รักคืออะไร?
คำๆ นี้ มีความหมาย มากมายเกินใครจะรู้
อยากจะเห็น อยากลองดู แม้เดิมพันด้วยชีวิต
รักคืออะไร ไม่มีคำตอบ รู้เพียงว่ารัก คำนี้ที่เราต้องการทุกคน
รักคืออะไร ไม่มีใครตอบ รู้เพียงว่ารัก นำฉันให้มาพบเธอ
กี่รอยช้ำ กี่รอยแผล ก็ยอมเพื่อคำๆ นี้
อาจจะร้าย อาจจะดี ขอลองพิสูจน์กับมัน
รักคืออะไร ไม่มีคำตอบ รู้เพียงว่ารัก คำนี้ที่เราต้องการทุกคน
รักคืออะไร ไม่มีใครตอบ รู้เพียงว่ารัก นำฉันให้มาพบเธอ
จะวันนี้วันไหนความรักไม่มีวันจากโลกไป
จะกลายเป็นตำนาน บันทึกเรื่องราวดีๆ มากมาย
อานุภาพแห่งรัก นั้นแสนจะยิ่งใหญ่ กว่าใดๆ
อยากจะรู้ความหมาย ต้องค้นกันไปอีกนาน
เรื่องสั้นฆ่าเวลา ไม่มีสาระ ไม่มีความหมายอะไร...
“คืนนี้ไปไหนกันดีวะ” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยถามเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน
“ที่เดิมแล้วกัน ไปแก้เซ็งก็ดี หนักมาทั้งอาทิตย์เลยมึง กูเหนื่อยโคตรๆ”
คนพูดที่ตัวสูงกว่ายกมือขึ้นกอดรอบคอเพื่อนเดินออกจากตึกเรียน
แต่อีกคนหยุดฝีเท้าหันกลับไปด้านหลัง
ดวงตาโตจ้องมองใครบางคนที่นั่งซบหน้าอยู่กับกระเป๋าเป้ตรงโต๊ะม้าหินอ่อน
“ปอ เราชวนมันไปด้วยดีมั้ยวะ กูไม่เห็นมันพูดกับใครเลย มันอาจจะอยากมีเพื่อน”
คนตัวสูงกว่าหันไปมองเพื่อนร่วมโลกแล้วส่ายหน้า
“อย่าเลยว่ะ มันทำตัวเองนี่หว่า หยิ่งเองก็ช่วยไม่ได้ อย่าไปยุ่งกับมันเลย ต่างคนต่างอยู่ก็ดีอยู่แล้ว”
“มึง...ใจร้ายว่ะ” สิ้นเสียงสุดท้าย คนพูดก็ถูกดึงออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
และเสียงตะโกนเรียกจากเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่ยืนรออยู่ตรงลานจอดรถ
ไม่นานต่างก็แยกย้ายกันออกเดินทางไปยังจุดนัดพบที่ได้คุยกันไว้ล่วงหน้า
เสียงพูดคุยเลือนหายไป ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงบไร้ผู้คน
ทำให้คนที่ฟุบอยู่กับกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ดวงหน้าหม่นหมองก้มลงมองฝ่ามือ
มองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจมลืมเวลา ไม่ทันสังเกตว่าใครอีกคนเดินเข้ามาใกล้
แล้ววางมือบนไหล่คล้ายต้องการปลอบใจ
“ดิน กลับบ้านกัน” เสียงเรียกทำให้ต้องเงยหน้ายิ้มให้กับคนเรียก
เขาพยักหน้าแล้วลุกตามไป ทำเหมือนที่เคยทำทุกวัน
“วันนี้พี่ลมไปไหนรึเปล่า” คนน้องเอ่ยถามพี่ชายเมื่อรถจอดในตัวบ้านสองชั้นหลังกะทัดรัด
“คงออกไปไม่นานหรอก ถามทำไม?” พี่ชายปิดประตูรถ มองตามน้องชายที่ไม่ตอบอะไร
แต่หันหลังเดินนำเข้าด้านในไปก่อน เห็นแบบนั้นก็เลยเดินออกไปปิดประตูรั้วหน้าบ้าน
ฟ้าครึ้มทำให้ดูเหมือนจะมืดเร็วกว่าปกติ อีกไม่นานฝนคงจะตก
ดวงตาหม่นแสงมองไร้จุดหมายไปยังก้อนเมฆบนฟ้า นึกถึงความสุขที่อยู่แสนไกลเกินจะเอื้อมถึง
ชีวิตเพียงใช้ไปวันต่อวัน หวังให้ความทุกข์ที่มีเลือนหายไปในสักวันหนึ่ง
ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรทั้งหมดที่มี ก็อยากให้ถึงวันที่มีความสุขจริงๆ เสียที
ดินกินข้าวเสร็จก็อาบน้ำ แล้วนอนดูละครอยู่บนเตียง สายตาเหลือบมองพี่ชายที่เดินเข้ามาในห้อง
นั่งลงข้างๆ แล้วยื่นหน้ามาหอมแก้มเขาเหมือนที่เคยทำ
“อย่ากลับดึก ขับรถดีๆ ด้วย” เอ่ยบอกพี่ชายพร้อมขยับเข้าไปกอดไว้ครู่หนึ่ง
“เราก็อย่านอนดึกนะ พี่ให้ดูได้แค่สี่ทุ่ม ไม่อย่างนั้นเอาไปทิ้งแน่ๆ”
คนพูดหันไปคาดโทษเอากับทีวี แล้วลุกออกจากห้องไป ทิ้งน้องชายไว้ตามลำพัง
“ปล่อยนะ พากูมาทำไม มึงคิดจะทำอะไร”
ลมมองคนที่ขยับตัวหนีเขาไปถึงหัวเตียงด้วยสายตาไม่บ่งบอกอารมณ์
เขาลักพาตัวมันมาเมื่อสักครู่ ตัวมันเตี้ยกว่าเขาแล้วก็ผอม ไม่ได้ยากในการฉุดขึ้นรถ
หรือกระทั่งลากเข้ามาในห้องนอน
“ตะโกนไปก็ไม่มีคนมาช่วยได้หรอก รู้อย่างนี้แล้วจะเสียงดังให้เหนื่อยอีกมั้ย”
“มึงพากูมาที่นี่ทำไม” เป็นคำถามที่แสดงความกังวล สีหน้าของคนพูดดูหวาดกลัว
แน่ล่ะเขาสู้แรงมันไม่ได้ก็เห็นๆ กันอยู่ แล้วจะไม่กลัวได้อย่างไร
“คงไม่ได้พามานอนเล่นหรอกมั้ง” คนพูดก้าวขึ้นเตียง
ดึงคนที่พยายามขยับหนีเข้าสู่อ้อมกอด “ไม่รุนแรงหรอก...”
บางครั้งความเจ็บปวดก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะสัมผัสที่ได้รับ
แต่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกต่อเรื่องที่เกิดขึ้นต่างหาก
เสียงสะอื้นดังมาจากคนข้างตัวทำให้ลมเพิ่มแรงกอด แม้จะไม่ช่วยบรรเทาเบาบางอะไรได้
แต่อย่างน้อยก็เป็นการปลอบโยนจากความตั้งใจของเขา แม้แต่การทำร้ายก็มาจากความตั้งใจไม่ต่างกัน
ความรู้สึกปวดตัวทำให้ออมร้องออกมา เวลาเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แค่ว่าปวดหัวตัวร้อนไปหมด
ได้ยินเสียงคุยกันดังเข้ามาใกล้ ความทรงจำบางอย่างไหลเวียนกลับมา
ทำให้ต้องหลับตานิ่ง อย่างน้อยก็ยังไม่อยากพูดคุยอะไรกับใครตอนนี้
“พี่ลม ทำยังไงดี ดูเหมือนจะตัวร้อนล่ะ” เสียงไม่คุ้นเคยดังขึ้น
หลังจากฝ่ายนั้นยื่นมือมาอังหน้าผากของออม
“เดี๋ยวดินไปต้มโจ๊กดีกว่า พี่ลมเช็ดตัวให้ออมนะ ไว้ให้ดีขึ้นก่อนค่อยพาไปส่งดีกว่า”
คนแกล้งหลับอยากจะบอกเหลือเกินว่า ช่วยพาเขากลับไปส่งที
ไม่ต้องมาคอยดูแลให้ลำบากหรอก แต่พอคิดอีกทีถ้าต้องกลับไปในสภาพนี้ก็ลำบากไม่น้อย
ว่าไปแล้วก็ลำบากใจทั้งสองทางเลือก ยังไม่ได้ทันได้ว้าวุ่นต่อ
ก็รับรู้ถึงสัมผัสอุ่นที่ไล้เช็ดไปตามหน้าและลำตัวเปล่าเปลือย
ผ้าอุ่นๆ นั้นลากผ่านไปทุกจุดอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน ขัดกับความรู้สึกที่มีต่อกันเสียเหลือเกิน
“รู้สึกยังไงบ้าง” เสียงนั้นเอ่ยถามเมื่อออมลืมตาขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาหา
ริมฝีปากทิ้งสัมผัสไว้บนหน้าผากเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “หิวมั้ย”
“อย่ามายุ่ง...” เป็นคำตอบเดียวที่ออมอยากจะตอบ
“ถ้าไม่หายป่วย ก็ไม่ต้องกลับนะ” คนพูดลุกขึ้นยืน เซไปเล็กน้อย
แต่ก็เดินถือกะละมังเข้าห้องน้ำหายไป
“ตื่นแล้วเหรอ กินโจ๊กก่อนนะ จะได้กินยา” ดินกลับเข้ามาพร้อมชามโจ๊ก กลิ่นหอมไปทั่วห้อง
ออมจ้องมองเพื่อนร่วมห้องตาแทบถลน เขาไม่เคยได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดกับใครด้วยซ้ำ
ทั้งที่เรียนร่วมห้องกันมาเกือบสองปี “มึงรู้เห็นเป็นใจกับพี่มึงเหรอ” สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“เปล่า เพิ่งรู้” ดินตอบแค่นั้น เป่าโจ๊กในมือก่อนจะป้อนให้ออม
ช่างดูอ่อนโยนเหมาะสมกับหน้าหวานๆ ของมัน ออมเลยต้องยอมกินดีๆ กลัวมันเสียน้ำใจ
ลมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ สีหน้าดูเหนื่อย มันเหลือบมองออมนิดหนึ่ง
ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนอีกฝั่ง ดินวางมือจากชามโจ๊กเดินเข้าไปหาพี่ชาย
ทรุดตัวลงข้างเตียง เลื่อนมือลูบหน้าพี่ชายที่หลับตานิ่ง
“พี่ลม ปวดหัวเหรอ” คนถูกถามพยักหน้านิดหน่อย “งั้น นอนพักสักหน่อยนะ ไม่ได้นอนเลยนี่”
ดินแสดงแววตาเป็นห่วงให้ออมเห็นชั่วครู่ ก่อนจะลุกมาป้อนโจ๊กให้ออมต่อ
“พี่มึงออกแรงมากเลยเป็นลมหรือไง” ออมประชด ทำหน้าเบ้ใส่คนนอนหลับ
ดินมองคนพูดหน้าเสีย เขารู้ว่าออมคงโกรธพี่ชายเขามาก แต่ก็คงแก้ตัวแทนไม่ได้ “อดนอนน่ะ...”
“น่าจะตายไปซะเลยนะ...” คนพูดไม่สนใจสีหน้าของคนฟังแม้แต่น้อย ยังคงลอยหน้าลอยตายิ้มอย่างสะใจ
“อือ...ขอโทษนะ”ดินพูดเสียงแผ่ว ทำให้ออมเกิดสงสารจึงสงบปากสงบคำทันที
คนผิดไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องเขาเสียหน่อย
สองวันที่ต้องอยู่บ้านคนที่แทบจะไม่รู้จัก โชคดีที่เป็นวันเสาร์อาทิตย์
อาการไข้ดีขึ้นมากแล้ว สองพี่น้องดูแลออมอย่างดี
ถ้าไม่อคติเกินไปออมก็ยอมรับว่าพวกมันเป็นคนอ่อนโยน
แม้คนพี่จะติดฉวยโอกาสกับเขาตลอดเวลา
เพราะแทบนับไม่ได้เลยว่ามันกอด หอม หรือจูบเขาไปกี่รอบ
เรียกได้ว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้นั่นแหละ แล้วมันก็ช่างหาเวลามาอยู่ใกล้เขาทั้งวันทั้งคืนด้วย
“พรุ่งนี้มีเรียนมั้ย”
ออมละสายตาจากทีวีมามองคนพูดที่นอนอยู่ข้างๆ
สงสัยว่ามันไม่รู้ตารางเรียนของน้องมันบ้างหรือไร
“มีแต่ไม่เรียน พาไปส่งที่คอนโดแล้วกัน”
เขาไม่ได้บอกมันต่อว่าเป็นคอนโดของปอเพื่อนสนิทแต่ทำไมจะต้องบอก
“อือ...” เสียงนั้นตอบรับ ขยับตัวขึ้นมาจูบหน้าผากเขาเป็นรอบที่ร้อย
แถมยังหอมแก้มไปอีกหลายรอบ เคยดิ้นจนเหนื่อยก็ไม่เคยพ้นก็เลยปล่อยให้มันทำไป
“อย่านอนดึกนะ เสียสุขภาพ” เสียงลมบอก ก่อนจะนอนกอดออมหลับไปก่อน
“อะไรของมึงเนี่ย...” ออมสบถอยู่คนเดียว อ้อมกอดรัดเขาจนแน่น
จึงต้องขยับตัวเข้าไปหามันจะได้ไม่ถูกรัดไปมากกว่านี้ เดี๋ยวหายใจไม่ออกตาย
กดปิดรีโมทในมือแล้วก็ใช้อีกมือเขี่ยตกเตียงไป ก่อนจะหลับตามเจ้าของห้องในที่สุด
“ออม มึงเป็นอะไร”
เมื่อเปิดประตูห้องออกมาเห็นเพื่อนยืนตาแดงอยู่ปอก็รีบเอ่ยถาม
ตั้งรับแทบไม่ทันเมื่อออมเข้ามากอดเขาแน่น เสียงสะอื้นดังขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
ทั้งที่เพื่อนเขาใจแข็งยิ่งกว่าใคร ตั้งแต่คบกันมามันไม่เคยร้องไห้ให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว
แล้ววันนี้มันเรื่องอะไรกัน
“มัน....” เสียงนั้นเงียบหายไปเหลือเพียงเสียงสะอื้นไห้ที่ยังคงดังอยู่ภายในห้อง
ก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้ ไม่ได้รู้สึกว่าเสียอะไรไปมากมาย
แต่พอเห็นหน้าเพื่อนสนิทเท่านั้น บ่อน้ำตาก็เหมือนแตกละเอียดไปแล้ว
เกือบชั่วโมงกว่าเสียงสะอื้นจะเงียบหาย
กว่าคนฟังจะรับรู้เรื่องราวกระท่อนแท่นจากเสียงที่สั่นตลอดเวลา
เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ไอ้เลวนั่นโผล่เข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัว
แล้วสุดท้ายมันก็ได้ทุกอย่างไป ยกเว้นเพียงอย่างเดียว...หัวใจ
“มันต้องไม่ได้อยู่อย่างมีความสุขแน่...”
ปอลูบผมคนที่หลับอยู่บนเตียงของเขา ส่งผ่านความรู้สึกห่วงใยไปให้
ความรู้สึกที่เฝ้าทะนุถนอมมาตลอด รักษาความเป็นเพื่อนไว้อย่างหวงแหน
ทำให้ไม่กล้าบอกความรู้สึกที่แท้จริง สุดท้ายก็ถูกมือมารทำลายทุกอย่างลง
ทุกอย่างมันพังทลายไปหมดรวมทั้งหัวใจของเขาด้วย
“มึงมานี่เลย”
สิ้นเสียงดินก็ถูกลากขึ้นมาบนรถ เขาไม่ได้ขัดขืนหรือพยายามดิ้นรนหนีไปไหน
คิดว่าสักวันเรื่องนี้ก็คงต้องเกิดขึ้น บางทีถ้าได้พูดจากันให้เข้าใจ
เรื่องที่ค้างคาใจคงจบลงได้ในที่สุด เขาไม่ได้มองโลกในแง่ดี
เพราะรู้ว่าคนบนโลกทำให้โลกนี้ดูเลวร้ายแค่ไหน
เพียงแต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะต่อต้านสิ่งที่เกิดขึ้น
ถึงจะต้องหนี...แต่ก็คงไม่ใช่ตอนนี้
“พี่มึงข่มเหงเพื่อนกู ถ้าจะโทษกูมึงก็โทษที่พี่มึงเลวก่อนแล้วกัน”
ถึงที่หมายซึ่งก็คือคอนโดของตัวเอง ปอก็ผลักดินลงกับพื้นห้อง
ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดแค่ไหน เขารู้ว่าเพื่อนของเขาเจ็บปวด
รอยยิ้มของมันหายไปจนเขารู้สึกปวดใจ
คนทำมันก็ต้องได้รู้สึกไม่ต่างกัน...มันต้องเจ็บปวดเหมือนกัน จะได้สาสมกับสิ่งที่มันทำลงไป
“คิดว่าแบบนี้มันดีแล้วเหรอ?” ดินเงยหน้าถามคนกำลังโมโห
เสียงมือของฝ่ายนั้นกระทบกับแก้มเขาดังขึ้น ความเจ็บแล่นริ้วไปทั่วใบหน้า ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจยั่วยุปอเลย
“มันดีแน่...”
คำตอบสุดท้าย...สัมผัสรุนแรงก็บังเกิด เพราะความโกรธแค้นทำให้การกระทำไร้ความปราณี
เนิ่นนานจนเห็นแสงสว่าง ดินขยับตัวลุกขึ้นอย่างทรมาน เขาไม่เห็นใครใกล้ตัว
รู้แค่ว่าตัวเองอยู่กลางห้องที่เดิมจากเมื่อคืนวาน
พยายามเหยียดกายลุกขึ้นอย่างยากลำบากเพราะความเจ็บปวด
สวมใส่เสื้อผ้าแล้วรีบพาตัวเองออกจากห้องนั้นมาด้วยความกลัว
แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนสุดท้ายเขาก็ออกมาจนถึงป้ายรถเมล์แถวนั้นได้
มือสั่นเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพี่ชาย บอกจุดให้มารับกลับ
ในใจหวาดระแวงว่าอีกคนอาจจะมาพากลับไป แล้วต้องรับมือกับความเจ็บปวดซ้ำๆ
แต่เพียงไม่นานรถของพี่ชายก็จอดตรงหน้า ลมลงมาอุ้มน้องชายขึ้นรถไม่สนใจสายตาใคร
ก่อนที่รถจะแล่นออกจากบริเวณนั้น...เพื่อกลับบ้าน
“ไหวมั้ย” ลมเอ่ยถามขณะเช็ดตัวให้ดินไปด้วย
“ไม่คิดว่ามันจะทำขนาดนี้ ถ้าไม่ไหวจะหยุดเรียนไปเลยก็ได้นะ มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับเราอยู่แล้ว”
ดินหัวเราะ ยกมือกุมมือพี่ชายแนบไว้กับหน้า
“ดินกลัวนะ คงไม่ไปเรียนแล้วล่ะ อยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่า พี่ลมระวังตัวนะ ดินกลัวเค้าจะมาทำร้ายพี่ลม”
“อือ ถ้าเราไม่ไหว เราไปเลยนะ อย่าอยู่ที่นี่อีกเลย”
“ครับ...” ดินตอบรับพี่ชายด้วยรอยยิ้ม จึงถูกดึงไปกอดไว้แนบอก
กลัวอีกคนกังวลจึงต้องพูดปลอบใจ “ไม่เป็นไรน่า เจ็บก็แค่ทนนั่นแหละ เดี๋ยวก็ชิน”
“ถ้าเราไม่เข้าไปยุ่งกับพวกนั้นจะดีกว่ามั้ยนะ” คนพูดมองเหม่อไร้จุดหมาย
แม้จะรู้ว่าย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“รอดูเหตุการณ์ก่อน ถ้าพวกนั้นไม่สนใจเราแล้ว พี่จะหยุดทันที”
“อือ...แล้วเราก็ไปจากที่นี่กัน”
“ใช่...ตามนั้นแหละ” ลมก้มลงหอมแก้มน้องชาย
โยกตัวไปมาคล้ายจะปลอบโยนบรรเทาความเจ็บปวดที่ได้รับมา
สาเหตุหนึ่งก็มาจากเขานี่แหละ แต่เขาก็ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดที่ทำให้ดินต้องเจ็บปวดหรอก
ความรัก...ช่างไกลเหลือเกิน
“ออม มึงกลัวมั้ย?” ปอเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
มันทำหน้างงเพราะมัวแต่กินขนมตายังคงจับจ้องรายการสารคดีเกี่ยวกับนกอินทรี
“กลัวอะไรวะ”
“กลัวไอ้ลมไง” ปอหันไปมองเพื่อนที่เพียงแค่ส่ายหน้า
ทั้งที่ดวงตายังคงจ้องมองภาพในจอสี่เหลี่ยม “ก็ดี พวกเรามาทำเรื่องดีๆ หน่อยเป็นไง”
ออมละสายตาจากหน้าจอหันมามองหน้าเพื่อน
“มึงจะทำอะไรวะ? พวกนั้นมันมืดมนจะตาย อย่าไปยุ่งกับมันเลย ชีวิตเราจะตกต่ำไปด้วยเปล่าๆ”
“กูผิดตรงไหน ที่อยากให้มันมีความสุขก่อนตาย”
“มึงจะเอาถึงตายเลยเหรอวะ?” ออมคาดคั้น ดูเพื่อนมันจริงจังเกินไป
“มึงคิดว่าจะมีคนตายเพราะอกหักมั้ยวะ ในเมื่อตอนนี้มึงก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้
ไม่ได้ตายไปไหน กูจะเพลาๆ ให้มันบ้างแล้วกัน
แต่พวกมันควรได้รับผลกรรมบ้าง กูคิดแบบที่พูดจริงๆ”
“ก็ได้วะ ถ้ามึงไปหลงรักมันขึ้นมา มึงนั้นแหละจะได้รับผลกรรมแทน”
ปอหัวเราะ ยื่นมือไปผลักหัวคนข้างๆ “กูมีมึงทั้งคน ยังจะมีใจไปหลงรักใครอีกวะ”
“...” คนฟังอมยิ้มอยู่กับหน้าจอ ไม่พูดอะไรอีก
“มีอะไรรึเปล่า...”
ลมเอ่ยถามเมื่อเห็นผู้มาเยือน เพิ่งกลับมาถึงบ้านก็แปลกใจที่เห็นรถอีกคันจอดอยู่หน้าบ้าน
พอเข้ามาก็เจอทั้งปอและออม นั่งอยู่กับดินในห้องรับแขก
เขาไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของทั้งสองคน ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไร
หรือมีเหตุผลอะไรให้มาถึงที่นี่ ทั้งที่ในความเป็นจริงสองคนนี้น่าจะเกลียดพวกเขาเข้าไส้
“ก็ไม่อะไรมาก มารอคุยกับมึง” ปอเริ่มพูดก่อน ออมจึงเดินไปดึงแขนลมให้มานั่งข้างกัน
“ขอโทษ” ปอหันไปพูดกับดินที่นั่งหน้าซีด
“ที่ทำลงไปทั้งหมด กูขอโทษด้วย มันคงดีกว่านี้ถ้ากูจะรับผิดชอบในความผิดที่ทำลงไป
มึงก็จะทำเหมือนกันใช่มั้ย” ตอนหลังปอหันไปถามลม
ลมพยักหน้า หันมองออมแล้วดึงมากอดไว้ “ขอโทษนะ...”
“อือ...” ออมยกมือลูบหลังอีกคน “ไม่เป็นไร เราเริ่มกันใหม่ทั้งหมดนี่แหละ...”
ความรู้สึกที่ต่อไม่ติด แม้จะนั่งอยู่ภายในห้องเดียวกัน
แต่สมองและหัวใจก็เป็นของใครของมัน
ไม่มีทางที่ใครจะรู้ความรู้สึกใคร หากอีกคนไม่เอื้อนเอ่ยออกมา
และในเวลานี้ความรู้สึกต่างๆ ถูกเก็บไว้ให้เป็นความลับที่อยู่ลึกสุดใจ
จะปล่อยให้อีกฝ่ายล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด
ความรักต่อให้จอมปลอมแค่ไหน แต่สิ่งที่แสดงออกก็คือความรัก
มือที่เกาะกุมกัน อ้อมกอดที่คล้ายจะคอยปกป้อง สัมผัสคล้ายปลอบประโลม
การแสดงสมจริงที่เจือไปทั้งความรักและความหลอกลวง
อยู่ที่ว่าจะถามความรู้สึกจากฝ่ายไหน ฝ่ายรัก...หรือฝ่ายถูกรัก
ทุกอย่าง...มีจุดเริ่มต้นเสมอ
เป็นเรื่องที่ลงไปงั้น ๆ ไม่มีอะไรมาก แค่อยากแต่งก็แต่ง
เนื้อเรื่องนี่วันเดียวเกือบจบ ขาดตอนสุดท้าย
(ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจบประมาณไหน)
ลงไม่กี่รอบก็น่าจะหมดค่ะ...ลงทีเดียว เดี๋ยวจะงงน้อยเกินไป 555
อยากให้งง ลุ้น หรือคาดเดาอะไรบ้างนิดหน่อย
ตอนพิเศษ...
“พวกมึงแน่ใจนะ ว่าอยู่กลุ่มเดียวกับมันได้” ปอกับออมเพียงแค่หันไปยิ้มให้กันเมื่อเพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นมา
“พวกมึงก็รู้ว่ามันเงียบเป็นเป่าสาก เคยคุยกับใครที่ไหน
เออ...มันเรียนเก่ง แล้วไงวะ สุดท้ายพวกมึงจะไม่ลำบากใจหรือไง”
ปอยักไหล่ไม่แคร์กับสิ่งที่เพื่อนห่วง รีบเก็บของใส่เป้แต่ก็ไม่ลืมเอ่ยเตือน
“ไอ้เอสมึงไม่ต้องห่วงพวกกูหรอกน่า มันเก่ง พวกกูก็เก่งพอกัน
ยังไงพวกกูก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว มึงนั่นแหละเอาไอ้นุ่นกับไอ้คีมให้รอดก่อน
อย่าให้ถึงมือพวกกูนะ ไปออม...เดี๋ยวจะดึก”
เอสเพียงแค่มองตามหลังเพื่อนสนิทที่ดูท่าทางรีบร้อน พวกมันคงรีบไปไหนสักที่
“ถ้าอึดอัด อย่ามาโวยวายนะมึง"
“วันนี้มันขาดเรียน ไม่เห็นจำได้วะ ว่ามันขาดเรียนช่วงนี้ด้วย” ออมมองเส้นทางที่คุ้นชิน
ดวงตาโตเปล่งประกายเมื่อทั้งหน้าอาบไปด้วยรอยยิ้ม
“อย่างกับเราสนใจมันนักนี่ แต่ถ้าปอจำไม่ผิดนะ ช่วงนี้มันจะขาดเรียนถึงวันพุธหน้า”
ออมหันมองคนพูดที่ยังคงตั้งใจขับรถต่อ “สรุปว่ามีแต่กูต่างหากที่ไม่สนใจมัน ใช่มั้ย?”
“อย่าพูดกูมึง เดี๋ยวก็โดนบ่นอีก ไอ้ที่ฝึกมาหลายเดือนนี่ไม่ชินบ้างหรือไงวะออม”
ปอดุเพื่อนแต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม วันนี้เขาอารมณ์ดีมากจริงๆ
“กระเป๋าเสื้อผ้าก็ขนมาแล้ว ของสดก็ซื้อมาแล้ว เสาร์อาทิตย์นี้เราไม่ต้องออกไปไหนกันหรอก เบื่อมนุษย์ว่ะ”
ไร้เสียงตอบรับใด แต่ออมก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
เคยไหม? ตื่นมาในเช้าวันใหม่ แล้วโลกมันเปลี่ยนไป...
รถจดตรงหน้าบ้านหลังกะทัดรัด ประตูไม้อันแสนคุ้นเคยอยู่ตรงหน้า
ปอกับออมมองเข้าไปในบ้าน เกือบหกโมงเย็น ฤดูหนาวทำให้มืดเร็วกว่าเคย
แต่ไฟในบ้านก็เปิดสว่าง มันไม่เงียบเหงาเหมือนที่เคยได้เห็น
เคยไหม? แค่เห็นแสงไฟนีออน แต่แสงแห่งใจกับส่องสว่างไปด้วยความหวังร้อยพัน
“ออมลงไปเปิดเอง” พูดจบก็รีบร้อนลงไปเปิดประตูเหมือนเคยชิน
เหมือนเป็นบ้านตัวเอง แต่คนขับก็ไม่รอช้ารีบขับรถเข้าไปจอดในบ้าน เคียงข้างกับรถอีกคันที่จอดอยู่ก่อนแล้ว
ปอเปิดประตูลงจากรถขณะที่ออมเดินกลับเข้ามา ทั้งสองหันไปมองใครอีกคน
‘เจ้าของบ้าน’ เรียกแบบนี้จะถูกที่สุด ใครคนนั้นกำลังยืนมองพวกเขานิ่ง ไร้คำถาม
แต่แววตาที่แสดงความสงสัยจนปิดไม่มิด ทำให้ผู้บุกรุกถึงกับหัวเราะออกมา
“ดินไม่ไปเรียน วันนี้อาจารย์แบ่งกลุ่มงาน พวกเราสองคนอยู่กลุ่มเดียวกับดิน ก็เลยถือโอกาสมาที่นี่เลย”
ปอบอกในตอนที่เขาเปิดประตูหยิบกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเองกับออมออกมา
“คงต้องค้างที่นี่จนกว่างานจะเสร็จนะพี่”
“หนักว่ะ...” ออมบ่นตอนจะลากกระเป๋าตัวเองเข้าบ้าน
แอบยิ้มกับคำพูดของเพื่อนที่ว่าจะค้างจนกว่างานจะเสร็จ นั่นไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขาเสียหน่อย
แค่ไม่กล้าบอกว่า...จะมาอยู่ถาวร
“พี่ช่วยครับ...” เป็นเสียงแรกจากเจ้าของบ้านที่มาช่วยออมขนกระเป๋า
แต่ทั้งที่เข้ามาช่วยก็ไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาสักนิด
“ฝากออมมันนอนห้องพี่ได้มั้ยครับ” ปอเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อขนกระเป๋ามาไว้ในบ้านแล้ว
บ้านนี้เขาสำรวจมาทุกซอกทุกมุมแล้ว ห้องนอนมีแค่สองห้องพี่น้องเท่านั้น
“ผมเดาว่าดินคงป่วย ออมมันเป็นหวัดง่าย กลัวมันติดหวัด”
ลมหันมองคนติดหวัดง่ายเพียงนิด แล้วรีบหลบตา
“ได้...สนิทกันหรอกเหรอ ไม่เห็นดินเคยเล่า”
“โอ้ยพี่...เพื่อนกัน ไม่สนิทเดี๋ยวก็สนิทเองแหละ” ปอขึ้นเสียงสูง กลัวอีกฝ่ายจับได้ว่าพวกเขามัดมือชก
จึงรีบถือกระเป๋าขึ้นไปด้านบนไม่รอให้อีกฝ่ายบอก
ก่อนไปยังไม่ลืมส่งสายตาให้เพื่อนถ่วงเวลาอีกคนไว้ไม่ให้มายุ่งกับเขาอีก
“หิวข้าวอะ...” ออมนั่งลงกับโซฟาหน้าทีวี มองไปรอบๆ เหมือนจะหามื้อเย็นให้ตัวเอง
“จริงๆ ออมกินมาแล้วนะพี่ แต่ว่าหิวอีก เด็กกำลังโตอะ”
“คือ...” ลมทำตัวไม่ถูก ยิ่งเมื่อโดนอีกคนจ้องไม่วางตา “คือ...วันนี้มีแค่แกงจืดกับไข่เจียวเอง พี่ทำเพิ่มให้นะ”
“ไม่ต้องๆ กินได้ครับ” แล้วออมก็ดึงแขนลมไปที่ห้องครัวทันที “ถ้ากินแล้วนั่งเป็นเพื่อนด้วยนะ”
“ครับ” เป็นเสียงตอบรับขณะกำลังเตรียมสำรับให้คนกำลังหิว ที่นั่งเท้าคางรออยู่กับโต๊ะอาหาร
"อร่อย..." ลมแอบหันไปยิ้ม เมื่ออีกคนเอ่ยชม
หารู้ไม่ว่าเขาอยู่ในสายตาอีกฝ่ายตลอดเวลา
ห้องถูกเปิดอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง อาการไข้ทำให้เจ้าของห้องนอนหลับไม่รู้ตัว
ปอทิ้งกระเป๋าไว้ข้างตู้แล้วย่องไปที่เตียงคนป่วย แสงเลือนรางทำให้มองเห็นแค่เงาตะคุ่ม
เขานั่งลงข้างคนหลับยื่นมือลูบผมนุ่มชื้นเหงื่อ แล้วก้มลงจูบบนหน้าผากมนแผ่วเบา
“อย่างกับฝัน...” เสียงนั้นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเอนตัวลงนอนกอดรัดคนหลับใหลเอาไว้
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และไม่ใช่ความฝัน เมื่อตื่นเข้าขึ้นมาในวันหนึ่ง
วันเวลาของพวกเขา ถอยหลังกลับไปเกือบเก้าเดือน
มันทำให้คนที่เกือบจะตายทั้งเป็นมีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ตอนนี้ทั้งปอและออมกลับเป็นฝ่ายเริ่มต้นทุกอย่างเสียเอง
พวกเขาไม่แม้แต่จะเสียเวลาสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น
หรือว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเมื่อเวลานำพาคนรักของพวกเขากลับมาได้
พวกเขาก็พร้อมที่จะใช้ชีวิตเคียงข้างกับคนรัก
และจะไม่มีวันทำให้ทุกอย่างเดินทางกลับไปเหมือนกับที่มันเคยเกิดขึ้น
ความรัก...กำลังเริ่มต้น
รักคือรัก อ่านว่า...รัก แปลว่า ‘รัก’
เธอคนเดียวที่ห่วงใยถึงกัน
เธอคนเดียวที่เปลี่ยนแปลงฉันให้เข้าใจ
ว่ารักจริงๆ ที่แท้เป็นไง ให้รู้ว่ามันคือสิ่งที่สวยงาม
เป็นดวงตาให้กันยามมืดมน
เป็นดังลมคอยโบกเวลาที่ร้อนใจ เหมือนเสียงดนตรี
ที่ก้องในใจ รู้ไหมว่าเธอคือสิ่งที่สวยงาม
ยิ่งทำให้รัก รักเธอมากขึ้นทุกวัน ยิ่งนับวัน ก็มีแต่ยิ่งซึ้งใจ
ขอรักจริงๆเท่าที่ฉันมี ให้ถึงความดีที่เธอให้มา ยิ่งนานยิ่งรักเธอ ...
ในเวลาที่ห่างกันแสนไกล ยังมีเธอปรากฏในใจใกล้ๆกัน ให้รู้สึกอุ่น
ทุกๆคืนวัน เหมือนฉันนั้นมีเธออยู่เคียงข้างกาย
ยิ่งทำให้รัก รักเธอมากขึ้นทุกวัน ยิ่งนับวัน ก็มีแต่ยิ่งซึ้งใจ
ขอรักจริงๆเท่าที่ฉันมี ให้ถึงความดีที่เธอให้มา ยิ่งนานยิ่งรักเธอ ...
ถึงแม้ให้เธอเป็นดังลมหายใจ ฉันรู้ว่าเธอคงไม่ต้องการ
เพราะรู้ว่าเธอเองไม่เคยเรียกร้อง ให้รักเธอ
ยิ่งทำให้รัก รักเธอมากขึ้นทุกวัน ยิ่งนับวัน ก็มีแต่ยิ่งซึ้งใจ
ขอรักจริงๆเท่าที่ฉันมี ให้ถึงความดีที่เธอให้มา ยิ่งนานยิ่งรักเธอ ...
จบด้วยเพลงเก่าที่แว้บมาในสมอง เรื่องอาจจะไม่อธิบายอะไรมาก
รีบเปิดรีบจบ แต่ทยอยลงเพราะติดตอนพิเศษที่ว่า แก้หลายรอบ
สุดท้ายจบแบบนี้น่าจะโอเคแล้วอะค่ะ เดาต่อเอง...อิอิ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
[/color]