังกฤษอีก พิธานนึกขวางคนเตือนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ราวภาษาแม่ จึงไม่เข้าใจความยากลำบากข้อนี้ของเขา

ลภเดินหายไป แล้วจึงกลับมาพร้อมด้วยเสบียง บอกว่า

‘ถ้าหมอหมดแรงตายก่อนก็ช่วยคนไข้ไม่ได้หรอก’

พิธานจำต้องรามือจากกองหนังสือชั่วคราว เพราะห้องสมุดไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารข้างใน โถงข้างหน้าที่เปิดโล่งสู่ภายนอกรับลมธรรมชาติมีเพียงแสงไฟสลัวกับม้านั่งยาววางเป็นระยะชิดฝาผนัง ตอนนั้นห้องสมุดใหม่ยังไม่ได้สร้าง พอมาตอนนี้... ตึกเก่าที่เขาเคยไปอ่านหนังสือจนดึกตอนยังเป็นนักศึกษาแพทย์ก็ทรุดโทรม รอวันทุบทิ้งเพื่อสร้างอาคารใช้งานขึ้นมาใหม่อีก

ทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา...

‘... ไม่เคยมีใครเตือนผมอย่างนี้’ พิธานเอ่ยออกมาในที่สุด

รุ่นพี่หัวเราะหึ 'แสดงว่า ต่อไปต้องฟังนะ เพราะตอนนี้ธานต้องรู้แล้วสิว่า นอกจากคนไข้ ก็ยังมีคนอื่นที่รออยู่เหมือนกัน'

แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว... นับจากวันที่พิธานเริ่มประจักษ์ คนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของนายแพทย์ลภไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป

ช่วงนั้น เขาจบออกไปใช้ทุนแล้ว แน่นอนว่ายังติดต่อกับอีกฝ่ายอยู่เรื่อยๆ จนวันที่พิธานมีสัมมนาที่กรุงเทพฯ เมื่อกำลังใช้ทุนจะครบปีที่สอง เขาไม่ได้บอกลภว่าจะลงมา อยากให้ประหลาดใจ

แต่คนที่พบกับความประหลาดใจ กลับเป็นเขาเสียเอง

เมื่อเสร็จสัมมนาที่โรงแรม พิธานตั้งใจจะกลับไปที่โรงเรียนแพทย์ หากตอนกำลังจะเดินออกมาเรียกแท็กซี่ข้างหน้า หนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินเลี้ยวมาจากทางห้องอาหาร ก่อนจะหยุดลงที่หน้าประตูซึ่งมีพนักงานเตรียมพร้อมจะเปิดให้ และรถคันหรูแล่นมาเทียบหน้าตึกไว้อยู่แล้ว

ชายหนุ่มคงมาส่งหญิงสาวขึ้นรถ สาวน้อยจับมือเขาไว้อย่างสนิทสนม ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่า

... รอยยิ้มอ่อนโยน มือที่ลูบผมของอีกฝ่ายอย่างถนอม...
 
ถ้ามันจะไม่ใช่รอยยิ้มที่เขาเคยเห็นจนเจนตา... และเจนใจ

พิธานลังเล เขาตั้งใจมาพบลภ เขาก็ควรจะเข้าไปหา ตอนนั้นเองที่เพื่อนแพทย์ที่เขาเจอในงานสัมมนาเดินออกมาเป็นกลุ่มใหญ่ บดบังคลองสายตาไป

เมื่อหลุดออกมา ก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเสียแล้ว

พิธานละล้าละลัง ตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก แต่ผู้ที่รับสายไม่ได้มีน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคยเลย

เป็นเสียงผู้หญิง แต่คงไม่ใช่สาวๆ แล้ว เอ่ยขึ้นอย่างติดจะรำคาญ ‘ฮัลโหล’

เขาอึ้งไปอึดใจ ถามว่า ‘นี่... โทรศัพท์หมอลภหรือเปล่าครับ’

‘ใช่ พอดีหมอเขาลืมไว้ รีบลุกไปส่งน้อง’

‘อ้อ...’ เขาว่า ทั้งๆ ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเอาเลย ก็พอดีปลายสายเอ่ยขึ้นอย่างนึกอะไรได้

‘หมอลภเขาเมมชื่อคุณไว้ นี่...’

‘ผมเป็นรุ่นน้องครับ เคยเรียนด้วยกัน’ พิธานตอบอย่างรู้ว่าอีกฝ่ายจะถามว่าอะไร นึกเดาว่าอาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ได้ ‘พอดีผมลงมากรุงเทพฯ ก็เลยกะว่าจะมา...’

ปลายสายนิ่งไป ในที่สุดก็พูดว่า ‘หมอลภเขาเคยบอกเหมือนกันว่าเทรนเสร็จแล้วจะไปทำงานกับรุ่นน้อง’

‘ครับ...’

‘ขอโทษนะที่ต้องพูดแบบนี้ แต่หมออย่ารอเลย บอกเพื่อนๆ ด้วย’ อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเรียบ ‘หมอลภเขาไม่ไปหรอก’

พิธานกำหูโทรศัพท์แน่น คิดว่าตัวเองหูฝาด ‘อะ... อะไรนะครับ เขาบอกคุณอย่างนั้นหรือ ขอโทษ นี่ผมกำลังพูดอยู่กับใคร...’
 
คำถามสุดท้ายของเขาไม่ได้รับคำตอบ คู่สนทนาเพียงบอกว่า

‘ใช่ เพราะเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอยู่ทางนี้ต่อ แล้วก็ต้องไปทำธุระสำคัญกับลูกสาวฉันที่อังกฤษ’

‘ผม... ผม...’ พิธานต้องรวบรวมสติอยู่เป็นนาน จึงพูดต่อไปได้ ‘ขอคุยกับพี่... เอ้อ... หมอลภหน่อยครับ’

‘ตอนนี้หมอเขายุ่งมากนะ’

‘ผมต้องคุยกับเขาก่อน ผม...’

มีเพียงความเงียบ อีกฝ่ายวางหูไปแล้ว

พิธานลองโทรกลับไปอีก แต่ติดต่อไม่ได้ เขานั่งเครื่องกลับเย็นนั้นด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อขึ้นรถแล้วจึงได้โทรอีกครั้ง ฟังเสียงสัญญาณดังที่ปลายสายก่อนจะได้ยินเสียงคุ้นเคย ‘ครับ...’

‘พี่ลภ!’ เขาจำได้ว่าทิ้งศีรษะพิงพนักด้วยความโล่งใจ ‘ติดต่อไม่ได้เลย’

'พี่เข้าห้องผ่าตัดตอนบ่าย กลางวันออกไปกินข้าวแล้วก็ลืมโทรศัพท์เอาไว้ด้วย เพิ่งได้คืนนี่เอง' หางเสียงทอดอ่อนโยนดังเดิม
   
'พี่ลภ... เข้าห้องผ่าตัด?'

'ใช่สิครับ มีด่วนมา กว่าจะได้ออกก็... นี่ละ ค่ำ'

‘เรา...’ พิธานสูดลมหายใจเข้าลึก ถามออกไปว่า ‘ผมมีหยุดครึ่งวัน อาทิตย์ที่จะถึงนี้ พี่ลภ... ขึ้นมาอีกได้ไหม’

เมื่อก่อนปลายสายเป็นฝ่ายถามไถ่วันหยุดเขาล่วงหน้า หรือหากปลีกตัวมาได้ก็มาเอง ทั้งๆ ที่เขายังต้องทำงาน แต่ลภให้เหตุผลว่าแค่ได้มากินข้าวด้วยกันสักมื้อ... ก็คุ้มแล้ว ช่วงหลังพิธานเพิ่งสังเกตว่า ห่างออกไป แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะอีกฝ่ายอยู่ในช่วงเรียนเฉพาะทางปีสุดท้ายเพื่อจบออกไปเป็นศัลยแพทย์

‘พักนี้พี่มีเรื่องยุ่งหลายอย่าง... คง... ขึ้นไปหาไม่ได้อีกสักพัก ธานเข้าใจพี่นะ’

‘ครับ...’ เขาตอบด้วยหัวใจที่รู้สึกว่าหน่วงหนัก... ราวเต้นช้าลงกว่าเดิมเป็นเท่าทวี

ที่จริงพิธานไม่ได้หยุด เพียงแต่คิดว่าจะขอแลกเวรกับเพื่อนแพทย์หรือรุ่นพี่ ยังไม่แน่ใจว่าจะแลกได้หรือไม่ พอคำตอบเป็นแบบนี้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

ปลายสายลงท้ายเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่เขาเชื่อเสมอว่ากลั่นออกจากหัวใจ

คิดถึง...

แต่เขาก็ยังรู้สึกว้าวุ่นอยู่ดี พิธานนอนไม่ค่อยหลับในคืนนั้น รู้สึกถึงความเหินห่างที่กำลังก่อตัวขึ้น

เมื่อการติดต่อขาดหายลงทุกที พิธานจึงหายไปออกหน่วยแพทย์ เดินทางลำบากลำบน บุกป่าขึ้นดอยไปหาคนไข้ อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เขาจะได้เลิกฟุ้งซ่าน

เขากลับมาโรงพยาบาลพร้อมกับข้อความที่ลภฝากเอาไว้ในระหว่างนั้น

‘ธาน... ทำไมไม่รับสายเลย ยุ่งมากหรือ’
‘โทรกลับหาพี่หน่อย เป็นห่วง’
‘พี่ต้องไปอังกฤษ ด่วนมาก... กลับมาคุยกันนะ’


อังกฤษ...

... ต้องไปทำธุระสำคัญกับลูกสาวฉันที่อังกฤษ...

นั่นเอง ฟางเส้นสุดท้าย แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังรอ รอจนเริ่มไม่มีหวัง ขอบตาช้ำแดงไปตรวจคนไข้ รุ่นพี่ทักแต่ว่าอดนอน...

เพราะเมื่อเขาลองโทรไป ก็มีแต่ติดต่อไม่ได้ หลังจากข้อความที่บอกว่าจะไปอังกฤษนั้นแล้ว ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลย ธุระสำคัญที่ต่างประเทศจะต้องยาวนานกี่เดือน กี่ปี หรือเป็นแต่เพียงข้ออ้างของคนที่หมดใจแล้วเท่านั้น

จนถึงตอนนี้ เมื่อกลับมาพบกันอีก... และแม้เธอคนนั้นจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว เขาก็ไม่คิด ไม่คาดหวัง ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง

พิธานลุกขึ้นจากโต๊ะเมื่อได้เวลา เขากันทุกเรื่องออกไปได้เพราะบอกตัวเอง ปัญหาของหมอไม่ใช่ปัญหาของคนไข้! หากเขายอมให้ตัวเองละเลยจนไม่ตั้งใจฟังคนไข้เล่าประวัติ คงรู้สึกผิดต่อวิชาชีพรวมทั้งอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้

เขาออกไปช่วยอาจารย์ที่คลินิกเฉพาะทางในช่วงบ่ายด้วยสมาธิแน่วแน่เหมือนทุกครั้ง

เพราะถึงจะไม่มีใครแล้ว แต่คนไข้ก็ยังรอเขา...
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 22-06-2015 03:42:02
คุณ milkteabeige ฮืออ ขอบคุณมากๆ สำหรับการอ่านเช่นกันค่ะ ขอบคุณที่อ่านเรื่องเก่าซ้ำด้วย พิธานเจอน้องษิตแล้วเป็นไงบ้างคะ 55

คุณ B52 ขอบคุณมากที่อ่านต่อเหมือนกันค่ะ แอบพัฒนาหน่อยๆ

คุณ LEO ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ คู่เก่า... ก็ยังเก่าต่อไป 55 รออีกเดี๋ยวว

คุณ iforgive อายอะค่ะ เอิ๊ก ข้ามปีกันเลยทีเดียว เรื่องนี้ใช้พลังงานมากต้องกันเวลาเอาไว้เขียนเลย จะพยายามเขียนมาเรื่อยๆ ค่ะ ทุกคนก็มีปัญหาให้ต้องแก้ไปแหละ แต่ท่าทางคู่นั้นจะราบรื่นไปก่อน

คุณ pim-lovemj ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม ฝากอ่านต่อด้วยน้า

คุณ pim_onelove ขอบคุณมากค่ะที่อ่านต่อน้า ฝากบทต่อไปด้วยน้า

คุณ i c u เราก็รักพิธานน ขอบคุณที่เชียร์พิธานค่ะ (แต่ดูเธอสิ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดตลอด) อดทนไว้นะ อีกนิดนึง

คุณ titansyui ขอบคุณค่า ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ

คุณภาณุเมศพลัง ขอบคุณสำหรับการอ่านมากค่า พี่พัทธ์แกถือคติ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามค่ะ 555 พิธานน่าจะอยาก keep himself busy มากกว่าจะได้ไม่ต้องยุ่งกับใคร 55 จวนแล้วค่ะ จะต้องมีสถานการณ์ให้คู่นี้ปะทะกันตรงกว่านี้แน่ เพราะแฟลชแบ็คสำคัญๆ เสร็จละ เหอๆ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจค่ะ

คุณ BeeRY 55 เพลงลอยมาเลย บทนี้ก็จะได้รู้สิ่งที่พิธานรู้หมดล่ะค่ะ ฝากอ่านต่อด้วยน้า แอบอายอะหายนานจนคนอ่านเริ่มลืมเนื้อเรื่องงง

คุณ piggyfree ขอบคุณมากนะคะ ไว้ว่างๆ ก็ค่อยมาอ่านไปน้า แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ สารภาพว่า เรื่องนี้แต่ละตอนเขียนนาน ใช้เวลานาน งานประจำก็ยุ่ง ก็เลยช้ากว่าจะลง รักษาสุขภาพเช่นกันค่ะ

คุณ sine ขอบคุณมากๆ ค่า ฝากอ่านด้วยน้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ไว้ว่างๆ ก็ค่อยอ่านไปเรื่อยๆ เนอะ

คุณ malula ขอบคุณมากค่ะสำหรับการติดตาม หมอพัทธ์แกปลื้มน้องษิตเป็นพิเศษก็เลยชมเยอะเป็นพิเศษ 55 พิธานออกจะยุติธรรมนะ 555 ไม่แกล้งน้องษิตหรอก ฝากอ่านต่อด้วยนะคะ คือจะพยายามมาเรื่อยๆ ค่ะอาจจะช้าเพราะงานประจำยุ่งมากจริงๆ ขอบคุณนะคะ ปลื้มจังเลย

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คิดถึงนีน่ากันไหม... (เดี๋ยวๆๆ) เพื่อนร่วมวอร์ดมีปัญหานี่ก็เป็นหนึ่งในวิบากกรรมที่น้องรักษิตจะต้องผ่านพ้นไปก่อนจบหมอ ไม่นับเรื่องอื่นๆ 55

บทนี้หมดสิ้นทั้งปวงฝั่งที่พิธานรู้ละนะคะ ต่อจากนี้เราจะได้มีพัฒนาการกันต่อไป หวังว่ากองเชียร์พี่ลภจะยังไม่หดหายนะ อิอิ เราต้องรู้ทั้งหมดทั้งมวลก่อนตัดสินใจ...

ขอบคุณคนอ่านทุกท่านมากๆ ค่ะ ฝากด้วยน้า
:กอด1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 22-06-2015 16:22:08
นีน่า เธอมาก่อกวนอีกแล้วววว เราเชื่อว่าทุกสายงานมีแบบนีน่าแน่นอนค่ะ และไม่รู้จะจัดการยังไงด้วยกับคนแบบนี้ แต่น้องษิตเป็นคนดีมากเลย มองโลกในแง่ดีมากๆๆ น้องษิตน่ารัก

พาร์ทนี้พี่หมอพัทธ์ไม่ออกอ่ะ คิดถึงจัง คิคิ

พี่หมอพิธานน่ารักค่ะ เป็นคนที่เก่งมากที่แยกทุกเรื่องออกจากกันอย่างขาดเลย เราว่าน้องษิตต้องประทับใจหมอพิธานแน่ๆ

ฟังเรื่องจากฝั่งหมอพิธานแล้วบีบหัวใจมาก ตอนแรกเข้าใจว่าพี่หมอพิธานไม่ฟังพี่หมอลภ แต่พอมาแบบนี้แล้วก็เข้าใจทั้งพี่หมอธานและพี่หมอลภ มันเศร้ามากเลย ทั้งที่ทั้งสองฝ่ายต่างประคับประคองกัน  มันอาจจะยากมากที่จะทะลายกำแพงในใจของพี่หมอธานอีกครั้ง แต่พี่หมอลภต้องสู้ๆ นะคะ ขอให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ขอให้ความสัมพันธ์พัฒนาไปในทางที่ดีได้ค่ะ พี่หมอพิธานก่อนที่จะปิดตัวเอง เป็นคนที่น่ารักมากเลยค่ะ

อ่านตอนนี้แล้วอินกับพี่หมอธานมาก ต้องพยายามกลั้น กลัวจะร้องไห้
ไม่อยากจะโทษคุณแม่ของน้องษิต แต่ถ้าต้องโทษใครซักคน อ่านมาถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจให้โทษคุณแม่ไว้ก่อนค่ะ แต่ก็เชื่อว่าคุณแม่อาจจะมีเหตุผลอะไรซักอย่าง ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันว่าจะยกโทษให้คุณแม่ได้ไหม 5555

คิดถึงทุกๆ คนเลยค่ะ ยกเว้นคุณแม่น้องษิตกับน้องนีน่า 5555
ขอบคุณคุณเดหลีด้วยค่ะ จะขอติดตามไปเรื่อยๆๆ เลย
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-06-2015 16:53:22
กระโดดถีบทัศนีย์  นี่หรือพฤติกรรมของคนที่จะเป็นหมอ  อีโก้จัดจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: i c u ที่ 22-06-2015 18:39:43
 :mew4:
พิธานยังน่ารักน่าสงสารเหมือนเดิมเลยยยย   แยกแยะเสมอระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว  ไม่กลั่นแกล้งน้องษิต  สนใจคนไข้  ยังไงก็ทีมพิธานนะคะ  สงสารจังเมื่อไหร่จะมีความสุขกับเค้าซะที///แม่ยกน้ำตาไหลพรากๆ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 22-06-2015 21:25:49
 :hao5: ตอนนี้ช่างหน่วงหนักกันทุกคนเลยอ่ะ หมั่นไส้ทัศนีย์เหลือเกิน น้องษิตช่างแสนดีเกินไปนะจ๊ะ
เค้ายังรอฉากหวานๆ ของพี่พัทธ์น้องษิตอยู่นะคะคุณเดหลี
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 23-06-2015 21:08:47
โถโถโถ...สงสารหมอออร์โธฯผู้เคยอกหัก เอ้ย! ขาหัก!!

เท่าที่อ่านดูเหมือนฟังความฝั่งพิธานข้างเดียว ต้องรอพี่ลภมาเฉลยว่าเกิดอะไรขึ้นทางฝั่งพี่ลภกันเเน่ พิธานของเราก็เหมือนจะผิดจังหวะไปหน่อย เลยไม่ได้พูดกันให้เคลียร์ สุดท้ายเลยเข้าใจผิดจนต้องเข้าป่าไปทำใจ นี่ขนาดไปทำใจมาเเล้วยังเเอบหวั่นไหวนิดส์ๆ อิอิ

เเต่พิธานเก่ง เเยกงานออกจากอารมณ์ได้ หน่วยก้านดูจะเป็นครูที่ดีได้ด้วยนะคะ ไม่รู้ว่าจะเเยกเหตุผลกับความรู้สึกต่อพี่ลภได้ดีเเค่ไหน

#ทีมพิธาน (เเต่เริ่มหวั่นๆจะเป็น #ทีมพี่ลภ เเล้ว)
เป็นกำลังใจให้คุณเดหลีนะคะ
ปล.น้องษิตเป็นเด็กดีมาก อยากให้ตัวเองตอนอายุเท่าน้องคิดได้เเบบนี้ 55
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-08-2015 01:18:18
เมื่อไหร่ยัยนีน่าจะโดนจัง ๆ ซะที นิสัยแบบนี้คนอื่นเดือดร้อนนะ
สงสารหมอพิธาน เจอแบบนี้ใครจะไปทำใจได้ อยู่ ๆ คนรักก็ห่างออกไปโดยไม่บอกเหตุผล ถึงบอกก็ไม่รู้จะรับได้ไหม เฮ้อ...
หมอลภจะง้อก็ต้องพยายามมาก ๆ หน่อยนะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 09-08-2015 22:25:33
อยากอ่านต่อแล้วค่ะ มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 10] 22 มิ.ย. 58 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: NiTRoGeN14 ที่ 20-08-2015 16:47:37
ได้กลับมาอ่านงานของคุณเดหลีอีกครั้งตั้งแต่รอยรักจำหลักใจ ปกติจะไม่อ่านเรื่องที่ไม่จบแต่เรื่องนี้ก็ทำให้อ่านจนได้
แล้วก็ต้องค้างรอเหมือนตอนรอยหลักฯ แต่ไม่เป็นไรค่ะ รอได้ 555

เรื่องนี้ภาษาที่ใช้ก็ยังดีเช่นเคย แต่เพราะเป็นอะไรที่ดูจะไกลตัวไปสักหน่อยเวลาอ่านเลยต้องค่อยๆ อ่านทำความเข้าใจนิดนึง
สารภาพค่ะว่ามีแอบเบื่อตอนพูดถึงเรื่องในวงแพทย์อยู่บ้าง ใจอยากกดข้ามสุดๆ 55
ชอบเวลาที่ษิตอยู่กับพี่ลภหรือพี่พัทธ์บรรยากาศมันดีมากๆ ค่ะ อ่านแล้วก๊าวใจอยากให้อยู่ด้วยกันนานๆ
ผู้ชายอย่างหมอลภหมอพัทธ์นี้คือผู้ชายในฝันเลย เป็นแบบที่ชอบ อายุมากกว่าใจดี อิอิ
แต่พอหมอพิธานโผล่มาเท่านั้นแหละรู้สึกอึดอัดแทนหมอแกเลย คนอะไรจะเก็บไว้กับตัวขนาดนั้น ไม่อยากคิดถึงตอนระเบิด
จะว่าเข้าใจคนที่เป็นแบบนี้ก็ใช่นะ แต่บางทีก็หงุดหงิดแทนค่ะ 55
อ่านเรื่องราวฝั่งหมอพิธานแล้วก็เห็นใจนะ แต่ถ้าตัดสินใจเคลียร์ไปเลยตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่เก็บกดถึงตอนนี้
หวังว่าพี่ลภจะกลับมากู้ศรัทธารักได้อีกครั้ง แม้จะชอบทำให้ถูกเข้าใจผิดครั้งแล้วครั้งเล่าก็เหอะ
ส่วนหมอพัทธ์ก็ขอให้จีบน้องษิตติดไวๆ นะคะ รายนั้นก็ดูไม่คิดอะไรเล้ยยย
เป็นเด็กจะว่าซื่อก็บอกไม่ถูก แต่ใสๆ อย่างนี้ล่ะน่ารักดีค่ะ ><
ขอเพียงแต่ยัยเง็กจะไม่มาวุ่นวายให้เกิดเรื่องอีกนะ ไม่ชอบคนแบบนี้เลยจริงๆ เห็นแล้วรำคาญ
สักวันเธอต้องได้รับผลตอบแทนกับสิ่งที่เธอทำ จำไว้! #อุ๊ย #อินไปหน่อย

หวังว่าจะได้อ่านตอนต่อไปจากคุณเดหลีเร็วๆ นี้นะคะ จะมาเฝ้ารอเรื่อยๆ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 22-09-2015 03:47:12
บทที่ 11

รักษิตเดินตามจนเจอเพื่อนร่วมวอร์ดที่กำลังจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มทำรายงานกันกับเขาและอนันต์อยู่ตรงส่วนล้างมืออีกฝั่ง โล่งใจได้ไม่นานที่ไม่ถึงกับต้องเปลี่ยนชุดใหม่เข้าไปตามถึงห้องพักรอเคส ทัศนีย์ก็เอ่ยกับเขาก่อนด้วยเสียงขุ่นๆ

“มาทำไมอีก เธอจะเข้าเคสนี้ด้วยหรือ”

คนถูกถามงงไปอึดใจ ตอบว่า “เปล่า... จะมาบอกเรื่องรายงาน พอดีเราอยู่กลุ่มเดียวกัน มีเอ้อีกคน”

อีกฝ่ายถอนใจเฮือกใหญ่ โบกมือข้างหนึ่งเป็นทำนองให้เขาพูดเร็วๆ

“เรารีบ จะเตรียมตัวเข้าเคส”

รักษิตไม่ถือสาท่าทางนั้น บอกว่า “พักกลางวันแล้ว ไปกินข้าวด้วยกันก่อน จะได้คุยเรื่องรายงานพร้อมกับเอ้ทีเดียวเลย”

ทัศนีย์มองเขาราวกำลังเผชิญกับคนที่พูดไม่รู้เรื่องที่สุดอยู่ “เราบอกว่าเรากำลังจะเข้าเคส!”

ฉับพลันนั้นเองรักษิตก็ได้ยินเสียงท้องร้อง ซึ่งเขาแน่ใจว่า... ไม่ใช่ท้องตัวเองแน่

“นี่...”

ทัศนีย์หน้าแดงแปร๊ด แผดเสียงใส่เขา “แล้วคิดว่าใครที่ทำให้เราไม่ได้กินข้าว!”

รักษิตพยายามทำใจให้เย็น ถึงไม่คิดว่าเป็นความผิดตัวเองเสียทีเดียวเรื่องชนกันอย่างโชคร้ายที่สุดในห้องผ่าตัด แต่เขาก็ไม่อยากเสียเวลาไปต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนผู้หญิง ไม่คาดว่าที่ยังไม่โต้ตอบกลับยิ่งกระพือแรงอารมณ์อีกฝ่าย เมื่อทัศนีย์พูดเสียงขึ้นจมูกว่า 

"ฮึ... ก็ไม่เป็นไรอยู่แล้วนี่ จะดูอะไร จะเข้าเคสไหนตอนไหนก็ได้ เพราะสนิทกับเฟลโลว์!"

พูดเสร็จก็สะบัดหน้าจากไป รักษิตถึงกับมึน ถ้าอาจารย์หรือแพทย์ประจำบ้านอนุญาต นักศึกษาแพทย์ก็สามารถเข้าดูการผ่าตัดได้นอกเหนือไปจากที่ได้รับมอบหมาย นักศึกษาแพทย์ทุกคนมีสิทธิ์นั้นเท่าเทียมกัน ทัศนีย์อาจจะเคยเห็นเขาทักทายหรือแม้แต่ติดรถของลภกลับบ้านโดยที่เขาไม่รู้

แต่นอกจากไม่เคยคิดจะขออะไรเป็นกรณีพิเศษแล้ว คนอย่างนายแพทย์ลภก็ไม่มีทางมาให้สิทธิพิเศษกับเขาเหนือคนอื่นอีกเหมือนกัน เรื่องนี้เขารู้จักอีกฝ่ายดี

รักษิตได้แต่เดินกลับลงไป กินข้าวที่เพื่อนมีน้ำใจซื้อเผื่อเอาไว้ให้อย่างไม่รับรู้รสชาติ พออนันต์รู้เรื่องก็ได้แต่ส่ายศีรษะ เขาเองยังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องนี้ อาจลองอีเมลหัวข้อให้ไปก่อน... แล้วแบ่งส่วนรับผิดชอบอีกที เพราะถ้าล่าช้าออกไปคนเดือดร้อนไม่ใช่แค่เขาหรืออนันต์ เจ้าตัวเองก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร ยิ่งกังวลกับคะแนนและเกรดอยู่

กินข้าวเสร็จเขาแยกกันกับเพื่อน ขึ้นไปบนวอร์ด เดินผ่านเคานเตอร์ข้างหน้ารู้สึกคุ้นตากับคนที่หันหลังกำลังโน้มตัวคุยกับพยาบาลจนต้องเหลียวมอง แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้อยู่อายุรกรรม... ได้ยินเสียงพยาบาลที่เพิ่งกลับเข้ามาทักขึ้น

“มาหาเพื่อนหรือหมอ... หมอพิธานแกไม่อยู่หรอก ไปออกเฉพาะทางกับอาจารย์”

รักษิตก็เลยเดินห่างออกไป ส่วนธีรพัทธ์ที่ไม่ทันเห็นรุ่นน้องตอบว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะกลับวอร์ด พอดีโดนตามมาดูคนไข้เหนื่อย”

“แหม แต่พี่เห็นหน้าหมอก็หายเหนื่อยล่ะ” คนทักว่า

“พักนี้ผมเยินจริงครับ... โทรมสุด”

“เยินยังไงก็ยังหล่อน้าหมอ” พยาบาลอาวุโสตรงเคาน์เตอร์แซวต่อ ก่อนแพทย์ประจำบ้านออร์โธปิดิกส์อีกคนจะแหย่ “ย้ายวอร์ดเลยป้า... อยู่นี่มันไม่เจริญตาเท่าเมด!”

พยาบาลค้อนควักเรสิเดนท์ผู้อาจหาญนั้น เพราะใครๆ ย่อมรู้ว่าเรียกพยาบาลว่าพี่ได้อย่างเดียวไม่ว่าใกล้เกษียณขนาดไหน

“แผนกเราก็มีหมอพิธานไง” คนถูกเรียกว่าป้าจะส่งประกวดประขันให้จงได้ “แต่แกชอบทำหน้าเช้ย เฉย...”

ธีรพัทธ์ยิ้มขัน กวาดตาไปรอบๆ เห็นรุ่นน้องอยู่เสียสุดมุมห้อง กำลังคิดว่าจะเดินไปหาเองก็พอดีหันมาเจอกรองพรที่ท่าทางรีบๆ แต่ยังอุตส่าห์ทักเขา “ไง... มาดูคนไข้เหรอ”

“ครับ เสร็จแล้วล่ะ”

กรองพรไม่ติดใจ เหลียวไปเหลียวมาพลางบ่น “น้องเรามันหายไปไหนหมด... อ้าวษิต ษิต!”

หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านกวักมือเรียกรุ่นน้องมาจนได้ บอกว่า “เอาเอกสารนี่ไปให้อาจารย์กอบที่ห้องประชุมตึกนู้นแล้วอยู่ช่วยอาจารย์แป๊บนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”

รุ่นน้องรับคำ ธีรพัทธ์เลยถือโอกาสเดินมาด้วย เย้าเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายออกจะยุ่งๆ

“เป็นไงขึ้นวอร์ดใหม่แล้ว ชอบออร์โธไหม”

รุ่นน้องพยักหน้า ธีรพัทธ์เลยแหย่ต่อ “ชอบมากกว่าเมดหรือยัง”

รักษิตไม่ตอบหรืออาจจะไม่ได้ยิน เงียบไปอึดใจค่อยถามขึ้น

“พี่พัทธ์เคยพูดกับใครแล้วเขาไม่ค่อยฟังบ้างไหม”

ธีรพัทธ์มองคนที่เดินข้างกันอย่างขำเต็มที ตอบว่า “ก็น้องไง”

“หือ?” รักษิตมองหน้าเขากลับอย่างเหรอหราจนธีรพัทธ์อดหัวเราะไม่ได้ ต้องบอก

“เอ้า ว่ามา คิดเรื่องอะไรอยู่”

รุ่นน้องมีท่าทีลังเล แต่ก็พูดออกมาในที่สุด “คือ... ผมไม่รู้จะพูดยังไงให้เขาเข้าใจดี เหมือนสื่อสารกันแล้วไปไม่ถึง”

คนฟังต้องถาม “ใครเหรอ”

คราวนี้อีกฝ่ายหยุดไปนิดก่อนจะบอกว่า “... คนไข้”

หากคำตอบกลับง่ายดายกว่าที่เขาคาด

“... บางทีก็ต้องปล่อยไป ให้ธรรมชาติคัดสรรเสียบ้าง”   

“พี่พัทธ์เอาจริงน่ะ”

ดูท่ารุ่นน้องจะคิดว่าเขาพูดอะไรใครก็ฟังสิท่า...
             
“ไม่ได้บอกให้ไม่ทำงาน เจออีกก็พูดเหมือนเดิม พูดเรื่องเดิมนี่แหละ หาวิธีต่างๆ นานา” หมออายุรกรรมอย่างเขาย่อมรู้ซึ้งถึงการปากเปียกปากแฉะเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนไข้เป็นอย่างดี “แต่พอถึงจุดหนึ่งต้องปลง จริงๆ... น้องอย่าไปแบกเรื่องทุกอย่างไว้กับตัวเองหมด ไม่ไหว”

รักษิตเม้มปากท่าทางครุ่นคิดจนธีรพัทธ์ต้องเอ่ยแกมหัวเราะ “อย่าเพิ่งเครียด เป็นเอ็กซ์เทิร์นหนักกว่าอีกนะ”

“ผมกำลังคิดว่า สำหรับเคสนี้... มันจะเร็วไปหรือเปล่า”

... ที่จะยอมแพ้แล้วปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรม อย่างน้อยก็ต้องลองคุยกันอีกสักที

“ก็ไม่บอกพี่ตรงๆ นี่” รอยยิ้มอย่างรู้ทันจุดขึ้นเมื่อธีรพัทธ์หันมองคนข้างกันเต็มตา “จะได้ให้คำแนะนำถูก”

เห็นสีหน้ารุ่นน้องแล้วก็ขำอีก ด้วยอาชีพและสาขาที่เรียนทำให้เขาเป็นคนจับสังเกตไว เรื่องสีหน้าท่าทีของคู่สนทนานับได้ว่าทัดเทียมกับความละเอียดของจิตเวชแม้จะมีจุดประสงค์ต่างกันอยู่เล็กน้อย กับคนไข้เขาต้องสนใจอยู่แล้วด้วยหน้าที่การงาน ส่วนรุ่นน้องคนนี้ เขาก็... สนใจเหมือนกัน 
 
ฝ่ายรักษิตคิดว่าเขาควรแก้ปัญหาด้วยตัวเองเสียบ้าง ตอนอยู่อายุรกรรมธีรพัทธ์ช่วยเขามามากแล้ว ปัญหาเพียงการรับมือกับเพื่อนร่วมวอร์ดเขาควรจะจัดการให้ได้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ถ้าผมผ่านไปไม่ได้ ปีหน้าจะทำยังไง ยิ่งต้องวนนอกตอนเป็นเอ็กซ์เทิร์นอีก ไม่โตซักที”

ธีรพัทธ์ยิ้ม รุ่นน้องหันไปเห็นเข้าพอดี เลยต้องบอกว่า “ดีที่ยังไม่ลืมเรื่องวนนอกโรงพยาบาลพี่”

“ไม่ใช่จะมีชิฟชวนไปทำงานด้วยบ่อยๆ” รักษิตว่าพลางหัวเราะ แล้วเอ่ยต่อ “... ทำไมพี่พัทธ์พูดเหมือนผมจะลืมอยู่เรื่อย”

“เปล่า...” รุ่นพี่ตอบ แต่ฉุกคิดเหมือนกันว่าตัวเองยังมีเรื่องของเพื่อนติดอยู่ในใจ จนเผลอกังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเขาอาจจะคิดไกลไปถึงตอนรุ่นน้องต้องใช้ทุนหลังเรียนจบแล้ว

ซึ่งถ้าเป็นไปได้... เขาก็อยากจะชวนอีกครั้ง   

“พอดี คิดถึงรุ่นพี่เมื่อก่อนมั้ง บางทีพูดๆ กันไว้แล้วไม่ได้ไป”

“ผมว่าคงสุดวิสัยจริงๆ” รักษิตก็เป็นรักษิต มองโลกในแง่ดีอยู่วันยังค่ำ

“... อย่างญาติน้อง ที่ตอนนี้เป็นเฟลโลว์” ธีรพัทธ์ไม่รู้ว่าเขาจะเลี่ยงไม่ออกชื่อทำไม ในเมื่อรักษิตก็รู้อยู่แล้วว่าลภเป็นแพทย์ประจำบ้านตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ แต่เอาเถอะ “พี่เคยได้ข่าวว่าเขาจะไปทำงานต่างจังหวัดอยู่เหมือนกัน หลังเรียนจบ”

รุ่นน้องขมวดคิ้วหน่อยๆ สีหน้าแสดงความฉงนแท้จริง “ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย พี่ลภพอจบก็ทำงานที่บริษัท คุณแม่บอกว่า พี่ลภจะทำตรงนี้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น หมายถึงพี่เขารู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา”

นั่นมันก่อนลภจะเข้าเป็นแพทย์ประจำบ้านที่นี่อีก... คำตอบนั้นทำให้ธีรพัทธ์ข้องใจอยู่บ้าง และยิ่งทำให้เขาสงสัยว่าเรื่องนี้มีเหตุผลไม่สอดคล้องกันอยู่หลายจุด แต่ยังไม่อยากจะกวนใจรักษิตให้ลึกลงไป เขาเข้าใจดีว่านักศึกษาแพทย์ในปีที่ห้า ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนขึ้นเป็นเอ็กซ์เทิร์นมีเรื่องให้หนักหัวสมองมากพออยู่แล้ว จึงเฉไฉไปว่า

“คนอื่นน่ะช่างเถอะ น้องนั่นแหละ อย่าปล่อยพี่รอเก้อนะ...”

ประโยคนั้นทำให้รุ่นน้องคลายสีหน้าลง และธีรพัทธ์ก็มองรอยยิ้มของอีกฝ่ายด้วยความโล่งใจ


... รักษิตแยกไปแล้ว เอาเอกสารไปให้อาจารย์ตามที่หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านสั่ง ธีรพัทธ์เลี้ยวซ้ายเพื่อกลับอายุรกรรม ก็พอดีปะเข้ากับ ‘ญาติ’ รุ่นน้องอย่างจัง

จนได้...

ความจริงถ้าเดินเจอเรสิเดนท์ด้วยกันเองหรือเฟลโลว์ในโรงพยาบาล ไม่ใครก็ใครจะต้องกำลังรีบไปที่ไหนสักแห่งอยู่ตลอด ที่ผ่านมาเขาสวนกับหมอลภบ้างหลังเหตุการณ์ในห้องฉุกเฉินก็ผงกศีรษะได้ตามมารยาท แต่นั่นก่อนที่เขาจะได้คุยกับพิธาน และมีเรื่องที่เพิ่งรู้จากรุ่นน้องยังคุกรุ่นอยู่

ลภกำลังเดินคุยงานมากับแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์กลุ่มหนึ่ง จนรุ่นน้องเหล่านั้นปลีกตัวแยกย้ายธีรพัทธ์จึงก้าวเข้าไป บอกอย่างไม่มีอารัมภบทว่า “จำเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าต้องผิดสัญญาเหตุผลมันก็ควรฟังขึ้นบ้างถึงจะมีคนฟัง”

ลภไม่มีท่าทีประหลาดใจที่จู่ๆ แพทย์รุ่นน้องก็พูดขึ้นเช่นนั้น ถามกลับเรียบๆ “หมอคิดว่าเหตุผลที่ฟังขึ้นอย่างเช่น...?”

ถึงจะหงุดหงิดอยู่บ้างที่เฟลโลว์ถามด้วยน้ำเสียงเหมือนทดสอบภูมิความรู้เขาในวอร์ด แต่ธีรพัทธ์ก็ตอบว่า “ถ้าไม่ใช่คอขาดบาดตายเจียนตายกันจริงๆ ผมก็ไม่รู้แล้ว”

ลภมองเขาด้วยสายตาอ่านไม่ออก แล้วจึงถอนใจ “หมอมีอะไรจะพูดก็พูดตรงๆ เลยแล้วกัน”

เมื่ออีกฝ่ายไม่อ้อมค้อม ธีรพัทธ์ก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องเกริ่นนำ “ถ้าต้องประจำบริษัทแน่ ก็ไม่น่าสัญญาอะไรที่รู้อยู่แล้วว่าจะทำไม่ได้”

“งานที่นั่นแค่ชั่วคราวเท่านั้น”

“ชั่วคราวอะไรนานป่านนี้!” ธีรพัทธ์พยายามลดเสียงด้วยรู้ตัวว่ายืนกันอยู่ตรงทางเดิน คราวนี้ไม่ได้คำตอบ หรือลภอาจจะไม่คิดว่าต้องตอบ จึงบ่นอย่างขัดใจ

“รู้อย่างนี้ ไม่เป็นพยานเสียก็ดี”

“เรื่องที่ผมเคยให้หมอช่วย ไม่เกี่ยว” ลภบอก “พิธานคือคนที่ผมไว้ใจมากที่สุดไม่เปลี่ยนแปลง”

มีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงประโยคสุดท้ายนั้นที่ทำให้อารมณ์ที่เริ่มจะพุ่งทะลุปรอทของเขาลดระดับลงมา ธีรพัทธ์เตือนตัวเองเสมอตั้งแต่แรกว่า นี่คือเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่... ต่อไปจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพิธาน ถึงแม้เขาจะเคืองนายแพทย์ลภมากขนาดไหน แต่เพื่อนของเขาไม่ได้ต้องการการปกป้อง และเด็ดเดี่ยวพอที่จะพิจารณาตริตรอง ชั่งน้ำหนักได้ด้วยตนเอง

ตัดเรื่องส่วนตัวออกไป ให้ภายภาคหน้าทั้งสองคนคงสถานะไว้เพียงเพื่อนร่วมงาน พิธานก็เป็นแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถและจรรยาบริบูรณ์คนหนึ่ง ในฐานะเพื่อนร่วมวิชาชีพ ธีรพัทธ์ไม่คิดว่าอีกฝ่ายมีอะไรให้สงสัย คำพูดของนายแพทย์ลภบอกชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความวางใจอย่างสนิทนั้น... ยังคงเดิม
 
เมื่อนาทีต่อมาโทรศัพท์ตามตัวทั้งเขาและลภดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างต้องผละไปทำหน้าที่... ทิ้งทางเดินอันขวักไขว่วุ่นวายระหว่างตึกของโรงพยาบาลไว้เบื้องหลัง

   
“หมอ... มาเช้าจัง ทานข้าวก่อนไหมคะ คนไข้ยังไม่ลงมาเลย”

พิธานเพียงตอบปฏิเสธสั้นๆ และบอกให้พยาบาลที่ทักเขาทานก่อนได้ตามสบาย ท่าทางคนนี้จะยังใหม่... เพราะไม่เช่นนั้นคงชินกับการมาถึงก่อนเวลาผ่าตัดของเขาจนไม่แปลกใจไปแล้ว

ครู่ต่อมาศาสตราจารย์นายแพทย์กอบชนม์จึงตามมาสมทบในห้องพักรอเคสพร้อมแพทย์ประจำบ้านต่อยอดจากศัลยศาสตร์หลอดเลือดคนเดิมที่เขาพยายามจะชินเหมือนกันกับเวลาอีกหนึ่งปีกว่าๆ ที่ต้องพบหน้าอยู่ในโรงเรียนแพทย์ ดูอย่างกรณีคนไข้สงสัยลิ่มเลือดอุดตันนั่น ที่จริงอาจจะนอนให้ยาที่อายุรกรรมก่อนก็ได้ แต่สุดท้ายก็ไพล่มาฝากที่ศัลย์...

พิธานหวังว่าหากเขาจดจ่ออยู่ที่คนไข้และงานในหน้าที่แล้ว คนอื่นและเรื่องอื่นจะถูกกันออกไปวงนอกสุดของความสนใจด้วยเช่นกัน

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว การผ่าตัดจึงดำเนินไปตามปกติ ดูจะราบรื่นดีจนกระทั่งมีการเชื่อมต่อหลอดเลือดหรือที่เรียกว่าอนาสโตโมซิส เลือดจากคนไข้ก็ฉีดกระเด็นมาทางศัลยแพทย์พอดิบพอดี

"ว้าย!" พยาบาลส่งเครื่องมือที่เห็นเหตุการณ์เข้าร้อง

"เข้าตาหรือเปล่า" อาจารย์ถามทันที

"เปล่าครับ" ลภตอบหลังจากนิ่งไปครู่

อุบัติเหตุในการทำงานเกิดขึ้นได้เสมอ ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองเป็นศัลยแพทย์ที่พยายามละเอียดรอบคอบมากที่สุดคนหนึ่ง แต่อนาสโตโมซิสอาจส่งผลให้วิถีเลือดพุ่งมาแบบเดาทิศทางไม่ได้...

“ไม่แน่ว่าจะไม่เข้าครับอาจารย์” คนพูดคือพิธาน เสียงที่ลอดผ่านหน้ากากฟังไม่ชัดนักว่าผู้พูดรู้สึกเช่นไร

“นั่นสิ... เอางี้ หมอออกไปล้างแล้วรอก่อน”

ที่อาจารย์เห็นด้วยคงเป็นเพราะว่ายังมีโอกาสที่เลือดจะกระเซ็นเข้าทางด้านข้างที่แว่นกันได้ไม่หมด... ลภจำเป็นต้องออกจากห้องผ่าตัด ครู่หนึ่งอาจารย์กอบชนม์จึงออกมาหลังมีสตาฟอีกท่านสามารถเข้าช่วยได้ด้วย นอกจากแพทย์ประจำบ้านรุ่นน้องของพิธานที่ตามมาเข้าห้องผ่าตัดอีกคน

"เขียนบันทึกรายงานหัวหน้าภาคศัลย์ไว้ แล้วหมอไปตรวจเลือดเทียบ" อาจารย์เอ่ยรวดเร็ว “ถึงผลเลือดคนไข้จะเป็นลบหมดตอนนี้ แต่เราก็ต้องทำตามระเบียบ”

“ไม่ใช่แค่นั้นครับ อาจารย์” ลูกศิษย์ที่เพิ่งเดินตามมาทีหลังบอก สีหน้าพิธานหนักใจเมื่อพูดว่า “... คนไข้มีรอยเข็มฉีดยา... หลายรอย กับผื่นที่น่าจะเกิดขึ้นจากการเสพยาโดยฉีดเข้าเส้น”

ผลเลือดของคนไข้เป็นลบก็จริง แต่กับผู้ที่มีร่องรอยเคยเสพยา หมายถึงความเสี่ยงต่อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้นเพราะเขาอาจใช้เข็มร่วมกับคนอื่น ดังนั้นผลลบตอนนี้อาจเป็นเพราะว่ายังตรวจไม่เจอก็ได้ ยิ่งเคสที่ไม่ได้เซ็ตแบบฉุกเฉิน อาจจะตรวจเลือดก่อนการผ่าตัดนับเป็นสัปดาห์ กระทั่งว่าตรวจเลือดเรียบร้อยแล้วคนไข้ค่อยใช้เข็มฉีดยามาเสพก็ยังเป็นไปได้ เพราะไม่ได้นอนอยู่โรงพยาบาลตลอด

“อย่างนั้นหรือ” อาจารย์มีท่าทางเคร่งเครียดขึ้น “หลังคนไข้ฟื้น หมออาจจะต้องไปคุยกับเขาอีกที เพราะเราคงต้องขอเขาตรวจเลือดซ้ำ นี่ล้างดีแล้วใช่ไหม จะได้ไปเจาะเลือดต่อ”

“ครับ” แค่เรื่องล้างตาเองลภคิดว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงคนที่เรียนมาจนจะจบซับบอร์ดอย่างเขา แต่อาจารย์กลับหันไปสั่งลูกศิษย์ในภาค

“หมอช่วยดูหน่อย... เดี๋ยวผมต้องกลับเข้าไปแล้ว”

ลภจึงต้องล้างตาอีกครั้งโดยคราวนี้มีคนช่วย

“เอียงศีรษะหน่อย” เสียงพิธานเรียบเหมือนเคย แต่เปิดเปลือกตาเขาไว้อย่างเบามือ ขณะเทน้ำเกลือปลอดเชื้อให้ไหลผ่าน

ใบหน้าของพิธานถูกม่านน้ำบดบังเอาไว้จนเขาเห็นเพียงความพร่าเลือน

เมื่อเสร็จ พิธานก็บอกว่า “คุณไปเจาะเลือดเลยแล้วกัน ผมจะเข้าช่วยอาจารย์ต่อ”

ลภได้แต่มองตามคนที่หันหลังกลับไปล้างขัดมือใหม่ เขาอาจจะหวังมากเกินไป ตาฝาด... ที่เห็นร่องรอยห่วงกังวลปรากฎขึ้นในสีหน้าแววตานั้น


เขาไปเจาะเลือด เขียนบันทึกแจ้งหัวหน้าภาค แล้วกลับไปทำงานต่อ จนคะเนได้เวลาที่คนไข้น่าจะฟื้นและได้พักผ่อนบ้างแล้วจึงขึ้นลิฟต์ไปวอร์ด

ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสี่ ผู้ก้าวเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น พิธานไม่พูดอะไร

ลภคิดว่าจุดหมายปลายทางของทั้งเขาและอีกฝ่าย อาจจะเป็นที่เดียวกัน... แม้เพียงแค่ชั่วคราวก็ตามที

ช่วงเย็นวันนี้ลิฟต์ว่างกว่าปกติ เมื่อพิธานยังไม่ออกจากลิฟต์ เขาจึงถามขึ้น “ธานจะไปดูคนไข้เมื่อเช้าหรือ”

พิธานเพียงแต่พยักหน้า

"... ห่วงพี่หรือ"

อีกคนที่ตาจับอยู่กับเลขชั้นลิฟต์บอก "อาจารย์ติดเคส แล้วผมก็เข้าผ่าตัดร่วม มีสิทธิ์ไปคุยกับคนไข้"

ลภถอนหายใจ หากรอยยิ้มผุดขึ้นบางเบา "ตอบเสียยาว แค่ ใช่ หรือ ไม่ ก็พอ”

ในลิฟต์มีเพียงความเงียบ สิ่งที่ยังเคลื่อนไหวมีแต่ตัวเลขแสดงชั้นของลิฟต์ที่ขยับอย่างเชื่องช้าเท่านั้น
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: เดหลี ที่ 22-09-2015 03:53:32
คุณ milkteabeige ขอบคุณมากค่าสำหรับการอ่าน นี่ษิตยังจัดการนีน่าไม่ได้เลย 55 แต่รอก่อนเถอะ ป.ล. พี่พัทธ์มาล่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะที่อินนะ สำหรับคุณแม่ แกคงมีเหตุผลของแกแน่นอน แต่ไม่รู้ฟังขึ้นป่าวนะ ฝากติดตามด้วยนะคะ ถึงจะมาช้าแต่จะพยายามค่ะ

คุณ iforgive มากเลยค่ะ 55 เป็นคนน่าหมั่นไส้

คุณ i c u ขอบคุณแม่ยกพิธานค่ะ อิอิ ฝากเชียร์ต่อด้วยน้า

คุณ pim-lovemj น้องษิตเป็นคนดีน่ะค่ะ 55 ดีไป๊ ไม่จัดคืนบ้างไรบ้าง สองคนนั้นมาแล้วค่ะ มาแบบเรื่อยๆ 55

คุณภาณุเมศพลัง กว่าฝั่งพี่ลภจะมานี่... ก็พิธานไม่ฟังอ้ะ พี่ลภแกจะพูดกับลมฟ้าอากาศที่ไหนล่ะ ผิดจังหวะกันจริงๆ แหละ พี่ลภแกก็มีเรื่องต้องทำนะ แต่การสื่อสารผิดพลาด... ขอบคุณมากค่ะสำหรับกำลังใจ

คุณ malula เด๋วก่อนค่ะ นีน่านี่ไม่รู้จะโดนอะไร 55 หมอพิธานแกไม่อยากเฮิร์ตแล้วนะ

คุณ myd3ar ขออภัยที่ต้องรอนานอีกแล้ว... มาแล้วค่ะ

คุณบัวน้อย ไร่แตงโม ขอบคุณมากๆ ค่ะที่อ่านเรื่องนี้ด้วยน้า คนเขียนช้าสุดเลยเรื่องนี้ 55 มีประเด็นอื่นในเรื่องแวดวงวิชาชีพเขาอยู่บ้างน่ะค่ะ แต่จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นนะ คนอ่านจะได้อ่านหนุกๆ นะ พิธานแกเป็นคนนิสัยแบบนี้เองอะ เข้าหายากพอออกไปแล้วก็ไม่ต้องกลับเข้ามาอีกเลย 555 โฟกัสเรื่องงานดีก่า ตอนนั้นแกไม่รู้จะเคลียร์กะใครค่ะ หมอลภก็ไม่อยู่ล่ะ กว่าจะกลับมาก็... นะ น้องษิตแกฉลาดแต่แกอาจจะหัวช้ากับบางเรื่อง ดีมากค่ะเรียกเง็กด้วยชื่อจริงๆ ของนาง 55 จะพยายามมานะคะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีคนอ่านค่ะ... ตอนนี้คนเขียนเพลียมากงานหนักมากกก เหนื่อยมากจริงๆ และเพลียตัวเองที่มาต่อไม่ได้เร็วกว่านี้ ยังไงก็ต้องขอบคุณคนอ่านมากๆ เลยนะคะ

จริงๆ แล้วพี่พัทธ์อาจจะรู้อะไรมากกว่าที่เราคิดก็ได้นะ (ถ้าเราเชื่อว่าน้องษิตแกพูดจริงทุกคำนะ... 55 ถ้าเราเชื่อน้องษิตไม่ได้ก็ไม่รู้จะเชื่อใครละ)

ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามอ่านกันค่า รักคนอ่าน
:กอด1: 
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-09-2015 09:07:49
อึมครึมจริง ๆ คู่ของพิธานเนี่ยะ  เฮ้อ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-09-2015 09:53:50
หมอลภนี่ก็น่าโมโหเสียจริง เหตุผลไรก็ไม่พูด จะให้คนทั้งโลกมาเข้าใจได้ยังไง
คนที่รอด้วยความไม่รู้อะไร มันท้อนะเฮ้ย แล้วที่แย่คือพอไม่รู้อะไรเลยคิดเลยเถิดไปต่าง ๆ นานา
อุบัติเหตุครั้งนี้น่าจะทำให้หมอลภหมอพิธานได้กลับมาเคลียร์ปัญหาคาใจกันเสียที
หมอพัทธ์หยอดหนักมาก แต่น้องษิตจะรู้หรือไม่เป็นอีกเรื่องเนาะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: NiTRoGeN14 ที่ 22-09-2015 12:56:38
ยัยเง็กทำตัวน่ามคานอีกแล้ว ชีวิตเคยเจอคนแบบนี้เหมือนกันนะคะ เข้าใจความรู้สึกน้องษิตเลย
พูดไปเท่าไหร่เขาก็ไม่รับแบบนี้มีแต่เหนื่อยอ่ะ มันต้องให้ธรรมชาติคัดสรรอย่างที่หมอพัทธ์ว่าจริงๆ
ตอนนี้สั้นๆ แต่พี่หมอเขามีโอกาสหยอดโอกาสทำคะแนนจากน้องได้เสมอ (แต่น้องจะเข้าใจไหมนั้นอีกเรื่อง 555)
สกิลจีบขั้นสูงมากกกอยากให้พี่ลภมาดูเป็นตัวอย่างจุง
แบบหมอลภมันน่าตีไปหน่อยค่ะ เล่นตัวมากหรือมีเหตุผลที่ทำให้ต้องอมพะนำกัน?
(ตอนนี้มีปริศนามาให้ติดตามอีกล่ะว่ามีคดีอะไรกันมาก่อนอีก)
นี่ถ้าไม่มีอุบัติเหตุในห้อง OR จะเรียกความเห็นใจจากคนแบบหมอพิธานคนซึนได้ไหมฮึ
รายนี้ก็ยังคงเส้นคงวาความใจแข็งเหมือนเดิมเป็นห่วงก็บอกว่าห่วงสิจะอ้อมทำไม ยังไงสุดท้ายก็โดนหมอลภจับได้อยู่ดี หุหุ
แต่ก็ดีค่ะปากแข็งแบบนี้คนอ่านจะได้เจอฉากพี่หมอง้างปากบ่อยๆ
เราชอบเวลาพี่ลภคุยกะหมอพิธานมากเลย แลดูกรุ้มกริ่มบอกไม่ถูกค่ะ ><

ตอนนี้อ่านง่ายขึ้นนะคะ ฉากบลีดดิ้งก็อ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ
ความจริงทำเคสแล้วเจอแบบนี้มันก็ซีเรียสอยู่นะคะ แต่ทำไมเราอ่านตอนบลีดดิ้งแล้วแอบขำก็ไม่รู้
คือในหัวนี่คิดไปถึงเลือดกระฉูดพุ่งใส่หน้าหมอเหมือนในฮันนิบาลไปซะงั้น
สงสัยจะดูฉากนั้นมากไปหน่อย แทนที่จะเป็นห่วงหมอลภเลยขำแทน (ไม่เป็นไรมีหมอพิธานคอยเป็นห่วงแล้วนะ *ตบไหล่ๆ*)
หวังแต่ว่าหมอจะไม่ติดเชื้อนะคะ ไม่งั้นคนอ่านนี่แหละค่ะจะโศกก่อน TT______TT

รอคุณเดหลีมาต่อตอนหน้านะคะ *แจกหัวใจ*
 :L2:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 23-09-2015 23:02:37
พี่หมอพัทธ์มาแล้วๆๆ ชอบบรรยากาศระหว่างพี่หมอพัทธ์กับน้องษิตมากๆ ค่ะ ชอบความใจดีของพี่หมอพัทธ์มากๆ

น้องษิตเป็นคนจิตใจดีมาก เมื่อไหร่นางคนนั้นจะเข้าใจอะไรๆ ซักทีนะ คือแบบเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ บางทีก็ต้องปลงบ้างค่ะ เหมือนที่พี่หมอพัทธ์ว่าไว้ อย่าแบกโลกไว้ทั้งใบ

ส่วนคู่อึมครึมของเรา พี่ลภคงต้องใช้เวลามหาศาล กว่าจะกระเทาะกำแพงหัวใจของหมอพิธานได้

ขอบคุณคุณเดหลีมากๆ ค่ะ ยังไงก็รออยู่ตลอดนะคะ ตามเก็บเรื่องสั้น(สมาคมขนสั้น)ของคุณเดหลีเรียบร้อยแล้วด้วยค่ะ ชอบมากกก ยังรู้สึกว่าตอนนั้นทำไมถึงไม่ยอมอ่าน 5555
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-09-2015 18:43:01
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 07-10-2015 22:48:09
ขอแอบปักหมุดตรงนี้ค่ะ
ติดตามนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-02-2016 10:27:42
หายไปนานเลยนะคะ โปรดทราบคิดถึงมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 22-02-2016 14:47:42
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 08-04-2016 14:17:19
 :sad4:

ยังคงเฝ้ารออย่างเหนียวแน่นค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 08-04-2016 16:58:37
เพิ่งเข้ามาอ่านจ้าสนุกกว่าที่คาดเยอะเลย
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: basanti ที่ 09-04-2016 16:07:00
พลาดอย่างแรงเลยเพิ่งมาเห็นเรื่องใหม่ของคุณเดหลี ชอบงานของคุณเดหลีมากโดยเฉพาะรอยรัก...จำหลักใจ  :-[

ขออนุญาตทำสารบัญให้นะ


บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg2676581#msg2676581)  ❤  บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg2710560#msg2710560)  ❤  บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg2723306#msg2723306)  ❤  บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg2732766#msg2732766)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg2748203#msg2748203)  ❤  บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg2775289#msg2775289)  ❤  บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg2792186#msg2792186)  ❤  บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg2899640#msg2899640)
บทที่ 9 (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg3051055#msg3051055)  ❤  บทที่ 9 (ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg3054342#msg3054342)  ❤  บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg3100715#msg3100715)  ❤  บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41758.msg3183561#msg3183561)

โปรดติดตามตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 04-10-2016 14:22:37
ยังรอคอยคุณเดหลี อย่างมีความหวังค่ะ

 :sad4:
หัวข้อ: Re: ฝากไว้ในมือเธอ [บทที่ 11] 22 ก.ย. 58 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: LALYNN ที่ 23-02-2017 10:00:09
ยังรออ่านงานคุณเดหลีอยู่นะคะ  :mew2: