WinNing --> Win’s Talk
ผมเดินตามนิ่งขึ้นห้องไป ระหว่างทางที่กลับหอมา นิ่งไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ ผมก็ยังกรึ่มๆครองสติตัวเองได้ไม่เต็มร้อย เลยคิดว่าไม่พูดน่าจะดีกว่า ผมเห็นนิ่งหยุดไขกุญแจตรงหน้าห้องตัวเอง ผมเองก็ไม่รู่วาเราจะต้องคุยอะไรกันอีกรึเปล่า ผมตั้งท่าจะเดินเลยไปยังห้อง แต่มีเสียงเรียกของนิ่งไว้ก่อน
“วิน เดี๋ยวเราไปหาที่ห้อง”นิ่งก้มหน้าก้มตาพูดกับลูกบิดประตู ก่อนจะเปิดประตูห้องตัวเองแล้วหาบเข้าไปข้างใน เมื่อกี้นี้นิ่งบอกว่าจะมาหาผมที่ห้องหรอ ผมได้หูฝาดใช่ไหม
แล้วนิ่งจะมาหาผมที่ห้องทำไมกัน มาเพื่อคุยต่อจากเรื่องเมื่อกี้อย่างนั้นหรอ แล้วผมควรจะพูดอะไรดี ไอ้ที่อยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว จะให้พูดซ้ำมันก็อายไม่ใช่น้อย
ในหัวผมมีแต่ความคิดพวกนี้ วนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามจะเตรียมคำพูดดีๆไว้ให้อีกฝ่าย โดยไม่ลืมบอกตัวเองว่าห้ามใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด ผมไม่อยากให้นิ่งเมินผมเหมือนคราวที่แล้วอีก
ก็อกๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบาๆ ราวกับคนเคาะยังเกรงๆกับการเคาะประตู นี่ถ้าห้องผมไม่ได้เงียบกริบขนาดเข็มหล่นแล้วได้ยินเสียงล่ะก็ รับรองเลยว่าผมไม่ได้เดินไปเปิดประตูแน่
“เข้ามาสิ”ผมเชื้อเชิญคนตรงหน้าให้เข้าห้องมา แต่ดูเหมือนนิ่งจะลังเลกับการก้าวเท้าเข้าห้องผมซึ่งมันไม่เหมือนเมื่อก่อน เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้หรอก นอกจากตัวผมเอง ผมเป็นสร้างความหวาดระแวงให้นิ่งเอง
“หรือถ้าไม่สะดวกใจ จะคุยกันตรงนี้ก็ได้นะ”ผมเสนอทางเลือกให้อีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร เข้าไปคุยในห้องเถอะ”ผมหลีกทางให้นิ่งก้าวเข้าห้องไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องกลายเป็นแบบนี้
นิ่งเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ส่วนผมก็นั่งลงบนเตียง เราต่างฝ่ายต่างง่วนอยู่กับนิ้วมือ แล้วก็ของรอบตัวตัวเอง ทำราวกับชีวิตนี้เพิ่งเห็นมันเป็นครั้งแรก มีเพียงเสียงเสียงใบพัดของพัดลมที่ทำลายความเงียบในห้องนี้ สลับกับเสียงลมหายใจของเราสองคน
“เอ่อ/นิ่ง”
“นิ่งพูดก่อนเถอะ”ผมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน
“เรื่องคืนนั้น เราจะคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุล่ะกัน แล้วที่เราต่อยไปก็ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไร เราก็สมควรโดนแล้ว”ผมไม่คิดว่าการที่ผมจะจูบนิ่งจะเป็นอุบัติเหตุเลยสักนิด แต่เรื่องที่ผมโดนอีกฝ่ายต่อยนั่นก็สมควรโดนแล้ว อันที่จริงควรจะโดนมากกว่านี้ซะอีก
“เราว่าเราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ”นิ่งโพล่งขึ้นมาหลังจากที่เราเงียบไปอีกสักพัก แต่ผมกลับไม่ชอบประโยคนี้เลย
“ทำไมหรอนิ่ง”ผมอยากจะรู้เหตุผลที่ทำให้นิ่งคิดว่าเราควรจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ทั้งๆที่นิ่งก็รู้แล้วว่าตอนนี้ผมคิดยังไง หลายวันนี้ที่ผมทำตัวเละเทะเหลวไหล แต่กลับห้องมาผมก็ทบทวนทุกอย่างเก็บรายละเอียดในทุกความรู้สึก ทุกความสัมพันธ์ของเราจนผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับนิ่ง มันไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนเขามีให้กันหรอกนะ
“เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับวินเลยแม้แต่นิดเดียว เราคิดกับวินแค่เพื่อน”ไม่รู้ทำไมประโยคสั้นแค่นี้ทำให้ผมหมดแรงไปโขเลย
“อ้อ... อืม”ผมตอบรับแบบคนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คำพูดนิ่งพอที่จะทำให้ผมรู้ตัวว่าควรจะทำยังไงต่อ
“เราอยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมน่ะวิน ได้ไหม”นิ่งถามผมต่อ กลับมาเป็นเหมือนเดิมงั้นหรอ พูดง่ายแต่ทำยากนะ กว่าผมจะเคลียร์ความรู้สึกของผมหมด กว่าผมจะบริสุทธิ์ใจกับนิ่งเหมือนเดิม มันก็ยากพอควร
“ขอโทษนะนิ่ง เราคงทำไม่ได้หรอก”ผมตอบออกไปตามที่ผมคิด ไม่ใช่ไม่อยากเป็นเพื่อนกับนิ่งต่อ แต่ผมคิดว่าถ้าผมเป็นแบบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ มันก็คงเป็นแค่เพื่อนที่ไม่สมควรมีอยู่ดี
“ทำไมล่ะวิน”นิ่งถามหาเหตุผลจากผม แต่ผมเลือกที่จะเงียบต่อไป
“เราว่านิ่งกลับห้องเถอะ เราไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”ผมลุกขึ้นยืนเป็นการบีบบังคับอีกฝ่ายให้ออกจากห้องผมได้แล้ว ตอนนี้ผมอยากใช้เวลาอยู่คนเดียว
“เรายังไม่กลับ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”นิ่งไม่ยอมลุกขึ้น
“นิ่งไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก แค่นิ่งบอกว่านิ่งไม่ได้คิดกับเราในแง่นั้น เราก็เข้าใจแล้ว แล้วที่เราบอกว่าเรากลับไปเป็นเพื่อนนิ่งเหมือนเดิมไม่ได้ นิ่งก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนะ”ผมตอกย้ำทุกหัวข้อการสนทนาให้อีกฝ่ายฟัง ผมไม่สนหรอกว่านิ่งจะเข้าใจเหตุผลของผมรึเปล่า ผมสนแค่ว่าให้นิ่งรู้ว่าผมคงเป็นเพื่อนนิ่งต่อไปไม่ไหวก็พอ
“ไม่เข้าใจ!! วินไม่บอกเหตุผลเรามา เราจะเข้าใจได้ยังไง”
“โว้ย!!”ผมร้องออกมาเสียงดังอย่างคนเวลาหงุดหงิดจนนิ่งสะดุ้งเล็กน้อย แต่ให้ทำไงได้ ผมมันก็คนนิสัยหยาบอยู่แล้วด้วย
.
.
“วิน เราขอร้องเหอะ เราอยากฟังเหตุผลจากวิน”
“ที่เราบอกว่าเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ก็เพราะเรารักนิ่งไง เรากลับไปเป็นเพื่อนแบบเดิมกับนิ่งไม่ได้หรอก เพราะเราเลิกรักนิ่งไม่ได้ เราหยุดใช้สายตามองนิ่งไม่ได้ เราหยุดการกระทำไม่ได้ นิ่งเข้าใจไหม ทางเดียวที่เราจะทำได้คืออยู่ให้ห่างจากนิ่ง ไปให้พ้นจากสายตานิ่ง เพื่อที่เราจะได้เลิกรักนิ่งได้ไง... นิ่งเข้าใจไหม”ท้ายเสียงผมแผ่วลงอย่างน่าประหลาด ผมไม่อยากจะเลิกรักนิ่ง แต่ถ้านิ่งไม่ต้องการความรักของผม ผมก็ควรโยนความรักของผมทิ้งไป
“เราขอโทษ...”
“ไม่ใช่ความผิดของนิ่ง แต่เป็นความผิดของเราเอง ต่อไปนี้ เลิกยุ่งกับเราเถอะ ไว้เรารู้สึกเหมือนเดิมเมื่อไหร่ เราจะกลับไปคุยกับนิ่งเหมือนเดิม”ผมพูดแบบรวบรัดและตัดรอนความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน นิ่งทำท่าเหมือนยังอยากจะพูดคุยกับผมต่อ แต่ผมก็เปิดประตูรอให้นิ่งเดินออกไป จะหาว่าผมมารยาทแย่ก็ได้ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำตาระลอกเดิมเตรียมเอ่อมาจนล้นขอบตา ผมรู้แค่ว่าตอนผมปิดประตูน้ำตาหยดแรกของผมก็ไหลลงมาเลย ผมเดือนกลับไปที่เตียงพร้อมๆกับม่านน้าตาที่ไหลจนบดบังทัศนียภาพของผมจนหมดสิ้น
ตอนี้ผมนึกถึงเพลงๆหนึ่งที่เคยฟังเมื่อหลายปีก่อน เพลงนี้บอกทุกสิ่งที่ผมเป็นได้เลยทีเดียว
เวลาเธอกอดคอ เล่นหยอกล้อกันอยู่ทุกวัน
หัวใจมันสั่น ฝันละเมอคิดไปไกล
เธอไม่เคยจะรู้ เพื่อนที่ดูแลเธอทุกวันข้างกาย
เค้ามีบางสิ่ง คิดไม่ซื่อกว่าเพื่อนกัน
ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว
มีเพียงความผูกพัน แค่เท่านั้นไม่เคยได้ใจ
หวังไปเท่าไหร่ ก็เลือนลางทุกนาที
ทำให้ความห่วงใย ไม่เคยทำให้เธอรักกันซักที
ไม่มีทางเปลี่ยน ให้เราเปลี่ยนจากเพื่อนกัน
ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว
ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว
ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว
[/i]
ต่อให้ความผูกพันของเรา ความสนิทของเรามีมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่พอจะเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ของเราได้อยุ่ดี