พิมพ์หน้านี้ - Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: lew_valen_tom ที่ 23-12-2013 22:15:23

หัวข้อ: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 23-12-2013 22:15:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (แนะนำเรื่อง)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 23-12-2013 22:32:46
   เรื่องราวความรักของเด็กหนุ่มที่กำลังเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ พร้อมกับความรักในรูปแบบที่เขาไม่คุ้นเคย

   โอม...
   นักศึกษาปีสอง กำลังศึกษาอยู่ในคณะทางสายการแพทย์ ทั้งๆที่เขาเองก็เป็นคนเย้วๆ เฮไหนเฮนั่น เหตุบังเอิญที่เขาต้องมาช่วยเหลือคนๆนึงโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วยังต้องมาตกม้าตายเพราะเด็กน้อยที่เขาพลั้งมือแกล้งแรงไปหน่อย เด็กน้อยคนนั้นกลับกลายเป็นคนที่กุมหัวใจเขาไว้ตั้งแต่วันที่เขาเห็นน้ำตาใสๆไหลคลอ

   ปั้น...
   เฟรชชี่ปีหนึ่ง ของคณะทางการช่าง เหตุสุดวิสัยของเขา ทำให้ได้รู้จักกับรุ่นพี่คณะใกล้กันโดยบังเอิญ แถมยังโดนอีกฝ่ายอำแบบไม่น่าให้อภัย จากความโกรธกลับกลายเป็นความผูกพันเมื่อไหร่ เขาเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน

++++

สวัสดีเจ้า

เอาหัวเรื่องมาแปะก่อน และก็เอาทีเซอร์มาให้ยลเล็กน้อย

ถ้ายังไงก็ช่วยแนะนำกันด้วยนะคะ เพราะเพิ่งหัดแต่ง และก็เพิ่งเอาลงเป็นครั้งแรก

ยังงงๆกับการลง และการตอบคอมเม้นท์ทั้งหลาย ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

มีแววว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องสั้นๆไม่กี่ตอนจบ

อันนี้ขึ้นอยู่กับความขยันของคนแต่งด้วย จะพยายามฟิตตัวเองอย่างหนักเลยค่ะ

ถ้าผิดพลาดประการใดขอภัยมาใน ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 23-12-2013 22:35:49
ต่อๆๆๆ

เค้าอยากอ่านนนนน :ling1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 23-12-2013 22:41:36
ตอนที่ 1

ยามบ่ายคล้อยที่ตะวันแผดแสงอย่างอ่อนล้า สภาพรอบข้างที่ชวนให้คิดถึงว่าวันๆหนึ่งกำลังจะหมดไปแล้ว นักศึกษากำลังเดินขวักไขว่ บ้างก็กำลังเตรียมกลับหอพักของตน บ้างก็เตรียมขึ้นรถเพื่อไปเรียนตามเวลาเรียนในช่วงเย็น ผมก็เป็นอีกหนึ่งคนในนั้นที่กำลังเดินไปขึ้นรถเมล์ของทางมหาวิทยาลัย แต่ไม่ใช่เหตุผลเดียวกับนักศึกษาหลายๆคน เพราะผมกำลังเตรียมจะไปเข้าห้องเชียร์ของคณะต่างหาก ด้วยฐานะและตำแหน่งของพี่วินัยหรือพี่ต้นแบบของคณะทำให้ผมต้องเข้าห้องเชียร์ทุกวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งผมก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการกระทำที่รุ่นน้องเรียกว่า “ด่า” เพราะไม่ใช่รุ่นน้องคนเดียวที่เบื่อ ผมก็เบื่อเช่นกัน ไหนจะต้องแหกปากตะโกน ด่าในเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังต้องแต่งกายชุดนิสิตให้ถูกระเบียบเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับรุ่นน้อง ทั้งๆที่ตอนปีหนึ่งผมก็ไม่ทำขนาดนี้หรอกนะ

“เฮ้ย!! โอม”เสียงเรียกชื่อผมมาจากทางด้านหลัง จนผมต้องหันกลับไปหาต้นเสียง ยุ้ย สาวร่างเล็กกำลังหอบหิ้วถุงขนมพะรุงพะรัง

“ให้ช่วยไหม ยุ้ย”ถ้าผมไม่ถาม ผมก็คนเลวนะสิ เขาอุตส่าห์เรียกซะขนาดนี้แล้ว

“ได้จะดีมาก!!!”ยุ้ยที่ทำหน้าที่เป็นสวัสดิการของห้องเชียร์ส่งยิ้มแฉ่ง ดีใจจนออกนอกหน้า ผมเดินไปช่วยยุ้ยถือของ ถึงแม้จะดูน้อยแต่น้ำหนักกลับเป็นตัวการันตีว่ายุ้ยจำเป็นต้องเรียกผมจริงๆ

“ไปช็อปคณะเลยใช่มั้ย”ผมถามยุ้ยที่เดินตามหลังมา

“ไม่ต้องๆ แค่ศาลารอรถพอ เดี๋ยวแก้วขับรถมารับ โอมก็ขึ้นไปพร้อมกันเลยดิ”ยุ้ยพูดถึงแก้ว เพื่อนในสาขาอีกคนที่สนิทกับยุ้ยพอสมควร แก้วเป็นผู้หญิงที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงเต็มปาก แต่แก้วก็ไม่ใช่ทอมนะ แถมยังมีรถขับ ช่วยให้ผมประหยัดเวลา และแรงกายไปได้เยอะเลย

ผมเดินนำยุ้ยไปนั่งรอที่ศาลารอรถ ระหว่างนั่งรอก็คุยเล่นกับยุ้ยเป็นระยะ สลับกับมีรุ่นน้องมาคอยยกมือไหว้ขัดจังหวะบ้างในบางครั้งบางคราว

“แล้วรถโอมไปไหนซะล่ะ”ยุ้ยถามระหว่างนั้นก็หันไปรับไหว้รุ่นน้องเป็นระยะ

“เผอิญว่าพี่ชายมาหาน่ะ เลยยืมรถเข้าตัวเมือง โอมก็เลยใช้ให้ซื้อของให้ด้วยเลย อีกอย่างพอเป็นพี่วินัยแล้วมีรถขับ มันดูไม่ขลังยังไงไม่รู้”

“เออ จริง แล้ววันนี้พี่วินัยเข้ากี่รอบล่ะ”

“เข้ารอบเดียวเองวันนี้ แต่ก็ห้าสิบนาที สงสารน้องเหมือนกัน”ผมนึกถึงตารางห้องเชียร์แล้วอดสงสารรุ่นน้องไม่ได้ บางวันพี่วินัยเข้าสองรอบ พี่เชียร์เข้าอีกรอบ กว่าพี่สันทนาการจะเข้าทำเอารุ่นน้องใจฝ่อจนลีบไปเสียแล้ว

“อืม อ๊ะ!!! รถแก้วมาแล้ว ไปกันโอม”ยุ้ยว่าพลางยกของขึ้นเตรียมจะขึ้นรถแก้ว รถวีออสสีขาวชะลอรถมาจอดนิ่งตรงหน้าแก้วก่อนจะปลดเซ็นทรัลล็อค กระจกที่นั่งข้างคนขับเลื่อนออกมาให้เห็นหน้าของแก้ว

“ยุ้ย เอาของขึ้นท้ายรถเลย เราเปิดให้แล้ว”

“โอเค แก้ว เดี๋ยวโอมไปกับเราด้วยนะ”ยุ้ยว่า แก้วพยักหน้าอย่างรับรู้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแก้วพอใจหรือไม่พอใจกันแน่กับการที่มีผมติดรถไปด้วย ผมช่วยยุ้ยเอาขนมใส่ท้ายรถแล้วก็ปิดกระโปรงหลังรถให้

“ขึ้นรถเลยโอม”ยุ้ยว่าพลางเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับแล้วขึ้นนั่ง ทำให้ผมต้องนั่งด้านหลังอย่างช่วยไม่ได้

“เออ โอมแล้วรถไปไหนซะละ”แก้วถามผมด้วยคำถามเดียวกับยุ้ย

“พี่ชายยืมเข้าเมืองน่ะ เลยต้องใช้บริการรถแก้ววันหนึ่ง”

“เออ โอมแล้วที่ล้างรถที่ไหนดีบ้างอ่ะ เราเพิ่งเอารถมาขับเลยไม่รู้ว่าที่ไหนดี”

“โอมเอาเข้าไปล้างในเมือง ถ้าแก้วจะไปเดี๋ยวเราเอานามบัตรร้านนั้นให้”ผมว่าพลางสายตาก็สอดส่องดูภายในรถ จะว่าไปรถแก้วก็สวยใช้ได้ อาจจะเพราะเป็นรถใหม่ด้วย แถมเบาะหลังก็เต็มไปด้วยเจ้ากบเขียว หรือเคโรโระนั่งเต็มเบาะหลัง ราวกับจะประกาศว่าที่นั่งหลังรถนี้จะเป็นเพียงของมันคนเดียว

.

.

.

หลังจากที่เข้าไปด่ารุ่นน้องเสร็จ ผมก็เตรียมจะกลับหอโดยการโดยสารรถเมล์ของมหาวิทยาลัยตามที่หวังไว้ในตอนแรก และแน่นอนว่าผมไม่ลืมหยิบข้าวกล่องที่เป็นสิทธิ์ของผมด้วย

“ยุ้ย เราขอข้าวกล่องหน่อยดิ เราจะกลับแล้ว”ผมพูดกับยุ้ยที่ยืนกอดกล่องแก้วน้ำแน่น

“โอมรบกวนหยิบเองได้ไหมอ่ะ เราต้องรีบเตรียมแจกเบรกให้น้องอ่ะ โทษทีนะโอม ข้าวอยู่ตรงหน้าห้องสโมฯอ่ะ”ยุ้ยว่าพลางทำสีหน้าอย่างขอโทษจากใจ

“ไม่เป็นไร งั้นเราไปหยิบเอง”ผมส่งยิ้มให้อย่างไม่ถือ ก่อนจะเดินตรงไปหยิบข้าวแล้วเดินออกจากช็อปทันที

.

.

“เฮ้ยๆ เอาน้องเขาออกมา “เสียงดังโวยวายมาจากช็อปคณะข้างๆ ผมหยุดเท้ามองดูด้วยความสนใจ แก้วที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จก็มองดูด้วยความสนใจเช่นกัน

“เฮ้ยใครมีรถพาน้องไปศูนย์แพทย์ที”มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากวงล้อม

“ฉันมีรถๆ โอมขับรถพาน้องไปที”แก้วว่าพลางออกคำสั่งกับผม พวกพยาบาลคณะข้างๆมองดูพวกผมด้วยสายตางงงวย แต่ก็ไม่
ปฏิเสธน้ำใจที่แก้วมอบให้

“รถคันไหนค่ะ”คนที่ทำหน้าที่พยาบาลของคณะข้างๆวิ่งมาถามแก้ว

“คันนั้นเลย สีขาว”แก้วว่าพลางชี้ให้ดู รถของแก้วมาจอดทางด้านหลังช็อปเลยถือว่าใกล้มาก

“ใครก็ได้อุ้มน้องไปที่รถที”ผู้หญิงคนเดิมว่า แต่ว่าในคนกลุ่มนั้นกลับมีแต่ผู้หญิง

“มา ผมช่วยเอง”ผมว่าพลางส่งกล่องข้าวกับสัมภาระให้กับแก้ว ก่อนจะเดินไปยังกลางวงล้อมนั้น

“น้องเขาเป็นอะไร”ผมถามพลางมองหน้าน้องคนนั้นที่มีรุ่นพี่คนนึงประคองอยู่ข้างๆ

“น้องเขาอยู่ดีๆก็วูบไปเลย ตัวก็ร้อน เหงื่อก็ออกเยอะ”ผมช้อนร่างบางนั้นมาอุ้มอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าน้องคนนี้ไม่ได้น้ำหนักเบาอย่างทีคิด แต่อาจจะเป็นเพราะอะดรีนาลีนในตัวผมมันหลั่งอย่างรวดเร็ว ผมเลยพาน้องไปที่รถได้อย่างสบาย

.

.

ผมขับรถพาน้องคนนั้นไปศูนย์แพทย์อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมีแก้วนั่งข้างคนขับ และมีพี่พยาบาลของคณะข้างๆ นั่งอยู่เบาะหลังกับน้องคนนั้น

“เดี๋ยวเราจะกลับรถรอนะ รีบพาน้องเขาเข้าไปเถอะ”ผมบอกขณะจอดรถเทียบปากทางเข้าศูนย์แพทย์ แก้วพยักหน้าแบบรับรู้ ก่อนจะรีบไปช่วยพี่พยาบาลคนนั้นพาน้องเข้าไปส่งด้านในศูนย์แพทย์

ผมกลับรถก่อนจะจอดรอบริเวณใกล้ๆปากทางเข้าศูนย์แพทย์ ระหว่างนั่งรอก็ถืออภิสิทธิ์เปิดเพลงในรถแก้วฟังไปด้วย เพลงที่ผมฟังไปเล่นผ่านไปแล้วกว่าสิบเพลง จนผมเอะใจและอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสามคนนั้นถึงได้เข้าไปนานจัง ผมตัดสินใจดับเครื่องลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปดูข้างใน แก้วยืนคุยโทรศัพท์รออยู่ข้างนอก ส่วนพี่พยาบาลคนนั้นอยู่ด้านใน คุยกับพยาบาลอยู่ ผมพยายามสอดส่องสายตาหาเด็กนั้นแต่ว่าไม่พบ

“อ้าว โอม เข้ามาด้วยหรอ”แก้วทักผมหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ

“อืม เห็นว่านาน เลยเข้ามาดู สรุปว่าเป็นอะไรมากมั้ย”

“ไม่เท่าไหร่หรอก คงโดนฝนเมื่อวาน เราเองก็นึกอยู่ว่าหน้าคุ้นๆ พอเห็นว่าพี่สาวน้องโทรมาเลยรู้ว่าเป็นน้องของเพื่อนเก่า
นั่นเอง”แก้เล่าให้ผมฟังคร่าวๆ ผมพยักหน้ารับรู้ ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออกมา พี่พยาบาลคนนั้นค่อยพยุงน้องคนนั้นออกมา

“หมอว่ายังไงบ้าง”ผมเอ่ยปากถามพลางรับช่วงช่วยพยุงน้องต่อจากพี่พยาบาลคนนั้น แล้วเดินนำไปยังรถที่จอดไว้ทางด้านหลัง

“ไข้ขึ้นสูง ต้องดูแลให้ดี สงสัยน้องคงจะโดนฝนเมื่อวานน่ะ”พี่พยาบาลคนนั้นว่า

“อ้อ งั้นเราดูแลเอง น้องปั้นเป็นน้องของเพื่อนสนิทเราเอง ถ้ายังไงเดี๋ยวเราไปส่งเธอก่อนก็ได้”แก้วพูดกับพี่พยาบาลคนนั้น สอบถามสถานที่ที่จะไปส่งเธอ ส่วนผมก็พยุงให้น้องนั่งเบาะหลังอย่างทุลักทุเล ดูเหมือนน้องเองก็ยังไม่ได้สติดีเท่าไหร่ ดูมึนๆงงๆ

“ไปกันเถอะโอม เดี๋ยวส่งเอมลงหน้าเซเว่นหน้ามอที”แก้วว่าพร้อมสอดตัวเข้ามานั่งหน้าคู่กับผม ส่วนเอมที่ว่าคงเป็นชื่อของพี่พยาบาลคนนั้น

ระหว่างทางที่ขับลงมอมีเสียงพูดคุยเป็นระยะ ผมไม่ได้ถามแก้วว่าจะเอายังไงเรื่องน้อง เพราะแก้วบอกว่าจะดูแลเอง ผมก็ข้องใจเล็กๆว่าจะดูแลยังไง แถมตัวเองน้องเองก็ยังไม่ค่อยจะมีสติเต็มร้อย ตื่นเป็นพักๆแถมอุณหภูมิร่างกายก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด ผมหรี่แอร์ให้เพราะนึกสงสารในใจ หวังว่ามันคงจะดีขึ้นนะ

.

.

.

ผมจอดรถตรงหน้าเซเว่นเพื่อให้เอมลง ตอนนี้ก็เป็นเวลาสามทุ่มกว่าๆแล้ว

“แก้ว แล้วแก้วจะขับไปต่อเองมั้ย หรือว่าจะให้เราขับไปให้ที่หอ”

“โอม แก้วมีเรื่องรบกวนหน่อยอ่ะ คือหอแก้วไม่ให้ผู้ชายเข้า แล้วน้องปั้น... ก็เป็น... เอ่อ เป็น...”

“เป็นผู้ชาย”ผมต่อให้แก้ว เมื่อเห็นว่าแก้วดูกระอักกระอ่วนกับเรื่องที่จะพูด

“ใช่ แล้วคราวนี้ โอมเป็นผู้ชายใช่มั้ยล่ะ แถมพรุ่งนี้เราก็ไม่มีเรียนกันไง แล้วก็...”

“พอๆๆ สรุปว่าโอมต้องเอาน้องเขาไปช่วยดูแลใช่มั้ย”ผมตัดบทแก้วก่อนที่เหตุผลอีกร้อยแปดจะตามมา

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนอ่ะนะ แบบว่าเราโทรคุยกับปิ่น พี่ของปั้นอ่ะนะ แล้วปิ่นก็บอกว่าไม่ค่อยไว้ใจเมทร่วมห้องของน้อง แถมอยู่
ตรงนั้นก็ไม่แน่ว่าพวกน้องๆจะช่วยดูแลปั้นได้รึเปล่า”แก้วรีบอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้าผม คือหน้าผมมันคงแสดงออกถึงความลำบากใจอย่างชัดเจนแน่ๆ

“แก้ว คือเราก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับน้องมันขนาดนั้นน่ะ ถึงเราจะอยู่คนเดียว แต่ห้องเราก็เล็ก แล้วเราก็ไม่มั่นใจว่าจะดูแลน้องได้
ดีรึเปล่า ถ้าเผื่อมันช็อคตอนกลางคืนแล้วเราจะทำไงล่ะ”

“น่า โอม ถือว่าช่วยๆกัน มันคงไม่ถึงขั้นช็อคหรอก แถมถ้าน้องอยู่กับเรา เราก็คงจะเช็ดตัวให้น้องไม่ได้ เพราะเราก็ไม่ใช่เพศเดียวกับมันอ่ะ”แก้วแทบจะยกมือไหว้อ้อนวอนผม ให้ผมพาน้องไปด้วย แม้จะคิดในเรื่องความลำบาก มันก็คงไม่ได้ลำบากมากขนาดที่ว่ามันจะเป็นภาระ เห็นจะมีก็แต่ความไม่สนิทใจเท่านั้น

“ก็ได้ งั้นก็ไปหอเราก่อน แล้วเดี๋ยวแก้วขับรถกลับหอเองได้มั้ย”แก้วยิ้มออกมาทันที่ได้ยินความตอบผม ผมว่านาทีนี้ถ้าผมจะพูดยังไงแก้วก็คงไม่ขัดใจแน่ๆ ผมเหลือบมองคนข้างหลังผ่านกระจก พลางคิดแค้นในใจว่ามันนี่เป็นตัวพาความยุ่งยากมาผมซะจริงๆ

.

.

.

ผมชะลอรถเมื่อถึงหน้าหอ

“โอม จะให้เราช่วยพาน้องไปที่ห้องมั้ย”แก้วปลดเบลท์ออกทำท่าจะลงจากรถ

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ เดี๋ยวเราพาน้องไปเองก็ได้ แก้วเป็นผู้หญิงเข้าหอผู้ชายมันน่าเกลียด”ผมปลดเบลท์เตรียมไปแบกเจ้าตัวปัญหาขึ้นห้องตัวเอง

“เออ โอม แล้ววันนี้พี่โอมอยู่ห้องด้วยรึเปล่า เราลืมเลยนะเนี่ย”แก้วจุดประเด็นที่ผมเองก็ลืมไปเสียสนิท

“เออว่ะ เดี๋ยวโอมโทรถามมันก่อน”ผมลงจากรถไปกดโทรศัพท์หาพี่ชายตัวเองทันที

‘ฮัลโหล ว่าไงไอ้โอม’

“ว่าไงบ้านป้ามึงดิ กูจะถามว่าตอนนี้มึงเอารถกูไปไหนเนี่ย”

‘อ้อ วันนี้กูคงนอนโรงแรมในเมืองอ่ะ เดี๋ยวรถพรุ่งนี้กูขับไปคืน ขอกูหาตุ๊กตามานั่งหน้ารถก่อน ฮ่าๆๆ’

“เออ มึงห้ามทำรถกูเลอะนะ แค่นี้แหละ”

‘ใครจะอุตริเอากันในรถว่ะ มึงนี่... กวนตีนกูและ แค่นี้แหละเว้ย’
ผมกดวางสาย ที่ต้องเตือนมันก็เพราะมันเหมือนคนปกติที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ดักคอมันไว้ก่อน ผมว่ามันทำชัวร์เลย

“แก้ว โอเคแล้วล่ะ เดี๋ยวเราพาน้องขึ้นห้องเลยนะ”ผมเปิดประตูหลังก่อนจะค่อยลากคนด้านในออกมา

“ขอบใจมากนะโอม ถ้าไม่ได้โอมเราคงไม่รู้จะไปพึ่งใคร”ผมยิ้มรับ ไม่ได้ว่าอะไร

“แก้วขับรถกลับเถอะ เดี๋ยวจะมืดกว่านี้ ขับลำบาก งั้นโอมขึ้นก่อนนะ พรุ่งนี้จะไปส่งน้องที่หอในให้”

“ขอบใจมากๆนะโอม มะรืนเจอกัน”แก้วโบกมือให้ผม ผมได้แต่ยิ้มรับ ก็แน่ล่ะสิเพราะมือผมต้องจับไอ้ตัวยุ่งยากไว้นะสิ

.

.

ผมไม่ได้ยืนรอส่งแก้วอย่างที่สุภาพบุรุษทั่งไปพึงกระทำ แต่กลับพาน้องขึ้นห้องไปอย่างทุลักทุเล โชคดีที่หอผมมีลิฟต์ มันจึงไม่
ได้อนาถมาก ผมล้วงหยิบกุญแจห้องมาไขอย่างลำบากลำบน เมื่อเปิดประตูห้องได้ ผมก็แทบโยนเจ้าตัวยุ่งยากลงไปบนที่นอนห้าฟุตทันที

“แล้วหลังจากนี้ จะเอายังไงกันว่ะนี่”ผมแทบจะยีหัวตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะต้องทำต่อไป

ผมจะเริ่มจากอะไรดีล่ะ...


++++

ฝากติชมกับตอนแรกกันด้วยนะคะ ^^





หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 1 23/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 24-12-2013 09:19:38
พี่โอมจะทำยังไงกับน้องปั้นต่อไป
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 2 24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 24-12-2013 11:41:50
ตอนที่ 2

ผมจัดการหาชามใบใหญ่หน่อยในห้อง เพราะผมไม่มีอ่างน้ำแบบในละครหรอกนะ ก่อนจะไปเปิดน้ำอุ่นเตรียมเช็ดตัวให้ไอ้เด็กบ้าที่นอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงผม ผมยอมเสียสละผ้าเช็ดผมหนึ่งผืนเพื่อไปเช็ดตัวให้กับเด็กน้อย ในใจนึกว่าผมต้องเสียตังค์อีกสามสิบห้าบาทเพื่อไปซื้อผืนใหม่มาไว้ใช้อีก ผมวางชามที่มีน้ำอุ่นไว้ตรงโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะสวดภาวนาทำใจลอกคราบคนบนเตียงสักห้านาที

“เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน กูมีอะไรมันก็มีเหมือนกูนั่นแหละ”ผมเป่าปากเรียกกำลังใจตัวเอง แล้วจัดการลอกคราบเด็กน้อยเสีย เริ่มจากเสื้อคณะมัน เสื้อกล้ามมัน กางเกงวอร์มของมัน ผมชะงักมือนิดหน่อยเมื่อจะรูดบ็อกเซอร์มันออก

“แค่เช็ดตัว แค่นี้ก็คงพอแล้วมั้ง”ผมหยุดการลอกคราบมันไว้เพียงเท่านี้ ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการเช็ดถูตัวมัน
ผมเริ่มจากเช็ดหน้ามันก่อน จะว่าไป ไอ้ปั้นนี่มันก็หน้าใสกิ๊ง สิวซักเม็ดก็ไม่มี แม่ง ชักว่าวบ่อยป่ะวะ คนบ้าอะไรหน้าใสจนผู้หญิงยังอาย พอเริ่มเช็ดตรงซอกคอมันก็สัมผัสได้ว่าตัวมันเหมือนจะร้อนขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มเครียด ถ้าคืนนี้มันเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ ผมต้องอยู่กับวิญญาณมันไปอีกเกือบสามปีเลยนะ ผมเช็ดตัวมันไล่เรื่อยมาจนถึงแผ่นอก ในใจก็นึกอัศจรรย์ใจอีกรอบ นี่มึงผู้ชายจริงป่ะเนี่ย คนห่าอะไรฟะ ตัวโคตรขาวอย่างกับตกกระป๋องแป้งมา พอไล่เรื่อยมาจนถึงเอวก็พบว่าไอ้เด็กน้อยนี่เอวเล็กจริง แม้มันจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องอยู่บ้างก็เหอะ ไล่เรื่อยมาเช็ดขา ยังนึกดีใจแทนมันที่พอมีขนหน้าแข้งยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้ชายอยู่บ้าง ผมจัดการเก็บอุปกรณ์เช็ดตัว ผลักเด็กน้อยไปชิดเตียงด้านหนึ่งแล้วดึงผาห่มมาคลุมตัวมัน
ผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเตรียมล้มตัวจะนอนข้างๆมัน แต่ไอ้เด็กบ้าดันวาดแขนมาโดนหน้าผมพอดี

“โอ้ย เชี่ยนี่”ผมร้องออกมา แน่และ มันไม่ใช่เบาๆ เพราะมันทำให้เลือดกำเดาผมออกได้ ผมรีบเขยิบตัวออกจากเตียงก่อนที่เลือดจะไหลหยุดลงบนเตียง แต่ก็ไม่ทัน... เลือดผมหยดลงบนผ้าปูที่นอนสีน้ำตาลอ่อนทันที ผมแทบร้องไห้ ชุดเครื่องนอนลายโปรดของผม ผมนี่แทบจะเห็นภาพสโลว์แบบในหนัง แต่มันไม่ทันจริงๆ แง่ง งับไอ้เด็กบ้านี่แทนดีไหม ข้อหาทำร้ายผ้าปูที่นอนของผม

ผมเดินเข้าห้องน้ำไปล้างเลือดออก ก่อนจะเปิดตู้เย็นหาน้ำแข็งมาประคบไว้สักพัก ในใจนึกหงุดหงิดที่มีคนมาทำให้เวลานอน
ของผมลดลงไปอีก ผมตวัดสายตามองคนที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียวอย่างโกรธเคือง มันเป็นครายยยยยยยย มาทำร้ายร่างกายผมได้ พ่อแม่ผมยังไม่เคยทำเลยนะ

ผมรอจนเลือดหยุดไหล แล้วเดินไปหยุดตรงข้างเตียง ก่อนที่จะ...

ล้มตัวลงนอนข้างมัน!!!

ผมทำอะไรมันไม่ด้ายยยยยยย เข้าใจไหม มันไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่เพื่อนผมสักหน่อย จะรังแกมัน จะแกล้งมันก็สงสารเด็ก เอาวะ วันหน้ายังมี มันต้องโดนผมแก้แค้นเข้าสักวันนั่นแหละ ไม่ต้องห่วง

.

.

.

ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดด

ผมควานมือหาโทรศัพท์มือถือที่ปกติแล้วมันมักจะกลิ้งอยู่บนที่นอนผม หรือไม่ก็วางตัวนิ่งๆอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง มือผมปัดป่ายไปเรื่อยทั้งที่ยังไม่ลืมตา ในหัวก็พยายามนึกว่าเมื่อวานผมวางโทรศัพท์มือถือผมไว้ที่ไหน มือผมปัดไปโดนคนข้างๆ ผมตกใจเล็กน้อยแต่ก็พอสำนึกได้ว่าเมื่อคืนเอาเด็กน้อยมานอนที่ห้องด้วย ผมเจอโทรศัพท์แล้วจึงกดปิดนาฬิกาปลุก เตรียมตัวจะนอนต่ออีกรอบ เพราะวันนี้ผมไม่มีเรียน

เสียงขยุกขยิกข้างเตียงผมก็ไม่อาจดึงความสนใจในการนอนต่อของผมไปได้ ผมขยับตัวอีกครั้งเพื่อหาท่าที่นอนสบายทีสุด แต่ว่า...

“เฮ้ย แมร่ง! มึงเป็นใครเนี่ย”

ผมหยีตาสู้แสงแดด เห็นไอ้เด็กบ้ากระโดดผลุงลงไปยืนหน้าโทรทัศน์เรียบร้อย ผมหลับตาลงนอนต่ออย่างไม่สนใจ แต่มัน...

พลั่ก!

“มึงมากระทืบกูทำไมวะ”ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่งตาสว่างทันที แมร่ง! ตรงไหนไม่กระทืบ เสือกมากระทืบที่หลังกูอีก

“ก็มึงไม่สนใจกูทำไมล่ะ”เถียง! ไอ้เด็กบ้ามันเถียงผม

“อ่ะๆๆ กูสนใจมึงก็ได้ มีอะไรว่ามา”ผมนั่งหันหน้าไปหามันอย่างจริงจัง ดูสภาพมันดิ ไข้ยังไม่หายดีเลยเพราะหน้ามันยังแดงๆอยู่ อยู่ในสภาพนุ่งบ็อกเซอร์ตัวเดียว นี่มันจะยั่วผมรึเปล่าเนี่ย เฮ้ย! ไอ้บ้าโอม มึงคิดอะไรของมึงเนี่ย

“มึงเป็นใคร”มันกอดอกเริ่มตั้งคำถามกับผม

“กูชื่อโอม กายภาพบำบัด ปีสอง”ผมก็บ้าจี้เล่นเกมยี่สิบคำถามกับมัน มันทำหน้าแบบ ไม่เชื่อว่าผมจะเรียนอยู่ทางคณะสายการแพทย์

“แล้วทำไมกูมาอยู่ที่นี่”

“เมื่อวานมึงไม่สบายมาก รุ่นพี่หามมึงออกมาจากช็อป เผอิญแก้ว เพื่อนกูมีรถ เลยพามึงไปศูนย์แพทย์ แล้วเขาก็เป็นห่วงมึง เขาบอกว่าพี่มึงไม่ไว้ใจเมทมึง เลยขอให้กูช่วยเอามึงมาดูแล”ผมเล่าสรุปย่อๆให้มันฟัง มันพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงรับรู้ ดูมันไม่ถามถึงแก้วสักนิด คิดว่ามันคงจะรู้จักแก้วอยู่แล้ว

“แล้วเมื่อคืนมึงทำอะไรกู”

“มึงอยากให้กูทำอะไรล่ะ”ผมถามย้อนมันกลับด้วยสีหน้ากวนตีน

“เชี่ยนี่ สรุปว่ามึงทำอะไรกูจริงๆใช่มั้ย”หน้ามันตอนนี้นี่ผมเห็นแล้วอยากจะหัวเราะจริงๆ ก็ดูหน้ามันดิ แบบหน้ากึ่งจะร้องไห้ กึ่งโกรธจนอยากมากระทืบผมซ้ำ

“มึงก็คิดเอาเองดิ”ผมก้าวลงจากเตียงอย่างไม่สนใจ ไม่อธิบายให้มันเข้าใจ หวังจะแกล้งมันไปสักพัก ผมเตรียมเข้าห้องน้ำหางตาเห็นแวบๆว่ามันไปหยิบมาผ้าห่มอะไรของมันก็ไม่รู้ หรือมันจะพับผ้าห่มให้ผมนะ

“ไอ้เชี่ย มึงออกมาจากห้องน้ำเลยนะ”ผมกำลังเตรียมจะล้างหน้ามันก็มาทุบประตูห้องน้ำ ส่งเสียงดังโวยวาย ผมเปิดประตู ไม่ทันได้ตั้งตัว หมัดมันครับพี่น้อง สวนมาเต็มๆ ถ้าผมไม่ตัวสูงกว่ามันผมคงล้มไปแล้ว

“อะไรของมึง”ตอนนี้ผมโกรธจนแทบอยากจะฆ่ามันตรงนี้เลย ไอ้นี่ หน้าตากูมีไว้ล่อลวงสาวนะเฟ้ย

“ก็มึงทำอะไรกูล่ะ”อ้อมไปอ้อมมาแล้วชาตินี้กูจะรู้เรื่องกับมึงไหมเนี่ย

“กูทำอะไร กูอยู่เฉยๆแล้วมึงมาต่อยกูเนี่ย”

“ก็มึงทำเนี่ย มึงทำกูเนี่ย”คือมันก็พูดแค่นี้ แล้วก็หน้าแดงใส่ผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันโกรธหรือเขิน หรืออะไรกันแน่

“กูทำอะไร”ผมถามมันซ้ำด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง มันทำหน้าดาผมประมาณว่า มึงนี่ โง่โคตร มันเดินกระทืบเท้าไปตรงเตียงแล้วชี้จุดเกิดเหตุให้ผมดู ผมเดินไปดูก็เห็นที่มันชี้ก็คือ... คราบเลือดผมเมื่อคืนนี้

“อ๋อ ไอ้นี่อ่ะหรอ”ผมอยากจะขำกับความคิดมันจริงๆ แล้วที่มันเดินได้ กระโดดได้นี่มันหมายความว่าอะไรวะ

“มึงยังมีหน้ามาขำอีก นี่เกียรติศักดิ์ศรีกูเลยนะ”มันพูดแบบจริงจังเว่อร์ ยิ่งผมเห็นผมก็ยิ่งขำ

“สงสัยแม่งโดนกูขยี้หมดแล้วมั้ง ศักดิ์ศรีมึงอ่ะ”ผมพูดขำๆ แต่มันคงไม่ขำกับผม เพราะเห็นมันเลือดขึ้นหน้าหนักกว่าเดิม

“เฮ้ยๆๆ ใจเย็นๆ  คือ...”

“มึงจะให้กูใจเย็นได้อีกหรอ มึงนี่เดรัจฉานจริงๆ”มันด่าผมแถมไม่ใส่ใจเรื่องที่ผมกำลังจะอธิบายให้มันฟัง มันเดินดุ่มๆหาเสื้อผ้ามันของมันเองมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว เตรียมจะออกจากห้อง

“เดี๋ยว จะไปไหน ฟังกูก่อนดิ”ผมกระชากแขนมันไว้ ใจหนึ่งก็กลัวมันเจ็บ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากอธิบายให้มันเข้าใจก่อน

“มึงจะให้กูฟังอะไร เรื่องที่มึงทำกับกูงั้นหรอ”มันหันมามองหน้าผม ผมเห็นน้ำตามันคลอเบ้าเล็กน้อย แต่มันพยายามลืมตาไว้ไม่
ให้ไหล ยิ่งผมเห็นอย่างนี้แล้วผมก็ยิ่งรู้สึกผิด ผมคิดแค่เพียงว่าผมไม่น่าแกล้งมันเลย

“ไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างที่มึงเข้าใจนะ มึงกำลังเข้าใจผิด”ผมพยายามพูดให้มันฟัง แต่มันก็มัวแต่พยายามแกะมือผมออก ผมก็ยิ่งพยายามยื้อให้แน่นกว่าเดิม

“ปล่อยกู กูเจ็บนะ”จังหวะนั้นเอง ประตูห้องผมก็มีคนเปิดเข้ามาอย่างไม่ทันได้นัดหมาย

“ไอ้โอม กูโทรมาทำไมไม่รับ กูจะบอกว่ากูจะกลับบ้านแล้วนะ โอ๊ะโอ่”ไอ้ปั้นฉวยโอกาสที่ผมหันไปสนใจพี่ชายผม สะบัดแขนหนีผมแล้วเดินออกนอกห้องไปอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย! ไอ้อั้ม เอากุญแจรถมา เร็วดิวะ!”ผมเร่งมันทั้งๆที่ก็เพิ่งออกปากขอเมื่อกี้นี้ มันล้วงอยู่สักแป๊บแล้วส่งให้ผม เตรียมจะอ้าปากพูดอะไรกับผม แต่ผมก็ไม่สนใจแล้ว รีบวิ่งตามคนตัวขาวออกไป

ผมเห็นไอ้ปั้นกดลิฟท์ปิดพอดี ผมเลยตัดสินใจวิ่งลงบันไดให้ทันมัน

“ปั้น รอพี่ก่อน”คำพูดผมสุภาพขึ้นมาทันที มันชะงักหันมามองนิดหน่อย แต่พอเห็นว่าเป็นผมที่เรียกมัน มันก็รีบสาวเท้าเดินไปทันที ผมวิ่งตามมันทัน นึกขอบคุณพระเจ้าที่มันไม่วิ่งหนีผม

“ปั้น รอก่อน ให้พี่อธิบายก่อน แล้วเดี๋ยวพี่จะขับรถไปส่ง”ผมยื้อแขนมันไว้ แม้จะเห็นว่าของครั้งก่อนที่ผมกระชากแขนมันเป็นรอยแดงขึ้นตามนิ้วมือผมก็ตาม

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พากูไปส่งก็พอ”มันพูดเสียงเครือยิ่งทำให้ผมพูดไม่ออก

.

.

ผมจูงแขนมันมาที่รถด้วยกลัวมันจะวิ่งหนีผมไปอีก ผมเปิดประตูรถให้มันก่อนจะดันตัวมันให้นั่ง มันก็ไม่ได้ขัดขืนผม ผมรีบไปสตาร์ทรถเตรียมขับจะไปส่งมันที่หอใน ในใจก็คิดแค่ว่าจะขับช้าหน่อยรอให้มันใจเย็นแล้วผมจะได้อธิบายให้มันฟัง

“ปั้น... พี่จะ...”ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรมามากกว่านี้ มันก็ขัดผมขึ้น

“พอเหอะ ไม่อยากฟังอะไร”มันพูดโดยไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย ตลอดทางเข้ากว่าห้ากิโลเมตร มันก็ยังไม่พูดอะไร ผมก็ไม่รู้จะ
พูดอะไร ผมถามมันว่าอยู่หอไหน มันก็ตอบ แต่แบบเฉยชามาก ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย

ผมจอดรถตรงปากทางเข้าหอ มันเปิดประตูรถจะลงโดยไม่คิดจะพูดอะไรกับผมสักนิด ผมรีบเปิดประตูรถลงตามมันไป

“ปั้น”มันหันมามองหน้าผม แต่สายตามันกลับทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่าการกระทำ

“ไว้ปั้นพร้อมเมื่อไหร่ก็มาฟังคำอธิบายจากพี่ พี่ไม่อยากให้ระหว่างเราเป็นแบบนี้ ปั้นควรจะได้รู้ความจริง”ผมพูดเพียงเท่านั้นแล้ว
เดินกลับขึ้นรถเลย ไม่ใช่ว่าเหนื่อยจะตามง้อ แต่ผมคิดว่าถ้าให้เวลาปั้นคิดมากกว่านี้ ระหว่างผมกับปั้นอาจจะดีขึ้นก็ได้

.

.

ผมขับรถกลับมาถึงหอก็พบว่าพี่ชายตัวเองยังนั่งเสนอหน้าไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องเสียที

“รออะไร”ผมทักมัน ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน

“รอมึงนั่นแหละ ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนรสนิยมนะมึง”

“พอเลยไอ้อั้ม แค่รุ่นน้องเข้าใจผิดเฉยๆ”ผมแย้งพี่ชายตัวเองที่นั่งทำหน้าราวกับกุมความลับของนาซ่าไว้

“”อย่าให้เห็นแล้วกันว่ามึงพาน้องคนนี้ไปแนะนำให้พ่อแม่รู้จัก”

“ไร้สาระน่า สรุปว่ามึงจะกลับบ้านได้ยัง เดี๋ยวกูก็จับทำเมียซะนี่”

“หูย ไอ้โหด น้ำหน้าอย่างมึงจะพาใครไปถึงสวรรค์ได้วะ ไว้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนก่อนแล้วค่อยมาคุยเหอะ กูเหม็นขี้ปาก”ไอ้อั้ม
แทบจะถ่มน้ำลายลงบนพื้นห้องผมอยู่แล้ว

“มึงมาพิสูจน์ไหมล่ะไอ้ห่านี่ กลับบ้านไปเลยไป กูอยากอยู่คนเดียว”

“พระเอกจริ๊ง แต่กูจะบอกอะไรให้นะ อยากง้อคน มึงต้องสุภาพกว่านี้ มุ่งมั่นกว่านี้ แล้วที่สำคัญมึงต้องจริงใจกับเขามากกว่านี้ กู
ไปและ เหม็นหน้าคนไร้น้ำยา”ไอ้อั้มว่าแล้วคว้ากระเป๋าเดินทางเดินออกจากห้องผมไป สรุปว่าผมนี่ไร้น้ำยาจริงอย่างที่มันบอกใช่มั้ยเนี่ย ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง นึกถึงคำพูดไอ้อั้มแล้วก็คิดหนัก คิดเป็นสิบๆรอบก็ไม่รู้ว่าจะขอโทษคนตัวเล็กยังไงดี ทั้งๆที่ความผิดผมก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่ทำไมมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมไปพรากผู้เยาว์มาเลยอ่ะ

“แมร่งเอ้ย สรุปกูผิดมากใช่มั้ยเนี่ย”ผมผุดลุกขึ้นมานั่งแล้วยีหัวตัวเองให้สะใจเล่น อยากจะกระชากผมตัวเองเผื่อจะได้คิดออกบ้าง หวังว่าเวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นนะ ผมหวังว่าอย่างนั้นจริงๆ...

.

.

“เฮ้ย ไอ้ปั้น เป็นอะไรวะหงอยๆ”รูมเมทของเจ้าของร่างบางเอ่ยเสียงทักเมื่อเดินมาเปิดประตูแล้วเจอสภาพของคนตรงหน้า

“หงอยพ่องดิ ไอ้ก้อง กูแค่ง่วงเว้ย”ถึงหน้าคนตรงหน้าจะหวานจนชวนให้หลงใหลได้ปลื้ม แต่นายก้องคนนี้การันตีเลยว่า ปากมัน
นี่หมาไม่แดกจริงๆ

“ไอ้ห่านี่ กูก็เป็นห่วงบ้างเถอะ แล้วเมื่อคืนมึงไปไหนมา เห็นพี่เค้าหิ้วมึงออกจากช็อปแล้วมึงก็หายไป กูนึกว่าจะมานอนรอที่ห้อง พอมาก็ไม่เจออีก”เด็กหนุ่มร่างสูงเดินไปทวงคำถามจากคนร่างบางอย่างไม่ลดละ

“ไว้ตื่นมาค่อยเล่า ตอนนี้กูง่วง”ปั้นเลือกที่จะหนีการคอบคำถามด้วยการหลับตาลงซะ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายล่าถอยไปไม่ซักถามให้น่ารำคาญ แต่ตัวเขาเองกลับหลับไม่ลงอย่างที่ตั้งใจไว้ ภาพใบหน้าของใครคนนั้นยังคงลอยในหัว ภาพสายตาที่ทิ้งไว้ครั้งสุดท้ายทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา คำพูดของใครคนนั้นยังสะท้อนอยู่ในอก ทุกการกระทำของใครคนนั้นยังคงชวนให้คิดไม่ตกว่าตกลงเรื่องไหนล้อเล่นเรื่องไหนจริงกันแน่ แต่ตอนนี้ขอเขาหลบหนีความจริงไปสักครู่ เขาว่าการนอนหลับคือการลืมที่ดีที่สุด หวังว่ามันคงจะได้ผลนะ...





TBC...

++++

เอามาหย่อนไว้อีกตอน ฉลองคริสต์มาสอีฟ ฮ่าๆๆ  :z2:

อยากได้คอมเม้นท์จังเลย ฮิๆๆ  :mew2: :mew2:

ชะแว้บ กลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบต่อแล้ว ไว้วันศุกร์จะมาลงให้อีกนะจ้ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 2 24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 24-12-2013 12:19:17
ปั้นอารมณ์ร้อน โอมก็กวน เลยเข้าใจผิดไปกันใหญ่

 :mew1: คนเขียนสู้ๆ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 2 24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 24-12-2013 15:26:41

แหม---แทนที่จะสำรวจตัวเองก่อน

ถ้าโดนจริงๆมันก็ต้องมีร่องรอยเหลือไว้บนร่างกายให้เห็นบ้างแหละ

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Christmas Sp. 24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 24-12-2013 19:40:37
Merry Christmas


วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของผมพอดี ในใจผมนึกอยู่ว่ามออะไรวะโคตรโหด ขนาดวันคริสต์มาสยังให้ผมมาสอบ ส่วนไอ้แสบนั้นน่ะหรอ มันสอบเสร็จเมื่อวานแล้ว มันแง้วๆจะกลับบ้านที่นครสวรรค์ตั้งแต่เมื่อวานนี้เลย แต่ผมหลอกล่อมันว่าให้มันนั่งรถทัวร์กลับพร้อมผม เพราะยังไงก็ต้องผ่านทางนั้น แถมผมยังออกค่าตั๋วให้มันด้วย ผมเลยจองตั๋วไว้วันพรุ่งนี้เช้า ไม่อยากจองรบดึกเพราะเป็นห่วงว่ามัน กลัวว่าจะถึงนครสวรรค์ดึกแล้วมันจะอันตรายน่ะครับ ส่วนข้ออ้างสำคัญจริงๆคือผมอยากอยู่เที่ยววันคริสต์มาสกับมันก่อน

ผมออกมาหน้าห้องสอบในใจนึกไม่อยากทวนคำตอบอะไรทั้งนั้น กลัวผิดน่ะครับ แต่มันก็ดูไม่เป็นใจ

“เฮ้ย มึงข้อนั้นที่ทำว่านอนคว่ำงอเข่าได้กี่องศาอ่ะ มึงตอบอะไร”ไอ้เต้ออกจากห้องสอบมาปุ๊บก็ถามผมทันที

“ร้อยสี่สิบมั้ง กูไม่แน่ใจ”ผมตอบมันไป

“โอ้ยเหี้ย กูการ้อยยี่สิบ แล้วข้อสุดท้ายอ่ะ อันนั้น axis อะไร”

“vertical axis”

“เหยดดด กูมั่วถูก”มันโหวกเหวกดีใจพักใหญ่ ก่อนจะหันไปคุยกับกลุ่มอื่นที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ข้อสอบต่อไป
ผมรอจนกลุ่มเพื่อนผมออกมาครบ แล้วก็รับรถลงไปพร้อมกัน แล้วผมก็วนรถกลับมารับไอ้ตัวแสบที่ยังติดแหง็กอยู่หอใน ไม่มีใครในกลุ่มเพื่อนผมรู้ว่าผมกำลังติดเด็กแจ แต่ว่ามันก็สงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นสารพัดขนมบนรถผม และเวลาที่อยู่กับเพื่อนน้อยลง พวกมันก็ไม่ได้ถามอะไรหรอกนะ แต่ผมว่ามันรอให้ชัวร์แล้วจัดการเชือดผมทีเดียวมากกว่า

.

.

.

“ฮัลโหล ปั้น พี่มารอหน้าหอแล้ว เอากระเป๋าลงมาได้แล้ว”ผมโทรบอกปั้น ที่ให้เอากระเป๋าลงมือเลย เพราะว่าคืนนี้ผมจะให้มันนอนห้องผมนี่แหละ เพราะต้องตื่นแต่เช้า ผมขี้เกียจขับรถมารับมัน อีกอย่างกลัวมันตื่นสายด้วย เอาให้ชัวร์คือลากมันไปนอนห้องผมเลยดีกว่า

ผมดับเครื่องรอสักพัก ก็เห็นไอ้ตัวแสบวิ่งกระดุ๊กกระดิ๊กมา พร้อมกระเป๋าเป้ใบโต ผมกดปลดล็อครถให้มันขึ้น

“หนาวๆๆ”ผมว่าแล้ว ก็มันเล่นไม่ใส่เสื้อหนาว นี่ภาคเหนือนะพ่อคุณ

“แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อกันหนาวอ่ะ”ผมคว้าเสื้อกันหนาวอีกตัวที่พาดอยู่ด้านหลังมาให้มัน

“ก็ปั้นซักผ้าวันนี้ให้หมดไง ปั้นเลยไม่มีเสื้อกันหนาวใส่”

“อ้าว แล้วพรุ่งนี้ขึ้นรถทัวร์จะเอาเสื้อกันหนาวที่ไหนล่ะ”ผมถามมัน มันทำตาโตแบบเพิ่งนึกขึ้นได้

“เออ จริงว่ะพี่โอม ทำไงดี”

“ช่างเหอะ เดี๋ยวเอาของพี่ไปใส่ก่อนก็ได้ แล้วป้ายชื่อหายไปไหนน่ะ ปลดระเบียบแล้วหรอ”ผมถามเรื่องป้ายชื่อคณะมันกับสมุดเชียร์ที่มันต้องห้อยคอประจำ

“แหะๆๆ อยู่ในกระเป๋า โห พี่โอม ก็มันปิดเทอมแล้วนี่เนอะ เนอะๆๆ”มันอ้อนครับ แต่ผมว่าเหมือนอ้อนอวัยวะช่วงล่างผมยังไงไม่รู้

“ไม่สนเว้ย ถ้าไปเจอพี่วินัยคณะเอ็ง พี่ไม่ช่วยนะ”ถึงผมจะเป็นพี่วินัย แต่ก็แค่วินัยในคณะตัวเองเท่านั้นแหละครับ

“ไม่เจอหรอก ยังไงพี่เค้าก็จำปั้นไม่ได้หรอก คนในคณะตั้งเยอะตั้งแยะ อีกอย่างปั้นมีนี่”มันคว้าเอาหมวก กับแว่นกันแดดของมัน
ที่เอามาทิ้งไว้ในรถผมมาใส่

“นึกว่าดาราเลยนะเนี่ย”ผมแซวมันเล่น

“ใครว่า นี่ผู้เสียหายตั้งหาก เผอิญถูกพรากผู้เยาว์น่ะ”สะอึกเลยครับผม ปั้นก็ยังไม่ครบสิบเก้าเลย วันเกิดมันเดือนเมษานู่นแหละ

.

.

.

ผมขับรถพาปั้นมากินสเต็กลุงหนวด ไม่ต้องไปประชาราษฎร์ก็หากินได้ ผมสั่งสลัดมาเผื่ออีกสองจาน ถ้าถามว่ามื้อนี้ใครเลี้ยงผมตอบได้เต็มปากเลยครับว่า ไม่พ้นผมอยู่ดี

“พี่โอม เราไปเดินเล่นที่กว๊านอีกดิ ปั้นอยากดูน้ำพุเต้นระบำอ่ะ”

“ไม่รู้ว่ามีรึเปล่าน่ะสิ มาเดินถนนคนเดินก็พอแล้วไง เดี๋ยวคืนนี้กลับดึกนะ พรุ่งนี้ต้องนั่งรถทั้งวันอีก”มันไม่เซ้าซี้ผมอีก ซึ่งผมก็ว่านี่
คือข้อดีของปั้นนะ เพราะปั้นเองเป็นคนที่พูดด้วยเหตุผลด้วยได้ เป็นผู้ใหญ่พอตัว

ผมกับปั้นลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เห็นตัวบางๆอย่างนี้ กินเยอะไม่ใช่เล่นนะครับ จะบอกให้

“พี่โอม ปั้นอยากได้หมวกอ่ะ เราไปเดินดูหมวกกันนะ”

“ก็มีใส่บนหัวแล้วไม่ใช่หรอไง”ผมพูดถึงหมวกแก็ปใบสีดำที่มันสวมหัวอยู่

“ไม่ใช่ เอาที่เป็นหัวสัตว์อ่ะ ที่ใส่หน้าหนาวอ่ะ น่ารักดี ปั้นอยากได้”ผมพยักหน้าเออออไปกับมัน แต่ผมว่าถ้ามันใส่แล้วต้องดูดี
แน่ๆเลย อย่างนี้คู่แข่งผมก็เยอะน่ะสิ

ผมรอจ่ายเงินให้เรียบร้อยก่อนจะพาปั้นขึ้นรถไปยังถนนคนเดินแถวกว๊าน ปั้นชะเง้อชะแง้ดูว่าเขาเปิดน้ำพุรึเปล่า แล้วมันก็ผิดหวังไปตามระเบียบ ผมพาปั้นเดินถนนคนเดิน ดูของกินไปเรื่อย เสื้อผ้าบ้าง ที่นี่ไม่ค่อยมีของแฮนด์เมดหรอกครับ ส่วนมากก็ของกินซะมากกว่า

“อุ้ยพี่โอม หมวกนั่นไง ไปดูเร็ว”มันลากแขนผมเข้าร้านที่มันอยากเข้าอยากรวดเร็ว

“ใบนี้น่ารักไหมพี่โอม มันดูแต๋วไปเปล่า”มันหยิบใบนู้นใบนี่มาลองจนผมตอบคำถามมันไม่ถูก

“พี่ว่าไอ้ที่เป็นหูหมาป่าสีน้ำตาลดีกว่ามั้งปั้น มันดูไม่หวานเกินไป”ผมเห็นมันลองหมวกใบนี้เป็นใบที่สามได้มั้ง ผมว่าเหมาะกับมัน
สุดแหละ

“หรอ แต่ปั้นก็อยากได้ปั้นนี้อ่ะ”ปั้นหยิบหมวกอีกใบมาเทียบกับใบที่ผมบอก มันดูลังเลตัดสินใจไม่ได้

“พี่โอม...”หึหึหึ กูว่าและ ผมได้แต่คิดคำนี้ในใจเมื่อได้ยินมันลากเสียงเรียกชื่อผม

“พี่โอมซื้อให้ปั้นใบหนึ่ง แล้วปั้นก็ซื้อเองใบหนึ่ง เป็นของขวัญคริสต์มาสให้ปั้นไง ดีไหม”

“ไม่!!!”ผมปฏิเสธมันเสียงแข็ง เล่นเอามันหน้าจ๋อยไปเลย แล้วมันก็ตัดสนใจเลือกใบที่ผมบอก แล้วก็จ่ายเงิน

“งั้นกลับกันเถอะ”ปั้นชวนผม ตลอดทางที่เดินมีจับมือกันบ้างกันหลัง แต่มันก็เดินเงียบๆไม่พูดไม่จาอะไร ผมนึกรู้ได้ทันทีอาการนี้
เรียกว่าน้อยใจใช่ไหม

ผมก้าวขึ้นรถเตรียมสตาร์ทรถ รอจนปั้นขึ้นมา ผมนั่งเงียบไม่พูดอะไรไม่สตาร์ทรถจนเกือบห้านาที จนปั้นทนไม่ไหว

“พี่โอม รออะไรเนี่ย ไม่ออกรถสักที”ดูท่ามันจะโกรธผมจริงจังซะแล้ว ผมเอื้อมมือไปทางด้านหลังของผมก่อนจะคว้าถุงกระดาษ
เจ้าปัญหามาให้มัน

“อ่ะ พี่ให้ ของขวัญวันคริสต์มาส”ปั้นดูงงๆตอนที่ผมยื่นของขวัญให้

“อะไรอ่ะ”ปั้นถามผมแต่ก็ยังไม่กล้าเปิดดู

“เปิดดูดิ”ผมตอบมันแค่นั้น สตาร์ทรถแล้วก็ขับออกสู่ถนนใหญ่

“เสื้อคู่หรอพี่โอม”มันถามผมเมื่อเห็นว่าเสื้อมีสองตัว สีแบบเดียวกันลายเดียวกัน

“อืม ชอบมั้ย พี่ให้เขาสกรีนชื่อปั้นกับพี่ไว้ด้วย สวยมั้ย”อันที่จริงผมก็ไม่ได้ชอบการใส่เสื้อเป็นคู่นักหรอก เพียงแต่ผมคิดว่าถ้าปั้น
ใส่คู่กับผม มันต้องน่ารักแน่ๆ

“ชอบ...”ปั้นตอบเสียงเครือ ทำเอาผมตกใจว่าน้องร้องไห้ทำไม

“ร้องไห้ทำไมปั้น ผิดหวังหรอ”ผมจอดรถเทียบข้างทาง มันเป็นคนที่ทำให้ผมต้องจอดรถเทียบข้างทางเพราะมันร้องไห้ ครั้งนี้เป็น
ครั้งที่สองแล้ว

“เปล่า ไม่ได้ผิดหวัง ก็พี่โอมอ่ะ ปล่อยให้ปั้นโกรธทำไมเรื่องหมวกอ่ะ ทำไมไม่บอกปั้นก่อนตั้งแรก”ปั้นว่าไป ร้องไห้ผม

“ที่พี่ไม่ได้บอกก่อน เพราะมันเป็นของขวัญไง พี่ก็ต้องเซอร์ไพรซ์สิ อีกอย่างพี่อยากให้ปั้นรู้ไว้ว่า พี่ตามใจปั้นทุกอย่างไม่ได้
หรอกนะบนโลกใบนี้ วันนี้ปั้นร้องอยากได้หมวก แต่ถ้าวันหน้าปั้นร้องอยากได้ดวงดาง ได้พระจันทร์ พี่ไม่แย่เลยหรอ”ผมพูดกึ่งตลกให้ปั้นฟัง แต่ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ ผมคงตามใจมันหมดไม่ได้ทุกอย่าง ถ้าอีกหน่อยผมให้มันไม่ได้ มันไม่ทิ้งผมไปเลยหรอ

“ไอ้พี่โอมบ้า ใครร้องหาดาวร้องหาพระจันทร์กัน”ผมยิ้มให้มันก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดหน้าเช็ดตาให้มัน

“พี่โอม... ปั้นเข้าใจนะพี่โอมพูด ปั้นสัญญาว่าจะเอาแต่ใจให้น้อยลง”ผมพยักหน้าให้ปั้น ผมรู้อยู่แล้วว่าปั้นต้องเข้าใจผม เพราะปั้น
เป็นผู้ใหญ่พอตัว

“พี่รู้อยู่แล้วว่าปั้นต้องเข้าใจ สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ ขอให้ปั้นของพี่ เป็นคนน่ารักแบบนี้ตลอดไป”ผมอวยพรให้ปั้น

“อืม ปั้นจะพยายามทำตัวให้ดีกว่านี้ หลายๆเรื่องที่พี่โอมทำให้ปั้น ปั้นไม่ลืมหรอกนะ สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ พี่โอมของปั้น ขอ
ให้พี่โอมอยู่ข้างๆปั้นตลอดไปนะ”พอผมได้ยินคำพูดนี้ของปั้นน้ำตาผมก็ไหลทันที มันคงเป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาจากปากของปั้น พี่โอมของปั้นงั้นหรอ ขอให้อยู่ตรงนี้ตลอดไปใช่ไหม

“พี่สัญญา พี่จะอยู่ข้างปั้นตลอดไป”แม้ว่าวันไหนที่ปั้นไม่ต้องการพี่แล้วก็ตาม คำพูดสุดท้ายผมได้แต่พูดในใจ ไม่อยากให้มันเสียบรรยากาศ

“โอ๋ๆๆ ไม่ร้องนะ”ปั้นเอามือเช็ดน้ำตาให้ผม ปลอบผมเหมือนเด็กๆ

“ครับ งั้นเรากลับหอกันนะ”ผมว่า ปั้นพยักหน้ารับ คืนวันคริสต์มาสของเรา คงเป็นอีกหนึ่งคืนที่ดีที่สุด แม้ผมจะไม่ได้จัดเซอร์ไพรซ์อันยิ่งใหญ่ แต่กลับให้ของขวัญอันเล็กน้อย เพราะผมคิดว่าคริสต์มาสของผม ยิ่งใหญ่อยู่แล้วเมื่อปั้นเป็นคนที่ผมอยู่ด้วยในคืนคริสต์มาส สำหรับคนสำคัญของผม ดอกไม้สักช่อยังงดงามไม่พอเลย กล่องของขวัญอันสวยหรูยังเทียบค่าไม่ได้ เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้ว ปั้นคือของขวัญวันคริสต์มาสที่ดีที่สุดสำหรับผม


สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ...



++++


แอบเอามาหย่อนไว้อีกตอน ฮิๆๆ :z2:

แต่งสดเมื่อกี้นี้เลย อาจจะพิมพ์ผิดพิมพ์ถูกกันบ้าง โปรดให้อภัย

ความจริงคริสต์มาสพรุ่งนี้ แต่หลิวมีสอบ เลยเอามาลงไว้ก่อน :mew4: ยังอ่านหนังสือสอบไม่จบเลย  :mew5:

ถ้ายังไงก็สุขสันต์วันคริสต์มาสล่วงหน้านะค่ะ

 :mc4:

ป.ล. อยากได้คอมเม้นท์จัง  :mew2:

ป.ล. ขอบคุณทุกท่านที่บวกเป็ดให้นะค่ะ   :man1:

วันศุกร์ค่อยเจอกันใหม่ ของแท้แล้ว มีสอบสามวันติด จะบ้าตาย  :z3:  :angry2: :katai1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Christmas Sp. 24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 24-12-2013 22:01:19
 :L2:พี่มันเป็นผู้ใหญ่ดี  น้องก็น่ารักนะไม่ง้องแง้ง
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Christmas Sp. 24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 24-12-2013 22:42:52
น้องปั้นมันน่ารัก พี่โอมก็ไม่ตามใจน้องจนเกินไป
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 3 25/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 25-12-2013 11:36:19
ตอนที่ 3


“ไอ้ปั้น มึงจะแดกข้าวเย็นมั้ยเนี่ย จะห้าโมงและนะเว้ย”เสียงโหวกเหวกโวยวายจากคนร่วมห้องส่งเสียงเรียกร่างบางที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง ร่างบางขยับตัวยุกยิกเล็กน้อย เป็นอันรู้ว่าตอบสนองต่อเสียงเรียก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะปลุกให้เขาลุกมาจากเตียงอย่างจริงจัง

“ปั้น สรุปว่ามึงจะลุกขึ้นมาได้ยัง”

“อืมมมมม”ร่างบางขานตอบเบาๆ ก่อนจะพยายามลืมตาขึ้น กระพริบตาถี่ๆสู้แสง

“ไปกินข้าวกับกูได้แล้ว คนจะเต็มเวียงแล้ว เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง”คนปลุกไม่ปลุกเปล่า ยังมากระชากแขนคนที่ยังสะลึมสะลือให้ลุกขึ้นนั่ง

“ไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็แต่งตัวซะ ห้านาทีนะ กูหิว”ร่างบางที่สติยังไม่เต็มร้อยพยายามประมวลผลคำสั่งของคนตรงหน้าก็พอจะเข้าใจได้ว่า ตัวเองต้องไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยเพื่อจะได้ลงไปหาอะไรกิน ครั้นมองเห็นเตียงก็อดจะนึกถึงเรื่องเมื่อวานไม่ได้ ใครกันที่บอกว่านอนพักแล้วมันจะดีขึ้น ในเมื่อความทรงจำยังไม่เลือนหาย มันจะดีขึ้นได้อย่างไรกัน

.

.

.

“ไอ้เชี่ยโอม ถ้ามึงจะลงมีดยังนี้ มึงไปเปิดเน็ตเตอร์ กับดูเช็คลิสต์ให้พวกกูพอ มึงลอกสกินแบบนี้กล้ามเนื้อหายหมด แล้วจะเอาคะแนนเก็บที่ไหนวะ”ไอ้วัฒน์ เพื่อนในกลุ่มแล็บผมโวยวายขึ้นมา เมื่อเห็นว่าผมกำลังผ่าร่างอาจารย์ใหญ่เสียหาย

“เห้ยๆ โทษที กูเหม่อไปหน่อย”ผมรีบขอโทษขอโพย เมื่อเห็นว่ากล้ามเนื้อตรงแขนอาจารย์ใหญ่กำลังจะหลุดตามสกินที่ผมลอกออกมาแล้ว

“อย่าเหม่อดิวะ ตั้งใจทำหน่อย วันนี้ต้องหาเส้นประสาทเยอะนะเว้ย”คือว่าวันนี้เช็คลิสต์เยอะจริงนั้นแหละครับ ผมพยายามไม่คิดเรื่องของปั้น และก็ตั้งใจสนใจกับเรื่องเรียนตรงหน้าให้มากที่สุด แม้ว่าเรื่องของปั้นจะโผล่มาแวบๆให้หงุดหงิดหัวใจเล่นก็ตาม

.

.

.

“ไอ้โอม มึงล้างอุปกรณ์เสร็จยัง แล้ววันนี้จะไปเรียนฟิสิโอต่อป่ะเนี่ย”ไอ้เต้ เพื่อนสนิทผมเดินมาถามที่อ่างล้างอุปกรณ์

“ไม่ชัวร์ว่ะ ผ่าวันนี้มันเหนื่อยจนกูอยากโดดเลยว่ะ”ผมตอบพลางเช็ดอุปกรณ์ให้แห้ง

“งั้นโดดเลย กูจะได้กลับพร้อมมึง”ไอ้ห่านี่ ไม่เคยชวนผมไปทำอะไรสร้างสรรค์บ้างเลย

“จัดไป”ผมก็เจริญพอๆกับมันนั่นแหละ

“งั้นกูไปรอที่รถ มึงจอดรถไว้ตรงไหนเนี่ย”

“หน้าตึกวิทย์ กุญแจรถอยู่ในกระเป๋าว่ะ มึงไปสตาร์ทเครื่องรอเลย เดี๋ยวกูตามไป”ผมเร่งมือเก็บอุปกรณ์ใส่กล่อง เพื่อจะได้นำไปเก็บที่ล็อคเกอร์

“เออ รีบตามมานะมึง ชักช้ากูขับกลับหอตัวเองแน่”ไอ้เต้มันขู่ผมแบบขำๆ อันที่จริงก็ไม่ได้มีแค่ไอ้เต้คนเดียวที่ติดรถผมไปลงหน้ามอ มีทั้งไอ้วิน ไอ้นิ่ง เพื่อนก๊วนผมทั้งนั้น

“มึงกล้าก็ลองดู”ผมท้าทาย ถ้าไม่ติดว่าถือของเต็มมือ ผมคงแจกของดีให้มันไปแล้ว ผมเดินเอาของไปเก็บที่ล็อคเกอร์เรียบร้อย เตรียมสะพายกระเป๋าเดินไปหน้าตึกวิทย์ก็เห็นแก้วยืนละล้าละลังอยู่แถวหน้าช็อปกับยุ้ย

“โอม”แก้วส่งเสียงเรียกเมื่อผมกำลังจะก้าวเดินผ่านไป

“มีไรแก้ว”คงไม่พ้นไอ้เรื่องน้องปั้น ผมคิดในใจ

“เผอิญปิ่นเพื่อนเราฝากมาขอบคุณเรื่องที่ดูแลปั้นให้ แล้วเมื่อวานโอมไปส่งปั้นที่หอในป่ะ”แก้วถามพลางเดินไปทางตึกวิทย์ ทางเดียวกับผม

“ก็ไปส่งอ่ะ เอ่อ ว่าแต่คณะวิศวะนี่มันเข้าห้องเชียร์วันไหนหรอ”ขอซอกแซกหาความลับสักนิดแล้วกัน

“ก็เมื่อวาน กับวันนี้อ่ะแหละ ถ้าเราจำไม่ผิดนะ โอมมีอะไรหรอ”

“อ้อ เผอิญเมื่อวานปั้นลืมสมุดเชียร์ไว้ที่ห้องนะ ว่าจะเอาไปคืนให้”ผมรีบหาข้ออ้างอันสมเหตุสมผลมารองรับคำถามของตัวเองทันที พลางลอบมองสีหน้าของแก้วว่าสงสัยในพิรุธของผมรึเปล่า

“อ๋อ งั้นเอาเบอร์ปั้นไปมั้ย โอมอย่าฝากสมุดเชียร์ไปกับพวกรุ่นพี่นะ เดี๋ยวปั้นจะโดนทำโทษ”เยสสสสสส ผมอยากจะโห่ร้องด้วย
ความดีใจ ทำไมสวรรค์เปิดทางให้ผมง่ายดายแบบนี้นะ ผมควักโทรศัพท์มือถือตัวเองให้แก้วกดเบอร์ของปั้นให้ทันที

“เรียบร้อยแล้วโอม งั้นเราไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”แก้วโบกมือให้ผม ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง ผมรีบเมมเบอร์ของปั้นไว้ในโทรศัพท์ด้วยเกรงว่าจะไปกดโดนแล้วเบอร์จะหายไปเสียก่อน ยังไงคืนนี้เราก็ได้คุยกันแน่นอน...

.

.

.

ผมรอเวลาจนเห็นว่าประมาณสามทุ่มกว่า ซึ่งคาดว่าน้องน่าจะเลิกห้องเชียร์เรียบร้อย จึงคว้าโทรศัพท์มากดหาปั้นทันที

ตู๊ด....

ตู๊ด...

ผมฟังเสียงสัญญาณรอสาย จนสายถูกตัดอัตโนมัติเนื่องจากไม่มีคนรับสาย

“หรือว่ามันจะอาบน้ำอยู่วะ”ผมได้แต่บ่นกับตัวเอง บอกกับตัวเองไว้ว่าอีกสิบนาทีจะโทรไปใหม่

ตู๊ด...

(ฮัลโหล)

“...”ผมแทบไม่กล้าส่งเสียงไปด้วยกลัวว่าน้องจะตัดสายทิ้ง เสียงบรรยากาศจากทางฝ่ายโน้น ฟังดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในสถานที่อึกทึกครึกโครมพอดู แต่สักพักก็เหมือนอีกฝ่ายจะเดินห่างออกมาจากสถานที่นั้น

(ฮัลโหล ใครครับ ได้ยินมั้ยครับ)

“...ปั้น”ผมแทบไม่รู้ตัวว่าเสียงตัวเองจะเบาหวิวขนาดนี้ อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่พอสมควร

(พี่โอม...)

อีกฝ่ายเอ่ยชื่อผมด้วยความไม่แน่ใจนัก ราวกับต้องการคำยืนยันจากผม

“ใช่ ปั้นอย่าเพิ่งวางนะ พี่อยากอธิบายเรื่องให้ปั้นเข้าใจ คืนนั้นพี่สาบานได้เลยว่า พี่ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับปั้นแม้แต่นิดเดียว พี่แค่เช็ดตัวให้ปั้นเท่านั้นเพราะปั้นไข้ขึ้นสูงมาก แล้วรอยเลือดนั้น คืนนั้นปั้นนอนดิ้นแล้วมือมาปัดโดนหน้าพี่ แล้วเลือดกำเดาพี่ไหลเลอะผ้าปูที่นอนเท่านั้น คืนนั้นไม่มีอะไรเกินเลยจริงๆ”ผมพูดจนแทบจะลืมหายใจด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับฟัง ปลายสายเงียบไปอีกพักใหญ่

“ปั้น ฟังพี่อยู่รึเปล่า”ผมถามเมื่อไม่ได้ยินเสียงปลายสาย

(อืม...)

“พี่ขอโทษที่ทำให้ปั้นเข้าใจผิด พี่แค่แหย่เล่นนะ ปั้นหายโกรธพี่นะ”ผมเผลอทำเสียงง้องอนอีกฝ่ายไปอย่างไม่ทันรู้ตัว กับแฟนคนเก่าๆผม ผมยังไม่เคยง้อขนาดนี้เลยนะเนี่ย

(อืม...)

อีกฝ่ายก็ยังคงตอบผมด้วยคำสั้นๆคำเดิม แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เงียบหายไปนานอย่างก่อนหน้านี้

“ปั้นครับ แล้วตอนนี้ปั้นอยู่ที่ไหน ตอนปั้นรับสายครั้งแรกเสียงดังจัง”ผมเริ่มถามซอกแซกอีกฝ่ายด้วยคำถามที่ไม่ให้อีกฝ่ายได้ตอบประโยคเดิมอีก

(ร้าน...)

ผมนิ่วหน้าทันทีเมื่อได้ยินชื่อสถานที่ ก็เข้าใจว่าคณะนี้ขึ้นชื่อเรื่องความแมน แต่ก็ไม่เห็นต้องมาแมนด้วยการไปดื่มเครื่องดื่มมึนเมาเพื่อประกาศศักดาว่าตัวเองเจ๋ง ตัวเองเท่

“แล้วปั้นไปกับใคร จะกลับเมื่อไหร่ ให้พี่ไปรับมั้ย”

(มากับเพื่อน ยังไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่)

เป็นประโยคคำตอบที่ยาวที่สุดเท่าที่ผมกับปั้นคุยโทรศัพท์กันมาเลยทีเดียว

“แล้วปั้นอยากกลับรึยัง เดี๋ยวพี่ไปรับ”

(อืม... ปั้นอยากกลับแล้ว)

อ๊ากกกก ผมจะบ้าตาย อย่ามาแทนตัวเองด้วยชื่ออย่างนี้สิ มันน่ารักเกินไปแล้วนะ

“งั้นเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงพี่คงไปถึง เดี๋ยวพี่โทรหาปั้นอีกที รอรับโทรศัพท์ด้วยล่ะ”

(ครับ...)

“งั้นแค่นี้นะครับ”

(ครับ)

ผมอยากจะบ้าตาย ผมรู้ตัวแล้วว่าผมกำลังแพ้ทางเด็กคนนี้แน่ๆเลย อาการผมเข้าขั้นโคม่าแล้วครับทุกคน... ผมรีบเปลี่ยนชุด แล้วคว้ากุญแจรถออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังไม่เร็วเท่าใจผมอยู่ดี เพราะตอนนี้มันลอยไปหาเด็กหน้าใสคนนั้นเสียแล้ว

.

.

.

ผมหยุดรถตรงบริเวณใกล้ทางเข้าร้านโดยยังไม่ดับเครื่อง ผมชะเง้อชะแง้มองหาปั้นก็ก็ไม่เจอจริงๆ เนื่องด้วยว่าวันนี้คนมาเยอะมาก ผมเลยกดโทรศัพท์หาปั้นอีกครั้ง ผมรอสายนานมากจนสายตัดไปแล้วสองครั้ง ยิ่งรอสายนานใจผมก็ยิ่งกระวนกระวาย ผมยังไม่ลดละความพยายามในการโทรศัพท์หาปั้น คราวนี้มีคนกดรับสาย

(ฮัลโหลครับ)

ไม่ใช่เสียงปั้น... ในหัวของผมคิดได้เท่านี้หลังจากที่ได้ยินเสียงคนรับโทรศัพท์

(ฮัลโหล)

“เอ่อ ครับ ปั้นอยู่ไหมครับ”

(อ้อ ครับ ปั้นไปเข้าห้องน้ำครับ มีอะไรรึเปล่าครับ)

“พี่เป็นพี่ชายปั้นน่ะครับ ปั้นให้พี่มารับน่ะ”สมอ้างเลยละกันทั้งๆที่ในใจก็ไม่ได้อยากเป็นแค่พี่ชาย

(อ้อ เอ้อ ปั้นมาแล้วครับพี่ เดี๋ยวคุยกับปั้นนะครับ)

ผมรออีกฝ่ายส่งต่อโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อ

(ครับ)

“ปั้น พี่โอมนะ ปั้นจะกลับรึยัง พี่รออยู่ที่หน้าร้านแล้วนะ”

(ปั้นจะกลับแล้ว รอแปบนะ เดี๋ยวปั้นบอกเพื่อนก่อน)

“ครับ พี่รอหน้าร้านนะ”อีกฝ่ายกดตัดสายไป ผมลงจากรถมายืนแถวหน้ารถด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นผม ไม่นานนักผมก็เห็นคนที่ผมต้องการเจอตัวมากที่สุดเดินออกมา ผมมองอีกฝ่ายไกลๆอย่างอดยอมรับไม่ได้ว่า ปั้นเป็นผู้ชายที่แต่งตัวขึ้นมากๆคนหนึ่ง แม้อีกฝ่ายจะแต่งตัวตามวัยรุ่นสมัยนิยม แต่ก็ไม่ได้แฟชั่นจ๋า อีกทั้งยังดูเหมาะสมกับตัวเองอีกด้วย ช่างตรงข้ามกับผม เพราะผมนี่ชอบแต่งตัวพอสมควร แต่แน่นอนว่ามันก็ต้องขึ้นกับโอกาสด้วย และโอกาสก็ดันไม่ได้มีให้ผมบ่อยๆ ผมโบกมือให้ปั้นเห็นว่ารถผมจอดตรงนี้

“รอนานไหม”ปั้นถามผมด้วยใบหน้าเรียบๆ เพียงแต่ผมเห็นสายตาแอบเกรงใจในนัยน์ตาคู่นั้น

“ไม่นานหรอก ขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”ผมกดรีโมทรถให้อีกฝ่ายเปิดประตูขึ้นไปนั่ง ผมสตาร์ทรถเตรียมจะออกรถ ในใจก็นึกหาเหตุผลที่จะทำให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกหน่อย

“ปั้นหิวข้าวไหม ทานอะไรมารึยัง”ผมแอบได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากอีกฝ่ายมาเล็กน้อย นึกไม่ชอบใจอยู่ในที แต่จะไปห้ามน้องเขาก็ดูจะไม่มีสิทธิ์อะไรขนาดนั้น

“ปั้นยังไม่ได้กินอะไรเลย ในร้านมีแต่กับแกล้ม”ผมหันไปมองหน้าปั้นตอนที่ปั้นตอบ ดูอีกฝ่ายจะเกร็งๆกับท่าทีผมมากพอควร

“พี่ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย งั้นเดี๋ยวเราแวะหาอะไรกินกันนะ ปั้นอยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”ผมถามเตรียมเอาใจอีกฝ่ายเต็มที่

“ปั้นยังไงก็ได้”

“งั้นข้าวต้มกุ๊ยไหม จะได้ไม่หนักท้อง”เห็นอย่างนี้ผมก็รักษาหุ่นพอตัวนะครับ ยิ่งวันๆมีแต่เรียนหนังสือแล้วก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรอาจจะลงพุงได้ง่ายๆ

“อืม”

.

.

.

“ปั้น เรื่องวันนั้น พี่ขอโทษจริงๆนะ”ผมพูดมาอีกครั้งหลังจากที่บรรยากาศในรถเงียบไปพักใหญ่ ปันหันหน้าออกไปทางหน้าต่างราวกับไม่อยากรับฟังที่ผมพูดนัก

“ปั้น... หันมาฟังพี่ดีๆ พี่แค่อยากรู้ว่าตอนนี้ปั้นรู้สึกยังไงกับพี่ พี่จะได้วางตัวถูก ถ้าปั้นรู้สึกเกลียดหน้าพี่ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พี่จะมาเกาะแกะกับปั้น พี่ก็ไม่อยากให้ปั้นรู้สึกอึดอัด”ผมพูดไป สายตาก็มองตรงไปตามทางที่ขับรถ แม้ในใจอยากจะเค้นคำตอบจากอีกฝ่ายมากเท่าไหน แต่เขาก็ทำไม่ได้

“ปั้นไม่ได้โกรธ หมายถึงตอนนี้ปั้นไม่ได้โกรธ แต่ก่อนหน้านี้โกรธมากจนแทบเกลียดเลย ปั้นไม่ชอบให้ใครมาล้อเล่นแบบนี้ มันเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่หรอ ทำไมต้องมาล้อปั้นเล่นแบบนี้ ปั้นไม่ชอบ”อีกฝ่ายพูดไป เสียงสั่นไปจนเขารู้สึกผิดเต็มๆ นี่เขาลืมคิดไปรึเปล่า ว่าเรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา แต่อาจจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครอีกคน

“พี่ขอโทษ ตอนนั้นพี่คิดน้อยไป ไม่เอาน่าปั้น อย่าร้องไห้สิ พี่รู้สึกไม่ดีนะครับ”ผมจอดรถเทียบข้างทางเมื่อเห็นอีกฝ่ายน้ำตาไหลหนักขึ้น

“ปั้น...”ผมจับหน้าอีกฝ่ายให้หันมามองทางตัวเอง ในใจผมตอนนี้มันเจ็บหนึบไปหมด ผมดึงทิชชู่ที่เบาะหลังมาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย ผมรู้แต่ว่าน้ำตาของคนนี้ทำให้ผมเจ็บเหมือนเวลาเห็นแม่ผมร้องไห้ มันเป็นความรู้สึกแบบไม่อยากจะเห็น ไม่อยากให้เขาเสียน้ำตาเพื่อผม

“ไม่เอานะคนดี อย่าร้องเลย ต่อไปนี้พี่จะไม่แกล้งปั้นแล้วนะ โอ๋ๆๆ”ผมลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ แต่กลับทำให้ปั้นร้องไห้หนักมากกว่าเดิม คราวนี้จากที่เคยมีแค่น้ำตาไหล กลับมีเสียงสะอึกสะอื้นชุดใหญ่มาให้ได้ยิน

“ฮึก... ไอ้บ้า ฮึก... ใครบอกให้มาแกล้งวะ ฮึก คนยิ่งไม่... ฮึก... ชอบ”ปั้นโวยวายออกมา แม้ปั้นจะต่อว่าผมสารพัด จะทุบตีผมพอให้หายแค้นอยู่บ้าง แต่ผมก็คิดว่ามันดีกว่าอีกฝ่ายเงียบเฉย วางตัวเหินห่างสุภาพเกินไป ผมคิดว่าปั้นเป็นปั้นแบบที่ปั้นเป็น ปั้นคนนั้น น่ารักกว่าเยอะ

“แม่ง ฮึก... เรื่องอย่างนี้ใครมา ฮึก... หลอกกันวะ ฮึก... แม่ง ไอ้บ้า ฮึก...ไอ้นิสัยไม่ดี”ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือเงียบซะ เพราะไม่ว่าผมจะพูดอะไรอีกฝ่ายก็พาลจะน้ำตาหยดแหมะลงมาเรื่อยๆให้รู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ ผมรอให้ปั้นหยุดร้องไห้ แต่กว่าอีกฝ่ายจะหยุดร้องไห้จริงๆจังๆก็เกือบครึ่งชั่วโมง

“ตาบวมหมดเลย แล้วอย่างนี้จะลงไปกินข้าวกับพี่ได้หรอ ไม่อายเขารึไง”ผมแซวอีกฝ่ายเล่นเมื่อเริ่มเห็นท่าทีอายๆของปั้น

“ปั้นไม่อายหรอก ทำไม พี่โอมอายหรอ งั้นไปส่งปั้นกลับหอเลย”ปั้นพูดพร้อมกับส่งสายตาวาวเอาเรื่องมาทางผม แอบปลื้มใจนิดๆที่อีกฝ่ายยอมเรียกชื่อผม ยอมเรียกผมว่าพี่ แม้ดูอีกฝ่ายจะยังไม่ค่อยชินกับสรรพนามแบบนี้ แต่มันก็น่ารักไม่ใช่น้อย และผมไม่หยุดที่คำว่าพี่น้องแน่นอน

“โอ้ย พี่ไม่อายหรอก แค่เดี๋ยวมีใครคิดว่าพี่รังแกปั้นน่ะสิ พี่ก็กลายเป็นคนนิสัยไม่ดี”ผมโอดครวญเรียกร้องความสงสารจากอีกฝ่าย ปากก็แกล้งบ่นงึมงำไป สองมือก็จับพวงมาลาลัยเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง

“มันก็จริงไม่ใช่หรอ คนนิสัยไม่ดี”ปั้นว่าพลางทำสีหน้าสะใจไปด้วย จนทำให้ผมไม่กล้าจะเรียกร้องอะไรจากอีกฝ่ายเลย ได้แต่ขับรถไปเงียบๆ ทำหน้าจ๋องๆให้อีกฝ่ายนึกเอ็นดูบ้าง เพียงแต่อีกฝ่ายที่ว่ากลับหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่าง แต่อย่างน้อยผมก็แอบเห็นรอยยิ้มที่อมความสุขไว้เล็กน้อย แค่นั้นผมก็รู้แล้วว่า ผมไม่ควรเรียกร้องอะไรจากอีกฝ่ายไปมากกว่ารอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขทุกครั้งไป...


++++

แอบย่องมาลง ฮ่าๆๆ

ความจริงสอบวันนี้เครียดจัดเลยมานั่งแต่งนิยายซะเลย

เหลืออีกสองวันอันตราย แล้วหลิวจะผ่านไปได้ไหมเนี่ย ฮ่าๆๆ

ความจริงว่าจะมาลงให้วันศุกร์จริงๆนะ แต่แบบว่าแต่งเสร็จไว้อีกตอน

เลยแอบเอามาหย่อนให้ก่อน

กลัวว่ากลับบ้านช่วงปีใหม่จะไม่ได้มาลง ฮือๆๆ

ถ้ายังไงก็ฝากติชมกันด้วยนะค่ะ

อยากได้ความคิดเห็นของคนอ่านบ้าง ฮิๆๆ

สุขสันต์วันคริสต์มาสค่าา
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่3 25/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 25-12-2013 12:09:39
พี่โอมะเมียกั๊กไม่ยอมเป็นแค่พี่น้องด้วยอ่ะ

รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่3 25/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 25-12-2013 13:47:08
อำจนน้องมันร้องไห้เลย ปั้นคงเครียดมาตลอด
น่าตีจริงๆพี่โอม
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่4 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 26-12-2013 01:33:36
ตอนที่ 4


หลังจากเหตุการณ์วันนั้นมา ผมกับปั้นก็คุยกันบ่อยขึ้น เจอหน้ากันบ้างแต่ไม่บ่อย เพราะช่วงรับน้องยังไม่พ้นไปเลย ความเหนื่อยของผมและปั้นแทบจะเป็นเท่าทวีคูณ เพราะปั้นเองก็ต้องเข้าห้องเชียร์ทุกสัปดาห์ แถมยังต้องไปนั่งล่ารายชื่อพี่ที่คณะอีก ไหนจะต้องตื๊อพี่รหัสอีก มันช่างเป็นภารกิจที่เหนื่อยอย่างยิ่งของเด็กปีหนึ่งเลยก็ว่าได้ ส่วนเด็กปีสองอย่างผมน่ะหรือครับ ผมก็ต้องเข้าห้องเชียร์แบบเดียวกับน้องเช่นกัน เพราะตำแหน่งพี่วินัยมันค้ำคอ แถมยังต้องเตรียมตัวสอบมิดเทอมของอนาโตมี่ตัวแรกอีกด้วย แถมเรียนก็เลิกดึกทุกวัน กลับถึงหอนี่แทบจะสลบเหมือดเลย เวลาจะโทรหากันแทบจะไม่มี และบังเอิญเหลือเกินที่วันนี้เป็นวันว่างองผม อันที่จริงก็ถึงกับว่าหรอกครับ แต่อาจารย์งดสอบเลคเชอร์อนาโตมี่ของสัปดาห์นี้ แล้วก็ไม่มีผ่าทั้งสัปดาห์ แต่ให้นิสิตเข้าไปดูแล็บได้ ผมเลยหายใจหายคอคล่องหน่อย เรื่องอ่านหนังสือไม่ต้องห่วงครับ โปรโมชั่นของผมวันเดียวก่อนสอบเท่านั้น และวันนี้ผมว่าจะพาปั้นไปเดินเล่นในเมืองซะหน่อยให้หายเครียด

“ปั้น เรียนเสร็จรึยัง จะให้พี่ไปรับที่ไหนครับ”ผมโทรศัพท์หาอีกฝ่าย วันนี้ปั้นมีเรียนครึ่งวันเช้า ส่วนผมก็เกลือกกลิ้งที่หอไปตามสะดวก

(เลิกเรียนแล้ว พี่โอมอยู่ไหนล่ะ)

“พี่อยู่ที่หอเนี่ยแหละ ปั้นเสร็จแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพี่ไปรับ”ผมรีบกระเด้งตัวลุกจากเตียงทันที

(พี่โอม ไม่ต้องๆ เดี๋ยวปั้นนั่งรถไปหน้ามอเอง พี่โอมรอปั้นตรงจุดลงรถหน้ามอนะ)

“อ้อ แล้ว...”ผมกำลังจะอ้าปากพูด แต่อีกฝ่ายกดตัดสายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็ได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์งงๆ

ถ้าตอนนี้ทุกคนจะถามว่าผมกับน้องตอนนี้อยู่ในสถานะไหน ผมเองก็คงตอบทุกคนไม่ได้ว่าสถานะตอนนี้ของเราเรียกว่าอะไร แต่สำหรับผมแล้ว ปั้นคือคนเดียวที่ผมอยากคุยด้วยแม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม คือคนที่ผมอยากเห็นหน้าเพื่อให้ความเหนื่อยมันหายไป เป็นคนเดียวที่ผมคิดถึงทุกครั้งที่ไปที่ไหน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไร แต่ที่แน่ๆ มีแค่ปั้นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนี้มาตลอด แต่สำหรับปั้นเอง ผมก็ไม่รู้ว่าปั้นจะคิดยังไงกับผม แต่ผมว่าทุกวันนี้ผมก็พอใจกับการที่เราสองคนเป็นอยู่ตอนนี้ การได้คุยกัน ได้หัวเราะด้วยกัน ได้งอนกัน ได้ง้อกัน ได้คิดถึงกัน ได้... รักกัน

.

.

.

ผมจอดรถรอปั้นแถวๆจุดลงรถ สายตาก็ชะแง้คอยมองกระจกหลังเป็นพักๆเมื่อเห็นว่ารถเมล์ของมอมาจอด และแล้วก็เป็นคนที่ผมรอคอยกำลังก้าวลงจากรถ ผมปลดล็อครถเตรียมรอให้อีกฝ่ายเดินมา สายตาก็จดจ้องปั้นไม่วางตา ในใจนึกเขม่นไอ้เด็กน้อยเพื่อนร่วมห้องของปั้นเล็กน้อย เมื่อมันแสดงท่าทีสนิทสนมเกินควร ผมรู้ว่าก้องกับปั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่รับน้องของมอ แต่การมาจับแก้มกันนี่มันออกจะเกินควรไปหน่อย ดีนะที่ปั้นปัดมือมันทิ้ง ไม่งั้นวันนี้เราได้เคลียร์กันยาวแน่นอน

.

.

ก็อกๆ

ปั้นเคาะกระจกรถผม ผมเลยเอื้อมแขนไปเปิดประตูให้ปั้น

“อ้าว พี่โอมไม่ได้ล็อคหรอ ปั้นนึกว่าล็อค”ปั้นเอี้ยวตัวไปวางกระเป๋าไปเบาะหลัง แล้วหันหน้ามาฉีกยิ้มให้ผมทีนึง

“พี่เห็นปั้นตั้งแต่ลงรถเมล์แล้ว”ผมยิ้มให้คนตรงหน้า พยายามไม่เก็บเรื่องไร้สาระมาให้ขุ่นเคืองใจ

“อ้อหรอ แล้วพี่โอมรอปั้นนานไหม คนมันเยอะอ่ะ ปั้นรอรถเมล์นานเลย”

“ก็พี่บอกแล้วว่าเดี๋ยวพี่ไปรับก็ไม่เอา”ผมเคลื่อนรถเตรียมตัวขับรถเข้าเมือง แม้ว่ามหาวิทยาลัยผมจะอยู่อำเภอเมืองก็เถอะ แต่ก็นับว่าชานเมืองเลยทีเดียว

“ก็ปั้นเกรงใจ อีกอย่างไอ้ก้องก็จะออกมาหน้ามอด้วย ปั้นก็เลยมาเป็นเพื่อนมันเลยไง”ผมเห็นปั้นเริ่มคุ้ยเขี่ยหาโน่นหานี่บนรถผมแล้วอดขำไม่ได้ ปั้นเป็นคนชอบกินขนมบนรถน่ะครับ ตรงข้ามกับผมเลย เพราะผมไม่ชอบให้รถเปื้อน แต่กับปั้นนี่ผมยอมให้คนเดียวเลย

“ขนมอยู่ในลิ้นชักน่ะ อย่าทำหกล่ะ”

“รับทราบครับผม พี่โอมน่ารักจริงๆนะเนี่ย”แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายชมผมแบบประจบประแจงหน่อยๆก็เถอะ แต่ผมก็ชอบเวลาที่ปั้นเห็นผมดีกว่าคนอื่นจริงๆ

.

.

.

“ปั้น อยากกินอะไร หรือว่าจะเดินเล่นก่อน”ผมถามเจ้าตัวที่เริ่มจะตาปรือนิดๆ ก็เข้าใจนะครับว่าขับรถเข้าเมืองก็เกือบครึ่งชั่วโมง หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนเป็นธรรมดา

“ไปเดินเล่นก่อนดีกว่าพี่โอม ปั้นยังอิ่มขนมอยู่เลย”

“ก็แน่ละ เล่นกินเลย์ซองใหญ่อยู่คนเดียว พี่เกือบไม่ได้กิน”

“อย่ามาเว่อร์ พี่โอม ตัวเองก็กินไม่ใช่น้อยนั่นแหละ มาบอกให้ปั้นป้อนให้อยู่ได้”

“กินมากๆระวังลงพุง พี่ไม่รักนะเอ้อ จะบอกให้”ผมแซวเรื่องน้ำหนักที่พักหลังที่ผมกับปั้นเริ่มคุ้ยเคยกัน มักจะออกหาแต่ของกินเป็นประจำ จนอีกฝ่ายเริ่มบ่นมาลงพุงเล็กๆ

“จะทิ้งปั้นหรอ ดี... แล้วพี่โอมจะซึ้ง”

“โอ๋ๆๆ พี่ล้อเล่นนะคนดี ใครจะทิ้งลง น่ารักขนาดนี้ เนอะ”ถ้าผมทิ้งปั้น ผมก็คนโง่ดีๆนี่เอง ปั้นไม่ใช่คนตัวเล็กน่ารักอะไรแบบนั้น แต่ปั้นเป็นคนมีเสน่ห์เวลาพูดคุยน่ะครับ แบบว่าใครได้คุยกับมันนี่รับรองว่ามีหลง แต่ติดที่ว่ามันเป็นคนกวนไม่ใช่น้อย เลยยังเป็นที่แขยงของชาวบ้านหน่อยๆ

“ไม่ต้องมาเนอะเลย”ปั้นทำหน้ากระเง้ากระงอด เวลามันงอนก็น่ารักดีครับ แต่ถ้ามันโกรธ ผมจะวายวอดเอาให้ได้นี่สิ

“ก็แฟนพี่ จะไม่มาเนอะกับพี่หรอครับ”ผมโมเมตั้งสถานะให้น้องเอาเอง เล่นเอาอีกฝ่ายหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา

“ขี้โม้ว่ะ ใครเป็นแฟนพี่กัน”ผมแอบเสียใจเล็กน้อยที่ได้ยินปั้นพูดแบบนั้น แต่ก็พอเข้าใจเพราะว่าสถานะของเรามันก็ไม่ชัดเจนสักที อาจเป็นเพราะผมเองด้วยที่ไม่ได้บอกให้น้องรู้ความรู้สึกของผม และก็ไม่ได้ตั้งสถานะให้กับเราทั้งคู่ แต่ก็ทำไงได้ ถึงผมจะผ่านคนโน้นคนนี้มาเยอะ แต่กับคนๆนี้ ผมอยากจะเอาคำว่ารัก ไว้กับการกระทำทั้งหมดของผม เพราะผมไม่อยากพูดออกมาให้มันไร้ค่า และผมมั่นใจว่า คนในอนาคตของผม ต้องเป็นปั้นแน่นอน

.

.

.

ผมพาปั้นไปเดินเล่นในห้างโลตัส ซึ่งเป็นห้างที่ดีที่สุดแล้วสำหรับพวกผม แต่ก็ได้แค่เดินดูโน่นดูนี่นิดหน่อย ซื้อขนมกระจุกกระจิกมานิดหน่อย ไว้ให้ไอ้ตัวดีกินตอนอยู่บนรถนั่นแหละ หลังจากนั้นผมก็ขับรถออกไปหาร้านอาหารอร่อยๆกินกัน ผมเลือกที่จะจอดรถหน้าร้านพิซซ่า ที่ถนนท่ากว๊าน (รู้แล้วใช่ไหมว่ามออะไร จุ๊ๆนะ) บอกตรงๆว่าผมยังไม่เคยมากินร้านนี้เลย เผอิญว่าวันที่มารับปั้นที่ร้านเหล้า ขับรถผ่านพอดี เลยวาดหวังว่าจะมากินให้ได้ และผมก็ได้มากับปั้นด้วย

“พี่โอมเคยมาหรอ”

“ไม่อ่ะ วันนั้นพี่มารับปั้นแล้วเห็นร้านนี้พอดี น่านั่งไหม”ผมถามอีกฝ่าย แต่พอเห็นท่างระริกระรี้ของมันก็พอจะเดาคำตอบได้อยู่

“โคตรๆอ่ะพี่ แต่จะแพงมั้ยอ่ะ ปั้นไม่ค่อยมีเงินนะเอ้อ จะบอกให้”

“เออ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ไว้คราวหน้าปั้นค่อยเลี้ยงพี่แทน”เอาแต่เลี้ยงมันฝ่ายเดียวไม่ได้ครับ เดี๋ยวมันเคยตัว ยิ่งเห็นแก่กินอยู่ด้วย

“จะเลี้ยงน้องเลี้ยงนุ่ง ยังจะมาให้เลี้ยงคืนอีก งกฉิบหาย”มันบ่นงึมงำตามประสาบ้าๆบอๆของมันนั่นแหละครับ แต่ผมว่ามันจงใจบ่นให้ผมได้ยินด้วยเถอะ

“แล้วมื้อนี้จะกินรึเปล่าล่ะ”ผมถามย้อนแบบเอาเรื่อง มันรับยิ้มแต้ประจบผมทันที

“กินสิครับ พี่โอมสุดหล่อ”ผมเลือกโต๊ะนั่งที่คอนออกมาทางด้านนอก ก่อนจะส่งเมนูให้มันเลือก

“พี่โอมอยากกินอะไรอ่ะ”

“เอาที่ปั้นอยากกินนั่นแหละ พี่กินอะไรก็ได้ ไม่เอาที่มีหัวหอมนะ ขี้เกียจเขี่ย”คือผมไม่ใช่คนเรื่องมากนะ เพียงแต่ผมไม่ชอบกินหัวหอมจริง ยิ่งมาเรียนที่มอนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เอะอะก็ใส่หัวหอม ใส่พริกหยวกจนเอียน ปั้นนั่งดูเมนูสักแบ แล้วก็ถามผมว่าเอาหน้านั่นไหม หน้านี้ไหม ถ้าหน้าไหนผมเอา มันไม่เอา แล้วก็เสือกสั่งหน้าที่ผมไม่เอามากิน ดูมัน กวนตีนดีไหมล่ะ

“จะถามพี่ทำไมเนี่ย ทีหลังปั้นก็สั่งเองเลยดิ”

“ก็ปั้นจะถามอ่ะ เอาให้ชัวร์ว่าไม่โอมไม่ชอบ จะได้ไม่ต้องมาแย่งปั้นกิน ฮ่าๆๆ”แล้วมันก็หัวเราะครับ ดูเหตุผลของมัน เด็กจริงๆ

“งั้นทีหลังพี่จะโกหกปั้นแหละ ไม่งั้นพี่อดตายแน่ กินเยอะๆระวังลงพุงนะปั้น”ผมเอาไม้ตายมาเตรียมเชือดมัน

“ลงพุงยังไง พี่โอมก็ไม่ทิ้งปั้นหรอกเนอะ เนอะๆๆ”เสือกรู้ทันผมอีก ไอ้เด็กน้อยนี่ ผมได้แต่ยิ้มกับคำพูดมัน ไม่เออไม่ออ ไม่หือไม่อือ ไว้ให้มันไปคิดเอง แต่ในใจผมอ่ะ ตกหลุมคำพูดนั้นอย่างจังเลยหล่ะ

.

.

.

“ปั้น ช่วงนี้เรียนเป็นไงบ้าง”ผมถามมันระหว่างที่เราเดินเล่นที่ริมกว๊าน พามันมาย่อยนะครับ ขืนพามันกินอย่างเดียว เดี๋ยวมันได้กลายร่างเป็นปีศาจหมูแน่ๆ

“ก็ดีพี่โอม ใกล้สอบกลางภาคแล้ว ปั้นต้องเริ่มอ่านหนังสือบ้างแล้วล่ะ ยิ่งเคมีนะ แทบบ้าน่ะพี่โอม ไม่รู้จะเอามาให้วิศวะเรียนทำไม”

“ไว้ไม่เช้าใจก็ให้เพื่อนติวให้ดิ พี่คงช่วยไม่ได้หรอก พี่ก็โง่เคมีเหมือนกัน ฮ่าๆๆ”ผมหัวเราะกับหน้าตาที่ดูมีความหวังของมัน ปั้นเองก็คงคิดอยากให้ผมติวให้ แต่ผมช่วงนี้ยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเลย

“ชิส์ ไว้เดี๋ยวให้ไอ้ก้องติวให้ก็ได้ ไอ้นี่มันโคตรเทพเลยพี่ ปั้นเห็นมันหลับทั้งคาบนะ แต่ปั้นถามอะไร ตอบได้หมด ปั้นจะเรียกมันว่าอับดุลอยู่แล้ว”ผมแอบตึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินมันพูถึงเมทมัน ก้องมันเป็นทั้งรูมเมทปั้น และก็เป็นเพื่อนในสาขาเดียวกับปั้นด้วย แถมปั้นค่อนข้างจะติดมันพอสมควร จนผมแอบระแวงไม่ได้

“หรอ”ผมไม่รู้จะพูดอะไร

“แล้วพี่โอมล่ะ เป็นไงบ้าง ผ่าอาจารย์ใหญ่สนุกมั้ย”มันคิดยังไงกับประโยคนี้เนี่ย ถามมาได้ว่าผ่าสนุกไหม

“สนุกดี”ผมก็บ้าจี้ตอบมันไป

“ตอนแรกๆ พี่ก็ไม่ค่อยชินหรอก ยังแอบกลัวๆอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้วล่ะ”มันพยักหน้าแบบรับรู้ ผมไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเรียนแล้ว มันน่าเบื่อเรามาเที่ยวกันไม่ใช่หรอเนี่ย

“ปั้นอยากไปไหนอีกรึเปล่า เดี๋ยวพี่พาไป”

“ปั้นอยากไปไหว้พ่อขุนงำเมืองอ่ะ ปั้นยังไม่เคยไปไหว้เลย”

“งั้นเราเดินไปก็ได้มั้ง ไม่ไกลเท่าไหร่ ปั้นเดินไหวเปล่า”ไอ้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็ไกลพอควรอ่ะนะ แต่ผมอยากใช้เวลากับปั้นให้นานหน่อย เลยคิดว่าถ้าเราเดินไปคุยไป แปบเดียวเดี๋ยวก็ถึงแล้ว

“โหย ดูถูกมาก พี่โอมนำเลย”มันท้าครับ ผมได้แต่แอบหัวเราะเยาะในใจ เดี๋ยวมันจะซึ้งแน่

.

.

.

ผมเดินมาถึงอนุสาวรีย์ แต่ไม่ยักได้ยินเสียงมันบ่นสักน้อย มันอึดกว่าที่ผมคิดหรอเนี่ย

“นี่นะไกล อ่ะโด่ว เด็กมาก”กวนตีนผมอีกแน่ะ

“จะไหว้ก็รีบไปไหว้ แดดร้อนแล้ว ไอ้แสบ”มันทำหน้าล้อเลียนผม จนผมรำคาญในความอิดออดของมันเลย ล็อคคอมันไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนให้เรียบร้อย

“อธิษฐานดีๆนะปั้น อย่าทำเป็นเล่น”ผมเตือนมัน ตั้งแต่สนิทกับมันมาเห็นมันทำอะไรมันก็ทำเป็นเล่นไปหมด

“รู้แล้วคร้าบ พ่อ”ดูมัน ผมจัดการจุดธูปเทียนให้ปั้น ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นไปนั่งไหว้ดีๆ ผมมองรูปปั้นที่สองตระหง่านตรงหน้า ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอย่างจริง ผมขอให้การเรียนในเทอมนี้ของผมผ่านไปด้วยดีไม่มีอุปสรรค ขอให้ครอบครัวผมมีแต่ความสุข และขอให้คนที่อยู่ข้างๆผมตอนนี้เจอแต่สิ่งดีๆในชีวิต

หลังจากอธิษฐานจบ ผมก็จัดการปักธูปเทียบให้เรียบร้อย รอไอ้ตัวแสบที่ยังตั้งหน้าตั้งตาอธิษฐานอย่างเงียบๆ เวลาเห็นปั้นตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ผมว่ามันเองก็ดูดีไปอีกแบบ ผมยอมรับเลยว่าวันนี่ที่พามันเดินมาตลอดทาง มีคนส่งสายตาให้มันไม่ต่ำกว่าสามคนแน่ๆ แต่ไอ้นี่ก็เสือกไปเล่นหูเล่นตากับเขาจนผมจะโบกหัวมันไปหลายรอบ ปั้นเป็นผู้ชายที่ดูดีพอควร ยิ่งมาอยู่ในชุดนักศึกษา ยิ่งดูน่าสนใจเข้าไปใหญ่ แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าจำนวนคู่แข่งของผมคงไม่ใช่น้อยๆ

“ไปกันเหอะพี่โอม ปั้นไหว้เสร็จแล้ว”มันมากระตุกแขนผมให้กลับ เห็นเหงื่อมันก็พอรู้ว่ามันต้องร้อนไม่ใช่เล่นๆ

“ไป งั้นไปกัน”ผมลุกขึ้นยืนรอมันใส่รองเท้าให้เรียบร้อย ก่อนจะออกเดินทาง ผมไม่เยเดินจับมือกับปั้น เพราะผมว่าผมให้เกียรติปั้น ไม่อยากให้ใครมองปั้นไม่ดี แม้ว่าใจจริงแล้วอยากจะทำมากๆก็เถอะ ยิ่งเรื่องที่มาคิดๆดูในวันนี้ยิ่งทำให้ผมคิดไม่ตกว่า ผมควรจะเดินไปทางไหนต่อ

“พี่โอม เป็นไรเงียบๆ ร้อนหรอ”ปั้นถามขึ้นมา เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปผิดปกติ

“อืม นิดหน่อยอ่ะ แล้วปั้นไม่ร้อนรึไง ซื้อน้ำอะไรมั้ย”ผมกลัวว่ามันจะเสียน้ำออกจากร่างกายจนเป็นลมไปซะก่อนน่ะสิ

“ไม่เอา งั้นเรารีบเดินเถอะ”ปั้นเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น อย่างคนรีบร้อนจะกลับ แต่ผมก็แค่อยากให้เวลาของผมกับปั้นอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ แต่สงสัยปั้นไม่อยากใช้เวลากับผมให้นานสักเท่าไหร่หรอกมั้ง

.

.

.

“ปั้น ถึงหอแล้วครับ”ผมมาสั่งปั้นถึงหน้าหอตอนประมาณห้าโมงเย็นได้ ผมปลุกเจ้าตัวแสบให้ตื่นหลังจากที่หลับพร้มมาตลอดทาง

“หือ พี่โอม...”มันขยี้ตาเล็กน้อย ก่อจจะลืมตาตื่นเต็มๆตา

“ถึงหอแล้ว ขึ้นไปอาบน้ำไป เหงื่อออกทั้งวัน แล้วไม่ต้องนอนต่อนะ เดี๋ยวกลางค่ำกลางคืนกลายเป็นค้างคาว”ผมคว้ากระเป๋าที่เบาะหลังให้ปั้นถือ

“รู้แล้วน่า คืนนี้ไม่ต้องโทรหาปั้นนะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”ปั้นทำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อผมเตือน แถมยังไม่ให้ผมโทรหาคืนนี้อีก สงสัยปั้นไม่อยากให้ผมไปวุ่นวายเสียแล้วล่ะมั้ง

“โอเค งั้นขึ้นห้องไปพักเถอะ”ผมไม่รู้ว่าเสียงที่พูดมามันแย่ขนาดไหน แต่ที่แน่ๆตอนนี้ผมน้อยใจอีกฝ่ายมากพอสมควร

“งั้นปั้นไปล่ะนะ ขอบคุณนะครับที่พาไปเที่ยว ฝันดีล่วงหน้านะครับ”ปั้นเปิดประตูรถ เตรียมจะลง

“ครับ”ผมยิ้มรับคำอวยพรแบบฝืนๆ ไม่ได้อวยพรปั้นกลับอย่างทุกทีที่เคยทำ ทำไงได้ อารมณ์ผมตอนนี้ไม่มั่นคงเท่าไหร่ ผมรอปั้นเดินเข้าไปข้างในหอให้เรียบร้อย ก่อนจะเคลื่อนรถเตรียมกลับหอ ในหัวเฝ้าคิดวนเวียนเรื่องนี้ไม่ตก สงสัยคืนนี้ผมคงอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแน่ๆเลย ไม่ต้องสงสัย


++++

มาแบบค่ำมืด ไม่ให้ได้ตั้งตัวกัน ฮิๆๆ

อยากได้คอมเม้นท์จัง จะมีใครเมตตาเราไหมน้าาา  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่4 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 26-12-2013 05:36:14
โอ๊ยยยยย

สงสัยในความสัมพันธ์นี้จริง ๆ มะไรโอมจะบอก ๆ ไปซะทีอึดอัดแทน

แล้วปั้นเองก็ไม่แสดงออกให้เห็นชัด ๆ เลยสักนิดแล้วตกลงคู่นี้ไปรอดกันแค่ไหนกานนนนนนนน :ling1: :ling1: :ling2:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่4 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 26-12-2013 09:03:16
อึดอัดมั้ยค่ะโอม บอกน้องมันไปเถอะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่4 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 26-12-2013 09:33:20
น้องปั้นมันงอนไปแล้วมั้ง พี่โอมทำไมคุยกับน้องมันดีๆ
จะหึงน้องได้ยังไงในเมื่อไม่ได้เป็นไรกัน ไปขอน้องมันเป็นแฟนก่อน
ปล่อยไว้อย่างนี้ มันแน่นอก
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่4 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mtd ที่ 26-12-2013 10:43:18
เข้าใจกันไปคนละอย่างซะแล้วววว :hao7:
พี่โอมคิดยังไงกับน้องก็รีบบอกน้องไปเลย
เค้ารอฉากหวานๆอยู่น้า รีบขอน้องปั้นเป็นแฟนซะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่5 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 26-12-2013 19:26:46
ตอนที่ 5


Pun’s Talk
นับตั้งแต่ที่พี่โอมอำผมไว้คราวที่แล้ว แล้วเราเพิ่งเคลียร์เข้าใจกันไปไม่นาน หลังจากนั้นก็ต้องยอมรับเลยว่าผมกับพี่โอมสนิทกันขึ้นเยอะ ถ้าไม่นับเรื่องที่มันอำผมล่ะก็... นับได้ว่าพี่โอมเป็นคนที่นิสัยดีไม่ใช่น้อย รูปหล่อ พ่อรวย แถมยังเป็นสุภาพบุรุษอีก นึกแปลกใจว่าทำไมมันไม่มีแฟนสักที มาวุ่นวายแต่กับผม ไม่เบื่อรึไง

ผมนั่งเรียนด้วยความเบื่อหน่ายที่สุดในโลก เพราะนี่มันคือวิชามอ ซึ่งอาจารย์หลายคนออกปากว่ามันจะช่วยกู้เกรดพวกผมไว้ได้เยอะ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมาช่วยหรือมาฉุดกันแน่

“ไอ้ปั้น วันนี้มึงไปไหนป่ะเนี่ย”ไอ้ก้อง ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทผม และรูมเมทผมงัวเงียตื่นขึ้นมาถาม

“กูว่าจะไปในเมืองว่ะ มึงนี้เลือกเวลาตื่นได้ดีจริงๆเลย สไลด์สุดท้ายแล้วเนี่ยนะ”ผมตอบมันและว่ามันไปด้วย

“เขาเรียกว่ามีเซนส์เว้ย”

“หรอ กูนึกว่าแสนรู้”ผมสวนคำพูดมันกลับทันที

“ไอ้เชี่ย กวนตีนกูและ”มันทำท่าจะเอามือมาตบหัวผม ดีที่ผมหลบทัน

“ว่าแต่มึงถามทำไมเนี่ย”

“ก็กูว่าจะไปหน้ามอ แต่ไม่เป็นไร มึงไปกับพี่คนนั้นใช่มั้ย”คือไอ้ก้องก็เคยเจอหน้าพี่โอมบ้างน่ะครับ ผมเคยบอกชื่อพี่โอมไปแล้ว แต่ดูมันจะไม่จดจำเท่าไหร่เลย มันจะจำแค่ว่า พี่คนนั้นใช่มั้ย พี่คณะใกล้เราใช่มั้ย แบบนี้น่ะครับ ทั้งๆที่มันก็ฉลาดนะ แต่เสือกจำชื่อแค่คนๆเดียวไม่ได้

“เออ ไอ้ห่านี่บอกชื่อพี่เขาไม่เคยจำ”ผมบ่นมัน แต่เหมือนมันบ่นกลับ แต่ไม่รู้ว่ามันบ่นอะไร ผมไม่สนใจหรอก

“งั้นมึงนั่งรถเมล์ออกไปหน้ามอพร้อมกูนะ”

“เออ ก็ดี พี่โอมจะได้ไม่ต้องวนมารับ”

“ไอ้เชี่ยนี่ งกแทนแฟน”ไอ้ก้องทำหน้าทำตาใส่ผม จนผมอดด่าไม่ได้

“แฟนพ่องดิ พี่น้องกันเว้ย”ผมแก้ตัวทั้งๆที่หน้าร้อนผ่าวๆ ห้องประชุมมันร้อนเนอะ คนมันเยอะ

“พี่น้องกันหรา กันพี่รหัสมึงยังไม่ไปไหนมาไหนขนาดนี้เลย ไปคิดเอาเองล่ะกันไอ้ปั้น”ไอ้ก้องว่าผมเป็นประโยคสุดท้าย และมันก็ไม่ชวนผมคุยอะไรอีก หันหน้าไปฟังอาจารย์สั่งงาน จะว่าไปที่ไอ้ก้องพูดก็ถูกอยู่นะ กับพี่รหัสผมเอง ผมก็ไม่สนิทขนาดนี้ แถมนี่เล่นข้ามคณะกันเลยด้วยซ้ำ แต่ผมกับพี่แก้วก็เคยสนิทกันช่วงหนึ่งนะ ถ้าจะมาสนิทกับพี่โอมก็คงไม่แปลกอะไรหรอกมั้ง ผมคิดว่างั้นนะ

.

.

.

“ไอ้ปั้น เร็วดิวะ เดี๋ยวคนแน่น”ไอ้ก้องมันเร่งให้ผมใส่ร้องเท้า แต่มันเสือกใส่เหยียบส้น ไม่รู้จักถนอมของเลยไอ้เวรนี่

“แน่นไม่แน่น แม่งก็ได้ยืนอยู่ดี”ผมว่า คือมันก็มารยาทของมอผมด้วยแหละ ที่ผู้ชายต้องยืนให้ผู้หญิงนั่ง ซึ่งผมว่าธรรมเนียมนี้ก็ดีไปอีกแบบนะ

“เออ แม่ง มึงจะพูดความจริงทำไมวะ”อ้าว ไอ้ห่านี่ มาพาลใส่ผมอีก

“ใครใช้ให้มึงเกิดมาเป็นผู้ชายล่ะ ไปใส่กระโปรงไปมึง จะได้นั่งไง”

“กูใส่ไม่เหมาะหรอก มึงใส่เหมาะกว่า”อ้าวไอ้หอกนี่ มันด่าว่าผมเป็นตุ๊ดหรอ ผมส่งสายตาพิฆาตให้มัน ขี้เกียจเถียงกับมันครับ เดี๋ยวเรื่องยาว มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จนผมอยากจะตบหัวมันจริงๆ ติดที่ว่าผมต้องเขย่งตบหัวมันนี่สิ เลยเอาไว้คราวหน้าดีกว่า

.

.

และแล้วผมกับนายก้องก็ได้เบียดเสียดผู้คนลงมายังหน้ามอได้อย่างไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ผมโบกมือแยกกับก้องหลังจากที่เห็นรถพี่โอมจอดอยู่ไม่ไกล

“ไปแล้วนะมึง ไว้กูซื้อสติ๊กมาให้มึงกินเล่น”ผมหมายถึงให้อาหารหมาที่เป็นแท่งๆอ่ะครับ เป็นอาวุธฝึกหมาได้อย่างดี

“เก็บไว้กินเองเหอะมึง จะได้ไม่ต้องมาแย่งกูกิน ไปและ”ไอ้ก้องมันบีบแก้มผมอย่างแรงเลย โหย ไอ้ห่านี่ ยอมว่าตัวเองเป็นหมาเพื่อให้ได้ด่ากูเลยนะ ผมล่ะนับถือมันจริงๆ ผมรีบเดินไปที่รถพี่โอม แล้วเคาะกระจกเรียกพี่เขา แต่ประตูกลับเปิดออกเอง

“อ้าว พี่โอมไม่ได้ล็อคหรอ ปั้นนึกว่าล็อค”ผมว่าพลางเอื้อมมือเอากระเป๋าไปวางที่เบาะหลัง

“พี่เห็นปั้นตั้งแต่ลงรถเมล์แล้ว”

“อ้อหรอ แล้วพี่โอมรอปั้นนานไหม คนมันเยอะอ่ะ ปั้นรอรถเมล์นานเลย”

“ก็พี่บอกแล้วว่าเดี๋ยวพี่ไปรับก็ไม่เอา”พี่โอมพูดถึงเมื่อตอนที่โทรหาผมตอนเลิกเรียน

“ก็ปั้นเกรงใจ อีกอย่างไอ้ก้องก็จะออกมาหน้ามอด้วย ปั้นก็เลยมาเป็นเพื่อนมันเลยไง”ผมว่าพลางคุ้ยเขี่ยหาของกิน เหมือนตัวอะไรวะเนี่ย อีกอย่างมาส่องดูด้วยว่าพี่แกแอบพาใครขึ้นรถอีกรึเปล่า

“ขนมอยู่ในลิ้นชักน่ะ อย่าทำหกล่ะ”พี่โอมคงเห็นท่าทางของผมเลยบอกที่ซ่อนของกินให้

“รับทราบครับผม พี่โอมน่ารักจริงๆนะเนี่ย”แหะๆๆ บางที่ผมก็ไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นหรอกนะ แม้ไอ้ก้องจะว่าผมอยู่บ่อยๆก็เถอะ จะว่าไปเวลาผมอยู่กับไอ้ก้อง ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากกว่าเวลาอยู่กับพี่โอม เพราะพี่โอมดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุเสียอีก มีบางทีที่พี่แกกวนๆบ้าง แต่หลายๆครั้งมักจะพูดจาด้วยเหตุผล ทำให้ผมต้องฝึกตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่พอที่จะพูดจากับพี่โอมด้วย ตรงข้ามกับไอ้ก้องที่ชอบชวนผมทะเลาะเป็นประจำ แต่ถ้าถามว่าผมมีความสุขไหมเวลาอยู่กับพี่โอม ผมคิดว่าผมมีความสุขนะ สุขกับการที่พี่เขาทำนู่นทำนี่ให้ แต่ผมกำลังกลัว... กลัวว่าวันนึงถ้าพี่โอมเหนื่อย แล้วจะเลิกทำให้ผมอีก

.

.

.

พี่โอมพาผมไปกินพิซซ่า แล้วก็พามาไหว้อนุสาวรีย์พญางำเมืองด้วย ผมก็กวนตีนพี่แกมาตลอดทาง คุยเรื่องเรียนกันบ้าง เรื่องที่บ้านบ้าง พี่โอมมีพี่ชายคนนึง กับน้องสาวอีกคน ผมเคยเจอกับพี่ชายของพี่โอมแบบสวนๆกันมารอบแล้ว พี่อั้มแก่กว่าพี่โอมสี่ปี แต่ส่วนน้องออมเพิ่งอยู่มอสองอยู่เลย ห่างจากพี่โอมเยอะพอสมควร แต่พี่โอมรักน้องออมมาก หวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ซะอีก แค่ผมถามถึงบางทียังหันมาทำตาดุใส่ผมเลย ส่วนผมมีพี่สาวแค่คนเดียว พี่ปิ่นเรียนอยู่อีกมอหนึ่ง รุ่นเดียวกับพี่โอมเนี่ยแหละ พี่ปิ่นสนิทกับพี่แก้วตอนเรียนมัธยม เผอิญเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่พี่โอมนี่เด็กเมืองกรุงขนานแท้เลย

“พี่โอม เป็นไรเงียบๆ ร้อนหรอ”ผมถามตอนขากลับ นี่ก็เกือบๆสี่โมงเย็นแล้ว แดดยังไม่ลดราวาศอกเลย

“อืม นิดหน่อยอ่ะ แล้วปั้นไม่ร้อนรึไง ซื้อน้ำอะไรมั้ย”อันที่จริงก็ร้อนนะ เหงื่อดันมาออกเยอะด้วย

“ไม่เอา งั้นเรารีบเดินเถอะ”ผมเร่งเท้าเดินให้เร็วขึ้น เพราะไม่อยากให้พี่โอมเหนื่อยกว่านี้ เห็นหน้าแดงๆของพี่แกแล้วแอบกลัวจะเป็นไข้แดด ได้ยินว่าช่วงนี้เตรียมสอบอยู่ด้วย แม้ผมอยากจะอยู่เที่ยวกับพี่โอมนานกว่านี้หน่อย แต่ไว้เป็นหลังจากที่พี่โอมสอบเสร็จจะดีกว่า

.

.

.

ผมเผลอนั่งหลับมาตลอดทางจนพี่โอมมาปลุกเมื่อตอนถึงหน้าหอเนี่ยแหละ

“ถึงหอแล้ว ขึ้นไปอาบน้ำไป เหงื่อออกทั้งวัน แล้วไม่ต้องนอนต่อนะ เดี๋ยวกลางค่ำกลางคืนกลายเป็นค้างคาว”พี่โอมส่งกระเป่าเป้ให้ผมถือ และก็บ่นอะไรก็ไม่รู้ยืดยาวไปหน่อย แต่ผมพอจะเดาได้ว่าเป็นประโยคเดิมที่ชอบบอกให้ผมฟัง

“รู้แล้วน่า คืนนี้ไม่ต้องโทรหาปั้นนะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”ผมบอกด้วยเสียงหงุดหงิด แอบรู้สึกผิดนิดนึงนะ ก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมาบ่นนี่ แต่ที่ไม่ให้โทรหาคืนนี้เพราะอยากให้พี่โอมพัก แล้วก็อ่านหนังสือสอบด้วย เห็นว่าวิชานี้มันยาก แล้วก็เยอะด้วย ไม่ยากให้พี่โอมเหนื่อยนี่นา

“โอเค งั้นขึ้นห้องไปพักเถอะ”พี่โอมพูดเสียงเหนื่อยๆจนผมใจหาย หรือว่าพี่โอมกำลังจะเหนื่อยแล้ว เหนื่อยที่จะต้องมาทำอะไรให้ผม

“งั้นปั้นไปล่ะนะ ขอบคุณนะครับที่พาไปเที่ยว ฝันดีล่วงหน้านะครับ”ผมเปิดประตูเตรียมจะก้าวลง แต่ยังไมลืมจะอวยพรเหมือนทุกครั้งที่เราคุยโทรศัพท์กัน

“ครับ”พี่โอมตอบผมมาแค่นั้น แต่นั้นก็ผิดปกติมากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมตัดสินใจไม่พูดอะไรก่อนจะส่งยิ้มให้พี่โอมแล้วเดินกลับเข้าหอไป ตอนเดินกลับเข้าหอ ในหัวผมคิดแต่เพียงว่า หรือพี่โอมจะเหนื่อย ไม่รู้ซิ ทำไมความคิดนี้ลอยมาในหัวอยู่เรื่อยๆ ผมไม่รู้ว่าสถานะของเราตอนนี้คืออะไร ถ้าจะให้ผมพูด ผมก็บอกได้แค่ว่าพี่น้อง เพราะผมไม่รู้ว่าพี่โอมคิดยังไงกับผม หรือบางที ผมก็ยังไม่รู้เลยว่า ผมคิดยังไงกับพี่โอมกันแน่

.

.

.

“ไอ้ก้อง กูมีเรื่องจะถามว่ะ”ผมเรียกไอ้ก้อง ตอนนี้สองทุ่มแล้ว เป็นเวลาปกติที่ผมกับพี่โอมจะคุยโทรศัพท์กัน อย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมงได้ หรือบางคืนเกือบสามชั่วโมงก็มี

“เรื่องอะไร”ไอ้ก้องที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จมานั่งลงบนเตียง เตียงมันก็อยู่ตรงข้ามเตียงผมนี่แหละ

“แบบว่า ไม่รู้ดิ มึงเคยรู้สึกกับใครคนนึงแบบว่า อยากจะทำตัวดีๆเพื่อเขา ไม่อยากให้เขาเหนื่อย ชอบในสิ่งที่เขาทำให้ รู้สึกดีที่ได้คุยกัน พอเขาทำตัวแปลกๆเราก็แบบไม่พอใจ แต่ก็เป็นห่วง พอเขาไม่ยิ้มให้แบบทุกที เราก็รู้สึก... เหมือนเจ็บที่หัวใจ มันเก้อด้วย มึงเคยรู้สึกแบบนี้ไหม”ผมนั่งประมวลความรู้สึกของผมที่เตียงตั้งแต่ห้าโมงเย็น แล้วมาตัดสินใจถามไอ้ก้องตอนสองทุ่ม

“กูไม่เคยรู้สึกแบบที่มึงรู้สึกหรอกนะ เพราะคนๆนั้นเขาไม่เคยจะสนใจกู แต่กูก็บอกได้นะ ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร”

“คืออะไรวะ”

“มึงกำลังรักคนนั้นไง”คำพูดไอ้ก้องเหมือนหมัดที่เขาเอาไว้น็อคเอาท์คู่ต่อสู้เลย เล่นเอาผมตั้งหลักไม่ทัน

“เฮ้ย บ้า ไม่ใช่แล้ว เพิ่งรู้จักกันไม่นาน”

“มึงกำลังบอกว่ามันไม่ใช่ หรือว่ามันเร็วไปกันแน่วะ ความรักมันไม่ขึ้นกับเวลาหรอกนะเว้ย ลองถ้ามึงได้รักเขาแล้ว เวลามันก็คือเม็ดทรายที่ไหลอยู่ในขวดแก้วเท่านั้นแหละ”

“หรอวะ”ผมไม่รู้จะตอบอะไรมันจริงๆ นี่ผมกำลังรักพี่โอมอยู่หรอ แต่เราเป็นผู้ชายนะเว่ย จะมารักกันได้ไง

“มึงไม่ได้ต้องมางงเลย มึงกำลังสงสัยเรื่องของมึงกับพี่คนนั้นใช่มั้ย”คำพูดไอ้ก้องแทงเข้าใจดำผมเลย

“ทำไมมึงคิดว่าเป็นพี่โอมวะ”ขอถามมันหน่อยเถอะ มึงชักจะรู้มากเกินไปแล้ว

“มึงไม่ต้องสนหรอกว่ากูรู้ได้ไง มึงสนที่ว่ากูรู้ว่าเป็นใครก็พอ แล้วใช่พี่โอมของมึงไหมล่ะ”

“มันก็... ก็ใช่ว่ะ แต่กูไม่ใช่เกย์นะเว่ย”

“กูเบื่อพวกนี้จังเลย มึงจะเป็นหรือไม่เป็นก็เรื่องของมึง แต่กูบอกไว้เลยนะไอ้ปั้น ความรักมันไม่เคยกำหนดเพศของคนรักกัน มีแต่คนเราเท่านั้นแหละที่ไปกำหนดเพศให้กับความรัก มึงจะแคร์ทำไมวะ คนที่มึงควรแคร์ไม่ใช่คนที่มึงรักหรอกหรอ มึงกำลังกลัวความรู้สึกคนรอบข้างเปลี่ยนไป แต่มึงไม่กลัวคนที่มึงรักเสียความรู้สึกหรอวะ”

“กูไม่รู้ดิ กูก็ห่วงความรู้สึกพี่โอมนะ แต่ลึกๆในใจกู กูก็คิดว่ามันเร็วไปไหม และที่สำคัญคือกูไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับกู”ผมบอกสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจให้ไอ้ก้องฟัง บางทีมันอาจจะเป็นความคิดที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจผมเลยก็ได้ และความคิดนี้ทำให้ผมไม่กล้าประมวลความรู้สึกของผมกับพี่โอมก็เป็นได้

“เฮ้อ... ไอ้ปั้น กูเป็นคนนอกกูยังดูออกเลยว่าพี่เขาคิดยังไง กูว่าไอ้เรื่องเวลามันคงไม่ใช่ประเด็นหลักของมึงใช่มั้ย แต่ประเด็นหลักที่ว่ามึงไม่รู้ว่าพี่เขาคิดยังไงกับมึงใช่มั้ย”ไอ้ก้องทำหน้าแบบเอือมผมแทบตาย

“หรอวะ”ทำไมผมตอบมันได้แค่คำนี้วะ

“เออ! ไอ้ควายยยย ขอด่าทีเหอะ สมแล้วที่พี่ตูนบอกไว้ว่าความรักทำให้คนตาบอด มึงอยากรู้ใช่มั้ยว่าพี่เขาคิดยังไงกับมึง เดี๋ยวกูจัดให้”บอกตามตรงว่าเห็นสีหน้าไอ้ก้องแล้วแบบว่าไม่ไว้ใจว่ะ กลัวมันทำอะไรแผลงๆ

“มึงจะทำอะไรวะ”

“กูจะยั่วให้พี่มึงแม่งหึงจนควันออกหูเลย มึงคอยดูละกันว่าจะเป็นไง คราวนี้พี่เขาจะพูดกับมึงยิ่งกว่าคำว่ารักอีก”

“เฮ้ย กูไม่อยากให้พี่เขาเครียด”ช่วงนี้พี่โอมกำลังเตรียมตัวสอบอยู่ด้วย ผมไม่อยากหี่เขาคิดมากกับเรื่องไร้สาระแบบนี้

“โหยยย ไอ้ปั้น ไอ้พ่อพระ งั้นเอาแค่ซอฟท์ๆก่อนละกัน เอาไอโฟนมึงมา”ไอ้ก้องว่าพลางคว้าไอโฟนลูกรักผมไปเลย

“ไอ้ก้อง ไม่เอานะเว้ย เอางี้ พ้นวันเสาร์ไปก่อน มึงอยากจะทำอะไรก็ทำ กูขอล่ะ”ผมแทบจะยกมือไหว้มัน

“เอางั้นหรอ แล้วอีกสองวันที่เหลือมึงก็นั่งหง่าวไปล่ะกัน แทนที่จะรีบเคลียร์ให้จบๆ”มันด่าผมอีกแล้วครับท่าน กูทำอะไรก็ผิดตลอดเลยใช่ไหมเนี่ย

“เออ กูทนได้ อีกสองวันจะได้รู้ดำรู้แดงไปเลย”ไอ้ก้องสะบัดหน้าอย่างไม่พอใจ ก่อนจะโยนลูกรักผมคืนมา ไอ้นี่นิ นิสัยไม่ดีจริงๆ มาโยนของรักของหวงของคนอื่น

“ชิส์ เรื่องของมึงละกัน”คราวนี้ไอ้ก้องมันไม่สนใจผมเลยครับ มันคว้าการ์ตูนที่อยู่บนเตียงมันมาอ่านเฉยเลย

“ไอ้ก้อง”

“อะไรของมึงอีก”

“ขอบใจมากนะเว่ย ขอบใจล่วงหน้าด้วย”ผมพูดจากใจจริง ถ้าไม่ได้มันผมคงไม่รู้หรอกว่าผมคิดยังไงกับพี่โอมกันแน่

“เออ กูคิดว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ไปอาบน้ำได้แล้วมึง เน่าแล้วตั้งแต่เย็นเนี่ย”แหม ไอ้คุณชายรักสะอาด ผมเพิ่งเคยเห็นมันอาบน้ำก่อนห้าทุ่มก็วันนี้แหละ

ผมมองไอโฟนลูกรัก พอวันนี้ไม่ได้คุยโทรศัพท์กับพี่โอมแบตผมก็เหลือเกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์โดยอัตโนมัติ พอไม่ได้คุยกันแล้วมันก็เหงา เหมือนไม่ชินยังไงไม่รู้ ผมตัดสินใจส่งไลน์ไปให้กำลังใจพี่โอมแทน

‘อ่านหนังสือ สู้ๆนะครับ น้องปั้นเป็นกำลังใจให้’

ส่งรูปไปให้ด้วยอีกสัก ช็อต... อ่ะแชะ

แรดดีไหมล่ะกู -.,- หุๆ




++++

เวอร์ชั่นน้องปั้น คริๆๆ

ชอบประโยคสุดท้าย... :o8:

เคยเป็นแบบนี้ไหม แค่เห็นคอมเม้นท์ไม่กี่คอมเม้นท์ แต่ก็ดีใจมาก

ที่สอบเครียดๆวันนี้หายหมดเลย

แบบว่ามันมีกำลังใจจะแต่งต่อไปเรื่อยๆให้คนอ่านได้มีความสุข (หรือเศร้าหว่า) กับเรื่องที่เราแต่ง

ขอบคุณสำหรับการบวกเป็ดให้นะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ ขอบคุณสำหรับยอดอ่านที่เพิ่มขึ้น  :mew6:

มีความสุขทุกครั้งที่เปิดเข้ามาดู

มีความสุขกับการอ่านนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่5 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 26-12-2013 20:03:24
สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่5 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mtd ที่ 26-12-2013 20:08:04
แรดเยอะๆเลยน้องปั้น
แม่ยกชอบบบบ  :-[

ได้มาอ่านในมุมของน้องปั้นแล้วทำให้รู้ว่า
ทุกอย่างที่น้องทำเพราะน้องเป็นห่วง
แต่อิพี่โอมกลับเข้าใจไปอีกอย่างซะงั้น  :z3:
พี่โอมสอบเสร็จเมื่อไหร่เก่งจัดการเลยนะ จะได้รู้ใจตัวเองกันซักที

มาเร็วอย่างนี้รักตายเลยยยย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่5 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 26-12-2013 20:16:00
เป็นห่วงพี่เขา ทำไมไม่บอกพี่เขาดีๆล่ะ
แต่มาอ่านตอนท้าย อิน้องปั้นแอบแรดนะ 555
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่5 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 26-12-2013 20:18:07
แรดแบบนี้พี่ชอบค่ะ ปั้นน่ารักอ่ะ

หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่5 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 26-12-2013 21:43:01
อิอิ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่5 26/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-12-2013 22:45:08
ชอบประโยคสุดท้ายนั่นแหละ อะแชะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่6 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 27-12-2013 06:39:59
ตอนที่ 6


ผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง แต่โทรศัพท์ผมก็ส่งเสียงร้องให้รู้ว่ามีข้อความถูกส่งมา

.

.

‘อ่านหนังสือ สู้ๆนะครับ น้องปั้นเป็นกำลังใจให้’

มีรูปแนบมาให้ผมด้วย ผมกดไปเพื่อดูรูปใหญ่ เลือดกำเดาแทบพุ่ง คือปั้นถ่ายรูปมุมสูง แล้วเสื้อนักศึกษามันปลดกระดุมไปสามเม็ดได้มั้ง เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ต่อให้ตอนนี้โคตรมีสมาธิอ่านหนังสือ ผมก็อ่านไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ

‘ส่งรูปมาให้พี่นี่คิดดีแล้วใช่มั้ย’ ผมส่งข้อความกลับไปให้ปั้น

‘ไม่รู้ซิ แค่คิดว่าคนดู น่าจะมีกำลังใจอ่านหนังสือไปอ่านหนังสือได้แล้วครับ ฝันดีนะครับ’

ผมส่งสติ๊กเกอร์กลับไปให้ปั้น ไม่อยากคุยนานกว่านี้ เดี๋ยวจะยาว ไว้สอบเสร็จเมื่อไหร่ ผมจะลุยเต็มที่เลย

.

.

.

วันนี้เป็นวันที่ผมสอบเสร็จพอดี และพอกันทีกับวิชานี้ ผมเตรียมตัวไปเรียนที่ตึกคณะต่อ ระหว่างสามวันมานี้ผมก็คุยกับปั้นแบบปกติ มันก็กวนตีนไปบ้างตามประสา แต่บางครั้งมันก็เงียบๆไปแบบคนมีเรื่องในใจ ผมก็เป็นห่วงมันนะ เคยถามมัน แต่มันไม่ยอมบอกอะไรผมเลย ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะช่วยมันได้แค่ไหน หรือจะช่วยมันยังไงดี ประจวบเหมาะกับผมต้องอ่านหนังสือสอบ เลยไม่ได้ใส่ใจมันเท่าที่ควร แอบกลัวมันน้อยใจเหมือนกัน

“เฮ้ย ไอ้โอม จะไปกินข้าวที่ไหน”ไอ้วินที่สอบเสร็จรอเดียวกับผมเดินมาถาม ส่วนที่เหลือสอบคนละรอบกับผม

“กูว่ากูจะไปกินที่ตึกซีนว่ะ หิวแล้ว ขี้เกียจรอไอ้เต้”

“งั้นรอแปบ กูไปเอากระเป๋าก่อน เดี๋ยวกูไปด้วย”

“เออ ไวๆล่ะมึง”ผมหยุดยืนรอตรงทางเดินเชื่อมตึกคณะ กว่าผมจะเดินจากช็อปอนาโตมี่ไปตึกคณะก็แทบจะผ่านทุกตึกคณะเลย ถ้าไกลกว่าตึกคณะผมก็เป็นตึกของวิศวะ และก็ของซีน

“ไป ไอ้โอม”ไอ้วินสะพายกระเป๋าเดินมาทางผม ระหว่างทางเดินไปกินข้าวก็พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อสอที่ตอบกันมา ผมไม่ค่อยชอบคุยข้อสอบหลังสอบเสร็จเท่าไหร่เลย เพราะมันทำให้ความมั่นใจของผมตอนออกมาลดลงไปกว่าครึ่งเลย ไอ้ที่มั่นใจว่าถูก กลับผิดซะงั้น ไอ้ที่มั่วไปก็ไม่เคยตรง ต่อให้ตัดช้อยส์เหลือสองข้อ ผมก็ยังกาข้อผิดอยู่ดี นี่หรือชีวิตเด็กมหาลัย

.

.

ผมกับไอ้วินกินข้าวเสร็จก็เตรียมเดินกลับคณะ ระว่างทางผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับมันมากนักหรอก เพราะผมกำลังคุยไลน์กับปั้นอยู่พอดี เห็นปั้นว่ามาพบอาจารย์ที่ตึกคณะ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เจอกันก็ได้ เพราะกว่าผมจะเข้าเรียนก็อีกเกือบชั่วโมง

“ไอ้โอม กินไอติมป่ะ”ไอ้วินชวนผม

“เออ เอาดิ”คือที่ตึกคณะผมจะมีร้านค้าเล็กๆขายขนมอยู่น่ะครับ ขอบอกว่าชาเขียวนมสดอร่อยมาก ถ้าไม่ติดว่าแก้วละยี่สิบห้าบาท ผมคงกินทุกวัน

“ไอ้ห่าโอม มึงไม่รอกูเลยนะ”เสียงไอ้เต้ตะโกนมาแต่ไกล มันนี่ช่างไม่เกรงใจอาจารย์ซะบ้างเลย

“ก็มึงเสือกสอบคนละรอบกับกูทำไมล่ะ ไอ้นิ่งยังไม่เห็นจะบ่นเลย”ผมหมายถึงไอ้น้ำนิ่งอ่ะครับ ถ้าภาษาเหนือต้องบอกว่า ไอ้นิ่งมันเป็นคนไม่ค่อยจะปาก คือไม่ค่อยจะพูดมากเท่าไหร่ ตรงข้ามกับไอ้เต้เลยครับ ซึ่งไอ้เต้จะสนิทกับผม แต่ไอ้นิ่งจะสนิทกับไอ้วินมากกว่า เลยเรียกแพ็คเกตคู่ ‘วินนิ่ง’ ซะเลย

“ไอ้นิ่งมันเคยบ่นใครที่ไหนล่ะ”ไอ้เต้ว่า ว่าไม่ว่าเสือกมางาบไอติมในมือผมไปกินด้วย นี่ถ้าไม่สนิทกันมีตบกะโหลกไปแล้วนะครับ

“มึงก็หัดทำตัวเหมือนไอ้นิ่งบ้างดิ ห่านี่ พอเลย กูกินไม่ทันจะคุ้มกับตังค์ที่จ่าย มึงมาแดกเอาๆ”ผมเบรกไอ้เต้ก็ตอนที่มันเหลือไอติมน้อยกว่าครึ่งแท่งแล้วครับ

“ก้อง กูอยากกินไส้กรอกอ่ะ”เสียงอันคุ้นเคยลอยเข้ามาในหูผม แถมชื่อแบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกใช่ไหม

“ก็กูซื้ออยู่นี่ไง มึงจะแดกทั้งที่เย็นๆมั้ยล่ะ ห่านี่ เดี๋ยวเวฟก่อนแล้วค่อยแดก”ผมมองตามที่มาของเสียงก็เห็นปั้น ยืนซื้อของกับเพื่อนมันอยู่ ผมเพิ่งมาเห็นเพื่อนปั้นเต็มๆตาก็วันนี้ ทุกทีเห็นแต่ไกลๆ ไอ้ก้องเป็นคนตัวสูงครับ สูงร้อยแปดสิบได้มั้ง อาจจะน้อยกว่านั้นนิดนึง แต่ก็ถือว่าสูง ถ้าเทียบกับผมก็ยังเตี้ยกว่าผมอยู่ดี แต่ถ้าเทียบกับปั้นที่สูงเพียงร้อยเจ็ดสิบสาม มันก็สูงเด่นขึ้นมา โครงหน้ามันก็ดูดี ขาว ตี๋ ตามสเป็คคนทั่วไป แถมเสือกยังเรียนเก่งอีก เป็นใครๆก็มอง ถูกไหมครับ

“ปั้น”ผมส่งเสียงเรียกไอ้ตัวแสบ ตอนแรกมันหันมองหาเสียงตั้งนาน จนผมต้องโบกมือให้มัน มันก็ยิ้มตอบแล้วโบกมือให้

“พี่โอม สอบเสร็จแล้วหรอ”ปั้นเดินมาคุยกับผม ท่ามกลางสายตางุนงงของเพื่อนผมทุกคน

“อืม เสร็จแล้ว แล้วปั้นอ่ะ คุยกับอาจารย์เสร็จแล้วหรอ”

“คุยเสร็จแล้ว กำลังจะกลับหอเนี่ยแหละ แวะมาหาของกินก่อน”

“อืมม ปั้นนี่เพื่อนพี่ ที่ใส่แว่นนั่น พี่นิ่ง แล้วก็คนตัวขาวๆนั่น พี่วิน แล้วก็ไอ้ตี๋กวนตีนนี่ พี่เต้ พวกมึงนี่ น้องปั้น”ผมแนะนำเพื่อนผมให้ปั้นได้รู้จัก และก็แนะนำน้องปั้นให้พวกมันได้เห็นหน้าเห็นตากันไว้ แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าปั้นอยู่ในสถานะไหนเหมือนกัน

“หวัดดีคร้าบบบ”ไอ้ตัวแสบไม่วายกวนตีนเพื่อนผมอีก มันยกมือไหว้แล้วก็ก้มตัวลงเก้าสิบองศาทำความเคารพเพื่อนผม

“เออ ดีๆ ไอ้โอม น้องมึงหรอ”เพื่อนผมยกมือรับไหว้น้อง ก่อนที่ไอ้เต้จะเปิดฉากตั้งคำถามกับผม

“มั้ง”

“อ้าว ไอ้ห่านี่ กวนตีน”ก็ผมไม่อยากให้เป็นแค่น้องนี่หน่า แต่ดูปั้นจะนิ่งๆไปกับคำพูดผมเหมือนกัน

“มากับใครน่ะ”ผมถามปั้นแบบอ้อมๆ แม้จะพอรู้อยู่แล้วว่านี่คือ ไอ้ก้อง ก็เถอะ

“อ้อ ก้อง มานี่เร็ว พี่โอมนี่ไง ก้องที่ปั้นเล่าให้ฟังบ่อย ก้อง นี่พี่โอมนะ”ไอ้ก้องยกมือไหว้ผม ผมก็รับไหว้มันแบบไว้เชิงกัน

“ไอ้ปั้น อ่ะไส้กรอกมึง เอาไปแดกซะ”ไอ้ก้องไม่ว่าเปล่า มันจ่อไม้ไส้กรอกไปตรงปากปั้นเลย

“เฮ้ย เดี๋ยวกูแดกเองก็ได้”เหมือนปั้นจะเกรงใจสายตาผมอยู่พอควร ผมก็มองว่าไอ้ก้องจะทำไงต่อ

“ทำไม ตอนอยู่ห้องกูก็เคยผลัดกันป้อนกับมึงมาแล้ว แค่นี้ทำเขินรึไง”ไอ้ก้องกอดคอปั้นให้มาแนบชิดกับตัวมันมากขึ้น แถมยังส่งสายตาท้าทายมายังผมอีกต่างหาก ไอ้เต้พอจะมองเห็นประกายไฟของผมกับไอ้ก้อง เลยเอาเท้าสะกิดยิกๆราวกับบอกว่าอย่ายอมแพ้มันนะเว่ย

“บางทีก็รู้จักให้เกียรติสถานที่บ้างนะครับ”ผมพูดไปเสียงเรียบนิ่ง ในใจนี่โกรธแทบบ้า แต่ทำอะไรไม่ได้

“โอ๊ะ ผมลืมไป งั้นถ้าอยู่ที่ห้องก็ทำมากกว่านี้ได้สิ เนอะ ปั้น”ไอ้ก้องหันไปพยักเพยิกกับปั้น ผมหันไปจ้องหน้าปั้น อยากรู้ว่าปั้นจะตอบว่ายังไง

.

.

“งั้นมั้ง”ปั้นตอบเพียงเท่านี้ แต่ใจผมนี่ร้าวไม่รู้จะร้าวยังไง ผมหลบสายตาอีกฝ่าย

“งั้นพี่ไปก่อนนะ ไอ้เต้ กูรอที่ห้องเตียงเตี้ยนะ”ผมไม่อยากจะหันหน้าไปมองอีกฝ่ายเลย เพราะผมรู้ว่าสายตาผมคงเต็มไปด้วย คำตำหนิ ความเสียใจ น้อยใจ และผิดหวัง ลึกๆในใจผมก็ยังห่วงความรู้สึกปั้น ไม่อยากให้สายตาผมไปทำร้ายปั้น

“พี่โอม...”ปั้นคว้าแขนผมไว้ตอนที่ผมจะเดินจากไป ผมหันหน้ากลับไปฝืนยิ้มให้ปั้น ก่อนจะลูบผมน้องเบาๆ

“ทีหลัง อย่าทำแบบนี้อีกนะ”ผมพูดเท่านี้ ผมไม่ได้เจตนาจะตำหนิอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่ผมอยากบอกให้ปั้นรู้ว่า อย่าทำแบบนี้อีก ให้ให้ใครมาทำตัวสนิทกับปั้นมากกว่านี้ เพราะถ้าผมเห็น ผมจะเจ็บมากกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่า ผมกระตุกแขนออกจากมืออีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล

ความรักครั้งนี้ ผมคงเป็นผู้แพ้สินะ...

“ปั้น!!”ไอ้ก้องส่งเสียงเรียกปั้นเสียงเข้มจนปั้นสะดุ้ง ผมหันกลับไปมองหน้ามันด้วยสายตาชิงชัง ผมยังไม่เคยตะคอกปั้นแม้แต่ครั้งเดียว เราเถียงกันครั้งใหญ่สุดก็คือครั้งแรกที่เราเจอกัน แล้วมันเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาตะคอกปั้นแบบนี้

“ก้อง...”ปั้นเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเครือ

“มึงนั่งรอกูตรงนี้ กูมีเรื่องจะคุยกับพี่มึง”

.

.

.

“มึงมีเรื่องจะคุยอะไรกับกูก็ว่ามา”ไอ้ก้องมันเดินนำผมตรงลานจอดรถ จะว่าไปก็ไม่ไกลจากที่ปั้นยืนอยู่เท่าไหร่หรอก ประมาณสิบ
เมตรได้มั้ง บอกตามตรงนะครับ ผมก็ยังไม่รู้เลยว่า มันลากผมมาเพื่อจะคุยเรื่องอะไร ผมคิดว่าอาจจะเป็นบอกให้ผมเลิกยุ่งกับปั้นก็ได้

“พี่คิดยังไงกับไอ้ปั้น”

“มึงจะสนใจความรู้สึกกูทำไม”ผมถามมันกลับ

“ถ้าพี่ยอมบอกผมมาดีๆ เรื่องนี้จะจบสวยนะพี่”มีใครเคยบอกไอ้ก้องบ้างไหม ว่าหน้ามันนี่น่าเอาพระบาทไปประทับจริงๆเลย

“กูคิดยังไงกับปั้นมันสำคัญด้วยหรอวะ สิ่งที่สำคัญมันไม่ใช่ว่าปั้นคิดกับมึงยังไง หรือว่าคิดกับกูยังไงหรอวะ กูสนแค่ความรู้สึกของปั้นเท่านั้นแหละ ถ้ามันรู้สึกดีกับมึง กูจะถอย”ผมเปิดปากพูดกับมันตรงๆ จะว่าผมไม่สู้คนก็คงไม่ใช่ ผมเพียงแค่ไม่อยากเห็นคนที่ผมรักต้องมานั่งอึดอัดใจกับการกระทำของผม ผมไม่อยากให้ปั้นมาลำบากใจกับการต้องเลือก เพราะถ้าหากปั้นมีใครคนใดคนหนึ่งอยู่ในใจปั้นแล้ว ผมไม่อยากให้ปั้นต้องลังเลกับการเลือกความสุขของปั้น

“ผมคิดกับปั้นเกินกว่าคำว่าเพื่อน”ไอ้ก้องบอกผมหน้าตาเฉย ผมทำเป็นรับรู้แต่ในใจห่อเหี่ยวสิ้นดี

“งั้นมึงก็ดูแลปั้นดีๆล่ะกัน”ผมเตรียมจะเดินออกจากพื้นที่ตรงนั้น ไม่มีอารมณ์จะฟังคำสารภาพรักของใครหรอกนะ

“แต่ปั้นไม่ได้คิดกับผมเกินเพื่อน แต่มันคิดกับพี่เกินกว่าคำว่าพี่น้อง”ผมเบรกเท้าที่กำลังจะเดินจากไปในทันที เมื่อกี้ไอ้ก้องมันพูดว่าอะไรนะ มันบอกว่าปั้นคิดกับผมเกินคำว่าพี่น้องหรอ

“เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ”ผมหันกลับไปถามไอ้ก้องเพื่อความแน่ใจว่าสมองผมไม่ได้ทำงานผิดพลาด

“ของดีมีครั้งเดียวนะพี่”มันพูดยิ้มๆ แต่ผมเห็นแล้วหมั่นไส้มันมาก

“มึงอย่ามากวนตีนกูดิ สรุปว่าปั้นมัน... ชอบกูหรอ”ผมไม่รู้หรอกว่าสีหน้าตนเองเป็นยังไง แต่ผมว่าหน้าผมมันกระแดะมากเลย มันต้องแอบอมยิ้มอย่างตอแหลแน่ๆ ทำไมกูเป็นผู้ชายอย่างนี้วะ

“ผมไม่ได้บอกว่ามันชอบพี่ ผมบอกแค่ว่ามันไม่ได้คิดกับพี่แค่พี่น้อง”

“แล้วมึงรู้ได้ไง ว่ามันคิดกับกูแบบนี้”เล่นตัวหน่อยเว้ย เกิดไอ้เด็กเวรนี่มาอำผม ผมก็เสียเซลฟ์หมดดิ

“พี่ไม่ต้องสนได้ไหมว่ารู้ได้ไง พี่สนแค่ว่ามันคิดยังไงกับพี่ก็พอ ผมไม่ได้มีเวลาว่างมาหลอกใคร มาอำใครหรอกนะ”แหม ตอบซะหล่อเชียวนะมึง

“แล้วมึงจะยอมหลีกทางให้กูมั้ย”นี่ผมเกือบลืมประเด็นสำคัญไปเลย

“ทำขนาดนี้แล้ว คงจะแย่งอยู่หรอกนะ ป่านนี้ไอ้ปั้นมันนั่งร้องไห้ตาบวมหมดแล้วมั้ง รีบไปโอ๋มันจะไม่ดีกว่าหรอพี่”

“ถ้ามึงตอบอย่างนี้ กูจะถือว่ามึงสละสิทธิ์ให้กูแล้วนะ ยังไงก็ขอบใจมากนะเว่ย กูดีใจที่ปั้นมีเพื่อนดีๆแบบมึง”ผมอดชอบมันตอนนี้ไม่ได้จริงๆ นับว่าไอ้ก้องก็ใจนักเลงพอตัว

“ผมก็คิดเหมือนที่พี่คิดจะทำเหมือนที่พี่ทำในตอนแรกนั่นแหละ ไม่อยากให้มันต้องเลือก ไม่อยากให้มันต้องลำบากใจ”ผมมองตามันตอนพูด เหมือนผมกำลังเห็นตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วเลย แววตาของคนที่ยอมเสียทุกอย่าง ขอแค่ให้คนที่รักมีความสุข

“กูสาบานไว้ตรงนี้เลยว่า กูจะดูแลปั้นให้ดีที่สุด ปั้นจะเสียน้ำตาให้กูแค่วันที่กูตายเท่านั้นแหละ ถ้ากูดูแลปั้นได้ไม่ดี ไม่รักปั้นเท่ากับที่มึงรัก กูท้ามึงตรงนี้เลย มึงมาแย่งปั้นไปจากกูได้เลย”ผมพูดให้เจ้าป่าเจ้าเขา ณ ที่ตรงนี้ได้รับรู้ไว้เลย ปั้นจะไม่มีทางเสียน้ำตาเพราะเลือกผมแน่นอน

“ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะกันนะพี่ ผมไปและ ฝากดูแลมันด้วย”ไอ้ก้องพูดจบก็แทบจะเดินจากไปทันที ผมได้แต่มองแผ่นหลังมัน เหมือนเห็นความอ้างว้างที่แผ่ออกมา ต้องขอบใจมันจริงๆที่ยอมเป็นกามเทพให้ผมกับปั้น ยอมเจ็บทั้งๆที่มันก็มีสิทธ์แย่งปั้นไปจากผม และผมเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าสู้กับมันแล้ว ผมจะชนะมันรึเปล่า ขอบคุณที่ปั้นเลือกผมแทนที่จะเป็นไอ้ก้อง ขอบคุณจริงๆ



แต่ตอนนี้...












คนสำคัญของผม...












กำลังรอฟังคำพูดของผมอยู่...








...ผมต้องรีบไปพูดความรู้สึกของผมให้คนสำคัญของผมฟังแล้ว...


++++


จบ










ล้อเล่นน่า ฮ่าๆๆ


เอามาหย่อนในยามเช้ามืด เหลือสอบวันสุดท้ายแล้ว ดีใจจัง

เห็นแก่จำนวนคอมเม้นท์ที่เพิ่มขึ้น ขอบพระคุณจริงๆค่ะ

ถ้าคอมเม้นท์เพิ่มขึ้น คืนนี้จะมาลงตอนพิเศษให้อีกตอนนะจ๊ะ ฮิๆๆ

เชื่อว่าตอนนี้คงมีคนหลงรักก้องขึ้นมาเยอะเลย

ช่วยอวยพรความรักให้แก่คู่รักซื่อบื้อแห่งปีด้วยนะคะ

ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่6 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-12-2013 06:58:56
ก้องเริศมาก พระรองจริงๆ
อิพี่โอมไปง้อน้องปั้นเร็วๆ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่6 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 27-12-2013 10:05:54
ก้องแมนมากค่า
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่6 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-12-2013 14:35:10
หาคู่ให้ก้องอย่างด่วน
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่6 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mtd ที่ 27-12-2013 14:52:26
ขอบอกเลยว่าตอนนี้ก้องเอาใจไปเต็มๆ  :hao5:
ไม่เป็นไรนะก้อง ปั้นไม่รักมาพักใจที่เค้า อ๊ายยย #บ้าไปแล้ว 5555

มาเร็วทันใจตลอด ปลื้มๆๆๆ
จะรอตอนพิเศษน้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่6 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 27-12-2013 15:04:35
B52 : จะเป็นไรมั้ยนะ ถ้าก้องคู่กับ... ไปจิ้นกันเอาเอง จะลองทายดูไหม  :hao3: :hao3:

Palmpalm : ก้องแมนได้กว่านี้อีกนะ   :a5:  ต้องรอดู ตอนต่อๆไป

maemix : ก้องไมใช่พระรอง เพราะคู่รองจริงๆแล้วคือ... ไปจิ้นกันเอาเอง ฮ่าๆๆ ลองทายดูกันก็ได้นะ  :hao3: :hao3:


รอ ร๊อ รอ คอมเม้นท์อีกหน่อย จะเอาตอนพิเศษมาหย่อน แล้วก็จะหายหน้าไปอีกแปดวัน คุคิคุคิ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่6 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 27-12-2013 16:38:00
ก้องแมนดี อยากให้เจอคู่เร็วๆ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (HNY Sp. Pg.2 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 27-12-2013 16:38:53
Happy New Year



คืนวันที่ 31 ธันวาคม

คืนวันสิ้นปีที่หลายๆคนรอคอย รอคอยการเริ่มต้นใหม่ รอคอยช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาที่เราจะนับถอยหลังสู่การเริ่มต้นครั้งใหม่ ลืมเรื่องราวที่ผ่านไป เพื่อการก้าวยืนใหม่อีกครั้งที่มั่นคง แต่คงไม่ใช่สำหรับผมแน่นอน ผมไม่ได้รอการเริ่มต้นครั้งใหม่ เพราะผมจะไม่เลิกกับปั้นแน่นอน ผมกับปั้นคบกันจะครบรอบหกเดือนแล้ว แน่นอนว่าหลายเดือนที่ผ่านมามันไม่ได้ราบรื่น มันมีทั้งความสุข และความทุกข์ที่เข้ามา มีทั้งความเข้าใจกัน ความไม่ลงรอยกันมาแทรกระหว่างเราเป็นระลอกๆ แต่นั้นก็ไม่อาจจะทำให้ผมหวั่นไหวได้ เพราะความรู้สึกของผมกับปั้น หาได้ลดลงไม่ มันกลับเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เราได้รู้จักกัน ยิ่งรู้จัก ยิ่งรัก ยิ่งผูกพัน

ผมกำลังเดินเตร่แถวหน้าเซนทรัลเวิร์ด  อันที่จริงวันนี้ผมนัดเพื่อนเก่ามากินมาเที่ยวกัน แต่ตอนนี้เพื่อนผมกลับไปกันเกือบจะหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ผมและผู้คนมากมายที่กำลังรองานเค้าน์ดาวน์ที่หน้าเซนทรัลเวิร์ด

23.47 น.

ผมกำลังรอเวลาเพื่อจะได้โทรไปเค้าน์ดาวน์กับปั้น เห็นไอ้ตัวแสบว่าคงไม่ได้ไปไหน เพราะพ่อกับแม่สั่งห้ามมันไว้ ก็สมควรล่ะครับ วีรกรรมเมื่อตอนมอปลายของมันขึ้นชื่อขนาดนั้น จนพ่อกับแม่ปั้นโดนเรียกพบผู้ปกครองไม่รู้กี่ครั้ง ไม่ใช่ว่ามันนิสัยไม่ดีนะครับ แต่มันอุตริมากกว่า แกล้งคนโน้นคนนี่ไปทั่ว ตรงข้ามกับพี่สาวมันเลย เห็นปั้นบอกว่าพี่สาวเป็นคนเรียบร้อยมาก เป็นกุลสตรีทุกอย่าง เรียนก็เก่ง เสียอย่างเดียว ลืมรักแรกไม่ได้ (มันว่ามาอย่างนี้อ่ะครับ) จะว่าไปน้องออม น้องสาวผม ผมเองก็อยากให้เป็นแบบปิ่น แบบว่าเป็นผู้หญิงเรียบร้อย กุลสตรีที่ไม่อ่อนต่อโลก หรือไม่ก็แบบแก้ว แบบแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่า รู้กาลเทศะ และรักตัวเองมากพอที่จะไม่ให้ใครมาทำร้าย ยิ่งสังคมสมัยนี้มันอันตราย เทคโนโลยีก็เร็วเกินจนน่ากลัว น่ากลัวว่าเราจะตามไม่ทันเด็กสมัยนี้น่ะสิครับ

ผมเดินเตร่แถวหน้าเซนทรัลเวิร์ดแล้วก็เดินเรื่อยมาจนถึงหน้าแพลตตินั่ม พอจะเห็นทำเลเงียบสงบที่จะโทรศัพท์ได้ผมก็กดโทรออกเลย

“ฮัลโหล ไอ้ตัวแสบ”ผมส่งเสียงทักปั้นทันทีที่มันกดรับสาย

(ฮัลโหล พี่โอม โทรมาว่าไง)

“ก็โทรมารอเค้าน์ดาวน์ปีใหม่ด้วยกันไง ลืมแล้วหรอ”นี่มันลืมจริงๆสินะครับ ไอ้ปลาทองเอ้ย

(ไม่ได้ลืม แต่ไม่คิดว่าจะทำจริง แล้วนี่พี่โอมอยู่ไหนอ่ะ)

“พี่อยู่แถวเซนทรัลเวิร์ด วันนี้มากินเลี้ยงกับเพื่อนเก่าน่ะ แต่เพื่อนพี่กลับไปหมดแล้ว แล้วปั้นอยู่ไหนเนี่ย”

(จะอยู่ไหนได้ล่ะ ก็อยู่ในห้องนอนอ่ะสิ คุณท่านกับคุณหญิงไม่ยอมให้ปั้นออกไปไหนเลย เดี๋ยวปั้นจะหนีจากบ้านเลย คอยดู)

“ไม่ต้องเลย อยู่ในบ้านนั่นแหละ จะไปไหนค่ำๆมืดๆ”

(ไม่ต้องมาบังคับปั้นเลย ทีตัวเองยังไม่ยอมกลับบ้านเลย)

ปั้นแอบโวยวายผสมความไม่พอใจมาตามสาย

“ไม่ได้บังคับ แต่พี่เป็นห่วง เข้าใจมั้ย แล้วพี่ออกมาข้างนอกแบบนี้ ปั้นเป็นห่วงพี่ป่ะหล่ะ”

(ก็... ห่วงดิ เกิดมีวางระเบิดกัน พี่โอมจะทำยังไงล่ะ)

ปั้นตอบเสียงงุงิมาแบบอายๆ ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงแต่ไม่ค่อยจะเคยพูดให้ได้ยิน มาได้ยินแบบนี้แล้วมันชื่นใจแฮะ

“พี่ก็ไม่ทำไง ก็หนี ถ้าหนีไม่ทัน พี่ก็จะนึกถึงปั้นจนวินาทีสุดท้ายเลย ดีไหม”

(ไม่ดี ต้องหนีทันสิ ถ้านึกถึงปั้นจริงๆก็ต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้)

“คร้าบบ จะจำเอาไว้เลย แต่นี่เดินออกมาไกลแล้ว ไม่มีหรอกมั้งระเบิด”

(ดีมาก พี่โอมของปั้นเชื่อฟังปั้นดีมาก)

“ลามปามแล้ว ไอ้ตัวแสบ”ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักมาจากปลายสาย จนอดหัวเราะไปกับมันไม่ได้

(พี่โอม ปีใหม่นี้พี่โอมมีแผนยังไงกับชีวิตบ้าง แบบอยากจะทำอะไร อยากจะไปไหน อะไรแบบเนี้ย มีป่ะ)

“จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ไม่มี”

(เอาดีๆดิ ไม่เอาแบบกวนๆ)

“มันจะสมหวังก็ต่อเมื่อปั้นจะช่วยพี่”

(ช่วยยังไง)

“เรื่องอย่างนั้น... ไง”ผมแกล้งพูดให้อีกฝ่ายเขินเล่นๆ แต่บอกตามตรงว่าถ้าได้ก็เอาล่ะนะ เพราะผมไม่คิดจะไปมีใครใหม่แล้ว

(ไอ้พี่โอม ทะลึ่ง เดี๋ยววางสายเลย)

“พี่ล้อเล่นน่ะ ว่าแต่ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง ชอบถ่ายรูปเซ็กซี่มายั่วเค้า”จริงๆนะครับทุกคน ตั้งแต่ครั้งแรกที่มันถ่ายภาพนั้นมาให้ผมก่อนวันสอบ ผมก็จัดการเป็นภาพหน้าจอล็อคเลย หุหุ พอมันเห็นเท่านั้นแหละ คราวนี้มาแบบฟูลออพชั่น นึกว่าแฟนตัวเองเป็นนางแมวยั่วสวาท แต่ผมก็ไม่เอามาเป็นภาพหน้าจอล็อคแล้วครับ เพราะไอ้พวกเพื่อนเวรชอบลวนลามโทรศัพท์ผมเรื่อยเลย

(คิกๆๆ ชอบป่ะหล่ะ อีกหน่อยปั้นไปเป็นนายแบบนู้ดดีไหม)

“ได้ดิ แต่ให้พี่เป็นช่างภาพนะ”ผมว่าปั้นพูดมาคงอยากให้ผมหึง แต่รู้จักผมน้อยไปซะแล้ว

(อยากทำแค่ถ่ายภาพหรอ ก็ดีนะ อย่างอื่นไว้ให้คนอื่นทำ)

อ๊าก นี่ผมแพ้เด็กหรอเนี่ย

“ไม่ต้องเลยๆ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย ถ้าอยากเมื่อไหร่มาหาพี่นะครับ”

(ทะลึ่ง พี่โอม เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน)

แล้วมันก็เขินจนได้ กว่าผมจะทำให้ปั้นเขินได้สักครั้งหนึ่งนี่หมดมุขไปเป็นโหล แถมเรื่องอย่างว่า มันยังเอามาต่อล้อต่อเถียงกับผมได้ไม่อายปาก หลังๆอยากเอาชนะมันต้องพูดตรงๆให้มันเขินไปเองเลยครับ

“เอาจริงแล้วนะ ปีใหม่นี้พี่ไม่มีแพลนอะไรใหม่ๆหรอก”บอกตามตรงว่าผมก็ยังไม่ได้คิดจะทำอะไรใหม่ๆเลย ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ห้าทุ่มห้าสิบห้าแล้ว

(แต่ปั้นมีนะ ปั้นอยากให้พี่ปิ่นมีความรักครั้งใหม่สักที)

“อันนั้นให้ปิ่นเค้าจัดการเองไม่ดีกว่าหรอ รักครั้งแรกมันลืมยากทั้งนั้นแหละ”

(หรอ แล้วพี่โอมอ่ะ ลืมรึเปล่า)

ปั้นตวัดเสียงถามแบบไม่ไว้ใจ เอาล่ะไง งานเข้าผมแล้ว

“ก็ใครจะลืมได้ล่ะ แต่พี่ก็ไม่ได้จมกับมันสักหน่อย แล้วปั้นมีบ้างป่ะ รักครั้งแรก”

(มีสิ และปั้นก็ยังคิดถึงเขาอยู่ด้วย)

เขา... งั้นหรอ ไอ้บ้านั่นมันเป็นใคร

“ชอบเขาตอนไหนหรอ”ผมถามเนียนๆไป ในใจก็หึงไม่ใช่น้อย แต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า

(ตอนแรกก็ไม่ชอบหรอก แต่เขาก็เป็นคนดี ใจดี)

ข้อนี้ตัดทิ้งได้ เพราะปั้นก็ชอบชมผมว่า พี่โอมใจดีที่สุดในโลกเลย บ่อยๆ

“แล้วไงอีก”

(หน้าตาดี มีรถขับ โทรศัพท์มีกล้อง)

คราวนี้มันมาเป็นสโลแกนเลยครับ แต่ที่มันพูดมาก็ยังเอาชนะผมไม่ได้สักอัน

(และที่สำคัญ ปั้นรักเค้ามากเลยแหละ)

หรือข้อนี้ผมจะแพ้? ผมได้ยินเสียงคนนับเค้าน์ดาวน์แทรกมา


4…


3…


2…


1…


(คนนั้น คือพี่โอมนะ สุขสันต์วันปีใหม่ครับ ขอให้พี่โอมของปั้น รักปั้นแบบที่ปั้นรัก ดูแลปั้นตลอดไป แต่พี่โอมไม่ต้องกลัวว่าจะเหนื่อยนะ เพราะปั้นก็จะดูแลพี่โอมเหมือนกัน ขอให้พี่โอมแข็งแรง เป็นคนรักของปั้นไปนานๆนะครับ)

ปั้นอวยพรผมมาทางโทรศัพท์ ตอนท้ายๆเสียงเครือๆหน่อย ผมดีมากที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นรักครั้งแรกของปั้น และก็ดีใจมากที่ได้เป็นคนที่ปั้นรัก

“สุขสันต์วันปีใหม่ครับ น้องปั้นของพี่โอม พี่ขอให้น้องปั้นมีสุขภาพแข็งแรง เป็นที่รักของทุกคน ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหนื่อยกับการดูแลปั้น เพราะพี่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่พี่ทำแล้วมีความสุขที่สุด การได้ดูแลปั้นไม่เหนื่อยเลย ดีใจที่ปั้นบอกว่าจะดูแลพี่ พี่ขอให้ปั้นคอยเคียงข้างพี่ตลอดไป พี่โอมรักน้องปั้นมากนะครับ รักพี่โอมบ้างรึเปล่า”ผมพูดไปน้ำตาก็คลอไป ผมรู้แล้วว่าความสุขของชีวิตผมคือปั้น การได้เห็นรอยยิ้มปั้นทุกวัน ได้ฟังเสียงปั้นทุกเวลา ผมมีความสุขแล้ว

(รักสิ ฮึก... รักมากด้วย พี่โอม...)

“อะไร แค่นี้ก็ร้องไห้แล้วไอ้ตัวแสบ”ผมแกล้งแซวน้องแต่ตัวเองยังไม่หยุดเช็ดน้ำตาเลย มันตื้นตันไปกับคำบอกรักของอีกฝ่าย จนผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป มันดีใจมาก

(ไม่ได้ร้อง ฮึก... สักหน่อย)

“อ่ะๆ ไม่ได้ร้องก็ไม่ได้ร้อง อยากจะนอนรึยัง”ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ปั้นจะร้องไห้หนักกว่านี้

(ยัง ฮึก... พี่โอมจะกลับบ้านรึยัง)

“ว่าจะกลับแล้ว เดี๋ยวโบกแท็กซี่กลับ แป็บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว”ผมเดินไปริมฟุตบาทรอโบกแท็กซี่กลับบ้าน

(งั้นเดี๋ยวปั้นอยู่คุยกับพี่โอมก่อน ไว้พี่โอมถึงบ้านแล้วค่อยนอน)

ผมอมยิ้มในความน่ารักของปั้น หางตาเห็นแท็กซี่คันหนึ่งก็โบกทันที

“แล้วถ้าคืนนี้ไม่มีแท็กซี่ แล้วพี่ไม่ได้กลับบ้าน ปั้นก็ไม่ต้องนอนกันพอดีสิ”ผมเอามือปิดโทรศัพท์ก่อนจะบอกกับคนขับว่าให้ไปส่งที่... แล้วกระโดดขึ้นรถแท็กซี่ทันทีที่คนขับตกลง

(ปั้นก็จะถือสายรอแบบนี้แหละ แต่ปั้นจะหลับนะ ถ้าพี่โอมอยากคุยก็เรียกปั้นละกัน)

“งั้นก็คุยไปเรื่อยๆระหว่างที่รอรถล่ะกัน”

หลังจากนั้นระหว่างทางผมก็คุยกับปั้นไปเรื่อยเปื่อย แถมมันเองก็เชื่อว่าผมยังไม่ได้ขึ้นรถ จนแท็กซี่มาถึงหน้าบ้าน แล้วผมก็จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เสียงปั้นก็ดูง่วงๆหน่อยแล้ว

“ปั้นครับ ไปนอนได้แล้วไป”

(หือ... พี่โอมขึ้นรถรึยังอ่ะ เดี๋ยวปั้นรอ)

ไอ้ตัวแสบเผลอหลับไปแน่ๆเลยครับ

“ไปนอนเหอะไป พี่ถึงบ้านแล้ว”

(ไม่เชื่อหรอก ไปเรียกน้องออมมาคุยก่อน)

ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้านปรากฏว่าบ้านผมตอนนี้ยังอยู่กันพร้อมหน้าเลย สงสัยนั่งเค้าท์ดาวน์อยู่ด้วยกัน ผมส่งโทรศัพท์ไปให้น้องออมคุย

“พี่ปั้นจะคุยด้วย”คือปั้นเคยคุยกับน้องออมบ่อยเหมือนกัน มันบอกว่าอย่างมีน้องสาวแบบนี้ สงสัยนิสัยคนไม่เคยมีน้องมั้งครับ

“เป็นไงเจ้าโอม ไปกับเพื่อนมาเป็นไงบ้าง”หัวหน้าครอบครัวของผม หรือคุณพ่อนั่นแหละครับ เป็นคนออกปากถาม ข้างๆท่านมีพี่อั้มคอยช่วยบีบนวดขาอยู่

“ก็ดีครับพ่อ ไม่ได้เจอพวกมันมานาน คุยกันจนน้ำลายแห้งเลย”

“อืม ดีแล้วๆ หัดไปเจอเพื่อนเก่าซะบ้าง เราเองก็เรียนตั้งไกล กลัวจะห่างจากเพื่อนไปหมด”ตอนแรกพ่อผมไม่อยากให้ผมเรียนต่างจังหวัดหรอกครับ ท่านว่าจะให้ผมเรียนมอเอกชน แต่ผมไม่ยอมเพราะผมอยากจะเรียนสายการแพทย์ ถ้าผมเรียนมอเอกชนคงไม่พ้นพวกบัญชี หรือบริหารแน่นอน ผมไม่ค่อยปลื้มกับตัวเลขเท่าไหร่

“แล้วแม่ละครับ”ผมถามหาผู้หญิงที่สวยที่สุดในบ้าน

“โน่น อยู่ในครัวโน่น เห็นว่าจะเอาเค้กไปเก็บ”พ่อผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อพูดถึงแม่ บางทีอาจจะเป็นเพราะครอบครัวผมเป็นแบบนี้ เลยทำให้ผมมองหาคนที่ทำให้ผมมีความสุขแบบพ่ออยู่

“งั้นเดี๋ยวผมไปจัดการเค้กที่เหลือเอง พี่อั้ม เอารึเปล่า”เผอิญว่าต่อหน้าพ่อ ต้องเรียกพี่น่ะครับ

“ตามสบายเลย พี่กินแล้ว”ให้ทายมันก็คงแขยงกับสรรพนามแบบนี้ ผมปล่อยให้ไอ้ตัวแสบพูดคุยจิ๊จ๊ะกับน้องสาวผมไป ดูท่าคุยกันสนุกเลยเพราะน้องออมหัวเราะคิกคักอยู่

“แม่คร้าบ โอมหิวจัง”ผมเดินไปหาแม่ในครัว

“เอา ตาโอม กลับมาซะดึก มีเค้กกินได้มั้ยลูก”แม่ผมตีแขนทักทายผมที

“ได้สิครับ คุณแม่คนสวยมีอะไรให้กิน ลูกคนหล่อก็กินอันนั้นแหละครับ”

“จ้า พ่อคนหล่อ เมื่อไหร่จะพาแฟนมาให้แม่รู้จักบ้างล่ะ ปีนี้อั้มพามาให้แม่รู้จักคนนึงแล้วนะ”แม่ผมเลื่อนจากเค้กให้ผม คำพูดแม่ทำเอาผมไปต่อไม่ถูกเลย

“ไว้รอโอมพร้อมก่อนนะครับ”ผมไม่อยากโกหกแม่ว่าผมไม่มีแฟน มันจะทำให้ผมรู้สึกผิดกับปั้นด้วย

“แล้วเขาเป็นคนยังไงหรอลูก น่ารักมั้ย เพื่อนที่มอหรอลูก”แม่ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามและเริ่มซักไซ้ผม

“ก็น่ารักครับ เป็นรุ่นน้องที่มอ เป็นเด็กที่รู้จักกาลเทศะดี ขี้อ้อนหน่อยๆ แม่เจอแม่คงชอบ”

“หรอลูก ฟังแค่นี้แม่ก็รักแล้ว อย่าลืมพามานะลูก”ผมส่งยิ้มให้แม่ ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนแม่ก็เดินไปนั่งคุยกับพ่อต่อ หลังจากนั้นน้องออมก็เอาโทรศัพท์มาให้ผม บอกว่าพี่ปั้นจะคุยด้วย

(ฮัลโหลพี่โอม ปั้นจะนอนแล้วนะ)

“ครับ ฝันดีนะครับ”

(พี่โอมก็ฝันดีนะ ฝันถึงปั้นด้วย แค่นี้แหละ)

ท่าทางจะเขินครับ พูดเสร็จก็วางสายไปเลย ดูท่าปีใหม่มีนี้ จะมีเรื่องใหม่มาให้ผมกังวลแล้วล่ะสิ



++++

ตอนพิเศษตามสัญญานะจ๊ะ

อย่าสงสัยในบทสนทนาของอีคู่นี้ ตาโอมเข้าข่าย 'เด็กมันยั่ว เลยหลวมตัวไปหน่อย'

อยากให้ลองทายดูว่าตาก้องจะได้คู่กับใคร ตอบถูกมีรางวัล หึๆๆ

เอาถึงวันที่ 7 มกราคมนะจ๊ะ

แล้วก็อีกข้อ คิดว่าคู่รองคือคู่ไหน มีรางวัลเช่นกัน หุหุหุ

หลังจากนี้เราจะหายไปแปดวัน :katai5:  :katai5:

เพื่อสะสมตอนนิยายไว้ เอามาปล่อยหมดแล้ว ฮ่าา  :laugh: :laugh:

บังเอิญว่าต้องไปใช้เวลาอยู่กับครอบครัว อิอิ :-[  :-[

อยากจะได้คอมเม้นท์ไว้เป็นแรงใจ ไว้เป็นกำลังใจ

จะมีใครเมตตาไหมน้ออออ   :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (HNY Sp. Pg.2 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: mtd ที่ 27-12-2013 17:48:27
ตอนพิเศษมาแนวน่ารักแบบซึ้งๆ
แต่แอบกังวลเรื่องครอบครัวพี่โอม
หวังว่าคงไม่กีดกันน้องปั้นกับพี่โอมนะ :mew2:
น้องน่ารักจะตาย ต้องหลงรักน้องอยู่แล้ว
ขนาดเรายังหลงเลย  :-[
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (HNY Sp. Pg.2 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 27-12-2013 18:05:52
น่ารัก คู่รองคือเพื่อนพระเอก
ก้องน่าจะคู่กับคนที่ถูกหมูฉี่ใส่
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (HNY Sp. Pg.2 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 27-12-2013 18:26:18
น่ารักน่าเอ็นดูหนูปั้นของชานนน
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (HNY Sp. Pg.2 27/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-12-2013 20:02:19
พี่โอมน้องปั้นถึงจะอยู่คนละที่
แต่ก็มีความสุขเหมือนกัน
หวานละมุนเชียวนะคู่นี้

คำถามเดี๋ยวไปคิดก่อน มาเม้นท์ตอบอีกที
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 7 Pg.2 05/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 05-01-2014 23:28:02
ตอนที่ 7


ผมเดินกลับเข้าไปในตึกคณะ เห็นปั้นกำลังนั่งซึมอยู่ ด้านข้างมีไอ้เต้คอยลูบผมน้องเขา ส่วนไอ้วินกับไอ้นิ่งก็ได้แต่มองตากับแบบไม่รู้ทำยังไง

“ไอ้โอม”ไอ้เต้ที่เห็นผมก่อนคนแรกตะโกนขึ้นมา

“พี่โอม”ปั้นรีบวิ่งมากอดผมไว้ จนผมแทบเสียหลัก เพราะไม่ทันตั้งตัวผมได้แต่ลูบหลังปั้นเพราะตอนนี้น้องร้องไห้ออกมาไม่หยุด ไอ้เต้ส่งซิกให้ผมว่าจะไปรอในห้องเรียนกับคู่วินนิ่ง ผมค่อยดันตัวปั้นออกก่อนจะจูงมืออีกฝ่ายไปทางด้านหลังตึกคณะ ผมรอจนปั้นหยุดร้องไห้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมพูดอะไร จนปั้นอดไม่ไหวเป็นฝ่ายเปิดปากออกมา

“พี่โอม”ปั้นเรียกชื่อขึ้นมา แต่ก็ไม่พูดอะไร

.

.

“พี่โอม”คราวนี้ก็ยังไม่มีใครพูดอะไร

.

.

“พี่โอม”ปั้นเรียกชื่อผมขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ยอมเป็นฝ่ายเปิดปาก

“ปั้นมีอะไรอยากจะบอกพี่ไหม”ผมถามอีกฝ่ายก่อน แม้ผมจะรู้ว่าปั้นรู้สึกยังไงกับผมแล้วก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าหลายคนเป็นเหมือนผม... อยากได้ยินจากปากของเขาเอง

“ปั้นกับก้องเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ที่ปั้นตอบก้องไปอย่างนั้นเพราะว่า... เพราะว่าปั้น... ปั้นก็แค่อยากรู้ว่าพี่โอมจะรู้สึกยังไง”

“แล้วปั้นคิดว่าพี่รู้สึกยังไงหรอ”ผมตั้งคำถามกับปั้น บอกตามตรงว่ารู้สึกเจ็บเล็กๆ บางทีผมก็ไม่อยากเป็นตัวตลกของใครหรอกนะ

“ปั้นไม่รู้ แต่รู้ว่าปั้นไม่ชอบเวลาที่โอมหันหลังให้ ไม่ชอบเวลาที่พี่โอมทำท่าไม่อยากจะเห็นปั้นอีก”

“งั้นพี่จะพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ปั้นก็ต้องตอบพี่ตรงๆด้วย โอเคไหม”ผมถาม ปั้นพยักหน้าตกลงอย่างไม่อิดออด

“พี่ชอบปั้นนะ พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้มันยังจะเป็นแค่ความรู้สึกชอบ หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่พี่อยากให้ปั้นรู้ว่าพี่ไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน ที่ผ่านมาพี่อาจจะแย่ไปบ้าง แต่สำหรับปั้นแล้ว พี่จะทำให้ดีที่สุด แล้วปั้นครับ ปั้นรู้สึกยังไงกับพี่รึเปล่า”ผมเรียกสติคนตรงหน้าที่หลังจากฟังประโยคของผมไปแล้วเกิดอัมพาตที่สมองชั่วคราว

“ปั้น... ปั้นชอบพี่โอม หรืออาจจะมากกว่านั้น ตอนแรกปั้นก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่ปั้นชอบเวลาที่พี่โอมดูแลปั้น เป็นห่วงปั้น ชอบเวลาที่พี่โอมดุปั้น เพราะมันทำให้ปั้นรู้ว่าปั้นยังรู้ในสายตาพี่โอมตลอด ปั้นชอบ... ชอบ... ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่โอม พี่โอมจะเป็นยังไง จะทำอะไรปั้นก็ชอบหมด”ปั้นพูดไป หน้าก็เห่อแดงขึ้นมาเรื่อย จนผมแอบอมยิ้มกับประโยคนั้นไม่ได้

“งั้นเป็นแฟนกับพี่นะครับ”ผมถามปั้นแบบไม่ต้องคิด ส่วนปั้นก็หน้าเหวอไปนิดนึง

“พี่โอม แต่เราเป็นผู้ชายนะ”

“พี่ไม่สน การที่เราจะคบใครสักคนนึง ขอแค่เรามีความสุขกับการได้อยู่กับเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรอ พี่มีความสุขเวลาอยู่กับปั้น สำหรับพี่... เหตุผลข้อนี้ก็มากพอที่จะทำให้พี่ขอให้ปั้นเป็นแฟนกับพี่แล้วนะ”

“ปั้นรู้... แต่คนอื่น...”ปั้นทำสีหน้ากังวลใจออกมา ผมก็พอรู้ว่าความรักรูปแบบนี้ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมลำบาก

“ขอให้มันเป็นเรื่องของอนาคตนะครับ พี่ว่าเราต้องผ่านมันไปได้”ผมพูดออกมาทั้งที่ในใจผมก็ไม่มั่นใจ ผมไม่มั่นใจทั้งในตัวปั้น ว่าปั้นจะยอมทนได้มากแค่ไหน และก็ไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะผมก็ไม่รู้ว่าผมจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน

“ครับ”ผมพยักหน้าอย่างเชื่อฟังผม

“งั้นเราเป็นแฟนกันนะ”ผมถามย้ำประโยคเดิม ส่วนปั้นก็แค่ฮึมฮัมตอบในลำคอ แต่หน้าแดงเถือกจนลามมาถึงคอ

“ดีมาก... พี่ไปเรียนก่อนนะครับ เดี๋ยวคืนนี้โทรหานะครับ ที่รัก...”

“พี่โอม!”ผมหัวเราะเมื่อเห็นปั้นทำตาโตใส่ผม แถมยังจะมาทำร้ายร่างกายผมอีก

“โอ๋ๆๆ เดี๋ยวก็ชิน”

“ไอ้พี่โอม ไอ้พี่บ้า ไปแล้ว ไม่อยากฟัง”ปั้นต่อว่าผมกระปอดกระแปดแล้วก็เดินจากผมไปเลย ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะกับคำด่าของปั้นเท่านั้น จะว่าไปนี่ก็อาจจะเป็นอีกด้านของปั้นที่ผมชอบก็ได้ หวังว่าเราจะเดินกันไปได้ไกลเท่าที่หวังนะ

.

.

.

หลังเลิกเรียนผมขับรถกลับหอไปพร้อมกับก๊วนผม และก็มีนายเต้คอยเปิดประเด็นเรื่องของผมกับปั้น

“ไอ้โอม สรุปว่ามึงกับน้องปั้นคืออะไรกันวะ”

“มึงจะถามอะไรมากมายเนี่ยไอ้เต้ ก็อย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ ไอ้วิน ไอ้นิ่งยังไม่เห็นจะเจ๊าะแจ๊ะกับกูเท่ามึงเลย”จะว่าไปผมก็กระดากปากนิดๆถ้าจะบอกคนอื่นว่าเป็นแฟนกัน มันไม่ใช่เพราะอายที่มีแฟนเป็นผู้ชายหรอกนะ แต่มันออกแนวเขินเวลาต้องมาพูดเรื่องแบบนี้กับเพื่อนมากกว่า โดยเฉพาะเพื่อนแบบไอ้เต้อ่ะนะ เล่นเอาผมสยองไปหลายวันเลย

“เป็นแฟนก็บอกกูมาดิ อุ๊บเงียบไว้ทำห่าอะไร ถ้าไม่ใช่แฟนกันแล้วน้องมันจะร้องไห้ขนาดนั้นหรอวะ”ไอ้นี่นิ ขอสันนิษฐานมันดีเหลือเกิน ถ้าตำรวจต้องการสืบสวนสอบสวนละก็ เรียกนายเต้ได้เลยนะครับ

“เออ ถ้ามึงวิเคราะห์ขนาดนี้ มึงไปเป็นผู้ช่วยตำรวจเลยไป”ขอแขวะมันสักทีเถอะครับ

“สรุปว่าแฟนกันสินะ”ไอ้วินมาผสมโรงด้วย ผมก็อุตส่าห์ดีใจว่ามันจะวางตัวเป็นกลาง

“เออ!”

“กูไม่เกี่ยวนะเว้ย ความจริงนิ่งบอกกูแล้วว่ามึงกับน้องเขาเป็นแฟนกันชัวร์ กูแค่ถามให้มั่นใจ”ไอ้วินรีบแก้ตัวทันที แต่บริบทของมันนี่ทำเอาผมต้องเหลือบกระจกหลังไปมองไอ้นิ่ง

“เราแค่หาบทสรุปให้เต้เฉยๆ”ไอ้นิ่งดันแว่นขึ้นแก้เก้อ ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันพูดประโยคนี้เพ่ออะไร ถ้าไม่ใช่หลอกให้ไอ้เต้มาจี้เอากับผม

“เป็นไง รู้สมใจพวกมึงแล้วนิ”ผมอดประชดแบบน้อยใจไม่ได้ นี่พวกมันเห็นผมเป็นเพื่อนจริงๆใช่มั้ย

“โหย ไอ้โอม พวกกูก็จะได้ช่วยมึงประคองชีวิตคู่ไง กูก็ไม่ได้รังเกียจน้องเขานะเว่ย น้องปั้นมันก็น่ารักดี”

“ทำไมไอ้เต้ มึงจะมาสิงอยู่ใต้เตียงกูรึไง มาประคองชีวิตคู่ให้กูอ่ะ มึงมีคู่ของมึงรึยัง”

“ไอ้ควาย ใครจะไปสิงได้เตียงมึง เดี๋ยวอดดูของดี ฮ่าๆๆ”

“ไอ้เชี่ยนี่ ทะลึ่ง กูกับน้องเขายังไม่ถึงขั้นนั้นเว่ย”ไม่รู้ว่าในหัวมันคิดแต่เรื่องแบบนี้รึไง

“เออๆๆ กูก็พูดไปงั้น อยากดูของดีไอ้หอไอ้วินนิ่งดีกว่า”และแล้วมันก็เริ่มไประรานชาวนบ้านคนอื่นแทน

“พวกกูเกี่ยวอะไร”ไอ้วินออกอาการร้อนตัวออกมาก่อน อันที่จริงไอ้วิน กับไอ้นิ่งอยู่หอเดียวกัน แต่ก็คนละห้องอยู่ดี แถมไอ้วินก็ควงกันกับพิ้งค์ ดาวคณะใกล้เคียงอย่างสถาปัตถ์ให้หนุ่มๆหลายคนอิจฉาเล่น พูดตามตรงว่าผมยังไม่รู้เลยว่ามันไปสอยคนนี้มาควงได้ไง

“ไม่มีอะไร๊ กูก็พูดไปงั้นแหละ มึงร้อนตัวทำไมล่ะ”ไอ้เต้ตอกกลับจนไอ้วินสะอึก ส่วนผมก็ไม่อยากจะพูดอะไรเยอะน่ะครับ กลัวมันเข้าเนื้อตัวเอง

“กูไม่ได้ร้อนตัว”โถ ไอ้วิน มึงคิดจะแก้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

“เต้คงหมายถึงวินกับแฟนรึเปล่า ทำอะไรก็ระวังไว้บ้างนะวิน”ไอ้นิ่งพูดออกมาเรียบๆ เล่นเอาไอ้วินเหวอไปเลย ส่วนไอ้เต้กับผมน่ะหรอครับ หัวเราะกับความโง่ของเพื่อนตัวเองน่ะสิ ฮ่าๆๆ

.

.

.

ผมกลับถึงหอ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็รีบโทรหาปั้นทันที นอนคุยโทรศัพท์กับน้องไปเรื่อยๆ เห็นปั้นว่าอยู่กับก้องก็แอบเคืองนิดๆ ถึงก้องจะบอกว่ายอมถอยแต่ผมก็ไม่มั่นใจอยู่ดี อีกอย่างปั้นก็สนิทกับก้องมากด้วย มันก็มีบ้างที่เราจะแคลงใจ แต่ผมก็ไม่อยากให้ปั้นมานั่งคิดมาก เพราะดูเหมือนปั้นเองก็ไม่รู้ว่าก้องมีความรู้สึกกับปั้นยังไง เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ไปจุดประกายความข้องใจในตัวปั้นเด็ดขาด ยังไงก็ตามแต่ ถ้าปั้นมองเห็นว่าผมไม่ดีพอกับปั้น ปั้นก็มีสิทธิ์ที่จะไปเลือกใครอื่นที่ดีกว่าผม ตอนนี้ผมมีโอกาสที่จะอยู่ตรงนี้ ก็ควรที่จะทำให้ดีที่สุด

ความรักมีเหตุผลสักร้อยแปดพันเก้าให้เราต้องเลิกกัน แต่ผมจะไม่ลืมเหตุผลนั้นเลย... เหตุผลที่ทำให้ผมต้องอยู่เคียงข้างปั้น เหตุผลนั้นก็คือ...



... ผมรักปั้น และจะรักเสมอไป...


++++

หายไปหลายวัน เพิ่งกลับมาเตรียมตัวเรียน ก็รีบมานั่งปั้่นให้หลายๆคนได้อ่าน ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลย แหะๆๆ

ขอความคิดเห็นหน่อยนะจ๊ะ ชาวโลก ฮิๆๆ

หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 7 Pg.2 05/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-01-2014 03:31:06
เป็นแฟนกันแล้ว :mew1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 7 Pg.2 05/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 06-01-2014 12:50:03
 :-[ :-[ เย้ๆ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 8 Pg.2 07/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 07-01-2014 16:46:10
Kong’s Talk



“โห่ย แม่ ไม่ต้องยกเลย เดี๋ยวก้องยกเอง แม่ขึ้นไปรอที่ห้องเลย”ผมกำลังบอกกับแม่ที่เตรียมจะช่วยยกของขึ้นห้อง วันนี้ผมย้ายของเข้าหอเป็นวันแรก แอบกังวลใจไม่ใช่น้อยเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้อง

“งั้นรีบตามมานะลูก”ผมพยักหน้ารับคำแม่ บางที่ก็ชอบเห็นผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย ปีนี้ผมอายุสิบเก้าแล้วนะ ผมยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ หอบหิ้งพะรุงพะรังก้าวเดนขึ้นบันไดอย่างช้า ไม่ใช่เพราะว่าอะไรแต่เพราะว่ามันหนักไม่ใช่น้อยน่ะสิ ดีที่ผมอยู่แค่ชั้นสาม ถ้าผมอยู่ชั้นสี่นี่เหนื่อยตายเลย

ผมเดินไปหยุดตรงหน้าห้องสามหนึ่งสี่ ซึ่งอยู่เกือบติดบันได ก่อนจะลงมือเคาะประตูห้อง

“อ้าว ตาก้องมาแล้ว มารู้จักกับเพื่อนใหม่เราก่อนสิ”แม่ผมเป็นคนเดินมาเปิดประตู ก่อนจะแนะนำผมให้รู้จักกับเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งผมคาดว่าแม่ผมคงมาซักประวัติกันเรียบร้อยแล้ว

“ปั้น นี่ตาก้องนะลูก มีอะไรก็คอยช่วยๆกันนะลูก”ผมมองสำรวจเพื่อนร่วมห้อง เมื่อกี้แม่แนะนำว่าชื่อ ปั้น หน้าตามาก็ดูดีอยู่หรอก ดีที่ว่ามันขาวอยู่เลยยิ่งทำให้ดูเป็นลูกคุณหนูเข้าไปใหญ่

“หวัดดี”ผมทักมัน ส่วนมันก็ยิ้มแล้วก็ทักผมตอบมา

“แล้วปั้นเรียนคณะอะไรหรอลูก”แม่ผมชวนอีกฝ่ายคุย ส่วนผมก็แค่จัดของไปพลางๆ จะว่าไปฝุ่นก็เยอะเหมือนกันนะเนี่ย

“วิศวะครับ”หา!! วิศวะ ดูหน้ามันไม่ให้เรียนเลย หน้าตาดูไม่สมบุกสมบันเหมือนผมเลย แล้วอย่างนี้มันจะไปทำงานเยี่ยงทาสได้หรอไง

“อ้าว งั้นก็คณะเดียวกับตาก้องเลยน่ะสิ ดีๆๆ แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ตาก้องยิ่งไม่ค่อยจะทันข่าวอะไรกับชาวบ้านเขา”แมผมยิ้มแต้ทันทีที่ได้รู้ว่าเพื่อนร่วมห้องผมเรียนคณะเดียวกับผม อันที่จริงผมไม่ใช่คนไม่ทันข่าวหรอกนะ เพียงแต่ตามเฉพาะข่าวที่เราสนใจเท่านั้น

“แล้วใครมาส่งปั้นหรอลูก”แม่ผมถามต่อ ส่วนพ่อผมเดินสำรวจห้องน้ำห้องท่า ตรวจตราโน่นตรวจตรานี่ไปเรื่อยเปื่อย

“อ๋อ พ่อกับแม่น่ะครับ ตอนนี้กลับไปแล้ว”ผมฟังเสียงมันตอบดูเครือๆ สงสัยจะเหงามั้ง

“อ้อ จ้ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็จะกลับแล้วล่ะ อยู่กับตาก้องสองคน มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะ มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกันนะ"แม่ผมบอกเหมือนกับจะส่งลูกเข้าหออย่างไรอย่างนั้น แต่เผอิญว่าผมเป็นผู้ชายเหมือนมันอ่ะนะ เลยไม่มีอารมณ์จะคิดในแง่นั้นเท่าไหร่ แม่ผมเดินไปเรียกพ่อตรงระเบียงก่อนจะเดินมาบอกลาผม แม่บอกว่าผมไม่ต้องลงไปส่งหรอกให้อย่เป็นเพื่อนปั้นในห้อง กลัวว่ามันจะเหงาล่ะมั้ง

ผมจัดของไปเรื่อยเปื่อย อาจจะเป็นเพราะบ้านผมอยู่ใกล้ด้วย เลยไม่ได้จะมานั่งเศร้า เพราะถ้าผมคิดถึงพ่อแม่นั่งรถสักสองสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว ส่วนปั้นก็นั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นของมันไปบนเตียง

“ก้อง เรียนสาขาอะไรหรอ”ดูท่ามันจะทนความเงียบไม่ไหวเลยถามผมออกมา

“เรียนไฟฟ้าน่ะ แล้วมึงล่ะ”ขอโทษที ผมไม่ใช่คนสุภาพเท่าไหร่ อีกอย่างพูดอย่างนี้มันสนิทกันเร็วกว่าด้วย

“จริงหรอ เราก็เรียนไฟฟ้าเหมือนกัน”ผมเห็นมันทำหน้าเหมือนช็อคนิดนึงตอนผมพูดกูมึงกับมัน

“โทษทีว่ะ กูพูดจาเพราะๆไม่เป็น มึงคงไม่ชิน”ผมจัดการเรียงหนังสือไว้บนโต๊ะเรียบร้อย ก่อนจะมาจัดการกับกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ต่อ

“เราไม่ถือ แล้วถ้า... เราพูดบ้าง ก้องไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”หา!!! หน้าตาคุณหนูแบบมัน พูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยรึไง

“ไม่ว่าหรอก ตามสบายเลย เพราะกูหยาบได้กว่านี้อีก”เตือนมันไว้ล่วงหน้าครับ จะได้ไม่ช็อคน้ำลายฟูมปากตอนผมด่ามัน

“โอเค ก้องอยู่จังหวัดอะไรหรอ”

“อยู่แพร่ ใกล้ๆนี่แหละ แล้วมึงล่ะ”ผมเรียงไม้แขวนเสื้อเข้าตู จัดการชุดชั้นในเข้าลิ้นชักให้เรียบร้อย อยู่กับมันสองคนแบบนี้บางทีก็กระดากเว้ยเฮ้ย

“เราอยู่นครสวรรค์น่ะ”มันว่าเสียงเศร้าๆ จนผมนึกสงสาร จะว่าไกลมันก็ไกลอยู่แหละ

“มึงไม่ต้องกลัวเหงาหรอก มาอยู่มอนี้มีอะไรให้มึงทำเยอะเลย”ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดอย่างนั้น แต่ผมไม่อยากเห็นมันทำหน้าเศร้าเท่านั้นเอง

“แล้วต้องทำอะไรบ้างอ่ะ”มันถามผมแบบสงสัยจริงๆ ไม่ใช่แกล้งโง่ นี่มันไม่รู้อะไรกับเขาเลยหรอ

“พรุ่งนี้ก็มีรับน้องของมอไง มึงก็จะเจอเพื่อนเยอะแยะ แถมรุ่นพี่ด้วย มึงไม่มีเวลามานั่งเหงาหรอก”ผมเคยได้ยินรุ่นพี่ที่โรงเรียนเล่ามาบ้าง เห็นอย่างนี้โรงเรียนผมก็เข้าเรียนที่มอนี้ไม่ใช่น้อยเลยนะ

“อืม”มันตอบผมแค่นั้น ผมเร่งจัดของให้เสร็จก่อนจะชวนมันไปเดินสำรวจรอบๆ ขี้เกียจอยู่ห้องนะครับ เดี๋ยวมันจะเหงาจนเฉาตายซะก่อน ผมถามว่าเพื่อนมันมาเรียนที่นี่บ้างเปล่า มันก็บอกว่ามี แต่มันไม่สนิท ส่วนผมน่ะหรอ เพื่อนบานเบอะ เดินไปทางไหนก็เหมือนจะเจอกับคนรู้จัก ผมพามันไปเดินดูโรงอาหารหรือที่เรียกว่าเวีนงนั่นแหละ มีร้านอาหารหลายร้านอยู่ แล้วก็พามันไปเดินดูร้านเฟรชมาร์ท ร้อยแปดช็อป พามันซื้อของใช้เพิ่มเติมบ้าง ซื้อของตัวเองบ้าง อาจจะเป็นเพราะเราเรียนสาขาเดียวกันด้วยจนผมกับมันก็สนิทกันเร็สจะพูดกูๆมึงๆอย่างไม่กระดากปาก แต่ผมแอบหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเห็นมันหน้าตาเรียบร้อยไม่น่าจะพูดเป็น แต่เห็นอย่างนี้ก็ด่าเป็นหมดทุกคำนะครับ จนหลังๆผมด่ามันเป็นภาษาเหนือให้มันงงเล่นนั่นแหละ มันเลยไม่ต่อปากต่อคำกับผมเท่าไหร่

“เฮ้ย มึง นั่นเขามุงอะไรกันวะ”มันสะกิดตามผมหลังจากที่เราไปเดินเล่นกันมา มือมันชี้ไปที่ป้ายบอร์ดขนาดใหญ่มีแต่คนมุงดูเต็มไปหมด

“เออว่ะ งั้นกูไปดูก่อน มึงรอตรงนี้แหละ”ผมบอกกับมัน ก่อนจะอาศัยวิชามารแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้าบอร์ดได้ สรุปว่าบอร์ดมันแปะรายชื่อนิสิตปีหนึ่ง ที่จะรับน้องพรุ่งนี้ เขาแบ่งเป็นบ้านตามตัวอักษร ผมเห็นเขาประกาศว่าถ้าหารายชื่อตัวเองไม่พบให้เลือกเข้าบ้านไหนเลยก็ได้ ผมเลยไม่หารายชื่อตัวเอง กะว่าจะไปมั่วเข้าบ้านโน้นบ้านนี้เลย

“ไอ้ปั้น ขึ้นห้องเหอะ”ผมตะโกนเรียกปั้นที่ยังยืนรอผมอยู่ตรงที่เดิม นี่มันเป็นหมารึเปล่าเนี่ย

“สรุปว่าดูอะไรกันอ่ะ”มันถามผม ผมก็อธิบายให้มันฟัง ก่อนจะจัดการชักจูงให้มันทำวิทีเดียวกับผมซะเลย หลังจากนั้นผมกับมันก็ขึ้นห้องนอนแล้วก็ผลัดกันอาบน้ำ ผมให้มันอาบก่อน ส่วนผมอาบทีหลัง ตอนผมอาบน้ำเสร็จ ออกมาก็เห็นมันคุยโทรศัพท์กับที่บ้านมันมั้ง เห็นพูดจาซะเพราะ ครับอย่างโน้น ครับอย่างนี้ สักพักมันก็ตอบโทรศัพท์เพียง อืม อือ ผมแอบสังเกตเห็นน้ำตามันไหล หลังจากนั้นมันก็พูดอีกไม่กี่คำก่อนจะวางสายลง

“อะไรวะ คุยโทรศัพท์แค่นี้ร้องไห้”ผมแซวมันเพื่อไม่ให้มันเครียด แต่มันกลับน้ำตาไหลมากกว่าเดิมจนผมทำอะไรไม่ถูก

“เฮ้ย มึงอย่าร้องดิวะ เดี๋ยวกูร้องไห้ตามนะเว้ย”ผมไม่ได้พูดเล่นนะ แต่ผมเป็นคนแบบนี้จริงๆ เห็นเพื่อนหรือใครที่รู้จักร้องไห้ไม่ได้ ผมจะร้องไห้ตามทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่าพวกมันร้องไห้เพราะอะไร

ผมเดินไปลูบหลังปลอบมัน ตาตัวเองก็น้ำตาคลอเบ้าเรียบร้อยแล้ว ก็บอกแล้วมาอย่าร้อง มันหันมากอดเอวผมไว้ ผมก็ปล่อยให้มันกอดแบบไม่ได้คิดอะไร จะว่าไปทำไมตัวมันเล็กจังวะ

“โอ๋ๆๆ”ผมลูบหัว ลูบหลังมัน อยากให้มันหยุดร้องไห้ เห็นน้ำตามันหยุดไหลแล้ว แต่มันยังสะอึกสะอื้นจนตัวโยน ผมปล่อยให้มันกอดเอวผมไปเรื่อย ส่วนผมเองก็ยังไม่หยุดลูบหัวมัน แหะๆๆ ผมมันนิ่มมือดี เหมือนขนหมาเลย

“ไม่ต้องร้องนะ มึงเหงามึงก็ยังมีกูไง”ผมพูดไปทั้งๆที่เสียงเครือๆ ไม่อยากพากันร้องไห้เท่าไหร่เลย ผมลูบหัวมันอยู่อย่างนั้นสักพักก็เห็นมันเงียบไป พอก้มมาดูอีกที อ้าว ไอ้นี่มันหลับทั้งๆที่กอดเอวผมไว้ แถมกอดแน่นไม่ยอมปล่อยด้วย

“ปั้น ปล่อยกูก่อน”ผมสะกิดเรียกมัน

“อยู่อย่างนี้ก่อน ไม่มีหมอนข้าง กูนอนไม่หลับ”มันพูดทั้งๆที่หลับตา แถมมือมันก็ยังไม่ยอมปล่อยออกจากตัวผม ผมก็อ่อนใจกับมันจริงๆ

“งั้นก็ขยับตัวดีๆ แล้วก็ปล่อยกูก่อน กูจะไปปิดไฟ เดี๋ยวกูมานอนด้วย”ผมบอกมัน มันก็ยอมปล่อยมือดีๆให้ผมลุกขึ้นไปปิดไฟ ผมเดินกลับไปคว้าหมอนที่เตียงตัวเองก่อนจะสั่งให้มันเขยิบชิดกำแพงไป ผมสอดตัวเข้าไปนอนในผ้าห่มผืนเดียวกันกับมัน เบียดเสียดกับมันบนเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง ปล่อยให้มันกอดผมเอาไว้ นึกในใจว่าพรุ่งนี้ต้องพามันไปซื้อหมอนข้างโดยด่วน ผมสังเกตเห็นลมหายใจมันเริ่มราบเรียบเหมือนจะหลับไปแล้ว ผมอาศัยแสงไฟที่ลอดผ่านหน้าต่างมาจ้องมองหน้าตามันให้ละเอียดอีกครั้ง จะว่าไปหน้าตามันก็สะดุดใจผมตั้งแต่ครั้งแรก แต่ผมนึกไม่ออกว่าเคยเห็นหน้าตาแบบนี้ที่ไหน หน้ามันใสกิ๊ง แถมสิวก็ไม่มี เห็นแต่คราบน้ำตาแห้งกรังตามแก้มของมัน แล้วนึกสงสารมันไม่ใช่น้อย ผมหวังว่ามันจะชินกับการอยู่มอนี้เร็วๆ มันจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้คิดถึงบ้านอีก ผมนอนมองหน้ามันไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะรู้สึกเริ่มง่วง เห็นเขาว่ากันว่าพรุ่งนี้จะมีรุ่นพี่มาเคาะตามประตูห้องตั้งแต่ตีสามตีสี่ งั้นผมก็ควรจะหลับได้แล้วสินะ

“ฝันดีนะ ไอ้ปั้น”ผมกระซิบบอกมันเบาๆก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเล็กน้อย แล้วผมก็ผล็อยหลับไป


++++

สั้นไปนิด ขออภัย รับปั่นมาต่อให้

ขอคอมเม้นท์หน่อยนะจ้ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 9 Pg.2 08/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 08-01-2014 23:07:44
WinNing --> Win’s Talk


ผมชื่อวิน ผมย้ายมาเรียนที่มอนี้เมื่อปีที่แล้ว ผมเป็นคนลำปางตั้งแต่กำเนิด และเพิ่งได้มาเยี่ยมเยียนจังหวัดนี้ก็คราวนี้ล่ะครับ ตอนผมย้ายมาใหม่ๆก็ไม่รู้จักใครเป็นพิเศษสักคนเพราะเพื่อนผมก็มีบ้างที่เข้าเรียนในมอนี้ แต่โดยมากก็อยู่กันคนละคณะกับผม ผมรู้จักน้ำนิ่งเป็นคนแรกเพราะผมสะดุดตากับมันตั้งแต่กางเกงสีน้ำเงินแล้วครับ น้ำนิ่งเป็นเด็กเชียงใหม่ตั้งแต่กำเนิดเช่นกัน น้ำนิ่งเป็นผู้ชายผิวขาวรูปร่างสมส่วน สูงพอๆกับผม ใส่แว่นตาท่าทางทรงภูมิดูน่าเชื่อถือ แต่ผมไม่ชอบมันอย่างเดียวก็คือมันไม่ค่อยพูดน่ะครับ หลายๆคนอาจจะงงว่าทำไมไม่ชอบ ไม่พูดมากก็ดีแล้วไง แต่ผมไม่ชอบเพราะเวลามันมีเรื่องอะไรมันก็ไม่เคยพูดให้ผมฟังนี่ล่ะครับ ผมเลยเคืองๆมันอยู่เป็นประจำ มันไม่เคยอธิบายเหตุผลในเรื่องบางเรื่องที่มันทำ แต่ที่ผมสนิทกับมันได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะสายตาของมันครับ สายตาของน้ำนิ่งจะนิ่งสมชื่อ แต่เวลาที่ผมไม่สบายใจ หรือมีเรื่องทุกข์ใจ น้ำนิ่งจะมองผมแบบคนที่เข้าใจผมทุกเรื่อง เหมือนแค่เห็นสายตาผมเขาก็เข้าใจทุกอย่าง ผมเลยชอบที่จะสนิทกับคนแบบนี้ และชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดกับคนแบบนี้...

.

.

.

.

"เฮ้ย นิ่ง อธิบายเรื่องนี้ทีดิ กูไม่เข้าใจว่ะ"ผมโยนชีทวิชากายวิภาคศาสตร์ไปตรงหน้ามัน น้ำนิ่งเงยหน้ามองผมแบบสายตาเอือมๆนิดๆ แล้วมันก็หันกลับไปอ่านการ์ตูนของมันตามเดิม

"นิ่ง กูจริงจังนะเนี่ย"มันก็ยังไม่สนใจผม

"นิ่ง กูมีชาเขียวนมสดมานะเว่ย"ผมเอาเครื่องดื่มของโปรดของมันมาล่อ และนั่นก็พอจะเรียกความสนใจของคนตรงหน้าผมได้หน่อยนึง หน่อยเดียวจริงๆ เพราะมันแค่ชายตาแลแก้วน้ำที่ผมถือเท่านั้น

"นิ่งโว้ย"ผมหมดความอดทนจนต้องเรียกมันเสียงดัง ไอ้การ์ตูนบ้านี่มันน่าสนใจกว่ากูตรงไหนวะ

"มีอะไร"มันวางการ์ตูนไว้ข้างๆตัวมันก่อนจะมองหน้าผมแบบหาเรื่อง

"ติววิชานี้ให้กูหน่อย"ผมดันชีทกองเมื่อกี้ไปไว้ตรงหน้ามัน

"ไม่ต้องเอาเรื่องเรียนมาอ้างเลย"เบื่อจริงๆพวกรู้ทัน อย่างที่บอกว่าแค่มันเห็นสายตาผม มันก็รู้แล้วว่าผมต้องการอะไร

"ก็ได้ นิ่ง... กูมีปัญหากับพิ้งค์ว่ะ"ผมเริ่มเปิดประเด็นพร้อมกับผลักชีทกองนั้นออกไปด้านข้างh

"ก่อนที่วินจะเล่า ช่วยส่งแก้วน้ำมาให้เราก่อน"มันว่าพลางกระดิกนิ้ว ผมล่ะเซ็งจริงๆ จะคุยเรื่องอะไรกับมันนี่ได้เสียตังค์ตลอด ผมส่งแก้วชาเขียวให้มันแต่โดยดี มันพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผมเล่าเรื่องต่อ

"กูจับได้ว่าพิ้งค์คุยกับคนอื่น นิ่ง... กูทำไงดีวะ"เรื่องนี้ทำผมเครียดจริงๆ ผมคบกับแฟนคนนี้มาจะเกือบปีแล้วครับ พิ้งค์เป็นดาวคณะสถาปัตย์ เป็นผู้หญิงที่ตรงสเป็คผมทุกอย่าง และผมก็เป็นคนเดินหน้าตามตื๊อเขาตั้งแต่ปีที่แล้ว

"แล้ววินอยากให้เรื่องนี้เป็นยังไงล่ะ"

"หมายความว่ายังไงอ่ะ ก็กูอยากให้พิ้งค์เลิกคุยกับไอ้นั่นอ่ะ"ผมไม่เข้าใจคำถามมันเท่าไหร่นัก และตอนนี้ผมเริ่มอารมณ์เสียแล้ว เพราะเหมือนนิ่งมันไม่ใส่ใจผมเท่าไหร่

"วินมีคำตอบของวินแล้วไง จะให้เราช่วยอะไรอีกล่ะ"

"คำตอบ... คำตอบอะไร ไม่เข้าใจ"ผมเริ่มงงกับมันแล้วครับ นี่ผมมาปรึกษามันนะ ไม่ได้มาเล่มเกมตอบปัญหาเชาว์

"ก็วินไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ไปทำให้พิ้งค์เลิกคุยกับคนนั้นพอ"มันตอบกวนตีนผมไหมล่ะ

"อันนั้นกูก็รู้ว่ะนิ่ง ที่กูถามก็คือกูควรจะคบกับพิ้งค์ต่อไหมวะ"ผมถามมันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดูเหมือนน้ำนิ่งจะชะงักไปนิดนึงเมื่อได้ยินคำถามผม

"ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ"ในที่สุดมันก็หันมาสนใจผมแบบจริงจังสักที

"ก็ไม่รู้ดิ"ผมตอบตรงๆว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องถามคำถามนี้ ทั้งๆที่ผมก็แค่อยากให้พิ้งค์เลิกคุยกับคนนั้น แต่ลึกๆในใจผมกลับอยากหยุดความสัมพันธ์นี้ไว้เท่านี้พอ

"ไปคิดให้ดีๆก่อนจะพูดออกมานะวิน ถ้าเขามาได้ยินเขาอาจจะเสียใจนะ"

"รู้แล้วน่า แล้วใครจะมาได้ยิน กูก็พูดแค่กับนิ่งทำไมนิ่งจะไปบอกใครรึไง"

"เราไม่ได้บอกใครหรือจะบอกใครหรอกวิน แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เกิดใครรู้จักกับพิ้งค์แล้วเอาไปบอกเขา เราจะทำไง"

"อาจจะดีก็ได้"ผมตอบนิ่งไป จากใจจริงเลยว่าผมไม่ได้กวนตีน

"ไม่ดีหรอกเชื่อเถอะ"ผมไม่รู้ว่านิ่งคิดยังไงกับเรื่องผมถึงพูดอย่างนี้ แต่ผมแอบขัดเคืองใจเล็กน้อยที่นิ่งไม่เห็นด้วยกับผม อาจเป็นเพราะทุกทีนิ่งจะเห็นด้วยกับผม ถ้าจะแย้งก็มีเหตุผลมากพอที่จะมาหักล้างกับผมได้

"วิน เราไม่ได้จะขัดใจวินนะ แต่วินก็คบกับพิ้งค์มาระยะนึงแล้ว วินจะเลิกกับเขาง่ายๆหรอ เรื่องความรักมันต้องใช้เวลานะ มันไม่ใช้เอะอะไม่พอใจก็เลิกอย่างเดียว มันมีหลายวิธีที่จะประคองชีวิตคู่กันไป วินต้องหัดใจเย็นกับเรื่องนี้อีกหน่อย"นิ่งเทศนาผมยาวเหยียด ผมก็ตั้งใจฟังบ้าง ไม่ตั้งใจฟังบ้าง แต่ก็เห็นด้วยกับที่นิ่งพูด บางทีผมอาจจะต้องใจเย็นมากกว่านี้

"เออ จะกลับไปคิดดู"ผมพูดแค่นั้น แต่ก็เรียกรอยยิ้มจากน้ำนิ่งได้ ดูท่ามันจะปลื้มใจไม่ใช่น้อยเวลาผมยอมฟังมัน แค่มันคงจะไม่รู้
ว่าผมฟังเสมอ ถ้ามันเป็นคนพูด

.

.

.

ผมมีนัดกับพิ้งค์คืนนี้ คิดว่าจะชวนพิ้งค์ไปเดินเล่นในเมืองด้วยไอ้แดง มอเตอร์ไซค์ลูกรักของผม ระหว่างรอพิ้งค์ที่หน้าหอก็นั่งเล่นเกมส์ในไอโฟนไปเรื่อยเปื่อย อีกสิบนาทีกว่าจะถึงเวลานัด ผมแค่ไม่อยากให้ผู้หญิงรอนาน ผมจอดรถเยื้องไปทางหัวมุมถนนเพื่อให้เกะกะ ส่วนตัวเองก็นั่งรออยู่ตรงม้าหินหน้าหอ รถยนต์สีแดงสะดุดตาคันนึงแล่นเทียบมาจอดหน้าหอ สีของรถชวนให้ผมอยากรู้ว่าคนขับหน้าตาเป็นยังไง แต่ไม่สะดุดใจเท่ากับที่ว่า... ผมเห็นใครลงจากรถคันนั้น

"พิ้งค์!!"ผมไม่รู้ว่าเสียงตัวเองดังแค่ไหน แต่นั่นก็พอที่จะทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวหันมามองผมด้วยแววตาตกใจ

"วิน..."ผมก้าวเท้าเพื่อไปดูหน้าคนขับรถให้เต็มตา

"พิ้งค์ นี่มันคืออะไร ไหนพิ้งค์ว่าพิ้งค์ไม่ได้คิดอะไรกับมันไง แล้วที่พิ้งค์นั่งรถมากับมันสองคนล่ะ"ผมหันไปถามพิ้งค์ รู้สึกเกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที หน้าพิ้งค์เริ่มแดงเพราะความโกรธหรืออายผมไม่แน่ใจ แต่ผมไม่อาย ผมจะประจานให้คนเขารู้เลยว่ามันแย่งแฟนผม

"พิ้งค์บอกว่าพิ้งค์ไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้พิ้งค์เริ่มคิดแล้วล่ะ เพราะวินเป็นแบบนี้ไง เอะอะอะไรก็โวยวายไว้ก่อน พิ้งค์ไม่ชอบ!! แล้ววินก็ไม่เคยมีเวลาให้พิ้งค์เลย วินอยู่กับเพื่อนวินตลอด จนพิ้งค์ไม่แน่ใจว่าพิ้งค์เป็นอะไรกับวินกันแน่!!!"พิ้งค์จึ้นเสียงใส่ผมหน้าตาแดงก่ำด้วยความโกรธ

"นิ่งเกี่ยวอะไรด้วย นิ่งเป็นเพื่อนวิน วินก็ต้องสนิทกับมันเป็นธรรมดาสิ พิ้งค์อย่าเอาเรื่องนี้มาอ้างเลยดีกว่า"ผมไม่ชอบเลยถ้าใครมาว่านิ่ง เพราะมันก็ไม่ได้เข้ามาสอดมือกับเรื่องนี้ ผมไม่ชอบให้พิ้งค์ดึงนิ่งมาเกี่ยว

"พิ้งค์ไม่ได้อ้าง วินไปคิดเอาเองละกันเรื่องวินกับเพื่อนวินน่ะ ห้องวิน พิ้งค์ไม่เคยได้เข้า แต่เพื่อนวินเข้าออกได้ตลอด ของๆวิน วินไม่เคยให้พิ้งค์มาแตะ แต่วินไม่เคยว่าเพื่อนวินสักคำที่มายุ่ง มันหมายความว่ายังไงหรอวิน หรือเรื่องนี้พิ้งค์เป็นคนผิด"ผมคิดตามที่พิ้งค์พูด แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงก็เถอะ แต่ผมก็ไม่อยากจะยอมแพ้แบบนี้

"ไม่เห็นเกี่ยวเลยพิ้งค์ นิ่งมันเข้าห้องวินได้เพราะมันเป็นหอชาย แล้วพิ้งค์จะเข้าไปทำไม แล้วที่วินไม่หวงของ เพราะนิ่งรู้ดีว่านิ่งไม่ควรแตะอะไร"ผมพยายามพูดให้ใจเย็นมากขึ้น แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เย็นกับผมอีกต่อไป

"พอเหอะวิน พิ้งค์ว่ายังไงก็แล้วแต่เพื่อนวินคนนี้ก็ไม่เคยผิดเลย พิ้งค์ว่าเราเลิกกันเถอะ วินจะได้อยู่กับเพื่อนวินอย่างสบายใจขึ้น"พิ้งค์พูดตัดบทแล้วเดินสวนผมเข้าหอไป

"อะไรกันพิ้งค์"ผมคว้าข้อมือพิ้งค์ไว้

"พิ้งค์อย่าเอาเรื่องนี้มาอ้างในการเลิกเลย พิ้งค์จะเอาคนใหม่ก็บอกมาเหอะ!"ผมตะคอกประโยคสุดท้ายใส่หน้าอีกฝ่ายอย่าง
อารมณ์ขึ้น

"ใช่ พิ้งค์จะมีคนใหม่ เพราะคนเก่าอย่างวินมันเฮงซวยน่ะสิ!"พิ้งค์สะบัดข้อมือให้หลุดจากอุ้งมือผม ก่อนจะเดินก้าวเร็วๆเข้าไปในหอ ผมไม่ได้ก้าวตามเข้าไปเพราะผมก็ไม่อยากยื้อพิ้งค์ไว้หรอก มันอาจจะเหมือนอย่างที่ผมเคยบอกนิ่งไว้ก็ได้ว่า ผมไม่รู้ว่าควรจะคบกับพิ้งค์ต่อไหม ตอนนี้พิ้งค์เป็นคนตัดสินใจให้ผมแล้ว แม้ผมอาจจะไม่ได้รักอีกฝ่ายมากมายอะไร แต่กับระยะเวลาที่คบกันตลอดมาก็สร้างความผูกพันทางใจไว้ไม่ใช้น้อย มันเจ็บหน่วงๆขึ้นมาในอก มันไม่มีคำพูดอะไรที่อยากจะระบายออกมาให้ใครฟัง ผมขับรถมอเตอร์ไซค์กลับหอตัวเองก่อนจะตรงดิ่งไปเคาะห้องน้ำนิ่ง

“เข้ามาเลย”เสียงอีกฝ่ายตะโกนมาจากห้อง ผมเปิดประตูเข้าไปทันทีที่ได้รับอนุญาต เห็นนิ่งกำลังอ่านชีทเรียนอยู่บนเตียงตัวเอง

“อ้าว มีอะไรวิน ไหนว่าจะไปกับพิ้งค์ไง”นิ่งวางชีทในมือลง ผมไม่ตอบอะไรแต่ทิ้งตัวลงนอนข้างๆอีกฝ่าย

“วิน เป็นอะไรรึเปล่า”นิ่งถามเมื่อเห็นผมเงียบไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“นิ่ง กู... เลิกกับพิ้งค์แล้วว่ะ”ผมตอบอีกฝ่ายแค่นั้น แต่ผมว่าแค่คำพูดนี้คำพูดเดียวก็พอจะทำให้นิ่งเข้าใจอะไรหลายๆเรื่องได้ในเวลาเดียวกัน

“อืม อยากจะทำอะไรมั้ย”นิ่งถามคำถามได้ตรงใจผมมากที่สุด ตอนนี้ผมอยากจะลืม

“ไปร้าน... เป็นเพื่อนกูหน่อย”ผมพูดถึงร้านเหล้าที่อยู่ไม่ไกลจากหอผมมากนัก นิ่งไม่พูดตกลงหรือปฏิเสธอะไร แต่กลับทำเพียงลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

“วิน เราแต่งตัวเสร็จแล้ว ไปกัน”ผมลุกขึ้นตามคำชวนทันที น้อยครั้งที่นิ่งจะยอมทำตามใจผมแบบนี้

.

.

.

ผมมาถึงร้านไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งเครื่องดื่มมึนเมามานั่งดื่มอย่างรวดเร็ว ผมชวนนิ่งดื่ม แต่ผมก็รู้อยู่แล้วว่านิ่งเป็นคนไม่ชอบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ผมมันก็เลวคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายดื่มจนได้ แต่ผมก็ไม่ทำให้นิ่งลำบากใจไปมากกว่านี้จึงให้ดื่มแค่แก้วเดียว เหลือผมก็ซัดเกือบหมด

“กูไม่เข้าใจว่ะนิ่ง ทำไมพิ้งค์ต้องคอบเปรียบเทียบตัวเองกับนิ่งด้วย นิ่งไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”พอแอลกอฮอล์เข้าปากผมก็เริ่มพูดมากอย่างหยุดไม่อยู่ ผมเริ่มพูดเรื่องที่ขับข้องใจให้อีกฝ่ายฟัง ผมไม่เข้าใจจริงๆนั่นแหละว่าทำไมพิ้งค์ต้องมาเปรียบเทียบตัวเองกับนิ่งด้วย นิ่งก็อยู่ส่วนนิ่ง เป็นเพื่อนที่ผมรักที่สุด ส่วนพิ้งค์ก็เป็นแฟนผมไง แค่สถานะนี้ก็ชัดเจนแล้วไง

“พิ้งค์เปรียบเทียบยังไง”นิ่งหันมาถามผม แก้วเครื่องดื่มตรงหน้าอีกฝ่ายละลายจนจืดจางแล้ว แต่นิ่งก็ไม่มีทีท่าว่าจะยกขึ้นดื่มอีก

“ก็บอกว่ากูชอบมาขลุกอยู่กับนิ่ง เห็นนิ่งสำคัญกว่า กูเป็นแบบนั้นหรอวะนิ่ง”ผมหน้านิ่ง แต่ดูเหมือนทำไมนิ่งถึงมีสองคนนะ ผมสะบัดหัวเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา

“เมาแล้วนะวิน กลับห้องกันเถอะ”นิ่งไม่ตอบคำถามผม ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ แม้จะอารมณ์เสียเรื่องนี้ แต่ผมก็ไม่อิดออดยอมกลับหอตอบที่นิ่งบอก ผมควักกระเป๋าตังค์จ่ายค่าเครื่องดื่ม ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกทางหน้าร้าน

“เชี่ย!”ผมร้องออกมาเมื่อเดินสะดุดเก้าอี้หน้าร้าน ทำให้ความสามรถในการมทรงตัวของผมตอนนี้อยู่ในขั้นต่ำ จนนิ่งต้องมาประคองผมให้เดินตรงๆ ผมมายืนรับอากาศเย็นหน้าร้านให้สร่างความเมาเล็กน้อย ส่วนนิ่งก็ไปเอาเจ้าแดงขี่มารับผม ผมซ้อนท้ายนิ่งกลับหอ ระหว่างทางขึ้นหอก็ให้อีกฝ่ายช่วยประคองขึ้นบันไดไป

“ครั้งหน้าไม่เอาแล้วนะวิน เมาทีไรลำบากเราเรื่อยเลย”นิ่งบ่นออกมาระหว่างประคองผมขึ้นบันได แต่ไม่รู้ทำไม พอผมได้ยินประโยคนี้มันฉุกกึกขึ้นมาทันที

“ปล่อย!!!”ผมไม่เคยตวาดเสียงใส่นิ่ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ

“วิน!”นิ่งดุผม แต่ผมไม่สนใจ ผมสะบัดตัวออกจากอีกฝ่าย ก่อนจะพาร่างกายของตัวเองเดินขึ้นบันไดไปอย่างยากลำบาก

“มานี่”นิ่งพยายามจะมาช่วยผมประคอง แต่คราวนี้ผมไม่ยอม

“ไม่ต้องมายุ่ง! ถ้าลำบากมึงนักก็ขึ้นห้องไปเลย”ผมไม่เคยเรียกนิ่งว่ามึงสักครั้ง นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่คราวนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ และรู้ว่านิ่งไม่ชอบด้วย แอลกอฮอล์นี่คือน้ำเปลี่ยนนิสัยจริงๆ

“วิน!!!”คราวนี้อีกฝ่ายดุผมเสียงดังกว่าเดิม ผมหยุดอยู่ตรงขั้นบันได ไม่หันหลังกลับไปตอบ ในใจนึกน้อยใจเต็มไปหมด ทั้งๆที่ผมก็รักอีกฝ่ายมาก ไม่เคยจะพูดจาไม่ดีใส่ แต่แค่เวลานี้ผมอยากให้อยู่ข้างๆผม นิ่งกลับบอกว่าผมทำให้ตัวเองลำบาก ก่อนหน้านี้มีไหมสักครั้ง ที่ผมจะบ่นอีกฝ่าย ไม่ว่านิ่งจะให้ผมทำอะไร ผมก็ทำให้หมด แต่ครั้งนี้ที่ผมขอ นิ่งกลับทำให้ไม่ได้

“ขอโทษ ที่ทำให้นิ่งลำบาก ขึ้นห้องไปเถอะ เดี๋ยวเราเดินขึ้นไปเอง”ผมพูดให้เสียงเบาลง พยายามไม่ให้อารมณ์มาเกี่ยวข้อง แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับคลอหน่วยตรงขอบตาเรียบร้อยแล้ว

“วิน หยุดเอาแต่ใจตัวเองได้ไหม หยุดใช้แต่อารมณ์ เราคง... อุ๊บ อื้อ”ผมไม่รอให้นิ่งพูดจบ กลับกระชากตัวอีกฝ่ายเข้ามาปิดปากด้วยปากของผมเอง ให้ใครเป็นหมื่นเป็นร้อย ดูถูกผม ด่าทอว่าตีผมก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่นิ่ง ผมไม่อยากได้ยินคำพูดเหล่านั้นออกจากปากนิ่งเลยแม้แต่น้อย นิ่งขัดขืนผมสุดแรง แต่แน่นอนวานิ่งคงสู้แรงผมไม่ได้ ผมจับต้นแขนอีกฝ่ายอย่างแรงราวกับจะล็อคไว้ไม่ให้หลุด บดเบียดริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างที่ไม่อยากให้ใครมาทำ ผมค่อยสอดลิ้นเข้าไปรับความหวานจากปากอีกฝ่าย ชักชวนให้อีกฝ่ายคล้อยตาม มือผมค่อยๆเลื่อนไปโอบอีกฝ่ายไว้เมื่อเห็นว่านิ่งไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมปล่อยให้ตัวเองละเมียดชิมลิ้มรสอีกฝ่ายจนพอใจ ก่อนจะค่อยถอนจูบออกมา

“นิ่ง...”ความรู้สึกผิด เสียใจทั้งหลายแหล่ประเดประดังเข้ามาทันทีที่ผมเห็นน้ำตานิ่งที่คลออยู่รอบตา

“มึงทำอย่างนี้ได้ไงวะ กูเพื่อนมึงนะเว่ย”กำปั้นของนิ่งกระทบกับแก้มผมเต็มแรง นิ่งไม่เคยพูดจาไปเพราะกลับผม แต่ครั้งนี้ ผมคงเลวจริงๆจนอีกฝ่ายไม่อยากจะพูดจาดีด้วย

“กู... กู... กูไม่รู้ว่ะ”ผมไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว แต่ผมไม่อยากพูดคำว่าขอโทษ มันดูเหมือนแก้ตัว นิ่งมาหน้าผมอย่างที่คนที่โกรธเกลียดกันมองหน้ากัน มองแบบไม่อยากจะเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา

“มึงพูดได้แค่เนี้ย”ผมไม่ตอบคำถามอะไรอีก ความรู้สึกอะไรมากมายมันอยู่ข้างใน แต่มันบรรยายออกมาไม่ได้ มันไม่รู้ว่าไอ้ที่รู้สึกอยู่ข้างในนั้นมันคืออะไร มันบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่มีมันดีหรือร้ายอย่างไร นิ่งรอฟังผมอธิบายจนหมดความอดทนแล้วเตรียมจะเดินจากไป

“เดี๋ยว!”ผมรีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ ไม่อยากให้เขาเดินจากไปไหนตอนที่เรารู้สึกไม่มั่นคงในความรู้สึกตัวเอง

“มึงปล่อยกูเถอะ ถ้ามึงไม่คิดจะพูดอะไร”นิ่งพูดโดยไม่สบตามอง สายตาของนิ่งหยุดอยู่ตรงมือผมที่จับข้อมือของนิ่งไว้

“กูยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่นิ่ง... อยู่กับกูก่อนนะ อย่าเพิ่งเดินหนีกูไปไหน”ผมพูดไปน้ำตาก็ไหลเป็นทาง มันไม่ชอบเลยเวลาที่เห็นคนๆนี้หันหลังให้ มันไม่ชอบเลยกับการที่ต้องถูกทิ้งไว้คนเดียว

“พอเหอะ เราจะเข้าห้องแล้ว”นิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างคนที่พยายามจะใจเย็น แต่ผมก็ยังไม่ยอมปล่อยข้อมืออีกฝ่าย น้ำตายิ่งไหลเป็นสาย ในหัวมีเพียงแค่คำว่าที่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายคือคำว่าอย่าไป

“อยู่กับกูก่อน ขอร้อง...”ผมแทบจะคุกเข่าอ้อนวอน แต่นิ่งกลับทำหน้าตาเฉยชาใส่ผม แล้วก็บิดข้อมือออกจากมือผมอย่างแรงจนผมรู้สึกเจ็บ

“นิ่ง...”ผมมองเห็นข้อมือของนิ่งที่แดงเถือกเป็นรอยนิ้วมือผม มือที่กำลังจะคว้าอีกฝ่ายไว้เหมือนเดิมกลับชะงักอยู่กับที่ ผมยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจากไปแต่โดยดี เพียงเพราะผมไม่อยากเห็นคนที่ผมรักต้องมาเจ็บเพราะผมอีก

ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังหลังนิ่ง ความรู้สึกที่เมื่อตอนโดนพิ้งค์บอกเลิก ยังไม่เจ็บเท่ากับการเห็นนิ่งเดินจากไป มันยิ่งกว่าเจ็บหน่วงที่ใจ มันแปล๊บขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ น้ำตาที่ไม่ได้ไหลเมื่อตอนพิ้งค์เดินหันหลังไปแต่กลับไหลแทบเป็นสายเลือดเมื่อนิ่งไม่แม้แต่จะยอมอยู่เคียงข้างผม ขาทั้งสองข้างที่ปกติรับน้ำหนักของตัวเองได้กลับอ่อนแรงอย่างน่าประหลาดใจ ยิ่งเห็นน้ำตาของนิ่งที่คลอหน่วยรอบดวงตาแล้ว ลมหายใจกลับสะดุดราวกับคนไม่เคยหายใจ ความรู้สึกที่มันเหมือนจะคิดออก กลับเลือนหายราวกับนึกไม่ออกว่ามันเคยเกิดขึ้น นี่ผมกำลังเป็นอะไรกันแน่ ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผมทำกับนิ่งมันเลวมากขนาดไหน ทั้งๆที่อีกฝ่ายคอยช่วยเหลือผมตลอด แต่ผมก็ตอบแทนความช่วยเหลือนั้นด้วยอะไรกัน ความไว้ใจที่เขามีให้ ผมก็กระทำการเหยียบย่ำน้ำใจเขา หรือผมจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดของผมไป...


++++

ตอนนี้ อาจจะยาวไปนิด คงจะแต่งสลับกันกับคู่เอก

แต่คาดว่าอีกไม่นานคูเอกก็คงจะจบแล้วล่ะนะ

แล้วเราค่อยมาลุ้นกับคู่นี้ต่ออีกทีนะจ๊ะ

อยากได้คอมเม้นท์จัง จะมีใครเมตตาเราไหมน้าา  :mew2:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่10 Pg.2 12/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 12-01-2014 16:59:45
ตอนนี้ย่างเข้าเดือนสิงหาแล้ว ผมกับปั้นก็คบกันมาเดือนกว่าเห็นจะได้ ความรักของเราก็ลุ่มๆดอนๆกันไปตามประสาวัยรุ่น มีบ้างที่ไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน แต่ผมก็พยายามเคลียร์ให้จบเป็นเรื่องๆ หลักการในการทะเลาะกันก็คืออย่าดึงเรื่องเก่ามาโยงกับเรื่องใหม่ ไม่งั้นมันจะยืดยาว แล้วก็ห้ามด่ากัน ที่สำคัญอยู่ห่างกันห้าเมตรเพื่อจะได้ไม่ต้องทำร้ายร่างกายกัน หลักการง่ายๆครับ แล้วหลายๆคนจะอยู่กับคู่ชีวิตได้นานขึ้น วันนี้เป็นวันพิเศษของผมครับ เพราะผมกำลังจะบรรลุนิติภาวะในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือที่เรียกว่าอายุขึ้นเลขสองนั่นแหละครับ วันนี้ปั้นติดเรียนคงเลิกประมาณสี่โมงเย็น ส่วนผมถ้าสอบแลปเสร็จก็สามารถเดินฉุยฉายออกจากตึกคณะได้เลย คราวนี้ผมกับน้ำนิ่งสอบเสร็จก่อน เหลือแต่เต้กับวิน ผมก็เลยให้พวกมันตามไปสบทบทีหลัง ส่วนผมกับนิ่งจะขับรถไปซื้อของมาฉลองกันในห้องผมนั่นเอง

“นิ่ง เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จยัง เดี๋ยวกูรอที่รถนะ”ผมตะโกนบอกเพื่อนที่หน้าห้องน้ำ มีเสียงขานรับกลับมาให้รับรู้ ผมก็เดินมาคว้ากระเป๋าไปสตาร์ทรถรอที่ข้างตึกคณะเลย สักพักก็เห็นน้ำนิ่งโบกไม้โบกมือลากับเพื่อนคนอื่นก่อนจะเดินตรงมาที่รถผม

“โอมจะซื้ออะไรบ้าง”ผมคิดคำตอบสักพักก่อนจะร่ายยาวให้มันฟัง มันทำหน้าแบบเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่ชอบ สลับไปมาเมื่อได้ยินสารพัดรายการซื้อของผม

“แล้วปั้นมาด้วยรึเปล่า”

“มาดิ พวกมึงจะอึดอัดรึเปล่า”ผมก็ลืมถามความรู้สึกพวกมันไปครับ แอบกลัวงานแกร่วเหมือนกัน แต่เห็นพักหลังเต้มันก็คุยกับปั้นบ่อยจนจะเล่นหัวกันได้แล้ว คนอื่นก็น่าจะชิน

“เฮ้ย บ้า ใครจะคิดอย่างนั้น ปั้นก็น่ารักดี เอามันมาแกล้งก็สนุกดีออก”ผมหัวเราะกับประโยคคำพูดนั้น ถ้าคนอื่นพูดผมคงกังวลว่าจะแกล้งอะไร แต่นี่น้ำนิ่งเป็นคนพูด ผมก็พอจะเดาได้ว่างานนี้ปั้นได้ออกอาการเขินหนักๆให้ผมเห็นแน่นอน

ผมวนหาที่จอดรถในโลตัสก่อนจะเดินเข้าไปสัมผัสแอร์เย็นๆในห้าง

“โอม เดี๋ยวเราไปเอารถเอง”น้ำนิ่งบอกกับผมที่กำลังเล็งโดนัทของร้านชื่อดัง กำลังคิดว่าจะซื้อไปด้วยดีไหม สุดท้ายผมก็บอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวค่อยมาซื้อทีหลัง

ผมกับน้ำนิ่งพลัดกันหยิบของรถเข็ญกันสนุกสนาน จะว่าไปช่วงนี้น้ำนิ่งก็เงียบแบบแปลกๆจนผมกับเต้สัมผัสได้ แถมวินก็ทำตัวสำมะเรเทเมาหลังจากเลิกกับแฟน จนพวกผมอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่จะให้พูดเตือนวินก็เป็นเรื่องยากพอตัว เพราะวินมันไม่เคยฟังใคร เห็นมีคนเดียวที่วินจะฟังก็คือน้ำนิ่ง แต่ก็แปลกที่น้ำนิ่งกลับไม่เอ่ยปากว่าเรื่องนี้เลย ทั้งๆที่ปกติทุกทีนี่ได้มีรายการเรียกกันไปสั่งสอนกันเรียบร้อยแล้ว

“เออ นิ่ง ช่วงนี้เป็นไรวะ เห็นไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้ม มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”ผมเอ่ยปากถามขณะเลือกดูเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แหะๆๆ ว่าจะยกลังเลยนะเนี่ย

“ก็ไม่มีอะไร ช่วงนี้แค่มีเรื่องต้องคิดเยอะ”นิ่งชะงักไปนิดนึง ก่อนจะคิดคำตอบมาพูดกับผม แต่ผมว่าอาการแบบนี้ดูน่าเป็นห่วงมากกว่า

“มีอะไรบอกกูได้นะเว่ย เดี๋ยวกูช่วยเอง”ผมหันไปมองหน้านิ่งแบบจริงจัง อีกฝ่ายก็เพียงยิ้มรับแล้วก็หยิบน้ำอัดลมมาใส่ลงรถเข็ญ ผมก็จนปัญญาจะบีบรัดความลับจากอีกฝ่ายจริงๆ
“เออ นิ่ง ช่วงนี้ช่วยเตือนให้วินให้ตั้งใจเรียนหน่อยดิ เดี๋ยวนี้มาสายแทบทุกวัน มาก็หลับในห้อง คะแนนแทบจะไม่เหลือแล้วนะ
ไม่รู้มันจะตรอมใจอะไรกับแฟนมันหนักหนา”ผมบอกนิ่งแกมบ่นเรื่องวินให้มันฟัง คราวนี้ไม่มีสัญญาณตอบรับจากนิ่งเลย หรือว่าพวกมันสองคนจะทะเลาะกัน

“พวกมึงทะเลาะกันหรอ”ผมอยากจะตบปากตัวเองซะจริง นี่ผมคิดแล้วพูดเลยใช่ไหมเนี่ย

“เปล่าหรอก แค่...”ผมรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ แต่นิ่งก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

“แค่อะไรวะ มันค้างคานะเว้ย”ต่อมเสือกผมหลั่งสารสื่อประสาทออกมาอัตโนมัติเลยทีเดียว จะว่าไปไอ้คู่นี้ก็น่าเป็นห่วง ผมกับเต้ชอบแซวพวกมันสองคนบ่อยๆ จนผมก็คิดว่าถ้าวินไม่มีแฟน นิ่งคงได้เป็นแฟนวินจริงๆ แต่ดูเหมือนอะไรๆก็กลับตาลปัตรไปหมด ทั้งๆที่ความจริงแล้ววินติดนิ่งอย่างกับลูกติดแม่ ผมก็คิดแล้วว่าความรักของวินคงไปไม่รอด แต่ก็ถือว่านานทีเดียวที่คบกันมาจนจะเกือบปี

“ไม่มีอะไรหรอก ไว้เดี๋ยวจะเตือนๆให้”นิ่งรับปากผม แต่ผมก็ไม่ไว้ใจกับท่าทีนั้น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับปากส่งๆซะมากกว่า ผมกับนิ่งเดินเข็ญรถไปชำระเงิน ก่อนจะพากันขนของขึ้นรถแล้วขับกลับมอ ระหว่างทางก็หาซื้อพวกกับข้าว ขนมนมเนยเผื่อคุณชายปั้น กับคุณชายเต้ด้วย จนนิ่งบ่นว่าจะซื้ออะไรไปหนักหนา เดี๋ยวกินไม่หมด แปลว่านิ่งยังไม่รู้อิทธิฤทธิ์ของคุณชายปั้นดี ฮ่าๆๆ

.

.

.

ผมจอดรถตรงหน้าหอ ก่อนจะพานิ่งหอบหิ้วสารพัดของกินเดินขึ้นหอ แน่นอนว่าไม่ลืมหลบเจ้าของหอด้วย เดี๋ยวโดนลุงแกเฉ่งเรื่องเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าหอ แหม เด็กมหาวิทยาลัยมันก็ต้องมีกันบ้างแหละครับ เมื่อถึงห้องผมก็ปล่อยให้นิ่งทำตัวเป็แม่ศรีเรือนไปฝ่ายเดียว ส่วนผมก็ออกมาโทรศัพท์หาสุดที่รัก

(ฮัลโหล พี่โอม ว่าไง)

“ปั้นเลิกเรียนยัง พี่ซื้อของกินมาที่หอเรียบร้อยแล้วนะ”ผมเอาของกินล่อมัน ปั้นนี่มันก็เหมือนหมานะครับ แค่ได้ยินก็กระดิกหางแล้ว

(โหย น้ำลายไหล แล้วพี่เต้ไปด้วยรึเปล่าอ่ะ)

“มาดิ เต้มันก็เพื่อนพี่นี่”ผมแอบงงกับคำถามปั้น เหมือนปั้นจะไม่อยากให้เต้มาด้วยสักเท่าไหร่

(โห แล้วพี่โอมซื้อมาเยอะเปล่า เดี๋ยวพี่เต้แย่งปั้นกินหมด ปั้นก็ไม่อิ่มพอดี)

“เยอะสิ พี่รู้อยู่แล้ว”นี่คือสาเหตุที่แท้จริงสินะครับ ไอ้พวกหวงของกินเอ้ย

(โอเค ดีมากที่รัก งั้นอีกเดี๋ยวปั้นก็เลิกเรียนแล้ว เดี๋ยวจะรีบไปหานะครับ)

“ครับ”ผมแอบยิ้มปลื้มกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกผม น้อยครั้งจะได้ยินจากปากปั้น เว้นเสียจากอีกฝ่ายอ้อนอยากจะได้โน่นได้นี่แค่นั้นเอง ถึงไม่อ้อนผมก็ซื้อให้อยู่ดีนั่นแหละครับ หลงมันจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว แต่ปั้นก็ไม่ใช่พวกที่แบบมาคบกับผมเพื่อกอบโกยอะไรแบบนั้นนะครับ ของที่ปั้นอยากได้ส่วนมาก็ไร้สาระ น่ารัก ราคาไม่แพง ส่วนของราคาแพงปั้นชอบเก็บเงินซื้อเองมากกว่า ปั้นบอกว่ามันดูมีค่ามาก จนเราต้องทะนุถนอมมันให้ดีที่สุด

เสียงเคาะประตูดังขึ้นตรงหน้าห้อง ผมหันไปเห็นนิ่งกำลังง่วนกับการเตรียมของกินก็เลยเดินไปเปิดประตูเอง เป็นเต้กับวินนั่นเองที่มาถึง พอคุณชายเต้มาทุกอย่างในห้องก็ดูวุ่นวายไปหมด

“จะขึ้นไปบนเตียงนอนก็ล้างเท้าก่อนเลย”ผมรีบตะโกนบอกไอ้ตัวดีที่กำลังเตรียมจะกระโดดขึ้นเตียงหกฟุตของผมแล้ว เต้หันมามองค้อนให้อย่างสะบัดสะบิ้ง มันคงคิดว่าดูน่ารักดี แต่สำหรับผมดูแล้วน่าถีบ นิ่งเห็นท่าทางนั้นก็หัวเราะร่วมด้วย แต่วินกลับนั่งมองนิ่งเงียบๆ สรุปว่าไอ้คู่นี้มันมีปัญหา หรือไม่มีปัญหากันแน่

“เออ วิน ช่วงนี้มึงเป็นอะไรวะ ยังไม่เลิกอกหักอีกรึไงวะ”ไหนๆไหนๆแล้ว เอ่ยปากถามเจ้าตัวเองเลยน่าจะดี

“หึ กูยิ่งกว่าอกหักซะอีก”มันแค่นเสียงขึ้นลำคอราวกับจะประชดใคร หรือมันรักพิ้งค์มากกว่าที่ผมคิด

“หมายความว่าไงวะ”เต้ที่เพิ่งมาได้ยินประโยคหลังของวินก็ถามอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ตรงกับคำถามในใจผมด้วย

“ยิ่งกว่าอกหักก็หมายถึง การที่มึงสูญเสียคนที่ยิ่งกว่ามึงรัก คนที่มึงขาดเขาไม่ได้ คนที่มีค่ามากที่สุด คนที่มึงรักเรายิ่งกว่าเขารักมึง คนที่มึงห่วงเขายิ่งกว่าห่วงตัวเอง คนที่มึงไม่อยากเห็นเขาเดินจากไป คนที่มึงไม่อยากเห็นเขาหันหลังให้ คนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักน่ะ”วินอธิบายเสียยาวเหยียด แต่ทำไมเสียงของมันบีบคั้นความรู้สึกผมนัก ยิ่งผมได้ยินมันก็รวดร้าวราวกับเรื่องที่มันพูดคือเรื่องของตัวผมเอง พอหมดคำพูดของมันผมก็นึกถึงปั้นขึ้นมาเลย เพราะปั้นเป็นอย่างนั้น สำคัญกับผมเหมือนอย่างที่วินพูด

“เฮ้ย วิน มึงไหวเปล่าวะ”ผมอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ไอ้นี่อาการหนักกว่าที่คิด

“ไหวดิ ไว้กูหมดแรงแล้วจะบอก”มันพูดน้ำเสียงติดตลก แต่ดวงตามันไม่ยิ้มไปด้วยเลย

“ถ้าอย่างนั้นทำไมมึงไม่ไปขอเขาคืนดีวะ”ความคิดไอ้เต้นี่น่าสนใจดีครับ ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของมัน ทำไมมันไม่ไปขอคืนดีกับแฟนมันวะ

“ถ้าเขาคิดจะให้อภัยกูนะ กูคงทำไปนานแล้ว นิ่งคิดว่าไงละ”มันตอบพวกผม แต่ท้ายประโยคมันกลับไปถามคนเดียวที่นั่งเงียบตั้งแต่ผมเปิดบทสนทนาเรื่องนี้

“...”นิ่งไม่ตอบอะไรกลับมา กลับกลายเป็นการปิดบทสนทนานั้นไป ผมเริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่าที่วินเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะพิ้งค์แน่นอน แต่เป็นเพราะนิ่งต่างหาก แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสองคนนี้ผิดใจอะไรกัน คงเป็นเพราะนิ่งเป็นคนไม่เคยเล่าเรื่องของตนเองให้คนอื่นฟังเท่าไหร่นัก พวกผมก็เลยไม่กล้าถาม

บรรยากาศกร่อยไปชั่วครู่ วินไม่พูดอะไรเลยหลังจากนั้น แต่กลับเดินออกไปยืนที่ระเบียงราวกับว่ามีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าพวกผมอยู่ข้างนอก นิ่งก็คุยเล่นกับพวกผมบ้างแต่ก็ดูแปลกๆแบบคนฝืนๆ ผมจัดการวางจานชามอาหารลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก เผอิญหอผมก็เป็นแค่หอนะครับ ไม่ใช่คอนโด ฉะนั้นพวกผมก็ต้องนั่งกับพื้นไปโดยปริยาย เครื่องดื่มที่เอาเข้าตู้เย็นไปตั้งแต่เมื่อผมมาถึงก็เริ่มถูกเปิดออกดื่ม แรกๆก็แค่น้ำอัดลมเท่านั้นแหละครับ ไม่นานหลังจากนั้นแขกสำคัญของผมก็มาถึงสักที ผมเดินออกไปเรียกวินให้มานั่งกินข้าวด้วยกัน ผมกับปั้นนั่งใกล้กัน มีวินนั่งตรงข้ามผม ขวามือผมเป็นนิ่ง ซ้ายมือของปั้นก็เต้ นั่งกันรอบโต๊ะ ก่อนจะเริ่มลงมือกินกัน มีเสียงแย่งของกินของเต้กับปั้นสลับกันสร้างเสียงพูดคุยบนโต๊ะ มีผมกับนิ่งคอยหัวเราะผสมโรง ส่วนวินก็แค่นั่งกินเงียบๆ ยิ้มบ้างตอนผมชวนมันคุย หลังจากนั้นก็แทบไม่เปิดปาก เล่นเอางานวันเกิดผมแกร่วไปเลย ผมลุกขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ แล้วก็เปิดเสียงเพลงสร้างบรรยากาศ

“มีคาราโอเกะในคอมกูอ่ะ อยากร้องกันเปล่า”ผมถามพวกลิงในห้อง ดูเหมือนจะมีเด็กโข่งสองคนที่แย่งกันจะร้องให้ได้ ผมก็ปล่อยให้พวกมันแหกปากร้องแรกแหกกระเชิงไป โชคดีที่หอผมเป็นห้องแบบเก็บเสียงไม่งั้นมีรายการเปิดประตูต้อนรับคนมาด่าแล้วครับ

ผมนั่งหัวเราะลิงสองตัวที่กำลังร้องเพลงนกเขาคู่รัก ดูแล้วสะอิดสะเอียนยังไงไม่รู้ครับ ส่วนนิ่งก็ไปนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงผม แต่คนที่น่าเป็นห่วงก็คือวิน เพราะผมเห็นมันซัดเบียร์ผมไปจะสี่ขวดอยู่แล้ว คนเดียวเพรียวๆนี่ก็มีเซนะครับ

“เฮ้ย วิน เพลาๆหน่อย มึงจะขับรถกลับหอยังไงวะ”ผมเบรกมันแต่มันก็ไม่ฟัง ยังคงเทน้ำข้าวลงแก้วเรื่อยๆ ผมไม่ได้หวงของนะครับ แต่ผมกลัวน้ำนิ่งจะลำบาก เพราะต้องหอบหิ้วมันกลับหอด้วย

“นิ่ง จัดการผัวมึงดิ ปล่อยให้มันแดกคนเดียวได้ไงวะ”ไอ้เต้ที่เบียร์เข้าปากก็เริ่มพูดอย่างปากไม่มหูรูด ไอ้ห่านี่ มึงได้อยู่ในบรรยากาศที่สองคนนั้นสนทนากันเมื่อตอนเย็นรึเปล่าวะ ยังเสือกจะพูดอย่างนั้นอีก

“วินไม่ใช่ผัวเรา วินเป็นแค่เพื่อน”นิ่งสวนกลับคำพูดไอ้เต้ทันที ทำไมผมรู้สึกถึงพลังบางอย่าง ผมแอบลอบสังเกตหน้าวินที่ตอนนี้กระตุกแบบแปลกๆ มันคลี่ยิ้มเล็กน้อยราวกับเจอเรื่องน่าขบขัน หรือว่ามันกำลังยิ้มเยาะตัวเองกันแน่ มือมันยังคงยกเครื่องดื่มดื่มต่ออย่างไม่อนาทรร้อนใจ พวกมึงอย่ามาทะเลาะกันในงานวันเกิดกูได้ไหมเนี่ย

“วิน พอก่อนเหอะ ถ้ามึงเครียดอะไรมึงกลับไปนอนหอก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเล่าให้กูฟัง มีงมาแดกอย่างนี้มันก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอกนะ”ผมลุกไปคว้าแก้วออกจากมือมัน ก่อนจะกระตุกแขนให้มันลุกขึ้น แต่มันกลับสะบัดผมออกอย่างแรง เอาความจริงก็คือตอนนี้ผมก็เริ่มของขึ้นแล้วด้วย

“มึงไม่ต้องมายุ่ง”มันทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม ก่อนจะคว้าขวดเบียร์ขึ้นมาดื่มจากปากขวดเลย

“พี่โอม”ปั้นรีบเดินมากอดแขนผมไว้ ดูท่าน้องก็คงจะรู้ว่าผมเริ่มโกรธ ผมพยายามหายใจลึกๆอย่างคนไม่อยากมีเรื่อง ท่องอยู่ในใจว่าไอ้วินมันเป็นเพื่อน และมันก็กำลังเมา ผมท่องซ้ำกลับไปกลับมาเป็นร้อยรอบ ไอ้เต้เดินไปปิดเสียงคอมพิวเตอร์ลง ตอนนี้ในห้องในมีใครพูดอะไรออกมาสักคน นิ่งก็เลิกสนใจโทรศัพท์ตั้งแต่ไอ้วินสะบัดตัวผมออกแล้ว

“วิน กลับหอได้แล้ว”นิ่งลุกขึ้นเดินมาพูดตรงหน้าวิน แต่ไอ้วินกลับทำหูทวนลมใส่อย่างคนกวนตีน มันเมินหนีนิ่งหันหน้าไปทางระเบียง

“วิน”นิ่งคว้าแขนมันขึ้นมันแต่มันก็สะบัดออกอีก แต่ก็ไม่แรงเท่าที่ผมโดนสะบัดออกมา

“วันนั้น... เราขอให้อยู่ แต่เดินหันหลังให้เราทำไม วันนั้น... เราเสียใจแค่ไหน รู้ไหม”ผมไม่เคยเห็นวินร้องไห้มาก่อนเลยในชีวิต แต่วินพูดประโยคนี้มา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ นิ่งไม่ตอบอะไรแต่พยายามคว้าแขนวินให้ลุกขึ้น แต่วินกลับฝืนตัวเองไว้

“เราเสียใจแค่ไหน นิ่งรู้ไหม!!!”

“เฮ้ย วิน”ไอ้เต้รีบเข้าไปห้าม ผมเองก็ช็อคเหมือนกัน ผมรู้ว่าวินไม่เคยพูดไม่เพราะกับนิ่ง ไม่เคยตะโกนใส่นิ่ง แต่นี่ยิ่งกว่าตะโกนเสียอีก เพราะวินตะคอกใส่นิ่งเสียงดังจนปั้นยังสะดุ้ง

“แล้ววินรู้ไหม ว่าเราโกรธแค่ไหน!”นิ่งกระแทกเสียงกลับใส่อีกฝ่าย สรุปว่ามันสองคนกำลังทะเลาะกันจริงๆสินะ พวกผมดูเป็นคนนอกไปเลย เต้ถอยห่างออกมาปล่อยให้มันสองคนเคลียร์กันเอง ผมกุมมือปั้นไว้ กลัวน้องจะกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า คนเมาหาเรื่อง น่ากลัวที่สุด

“เราขอโทษ แต่เราแค่คิดว่า เราไม่อยากพูดคำว่าขอโทษ มันไม่ใช่ความรู้สึกนั้น เรากำลังหาคำพูดมากมายมาอธิบาย เราไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่นิ่งเป็นคนนั้น คนที่เรารักมากกว่ารักตัวเอง คนที่เราห่วงมากกว่าห่วงตัวเอง คนที่สำคัญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คนที่มีค่าอย่างหาอะไรมาเทียบไม่ได้ คนที่เราสูญเสียไม่ได้ คนที่เราไม่อยากเห็นเขาหันหลังให้ คนที่เราไม่อยากให้เขาเดินจากไป นิ่งเป็นคนนั้น คนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักของเรา นิ่งเข้าใจไหมว่าวันนั้นเราเสียใจแค่ไหน เราขอร้องให้นิ่งอยู่ตรงนั้นกับเรา แต่นิ่งกลับหันหลังแล้วเดินจากไป เราเจ็บมาก...”คำพูดสุดท้ายของวินบาดเข้าไปในความรู้สึกของทุกคน วินปล่อยเสียงร้องไห้มาแบบไม่อายใคร ส่วนนิ่งก็น้ำตาไหลให้กับคำพูดเหล่านั้น ผมไม่รู้หรอกว่าวินมีความรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่ แต่ผมกลับมองเห็นความรักอยู่ในทุกคำพูดเหล่านั้น ความรักที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ผู้ชายคนนึงจะมอบให้คนที่รัก เมื่อเทียบกับความรักของผมกับปั้นนั้น อุปสรรคของเราทั้งคู่ดูจะเล็กน้อยไปเลย เมื่อเทียบกับปัญหาของวินกับนิ่ง

“ขอโทษ...”นิ่งย่อตัวลงไปกอดวินไว้ ท่าทางของวินน่าสงสารมากเลย ผมไม่คิดว่าเวลาคนตัวโตๆเสียใจมันจะเป็นอย่างนี้ นิ่งลูบหลังวินเบาๆ ผมกับเต้ได้แต่มองสบตากันแบบคนไม่รู้จะพูดอะไร

“กลับหอกันเถอะ”นิ่งดันตัวออก ก่อนจะจับหน้าของวินไว้แล้วสบตาอีกฝ่าย วินพยักหน้ารับเบาๆ น้ำตายังไหลมาเป็นระยะ

“โอม เรากลับก่อนนะ ขอโทษด้วย งานล่มหมดเลย”นิ่งหันมาพูดกับผม ปล่อยให้วินไปหยิบกระเป๋าตัวเอง

“ไม่เป็นไร ไปคุยกันดีๆนะเว่ย”ผมตบไหล่นิ่ง ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะตรงไปกอดวินไว้

“มึงก็หัดใจเย็นซะบ้าง คุยกับนิ่งดีๆล่ะ อย่าใช้อารมณ์ กูรักพวกมึงนะเว่ย รีบกลับมาเป็นแบบเดิมล่ะ”ผมตบหลังมันแรงๆ เอาคืนที่มันสะบัดตัวผมออกมา วินส่งสายตาขอโทษให้ผม ผมยิ้มรับไม่นึกถือโทษ หวังว่ามันจะครองคู่ชู้ชื่นกลับมาอวดผม

หลังจากที่วินกับนิ่งออกไปสักพัก ผมกับเต้แล้วก็ปั้นช่วยกันเก็บของให้เรียบร้อย คล้อยหลังไปประมาณครึ่งชั่วโมงเต้ก็ขอตัวกลับหอตัวเอง เหลือเพียงแค่ผมกับปั้น คืนนี้ปั้นจะค้างทีหอผมด้วย

“พี่โอม พี่วินกับพี่นิ่งนี่ยังไงกันหรอ”ปั้นถามผมเมื่อเหลือแค่เราอยู่สองคน ผมมองตาเด็กที่อยากรู้เรื่องผู้ใหญ่อย่างเอ็นดู

“เอาความจริงป่ะ”ปั้นพยักหน้าระรัวตอบคำถามผม

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่าๆๆ”

“พี่โอม”ปั้นว่าเสียงเขียวแถมยกมือทุบไหล่ผมเต็มแรง แอบเจ็บนะเนี่ย

“เรื่องของเขาน่า เราก็ไปอาบน้ำได้แล้ว พี่บอกว่าไม่ให้กินเบียร์ ดูดิ ไม่เคยเชื่อฟังพี่เลย”ผมรุนหลังน้องให้ไปทางห้องน้ำ พลางทำหน้าเหม็นใส่

“ก็เพื่อนพี่โอมนั่นแหละตัวดี มาคะยั้นคะยอให้กิน ปั้นก็ใจอ่อนเป็นนะ”

“อยากใจอ่อนมาใจอ่อนเรื่องอื่นกับพี่ดีกว่านะครับ”ผมส่งยิ้มประจบไปให้น้อง ปั้นรีบปิดประตูห้องน้ำเต็มแรง

“ไอ้พี่โอม ทะลึ่ง”เสียงปั้นดังลอดมาจากห้องน้ำ ดูท่าจะใช้เวลาในห้องน้ำนานกว่าปกติแน่ๆเลย สงสัยจังว่าคืนนี้จะได้นอนกันสักกี่โมง เอ๊ะ! หรือไม่ต้องนอนกันเลย ฮิฮิ

++++

แค่หวังว่าจะมีคนมาอ่าน และก็มีคนมาตอบ เพราะบางทีก็ไม่รู้แต่งไปมีคนมาอ่านรึเปล่า

ใครคอมเม้นต์ขอให้โชคดีตลอดปี ฮ่าๆๆ

หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่11 Pg.2 12/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 12-01-2014 19:10:24
WinNing --> Win’s Talk


ผมเดินตามนิ่งขึ้นห้องไป ระหว่างทางที่กลับหอมา นิ่งไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรสักคำ ผมก็ยังกรึ่มๆครองสติตัวเองได้ไม่เต็มร้อย เลยคิดว่าไม่พูดน่าจะดีกว่า ผมเห็นนิ่งหยุดไขกุญแจตรงหน้าห้องตัวเอง ผมเองก็ไม่รู่วาเราจะต้องคุยอะไรกันอีกรึเปล่า ผมตั้งท่าจะเดินเลยไปยังห้อง แต่มีเสียงเรียกของนิ่งไว้ก่อน

“วิน เดี๋ยวเราไปหาที่ห้อง”นิ่งก้มหน้าก้มตาพูดกับลูกบิดประตู ก่อนจะเปิดประตูห้องตัวเองแล้วหาบเข้าไปข้างใน เมื่อกี้นี้นิ่งบอกว่าจะมาหาผมที่ห้องหรอ ผมได้หูฝาดใช่ไหม

แล้วนิ่งจะมาหาผมที่ห้องทำไมกัน มาเพื่อคุยต่อจากเรื่องเมื่อกี้อย่างนั้นหรอ แล้วผมควรจะพูดอะไรดี ไอ้ที่อยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว จะให้พูดซ้ำมันก็อายไม่ใช่น้อย

ในหัวผมมีแต่ความคิดพวกนี้ วนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามจะเตรียมคำพูดดีๆไว้ให้อีกฝ่าย โดยไม่ลืมบอกตัวเองว่าห้ามใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด ผมไม่อยากให้นิ่งเมินผมเหมือนคราวที่แล้วอีก

ก็อกๆ

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบาๆ ราวกับคนเคาะยังเกรงๆกับการเคาะประตู นี่ถ้าห้องผมไม่ได้เงียบกริบขนาดเข็มหล่นแล้วได้ยินเสียงล่ะก็ รับรองเลยว่าผมไม่ได้เดินไปเปิดประตูแน่

“เข้ามาสิ”ผมเชื้อเชิญคนตรงหน้าให้เข้าห้องมา แต่ดูเหมือนนิ่งจะลังเลกับการก้าวเท้าเข้าห้องผมซึ่งมันไม่เหมือนเมื่อก่อน เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้หรอก นอกจากตัวผมเอง ผมเป็นสร้างความหวาดระแวงให้นิ่งเอง

“หรือถ้าไม่สะดวกใจ จะคุยกันตรงนี้ก็ได้นะ”ผมเสนอทางเลือกให้อีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร เข้าไปคุยในห้องเถอะ”ผมหลีกทางให้นิ่งก้าวเข้าห้องไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องกลายเป็นแบบนี้

นิ่งเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ส่วนผมก็นั่งลงบนเตียง เราต่างฝ่ายต่างง่วนอยู่กับนิ้วมือ แล้วก็ของรอบตัวตัวเอง ทำราวกับชีวิตนี้เพิ่งเห็นมันเป็นครั้งแรก มีเพียงเสียงเสียงใบพัดของพัดลมที่ทำลายความเงียบในห้องนี้ สลับกับเสียงลมหายใจของเราสองคน

“เอ่อ/นิ่ง”

“นิ่งพูดก่อนเถอะ”ผมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน

“เรื่องคืนนั้น เราจะคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุล่ะกัน แล้วที่เราต่อยไปก็ขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไร เราก็สมควรโดนแล้ว”ผมไม่คิดว่าการที่ผมจะจูบนิ่งจะเป็นอุบัติเหตุเลยสักนิด แต่เรื่องที่ผมโดนอีกฝ่ายต่อยนั่นก็สมควรโดนแล้ว อันที่จริงควรจะโดนมากกว่านี้ซะอีก

“เราว่าเราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ”นิ่งโพล่งขึ้นมาหลังจากที่เราเงียบไปอีกสักพัก แต่ผมกลับไม่ชอบประโยคนี้เลย

“ทำไมหรอนิ่ง”ผมอยากจะรู้เหตุผลที่ทำให้นิ่งคิดว่าเราควรจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ทั้งๆที่นิ่งก็รู้แล้วว่าตอนนี้ผมคิดยังไง หลายวันนี้ที่ผมทำตัวเละเทะเหลวไหล แต่กลับห้องมาผมก็ทบทวนทุกอย่างเก็บรายละเอียดในทุกความรู้สึก ทุกความสัมพันธ์ของเราจนผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับนิ่ง มันไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนเขามีให้กันหรอกนะ

“เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับวินเลยแม้แต่นิดเดียว เราคิดกับวินแค่เพื่อน”ไม่รู้ทำไมประโยคสั้นแค่นี้ทำให้ผมหมดแรงไปโขเลย

“อ้อ... อืม”ผมตอบรับแบบคนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คำพูดนิ่งพอที่จะทำให้ผมรู้ตัวว่าควรจะทำยังไงต่อ

“เราอยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมน่ะวิน ได้ไหม”นิ่งถามผมต่อ กลับมาเป็นเหมือนเดิมงั้นหรอ พูดง่ายแต่ทำยากนะ กว่าผมจะเคลียร์ความรู้สึกของผมหมด กว่าผมจะบริสุทธิ์ใจกับนิ่งเหมือนเดิม มันก็ยากพอควร

“ขอโทษนะนิ่ง เราคงทำไม่ได้หรอก”ผมตอบออกไปตามที่ผมคิด ไม่ใช่ไม่อยากเป็นเพื่อนกับนิ่งต่อ แต่ผมคิดว่าถ้าผมเป็นแบบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ มันก็คงเป็นแค่เพื่อนที่ไม่สมควรมีอยู่ดี

“ทำไมล่ะวิน”นิ่งถามหาเหตุผลจากผม แต่ผมเลือกที่จะเงียบต่อไป

“เราว่านิ่งกลับห้องเถอะ เราไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”ผมลุกขึ้นยืนเป็นการบีบบังคับอีกฝ่ายให้ออกจากห้องผมได้แล้ว ตอนนี้ผมอยากใช้เวลาอยู่คนเดียว

“เรายังไม่กลับ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”นิ่งไม่ยอมลุกขึ้น

“นิ่งไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก แค่นิ่งบอกว่านิ่งไม่ได้คิดกับเราในแง่นั้น เราก็เข้าใจแล้ว แล้วที่เราบอกว่าเรากลับไปเป็นเพื่อนนิ่งเหมือนเดิมไม่ได้ นิ่งก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนะ”ผมตอกย้ำทุกหัวข้อการสนทนาให้อีกฝ่ายฟัง ผมไม่สนหรอกว่านิ่งจะเข้าใจเหตุผลของผมรึเปล่า ผมสนแค่ว่าให้นิ่งรู้ว่าผมคงเป็นเพื่อนนิ่งต่อไปไม่ไหวก็พอ

“ไม่เข้าใจ!! วินไม่บอกเหตุผลเรามา เราจะเข้าใจได้ยังไง”

“โว้ย!!”ผมร้องออกมาเสียงดังอย่างคนเวลาหงุดหงิดจนนิ่งสะดุ้งเล็กน้อย แต่ให้ทำไงได้ ผมมันก็คนนิสัยหยาบอยู่แล้วด้วย

.

.

“วิน เราขอร้องเหอะ เราอยากฟังเหตุผลจากวิน”

“ที่เราบอกว่าเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ก็เพราะเรารักนิ่งไง เรากลับไปเป็นเพื่อนแบบเดิมกับนิ่งไม่ได้หรอก เพราะเราเลิกรักนิ่งไม่ได้ เราหยุดใช้สายตามองนิ่งไม่ได้ เราหยุดการกระทำไม่ได้ นิ่งเข้าใจไหม ทางเดียวที่เราจะทำได้คืออยู่ให้ห่างจากนิ่ง ไปให้พ้นจากสายตานิ่ง เพื่อที่เราจะได้เลิกรักนิ่งได้ไง... นิ่งเข้าใจไหม”ท้ายเสียงผมแผ่วลงอย่างน่าประหลาด ผมไม่อยากจะเลิกรักนิ่ง แต่ถ้านิ่งไม่ต้องการความรักของผม ผมก็ควรโยนความรักของผมทิ้งไป

“เราขอโทษ...”

“ไม่ใช่ความผิดของนิ่ง แต่เป็นความผิดของเราเอง ต่อไปนี้ เลิกยุ่งกับเราเถอะ ไว้เรารู้สึกเหมือนเดิมเมื่อไหร่ เราจะกลับไปคุยกับนิ่งเหมือนเดิม”ผมพูดแบบรวบรัดและตัดรอนความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน นิ่งทำท่าเหมือนยังอยากจะพูดคุยกับผมต่อ แต่ผมก็เปิดประตูรอให้นิ่งเดินออกไป จะหาว่าผมมารยาทแย่ก็ได้ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำตาระลอกเดิมเตรียมเอ่อมาจนล้นขอบตา  ผมรู้แค่ว่าตอนผมปิดประตูน้ำตาหยดแรกของผมก็ไหลลงมาเลย ผมเดือนกลับไปที่เตียงพร้อมๆกับม่านน้าตาที่ไหลจนบดบังทัศนียภาพของผมจนหมดสิ้น

ตอนี้ผมนึกถึงเพลงๆหนึ่งที่เคยฟังเมื่อหลายปีก่อน เพลงนี้บอกทุกสิ่งที่ผมเป็นได้เลยทีเดียว

เวลาเธอกอดคอ เล่นหยอกล้อกันอยู่ทุกวัน
หัวใจมันสั่น ฝันละเมอคิดไปไกล
เธอไม่เคยจะรู้ เพื่อนที่ดูแลเธอทุกวันข้างกาย
เค้ามีบางสิ่ง คิดไม่ซื่อกว่าเพื่อนกัน

ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว

มีเพียงความผูกพัน แค่เท่านั้นไม่เคยได้ใจ
หวังไปเท่าไหร่ ก็เลือนลางทุกนาที
ทำให้ความห่วงใย ไม่เคยทำให้เธอรักกันซักที
ไม่มีทางเปลี่ยน ให้เราเปลี่ยนจากเพื่อนกัน

ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว

ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว

ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธอ
สุดท้ายต้องก็ยังทุกข์ใจเสมอ เพราะรักเธอข้างเดียว
[/i]

ต่อให้ความผูกพันของเรา ความสนิทของเรามีมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่พอจะเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ของเราได้อยุ่ดี
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่11 Pg.2 12/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 12-01-2014 21:32:59
แหงะ เศร้าาา  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่11 Pg.2 12/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 12-01-2014 22:14:07
อ่ะ...นิ่งไม่ชอบวินแม้แต่นิดเดียวเลยเหรอ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่12 Pg.2 13/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 13-01-2014 19:52:23
“พี่โอม หลับยัง”เสียงปั้นเรียกดังมาจากห้องน้ำ ผมแกล้งเงียบเหมือนคนที่หลับไปแล้ว แต่จริงๆผมดูนาฬิกาตลอดว่าปั้นจะออกมาจากห้องน้ำเมื่อไหร่ นี่ก็ปาไปเกือบจะชั่วโมงอยู่แล้ว

.

.

ผมแอบหรี่ตาขึ้นมาดู เห็นปั้นเดินกระย่องกระแย่งออกมาจากห้องน้ำ มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันไว้ที่เอว หยาดน้ำไหลจากผมที่ลู่ลงเป็นสาย จนเนื้อตัวขาวใสอีกฝ่ายพราวไปด้วยหยดน้ำ จนผมรู้สึกว่าผมไม่น่าแอบหรี่ตามามอง ผมรีบหลุบตาลงตามเดิมเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมาทางผม

ผมได้ยินเสียงสวบสาบซึ่งคาดได้ว่าปั้นน่าจะแต่งตัวอยู่ ก่อนที่เสียงจะหายไปแล้วแทนที่ด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวมาทางผม

“พี่โอม หลับยัง”ผมเงียบไม่ตอบอีกฝ่าย จนปั้นค่อยๆสอดตัวเข้ามาในผ้าห่ม แล้วเอนตัวลงนอนข้างๆตัวผม ผมถือโอกาสปิดไฟตรงหัวเตียงให้ห้องมืดก่อนจะฉวยโอกาสที่ปั้นไม่ได้ตั้งตัวคว้าเอวบางของอีกฝ่ายเข้ามากอด

“เฮ้ย! พี่โอม”ปั้นร้องออกมาพร้อมกับพยายามบิดตัวออกจากอ้อมแขนของผม

“อยู่เฉยๆน่า ให้พี่กอดหน่อย”ผมบอกกับปั้น แล้วกอดน้องให้หน้าน้องมาชิดอกมากขึ้น

“พี่โอม ชอบฉวยโอกาส”ปั้นบ่นอู้อี้กับหน้าอกผม แต่ผมไม่สนใจกลับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
ผมปล่อยให้ความเงียบกลืนกินรอบห้อง รอบตัวเรา ผมพยายามกดความต้องการของตนเองให้ลึกที่สุด ยิ่งมีร่างบางตัวเย็นมาอยู่ในอ้อมกอดแล้วยิ่งกลับเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี

“พี่โอม ปั้นหายใจไม่ออกอ่ะ”ปั้นขยับตัวขยุกขยิกหลังจากที่ยอมอยู่นิ่งๆมานาน ผมค่อยคลายอ้อมกอดออกมาอีกนิด แต่ก็ไม่ปล่อยอีกฝ่าย

“พี่โอม ปั้นถามอะไรอย่างนึงสิ”ปั้นเงยหน้ามาถามผมด้วยแววตาอยากรู้

“อืม ว่ามาสิ”

“พี่โอม ห้ามโกรธนะ คือปั้นอยากรู้อ่ะ... พี่โอมเคยมีอะไรกับใครรึเปล่า”ทำไมมันถึงกล้าถามเรื่องนี้วะ เล่นเอาผมหน้าร้อนไปหมดเลย

“อยากรู้ไปทำไม”

“ก็แค่อยากรู้เฉย พี่โอม บอกปั้นหน่อยสิ”ปั้นยังคงรบเร้าเอาคำตอบจากผม

“แล้วปั้นล่ะ”ผมย้อนถามกลับ

“อื้อ ไม่เอาสิพี่โอม ปั้นถามก่อนนะ ต้องตอบปั้นก่อน”

“ถ้าพี่ตอบว่าเคยล่ะ”ผมถามกลับอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทำให้ปั้นชะงัก แล้วก็เงยหน้ามองผมอีกครั้ง

“หรอ... ก็เสียใจนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจ”เสียงปั้นตอบแผ่วจนผมใจหาย

“ถ้าพี่รู้ว่าวันนี้พี่จะมีปั้น พี่จะเก็บตัวเก็บใจไว้ให้ปั้นคนเดียว ไม่ให้คนอื่นเลย”ผมจูบหน้าผากน้องเบาๆ ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ ถ้าผมรู้ว่าวันนี้ผมจะมีปั้นอยู่ข้างกาย ผมก็จะไม่รักใครแล้วก็รอปั้นเพียงคนเดียว

“พี่โอม”เสียงเด็กเรียกร้องความสนใจดังขึ้นอีกครา

“หือ”ปั้นเงยหน้ามาจูบผมแบบเด็กน้อยที่เอาปากชนกัน จนผมเริ่มทนต่อการยั่วยวนนั้นไม่ไหว ค่อยๆบดเบียดริมฝีปากตนเองเข้า
กับริมฝีปากของอีกฝ่าย ปลายลิ้นค่อยๆสอดเข้าไปลิ้มรสความหวานอ่อนนุ่มจากน้อง ปั้นตอบสนองตามเด็กที่ไม่ประสีประสาในเรื่องนี้เท่าใดนัก แต่นั่นก็ทำเอาผมแทบคลั่ง ผมพยายามหักห้ามใจตัวเองให้ทำเพียงแค่สอนอีกฝ่าย ไม่ใช่เร่งเร้าในเรื่องอย่างว่า จนอีกฝ่ายเริ่มกำเสื้อผมแน่นเหมือนจะหายใจไม่ออก ผมจึงค่อยๆถอนริมฝีปากออกมา

“ไม่เป็นแล้วยังอยากจะเริ่มอีก”ผมดุอีกฝ่ายทั้งๆที่ในใจแอบปลื้ม ปั้นยังคงหายใจอบกระชั้น ร่างกายของผมแนบชิดอีกฝ่ายมากขึ้นจนรู้สึกถึงก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ในอกของกันและกัน

“พี่โอม ปั้นไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอกนะ แต่ปั้นก็อยากให้พี่โอมเป็นคนสอน”เอาแล้วไงครับ งานเข้าผมแล้ว ผมเอามือสองข้างกุมหน้าอีกฝ่ายไว้ รับรู้ถึงความร้อนบนใบหน้าของน้องที่แผ่ออกมาจนฝ่ามือผมรู้สึกได้ ผมพยายามมองสายตาที่เป็นประกายอยู่ในความมืดอย่างค้นหาความรู้สึกของอีกฝ่าย

“คิดยังไงล่ะ ถึงพูดอย่างนี้”ผมถามปั้น สองมือก็กระชับใบหน้าอีกฝ่ายไม่ยอมให้ก้มหน้าหนี

“ก็... ก็ปั้นอยากให้พี่โอมเป็นของปั้นคนเดียว”ปั้นหลับหูหลับตาพูดออกมา ผมแอบอมยิ้มกับคำตอบนั้น มันทำให้ผมชื่นใจจริงๆ

“ปั้นไม่ต้องทำแบบนี้ พี่ก็เป็นของปั้นคนเดียวอยู่แล้ว”

“อื้อ รู้แล้ว มันก็แค่หลักประกัน ไม่ให้พี่โอมทิ้งปั้นไปไหนไง”เด็กน้อยรีบแก้ต่างให้ตัวเอง

“แค่นี้พี่ก็หลงปั้นจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว”ผมแกล้งหยอดอีกฝ่าย อยากจะเปิดไฟดูจริงๆว่าหน้าอีกฝ่ายแดงไปขนาดไหนแล้ว

“จริงหรอ”

“จริง”ผมยืนยันคำตอบเดิมของผม ผมเห็นรอยยิ้มกว้างจากอีกฝ่ายจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่อยู่แล้ว

“แต่ถ้าปั้นยอมคืนนี้นะ รับรองว่าพี่ไปไหนไม่รอดแน่”ผมก้มลงไปกระซิบข้างหูคนข้างๆ ก่อนที่จะโดนคนข้างๆงับหูซะเต็มแรง

“โอ๊ย!! ปั้น กัดพี่ทำไมเนี่ย”ผมได้แต่ลูบหูตัวเองป้อยๆ ทำไมแฟนเรามันโหดอย่างนี้วะ

“ก็พี่โอมอยากทะลึ่งก่อนทำไมล่ะ”

“ใครกันแน่ที่เริ่มก่อน หลอกให้เราอยากแล้วจากเราไป เชอะ”ผททำตัวสะบัดสะบิ้งแบบที่คิดว่าน่ารัก แล้วก็แกล้งพลิกตัวมานอนหันหลังให้ปั้น ไม่รู้ว่ามันจะมาง้อรึเปล่า หรือน้องมันจะปล่อยให้ผมนอนแบบทรมานด้วยความอยากต่อไป

“พี่โอม... หันหน้ามาหาปั้นหน่อยสิครับ น้า คนดี”ไอ้ตัวเล็กเอื้อมมือมากอดผมจากทางด้านหลัง ว่ะฮ่าๆๆ ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ผมก็ยังไม่ยอมหันกลับไป ยอมน้องมันง่ายๆเดี๋ยวอีกหน่อยมันจะเคยตัวครับ

“ถ้ายอมหันมา ปั้นจะยอมให้พี่โอม แต่ถ้าพี่โอมไม่ยอมหันมาแปลว่าพี่โอมจะยอมให้ปั้นนะ นับหนึ่งถึงสามนะ หนึ่ง...”แทบไม่ต้องรอให้ถึงสองเลยด้วยซ้ำครับ ผมรีบหลังกลับมาหาปั้น แล้วประกบจูบอีกฝ่ายทันที

“เรื่องอะไรจะยอมน้อง เป็นน้องต้องยอมพี่สิ”ผมพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเริ่มบทรักของเราอย่างจริงจังเสียที
ปั้นขัดขืนตัวเล็กน้อยแบบคนไม่ได้ตั้งหลัก ผมจึงปล่อยริมฝีปากของน้องให้เป็นอิสระ ก่อนจะไปให้ความสนใจกับต้นคอขาวเนียนสะอาด ผมสูดดมกลิ่นสบู่อ่อนๆ กลิ่นเดียวกับผม มันรู้สึกดีแบบไม่ถูกเวลาได้กลิ่นเขาใช้สบู่เดียวกันกับผม มันให้ความรู้สึกว่าเราเป็นอะไรที่มากกว่าเป็นแฟนกัน ผมขบเม้มริมฝีปากสร้างรอยสีกุกลาบไว้ที่ต้นคออีกฝ่าย

“อื้อ เจ็บ”ปั้นร้องบอกผม ผมค่อยๆละเลียดอีกฝ่ายให้นานขึ้น คนที่เรารัก เราก็อยากจะถนอมเขาไว้เป็นธรรมดา เมื่อสร้างรอยจนพอใจแล้วก็เคลื่อนย้ายริมฝีปากตัวเองให้มาตรงกับอีกฝ่าย บดเบียดคลุกเคล้าริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างเร้าร้อน ชักชวนให้อีกฝ่ายขยับลิ้นตามการนำของผม ยิ่งน้องตอบสนองกับผมมากเท่าไหร่ ร่างกายผมก็ร้อนลุกเป็นไฟมากเท่านั้น
ผมเคลื่อนมือไปสอดหาผิวเนียนนุ่มภายใต้เสื้อยืดบางๆของน้อง ผิวเนื้อเนียนนุ่มลื่นมือให้สัมผัสดีกับมือผมอย่างไม่น่าเชื่อ ผมค่อยร่นเสื้ออีกฝ่ายขึ้น พยายามจะถอดออกแต่น้องกลับฝืนไว้

“ทำไมล่ะ”ผมถามน้อง แม้จะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์

“มันเขิน”คำพูดสั้นของอีกฝ่ายเล่นเอาผมแทบหัวเราะ อารมณ์แบบนี้ปั้นยังจะมาเล่นลิ้นอีก

“เชื่อใจพี่ไหม ปั้นไม่ต้องอายอะไรเลย”ผมมองหน้าน้อง พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย จนปั้นยอมเลิกเกร็งตัวยอมให้ผมถอดเสื้อยืดตัวบางออกไป ก่อนที่ผมจะขยับมาถอดเสื้อตัวเองตามไป

“ปั้น ปั้นตัวขาวจัง”ผมกระซิบบอกอีกฝ่าย ริมฝีปากคู่เดิมเริ่มลัดเลาะมายังผิวเนื้อเนียนช่วงอก นิ้วมือขยับมาเกลี่ยยอดอกอีกฝ่ายจนปั้นต้องบิดตัวด้วยความเสียว

“อื้อ พี่โอม”เสียงอีกฝ่ายพร่าเลือนในความรู้สึกผม เมื่อในหัวผมกลับจดจ่อเพียงแต่เรือนร่างขาวบางตรงหน้าเท่านั้น ริมฝีปากผมหยุดตรงยอดอกก่อนจะลิ้มชิมรสมันอย่างหลงใหล ยอดอกเล็กๆกลับแข็งเป็นไตสู้กับลิ้นผม ผมขยับลิ้นเล่นกับยอดอีกฝ่ายจนคาดว่าน่าจะแดงเป็นปื้น มืออีกข้างของผมก็ยังคงขยับถูไถกับยอดอกของน้อง จนปั้นตัวแทบลอยจากเตียง หน้าตาแดงก่ำทะลุความมืด ผมเลื่อนริมฝีปากไปยังอีกข้างแล้วก็ทำกับยอดอกดังเช่นที่ทำกับข้างเดิม มีการฝากร่องรอยไว้ตามประสาผู้ชายขี้หวง สองมือขยับเลื่อนไปยังสะโพกของน้อง ผมเลื่อนมือกุมหนั่นเนื้อของน้อง ขยำลูบไล้เล่นอย่างสนุกมือ

“พี่โอม...”เสียงน้องเรียกชื่อผมด้วยเสียงแหบพร่า พอได้ยินเสียงแบนี้แล้วอยากจะทำให้ร้องดังกว่าเดิม

“ว่าไงครับ”ผมสอดมือมาลูบไล้ตรงหน้าขาของอีกฝ่าย กางเกงบ็อกเซอร์ที่อีกฝ่ายใส่นอนเลื่อนถลกขึ้นสูงจนผมแอบหวาดเสียว

“คิกๆ ฮ่าๆๆ พี่โอม เอามือออกก่อน”อารมณ์นี้มันยังเสือกหัวเราะ นี่ผมจะประสาทเสียกับแฟนผมแล้วนะ

“อะไรปั้น”ผมทำเสียงดุอีกฝ่ายที่ขัดอารมณ์

“ก็ปั้นบ้าจี้ตรงต้นขาอ่ะ”น้องมันเถียงครับ

“เนี่ย เดี๋ยวปั้นทำพี่โอมบ้าง พี่โอมจะได้รู้ไงว่ามันจั๊กจี้แค่ไหน”น้องไม่ว่าเปล่า ยังสอดมือเย็นๆมาลูบไล้ตรงต้นขาผมอีก อันที่จริงผมก็บ้าจี้นะ แต่ฝืนเกร็งทำหน้าเฉยเอาไว้ เพื่อผมจะได้มีข้ออ้างจับต้นขาน้องมันได้ ผมนี่ชั่วจริงๆ

“ไม่เห็นจะจั๊กจี้ตรงไหนเลย ปั้นมั่วแล้ว”คนที่มั่วมันคือผมต่างหาก ผมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหาข้ออ้างมาเถียงผมอีก ผมค่อยกระตุกขอบกางเกงอีกฝ่ายเป็นการบอกให้รู้ว่าผมจะถอดออกแล้ว

“พี่โอม ปั้นเขินอ่ะ ไม่พร้อมด้วย”น้องเริ่มอิดออด แต่อารมณ์หื่นของผมถ้าถูกปลุกแล้วมันก็ดับยากอยู่นะครับ

“ไม่ต้องกลัวหรอกปั้น พี่จะทำเบาๆ”ผมให้สัญญา ถึงน้องมันจะไม่กลัวเจ็บผมก็ไม่อยากจะทำแรงอยู่ดี อยากจะถนอมมันไว้กับตัวเองนานนะครับ

“พี่โอม จริงๆนะ ปั้นยังไม่พร้อมเลย วันนี้ทำแค่ข้างนอกนะครับ นะคร้าบบ”เห็นมันอ้อนแล้วก็สงสารนะครับ สงสารทั้งน้องมัน สงสารทั้งตัวเอง ทำไมผมต้องแพ้ทางมันเวลาน้องมันอ้อนด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเอง

“ก็ได้ แต่คราวหน้าไม่ยอมแล้วนะ”ผมบอกมันก่อนจะสอดมือไปถอดกางเกงน้องมันออก เหลือเพียงกางเกงชั้นในสีเข้มที่กดรัดอีกฝ่ายจนเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน ส่วนปั้นก็เอื้อมมือมาช่วยผมถอดกางเกงออกแต่โดยดี นี่มันไม่เคยแน่หรอวะ ผมชักจะไม่มั่นใจกับแฟนตัวเองแล้ว ผมลูบไล้ส่วนนั้นของน้องผ่านร่มผ้า พอปั้นเห็นผมทำอย่างนั้นก็มาทำแบบเดียวกับผมทันที

“อื้อ ปั้น”ผมหลุดเสียงครางต่ำในลำคอไม่ได้ มันดันจับจุดอ่อนของผู้ชายไว้ทั้งหมดเลย ผมถกกางเกงชั้นในของน้องลง เปิดเผยแก่นกายของอีกฝ่ายเต็มที่ ผมกระชับมือรอบแก่นกายอีกฝ่าย ก่อนจะขยับขึ้นลงอย่างเนิบนาบ ก่อนจะเร่งจังหวะในตอนสุดท้าย

“พี่โอม อือ ปั้นจะไม่ไหวแล้ว อื๊อ”ปั้นขยับมือให้เร็วขึ้น ตอนนี้ผมเองก็แทบจะทนไม่ไหว ขนลุกทั่วสรรพางค์กาย ความรู้สึกเหมือนเลือดไปเลี้ยงช่วงล่างเยอะกว่าปกติจนหัวหูของผมอื้ออึงไป จนในจังหวะสุดท้ายปั้นหลุดเสียงครางออกมาเต็มที่ก่อนจะปลดปล่อยของเหลวออกมาทั่วมือผม หลังจากนั้นผมก็ตามอีกฝ่ายมาติดๆ กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว แต่ผมกลับอิ่มเอมในความสุขที่ได้รับอย่างถึงที่สุด เสียงหอบหายใจกระชั้นถี่ สลับกับหยาดเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาจนทั่วตัว ผมนิ่งรอจนลมหายใจและจังหวะการเต้นหัวใจของเราสองคนเป็นปกติ แล้วจึงลุกไปทำความสะอาดร่างกายพร้อมปั้น

“ปั้น พี่รักปั้นมากเลย รู้ไหม”ผมแนบตัวเองเข้าไปกอดอีกฝ่าย พร้อมกับจูบหน้าผากแนบแน่นอีกครา

“ได้ขนาดนี้แล้วลองไม่รักดูสิ”ปั้นว่าผมเสียงเขียว แต่สีหน้ากลับตรงกันข้ามสิ้นเชิง ผมยิ้มให้กับคำพูดนั้น ต่อให้ปั้นไม่มอบร่างกายให้กับผม ถึงยังไงผมก็ยังรักปั้นมากที่สุดเหมือนเดิม

“แค่นี้ก็หลงแทบบ้าแล้ว”ผมบอกแค่นั้นก่อนจะเดินนำหน้าออกมาจากห้องน้ำ แล้วเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเพื่อที่จะได้นอนจริงๆสักที

“ฝันดีนะครับ”ผมกระซิบบอกคนตัวเล็กกว่า ส่วนน้องก็มาจุ๊บแก้มผมทีนึงแต่ไม่พูดอะไร แต่แค่นี้ก็ทำให้ผมฝันดีเหลือล้นแล้ว ผมกระชับอ้อมกอดให้อีกฝ่ายมานอนในอ้อมกอดตัวเอง แม้คืนนี้อากาศจะหนาวเย็นสักเท่าไหร่ แต่ผมกลับคิดว่าถ้าผมมีแค่คนนี้ในอ้อมกอด ผมก็คงอุ่นสบายไปตลอดชีวิต

พวกคุณเคยได้ยินคำพูดประโยคนี้ไหม










ความรัก ก็คือ เวลาที่คุณนั่งข้างใครบางคน แม้เพียงนั่งข้างกันเฉยๆ แต่คุณก็รู้สึกมีความสุขอย่างที่สุดแล้ว









ตอนนี้ ผมรู้สึกอย่างนั้น...








[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่12 Pg.2 13/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 13-01-2014 21:35:31
คู่พี่โอมน้องปั้นหวาน มีหื่นด้วย

คู่วินนิ่ง ปวดใจ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่12 Pg.2 13/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 13-01-2014 22:01:08
มดกัดดดด  :impress2:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่12 Pg.2 13/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 14-01-2014 01:02:08
ฟินอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่13 Pg.2 14/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 14-01-2014 17:41:44
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ขับรถไปส่งปั้นที่หอใน ดีที่ปั้นเรียนสิบโมง เลยไม่ต้องตื่นเช้ากว่านี้ เพราะผมเองก็มีเรียนแปดโมง ขับรถเข้ามอมาก็เลยไปสั่งปั้นได้เลย ผมขับรถมาถึงตึกคณะตอนประมาณเจ็ดโมงสี่สิบ ยังพอมีเวลาเหลือให้ผมได้ซื้ออะไรกินสักหน่อย

“เฮ้ย ไอ้โอม”ผมหันหน้าไปตามเสียงเรียก ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้เต้ เพื่อนสนิทผม

“เออ ไอ้วินกับนิ่งมารึยัง”ผมถามมันขณะเปิดตู้เย็นหยิบนมกล่อง กับขนมปังแล้วเดินไปจ่ายเงิน

“นั่นแหละ ที่กูจะบอก มึงมานี่เลย”ผมยังไม่ทันได้เก็บเงินทอนใส่กระเป๋าดีเลย ไอ้เต้ก็คว้าแขนผมเดินดุ่มๆมายังด้านข้างตึกคณะ

“มีอะไรวะ ต้องเดินมาคุยกันไกลขนาดนี้”ผมเจาะกล่องนมขึ้นดูด

“ก็ไอ้วิน กับไอ้นิ่งอ่ะดิ”แค่เริ่มต้นบทสนทนากูเรียกความสนใจผมได้เต็มร้อยเลย

“มันสองคนมีอะไรวะ เมื่อคืนมันสองคนทะเลาะกันอีกรึไง”ผมอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ก็ไอ้วินมันใช่คนใจเย็นซะที่ไหน เวลาเลือดลมจะขึ้นทีพวกผมเองก็เอามันไม่ค่อยอยู่

“ยิ่งกว่าทะเลาะอีกมึง”

“หา”คำพูดเต้ทำผมแทบทรุด ยิ่งกว่าทะเลาะนี่มันไม่กระทืบกันตายเลยหรอวะ

“เดี๋ยวเข้าห้องเรียนไป มึงก็รู้เอง”เอ๊า ไอ้นี่นิ มาบอกให้ผมค้างคาไว้อย่างนี้เพื่อ? มีใครเข้าใจเพื่อนผมสักคนบ้างไหม

.

.

ผมเข้ามาในห้องเพื่อเตรียมเรียนในช่วงเช้านี้ ก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน ทุกทีผมจะนั่งข้างๆเต้ ส่วนวินกับนิ่งก็นั่งคู่กันข้างหลังผม แต่คราวนี้มันไม่เหมือนทุกวัน ผมก็นั่งข้างเต้เป็นปกติ น้ำนิ่งก็นั่งข้างหลังผมเช่นเดิม แต่... ไอ้วิน ทำไมมันกระแดะไปนั่งหน้าห้องว่ะ ทุกทีก็หลับเวลาเรียนอยู่แล้ว แล้วทำไมยังไปนั่งหน้าห้องเลย

“นิ่ง ทำไมมันไปนั่งนั่นวะ”ผมหันกลับไปถามก่อนที่อาจารย์จะเข้าสอน เห็นตามันแดงๆนิดๆ สรุปว่าเรื่องนี้มันใหญ่ขนาดไหนเนี่ย

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมมั่นใจว่ามันต้องรู้แน่ๆ แต่ผมก็พอจะรู้ว่าซักไซ้อีกฝ่ายต่อไปก็ไม่มีทางง้างปากให้มันพูดเรื่องจริงออกมาได้

ผมกับเต้หันมามองตากันอย่างรู้ทัน ในใจคิดแค่ว่าเดี๋ยวเที่ยงนี้ได้มีเคลียร์กันแน่

“ไอ้เต้ มึงว่าไอ้วินคิดยังไงกับนิ่งวะ”ผมแอบกระซิบคุยกับเต้เวลาเรียน แต่ก็พยายามไม่ให้นิ่งผิดสังเกต

“มึงไม่ต้องถามแล้วมั้ง เมื่อคืนนี้ก็โคตรชัด มึงถามว่าไอ้นิ่งคิดยังไงกับไอ้วินดีกว่า”คำพูดไอ้เต้ทำเอาผมคิดหนัก จะว่าไปมันก็ใช่ พวกผมไม่เคยรู้เลยว่านิ่งคิดยังไงกับวินกันแน่ แต่ผมก็เห็นว่ามันเป็นห่วงเป็นใยกันดี ดูแล้วก็น่าจะรักกันพอประมาณ แต่มันเป็นความรักในรูปแบบไหนกันล่ะ

.

.

ผมรอจนเที่ยง กะไว้ว่าจะลากไอ้วินให้มาคุยกันให้รู้เรื่อง ปรากฏว่าพอเรื่องคลาสปุ๊บ มันก็สะพายกระเป๋าปั๊บ แล้วเดินมาบอกพวกผมว่ามันจะไปกินข้าวกับอีกกลุ่มหนึ่ง ให้พวกผมไปกันเลย แล้วมันก็จะรอที่ห้องเรียนเลย ผมไม่ทันจะแย้งคำพูดมันสักคำ มันก็เดินจากพวกผมไปอย่างรวดเร็ว นิ่งที่ยังเก็บประเป๋าไม่ทันจะเสร็จดีก็ได้แต่มองตาม ไอ้พวกผมก็จนปัญญาจะหาข้ออ้างให้วินเหมือนกัน

“เอ้อ นิ่ง สงสัยไอ้วินจะรีบทำงานมั้ง เห็นว่างานกลุ่มมันนัดคุยกันน่ะ”เสียงเต้ที่แก้ต่างให้วินทำเอาผมอยากจะเดินไปตบกะโหลกมันนัก ข้ออ้างมึงนี่สรรหามาได้เนอะ

“ไม่เป็นไรหรอก เราก็พอรู้บ้าง”นิ่งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มซีดเซียว สรุปว่าเมื่อคืนเคลียร์กันยังไงวะ นิ่งมันก็พอรู้บ้าง แต่พวกผมนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย ผมได้แต่ตบไหล่มันเบาๆอย่างให้กำลังใจ แค่หวังว่ามันน่าจบลงในทางที่ดี ไม่ช้าก็เร็ว

.

.

.

หลังจากวันนั้น เหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนพวกผมแอบสงสารน้ำนิ่งอย่างแรง เพราะช่วงนี้น้ำนิ่งทำตัวเหมือนคนเอาร่างกายมาเรียน แต่ลืมเอาวิญญาณมาด้วย เพราะผมสัมผัสได้ เกี่ยวไหมเนี่ย แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่น้ำนิ่งฝ่ายเดียวที่ผมสงสาร ไอ้วินก็น่าสงสารไม่แพ้กัน ดูท่าสายตาเวลามันมองมาทางผมผมก็บอกชัดให้รู้ว่าอยากจะเดินเข้ามาคุยกับพวกผมขนาดไหน แต่เหมือนอะไรสักอย่างที่ฉุดรั้งมันไว้ มันไม่แม้แต่จะเฉียดใกล้พวกผมเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแค่บางครั้งที่มันจะส่งยิ้มทักทายผมบ้าง แค่นั้นเอง แต่สำหรับคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน แค่นี้ก็ทำเอาพวกผมอึดอัดอย่างที่สุด เป็นคนกลางนี่มันลำบากจริง

“นิ่ง สรุปว่าจะเล่าให้เราฟังได้รึยัง เรื่องของนิ่งกับไอ้วินน่ะ”จนวันหนึ่งที่เต้อดทนไม่ไหวต่อไปเอ่ยปากถามขึ้นมา นั่นก็เป็นสิ่งที่ค้างคาในใจผมเช่นกัน เหตุการณ์นี้มันดำเนินมาจะสองสัปดาห์แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบจากฝ่ายไหนเลย

“เต้จะอยากรู้ไปทำไม นั่นมันเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่ของเต้สักหน่อย”เหมือนโดนนิ่งด่าว่าเสือก ดีที่เป็นไอ้เต้ถาม ลองถ้าเป็นผมนี่คงไม่กล้าถามนิ่งอีกต่อไป

“เออ กูเสือก แต่พวกมึงเป็นเพื่อนกูนะเว่ย กูรู้ไม่ได้รึไง”คำด่าไม่มีผลต่อมนุษย์หน้าหนาเช่นมันจริงๆ

“เออ เล่าก็ได้ ก็แค่เราคงเป็นคนรักกับวินไม่ได้หรอก เราคิดกับวินแค่เพื่อน จบแล้ว”คือถ้ามึงจะเล่าแบบนี้นะ ไอ้ผมก็รู้จะพูดยังไงต่อไปดี ได้แต่มองตากับเต้ปริบๆ นี่สรุปเรื่องมันมีเท่านี้จริงหรอวะ

“แล้วทำไมไอ้วินมันถึงทำตัวแบบนั้น”คราวนี้ผมถามครับ แต่คำถามนี้เล่นเอานิ่งหน้าเปลี่ยนสีไปนิดนึง

“ก็ไม่รู้สิ คงไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับเราแล้วมั้ง”ผมว่ามันรู้ชัวร์ เอาอีกแล้ว มีอะไรมันไม่เคยบอกพวกผมเลย

“นิ่ง นิ่งเป็นเพื่อนเรานะ ทำไมนิ่งไม่คิดอยากจะบอกอะไรพวกเราบ้างหรอ เป็นเพื่อนกันมันก็ต้องพูดกันได้ทุกเรื่องเปล่าวะ”ผมพูดกับมันตรงๆ เรื่องนี้ก็หลายครั้งหลายคราแล้ว นิ่งเป็นพวกที่แบบมีอะไรก็เก็บไว้ในใจ ไม่พูดให้คนอื่นฟัง ยังดีที่เมื่อก่อนมีไอ้วินคอยล้วง คอยรื้อออกมาถาม แต่ตอนนี้พวกผมคงต้องทำหน้าที่นั้นแทนแล้ว

“ขอบใจนะ”

“เปลี่ยนคำขอบใจ มาเล่าให้พวกกูฟังดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกกูจะได้ช่วยแก้ให้จะดีกว่าไหม”ผมล่ะอยากจะปรบมือให้คุณชายเต้จริงๆครับ ทำมันวันนี้มันพูดจาเข้าหูคนได้วะ

ผมตั้งหน้าตั้งตารอให้นิ่งยอมเปิดปากเล่า ในที่สุดนิ่งก็ยอมอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พวกผมฟัง แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแย่กับพวกมันสองคนก็ไม่รู้ ผมว่าผมส่งให้มันสองคนไปเคลียร์กันเองตอนคืนนั้นเพื่อที่ว่ามันจะได้จบแบบมีความสุขชั่วนิรันดร์ ได้ไฉนเลยมันถึงได้ไปเถียงกันต่อที่ห้องพวกมันล่ะเนี่ย

“แล้วนิ่งก็ไปพูดอย่างนั้นกับไอ้วิน”ไอ้เต้ถามเสียงสูง

“อือ”ผมอยากจะเป็นลม นี่มันคิดได้ไงวะ ขอให้มาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

“นิ่ง นิ่งเคยมีแฟนไหม”ผมถามมัน อันที่จริงเรื่องพวกนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับมันหรอก

“ก็เคยมีบ้าง”

“แล้วนิ่งกับแฟนนิ่งเลิกกันไป แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย”คราวนี้นิ่งเริ่มคิดตาม ก่อนจะส่ายหน้าให้กับคำถามผม

“แค่นี้ก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนะนิ่ง เรื่องอย่างนี้มันกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอกนะ”ผมว่าให้อีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้จริง เรื่องเรียนล่ะฉลาดนัก ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะไม่ได้รู้เรื่องเลย

“ก็เรายังไม่ได้จะเริ่มคบกันเลย ทำไมเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้”นี่มันหลักการไปไหมวะเนี่ย

“นิ่ง ต่อให้เริ่มคบกันหรือไม่เริ่มคบกัน มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าความรู้สึกของไอ้วิน มันเริ่มไปแล้วต่างหาก”ทำไมผมต้องมาอธิบายเรื่องแบบนี้ด้วยเนี่ย

“แล้วความรู้สึกนิ่งล่ะ มันเกิดรึยัง”คราวนี้ไอ้เต้กับผมแทบจะรุมสอบสวนเพื่อนตัวเอง

“ก็เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับวิน แค่เพื่อนกันเท่านั้น”

“นิ่ง กูว่ามันไม่ใช่และ มึงไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไรกับไอ้วิน กูว่ามึงแค่ยังไม่รู้ต่างหากว่ามึงรู้สึกยังไงกับไอ้วิน”เต้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเองก็คิดตามที่มันพูด และก็เห็นด้วยกับประโยคนั้นด้วย

“เราจะไม่รู้ได้ไง เรา...”

“มึงอย่ามาเถียงหน่อยเลย แค่ไอ้วินมันไม่มาอยู่กับมึงแค่สองอาทิตย์นี้ มึงกลับไปนอนร้องไห้ที่ห้องขนาดไหนหรอ แค่นี้บอกมึงไม่พอรึไง”คราวนี้นิ่งกลับนั่งเงียบ ไม่เถียงเต้สักคำ

“นิ่ง กูไม่ใช่ว่ามึงนะเว่ย แต่มึงมันเป็นพวกกลัวการเปลี่ยนแปลง แค่การจะพัฒนาความรู้สึกของตัวเอง มึงยังไม่กล้าเลย แล้วอย่างนี้คนที่รักมึงเขาก็ช้ำใจตายสิวะ”ผมปล่อยให้เต้สั่งสอนนิ่งชุดใหญ่ ก็พอจะรู้มาบ้างแหละว่านิ่งมันก็เป็นคนแบบที่เต้บอกจริงๆนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดกับคนแอบหัวรั้นแบบมันยังไงดี ได้เต้มาช่วยเตือนก็ดีเหมือนกัน

“เอาจริงๆแล้วนะนิ่ง กูถามมึง มึงต้องตอบกูตามจริงนะเว่ย ถ้าต่อจากนี้ชีวิตของมึงจะไม่มีไอ้วินอีกต่อไป มึงจะรู้สึกยังไง”ผมเห็นหน้านิ่งแล้วสงสารขึ้นมาจับใจ ผมว่านิ่งก็ต้องเคยคิดเกี่ยวกับคำถามไอ้เต้บ้างแหละ ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้สีหน้าของนิ่งบอกผมได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย

“นิ่งไม่ต้องบอกกับพวกเราก็ได้ แต่นิ่งรู้ใช่มั้ย ว่าใครคือคนที่นิ่งควรไปบอก อย่าให้มันสายเกินกว่าที่ความรู้สึกนั้นของคนนั้นจะหายไปเลย”ผมบอกกับนิ่งที่นั่งทำตาแดงๆอยู่ข้างไอ้เต้

“เฮ้อ ไอ้นิ่งเอ้ย มึงกับไอ้วิน รักกันมากกว่าที่พวกมึงคิดซะอีก บางทีที่ฝุ่นมันเข้าตา มันก็ต้องเรียกให้คนอื่นมาช่วยเป่าออกบ้าง ตอนนี้พวกกูเป่าออกให้มึง อยู่ที่มึงจะเดินต่อไป หรือยืนนิ่งๆให้ฝุ่นมันเข้าตามึงอีก กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนโง่ มึงอาจจะความรู้สึกช้าไปบ้าง แต่กูเชื่อว่าวินมันต้องรอมึงอยู่ทุกลมหายใจแน่นอน เพราะไม่มีใครที่มันจะรักได้เท่ากับมึง และก็ไม่มีใครที่มึงจะรักได้เท่ากับมัน กูพูดถูกมั้ย”ไอ้เต้โอบหัวไอ้นิ่งให้มาพิงกับบ่าตัวเอง ก่อนจะโยกหัวอีกฝ่ายราวกับเด็กน้อย ผมส่งยิ้มให้กำลังใจกับนิ่ง ผมคิดว่าคำพูดพวกผมน่าจะมีอิทธิพลมากพอที่จะเปลี่ยนความเข้าใจผิดๆของนิ่งได้ และหวังว่าพรุ่งนี้ของพวกมันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ความรักนี่ก็แปลกชอบเล่นกลกับคนเรื่อยเลย ไม่รู้ว่าเทพอีรอสสนุกนักรึไง


หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่13 Pg.2 14/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 14-01-2014 18:51:12
นิ่งไปฝ่ายไล่ตามบ้างแล้วววว  :katai3:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่13 Pg.2 14/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 14-01-2014 21:53:38
นิ่วเอ้ย...คราวนี้นิ่งไม่ได้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่14 Pg.2 15/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 15-01-2014 07:42:36
WinNing --> Win’s Talk


หลังจากวันนั้น ผมก็ตีตัวออกห่างจากนิ่งให้มากที่สุด แต่ก็พยายามไม่ให้นิ่งรู้สึกไม่ดี เพราะฉะนั้นผมก็เลยตัดสินใจเดินออกมาคนเดียว ทิ้งให้นิ่งได้อยู่กับเพื่อนสนิทอีกสองคนท่าจะดีกว่า แต่การใช้ชีวิตที่ไม่มีนิ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย แต่ละวันแต่ละคืนผ่านไปอย่างยากลำบาก ไม่มีใครรู้ใจผมเท่ากับนิ่งอีก ไม่มีใครมาคอยสนใจ มาคอยถามไถ่ มาคอยห่วงใยผมแบบที่นิ่งทำ ไม่มีคนที่แค่มองตาผมก็รู้ว่าผมคิดยังไง ไม่มีคนๆนั้นอีกแล้ว

ผมกลับมาถึงห้องก็ทิ้งตัวลงนอนทันที นี่ก็สองสัปดาห์แล้วที่ผมต้องฝึกการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ผมรู้ว่าพวกเต้กับโอมคงจะสงสัยไม่ใช่น้อยกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่านิ่งจะเล่าให้พวกนั้นฟังรึเปล่า แต่ถ้าเดาจากนิสัยนิ่ง ผมคิดว่าไม่...

.

.

ก็อกๆๆ

เสียงเคาะประตูปลุกผมให้ตื่นจากความฝัน นี่ผมหลับไปตอนไหนเนี่ย ผมเหลือบตามองนาฬิกาข้างฝา ตอนนี้ก็ทุ่มกว่าแล้วสินะ เสียงเคาะประตูยังดังไม่เลิก ผมเดินไปเปิดประตูนึกสงสัยอยู่ว่าใครมาเคาะ เพราะทุกทีจะมีแค่น้ำนิ่ง แต่ตอนนี้เขาคงไม่มาเคาะประตูห้องผมแล้วล่ะ

“แป็บเดียว”ผมบอกให้คนเคาะเลิกเคาะประตูได้แล้ว ก่อนจะขยับมือไปบิดลูกบิด ผมออกแรกดึงประตูให้เปิด แต่ทำยังไงมันก็เปิดไม่ออก

“ใครเล่นบ้าอะไรวะเนี่ย ทำไมประตูเปิดประออก”ผมอดสบถออกมาไม่ได้ คือประตูห้องผมมันมีกลอนให้ใส่แม่กุญแจล็อคทางหน้าประตูห้องอีกชั้น เวลาเราจะออกไปข้างนอกก็ล็อคไว้กันขโมยได้ แต่ปกติผมก็ล็อคแค่ลูกบิดเท่านั้น

“เฮ้ย ไม่ตลกนะเว้ย”ผมทุบประตูกลับ คนยิ่งเพิ่งตื่นยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก เสียงเคาะประตูหายไป แต่ผมก็ไม่ได้ยินเสียงคนที่อยู่หน้าห้องเลยสักนิด สักพักผมก็รู้สึกถึงอะไรยางอย่างมาสัมผัสโดนที่เท้าของผม มันเป็นกระดาษโน้ตแผ่นน้อยสีขาวสอดเข้ามาทางใต้ประตู เนื้อความในกระดาษแผ่นน้อยนั้นเขียนไว้ว่า

‘ขอคุยด้วยหน่อย’

ผมว่าลายมือนี้คุ้นๆ คิดว่าน่าจะเป็นลายมือของนิ่งแต่ก็ยังไม่ชัวร์เท่าไหร่ ลายมือนี้มันดูบรรจงมากกว่าปกติ

“แล้วนี่ใคร ทำไมต้องล็อคประตู ก็เปิดดิ จะคุยกันดีๆแล้ว”หลังจากจบประโยคผม ก็มีเสียงขูดเขียนดังขึ้นเล็กน้อย

‘คุยกันแบบนี้แหละ’ข้อความในกระดาษแผ่นน้อยถึงส่งมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ตอบว่าใคร แต่คราวนี้ผมมั่นใจแล้วว่าเป็นน้ำนิ่งแน่นอน

“งั้นก็ว่ามา”ผมทรุดตัวลงนั่งข้างประตู รอคอยเจ้ากระดาษแผ่นสีขาวที่จะส่งมา

‘ถ้าคนสำคัญคนหนึ่ง กำลังจะเดินออกไปจากชีวิตของเรา เราต้องทำยังไง’

ผมอ่านกระดาษแผ่นนั้นแล้วน้ำตาผมแทบจะไหลออกมาทันที นี่มันใช่เรื่องจริงรึเปล่า ผมไม่เคยคิดโกรธน้ำนิ่งเลยเรื่องที่ปฏิเสธผม แต่ผมก็ไม่คิดว่านิ่งจะมาพูดเรื่องนี้ซ้ำกับผมอีก

“ก็คว้าเขาไว้ให้ได้”ผมตอบอีกฝ่ายเสียงสั่นเครือนิดๆ

‘แล้วรู้ได้ไงว่าเขายังเห็นเราสำคัญเหมือนเดิม’

กระดาษแผ่นน้อยถูกส่งมาอีกครั้ง ผมพยายามนึกคำตอบที่ทำให้นิ่งรู้ว่า ผมยังเห็นเขาสำคัญเหมือนเดิม

“แค่มองตาก็รู้ใจ”ผมก็อยากให้นิ่งได้มองตาผม แล้วนิ่งก็จะรู้เลยว่าสายตาผมไม่เคยเห็นใครสำคัญไปกว่านิ่งเลย เสียงกุกกักบ่งบอกให้รู้ว่าคนข้างนอกกำลังไขกุญแจออก ทำเอาผมรีบผุดลุกขึ้นยืนทันที

เวลาแค่ไม่กี่วินาทีทำเอาผมแทบบ้า ผมรออีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามาหาผม เวลาแต่ละวินาทีเดินเชื่องช้าจนน่าขัดใจ เสียงหัวใจกระหน่ำรัวอยู่ในอกผมจนหูผมแทบอื้อ เพียงแค่วินาทีแรกที่สบตากับอีกฝ่าย โลกทั้งใบที่หมุนรอบตัวผมก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เสียงเข็มวินาทีที่ขยับตัวเดินก็หาได้เข้ามากระทบโสตประสาทผมไม่ ผมเข้าใจแล้วที่ทุกคนพูดว่าเหมือนเวลามันหยุดเดิน มันโลกทั้งใบมันหยุดหมุน เพียงแต่ผมมีเขาคนนั้น

“มีคนบอกว่าแค่มองตาก็รู้ใจ แต่เราก็ยังอยากได้ยินเสียงเขาอยู่ดี”นิ่งพูดพร้อมกับลูบท้ายทอยแก้เก้อ หน้าตาขัดเขินเกินจะกล่าว

“นิ่งเป็นคนนั้น คนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักของเรา”ผมตอบสนองความต้องการอีกฝ่ายด้วยคำพูดเดิมที่ผมเคยพูด ผมไม่เคยเปลี่ยนความรู้สึกของผมที่มีต่อนิ่งได้เลย แม้ว่าจะบังคับตัวเองมากเท่าไหร่ในช่วงที่ห่างกัน แต่ความรู้สึกก็ไม่ได้ลดลงเลย กลับยิ่งโหยหาเป็นทวีคูณ

“ขอโทษ”นิ่งยืนก้มหน้าแบบคนรู้สึกผิด จนผมต้องก้าวเดินไปประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้เงยขึ้น แล้วต่อยๆใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้องขอโทษ นิ่งไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

“ผิดสิ ผิดที่รู้ตัวช้า ผิดที่ทำให้วินต้องเสียใจ ผิดที่ทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วง”ผมกดใบหน้าอีกฝ่ายให้มาซบกับบ่าผม แล้วลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ

“ชีวิตที่ไม่มีนิ่งเหมือนไม่ใช่ชีวิตของเราเลย ขอบคุณที่นิ่งรู้ตัวช้า เพราะถ้านิ่งไม่รู้สึกตัวเลย เราเองคงใช้ชีวิตไปวันๆก็เท่านั้น ขอบคุณที่นิ่งทำให้เราต้องเสียใจ เพราะมันทำให้เรารู้ว่านิ่งสำคัญกับเรามากแค่ไหน”หยาดน้ำตาอีกฝ่ายไหลทะลักทลายมากขึ้นเมื่อผมพูดจบประโยค อ้อมแขนอีกฝ่ายยิ่งโอบรัดรอบคอผมแน่นขึ้น แต่ผมชอบความรู้สึกนี้ ความรู้สึกที่อีกฝ่ายกลัวเราจะสูญหายไป เพราะมันทำให้ผมรู้ว่า ไม่ใช่ผมคนเดียวที่กลัวเรื่องแบบนี้

.

.

.

ผมรออีกฝ่ายหยุดร้องไห้ แล้วจูงมือให้ไปนั่งตรงเตียงผม ส่วนผมก็ลากเก้าอี้ตัวเดิมที่นิ่งเคยนั่งมานั่ง แค่หวังไว้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะกลับตาลปัตรกับครั้งนั้น

“ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าเราเองรู้สึกยังไง แต่พอไม่มีวิน อะไรๆก็ดูไม่ใช่ไปซะทุกอย่าง จนวันนี้เต้กับโอมมาพูดกับเรา ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน เรากลัวว่าถ้าเรากับวินหันมาคบกันแบบจริงจัง แล้วอะไรๆมันจะไม่เหมือนเดิม”นิ่งเป็นคนเปิดประเด็นให้ผมรับรู้ บางทีส่วนลึกในใจของผมก็อาจจะรู้อยู่แล้วว่าที่ผมทำแบบนี้เพื่ออะไร

“มันก็ต้องมีบางอย่างบ้างสิที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราก็เปลี่ยนรูปแบบ เราเองก็อาจจะใจเย็นขึ้น เพราะมีนิ่งอยู่ด้วย นิ่งก็อาจจะพูดมากขึ้นเพราะมีเราอยู่ด้วย ถ้านิ่งมองเห็นการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ นิ่งจะไม่คิดมากเลยเรื่องความรู้สึกของเรา เพราะนิ่งมองแต่สิ่งที่ใหญ่เกินไป จนลืมมองเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ แต่ก็เพราะนิ่งเป็นคนแบบนี้ไง นิ่งเป็นคนมองอะไรไกลๆ ทำให้เราเริ่มชอบในตัวนิ่ง”

“ขอโทษ”นิ่งพูดคำนี้อีกแล้ว ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อจะเช็ดน้ำตาให้

“ไม่เอาน่า ไม่ร้องแล้ว เราบอกกี่ครั้งแล้วว่านิ่งไม่ผิด ไหน ลองบอกมาสิว่าตอนนี้นิ่งอยากจะเป็นเพื่อนกับเราเหมือนเดิมรึเปล่า”ผมถามประโยคที่เจ้าตัวเคยเรียกร้องเมื่อครั้งก่อน นิ่งรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน ทำเอาผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

“งั้นคราวนี้อยากให้เราเป็นอะไรกัน”

“อยากให้เราเป็น... เป็นคนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักของกันและกัน”นิ่งบอกออกมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำ แต่เพราะประโยคนี้ทำให้ผมยิ่งต้องฉีกยิ้มกว้างมากขึ้น

“คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ครับ”ผมพูดติดตลกเรียกเสียงหัวเราะทั้งน้ำตาจากอีกฝ่ายทันที

“นิ่งรู้ไหม ว่าตำแหน่งนี้เป็นแล้วออกจากยากนะ จะบอกให้”ผมบอกอีกฝ่ายไว้ล่วงหน้า ยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้นิ่งหลุดมือไป และจะไม่ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายไปอีกครั้งแน่นอน

“แล้ววินรู้ไหมว่าตำแหน่งนี้เป็นแล้วห้ามลาออกนะ”นิ่งกำมือผมไว้แน่น

“ต่อให้ไล่ก็ไม่ไปหรอก”ผมโอบเอวอีกฝ่ายไว้จนแน่น ก่อนจะประทับจูบเบาๆตรงหน้าผากแล้วก็ข้างแก้มทั้งสองข้าง
ความรักครั้งนี้ของผม ผมได้มันมาครอบครองยากนัก แต่นั่นก็ทำให้เรารู้ว่า อะไรที่เราได้มายาก เราต้องถนอมมันไว้ให้ดีที่สุด ความรักก็เหมือนกัน ยิ่งเราได้มายาก เราก็ต้องอยากจะรักษามันไว้ให้นานที่สุด ความรักของผมไม่ใช่ภูผาที่สูงตระหง่านและมั่นคง แต่ความรักของผมก็คือต้นไม้ ที่ผมเองก็บอกไม่ได้ว่ามันจะมั่นคงสักแค่ไหน หรือจะอยู่ยืนยงได้นานเท่าไหร่ แต่ที่รู้ๆก็คือผมจะรักให้ดีที่สุด


ผมไม่รู้ว่านิรันดร์นั้นยาวนานเท่าไหร่ แต่ตราบใดที่โลกใบนี้ยังหมุนรอบตัวเอง ตราบใดที่โลกใบนี้ยังคงโคจรรอบดวงอาทิตย์...



ความรักที่ผมมีให้นิ่งนั้น ก็ยังจะคงสถิตอยู่เสมอไป





http://youtu.be/g181tkV5Mj0
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่14 Pg.2 15/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 15-01-2014 08:00:22
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนจบ Pg.2 16/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 16-01-2014 19:57:39
ในที่สุด เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ได้เห็นคู่รักคู่ใหม่บังเกิดขึ้นในสาขาผม ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากคู่ วินนิ่ง คู่จิ้นแห่งชาติ ผมมองไม่เห็นเลยว่าใครจะเหมาะกับนิ่งไปมากกว่าวิน หรือใครจะเหมาะกับวินไปมากกว่านิ่งอีกแล้ว ผมเห็นว่าคู่นี้สมน้ำสมเนื้อกันที่สุดแล้ว วันใดที่ใครคนนึงร้อน อีกคนหนึ่งก็จะเย็น

ขอบคุณความรักที่ทำให้ใครหลายๆคนได้เจอกับอีกครึ่งของชีวิตตน ความรักทำให้คนกลายเป็นคนเต็มคน เพราะความรักสอนให้เรารู้จักการรักบางคนให้มากกว่ารักตัวเอง ทำให้ความเห็นแก่ตัวที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ในตัวลดลง

.

.

“พี่โอม เดี๋ยวนี้พี่วินกับพี่นิ่งนี่ชักจะเอาใหญ่”น้ำเสียงหงุดหงิดจากน้องที่เดินข้างผมเรียกความสนใจผมได้เป็นอย่างดี

“ทำไมล่ะ”ผมถามเหตุผล แม้ในสายตาผม ผมก็คิดว่าไอ้คู่นี้มันน่าหมั่นไส้ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

“ก็พี่วินแม่งชอบหวงพี่นิ่ง ปั้นจะแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ แค่พูดด้วยก็มองปั้นตาขวางแล้วอ่ะ แล้วพี่นิ่งก็ไม่ว่าพี่วินสักคำ ปั้นไม่ยอมหรอก”น้ำเสียงแฝงอารมณ์เสียบ่นงุ้งงิ้งให้ผมฟังอยู่ข้างๆ ส่วนผมก็หัวเราะในความงอแงของปั้น

“ไม่ยอมแล้วทำอะไรได้ ก็เขาเป็นแฟนกันแล้วนี่”ผมอธิบายให้น้องฟัง แต่ปั้นทำหน้าแบบหมั่นไส้เหลือจะอด

“โหะ แฟนกัน นึกแล้วเลี่ยนชะมัด พอปั้นไปถามพี่วินว่าตอนนี้เป็นแฟนกับพี่นิ่งหรอ พี่โอมรู้ไหมว่าพี่วินตอบว่าอะไร”ผมส่ายหน้ากับคำถามของน้อง แล้วมันไม่ใช่แฟนกันหรอวะ

“เขาบอกว่า... เขาเป็นคนที่เป็นยิ่งกว่าคนรักของกันและกัน ปั้นจะอ้วก!”ปั้นทำน้ำเสียงล้อเลียนวิน ก่อนจะทำท่าแหวะในตอนสุดท้าย ผมอดหัวเราะกับท่าทางและน้ำเสียงของปั้นไม่ได้

“ปล่อยคู่นั้นไปเหอะ กว่าจะรักกันได้ คนรอบข้างลุ้นแทบแย่”ผมพยายามเป็นกลางที่สุด บอกตามตรงว่ากลัวน้องเหงี่ยงแล้วงอนไม่ยอมคุยกับผมอีก

“ฮึ!”น้องทำเสียงขึ้นจมูกแบบไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังเดินเคียงข้างผมมาตลอดทาง

“ปั้นว่าความรักของเราเป็นยังไงบ้าง”ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆผมก็อยากจะถามคำถามนี้ขึ้นมา มันก็คงเป็นเหมือนกันเช็คสถานะความรู้สึกของกันและกันล่ะมั้ง

“ดีที่สุด! คู่พี่วินกับพี่นิ่งสู้เราไม่ได้หรอก ไม่มีใครรักใครได้เท่ากับที่พี่โอมรักปั้นหรอก ใช่ไหม”ท้ายเสียงหันมาถามผมแบบกึ่งบังคับ

“รู้ได้ไง”ผมแกล้งเล่นแง่

“อ๋อ เล่นอย่างนี้ใช่ไหม ได้!”ปั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินดุ่มๆย้อนกลับไปยังทางที่เดินผ่านมา

“โอ๋ๆๆ พี่โอมล้อเล่น ดีกันน้า นะครับ”ผมรีบไปคว้าต้นแขนน้องไว้ ปั้นไม่ยอมมองหน้าผม พยายามหันหนีตลอดเลย ผมเลยเอามือประกบอีกฝ่ายเอาไว้

“พี่ไม่รู้หรอกว่าใครรักใครมากแค่ไหน พี่รู้แค่ว่าพี่รักปั้นม๊ากมาก พอใจไหมครับ”ปั้นพยายามหลบสายตาผม แต่หน้าแดงจนเห็นได้ชัด

“ไอ้บ้า”ปั้นพยายามแกะมือผมออกจากหน้า ผมยอมปล่อยอีกฝ่ายโดยดี ก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายมากุมแล้วออกเดินอีกครั้ง

“พี่โอม...”

“ครับว่าไง”ผมเลิกคิ้วถาม เมื่อเห็นว่าปั้นหยุดเดิน

“ปั้นมีอะไรจะบอก ฟังดีๆนะ”ผมพยักหน้ารับ

“ปั้นรักพี่โอมที่สุดในโลกเลย”ปั้นเอามือก้องปากแล้วตะโกนออกมาเต็มเสียง พอพูดจบก็มาคว้ามือผมออกวิ่งจากพื้นที่ตรงนั้นทันที ทิ้งเสียงหัวเราะของผู้คนที่ได้ยินไว้ข้างหลัง

“แฮ่กๆๆ เหนื่อย...”ปั้นวิ่งออกมาได้ไกลพอสมควรก็หยุดยืนหอบแฮ่ก ไม่ใช่ปั้นคนเดียวที่เหนื่อย ผมเองเหงื่อก็ออกไม่หยุดเช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ”ผมคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดไว้ เสียงหัวใจเต้นระรัวในอก ไม่ใช่เพียงเพราะเหนื่อย แต่มันดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก

“ปั้นแค่จะทำให้พี่วินกับพี่นิ่งอิจฉาเราบ้างเฉยๆแหละ”ปั้นทำหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้

“งั้นวินมันก็คงอิจฉาพี่แทบบ้าเลยแหละ เพราะนิ่งไม่มีทางกล้าทำแบบปั้นแน่นอน ฮ่าๆๆ”ผมจะโมเมเอาเองแหละกันว่าปั้นทำเพื่อผม ไม่ใช่เหตุผลที่อ้างมา

“แน่นอนอยู่แล้ว”ปั้นทำเฉไฉไปเรื่อย ผมแอบอมยิ้มกับท่าทางนั้น แต่ก็กุมมืออีกฝ่ายไว้ แม้ทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยก้อนหินดิน
กรวด ไม่ได้โรยไว้โดยกลีบกุหลาบเบาบางสดใส ขอเพียงแค่มือของผมยังมีมือของปั้นกุมเอาไว้อยู่ ต่อให้ทางข้างหน้า หนักหนาสาหัสแค่ไหนผมก็ไม่หวั่น

.

.

.

สิ่งสำคัญ ของความรัก คืออะไร

ถ้ามิใช่ ใจคนแล กาลเวลา

ยิ่งหนักแน่น แม้นมั่น ดังหินผา

กาลเวลา ก็มิกล้า มาลบเลือน











จบบริบูรณ์

++++

ขอบคุณนะคะ ที่ติดตามกันมาตลอด

สำหรับคู่ก้องขอเป็นแค่ตอนพิเศษนะคะ

แล้วเจอกันใหม่คราวหน้านะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน(จบแล้วค่ะย้ายได้เลย15/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 16-01-2014 21:30:26
จบแล้วว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน(จบแล้วค่ะย้ายได้เลย15/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 16-01-2014 22:07:57
 :pig4:สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน(จบแล้วค่ะย้ายได้เลย15/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 16-01-2014 22:20:16
ขอบคุณครับ รอติดตามผลงานชิ้นต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน(จบแล้วค่ะย้ายได้เลย15/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: pemiko2012 ที่ 16-01-2014 22:52:55
 :katai2-1:

น่ารักมากเลยค่าาาาา
อ่านรวดเดียวจบเลย ^^
ชอบๆ ปั้นน่ารักดี
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน(จบแล้วค่ะย้ายได้เลย15/01/57)
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 19-01-2014 14:25:39
พี่โอมน้อมปั้นน่ารักขนาดดด
ลุ้นคู่วินนิ่งแทบตายสุดท้ายก็แฮปปี้
ไม่หาคนมาดามใจน้องก้องบ้างหรอ น่าสงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 21/1)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 21-01-2014 22:58:02
ตอนพิเศษ รักนี้ที่รอคอย 1

Kong’s Talk

นับจากวันที่ผมรู้จักกับปั้นมาก็เกือบจะปีหนึ่งเห็นจะได้ ทุกครั้งที่มองหน้าปั้น ผมก็จะเห็นหน้าของใครคนหนึ่งซ้อนทับเสมอ ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจนักว่าปั้นจะเกี่ยวข้องกับใครคนนั้นรึเปล่า

“ปั้น สรุปว่าใครจะมาช่วยมึงย้ายหอเนี่ย”ผมเห็นมันเริ่มทยอยเก็บของไปบางส่วนแล้วก่อนหน้านี้ แต่วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่สอบเสร็จ ก็เลยว่าจะย้ายของจากหอในไปหอนอกที่จองไว้ ส่วนผมก็อยู่หอเดียวกับมันนั่นแหละครับ แต่ก็อยู่คนละห้อง

“เดี๋ยวพ่อกูขับรถมา มึงเก็บของเสร็จยังเหอะ”ผมสำรวจของรอบตัว ตอนนี้ก็เรียกได้ว่ายัดลงกระเป๋าเกือบหมดแล้ว ผมนั่งรอปั้นเก็บของ สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา

“ฮัลโหลพ่อ... อ้อ โอเค เดี๋ยวปั้นขนลงไปเลย รอหน้าหอนะพ่อ”ปั้นพูดคุยกับคนในสาย ก่อนจะตกลงเสร็จสรรพ

“ก้อง มึงทยอยขนของลงข้างล่างได้เลย เดี๋ยวกูตามลงไป”ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มขนสัมภาระตัวเองลงบันไดไปไว้หน้าหอ การที่พ่อของปั้นมารับก็ทำให้ผมได้อานิสงส์จากมันไปด้วย อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องเสียค่ารถสองร้อยบาทสำหรับการย้ายหอครั้งนี้ บรรยากาศในหอในเริ่มร้างลาผู้คน อาจจะเป็นเพราะนิสิตบางส่วนเริ่มทยอยย้ายออกตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว แต่ผมกับปั้นเลือกที่จะอาศัยอยู่ในหอในจนวันสุดท้ายของปีการศึกษานี้ อาจจะเป็นเพราะความขี้เกียจของเราสองคนด้วยก็ได้ เลยเลือกที่จะย้ายเอาวันสุดท้ายเช่นนี้

ผมกับปั้นช่วยกันขนของลงมาจนเสร็จหมด ตรวจดูห้องเรียบร้อยแล้วก็จัดการเอากุญแจห้องไปคืนให้พี่ผู้จัดการหอ แล้วก็มานั่งรอรถตรงม้าหินอ่อนหน้าทางเข้าหอ

“ก้อง แล้วมึงจะกลับบ้านวันไหนเนี่ย”ปั้นถามผมขึ้นมา เอาจริงแล้วผมก็ยังไม่ได้จัดการซื้อตั๋วรถอะไรไว้เลยแม้แต่น้อย

“อาจจะพรุ่งนี้มั้ง แต่ถ้าวันนี้จัดการของเร็วก็คงกลับคืนนี้เลย”ไอ้ตัวผมเองก็อยู่แค่จังหวัดแพร่ใกล้นี้เอง นั่งรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง เลยไม่ค่อยจะตื่นเต้นเท่าไหร่

“ดีว่ะ อยู่ใกล้แค่นี้ จะกลับเมื่อไหร่ก็ได้”มันพูดเสียงสร้อยๆ

“มึงจะบ่นทำห่าไรวะ เดี๋ยววันนี้มึงก็กลับแล้วไง”ผมอดด่ามันไม่ได้จริงๆครับ วันนี้ก็จะกลับบ้านอยู่แล้วดันมากระแดะจะบีบน้ำตาร้องไห้คิดถึงบ้าน สักพักเสียงโทรศัพท์มันก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ สุดที่รักของมันนั่นแหละ เพราะผมจำเสียงเรียกเข้าที่มันตั้งไว้ได้ มันส่งยิ้มเขินๆให้ผมก่อนจะเดินแยกไปคุยโทรศัพท์ เฮ้อ คนมีความรักนี่โลกมันคงดูน่าอยู่ทุกวัน
ปั้นออกไปคุยโทรศัพท์ไม่ไกลจากผมนัก ไม่นานรถกระบะสีประตูสีน้ำเงินค่อยแล่นมาจอดตรงหน้าผม ผมมองด้วยความงงและสงสัยว่ารถใคร แต่ความสงสัยนั้นอยู่กับผมไม่ถึงนาทีดี ปั้นก็ส่งเสียงเรียกผู้ชายที่เปิดประตูรถลงมาตรงหน้าผมทันที

“พ่อ!! คิดถึงจังเลย”ปั้นตลอดแล้ววิ่งเข้ากอดผู้ชายตรงหน้าอย่างแรง ผมเห็นดังนั้นจึงรีบยกมือไหว้อีกฝ่ายทันที

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก ไหนของที่จะขน เยอะไหมลูก”พ่อปั้นหันมาถามผม ผมก็ชี้มือไปยังกองสัมภาระให้พ่อปั้นดู

“โอ้ย แค่นี้เอง รอบเดียวก็หมดแล้ว ไปๆๆ ขนของขึ้นรถกัน”พ่อปั้นชักชวนให้พวกผมขนของขึ้นรถ

“แล้วแม่กับพี่ปิ่นล่ะพ่อ ไม่มาด้วยหรอ”ปั้นถามขึ้นมา ผมก็พอจะรู้มาบ้างว่าปั้นมีพี่สาว แต่ก็ไม่ค่อยได้สินใจอะไรมากนัก

“จะเหลือเรอะ รออยู่ตรงร้านค้าบนดอยนู่นแหนะ เห็นบนว่าหิว”พอพ่อปั้นพูดขึ้นมา ผมกับปั้นก็พอจะรู้แล้วว่าร้านค้านั้นคือร้านไหน จะว่าไปผมกับปั้นก็มักจะลงทุนเดินขึ้นดอยเล็กน้อยเพื่อไปซื้อของกินร้านนี้ อันสืบเนื่องจากมีของขายครบวงจรแบบที่หลายๆคนปรารถนา แถมราคายังถูกกว่าร้านค้าแถวหน้าหอด้วยซ้ำ

ผมกับปั้นและพ่อปั้นช่วยกันขนของขึ้นรถให้หมด ก่อนจะนั่งรถไปรับแม่ปั้นกับพี่ปิ่นที่ร้านค้าที่ว่า เมื่อรถแล่นมาเกือยจะถึงหน้าร้านผมก็พอจะเห็นสองแม่ลูกยืนชะเง้อชะแง้รออยู่หน้าร้าน

“นั่นไง แม่เรา ดูสิซื้อของกินเต็มมือ”พ่อของปั้นบ่นยิ้มๆ จะว่าไปบ้านปั้นก็ดูอบอุ่นน่ารักดี ผมก็ค่อนข้างชอบ ผิดกับบ้านผมที่พ่อค่อนข้างจะเคร่งกว่าปกติจนทำให้ผมต้องอยู่ในระเบียบวินัยมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่อยากจะแหกคอก แต่ก็เป็นอันว่าได้ลิ้มรสเข็มขัดพ่อทุกที หลังๆนี้เลยเพลาลง อีกอย่างพ่อผมก็คงเห็นว่าโตๆกันแล้วเลยปล่อยบ้าง จะมีก็แต่แม่ที่คอยโทรมาเตือนผมบ่อยๆว่าให้ใจเย็นลงซะบ้าง

ผมกับปั้นนั่งเบาะหลัง ปั้นบอกให้ผมเตรียมขยับที่ให้พี่สาวตนเองนั่ง แอบงงกับมันเหมือนกันว่าจะให้ผมมานั่งคั่นระหว่างมันกับพี่สาวมันทำไม พ่อของปั้นจอดรถเทียบตรงหน้าสองสาวสองวัย ก่อนที่แม่ของปั้นจะเดินอ้อมมานั่งตรงเบาะหน้า แต่ผมตกใจแทบ
สิ้นสติเมื่อเห็นหน้าพี่สาวของปั้นชัดๆ

“ปิ่น..."

++++

อีกครึ่งจะมาต่อให้วันหลังนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 21/1)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 22-01-2014 13:23:58
โอ๊ยยย อ่านรวดเดียวจบเลย
ปั้นน่ารักมากกกกก
คู่วินนิ่งก็ลุ้นตัวโก่งกันเลยทีเดียว แต่แบบชอบอ่ะสถานะของคู่นี้ เป็นยิ่งกว่าคนรักกัน ฮ่าาาา
อย่าบอกนะว่าก้องคือรักแรกของพี่ปิ่นอ่า ก้องจะมีคู่กับเค้าแล้ว
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 21/1)
เริ่มหัวข้อโดย: EunSung87 ที่ 22-01-2014 23:48:57
ขออ่านด้วยคนนะคะ

เรื่องนี้น่ารักทุกคนเลย

เสียดายไม่น่าทำเป็นเรื่องสั้น

รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1)
เริ่มหัวข้อโดย: lew_valen_tom ที่ 28-01-2014 21:13:34
ต่อ...

“ปิ่น...”เสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาหวิวหลุดรอดออกมาจากผม นี่โชคชะตาเล่นตลกอะไรกันอยู่ ผมไม่ได้ฟังที่แม่ปั้นส่งเสียงทักลูกชายตนเองเลยแม้แต่น้อย เพราะผมกำลังจับจ้องไปยังหญิงสาวเพียงคนเดียวที่กำลังจะเปิดประตูรถฝั่งผมเพื่อขึ้นนั่ง

“ว่าไง เจ้าปั้น ไม่เห็นจะ...”เสียงทักของปิ่นขาดหายไปเมื่อเห็นหน้าผมชัดๆ

“พี่ปิ่น นี่ก้องนะ เมทปั้นเอง รีบขึ้นรถมาเร็ว”เสียงปั้นเรียกสติผมกับปิ่นทั้งคู่ ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายราวกับคนไม่เคยรู้จักกัน ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับบทสนทนาของแม่ปั้นที่ชักชวนให้ผมพูดคุยด้วย

ผมแทบนั่งไม่ติด มันเกร็งไปหมดกับการรับรู้ว่ามีอีกฝ่ายนั่งอยู่เคียงข้าง กี่ปีแล้วนี่เราไม่ได้คุยกัน กี่ปีแล้วนะที่เราห่างกันไป ในหัวผมเฝ้าคิดวนเวียนถึงเรื่องเดิมในอดีต ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนผมไหม แต่ตอนนี้เขาเองก็นั่งเกร็งไม่ต่างจากผมหรอก ทั้งรถตอนนี้มีเสียงปั้นชวนพูดคุยตลอดเส้นทาง มีบ้างที่บทสนทนามาเอี่ยวถึงตัวผม หรือหญิงสาวคนที่นั่งข้างผมบ้าง แต่เราสองคนก็ท่าทางเป็นปกติ ไม่มีพิรุธให้ใครบนรถระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย

รถกระบะแล่นมาจอดยังด้านในหอพักที่ผมกับปั้นมาติดต่อไว้ หอนี้ไม่ไกลจากหน้ามอมากนัก เดินสะดวกสบายแต่ผมก็คิดว่าเทอมหน้าจะเอารถมอเตอร์ไซค์มาใช้แล้ว เพราะมันสะดวกกว่า ผมกับปั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบขนของลงจากรถ เป็นผมที่ขนของตัวเองลงมาหมดก่อน จึงบอกปั้นว่าจะติดต่อเจ้าของหอเพื่อเอากุญแจห้อง ห้องของผมกับปั้นจะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็ใกล้ พออยู่กันคนละชั้นเลย แต่ก็ยังดีที่ได้อยู่หอเดียวกัน

ผมรีบขนย้ายของเข้าห้องตัวเอง โดยมีพ่อแม่ปั้น แล้วก็... ปิ่น คอยช่วยผมยกของบางส่วนขึ้น เมื่อขนของขึ้นมาหมด ผมก็จัดเก็บของบางส่วนให้เข้าที่เข้าทาง บางส่วนก็ไม่ได้เก็บอะไรเพราะคิดว่าเดี๋ยวผมก็กลับบ้านแล้ว ส่วนปั้นกับครอบครัวก็อยู่ที่ห้องของปั้น ในยามนี้ห้องผมจึงมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น

ก็อกๆ

“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อค”ผมคิดว่าเป็นปั้นแน่ๆที่มาเคาะประตูห้อง เลยบอกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาเลย มือสองข้างของผมยังคงวุ่นวายกับการจัดโต๊ะเขียนหนังสือ จนไม่ได้ใส่ใจไปมองหน้าคนที่เข้ามาในห้อง

“เอ่อ ก้อง...”เสียงของผู้หญิงดังขึ้นมาฉุดรั้งความสนใจของผม ไม่ใช่ปั้นหรอกหรอ ผมนึกในใจ ก่อนจะหันหน้าไปเผชิญกับอีกฝ่าย

“ปิ่น... เอ่อ มีอะไรรึเปล่า”ผมเอ่ยปากถามหลังจากนิ่งคิดไปชั่วครู่

“เรามีเรื่องอยากจะคุยกับก้องนิดหน่อยน่ะ”ผมพยักหน้ารับกับคำพูดของป่น พลางเลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่ายได้นั่งคุย ส่วนผมก็เลือกที่นั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้น

“ดีใจนะที่ได้เจอก้องอีกครั้งหนึ่ง”ปิ่นแย้มรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เมื่อครั้งก่อนนั้นอาจจะเป็นเพราะผมยังดูเด็กไป จนดูพร่ำเพ้อในความรัก แต่ตอนนี้ผมก็ดูพอที่จะสร้างมุมมองความรักใหม่ๆให้ตนเองแล้ว

“อืม”ผมตอบรับคำกล่าวถึงของปิ่นเพียงแค่นั้น

“แต่ก้องคงไม่ดีใจเท่าไหร่... ตลกเนอะ มาพูดอะไรเอาป่านนี้ก็ไม่รู้”ปิ่นหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับก้มใบหน้าลงต่ำ ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าสีหน้าเธอจะแสดงออกยังไง

“ไม่หรอก ได้เจอกันอีกครั้งก็ดี... เรื่องที่ค้างคาอยู่ก็จะได้จบ”ผมไม่รู้ว่าผมพูดตรงไปรึเปล่า แต่ทุกครั้งที่ผมอยากจะเริ่มต้นกับใครคนอื่นกลับต้องมีอันล้มเลิกไปทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องของเรา

“จบหรอ... ก้องก็คงอยากให้เป็นอย่างนั้นสินะ”ผมไม่นึกเลยว่าผู้หญิงจะเป็นเพศที่คิดเยอะขนาดนี้

“เราเองก็คงแล้วแต่ปิ่นมากกว่า”เรื่องราวของเรามันมีอะไรมากมายกว่ารักแบบวัยรุ่นทั่วไป ถ้าจะเท้าความถึงอดีตแล้วละก็... ผมกับปิ่นได้รู้จักกันผ่านโปรแกรมแชทชื่อดังในสมัยนั้นก็คือเอ็มเอสเอ็น เป็นความบังเอิญที่ผมเจอชื่อเมลนี้ในกระทู้ๆหนึ่งซึ่งปิ่นได้แสดงความคิดเห็นไว้ ผมชอบมุมมองความคิดของคนที่พิมพ์ไว้ แล้วนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักกัน ในตอนแรกผมก็คุยผิวเผินกันเท่านั้น เพียงแต่วันนั้นมันช่างมีปัญหาเข้ามารุมเร้าผมมากมายเสียจนผมแทบทนไม่ไหว เลยขึ้นสเตตัสในเอ็มเอสเอ็นไว้ แล้ววันเดียวกันนั้นนั่นเองที่ผมทักผมมา พร้อมกับคำพูดปลอบใจเสียมากมาย นั่นทำให้ผมต้องมองเธอในแง่มุมใหม่ ผมรู้ว่าเธออายุมากกว่าผม แต่ผมก็มองแค่ว่าปีเดียวแค่นั้น ผมไม่เคยเรียกปิ่นว่าพี่เลย ผมคุยกับปิ่นมาตลอดหกเดือน และนั่นก็ทำให้ผมคิดอยากจะขอเปิดกล้องดูหน้าตาของคนที่ผมปลื้ม ผมใช้เวลาอีกราวๆสามเดือนจึงได้เหน้าปิ่นเป็นครั้งแรก แต่แค่แวบเดียวเท่านั้น แต่นั้นก็เพียงพอจะให้ผมตกหลุมรักอย่างแรง ผมเริ่มคิดจริงจังที่จะจีบผู้หญิงคนนั้นจึงอยากจะได้เบอร์โทร ผมใช้เวลาอีกสามเดือนในการใช้ลูกล่อลูกชนเพื่อเอาตัวเลขสิบหลักมาครอบครอง แล้วก็เริ่มเดินหน้าตื๊อเธออย่างรวดเร็ว ผมคุยกับปิ่นแบบคนไม่รู้ว่าสถานะระหว่างเราคืออะไร แต่ผมสบายใจทุกครั้งที่คุย มีความสุขมากมายในตอนที่ได้โทรหา แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็หายไปจากชีวิตของผมแบบไม่เหลือร่องรอย ผมโทรหาเธอไม่ติด แถมยังติดต่อเธอผ่านแชทก็ไม่ได้ ผมในตอนนั้นจะเรียกว่าอกหักก็คงใช่ ระยะเวลาปีกว่าที่ผมคุยกับปิ่นนั้นมากพอที่จะสร้างความรู้สึกบางอย่างที่หยั่งรากลึกอย่างที่ผมไม่คิดไม่ฝัน ความรู้สึกนั้นก็คือรัก

“ขอโทษนะที่ตอนนั้นก็หายไป ทั้งๆที่เราควรจะได้อธิบายให้ก้องฟังไว้ก่อน”

“ช่างเถอะ เราไม่อยากรู้เรื่องในตอนนั้นแล้ว”ผมเดินหันหลังให้เธอ สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคนในห้องอีกร้อยเท่าพันเท่า

“อ้อ... งั้นเราคงพูดได้แค่เรื่องตอนนี้สินะ... เรายังคงรู้สึกกับก้องเหมือนเดิมนะ แล้วก็รอให้ก้องช่วยฟังเหตุผลของเราหน่อย... แค่นั้นแหละ”เสียงของปิ่นเครือแบบคนที่พยายามจะกลั้นน้ำตาไว้ ผมหันกลับไปมองเธออีกครั้ง เห็นปลายนิ้วเรียวพยายามกรีดน้ำตาออกจากใบหน้าตัวเอง และนั่นทำให้ผมใจอ่อนยวบ ผมก้าวเท้าไปหยุดตรงหน้าเธอ แต่ใบหน้าเล็กนั้นก็ยังคงก้มหน้าลงต่ำ ไม่ยอมเงยหน้ามามองผม ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ก่อนจะประคองใบหน้าเรียวเล็กให้เงยหน้าสบตาผม

“ถ้าปิ่นพูดคำนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้วล่ะ ที่ก้องบอกว่าจบก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลิกกัน ก้องยังรู้สึกกับปิ่นเหมือนเดิม ไม่มีใครมาทำให้ก้องรู้สึกเหมือนกับที่ก้องรู้สึกกับปิ่น ทุกครั้งที่ก้องอยากจะเริ่มใหม่ ก็มีแต่หน้าปิ่นลอยมา ปิ่นว่าก้องอาการหนักไหมล่ะ”ผมค่อยๆใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย และประโยคสุดท้ายของผมก็เรียกรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้ทันที

“หนักมาก”ปิ่นพยักหน้าตอบคำถามผม ผมอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางนั้น

“งั้นช่วยรักษาคนอาการหนักหน่อยนะครับ เป็นแฟนกับก้องนะครับ”ผมประคองมืออีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย ปิ่นพยักหน้ารับทั้งน้ำตา แต่นั่นกลับดูน่ารักเหลือเกินในสายตาผม ผมจูบที่ฝ่ามือเธอทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว

“จองไว้นะ เรียบจบ มีงานทำ เก็บเงินได้เมื่อไหร่จะไปขอทันที”ผมมั่นใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตของผม โอ้... ผมลืมไปเลยว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกในชีวิตของผมด้วยนี่นา ขอบคุณใครก็ตามแต่ที่ส่งผมให้ได้รู้จักกับเธอ
...ผู้หญิงคนแรก และคนสุดท้ายในชีวิตของผม...

.

.

.

.

ห้าปีต่อมา

ผมเรียนจนจบปีสี่แล้วก็เริ่มออกหางานทำ แม้งานที่ทำจะอยู่ไกลบ้านตนเอง แต่มันก็ใกล้บ้านคนรักของผมละกัน ในคราแรกที่ปั้นรู้ว่าผมคบกับพี่ปิ่น มันก็โวยวายหอแทบแตก นี่ขนาดผมปิดมันไว้ในช่วงสามเดือนแรกอย่างที่ปิ่นขอไว้มันยังระเบิดลงขนาดนี้ จนผมนึกภาพไม่ออกว่าถ้าผมบอกว่าผมรู้จักพี่ของมันมาจะเข้าปีที่ห้าแล้วมันจะเป็นยังไง ส่วนพ่อกับแม่ของปิ่นก็เข้าใจไม่ได้ห้ามไว้อย่างในคราแรกที่จับได้ว่าปิ่นคุยโทรศัพท์กับผมจนยึดโทรศัพท์ปิ่นแล้วก็จัดการคุมเข้มลูกสาวตนเอง แต่แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายคนนั้นก็คือผมคนนี้นั่นเอง ผมกับปิ่นลงความเห็นว่าดีแล้ว เพราะคนในครอบครัวปิ่นจะได้ไม่อคติในเรื่องเดิมๆ ผมคบกับปิ่นมาจนจะเข้าปีที่ห้าแล้ว แต่รักกันมาจะแปดปีแล้วก็ตาม ผมเข้าตามตรอกออกตามประตูทุกช่อง จนขึ้นแท่นเป็นลูกรักของบ้านปิ่นไปอีกคน ซึ่งอาจจะเป็นที่หน้าหมั่นไส้ของปั้นบ้าง แต่โชคดีที่มันก็พาพี่โอมมาให้ที่บ้านรู้จัก แล้วก็พูดอีท่าไหนไม่รู้จนพ่อกับแม่มันอนุมัติให้คบกัน ทำให้ผมไม่ต้องคอยโดนมันจิกกัดด่าทอตบตีในทุกคราวที่มันหมั่นไส้ผม

ช่วงนี้ผมก็กำลังเก็บเงินอย่างบ้าเลือด โดยมีไอ้ปั้นมาคอยชวนผมออกเที่ยวตลอดเวลา สาเหตุก็คือมันไม่อยากให้ผมเก็บเงินไปขอพี่สาวมันครับ งี่เง่าดีไหมล่ะ แต่โดยมากผมก็ปฏิเสธมันไป แม้จะต้องทำร้ายจิตใจมัน แต่ผมจะไม่ทำร้ายจิตใจตัวเองโดยเด็ดขาด

เรื่องราวความรักของผมจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ ผมก็บอกได้คำเดียวว่าผมไม่รู้หรอกครับ สิ่งเดียวที่ผมรู้และจะทำก็คือ ผมจะประคองความรักของผมให้ดีที่สุด เหมือนอย่างที่ปั้นกับพี่โอมทำ เหมือนอย่างที่พี่วินกับพี่นิ่งทำ




รักครั้งนี้ของผม... ผมรอคอยมานานแล้ว


++++


จบแล้ววววว  :bye2:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 28-03-2015 16:39:43
เรื่องน่ารัก ขอบคุณนะคะ  :m1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sunipum ที่ 31-03-2015 14:00:51
อ่านรวดเดียวจบเลย
น่ารักทุกคู่เลยค่ะ  สุข เศร้าเคล้ากันไปเนอะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: MorMilk.Miche ที่ 13-04-2015 21:44:24
ทั้งคู่หมายถึง โอมกับปั้น มีชีวิตจิงๆไหมค่ะ

แล้วมหาวิทยาลัยในเรื่องคือ มหาวิทยาลัยพะเยาใช่รึป่าว

เรื่องนี้สนุกมากค่ะ เพิ่งเปิดเจอ อ่านรวดเดียวจบเลย แต่งอีกนะค่ะ ชอบบบบบ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 08-01-2016 15:02:15
น่ารักทุกคู่เลยครับ ........ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: montisa2536 ที่ 05-02-2016 02:48:54
กรี๊ดดด อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ ชอบมากชอบนายเอกสไตลล์น้องปั้นอยากได้มาเป็นน้องชาย(มโนว่าคือปิ่น)น่ารักที่สุด สนุกมากค่ะ ภาษาอ่านได้ลื่นไหล ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องสนุกๆน่ะค่ะ ^^
 ปล.เรากะจะไปดามใจก้องสะหน่อย เชอะ 555
ปล2.เขียนเรื่องอื่นอีกน่ะค่ะ จะคอยติดตามค่ะ มาเร็วๆน่ะค่ะเค้าจะรอ
 
 o13  :mew1:
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 05-02-2016 12:16:26
ขอบคุณค่า สนุกอ่ะ
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 05-02-2016 22:16:25
น่ารักมากค่า มีความสุขกันทุกคู่ก็โอเคแล้ว
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ปากกาหมึกซึม ที่ 03-11-2017 21:40:33
กลับมาอ่านนิยายเก่าของตัวเองอีกครั้ง คิดถึงทุกคนในเรื่อง
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Sp.รักนี้ที่รอคอย 28/1 จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-07-2020 20:25:41
น่ารักอ่ะปั้นกับพี่โอม  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (Christmas Sp. 24/12/56)
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 25-10-2020 15:21:04


ตอนพิเศษเอาไปลงท้ายสุดได้มั้ย อย่าเอามาลงคั่นเนื้อเรื่องหลัก มันกระโดดไปกระโดดมา เนื้อเรื่องจริงยังไปไม่ถึงไหนมาเจอตอนพิเศษที่เนื้อเรื่องหลักจบไปแล้ว ทำให้ไม่อยากรู้เรื่องหลักแล้ว
หัวข้อ: Re: Stand (& Love) with me... รักนี้ เพราะคณะเราใกล้กัน (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 11-02-2022 07:43:47
‘ฮัลโหล ว่าไงไอ้โอม’

“ว่าไงบ้านป้ามึงดิ กูจะถามว่าตอนนี้มึงเอารถกูไปไหนเนี่ย”
ทำไมปากเสียมารยาททรามแบบนี้ แค่เขาถามว่าไงก็ต้องย้อนด่าเขาแบบนั้น